'YOU คุณของผม' SERIE
ซีรีย์เรื่องสั้นของ 4 คู่รักวัยทำงาน ทั้งขมและหวาน ทั้งเรียนรู้และจดจำ
มาถึงคู่ที่ 3 ของรวมเรื่องสั้น You คุณของผม นะคะ เป็นคู่ของเด็กฝึกงาน ริจะปีนเกลียวรุ่นพี่คนกวนค่ะ
กวนกันไปกวนกันมา เดี๋ยวก็รู้ อิอิ
อ่านเรื่องของ กวิน X พระพาย : Simply Butterfly I (https://www.facebook.com/notes/kyliewonderland01/simply-butterfly-i-%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99-x-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A2/1206754886168311/)
อ่านเรื่องของ กวิน X พระพาย : Simply Butterfly II
(https://www.facebook.com/notes/kyliewonderland01/simply-butterfly-ii-%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99-x-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%9A/1206757546168045/)
อ่านเรื่องของ เมธัส X อชิร :
You've got the love I Need (จบ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70007.0)
Best Part | ฟง X ปารย์
-1-
ในหนึ่งชีวิตเคยคิดไหมว่าจะตกหลุมรักคนที่ต่างจากเราสุดขั้ว แต่ถึงไม่คิด เรื่องเหล่านั้นก็เป็นไปเสมอ เพราะหลายๆ ครั้งเราเลือกรักคนที่มีในสิ่งที่เราไม่มี เราอาจจะสนิทกับคนที่กลัวการไปโรงเรียนวันแรกเหมือนกัน แต่เราหลงเสน่ห์คนที่กล้าหาญในวันเปิดเรียน เราอาจจะชอบจิบไวน์ แต่บางทีได้นั่งมองโต๊ะตรงข้ามชนรีเจนซี่ผสมโซดาด้วยท่าทีกว้างขวางก็ทำเอาใจวาบ เล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นคือส่วนประกอบสิ่งละอันพันละน้อยที่น่าสนใจ
ไม่ได้มีแฟนมาสามปีแล้ว นั่นคือนิยามชีวิตในพันกว่าวันที่ผ่านมาของปารย์ ที่ตอนนี้ดูแลคอนเทนต์ให้แอปพลิเคชั่นรีวิวอาหารตัวหนึ่งอยู่ ในวัยยี่สิบห้าปี ขวบวัยที่ว่ากันว่าร่างกายจะแข็งแรงที่สุดในชีวิต (แต่จิตใจอาจจะไม่) มันค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่หวือหวา
การเงินไม่สะดุด ที่บ้านก็ไม่ได้ลำบาก เพื่อนก็เยอะแยะ นัดเจอกันรายอาทิตย์ เพื่อนร่วมงานก็ไม่แย่ เข้าขั้นดีด้วยซ้ำ ส่วนตัวแล้วปารย์เป็นคนกลางๆ หน้าตากลางๆ ดาษดื่น ไทยผสมจีน ผิวขาวกลางๆ ไม่ได้พูดมาก หรือน้อยจนเกินไป ร่วมวงกับชาวบ้านได้เนียนๆ ในที่ทำงาน แต่ก็มีมุมจับจดของตัวเองอยู่บ้าง มุกกี้ เพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างๆ กันบอกว่า ปารย์เป็นคนเหมือนจะเปิด แต่ก็ปิด บางครั้งก็ปากร้าย บางครั้งก็ใจดี
แต่ชีวิตเริ่มมีโจทย์ไม่กลางมาให้คำนวณ เมื่อออฟฟิศขยับขยายรับเด็กฝึกงานเข้ามาช่วยในฝ่ายโปรดักชั่นผลิตงาน ลืมบอกไปว่างานของปารย์ นอกจากดูแลคอนเทนต์ให้เรียบร้อย ยังต้องทำงานลูกค้าที่จ้างทำคอนเทนต์อีกด้วย ฝ่ายผลิตงานจึงมีตำแหน่งแห่งหนของตัวเองในบริษัท และการทำงานคือการร่วมงานกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ของหัวข้อนั้นๆ
ฟง คือเด็กฝึกงานฝ่ายช่างภาพ แม้จะวัยไล่เลี่ยกับเขา แต่ก็ยังเรียนไม่จบดี เหลือฝึกงานเทอมสุดท้ายนี่แหละ ปารย์ก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรยังไง ตอนแรกก็ไม่ได้จะสนใจด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็มักจะขลุกตัวอยู่แต่ในห้องฝ่ายผลิต ที่รวมทั้งช่างภาพ ทีมกราฟฟิก และทีมตัดต่อไว้ด้วยกัน ก็คือห้องชายฉกรรจ์ล้วนนั่นแหละ แต่การต้องทำงานร่วมกัน ก็ทำให้วงโคจรมันหมุนมาเจอกันจนได้
ผู้ชายตัวสูงร้อยแปดสิบสอง ตัวสมส่วน มีกล้ามให้ได้มองบ้างเล็กน้อย หน้าตี๋ ผิวแทน ตัดผมรองทรงพร้อมกับรอยแผลเป็นบากตรงคิ้วด้านซ้าย เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ และแม่ๆ ฝ่ายขายในบริษัทจำนวนมาก ตั้งแต่วันที่สวมชุดนักศึกษาเข้ามากรอกใบสมัคร ถึงขั้นมีการล็อบบี้ให้ฝ่ายบุคคลรับทำงานตั้งแต่ยังไม่สัมภาษณ์
มันคงจะไม่มีปัญหาหรอก ถ้าปารย์ไม่รู้สึกว่าบางทีโดนสายตาของฟงคุกคาม เวลาอีกฝ่ายเดินผ่านเอาไฟล์ภาพมาให้พี่ๆ แผนกคอนเทนต์ หรือบางครั้งที่เข้าสตูดิโอไปถ่ายงาน ทั้งที่เคยคุยกันไม่กี่คำเท่านั้นระหว่างที่ทำงานกัน หรือเพราะว่าอาทิตย์แรกที่ฟงเข้ามาแล้วได้ร่วมงานถ่ายภาพนิ่งกัน ปารย์ไปดุเรื่องการแต่งตัวหรือเปล่า ถึงได้แสดงอาการแปลกๆ แบบนั้น
อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีกฎของเด็กฝึกงานหรอกว่าจะใส่อะไร แต่การที่วันนั้นลูกค้าเข้ามาดูการถ่ายทำด้วย แล้วใส่กางเกงยีนขาดรุ่ยมา มันก็คือเรื่องของกาลเทศะไหมละ จะว่าไป ถ้าเป็นวันอื่นคงไม่เอ่ยปากด้วยซ้ำ
“ปารย์ๆ วันนี้พี่จะส่งบีมมันไปฟังบรีฟงานลูกค้ากับพี่อุ๋มแล้วก็นัตตี้ พี่ให้ฟงถ่ายดราฟให้ลูกค้าดูแทนละกันนะ เจ้านี้ไม่ซีเรียสเท่าไหร่ น้องมันถ่ายได้” เสียงพี่โจ๋ อดีตบรรณาธิการบริหารของหัวนิตยสารดัง ที่ผันตัวมาจับคอนเทนต์วงการสตาร์ตอัพ ดังมาก่อนที่ตัวจะเดินก้าวออกมาจากห้อง หนุ่มโสดวัยเฉียดๆ สี่สิบหน้าจืดที่ชอบโดนลูกน้องแกล้งตลอดสวมเสื้อยืดตัวย้วยกับกางเกงยีน และลากแตะมาทำงานวันนี้
“ไม่มีช่างภาพหลักเหรอพี่” ปารย์ถอยเก้าอี้ออกจากโต๊ะเล็กน้อยพร้อมยืดเหยียดแขนขา
“ออกไปถ่ายวิดีโอรีวิวหมดวันนี้ นี่พี่ดึงตัวฟงมันไว้นะว้อย ไม่งั้นไอ้เขมลากน้องไปช่วยถ่ายไลฟ์แล้ว” มีการโยนถึงหัวหน้าช่างภาพที่วันนี้ออกไปถ่ายไลฟ์งานลูกค้าของลูกค้าอีกเจ้า
“เคพี่ เวลาเดิมนะ”
“จ้า” ว่าแล้วพี่โจ๋ก็เดินตัวลอยออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงของออฟฟิศ
ห้าโมงเย็น ปารย์ปิดจอคอมพิวเตอร์แล้วเดินลงไปยังชั้นล่างของออฟฟิศซึ่งเป็นตึกขนาดกลางๆ สามชั้น สไตล์โมเดิร์นสีขาวผสมบานกระจก ชั้นล่างสุดเป็นห้องสตูดิโอไม่ใหญ่มาก แต่สามารถถ่ายงานได้ครบครัน ห้องฝ่ายผลิตอยู่ถัดออกไปจากสตูดิโอ ทั้งสองห้องกั้นเป็นสัดส่วนด้วยประตูกระจกใสบานใหญ่ที่ต้องแสกนนิ้วเพื่อเข้าไป เพราะพื้นที่ส่วนอื่นของอาคารคือโซนรับแขกทั้งหมด
ออฟฟิศนี้ตั้งขึ้นมาได้ประมาณสิบปียังไม่เต็มดีนัก ก่อนหน้านี้เป็นแค่เว็บรีวิวอาหารธรรมดา ก่อนที่จะถูกนายทุนรวมเข้ากับสตาร์ตอัพเจ้าหนึ่งที่เข้ามาดูแลระบบให้ ตอนนี้ในออฟฟิศจึงมีทั้งฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ ฝ่ายผลิตคอนเทนต์ ฝ่ายโปรดักชัน ฝ่ายขาย เรียกได้ว่าทีมสามสิบชีวิตก็ใหญ่พอตัวอยู่ แล้วก็ไม่ได้ทำแค่แอปฯ รีวิวอาหารเท่านั้น แต่ขยายไปทำเซอร์วิสตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกันเพื่อหาเงินหลายทาง
ห้องสตูดิโอเย็นเฉียบเหมือนทุกวัน รู้สึกได้ทั้งๆ ที่แค่จับลูกบิดเปิดประตูเท่านั้น เสียงแอร์ที่เพิ่งเปิดดังหึ่งๆ พอผลักบานประตูหนาหนักเข้าไป ก็เจอเด็กฝึกงานยืนหามโครงฉากถ่ายภาพ เพื่อเปลี่ยนกระดาษรองฉากเป็นสีไข่ไก่ตามที่ได้รับบรีฟมา
“หวัดดีพี่” ฟงปรายตาขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือหมุนน็อตให้แน่น วันนี้เขาใส่เสื้อยืดสีเทาเข้มกับยีนผ้าดิบพับข้อเท้าหลวมๆ
“อืม” ปารย์พยักหน้า “ลูกค้ายังไม่ส่งสินค้ามาให้ถ่าย เดี๋ยวใช้ขวดเปล่าที่มีไปก่อนนะ” ปารย์ชูขวดพลาสติกที่เขาเอากระดาษขาวมาห่อขึ้นมา เมื่อตะกี้เขาเอามาจากห้องครัว แล้วก็โมดิฟายอยู่พักหนึ่ง
มือหนากร้านดึงไปจากมือคนถือ ก่อนยกขึ้นหมุนดู “พี่ทำเหรอ”
ปารย์ชะงัก “อืม ทำไมเหรอ”
“เปล่า ไอเดียดี” เด็กฝึกงานยักคิ้วข้างที่เป็นรอยแผลเป็น ไม่รู้ว่ายียวนหรือกวนแต่ปารย์ก็อึ้งไปพักใหญ่ ฟงส่งขวดคืน ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มตัวพร้อมกับเดินไปที่แผงควบคุมไฟ “พี่อยากได้ไฟแบบไหน”
“เอาแบบไม่ต้องถึงกับอบอุ่น แต่ก็ไม่ต้องสว่างจ้ามาก”
“บรีฟยากจัง” ชายหนุ่มบ่นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ลงมือทำให้แบบไม่อิดออด เขาค่อยๆ ปรับดวงไฟแต่ละดวงที่ติดอยู่บนบาร์ไฟเหนือหัวอย่างละเมียดละไม ปารย์จ้องมองการกระทำนั้นอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงเรียก “พอได้ไหมพี่”
“อืม ลองประมาณนี้ก่อนแหละ”
“พี่ลองเซ็ตพร็อพเลย เดี๋ยวผมดูจอให้ว่ามันแบนไปไหม” ปารย์พยักหน้ารับ ก่อนเดินไปจะยกโต๊ะญี่ปุ่นสีขาวของอิเกียจากมุมห้องมา ยังไม่ทันจะคว้า ท่อนแขนหนาของเด็กฝึกงานก็สอดรับใต้ท้องโต๊ะไปเสียก่อน “ผมยกให้”
“มันไม่หนัก”
ฟงเหลือบตามองคนขี้เถียง ก่อนส่ายหัว “ไปยกพร็อพมาครับ” มีสั่งด้วย ปารย์ยืนอึ้งไปสามวิก่อนเดินเร็วๆ ไปเอาตะกร้าพร็อพที่ฝ่ายอาร์ตเตรียมไว้ให้ตั้งแต่วันก่อน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นการถ่ายแค่ม็อกอัพคร่าวๆ ให้ลูกค้าเท่านั้น ดังนั้นพี่ฝ่ายอาร์ตเลยบอกให้ปารย์จัดไปเลย
นักเขียนหนุ่มยืนก้มๆ เงยๆ จัดพร็อพอย่างเก้ๆ กังๆ ดูเหมือนว่าช่างภาพฝึกหัดที่แอบมองมาตลอดจะอดรนทนไม่ไหว เลยต้องเดินเขามายุ่งด้วย
“มานี่ครับ ผมทำให้ มีเรฟไหม”
“อ...อืม” ปารย์เปิดหน้าจอมือถือ แล้วส่งให้คนตัวโตกว่า
ช่างภาพหนุ่มก้มตัวลงนั่งยองๆ ข้างโต๊ะไม่สีขาว ก่อนขยับข้าวของนิดหน่อย แล้วหยิบผ้าปูโตขึ้นมาสะบัด เขาใช้ฝ่ามือหนาลูบรอยยับแรงๆ ก่อนพับทบเป็นทรงอย่างปราณีตและบรรจง “อย่าเพิ่งจับนะเดี๋ยวผมขอดูไฟก่อน”
ปารย์ยืนนิ่ง จากที่ตอนแรกอึ้งๆ ตอนนี้เริ่มจับสังเกตฟงกับการเคลื่อนไหวของเขาไปอย่างละสายตาไม่ได้เสียแล้ว ช่างภาพฝึกหัดดูคล่องแคล่ว เขาเดินไปปรับบาร์ไฟ ขยับกล้องเซ็ตติ้งนิดหน่อย ก่อนที่จะพยักเพยิดเรียกปารย์
“มาดูว่าโอเคไหม” ปารย์สาวเท้าไปยืนหลังขาตั้งกับกล้องโปรตัวใหญ่ ฟงยืนซ้อนไว้ด้านหลัง ก่อนที่ท่อนแขนหนาจะเอื้อมข้ามไหล่มากดชัตเตอร์ “มันจะประมาณนี้อะพี่”
“อืม โอเคนะ” ปารย์พยักหน้า ไม่มีอะไรจะติจริงๆ มันก็แค่การถ่ายดราฟคร่าวๆ ไปนำเสนอลูกค้า งานจริงก็คงต้องเซ็ตกันมากกว่านี้ ยังไม่รวมรีทัชอีกเพื่อลงโฆษณา
“ลองกับผ้าอีกสีไหม มีอยู่ในห้องฝ่ายผลิต”
“จะถ่ายเพิ่มเหรอ”
“ให้เขาลองเลือก เผื่อเขาจะซื้อแอดเพิ่มไง เขามีโปรดักส์นี่” ปารย์ทำหน้าประหลาดใจ “ผมคิดขำๆ เฉยๆ”
“ลองดูก็ได้นะ”
“งั้นพี่รอแป๊บ”
ไม่นานฟงก็กลับมาพร้อมกับผ้าปูโต๊ะซึ่งเป็นผ้าดิบสีกาแฟนม เด็กหนุ่มดึงผ้าอันเก่าออก ขยับของ แล้วลงมือจัดพร็อพใหม่อย่างคล่องแคล่ว
“ทำไมทำได้อะ” ปารย์ถามขึ้นหลังจากกอดอกยืนดูอยู่นาน ความน่าสนใจของงานในวันนี้คือ โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยเห็นช่างภาพที่จะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างนักนอกจากกดชัตเตอร์กับขยับพร็อพให้เป็นไปตามมุมมองที่ตนเองเห็นว่าดี แต่ฟงเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ พร้อมนำเสนอความแปลกใหม่ ขณะเดียวกันให้จัดวางอาร์ต ก็ทำได้แม้ไม่เซียนแต่ก็ไม่มีคำว่าขี้เหร่
“พี่ถามผมเหรอ”
“แล้วจะให้ถามใคร” คำสวนทำเอาฟงหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“เรื่องอะไรละพี่ ถ้าเรื่องถ่ายมันก็ต้องได้อยู่แล้ว ถึงผมจะเรียนแค่วิทยาลัยไม่ได้เด่นดังอะไรก็ตาม” ดวงตาคมกริบเลื่อนสบตาปารย์จังๆ “ถ้าเรื่องอาร์ต ผมก็ไปรับจ้างออกกองบ่อยๆ ก็ได้เงินได้ประสบการณ์ ไปช่วยเขาหยิบจับแบกหามน่ะพี่”
“...”
“ผมเคยทำงานร้านขายเสื้อผ้าด้วยเป็นพาร์ทไทมส์ เลยรู้เรื่องชนิดผ้านิดๆ หน่อยๆ ครูพักลักจำอะพี่ เซนส์ด้วย ชีวิตมันก็แบบนี้แหละพี่”
“อื้อ” ปารย์ไม่รู้จะต้องตอบยังไงไป อาจจะเพราะเขาไม่เคยก้าวล่วงเข้าไปในโลกอีกใบของฟงละมั้ง โลกที่เขาไม่รู้จัก โลกของคนเถรตรง รักพวกพ้องเป็นที่หนึ่ง โลกของเด็กเพาะช่างสไตล์จัดจ้าน โลกของคนที่ไม่สนค่านิยมกฎเกณฑ์อะไรเท่าไรนัก
“พี่ไปดูที่มอนิเตอร์เล็กก็ได้ ผมต่อไว้ให้แล้ว” ฟงว่า เขายืนมือซ้ายล้วงกระเป๋าอยู่หลังขาตั้ง ขณะที่มือขวาแตะชัตเตอร์ไว้เบามือ ปารย์เดินไปตามที่รุ่นน้องบอกอย่างว่าง่าย เอาจริงๆ ถึงจะบอกให้เขามองมอนิเตอร์ไว้ แต่ปารย์ก็เผลอเอาแต่มองท่าทีจริงจังของคนตรงหน้าไปเสียฉิบ กระทั่งลั่นกล้องครั้งสุดท้าย แล้วฟงหันกลับมามองแอบมองจนถึงกับสะดุ้ง
“เสร็จแล้ว ลองดูว่าได้ไหม?”
“โอเคแล้วแหละ”
“ไหนผมขอดูบ้าง” ช่างภาพหนุ่มทิ้งกล้องเดินกลับมาหาปารย์ เขาเอาแขนขวาค้ำยันโต๊ะเอาไว้ นั่นหมายความว่าปารย์ที่ยืนอยู่ใกล้กันคล้ายจะโดนโอบกลายๆ จนต้องเขยิบตัวออกมานิดหน่อย กลิ่นหอมสะอาดของน้ำยาปรับผ้านุ่มติดที่ปลายจมูก
ช่างภาพหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ขอให้ขายงานผ่านนะพี่”
-----
ช่วงปลายไตรมาสแรกเป็นอีกหนึ่งจังหวะของปีที่ค่อนข้างยุ่ง โดยเฉพาะงานของลูกค้าที่ต้องการใช้งบในการประชาสัมพันธ์แบรนด์ตนเองอย่างสร้างสรรค์ หลายครั้งหลายหนที่บรรดาคนทำงานต้องอยู่กันจนดึกดื่นเพื่อแก้งานลูกค้า ตัวปารย์เองก็เหมือนกัน การทำตำแหน่งคนคิดคอนเทนต์ คิดว่าจะขายยังไงให้ลูกค้า ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกำลังหลัก ในการหาค่าโฆษณาสินค้านั่นแหละ บางทีพองานเสร็จดึกมากๆ เขาก็ต้องยอมรับที่จะเลือกนั่งแท็กซี่กลับบ้านแทนที่จะเป็นรถเมล์อย่างที่ทำเป็นประจำ
“มีใครกินไรบ้าง จะไปตลาด” พี่เขม หัวหน้าฝ่ายผลิตที่เดินขึ้นมาจากชั้นล่างเอ่ยปากถาม บรรดาฝ่ายขาย ฝ่ายคอนเทนต์ที่นั่งเคาะแป้นพิมพ์วุ่นวายถึงกับตาลุกวาว ปารย์ก็เช่นกัน เขาถอดหูฟัง เลิกถอดเทป ก่อนจะตะโกนสั่งข้าวบ้าง
“พี่เขม ผมฝากซื้อข้าวไข่เจียวหมูสับใส่หัวหอม แครอท ข้าวโพดอ่อน”
“สั่งยาก มึงจดมาเลยปารย์”
“เคครับ” ปารย์หัวเราะกับท่าทางแสร้งดุของหัวหน้าช่างภาพคนเก่ง ก่อนหยิบโพสต์อิทมาจดยิกๆ แต่ไม่ทันพี่เขมที่เดินลงไปซะแล้ว
“เฮ้ย ใครเอาไรเพิ่มเดินตามมาส่งใบนะ เข้าห้องน้ำก่อนปวดเยี่ยว”
บรรดาคนทำงานร้องอุบ ขี้เกียจเดินลงตามไปข้างล่าง ทั้งๆ ที่มันก็แค่บันไดไม่กี่ขั้น ทำให้ปารย์ซึ่งกำลังจะเดินลงไป ถูกบังคับจากพี่ๆ ให้เป็นตัวแทนลงไปส่งเมนูอาหารแทน
นักเขียนหนุ่มไม่ปฏิเสธ เอากลายๆ ก็คือปฏิเสธไม่ได้ เขาเลยต้องเดินลงไปเอง
-----
ปารย์ลุกบิดขี้เกียจระหว่างรออาหารมื้อเย็นมาถึง จู่ๆ ฝนก็ตกโครมทำเอาคนในออฟฟิศรู้ชะตากรรมดีว่าน่าจะไม่ได้กินข้าวภายในสิบนาทีนี้แน่นอน และสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือนั่งรอ เพราะข้าวก็สั่งไปแล้ว บ้านก็กลับไม่ได้เพราะกลับรถเมล์เป็นปกติ
แต่ก็เหมือนจะเกินคาดเพราะอีกราวสิบห้านาทีถัดมา ปารย์ที่กำลังโยนขาไก่เข้าปากอยู่เนืองๆ ที่โต๊ะอาหารของออฟฟิศ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเด็กฝึกงานสองคนเดินตัวเกือบโชกเข้ามาในออฟฟิศชั้นสอง ทีปลายโต๊ะอีกฝั่งที่ปารย์นั่งๆ ยืนๆอยู่ วุ่นถึงบรรดาพี่ๆ เจ๊ๆ ต้องหาผ้าขนหนูให้อุตลุต
“ว้าย น้องคิททำไมพาน้องฟงของเจ๊เปียกมาแบบนี้ละค้า” พี่สาวฝ่ายขายร้องอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่
คิทที่เป็นเด็กฝึกงานหน้าตี๋ ที่พี่ๆ เรียกว่าเต้าหู้น้อย หัวเราะแหะๆ ตามสไตล์
“ผมบอกฟงแล้วเจ๊ว่าให้รอฝนหยุด แต่มันบอกว่าไม่น่าหยุดเร็วๆ นี้เลยใส่เสื้อคลุมฝนกลับมาเนี่ย”
“ตายแล้ว รอฝนหยุดก่อนก็ได้เด้อรอบหน้า”
“ไม่เป็นไรพี่ ฝนตกทีไรมันชื้น หายใจไม่ออกทุกทีเวลาอยู่ข้างนอก”
“เอายาไหมน้องฟง”
“ไม่เป็นไรครับหายแล้ว”
ฟงเปรยตามองปารย์ที่นั่งหมิ่นขอบโต๊ะ ท่ามกลางคนอื่นที่กำลังเดินมาเปิดถุงข้าวของตัวเอง ก่อนที่เขาจะดึงถุงข้าวกล่องแล้วเดินมายื่นให้ปารย์ถึงที่ พร้อมกับชานมไข่มุกแก้วโตที่มืออีกข้าง
“ข้าวพี่” ปารย์รับกล่องข้าวมาถืออย่างไม่รู้จะตอบอะไร “แล้วนี่ เห็นอยากกิน ไม่ใช่ร้านประจำพี่มั้ง แต่คิทบอกว่าอร่อย”
“ไม่ต้องก็แล้ว”
“ผมเลี้ยง เอาไปเถอะ”
“...”
“กินข้าวได้แล้ว ผอมไปแล้วพี่” ฟงยักคิ้วข้างที่เป็นแผลเป็นให้คนที่ยืนถืออาหารสองมือพร้อมอึ้งไปด้วย ก่อนเดินไปหยิบถุงหมูปิ้งของตัวเองแล้วสะกิดคิทให้เดินลงไปข้างล่าง
“ปารย์! ทำไมมีชานมไข่มุกอะ!!! ไม่เห็นบอกเลยว่าสั่ง” เสียงเจ๊ฝ่ายขายร้องถามดังลั่น พร้อมกับหลิ่วตาแซว ทำเอาปารย์ต้องจุ๊ปาก ร้องชู่ว์ให้เงียบเสียง ก่อนที่คนอื่นจะสนใจแก้วน้ำหวานสุดฮิตในมือเขามากไปกว่านี้
tbc.