ขวัญเอ๋ยขวัญมา
(Spin-off เด็กทะเล)
บทนำ
ลมทะเลวันนี้พัดแรง...มาก...
ความเร็วลมส่งผลให้ผ้าทุกผืนโบกสะบัดอย่างเกรี้ยวกราด เค้าลางของพายุลูกใหม่คล้ายจะถล่มชายหาดเร็วๆ นี้
...
...
เกิดเป็นลูกทะเลมาทั้งชีวิต มั่นหน้าเสียด้วยซ้ำว่า ความแข็งแกร่งยามเผชิญอุปสรรคกับความยากลำบาก ตัวเขาไม่เคยเป็นสองรองใคร หากในยามนี้ไอ้คนที่มั่นอกมั่นใจตัวเองนักหนา ราวกับกลายร่างเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง นั่งหางตกหูลีบอยู่ท่ามกลางลงล้อมของ ‘เจ้าที่’
คนพวกนี้...เดิมทีก็เป็นคนคุ้นหน้า...
แต่ในสภาวะคลื่นลมไม่สงบ พายุกำลังจะเข้าอย่างนี้ แม้แต่โต๊ะหินเจ้าประจำ เห็นมันตั้งอยู่ทุกวันจนชินตา วันนี้ก็กลายเป็นของแปลกหน้า ทุกสิ่งรอบตัวราวกับตัดขาดมิตรภาพกับเขาชั่วคราว กลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบของจริง
ใบหน้าคล้ำแดดหันซ้ายหันขวาเลิกลั่ก เม็ดเหงื่อไหลอาบลงข้างขมับ ลูกตาดำๆ กวาดตามองไปรอบข้าง
คนนั่งปักหลักครองตำแหน่งหัวโต๊ะ ชาวบ้านเรียกขานกันติดปากว่า ‘นายหัวชาญ’ เจ้าของท่าเรือผู้กว้างขวาง แผ่บารมีปกคลุมทุกบ้าน ทั่วทั้งเกาะไม่มีใครไม่รู้จัก ด้านซ้ายของเขาคือ ‘นายช่างใหญ่’ บุคคลซึ่งใครต่อใครเคารพเกรงใจ ด้วยเป็นเสาหลักอีกต้นของกิจการ
ถัดมาคือ ‘ไอ้ชาติ’ สมุนตัวเอ้ สายเสือกประจำชาญทะเล พร้อมกับคู่หูตัวติดสนิทกันประหนึ่งผัวเมีย (?) ชื่อ ‘หิน’ คนเงียบๆ พูดน้อย (แต่เหมือนจะต่อยหนัก) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเป็นปริศนาธรรม ไม่รู้ว่าคนนิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหวปานฉะนี้ โคจรมากินข้าวหม้อเดียวกันโดยไม่ต่อยตีหัวร้างข้างแตกได้อย่างไร
เห็นไหมเล่า!
คน (ตัว) ใหญ่ คน (ตีน) โต ทั้งหลายนั่งล้อมวงกินโต๊ะเขาหน้าสลอน เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่ให้ต่อมเครียดทำงานได้อย่างไร คนถูกสอบสวนลอบถอนหายใจหนัก ทำใจกล้ากวาดมองไปรอบวง ก่อนหยุดสายตาไว้ที่ใครบางคนอย่างมีนัยยะ
หัวหน้าคนงานอย่าง ‘ดำ’ ขอลั่นวาจาไว้เลยตรงนี้
ในบรรดาคนทั้งหมด...คนตกเป็นจำเลยสังคมไม่ได้รู้สึกกังวลกับใครมากไปกว่าไอ้มนุษย์ออร่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา
เจ้าของใบหน้าขาวผ่อง อันที่จริงมันขาวไปหมดทั้งตัวด้วยเป็นคนต่างถิ่น จนกระทั่งความจริงแตกโพละออกมาว่า ไอ้คนนี้ไง! ลูกชายคนเดียวของนายหัวชาญ จากคนกรุงถูกกีดกันเป็นคนนอก ก็ย้ายสำมะโนครัวมาเป็นคนวงใน ด้วยบารมีพ่อบวกกับวีรกรรมของตัวเอง ไม่นานคนทั้งเกาะก็มอบให้ไมตรีให้ ยามนี้ไม่ว่าทยากรเดินเหินไปไหน คำว่า ‘นายหัวน้อย’ ก็ลอยตามตัวไปด้วยทุกที่
ก๊อก...
...ก๊อก...
เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ ท่ามกลางเสียงคลื่นลมชวนให้ใจสั่น ร่ำๆ จะเกิดภาพหลอนประหนึ่งว่า ดวงตาเขาเห็นรังสีอาฆาตแผ่ทะมึนออกมาจากร่างขาวๆ นั้น ลูกชายนายหัวชาญเหมือนเพชฌฆาตถือดาบรอฟันหัว ไอ้ตัวคนทำก็ดูจงใจปั่นประสาท ยิ่งเห็นเขาออกอาการอยู่ไม่เป็นสุข มันก็ยิ่งเคาะรัวๆ
หัวหน้าคนงานปรารถนาจะแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว เอาให้เล็กจนคนพวกนี้มองไม่เห็นไปเลยยิ่งดี เขาจะได้หนีสถานะเหมือนนักโทษนั่งรอการประหารไปให้พ้นๆ หากสิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ คือเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมีใครเปิดปากทำลายความอึดอัดเสียที
ก่อนที่กูจะเป็นบ้าตาย!
“รู้ใช่ไหมว่าน้องยังเด็ก...”
“...”
มาแล้วดอกที่หนึ่ง...
ไม่ต้องพูดพร่ำอารัมภบทใดๆ ให้เสียเวลา คำว่า ‘เด็ก’ ที่ออกมาจากปากอีกฝ่าคล้ายมีดคมๆ ด้ามแรกพุ่งเสียบหัวกบาล ชายหนุ่มราวกับมโนภาพตัวเองเลือดอาบ เจ็บจี๊ดๆ แต่ยังไม่ตาย และ...ฉิบหาย! เขาไม่รู้ว่าตัวเองวิตกจริตจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไร ท่ามกลางเม็ดเหงื่อที่ไหลรินเป็นสาย ในใจยังแอบคิดว่า
กูหนอกู...
ไอ้ดำจิตสัมผัส เรื่องอย่างนี้นี่ทายถูกตามคาด...
คนเปิดฉากฟาดก่อนใครก็คือไอ้เพชฌฆาตตัวลูก
“น้องยังเรียนอยู่มัธยม...”
“...”
“อายุก็ไม่ถึงสิบแปด!”
ยิ่งมันพูด น้ำเสียงยิ่งโหดเหี้ยมขึ้นทุกขณะ
คนกรุงเทพฯ นั่งเท้าคางเคาะนิ้ว ชิลเหลือเกินด้วยอยู่ในสถานะของคนมีแบ็กอัพ ขณะที่คนเป็นรองทุกทางปาดเหงื่อแล้วปาดเหงื่อเล่า เช็ดแรงเสียจนขนคิ้วแทบหลุดออกจากหน้า ดำอยากอ้าปากพูดอะไรก็ได้ แก้ต่างให้ตัวเองสักประโยค แต่เวรกรรมของการละเมิดศีลธรรม ทำให้เขาเป็นอัมพาตทางความคิด
หัวหน้าคนงานตัวแข็ง ลิ้นก็ยังเสือกจะแข็ง ทั้งที่อยากสวดมนต์หาพ่อแก้วแม่แก้ว แต่คนบาปอย่างเขาดันลืมไปว่าตัวเองท่องบทสวดไม่ได้
“ยังไงก็ไม่ได้”
ใช่...ยังไงก็ไม่ดะ...
แต่เดี๋ยวก่อน!
“อะไรไม่ได้?”
คนกำลังคล้อยตามทำหน้าเหมือนควายงง เกือบจะหลงกลคนตรงหน้าไปแล้ว ดีที่ยังเลี้ยวกลับมาทัน
“จะไปยุ่งกับน้องขวัญไม่ได้!”
“...”
เป็นข้อห้ามที่ทำเอาคนฟังตกตะลึงถึงขั้นช็อก ตอนแรกก็แค่ลิ้นแข็งเบาๆ หากตอนนี้เขาใบ้แดกไปแล้วเรียบร้อย
“อย่าให้เห็นว่าเอาน้องไปทำ...เอ่อ...ทำเรื่องไม่สมควรอีก” คนพูดชี้หน้า หน้าตาดูกระดากกับอะไรบางอย่างที่เห็นมาคาตา ขณะที่คนฟังราวกับถูกฟ้าผ่า ใบหน้าที่ปกติก็มืดมนอยู่แล้ว คราวนี้มืดสนิทแถมขึ้นเป็นขีดดำ ใกล้จะกลายเป็นถ่านหุงต้มอยู่รอมร่อ
คำสั่ง ‘ไม่ให้ยุ่ง’ ทั้งที่เคย ‘ยุ่ง’ กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน มันจะทรมานกันมากไปแล้ว...
หัวหน้าคนงานถึงคราวกุมขมับ มองหน้าเจ้านายสุดที่รัก หวังให้นายเป็นหลักพึ่งพิง ห้ามปรามคนในครอบครัวตัวเองบ้างอะไรบ้าง แต่จากท่าทางของนายหัวชาญที่กำลังมองฟ้ามองฝน ทำเป็นไม่สนใจ แถมยังไม่หือไม่อือกับการใช้อำนาจในทางมิชอบ (?) ของลูกชาย ดำก็รู้ว่าตัวเองสิ้นหวังแล้วชีวิตนี้
ไม่ควรเลย...
หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เขาไม่ควรตามใจไอ้เด็กเวรนั่นเลย
ไม่ควรทำในที่แจ้งจนถูกจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้เลย...ไอ้เหี้ยดำ!
--------