พิมพ์หน้านี้ - #เกิดเป็นสิงโตทะเล *จบ* (3/06/2019)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: lookpatty15407 ที่ 13-06-2019 23:39:03

หัวข้อ: #เกิดเป็นสิงโตทะเล *จบ* (3/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 13-06-2019 23:39:03
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - บทนำ (13/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-06-2019 23:41:27
 :pig2:
 :3123:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - บทนำ (13/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 13-06-2019 23:46:44
บทนำ


ใครว่าเกิดใหม่จะได้ทะลุไปโลกแฟนตาซี บ้างก็หวนอดีตไปสมัยย้อนยุค แล้วเหตุใดข้าจึงได้เกิดใหม่เป็นสิงโตทะเล !   

ใช่ !! เจ้าอ่านไม่ผิดหรอก ข้าเกิดใหม่เป็นสิงโตทะเลตั้งแต่ลืมตาดูโลก โผล่หัวมาอยู่ในยุคปัจจุบัน ตั้งถิ่นฐานอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอควาเรียมเป็นต้น พวกเจ้ามนุษยหน้าโง่ทั้งหลายแหล่มักจะใช้สายตาเมียงมองมาทางเรา จับจ้องอิริยาบถการเคลื่อนไหวของพวกข้า หรือไม่ก็ข้าที่เพิ่งจะหย่านมมาหมาดๆ

ข้าเป็นสิงโตทะเลเพศผู้ เป็นญาติพี่น้องกับแมวน้ำ บ้างก็ถูกสับสนว่าพวกเรานั้นคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ต่างกันนั้นคือข้ามีหู ส่วนแมวน้ำนั้นไม่มีหู มีแค่รูเล็กๆ เท่านั้นให้ได้ยิน อีกทั้งตัวข้าเองก็สามารถใช้ครีบเดินได้ ยืนได้ดั่งมนุษย์ แตกต่างจากแมวน้ำอย่างสิ้นเชิงที่มีครีบขนาดเล็กแต่เล็บที่ยาวกว่าและอ่อนแอ อาศัยการเคลื่อนไหวบนบกโดยการกระดึ้บไปมาข้างหน้า

พวกเรานั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สามารถดำน้ำได้ถึงหนึ่งพันเมตร หายใจที่นั่นได้ถึงยี่สิบนาที และความเร็วในการว่ายน้ำอยู่ที่สี่สิบถึงหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

หากถามว่ารู้ได้ยังไง…

แน่นอน… ก็เจ้าพิธีกรมันบอกอยู่

สมัยก่อนข้าไม่เคยแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ เช่นนี้หรอก แต่ภาษาเผ่าพันธุ์ทำให้ข้าเข้าใจและถูกปรับเปลี่ยน การใช้คำว่า ‘ผม’ หรือไม่ก็ ‘ฉัน’ จึงถูกท่านแม่ขู่คำรามอยู่บ่อยครั้ง หาว่าเปรียบเทียบตนเองเป็นดั่งมนุษย์ ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง พวกพี่ๆ สิงโตทะเลก็มักกรอกหูข้าอยู่เสมอ ว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่แสนเชื่อง ให้อาหารและความอยู่เย็นสบายแก่พวกเราอย่างดิบดี ดั่งเป็นข้าทาสบริวารก็ไม่ปาน

หากแท้จริงนั้นข้ารู้ดีว่าพวกเราเป็นสัตว์ที่ถูกกักขัง วันๆ ได้แต่นอนกินนอนกิน ข้าเองก็แสนจะเบื่อหน่าย ไม่อยากจะลงไปว่ายน้ำเล่น หยอกล้อกับผู้คนเหมือนกับตัวอื่นๆ

ให้มาร้องอุ๋งๆ หดคอขึ้นลงเป็นการทักทาย….

ข้าไม่ทำหรอก !!

อ้อ ลืมไป พวกเจ้าอยากรู้เรื่องอดีตของข้าใช่ไหมล่ะ ? ฉะนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง….

ข้าเคยเป็นหนุ่มหล่อที่มีสาวพัวพันตั้งมากมาย เป็นหนุ่มเพอร์เฟคมากความสามารถ การเงินเข้ามาไม่เคยขาด ถอนหายใจออกมาทีก็มีเงินร่วงหล่นอยู่ตรงหน้า

เปล่าหรอก… ข้าโกหก แท้จริงแล้วข้าเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาเท่านั้น ใช้ชีวิตเรียบง่าย วัน ๆ เอาแต่นั่งดูอนิเมะ เล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ค่อยเข้าสังคมใด ๆ ทั้งสิ้น ปากคอเราะร้าย มาตายตอนถูกรถชนเพราะไปช่วยคนแก่ที่กำลังข้ามถนน ไม่รู้ว่าดีหรือซวยจึงโดนผลักอีกทอดหนึ่ง รถที่จะชนทีแรกหยุดชะงักกลางคัน ส่วนข้าที่ถลาไปข้างหน้าจึงโดนรถอีกเลนกระแทกชนตาย…

เออดี… ชีวิตบัดซบสิ้นดี

มึงจะผลักกูมาทำมายยยยย !!

ไปๆ มาๆ ข้าจึงรู้สึกว่ามนุษย์นั้นมีนิสัยโง่งมเหมือนที่ตัวอื่นๆ มักกรอกหู

“อุ๋งๆ” เสียงเรียกทัก ขณะที่ข้ากำลังนอนงุดอยู่บนพื้น พลันชะโงกศีรษะดูบุคคลที่ย่างกรายเข้ามา

เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาภายในพร้อมกับครอบครัวหนึ่ง คาดว่าคงจ่ายเงินเพื่อให้อาหารแก่สิงโตทะเล โดยมีผู้ดูแลรักษาความปลอดภัยคอยให้คำแนะนำ เว้นระยะห่างให้พวกเขาไม่ใกล้ชิดข้ามากจนเกินไป

อาจเพราะว่าตัวข้าค่อนข้างเล็กด้วยละมั้ง ในสายตาของพวกเขาจึงมองข้าว่าน่ารักน่าชัง

“แม่ครับ มันน่ารักจังเลยยย” เด็กคนนั้นเอ่ยชม ยิ้มโชว์ฟันน้ำนมที่เรียงสวย ซากปลาตายเริ่มโยนมาทางข้า ทั้งที่ตัวอื่นๆ ก็เรียกร้องความสนใจ รอรับประทานอาหารอย่างใจจดใจจ่อ

เหตุฉะไหนถึงเป็นข้า…

ข้าจะนอน ได้โปรดอย่ามายุ่งกับข้าเลย มันจะทำให้ตัวอื่นนึกหมั่นไส้ข้าตามไปด้วย
 
“อุ๋งๆ”

ปึก! เสียงแรงตกกระแทกพื้น

 “…” ข้าเงียบ เริ่มตงิดๆ เมื่อซากปลาตายมารวมอยู่ตรงหน้า

แบ่งปันให้ตัวอื่นๆ บ้างก็ได้

ข้าอิ่มแล้ว

ข้าไม่กินหรอก

ข้าได้แต่ส่ายหน้าเป็นการบอกใบ้

ทว่า…

“กินสิ”

“…”

“เอ้า!! กินเร็ว” เด็กน้อยโยนปลา เหวี่ยงมากระแทกโดนหัวของข้าเสียดังปึก!

ข้าพยายามไม่สนใจ แต่เจ้ามนุษยหน้าโง่ก็ยังโยนปลามาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

พรึ่บ!!

ข้าลุกขึ้นยืน ใช้เท้าเขี่ยปลาด้านข้างทิ้ง ก่อนจะคลานมาทิศทางเบื้องหน้า ก้มลงดูปลาสลับไปที่เด็กชายขึ้นๆ ลงๆ เหมือนลังเล

เจ้ามนุษย์คล้ายดีอกดีใจที่เห็นปฏิกิริยา ส่วนข้านั้นจ้องด้วยแววตากลมโตใสแจ๋ว ลูกตาดำคงดูออดอ้อนน่ารักใคร่

“กินสิ”

ไม่…

ปึก!

ข้าเอาครีบสะบัดปลาทิ้งกระจุยกระจาย เล่นเอาผู้ดูแลและมนุษย์ที่เหลือตกตะลึงพรึงเพริด แต่ตัวข้านั้นไม่สาแก่ใจ ปัดเท้าด้านหน้าของตัวเองอย่างฉุนเฉียวดังพรึ่บพรั่บ ปลาที่เคยบดบังกระเด็นกระดอนไปคนละทาง

ข้าแหงนหน้ามองมนุษย์ที่เหงื่อตก ดูอึ้งทึ้งกับการกระทำของข้า

“ทะ ทำไมมันไม่กินล่ะ” อีกฝ่ายยังคงสงสัย

ข้าเริ่มโมโห ใช้ครีบทั้งสี่คลานไปทิศทางเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงร้องที่เล็กจิ๋วคล้ายคำราม

“อุ๋งงงงง!!”

ไม่แดก…

ก็บอกว่าไม่แดกไง!!!

“กรี๊ด!!!”

จะกินมึงนี่แหละอีเด็กเวร !!

พอกันที!!
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่หนึ่ง (13/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 13-06-2019 23:51:01
[1]



 

ข้าโดนท่านแม่กักบริเวณ…   

จริงๆ จะเรียกว่ากักบริเวณก็ไม่ถูก เพราะเสียยังไงก็ไม่สามารถไปไหนได้นอกจากที่นี่ เพียงแต่ข้าโดนทำโทษว่าไม่สามารถไปเล่นกับพวกพี่ๆ ตัวอื่นๆ ได้ก็เท่านั้น

ส่วนเหตุผลก็มีประการเดียว ข้าทำตัวก้าวร้าวไม่น่ารัก พุ่งกระโจนเข้าใส่เด็กมนุษย์จนกรีดร้องร่ำไห้ ครอบครัวพวกเขาต่างหวาดหวั่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องรีบอุ้มตัวข้าที่เกรี้ยวกราด ดีดดิ้นหวังจะเอาครีบตะปบหน้าเด็กตัวจ้อย อาหารที่อยู่ในมือนั้นเทกระจายเกลื่อนกลาด สิ่งมีชีวิตพุ่งเข้าใส่จนห้ามปรามกันแทบไม่ทัน ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด

หลายวันถัดมาข้าได้ยินข่าวลือว่าจะมีมนุษย์คนใหม่มาดูแลพวกเราแทน คนคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสิงโตทะเล เห็นว่าได้เกียรตินิยมและหลงใหลอาชีพนี้ ทั้งที่สามารถต่อยอดไปทำอะไรที่ประสบผลสำเร็จตั้งมากมาย แต่กลับมาทำอาชีพที่เงินเดือนก็ไม่ได้มากโข อีกทั้งยังมีความสามารถสอนสัตว์เล่นการแสดง

อืม แต่ข้าไม่ทำหรอกนะ…

ที่ข้ารู้รายละเอียดมากขนาดนี้ได้ก็เพราะว่าผู้ดูแลเหมือนไม่ค่อยมีคนคุย เลยมาลงกับพวกเราที่ทำหน้าฉงน แตกต่างจากข้าที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน เลยเข้าใจภาษาทุกถ้อยคำอย่างถี่ถ้วน อีกฝ่ายให้เหตุผลที่ว่าแก่มากแล้วจึงต้องลาออก พี่ผู้หญิงอีกคนที่มีส่วนดูแลก็ดูดี๊ด๊าจนน่าตะปบหน้า ข้าเองยังนึกหมั่นไส้กับท่าทางสะดีดสะดิ้งเหล่านั้น ก็เพราะคนที่มาใหม่ทราบว่าเป็นหนุ่มหล่อเหลา

เอาจริงๆ ข้าไม่ค่อยจะชอบผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่นัก เธอมักจะไม่ค่อยเอ็นดูพวกเราเหมือนกับคุณลุงก่อนหน้านี้ ทำงานทีไรก็เหมือนขอไปที ทำความสะอาดก็ไม่ดีเท่ากับคุณลุง แถมยังพูดจาขวานผ่าซากไม่ให้เกียรติผู้สูงอายุอีกต่างหาก แววตาคล้ายดูหมิ่นพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสังเวช แตกต่างจากคุณลุงอย่างสิ้นเชิงที่มองพวกเราเป็นดั่งครอบครัว เล่าปัญหาชีวิตในแต่ละวัน บ้างก็เล่าเรื่องตลกที่พบเจอ แม้ตัวอื่นๆ จะไม่เข้าใจ

สัตว์ตัวอื่นๆ ต่างก็นินทาว่าผู้ดูแลไม่สมประกอบ แม้จะเป็นคนดีคนนึง

กึกกักๆ

อ้อ วันนี้เป็นวันแรกของผู้มาใหม่นี่นา ข้าได้ยินเสียงไขกุญแจที่บานประตูแล้ว พลอยให้สิงโตทะเลเริ่มคลานไปดักรอที่ทางเข้าเฉกเช่นทุกที

“เหวอออ!! วะ หวัดดีทุกคน” เสียงทุ้มดูตกใจ ก่อนจะแปรผันเป็นการทักทาย ข้าที่เพิ่งคลานออกมาจากที่นอน พลางชูคอขึ้นมองก็แทบจะหลุดปากร้องกับภาพเบื้องหน้า

โอ้ หล่อฉิบหายเลย รอยยิ้มนั้นดูเหมือนเทพบุตรมาจุติก็ไม่ปาน ข้าคิดว่าเป็นดาราซะอีก สมดั่งคำล่ำลือที่ยัยผู้หญิง ‘ลม’ พร่ำเพ้อนักหนา

ใบหน้าคมคาย คิ้วเข้มดกดำ ตาเรียวดูฉ่ำน้ำเปล่งประกายความอบอุ่น จมูกโด่งเป็นสันเขื่อน ริมฝีปากหยักสีชมพูระเรื่อ องค์ประกอบดูดีไร้ที่ติ สัดส่วนกำยำดูเหมาะสมกับการทำงาน ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แม้จะไม่ได้ขาวกระจ่างใส ออกจะแทนคร้ามแดดดูดีมีภูมิฐาน

อืมๆ ดีมากเลย ข้าอนุมัติในการทำงาน จะเปิดใจให้ละกันนะ เพราะถ้อยคำแรกที่พูดออกมาก็ถือว่าให้เกียรติพวกข้าดี น่าจะเป็นมิตรกันได้อยู่

“หิวกันแล้วสินะ ขอโทษด้วยที่ให้รอ ผมชื่อ ‘ตี๋’ นับตั้งแต่นี้จะมาดูแลพวกเรานะ” คนหล่อพูดคนเดียว พร้อมแย้มยิ้มเป็นมิตร มือหนาลูบลงที่หัวของสิงโตทะเลตัวหนึ่ง

“โอ๊ะ ว่าไงเจ้าตัวเล็ก” หมอนั่นมองข้ามมาทางข้า ผลิรอยยิ้มสว่างไสว ข้าแทบจะเอาครีบมาบดบังความเจิดจรัสที่มอบมาให้

ตึกตัก ตึกตัก ดาเมจของเจ้าช่างรุนแรงนัก ขนาดตัวข้าเองเป็นเพศผู้ยังรู้สึกหวั่นไหว

ท่านแม่ช่วยข้าด้วย มนุษย์ผู้นี้ไม่ดีต่อจิตใจซะเลย…

ข้าหักลบคะแนนของเจ้าแล้วข้อหาหล่อเกินไป แถมยังมีหน้ามาตั้งฉายาข้าว่าเจ้าตัวเล็ก

อีกฝ่ายถือถังปลายื่นอาหารให้แก่สัตว์ตัวอื่นๆ สังเกตได้ว่ามนุษย์ผู้นี้ช่างใส่ใจยิ่งนัก แบ่งปันอาหารได้อย่างเท่าเทียม ก่อนจะเดินข้ามมาทางข้า ดันตัวอื่นๆ ที่บดบังทิศทาง ไม่วายพูดขออนุญาตในการข้ามผ่าน

“หวัดดีเจ้าตัวเล็ก”

พ่องมึงสิตัวเล็ก ควักออกมาดูกันได้นะไอ้เจ้าตัวโต

“หิวไหม”

“…” ข้าเงียบ สะบัดหน้าหยิ่งยโสไปด้านข้าง ไม่กล้าจดจ้องบุรุษตรงหน้า จิตใจของข้าช่างเปาะบางยิ่งนัก ข้าเลยกระเถิบตัวไปแอบอยู่ด้านหลังของท่านแม่

เจ้ามนุษย์หล่อที่ชื่อตี๋แอบยิ้มขำ หลุดเสียงหัวเราะดังพรืดทันทีที่ข้าผุดหัวออกมาด้านข้าง จับจ้องคนตัวโตที่ยื่นปลาให้ท่านแม่กิน ในขณะที่สายตาคู่นั้นกำลังพินิจมองข้าทุกวินาที เหมือนอีกฝ่ายจะสนใจอิริบถของข้ามาก ริมฝีหยักหยักหนาจึงเผยอขึ้นเอ่ยชม

“น่ารักจังเลยนะ”

เหอะ แน่นอน หลายๆ คนก็บอก ถึงเจ้าไม่พูดข้าก็รู้ตัวดี

ข้ายอมบวกคะแนนเพิ่มที่หักไปก็ได้

“มานี่เร็ว กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ” คนตัวโตกวักมือเรียก ข้าที่ทำท่าไม่ปลอดภัยจึงจางลง กระเถิบตัวออกมาข้างหน้า พลันใช้ดวงตาเหลือบมองร่างสูงที่ยกยิ้มมุมปากคล้ายพึงพอใจ

“ฉลาดนะเราอะ”

“อุ๋ง” เห็นว่าชมหรอกนะข้าจึงขานรับ ริมฝีปากอ้ารับอาหารที่ยื่นมาตรงหน้า คราก่อนกว่าจะทำใจกินได้ช่างยากเย็น แต่พอกินไปนานๆ เข้าปลาพวกนี้ก็อร่อยดี

แจ็บๆ ใส่เข้าปากข้าอีกสิ ทำงานให้มันสมกับเงินเดือน

“เพิ่งหย่านมสินะ”

“…” ข้าไม่สนใจ อ้าปากรับปลาที่ยื่นมาให้กินเรื่อยๆ

“มีชื่อยังครับ”

“…”

“ชื่อเจ้าตัวเล็กไหม น่ารักดีนะ”

“…”

“ชอบไหมครับ”

หืม…

“ฮ่าๆ ชอบสินะ”

ข้าตอบตอนไหนไม่ทราบ ? เจ้าเป็นบ้าเหรอ ?

เอาเถอะ ข้าเข้าใจละ หมอนี่เป็นพวกปลีกวิเวก ไม่มีเพื่อนคบเหมือนกับคุณลุงก่อนหน้านี้

เฮือก!! ข้าถึงกับสะดุ้งโหยง จู่ๆ เจ้าตี๋ก็เอามือหนาเข้ามาสัมผัสตัวข้า ฝ่ามือลูบไล้ไปที่ศีรษะลากไปที่ลำตัว ความวูบไหวเกิดขึ้นในจิตใจ มาพร้อมกับความรู้สึกที่แล่นพล่านชวนวาบหวิว เป็นความรู้สึกที่ดีจนข้าแอบหลับตาพริ้ม หลุดเสียงครางเคลิบเคลิ้มกับการสัมผัส

“หึๆ” คนตัวโตหลุดหัวเราะ พลันให้ข้าได้สติ รีบเบิกตาขึ้น ใช้ครีบของตัวเองปัดแขนที่อยู่ข้างลำตัว

“ก้าวร้าวนะเราน่ะ” อีกฝ่ายติเตียน ส่วนข้านั้นไม่ยี่หระใดๆ

หากก้าวร้าวแล้วจะทำไมกัน เจ้ามนุษย์หน้าโง่จะต่อยกับข้าไหมล่ะ ?

ข้าทำได้นะ แข่งกันดำน้ำก่อนเป็นไง ใครตายก่อนในยี่สิบนาทีแรกถือว่าแพ้

“น้องตี๋ แทนที่จะรอพี่ลมก่อน เกิดมีอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง” เสียงบีบเล็กของผู้มาใหม่ดังลอดขึ้น ท่าทางดูเป็นห่วงเป็นใยหนุ่มสุดหล่อ

ข้าที่มองอิริยาบถเช่นนั้นได้แต่เบะปากเป็นสระอิภายในใจ ใบหน้าของเธอแดงปลั่ง หัวเราะสดใสยามที่สัตว์ตัวอื่นๆ เข้ามารุมคลอเคลีย แต่แท้จริงนั้นหมายจะตะปบหญิงสาวรุมทึ้งกันระนาว

เจ้าตัวจะรู้บ้างไหม…

“เจ้าตัวเล็กนี้ยังไม่มีชื่อใช่ไหมครับ”

“ยังไม่มีค่ะ”

“…” ข้าเงียบ ในใจตั้งชื่อผู้หญิงที่ชื่อลม เป็น ‘หอยนางรม’ หมั่นไส้กับจริตจะก้านที่เข้ามาคุกเข่าข้างชายหนุ่ม กระทั่งตัวข้าถูกยกขึ้นกึ่งยืน ใต้ครีบถูกฝ่ามือของหญิงสาวโอบอุ้ม ข้าจึงหันไปถลึงตาใส่ยัยหอยนางรม

กล้าดียังไงมาสัมผัสข้ากัน คราก่อนเจ้าไม่เห็นนึกเอ็นดูข้าเช่นนี้เลย

ปล่อยข้านะ เชื้อโรคเสแสร้งมันจะติดตัวข้า !

“เจ้านี่ติดลมมากเลยค่ะ ค่อนข้างเชื่องด้วย”

ตอแหลม ! อย่าไปเชื่อหล่อนนะเจ้ามนุษย์หน้าโง่

“จริงเหรอครับ ?”

โอเค เจ้าโง่เง่าจริง ๆ ด้วย !

“ดูนี่นะคะ” ผู้หญิงตรงหน้าหันไปบอกชายหนุ่มให้จับตามอง ใบหน้าขาวผ่องเพราะรองพื้นผิดเบอร์พลันเขยิบเข้ามาใกล้ ปลายจมูกแตะลงที่สันจมูกของข้าที่กำลังหายใจฟืดฟาด

“เห็…”

งั่ม!!

เหมือนเสี้ยววินาทีหยุดชะงัก ฟันของข้าที่เพิ่งผุดได้ไม่นางกัดลงที่ปลายจมูกโด่งรั้นในทันใด ไม่ช้านานเสียงหวีดร้องก็ดังสนั่นหวั่นไหว ตามมาด้วยเจ้าตี๋ที่สะดุ้งโหยงร้องเสียงเหวอชวนน่าขัน

“กะ กรี๊ดดดดดดดดด!! ปะ ปล่อยนะ กรี๊ดดด!! เจ็บ อ๊ากกก เจ็บ!!”

“คะ คุณลม!!” ตี๋ที่เพิ่งทำงานวันแรกมือไม้เป็นระวิง หน้าซีดเผือดรีบจับที่โพรงปากของข้า หวังจะแงะให้หลุดออกจากปลายจมูกของหญิงจอมปลอม

หึ่ยยย หมั่นไส้มานานแล้ว ยัยขี้เกียจตัวเป็นขน

งั่ม! ข้าเพิ่มแรงมากขึ้น ไม่ได้กะจะกัดจนเลือดไหลซิบด้วยซ้ำ  แค่กัดเพราะความมันเขี้ยวยัยหอยนางรมล้วนๆ

“ตะ ตัวเล็ก ปะ ปล่อยนะ” เจ้าตี๋แทบร้องวิงวอน สายตาหวั่นวิตกจนข้าอ่อนใจ เห็นว่าเป็นงานวันแรกเลยยอมผละจาก ทิ้งท้ายด้วยครีบข้างซ้ายตะปบลงที่ใบหน้าของหญิงสาวจนหน้าหันเสียงดังเพี๊ยะ!

นี่แน่ะ

ข้อหาตอแหล

“กรี๊ดดด!!” เสียงกรีดร้องไม่ยอมหยุด มือที่เคยโอบอุ้มจึงปล่อยตัวข้าให้ร่วงหล่นตรงพื้นเสียดังปึก!

โอ๊ยยย ข้าเจ็บนะ ! ยัยบ้า !

การตกกระแทกมันเจ็บมิใช่น้อย แม้ไม่ได้สูงมาก แต่การถูกจับให้ลุกขึ้นยืนและปล่อยลง มันทำให้ข้ารู้สึกจุกเสียดที่หน้าท้องเต็มไปหมด

อย่างน้อยข้าก็ยังเป็นเด็กอยู่นะ !! เห็นใจข้าด้วย !

“ไปรักษาแผลกันก่อนเถอะครับคุณลม” ตี๋ร้อนรน พลางประคองเธอให้ลุกขึ้นยืน ส่วนข้านั้นส่งเสียงร้องไม่พอใจ ความอวดครวญทำให้ชายหนุ่มนึกลังเล ตัดสินใจหันไปบอกหญิงสาวว่าให้รีบไปหาแพทย์ ส่วนตนเองนั้นก้มลงมาดูอาการของข้าแทน

หึๆ ดูไว้ซะยัยหอยนางรม เจ้านี่เลือกข้า มิใช่เจ้า…

นับตั้งแต่นี้ไปเราสองคนเป็นผัวเมียกัน

“เจ็บเหรอเจ้าตัวเล็ก”

“อุ๋ง~” ข้าครวญคราง แหงนหน้ามองหญิงสาวที่กุมจมูกอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม

แววตาของเธอวาวโรจน์เต็มไปด้วยโทสะ ส่วนข้านั้นใช้ปากแย้มยิ้ม นึกสะใจเต็มไปหมด พลันก้มลงไปถูไถที่แผงอกกำยำ ซุกตัวออดอ้อนคนหล่อเหลาที่แสนใจดี

อ่าห์ ~ ตัวหอมใช้ได้เลยนะ…

“อุ๋ง~”

“ไม่ร้องนะครับ เดี๋ยวพาออกไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย” เจ้ามนุษย์ตี๋รีบอุ้มข้าทันที แทบจะวิ่งผ่านบุคคลที่ยืนตกตะลึง

ข้าที่หันหน้าไปมองทางหญิงสาวยืดคอไปข้างหลังเต็มกำลัง ก่อนจะหดลงให้มีก้อนเนื้อเป็นชั้นๆ นึกร้องวั้ยๆ ภายในใจ ท่าทางไม่ต่างจากการเยาะเย้ยคนที่ยืนกุมมือตนเองแน่น หน้าแดงจัดเตรียมร้องกรี๊ด

 (สีหน้าเยาะเย้ย)

“อุ๋งๆ ~” แปลว่า สมน้ำหน้า

กระอักเลือดตายไปเลยสิ ผู้หญิงร้อยเล่มเกวียนหรือจะสู้สิงโตทะเลมารยาเปรียบดั่งมหาสมุทรเฉกเช่นข้า

“ไม่ร้องๆ”

เฮ้อออ ข้าอยากจะถอนหายใจนัก เจ้าตี๋ก็ดูซื่อบื้อซะเหลือเกิน ถือว่าประสมโรง ข้ายอมเพิ่มคะแนนให้อีกสามสิบแต้มก็ได้นะ หักไปสิบแต้มข้อหาโง่งมจนน่ารำคาญ

ข้าหลับตาพริ้ม ปล่อยให้คนร้อนรนพาไปหาแพทย์เพื่อตรวจสอบอาการ ครั้นลืมตามาอีกทีก็ตอนที่เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอยู่เหนือหัว

“ร้ายนะเราอะ”

“…” ข้าแหงนหน้ามองอย่างแปลกใจ

อ่าว… สามีจอมปลอมดูออกหรือ ?

“ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อเลย” คนหล่อพูดพลางยิ้มขำ ปลายนิ้วชี้จรดลงที่สันจมูกของข้า สัมผัสเบาบางแตะลงเพียงเสี้ยววินาที แต่ทำให้หัวใจของข้าสั่นโครมคราม

“ดื้อจริงๆ”

หืมมม เจ้าว่าข้าดื้อหรือ ?

ได้…

ข้าหักลบยี่สิบแต้ม !

เจ้ามนุษย์หน้าโง่ปัญญานิ่ม !

งั่ม !!

“โอ๊ย!! เจ้าตัวเล็ก”

กัดแขนแม่ม
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สอง (13/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 13-06-2019 23:52:29
[2]


 

วันนี้ไม่ใช่เวรตารางให้อาหารของเจ้าตี๋ซะด้วย ยัยหอยนางรมเลยได้จังหวะมาลงที่ข้า และข้าก็เชื่อแล้วละว่ามนุษย์เพศหญิงนั้นมีแรงเคียดแค้นริษยา ขนาดกับสัตว์เองก็ยังไม่ละเว้น

“นี่แน่ะ! กินซะสิเจ้าแมวน้ำน่าโง่” ว่าพาลเขวี้ยงอาหารมากระทบลำตัวของข้า

ข้าได้แต่ส่ายหน้ากับการกระทำ พยายามสงบจิตสงบใจให้เย็นลง นอนฟุบลงกับพื้น สายตาเหลือบมองหญิงสาวที่หน้าแดงริ้วฉายแววความขุ่นเคืองอยู่วูบนึง

สติของหล่อนคงฟั่นเฟือนไปแล้วแน่ๆ ถึงได้สับสนระหว่างสิงโตทะเลกับแมวน้ำกันไม่ออก หากข้าเป็นคนผู้จัดการคงไล่ตะเพิดเป็นคนแรก

เฮ้อออ ข้าอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากมาเสวนากับเจ้าหรอกนะ มาอิจฉาที่ข้าได้ใกล้ชิดกับเจ้าตี๋ เจ้าคิดว่าเราสองคนที่ต่างเผ่าพันธุ์จะสามารถมารักใคร่ผสมพันธุ์กันได้อย่างงั้นหรือ ?

สมมุติข้าเป็นตัวเมียจริงๆ ลูกข้าจะเกิดมาเป็นเช่นไร ? เป็นนางเงือกเหรอ ? หรือว่าจะเกิดมามีหัวเป็นสิงโตทะเล ในขณะที่ท่อนล่างเป็นคน มันน่าวิปลาสสิ้นดี แค่ฉุกคิดท่าร่วมรักก็ทำข้าคงลุกเกลียวไปทั่วลำตัว อยากจะร้องยี้ ~ ออกมาจากปากในทันที

อ๊ากกก แหวะๆ !  วิตถารๆ ! ข้าคิดเรื่องสัปดนแบบนี้ได้ยังไงกัน !

ข้าขย้อยของกินออกจากปากจนหลุดสำลักดังโครก ทำให้คนที่หมั่นไส้ในทีแรกหลุดหัวเราะพอใจ พร้อมกับคำพูดเหน็บแนมว่า “สมน้ำหน้า”

ข้าชำเลืองมองคนที่ยืนห่างออกไปจากตัวข้า ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวหวาดกลัวข้ามากแค่ไหน

ไม่ใช่ว่าโกรธที่ข้าทำหน้าตาเยาะเย้ยใช่หรือไม่ ? หรือโกรธที่ข้ากัดจมูกของเจ้ากันแน่ ทั้งที่จมูกเจ้าก็แบนเป็นทุนเดิม ตบก็แค่นิดๆ หน่อย แดงนิดเดียวแต่ไม่ถึงกับเลือดกบปาก

เนี่ย สำออย คนเขามองออกนะรู้ไหม

เหอะๆ ผู้ชายเพิ่งมาทำงานไม่กี่วัน เจ้าก็ระริกระรี้อยากมีผัวเสียเต็มประดา อีกฝ่ายยังไม่ทันรู้อุปนิสัยของเจ้าเลยด้วยซ้ำ มีแต่ข้าเนี่ยสิที่แทบจะโดนโอบอุ้มพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง ผลโหวตมันก็แน่ชัดอยู่แล้วว่าใครมีเสน่ห์แพรวพราวมากกว่ากัน

เฮ้อออ ไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ…

ฉุกคิดขึ้นมาได้ก็ชูคอขึ้นสูง ก่อนจะย่นคอให้มีรอยพับเป็นการเยาะเย้ย ขยับดิกซ้ายทีขวาทีนึกกวนประสาทยัยหอยนางรม

ปึก ! โอ๊ยยย ! ปลาถูกโยนมาอีกแล้ว !

“…” ข้าเงียบ ทั้งที่ภายในแอบกัดฟันดังกรอด สงสัยยัยนี่คงอยากโดนเหมือนเด็กในคราก่อน

ข้ากระเถิบหนีไปแอบอีกมุมหนึ่ง เพราะเกรงว่าอีกไม่นานคงตบะแตกได้ เรื่องวันก่อนที่ทำร้ายเธอไปก็โดนท่านแม่ทำโทษเป็นการใหญ่ ครั้งนี้จึงไม่อยากมีปัญหาใดๆ ตามมาอีก

ยุบหนอพองหนอ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

“เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ!”

กึก !

หนอยยยย ยัยหอยนางรม!! ปากดีนักนะ ! รอได้จังหวะก่อนเถอะข้าจะจับตะปบตบหน้าเสียให้เข็ด ! ตอนนี้ท่านแม่อยู่ข้างๆ ข้าจึงทำอะไรได้ไม่ค่อยมาก แถมท่านแม่เองก็ไม่อยากมีปัญหากับเจ้าอีก จึงได้แต่ขู่คำรามก็เท่านั้น

อยู่ดีๆ กันไม่ชอบนักใช่ไหม !!

ข้าเสมองไปทางอื่น ในใจร้องหึ่ยๆ เป็นสิบกว่าครั้ง พ่นลมหายฟืดฟาดออกจากจมูก เหลือบมองเจ้ามนุษย์ที่ระบายอารมณ์เสร็จก็เดินไปอีกฝั่ง พลันหันมามองท่านแม่ก็เห็นก้มหน้านอนฟุบไปแล้ว ข้าจึงค่อยๆ ปลีกตัวออกมา ใช้ครีบกระเถิบตัวไปแอบอยู่ด้านหลังโขดหินอย่างรวดเร็ว โผล่หน้าออกมาทีก็เห็นยัยหอยนางรมกำลังเดินไปที่สระน้ำ โยนอาหารให้แก่สัตว์ตัวอื่นๆ ด้วยสีหน้าทะมึนตึง

หึๆ เคยว่ายน้ำไหม วันนี้แหละเจ้าได้ไปแหวกว่ายไม่ต่างจากสัตว์ !

ข้าที่เคยเป็นสัตว์ที่แสนเกียจคร้าน ยามนี้กลับรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด อาศัยท่าทีตอนที่อีกฝ่ายเผลอไผล พุ่งกระโจนเข้าหาแผ่นหลังที่กำลังยืนหันหน้าอยู่ริมน้ำในทันที

จงดำดิ่งไปซะ ยัยหอยนางรมใต้บาดาล !

พรึ่บ !!

“กรี๊ดดด!”

ตูมมม !

“อุ๋งๆๆ” ข้าที่โดดลงน้ำตามมาด้วย โผล่หัวออกมาหัวเราะสาแก่ใจ มองหญิงสาวที่รีบตะเกียกตะกายขึ้นจากฝั่ง เปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า เส้นผมปรกหน้าปรกตาเหมือนหนังผีทะเลสยองขวัญ

ดวงตาของข้าพลันเหลือบไปเห็นคนเบื้องบนที่ทำสีหน้าทะมึนตึง ยืนกอดอกพร้อมกับรองเท้าที่ขยับขึ้นลงบนพื้นดังตุบๆ ก่อนจะรีบเดินมาทางข้าอย่างขึงขัง

อุ้ยตายมีคนเห็น…

ข้ารีบแหวกว่ายหันหลัง แสร้งทำเป็นไม่เห็นคนเมื่อครู่ พลางเล่นน้ำตีเปาะแปะกับสัตว์ตัวอื่นๆ ส่งเสียงร้องอุ๋งๆ คลอเคลียกับพวกเดียวกัน ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน

อุ้ยสระน้ำ อุ้ยความเย็นสบาย อุ้ยเพื่อนๆ หวัดดีๆ

“เจ้าตัวเล็ก”

ใครเรียกอะ ?

ข้าหมุนตัวหันไปมองอย่างฉงน ทำหน้าใสซื่อเป็นสัตว์ตัวจ้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น



หืม อ่าว เจ้าตี๋ หวัดดีๆ เจ้ามาดูแลตัวอื่นๆ ด้วยเหรอ ? มาตอนไหนกันไม่ทราบ

แต่ฉิบหาย… คุณแม่ตื่นมาดูเหตุการณ์ด้วย

“ไม่ต้องมาทำเนียนเลยนะ”

เนียนไรเหยอ ~

“…” ข้าทำตาแป๋ว สายตาเศร้าสร้อยเมื่อถูกดุ ปั้นสีหน้างงงวยเพราะท่านแม่กำลังจับจ้องตาเขม็ง

“ทำอะไรคุณลมเขา”

“อุ๋ง” เปล่านะ… เจ้ามาใส่ร้ายข้าชัดๆ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เจ้ามนุษย์เพศหญิงอาจคึกอยากเล่นน้ำขึ้นมาก็ได้

ข้าได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่หลักฐานก็คาตา ไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ตนนั้นได้กระทำลงไป

ท่านแม่รู้เข้าต้องโดนทำโทษแน่ๆ ข้าไม่ยอมรับหรอกนะ ข้าขี้เกียจมาฟังท่านแม่ขู่คำราม…

 “เป็นเด็กขี้โกหกเหรอ อยากโดนทำโทษนักใช่ไหม ?” เจ้าตี๋กอดอก สีหน้าดูไม่พอใจในการบ่ายเบี่ยง

ข้ารีบหันหน้าไปแหวกว่ายเนิบนาบกับพวกพ้องที่กำลังเกาะกลุ่ม ชำเลืองตามองเจ้ามนุษย์สลับกับพวกพ้องเป็นการส่งซิก

นี่ไงๆ ข้าเล่นน้ำกับพวกตัวอื่นๆ อยู่เจ้าเห็นไหม ? อย่ามากล่าวหากันสิ

ทว่าเจ้าตี๋กลับส่งสายตาดุร้ายมากกว่าเก่า หายนะมาเยือนทันทีที่ยัยผีทะเลชี้นิ้วมาทางข้า เอ็ดตะโรดังลั่น

“เห็นไหมคะน้องตี๋ เจ้าสัตว์นี่มันร้ายกาจมากแค่ไหน ทำพี่ชัดๆ ! ตอนแรกมันยังกินปลาอยู่เลย จู่ๆ ก็มาผลักพี่ล้มลงน้ำ กล้ามาตีหน้าใสซื่ออีก !”

เหวออออ ใคร ? เจ้าว่าใคร ? แถวนี้มีคนถ่อยหยาบคายเช่นนั้นด้วยหรือ ?

คิดดังนั้นก็ใช้ครีบตีผิวน้ำ มองซ้ายแลขวา ทั้งๆ ที่ปลายนิ้วของเธอชี้มาทางข้า

ข้าอ้าปากเหวอ ทำหน้าเหมือนเด็กเอ๋อไม่เข้าใจ รีบเบี่ยงตัวหลบปลายนิ้วที่ชี้มาไม่หยุดหย่อน ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อท่านแม่กระโดดลงสระ พร้อมกับแหวกว่ายมาทางข้า ข้าก็รีบดำน้ำหนีในทันใด แต่มีหรือที่สัตว์ตัวเล็กอย่างข้าจะสามารถต่อกรกับท่านแม่ได้ สุดท้ายข้าก็ถูกกัดเข้าที่ต้นคอลากขึ้นมาบนชายฝั่ง ข้าในยามนี้จึงไม่ต่างจากลูกแมวที่ถูกแม่แมวลากไปมา

พรึ่บ ! ไม่ช้านานข้าก็ถูกปล่อยให้นั่งสงบเสงี่ยมบนพื้น ไม่กล้าที่จะสบตาท่านแม่เลยสักนิด นึกสลดอยู่ภายในใจ ส่งเสียงร้องครางในลำคออย่างเศร้าสร้อยให้นึกสงสาร จู่ๆ ก็ถูกมือหนาของคนด้านหลังขึ้นมาโอบอุ้ม พลิกตัวของข้าให้หันหน้ามาสบตา

แหมที่รักสายตาเร่าร้อนจังเลยนะ นั่นเพลิงแห่งรักหรือเพลิงโทสะกันแน่นะ และด้วยความที่ข้าปรับตัวเก่งจึงรีบเอาหัวถูไถกับแผงอกกำยำอย่างรวดเร็ว

ตะเองงง…

“ไม่ต้องมาอ้อนเลย” เสียงทุ้มดูอ่อนลงกว่าที่ผ่านมา ทว่าก็ยังแฝงด้วยความขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย

ข้ากระหยิ่มยิ้มเยาะ ไม่รู้ปากของข้าจะดูยิ้มออร้อในสายตาของคนหล่อบ้างหรือไม่ หากไม่ลองดูก็ไม่รู้เป็นแน่ จึงแย้มยิ้มสุดความสามารถ พลันยื่นครีบข้างขวาไปลูบสันกรามบนใบหน้าคมคายอย่างเบามือ ถูไถขึ้นลงเหมือนใช้น้ำเย็นเข้าลูบหวังให้คนอารมรณ์ร้อนได้ผ่อนผัน

เนี่ย ลงทุนอ้อนเลยนะ อย่าดุข้าเลย ข้ารู้แล้วละว่าท่านแม่อยู่ข้างเจ้า ฉะนั้นข้าจะใช้แผนการออเซาะเพื่อเรียกคะแนน

หึๆ ถ้าไม่ดุให้ร้อยหนึ่งเลยเอ้า ! สนไหมๆ !

“คิดว่าได้ผลเหรอ ?” เจ้าตี๋เม้มปากทีหนึ่งเหมือนจะกลั้นยิ้ม

ข้ารีบผงกหัวขึ้น ใช้ปากประทับลงบนแก้มนิ่มอย่างรวดเร็ว ผละออกมาไม่ทันไรก็เห็นคนที่ปั้นสีหน้าขรึมหลุดมาด รอยยิ้มกว้างดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อครู่

วุ้ยยยย ได้ผลโว้ย แต่แก้มของเจ้าดูแดงๆ ไปหน่อยนะ ข้ารู้ตัวว่าข้าก็ขี้อ้อนมาแต่ไหนแต่ไร

“รักตายเลยแบบนี้”

ตึกตัก !

ฉิบหายใจข้าเต้นรัว รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบแปลกๆ สายตายังคงจับจ้องคนเบื้องบนที่ฉาบรอยยิ้มดูอบอุ่น ซี่ฟันสีขาวกัดลงที่กลีบปากล่าง เสี้ยววินาทีก็ปล่อยออกให้คืนสภาพสู่ความนุ่มหยุ่น

“น่ารัก”

อ๊ากกก ! ร้ายกาจเกินไปแล้ว ! เจ้าจะมาทำท่าเซ็กซี่อ่อยกับสัตว์แบบนี้ไม่ได้นะ กล้าดียังไงมาใช้คำหวานๆ หรือว่าๆ… เจ้าเป็นพวกหลงใหลสัตว์หน้าตาน่ารักเฉกเช่นข้า

ไม่ได้ๆ ! เจ้าจะมาหว่านเสน่ห์กับผู้หญิงและเหล่าสรรพสัตว์แบบนี้ไม่ได้ !

ข้าดีดดิ้น  รู้สึกใจมันเต้นแรงเกินควบคุม ไม่กล้าช้อนตามองคนที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอีกต่อไป

เจ้าคนหน้าด้าน เจ้าคนไร้ยางอาย !

“เจ้าตัวเล็ก วะ เหวอ ! เดี๋ยวก็ได้ตกพื้นกันพอดี อย่าดิ้นสิครับ”

ข้าไม่สน ! นึกด่าในใจก็รีบออกแรงดิ้นหนักกว่าเก่า

คนตัวโตรีบกระชับลำตัวของข้าแน่น แรงดิ้นที่รุนแรงจนไม่สามารถจะต้านทานได้ สุดท้ายอีกฝ่ายก็รีบวิ่งมาทางสระ ประจวบเหมาะกับเวลาที่ตัวของข้าจะร่วงหล่น

ตูม !

เสียงน้ำสาดกระจายในครู่ต่อมา ข้ารีบว่ายดำดิ่งไปเบื้องลึกของสระ คาดหวังให้ความร้อนบนใบหน้าได้ทุเลาลง ขณะที่เบื้องบนมีเสียงก้องในหูไม่ชัดนัก ยิ่งข้าลงไปลึกมากเท่าไหร่ เสียงนั้นก็ยิ่งเจือจางลงเท่านั้น

อีกฝ่ายเรียกข้าด้วยน้ำเสียงร้อนรนดูเป็นห่วงเป็นใย แต่ตัวข้าเองคร้านเกินจะใส่ใจ สิ่งภายในยังคงรัวแรงจนน่าหวาดหวั่น

นี่ข้า… นี่ข้ากำลังตกหลุมรักเจ้ามนุษย์ชั้นต่ำอย่างงั้นหรือ !

“เจ้าตัวเล็ก”

บุ๋มๆ

ข้าส่ายหน้าไปมา พลางหลับหูหลับตาไม่ให้เห็นทัศนียภาพใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้แรงโน้มถ่วงค่อยๆ พาข้านั้นไปแนบลงกับพื้นดิน ครีบซ้ายและขวายังยกขึ้นมาปิดใบหู

หมอนี่อันตรายต่อขั้วหัวใจเกินไปแล้ว การดำรงวิถีสัตว์ของข้าก็จะผิดเพี้ยน ข้าจะไม่ได้ตกหลุมรักกับสิงโตทะเลเพศเมีย เราสองตัวจะไม่ได้ผสมเผ่าพันธุ์กัน แปรเปลี่ยนไปจมปรักรักใคร่กับมนุษย์เพศผู้แทนซะอย่างนั้น !

อ๊ากกก !! ผิดวิถีธรรมชาติ !

ข้าคิดเตลิดไปไกล หน้าท้องสัมผัสกับพื้นดิน การข่มตาแน่นจึงเปลี่ยนเป็นลืมตา มองน้ำสีฟ้าครามที่มีตัวอื่นๆ ต่างแหวกว่าย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงปึกๆ อย่างแรงอยู่ข้างซ้าย ข้าจึงหันไปมองตามต้นเสียง ดวงตาพลันเบิกโพลง ส่งเสียงกรีดร้องกับสิ่งที่เห็น ทำให้มีฟองน้ำตีตัวขึ้นออกจากปาก

สิ่งตรงหน้าคือใบหน้าที่แนบลงกับตู้กระจก มันบูดบี้จนเห็นโพรงจมูกและไรขน เนตรถลนจนตาเหลือก กลีบปากบนและล่างแนบกับตู้เหมือนจะเข้ามากลืนกินข้าไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด เผยให้เห็นเหงือกและไรฟันอันน่าขนลุก ลมหายใจหืดหาดเหมือนพวกวิปริต คลับคล้ายคลับคลาไม่ต่างจากปลาปักเป้าที่พองตัว

อ๊ากกกก !! น่ากลัว ผีทะเล ผีทะเล !!

ข้าส่ายหน้าตกตลึงพรึงเพริด รีบดีดตัวว่ายหนีด้วยความหวาดกลัว

 

“ฮ่าๆ มึงเห็นลูกสิงโตทะเลนั่นปะ” ชายหนุ่มที่เอาหน้าแนบกระจกเมื่อครู่หลุดหัวเราะร่า ชี้นิ้วไปที่สัตว์ตัวเล็กที่กำลังว่ายหนีอย่างหวาดหวั่น จุดนี้จะเป็นจุดที่ทำให้เห็นสัตว์ที่กำลังแหวกว่ายกันไปมาใต้ผืนน้ำ

พวกเขาต่างเห็นสัตว์ที่ปล่อยตัวเองนั้นเอ้อระเหยในสระ มันนอนแนบกับพื้นพลางข่มตาหลับ ไม่ช้านานก็ลืมตาขึ้น พวกเขาจึงลองเคาะเรียกให้มันหันมาสนใจ แต่ผลตอบรับที่ได้มาคือใบหน้าแสนตลกของลูกสิงโตทะเลที่กำลังตกใจ ปากของมันเผยอออกกว้างเหมือนจะร้องกรี๊ด ส่วนหัวส่ายไปมาไร้ทิศทาง ฟองน้ำพวยพุ่งออกจากปากดูน่าขบขัน ไม่ทันไรก็รีบว่ายหนีอย่างรวดเร็ว

คนที่กดอัดคลิปในเหตุการณ์เอาไว้ได้ทัน ขำน้ำตาเล็ดจนต้องลอบปาดผ่านปลายนิ้ว ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่หัวเราะขำมีความสุข เพียงเพราะสีหน้าที่ชวนขบขันของสัตว์ตัวจ้อย

สิงโตทะเลเป็นสัตว์ตลกหรือไงกัน

มือกดแชร์คลิปที่อัดไว้ในเฟซบุ๊ก ตั้งค่าสาธารณะเพื่อเผยแพร่ ไม่เกินห้านาทีก็ถูกแชร์กันจ้าละหวั่น

‘ดูสีหน้าของมันสิ ฮ่าๆๆ’

‘น้องงงง <3’

‘โอ๊ยยยย น่ารักกก’

‘เหมือนมันจะตกใจนะคะ ฮ่าๆๆๆ ตลกชะมัด’

ลูกสิงโตทะเลกลายเป็นที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน…

ปัจจุบันลูกสิงโตทะเลกำลังตัวสั่นผงก นอนแนบชิดข้างกายผู้เป็นแม่ ภาพปีศาจยังตราตึงอยู่ในความทรงจำ หลับไม่ลงเข้าสู่ห้วงนิทรา
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สาม (13/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 13-06-2019 23:54:01
[3]


 

จะมีการแสดงละครสัตว์เกิดขึ้น…

“ช่วยฝึกมันได้ใช่ไหมตี๋ ตอนนี้เจ้าตัวเล็กของลูกมันเป็นกระแสมาก”

ข้าอ้าปากค้าง ทีแรกตกใจที่เจ้าของสวนสัตว์เป็นพ่อของเจ้าตี๋ไม่พอ แต่ตกใจยิ่งกว่าคือการที่ข้าจะถูกนำจับไปขึ้นการแสดง…

ไม่นะ ! ข้าไม่พอใจสุดๆ เจ้าสองตัวพ่อลูกช่วยฟังรับความคิดเห็นของข้าด้วย !!!

ไอ้การแสดงบ้าๆ ที่ข้าเคยพบเห็นในตอนยังเด็ก จับสิงโตทะเลว่ายน้ำขึ้นบก เอาลูกบอลมาวางที่ปลายจมูกขณะเดิน โยนบอลขึ้นแล้วรับ โยกหัวเต้นไปมา พลางเอามือตบแปะๆ เรียกเสียงหัวเราะจากท่านผู้ชม แถมยังต้องควงฮูล่าฮูปที่ต้นคอเพื่อเต้นตามเพลงอีกต่างหาก

บอกเลย…

ข้าไม่ทำหรอกนะ !!

ใครอยากจะทำก็ทำไป ! ว่างมากนักก็รับบทบาทเป็นสัตว์เองเลยสิไอ้จั๊ดง่าว !!!

“ได้ครับพ่อ”

โว้ยยยยย !! ถามกู… ถามกูด้วย !! กรี๊ดดดด ! ข้าอยากจะกรีดร้องให้สาวแตก รีบกระเถิบตัวไปหาคนทั้งสองที่พูดคุยอยู่ในถิ่นของข้า มีแค่เจ้ามนุษย์พ่อลูกเท่านั้นที่ปรึกษาหาลือกัน แต่ได้โปรดฟังข้า…ฟังข้าด้วย !!!

“อุ๋งๆ” ข้าส่งเสียงร้อง สะบัดหน้าไปซ้ายทีขวาทีเป็นการปฏิเสธ

ไม่ทำ ข้าไม่ทำหรอกนะ ! ทำไมไม่ลองให้ตัวอื่นขึ้นการแสดงเองซะล่ะ ! ฉุกคิดขึ้นมาได้ก็รีบคลานไปหาเจ้าลูกสิงโตทะเลตัวนึง แม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าข้า แต่ข้าก็ใช้เรี่ยวแรงลากเพื่อนเผ่าพันธุ์ที่กำลังหลับอุตุให้เป็นหนูทดลองมาแทนที่ งับต้นคอลากมาหาเจ้ามนุษย์ พลันเหวี่ยงโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี

ปึก !

ข้าแหงนหน้ามองเจ้าพ่อลูกที่ก้มลงมามองอย่างฉงน กระทั่งข้ายกครีบข้างขวาขึ้นมา จิ้มไปที่เหยื่อผู้สังเวย

เอามันไป ข้าให้ เอามันไปแทนข้าซะสิ…

“เจ้านี่ฉลาดมาก” ชายผู้สูงอายุกอดอก เหยียดยิ้มมองข้าคล้ายพึงพอใจ

แต่ไม่ ข้าไม่อยากได้รับคำชมเช่นนั้น ! ข้าจึงหันไปมองเจ้ามนุษย์ที่เคยทำให้ข้าหวั่นไหว คาดหวังให้อีกฝ่ายได้ช่วยเหลือ…

“ผมว่าเจ้าตัวเล็กอยากโยนขี้ให้เพื่อนมากกว่าครับ” เจ้าตี๋พูดพลางหลุดหัวเราะ

บ้าาา เจ้าก็กล่าวหาเกินจริง ข้าปฏิเสธบ่ายเบี่ยง ก่อนจะยื่นหน้าไปถูไถกับต้นขาของชายหนุ่มอย่างออดอ้อน

ข้าฉลาดเกินจะแสดง ข้าอยากนอนอยู่เฉยๆ เท่านั้น แต่เพราะการออเซาะนี่แหละ ส่งผลให้ข้าได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

“ดี ดีมาก เอาเจ้าตัวเล็กนี่แหละขึ้นแสดง พ่อมั่นใจว่าทุกคนต้องหลงรักมัน!”

ม่ายยยยย !! อีโง่ อีพวกโง่ !!

“อุ๋งงงง!!” ข้ากรีดร้อง สะบัดหน้าเป็นพัลวัน นอนไปเกลือกกลิ้งกับพื้นเรียบ พร้อมส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ท่าทางไม่ต่างจากสัตว์ที่ติดพิษสุนัขบ้า หงุดหงิดเสียจนต้องลุกขึ้นยืน พาลระบายโทสะใส่เจ้ามนุษย์ผู้เป็นใหญ่ ถึงแม้หน้าตาจะไม่ลดทอนตามตัวเลข แต่ก็เกลียดแสนเกลียดในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมันออกมา

ให้ข้าไปแสดงละครลิง ฝันไปเถอะ!!

นี่แน่ะ !!

ข้าเอาครีบตบตีที่ต้นขาของพ่อเจ้าตี๋  รุนแรงเสียจนอีกฝ่ายต้องรีบถอยร่นไปอีกฝั่ง วิ่งหนีตัวข้าที่กำลังจะอ้าปากงับฝากฝังรอยแผล เจ้าตี๋เลยรีบวิ่งมาอุ้มข้า ปลอบประโลมให้ข้าใจเย็นลง

อ๊ากกกกก ปล่อยนะ ! ข้าจะฆ่าพ่อเจ้า !

ปล่อยข้าสิโว้ยยยย !!

 

จวบจนกระทั่งข้าอยู่กับเจ้าตี๋กันเพียงลำพัง เสียงนุ่มละมุนก็ถามไถ่ รีบคุกเข่าตรงหน้าข้า

“เจ้าตัวเล็ก งอนเหรอ”

หึ ! ข้าสะบัดหน้าหนี พ่นลมหายใจเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่อยากจะตอบคำถามหรือฟังถ้อยคำหวานหูให้ใจสั่นระทวย

ไม่ต้องมาง้อเลย ! ตัวเจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหตุใดข้าถึงมีอาการเช่นนี้ หากข้ามีมือมีเท้า มีมีดอยู่ในมือ ข้าจะไล่แทงพ่อของเจ้าเป็นคนแรก รวมไปถึงเจ้าด้วย !!

“ถ้ายอมไปแสดง ตัวเล็กจะได้นอนที่สบายๆ ด้วยนะ” อีกฝ่ายเสนอผลประโยชน์ ต่างจากข้าที่หลับตารับฟังนิ่งๆ

“มีปลาให้กินจนหนำใจ”

ไม่ ข้าไม่กิน !  ข้าไม่อยากอ้วนพุงจนตัวแตกตาย

“มีแอร์เย็นสบายด้วยนะ มีฟูกนิ่มๆ ให้หลับอีกด้วย”

ไม่จำเป็น !! ร้อนนักก็ลงไปว่ายน้ำได้ ปกติตัวข้าเองก็นอนบนพื้นจนชินชา วันไหนอยากนอนที่นิ่มๆ ขึ้นมาก็ไปนอนทับสิงโตทะเลตัวอื่นก็ได้ !! เจ้าไม่ต้องมากรอกหูใส่ข้าเลย !

“แล้วตี๋ก็จะได้อยู่กับตัวเล็ก…ทุกๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยนะ”

“…” ข้าปรือตา หันไปมองสีหน้าของคนหล่อเหลาที่กำลังยิ้มมีเลศนัย

อ่อยเก่งนักนะ แต่ฝันไปเถอะ !

เหอะ ! คิดว่าข้าใจง่ายหรือไงกัน การที่เจ้าไม่อยู่กับข้าทุกยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมีเรื่องเดือดร้อนอะไรเลย

“มา เรามาลองรับบอลอีกรอบนะครับ ลองเตะกลับมาที่ตี๋”

“…” ข้าเงียบ มองคนตัวโตหยัดกายขึ้น ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายถอยไปด้านหลัง บอลที่อยู่ในมือกระชับไว้แน่น ไม่วายที่จะส่งรอยยิ้มเป็นมิตรไมตรีมาให้ข้าอีกที ท่าทางใจเย็นสมกับเป็นหนุ่มหล่อที่ผู้หญิงใฝ่ฝันถวิลหา

รวยแต่ดันมาแอ็บว่าเป็นเด็กฝึกงาน แท้จริงนั้นก็เพื่อสานต่อกิจการของคนเป็นพ่อแท้ๆ ไม่มีใครในที่นี้รับรู้ ปากหวานออเซาะเป็นที่หนึ่ง รักสัตว์แถมยังเอ็นดู พูดจาไพเราะ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

เพียบพร้อมจังเลยนะ !!

พรึ่บ !

คนตรงหน้าเหวี่ยงบอลมาทางข้า สิ่งกลมๆ ไหลกลิ้งไปตามพื้น เพื่อหวังให้ข้าตีมันกลับไป ดั่งคำสอนที่ฝึกกันไว้ไม่กี่นาทีมานี้ ซึ่งตอนแรกข้านิ่งไม่ปัดป่าย ปล่อยให้มันชนตัวเองเฉยๆ

แต่ทว่าครั้งนี้…

ปึก !!

ข้าตวัดครีบสะบัดลูกบอลจากด้านข้าง ทำให้สิ่งกลมๆ สีแดงสลับขาวพุ่งตกไปยังสระทางซ้ายมือ

หึๆ ข้าเหยียดยิ้มพึงพอใจ ต่างจากอีกคนที่หันไปมองลูกบอลลอยละลิ่วบนผืนน้ำ

“…” ใบหน้าคมคายนิ่งเรียบ จับจ้องสิ่งนั้นราวกับช็อกในการกระทำ เสี้ยววินาทีก็หันกลับมามองหน้าข้าดังเดิม

ข้าพยักพเยิดไปทางซ้าย กระตุกสั่นไหวเป็นการตอกกลับ บ่งบอกให้ชายฉกรรจ์ได้รับรู้…

‘ไปเก็บมันซะสิ…’

เหมือนที่สัตว์ตัวอื่นๆ ถูกฝึกสอนให้วิ่งไปเก็บกัน

 

เมื่อไม่สามารถต้านทานความดื้อดึงของข้าได้ การถูกฝึกสอนจึงสิ้นสุด คนตัวโตเลยเปลี่ยนให้ข้ามานอนเกยบนตัก ใช้หลังพิงพนักกับหน้าท้องแกร่ง

“ต้องทำยังไงถึงจะยอมตกลงครับ”

“…”

“รู้นะว่าเข้าใจภาษามนุษย์น่ะ”

“!!” ข้าสะดุ้งโหยง เหลือบมองคนด้านหลังที่กำลังพิงพนักกับก้อนหินขนาดใหญ่ ในมืออุ้มข้าให้ขึ้นไปนั่งบนตักแกร่ง ก้มลงมากระซิบข้างใบหูเล่นเอาข้าใจสั่น

จุ๊บ !

“!! / !!” ข้าเบิกตากว้าง ไม่ต่างจากอีกคนที่เบิกตาโพลง ต่างฝ่ายต่างช็อกในกันและกัน เหตุผลเพียงเพราะว่าข้าหันมามองทางเขาอย่างรวดเร็ว ปากของข้าจึงสัมผัสกับกลีบปากนุ่มหยุ่น

นั่นมันจูบแรกของข้านะ !!

“ที่แท้ก็อยากได้จูบ” เจ้ามนุษย์พูดเสียงแหบพร่า ส่งรอยยิ้มชวนละลาย

แต่ไม่ใช่โว้ยยย !! ข้าหดคอถอยหนีไปด้านหลัง แทบอยากจะเบะปากกับคำพูดของคนตรงหน้า

หลงตัวเองชะมัด ! ข้ากะจะส่ายหน้าปฏิเสธต่างหาก ว่าตัวข้านั้นไม่เข้าใจภาษามนุษย์ ! แต่คิดไปคิดมาควรทำหน้าซื่อไม่เข้าใจคำพูดเลยคงจะดีกว่า

ข้าแกล้งทำเป็นงงงวยอย่างรวดเร็ว เอียงคอไปทางขวาทำสีหน้าบ๊องแบ๊วมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

‘คือไรเหยอ ?  เจ้าพูดเรื่องอะไรอ๋อ ? ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย…’

“หึๆ ทำไมน่ารักขนาดนี้ครับ เกิดเป็นคนจริงๆ จะจับจูบแล้วนะ” พูดพลางไม่ว่าเปล่า มือไม้ยังลูบหัวของข้าอย่างนึกเอ็นดู

เจ้ามันโรคจิต !! กับสัตว์ก็ยังไม่ละเว้น !  ข้าจะโทรเรียกหาพรบ. หน่วยสมาคมปกป้องการทารุณกรรมสัตว์ !

ข้าคลานหนีออกจากตัก นึกคร้ามเกรงว่าอาจจะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายในคราบคน

ช่วยด้วย!! หมอนี่มันหมาป่าในคราบหนังแกะชัดๆ คิดจะมาร่วมประเวณีสมสู่กับสัตว์ที่แสนน่ารักเฉกเช่นข้า ! แม่เจ้าโว้ยยยย อยากเอามือป้องปาก มีชายวิตถารในบ้านเมือง ต้องปาหินใส่มัน !

สุดท้ายก็ถูกจับอุ้มให้มานั่งบนตักดังเดิม…

“สรุปเราอยากได้ไรฮึ ? ก็รู้หรอกว่าเข้าใจภาษาคน”

“…” ข้าแหงนหน้ามองเพดานอย่างงงวย ท่าทางเอ๋อเร๋อเหมือนเด็กเป๋อออทิสติก

“อยากออกไปข้างนอกไหมล่ะ”

พรึ่บ !!

รีบหันมามองคนพูดอย่างว่องไว โยกหัวขึ้นลงเป็นการตอบกลับด้วยความเต็มใจ

ไอเดียบรรเจิดมาก !! ข้าอยากออกไปท่องเที่ยวในโลกกว้างสุดๆ ตัวข้าในยามนี้ก็ยังเล็ก พอที่จะหลีกหนีแอบไปซุกซ่อนไว้ในกระเป๋าก็ยังได้ หากเจ้าฉุกคิดจะช่วยเหลือจริงๆ จังๆ

ข้าอยากไปอาบน้ำในอ่างชะมัด อยากนอนดูหนังผ่านเน็ตฟิต ! อยากนอนเล่นบนฟูกเตียงนิ่ม ๆ !

“งั้นเดี๋ยววันนี้จะพาออกไปข้างนอกเลย”

“งึกๆ” ข้าโยกหัวขึ้นลง ใจสั่นระรัวตื่นเต้นสุดๆ

“แต่ต้องยอมไปแสดงละคร ตกลงไหมครับ ?”

โหยยย ได้สิไอ้เพื่อนยาก ! ไม่เห็นจะยากเลย ! โอเคๆ ข้าจะไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบดีดตัวออกจากตักอุ่น ๆ วิ่งไปหาลูกบอลและเกลือกกลิ้งไปหาคนตรงหน้าในทันที

เอ้า รับสิไอ้เจ้าโง่ ! โยนมันมาได้เลย วันนี้ทั้งวันข้าจะยอมทำตามที่เจ้าสั่ง แลกกับการไปโลกกว้าง !

“อื้มมมม ตัวเล็ก… น่ารักชะมัด ต่อไปนี้จะยอมพาไปนอนที่บ้านทุกวันเลย”

เอ๋…

เดี๋ยวนะ… ไม่จำเป็น !! ข้าอยากไปเที่ยวทะเลต่างหาก !

“เดี๋ยววันนี้พาไปห้อง”

กรี๊ดดดดด

ข้าจะฟ้องท่านแม่ !! เจ้ามนุษย์หน้าโง่ ในหัวคิดแต่เรื่องสมสู่ !!

ข้าอยากไปเที่ยวทะเลเว้ย ! ไม่ได้อยากไปนอนบ้านเจ้า !

พรบ. !! พรบ. อยู่ไหน !!

ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยยยยย !!!
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สี่ (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 13-06-2019 23:57:35
[4]


 

ครืดดด ! เสียงรูดซิบเปิดออก พร้อมกับปลายจมูกและหัวของข้าที่โผล่พ้นจากกระเป๋าใบใหญ่ภายในเสี้ยววินาที ลมหายใจฟืดฟาดสูดอากาศเข้าปอดเหมือนคนใกล้ตาย แทบจะตวัดตาเขียวปั๊ดมองชายหนุ่มที่ยืนค้ำหัว สักพักก็ย่อกายลงจ้องหน้าข้า

“หิวน้ำเหรอ แลบลิ้นปลิ้นตาใหญ่เลย”

ปลิ้นพ่องมึงสิ ! ข้าหายใจไม่ออกจะตายห่าอยู่แล้ว ! รูดซิบประสาอะไรแทบจะเล็กเหมือนจิมิมด ไม่ตายตั้งแต่วินาทีแรกก็โชคดีเท่าไหร่แล้ว !!

ข้าหรืออุตส่าห์ใช้ปลายจมูกดันซิบที่ไว้ถ่ายเทอากาศให้กว้างออก อีคนตัวดีก็ดันปิดซะมิดชิด นี่โง่เง่าหรือปัญญาทึ่ม แทบอยากจะวิ่งไปหยิบมีดในครัวมาไล่แทงให้ตัวพรุน แลบลิ้นไม่ได้แปลว่าหิวน้ำไหม บางทีข้าอาจร้อนหรือหอบเหนื่อยก็เป็นได้ อีตาปลิ้นเท่าไข่ห่านเหตุเพราะเจ้าคิดจะฆ่าข้าทางอ้อมทางหากเล่า !!

หล่อแต่ดันโง่ นี่ถ้าตายห่าแล้วเกิดใหม่เป็นควายข้าเองก็ไม่นึกแปลกใจ !!

หลบ !!

ข้าใช้ครีบเตะมือหนาที่รูดซิบให้กว้างออก  ก่อนจะคลานออกมานอนไถลกายไปกับพื้น พลางกรอกตาไปมากับสิ่งเบื้องหน้า

อืม บ้านหรูไม่แปลกใจ… ทุกสรรพสิ่งแทบจะเอี่ยมอ่อง มีความขาวทองสลับกัน นี่มันบ้านลูกคุณหนูชัดๆ ผู้หญิงเห็นทีคงอยากจะจับเจ้าทำผัวตั้งแต่วินาทีแรก โดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตา

ข้าหยัดกายขึ้น คอยชะโงกหน้าดูถิ่นฐาน หูพลันได้ยินเสียงร้องของสัตว์ตัวเล็ก พร้อมกับขนฟูฟองสีขาวสะอาดตา และเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊ง

“เมี้ยว ~”

“…” ข้าเงียบ หันหลังไปมองคนตัวโตที่เบิกตาโพลง รีบสาวเท้าเดินผ่านตัวข้าไปหาเจ้าแมวเหมียว จากนั้นก็อุ้มมันราวกับนึกเอ็นดู ฝ่ามือหนาลูบขนไปพลาง ส่วนตัวข้านั้นส่งเสียงเหอะออกจากปาก

เหอะ อีคนนอกใจ…

“อาหารหมดเหรอครับมิริน…” นั่นหรือชื่อแมว ? ช่างตอแหลยิ่งนัก

ข้าสะบัดหน้าหนี คลานผ่านออกจากเจ้ามนุษย์ที่หยอกล้อกับสัตว์ขนปุย

ก็ใช่ซี๊ ~ ข้าไม่ได้มีขนนุ่มๆ ให้เจ้าลูบไล้นี่นา ไม่ได้มีหน้าตาน่ารักเหมือนไอ้แมวเหมียว ส่งเสียงเมี๊ยวๆ ให้นึกเอ็นดูพร้อมกับท่าทางออเซาะ ระวังไว้เถอะ เจ้าสัตว์พันธุ์นี้ช่างคิดจะครองโลกเก่งนัก เหล่ามนุษย์ก็ต่างตกเป็นทาสของมันกันทั้งนั้น

รวมไปถึงเจ้าด้วยที่ดันหลวมตัวไปตกหลุมพรางของมัน !

ข้ากระเถิบกายเข้ามาในห้องนอนสุดกว้างขวาง ตาลุกวาวกับฟูกเตียงสีขาวขนาดใหญ่  มีทีวีจอแบนติดกับผนังห้อง มีทั้งกีต้าร์ข้างเตียงนอน รวมไปถึงโต๊ะคอมและเครื่องซีพียูราคาแพง นึกร้องว้าวๆ ภายในใจ หมอนี่คงจะจัดสเปคคอมแหล่มๆ แหงๆ ตัวข้ารีบกดปุ่มพาวเวอร์ในทันที เอาจริงๆ เรียกว่าตบมันให้เปิดคงจะดีกว่า ก่อนจะพยายามตะเกียกตะกายขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่เลื่อนไปมา

พรึ่บ ! โว้ยยยยย !! เลื่อนเก่งจังเลยเว้ยหมุนไปมาจนน่ารำคาญ ข้าส่งเสียงหึ่มลอดไรฟัน พยายามใช้ครีบยืนขึ้นดั่งมนุษย์ ขณะที่ครีบเบื้องหน้าจับล็อกเก้าอี้เอาไว้ เสี้ยววินาทีก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นไปนั่ง

ฮึบ ! ได้สักที ! ข้าหันมามองหน้าจอคอมที่ยังปิดอยู่ เริ่มรู้สึกหงุดหงิด เพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย

“เมี๊ยว ~”

“ฮ่าๆ”

“…” มีความสุขกันจังเลยนะ

ข้าหัวเสีย หน้าบึ้งตึงสุดชีวิต หงุดหงิดยิ่งกว่าการที่เด็กโยนปลามาให้ โมโหหนักยิ่งกว่าการที่ยัยหอยนางรมมากวนบาทา

ข้าตัดสินใจใช้ปากงับแป้มพิมพ์ ก่อนจะเลิกหัวขึ้นสูง ไม่ทันถึงเสี้ยววินาทีก็มีการโยกหัวขึ้นลงพร้อมกับเสียงทุบทำลายดังปึงปัง

เล่นไม่ได้ เปิดไม่ได้เว้ยอีช้างลาก !! โมโห ! ข้าโมโห !!

กรี๊ดดดด !

“ตัวเล็ก !” เสียงร้องตกใจอย่างหวาดหวั่นก่อนจะรีบวิ่งมาทางข้า เจ้าตี๋หน้าซีดเซียวรีบวางแมวลงตรงพื้น ฝ่ามือทำท่าจะอุ้มตัวข้า ทว่าตัวข้านั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงทำลายข้าวของและกัดแป้มพิ้มพ์ในปาก กระแทกกับไม้ไปทางซ้ายทีขวาที

“เป็นอะไรเจ้าตัวเล็ก”

ไม่ต้องมาถาม ! อยากรู้นักก็ลองโยนแมวของเจ้าออกนอกระเบียง ตอนนั้นข้าถึงจะยอมตอบคำถามให้เจ้าได้ !!

ข้าเพ่งตาใส่ชายหนุ่ม กัดฟันลงบนแป้มที่ยังไม่ยอมหักงอ ทำลายยากทำลายเย็น

“หึงเหรอ ?”

ใครหึง ! ข้าเหวี่ยงแป้มพิมพ์ลงบนพื้นอย่างแรง แทบจะปาใส่หัวแมวที่ทำท่าฉงนข้างกายอีกฝ่าย แต่สิ่งมีชีวิตขนปุยกลับกระโดดหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว

ข้ากระโดดลงจากเก้าอี้ เจ้าตี๋แทบจะอุ้มข้าเพราะเกรงว่าจะบาดเจ็บ แต่ข้านั้นไวกว่า ไม่มีท่าทีอวดครวญแต่อย่างใด

เหอะ นับจากนี้ไม่ต้องมายุ่งกันเลย…

ข้าเหล่ตาขึ้นมอง สะบัดหน้าดังพรึ่บดั่งสาวน้อยแง่งอนใส่ชายหนุ่ม พอเดินผ่านเจ้าแมวเหมียวก็ ชำเลืองมองสิ่งมีชีวิตด้วยหางตา คล้ายได้ยินเสียงมีดฉวัดเฉวียนใส่กัน

ผัวะ ! ข้ายกครีบตบหัวเจ้าแมวจนหน้าทิ่มในทันใด พร้อมพรักกับเสียงกรีดร้องของเจ้าตัว

“แง่ว !!”

หึ ยัยสำออยหมายเลขสอง

 

ข้านั่งอยู่บนโซฟา เหลือบมองเจ้าแมวภายในห้องที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนฟูกนิ่มๆ ของมัน ส่วนเจ้ามนุษย์นั้นไม่อยู่แล้ว เห็นว่าจะลงไปทำอาหารขึ้นมาทานบนห้อง แถมก่อนจะไปก็ยังง้อข้าเป็นการใหญ่ แต่ข้านั้นไม่ตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะแกล้งทำเป็นหลับ

เอาล่ะ ถึงเวลาละ…

ข้าลุกขึ้นคลานลงจากโซฟา ก่อนจะเดินไปหาเจ้าแมวที่เงยหน้ามองข้าอย่างใสซื่อ ลูกตาของมันเป็นสีฟ้าครามทะเล สวยงามจนผู้คนที่พบเห็นต่างตกหลุมรักได้ไม่ยาก ข้าอ้าปากเผยอคล้ายถูกศรรักปักใจ อยากจะส่งเสียงร้องว้าวคล้ายตกตะลึงในความงาม สักพักริมฝีปากของข้าก็หุบลง ฉายความทะมึนตึงเฉกเช่นดังเดิม

หึ มารยาของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก

“เมี๊ยว ~” เจ้าเหมียวส่งเสียงร้องเบาหวิว ไพเราะเพราะพริ้งจนหัวใจคนฟังอาจหวั่นไหว แต่ข้านั้นไม่สะทกสะท้านใดๆ รีบเดินไปหาเจ้าตัวที่กำลังนอนอยู่ ขึ้นไปนั่งทับเจ้าแมวจมลงกับฟูกเตียง

ข้าใช้ก้นบดเบียด โดยมีสิ่งใต้ร่างขยุกขยิกคล้ายอึดอัด  อีกฝ่ายทำท่าจะมุดออก แต่ข้านั้นก็กระดกตัวขึ้นเล็กน้อย กระแทกสิ่งมีชีวิตให้รู้สึกจุก

“แง๊ว ~” เสียงเล็ดดังลอดขึ้น ก่อนที่หัวจะโผล่พ้นออกจากซอกครีบของข้า

ข้าใช้ครีบตะปบหน้า บดบังทัศนียภาพของมัน เจ้าแมวก็รีบดีดดิ้นรุนแรง ส่วนข้านั้นร้องอุ๋งๆ มีความสุข สักพักก็อ่อนแรงลง ปล่อยให้แมวเหมียวคลานหนีออกจากตัว

“…” มันหันมามองข้าอย่างงงงวย จับจ้องที่นอนของตนเองที่โดนยึดครองอย่างถือสิทธิ์

ข้าใช้หนั่นเนื้อกระตุกจากตัวครีบ ทำท่าคล้ายยักไหล่ยั่วโมโห บ่งบอกให้สิ่งมีชีวิตได้รับรู้ว่า ‘ไปหาที่นอนใหม่ซะ ถิ่นนี้ข้าจอง…’ ให้รู้กันไปว่าใครใหญ่มากกว่ากัน

แอ๊ดดด

เสียงบานประตูเปิดออก พร้อมกับใบหน้าของชายหนุ่มที่ใช้นัยน์ตากวาดมองแมวเหมียวและตัวข้าสลับไปมา

อีกฝ่ายจ้องสิงโตทะเลนอนบนฟูกเตียงที่ถูกครอบครอง ส่วนแมวของตนเองนอนลงกับพื้นเย็นเฉียบข้างมุมผนังห้อง

มันก็ถูกแล้ว…

ผิดแปลกอันใด

ข้าอยากจะเดินไปชงชาขึ้นมาจิบน้ำให้ชุ่มคอเสียจริงๆ

 

เจ้าตี๋ก็เหมือนมนุษย์ที่เป็นข้าทาสบริวาร บัดนี้กำลังหย่อนตัวของข้าลงในอ่าง มีปลาตัวนึงลอยแพบนน้ำ คงกะจะให้ข้ากินกันหิว ข้างับมันลง แหวกว่ายในสระที่แสนกว้าง เสียงฉ่าของน้ำดังทะลักเมื่อตัวข้าผุดหัวลงไป เพียงห้าวินาทีก็โผล่หัวออกมาใหม่จากพื้นผิวน้ำ

“เดี๋ยวมานะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ข้าตีน้ำเปาะแปะ ปากก็งับปลาไปพลาง ไม่อยากจะจับกินในตอนนี้ ว่ายน้ำหันหลังไม่ทันไร หันมาอีกทีตอนบานประตูเปิดออก ปลาที่กัดเอาไว้หลุดออกในทันที แทนที่ด้วยสันกรามของข้าที่แทบจะบิดเบี้ยว เผยอออกกว้าง ดวงตาเบิกถลนคล้ายทะลัก

“กี๊สสส”  ข้าส่ายศีรษะไปซ้ายทีขวาทีเป็นพัลวัน พลันโยกไปมาจนคอแทบเคร็ด ไม่วายส่งเสียงกรีดร้องกับสิ่งที่เห็น หันหลังใช้ครีบตะกุยตะกายกำแพงกระเบื้องด้านข้างให้เละไปจุณ คาดหวังให้มันกลวงโบ๋ให้ข้าลอดผ่านหนีไป

ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย !!! อนาคอนด้า นั่นมันอนาคอนด้า อ๊ากกก !!

“ตัวเล็ก !” เจ้าตี๋ก็ยังเป็นเจ้าตี๋ที่ชอบร้อนรน วิ่งมาหาและอุ้มตัวข้าให้หันกลับมามอง แต่ตาของข้าก็ดันเหลือบต่ำไปเห็นสิ่งมีชีวิตที่คนทั่วไปอาจเรียกว่าขาที่สาม

นั่นมันอะไร !! กล้วยหอมจอมซนแปรผันไปเป็นกล้วยน้ำว้าใช่หรือไม่ !! หรือสากกะเบือที่คล้ายคลึงมะเขือยาว ตีหัวข้าทีจะแตกใช่ไหม ?

ไม่… ไม่ใช่…

นั่นมันคือขีปนาวุธต่างหากเล่า !! เจ้าจะพกติดตัวไปวางระเบิดให้พังพินาศใช่หรือไม่ !!! อ๊ากกกก !!! ไหนจะไรขนนั่นอีก ! บอกข้าทีว่าไม่ใช่เขาวงกต หากข้ามุดเข้าไปจะเจอทางออกที่แสนคดเคี้ยวใช่ไหม !!

กลัว ข้ากลัววววว แม่จ๋า ลูกเจองู งูตัวใหญ่มากด้วย แอร๊ยยยยย

ข้าสะบัดหน้าไปมา ดีดดิ้นสุดมีชีวิต เงยหน้ากรีดร้องไม่กล้ามองความมหึมา โดนทีคงกลวงโบ๋ไม่ต่างจากครกชี้แหงแก๋

เจ้าตี๋รีบวางข้าลงในอ่าง ส่วนข้านั้นรีบหันหลังไม่กล้ามองหน้า  ส่วนครึ่งของศีรษะจมลงไปกับน้ำ มีเสียงฟองน้ำดังบุ๋มๆ ไม่ขาดสาย รู้สึกกายร้อนรุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ภาพในหัวผุดขึ้น…

‘ป่าดงพงไพร… ซ่อนเล้นด้วยงูจงอางเลื้อยไปตามพุ่มไม้ สักพักงูก็ขดตัว ลอกคราบออกมาเป็นพญานาคที่เกี้ยวกราด’

อ๊ากกกกก !! แต่มันคนละสายพันธุ์กันไง ! ภาพมันยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ ไม่น๊าาา !! คุณตำรวจ ช่วยด้วย มีคงพกอาวุธ กรี๊ดดด มีคนพกอาวุธ !

ระเบิดอยู่ไหนบีหนึ่ง ติดมันไปและพังทลายลงบัดเดี๋ยวนี้ !!

“อึก อะ อ๊า”

เฮือก !! ข้าสะดุ้งโหยง รู้สึกแผ่นหลังร้อนผ่าว สักพักก็แทนที่ด้วยความหนาวสุดสะท้าน ลำตัวของข้าค่อยๆ เอี้ยวหันไปมองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างหลัง เผยชายหนุ่มที่นอนพิงกับพนักกำแพง นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เชิดหน้าร้องคำรามด้วยสีหน้าแดงก่ำ ตาฉ่ำเยิ้มมองบนเพดาน พลันหลับตาพริ้มในบางจังหวะ กัดปากระงับความกระสันในบางครั้ง ปล่อยคืนสู่ความนุ่มหยุ่นอย่างที่ควรจะเป็น

ดวงตาแสนเสน่ห์เหลือบมองข้าผ่านหางตา ขณะที่มือข้างขวากำลังแตะต้องสิ่งเบื้องล่าง ปรนเปรอเพื่อพาตัวเองไปสู่ความสุขสม เสียงแหบพร่าเบาหวิวจนหัวใจข้าสั่นเมื่อถูกเรียกขนานนาม

“อึก ตะ ตัวเล็ก อ่าห์ ~”

อ๊ากกก !! อีผีทะเล !! เจ้าจะมามีอารมณ์ทางเพศกับข้าไม่ได้ !! จะมาช่วยเหลือตัวเองต่อหน้าข้าแบบนี้ไม่ได้ !!

ข้ากรีดร้องจนหน้ามืดตาลาย ไรขนลุกซู่กับสิ่งที่เห็น ความน่าหวาดกลัวตามมาด้วยหยาดหยดธาราที่ชักนำของอีกฝ่ายเป็นที่สิ้นสุด

แผงอกกว้างเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่เกาะพราวตามกล้ามหน้าท้องที่เป็นโต้คลื่นอย่างสวยงาม มันหดลงเป็นจังหวะยามผ่อนผัน ทุกสิ่งดูเด่นชัดและเย้ายวนฉบับชายหนุ่ม ใบหน้าคมคายขึ้นสีแดงระเรื่อ แลบลิ้นเลียกลีบปากยั่วเย้าคล้ายล่อลวง จับจ้องใบหน้าของข้าไม่วางตา

ฝ่ามือที่แปดเปื้อนยื่นมาทางข้า แทรกแซงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับการกระทำก่อนหน้านี้

“มาอาบน้ำกัน”

ไม่ ข้าไม่อาบ ! ไอ้เจ้ามนุษย์โสโครก ! ไอ้วิตถารแสนวิปริตและกักขฬะ เอาลูกหลานของเจ้าออกไป อ๊ากกกก!! เอามันออกไป !

เฮือก ! อย่ามาแตะต้องข้านะ

“อุ๋ง !!!”

อีเชี้ย ! กรี๊ดดดด ! โดนแล้ว ข้าโดนแล้ววววว ท่านแม่ข้าแปดเปื้อนแล้ว !!

เจ้าจะต้องชดใช้ อ๊ากกกก !! เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต !!

“ตัวเล็ก”

เพี๊ยะ !

ข้าใช้ครีบตีแผงอก ดิ้นขลุกขลัก ก่อนจะหยุดชะงักทันทีที่อีกฝ่ายจับข้าให้นั่งทับกับสิ่งเบื้อนล่าง…

ท่านแม่…

ข้าจะต้องทำยังไงดี

ยาคุมกำเนิดสามสิบเม็ดจะพอไหม…

ข้าต้องท้องแน่ๆ

ข้าจะต้องท้องแน่ๆ….

“ตัวเล็กครับ”

อ๊ากกกกก ช่วยหยุดเรียกชื่อข้าสักที !! ไอ้มนุษย์ตี๋ตัณหากลับ !!

อย่าลูบ… เฮือก !! อย่าเอามือที่มีเชื้อโรคแตะต้องข้า ฮือออออ ไม่ ! เจ้าจะลากไปทั่วลำตัวแบบนี้ไม่ได้ กรี๊ดดดดด ! ไม่ด้ายยยยยยยยยยยยย !!

ข้าโสมมไปทั้งตัวแล้วไอ้แม่เยส !!
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่ห้า (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-06-2019 00:00:24
[5]



เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา จนสมอุราจนสาแก่ใจ ~ ไม่มีวันที่ฉันจะร้องไห้ ฮึก ฮือออ ร่ำไร ~ เพราะฉันไม่ใช่ หญิงเจ้าน้ำตาาา ฮึก ฮือออ แงงงงงง ~

คุณหฤษฏิ์ คุณมันผู้ชายใจบาป ย่ำยีไม่แม้กระทั่งสัตว์ ! ทำให้คนอย่างฉันแปดเปื้อน พรหมจรรย์จนไร้สิ้นความบริสุทธิ์ ต่อให้บุตรคลอดออกมา ฉันก็จะไม่มีวันให้เขาเห็นหน้าค่าตาของคุณ ! ไปเถอะลูกแม่ พ่อของลูกมันเป็นพวกกักขฬะ น้ำเชื้อคงกระดึ้บเข้ามาในพรหรจรรย์ของแม่แล้ว

ข้าเอาครีบลูบท้องตัวเองป้อยๆ ร่างกายกระตุกสั่นไหวสะอื้นไห้ ลำตัวที่เคยเปียกชุ่มถูกบุรุษเช็ดตัวจนเหือดแห้ง ยามนี้กำลังตวัดตามองคนตัวโตที่นั่งอยู่ปลายเตียง จับจ้องอิริยาบถของข้าที่กำลังใช้ปากงับผ้าห่มอำพรางตัว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชอกช้ำใจ

คนผีทะเล ~ นายจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ก่อ กล้าดียังไงริอาจมามองหน้าข้า จะย่ำยีข้าอีกใช่ไหม เอาสิ เอาเล้ยยยย !! ข้าสะบัดผ้าห่มดังพรึ่บ ดิ้นขลุกขลักบนที่นอนด้วยความโมโห เชิญทารุณได้ตามใจนึก เพราะนายจะได้แค่กายแต่ไม่มีวันได้ใจ !

“เป็นอะไร” อีกฝ่ายถามข้าอย่างงงงวย คงไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อ

ข้าหยุดเล่นบทบาทจำเลยรัก หยัดกายขึ้นมาใช้ปากงับผ้าห่มคลุมตัวดังเดิม

ไม่ได้ ๆ สรีระเป็นสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย เกิดเจ้ามองเรือนร่างและมีอารมณ์กำหนัดขึ้นมาข้าคงซวยแย่

ข้ากระพริบตาปริบๆ หวังให้น้ำตาหยดไหล ซุกหัวนอนแนบอิงลงกับหมอน ยามนี้ข้าตัวหอมยิ่งกว่าดอกไม้นานาพันธุ์ อาจส่งผลให้ชายหนุ่มเกิดฉุกคิดเข้ามาซุกไซ้ ฉะนั้นต้องปกปิดแม้แต่กลิ่นกายตน

“ตัวเล็กต้องนอนข้างล่างนะครับ นอนบนเตียงไม่ได้”

อ๊ากกก ! กล้าดียังไง ! ข้ารีบดีดตัวอีกหน ตวัดตามองคนตัวโตที่สะดุ้งตกใจ ใช้ครีบชี้ใส่อีกฝ่ายพลางนึกก่นด่าภายในใจ สวมบทบาทเพลิงพระนางในร่างวิญญาณ

เจ้าช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก ! ทำมิดีมิร้ายใส่ข้ายังมีหน้ามาไล่ข้าให้ลงจากบัลลังก์ตั่งทอง (ตั่งเตียง) กล้าดียังไง กรี๊ดดดด !! กล้าดียังไง ! รีบไสหัวออกไปเลยนะ ! ทหาร ! ทหารอยู่ไหน ! ลากตัวมันออกไป !

“พรืดดด ฮ่า ๆๆ น่ารักชะมัดเลย” จู่ ๆ เจ้าตี๋ก็หัวเราะเสียงดังลั่น ฝ่ามือแนบลงกับที่นอน พลันยืดกายมาทางข้า กระเถิบเข่าเข้ามาขึ้นคร่อม ร่างของข้าจึงตกเป็นเบี้ยล่างในปริยาย

เจ้าคิดจะทำอะไร ! ปรนเปรอตัวเองไม่พอยังจะมาทารุณกรรมข้าอีกใช่ไหม !

เจ้ามันมักมากยิ่งนัก !

ไอ้คนโรคจิต !

“ถ้าเป็นคนคงคิดว่าเรากำลังยั่วแล้วแน่ ๆ”

แต่ข้าไม่ใช่คนไง ! ฉะนั้นเอาไอ้สิ่งสกปรกที่คิดจะยื่นมาแตะต้องข้าถอยห่างออกไปด้วย !!

ยี้ ! ~ ภาพในความทรงจำยังไม่เคยห่างหาย ไอ้ฝ่ามือที่มีแต่คราบลูกหลานของเจ้าช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก

“แต่ก็ดีจังนะ… ที่มีตัวเล็กมานอนเป็นเพื่อนด้วย”

ก็แค่วันนี้วันเดียว ! ต่อจากนี้เจ้าก็ต้องลงไปนอนกับแมวบนพื้นกระเบื้อง !

วะ เหวอ ! ข้าเงียบ กระพริบตาขึ้น ๆ ลง ๆ มองการกระทำของอีกฝ่ายที่เหมือนเป็นไบโพล่าร์ ทั้งที่ตอนแรกขึ้นคร่อมก็เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าข้าแทน ส่งรอยยิ้มเบาบางคล้ายเศร้าสร้อย ทำให้ข้าต้องลุกมานั่งดูสีหน้าอีกฝ่าย

เป็นอะไร… เจ้าเมากาวใช่หรือไม่ ? หรืออกหัก ? ต่อให้เจ้าไม่มีข้ามานอนด้วยก็คงมีแมวเสียอยู่ดีนี่นา

“ไม่มีคนมานอนด้วยมานานแล้ว นอกจากแม่และมิริน…”

ไอ้แมวที่ชื่อตอแหลนั่นน่ะเหรอ ?

“แต่พอมีตัวเล็กแล้วสบายใจขึ้นเยอะเลย มันเหมือนมีเพื่อน…”

แต่ไม่ใช่เมีย…

โอเค… ข้าเข้าใจละว่าเจ้ากำลังจะพูดถึงชีวิตต่าง ๆ นา ๆ ได้ยินเท่านี้ข้าก็รีบล้มตัวลงนอน ขี้เกียจมานั่งรับฟัง

บัย ~ ฝันดี

พรึ่บ !

กรี๊ดดด ! ข้ากรีดร้องหวาดผวา ดวงตาเบิกโพลงเมื่อมือหนาจับข้าให้ลุกขึ้นมานั่งดังเดิม กลายเป็นว่าการนอนถูกขัดขวางด้วยน้ำมือของชายฉกรรจ์

เจ้ามันโหดร้ายชะมัด! ขนาดสัตว์จะนอนก็ต้องมานั่งคอยรับฟัง !

จะนอนนนน ข้าจะนอนนน !

“ตัวเล็กคงอยากรู้ว่าทำไมตี๋ถึงไม่มีแฟนใช่ไหม ?”

เหอะ เปล่านะ ข้าไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น ข้าส่ายหน้าไปมาเพื่อเป็นการบ่งบอก ทว่าคนตัวโตก็ดันสาธยายถึงเรื่องราว

“จริง ๆ ตี๋เคยมีแฟนนะ แต่เราทำมากสุดก็แค่จับมือกัน อาจเพราะว่าตี๋ไม่อยากล่วงเกินเธอด้วย...”

ข้าไงอิห่า ยกเว้นข้าไว้คนนึง !

“ตี๋กับเธอไม่ค่อยมีเวลาด้วยกัน จนสุดท้ายเธอก็นอกใจตี๋ ไปคบกับเพื่อนสนิทของตี๋แทน” พูดจบประโยคนี้ ใบหน้าหล่อเหลาก็ดูหมองคล้ำลงในหนึ่งส่วน รอยยิ้มที่เค้นออกมาเหมือนนึกสมเพชตัวเองก็ไม่ปาน

ข้ารู้สึกใจหายกับคำ ๆ นั้น โดยเฉพาะสีหน้าของเจ้าตัวจึงทำได้เพียงกระเถิบกายเข้าไปใกล้ วางครีบข้างขวาตีลงที่ท่อนขาใหญ่สองสามครั้งเพื่อเป็นการปลอบใจ

เอาเถอะ… ผู้หญิงไม่รักดีก็จบกันไป กาลเวลาจะชักนำคนที่จริงใจและเป็นคนที่ยอมรับในตัวเราเอง ท้ายที่สุดเจ้าอาจจะเจอคนที่เข้าใจในเรื่องระยะเวลาและกมลสันดานของเจ้าได้

เอ่อ…ข้าหมายถึงไอ้การที่เจ้ามีอารมณ์กับสัตว์น่ะ ข้าว่าเจ้าอาจจะต้องไปพบจิตแพทย์โดยด่วน…

“มันคงเป็นเพราะเราด้วยมั้งที่ปล่อยปละละเลย แต่พอรู้ว่าถูกนอกใจก็เสียใจมากนะ จนพลั้งปากด่าเธอไป แถมยังต้องมาตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทอีกต่างหาก”

อ่าห์ มันก็แย่เนอะ แต่ตอนนั้นเจ้าด่าเธอว่าอะไรล่ะ ?

ข้าได้แต่แหงนหน้ามอง พลางนึกตั้งคำถามภายในหัว แต่เจ้าตี๋ก็ดันตอบออกมาเหมือนอ่านใจข้าออก

“เธอมันร่าน”

เฮ้ย ! เปล่านะ ! ข้าไม่เคยไปพลีกายให้ใครทั้งสิ้น !

“เธอเป็นคนทำลายมันทุกอย่างเอง ยอมเป็นทางผ่านให้ผู้ชาย แล้วทิ้งคนที่รักเธอมากขนาดนี้ โง่สิ้นดี ขอให้เสพสุขกันตามสบาย”

อ๊ากกก ! แรงมาก ! ปากคอเราะร้ายเป็นที่หนึ่ง ถลกแขนเสื้อมาต่อยกันเลยดีกว่าถ้าจะพูดพร้อมสีหน้าเหมือนข้าเป็นยัยคนนั้น

อินเนอร์แรงมาก ยอมแล้วจ้าาา วงการเดอะเฟสต้องลุกเป็นไฟ !

“ตัวเล็กว่ามันแรงเกินไปไหม”

โคตรเลยแหละ !

งึกๆ ข้าพยักหน้ารับ ทั้งที่ลึก ๆ ก็แอบสะใจกับคำพูดของคนตรงหน้า แต่หากมองในมุมผู้หญิงก็ถือว่ายังแรงอยู่ดี จริงๆ ก็สมควรกับการถูกตราหน้าว่าหญิงชั่ว กล้าดียังไงนอกใจไปเอากับเพื่อนสนิทของแฟนตนเอง

เฮ้อออ ความรักหนอความรัก แต่ก็ดีแล้วละที่เธอเลิกกับเจ้าไป เกิดมารู้ทีหลังว่าแฟนตัวเองเป็นพวกโรคจิต ปรนเปรอช่วยเหลือตนเองต่อหน้าสรรพสัตว์เฉกเช่นข้า ข้าก็คิดว่าสมควรแล้วที่เจ้าจะถูกทอดทิ้งเป็นขี้ข้าไร้ขยะ

อาห์ เอางี้ดีกว่า…

“ตี๋นี่มันแย่เนอะ”

ข้าขี้เกียจฟังเจ้าพูดมาก เห็นแต่พูดพร่ำโทษตัวเองอยู่ได้ ข้าจึงกระเถิบตัวลงจากตั่งเตียง ใช้ครีบขยับเขยื้อนไปหาเก้าอี้ที่มีเนคไทพาดอยู่ข้างบน จากนั้นจึงเขย่งตัวเองเล็กน้อยเพื่อใช้ปากคาบมันลงมา

ฮึบ ! เรียบร้อย ! ข้างับสิ่งนั้นด้วยความปรีดา คลานเอื่อยขึ้นมาบนเตียง พลันปีนขึ้นอย่างว่องไวและวางสิ่งนั้นลงบนหน้าตักของชายหนุ่ม

เจ้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าใช่ไหม ? งั้นทำตามข้านะ…

“อุ๋งๆ อุ๋งๆๆๆๆ อุ๋ง อุ๋ง อุ๋งงง ~”

‘ข้าเห็นพ้องว่าเจ้าสมควรตาย แนะนำให้ผูกคอตายปลิดชีพเสีย เผื่อแผ่นดินนี้จะได้น่าอยู่ขึ้น ไม่มีพวกกักขฬะเฉกเช่นเจ้า’

ลงมือได้เลย…

ข้าส่งรอยยิ้มแทบจะเห็นซี่ฟัน ใช้ครีบแตะเนคไทตรงหน้าเป็นการบอกใบ้ เพ่งพินิจมองชายหนุ่มที่นั่งซึมกะทือ สลับมองสิ่งของและข้าไปมาคล้ายต้องการตัวแปร

หืม ไม่เข้าใจหรือ ?

ข้ายิ้ม กระพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อไร้พิษภัย แตกต่างจากภายในจิตใจที่นึกก่นด่า โกรธเคืองกับเรื่องก่อนหน้าไม่จางหาย

“ตัวเล็กจะให้เนคไทมาทำไม”

มัดคอเจ้าไง…

“มามัดเราบนเตียงเหรอ ?”

“…”

“อยากจะโดนขึงบนเตียงนอนสินะ”

อืม เจ้าสมควรตายจริงๆ นั่นแหละ…

ทหาร !! เอาอิเชี้ยนี่ไปประหาร !!

ตัดหัวทิ้งและจุดไฟเผา !

“มานี่มา”

กรี๊ดดดดดด !! คุณตำรวจไอ้คุณหฤษฏิ์ในจำเลยรักมันมาอีกแล้ว !!

ออกไปนะ ไม่นะ ! ถอยห่างออกไปนะ !! อย่ามาขึ้นคร่อมข้า !

“ร้องอุ๋งๆ สิ”

อุ๋งพ่องมึงสิ !

ข้าใช้ครีบตบหน้าอีกฝ่ายจนหน้าหันในทันที

เพี๊ยะ !

“ตบจูบ”

เฮือก !!


เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษฉันใย…
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่หก (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-06-2019 00:03:09
[6]



ข้าเอาครีบลอบปาดแก้มที่ไม่มีน้ำตาไหลหยด แต่ลำตัวสั่นโยนจนน่าสงสาร แหงนหน้ามองผ่านประตูเลื่อนที่เปิดม่านไว้ จับจ้องไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังสุกสกาว ครีบข้างนึงแตะลงบนบานกระจกใส ดวงตาไหววูบไม่ต่างจากสายลมที่โบกพัดกับกิ่งไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่ม

เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ชีวิตข้านั้นจบสิ้นกันไป… ไม่สามารถออกไปมีอิสระเสรีได้อีกต่อไป

กักขังฉันเถิด กักขังไป ~ ขังตัว อย่าขังหัวใจดีกว่า…

ฮึก ฮือออ นึกร้องเพลงในใจก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน หันไปจ้องแมวเหมียวข้างกายที่มองข้าอย่างฉงน

“เหมี๊ยว ~”

อะไร ? เจ้าไม่มีทางเข้าใจข้าหรอก นายเหนือหัวของเจ้ามันเป็นพวกวิปลาส ข้าถูกย่ำยีมาสารพัดนึก แตกต่างจากเจ้าที่ถูกประคับประคองเป็นอย่างดี

ดูข้าสิ…ข้าถูกสิ่งอุจาดลูบไล้ไปตามเรือนร่าง ไม่พอยังถูกจูบแรกแย่งชิงไปอีก แต่ไม่พอ…ไม่พอเท่านั้น !  ข้ายังถูกจับกดให้นอนอยู่ใต้ร่างของคนที่ไม่ต่างจากอมนุษย์

นายเหนือหัวของเจ้ามันปีศาจชัด ๆ ! พวกคนป่าเถื่อนแบบนี้ท้ายที่สุดตัวเจ้าเองก็จะถูกรุมย่ำยีไม่ต่างจากข้า ! แต่เดี๋ยวก่อน…เพียงแค่คุณติดต่อ 191 ภายในวินาทีนี้ เจ้าก็จะสามารถหลุดพ้นออกไปได้ เสียอย่างเดียวคือพวกเขาอาจไม่เข้าใจภาษาต่างเผ่าพันธุ์

เฮ้อออ ดูจากดวงตาใสซื่อของแมวหน้าโง่เฉกเช่นเจ้า ข้าก็คงเดาได้ไม่ยากว่าตัวเจ้าเองก็คงไม่เคยพบเจออสูรกายที่มันใหญ่โตโอ่อ่า ยาวเสียจนหลงคิดว่าเป็นงูเหลือมข้าวหลามเปียก

มันใหญ่มาก ใหญ่โตโอฬารสุด ๆ ข้าบอกเจ้าไว้ ณ ตรงนี้เลย เหยียบข่าวไว้ให้มิดล่ะเจ้าแมวน่าโง่…

“มานี่เร็วครับเจ้าตัวเล็ก”

พรึ่บ ! ข้ารีบหมุนตัวหันไปมองคนใจมารที่ส่งเสียงเรียก ท่าทางสะอึกสะอื้นเมื่อครู่ของข้าแปรผันในฉับพลัน คลานไปหาอีกฝ่ายจนแทบเรียกว่าวิ่งป๋อ เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านอย่างรวดเร็ว

กว่าจะแต่งตัวเสร็จนะคุณนาย…

เมื่อคืนก็ไม่มีอะไรมาก แค่โดนอีกฝ่ายจุมพิตและจับล้มตัวลงนอน ทั้งที่ตอนแรกอีกฝ่ายหมายมั่นจะให้ข้านอนที่พื้น แต่ไป ๆ มา ๆ กลับกกกอดนอนด้วยเสียเอง

หึ ! คนอย่างหฤษฎิ์เดาใจไม่ได้หรอก ชอบปลิ้นปล้อนหลอกลวง !

ข้าเว้นระยะห่างพวกเราสักห้าเก้า หากทำได้ถึงสิบเมตรก็ย่อมกระทำ เจ้าตี๋หันมามองข้าที่คล้ายรังเกียจ แถมเชิดหน้าหยิ่งทะนง

เหอะ มองทำไมไอ้คนป่าเถื่อน ไม่เคยเห็นสัตว์โลกน่ารักหรือไงกัน

“วันนี้อึ้ไปยังครับ”

อ๊ากกกก กล้ามาก ! ริอาจมาถามเรื่องสารพัดสุขดิบของข้า แน่นอนว่าข้าไม่ตอบหรอกส่งผลให้คนตัวโตรีบอุ้มข้าเข้าไปนั่งบนชักโครกภายในห้องน้ำ

ครั้นเข้ามาภายในก็ต่างคนต่างเงียบทันที ตาประสานตาอย่างกับต้องการส่งผ่านกระแสจิต อีกฝ่ายยังคงยืนงันจ้องหน้าข้า ส่วนข้านั้นก็แหงนหน้ามองอีกฝ่าย ไม่คิดจะปริปากแต่อย่างใด

คนจะปลดทุกข์ยังกล้ามาเสนอหน้าอีก นอกจากจะโรคจิตไม่พอยังเป็นพวกชอบกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกใช่หรือไม่ ?

“ทำไมไม่ยอมอึ้ล่ะ”

พรึ่บ ! ข้ายกครีบในบันดล ชี้ไปยังบานประตูที่เปิดค้างเอาไว้ ตอบคำถามด้วยการกระทำ

ไสหัวออกไป…

“โอเค”

ผีหลอก ! ข้าอ้าปากเหวอ ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวขาออกไปและยอมปิดประตูทิ้งท้าย ที่อึ้งไม่ใช่อะไร แต่เพราะว่าวันนี้เจ้าตี๋ฉลาดนัก สงสัยอีกฝ่ายคงนอนเต็มอิ่ม ตื่นเช้ามาคงได้ดื่มแบรนด์ซุปไก่สกัด

อืม ๆ ดี ๆ ขอให้ฉลาดแบบนี้ไปนาน ๆ ข้าบวกเพิ่มให้อีกห้าสิบแต้ม แม้จะจำไม่ได้ว่ายอดคะแนนรวมของเจ้าเท่าไหร่กันแน่ ฉะนั้นเอาเป็นว่า… เริ่มจากศูนย์ใหม่ละกัน

เมื่อทำอะไรเสร็จสิ้นข้าก็หมุนตัวหันไปกดชักโครกด้วยตนเอง เสียงน้ำไหลวนเชี่ยวกราก ก่อนจะได้ยินเสียงบานประตูเปิดเข้ามา อีกฝ่ายจ้องหน้าข้าคล้ายแปลกใจ ฉุกคิดเอ่ยชม “เก่งหนิ”

‘อ่าฮะ’ ข้าพยักหน้ายอมรับ รู้ตัวดีว่าฉลาดนักหนา ทว่ามาสะดุ้งโหยงกับการกระทำของคนตรงหน้าที่ย่างกรายเข้ามา ใช้ฝ่ามือหยิบสายฉีดชำระล้าง โน้มตัวลงต่ำ มืออีกข้างที่ว่างอยู่แตะลงบนพื้นผิวลำตัวของข้า เรียวแขนโอบประคอง เอื้อนเอ่ยถ้อยคำในวินาทีถัดมา

“ล้างก้นด้วยนะ”

อ๊ากกกกก แทบอยากจะมุดหน้าหนีลงชักโครก ไหลวูบไปกับท่อระบายน้ำทิ้ง หัวใจของข้าระส่ำระส่าย หน้าแดงก่ำเพียงเพราะถูกกระทำเหมือนเด็กทารก

บวกเพิ่มความดีให้อีกหนึ่งร้อยคะแนน หักลบกับการที่ทำให้ข้าอับอายขายขี้หน้าอีกหนึ่งพันแต้ม

“ไปกัน” อีกฝ่ายล้างมือเสร็จสรรพก็โอบอุ้มตัวข้า พาเดินดิ่งออกจากห้อง

ข้าถูกพาดหัวอยู่บนลาดไหล่ของอีกฝ่าย ไม่กล้าที่จะช้อนตามองเลยสักนิด ครั้นมาถึงรถยนต์สีดำเงางามก็ถูกนั่งให้อยู่ด้านข้างของฝั่งคนขับ เหลือบ ๆ มอง ๆ เจ้าตี๋ที่เริ่มสตาร์ทรถ ขับเคลื่อนออกจากตัวบ้านก็ยื่นปลายนิ้วไปเปิดเพลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์

ข้าฮัมเพลงในใจที่เคยรับฟังสมัยเป็นมนุษย์ จนกระทั่งบทเพลงถัดมาเริ่มขึ้น เสียงร้องก็ถูกแทรกแซงจากคนใกล้ตัว ปลายนิ้วชี้ที่จับพวงมาลัยกระดิกไปมาเคาะจังหวะ

“มีใครที่เขาเฝ้าคอยแต่เธอตรงนี้ รู้ยัง ~ ไม่ใช่ความบังเอิญ ก็ตั้งใจเดินมาให้เจอ Yeah ~”

หืม ?

ข้าที่ก้มงุดอยู่นานพลันเหลือบมองคนที่ใช้น้ำเสียงก้องกังวาน แฝงไปด้วยความทุ้มขรึมและนุ่มนวลอยู่ในที หากไม่คิดจะคัดค้านก็ต้องยอมรับจากใจจริงว่าเจ้าตี๋วินาทีนี้ดูหล่อเหลา มีเสน่ห์เหลือล้นที่ผู้หญิงทุกคนเห็นเข้าคงอ่อนระทวย ไม่ว่าจะน้ำเสียงที่ร้องออกมาประหนึ่งเป็นนักร้อง บวกกับความธรรมชาติของท่าทาง คล้ายมีความสุขและเคลิบเคลิ้มกับท่วงทำนอง

ริมฝีปากหยักหนาขยับเขยื้อน กรีดกรายรอยยิ้มสว่างไสว ดวงตาสุกสกาวทั้งที่กำลังพิศทิศทางเบื้องหน้า ข้าสังเกตได้ถึงสันกรามได้รูปที่ทำให้ใบหน้าคมคายผอมตอบยามรำพัน ศีรษะขยับขึ้นลงเบาบาง พลางเอียงไปซ้ายทีขวาที ส่งผลให้ลำตัวล่ำสันโครงเครงไปตามจังหวะสม่ำเสมอ ช่างดูดีไร้ที่ติ

ตึกตัก ๆ หัวใจของข้าสั่นไหวกับปรากฏการณ์ที่พบเห็น คันรถหยุดลงเพราะติดไฟจราจร เผลอจ้องนานจนอีกฝ่ายที่รู้สึกตัวหันมามองทางข้า ใช้ดวงตาเรียวคมพินิจมองสัตว์ตัวจ้อยที่ไม่คิดจะละสายตาหนีไปไหน เป็นจังหวะเดียวกับท่อนฮุกเริ่มขึ้น

“เธอคงยังไม่รู้ ว่ามีหนึ่งคนแอบรักเธอ ~ แอบดูแลแต่เธอ ทำอะไรเพื่อเธอเหมือนไม่ตั้งใจ ~” เจ้าตี๋ส่งรอยยิ้มหยาดเยิ้มมาทางข้า ร่ำร้องบทเพลง…

“ถ้าเธอได้ฟังเพลงนี้ ~ ก็อาจจะพอได้รู้ใจ” เว้นจังหวะ “กับความจริงข้างใน ที่มันทำยังไงก็ไม่กล้าพูดออกไปสักที ~”

“…”

“ว่าใครที่อยู่ตรงนี้ ~ รู้ยัง ~” จบถ้อยคำนี้ก็กระพริบตาใส่ข้าทีนึง ยื่นแขนมาลูบหัวข้าแล้วผละจาก

อืม อารมณ์ดีเนอะ สุนทรีย์ขนาดนี้ไปเดอะวอยซ์เถอะ…

ข้ารีบหันหน้าหนีไปอีกทิศทาง ทิ้งตัวลงนอนข่มตาหลับ ปล่อยให้หัวใจสั่นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก

ข้าว่าข้าควรไปหาหมอ ลากเจ้าตี๋ไปบำบัดทางจิตด้วยน่าจะดี

ข้ารู้สึกร้อน ๆ ไปทั้งตัวเหลือเกินในตอนนี้ โดยเฉพาะบริเวณหน้า สงสัยคงไม่สบาย คาดคะเนว่าอาจเป็นผลพวงจากเมื่อคืนนี้ สิ่งสกปรกของเจ้าตี๋มันซึมซับไปตามผิวหนัง…

มันต้องใช่แน่ ๆ

 

“เอ้าฮึบ !” เสียงปลุกเร้าให้ขยันขันแข็งดังลอดขึ้น ตามมาด้วยฮูล่าฮูปที่โยนไปให้สิงโตทะเลตัวใหญ่ที่หดคอและลุกขึ้นรับ

ข้าได้แต่แหงนดู ลำตัวเอนกายนอนพิงพนักแผงอกของเจ้ามนุษย์ตี๋ที่ให้นั่งหนุนตัก มือข้างหนึ่งของคนด้านหลังเอื้อมหยิบปลามาใส่ปากให้กลืนลงท้อง

ข้าเคี้ยวจ็อบแจ็บ มองการฝึกฝนของสัตว์อย่างตื่นตาตื่นใจ เหมือนได้ย้อนไปดูการแสดงสมัยแบเบาะ มีพ่อแม่จูงไปดูสัตว์ต่าง ๆ นา ๆ ส่วนข้าในตอนนี้คร้านเกินจะทำเช่นนั้น ได้แต่พินิศและวาดหวังภายในใจ

‘ขอให้เจ้าตี๋ไม่ฝึกข้าควงฮูล่าฮูป…’

“อิ่มยัง ?” เจ้าตี๋โน้มหน้าลงมากระซิบข้างใบหู พรูลมหายใจอุ่นร้อนทำให้ข้าขนลุกซู่ ก่อนจะส่ายหน้าตอบกลับว่าข้านั้นยังไม่อิ่ม

ทว่า... “กินไปสิบตัวแล้วนะ ยังไม่อิ่มอีกเหรอ” คนด้านหลังถกเถียง จนข้าแอบนึกรำคาญภายในใจ

เอองงงวยสิ้นดี มาถามแต่ก็ยังมีหน้ามาโต้แย้ง สรุปใครเป็นคนกินถ้าไม่ใช่ข้า สอรอนอดีนัก วันหลังก็ไม่ต้องมาถามเลยนะ เออออห่อหมกแทนข้าเลยละกัน

แท้จร้งข้าอิ่มจนจะอ้วกอยู่ละ แค่ไม่อยากฝึกซ้อมการแสดงก็เท่านั้นเอง พยายามหาเรื่องอู้งานเฉย ๆ

“งึก ๆ” ด่าในใจแต่ก็ยังพยักหน้ารับ เจ้าตี๋เห็นดังนั้นก็หยิบปลามาป้อนใส่ปากข้าอีกครั้งนึง เรียวแขนข้างซ้ายโอบที่ข้างลำตัว

อ่าวอิห่าหนิ…

เพี๊ยะ ! ข้ายกครีบตีบุรุษที่คิดลวนลาม “โอ๊ะ !” อีกฝ่ายร้องครวญออกมา รีบถอยร่นในทันใด ชั่วอึดใจก็กลับมาสัมผัสใหม่ ไม่คิดจะคร้ามเกรงเลยสักนิด

ข้าตีมันไปสองสามหน ท้ายที่สุดก็ไม่มีความสะทกสะท้านแต่อย่างใด เจ้านี่หน้าหนังหนายิ่งนัก ข้าจึงปล่อยเลยตามเลย ไว้หาหนทางแก้แค้นเมื่อมีโอกาสก็ยังไม่สาย

ผ่านไปครู่นึงก็เลิกให้อาหาร เจ้าตี๋ปล่อยให้ข้าพักย่อยสักสิบห้านาทีจึงเริ่มเอ่ยปากสั่งการ พร้อมกับการกระทำที่อุ้มตัวข้าวางลงบนพื้น ส่วนตัวเองนั้นรีบหยัดกายขึ้นยืน

“ไปเถอะ พอได้แล้ว เดี๋ยวค่อยกินใหม่นะครับ เรามาซ้อมกันก่อนดีกว่า”

‘ไม่อาวววว’ ข้าส่งเสียงร้องอุ๋งที่มนุษย์มักได้ยิน แต่คำที่ใช้ออกไปคือการอวดครวญเหมือนเด็กงอแง ไม่วายสะบัดใบหน้าไปมา

เจ้าตี๋มองข้าแล้วยิ้มเฉย ๆ มองเมินท่าทางเกียจคร้าน ก่อนจะเดินไปหยิบถุงที่มีแครอทออกมาอันนึง มืออีกข้างหยิบลำโพงขนาดเล็กพกติดกาย จากนั้นจึงวางไว้ตรงหน้า ล้วงหยิบมือถือมาค้นหาเพลงและกดเปิด

[เพื่อนฉันเป็นชาวเขาชาวดอย ตัวน้อย ๆ หน้าตาขาว ๆ]

เอ๊ะ ทำไมมันคุ้น ๆ จังวะ ?

[มาโรงเรียนก็มากันแต่เช้า ทั้งม้ง เย้า กระเหรี่ยง มูเซอ]

ฉิบ… ข้าเริ่มอ้าปากมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาเบิกถลนกับดนตรีที่เคยได้ยินตอนเยาว์วัย ตอนแรกจำไม่ค่อยได้หรอก มาประจักษ์แจ่มแจ้งก็ตอนที่เจ้าตี๋กรอไปถึงท่อนฮุก

[โอ๊ะ เอาแคเหราะ มา ฝะ หยะ ให้เธอได้กี ผะ มีวิตามิ ไม่ ต้อง กี ขอ แพ]

“…”

[โอ๊ะ เอาแคเหราะมาฝะ หยะ ให้เธอแขะแรง แก้มของเธอจะแด แดงเหมือนสีแครอททท]

“…”

[ลา ~ ลันลา ลันลา ~  ลัน ลัน ลันลา ลันลา ลันลา ~]

โครม ! ข้าเอาหัวไปชนลำโพงเล็ก ๆ ในทันทีจนเกิดเสียงครืด ๆ สะใจไม่พอก็รีบก้มหน้าใช้ปากงับไอ้สิ่งเล็ก ๆ ที่มีเนื้อร้องออกมาเขวี้ยงไปอีกทิศทางกระแทกกับพื้นเรียบลื่นอย่างจัง

“ตัวเล็กกกก !” เจ้าตี๋กรีดร้องโวยวาย วิ่งพรวดไปหยิบลำโพงที่พกติดตัวมา รีบก้มลงสำรวจความเสียหาย

อีกฝ่ายเอียงหน้าหันมามองข้าที่พ่นลมหายใจรัวแรงเป็นฟืนเป็นไฟ ดวงตาเขม็งฉายแววไม่พอใจชายฉกรรจ์

ข้าไม่อยากเต้นเพลงนี้ ! ทำไมเจ้าถึงได้ให้ข้าเต้นเพลงนี้กัน น่าขายหน้าสิ้นดี มันเป็นเพลงที่ข้าเคยเต้นตอนสมัยอนุบาล แต่ตอนนี้เจ้ากำลังทำให้ข้าย้อนกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน หากเป็นเพลงของแบล็กพิ้งก์ที่ร้อง ‘รอปอภอ ปอภอ ปอภอ ~’ ข้าจะไม่ว่าสักครึ่งคำ !

“ลองดูกันก่อนนะครับ ถ้าหลังจบการแสดงนี้ จะพาแอบหนีไปเที่ยวทะเล” อีกฝ่ายใช้น้ำเสียงออดอ้อน ยื่นข้อเสนอล่อลวงมาทางข้า

เหอะ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมตกลงเหรอ ?

“นะครับ”

ข้ารีบคลานไปหยิบแครอทมาคาบในปากทันที

จวบจนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไป ท้ายที่สุดเพราะคำสัญญาที่ตกลงกันไว้ และด้วยความที่ข้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ปากของข้าในตอนนี้จึงกำลังงับแครอทแข็ง ๆ อยู่ หน้าตนเองก็ซังกระตายสุดชีวิต โยกคอไปมา หดลงและโยกไปทางซ้าย หดลงและโยกไปทางขวา บทเพลงร้องว่า ‘โอ๊ะ เอาแคเหราะมาฝะ’ แต่ในใจของข้าแปรผันบทเพลงให้ผิดเพี้ยนไป ทุบทำลายเนื้อร้องในวัยเยาว์

‘โอ๊ะ เอาดิลโด้มาฝะ หยะ ให้เธอได้ลอง รูของเธอจะแด ~ แดงเหมือนสีแครอทททท ~ หลั่นลั้น ลัน ๆ ล้า ลัน ลัน ลันลา ลันลา ลันลา ~’

“ไม่ดี เอาใหม่ครับ เต้นเพลงให้มีความสุขหน่อย”

โธ่เว้ย ! พรวด ! ข้าพ่นแครอททิ้ง แม่งพอกันที ! เต้นก็แล้ว ! โยกก็แล้ว ! ถ้าไม่มีข้อผูกมัดว่าจะพาข้าไปเที่ยวข้างนอก ไม่ฉวยโอกาสพูดออกมาข้าก็ไม่มีวันทำเช่นนี้หรอก แต่พอข้าทำก็ดันไม่ได้ดั่งใจเจ้า ลองทำเองดูไหม ? เต้นเองเลยไหมห๊ะ !!

ดุ๊กดิ๊ก ๆ ข้าใช้ครีบกระเถิบตัวอย่างว่องไว ความโมโหจนกู่ไม่กลับอาศัยจังหวะก้มลงงับที่ต้นขาของชายหนุ่มเสียงดัง “งั่ม !!”

“โอ๊ย !” เจ้าตี๋ร้องลั่น ทำให้คนที่กำลังฝึกสอนสิงโตทะเลพลอยตกใจ

อีกฝ่ายโน้มกายลงมา งัดปากของข้าให้ออกจากเรียวขาขาว ทว่าตัวข้านั้นกลับลงแรงมากยิ่งขึ้น ไม่ได้ฉุกคิดจะกัดให้หนักหนาสาหัส แต่ก็มากพอที่จะทิ้งร่องรอยเขี้ยวเล็ก ๆ เป็นการฝากฝัง

เจ้าตี๋สะบัดขาที่กำลังถูกกัด ส่วนข้านั้นลำตัวโครงเครงไปมายามถูกโบกสะบัด ท่อนขาใหญ่นั้นรัวแรงคล้ายจะสะบัดแมลงให้หลุดออกจากตัว

ข้าส่งเสียงฮึ่มไม่คิดจะผละจาก เกาะติดหนึบไม่ต่างจากตุ๊กแก เมื่อยสันกรามขนาดไหนก็ไม่วันย่อท้อจะปลดปล่อย

ไม่มีวัน…

เจ้ากล่าวหาว่าข้าเต้นไม่ดี ทำดีแค่ไหนเจ้าถึงจะพอใจ !

 

เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า ๆ เสียงของยัยหอยนางรมก็ดังขึ้น เธอเห็นชายหนุ่มหน้าซีดเซียวกำลังเดินมารับกล่องข้าวที่ฝากซื้อ

คนหล่อเหลามีสีหน้าเหยเก ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด

“ขอบคุณครับ” ยื่นมือไปรับข้าวจากหญิงสาว ไม่คิดจะสนใจสายตาของเธอที่ฉุกคิดจะเอื้อนเอ่ยตั้งคำถาม

ร่างสูงใหญ่หันหลังเดินกลับ ลากขาที่หนักหน่วงไปหาเก้าอี้โดยมีเงาติดตามตัวไล่ตามท้าย ทุกครั้งที่อีกฝ่ายพยายามขยับเท้าที่แทบจะเรียกว่ากระเถิบ ตัวของข้าก็ยิ่งไถลกายไปกับพื้น ถูกลากไปมาโดยไม่จำเป็นต้องใช้แรง

“เฮ้อออ” ชายหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างปลงตก เม็ดเหงื่อผุดไหลไปตามกรอบหน้า ก้มลงมองข้าที่อยู่ใต้ร่างเป็นชั่วโมง

“ตัวเล็กปล่อยตี๋เถอะครับ” อีกฝ่ายส่งน้ำเสียงออดอ้อน ขณะที่ซี่ฟันของข้ายังงับอยู่ พลางถลึงตาใส่คนตัวโต นึกก่นด่าภายใจ

“นะครับ”

หึ เจ้าเว้าวอนไปก็เท่านั้น

ข้าลงแรงมากยิ่งขึ้น…

“โอ๊ย !” เสียงเจ็บริ้วจึงตามมา

 

“ทำไมเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” เจ้าของสวนสัตว์ตะลึงงัน ชี้นิ้วไปยังสิ่งเบื้องล่างที่กัดเรียวขาของลูกชายคนโต

วันนี้กะจะมาดูการฝึกซ้อมของเจ้าตัวเล็กที่ลูกชายเป็นคนรับผิดชอบ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

เรียวคิ้วของตี๋ขมวดยุ่งเหยิง ริมฝีปากบิดเบี้ยวร้องซี๊ดซ๊าด ต้องแอบก้มลงไปนวดน่องขาในบางครั้งบางครา ไม่กล้าจะฉุกคิดทำอะไรขัดใจเจ้าตัวเล็กเลยสักนิด ทุกครั้งที่เดินก็ย่อมมีเสียงครืดคราดถูกลากไปมา สิงโตทะเลรุ่นลูกไม่ยอมผละจากแต่อย่างใด แม้จะผ่านไปสามชั่วโมงกว่า ๆ

“ผมคงทำให้เจ้าตัวเล็กไม่พอใจ” เขาตอบออกมา รีบก้มลงดูปฏิกิริยาของเจ้าตัวเล็ก

“ทำไมล่ะ” คุณพ่อเอ่ยถาม

“ผม…” ตี๋ลังเล กลัวตอบผิดอาจจะมีปัญหาในทีหลัง พยายามย้อนคิดหาเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวเล็กเกรี้ยวกราด

ลืมคิดข้อนี้เสียสนิท…

หรือเพราะว่าเขาติเตียนมัน ?

ตี๋เริ่มสูดอากาศเข้าปอด ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วยิ่งซีดลงหนักกว่าเก่า ลองกลั้นใจตอบคำถามที่ไม่รู้แน่ชัดว่าใช่เหตุผลจริง ๆ ไหม แต่ลองเสี่ยงทายกันดู

“คงเพราะดันไปบอกว่าเจ้าตัวเล็กเต้นไม่ดีน่ะพ่อ แต่จริง ๆ แล้วน้องเก่งมากครับ ฉลาดมากด้วย และก็…น่ารักมาก ๆ เลย”

ฉับพลันก็รู้สึกโล่งโปร่งจากเรียวขาที่ถูกกัด คนตัวโตสะดุ้งโหยงรีบก้มหน้าลงต่ำ มองสิงโตทะเลที่เชิดหน้าขึ้น คลานต๊อกแต๊กไปอีกทางอย่างภาคภูมิใจ ไม่มีความโมโหร้ายเฉกเช่นเมื่อครู่

ชายหนุ่มหลุดเสียงคราง

“อาห์” สงสัยเจ้าตัวเล็กชอบการเยินยอ…
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่เจ็ด (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-06-2019 00:07:35
[7]

 

“ผมขอเอาเจ้าตัวเล็กกลับไปนอนที่บ้านนะครับพ่อ”

ควับ ! เสียงลมวูบผ่านอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยใบหน้าของข้าที่หันไปมองชายฉกรรจ์ ระยะห่างที่เคยทิ้งไว้ บัดนี้ย่นระยะทางลง รีบกระเถิบตัวอย่างหุนหันพันแล่น ส่ายหน้าบ่งบอกผู้เป็นพ่อของเจ้าตี๋ที่กำลังยืนกอดอก ขณะที่มือข้างหนึ่งใช้ปลายนิ้วลูบสันกรามไปมาเหมือนกำลังไตร่ตรองความคิด กลับถูกลูกชายตัวดีรีบช่วงชิงเสริมคำพูด ชักจูงผู้ฟังเอาไว้ว่า…

“ผมอยากเอาเจ้าตัวเล็กไปฝึกที่บ้าน เผื่อน้องจะได้เชื่องกับผมด้วย” เจ้าตี๋ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดจาดูดีมีเหตุผล ต่างจากข้าที่ลำคอกระตุกจนต้องหดลงไปด้านหลัง ดวงตาเบิกถลน ปากอ้าเหวอชวนน่าขบขันเป็นสระอิ อยากจะอาเจียนกับคำๆ นั้น

พอได้สติก็รีบเอ่ยโต้แย้ง ก่นด่าคำพูดจอมปลิ้นปล้อน

“อุ๋งๆ !” (ตอแหลมสิ้นดี !) จะพาข้าไปทำเรื่องสัปดนล่ะสิไม่ว่า !

ทว่าเจ้าตี๋กับใครอีกคนไม่คิดจะสนใจข้าเลยสักนิด สิ่งที่ตามมาเลยเป็นคำพูดปณิธานที่ทำให้ข้าเลือดขึ้นหน้า

“สัญญาว่าจะดูแลเป็นอย่างดีครับ” ร่างสูงว่าพลางประดับรอยยิ้ม ก้มหน้ามองสิงโตทะเลเฉกเช่นข้าอย่างกับรักใคร่เอ็นดู

เหอะ พูดออกมาได้ยังไง เฮงซวย !! การดูแลของเจ้ามันเป็นการกระทำที่ขัดแย้งสิ้นดี มีอารมณ์วิปลาสกับสัตว์ แถมยังมีหน้ามาช่วยเหลือตัวเองจนกล้วยน้ำว้าล้นทะลักเป็นกล้วยบวชชี มองจากดาวอังคารก็ยังรู้เลยว่ามีมนุษย์ตอแหลอยู่บนโลกระยิบระยับ

คนคนนั้นก็คือเจ้า !

ข้าไม่เอาแล้วนะ ! ไม่อยากจะไปนอนด้วยเลยสักนิด ตั้งแต่เจอมะเขือยาวก็หลาบจำ กรีดร้องจนแสบคอเต็มไปหมด ฉุกคิดว่าจะต้องเจอมันอีกก็เล่นเอาขนลุกเกรียวไปทั่วสรรพางค์

ฉะนั้นข้าขอปฏิเสธ !

“งั้นพ่อเองก็ตกลง”

ปัดโธ่โว้ยยย ! เคยเห็นหัวข้ากันบ้างไหมนะ ! ก็เพราะเหตุนี้ไง ลูกชายของเจ้าถึงได้เป็นเด็กเอาแต่ใจ สัปดนเป็นคนโรคจิตจนมีอารมณ์ที่แสนวิปริตกับสัตว์ที่แสนน่ารักเฉกเช่นข้า !

“ขอบคุณครับ” เจ้าตี๋ผลิรอยยิ้มแย้มบาน

น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด ! ข้ารีบคลานไปหาเพื่อนร่วมโลกที่กำลังนอนอุตุ ทำอะไรไม่ได้เลยพาลใส่สิงโตทะเลที่นอนอยู่ริมสระ ดันปลายจมูกผลักดันสัตว์ตัวจ้อยที่ตัวใหญ่กว่า เสียงโครมของสระน้ำดังกระจายจนล้นทะลัก ก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าตกตะลึงพรึงเพริดของสิงโตทะเลรุ่นลูก รีบตะเกียกตะกายขึ้นจากฝั่ง

พอปรายตามองจึงรู้ว่าเป็นตัวเดียวกันกับที่ถูกข้าลากไปสังเวยในคราก่อน เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนในการแสดง เห็นดังนั้นก็แอบเหวอเล็กน้อย

อ่าว โทษทีๆ ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นเจ้า…

เจ้านั่นหันซ้ายแลขวาดังพึ่บพั่บ ตาขาวแดงเถือกคล้ายโมโห หาผู้กระทำที่ผลักตนเองลงแม่น้ำ

ข้ารีบตีหน้าใสซื่อในทันที พลางเอี้ยวตัวหันไปมองบุรุษที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ้มมาทางข้า ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ

“น่ารักตลอดเลยนะเราอะ”

หึ ! ข้ารีบเชิดหน้าขึ้น ใช้ครีบกระเถิบเข้ามาเข้าใกล้อีกฝ่ายที่ขยันปากหวาน ก่อนจะถูกโอบอุ้มให้แนบอยู่ระดับอก จากนั้นจึงพูดคุยกับคนเป็นพ่อของตนเองต่อ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าข้าจะสมยอมแต่อย่างใด

ยอมให้เจ้าตี๋อุ้มเพราะพูดจาดูดีมีเหตุมีผล ประการแรกคือการเอ่ยชม ส่วนประการที่สองและสามนั้นยังไม่มี ปล่อยให้อีกฝ่ายหลงเชื่อว่าตัวข้านั้นเป็นสัตว์โลกที่แสนน่ารัก

“วันนี้พ่อกับแม่จะไปนอนบ้านนู้นด้วยนะ เดี๋ยวตังเมกับหลานๆ จะตามมา ทำบาร์บีคิวปิ้งย่างกินกันหลังบ้าน เห็นว่าพวกเจ้าทับทิมกับเจ้าแทนไทบ่นอยากทาน”

“อ่าว แล้วบ้านหลังใหญ่ของเราล่ะครับ” เจ้าตี๋ดูแปลกใจในทีแรก ก่อนจะแปรผันเป็นหงุดหงิด

ข้าที่แหงนหน้ามอง พลันได้เห็นสีหน้าที่ขมวดคิ้วยุ่งยาก ดูแอบไม่พอใจกับคำพูดของคนเป็นพ่อ ชั่วอึดใจก็หลุบสายตาลงต่ำมองมาทางข้า ฉายแววนึกสลดคล้ายเศร้าสร้อย

หืม อะไรกันสีหน้าแบบนั้น ? ราวกับบุรุษที่อยากอยู่กับผัวเมียสองต่อสอง แต่กลับถูกขัดขวางจากคนในครอบครัว

อย่าบอกนะว่า… เจ้าคิดจะจับข้าทำเมียจริงๆ ไอ้คุณหฤษฎิ์ !

“อย่างงี้ผมก็ไม่ได้อยู่กับเจ้าตัวเล็กเลย” ร่างสูงบ่นพึมพำ แต่ก็ดังมากพอที่ข้าจะได้ยิน เสมือนจงใจให้ข้ารับฟังเพียงผู้เดียว

แต่ได้โปรด… ช่วยพูดให้กระจ่างชัดด้วย ! ไอ้คำที่ว่าไม่ได้อยู่กับข้านั้นคือเช่นไร นัยยะแอบแฝงคือการที่เจ้าจะยัดเยียดความเป็นผัวใช่หรือไม่ ?

โน โนนะยังก่อน ข้าไม่พร้อมจะถูกยัดเยียดความเป็นเมีย มีผัววิตถารแบบนี้น่ากลัวยิ่งนัก ผูกคอตายทิ้งเสียยังดีกว่า

“หืม นี่พ่อจะไปนอนค้างทั้งทียังต้องมีเหตุผลอีกเหรอ เจ้าตังเมก็อุตส่าห์เอาหลานมานอนด้วย เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งที ทำไมลูกพูดจาเหมือนไม่อยากให้พ่อกลับไปนอนบ้านซะอย่างงั้น”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย” เจ้าตี๋รีบตอบทันควัน พร้อมรอยยิ้มที่ส่งเสริมความหล่อเหลา

ข้ารีบหันไปจ้องหน้าผู้สูงอายุ ยกครีบข้างซ้ายชี้หน้าคนตัวโตที่กำลังอุ้ม ประกอบกับใบหน้าจิ้มลิ้มของข้าที่สะบัดไปมา อยากเอื้อนเอ่ยเหลือเกินว่าอย่าได้ไปหลงเชื่อลูกชายของเจ้าเชียว หมอนี่กำลังกลับกลอก ข้าแอบได้ยินว่าเจ้านี่อยากอยู่กับข้าตามลำพัง

รีบโทรหาจิตแพทย์เถอะ ข้าเกรงว่าเจ้านี่จะสถาปนาความเป็นเมียให้แก่ข้า เกิดเสียหายขึ้นมาค่าสินสอดของข้าแพงมากนัก พวกเจ้ารับมือไม่ไหวแน่ๆ ยิ่งบวกกับค่าชดเชยความเสียหาย ข้าริบหมดเลยนะแม้แต่โฉนดที่ดิน !

ฉะนั้นช่วยข้าก่อน !

“งั้นเดี๋ยวสี่โมงเย็นก็กลับบ้านได้เลย พ่อจะให้คนมาดูแลส่วนที่เหลือเอง”

โธ่เอ้ย ! ไอ้แม่เจ๊ด !!

“ขอบคุณมากครับพ่อ”

“อืม” คนตรงหน้าพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหมุนกายออกจากถิ่นฐานไม่วายเหลือบมองมาทางข้า พร้อมกับคำพูดทิ้งท้าย “เจ้าตัวเล็กคงชอบลูกมาก”

ข้ารีบส่ายหัวจนแทบจะหลุดออกจากตัวในทันใด มีหรือที่เจ้าพวกนี้จะใส่ใจ คนเคยไร้ตัวตนก็ยังไร้ตัวตนอยู่วันยันค่ำ เหนือสิ่งอื่นใดคือลมหายใจอุ่นร้อนของเจ้าตี๋ที่โน้มหน้าลงมา ส่งคำพูดที่มีผลกระทบต่อขั้วหัวใจ และถ้อยคำที่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีบุรุษพูดกับข้าเช่นนี้

“ผมก็ชอบน้องมากเหมือนกัน”

ตึกตัก ๆ

ราวกับมีผีเสื้อมาบินรายล้อมรอบตัว เข้ามาบินหยอกเย้าตรงกลางใจเสมือนเป็นดอกไม้ที่ผลิแย้มบาน ก่อนจะถูกเชยชิมความหวานหอมจากเกสรภายใน ทุกสิ่งที่ซึมซับมันนุ่มนวลและค่อยๆ กอบโกยจนข้ารู้สึกอ่อนระทวยไปทั่วร่าง

ข้าในยามนี้จึงไม่ต่างจากคำเปรียบเปรยเหล่านั้น วินาทีนี้กลับถูกเรียวแขนแข็งแรงโอบประคองเอาใจใส่ อีกทั้งรอยยิ้มที่มอบมาให้ก็ไม่ได้มีการเสแสร้งแต่อย่างใด ทว่าตัวของข้ากลับหดเล็กลงเพียงเพราะคำๆ เดียว

‘ผมก็ชอบน้องมากเหมือนกัน’

ข้าควรจะทำยังไงกับเจ้ามนุษย์ตี๋นี่ดี…

ในหัวของข้าเหมือนมีเทวดาตัวเล็กๆ ห้าหกตัวกำลังตีกวนอยู่ในห้วงความคิด

ปี๊ดดดด !!!

‘ประชุมจ้าประชุม ! หัวข้อในวันนี้คือการโดนสารภาพรัก !’ สิงโตทะเลสวมแว่นดำนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ใช้ครีบเบื้องล่างหยัดกายขึ้น ขณะที่ครีบเบื้องหน้าหยิบไม้เรียวตีไปที่หัวข้อบนกระดาน เหนือศีรษะมีวงล้อสีทองและปีกที่งอกงามออกมาจากแผ่นหลัง เพ่งสายตาไปยังสิงโตทะเลตัวอื่นที่เริ่มถกเถียง

‘เจ้ามนุษย์นี่หลงรักสิงโตทะเลอย่างพวกเรา’

‘น่าขยะแขยงยิ่งนัก ข้าเกรงว่าควรลากไปบำบัด’

‘แต่เราเคยเป็นคนมาก่อน จะรักกับมนุษย์ก็ไม่น่าผิดแปลกกระมัง’

‘แต่ตอนนี้เราเป็นสัตว์นะ แถมยังเป็นตัวผู้เสียด้วย !’

‘นั่นสิๆ ผิดธรรมชาติมั่กๆ เลย’

‘อีกฝ่ายก็บ้านรวย ดีกรีเลิศ หน้าตาหล่อเหลา พ่อเป็นเจ้าของอควาเรี่ยม แถมยังใหญ่อีกต่างหาก แค่กๆ ข้าหมายถึงอำนาจบารมี เอาเป็นว่า… เพอร์เฟคหมดยกเว้นจิตไม่สมประกอบ’

‘สมยอมให้เลี้ยงต้อยก็ไม่เลว’

‘ข้าแนะนำให้ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามวิถีธรรมชาติ เพราะความรู้สึกคนเรานั้นยากแท้หยั่งถึง’

‘อมิตาพุทธ’

‘ฉะนั้นกรุณายกป้ายผลโหวตด้วยจ้าาา ~’

ปี๊ดๆ !

‘ผลเป็นเอกฉันท์ออกมาว่า…’ เทวดาตัวน้อยในโลกจินตนาการบินมาเกาะไหล่ถือโทรโข่งพูดใส่หูของข้า ไม่ทันที่จะเอื้อนเอ่ยประโยคถัดมาก็ดันถูกบุรุษพลิกกายหันมาจ้องประจันหน้า ตั้งคำถามจนสิ่งนั้นผุดหายไปจากห้วงมโน

“ทำไมกลอกตาไปมา คิดอะไรอยู่เหรอครับ ?”

“…”

“หืม ? ถ้าเงียบจะจับจูบนะ”

น่าขยะแขยงยิ่งนัก ! ข้ารีบยกครีบมาปกปิดริมฝีปากของคนตรงหน้าในทันที

ถึงบอกไป เจ้าก็ไม่เข้าใจข้าอยู่ดี…

ข้าทำหน้าบึ้งตึงคล้ายรำคาญอีกฝ่ายที่ลำตัวสั่นไหว สะกดกลั้นหัวเราะข้างในลำคอ อยู่กับเจ้านี่มีแต่เรื่องวุ่นวายจริงๆ เลย…

 

จวบจนกระทั่งเวลาได้ผ่านพ้นไป ข้าในตอนนี้ก็ถึงบ้านของเจ้าตี๋เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก่อนหน้านี้แอบมีเรื่องน่าโมโหยิ่งนัก เพราะทีแรกกะจะกระโจนลงน้ำ ไม่อยากจะกลับไปนอนกับอีกฝ่าย มิทันที่จะย่างกรายไปขอบสระ ก็ดันถูกจับอุ้มไร้การหลีกหนี

แต่ไม่พอ ! เจ้ามนุษย์ตี๋ยังขออนุญาตท่านแม่ของข้าที่ไม่เข้าใจภาษาคนอีก บอกกับท่านว่าจะพาข้าไปนอนด้วยไม่ต่างจากเมื่อคืนนี้

ท่านแม่ของข้าที่เหลือบมอง เมื่อเห็นว่าข้าอยู่กับผู้ดูแลจึงไม่คิดจะใส่ใจ ปล่อยปละละเลยเพราะหลงคิดว่ามนุษย์ผู้นี้จะจิตใจดี แต่หารู้ไม่ว่าหมอนี่มันวิปลาสสิ้นดี ไม่ทันที่ข้าจะได้กรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ถูกโอบอุ้มยัดใส่กระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย

ข้าได้แต่กรีดร้องอยู่ภายในดิ้นขลุกขลักไร้ซึ่งหนทางออก อยากจะบอกเหลือเกินว่า ‘ไอ้ฉิบหาย เปิดที่ถ่ายเทอากาศให้กูด้วย !’

โชคยังดีที่เจ้าตี๋ไม่ได้ยัดเยียดให้ข้าอยู่แต่ข้างในกระเป๋า อีกฝ่ายมักอำพรางตัวข้าไว้ก็ต่อเมื่อมีคนชุลมุนวุ่นวาย หรือเสี่ยงต่อผู้คนจะพบเห็น ครั้งนี้ข้าจึงไม่ได้ถูกจับยัดใส่กระเป๋าตั้งแต่ขึ้นรถอีกต่อไป

ขณะนี้ใบหน้าของข้าถูกจับให้เกยอยู่บนบ่าไหล่ และทันทีที่เข้ามาภายในบ้านก็พลันได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าเด็ก ๆ ซึ่งข้าเกลียดเด็กชะมัดยาด !

“พี่ตี๋ !!”

“เย้ ๆ พี่ตี๋มาแล้วววว”

โอ๊ยยยย ! ปวดหัวๆ ข้าอยากจะเอาครีบอุดหูเหลือเกินนัก สิ่งที่น่าสะเทือนขวัญยิ่งกว่าคือการสนอกสนใจของเหล่าเด็กๆ ที่เงยหน้ามามองข้าที่อยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม

“ตัวไรอะ น่ารักจังเลยยยย” เสียงคำเยินยอของเด็กหญิงทำข้าอดไม่ได้ที่จะปรายตามองผ่านหางตา พยักหน้าเห็นด้วยกับคำๆ นั้น ใบหน้าน่ารักของเด็กที่อายุไม่เกินเจ็ดแปดขวบ กำลังจับจ้องข้าไม่วางตา

“น่ารักจังเลยครับพี่ตี๋”  ครั้งนี้การเอ่ยชมดังมาจากปากของเด็กชายที่ยืนขนาบข้างกายเด็กหญิง เจ้านี่ตัวสูงกว่ามาก ดูตัวโตกว่าคนข้างๆ คาดคะเนว่าอาจจะเป็นพี่ชายของอีกฝ่าย

“หนูขอลูบได้ไหมคะ ตัวมันดูนุ้มนุ่ม”

“ผมด้วยๆ”

ข้ารีบเชิดหน้าขึ้นหยิ่งทะนงกับคำเชยชม พลันหลับตาพริ้มสดับรับฟังคำสรรเสริญอีกสักหน่อย รู้สึกหัวใจกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่ได้รับฟัง

เอาสิ พูดอีกสิ…

“งื้อออ น่ารักกก”

โอเค ๆ เห็นว่าพูดจาดูดีไม่ก้าวร้าว ข้าจะยอมเป็นเพื่อนเล่นให้พวกเจ้า

ข้าปรือตามองชายหนุ่มที่เหมือนลังเล ใช้ดวงตาเรียวคมจ้องหน้าข้าคล้ายต้องการคำตอบ ซึ่งข้าเองก็พยักหน้ายินยอม คาดเดาไปเองต่างๆ นาๆ ว่าอีกฝ่ายอาจต้องการจะสื่อว่าตัวข้านั้นคงไม่คิดจะทำร้ายหลานๆ

แต่ไม่เป็นไรหรอกหลานของเจ้าก็ดูเป็นเด็กดี เผลอๆ อาจจะทะนุถนอมตัวข้ามากกว่าเจ้าเป็นที่แน่ๆ

“ก็ได้ครับ” เจ้าตี๋ย่อเข่าลง อุ้มตัวข้าวางลงตรงหน้าเด็กๆ ที่ส่งสายตาแพรวพราว

“อย่าจับแรงนะครับ” ไม่วายเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงกึ่งดุเล็กน้อยจนสัมผัสแทบไม่ได้ ซึ่งข้านั้นที่ผ่านพ้นการเป็นมนุษย์มาก่อน จึงรับรู้ได้ไม่ยากว่ามันแอบคล้ายคลึงเหมือนเด็กหวงของ

ข้าหลับตาพริ้ม ปล่อยให้ฝ่ามือขาวนุ่มของเด็กๆ ลูบไล้ตั้งแต่หัวจรดสะโพก แต่พอมีฝ่ามือหยาบกร้านที่ใหญ่กว่า ข้าก็รีบปรือตาจ้องเขม็ง ยกครีบข้างหนึ่งตีไปที่หลังฝ่ามือของเจ้าตี๋ที่คิดลูบไล้เสียดังเพี๊ยะ !

“โอ๊ย !” เจ้าตี๋รีบชักมือออก สะบัดไปมาเพื่อหวังทุเลาความเจ็บแสบ ส่งสายตาน้อยอกน้อยใจมาทางข้า

เดี๋ยวนี้หัดสำออยนักนะ !

ข้าส่งสายตาเรียบเฉยตอบกลับไป ขณะที่อีกคนทำหน้าราวตัดพ้อ ริมฝีปากทำท่าจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำก็ดันมีสตรีที่ส่งเสียงแหบพร่าดังลอดขึ้น

“อ่าว กลับมาแล้วเหรอลูก พ่อเขาอยากให้ไปช่วยดูรถที่หลังบ้านพอดีเลย”

“อ๋อ ได้ครับแม่” เจ้าตี๋แย้มยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินไปหาคนเป็นแม่พลางสวมกอดเหมือนคะนึงหา

ข้ากระพริบตาปริบๆ ชูคอมองบุรุษกับสตรีที่โอบกอดกัน ดูเหมือนครอบครัวอบอุ่นก็ไม่ปาน ซึ่งผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้แก่จนหัวหงอกเป็นสีขาว ใบหน้าแค่ปรากฏรอยเหี่ยวย่นเพียงแค่เจือจาง ดูแทบไม่ออกเพราะยังดูอ่อนเยาว์มากนัก อาจเพราะว่าอีกฝ่ายดูแลผิวพรรณมาอย่างดี

“โอ๊ะ ลูกเอาแมวน้ำมาเลี้ยงที่บ้านด้วยเหรอ ?” แม่ของเจ้าตี๋ที่เพิ่งสังเกตเห็นจึงลอบอุทาน ชี้นิ้วมาทางข้าที่กำลังใช้ครีบกะเถิบกายมาหาเธอ

“สิงโตทะเลครับแม่” เจ้าตี๋รีบแก้ต่าง

ส่วนข้านั้นทำท่าออเซาะใส่สตรีซึ่งตอนแรกแอบตกใจ เรียวขาถอยหลังไปก้าวเพราะเกรงกลัว แต่พอเห็นว่าข้ามาอย่างเป็นมิตร เจ้าตัวก็โน้มกายลงมา ฝ่ามือลูบไล้ไปที่ศีรษะของข้าอย่างนึกเอ็นดู จนข้าเริ่มหลับตาพริ้ม ทำสีหน้าเคลิ้มฝันกับความนุ่มนวล เผลอไผลจนเอาหัวของตนเองถูไถไปมากับฝ่ามืออุ่น ๆ

“น่ารักจังเลยนะ หิวข้าวไหมเอ่ย ?”

“อุ๋ง ~” ข้าขานรับ พยักหัวเล็กน้อยกับถ้อยคำเอาใจใส่ รู้สึกว่าแม่ของเจ้าตี๋นี่ดีนัก นิสัยดีแถมยังเอ็นดูข้าอีกต่างหาก เฮ้อออ น่าเสียดายที่เธอมีลูกเป็นเจ้าตี๋

น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย…

คิดดังนั้นก็ช้อนตามองคนเบื้องบนเล็กน้อย ส่ายหัวรับไม่ได้กับนิสัยของคนหล่อเหลา

มีลูกวิตถารแบบนี้เป็นข้าเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็ก…

เจ้าตี๋เลิกคิ้วเหมือนเอะใจ ก่อนจะถูกแม่ตนเองถามไถ่ในครู่ต่อมา

“เจ้าหนูนี่มีชื่อเล่นไหมลูก ?”

“ชื่อเจ้าตัวเล็กครับแม่ จะเรียกตัวเล็กเฉยๆ ก็ได้ครับ ผมว่ามันน่ารักเหมือนกัน”

“อืม ดีๆ ชื่อน่ารักดี ฮ่าๆ ดูมันสิ อ้อนแม่ใหญ่เลย” แม่ของเจ้าตี๋ฉีกยิ้มกว้าง หัวเราะร่ามีความสุขเมื่อเห็นข้าเอาหน้าถูไถไปกับเรียวขาของเธออย่างออดอ้อน

ข้าชอบเสียงแม่ของเจ้าตี๋ยิ่งนัก โดยเฉพาะเวลาเธอยิ้มมันดูสวยมากๆ เลย ราวกับว่าเป็นผู้ใหญ่ใจดีจนน่าเคารพนับถือ

หลังจากนั้นไม่นานตัวข้าก็คลานตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินผ่านบานประตู ออกมายังข้างหลังบ้านที่มีหญ้าสีเขียวถูกตัดเล็มเป็นระนาบเดียวกัน

ยอมรับจากใจจริงว่าบ้านของเจ้าตี๋นั้นใหญ่นัก จริงๆ ข้าก็คร้านเกินจะเกริ่นบอก แต่มันเป็นบ้านสองชั้นหลังสี่ขาว มีพื้นที่กว้างขวางจนแทบจะปล่อยอุรังอุตังมาวิ่งเล่นกันได้

พื้นที่ข้างล่างจะมีห้องนั่งเล่นทางขวามือ ถัดมาทางซ้ายมือจะมีเคาท์เตอร์ห้องครัว ประกอบกับของใช้ครบครันและเครื่องดูดควันโขมง ส่วนห้องน้ำก็อยู่ใกล้ๆ ห้องทำอาหาร เมื่อเดินผ่านสองสิ่งนี้ก็จะมีพื้นที่โล่งโจ้ง ก่อนเลี้ยวขึ้นบันไดทางซ้ายมือก็จะมีห้องๆ หนึ่งซึ่งมีป้ายชื่อแปะอยู่ น่าจะเป็นห้องนอนของเด็กๆ ตรงกันข้ามก็เป็นห้องนอนของใครอีกคน

หลังจากทางขึ้นบันไดข้าไม่ก็ค่อยรู้รายละเอียดนัก เพราะตั้งแต่มาที่นี่ครั้งแรกก็ถูกยัดใส่กระเป๋า ไม่เคยได้วิ่งเล่นสำรวจถิ่นฐานเลยสักนิด เว้นก็แต่ห้องนอนของเจ้าตี๋แต่เพียงผู้เดียว ทว่าครั้งนี้ได้มีโอกาสจึงได้สำรวจรายละเอียด

เฟอร์นิเจอร์ล้วนถูกประดับตกแต่งได้อย่างเรียบง่าย บางชิ้นดูราคาแพงหูฉี่กันทั้งนั้น แม้จะแอบได้ยินมาเล็กน้อยว่าเป็นบ้านอีกหลังของพวกเขา แต่ก็ทำให้ข้าแอบตาพราวเสียอยู่ดี

ครั้นเดินผ่านขั้นบันได สุดทางเดินก็จะมีห้องรับประทานอาหาร และกรอบบานประตูสีน้ำตาลที่เปิดเข้าไปก็กลายเป็นหลังบ้านในท้ายที่สุด

มันมีทั้งต้นไม้โอฬารและพุ่มหญ้าเขียวชอุ่ม ดูโล่งโปร่งมากจนอยากนอนไปเกลือกกลิ้ง

ข้าได้พบเจอน้องสาวของเจ้าตี๋ที่มีลูกถึงสองคน ซึ่งนั่นก็คือน้องทับทิมกับเจ้าแทนไท รวมไปถึงแฟนหนุ่มของอีกฝ่าย กับพ่อของเจ้าตี๋ที่เคยพบเจอมาก่อน

ในยามนี้ข้าได้แต่แหงนหน้ามองเด็กๆ ที่เดินไปหยิบบาร์บีคิวกินกัน ขณะที่เจ้าตี๋ซ่อมแซมรถยนต์มอเตอร์ไซต์ของคนเป็นพ่อ จากนั้นจึงหยิบถังน้ำมันมาเติมใส่ยานพาหนะ ข้ามองอีกฝ่ายที่มือเปรอะเปื้อนกลิ่นน้ำมันเครื่อง ไหนจะอุปกรณ์ต่าง ๆ นา ๆ

“มันเหม็นนะครับตัวเล็ก ไม่ดีต่อสุขภาพ ไปอยู่กับน้องทับทิมกับแทนไทก่อนเถอะ” เจ้าตี๋กวักมือไล่ข้าให้ออกไปห่างๆ ก่อนจะจับชายเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้า

ข้าพลันได้เห็นกล้ามหน้าท้องเป็นลอนๆ จนต้องแอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะมันสวยมากและผู้หญิงเห็นทีคงกรี๊ดกร๊าดกันทั้งนั้น ไหนจะหยาดเหงื่อที่ไหลไปตามช่วงแผงอกจรดซิกซ์แพ็กส์ผ่านสีผิวคร้ามแดด บวกกับไรขนบางๆ ตามหน้าท้องน้อย ซึ่งมีเหงื่อไหลผุดซึมเปรอะเปื้อนตามขอบกางเกง

ช่างไม่ดีต่อจิตใจเอาซะเลย ข้ารีบเบนหน้าหนี กระเถิบกายไปหาเด็กๆ ผ่านพ้นไปสักพักก็ตามติดเจ้าตี๋ที่เดินไปเก็บข้าวของภายใน

อีกฝ่ายวางถังน้ำมันไว้ตรงพื้นที่รกๆ มุมห้อง กับกล่องไม้ขีดไฟที่พวกผู้ใหญ่นำมาใช้ตอนจุดไฟย่างบาร์บีคิว ข้าจับจ้องเจ้าตี๋ที่หยิบกล่องไม้ขีดไฟวางไว้ตรงชั้นเก็บของ ไม่ได้สูงเลยศีรษะของข้าเลยสักนิด

เก็บแบบนี้เด็กๆ มาเล่นเข้าจะทำยังไง ช่างโง่เง่าเต่าตุ๋น !

“ตี๋ขอไปอาบน้ำก่อนนะ ตัวเล็กอยากอาบน้ำด้วยไหม” คนตัวโตเอ่ยถาม

ข้ารีบส่ายหน้าปฏิเสธ ทำเจ้าตี๋ส่งเสียงหึๆ อย่างขบขัน ก้าวเท้าขึ้นไปบนห้อง ฉับพลันตัวของข้าที่ยืนมองอยู่ตรงขั้นบันไดก็ถูกโอบอุ้มด้วยอ้อมแขนเล็กๆ

ข้าส่งเสียงกรีดร้องตกใจดัง “กี๊สสสส” เพราะหลงคิดว่าจะถูกลักพาตัว

แต่ที่ไหนได้…

.
.
.
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่เจ็ด (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-06-2019 00:08:35
.
.
.

“นี่คือชามะลิ มีกลิ่นหอมหวาน เผื่อองค์หญิงบาร์บี้จะชมชอบ” เสียงเล็กใสของเด็กหญิงที่ชื่อทับทิบดังอยู่ข้างลำตัว

บนโต๊ะกลมๆ และเก้าอี้ที่รายล้อมเหมือนกำลังจับกลุ่ม ข้าวินาทีนี้ได้แต่ปรือตามองอย่างเบื่อหน่าย แถมยังหนังตายังกระตุกกับสิ่งที่โดนกระทำ

อิหยังวะ… กระโปรงบานพลิ้วสีชมพูฟูฟองถูกสวมอยู่บนสะโพกของข้า เหนือศรีษะมีหมวกปาร์ตี้แหลมๆ

ข้าในตอนนี้ไม่ต่างจากม้ายูนิคอร์นที่มีเขาเลยสักนิด…

ข้ารีบกระโดดลงจากเก้าอี้เล็กๆ แต่ก็ถูกจับอุ้มให้มานั่งดังเดิม แถมยังถูกตราหน้าอีกต่างหาก

“ทำไมองค์หญิงตัวเล็กถึงได้ทำตัวไร้มารยาทถึงเพียงนี้ เห็นไหมว่าองค์หญิงตุ๊กตาบลายธ์ กับองค์หญิงบาร์บี้ยังคงนั่งอยู่ ดูสิ องค์ชายแซ็กกี้ทำหน้าไม่พอใจแล้ว” ริมฝีปากเล็กพูดจาอย่างฉะฉาน ก่อนจะดันถ้วยชาสีขาววางไว้ตรงหน้าตุ๊กตาผีสิงในหนังสยองขวัญ

ข้าอยากจะร้องไห้เหลือเกินนัก แม้แต่ตุ๊กตาแซ็กกี้ที่มาจากหนังฆ่าคนตายก็ยังถูกแต่งตัวเหมือนองค์ชายในยุคจีนโบราณ

นี่มันบ้าเกินไปแล้ว !

ข้าชำเลืองมองเด็กหญิงที่ยิ้มแย้ม หยิบกาน้ำชารินใส่แก้วอย่างอ้อยอิ่ง

“เชิญองค์ชายแซ็กกี้ดื่มเพคะ”

โอ้โห แซ็กกี้เลยนะ เจ้าหนูทับทิบไม่เคยดูหนังหรือไงกัน ไม่กลัวใบหน้าแย้มยิ้มที่มีแผลเลยสักนิด ขนาดตัวข้าเองยังนึกหวาดกลัวกับสีหน้าที่จ้องมองมา

“ต่อไปเป็นองค์หญิงตัวเล็ก”

โว้ยยยย ข้าเป็นตัวผู้เว้ย !

“อุ๋ง !!” ข้าส่งเสียงร้องคำรามเพื่อเอ่ยแย้ง แต่ก็ถูกตอบกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจจากอีกฝ่าย พลางหยิบไม้เล็กๆ ขึ้นมาทำท่าจะฟาดตัว ข้าจึงรีบหุบปากในบันดล

“กรุณาทำตัวให้สมเป็นกุลสตรีด้วยเพคะ อีกประเดี๋ยวเดียวเราจะมีการฝึกคัดลายมือ” หนูทิบทิมว่ากล่าว ก่อนจะลุกไปหยิบกระดาษสีขาวและดินสอมาแจกจ่ายให้แก่ตุ๊กตาตัวอื่นๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวข้า

ก็เพราะเหตุนี้ไงข้าถึงได้เกลียดเด็กนักหนา ! ขนาดเป็นสัตว์ยังต้องมานั่งคัดลายมือ โคตรบ้าชะมัด !

ฮืออออ เจ้าตี๋รีบมาช่วยข้าทีเถอะ ข้าจะยอมเป็นตกเป็นเบี้ยล่างให้เจ้าอีกหนึ่งวันเต็มๆ

ข้าหันซ้ายแลขวาหวังขอความช่วยเหลือ แต่ก็เห็นเพียงเจ้าแทนไทที่เป็นพี่ชายของอีกฝ่ายกำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนผืนเตียง ไม่คิดจะสนใจแต่อย่างใด

“เริ่มได้ กรุณาจับดินสอเขียนบนกระดาษด้วยค่ะ”

ข้าหันมาจ้องหน้าเด็กดังเดิม อีกฝ่ายยังคงส่งรอยยิ้มเบาบาง ทว่ามือนั้นกลับหยิบไม้เรียวตีลงที่ขอบโต๊ะดังปึก ๆ คล้ายย้ำชัดว่าหากไม่กระทำตามคงได้เจ็บตัว

ฮือออ เจ้าเด็กไม่ปราณี  ! ข้าไม่น่าหลงเชื่อการเชยชม !

ข้าหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนพ่นลมหายใจอย่างรุนแรง พยายามใช้ครีบจับปลายดินสอ ร่วงแล้วร่วงอีกจนสุดท้ายต้องใช้ปากงับอย่างฉุนเฉียว  ครีบวางไว้ตรงมุมกระดาษเพื่อกันเขยิบไปมา ตัดสินใจขีดเขียนถ้อยคำสั้นๆ แต่เน้นกระชับในห้วงอารมณ์ กระดาษโล่งๆ จึงถูกแทนที่ด้วยลายลักอักษร คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเด็กฝึกหัด

คอ วอ ยอ

พรึ่บ ! เจ้าหนูทับทิมรีบแย่งในทันใด

“คืออะไร คอวอยอแปลว่าอะไรพี่แทนไทรู้ไหมคะ” หนูทับทิมหันไปถามพี่ชายคนโต

เจ้าแทนไทลุกขึ้นไปหยิบสิ่งนั้นมาสำรวจ พลางใช้นัยน์ตากวาดดูสามตัวอักษรที่เรียบง่ายอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเพราะไม่เข้าใจความหมาย

“ไม่รู้สิ แต่เจ้าตัวเล็กเขียนภาษาไทยได้ เราลองไปถามพี่ตี๋กันดีกว่า” เด็กหนุ่มแสดงความคิดเห็น ดวงตาวาวระยับกับเรื่องอึ้งทึ้งในวันนี้

เหล่าเด็กๆ ดูตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แต่นั่นก็เพราะว่าข้าโมโหร้ายจึงเขียนถ้อยคำสัปดนลงไป และไม่ทันที่พวกเด็กๆ จะก้าวเท้าออกจากห้อง บานประตูก็ถูกเปิดออก เผยใบหน้าคมคายและร่างกายกำยำที่ชำระล้างจนสะอาดหมดจด สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มสีเทา แต่งตัวเบาสบาย

ร่างสูงแย้มยิ้ม มองมาทางข้าในทีแรก ไม่ช้านานจึงหัวเราะขบขันกับการแต่งกายของข้า ก่อนจะก้มหน้ามามองเด็กๆ ที่วิ่งเข้าหาอย่างร้อนรน หัวใจของข้าก็พลันกระตุก

เกิดเจ้าตี๋รู้เข้าว่าข้าเขียนขึ้นมาก็ซวยกันพอดี !

ข้าทำท่าจะกระโดดลงจากเก้าอี้ แต่ก็ไม่ทันเท่ากับเด็กๆ ที่ชูกระดาษทนโท่ต่อหน้าต่อตาชายฉกรรจ์

“พี่ตี๋ๆ อันนี้อ่านว่าอะไร พวกผมไม่เข้าใจความหมาย” เด็กชายชูแขนขึ้นสูง กางกระดาษสีขาวให้อีกฝ่ายเห็นกระจ่างชัด

เจ้าตี๋โน้มหน้าลงมา อ่านถ้อยคำทีละตัว

“คอ วอ …” ก่อนจะสิ้นคำสุดท้ายก็รีบหุบปากลงฉับ ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววถมึงตึง ชักสีหน้าไม่พอใจกับตัวอักษร

“ใครเป็นคนเขียนครับ ?” น้ำเสียงขึงขังไม่พอใจสุดชีวิต แผ่ออร่าอึมครึมทั่วกระจายไปมาจนน่าหวาดหวั่น

ข้าขนลุกซู่รีบก้มหน้างุดในทันที วินาทีเดียวกับที่เด็กผีทั้งสองรีบหันหลังชี้นิ้วมาทางข้าอย่างรวดเร็ว เจ้าผู้ชายดุดันจึงแหงนหน้ามองมา

ทว่า สิ่งที่อีกฝ่ายเห็นก็คงเป็นเพียงสิงโตทะเลที่ใช้ครีบประคองกาน้ำชาอย่างมั่นคง พยายามกลมกลืนไปกับบรรยากาศ ทั้งที่การกระทำนั้นผิดแปลกสิ้นดี

ข้าทำตัวไม่ถูกแล้ว  !!

ตัวข้านั้นใจเต้นดังระรัว ปลายครีบก็พาลสั่นระริก รู้สึกหวาดกลัวกับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายไม่เคยล่วงรู้ ข้าจึงรินน้ำชาเพื่อสวมบทบาทเป็นองค์หญิงที่แสนใจดี คล้อยตามในสิ่งที่หนูทับทิมอยากให้เป็น

‘ฮือออ ดื่มสิคะองค์หญิงตุ๊กตาบลายธ์ อีกไม่นานจะบ๊ายบายตามกันไป’

แก้วน้ำชานั้นหกล้นเจิ่งนองเต็มไปหมด โต๊ะทรงกลมเลยเปรอะเปื้อนไหลอาบเลอะโดนตุ๊กตา

“เจ้าตัวเล็ก…” เสียงของเจ้าตี๋ดูแหบพร่ากว่าที่เคยมีมา

ข้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไม่กล้าที่จะสบตาอีกคนจริงๆ จังๆ แต่ก็ดันเห็นใบหน้าที่เริ่มถอดสี แววตาเบิกกว้างเหมือนเจอเรื่องที่เกินความคาดหมาย มันสั่นไหวรุนแรงคล้ายแปลกใจ คล้ายดีใจ สับสนมึนงงเต็มไปหมด

ข้าทำตัวไม่ถูกเหลือเกินนัก และไม่ทันที่ข้าจะส่ายหน้าเพื่อเป็นการบ่ายเบี่ยง อีกฝ่ายก็ดันหยิบกระดาษสีขาวและเดินดิ่งมาอุ้มตัวข้าอย่างว่องไว

“เรามาคุยกันหน่อย” คนตัวโตกระซิบข้างใบหู รีบหันหลังเดินออกจากห้อง ก้าวขาข้ามผ่านขั้นบันได เพื่อพาไปยังห้องนอนส่วนตัว

ข้าจำได้ดีว่าฉากแบบนี้มันเหมือนางเอกที่ถูกพระเอกอุ้มพาดบ่าสิ้นดี หลังจากนั้นฉากโคมไฟก็จะไล่ตามมา

และทันทีที่เข้ามาภายใน เจ้าตี๋ก็รีบวางข้าลงบนฟูกเตียงอย่างนุ่มนวล แต่ผลลัพธ์ที่ข้าทำกับอีกฝ่ายนั่นก็คือ…

หลับ

ข้าทำเป็นหลับ ต่อให้อีกคนกำลังพูดสั่งก็ตามที

“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะครับ”

“…”

“เจ้าตัวเล็ก”

“…”

“ตัวเล็ก”

“…”

“เฮ้อออ จะเอาแบบนี้ใช่ไหมครับ”

“…”

“ก็ได้”

“…”

“เราดื้อเองนะ”

สิ้นเสียงนั้นที่ติเตียน ข้าก็รู้สึกได้ถึงแรงมหาศาลที่โถมน้ำหนักลงมาบนฟูกนุ่ม พลันมีเงาครึมๆ และกลิ่นหอมเจือจางจากเบื้องบน พร้อมกับเสียงที่พูดแหบพร่าปนเซ็กซี่ขึ้นมาว่า

“อยากโดนเหมือนเมื่อคืนนักใช่ไหม”

ข้าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เสแสร้งอ้าปากหาวเหมือนคนง่วงงุนในทันที ยกครีบขยี้ตาตัวเองไปมา พลางทำหน้าเจี๋ยมเจี่ยมกระพริบตาปริบๆ เสมือนเพิ่งตื่นนอน

จะมีอะไรก็พูดมา แต่ขออย่างเดียว… อย่ายัดเยียดความเป็นเมีย

“ตัวเล็กเข้าใจภาษาคนจริงๆ ด้วย” อีกฝ่ายดูช็อก

แต่ข้าไม่ตอบ เลือกที่จะเงียบใส่คนตรงหน้าที่ส่งสายตาหลุกหลิก

เจ้าตี๋เหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจดี เพราะขนาดตัวข้าเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดเป็นสิงโตทะเล

“ตัวเล็ก”

“…”

“ถ้าเข้าใจตี๋จริงๆ”

“…”

“ลองจูบตี๋ได้ไหมครับ”

ทำไมในหัวของเจ้าถึงมีแต่เรื่องพวกนี้วะ !!

เพี๊ยะ !

อีกฝ่ายหน้าหันในทันควัน ก่อนจะเอี้ยวมามองข้าที่อยู่ใต้ร่าง เผยริมฝีปากที่ค่อยๆ แย้มยิ้ม ชั่ววินาทีก็กลายเป็นเบิกบานมีความสุข ดวงตาสั่นไหวอย่างรุนแรงด้วยความดีใจ

ไอ้หมอนี่มันซาดิสม์ชัดๆ !

“ตี๋ไม่ได้คิดไปเองจริง ๆ”

ข้าเองก็เช่นกัน !!

สวบ ! เฮือก !

ข้าสะดุ้งโหยงเพราะแรงสวมกอดมาจากคนเบื้องบน สอดปลายนิ้วไปที่แผ่นหลังของข้าตามมาด้วยเรือนกายที่แนบชิด  ใบหน้าเรียวซุกอยู่ที่ข้างลำตัว

ข้าได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นรัวแรง ไม่ต่างจากอีกคนที่ส่งเสียงตึกตักอยู่ภายในอก

มันรุนแรงยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำไป…

“ตัวเล็กเป็นใครกัน”

เจนนี่ปาหนัน

เป็นเจ้าจะเชื่อไหม ?

“ตอบสิ”

ข้าพูดได้มั้ง…

“ทำไมเงียบอีกแล้ว”

อีฉิบหาย…

มึงก็เอากระดาษมาสิโว้ยยยยยย !!
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่แปด (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-06-2019 00:29:49
[8]



พยายามขยุกขยิกเป็นการบ่งบอกว่าให้ผละกายออกห่าง แต่สื่อสารกับเจ้าตี๋ก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าข้าต้องการเช่นไร จนต้องส่งเสียงกรีดร้องดัง “กี๊สสสส !” อีกฝ่ายถึงจะยอมลุกออกจากตัว

ไอ้เจ้าคนไม่เต็มบาท ! ข้าอยากจะด่าเหลือเกินนัก ว่าทับลงมาบนตัวของข้าโดยไม่ตระหนักถึงน้ำหนักที่ตนเองพึงมีเลยสักนิด ละเมอเพ้อพกว่าเป็นขนนกที่ร่วงหล่นหรือไงกัน ทั้งที่รูปร่างก็เหมือนหมีควายในป่าเขาซะเหลือเกิน

ช่างน่าตบกบาลให้แยกเป็นสองท่อน ! ตกลงจะเค้นคำตอบออกจากปาก หรือลักลอบฆ่าข้าทางอ้อมกันแน่ !

“เป็นอะไรครับ ?” เจ้าตี๋ทำหน้าฉงนเอ่ยถาม ข้าก็ได้แต่ตวัดตามองคนตัวโตที่ใช้ฝ่ามือดันบนฟูกเตียง ช่วงแขนยาวเหยียดตึงอยู่ที่ข้างลำตัว ข้าจึงกระถกตัวขึ้น ใช้ปลายครีบข้างล่างดีดตัวบนผืนผ้า ครั้นผละออกจากร่างกำยำที่เคยขึ้นคร่อมก็พลิกตัวหันมาจ้องประจันหน้า

“ตัวเล็ก…”

โอ๊ยยยย เรียกเก่งยิ่งนัก ชาติก่อนเป็นอีลูกช่างเรียกใช่ไหมห๊ะ ! อีลูกช่างเรียก !

ข้าเริ่มตาเขม่น แต่พอเห็นริมฝีปากที่มีท่าทางจะเอื้อนเอ่ยตั้งคำถามซ้ำ ๆ วน ๆ ข้าจึงยกครีบอย่างรวดเร็ว ชี้ไปที่กระดาษสีขาวที่เจ้าตี๋กุมเอาไว้จนยับยู่ยี่

อยากรู้คำตอบนักก็พร้อมจะแถลงไข ข้าเองก็ไม่คิดจะปิดบังหรอกนะ มีเจ้ารับรู้มันก็ดีอยู่อย่าง ข้าจะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงอยู่ภายในใจ วันดีคืนดีนึกอยากด่าก็ใช้ดินสอมาขีดเขียนโต้ตอบกับคนทะลึ่งตึงตัง ส่วนวันไหนอยากทำอะไรก็มีอีกฝ่ายคอยรับรู้ เผลอๆ อาจจะได้สุขสบายกว่าวันนี้ไปมากโข เพราะทุกวันนี้ก็ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก ถึงแม้เจ้าตี๋จะโง่งมไปสักหน่อย แต่ก็น่าเชื่อถือประมาณหนึ่ง ไม่นับรวมกับความคิดวิปริต

ไหนๆ ก็รู้ละ อีกทั้งเจ้าตัวก็สังเกตการกระทำของข้ามาหลายครั้งหลายครา วันนี้จะยอมบอกให้เอาบุญ

ข้ายังคงชี้ไปที่กระดาษที่เคยใช้ถ้อยคำหยาบโลนลงไป คาดหวังให้เจ้าหมอนี่ไปหาสิ่งของพรรค์นี้มาเพื่อเจรจา เผื่อพวกเราสองคนจะได้โต้แย้งกันไปมาในระหว่างสื่อสารกันได้สะดวก แต่ทว่าเจ้าตี๋กลับมีสมองที่ตื้นเขิน ยื่นกระดาษสีขาวมาวางตรงหน้าของข้าแทน

แถมยังมีหน้ามาพูดว่า…

“อยากได้อันนี้เหรอครับ ?”

โอ๊ยยยยย กูล่ะเบื่อ !!

“อุ๋งงงง !!” ปึก ปึก ปึก ปึก !!

ข้ายกครีบตีไปที่กระดาษแรงๆ ดังระรัว จิ้มลงไปที่กระดาษด้วยความโมโห คือต้องการให้เจ้าไปเอามา

ให้ไปเอามาอะเข้าใจไหมวะ !! มันเข้าใจยากตรงไหนอีแม่เจ๊ด !!!

“อ๋อ โอเค ๆ ! ตี๋เข้าใจแล้ว !” คนตรงหน้าผงกหัวรัวแรง ท่าทีหุนหันรีบดีดตัวลุกออกจากเตียง วิ่งแจ้นไปที่โต๊ะทำงาน กวาดรื้อหาสิ่งของในลิ้นชัก ช่างดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าปกติเป็นเท่าตัว

“นี่ครับ ๆ !” เจ้าตี๋จับจ้องข้าที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงพ่นลมหายใจ ใบหน้าของเขาคล้ายมีเหงื่อชื้นไปตามกรอบหน้า พลางหอบหายใจถี่กระชั้นเพราะการเร่งรีบ ก่อนจะยื่นสมุดเล็ก ๆ เปิดอ้าออกกว้าง เผยกระดาษสีขาวที่โล่งโปร่งภายใน จากนั้นจึงหยิบปากกาและลิควิดมาวางข้าง ๆ สมุด เรียกได้ว่าแทบถวายพานมอบมาให้

เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ ข้าก็หลับตาผ่อนผันลมหายใจให้เย็นสงบ ดับไฟมาคุที่ร้อนรุ่มอยู่ภายในกาย เส้นประสาทเต้นตุบ ๆ  คล้ายจะปริแตกตลอดเวลาทุกครั้งที่จะสื่อสารกับเจ้ามนุษย์ผู้นี้

อีกสักนิดหัวจะระเบิดแล้ว ขนาดของที่เอามาให้ก็ดันเป็นสิ่งที่ขีดเขียนลบล้างแก้ไขได้ยาก

‘โอ๊ย ปวดหัวอะ เจ้าไปเอายาพารามาให้ข้าแทนเหอะ ไม่อยากจะเขียนละ’ ข้าได้แต่บ่นภายในใจ ก่อนจะมองใบหน้าหล่อเหลาที่นัยน์ตาฉายชัดถึงความเปล่งประกาย มันล่อกแล่กไปมายามจับจ้องใบหน้าของข้า พินิจมองทุกการกระทำอย่างลุ้นระทึก

ข้าก้มหน้าคาบปากกาที่กดเอาไว้ให้เป็นที่เรียบร้อย พยายามใช้ครีบจับที่มุมหนังสือ ค่อยๆ บรรจงขีดเขียนถึงถ้อยคำสั้นๆ ขณะที่เหนือหัวมีเสียงลอบสูดอากาศเข้าปอดจากใครบางคน

ข้าเงยหน้าขึ้น เอาครีบดันหนังสือไปให้คนตรงหน้าที่เบิกตาโพลง มือไม้สั่นระริก หยิบหนังสือพลิกให้เห็นกระจ่างชัด หลุบสายตาลงต่ำมองตัวอักษรที่เขียนว่า… [ว่า]

“อึก ! เข้าใจจริง ๆ ด้วย ตะ ตัวเล็กเป็นผีเหรอ ?” น้ำเสียงตะกุกตะกัก ถามขึ้นอย่างหวาดหวั่น

ข้าส่ายหน้าปฏิเสธกับคำพูดปัญญาอ่อน เลือกที่จะแสดงผ่านท่าทาง ก่อนจะชี้ไปที่หนังสืออีกครั้งเพื่อให้เจ้าตี๋ส่งมันมา จากนั้นจึงคาบปากกานำมาเขียนในหน้าใหม่ เสร็จปุ๊บก็ยื่นให้อีกคนตรงหน้าดังเดิม

[ตาย เกิดใหม่] ถ้อยคำกระชับสั้นๆ ให้เข้าใจ

“ทำไมถึงตายล่ะ โดนฆ่าเหรอครับ ?” เจ้าตี๋ที่ก้มลงมาดูตัวอักษรภายในเสี้ยววิก็รีบเอ่ยถาม แหงนหน้ามองข้าที่ส่ายหน้าปฏิเสธ

ช่างจินตนาการเลิศเลอยิ่งนัก คิดได้ไงโดนฆ่าตัวตาย คิดว่าการที่ข้าได้เกิดใหม่เพราะแรงอาฆาตอย่างงั้นหรือ ? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงมีเหตุผลอยู่เปาะหนึ่ง เพราะในนิยายหลายเรื่องได้วนลูปกลับมาแก้ไขในอดีต แต่ตัวข้านั้นกลับไร้เหตุผลยิ่งนัก ทุกวันนี้ยังหลับตาตั้งคำถาม เหตุไฉนถึงต้องเกิดมามีชะตาเช่นนี้ โดยยังมีความจำเฉกเช่นเดิมทุกประการ

สวรรค์ก็ไม่ได้ขึ้น นรกก็ไม่ได้ไป สรุปกูดีหรือชั่วกันแน่ถึงได้เกิดเป็นสิงโตทะเล…

“ประสบอุบัติเหตุ ?” เจ้าตี๋พูดคาดเดา ซึ่งครั้งนี้ข้าเองก็แอบเงียบภายในเสี้ยววินาที เพราะรู้สึกอนาถใจกับการดับสูญของตนเองยิ่งนัก เลยเลือกที่จะพยักหน้ารับแต่ไม่ขออธิบาบใด ๆ เพิ่มเติม

เฮ้อออ เป็นคนดีของสังคม แต่โดนรถยนต์จากอีกเลนกระแทกชนตายเพราะการถูกผลัก ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก อดไม่ได้จะลอบถอนหายใจ โดยมีเจ้าตี๋มองทุกสีหน้าและการกระทำ

“ทำไมถึงเกิดเป็นสิงโตทะเลล่ะ ?” ยังคงถามจ้ำจี้เหมือนเจ้าหนูจำไม ข้าก็ส่ายหน้าสองสามทีเป็นการบ่งบอกว่าไม่รู้เช่นกัน แต่ชักจะรำคาญกับอีลูกช่างถาม

‘คิดเองเก่ง เออเองเก่ง อ๊องเองเก่ง… เก่ง !’ ข้าอยากจะใช้คำพูดเหมือนมารีญาในเดอะเฟซเหลือเกินนัก

ถามมากขนาดนี้ข้าคงตอบได้ทุกข้อที่ตั้งแง่กระมัง ไอ้ห่านจิก !

ฉับพลันเจ้าตี๋ก็โน้มกายลงมา อิริยาบถที่เคยใช้ท่านั่งขัดสมาธิก็แปรผันเป็นนอนคว่ำหน้า เหยียดขาและลำตัวออกจากปลายเตียง

ข้ากระพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลาที่เห็นทุกอณูรูขุมขน บัดนี้เข้ามาใกล้ระยะประชั้นชิด จนข้าต้องปรอยตามองริมฝีปากที่กำลังเค้นยิ้ม

เจ้าตี๋ท่าทางผ่อนคลายลงจากเมื่อครู่ คล้ายมีความสุขนักหนา พานให้หัวใจของข้าสั่นไหวกับรอยยิ้มจนเห็นถึงความหล่อเหลาอย่างเต็มเปี่ยม ทบทวีมากยิ่งขึ้นกับถ้อยคำที่ทั้งทุ้มละมุนในการซักถาม

“ตัวเล็กเป็นใครเหรอครับ ?”

“…”

“ตี๋อยากรู้จักคุณจัง”

ตึกตัก หัวใจของข้ามันดังกว่าปกติ บีบแน่นและผ่อนคลายลงจนรับรู้ได้ถึงความสั่นสะเทือน ดั่งกลองที่ตีสนั่นหวั่นไหวให้มันกึกก้อง กระนั้นกลับแจ่มชัดในโสตประสาท ใบหน้าก็เห่อร้อนเหมือนมีลิ่มเลือดกำลังสูบฉีดมาหล่อเลี้ยงไปทั่วบริเวณ พลอยให้หายใจติดขัด ไม่เคยชินชาเลยสักครั้งกับความอบอุ่นที่จ้องมองมา

ข้ารีบก้มหน้างุด แต่เจ้าตี๋ดันแอบยิ้มกว้างส่งเสียงหัวเราะมีความสุข

“จริงๆ แล้วตัวเล็กชื่ออะไรเหรอ ?” ยังคงถาม

ข้าแหงนหน้ามองแค่วูบเดียวและก้มลงไปคาบปากกาขึ้นมาใหม่ โดยมีเจ้าตี๋ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงที่มุมกระดาษพลิกสลับไปอีกหน้า

ข้ารู้ดีว่าถ้าหากครั้งนี้ตอบแค่ชื่อเฉยๆ ไอ้คนที่ถามไม่หยุดหย่อนก็คงถามต่อขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าการเขียนโดยใช้ปากมันยากเย็นขนาดไหน ครั้งนี้ข้าจึงพยายามอย่างมากในการลากตัวอักษร

ทว่า ตัวข้านั้นกลับรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของใครบางคนที่เริ่มอยู่ไม่สุข ก้มหน้าดูในบางจังหวะ พรูลมหายใจอุ่นร้อนที่ข้างใบหน้า สนอกสนใจทุกอิริยาบถของข้าในการเคลื่อนไหว

ข้าเหมือนถูกเจ้าตี๋ลวนลามในเชิงอ้อม ยิ่งโดยเฉาะตอนลมหายใจอุ่นๆ กระทบที่ข้างใบหน้า เสมือนหยอกเย้ารังแกข้าก็ไม่ปาน

“น่ารักจัง”

ก็ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงขยันปากหวานยิ่งนัก ข้าเลยเลือกที่จะมองข้ามคารมคมคายของคนที่จ้องอยู่ตรงหน้า ทั้งที่หัวใจของข้าเองก็เริ่มสั่นคลอนกับถ้อยคำที่สรรหา หวั่นไหวกับสีหน้าหล่อเหลาและประโยคดังกล่าว ครั้นเสร็จสิ้นการขีดเขียนก็ใช้ครีบดันไปโดนแขนของใครอีกคน

ข้าไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่สมัยอดีตชื่อของข้าเองก็คล้ายคลึงกับที่เจ้าตี๋มอบมาให้

[ชื่อเล็ก เกิด 22 /3/ 2544]

“หืม” อีกฝ่ายที่จับหนังสือพลิกมาดูถึงกับครางทุ้มในลำคออย่างแปลกใจ ก่อนจะเงยหน้ามามองข้าและยิ้มกว้างเจิดจรัส คล้ายหลอกล่อให้ไปตกอยู่ในภวังค์

“สงสัยฟ้าคงลิขิต เล็กถึงได้ชื่อเหมือนเจ้าตัวเล็กอย่างที่ตี๋ตั้งให้…”

อ๋อเหรอ แต่ข้าไม่เห็นด้วยเลยสักนิดเดียว เกรงว่ามันจะเหมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใดซะมากกว่า

“ตัวเล็กชอบอะไรเหรอ เอ่อ ตี๋หมายถึงชอบทานอะไร ชอบอะไรเป็นพิเศษ ?” เจ้าตี๋ดันสมุดกลับมา ข้า จึงแหงนหน้ามองบนเพดานอย่างเหม่อลอยเพื่อหาคำตอบ ระลึกถึงสิ่งที่ชอบ ครั้นนึกได้จึงก้มลงไปลากตัวหนังสือ

[ชอบเค้ก ฟังเพลงของ Blackpink* และดูหนัง] ข้าดอกจันเน้นๆ ในสิ่งที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ

หึ ถึงเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นติ่งเกาหลี ข้าก็ภาคภูมิใจ ก่อนจะจากลาโลกข้ายังไม่ได้ฝากลาถึงลิซ่าเลยสักนิด อยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่าลิซ่าน่ารักคึกคักเวลานางเต้น

“โอเค ตี๋จะได้รู้ไว้ แล้วตัวเล็กมีอะไรที่ไม่ค่อยชอบบ้างไหมครับ ?” อีกฝ่ายดูไม่แปลกใจเลยสักนิด บ่งบอกให้ข้ารับรู้ว่าเจ้านี่ไม่ค่อยตามกระแสสักเท่าไหร่

ส่วนคำถามที่ว่ามีอะไรที่ข้านั้นไม่ค่อยจะชอบกันบ้างไหม ข้าก็อยากอ้าปากพูดทันทีเลยว่าเยอะมาก ทั้งที่หัวข้อก็มีแค่ประการเดียว

ข้ารีบก้มลงไปจรดปากกาใส่กระดาษโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด ถึงแม้ในใจอยากจะนึกก่นด่ากับอีลูกช่างถาม ครั้นมาถึงคำถามเช่นนี้ ตัวข้าเองกลับกระตือรือร้นยิ่งนัก  รีบฉีกยิ้มกับผลงาน ดันสมุดไปให้เจ้าตี๋อ่านอย่างภาคภูมิใจ

สิ่งที่ข้าไม่ชอบมากๆ นั่นก็คือ…

[มึงไง]

เจ้าตี๋ขมวดคิ้วมุ่น ชักสีหน้าไม่พอใจในทันที วินาทีต่อมาจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“ผม ?” ย้ำชัดกับคำตอบที่ได้รับ ข้าจึงพยักหน้ารับบ่งบอกว่าใช่…

ใช่ มึงล้วนๆ นั่นคือสิ่งที่ข้าไม่ค่อยจะชมชอบ

“อาห์” เจ้าตี๋ขานรับอย่างหลุดออกจากห้วงความคิด แต่สายตานั้นผิดแปลกจนน่าหวาดกลัว ราวกับเหยี่ยวที่พินิจสัตว์อตัวจ้อย

ข้าขนลุกซู่ ครีบที่เคยยันตัวเองไว้เริ่มลอยขึ้นเรื่อยๆ พลันหดคอหนีจากชายหนุ่มที่ชะโงกหน้าเข้ามาหา ทำให้ตัวของข้านั้นเอนหลังล้มไปนอน เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าตี๋ใช้แขนยันตั่งเตียง ฝ่ามือแตะไต่บนผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ พลางใช้ท่วงท่าพิศวาสเหมือนหนุ่มเจนจัดเข้ามาขึ้นคร่อม ฝ่ามือระนาบอยู่ที่ข้างลำตัวคล้ายกักเก็บบริเวณ เอื้อนเอ่ยตั้งคำถามถึงสาเหตุที่เคยทิ้งท้าย

“ทำไมล่ะ…” เจ้าตี๋เว้นจังหวะ พลางเอียงหน้าเล็กน้อย มุมปากแอบกลั้นยิ้มแต่ท้ายที่สุดก็ผลิให้เห็นถึงความมาดร้ายชวนทะเล้น

“ทำไมถึงไม่ชอบตี๋ล่ะครับ ?”

ถ้อยคำไม่เท่าไหร่ แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นราวกับหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่พร้อมขย้ำหากคำตอบไม่เป็นที่พอใจ อีกทั้งปลายนิ้วทั้งห้ายังถอดหมวกปาร์ตี้แหลมๆ ออกจากศีรษะของข้า เหลือทิ้งไว้แค่กระโปรงสีชมพูที่ข้าไม่สามารถเอาออกได้ด้วยตนเอง

แม้การกระทำของเจ้าตี๋จะเหมือนนึกเอ็นดู แต่รอยยิ้มนั้นแฝงถึงความไม่ชอบมาพากลสิ้นดี

ช่างไม่น่าไว้วางใจ ! ชักอยากจะโทรหาจิตแพท์เหลือเกินนักว่าคนไข้อาการกำเริบอีกแล้ว

อีตี๋ อีผู้ชายเฮงซวย ! ใช้ท่าทางแบบนี้มันเหมือนจะขืนใจข้าชัดๆ รู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นตัวผู้ ร่างกายก็ไม่ใช่คน แต่คิดจะสมสู่ไม่เว้นกระทั่งสัตว์ !

สาระเลววววว ออกไปเลยนะ ก่อนที่ข้าจะโทรเรียกอีย้อยกับอีแย้มมาด่าเจ้า !

ข้ารีบหันหน้าอย่างว่องไว หวังจะใช้ฟันกัดแทะที่เรียวแขน ส่งผลให้เจ้าตี๋ส่งเสียงเหวอรีบเหวี่ยงแขนหลบอย่างเฉียบพลัน มีหน้ามาหัวเราะพูดจาเยาะเย้ยอีกต่างหาก

“ฮ่าๆ ไม่โดนคระ…”

อ๋อ เหรอจ๊ะ ?

เพี๊ยะ !

ข้าใช้ครีบตบไปที่ใบหน้าอย่างรุนแรง แต่มันไม่สาแก่ใจอีช้อยนัก ความโมโหมันมีมากกว่า ครีบข้างซ้ายจึงตามมา สลับสับเปลี่ยนไปซ้ายทีขวาทีดังเพี๊ยะๆๆ สีผิวคร้ามแดดของเจ้าตี๋บนใบหน้าจึงฉายริ้วถึงความแดงเถือกที่ข้างแก้ม

“อึก ! เจ็บครับ” เจ้าตี๋รีบถอยหน้าออกห่าง ยกฝ่ามือขึ้นมาลูบแก้มที่ถูกตบ

ข้าฉุนเฉียวรีบพลิกกายลุกขึ้นบนตั่งเตียง ส่งเสียงคำรามกรีดร้อง ปากอ้าออกกว้าง กระเถิบตัวอย่างรวดเร็ว คาดหวังจะกัดที่กลางลำตัวของอีกฝ่าย แต่เจ้าตี๋ก็ดันเอามือกุมส่วนสงวนอย่างว่องไว รีบลุกขึ้นออกจากเตียงโดยพลัน ไอ้สากกะเบือจึงรอดพ้นจากซี่ฟันของข้า

หน๊อยแน่ ส่งมันมาซะดีๆ นะ วันนี้แหละข้าจะกัดมันให้ขาดเป็นสองท่อน !

“กี๊สสสส”

“ตะ ตัวเล็ก” อีกฝ่ายหน้าถอดสี มองข้าที่ส่งเสียงคำรามดังลั่นห้อง พอประทุษร้ายไม่ได้จึงคลานไปหาสมุด พลิกหน้ากระดาษด้วยตนเองและคาบปากกามาขีดเขียน พอได้ในสิ่งที่พอใจก็หมุนสมุดไปอีกด้าน ก้มหน้าลงไปงับที่กลางกระดาษ ชูคอขึ้นเพื่อให้ตัวอักษรเด่นหราต่อหน้าต่อตาชายฉกรรจ์

ถ้อยคำเป็นที่ประจักษ์ชัด หยาบคายและรุนแรงถึงความก้าวร้าวอยู่ในที

ไอ้หน้าบาทาก็อยากใช้ ไอ้เชี้ยก็อยากด่า ทว่าการเขียนแต่ละคำนั้นก็ยากเย็น คิดไปคิดมาเลยรวมแม่งทุกหมวดหมู่

[อีสัตว์ !]  ชัดเจนเป็นที่พอใจ เหมาะสมกับคนโรคจิต !

“ตะ ตี๋ขอโทษ ตี๋แค่อยากแกล้ง” เจ้าตี๋รีบแถลงไข สีหน้าเหมือนคนสำนึกผิด พยายามขึ้นมานั่งบนปลายเตียง ยื่นแขนเข้ามาหวังจะสัมผัส แต่ก็หลบเลี่ยงไปมาเพราะข้ายื่นหน้าหวังจะกัด

ข้าในวินาทีนี้ไม่ต่างจากแมวที่มีมนุษย์น่ารำคาญมาลูบไล้ พอถูกคะยั้นคะยออยู่บ่อยๆ จึงพยายามเอามือและเล็บข่วนสร้างรอยแผล

ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ ! ข้าหรือก็อุตส่าห์ไว้วางใจ ไม่อยากคิดมากให้น่ารำคาญว่าไม่ควรเปิดเผยถึงตัวตน หวังเพียงแค่ใช้ชีวิตสุขสบาย ครั้นลืมไปว่าเจ้ามันก็แค่ผู้ชายมักมากคนนึง !!

“ตัวเล็ก คุณกันก่อน แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าทำไมถึงไม่ชอบตี๋” น้ำเสียงง้องอนเป็นการใหญ่ ใบหน้ายังดูเครียดตึงกับความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจากตัวข้า

“ดีกันนะ นะครับ ตี๋ขอโทษ” อีกฝ่ายน้ำเสียงอ่อนลง ส่งสายตาเว้าวอนเหมือนคนยอมจำนน

ข้าเสหน้าหนีไม่ยอมตอบ ก้มไปพลิกหน้ากระดาษขีดเขียนใหม่ เจ้าตี๋เลยอาศัยจังหวะยื่นปลายนิ้วมาเกลี่ยช่วงคางของข้า แต่ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา ข้าเลยต้องใช้ครีบปัดมือให้ออกห่าง

อีกฝ่ายไม่ดื้อรั้น มองข้าที่ตั้งใจเขียนประโยคถ้อยคำ ผงกหัวขึ้นพร้อมกับกระดาษที่คาบอยู่ในปาก สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาจึงเป็นใบหน้าเห่อร้อนของเจ้าตี๋ เสมือนเจ้าตัวได้หลงลืมข้อเท็จจริงบางประการ

[เจ้าช่วยตัวเองต่อหน้าข้า] ไอ้หนอนชาเขียวตัวใหญ่บึกของเจ้าน่ะ เหตุผลนี้นี่แหละที่ข้าไม่ชอบเจ้า

“อึก !” เจ้าตี๋สะอึก ใบหน้าแดงจัดจนเห็นได้ชัด ฝ่ามือยกขึ้นมาปกปิดความเขินอายอย่างรวดเร็ว แอบซ่อนไม่ให้เห็น พลางใช้ซอกปลายนิ้วมือแยกออกจากกัน เผยให้เห็นแค่เรียวตาที่วูบไหวสั่นสะท้าน

เอ๊ะ ? ไอ้คนเสียหายมันคือข้าไม่ใช่เหรอ ? แล้วเหตุใดเจ้าตี๋ถึงได้ทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ถูกลวนลามแทนซะงั้น

“ตี๋ลืมสนิท” เจ้าตัวกล่าวเสียงสั่น

“…”

“ว่าตัวเล็กเห็นตี๋ทำเรื่องแบบนั้น”

ใช่ ข้าพยักหน้ารับ ว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นคือถูกต้องทุกประการ หากทว่าคำพูดต่อมา เสมือนผู้หญิงที่ถูกพรากพรหมจรรย์สิ้นดี

“อายจังเลยครับ”

“…”

“ไม่ดีเลย ตัวเล็กเห็นตี๋แก้ผ้าหมดเลย”

อ๊ากกกกก อีคนหน้าด้าน !! ไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ชายไร้ยางอายเฉกเช่นเจ้าจะหน้าด้านเขินคนเป็น ! เป็นข้าต่างหากล่ะโว้ยยยยย ที่ควรได้รับความเป็นธรรม !

ในอกนั้นร้อนรุ่มและวูบไหวเต็มไปหมด ลึกๆ ก็รู้สึกใจสั่นกับท่าทางเหล่านั้น สิ่งในหัวผุดขึ้นมาคือความน่ารักที่ขัดกับรูปร่างของเจ้าตี๋ ข้าจับจ้องอีกฝ่ายที่ลดฝ่ามือลงต่ำ เผยใบหน้าแดงระเรื่อ ใช้ปลายนิ้วคัดจมูกแก้เขินและร้องขอ

“ช่วยลืมมันไปทีได้ไหมครับ”

โอ้โห ขีปนาวุธชักจรวดขึ้นฟ้าขนาดนั้น ดาวนับพันกระจัดกระจาย เห็นเต็มตาประจักษ์ชัดถึงเพียงนั้น ข้าคงลืมได้ลงหรอกกระมัง หากเล็กเหมือนกระดอแมวข้าจะไม่ว่าอะไรเลย แต่ไอ้สากกะเบือที่พร้อมจะฟาดฟันใส่คน บวกกับไรขนเหมือนป่ารกชื้น บอกตามตรง… ข้าลืมไม่ลง ! ทุกวันนี้ยังเกรงกลัวว่าจะฝันร้ายตามติด หนำซ้ำยังติดตาและในห้วงความคิดตลอดเวลา

คงลืมมันได้ก็ต่อเมื่อเจ้าตัดต้นตอของมันทิ้ง !!

ข้าสะบัดหัวไปมาเพราะอยากให้เจ้าตี๋รับรู้ว่าสิ่งที่เห็นยากเกินจะลบล้าง ถึงกระนั้นเจ้าตี๋กลับมีความคิดที่ขัดแย้งกับข้าสิ้นดี คงหลงคิดว่าท่าทางเหล่านั้นคือตัวข้าไม่อยากจะลืม

“ตัวเล็กโรคจิต แสดงว่าชอบมองของตี๋”

โอ๊ยยยยย ! ดีแต่ใหญ่เท่าสากกะเบือ แต่มีมันสมองเท่ากับปลาทอง !

ข้ารีบคลานลงจากตั่งเตียง ฉุกคิดหาทางออกกับสิ่งที่น่าปวดหัว ไม่ไหวจะทนกับความคิดที่ไม่เคยตรงกันเลยสักนิด พยายามใช้ครีบดันบานประตูเลื่อน หวังจะออกไปกระโดดฆ่าตัวตายตรงจุดชมวิว แต่ครีบนั้นไม่ได้มีแรงเทียบเท่ากับมนุษย์ อีกทั้งยังต้องปลดล็อกบานประตูอีกต่างหาก ข้าในยามนี้จึงทำได้แค่เอาหัวโขกไปมากับกระจกใสๆ ดังปั่กๆ ! พลางกรีดร้องในใจว่าอยากตาย

“ตัวเล็ก !!” เจ้าตี๋ร้องเสียงหลง รีบวิ่งมาอุ้มตัวข้า ก่อนที่จะหัวโหนกไปมากกว่านี้

การฆ่าตัวตายจึงแทนที่ด้วยการปลอบขวัญ

 

พอมาถึงมื้อเย็น อีกฝ่ายก็พาตัวข้าลงมารับประทานอาหารพร้อมกับครอบครัว

“ทานนี่เยอะๆ นะครับ อร่อยดี” เจ้าตี๋ยื่นไม้บาร์บีคิวมาให้ข้าที่นั่งอยู่ตรงพื้น ปลายนิ้วรูดเนื้อชิ้นเล็กๆ ลงมาใส่ถาด เพื่อเอาไม้แหลมๆ ที่เสียบค้างเอาไว้นำไปทิ้ง ล้วนเป็นการกระทำที่แสนเอาใจใส่

ข้ามองเมินไม่สนใจอิริยาบถเหล่านั้น นั่งอยู่ใกล้ตัวของเจ้าตี๋ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่ข้างกายข้าก็มีเจ้าแมวมิรินกินอาหารเม็ดอยู่ ทั้งที่ในยามปกติจะให้ข้ากินแต่ปลาประทังชีวิต แต่ยามนี้เจ้าตี๋กลับยื่นอาหารบนโต๊ะมากมายสารพัดลงใส่ถาดทุกๆ ห้านาที พลอยให้คนในครอบครัวเหลือบมองคนตัวโตอย่างฉงน เนื่องจากลูกชายตัวดีเอาแต่ยิ้มหน้าบาน เอามือเท้าคางมองข้าในยามกัดกิน

ข้าแหงนหน้ามอง ส่งซิกไปที่ข้าวเพื่อบ่งบอกให้เจ้าตัวรับประทานเสียบ้าง ขืนมองแบบนี้คนอื่นอาจจะนึกสงสัยเอาได้ แต่คนตัวโตไม่ยี่หระเลยสักนิด

เออดี สงสัยวันนี้เจ้าคงไม่แดกแล้วกระมัง สรุปคนมีชีวิตอยู่รอดคือข้า ส่วนไอ้คนตายก็คือเจ้าแทนเพราะไม่ยอมทานข้าว มัวแต่ดูสัตว์รับประทานอาหาร

ถึงกระนั้นการกระทำของเจ้าตี๋ก็ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านั้น ข้าถูกอีกฝ่ายพามาอาบน้ำ ทีแรกดีดดิ้นเป็นบ้าเป็นหลัง แต่พอรู้ว่าเจ้าตี๋ไม่ได้ฉุกคิดจะอาบด้วยก็พลอยโล่งอก ปล่อยให้คนตัวโตฟอกสบู่ ชำระล้างร่างกายของข้าจนสะอาดหมดจด

“หลับตาก่อนครับ ตี๋จะเช็ดหน้าให้” อีกฝ่ายเอ่ยบอก ข้าเองก็ยอมทำตามคำสั่ง หลับตาพริ้มเพื่อให้เจ้าตี๋เอาผ้าเช็ดน้ำให้เหือดแห้ง พอสบายตัวเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวก็อุ้มข้ามานอนบนเตียง เปิดทีวีและหาหนังดูไปพลางก่อนจะล้มตัวลงนอน แต่คุยกับข้าทุกวินาที

“อันนี้ล่ะชอบไหม” เจ้าตี๋เลื่อนไปที่หนังรักเรื่องหนึ่ง ข้าจึงส่ายหน้าปฏิเสธไม่อยากดู อีกฝ่ายจึงกดรีโมทเลื่อนหาหนังถัดไป เป็นหนังแนวคอมเมดี้แทนซะงั้น

“แล้วอันนี้ล่ะครับ”

ไม่ ข้าส่ายหน้าอีกหน ส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก จนเจ้าตี๋ต้องไปหมวดหนังระทึกขวัญ ส่งผลให้ข้าสะดุดกึก มองคนหล่อเหลาที่นอนอยู่ข้างๆ ณ ตอนนี้เอียงหน้าหันมามองข้าที่อยู่ห่างไม่เกินคืบ

“หรือจะดูหนังฆาตกรรมล่ะ ตี๋ก็แอบอยากดูหนังแนวไล่ฆ่ากันนะ ตัวเล็กพอจะมีเรื่องสนุกๆ ลุ้นระทึกบ้างไหมครับ ?”

สนุกๆ เหรอ ?

ข้ากลอกตามองบน ก่อนจะก้มหน้าลงไปงับปากกาที่วางเอาไว้ตรงหน้า เสนอไอเดียรายชื่อหนังสยองขวัญตามโจทย์ที่เจ้าตี๋ต้องการ

ชอบแนวไล่ฆ่ากันสินะ ได้ ! ระทึกขวัญนักใช่ไหม อาห์ ได้เลย ! อันนี้แหละตรงโจทย์ที่สุด !

ข้าหมุนกระดาษ ใช้ปลายครีบดันสมุดจนไถลไปกับผืนผ้า พลางจับจ้องใบหน้าคมคายที่ก้มลงมามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ส่งคำตอบเสนอชื่อหนังสยองขวัญที่ชวนลุ้นระทึก

ข้ารับประกัน เจ้าลุ้นทุกตอน เพราะไล่ฆ่ากันทั้งเรื่อง…

[Tom & Jerry]

หนังน่ากลัวที่สุดที่เคยมีมา

และข้าก็ได้ดูสมใจอยาก นอนดูด้วยความขบขัน ขณะที่คนข้างกายเหล่มองข้าตลอดเวลา ลอบอมยิ้มกับเสียงหัวเราะอุ๋งๆ ของข้าตอนดูแมวกับหนูไล่ฆ่ากัน

“อาห์ เป็นเด็กติดการ์ตูนนี่เอง” อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยกับสิ่งที่เห็น แต่ข้าไม่สนใจ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับฉากตลกของตัวการ์ตูน

“ตี๋ลืมเลย เจ้าตัวเล็กมาจากที่ไหนเหรอ ?” จู่ๆ คนข้างกายก็เอ่ยคำถามขึ้นมาอีกข้อ ทำให้ข้าต้องหยุดดูหนัง หันมามองเจ้าตี๋ที่ยิ้มละมุนละไม

ช่วงนี้ขยันยิ้มนักนะ ถึงข้าจะรู้ว่าเจ้าหล่อมากแค่ไหนก็ตามที

“แบบ จังหวัดที่ตัวเล็กเกิดน่ะครับ ?”

ข้าเงียบ เสมองการ์ตูนที่ยังสนุกไม่หาย พลันนึกกวนประสาทจึงก้มลงไปโต้ตอบใส่สมุด

[เกิดที่ตาคลี]

“เอ๊ะ ตาคลี ?” เจ้าตี๋มีใบหน้างงงวยจนข้านึกตลก รีบยกครีบเป็นการส่งห้ามเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายปริปากตั้งคำถาม ก้มลงไปงับปากกาเขียนในหน้าใหม่ เสร็จแล้วก็จิ้มให้เขาสนอกสนใจ กับถ้อยคำยาวเหยียดเป็นประโยคพรรณนา เสมือนเนื้อร้องก็ไม่ปาน

[ตาคลี ตาคลี รุ้มบ้า !! ตี๊ดๆ ดื่อ ดื๊อ ~]

ข้าหยัดกายขึ้น แอ่นอกขึ้นสูงพร้อมกับครีบเบื้องหน้า ขยับเต้นเป็นจังหวะตามมุกเนื้อเพลงTaki taki ของดีเจสเนก แต่ชายข้างกายกลับมองด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนไม่เก็ทมุก ปล่อยให้ข้าที่เต้นเชคไปมาเหมือนคนบ้า

ข้าจึงหยุดเล่นมุกที่มีคนตามไม่ทัน หลงลืมไปว่าเจ้าตี๋ไม่เคยตามกระแสบนโลกออนไลน์

“ตัวเล็กทำอะไรอะ” อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ เห็นดังนั้นข้าก็เขินยิ่งนัก รีบเดินไปที่หัวเตียง คาบผ้าห่มคลุมโปงล้มตัวลงนอนในทันที นึกก่นด่าอีกฝ่ายภายในใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายขายขี้หน้า พลันสะดุ้งโหยงเมื่อเรียวแขนตวัดรัดรอบที่ลำตัว โอบกอดให้แผ่นหลังของข้าแนบชิดกับแผงอกของเขา

“ฮ่าๆ ถึงจะไม่เข้าใจมุก แต่ก็น่ารักดีนะ”

“…”

“ตี๋ชอบครับ”

ข้ายกครีบมาปิดหน้า ไม่กล้าหันไปมองกับสีหน้าของคนพูดเลยสักนิด หัวใจโครมครามจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน รีบแสร้งทำเป็นหลับ เห็นดังนั้นเจ้าตี๋ก็รีบหยัดกายขึ้นไปปิดไฟ กระเถิบตัวเข้ามาใกล้ในผ้าห่มผืนเดียวกัน

ข้ารู้สึกว่าวันนี้ตนเองแปลกประหลาดยิ่งนัก หากเป็นคราก่อนคงโวยวายเป็นการใหญ่ แต่ครั้งนี้กลับยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาสวมกอด ส่งเสียงกระซิบเอ่ยราตรีสวัสดิ์

“ฝันดีนะครับ”

เอาจริงๆ ข้าก็สบายใจนะ โล่งอกกับสิ่งที่เคยพูดไปว่าเจ้าตี๋เป็นผู้ชายที่น่าไว้วางใจ

แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ผิวเผิน แต่กลับสร้างความเชื่อมั่นจากใจจริง

“อืม ตัวเล็กหอมจัง”

แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้สิอีควาย…

ข้ารีบดิ้นจากพันธนาการ งับหมอนที่เคยซุกฟาดใส่หัวคนตัวโตในทันที

“โอ๊ย ตะ ตัวเล็ก !!” อีกฝ่ายร้องครวญ ยกแขนขึ้นมาปัดป้องท่ามกลางความมืด

แต่ข้าจะไม่ยอมหยุด…

จนกว่าเจ้าจะไปหยิบหมอนมาคั่นกลาง !!
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่เก้า (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-06-2019 00:35:11
[9]



ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าร่างกายนั้นพักผ่อนไม่เพียงพอ หลับไม่ทันอิ่มก็ดันมีเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท ส่งผลให้ลำตัวขยุกขยิกไปมา ลอบด่าในใจกับบุคคลที่ช่างทำตัวไร้มารยาทเสื่อมทราม

กึก ๆ !

หนวกหูชะมัด !

ข้าอ้าปากหาว เริ่มปรือตามองขึ้นช้าๆ ด้วยความงัวเงีย ได้แต่มองสิ่งรอบตัวที่มืดมิด พยายามปรับโฟกัสกับทัศนียภาพให้ชาชิน จนเห็นเค้าโครงของเฟอร์นิเจอร์ที่เลือนราง ก่อนจะหันมามองคนข้างกายที่ยังนอนหลับตาพริ้มอยู่ในห้วงนิทรา

อ่าว ถ้าไม่ใช่เจ้าตี๋แล้วเป็นใครกันที่ส่งเสียงดัง

แต่เดี๋ยวก่อน…

ข้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ลองเอาครีบจิ้มไปกับสิ่งที่เห็น แตะต้องผิวเนื้อตรงช่วงแผงอก ส่งผลให้เจ้าตี๋ที่นอนหันข้างเปลี่ยนเป็นนอนแผ่หลาเมื่อถูกรบกวน เผยกล้ามเนื้อรำไรของชายชาตรี ผ่อนลมหายใจเข้าออก สิ่งปูดโปนของซิกซ์แพ็กก็ยิ่งเด่นชัด เล่นเอาข้าหน้าเห่อร้อนตั้งแต่ลืมตา

นี่เจ้าแอบถอดเสื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ !!

ข้ารีบยกครีบมาปกปิดผิวเนื้อตามตัวอย่างรวดเร็ว พลางขยุกขยิกเอาก้นถูไถไปกับเตียงนุ่ม เมื่อรู้ว่าไม่มีความเจ็บริ้วจึงค่อยคลายกังวลใจ เหลือบมามองคนหล่อเหลาที่ยังเปลือยท่อนบนต่อ

โชคยังดีที่ไอ้คนป่าเถื่อนไม่ได้ลักหลับข้าในยามเผลอไผล หากเป็นเช่นนั้นไอ้สากกะเบือคงได้ถูกกัดไม่เหลือเค้าโครงความเป็นชาย !

เจ้าตี๋คงขี้ร้อนน่าดู ห่มผ้าตั้งแต่เท้าเลื่อนขึ้นมาที่เอวสอบ ไม่ได้หนาวกับแอร์ที่ลดลงต่ำเลยสักนิด

กึกๆ !

เอ๊ะ ? เสียงนั้นอีกแล้ว ข้ารีบหยัดกายขึ้นอย่างรวดเร็ว หันไปมองตามต้นเสียง ทว่ามีกำแพงกั้นอยู่เลยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด เนื่องจากบานประตูเข้ามาในห้องอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตั่งเตียง

หรือว่าจะเป็นผี….

คิดดังนั้นก็เริ่มขนลุกซู่ ดวงตาเบิกกว้างจนใบหน้าเริ่มถอดสี รู้สึกชาดิกไปทั้งตัว พยายามเอาครีบสะกิดแขนเจ้าตี๋เพื่อหวังปลุก

ฮืออีตี๋ตื่นเถอะ ช่วยลุกไปดูหน่อยจะได้ไหม

“เหมี๊ยว ~” เสียงของเพื่อนร่วมโลกดังขึ้น ข้าพลันสะดุ้งโหยงเมื่อเจ้าแมวมิรินกระโดดขึ้นมาบนเตียงนุ่ม เดินเข้ามาคลอเคลียไปกับลำตัวของข้า

เจ้าสัตว์ขนปุย ! หากเป็นคราก่อนข้าคงผลักเจ้านี่ให้ไปไกล ๆ แต่เสียงดังแกร๊กของประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ทำให้ข้าสะดุ้งโหยง รีบยกครีบรวบกายของสิ่งมีชีวิตให้แนบชิด

อ๊ากกกก ผีหลอก !! อีตี๋ มีคนเข้ามาในห้อง… มีคนเข้ามาในห้อง !!

ข้ากรีดร้องในใจ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ได้ยินเสียงฝีเท้าย่างกรายเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ  ข้าจึงรีบหันไปมองทางเจ้าตี๋ พร้อมปล่อยเจ้าแมวให้ออกจากตัว ตัดสินใจกระเถิบกายเข้ามาใกล้ใบหน้าคมคาย กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกับบุรุษที่ยังหลับตาพริ้ม

หลับเก่งนักนะไอ้เจ้าชายนิทรา นี่ถ้าโดนลักหลับก็คงไม่ตื่นด้วยใช่ไหมห๊ะ !?

ข้าตื่นตระหนกยิ่งนัก รีบใช้ครีบทั้งสองข้างเขย่าร่างกายกำยำ

ตี๋ตื่น… ฮือออ ตื่นเถอะ มันจะมาแล้ว

กึกกัก…

อ๊ากกก ตื่นสิเว้ยไอ้ตี๋ !!

“อืมมม” เสียงครางละเมอ บ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นไร้ประโยชน์

เมื่อข้าพูดดีๆ ก็แล้ว ปลุกดีๆ ก็แล้ว คงมีหนทางเดียว…

ไอ้เชี้ยตี๋ !!

เพี๊ยะ !!

“โอ๊ย !” มีคนสะดุ้งโหยง ดีดตัวจากที่นอน หันขวับมาทางข้าอย่างงงงวย แต่ความมืดนั้นอำพราง ข้าจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าตี๋มีสีหน้าเช่นไร

แต่กล้าพนันว่าคงทำหน้าเอ๋อแดกอยู่แน่ ๆ !

“ทำไมถึงตบ…” อีกฝ่ายพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีเงาอึมครึมพุ่งตรงมาทางนี้ พลอยให้ข้าส่งเสียงกรีดร้องกับสิ่งที่เห็น

ผีมุดหัว !

แต่อย่าผวนสิอีเชี้ย !

“กี๊สสส !” ข้ารีบลงจากตั่งเตียง ทันทีที่เห็นเจ้าตี๋ถูกใครบางคนเข้ามาประชั้นชิด มีสิ่งบางอย่างจี้ลงที่คอ ทำให้ผู้เคราะห์ร้ายต้องเชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เสียงของสิ่งบางอย่างกับความคมดังวิบวับก็พอจะดาได้ว่าคือสิ่งใด

เจ้าตี๋ลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น ฉับพลันแสงไฟก็ถูกเปิดขึ้น ทำให้ข้าได้เห็นพวกคนร้ายที่เข้ามาภายในห้อง

พวกโจร ! แต่ไม่ใช่โจรปล้นสวาทเหมือนเจ้าตี๋แน่ ๆ  ข้าถึงกับตัวสั่นผงก พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็จ้องเหตุการณ์ตรงหน้าไปพลาง เห็นเจ้าตี๋ทำสีหน้าตึงเครียด จ้องมองชายฉกรรจ์ที่รูปร่างบึกบึน

ข้าพินิจมองชายหนุ่มรูปร่างผอมที่มีกล้ามเนื้อพอสมควร ยืนซ้อนหลังเอามีดใกล้ระดับต้นคอของเจ้าตี๋ เห็นดังนั้นข้าก็ยิ่งอยากจะร้องไห้กับสิ่งที่เจอ หันมามองชายหนุ่มที่เปิดไฟตรงมุมผนังห้อง ก็เป็นคนรูปร่างอวบอ้วนแตกต่างจากคนก่อนหน้า อีกทั้งยังไม่สามารถเห็นหน้าคร่าตาได้แต่อย่างใด เนื่องจากมีโม่งคลุมหัวเอาไว้อยู่

นี่มันเหตุการณ์ตลกร้ายที่สุดที่ข้าเคยเจอ !!

ปล้นอะไรไม่ปล้น แต่ดันมาปล้นในบ้านที่ข้าดันอยู่ !

‘ฮือออ อีตี๋ลาล่ะ’ ข้ารีบกระเถิบกายดิ๊กในทันที

“พวกแกเป็นใคร…” เจ้าตี๋ใจกล้าเอ่ยถาม ส่วนข้าทำตัวลีบก้มหน้าลง ลำตัวชิดอยู่ใกล้ผนังห้อง ครั้นเห็นพวกโจรมองมาที่ข้า ก็เล่นเอาใจร่วงไปตกอยู่ใต้ตาตุ่ม แต่หลงลืมไปว่าไม่มีตาตุ่มเฉกเช่นมนุษย์

ฮือออ อย่ามองแบบนั้นสิจ๊ะพี่จ๋า น้องเป็นสัตว์นะคร๊าบบบบ น้องไม่รู้เรื่องอะไรเลย อยากจะฆ่าก็นู่นค่ะ ! ฆ่าไอ้ตี๋หมกป่าเสียเถิด อยู่ไปกับหนักแผ่นดิน

ข้ากระพริบตาปริบๆ อย่าใสซื่อ เสมองไม่รู้ไม่เห็น บ่งบอกให้รับรู้ว่าเป็นแค่สัตว์ไร้พิษสง ครั้นเจ้าพวกโจรไม่สนใจในวินาทีต่อมา โดยมีเจ้าอ้วนเดินถือเชือกมาทางเจ้าตี๋ ผูกมัดพันธนาการไม่ให้ดิ้นรน เห็นดังนั้นข้าก็รีบวิ่งแจ้นออกจากห้องในทันที ขืนอยู่ต่อได้โดนลูกหลง หากทว่าเสียงอันทรงคุ้นเคยกลับแหกปาก

“ตัวเล็ก !!”

โอ๊ยยยย ไม่ต้องเรียกกูจ้าาา ! มานึกรักอะไรในตอนนี้ ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาซะเลย ข้ารีบกระเถิบกายใช้ครีบออกจากห้องในทันใด โดยมีเสียงของพวกโจรโม่งดำเอ่ยปากขึ้น

“เอาไง”

“ปล่อยมันไป ก็แค่สัตว์ตัวนึง”

ได้ยินดังนั้นข้าก็พลอยโล่งอก…

“อย่ายุ่งกับตัวเล็กนะ !” แต่เจ้าตี๋ดันเอ็ดตะโรดังลั่น

อีฉิบหาย ! ช่วยหุบปากสักทีจะได้ไหมห๊ะ ! สวมบทบาทพระเอกสาระแนเก่งนักนะไอ้ห่าหนิ !

ข้านี่อยากจะวิ่งย้อนกลับไปตบแก้มเจ้าตี๋ให้เลือดกบปากเสียจริงๆ ตบให้ฟันหลุดสักสองสามซี่คงสาแก่ใจไม่ใช่น้อย ช่างไม่ดูสถานการณ์เอาซะเลย !

ข้าคลานลงจากบันไดอย่างหุนหันพันแล่น ใจนี่เต้นตุบๆ อย่างลุ้นระทึก กว่าจะลงมาถึงขั้นสุดท้ายก็เล่นเอาหอบเหนื่อย พลันรีบแจ้นไปที่หน้าบานประตู กลับต้องสะดุ้งโหยงเมื่อห้องนั่งเล่นดันมีครอบครัวของเจ้าตี๋ถูกมัดมือมัดเท้า มีเทปกาวปิดปากเอาไว้แน่น

ข้านึกอยากจะร้องไห้ที่สุดในชีวิต…

นี่มันวันอะไรกันวะเนี่ย ! ทำไมถึงได้ตาลปัตรถึงเพียงนี้ ดวงชะตาถึงฆาต หรือไปก่อกรรมอันใดไว้ พวกเจ้าเป็นครอบครัวอดัมใช่หรือไม่ ? ไปไหนก็ซวยทุกที่

เลิกซะนะไอ้วันสังสรรค์ อย่าได้มารวมเช็งเม้งกันอีกเลยไอ้ฉิบหาย !

“อื้ม ๆ !” แฟนของน้องสาวเจ้าตี๋เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ข้างขมับก็มีเลือดรินไหลจากการถูกทำร้าย

ข้าส่ายหน้าอย่างอนาถใจ จับจ้องพวกเขาที่ดวงตาเบิกโพลง มองเหมือนข้าเป็นความหวังรำไร แถมเด็กผีทั้งสองก็ยังถูกมัดมือมัดเท้าไม่ต่างจากพวกผู้ใหญ่ น้ำตาไหลนองหน้าคงกลัวกันน่าดู เห็นดังนั้นก็ทำให้ข้านึกสงสาร

พลันได้ยินเสียงขั้นบันไดดังตึงตัง ก็คาดคะเนว่าอาจจะเป็นพวกโจรที่กำลังลงมา ข้าจึงรีบคลานไปแอบอยู่ด้านหลังโซฟาสีดำขลับ พลันชะโงกหัวออกมาดูเจ้าตี๋ที่ถูกผลักล้มลงไปกองกับพื้น ร่างกายหดงอเมื่อถูกฝ่าเท้าเตะเข้าที่กลางลำตัว

“อึก !” เสียงจุกของเจ้าตี๋ดังลอดขึ้น

แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้เตะบริเวณเป้า ข้าแอบเชียร์ให้เจ้าพวกนั้นเตะมันสักหน

“มึงขยันดิ้นดีนัก !” เจ้าโจรตวาดลั่นบ้าน

ข้าจับจ้องแม่ของเจ้าตี๋ที่พยายามคลานกระดึ้บไปมา เอาขาดันที่พื้นและไถลกายไปเบื้องหน้า หวังให้ตัวเองได้เห็นอาการของลูกชาย ช่างเป็นการกระทำที่แสนอบอุ่นจนข้าซาบซึ้งใจ

นี่ล่ะหนาเวลาเกิดเรื่องยากลำบาก ก็คงมีแต่ครอบครัวช่วยเหลือกันและกัน แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น !

อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ หรือเป็นเพราะว่าผลกรรมที่ทำเอาไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อน ทั้งที่อดีตเคยเป็นเด็กที่แสนดีถึงเพียงนี้ มากสุดก็แค่พูดจาหยาบคาย แต่ไม่เคยทำมิดีมิร้ายใครทั้งนั้น พ่อแม่ส่งเสียเลี้ยงดูจนข้าเข้ามหาลัย เวลาสอบก็ทำคะแนนออกมาได้ดี เฉลี่ยไม่ถึงสามจุดศูนย์ศูนย์ก็นับว่าเป็นบุญหัว ยามว่างก็นั่งเล่นเกม พิมพ์สาปส่งบุคคลที่มาใส่ร้ายป้ายสีวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ตนเองชื่นชอบ

พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม ! เมียหรือก็ไม่เคยมี ผัวก็ไม่เคยได้ ชีวิตได้แต่จมปรักกับเรื่องไร้สาระ ช่วยเหลือคนก็เสือกทำกูตาย โอ๊ยยยย ! นี่ต้องมาอยู่วงล้อชะตากรรมเช่นนี้อีก

อีชะตาเฮงซวย อีตี๋ก็เฮงซวย บ้านแม่งก็เฮงซวย รวมไปถึงมึง มึง อีโจรกระจอกสองตัว อีพวกเฮงซวย ! เฮงซวยกันทุกคน ! ดันดัดจริตมาปล้นบ้านคนอื่นเขา

ข้ามองพวกไอ้โม่งทั้งสอง แววตาล่อกแล่กเหมือนพวกติดยาไม่ผิดเพี้ยน มือไม้สั่นเทาแถมยังใช้มีดชี้หน้าด่าครอบครัวของเจ้าตี๋

“ขืนพวกมึงคิดจะทำอะไร กูฆ่าพวกมึงทุกคนแน่ !”

ทุกคนสะดุ้งโหยง ยกเว้นข้าที่รีบหดคอลง นั่งแนบอิงกับหลังโซฟา ลำตัวก็สั่นระริก ใจก็เต้นถี่กระชั้นเหมือนเป็นโรคหัวใจ พลางยกครีบมาใกล้ริมฝีปาก กะจะกัดเล็บด้วยความจิตตก เป็นอุปนิสัยเวลาตื่นตระหนก แต่ยามนี้ดันเป็นสัตว์ ซี่ฟันจึงกัดเข้าที่ผิวเนื้อ ต้องพยายามข่มอาการไม่ให้โอดครวญ

ทำไงดี ทำไงดี ลองนั่งแบบอิคคิวซังจะช่วยไหม ? ยังไม่ทันหลับตาก็ดันได้ยินเสียงพวกโจรเดินออกจากห้องนั่งเล่น

ข้าชะโงกหัวออกมาดู สดับรับฟับเสียงขั้นบันไดที่ดังกระทบ สื่อให้รู้ว่าพวกโจรทั้งสองได้ขึ้นไปบนบ้านแล้ว ข้าจึงรีบกระเถิบกายมาหาเจ้าตี๋อย่างเป็นห่วงเป็นใย

“อื้ม อื้ม” ชายหนุ่มเบิกตาโพลง ทำเสียงอื้ออึงในลำคอจนข้าจับใจความไม่ค่อยได้ นึกอยากเรียกโดราเอมอลขอวุ้นแปลภาษา

“อื้ม อื้อ !”

ฟังไม่รู้เรื่องเว้ย ! ครืด ! ข้าก้มหน้าอยู่ระนาบเดียวกันกับอีกฝ่าย ใช้ฟันซี่คมครูดกับเทปกาวบริเวณผิวเนื้อของเจ้าตี๋ พยายามงัดแงะไม่ให้ความคมบาดผิวเนื้อของอีกฝ่าย ไม่ช้านานก็มีสิ่งที่ติดกับโพรงปาก ข้าจึงกัดและฉีกกระชากอย่างรวดเร็ว เล่นเอาเจ้าตี๋แอบซี๊ดปากอย่างแสบร้อน น้ำตาไหลเล็ดเพราะความเจ็บ

โชคยังดีที่อีกฝ่ายไม่แหกปากดังลั่น ขืนเป็นเช่นนั้นได้ตายกันหมด

ใบหน้าของข้าคงตึงเครียดมาก ช้อนตามองเจ้าตี๋ที่ขมวดคิ้วยุ่ง

“ตัวเล็กลองใช้ฟันกัดที่เชือกได้ไหมครับ” เจ้าตี๋เสนอไอเดีย เห็นดังนั้นข้าก็พยักหน้ารับ รีบอ้อมไปด้านหลัง หวังจะปลดเปลื้องพันธนาการ อีกแค่ปมเดียวก็คลายออก จู่ๆ ก็พลันนึกขึ้นได้ ขืนทำแบบนี้ได้ตายแหงแก๋ เกิดพวกนั้นลงมาเห็นคงซวยกันหมด ทำอะไรไม่ลอบคอบอาจส่งผลให้ทุกคนตายคาบ้าน

ข้าวกกลับมาจ้องหน้าชายหนุ่มดังเดิม ส่ายหน้าบ่งบอกว่าไอเดียที่คิดนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะข้าเคยเห็นในหนังหลายเรื่องเวลาโดนมัด พอถูกแก้พันธนาการก็ทำเรื่องโง่เขลา ตัวละครหลักฉลาดหน่อยก็อาจรอดพ้น แต่พอเป็นเจ้า…

เฮ้อ ข้าส่ายหน้าอีกรอบ สมองตื้นเขินแบบนี้ ขืนช่วยไปได้ตายห่าเป็นคนแรก

“ทำไมล่ะ” คนตรงหน้าเอ่ยถาม ข้าจึงยกครีบจรดปากเป็นการเอ่ยเตือน หวังให้อีกฝ่ายเงียบเสียงลง ก่อนจะยกครีบไปเบื้องหน้า ดันขึ้นลงสองสามที เพื่อสื่อสารให้อีกคนรับรู้ว่าอยู่นิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวงานนี้ข้าลุยเอง

นาตาชา โรมานอฟพร้อมปฏิบัติการ !

ครอบครัวของเจ้าตี๋เบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ คล้ายตกตะลึงกับการสื่อสารของข้ากับเจ้าตี๋ เห็นดังนั้นข้าก็คร้านเกินจะใส่ใจ พลันนึกขึ้นได้ว่าในห้องรับประทานอาหารมันจะมีมุมหนึ่งที่เจ้าตี๋วางของไว้บนชั้น ข้าจึงรีบใช้ครีบกระเถิบกาย หวังจะไปหาอุปกรณ์ในการแก้ไขปัญหา

เมื่อมาถึงก็มีแต่ประแจและอุปกรณ์ซ่อมแซม หากจะหยิบไขควงไปสู้กับโจรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เหลือบมองมาทางซ้ายก็ตาลุกวาวกับสิ่งที่เห็น

อะเมซิ่ง ถังน้ำมัน !

นี่แหละ ! สิ่งที่จะต่อกรกับเจ้าพวกโจรบ้านั่น ! แถมทางขวามือ นี่ไง ๆ กล่องไม้ขีดไฟ ! เลิศมาก ๆ ! ครบครันในสิ่งที่ต้องการ

ข้าฉีกยิ้มกว้างกับสิ่งที่จะสามารถช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าตี๋ได้ คงต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบ ไม่มีการส่งเสียงเลยสักแอะ ขืนผิดพลาดประการเดียว จบเห่ตายห่ากันทุกคน !

วันนี้ทุกอย่างต้องลุกเป็นไฟ ! ท่อนของลิซ่า นาวเบิร์นเบบี้เบิร์นดังขึ้นในหัวทันที อ๊ากกก บุลจังนัน โอะโอโอะโอ

ข้ารีบยื่นหน้าไปคาบถังน้ำมันเอาไว้ในปาก พลางยื่นครีบตวัดไม้ขีดไฟที่วางตรงชั้นให้ร่วงตกลงมาบนพื้น  ต้องพยายามอย่างมากกับการใช้ฟันกัดเข้าที่ช่วงสอดมือ น้ำหนักของมันเบาลง เนื่องจากเจ้าตี๋ได้นำไปใช้ก่อนหน้านี้ ถึงกระนั้นก็ยังหนักพอสมควรกับสัตว์ตัวจ้อยเฉกเช่นข้า

จบงานนี้จะทวงบุญคุณกันให้หมด !

ระหว่างที่ข้ากระเถิบกายก็ต้องใช้ครีบสะบัดกล่องไม้ขีดไฟ ไถลสิ่งของให้ไปที่ห้องนั่งเล่น ออกแรงสุดชีวิตจนถึงจุดที่หวัง ส่วนข้าต้องเงยศีรษะขึ้น ลำตัวหนักอึ้งกับการคาบสิ่งของ

“ตัวเล็ก…”

พอถึงจุดมุ่งหมายเจ้าตี๋ก็หน้าถอดสี มองถังน้ำมันที่ข้าคาบเอาไว้ในปากวางลงตรงพื้น ข้าจึงได้เห็นสีหน้าที่เหงื่อตกของทุกคนที่เริ่มเจื่อน

ข้ายกครีบ เสหน้าไปทางอื่น ‘กรุณาเลิกสงสัย ขอเวลาข้าหายใจหายคอสักพักเถิด’

ข้าหอบแฮ่ก พยายามใช้เวลาไม่นานจนเกินไป แผนในหัวประเดประดังไปหมด ครีบข้างหนึ่งจับกลักไม้ขีดไฟให้ชิดอก โอบกอดมันเหมือนเป็นสิ่งล้ำค่า รีบหันหลังจากคนที่กำลังปริปาก ประท้วงในสิ่งที่ข้ากำลังจะทำ

“ตัวเล็กคิดจะทำอะไร อย่านะ”

ข้าไม่ฟัง ย่างกรายมาที่ขั้นบันได สูดอากาศเข้าปอดเต็มกำลัง อกผายไหล่ผึงกับสิ่งที่จะเผชิญต่อไปนี้ แบกความหวังของทุกคนที่เริ่มส่งเสียงโวยวายบ้างก็อื้ออึงเบิกตาโพลง

ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าจะต้องซาบซึ้ง…

ข้าค่อยๆ ยกถังน้ำมันไปทีละขั้น ก้าวขึ้นไปยังทีละระดับความสูง ความเหนื่อยมันมากมายมหาศาล เทียบไม่ได้กับความหวังของทุกคนที่ต้องเผชิญ เพราะอย่างน้อยข้าก็หวังว่าตัวเองจะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

เจ้าตี๋คงจะต้องเห็นความดีความชอบของข้ามากแน่ๆ…

ครั้นมาถึงขั้นสูงสุดก็เล่นเอาข้าไถลกายหอบเหนื่อย อยากจะปาดน้ำตากับความพยายามของตัวเอง กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญ ช่างเป็นสัตว์ตัวเล็กที่มีพลังเหลือล้น ต้องทำทุกอย่างให้พิถีพิถัน วางถังน้ำมันไปทีละขั้นให้ไร้สุ่มเสียง และยกของไปอีกขั้น พลางปีนป่ายไปกับขั้นบันได นึกอยากจะตายกับความสูงที่ต้องบากบั่น

ข้าลากสังขารตัวเองไปยังห้องหนึ่งที่บานประตูเปิดออกกว้าง พลันได้ยินเสียงพูดคุยของคนสองคนที่กำลังงัดแงะสิ่งบางอย่าง เมื่อชะโงกหน้าไปดูผ่านริมประตู ก็เห็นพวกนั้นอยู่หน้าตู้นิรภัย ซึ่งข้าก็เพิ่งได้เห็นห้องนี้เป็นครั้งแรก

มันเป็นห้องโล่งๆ มีแต่โต๊ะทำงานและชั้นหนังสือ มีหน้าต่างที่ปิดเอาไว้แน่น เรียกได้ว่าเป็นห้องหนอนหนังสือชัดๆ ถัดมาเป็นโต๊ะไม้ขนาดเล็กตรงมุมห้อง มีตู้เซฟนิรภัยขนาดใหญ่ที่กำลังถูกโจรปลดล็อก

แต่เอาเถอะ…

ข้าวางถังสีแดงลง วางไม้ขีดไฟไว้ข้างกาย ก่อนจะเอาซี่ฟันหมุนหัวเปิดของถังน้ำมัน ต้องพยายามเอาครีบประคับประคองไม่ให้มันโอนเอียงจนล้มคว่ำคะมำ มิเช่นนั้นคงล้มเหลวไม่เป็นท่า

เริ่มต้นด้วยการเปิดต้นกำเนิดของเชื้อเพลิง ข้าเอาครีบวางตรงกล่องไม้ขีดไฟ กดทับมันเอาไว้และก้มหน้าเอาจมูกดันที่ภายใน เผื่อให้วัตถุเคลื่อนออกมาข้างนอก เผยก้านไม้สีน้ำตาล ส่วนหัวแดงเถือกเหมือนสีระเรื่อของเจ้าตี๋

นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่…

ข้าสะบัดหัวปัดความคิดสัปดน ใช้ปากงับกล่องเล็กๆ เพื่อเทไม้ขีดไฟทิ้งลงบนพื้นจนกระจัดกระจาย จุดต้นตอของหายนะทำข้าผุดรอยยิ้มลอบยินดี

“เดี๋ยวกูทำเอง” เสียงพวกโจรกระจอกถกเถียงกันภายในห้อง

ข้าไม่ชักช้ารีรอ ตัวกระเถิบมายืนหน้าห้อง ปากคาบถังน้ำมันและค่อยๆ เทราดลงไปตรงพื้นโดยไม่ใช้เสียง หยาดน้ำมันเหม็นฉุนจึงตีเข้าโพรงจมูก บรรจงราดรินความฉิบหายวายวอด กักขังให้ไร้ทางออก ดีที่อย่างน้อยมันไม่ไหลเจิงนองมาทางข้า แต่ข้าก็กะว่าจะราดดักทางไม่แม้กระทั่งขั้นบันได

เพราะพวกเจ้าจะต้องถูกลงทัณฑ์ !

อีกอย่างบ้านหลังนี้ก็ไม่ติดกับบ้านละแวกใกล้ ๆ ก็น่าจะพอเป็นไปได้ที่ไฟจะไม่ลุกโชน

เอาล่ะ บุลจังนัน ก่อนที่พวกนั้นจะไหวตัวทัน ข้ากระถดตัวไปวางถังน้ำมันให้ไกลออกจากเชื้อเพลิง พลันหมอบตัวลงต่ำ กัดไม้ขีดไฟไว้ในปาก และหันหัวไม้ขีดตรงบริเวณด้านข้างของพื้นผิวขรุขระ ตัดสินใจเฉียบขาดให้มันติดในทีเดียวอย่างรวดเร็ว ฝนหัวไม้ขีดและติดไฟเสียดังพรึ่บ แสงสว่างจึงวาบผ่านนัยน์ตากลม

นาวเบิร์นเบบี้เบิร์น ~

ไอร้อนนั้นพวยพุ่งใกล้ใบหน้า ก่อนที่มันจะมอดดับข้าก็หยัดกายขึ้น อยากทำในสิ่งที่ไม่เคยทำให้ใครเห็น ครีบเบื้องล่างจนยืนขึ้นดั่งมนุษย์ ก้าวเดินเสมือนขาหน้าของผู้คน เสียงเหยียบของน้ำหนักจึงทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองหันมามอง

พวกโจรมองข้าอย่างฉงน เห็นสัตว์อย่างข้าใช้ครีบเบื้องหน้ายื่นออกจากตัว ร้องเพลงในใจประกอบกับท่าทางการเต้นของเนื้อร้อง กระตุกครีบขึ้นลง พลางโยกตัวไปทางขวาและซ้าย เหมือนกับควักปืนมายิง

Hit you with that ddu-du ddu-du du !!

ข้าบ้วนไม้ขีดไฟลงในทันที เพื่อโยนลงตรงพื้นอย่างไม่ไยดี

บึ้ม ! เสียงไฟลุกโชติราวกับระเบิดของเชื้อเพลิง ไอร้อนจึงพวยพุ่งจนแสบผิว ข้ารีบถอยออกห่างท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนในห้อง

“อุ๋งๆ” อุวะฮ่าๆ ข้าหัวเราะด้วยความชอบใจ

“ไฟไหม้ อีเหี้ยไฟไหม้ !”

“ทำอะไรสักอย่างสิวะ !”

เจ้าพวกนั้นตะโกนกันลั่น แต่ข้าเกรงว่าพวกมันอาจจะกระโดดข้ามผ่านออกมานอกห้อง ข้าจึงเอาน้ำมันมาราดดักทางเอาไว้ เทน้ำมันไปตามพื้นกระเบื้องที่ราบเรียบ ถอยกายไปทีละนิดเพื่อให้เชื้อเพลิงค่อยๆ ติดกัน

มันอันตรายอยู่อย่างตรงที่ข้าต้องพยายามเพื่อไม่ให้น้ำมันหกเลอะโดนตัว แต่ก้าวถอยหลังจนหลงลืมสังเกตทาง ร่างทั้งร่างจึงหงายหลัง เกลือกกลิ้งไปกับขั้นบันได ถังน้ำมันเบื้องหน้าจนล้มคว่ำอยู่เบื้องบน ไหลเจิงนองคล้ายคลึงกับสายน้ำ พร้อมกับประกายแสงสีที่ส่งกลิ่นเหม็นฉุน

ปึก !

“อุ๋ง !” ข้ากรีดร้องอย่างเจ็บปวด รู้สึกตัวช้ำไปหมดกับแรงกระแทกที่ร่วงหล่น ครั้นเห็นน้ำมันที่เริ่มลามมาตามขั้นเรื่อย ๆ  ข้าจึงรีบหยัดกายขึ้น วิ่งแจ้นไปแก้พันธนาการของคนที่อยู่ในบ้าน

บ้านไหม้จ้า บ้านไหม้ รีบหนีกันเถอะก่อนที่จะเป็นกล้วยปิ้ง

“ตัวเล็ก !” เจ้าตี๋ร้องอย่างหวาดผวา มองข้าที่ตัวซัดตัวเซ พยายามกระเถิบตัวมาหาอย่างบอบช้ำ

ข้าอ้อมมาด้านหลังของอีกฝ่าย กระชากปมสุดท้ายเพื่อปลดปล่อยการผูกมัดที่ข้อมือ เจ้าตี๋รีบแก้เชือกที่เท้าต่อ ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมดจนข้าลุ้นระทึก ไอร้อนภายในบ้านตามมาติดๆ พรั่งพร้อมกับกลุ่มควันสีขาวที่ลอยละลิ่วบนอากาศ

ข้าไปแก้มัดให้เด็กๆ ทั้งสองต่อ ส่วนเจ้าตี๋ที่เหงื่อแตกพลั่กก็รีบวิ่งแจ้นไปหยิบมีดในครัว ความคมจึงตัดที่เชือกเส้นหนาออกได้อย่างง่ายดาย บุคคลที่ได้รับอิสระจากการปลดปล่อยก็วิ่งไปหยิบมีดมาช่วยอีกแรงนึง

“ฮือ พี่ตี๋” เสียงเด็กร้องไห้งอแง เมื่อแกะเทปกาวออกจากปากเป็นที่เรียบร้อย

“รีบออกไปเร็ว !!” เจ้าตี๋ลนลานพูดตะโกนเป็นเชิงสั่ง พยายามประคองแม่ของตนเองให้ลุกขึ้นยืน

ข้ามองทุกคนที่หุนหันพลันแล่น รีบวิ่งออกจากตัวบ้านอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตัวข้าจะถูกเจ้าตี๋ก้มตัวลงมาโอบอุ้ม ใบหน้าจึงซุกอยู่ในแผงอกอุ่นๆ ที่เปลือยท่อนบน

กรี๊ดดดด อีตี๋ยังไม่ใส่เสื้อ…

แต่เหตุการณ์ในตอนนี้ข้าไม่พร้อมจะโวยวาย และไม่มีคำด่าใดๆ ออกจากปากของเจ้าตี๋เช่นเดียวกัน นอกจากการวิ่งออกนอกบานประตูมายังหน้าบ้าน ทุกคนต่างหันมามองบ้านหลังใหญ่ของตนเอง ทุกอย่างดูชุลมุนวุ่นวายเมื่อเพื่อนข้างบ้านต่างเปิดไฟกันออกมาดู เสียงกรีดร้องจึงไล่ตามมา แต่คงไม่ดังเท่ากับพวกโจรสองคนที่โผล่หน้าออกมานอกบานหน้าต่าง ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากความสูงของชั้นสอง ฉุกคิดจะกระโดดลงมาก็คงตายได้เช่นเดียวกัน

“ฮึก ฮือออ บ้านเราไหม้แล้ว”

“…” ข้าเงียบ ฟังเสียงของหนูทับทิมที่ร้องไห้ปล่อยโฮ ตามมาด้วยเสียงของเจ้าแทนไท รวมไปถึงแม่ของเจ้าตี๋ที่ปิดปากกับสิ่งที่พบ มองกลุ่มควันโขมงออกมานอกบ้าน เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำจนน่าเกรงกลัว

ข้าหันไปมองพ่อและแม่ของเจ้าตี๋ที่โอบกอดกัน รวมถึงแฟนหนุ่มของน้องสาวเจ้าตี๋ที่รวบกายครอบครัวมาปลอบประโลม ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าแมวมิรินที่ไม่รู้ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่งเลียขนอยู่ตรงพื้น

“ตัวเล็ก” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอยู่เหนือหัว ข้าจึงชายตามอง กระพริบปริบๆ พร้อมรอยยิ้ม จับจ้องสีหน้าของเจ้าตี๋ที่ขมวดคิ้วยุ่งเหมือนจะดุ

ข้าหุบยิ้มลง ชี้นิ้วไปที่บ้านและสลับมาที่ตี๋ และวาดผ่านไปที่ครอบครัวของอีกฝ่าย เพื่อเป็นการสื่อสารผ่านภาษากายว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนปกป้องทุกคน

ข้าทำอะไรผิด ?

“ทีหลังอย่าเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีกนะ”

“…”

“ตี๋เป็นห่วงรู้ไหม” สิ้นคำพูดไม่ว่าเปล่า ใบหน้าของข้าก็จมไปกับหนั่นเนื้อ ร่างกายแนบชิดกับแผงอกบึกบึนของอีกฝ่าย ปลายจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากบุรุษเพศที่ชื้นเหงื่อ

ข้าได้ยินเสียงหัวใจของเจ้าตี๋เต้นแรงมากจนน่าเป็นห่วงว่าอาจหัวใจวายตายได้ในเฉียบพลัน รวมไปถึงร่างของข้าที่รู้สึกร้อนอบอ้าว วินาทีก็เผลอหลับตาพริ้มไม่คิดจะดีดดิ้น

เจ้าตี๋รวบร่างของข้าไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ซีกหน้าของอีกฝ่ายและปลายคางแนบอิงอยู่ที่บริเวณต้นคอ ทุกสิ่งล้วนบ่งบอกว่าสิ่งที่เจ้าตี๋แสดงออกมาล้วนเป็นห่วงจากใจจริง

จุ๊บ

ความนุ่มหยุ่นแตะลงที่ข้างขมับ ทำให้ข้าหัวใจเต้นแรง รับรู้ได้ได้ไม่ยากว่าสัมผัสเมื่อครู่เกิดจากสิ่งใด

“ตัวเล็กแสบมาก…เผาบ้านตี๋หมดเลย” คำพูดเป็นเชิงตำหนิ ทำให้ข้าต้องผละใบหน้าออกห่าง หันไปมองด้านข้างโดยไม่คิดจะสบสายตากับคนตัวโต

ปล่อยให้ความรู้สึกมันรัวแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผ่านพ้นไม่นาน พวกตำรวจและนักดับเพลิงก็ตามมา สายน้ำพุ่งกระฉูดดับไฟให้เจือจาง ขณะที่พวกโจรก็ได้รับความช่วยเหลือลงมาจากขั้นบันได เหล่านักดับเพลิงต่างให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ก่อนที่ตำรวจจะจับกุมคนร้ายพลางหยิบกุญแจมือมาคล้องไว้ พวกนั้นหันมามองทางข้าและว่าพาล

“ไอ้สัตว์บ้านี่แหละที่มันเผาบ้าน เพราะแม่งทั้งนั้น !”

ใคร… บ้า ข้าไม่รู้เรื่อง

ข้าเสหน้าไปทางอื่น ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่ปากก็แอบอมยิ้มอย่างขบขัน ส่วนเจ้าตี๋จ้องเขม็งใส่พวกมัน

จู่ๆ ก็มีนักข่าวจากช่องอื่นๆ ตามมาด้วย ในทีแรกข้าก็ไม่คิดจะใส่ใจ ได้แต่นั่งดูไฟที่ยังลุกภายในบ้าน หากทว่า…

“เจ้าตัวเล็ก” เสียงเรียกของเจ้าตี๋ดังมาจากข้างหลัง ข้าจึงหมุนกายหันไปมอง จังหวะเดียวกับเสียงดังแชะ ! ของชัตเตอร์ บวกกับแสงไฟสีขาวที่ชวนปวดตา

กล้องราคาแพงจับจ้องมาที่ข้า…

วิดีโอกำลังถ่ายทอดสด ข้าก็รู้ได้เลยว่าหายนะมาเยือน

ภาพที่ได้ออกมาจึงเป็นสิงโตทะเลที่กำลังเปื้อนรอยยิ้ม ขัดกับภาพข้างหลังที่มีบ้านลุกเป็นไฟ
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่เก้า (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 17-06-2019 00:52:53
เรื่องนี้ฮามากน่ารัก ชอบๆ ติดตามจ้า อ่านต่อเนื่องดึกเลย วางไม่ลง 55  รออัฟตอนต่อไป จร้า ^^
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่เก้า (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 17-06-2019 05:17:46
แงงง น้องจะโดนอะไรไหมเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-06-2019 17:27:48
[10]


ข้ากำลังจับจ้องเจ้าตี๋กับคนร้ายทั้งสองที่กำลังพูดคุยกับตำรวจ การให้ปากคำต่างๆ เริ่มจบลงด้วยการที่คนร้ายถูกจับลุกขึ้นยืน โดยมีตำรวจเดินนำหน้าคนร้าย ประกบท้ายด้วยตำรวจอีกนายหนึ่ง

ข้าที่เห็นพวกเขาเปิดประตูกระจกออกมาก็เริ่มดีดตัวขึ้นจากที่นั่ง พลันกระโดดลงจากตักของแม่เจ้าตี๋ที่ส่งเสียงเหวอ รีบคลานกระเถิบนำหน้าบุรุษราชการทั้งหลายแหล่ เข้าไปยืนข้างกรงขัง

ข้ายิ้มหวานให้ชายโฉดทั้งสองที่พินิศมาทางข้าปานจะฆ่าให้ตาย เห็นตำรวจไขกุญแจเสร็จสรรพ ตัวข้าก็รีบหุนหันพลันแล่นใช้ปากงับกรง ช่วยคุณตำรวจเปิดสถานที่กักกัน ช่างเป็นสัตว์ที่แสนรู้และจิตใจดียิ่งนัก

ข้าผละออกจากสิ่งนั้น ส่วนเจ้าตี๋ที่เพิ่งออกมาจากห้องการให้ปากคำพร้อมกับคุณพ่อ ครั้นเห็นข้าปุ๊บก็รีบวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ข้าเหยียดยิ้มกว้าง ยกครีบข้างซ้ายขึ้นมาผายมือไปยังข้างในกรง

มอบให้กับเจ้าโจรชั่วทั้งสอง และมอบให้กับเจ้าตี๋ที่ชอบฉุกคิดลวนลาม

อิรัชชัยมาเส่ะ ~ สถานที่นี้ยินดีต้อนรับจ้ะไอ้พวกเวรตะไล

“มานี่เลยนะเจ้าตัวเล็ก”

“กี๊สสส” ข้าส่งเสียงร้องทันทีเมื่อโดนเจ้าตี๋เข้ามามาจับอุ้ม รู้สึกยังเจ็บตัวไม่หายกับการล้มกระแทกไปกับขั้นบันได

กรุณาหัดอ่อนโยนกับข้าด้วย ต่อให้ข้าจะเผาบ้านของเจ้าเละเป็นจุณ !

“อีนี่มันร้ายนะครับหัวหน้า” เจ้าโจรรูปร่างผอมหันมาจิกกัดข้าผ่านคำพูด ส่งสายตาคล้ายจะเชือดเฉือน ไม่ต่างจากเจ้าอ้วนที่เริ่มฉุนเฉียว

“พวกมึงไม่เชื่อกู ! กูบอกแล้วว่าไอ้สัตว์บ้านี่แหละที่มันเผาบ้าน แถมมันยังเต้นเยาะเย้ยพวกกูอีกต่างหาก !”

ฮั่นแน่ ~ แพ้แล้วพาลชัดๆ ข้าเบะปากเป็นสระอิเย้ยหยันพวกโจร เอาหน้าแนบอิงกับอกของเจ้าตี๋ ปรายตามองอย่างดูถูกพวกคนขี้ฟ้อง

เหอะ ! ข้าเต้นดูดูก็โชคดีเท่าไหร่แล้ว ขืนเต้นบูมบาย่าพวกเจ้าได้หัวร้อนยิ่งกว่านี้อีก คิดแล้วก็เต้นเลยดีกว่า หมุนหัวเป็นวงกลมไปมา ยกครีบขึ้นมาแตะศีรษะและบ่าไหล่ ลากมาถึงช่วงลำตัว ส่งเสียงท่อนคำว่าอุปป้าด้วยการเอาครีบป้องปาก หากทว่าเสียงที่ร้องออกมาคือคำว่า “อุ๋งๆ !”

“มันกวนตีน เห็นไหมว่ามันกวนส้นตีน !”

อ่าว พูดงี้ก็สวยดิ ! ถลกแขนเสื้อมาต่อยเลยสิไอ้แม่ย้อย ! เข้ามาเซ่ แน่จริงก็เข้ามาเซ่ !

“กี๊สสส !” ข้ายื่นคอไปข้างหน้า ส่งเสียงร้องแข่งกับพวกโจรที่ชอบแหกปากโวยวาย ดังมาดังกลับเช่นกัน ยกครีบขึ้นมาพร้อมจะบวก แต่กลับถูกเจ้าตี๋ลากออกมาซะก่อน ไม่ต่างจากพวกโจรที่ถูกดันเข้าไปในกรง

“ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้สัตว์บ้า !”

ไม่รับฝากจ้า แน่จริงก็แหกคุกมาสิจ๋า เดี๋ยวปั๊ดหยิบปืนมายิงขู่เลยหนิ !

ข้าหันซ้ายแลขวา เห็นแต่กระบองสีดำของตำรวจที่เสียบเอาไว้อยู่ข้างเอว ไม่มีอะไรดั่งใจเลยสักนิด

โธ่เอ้ยไอ้เจ้าตี๋ ถอดกระบองส่วนตัวของเจ้าไปฟาดปากพวกมันที

คิดแล้วก็โมโห หนอยแน่ หนอยแน่ !

“ไม่ก้าวร้าวสิ” คนเบื้องบนเอ่ยปรามข้าที่ดีดดิ้นเป็นบ้าเป็นหลัง ข้าจึงหยุดนิ่ง พ่นลมหายใจบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ หันไปมองเจ้าตี๋ที่เดินเข้าไปหาครอบครัว

โชคยังดีที่บ้านของเจ้าตี๋ไม่ได้มอดไหม้ถึงขั้นหนัก แต่ก็เสียหายอยู่หลายส่วน โดยเฉพาะพวกกำแพงเพดาน พื้นเอย บันไดเอย ข้าได้ยินมาจากปากพวกนักดับเพลิง

“วันนี้พวกเราคงต้องกลับไปนอนที่บ้านหลังใหญ่” พ่อของเจ้าตี๋กล่าว ส่วนลูกชายก็พยักหน้าเห็นด้วย พลางเหลือบมองหลานทั้งสองที่กำลังหลับ ตัวข้าเองก็เลยชำเลืองตามอง เห็นเจ้าแทนไทนเอาหน้านอนแนบอิงบนตักของคนเป็นพ่อ ส่วนเจ้าทับทิมหลับอุตุอยู่บนหน้าตักของคนเป็นแม่ ท่าทางอิดโรยกันน่าดู

“หลานคงกลัว จู่ๆ ก็เจอโจรปล้นบ้าน” ข้าแหงนหน้ามองเจ้าตี๋ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด

“ไม่หรอก พ่อว่าเพราะบ้านไหม้มากกว่า” พ่อเจ้าตี๋ส่ายหัว ขัดคำพูดของลูกชายคนโต บ่งบอกถึงสาเหตุที่แท้จริง ทำเอาข้าส่งสายตาล่อกแล่กไปมา แสร้งทำเป็นอ้าปากหาวเมื่อผู้สูงอายุก้มลงมามองสิ่งที่อยู่ในอ้อมอกของคนเป็นลูก

ข้าหลับตาลง เอาหน้าอิงเรียวแขน หวังตัดขาดจากโลกภายนอก ตาพลันกระตุกกับสิ่งที่ได้ยิน กับคำถามที่ว่า…

“ลูกสอนมันยังไงให้สิงโตทะเลเผาบ้านได้”

ข้าเงียบ เจ้าตี๋เองก็เช่นกัน

“แถมมันยังดูฉลาดกว่าสัตว์ทั่วไปด้วยซ้ำ”

ตายๆ ข้าลุ้นระทึกยิ่งนัก อีกสักนิดคงหัวใจวาย หากแม่ของเจ้าตี๋ไม่ปริปากแย้ง

“ก็ดีแล้วนี่คะ เจ้าตัวเล็กช่วยพวกเราไว้นะคุณ ทรัพย์สินก็ไม่ได้เสียหายมากนัก ตอนนี้พวกเรารีบกลับบ้านไปนอนกันก่อนดีกว่า เด็กๆ คงเพลียกันแย่”

ฮือออ แม่ของเจ้าตี๋มองโลกแง่บวกมากเหลือเกิน ข้านึกชมเชยภายในใจ อยากโค้งคารวะเป็นสิบๆ หน

“โจรปล้นบ้านสิบครั้ง ไม่เท่ากับบ้านไหม้หนึ่งหนนะคุณ” พ่อของเจ้าตี๋ถกเถียง ตามมาด้วยภรรยาสุดที่รัก

“เหตุการณ์มันก็ผ่านไปแล้ว คุณจะคิดมากไปทำไม ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีขึ้นมา นี่เราก็มีชีวิตรอดกันทุกคนก็โชคดีแค่ไหนแล้ว ถ้าขืนเจ้าตัวเล็กไม่ช่วยเราเนี่ยสิ ไม่แน่เด็กๆ และลูกๆ อาจเกิดอันตรายขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ผมก็แค่แปลกใจที่มันฉลาดเกินไป…”

“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ ? เข้าใจภาษาคนน่ะสิยิ่งดี ว่านอนสอนง่าย”

“แต่นี่มันสิงโตทะเลนะคุณ ไม่ใช่สุนัข มันน่าแปลกเกินไป”

“แปลกตรงไหน สัตว์เหมือนกัน มีชีวิตเหมือนกัน พวกมันก็ต่างมีความคิด”

“เฮ้อ โอเค ๆ ผมไม่เถียงคุณแล้ว คอยดูพรุ่งนี้ละกัน ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ ๆ”

“นับวันยิ่งเป็นตาแก่ขี้บ่น เส้นสายก็มีคุณจะกลัวไปทำไม เผลอๆ เจ้าสิงโตทะเลอาจนำโชคมาให้เราก็ได้ หัดมองแง่บวกบ้างสิคะ”

ข้าแอบปรือตามองเล็กน้อย เห็นแม่ของเจ้าตี๋ยืนกอดอก ขณะที่ชายอาวุโสหันข้าง พึมพำไม่เต็มเสียง

“คุณมากกว่าที่มองโลกในแง่ดีเกินไป”

“คุณว่าอะไรนะ ?”

“เปล่าจ้ะ” อีกฝ่ายปฏิเสธ ทำเอาข้าที่แอบได้ยินหัวเราะในลำคอจนตัวสั่น ไม่ต่างจากเจ้าตี๋ที่ส่งเสียงพรืด ขบขันพ่อกับแม่ของตนเอง

สมแล้วที่เป็นคู่รัก คนนึงร้อนอีกคนก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ดูไปดูมาคล้ายพ่อของเจ้าตี๋กลัวภรรยาสิ้นดี

“เป็นไง พ่อแม่ของตี๋น่ารักใช่ไหมครับ ?” จู่ๆ น้ำเสียงทุ้มละมุนก็กระซิบอยู่ข้างกกหู คงรับรู้ว่าข้าคงแกล้งทำเป็นหลับ

ข้าพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย ข่มตาลงดังเดิม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าตี๋ที่อุ้มข้าขึ้นไปบนรถ พร้อมพรักกับครอบครัวที่ไล่ตามมา เตรียมตัวเดินทางไปบ้านหลังใหญ่ ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน ลักษณะเป็นเช่นไร

ข้าในยามนี้รู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก…

ครั้นมาถึงบ้านที่ว่า เสียงรถที่เบรกลง บวกกับเสียงพูดคุยและปิดกระแทกประตูรถยนต์ ข้าจึงตื่นจากภวังค์ กระตาปริบๆ ไม่นานก็แทบเบิกตาถลนกับบ้านหลังใหญ่ที่ว่า

แม่เจ้าโว้ยยยย ! นี่มันไม่ใช่บ้านแล้ว คฤหาสน์หลังใหญ่ชัดๆ แถมยังมีพ่อบ้านคนรับใช้คอยยืนต้อนรับ อีกต่างหาก

ข้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก เห็นสาวใช้นางหนึ่งเข้ามาอุ้มเจ้าแมวมิรินแนบอกพาเข้าไปในคฤหาสน์โอฬาร สิ่งภายในล้วนงดงามตระการตา ภายในห้องโถงมีโคมไฟห้อยระย้าจากบนเพดาน เม็ดคริสตัลเหลือบทองบ่งบอกถึงความสวยหรู ทุกสรรพสิ่งของการตกแต่ง ไม่ว่าจะกรอบรูป แจกัน ตั่งที่นั่ง หรือสิ่งใดๆ ล้วนมีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าชีวิตกะจิ๊ดริดของข้า

คาดคะเนว่าหากเป็นมนุษย์ แม้แต่ประกันสังคมตอนข้าตาย ก็คงไม่อาจเทียบเท่ากับความหรูหราจากสิ่งของพรรค์นี้ แค่ฉุกคิดก็นึกสลดอยู่ภายในใจ

ถือว่าเกิดใหม่เป็นสิงโตทะเลไม่เสียเปล่า ดันมาเจอะเจอกับครอบครัวร่ำรวยอภิมหาเศรษฐี

พ่อแม่ของเจ้าตี๋รวยโคตร รวยแบบไม่สนหัวบุคคลใด รวยเสียจนข้าอยากจับเจ้าตี๋มาเป็นผัวจริงๆ จังๆ

โอเคเจ้าตี๋ ขึ้นห้องไปเชิญปู้ยี่ปู้ยำข้าได้ตามสบาย ข้ายอมถูกสถาปนาความเป็นเมียด้วยความยินดี !

แม่จ๋า ชีวิตนี้ลูกสุขสำราญแล้วจ้ะ…

“คุณชายอยากดื่มอะไรก่อนไหมคะ ?” คุณป้าท่านหนึ่งพูดกับเจ้าตี๋

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมขอขึ้นไปนอนเลยดีกว่า” เจ้าตี๋ยิ้มอบอุ่น โค้งหัวเล็กน้อยราวกับสุภาพชน

ข้านึกแปลกใจ อยากร้องโอ้โหจอมปลอมยิ่งนัก ทีกับข้าไม่เห็นปฏิบัติเช่นนี้

“หิวไหม ?” คนตัวโตถามขณะก้าวขาขึ้นบันได ข้าจึงส่ายหัวปฏิเสธ นอนพักผ่อนมามากเพียงพอแล้ว อยากวิ่งเล่นไปดูห้องของเจ้ามากกว่า

ทันทีที่เข้ามาภายใน ข้าก็ยิ่งตาลุกวาวเปล่งประกาย หากเทียบกับบ้านหลังเก่าที่ถูกแผดเผา คฤหาสน์หลังนี้ก็คงอลังการเป็นสิบกว่าเท่า

ห้องนี้จะอยู่ฝั่งหน้าบ้านติดกับโถงเพดาน ภายในห้องกว้างขวาง ทำให้สามารถจัดมุมและเพิ่มฟังก์ชั่นต่างๆ ได้มากกว่าที่ควรเป็น แค่ย่างกรายเข้ามาก็จะเห็นห้องนั่งเล่นที่มีพนักโซฟาสีดำและทีวีจอยักษ์ขนาดใหญ่ ถัดตรงไปจะมีบานประตูเลื่อน มีสวนหน้าบ้านเป็นของตนเอง ต้นไม้เล็กๆ ตกแต่งสีสันให้ชวนร่มรื่น สบายหูสบายตายิ่งนัก ประกอบกับแจกันดอกไม้หลากสีสันวางชิดอยู่ข้างจุดชมวิว มีที่นอนเอนหลังตั้งไว้ตรงกลาง คาดคะเนว่าคงไว้ใช้นอนเล่นอ่านหนังสือขำๆ

เหนือสิ่งอื่นใดคือซ้ายมือของภายในห้อง ซ้ายมือจะมีห้องนอนกว้าง สีขาวดำสองสีที่ถูกจับมิกซ์ได้อย่างลงตัว มันดูลึกลับน่าค้นหา ใช้สีดำเป็นธีมหลักบนผนังและเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่อย่างเตียงนอนเป็นต้น เพิ่มความสว่างไสวด้วยการหยอดใส่สีขาว จากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็กหรือของตกแต่งในบางส่วน แถมเหนือพนักหัวเตียงยังมีกระจกลวดลายขนาดใหญ่สะท้อนทัศนียภาพ ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะมีไว้ไปทำไม

เอาไว้ตื่นมาและลุกขึ้นมาเช็กความหล่อหรือไงกัน ?

แค่ห้องของเจ้าตี๋ก็แทบกินครึ่งคฤหาสน์ชั้นสองแล้ว แบ่งสัดส่วนได้แก่ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องน้ำ และห้องเสื้อผ้า ไม่เว้นกระทั่งจุดชมวิวที่มีสวน

ข้าไม่ไหวจะดูรายละเอียดเหลือเกินนัก มันเยอะจนข้าวิงเวียน หากให้บรรยายก็คงไม่จบไม่สิ้น

“สวยไหม”

ต๊าย มีหน้ามาถาม แค่เห็นห้องของเจ้า ข้าก็ไม่ไหวจะไปดูดีเทลที่อื่นแล้ว !

เจ้าตี๋วางข้าลงตรงพื้นอย่างนุ่มนวล ก่อนจะขออนุญาตไปอาบน้ำ คาดว่าอีกฝ่ายคงเหนียวตัวกับเหงื่อกาฬ เพราะเหตุการณ์ลุ้นระทึกก่อนหน้านี้

“เดี๋ยวมานะครับ อย่าซนล่ะ” แถมยังมีหน้ามาพูดเสมือนข้าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสิ่งภายใน

แต่ไอ้คำว่าซนนี่คืออะไรกัน ? ข้าเคยซนเสียที่ไหน อยู่นิ่งๆ ก็เป็นนะเผื่อเจ้าไม่รู้ อาห์ หยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ก่อนดีกว่า

ข้ากระเถิบครีบมาทางพนักโซฟา ดีดตัวขึ้นไปนั่ง ชายตามองหารีโมทก็เห็นว่าอยู่ข้างพนัก จึงใช้ปากกัดคาบมันมาตั้งตรงหน้า เอาปลายจมูกกดที่ปุ่มเปิดทีวีจอแบน

พรึ่บ ! ภาพและเสียงมาทันทีประดุจเวทมนตร์ มีโหมดให้เลือกตั้งมากมาย แน่นอนว่าข้าเลือกที่จะเข้าโหมดบางสิ่งเพราะเหตุผลบางประการ ดวงตาจับจ้องไปที่โต๊ะก็เห็นมีแป้นพิมพ์และเมาส์วางเอาไว้อยู่ ข้าจึงยืดตัว พยายามเอาครีบเล็กๆ แตะที่ขอบโต๊ะ

งื้อออ อีกนิด แฮ่กๆ ทำไมมันไกลตัวชะมัด กลัวตกกระแทกพื้นมากๆ เลย ข้าจึงกระโดดลงที่พื้น เขย่งตัวเอาครีบเขี่ยแป้นพิมพ์กับเมาส์เข้าหาตัว

“อุ๋งๆ” เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการก็ส่งเสียงร้องดีอกดีใจ งับแป้นพิมพ์โยนบนตั่ง ตามมาด้วยเมาส์เล็กๆ แล้วค่อยกระโดดไปนั่งบนโซฟานุ่มๆ อีกหน

อ๊าก ! ลิซ่า ~ เจนนี่ ~ โรเซ่ ~ จีซู ~ แงงงงง เค้ามาแล้วนะ วันนี้เค้าจะมาปั่นวิวให้พวกเธอแหละ ฮือออ น้ำตาสิงโตทะเลตัวนี้จิไหล

ข้าพยายามเอาปลายจมูกค่อยๆ กดตัวอักษรอย่างตั้งอกตั้งใจ เวลาจะเปลี่ยนสระก็ใช้ครีบกดตัว ‘Shift’ เสริทหาคำว่าแบล็กพิงก์ปุ๊บก็เห็นมีอัพเดตข่าว วิดีโอวงที่ชอบจะมาจัดทัวร์ที่ไทย

อ๊ากกกก ! ไปไม่ได้ ตูไปไม่ได้ กรี๊ดดด ข้าดิ้นไปมาบนที่นั่ง อยากจะร้องไห้ชะมัดยาด ทำไมนะ ทำไมเกิดมาเป็นสัตว์ชะตามันช่างแสนจะเฮงซวยก็ตรงนี้แหละ

ฮือออ รับไม่ได้ ข้ารับไม่ได้ ข้ากำลังจะตาย น้ำตาไหลเล็ดผ่านดวงตากลมโต ตัวสั่นสะอื้นไห้ด้วยความชอกช้ำ ทำอันใดไม่ได้เลยเลื่อนเมาส์ กดเปิดเพลงเพื่อหวังทุเลาความอดสู

ท่อนฮุกเชิญมาเลยจ้ะ ข้ารีบหยัดกายขึ้น เซในทีแรกจนล้มคว่ำคะมำ ครั้งที่สองพยายามใหม่ยืนด้วยครีบข้างล่าง สะบัดครีบขวาและซ้ายเต้นตามท่วงจังหวะ และจึงตั้งการ์ดยกครีบขวาขึ้นมาใกล้ระดับอก ครีบข้างซ้ายยืดออกโดยพลัน บิดตัวไปด้านข้าง ท่าทางเหมือนหยิบปืนลูกซองมายิง

Let’s kill this love ~

ข้าเต้นและแอ่นตัวโค้งไปด้านหลัง แต่แอ่นมากไปหน่อยจึงล้มหงายหลัง จมลงไปกระแทกกับฟูกนิ่ม ๆ พลันได้ยินเสียงหัวเราะร่าจากใครบางคน

“ฮ่าๆ”

หัวเราะหาพ่อเหรอ ? ข้ารีบดีดตัวขึ้น ชะเง้อมองเจ้าตี๋ที่เปลือยท่อนบน มีผ้าขนหนูสีขาวพันรอบเอว แต่แอบเห็นสิ่งบางอย่างนูนๆ เป็นเค้าโครงเลือนลาง

แต่ช้าก่อน… สิ่งสำคัญยิ่งกว่า คือเจ้าตี๋เห็นข้าเต้นต่างหาก

“อุ๋ง ๆ !” (หัวเราะอะไร !)

ข้าก่นด่าต่างภาษา เขม่นตามองเจ้าตี๋ที่ขำหนักจนถึงขั้นน้ำตาไหล เอามือกุมท้องตัวเองไว้ ใช้เวลาเป็นพักใหญ่กว่าจะกระแอมกระไอ เดินมาทางข้า

ใบหน้าแหงนมองบุรุษที่ยืนค้ำหัว

เหอะ คิดว่าสูงส่งมากสินะ !

ข้าใช้ครีบชี้ไปที่พื้น หวังให้อีกคนย่อกายลงมา และดูเหมือนเจ้าตี๋จะเข้าใจภาษากาย เสี้ยววินาทีจึงย่อตัวลงต่ำ

ข้าพินิศใบหน้าหล่อเหลา มีหยาดน้ำเกาะพราวไปตามรูปหน้า ส่งเสริมให้ดูน่าหลงใหลจนหัวใจของข้าสั่นไหว เส้นผมของอีกฝ่ายเปียกชื้นเช็ดไม่ทันแห้งกรังสนิท และหมาดน้ำเล็กน้อยบริเวณกล้ามหน้าท้อง

หึ่ย ! เดี๋ยวก็จับทำผัวเลยหนิ ! บ้านของเจ้ายิ่งรวยๆ อยู่ มาทำแบบนี้มันอ่อยกันชัดๆ

และนั่นอะไรกัน ! สายตากรุ้มกริ่มเช่นนั้น  นี่จะจับข้าทำเมียจริงๆ จังๆ แล้วใช่ปะ !?

“เต้นน่ารักจัง แต่ตี๋ขอโทษที่แอบมองนะครับ เผอิญออกมาเห็นพอดี คิก ฮ่าๆ” พูดปุ๊บก็หัวเราะปั๊บ

ข้าจ้องอีกฝ่ายที่ยกมือขึ้นมาปิดปาก สักพักเจ้าตัวก็เห็นสายตาที่แสนจะเบื่อหน่ายของข้า ถึงได้รับรู้ว่ากำลังเสียมารยาท ข้อนิ้วแตะเม้มริมฝีปาก อมยิ้มยกใหญ่จนปรากฏร่องรอยบุ๋มเล็กๆ ของลักยิ้ม ประดับอยู่บนพวงแก้มทั้งสองข้าง

สายตาของข้าเบิกกว้างในบันดล ยิ่งตอนที่เจ้าตี๋ก้มหน้าลงต่ำ ไม่ช้อนตามอง ทุกอิริยาบถช่างดูดีไร้ที่ติ จนอดไม่ได้ที่จะยื่นครีบไปสัมผัส

ทำไมมันดูน่าหลงใหลยิ่งนัก โดยเฉพาะตอนที่หยาดน้ำไหลผ่าน สีหน้าของเจ้าตี๋จะเชิดขึ้น ร่างกายชะงักทันทีเมื่อข้าโดนตัว

ไล่สายตาไปตามเรือนร่าง ลำแขนบึกบึนที่คงขยันหมั่นออกกำลังกาย บ่าไหล่เฉียงกว้างน่าเป็นที่พึ่งพิง แผงอกเปลือยเปล่า กับกล้ามหน้าท้องเป็นลอนสวย จรดลงมาถึงช่วงเอวสอบ ทันทีที่แหงนหน้าไปสบตา มันก็เหมือนชักชวนให้ดำดิ่ง

ดวงตาคมมันสั่นไหวเจือจาง ขณะที่หัวใจของข้ารุนแรงแทบบ้าคลั่ง เร็วถี่ยากเกินจะหยุดยั้งให้ช้าลง

มันช่างน่าแปลก แต่สาเหตุมันก็เกิดเพียงเพราะเจ้า…

เจ้าที่ทำให้ข้าเกิดอาการเช่นนี้

“ทำอะไรครับ” คนตรงหน้าเอ่ยถาม ข้ารีบส่ายหัวปัดความคิดฟุ้งซ่าน

ไม่ได้ๆ ข้าไม่ชอบลักยิ้มเช่นนี้เลย เจ้าไปศัลยกรรมผ่าตัดเอามันออกได้ไหม อีกทั้งตอนนี้ก็ยังมีสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า

“โอ๊ะ ตี๋ลืม เดี๋ยวไปหยิบกระดาษกับปากกามาให้นะครับ ขอเวลาแต่งตัวแปปนึง”

ข้าเมินเฉย มองบุรุษที่หยัดกายขึ้น เดินก้าวเข้าไปในห้องแต่งตัว ผ่านไปไม่เกินห้านาทีก็ใส่บ็อกเซอร์ออกมา ช่วงลำตัวใส่ชุดเสื้อยืดตัวโคร่งขนาดใหญ่ ในมือมีสมุดกับเครื่องเขียน

เจ้าตี๋ยังคงใช้ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มเช่นเคย เหมือนไม่เคยเมื่อยกับสิ่งที่ทำ

คนบ้าอะไรมีความสุขตลอดเวลา ?

“นี่ครับ” ว่าพลางนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับวางของให้แก่ข้า เปิดสมุดให้เป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะยื่นปากกาหมึกซึมวางลงบนสมุดสีขาวโล่งๆ

“เรามาคุยกันเถอะ วันนี้ตัวเล็กต้องเจรจากับตี๋ก่อน”

หืม เจรจาเรื่องอะไรอะ ? ข้าเงยหน้าหันไปมอง

“ตัวเล็กเผาบ้านตี๋ อย่าลืมสิ คิดว่าตี๋ไม่โกรธหรือไง อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบด้วยสิครับ อืมมม หรือไม่ก็…” เสียงทุ้มครางในลำคอ เอียงหน้าเล็กน้อยและกลอกตามองบน ไตร่ตรองข้อต่อรองอันน่าสงสัย เสี้ยววินาทีก็ก้มหน้าลงต่ำ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำต่อจากประโยคก่อนหน้านี้

“อยากให้ตัวเล็กทำตัวดีๆ กับตี๋ได้ไหมครับ ? เช่นพูดจาดี ๆ” ใบหน้าอีกฝ่ายโน้มลงต่ำ วาจาหยอกเย้า กรีดกรายรอยยิ้มชวนละเมอ

“ทำตัวให้น่ารักด้วย” พูดพลางเข้ามาใกล้อีกหนึ่งระดับ

ตึกตัก

“ไม่ดื้อกับตี๋ด้วย…”

“…”

“สิ่งสำคัญเลยก็คือ…”

ข้านิ่งงัน รอรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ หัวใจเต้นถี่รัว เคลิบเคลิ้มไปกับบุรุษที่อยู่ห่างไม่เกินหนึ่งคืบมือ

ลมหายใจของเจ้าตี๋อุ่นร้อน ริมฝีปากพ่นไอเย็นจนได้กลิ่นหอมของมิ้นท์ยาสีฟัน ชวนผ่อนคลายยิ่งนัก

และสิ่งสำคัญสำหรับตี๋เลยก็คือ…

“ตัวเล็กอย่าห่างจากตี๋ได้ไหมครับ ?”

“…”

“คอยอยู่ใกล้ตี๋ตลอดเวลา”

“…”

“อย่าทำอะไรที่มันเสี่ยงอันตรายอีก…” แววตาของเจ้าตี๋ดูสลดลง รอยยิ้มที่เคยค้างไว้ก็เจือจาง ฝ่ามือลูบไปที่ศีรษะของข้า ว่าพลาง “ตี๋เป็นห่วงตัวเล็กมากจริง ๆ นะ”

“ต่อให้ตี๋จะซื่อบื้อในบางเรื่อง”

“…”

“แต่ตี๋ก็พยายามมากนะ เพื่อทำความเข้าใจกับเรา” จบคำนี้เจ้าตี๋ก็ผุดรอยยิ้ม ถอยใบหน้าออกห่าง ทิ้งให้ข้าไม่เข้าใจบางสิ่ง

ดั่งกับว่าข้าในยามนี้กำลังอยู่บนปุยเมฆบนท้องนภา และมันก็แสนจะนุ่มนวลน่าหลงใหล ชวนให้ข้ารู้สึกอยากอยู่แบบนี้ไปนาน ๆ ประกอบกับเสียงทุ้มชวนละมุนให้ใจสั่น

ใช่ การที่เจ้าตี๋สื่อสารกับข้าได้ มันช่างยากเย็น แต่เจ้ามนุษย์ผู้นี้ก็ดันพยายามทำความเข้าใจตลอดเวลา คอยสังเกตการณ์ข้าทุกวินาที

เจ้าตี๋น่ะบื้อในบางเรื่อง แต่ก็คอยศึกษาดูปฏิกิริยาของข้านะ…

“ก็เพื่อตัวเล็กคนเดียวเลย”

พลันรู้สึกอ่อนปวกเปียก ไม่กล้าจะสบตาจนต้องแสร้งหันหน้าหนี หลับตาพริ้มเหมือนคนเย่อหยิ่ง หากได้เป็นมนุษย์ มันก็คงเปิดเผยพวงแก้มที่แดงระเรื่อ บ่งบอกถึงความขัดแย้งในการกระทำ

เจ้าตี๋ปากหวาน และก็มีผลกระทบต่อจิตใจมากขึ้นทุกที

“ดื้ออีกแล้ว ตอบตี๋ก่อนสิครับ ตัวเล็กอายุน้อยกว่าตี๋อีกนะ ถ้ามาเทียบดูกันดีๆ ตี๋เกิดสองห้าสี่สอง อายุยี่สิบ เราห่างกันตั้งสองปี ตัวเล็กเป็นน้องตี๋ด้วยซ้ำ” คนตัวโตแถลงไข อธิบายอย่างมีเหตุมีผล

ข้าลืมตาขึ้น มองอีกฝ่ายผ่านหางตา ก้มลงไปงับปากกาเขียนใส่กระดาษ เสร็จสรรพก็ดันให้อ่าน

[จะให้ทำอะไร]

“ก็แค่อยากให้เชื่อฟังเหมือนที่ตี๋บอก พูดจาดีๆ ทำตัวน่ารักไม่ดื้อกับตี๋ และก็อย่าห่างจากตี๋อีกเด็ดขาด”

โอ้โห กฎเกณฑ์เยอะชะมัด มากกว่านี้ก็คงวิงวอนขอข้าทำเมีย

[เป็นใครมาสั่ง] ข้าเขียนต่อปากต่อคำ และเจ้าตี๋ก็ดันอมยิ้ม

“ก็รู้ครับว่าไม่ใช่พ่อใช่แม่ แต่อย่างน้อยตี๋ก็เป็นผู้ดูแลตัวเล็กนะ รู้ความลับของตัวเล็กอีกต่างหาก”

“…”

“หรือต้องเป็นอย่างอื่นก่อนล่ะครับ ถึงจะเชื่อฟังได้ ?” เจ้าตี๋เอียงหน้า ท่าทางดูออดอ้อนขัดแย้งกับหน้าตา หากทว่ากลับดูดียิ่งนัก มุมปากก็โชว์ลักยิ้ม รอยบุ๋มข้างแก้มทำข้าแทบเผยอปาก

อาจเพราะว่าเจ้าตี๋มีอุปนิสัยขี้เล่นและอบอุ่นมาแต่ไหนแต่ไร คำพูดคำจาก็ดูสองแง่สองง่ามในบางครั้ง หน้าตาก็หล่อเหลาไม่ถึงกับดุ เวลาใช้กิริยาเช่นนี้จึงคล้ายคลึงหนุ่มขี้เล่น

หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 17-06-2019 17:29:02
.
.
.

ข้าตัดความรำคาญ ด้วยการยินยอมทำตามข้อเสนอ เลือกที่จะใช้คำสุภาพเวลาคุยกับอีกฝ่าย แต่ภายในใจนี่นึกก่นด่า หักห้ามกันไม่ได้

เจ้าตี๋เป็นหนุ่มปากหวานที่หนึ่ง และเจ้าตี๋ก็เป็นมนุษย์ที่โง่เขลาที่หนึ่งเช่นเดียวกัน

อ้อ โรคจิตด้วยนะข้าลืมไป

[ตกลง] ข้าเขียนตอบอีกหน้ากระดาษ จับจ้องเจ้าตี๋ที่ฉีกยิ้มดีใจ

“ลองเขียนคำว่าครับด้วยได้ไหม จะได้ดูน่ารักไง” เจ้าตี๋บีบบังคับ ข้าเลยชักสีหน้าไม่พอใจ

ขอเยอะแยะชะมัด นี่ถ้าไม่มีความดีหรือความรู้สึกผิดอยู่บ้าง ข้าก็คงไม่ยอมทำตามเป็นแน่

เฮ้อออ อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ ต่อเติมถ้อยคำ [ตกลงครับ]

พอใจยัง ? ข้าทำหน้าหน่ายใจ ปรือตามองเพียงแค่ครึ่ง เผยหนังตาที่ตกลงมาคล้ายจะหลับ ทั้งที่อนาถใจกับข้อตกลงปัญญาอ่อน พลันหันมาเล่นกับเมาส์ คาบปากกาจิ้มลงกับแป้นพิมพ์

ฟังเพลงต่อดีกว่า ปล่อยให้ชายข้างกายอมยิ้มเป็นคนโง่งม เอนหลังพิงพนัก และข้าก็เห็นนะว่าเจ้าตี๋แอบหยิบมือถือมากดถ่ายคลิป

ข้าเหล่ตามอง เอาครีบตีที่ต้นขาของเจ้าตี๋ที่นึง

“โอ๊ะ ! ฮ่าๆ ก้าวร้าวอีกแล้วนะครับ ถ่ายไม่ได้หรือไง ?  จะได้เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ เดี๋ยวตี๋จ่ายค่าตัวให้ด้วยเลย”

[เท่าไหร่ ?] ข้าเขียนลงกระดาษ งับชูให้คนตัวโตอ่าน

และข้าก็ได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ…

“อยากได้เท่าไหร่ก็ให้หมดเลย”

โอเค ข้ารีบเขยิบไปที่ข้างพนัก เอนหลังและโพสต์ท่าให้เจ้าตี๋ที่กำลังถือกล้องกดคลิปถ่ายรัว ๆ

ข้าเอาครีบขวาวางบนศีรษะ โพสต์ท่าเหมือนสาวเซ็กซี่ที่เอามืออังหน้าผาก ขณะที่ครีบอีกข้างวางลงข้างโซฟา

“ฮ่าๆ สวยมากครับ”

พอกันที ข้าเลิกเล่นตลกกับชายหนุ่ม หลงลืมไปว่าได้เงินมาก็คงไม่ช่วยอะไร เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยกับการใช้ตังค์

เฮ้อ คิดสภาพสิงโตทะเลไปจ่ายตลาด ใช้ครีบถือตระกร้า หรือไม่ก็วิ่งไปกดจองบัตรทัวร์คอนเสิร์ตสิ ดูยังไงก็ตลกร้ายชัด ๆ

วินาทีนี้โยกตัวเต้นไปกับเพลงของเกิร์ลกรุ๊ปวงที่ชอบ ขณะที่เจ้าตี๋ไม่คิดจะสนใจภาพและแสงสีตรงหน้าแต่อย่างใด นัยน์ตาของเขาเอาแต่จ้องข้า กรีดรอยยิ้มเรี่ยราดดูมีความสุข

พึมพำในสิ่งที่ข้าไม่ค่อยได้ยินถนัดนัก

“น่ารักเหลือเกิน”

พูดอะไรนะ ? ข้าหันไปมองอีกหน เอียงคอท่าทีงงงวย วกกลับมาโยกตัวเต้นตามเพลง นึกอะไรขึ้นได้เลยเขียนใส่ข้อความ ชูให้เจ้าตี๋อ่านอย่างกระตือรือร้น

[ซื้อแท่งไฟ blackpink ให้หน่อย] ไอ้ที่มันเป็นสีชมพูรูปหัวใจไว้ตีป๊อกๆ อะ

เค้าอยากด้ายยยย <3

“ถ้าให้ แล้วตี๋จะได้อะไรเหรอครับ ?] เจ้าตี๋ต่อรอง ข้าเลยยิ้มกว้าง เพราะมีสกิลติดตัว

[ยอมหมดทุกอย่างเลย]

“ยกตัวอย่าง ?” เจ้าตี๋บุ้ยปาก ตาเหลือบมองข้ากะหลับกะเหลือก

ข้ายิ้มแฉ่ง ร้อนรนรีบเขียนข้อความอย่างรวดเร็ว

[เช่นแบบนี้] ก่อนจะยกครีบขึ้นกวักเจ้าตี๋ให้โน้มหน้าลงมา

อีกฝ่ายดูแปลกใจ ยอมทำตามแต่โดยดี และทันทีที่ใบหน้ากระจ่างใสเข้ามาใกล้ ข้าก็ยื่นปากไปหอมแก้มสากอย่างรวดเร็ว มอบความรู้สึกจั๊กกะจี้แก่ใครบางคน ผละออกปุ๊บก็รอคอยดูผลลัพธ์

เจ้าตี๋ดวงตาเบิกกว้าง สักพักใบหน้าก็เริ่มไล่สี แดงอมชมพูไม่เว้นกระทั่งใบหู เคอะเขินกับสิ่งที่โดนกระทำโดยไม่ทันตั้งตัว

อีกฝ่ายมองตาข้า ริมฝีปากพูดกล่าว “ตัวเล็กร้ายกาจ”

ข้าก็เขินยิ่งนักกับคำชมเชย แต่เอาเข้าจริงมันทั้งอายและใจเต้นรัวตั้งแต่ฉุกคิดออเซาะ

ที่ข้ายอมเพราะแบล็กพิ้งก์ล้วนๆ !

“มาทำแบบนี้ ตี๋ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลย”

จริงปะ ? แบบนี้ก็ยอมเปย์ทุกอย่างให้ข้าเลยใช่ปะ ?

ข้าเขียนอีกสิ่งให้อ่านโดยพลัน

[งั้นผมขออัลบั้มและโปสเตอร์ใหญ่ ๆ]

หากเป็นไปได้ เอามรดกเจ้าและทรัพย์สินมาทั้งหมดเลยยิ่งดี

ข้าฉีกยิ้มกว้างจนเห็นซี่ฟันสีขาว ไม่สามารถให้อีกคนรู้เจตนามาดร้าย

“หอมแก้มอีกข้างด้วยนะครับ ฮ่าๆ” ปลายนิ้วชี้จิ้มลงบนปรางอีกข้างของตนเอง

ข้าพยักหน้างึกงัก ยอมเล่นมุกตลกร้ายกับอีกฝ่าย

[ยอมเป็นเมียก็ยังได้]

“จริงปะ ?”

ไม่จริง ! ข้าส่ายหัวปฏิเสธ ขนลุกซู่กับสีหน้าจริงจังของเจ้าตี๋ สักพักคนตรงข้ามก็หัวเราะยกใหญ่

“รู้ครับว่าหยอก”

เออก็ดี หัดเจียมตัวซะบ้าง

“แต่ถ้าเป็นคนจริงๆ…”

แล้วทำไมอะ ?

“ตี๋ก็อยากได้มาเป็นแฟนนะ”

เฮือก ! ข้ารีบถอยร่น สะบัดหัวรัวแรงคล้ายรังเกียจ เรียกเสียงขำพรืดจากชายฉกรรจ์

“ฮ่าๆ ตัวเล็กกลัวตี๋ขนาดนั้นเลย ?”

ที่สุดเลยจ้ะ ! ข้าโคตรอยากจะพูดตอบโต้

“เยอะนะเรา”

หมายถึงอะไร ข้าเอียงคอไม่เข้าใจ

“หมายถึงความน่ารักอะ เยอะนะครับ”

งื้อออ ชมอีกแล้ว ! เบื่อยิ่งนัก ! ทำไมขยันเต๊าะเก่ง นอกจากจะเป็นลูกช่างถาม ยังเป็นลูกช่างอ่อยอีกใช่ไหม ?

“มากขนาดนี้ระวังมีคนหลงนะครับ”

“…”

“อย่างตี๋นี่ไง โดนลูกหลงแล้วคนนึง”

โอ๊ย ! ขายเก่งจ้าาา ! ไปเทคมีเอาท์ได้เลย

[อย่ามาอ่อย] ข้าโต้ตอบ เป็นฝ่ายเอาคืนบ้าง จะให้โดนเอาเปรียบฝ่ายเดียวก็กระไรอยู่

[รับมือไม่ทัน] เข้าใจบ้างไหม ?

อ่านเสร็จก็รีบเปลี่ยนอีกหน้ากระดาษ กระหยิ่มยิ้มเยาะกับข้อความที่ใช้

[ได้ของก่อนแล้วเดี๋ยวทำให้หลงกว่านี้อีก]

เอาของสะสมแบล็กพิ้งก์มากองตรงหน้าและเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้ารับรู้ ว่าหลงขั้นหนักมันเป็นเช่นไร

“อยากได้ก่อนอะ และค่อยเอาทีหลัง”

กรี๊ดดดด ! เดี๋ยว ! คำพูดมึงสองแง่สองง่ามมากอีตี๋ !

ข้ากรีดร้อง รีบกระโจนลงจากที่นั่ง กระเถิบหนีคนที่ลุกขึ้นวิ่งไล่ตาม

“เดี๋ยวก่อนตัวเล็ก ตี๋หมายถึงเดี๋ยวเอาให้ทีหลัง”

ข้าหยุดหนีทันที หันมามองชายหนุ่มด้วยความโล่งอก จ้องเขม็งบุรุษที่ถามยั่วเย้า

“ตัวเล็กแอบคิดอะไรอะ ?”

เปล๊า ไม่มี๊ ข้าส่ายหัวปฏิเสธ

“คิดทะลึ่งใช่ไหม ?”

“…”

“หื่นจังเลย เป็นเด็กเป็นเล็กอยู่แท้ ๆ”

ใครเด็ก ! ฟังแล้วชวนไม่รื่นหู ไม่ชอบเลยกับคำกวนประสาทที่กล่าวหาว่าข้าเป็นเด็ก

งั้นดูนี่นะ เด็กทั่วไปเขาเขียนคำนี้ได้ไหมล่ะ ?

ข้ากระเถิบไปที่โซฟาตัวเดิม จรดปากกาแต่งแต้มสี ลากพยัญชนะตัวอักษรไทย พูดจาเหมือนเด็กแว้นที่ชอบตีกัน

[แล้วพี่ตี๋เป็น ‘ลวย’ ไรอะ]

“ลวย ? หมายถึงรวยเหรอ ?”

ข้ายิ้ม โยนกระดาษ ปล่อยให้คนโง่งมไม่เข้าใจสักพัก

สงสัยคงไม่ได้ดูไดอารี่ตุ๊สซี่

ข้ายกครีบชี้ไปที่กลางลำตัวของบุรุษกำยำ ส่งความหมายผ่านท่าทาง

เจ้าตี๋นิ่งทันที ก่อนจะทำหน้าดุ “ถ้าขืนยังด่าอีก เดี๋ยวจะควักออกมาให้ดู”

แงงงง แม่จ๋า หนูกลัว ฮือออ ไม่เล่นด้วยแล้ว ! รีบฉีกกระดาษหน้าหนึ่งดังแควก ! โบกสะบัดยกธงขาวในทันที

เป็นสัตว์ไม่มีอาวุธ จะไปสู้อะไรได้กับสากกะเบือ…

เก็บอาวุธร้ายไปฟาดฟันคนอื่นเถอะ ข้ารับมันไม่ค่อยไหว…

พลันก้มดูกระปู๋น้อยของตนเอง ช่างเล็กเกินจะต่อกร…

อยากจะโชว์บ้างนะ แต่ตอนนี้เล็กเกินเหมือนดอกเห็ด
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่เก้า (14/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 17-06-2019 18:26:01
รออย่างใจจดใจจ่อ ^^ :katai2-1: :hao6:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 18-06-2019 16:55:17
 o13
เห็นชื่อเรื่องผ่านไปผ่านมา นึกไม่ออกว่าเรื่องจะออกมาเป็นยังไง
ลองมาอ่านดูแล้ว ไม่ผิดหวังแถมขำกลิ้งอีกต่างหาก ไอเดียบรรเจิดมากกกกกก ชอบอ่ะ 5555+
รออ่านตอนต่อๆไปนะฮะ อย่าทำร้ายตี๋มากนะ สงสารอ่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-06-2019 18:00:13
ฮาและน่ารักมากๆ เอาตี้เลยลูกเอยยหล่อรวยฟวยกะหย่าย ครบนะ งาบเลยลูก ^^
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-06-2019 23:17:15
ตลกเจ้าตัวเล็ก เข้ามาอ่านแล้วขำมากค่ะ  สร้างเสียงหัวเราะให้ชีวิตที่ห่อเหี่ยวมากเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 26-06-2019 18:37:46
มิดจี่รี่ หายลิบ เลย สิจบ บ่ เนอ ถ่า ยู่เด้อ ฟ้าว มาอัฟแหน่
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ntpmay ที่ 30-06-2019 23:16:14
ขำไม่ไหวแล้ว55555555555
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-07-2019 11:43:22
รอพี่ตี๋ นะ  พี่ตี๋ที่หลง น้องคัวเล็ก   :mew1: :mew1: :mew1:
รอ สิงโตทะเลน้อย ที่ตรงนั้น.....น้อยเหมือนดอกเห็ด  :m20: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 02-07-2019 01:23:39
น้องร้ายมากกกกกกกแจ้ชอบส่วนอีตี๋ก็สุดเช่นกัน  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 02-07-2019 08:20:43
น้องน่ารักและดื้อมากเลยค่ะ อยากจับมาฟัดพุง งู้ยยยยย น่าเอ็นดูจริงเจ้าตัวเล็ก รออ่านตอนต่อไปนะคะ มาต่อไวๆนะ สู้ๆค่ะคุณนักเขียน
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบ (17/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 02-07-2019 11:11:36
ตัวเล็กโคตรตลก :m20:  :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 02-07-2019 21:14:50
[11]



“ปาดับปู้ ปะ ปาดับปู้ ~ โดดเดี่ยวอาจเดียวดาย จะทำใจไม่ไหวแล้ว ~ ดึกๆ วุ่นวายใจ จะทำไงใช่ปะ ?”

เพลงของโฟร์มดที่ดังพลุแตกกำลังกึกก้องข้างในห้องน้ำ ขณะที่ข้ากำลังกรีดรอยยิ้มตีน้ำเปาะแปะอยู่ในอ่างสีขาว โยกหัวไปทางซ้ายและขวา เต้นรัวแรงด้วยความสนุกสนานอ้าปากร้องตามคีย์ คอยส่งเสริมเป็นคอรัสให้แก่นักร้องสาวสวยที่ตนเองได้รับฟัง

“มันขาดคนคอยเทคแคร์ ~ ก็โดนรังแกด้วยสายตา ~ โอ๊ะโอน่ากลัวเหลือเกิน ~”

“อุ๋ง ๆ”

“ก็มันอ่อนแอนี่นา”

“อุ๋ง ๆ ~”

“ช่วยส่งคนมารักที ~”

“อุ๋ง ! อุ๋ง !”

“เด็กมีปัญหา หา หา ช่วยไม่ได้เลยเธอ ปล่อยไปต้องเผลอ เผลอ เผลอ ~ เที่ยวไปรักใคร ๆ”

“อาบน้ำเสร็จยังครับ”  เสียงเจ้าตี๋ขัดเพลงที่กำลังเปิด ข้ารีบส่ายหัวเพราะยังอยากอยู่ต่อ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเจ้าหมอนี่ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่เคยเข้าใจคนอารมณ์สุนทรีย์หรือไงกัน ยิ่งมีเพลงสนุก ๆ ก็คงอยู่ได้เป็นครึ่งค่อนวัน

เนี่ย ถ้าเป็นมนุษย์ข้าคงหยิบอะไรมาขัดผิวฉวีวรรณเสียด้วยซ้ำ !

เพลงที่ดังเข้ามาก็สาเหตุจากลำโพงข้างนอกซึ่งข้านี่แหละเป็นคนเปิดมันทิ้งไว้ ก่อนจะโดนเจ้าตี๋จับอุ้มเข้ามาอาบน้ำ อีกฝ่ายในวินาทีนี้เอาไหล่พิงอยู่ข้างครอบประตู ยกแขนขึ้นมากอดอก ท่าทีเหมือนหนุ่มหล่อเจ้าเล่ห์ที่กำลังเต๊าะสาวก็ไม่ปาน ขาดเพียงแค่กระตุกคิ้วกวนส้นบาทาก็เท่านั้น

เหมือนหล่ออะไอ้เวร เคยฟังไหมเพลงนี้ หึ่ย หมั่นไส้ยิ่งนัก รู้หรอกว่าหน้าตาดี อีกฝ่ายเพ่งพินิศมาทางสัตว์โลกน่ารักอย่างข้าที่ยกครีบทั้งสองข้างขึ้นมาแตะศีรษะ ทำท่าทีราวกับปวดหัว พลางสะดีดดิ้งไปกับทำนอง

เจ้าตี๋ยิ้มแก้มปริ เผยซี่ฟันสีขาวสะอาดตา สนอกสนใจกับสิ่งที่ข้ากำลังเต้น

แหม สงสัยเคยฟังเพลงกามิกาเซ่ล่ะสิท่า หึ บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่เคยฟังนักหรอกนะ ยกให้แบล็กพิ้งก์เป็นที่หนึ่งในดวงใจ ! นอกเหนือจากนี้ข้าไม่ค่อยจะชมชอบ เดี๋ยวอยู่ในภาวะโลก ละ ละ ละ ละ เลิฟยู ~ มันช่างสดใส นะ นะ นะ นะ น่าดู ~ ภาวะหวั่นไหวไม่ว่าจะทำอะไร ~ ก็กลายเป็นสีชมพู ~ วู้ฮูฮู ~

ขยิบตาปิ้งทันที ฮือออ สรุปตูฟังหมดนั่นแหละ ติ่งทุกสรรพสิ่ง แต่โกหกล้วน ๆ

“อ่อยเหรอครับ ?” เจ้าตี๋เห็นกระพริบตาปริบๆ จึงเอ่ยถาม ข้าส่ายหัวปฏิเสธ หันมาเต้นต่อกับเนื้อร้องเด็กมีปัญหา แต่เปลี่ยนเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ถูกดัดแปลง คิดปุ๊บเนื้อเพลงก็มาพอดี…

“เด็กมีปัญหา หา หา ช่วยไม่ได้เลยเธอ” ปล่อยไปต้องเผลอ เผลอ เผลอ เที่ยวไปเย็บใคร ๆ ~ ก็เลยต้องหา หา หา คนมาควบคุมใจ ~ เป็นเธอได้ไหม ไย ไย ช่วยมา เย็บ เย็บกันก็จะดี ~

เอาล่ะจ้าเด็ก ๆ ข้อสอบวันนี้ จงเปลี่ยนตัวอักษรบอใบไม้เป็นดอเด็กนะจ๊ะ

“คิกๆ”

“ขำอะไรครับ ?”

‘เสร่ออะ’ เสือกทุกเรื่องจริงๆ เชียว ได้แต่นึกด่าในใจแต่ก็ยิ้มกลบเกลื่อนจากภายนอก เพราะจะให้เจ้าตี๋รู้ไม่ได้เป็นอันขาด เผลอ ๆ เด็กมีปัญหาอย่างข้าคงถูกโดนกระทำชำเรา ก่อนหน้านี้ยังโดนขู่ว่าจะควักข้าวหลามเปียกมาให้ดู ทุเรศซะมัดยาด ความคิดต่ำตมเช่นนี้สมควรไปสร้างแอคเคาท์นัดยิ้มสิ้นดี

แนบรูปประกอบ ‘หรรมผมเหมือนจรวดมิสไซล์’

แง ~ คิดแล้วก็ขนลุกเลยจ้ะแม่จ๋า เดี๋ยวเจอเจ้าตี๋ชักจรวดขึ้นฟ้าอีก สะเก็ดระเบิดแม่งเต็มไปหมด รีบเลิกเล่นน้ำก่อนดีกว่า พลางส่งเสียงอุ๋งๆ เรียกเจ้าตี๋ให้หยิบผ้าขนหนูเป็นการบ่งบอก ชี้ครีบและปีนขึ้นตรงขอบอ่างแล้วค่อยกระโดดลงมาอย่างระมัดระวัง

“ทำไมเปลี่ยนใจแล้วล่ะ”

‘กลัวงูไงจ๊ะพี่จ๋า คนละสายพันธุ์กันด้วย สมสู่กันทีอีน้องนี้ก็นึกหวาดหวั่น’ ลอบด่าในใจ ตาเขม่นใส่บุรุษที่ตั้งคำถาม ก่อนจะหลับตาพริ้มเมื่อเจ้าตี๋เอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้ หลังจากนั้นไปก็พาลงมาชั้นล่างของคฤหาสน์ เจอะเจอกับครอบครัวของเจ้าตี๋รอรับประทานอาหารกันอยู่ มีทีวีขนาดใหญ่เปิดข่าวอีกต่างหาก หัวข้อน่าสนยิ่งนัก

“ครอบครัวของ ‘นายฐิติกร อธิพัฒน์เดชากร’ ผู้เป็นเจ้าของอควาเรี่ยมมิราเคิล ถูกคนร้ายงัดเข้าบ้านและถูกจับเป็นตัวประกัน แต่ถูกช่วยเหลือจากลูกสิงโตทะเลที่ชื่อว่า ‘เจ้าตัวเล็ก’ เป็นสัตว์ที่อยู่ในการดูแลของลูกชายคนโตของนายฐิติกร ทางหน่วยข่าวได้เข้าไปสัมภาษณ์กับทางเจ้าหน้าที่จึงได้รับคำตอบมาว่าคนร้ายได้ชี้แจงสาเหตุการเกิดไฟไหม้ ปฏิเสธว่าตนเองนั้นไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่เป็นสิงโตทะเลที่จุดไฟเผาบ้านทั้งหลัง” ตัดภาพไปที่เสียงของโจรร้ายทั้งสองที่ถูกจับกุม แหกปากโวยวาย

“ไอ้สัตว์บ้านั่นทำต่างหาก ! แม่งเอาน้ำมันราดและขังพวกกูไว้ ทำไมไม่เชื่อกันสักทีวะ มันเต้นท่าแปลกๆ ด้วย เฮ้ย ! ฟังสิวะ กูไม่ได้หลอนไปเอง ! ไอ้พวกโง่ !”

ตายจริง สถุลสัตว์ๆ ข้าเงยหน้ามองปฏิกิริยาของทุกคน

“และนี่คือสิ่งที่ได้รับจากทางหน่วยข่าว ทางตำรวจจึงชี้แจงว่าคนร้ายนั้นอาจมีอาการป่วยทางจิตหรือไม่ก็หลอนไปเอง เนื่องจากมีการตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะ และนี่คือภาพของสิงโตทะเลที่ทางเราได้ถ่ายเอาไว้ได้…” นักข่าวสาวยิ้มละไม ผายมือไปยังหน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ ก่อนจะถูกตัดต่อแปะเป็นภาพลูกสิงโตทะเลที่กำลังเหยียดยิ้ม ขณะที่ด้านหลังมีบ้านมอดไหม้ลุกเป็นไฟ ชักชวนให้ดูน่าตลกมากกว่าขวัญผวา

“พอเห็นภาพนี้ ดิฉันก็นึกถึงภาพในโซเซี่ยลที่มีเด็กผู้หญิงกำลังหันหน้ามายิ้มให้กล้องทันที ทั้งที่บ้านข้างหลังถูกเผาเลยค่ะ” นักข่าวว่ากล่าว ไม่วายแปะภาพเปรียบเทียบกับเด็กสาว ฉายชัดให้เห็นถึงข้อแตกต่าง

“เห็นไหม ? กลายเป็นข่าวใหญ่เลยนะนั่น” พ่อของเจ้าตี๋ที่ชื่อนาย ‘ฐิติกร’ เอ่ยขึ้น

“อย่างน้อยก็ไม่ถูกด่าเรื่องพาสิงโตทะเลออกนอกสถานที่นะคะ” แม่ของเจ้าตี๋เสริม ก่อนจะถูกแทรกด้วยคำพูดของลูกสาวที่ชื่อ ‘ตังเม’

“ตอนนี้ในทวิตเตอร์ฮือกันใหญ่เลยค่ะแม่ มีการแชร์ภาพเจ้าตัวเล็กด้วย”

“เขาว่าอะไรบ้าง ?” ฝ่ายฐิติกรตื่นตระหนกยิ่งกว่า หน้าซีดเผือดคล้ายจะเหงื่อแตกตลอดเวลา

“ก็มีเรียกน้อง ๆ พูดบอกน่ารักเต็มไปหมดเลยค่ะ บางคนก็บอกตลกกับภาพที่เห็น แต่ก็แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แถมยังขอพิกัดอควาเรี่ยมของคุณพ่ออีกต่างหาก เหมือนวันนี้ทุกคนจะรวมตัวไปยังอควาเรี่ยมเพื่อดูสิงโตทะเล”

“…”

“อ้อ ยังมีอีกค่ะ มีแชร์คลิปที่แอบถ่ายลูกสิงโตทะเลด้วย บอกว่ามันคือตัวเดียวกัน ตอนนี้ทวิตเตอร์ก็ติดอันดับหนึ่งในการค้นหาสิงโตทะเล”

อู้หูว…

“นี่มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว”

อ่าว คุณฐิติกรหลุดอุทาน พลางเหลือบมามองข้าที่เชิดหน้าขึ้นแย้มยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

เห็นมะ มีข้าก็มีแต่ได้กับได้ นำพาชื่อเสียงมายังอควาเรี่ยมอีกต่างหาก ผู้คนชื่นชมขนาดนี้ก็ต้องมีการปรนนิบัติเลี้ยงดูอย่างดิบดีแล้วล่ะ คิกคักเยินยอข้ากันสักหน่อยสิ อุวะฮ่า ๆ ข้าขอห้องนอนเป็นการส่วนตัวด้วยนะ ไม่อยากอยู่กับเจ้าตี๋อีกต่อไปแล้ว เบื่อเต็มที ! กลัวตื่นมาเจองูอีก เชื่อว่าสักวันหนึ่งงูมันต้องหายตัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง

จ๊ะเอ๋ ทวารหนักข้าแน่ ๆ  หูรูดพังยับแน่นอน ทางที่ดีหาเมียให้แม่งด้วย !

รีบสะบัดหัวปัดไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก้มลงไปเลียหยาดนมอุ่น ๆ ในถ้วยชาม พลางกระดิกหูฟังบทสนทนา

“ถือว่าเจ้าตัวเล็กนำโชคมาให้เรา” เสียงแม่ของเจ้าตี๋ที่ข้ายังไม่รู้จักชื่อเช่นเคยกล่าวชมเปาะ

ข้าพยักหน้าเห็นด้วย และยิ่งพอใจมากขึ้นเมื่อคุณฐิติกรก็ไม่ได้ฉุกคิดจะคัดค้าน หรือโต้เถียงขึ้นมาว่า ‘โชคดีกับผีน่ะสิ ทำบ้านกูฉิบหายวายวอด อีเวรตะไร’ ข้าเองก็พลอยชื่นใจ…

“วันนี้คงต้องให้เจ้าตัวเล็กขึ้นแสดง”

เอ๊ะ อะไรนะ ? ข้าสลับหันไปมองทางเจ้าตี๋ทันที ตั้งคำถามว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่คือหูฝาดใช่ไหม ทำไมพ่อของเจ้าถึงได้พูดจาไม่เข้าหู

“แต่ตัวเล็กเพิ่งซ้อมเต้นไม่กี่วันเองนะครับพ่อ” เจ้าตี๋แย้ง ส่วนข้าน้ำตาไหลเล็ด พยักหน้าหงึกหงักเห็นพ้อง รู้สึกว่าวันนี้อยากเรียกเจ้าตี๋ว่าผัวยิ่งนัก พูดจาโคตรน่ารับฟัง กระนั้นสิ่งที่คุณฐิติกรเอ่ยออกมา เล่นเอาข้าคว่ำถ้วยชามอย่างรวดเร็ว

“แค่นั้นก็มากพอ เจ้าตัวเล็กของลูกฉลาดแสนรู้จะตายไป ขนาดเผาบ้านได้ก็คงขึ้นแสดงได้แล้วล่ะ”

ฮึก คุณพ่อพูดจาเฮงซวย รับไม่ได้ ฮือออ แม่จ๋า ข้ารีบกระเถิบไปหาแม่ของเจ้าตี๋ เอาใบหน้าคลอเคลียอย่างออดอ้อน ส่งน้ำเสียงเศร้าสร้อยให้นึกส่งสารดัง “อุ๋ง~” หวังให้ท่านโต้เถียงแทนข้า แต่ทว่า…

“แหม น่ารักจริงเลย ก็ดีนะคะคุณ ฉันเองก็อยากเห็น เจ้าตัวเล็กมีสติสัมปชัญญะที่ดีกว่าสัตว์ทั่วไปอย่างที่คุณว่า”

ไม่มี ไม่มีเลยเจ้าค่ะ คุณแม่ได้โปรดรับรู้ด้วย ฮือออ อยากออดอ้อนหวนไห้เหมือนนางจันทร์วาดในเรื่องบุพเพสันนิวาส แต่วันนี้คุณแม่อยากทำให้ข้าเป็นโรคสันนิบาต

ข้ากระเถิบกายออกจากห้องรับประทานอาหารทันที

“ตัวเล็กจะไปไหน”

หาน้ำมัน

“เดี๋ยว ! ตัวเล็ก ดื้ออีกแล้วนะ ตกลงกันว่ายังไง” เจ้าตี๋ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเร่งมาทางข้าอย่างรวดเร็ว หมายจะจับแต่ก็เผลอหลุดมือไปหนึ่งหน เพียงเพราะข้าวิ่งเร็วราวกับหนู

สายตาพลันเมียงมองสิ่งรอบตัว ทุกอย่างเรียบร้อยหมดจด แง อดเผาคฤหาสน์ ก่อนจะถูกจับอุ้มขึ้นแนบอกจากคนที่คุ้นเคย

“ห้ามละสายตาไปไหน” ตี๋อุ้มข้าเสมือนเจ้าหญิงที่ถูกเจ้าชายโอบประคอง ส่วนข้านั้นบุ้ยปากเป็นที่เรียบร้อย ทำเสียงฟุดฟิดตรงปลายจมูก สะอื้นฮักอย่างน่าสงสาร บีบน้ำตาร่วงโรยจนดวงตากลมโตวาวระยับ เล่นเอาชายหนุ่มตื่นตะลึง

“เป็นอะไร ทำไมร้องไห้…”

ฮึก ข้าไม่อยากแสดง ชี้ครีบไปทิศทางที่ครอบครัวของเจ้าตี๋ได้อยู่ หวังให้เข้าใจผ่านภาษากาย

“ไม่อยากแสดงเหรอครับ ?”

หงึกหงัก ข้าพยักหน้ารับ พลันซุกอกคนตัวโต ดีใจนักที่เจ้าตี๋เริ่มเข้าใจมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งลำตัวของข้าในยามนี้ก็สั่นระริก ไม่ว่าใครเห็นก็อดไม่ได้ที่จะนึกสงสาร

คุณพี่ได้โปรดรับรู้ด้วย…

“ไม่ร้องนะครับ หยุดร้องก่อน แล้วเดี๋ยวตี๋ไปคุยกับพ่อให้อีกที”

เค ข้าลอบปาดน้ำตา ฉีกยิ้มเจื่อนๆ ในบันดล ถือว่าการแสดงที่ใช้ไปไม่เสียเปล่า ฉลาดน้อยกว่าข้าก็คงเจ้าตี๋นี่แหละ…

กว่าเจ้าตี๋จะคุยกับคนเป็นพ่อได้ ข้าก็ถูกพามาเจอฝูงสิงโตทะเลของตนเองเป็นที่เรียบร้อย

ณ อควาเรี่ยม สิ่งดี ๆ คือการมีผู้คนเข้ามาเยอะผิดหูผิดตา แน่นขนัดเหมือนฝูงมดที่วิ่งพล่าน ส่วนข้านั้นที่วินาทีนี้ดำดิ่งลงมาในสระ ว่ายผ่านก็เห็นตู้กระจกมีเด็ก ๆ เกาะติดหนึบเหมือนกับตุ๊กแก จับจ้องข้าตาพราวที่เริ่มว่ายน้ำอยู่กับที่

ข้าว่ายเข้าไปใกล้ตู้กระจกมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉายให้เห็นถึงการผูกมิตร เป็นสัตว์ที่แสนเชื่องน่าเอ็นดู กะจะแยกเขี้ยวขู่คำรามเป็นการกลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ากระจกมันจะมีความหนาถึงเพียงนี้ หน้าของข้าจึงกระแทกเสียดังปึก ลำคอหดงอเข้าหาตัวโดยพลัน รีบสะบัดใบหน้าทันทีเพื่อหวังทุเลาความเจ็บปวด ปรือตามองก็เห็นผู้คนหัวเราะซะแล้ว

“ฮ่า ๆ” หัวเราะอะไรไม่ทราบ แดกยากล่อมประสาทมาเหรออีพวกหน้าโง่ ตลกมากดิ ข้าแยกเขี้ยวหมายจะกัดพวกมนุษย์ ซี่ฟันจึงได้แต่ขูดไปกับกระจกใสๆ ให้คันเขี้ยวเล่น

พวกมนุษย์เอาแต่ดูข้าอย่างสนอกสนใจ ไม่ต่างจากคำพูดที่คุณฐิติกรเคยให้เอาไว้ แถมเจ้าตี๋ในยามนี้ก็ไปคุยธุระกงการกับคนเป็นพ่อ ข้าจึงต้องอยู่กับฝูงสัตว์ของตนเอง

โอ๊ะโอ และนั่นพวกเจ้าหยิบมือถือมาถ่ายคลิปกันอ๋อ เห็นผู้คนยิ้มหน้าบานแทบจะฉีกไปถึงไปหู มือไม้ตั้งท่าถ่ายคลิปเป็นที่เรียบร้อย มีความสุขกันน่าดู ข้าจึงว่ายน้ำลอยตัว ครีบล่างสะบัดไปมาเพื่อให้ลอยอยู่เหนือพื้นดินของผิวน้ำ ก่อนจะใช้ครีบขวาและซ้ายทำท่าเหมือนนักเต้นระบำของชาวเกาะฮาวาย แสดงให้ผู้คนในที่นี้ได้รับชมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อผลพลอยได้ล้วน ๆ

ยิ่งพวกเจ้าสนใจมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งได้รับกรณียกเว้นมากขึ้นเท่านั้น ดูแลปรนนิบัติอย่างดีเยี่ยม ! ฉะนั้นมองเสียเถอะ ตาดูแต่มืออย่าต้อง !

เอาล่ะ…

ฮูล้า ฮูลา ฮูลาๆ ไปทะเล ฮูเรฮู้เร ~  เยเย้ ทุกเวลา ฮู้ล้า ฮูลา อะ รารารา ในทะเล อีเย้อีเย เฮฮา ! ฮูล้า ฮูลา ! ตึงๆๆ โป๊ะ ตึงๆๆ  โป๊ะ !

ขยับสะโพกโยกเอวแรง ๆ เรียกเสียงฮือที่ดังลั่นจากฝูงชน และด้วยความที่กระจกมันหนามาก ข้าจึงแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย มันแค่ดังเจือจางเท่านั้น แต่คำพูดของเด็กที่ตะโกนถามแม่ทำข้าหัวเสียในบันดล

“แม่ฮะ สิงโตทะเลเป็นกะเทยเหรอฮะ !”

มึงสิอีกะเทย ! ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ! อ๊ากกกก ! อยากหาไรมาทุบกระจกให้แตกฉิบหาย

พวกเด็กผีทั้งหลาย ข้าไม่เล่นด้วยแล้ว ! ว่ายน้ำหนีแม่งเลยดีกว่า ขึ้นมายังบกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เจ้าสิงโตทะเลที่ตัวใหญ่กว่าก็ถามไถ่ตามภาษาเผ่าพันธุ์เดียวกัน

“เจ้าตัวเล็ก” แถมยังมีหน้ามาเรียกเหมือนที่เจ้าตี๋เรียกข้าอีกต่างหาก

“อะไร !” คนยิ่งอารมณ์โมโหโทโสอยู่ ถลึงตามองเจ้าตัวใหญ่เพศผู้ ร่างกายอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโตเต็มที่

“นั่นมิตรสหายของเจ้าใช่หรือไม่” เจ้าตัวใหญ่ชี้ครีบไปทางสิงโตทะเลที่กำลังหลับอุตุ ช่างเป็นสัตว์ที่แสนเกียจคร้านกว่าใคร ๆ มันเป็นตัวเดียวกับที่ข้าเคยเอาไปบูชายัญและผลักลงน้ำนั่นแหละ

“เปล่า” ข้าปฏิเสธทันควัน

“ได้อย่างไร ข้าเห็นเจ้ารังแกเจ้านั่นอยู่บ่อย ๆ” อีกฝ่ายจ้องตา เป็นสัตว์สิงโตทะเลที่มีความฉลาดเฉลียว หากกล่าวกันว่ามนุษย์นั้นมีสติสัมปชัญญะที่ดีพอ สัตว์อย่างพวกเราก็คงไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นคงไม่สามารถเข้าใจหรือเรียนรู้ในสิ่งที่มนุษย์สั่งสอนกันได้

เจ้าสิงโตทะเลพวกนี้เองก็ไม่ต่าง ล้วนมีการพูดคุยกัน เสียส่วนใหญ่จะเป็นการคำรามและอยู่อย่างสงบกันมากกว่า

“ข้าเปล่า” ข้าส่ายหน้าประกอบ

“งั้นหรือ ช่างน่าเสียดาย” เจ้าสิงโตทะเลเริ่มมีสีหน้าสลด ก้มหน้างุดเหมือนคนอกหัก ปรายตามองเจ้าตัวเล็กที่ยังหลับอุตุห่างออกไปจากข้างกายเล็กน้อย แถมยังพ่นลมหายใจดังฟี้ให้ได้ยิน

เอ๊ะ สายตาแปลกๆ แบบนี้หรือว่า…

“ท่านอยากปี้เจ้านั่นหรือ ?” เผลอหลุดปากออกไปโดยไม่ทันไตร่ตรอง

ตายจริง แม้แต่สัตว์ก็ยังชอบเพศเดียวกัน อ๊าก ! ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดหรอกนะ แต่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกในชีวิตนี้

“ปี้ ? คืออันใด ?”

“เอ๊ะ ปะ เปล่าข้าไม่ได้พูด” ข้ายิ้มกลบเกลื่อน พลางหัวเราะแฮะๆ แต่สิงโตทะเลตรงหน้าก็ยังแคลงใจ

“แต่เจ้าพูดนะ”

“ข้าเปล่า…”

“ใช่สิ ข้าได้ยินกับหู เจ้าพูดคำว่าปี้”

“ก็บอกว่าเปล่าไง”

“งั้นหรือ” เจ้านั่นพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ ท่าทีดูปล่อยวาง หันไปมองเจ้าสัตว์ตัวจ้อยที่ยังหลับตาพริ้มดูน่ารักน่าชัง แววตาคล้ายไตร่ตรองบางสิ่ง แต่ไม่นานก็หันกลับมามองพูดกับข้าดังเดิม

“แต่เจ้าพูดคำว่าปี้จริงๆ นะ” ยังไม่พ้นเรื่องคาราคาซัง

“เจ้าพูดคำว่าปี้” ย้ำอีก

“เออ ปี้ก็ปี้วะ !”

“เห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าพูดคำว่าปี้” เจ้าสิงโตทะเลยิ้มเบาบาง ก่อนจะถามประโยคต่อมา “แล้วปี้คืออันใด ?”

“ปี้คือผสมพันธุ์”

“ศัพท์ของเจ้าช่างแปลกประหลาด” สิงโตทะเลเพศผู้ถึงกับถอยออกห่าง สีหน้าคล้ายตึงเครียดกับศัพท์ไม่คุ้นหู ข้าจึงได้แต่ตอบปัด

“ข้าคิดค้นขึ้นมาใหม่ มันดูไพเราะมากกว่า”

“งั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะได้นำไปใช้” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ดูกระจ่างแจ้งมากยิ่งขึ้น ใบหน้าจึงผ่อนคลายลง

“ถ้าเช่นนั้น ที่เจ้าพูดกับข้าหมายความเช่นไร”

“หมายถึงอะไร ?”

“ก็ ‘ท่านอยากปี้กับเจ้านั่นหรือ’ ที่เจ้าได้พูดไว้ในทีแรก” สิงโตทะเลที่มีสิทธิ์เป็นพี่ชายอธิบายในสิ่งที่ข้าเคยลั่นวาจา ข้าที่ได้ยินจึงร้องอ๋อซะยาวเหยียด พูดแถลงไขให้เข้าใจ พร้อมกับยกครีบชี้ไปที่สิงโตทะเลที่ยังคงหลับไม่สนโลก เจอะเจอกันกี่ทีก็ยังหลับแม่งอยู่อย่างงั้น

“หมายความว่าท่านอยากผสมพันธุ์กับเจ้านั่นใช่หรือไม่”

“…” อีกฝ่ายถึงกับสตั้นเลยทีเดียว ดวงตาเรียบนิ่งค่อยๆ เบิกถลน ท่าทางเลิ่กลั่กผิดปกติ หากเป็นมนุษย์คงเรียกได้ว่าหนุ่มซึนสิ้นดี ใบหน้าคงร้อนผะแผ่ว อาการเก็บไม่อยู่กับถ้อยคำจาบจ้วง

“ช่างน่าไม่อาย !”

“มึงน่ะสิ” ข้าโต้กลับ

“ศัพท์แปลกหูอีกแล้ว แต่ช่างเถอะ น่าอายยิ่งนัก”

“สรุปท่านชอบเจ้านั่นจริงๆ ใช่ไหมล่ะ”

“ขะ ข้า ข้า…” อ่าว ตะกุกตะกัก แผ่นกระตุกเป็นชักกระตุกแล้วมั้งอีห่า

“อืมได้คำตอบแล้วล่ะ”

“ข้ายังไม่ทันกล่าว”

“ไม่ต้องกล่าวข้าก็ดูออก”

“…”

“นี่พี่ชาย เดี๋ยวข้าเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เอาไหม ?” ข้าอมยิ้ม ยกครีบข้างซ้ายตีที่บริเวณลำตัวของอีกฝ่ายเพื่อผูกมิตร

“ยังไงหรือ ?” เจ้าสิงโตทะเลสงสัย

“ข้าแนะนำให้ท่านไปปี้เจ้านั่นเลย”

“จะดีหรือ ?”

“ดีสิ” ข้ากลั้นหัวเราะ แค่นึกภาพตามก็อยากไปนอนเกลือกกลิ้ง

“ข้าจะลองดู” ใจกล้ายิ่งนัก ! สมเป็นลูกศิษย์

รีบเม้มปากโดยพลัน ตัวสั่นโยนเป็นที่เรียบร้อย มองสิงโตทะเลตรงหน้าที่กระเถิบไปหาอีกตัวที่ชอบจำศีล ไม่ช้านานภาพตรงหน้าก็เล่นเอาข้าดิ้นไปมาบนพื้น นอนหงายหลังหัวเราะอุ๋งๆ เหมือนคนบ้า

ภาพเจ้าสิงโตทะเลตัวใหญ่ขึ้นคร่อมสัตว์ตัวเล็ก ใช้ร่างกายบดเบียดกระแทกเหมือนสมสู่ ผิวเนื้อกระเพื่อมไปมา ทำให้สิ่งใต้ร่างที่กำลังหลับตาพริ้มเบิกตาโพลง ส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น

“อุ๋ง !!”  ดีดดิ้นเป็นบ้าเป็นหลัง ขณะที่เจ้าตัวใหญ่เริ่มตื่นตระหนก ถอยออกห่างในทันที

“นี่ท่านคิดจะสมสู่ข้าหรือ !” เจ้าหนูที่ชอบนอนเป็นประจำเอ่ยขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเสียง

“ขะ ข้า”

“ออกไปห่างๆ ข้าเลยนะ !” อ้าปากโชว์ฟัน บ่งบอกให้รู้ว่าถ้าขืนเข้าใกล้มาอีกสักนิดจะเริ่มประทุษร้าย

เจ้าสิงโตทะเลตัวใหญ่หน้าสลด ใช้ครีบกระเถิบกายมาหาข้าในวินาทีต่อมา สีหน้าเศร้าสร้อยยิ่งนัก พูดตั้งคำถาม

“ไม่เห็นได้ผลเหมือนที่เจ้าว่ากล่าว”

“ข้าหยอกล้อท่านเล่นน่ะพี่ชาย ไม่คิดว่าพี่ชายจะใจกล้าไปขืนใจ” ข้าตอบพร้อมรอยยิ้มละมุนละไม

หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 02-07-2019 21:15:48
.
.
.

“ตัวเล็ก” เสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง ข้าเหลียวหน้าหันไปมองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพูดคุยกับสิงโตทะเลตรงหน้าต่อ

“ข้าคงต้องไปแล้ว”

“เจ้านี่ช่างโชคดีมีทาสมนุษย์เป็นของตัวเอง” สิงโตทะเลพยักหน้ารับ พูดชมคล้ายอิจฉา ข้าเลยหดคอในทันที รีบส่ายหัวเป็นพัลวัน

“อย่านึกอิจฉาข้าเลยพี่ชาย ทาสคนนี้วิปริตยิ่งนัก ข้าไม่อยากจะนินทาหรอกนะ แต่เจ้านี่มีอารมณ์กับสัตว์อย่างพวกเรา”

“จริงหรือ ? แล้วทำไมเจ้ายังอยู่กับทาสคนนี้อีกล่ะ หรือว่า…”

“หรือว่า ?”

“หรือว่าเจ้าเสียท่าตกเป็น…”

“หุบปากเลยอีพี่ชาย ! ข้ายังไม่ได้ตกเป็นเมีย !” รีบแทรกคำพูดอย่างเอ็ดตะโรเสียงดังลั่น เห็นสีหน้ามองเหยียดก็รู้ซึ้งถึงห้วงความคิด

สิงโตทะเลคิดสัปดน !

“ข้ายังไม่ทันพูดจบประโยค” อีกฝ่ายล้อเลียนคำเดียวกับสิ่งที่ข้าเคยกล่าว ทำให้ข้าได้เข้าใจว่าสิงโตทะเลก็ตอแหลเป็น

เอ๊ะ ตอแหลเหมือนใครคุ้นๆ จังเลย

“อย่าให้ข้ารู้นะว่าหล่อนมีพิรุธ” ข้าหรี่ตามองอย่างจับผิด ใช้คำพูดเหมือนในหนังเรื่องหนึ่ง

“ทาสของเจ้าเข้ามาใกล้แล้ว” สิงโตทะเลบ่ายเบี่ยง แหงนหน้ามองเงาอึมครึมที่อยู่ด้านหลังของข้า

ข้าพลันหันไปมองก็เห็นเจ้าตี๋ที่ยืนตระหง่าน ใบหน้าแย้มยิ้มให้เห็นแก้มบุ๋มข้างซ้ายเป็นพิเศษ สลับมองข้ากับสิงโตทะเลอีกตัว

“คุยกับเพื่อนอยู่เหรอครับ ?” เจ้าตี๋เอ่ยถาม ส่วนข้าที่แหงนหน้ามองอย่างหยิ่งผยองก็หันมามองอีกเสียงหนึ่งที่ตั้งคำถาม

“เจ้าสั่งทาสมนุษย์ได้หรือไม่ ? ข้าเห็นคนผู้นี้ติดตามเจ้าตลอด”

“ได้สิ” ข้าผงกหัวขึ้นลงตอบกลับ

“ว้าว จริงหรือ ? ข้าอยากเห็นเป็นบุญตา”

“งั้นดูเสียพี่ชาย เอ้าเจ้าตี๋ ! ก้มลงมาซะ” รีบหันไปพูดกับคนตัวโต ใช้ครีบชี้ลงที่พื้นเพื่อให้อีกคนย่อเข่าลงต่ำ ฉับพลันเจ้าตี๋ที่เข้าใจภาษากายก็ย่อตัวลงมาทันที

“เจ้าสั่งมนุษย์ได้จริงๆ ด้วย !” สิงโตทะเลตื่นตะลึงทันทีที่เห็นเจ้ามนุษย์คุกเข่าต่อหน้าข้า พร้อมแย้มยิ้มกระพริบตามองข้าอย่างฉงน เห็นดังนั้นข้าก็รู้สึกภาคภูมิใจ หลับตาพริ้มยกครีบตอบปัดไปมาอย่างถ่อมตัว

“ไม่หรอกพี่ชาย เรื่องเล็กน้อย ของอย่างงี้ฝึกฝนกันได้”

“คุยไรกันอะครับ เราไปกันเถอะนะตัวเล็ก นี่ก็ใกล้เวลาแสดงแล้ว”

“อุ๋ง !” (เอ้า !) ก็ไหนเจ้าบอกข้าว่าจะไปคุยกับพ่อให้ไง แล้วนี่อะไรกัน กลับมามือเปล่าชัดๆ อีลูกเลี้ยงไม่เชื่อง ! เลี้ยงเสียข้าวสุก !

“ตี๋ขอโทษ พ่อเขาไม่ยอมจริงๆ นะวันนี้วันเดียว แล้วเดี๋ยวตี๋พาไปเที่ยวหาของมาตอบแทนเลย”

“อุ๋งๆๆ !” (เจ้าก็หลอกลวงอย่างงี้ตลอดแหละ !) เชื่อถือไม่ได้สักนิด ! วันก่อนก็บอกว่าจะพาไปเที่ยวทะเล พาไปดูน้ำตรงชายหาด สุดท้ายเป็นไง ? ข้าได้ดูน้ำว่าวแทนไงอีสัตว์ ! ทะเลในยามนี้จะกลายเป็นทะเลสาบอยู่แล้ว

ไม่ใช่สาบธรรมดาด้วยนะ สาปส่งมึงเนี่ยอีตี๋ !

“ตัวเล็ก ตี๋แปลไม่ออก แต่คิดว่าตัวเล็กต้องด่าแน่ๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวซื้อแท่งไฟแบล็คพิ้งก์วันนี้ให้เลย”

“เฮ้ ! พี่ชาย ข้าลาล่ะ” ข้ารีบหันควับไปมองสิงโตทะเลตัวใหญ่ทันที อย่างน้อยเจ้าตี๋ก็มีข้อดีอยู่อย่าง

“เอ้า ทำไมรีบจัง เมื่อครู่เจ้ายังด่าเจ้ามนุษย์หมาดๆ”

“ข้าเป็นไบโพล่าร์ ท่านอย่าถือสาหาความข้าเลย พอดีข้ามีภารกิจสำคัญต้องไปทำ”

“แล้วไบโพล่าร์คืออะไร ?”

“คืออีสัตว์ เลิกถามมาก ข้าขี้เกียจตอบคำถาม” สิ้นคำพูดก็รีบกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของเจ้าตี๋ที่กางรอรับเอาไว้ในทีแรก “อุ๋ง ๆ” (บะบายพี่ชาย) พูดอำลาสิงโตทะเลอีกครั้งหนึ่ง

 

เมื่อมาถึงจุดที่ต้องเตรียมสแตนบาย เจ้าตี๋ก็พูดถึงสิ่งที่ต้องทำตามเป็นแบบแผน ข้าที่ฟังไปก็เอาปากกาเขียนใส่กระดาษไปด้วย

“ทำตามนี้นะครับตัวเล็ก อย่างที่เราเคยฝึกกันไว้”

[Blackpink !] ชูให้เห็น อย่าลืมของสมนาคุณให้ข้าด้วย !

“รู้แล้วครับ ตี๋ไม่ลืมหรอก จะหาซื้อให้ได้เลย” ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ข้าก็เอียงหน้าไปทางซ้ายเล็กน้อย ปรายตามองดูหมิ่นอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไร หากเป็นครั้งก่อนคงหลอกลวงกันได้ แต่ครั้งนี้มีแบล็คพิ้งก์เข้าแลก ฉะนั้นตอแหลเมื่อไหร่ โดนแน่เจ้าคนปลิ้นปล้อน !

ข้ายกครีบชี้มาที่ตาตัวเองและสลับชี้ไปที่ลูกตาของเจ้าตี๋ ทำแบบนี้สองสามครั้งด้วยการหรี่ตามองอย่างจับผิด บ่งบอกให้เข้าใจว่าจับตามองทุกฝีก้าว ถ้าไม่ได้ป๊อกๆ นะ เดี๋ยวหรรมเจ้าได้หักดังป๊อกแน่ !

“ถ้ามีคนเรียกชื่อเมื่อไหร่ ตัวเล็กก็ออกมาได้เลยนะครับ” ร่างสูงย้ำคำดังเดิม มีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเรื่องนี้คือสิ่งที่พลั้งพลาดไม่ได้เด็ดขาด ข้าเลยผงกหัวรัวแรงอย่างเข้าอกเข้าใจ ชี้ครีบมาที่ตัวว่าเมื่อไรที่ถูกเรียกขาน ก็ให้โผล่หัวออกไปทันที ถูกไหม ?

“ใช่แล้วครับ” โอเค อ่านภาษากายกันออก อีกสักหน่อยก็อยากให้อ่านจิตอ่านใจของข้าบ้าง รับไม่ได้แล้วนะกับเรื่องบัดสี หัวเห็ดบานตะไท สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากแหล่งรกชื้น จากหญ้าเขียวขจี หญ้าแม่งก็กลายเป็นสีดำสนิท ข้างงไปหมดแล้ว

เห็ดเหี้ยไรพ่นน้ำได้ด้วยอะแม่จ๋า

“ตี๋ไปก่อนนะ” ฮือออ อยากจะร้องไห้ ยกครีบมาปาดน้ำตากับความทรงจำห่าเหวที่ยังตามติดยิ่งกว่าผีชัตเตอร์

ฮึก เจ้าไปเถอะ ห่างกันสักพักแบบหวายกามิกาเซ่ก็ยังดี

‘ห่างกันสักพัก ห่างกันสักพักมันคงจะดีเสียกว่า ไม่ได้ถือสา ไม่ได้ถือสากับคำที่เธอนั้นบอก ก็ข้าไม่ค่อยจะรู้หรอก ก็ข้าไม่ค่อยจะรู้หรอก ว่าอีเห็ดแบบนั้น ว่าอีเห็ดแบบนี้ ที่จริงมันแปลว่าไง’

“เอาล่ะค๊า ในที่สุดก็ถึงเวลาแก่การแสดง วันนี้จะมาโชว์ความสามารถของสิงโตทะเลกันนะคะ หากใครได้ติดตามข่าวสารจะรู้กันดีว่าทางอควาเรี่ยมของเรามีเจ้าตัวเล็กอยู่ด้วย เอ๊ะ เจ้าตัวเล็กคือใครเหรอคะ ? เจ้าตัวเล็กก็คือลูกสิงโตทะเลที่เผาบ้านไงค๊า ~ ฮ่าๆ มุกขำๆ ค่ะ น้องๆ หนูๆ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ โอ๊ะ วันนี้ก็มีน้องตี๋มาช่วยเราด้วย เป็นครูฝึกของน้องตัวเล็กนี่แหละค๊า”

“สวัสดีครับ ผมชื่อตี๋ เป็นครูฝึกของน้องตัวเล็กครับ”

“กรี๊ดดดด !” เสียงกรี๊ดดังสนั่นหวั่นไหวในทันทีที่จบประโยค ข้าอดไม่ได้ที่จะเบะปาก เพิ่งรู้ว่าอควาเรี่ยมมีสัตว์บกด้วย เสียงชะนีถึงได้โหวกเหวกร้องหาผัว

เหอะๆ เห็นเจ้าตี๋หล่อหน่อยก็ระริกระรี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันเลยนะ นี่ถ้ารู้ว่าเจ้าตี๋มีอารมณ์กับสัตว์ ดูซิจะยังชอบกันอยู่ไหม ในวันแต่ละวันข้านี่เห็น ลวย ลวย ลวย หาใช่เงินทองไม่

“นับหนึ่งถึงสามพร้อมกันนะคะ และเดี๋ยวน้องตัวเล็กของเราถึงจะยอมออกมา ถ้าเสียงเบาจนเกินไป น้องตัวเล็กของพวกเราจะไม่ได้ยินเสียง ฉะนั้นช่วยกันพูดนะคะ เอาล่ะ พูดคำว่าน้องตัวเล็กพร้อมกัน หนึ่ง สอง สาม !”

“น้องตัวเล็กกกกกกกกก !” เรียกหาพ่อมึงเหรอจ้า ~ พลันกระโดดลงตูมจากสระทันที ว่ายและดีดตัวขึ้นมายังบก คลานกระเถิบมาหาเจ้าตี๋อย่างฉลาดแสนรู้ พินิจดูผู้คนที่หยิบมือถือมากดถ่าย ส่งเสียงดังว่าน่ารักไม่ขาดปาก ขณะที่ข้าต้องทำหน้าตาบ๊องแบ๊ว เอาหน้าถูไถต้นขาเจ้าตี๋อย่างออดอ้อน ใครเห็นก็คงหลงคิดว่าเป็นสัตว์น่ารักน่าชัง

“น้องสิงโตทะเลเป็นกะเทย”

อีเด็กเหี้ยนี่อีกแล้ว !! ข้าหันควับไปมองตามต้นเสียงเจอเด็กผู้ชายชี้นิ้วมาทางข้า เป็นคนเดียวกับที่เคยกล่าวหาว่าข้าเป็นกะเทย

เดี๋ยวก่อนเถอะไอ้เด็กเปรต เดี๋ยวมันจะมีการแจกอาหารปลาให้สิงโตทะเล เจ้ามายื่นให้ข้าเมื่อใดข้าจะกัดให้ร้องจ๊ากเลยทีเดียว

ฝ่ายพิธีกรเริ่มการแสดงรอบแรกของสิงโตทะเลเพศผู้ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง พูดพลางให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสายพันธุ์ของสิงโตทะเล โชว์ความสามารถที่เดาะบอลได้ของเจ้าสัตว์ทะเลครึ่งบกครึ่งน้ำ แอ่นตัวโค้งประหนึ่งเล่นโยคะซึ่งข้าไม่สามารถทำตามได้ อีกฝ่ายโยนบอลขึ้นและรับด้วยบริเวณปลายจมูก ใช้ครีบตบมือเรียกเสียงผู้คนให้ตบมือตามจังหวะเพื่อให้บรรยากาศดูครึกครื้น สายตาที่มีไม่ต่ำกว่าห้าร้อยคนจับจ้องอย่างตื่นตาตื่นใจ หัวเราะเวลาสิงโตทะเลหมุนคอเพื่อห่วงฮูลาฮูปไปมา พร้อมมีเสียงเพลงประกอบฉากการแสดง

ท้ายที่สุดก็มาถึงคิวของข้า ขณะที่สิงโตทะเลอีกสองตัวยืนอยู่บนตั่งพื้นผิวเรียบ คอยอ้าปากรับอาหารที่เจ้าหน้าที่ยื่นมาให้ ความสูงของตั่งที่นั่งอยู่ในระดับห้าสิบเซนติเมตรประมาณช่วงต้นขาของเจ้าหน้าที่ สิงโตทะเลหันหน้าเข้าหาสระเบื้องหน้า โดยมีราวกั้นออกห่างจากผู้คนที่แน่นขนัดอยู่บนอัฒจันทร์

“วันนี้น้องตัวเล็กของเราจะโชว์การแสดงด้วยการเต้นนะคะ” พิธีกรกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า ข้าที่นั่งอยู่ไม่ต่างจากสิงโตทะเลตัวอื่นๆ ที่อยู่ข้างกาย แอบเหลียวมองหน้าเจ้าตี๋เล็กน้อยผ่านหางตา

นี่ข้าต้องเต้นเพลงนี่จริงๆ สินะ เฮ้อออ ลอบถอนหายใจในจังหวะที่เพลงก็มาพอดี ปากที่มีแครอทคาบอยู่ก็โยกคอไปมาทางซ้ายและขวา หดขึ้นและหดลง

[เพื่อนฉันเป็นชาวเขาชาวดอย ตัวน้อยๆ หน้าตาขาวๆ มาโรงเรียนก็มากันแต่เช้า ทั้งม้ง เย้า กะเหรี่ยง มูเซอ] เพลงเด็กดอยใจดีเริ่มต้น ส่วนข้าที่ไม่ได้เต้นแค่โยกหัวก็ยกครีบเบื้องหน้าโบกสะบัดไปมา จนกระทั่งถึงท่อนฮุกเลยเต้นแรงมากขึ้นด้วยการโยกตัวและหมุนหัว พาลรำคาญผู้คนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจ

อยากเปลี่ยนจากแครอทฟาดหัวเป็นปาระเบิดแม่งทันที

[โอ๊ะ เอาแคเหราะ มา ฝะ หยะ ให้เธอได้กี ผะ มีวิตามิน ไม่ต้องกีขอแพ ~]

โอ๊ะ เอาระเบิดมาฝะ หยะให้เธอได้ตาย ไส้ของเธอกระจุย กระจายเหมือนสีแครอท ~

[ลา ~ ลันลา ลันลา ~ ลัน ลัน ลันลา  ลันลา ลันลา ~] บึ้ม ! ตายไปให้หมดอีฉิบหาย

แปะๆ เสียงตบมือดังสนั่นเมื่อจบเพลง ข้าก็ปล่อนแครอทที่คาบอยู่ร่วงหล่นตรงพื้นในทันใด หรี่ตามองเหมือนสัตว์ที่กำลังง่วงงุน สีหน้าคล้ายรำคาญอยากหายไปจากพิกัดนี้เต็มที หากทว่าเสียงดนตรีที่คุ้นเคยก็กลับดังขึ้น เล่นเอาหัวใจของข้ากระตุกวูบ ไรขนลุกซู่กับเสียงแรกที่ได้ยิน พลางเบิกตาถลน เหมือนตัวเองได้วาร์ปไปที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้

โลกที่มีแต่สีชมพูและดำ !

[ตึง ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ เย้อีเยอีเย ~ แบล็กพิ้งก์อินยัวแอเรียย๊ะ !]

“อุ๋งๆ !” (อินยัวแอเรียย๊ะ !) หลุดเสียงร้องอย่างอดไม่ได้ ตัวที่เคยหลังค่อมเหยียดตรงอย่างภาคภูมิใจ หูกระดิกฟังดนตรีตี๊ดๆ พลางยกครีบทั้งสองดันออกห่างจากลำตัว จากนั้นท่อนของเจนนี่ที่จบประโยค ‘เย้อีเยอีเย’ ก็มาทันที

[ชอนซา กาทึน Hi กือเทน อักมา กาทึน Bye] ข้ายกครีบซ้ายโบกสะบัดเหนือศีรษะทันที วางจริตจะก้านเหมือนได้เป็นนักเต้นมืออาชีพ ไม่สนหัวผู้คนที่เบิกตาโพลงอย่างตกกะใจ

องค์มาฉุดไม่อยู่แล้วแม่ อีนรกตัวไหนมาเปิดเพลงนี้กัน ช่วยข้าด้วยยย !

[เมบอน มีชึล ดึชทัน High ทเวเอน เบทอ ยา ฮานึน Price อีกอน ดาบี ออพนึน Test] ยกครีบกางออก ทำเหมือนมีศอกแตะอยู่ที่เอว และหมุนเอวพลิ้วๆ เป็นวงกลม ก่อนจะชูครีบขึ้นเหนือหัว ครีบขวาเหยียดออกข้างลำตัว ส่วนครีบซ้ายยกขึ้นวางอยู่ตรงหลังกระหม่อมของตนเอง เต้นเหมือนที่เคยดูเหล่าแบล็กพิ้งก์ได้ขึ้นการแสดงโชว์ [เมบอน ซกดอ ราโด Yes ~ ตักฮัน ชัมชองเง โนเย ออรอ ชูกึล ซารางเฮ]

ตั้งท่าเรียบร้อย ก่อนที่จะจบประโยคซารางเฮก็ยืนขึ้นบนตั่งที่นั่งอย่าไม่เกรงกลัวว่าจะหัวฟาดพื้น พลันกระโดดลงจากที่สูงไปหาสิงโตทะเลข้างกาย ใช้ครีบล่างกระโดดเตะตามจังหวะ

[Here I come kick in the door !] ผัวะ ! “อุ๋ง !”

คล้ายได้ยินเสียงร้องจากสัตว์อีกตัวที่คว่ำคะมำ ส่วนข้าที่กระแทกกับพื้นแม้จะเจ็บก็ยังยืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผย ยืนขึ้นเหมือนมนุษย์ที่พร้อมจะงัดกระบวนท่ามาฟาดฟัน ทำตามเหมือนลิซ่าทุกอย่างที่หมุนเอวพลิ้วๆ เอามือไล่ตามลำตัว ใช้จังหวะที่ต้องเอาขาเตะเหมือนนักร้องสาวสวยอย่างลิซ่า ทว่าครีบล่างก็สั้นกุดจนข้าต้องล้มฟาดกับพื้น ถึงกระนั้น ก็ใช่ว่าเพลงที่คอยกล่อมประสาทและรักนักจะสามารถหักห้ามความบ้าบิ่นของข้าได้ ปากที่คอยร้องอุ๋งๆ ตาม ลิ้นแทบพันกับท่อนเนื้อแรป

[คือ ตีตึซ ทัน ตอลรีมี เซปัลกัน ซอลเรมี มีชี heaven คัทเกช จีมัน You might not get in]

“อุ๋งๆๆ !” (แรปไม่ทันแล้วอีสัตว์ !) หลุดเสียงสบถดังลั่น ยืนหอบแฮ่กไปสักพักกับการที่ต้องร้องไปเต้นไป แถมคนเปิดเพลงแม่งก็ไม่คิดจะปิดเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้ข้าเป็นบ้าเพียงลำพัง เรียกความสนใจจากผู้คน

ข้าแอบปรายตามองไปทางเจ้าตี๋ก็เห็นมองตาวาวระยับ อ้าปากเหวอกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่มีพลังกายเหลือล้น นรกก็ฉุดไม่อยู่ [Look at me Look at you] ชี้ครีบมาที่ตัวเองเป็นการบอกให้สนใจฉัน สลับชี้ไปที่เจ้าตี๋และค่อยหมุนตัวเต้นเข้าหาผู้คนที่ยังจับตามอง

ฉิบหายมองตาค้างกันหมด สงสัยต้องผ่อนแรงลง ทำท่ายิงกระสุนแอ่นตัวโค้งไม่ให้ล้มหงายหลังเพราะยังเข็ดหลาบ [Let’s kill this love !]

เรียกรอปอภอด้วยค๊า [Yeah, yeah. Yeah !] ตึง ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ รอปอภอ ปอภอ ปอภอ ~

เอาให้มันหลุดโลกไปเลยจ้าแม่จ๋า ! ~ บอกซิว่าอีเวรตัวไหนมันเปิด เดาว่าเจ้าตี๋แน่ๆ ทำข้าสิ้นแรงจนหอบแฮ่กเหมือนสุนัขที่ถูกผสมพันธุ์ พลันล้มคว่ำไปนอนอนาถกับพื้นทันทีที่เพลงจบ

ชีวิตข้าสู่ขิตแล้ว รู้บ้างไหมว่าการเป็นติ่งมันเหนื่อยขนาดไหน ?

“ตัวเล็ก !” เสียงเจ้าตี๋ร้อนรนรีบวิ่งมาอุ้มตัวข้าที่นอนหมดอาลัยตายอยาก เขย่าตัวเมื่อเห็นข้าปรือตามองคล้ายจะหมดสติ

“อุ๋งๆ” (หิวน้ำ) เหนื่อยมากๆ เลย เสียงแหบไปหมดแล้ว ได้โปรดไปเอาน้ำให้ข้าที

“ตัวเล็กเป็นอะไร อย่าหลับนะตัวเล็ก !”

“อุ๋งๆๆ” (ข้าบอกว่าหิวน้ำ ข้าไม่ได้จะตาย) ทำไมยังเขย่าข้าอีกอีฉิบหาย ข้าหลับตาดีกว่าเหนื่อยเหลือเกินนัก วันหลังไม่เต้นแล้วนะ อย่าคิดจะเปิดเพลงนี้อีกเด็ดขาด หลับตาพักไม่ทันไรตัวก็สั่นคลอนรัวแรงอีก

“ตัวเล็ก !”

“อุ๋งๆ !” (บอกว่าหิวน้ำ !) เพี๊ยะ ! ยกครีบตีแขนเจ้าตี๋อย่างหงุดหงิด

นี่เจ้าเป็นอะไรมากปะ ? ต้องชี้ครีบไปที่น้ำตรงสระก่อนและสลับมาที่ปากถึงจะเข้าใจ

“อ๋อ ตัวเล็กหิวน้ำ”

“อุ๋ง !” (เออ !) น้ำเปล่าอะ ไม่ต้องเอาน้ำข้นหวานมาให้ข้าด้วย

เจ้าตี๋อุ้มข้าแนบอก หันไปพูดกับพิธีกรสองสามประโยคก็พาข้าหนีออกมาจากการแสดงโชว์ วิ่งวุ่นจนได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเรียกปลุก

“ตัวเล็กนี่ครับน้ำ”

“…” ข้าเงียบ จ้องแก้วน้ำที่เจ้าตี๋ยื่นมาให้ บอกว่าน้ำเปล่า แล้วนี่คือน้ำห่าอะไรกัน ?

“น้ำแดงอุทัยทิพย์ครับ ดื่มก่อนนะจะได้สดชื่น”

เฮ้อ นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นอะไร ศาลเหรอ ? หรือเจ้าที่ ? นี่มันแดงแจ๋นาดนี้ เลือดชัดๆ สั่งน้ำเปล่าแต่ได้น้ำแดง

ไม่รีดน้ำขุ่นๆ ของเจ้ามาให้ข้าดื่มเลยล่ะไอ้เจ้าบ้า !

ซ่า ! สะบัดแก้วทิ้ง ส่งเสียงร้องอย่างแหบพร่าให้คนฟังต้องแสบหู “กี๊สสสส !”

เหลืออดเหลือทนเต็มที โมโหหิวด้วย พาข้าไปนอนตายที่เดิมเถอะ ไอ้คนหล่อ หล่ออย่างเดียวแต่โง่อีกไอ้คนปัญญานิ่ม

ไอ้ขีปนาวุธ ไอ้หัวเห็ดบานตะไท ไอ้… “อุ๋งๆ !”

“เกรี้ยวกราดอีกแล้ว อีหรอบนี้โมโหหิวใช่ไหมครับ หรือง่วงนอน ? งั้นเดี๋ยวตี๋รีบพากลับไปที่พัก ทนก่อนนะ มาดื่มน้ำก่อนเถอะ ครั้งนี้อย่าดื้อนะครับ” เจ้าตี๋บอกเตือน พลางตักน้ำใส่แก้วใบใหม่นำมาให้ข้าดื่มชุ่มคอก่อนในทีแรก พอจะให้ลำคอที่แสบร้อนทุเลาลง และค่อยก้าวขาฉับไวออกจากจุดพักของการแสดง เดินไปตามทางเดินที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ สาวน้อยสาวใหญ่ทีแรกก็มองลูกสิงโตทะเลอย่างข้า แต่พอเงยหน้าเห็นเจ้าตี๋ก็ทำสีหน้าเหมือนโดนคิวปิดยิงศรรัก

ข้าเขม็งตาใส่ เอาหัวถูไถกับแผงอกของเจ้าตี๋อย่างลืมตัว เย้ยหยันมนุษย์เพศหญิงด้วยความรำคาญ

มองทำไมอีป้า เดี๋ยวก็ฟ้องผัวป้าเลยหนิ และนั่นอะไร เด็กแค่นี้มองผู้ชายตาเป็นมันซะละ เดี๋ยวข้าก็ฟ้องแม่ของเจ้าซะหรอก ระริกระรี้กันนักนะ ด่าในใจก็เอาหน้าถูไถกับแผงอกกำยำไปด้วย ลืมตัวจนเผลอสูดดมกลิ่นหอมของใครอีกคน ปลายจมูกฟุดฟิดอยู่ที่เสื้อผ้า อยากรู้นักว่าใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้ออะไรกัน ค่าโฆษณาต้องมาก่อนใช่ไหม แอบชะงักเมื่อได้ยินเสียงหยุดฝีเท้า ช้อนตามองก็เห็นเจ้าตี๋ก้มลงดูตั้งแต่แรก

“ตัวเล็กชอบดมตัวตี๋เหรอครับ ?”

“…”

“ไว้กลับบ้านไป เดี๋ยวตี๋ให้ดมอย่างอื่นด้วย”

ห๊ะ ? ดมอะไร !?

ฉับๆ ก้าวขารวดเร็ว แหงนหน้ามองไปทิศทางเบื้องหน้าโดยไม่สนใจข้าอีก ประเดี๋ยวสิเฮ้ยอีตี๋ ! เจ้าอย่าเพิ่งเดินต่อได้ไหม ก้มลงมาคุยกันก่อน กลับบ้านไปที่ว่านี่คือจะให้ดมอะไร

มึงจะให้กูดมอะไรรรรรร  แอร๊ยยยยย !! หัวของข้ามันมีแต่เรื่องสัปดนเต็มไปหมดเลย

“กี๊สสสสส ! แค่กๆ” หลุดสำลักเพราะยังแสบคอไม่หาย

นี่เจ้าจะให้ข้าดมไอ้ตรงนั้นใช่ไหม ! อ๋อ นี่มึงโรคจิตขนาดนี้เลยเหรอไอ้ตี๋ !

ครั้นเดินสวนผ่านเจ้าหน้าที่รปภ.

“สวัสดีครับ” เจ้าตี๋ก้มหัวทักทายผู้อื่น ส่วนข้าโผล่หน้าหันไปมองคนข้างหลังที่มองข้าอย่างฉงน ครีบขวายื่นไปหาอีกฝ่ายเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ

ข้าจะโดนลากไปดมอะไรก็ไม่รู้ คุณลุงช่วยเรียกตำรวจมาให้ที

“ฮึก อุ๋ง ~” (แงงงงง)
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 02-07-2019 22:35:26
น้องมาก อยากเอ็นดูด้วยฟิลเตอร์น้องแต่น้องก้าวร้าวแรงมากกก แง้
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 02-07-2019 22:40:21
 :hao7: น้อนนนนน น่ารักมากกกก ตลกมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-07-2019 00:36:24
 :กอด1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 03-07-2019 14:05:13
หมั่นเขี้ยวน้อนนน
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-07-2019 18:43:33
ตี๋ พูดเพราะ  :mew1:
ตัวเล็ก คิดไกล คิดลึก แถมก้าวร้าวนะ  o22 :really2: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 05-07-2019 18:14:32
ตัวเล็กน่ารัก นะ นางฮามาก หวังว่า ตี๋ คงเอาอยู่ นะ ลุ้นๆนะคู่นี้
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 06-07-2019 17:14:30
น้องงงงงงง ทำไมหยาบคายยย ฟิลกะเทยมากลูกก 55555
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 08-07-2019 11:46:19
น้อนนนนลู๊กก ยานแม่ลง ฟิลติ่งมาสุด!  :laugh:  :laugh:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ynessㅇㅅㅇ ที่ 12-07-2019 00:21:28
ตัวเร้กกกกกก  แม่อยากให้หนูกลายเป็นคนแล้ว
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 12-07-2019 03:00:36
น้องก็คือเก้วกาดมาก ยัยตัวเล็กดุร้ายมากๆ55555 แล้วตาพี่ตี๋จะให้น้องดมอะไร!
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 18-07-2019 19:46:41
น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 25-07-2019 19:28:48
....?ไปลอยทะเล ยุไหนเน้อ?
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 31-07-2019 21:08:30
มาอัฟ หน่อยนาจร้า  รอยุๆ
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-09-2019 21:28:10
หายไป จริงๆ หรือนี่ โอ้ยเนอะ  ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยากฮ้องไห่ เด้ อุดส่า รอ ม่ตลอด เมิ่ดคำสิเว่า
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 03-10-2019 17:30:12
ฮื่ออ ยังรออยู่นะคะ คิดถึงอุ๋งๆน้อยแล้วววว :hao5:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบเอ็ด (02/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: CKJPQQ ที่ 24-10-2019 09:30:28
 :z2:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (07/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 07-12-2019 00:09:45
ตอนที่ : 12
[/size]




“กี๊สสสส !” ปึกๆ ! เสียงครีบกระแทกกับกระจกรถดังลั่น พานส่ายหน้าเป็นพัลวันเหมือนเหยื่อที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ ข้าอ้าปากกรีดร้องภายในรถ เบิกตาโพลงจ้องถลนไปตามลานถนน ประจวบเหมาะกับที่มีรถอีกคันจอดเทียบอยู่ข้างๆ ข้าจึงเจอะเจอกับเด็กผู้หญิงใส่หูฟังหันมาทางกระจกรถด้านข้าง ทันทีที่เห็นข้าก็เบิกตาโต ริมฝีปากกรีดร้องไม่ต่างกันเลย

“กรี๊ดดดด !” อีกฝ่ายร้องลั่น

“กี๊สสสส !” ข้าเองก็ร้องแข่ง จากนั้นภาพของเด็กผู้หญิงตรงหน้าก็หายลับไปในทันที เมื่อรถยนตร์ของเจ้าตี๋นั้นได้ขับผ่านพ้นไป

“ตัวเล็กอย่ากรี๊ดสิครับ”

ขวับ ! รีบหันหน้ามาเขม็งใส่คนข้างกาย กล้าดียังไงมาสั่งสอน เจ้าตี๋ยังจับพวงมาลัยรถอยู่ จดจ้องไปตามถนนเบื้องหน้า พูดกับข้าทั้งที่ไม่มองตา

หึ กล้ามาก พวกเก่งแต่ปากแต่ไม่กล้าสบตา ! ไร้มารยาทสิ้นดี แน่จริงก็ปล่อยพวงมาลัยทิ้งซะสิ ปล่อยให้รถคว่ำตายโหงตายห่ากันไปทั้งคู่

“แอบมองเหรอครับ” เจ้าตี๋ชำเลืองมองมาทางนี้ ข้าก็เลยรีบหันขวับไปทางอื่นอย่างว่องไว

ฝากไว้ก่อนเถอะ ! ที่ไม่ยอมสบตาตอบก็เพราะกลัวจะโดนเจ้าไปจับดมอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้เจ้าชอบพูดจาสองแง่สองง่าม ลุ้นให้คนฟังต้องหวาดผวา

“ชิ” ข้าเชิดหน้าไปทางอื่น พลิกตัวไปนอนเอนหลังลงกับเบาะ โชว์พุงแผ่หลาให้เจ้าตี๋ที่แอบมองอยู่หลุดหัวเราะขำ

“ฮ่าๆ เอ็นดูจัง” เจ้าตี๋เอ่ย ส่วนข้ากลอกตาไปทางอีกฝ่าย วกกลับมามองที่กลางลำตัวของตัวเอง

เอ็นดู…

นี่แน่ะ ! ใช้ครีบบีบกระปู๋ให้มันดูเอ็น แอร๊ยยยย เล็กมาก คิดว่าเป็นเมล็ดทานตะวัน

“ต...ตัวเล็ก น่าเกลียด หยุดเลยนะ” เจ้าตี๋ตาโต หน้าแดงปลั่งไปทั่วหน้า เลิ่กลั่กเสียจนอยู่ไม่เป็นสุข ต่างจากข้าที่ไม่ยอมหยุดบีบนวดน้องชายตัวเองเล่น

“อุ๋งๆๆ” (ฮ่าๆๆ) หัวเราะขำกับท่าทีของอีกฝ่าย สาแก่ใจที่ได้เป็นฝ่ายเอาคืนก็นอนขำลั่นบนรถ ลำตัวไหลไปกับเบาะ เกลือกกลิ้งมีความสุขเหลือหลาย จนกระทั่งเจ้าตี๋เบรกรถกลางคัน ตัวข้าก็ไหลตกลงไปใต้ช่องวางเท้า พลันศีรษะโขกกับหน้ารถเสียงดังปึก

“ตัวเล็ก !” เสียงร้องลั่นของอีลูกช่างเบรก

ฟัคยูอีตี๋ ข้าเขม่นตาไม่พอใจ โชว์ครีบเหมือนชูนิ้วกลางใส่คนเบื้องบนที่ก้มหน้าลงมามองตา

ขับรถได้ส้นตีนมาก สอบใบขับขี่ไม่ได้ยังไงกัน ฉุกคิดจะทำให้ข้าตายห่าใช่หรือไม่ หน๊อยแน่ ลืมบุญคุณกันแล้วใช่ไหมฮะ ตั้งแต่พ่อเจ้าแล้วนะอีลูกทรพี ช่วยชีวิตกันทั้งครอบครัว นึกจะมาปรนนิบัติให้ข้าบาดเจ็บกันเยี่ยงนี้ ทำบุญบูชาโทษชัดๆ คราวหน้าข้าจะจุดไฟเผาบ้านกันทั้งครอบครัว ตายห่ากันไปให้หมด อควาเรี่ยมมีชื่อเสียงโด่งดังก็เพราะใครถ้าไม่ใช่ข้า

“เจ็บไหม” ถามกลับมาอย่างห่วงใยซะงั้น

ลองเอาหัวเจ้าโขกกับรถดูบ้างสิ ถามออกมาได้ไอ้หนุ่มหน้ามน ดีที่ไม่มีรถคันหลัง ปานนี้ตายแม่งกันหมดบนลานถนน ประกันภัยได้วิ่งวุ่นกันจ้าละหวั่น

ข้าปีนขึ้นเบาะ ไม่สนใจคำห่วงใยที่ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แววตาดูเศร้าสลดและเคร่งเครียด พยายามจะยื่นมือมาลูบหัวข้า แต่ก็ถูกข้าใช้ครีบปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี


ครั้นมาถึงคฤหาสน์หรูหราอลังการ สวนด้านหน้าที่มีดอกไม้หลากสีสันส่งกลิ่นหอมกำจร ต่างพลิ้วไหวให้ข้าสูดดมเสียเต็มปอดอย่างสดชื่น ข้าก็ปั้นท่าหยิ่งทะนงไม่พอใจใส่คนตัวโตที่กำลังอุ้มตัวข้าเดินเข้ามาในบ้านของตนเอง ไม่ทันไรก็มีเสียงผู้ชายดังแทรกขึ้นในห้องโถง

“ตี๋ ! ไอ้เพื่อนยาก” พูดพลางยกมือขึ้นทักทาย

“อ่าว ภัทร” เจ้าตี๋เอ่ยเรียกชื่ออีกคน

หืม ? ข้าหรี่ตามอง สำรวจมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีรอยสักตรงแขนข้างขวา เป็นรูปงูสีดำขนาดใหญ่ ร่างกายรูปร่างบึกบึนกำยำมากกว่าเจ้าตี๋เป็นเท่าตัว

ต๊าย มีเพื่อนคบด้วยเหรอ ? ข้าอดไม่ได้ที่จะเอาครีบมาทาบอกอยากแปลกใจ นิสัยกมลสันดานแบบนี้ ก็หลงคิดมาตั้งนานว่าเจ้าตี๋จะไม่มีคนคบ

คบเป็นเพื่อนกันได้แบบนี้ แสดงว่านิสัยต้องต่ำตมพอกัน

“เอาแท่งไฟมาไหม” เจ้าตี๋เอ่ยถามถึงสิ่งบางประการ สร้างความเอะใจในตัวข้ายิ่งนัก

“เอามาสิ นี่ไง ของแบล็คพิ้งก์กับแผ่นอัลบั้ม”

“กี๊สสสส” ข้ากรีดร้องทันที ดีดดิ้นอยู่บนอกเจ้าตี๋เมื่อเห็นแท่งป๊อกๆ กับอัลบั้มสะสม

รีบส่งมา รีบส่งมาให้ข้าเลยนะ !

“ตัวเล็กอย่าดิ้น”

“กี๊สสสส !” ข้ายังกรีดร้อง ยื่นครีบไปด้านหน้าหวังจะกอบโกยสิ่งตรงหน้ามาเป็นของตนเอง ไม่สนหัวบุคคลแปลกหน้าที่ทำหน้าเหวอเมื่อเห็นข้ากรีดร้อง

“สิงโตทะเลงั้นเหรอ นี่เลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่” เพื่อนเจ้าตี๋ตั้งคำถาม

แต่ข้าไม่สน ข้าจะเอาของ เอามานะ ! ฮึบ ! ยืดครีบมากกว่า พยายามตะกุยตะกายบนอากาศ

เจ้าตี๋ไม่ตอบคำถาม เลือกที่จะเดินไปใกล้อีกฝ่าย วางตัวข้าลงกับพื้นไม่ทันไร ข้าก็เอาครีบเขี่ยออดอ้อนชายหนุ่มที่ชื่อภัทร ก่อนที่เจ้าตี๋จะเขม็งตาใส่ข้าอย่างไม่พอใจ แย่งของแบล็คพิ้งก์มาถือแทนในทันที

“เป็นติ่งแบล็กพิ้งก์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ?” ชายที่ชื่อภัทรถาม

“ไม่ใช่เรา” ตี๋ตอบ พลันย่อกายลง ยื่นแท่งไฟมาให้ตรงหน้าข้า ข้าก็รีบโอบกอดอย่างหวงแหนทันที “ตัวเล็กต่างหาก”

“สิงโตทะเลเนี่ยนะ !” เพื่อนเจ้าตี๋อึ้งทึ่ง ข้าเองก็หาใส่ใจไม่ ผินตามองอัลบั้มที่ถูกวางบนพื้นมาสำรวจ กวาดๆ มองๆ ความเสียหาย เมื่อไม่พบตำหนิก็สะกิดเจ้าตี๋บ่งบอกให้ถือแทน ส่วนแท่งไฟข้าถือเอง

“ที่ให้ตามหาของก็เพื่อสัตว์ตัวนี้นี่น่ะเหรอ ?”

“ตัวเล็กไม่ใช่สัตว์” เจ้าตี๋สวนกลับ ยิ้มกว้างยามเห็นข้าถือแท่งไฟ ตีลงกับพื้นจนเกิดเสียง

แง สวยมาก สีชมพูสลับดำ เป็นหัวใจอีก ฮือ ปลื้มปริ่มปรีดา เพื่อนเจ้าตี๋นี่แสนดีจริงๆ ขยันหาของมาให้ได้ดั่งใจ

“โหย แสดงว่าเจ้าตัวเล็กนี่ฉลาดมาก” อีกฝ่ายว่าพลางย่อกายลงมาจ้องหน้าข้า “เมนไรเรา”

“...” ข้าเงียบ ชี้ครีบไปที่อัลบั้มตรงรูปลิซ่า แต่จริงๆ รักหมดทุกคนในวง

“โอ้ เมนเหมือนกันเลย” ภัทรตาวาว

ข้าตกใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะเจอติ่งประเภทเดียวกัน นึกอยากจะกรีดร้อง แต่ก็แสบคอเกินจะทำแล้ว เลยได้แต่แสดงท่าทางดีใจ ยื่นครีบข้างหนึ่งไปจับมืออีกฝ่ายแล้วเขย่าๆ โดยการกดทับน้ำหนัก

มีเพื่อนติ่ง คุยกันได้ทั้งวัน นับว่าเป็นมิตรสหาย !

ข้าคลานต๊อกแต๊กเข้าหาอีกฝ่าย ทว่ากลับถูกอุ้มจากเจ้าตี๋คล้ายหวงแหน

“กลับไปได้แล้ว” เจ้าตี๋ไล่ภัทร

“เฮ้ย กูเพิ่งมาเองนะ”

“ก็นั่นแหละ กลับไปได้แล้ว”

ข้าส่ายหัวไม่เห็นด้วย ยื่นครีบไปหาเพื่อนเจ้าตี๋ให้อุ้มแทน อีกฝ่ายเห็นก็นึกเอ็นดู กางไม้กางมือเตรียมจับมาอุ้มกอด พอจะยก เจ้าตี๋กลับรัดแน่นมากขึ้นเพื่อไม่ให้ภัทรได้แย่งไป

ข้าตีมือเจ้าตี๋ดังเพียะทันที อีกฝ่ายถึงยอมให้อีกคนโอบกอด

ข้าหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ทำตัวผูกมิตรกับเพื่อนติ่งที่ชื่อภัทร นับจาากนี้ข้าจะสถาปนาเป็นเพื่อนพ้อง

“เจ้าตัวเล็กนี่น่ารักจัง” ภัทรเอ่ยชม คล้ายเองก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยเพราะมันคือเรื่องจริง “ฉลาดจังเลย ปะๆ เราไปดูคลิปแบล็คพิ้งก์กันดีกว่าเนอะ”

“งึกๆ” ข้าผงกหัวรับ ถูกพาไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น โดยทิ้งเจ้าตี๋ที่ยืนทะมึน

“ได้ดูลิซ่าเต้นโซโล่ยัง” ภัทรถามไถ่ ข้าส่ายหัวปฏิเสธว่ายังไม่เคยดู อีกฝ่ายเลยหยิบมือถือมาเสิร์ชในช่องยูทูป ปรากฎว่ามีหลายคลิปที่ข้ายังไม่เคยดูตอนลิซ่าไปเต้นในคอนเสิร์ต สร้างความตื่นตื่นใจเป็นอย่างมาก

แม่ กรี๊ดดดด จะเป็นลม ทำไมลิซ่าเอวพลิ้วขนาดนี้ จะเซ็กซี่ไปไหน หัวใจข้าเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ เหมือนโดนยิงศรรัก ดิ้นกรี๊ดกร๊าดไปมากับคลิปที่ดูบนตักของภัทร พลันได้ยินเสียงกระแทกนั่งลงเบาะอย่างไม่พอใจ

ข้าไม่มีเวลาว่างมากพอจะไปมอง ได้แต่จดจ้องลิซ่าที่เต้นเพลง ‘Good Thing’ ของ Zedd & Kehlani เธอใส่สูทสีดำมาดเท่กับหมวกสีเดียวกัน โชว์เรียวขาสวยที่มีปลายเสื้อสีแดงวับๆ แวมๆ เหมือนเป็นชุดด้านในอีกชุดหนึ่ง ข้าได้แต่อ้าปากค้างเติ่ง สูดอากาศหายใจไม่เต็มปอด ยามลิซ่าเต้นไปกับทำนองเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง การชื่นชมในตัวเธอทำให้ข้ามีแรงบันดาลใจในชีวิต อยากจะเป็นนักเต้นที่เก่งและปราดเปรื่องเฉกเช่นเธอ เมื่อถึงท่อนฮุก เธอกระโดดลงจากเก้าอี้และโยกสะโพกเคลื่อนไปด้านหน้าและหลัง แอ่นไปทางซ้ายและขวา เป็นความเซ็กซี่ที่จะสรรหาคำมาเปรียบเปรย ทุกอย่างไร้ที่ติจนมาถึงเพลงที่สอง ชุดที่เธอสวมใส่ในทีแรกก็ถอดออก เหลือชุดด้านในสีแดงสดประกายเพชร อาภรณ์เข้ากับรูปร่างอรชร สวยเกินจนจะพรรณนา ในทุกๆ จังหวะของดนตรี ข้าได้แต่ยกครีบตีบนตัวเองอยากสะใจ อยากจองตั๋วไปดูถึงโตเกียวเลยทีเดียว

บอกคำเดียวว่า เลิศ เลิศที่สุด ฮือ ภูมิใจในเมนตัวเองยิ่งนัก

เสียงป้าแม่บ้านดังขึ้น “คุณชายรับน้ำชาไหมคะ ?”

“ไม่…” ไม่ทันที่ตี๋จะปฏิเสธ ปรายตามองมาทางข้าที่พยักหน้ารับและชี้ครีบไปยังด้านนอก เจ้าหนุ่มหน้ามนที่เข้าใจความหมายก็พลิกลิ้นตอบรับ “ก็ได้ครับ เดี๋ยวพวกผมไปนั่งกินแถวศาลา รบกวนป้าทีนะครับ”

“ได้เลยค่ะ” คุณป้าแย้มยิ้มผงกหัวรับ ก่อนเดินจาก ข้าที่หันไปมองก็หันกลับมาจ้องมือถือต่อ กะจะดูคลิปโมเมนต์ลิซ่าในอิริยาบถต่างๆ กลับถูกขัดขวางด้วยฝ่ามือจอมมารร้ายที่ขยันก่อกวน อุ้มข้ายกขึ้นออกนอกบ้านตัวเองอย่างว่องไว ไม่ทันให้ข้าได้แหกปากโวยวาย ทิ้งให้ภัทรต้องรีบวิ่งรุดตามมา

แสงแดดอบอุ่นทอประกาย อาบไล้ผิวกายชายหนุ่มให้สว่างเจิดจ้าเหมือนมีออร่าผ่านผิวพรรณ ส่วนศาลานั่งเล่นที่ว่านั้นเป็นไม้สีขาว สไตล์ยุโรปแบบลูกผู้ดีมีสกุลรุนชาติ เหมาะกับข้ายิ่งนัก ข้านั่งไปโดยมีเบาะเสริมไม่ให้เมื่อยก้นกบ ชูคอมองรอบด้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์

“ไม่แปลกใจเลยที่ฉลาดแสนรู้จนออกข่าว เรื่องจริงไหมที่ว่าจุดไฟเผาบ้านน่ะ” ภัทรที่นั่งอยู่ในศาลาฝั่งตรงข้ามกับข้า ปริปากพูดกับเจ้าตี๋ที่เอามือลูบหัวข้าไปมา

“จริง” เจ้าตี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจ เล่นเอาข้าสะดุ้งเบาๆ

ที่ข้าทำไปก็เพื่อส่วนรวมนะ ! อย่าพูดประหนึ่งประชดกันสิ !

“ตัวเล็กมานี่มา” เสียงภัทรตบเข่าเรียกข้า ข้าจึงผินตามองตาม ก่อนจะปีนป่ายข้ามผ่านตักเจ้าตี๋ ดีที่เก้าอี้ไม้มันเป็นแบบวงล้อม ข้าเลยไปหาอีกฝ่ายได้ถนัดโดยไร้อุปสรรค

แต่ทว่า…

หมับ ! อุปสรรคที่ว่ากลับมี

“หยุดยุ่งกับตัวเล็กสักทีได้ไหม” ตี๋กล่าว

“ทำไมหวงนักวะ คนก็ไม่ใช่” ภัทรว่า

“...” ไร้การตอบกลับ

ข้าเงยหน้ามองเจ้าตี๋ ผนวกกับที่เจ้าตี๋ก้มมองหน้าข้าเช่นกัน เราสบสายตาเหมือนมีแรงดึงดูด ก่อนที่ข้าจะเป็นฝ่ายผละก่อน

ไม่เอา ข้าไม่อยากได้ผัววิปลาส เสี้ยนกับสัตว์

โดยไม่ทันรู้ตัว ข้าที่นั่งอิงแอบอยู่บนตักเจ้าตี๋สักพักก็เผลอหลับไปในปริยาย รู้สึกร่างกายอ่อนล้ากว่าปกติ…


ข้ารู้สึกเหมือนฝัน ใช่ ต้องฝันแน่ๆ ตัวข้าในตอนนี้ได้แต่ชูแขนมองฝ่ามือที่มีปลายนิ้วทั้งห้า เห็นผิวเนื้อผุดผ่องของตัวเองที่เปล่าเปลือย ก้มมองสำรวจร่างกายไม่ทันไร เงยหน้ามาอีกทีก็เห็นเจ้าตี๋ที่อยู่ในชุดผ้าขนหนูคลุมตัวมาจับไหล่ กดข้าลงไปกับอากาศ แต่แล้วก็ดันมีฟูกเตียงมารองรับ ฝ่ามือหยาบกร้านที่ผ่านการกรำมานักต่อนัก ลูบไล้เรือนร่างกายของข้าจนตัวข้าอ่อนระทวย หอบหายใจกระเส่ากับความหฤหรรษ์ที่โลดแล่นในสรรพางค์

ข้าว่าข้าฝันเปียกแหงๆ

ข้าต้องตื่นบัดเดี๋ยวนี้…

เฮือก !

“จะไปไหนครับ หืม ?” เสียงทุ้มละมุนดังมาจากข้างกกหู เหมือนฝันสองฝัน กลับค้นพบว่ามีชายฉกรรจ์อยู่ด้านหลัง ปลายนิ้วไล่แตะไต่ตัวข้าอย่างหยอกเย้าทั้งวาจา

“ตี๋ยังอยากต่ออยู่เลยนะ หนูไม่ไหวแล้วเหรอ ?”

“บังอาจนัก ข้ารึจะลดตัวเอาเจ้าทำผัว กล้าดียังไงมาเรียกข้าว่าหนู หนูกับผีน่ะสิ ! ไปตายซะไอ้คนหื่นจัด” ข้าด่ากลับ แต่คนตัวโตกลับไม่แยแส พลิกตัวมาคร่อมข้า

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้พูดจาหยาบคายไง”

“...”

“พูดดีๆ แล้วเดี๋ยวตี๋ให้รางวัล”

รางวัลอะไรกัน ข้าไม่เอาด้วยหรอก !

“อะไรล่ะ !” ข้าว่า

“ของสะสมแบล็กพิ้งก์ทั้งหมด ตั๋วคอนเสิร์ตแถวหน้า”

“โอเค ข้าสมยอม” ข้าปล่อยตัวปล่อยใจทันที ปล่อยให้ใบหน้าคมคายซุกลงมาที่เรียวคอหลุดร้องประหนึ่งหญิงสาวเสียพรหมจรรย์ “อื้อ” ไม่ไหวแล้วจ้ะพี่จ๋า

“อุ๋งๆๆ”

“ตัวเล็ก”

“อึก อะ อุ๋ง ~”

“ตัวเล็กตื่น ฝันไรอยู่เนี่ย” เสียงปลุกดังในขณะที่ข้ากำลังนอนกระดุกกระดิก พลันปรือตามองซึมกระทือใส่เจ้าตี๋ที่ชะโงกหน้ามาจ้องตา

นี่ข้ายังอยู่บนเตียงเหรอ…

ละ แล้วนี่ข้าเสียพรหมจรรย์แล้วด้วยงั้นเหรอ

“กี๊สสสสส”

“โอ๊ย ตะ ตัวเล็กเป็นไร” เจ้าตี๋รีบเอามืออุดหู ฉงนกับท่าทีของข้าที่กรีดร้องไม่ให้สุ้มให้เสียง

ข้าจะสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตร บังอาจมาเอาข้าแม้ในยามฝัน อีพวกโรคจิต รับไม่ได้ วิปริตยิ่งนัก มาลวนลามคนอื่นเขา และไหนอะของ ตื่นมาไม่เห็นมีห่าอะไรเลย !

ข้าเขยิบกายถอยหลังไปนั่งติดหัวเตียง พลันก้มดูผ้าปูที่นอนที่ไม่ได้เปียกเปรอะสิ่งใดๆ ดีที่ไม่เยี่ยวเล็ดบนตั่งเตียง

“ตัวเล็กเป็นไรอะ

“อุ๋ง ๆๆ” (อย่าเข้ามานะ) ข้ายังไม่พร้อม “แค่กๆ” หลุดไอพลันรู้สึกเจ็บอก ไม่ทันให้เจ้าตี๋แสดงท่าทีห่วงใย ก็ยกครีบชี้ขู่ จ้องมองอีกฝ่ายที่ในมือถือไอแพด มีเนื้อหาอะไรบางอย่าง ข้าจึงชี้ไปที่สิ่งนั้นแทน

“อุ๋ง ?” (ไรอะ) พานขยับตัวเข้าไปใกล้ ลดท่าทางสงวนตัวลง เขยิบมาอ่านตัวอักษร ความหน่วงอกค่อยๆ ทุเลาลง

“อ่านข่าวครับ พวกสมัยก่อน ยุคมาเฟียค้ายาที่น่ากลัวที่สุดในโลก จนต้องมีการระเบิดฆ่าทิ้ง” อีกคนเอ่ยปาก

ข้าเอียงคอฉงน...

รีบอร์นเหรอ ? หรือถือแหวนวองโกเล่ ถึงได้แห่ขันหมากไปปลิดชีพขนาดนั้น

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูสองทีดังเข้ามาภายใน ก่อนจะเอ่ยปากขออนุญาตด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว ปรากฎร่างของสาวน้อยตัวเล็กที่มีสีหน้าเบิกบาน วิ่งเข้ามากระโดดดังพึ่บบนเตียงนอน

“พี่ตี๋”

“หืม ว่าไงคะ” ตี๋ยิ้มละมุน ยื่นมือไปบีบก้อนเนื้อบนแก้มนิ่มของหลานสาวอย่างเอ็นดู

“จะขอเล่นกับตัวเล็กหน่อยค่ะ”

ขวับ ! ข้าหันพึ่บมาทางเจ้าตี๋ทันที ส่ายหน้าจนหัวแทบหลุดออกจากบ่า ตี๋ที่ชำเลืองมองอยู่ขยับริมฝีปากจะปฏิเสธ แต่จู่ๆ ก็ชะงักกลางคัน คล้ายไตร่ตรองอะไรบางอย่าง ใบหน้าก็บึ้งตึงฉายแววไม่พอใจ ก่อนจะแย้มยิ้มให้หลานสาวอย่างมีเลศนัย

“ได้ค่ะ เอาไปเลย”

“ขอบคุณค๊าาาา” หนูทับทิมเบิกบาน รีบยื่นแขนมาอุ้มตัวข้าจนตัวลอยในทันใด

อีชาติชั่ว อีผัวสารเลว กรี๊ดดดดด !!


“ชิบกับเดลมีสองพี่น้อง ขายของในคลอง ในกองมีแต่ถั่วดีๆ เพิ่งเด็ดสดๆ น่ากินไปหมด” เสียงรำพันดังมาจากเด็กสาวที่กำลังเข็นรถดังกึกๆ บนนอกบ้าน โดยมีข้านอนอุตุอยู่ในรถเข็นเด็กสีชมพูหวานแหวว ข้างกายมีเงาทะมึนค้ำหัวที่ลอบส่งเสียงหัวเราะมีความสุข

ข้าเขม่นตาใส่ชายฉกรรจ์ที่มองผ่านหางตา พลันยื่นหน้ามาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่

“สม ชอบไปอ้อนคนอื่นดีนัก โดนทำโทษซะบ้าง”

ต๊าย ที่แท้ก็หวงข้านี่เอง  ไม่อยากจะเสวนาด้วยหรอกกับพวกหวงของ ข้าสะบัดหน้าไปทางอื่น ขณะที่โอบกอดแท่งไฟแบล็คพิ้งก์ หูก็กระดิกฟังเพลงที่เจ้าหนูทับทิมร้องลั่นไม่หยุดปากจนข้าเริ่มหลอน ขยับปากร้องตาม

“ตัวเล็ก” เสียงเจ้าตี๋เรียกเบี่ยงเบนความสนใจ ปากกล่าวเนิบนาบ “พรุ่งนี้ไปทะเลกันนะ”

“...” ข้าเงียบไม่ปริปาก ไม่รู้คำสัญญานี้จะเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะเคยร้องขอตั้งแต่เคยทำสัญญา ทว่า กลับเจอทะเลในอ่างอาบน้ำพร้อมกับงูยักษ์ขนาดใหญ่

“หนูไปด้วยสิคะพี่ตี๋”

“พรุ่งนี้ทับทิมมีเรียนนี่คะ ไว้วันหลังพี่พาไปนะ”

“งื้อ” เสียงงอแงของเด็กสาวคล้ายไม่พอใจ ชั่วอึดใจก็ส่งสัญญาณตอบรับ “ก็ได้ค่ะ ไว้ไปวันหลังก็ได้”

“ดีมากค่ะเด็กดี” เจ้าตี๋เผยอยิ้มกว้าง ยื่นมือไปลูบหัวหลานสาวจากด้านหลัง ซึ่งข้าที่นอนอยู่ก็มองไม่ค่อยถนัดนัก ได้ยินเพียงเสียงขยับสัมผัสกับเส้นผมอย่างเอ็นดู พลันมีเสียงแมวร้องและกระโดดขึ้นมาบนรถเข็นข้า เล่นเอาข้าสะดุ้งโหยงตกใจกับเจ้าแมวที่ชื่อมิริน

“เมี๊ยว”

ผัวะ ! ข้ายกครีบข้างล่างถีบเจ้าแมวมิรินออกจากรถเข็นทันที เมื่อเห็นว่ามันเกาะอยู่ตรงขอบพอดี

นี่มันถิ่นของข้า อย่ามาเบียด…


เช้าวันใหม่ข้าได้พบกับภัทรอีกครั้ง หมอนี่มาตั้งแต่เช้าตรู่ แถมยังทานข้าวพร้อมพรักกับครอบครัวของเจ้าตี๋อีกต่างหาก มีเพียงเจ้าตี๋ที่ทำท่าปั้นปึ่งไม่พอใจ คล้ายไม่อยากร่วมวงสนทนากับเพื่อนพ้องของตนเอง ข้าในทีแรกก็แคลงใจยิ่งนัก หลงคิดว่าภัทรคือบุคคลที่แย่งแฟนของเจ้าตี๋หรือเปล่ากันแน่ ปรากฎว่าไม่ใช่ เพราะเมื่อวานได้มีการถามไถ่ขีดเขียนผ่านกระดาษเพื่อโต้ตอบกับเจ้าตี๋ ค้นพบว่าภัทรเป็นเพื่อนสนิทอีกคนที่ยังหลงเหลือของชายโรคจิตวิปริตคนนี้

และใช่ ข้ากับภัทรพูดคุยกันต่างภาษา แต่สิ่งที่เราเข้าใจกันนั้นช่างเป็นเรื่องที่ตรงใจกันยิ่งนัก

“แบล็คพิ้งก์ !”

“อุ๋งๆ !” ข้าร้องตามเสียงที่ดังมาจากคนข้างกาย

“เป็นติ่งทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง” เสียงเจ้าตี๋เอ่ยออกมา

พูดออกมาได้ยังไง ! ข้ากับภัทรรีบหันมาจ้องอีกคนที่ยืนนิ่งอย่างวาวโรจน์

“ติ่งคือความสุขอย่างหนึ่ง” ภัทรบอก

“อุ๋งๆ” (ใช่ๆ) ข้าเห็นพ้อง

“การเป็นติ่งติดตามข่าวสารเท่ากับชีวิต ไม่มีวันเบื่อหน่ายกับเรื่องง่ายๆ หรอก !” เสียงทุ้มแข็งของภัทรบ่งบอกถึงจิตใจที่หาญกล้า

“อุ๋งๆ” (ใช่ๆ) ข้าเห็นพ้องทุกสิ่ง

“ยกเว้นเรื่องดราม่า”

“อุ๋งๆ” (ใช่ๆ)

“แต่ถ้าใครกล้ามาด่าติ่งในวงของเรา เท่ากับเป็นการหยามเกียรติ ไม่มีมารยาท เหมือนเรือที่ต้องแล่นในแม่น้ำมหาสมุทร แต่ดันมีคนเอามือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ คนจำพวกนี้เป็นพวกไร้การอบรมสั่งสอน”

“อุ๋งๆ” (ใช่ ช่ายยยย~)

“แต่ของนายเป็นแค่การตั้งคำถามเท่านั้น ฉะนั้นพวกฉันจะไม่ด่านาย” ภัทรตักเตือน

งึกงัก ข้าพยักหน้าเห็นด้วย ยกครีบตีมือกับภัทรอย่างตรงใจ

“ว่าแต่ลืมสนิทเลย นี่ภัทรมีของให้ตัวเล็กด้วยนะ”

“อุ๋งๆ ~” (จริงเหรอ ~) ข้าตาวาวระยับ ยื่นหัวไปถูไถกับลำแขนบึกบึน ช่างเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดี และยังมีใจแบ่งปันอีก น่าคบที่สุด แต่เสียดายที่ต้องมาคบกับคนบ้าอย่างเจ้าตี๋ ไม่น่าเลย

“นี่ไง ที่คั่นแบล็กพิ้งก์” อีกฝ่ายพูดพลางชูกล่องของที่มีรูปแบล็กพิ้งก์มาให้

“กี๊สสสส” ข้ากรีดร้องดีใจ แต่ว่าจะให้ข้าทำหอกอะไร หนังสงหนังสือก็ไม่ได้อ่าน เป็นคนก็ไม่ใช่

อ๋อ สะสมๆ ยื่นครีบออกไปรับด้วยความตื้นตัน

“ตี๋ก็มีนะตัวเล็ก”

ขวับ ! ข้ารีบทิ้งกล่องที่คั่นลงเบาะทันที หันไปสนใจกับสิ่งที่เจ้าตี๋เดินไปหยิบมา เป็นกล่องไรบางอย่างยาวๆ พอเจ้าตี๋แกะเท่านั้นแหละ ข้ากรี๊ดลั่นบ้าน

“โปสเตอร์แบล็คพิ้งก์”

“กี๊สสสสส” ข้ารีบคลานลงจากเบาะไปหาอีกฝ่าย ยืนขึ้นสองขาดั่งมนุษย์

“ตัวเล็ก ภัทรยังมีไม่หมดนะ มีนี่ด้วย เสื้อ Black pink ~ แต่นแต๊นนน สวยไหมเอ่ย” พูดพลางกางเสื้อแขนยาวสีชมพูที่มีลายอักษรแบล็คพิ้งก์ที่แขน ข้ารีบหันหลังวิ่งมาหาภัทรทันทีอย่างไว

เสื้อแบล็คพิ้งก์ แง อยากได้ๆ

“ตี๋ก็มีนะตัวเล็ก สีดำนี่ไง” เจ้าตี๋ที่ไม่รู้แอบซื้อมาตอนไหน งัดของออกมาใช้ ข้าเป็นงงมาก ราวกับอีกฝ่ายเสกขึ้นมาได้ หมุนกายพร้อมกรี๊ดวิ่งรุดมาทางเจ้าตี๋อย่างว่องไว

“ภัทรมีหมวกด้วยน๊า”

“กี๊สสส” หันหลัง

“ตี๋ก็มีหมวกอีกสีนะ”

“กี๊สสส” กลับหลัง

“มีกระเป๋าสะพายด้วยนะ” ภัทรว่า

“กี๊สสส” หมุนกลับ

“มีโปสเตอร์ลิซ่าหลายภาพเลยนะ” ตี๋แย้ง

“กี๊สสส”

“เดี๋ยวภัทรซื้อมาให้อีกเยอะๆ เลยนะ”

“กี๊สสส”

“แต่ตี๋จะให้ตลอดชีพ ไปยันตั๋วคอนเสิร์ตเลยนะ”

“กี๊สสส”

“ภัทรดีกว่า”

“กี๊สสส”

“ตี๋ดีกว่า”

“กี๊สสสสสสส !!!” พอสักทีอีสัตว์ !



.
.
.
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (07/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 07-12-2019 00:27:00
อีตี๋กลับมาปวดหัวเหมือนเดิมจริงๆ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (07/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 07-12-2019 13:42:04
นึกว่าตาฝาด ตัวเล็ก กลับมาล่ะ ดีใจ และก็ ขอบคุณผู้แต่ง มาก จร้า รอ อีก ต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (07/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-12-2019 18:03:14
ติ่ง แบล็กพิงค์เหมือนกัน ......   :z3: :mew1: :katai2-1:
ตัวเล็กปากจัดมากเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (07/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 08-12-2019 16:54:27
สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 13-12-2019 17:27:00
(ต่อ)
.
.
.
เม็ดทรายสีขาวนวล แสงอรุณฉาบอยู่บนท้องทะเล เปียกชะโลมชายฝั่งที่ร้อนจนไอน้ำระเหยแห้งเหือดบนเม็ดทราย แสงประกายราวกับอัญมณีของชลาลัยวาววับ กลิ่นธาราพัดโชยเตะจมูก เสียงเกลียวคลื่นเซาะกับโขดหินที่โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ กัดกร่อนสร้างรอยร้าวยามกระฉอกเป็นล้านกว่าหน เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ไปพร้อมกับเสียงทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล สายลมโอบกอดพัดไอเย็นกระทบผิวกาย เป็นฤดูร้อนที่ไม่ได้หนาวเหน็บหรือสร้างเหงื่อไหลไปตามริมขมับ ทว่ากลับอบอุ่นเกินจะกล่าว

แหม ข้าก็บรรยายซะสวย อบอุ่นกับผีน่ะสิ ร้อนฉิบหายวายวอด ! ทันทีที่ข้าถูกเจ้าตี๋ทำท่าจะวางลงกับหาดทรายสีขาว สัมผัสรุ่มร้อนก็เล่นข้าโอดครวญ “อุ๋ง !” เสียงดังลั่น สร้างความตกใจแก่เจ้าตี๋ที่เห็นข้าสะดุ้งโหยง รีบหุบครีบลงอย่างกริ่งเกรง

“ร้อนเหรอครับ ?”

ขวับ ! ข้ามองค้อนใส่ พยักหน้าหนึ่งทีเป็นการตอบกลับ ดังนั้นเจ้าตี๋เลยต้องอุ้มตัวข้าไปซื้อเสื่อหนึ่งผืนมากางบนพื้นดิน

ทีแรกภัทรก็จะตามมาด้วย แต่กลับถูกเจ้าตี๋ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี สุดท้าย…

“ตัวเล็กกกก” ก็ขับรถตามมาจนได้

ข้าชูคอมองหน้าอีกฝ่าย อมยิ้มให้หนึ่งที แต่พอเจ้าตี๋มองมาข้าก็ต้องหุบยิ้มลง กลัวว่ารอยยิ้มสวยๆ จะทำให้คนหลงหน้ามืดตามัว

ไม่ได้ๆ ข้าต้องยิ้มให้กับมิตรสหายหรือบุคคลที่รักเท่านั้น เจ้าตี๋นับเป็นข้อยกเว้น

“ไม่ได้มาทะเลกับใครนานแล้วนะ ขนาดกับแฟนยังไม่เคยเลย” เจ้าตี๋เอ่ยลอยๆ ในขณะที่ภัทรไปซื้อของกิน ทำข้าสนใจกับคำกล่าวที่ว่า

แหม ไม่รู้ทำไมลึกๆ ในใจมันอิ่มอกอิ่มใจ รู้สึกมีสิทธิพิเศษกว่าชาวบ้านเขา

หึ ก็เพราะข้าเป็นสัตว์ประเสริฐยังไงล่ะ ! อีกอย่างการมาทะเลครั้งนี้ข้าก็วางแผนมาแล้วด้วย

แผนที่ว่าก็คือการหนีเจ้าตี๋ยังไงล่ะ !

ตอนนี้นั่งในจุดที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แสงก็เริ่มเจือจางลงมีก้อนเมฆมาบดบังบนท้องนภา ชั่วอึดใจที่เจ้าตี๋หันเหความสนใจไปทางอื่น ข้าก็รีบเขยิบกายรุดไปด้านหน้าทันที ส่งเสียง “กี๊สสสส !” พร้อมกับเสียงครีบที่ดังขวับๆ เม็ดทรายฟุ้งกระจายตามแรงเคลื่อนไหว ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าตี๋ร้อง “เฮ้ย !” อย่างตกกะใจ

มันรู้ตัวแล้ว กรี๊ดดดด ข้าต้องหนี ข้าจะหนีไปใช้ชีวิตในมหาสมุทร ! และอิสรภาพเสรีก็จะตามมา !

“ตัวเล็กอย่านะ !” เสียงตะโกนเตือนหักห้าม แต่ข้าหรือจะฟัง วิ่งป๋อเกือบจะมาถึงน้ำที่มีเม็ดทรายเปียกชื้นไม่ทันไร ตัวก็ลอยเหาะเหินกลางอากาศในบัดดล

“เกือบไปแล้ว”

“กี๊สสสส” อิสรภาพของข้า ! ไม่นะ ! ข้าดีดดิ้นจะเป็นจะตาย ถูกเจ้าตี๋หมุนตัวเดินกลับมานั่งที่เสื่อ ปัดเสื้อผ้าแบล็คพิ้งก์สีชมพูที่ข้าสวมใส่อยู่ที่เปื้อนเม็ดทราย แขนเสื้อก็ยาวเกินจนแทบไม่เห็นครีบของตนเอง ปิดกายเปลือยเปล่าแทบมิดชิด นอกเหนือจากนั้นยังมีหมวกสีชมพูอีกต่างหากอยู่บนหัว รวมไปถึงสร้อยคอสวยๆ ที่มีลายลักษณ์อักษร ซึ่งตัวข้าที่โดนจับสวมใส่ก็มองไม่ทันหรอก เลยไม่รู้ว่ามันมีข้อความอะไรบ้าง

“เดี๋ยวก็สำลักน้ำตายหรอก” เจ้าตี๋บอก

แต่ข้าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำไง !

“คิดจะหนีตี๋เหรอ ?”

บ้าาา เจ้าก็คิดไปเอง ข้าส่ายหน้าประกอบไปด้วย คิดจะกลั่นแกล้งให้ตกกะใจก็เท่านั้น ใครจะกล้าไปอยู่ในมหาสมุทร ไม่รู้มีฉลามด้วยหรือเปล่ากัน เกิดโดนแดกขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ กระทรวงสัตว์น้ำก็ไม่มี ทุกวันนี้มีทีวีกับแบล็คพิ้งก์ให้ดูอยู่ก็สุขสบายดี ข้าหรือจะไปกล้าเสี่ยงในบาดาลเพื่อใช้ชีวิต เจอสัตว์ร้ายต่างๆ นานา

ข้าส่งแววตาเว้าวอนสื่อความนัย

“แล้วนี่ภัทรหายไปไหนกัน หายไปนานเลย” เจ้าตี๋กล่าว พลอยให้ข้าคิดเห็นไปด้วย

“ตัวเล็ก” เจ้าตี๋เรียกข้า ทำให้ข้าต้องมองตาม จ้องปลายนิ้วที่ชี้มาทางนี้ “ห้ามหนี เข้าใจไหม หยุดอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวตี๋มาแป๊บเดียว”

งึกๆ ข้าพยักหน้าเข้าใจ

“และก็อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้าเข้าใจไหมครับ ?”

งึกๆ ข้าขยับศีรษะตอบรับ ไม่หือไม่อือคัดค้านสิ่งใดๆ

“โอเค ถ้าเป็นเด็กดี ทำตามที่พูดแล้วจะซื้อของแบล็คพิ้งก์มาให้อีก”

สิ้นคำนั้นข้าก็รีบเขยิบกายเอาหัวไปถูไถอย่างออเซาะในทันที

‘แหม เสี่ยก็...เปย์ขนาดนี้ เด็กเสี่ยจะกล้าไปไหนได้ล่ะคะ คิกคาก’ นึกในใจด้วยจริตจะก้านหญิงสาว

“น่ารัก” เจ้าตี๋ที่เห็นอิริยาบถเช่นนั้น อดรนทนไม่ไหว จับข้าขึ้นมากอดให้ชื่นใจ ข้าเองก็กอดกลับอย่างสมยอม ท่องเข้าไว้ ‘ของมาตัวไป’

“แล้วนี่ร้อนไหม ใส่เสื้อ” เจ้าตี๋ถาม ข้าก็พยักหน้ารับ ทีแรกก็อยากใส่นานๆ อยู่หรอก แต่อยากรับอากาศเย็นๆ มากกว่า ดังนั้นเจ้าตี๋เลยอาสาถอดเสื้อข้าให้ ตัวข้าก็ยืนด้วยครีบ ชูครีบด้านหน้าขึ้นสูงเหมือนเด็กแบเบาะถูกพ่อแก้ผ้า

ฮึบ ! “เก่งมาก เดี๋ยวตี๋พับเสื้อกับหมวกไว้ตรงนี้นะ ดูแลดีๆ เดี๋ยวตี๋มา” ตี๋ว่าเสียงอบอุ่นเป็นการย้ำอีกหน ข้าก็ได้แต่ทำตามด้วยกิริยาเดิมๆ เป็นการเข้าใจอย่างถี่ถ้วน เมื่อชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืนเดินจากไป หันซ้ายแลขวาเพื่อหาภัทร ข้าก็หันกลับมาจ้องหาดดังเดิม

อยู่ในทะเล เหมือนในเรื่องจำเลยรักเลยอะ ขาดอย่างเดียวคือติดเกาะ น่าเสียดาย อยากเล่นบทบาทพิศวาสซาตาน

“เฮ้อออ” ข้าถอนหายใจ นอนงุดอยู่บนเสื่อ จ้องน้ำที่เป็นเกลียวคลื่นลูกใหญ่พัดชายฝั่งไปมา นั่งๆ นอนๆ ได้ไม่นานก็ชักจะเบื่อหน่าย เหมือนเป็นเด็กสมาธิสั้น

ไปนานจัง... แล้วนี่กี่นาทีแล้วนะ สองนาทีได้มั้ง ช่างแม่ง เดินตามหาภัทรด้วยดีกว่า

นึกในหัวก็พยักหน้ากับความคิดเห็นอย่างภาคภูมิ เหยียดกายลุกขึ้น พานเขยิบครีบเดินออกจากหาด เห็นป้าคนหนึ่งร้องตกใจที่เห็นข้า

“อุ้ย แมวน้ำ !”

สิงโตทะเลจ้ะ โง่จัง ข้าด่าในใจ ไม่อยากนึกเสวนากับมนุษย์บนดิน คลานไปบนลานถนนที่ไร้การจราจร แต่คลานช้าไป กลับมีรถยนตร์คันหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาทางนี้ ทำข้าตาเหลือกแหกปากร้องลั่น

“กี๊สสสสส !!”

เอี๊ยด ! เสียงเบรกกลางคันในทันท่วงที ข้าเป็นลมนอนหงายหลัง เสียงคนตกใจรีบลงจากรถ คงหลงคิดว่าข้าหัวใจวายตายไปแล้ว แต่ไม่กี่วินาทีถัดมาก็เห็นข้าลุกขึ้นมาใหม่ เขยิบครีบชูคอมองตา

“อุ๋งๆๆๆ” (ขับรถประสาอะไรไม่ดูสัตว์ ชั่วจริงๆ) ข้าด่าภาษาถิ่น สะบัดหน้าหยิ่งยโสใส่เจ้ามนุษย์ เขยิบครีบเดินตามทิศทางเป้าหมายเตรียมจะข้ามไปอีกฝั่ง กลับมีรถอีกคันจากเลนอื่น

เอี๊ยด !

“กี๊สสสสส !!” ข้ากรีดร้อง หัวใจจะวายตายห่าแล้วนะ กวาดตามองทั่วสารทิศกลับค้นพบว่าจราจรเริ่มติดขัด เสียงรถยนตร์เริ่มทยอยกันเข้ามา ไหนจะผู้คนยืนมุงดูอยู่ ผนวกกับเสียงบีบแตนดัง “ปี๊ดๆ !”

“อุ๋งๆ !!” (หนวกหู) ข้าคลานไปที่รถยนตร์ดังกล่าว ปีนป่ายขึ้นไปและแหกปากดังลั่น สร้างความอลหม่านแก่จราจร

ก็เจ้าพวกนี้ขยันบีบแตนกันเก่ง ไม่เห็นเหรอว่าคนจะข้ามถนนอะฮะ ! ไอ้พวกงี่เง่า สอบใบขับขี่มาได้ยังไง

“อุ๋งๆๆ (หยุดบีบแตน ไอ้พวกบ้า !)

“ปี๊ดๆ” เสียงดังดุจนกหวีด

“อุ๋งๆ” (รำคาญ !) ข้าหมุนตัวไปมา แหกปากด่าจราจร เห็นใครก็ไม่รู้หยิบมือถือบ้างก็โทรคุย แต่ข้าก็ไม่คิดจะใส่ใจ มัวแต่ด่ารถอยู่ จู่ๆ ก็มีคุณตำรวจตัวอ้วนพุงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา

“สิงโตทะเลเนี่ยน่ะเหรอ ? แย่จริง ทำจราจรติดขัดไปหมด”

“อุ๋งๆๆ !” (ก็ข้าจะข้ามถนน !)

“มานี่เลย ไปคุยกันที่โรงพัก”

วะ เหวอ !? ข้าตัวลอยอีกแล้ว “กี๊สสส !” ดีดดิ้นไม่เป็นสุข เริ่มรำคาญกับมือคนที่มาสัมผัส เป็นคนแปลกหน้า กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวข้า จับอะไรมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เชื้อโรคทั้งนั้น ยี๊ พวกสกปรก !

ปึก ! เสียงบานประตูรถปิดกระแทก พลางลดกระจกรถลงมา ข้าก็เขยิบกายชูคอขึ้นไปพิง แววตาเศร้าสลด กลัวการพลัดพราก

ไม่นะ เสื้อกับหมวกแบล็คพิ้งก์ของข้ายังอยู่บนหาดอยู่เลย

“ขอโทษนะคะคุณตำรวจ พอดีดิฉันเป็นนักข่าว ขออนุญาตถ่ายสิงโตทะเลทีนะคะ”

“อ๋อๆ ได้เลยครับ” เสียงอีกคนตอบรับอย่างยินดี ขยับหมวกเล็กน้อยเป็นการแก้เก้อ ส่วนข้านั้นปรายตามองหญิงสาวผ่านหางตาวูบหนึ่ง เธอเป็นคนสะสวย

แต่แน่นอนข้าสวยกว่า ขนข้าก็สวยกว่ามาก และนี่ต้องโพสท่าด้วยมะ เหอะ ช่างเถอะ เสือกโดนจับอีก บ้าชะมัดยาด

“เฮ้อออ” หันหน้าหนีอย่างเบื่อหน่าย เสียงดังแชะจึงตามมาในระหว่างที่ข้าหลบตากล้องของหญิงสาว

“ขอบคุณมากค่ะ” เสียงเธอหันไปคุยกับตำรวจ ส่วนข้าก็ได้แต่ภาวนาในใจให้เจ้าตี๋รีบวิ่งมาหาโดยไว

แต่คำปรารถนาไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อรถตำรวจได้ขับเคลื่อนบนลานถนน สายลมพัดผ่านให้ข้าได้ใจเย็นชื่น สูดอากาศเข้าปอดกับโชคชะตา ผ่านพ้นไปเกือบสิบห้านาทีได้ ตัวข้าก็มาถึงโรงพักโดยไร้กุญแจมือ เสียงตำรวจก็ดังคึกคัก พุ่งเป้าความสนใจมาที่ตัวข้า

“มีปลอกคอด้วยนี่นา” คุณตำรวจอ้วนพุงเอ่ยปาก ยื่นมือมาแตะสร้อยคอข้า ทำท่าจะแกะแต่ถูกข้าดิ้นไม่ให้เอาออก

นี่สร้อยคอข้านะ ไม่ใช่ปลอกคอหมา ! ไอ้เจ้าบ้า !

การดิ้นรนไม่สัมฤทธิ์ผล สร้อยที่เคยสวมใส่อยู่ก็ถูกปลดนำไปดูแทน คุณตำรวจอ่านออกเสียง “ชื่อตัวเล็ก เจ้าของตี๋ เบอร์ติดต่อ 066-xxx-xxxx อาห์ ที่แท้ก็มีเจ้าของนี่เอง” ว่าพานหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์โทรออก ผ่านพ้นไปสักพักก็มีปลายสายกดรับ

ข้านั่งหงอย ฟังคุณตำรวจพูดกับปลายสายครู่ใหญ่ แถมยังบอกว่าข้าป่วนจราจรอีกต่างหาก ทิ้งท้ายด้วยพิกัดโรงพักให้มารับตัวข้า คุณตำรวจก็กดตัดสายหันเหความสนใจมาที่ข้าที่นั่งซึมเซา “เจ้าตัวเล็กที่เป็นสัตว์โด่งดังนี่เอง ฉลาดแสนรู้จังเลยนะ อีกสักพักเจ้านายแกก็จะมารับแล้วล่ะ นั่งอยู่นิ่งๆ ล่ะ”

จะไม่ให้นิ่งได้ยังไง เล่นเอาเชือกห้อยคอข้าขนาดนี้ แขวนข้ากับฝ้าเพดานเลยดีไหมฮะ !? อีกอย่างเจ้าตี๋ไม่ใช่เจ้านายเหนือหัวข้าด้วย ข้าต่างหากล่ะโวยที่เป็นเจ้านายมัน

ข้าแหกปากเยิ้วๆ ใส่คุณตำรวจ สร้างความรำคาญใจจนตำรวจต้องเดินหนีออกจากห้อง ทิ้งข้าให้อยู่ในห้องโล่งๆ ที่มีเบาะ ข้าได้แต่มองอย่างเลื่อนลอยโดยไม่มีอะไรทำ สักพักก็เริ่มง่วงงุนผล็อยหลับไปจนได้ ตื่นมาอีกทีก็ตอนมีแรงสะกิดและเสียงเรียกให้ตื่นจากห้วงนิทรา

“แจ๊บๆ”

“ตัวเล็ก เฮ้อ ทำแบบนี้อีกแล้วนะ ตี๋บอกให้อยู่ที่หาดไง” เสียงเจ้าตี๋ดังเอ็ด ข้าที่เพิ่งปรือตามองทำหน้าเบื่อหน่ายรำคาญใจ

เป็นผัวอ๋อ พูดมากจัง

“มา กลับบ้าน ลุกเลย” ว่าพลางเสียงดุ ท่าทางไม่พอใจเป็นอย่างมากจนข้าแอบสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วหน้ากับคำพูดอ้อมแอ้มของอีกฝ่าย “เป็นห่วงเนี่ยรู้บ้างไหม”

ข้าเบนหน้าหนีไปทางอื่นไม่กล้าสบตา ใจมันเต้นตึกตักแปลกพิกล ถูกเจ้าตี๋อุ้มตัวและเดินไปคุยกับตำรวจอีกนิดหน่อย แถมยังมีใบเอกสารรับรองในการครอบครองข้าอีกต่างหาก ข้าเองก็ไม่รู้ไปทำพันธสัญญาในตอนไหนก็ไม่ทราบ สงสัยจะเป็นอำนาจบารมีของพ่อเจ้าตี๋ที่สร้างใบรับรองในการเลี้ยงดู

“ตัวเล็กป่วนใหญ่เลยนะ” เสียงภัทรที่เดินขนาบข้างกายเจ้าตี๋พูดจ้อ

ข้านิ่งเงียบ ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าอีกแล้ว รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองเหนื่อยล้าแปลกๆ เผลอหลับไปอีกหนโดยไม่ทันรู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็อยู่บนฟูกนิ่มเบาะรองนั่งภายในบ้าน โดยมีเจ้าตี๋เปิดโทรทัศน์ฟังข่าวสาร

ข้าเอาครีบขยี้ตาตัวเอง นั่งมึนๆ มองจอทีวีที่ฉายภาพสิงโตทะเล

เอ๊ะ นั่นมันข้านี่หว่า

[เจ้าตัวเล็กสิงโตทะเลก่อกวนการจราจร เจ้าหน้าที่เห็นใจยังเยาวชนอนุโลมไม่ใส่กุญแจมือ] พร้อมกับภาพประกอบที่มีภาพข้านั่งอยู่บนพื้น มองกล้องตาแป๋วตอนไหนก็ไม่ทราบ ทั้งยังมีตอนที่นั่งอยู่บนรถตำรวจตาละห้อยเหมือนถูกผัวทอดทิ้งอีกด้วย

“ออกข่าวอีกแล้วนะ” เจ้าตี๋ลอบถอนหายใจ

ข้าเชิดหน้าอย่างผยอง ไม่สะทกสะท้าน เห็นด้านข้างมีกระดาษกับปากกาพอดี น่าจะเป็นเจ้าตี๋ที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก ข้าจึงนำมาขีดเขียนเป็นตัวอักษรอย่างขะมักเขม้น

[อย่างน้อยก็สร้างชื่อเสียง] ข้างับกระดาษชูให้เจ้าตี๋ดู

“ในทางที่แย่น่ะสิ” เจ้าตี๋ตอกกลับ

ข้าอ้าปากอยากจะกรี๊ด ไม่น่าเชื่อว่าเดี๋ยวนี้คนวิปริตจะปากคอเราะรายได้ถึงขนาดนี้ น่าตบเลือดกบปากซะจริงๆ เชียว

[นี่ด่าข้าเหรอ] ข้าเขียนตอบกลับ

ไม่ยอม ดิฉันไม่ยอมค่ะคุณกิตติ เรื่องนี้ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

“เปล่าซะหน่อย แต่ก็ตัวเล็กอะดื้อ ไม่ยอมเชื่อฟังที่ตี๋บอก เข้าใจไหม” เจ้าตี๋พูดเสียงกระแทกกระทั้น ทำข้าใจร่วงไปถึงตาตุ่ม น้ำตาคลอเบ้ากับคำที่ได้ยิน

“ตัวเล็ก”

“ฮึก” ข้าพยายามกลั้นสะอื้นไห้

“ตี๋ขอโทษ ไม่เอา ไม่ร้องไห้นะ” เจ้าตี๋มือไม้เป็นระวิง รีบเข้ามากอดตัวข้าอย่างหวาดหวั่น ท่าทางใจหายใจคว่ำเป็นห่วงเป็นใย ทำข้าร้องไห้เป็นเสียงสัตว์โอดครวญ

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่โดนเจ้าตี๋ดุถึงขนาดนี้ พอได้ยินแล้วข้ารู้สึกใจหายแปลกๆ รู้สึกทั้งเศร้าและหวาดกลัวในคราวเดียวกัน

ข้าไม่ชอบเลย…

ไม่ชอบที่เจ้าตี๋ดุ

“ตัวเล็กหยุดร้อง นะๆ จะเอาอะไรบอกตี๋ ตี๋ขอโทษที่ดุ อะ เขียนมา จะว่าอะไรตี๋ก็เต็มที่เลย หยุดร้องก่อนนะครับ” พูดเสียงอุ่นพร้อมกับปราดน้ำตาให้ข้าอย่างเอ็นดู ข้าสูดน้ำมูกเข้าจมูก งับปากกาเขียนตัวอักษร

[อย่าดุ] แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

“ก็ได้ ต่อไปนี้จะไม่ดุแล้ว สัญญา” เจ้าตี๋ยื่นปลายนิ้วก้อยมาให้ ข้าก็เลยยื่นครีบไปสัมผัส

[ถ้าดุอีกจะไม่รักแล้ว] ข้าเขียนอย่างกับสาวน้อยแง่งอน สร้างความครื้นเครงแก่ชายฉกรรจ์ที่พบเห็น เจ้าตี๋หัวเราะอิ่มเอมใจ

“ตัวเล็กไม่รักไม่ได้นะ” ตี๋บอก “ตี๋ตกหลุมรักไปนานแล้ว”

ว้าย ข้าเอามือทาบอก นี่มีผัววิปลาสแอบชมชอบตัวเองอย่างงั้นเหรอ อดไม่ได้ที่จะจรดปากกาใส่หน้ากระดาษ ปากอย่างใจอย่าง

[คบกับเจ้าไปเอากับภัทรยังดีเสียกว่า]

เจ้าตี๋เขม็งตาใส่ ขย้ำกระดาษเป็นม้วนกลมๆ จนยับยู่ยี่ พูดสะบัดหางเสียง “ตี๋จะไม่ให้ภัทรมาบ้านแล้ว”

“อุ๋งๆ !” (ไอ้คนขี้หวง) ข้าตะโกนด่าต่อหน้า เพราะรู้ว่าอีกคนฟังไม่รู้เรื่อง

“นี่มันเรื่องบ้ามาก” ตี๋พูดละล่ำละลัก

ข้าพยักหน้าเห็นด้วยว่าเจ้าบ้าจริง ไม่ทันไรตัวก็ลอยเฉยด้วยฝ่ามือใหญ่

“แต่ทุกครั้งที่ตัวเล็กหายไปหรือไม่อยู่ใกล้ๆ ตี๋จะใจหายทุกทีเลย”

“...”

“ทุกครั้งที่อยู่ด้วย ตี๋จะหัวเราะได้อย่างเต็มที่อย่างที่ไม่เคยเป็นเลย”

“...”

“มันบ้ามาก”

“...”

“ที่ตี๋ดันแอบชอบคนที่อยู่ในร่างสิงโตทะเล”

“...”

“มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะรักกัน” พูดจบประโยคตัวข้าก็เคลื่อนกายไปด้านหน้า เห็นเจ้าตี๋ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำท่าจะจับจูบ ข้าก็เลยรีบยื่นครีบมาบังริมฝีปากหยักหนาในทันใด

โว้ยยย นี่เจ้าจะเอาข้าในคราบสัตว์จริงๆ ใช่ไหมฮะ !

ไม่ทันที่ริมฝีปากจะสัมผัส เจ้าที่ก็หลุดชะงักไปที ก่อนจะขยับใบหน้ามาจูบผ่านครีบที่บดบังริมฝีปากของข้าและตี๋เอาไว้ เป็นสิ่งคั่นกลาง แต่กลับทำให้หัวใจร้อนฉ่า

ข้าว่าพระเจ้ากำลังเล่นตลก…

เล่นตลกกับโชคชะตาของข้าที่เป็นอยู่นี้ และเล่นตลกกับเจ้าตี๋ที่คิดฝันอย่างไม่มีทางเป็นไปได้

แต่ทำไมกันนะ…

ถ้อยคำถัดมาถึงทำให้ข้าหลงเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า…

“อยู่กับตี๋ไปนานๆ นะ”

มันจะมีเรื่องมหัศจรรย์ระหว่างเราทั้งสอง ให้ถักทอเรื่องราวมาพานพบกัน

ข้าที่ปากบอกไม่ชอบเจ้าตี๋

ลึกๆ ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ..

ปล่อยให้ห้วงเวลาเป็นตัวกำหนด

มันคงจะดีเสียกว่า

“อุ๋งๆ” (เจ้าบ้า)

“หืม ? ตัวเล็กพูดไรอะ เขียนได้ไหม”

“อุ๋งๆๆ” (ไม่บอกหรอก ปล่อยให้เจ้าโง่)

“อาห์ ตี๋ฟังไม่เข้าใจเลย” ตี๋ดูหัวร้อน ท่าทางหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจความหมาย เห็นดังนั้นข้าก็ลอบยิ้มปรีดา

อยากจะบอกอีกคำให้แก่เจ้า “อุ๋งๆๆๆ”

“ตัวเล็กเขียนนนน” เจ้าตี๋โวยวาย

ข้าหัวเราะร่าสาแก่ใจ เพราะถ้อยคำที่กล่าวคือ...

เจ้าก็ทำให้ข้าเป็นตัวของตัวเอง

หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-12-2019 18:31:39
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 14-12-2019 09:26:47
สนุก​ ตลก​ เดินเรื่องดีไม่น่าเบื่อ
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสอง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 14-12-2019 15:14:44
 :pig4: :pig4: :katai4: :katai4: :call:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม จบ (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 19-12-2019 21:26:16
[13 END]
[/size]

ก็ไม่คิดว่าบุรุษที่ร่างกายองอาจและแข็งแรง ซ้ำยังกระปรี้กระเปร่าในการทำงาน จะมาบาดเจ็บล้มไข้ได้ป่วยจนต้องนอนซมอยู่บนตั่งเตียง เห็นแล้วชวนน่าสังเวชยิ่งนัก ข้าได้แต่มองแม่ของเจ้าตี๋ที่นั่งอยู่ข้างขอบเตียง คอยหยิบผ้าขี้ริ้วมาชุบน้ำ คอยเช็ดเหงื่อกาฬของลูกชายที่ไหลผุดซึม

ช่วยไม่ได้ก็เจ้าตี๋เป็นคนนี่นา คงเป็นธรรมดาที่ร่างกายจะอิดโรยกันบ้าง ข้าที่ชะโงกหน้ามองอยู่ตรงพื้นส่งแววตาอย่างห่วงใย

ใยจะต้องใส่ใจอีกฝ่ายด้วยเล่า ! หันไปเล่นกับเจ้าแมวมิรินดีกว่า

“ตัวเล็ก” เสียงแหบแห้งเหมือนคนใกล้ตายดังมาในจังหวะที่ข้าหมุนกายหันหลัง ไม่ทันจะเดินจากไปก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน

“จะไปไหน ?”

‘หาผัวใหม่จ้ะ’ อยากจะหันไปเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมนุษย์ยิ่งนัก แต่ก็ทำได้แค่ส่งเสียงร้องอุ๋งๆ ชี้ครีบไปทางแมว

“จะเล่นกับมิรินเหรอ แค่กๆ ดะ เดี๋ยวก็แกล้งน้องอีก” อีกฝ่ายกล่าว

แต่ใครเป็นน้องใครไม่ทราบ ข้าไม่ได้นับแมวต่างสายพันธุ์เป็นลูกพี่ลูกน้องด้วยเสียหน่อย คลอดจากแม่เดียวกันหรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่

ชิ ข้ายืนนิ่งผายอกอย่างผยอง มองเจ้าตี๋ที่นอนซมน้ำตาปริ่มคลอเบ้า คงเป็นเพราะพิษไข้อย่างหนัก

ช่างน่าสงสาร ร่างกายอ่อนแอจังเลยนะ ข้าไม่เอาด้วยหรอกผัวขี้โรค แตะนิดแตะหน่อยคงนอนซมตาย

วันนี้เป็นวันเสาร์ แสงแดดในยามบ่ายก็เริ่มเบาบาง ลอดผ่านเข้ามาในม่านหน้าต่างที่อาบไล้เรือนกายชายฉกรรจ์ที่นอนห่มผ้าผืนหนา ภายในห้องร่มเย็นที่เปิดแอร์ที่ไม่ได้หนาวเหน็บจนมากเกินไป พอที่จะช่วยให้เจ้าตี๋คลายร้อนได้บ้าง การป่วยในครั้งนี้ก็ส่งผลให้ข้าไม่ต้องเดินทางไปยังอควาเรี่ยม ได้แต่นอนบนฟูกนิ่มๆ ดูหนังภาพยนตร์กับเจ้าตี๋แทน สายตาก็กวาดมองตัวอักษรที่ขึ้นซับไทยไปพลาง ในระหว่างนั้นแม่ของเจ้าตี๋ก็อุ้มเจ้าแมวมิรินออกจากห้องไปพอดี เพื่อให้ลูกชายของเธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งในทีแรกข้าก็เกือบจะถูกพาออกไปด้วย แต่เจ้าตี๋ดันหักห้ามเอาไว้ก่อน เพราะอยากให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเสียนี่

ข้าแลดูคนบนที่นอนที่ตอนนี้ผล็อยหลับไปเสียแล้ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ช่วงอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ เป็นจังหวะ ก่อนที่ข้าจะค่อยๆ ปีนป่ายขี้นไปบนเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้สุ้มให้เสียง พานยกครีบไปแตะที่หน้าผากของคนตรงหน้าเบาๆ เพราะเกรงกลัวว่าจะปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล พอรับรู้ถึงความร้อนในร่างกายผะผ่าว แววตาของข้าก็ดูสลดลงอย่างนึกเป็นห่วงเป็นใย พลันกระโดดลงมาที่ฟูกรองรับบนพื้นในทันใด นั่งๆ นอนๆ ดูหนังไปพลาง พอเวลาผ่านพ้นมา ตัวข้าที่ชำเลืองมองนาฬิกาที่ห้อยแขวนอยู่ภายในห้องก็ส่งเสียงร้องปลุกเจ้าตี๋ให้ตื่นขึ้นมาทานยา

“อุ๋งๆ” (ตื่นๆ)

“อืมมม” เสียงละเมอคล้ายไม่พอใจ ใบหน้าซีดขาวทำข้าใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ ปีนป่ายมาบนเตียงก็เอาจมูกดุนดันสะกิดที่เรียวแขนยิกๆ

“อุ๋งๆๆ” (ตี๋ตื่นเดี๋ยวนี้) ข้าส่งเสียงแปร๋น ทำคนหลับนอนค่อยๆ ปรือตา น้ำตาเอ่อคลอเกลือกกลิ้งไหลอาบแก้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ป่วยหนักน่าดู ใจข้าไม่สู้ดีนักกับภาพเบื้องหน้าที่พบเจอ

“มีอะไรเหรอตัวเล็ก ?” เจ้าตี๋เรียกขาน

“อุ๋งๆ” (ทานยา) ข้าว่าพลางชี้ครีบไปที่ข้างตั่งโต๊ะ มีแผงยาลดไข้แก้ปวดหัว ที่แม่ของเจ้าตี๋ได้ย้ำชัดให้ลูกชายตื่นมาทาน ข้าที่ได้ยินดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลุกให้อีกฝ่ายตื่นมาทานยาตามใบสั่งแพทย์

“เย็นแล้วเหรอ ?” ใบหน้าขาวซีดที่ดูดีขึ้นกว่าเก่า พอมีเลือดฝาดที่ปรางขาว แลมองนาฬิกาที่ขยับชี้ไปที่เลขห้า

“ปลุกให้ตี๋มาทานยาสินะ” เจ้าตี๋ว่าพลางละมุนยิ้ม ยกฝ่ามือที่แทบไร้เรี่ยวแรงมาลูบลงที่กลางกระหม่อมของข้าอย่างนึกเอ็นดู

ข้าพยักหน้ารับ เจ้าตี๋เลยกล่าวถ้อยคำถัดมาว่า “เด็กดี” ในน้ำเสียงเจือปนไปด้วยความดีใจ

“อยากให้ตัวเล็กเป็นคนจัง” อีกฝ่ายเอ่ยลอยๆ ก่อนจะยันฝ่ามือลงบนที่นอนเพื่อลุกออกจากเตียง รินน้ำใส่แก้วแล้วหยิบยาสองเม็ดกระดกดื่มพร้อมกับน้ำ เล็ดลอดเสียงดัง “อาห์” ในช่วงท้ายคล้ายชื่นใจ

ข้าเอียงคอฉงน ก้าวกระโดดลงจากตั่งเตียงมาที่ฟูกดังเดิม กระเถิบกายไปหยิบปากกากับกระดาษที่วางไว้ตรงพื้นมาขีดเขียน เพื่อโต้ตอบพูดคุยกับอีกฝ่าย

ตัวข้าจากที่ไม่เคยคิดจะเสวนาด้วย ยามนี้กลับพลิกลิ้น เปลี่ยนมาพูดคุยกับชายหนุ่มที่ตนเองเคยครหาว่าเป็นไอ้พวกโรคจิตวิตถาร

เมื่อเขียนเสร็จแล้วและอ่านตัวอักษรอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าก็งับสมุด ชูให้อีกคนอ่าน

[เลี้ยงยากนะ  รับไหวเหรอ ?]

เจ้าตี๋ที่ก้มหน้าหรี่ตามองตัวอักษร ไม่ช้านานก็ระบายยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าหล่อเหลา หัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนจะกล่าว “ไหวสิ ตี๋จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเลย”

ข้าหัวใจเต้นตึกตัก พอใจกับสิ่งที่ได้สดับรับฟัง กำลังก้มหน้าขีดเขียนตัวอักษรอีกประโยค ก็ดันมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาภายในห้อง ตัวข้าจึงนิ่งงัน หันเหความสนใจไปที่ต้นตอ เขยิบกายรุดออกมาดูนอกห้องนอน เพื่อดูไปที่บานประตูทางเข้า

“ตี๋นี่แม่เองนะ”

ที่แท้ก็เป็นแม่เจ้าตี๋ที่เข้ามาภายใน แต่ใบหน้าที่เคยแจ่มใส ยามนี้กลับดูเครียดถมึงทึงอย่างไม่ชอบมาพากล สาวเท้าเข้ามาอย่างว่องไวเดินมาถึงห้องนอนก่อนจะกล่าว

“ตี๋ คือ…” เสียงแม่ตี๋ดูเคร่งเครียดที่จะเอ่ย

“มีอะไรครับแม่” เจ้าตี๋ที่เห็นแม่ตนเองตะกุกตะกักซ้ำยังมีท่าทางสับสนจึงเอ่ยถามเสียงอุ่น

คุณนายสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะพูด “ออยมาหาน่ะลูก”

“...” เจ้าตี๋เงียบปากสนิท ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่ง ยิ่งนิ่งขึงชวนน่าหวาดหวั่น

ออย ? ใครกัน ? แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน ไม่งั้นทั้งแม่และเจ้าตี๋คงไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจเช่นนี้แน่

“ให้แม่ไล่เธอกลับไปไหม” แม่เจ้าตี๋ว่า

“อืม เดี๋ยวผมจัดการเองครับ” เจ้าตี๋ตอบปัด มิวายถามอย่างสงสัย “เธออยู่นอกห้องใช่ไหมครับ ?”

“จ้ะ” คุณนายขานรับ

“เฮ้อออ” เสียงทอดถอนใจดังมาจากคนเบื้องบนให้ข้าได้ยิน พอเห็นข้ามองด้วยแววตาอย่างสงสัยใคร่รู้ เจือปนไปด้วยความห่วงใย เจ้าตี๋จึงค่อยๆ แย้มยิ้ม อธิบายในสิ่งที่ข้ากำลังฉงน หลังจากที่แม่ตนเองเดินออกจากห้องขึ้นมาว่า “แฟนเก่าน่ะ ที่เคยเล่าให้ฟัง”

อ๋อ ที่แท้ก็นางแพศยา หน๊อยแน่ ! กล้าดียังไงมาเหยียบย่ำที่นี่อีก หน้าด้านสิ้นดี

ข้ากระฟัดกระเฟียด พลอยให้คนที่จ้องมองอยู่ในทีแรกหัวเราะขบขัน ก้มตัวลงมาช้อนข้าขึ้นอุ้ม ในฝ่ามือมีปากกาและสมุดถืออยู่ด้วย

“ไปกัน” เจ้าตี๋กล่าว

ได้เลยลูกพี่ อีน้องนี้จะเล่นงานเสียให้เข็ญ ไล่ตะเพิดไม่ให้กล้ามาวอแวอีกเลยคอยดู

ข้าร้องหึ่มๆ ในใจเป็นสิบๆ ครั้ง ในขณะที่เจ้าตี๋ย่างกรายออกมานอกห้อง ทันทีทันใดก็ได้พบกับหญิงปริศนาที่มีเส้นผมสั้นระดับลาดไหล่ มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนน้ำตาลทรายให้มดมารุมกัดทึ้ง ข้าเห็นขี้หน้าแวบเดียวก็พลอยเกลียด พลันสะบัดหน้าหยิ่งยโสดังเชอะเป็นการย้ำเตือนไม่ผูกมิตรไมตรี

เจ้าตี๋ไม่แม้แต่ชายตามอง เดินลงมาที่ขั้นบันไดเพื่อไปยังห้องนั่งเล่น โชคยังดีที่ไม่ค่อยมีคน เหลือแค่เราสามคนเท่านั้น ข้าที่ถูกวางลงกับพื้นก็รีบผายอกเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างผยอง

โดนดีแน่นังตัวดี !

“ตี๋” เสียงหญิงสาวเรียกชื่ออีกฝ่าย

“มาทำไม” เจ้าตี๋พูดเสียงห้วนตอบกลับไป

ข้าพยักหน้างึกงักเห็นด้วยว่าใช่ มาทำไม ไม่รักก็ไม่ต้องมา

“ออยขอโทษ” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูเศร้าสลด หน้าตาดูซึมเซาชวนน่าสงสาร

แพศยายิ่งนัก ! ทั้งที่เป็นฝ่ายนอกใจไปเอากับเพื่อนสนิทของคนที่รัก ยังมีหน้ามาเหยียบย่ำถึงถิ่นฐานอีก หน้าด้านไร้ยางอาย !

ชิ ข้าลอบสบถ กริ่งเกรงว่าเจ้าตี๋จะใจอ่อนกับมารยาสตรี ในใจตะขิดตะขวงจนอธิบายไม่ถูก

เจ้าตี๋ไม่ปริปากใดๆ ทั้งสิ้น วางกระดาษกับปากกาลงบนพื้นอย่างอิดออด ข้าที่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง จึงรีบพลิกหน้ากระดาษในทันท่วงที จรดปากกาขีดเขียนอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากได้ลอบมองสังเกตอากัปกิริยาของชายหนุ่มข้างกาย คงจะได้เห็นการลอบอมยิ้มข้างมุมปากอย่างชอบอกชอบใจ

[ยัยรัชนก] ข้าชูสมุดให้หญิงสาวตรงหน้าอ่าน ตัวเธอที่งงงวยกับการกระทำของข้าในทีแรกพลันสะดุ้งโหยงกับคำครหา

ข้าส่งเสียงหึ่ม พลิกกระดาษเขียนอีกประโยค ในระหว่างนั้นเธอก็พูดคุยกับเจ้าตี๋

“เจ้าสัตว์บ้านี่อะไรกัน ตี๋สอนให้มันเขียนคำหยาบคายแบบนี้ใส่ออยน่ะเหรอ ?”

“เปล่าซะหน่อย” เจ้าตี๋ส่ายหน้าประกอบ เอนหลังพิงพนักโซฟา นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ “ตัวเล็กตั้งใจทำเอง”

ข้าที่ฟังไปด้วยก็ลอบดีใจไปด้วยกับคำกล่าวเบื้องต้น ไม่คิดว่าจะมีใครเห็นดีเห็นงามกับการชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ครั้นเขียนเสร็จสิ้นอีกคำ ข้าก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน

[กลับมาทำไม ถ้าจะมาขอคืนดีบอกเลยว่าไม่ !] ไม่กลับไปคบทั้งนั้น ข้าไม่สนด้วยว่าเจ้าตี๋จะมีอะไรคาใจอยู่ไหม แต่ที่แน่ๆ หลังจากอยู่ร่วมกันมา ข้าเข้าใจว่าเจ้าตี๋ไม่คิดจะกลับไปหาเธออีกแล้วอย่างแน่นอน

“ตามที่ตัวเล็กบอกเลย” เจ้าตี๋ที่ก้มหน้าลงมาอ่านพยักพเยิด ข้าเลยชื่นใจขึ้นมาบ้าง ซาบซึ้งกับความคิดเห็นของอีกฝ่าย แม้จะเป็นเพียงจากขี้ปากของข้าก็ตามที “ออยกลับไปเถอะ ตี๋ปวดหัว”

ข้าพยักหน้างึกงัก สบตามองเธออย่างวาวโรจน์ ซึ่งเธอเองก็มองข้าอย่างกับรังเกียจคล้ายเห็นสิ่งแปลกประหลาด

หน๊อย เดี๋ยวข้าก็ควักลูกตาเสียเลยนี่ !

เมื่ออีกฝ่ายยังคงเม้มปาก พูดขอโทษขอโพยทั้งยังอยากกลับมาขอคืนดี ข้าก็รีบหันขวับมาจ้องหน้าตี๋อย่างไม่พอใจ

ข้าขี้เกียจเขียนด่าแล้วนะ เมื่อยปากแล้วด้วย !

เจ้าตี๋เหลือบแลมาทางข้า อมยิ้มข้างมุมปากก่อนจะจับอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก ปลอบประโลมข้าด้วยการลูบหลังให้ใจเย็นลง

“ขอบคุณ แต่ไม่เอาหรอก ตี๋มีคนที่ชอบแล้ว ออยมาพูดอะไรซ้ำซากจะขอให้เราคืนดีกัน ตี๋ก็คงได้แต่ตอบคำเดิมๆ” พูดหลังจากนั้นก็โน้มหน้ามากระซิบข้างหูข้า “เนอะ คนขี้หึง”

ชิ ใครหึงใครไม่ทราบ แต่ช่างปะไร ข้าไม่ชอบขี้หน้าหล่อนเลยสักนิด เพียงแค่ปรายตามองแวบเดี๋ยวความโมโหโทโสก็ก่อเกิด ฟึดฟัดหันซ้ายแลขวาไม่อยากจ้องตา เจ้าตี๋ที่คงรับรู้ถึงอาการไม่พอใจจึงเอ่ยเนิบนาบขึ้นมาว่า “กลับไปเถอะ ตี๋มีธุระต้องไปทำต่อ” พูดเอ่ยลาเธอ ก่อนจะเหยียดกายลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องนั่งเล่นโดยไม่คิดจะเหลียวแลเลยสักนิด

ในใจข้าพอใจเหลือหลาย ชอบทุกประโยคที่เจ้าตี๋เอื้อนเอ่ย พอเจอหน้าแม่บ้านก็ไม่วายสมทบ “รบกวนส่งแขกทีนะครับ”

“ได้เลยค่ะคุณชาย” แม่บ้านโค้งหัวอย่างยินดี

เจ้าตี๋โค้งกายกลับก่อนจะเดินขึ้นมาบนบันได จากนั้นก็พาข้าเข้ามาในห้อง วางลงบนตั่งเตียง

“พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา” เสียงทุ้มว่าสัพยอก ข้าที่ทำหน้าสลอนจึงเบนหน้ามาสบตา

“ชิ” ลอบส่งเสียงไม่พอใจ

“หึงก็บอกว่าหึงสิครับ” เจ้าตี๋ว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างริมที่นอน “กลัวตี๋จะกลับไปหาเธอใช่ไหม ?”

“...” ข้าเงียบไม่ตอบคำถาม สักพักก็ไอโครกๆ ปนหน่วงอก

“ตัวเล็ก” เจ้าตี๋สะดุ้งตกใจ “ไม่สบายเหรอ ติดไข้จากตี๋หรือเปล่า ?”

ข้ารีบยกครีบซ้ายโบกไปมาว่าไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่จริงสังเกตตัวเองมาสักพักใหญ่ ว่าเดี๋ยวนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเฉกเช่นทุกวัน เลือกที่จะเบี่ยงเบนความสนใจโดยการชี้ไปที่สมุดให้เจ้าตี๋ยื่นมาให้

เมื่อรับสมุดที่เปิดอ้าเอาไว้ พร้อมด้วยปากกาที่งับคาปาก ข้าก็ตั้งคำถามในสิ่งที่ค้างคาใจ

[ยังรักเธออยู่ไหม ?]

“...” อีกคนเงียบกริบ

ข้าที่แหงนหน้ามองรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ไม่รู้ทำไมถึงได้อยากรู้นักกับสิ่งที่ต้องการได้รับคำตอบ

หากคำตอบที่ว่ายังเป็นรักเธออยู่ หรือแม้แต่เพียงน้อยนิด ข้าก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี

“ไม่”

“...”

“ไม่รักและไม่รู้สึกอะไรกับเธออีกแล้ว ถ้าพูดแบบนี้ตัวเล็กจะเชื่อไหม ?”

ราวกับว่าคำๆ นั้นคือการสารภาพรัก ทั้งยังซื่อตรง ตอบออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ จนข้ารู้สึกร่างกายร้อนผ่าวไปที่บริเวณผิวหน้า พลันหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเอียงอาย ก่อนจะค่อยๆ ผงกหัวเป็นการตอบคำถาม

เชื่อสิ...ข้าเชื่อเจ้าสนิทใจ

อ๊ากกกก นี่ข้ากำลังเขินอย่างงั้นเหรอ อยากจะเอาแอลกอฮอล์กรอกปากเจ้าตี๋ให้ตายจริงๆ เชียว

หมับ ! จู่ๆ ก็ถูกรวบกายไปโอบกอด โยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก

“ชอบจังเลย อยากให้ตัวเล็กเป็นคนจังเลย” เจ้าตี๋พูดออกมาคล้ายละเมอ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างระหว่างโอบกอดร่างกายข้า

ข้าหมุนกายมาจ้องหน้าอีกฝ่าย ไม่ทันจะได้สบตาก็ดันเห็นใบหน้าหล่อเหลาหลับตาพริ้มไปเสียแล้ว

รับมือกับการเป็นพิษไข้ของคนตรงหน้าไม่เป็นจริงๆ เลย

เฮ้ออออ ไอ้สวามีงี่เง่า

 

ในระหว่างที่ตี๋หลับนั้น ภัทรที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไรก็ก้าวเข้ามาในห้อง พอชะโงกหน้าเห็นตี๋หลับก็กวักมือเรียกข้าให้ไปหา ข้ากระเถิบกายไล่ตามต้อยๆ ก่อนจะถูกอุ้มมาแนบอก พยายามไม่ส่งเสียงตามปลายนิ้วชี้ที่จุ๊ปากเป็นการส่งซิก

แง ผัวใหม่มีของมาให้แน่ๆ เชิญผัวเก่านอนซมตายไปก่อนน๊า

ใจหนึ่งก็เป็นห่วง แต่ถ้ามีแบล็กพิ้งก์มาแลกเปลี่ยนใจคนก็ผันแปรได้ไม่ยาก

“วันนี้เอาเสื้อสกรีนรูปลิซ่ามาให้แหละ”

“กี๊สๆ” ข้ากรีดร้องหลังจากออกมานอกห้อง ถูกเจ้าภัทรพามาในห้องโถง ทำตัวประหนึ่งอยู่ในบ้านของตนเอง ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา จากนั้นก็พยายามเอาเสื้อตัวเล็กสวมใส่ข้า ตัวข้าเองก็ยินดียิ่งนัก ชูครีบคล้ายกางแขนออกกว้าง พอสวมเสร็จก็ลูบตรงบริเวณหน้าท้อง มีภาพการ์ตูนSDลิซ่าใส่ชุดสีขาวมีเสื้อแจ็กเก็ตสวมทับอีักชั้น น่ารักจนข้าอยากกรี๊ดให้เส้นเลือดในลำคอแตกตาย

ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก หากข้าเป็นคนคงจะได้มีโอกาสพูดขอบคุณอีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งเจ้าตี๋ที่คอยเลี้ยงดูอย่างดิบดี พอหวนนึกถึงเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปถึงบิดามารดาในสมัยตอนเป็นคน

ที่ข้าไม่อยากพูดถึง ก็เพราะข้าคิดว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโชคชะตา การเก็บความทุกข์หรือความเสียดายในตอนที่พลั้งพลาด พลอยจะทำให้ข้าไม่มีความสุขกับชีวิตใหม่ที่ได้รับมา ข้าเลยเลือกที่จะปลงและยอมรับกับสิ่งที่เกิด เชื่อว่าปานนี้พ่อกับแม่แม้จะทุกข์ระทม แต่ก็ยังมีลูกคนโตที่แสนดีคอยดูแลท่านอย่างดิบดีเป็นที่แน่แท้ ฉะนั้นข้าจึงไม่นึกเสียดายสิ่งใดๆ

แต่พอหวนมานึกถึงตอนนี้ ข้าที่รู้สึกว่าร่างกายกำลังเจ็บป่วย กริ่งเกรงว่าจะทำให้ใครบางคนต้องปวดร้าวในอกจนแทบทุกข์ตรม

ข้าเริ่มรู้ชะตาตัวเองแล้ว...รับรู้ได้ถึงสิ่งที่ใกล้จะเกิด

จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเซื่องซึม ไม่ได้สนใจคนข้างกายที่เปิดคลิปเกิร์ลกรุ๊ปที่ตนเองนั้นชมชอบ พลันมีเสียงหนึ่งดังกังวานเข้ามา เรียกชื่อข้าให้ใจเต้นกระหน่ำ

“ตัวเล็ก”

เจ้าตี๋…

ข้าแหงนหน้ามองคนป่วยที่เดินเอื่อยมาหา ริมฝีปากคลี่ยิ้มละมุนละไม “คิดว่าหายไปไหนซะอีก”

“...” ข้าเงียบ ค่อยๆ เผยอยิ้มให้เจ้าตี๋ ทำคนตรงหน้าชะงักกับภาพที่เห็น

นั่นก็เพราะข้าไม่ค่อยยิ้มบ่อยๆ ให้อีกคนดูเลยยังไงล่ะ

ข้าแค่อยากยิ้ม ยิ้มในตอนนี้ ยิ้มให้เจ้ารู้ว่าตอนนี้ข้ายังไม่ได้หายไปไหนก็เท่านั้นเอง

 

สามวันผ่านไปกว่าที่เจ้าตี๋จะหายไข้ ข้าที่รออีกคนอาบน้ำอยู่ก็รู้สึกร่างกายเหนื่อยล้าจึงผล็อยหลับไปก่อน พลันนอนหมอบม้วนอยู่ที่พื้น มาลืมตาสะลึมสะลือตื่นก็ตอนที่อีกคนเดินมายืนค้ำหัวพลางเรียกชื่อ พอข้าเงยหน้ามองก็พลันหน้าถอดสีในบัดดล

เจ้าตี๋เปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างพันผ้าขนหนูที่ยาวระดับเหนือเข่า ข้าที่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวก็ดันไปสบเข้ากับสิ่งที่งอกเงยหดหัวลงต่ำ

กรี๊ดดดด คว- นี่มันคว-

“กี๊สสสส !” กรีดร้องพร้อมชี้ครีบไปที่หรรมคนตรงหน้า เจ้าตี๋ที่สะดุ้งโหยงพอเห็นข้าเล็งมาที่เป้า ใบหน้าหล่อเหลาก็แดงก่ำ รีบกุมส่วนสงวนแนบกับผ้าขนหนู

อีวิปริต อีผัววิตถาร !!

“ตัวเล็กเห็นงั้นเหรอ ?” เจ้าตี๋ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หน้าตาเหลอหลาวางตัวไม่ถูก

ไม่เห็นมั้งอีโง่ ! โชว์งวงราวกับจะยื่นหน้ามาฉกข้าขนาดนั้น แถมยังเห็นขนหมออ้อยอีก ข้าได้เป็นตากุ้งยิงแน่ๆ อะไรจะใหญ่เท่ากล้วยงาช้างขนาดนั้น

แม่คะลูกอยากจะตาบอด !!!

ชายหนุ่มตรงหน้าหน้าแดงเรื่อ รีบขยับฝีเท้าไปที่ห้องแต่งตัว ทิ้งข้าช็อกกับกล้วยหอมจอมซนและขนสาหร่ายโมซุกุ ก่อนจะไอโครกออกมา หน้าที่ช็อกกับการเห็นหรรมยิ่งช็อกเข้าไปใหญ่ เมื่อเลือดจำนวนหนึ่งทะลักออกจากปาก

ตัวข้านิ่งชา รู้สึกครีบสั่นระริกพลอยเย็นเฉียบ พอตั้งสติก็รีบรุดไปที่ตะกร้าเสื้อผ้า หมายมาดจะหยิบเสื้อสักตัวมาเช็ด ไม่ทันไรกลับมีร่างสูงยืนตระหง่าน เงาทำทะมึนทาบทับตัวข้าที่กำลังเอาครีบดันเสื้อเช็ดหยาดโลหิต

อีกฝ่ายดวงตาเบิกโพลง สีหน้าที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนดูถอดสีราวกับเสียขวัญ ริมฝีปากสั่นระริกในยามเรียกชื่อของข้า “ตัวเล็ก”

ไม่ทันเสียแล้ว…

“แค่ก” ข้าเผลอไออีกรอบ ครั้งนี้เลือดอีกจำนวนมากไหลออกจากปาก เปียกเปรอะที่พื้นห้อง สายตาของข้าก็เริ่มเลือนราง มองภาพตรงหน้าไม่กระจ่างชัด รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกของตัวเองที่ใบหน้าฟุบลงกับพื้น ตามมาด้วยเสียงร้องหวาดผวา

“ตัวเล็ก !!!”

 

ข้ารู้สึกเพลียเหลือเกิน เจ็บแปล๊บปล๊าบไปที่อก หัวใจบีบแน่นราวกับหวาดกลัว เห็นเพียงภาพดำมืดตามมาด้วยเสียงคุยกันเซ็งแซ่

“น้องภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาก ไม่ทราบว่าได้รับแรงกระแทกที่ร่างกายด้วยหรือเปล่า ภายในค่อนข้างบอบช้ำพอสมควร หมอว่าคุณควรทำใจไว้ดีกว่านะครับ ตัวเล็กมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว มีโรคแทรกซ้อนเข้ามาอีก หมอเกรงว่า...”

อะไรกัน...ทำไมหมอถึงได้ปากปีจอขนาดนี้ ข้าปรือตามองพลางลุกขึ้นอย่างอิดออด ส่งผลให้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้วยความดีใจ

“ตัวเล็ก”

อาห์ เจ้าตี๋อีกแล้ว นี่ข้ายังไม่ตายสินะ

โธ่ ไม่น่าเลย…

ฮ่าๆ ข้าล้อเล่นน่ะ

“เป็นยังไงบ้าง ?” เสียงเจ้าตี๋ถามไถ่อย่างเป็นห่วง ปลายนิ้วเกลี่ยที่ใบหน้าของข้าอย่างนุ่มนวล

“ดีขึ้นไหม” อีกคนถามเสียงนุ่ม ข้าจึงพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม กวาดตามองไปรอบห้องจึงได้เห็นทั้งครอบครัวของเจ้าตี๋ที่ยืนมองข้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า รวมไปถึงเด็กผีทั้งสองคนที่น้ำตาไหลอาบแก้ม

อะไรกัน จะร้องไห้ไปไย เป็นพวกเจ้ามากกว่าที่ควรดีใจ ข้าจะได้ไม่สร้างปัญหาภาระเพิ่มอีกในแต่ละวัน

ขืนมีข้า บ้านเจ้าก็ได้ลุกเป็นไฟอีกแน่ๆ

เฮ้อออ ข้ารู้สึกโหว่งๆ ในอกยิ่งนัก แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนที่เจ้าตี๋จะยื่นสมุดกับปากกามาให้ข้า เรามองตากันคล้ายรู้ใจ

ข้ามีอีกหลายอย่างเลยที่อยากทำ มีอีกหลายข้อที่อยากทำร่วมกับเจ้า รวมไปถึงครอบครัวหรรษาของเจ้าด้วย แต่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก อย่างที่หมอบอกว่าตัวข้านั้นเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

ข้างับปากกา ในขณะที่อีกคนจับสมุดเอาไว้มั่น ในระหว่างที่ขีดเขียนตัวอักษรนั้น ข้าก็ได้เห็นหยาดน้ำตาตกกระทบกับกระดาษเอสี่ มันไหลหยดเป็นจุดกลมๆ ครั้นเงยหน้าขึ้นไปมอง จึงได้เห็นว่าเจ้าตี๋กำลังร้องไห้อยู่

เจ้าผู้ชายขี้แงเอ้ย…

ข้าชูครีบปาดน้ำตาบนแก้มสากให้อีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าตั้งใจเขียนประโยคที่ต้องการในครั้งสุดท้าย

[เราไปทะเลด้วยกันอีกนะ]

มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากจะทำ...

แค่อยากใช้เวลานี้อยู่กับเจ้าอีกสักครั้ง

“ได้สิ” เจ้าตี๋ตอบพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ได้เลย เราไปวันนี้กันเลยนะ”

ข้าเค้นยิ้มอย่างพึงพอใจ พยักหน้ารับก่อนจะเอาหัวถูไถกับใบหน้าเรียวอย่างออดอ้อน

อีกไม่นาน ข้าก็จะไม่ได้ทำแบบนี้อีกแล้วนะ

 

ข้าได้เดินทางไปกับเจ้าตี๋สองคน ในระหว่างนั้นก็เห็นอีกฝ่ายที่ขับรถไปสะอื้นไป มีบางจังหวะที่หักห้ามไม่ไหวจนต้องหยุดรถกลางคัน เบรกอยู่ข้างริมถนน ก่อนที่ชายตรงหน้าจะก้มหน้าแนบลงกับพวงมาลัย หลุดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดปานจะขาดใจ

ข้าน้ำไหลกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ต้องปั้นท่าเข้มแข็งเอาไว้ เขียนใส่กระดาษอีกครา ก่อนจะใช้ครีบสะกิดให้คนตรงหน้าเหลียวกายหันมามอง

ตี๋ที่ใต้ตาแดงก่ำ ไหล่เกร็งโยนสั่นสะท้าน น้ำตาไหลก็เกลือกกลิ้งมาถึงปลายคาง นัยน์ตาคมกล้าสบมองใบหน้าของข้า ก่อนจะผินตาลงดูตัวอักษร

[อย่าร้องไห้เลย เราจะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน] ข้ารู้สึกเช่นนั้น

หากพระเจ้าไม่เล่นตลก หากพระเจ้าฟังคำวิงวอนในครั้งนี้ มันจะเป็นครั้งแรกที่ข้าวิงวอนกับท่าน เพื่อขอให้กลับมาพบกับคนตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง

หากท่านมีเมตตามากพอ…

ข้าขอให้เกิดมาพบเจอเจ้าตี๋อีกสักครั้ง

ได้โปรดเถอะ

“ตัวเล็กอย่าพูดแบบนี้สิ” อีกคนกล่าวเสียงสั่น พยายามเม้มปากไม่ให้เล็ดร้องเสียงสะอื้นไห้ พลันเงยหน้าจะกักเก็บหน่วงน้ำตาให้ไหลเข้าไปภายใน สุดท้ายก็ทำไม่ได้จนข้าอ่อนใจ รีบเขียนใส่กระดาษด้วยท่าทางอิดโรย อ่อนแอเกินจะต่อกรกับระบบร่างกายภายใน

[เชื่อเล็กนะ] ข้าวางกระดาษยื่นไปที่ตักคนตรงหน้า พอเจ้าตี๋มองมาทางเบาะที่นั่งข้างฝั่งคนขับ ก็หลุดยิ้มเมื่อเห็นข้าพยายามชูครีบขึ้นวางลงตรงกระหม่อม ทำท่าเหมือนกระต่ายซุกซนโยกกายไปทางซ้ายและขวา

ข้าอยากจะให้เจ้ายิ้ม เพราะรอยยิ้มมันเหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว…

ไอ้เจ้าผู้ชายโรคจิต

 

กว่าเจ้าตี๋จะทำใจขับรถมาถึงริมทะเลได้ก็นานพอสมควรอยู่ ในระหว่างนั้นข้าก็พยายามฝืนไม่ให้ตนเองหลับ เกรงว่าจะทำให้คนขับต้องขวัญเสีย ครั้นมาถึงทรายหาดสีขาวที่เคยมาในครั้งที่แล้ว เจ้าตี๋ที่จอดเทียบรถก็เปิดประตูรถอุ้มข้าลงมาอย่างทะนุถนอม กอดแนบแน่นประหนึ่งว่าครั้งนี้จะไม่มีสิ่งกระทัดรัดให้โอบกอดอีก

วันนี้พระอาทิตย์ที่สุกสกาวกลับพลบค่ำ เสียงคลื่นน้ำของทะเลช่างเพราะพริ้งกว่าทุกวันที่เคยฟัง เห็นเจ้าปูตัวเล็กๆ โผล่หัวออกมาจากในทราย เห็นทั้งผู้คนที่ค่อยๆ เดินลาลับออกจากฝั่ง มีเพียงข้ากับคนข้างกายที่นั่งอยู่บนพื้นพิภพ ยามนี้ไม่ได้ร้อนอบอ้าวสร้างผลกระทบให้ข้าโอดครวญ กลับร่มเย็นและนุ่มนิ่มเหลือเกินจะกล่าว

รวมไปถึงเสียงของเจ้าตี๋ก็ดูนุ่มนวลกว่าทุกวัน ข้าที่นั่งนิ่งงันดูพระอาทิตย์ตกดินก็เขยิบกายเข้าไปนั่งบนตักโดยไม่สนคำขออนุญาตออกมาจากปาก เพราะรู้ดีว่ายังไงอีกคนก็คงยินยอม

“ไม่รู้มาก่อนว่าทะเลจะเงียบสงบมากขนาดนี้”

งึกงัก ข้าพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะอ้าปากหาวหวอดด้วยความง่วงงุน

“ตัวเล็ก”

“...”

“ตัวเล็กเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ตี๋ไม่เคยค้นพบมาก่อนเลยนะ” สุรเสียงเอื้อนเอ่ยอย่างนุ่นวล ข้าที่ทิ้งตัวเอนหลังพิงกับแผงอกและกล้ามหน้าท้องแน่นหนา ได้แต่สดับรับฟังพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“เป็นทั้งความสุข เป็นทั้งเสียงหัวเราะของตี๋เลย”

“...”

“ชอบนะ”

“...”

“ชอบมากๆ ด้วย”

ตึกตัก เสียงของหัวใจข้ากระตุกรัวแรง

“มันเป็นเพราะตี๋ ถ้าเกิด...ถ้าเกิดตี๋ไม่ใช้แรงงานตัวเล็กจนหนัก  ตัวเล็กก็คงไม่เป็นแบบนี้ ฮึก ฮือ ถ้าเกิดในวันนั้นเป็นตี๋เองที่ช่วยทุกคนแทนตัวเล็กได้ ตัวเล็กก็คงไม่ต้องเจ็บตัวจนบอบช้ำแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะตี๋แท้ๆ” สิ้นประโยคข้าก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญดังมาจากด้านหลัง

หัวใจข้าตีบร้าวนัก รีบลงจากตักอีกฝ่าย กระเถิบกายไปหากระดาษกับปากกาที่เจ้าตี๋ได้ถือมาด้วยตั้งแต่แรก เพื่อที่เราจะได้พูดคุยกันสะดวก

สิ่งที่ต้องการจะสื่อต่อไปนี้คือ

[อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของตี๋หรอก]

“ฮึก” ขี้แงจังเลยนะ นี่ข้าได้เด็กขี้แงมาเพิ่มเป็นลูกหรือเปล่ากัน อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม พลันรู้สึกอ่อนล้าทีละนิด จรดปากกาแต่งแต้มสี วาดตัวอักษรผ่านกระดาษให้ได้อ่าน

[เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน เล็กรู้สึกเช่นนั้น] ต่อให้จะเป็นแค่ความรู้สึกก็ตามที ข้าพลิกกระดาษก่อนจะเขียนอีกคำ [ตี๋เชื่อเล็กนะ]

ข้าไม่พูดเปล่า ยังใช้การกระทำอุกอาจเขยิบขึ้นไปนั่งบนตักแกร่ง กวักครีบให้คนตรงหน้าโน้มตัวลงต่ำ พอสมดั่งใจนึก ข้าก็เขยิบปากไปจุมพิตที่เปลือกตาข้างซ้ายแทนการซับหยาดน้ำตาที่รินไหล ไล่ไปที่เปลือกตาขวาเพื่อทดแทนแห่งการปลอบประโลมใจ ต่อด้วยหน้าผากแทนเรื่องราวที่เราถักทอร่วมสร้างกันมา เลื่อนต่ำมาที่สันจมูกแทนทุกลมหายใจที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเนิ่นนาน ต่อด้วยแก้มข้างขวาทดแทนแห่งความเอ็นดู และแก้มซ้ายแทนคำห่วงใย จูบต่ำลงมาที่ปลายคางเพื่อสื่อถึงความขอบคุณ และจบท้ายด้วยริมฝีปากนุ่มหยุนเป็นที่ตราตรึง

สื่อถึงความรักที่เคยมีมา

ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำมันได้ดีอย่างไม่มีวันลืม ถึงครานั้นข้าจะกลับมาพร้อมกับคำพูดที่เจ้าไม่เคยได้รับฟังมาก่อน

ข้ารับรู้ได้ว่าเจ้าต้องจำฝังใจกับสิ่งที่ได้รับสัมผัส ในสายตาคู่นั้นที่ชะงักอยู่นั้นสั่นไหวรัวแรง รีบโอบกอดตัวข้าอย่างรักใคร่ ข้าหลับตาลงอย่างปลื้มปรีติ พอใจกับสิ่งที่ได้รับมาจนถึงทุกวันนี้

มันเป็นระยะเวลาสั้น แต่ก็เนิ่นนานเป็นเรื่องราวผูกพันระหว่างเราทั้งสอง

ดวงตาของข้าปิดสนิท ได้ยินเสียงเรียกชื่อพร้อมการร่ำไห้ แต่ข้าไม่สามารถลืมตามาปลอบขวัญได้แต่อย่างใด ทิ้งเพียงการจากลาทิ้งท้าย พร้อมกับลมหายใจที่ไร้การเต้นจังหวะของหัวใจ
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม จบ (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 19-12-2019 21:27:03
Tee Past special : Love baby

 

เป็นเวลาห้าปีถัดมาแล้วที่ไร้เสียงเจื้อยแจ้วเฉกเช่นทุกที หมอนที่เคยมีสัตว์ตัวหนึ่งนอนหนุนอยู่ข้างกาย บัดนี้ก็มีเพียงแมวตัวสีขาวที่ชื่อมิรินนอนขดตัวอยู่ใกล้ๆ บนฟูกเตียงที่ยับยู่ยี่

ผมขยี้หัวตัวเองก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เหยียบย่ำกับพื้นห้องที่ใหญ่โตโออ่า เข้ามาภายในห้องน้ำก็ปล่อยให้สายธาราไหลผ่านไปที่เรือนร่าง ฝ่ามือใหญ่ก็ลูบไล้ไปตามเรือนกายเพื่อฟอกสบู่ตรงจุดอับให้สะอาดหมดจด เสร็จสรรพจึงออกมาแต่งตัวให้เรียบร้อย ขับรถเดินทางมายังอควาเรี่ยมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีเด็กและผู้ใหญ่เดินกันพลุกพล่าน พอได้ยินเสียงหัวเราะ ก็นึกถึงเสียงอุ๋งๆ ของใครบางคนที่ร่าเริงแจ่มใส สร้างเสียงหัวเราะให้ผมแทบตลอดทุกวัน

เพียงได้หวนนึกถึงก็พลอยให้ผมลอบอมยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะทิ้งมิรินให้เดินเล่นในอควาเรี่ยม ไม่จำเป็นต้องนึกห่วงแต่อย่างใเ เพราะมีพนักงานคอยสอดส่องช่วยกันดูแลแมวผมกันเป็นอย่างดี พลันสอดฝ่ามือเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง ก้มหน้าเดินผ่านถ้ำอุโมงที่มีกระจกใสแจ๋ว เห็นสัตว์น้ำต่างๆ นานาที่มากสายพันธุ์หลากสีสัน ไหนจะฉลามตัวใหญ่ยักษ์ที่น่าหวั่นเกรง ครั้นมาถึงจุดหมายที่ตัวเองต้องการพบ ผมก็มองเจ้าสิงโตทะเลที่ว่ายน้ำลงในสระ บางทีก็เหลือบมองมาทางผม เล่นเอาลมหายใจสะดุดหวนนึกถึงใครบางคน ก่อนที่จะมีเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากเด็กข้างกาย

“สิงโตทะเล !” เด็กตัวน้อยวัยห้าขวบได้ชี้นิ้วไปที่สิ่งตรงหน้า ยิ้มหน้าบานพลางจับชายกระโปรงของแม่ตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจให้หันมาดูตาม “แม่ดู เยอะมากเลย”

“หึๆ” ผมหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู ก่อนจะทิ้งตัวลงย่อเข่าอยู่ตรงหน้าเด็กข้างกาย “รู้ไหมครับ แต่ก่อนมีสิงโตทะเลที่ชื่อว่าเจ้าตัวเล็ก เป็นที่โด่งดังด้วยนะ” ผมว่าเสียงอุ่น ฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหยิบมือถือเปิดคลิปที่ได้แอบถ่ายไว้ให้เด็กน้อยตรงหน้าดู

“เป็นไงเต้นได้ด้วย” ผมพูดขณะกลั้วหัวเราะขำในลำคอ เด็กตรงหน้าอ้าปากร้องโอ้โห ก่อนจะแย้มยิ้มเบิกบานอย่างมีความสุข

“แล้วตอนนี้ตัวเล็กอยู่ไหนแล้วล่ะฮะ” ประโยคถามไม่ประสีประสาทำให้รอยยิ้มของผมค้างเติ่ง เปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนลงขณะกล่าว

“เสียแล้วครับ”

“ฮือ เสียดาย” เด็กน้อยตรงหน้างอแง แววตาดูเศร้าสลด ผมเห็นแล้วนึกเอ็นดูจึงถือวิสาสะคุณแม่โดยการลูบหัวเด็กชาย

“ไม่ต้องเศร้านะ ตัวเล็กขึ้นสวรรค์ไปแล้ว อยู่บนฟ้ากับสัตว์ตัวอื่นๆ” ผมเอ่ยปลอบประโลม มากพอที่จะทำให้อาการซึมเซาของเด็กชายแปรผัน เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างปลื้มปรีติ

ผมโค้งกายเล็กน้อยเพื่อลาจาก มิวายโบกมือบ๊ายบายเด็กตัวน้อย ก่อนจะมาทำหน้าที่การงานของตัวเองต่อ คอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยภายใน บัดนี้ได้สืบทอดตำแหน่งแทนผู้เป็นพ่อ เป็นเจ้าของกิจการพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ก่อนจะคึกสนุกเมื่อเห็นพนักงานที่ใส่ชุดมาสคอดถอดส่วนหัวออกมาเพื่อคลายร้อน ผมจึงเดินไปพูดกับอีกฝ่าย “ผมขอใส่ได้ไหมครับ”

พนักงานมาสคอดเห็นผมเข้าก็สะดุ้ง ริมฝีปากตะกุกตะกัก “ตะ แต่ท่านครับ”

“ไม่เป็นไร คุณไปพักเถอะ ผมแค่อยากทำไรสนุกๆ บ้าง ถือว่ารับประสบการณ์ใหม่ๆ” ผมตอบอย่างไม่ถือสา พนักงานอิดออดอยู่นานสุดท้ายก็จำใจ ผมถึงได้แต่งตัวเดินเล่นหยอกล้อกับเด็กๆ สมใจอยาก

นี่ก็อายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว หลังจากสูญเสียตัวเล็กไป คำสัญญาที่เคยให้กันไว้ผมก็ยังจดจำไม่รู้ลืม รวมไปถึงสัมผัสตราตรึงครั้งสุดท้ายในยามนั้น

มันเป็นช่วงเวลาที่แสนหวานและแสนเศร้าในคราเดียวกัน…

“ฉลาม ฉลาม ฮ่าๆ” เสียงเด็กชี้มาทางผม ขณะที่ผมกางมือทั้งสองข้าง ทำท่าจะเดินเข้าไปกอด สร้างเสียงหัวเราะครื้นเครงไม่แม้กระทั่งผู้ใหญ่ ไหนจะถูกขอถ่ายรูปผ่านชุดมาสคอดอีก

ภายในค่อนข้างร้อนพอสมควรอยู่ จนผมอดไม่ได้ที่จะนึกชมเชยพนักงานที่ทนลำบากกับการแต่งการพรรค์นี้ ดูท่าจะต้องปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นให้เหมาะกับความขยันซะแล้วสิ

หลังจากผ่านไปสักชั่วโมงผมก็รู้สึกร้อยขึ้นมาดื้อๆ เดินไปทั่วแทบทั้งอควาเรี่ยมสร้างความหรรษา ใจก็พลอยกระปี้กระเปร่าสร้างเสียงหัวเราะ พอถอดหมวกส่วนหัวของฉลามออก ใบหน้าหล่อเหลาก็ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อตามริมขมับ เส้นผมเปียกชื้นจนผมต้องเอาผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาและลำคอให้ชื่นใจ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบน้ำมากระดกดื่ม ชายตามองละแวกตัวที่มีผู้คนเดินผ่านกันแน่นขนัด ก่อนจะหยุดะงักไปที่เด็กคนหนึ่งที่ถือลูกโป่งสีแดงฉาน ใบหน้าเล็กหวานหยด นัยน์ตากลมโต จมูกจิ้มลิ้ม ริมฝีปากขยับพูดอะไรบางอย่างกับแมวที่นั่งอยู่ตรงพื้น

ผมหรี่ตามอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นมิริน แถมยังคลอเคลียกับเรียวขาของเด็กน้อยตรงหน้าอีก

เด็กที่อายุไม่เกินสี่ห้าขวบได้ ดูท่าจะพลัดหลงกับมารดาแหงๆ พลันปล่อยลูกโป่งออกจากมือ นำพาให้สิ่งนั้นลอยละลิ่วเหนืออากาศไปยังฟากฟ้า ผมเหลือบตามองตาม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปหาเด็กที่ดูท่าจะพลัดหลง ไม่ทันจะถึงตัว ผมก็ชะงักฝีเท้า ลอบมองอากัปกิริยาของเด็กคนหนึ่งที่อุ้มแมวมิรินของผมขึ้นมาแนบอก สอดนิ้วไปที่ระหว่างเท้าหน้าของมิริน พูดพึมพำไรบางอย่างพร้อมกับชักสีหน้า เห็นดังนั้นผมก็ขมวดคิ้วมุ่น เดินทอดน่องไปหาอีกฝ่าย ไม่ทันจะถึงตัวเด็กคนนั้นที่มีเส้นผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนก็หันขวับมาทางผม นัยน์ตากลมโตที่กลมเป็นทุนเดิมยิ่งเบิกกว้างเหมือนตกกะใจ

อะไรกัน ดีใจที่เห็นคนใส่ชุดมาสคอดหรือไงกัน

ขวับ ! พึ่บ ! “แง่ว !!” เสียงมิรินร้องลั่นเมื่อถูกเขวี้ยงทิ้งไปยังพุ่มไม้อย่างไม่ไยดี ผมสะดุ้งโหยงจนหลุดร้องเฮ้ย กำลังจะหันหน้ามาเอ็ดเด็กร้ายที่ทำตัวไร้การอบรมสั่งสอนไม่ทันไร ร่างขาวๆ ตัวน้อยๆ ที่สูงไม่ถึงเอวของผมสักนิดก็ขยับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคล้ายจะเอื้อนเอ่ยถาามไถ่ แต่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบลงในบันดล

ผมฉงนใจยิ่งนัก พินิศท่าทีเด็กตัวจ้อยที่กวักมือให้ผมโน้มกายลงมาแทน

ไม่รู้เหตุใดผมถึงยอมทำตามด้วยความคุ้นเคย

สงสัยติดมาจากตัวเล็กยังไม่หายละมั้ง

“ว่าไง…!!” ไม่ทันจะสิ้นประโยค ตัวผมก็นิ่งค้างและสับสน ลำตัวสะดุ้งโหยงกับฝ่ามือเล็กๆ ที่ประคองใบหน้าคมคายลงมาใกล้ๆ ปล่อยให้ริมฝีปากนุ่มนิ่มจุมพิตลงที่เปลือกตาข้างซ้ายจนผมต้องหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสนุ่มนวล

ใจของผมเต้นตึกตักอย่างสับสนวุ่นวาย เปิดตาจ้องเด็กตรงหน้าอย่างวูบไหวและสั่นคลอนอย่างรุนแรง

อีกฝ่ายไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น ยังยื่นหน้ามาจูบที่เปลือกตาข้างขวาของผมต่อ ตามมาด้วยหน้าผาก แก้ม คาง และ…

จุ๊บ !

ที่ริมฝีปากของผม…

มือผมชาไปหมด รู้สึกโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ หัวใจเต้นระทึกอยากจะพูดบางสิ่งแต่ก็รัวแรวเกินจะปริปากออก

สัมผัสตราตรึงพวกนี้ ผมจำได้ดี…

เด็กตัวขาวเหมือนลูกครึ่งญี่ปุ่นคลี่ยิ้มทั้งน้ำตา “จำตัวเล็กได้ไหม”

ฉับพลันน้ำตาของผมก็พรั่งพรู ปล่อยโฮออกมาพร้อมกับรีบสวมกอดสิ่งตรงหน้าอย่างหวงแหน

“จำได้สินะ” เสียงหวานเล็กๆ พูดเอ่ยขณะยกมือลูบไหล่ผมเบาๆ

ตัวผมสั่นสะท้านไปหมด หายใจไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไงดี ผละกายออกมามองสิ่งตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ปรากฎว่าเด็กตรงหน้าก็ดันยิ้มกว้างอย่ขงขัน

นี่ไม่ใช่ฝัน...

นี่คือเรื่องจริง…

ตัวเล็กอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริงๆ…

“รอนานแล้วนะ รอจนจะอายุสามสิบขึ้นคานแล้ว” ผมดึงเด็กตรงหน้ามาสวมกอดอีกครั้งหนึ่ง เอ่ยวาจากระทบเสียดสี เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากเด็กตัวขาวละเอียดลออดุจหงส์ขาว

ผมรอเวลานี้มาเนิ่นนาน ปักใจเชื่อมาโดยตลอดว่าจะได้พบเจอตัวเล็กอีกครั้งหนึ่ง ดั่งคำสัญญาที่หมายมั่นให้กันไว้

“เราชื่อไอนะ” เสียงน้อยๆ ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

ผมดีใจไปหมด มือไม้มันสั่นระริก หน้าแดงปลั่งเพราะความดีใจล้วนๆ กอดแนบแน่นให้เหมือนความรู้สึกที่เอ่อล้นภายในใจ ครั้นเป็นที่พอใจจึงเคลื่อนใบหน้าออกห่างมามองอีกฝ่ายที่หัวเราะทั้งน้ำตาอีกหน พร้อมกับประโยคที่ทำให้หัวใจผมสั่นสะท้านยิ่งนัก

“คิดถึงนะ คิดถึงมากๆ เลย รักตี๋ ไอรักตี๋ ฉะนั้นอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”

“ตัวเล็ก…” ผมน้ำตาคลอจนน้ำตาไหล ก่อนที่ปลายนิ้วน้อยๆ จะปัดผ่านบริเวณผิวแก้มให้อย่างอ่อนโยน

“ผู้ชายไรขี้แงอะ”

“ฮึก” ผมสูดน้ำมูกที่คล้ายจะไหลทันที

“รักไหม ?” จู่ๆ ตัวเล็กที่ชื่อว่าไอก็ถามขึ้นมาเสียงสั่นเครือ

“เป็นคำถามที่ไม่น่าเอ่ยออกมาเลย” ผมบอก

“บ้าบอ” เสียงน้อยตอบอย่างร่าเริง พลอยให้หัวใจผมเต้นถี่ ราวกับมีกลองมากระหน่ำอยู่ภายในอก

ผมไม่สนใจกับคำครหาใดๆ ทั้งนั้น

“รักสิ รอไอมานานแล้ว ไม่รักได้ไง”

จุ๊บ ! สิ้นคำพูดไอก็ยื่นปากมาจูบปากผมอย่างรวดเร็วและผละออก มิวายเอ่ยว่า “ดีมาก เด็กดี”

สรุปใครเป็นเด็กใครกันแน่นะ…

“คนมองกันเต็มเลยอะ” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงพึมพำ พลอยให้ผมต้องหันไปมองรอบด้าน มีผู้คนเดินผ่านมองมากันเต็มไปหมด จริงดังว่า...

“งั้นเราไปที่อื่นกัน” ผมพูดพลางอุ้มตัวเล็กขึ้นมาทันที

“ทำไมแต่งชุดมาสคอดอะ” ไอถาม

“ไม่หล่อเหรอ ?” ผมว่าสัพยอกขณะก้าวไปที่ห้องพักพนักงาน

หัวใจผมจะวาย ทำไมตัวเล็กน่ารักขนาดนี้

“ตลกดี” ไอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ช่างเป็นรอยยิ้มเบิกบานที่ทำให้หัวใจของผมอยากหลอมละลาย

น่ารักจังเลย

“แล้วแม่อยู่ไหน ?” ผมถามกลับ

“คงเดินตามหาจนวุ่นอยู่แหละ” ไอตอบกลับพานไหวไหล่น้อยๆ ผมเห็นแล้วอดไม่ได้ที่ยิ้มขำอย่างเอ็นดู

[ประกาศค่ะ ตามหาเด็กพลัดหลง ชื่อไอ อายุห้าขวบ ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาว สวมเสื้อเอี้ยมสีน้ำเงิน ข้างในใส่เสื้อยืดสีขาวคอกลม ใครพบเจอช่วยพามาที่แผนกประชาสัมพันธ์ด้วยนะคะ]

“นั่นไง” ไอว่า “ไม่ทันขาดคำ”

“เด็กไม่ดี” ผมเอ็ด ก่อนจะปิดบานประตูลงและล็อกกลอน เดินดูรอบห้องเมื่อไม่เห็นมีใครจึงวางไอยืนลงกับพื้น

“จะฟ้องว่าลักพาตัวเด็ก” เจ้าตัวเล็กตรงหน้าว่าพร้อมรอยยิ้มโชว์ฟันน้ำนมที่เรียงสวย

“ยินดีให้ตำรวจจับ” ผมยื่นฝ่ามือไปประคองใบหน้าเล็กทันที ก่อนจะกระเถิบกายเข้าไปใกล้ ริมฝีปากอุ่นร้อนประทับตราตรึงที่กลีบปากนุ่มหยุ่นอีกครา หลังจากนั้นจึงผละกายออกห่าง

“จูบให้ชื่นใจเหมือนที่ต้องทนรอมาเนิ่นนาน”

“เป็นผัวอ๋อมาจูบอะ” ไอว่าพร้อมยู่ปากอย่างน่ารักน่าชัง

“และอยากให้เป็นไหมล่ะ” ผมถามกลับ ไอจึงหัวเราะร่วนชอบใจ

“อยากสิ จะได้กรรโชกทรัพย์มาให้หมด มีแฟนเป็นเจ้าของอควาเรี่ยมดีจะตาย”

“งั้นเชิญผลาญินตี๋ตามสบายเลย” ผมยิ้มเยื้อน ก่อนจะจูงมือไอออกมากจากที่พำนักพนักงาน

“ตี๋” เสียงเด็กตัวน้อยเรียกชื่ออย่างสนิทชิดเชื้อ

ไม่รู้ทำไมใจผมถึงเต้นทุกครั้งที่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวในแต่ละคำ คงเป็นเพราะทุกครั้งเราสื่อสารผ่านตัวอักษรและการกระทำมากกว่าคำพูดใดๆ

ไอกระชับฝ่ามือผมแน่น ในระหว่างที่ผมเดินมาที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์

ผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือน้อยๆ นี้อีกต่อไปแล้ว

รอพ้นวัยกำหนัดก่อนเถอะ จะกอดเจ้าตัวเล็กคนนี้ให้หนำใจเลย

“ฝันไปเถอะ” จู่ๆ ไอก็เอ่ยลอดขึ้นมา

ผมสะดุ้งโหยง ยังไม่ทำอะไรเลยก็ถูกว่าเสียแล้ว

“รู้หรอกว่าคิดอะไรอะ ไอ้คนโรคจิต”

“ทำไมปากคอเราะรายจัง” ผมอดไม่ได้ที่จะสงสัย หวนนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายตอนเป็นสิงโตทะเล ไม่รู้จะปากร้ายด่าทอผมในจิตใจแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

“รับไม่ได้เหรอ ?” ไอถามกลับมา พร้อมจ้องหน้าอย่างวาวโรจน์

ผมที่ก้มหน้ามองต่ำจ้องคนที่เชิดหน้าหยิ่งทะนงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มกว้างหนักกว่าเก่า

“รับได้สิ” ผมโคลงศีรษะรับ “ขืนรับไม่ได้ก็อดรักกันพอดี”

“ชิ” เจ้าตัวเล็กเชิดหน้าไปอีกทางอย่างขวยเขิน ริมฝีปากที่ผมได้แอบจูบจนแดงเจ่อพึมพำเบาๆ ไม่ให้ผมได้ยิน “ไอ้คนพรากผู้เยาว์”

“ได้ยินนะ” ผมบอก

จากนั้นไอที่หน้าแดงก่ำก็ตะโกนดังลั่น กล่าวด้วยวาจาฉะฉาน “คุณตำรวจจจจจจ !!!”

ทุกคนรีบหันขวับมาทางผมทันที

“ช่วยด้วยโดนลักพาตัว !!” อีกคนดีดดิ้น ทำท่าเหมือนโดนล่วงเกิน

“เฮ้ย !!” ผมร้องอย่างตกกะใจกับภาพที่เห็น

นี่ได้แฟนหรือลูกลิงกันแน่เนี่ย !

“ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ” ผมรีบหันไปตะโกนบอกทุกๆ คน รีบหันมาจ้องตัวเล็กอย่างดุๆ กลับพบว่าใบหน้าเรียวเล็กนั่นกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างพอใจ

“แบร่” จะสมน้ำหน้างั้นเหรอ ?

เดี๋ยวเถอะ...เด็กนิสัยไม่ดี

ผมปล่อยมือน้องหลังจากมาถึงที่ประชาสัมพันธ์ ได้เจอะเจอกับแม่ของตัวเล็กที่เป็นคนไทย ส่วนคุณพ่อนั้นเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดไทยได้บ้าง

แถมยัังได้เห็นตัวเล็กกอดครอบครัวตัวเองก็รู้สึกดีใจไปด้วย

ไอเดินไปจูงมือกับพ่อแม่ไปเที่ยวชมภายในอควาเรี่ยม ก่อนจะเหลียวหลังหันมามองผมอย่างอาลัยอาวรณ์

ภาพที่เห็นทำผมน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งกรังสนิทเอ่อคลอขึ้นมาอีกหน มองคนที่เคยเอ็นดูจนแปรผันมาเป็นคนที่รัก เสี้ยวใบหน้าหวานที่น่าทะนุถนอมจนผมอยากโอบประคองราวกับเจอหยกล้ำค่า ยิ่งตอนที่น้องระบายยิ้มมอบมาให้ หัวใจของผมก็เต้นถี่กระชั้น สายลมก็พัดผ่านใบไม้จนบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าภายในเสี้ยววินาที

ในใจผมยังอยากรั้งน้องไว้ให้อยู่ต่อ เพราะกว่าเราจะเจอกันทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่พอหวนนึกดูอีกที...ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวล

ในเมื่อสิ่งล้ำค่ามาหาผมถึงที่...กลับมาให้ผมได้พบเจออีกครั้ง

ผมนึกอยากจะขอบคุณโชคชะตาที่นำพาคนที่รักกลับมา

อยากจะขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงนำสิ่งล้ำค่าสำหรับผมคนนี้กลับคืนมา

ขอบคุณไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ที่ทำให้เราสองคนได้กลับมาพบเจอและอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง

ผมหมายมั่นกับตัวเองเอาไว้ว่า จะดูแลไอในร่างนี้ให้ดีที่สุด จะทะนุถนอมเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด ไว้รอน้องครบสิบแปดปีบริบูรณ์เมื่อไร ถึงยามนั้นผมก็จะทำหน้าที่คนรักให้ดีที่สุด

ส่วนตอนนี้ คงเป็นได้แค่ผู้ดูแลและผู้ปกครองที่นึกเอ็นดูและห่วงใยอยู่ห่างๆ

เด็กน้อยที่อายุห้าขวบ กับผู้ใหญ่อย่างผมที่อายุยี่สิบเจ็ดปีบริบูรณ์ กว่าจะได้กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันสาแก่ใจก็คงอีกนาน…

ตี๋อยากบอกว่ารักเจ้าตัวเล็กมากๆ เลยนะ

เจ้าสิงโตทะเลของตี๋...ต่อให้จะเป็นไอในยามนี้แล้วก็ตามที

ตี๋จะเดินตามเรา คอยเฝ้าดูเราเติบโตอยู่ใกล้ๆ นะ

เด็กดี

 

END
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 20-12-2019 00:25:35
รอนานแน่ตี๋... 555
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 21-12-2019 17:13:54
หัวเราะน้ำตาเล็ดกับยัยตะเล็กมาตลอด ไม่คิดว่าจะมาร้องไห้น้ำตาร่วงกับน้องเอาตอนจบ :o12:

ฮืออ ดีใจกับตี๋ที่ได้น้องกลับมา ยัยตะเล็กเวอร์ชั่นน้องไอเด็กน้อย แสบไม่มีลดทอนเลยลู๊กก  :laugh:
อดใจรอนานหน่อยนะตี๋ จะกลัวแต่น้องไอ แค่สิบห้าก็เริ่มยั่วพี่ตี๋แล้วว :laugh:

/สนุกมากๆๆๆ ยัยตะเล็กระเบิดอารมณ์และเสียงหัวเราะได้สะใจและโล่งมากกก มีความสุขกับน้องมากๆ น้องช่วยฮีลเราดีเหลือเกิน  :hao5:
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ทำให้มีความสุข และที่จะกลับมาอ่านวนซ้ำๆแน่นอนค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ กอดดดด :กอด1:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 21-12-2019 18:57:42
ตอนจบมีความ autum in my heart
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 22-12-2019 13:08:20
เป็นนิยายที่อ่านแล้วขำหนักมาก ตี๋รอน้องโตถึงตอนนั้นตี๋ก็อายุ40สินะ :hao7:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: OmleteO. ที่ 22-12-2019 15:16:15
 :laugh: :m20: ตลกกกกกกก สนุกดีค่า ตลกตัวเล็กอ่ะ 55555
พล็อตแปลกดี ไม่เคยอ่านแบบนายเอกเป็นสิงโตทะเลมาก่อน แต่ดีเลยนะ ^^
ขอบคุณคุณนักเขียนมากๆเลยค่าาาา
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 22-12-2019 21:42:06
ในที่สุดตัวเล็ก ก็เดินทาง กลับมาอีกครั้ง ขอบคุณผู้แต่ง ที่แบ่งปัน สิ่งดีๆ ให้อ่าน รอผลงานดีๆ ต่อไป จ้า ^^
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 23-12-2019 15:00:46
เริ่มที่วิตถารจบที่พรากผู้เยาว์55555  :laugh:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-12-2019 19:04:43
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: tn ที่ 25-12-2019 17:49:26
เลี้ยงต้อยมากกกก
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 31-12-2019 13:48:08
:m20:
ฮาหนักมากกกกก
คำรามว่า อุ๋ง แปลว่า ไม่แดก :laugh:
ไอเดียเพริดแพร้วมากค่ะ เกิดใหม่เป็นสิงโตทะเล น่ารักและกวนfootจริงๆ
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 01-01-2020 15:50:09
กว่าน้องจะโตอ่ะตี๋ ก่อนได้ติดน้องก็น่าจะได้ติดคุกก่อน5555555
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: กรุ๊ปเลือดวะวายยยย ที่ 01-01-2020 19:56:57
สนุกดีฮาจนน้ำตาไหล :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนที่สิบสาม 'จบ' (19/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 05-01-2020 13:14:52
 :impress2:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-01-2020 16:49:17
ตอนพิเศษ : เจ้าตัวเล็ก (ไอ)
[/size]

 

ข้ารู้สึกว่าการจากลาไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย เมื่อสิ่งประสบพบเจอคือสิ่งที่ข้าต้องตายจากคนที่รักอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่มีคนเป็นหมื่นล้านคน แต่พระเจ้ากลับเลือกข้าที่ต้องลาจากคนที่รัก

แต่ช่างเสียเถอะ เมื่อความโศกาในครั้งนี้ ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ว่าจะต้องพบเจอกันอีกครา

ในสักวันหนึ่ง...

เมื่อความมืดมิดเปรียบเสมือนรัตติกาล แสงสว่างที่กระทบเข้าเปลือกตา พร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ดังทั่วสารทิศก็คงเปรียบเสมือนความสว่างไสวท่ามกลางความมืดมัว ข้าได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งร้องโอดครวญ ได้ยินเสียงคนเรียกขานว่าคุณหมอและคุณพยาบาลกันอย่างอลหม่าน จากนั้นก็มีฝ่ามือตีเข้าที่ก้นของข้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ข้าที่นิ่งงันตั้งแต่แรกต้องปรือตามองร้องโอดครวญเหมือนเด็กงอแงอย่างเจ็บปวด

“แง แง” นี่ข้าหวนกลับมาเด็กงั้นเหรอ ? ข้าจ้องหน้าหมอใส่ชุดกาวน์สีขาวที่อุ้มตัวข้าอย่างตกใจ พลอยโล่งดีใจที่เห็นข้าร้องลั่น

ข้าเผลอกำหมัดแน่นและยกแขนขึ้นสวนเข้าไปที่ปลายคางของหมอ แม้ไม่ได้แรงมากนัก แต่ก็ทำให้คนตรงหน้าหลุดร้องออกมาประหนึ่งเจ็บปวดจากการถูกต่อย

“โอ๊ย”

อีหมอ มาตบก้นกูก่อน อีเวร

“คุณหมอเป็นไรไหมคะ !” เสียงพยาบาลตกใจอย่างยิ่งยวด ข้าปรายตามองเธอก่อนจะถูกจับไปอุ้มไปถือแทนพร้อมเอ่ยปลอบประโลมจิตใจ จากนั้นก็ถูกส่งต่อมาให้ผู้กำเนิดที่ขึ้นชื่อว่า ‘แม่’ ร้องวิงวอนขอให้เห็นหน้าข้า

“น่าเกลียดน่าชังนัก” สำนวนไทยที่ใช้แก่เด็กเล็กๆ ทำข้าอยากจะขยับปากเถียงแม่ว่าลูกคนนี้หาได้น่าเกลียดไม่ ก่อนจะมีคุณพ่อลูกอ่อนที่ยื่นหน้ามาจ้องหน้าข้า ข้าจึงจับจ้องท่านทั้งสองโดยไร้การขยับปากส่งเสียงโหวกเหวก

นี่ข้ามีพ่อแม่ใหม่อีกแล้วหรือ…

หัวใจข้าเต้นตึกตัก สิ่งในหัวที่ผุดขึ้นมาในทันทีนั่นก็คือเจ้าตี๋ที่ข้าต้องการพบหา แม้นจะกวาดมองรอบตัวก็หาได้พบเจอแต่อย่างใด

นี่มันพศ.อะไรกัน แล้วเจ้าตี๋ปานนี้จะเป็นยังไงบ้าง ข้าเป็นห่วงเหลือเกินคณา น้ำตาเอ่อคลอจนไหลอาบแก้ม ยากเกินจะหยุดยั้ง

สุดท้ายข้าก็ถูกแม่หน้าตาอ่อนวัยปลอบขวัญ ร้องโอ๋เอ๋พร้อมเพลงกล่อมเด็ก

ท้ายที่สุดข้าก็ได้รับคำตอบว่านี่มันพศ.อะไรกันแน่ นอนอิดออดในอ้อมอกแม่ที่ป้อนนมข้า ในทีแรกข้าก็ปัดป่ายจากน้ำนมมารดา แต่เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องดื่มเพื่อส่งผลต่อการเจริญเติบโต แถมนมที่ว่าเมื่อได้ลองสัมผัสลิ้นก็อร่อยยิ่งนัก ข้าก็ดูดจวบจ้าบเหมือนเด็กลามก แต่แท้จริงแล้วก็แค่หิวโหยจนต้องยิมยอมรับน้ำนมจากเต้าทั้งสอง

ข้าเป็นเด็กที่งอแงถูกเวลาในยามหิวโหย ซุกซนและหัวเราะสร้างเสียงครื้นเครงให้กับพ่อแม่

แม่ของข้าเป็นคนไทย ส่วนพ่อนั้นเป็นชาวญี่ปุ่นที่พูดไทยได้น้อยนิดแต่ก็พยายามฝึกฝนอย่างหนัก และข้าก็ได้นามใหม่ของตนเองอีกต่างหาก

เด็กน้อยตัวขาวที่ชื่อว่า ‘ไอ’ ยังไงล่ะ

ในตอนที่ข้าอายุหกเดือน คุณพยาบาลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับเข็มฉีดยาที่ขึ้นชื่อว่าวัคซีน ข้าเห็นแล้วตกกะใจจนร้องไห้ดังลั่น มือน้อยสะบัดสะบิ้งราวกับคนขลาดกลัว ก่อนที่น้ำเสียงนุ่มนวลของพยาบาลจะเอ่ยปลอบ

“โอ๋ๆ ไม่เจ็บนะคะ แค่เหมือนมดกัดนิดเดียวเอง”

นิดเดียวพ่อมึงสิอีหอยหลอด เข็มยาวขนาดนั้นพูดออกมาได้ว่ามดกัดนิดเดียวเอง ข้าที่เกิดมาในร่างเด็กยังไม่ทันโดนยุงสักตัวกัดต่อย แล้วนับประสาอะไรกับเข็มบ้านั่นที่ฉุกคิดมาทิ่มแทงที่เรียวแขนเล็ก

“มดกัดนิดเดียวนะคะ โอ๋เอ๋”

มึงก็ลองแทงตัวเองดูก่อนสิอีเหี้ย กรี๊ดดดด

แทงกูแล้ว มันแทงกูแล้ว

จึก !

“แงงงง !”

อีพยาลบาล

อีนังตัวดี !!!

 

ในวัยสามขวบแม่ข้าเพิ่งค้นพบว่าข้ามีความสามารถพิเศษ เป็นเด็กดวงดีที่ชี้ไรก็มีเงินมีทองเข้าหาตัว ลอตเตอรี่ที่แม่ซื้อมาตามปลายนิ้วเล็กๆ ที่ข้าชี้ไปเลขจำนวนหนึ่ง หวยก็ดันถูกได้รางวัลอันดับหนึ่ง จนบ้านที่ยากจนแสนเข็ญของเรากลายเป็นสุขสบาย คุณพ่อเปิดร้านกาแฟ คุณแม่ก็ลิงโลดมีเงินมาซื้อนมและของเล่นให้ข้าตั้งมากมาย ไหนจะบ้านใหม่ใหญ่โตโอฬาร

และในตอนนี้ ท่านทั้งสองก็จ้องหน้าข้าอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนกับคืนก่อนๆ

“ไหนเรียกพ่อแม่ซิลูก แม่ พ่อ” คุณแม่ขยับริมฝีปากบอกชี้ไปตนเองกับคุณพ่อ

ข้าเงียบปาก ค่อยๆ ขยับเสียงอ้อแอ้ “ตี๋”

ขวับ ! พ่อแม่จ้องหน้ากันอย่างงุนงง

“ใครคือตี๋ พ่อสอนลูกเหรอ ?”

“เปล่านะจ๊ะ” คุณพ่อปฏิเสธ ทั้งสองดูเครียดจัด แต่ไม่กี่วินาทีก็เบิกบานเมื่อเห็นข้าพูดได้สักทีหนึ่ง ข้าก็ได้แต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคำว่าตี๋ๆ ไม่ขาดปาก นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกคำพูดที่ติดปากนั่นก็คือ “Blackpink !” สร้างความตกใจแก่พ่อแม่ที่เริ่มสับสนกับตัวข้า จนต้องปรึกษาหาลือกันเอง

ข้าได้ค้นพบว่าพ่อแม่ตัวเองนั้นมีนิสัยที่ตลกสิ้นดี

“ลูกเราไม่ยอมเรียกพ่อแม่เลย มีแต่ตี๋กับแบล็คพิ้งก์อะไรก็ไม่รู้ ฉันว่ามันแปลกๆ นะคะคุณ” แม่ที่พูดภาษาไทยเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้

ข้าที่เห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มกว้าง แกล้งพวกท่านในทันที หลงให้ท่านทั้งสองต้องตายใจ

“พ่อง แม่ง” ข้าเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะขำ

“ลูกจ๊ะ” แม่รีบวิ่งมาหาทันที น้ำตาคลอเบ้า

“พ่อง แม่ง” ข้าเรียกอีกหน

แม่กับพ่อรีบกอดกันเอง สงสัยซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

“ฮือคุณ ลูกเราด่าอะ”

“พ่อง” ข้าเรียกชื่อพ่อ

“ฮือ” เสียงแม่ร่ำไห้

“แม่ง” ข้าเรียกชื่อแม่

“พ่อลูก แม่ลูก ไม่ใช่พ่อง ไม่ใช่แม่ง เอาใหม่นะครับ” พ่อข้าที่หน้าซีดเผือดชวนน่าขบขันทำข้าอ่อนใจ แสร้งทำเป็นขยับปากให้พวกท่านลุ้นระทึกอยู่เป็นนาทีกว่าๆ

ในสุดข้าก็เรียกจนได้ ขยับปากเอ่ยเสียงออกมาว่า...

“พะ พ่อง”

“โอ้ พอกันที !” แม่ข้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง เหยียดกายลุกขึ้นพลางหมุนตัวทำท่าจะออกจากห้อง แต่ทว่าข้ากลับขัดเสียก่อน

“แม่”

“...”

“แม่” ข้าย้ำอีกหน สร้างความตื้นตันใจแก่มารดาที่เหลียวกายหันมามองหน้าพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม เดินมาที่เปลของข้าอย่างปลื้มปรีติ “ใช่ลูก นี่แม่เอง”

ข้าหัวเราะชอบใจ ขยับมือน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มชี้ปลายนิ้วไปที่พ่อก่อนจะเอ่ย “พ่อ”

“ฮึก” พ่อกับแม่ดูดีใจยิ่งนัก รีบอุ้มข้ามาโอบกอดทันทีอย่างรักใคร่เอ็นดู

แม่ของข้าเป็นคนตลกด้วยนะ ชอบร้องเพลงกล่อมเด็กให้ข้าฟัง แถมท่านก็เปิดเพลง Blackpink ให้ข้าอีก นั่นก็เพราะว่าข้าเอาแต่ย้ำแต่คำเดิมๆ แม่ที่ยังงุนงงในทีแรก ครั้นพอเปิดเพลงดูจึงรู้ว่าข้าดีใจกับเสียงดนตรีที่อึกระทึกของวงที่ต้องการจะสื่อ

ข้าร้องเจื้อยแจ้วไป ดีดดิ้นไปมาอย่างมีความสุข

แม่จึงประจักษ์ว่าข้ามีความสามารถอีกหนึ่งสิ่ง นั่นก็คือการร้องการเต้นนั่นเอง…

การพูดภาษาไทยให้เป็นประโยคยาวเหยียดช่างยากลำบาก กว่าจะพูดครบถ้วนก็ตอนที่ข้าอายุห้าขวบพอดี

วันนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่ข้าร้องขอให้แม่ร้องเพลงกล่อมเด็ก ใช้มือน้อยๆ ขยับชายเสื้อแม่อย่างออดอ้อน

“แม่ ไออยากฟังเพลงกล่อมเด็ก” ข้าแทนชื่อตัวเอง พานมองตาหวานแป๋วจนคางชิดกับอกกับผู้เป็นมารดาที่จับอุ้มมานั่งบนตัก ครั้นแม่ก้มหน้าลงมามอง ก็ยากเกินจะปฏิเสธกับคำออเซาะ

“ได้สิจ๊ะ”

“เย้” ข้าดีใจ ค่อยๆ ลงจากตักแม่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถูกฝ่ามือโอบประคองอย่างกริ่งเกรงว่าจะร่วงตกหล่นกระแทกพื้น ข้าค่อยๆ ปีนลงมาอย่างระมัดระวัง พอเท้าสัมผัสที่พื้นห้อง ข้าก็เดินวิ่งจ้อแจ้ไปปีนป่วนบนเตียงนอน ทุกการกระทำแม้จะลำบากอยู่หน่อยๆ แต่ก็สร้างความเอ็นดูแก่มารดาที่พบเห็น

ตัวข้าใช้มือจับลงที่ฟูก เท้าถีบลงที่พื้นเพื่อกระโดดไปบนเตียง พยายามตะเกียกตะกายส่งเสียงฮึบขึ้นไปชิดกับพนักหัวเหล็กเตียงโดยมีหมอนหนุนหลัง รอรับฟังเพลงกล่อมเด็กอย่างใจจดใจจ่อ

ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของแม่ขับขานอย่างไพเราะเพราะพริ้ง “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลัง เมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยโยนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล”

“...”

“แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเปลืองค่าน้ำนม”

“แม่เกลียดไอมากเหรอ ?” ข้าตั้งคำถามอย่างฉงน กระพริบตาปริบๆ มองมารดาที่ร้องเพลงผิดเพี้ยนปั่นประสาท

“เปล่านี่จ๊ะ” คุณแม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มละมุนละไม

ข้ายู่ปากกระเถิบตัวลงนอนพลางใช้มือเล็กๆ เกี่ยวผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว “แล้วอะไรคือโยนเปล เปลืองค่าน้ำนม”

“ลูกแม่ฉลาดนัก” แม่พูดพลางลูบหัวตรงกลางกระหม่อมของข้าอย่างเอ็นดู “เพราะฉลาดเฉลียวแม่ถึงชอบแกล้งลูกอยู่เป็นประจำ เด็กอะไรรู้ไวโตไว แถมยังน่ารักอีกต่างหาก”

“ไอรู้ตัวดี” ข้าตอบพร้อมรอยยิ้มหวานประจบเอาใจ “หลายๆ คนก็บอกไอน่ารักประจำ ไอฟังจนเบื่อละ” ข้าคร้านเกินจะปฏิเสธ “วันก่อน ‘รบ’ ก็มาแกล้งไอ แม่ว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะแอบชอบไอ เพราะเด็กอย่างเราเวลาแกล้งใคร แปลว่าแอบชอบเขาคนนั้น” ข้าอธิบายเสียงใสแจ๋ว เห็นแม่ยิ้มเยื้อนตอบกลับมาเมื่อนึกถึงน้องรบเด็กข้างบ้าน ที่อายุมากกว่าข้าถึงสามปี

“แต่พี่รบเขาเป็นผู้ชายนะลูก”

“ผู้ชายแล้วไง เด็กสมัยนี้แก่แดดจะตายไป เพศสภาพไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกขอ’จิตใจคนเราสักหน่อยนะแม่ การชอบผู้ชายคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาคนนั้นจะเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกนี่นา” ข้าพูดพลางหาวปากหวอด ไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ชักสีหน้าเช่นไร “ไอหน้าตาน่ารักขนาดนี้ เด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงก็ต้องมีบ้างแหละที่แอบชอบไอ แต่น่าสงสารที่ไอได้แต่คร้านปฏิเสธ” ข้าหลับตาลงเมื่อสิ้นคำพูด ก่อนจะทิ้งอีกหนึ่งประโยคให้แม่ได้ยิน “นั่นก็เพราะไอมีคนที่แอบชอบแล้วยังไงล่ะ นอกจากแบล็กพิ้งก์กับพ่อแม่ รวมถึงคนคนนั้น ก็ไม่มีใครแล้วที่ไอรัก”

“ลูกหมายถึงคนที่ชื่อตี๋น่ะเหรอ ?” เสียงของแม่ที่ถามออกมาอย่างตะขิดตะขวงใจทำให้ข้าต้องปรือตามองอย่างลืมตัว

“แม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตและกลับชาติมาเกิดไหม ?” ข้ายันฝ่ามือลงที่ฟูกเตียง เปลี่ยนเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพนักหัวเหล็กเตียงดังเดิม พูดจาอย่างฉะฉานว่องไว ท่าทางเคร่งขรึมเกินวัยอันควร ทำแม่ที่คลี่ยิ้มน้อยๆ ต้องยื่นมือมาสัมผัสที่หลังฝ่ามือนิ่ม ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยที่ผิวเนื้อเนียนนุ่มของข้าอย่างทะนุถนอม

“ไอ รู้ไหมแม่ตกใจมากแค่ไหนที่รู้ว่าลูกดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ทำแม่กับพ่อต้องสับสนไปหมด ทั้งฉลาดแสนรู้ ตัวแม่เองก็สังเกตมานานแล้วละ และสิ่งในที่ลูกพูดอยู่นี้ แม่อยากบอกว่าแม่เชื่อสนิทใจเลยละ ไม่ว่าลูกจะเป็นใครก็ตามแต่ หรือกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นลูกของแม่คนนี้ แม่อยากบอกว่าแม่ดีใจที่มีไอเป็นลูกของแม่ ดีใจที่พระเจ้ามอบสิ่งล้ำค่าและอัศจรรย์ใจให้แก่พ่อและแม่ทั้งสอง” แม่พูดพานน้ำตาเอ่อคลอ

“แม่” เสียงของข้าเสียงสั่นเครือ รีบกระเถิบกายเข้าไปหา ใช้เรียวแขนเล็กโอบล้อมรอบลำคอของแม่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ไอรักแม่นะ แต่ทำไมแม่ถึงเชื่อไอล่ะ” ข้าถามอย่างข้องใจยามผละกายออกห่าง

“แม่เห็นผ่านกล้องวงจรติดน่ะ ตอนลูกปีนเก้าอี้เล่นคอม แถมยังมีประวัติข้อมูลเสิร์ชหาแบล็กพิ้งก์กับอควาเรี่ยมอีก”

“อุ้ย ! แม่รู้ แหะ ไอไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรติดในห้องทำงานพ่อ” ข้าหัวเราะเสียงแห้ง

ณ ตอนนั้นเป็นเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ เลยให้พี่เลี้ยงเด็กมาดูแลตัวข้าแทน แต่ข้าก็อาศัยจังหวะยามพี่เลี้ยงเด็กหลับใหลมานั่งเล่นคอม

“เพราะแบบนี้ไงแม่ถึงเชื่อไอ อีกอย่างถึงแม่ไม่เห็นผ่านกล้องวงจร แม่ก็เชื่ออยู่ดี เพราะว่าไอเป็นลูกของแม่”

“ฮือ แม่จะทำไอร้องไห้ ฮึก ขอบคุณที่แม่เชื่อในสิ่งที่มันยากเกินจะเหลือเชื่อพรรค์นี้” ข้าน้ำตาไหลอาบแก้ม ซบกับอ้อมอกอุ่นๆ ของผู้ให้กำเนิด “ไอดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่นะ แต่แม่ช่วยอะไรไอสักอย่างได้ไหมครับ” ข้าถอยกายออกห่าง ปัดเศษน้ำลวกๆ ด้วยการขยี้ผ่านข้อนิ้วมือ ทำให้แม่ต้องรีบจับแขนเล็กออก หยิบชายเสื้อมาเช็ดให้ข้าแทนอย่างเบามือ

“ว่ามาสิจ๊ะ” แม่ระบายยิ้มกว้าง แววตาสั่นไหวด้วยความรู้สึกเอ่อล้นที่ข้ายากเกินจะเข้าใจ

ข้ารู้ว่าแม่คงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเด็กคนหนึ่ง รับรู้ถึงความฉลาดเฉลียวและแก่แดดเกินวัยอันควร แม่ถึงได้ปักใจเชื่อในสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ นั่นก็เพราะทุกการกระทำของข้าที่ผ่านพ้นมา มันมากกว่าอิริยาบถของเด็กไม่ประสีประสา เหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือคำพูดคำจาที่ฉะฉานคล่องปาก หลังจากนั้นข้าก็เล่าทุกอย่างให้ท่านแม่ฟังตั้งแต่สมัยเป็นคนจวบจนกระทั่งเป็นสิงโตทะเลจนต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วยมานอนซมตาย รีแอคชั่นของแม่ที่เห็นมีบ้างที่ดูเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เพราะรายละเอียดและคำพูดที่เน้นชัดมีเหตุผลแต่ไร้หลักการ แม่ถึงได้ตั้งใจฟังเป็นชั่วโมงกว่าๆ หนำซ้ำยังหัวเราะกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าด้วย

“ช่างน่าเอ็นดูเด็กที่ชื่อตี๋นัก”

“เขาโรคจิตนะแม่” ข้าอธิบายพร้อมหัวเราะร่า ขณะนินทาว่าร้ายอีกคน

ข้ายิ้มด้วยความพอใจก่อนจะกล่าวคำคำหนึ่งด้วยความซาบซึ้ง “แม่ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะครับ ไอไม่อยากให้พ่อหัวใจวายตายเสียก่อน”

“ฮ่าๆ เด็กคนนี้หนิ” แม่หัวเราะชอบใจ ก่อนจะยื่นปลายนิ้วก้อยมาใกล้ ทำข้าเอียงคออย่างฉงน ก่อนจะร้องอ๋อ ยื่นปลายนิ้วก้อยน้อยๆ ไปเกี่ยวกลับ

ถือว่าเป็นข้อผูกมัดระหว่างเราทั้งสอง

ข้าคลี่ยิ้มกว้าง ยามข้อนิ้วไร้พันธนาการ บอกสิ่งที่มุ่งมั่นปรารถนา “แม่พาไอไปอควาเรี่ยมที่หนึ่งหน่อยสิ”

มันเป็นห้าปีแล้วที่ไอต้องปล่อยให้ใครคนหนึ่งต้องรอคอย

‘ตัวเล็กจะไปหาตี๋ใสอีกไม่ช้าแล้วนะ…’

“ไอคิดถึงตี๋มากๆ เลยอะ”

“อืม แม่จะพาลูกไปเจอเขา”

“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ” ข้ากอดแม่อีกครั้ง ซาบซึ้งในบุญคุณและคำพูดที่ยากเกินจะเชื่อจากเด็กคนหนึ่ง

ในใจโล่งเหลือเกินจะกล่าว ทั้งดีใจและเบาสบาย ราวกับว่าได้ปลดปล่อยห้วงความคิดที่แสนเศร้า โดยมีแม่คอยรับฟังและสนับสนุนอย่างเต็มที่

ข้าพูดกับแม่อย่างติดตลก “แม่รอดูไอมีผัวเป็นเจ้าของอควาเรี่ยมได้เลย”

“ไอพูดจาหยาบคาย ตีปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ” แม่ ‘ว่าน’ ที่ปักใจเชื่อเห็นข้าพูดจาหยาบคายจึงเอ่ยตักเตือน

“แงงงง” ข้าทำเป็นร้องไห้งอแง ใช้ฝ่ามือนิ่มตีลงที่ปากตัวเองเบาๆ “ตีแย้ว”

ต่อไปนี้จะไม่พูดคำหยาบต่อหน้าแม่อย่างเด็ดขาด

ยกเว้นเจ้าตี๋เพียงคนเดียว

 

พอเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าที่แต่งตัวดูดีให้เหมาะสมกับหน้าตาน่ารัก กว่าจะเลือกคัดสรรชุดมาได้ก็ใส่เวลาเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง แม้จะรู้ตัวดีว่าแต่งแบบไหนก็ไร้ที่ติ แถมดวงหน้าอ่อนเยาว์ ผิวขาวนวลประดุจหงส์ขาว ฉายแววความหน้าตาดีมาตั้งแต่ตอนเด็ก หากโตอีกสักหน่อยคงได้มีใบหน้าหวานพริ้งสะคราญโฉม

“คิกคาก” ข้าหัวเราะชอบใจกับการชมตัวเอง  ใส่ชุดเอี้ยมด้วยตัวเองเสร็จสรรพก็ตะโกนเรียกแม่ให้เข้ามาในห้องได้

ข้าไม่อยากโป๊เปลือยให้แม่เห็นจุ๊ดจู๋น้อยนี่นา

“แม่ !” ข้าตะโกนดังลั่น

“จ้า” แม่ขานรับ สักพักก็ย่างเท้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะร้องตบมือให้ข้าดังแปะๆ

“ว้าว แต่งตัวเองเป็นแล้ง เก่งมากเลย วันนี้ไอน่ารักที่สุดเลยค่ะ” แม่ชมเปาะ

“ไอรู้ๆ” ข้าผายอกอย่างภาคภูมิ พวงแก้มแดงระเรื่อเพราะได้สัญชาติญี่ปุ่น ผิวพรรณเลยดีเป็นทุนเดิม

หลังจากนั้นข้าก็วิ่งต๊อกแต๊กมาที่หน้าบ้าน พอออกจากรั้วบ้านก็ดันเห็นเด็กชายตัวโตสูงโหย่งมากกว่าข้ากำลังยืนกอดอก หน้าตาถมึงทึง

“ไปไหน” อีกฝ่ายถามไถ่

ข้าหันซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นพ่อแม่อยู่จึงเอ่ยตอบ “ไปหาผัว”

“แก่แดด”

“แล้วรบมายุ่งอะไรด้วยเล่า” ข้าเท้าสะเอว บึนปากไม่พอใจ

อย่านะ เห็นข้าตัวเล่นแบบนี้ ริอาจมารังแกนี่ข้าเอาคืนเป็นร้อยเท่าเลยนะขอบอกก่อน

“เป็นเด็กผู้ชาย แต่คิดจะไปหาผัว ทำไมแรดแบบนี้” คนตรงหน้าด่าทอ

ข้าทำหน้าตาเหลอหลาก่อนจะกล่าว ชี้มือมาที่หน้าผากตัวเอง “แต่ไอไม่มีเขาเหมือนแรดนะ”

“งั้นก็เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย” อีกฝ่ายยังมิวายจิกกัด

ข้าถอดถอนหายใจ ก่อนจะทำสีหน้าจริงจังเกินวัย เอ่ยสั่งสอนเด็กซื่อบื้อ “ฟังนะ พศ.ใหม่กันแล้ว ไม่มีใครมาดูถูกเพศสภาพกันหรอก ถึงไอจะเป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ไอก็ภูมิใจในตัวเอง ถ้าหากสิ่งที่เป็นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใครๆ หรือว่ารบเดือดร้อนแทนไอ ถึงได้จิกกัดมาแกล้งไอทุกวี่ทุกวัน แอบชอบไอหรือไงกัน”

“คะ ใครชอบนายไม่ทราบ !” รบเลิ่กลั่ก

ข้าหัวเราะอย่างชอบใจ ปริปากเจี๊ยวจ๊าว “ชอบไม่ชอบก็แล้วแต่เลย เพราะไอก็รู้ตัวดีว่าตัวเองน่ารัก ความมั่นหน้ามั่นโหนกนี้คงไม่มีใครแล้วนอกจากไอ”

ข้าเชิดคางขึ้นสูงก่อนที่ปลายนิ้วชี้ข้างขวาจะชี้ไปที่คนตรงหน้า มือซ้ายเท้าสะเอว พานหลุบสายตาลงต่ำเหมือนเป็นการเหยียดหยาม พร้อมกับแหวกขาออกกว้าง เอ่ยเสียงดังลอดขึ้นมาว่า “ฟังไว้นะ ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย คนอย่างไอถ้าจะมีแฟน ต้องหาคนรวยๆ เท่านั้น เพราะไอจะผลาญเงินผัวยิ่งกว่าผลาญเงินพ่อแม่”

พูดเสร็จสรรพข้าก็เก็บท่าทางหยิ่งยโสกลายเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นว่าพ่อแม่กำลังเดินมา

“ดีใจที่รบออกมาเจอไอน๊า ไอคงต้องขอโบกมือลาละ” พลันยกแขนขึ้น “บ๊ายบาย เดี๋ยวไอไปเที่ยวเล่นกับพ่อแม่ก่อน”

“ไปที่ไหน” อีกฝ่ายยังคงคะยั้นคะยอถาม

“อควาเรี่ยม สวนสัตว์น้ำ” ข้ายินยอมตอบกลับ ก่อนที่พ่อกับแม่จะเดินมาหา พร้อมกับฝ่ามือเรียวนุ่มของแม่ที่ลูบข้าอย่างเอ็นดู

“ไปกันค่ะลูกไอ” เสียงแม่เอ่ยบอก

“คร๊าบ ~” ข้าขานรับ ก่อนจะเอี้ยวกายโบกมือลาเด็กน้อยหน้าตาดี ขืนโตอีกสักหน่อยก็คงมีแววอุปป้าเกาหลีพลอยมีสาวมาพัวพัน แต่ช่างน่าเสียดายที่มาตกหลุมรักข้าเข้าให้ ข้าได้เวทนาอยู่ภายในใจ เพราะตัวเองดันจะไปได้เจอว่าที่ผัวในอนาคต ที่ไม่รู้ปานนี้รอจนเป็นง่อยแถมผมหงอกแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้

เฮ้อ หวังว่ากระดูกไขสันหลังยังดีอยู่นะ หากฉุกคิดจะเอาข้าทำเมีย

เอ๊ะ หรือข้าควรสลับตำแหน่งเป็นผัวเองดีกว่า…

กว่าจะไปถึงอควาเรี่ยมที่ห่างไกลจากตัวบ้านก็ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ในการเดินทาง แต่ข้าก็ไม่บ่นกระปอดกระแปดเลยสักนิด หิวก็แค่ให้พ่อแม่แวะร้านเพื่อหยุดพักทานอาหาร นั่งฟังเพลงแบล็กพิ้งก์เวอร์ชั่นญี่ปุ่นไปพลาง แถมยังเต้นและร้องอยู่บนเบาะหลัง ซึ่งคุณพ่อกับคุณแม่ที่ฟังเป็นร้อยเป็นพันกว่าเที่ยวก็เริ่มกลายเป็นแฟนคลับไม่ต่างจากข้า ร้องได้เกือบทุกเพลงที่แล่นขึ้นมา

ในที่สุดจุดมุ่งหมายปลายทางของเราก็มาถึง ข้าที่เปิดประตูรถก็รีบกระโดดลงมาหลังจากจอดเทียบเป็นที่เรียบร้อย พลางหมุนตัวกวาดตามองรอบด้านกับพิพิธภัณฑ์สัตวน้ำ อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตอนเกิดเป็นสิงโตทะเล ในยามนั้นแทบไม่เห็นมุมมองเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป แต่ครั้นในยามนี้...ทุกสิ่งกลับงดงามจับจิตร

ข้าเขย่งปลายเท้าขึ้น มือพยายามจะปีนเกาะที่ขอบช่องซื้อตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะถูกแม่จับอุ้ม ทำให้ข้าได้เห็นพนักงานแลกตั๋วเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย พอสมใจอยากข้าก็ขอแม่เดินลงที่พื้น วิ่งเล่นและกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุข ทำให้พ่อกับแม่หัวเราะยามเห็นข้ามีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับรอยยิ้มของข้ามีความหมายต่อพวกท่านเป็นอย่างมาก

ข้าจูงมือแม่ที่ย่อกายลงมาวิ่งตามข้าที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ชี้นิ้วไปที่ลูกโป่งสีแดงก่ำด้วยความอยากได้

ไหนๆ ก็ได้หวนกลับมาเป็นเด็ก ข้าก็อยากเต็มที่กับช่วงเวลาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ครั้นพอโตไปสิ่งที่ไม่เคยทำ อาจมานึกหวนเสียดายในภายภาคหน้า ฉะนั้นการเติมเต็มความสุขตั้งแต่ช่วงเวลานี้ มันสามารถเริ่มได้แค่เราฉุกคิดและลงมือทำ ตัวข้าเองก็หวังอยากให้ทุกคนมีความสุขไม่ต่างจากข้า เฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ดูดีใจเวลาหัวเราะสดใส

ข้าถือลูกโป่งโดยมีพ่อและแม่คอยขนาบอยู่ทางซ้ายมือและขวา ต่างประกบกลัวข้าจะหายไปไหน ข้าก็ได้แต่ยื่นเรียวแขนเล็กๆ ให้แม่จูงมือเดินเล่น ก่อนจะเอ่ยปากบอกแม่ว่าอยากไปดูสิงโตทะเล แม่จึงพามาดูที่การแสดงของสิงโตทะเลที่จัดในรอบบ่าย

ข้าตบมือแปะๆ หัวเราะเริงร่ายามเห็นสิงโตทะเลว่ายน้ำขึ้นมาในบก แถมเจ้าตัวลูกพี่ที่ข้าเคยคุยสมัยเป็นสัตว์ก็ได้ฝึกฝนมาเล่นการแสดงกับเขาด้วย ข้าคลี่ยิ้มกว้าง รู้สึกปรีดาเหลือหลาย ไหนจะแม่สิงโตทะเลของข้าอีกที่ไม่รู้ปานนี้เป็นเช่นไร หลังจากจบการแสดงข้าก็เดินนำหน้าให้พ่อแม่เดินตามท้ายหลัง ชี้มือไปที่ลานบันได ก้าวขาลงมาที่พื้น เห็นท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวกลายเป็นสีฟ้าคราม สัตว์ในท้องทะเลจากในมหาสมุทรก็ต่างแหวกว่ายผ่านถ้ำอุโมงกระจกใส ข้าแนบฝ่ามือลงกับสิ่งนั้น กวาดตามองสัตว์น้ำแต่ละตัวที่ว่ายไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังมีปลากระเบนขนาดใหญ่ยักษ์ว่ายผ่านอยู่เหนือศีรษะของถ้ำอุโมงอีกต่างหาก

“ว้าว” ข้าส่งเสียงร้องด้วยความพอใจ ก่อนจะวิ่งไปที่อีกจุดโดยมีพ่อแม่คอยสังเกตตลอดเวลา ใจข้าเองในยามนั้นก็อยากผละจากพวกท่านทั้งสอง เพราะตั้งแต่มาที่นี่ข้าก็ไม่เห็นชายคนนั้นเลยสักนิด หรือว่าปานนี้จะไม่ได้มาทำงานเฉกเช่นเคย พาลนึกกังวลว่าอีกฝ่ายคงถึงขั้นตายลาลับไปแล้ว แค่คิดก็พลอยหดหู่

ข้าชะงักฝีเท้า ขณะที่ในมือมีเชือกถึงลูกโป่งลอยเหนืออากาศ จับจ้องสิงโตทะเลที่แหวกว่าย จนกระทั่งมีตัวหนึ่งหยุดชะงักมาจ้อหน้าข้าผ่านกระจกใส ข้าที่จดจำได้แม่นก็ระบายยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยทักทาย “หวัดดีเจ้าตัวขี้เซา” ตัวใหญ่ผอมเพรียวขึ้นเยอะเลยนะ ไม่รู้ปานนี้ถูกจับเป็นเมียแล้วหรือเปล่า

เจ้านั่นจ้องข้าไม่นานก็ว่ายกลับขึ้นไปบนบก ข้าก็เหลือบตามองตามก่อนจะเห็นแม่สิงโตทะเลที่ชะโงกหน้ามาทางข้า ข้าก็รีบโบกมือทั้งสองข้างไปมา ทำให้ลูกโป่งพลิ้วไหวตามแรงลม ตะโกนส่งเสียงแหกปากว่า “แม่ !” ด้วยความดีใจ

ดูจากทีท่าท่านคงสบายดี สุขภาพคงแข็งแรงเฉกเช่นเคย ข้าน้ำตาเอ่อคลอจนไหลอาบแก้ม หวนนึกถึงตั้งแต่ตอนเป็นสิงโตทะเลเล็กๆ ที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะโชคชะตาดันเล่นตลกร้าย อีกทั้งยังได้แม่เป็นสัตว์ แต่พอมาในยามนี้ทุกน้ำนมมารดา และบุญคุณทั้งหลายทำให้ข้านึกถึงแม่ๆ ทุกคนที่ข้าต้องจากลามา

แม่ว่านที่พอจะรู้ว่าข้าหมายถึงใครก็เอามือมาลูบลงกลางกระหม่อมอย่างปลอบโยน ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มป้อยๆ

ข้าพรูลมหายใจโล่งอก เห็นทุกคนยังสุขสบายก็นึกหายห่วง ใช้เวลาอยู่ตรงนี้สิบนาทีจนพ่อแม่ต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปข้า แถมยังมีแม่สิงโตทะเลที่หันหน้ามาทางนี้ รวมไปถึงตัวขี้เซาแสนเกียจคร้านที่ข้าจดจำใบหน้าได้ดี หวังเก็บเป็นระลึกความทรงจำ

ข้ายิ้มในเวลามีความสุข และข้าก็ร้องไห้ในเวลาที่เศร้าสร้อย ปลดปล่อยคลื่นอารมณ์เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปที่มีสติสัมปชัญญะ ก่อนที่ถ้ำอุโมงจะมีผู้คนเริ่มเข้ามาแน่นขนัด ข้าก็อาศัยจังหวะวิ่งไปซ้ายทีขวาทีเพื่อดูสัตว์น้ำต่างๆ นานา สุดท้ายก็พลัดหลงกับพ่อแม่จนได้

“ไอ !” ข้าได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกชื่อ แต่ข้าก็ได้แต่นึกขอโทษอยู่ภายในใจ รีบดึงสายเชือกลดลงต่ำ หวังให้ลูกโป่งที่ลอยเด่นหราไม่ให้พ่อแม่กวาดตาพบเห็น ฝ่าฝูงชนขึ้นมายังเบื้องบนที่เหมือนเป็นสวนสาธารณะ มีร้านอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ วางจำหน่าย ข้าปล่อยเชือกให้ลูกโป่งลอยดังเดิม ก่อนจะเดินตามต้อยๆ ไล่หลังผู้ใหญ่ พลันสะดุดกึกเมื่อเห็นเจ้าแมวตัวหนึ่งอยู่ในอควาเรียม มันเป็นสีขาวนวลเนียน และมีดวงตาสีฟ้าครามดุจท้องทะเล

ข้าก้าวขามาเบื้องหน้า หยุดชะงักก้มหน้ามองแมวที่เงยหน้ามาจ้องตาข้าเช่นเดียวกัน
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 14-01-2020 16:50:56
“เจ้าแมวชื่อกระแดะ” ข้าเอ่ยเรียกชื่อมิริน ก่อนจะถามไถ่เหมือนกับอีกฝ่ายจะเข้าใจภาษาคน “ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”

ข้ายังคงสงสัย แต่เจ้ามิรินก็กลับร้อง “เมี๊ยว” ตอบกลับ ซ้ำยังเดินมาคลอเคลียที่เท้าของข้าอีกต่างหาก

ต๊าย นอกจากเป็นแมวแรดแล้วยังเฟรนลี่กับมนุษย์อีกเหรอ คิดจะอ้อนคนไปทั่วเลยสินะ

“ตี๋อยู่ไหน ?” ข้าถามมิรินที่ยังเอาหน้ามาคลอเคลียแถวเรียวขาเล็กผุดผาด ก่อนจะปล่อยสายเชือกที่เคยกำแน่นทิ้ง เพื่อให้ลูกโป่งสีแดงฉานลอยละลิ่วเหนือบนอากาศ จากนั้นก็โน้มกายลงมาจับอุ้มมิรินที่อยู่ข้างๆ พุ่มไม้

“ถามว่าตี๋อยู่ไหน ?” ข้าจ้องเขม็งใส่เจ้าแมวหน้าโง่ที่เอาแต่ร้องเมี๊ยวๆ ไม่ตอบคำถาม ปลายนิ้วมือสอดที่ร่องเท้าด้านหน้าของสัตว์ขี้อ้อน พลันเขย่ารัวแรงเมื่อไม่ได้รับคำตอบสักทีหนึ่ง

ข้าเริ่มไม่พอใจแล้วนะ ! หรือเจ้าตี๋จะอยู่แถวๆ นี้

ขวับ ข้ารีบหนัาไปทางขวา กะจะมองซ้ายแลขวาสักเที่ยว แต่ทว่าก็ดันมาหยุดชะงักกับใครบางคนที่อยู่ในชุดตัวใหญ่อ้วนพี แถมใบหน้าคมคายหล่อเหลาก็ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ

นี่เจ้าคนหื่นหล่อไร้ที่ติขนาดนี้เลยหรอกเหรอ ?

ข้าเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ ทั้งดีใจที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตายห่า ก่อนจะรีบเหวี่ยงสิ่งของในมือไปทางซ้ายมืออย่างไร้เยื่อใย เสียงดังพึ่บ ! จึงตามมา พร้อมกับเสียงร้องดัง “แง่ว !!” ของเจ้าแมวน่าโง่

ข้าเห็นอีกฝ่ายร้อง “เฮ้ย !” ด้วยอากัปกิริยาตกใจ ข้าไม่สนหัวใดๆ รีบก้าวขาเข้ามาหาอีกฝ่าย ตั้งใจจะเอ่ยคำอะไรสักคำ แต่ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า เรื่องแบบนี้พูดออกไปก็คงเป็นลมปากเปล่า

คนตัวโตที่ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ข้าก็ไม่นึกแยแส กวักมือขวาให้อีกคนโน้มตัวลงต่ำ

อีกฝ่ายดูลังเลใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ย่อเข่าลงมา ใบหน้าเทียบอยู่ใกล้ศีรษะของข้า ถึงแม้ข้าจะเตี้ยไปสักหน่อยทำให้นึกขัดใจ กระทั่งริมฝีปากหยักหนาเอ่ยถาม

“ว่าไง…!!” ไม่ทันจะจบประโยค สุรเสียงทุ้มกังวานเหล่านั้นก็พลันชะงักในบัดดล ยามที่ข้าประคองใบหน้าคมคายบริเวณสันกรามดูดีสมบูรณ์แบบ กดแรงลงมาเล็กน้อยให้เรียวหน้ารูปไข่ก้มต่ำลงมาเล็กน้อย ก่อนที่มือนิ่มที่ทาบทับก็พลางยื่นหน้าเข้าไปหา ตามมาด้วยริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของข้าที่จุมพิตที่เปลือกตาซ้ายจนอีกฝ่ายต้องหลับตาพริ้ม ใช้การกระทำอุกอาจโดยไม่ให้อีกคนได้ทันตั้งตัว

เปลือกตาข้างซ้าย แทนการซับหยาดน้ำตาที่เคยรินไหล

ข้าละริมฝีปากออกห่าง ลอบมองอิริยาบถของอีกคนที่เบิกตามอง ก่อนจะหลับตาพริ้มอีกครายามที่ข้ายื่นริมฝีปากไปประทับที่เปลือกตาข้างขวา สื่อถึงการทดแทนปลอบประโลมใจ ตามมาด้วยหน้าผากกว้างที่แทนเรื่องราวที่ถักทอร่วมสร้างกันมาเนิ่นนาน เลื่อนต่ำมาที่ปลายจมูกโด่งรั้นแทนทุกลมหายใจที่ข้าอยากใช้ชีวิตร่วมกันดังต่อไปนี้  ต่อด้วยปรางข้างซ้ายและขวา แทนคำห่วงใยและเอ็นดู รวมไปถึงปลายคางสื่อถึงความขอบคุณที่เคยอยู่ร่วมกัน

ข้าชะงักการกระทำ มองอีกฝ่ายที่ลืมตามองจนแววตาสั่นไหว น้ำตาเอ่อคลอทำข้าจะร้องไห้ตาม ก่อนที่ข้าจะหยุดโลกใบนี้ไว้เหลือเพียงแค่เราสองคน ยื่นริมฝีปากไปจุมพิตที่กลีบปากนุ่มของอีกคนเสียงดังจุ๊บ ! บ่งบอกถึงความรักที่ข้าเคยสะสมมาเนิ่นนานตลอดไม่มีวันเสื่อมคลาย

ข้าหวังว่าการกระทำและสัมผัสตราตรึงเหล่านี้ในห้าปีก่อน เจ้าจะยังคงไม่ลืมเลือน…

“จำตัวเล็กได้ไหม” ข้าคลี่ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา

แต่คำตอบก็กลับไม่ได้รับการตอบกลับ มีเพียงชายฉกรรจ์ตรงหน้าที่ปล่อยโฮออกมา รีบยืดเรียวแขนมาโอบรอบตัวข้าให้เข้าไปใกล้กระชั้นชิด

พอได้ยินเสียงเจ้าตี๋ร้องไห้ ข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องตาม…

“จำได้สินะ” ข้าย้ำในสิ่งที่ต้องการจะสื่อ พลางยื่นมือมาลูบไหล่กว้างที่แทบเอื้อมไม่ถึง

อีกคนพยักหน้ารับ ทั้งลำตัวสั่นสะท้านไปหมด ใช้เวลาครู่ใหญ่ก็ผละจาก จ้องมองข้าที่ระบายยิ้มกว้างอย่างขบขัน

อีกคนขยับริมฝีปากเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “รอนานแล้วนะ รอจนจะอายุสามสิบขึ้นคานแล้ว”

“ฮ่าๆ” ข้าหลุดหัวเราะกับคำตลกร้ายพรรค์นั้น ก่อนจะเอนกายไปด้านหลังให้ใบหน้าออกห่างจากอีกฝ่าย

“เราชื่อไอนะ” ข้าแนะนำนามใหม่เพื่อคาดหวังให้อีกคนขับขาน ก่อนสะดุดร้องดังอึกเมื่อถูกกอดแนบแน่นอีกครั้ง ครั้นพอใจก็ผละกายออกห่างโดยที่ข้าก็น้ำตาไหลอาบแก้ม ริมฝีปากเล็กสั่นระริกเพื่อจะกล่าวอีกประโยคที่อยากพูดมาเนิ่นนาน

ข้าอยากบอกกับเจ้าให้ได้รับรู้และเป็นที่ประจักษ์...

“คิดถึงนะ คิดถึงมากๆ เลย รักตี๋ ไอรักตี๋ ฉะนั้นอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”

“ตัวเล็ก…” อีกคนน้ำตาเอ่อคลอจนไหลผ่านปรางสีแทนคล้ำแดด ก่อนที่ข้าจะเอาแขนมุดลอดผ่านเรียวแขนแกร่ง ยื่นปลายนิ้วโป้งเกลี่ยคราบน้ำตาให้อย่างเบามือ มิวายหยอกเย้า

“ผู้ชายไรขี้แงอะ”

“ฮึก” อีกคนสะอื้นไห้ ทำท่าสูดน้ำมูกเข้าจมูก ก่อนที่ข้าจะถามคำบางคำด้วยความคาดหวังเหลือแสน

“รักไหม ?”

ข้าที่เป็นคนเช่นนี้ เป็นเด็กตัวกะจิ๊ดริดแค่นี้ เจ้าจะยังรักข้าอยู่ไหม ?

“เป็นคำถามที่ไม่น่าเอ่ยออกมาเลย” อีกคนโต้กลับ คลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

ข้ารู้สึกขวยเขิน หันหน้าหนีก่อนจะบ่นอุบอิบ “บ้าบอ”

ถึงกระนั้นคำพูดก็ไม่ได้สะทกสะท้านคนตรงหน้าแต่อย่างใด อีกทั้งยังเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรัวแรง ราวกับภูเขาที่เคยหนักอึ้งได้ถูกปลิดปลิวผ่านคำพูดบางประการ

“รักสิ รอไอมานานแล้ว ไม่รักได้ไง”

ชิ ! เจ้าคนซื่อบื้อ

ข้าอมยิ้มอย่างปรีดา ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจูบที่ริมฝีปากอีกฝ่ายอีกสักหน ราวกับโหยหามาเนิ่นนาน และในยามผละกายออกห่าง ข้าก็มองด้วยแววตาใสแจ๋ว เอ่ยชมเปาะ “ดีมาก เด็กดี” ก่อนจะหันซ้ายแลขวา ก็พลันเห็นผู้คนที่แน่นขนัดต่างเดินมองเราทั้งคู่อย่างสนอกสนใจ

ตายจริง จูบกลางสาธารณะ ลืมเลยว่ามีตัวประกอบอื่นๆ

“คนมองกันเต็มเลยอะ” ข้าบ่นพึมพำ ทำให้เจ้าตี๋ต้องกวาดตามองตาม

“งั้นเราไปที่อื่นกัน” สิ้นคำพูดอีกฝ่ายก็เหยียดกายลุกขึ้นยืน ยื่นฝ่ามือมาอุ้มตัวข้าที่กางแขนรอรับให้ไปอยู่บนระดับอก ก่อนที่ก้นนิ่มๆ จะทาบทับอยู่พาดผ่านอยู่บนลำแขนแกร่ง

“ทำไมแต่งชุดมาสคอดอะ” ข้าถามอย่างสงสัย

บ้าจริง หรือว่าผัวตกงาน แบบนี้ข้าก็อดได้เสี่ยเปย์เด็กกันพอดี

เอาไงดี เลิกดีไหม ? หาผัวใหม่ก็ยังไม่สาย

“ไม่หล่อเหรอ ?” เจ้าตี๋ว่า ขณะย่างกรายไปที่พำนัก

ข้าตอบกลับอย่างเริงร่า “ตลกดี” แต่จริงๆ ก็หล่อแหละ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่สภาพแบบไหนก็ดูดีทั้งนั้น แต่งชุดมาสคอดแบบนี้ก็ดูน่ารักดี

“แล้วพ่อแม่อยู่ไหน ?” อีกฝ่ายมิวายถามถึงบุพการี

ข้าก็ลืมเสียสนิท แต่ก็ช่างเถอะ ไหนๆ ก็เจอเจ้าแล้วก็เลยได้แต่ไหวไหล่ตอบกลับ พลางยู่ปากก่อนจะตอบคำถาม “คงเดินตามหาจนวุ่นอยู่แหละ”

สักพักไม่ทันไร ก็ดันมีเสียงลำโพงดังเซ็งแซ่ทั่วสารทิศ

[ประกาศค่ะ ตามหาเด็กพลัดหลง ชื่อไอ อายุห้าขวบ ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาว สวมเสื้อเอี้ยมสีน้ำเงิน ข้างในใส่เสื้อยืดสีขาวคอกลม  ใครพบเจอช่วยพามาที่แผนกประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ]

อุ้ย โดนจนได้ “นั่นไง” ข้าว่า “ไม่ทันขาดคำ”

“เด็กไม่ดี” เจ้าตี๋เอ็ดใส่ก่อนจะปิดประตูล็อกกลอนลง พลางเดินดูรอบห้องเมื่อค้นพบว่าไม่มีใครจึงวางข้าที่น่ารักน่าชังยืนลงกับพื้น

คุณหฤษฎิ์จะพรากผู้เยาว์เหรอฮะ ? แบบนี้ข้าแจ้งความดำเนินคดี และให้ศาลตัดสินจับขังลืมเลยนะฮะ

“จะฟ้องว่าลักพาตัวเด็ก” ข้าเตือนพร้อมร้อยยิ้มโชว์ฟันน้ำนม

แต่อีกคนหาได้ยี่หระ “ยินดีให้ตำรวจจับ”

งั้นมึงโดนแน่ ! ไอ้คนหื่น

ข้าได้โต้เถียงอยู่ภายในใจ ก่อนที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายจะประคองใบหน้าเรียวเล็กที่แสนน่ารัก พลันกระเถิบกายเข้ามา พร้อมกับก้มหน้ามาประทับกลับปากนุ่มหยุ่นอย่างอาลัยอาวรณ์

ข้าได้แต่หลับตาพริ้ม สัมผัสรสชาติตราตรึงที่ไม่ได้จาบจ้วงลึกซึ้งเหมือนกับผู้ใหญ่ แต่ก็มากพอที่จะทำหัวใจข้าสั่นคลอน

“จูบให้ชื่นใจเหมือนที่ต้องทนรอมาเนิ่นนาน” เจ้าตี๋กล่าวยามผละกายออกห่างจากร่างแน่งน้อย

ข้าหน้าแดงปลั่งอย่างเขินอาย แกล้งพูดประชดเสียดสี “เป็นผัวอ๋อมาจูบอะ”

“และอยากให้เป็นไหมล่ะ” เจ้าตี๋ถามกลับ ทำข้าหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจ

“อยากสิ” จะได้ผลาญเงินเล่นไปเปย์แบล็กพิ้งก์ “จะได้กรรโชกทรัพย์มาให้หมด มีแฟนเป็นเจ้าของอควาเรี่ยมดีจะตาย”

หวังว่าพ่อของเจ้าจะส่งมอบตำแหน่งให้แล้วนะ

จริงๆ ข้าก็ไม่ได้เห็นแก่เงินหรอก เลยมัดมือชกจับเจ้าทำผัว แต่ไหนๆ มันก็มีกำไลได้ ข้าจะลักทรัพย์ก็คงไม่กระทบขนหน้าแข้งให้ร่วงหล่น

“เชิญผลาญเงินตี๋ตามสบายเลย” อีกคนยิ้มเยื้อน ลุกขึ้นยืนเดินจูงมือข้าออกจากที่พำนักพนักงาน

ข้านี่ได้แต่ยกมือโหร้องกำมือแน่นและชักขึ้นลงว่าเยี่ยม ! แบบนี้ก็มีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตของสาวๆ ได้สักทีหนึ่ง

“ตี๋” ข้าเรียกอย่างสนิทชิดเชื้อ ระหว่างที่อีกคนกล่าวขาช้าๆ เพราะรู้ว่าข้าไม่ได้มีขายาวเหยียดเฉกเช่นอีกฝ่าย พลันกระชับฝ่ามือหนาแน่นมากขึ้น ก่อนที่จะเดินไปที่แผนกประชาสัมพันธ์

ข้าไม่อยากปล่อยมือของเจ้าเลย…

ก่อนจะแหงนหน้ามองอีกฝ่ายที่ทำสีหน้ามีเลศนัย

สงสัยคิดเรื่องอุบาทแหงๆ

“ฝันไปเถอะ” ข้าที่คาดเดารีบเอ่ยออกมาเป็นการขัดจิตใต้สำนึกของคนตรงหน้า

หน้ามึงมีพิรุธมากอีตี๋ ! นี่คิดจะพรากผู้เยาว์ นอกจากวิปริตหื่นกามมีอารมณ์กับสัตว์อีกใช่ไหมฮะ !

“รู้หรอกว่าคิดอะไรอะ ไอ้คนโรคจิต” ข้าด่าอย่างมีน้ำโห ไม่เกินเสี้ยววินาทีก็ปรับอารมณ์ให้เย็นลง

อีกคนก้มหน้ามอตาข้า “ทำไมปากคอเราะรายจัง”

ข้าที่ได้ยินดังนั้นได้แต่หน้าบึ้งชักสีหน้าไม่พอใจใส่คนตัวโต หยุดฝีเท้าทำให้อีกคนต้องหยุดตาม

“รับไม่ได้เหรอ ?”

มันจะทำไม ? มีเมียปากสว่างไม่ดีตรงไหน ! จะได้มีไว้ข่มผัวให้บูชายิ่งกว่าเทพเจ้า

ข้าเชิดหน้าขึ้น จ้องตาเขม็ง

อีกคนโคลงศีรษะรับ “รับได้สิ” ก่อนจะก้าวขาเล็กน้อยทำให้ข้าต้องเดินตาม ขณะที่มือก็ถูกกุมเอาไว้แน่นตลอดเวลา “ขืนรับไม่ได้ก็อดรักกันพอดี

“ชิ” ปากหวานนักนะ ไอ้คนหื่นกาม ข้าเบือนหน้าหนีก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดเสียงเบา “ไอ้คนพรากผู้เยาว์”

“ได้ยินนะ”

อุ้ยตาย ! รู้ตัวด้วย

ข้าที่หน้าแดงก่ำได้แสร้งปกปิดสีหน้าเคอะเขิน เปลี่ยนเป็นเบรกขาและตะโกนดังลั่นเหมือนกับเด็กจอมแสบ “คุณตำรวจจจจจจ !!!”

มาจับหมอนี่ไปทีครับ มันคิดมิดีมิร้ายกับหนู !

ข้าที่หลับตาเมื่อครู แกล้เป็นลืมตามองผู้คนที่หันเหความสนใจมาทางพวกเรา เห็นดังนั้นข้าก็คลี่ยิ้มพอใจ เริ่มแผนการให้อีกฝ่ายละล่ำละลั่ก “ช่วยด้วยโดนลักพาตัว !!” พานสะดีดสะดิ้งเหมือนโศรยาที่ถูกทำมิดีมิร้าย แกล้งทำเป็นจะกระชากมือออกจากฝ่ามือหยาบกร้าน แต่ปลายนิ้วตัวเองก็เกี่ยวข้อนิ้วอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย

เจ้าตี๋ร้องอย่างตกใจ รีบหันไปมองผู้คน และโบกมือที่ว่างอยู่เป็นการประท้วง “ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ”

ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ ! เจ้ามันหื่นกาม ข้าที่รู้จักมักจี่มาอย่างดี มีหรือที่จะไม่รู้ความชั่วช้าเลวทรามของเจ้า !

พอแกล้งจนสาแก่ใจ อีกคนก็ก้มหน้ามามองข้าอย่างดุๆ ขณะที่ข้าแลบลิ้นปลิ้นตาไม่สะทกสะท้าน

“แบร่” สมน้ำหน้าไอ้เจ้าคนบ้า ข้อหาที่ทำให้ข้าต้องเจอเรื่องสัปดนตั้งแต่เป็นลูกสิงโตทะเล

เจ้าตี๋ปล่อยมือข้าเมื่อมาถึงห้องประชาสัมพันธ์ ข้าที่เหลือบเห็นครอบครัวกำลังยืนหน้าซีดก็รีบวิ่งไปหา พลอยรู้สึกผิดเสียเต็มประดา แต่จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าหันมามองตี๋ที่ยืนมองดูจากด้านหลัง

อีกฝ่ายพยักหน้าให้ข้าเล็กน้อย ข้าเลยฮึกเหิมกำลังใจวิ่งรุดไปหาพ่อแม่ทันที

“แม่ ! พ่อ !” ข้าตะโกนเรียก วิ่งมาเกาะแข้งเกาะขาพ่ออย่างออดอ้อน

“ไอ !” แม่ที่ส่งเสียงร้องตกใจรีบโน้มกายมาโอบกอดข้าอย่างแก้วตาดวงใจ รวมไปถึงคุณพ่อที่พูดภาษาญี่ปุ่นดุข้าว่าหายไปไหนมา

“ขอบคุณมากเลยนะคะ” คุณแม่ขอบคุณฝ่ายประชาสัมพันธ์ก่อนจะก้าวขาเดินจูงมือข้าออกจากที่แห่งนี้เพื่อไปดูสัตว์ทะเลต่อ ตามมาด้วยคุณพ่อที่ยืนประกบซ้ายมากกว่าเดิม เกรงกลัวว่าตัาข้าจะทะลึ่งพรวดหายหน้าหายตาไปอีกหน

ข้าถูกพวกท่านจูงมือทั้งสองข้าง ก่อนที่ข้าจะเหลียวหลังหันไปมองคนที่ยังยืนจังงันอยู่กับที่ มองข้าด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ข้าก็ไม่สามารถสรรหาคำอธิบายมาพรรณนาออกมาได้

รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เจ้าตี๋กำลังร้องไห้ ทั้งดีใจที่ได้เจอกัน และคงไม่ต่างจากข้า…

เราไม่อยากแยกจากกันเลย

ข้าระบายยิ้มให้เจ้าตี๋ หวังว่าจะช่วยเยียวยาความคิดถึงคะนึงหามาเนิ่นนานเกือบห้าปีเต็มๆ ก่อนที่ริมฝีปากที่ชอบส่งเสียงเจื้อยแจ้วของข้าจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นมารดา

“แม่”

“คะ ว่าไงลูก ?” แม่ถามขณะย่างเท้า

ข้าที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ได้แต่พูดเสียงสั่น “ไอเจอเขาแล้ว”

“...” สิ้นคำพูดแม่ก็หยุดฝีเท้า ทำให้คุณพ่อต้องหยุดก้าว หันมามองภรรยากับลูกชายอย่างฉงน

คุณแม่โน้มตัวลงต่ำมาเกลี่ยคราบน้ำตาข้าอย่างอ่อนโยน

“ลูกอยากไปหาเขาใช่ไหม ?” แม่ถาม

ข้าน้ำตาไหลพรำพลางพยักหน้าหงึกหงัก

ข้าไม่อยากหายไปจาสายตาของเจ้าตี๋อีกต่อไปแล้ว

“ไออยากอยู่กับเขา ให้ไอได้อยู่กับเขาได้ไหม” ข้าถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทำคุณพ่อต้องเอ่ยปากถามว่าหมายความว่าอย่างไร แต่คุณแม่ก็ยกมือห้ามเอาไว้ก่อน

“ไออยากอยู่กับเขา แม่ก็ให้ได้ แต่ไอยังเป็นลูกของพ่อกับแม่เสมอ แม่ไม่อยากสูญเสียไอไปรู้ไหม” แม่พูดทั้งที่แววตาเปล่งประกาย

ข้าที่ไม่เข้าใจความหมายได้แต่เอียงคอฉงนสงสัย

“ลูกรอคอยเขามาห้าปีแล้ว แต่อย่าลืมนะ ว่าลูกยังเป็นลูกของพ่อแม่เสมอ” แม่บอก

ข้าได้แต่น้ำตาไหลอาบแก้มผ่านปรางขาว ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กงอแง

“ไปเถอะ ไปหาเขา แม่ไม่ใจร้ายให้ลูกไอต้องพลั้งพลาดกับเขาอีกต่อไปแล้ว”

“ฮึก”

“รีบไปสิ เขายืนรออยู่นะคะ” แม่พยักพเยิดไปทางซ้ายมือ ทำให้ข้าต้องพยักหน้ารับอย่างเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะปล่อยมือจากพ่อแม่ หมุนกายหันหลัง และวิ่งต๊อกแต๊กไปหาใครบางคนที่ปล่อยน้ำตาโหร้องอย่างดีใจ โน้มตัวลงต่ำอ้าแขนรอรับ

สวบ ! ข้าโอบกอดคนที่รัก ใบหน้าแนบอิงอยู่ข้างลาดไหล่ของอีกฝ่าย น้ำตาเปียกชุ่มที่อาภรณ์

“อยู่ด้วยกันนะ ไม่อยากห่างกันอีกต่อไปแล้ว” ข้าบอกพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือ ขยี้ใบหน้าถูไถอยู่ข้างบ่าไหล่เฉียงกว้างอย่างออดอ้อน

เจ้าตี๋ที่มีน้ำเสียงสั่นระริกไม่ต่างกัน พยักหน้าขานรับ “ครับผม” ก่อนจะยื่นหน้ามาจูบซับหยาดน้ำตาของข้าอย่างรักใคร่

ข้ายิ้มกว้างอย่างพอใจ ก่อนจะกระตุกแขนเสื้อตี๋และเอี้ยวกายชี้นิ้วไปทางพ่อแม่

“ไปหาพวกท่านกัน”

“ครับ” อีกคนยินดีที่จะทำตามคำสั่ง ลุกขึ้นยืนเดินตามข้าต้อยๆ มาถึงตรงต่อหน้าพ่อแม่ที่คลี่ยิ้มทำความรู้จัก มีเพียงคุณพ่อที่ทำสีหน้าเขม็งคล้ายไม่พอใจ

ข้าเอ่ยปาก “พ่อ แม่” เรียกความสนใจแก่พวกท่านทั้งสอง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คนข้างกายเพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“นี่ตี๋ ว่าที่สามีไอ”

“...” จู่ๆ คุณพ่อที่อ้าปากค้างก็หน้าวูบซวนเซ ทำให้ตี๋ต้องรีบไปประคองในฐานะว่าที่ลูกเขยที่แสนดี

ข้าหัวเราะร่าอย่างตลกร้าย แต่ก็นึกขอโทษขอโพยคุณพ่อที่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาแนะนำอีกฝ่ายดี เพราะยังไงเสียข้าก็รักเจ้าตี๋มาก และข้าก็เต็มใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับอีกฝ่ายนับต่อจากนี้

ข้าเอามือวางลงตรงหน้าอย่างเรียบร้อยเหมือนผ่านการอบรมสั่งสอน พานโค้งคำนับต่อหน้าพ่อและแม่

“ฝากพ่อกับแม่เอ็นดูว่าที่ลูกเขยด้วยนะฮะ”

“ฮ่าๆ ไอ” แม่หัวเราะร่าชอบใจ แตกต่างที่คุณพ่อที่หมดสติแบบจริงจัง จนต้องเรียกคนมาแบกห่ามไปส่งที่ห้องปฐมพยาบาล

“ไอรักตี๋ที่สุดเลย” ประโยคนี้ข้าเอ่ยเสียงดังฟังชัดให้ใครบางคนต้องเก้อเขินจนหน้าแดงปลั่ง

มีเพียงแม่ที่รีบไปดูอาการพ่อ ขณะที่พ่อก็หลับตาพริ้มเหมือนเจอเรื่องช็อกที่สุดในชีวิต

ส่วนเจ้าตี๋นั้น…

เอามืดขัดจมูกอย่างเขินอาย

ข้าหวังว่าต่อจากนี้ ชีวิตข้าจะมีความสุขตลอดไป กับคนที่อยากเคียงคู่อีกร้อยวันพันปี...



END

 
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 15-01-2020 11:16:04
ไอจังกับตี๋ แฮปปี้มาก แม่สิงโตทะเลกับน้องง่วงก็ยังอยู่ดี
แม่ว่านก็สามารถรับเรื่องมหัศจรรย์นี้ได้อย่างเฮฮาร่าเริง  :m20:
สงสารก็แต่คุณพ่อนี่ล่ะ มีลูกชาย 5 ขวบ อยู๋คนก็ขอไปอยู่กะสะมีซะแล้ว :laugh:
สงสารมิรินอีกตัว น่ากลัวจะโดนจับไปโยนทิ้งให้เป็นแมวจรจัดเข้าสักวัน โถถถถ...
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 16-01-2020 09:39:27
แสบมากไม่ว่าจะเป็นตัวเล็ก หรือน้องไอ ไม่รู้จะสงสารคุณตี๋ดีหรือเปล่า เราก็ใช่ย่อยน๊า กำลังจะพรากผู้เยาว์ แถมเต็มใจให้พรากด้วย น่ารัก อ่านรวดเดียว ฮาคนเดียว โอ๊ย...วีรกรรมแต่ละอย่าง สนุก แต่แอบมีน้ำตาตอนตัวเล็กตายนิสนุง  :m20:
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: [€]ŝĊörŦ ที่ 16-01-2020 12:19:11
ตลกมากแม่เอ๊ย .. ไอเดียบรรเจิดเลิศสุด ๆ
กำลังเครียด ๆ อ่านละขำก๊ากเลยจ้า
ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุก ๆ ให้ได้อ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 17-01-2020 23:41:46
โอ้ยยยยย ยัยน้อนนน แสบมากกกก
ไม่ทันไรพา ว่าที่สามีมาแนะนำตัวแล้ว :laugh:

หนูจะรีบมีผัวตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้นะลูก พี่ตี๋ของหนูคงได้ไอคุกๆๆๆก่อนแน่ :laugh:

ฮาคุณแม่ว่าน 5555
คุณแม่น่ารักมาก เปิดใจรับกับเรื่องน่าเหลือเชื่อ รักและเข้าใจน้องไอมากๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: สนุกมากๆค่ะ ขำจนหยุดไม่ได้เลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 26-01-2020 16:35:26
ตลกมาก​อ่านไปขำไปตั้งหลายตอน​ แอบน้ำตาซึมตอนอุ๋งๆตาย
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 03-02-2020 22:34:03
น่ารัก   อยู่ใกล้ตี๋มากระวังโดนจับกินนะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 08-02-2020 08:14:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: jeedjaw ที่ 18-02-2020 19:16:25
สนุกมาก ๆๆๆๆๆ ทั้งหัวเราะ ขำกระจาย ทั้งน้ำตาไหลอาบแก้ม  o13 :sad4: :z1:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: jeedjaw ที่ 18-02-2020 19:17:02
สนุกมาก ๆๆๆๆๆ ทั้งหัวเราะ ขำกระจาย ทั้งน้ำตาไหลอาบแก้ม  o13 :sad4: :z1:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 20-02-2020 21:47:45
ฮามาก เป็นเรื่องที่คลายเครียดได้ดีมาก
สนุกมาก ชอบความอุ๋งๆ เป็นสิงโตทะเลที่น่ารัก
ชอบคุณแม่ของทั้งคู่มาก เข้าข้างลูกๆมาก
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'เจ้าตัวเล็ก (ไอ)' (14/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:57:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'ไอขึ้นชั้นประถม' (ุ3/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 03-06-2020 18:38:14
ตอนพิเศษ : ไอขึ้นชั้นประถม



ข้ากำลังยืนกอดอก จ้องตาเขม็งใส่เด็กน้อยที่ตัวใหญ่ยักษ์ ทั้งยังอ้วนและมีผิวขาว แถมยังมีหน้ามาขู่ข้าผ่านสายตาอีกต่างหาก

ผยองยิ่งนัก !

“ไอจะเป็นหัวหน้าห้อง !” ข้าตะโกนแข็งกร้าว หาได้เกรงกลัวเจ้าเด็กจ้ำม่ำตรงหน้าแม้แต่น้อย

คิดว่าตัวใหญ่แล้วข้าจะกลัวเหรอ !

“ตัวเตี้ยแบบนี้จะมาเป็นหัวหน้าห้องได้ยังไง” น้ำเสียงติดๆ ขัดๆ ของเด็กที่ชื่อ ‘เณร’ เอ่ยออกมา แถมยังใช้สายตามองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะ หัวหน้าห้องไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องเล่นนะคะเด็กๆ ต้องคอยเก็บสมุดการบ้านของเพื่อนเพื่อนำมาให้คุณครูประจำชั้นด้วยนะคะ และก็กล่าวทักทายเวลาคุณครูเข้ามาสอนทุกครั้ง”

ยุ่งยากมาก

“งั้นไอไม่เป็นละ” ว่าแล้วก็หันหลังให้ทันที เดินกลับไปนั่งที่เก้าที่มีกระเป๋าสีแดงคล้องอยู่ ก่อนจะหยิบหนังสือมาวางที่โต๊ะ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าเณรมองมาอย่างฉงน เพราะมัวแต่เถียงกันในทีแรก แต่ข้าก็กลับยินยอมง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดที่ได้ยินจากคุณครู

เด็กๆ ชอบเวลาได้รับคำชม ฝึกการเป็นหัวหน้ามีความรับผิดชอบไปในตัว แต่ข้าหรือจะอยากเป็น เหอะ ! เปลืองแรงเปล่าๆ ไม่ทำหรอกยุ่งยากชะมัด แค่มาเรียนก็เหนื่อยละ ขึ้นชั้นประถมเปิดเทอมวันแรกก็ต้องมาขยันตื่นเช้าอีก น่ารำคาญสิ้นดี

ทำไมพ่อแม่ต้องส่งข้ามาเรียนด้วยนะ ! ชีวิตนี้ข้าจบจากมหาลัยตั้งแต่สมัยไหนแล้ว นี่ยังต้องมาเรียนรู้ขั้นพื้นฐานอีก เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดสิ้นดี

ทำไมพ่อแม่ไม่คิดบ้างว่าลูกชายคนนี้มีผัวเป็นถึงเจ้าของควาเรี่ยม แค่นอนสุขอุราโง่ๆ ไปวันๆ โดยไม่ต้องไปเรียนหนังสือหนังหาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิเพียงใด เงินทองก็หล่นมาทาบทับถึงหัว แถมคนมาส่งที่โรงเรียนก็ดันเป็นเจ้าตี๋ที่เสนอหน้ามาส่งถึงถิ่นฐานตั้งแต่เช้าตรู่

ขยันมารับมาส่งเหลือเกินนะ เดี๋ยวก่อนเถอะ หักลบคะแนนแม่งเลยหนิ ตื่นสายหน่อยก็ไม่ได้

“งั้นต่อไปนี้น้องเณรเป็นหัวหน้าห้องนะคะ ทุกคนตบมือให้หัวหน้าห้องด้วยค่ะ”

แปะๆ เสียงตบมือดังสนั่นในชั้นเรียนประถมหนึ่ง ข้าที่เอามือตีกับกลางฝ่ามือก็กลอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่าย การเรียนการสอนก็ไม่ได้มีไรมากแค่บวกลบก็เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็เป็นวิชาภาษาไทยเจ้าบทเจ้ากลอน วิชาพละปล่อยเด็กวิ่งเล่นออกกำลังกาย และแนะแนว รวมไปถึงการบ้านในแต่ละวิชา แต่ข้าก็ทำมันเสร็จรวดเดียวในชั้นเรียนและยื่นให้คุณครูในแต่ละวิชา

เด็กหัวสมองดี เกรดอันดับหนึ่งคงตกไปไหนไม่รอดจาก ‘เด็กชายอินไอ สง่างาม’

โฮะๆ พูดแล้วอยากเอามือป้องปากหัวเราะขัน นอกเหนือจากรูปร่างหน้าตาดี รวยและขยันตั้งอกตั้งใจเรียน ก็คงมีข้อดีอีกข้อก็คือมีผัวที่ไม่ได้ยืนอยู่ผืนแผ่นดิน แต่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำบาดาลกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยข้าเป็นแอเรียลเด็กน้อยแสนสวยที่เห็นผู้ชายหน่อยก็อยากมีต้นขาผุดผาด จนได้เจ้าชายหล่อเหลาเอาการมาเป็นว่าที่สวามี แรดตั้งแต่วัยเด็กไม่พ้นวัยกำหนัด

ก็แค่เปรียบเปรยน่ะ เพราะว่าสวยมากก็เลยได้ผัวดีเด่น

และตอนนี้ก็ถึงเวลาพักเที่ยงแล้วด้วย ส่วนตัวเองก็มาเดินต้วมเตี้ยมควักเงินจากกระเป๋ากางเกง หยิบแบงค์ร้อยยื่นให้แม่ค้า

“เอาแกงเขียวหวานกับไข่ต้มฮะ” ข้าบอก จากนั้นก็รอแม่ค้าตักข้าวใส่จาน หลังจากนั้นก็รับเงินทอนมาแต่ข้าก็ยืนนิ่งงันเพื่อนับเงิน “ไม่ครบ” ข้าบอกแม่ค้าก่อนจะยื่นให้ดูเป็นหลักฐาน

ขาดไปยี่สิบบาท ขยันโกงเด็กเหรอ เดี๋ยวจะฟ้องฝ่ายปกครองเลยคอยดู !!

“อุ้ย โทษทีนะจ๊ะสงสัยป้าจะตาเบลอ”

“เบลอก็ไปนอน” ข้าตอบกลับเสียงใสแจ๋ว หลังจากนั้นก็หยิบเงินที่ทอนมาจนครบ มิวายจิกตามองอีกฝ่ายอย่างวาวโรจน์ ก่อนจะเดินออกจากแถวพร้อมกับถาดข้าวที่ถืออยู่ในมือเล็กๆ ย่างเท้ามานั่งโต๊ะมุมหนึ่งที่มีเด็กตัวขาวนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ ข้าที่ยืนค้ำหัวต่อหน้าอีกฝ่ายก็วางถาดลงตรงหน้า ชั่วอึดใจก็แทรกกายเข้าไปนั่ง หรี่ตามองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในห้องเดียวกัน

ข้าจดจำได้แม่นนะ เรื่องจำคนนี่ยกให้เป็นที่หนึ่งเลย แถมเด็กคนนี้ก็มีท่าทางตุ๊งติ๊งด้วย อีกฝ่ายช้อนตามองข้าที่มองอย่างหยิ่งผยอง จากนั้นเจ้าตัวก็หลุบสายตาลงต่ำอย่างเกรงกลัว

“เป็นเหรอ ?” ข้าถามก่อนจะหยิบช้อนส้อมมาถืออยู่ในมือ จิ้มที่ไข่ต้มและแบ่งเป็นครึ่งๆ

“ฮะ ?” อีกฝ่ายร้องเสียงหลงอย่างแปลกใจ

ข้าพินิจอีกฝ่าย สำรวจโครงหน้าหวานที่โตขึ้นไปคงจะดูดีไร้ที่ติ เลยพูดหยอกล้ออีกฝ่าย “อยากเป็นผู้หญิงเหรอ ?”

“...” ไร้การตอบกลับ

ข้าที่จ้องตาอีกฝ่ายที่ไม่กล้าสบสายตาเลยพอจะเดาออก เพียงไม่ช้าก็พลิกลิ้นเปลี่ยนเรื่องชวนคุย

“เราชื่อไอนะ เธอล่ะชื่อไร ?” ข้าพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ หนำซ้ำยังให้เกียรติคนตรงหน้าด้วย

“ตะ ตังค์” เด็กตัวน้อยเอ่ยปากเสียงสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ พวงแก้มก็แดงระเรื่อ

ข้าทำตาโต เอามือมากุมอกแน่น พลางบิดตัวไปด้านข้างเหมือนหวาดระแวง ปริปากบอกเด็กน้อยตรงหน้า “อะไรกัน เพิ่งเจอกันครั้งเดียวก็ขอตังค์ละ มารยาท”

“มะ ไม่ใช่ เราหมายถึงเราชื่อตังค์” อีกคนรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาโบกไปมา

“อ๋อ ตกใจหมด” ข้าว่าพลางถอดถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยปากชักชวนอีกฝ่ายให้ไปซื้อน้ำเป็นเพื่อน “งั้นเราเป็นเพื่อนกันนะ แต่ตอนนี้ตังค์ไปซื้อน้ำเป็นเพื่อนไอหน่อยสิ” พูดจบก็ลุกขึ้นทันที ไม่รออีกฝ่ายตอบคำถาม พร้อมพยักพเยิดเป็นการส่งซิกว่าให้รีบลุกไวๆ

“อะ โอเค” ตังค์รีบลุกจากเก้าอี้ตัวยาว แล้วรีบวิ่งตามไล่หลังข้าที่ไม่รีรอเลยแม้แต่นิด จนกระทั่งเรามาหยุดที่ร้านขายน้ำ ข้าก็หันไปมองตังค์ “เอาอะไร เราเลี้ยงน้ำให้”

“ดะ ได้ไง เรามีเงินนะ ไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่ต้องห่วง ไอรวยมาก เลือกน้ำเถอะ” ข้าพูดพร้อมกับหยิบแบงค์ร้อยสองสามใบมาให้ดู เป็นตังค์ที่เจ้าตี๋ให้มาทั้งนั้น

ตังค์เมื่อเห็นดังนั้นก็ยอมทำตัวว่าง่าย ก่อนจะตะโกนบอกแม่ค้าด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ชวนน่าฟัง ส่วนข้าก็เลือกน้ำเขียว ระหว่างรอก็มีรุ่นพี่ชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าเดินมาทางพวกเรา

“นี่ไงน้องไอ น่ารักมากเลยเนอะ” ผู้หญิงที่หน้าตาหมวยๆ เอ่ยบอก

“รู้จักไอด้วยเหรอ ?” ข้าถาม

“รู้จักสิ เราน่ารักที่สุดในชั้นเลย พี่เคยเล่นกับหนูบ่อยๆ จำไม่ได้เหรอคะ ที่ให้ขนมน่ะ” อีกฝ่ายกล่าว

ข้ากลอกตานึกคิด พยายามหวนนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องส่ายหน้าตอบปัดไปว่า “จำไม่ได้อะ ขอโทษนะครับ” ทุกวันนี้ก็มีคนเข้าหาข้าตลอดเวลา รุ่นพี่ก็ต่างเอ็นดูกันหมด ข้าไม่มีเวลาจดจำตัวประกอบทั่วไปหรอกนะ

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรจ้ะ” อีกฝ่ายหัวเราะขำ ท่าทางดูเอ็นดูข้าเสียเต็มประดา แตกต่างจากผู้หญิงอีกคนที่ย่อเข่ามาจ้องหน้าข้า ก่อนจะระบายยิ้มชี้นิ้วมาที่ตนเอง

“พี่สวยไหม ?”

“...” ข้าเงียบ สำรวจใบหน้าอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

กล้าดียังไงมาถามว่าสวยไหม โอ้โห หลงตัวเองสิ้นดี ที่แท้ก็อยากให้เด็กชมว่างั้นเถอะ

จำได้ว่ายัยคนนี้เคยมีเรื่องตบตีกับชั้นอื่นๆ นะถ้าจำไม่ผิด

“ไม่” ข้าตอบ “เหมือนหมา” ก่อนจะยู่ปากมองอีกฝ่ายอย่างรังเกียจ จนคนตรงหน้าเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ ขยับริมฝีปากจะด่าคำบางคำ แต่ข้าที่ปากไวกว่าก็รีบแทรกกลางคัน “อืม แต่มองดีๆ ก็เหมือนคนรับใช้ที่บ้านนะ”

“อีเด็กเปรต”

“คุณครูคร๊าบ ! ~” ข้ารีบตะโกนเรียกอาจารย์คนหนึ่งที่กำลังเดินสวนผ่านทันที พร้อมปั้นหน้ายิ้มสดใสเหมือนเด็กอ่อนต่อโลก จนกระทั่งคุณครูย่อเข่าแล้วเอ่ยปากร้องทัก

“หืม ว่าไงคะ ?”

“อีเด็กเปรต ! แปลว่าไรเหรอฮะ ?” ข้าย้ำประโยคแรกเสียงดังฟังชัด ตามท้ายด้วยประโยคหลังน้ำเสียงอ่อน เล่นเอาใครบางคนหน้าซีดเผือด ไม่แม้กระทั่งคุณครูเอง

“ไปฟังมาจากไหนมาคะ ?”

“พี่คนนี้ฮะ” ข้ารีบชี้นิ้วไปที่ผู้หญิงข้างกายคุณครูทันที จนครูต้องหันไปมองด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะจับแขนอีกฝ่ายพร้อมกับบอกในสิ่งที่ข้าต้องลอบคลี่ยิ้มดีใจ

“ไปคุยที่ห้องฝ่ายปกครองด้วยจ้ะ”

ข้าก้าวเท้าไปหาคุณครู ขยับชายเสื้อและมองตาแป๋ว

ประเดี๋ยวสิ “สรุปอีเด็กเปรตแปลว่าไรเหรอฮะ ?” ยังมิวายถามซ้ำอีกหน จนคุณครูที่ยิ้มเจื่อนต้องอธิบายว่า

“มันเป็นคำไม่สุภาพจ้ะ อย่าเอาไปใช้นะคะ”

“อ๋อออ” ข้าลากเสียงยาวพยักหน้าทำความเข้าใจ ก่อนจะยกมือโบกมือลาคุณครู “งั้นผมกับเพื่อนไปทานข้าวก่อนนะฮะ ขอบคุณมากเลยฮะ” พร้อมกับก้มหัวให้อย่างมีสัมมาคารวะ

ตังค์ที่แอบอยู่ด้านหลังได้แต่ทำตัวลีบเข้าไว้ กระทั่งข้าจูงมืออีกฝ่ายกลับไปนั่งทานข้าวต่อ

“ไอไม่กลัวรุ่นพี่มาแกล้งเหรอ ?” ตังค์ที่นั่งจิ้มข้าวเล่นอยู่นานเอ่ยปากถามอย่างหวาดระแวง

ข้ายักไหล่ไม่สะทกสะท้าน ระบายยิ้มกว้างนึกสนุก “ก็ลองมาแกล้งดูสิ” จะเอาให้หน้าหงายเลยคอยดู

เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ หลังจากที่นั่งทานข้าวและคุยเล่นกันเพลิน การได้รู้จักกับตังค์ก็ดีอยู่อย่าง ข้าจะได้มีข้ารับใช้เพิ่มคอยเดินต้วมเตี้ยมตามท้าย

 เอ๊ะ ? อย่ามาครหาข้าว่านิสัยไม่ดีสิ นี่ถือว่าข้าให้เกียรติอีกฝ่ายมากเลยนะที่ยอมคบค้าสมาคม ไหนจะเรียกตังค์ว่าเธอเหมือนผู้หญิงตัวเล็กๆ อีก ทั้งยังมีเจตนาจะปอปั้นเด็กคนนี้ให้สวยสง่า เพียงแต่ตอนนี้ให้เป็นขี้ข้าคอยรับใช้ไปก่อนก็แล้วกัน

“ตังค์เก็บสมุดให้เราหน่อย” ข้าบอก

“อื้อ” อีกฝ่ายยอมทำตามแต่โดยดี แถมที่นั่งเราก็แลกกับเพื่อนในชั้นเพื่อมาอยู่ข้างกัน

“ตังค์ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อย” ข้าร้องทักในวิชาคาบถัดมา

“อ่าเช” ตังค์ยิ้มแก้มปริ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือข้าที่แบรอรับไว้ตั้งแต่แรก

ข้ายกมืออีกข้างขึ้นสูงเพื่อกล่าวกับคุณครู “ครูฮะ พวกเราขอไปห้องน้ำฮะ”

“อ๋อ ได้เลยจ้ะนักเรียน” คุณครูแย้มยิ้มเป็นมิตร ข้าเห็นแล้วลิงโลดจูงมือตังค์ตามไปด้วย พอมาถึงก็ให้ตังค์เข้าห้องน้ำก่อน แถมสุขาชายยังมีโถฉี่อีกต่างหาก ข้าเห็นรุ่นพี่ประถมหกยืนเยี่ยวอยู่ ตัวข้าเองก็เดินไปฉี่บ้าง พลางรูดซิปอย่างอิดออด

“โอ๊ะ ยืนฉี่เป็นด้วยเหรอ ?” เสียงจากเด็กผู้ชายแย้มยิ้มหันมามองข้า

“ไม่ได้เป็นง่อยนะฮะ” ข้าบอก

“ง่อยแปลว่าไร” รุ่นพี่ประถมศึกษาปีที่หกซึ่งไม่รู้ความหมายที่ว่ากลับทำหน้าฉงนสงสัย

ข้ายิ้มแก้มบานให้อีกฝ่าย ทำธุระเสร็จก็ค่อยๆ รูดซิปกางเกงขึ้น “พี่ลองบอกว่าครูเป็นง่อยดูสิฮะ” จากนั้นข้าก็เหลียวกายหันหลังเดินมารอตังค์ที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ จูงมือกันไปล้างน้ำฟอกสบู่ให้สะอาดหมดจด

โรงเรียนนี้ก็ถือว่ามีชื่อเสียง สุขอนามัยก็ดีไปหมด ข้าที่ตั้งใจเรียนเห็นตังค์ทำการบ้านไม่เป็นก็อดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือ หวังให้เด็กน้อยโตไปฉลาดเฉลียว

“ไอเก่งจัง” ตังค์ชมเปาะ

“ไอรู้ดี” ข้าพยักหน้ารับ โชว์นิ้วให้ตังค์ดูและนับเลขว่าสิบหกบวกสี่เป็นเท่าไร

กว่าจะจบคาบแต่ละชั่วโมงก็ดูเหมือนจะนาน แต่ส่วนใหญ่คุณครูก็ค่อยๆ สอนเด็กๆ อย่างใจเย็น เรียนจนจบถึงสามโมงครึ่งก็มีเสียงออดเตรียมตัวกลับบ้าน เด็กนักเรียนทุกคนต่างทยอยเก็บกระเป๋าดินสอและสมุดการบ้านใส่กระเป๋า แต่ทว่าข้ากับตังค์นั้นกลับทำมันจนเสร็จ ฉะนั้นเลยไม่ต้องแบกสมุดเพิ่มให้เหนื่อยอีก ต่อมาเราก็ลงมารอที่โรงอาหาร โดยมีคุณครูคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา

“ไอมีพ่อแม่มารับเหรอ ?” ตังค์ส่งเสียงไม่เป็นคำอย่างน่าเอ็นดู ทำข้าเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มเบาๆ

“ไอมีคนรับใช้มารับ” ข้ากล่าวเสียงสดใส

“คนรับใช้ ?” ตังค์เอียงคออย่างงงงวย ท่าทางน่ามันเขี้ยวสิ้นดี

ดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมาย ข้าเลยอธิบายเพิ่มเติม “ขี้ข้าน่ะ”

“ไอ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาแต่ไกล แถมยังหน้าตาเบิกบานมายืนค้ำหัว

ข้ารีบดีดตัวลุกออกจากที่นั่ง หันไปโบกมือบ๊ายบายตังค์ ก่อนจะถูกอุ้มให้นั่งเกยอยู่บนเรียวแขนแกร่ง

“ขี้ข้าไอมาแล้ว บ๊ายบายน๊า เจอกันพรุ่งนี้นะตังค์” ข้าฉีกยิ้มกว้าง ทำปากจู๋และส่งจุ๊บให้เพื่อนคนใหม่

“...” ตี๋นิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน จนข้าต้องเอามือลูบปลายคางอีกฝ่ายให้ตั้งสติ

“เร็วสิอีขี้ข้า”

“ปากร้ายนะไอ เดี๋ยวเถอะ” อีกคนดุ

“คิกๆ” ข้าเอามือมาปกปิดริมฝีปากหัวเราะชอบอกชอบใจ ไม่ต้องเสียแรงในการเดิน แค่ยกมือไหว้คุณครูและขึ้นรถเตรียมเดินทางกลับ เจ้าตี๋ที่สวมเข็มขัดนิรภัยให้ข้าก็เอ่ยออกมาว่า

“วันนี้ไปกินไอศกรีมไหม ?”

“ไปๆ” ข้ารีบขานรับในทันที พลางผงกหัวรับอย่างรุนแรง เจ้าตี๋เห็นแล้วคงนึกเอ็นดูจึงอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มข้าดังฟอดใหญ่

“กูจะแจ้งตำรวจ” ข้าชี้นิ้วคาดโทษ

“ไอ คำหยาบ” เป็นครั้งที่สองของวันนี้ที่เจ้าตี๋ต้องคอยปรามข้าที่พูดจาไม่สุภาพ

“ก็ตี๋หอมแก้มไอทำไมอะ ไอเป็นเด็กนะ จะมาล่วงละเมิดแบบนี้ได้ยังไง” ข้ากอดตัวเองอย่างหวงแหน สะบัดสะบิ้งไปมา “ไอก็เป็นเด็กตัวแค่นี้ ไอยังมีพ่อมีแม่นะ อีกอย่างไอไม่อยากได้แฟนคิดอกุศลกับเด็กหรอกนะ จิตวิปริตมักมากสนับสนุนแนวเปโด โทษถึงขั้นประหารได้เลยนะตี๋ สังคมจะประณามหยามเหยียดตี๋แน่ๆ” ข้ามองตาแป๋ว เอานิ้วชี้จิ้มริมฝีปากที่พึมพำไม่หยุด พานพยักหัวไปมากับคำที่ว่า “ประหารเจ็ดชั่วโคตรก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย”

“ตี๋เคยคิดแบบนั้นทีไหนล่ะ” อีกฝ่ายท้วงกลับ

อ๋อ เดี๋ยวนี้มึงกล้าเถียงว่าที่ภรรยาเหรออีตี๋ ได้สิ ได้

“ไม่เกินสิบห้าสิบหกตี๋ก็ต้องพรากผู้เยาว์ไอแน่ๆ เพราะตอนนั้นไอก็คงเป็นเด็กหน้าตาดีมีคนจีบไม่น้อยหน้า” ข้ายังคงส่งเสียวเจี้ยวจ้าวในรถไม่หยุดปาก จนตี๋ต้องดีดนิ้วมาที่หน้าผากของข้าเบาๆ

“เจ็บนะ !” ข้าร้องโวยวาย

“เรานั่นแหละทำไมทำตัวแก่แดดแบบนี้” อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น “อายุแค่นี้พูดเรื่องลามกซะละ”

“นับรวมกับอายุในอดีตก็ยี่สิบกว่าๆ แล้วปะ” ข้าเถียงคำไม่ตกฟาก

“แต่ปัจจุบันก็ไม่สมควรไหมครับ” ตี๋เอ็ดใหญ่จนข้านั่งง่อย พานกอดอกทำท่าปั้นปึ่งหันหน้าหนีไม่ยอมพูดด้วย

“ตัวเล็ก อย่าเงียบสิ ดีกัน” ตี๋ออดอ้อนขอคืนดีในนาทีถัดมา ต่างจากข้าที่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดด้วย

“ตัวเล็กคร๊าบ ตอบตี๋หน่อยสิ”

“...” ไม่ ไปคุยกับแมวมึงสิ

“ตัวเล็กไม่งอนสิครับ นี่ง้อแล้วนะ”

“ก็ไม่เคยร้องขอ” ครั้งนี้ข้ายอมปริปาก

“ไม่เอาไม่โกรธสิ ก็ตัวเล็กอะทำผิดนี่นา พูดจาไม่สุภาพด้วย ถ้ายอมงดคำหยาบเพื่อตี๋ทำได้ไหม” ตี๋ส่งเสียงกระเง้ากระงอด

“ไม่ ปกติข้าก็สุภาพอยู่แล้ว” ข้าตอบปัดอย่างไม่ไยดี

“แล้วกับตี๋ล่ะ” เจ้าตี๋ถามกลับ

ข้าหันมามองหน้าคนขับทันใด ถลึงตาพลางเบะปากเป็นสระอิก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “นั่นคือข้อยกเว้น”

กว่าจะถึงห้าง ข้าก็เดินต้วมเตี้ยมนำหน้าร่างสูงเสียแล้ว ขณะที่อีกคนก็วิ่งตามไล่หลังเหมือนพี่เลี้ยงเด็ก สาวน้อยสาวใหญ่มองตากันเป็นมัน ข้าสำรวจมองรอบตัวพลันชะงักฝีเท้าตรงหน้าบันไดลิฟต์ เมื่อตี๋มาถึงก็รีบอุ้มขาพาดลำแขนแกร่ง ข้าจึงได้ใจเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างมีจริตจะก้าน ผนวกยิ้มร้ายให้พวกผู้หญิงที่จับจ้องคนหล่อ

พวกหล่อนทำได้แค่มอง ไม่มีทางได้ครอบครองหรอกย่ะ !

“แบร่” แลบลิ้นให้ด้วย พอเห็นพวกนั้นชักสีหน้าไม่ชอบใจข้าก็สนุกเข้าไปใหญ่ เบะปากและไหวไหล่อย่างขบขัน

“เป็นไรเหรอตัวเล็ก”

“เป็นเมีย” ข้าตอบคำถาม

“เดี๋ยวเถอะ อยู่ในที่สาธารณะนะ อย่าพูดแบบนี้” ตี๋ดุตลอด ทำเอาข้าเบะปากงอแง

มีผัวเหมือนมีหมา กัดเก่งตลอด

ยามนี้ข้าได้แต่เขย่งฝีเท้าหวังจะโชกหน้าดูตรงเคาท์เตอร์  พยายามดึงชายเสื้อคนตัวโตก็แล้ว แต่ก็กลับไม่คิดจะใส่ใจข้า มัวแต่คุยกับผู้หญิงพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้าเด็กเข้าฟรีค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยปาก

ข้ากอดอกอย่างภาคภูมิ “มันก็แหงอยู่แล้ว” ส่วนสูงข้าแค่นี้เอง จะเข้าไปดูหนังไม่เสียเงินก็ไม่แปลก

“ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง ตัวเล็กอยากไปหาไรทานก่อนไหม” ตี๋ถาม ผินสายตาลงต่ำมามองข้าที่เดินดุ๊กดิ๊กขนาบข้างกาย

“อยากร้องคาราโอเกะ” ข้าช้อนตามองชายหนุ่ม พลันคลี่ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวๆ

และในที่สุดข้าก็ได้ทำสมใจอยาก ! เจ้าตี๋พาข้ามาที่โซนของเล่นเด็ก มีทั้งตู้คาราโอเกะให้ร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยสากลหรือเกาหลี แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าเลือกคงไม่พ้น…

“ออตอน ซอลเรมโด ออตอ เนมิโด oh oh oh” ร้องไปก็เต้นไปด้วย สายตาก็จ้องมองไปที่ตี๋ที่คอยตบมือแปะๆ ให้ตลอดเวลา “เนเกน มีฮันฮาจีมัน , I’m not sorry oh oh oh” ผลักมือไปด้านหน้า “โอนีลบูทอ นัน นัน นัน”

เพลงมาค่ะแม่ !! เอามือแตะไหล่เร็วววว “บีซี นานึน ซลโร” เลิศค๊า “ดือ ดึ้ดๆ ดือ ดือ ดึ้ดๆ ดือ” นิ้วชี้แตะหน้าผาก สะบัดไปข้างหน้าค่ะ สองครั้ง ต่อด้วยท่าปัดแมลงวันไปทางซ้ายและขวา

“สุดยอดดดด เก่งมากเลยไอ”

“คัมซาฮัมนีดา” ก้มหัวเป็นการขอบคุณรอบทิศทาง โดยเฉพาะทางประตูที่เปิดแง้มไว้อย่างมีเจตนา

คนอย่างข้านั้นมันแผนสูง จะให้มาร้องเพลงให้ผู้ชายคนเดียวฟังมันก็ธรรมดาจนเกินไป ความสามารถแบบนี้ต้องทำให้ประชาชนได้รับรู้ !

เอาเลย ถ่ายข้าอีก อัดวิดีโอแล้วใช่ไหม ? ดีมาก แบบนั้นแหละ แชร์กันเข้าไปเยอะๆ เอาให้ต้นสังกัดวายจีเลือกข้าเข้าไปเดบิวต์ด้วยเลยก็ยิ่งดี จากนั้นข้าจะหาแฟนใหม่ สลัดอีตี๋ทิ้งเหมือนกับเศษขยะ

ข้าล้อเล่นน่ะ แหะๆ

ร้องจนหนำใจก็ถึงเวลาหนังเข้าฉาย ข้าก็มานั่งสงบเสงี่ยมเหมือนเด็กได้รับการอบรมสั่งสอน พอเพลงขึ้นข้าก็นั่งนิ่งค้างอยู่อย่างงั้น พอเจ้าตี๋จะจับลุกก็ดิ้นใหญ่ เอาแต่ใจเสียจนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจ

ดูไปมาก็ชักจะงัวเงีย สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปจนได้ ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่เจ้าตี๋มาสะกิด เราสองคนเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ โดยคนหนึ่งยิ้มมีความสุข ขณะที่อีกคนก็งัวเงียเดินตัวเซ

“อยากไปไหนต่อไหม ?”

พอได้ยินคำนั้นข้าก็รีบเบิกตาโตทันที กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อตั้งสติ ตบแก้มเบาๆ และหันไปเงยหน้ามองว่าที่สามีในอนาคต “อยากได้เครื่องเกมล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายอะ” ข้ายิ้มกว้าง เริ่มดี๊ด๊าและเข้าไปเขย่าขาอีกคนอย่างออดอ้อน

“น๊าตี๋น๊า ไออยากได้มั่กๆ เยย ไอสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี โตไปไอก็จะตั้งใจเป็นแม่ศรีเรือน ปรนนิบัติตี๋ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ มีลูกสักสิบคนก็ยังได้” กล่าวจบข้าก็หยีฟันขาว ตาวาวเป็นประกาย ทำเอาตี๋คิ้วกระตุก

“เลิกพูดแบบนี้ได้ไหมไอ เดี๋ยวตี๋โดนตำรวจจับพอดี” ตี๋เตือน

ข้าทำปากหมุบหมิบ เปลี่ยนท่าทางเป็นบิดตัวไปมา มือกำกางเกงนักเรียนโดยพลัน “มันมีอะไรน่ากลัว หากจิตใจคนเรานั้นหยาบช้า”

“...”

“ตี๋ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ต่อให้ตี๋ไม่ได้รับการลงโทษทางกฎหมาย แต่ถ้าตี๋ตายไปเดี๋ยวก็โดนยมบาลจับโยนลงกะทะทองแดง” ข้าอมยิ้มมองตาแป๋ว ค่อยๆ ยื่นมือไปสัมผัสที่เรียวขาของคนตรงหน้า พอฝ่ามือแตะต้องกางเกงเท่านั้นแหละ “โอ๊ย ร้อน”ข้า รีบสะบิดมือเป็นพัลวัน

“สงสัยน้ำในนรกจะเดือดจัด” หันมาหรี่ตามองอีกคนด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เจ้าตี๋ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่ริมฝีปากนั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวก่อนเถอะ”

“ทำไม จะแล้วไหม !?” ข้าเท้าสะเอวทันควัน “ก็ถามว่าจะแล้วไหม !?” จะยอมซื้อดีๆ หรือจะอยากเสียน้ำตา

“พูดแล้วนะว่าจะเป็นเด็กดี”
หัวข้อ: Re: #เกิดเป็นสิงโตทะเล - ตอนพิเศษ 'ไอขึ้นชั้นประถม' (3/06/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lookpatty15407 ที่ 03-06-2020 18:39:20
“คนอะไรมีแฟนน่ารักที่สุด ~” ข้าโยกตัวไปทางซ้านและขวา เขย่งเท้าหดตัวขึ้นลงไปพลาง “ไอเองๆ ~”

“คนอะไรโง่เง่าที่สุด” ข้าหมุนตัวติ้วๆ มีความสุขเหลือหลาย ก่อนจะหยุดชะงักและชี้นิ้ว พลันโยกตัวไปที่คนตรงหน้า “ตี๋ไงๆ ~”

“แล้วคนไหนเอ่ยบอกว่าจะเป็นเด็กดี ~” เจ้าตี้ร้องเพลงบ้าง ยิ้มตาหยีส่งมาให้ข้า

แต่ข้ากลับหยุดนิ่ง ตาปรือมองอย่างเย็นชา รวมไปถึงน้ำเสียงเหมือนสูญเสียพลังงาน “ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ่าว ไหงงั้น” ตี๋ลืมตามองด้วยสีหน้าดุๆ

“ไอไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะเป็นเด็กดีทุกวัน ไอยอมทำแค่วันนี้วันเดียว” ข้ายักไหล เอาเปรียบคนที่ซื้อเครื่องเกมให้เป็นที่เรียบร้อย จนเจ้าตัวหันหลังเดินไปที่ร้านเท่านั้นแหละ ข้าก็รีบเบรกทันที “ตี๋อะ ไอก็ข้าล้อเล่นเองงงง” รีบวิ่งต๊อกแต๊กมาขวางหน้าคนรักอย่างไว

แหม แหย่นิดแหย่หน่อยไม่ได้เลยนะ ผู้ชายอะไรขี้งอนชะมัด

“ถ้าเล่นลิ้นกับตี๋แล้วละก็...โดนดีแน่” ตี๋ทำหน้าตาขึงขัง เม้มปากแน่นดูกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง

“เล่นลิ้นแบบไหนอะ จูบน่ะเหรอ ว้ายคนลามก ฮึก” ข้ารีบถอยออกห่าง มองเหยียดอีกฝ่ายเหมือนสิ่งปฎิกูล ทำเอาตี๋หลุดหัวเราะ ย่างกรายเข้ามาใกล้และเอามือแตะลงที่หลังกระหม่อมเบาๆ

เราสองคนเดินมาที่สุขา เพราะตี๋อยากจะทำธุระส่วนตัวซะก่อน ส่วนข้าก็ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ คอยดูถุงข้าวของที่วางไว้กับพื้น

กลับบ้านไปก็จะได้เล่นเกมหนำใจแล้ว มีแต่เกมสนุกๆ ทั้งนั้นเลย แต่ก็ต้องแลกกับเชื่อฟังคำสั่งสอนของตี๋อีก หากเป็นเด็กดีจะร้องขออยากได้อะไร อีกฝ่ายก็พร้อมจะประเคนมาให้

“เฮ้อ” ถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อย เอ่ยประโยคหลังถัดมาลอยๆ ระหว่างเงยหน้าขึ้นมองเพดาน “ไม่น่าเกิดมาหน้าตาดีเลยเรา”

คิดแล้วก็รู้สึกท้อ เศร้าใจที่หน้าตาดีกว่าชาวบ้านเขา ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญแล้วเดินไปที่เครื่องชั่งน้ำหนัก ยื่นแขนขึ้นและหยอดเหรียญลงไป สายตาก็คอยเหลียวมองไปที่ข้าวของด้วย จนเห็นตี๋ออกมาเลยโบกมือเรียกว่าอยู่ตรงนี้

อีกคนยิ้มรับและผินสายตาไปที่ข้าวของ ก้มลงหยิบก็เดินมาหาข้า

“ตัวหนักขึ้นนะเนี่ย” ตี๋มองตัวเลขก็หันมาพูดจาหยอกล้อ

“นั่นปากเหรอ ?” ข้าถาม

“จะจูบเหรอ” อีกฝ่ายกวนกลับ

“เปล่า ไอจะได้ซื้อตะกร้อมาครอบปาก”

“...”


“น้องไอ กรี๊ดๆ ไม่คิดว่าวันนี้จะมา พี่คิดถึงเราจังเลย” เด็กที่ชื่อทับทิมตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว ขึ้นชั้นมัธยมหน้าตาก็สะสวย พอเห็นข้าเข้ามาในบ้านก็รีบโผเข้ากอดอย่างไว

โอ๊ยให้ตายเถอะ กอดแน่นไปไหมยัยคนนี้ “พะ พี่ทับทิมไอหายใจไม่ออก แอ๊ก !” เหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกหักดังกร็อบ

“โทษทีๆ แง วันนี้ไอน่ารักเหมือนเคยเลย” กล่าวแล้วก็ยังบีบแก้มทั้งสองข้างอีก

“วันนี้เป็นไงบ้างจ๊ะ พี่ตี๋พาเราไปไหนเอ่ย”

“อ๊ะ คุณแม่” ข้ายิ้มอย่างมีความสุข รีบผละจากอ้อมกอดของหนูทับทิมเพื่อไปกอดแม่ของเจ้าตี๋แทน

ฮือ คุณแม่ยังสวยเช่นเคย สวยเหมือนข้าไม่มีผิด

“ทีกับแม่พี่อ้อนใหญ่เลยนะ” ตี๋ทำน้ำเสียงเง้างอน ข้าเลยต้องหันไปทำแก้มป่องใส่

เวลาอยู่กับครอบครัวอีกฝ่าย ทั้งข้าและตี๋มักจะแสดงท่าทีความสัมพันธ์ต่างกันไป ให้ความรู้สึกเหมือนพี่น้องที่เอ็นดูกันมากกว่า แม้ความจริงเราทั้งคู่จะรักกันในเชิงชู้สาว แต่เรื่องนี้ก็เป็นความลับที่ไม่ควรผลีผลาม หากขืนบอกให้พ่อแม่ตี๋ได้รับรู้ อีกฝ่ายคงโดนตำหนิแหงๆ กว่าจะได้คบกันอย่างเปิดเผยก็ตอนที่ข้าอายุสิบแปดปีบริบูรณ์ เป็นความลับที่ต้องหลบซ่อนกันไปก่อน ทั้งครอบครัวข้าและเจ้าตี๋ก็เลยเห็นพ้องต้องกัน รอคอยเวลาที่เหมาะสม และอยู่ในครรลองของผู้หลักผู้ใหญ่

มันก็แอบมีบ้าง แต่แค่จุ๊บกันปกติ ไม่เคยทำอะไรเกินงามสักนิด

ตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าตาน่ารักสมควรแก่การทะนุถนอมและการปกปักรักษา จะมาแตะต้องข้าสร้างความโสมมก็ดูไม่คู่ควรกับใบหน้าที่พริ้มเพราเช่นนี้

ชีวิตข้าก็ไม่มีอะไรมากหลังจากได้เป็นมนุษย์ ประกาศแรกคือได้ไปคอนเสิร์ตแบล็กพิ้งก์ ประการที่สองมีผัวหล่อและรวย อ๋อแต่ลืมไปว่ามีอยู่แล้ว งั้นไม่นับละกันเนอะ ประการที่สามได้เป็นนักร้องหรือไม่ก็ผันตัวไปเป็นนักแสดงไปเลย แต่จะเป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ สี่หรือห้าแล้วแต่อารมณ์ เพราะเดี๋ยวอยากได้ไรก็แค่เอ่ยปากบอกก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ

อิจฉาเหรอ ?

โทษนะ ก็พวกหล่อนไม่สวยพอ

“รู้ไหมว่าวันก่อนพี่เห็นพี่ตี๋คุยกับผู้หญิงด้วยนะ”

ชะงัก “ใครเหรอฮะ ?” ข้าเสแสร้งเผยอปากเป็นรูปตัวโอ เบิ่งตาน้อยๆ เหมือนตื่นตาตื่นใจ แต่ในใจนี่มีไฟสุมอก

มันกล้าลองดีอย่างงั้นเหรอ !!

“วันนั้นเราไปซื้อเค้กกันน่ะ แล้วก็มีพี่ผู้หญิงหุ่นเหมือนนางแบบเข้ามาขอเบอร์พี่ตี๋ ดูเหมือนจะแอบคุยๆ กันอยู่นะ”

“ว้าวดีจังเลย” ข้าตบมือแปะๆ

มึงตายแน่อีตี๋ !

“ไปกันใหญ่แล้ว พี่แอบคุยที่ไหนกัน” ตี๋หัวเราะเจื่อนๆ ใบหน้าหล่อเหลาชำเลืองมองข้าที่ยิ้มแสยะ

“หรือไม่จริง พี่คนนั้นก็ออกจะสวย เซ้าซี้จนทับทิบต้องยอมให้เบอร์แทน”

“เอ๋ ทำไมทำแบบนั้นล่ะ ?” ข้าถาม พยายามใจเย็นเข้าไว้

ทับทิมตอบกลับ “ก็วันนั้นพี่ตี๋บอกว่ามีแฟนแล้วไง ตอนแรกพี่ผู้หญิงเขาก็ถอดใจแล้วแหละ แต่พี่อยากเป็นสื่อกลางเลยบอกไปว่าพี่ตี๋โสดสนิท”

ยัยทับทิม อีนังตัวดีสร้างความร้าวฉาน !

“เมี๊ยว ~” เสียงแมวร้องออดอ้อน หนำซ้ำยังเอาหัวมาไถขาข้าอีก ข้าได้แต่ก้มมองและสะบัดเท้าไล่มันไปไกลๆ

“วันนั้นพี่ก็เอามิรินไปด้วยนะ มันมาอ้อนพี่คนนั้นใหญ่เลย ดูเหมือนจะถูกชะตากัน” ทับทิมว่า

ข้ารีบย่อตัวไปอุ้มมิรินทันที “มิรินน่ารักจะตายไป มันชอบอ้อนคนอื่นไปทั่วเลย” พลางยกขึ้นสูง บดบังใบหน้าตัวเองที่เบิกตาโตจ้องแมวตาถลน

เดี๋ยวมึงได้เป็นแมวจรแน่อีแมวทรยศ !

“ตอนไอมาที่นี่ครั้งแรก มิรินก็อ้อนไอใหญ่เลย” ข้ารื้อฟื้นเรื่องวันวานแสนสุข จับเจ้ามิรินมาโอยกอดอย่างรักใคร่ สีหน้ากลบเกลื่อนเป็นคนละคน โดยไม่มีใครทันได้เห็นสีหน้า

“ก็จริง หลังจากพี่ตี๋ช่วยไอตามหาครอบครัว เราก็เหมือนเป็นพี่น้องเดียวกันเลย มิรินก็ดูชอบไอมาก ตามติดจอแจเหมือนคุ้นเคยกันมาก่อน ส่วนพี่ตี๋ก็เอ็นดูไอผิดปกติ วันๆ เอาแต่พูดเรื่องไอคิดถึงไอ เพ้ออยู่อย่างนั้นทุกวันจนพี่คิดว่าพี่ตี๋หลงเด็กซะแล้ว เฮ้อ เพราะไอน่ารักแถมยังเป็นเด็กดีด้วยละมั้ง” ทับทิมปากหวานยื่นมือมาลูบหัวข้าพลางอมยิ้ม

“ไม่หรอกฮะพี่ทิบทิม” ข้ารู้สึกเหมือนแก้มร้อนผ่าว “ไอไม่ได้น่ารักเลยสักนิด” ประโยคหลังข้าโป้ปดจ้ะ

“ใครบอกว่าเราไม่น่ารัก บ้าแล้ว เด็กน้อยญี่ปุ่น หน้าตาก็ดี ผิวก็ขาว โตไปอีกหน่อยคงหล่อมากแน่ๆ สาวๆ คงตามจอแจ เผลอๆ มีหนุ่มหล่อเข้ามาเกาะแกะ”

“พี่ทับทิมก็พูดเกินไป” ข้าเอามือปิดปากด้วยท่าทีเอียงอาย เหล่ตามองเจ้าตี๋ที่เริ่มหน้าบึ้งเหมือนรู้เท่าทัน

คุณไม่มีสิทธิ์มาจ้องตาเราแบบนี้ คุณน่ะนอกใจเราก่อน !

“เออจริงสิ มัวแต่นอกเรื่อง วันนั้นได้ยินพี่ตี๋คุย ดูเหมือนพี่ผู้หญิงจะชวนไปเดทด้วยนะ” ยังไม่จบที่จะราดน้ำมันเข้ากองเพลิง

ทิบทิมกล่าวต่อ “เฮ้อ พี่ตี๋ก็อายุปูนนี้ละ คงถึงคราวแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วแหละ” หญิงสาวเอียงคอนึกใคร่ครวญ

สามีเฮงซวย ! แอบไปแลกเบอร์คุยกับผู้หญิงไม่พอ นี่ยังนัดเจอกันอีก !

ข้าตาวาวโรจน์ หันหน้าไปมองคนข้างๆ ที่ยืนโด่เด่ “พี่ตี๋โชคดีจังเลยน๊า” น้ำเสียงเย็กยะเยือกยิ่งกว่าขั้วโลกเหนือ

ได้ เล่นชู้ใช่มะ

“ไอก็มีคนจีบเหมือนกันเลย” ข้ายิ้มแฉ่ง ดี๊ด๊ามีความสุข “พี่ปอห้ามาชมไอน่ารัก แถมยังให้ไอนอนหนุนตักอีก” มีที่ไหนกันล่ะ ข้าเพ้อเจ้อทั้งนั้น “เขาพาไอไปห้อน้ำด้วยนะ สอนไอยืนฉี่ แต่ไองงมากเลย ของพี่เขาใหญ่กว่าไอ” กล่าวจบก็ปั้นหน้าแย้มยิ้ม เหล่มองตี๋ที่สีหน้ายังดูยิ้มแย้ม

แม่ มันไม่ยอมทำตามเกม !

เมื่อแผนมันไม่สำเร็จ เราก็ต้องไปแผนสองแทน ข้าจึงเล็งไปที่บันไดปรากกฎว่ามีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินลงมา

“พี่แทนไห ~” ข้ารีบปรี่ไปหาอีกฝ่าย โยนเจ้ามิรินทิ้งโดยพลัน

“แทนไท” อีกคนแก้ชื่อพลอยทำหน้าหงิดใส่ ก่อนจะอ้าแขนรอรับข้าที่โผเข้ากอด

“คิดถึงพี่แทนไทจังเลย” ข้าออดอ้อน เอาหน้าซุกกับต้นขาชายหนุ่ม เลื่อนมือขึ้นสูงไปถึงต้นขาขาว  ปลายนิ้วเล็กๆ เกือบสัมผัสส่วนกลางลำตัว

“เฮ้อ อ้อนอีกแล้ว” เจ้าคนเบื่อโลกถอนหายใจ แววตาเรียบนิ่งมองข้าที่คลี่ยิ้มกว้าง

ว้าย สามีในอนาคตหน้านิ่งอะ ดุจังเลย เค้ากลัวแย้วน๊าาา

“พี่แทนไทไม่ชอบให้อ้อนอ๋อ ไอจะเป็นภรรยาพี่ในอนาคตเลยนะ” ข้ายู่ปากกระพริบตาปริบๆ ให้ดูน่ารักใคร่ ทว่าเจ้าเด็กนี่กลับขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า มือที่ถือหนังสือติดกายมาด้วย เอาสันกระแทกหน้าผากข้าเบาๆ

“รู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา” แทนไทผินสายตาไปทางตี๋ที่เป็นลุงของตนเอง “ลุงสอนไอเหรอ ?”

“โอ๊ย คำว่าลุงพูดเบาๆ ก็เจ็บ” ว่าแล้วก็กุมใจตัวเอง ต้องการเสียดสีไปทางผัวเฮงซวย “ว่าแต่พี่แทนไทจะไปไหนเหรอ ?”

“จะไปนั่งอ่านหนังสือข้างนอก” ตอบเสียงเรียบแม้แต่หน้าตาก็ยังนิ่ง ฝ่ามือหนาพยายามแกะแขนข้าที่รัดแน่นไม่ยอมปล่อย

“ไอไปด้วยสิ ไออยากไปนั่งเล่น” อ้อนจ้ะ อ้อนมันเข้าไป ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะหาสามีใหม่

“อืม” อีกคนขานรับสั้นๆ เพียงเท่านั้นก็ทำให้ข้าเลิกเกาะแกะ วิ่งต๊อกแต๊กไล่หลังอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกจากบ้าน

“ชิ” ข้าเชิดหน้าขึ้น ส่งเสียงชิชะไม่สบอารมณ์เมื่อสวนผ่านใครบางคน

เบื่อแล้วดุ้นเก่า อยากได้ดุ้นใหม่ “พี่ดุ้น อุ้ย พี่แทนไทรอเดี๋ยว” ข้าพลั้งปาก โชคดีที่ส่งเสียงเบา เพราะมัวแต่คิดเรื่องอัปมงคลเลยเผลอไผล ยามออกมาด้านนอกสำเร็จก็มานั่งอยู่ตรงศาลาสีขาว มีดอกไม้นานาพันธ์ส่งกลิ่นหอมหวานให้หายใจสดชื่น บรรยากาศก็ร่มเย็น เหมาะแก่การนั่งสมาธิ หรือไม่ก็หยิบหาอะไรมาอ่านฆ่าเวลา

ข้าเขยิบตัวเข้าไปชิดกับคนตัวโตที่ชำเลืองสายตามามองข้านิ่งๆ พอเห็นข้าฉีกยิ้มหวานก็ถอนหายใจใส่

“...” ข้าหุบยิ้มทันที แผนอ่อยไม่สำเร็จ

“พี่แทนไทจะอ่านหนังสือ งั้นไอจะนั่งเงียบๆ ก็ได้” เอ่ยตัดพ้อด้วยน้ำเสียงซึม

“แบบนั้นก็ดี”

“อ่าว” มารยาทอะ พูดจาดีเป็นมะ ? “งั้นไอขอยืมมือถือหนังสือหน่อยสิ” ข้าหัวเราะเจื่อนๆ แบมือทั้งสองข้างรอรับสิ่งของ ถ้าให้แล้วสัญญาจะไม่วุ่นวาย

เจ้าเด็กน้อยส่ายหัวเหมือนเอือมระอา สักพักก็ล้วงไปหยิบในกระเป๋ากางเกงและส่งยื่นให้ข้า เพียงไม่นานปลายนิ้วเล็กๆ ก็พิมพ์เสิร์ชหาช่องที่ต้องการอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเสียงเหล่านั้นย่อมขัดสมาธิคนที่กำลังจดจ่อ พอสายตาดุปรายมองมาทางข้า ข้าก็รีบหยิบมือถือแล้วไปซ้อมเต้นที่สวนสนามแทน

วันนี้โชคดีที่อากาศปลอดโปร่ง ตกเย็นก็มีลมหนาวพัดโชยมา ข้าพยายามฝึกฉีกขาตั้งแต่เล็ก เพราะกลัวว่าตัวจะแข็งทื่อเกินกว่าจะเต้นได้ในยามโต เนื่องจากเดี๋ยวนี้ลิซ่ายิ่งเต้นท่ายากมากขึ้น กว่าข้าจะยกขาขึ้นมาเหนือศีรษะและเหยียดตึง ตัวข้าก็เอนตัวล้มลงไปนอนที่หญ้าที่ถูกตัดเล็มไม่กี่เซนเสียก่อน ความพยายามยังไม่สิ้นเสร็จ ข้าซ้อมอยู่หลายนาทีหวังให้พลิ้วเหมือนกับศิลปินที่ชื่นชอบ พอลุกขึ้นเอามือแตะปลายคางเหมือนบีบลำคอ สะโพกแอ่นไปด้านหลัง ร่างกายก็ถูกอุ้มจนตัวลอย ข้าถึงกับร้องเหวอ

“ทำไรครับ” เสียงทุ้มเอ่ยข้างกกหู โอบกอดข้าด้วยความเอ็นดู แต่มันก็ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

“ยุ่ง”

“โกรธอยู่สินะ” รู้แล้วยังมีหน้ามาถาม !

เชอะ ! ข้าไม่เสวนาด้วยหรอกนะ “ปล่อยไอลง” ข้าสั่ง

“”ไม่” อีกคนกลับคิดปฎิเสธ หนำซ้ำยังยื่นหน้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่

ข้ายู่หน้าอย่างรังเกียจกับสัมผัส เริ่มดีดดิ้นไม่สบอารมณ์อย่างเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่กล้าดิ้นแรงมากนักเพราะกลัวว่าจะตกลงไปหัวเข่าถลอกปอกเปิก เจ้าตี๋ก็หอมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หอมเสียจนแก้มข้าช้ำไปหมด

ล่วงละเมิดเด็ก ข้าจะฟ้องตำรวจ !

“หึงใช่ไหม ?” อีกคนถามเสียงทุ้มปนแหบพร่า กระซิบเสียงแผ่วเล่นใจข้ากระตุก เผลอหลุดร้องเสียงผิดจังหวะ ยามที่ริมฝีปากหยักหนาคลอเคลียที่ปรางขาวอมชมพู

“กรี๊ดดด” ข้ากรีดร้องด้วยความขนลุก เมื่อจู่ๆ เจ้าตี๋ก็เป่าลมมาที่ใบหู

ข้าน่ะมีจุดอ่อนนะ โดยเฉพาะที่หูเลย !

“ตี๋ไม่ได้ให้เบอร์เธอ ตัวเล็กก็ได้ยินแล้วหนิ”

เรื่องนั้นข้าก็พอรู้อยู่หรอก…ถึงกระนั้นข้าก็ไม่พอใจอยู่ดี รู้สึกเหมือนโดนนอกใจแปลกๆ เพราะเจ้าตี๋นัดไปเจอกับยัยคนนั้น ตะหงิดใจอยู่เพียงลำพังและไม่คิดจะระบายความรู้สึกให้อีกคนได้รู้ พอถูกอุ้มให้เหยียบลงกับพื้น ฝ่ามือหนาก็จับต้นแขนให้กายเล็กหันหน้ามาสบตา

ดวงตาเรียวคมจ้องมองอย่างลึกล้ำ ทั้งสีหน้าดูจริงจังแม้แต่คำพูดก็ยังจริงใจ “ขอเดานะว่าตัวเล็กต้องไม่พอใจที่ทับทิมบอกว่าตี๋จะไปเดท”

ข้าว่าข้าได้ผัวเป็นหมอดูแหละ…

“มันไม่จริงเลยนะครับ” ตี๋ขมวดคิ้วชนกันชวนน่าสงสาร “ตี๋ไม่ได้ตกลงเธอเลย แถมก่อนจะคุยทับทิมก็เป็นคนรับ” ชายหนุ่มแถลงไข “หลานก็คงเข้าใจผิด เพราะตี๋ก็ปฎิเสธเธอไปแล้วด้วย บอกไปแล้วว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว” ฝ่ามืออุ้นร้อนประคองดวงหน้าข้าอย่างแผ่วเบา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างอ้อยอิ่ง “มีคนที่อยากจะแต่งงานด้วย” น้ำเสียงนั้นราวกระซิบ เหมือนหยาดน้ำค้างบนใบไม้สีเขียวชอุ่ม และค่อยๆ ตกลงมากระทบพื้นอย่างแผ่วเบา

มัน นุ่มนวลจนบอกไม่ถูก ยิ่งริมฝีปากคู่นั้นจรดลงที่หน้าผากข้าและผละใบหน้าออกห่าง เขาสบตามองข้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่

“ตัวเล็กรู้ใช่ไหมว่าตี๋หมายถึงใคร”

“เจนนี่ปาหนันเหรอ ?” ข้าแสร้งถาม อีกคนกลับผงะ เพียงไม่นานก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เห็นดังนั้นข้าก็ค่อยแย้มยิ้มทีละนิด

จากที่ไม่เคยพูดทำความเข้าใจกัน มีเพียงห้วงความคิดที่แสดงออกผ่านท่าทาง ตอนนั้นข้าได้แต่จินตนาการและโต้เถียงกับชายหนุ่ม กว่าจะสื่อสารให้เข้าใจกันได้ก็ช่างยากเย็น ยามนั้นข้าช่างท้อแท้และเหน็ดเหนื่อย พอมาครั้งนี้กลับดีใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อสองขาที่เหยียบย่ำอยู่ที่พื้นดินไม่ได้มาจากครีบที่พยายามยืนดังวันวาน มือทั้งสองข้างที่กวักเรียกและเคยตบตีไม่ได้มาจากการทำร้ายชายฉกรรจ์เหมือนในอดีต แม้แต่ริมฝีปากที่ชอบพูดจาอุ๋งๆ ไม่เข้าใจความหมาย ยามนี้ก็กลับพูดได้อย่างเต็มคำ

“รักนะ” สิ้นคำพูดก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มองชายหนุ่มที่ปรือตามองระคนหวั่นไหว เพียงไม่กี่เซนริมฝีปากของเราทั้งสองก็จะแนบชิดกัน แต่จู่ๆ ก็ดันมีเสียงของแทนไทแทรกขึ้นมา

“ไอ...”

เฮือก ! ข้าสะดุ้งโหยง รีบเงื้อมือขึ้นสูงเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์ ฝ่ามือหวดที่ข้างกระพุ้งแก้มคนตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว

เพียะ !!

“มอหอ !” ข้าสบถ

เจ้าตี๋ล้มลงไปนอนกุมแก้มสากและร้องซี๊ดด้วยความเจ็บปวด ต่างจากข้าที่หมุนกายเดินหนี แก้มร้อนผะผ่าว