พิมพ์หน้านี้ - [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ต้นเกลือ ที่ 20-04-2019 18:42:02

หัวข้อ: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 20-04-2019 18:42:02
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ (Re-write)

*

เขาคือรุ่นพี่ ส่วนผมคือรุ่นน้อง

เขาคือคนที่ทั้งโรงเรียนให้การยอมรับ ส่วนผมคือเด็กนักเรียนธรรมดาๆคนหนึ่ง

เขาคือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ส่วนผมคือผู้ชายปกติ

แต่ทว่าเพราะเส้นขนานของพวกเราสองคนตัดกัน ทำให้พวกเราสองคนที่ได้รู้จักกัน


และเกิดเส้นด้ายบางๆพันที่ปลายนิ้วก้อยของพวกเราเอาไว้


*



สารบัญบท

บทนำ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3966605#msg3966605)♬ บทที่ 1  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3966849#msg3966849)♬ บทที่ 2  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3967723#msg3967723)♬ บทที่ 3  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3967841#msg3967841)♬ บทที่ 4  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3969252#msg3969252)
♬ บทที่ 5  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3969840#msg3969840)♬ บทที่ 6  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3970940#msg3970940)♬ บทที่ 7  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3972402#msg3972402)♬ บทที่ 8  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3973884#msg3973884)♬ บทที่ 9  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3975967#msg3975967)♬ บทที่ 10  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3976692#msg3976692)
บทที่ 11  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3978139#msg3978139)♬ บทที่ 12  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3978621#msg3978621)♬ บทที่ 13  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3980683#msg3980683)♬ บทที่ 14  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3981886#msg3981886)♬ บทที่ 15  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3983751#msg3983751)
บทที่ 16  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3984971#msg3984971)♬ บทที่ 17  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3986940#msg3986940)♬ บทส่งท้าย  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70102.msg3989196#msg3989196)
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (20/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 20-04-2019 18:54:07
บทนำ


ซ่า

ผมยืนเหม่อมองฝนที่กำลังตกลงมากระทบกับหลังคาสังกะสีของป้อมยามเล็กๆหน้าโรงเรียน วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกทั้งวัน ทำให้ผมที่ไม่ได้เอาร่มมาด้วยนั้นต้องลำบากใจ จะให้พ่อแม่มารับมันก็ได้อยู่แต่ว่าเพราะวันนี้ผมดันมีเรียนพิเศษด้วย ไม่อยากโดดเรียนจึงต้องมายืนรอให้ฝนซาแบบนี้

พออยู่ว่างๆไม่รู้ว่าจะทำอะไร มือของผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เสียบหูฟังกับหูทั้งสองข้างแล้วเปิดคลอไปเบาๆ ฮัมเพลงไปตามจังหวะก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงคนวิ่งมาหลบฝนอยู่ข้างๆ

เมี๊ยว

“เช็ดตัวก่อนนะเจ้าตัวเล็ก” ผู้ชายที่ยืนข้างผมเป็นที่รู้จักไปทั่วโรงเรียน เพราะเขาเป็นคนที่เรียนเก่ง มีความสามารถ ทุกเดือนเลยที่จะมีป้ายไวนิลชื่อของเขาขึ้นอยู่ริมรั้ว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใครเท่าไหร่มากนัก ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเขามีนิสัยเป็นยังไง

แต่ตอนนี้เขากำลังเอาผ้าเช็ดหน้าตัวเองเช็ดตัวให้ลูกแมวที่เปียกฝนอยู่

เขาก็คงจะเป็นคนอ่อนโยนตามฉบับผู้ชายในนิยายนั่นแหละนะ

“เอ้า เสร็จแล้ว รอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยกลับไปหาแม่ล่ะ” เขายิ้มให้กับลูกแมว ก่อนที่จะรู้ตัวว่าผมกำลังมองเขาอยู่ เขาจึงส่งยิ้มทักทายให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะกางร่มของตัวเองเดินออกไป

ผมรู้สึกว่า...รอยยิ้มที่เขามีให้ลูกแมวตัวนี้กับรอยยิ้มที่เขาให้กับผมมันช่างแตกต่างเหลือเกิน

รอยยิ้มที่เขาให้กับผมนั้น...มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ส่งมาจากใจ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนๆเหมือนกับรอยยิ้มตามป้ายไวนิลริมรั้วนั่น


และวันนี้มันก็เป็นวันที่ฝนตกให้กับความขลาดของใครคนหนึ่งที่ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำว่า ‘สวัสดี’ ให้คนที่อยากทำความรู้จักด้วยเลย



=====*=====



มาค่ะ รีไรท์นิยายเรื่องี้กันหลังจากที่นั่งคิดอยู่หลายเดือนว่าจะเอายังไงดี ส่วนเรื่องของพี่นทีและน้องมีนานั้นขอพับเอาไว้ก่อนนะคะ มาสานต่อเรื่องนี้ให้ไปถึงฝั่งฝันกันค่ะ

ในส่วนของรีไรท์นี้ก็ไม่เชิงว่าเขียนให้ดีขึ้น แต่เป็นเหมือนการรื้อเนื้อเรื่องมาเขียนใหม่หมดเลยมากกว่าค่ะ แง ในส่วนของบทที่ 1 นั้นจะลงพรุ่งนี้ช่วงเช้าๆนะคะ วันนี้ขอปั่นบทที่ 3 ก่อน ที่สำคัญคือเปลี่ยนแท็กด้วยค่ะเป็น #ยิ่งรู้จัก ตอนนี้สามารถเรียกเราได้สองอย่างคือต้นเกลือกับสโมลนะคะ แล้วแต่เลยค่า

//วิ่งไปปั่นนิยาย
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (20/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-04-2019 21:09:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

เจิม
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (20/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 21-04-2019 08:37:56
บทที่ 1

 

“กุมภ์ วันนี้มีเรียนพิเศษรึเปล่า?”

เพื่อนสนิทของผมชื่อว่านทีถามขึ้นมาเมื่อพวกเราเรียนจบคาบสุดท้ายของวัน มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าผ้าใส่เสื้อพละส่วนอีกข้างกำลังสะพายกระเป๋ากีตาร์ตัวโปรด เขาเป็นสมาชิกชมรมดนตรี ตำแหน่งมือกีตาร์ของวงโฟล์คซองค์ ส่วนผมเป็นสมาชิกชมรมบรรณารักษ์ ด้วยความที่พวกเราสองคนนั่งข้างกันในวันปฐมนิเทศ ทำให้ได้ทำความรู้จักกันและมาสนิทกันในภายหลัง

กุมภ์ หรือกุมภา สิริกุล คือชื่อของผม ปีนี้เป็นนักเรียนชั้นม.4

“มี เดี๋ยวจะไปแล้ว”

“ไปส่งให้เอามั๊ย? ยังไงกูก็ต้องแวะร้านลุงกูที่อยู่แถวนั้น” บ้านลุงของนทีเปิดร้านอาหาร บางทีลุงของนทีก็จะบอกให้เขาไปช่วยเล่นกีตาร์สร้างความบันเทิงให้ลูกค้า

“งั้นก็ขอบใจนะ ไปกันเถอะ”

พวกเราเดินมาเรื่อยๆจนถึงลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ ผมแอบหงุดหงิดตานิดหน่อยที่รถของนทีเป็นสีชมพูหวานๆทั้งคัน ติดสติ๊กเกอร์รูปหมีขาวจิ๋วๆเอาไว้ ผมไม่ได้ไม่ชอบรสนิยมเพื่อน แต่ผมไม่ค่อยชอบตรงที่นทีมันทนสายตาคนอื่นได้ยังไงกันเวลามันขับรถสีหวานๆแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักก็อาจจะโดนมองว่ามีรสนิยมประหลาดๆ เบี่ยงเบนความชอบ ครูบางคนที่เห็นนทีขับมอเตอร์ไซค์มาก็บอกว่าทำไมเลือกสีนี้ มันไม่เข้ากับผู้ชาย ผู้ชายไม่จำเป็นต้องชอบสีแดงหรือสีน้ำเงิน เหมือนกับที่ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องชอบสีชมพูหรือสีฟ้า ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน

“นที มึงทนได้ยังไงเวลาคนอื่นมองมึงแปลกๆ”

“ก็...ไม่ได้ไปใส่ใจนะ มันเลยอดทนมาได้ตลอด แต่ถ้าเทียบกับเรื่องที่กูเคยทนมา เรื่องนี้มันยิบย่อยไปเลย” นทีตอบอย่างนั้นพลางยื่นหมวกกันน็อกของเขามาให้ผม “มึงใส่ไปเถอะ เพื่อความปลอดภัยมึงเอง”

“มึงคนขับมึงก็ใส่ไปสิ” ผมยัดหมวกใส่หัวนที แม้ว่ามันจะสูงกว่าผมโขก็ตาม “กูดูแลตัวเองเก่งกว่ามึงอีกนะ”

นทีถอนหายใจ ก่อนที่จะถอยรถแล้วให้ผมนั่งข้างหลัง พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันอีกนกระทั่งมาถึงที่เรียนพิเศษของผม ผมขอบคุณมันอีกครั้งก่อนที่มันจะขับรถออกไป

ผมเดินเข้าไปในที่เรียนพิเศษ หยิบการ์ดพลาสติกที่เป็นบัตรขึ้นมาดูว่าผมเรียนห้องไหนก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นสองที่เป็นห้องเรียนแบ่งโซน ที่นั่งจัดให้ผมไปนั่งอยู่แถวๆต้นไม้กระถางไม่สูงมากเท่าไหร่ ผมรู้สึกโชคดีเพราะว่าผมจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเวลาที่เห็นแต่ห้องเรียนสีขาวนี้

ข้างๆผมมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังใส่เฮดโฟนเรียนอยู่ มือของเขาจับปากกาสีน้ำเงินแล้วเขียนใส่ลงสมุดข้างๆ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็กำลังยกแก้วน้ำขึ้นมาดูด

หืม? นี่มันผู้ชายที่ผมเจอเมื่อวานนี่นา

ถ้าสงสัยว่าเขาเป็นใคร เขาคือพี่เดือน พีรดล นารีรัตน์ นักเรียนชั้นม.6 เป็นรุ่นพี่คนเก่งของทุกคน ด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูงจนน่ากลัวกับผลงานทางวิชาการมากมายนั้นทำให้เขากลายอมนุษย์ในสถานศึกษาแห่งนี้ ไหนจะหน้าตาที่ดี ผมสีดำสนิทตัดถูกระเบียบ ดวงตาเมล็ดอัลมอนด์ โครงหน้าเรียวได้รูป จมูกที่โด่งพอดี รวมถึงริมฝีปากบางๆทำให้ยิ่งเป็นที่สนใจ แต่จุดที่น่าสนใจกว่าก็คือไม่ค่อยมีใครได้คุยกับเขามากนักทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนแบบไหน บ้างก็ว่าเขาหยิ่ง บ้างก็ว่าเขาไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า

พี่เดือนมีข่าวลือเยอะมาก ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ในทางที่ดีนั้นก็ว่าเขาเป็นคนที่ทำให้เรามีสวนพฤกษศาสตร์ใหม่ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจจากการที่เขาเข้าไปพูดกับผู้อำนวยการให้ ไหนจะว่าเขาคือคนที่ทำให้นักเรียนโครงการพิเศษกับโครงการปกติไม่มาเขม่นเนื่องจากหลักสูตรการศึกษาที่ไม่เหมือนกัน แต่ในทางที่ไม่ดีนั้นบ้างก็ว่าเขาแอบเสพยาเสพติด บ้างก็ว่าเขาไปมีปัญหากับแก๊งเด็กเกเรสถาบันอื่น สุดท้ายข่าวลือพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจริงเมื่อมีคนมาบอกว่าพี่เดือนแทบไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากบ้าน โรงเรียน กับที่เรียนพิเศษเท่านั้น

พอกับเรื่องของพี่เดือนดีกว่า ผมนั่งลงกับเก้าอี้แล้วเปิดวิดีโอสอนวิชาเคมีเรียนไปเรื่อยๆจนครบชั่วโมง ผมไม่ได้ฝืนเรียน แค่วันละหนึ่งชั่วโมง สัปดาห์หนึ่งเรียนแค่สามวันก็พอ การที่เรายัดความรู้มากเกินไปมันก็ส่งผลเสียได้เพราะมันจะทำให้เครียดเกินไป

พอผมลุกออกจากเก้าอี้ ผมก็เห็นว่ารุ่นพี่คนเก่งของโรงเรียนกำลังฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะหลับอยู่ เขาอาจจะล้าสายตาที่ต้องจ้องหน้าจอนานๆเลยใช้เวลานิดหน่อยพัก ผมไม่ได้สนใจเขา แต่จู่ๆปากกาก็กลิ้งตกลงมาจากโต๊ะ ผมเลยจึงก้มลงไปเก็บให้ประกอบกับจังหวะที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงของตกพื้น

“...”

พวกเราจ้องหน้ากัน ในมือของผมมีปากกาสีน้ำเงินอยู่ ส่วนพี่เดือนมองเหมือนประเมินผม กลายเป็นผมที่ยอมแพ้ยื่นปากกาให้เขาก่อนที่จะก้มหน้าแล้วเดินหนีออกมา

ผมไม่สามารถทนบรรยากาศความอึดอัดแปลกๆที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นแล้วผมจึงกลายเป็นฝ่ายที่จะหนีก่อน โดยที่ไม่ได้หันมามองเลยว่ารุ่นพี่คนนั้นจะทำสีหน้ายังไงก็ตาม

 

วันต่อมาผมไม่มีเรียน ดังนั้นแล้วจึงใช้เวลาช่วงเย็นรอพ่อแม่มารับด้วยการนั่งในห้องสมุดอ่านหนังสือฆ่าเวลา ด้วยความที่ผมอยู่ในชมรมบรรณารักษ์ด้วยแล้วผมก็มีสิทธิที่จะนั่งตรงเคาน์เตอร์สำหรับบรรณารักษ์โดยเฉพาะ จุดนี้เป็นจุดที่เงียบที่สุดในห้องสมุด ไม่ต้องมากังวลใจกับคนที่เข้ามาทำเสียงดังโวยวายเพราะหาหนังสือไม่เจอ

ฟุ่บ

ผมหันไปทางคนที่มานั่งข้างๆ อาจจะเป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดแห่งนี้ แล้วผมก็ต้องคิ้วกระตุกเพราะคนที่นั่งข้างๆผมนั้นไม่ใช่คนที่ผมคาดถึง

แต่ก็ลืมไปว่าพี่เดือนเขาเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ด้วย

“สวัสดีครับ” ผมทักทายเขา เขาหันมายิ้มบางๆแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ นานๆทีพี่เดือนถึงจะเข้ามาที่นี่เนื่องด้วยจากตารางการใช้ชีวิตของเขานั้นมันไม่ค่อยเหมือนมนุษย์มะนาเสียเท่าไหร่ แล้ววันนี้คงเป็นวันของพี่เดือนที่ต้องมานั่งที่นี่ ผมอาจจะรบกวนเขาเลยลุกไปนั่งที่อื่น

“ไม่เป็นไร นั่งด้วยกันนี่แหละ อยู่ชมรมนี้ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

พี่เดือนเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ตายังคงจ้องหนังสือ หนังสือที่เขาอ่านเป็นหนังสือเตรียมสอบ Gat-Pat ข้างในไม่มีเครื่องหมายหรือหมึกสีอะไรเลยสักนิด นี่อาจจะเป็นหนังสือใหม่ก็ได้ “ครับ แต่วันนี้ไม่ใช่เวรผมมาเฝ้า ผมไม่อยากรบกวนพี่”

“...”

เขาเงียบไป ผมจึงค่อยๆถอยออกมาแล้วนั่งตรงโต๊ะแถวๆนั้นแทน พี่เดือนเงยหน้ามาเพื่อให้คำตอบกับนักเรียนที่เข้ามาถามถึงเรื่องหนังสือบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก อาจจะเพราะทุกคนเกรงใจพี่เดือนที่นั่งนิ่งจนน่ากลัว เวลาที่เขาอ่านหนังสือมันเหมือนว่าเขาหลุดไปอีกโลกยังไงยังงั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องของผม ผมนั่งอ่านหนังสือวิชาชีวะในมือต่อ จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวตรงไปที่ชั้นหนังสือใกล้ๆกับผม

พี่เดือนเดินมาจัดหนังสือที่มีคนรื้อให้เข้าชั้นเหมือนเดิม และท่าทางเขาจะเห็นว่ามีหนังสือที่ซ่อนอยู่เหนือชั้นสูงๆนั่นด้วย เขาจึงพยายามเอื้อมมือไปหยิบลงมาเข้าชั้นเหมือนเดิม แต่ทว่าความสูงของเขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรมานัก พี่เดือนจึงเดินไปหยิบเก้าอี้เล็กๆมาปีนหยิบหนังสือแทน

กึ่ก

“หว๋า!”

โครม!

 ผมรีบวางหนังสือในมือ ตรงไปหาพี่เดือนที่ตกจากเก้าอี้ตัวเล็กนั่นด้วยความเป็นห่วง เก้าอี้นี้ก็เก่ามากแล้วคงรับน้ำหนักพี่เดือนไม่ไหว “เป็นอะไรมั๊ยครับ?”

พี่เดือนเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเขาออกแดงระเรื่อยจนไปถึงใบหู ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นมาแล้วปัดฝุ่นที่ติดตัวไปมา กระแอมในลำคอราวกับว่ามันคือการปกปิดเพื่อไม่ให้ผมรู้ว่าเขาตกลงมาจากเก้าอี้

“ไม่เป็นไร...อย่าเอาไปบอกใครนะ”

“ครับ?”

“...ไม่อยากให้ใครรู้ว่าพี่ซุ่มซ่ามกว่าที่คิด” พี่เดือนเหลือบตามองซ้าย ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา “เอ่อ...”

“ขอโทษครับๆ ผมไม่บอกใครหรอก” เขาอาจจะเป็นพวกเพอร์เฟ็คชั่นเนส รักษาความสมบูรณ์แบบแล้วพยายามกลบจุดอ่อนของตัวเอง ซึ่งกลายเป็นผมที่โชคดีได้เห็นมุมนี้ของเขาเข้า “พรุ่งนี้ตามตารางเป็นเวรของผม ถ้าพี่ต้องการให้ผมทำอะไรล่ะก็ช่วยบอกล่วงหน้าไว้ด้วยนะครับ จะได้เตรียมทัน”

ผมเคยได้รับคำสั่งจากรองหัวหน้าชมรม จู่ๆก็มาสั่งว่าให้ผมไปเบิกหนังสือจากห้องพัสดุซึ่งในเวลานั้นมันก็เย็นแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่อยู่กัน ผมเลยวุ่นวายวิ่งทั่วโรงเรียนเพื่อตามหาคนมาเซ็นรับหนังสือให้แทน นั่นทำให้ผมขยาดไปหลายวันกับชมรมนี้

“พุธหน้ามีประชุมประจำชมรม แต่พี่ไม่อยู่เพราะติดงานประชุมของสภานักเรียนด้วย ฝากทำเอกสารแทนรองหัวหน้าด้วยนะ” พี่เดือนว่าขึ้นมา “รองหัวหน้าอาจจะเป็นพวกที่สั่งงานปุ๊บปั๊บไปหน่อย งานก็ไม่ค่อยละเอียด แต่ก็อย่าไปถือสาเขามากเลย”

“ครับ”

พี่เดือนพยักหน้าให้ผม ก่อนที่จะเดินไปจัดการกับหน้าที่ของตัวเองต่อ แอบเห็นเหมือนกันว่าใบหูพี่เดือนยังแดงๆอยู่ด้วย

คิก ก็น่ารักดีนี่นา

 

และวันนี้ก็ยังคงมีฝนตกไม่หยุด

ผมยืนอยู่ที่เดิม รอให้ฝนซาก่อนที่จะไปเรียนพิเศษต่อ แต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด นักเรียนหลายคนเลือกที่จะวิ่งฝ่าฝนทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเข้าไปตากในแอร์เย็นๆก็จะหนาวกว่าเดิม

ผมเคาะกำแพงที่พิงเล่น ไม่มีอะไรทำ นทีก็กลับไปก่อนนานแล้ว หัวข้อการประชุมชมรมวันนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากเรื่องงบประมาณในการซื้อหนังสือเพิ่ม ในแต่ละวันจะมีหนังสือหายไปจากลิสต์ในห้องสมุดวันละเล่มถึงสองเล่ม บางคนก็เอาไปทำขาดแล้วไม่กล้าเอามาคืนเพราะกลัวโดนพวกเราตรวจสอบ มันก็ฟังดูเครียดๆเหมือนกันที่พูดถึงเรื่องนี้ ถ้าให้ผมว่าตรงๆคือคนไม่ค่อยชอบรักษาหนังสือเท่าไหร่ บางคนอ่านแต่ไม่รัก บางคนรักแต่ไม่ค่อยได้อ่าน มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนกันเมื่อวงการหนังสืออีบุ๊คเข้ามาตีตลาดมากขึ้นจนหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นเล่มขายไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน

และเพราะวันนี้หัวหน้าชมรมอย่างพี่เดือนไม่เข้ามาด้วย ทำให้การประชุมมันออกจะไปทางเละๆหน่อย ทั้งชมรมทุกคนจะให้ความเคารพกับพี่เดือน มีใครกล้าหือด้วยแม้กระทั้งรองหัวหน้า พี่เดือนเป็นคนจริงจัง ถ้าเผลอหลุดประเด็นก็อาจจะโดนดุได้

“ไม่ได้ไปเรียนเหรอ?”

“?”

พี่เดือนขับรถวีออสสีขาวเข้ามาจอดข้างๆกับทางออกที่มีสองเลน เขาลดระดับหน้าต่างลงมาเพื่อคุยกับผม เขาอาจจะไปเรียนพิเศษเหมือนกันก็ได้ “วันนี้พี่มีเรียน ถ้ามีเรียนด้วยก็นั่งรถด้วยกันก็ได้”

“ขอบคุณครับ” ผมรีบวิ่งเข้าไปเปิดประตูหลังแล้วนั่งลง ข้างๆตัวผมมีกองกระดาษเอกสารเต็มไปหมดจนผมต้องค่อยๆขยับมันออกไป

“รกหน่อยนะ พี่ยังไม่ได้จัดให้เข้าที่” พี่เดือนเหยียบคันเร่ง จากนั้นบรรยากาศภายในรถก็มีแต่เสียงของฝนตกกระทบกับหน้าต่าง ผมมองเหม่อออกไปเรื่อยๆจนเริ่มเห็นว่าฝนตกหนักกว่าเดิม จึงบอกให้เขาชะลอความเร็วลงอีกหน่อย พี่เดือนพยักหน้าตาม เขาค่อยๆขับรถอย่างที่ผมว่า ก่อนจะเห็นว่าตรงหน้าเป็นไฟแดงที่ติดเป็นเวลานาน

“...”

เงียบ...เงียบเกินไปแล้ว

“น้องชื่อกุมภาใช่มั๊ย? พี่ขอเรียกว่ากุมภาได้รึเปล่า?”

“ครับ?” ท่ามกลางความเย็นของแอร์รถยนต์ พี่เดือนขอคำตอบว่าให้เขาเรียกชื่อของผมได้รึเปล่า “เรียกผมว่ากุมภ์เฉยๆก็ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น...กุมภ์ ประชุมชมรมวันนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“เอาตามตรงมันไม่มีสาระอะไรเลยครับ รองหัวหน้าออกนอกทะเลหลังจากที่เราพูดคุยเรื่องการเบิกงบประมาณมาซื้อหนังสือในส่วนที่หายไป ทางฝั่งเลขาชมรมบอกว่าจะเป็นคนเขียนรายงานให้แล้วพวกเราก็แยกย้าย” พี่เดือนถอนหายใจก่อนที่ผมจะพูดจบประโยค เขากำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง

“ไม่น่าทำควบสองอย่างเลย” นอกจากพี่เดือนจะเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์แล้วเขายังเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนนี้ด้วย ไม่แปลกที่เขาจะบ่นว่าไม่น่าทำอะไรหลายอย่าง “เอาเป็นว่าพี่จะจัดตารางไม่ให้วันประชุมของชมรมมาชนกับวันประชุมของสภานักเรียนแล้วกัน พอปล่อยให้จัดการกันเองก็ทำตามใจชอบเหลือเกิน”

พี่เดือนเร่งเครื่องออกเดินทางอีกครั้ง “แล้วก็...ขอบคุณที่เก็บปากกาให้ด้วยนะ”

“อ๋อ เมื่อหลายวันก่อนใช่มั๊ยครับ? ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องแค่นี้เอง”

พวกเราไม่ได้พูดอะไรอีก พี่เดือนจอดรถอยู่ข้างๆอาคารสถานเรียน เขายื่นร่มมาให้ผม

“ออกไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่วิ่งตามไป”

“แต่พี่จะไม่เปียกฝนเอาเหรอรับ?” ผมถามด้วยความสงสัย “พี่เดือนเอาไปก่อน แล้วผมค่อยเดินตามด้วยก็ได้ครับ ร่มน่าจะใหญ่พออยู่”

เขานั่งคิดก่อนสักพักแล้วก็ตอบตกลง ผมยื่นร่มคืนให้เขา พี่เดือนเปิดประตูรถเพื่อกางร่มออกแล้วก็เปิดประตูหลังให้ผมเดินเข้าไปในร่มด้วย เดินไปที่หน้าตึกพร้อมๆกัน

ทำไมผมรู้สึกว่าพี่เดือนไม่ได้เข้าถึงยากอะไรเหมือนที่คนอื่นว่ากันนะ?

“ใครๆก็บอกว่าพี่เดือนเข้าถึงยาก...ถ้าได้คุยกับพี่จริงๆพี่เป็นคนที่ใจดีคนหนึ่งเลยนะครับ” ผมบอกกับพี่เดือนเมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าตึก “ถ้าพี่เดือนยิ้มมากกว่านี้หน่อยก็อาจจะมีคนเข้าหามากกว่านี้”

“...” เขาไม่ได้ตอบผม เหมือนกำลังคิดหาคำตอบอยู่ “...เอาจริงๆแล้วพี่พูดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานกับการเรียนไม่เก่ง...แถมยังไม่ค่อยกล้าเข้าไปทักทายคนอื่นเท่าไหร่ด้วย กุมภ์น่าจะรู้นะว่าข่าวลือของพี่มันมีทั้งดีและเสีย พี่กลัวความคิดของพวกเขามากว่าจะคิดไปในทางเสียมากกว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอกใช่มั๊ย?” พี่เดือนพูด “ต่อให้พี่ทำตัวดีแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วมนุษย์เราก็สามารถหาข้อเสียของคนคนนั้นมาพูดใส่สีได้ตลอด มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว พอพี่คิดได้แบบนี้พี่ก็ไม่กล้าเข้าไปคุยกับคนอื่นมาก”

“แต่ตอนนี้พี่เดือนก็กำลังบ่นให้ผมฟังอยู่” ผมหัวเราะ พี่เดือนเลิกคิ้วก่อนที่จะยกมือปิดปากเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดอะไรออกไป “พี่นี่ขี้บ่นกว่าที่คิดเอาไว้นะครับ แต่ก็ดีแล้ว บางครั้งพี่ก็ทำหน้าเครียดๆ ที่ทำหน้าแบบนั้นก็เพราะเรื่องนี้รึเปล่า? ถ้าใช่ล่ะก็พี่เดือนไม่ต้องไปคิดมากอะไรหรอก รุ่นน้องทุกคนให้ความนับถือพี่เป็นรุ่นพี่ที่ดีคนหนึ่ง ยังเคยมีคนอยากมาถามพี่ด้วยซ้ำว่าพี่มีเทคนิคเรียนดียังไง”

พี่เดือนเดินนำผมเข้าไปในตึก ส่วนผมก็พล่ามต่อ “พี่เดือนนี่น่าอิจฉาจะตาย ใครๆก็อยากเป็นแบบพี่ ได้เกรดดีๆ มีผลงานเด่นๆ”

“แต่ทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องของการแข่งขันนะกุมภ์”

“...”

ทั้งผมและพี่เดือนหยุดฝีเท้า ยืนอยู่กลางห้องรับรองของสถาบันแห่งนี้ “บนโลกนี้...การแข่งขันมันสูงมาก พี่ต้องทำให้ได้ดีกว่านี้ ต้องทำให้ได้มากกว่านี้เพื่อให้ได้รับการยอมรับมากกว่า พี่ไม่อยากหยุดอยู่จุดเดิม ถ้ามันสามารถทำให้พี่กลายเป็นคนที่มีคุณค่ามากขึ้นได้ล่ะก็ ไม่ว่าอะไรพี่ก็จะทำ ไม่ว่าต้องแลกกับความเหนื่อยของพี่มากแค่ไหนพี่ก็จะทำ”

“มันไม่ฝืนตัวพี่เกินไปเหรอครับนั่น” ผมว่าออกมาด้วยความเป็นห่วง คำตอบของเขาให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าต้องแข่งกับตัวเองเพื่อให้ตัวเองฝืนขีดจำกัดมากกว่านี้ “ผมรู้ว่ามันมีการแข่งขัน แต่พี่จะฝืนเพื่อให้ตัวเองอยู่บนจุดสูงสุดไม่ได้นะ”

“พี่ชินแล้วล่ะกับการอยู่แบบนี้ ไม่อย่างนั้น...ที่บ้านพี่...” พี่เดือนพึมพำ ผมได้ยินแค่คำว่าที่บ้านจากเขา “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าแยกย้ายกันไปเรียนดีกว่านะ” แล้วเขาก็เดินจากผมไป

มันหมายความว่ายังไง? ท่าทางเขาไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด แต่เขาเองก็เหมือนอยากจะระบายเรื่องนี้มากด้วย

ผมนั่งเสียสมาธิตลอดการเรียนกับวิดีโอ ผมฟังไม่รู้เรื่องเพราะกำลังคิดถึงเรื่องของหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้เวลากลับบ้าน ในรถที่พ่อขับมารับผมก็นั่งคิดไปตลอดทางข้างๆกับน้องชายของผมที่ชื่อว่ามีนา

“พี่กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ครับ?”

“เรื่องรุ่นพี่ในโรงเรียน มีนา ถ้าเกิดว่ามีนารู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาอยากระบายเรื่องที่เขาไม่สบายใจให้ฟังแต่สุดท้ายก็เก็บเงียบคนเดียว มีนาจะทำยังไง?” ผมขอความคิดเห็นกับมีนา เด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี แต่ทว่าความคิดอ่านของเขานั้นมากกว่าผมด้วยซ้ำ อาจจะได้คำตอบจากเขาก็ได้ “เขาเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ที่พี่อยู่”

“ถ้าเขาไม่ได้สนิทกับพี่ก็อย่าไปไสร้ถามเลยครับมันจะเสียมารยาท อีกอย่างเรื่องบางเรื่องก็เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของเขา เอามาพูดให้คนอื่นฟังมากไม่ได้เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นไม่สบายใจตาม เป็นพี่ก็คงไม่พูดกับคนที่รู้จักกันไม่นานหรอกนะ?” มีนายื่นซองขนมให้ผม “แต่ถ้าพี่อยากรู้จริงๆก็ลองเข้าไปสนิทกับเขาก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร”

“อย่างนั้นเหรอ...”

ผมยังคงมองเม็ดฝนที่ตกลงมา ฝนมันทำให้ผมรู้สึกว่ามีเรื่องขุ่นมัวและเศร้าหมองในหัวใจจนกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาจากท้องฟ้า ร้องไห้ให้กับความทุกข์ที่ไม่สามารถออกเสียงได้ “แต่เขาจะอยากสนิทด้วยรึเปล่านี่สิ...”

“พี่กุมภ์มีออร่าความสุขเยอะจะตาย ลองแบ่งปันให้รุ่นพี่คนนั้นดูสิครับ พลังรอยยิ้มของพี่น่ะ” มีนาใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างกดที่มุมปากของตัวเองแล้วฉีกยิ้มออกมา “รอยยิ้มเป็นพลังในการขับเคลื่อนความเศร้านะครับ”

หลายคนบอกว่าผมเป็นคนยิ้มสวย เวลายิ้มจะน่ามองแล้วทำให้บรรยากาศรอบๆตัวดีขึ้น

แต่ว่า...รอบนี้ผมมองพี่เดือนไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไร

 

วันเสาร์ของผมคือวันหยุด ผมจึงมาเดินห้างคนเดียว สักพักก็หยุดอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งที่ผมไม่ได้กินมานานมากแล้ว ผมเข้าไปคนเดียวก็ได้อยู่แต่มันก็คงจะเหงาๆหน่อย เพราะนี่คือร้านอาหารครอบครัว แถมโต๊ะที่ใช้สำหรับนั่งสองคนก็เต็มหมดด้วย นั่งคนเดียวโต๊ะสี่คนคงดูไม่ค่อยดีนัก

ผมยืนคิดอยู่หน้าร้านสักพัก ก็มีคนมาสะกิดไหล่ของผมเข้า

“ว่าไงกุมภ์?”

“อ้าวพี่เดือน?” โลกนี้มันกลมกว่าที่ผมคิด พี่เดือนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด สะพายกระเป๋าสีครีมพร้อมกับใส่แว่นสายตาที่ไม่ค่อยเห็นเขาใส่นัก “พี่มาทำอะไรที่นี่ครับ?”

“พี่มาหาหนังสือไปอ่านเล่นน่ะ แล้วก็จดลิสต์หนังสือที่อยากเอาเข้าห้องสมุดด้วย” พี่เดือนมองป้ายร้านอาหารญี่ปุ่น “พี่ว่าพี่จะหาอะไรกินแล้วก็เจอกุมภ์พอดี ถ้าไม่ว่าอะไรนั่งด้วยกันมั๊ย?”

“ผมไม่ว่าหรอกครับ งั้นก็เข้าไปกันเถอะ” ผมกับพี่เดือนเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยกัน เลือกนั่งโต๊ะริมในที่ไม่ค่อยมีใครผ่าน พนักงานยื่นเมนูมาให้พวกเราก่อนที่จะขอตัวเดินออกไปรับออเดอร์จากโต๊ะอื่น

“กุมภ์มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

“ผมมาเดินเล่นครับ ดูของฆ่าเวลา” ผมตอบตามความจริง ผมไม่ค่อยอยากได้อะไรมากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเดินตามร้านกล้องเพื่อดูเลนส์มากกว่า “วันนี้ผมไม่มีเรียนพิเศษเลยว่างจัด”

“ดีจังนะ ของพี่มีเรียนทุกเย็นเลย”

“จริงเหรอครับ? แบบ...ตอนเย็นของทุกวัน?” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากเมนู ในขณะเดียวกันพนักงานก็เดินมารับออเดอร์ของพวกเราสองคน ผมจึงสั่งข้าวแกงกะหรี่กับชาเขียวเย็น “ไม่เหนื่อยแย่เหรอครับ?”

“ชินแล้วล่ะ” คำก็ชิน สองคำก็ชิน พี่เดือนกำลังรู้ตัวเองมั๊ยนะว่าเขากำลังทำร้ายร่ากายตัวเองทางอ้อมแบบนี้ “ผมเอาเบนโตะแซลมอนกับชาเขียวเย็นเหมือนกันนะครับ”

พี่เดือนหยิบหนังสือออกมาจากถุงพลาสติกที่มีโลโก้ร้าน แกะซีลออกแล้วนั่งอ่านเงียบๆ ส่วนผมก็เปิดโทรศัพท์นั่งไถทวิตเตอร์ไปเรื่อยๆจนกระทั่งผมเห็นทวิตหนึ่งที่รีกันมาเรื่อยๆ มันเป็นทวิตของโรงเรียนผมเอง

‘ห้าเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับนายพีรดล - นักเรียนดีเด่น’

ผมเหลือบตามองพี่เดือนที่ไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง ก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ทางโรงเรียนเอาลงหน้าเว็บรออาหาร ถ้าเอาลงแบบนี้ข้อมูลพวกนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก

ข้อหนึ่ง - นายพีรดล นารีรัตน์ หรือเดือน มีบิดาเป็นผู้บริหารโรงแรมสี่ดาวที่กรุงเทพฯ มีมารดาเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในอุบลฯ มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ นายเป็นหนึ่ง นารีรัตน์ หรือหนึ่ง ปัจจุบันพีรดลศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก

นี่เป็นข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับครอบครัวของเขา การที่มีพ่อเป็นผู้บริหารโรงแรม มีแม่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั่นหมายความว่าบ้านเขามีฐานะ ผมไม่แปลกใจที่จะมีเงินไปเรียนพิเศษมากมายขนาดนี้

ข้อสอง – ผลการเรียนของพีรดลมีเกรดเฉลี่ยสูงที่สุด โดยระดับประถมมีเกรดเฉลี่ย 4.00 ระดับมัธยมต้นมีเกรดเฉลี่ย 3.98

แสดงว่าตลอดที่เขาเรียนมานั้นเขาได้ 3.5 วิชาเดียว ถ้าเป็นตอนสมัยผมเด็กๆคงจะร้องบอกว่าทำไมเก่งจัง แต่ตอนนี้ผมจะถามแทนว่าเขาไปพลาดวิชาไหนเข้าให้ แต่นั่นก็แสดงถึงความเป็นอมนุษย์ของตัวเขามากพอแล้ว คนบ้าอะไรจะเรียนได้เกรดสี่มาตลอดอย่างนี้กัน?

ข้อสาม – พีรดลมีผลงานทางวิชาการมากมาย รวมถึงโอลิมปิกวิชาการที่ได้อันดับสองของประเทศ ซึ่งนั่นคือความภาคภูมิใจของโรงเรียน แม้ว่าตัวของพีรดลจะบอกว่าเขาเสียใจที่ไม่ได้ที่หนึ่งก็ตาม

ได้ที่สองของประเทศคือไม่ใช่เล่นๆ แต่เป้าหมายของพี่เดือนคือที่หนึ่งสินะ? ผมเงยหน้ามองพี่เดือนที่ยังคงจ้องหนังสือ สายตาที่เขากำลังอ่านตัวอักษรผ่านเลนส์นั้นมันดูเหนื่อย ไม่แน่ว่าตาของเขาล้าจากการจ้องอะไรนานๆรึเปล่า?

ข้อสี่ – พีรดลเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์และเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมสี่ เพราะว่าทุกคนไว้วางใจมอบหน้าที่นี้ให้เขา

ทุกคนไว้ใจพี่เดือนเพราะเขามีความรับผิดชอบ เป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียน อันนี้ไม่แปลกใจ

ข้อที่ห้า – พีรดลเคยได้ให้สัมภาษณ์กับวารสารโรงเรียนว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ไม่น่าว่าเป้าหมายของเขาคือการได้ไปแข่งขันวิชาการในระดับโลก แต่เมื่อสอบถาม เขาไม่มีท่าทีจะให้คำตอบทำให้นั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนสงสัยว่าเขามีเป้าหมายอะไร

“อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ” พนักงานเสิร์ฟหญิงยกอาหารมาให้พวกเรา ผมพยักหน้าขอบคุณให้ก่อนที่เธอจะเดินจากไป ส่วนพี่เดือนคงจะรู้ตัวแล้วก็เก็บหนังสือใส่ถุงเหมือนเดิม เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบข้าวปั้นเข้าปากแล้วเคี้ยวด้วยความระวัง

ส่วนผมก็เก็บความสงสัยเรื่องนั้นเอาไว้ในใจคนเดียวว่าแท้จริงแล้วพี่เดือนมีเป้าหมายอะไรในชีวิตการศึกษานี้



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (20/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 21-04-2019 08:41:56
“ขอบคุณนะครับที่นั่งเป็นเพื่อน” ผมเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นกับพี่เดือน เขาพยักหน้าก่อนที่จะเดินจากไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือกันที่ทำให้ผมรั้งเขาเอาไว้ก่อน

“...”

...ทำไมผมต้องรั้งเขาไว้ด้วยกัน?

“คือ...พี่เดือนสนใจไปเล่นเกมด้วยกันมั๊ยครับ?” ผมเอ่ยคำชวนไปเมื่อผมเหลือบเห็นโซน Fun Planet อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้นัก “นานๆทีเล่นบ้างก็ไม่เสียหายนี่นา”

“...” พี่เดือนหันไปมอง หันกลับมาที่ตัวผม ก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ เขาเดินตามผมเข้าไปแถวๆตู้เกมต่อสู้ที่ผมไม่ได้เล่นมานาน “นี่...เกมอะไร?”

“พี่ไม่รู้จักเกมเทคเคนเหรอครับ?” ผมส่ายหน้า “มันเป็นเกมต่อสู้ที่เราต้องเลือกตัวละครมาสู้กับบอท แต่ว่าเราก็เลือกที่จะเล่นกับเพื่อนได้ ถ้าพี่เดือนสนใจผมจะเล่นให้ดูก่อนรอบหนึ่งนะครับ”

พี่เดือนน่าจะไม่เคยเล่นเกมนี้ เขาถึงมีท่าทีสนใจเป็นพิเศษผมจึงแลกเหรียญมาหยอดเล่นให้เขาดูก่อนที่จะปล่อยให้รุ่นพี่หัวหน้าชมรมเป็นคนสานต่อ แต่เขาก็แพ้ให้กับบอท

“น่าเสียดายจังนะครับ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พี่เล่นนี่นา” ผมหัวเราะให้เขา แต่จู่ๆพี่เดือนก็เหมือนแค้นอะไรสักอย่าง และเมื่อรอบที่สามได้เริ่มขึ้น พี่เดือนก็ขยับคันโยกแล้วกดคอมโบท่าด้วยความน่ากลัว สายตาของเขาจ้องตัวละครไม่ละออกมา ปากไม่ได้พูดอะไรออกจากกัดริมฝีปากราวกับว่าถ้าเขาแพ้มันคือเรื่องเป็นเรื่องตาย

เคยมีเพื่อนในห้องพูดว่าพี่เดือนเป็นคนจริงจังกับทุกอย่าง แต่ไม่คิดว่าพอจริงจังกับเกมแล้วจะน่ากลัวแบบนี้

“ฟู่...” พี่เดือนเป่าปากหลังจากที่เอาชนะตัวละครในเกมไปได้ จากนั้นเขาก็เล่นต่อจนมาแพ้ให้กับตัวละครรองบอส จะว่ายังไงดีล่ะ พี่เดือนนี่หัวไวมาก แป๊บๆจับทางได้แล้วว่าตรงไหนต้องกดอย่างไร ถ้าเขาเดินเส้นสายเล่นเกมป่านนี้คงจะเป็นหนึ่งในคนที่เล่นเก่งเอามากแน่ๆ

“พี่ได้ระบายกับตัวละครในเกมอย่างนี้ก็ดีแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ลองเล่นกับผมดูมั๊ย?” ผมอาจจะต้องท้าเขาดูเพื่อพิสูจน์ว่าเขาอาจจะไม่ได้มาเล่นๆ แต่พี่เดือนก็รีบพูดขึ้นมาเมื่อเขาดูเวลาในโทรศัพท์ตัวเอง

“ใกล้ได้เวลาที่พี่ต้องไปเรียนแล้วนี่นา กุมภ์ วันนี้ขอโทษด้วยนะที่อยู่นานไม่ได้ พี่ต้องไปก่อนล่ะ เจอกันที่ชมรม” พี่เดือนรีบวิ่งออกไป ผมโบกมือลาเขาก่อนที่จะเห็นว่าพี่เดือนทำผ้าเช็ดหน้าสีเขียวตกเอาไว้ข้างๆ

“เดี๋ยวครับพี่เดือน!”

ไม่ทันซะแล้ว เวลาที่พี่เดือนวิ่งนี่เร็วกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก คงจะรีบจริงๆนั่นแหละ แต่นี่มันก็เพิ่งบ่ายสองเอง ไหนเขาบอกว่ามีเรียนตอนเย็น มันก็เหลืออีกตั้งชั่วโมงเลยไม่ใช่รึยังไงกัน ในอุบลฯรถก็ไม่ได้ติดเสียด้วย

เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยไปคืนให้วันที่ชมรมมีประชุมแล้วกัน

ผมวนๆเล่นเกมอีกสักพักจากนั้นก็ย้ายตัวเองมาที่ร้านหนังสือเพื่อหาหนังสือไปอ่านฆ่าเวลา ผมหยิบหนังสือที่เขียนหน้าปกว่า ‘อย่าวิจารณ์หนังสือเพียงเพราะปก’ ขึ้นมาอ่านคำโปรยด้านหลัง มันมีเนื้อหาเกี่ยวกับการอย่าตัดสินใจคนเพียงเพราะภาพลักษณ์ที่เห็น บางครั้งคนที่กำลังยิ้มอยู่นั้นก็อาจจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดก็ได้ ทำให้ผมนึกถึงพี่เดือนทันที

ข้อที่ห้า...เป้าหมายของเขาที่ไม่มีใครรู้

พี่เดือนอยากจะทำอะไร เขาจะบริหารโรงแรมของพ่อเขาหรือว่าเขาจะเดินเส้นทางหมอตามแม่ของเขากันนะ?

แต่มันคงเป็นการกดดันตัวของเขาน่าดูเมื่อเกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมแบบนี้ ถ้าครอบครัวต้องการคนที่อยากให้สานต่อธุรกิจ พี่เดือนก็คงจะหนีมันไม่พ้น แถมยังต้องพยายามรักษาชื่อเสียงของตระกูลเอาไว้ อย่าทำอะไรที่มันหลุดกรอบเด็ดขาดด้วย ยากน่าดู

พ่อของผมเป็นเจ้าของสตูดีโอถ่ายภาพขนาดเล็กๆ ส่วนแม่เป็นช่างถ่ายภาพ แต่พวกท่านก็ให้อิสระกับผมและน้องในการเลือกที่จะใช้ชีวิต ท่านบอกว่า ‘ขอแค่ลูกมีความสุขกับสิ่งที่ต้องการ แค่นี้พวกท่านก็พอใจมากแล้ว’ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะจับกล้องเหมือนกับแม่ ผมอยากออกไปท่องโลกกว้างเหมือนอย่างที่แม่เคยทำ อยากจะไปเหยียบในสถานที่ที่แม่เคยไปว่ามันจะสวยงามมากแค่ไหนถ้าเราเห็นด้วยตาของตัวเองจริงๆ

แน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่มีอาชีพที่ค่อนข้างอิสระ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องชื่อเสียงของนามสกุลมากนัก ยังไงพวกเราก็เป็นหนึ่งในประชาชนที่มีนามสกุลโหลอยู่แล้ว

แต่สำหรับพี่เดือน...นามสกุลนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองอุบลฯ ถ้าเอ่ยถึงนามสกุลนี้ต้องร้องอ๋อว่าใช่ชื่อโรงพยาบาลเอกชนหรือโรงแรมสี่ดาวนั่นรึเปล่า

ถ้าผมเป็นพี่เดือน...ผมคงจะอึดอัดที่มีคนมาถามไถ่ตลอดเวลา

ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์กลับไปอ่านต่อ แวะซื้อโดนัทกลับไปฝากที่บ้าน จากนั้นก็แกะซีลอ่านหนังสือขณะนั่งในรถ บทที่หนึ่งเขียนเอาไว้ถึงชีวิตของชายคนหนึ่งที่เป็นนักวาดการ์ตูนให้กับการ์ตูนรายสัปดาห์เล่มหนึ่ง

คนมักจะพูดว่าพวกเราเป็นนักวาดไส้แห้ง ไม่มีจะกินไปวันๆ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ มันเป็นมุขที่ล้อกันเล่นในวงเฉยๆ พวกเรามีกินมีอยู่เหมือนทุกคนนั่นแหละครับไม่งั้นจะมีเงินไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารได้ยังไง (หัวเราะ)

สำหรับผม หลายคนเหมือนกันนะที่บอกกับผมว่าดูเหมือนคนอารมณ์เสียตลอดเวลา นั่นคือการตัดสินใจจากภายนอกครับ บางคนหน้าตาน่ากลัวมาก แต่ถ้าเข้าไปคุยกันจริงๆแล้วเขากลับเป็นคนที่เข้าถึงง่ายสุดๆ การที่เราตัดสินจากรูปลักษณ์ที่เห็นนั้นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์อยู่แล้ว อารมณ์มันคงคล้ายๆกับความประทับใจแรกพบ แต่ถึงจะคล้ายมันก็ไม่เหมือน

ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังอ่านบทแรกที่เป็นส่วนของผมนั้น ก็ขอให้ช่วยนำไปคิดด้วยนะครับว่าการที่เราตัดสินใจจากสิ่งที่เรามองเห็นนั้นมันเหมาะสมกับเราจริงๆหรือไม่? เหมือนกับที่คุณเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา คุณอาจจะชอบปกที่มันเรียบๆหรูๆ แต่ถ้าคุณอ่านไปเรื่อยๆคุณอาจจะเอาไปขายต่อเป็นมือสองก็ได้ ดังนั้นแล้วช่วยลองคิดดูสักนิดว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า?


ผมปิดหน้าหนังสือเมื่อรู้ตัวว่าถึงบ้านแล้ว จากนั้นก็เก็บหนังสือนั่นลงถุงโดยที่ไม่ได้อ่านต่ออีกในคืนนั้น

 

“อ้าวกุมภ์ ปกติไม่เห็นพกผ้าเช็ดหน้านี่นา” นทีทักผมขึ้นมาเมื่อเห็นว่าในมือของผมนั้นมีผ้าเช็ดหน้าอยู่ ผมตั้งใจว่าจะเอาใส่ถุงกันร้อนเล็กๆที่ไปขอมาจากคุณป้าในโรงอาหารมาใส่เอาไว้กันฝุ่นและเชื้อโรค เพราะผมไม่รู้ว่าพี่เดือนถือสาเรื่องนี้หรือไม่ “รึว่าไปยืมใครมา?”

“ของพี่เดือนน่ะ เดี๋ยวว่าวันนี้จะเอาไปคืน เขาทำตกเอาไว้” เพื่อนสนิทของผมพยักหน้าเข้าใจ

“จะว่าไปแล้วเดี๋ยวก็จะมีงานต้อนรับคณะประเมินโรงเรียนนี่นา ชมรมมึงทำอะไรอะ?” เขาลากกระเป๋ากีตาร์ตัวเองมา เปิดซิบเพื่อหยิบเอากระดาษเขียนคอร์ดเพลงให้ผมดู “ชมรมกูจะเล่นดนตรีกัน ของมึงเป็นชมรมบรรณารักษ์ไม่ใช่ว่าจะให้จัดซุ้มแนะนำหนังสือนะ?”

“ก็คงจะอย่างนั้น รอให้หัวหน้าชมรมอย่างพี่เดือนยืนยันก่อนว่าจะทำอะไร” ผมเหม่อมองนอกหน้าต่าง “พี่เขาเองก็วนอยู่กับสภานักเรียนประจำ อาจจะติดธุระทางนั้นจนให้รองหัวหน้าจัดการแทน งานนี้เละแน่ๆ”

“อ่า...ก็เคยได้ยินอยู่ว่าปีที่แล้วชมรมนี้เละสุดๆ ห้องสมุดหนังสือหายทุกวันแล้วไม่มีคนรับผิดชอบ”

“ใช่มั๊ย พี่เดือนแกเลยควบสองทำทุกอย่างจนกูเองก็สงสัยว่าเขาไม่เหนื่อยเกินไปเหรอ ทั้งเรียน ทั้งคุมกิจกรรม ไหนจะคอยเป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์คอยอัพเดทข่าวให้นักเรียนทุกคนอีก” ผมถอนหายใจให้กับผ้าเช็ดหน้า “เป็นมึงจะทนทำเหรอ?”

“ไม่หรอก แต่นั่นคือพี่เดือนบุคคลสาธารณะ การที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยนั้นน่าจะมีสองอย่างคืออยากจะทำจริงๆกับจำใจทำ”

“จำใจทำ?”

ผมขึ้นน้ำเสียงนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำๆนี้จากนที เขาวางกระดาษคอร์ดเพลงในมือลงกับโต๊ะผมแล้วก็เท้าคางมองตา

“บางเรื่องพี่เขาก็ไม่อยากทำแต่สถานการณ์มันบีบบังคับไง ยิ่งเป็นคนที่เป็นหน้าเป็นตาก็ยิ่งทำให้ปฏิเสธยากกว่าเดิม เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี”

“อ่อ...”

“แล้วก็นะ หน้าที่ของพี่เดือนนอกจากจะเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนแล้ว เขายังต้องรักษาระดับผลการเรียนของตัวเองอยู่เสมอๆ ถ้าเกิดว่ามันไม่เป็นไปตามคาดนะ ทุกคนได้ผิดหวังตามแน่ โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่” นทีเขี่ยนิ้วกับโต๊ะ “กูอ่านกระทู้ในเว็บบอร์ดโรงเรียนเรื่องของพี่เดือน พี่เดือนเกิดในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ก็ต้องคาดหวังนั่นแหละว่าอยากให้ลูกตัวเองมีชื่อเสียง เป็นความภาคภูมิใจ ไม่แน่ว่าอาจจะตั้งเป้าหมายให้ลูกตัวเองได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นจริงกูสงสารพี่เดือนมากเลยนะ ม.ปลายไม่ได้เรียนกันง่ายๆสักหน่อย การที่จะทำให้ได้เกรดสี่ทุกวิชามันเป็นไปไม่ได้เลย”

“แต่เพราะการที่มันเป็นไปไม่ได้ พี่เดือนเลยต้องทำให้เป็นไปได้ไง กูเชื่อว่ามีหลายคนที่ห่วงพี่เดือนว่ากำลังฝืนขีดจำกัดของคนคนหนึ่งอยู่ กูก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน กูนับถือเขาเป็นรุ่นพี่ที่ดี แต่กูก็ไม่อยากเห็นเขาเป็นลมล้มลงไปกับพื้นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ มึงเคยบ่นให้กูได้ยินว่าพี่เดือนเรียนหนักเกินไป”

“ฮะ?” ผมเนี่ยนะบ่นให้นทีมันได้ยิน? “ตอนไหนวะ?”

“ก็...เมื่อวานตอนที่อยู่ที่โรงอาหาร พี่เดือนเดินผ่านมึงแล้วมึงก็บ่นทำนองว่าเรียนในโรงเรียนทั้งวันแล้วยังเรียนพิเศษตอนเย็นอีก กูเลยเดาไปว่าพี่เดือนคงจะพักไม่ค่อยพอเท่าไหร่ ยิ่งเด็กม.6 ก็ยิ่งต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ระดับพี่เดือนคงไม่อ่านก่อนวันสอบหรอกนะ?”

อ่า...ตอนนั้นสินะ พี่เดือนเดินผ่านผมในโรงอาหาร เขาดูเหมือนเหม่อๆคิดอะไรในใจ หลายคนทักเขาแต่เขาก็ไม่ตอบสนอง นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมบ่นออกมาวาอาจจะเป็นเพราะเขาพักไม่พอเลยใจลอยไม่ค่อยมีสติเท่าที่ควร

“เอาเถอะ เราก็เข้าไปยุ่งกับชีวิตเขาไม่ได้มากหรอก แต่ถ้ามึงช่วยเตือนพี่เดือนบ้างก็ดี” แล้วนทีก็ฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะเพื่อนอนพักผ่อนตอนกลางวัน

 

ช่วงบ่ายหลังเลิกเรียน ผมเดินไปที่ห้อสมุดแล้วเปิดประตูเข้าห้องชมรมที่ไม่ได้กว้างมากนัก ชมรมนี้มีคนอยู่ไม่กี่คน วันนี้ผมเห็นพี่เดือนกำลังนั่งจัดเอกสารที่น่าจะเป็นเอกสารหัวข้อการประชุมวันนี้อยู่คนเดียว คงมาเร็วเกินไป

“สวัสดีครับพี่เดือน วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ” ผมทักทายเขา พี่เดือนพยักหน้ารับตามธรรมชาติของเขา เมื่อยังไม่ได้ประชุมผมจึงยื่นของที่ต้องคืนให้เขาไป “เมื่อหลายวันก่อนพี่ทำผ้าเช็ดหน้านี่ตกเอาไว้ ผมเอามาคืนให้ครับ”

“อ้าว ก็ว่าอยู่ว่าหายไปไหน ขอบคุณนะ”

พวกเรานั่งประจำที่ของตัวเอง พี่เดือนยื่นเอกสารมาให้ผมอ่านเอาไว้ก่อน หัวข้อคร่าวๆก็คือเรื่องหนังสือที่หายไปเหมือนเดิม ส่วนหัวข้อใหญ่ในวันนี้คือสิ่งที่เราจะจัดในงานต้อนรับคณะกรรมการประเมินโรงเรียนที่จะมาถึงนี้

“กุมภ์ พี่ว่าพี่จะประชุมเรื่องตำแหน่งรองหัวหน้าด้วย พี่ว่าพี่เริ่มไม่ไหวกับเขาแล้ว”

พี่เดือนพูดทำลายความเงียบ ผมเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารและก็เห็นว่าพี่เดือนกำลังเขียนอะไรลงกระดาษอยู่

“ช่วงนี้เขาขาดความรับผิดชอบมากไป...พี่ไม่ไว้ใจเขาเท่าเมื่อก่อน พี่ต้องเปลี่ยนคนทำหน้าที่นี้”

“พี่เลือกเอาไว้รึยังครับว่าจะเลือกใคร?”

“พี่เล็งสมาชิกที่อยู่ม.5 คนหนึ่งเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าเขาอยากทำรึเปล่า คนนั้นพี่ถูกชะตาด้วย ขยันดี” พี่เดือนวางปากกาลง “แล้วก็ถ้าพี่เรียนจบไปแล้ว พี่จะเลือกหัวหน้าชมรมด้วยตัวเอง พี่จะแจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้”

“ครับ”

ไม่นานคนอื่นๆในชมรมก็เดินเข้ามาประจำที่นั่งตัวเอง พี่เดือนเริ่มหัวข้อด้วยเรื่องเก่าๆ จากนั้นเขาก็เอ่ยถึงสิ่งที่จะทำในงานต้อนรับคณะกรรมการ

“ปีนี้เราจะจัดให้มีซุ้มหนังสือแนะนำเหมือนปีที่แล้ว แต่เราก็เพิ่มซุ้มพูดคุยกับนักเขียนด้วย ผมรู้จักนักเขียนคนหนึ่งที่เป็นนักเขียนแนวปรัชญา ผมขอความช่วยเหลือจากเขาแล้วซึ่งทางเราก็ได้คำตอบตกลงในการเข้าร่วม แลกกับการที่เขาจะเอาหนังสือของเขามาฝากขายฟรี เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย มีใครขัดข้องรึเปล่าครับ?” พี่เดือนมองหน้าทุกคน และเมื่อไม่มีใครพูดอะไร พี่เดือนก็ก้มลงมองหน้ากระดาษอีกครั้ง “นอกจากจะมีพูดคุยกับนักเขียนแล้ว พวกเราชมรมบรรณารักษ์ได้รับหน้าที่พิเศษในการเป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์ในปีนี้ด้วย”

“หา? นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอเดือน” รองหัวหน้าชมรมร้องขึ้นมา “เท่านี้ก็เหนื่อยแย่แล้วนะ ไหนจะต้องมาดูแลนักเขียนที่ไปเชิญมาโดยไม่ปรึกษาพวกเราก่อน ไหนจะดูซุ้มไม่ให้คนเข้ามาขโมยของอีก จำนวนคนของเขาก็ไม่ได้เยอะด้วย”

“แล้วทำไมเมื่อครู่คุณไม่แจ้งให้ผมทราบล่ะครับว่าไม่พอใจ?” พี่เดือนจะแทนตัวเองว่าผมกับคุณเสมอ...ยกเว้นกับผมที่เขาแทนตัวเองว่าพี่ “ผมเข้าใจว่ามันต้องใช้การตัดสินใจจากหลายๆฝ่าย แต่ในเมื่อคุณไม่สามารถบริหารได้ตามที่ผมต้องการ ผมก็มีสิทธิที่จะไม่ฟังคุณ”

“คิดว่าเป็นคนที่ทุกคนนับถือแล้วมีสิทธิทำทุกอย่างรึยังไงกัน?!” รองหัวหน้าเริ่มโมโหแล้ว แต่พี่เดือนก็ยังคงความนิ่งของตัวเองเอาไว้ จากนั้นรองหัวหน้าชมรมก็หัวเสียเดินออกจากห้องชมรมไปเลย

ทุกคนหันมองหน้ากัน ก่อนที่จะกลับเข้ามาประชุมเช่นเดิม

“ผมแบ่งหน้าที่ให้ทุกคนเอาไว้แล้วนะครับ เริ่มจากที่ตัวผมและกุมภา จะเป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์ ดังนั้นแล้วถ้ามีอะไรแล้วติดต่อผมไม่ได้ก็ติดต่อน้องเขาแทนเพราะผมจะอยู่กับเขาตลอด วริษา ไกรวิชญ์ และณัฐยากรเป็นคนจัดการดูแลส่วนของตัวนักเขียน ที่เหลือคือพัชรวดี เอกราช และมณฑลช่วยดูแลส่วนของหนังสือแนะนำกับฝากขายที” ทุกคนพยักหน้าตาม “ตามความจริงแล้วรองหัวหน้าสหอนันต์ต้องอยู่กับผมด้วย แต่คาดว่าเขาคงไม่พอใจดังนั้นแล้วเราจะปล่อยเขาไป ถ้ามีใครแจ้งอะไรมาก็ช่วยตอบกลับไปด้วยว่าเพราะเขาไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่”

พี่เดือนพอเอาเข้าจริงๆแล้วน่ากลัว...น่ากลัวกว่าที่คิดเอาไว้มาก “วันนี้ขอจบการประชุมเท่านี้ครับ กุมภ์ เดี๋ยวอยู่คุยกับพี่ก่อนนะ”

“ครับ”

ทุกคนเดินออกไปพร้อมกับเอกสาร เมื่อเสียงประตูดังขึ้นพี่เดือนก็ยกมือขึ้นมานวดขมับทันที

“พี่ทำเกินไปรึเปล่านะ...”

“ไม่หรอกครับ นั่นก็ถือว่าสมควรแล้ว เพราะนั่นไม่ใช่ทำให้แค่เขาโดนไม่ดี แต่ยังทำให้คนทั้งชมรมโดนมองไม่ดีด้วยโดยเฉพาะพี่เดือน พี่เดือนเป็นหัวหน้าชมรมก็จะโดนเพ่งเล็งเรื่องนี้มากที่สุดเลย” ผมพูด “ว่าแต่ทำไมถึงให้ผมช่วยเรื่องงานประชาสัมพันธ์ครับ? ไม่ใช่ว่าผมทำไม่ได้แต่ว่าเพราะทำไม...”

“พี่ดูทรงของกุมภ์แล้วน่าจะมีความรับผิดชอบดีสุด กุมภ์เข้าใจนะว่านี่คืองานที่ต้องเน้นภาพลักษณ์เป็นพิเศษ ถ้าพี่เลือกคนที่สมาธิวอกแวกหรือทำงานพลาดบ่อยๆก็ดูไม่ดี”

ผมเข้าใจ แต่นั่นหมายความว่าผมก็ต้องอยู่กับเขาบ่อยขึ้น “ถ้ากุมภ์ไม่อยากทำจริงๆพี่ก็เปลี่ยนคนให้ได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่เดือนไว้ใจผมให้ทำผมก็จะทำ” ผมยิ้ม พี่เดือนเลิกคิ้วแปลกใจแล้วก็ยิ้มมุมปากตาม “อีกอย่างก่อนกลับนะครับ ทำไมพี่แทนตัวกับผมไม่เหมือนคนอื่น?”

“?”

“ก็พี่แทนตัวเองว่าพี่เวลาอยู่กับผม แต่แทนตัวว่าผมเวลาที่อยู่กับคนอื่น...”

“นั่นสิ พี่เองยังแปลกใจเลย แต่คงเป็นเพราะว่าเอ็นดูล่ะมั้ง?” พี่เดือนพิงตัวกับเก้าอี้ หมุนไปอีกด้านที่เป็นกระดานไวท์บอร์ดเขียนชื่อสมาชิกในชมรม “น่าแปลกนะที่เราได้คุยกันไม่กี่ครั้งแต่พี่ก็รู้สึกว่าอยากจะทำความรู้จักให้มากกว่านี้ คล้ายๆกับว่าพี่สนใจตัวกุมภ์”

ทำไมผมรู้สึกหน้าร้อนๆ พี่เดือนแค่ชมผมเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก “ได้เวลาต้องกลับบ้านแล้ว พี่เดือนครับ ผมไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อนๆ”

“ครับ?”

“เอานี่ไปสิ” พี่เดือนเขียนเบอร์โทรของเขาใส่กระดาษให้ “เรามีเรื่องต้องติดต่อกันบ่อยๆ บันทึกเบอร์ใส่เครื่องเอาไว้แล้วไลน์พี่มันจะขึ้นในเพื่อนใหม่เลย พี่ผูกเอาไว้” พี่เดือนเก็บกระเป๋าของตัวเองบ้าง “พี่เองก็ต้องไปเรียนต่อแล้ว กลับบ้านดีๆนะ วันไหนถ้าไปเรียนก็นั่งรถไปพร้อมกับพี่ได้”

“ผมเกรงใจแย่เลยครับพี่เดือน ไม่เป็นไรหรอก” ผมส่ายหน้า โบกมือปฏิเสธ พี่เดือนไม่ได้หันมามองผมอีกหลังจากที่พูดบอกลากัน

แต่ยามที่ผมมองพี่เดือนนั้น...เขาช่างดูโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน แผ่นหลังกว้างๆนั่น...เขาเดินอยู่คนเดียวแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วกันนะ...

สำหรับผมแล้ว เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับพี่เดือนนั้นมีห้าข้อเหมือนกัน

ข้อแรก – พี่เดือนเป็นคนที่ทุกคนบอกว่าน่านับถือ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เขาพูดไม่เก่งและด้วยเหตุผลนั้นทำให้เขาไม่ใช่คนที่จะเปิดบทสนทนาเรื่องไร้สาระได้ดีนัก

ข้อที่สอง – มีนิสัยที่แอบชอบเอาชนะนิดๆ ผมได้เห็นเมื่อหลายวันก่อนจากการเล่นเกม แสดงว่าเขาไม่ชอบความพ่ายแพ้ การที่แพ้มันเหมือนกับการดูถูกเขา


ข้อที่สาม – เขาไม่ชอบคนที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่

ข้อที่สี่ - ถ้าเป็นเรื่องงานหรือเรื่องเรียน เขามักจะจริงจังและมุ่งมุ่นเสมอ


และข้อที่ห้า...

ถ้าพี่เดือนเริ่มสนิทใจกับใครจะไม่แทนตัวว่าผมกับคุณเด็ดขาด

 

แล้วผม...เป็นคนที่อยู่ในข้อที่ห้าของคุณอย่างนั้นเหรอ?



==========


อัพบทที่ 1 แล้วเน้อ ยาวกว่าที่เคยเขียนเอาไว้เยอะเหมือนกัน แต่คิดว่านี่คือความยาวที่เหมาะสมแล้ว ส่วนบทที่ 2 นั้นขอปั่นบทที่ 3 เสร็จก่อนแล้วจะมาอัพนะ :u;

ตามไปคุยกับต้นเกลือได้ที่ @SmolMety นะจ้ะ

หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-04-2019 12:28:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 24-04-2019 11:00:34
บทที่ 2

 

วันนี้วันเสาร์ กับผมที่อยู่ที่เดิม เวลาเดิม ห้างเดิม แต่ไม่ใช่ร้านอาหารเดิม ผมมาวนๆอยู่แถวร้านสเต็กราคาประหยัดแทนเนื่องจากวันนี้ผมมาเดินดูเครื่องเขียนเฉยๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆราคาเครื่องเขียนพวกนี้ก็เข้าเนื้อเหมือนกัน ผมไม่ค่อยอยากจะถอนเงินที่พ่อกับแม่ฝากเอาไว้ให้เท่าไหร่นักยังต้องถอนออกมาใช้ พอเหลือเงินก็อยากกินอีก

เอายังไงดี จะกินหรือไม่กิน?

“คุณลูกค้ามากี่ท่านคะ?”

“คนเดี--”

“สองคนครับ”

ผมหันไปตามเสียง พี่เดือนยืนซ้อนหลังผมอยู่ เขายิ้มให้พนักงานก่อนที่เธอจะพาพวกเราไปนั่งที่โต๊ะที่ยังว่างอยู่

“พี่เดือน...”

“เห็นวนไปวนมาอยู่หน้าร้านนานแล้ว พี่ตั้งใจจะมากินข้าวพอดีด้วยเลยชวนเข้ามาด้วยกันเลยดีกว่า” พี่เดือนหยิบเมนูขึ้นมาอ่าน “วันนี้ก็มาคนเดียวอีกรึยังไง?”

“ครับ เพื่อนผมก็มีเรียนพิเศษทุกวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนผมว่างๆนั่งรถมาเอง แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยขนาดนั้นหรอก ว่าแต่พี่เดือนเองเถอะ ผมมาทีไรก็เห็นพี่ตลอด” สายตาของผมเห็นถุงพลาสติกสีขาวที่เป็นถุงของร้านหนังสือ เขามาซื้อหนังสืออีกแล้ว “พี่ซื้อเล่มใหม่มาอ่านเหรอครับ?”

“อืม หนังสืออ่านเล่นน่ะ” พี่เดือนหันไปสั่งอาหารกับพนักงาน แล้วก็คุยกับผมต่อ “นานๆทีพี่ถึงมีเวลาว่างอ่านหนังสือนอกเวลา ถ้าดีพี่ก็จะได้เขียนลิสต์ไว้เบิกกับทางโรงเรียน”

ชมรมของพวกเรามีสิทธิ์เบิกงบประมาณมากที่สุด แต่ก็ยากที่สุดเช่นกัน ถ้าไม่ใช่หนังสือที่ดีจริงๆก็ไม่มีสิทธินำเข้ามาได้เด็ดขาด และถ้าเป็นหนังสือที่พี่เดือนอ่านแล้วอยากให้คนอื่นอ่านต่อด้วยล่ะก็มันต้องเป็นหนังสือคุณภาพ โรงเรียนถึงไม่กล้าเถียงพี่เดือนสักเท่าไหร่เวลาจะของบส่วนนี้มาซื้อหนังสือเข้า

พี่เดือนเข้าสู่โลกของตัวเขาเองอีกครั้ง แกะซีลหนังสือ เปิดอ่าน ผมเห็นหน้าปกของหนังสือก็ต้องร้องอ๋อเพราะมันเป็นหนังสือวรรณกรรมของนักเขียนหน้าใหม่ที่กำลังดังช่วงนี้

‘365 วันของนักเรียนดีเด่น’ วรรณกรรมที่สะท้อนถึงนักเรียนคนหนึ่งที่มีผลการเรียนดี ไม่เป็นที่น่าผิดหวังมาตลอด แต่ทว่าความจริงแล้วเขาได้รับแรงกดดันจากครอบครัว อีกทั้งเคยโดนทำร้ายร่างกายและทารุณมากมายเมื่อเขายังเด็กจนเกิดความเชื่อว่าถ้าเขาทำตัวเด่น จะมีคนสนใจ ครอบครัวจะเลิกทำร้ายและดูแลเขาดีขึ้น

เนื้อหาภายในจะกล่าวถึงชีวิตในหนึ่งวันของเขาภายในหนึ่งหน้ากระดาษ ในส่วนของวันที่ 365 นั้นมันช่างน่าเศร้าเสียเลยเกินหลังจากที่ผมอ่านจบ เด็กชายคนนั้นตัดสินใจจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีจากความทุกข์ แรงกดดัน และอยู่กับความสุขในโลกหลังความตายชั่วนิรันดร์ เมื่อวิเคราะห์ออกมาดีๆแล้วทางด้านจิตวิทยา เด็กคนนี้เป็นโรคซึมเศร้าและโรคเครียด นับวันยิ่งรุนแรงและไม่ได้รับการรักษา ทำให้หลายคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้บอกว่าเป็นหนังสือที่สะท้อนถึงการเรียนในปัจจุบันที่แข่งขันกันสูงเกินความจำเป็น

พี่เดือนเลือกอ่านเล่มนี้...เพราะอะไรกันนะ?

เพราะวรรณกรรมเรื่องนี้มันทำให้ผมนึกถึงพี่เดือนก่อนคนแรก ไม่มีใครรู้ว่าพี่เดือนกำลังคิดอะไรหรือตั้งใจจะทำอะไร ถ้าร้ายแรงพี่เดือนเองก็อาจจะเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนเด็กผู้ชายในเรื่องนี้ แต่มันจะมีโอกาสขนาดนั้นเลยเหรอที่ชีวิตของเขาจะไปเหมือนในวรรณกรรม?

“นักเขียนวรรณกรรมเรื่องนี้ไม่เคยเปิดเผยตัวตนกับสื่อ ไม่เคยแจกลายเซ็น” พี่เดือนพูดขึ้นเมื่อเขารู้ตัวว่าผมจ้องหนังสือเล่มที่เขาถืออ่านอยู่ “เขาทำตัวราวกับว่าเขาไม่อยากเป็นที่รู้จักในสังคม ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครนอกจากกองบก. น่าแปลกนะ”

“นามปากกา HiddenShadow นี่เหรอครับ? นั่นสินะ ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาเป็นคนแบบไหนที่ทำให้เขียนวรรณกรรมที่มีเนื้อหาหนักหน่วงขนาดนี้ได้ บางที...เขาอาจจะเจอเรื่องทำนองนี้มาก่อนก็ได้ใครจะไปรู้” ผมมองนอกกระจกร้าน ผู้คนเดินผ่านไปมา

“เขาคงไม่อยากทำให้ตัวเองดังแต่อยากถ่ายทอดเรื่องราวที่เขาเจอก็ได้” พี่เดือนรับจานสเต็กจากพนักงาน เขาเตรียมตัวจะหยิบส้อมและมีดขึ้นมาตัดชิมเนื้อวัวชิ้นโต “...เขาอยากระบาย”

ผมไม่รู้ว่าพี่เดือนกำลังจะสื่ออะไร สายตาของเขาดูขุ่นมัวลง เขานั่งกินเนื้อสเต็กตามปกติ แต่ว่าเหมือนมีกำแพงอารมณ์ที่เข้ามากั้นตัวของเขากับตัวของผมเอาไว้

แล้วผมก็ได้ยินเสียงฝนตก

เสียงฝนตกที่น่าจะเป็นพายุกำลังตกอยู่ข้างนอก พร้อมกับเสียงฟ้าร้องตามมาด้วยฟ้าผ่า หลายคนในร้านเริ่มแตกตื่นกลัว ส่วนผมยังคงนั่งมองพี่เดือนโดยที่ไม่ได้แตะอาหารของตัวเองเลยสักคำ มันเป็นเหมือนสัญญาณที่กำลังบอกว่าพี่เดือนมีเรื่องเศร้าในจิตใจ คนเราว่ากันว่าความทุกข์นั้นสามารถพูดได้ผ่านทางหน้าตาและสีหน้า ซึ่งในตอนนี้ผมกำลังเห็นสีหน้าพี่เดือนดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นักเมื่อพูดถึงหนังสือวรรณกรรมเล่มนั้น

หรือว่า...จริงๆแล้ว...

“พี่เดือนครับ เราไปดูหนังต่อกันมั๊ย?”

“?”

“วันนี้มีหนังใหม่เข้าพอดี ผมมีบัตรลดแต่เป็นสำหรับสองที่นั่ง ถ้าพี่มีเวลาพี่สนใจจะดูหนังกันผมมั๊ยครับ?” ผมหยิบบัตรส่วนลดขึ้นมา “เปลี่ยนจากการอ่านตัวน้ำหมึกเป็นดูการเล่าเรื่องผ่านภาพบ้างก็ไม่เสียหายนี่เนอะ”

พูดแล้วก็ฉีกยิ้มให้พี่เดือน เขามองบัตรในมือผมก่อนสักพักแล้วจะส่ายหน้า

“พี่ไม่สะดวกน่ะ ขอโทษนะ...”

ผมว่าแล้วว่าพี่เดือนต้องปฏิเสธ การที่จะเข้าไปชวนดูหนังปุ๊บปั๊บเลยมันก็ใช่เรื่อง ดังนั้นแล้วผมจึงก้มหน้าตัดเนื้อสเต็กกินเงียบๆ

ผมยอมรับว่าผมแอบผิดหวัง...แต่มันก็แค่การชวนครั้งแรก พี่เดือนจะกระอักกระอวนเหมือนกันถ้าจะให้ไปดูหนังกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน

“...แต่พี่ไม่ไปเรียนสักวันก็ได้...”

ผมเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินคำตอบที่แตกต่างจากเดิมของพี่เดือน เขากำลังยิ้มให้ผม คิ้วของเขาตกลงนิดหน่อยเหมือนใจอ่อนให้ “ทำหน้าเศร้าแบบนั้น...ไม่เหมาะกับกุมภ์หรอกนะ”

แล้วพี่เดือนรู้ตัวรึเปล่านะ...ว่าพี่ยิ้มแบบนี้พี่ยิ่งดูดีมากกว่าเดิมอีก

“แล้วพี่ทำหน้าเครียดๆแบบเมื่อกี๊มันก็ไม่เหมาะกับพี่หรอกนะครับ” ผมตอบกลับไป พี่เดือนเลิกคิ้ว เขายกมือขึ้นมาสัมผัสริมฝีปากตัวเองก่อนที่จะหน้าแดงๆขึ้นมา “พี่เดือน มันไม่ได้ตลกอะไรหรอกครับ พี่ดูดีขึ้นมาจริงๆ รอยยิ้มพี่มันอบอุ่นมากนะรู้ตัวรึเปล่า?”

“อ่า...” คิก...พี่เดือนกำลังไปไม่เป็นหลังจากที่ผมชมเขาเข้าไป “เดี๋ยวผมเปิดตารางหนังให้พี่เดือนเลือกเลยแล้วกัน ไหนๆผมก็จะมาผลาญเงินแล้ว”

“ไม่ๆ พี่เลี้ยงหนังดีกว่า” พี่เดือนร้องขึ้นมา

“ผมเป็นคนชวนพี่นะครับ”

“แต่พี่อยากเลี้ยงหนัง”

พวกเรานั่งเงียบ แล้วก็มาสะดุ้งทั้งคู่เมื่อรู้ว่ากำลังเถียงกันเหมือนเด็กอายุหกขวบเพราะเรื่องแค่นี้ จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา

“พี่เพิ่งเคยเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้กับกุมภ์คนแรกเลยนะ”

“ผมดีใจนะที่เป็นคนแรกที่ได้เถียงเรื่องแบบนี้กับพี่เดือน เอาเป็นว่าหารครึ่งกับดีกว่านะครับ จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก มาดูตารางหนังดีกว่า”

ผมกับพี่เดือนดูตารางหนังด้วยกัน คุยกันเรื่องหนังเรื่องไหนดียังไง เพิ่งรู้ด้วยว่าพี่เดือนเป็นคอหนังเพราะท่าทางเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้ดูอะไรเท่าไหร่นัก ผมจึงเอ่ยปากถามคำถามไป

“หน้าตาพี่ดูไม่เหมือนคนดูหนังใช่มั๊ย? นั่นแหละ เพราะพี่ไม่ค่อยคุยกับใครด้วยเลยไม่มีใครรู้ พี่ชอบหนังไซไฟมากเลยนะ CG พวกนี้สุดยอดมาก” สายตาของพี่เดือนเป็นประกายเมื่อพูดถึงหนังประเภทที่ตนเองชอบ “พี่อยากทำงาน CG อย่างนั้น ถ้าไม่ได้ทำพี่ก็อยากไปเห็นเบื้องหลังของพวกเขาว่าใช้เวลานานมากแค่ไหน บางทีพี่ก็ไปหาหนังสือพวกนี้มาอ่านด้วยว่าเขาทำยังไง พี่ว่าพี่จะลองโหลดโปรแกรมสามมิติมาลองเล่นอยู่...” แต่จู่ๆเหมือนเสียงของเขาก็ดูหงอยลงอย่างชัดเจน “แต่พี่ว่า...พี่คงไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้หรอก”

ผมไม่ได้พูดต่อ พอจะเดาได้ว่าพี่เดือนต้องการสื่ออะไร ครอบครัวของเขาคงอยากให้ลูกชายคนโตสืบทอดงานที่ทำ แต่จากที่ฟังมา พี่เดือนมีความสนใจในสายงานกราฟิกมากพอตัวเลย

“พี่ลองวาดรูปดู...พี่ก็ลงสีไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ พอวาดในคอมแล้วมันก็ไม่เหมือนกับวาดบนกระดาษด้วย”

พี่เดือนยื่นโทรศัพท์มาให้ ผมนึกว่าพี่เดือนจะชอบวาดอะไรที่มันดูเรียลลิสติกเสียอีก แต่ในหน้าจอนั้นเป็นรูปไก่ตัวเล็กๆกำลังจิกกินเม็ดข้าวบนพื้น งานสไตล์ดูเดิ้ลอาร์ทน่ารักๆ “น่ารักดีนะครับ”

“ขอบคุณนะ” พี่เดือนยิ้ม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนที่จะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าตัวเอง “ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันรอบฉาย”

 

พวกเราเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นสี่เป็นที่ตั้งของโรงหนัง พี่เดือนเป็นฝ่ายเข้าไปซื้อตั๋วหนังให้ก่อนที่พวกเราจะเดินไปนั่งในโรงหนังรอ ระหว่างนั้นก็มีโฆษณาตัวอย่างหนังให้ดูฆ่าเวลา พี่เดือนถอดคอนเทคเลนส์ตัวเองแล้วใส่แว่นเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันที่ห้างแห่งนี้ เขาจ้องตัวเอย่างหนังไม่วางตาจนผมอยากจะถามว่าเขาอยากทำงานสายนี้หรือไม่ ปากเขาเองก็บ่นพึมพำเหมือนคำว่า ‘สุดยอด’ กับคำว่า ‘สวย’ ออกมาเรื่อยๆ

หนังฉายแล้ว หนังวันนี้ที่พวกเราเลือกดูกันก็คือเรื่อง ‘Time Traveler : To the Westland’ เป็นหนังแฟนตาซีไซไฟภาคต่อของไทม์ทราเวลเลอร์ภาคแรกที่มีกระแสตอบรับดีเยี่ยม พี่เดือนบอกว่าอยากดู CG ของเรื่องนี้ว่าพัฒนากว่าสมัยเมื่อสองปีก่อนหรือไม่

เรื่องนี้มีตัวเอกเป็นนักเดินทางข้ามกาลเวลาที่ต้องเดินทางไปแก้ไขไทม์ไลน์บนดาวต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกาลเวลาจนทำให้ประวัติศาสตร์บิดเบี้ยว ซึ่งในภาคนี้ตัวเอกจะเดินทางไปยังดินแดนทางฝั่งตะวันตกของบ้านเกิดตัวเองเพื่อแก้ไขและช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมที่เข้าไปหลงในสถานที่ในอดีต ฉากที่เป็นตัวชูโรงก็คือฉากที่เข็มนาฬิกายักษ์หมุนย้อนกลับกับฉากที่ตัวเอกพาเพื่อนตัวเองกลับมายังโลกปัจจุบัน

หลังจากที่ดูจบ พี่เดือนก็ออกมาด้วยสีหน้าที่อิ่มใจ เขาชมไม่หยุดปากว่าหนังเรื่องนี้ทั้งสนุกและมีฉากสวยมากมาย แถมยังหวังภาคต่อด้วย

“หวังว่าจะมีภาคต่อนะ...”

“นั่นสินะครับ ถ้าถึงตอนนั้นพี่เดือนไม่รู้จะไปดูกับใครก็ชวนผมก็ได้นะ” พี่เดือนยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของผมให้ “พี่เดือน?”

“ผมยุ่งน่ะ พี่เลยลูบให้”

“ขอบคุณครับ”

พี่เดือนพยักหน้า พวกเราเดินมานั่งพักที่ล็อบบี้ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ เสียงฝนตกยังคงดังไม่หยุด ถ้าผมกลับตอนนี้คงจะต้องมีเปียกฝนบ้าง

นาฬิกาชี้ไปที่เลขสี่ นั่นทำให้ผมได้คำตอบชัดเจนว่าพี่เดือนโดดเรียนพิเศษจริงๆ เขาดูนั่งสบายๆไม่สนใจอะไรนอกจากนั่งพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์ตัวเอง จากนั้นเสียงการแจ้งเตือนก็ดังขึ้นไม่หยุด พี่เดือนก็แทบไม่วางโทรศัพท์เลย เขายิ้มทุกครั้งที่การแจ้งเตือนขึ้นด้วยซ้ำ

“พี่เดือนครับ พี่รู้ตัวมั๊ยว่าพี่กำลังยิ้มน่ะ?”

พี่เดือนพยักหน้า “รู้สิ”

“ทำไมพี่ไม่ยิ้มเยอะๆเข้าไว้ล่ะครับ?”

“ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงนี้มันทำให้พี่ยิ้มได้เหมือนโลกอินเตอร์เน็ตก็ดีสิ...กุมภ์รู้รึเปล่าว่าเวลาที่เราใช้อินเตอร์เน็ต มันเป็นเหมือนเกิดเผยตัวตนอีกตัวตนของเราออกมา เราไม่รู้ว่าใครคือใคร แต่เรากลับมีความสุขที่จะคุยกับคนที่เราไม่รู้จักมากกว่าอีกเพราะเขาไม่รู้เรื่องราวพื้นหลังของเรา” พี่เดือนวางโทรศัพท์ลง “มันเป็นความสบายใจอย่างหนึ่ง...แต่มันก็เป็นดาบสองคมที่มีคนรักก็ต้องมีคนชัง พี่เคยเห็นโพสหนึ่งของเพื่อนในห้องที่เป็นโพสด่าพี่ แถมยังแรงมากด้วย แต่พี่ก็ได้คำปลอบใจจากคนอื่นที่พี่ไม่รู้จัก

“พี่จะบอกความลับอย่างหนึ่งในกุมภ์รู้นะ พี่มีทวิตเตอร์แอคเคาท์พูดถึงหนังกับหนังสือที่พี่ได้อ่านด้วย พี่รู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่คนเข้ามาสนใจในสิ่งที่พี่ชอบ แลกเปลี่ยนความรู้และคุยเรื่องไร้สาระด้วยกัน มันเป็นสังคมออนไลน์เล็กๆที่พี่มีความสุขกับมันมากที่สุด วันไหนที่พี่รู้สึกไม่ค่อยดีพี่ก็จะคุยกับพวกเขา”

พี่เดือนไม่ได้เปิดให้ผมดูว่าทวิตเตอร์ของพี่เดือนนั้นชื่อว่าอะไร ผมก็ไม่อยากถามเขาต่อเพราะนั่นคือพื้นที่ที่ทำให้เขามีความสุข ผมก็ไม่อยากไปกวน

“จะว่าไปแล้วกุมภ์ชอบอะไรเหรอ?”

“ผมชอบหนังสือกับการถ่ายรูปครับ” ผมยิ้มให้ “ผมชอบถ่ายรูปตามงานที่พ่อกับแม่ผมทำ ตอนเด็กๆผมชอบตามไปนั่งเล่นในสตูดิโอของพวกท่าน พอได้เห็นความน่าอัศจรรย์ของการเก็บภาพสวยงามลงบนกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆนั่นแล้วมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงทุกครั้ง ผมอยากเดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำตามความฝันวัยเด็กของผมด้วย”

“ความฝัน...อย่างนั้นเหรอ?” พี่เดือนเหม่อมองไปที่โทรศัพท์ตัวเอง “นั่นสินะ ถ้าได้ทำตามความฝันขอตัวเองนี่ก็ดี”

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่เดือนพูดถึงตอนเองอีกแล้ว บางทีสิ่งที่เขาต้องการอาจจะไม่ใช่การได้ไปแข่งขันวิชาการระดับโลก แต่เป็นเรื่องเรียบง่ายอย่างได้ใช้ชีวิตกับการดูหนังมีความสุขอยู่บ้าน ผมต้องจดเรื่องน่ารู้ของพี่เดือนอีกข้อ

ข้อที่หก – พี่เดือนเป็นคนชอบดูหนังและชอบศึกษางานสายกราฟิกมาก เขาศึกษา หัดทำ และเขาเองก็มีความสุขกับมันมากเช่นกัน

 

ผมกับพี่เดือนยังคงติดอยู่ในห้าง เขาไม่มีท่าทีจะกลับบ้านแต่อย่างใด แต่ชวนผมเดินดูหนังสือในร้านหนังสือพร้อมกับช่วยกันจดลิสต์หนังสือที่น่าสนใจ บางเล่มพวกเราทั้งคู่ก็อ่านแล้วจึงสามารถแชร์ความคิดเห็นได้

“นั่นมันนิทานสมัยที่ผมยังเด็กนี่นา” ผมหยิบหนังสือนิทานเล่มเล็กๆขึ้นมา “เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมชอบที่สุดเลยล่ะ ถึงจะไม่ค่อยมีใครรู้จักก็เถอะ”

“รอยยิ้มของเด็กชาย?” พี่เดือนรับหนังสือมาดูปกหลัง “พี่ไม่เคยอ่าน”

“งั้นผมเล่าให้ฟังนะครับ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มักจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่เสมอ วันหนึ่งเขาพบว่าเขานั้นได้สูญเสียรอยยิ้มบนใบหน้าไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สามารถยิ้มได้เพราะเป็นโรคกล้ามเนื้อบนใบหน้าอ่อนแรง น้องชายของเขาเลยบอกว่าไม่เป็นไร เพราะหัวใจของพี่กำลังยิ้มอยู่ และเขาก็จะยิ้มให้แทน” มันเป็นนิทานที่ทำให้ทุกคนมองโลกในแง่ดี “ผมอยากจะเป็นเหมือนน้องชายของตัวเอกในเรื่องนี้ ผมเลยมองโลกในแง่ดีเข้าไว้เสมอ และผมเองก็อยากสร้างรอยยิ้มให้ทุกคนแม้ว่าพวกเขาจะทุกข์แค่ไหนก็ตาม

“ในหนังสือเล่มนี้สรุปเอาไว้ว่ารอยยิ้มก็เหมือนกับดอกไม้ที่รอวันเบ่งบาน ไม่รู้หรอกว่ามันจะบานวันไหน แต่เมื่อถึงเวลา มันจะเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ มันจะเป็นสิ่งที่ช่วยขจัดความทุกข์ในหัวใจออกไปได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยาลำบากเพียงใดก็ตาม”

พี่เดือนพลิกหนังสือไปมา ก่อนที่จะถ่ายรูปปกเอาไว้ “งั้นพี่จะขอโรงเรียนเบิกเล่มนี้ด้วยแล้วกัน”

“แต่มันเป็นนิทานเด็กนะครับ? โรงเรียนจะไม่เถียงเอาเหรอว่าจะเอาให้ใครอ่าน?”

“ประเภทหนังสือไม่จำกัดอายุคนอ่านหรอก โดยเฉพาะนิทานแบบนี้ ทุกคนมีสิทธิที่จะอ่าน” พี่เดือนถือหนังสือเล่มนี้เอาไว้แล้วก็เดินไปดูหนังสือในโซนอื่นต่อ หรือว่าเขาจะซื้อกลับไป? แต่นั่นไม่ใช่ธุระของผมที่จะเข้าไปยุ่งด้วยเสียหน่อย ผมจึงเดินแยกกับเขาไปดูหนังสือประเภทอื่นจนได้มังงะอ่านเล่นติดมือมาอีกเล่ม

หนังสือที่บ้านยังอ่านไม่จบเลย...

ช่างเถอะ วันนี้ตั้งใจจะไม่เสียเงินเพิ่ม แต่พอได้เสียก็ต้องเสียให้ถึงที่สุดล่ะวะ แล้วผมกับพี่เดือนก็มาเจอกันอีกครั้งที่หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน พี่เดือนไม่ได้ให้พนักงานห่อให้ ส่วนผมก็ขอปกใสมาห่อเอาเอง สำหรับคนไหนที่รักหนังสือจริงๆจะรู้ว่ารอยติดเทปนั้นสามารถสร้างความเสียหายให้แก่หนังสือของเราได้ในอนาคต ผมจึงเลือกที่จะนำกลับมาห่อเองดีกว่าเพื่อเก็บรักษาให้อยู่ได้นานกว่านี้

“กุมภ์ วันหลังกุมภ์เอากล้องมาได้รึเปล่า?”

“ครับ?”

“พอดีพี่จะจ้างให้กุมภ์ช่วยถ่ายรูปบรรยากาศในห้องสมุดให้หน่อย จะเอาไปติดบอร์ดส่วนหนึ่งในวันงานต้อนรับคณะกรรมการ แต่พี่ไม่อยากจ้างคนนอก” พี่เดือนเดินข้างๆผม ตอนนี้ผมว่าฝนน่าจะซาลงแล้ว “แต่ถ้ากุมภ์ไม่สะดวกทำให้ก็ไม่เป็นไรหรอก”

“ถ้าเพื่องานชมรมผมทำให้ได้ครับ แค่นี้เอง”

“…ขอบคุณนะ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปส่งกุมภ์ที่บ้านดีกว่า มืดขนาดนี้แล้วไม่มีรถกลับแล้วล่ะ” พี่เดือนจับแขนผมให้เดินตาม ผมตกใจจนเผลอปัดแขนเขาออกแล้วเกิดบรรยากาศแปลกๆแก่เราทั้งสอง

มัน...ดูแปลกจริงๆ แปลกแบบผมอธิบายไม่ถูก

“…ผมขอโทษครับ...พอดีผมตกใจ”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เองก็...ไม่ทันได้คิดว่ากุมภ์อาจจะไม่ชอบแล้วกุมภ์ก็ไม่ใช่เด็กแล้วด้วย”

ท่ามกลางเสียงผู้คนที่เดินไปมา ทั้งผมและพี่เดือนต่างเงียบทั้งคู่ มันมีช่องว่างเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา ถ้าเกิดว่าใครคนหนึ่งทำลายความเงียบนี้ไปทุกอย่างมันอาจจะไม่เหมือนเดิม

เมื่อกี๊...ผมรู้สึกว่ามือของพี่เดือนนั้นอุ่นมาก

มันเป็นเหมือนมือที่สามารถปกป้องเราได้ เราสามารถวางใจได้เมื่ออยู่กับเขา แต่ทว่ามันก็ดูน่าเสียดายเหลือเกินที่อุณหภูมินั้นไม่สามารถส่งผ่านให้ด้วยวิธีอื่น

แล้วผมเองก็รู้สึกว่าผมรักมัน

“พี่เดือน...” ผมค่อยๆเอ่ยขึ้นมาเมื่อพวกเราเดินมาถึงรถวีออสสีขาวที่จอดอยู่ท่ามกลางรถหลายคัน “มือของพี่มันอุ่นมากเลยนะ”

“อย่างนั้นเหรอ...” พี่เดือนไม่ได้มองหน้าผม เขากำลังเสียบกุญแจรถเพื่อเปิดประตูอยู่ “แต่น่าเสียดายที่มือของพี่มันไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย เอาจริงๆพี่ไม่เก่งอะไรสักอย่าง”

“พี่จะไม่เก่งได้ยังไ--”

“ที่พี่ทำอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพียงแค่ความชินของพี่”

พี่เดือนร้อง ภายในที่จอดรถไม่มีใครเลยนอกจากพวกเราสองคน น้ำเสียงพี่เดือนดูสั่นเครือจนผมใจหาย เหมือนเขากำลังอัดอั้นและอยากพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยได้ระบายให้ใครฟัง

“ทุกคนไม่รู้หรอกว่าที่พี่ทำทุกวันนี้...” พี่เดือนเงียบไป “ช่างมันเถอะ...”

“พี่เดือนครับ มีอะไรก็พูดมาเถอะ ถ้าพี่มีอะไรไม่สบายใจพี่ก็พูดมาเลย” ผมดึงประตูของพี่เดือนเอาไว้ พี่เดือนทำสีหน้าอึ้งหน่อยๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมา “ผมรู้ครับว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แต่พี่เดือนจะเก็บมันเอาไว้คนเดียวไม่ได้ ถ้าไม่ระบายกับผมพี่ก็ต้องไประบายให้ครอบครัวฟัง--”

“พี่ไม่มีสิทธิพูดกับคนในครอบครัวหรอกนะกุมภ์”

“...”

“พี่เถียงไม่ได้...พวกท่านอยากให้พี่ทำอะไรพี่ก็ต้องทำ พี่ไม่อยากให้พวกท่านต้องมาผิดหวังกับผู้ชายห่วยๆอย่างพี่”

แล้วตลอดคืนนั้น...ผมก็นอนคิดมากกับคำพูดของพี่เดือนท่ามกลางความมืดจนนอนไม่หลับ

 

“ดูไม่สดชื่นเลยนะ” นทีทักผมในแถว อ่า...เพราะผมนอนไม่หลับมาสองวันแน่ๆเลยทำให้เพื่อนจับได้แบบนี้ “มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?”

“ก็...ไม่มีหรอก แค่นอนไม่ได้เฉยๆ มันร้อน” ผมโกหกเพื่อนไป ถ้าเอาเรื่องของพี่เดือนมาพูดถึงล่ะก็นทีมันต้องสงสัยมากกว่าเก่าแน่ๆ “ช่วงนี้มึงต้องซ้อมดนตรีใช่มั๊ย?”

“อืม”

“เย็นนี้กูไม่ต้องเข้าชมรม กูไปนั่งฟังมึงเล่นได้รึเปล่า?”

นทีเลิกคิ้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าเป็นดีใจสุดขีดแล้วก็กอดผมจากด้านหลังจนคนที่อยู่แถวข้างๆมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆ แต่ผมรู้ว่านี่คือนิสัยของนที เขาชอบของน่ารักๆ เล็กๆ และนทีก็มองเห็นผมเป็นตุ๊กตาเดินได้เลยชอบโผตัวเข้ามากอด

แต่ว่า...ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนที่รู้สึกกับพี่เดือน

“...นที”

“ว่า?”

“มึงเคยรู้สึกว่าจับมือใครสักคนแล้วอุ่นปะ?”

“มือคนมันก็อุ่นมั๊ย? ถ้าไม่อุ่นนี่วิ่งเลยนา” นทีขมวดคิ้ว แล้วใช้นิ้วชี้ตัวเองจิ้มมาที่ระหว่างคิ้วของผม “ขมวดกันเป็นปมแบบนี้ต้องมีเรื่องจริงๆนั่นแหละ ไหน บอกว่าสิว่าไปเจออะไรเข้า”

“คือคนรู้จักของกูอะ เขาจูงแขนกู แล้วทีนี้กูรู้สึกว่ามันอุ่นมาก” ผมมองไปที่เสาธง พี่เดือนกำลังพูดประขาสัมพันธ์งานของโรงเรียนอยู่ เขาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าใดๆทั้งสิ้น แต่ในเสาร์ที่ผ่านมา...ผมเห็นสีหน้าที่ดูจะเจ็บปวดของพี่เดือนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะหายไป

“…พี่เดือนใช่มั๊ย?”

“ฮะ?”

“มึงมองพี่เดือนแล้วก็บ่นออกมา มึงมีนิสัยอย่างหนึ่งคือเวลาพูดถึงใครก็จะมองคนที่พูดถึงโดยไม่รู้ตัว” นทียิ้มให้ผม “บางทีมึงอาจจะแคร์พี่เดือนมากก็ได้ ช่วงนี้มึงยิ่งมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบร่วมกับเขาอยู่ แต่ก็มีผู้หญิงหลายคนที่อิจฉามึงนะไอ้กุมภ์ เพราะมึงได้ทำงานร่วมกับพี่เดือนนั่นแปลว่ามึงจะต้องอยู่กับเขาตลอดในวันงาน ใครๆก็อยากยืนข้างๆกับพี่เดือนใช่มั๊ย?”

“มันไม่น่าอิจฉาหรอก มันเป็นหน้าที่ ถ้าจะยืนอยู่ข้างพี่เดือนเพียงเพราะอยากได้หน้าล่ะก็มึงได้โดนพี่เดือนเปิดดาร์คโหมดใส่แน่ หลายวันก่อนรองหัวหน้าชมรมก็โดนเข้าไปแล้ว” ผมซุบซิบกับนที เพราะว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปพูดเสียงดังได้ ผมไม่รู้หรอกว่าถ้ามีคนเอาไปพูดต่อแล้วมันจะสร้างความเสียหายให้พี่เดือนเขาหรือไม่ ฉะนั้นก็เซฟไว้ก่อนดีกว่า “พี่เดือนเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่ง ถ้ามึงทำเล่นๆให้เขาเห็นล่ะก็มึงตายอย่างเดียว”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็ดีเหมือนกัน พี่เดือนคงสร้างกำแพงกั้นคนไม่จริงใจเอาไว้”

“สร้างกำแพงกั้นคนไม่จริงใจ?” ผมสงสัย “มึงหมายถึง พี่เดือนไม่อยากให้คนเข้าหาเขาเพราะผลประโยชน์ใช่มั๊ย?”

“ใช่ มึงรู้ดีนี่นาว่าสังคมแบบนี้มันแข่งกัน พี่เดือนอยู่สูงสุด ทุกคนก็จะพยายามไต่ตามให้ทันเขา แต่หลายคนก็พยายามที่จะใช้ทางลัด สุดท้ายก็ตกลงมาอยู่ดี” นทีเปรียบเทียบให้ผมฟัง “เขาคงไม่อยากให้คนที่หวังผลอย่างเดียวเข้ามาตีสนิทหรือรู้จักตัวตนจริงๆของเขา เลยกันออกไปน่าจะดีกว่าทั้งสองฝ่าย”

“…” ผมหันไปมองพี่เดือนอีกครั้ง เขาลงจากหน้าเสาธงแล้ว มีครูขึ้นมาประกาศระเบียบการจัดงานแทน จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับห้องเรียนตามปกติ


[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 24-04-2019 11:02:15
ผมนั่งอยู่ในห้องดนตรี โดยที่มือก็ทำงานไปหูก็ฟังนทีซ้อมดนตรีกับพี่ๆในวงโฟล์คซองค์ไป จะว่าเป็นพรสวรรค์ของนทีก็ได้ที่มันเล่นกีตาร์เก่ง ทำให้ได้ขึ้นเวทีตั้งแต่อยู่ปีแรก พี่ๆในวงหลายคนก็เข้ามาแนะนำตัวกับผมพร้อมกับบอกว่าช่วยดูนทีให้ด้วย มีหลายครั้งที่นทีชอบใจลอยเหมือนนึกอะไรเพลินๆจนหลุดจังหวะ ผมก็หัวเราะแห้งๆตอบกลับไปเมื่อเห็นว่าคนที่ถูกพูดถึงกำลังนั่งพองลมในแก้มให้ป่องๆเหมือนหนูแฮมสเตอร์ตัวโต

งานที่ผมทำในวันนี้เป็นงานที่ต้องจดเขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือที่สนใจในห้องสมุดให้ออกมาเป็นสำนวนตัวเองเพื่อเอาไปติดบนบอร์ดของห้องสมุด เวลาที่ใครคนไหนไม่รู้ว่าจะอ่านอะไรก็จะได้รู้ว่ามีเรื่องไหนน่าอ่านบ้าง ที่สำคัญคือสรุปพวกนี้จะไม่มีชื่อเขียน ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครที่เขียน ผมยังไม่เคยไปดูบอร์ดนั้นเองเลยจนกระทั่งพี่ในชมรมบอกว่าให้เอาไปเขียนติดเพิ่มแทนสรุปเก่าๆเสียบ้าง

“ลายมือมึงอ่านง่ายดีจัง กูอยากได้ลายมือแบบนี้บ้าง”

“ของมึงก็อ่านง่ายนะ” ผมหันไปทางนทีที่อู้มาดูผมทำงานอยู่ข้างๆ ในมือของเขามีคอร์ดเพลงที่ใช้ซ้อม จากนั้นนทีก็ไม่ได้สนใจผมอีก เดินไปตรงนู้นบ้าง ตรงนี้บ้างไม่เป็นสุขจนโดนพี่ในชมรมด่าเข้าให้ นทีก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้จนพี่เขาโอ๋แทน

นิสัยของผมกับนิสัยของนทีแตกต่างกันมาก แต่พวกเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน สิ่งไหนที่ผมไม่มีนทีก็มี นั่นทำให้พวกเรามีความสมดุลและสบายใจที่ได้อยู่ด้วย หลายคนในห้องคิดว่าพวกผมคบกันแต่ขอโทษนะครับ การที่ผู้ชายสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันมันไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะต้องเป็นแฟนกันเสียหน่อย นทีก็ปฏิเสธไปหลายรอบว่าไม่ใช่

หลังจากที่งานของผมเสร็จแล้ว ก็ลาทุกคนในชมรมดนตรี พวกพี่เขาเป็นคนน่ารักกันทุกคน และบอกว่าอย่าลืมมาดูพวกเขาในวันจริงด้วย ผมก็พยักหน้าและบอกว่าจะพยายามมาดูให้ได้ ทุกคนก็เข้าใจเพราะนทีอธิบายให้หมดแล้วว่าผมจะอยู่กับพี่เดือนในวันงาน แถมยังมีโดนแซวว่าไม่แน่ผมอาจจะลากคนเก่งประจำโรงเรียนมาดูให้ด้วยได้

ผมเดินไปที่ห้องสมุด แต่ทว่าเห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังหันซ้ายขวาติดกระดาษอะไรสักอย่างบนบอร์ดที่ผมไม่เคยมาก เขาถอนหายใจแล้วก็เดินจากไปโดยที่ไม่รู้ตัวว่าผมกำลังยืนอยู่ด้านหลัง พี่เดือนมีท่าทีลับๆล่อๆมากจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแค่การติดกระดาษบนบอร์ดนั้นมันจำเป็นต้องปิดเป็นความลับขนาดนั้นเลยหรือยังไง ผมเลยเดินเข้าไปเพื่อดูและติดงานของตัวเองไปด้วย

กระดาษของพี่เดือนเป็นสีเขียวใบไม้ มุมบนขวามีรูปดวงจันทร์มีมือวาดเอาไว้พร้อมกับลายมือน่ารักๆเหมือนเป็นของผู้หญิงเขียน

วันนี้พี่มูนมีหนังสือแนะนำล่ะ! พอดีว่าหลายวันก่อนมีคนคนหนึ่งบอกว่าหนังสือนิทานเรื่องนี้สนุกมาก พี่มูนเลยลองอ่านตามแล้วก็ค้นพบว่ามันสนุกจริงๆ น่าเหลือเชื่อนะที่เด็กผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มอบรอยยิ้มให้คนอื่นและในวันที่เขาไม่สามารถยิ้มได้ ก็มีรอยยิ้มจากคนอื่นส่งมาให้!

ในบทสรุปเขียนเอาไว้ว่ารอยยิ้มก็เหมือนกับดอกไม้ รอวันเบ่งบาน พี่มูนหวังว่าใครก็ตามที่กำลังทุกข์อยู่ในตอนนี้จะมองเห็นรอยยิ้มจากคนอื่นและยิ้มตามออกมาได้นะ ส่วนเนื้อหาใครอยากอ่านก็เดินเข้าไปในห้องสมุดโซนวรรณกรรมได้เลย!

มูน...รึว่านี่คือตัวพี่เดือนเอง?

ลักษณะการเขียน การใช้ภาษาแล้วไม่น่าจะใช่พี่เดือนเลยสักนิดเดียว แต่ถ้าอ่านดีๆจะรู้ว่ามูนในนั้นได้พูดถึงใครอีกคนช่วงต้นๆด้วย นั่นทำให้ผมมั่นใจกว่าเดิมอีกว่านี่คือพี่เดือน

พอมาเขียนอะไรที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นตัวเขามันก็...น่ารัก

ไม่นานเท่าไหร่ผมก็เริ่มจับมุมน่ารักๆของพี่เดือนได้แล้ว น่าแปลกเหมือนกันที่ไม่มีใครเคยพูดถึงเรื่องนี้เลย รึว่าเขาปิดข่าวเก่งเกินไป? แต่นั่นก็ทำให้ตัวของผมรู้สึกเป็นคนที่พิเศษขึ้นมาแปลกๆเลยแฮะ...

“กุมภ์?”

“เอ่อ...สวัสดีครับพี่เดือน วันนี้ผมเอางานมาติดบอร์ด” พี่เดือนทำกระดาษในมือหล่นเมื่อเห็นผม เขาลนลานก่อนที่จะเก็บแล้วทำท่ามาดูงาน “พี่เดือน...เมื่อกี๊ผมเองก็เห็นพี่มาติดบอร์ดด้วยนะ”

“…เห็นหมดแล้วใช่มั๊ย?” พี่เดือนยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองดัง ‘เพี้ยะ’ เบาๆ ใบหูของเขาแดงขึ้นอย่างชัดเจน “พี่...ดูไม่เหมือนคนที่เขียนพวกนี้เลย กุมภ์ต้องคิดอย่างนี้แน่ๆ”

“น่ารักดีออกนะครับพี่เดือน ทำไมพี่ต้องอายด้วยล่ะว่าพี่เป็นคนเขียน?” ผมถามด้วยความอยากรู้ พี่เดือนมีสีหน้าอึดอัดปนอายก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องสมุดเพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แต่ผมก็เดินตามเข้าไปจนพี่เดือนแทบจะวิ่งหนีเข้าไปในห้องที่ใช้ประชุม

“พี่ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้...ทุกคนมองเห็นพี่เป็นคนที่ดูนิ่งๆ ถ้ารู้ว่าความจริงแล้วพี่แอบมีมุมนี้ล่ะก็...” พี่เดือนนั่งลงกับเก้าอี้ ผมหัวเราะก่อนที่จะนั่งตรงข้ามกับเขาแล้วพยายามหาคำพูดปลอบใจให้

“งั้นพี่เดือนก็เก็บไว้เป็นความลับระหว่างพวกเราสองคนแล้วกันนะครับ”

พี่เดือนเงยหน้าขึ้นมา เลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”

“พี่เดือนไม่อยากให้คนอื่นรู้ พี่ก็ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเอาไปบอกใคร เพราะผมเป็นคนเก็บความลับเก่งนะ” แล้วก็ยิ้มให้เขา “พี่เดือนจะรู้ว่ามีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักพี่มูนตัวจริง”

“อย่าเอาชื่อนั้นมาล้อกันสิ...” พี่เดือนตบไหล่ผมเบาๆ แล้วพวกเราก็หัวเราะ บรรยากาศมืดๆที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์มันได้หายไปตาม “ถ้ากุมภ์เอาไปบอกคนอื่น พี่จะสั่งงานในชมรมกุมภ์เพิ่ม เอาจนต้องร้องขอกลับบ้าน”

“โหดร้ายเกินไปแล้ว ผมสัญญาว่าจะไม่ทำครับผม!” ผมชูสามนิ้วลูกเสือรักษาคำสัตย์ พี่เดือนยิ่งหัวเราะเสียงดังกว่าเดิมแล้วก็หันมาขยี้หัวผม มือของเขาเบามากจนผมรู้สึกว่าเหมือนเขาลูบหัวผมมากเสียกว่า

มือของพี่เดือน...ก็อบอุ่นเหมือนเมื่อวันนั้นไม่มีผิด

“จะว่าไปแล้ววันเสาร์กุมภ์ว่างอีกรึเปล่า?”

“ผมว่างตลอดเวลาเลยครับ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าจะชวนไปร้านกาแฟที่อยู่นอกเมืองหน่อย ที่นั่นมีหนังสือดีๆเยอะ แถมบรรยากาศยังน่านั่ง นึกถึงร้านกาแฟที่มีต้นไม้เยอะๆดูสิ แถมยังมีต้นไม้ใหญ่กลางร้านทะลุหลังคาด้วย สวยมากเลยล่ะ” พี่เดือนหลับตาลง เขากำลังนึกถึงร้านกาแฟที่ผมเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่ผมไม่เคยไปเพราะผมขับรถไม่เป็นกับไม่อยากกวนพ่อแม่ “สนใจใช่มั๊ยล่ะนั่น ตาเป็นประกายเชียว กุมภ์ชอบถ่ายรูปด้วยที่นั่นก็น่าสนใจดี”

“ไปครับไป! ผมอยากไปนานแล้ว”

“ปกติกุมภ์ดูเป็นเด็กนิ่งๆเงียบๆ แต่พอเป็นเรื่องที่ชอบขึ้นมาเนี่ยกุมภ์ตื่นเต้นง่ายมากเลยนะ” พี่เดือนหัวเราะให้ลำคอเบาๆ “ดีแล้วล่ะ สมวัยดี”

“พี่พูดเหมือนพี่เป็นคนแก่มาก อยู่มานานแล้ว แต่พี่เองก็มีมุมที่น่าเหลือเชื่อเหมือนกันนะครับ” ผมเท้าคางมองพี่เดือนที่กำลังหัวเราะ “ต่างคนต่างเห็นอีกมุม...ก็ยุติธรรมดีออก”

“นั่นสินะ พี่เองก็สบายใจตอนที่อยู่กับกุมภ์ บางทีถ้าวันไหนพี่ไม่อยากทำการบ้านพี่อาจจะมาบ่นให้กุมภ์ฟังก็ได้”

“อย่างพี่เนี่ยนะจะขี้เกียจ?”

“บางวันพี่ก็ไม่อ่านหนังสือแล้วแอบเปิด Netflix ดูหนังไซไฟ...เห็นมั๊ยว่าพี่เองก็ขี้เกียจเป็นนะ พี่อยากนอนอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรบ้างสักวันด้วยซ้ำ อยากนอนอืดบนเตียงไปเลย น้ำไม่ต้องอาบ ข้าวไม่ต้องกิน กินแต่ขนม”

ผมหัวเราะก๊ากเมื่อพี่เดือนพูดอย่างนั้น ผมนึกสภาพพี่เดือนชอบใส่เสื้อกล้ามกางเกงบอล ตีพุงดูหนังในโทรศัพท์แล้วมืออีกข้างหยิบขนมเข้าปาก ถ้าใครมาเห็นเข้าพี่เดือนคงจะไม่กล้าออกไปไหนอีกหลายวัน

“ปกติแล้วพี่เดือนใส่เสื้อแบบไหนอยู่บ้านล่ะครับ?”

“พี่ใส่เสื้อยืด...ไม่ก็เสื้อเชิ้ตเพราะในตู้ที่บ้านมีแต่สองอย่างนั่น พี่ว่าจะซื้อเสื้อกล้ามใส่เวลาร้อนๆอยู่นะ แต่สุดท้ายก็โดนที่บ้านห้ามบอกว่าไม่เข้ากับพี่” พี่เดือนพูดเสียงหงอยๆ “พี่เองก็มีความฝันอยากใส่เสื้อกล้ามเล่นบาส เสียดายที่ร่างกายพี่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เล่นกีฬา”

ผมเคยเปิดคลิปบนยูทูปดู มันเป็นคลิปที่มีคนถ่ายตอนพี่เดือนในคาบพละได้ พี่เดือนกำลังเลี้ยงลูกบาสแล้วชู้ตลงห่วงสวยงามจนมีแต่เสียงคนกรี๊ด หลังจากนั้นพี่เดือนก็ไม่ได้เล่นต่อ ไปนั่งหลบมุมแทน

“แต่ในคลิปที่มีคนถ่ายพี่เล่นบาสได้พี่ก็เล่นเก่งนี่นา?”

“พี่เป็นหอบหืดน่ะ อย่าเอาไปบอกใครเชียวนะ” พี่เดือนทำนิ้วจุ๊ปากเอาไว้ “ไม่ร้ายแรงมากหรอก แค่เหนื่อยง่ายกว่าคนอื่น แล้วพี่ก็ไม่อยากให้ใครมาห่วงพี่ตลอดเวลาด้วย”

ผมพยักหน้า

“ไหนๆก็อยู่ด้วยกันแล้ว เรามาคุยงานด้วยกันแต่เนิ่นๆดีกว่านะ พี่เขียนสคริปที่ต้องพูดคร่าวๆเอาไว้แล้ว ที่เหลือเราสามารถดำน้ำไปได้ พี่ยังไม่อยากให้กุมภ์ต้องเป็นคนพูดหลักๆฉะนั้นพี่จะให้กุมภ์รับช่วงต่อจากพี่ไม่เยอะ” พี่เดือนหยิบกระดาษออกมาจากลิ้นชักข้างโต๊ะ “กุมภ์พูดภาษาอังกฤษพอได้รึเปล่า?”

“หืม? ภาษาอังกฤษนี่ภาษาหลักที่สองของผมเลยนะ พอดีว่ายายของผมเป็นคนอังกฤษแต่งงานกับคนไทย ตอนเด็กๆเลยได้หัดพูดกับท่าน” คุณยายเป็นคนใจดี ท่านรักผมกับน้องมาก ตอนนี้ท่านก็ใช้ชีวิตบั้นปลายที่อังกฤษบ้านเกิดกับคุณตา “ถ้าให้ผมพูดล่ะก็สบายมาก”

“อย่างนั้นล่ะก็ง่ายขึ้นหน่อย พี่ตั้งใจว่าจะพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ภาพลักษณ์ของเราดูดีขึ้น เป็นการสื่อว่าเราเรียนภาษาต่างประเทศแล้วได้ประสิทธิภาพ” พี่เดือนเขียนข้อความด้วยปากกาหมึกสี ลายมือของเขาน่ารักเกินตัวจริงๆ “อะ...อย่าเอาให้ใครดูล่ะว่านี่ลายมือที่สองของพี่”

“ผมบอกแล้วไงครับว่านี่คือความลับของพวกเรา” ผมหัวเราะ พี่เดือนยิ้มตาม “พี่เดือนยิ้มบ่อยๆเลยนะ ร่าเริงเข้าไว้ อยู่กับผมเป็นพี่มูนได้ตามสบายเลย”

พี่เดือนหัวเราะลั่นห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะ ถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่ง “งั้นพี่จะไม่เกรงใจแล้วนะ พี่ขอหลับแป๊บ”

พี่เดือนหลับตาลง ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกของเขาดังขึ้น มันไม่ได้ดังมาก แต่นั่นทำให้ผมรู้ว่าเขาหลับสนิทไปแล้ว

พอหลับแล้ว พี่เดือนก็เหมือนปิดโหมดป้องกันตัวเองไปเลยแหะ...

สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยผ่อนคลายนัก อาจจะเพราะเหนื่อยจากการเรียนทั้งวัน ถ้าเกิดว่าพี่เดือนไม่ฝืนตัวเองก็คงหลับสบายกว่านี้ ผมจึงเดินไปตรงหน้าต่างเพื่อเปิดม่านให้อากาศถ่ายเทนิดๆหน่อยๆก่อนที่จะเดินมานั่งดูพี่เดือนหลับอีกครั้ง ใบหน้าของเขายามที่มีแสงแดดตอนเย็นกระทบนั้นมันดูดีกว่าทุกช่วงเวลา แต่คิ้วที่ขมวดนั่นทำให้ขัดตาเสียไปหมด

ผ่านไปสิบห้านาที ผมก็ปลุกพี่เดือนให้ตื่นขึ้นมา เขาทำสีหน้างุนงงก่อนที่จะยิ้มให้ผม บิดขี้เกียจกับปิดปากหาว

“เลยเวลาเรียนมาแล้วนี่นา ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่ไปดีกว่า” เขาบ่นกับตัวเอง “วันนี้พี่ไปส่งที่บ้านให้อีกก็ได้นะ”

“รบกวนอีกแล้วนะครับ ถ้าอย่างนั้นพี่เดือนมากินข้าวเย็นกับครอบครัวผมที่บ้านมั๊ย? ผมอยากตอบแทนพี่ที่ช่วยผมหลายอย่าง”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เรื่องเล็กๆ” พี่เดือนส่ายหน้า สะพายกระเป๋าตัวเองก่อนที่จะควงกุญแจประตูห้องนี้ด้วยอารมณ์ดี “พี่ตังหากที่ต้องขอบคุณกุมภ์ เพราะกุมภ์แท้ๆที่ทำให้พี่กล้าปล่อยตัวบ้าง”

“ครับ?”

“พี่ไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลย พี่รู้สึกว่ากุมภ์มีพลังบางอย่างที่ทำให้พี่รู้สึกดีเมื่ออยู่ด้วยกัน พี่สบายใจเมื่อได้คุยกับกุมภ์ พี่ไม่ได้อยากคุยเรื่องเรียนกับคนอื่นตลอดเวลา พี่อยากคุยเรื่องอื่นบ้างอย่างพวกหนังหรือหนังสืออ่านนอกเวลา” พี่เดือนเดินนำผม ลมอ่อนๆค่อยๆพัดให้เส้นผมของพวกเราสองคนพลิ้วไหว “พี่ไม่ได้ทำตัวเป็นที่น่านับถือตลอดเวลา พี่อยากเล่นบ้าง แต่เพราะหน้าที่ของพี่ทำให้พี่ไม่สามารถเล่นได้ พี่ต้องเป็นแบบอย่างให้รุ่นน้อง เป็นตัวอย่างให้เพื่อนร่วมสายชั้น เป็นหน้าเป็นตาให้โรงเรียน มันเหนื่อยนะกับการที่ต้องรับความรับชอบเอาไว้บนบ่า”

“แต่พี่ก็เลือกที่จะไม่ทำก็ได้นี่นา” ผมบอกเขา พี่เดือนหยุดฝีเท้าตัวเองก่อนที่จะหันหลังมามองผมด้วยสายตาที่เจ็บปวดอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าบนใบหน้าจะมีรอยยิ้มก็ตาม

“กุมภ์ การที่กุมภ์เกิดในครอบครัวที่เข้าใจกุมภ์มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเลยนะ กุมภ์ไม่จำเป็นต้องรับความกดดันมากๆเพื่อรักษาหน้าของครอบครัว กุมภ์ไม่จำเป็นต้องคอยรักษาเกรดเพื่อให้ครอบครัวสนใจ...”

“...”

“พี่ไม่ชอบความผิดหวัง พี่ไม่ชอบการที่ไม่เป็นที่สนใจจากครอบครัว พี่แค่อยากจะคุยกับครอบครัวให้เหมือนครอบครัวจริงๆเสียบ้าง แต่ว่าพี่กลับไม่เคยได้คุยเลย เวลาจะกินข้าวพร้อมหน้ากันยังไม่มีด้วยซ้ำ” พี่เดือนหันหลังกลับเพื่อเดินต่อไป “พี่อยากเป็นอิสระจากสิ่งที่พี่กำลังทำ แต่พี่ก็ทำไม่ได้เพราะยังไม่มีใครเห็นความพยายามของพี่เลย”

“แต่ผมเห็นนะครับ”

“...”

“พี่เดือนพยายามอย่างมากเพื่อครอบครัว พี่เดือนพยายามอย่างมากเพื่อโรงเรียน ผมเห็นทุกอย่าง แต่ผมไม่อยากให้พี่ต้องเก็บความรู้สึกไปมากกว่านี้ พี่กำลังทรมานเพราะพี่ไม่เคยได้พูดเรื่อนี้กับใครมาก่อนเพราะพี่ระแวงคนที่เข้าหาทุกคน ผมถึงบอกยังไงล่ะครับว่าพี่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เมื่ออยู่กับผม”

“กุมภ์...”

“ถึงแม้ว่าพี่เดือนยังไม่สามารถเผยความรู้สึกจริงๆกับใครได้ แต่พี่ยังมีผมที่เป็นรุ่นน้องในชมรมคนนี้อยู่นะครับ”

ฟุ่บ

“ขอบคุณมากนะ...” พี่เดือนพุ่งเข้ามากอดผมเอาไว้ เขาซุกหน้ากับไหล่ น้ำเสียงสั่นๆนั้นเพราะที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ผมจึงกอดตอบกลับไป ต่อให้พี่เดือนทำตัวเป็นที่น่าเคารพเกินวัยแค่ไหนตาม แต่จริงๆแล้วเขาก็ยังเป็นแค่ผู้ชายอายุสิบแปดที่ยังไม่เคยได้สัมผัสคำว่าโลกกว้าง ทุกวันเขาต้องอยู่ในกรอบเพื่อให้มีคนสนใจเขา เขาไม่ได้เป็นคนที่ไร้ประโยชน์ เขาจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีคนหันมาเห็นคุณค่าบ้างเท่านั้น

พี่เดือนจะรู้รึเปล่านะว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันกำลังทำให้หลายคนไม่สบายใจและเป็นห่วง

“อ่า...ได้ระบายแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” พี่เดือนปล่อยผม เขาเดินมองท้องฟ้าสีส้ม ริมฟุตบาทไม่ค่อยมีผู้คนแล้วทำให้เขาไม่ค่อยใส่ใจที่จะเดินให้ดูดีนัก “กุมภ์นี่ต้องเป็นแหล่งกำเนิดพลังบวกแน่ๆ พี่อยู่ด้วยทีไรรู้สึกว่ามีกำลังใจตลอดเวลา สงสัยต้องจัดตารางให้มาเจอกันบ่อยๆ”

“อย่าเลยครับพี่เดือน เดี๋ยวพี่จะได้คนขี้บ่นมานั่งพูดกลอกจนหูชาแทน” ผมหัวเราะ มองท้องฝ้าตามพี่เดือนบ้าง วันนี้ผมรู้สึกว่าท้องฟ้ามันสดใสกว่าทุกวัน ถึงแม้ว่าในช่วงนี้จะเป็นฤดูฝน แต่ว่ามันคงต้องมีสักวันที่ฟ้าจะเปิดแบบนี้ “วันนี้ท้องฟ้าเปิด ถ้าพวกเราอยู่นอกเมืองก็อาจจะได้รูปท้องฟ้าที่มีดาวสวยๆก็ได้นะครับ”

“พี่ก็อยากไปดูดาวนะ แต่เอาไว้ปิดเทอมแล้วพี่จะหาข้ออ้างไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน” พี่เดือนชูมือขึ้นไป ทำนิ้วเป็นกรอบสีเหลี่ยมเหมือนกล้อง “เวลากุมภ์กดชัตเตอร์กล้อง กุมภ์รู้สึกยังไงเหรอ?”

“นั่นสินะครับ...อาจจะเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ในที่สุดก็ได้ถ่ายรูปนี้แล้ว!’ ก็ได้”

“อย่างนั้นเหรอ...วันหลังกุมภ์สอนพี่ถ่ายรูปด้วยได้รึเปล่า พี่อยากจะลองรู้สึกแบบนั้นบ้าง”

พวกเราเดินด้วยกันไปเรื่อยๆ มันเป็นช่วงเวลาที่แสนจะผ่อนคลายและมีความสุขจนผมไม่อยากให้มันผ่านไปเลย เป็นไปได้ผมอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้ด้วยซ้ำ

ถ้าผมมีกล้อง...วันนี้ผมอาจจะได้รูปรอยยิ้มที่สวยงามของพี่เดือนเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำก็ได้


==========


พี่มูน พี่มูน พี่มูน พี่มูน //โดนตบ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 24-04-2019 21:25:46
บทที่ 3

 

วันนี้ผมเอากล้องมาด้วยเพื่อทำงานที่พี่เดือนได้มอบหมายเอาไว้ให้ผม อาศัยช่วงเวลาตอนพักกลางวันที่จะมีนักเรียนเข้ามานั่งเล่นไม่ก็นั่งอ่านหนังสือมากที่สุดเพื่อถ่ายเก็บบรรยากาศ หลายคนเหมือนกันเมื่อเห็นผมถือกล้องมาก็ตรงดิ่งขอให้ผมถ่ายรูปเอาไปติดบอร์ดเพื่อโปรโมทตัวเอง ผมก็ถ่ายไปตามน้ำแต่สุดท้ายก็มานั่งลบรูปที่ดูเฟคๆนั่นออกไป

ช่วงเย็นพี่เดือนก็จัดตารางให้ผมชนกับเขา พอผมเข้าไปในห้องประชุม พี่เดือนก็กำลังนั่งเขียนแนะนำหนังสือด้วยตัวตน ‘พี่มูน’ ของเขาอยู่ พี่เดือนยิ้มทักทายผมก่อนที่จะเดินออกไปติดกระดาษนั้นกับบอร์ดแล้วเดินกลับมา ผมวางกระเป๋าแล้วก็จัดการถ่ายรูปห้องสมุดยามเย็น

“รูปสวยๆเต็มเลย พี่ขอซื้อเอาไปติดในห้องสักรูปสิ”

“ผมถ่ายให้พี่ฟรีรูปหนึ่งได้ครับ เลือกมุมมา โปรโมชั่นมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ผมแลบลิ้นใส่พี่เดือน เขาตีหน้าบึ้งนิดๆ “ล้อเล่นครับ พี่เดือนอยากได้แบบไหนล่ะ?”

“พี่อยากได้มุมที่มีแสงอาทิตย์ตกลงมากระทบกับโต๊ะพอดี แต่คงต้องรอให้เย็นกว่านี้หน่อยถึงจะได้” พี่เดือนมองเข้าไปตรงโต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่าง ไม่มีคนนั่ง “แต่ถ้าเย็นกว่านี้พี่ก็จะไม่ได้ไปเรียนพิเศษ”

“ผมถ่ายเอาไว้ให้ก็ได้ครับ”

“ขอบคุณนะ” พี่เดือนพยักหน้า พวกเราเดินกลับเข้าไปข้างในอีกครั้งแล้วย้ายตัวเองไปนั่งตรงที่นั่งสำหรับบรรณารักษ์ ต่างคนต่างเงียบเพราะอ่านหนังสือ มีผลัดกันไปหาหนังสือในนักเรียนหรือครูที่หาหนังสือที่ต้องการไม่เจอบ้าง แต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย

ไม่นานนักพี่เดือนก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา มันเป็นหนังสือ ‘365 วันของนักเรียนดีเด่น’ ที่พี่เดือนเคยเอาออกมาให้ผมเห็น ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เดือนถึงเลือกอ่านเล่มนี้

“...ความจริงแล้ว พี่รู้จักกับนักเขียนเรื่องนี้ดีเลยล่ะ”

“จริงเหรอครับ? เขาเป็นใครครับ?”

“เขาขอให้พี่ไม่บอกใครน่ะว่าตัวตนจริงๆแล้วนั้นเขาคือใคร แต่เขาบอกพี่ว่าอีกไม่นานจะออกผลงานหนังสือเล่มใหม่” พี่เดือนลูบหน้าปกหนังสือนั่นไปมา “น่าจะคนละโทนกับเรื่องนี้เลย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแนวความสุขของชีวิต”

พี่เดือนยื่นหนังสือเล่มนั้นมาให้ผม ผมมองสายตาพี่เดือนสลับกับของที่อยู่ในมือ ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร

“หนังสือเล่มนี้มันเหมือนสะท้อนตัวพี่ สะท้อนตัวพี่ที่ไม่มีความสุขเลย แต่พี่หวังว่าคุณ HiddenShadow จะเขียนหนังสือเล่มใหม่ที่เป็นเหมือนแสงสว่างส่องนำทาง และเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความสุขนะ”

“พี่เดือน...”

“พี่อยากอ่านหนังสือที่เต็มไปด้วยความสุข พี่ไม่อยากมาเห็นเงาของตัวเองในวรรณกรรมแบบนี้ แล้วพี่ก็อยากเป็นเหมือนเด็กชายคนนั้นของกุมภ์ที่ทำให้คนอื่นยิ้มออกมาได้” พี่เดือนวางหนังสือลงกับตักผม “พี่ขอฝากหนังสือเล่มนี้กับกุมภ์ก่อน พี่ไม่อยากเห็นเล่มนี้เพราะมันจะทำให้พี่รู้สึกไม่ดี วันไหนที่หนังสือเล่มใหม่ของ HiddenShadow ขายแล้ว พี่จะมาขอรับคืนเพื่อเอาไปอ่านเทียบกันว่ามันมีความแต่งต่างมากแค่ไหน”

ผมไม่ได้ยิ้มให้เขา หรือแม้แต่จะแสดงสีหน้าใดๆ พยักหน้ารับหนังสือนั่นมาเก็บเข้ากระเป๋าเงียบๆ จากนั้นพี่เดือนก็ขอตัวไปเรียนพิเศษก่อน ส่วนผมก็นั่งอยู่ในห้องสมุดส่วนของบรรณารักษ์คนเดียว

จนเมื่อได้เวลาที่แดดเริ่มส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผมก็หยิบกล้องออกมาถ่ายรูปให้พี่เดือนตามที่เขาขอ ถ้าเกิดว่าเขายังนั่งอยู่ข้างๆผมในตอนนี้อาจจะได้เห็นแสงที่สวยมากแล้วก็ได้

นั่นทำให้ผมคิดว่า พี่เดือนไม่ใช่ไม่เคยได้เจอแสงสว่างหรอก แต่เป็นตัวเขาเองที่หนีแสงสว่างนั้น พอหนีก็ไม่ได้เจอในสิ่งที่เขากำลังตามหา

พี่เดือน...ผมอยากให้พี่อยู่นานกว่านี้อีกนิด เพราะพี่อาจจะเจอคำตอบของชีวิตพี่ก็ได้

 

ยินดีต้อนรับคณะกรรมการประเมินสถานศึกษา

ผมมองป้ายนี้ในขณะที่กำลังเดินเข้าโรงเรียน ความจริงแล้วสิ่งที่พวกเรากำลังทำนั้นเรียกว่าผักชีโรยหน้า จะพัฒนาให้ดีขึ้นต่อเมื่อมีคนมาประเมินโรงเรียนเท่านั้น ในยามปกติมันไม่ได้ดูดีขนาดนี้เลยสักนิด ดอกไม้ตรงริมทางเดินนั่นได้ข่าวว่าเพิ่งเอามาลงได้สองวัน ไหนจะใต้ต้นไม้ที่ไม่มีขยะ ถังสีเหลืองสีเขียวสีแดงนั่นอีก มาจากไหนกัน

ผมเองก็เข้าใจว่าอยากให้สถานศึกษาดูดี แต่ช่วยทำให้มันดูดีตลอดไปไม่ได้รึยังไงกันนะ?

เมื่อเดินเข้ามาอีกนิดหน่อยก็เห็นซุ้มกิจกรรมชมรมต่างๆกำลังตั้ง ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ยังเหลือเวลาอีกสามสิบนาทีเพื่อเตรียมของให้เรียบร้อยก่อนที่จะเรียกเข้าแถวและคุยประสานงานครั้งใหญ่ ส่วนพี่เดือนน่าจะอยู่ที่ซุ้มใกล้ๆกับห้องสมุดตอนนี้

เพื่อนของผมที่อยู่ชมรมต่างๆทักผมบ้าง บางคนก็บอกว่าอย่าตื่นเวที ผมไม่ได้ตื่นเวทีง่ายขนาดนั้น มันจึงเป็นเรื่องสบายมาก พวกเขาอาจจะคิดว่าเพราะผมทำงานกับพี่เดือนเลยยิ่งกดดัน

พี่เดือนไม่ได้กดดันผม เขากลับทำตัวสบายๆด้วยซ้ำ ซ้อมบทด้วยกัน บางทีเขาก็เผลอหลุดออกมาจนผมหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง เขาก็หน้าแดงๆแล้วแก้ตัวว่าคนเราก็มีผิดพลาดได้

ผมเดินมาเรื่อยๆจนเจอพี่เดือนที่กำลังคุยงานกับคนในชมรม จากนั้นเขาก็เดินตรงมาหาผมพร้อมกับชี้ไปทางใต้ต้นไม้ที่เงียบกว่าจะได้คุยเรื่องบทพูดได้ง่ายขึ้น

“วันนี้วันจริงแล้วนะ กุมภ์ตั้งสติดีๆล่ะ หลังจากเข้าแถวเสร็จเดี๋ยวพี่เอาเสื้อคาดิแกนของสภานักเรียนให้ยืมใส่ มันเป็นระเบียบ” พี่เดือนยื่นกระดาษให้ผมมาทวนอีกรอบ ซ้อมกันอีกสองรอบพวกเราก็เข้าขาเหมือนที่ซ้อมมาตลอด จากนั้นพวกเราก็ไปเข้าแถวตามปกติ พี่เดือนขึ้นชี้แจงเรื่องกำหนดการกรรมการเข้าออกในโรงเรียน ช่วงเช้าพวกเราจะมีกิจกรรมทั้งวัน ส่วนช่วงบ่ายนั้นจะมีการเดินชมแต่ละชมรมและสถานที่เรียนต่างๆ คนที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรมากก็จะกลับไปที่ห้องเรียนตัวเองเพื่อสร้างสถานการณ์ว่าเรียนตลอดเวลา ผมกับพี่เดือนนั้นต้องคอยเดินนำกรรมการประเมินตลอดเพื่อแนะนำชมรมต่างๆ ถ้าพูดถึงว่าใครเหนื่อยสุดในงานนี้ ก็คงเป็นพวกเราที่ต้องคอยพูดรับให้ตลอดเวลานั่นแหละ

เมื่อเลิกแถว ผมก็วิ่งไปหาพี่เดือน เขายื่นเสื้อคาดิแกนสีกรมท่ามาให้ เมื่อใส่แล้วจะดูเป็นเหมือนยูนิฟอร์มของนักเรียนต่างประเทศ แต่นี่คือยูนิฟอร์มสภานักเรียนฤดูฝนและฤดูร้อน ของฤดูหนาวนั้นจะเป็นเสื้อแขนยาวสีครีมเรียบง่าย พอผมใส่มันก็พอดีตัวจนผมประหลาดใจ แต่พี่เดือนก็แค่ยิ้มๆ จากนั้นเขาก็ใส่เสื้อตัวนั้นทับเสื้อนักเรียนของตัวเองแล้วเดินไปสแตนด์บายที่ห้องรับรองข้างๆเวทีในหอประชุม

ภายในห้องมีพวกเราแค่สองคน พี่เดือนสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ แต่เขาก็ทำสลับกับถอนหายใจด้วยจนผมอดที่จะถามไม่ได้

“พี่เดือนถอนหายใจทำไมครับ?”

“เวลาที่พี่ไม่ค่อยสบายใจพี่ก็จะเป็นแบบนี้แหละ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ พี่ตั้งสติได้ก่อนทุกครั้ง ยิ่งครั้งนี้มีกุมภ์อยู่ด้วยพี่ก็รู้สึกไม่กังวลเท่าครั้งก่อนๆแล้ว”

“กังวล?” พี่เลิกคิ้ว พี่เดือนเคยรู้สึกกังวลด้วยเหรอเวลาที่จะขึ้นเวที ท่าทางของเขาปกติมากจนผมมองไม่ออกว่าเขากำลังตื่นเต้น

“อืม เห็นอย่างนี้เอาเข้าจริงๆพี่ชอบกระวนกระวายใจก่อนจะขึ้น แต่พอถึงเวลาที่พี่ขึ้น พี่ก็ต้องสวมหน้ากากปิดความกังวลเอาไว้” พี่เดือนโคลงหัว “พอลงมาล่ะนะ ขาสั่นไปหมด”

ผมไม่ยักกะรู้ว่าพี่เดือนเป็นอย่างนี้เสมอ ผมจึงเลื่อนมือไปจับแขนของเขาเอาไว้ แล้วก็พูดให้กำลังใจเขาสักนิด “วันนี้พี่มีผมอยู่ด้วย ถ้าพลาดก็พลาดไปด้วยกันนี่แหละครับ”

พี่เดือนยิ้มออกมา เขาพยักหน้าพร้อมเสียง ‘อื้ม’

“กรรมการประเมินกำลังจะมาถึงแล้ว รีบไปเข้าห้องน้ำห้องท่าก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราจะไม่ได้ไปไหนทั้งวันเลยนะ” พี่เดือนบอกกับผม พร้อมยกมือขึ้นมาขยี้หัวเล่น ผมไม่ได้สะดุ้งตกใจเหมือนครั้งที่พี่เดือนเคยทำ แต่คราวนี้ผมอยากให้เขาทำนานๆ “ถ้าหิวก็กินขนมรองท้องไปก่อน พี่มีนี่ติดกระเป๋าเอาไว้” พี่เดือนล้วงกระเป๋ากางเกงนักเรียนสีน้ำตาลของตัวเอง ขนมรองเท้าที่พี่เดือนว่านั้นก็คือมะเขือเทศอบแห้งซองเล็กๆ

ผมน่ะ...โคตรจะเกลียดมะเขือเทศเลย

“เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ชอบมะเขือเทศ” ผมโบกมือ พี่เดือนยิ้มบางก่อนที่จะหยิบอีกอย่างออกมาจากกระเป๋า เป็นบิสกิตรสนมธรรมดาๆ ผมรับจากเขาก่อนที่จะเปิดซองเอาเข้าปาก ส่วนพี่เดือนก็ฉีกเนื้อมะเขือเทศอบแห้งโยนใส่ปากแล้วเคี้ยวแบบไม่ใส่ใจนัก

มะเขือเทศเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันจะแตะต้องเด็ดขาด ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบสดๆ ผัดใส่กับข้าวมาแล้ว เป็นน้ำเข้มข้น หรือเป็นแบบแปรรูปชนิดอื่นๆ

“...พี่ทนกินมะเขือเทศนั่นได้ยังไงครับ...”

“หืม? นี่เหรอ? พี่ชอบกินแบบสดๆมากกว่านะ มันฉ่ำน้ำ แต่ถ้าเอามาแบบสดๆตอนนี้ล่ะก็คงเละก่อน ส่วนที่พี่กินมะเขือเทศนี่ได้ยังไงล่ะก็อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนเชื่อว่ามะเขือเทศคือสิ่งที่เปรี้ยวที่สุดแล้วล่ะมั้งเลยกินกระตุ้นตัวเองแทนกาแฟ” พี่เดือนกินไปพูดไป ต่างจากการที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นที่เขาจะไม่เสียมารยาททำแบบนี้เด็ดขาด “ตอนนี้พี่ชอบน้ำมะนาวกับมะเขือเทศ”

“ตระกูลของเปรี้ยวทั้งนั้นเลย แต่กินเปรี้ยวมากก็ไม่ดีนะครับ ระวังเรื่องแผลในกระเพาะด้วย ผมเป็นห่วงพี่นะ ยิ่งไม่ค่อยดูแลตัวเองแบบนี้” ผมดุพี่เดือนไป เขาทำหน้าอึ้งๆหน่อยจากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ “มีอะไรครับ?”

“เปล่าๆ แค่คิดว่ากุมภ์เอาเข้าจริงๆแล้วนี่ดุเก่งมาก ถ้าเกิดเป็นพ่อคนไปนี่คงดุเก่งกว่าคนเป็นแม่แน่ๆ”

“ที่ผมดุเก่งก็เพราะที่บ้านผมมีน้องชายอยู่คนหนึ่งครับ สมัยก่อนน้องผมซนมาก ซนจนผมที่เป็นพี่ชายต้องสั่งให้หยุด พอไม่หยุดผมก็ดุตามที่เคยได้ยินแม่ดุพวกเรา จนกลายเป็นว่าผมติดนิสัยดุคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่น้องผมไม่ได้ซนเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ออกจะนิ่งๆกว่าด้วยซ้ำ ความจริงผมเองก็ยังคิดว่าพวกเราสลับนิสัยกันรึเปล่าเลย” ผมยิ้มเมื่อพูดถึงมีนา น้องชายคนเดียวของผม พี่เดือนมีท่าทีสนใจที่จะฟังเรื่องราวครอบครัวของผมมาก แต่ทว่าก็มีคนเคาะประตูเสียก่อน

“คณะกรรมการประเมินมาถึงแล้ว รีบออกมาเร็ว”

“ครับ” ทั้งผมและพี่เดือนขานรับพร้อมกัน ก่อนที่จะเดินออกไปต้อนรับกรรมการบนเวที พี่เดือนเหลือบผมโดยที่ผมเองก็เหลือบมองพี่เดือน ส่งยิ้มให้กัน จากนั้นเวลาที่พวกเราต้องจริงจังมันมาถึง

ผมต้องเลือกใช้วิธีเดียวกับพี่เดือน สวมหน้ากากแล้วทำตัวให้เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากเพียงพอที่จะมาต้อนรับคนที่มาประเมินโรงเรียนแบบผักชีโรยหน้าอย่างนี้

 

“ในที่สุดก็ได้พักสักที...” พี่เดือนวางขวดน้ำสะอาดบนโต๊ะ ผมกับพี่เดือนนั่งด้วยกันในโรงอาหารสองที่เป็นโรงอาหารประจำของพวกโครงการพิเศษ พี่เดือนเป็นหนึ่งในนักเรียนโครงการนี้ทำให้มีบัตรเข้าออกประจำและพาผมหลบคนเยอะๆมานั่งกินข้าวที่นี่ได้ “เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ กุมภ์จะกินอะไร?”

“ผมเอาผัดกุ้งใส่ไข่ครับ”

พี่เดือนเดินไปสั่งอาหารให้ ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับจานข้าวสองใบที่มีผัดกุ้งใส่ไข่กับผัดคะน้าหมูกรอบ พี่เดือนนั่งลงตรงข้ามกับผม พวกเราใช้เวลาไม่นานนักในการยัดอาหารลงกระเพาะ และเมื่อมีเวลาว่างก็ถึงเวลาสนทนาของพวกเรา

“พี่เสียดายตัวเองที่กินกุ้งไม่ได้ พี่แพ้กุ้งรุนแรงมาก ตอนเด็กๆเคยกินกุ้งแม่น้ำแล้วเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นที่บ้านเล่าให้ฟังด้วยว่าพี่ไม่หายใจไปนาทีกว่าๆ” พี่เดือนมองหางกุ้งที่เป็นเศษเหลือในจานของผม “แม้แต่มันกุ้งยังกินไม่ได้เลย เวลาพี่จะกินอะไรก็ต้องดูดีๆ”

ผมพยักหน้า “กุ้งมันก็จะจืดๆหน่อย มีรสเกลือปนนิดๆ ส่วนเนื้อสัมผัสสำหรับผมว่ามันกรุบหน่อยๆ พอให้รู้ว่ามันคือกุ้ง...จะอธิบายยังไงดีนะ เอาเป็นว่าพี่ลองไปกินลูกชิ้นที่ทำเป็นรูปกุ้งแดงๆนั่นดู เนื้อสัมผัสอาจจะคล้ายๆกันก็ได้นะครับ” ผมชี้ไปที่ร้านขายลูกชิ้นที่มีลูกชิ้นเรียงเต็มตู้ กุ้งตัวสีแดงๆ (ปลอมๆ) นั่นคือสิ่งที่ผมหมายถึง พี่เดือนมองอยู่สักพักแล้วก็ลุกไปสั่งกับแม่ค้า

“กุมภ์แน่ใจนะว่ามันจะไม่มีเนื้อกุ้งผสมอยู่?”

“นั่นเนื้อปลากับแป้งร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ ผมเคยเห็นข้างถุง”

พี่เดือนกัดเข้าปากคำหนึ่ง ก่อนที่จะตามมาด้วยคำที่สอง สาม สี่ “ก็อร่อยดี”

“อย่าบอกนะครับว่าพี่ไม่เคยกินลูกชิ้นพวกนี้?”

“พี่ว่าสีมันไม่น่าไว้ใจนี่นา ไม่รู้ผสมอะไรลงไปบ้างอีก ถึงจะหาข้อมูลจากเน็ตดูแล้วแต่พี่ก็ไม่มั่นใจว่าของยี่ห้อนี้จะไม่ผสม ดีไม่ดีบางยี่ห้อก็ไม่ได้มาตรฐานอ.ย.อีก” พี่เดือนน่าจะเป็นคนที่ให้ความจริงจังกับอาหารการกินของตัวเองเสียด้วยสิ “แต่ถ้ากุมภ์บอกว่ามันไม่เป็นไร พี่ก็จะเชื่อกุมภ์”

เชื่อผมทั้งๆที่ผมไม่มีความรู้เรื่องอาหารเนี่ยนะ?

รู้สึกพิเศษแฮะ...

“กุมภ์ชอบกินกุ้งเหรอ?” พี่เดือนถามขึ้นมา เขาเขี่ยหางกุ้งในจานผมด้วยช้อนไปมา

“เฉยๆมากกว่าครับ ผมชอบขาหมูมากกว่า มันเยอะๆมันอร่อยดี”

“ขาหมูมันเยอะทำให้เสียสุขภาพนะ ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้ตัวแต่แก่ไปล่ะก็เสียใจแน่ๆ” เขายกขวดน้ำขึ้นจิบ ผมมองลำคอของเขาที่กำลังกระดกน้ำสู่หลอดอาหาร “...ลุงของพี่เสียเพราะไขมันอุดตันในเส้นเลือดบวกกับเป็นโรคเบาหวาน”

“หว๋า...” ผมไม่อยากตายเพราะโรคภัยตั้งแต่อายุน้อยๆหรอก “ถ้างั้นผมจะฟังพี่ครับ ไม่กินเยอะเท่าเมื่อก่อน ผมไม่อยากลาโลกนี้โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เต็มที่”

“พี่อิจฉากุมภ์ตรงที่อยากทำอะไรก็ได้ทำนี่แหละ” พี่เดือนหุบยิ้ม สายตาของเขาดูเศร้าลง สายลมพัดผ่านมาทำให้ผมรู้สึกเย็นแปลกๆ

บางที...อารมณ์ของพี่เดือนก็สามารถส่งผลต่อสภาพอากาศได้เช่นกัน

“ก็ใช่ว่าผมจะได้ทำทุกอย่างตามที่ใจนึกหรอกนะครับ ผมเองก็ยังมีกรอบขอบเขตกั้นเอาไว้ แต่พี่เดือนครับ สักวันมนุษย์ทุกคนจะได้สิทธิในการพังกรอบนั้นออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง” ผมผสานมือ วางเอาไว้ที่หน้าตักตัวเอง “แม้ว่าตอนนี้โอกาสของพี่มันยังมาไม่ถึง แต่พี่ต้องเชื่อมั่นว่าในวันข้างหน้าพี่จะสามารถสยายปีกของตัวเองแล้วบินไปบนท้องฟ้าได้แน่นอน ไม่ว่าต้องรอนานแค่ไหนพี่ก็ต้องเชื่อเอาไว้นะครับ”

“มองโลกในแง่ดีจังเลยนะ”

“ถ้าไม่มองโลกในแง่ดีเอาไว้จะใช้ชีวิตแบบมีความสุขได้ยังไงกันครับ?” ผมยิ้มพร้อมกับให้คำถามพี่เดือน “พี่ไม่ต้องทำหน้าขมวดคิ้วหาคำตอบเลยครับ มันไม่มีสูตรคำนวณหรือว่าหลักการตายตัวหรอกว่าความสุขสามารถหาจากที่ไหนได้อีก”

“...”

ผมลุกขึ้น หยิบจานข้าวของพี่เดือนมาด้วย “เดี๋ยวพวกเราก็ต้องไปเตรียมตัวแล้วนะครับ”

“...”

พี่เดือนไม่ได้ว่าอะไรต่อ เขาเดินตามผมด้วยจิตที่เหม่อลอย เขากำลังคิดมากอีกแล้ว จนกระทั่งพวกเราเดินมาถึงจุดหนึ่งที่มีป้ายขวางเอาไว้ บริเวณใกล้ๆกันไม่มีคนเดินทำให้ผมสลับฝั่งที่เดิน แต่พี่เดือนไม่ได้สลับตามทำให้..

โครม!

“อุ...”

พี่เดือนนั่งลงกับพื้น เขายกมือตัวเองขึ้นมาป้องหน้าผากเอาไว้ ถึงจะไม่ได้ชนแรงมากแต่นั่นก็คงมากพอที่จะทำให้เจ็บจนนั่งลงไปแบบนั้น ดีที่ไม่มีคนทำให้พี่เดือนไม่ต้องรีบหนีสายตาจากความซุ่มซ่ามของตัวเอง

“อุ๊บ...ฮึฮึ” ผมพยายามกลั้นหัวเราะ พี่เดือนเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าค้อนๆใส่ “ขอโทษครับๆ พี่เดือนไปห้องพยาบาลก่อนมั๊ย?”

“ไม่กล้าไป เดี๋ยวมีคนเห็น”

“พี่จะปล่อยให้หน้าแดงมันบวมเอาเหรอครับ?”

“...”

“มาเถอะครับ ไม่นานหรอก ครูห้องพยาบาลเห็นคนเดียวยังดีกว่าพี่เดือนเดินหน้าผากแดงอย่างนี้ตลอดบ่าย” ผมล่อพี่เดือน เขาคิดก่อนที่จะพยักหน้าแล้วเดินตามผมพร้อมกับหันมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเขา พออยู่กับผมนานๆเข้านิสัยจริงๆของเขาก็กะเทาะเปลือกออกมาเรื่อยๆจนผมอดเอ็นดูความน่ารักที่ซ่อนในความสมบูรณ์นี้แบบไม่ลง มันเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กที่ชอบความเพอร์เฟ็ค พอหลุดออกมาก็ยอมรับไม่ได้

น่ารักจริงๆ

ผมดันหลังพี่เดือนเข้าไปในห้องพยาบาล ขอเบิกยาทาแก้บวมเอามาให้พี่เดือนทาแล้วยัดใส่มือของเขา ถ้าไม่บังคับก็คงทิ้งเอาที่นี่ นิสัยพี่เดือนมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือดื้อเงียบ เขามีอาการต่อต้านสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่แสดงออกชัดเจน

ขอโทษนะ ผมอยู่กับเขาจนเริ่มจับได้แล้วว่าพี่เดือนกำลังคิดอะไรอยู่

เห็นหน้านิ่งๆนั่น ในใจคงบ่นผมเป็นล้านคำว่าเอายาให้ทำไม

“ไม่ต้องบ่นครับพี่เดือน” ผมยกมือห้ามทัพเอาไว้ “พี่จะดื้อกับใครก็ได้แต่อย่าดื้อกับผม ผมเป็นห่วงพี่ ถ้าเกิดว่ามันบวมขึ้นมาพี่ไม่มีหน้าไปหาใครแน่ๆ”

“กุมภ์ดุเก่ง...” พี่เดือนเก็บยาลงกระเป๋าเสื้อตัวเอง พวกเราไปเตรียมตัวที่ห้องรับรองเพื่อรอให้คณะประเมินกลับมาจากการทานข้าวร่วมโต๊ะกับคณะผู้บริหาร ไม่นานนักพวกเขาก็มาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

“สงสัยผอ.จะโม้เยอะไปหน่อย” พี่เดือนกระซิบให้ผมฟังขณะที่กรรมการเดินชมภายในห้องเรียนวิชาสารสนเทศ “กุมภ์ก็น่าจะรู้ว่าผอ.พูดเก่งกับขี้โวแค่ไหน”

“ก็พอจะเข้าใจอยู่...”

พวกเราค่อยๆเดินแนะนำสถานที่ไปเรื่อยๆจนมาถึงชมรมบรรณารักษ์ของพวกเรา รุ่นพี่ในชมรมที่ชื่อว่าไกรวิชญ์นั้นกำลังคุยกับนักเขียนที่พี่เดือนพามาอย่างออกรส คณะกรรมการรู้สึกสนใจกับการพูดคุยครั้งนี้จึงหยุดแวะดูก่อน พี่เดือนเลยได้โอกาสแว๊บตัวเองไปถามไถ่เรื่องงานการจากคนที่นั่งเฝ้าโต๊ะ ใจความที่ได้ก็ประมาณว่าวันนี้ครูชอบซุ้มของชมรมพวกเราเป็นพิเศษ อาจจะมีรางวัลให้ภายหลัง นั่นทำให้ทั้งผมและพี่เดือนต่างโล่งอก เพราะพวกเราไม่ได้มีลูกเล่นเหมือนชมรมอื่นๆ

“รูปพวกนี้ใครถ่ายเหรอ?”

หนึ่งในคณะกรรมการประเมินชี้ไปที่รูปถ่ายที่ติดตรงบอร์ดเล็กๆ นั่นทำให้ผมเดินออกไปรับหน้าแทน

“รูปของผมเองครับ ผมเป็นสมาชิกชมรมบรรณารักษ์ด้วย” ผมยิ้ม เขาพยักหน้าก่อนที่จะลูบนิ้วลงบนกระดาษโฟโต้ไปมา

“ฝีมือดีนี่นา ถ้ามีโอกาสผมก็อยากให้นักเรียนลองยื่นพอร์ตให้กับทางมหาลัยที่ผมสอนอยู่ ผมเป็นอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ เอกถ่ายภาพ” เขายื่นนามบัตรมาให้กับผม “ผมอยากรู้ว่าตอนนี้นักเรียนเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วครับ?”

“ผมเป็นนักเรียนชั้นม.4 ครับ”

“ยังเด็กอยู่เลยนี่นา พัฒนาฝีมือเข้านะ ผมอยากเห็นคุณนั่งเรียนในคลาสของผม” เขาหัวเราะ แล้วเดินไปสบทบกับกรรมการคนอื่นๆที่ยังคงดูนักเขียนคนนั้น พี่เดือนเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับมองนามบัตรในมือ

“ไม่นานก็มีคนมาจีบแล้วเหรอ?”

ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าน้ำเสียงพี่เดือนดูเศร้าชอบกล?

“จีบอะไรล่ะครับ เขาแนะนำให้ผมลองส่งพอร์ตเข้ามหาลัยของเขา แต่ผมยังอยู่ม.4 เอง อีกนานเลย”

“แต่การที่มีคนเห็นแววในตัวกุมภ์ตั้งแต่ตอนนี้มันก็ดีใช่ย่อยนะ...” พี่เดือนส่ายหน้า “ช่างเถอะ พี่อาจจะพูดอะไรแปลกๆเพราะวันนี้พี่รู้สึกว่ามันวุ่นๆหน่อย”

ไม่...พี่เดือนพูดอะไรแปลกๆไม่ใช่เพราะเขาหัววุ่น มันมีอะไรมากกว่านั้นอีก

หรือว่าเขากำลังหงุดหงิดอะไร?

“พี่เดือน ถ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะครับ ตอนนี้ยังมีเวลา”

“...”

“หรือว่า...” ผมค่อยๆหรี่ตาลงมองนามบัตรในมือของผม “พี่อิจฉาที่ผมมีคนให้นามบัตรแนะนำตัวแต่พี่ไม่ได้?”

“!”

นั่นไง พี่เดือนต้องพยายามทำตัวให้เด่นๆเพื่อให้มีคนสนใจ แต่พอกลายเป็นผมที่ได้รับความสนใจไปแทน เขาก็อิจฉา “พี่เดือนครับ การที่พี่อิจฉามันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่พี่จะมองว่าการที่ไม่ได้รับความสนใจหรือให้การสนใจนั้นคือความล้มเหลวของพี่น่ะ มันไม่ใช่”

“กุมภ์ คือพี่..”

“ยอมรับเถอะครับพี่เดือนว่าพี่เองก็อยากให้มีคนมาแนะนำให้เข้ามหาลัยแบบนี้บ้าง”

“...”

ผมยื่นมือเข้าไปจับแขนของเขาไว้ทั้งสองข้าง พี่เดือนดูเลิ่กลั่กมาก พอโดนจับได้ว่าเขาอยากได้แบบนี้บ้างก็ยิ่งอดเอ็นดูไม่ไหว “พี่เดือน เดี๋ยวพี่ก็ได้ครับ เชื่อผมสิ”

“...อืม พี่ขอโทษนะ”

“เรื่องแค่นี้เองครับ ทำงานกันต่อเถอะเนอะ” ฉีกยิ้มกว้างให้เขา ก่อนที่จะเดินไปยืนข้างๆกรรมการเพื่อรอให้เขาดูเสร็จแล้วพาเดินต่อ พี่เดือนเองก็เดินมาข้างๆแล้วยิ้มบางๆให้ ผมอาจจะเป็นคนเดียวที่พี่เดือนกล้ายอมรับสิ่งที่เขากำลังคิดอย่างง่ายดาย และผมเองก็คงเป็นคนเดียวที่สามารถอ่านท่าทางพี่เดือนออก ถ้าคุณอยู่กับใครนานๆคุณก็จะสามารถรับรู้ถึงออร่าความรู้สึกได้เองอัตโนมัตินั่นแหละครับ ผมไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรหรอก

ไม่นานนักคณะกรรมการประเมินก็เดินมาที่ชมรมดนตรี นทีกับพวกพี่ๆวงโฟล์คซองค์กำลังยืนรออยู่ประจำตำแหน่งตัวเอง

แต่วันนี้ไม่เห็นนักร้องนำแฮะ

“วันนี้พวกเราชมรมดนตรีจะมาแสดงดนตรีโฟล์คซองค์ให้ชมนะครับ พวกเราขอมอบหน้าที่ร้องนำให้นายนที ไมตรีจิตร นักเรียนชั้นม.4 มือกีตาร์ของเรา”

นทีเริ่มดีดกีตาร์นำ แล้วก็เปล่งเสียงร้องออกมา คนในห้องเคยไปร้านอาหารของลุงนทีแล้วบอกว่านทีเสียงดี ไม่คิดว่าเสียงนทีมันจะดีขนาดนี้เลย

พี่เดือนมองจ้องนที เขาพึมพำปากตาม คราวแรกผมไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร แต่พอค่อยๆขยับเข้าไปผมก็ได้ยินเสียงเขากำลังร้องเพลงตามนที เสียงของพี่เดือนเองก็ไม่ได้แย่อะไร เพียงแค่สู้นทีไม่ได้เท่านั้น ผมเองก็ไม่คิดว่าพี่เดือนจะร้องเพลงเป็นด้วย

เมื่อนทีร้องจบ เขาก็ได้รับเสียงปรบมือจากคณะกรรมการประเมิน ได้รับคำเชิญจากกรรมการคนละคนกับผมให้ไปเรียนมหาลัยอีกทีหนึ่ง นทียิ้มแห้งๆ มองมาที่ผมแล้วทำท่าทางชี้นิ้วไปที่ข้างๆ

ข้างๆ?

ผมหันไปมองพี่เดือน สีหน้าเขาดูไม่เอนจอย แบบ...อารมณ์ไม่ดีเลยน่ะครับ เพราะว่าเห็นนทีได้รับคำเชิญ ผมก็มีคนชวน พาตัวเองไม่ได้ถูกชวนบ้างมันก็คงจะรู้สึกน้อยใจ

“พี่เดือน อดทนเอานะครับ อีกไม่นานก็จบลงแล้ว”

“อืม” เขาตอบในลำคอ เพิ่งดับระเบิดไปเมื่อกี๊กรรมการก็ดันมาจุดชนวนอีก ผมต้องจดเอาไว้ในใจเลยว่า

ข้อที่เจ็ด พี่เดือนเป็นคนขี้อิจฉา ถึงจะไม่แสดงออกแต่ในใจของเขามันร้อนไปหมดแล้ว



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 24-04-2019 21:28:17
ในที่สุดงานวันนี้ก็จบไปได้ด้วยดี พี่เดือนยังไม่ยอมคุยอะไรกับใครเลยนอกจากเรื่องงาน เขากำลังหงุดหงิด บางคนที่พอจะอ่านบรรยากาศได้ก็พยายามถอยห่างเพราะกลัวพี่เดือนจะระเบิดอารมณ์ใส่ ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงเพื่อให้อารมณ์ของพี่เดือนดีขึ้นจึงขอตัวไปที่ห้องสมุดเสียก่อนเพื่อช่วยกันเก็บของ

แต่ผมเก็บของเสร็จแล้วพี่เดือนก็ยังไม่มีท่าที่จะมา

ผมนั่งรอในห้องสมุดประมาณครึ่งชั่วโมง พี่เดือนก็กลับมาในสภาพที่อิดโรยชัดเจน เขาเห็นผมก่อนที่จะเดินมานั่งลงตรงที่ประจำของเขา

“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ”

“อืม”

คำก็อืม สองคำก็อืม ผมชักจะเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ

“พี่เดือน ผมไม่ได้อย่าว่าพี่งี่เง่าหรอกนะ แต่ตอนนี้พี่กำลังงอแงเป็นเด็กดื้อเงียบสุดๆ พี่ไม่ได้คำชวนจากคณะกรรมการเลยทำให้พี่หงุดหงิด” ผมบ่นออกมา พี่เดือนสะดุ้งหน่อยๆแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “...แล้วผมก็ใจอ่อนด้วย”

“?”

ผมยื่นกระดาษเล็กๆสีฟ้าน้ำทะเลไปให้เขา พี่เดือนรับมาแล้วพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พลางกันเงยหน้าขึ้นมามองสลับกัน “ผมชวนพี่เดือนไปเรียนพิเศษด้วยกันในวันพรุ่งนี้เพราะเห็นว่าพี่กำลังอารมณ์ไม่ดี ไปนั่งทำสมาธิตั้งใจเรียนหน่อยก็คงใจเย็นลง”

“อุ๊บ...” พี่เดือนยกมือขึ้นมาปิดปากลั้นหัวเราะ จากนั้นเขาก็ทนไม่ไหวหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง พอเห็นว่ายิ้มได้แล้วผมก็สบายใจขึ้นหน่อย “นี่กุมภ์เล่นอะไรเนี่ย”

“ก็พี่เล่นปล่อยออร่ามืดมนออกมาจนคนไม่กล้าทักว่าพี่เป็นอะไร ผมเลยอาศัยจังหวะที่รอพี่มานั่งเขียนกระดาษเนี่ยแหละ” ผมชี้ไปที่นามบัตรปลอมๆ เขียนชื่อของผมกับที่เรียนพิเศษพร้อมระบุวันเอาไว้ “พี่เดือนไม่ต้องไปน้อยใจหรอกนะครับ มันเป็นเรื่องยิบย่อยมากๆ มีคนชวนผมให้ไปมหาลัยนู่นนี่สุดท้ายแล้วผมก็คงเลือกมหาลัยที่ผมชอบอยู่ดี” ว่าแล้วก็ยักไหล่ให้ ผมไม่ได้สนใจมหาลัยที่กรรมการคนนั้นแนะนำมาแต่แรก มันไม่ได้อยู่ในลิสต์เลย “ถ้าเกิดว่ามีคนมาแนะนำให้พี่ไปสมัครเรียนที่มหาลัยไม่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ พี่จะไปเรียนมั๊ย?”

“ก็...ไม่”

ผมดีดนิ้ว “นั่นแหละครับ ต่อให้มีคนมาแนะนำให้เราไปเรียนที่ไหน แต่สุดท้ายแล้วคนที่จะตัดสินใจที่เรียนคือตัวของเรา” ผมดึงกระดาษสีฟ้าน้ำทะเลในมือพี่เดือนคืนมา โยนลงถังขยะ “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พวกรามีนัดกันแล้วนะครับ ดีล”

พี่เดือนหัวเราะในลำคอ แต่ก็พยักหน้าไปด้วย แปลว่าตกลง

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราต้องมาเรียนแต่เช้า ถ้าพี่เดือนพักผ่อนไม่เพียงพอไม่ต้องมาโทษผม เพราะผมไม่ใช่เจ้าชีวิตพี่ เจ้าชีวิตของพี่คือตัวพี่เอง” ผมบอกพี่เดือนก่อนที่ตัวเองจะลุกออกจากเก้าอี้ บิดลูกบิดประตูห้องประชุมเล็กๆในห้องสมุดแห่งนี้ “ผมเป็นกำลังใจให้พี่ผ่านพ้นเรื่องยากลำบากในแต่ละวันนะครับ”

ผมเดินออกไป โดยที่ทิ้งรูปที่ไม่ได้เอาไปติดบอร์ดใบหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะ พี่เดือนน่าจะเห็นและอาจจะวิ่งกลับมาคืนให้ผมถ้าผมไม่ได้เขียนข้างหลังเอาไว้ว่า

‘ขอให้วันพรุ่งนี้วันที่ดีกว่าเก่า’

 

“พี่เดือนออกมานอกบ้านทุกวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้ไม่มีเรียนรึยังไงครับ?”

ผมถามพี่เดือน ในขณะที่เขาเคาะนิ้วกับพวงมาลัยรถท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงจัดภายนอกรถวีออสคันนี้ พวกเรากำลังจะไปร้านกาแฟที่พี่เดือนว่าไว้คราวก่อน ผมถือกล้องมาด้วย พี่เดือนเอก็ถือสมุดเล่มหนาๆมา ผมคิดว่าเขาอาจจะมานั่งจิบกาแฟแล้วอ่านโน้ตการเรียนที่เขาสรุปเอาไว้

“จะว่ายังไงดีล่ะ พี่แอบไปยกเลิกในส่วนของวันหยุดหมดแล้ว...”

“โลกแตกแน่ๆ พี่เนี่ยนะไปยกเลิกเรียน?”

“ก็นะ พี่อยากมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น พี่อยากพัก ไม่เรียนวันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่เป็นไร มันไม่ใช่วิชาที่สำคัญมากเท่าวิชาอื่นนัก” พี่เดือนเหยียบคันเร่ง เมื่อสัญญาณไฟเป็นสีเขียว “พี่อยากนอนทั้งวัน...ไม่ก็อ่านหนังสือเอาเอง”

“อ่า..” ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบกับเสียงแตรรถข้างนอกดังแทรกแทน การที่พี่เดือนยกเลิกเรียนพิเศษนี่ทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะจากที่ได้ยินมาต่อให้เป็นตายร้ายดียังไงพี่เดือนก็ไม่มีทางที่จะไม่เรียนเด็ดขาด

ข้อที่แปด พี่เดือนเป็นผู้ชายที่เดาทิศทางความคิดลึกๆได้ยากมาก แถมมักจะไม่บอกเหตุผลตรงๆเสียด้วย

ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงรวมรถติดจากบ้านผม พวกเราก็มาถึงร้านกาแฟที่พี่เดือนอยากให้ผมมา ที่นี่สวยตามคำโม้ ทำให้ผมรีบวิ่งเข้าไปดูข้างใน

ต้นไม้กลางร้านนั้นเป็นจุดเด่นของร้าน ผมอดไม่ได้ที่จะยกกล้องตัวเองออกมาถ่ายรูปรัวๆ พี่เดือนเดินไปสั่งเครื่องดื่มให้พร้อมกับจองที่นั่งดีๆ มุมสะอาดตาริมระเบียงบนชั้นสอง ผมค่อยๆเดินตามเขาเพราะอยากสำรวจให้ทั่วตา

“คุ้มค่ากับที่มาจริงๆ” ผมร้อง “ขอบคุณนะครับพี่เดือน ที่ทำให้ผมได้มาที่นี่ เป็นบุญชีวิตมากเลย”

“พูดไปเราน่ะ” พี่เดือนเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ ผมหัวเราะ ก่อนที่พนักงานจะยกแก้วกาแฟร้อนของพี่เดือนและชามะลิของผมมาเสริฟพร้อมกับขนม

ผมหยิบชิ้นคุกกี้เข้าปาก มันมีกลิ่นเฮเซลนัทอ่อนๆออกมา ส่วนพี่เดือนเลือกที่จะหยิบขนมปังกรอบทาเนย นั่งจิบกาแฟไปแล้วก็หยิบสมุดโน้ตนั่นขึ้นมาอ่าน

เข้าสู่โลกตัวเองไปแล้วสิ..

ผมไม่อะไรกับเขาต่อ จิบชาอีกนิดก่อนที่จะลุกขึ้นไปถ่ายรูปรอบๆร้านเพื่อเก็บบรรยากาศ บางทีอาจจะนำรูปพวกนี้ไปโพสแนะนำสถานที่น่านั่งบนเฟสที่มีคนติดตามอันน้อยนิดของผมก็ได้ หลังจากที่เก็บรูปจนพอใจแล้วก็หันกลับมาที่พี่เดือน

...แล้วผมก็ยกกล้องขึ้นถ่ายตัวของเขาในท่วงท่าสง่างามนั่นเองโดยอัตโนมัติ

มันดูดี ดูอ่อนโยนละมุน ทุกอย่างในรูปนี้มันสื่อถึงตัวตนที่แท้จริงของพี่เดือนออกมาหมด เขาไม่ได้วางท่ามาก มันเป็นไปตามธรรมชาติไม่ฝืนนั่งเกร็งอย่างในหลายๆรูป นั่นทำให้ผมรู้สึกขนลุกเมื่อเจอองค์ประกอบที่สมบูรณ์ขนาดนี้เข้า รู้ตัวอีกทีก็มีรูปนี้ในกล้อง

พี่เดือนหันมาทางผม เขายกคิ้วเหมือนอยากจะถามว่าผมมีอะไรถึงได้ถือกล้องค้างอย่างนั้น ผมส่ายหน้า ยิ้มให้บางๆ แสร้งทำเป็นถ่ายอย่างอื่นต่อเพื่อไม่ให้เขาสงสัยว่าเมื่อครู่นั้นผมแอบถ่าย

แต่พี่เดือน พี่มั่นใจได้เลยว่ารูปนี้ไม่มีทางที่จะหลุดออกไปจากกล้องผมแน่นอน

ผมได้ของขวัญวันปัจฉิมพี่แล้วนะ ถึงมันจะเร็วไปหน่อยก็เถอะ

 

ผมนั่งกินขนมต่อ พี่เดือนวางสมุดนั่นลงแล้วจ้องที่กล้องของผมจนผมสงสัยว่าเขาอยากจะลองใช้รึเปล่า ผมจึงเลื่อนกล้องนั้นไปไว้ตรงหน้าเขาแทนจานขนม

“พี่เดือนอยากลองใช้ก็ลองได้ครับ ผมไม่ได้หวง”

“จะดีเหรอ? ถึงพี่จะไม่เคยได้ลองแต่พี่ก็พอรู้ว่าเลนส์มันแพงมากแค่ไหน ถ้าเกิดว่าพี่..”

“เอาเถอะครับ ถ้าพี่อยากลองก็ลอง เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ” ผมคล้องสายสะพายกล้องให้เขา เปิดกล้องให้ “ขั้นแรกเลยผมจะอธิบายก่อนว่าตรงไหนเป็นตรงไหน ไม่ต้องรีบนะครับ มันไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ได้ง่าย”

ผมอธิบายวิธีการใช้กล้องของผมและการตั้งค่าปรับนู่นนี่ พี่เดือนพยักหน้าตาม จากนั้นก็ให้เขาลองถ่ายสมุดตัวเองที่อยู่บนโต๊ะก่อน เขาพยายามปรับโฟกัสตามที่ผมแนะนำเพราะผมไม่ชอบโหมดออโต้ ทำให้เขาต้องใช้ความอดทนหน่อยๆ เมื่อถ่ายเสร็จก็เอามาให้ผมดู

“ก็พอใช้ครับ ยังต้องฝึกอีกเยอะ”

“นั่นสินะ...เอาเป็นว่าเวลาว่างๆพี่จะขอยืมกล้องกุมภ์ฝึกแล้วกัน” พี่เดือนคืนกล้องมาให้ผม “พี่ชักจะเริ่มติดใจกับการใช้กล้องนี่แล้วสิ”

“อย่าพัฒนาเร็วจนผมตกงานแล้วกัน” ผมแลบลิ้นใส่พี่เดือน พวกเราหัวเราะ จากนั้นพี่เดือนก็ยัดคุกกี้เข้าปากผมพร้อมกับเปิดอ่านสมุดบันทึกต่อ ผมก็เดินไปถ่ายรูปเพิ่ม จนพนักงานเดินเข้ามาคุย

“น้องชอบถ่ายรูปขนาดนี้โปรโมทร้านให้พวกพี่หน่อยนะคะ”

“แน่นอนครับ” ผมว่า พลางกับมองพี่พนักงานคนนั้น ป้ายชื่อที่ห้อยเอาไว้บอกว่าเธอชื่อดาวเรือง “เดี๋ยวผมจะขอสั่งขนมเพิ่มด้วยนะครับ”

“ได้เลยค่า ว่าแต่เป็นครั้งแรกเลยนะที่น้องเดือนพาคนอื่นมาด้วย”

“รู้จักกับพี่เดือนเหรอครับ?”

“นั่นลูกค้าประจำเลย ทุกวันเสาร์จะขับรถมาทีนี่เพื่อมานั่งจิบกาแฟแบบนั้น แต่ไม่เคยพาคนอื่นมาด้วย เขาเคยเล่าให้ฟังว่าไม่มีคนที่สนิทด้วยมากพอที่จะให้มา พี่เลยแปลกใจกับดีใจที่ในที่สุดน้องเดือนเขาก็พาคนรู้จักมาที่นี่สักที เพิ่มกำไรให้ร้านด้วย” พี่ดาวเรืองว่า ค่อยๆหยิบขนมออกมาจากตู้กระจกใส “ดูร่าเริงด้วยนะ”

“...” ผมยืนคิด พี่เดือนไม่เคยพาใครมาเลยแม้กระทั่งคนในครอบครัวแบบนี้แสดงว่าอาการหนักจริงๆ “ปกติแล้วพี่เดือนเขาชอบสั่งอะไรเหรอครับ?”

“ไม่มีเป็นพิเศษนะถ้าเป็นเครื่องดื่ม แต่ขนมเขาจะชอบทาร์ตเลม่อนมาก วันนี้มีวางด้วย สนใจมั๊ย?” พี่ดาวเรืองถาม แต่เธอก็หยิบทาร์ตเลม่อนที่ว่าลงจานไปแล้วสองชิ้น “พี่แถมให้”

“ขอบคุณมากนะครับ แต่ผู้จัดการจะไม่ว่าเอาเหรอ?”

“พี่นี่แหละผู้จัดการ ถ้าสะดวกก็แวะมาบ่อยๆ โปรโมทเยอะๆนะ พี่จะได้มีกำไรอีก อิอิ”

ผมยิ้มตอบรับให้พี่ดาว เดินถือจานขนมที่มีทาร์ตขึ้นไปชั้นสอง กลับไปหาพี่เดือนที่ตอนนี้ก็ยังคงไม่ละสายตาจากสมุด ผมจึงดึงออกจากมือเขาแล้วยัดทาร์ตนั่นเข้าปากไปหนึ่งชิ้น

พี่เดือนมองค้อน ก่อนที่จะค่อยๆเคี้ยวชิ้นขนมแล้วกลืนลงไป ตามด้วยจิบน้ำเปล่าที่ทางร้านเอามาตั้งไว้เพื่อใช้ให้ดื่มดับกลิ่นชาหรือกาแฟ ต่อด้วยการหยิบทาร์ตเลม่อนชิ้นที่สองเข้าปากตามทันที

“พนักงานคนหนึ่งบอกว่าพี่ชอบ ผมเลยจัดให้” แต่ไม่ได้บอกว่าฟรีน่ะนะ “พี่นี่ชอบอะไรที่มันเปรี้ยวๆจริงๆนั่นแหละ”

“พี่ไม่มีสิทธิชอบเหรอ?” พี่เดือนทำหน้างอใส่ ผมยิ้ม จากนั้นก็รีบยกกล้องขึ้นมาลั่นชัตเตอร์ถ่ายหน้าพี่เดือนกำลังกินขนม “อย่าถ่ายสิ! พี่ไม่อยากให้ใครเห็นรูปพวกนี้นะ”

“ผมไม่เอาไปโชว์ให้ใครดูหรอก เก็บใส่โน้ตบุ๊คส่วนตัวผมคนเดียว แถมยังเก็บในโฟลเดอร์ลับด้วย รับรองได้ว่ามีแค่ผมที่รู้รหัสนั่น” ผมไขว้นิ้วในใจ  ผมขอโทษนะพี่เดือน ไม่มีโฟลเดอร์ลับอะไรทั้งนั้น แต่ก็ใช่ว่ามันคือการโกหกร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะโน้ตบุ๊คผมไม่มีใครมายุ่งอยู่แล้ว “ปกติแล้วพี่เดือนนั่งที่นี่นานมากมั๊ยครับ?”

“ประมาณชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วแต่ว่าวันนั้นมีธุระไปไหนต่อรึเปล่า ทำไมเหรอ?”

“ผมว่าจะชวนพี่ไปฝึกถ่ายรูป” ผมดันกล้องให้พี่เดือนอีกครั้ง “พี่เดือนอยากลอง ผมก็จะให้ลอง ผมไม่ห้ามให้พี่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆนะครับ แต่พี่ควรจะได้เรียนรู้อะไรที่มันอยู่นอกตำราบ้าง อ่านแต่โน้ตของพี่นั่นมันน่าเบื่อจะตาย พี่เดือนไม่คิดอย่างนั้นบ้างเหรอ?”

“...”

“ผมอยากให้พี่ลองทำตัวสนุกเมื่อได้พบสิ่งใหม่ๆ ไม่มีใครว่าพี่หรอกถ้าพี่จะทำอะไรที่มันนอกกรอบตัวเองบ้าง”

“...นอกกรอบ...นั่นสินะ” พี่เดือนกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนที่จะเก็บสมุดนั่นลงไป เตรียมตัวสะพายกระเป๋าข้างหนังสีดำของเขา “พี่ควรจะใช้ชีวิตให้สนุกมากกว่านี้ พี่ไม่ควรที่จะมานั่งเบื่อจ้องสมุดทั้งวัน”

“นั่นแหละครับ ชีวิตมีครั้งเดียวนะ พี่อยากทำอะไรก็ทำ...แต่เป็นไปในทางสร้างสรรค์นะ เสพยาอะไรพวกนั้นไม่นับ”

“พี่ไม่ไปยุ่งกับพวกนั้นอยู่แล้วล่ะ” พี่เดือนยื่นมือมาเล่นหัวผมอีกแล้ว ผมชักจะสงสัยมากขึ้นทุกวันว่าทำไมพี่เดือนชอบเล่นอย่างนี้กับผมจัง “ไปกันเลยมั๊ยล่ะ? พี่ชักจะทนไม่ไหวแล้ว”

“พี่เดือนคนคูลหายไปไหนหมดครับ ตอนนี้เห็นแต่เด็กขี้สงสัยอยากลองนู่นนี่” ผมหัวเราะ สะพายกระเป๋ากล้องตัวเองเตรียมออกไปกับเขา “วันนี้ท้องฟ้าสีสวยดีนะครับ ร้อนไปนิดแต่ว่าปลอดโปร่งมากๆ”

“นั่นสินะ”

พี่เดือนคงเป็นคนที่สามารถกำหนดสภาพอากาศได้จากอารมณ์ของเขาจริงๆ เพราะตอนนี้เขาอารมณ์ดี ท้องฟ้าเลยสวยไปตาม

ถ้าอย่างนั้น เรื่องน่ารู้ข้อที่เก้าของพี่เดือนนั่นคงจะเป็นพี่เดือนสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ด้วยอารมณ์ของเขาสินะ

ผมว่ายิ่งอยู่กับเขา ผมก็ยิ่งอยากจะเห็นตัวตนจริงๆของเขามากขึ้นทุกวันแล้วล่ะ

“ไปกันเถอะครับ โลกในเลนส์กล้องนี้ยังรอพี่ให้ค้นพบอยู่นะ”



==========


หลบตัวไปดู persona 4 the animation...
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-04-2019 08:35:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 29-04-2019 10:30:43
บทที่ 4

 

= เดือน =

 

พีรดล นารีรัตน์ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก เกรดเฉลี่ยสมัยประถมคือ 4.00 สมัยมัธยมต้นคือ 3.98 เป็นนักเรียนดีเด่นหลายปีซ้อน เป็นนักเรียนที่เป็นหน้าเป็นตาให้แก่โรงเรียน เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์

นี่คือสิ่งที่หลายคนอธิบายเมื่อพูดถึงผม แต่ทว่าความจริงแล้วผมก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่ได้รับแรงกดดันจากครอบครัว

ทุกคนบอกว่ามีพ่อเป็นเจ้าของโรงแรม มีแม่เป็นเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนนั้นน่าอิจฉา ทว่าพวกเขาไม่เคยรับรู้ถึงสิ่งที่พวกท่านคอยมอบมาให้เหมือนผม พวกท่านอยากให้สานต่องานธุรกิจไม่ก็เข้าสู่เส้นทางการแพทย์เหมือนที่พวกเขากำลังทำ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ความจริงผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวของผมนั้นต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด อะไรคือความฝัน ผมไม่มีมันแต่แรก

ตอนเรียนประถม ทุกคนในห้องก็พากันอิจฉาที่ผมได้ไปเรียนพิเศษที่ดีๆ เรียนมัธยมต้นทุกคนก็บอกว่าผมรวยเลยได้เรียนหลายที่ ไม่มีใครเคยถามผมเลยว่าผมไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร ไม่มีใครเคยถามผมเลยว่าผมอยากทำมันรึเปล่า

เมื่อสบโอกาส บางครั้งผมก็จะแอบพ่อแม่ไปดูหนังคนเดียวโดยโกหกพวกท่านว่าไปอ่านหนังสือกับเพื่อนที่ห้องสมุด บ้างก็อ้างว่าไปช่วยงานครู การดูหนังคือการผ่อนคลายความเครียดที่สะสมอย่างหนึ่งของผม ยิ่งดูผมก็ยิ่งรู้สึกอยากลองสัมผัสกับงานเบื้องหลัง อยากรู้ว่าเขาทำอย่างไรถึงได้มี CG ที่สวยได้ขนาดนี้ ผมจึงเริ่มทำการแอบศึกษาในสิ่งที่พ่อแม่ไม่ได้อยากให้ผมยุ่ง และเมื่อยิ่งได้ศึกษา ผมก็ยิ่งถลำลึกและหลงรักมันมากกว่าเก่า ผมมีแอคเคานต์ทวิตเตอร์หนึ่งชื่อว่า ‘เด็กเรียนชวนดูหนัง’ เป็นแอคเคานต์ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับหนังไซไฟเรื่องใหม่ที่เข้าโรง มีคนกดติดตามหลายพันคน พวกเขาคิดว่าผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตสนุกสนาน มีความสุขกับการดูหนัง แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังความสดใสในนั้นคือผู้ชายที่กำลังสวมแว่นสายตาสั้นอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย

นักเขียนคนหนึ่งที่ผมรู้จักด้วยบอกว่าผมนั้นเป็นคนน่าเบื่อสุดๆ เพราะว่ามัวแต่เรียนเลยทำให้ไม่เจอสิ่งใหม่ๆ ไม่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ควรจะมี ไม่มีเพื่อนฝูงที่สามารถระบายความในใจ ผมเคยเถียงเขาว่าผมสามารถอยู่คนเดียวได้ แต่เขาก็ตอบกลับมาว่า

‘สุดท้ายแล้วเราก็ต้องการคนอยู่ข้างๆอย่างน้อยหนึ่งคนเพื่อเป็นคอมฟอร์ทโซนของเรา’

 

สมัยผมยังเด็กๆ พ่อแม่ตั้งเป้าหมายให้ผมต้องสอบได้คะแนนมากกว่าเก้าสิบคะแนน ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่ผมได้แปดสิยห้า นั่นทำให้ผมเจอกับความเลวร้ายของชีวิตอย่างหนึ่ง

‘แกนี่มันโง่จริงๆ! น้องแกทำคะแนนเต็มทุกวิชาส่วนแกมาพลาดวิชาง่ายๆแบบนี้เนี่ยนะ?! นี่ฉันส่งควายไปเรียนรึยังไง?!’

‘จำเอาไว้ว่าอย่าให้เห็นอีกนะ! ถ้าแกไม่ได้เกรดสี่ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าแกอีก! ฉันอาย!’


พวกท่านบอกว่าผมมันโง่ สอนไม่รู้จักจำ ทำให้ผิดหวัง ตอนนั้นผมถูกขังเอาไว้ในห้องตัวเองเต็มๆหนึ่งวัน ไม่มีอาหารให้กินเพื่อเป็นการลงโทษ ผมทำอะไรผิด? ผมไม่ถนัดวิชานี้ ผมพยายามมากแล้วที่จะทำคะแนนให้ได้เยอะๆ แต่ทำไมพวกท่านกลับไม่เห็นความพยายามของผม? ในคืนนั้นผมทั้งร้องไห้ ทั้งทุบประตูเพื่อขอร้องให้พวกท่านปลดกุญแจที่ล็อกเอาไว้ออก

วันต่อมา พวกท่านบอกกับผมเสียงเรียบว่าเพิ่มคอร์สเรียนพิเศษให้ จะได้ไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่น วัยอย่างผมควรจะเรียนรู้มากกว่าเล่นสนุก

ผมตั้งคำถามที่ไม่มีวันตอบได้ว่าผมกำลังเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ให้พวกท่านเล่นสนุกรึเปล่า?

นับวันผมยิ่งได้รับความกดดันมากขึ้น แต่ผมก็ต้องกัดฟันฝืนทนให้ผ่านพ้นไปได้ หลังเลิกเรียนผมก็ต้องไปเรียนพิเศษในขณะที่คนอื่นๆได้กลับบ้าน ไม่ก็เล่นเตะบอลตามประสา กว่าผมจะได้กลับมาพักผ่อนจริงๆก็สามทุ่ม อ่านหนังสือที่ถูกบังคับอีกจนถึงเที่ยงคืน จากนั้นก็หลับไปทั้งที่ยังไม่ได้กินข้าวเย็น ตื่นมาตอนเช้าตีห้าครึ่งเพื่ออ่านทบทวนอีกสามสิบนาทีก่อนที่จะอาบน้ำกินข้าวแล้วไปโรงเรียน วนเวียนเป็นวัฐจักรไม่สิ้นสุดแบบนี้จนกระทั่งมาเรียนม.ปลายที่ผมได้รับอิสระมาอีกนิดหน่อย แต่ในระหว่างนั้นช่วงม.ต้นผมที่ได้เกรด 3.5 ตัวหนึ่งก็โดนทำโทษไปหนักพอควร หลายคนถามว่าทำไมผมถึงมีผ้าพันแผลตรงช่วงข้อมือ ผมก็ตามไปว่าซุ่มซ่ามไม่ทันระวังตอนใช้มีด แต่ความจริงแล้วคือผมคิดฆ่าตัวตาย

ใช่ ฆ่าตัวตาย

พ่อแม่บอกว่าถ้าผมทำไม่ได้ก็ให้ตายไปซะ พร้อมกับตบตีเข้าที่ตามลำตัว ผมไม่สามารถทนไหวจึงหนีเข้าห้องตัวเอง หยิบมีดคัตเตอร์มากรีดบริเวณข้อมือหวังให้เสียเลือด แต่สุดท้ายแล้วผมก็ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะตายได้ ผมจึงต้องอดทนใช้ชีวิตต่อจนถึงทุกวันนี้ โดยที่สะกดจิตตัวเองไปวันๆว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง

ผมโกหกตัวเองว่าผมเป็นคนสมบูรณ์แบบโดยตอดจนกระทั่งเจอกับรุ่นน้องที่ชื่อว่ากุมภ์

เด็กคนนี้ก็ไม่ต่างจากเด็กมัธยมสี่คนอื่นๆ แต่ทว่าไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยู่ในห้องสมุดในวันที่เขาไม่จำเป็นต้องเข้า ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องชวนผมคุย ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมนั้นจะไม่เอาไปบอกใคร แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไว้ใจได้มากกว่าคนอื่นๆ อาจจะเพราะมีบรรยากาศสดใสรอบๆข้างตัวด้วยเลยพลอยทำให้จิตใจที่ขุ่นมัวของผมรู้สึกดีได้บ้าง

จากนั้นพวกเราก็เริ่มสนิทกัน

ยิ่งได้พูดคุยกับเด็กคนนี้ ผมก็ยิ่งอยากทำความรู้จักกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าให้ผมเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่เมื่ออยู่กับเขา ไม่ต้องมานั่งเก๊กทำขรึม ที่สำคัญคือกุมภ์ไม่พยายามให้ผมแสดงตัวตนจริงๆออกให้คนอื่นเห็น ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการตอบแทนผมจึงพาเขาออกไปที่ร้านกาแฟร้านประจำของผมที่ไม่เคยพาใครไปก่อน ท่าทางเขาจะชอบมากเสียด้วย

แถมยังชวนผมไปฝึกถ่ายรูปต่อที่อื่นอีก

เมื่อผมเดินออกมาจากร้านแล้วมองท้องฟ้า วันนี้มันเป็นวันที่ร้อนก็จริงแต่จิตใจของผมมันก็สดใสตามไปด้วย

 

“คิดยังไงถึงชวนกูออกมาด้วยเนี่ย?”

เสียงของเพื่อนสนิทกุมภ์ชื่อว่านทีร้องขึ้นมา ตอนนี้พวกเรายู่ในร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์สายพาน นั่งโต๊ะเดียวกัน กุมภ์เตือนนทีแล้วว่าอย่าใส่กุ้งลงไปในหม้ออีกด้านเพราะผมแพ้

นทีท่าทางจะเป็นเพื่อนที่กุมภ์ไว้ใจมากที่สุด มันทำให้ผมอิจฉาตรงที่ว่าเขามีเพื่อนแต่ผมนั้นไม่มีสักคน ถึงอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ในเมื่อผมตีตัวห่างจากพวกเขาเอง

“ก็มาให้พี่เดือนรู้จักมึงด้วยไง นี่นทีที่อยู่ในวงโฟล์คซองค์ของโรงเรียนไงครับ คนที่เล่นกีตาร์กับร้องเพลงน่ะ” กุมภ์ยิ้ม เขาตักเนื้อหมูสไลด์ให้ผม “พี่เดือนควรจะพูดคุยกับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่อ่านแต่หนังสือหรืออยู่กับผมแค่คนเดียว” แล้วเขาก็บ่นให้เพื่อนสนิทตัวเองฟัง “เห็นอย่างนี้พี่เดือนเขาไม่มีเพื่อนเลยนะ มึงช่วยมาเป็นน้องเป็นเพื่อนเขาอีกคนด้วยหน่อยเถอะ”

“พี่เขาอยากเป็นเพื่อนกับกูมั๊ยล่ะ...” นทีถอนหายใจ “แต่กุมภ์พูดมาขนาดนี้ก็คงเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะ ถ้าพี่ไม่รังเกียจที่จะมีรุ่นน้องแบบผม...คือผมไม่ใช่คนแบบกุมภ์นะ”

ผมส่ายหน้า ดีใจด้วยซ้ำที่น้องพาผมมารู้จักคนใหม่ๆ นทีก็ไม่น่าจะใช่คนนิสัยแย่อะไร

“พี่รู้สึกดีนะที่กุมภ์พาคนอื่นมาให้พี่รู้จักด้วย จากนี้ก็ฝากตัวด้วยแล้วกัน”

“ครับ เวลาอยู่กับผมไม่ต้องฝืนก็ได้ ผมเป็นคนสบายๆอยู่แล้ว” นทีถือแก้วน้ำของผม “เดี๋ยวผมไปเอาน้ำเพิ่มให้นะครับ พี่อยากได้น้ำอะไรบอกผมมาเลย กุมภ์ด้วย”

“พี่เอาน้ำเปล่าก็พอแล้ว”

“กูเอาเป๊บซี่นะ”

นทีพยักหน้า แล้วก็ถือแก้วไปสามใบไปที่อีกฟากของร้านที่มีตู้น้ำอยู่ ทิ้งให้ผมอยู่กับกุมภ์สองคน

“กุมภ์ไปสนิทกับนทีได้ยังไงเหรอ?” ผมถามกุมภ์ที่กำลังเอากุ้งเข้าปาก เขาค้างไปก่อนที่จะวางกุ้งลง

“นั่นสินะครับ ทั้งที่นิสัยก็ต่างกัน แต่อาจจะเป็นเพราะเรามีในสิ่งที่อีกคนไม่มีก็ได้เลยทำให้ต่างคนต่างเข้าหากัน กลายเป็นว่าพวกเราก็ตัวติดกันไปแล้ว” กุมภ์หัวเราะ หันไปมองเพื่อนตัวเอง “นทีน่ะ ลึกๆแล้วเป็นคนที่คิดมากกว่าผมเสียอีก ผมไม่รู้ว่าคำพูดไหนที่จะไปทำให้มันคิดมาก ไม่รู้ว่ามันผ่านอะไรมาทำให้พยายามทำตัวเข้มแข็ง เหมือนพี่เดือนนั่นแหละครับ”

“...”

“ผมไม่รู้หรอกว่าพี่เดือนผ่านอะไรมาบ้าง แต่มันก็คงจะดีใช่มั๊ยล่ะครับที่มีคนเดินข้างๆพี่ในวันที่พี่ท้อแท้หรือไม่มีแรงจะเดินต่อ” กุมภ์คีบกุ้งขึ้นมาอีกครั้ง “ผมเข้าไปวุ่นวายอะไรมากไม่ได้ ผมช่วยอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้ามีอะไรก็สามารถระบายให้ฟังได้เต็มที่ แค่นี้ก็สามารถช่วยให้อีกคนคลายความไม่สบายใจได้แล้ว”

ผมชอบเด็กที่โตกว่าวัย เหมือนรุ่นน้องที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะเป็นเด็กธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดา บางทีมันก็เป็นอย่างที่กุมภ์ว่ามาก็คือผมอาจจะมีในสิ่งที่กุมภ์ไม่มีส่วนกุมภ์ก็มีส่วนที่ผมไม่มี เลยทำให้พวกเราเข้าหากันง่าย คอยประคองอีกฝ่ายเอาไว้

นทีเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับไอติมถ้วยเล็กๆ ผมไม่รู้ว่าเขาถือมาไหวได้ยังไง แต่กุมภ์ก็ยิ้มรับแล้วเลื่อนมาให้ผมก่อน “พี่เดือนเป็นผู้ใหญ่สุด ดังนั้นพี่เดือนต้องรับไปก่อนนะครับ ผมยังกินกุ้งไม่สะใจผมเลย”

ผมจึงยิ้มกลับไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมนทีต้องหรี่ตาลงเหมือนคิดอะไรอยู่ก่อนที่จะทำท่าเดินไปหยิบของเพิ่ม

ผมเห็นหลังเขาขยับไปมาเบาๆเหมือนกลั้นหัวเราะอะไร

“จะว่าไปแล้วกุมภ์กินเก่งกว่าที่พี่คิดอีกนะ นี่ก็กินซูชิเข้าไปหลายชิ้นแล้ว ไหนจะหมู ไหนจะกุ้งอีก”

“หมดนี่เราจะไปต่อที่สเวนเซ่นกันครับ”

“ฮะ?”

 

เหลือเชื่อว่ากุมภ์กินเก่งมากๆ...มากเกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระเพาะของเขาได้ หรือที่เขาว่าคนเรามีพื้นที่เหลือสำหรับของหวานนั้นเป็นจะเป็นเรื่องจริง?

ผมนั่งดูกุมภ์ตักไอติมเข้าปากเรื่อยๆ ส่วนนทีก็สั่งบิงซูชาเขียวมากินแยกตังหาก ผมที่ไม่ค่อยอยากแล้วจึงกินด้วยกันกับกุมภ์ไป แต่ผมก็รู้สึกว่านทีมีท่าทีแปลกๆมานาน เดี๋ยวก็ยิ้มกรุ่มกริ่มๆ เดี๋ยวก็แอบกลั้นขำ โดยเฉพาะตอนที่พวกเราแยกลูกชุบลูกเดียวกัน นทีก็ทำท่าเหมือนลุ้นอะไรแล้วเก็บเอาไว้คนเดียว

รึว่า...

“นที มีอะไรติดหน้าพี่เหรอ?”

“หือ? เปล่าครับๆ” นทีส่ายหน้ารัวๆ “ไม่มีอะไร”

“เห็นเดี๋ยวก็กลั้นหัวเราะ เดี๋ยวก็ยิ้ม พี่ขนลุกนะ...”

นทียิ้มแห้งๆให้ เขาหัวเราะกลบเกลื่อนก็ที่จะตักบิงซูเข้าปากเร็วกว่าเดิม ผมไม่ได้สนใจต่อ ส่วนกุมภ์ก็เริ่มกินต่อคนเดียวแล้ว

“กระเพาะกุมภ์นี่น่าค้นหามากเลยนะ ต้องขยายได้ขนาดไหนกันถึงกินได้เยอะขนาดนี้” กุมภ์เงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยไอติมใหญ่ มุมปากของเขาเลอะคราบไอติมมิ้นต์นิดหน่อย ผมจึงจิ้มไปที่มุมปากตัวเองบอกให้เขารู้ “กินเยอะอย่างนี้ก็ระวังเรื่องน้ำหนักกับแคลอรี่ที่มากเกินความจำเป็นด้วย”

“พี่เดือนครับ ถ้าเรามัวแต่คำนวณเรื่องน้ำหนักหรือแคลอรี่ล่ะก็เราจะพลาดของอร่อยๆหลายอย่างเลยนะครับ” กุมภ์ทำสีหน้าจริงจัง ชี้ช้อนมาที่ผม “อย่างเค้กที่น้องผมทำเนี่ย อร่อยสุดๆ ถ้าวันไหนน้องผมทำผมจะเอามาฝากพี่ด้วย”

“แสดงว่ากุมภ์ก็ทำเป็นสินะ?”

“โอ้ยพี่เดือน อย่าไปหวังอะไรเรื่องอาหารกับกุมภ์มันเลยครับ” นทีหัวเราะ “ในคาบคหกรรมก็ทำกับข้าวไหม้จนครูดุไปหลายรอบ จากนั้นก็ไม่ยอมแตะครัวอีกเลยถ้าไม่ใช่งานเดี่ยว ทุกคนในห้องก็รู้สกิลการทำอาหารของกุมภ์ดี”

“นที!” กุมภ์ดีดหน้าผากเพื่อนตัวเองไปหนึ่งทีข้อหาที่เผา

“เจ็บนะ! ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่นา แถมมีคาบหนึ่งที่มึงทำเข็มตำนิ้วตัวเองด้วย”

“เรื่องทำเข็มตำนิ้วตัวเอง...พี่เองก็เป็นบ่อยตอนพี่เรียนคหกรรม...” ผมค่อยๆรับ เพราะคหกรรมเรียนแค่เฉพาะม.4เท่านั้นเลยไม่ทำให้ผมต้องมาเจอวิชานรกนั่น “คือพี่...”

“พี่เดือนเป็นคนซุ่มซ่ามกว่าที่คิด ว่าจะไม่บอกแล้วแต่พี่เดือนเป็นคนเปิดปากก่อนเองนะ” กุมภ์แย่งผมพูด เขาหัวเราะ ก่อนที่ผมจะคั้นโทษเขาโดยการใช้นิ้วชี้ตัวเองจิ้มไปที่หน้าผากคนตัวเล็กกว่าเบาๆ “แต่ผมไม่คิดว่าพี่จะเคยทำเข็มตำนิ้วตัวเองด้วย ถ้าเกิดว่าไปพลาดให้เพื่อนเห็นนี่...”

“คือตอนนั้นพี่พลาดต่อหน้าครูตอนสอบ ครูไม่พูดอะไรแต่ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ เพราะในคาบพี่จะพยายามรักษาท่าเอาไว้ตลอดว่าพี่ไม่ใช่คนที่จะทำเข็มตำนิ้วได้ง่ายๆ”

“คุยกันสองคนกระหนุงกระหนิงเชียวนะครับ ลืมใครรึเปล่าเอ่ย?”

นทีที่ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มมองพวกเราสองคนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็ยิ้มให้ “ลืมผมไปได้ยังไงกัน ผมก็มีตัวตนนะครับ สนุกกันสองคนผมเสียใจนะ”

“ขอโทษนะ...คือปกติแล้วพี่ก็มากับกุมภ์สองคนมันเลยกลายเป็นความชินน่ะ”

“สองคน? น่าสนใจแฮะ...” นทีพึมพำอะไรสักอย่างหลังจากนั้น “สนิทกันมากเลยสินะครับ”

“สนิท? ก็ว่าไม่ได้สนิทขนาดนั้นหรอกนะ...” กุมภ์มองมาที่ผม “นั่นสิ เราสนิทกันถึงขั้นไหนแล้วครับ?”

เรื่องนี้ผมก็อธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกันแฮะ “ก็คงระดับหนึ่งแล้วนั่นแหละ ถึงไปร้านกาแฟที่นอกเมืองด้วยกัน”

“เอ๋...” นทียิ้มมากกว่าเก่า จนผมเริ่มขนลุกจริงๆแล้วนะว่าเพื่อนสนิทกุมภ์กำลังคิดอะไรอยู่รึเปล่า “น่าสนุกจังนะครับ”

“วันหลังไปด้วยกันมั๊ย?”

“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากกวนทั้งสองคน”

เอ...ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่านทีเขาเน้นคำว่าทั้งสองคนแปลกๆ?

คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...

 

“ผมกลับก่อนนะครับพี่เดือน ขอบคุณสำหรับการที่พี่ทำให้ผมอิ่มท้องนะ” นทีโบกมือให้ผมแล้วเขาก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์จากไป ส่วนกุมภ์จะอยู่ต่อกับผมอีกสักพักเพราะจะเดินดูหนังสือด้วยกัน

มันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำของพวกเราสองคนที่จะนัดเจอกันที่ห้างแห่งนี้ทุกวันเสาร์

มาบ่อยจนพนักงานจำหน้าพวกเราทั้งคู่ได้แล้วด้วย

“วันนี้ก็มาอีกแล้วนะคะ” พนักงานคนเดิมทักทายผม “มากับน้องคนนั้นบ่อย แฟนเหรอคะ?”

“ไม่ใช่ครับ! ไม่ใช่ๆ อย่าพูดแบบนั้นให้น้องถูกเข้าใจผิดเลยครับ” ผมโบกมือปฏิเสธใหญ่ พนักงานหัวเราะก่อนที่จะสนใจกับลูกค้าคนอื่นที่เข้ามาซื้อหนังสือแทน ทำผมแทบหายใจไม่ทั่วท้อง ถ้าเกิดว่ากุมภ์ได้ยินล่ะก็มีหวังได้หน้าแดงเดินหนีออกจากร้านก่อนที่จะไม่ได้ดูอะไรเลยด้วยซ้ำ

แฟน...ยังงั้นเหรอ?

ผมยังไม่เคยได้สัมผัสคำว่ารักเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่ชอบเลย เวลาเที่ยวเล่นยังไมค่อยมีด้วยซ้ำ ผมจะเอาเวลาไหนไปหาแฟนได้กัน แล้วก็ถ้ามีเธอคงเบื่อผมก่อนแน่ๆ เพราะเอาเข้าจริงๆชีวิตผมมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเรียนและเรียน จะพาไปเที่ยวบ่อยๆก็คงไม่ได้ อีกทั้งพ่อกับแม่ยังไม่อยากให้ไปยุ่งเรื่องนี้เท่าไหร่ พวกท่านคอยบอกว่าถึงเวลาแล้วจะพามาแนะนำเองว่าคนไหนดี

ความจริงมันก็แค่เป็นการผูกมัดทางธุรกิจ ไม่ได้รักกันแล้วจะอยู่ด้วยกันไปได้สักเท่าไหร่เชียว

“พี่เดือนเหม่ออะไรครับ?”

“อะ...ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดเรื่องอื่นเพลินไปหน่อย” ผมส่ายหน้า กุมภ์เดินมาหาผมพร้อมกับหนังสือปรัชญาชีวิตเล่มสองเล่ม บอกว่าน่าสนใจจะลองอ่านดูก่อนสักสองหน้าจากตัวอย่างที่ร้านแกะซีลเอาไว้ให้ เผื่อสามารถนำเข้าห้องสมุดไปวางไว้บนชั้น ส่วนผมก็เดินตรงไปที่หนังสือติวสอบ พยายามไล่สายตาหาหนังสือที่จดชื่อเอาไว้ในใจมาแล้ว

ผมชอบอ่านหนังสือนะ...แต่สำหรับหนังสือเรียนนี่ผมเกลียด เพราะมันเตือนทำให้ผมรู้ตัวอยู่เสมอว่าผมมันก็แค่หุ่นยนต์ที่ทำตามสั่งพ่อแม่อย่างขัดไม่ได้ ไม่มีการรีเซ็ต ไม่มีการตั้งโปรแกรมใหม่ ต้องทำแบบนี้ไปจนกว่าระบบภายในจะพังทลายลง นั่นก็คือช่วงเวลาที่ผมจะได้อิสรภาพเสียที

ผมหันไปมองกุมภ์อีกครั้ง กุมภ์กำลังเปิดอ่านหนังสือไปมา มีขมวดคิ้วบ้างแล้วก็พยักหน้า

อยากมีชีวิตแบบกุมภ์...อยากมีอิสระในการที่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ...ถึงจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

เมื่อไหร่กันที่ผมจะหลุดออกจากทางที่พ่อกับแม่ปูเอาไว้ให้?

 

“พี่เดือนครับ เรามาแลกหนังสือกันอ่านดีมั๊ย?”

“หืม?” ผมขานรับในลำคอ หลังจากที่พวกเราดูหนังสือที่ต้องการเสร็จ มันก็เป็นหน้าที่ของผมในการพากุมภ์ไปส่งที่บ้านของเขา “แลกหนังสือ?”

“ครับ ถ้าซื้อใหม่ทุกครั้งมันก็สิ้นเปลืองเหมือนกัน ถึงจะอยากสนับสนุนนักเขียนแต่งบของผมมันก็จำกัดเช่นกัน เพราะงั้นผมเลยอยากแลกหนังสืออ่านกับพี่เดือน ผมเชื่อว่าห้องพี่เดือนต้องมีหนังสือเป็นตั้งๆให้ผมเลือกไม่หมดแน่ๆ”

นั่นสินะ...ยังไม่ได้จัดห้องนอนตัวเองใหม่เลยหลังจากจัดการกับงานประเมินโรงเรียนเสร็จ สงสัยต้องเอาหนังสือบางส่วนใส่กล่องแล้ว “เอาสิ พี่เองก็มีเยอะจนอ่านไม่ไหว ให้ยืมเลยก็ยังได้”

“ขอบคุณนะครับ มีพี่เดือนเป็นรุ่นพี่นี่ดีที่สุดจริงๆ” กุมภ์ยิ้มอีกแล้ว ผมเองก็สงสัยนะว่าอารมณ์ของกุมภ์นั้นมีกี่แบบกันแน่ เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หน้าบึ้ง เดี๋ยวก็งอน

ผมเคยถูกกุมภ์งอนครั้งหนึ่งตอนที่บอกว่าผมจะไม่นอนดึก แต่กลับกลายเป็นว่ากุมภ์เห็นรอยขอบตาดำจางๆที่ผมปิดด้วยคอนซิลเลอร์ ไม่รู้ว่าตาดีมากแค่ไหนกัน จากนั้นกุมภ์ก็ว่าผมใหญ่ว่าไม่ดูแลตัวเองแล้วไม่ยอมคุยกับผมทั้งวันจนวันต่อมากุมภ์ก็เอาเยลลี่นอนหลับมาให้จำนวนหนึ่ง

ถึงจะดุเก่ง แต่ก็ใจดี นี่แหละรุ่นน้องของผม

 

ผมมาส่งกุมภ์ถึงหน้าบ้าน เขาชวนผมกินข้าว แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะไม่อยากรบกวนเวลาครอบครัวของเขา นี่ก็ค่ำแล้วด้วย ผมควรจะกลับบ้าน...ไปทำตามตารางชีวิตตัวเองได้เสียแล้ว

“ขอให้โชคดีนะครับพี่เดือน เจอกันครับ”

“เจอกันนะ”

กุมภ์เดินเข้าบ้านตัวเอง พ่อกับแม่ของเขาเปิดประตูออกมารับ ผมเห็นรอยยิ้มของทั้งสามคนและน้องชายของเขาก็เดินตามออกมาทีหลัง บ้านหลังนี้ดูก็รู้ว่ารักกันมากแค่ไหน มันมีบรรยากาศอบอุ่นฟุ้งไปทั่วอากาศจนผมรู้สึกดี ต่างจากบ้านของผมที่เต็มไปด้วยความอึดอัด กดดัน แม้แต่เพื่อนบ้านก็ยังไม่อยากจะคุยด้วย ถึงจะคุยก็คงเป็นแค่การทักทายตามมารยาทเท่านั้น ผมจึงไม่ค่อยมั่นใจในการสร้างปฏิสัมพันธ์ของตัวเองนัก เพราะไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรได้นอกจากการเรียน หนังสือ หรือหนัง

ผมค่อยๆขับรถไปตามเส้นทางบนถนน ผ่านโรงพยาบาลที่เป็นสถานที่ที่แม่ของผมทำงานอยู่ ผมเคยคิดที่จะแวะเข้าไป แต่คงจะโดนตะเพิดกลับมาว่า ‘มาเที่ยวเล่นทำไม เสียเวลาเรียน’ แน่นอน ผมจึงไม่ได้เข้าไปสักที

ผมกำลังจินตนาการตัวเองเป็นหมอ...แบบที่ทุกคนชอบบอกว่าผมคือว่าที่นายแพทย์ในอนาคต ผมอาจจะกลายเป็นแบบแม่ วนเวียนดูแลคนไข้ คอยบริหารงานโรงพยาบาล นานๆทีได้กลับมานอนที่บ้านเต็มที่ ผมรู้เพราะบางวันก็เห็นแม่เหนื่อยกลับมา ผมไม่กล้าถามไปว่าเหนื่อยหรือเปล่า ผมมันขี้ขลาดกว่าที่คนอื่นคิด พวกท่านคงไม่ได้อยากได้กำลังใจจากผมด้วยซ้ำ สิ่งที่เดียวผมทำได้คือการเรียนให้มากขึ้น เรียนจนกว่าพวกท่านจะมองเห็นผมอยู่ในสายตาบ้าง ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะกลายเป็นขยะของพวกท่านทันที

ฟังดูเว่อร์วัง แต่มันคือเรื่องจริงทั้งหมด

ผมไม่รู้ว่าผมขับรถมาถึงบ้านตอนไหน ไฟหน้าบ้านที่เปิดเอาไว้ แต่ผมไม่เห็นว่าจะมีรถจอดสักคัน นั่นหมายความว่าทั้งพ่อและแม่ไม่อยู่ หนึ่งเองก็อาจจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ดังนั้นแล้วผมจึงไม่จำเป็นต้องบีบแตร์เรียกเพื่อให้พวกท่านรู้ว่าผมกลับบ้านมาแล้ว

เมื่อเดินเข้าไปในครัว ผมไม่เห็นกับข้าววางเอาไว้บนโต๊ะเช่นทุกวัน ผมจึงเปิดตู้เย็นแล้วหยิบอาหารแช่แข็งออกมาอุ่นกินรองท้อง แน่นอนว่ามันเสียสุขภาพ แต่ผมก็ไม่อยากจะแตะครัวเท่าไหร่ ไหนจะไม่อยากขับรถออกไปซื้ออะไรกินอีก พอจัดการอาหารเสร็จก็โยนกล่องทิ้งลงถังแล้วขึ้นห้องหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำส่วนตัวไป

บ้านของผมเป็นบ้านที่ค่อนข้างใหญ่สมฐานะ แต่มันรู้สึกเงียบเสียเหลือเกิน...

ออกมาจากห้องน้ำผมก็กลับไปที่ครัวอีกครั้งเพื่อหาผลไม้มากินเล่น เจอแอปเปิ้ลปอกเปลือกใกล้หมดอายุหนึ่งถาดในนั้นเลยหยิบออกมาเดินไปกินไป เสียงนาฬิกา เสียงฝีเท้าของผมมันดังขึ้นในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ท่ามกลางความเงียบ นานๆทีถึงได้ยินเสียงแมลงจากสวนข้างๆดังขึ้นแต่นั่นไม่ได้ช่วยทำไมจิตใจของผมดีกว่าเดิมเท่าไหร่

ผมอยากเกิดในครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ไม่กดดันเรื่องการเรียน ไม่บังคับว่าผมต้องทำอะไรหรืออย่างไร ไม่ต้องเอาสองข้อหลังก็ได้ ผมขอแค่อย่างแรกก็พอ นานมากแล้วที่พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกัน และมันก็ห่างหายไปจากชีวิตร่วมสิบสี่ปีแล้วที่พวกเรายิ้มด้วยกันบนโต๊ะอาหารโต๊ะนั้น

ถ้าผมรู้ว่าทุกอย่างมันจะกลายเป็นแบบนี้...ผมจะใช้ชีวิตในตอนนั้นให้สนุกที่สุดก่อนที่จะไม่ได้ทำ

เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดไฟทั้งหมดแล้วกระโดดขึ้นเตียงตัวเอง ผมไม่อยากอ่านหนังสือ อ่านแล้วก็ปวดตา ถอดคอนเทคเลนส์ที่ใส่มาทั้งวันออกแล้วเปลี่ยนเป็นใส่แว่นสายตากรองแสง เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ มือเลื่อนไปหยิบถุงมันฝรั่งที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงกับน้ำอัดลมที่เอาออกมาจากตู้เย็นข้างล่าง คลุมผ้าห่มครึ่งตัว นอนพิงกับหัวเตียงแล้วเปิด Netflix เพื่อหาหนังดู นี่คือสิ่งที่ผมทำเมื่อรู้ว่าไม่มีใครอยู่บ้าน หนึ่งคงไม่เปิดประตูห้องผมเข้ามาเพื่อมาส่องผมหรอกว่าผมทำอะไร แต่ผมก็ทำเพื่อความแน่ใจตัวเองโดยการลงกลอนประตูเอาไว้กันคนนอกเข้ามาแบบพรวดพลาด

ที่นี่เป็นโลกส่วนตัวของผม เป็นห้องที่เดือนคนนี้สามารถเป็นอิสระจากทุกอย่าง อยากทำอะไรก็ได้ทำตามใจนึก แต่ดูหนังไปได้ไม่เท่าไหร่สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นกองหนังสือที่อยู่กระจายไปทั่วห้อง ผมบอกกับตัวเองแท้ๆว่าจะเก็บ สุดท้ายคงต้องได้ไปเก็บพรุ่งนี้

ผ่านไปสามชั่วโมง หนังตาขงผมก็เริ่มหย่อนจากความเหนื่อยสะสม แล้วค่อยๆหลับลงไปทั้งที่ผมยังเสียบหูฟังไว้กับหู แว่นตายังอยู่บนใบหน้า และถุงขนมที่กองอยู่ข้างๆ...


[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 29-04-2019 10:37:18
หลังจากนั้นมาทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ ผมวนๆกับโรงเรียน ที่เรียนพิเศษ ห้องสมุด ไม่ก็ห้องสภานักเรียนตลอด แต่พักหลังๆผมขอทุกคนในสภาเข้าน้อยลงเนื่องจากผมอยากให้ความสำคัญกับชมรมบรรณารักษ์มากกว่า อีกทั้งที่นั่นคือสถานที่ที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายกว่าที่อื่น ถ้าไม่อยากให้ใครเข้ามาในห้องผมก็แค่ล็อคกลอนประตูเอาไว้ จะเข้ามาก็ค่อยเคาะเอา ส่วนครูที่คุมชมรมของพวกเรานั้นก็ปล่อยให้พวกเราทำตามอิสระ ขอแค่อย่าให้เกินขอบเขตก็พอ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากอยู่แล้ว

“พีรดล รองหัวหน้าชมรมไม่เข้ามาหลายวันแล้วนะ มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า?” วันนี้ครูที่คุมชมรมเข้ามา เธอถามถึงรองหัวหน้าชมรมที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ร่วมอาทิตย์กว่าๆได้ ผมส่ายหน้าตามกลับไป

“ผมไม่เห็นเขาเลยตั้งแต่ทะเลาะกันภายในแล้วครับ”

“ทะเลาะ?”

“ครับ เขาไม่มีความรับผิดชอบมากพอที่จะดูงานแทนผมได้ สมาชิกชมรมบอกว่าเขาไม่ค่อยใส่ใจทำให้ผมไม่สามารถปล่อยไปได้อีกต่อไป แต่พอผมเข้ามามีส่วนรวมมากขึ้นก็ทำให้เขาไม่พอใจแล้วหายไปเลยตั้งแต่งานประเมินโรงเรียนแล้วครับ”

“แล้วทำไมเธอไม่อธิบายเหตุผลให้ดีๆล่ะ เขาเป็นเด็กดีจะตาย”

เชื่อรึเปล่าครับว่ารองหัวหน้าชมรมคนนั้นเป็นศิษย์รักของครูคนนี้ ต่อให้ผมพูดความจริงแค่ไหนว่าเขาไม่รับผิดชอบงาน เธอก็จะไม่เชื่อโดยเด็ดขาด

ก็นะ เขาเป็นลูกครูคนนี้นี่นา

 “เธอนี่มันเก่งแต่เรียนจริงๆเลยนะ คะแนนการเข้าสังคมพูดคุยกับคนอื่นนี่ติดลบ”

“...”

“ไม่แปลกใจที่เวลาถามเรื่องใครแล้วจะไม่รู้เรื่อง”

“...”

“เอาเถอะ เดี๋ยวกลับบ้านไปครูจะถามดูก็ได้ว่ามีอะไร”

แล้วเธอจะเดินไป ผมถอดแว่นสายตาออก วางกับโต๊ะ เอาฝ่ามือตัวเองปิดตา ถอนหายใจออกด้วยความรู้สึกอึดอัด

ไม่ชอบเลย...คำพูดแบบนั้น

ทำไมทุกคนถึงคาดหวังในตัวของผมสูงถึงขนาดนั้น ทำไมทุกคนถึงมองผมว่าเป็นคนที่เข้าใจยาก ทั้งที่ตัวผมนั้นไม่มีอะไรที่เข้าใจยากได้เลย เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยากเล่นบ้าง อยากทำนู่นนี่บ้างเท่านั้น

...อยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไปเรียนพิเศษต่อดีกว่า

“พี่เดือนครับ”

“...?”

ผมหันไปตามเสียง เห็นกุมภ์กำลังยื่นถุงอะไรมาให้ วันไหนที่เรามีเรียนพิเศษกุมภ์มักจะรอผมเสมอ ช่วงแรกๆเขายังเกรงใจที่จะไปกับผม ส่วนในตอนนี้พวกเราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เพราะกุมภ์เป็นคนเดียวที่ผมสนิทด้วยจริงๆ เขาไม่ได้ว่าผมเรื่องที่ไม่กล้าทักทายใคร เขาแค่บอกว่าถ้าอึดอัด ทำไปแล้วไม่ใช่ตัวเราก็อย่าทำเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปบ้าจี้ทำตามที่คนอื่นเขาว่ามาทุกอย่าง

“ระหว่างรอผมไปซื้อนมกับขนมปังมาให้ พี่กินรองท้องตอนเรียนก่อนนะครับ”

“ขอบคุณนะ ไปกันเถอะ”

น่าแปลกเนอะ นี่เมื่อกี๊ผมยังอารมณ์ไม่ดีเพราะครูคุมชมรม แล้วก็มายิ้มง่ายๆเอาเพราะนมและขนมปังอย่างละชิ้นจากเด็กผู้ชายคนนี้?

 

“เดือน แกมีอะไรจะพูดรึเปล่า?”

“...”

“ทำไมแกถึงไปยกเลิกตารางเรียนพิเศษวันเสาร์อาทิตย์? แกรู้มั๊ยว่าแกทำอะไรลงไป?”

ผมไม่ตอบ เพราะผมรู้ตัวดีว่าตอบไปพวกท่านก็ไม่ฟัง ผมกลับมาจากที่เรียนพิเศษ อ่านหนังสือในห้องตัวเองไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังโครมครามจากบุพการีอย่างแม่

พอเปิดออกมาแล้วเห็นสีหน้า ผมก็รู้แล้วล่ะว่าความแตก

“แกจะเงียบทำไม?!”

“เพราะถ้าผมตอบ แม่ก็ไม่ฟังผมอยู่ดี”

“งั้นแกก็บอกเหตุผลของแกมาว่าทำไมถึงทำแบบนี้?! ฉันอุตส่าห์เลือกวิชาที่ควรจะต้องเรียนเพื่อสอบเข้าหมอของมหาลัย J เชียวนะ?! แล้วแกทำอะไรลงไป!” แม่เดินเข้ามาใกล้ ใช้นิ้วชี้ของท่านกดลงมาที่หน้าผากผมแรงๆจนผมเกือบเซ ถ้าไม่ใช่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันเยอะผมคงล้มลงไปกับพื้นได้ “แกไม่อยากมีการมีงานดีๆทำรึยังไง?!”

“แม่ครับ”

“...”

“ผมอยากมีอิสระ”

“อิสระอะไร ที่ฉันให้แกทุกวันนี้ยังไม่ใช่อิสระอีกรึยังไง?”

“ผมหมายถึงอิสระในการที่ผมจะได้ใช้ชีวิตของตัวเองครับ”

“...”

“ผมอยากมีเวลาพักบ้าง ผมอยากจะนั่งเล่นบ้าง อยากจะไปเที่ยวแบบคนอื่นบ้าง ผมเรียนวันจันทร์ถึงวันศุกร์นั่นก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว ผมนั่งอ่านบางส่วนเอาเองได้ผมเลยยกเลิกส่วนของเสาร์อาทิตย์ไป” ผมมองหน้าท่าน แม่กำลังโกธร ผมมองออก “ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกก่อน แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ยกเลิกไปแล้ว จะกลับไปเรียนต่อก็ไม่ได้ เงินชดเชยค่าชั่วโมงที่เหลือผมก็ไดรับคืนมาแล้ว--”

“แกนี่มันโง่ยิ่งกว่าโง่อีก!”

“!”

“ฉันอยากให้แกเป็นหมอ ฉันอยากให้แกรับบริหารงานโรงพยาบาลต่อ! แกต้องเป็น ถ้าไม่เป็นแล้วใครจะเป็น! แกเอาสมองส่วนไหนคิดกัน! อย่ามาทำตามใจตัวเองแล้วอ้างว่าฉันไม่ให้อิสระแกเชียวนะ!” ท่านบีบไหล่ผมจนผมต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่ผมยังต้องรักษาความเงียบของตัวเองเอาไว้ ไม่อยากให้ท่านต้องมาว่าผมเรื่องทำตัวอ่อนแอให้เห็น “รึว่าแกติดเพื่อน?! เพื่อนพาแกเหลวไหลสินะ?! ฉันบอกแกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าไปคบพวกนั้น จะพาแกเสียการเรียนเปล่าๆ!”

“แม่ครับ! มันไม่เกี่ยวกับใครเลยนอกจากผมคนเดียว! ผมเองที่ต้องการแบบนี้!” พาอวนกลับไป แม่ก็ยิ่งโมโหมากขึ้น ท่านพุ่งตรงเข้ามาใช้มือฟาดตีไปตามหลังผมด้วยแรงเต็มที่จนผมรู้สึกชาไปหมด

ผมชินแล้วล่ะ...สมัยเด็กมันหนักกว่านี้อีกเยอะ

“ทำไมแกไม่เดินตามทางที่ฉันปูเอาไว้ให้! แกไม่อยากประสบความสำเร็จเหมือนพวกฉันเหรอ?! แกอยากไปเป็นพนักงานบริษัททำงานก้มหัวให้เจ้านายงกๆรึยังไงกัน?! ฉันอุตส่าห์ทำทุกวิถีทางให้แกสบายแล้วแท้ๆ!”

ตำแหน่งการงานดีแต่ถ้าไม่มีความสุขมันจะไปมีค่าอะไร

“ผมอยากทำตามใจตัวเองบ้าง...เท่านั้นเอง...”

“แกจะไปไหนก็ไปเลย! ถ้าลำบากกลับมาก็อย่ามาร้องไห้กอดเข่าฉันขอความช่วยเหลือแล้วกัน!”

ผมวิ่งขึ้นห้องตัวเอง ปิดประตูลงกลอนแล้วฟุ่บตัวนั่งลงหน้าประตู ก้มหน้าซุกกับหัวเข่าเพื่อขับน้ำตาที่เอ่อออกมา ผมไม่ได้ส่งเสียง ผมไม่ได้สะอื้น ปล่อยให้มันไหลอย่างเงียบๆเท่านั้น

ทำไม...ทำไมกัน ผมแค่อยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้างแต่ทำไมมันถึงจบลงที่ทะเลาะกัน ทำร้ายร่างกายกัน ตัดขาดกัน

จะไปไหนก็ไป...

นั่นสินะ...

 

“ครับ...พี่เดือน?”

“...ว่าไงกุมภ์ คือพี่...”

“มีอะไรรึเปล่าครับ? แล้วนั่นกระเป๋าอะไร?”

“พี่ขอมาค้างที่นี่สักคืนได้มั๊ย?” ผมยิ้มบางๆให้เขา กุมภ์เบิกตากว้างก่อนที่จะพยักหน้าแล้วหลีกทางให้ผมเดินเข้าไปก่อน “ขอบคุณนะ”

“...พี่ทะเลาะกับที่บ้านมาใช่มั๊ยครับ?”

เด็กคนนี้เดาเก่งจนผมกลัว “อืม ความแตกเรื่องที่พี่ยกเลิกที่เรียนพิเศษแล้วล่ะ พอแม่รู้ก็ว่าพี่ใหญ่ว่าพี่เหลวไหลตามเพื่อน พี่จะทำอะไรตามเพื่อนได้เพราะพี่ยังไม่มีเพื่อนเลย...พี่แค่ต้องการอิสระของพี่บ้างเท่านั้น”

“อ่า...เข้าไปในบ้านก่อนเถอะครับ เดี๋ยวยุงจะกัดเอา ผมจะเดินไปบอกพ่อแม่ผมก่อนนะ”

ผมยืนรอกุมภ์ตรงประตูทางเข้าบ้าน ไม่นานพ่อกับแม่ของกุมภ์ก็เดินออกมาต้อนรับผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“นี่เหรอพ่อหนุ่มที่มาส่งลูกชายคนโตพวกเราบ่อยๆ หน้าตาดีนี่หว่า เหมือนพ่อตอนหนุ่มๆมั๊ยแม่?” พ่อของกุมภ์ตบบ่าผมเบาๆ

“สวัสดีดีครับคุณลุงคุณป้า ผมชื่อพี่เดือนเป็นรุ่นพี่ม.6 หัวหน้าชมรมที่กุมภ์อยู่ครับ” ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน เดินตามพวกท่านเข้าไปในห้องนั่งเล่น

“กินข้าวกินปลามารึยังล่ะ นี่กำลังจะกินพอดีเลย ถ้าไม่รังเกียจอะไรยังไงมากินด้วยกันสิ”

“จะดีเหรอครับ คือผม...”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือเพื่อนของกุมภ์ก็เหมือนเป็นลูกชายลูกสาวพวกเรา” แม่ของกุมภ์ดันหลังผมให้เข้าไปในครัว ผมเห็นเด็กผ้ายอีกคนที่ตัวเล็กกว่ากุมภ์กำลังวุ่นวายตรงเตา “นั่นลูกชายคนเล็กชื่อมีนา”

“หือ?” เด็กคนที่ชื่อว่ามีนาหรือน้องชายของกุมภ์หันมาทางผม ก่อนที่จะยิ้มให้ “สวัสดีครับ ผมชื่อมีนา พี่คือพี่เดือนที่พี่กุมภ์พูดถึงใช่มั๊ยครับ? แป๊บหนึ่งนะ ขอผมทำกับข้าวให้เสร็จก่อน”

“ทำไมน้องรู้จักพี่ล่ะ?”

“ผมเคยเล่าให้ฟัง เคยเปิดรูปให้ดูด้วยว่าพี่หน้าตาเป็นยังไง” กุมภ์ตอบผม “มีนาชมพี่ด้วยนะว่าหล่อ เอาจริงๆพี่ก็หล่อนั่นแหละ—พี่หน้าแดงนะรู้ตัวรึเปล่า?”

“อะ..เอ่อ...”

“ไปชมพี่เขาตรงๆพี่เขาก็เขินเป็นนะไอ้ลูกชาย” พ่อของกุมภ์ขยี้เส้นผมน้องเบาด้วยความเอ็นดู ถึงหนวดบนหน้านั่นจะยาวไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมมองไม่เห็นว่าเขากำลังยิ้มกว้าง “มานั่งรอเถอะ ยืนนานๆเดี๋ยวปวดตาเอา”

“ขอบคุณครับ”

ผมนั่งลงตรงโต๊ะอาหารสำหรับหกคน กุมภ์ให้ผมนั่งข้างๆ ไม่นานนักกับข้าวหลายอย่างก็ถูกนำเอามาวางเอาไว้บนโต๊ะ กุมภ์ตักข้าวให้ผมแล้วก็พากันพูดคุยเรื่องต่างๆบนโต๊ะอาหารนั้น

ผมรู้สึกดี...และโหยหายบรรยากาศแบบนี้มานานมาก

“เดือนรู้รึเปล่าว่าตอนกุมภ์เด็กๆน่ะ ห้าวกว่านี้ เกเรกว่านี้ เป็นหัวโจกห้องเชียวนะ แต่พอโตขึ้นมาน่าจะได้ความใจเย็นของแม่มาล่ะมั้งเนี่ย ถึงกลายเป็นคนนิ่งๆได้”

“พ่ออย่าเผาผมสิ” กุมภ์หัวเราะ “โตขึ้นผมก็รู้จักความขึ้นนะ”

“แสดงว่าตอนเด็กๆกุมภ์ก็คงเคยไปต่อยกับใครสินะครับ?”

“ใช่ๆ ถ้าจำไม่ผิดตอนป.2 ที่ไปทะเลาะกับเด็กอ้วนๆชื่ออะไรสักอย่างแล้วเชื่อมั๊ยว่าแพ้กลับมา” พ่อของกุมภ์หัวเราะเสียงดังกว่าลูกตัวเองเสียอีก “ตัวจิ๋วเดียวยังไปท้าเขา ถ้าครูมาห้ามไม่ทันคงจะช้ำไปทั้งตัวเพราะฝ่ายนั้นพุ่งชนใส่รัวๆ”

“เรื่องตั้งหกเจ็ดปีก่อนพ่อยังจำได้อีก พี่เดือนอย่าไปฟังพ่อเลยนะ ตอนนี้ผมเป็นคนดีขึ้นเยอะแล้ว” กุมภ์ส่ายหน้า ตักกับข้าวให้ผมโดยที่ตัวเองน่าจะลืมตัว ทำให้มีนามองมาที่พวกเราด้วยสายตาแปลกๆ

เหมือนที่นทีมองเลยแฮะ...

“แล้วก็นะครับพี่เดือน พี่กุมภ์ยังเป็นคนขี้แงมากๆด้วย ผมปลอบพี่ชายตัวเองตั้งหลายครั้งตอนที่พี่ปั่นจักรยานล้มหน้าบ้าน”

“มีนา!”

“พี่เดือนอยากให้ผมเผาอะไรพี่กุมภ์อีกก็ว่ามาเลยนะครับ” มีนาหัวเราะเบาๆ “บางทีผมเองก็ไม่รู้ว่าผมเป็นพี่ชายหรือน้องชายเขากันแน่”

“มีนา...เงียบไปเลย ไม่งั้นพี่จะทำกับข้าวให้กินเป็นมื้อถัดไป!”

“อย่าครับ! เดี๋ยวครัวพัง!”

ผมหัวเราะกับความสนุกที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ พวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ เป็นบ้านที่อยู่ในถนนเล็กๆที่ต้องเลี้ยวเข้าจากถนนใหญ่อีกที รถมีคันเดียว จักรยานสีแดงอีกคัน หน้าบ้านมีกระถางต้นไม้เล็กๆกับราวตากผ้าเก่าที่เอามาห้อยต้นกล้วยไม้ เข้ามาในบ้านก็จะมีข้าวของเบียดนิดหน่อยแต่ผมไม่รู้สึกว่ามันรก มันดูดีกว่าบ้านที่กว้างแต่ไม่มีข้าวของหรือแม้กระทั่งคนอาศัยอยู่เลยเยอะ

พอกินข้าวกันเสร็จ กุมภ์ก็พาผมไปที่ห้องนอนของเขา เขาไม่ได้นอนบนเตียง แต่เป็นฟูกนุ่มๆสีฟ้าน้ำทะเล มุมห้องมีตุ๊กตาสีชมพูกลมๆมาสคอตจากเกมหนึ่งตัวใหญ่วางเอาไว้ อีกมุมเป็นตู้หนังสือกับโต๊ะที่มีโน๊ตบุ๊คและโคมไฟตั้งโต๊ะ หน้าต่างมีม่านสีขาวลายดาวปิด

“เดี๋ยวผมไปขนฟูกมาให้อีกชุดนะครับ พี่อาจจะนอนไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”

“พี่นอนได้หมดนั่นแหละ ไม่เรื่องมากหรอก”

กุมภ์พยักหน้าให้ผม เขาเดินออกจากห้อง ผมจึงใช้เวลาที่รอเดินไปดูรูปถ่ายที่ติดตรงฝาผนังข้างๆตู้เสื้อผ้า ห้องนี้ไม่มีห้องน้ำส่วนตัว ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มี

“พี่เดือนครับ เปิดประตูให้ผมหน่อยนะ” ผมเดินไปเปิดประตูให้กุมภ์ ฟูกที่เขาถือ...ไม่สิ อุ้มมาน่าจะใหญ่กว่าตัวเขาเสียอีกถึงได้โอนเอนขนาดนั้น

“พี่ช่วย”

“ขอบคุณครับ”

ผมใช้เวลาปูฟูกนอนตัวเองก่อนที่จะเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อผ้าออกมา กุมภ์บอกว่าให้ผมไปอาบน้ำก่อนได้เลย ห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง ผมจึงใช้เวลาไม่นานนักเพราะมันเป็นห้องน้ำรวม เกรงใจคนใช้ต่อ

ผมนั่งเปิดหนังสือของกุมภ์ในห้องอ่านเล่นไปเรื่อยๆ จนกุมภ์เดินเมาพร้อมกับชุดนอนลายเป็ดเหลืองของเขา ผมหลุดขำนิดหน่อยเพราะเห็นว่าน่ารักดี ส่วนเขาก็ทำหน้าบึ้งๆไม่พอใจก่อนที่จะเปิดถุงขนมที่เขาหยิบขึ้นมากิน

“เอามั๊ยครับ?”

“อะ...”

“เนี่ย วันนี้ผมจะเปิดดูหนังจากโน๊ตบุ๊ค พี่เดือนเอามั๊ย? กินไปดูหนังไป นอนแบบนี้ที่พี่เดือนอยากทำ ผมไม่ถือสา ขยับฟูกมาใกล้ๆกันหน่อยก็ได้ นอนใกล้กันไม่ท้องหรอกนะครับ” กุมภ์พูดติดตลก หยิบตุ๊กตาตรงมุมห้องมานั่งกอดพร้อมกับเปิดโน๊ตบุ๊คตัวเอง “พี่อยากดูเรื่องอะไรรีเควสมาได้เลย คืนนี้ไม่ต้องนอน”

“ไม่ต้องนอนอะไร พรุ่งนี้มีเรียน ดูแค่เรื่องเดียวก็พอแล้วมั้ง” ผมขยับตัวเข้าไปนั่งข้างๆกับกุมภ์ ผมตามใจน้องเจ้าของเครื่อง ไม่นานนักเราก็ได้หนังสยองขวัญที่เขาว่าน่ากลัวมาดู

“ปิดไฟเพื่อบรรยากาศดีกว่าครับ” กุมภ์ลุกขึ้นไปปิดไฟห้อง เหลือเพื่อแค่แสงสว่างจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่คอยส่องให้เห็นทางเดิน เขายื่นกระป๋องน้ำอัดลมกับขนมถุงใหญ่มาวางไว้ตรงกลาง จากนั้นสายตาของพวกเราก็จ้องไปที่หนังไม่วาง

กุมภ์มีสะดุ้งตกใจบ้างเหมือนผม แต่พวกเราไม่ร้องโวยวายทั้งคู่ บางทีอาจจะไม่ใช่คนกลัวผีเหมือนกัน

“ขอโทษ” ผมเอ่ยเมื่อมือล้วงเข้าไปในถุงขนมพร้อมกันกับกุมภ์ ผมเลยชักมือออกให้น้องหยิบก่อน เขาแงก็ชะงักเพราะไม่คิดว่าจะยื่นเข้าไปพร้อมกันด้วย “เริ่มปวดตาแล้วสิ...”

“แสงไม่พอแน่ๆเลย ผมเปิดไฟดีกว่า”

พอแสงในห้องกลับมาสว่างอีกครั้งก็ตอนที่หนังจบพอดี ขนมในถุงกับกระป๋องน้ำอัดลมก็กองอยู่ระหว่างเตียง กุมภ์ยกโน๊ตบุ๊คไปวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิมก่อนที่จะชวนผมลงไปแปรงฟันก่อนนอน

“จะว่าไปแล้ว ผมขอถามได้รึเปล่าถ้ามันไม่ได้ยุ่งเกินไป พี่ทะเลาะกับแม่พี่แล้วทางนั้นเขาว่าอะไรพี่มาบ้างล่ะครับ?”

“...”

“พี่ยังไม่อยากตอบตอนนี้ก็ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัวนี่เนอะ ใครๆก็เคยทะเลาะกับพ่อแม่นี่นา”

“แม่พี่ปูทางให้พี่เรียนหมอ...แต่พี่ไม่ได้อยากเรียน พี่เลยบอกว่าพี่อยากได้อิสระในการใช้ชีวิต ท่านเลยโมโหพี่มากจนถึงไล่ให้ไปที่อื่นเลย วันนี้พี่ถึงได้มานอนค้างบ้านกุมภ์ไง” ผมบอกกับกุมภ์ เขาหันมามองผมขณะที่กำลังเปิดตู้เย็นเอาน้ำเปล่าออกมา “แปลกดีนะ บ้านพี่มีครบทุกอย่าง มีฐานะ มีชื่อเสียง แต่ไม่มีสิ่งที่พี่ต้องการ พี่ไม่อยากเป็นคนที่มีชื่อเสียงอะไร เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆคนหนึ่งก็ได้ถ้ามันทำให้พี่มีความสุขมากกว่าที่เป็นในตอนนี้”

“แต่แม่พี่ไม่ใช่เจ้าชีวิตพี่นี่นา ยังไงสักวันพี่ก็ต้องเดินตามทางที่พี่ต้องการอยู่ดี”

“พี่ไม่มีสิทธิทำอย่างนั้นหรอก”

“...”

“เพราะพี่กลัว”


“พี่เดือน...”

“พี่กลัวความผิดหวัง พี่กลัวว่าถ้าเกิดพี่เดินตามทางที่ตัวเองต้องการจริงๆแล้วมันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันจะมีผลร้ายอะไร มันจะทำให้ใครเป็นอะไร ถึงอย่างนั้นพี่เองก็อยากจะพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร ต่อให้เกิดอะไรขึ้นแต่มันคือชีวิตของพี่” ผมรับแก้วน้ำจากกุมภ์ “อีกอย่างคือพี่ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องผิดหวัง”

“แม้ว่าจะทำให้ตัวเองไม่มีความสุขก็ตามเหรอครับ?”

“...”

“พี่เดือนครับ เรื่องนี้พี่ไม่ต้องรีบคิด ค่อยๆคิดไป มันยังมีเวลา”

“...”

“พี่เดือนมีดินสอในมือของตัวเอง...ดินสอที่จะเขียนเส้นทางเดินให้ตัวเองอยู่นะครับ”

นั่นสินะ...

ผมยังมีโอกาสที่จะแสดงให้ครอบครัวของผมรับรู้และได้ยินเสียงของผมที่ต้องการทำในสิ่งอื่นอยู่ ถ้ามันยังดังไม่พอผมก็ต้องทำให้มันดังมากกว่านั้นไปอีก เพื่อให้ท่านได้ยินและหันกลับมามองผม

“ขอบคุณนะ พี่รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

“พี่เดือนอะติดคิดมาก บางทีเรื่องบางเรื่องมันไม่ต้องใช้ตรรกะหรือสมการใดๆเลยในการหาคำตอบนะครับ” กุมภ์หยิบองุ่นเข้าปากตัวเอง “ลืมว่าแปรงฟันแล้ว...”

ผมหัวเราะก่อนที่จะดื่มน้ำในแก้วจนหมด พวกเราเดินเข้าห้องนอนแล้วคลุมตัวด้วยผ้าห่มนอนไม่ห่างกันนัก

“พี่เดือน ผมเคยบอกพี่เดือนใช่มั๊ยว่าพรุ่งนี้มันต้องเป็นวันที่ดีกว่า”

“อืม...”

“ฉะนั้นแล้ว พรุ่งนี้มันต้องดีกว่า พี่อาจจะโทษฟ้าโทษดินเรื่องความซวยของชีวิตพี่ แต่สุดท้ายแล้วถ้าพี่มองดีๆ พี่จะเห็นเรื่องสวยงามรอบตัวเสมอท่ามกลางความเฮงซวยพวกนั้นนะครับ”

“...”

“ฝันดีครับ”

ผมขยับตัวหันหน้าไปทางกุมภ์ เขานอนหันหน้าให้ผม เสียงลมหายใจเข้าออกเบาๆนั้นทำให้ผมรู้ว่าเขาหลับไปแล้ว ผมจึงค่อยๆขยับตัวเท้าคางมองใบหน้าของรุ่นน้องตอนที่หลับ

พอหลับไปแล้ว...ดูน่าเอ็นดูกว่าเดิมเยอะเลย...

พรุ่งนี้ต้องเป็นวันที่ดีกว่า

เพราะผมมีรุ่นน้องที่แสนวิเศษคนนี้อยู่ข้างๆ ต่อให้มันเลวร้ายแค่ไหนเขาก็คือพลังบวกของผมเสมอ

“ฝันดีนะกุมภ์”


==========

ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่มีในสังคม แต่มันมีจริงๆนะคะ เกิดกับลูกญาติห่างๆคนหนึ่ง แถมญาติยังไม่ค่อยชอบเราด้วยค่ะ เพราะว่าตอนเราสอบเข้าม.1 เนี่ย เราได้ที่สองแล้วลูกเขาได้ที่ 9 เขาโมโหที่ลูกเขามาแพ้คนไม่อ่านหนังสืออย่างเราทั้งๆที่ลูกเขาไปเรียนพิเศษเอาเป็นเอาตายค่ะ มันเลยพลอยส่งผลให้ลูกเขาไม่กล้าคุยกับเราเพราะกลัวแม่ตัวเองด้วย

นิยายเรื่องนี้จะใช้ประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นชนวนนะคะ ยังดูไม่ดราม่าอะไรมากแต่เดี๋ยวมันจะหนักขึ้นเรื่อยๆเองค่ะ รักเสมอจากต้นเกลือในตำนาน แวะเข้ามาคุยด้วยได้ที่ @SmolMety ในทวิตเตอร์นะคะ เย่ห์
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 01-05-2019 13:30:22
บทที่ 5

 

คืนนั้นผมได้ยินเสียงพี่เดือนนอนละเมอดังขึ้นมา

เหมือนเขากำลังสะอื้น พูดเบาๆว่า ‘อย่า’ หรือ ‘เดี๋ยว’ ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่พี่เดือนเคยทำอะไรให้เขาบ้าง แต่จากที่เคยได้ยินมา สิ่งที่เราละเมอออกมานั้นมักจะมาจากจิตใต้สำนึกหรือความฝันของเรา ทำให้ผมไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าเขากำลังฝันร้ายหรือสิ่งที่อยู่ภายในใจของเขามันผลักดันออกมาตอนหลับกันแน่

ผมอยากจะลุกไปปลอบเขา แต่พี่เดือนก็เงียบไปก่อนที่จะหลับสนิทเหมือนเดิม

เช้าวันต่อมาพี่เดือนตื่นช้ากว่าผม เขาดูเหมือนได้นอนเต็มที่ เมื่อคืนพวกเราพากันนอนไวด้วยแหละเลยรู้สึกสดชื่นกว่าทุกวัน ดังนั้นแล้วผมจึงไปอาบน้ำก่อนที่จะมาปลุกเขา

“พี่เดือนครับ หกโมงครึ่งแล้วนะ”

“อืม...อะ...หกโมงครึ่ง?”

“ครับ พี่ลงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ เมื่อคืนผมเห็นว่าพี่เอาชุดนักเรียนพี่มาด้วยนี่นา” ตอนที่พี่เดือนหยิบเสื้อนอนออกมาจากกระเป๋าของเขา ผมเห็นชุดนักเรียน แสดงว่าเขาเตรียมการมาอย่างดีแล้วที่จะออกมาค้างกับผม “เจ็ดโมงกินข้าว เจ็ดโมงยี่สิบออกจากบ้าน ทันแน่นอนครับ”

พี่เดือนพยักหน้าทั้งที่ตาของตัวเองยังกึ่งหลับกึ่งตื่น สติยังมาไม่ครบ เขาเดินชนนู่นนี่นิดหน่อยด้วยความชินจากการเดินในห้องของเขาเองแน่ๆ พอมาอยู่ต่างทีเลยไม่รู้ว่าตำแหน่งไหนเป็นอย่างไร

พี่เดือนแอบขี้เซาเหมือนกันแฮะ

พวกเราจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วลงมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว มีนาทำแพนเค้กราดน้ำผึ้งให้เป็นมื้อเช้าพร้อมกับนมสด เป็นมื้อง่ายๆที่ไม่ต้องเสียเวลาทำมากและอร่อย

“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง? หลับสบายมั๊ย?” พ่อผมถามพี่เดือน เขาสะดุ้งนิดหน่อยก่อนที่จะพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เรานี่สะดุ้งบ่อยจังนะเวลาลุงทัก ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงไม่ดุ”

“คือ...ปกติแล้วผมไม่ได้คุยกันบนโต๊ะอาหารแบบนี้กับที่บ้านครับ” พี่เดือนเอ่ย “จะเจอหน้าพร้อมกันยังไม่มีโอกาสเลย พ่อของผมติดงานบริหารโรงแรม ส่วนแม่ก็ยุ่งอยู่กับโรงพยาบาล แต่ผมก็เข้าใจพวกท่านครับว่ามันเป็นหน้าที่”

“อย่างนั้นเหรอ...” ผมมองพี่เดือนในขณะที่เขากำลังพูดคุยเล็กๆน้อยๆกับพ่อแม่ผม ผมรู้ว่าเขาโกหกเรื่องที่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นในตอนนี้ดี พี่เดือนอาจจะแค่อยากกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว พูดคุยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การเรียนแค่นั้น แต่เขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทำเลย

“พี่ครับ”

“ว่า?” มีนาสะกิดผม เขาเลื่อนโหลน้ำผึ้งมาไว้ตรงหน้าพวกเรา “ไม่เอาแล้ว แค่นี้ก็หวานมากแล้วเนี่ย”

“ไม่ใช่พี่ คือ...พี่เดือนแกคงไม่ได้มีปัญหากับที่บ้านอะไรจนต้องมาค้างที่นี่ใช่มั๊ยครับ?” ผมเลิกคิ้ว “ดูทรงแล้วพี่เดือนไม่ใช่สายไปค้างบ้านเพื่อนแน่ๆ ยิ่งถ้าเป็นรุ่นน้องนี่ไม่ใช่เลย เขาอาจจะอยากหนีอะไรสักพักเลยต้องมาอยู่กับพี่ก่อน”

“คือยังไงล่ะ...มันเป็นเรื่องส่วนตัวพี่เดือนเขาพี่ก็ไม่อยากพูด”

“ผมเข้าใจครับ แต่ก็นะ...”

“...”

“เป็นนกที่สมควรได้บินไปบนท้องฟ้ากว้างแท้ๆแต่กลับต้องถูกล่ามโซ่ขังในกรงเพื่อให้ทำตามต้องการ”

 

ผมเก็บคำพูดนั้นของมีนามานั่งคิดตลอดเวลาที่เรียน จนกระทั่งถึงตอนเที่ยง นทีก็ชวนผมไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกัน

“เอ้อ มีเพื่อนห้องอื่นจะมาด้วยนะ พอดีรู้จักกันที่เรียนพิเศษ” นทียืนตรงหน้าบันได “นั่นไง มาพอดีเลย”

ผมมองสองคนที่เดินลงมา คนหนึ่งเป็นผู้หญิงตัวสูงใส่แว่นตาสีแดงหนาๆ ผมยาวประบ่ายุ่งเหยิง ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายร่างท้วมตัดผมรองทรงนักเรียนทั่วไป ทั้งคู่โบกมือให้นที

“ว่าไงเพื่อน นี่ใครเหรอ?” ฝ่ายผู้หญิงเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน เธอเดินวนรอบๆซ้ายขวา มองขึ้นลงเหมือนต้องการสำรวจผม “กูอุ้มนะเว้ย...แทนตัวเองว่ากูตอนนี้มันเร็วไปมั๊ยวะ?”

“เร็วไม่เร็วมึงก็พูดออกมาแล้วว่ะ” อีกคนกลอกตาขึ้นบน “ขอโทษที่มันเสียมารยาทไปหน่อยนะ เราดิน อยู่ห้องสาม พอดีรู้จักกับนทีตอนที่เรียนพิเศษเลยนัดกินข้าวด้วยกัน”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ถือเรื่องคำแทนตัว เราชื่อกุมภ์” ผมหันไปทางอุ้ม เธอยิ้มกว้าง ก่อนที่จะคว้าตัวผมไปกอดคอ

“แม่งเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กกว่ากูอีก กูชอบไซส์นี้ว่ะ กอดคอได้!”

“มึงช่วยดูหน้ากุมภ์ด้วยครับว่าให้กอดคอรึเปล่า”

อุ้มเป็นคนที่ห้าวกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ สงสัยแว่นบนหน้านี่ใส่ไว้เพื่อมองเห็นเฉยๆไม่ได้เป็นเด็กเรียนอย่างที่ผมคิดตอนแรก “ป่ะ ไปกินข้าวกัน หิวแล้วๆ”

“ขอโทษนะ สองคนนี้มันพลังงานเหลือล้นกว่าที่คิด ถ้ามึงอึดอัด...”

“ไม่อึดอัดหรอกน่า ดีด้วยซ้ำที่มีเพื่อนเพิ่ม” ผมยิ้มให้นที “คนเยอะขึ้นมันก็อบอุ่นขึ้นนี่เนอะ”

“นั่นสินะ...” นทีอมยิ้ม “แต่ถ้าให้มึงหาเพื่อน มึงคงหาได้เร็วกว่ากูอะ”

“ทำไม?”

“ไม่รู้สิ มึงดูเป็นคนที่มีพลังบวกเยอะมากจนน่าเข้าถึง แต่พอจะเดินเข้าไปหามึงกลับปิดแหล่งพลังงานนั่นก่อนจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้” นทียักไหล่ “มึงไม่รู้ตัวเหรอว่ามึงเป็นคนนิ่งมากเวลาที่คุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อน”

“...งั้นเหรอ...”

“ยกเว้นกับพี่เดือนนะ”

“มึงว่าไงนะ?”

“อ้อ เปล่า” นทีส่ายหน้า เขาเดินนำผมเพื่อไปยืนอยู่ข้างๆอุ้ม ส่วนดินก็เดินข้างผมแทน เขามองซ้ายขวาก่อนที่จะสะกิดผม

“ได้ข่าวว่าสนิทกับพี่เดือนเหรอ?”

“ก็ไม่เชิงว่าสนิทนะ แต่เขาเป็นรุ่นพี่ในชมรม มีอะไรเหรอ?”

“คือพอดีว่า พี่เราอยู่ห้องเดียวของพี่เดือน แล้วที่นี่มีครูมาเรียกเขาไปพร้อมๆกับรุ่นพี่อีกคนชื่อ...สห..สหอนันต์หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ไม่รู้หรอกว่ามีปัญหาอะไร เลยจะมาถามน่ะ หลายคนไม่สบายใจมากเลยนะเพราะพี่เดือนแกไม่เคยมีปัญหาอะไรมาก่อน” ผมพยักหน้าตาม ถ้าสหอนันต์ก็คงจะเป็นรองหัวหน้าชมรมคนนั้นนั่นแหละ “เราเลยอยากรู้ว่าพี่เดือนเคยได้พูดถึงเรื่องนี้กับใครรึเปล่า”

“ถ้าเป็นเรื่องภายในชมรมก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก พอดีว่าพี่เดือนไม่พอใจที่รองหัวหน้าชมรมไม่รับผิดชอบงาน เขาเลยจะเทคโอเวอร์หน้าที่กลับ แต่ที่นี้อีกคนไม่พอใจ” ผมอธิบายให้เขาฟัง “เย็นนี้มีประชุมชมรม เดี๋ยวถ้ายังไงเรื่องไหนที่เล่าได้จะเอามาบอกให้นะ”

“โอ้ แต้งค์ ขอบคุณมากนะ” ดินพยักหน้า “แล้วก็...ถ้าแทนตัวว่ากูมึงอะไรแบบนี้...ไม่ว่าใช่มั๊ย?”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ถือ”

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้มึงคือเพื่อนของกูนะ” ดินตบบ่าผม สองคนที่อยู่ข้างจู่ๆก็หยุดเดินทำให้ผมชนหลังอุ้มเต็มๆ ดินเลยขยับตัวออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น “มีอะไรวะ”

“แก๊งเด็กเกเร” อุ้มบอก “จำได้รึเปล่าที่ป๋าโต้งแกเคยบอกว่าในโรงเรียนมันจะมีแก๊งอันธพาลคอบซุ่มตรงห้องน้ำไม่ก็สวนพฤกษศาสตร์ ไม่พอใจใครก็ตีแม่มเลย วันนี้ไหงโผล่มาที่โรงอาหารได้วะ”

“ไม่มีใครบอกป๋าโต้งเลยเหรอ?” นทีมองเข้าไปภายในโรงอาหารที่คนไม่กล้าเข้า

“เดี๋ยวอีกห้านาทีก็มาถึงแล้วนั่นแหละ ป๋าแกมีมอเตอร์ไซค์คู่ใจ เท่กว่านี้ก็คงขี่ทะลุกำแพงโรงอาหารมา” อุ้มยักไหล่ “ไปซื้อของกินที่สหกรณ์เถอะ ถึงจะเคลียร์ปัญหาตรงนี้ได้แต่กว่าจะได้กินก็อีกชาติเลย คนรอเยอะขนาดนั้น”

พวกเราทั้งหมดเห็นด้วย เดินไปที่สหกรณ์ที่อยู่ไกลหน่อยแต่คนน้อยกว่า เลือกขนมปังแซนด์วิชมานั่งกินด้วยกันที่ใต้ตึก

ระหว่างที่ผมแกะห่อแซนด์วิชอยู่ นทีก็เคาะโต๊ะเรียกผมแล้วชี้ไปที่ด้านหลัง

“หือ? อ้าว พี่เดือน?”

พี่เดือนยิ้ม ก่อนที่จะนั่งลงข้างๆโดยไม่ขอก่อน ในมือของเขามีขนมปังสองก้อนกับน้ำเปล่าขวดใหญ่ “ทำไมวันนี้ถึงมานั่งที่นี่กันล่ะ?”

“ในโรงอาหารมีแก๊งเด็กเกเรอยู่ครับ ขี้เกียจรอจัดการให้เสร็จเลยมานั่งที่นี่ก่อน อ้อ นี่คือดินกับอุ้ม เพื่อนของนที”

“สวัสดีค่ะพี่เดือน เพิ่งเคยเห็นใกล้ๆเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย” อุ้มยิ้ม “ว่างๆหนูขอแบ่งส่วนบุญความรู้ของพี่หน่อยนะคะ หนูโง๊โง่จนสมเพชตัวเองเหลือเกิน” แล้วก็ยกมือไหว้ พี่เดือนเหวอไปก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ ส่วนดินก็ทักทายตามปกติพร้อมกับปรามไม่ให้ฝ่ายผู้หญิงทำอะไรเกินงามที่ผู้หญิงควรจะเป็น

“ถ้าเป็นกลุ่มนั้น ผมเองก็เคยประชุมกับสภานักเรียนว่าจะจัดการยังไงอยู่ แต่เหมือนว่าจะจัดการยากเพราะหนึ่งในนั้นมีเส้นกับผู้อำนวยการคนปัจจุบัน มันเลยกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่จบไม่สิ้น” พี่เดือนถอนหายใจ “ก็ต้องทนกันไปจนกว่าจะเรียนจบปีนี้ล่ะนะ เพราะแก๊งนั้นอยู่กลุ่มม.6 ล้วนๆ ปีหน้าก็ไม่อยู่แล้ว”

“จะว่าไปพี่เดือนเองก็จะจบปีนี้ไม่ใช่เหรอครับ? แล้วพี่จะไปต่อที่ไหนอะ อย่างพี่คงจะม.J แน่ๆเลย” ดินเขย่านมในขวด “พี่เรียนเก่งขนาดนี้ สอบติดหมอสบายมากแน่ๆ”

“นั่นสิ”

สองคนนั้นคุยกับพี่เดือนเรื่องเรียนต่อ มีแค่ผมเท่านั้นที่สังเกตได้ว่าพี่เดือนสีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ บางทีแล้วการที่เขาจะเรียนที่ไหนนั้นมันก็คงอยู่ในกำหนดการจากที่บ้านเขาด้วย

ผมเข้าใจประโยคของมีนาเมื่อเช้าดี พี่เดือนถูกล่ามโซ่เอาไว้จริงๆ

“ผมน่ะ อยากเรียนวิศวะโยธา แต่โดนแม่พูดเสมอว่าจะเรียนไหวเหรอ นั่นสิ ผมจะเรียนไหวรึเปล่า?”

“ส่วนหนูอยากเรียนดิจิตอลอาร์ต หนูชอบวาด แต่พอไปเทียบฝีมือกับคนอื่นแล้วหนูก็ไม่ไหวจะสู้จริงๆ”

“นั่นสินะ แต่ก็ต้องพยายามดูก่อนนั่นแหละ ผมก็แนะนำอะไรไม่เก่ง เอาเป็นว่าเรามีโอกาสได้ลองก็เสี่ยงดูสักครั้งแล้วกันนะ”

พี่เดือนตอบอย่างนั้น

ผมนั่งอยู่กับที่ กินขนมปังไปเรื่อยๆจนนทีเริ่มสงสัยว่าผมเงียบไป

“อ๊า!”

“อ๊า?” พี่เดือนเลิกคิ้ว “นทีไปจิ้มเข้าที่สีข้างเพื่อนทำไมน่ะ?”

“ก็มันน่าแกล้งดีนี่นา นั่งคิ้วขมวดอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว ยิ้มหน่อยครับคุณเพื่อน” นทีมันยิ้มแปลกๆออกมา นิ้วชี้กระดิกรอที่จะได้จั้กจี้ผม “ถ้ายังหน้าบึ้งๆอยู่กูจี้แล้วหัวเราะจนหายใจไม่ทันอย่าโทษผมนะครับ”

“หยุด! หยุดเลย!” ผมยกมือห้าม “มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“กุมภ์บ้าจี้เหรอ?”

“ครับ แค่จิ้มนิดเดียวก็ร้องลั่นแล้ว นี่ถ้าผมจับมันตรึงเก้าอี้ ถอดรองเท้าแล้วเอาขนนกจี้นะ มันคงทรมานตายอยู่อย่างนั้น” นทีหัวเราะ

“นที...”

“แล้วเวลาที่สู้คนอื่นไม่ได้ก็จะเรียกชื่ออยู่อย่างนั้นด้วย” ว่าแล้วมันก็ขยิบตาให้พี่เดือน “ถ้าพี่เดือนหมั่นไส้อะไรมันก็ยืมสูตรผมไปแกล้งได้นะครับ รับรองมันร้องขอชีวิตแน่”

“นที!”

“ครับๆ ไม่แกล้งแล้วครับ” นทีหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม มันไม่สำนึกเลยสินะ! “ใกล้จะหมดคาบพักแล้ว เดี๋ยวพวกผมไปก่อนดีกว่านะครับ จะเข้าเรียนไม่ทันเอา พี่เดือนนี่ดีจังเลยนะที่มีตึกเรียนใกล้สหกรณ์กับโรงอาหารสองอย่างนี้”

“ไปเถอะ พี่เองก็จะไปแล้ว” พี่เดือนหันมาทางผม ยกมือขึ้นมาเล่นกับเส้นผมผมอีกแล้ว “กุมภ์ก็ตั้งใจเรียนด้วย เย็นนี้เรามีเรื่องสำคัญต้องประชุม ห้ามมาสายเด็ดขาดนะ”

“ครับ”

พวกเราโบกมือลาพี่เดือนที่เดินไปอีกทาง ไม่นานนักอุ้มก็วิ่งเข้ามาหาผม ดันนทีให้ไปเดินอีกข้างแทน

“มึงๆ พี่เดือนเอ็นดูมึงมากเลยนะ น้องรักเหรอ?”

“ก็ไม่เชิง แต่ในชมรมก็สนิทกับเขามากที่สุดแล้ว” ผมยักไหล่ “รุ่นพี่เอ็นดูรุ่นน้อง ไม่เห็นแปลก?”

“เอ่อ...ถ้ามึงว่าอย่างนั้นอะนะ” อุ้มเงียบเสียงลง เหมือนกำลังคิดอะไร ก่อนที่จะเป็นฝ่ายไปเดินกับนทีแล้วกระซิบอะไรกันสองคน หันมาทางผมบ้าง หัวเราะคิกคักบ้าง จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมกับจับมือกัน

มีอะไรกันนะ...?

 

ช่วงเย็นผมเดินไปที่ห้องสมุด พี่เดือนกำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะหน้าห้องประชุม ในมือของเขามีเอกสารจำนวนหนึ่ง ผมสังเกตว่าเขาถอนหายใจไปมา เดี๋ยวก็ลุกขึ้นเดินหน้าห้อง เดี๋ยวก็นั่งลงกับเก้าอี้วนไปอย่างนั้น

“พี่เดือนครับ ไม่เข้าไปล่ะครับ?”

“อะ...กุมภ์ คือว่าพี่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลย...”

“ฮะ?”

“คือว่าวันนี้ครูจะเข้ามาฟังด้วย” พี่เดือนว่า “แล้วหลักๆเลยคือจะพูดถึงเรื่องการจัดการระบบภายในชมรม เพราะรองหัวหน้าของเรามีปัญหามากเกินไป กุมภ์เองก็น่าจะรู้นะว่าครูประจำชมรมกับรองหัวหน้าเป็นแม่ลูกกัน”

“ก็ต้องเข้าข้างกัน”

“อืม พี่เลยกลัวว่าพี่จะเถียงสู้ครูไม่ชนะ พี่อยากให้คนอื่นมาเป็นรองหัวหน้าชมรมแทน”

“อ่า...ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าไปนั่งอยู่กับพี่ข้างๆแล้วกัน เผื่อมีอะไรผมอาจจะช่วยพูดแทนได้” พี่เดือนทำหน้าโล่งใจที่ผมอาสาช่วย เขาพยักหน้าให้ผมแล้วก็เปิดประตูเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนอยู่กันครบแล้ว นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พี่เดือนดูมาสาย แต่เมื่อนับตามเวลาล่ะก็พี่เดือนตรงต่อเวลามาก

พี่เดือนเดินไปนั่งที่เก้าอี้หนึ่ง ผมนั่งลงข้างๆเขา หัวโต๊ะเป็นครูประจำชมรมของเรา ส่วนตรงกันข้ามกับพี่เดือนเป็นรองหัวหน้าชมรม

สมาชิกคนอื่นๆก็พากันมองหน้า เหมือนรู้ดีว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ

“เอาล่ะ ครูได้ยินมาว่าพวกเธอมีปัญหากันภายใน และจากที่ฟังจากสหอนันต์มา พีรดลเป็นคนที่มีปัญหาด้วยใช่มั๊ย?”

“ครูครับ ผมขออธิบายก่อน เนื่องด้วยจากการที่สหอนันต์ไม่ได้ให้ความสนใจกับชมรมมากนั--”

“เพราะเธออยากได้หน้าเลยใส่ความเขาว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือ เธอรู้รึเปล่าพีรดล ว่าสหอนันต์เขาพยายามมากแค่ไหนในการประคองชมรมแทนเธอตอนที่เธอไม่อยู่ ฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆว่าจะจับปลาสองมือทำไม งานชมรมก็จะทำ งานสภานักเรียนก็จะทำ” ครูพูดขัดพี่เดือน เขาชะงัก สมาชิกคนอื่นๆก็เริ่มกระซิบกันแล้ว ผมยังคงนิ่งฟังสิ่งที่ครูพูด “ฉันเข้าใจว่าเธออยากจะมีหน้ามีตา แต่ถ้ามันเป็นการทำให้คนอื่นดูไม่ดี ฉันเองก็ไม่สนับสนุนเธอนะ”

“...”

“พีรดล สิ่งที่เธอทำในตอนนี้คือการเรียกร้องความสนใจ เธอไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากนักเพราะเธอเป็นแบบนี้ ไม่มีใครอยากอยู่กับเธอเพราะเธอเป็นแบบนี้หรอก”

“...”

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วครูจะให้สหอนันต์ได้รับโอกาสในการเป็นหัวหน้าชมรมแทนพีร--”

“เดี๋ยวก่อนครับครู”


ทั้งห้องหันมาทางผมที่ยกมือขึ้น ผมหยิบกระดาษที่ผมเขียนเอาไว้เมื่อครู่ขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ผมเขียนเรียบเรียงประโยคคำพูดของครูคนนี้เอาไว้

“พี่เดือนสมควรได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าชมรมต่อครับ เพราะเขามีความรับผิดชอบมากกว่ารองหัวหน้า” ผมค้าน “จากที่ผ่านมา พี่เดือนพยายามอยากมากเพื่อที่จะให้ชมรมนี้มีงบประมาณในการเบิกหนังสือเข้า เขาทั้งไปศึกษาหาข้อมูล ไปดูตามร้านหนังสือเพื่อหาหนังสือดีๆเข้ามาในห้องสมุดแห่งนี้เพื่อให้พวกเราได้อ่าน ไหนจะทั้งคอยจัดกิจกรรมต่างๆในห้องสมุดอย่างสม่ำเสมอ คอยแวะเข้ามาดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในส่วนของรองหัวหน้านั้นผมไม่ค่อยเห็นเขาเลย ถึงเข้ามาก็ไม่ได้สนใจงานชมรมเท่าที่ควร

“ที่สำคัญคือครูครับ ครูจะเอาเรื่องรองหัวหน้าเป็นลูกครู ไม่มีวันผิดมาอ้างไม่ได้เด็ดขาด ครูเคยพูดเอาไว้ว่างานคืองาน เล่นคือเล่น เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว ผมไม่ได้มีเจตนาจะก้าวร้าวใส่ครู แต่ผมกำลังบอกว่าครูไม่ได้ปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างตามที่ครูเคยสอนพวกเราเลยสักนิด ครูกำลังเอาเรื่องส่วนตัวกับเรื่องโรงเรียนมาปนกัน พวกเราสมาชิกในชมรมต่างก็เคยเห็นพฤติกรรมของรองหัวหน้ากันทั้งนั้น

“พี่เดือนเตือนหลายรอบแล้ว แต่เขาไม่ฟัง ดังนั้นเขาจึงไม่รั้งเอาไว้ จนกระทั่งมันกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะรองหัวหน้าเอาไปพูดเองทุกอย่าง คุณรองหัวหน้าเองก็น่าจะรู้ดีนะครับว่าเพราะความไม่พอใจส่วนตัวของคุณเลยทำให้เรื่องมันบานปลายไปถึงขนาดนี้ คุณไม่พอใจที่พี่เดือนเป็นหน้าเป็นตา คุณอิจฉาเขา คุณอยากเป็นแบบเขาจึงเข้ามามีส่วนรวมกับชมรมนี้ แต่ทว่าคุณกลับไม่ทำอะไรเลย การที่พี่เดือนจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นเขาไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆแบบคุณนะครับ”

“อู้ว...” เสียงของคนในชมรมที่เป็นผู้ชายดังขึ้นเบาๆ รองหัวหน้าชมรมหน้าเสียไป ก่อนที่จะสะกิดให้แม่ตัวเองที่เป็นครูประชมชมรมถามขึ้นมาอีกครั้ง

“เธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพีรดลเขาไปดูหนังสือ ทำหน้าที่ทุกอย่างตามที่เธอว่ามา?”

“เพราะผมอยู่กับเขาตลอดเวลาครับ”

“กุมภ์...” พี่เดือนหันมาทางผม “อย่าเล--”

“พี่เดือนเป็นคนที่จริงจังกับทุกอย่างเพราะเขาอยากให้มันออกมาดีที่สุด เขาไม่ได้จับปลาสองมือ เขาแบ่งเวลาถูกว่าตรงไหนควรเป็นเวลาอะไร ทุกวันเสาร์ผมกับเขาจะไปที่ห้างเพื่อแวะดูหนังสือแนะนำเสมอ เขามักจะอ่านหนังสือพวกนั้นก่อนเพื่อที่จะได้ตัดสินใจในการนำเข้ามาที่นี่ เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อทั้งตัวเองและคนอื่น เขาไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองคนเดียวเหมือนรองหัวหน้า” ผมส่ายหน้า “และผมสามารถยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจได้ว่าพี่เดือนทำทุกอย่างตามที่ว่ามาจริงทุกประการครับ”

“...”

“ถ้าพี่เดือนไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยทางนี้เต็มที่ ป่านนี้ชมรมบรรณารักษ์ของเราจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็ไม่รู้ หลังจากที่พี่เดือนเข้ามาควบคุมอย่างเต็มที่ จำนวนหนังสือที่หายหรือชำรุดก็น้อยลง เขาสามารถควบคุมและตามหนังสือทั้งหมดได้ในระยะเวลาสั้นๆ ผมมีตารางเทียบจำนวนหนังสือที่หายไปอยู่นะครับ ถ้าครูจะดูผมจะได้เอาออกมาให้”

“พอ พอแล้ว” ครูยกมือขึ้น “เธอนี่มัน...เฮ้อ เอาเป็นว่าครูจะปล่อยเธอไปก่อนก็ได้”

ผมว่าครูตัดรำคาญผมนะ “ขอบคุณครับ”

“แล้วก็สหอนันต์ ครูจะให้เธอไปเข้าชมรมอื่นแทน เธอมีอะไรจะขัดรึเปล่า?”

“ไม่ครับ”

“ที่เอาไปชมรมอื่นแทนเนี่ยเพราะไม่อยากยุ่งกับชมรมนี้แล้วแน่ๆ” เสียงของผู้หญิงที่นั่งข้างผมคุยกระซิบกับอีกคนดังขึ้น ผมไม่ได้พูดอะไร ทั้งครูและรองหัวหน้าชมรมก็เดินออกจากไปแล้ว บรรยากาศกดดันจึงกลับมาเป็นคึกคักอีกครั้ง “แต่ไปได้ก็ดี เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

“น้องแม่งเจ๋งว่ะ โคตรฮีโร่ ถ้าเกิดว่าไม่ได้น้องนะ ชมรมนี้ถึงคราวโลกาพินาศแน่ๆ”

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ แค่พูดเพื่อช่วยพี่เดือนเฉยๆ” ผมมองพี่เดือน เขายิ้มให้

“การที่สหอนันต์ออกจากชมรมไปแล้ว นั่นแปลว่าชมรมนี้ไม่มีรองหัวหน้าชมรม” พี่เดือนหยิบกระดาษขึ้นมา “เราจะพูดเรื่องนี้กันทีหลัง ผมขอประชุมเรื่องอื่นก่อน”

จากนั้นการประชุมภายในครั้งใหม่ก็เกิดขึ้น ทุกคนรับฟังพี่เดือนอย่างเต็มที่หลังจากที่ได้ยินจากปากผมว่าพี่เดือนเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับชมรมนี้มากที่สุด อาจจะเกิดความมั่นใจในตัวเขามากขึ้นก็ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะพี่เดือนเองก็เหมือนจะอารมณ์ดีด้วยซ้ำ

“มีใครจะเสนออะไรอีกมั๊ยครับ?”

“พี่เดือนครับ ถ้าเราจัดกิจกรรมของห้องสมุดจากทุกเดือนเป็นทุกสองสัปดาห์จะได้มั๊ยครับ?” พี่ผู้ชายพูดขึ้น “เพราะผมเห็นว่าของรางวัลที่ใช้สำหรับจัดกิจกรรมปีที่แล้วนั้นมันเหลือเกินมาในส่วนของปีนี้ด้วย ถ้าไม่ระบายออกไปมันจะเพิ่มมากขึ้นแล้วเปล่าประโยชน์แทน”

“นั่นสินะ...กุมภ์มีความคิดยังไงบ้างล่ะ?”

“เอ๊ะ? ผมเหรอ?” ผมชี้ตัวเอง เขาพยักหน้า “ผมว่าก็ดีนะ แต่กิจกรรมที่จะจัดต้องสลับหมุนเวียนกันไปไม่ซ้ำกัน ไม่งั้นจะกลายเป็นน่าเบื่อและทำให้คนไม่อยากเข้าร่วม ถ้าจะเอาอย่างนั้นเราต้องมาประชุมกันอีกรอบ”

ทุกคนเห็นด้วยกับผม “ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าประเด็นสุดท้ายกันเลยดีกว่านะครับ นั่นคือการหารองหัวหน้าชมรมคนใหม่

“จากที่ผ่านมา สำหรับผมได้เห็นประสิทธิภาพการทำงาน การตัดสินใจ การมีส่วนรวมของทุกคน ผมจะเอาเกณฑ์ของผมมาวัด อาจจะทำให้หลายคนไม่พอใจแน่นอน”

“อ๋า...ถ้าเป็นพี่เดือนเลือกเองนี่ต้องเป็นคนที่พี่ไว้ใจที่สุดแล้วมั้งคะ” พี่สมาชิกหัวเราะ “แล้วก็จากที่ฟังมาทั้งหมด...รู้แล้วล่ะค่ะว่าพี่จะเลือกใคร แหมน้องใหม่ไฟแรงแบบนี้เป็นพี่ก็อิจฉานะคะ สนิทกันขนาดนั้น”

“อะ...” อย่าบอกนะว่า...

“ใช่ๆ ยังไงพวกเราก็เห็นเหมือนกันหมดเลยนี่เนอะ”

เฮ้ยๆ

“ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ยังไงพี่เดือนก็ต้องเลือกคนที่สนิทใจและวางใจได้นั่นแหละ”

พี่เดือน..

ผมหันหน้าไปทางพี่เดือน เขาลบชื่อสหอนันต์ออกจากบอร์ดที่มีคำว่า ‘รองหัวหน้าชมรม’ แล้วเขียนชื่ออื่นลงไปแทน

“ตามนี้นะทุกคน เราได้รองหัวหน้าใหม่แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าเขาจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด”

เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด

รองหัวหน้าชมรม – กุมภา

ทำไมหวยต้องมาลงที่ผมด้วยวะ!


[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/04/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 01-05-2019 13:34:22
“สรุปว่าพี่เดือนเลือกมึงเป็นรองหัวหน้าชมรม? แม่งโคตรซิทคอม กร๊ากกก” อุ้มหัวเราะกลางโรงอาหาร ผมกำลังนั่งกุมขมับระบายสิ่งที่อยากจะบ่นให้เพื่อนทั้งสามคนฟัง “แต่ก็ดีนะเว้ย เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าพี่เดือนไว้ใจมึงอะ”

“คือไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ...แต่พอเข้ามาจับงานอย่างนี้จริงๆจังๆแล้วก็กลัวว่ะว่าจะทำไม่ไหว...” ผมถอนหายใจรดจานข้าวว่างเปล่าตัวเอง “เป็นมึง มึงทำไงวะนที?”

“กูจะปฏิเสธทุกวิถีทาง เพราะกูมั่นใจว่ากูทำไม่ไหวแน่ๆ” นทีดูดนมสตรอเบอร์รี่ในกล่อง

“งั้นเหรอ...แต่ถ้าพี่เดือนเลือกแล้วก็ต้องทำสินะ สู้เว้ย!” ผมตบหน้าตัวเองเบาๆแล้วพูดขึ้นมา “...ฮือออ”

“ใจเย็นนะแม่ แม่ทำได้ เชื่อสิ” อุ้มบีบไหล่ให้ผม น่าแปลกที่มาเรียกผมว่าแม่ทั้งๆที่ผมเป็นผู้ชาย หรือว่าผมขี้บ่นเหมือนผู้หญิง?

“วันนี้ก็ต้องเข้าชมรมใช่ปะ? รับงานรองหัวหน้าวันแรก”

“อืม”

“ถ้างั้นเดี๋ยวจะไปนั่งดูงานเป็นเพื่อนนะครับ”

“ไม่ต้องเลย! หยุด!” ผมห้ามเพื่อนๆทั้งสามไว้ นทีไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นอุ้มกับดิน...ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะไปส่งเสียงดังมากแค่ไหน “ถ้าไปต้องห้ามเสียงดัง ไม่งั้นไล่ออกไม่ให้เข้าตลอดชีวิต!”

“ยังไม่ทันได้ทำหน้าที่จริงๆจังๆเลยก็ดุแล้ว ไฟแรงสัดๆ” ดินมองผม “ครับ รับทราบแล้วครับ จะไม่เสียดังครับ”

 

“ผมมาแล้วครับพี่เดือน”

“มาพอดีเลย มาดูนี่สิ”

ผมเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับวางกระเป๋าบนโต๊ะตัวใหม่ที่ผมต้องย้ายมานั่ง มันเป็นโต๊ะของรองหัวหน้าชมรมเก่าที่ตอนนี้โดนผมเทคโอเวอร์มาแล้ว “แผนงานกิจกรรม? ที่ว่าเราจะจัดทุกสองสัปดาห์ใช่มั๊ยครับ?”

“อืม มาช่วยดูกันหน่อยว่าเราจะใช้วันไหน แล้วมีกิจกรรมอะไรบ้าง”

“เรื่องกิจกรรมนี่ผมอาจจะไปขอความคิดจากเพื่อนผมดูนะครับว่าอยากได้อะไร ส่วนเลือกวันนี่เราต้องดูจากสถิติจำนวนคนเข้าใช้ในแต่ละวัน...” ผมเดินไปที่บอร์ดมุมห้องที่เขียนเอาไว้ว่าวันไหนคนใช้มากเท่าไหร่ “คนจะชอบเข้ามาวันจันทร์กับวันศุกร์มากที่สุด ถ้าเราเลือกเป็นวันศุกร์ก็ดีนะครับ กิจกรรมง่ายๆสบายๆผ่อนคลายหลังจากเรียนมาทั้งสัปดาห์”

“ก็ดีนะ” พี่เดือนพลิกเอกสารไปมา ก่อนที่เขาจะวางลง “กุมภ์ไม่กดดันเหรอที่พี่เลือกให้กุมภ์มาทำหน้าที่รองหัวหน้า?”

“กดดันน่ะ กดดันแน่นอนครับ แต่ผมจะไม่ให้ความกดดันนั้นมาทำลายหน้าที่ที่ผมต้องทำหรอก ต่อให้ครูคุมชมรมมองว่าพี่เดือนหาเรื่องเขี่ยรองหัวหน้าเก่าออกไปเพื่อเอาผมที่สนิทกว่าเข้ามาแทน เพราะคนทั้งห้องที่ประชุมเมื่อวานก็เห็นพ้องกันหมด”

“นั่นสินะ แล้วก็ขอบคุณด้วยนะ...ที่เมื่อวานช่วยพี่เอาไว้”

“เรื่องแค่นั้นเองครับ ผมไม่ใช่คนที่สามารถมองดูอีกฝ่ายโดนดูถูกแล้วโต้กลับไม่ได้ พี่เดือนเองก็มีเหตุผลของพี่ พี่อยากพูด แต่พี่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ดังนั้นแล้วผมก็จะพูดแทนพี่”

“พี่เองก็ขี้ขลาดนะที่ไม่กล้าแย้งไปเลย ไม่กล้าหักหน้าครูแบบกุมภ์ไปเลย” พี่เดือนโน้มตัวลงนอนราบกับโต๊ะ เขาเอียงใบหน้าไปทางประตูทางเข้า “พี่อยากเป็นแบบกุมภ์จริงๆ กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะสื่อให้เต็มที่”

“มันไม่ยากหรอกครับ แต่พี่เดือนไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อนตังหากเลยทำให้ไม่กล้า แต่ถ้าพี่เดือนได้ทำสักครั้งเชื่อผมเถอะว่าพี่จะติดใจ” ผมพูดติดตลก เขาหัวเราะ แล้วพวกเราก็ชวนกันไปจัดหนังสือที่วางเอาไว้ตรงรถเข็นหนังสือเข้าชั้นเหมือนเดิม

พวกเราไล่อ่านรหัสหนังสือไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงเล่มสุดท้าย ผมไม่เห็นรหัสติดเอาไว้เลยยื่นให้พี่เดือนดู

“อ่า...บางทีก็มีหนังสือธรรมดาปนมาด้วยเพราะคนที่เก็บเอาลงรถเข็นไม่ได้ดูให้ดีก่อน” พี่เดือนว่า “พวกเราจะเอาไปไว้ที่เคาน์เตอร์สองวันก่อนที่จะเอาไปฝากประชาสัมพันธ์”

“ผมเคยเห็นบางคนก็ถือกลับไปเลยทั้งที่ไม่ใช่ของตัวเอง”

“มันก็แล้วแต่จิตสำนึกของคนน่ะนะ แต่เป็นพี่เอาไปพี่ก็ไม่สบายใจ กุมภ์ด้วยใช่มั๊ย” ผมพยักหน้า “ดีแล้วล่ะ”

“จะว่าไปนี่ก็เริ่มสายแล้วนะครับถ้าพี่จะเข้าเรียน พี่ไม่ไปเหรอ?”

“พี่ขี้เกียจน่ะวันนี้ โดดดีกว่า” ผมหัวเราะ เขาสลับหนังสือเรียงตามสันสีเพื่อความสวยงาม “เหมือนที่กุมภ์ว่า ก่อนหน้านี้พี่ไม่เคยโดดเรียน แต่พอได้โดดครั้งหนึ่งแล้วก็อยากโดดอีก มันติดใจ”

“แล้วพี่รู้สึกเสียใจมั๊ยครับที่ทำแบบนี้?”

“ไม่สักนิด พี่ได้เวลาส่วนตัวกลับมาแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม แต่มันก็มีค่านี่นา” พี่เดือนหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา “อย่างวันนี้พี่ก็แอบจองตัวหนังเอาไว้ด้วย พ่อแม่ไม่อยู่บ้านทางสบาย”

“เด็กเกเรนี่นา” ผมเบิกตากว้างแล้วตีเข้าไปที่ต้นแขนเขาเบาๆ “ทำตัวไม่ดีแบบนี้ระวังจะมีข่าวเด็กเรียนหนีเที่ยวนะครับ”

“ไม่มีข่าวแน่นอนครับ เพราะโรงหนังที่ไปวันนี้รับรองว่าไม่มีเด็กจากโรงเรียนเราไปเห็นแน่นอน”

พวกเรายืนหัวเราะคิกคักกันไปอีกสักพักจนผมรู้สึกแปลกๆ มันเหมือนว่าพวกเรา...

“อะแฮ่ม”

“...”

“จะจีบกันอีกนานมั๊ยครับคุณหัวหน้าชมรม น้องรองหัวหน้าชมรม?”

“เอ่อ...” ทั้งผมและพี่เดือนแยกทางกันไปทำหน้าที่ตัวเองเมื่อมีสมาชิกชมรมอีกคนเข้ามาพอดี เขาไม่ได้ว่าอะไรก็แค่หัวเราะให้เท่านั้น

“คุณหัวหน้าชมรมหูแดงไปหมดแล้วนะครับ ฮิฮิ”

“อยากเข้าชมรมตลอดทั้งสัปดาห์หน้าก็ไม่บอก ผมจะได้จัดการตารางให้ใหม่--”

“ขอโทษครับพี่เดือน!”

 

หลังจากนั้นก็ผ่านมาหนึ่งเดือน ผมทำหน้าที่ตัวเองได้ดีไม่มีบกพร่องอะไร พี่เดือนเองก็เริ่มโยนงานให้ผมตามความเหมาะสมมากขึ้น ผมเองก็ต้องหัดบริหารเวลาให้มากขึ้น

นี่ก็ใกล้จะสอบกลางภาคแล้วด้วย ดังนั้นผมกับพี่เดือนจึงใช้เวลาที่เข้าชมรมด้วยกันนิดหน่อยมานั่งติวกัน

ความจริงคือพี่เดือนติวให้ผมและเพื่อนด้วยตังหาก ไม่อย่างนั้นมันจะได้เปรียบเกินไป

“เข้าใจตามที่พี่บอกนะ?”

“พี่เดือนอธิบายเข้าใจง่ายกว่าครูสอนอีกอะ...” อุ้มมองพี่เดือนอย่างชื่นชม เหมือนพระเจ้ามาโปรดยังไงยังงั้น ตอนนี้พี่เดือนก็สนิทใจกับเพื่อนใหม่ผมทั้งสองคนมากพอที่จะพูดแทนตัวเองว่าพี่ด้วยแล้วนะ ดังนั้นผมจึงสบายใจที่เขามีคนที่สามารถพูดคุยเรื่องทั่วไปได้อย่างสบายใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย “พี่กินอะไรเข้าไปเนี่ย จำได้หมดเลยแม้กระทั่งพื้นฐานของม.4”

“พี่ก็ต้องทบทวนบ่อยๆเหมือนกันนะ เห็นอย่างนี้พี่เองก็มีลืมเหมือนกัน”

“จะว่าไปพี่เดือนทำได้ทุกวิชาอย่างนี้ พี่เดือนมีวิชาไหนที่รู้สึกว่าตัวเองถนัดเป็นพิเศษมั๊ยครับ?” นทีเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือภาษาอังกฤษของห้องสมุด เขาจดลงสมุดบันทึกข้างๆด้วยความเร็วแสงและลายมือสวยจนน่าเหลือเชื่อ “คนเรามันต้องมีทั้งสิ่งที่ถนัดกับไม่ถนัด พี่เดือนเคยบอกว่าพี่ไม่ค่อยเข้าขากับวิชาคหกรรมเท่าไหร่”

“นั่นสินะ...คงจะเป็นพวกดาราศาสตร์ล่ะมั้ง ถึงจะไมใช่วิชาที่มีสนโดยตรงแต่พี่ชอบนะที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับดาวดวงนั้นๆ” พี่เดือนเปิดสมุดบันทึกตัวเองมาจนถึงหน้าที่จดวิชาดาราศาสตร์ “ครั้งแรกที่ไปท้องฟ้าจำลองพี่ยังจำมันได้ดีเลยล่ะ พี่อยากจะไปกางเต้นท์นอนดูดาวบนดอยสักครั้งในชีวิต แต่เอาไว้ว่างๆไม่ก็เรียนจบก่อนแล้วค่อยไปดีกว่า”

“ปิดเทอมใหญ่นี้ระหว่างที่พี่รอสอบเข้ามหาลัยพี่เดือนก็ลองไปสิครับ ไปคนเดียวเท่ๆเลย” ดินมองโน้ตของพี่เดือน “ผมเองก็เคยไปดอยกับพ่อแม่ตอนเรียนประถม ตอนนั้นผมโวยวายบ่นว่าเหนื่อยๆ ขี้เกียจขึ้น แต่พอขึ้นไปถึงนะ ผมงอแงไม่อยากกลับ”

“กูเคยไปแต่ทะเลอะ ตอนนั้นโดนปูหนีบที่เท้า”

“กูไปบึงฉวากมา อควอเรียมโคตรใหญ่--”

ผมหันไปมองพี่เดือนที่ตอนนี้กำลังนั่งดูเพื่อนสามคนของผมพูดถึงสถานที่ที่เคยไปเที่ยว ท่าทางแบบนั้นพี่เดือนคงจะไม่เคยเที่ยวเลยสินะ

“พี่เดือน”

“หืม?”

“พี่เดือนอยากไปเที่ยวมั๊ย?”

“?”

“เอาไว้สอบกลางภาคเสร็จ พี่ไปไร่ลูกหม่อนกับผมมั๊ยครับ? อยู่ในอุบลฯนี่แหละ ไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก แต่พี่จะได้ไปเก็บลูกหม่อน...เอ่อ...มัลเบอร์รี่สดๆจากต้นด้วยล่ะ พี่อาจจะไปเห็นตอนที่เขากำลังทำฟาร์มหนอนหม่อนด้วย”

“อ๋อ...ถ้าพูดถึงไร่ลูกหม่อนนั่น...พี่ยังไม่เคยไป” พี่เดือนยกมือขึ้นมาไว้ใต้คาตัวเอง ลูบไปมา “...พี่เองก็อยากไปมานานแล้ว”

“เอาเป็นว่าตกลงกันนะครับ ห้ามผิดสัญญา ไม่งั้นผมไม่ทำหน้าที่รองหัวหน้าชมรมต่อแน่”

“ฮึฮึ ครับผม ทราบแล้วครับ”

“ทราบอะไรเหรอพี่เดือน?” ดินมองพวกเรา “แล้วตกลงอะไรกันอะ? งุบงิบสองคนนั่นน่าสงสัยน่า...”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า กลับไปอ่านหนังสือกันได้แล้ว” ผมไล่เพื่อนกับตัวเองเดียวให้มาสนใจหนังสือต่อ พี่เดือนเองก็อ่านหนังสือตัวเองไปเงียบๆ ถ้ามีตรงไหนสงสัยก็ค่อยหันไปถามเขาเอา พี่เดือนก็พร้อมที่จะตอบทุกอย่าง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็ไม่มีทางจะมานั่งติวให้อย่างนี้แน่ๆ

อย่างว่าน่ะนะ เขาโดดเรียนพิเศษอีกแล้วเพื่อมาติวพวกเรา

ผมก็ไม่อยากให้เขาโดดบ่อยๆหรอก แต่ถ้ามันทำให้พี่เดือนสบายใจกว่าผมก็ห้ามอะไรเขาไม่อยู่

เมื่อถึงเวลากลับบ้าน วันนี้พี่เดือนจอดรถไว้หลังโรงเรียน เขาบอกว่าจะไปส่งผม ผมก็ขัดอะไรเขาไม่ได้ในเมื่อเขาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองพอสมควรด้วย จนเราเดินผ่านร้านขายหวานเย็นเล็กที่ตั้งอยู่กับร้านขายน้ำ ผมเลยซื้อมากินเพราะอากาศมันค่อนข้างจะร้อนไปหน่อย กว่าจะเดินถึงที่จอดรถคงเป็นลมก่อนพอดี

“เอามั๊ยครับพี่เดือน?”

“หวานเย็น?”

“ครับ เย็นจัดเลย พี่จะเอาสีไหน?” ผมยื่นถุงให้เขาดู “มีแดง เขียว ส้ม กับโค้ก ตามสบายเลยครับ”

“งั้นพี่เอาแดงแล้วกัน...” พี่เดือนหยิบหวานเย็นน้ำแดงออกมาจากถุง กัดตรงส่วนปลายแล้วก็เดินกินไปเรื่อยๆ “อย่างนี้ค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย”

“ใช่มั๊ยครับ? วันหลังพี่เดือนก็หาที่จอดรถที่ดีกว่านี้หน่อยเถอะ มันทั้งไกลแล้วก็อันตรายด้วย เห็นเขาพูดกันว่าแก๊งอันธพาลโรงเรียนเราชอบมาสิงที่นี่”

“นั่นสิ ป๋าโต้งจะเคยมาดูแล้วแต่ก็ไม่เห็นสักที พวกนั้นอาจจะรู้เวลาที่ป๋าโต้งอยู่ก็ได้” พี่เดือนมองซ้ายขวาก่อนที่จะเปิดประตูรถตัวเอง เสียบไม้ที่เหลือจากการกินหวานเย็นลงถุงของผม “ตรงสวนพฤกษศาสตร์ก็ต้องระวัง ตรงนั้นไม่ค่อยมีครูแต่ก็มีวิชาที่นักเรียนต้องไปเรียน”

“พี่เดือนถ้าให้ไปเป็นประธานนักเรียนล่ะก็คงวุ่นวายน่าดูเลยนะครับ”

“นั่นสิ ปัญหาไม่รู้จบขนาดนี้ อย่าลืมคาดเบลล์ด้วยล่ะ” พี่เดือนเตือนผม เขาขยับตัวเข้ามาคาดให้ทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้ผมฟังจบประโยค

มุมเอาใจใส่ของพี่เดือน...ถ้าเกิดว่าเขามีแฟน แฟนรักแฟนหลงตายเลยแบบนี้

“ขอบคุณครับ ไปกันดีกว่า--อะ”

ผมกับพี่เดือนสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามาตรงลานจอดรถพร้อมกับไม้หน้าสาม แล้วก็มีกลุ่มนักเรียนเล็กๆสองสามคนกำลังถูกลากเข้ามาในนี้ รึว่านี่คือแก๊งอันธพาลที่ว่ากัน ดูจากอีกกลุ่มที่เล็กกว่ามากนั้นอาจจะเป็นคนที่โดนหาเรื่องด้วย

“พี่เดือนครับ...”

“พี่โทรฯหาป๋าโต้งแล้ว” เขาพยักหน้า ผมกับพี่เดือนไม่ได้ออกรถ เราเฝ้าดูสถานการณ์จากภายใน พวกเรารู้ดีว่าสู้แรงกลุ่มนั้นไม่ไหว “ครับป๋า หลังโรงเรียนครับ ครับ”

“เฮ้ย! รถคันนั้นเหมือนเห็นมีเงาคนอยู่ว่ะ!”

“ฉิบหาย” ผมอุทานออกมา “พี่เดือนครับ..”

“ไม่ต้องกลัวนะ” พี่เดือนเลื่อนมือเข้ามา กุมมือของผมเอาไว้เพื่อปลอบใจทั้งที่เสียงของตัวเองก็สั่นพอๆกัน “พี่อยู่ตรงนี้”

“ไปดูหน่อยดิวะ”

“เออๆ แม่งถ้าเป็นรถครูล่ะก็ซวยแน่”

ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับไม้หน้าสาม ยิ่งระยะใกล้ขึ้นเรื่อยๆผมก็ยิ่งกลัวจนบีบมือพี่เดือนแน่นเช้าไปอีก ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เจอนักเลงตัวจริง

“กุมภ์...” พี่เดือนขยับตัวเองเข้ามาใกล้ผมอีก แม้ว่าจะมีแผงคันเกียร์รถกั้นตรงกลาง แต่เขาก็กอดผมเอาไว้พร้อมกับเอาใบหน้าของผมซุกเข้าตรงหน้าอกของเขา “เขาเข้ามาทางพี่ ถ้าเกิดว่าฝ่ายนั้นทุบกระจกเข้ามา กุมภ์จะได้ไม่ต้องโดนไปด้วย”

“...”

ตึกตัก

กลิ่นน้ำหอมทะเลจางๆลอยออกมาทำให้ผมรู้สึกสงบใจ พอพี่เดือนเป็นฝ่ายปกป้องผมบ้างผมก็รู้สึกดี มันจะเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ผมพูดปกป้องพี่เดือนรึเปล่ากันนะ

ไอ้ความรู้สึกที่หัวใจมันพองโตแบบนี้น่ะ..

“เฮ้ย! กูรู้นะว่ามีคนในนั้น! ออกมาแล้วมึงจะไม่เจ็บตัว!”

พี่เดือนเงียบ เขาดันให้ผมซุกตัวเข้าหาหน้าอกกว่าเก่า

“มึง!”

“จะทำอะไรนั่นน่ะ!”

“เชี่ย! ป๋าโต้งมา! หนีเร็ว!”

“จะหนีไปไหน! ป๋ามีสมุนนะโว้ย! กักตัวเอาไว้ให้ได้! แล้วจะเรียกผู้ปกครองมาให้ดูหน้าลูกตัวเองด้วย!”

“หนีดิโว้ย!”


“ขอบคุณครับป๋า”

“ไม่เป็นไรนะ แล้วคนที่โทรฯไปบอกมันอยู่ไหนล่ะเนี่ย...” เสียงของป๋าโต้งดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถพวกเราเท่าไหร่นัก “สงสัยจะอยู่ในรถ ดีแล้วล่ะที่ไม่ออกมา ไม่งั้นจะพากันเจ็บตัวมากกว่านี้”

พี่เดือนค่อยๆคลายกอดของเขา พวกเรานั่งนิ่งกันทั้งคู่ เมื่อกี๊มันยังมีบรรยากาศความกลัวอยู่เลย แต่ตอนนี้มันกลับ...

แปลก

บรรยากาศแปลกๆที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกำลังลอยฟุ้งอยู่ภายในรถคันนี้ ผมเหลือบมองพี่เดือนที่ตอนนี้ใบหน้าขึ้นวีแดงระเรื่อย พอเห็นว่าเขาหน้าแดงผมเองก็รู้สึกร้อนๆที่ใบหน้าเหมือนกัน

นี่...ผมเขินผู้ชายด้วยกันเอง?

“คือ...” พี่เดือนพูดก่อน “พี่...”

พวกเราเงียบต่อ จนได้ยินเสียงเคาะหน้าตาที่ข้างกระจกของผม ผมจึงได้สติแล้วก็เปิดหน้าต่างเพื่อพูดคุยกับป๋าโต้ง

“อ้าว พีรดลเองเหรอที่โทรฯไป? ขอบใจนะที่บอกป๋า ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยก็มาบอกป๋าได้ตลอด”

“ครับ”

“แล้วเธอ...”

“ผมเป็นรุ่นน้องในชมรมพี่เดือนครับ พอดีว่าเขากำลังจะไปส่งที่บ้าน”

“อ้อ” ป๋าโต้งร้อง “ป๋าก็นึกว่าเป็นแฟนกันแล้วกำลังกระหนุงกระหนิงบนรถ”

“ป๋าโต้งครับ!” พี่เดือนร้องขึ้นมาจนทั้งผมและป๋าโต้งสะดุ้ง จากนั้นป๋าโต้งก็หัวเราะเสียงดังลั่น “ไม่ตลกนะครับป๋า น้องเสียหาย พสกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“ป๋าก็แค่แซวเล่นเฉยๆ เอ้อ เอาเป็นว่ากลับบ้านกันดีๆล่ะ เดี๋ยวป๋าจะลากพวกนั้นเข้าห้องปกครองก่อน”

ทั้งผมและพี่เดือนยกมือไหว้ป๋าโต้งพร้อมกับปิดกระจกขึ้นเหมือนเดิม แล้วบรรยากาศแปลกๆมันก็ฟุ้งอีกรอบ

แฟนกัน...อย่างนั้นเหรอ?

“...ถ้าอย่างนั้นกลับกันเลยนะ...”

“ครับ...”

แย่แล้ว..

นี่มันแย่สุดๆ...

ทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนี้กันล่ะ! พี่เดือนเป็นผู้ชายนะ! มีอะไรๆเหมือนกัน (ยกเว้นความสูง) ทำไมผมถึงรู้สึกใจเต้นอย่างนี้ อีกอย่างคือถ้าพี่เดือนรู้ว่าผมเขินที่เขากอดผมอย่างนั้นล่ะก็...คงโดนล้อยันลูกหลานแน่ๆ

ตั้งสติไว้กุมภ์ มึงต้องตั้งสติ พี่เดือนเป็นผู้ชายเหมือนกัน เป็นผู้ชายเหมือนกัน เป็นผู้ชายเหมือนกัน...

‘กูชอบอ่านนิยายวาย ชายชาย หญิงหญิงรักกันเอง เพราะว่ามันทำให้กูรู้ว่าความรักน่ะมันไม่มีขีดจำกัดของเพศหรอก

‘แล้วก็กูชอบฉากที่ตัวเองคนใดคนหนึ่งใจเต้นแรงให้อีกฝ่ายนะ อารมณ์แบบ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้นเดี๋ยวก็ตกหลุมรักแล้วอะไรอย่างนี้ ลุ้นตามดีว่าจะแห้วหรือจะรุ่ง’


“อ๊ากกกกก!”

“เป็นอะไรเหรอกุมภ์?!”

ผมโวยวายปิดหน้าปิดตาตัวเองแล้วร้องออกมาเมื่อนึกถึงคำที่อุ้มเคยพูดให้ผมฟังเมื่อหลายวันก่อน พี่เดือนคงตกใจที่จู่ๆผมก็ร้องเลยถามใหญ่ว่าผมเจ็บอะไรตรงไหนรึเปล่า แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธไป “...ถ้าเป็นเพราะเมื่อกี๊...พี่เองก็...เอ่อ...”

“พี่เดือน...”

“คือว่า...” พี่เดือนหูแดง “ช่างมันเถอะนะ ใครๆก็เขินได้นี่นา พี่เองก็ไม่เคยกอดใครแบบนั้นมาก่อน ถ้าให้กุมภ์เองก็เหมือนกันใช่มั๊ย?”

“ครับ...นั่นสินะ เพราะต่างคนต่างไม่เคยกอดแบบนี้มาก่อนเลยรู้สึก...เขิน...ฮ่าฮ่า...” เป็นหัวเราะที่แห้งมาก แห้งกว่านี้ก็คงทะเลทรายแล้ว ผมรู้ดีว่าสิ่งที่พี่เดือนพูดออกมามันคนละความหมายกับที่เขาต้องการจะสื่อ และผมเองก็รู้เหมือนกันว่าพี่เดือนนั้นก็เขินไม่ต่างจากผมเลย

ไอ้กอดแบบปกป้องอย่างนั้น..มีแต่คนที่รักกันเขาทำไม่ใช่รึไง

แล้วในคืนนั้นก็มีลมพัดทั้งคืน ราวกับว่าจิตใจของใครคนหนึ่งนั้นกำลังปั่นป่วนกับความรู้สึกที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา


==========


มีคนเขิน ใกล้แล้วแหละ ใกล้จะรู้ตัวแล้วแหละ อิอิ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (01/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-05-2019 22:11:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ  มีกอดมีเขินดัวะ  อิอิ

ป.ล. ชอบคำคมของมีนา  น่าสงสารเด็กที่อยู่ในสภาวะเดียวกับพี่เดือนนะ  เฮ้อ...พ่อแม่รังแกฉันจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (01/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 04-05-2019 22:20:22
บทที่ 6

 

สวัสดีวันสอบกลางภาค หวังว่าวันนี้ผมจะทำได้ดี

ผมเคี่ยวเข็ญตัวเองนั่งอ่านหนังสือเพื่อที่จะได้มีความรู้ติดตัวเข้าห้องสอบบ้าง ถึงจะมั่นใจว่าไม่ลืมง่ายๆแต่กันไว้ดีกว่าแก้ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่ผมชอบลืมสูตรทำอยู่บ่อยครั้ง และในการสอบครั้งนี้ วิชาคหกรรมก็เป็นภาคปฏิบัติด้วย

ใช่! ภาคปฏิบัติ วิกฤตการโลกแตกของผมมันมาถึงแล้ว!

พี่เดือนเล่าให้ฟังว่าเขาเกือบทำพลาดต่อหน้าคนอื่นในห้อง ส่วนผมนี่ต้องพลาดแน่ๆ เพราะการสอบรอบนี้มันคือการทำอาหารที่ผมไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลย ส่วนนทีน่ะมันทำได้ทุกอย่างตั้งแต่ไข่ดาวธรรมดาๆยันเค้กก้อนใหญ่ มันเลยมีเวลาที่จะมาสอนผมทำ

แต่สุดท้ายมันก็ตบบ่าผมบอกให้ทำใจ

วันสอบวันแรกพี่เดือนมารับผม เพราะเรามีสอบบ่ายทั้งคู่ ช่วงเช้าพี่เดือนจึงใช้เวลาที่มีติวหนังสือให้ผมเป็นการส่วนตัวที่บ้านของผม แน่นอนว่าพ่อแม่แซวใหญ่เรื่องที่พี่เดือนแวะมาประจำจนกลายเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับเขา และพ่อแม่ของผมก็ดูจะชอบพี่เดือนมากๆแล้วนับเขาเป็นลูกคนที่สามด้วยซ้ำ

“ป้าทำน้ำมะนาวมาให้ จะได้สดชื่นกันนะ”

“ขอบคุณครับคุณป้า” พี่เดือนรับน้ำมะนาวมาจากแม่ผม เขาดูดแล้วก็หันมาติวให้ผมต่อ “ถ้าถามมาในลักษณะนี้ ให้ตอบอีกแบบ เพราะถ้าสังเกตดีๆคำลวงมันจะเยอะมาก คนที่อ่านไม่ละเอียดจะทำผิดเยอะ”

“จริงด้วย...แล้วข้อนี้...”

พวกเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนไปถึงสิบเอ็ดโมงแล้วก็ไปโรงเรียนพร้อมกัน พี่เดือนแวะซื้อขนมปังมานั่งกินใต้ตึกสอบ โชคดีด้วยที่เราสอบตึกเดียวกัน แต่นั่นก็หมายความว่า...

“นั่นพี่เดือนกับกุมภ์นี่นา ช่วงนี้สนิทกันมากเลยนี่เนอะ”

“ใช่ๆ ดูสิ มีติวหนังสือให้กันด้วย”

สายตาหลายคนเริ่มมองผมกับพี่เดือนมีความสัมพันธ์ที่มากกว่านั้น ที่สำคัญก็คือพวกเราไม่สามารถเถียงได้ด้วยว่าไม่ใช่

มันเหมือน...มีอะไรมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องอย่างที่เขาว่า

ตั้งแต่วันที่พี่เดือนกอดผม...ผมก็คิดมากมาตลอดว่าความสัมพันธ์ของพวกเรามันอยู่ในระดับไหนกันแน่ บางทีก็เป็นเหมือนรุ่นน้องธรรมดา บางทีก็เหมือนเป็นคนรู้จักในชมรม บางทีก็เหมือน...คนรักกัน แต่ผมไม่ได้ยอมรับความรู้สึกนี้ไม่ได้ ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะดีด้วยซ้ำ เพราะพวกเราต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดบอดตรงไหน มันเติมเต็มพวกเราให้ลงล็อคกันพอดี

“กุมภ์ พี่เรียนจบไปแล้วกุมภ์รับหน้าที่หัวหน้าชมรมบรรณารักษ์แทนพี่ด้วยนะ”

“นี่ตั้งใจจะให้ผมสานต่อแต่แรกแล้วใช่มั๊ยครับ?” ผมหัวเราะพลางตักข้าวที่อยู่ในกล่องที่แม่ทำเอาไว้ให้ขึ้นมากิน “ผมขอทดลองงานในฐานะรองหัวหน้าชมรมไปก่อนแล้วกัน”

“ฮึฮึ” เขายิ้ม กัดขนมปังตัวเอง ไส้สังขยาล้นออกมา “กุมภ์ทำหน้าที่ได้ดีมากเลยนะ ไม่รู้ตัวรึยังไง คนทั้งชมรมก็ชอบกุมภ์มากด้วย”

“อ่า...ผลตอบรับดีแบบนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อย แล้วรองหัวหน้าเก่าเป็นยังไงบ้างครับ เห็นว่าย้ายไปอยู่ชมรมกีฬา”

“ก็...ไม่เข้าชมรมเหมือนเคย ครูทางชมรมนั้นเขาไม่ได้เข้าข้างเหมือนรอบนี้เลยโดนหนัก อาจจะไม่ผ่านกิจกรรมด้วย ถ้าไม่ผ่านกิจกรรมล่ะก็ไม่จบพร้อมรุ่นแน่” พี่เดือนถอนหายใจ “ทำตัวเองแท้ๆนั่นแหละ มีครูช่วยก็คงไม่ได้เพราะครูที่คุมเรื่องกิจกรรมก็โหดมากอีก”

“หวา งั้นผมก็ทำตัวเหลวไหลไม่ได้เลยสินะถ้าพี่ไม่อยู่แล้ว” ผมพูดติดตลก “พี่เดือนตัดสินใจรึยังครับว่าจะเรียนอะไร เห็นว่าบ้านพี่มีโรงแรมกับโรงพยาบาลนี่นา...”

“นั่นสินะ พี่ไม่ได้อยากเรียนทั้งสองอย่างแต่มันจำใจต้องเรียนน่ะ...พี่คงจะลงหมออย่างที่แพลนเอาไว้ตอนแรก” พี่เดือนตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เขาเองก็คงมีทางเลือกไม่มาก โดยเฉพาะเขาที่ยังไม่รู้ว่าชอบอะไรกันแน่ “พี่ชอบงานกราฟิก แต่พี่ก็ทำไม่ไหวเพราะพี่จ้องหน้าตาอะไรพวกนี้นานๆไม่ได้ พี่ชอบหนังสือ แต่ที่บ้านก็คงมองว่าพี่จะเรียนเพื่อไปเขียนหนังสือวิชาการ”

“จะว่าไปผมกำลังรองานใหม่ของคุณ HiddenShadow อยู่นะครับ เมื่อไหร่จะออกเล่มใหม่นะ”

“นั่นสิ บางทีเขาก็คงจะหาจังหวะอารมณ์ดีๆมานั่งเขียนก็ได้” พี่เดือนยิ้ม “เที่ยงแล้ว เราย้ายที่นั่งดีกว่า แดดเริ่มส่อง”

ผมกับพี่เดือนเดินไปนั่งที่ใต้ร่มไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก เขาเปิดอ่านโน้ตของตัวเอง เช่นเดียวกันกับผมที่นั่งอ่านกระดาษที่พี่เดือนจดสิ่งสำคัญเอาไว้ให้ ไม่นานนักก็มีเงาของใครเดินเข้ามา

“ว่าไงแม่ สวัสดีค่ะพี่เดือน” อุ้มยกมือไหว้พี่เดือน พี่เดือนพยักหน้าตอบรับ “มานั่งอ่านหนังสือตรงนี้กันก็ไม่บอก เดินหาซะทั่ว”

“แล้วนทีกับดินอะ?”

“หาของกินอยู่ เดี๋ยวก็มา” อุ้มยักไหล่ “วันนี้มีวิชาคณิต ไม่อยากทำ กามั่วได้แต่ข้อเขียนทำไม่ได้”

“พี่ติวให้เอามั๊ย พอมีเวลาให้ทำความเข้าใจได้อยู่บ้าง”

“ไม่เข้าสมองหนูหรอกค่ะถ้าติวให้ หนูนั่งฟังดีกว่า” อุ้มนั่งเหยียดกับโต๊ะกว้าง วางกระเป๋าลงข้างๆกัน กั้นระหว่างตัวผมและตัวเธอเอาไว้ “เพื่อนมาพอดี ทางนี้โว้ย!”

นทีกับดินหอบข้าวของอาหารมาชุดใหญ่ พอวางได้ก็รีบยกมือไหว้พี่เดือนกัน จากนั้นก็ต่างคนต่างแยกกันอยู่จนกระทั่งได้เวลาเข้าห้องสอบ

“โชคดีนะกุมภ์ ค่อยๆทำไม่ต้องรีบ” พี่เดือนจับต้นแขนผม “ที่พี่ติวให้ก็อย่าไปลืมเอาดื้อๆในห้องแล้วกัน”

“เข้าใจแล้วครับ พี่เดือนก็ด้วยนะ” ผมพยักหน้า ยิ้มให้พี่เดือน เขาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นที่ตั้งของห้องสอบของเขา ส่วนผมก็เดินมาเรื่อยๆกับเพื่อน พวกเราสอบชั้นเดียวกันแต่คนละห้อง โชคดีหน่อยที่อยู่ห้องติดกันและสอบวิชาเดียวกันพร้อมทั้งสายชั้น ออกจากห้องมาจะได้หารือกันได้ว่าทำแบบไหน

“กูถามจริงเถอะกุมภ์ มึงสนิทกับพี่เดือนมาก แบบ...มากจนกูมองว่าพวกมึงกำลังคุยกัน”

ผมหันหลังไปหาอุ้มที่ถือขวดน้ำอยู่ “ยังไงไอ้คุยกันที่ว่า?”

“ก็แบบ...คุยดูใจกันน่ะ”

“บ้าเรอะ! มึงคิดอะไรแปลกๆ!”

“ท่าทางมึงร้อนตัวมากเลยนะ” คราวนี้เป็นนทีที่พูดแทรก “พี่เดือนก็ดูมีความสุขเวลาที่อยู่กับมึงดี แล้วเวลาที่มึงกับพี่คุยกันมันมีออร่าแปลกๆออกมาเหมือนกั้นไม่ให้คนอื่นเข้าไปในโลกส่วนตัวด้วยรู้ตัวมั๊ย?”

“พวกมึงแทนที่จะคิดถึงเรื่องสอบก่อนกลับมาพูดเรื่องนี้เนี่ยนะ?”

“แล้วเท่าที่ได้ยินจากที่มึงคุยพี่เดือน พี่เดือนไปติวหนังสือให้มึงถึงบ้านด้วย? อย่างนี้มันไม่ธรรมดาแล้วนะ...” ดินถามผม “ไปติวให้บ่อยมากมั๊ยอะ”

“ก็ทุกวันเสาร์อาทิตย์---”

“ไอ้กุมภ์”

“...”

“...กูไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดีว่ะ...คือแบบ...ยังไงๆก็ดูเหมือนทั้งมึงกับพี่เดือนต่างชอบกันอยู่ยังไงไม่รู้”

“ไม่มีทางเด็ดขาด!” ผมร้องกลับไป เพียงเพราะพี่เดือนไปบ้านผมประจำมันไม่ได้พิสูจน์สักหน่อยว่าพี่เดือนหรือผมจะชอบอีกคน  “กูขอยืนยัน นอนยันเลยว่าพวกเราคิดกันแค่รุ่นพี่รุ่นน้อง!”

“กุมภ์”

“...” ผมมองนที เขาก็จ้องผมกลับโดยที่สายตาส่งสัญญาณถึงความจริงจัง

“ถ้ามึงใจเต้นให้เขาบ่อยๆ หน้าแดงหรือเขินกับสิ่งที่เขาทำกับมึง หรืออะไรก็ตามที่ทำให้มึงกระวนกระวายใจแต่ก็มีความสุขไปในเวลาเดียวกันน่ะ...” นทีสูดลมหายใจ “มึงระวังใจตัวเองดีๆเอาไว้เถอะ”

“...”

“การที่จะตกหลุมรักใครสักคนมันไม่มีสัญญาณบอกหรอกว่าจะตกลงไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ดำลึกไปกับมันแล้ว”

 

เหม่อ...

“กุมภ์? เป็นอะไรไปน่ะ เหม่อมาตั้งนานแล้วนะ”

“อะ...ขอโทษครับ พอดีผมนอนไม่ค่อยพอ พอผ่านช่วงสอบไปก็เลยมีสภาพอย่างนี้แหละ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน วันนี้เป็นสามวันหลังจากที่จบจากสอบกลางภาค พี่เดือนกับผมนัดกันไว้ว่าจะไปไร่ลูกหม่อนนอกตัวเมือง

อากาศไม่ค่อยร้อน มีเมฆบังแดดให้เป็นช่วงๆเลยรู้สึกว่าค่อนข้างเหมาะกับการเดินดูไร่อย่างยิ่ง แถมวันนี้พวกเรามีกระติกน้ำผลไม้สดที่มีนาปั่นให้เองกับมือมาด้วย เลยกลายเป็นว่านี่คือทริปเที่ยวที่ผ่อนคลายที่สุดที่พี่เดือนเคยมีมา

แต่พี่เดือนเองก็ไม่เคยเที่ยวนี่นา...

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ เดี๋ยวขากลับเราแวะไปดูพัทยาน้อยดีมั๊ย?”

พัทยาน้อยที่พี่เดือนว่าคือทะเลที่มนุษย์สร้างขึ้นริมเขื่อนสิรินธร มีร้านอาหารตั้งริมน้ำคอยบริการนักท่องเที่ยวในบริเวณนั้นทุกวัน ใครที่ไม่อยากไปไกลถึงภาคใต้ก็มาที่นี่ได้ ล่าสุดที่ผมมาก็ตอนประมาณม.1 นู่นแหละ ตอนนั้นยังไม่มีบานาน่าโบ้ทเลยด้วยซ้ำ “ก็ดีนะครับ แต่อย่าแกล้งผลักผมตกน้ำนะ ผมไม่มีเสื้อสำรอง”

“พี่มีเสื้อสำรองติดอยู่ในกระเป๋านะ ยืนพี่ไปใส่ก่อนก็ได้”

“ผมใส่แล้วมันจะไม่ยาวเลยเหรอครับ พี่สูงกว่าผมตั้งเยอะ”

“ก็ยังดีกว่าสั้นแล้วกัน” พี่เดือนหัวเราะ ผมขัดพี่เดือนไม่ได้ ถ้าเขาอยากแวะก็ต้องได้แวะ “ถึงพอดีเลย วันนี้เราจะเดินดูต้นหม่อนให้เต็มที่!”

“ผมก็ลืมถามไปเลยว่าหลังจากที่พี่เดือนสอบเสร็จพี่ชอบทำอะไร?”

“นั่นสิ...ดูหนังสักเรื่องมั้ง?” พี่เดือนค่อยๆถอยรถเข้าลานจอดที่ไม่ค่อยมีคนจอดเท่าไหร่ ช่วงนี้ไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวเลยทำให้ไม่มีคน แต่สำหรับพวกเรามันก็สะดวกใจที่จะเดินกว่าเยอะเพราะไม่ต้องไปกังวลว่าจะชนกับใครเข้า “พี่จะขังตัวเองในห้องหนึ่งวันเพื่อเปิด Netflix แล้วกินขนมแบบตอนที่ไปค้างบ้านกุมภ์ครั้งแรก”

จู่ๆผมก็นึกถึงตอนที่พี่เดือนละเมอขึ้นมา ผมยังไม่หายสงสัยจนกระทั่งมาถึงตอนนี้

แต่เอาไว้สนิทให้มากกว่านี้แล้วค่อยถามก็ได้

“พี่เดือน ดูนั่นสิครับ” ผมชี้ไปที่ไร่ลูกหม่อนไม่ห่างจากพวกเรามากนัก “กำลังมีลูกเลย เดี๋ยวเราไปติดต่อเจ้าหน้าที่กันก่อนดีกว่า”

พวกเราเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าชมไร่ด้วยกัน  เจ้าหน้าที่ก็ให้แผนผังพื้นที่คร่าวๆมาให้เพื่อให้เดินเองตามความต้องการ จากนั้นพวกเราก็เดินเข้าไปในสวนด้วยกัน

ลูกหม่อนหรือมัลเบอร์รี่ เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ถ้ายังไม่สุกดีจะมีรสเปรี้ยวมาก พี่เดือนก็น่าจะชอบของเปรี้ยวๆอย่างนั้นผมเลยบอกให้เขาชิมลูกสีแดงๆ ส่วนผมก็คอยชมแต่ลูกที่มีสีคล้ำม่วงแล้วเพราะนั่นคือลูกที่หวานกว่า

“กุมภ์”

“ครับ? อุ๊บ!”



“พี่เดือน! มันเปรี้ยวนะ!” ผมน้ำตาเล็ดออกมาทันทีเหมือนรับรู้รสชาติของลูกหม่อนที่พี่เดือนป้อนเข้าปากผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่จะเด็ดอีกลูกเข้าปากตัวเอง น้ำผลไม้ในกระติกเขาก็ถืออยู่ พอผมจะเอามาดื่ม พี่เดือนก็ชูกกระติกขึ้นสูง

ประเด็นคือผมสูงเท่าแค่ใต้คางเขา ยิ่งพี่เดือนชูแขนขึ้นอย่างนั้นผมก็เอื้อมไม่ถึงเข้าไปใหญ่

สงสารตัวเองที่เกิดมาเตี้ย...

“พี่เดือน! ผมเปรี้ยวนะ!” ผมว่าพร้อมกับอ้อนเขา ไม่รักษาหน้ามันแล้วเพราะมันคือเรื่องเป็นเรื่องตายเลย “ผมขอน้ำเถอะ”

“ฮึฮึ เอานี่” พี่เดือนชักแขนตัวเองกลับ ขยับหลอดแล้วจ่อปากให้ผมดูด พอผมจะอ้าปากดูดน้ำเขาก็ถอยกระติกไปจนผมเริ่มหงุดหงิด

“พี่เดือน มันไม่ตลกนะ” น้ำตาไหลเป็นทางแล้ว “พี่ ผมขอล่ะ...”

“ครับๆ พี่ขอโทษ” พี่เดือนยื่นกระติกให้ผม ผมจึงรีบดูดน้ำผลไม้หวานๆดับรสเปรี้ยวฝาดเมื่อครู่ให้หมดจนลิ้นพอจะรับรสอย่างอื่นได้บ้าง จากนั้นก็มองพี่เดือนแรงๆหนึ่งครั้งเพื่อบอกว่าอย่าให้เอาคืน

พวกเราเดินไล่เก็บลูกหม่อนลงตะกร้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งผมไปเห็นหนอนใบหม่อนตัวเล็กๆตัวหนึ่งกำลังเกาะใบไม้สบายใจ ทำให้ผมเกิดไอเดียขึ้นมา

พี่เดือนกลัวหนอนมั๊ยนะ?

“ขอโทษนะเจ้าตัวเล็ก...” ผมเด็ดใบไม้ที่มีหนอนตัวจิ๋วมา ถ้าผมเป็นมันก็คงอยากถามว่าจะทำอะไร เอาใบไม้วางไว้บนฝ่ามือแล้วค่อยๆเดินย่องเข้าไปหาพี่เดือนที่กำลังเด็กลูกหม่อนออกมาจากต้นอยู่ “พี่เดือนครับ”

“หืม? เหวอ!”

“พี่เดือนดูหนอนนี่สิ น่ารักดีเนอะ”

“กุมภ์! เอามันไปไว้ที่เดิมเลยนะ!”

“แต่พี่เดือนไม่สนใจเหรอครับว่ามันใช้ชีวิตยังไง?”

“กุมภ์!”

“อย่าหนีสิครับพี่เดือน!” ผมวิ่งเข้าไปหาเขา พี่เดือนรีบสาวเท้าตัวเองหันหลังหนี

การที่พี่เดือนวิ่งอย่างนี้ แสดงว่าเขาคงกลัวหนอนจริงๆนั่นแหละ

คิก มุมน่ารักของพี่เดือนก็น่ารักจนน่าตกใจไปพร้อมๆกันเลย

“พี่ขอร้องล่ะ เอามันไปไว้ที่เดิม...” พี่เดือนหันหลับมาแล้วยกมือขึ้นยอมแพ้ “พี่ยอมรับว่าพี่ไม่ชอบหนอน เอามันไปไว้ที่เดิม...”

“ทำไมพี่ถึงไม่ชอบหนอนล่ะครับ? พี่ดูไม่น่าจะเป็นคนกลัวอะไรแบบนี้นี่นา” แล้วผมก็นึกได้ “ไม่สิ พี่เดือนยังมีมุมที่ไม่น่าจะเข้ากับตัวพี่เยอะ คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกมั้ง?”

“คือ...มีวันหนึ่งช่วงม.ต้นพี่เจอหนอนในมะเขือเทศตอนที่พี่กำลังจะกัดคำที่สอง...พี่เลยตกใจโยนทิ้งกลางห้องนอนเลย...” พี่เดือนยอมรับทั้งหน้าแดง “ดีนะที่ไม่มีใครเห็น ไม่งั้นพี่คงอายยันชาติหน้า”

“ช่างเถอะครับ เอาเป็นว่าผมรู้ว่าพี่กลัวหนอนแค่คนเดียว” ผมเอาหนอนที่ให้ความร่วมมือตัวนี้ไปไว้ที่ต้นเหมือนเดิม “เสร็จแล้วเราไปต่อที่พัทยาน้อยดีกว่านะครับ”

พี่เดือนถอนหายใจที่เห็นผมวางหนอนนั่นลงแล้ว จากนั้นเขาก็เดินตามหลังผมเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะไม่หยิบหนอนมาแกล้งเขาอีก จนกระทั่งพวกเราเดินออกมาจากไร่แล้วจ่ายเงินค่าลูกหม่อนที่เราเก็บออกมาพร้อมกับอุดหนุนเครื่องดื่มขวดเพิ่มคนละสองสามขวดในราคาไม่แพงมาก

“จะว่าไปพี่ได้ยินเสียงพวกเราแกล้งกันในไร่ด้วย นานๆทีถึงมีคู่รักมาเที่ยวกันที่นี่นะคะ”

“พวกผมเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันครับ!”

 

ผมกับพี่เดือนไม่ได้พูดอะไรด้วยกันเลยนอกจากสั่งอาหารนิดหน่อยแล้วมานั่งกินด้วยกันที่แพหนึ่งริมพัทยาน้อย

คือ...พอพี่เจ้าหน้าที่พูดแบบนั้นมา พวกเราก็ได้รู้ตัวอีกครั้งว่าพวกเราเล่นกันเลยเถิดไปหน่อยจนดูเหมือนว่าพวกเรา...เป็นแฟนกันจริงๆ

ผมเองก็เฝ้าคิดเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าสิ่งที่เป็นตอนนี้มันใช่หรือเปล่า คำของนทีมันวนไปในหัวผมไปมา สิบหกปีที่เกิดขึ้นมาผมคิดว่าเรื่องความรักมันเป็นเรื่องใกล้ตัว มันคงไม่ง่ายเหมือนในนิยายที่อายุสิบสี่ก็มีความรักแล้ว...

ผมเหลือบมองพี่เดือน ก็พบว่าเขาเองก็เหลือบมองผมพร้อมกับตักลาบหมูสุกกินไปด้วยอยู่...

นั่นทำให้ผมสะดุ้งแล้วทำเป็นหันหน้าไปทางอื่นแทน

“...”

“...”

“คือว่า...กุมภ์”

“...”

“คิดมาก...กับคำพูดของเจ้าหน้าที่คนนั้นเหรอ?”

“...ผมไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกครับ พี่เดือนล่ะ?”

“...พี่เองก็...ไม่เท่าไหร่...”

บรรยากาศแปลกๆอีกแล้ว...โอ้ย! ทำไมเวลามีคนพูดว่าเหมือนพวกผมกำลังคบกันมันถึงทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดอย่างนี้กันนะ!

“...ไม่คิดมากก็คงดีแล้วแหละครับ...” ผมค่อยๆหันหน้ากลับไป พี่เดือนจ้องไปที่ผืนน้ำ มีเศษใบไม้ลอยมา “เพราะผมกลัวพี่อึดอัดเวลาที่มีคนบอกว่าพวกเราไม่เหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องกัน”

“กุมภ์...บางที...” พี่เดือนขยับตัวเข้ามาใกล้ๆผม “ถ้าเกิดว่าบางที...ระหว่างพวกเรามันมีอะไรมากกว่านั้นล่ะ?”

“ครับ?!” ผมสะดุ้ง พี่เดือนจับมือของผมเอาไว้ ผมจึงพยายามดึงมือข้างนั้นออก “พี่เดือน! เดี๋ยวมีคนเห็น!”

“กุมภ์ลองคิดดีๆดูนะ ตลอดเวลาที่พวกเราไปร้านหนังสือด้วยกัน อยู่ด้วยกัน คุยด้วยกัน กุมภ์ไม่รู้สึกเลยเหรอว่ามันมีอะไรที่เกินความเป็นพี่น้องอยู่?” ผมคิดตาม “ตอนที่เรา...กอดกันในรถครั้งนั้น...เอ่อ”

“...ผมเขิน”

“พี่ก็เขิน”

“แล้วทำไมครับ...”

“กุมภ์ไม่คิดเหรอว่าทำไมเราต้องมาเขินกันแค่เพราะกอด? ผู้ชายกอดกันมันไม่ใช่เรื่องแปลกนี่นา มันไม่ใช่เรื่องน่าเขิน แต่เราก็...” พี่เดือนมีท่าทีไม่อยากพูด ผมเองก็ลุ้นว่าเขาจะว่าอะไรออกมาอีก “พี่ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครเลยนะ...”

นั่นสิ...ผมเองก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครเหมือนกัน

ผมหัวเราะ ผมยิ้ม ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเพื่อน อยู่กับพี่เดือนเองผมก็มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่ทว่าเหมือนมันมีอะไรที่มากกว่าที่ผมไม่สามารถอธิบายได้กั้นเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้าง...สบายใจและมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันมากกว่าแค่สองคน

‘การที่จะตกหลุมรักใครสักคนมันไม่มีสัญญาณบอกหรอกว่าจะตกลงไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ดำลึกไปกับมันแล้ว’

คำพูดนทีมันดังขึ้นมาอีกครั้ง การที่จะหลงรักใครสักคน...เราไม่มีทางรู้ว่าจะตกหลุมไปในตอนไหน...งั้นเหรอ?

รึว่าจริงๆแล้วผม...

“พี่ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนี้เท่าไหร่ แต่พี่ก็ไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาด้วย” พี่เดือนถอดรองเท้าตัวเองแล้วแช่ขาลงไปในน้ำ ผมขยับตัวเข้าไปริมแพแล้วทำตาม “กุมภ์...รู้สึกเหมือนพี่...รึเปล่า?”

“ผม...ผมอธิบายไม่ถูก แต่ถ้าพี่เดือนหมายถึงว่าผมรู้สึกดีมั๊ยที่ได้อยู่กับพี่สองคนล่ะก็...”

“ผม/พี่รู้สึกดีนะ”

อ่ะ...

พูดออกมาแล้ว...

พวกเราต่างเขิน ก้มหน้ามองลงไปในน้ำ ต่างคนต่างไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเพราะเมื่อกี๊มันเท่ากับการสารภาพกลายๆแล้วว่าพวกเราต่างมีความรู้สึกให้กันมากกว่าที่ควรจะเป็น

“พี่เป็นผู้ชาย”

“ผมก็เป็นผู้ชาย”

“มัน...พี่กลัวนะ กลัวว่ากุมภ์จะรังเกียจพี่” พี่เดือนถอนหายใจ “กลัวครอบครัวจะรู้ด้วยว่าพี่ชอบผู้ชายเข้าไปแล้ว”

“ผมเองก็กลัวเหมือนกันครับ...แต่มันห้ามกันไม่ได้นี่นา” ผมหัวเราะเบาๆ “แล้วเราจะเอายังไงต่อครับ?”

“หมายถึง?” พี่เดือนเลิกคิ้ว เงยหน้าขึ้นมามองผม

“จากนี้น่ะครับ พอพูดออกไปแล้วพวกเราก็ย้อนกลับไปจุดเดิมไม่ได้แล้วนะ” ผมบอก “ถ้าจะอยู่ที่เดิม...ระหว่างที่เกิดขึ้นกับพวกเราจะถือว่าเป็นความสัมพันธ์พี่น้องที่รักกันดี แต่ถ้าเราเดินหน้าต่อ...”

“นั่นสินะ พวกเราจะไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องกันอีกต่อไป” พี่เดือนต่อ “แต่ถ้ามันมาถึงขนาดนี้แล้ว บางทีพี่ก็ควรจะหัดลองเสี่ยงอะไรดูบ้าง”

“?”

“กุมภ์” พี่เดือนจับมือทั้งสองข้างของผม ก้มหน้ามากระซิบด้วยน้ำเสียงนุ่มๆที่ผมคุ้นเคย แต่ในความคุ้นเคยนั้นมันมีความแปลกใหม่ที่ชวนให้ผมหลงใหลผสมอยู่ “พี่ขอจีบกุมภ์นะครับ”

สารภาพว่าผมเขินกว่าเก่า! พี่เดือนหัวเราะแล้วก็ยื่นมือเข้ามาเล่นกับเส้นผมของผมเหมือนอย่างที่เขาชอบทำ ทั้งที่ปกติแล้วผมจะไม่มีอาการฮึดฮัดอะไรกับการกระทำแบบนี้ แต่รอบนี้ผมกลับอยากจะกระโดดน้ำมันให้รู้แล้วรู้รอด

“พี่เดือนจะพูดตรงๆแบบนี้ไม่ได้นะ!”

“พี่ลองหัดซื่อตรงกับหัวใจดูบ้างนี่นา” ผมทุบไปที่ต้นแขนพี่เดือนเบาๆ จากนั้นก็หัวเราะ “อารมณ์ดีแล้วก็กินข้าวกันต่อเถอะ”

พวกเราย้ายร่างกลับมาที่โต๊ะเตี้ยอีกครั้งเพื่อจัดการอาหารที่เหลือให้หมด เดิมทีพวกเราต่างคนต่างกิน แต่ครั้งนี้พี่เดือนเป็นฝ่ายตักให้ผมบ้าง ป้อนผมบ้าง ผมเองก็เล่นตามเขา แน่นอนว่ามันเขินนะ แต่ผมเองก็อยากเห็นรอยยิ้มพี่เดือนมากกว่านี้อีก

พี่เดือนยิ้มแบบนี้ให้ผมคนเดียว...รอยยิ้มที่บ่งบอกว่าคนตรงหน้าของเขามันพิเศษกว่าคนอื่น

“กินอิ่มแล้วก็นั่งก่อนนะ ถ้าอยากเล่นน้ำก็ค่อยไปเล่น เดี๋ยวจะจุกเอา” พี่เดือนยื่นหลอดดูดน้ำมาให้ ผมขานรับขอบคุณก่อนที่จะยื่นหลอดให้เขาดูดตาม

...พอรู้ใจกันก็ยิ่งกว่าเดิมอีก...

พวกเรานั่งเล่นกันไปสักพัก พี่เดือนก็จัดการติดต่อเช่าเรือบานาน่าโบ้ทให้ครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อสำรอง เสื้อพี่เดือนยาวจนมาถึงหน้าตักผม พอเขาเห็นก็รีบทักทันที

“เหมือนใส่เสื้อแฟนหนุ่มกับกางเกงในตัวเดียวเลยนะ”

“พี่เดือน!”

 

เย็นวันนั้นพี่เดือนมาส่งผมที่บ้าน เขาโบกมือให้ผมพร้อมกับยิ้มบางๆให้ ส่วนผมก็ชูโทรศัพท์ขึ้นมา สั่นมันเบาๆเพื่อให้เขารู้ว่าถ้าอยากติดต่อมาก็สามารถติดต่อมาได้

“จะว่าไปแล้วเรายังไม่ได้ไปร้านกาแฟนั่นเลยนะตั้งแต่วันนั้น” พี่เดือนร้อง “เอาไว้วันหลังเราไปด้วยกันนะ”

“ครับ คืนนี้ฝันดีนะ ไม่ต้องอ่านหนังสืออีกล่ะ ผมกลัวว่าพี่จะนอนไม่พอ”

“ครับผม รับทราบแล้วครับ” พี่เดือนแตะแก้มผม ก่อนที่จะขึ้นรถขับออกไป พอผมหันหลังเข้าบ้านก็เห็นว่าพ่อกับแม่กำลังยืนยิ้มกรุ่มกริ่มอะไรกัน

อ่า...เห็นหมดแล้วสินะ...

“สงสัยเราคงจะได้ลูกเขยเร็วๆนี้แหละแม่”

“นั่นสินะ”

“อย่าแซวกันสิครับ!”

ผมทั้งรีบเดินรีบเปิดประตูเข้าไปในบ้าน พ่อกับแม่เดินตามเข้ามาก่อนที่จะหัวเราะให้ผม

“พ่อก็ไม่ได้ว่าหรอกถ้าลูกจะมีคนคุย แล้วพ่อก็เดาไม่ผิดด้วยว่าน่าจะเป็นคนนี้ เห็นมาบ้านบ่อยมากๆ” พ่อเข้ามาตบบ่าผม ผมจึงหันหลังไปซุกหน้ากับอกพ่อเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าผมกำลังหน้าแดง “จะชอบใครรักใครพ่อไม่ได้ว่า มันเป็นการตัดสินใจของเราเองนี่นา”

“พ่อไม่ว่าผมเหรอว่าผมเพิ่งสิบหกริจะมีคนคุยน่ะ...”

“ถ้ามันเป็นเรื่องนี้พ่อก็ขัดอะไรไม่ได้ อีกอย่างคือเดือนเขาก็นิสัยดีไม่ใช่รึยังไงกันฮึ? ลูกสนิทกับเขามากจะเริ่มชอบเขาเข้าจริงๆก็ไม่แปลก ไหนบอกพ่อว่าสิไอ้ลูกชายว่าเริ่มชอบไปตอนไหน?” พ่อดันตัวผมออก แม่เดินเข้ามาตามแล้วก็หัวเราะเบาๆเข้าไปในครัว

“...ผมไม่รู้ครับ แต่วันนี้เราไปที่ไร่ลูกหม่อนกัน หยอกกัน เจ้าหน้าที่ก็แซวผมกับพี่เดือนว่าเหมือนแฟนกัน ทั้งผมกับพี่เดือนเลยนึกขึ้นได้ว่าสรุปแล้วความสัมพันธ์เรามันเป็นแบบไหน ความจริงก็มีหลายคนบอกพวกเราแล้วว่ามันมีอะไรเกินเลยคำว่าพี่น้องอยู่” ผมค่อยๆอธิบาย “พวกเรากินข้าวที่พัทยาน้อยด้วยกัน...แล้วก็ได้ใช้เวลาทบทวนความรู้สึกจนรู้ตัวว่าต่างคนต่างสบายใจที่ได้อยู่ด้วยกัน จากนั้นพวกเราก็เลือกที่จะเดินหน้า”

“อืมๆ เด็กสมัยนี้เข้าใจความรู้สึกตัวเองง่ายจริงๆ”

“แต่ผมก็กลัวครับ..”

“หืม?”

“ผมกลัวว่ามันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ววูบเท่านั้น ถ้าเกิดว่ามันเป็นอย่างที่ผมว่า ทุกอย่างมันจะพังหมด สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่เดือนจบไม่สวยแน่ๆ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย” ผมส่ายหน้า “เพราะผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน มันเลยทำให้ผมกลัวความผิดหวังอยู่ลึกๆ”

“แล้วเดือนเขาได้พูดอะไรรึเปล่าล่ะ?” พ่อของผมพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ถ้ากลัวเหมือนกัน นั่นแสดงว่าต่างคนต่างยังกลัวว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น”

“พี่เดือนบอกว่าเขากลัวเรื่องผมจะรับไม่ได้ที่เขา...ชอบผม”

“อย่างนั้นเหรอ...เอาเป็นว่าลูกกลัวได้แต่อย่าให้ความกลัวนั้นมันมาทำลายความรู้สึกที่เรามีต่อเขา”

“...”

“มันไม่ง่ายที่จะรัก แต่มันก็ไม่ยากที่จะทำความรู้จักกับคำว่ารักใช่มั๊ย?”


[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (01/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 04-05-2019 22:24:58
“สอบกลางภาคเป็นอะไรที่ทำลายชีวิตกูมาก...” ดินฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะ “คะแนนเหี้ยยิ่งกว่าผู้นำกูอีก”

“มึง! อยากโดนลากเข้าตารางก็ไม่บอกวะ!” อุ้มรีบตบปากดิน ก่อนที่จะหันกลับมาทางนทีและผม “ไม่ต้องไปสนใจเวลามันบ่นหรอก ว่าแต่คะแนนของพวกมึงออกมาเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ผ่านทุกวิชา...แต่คะแนนคหกรรมย่ำแย่หน่อย” ผมยักไหล่ตอบ “ไม่ได้หวังวิชานี้อยู่แล้วแหละ”

“ผ่านทุกวิชาเพราะมีพี่เดือนช่วยน่ะสิ ติวตัวต่อตัวแบบนั้นขี้โกงนี่หว่า” นทีจิ้มทางที่เอวผม แต่ผมหลบทัน พวกเรานั่งเล่นกันสักพักก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าชมรม

ผมเดินไปที่หน้าบอร์ดที่พี่เดือนกำลังยืนติดเอกสารอยู่ หรือจะเรียกว่าพี่มูนดีนะ? พอเห็นอย่างนั้นผมจึงรีบวิ่งเข้าไปกอดเขาจากข้างหลังทันที

ถ้ามีคนผมไม่ทำแบบนี้หรอก

“พี่ตกใจหมดเลย แต่วันนี้ไม่ใช่วันที่กุมภ์ต้องเข้านี่นา?” พี่เดือนหันมาหยิกแก้มผมดึงไปมา “เข้ามาก่อนดีกว่า วันนี้มีแต่พี่เข้าคนเดียว”

“คะแนนสอบพี่เป็นยังไงบ้างครับ?”

“ก็...น่าพอใจอยู่นะ แต่พี่ไม่อยากให้คนที่บ้านเห็นเท่าไหร่” พี่เดือนเดาะลิ้นในปากจนได้ยินเสียงดัง ‘เตาะ’ “พี่คะแนนตก ถึงจะอยู่ในเกณฑ์ผ่านก็เถอะ คนอื่นจะมองเห็นว่าพี่ยุ่งๆกับงานโรงเรียนและชมรมเลยทำให้คะแนนหายไปบางส่วน แต่เชื่อเถอะว่าพ่อแม่พี่ต้องโวยวายให้”

“ก็ไม่ต้องบอกสิครับ บางทีผมยังไม่บอกเลย” ผมไม่ได้หัวเราะกับคำตอบที่พี่เดือนให้มาเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่าบ้านพี่เดือนเข้มเรื่องคะแนนมากเลยทีเดียว "เอาเป็นว่าวันนี้เราโดดเรียนพิเศษแล้วไปฉลองกันดีกว่า"

“ฉลอง?”

“แบบกินเลี้ยงไงครับ ไปกันสองคน” ผมยิ้ม “ผมรู้จักร้านเค้กร้านหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ แต่ว่าคนไม่ค่อยไปเพราะร้านไม่ค่อยโปรโมท มีวันหนึ่งผมหลงไปแถวนั้นแล้วเจอร้านเข้าพอดี” ผมชูบัตรส่วนลดในมือขึ้นมา วันนี้ตั้งใจจะชวนเขาไปอยู่แล้ว “ไปกันนะครับ”

“สรุปใครจีบใครกันแน่เนี่ยฮึ” พี่เดือนหัวเราะเสียงดังจนคนแถวๆนั้นหันมามอง พอเขารู้ตัวก็กระแฮ่มไปหนึ่งทีแล้วก็ทำเป็นไปเก็บหนังสือที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะเข้าชั้น เป็นวิธีแก้เก้อที่เหมาะกับเขาสุดแล้วล่ะ

ผมส่ายหน้าแล้วเดินเข้าห้องชมรมไปเพื่อที่จะจัดการกับเอกสารต่างๆที่กองอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นใบเบิกค่าอุปกรณ์ที่จะเอามาใช้ตกแต่งห้องสมุดที่มีลายเซ็นพี่เดือน พอผมดูงบประมาณที่เบิกมาก็ประหลาดใจที่ตัวเลขมันไม่ได้สูงเท่าของที่ผ่านมาเลย

ก่อนหน้านั้นคนที่ดูแลเรื่องงบประมาณด้วยก็คือ...

“พี่เดือนครับ” ผมวิ่งออกไปหาเขาที่กำลังจัดหนังสือเพลิน พี่เดือนขานรับในลำคอก่อนที่จะดูใบเอกสารกับผม “พี่เดือนเห็นอะไรมั๊ยครับ?”

“ใบเบิกงบประมาณชมรม? แล้ว?”

“ผมจะบอกว่างบประมาณชมรมช่วงต้นเทอมที่ผ่านมาตัวเลขมันสูงผิดปกติจนผมแปลกใจเมื่อเทียบกับที่พี่เดือนเซ็นเอาไว้ในนี้ พี่เดือนไม่สงสัยอะไรบ้างเหรอครับ?”

“...นั่นสิ งั้นเดี๋ยวพี่จะเอาไปเทียบกับครั้งก่อนๆด้วย” พี่เดือนเดินนำผมด้วยความรีบร้อน เขาท่าทางจะหัวเสียน่าดูเมื่อรู้ว่าคนที่จัดการเอกสารนี้เล่นตุกติกกับชมรม “ของที่เอามาใช้กับที่นี่ก็ไม่ค่อยมีด้วย ครูเคยทักอยู่ว่างบประมาณที่เอามาใช้มันหายไปไหนหมดถึงได้ของมาไม่เยอะ”

พวกเราช่วยกันเปิดเช็คเอกสารการเบิกงบประมาณของชมรมทั้งหมด เมื่อเอามาเทียบกันแล้วความผิดปกติมันก็เยอะจนน่าตกใจ พี่เดือนยกมือกุมขมับเอาไว้

“สหอนันต์....หมอนั่นมันทำอะไรลงไปเนี่ย”

“พี่เดือนใจเย็นก่อนนะครับ เดี๋ยวพวกเราแวะไปชมรมที่เขาอยู่ปัจจุบันแล้วถามดูก็ได้ว่าเอาเงินนั่นไปทำอะไร” เป็นไปได้สองทางคือโกงเพื่อเอาไปทำเรื่องไม่ดีกับทำเรื่องอะไรแปลกๆ แต่ผมโอนเอนไปในทางด้านหลังมากกว่าเพราะเขาเองก็ดูไม่น่าจะยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดพวกนี้

ผมได้ยินข่าวลือมาว่ามีกลุ่มคนที่แอบขายยาเสพติดให้กับนักเรียนโรงเรียนนี้อยู่ แต่ข่าวมันบางหูมาก เคยได้ยินด้วยซ้ำว่าป้าโต้งเคยจับได้แต่ไม่สามารถเปิดปากนักเรียนที่ทำการแลกซื้อค้าขายเลยทำให้พวกนั้นถูกไล่ออกทั้งๆที่ความจริงยังไม่เปิดเผย

“งั้นเราไปกันเถอะ พี่ไม่อยากเสียเวลา” พี่เดือนสะพายกระเป๋าตัวเองเดินออกไปทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องออก “ผมขออนุญาตไปทำธุระก่อนนะครับ มันเป็นเรื่องสำคัญ”

บรรณารักษ์พยักหน้างงๆ ผมยกมือขอโทษเธอแทนพี่เดือนที่แทบจะวิ่งออกไปแล้ว ไม่ไกลนักผมก็เห็นอดีตรองหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่

“สหอนันต์”

“อ้าว เดือนเองเหรอ? แล้วนั่นรองหัวหน้าชมรมคนใหม่ด้วย? ยินดีด้วยนะที่ได้ตำแหน่งนี้มาเพราะความสนิทสนม”

“หยุดพูดก่อนเลย ผมจะถามคุณว่างบประมาณที่คุณเบิกมาเกินความจำเป็นจนน่าสงสัยนั่นมันหายไปไหนหมด จากที่ผมอ่านเอกสารมาคนที่รับรองนั่นคือคุณเอง” พี่เดือนกอดอก ยืนประจันหน้ากับอีกคน “ถ้าคุณไม่ได้เอาไปทำเรื่องอะไรแปลกๆก็บอกความจริงมา ผมจะได้ไม่เอาไปยื่นเรื่องกับทางโรงเรียนเพราะผมเห็นแก่คุณแม่ของคุณ”

“โห เล่นใหญ่นะนี่” เขาหัวเราะเบาๆ “ฉันจะเอาไปทำอะไรได้เล่า เบิกมาด้วยความโปร่งใสจริงๆ ก็ของที่เอามาใช้ทำงานภายในชมรมมันแพงนี่นา”

“ผมเบิกสิ่งเดียวกันในราคาเดียวกัน แต่งบที่คุณเบิกมันสูงจนผมแปลกใจว่าคุณใช้วัสดุดีแค่ไหนกันเชียว” พี่เดือนยังคงเถียง “ผมให้โอกาสคุณพูดความจริงแล้วแต่คุณก็ยังไม่ยอมพูดออกมา ถ้าอย่างนั้นผมก็จะยื่นเรื่องนี้กับทางโรงเรียน”

“แต่มันทำให้ชมรมดูแย่ตามไปด้วยไม่ใช่รึยัง?”

“...”

“ถ้าเกิดว่ายื่นเรื่องนี้ ก็ต้องมีการสอบสวนกัน และความผิดขั้นแรกมันก็ต้องตกมาที่คุณหัวหน้าชมรมนะครับว่าทำไมไม่ดูแล สำหรับเดือนแล้วการเป็นหน้าเป็นตาของชมรมนั้นคือเรื่องสำคัญไม่ใช่รึยังไง? ถ้าเกิดเรื่องมันแดงขึ้นมาหลายคนก็ต้องกระซิบแน่ๆว่า ‘ทำไมดูแลชมรมไม่ดี’ ไม่ก็ ‘น่าผิดหวังจังที่เป็นถึงหัวหน้าชมรมแท้ๆแต่กลับดูแลเรื่องงบประมาณไม่ได้’ น่าสงสารจังเลย”

สำหรับพี่เดือน...เขาพยายามรักษาสิ่งที่เขาสร้างมาตลอดด้วยความยากเย็น ถ้าเกิดว่าเรื่องนี้มันแพร่ไปทั่วโรงเรียนล่ะก็...พี่เดือนต้องตกเป็นขี้ปากคนที่เชื่อข่าวลือแน่ๆ

เขารักศักดิ์ศรีของตัวเองยิ่งกว่าอะไรเสียอีก

“อ้อ แล้วก็เรื่องที่ให้น้องเป็นรองหัวหน้าชมรมเพราะคะแนนพิศวาสนี่ล่ะก็คงลามไปทั่วเหมือนกัน คงไม่อยากให้น้องที่รักนักรักหนาต้องตกเป็นเหยื่อเหมือนกันหรอกใช่มั๊ย?” เขาเปิดรูปในโทรศัพท์ขึ้นมา “พอดีว่าไปแอบเห็นตอนที่กุ๊กกิ๊กกันพอดี น่าเสียดายจังเลยนะที่พ่อคนเก่งกลายเป็นเกย์เพราะเด็กใหม่ พ่อแม่มารู้เข้าคงเสียใจที่ได้ลูกชายวิปริต”

“...ชิ...”

“ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ไปก่อนนะ บาย”

เขาเดินจากไป พี่เดือนทำหน้าเครียดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมจึงเดินไปที่รถกับเขาแล้วก็แตะเข้าที่แขนเบาๆ

“ให้ตายสิ! เรื่องเป็นหน้าเป็นตามันไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้ามันเล่นงานกุมภ์ด้วยนี่...” พี่เดือนปล่อยอารมณ์หงุดหงิดตัวเองออกมาชัดเจน “พี่ไม่อยากให้ชีวิตกุมภ์ต้องมาพัวพันกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้”

“พี่เดือน ผมไม่สนใจหรอกว่าผมจะกลายเป็นขี้ปากใคร แต่ผมใส่ใจเรื่องพี่มากกว่า ถ้าเกิดว่าคนอื่นมองพี่ไม่ดี มันจะส่งผลเสียกับพี่อย่างเดียวนะครับ” ผมเตือนสติเขา พี่เดือนฟุ่บหน้าลงกับพวงมาลัยรถ “ผมรู้ว่าพี่อยากจัดการเขา แต่พี่จะบุ่มบ่ามทำอะไรด้วยความเสี่ยงอย่างเดียวไม่ได้”

“พี่ควรจะทำยังไงดี...”

“เราต้องรวบรวมหลักฐานให้มากพอที่จะจับได้ว่าเขาเอาเงินจำนวนนั้นไปทำอะไร เพราะการที่เขาไม่บอกแบบนี้แสดงว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล เรื่องของผมก็ให้คนในชมรมช่วยยืนยันได้อยู่ แต่ถ้าพี่เดือนทำอะไรด้วยความใจร้อนรับรองว่ามันพังแน่ๆ”

“...นั่นสินะ พี่ต้องให้กุมภ์เตือนพี่ตลอดเลย ถ้าไม่ได้กุมภ์...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เดือน ส่วนเรื่องที่เรากุ๊กกิ๊กอะไรกันนั่นเราก็ทำเป็นเฉยๆไป ถ้าพ่อแม่พี่รู้พี่ก็ต้องอธิบาย พี่เดือนบอกว่าลองเสี่ยงดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ดังนั้นแล้วถ้าพี่เดือนลองเสี่ยงไปบอกพวกท่านเรื่องนี้บ้างมันจะเสียหายอะไรครับ?”

“พี่ยังไม่พร้อม” พี่เดือนมองไปที่ลานจอดรถ “พี่...พี่กลัวว่าเขาก็ยอมรับไม่ได้เหมือนที่สหอนันต์พูด พี่กลัวเขาเสียใจ แต่ที่กลัวที่สุดเลยก็คือกลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับพี่ว่าเป็นลูกชายคนหนึ่งที่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นที่น่าภูมิใจ”

“พี่เดือนครับ ผมเองก็กลัวเหมือนกัน แต่พ่อผมบอกว่าให้เราเก็บความกลัวนั่นเอาไว้ภายหลัง เราควรจะมีความสุขกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าก่อนดีกว่า” ผมยิ้มให้ พี่เดือนค่อยๆยิ้มตามก่อนที่เขาจะกอดผม “พี่เดือนนี่ขี้แงกว่าที่ผมคิดเอาไว้ซะอีก”

“พี่ไม่ได้ขี้แง จิตใจพี่แค่ไม่เข้มแข็ง”

“ครับๆ เอาเป็นว่าวันนี้เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่าเนอะ เราควรจะฉลองที่สอบกลางภาคผ่านสิ อย่าให้เรื่องนี้มันมาทำลายบรรยากาศให้มันกร่อยเลย”

ทั้งผมและพี่เดือนหัวเราะ นั่งรถไปที่ร้านเค้กที่ว่าด้วยกัน แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายกว่าที่คิดเลยสักนิด

การเบิกงบประมาณโรงเรียนต้องผ่านตาครูประจำชมรมด้วย ในกรณีที่เบิกมากเกินไปครูก็มีสิทธิที่จะทักท้วงเรื่องนี้และตัดงบบางส่วนออก แต่ที่ผ่านมาไม่มีการพูดถึงเลยสักนิด นั่นทำให้ผมยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่

หรือว่าครูประจำชมรมของพวกเรา...จะมีส่วนกับเรื่องนี้ด้วยกัน?

 

วันต่อมาผมเดินไปที่ห้องสมุดคนเดียวหลังจากเลิกเรียนเพราะนึกได้ว่าลืมเอกสารสำคัญไว้ที่ห้องชมรมนั่น พอไปแล้วก็เห็นพี่เลขาชมรมกำลังหัวหมุนอะไรสักอย่างอยู่—ไม่สิ ต้องเรียกว่าหลายคนที่เป็นสมาชิกชมรมกำลังวุ่นวายอยู่เลย

“มีอะไรเหรอครับพี่? ดูวุ่นวายกันขนาดนี้”

“กุมภ์ คือว่า...ผอ.เขาทักท้วงเรื่องงบประมาณของเราที่เบิกมากจนเกิดความน่าสงสัย พี่เดือนเขาดูหงุดหงิดมากเลยนะ เขาบอกว่าจะต้องรวบรวมหลักฐานมัดตัวอดีตรองหัวหน้าชมรมให้ได้” เธอเปิดเอกสารไปมา “ผอ.ทักมาขนาดนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเกิดว่ามีข่าวรั่วออกไปแม้แต่นิดเดียวพี่เดือนจบแน่ แถมพี่เดือนเองก็น่าจะจัดการคนเดียว พี่พอจะรู้ว่าคนที่ทำน่ะเป็นนายสหอนันต์อะไรนั่น แต่เขาออกจากชมรมไปแล้ว ถ้าจะเอาเรื่องมันก็ไม่ได้ แถมแม่ของเขาก็เป็นครูประจำชมรมนี้ มีคนหนุนหลังให้อีก นี่เราต้องมาสู้กับคนแบบนี้เหรอเนี่ย”

ทุกคนกำลังพยายามปกป้องพี่เดือน ผมสัมผัสได้ ดังนั้นแล้ววันนี้ผมก็จะช่วยพี่เดือนอีกแรง “ผมช่วยนะครับ”

“มันจะดีเหรอกุมภ์? ถ้าเกิดว่า...”

“ผมเป็นรองหัวหน้าชมรมนี้นะครับ ผมทนอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก พี่เดือนเป็นคนที่ทุ่มเทให้ชมรมนี้มากกว่าใคร เหนื่อยกว่าใคร ทุกคนเองก็อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเขาบ้างใช่มั๊ยล่ะ?” ทุกคนที่อยู่ในห้องพยักหน้า “เมื่อวานผมดูใบงบประมาณที่เบิกออกมาแล้ว มันมีจุดน่าสงสัยเยอะมาก และนั่นทำให้ผมนึกไปถึงครูประจำชมรมของพวกเรา ถ้าใบเบิกพวกนี้ต้องถึงมือครูก่อนเป็นคนแรกถึงจะนำไปเบิกที่ห้องพัสดุได้”

“แสดงว่าครูอาจจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้”

“ครูเป็นแม่ของหมอนั่นด้วยนี่นา”

“ครับ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง นี่เท่ากับว่ามันเป็นเรื่องของการทุจริตในโรงเรียนเลย ถึงมันจะไม่ใช่เงินที่มากมายอะไรเมื่อเทียบกับอย่างอื่น แต่มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากจนจำนวนเงินนั้นไม่ใช่น้อยๆ” ผมอธิบาย “มันผิดวินัยครู”

“ผิดวินัยครู และมันทำให้มีสิทธิที่ครูจะโดนเด้งไปที่อื่นด้วยสินะ” พี่ผู้ชายอีกคนพูด “ถ้าอย่างนั้นเราต้องมีหลักฐานมากจริงๆ ไม่งั้นจะกลายเป็นการกล่าวหาลอยๆ”

“เราต้องไปขอความช่วยเหลือจากชมรมอื่นที่เราสามารถไว้ใจได้ด้วย เพราะเราทำแค่พวกเดียวไม่ไหว ไปบอกผอ.เรื่องนี้คงจะสอบสวนไม่นานแล้วปล่อยเลยตามเลยไป”

“เรายังมีป๋าโต้งนะครับทุกคน” ผมยิ้มให้เขา “พอดีว่าผมกับพี่เดือนเคยแจ้งป๋าโต้งเรื่องแก๊งเด็กอันธพาลหลังโรงเรียนอยู่ ถ้าเกิดว่าเราไปร้องให้ป๋าช่วย อาจจะได้ความมากกว่านี้”

“จริงด้วย! แล้วเราจะไปขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกล่ะ...”

“เพื่อนเรามีพ่อที่เป็นครูอยู่แผนกวิชาเดียวกันกับครูชมรมเราอยู่นะ เราจะไปถามให้”

“เราไปถามคนจากชมรมกีฬาได้นะว่าไอ้สหอนันต์นั่นมันมีอะไรแปลกๆรึเปล่า”

ผมมองทุกคนที่พยายามหาคนมาช่วยให้ได้มากที่สุด ผมแอบเห็นพี่เดือนที่ยืนอยู่ริมประตูห้องชมรม ตาออกแดงนิดๆจนผมขอตัวปล่อยให้คนอื่นเถียงกันต่อว่าจะเอายังไง

“พี่เดือนกำลังจะร้องไห้นะครับรู้ตัวรึเปล่า?”

“พี่ไม่คิดว่าจะมีคนปกป้องพี่เยอะขนาดนี้...” เขาพูดเสียงอู้อี้ “เท่าที่เคยเจอมา ทุกคนจะมองว่าพี่สามารถจัดการได้คนเดียวอยู่แล้วมาตลอด...”

“ก็ทุกคนในชมรมนี้รักพี่เดือนนี่นา พี่เดือนเป็นเสาหลักเลยนะ” ผมปลอบใจเขา หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำที่หางตาของพี่เดือนเบาๆ “เห็นมั๊ยว่าพี่เดือนทำทุกอย่างไปมันไม่ได้ไร้ค่าเลยสักนิด ทุกคนรู้ว่าพี่เหนื่อย ทุกคนรู้ว่าพี่เดือนพยายามมากแค่ไหน นั่นทำให้ทุกคนนับถือพี่เดือนและพร้อมที่จะอยู่ข้างๆเสมอ พี่อย่าเอาคำพูดของคนคนเดียวมาทำให้จิตใจพี่แย่ลงสิครับ

“เข้ามาในห้องดีกว่านะพี่เดือน”

“แต่ว่า...”

ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ผมก็ผลักหลังเขาเข้าไปในห้องทั้งที่เขายังตาแดงๆ ทุกคนหันไปทางเดียวกันแล้วก็วิ่งกรูเข้าไปหาทันที

“เฮ้ย! พี่เดือนร้องไห้ทำไม?!”

“มันเครียดมากจนร้องไห้เลยเหรอ?! ฮึบเข้าไว้ๆ”

“พี่เดือนไม่ต้องเครียดนะ มันมีทางออก!”

“คือ...” พี่เดือนหันซ้ายหันขวา มีหลายคนเข้ามากอดปลอบใจเขา “คือว่า...ผมไม่คิดว่าจะมีคนที่เป็นห่วงผมขนาดนี้...”

“ใครๆก็ห่วงพี่เดือนนั่นแหละครับ เล่นบ้างานทำทุกอย่าง พวกเรากลัวว่าพี่จะแบกเรื่องนี้ไว้ไม่ไหวเลยพยายามช่วยทุกทาง” คนในชมรมที่เป็นรุ่นเดียวกันกับผมร้องขึ้นมา เขาหันไปถามความเห็นคนอื่น “เราไม่อยากให้พี่ต้องมามีประวัติเสียในเรื่องที่พี่ไม่ได้ทำนะครับ”

“ใช่ค่ะ! พี่เดือนเป็นรุ่นพี่ที่หนูเคารพมากที่สุดในโรงเรียนแล้ว คนบ้าอะไรอดทนทำทุกอย่างคนเดียว รับหน้าคนเดียว ถ้าเราจะต้องเสียชื่อก็ต้องเสียชื่อไปด้วยกันสิคะ!”

“ทุกคน...” พี่เดือนยิ้มบางๆให้ “ขอบคุณมากนะ...ขอบคุณ...”

ทุกคนยิ่งปลอบพี่เดือนใหญ่เมื่อเห็นว่าเขาน้ำตาไหลไม่หยุด อย่างน้อยในเรื่องแย่ๆอย่างนี้มันก็ทำให้พี่เดือนรู้อย่างหนึ่งคือเขาไม่ได้อยู่คนเดียว เขายังมีรุ่นน้องในชมรมที่คอยหนุนหลังเขา มีคนที่เห็นสิ่งที่เขาพยายามทำมาโดยตลอด ผมดีใจที่ในที่สุดเขาก็คลายความกังวลในใจอย่างหนึ่งให้เขาไปได้

“...พี่ขอบคุณทุกคนมากนะ”

และผมเองก็ดีใจที่ในที่สุดเขาเองก็เลือกที่จะไว้ใจทุกคนในชมรม

ท่าทางว่านกในกรงตัวนี้จะเริ่มค่อยๆปลดโซ่ที่ล่ามเอาไว้ด้วยตัวเองแล้วล่ะ


==========


ต่างคนต่างรู้ตัวแล้ว เลยแค่พวกเขาจะเป็นแฟนกันจริงๆ!

ในที่สุดพี่เดือนก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ความพยายามของเขาไม่ได้สูญเปล่า ทุกคนรักพี่เดือน แค่พี่เดือนไม่เคยมองเห็นเพราะมัวแต่คิดว่าคนอื่นไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกันกับเขาเลยไม่ได้เปิดใจให้ แต่เป็นเพราะกุมภ์ที่ทำให้เขาเห็นว่าบนโลกนี้มันก็ไม่ได้โหดร้ายไปซะทุกอย่าง

มีประเด็นใหม่เข้ามาด้วยนะ อิอิ

และสุดท้ายคือ...ดิชั้นเป็นไข้ค่ะ พิมพ์ทั้งๆที่ยังมึนยา ถ้ามันไม่เม้กส์เซ้นส์ตรงไหนแปลว่าตอนนั้นอาจจะหลับในพิมพ์ แอ่ก
 
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (01/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-05-2019 23:23:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง  อิคุณครูที่เป็นแม่นั่นเลวจริง ๆ สอนลูกก็ได้เลวเยี่ยงแม่มันอีก 

เฮ้อ...น่าสงสารอนาคตของชาติ มีแม่พิมพ์ที่ไร้จรรยาบรรณ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (01/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 09-05-2019 20:47:36
บทที่ 7

 

หลังจากที่พี่เดือนเปิดใจให้ทุกคน พี่เดือนก็นั่งในห้องชมรม ใส่แว่นขมวดคิ้วจ้องจอคอมพิวเตอร์ด้วยความหงุดหงิด เพราะเขาเห็นเว็บบอร์ดโรงเรียนกำลังลือข่าวที่ว่างบประมาณชมรมบรรณารักษ์ของเรามันสูงเกินปกติว่อน หลายกระทู้ก็บอกว่าเป็นฝีมือของพี่เดือนเอง หลายกระทู้ก็บอกว่าเป็นจากคนภายใน ผมไม่อยากให้เขาอ่านพวกนี้เพราะมันทำให้เขาเสียกำลังใจได้ แล้วก็พาเขามานั่งหน้าเอกสารงานที่เขาต้องอ่านแทน

“พี่เดือนควรจะอ่านเอกสารที่พี่ต้องจัดการก่อนนะครับ”

“แต่ว่าเรื่อง...”

“พี่เดือนไว้ใจทุกคนไม่ใช่เหรอครับ? เอาน่า พี่ไม่ต้องเร่งเรื่องนี้ก็ได้ ทำให้เหมือนปกติไป” ผมวางเอกสารลงไปเพิ่ม “มีคนไปถามป๋าโต้งให้แล้ว พี่เดือนจะกังวลอะไรขนาดนั้น”

“...” พี่เดือนถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ เขายอมอ่านเอกสารที่ผมเอาไปกองเอาไว้ให้ เลขาชมรมหัวเราะเสียงดังจนพี่เดือนส่งสายตาดุไปให้ “พี่ไม่อยากให้คนอื่นในชมรมโดนมองไม่ดีด้วยนี่นา”

“มันคือความรับผิดชอบของทุกคนครับ พวกเราเองก็ไม่ตรวจสอบเอกสารซ้ำสองให้รอบคอบก่อนด้วย” ผมนั่งลงกับเก้าอี้ข้างๆ “รีบไปเราก็อาจจะพลาดอะไรที่มันสำคัญๆก็ได้”

“เฮ้อ...” พี่เดือนถอนหายใจอีกรอบ “จะว่าไปนี่ก็ใกล้ถึงสัปดาห์ห้องสมุดแล้วนี่นา พี่ว่ามีหวังโดนตัดงบแน่ๆ”

“อ๋อ...งานนั้น...” สัปดาห์ห้องสมุดเป็นงานประจำชมรมของเราที่ต้องรับผิดชอบทุกปีโดยไม่มีข้อยกเว้น หลักๆเรื่องที่เราต้องทำเลยคือการจัดกิจกรรมภายในห้องสมุด แนะนำหนังสือ เปิดมุมพูดคุยหนังสือต่างๆ เชิญนักเขียนมางานเพื่อพูดคุยซึ่งในปีนี้พี่เดือนก็บอกว่าเขาจะเชิญคนเดิมกับที่มางานคราวที่แล้ว

แต่ถ้าถามว่ามันเป็นงานใหญ่มั๊ย? ก็ไม่เพราะมันเป็นอีเว้นท์ที่เล็กมากเมื่อเทียบกับชมรมอื่นๆ งบประมาณที่ได้รับมาในการจัดก็เลยน้อย เมื่อเรายิ่งมีข่าวเรื่องการเบิกงบเกินความจำเป็นออกมาด้วยก็ยิ่งทำให้พวกเราโดนเพ่งเล็งมากกว่าเก่า ถ้าจะโดนตัดงบออกก็ไม่แปลกใจมากนัก

“เราอาจจะใช้ของเก่าจากปีที่แล้วไปพลางๆก่อน เพราะยังไงงบที่ได้มันก็คงไม่พออยู่แล้วด้วยซ้ำ” พี่เลขายื่นเอกสารงานเก่าๆมาให้ดู “พอมีเรื่องแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ยากเข้าไปใหญ่ โอย...”

พวกเราอยู่คุยงานอีกสักพักก่อนที่จะกลับบ้าน พี่เดือนอาสาไปส่งผมก่อนที่ตัวเองจะไปดูหนังตามตั๋วที่ซื้อเอาไว้ เขาคำนวณไว้เรียบร้อยเลยว่าเรื่องนี้จบกี่โมง กลับบ้านไปจะได้ไม่มีใครสงสัยว่าเขาหายไปไหนนาน ผมยอมรับว่าเขาฉลาดมาก แต่ก็ไม่อยากให้เขาใช้ความฉลาดของตัวเองในแง่นี้มากนักเพราะนั่นมันส่งผลเสียให้กับตัวเขาเองในอนาคต

ในคืนนั้น พี่เดือนโทรทางไลน์มาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

‘พี่อยากให้กุมภ์ไปดูด้วยมากๆเลยนะ พี่ตื่นเต้นมากเวลาที่เครื่องบินยิงเครื่องบินอีกลำของศัตรูร่วงลงไป เอฟเฟ็คระเบิดเหมือนมาก’

“พี่เดือนเคยเห็นระเบิดรึยังไงครับพี่ถึงบอกว่ามันเหมือน” ผมหัวเราะ สายตาจ้องไปกับการแต่งรูปที่ผมแอบถ่ายพี่เดือนเอาไว้เมื่อนานมาแล้วอยู่

‘วันหลังไปดูด้วยกันนะครับ’

“พี่เดือนมาครับอะไรแบบนี้ผมก็แพ้ทางนะ” ผมอ้าปากค้าง เวลาที่เขาจะอ้อนอะไรเขาชอบใช้คำว่าครับกับผมเสมอ “เอาไว้วันที่ว่างกว่านี้เราไปด้วยกันก็ได้”

‘สัญญาแล้วนะ’ น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความขบขัน ผมก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนสักหน่อยที่จะไร้ความรู้สึก แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่รับอะไรได้ยากเช่นกัน ‘เอาเป็นว่าหลังจากจบปัญหาเรื่องงบชมรมก่อนดีกว่า จะได้เต็มที่ไปเลย บางทีพี่อาจจะเลี้ยงหนังคนในชมรมเป็นการตอบแทนก็ได้’

“ป๋ามาก” ผมค่อยๆปรับสีในรูปให้ดูเป็นธรรมชาติ “พี่เดือนรู้มั๊ยว่าตอนนี้ผมกำลังแต่งรูปพี่อยู่นะ”

‘อย่าแต่งแปลกๆล่ะ พี่กลัว’ พี่เดือนหัวเราะอัดโทรศัพท์ตัวเอง ผมตกใจเสียงเขาที่ดังผิดปกติ ‘ไม่มีใครอยู่บ้านเลย พี่ก็หัวเราะเสียงดังได้ ไม่มีใครว่าพี่หรอกว่าเรียนจนเป็นบ้าน่ะ’

“พี่เดือนเคยจินตนาการว่าตัวเองเคยเรียนจนเป็นบ้ามั๊ยครับ?”

‘...อืม...เคยสิ’ พี่เดือนน้ำเสียงหมองลงนิดหน่อย ‘ก็ไม่เชิงว่าจินตนาการหรอก พี่ฝันมากกว่า พี่ฝันว่าพี่เรียนจนสติแตก สอบได้อีกคะแนนเดียวก็เต็ม พี่หงุดหงิดมากจนพี่เริ่มโวยวายว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมทำไม่ได้เหมือนอย่างที่เคย แล้วพี่ก็เริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น ไม่ได้หลับหลายวัน เริ่มหัวเราะคนเดียวตอนที่เห็นคะแนนตัวเองกลับมาดี แล้วความฝันมันก็จบลงตรงที่พี่เส้นเลือดในสมองแตกจากความเครียด’ พี่เดือนหัวเราะแห้งๆ ‘หมายถึง...ถ้าพี่เครียดมากๆพี่ก็คงมีสิทธิเป็นเหมือนในฝันเหมือนกันนะ’

“พี่เดือน มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะครับนั่น” ผมดุเขาไป พี่เดือนยิ่งหัวเราะแห้งให้เข้าใหญ่ “บางทีผมก็ไม่เข้าใจพี่นะ หัวเราะให้กับสิ่งที่ไม่ควรจะหัวเราะ”

‘พี่หัวเราะเพราะพี่ไม่อยากให้ตัวเองเครียดไปมากกว่านี้ สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาก่อนเจอกุมภ์พี่เครียดเกินไปจนไม่ได้มองอะไรหลายอย่าง พี่ขอบคุณที่กุมภ์เข้ามาเปลี่ยนอะไรหลายอย่างในชีวิตพี่นะ’

“...”

‘พี่ได้เจอกับรุ่นน้องที่ห่วงพี่คนหนึ่ง ได้เจอกับคนที่มีพลังงานด้านบวกที่สามารถทำให้คนรอบข้างยิ้มตามได้ ได้เปิดใจมองอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้เปิดรับความรู้สึกจริงๆของตัวเอง ได้รู้ว่าตัวเองนั้นต้องการอิสระมากกว่าสิ่งใด’ พี่เดือนค่อยๆพูด ‘กุมภ์เป็นคนที่ทำให้พี่ได้รู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้โหดร้ายเสมอไป’

“พี่เดือนรู้ตัวมั๊ยว่าพี่เดือนเปลี่ยนไปหน่อยนะสามสี่เดือนนี้”

‘?’

“พี่เข้มแข็งขึ้น แม้จะไม่มากแต่พี่ก็เข้มแข็งขึ้นแล้ว” ผมเอ่ยออกไป มองรูปที่ผมแต่งบนจออย่างพอใจ ภาพนี้เป็นภาพที่ผมได้ถ่ายเอาไว้ตอนไปร้านกาแฟนอกเมืองด้วยกัน นิ้วของผมค่อยๆไล่ไปตรงกรอบหน้านั้น “บรรยากาศรอบตัวพี่มันมีออร่าความสดใสขึ้นนะ”

พี่เดือนเงียบไป พวกเราไม่ได้พูดคุยอะไรต่อ ผมนั่งแต่งรูปต่อเงียบๆแต่พวกเราก็ไม่ได้วางสายกัน เหมือนเรานั่งอยู่ข้างๆใช้เวลาส่วนตัวกันมากกว่า

เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสี่ ผมได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกช้าๆจากคนในสาย นั่นทำให้ผมรู้ว่าพี่เดือนคงเผลอหลับไปเสียแล้ว

“หวังว่าไม่ได้หลับคาหนังสือนะพี่เดือน ฝันดีนะครับ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายตัดสายไปเสียก่อนแล้วนั่งแต่งรูปต่อ

 

“อ่า...หนาวจัง...”

ดินบ่นในขณะที่พวกเราทุกคนนั่งในห้องสมุดตอนบ่าย วันนี้ครูประชุมทั้งโรงเรียน พวกเราที่ไม่มีที่ไปเลยต้องมาสิงที่นี่แทน พี่เดือนนั่งข้างๆผมพร้อมกับกองหนังสือจำนวนมหาศาลที่เขาเอามาอ่านเล่น ผมเห็นเขากำลังแอบพิมพ์อะไรลงไปในโน้ตบุ๊คข้างๆกันด้วย แต่พอผมแอบดูเขาก็พับหน้าจอลงราวกับว่าไม่อยากให้ผมรู้ด้วยเท่าไหร่นัก ถ้าเขาไม่อยากให้ผมเห็นผมก็ไม่มีสิทธิไปก้าวก่าวเขาหรอก แต่อ่านหนังสือกับพิมพ์อะไรไปด้วยพร้อมๆกันนี่ก็เก่งเกินไปหน่อย

“วันนี้เย็นกว่าวันอื่นจริงๆด้วย” อุ้มฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะ “รึเป็นเพราะว่าห้องสมุดแอร์เย็นกว่าเดิมกัน?”

“ก็ไม่นะ พี่ปรับแอร์ตามปกติ แต่คงจะเย็นจริงๆนั่นแหละ”

“ผมกลัวว่าจะมีพายุเข้านี่แหละ เหมือนหน้าร้อนอะที่อากาศร้อนจัดๆแล้วก็มีพายุฤดูร้อนเข้าเฉย แรงกว่าพายุฝนธรรมดาอีก ส่วนอากาศเย็นๆนี่ก็คงเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนกำลังมา” ผมพยักหน้าสนับสนุนนที “...ไม่ทันไรมืดลงแล้วนั่น”

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น จากนั้นตามด้วยเสียงระเบิด ทุกคนร้องตกใจก่อนที่ไฟจะดับลงพร้อมกับเสียงลมพายุที่ดังมาก ผมกับพี่เดือนรีบวิ่งไปปิดหน้าต่างห้องสมุดเอาไว้เพื่อไม่ให้ลมพัดเม็ดน้ำฝนเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับหนังสือพวกนั้น

“ไม่ทันขาดคำฝนก็ตกตามที่ว่า” นทีเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ของเขา “เมื่อกี๊ฟ้าผ่าลงหม้อแปลงโรงเรียนแน่ๆไฟถึงดับแบบนี้”

“โรงเรียนไมมีเครื่องสำรองไฟเหรอคะพี่?”

“ไอ้มีน่ะมันมีอยู่ แต่มันไม่ทำงานน่ะสิ” พี่เดือนเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ตัวเองอีกคนเพื่อเพิ่มแสงสว่าง “กุมภ์ เดี๋ยวมากับพี่หน่อยนะ เราต้องคุมคนในห้องสมุดไม่ให้ตกใจไปมากกว่านี้ พี่ว่ายังมีหลายคนที่อยู่แถวชั้นหนังสือแล้วมองไม่เห็นไม่กล้าออกมา”

ผมขานรับ เดินตามแผ่นหลังพี่เดือนไปทางมุมอับของห้องสมุดแห่งนี้ เราเห็นผู้หญิงสองคนกำลังนั่งตัวสั่นเพราะกลัวเสียงฟ้าผ่าอยู่ตรงพื้นเลยช่วยพาเดินมาส่งรวมกับกลุ่มคนข้างนอก นอกจากเสียงฟ้าผ่าแล้วเรายังได้ยินเสียงน้ำฝนกระทบหลังคาดังจนแทบพูดอะไรไม่ได้ยินด้วย

“กุมภ์ หลบก่อน”

“ครับ?”

“ชู่...”

พี่เดือนสั่งให้ผมเงียบเอาไว้ก่อน เขาปิดไฟฉายโทรศัพท์ก่อนที่จะดันผมให้ไปหลบอยู่ข้างๆชั้นหนังสือใหญ่หนึ่ง

“แม่จะเอาเงินนั่นไปทำอะไรกันแม่ ผมเบิกให้ตามจำนวนที่แม่สั่งแล้วแต่แม่ไม่ยอมบอกผมเลยว่าเอาไปทำอะไร ว่าตามตรงผมเองก็ไม่สบายใจเหมือนกันนะครับ”

“แม่ให้เอาเงินมาก็เอามาเถอะน่า ตอนนี้ก็มีพอแล้ว...”

“แม่ครับ บอกผมมาเถอะ”

“พี่เดือน นี่...”

“อืม ครูประจำชมรมเรากับสหอนันต์” พี่เดือนค่อยๆโผล่หน้าออกไปเพื่อแอบดู ผมไม่ได้ทำตามเพราะกลัวจะเป็นภาระให้มากกว่าเดิม “พี่จะอัดเสียงเอาไว้นะ”

“ครับ” ผมเงียบลง พี่เดือนเปิดโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้งเพื่อบันทึกเสียงบทสนทนาระหว่างแม่ลูกคู่นี้เอาไว้ เท่าที่ผมได้ยินคร่าวๆเมื่อกี๋มันเหมือนกับว่าฝ่ายลูกไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่แม่เป็นฝ่ายให้เขาทำ แล้วเอาเงินส่วนนั้นไปทำอะไรต่อสักอย่างโดยที่ไม่ได้บอกกับลูกตัวเอง

“...ก็ได้ๆ เพราะแม่เห็นแกเป็นลูกหรอกนะ แม่เป็นหนี้พนันวงไพ่อยู่ ใช้เกือบหมดแล้วนั่นแหละแต่ที่นี้ทางเจ้ามือเขาเร่งเอาเงินกับแม่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เลยทำให้แม่หมุนเงินไม่ทันแล้วต้องมาทำแบบนี้ยังไงล่ะ”

ถ้าอย่างนี้แสดงว่าครูคนนี้ก็มีประวัติเสียด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยสินะ

“แล้วแม่เองก็ดีใจนะที่ได้พีรดลเป็นหัวหน้าชมรม เด็กนั่นมันสนใจแต่การเป็นหน้าเป็นตาของตัวเองจะตาย ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดีโดยไม่ค่อยสนใจงานของเรา แค่เอกสารที่เซ็นยังไม่ตรวจสอบซ้ำแบบนี้โตขึ้นไปจะทำการทำงานอะไรได้นอกจากเป็นฝ่ายออกหน้าแล้วให้คนอื่นทำให้แทน” ผมเห็นพี่เดือนกำหมัดแน่น ผมจึงจีบมือเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้พี่เดือนเกิดอารมณ์ร้อนพรวดพราดออกไป “เก่งก็จริงแต่ก็มีความประมาทในการใช้ชีวิตเยอะ แม่คิดว่าถ้าเขาขึ้นบริหารโรงพยาบาลหรือโรงแรมแล้วทำด้วยตัวคนเดียว สักวันคงเจ๊ง”

“...” พี่เดือนกดหยุดบันทึกเสียง เขารอให้ครูกับสหอนันต์คนนั้นเดินออกไปจากจุดนี้เมื่อได้ยินว่าไฟกลับมาทำงานแล้ว เมื่อเสียงฝีเท้าหายไป พี่เดือนก็กำหมัดชกลงกับพื้นทันที

“ครูเห็นพี่เป็นคนแบบนั้นจริงๆสินะ! เห็นเป็นคนที่สนใจแต่หน้าตาของตัวเองสินะ!? ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นคนโกงเงินงบประมาณของพวกเราเสียเอง”

“พี่เดือนครับ ตอนนี้เรามีหลักฐานแล้ว เราเหลือแค่ต้องเอาไปให้ป๋าโต้งนะครับ แล้วทุกอย่างมันจะจบ” ผมเตือนพี่เดือน เขาไม่ได้ตอบกลับมา ผมคาว่าเขากำลังคิดมากกับคำพูดของครูคนนั้นอยู่ “พี่เดือนมองหน้าผมนะ”

ผมยื่นมือทั้งสองข้างไปประกบแก้มเขาให้มองตาผม “ใครจะว่าอะไรพี่เดือนก็ตาม ขอให้พี่คิดซะว่าเขาแค่อิจฉาพี่ พี่เดือนก็คือพี่เดือน คนอื่นเขาจะมองพี่เป็นยังไงก็ช่างเขาในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องจริง และที่สำคัญคือเพราะพี่เดือนเป็นคนที่พิเศษมากเลยทำให้มีคนใส่ร้ายป้ายสีพี่เพื่อให้พี่ตกลงมาอยู่เบื้องล่างพวกเขา”

“กุมภ์...”

“หลายคนพยายามทำให้พี่สติแตก พี่อย่าไปบ้าจี้สติแตกตามเด็ดขาดเลย” ผมตบหน้าเขาเบาๆ “แล้วพี่ก็ไม่ต้องไปเก็บคำพูดของครูอย่างนั้นมาคิด คนที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติคงไม่พูดแบบนั้นหรอกครับ”

“...พี่คิดไม่ผิดจริงๆที่หลงกุมภ์” พี่เดือนหัวเราะเบาๆ “การที่มีกุมภ์อยู่ข้างๆคอยเตือนสติแบบนี้นี่มันดีจริงๆ”

“พี่เดือนเองก็มีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่มีนะครับ อย่าลืมสิ คนเรามีอะไรไม่เหมือนกันหรอก”

พวกเราเดินออกมาจากชั้นหนังสือ พอกลับมาที่โต๊ะเดิมก็เห็นว่านทีหลับไปแล้ว อุ้มกับดินยกนิ้วชี้มาจ่อที่ปากเป็นภาษากายบอกว่าไม่ให้เสียงดัง

“ช่วงนี้นทีมันฝืนตัวเอง ตอนเรียนพิเศษเห็นว่าเผลอหลับคาวิดีโอสอนไปหลายรอบเหมือนกัน”

“มันพักไม่ค่อยพอ ปล่อยให้พักไปเถอะ”

“พี่เดือนเคยเผลอหลับคาวิดีโอสอนแบบนี้มั๊ยครับ?” ผมหันไปถามพี่เดือนที่เอากองหนังสือหลายๆเล่มนั่นมาบังข้างๆโน้ตบุ๊คเพื่อไม่ให้ผมส่องว่าเขากำลังทำอะไร “ผมขอเดาว่าเคย”

“เอาไว้อยู่กันสองคนค่อยบอกได้รึเปล่า?” พี่เดือนยิ้มแห้งๆให้ หมายความว่าเคยสินะ “คือ...”

“ฮั่นแน่ มีความลับอะไรกันสองคนเหรอคะ?” อุ้มส่งเสียงแซวออกมา “เดี๋ยวนี้หัดมีคุยนอกรอบ หมั่นไส้โว้ย”

“มึงไม่ได้สนิทกับพี่เดือนเหมือนกุมภ์นี่หว่า” ดินเปิดหน้าหนังสือการ์ตูนพร้อมกับหาวหวอด “จะว่าไปเหมือนได้ยินมาว่ามีคนเชียร์พี่เดือนกับมึงเงียบๆด้วยนะ”

“ฮะ?” ทั้งผมและพี่เดือนร้องขึ้นมาพร้อมกัน

“กูอยู่ชมรมพฤกษศาสตร์ แล้วที่นี่ก็มีกลุ่มผู้หญิงคุยกันบอกว่าเห็นมึงกับพี่เดือนไปร้านหนังสือด้วยกันบ่อยๆ นั่งรถคันเดียวกันด้วย จนเริ่มสงสัยว่ามีอะไรมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องในชมรมรึเปล่านี่แหละ” ดินอธิบาย “บางวันก็ได้ยินพูดกันว่าเห็นคนคล้ายๆพี่เดือนไปโผล่ที่โรงหนังในห้างที่ไกลจากที่นี่ไปหน่อยด้วย ความจริงผมว่าคนที่เหมือนพี่เดือนนี่ก็มีเยอะนะ สูงๆขาวๆ”

“อ่า...” พี่เดือนจะรู้ตัวมั๊ยนะว่าเขาหน้าซีดๆ “นั่นสินะ พี่เป็นพิมพ์นิยมนี่นา ก็ต้องมีอยู่ทั่วแล้วล่ะ”

“เอาจริงๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะทุกวันนี้มึงตัวติดกับพี่เดือนมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอีก” อุ้มพูด เธอมองผมสลับกับพี่เดือน “ความรู้สึกกูมันบอกว่าทั้งมึงและพี่เดือน...กำลังกุ๊กกิ๊กกันยังไงยังงั้น”

เซ้นท์จะแม่นไปถึงไหนวะเนี่ย พี่เดือนเองก็หันมาทางผมพร้อมกับสีหน้าที่กำลังพยายามบอกว่าผมเองก็หน้าซีดๆ ผมโกหกใครไม่ค่อยเก่ง พี่เดือนเองก็ไม่อยากโกหก เลยกลายเป็นเลิ่กลั่กไปทั้งคู่ซะงั้น

“หน้าซีดๆนะ?”

“อ๋อ พอดีว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ...” ผมบอกไปก่อน พี่เดือนแกล้งทำเป็นพิมพ์งานตัวเองต่อไป

“เวลามึงตอแหลนี่ดูออกชัดเจนมากเลยนะ”

“...สัด” ผมสบถออกเมื่ออุ้มจับผิดผมได้

“ส่วนพี่เดือนก็อย่าทำเป็นแกล้งพิมพ์งานนะคะ สายตาพี่ไม่ได้จ้องไปที่โน้ตบุ๊ครึหนังสือเลย” แล้วเธอก็เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นพี่เดือนที่สะดุ้งตัวโหยง “มีสะดุ้งขนาดนี้ต้องมีอะไรปิดบังแน่ๆ”

“...” ทั้งผมและพี่เดือนเลือกที่จะไม่พูด

“...” อุ้มเองก็จ้องพวกเราไม่เลิก

“...เอ่อ...” กลายเป็นพี่เดือนที่อึดอัดก่อน “พี่ไม่ค่อยสบายใจนะเวลามีคนจ้องอย่างนี้...”

“ใช่ กูเองก็อึดอัดนะ...”

“...เชี่ย...รึว่ามันคือเรื่องจริงวะ?” อุ้มพูดออกมาเบาๆ ดินที่นั่งอ่านการ์ตูนอยู่รีบเงยหน้าออกมาจากหนังสือ ผมกับพี่เดือนสะดุ้งแรงมากจนเริ่มลนลานอธิบายไป

“คือว่า...คือ...เรื่องที่คุยกันมันหมายถึงว่าเราคุยแบบพี่น้องไง ใช่ๆ พี่น้อง...”

“...”

ผมกับพี่เดือนจ้องหน้ากัน ก่อนที่จะถอนหายใจทั้งคู่แล้วยอมรับออกมาโดยที่ผมเป็นฝ่ายพูด “...ก็...อย่างที่ว่ามานั่นแหละ...”

“เอาจริงดิ? คือกูไม่คิดว่าจะจริงนะ...” ดินร้องเบาๆ พี่เดือนพยักหน้าให้ก่อนที่จะอธิบายเพิ่ม

“อืม...ตอนแรกพวกเราก็ยังไม่ได้เอะใจหรอกว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็...ชอบเวลาที่ได้อยู่กับอีกฝ่ายไปแล้ว” พี่เดือนเสียงเบามากเมื่อเทียบกับตอนปกติ “พี่ขอร้องล่ะว่าอย่าเอาไปบอกใครเพิ่ม พี่กลัวว่าคนอื่นจะมองพี่ไปในแง่ไม่ดี พี่กลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยอมรับที่พี่ชอบผู้ชาย”

“ถ้าพี่ขอมาแบบนั้นก็ต้องทำอยู่แล้วนั่นแหละค่ะ หนูเองก็พอจะเข้าใจว่ามันช่วยไม่ได้ แต่ก็นะในสังคมที่พี่อยู่มันคงไม่เหมือนสังคมที่หนูอยู่สักเท่าไหร่ ถ้าให้เดาพี่เดือนคงไม่กล้าบอกพ่อแม่พี่ใช่มั๊ยว่าพี่ชอบผู้ชาย?” อุ้มถาม พี่เดือนพยักหน้าตอบ “มันก็เป็นปกติของคนที่ไม่เคยมีความรัก แถมยังเป็นเพศเดียวกันอีก ถ้าหนูเป็นพี่เดือน หนูก็คงไม่กล้าบอกที่บ้านว่าหนูชอบเพศเดียวกันเพราะกลัวว่าจำทำให้พวกเขาผิดหวัง”

“รู้ใจพี่จังนะ ในโรงเรียนพี่ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ เพราะอย่างมากก็คงเป็นข่าวให้นินทาไปสักพัก แต่ถ้าที่บ้านรู้เข้าพี่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น พี่กังวลไปหมด พี่อยากมีความกล้าแบบกุมภ์ที่สามารถบอกกับที่บ้าน แถมยังเข้าใจด้วย” พี่เดือนหัวเราะเบาๆ “จริงๆแล้วกุมภ์เป็นคนแรกที่เห็นพี่ทุกด้าน ด้านความขี้กังวลของพี่ ด้านความขี้ขลาดของพี่ พี่อยากให้ทุกคนเห็นแต่ด้านที่เป็นที่น่ายอมรับของพี่ ไม่ใช่ด้านที่พี่พยายามปิดเอาไว้ตลอดเวลา แล้วอุ้มกับดินรู้มั๊ยว่ากุมภ์เห็นด้านพวกนั้นของพี่เข้าโดยบังเอิญตลอด แต่เขาก็ไม่เคยว่าอะไรพี่เลย พี่จึงรู้สึกสบายใจและรู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับเขา มันทำให้พี่คิดว่าอย่างน้อยพี่ก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เมื่ออยู่กับเด็กคนนี้”

“พี่เดือนก็อวยผมไป” ผมก้มหน้างุด “แต่ผมก็รู้อะไรหลายๆอย่างจากพี่เดือนนะ มันทำให้ผมรู้ว่าโลกนี้มันก็มีสองด้าน มีดีก็ต้องมีร้าย พี่เดือนสอนให้ผมรู้จักกับความโหดร้ายของโลก”

“และกุมภ์ก็ให้พลังบวกกับพี่”

“พี่ทำให้ผมรู้ตัวว่าความจริงแล้วผมเองก็ยังอ่อนต่อโลกเพราะผมมองโลกในแง่ดีมาตลอด”

“แต่เพราะความมองโลกในแง่ดีก็ทำให้พี่ได้เปิดตามองสิ่งใหม่ๆ”

“พอค่ะ พอๆ เลิกอวยกันก่อนที่ดิฉันจะเหม็นความรักไปมากกว่านี้” อุ้มยกมือห้ามพวกเรา พี่เดือนก้มหน้างุดลงกับหนังสือเพื่อบังไม่ให้ใครเห็นหน้าแดงๆของเขา “ความจริงหนูว่าพี่เดือนกับกุมภ์อยู่ด้วยกันก็น่ารักดี มันเป็นเหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่ดูดเข้าหากันอะ”

“ใช่มั๊ย? กุมภ์เวลาอยู่กับเราก็เป็นคนนิ่งๆ แต่พออยู่กับพี่เดือนนี่กลายเป็นว่าปล่อยความสดใสออกมา ส่วนพี่เดือนอยู่คนเดียวก็ไม่พูดไม่คุยกับใคร อยู่กับกุมภ์ปุ๊บยิ้มทั้งวัน” ดินส่ายหน้าเบาๆพร้อมเสียงขบขันก่อนที่จะอ่านหนังสือต่อ “พวกเราไม่ได้ว่าหรอกว่าจะคุยกับใครรึอะไร ขอแค่ว่าอย่าทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายไม่ให้เสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไรก็พอแล้ว”

“...ขอบคุณนะที่ยอมรับพี่”

“โอ้ย พี่เดือนเรื่องเล็กน้อยน่า พี่เดือนยังทำอะไรให้พวกเรามากกว่านี้อีก ทั้งช่วยติวให้ไหนจะเลี้ยงข้าวโรงอาหารด้วยบางที” อุ้มหัวเราะเบาๆ “แต่หนูขออย่างเดียวก็พอนะพี่เดือน”

“?”

“พี่อย่าเป็นคนทำลายกุมภ์ด้วยมือพี่เอง...ก็พอแล้ว”



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (01/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 09-05-2019 20:50:26
พวกเราเอาหลักฐานเสียงไปให้ป๋าโต้งในเวลาต่อมา จบลงที่ครูคนนั้นถูกสอบสวนวินัยและสั่งย้ายด่วนไปที่อื่น ส่วนลูกชายของเธอนั้นก็คงไม่กล้าไปคุยกับใครสักพักเหมือนกัน เรื่องทุกอย่างจึงจบลงได้ดี

แต่ผมก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะจบง่ายขนาดนี้

สัปดาห์ห้องสมุดวนมาถึง พวกเราใช้งบที่มีจำกัดกับของเก่ามาประยุกต์โดยได้ความร่วมมือจากชมรมกีฬาที่ให้ของบางอย่างกับพวกเรามาใช้ตกแต่งด้วย พวกเขาบอกว่าอยากสร้างคอนเนคชั่นให้ชมรมมากกว่านี้เหมือนชมรมของพวกเรา ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นว่าทั้งชมรมกีฬาและชมรมบรรณารักษ์เป็นเครือข่ายที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันแต่ก็สามารถช่วยงานได้ พี่เดือนเองก็วนไปมาระหว่างงานของชมรมและงานของสภานักเรียน เราได้ครูคุมชมรมคนใหม่เป็นครูที่เป็นพ่อของสมาชิกคนหนึ่งในชมรม เขาบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ลองขอมากับตัวเขาตรงๆเพราะจะได้เขียนใบเบิกเอง เอาให้คนทั้งชมรมตรวจสอบเองเพื่อกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นอีก

ผมกำลังวุ่นวายกันการช่วยสมาชิกคนอื่นๆจัดงานกิจกรรม มันสนุกนะ แต่ก็เหนื่อยไปในเวลาเดียว รวมถึงข่าวเสียหายของชมรมเราที่ลือออกไปเมื่อหลายวันก่อนนั้นมันทำให้ชมรมเราถูกมองแย่ลงไปนิดหน่อย มันไม่ถึงขั้นว่ามีคนดูถูกเราหรอก แต่พี่เดือนเองก็คงเสียศูนย์ไปบ้างเมื่อมีคนเริ่มว่าเขาว่าคุมคนในชมรมไม่อยู่

ผมบอกให้พี่เดือนสบายใจ เพราะอีกไม่นานมันก็จะเงียบไปเอง พี่เดือนก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ บอกเพียงแค่ว่าจะพยายามเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินตรงๆจากปากนักเรียนในโรงเรียน ความมั่นใจที่เคยมีมันก็คงหายไป

นอกจากนี้แล้วนทียังบอกว่าเทอมสองที่จะมีงานโอเพ่นเฮาส์ เขาก็ได้รับหน้าที่ในวงโฟล์คซองค์อีกครั้ง ผมก็ยินดีด้วยกับเขาที่ได้ทำงานเพื่อโรงเรียนอีกครั้ง แต่พอรุ่นพี่ในชมรมมันบอกว่าต้องขึ้นเวทีใหญ่ นทีก็หน้าซีดๆไปเหมือนกันไม่อยากขึ้นเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มรับเอาไว้ตามนิสัย พี่เดือนได้รับหน้าที่ให้ไปเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ ส่วนงานในชมรมพี่เดือนก็บอกว่าจะให้ผมรับผิดชอบเต็มที่ ผมไม่เคยทำมาก่อนเลยไม่รู้ว่าต้องจัดการอะไรยังไง พี่เดือนจึงบอกว่าเขาจะสอนให้เอง ค่อยๆเรียนรู้ไป พี่เดือนคงตั้งใจจะมอบหน้าที่หัวหน้าชมรมให้ผมต่ออยู่แล้วนั่นแหละ ผมจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะดูๆแล้วเขาก็คงไม่รู้จะเลือกใครด้วยนอกจากคนที่ตัวเองรู้จัก

นอกจากนี้พวกเรา...หมายถึงผมกับพี่เดือนก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ถึงปากพี่เดือนจะบอกว่าจีบก็เถอะ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสองก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง พี่เดือนรู้จักการรักษาระยะห่างที่ควรจะเป็นเพื่อให้สบายใจทั้งสองฝ่าย พวกเรารู้ตัวกันดีว่าตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องขยับเข้าหากันไปมากกว่านี้เพราะต่างคนต่างกลัวว่ามันจะทำให้พังเร็วกว่าเดิม อีกทั้งเรื่องที่พวกเรากำลังคุยกันนั้นยังคงเป็นข่าวคลุมเครือกันอยู่ในสายชั้นม.6 เนื่องจากสหอนันต์คนนั้นเอาภาพไปให้คนอื่นดู หลายคนบอกว่าพวกเราก็เป็นพี่น้องที่รักกันดีเฉยๆไม่ต้องไปคิดมาก หลายคนก็บอกว่าพวกเราคุยกันจริงๆ หลายคนก็บอกว่าพี่เดือนไม่ใช่เกย์ จะคุยกับผมทำไม

ความจริงก็คือทั้งผมและพี่เดือนไม่สนใจว่าตัวเองจะนับเป็นเกย์มั๊ย เพราะพวกเรารู้กันแค่ว่าชอบอีกฝ่ายเท่านั้นเอง แต่พี่เดือนก็ยังคิดมากเรื่องที่พ่อแม่จะไม่ชอบเลยไม่กล้าบอกว่าตัวเองชอบผู้ชายอยู่ดี

ผมก็พอเข้าใจว่าเป็นเพราะพี่เดือนไม่อยากทำให้ใครผิดหวังเลยไม่กล้าที่จะบอก แต่ถ้ามันนานเข้าแล้วก็ยิ่งทำให้กลายเป็นปัญหาได้

“วันนี้พอแค่นี้นะทุกคน” พี่เดือนจัดเอกสารให้เข้าที่เดิม บอกเลิกการประชุมประจำชมรม วันนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากเก็บกวาดงานประจำชมรมให้เรียบร้อย พูดถึงหนังสือที่จะเข้ามาใหม่ รวมถึงกิจกรรมภายนอกที่ชมรมบรรณารักษ์ของพวกเราจำเป็นต้องจัดในช่วงปิดเทอมคือการออกค่ายห้องสมุดสัญจรให้กับชุมชนรอบๆ ในครั้งนี้พี่เดือนบอกว่าพวกเราจะได้ชมรมดนตรีมาร่วมด้วย นั่นหมายถึงนทีเองก็ต้องหิ้วกีตาร์มาร่วมงานกับผม อารมณ์คล้ายๆออกค่ายนันทนาการมากกว่า

“ปีนี้ดีจังเลยนะคะพี่เดือนที่ได้ทำงานร่วมกับชมรมดนตรี หนูหมายถึง...มือกีตาร์วงโฟล์คซองค์หล่อมาก”

“พี่สาหมายถึงนทีรึเปล่าครับ?” ผมเปลี่ยนมาเรียกเลขาประจำชมรมว่าพี่สาแทนเหมือนรู้ชื่อเล่นเธอ “นทีเป็นเพื่อนผมเอง”

“ใช่ๆ นทีหล่อมากเลยนะ กุมภ์โชคดีนะเนี่ยที่มีเพื่อนหน้าตาดีแบบนั้น”

“เอ๊ะ? ผมว่านทีก็หน้าตาเหมือนคนทั่วๆไปนะครับ?” ผมเลิกคิ้ว “โอเค อาจจะหน้าตาเหมือนพี่เดือนนิดหน่อยด้วย”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองถอดแว่นล่ะสิ พี่เดือนก็พี่เดือนเถอะ” ว่าแล้วพี่สาก็หันไปทางพี่เดือน “เด็กคนนั้นถ้าให้แต่งตัวหล่อๆ ทำผมดีๆนะ นั่นระดับไปเป็นนายแบบได้เลยอะ เสียดายมากที่แต่งตัวจืดๆกลบออร่าตัวเอง”

พี่เดือนหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องใครจะดูดีเท่าไหร่นัก เหมือนกับผมที่ไม่เคยมองนทีในอีกแง่เลยว่าถ้าเขาแต่งตัวดีๆแล้วจะน่ามองแค่ไหน “แล้วรู้ได้ยังไงล่ะนั่น?”

“พอดีว่าหนูเดินผ่านตรงห้องน้ำพอดี แล้วก็เห็นว่าเด็กจากวงโฟล์คซองค์กำลังล้างหน้าอยู่ พอเงยขึ้นมานะอื้อหือ ผมที่ปรกหน้าเพราะน้ำนั่น สายตาคมๆนั่น กระชากใจมาก แต่พอใส่แว่นแล้วความเนิร์ดมันก็กลับมาเลย” พี่สายิ้มเคลิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนผม อ่า...ผมเองก็อยากเห็นคนขี้แงคนนั้นเหมือนกันว่าจะหล่อแค่ไหนกันเชียว “กุมภ์ พี่ขอเฟสเพื่อนน้องได้มั๊ย ฮือออ”

“พี่ต้องถามมันก่อนนะว่าได้เล่นรึเปล่า ผมมีเฟสมันก็จริงแต่มันไม่เคยลงรูป ไม่เคยโพสอะไรอีกเลยตั้งแต่ปีที่แล้วก่อนเข้ามาโรงเรียนนี้ มีแค่ติดต่อทางไลน์กับเมสเซนเจอร์เท่านั้น” นทีไม่โพสอะไรเลย นั่นทำให้ผมสงสัยว่าเพราะอะไร แต่ก็นะ มันไม่ใช่เรื่องของผมที่ต้องเข้าไปยุ่งด้วยถ้าเพื่อนจะไม่โพสอะไร บางทีเขาอาจจะตั้งส่วนตัวให้เขาเห็นโพสแค่คนเดียวก็ได้

“ถ้าอย่างนั้นบางทีพี่อาจจะไปคุยๆกับทางนั้นนะว่าเผื่อมีใครอยากบริจาคหนังสือมือสองบ้าง จะได้เอาให้เด็กๆในพื้นที่” พี่เดือนเสียบกระดาษทั้งหมดลงกล่องข้างๆ “กลับบ้านกันดีๆล่ะทุกคน”

ทุกคนลาพี่เดือน ผมกับเขาออกมาจากห้องสมุดเป็นคนสุดท้าย วันนี้พวกเรามีเรียนพิเศษตรงกัน เลยจะไปพร้อมกัน แต่ก่อนหน้านั้นผมบอกให้พี่เดือนแวะร้านน้ำปั่นหน้าโรงเรียนก่อนเพราะมีเมนูมาใหม่แล้วอยู่ในโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งด้วย ผมตั้งใจว่าจะให้พี่เดือนหนึ่งแก้วแต่ไม่แน่ใจว่าเขาชอบรสชาติแบบนี้รึเปล่าจึงสั่งหวานน้อยไป

สมูทตี้ส้มเลม่อนสีสวยอยู่ในมือทั้งสองข้างของผม พี่เดือนกำลังยืนรอหน้าร้าน หลายคนสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่แทนที่จะรีบไปที่เรียนพิเศษ ผมยื่นให้เขาหนึ่งแก้วก่อนที่จะดูดของตัวเอง รสชาติไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีถือว่าอร่อยอะไรขนาดนั้น เหมือนมันยังขาดอะไรสักอย่างอยู่ พี่เดือนเองก็น่าจะรู้สึกเหมือนกัน แต่ก็พยายามดูดให้หมดเพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง

“วันหลังสั่งลาเต้เหมือนเดิมดีกว่าเนอะ” พี่เดือนกระซิบเบาๆข้างหูผมเพื่อไม่ให้เจ้าของร้านรู้ว่าเรานินทา พวกเราหัวเราะก่อนที่จะเดินขึ้นรถไปด้วยกัน

และบางทีก็ลืมตัวไปว่ามีหลายคนที่มองพวกเราอยู่

 

‘พี่เดือนคบกับเด็กคนนั้นเหรอ?’

‘เฮ้ย งั้นที่เขาลือๆกันก็จริงน่ะสิ’

‘ไม่หรอก สองคนนั้นสนิทกัน คนหนึ่งเป็นหัวหน้าชมรม อีกคนเป็นรอง เรียนพิเศษที่เดียวกันพี่เดือนจะให้นั่งไปด้วยก็ไม่แปลก’

‘แต่พี่เดือนช่วงนี้ดูสดใสขึ้นมากนะ เพราะเด็กคนนั้นแน่ๆ ดีจัง’


ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันในโรงอาหาร ผมได้ยินหลายคนพูดถึงพี่เดือน อุ้มกับดินไม่ได้ใส่ใจฟังเพราะสองคนนี้รู้อยู่แล้วว่าผมกำลังคุยกับพี่เดือน แต่นทีนี่ดูให้ความสนใจมากเพราะรู้เรื่องช้ากว่าชาวบ้าน ดังนั้นแล้วมันก็เลยตื่นเต้นหน่อยๆที่เห็นว่าผมเป็นไปอย่างที่มันพูด

“คนพูดถึงเยอะเลยนะ แต่ก็ยังอยู่ในแง่ดี ช่วยไปบอกพี่เดือนด้วยแล้วกันว่าพี่เดือนคิดมากไปเอง” อุ้มพูด “เป็นคนที่คิดมากจนน่าหงุดหงิด ทำไมพี่เดือนต้องกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วย”

“ก็นั่นพี่เดือนไม่ใช่มึงนี่นา” นทีตอบทันควัน “เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของกุมภ์กับพี่เดือนที่ต้องใส่ใจ เป็นชีวิตของทั้งคู่เองนะ”

“พี่เดือนคิดมากแบบนั้นเพราะที่บ้านน่ะ พวกมึงคงเข้าใจนะว่าที่บ้านก็มีทั้งโรงพยาบาลกับโรงแรม มีหน้ามีตาทั้งคู่ วงการคนรวยเราไม่รู้หรอกว่าเข้าออกงานสังคมอะไรบ้างแต่เท่าที่รู้มาจากพี่เดือนมันก็ต้องมี ถ้าเกิดว่ามีคนเอาเรื่องที่พี่เดือนชอบผู้ชายไปพูดล่ะก็ พี่เดือนกลัวพ่อแม่เสียหน้าแล้วมองกันไม่ติดน่ะสิ หนักกว่านั้นคือเขาอาจจะไม่ยอมรับเลยด้วยซ้ำ” ผมถอนหายใจ “สังคมมันเปิดกว้างแล้วก็จริง แต่ทัศนคติของคนเราก็ยังคงอยู่ที่เดิมนะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดใจกับสิ่งใหม่ๆได้โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา”

“นั่นสิ...” นทีเงยหน้ามองดูร้านอาหารต่างๆ “มีทั้งคนที่รับได้กับรับไม่ได้”

พวกเรานั่งกินข้าวกันต่อก่อนที่จะเข้าห้องเรียนเพื่อไปนั่งเล่นรอเข้าคาบ จากนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าประชุมทั้งโรงเรียนเนื่องด้วยพูดถึงการจัดกิจกรรมโอเพ่นเฮาส์ในเทอมหน้า รายละเอียดไม่มีอะไรมากนอกจากการต้องทำออกมาให้น่าสนใจที่สุด ผมเบื่อที่จะต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้ ยังดีที่เขาให้พวกเราเลือกที่นั่งได้เองว่าจะนั่งตรงไหน ผมจึงหนีมานั่งมุมห้องเพื่อมาแอบหลับสักงีบโดยมีนทีมานั่งเป็นเพื่อน

ตื่นมาอีกทีก็ถึงตอนที่พี่เดือนขึ้นมาเล่าว่าจะจัดอะไรตอนไหน เขาบอกไม่ต้องรีบร้อนเร่งทำเพราะงานนี้ยังเหลือเวลาอีกมาก อีกทั้งเขาอยากให้ทุกคนเต็มที่กับงานกีฬาสีหลังจากโอเพ่นเฮาส์นี้ สายชั้นม.5 ได้รับหน้าที่ทุกปีเพราะช่วงนั้นเด็กม.6 จะต้องเก็บตัวเตรียมสอบเช้ามหาลัยกันแล้ว

พูดถึงมหาลัย ผมก็อดกังวลแทนเขาไม่ได้อยู่ดี

พี่เดือนต้อเรียนมหาลัยเดียวกันกับที่พ่อแม่เลือกเอาไว้ให้โดยไม่มีขัด นั่นทำให้ผมสงสารเขา บางทีเขาอยากจะเรียนที่อื่น เรียนอย่างอื่น หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เขามีความสุขมากกว่านี้ ชีวิตเป็นของเขาแต่เขาไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเลยสักนิด และถ้าเกิดว่าเขาฝืนเรียนจนตัวเองทนไม่ไหวเกิดความเครียดขึ้นมา ใครก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเขาได้แล้ว เขาจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นแม้ว่าจะมีพร้อมทุกอย่าง

“สีหน้ามึงดูกังวลนะ คิดว่าทำไม่ไหวเหรอ?”

“เปล่า แค่นึกถึงอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยของพี่เดือนแล้วก็กังวลขึ้นมาน่ะ พี่เดือนจะมีความสุขมั๊ยถ้าเกิดเขาเลือกเรียนในสิ่งที่เขาไม่ได้อยากเรียน”

“กุมภ์”

“?”

“มึงเชื่อกูเถอะว่าอีกไม่นานเขาก็จะเจอตัวเอง” นทียิ้ม “เพราะมึงเป็นความสุขของเขา ถ้าเขามีความสุข เขาก็จะเจอทางที่ตัวเองอยากเดินเพื่อมึง”

 

นทีเป็นคนที่แปลก...ผมหมายถึงเขาแปลกหลายอย่างมากๆ บางครั้งก็เป็นผู้ใหญ่เกินวัย บางครั้งก็งอแงเป็นเด็ก แต่นั่นคือข้อดีของเขาที่ทำให้ผมได้มองอะไรหลายๆด้านมากขึ้น

วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งมาถึงช่วงสอบปลายภาค วันสุดท้ายของผมเดินออกมาจากห้องด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนักเนื่องจากทำไม่ค่อยได้ ต่างจากนทีที่น่าระรื่นมาก

แหงล่ะ คำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ดนตรีในชาติต่างๆ คนชอบดนตรีเป็นทุนเดิมอย่างมันคงไม่มีทางที่จะไม่ศึกษาเอาไว้หรอก

พี่เดือนนัดทุกคนในชมรมเอาไว้ว่าจะเริ่มคุยกับคาจากชมรมดนตรีเป็นทางการในอีกสามวันหลังจากสอบเสร็จที่ร้านกาแฟหน้าโรงเรียน นทีบอกว่าจะมารับผมเอง พี่เดือนก็ไม่ได้ว่าอะไรที่เขาจะมารับผมหรอก แต่เขาก็แอบอิดออดนิดๆเพราะตัวเองไม่ได้มาพร้อมกับผม

“ผมไม่ทำอะไรว่าที่แฟนพี่หรอกน่า”

นทีทิ้งคำนี้เอาไว้ก่อนที่จะวิ่งหนีไป ปล่อยให้พี่เดือนและผมหน้าแดงอยู่ที่นั้น

 

สามวันต่อมา พวกเราประชุมด้วยกันเรื่องสิ่งที่ต้องทำในงานการจัดกิจกรรมครั้งนี้ พี่เดือนและหัวหน้าชมรมดนตรีเป็นหัวเรือหลักในการจัดและแนะนำสิ่งต่างๆ ส่วนผมมีหน้าที่คอยฟังและนำไปอธิบายเพิ่มเติม นทีอยู่กับผมด้วยเพราะรอบนี้มีแต่คนจะให้เขาเป็นนักร้องนำ จะมีความสำคัญเป็นพิเศษ

“มึงว่าเราต้องค้างคืนมั๊ยอะ?”

“คงต้องค้างคืน จากเท่าที่ฟังมาดูแลผอ.จะให้พวกเราไปในชุมชนที่ห่างจากที่นี่หน่อย แต่จะทำเรื่องขอใช้สถานที่เป็นที่พักให้”

“กูไม่เคยออกไปที่ไหนไกลๆเลยนะ ขนาดเข้าค่ายอยู่โรงเรียนเก่ากูยังให้อยู่ภายในสนามหญ้าข้างๆตึกเรียนเลย” นทีส่ายหน้า “กูกังวลด้วยแหละว่าถ้าเกิดมีอะไรแล้วมันจะลำบาก นอกสถานที่แบบนี้”

“เอาน่า มันคงไม่มีอะไรหรอก กูเคยจัดค่ายกิจกรรมทำนองนี้ตอนม.2 เอง แต่นั่นไม่ได้ค้างคืนนะ มันก็สนุกดี” ผมนึกถึงค่ายวิทยาศาสตร์เล็กๆที่พวกเราไปจัดกันเองเพราะเป็นส่วนหนึ่งในรายวิชาวิทยาศาสตร์ที่เน้นกิจกรรม...ความจริงคือครูบังคับให้ทำเพราะครูขี้เกียจสอน เงินค่านู่นนี่พวกเราก็ออกกันเอง ยังดีที่เราสามารถยื่นเรื่องให้โรงเรียนช่วยเรื่องรถและติดต่อสถานศึกษาอื่นได้ จากนั้นครูรายวิชาที่สอนผมก็ไม่ได้รับหน้าที่ให้สอนอีกเลย เธอถูกย้ายไปอยู่ประชาสัมพันธ์เต็มตัว

ก็นะ คงจะเหมาะกับงานอย่างนั้นมากกว่า

พี่เดือนพูดคุยเรื่องหนังสือที่จะเอาไปจัด ที่นั่นมีคนสูงอายุกับคนวัยทำงานเยอะ เหมาะกับการที่จะเอาหนังสือปรัชญาหรือหนังสือสูตรอาหารไปมากกว่า พี่เดือนยิ่งขอความร่วมมือกับคนที่ทำอาหารได้ให้ช่วยสาธิตวิธีทำอาหารง่ายๆจากหนังสือที่เอาไปด้วย เขาคำนวณทุกอย่างมาพร้อมว่ากลับจากงานกิจกรรมครั้งนี้พวกเราต้องได้เผยแพร่สาระดีๆแก่ชุมชน เราต้องได้อะไรสักอย่างกลับมาเพื่อให้เป็นผลงานแก่ชมรมและได้แก้ตัวจากข้อผิดพลาดที่ผ่านมา พวกเราเห็นด้วย นทีบอกว่าพวกเขาเองก็ต้องทำผลงานให้ชมรมเพื่อของบสนับสนุนมากกว่านี้ ถึงชมรมของพวกเขาจะถูกเรียกว่าชมรมดนตรี แต่ถ้าเทียบกับชมรมดุริยางค์แล้วพวกเขาได้งบไม่ถึงครึ่งของฝั่งนั้นด้วยซ้ำ

“อีกสองสัปดาห์เราจะเจอกันที่โรงเรียนนะครับ หลังจากนี้ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ ชมรมดนตรีก็อย่าฝืนซ้อมเยอะจนกลายเป็นหักโหม เมื่อถึงวันนั้นพวกเราจะเต็มที่ทำเพื่อชุมชนกัน” พี่เดือนจับมือกับหัวหน้าชมรมดนตรี “กลับบ้านกันดีๆนะครับ”

เป็นคำพูดที่เป็นคำติดปากของพี่เดือนไปเสียแล้วสำหรับคำว่ากลับบ้านกันดีๆ ทุกคนลาพี่เดือน เหลือผม นที และเจ้าตัวหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์นั่งอยู่ในร้านกาแฟ

“นที พี่ขอไลน์หน่อยได้มั๊ย?”

“ครับ?”

“พอดีพี่มีเรื่องจะอยากติดต่อด้วยน่ะ” นทีพยักหน้าแล้วบอกไอดีไลน์กับพี่เดือนไป ผมสงสัยว่าเขาก็น่าจะคุยกันต่อหน้าผมได้นี่นา หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น? “เดี๋ยวค่ำๆพี่ทักไปนะ เรื่องงาน”

“ถ้าเรื่องงานก็คุยกันที่นี่ก็ได้นี่ครับ?”

“คือ...มันค่อนข้างจะยาวน่ะ พี่จะพิมพ์สรุปเอาเลยน่าจะง่ายกว่า” พี่เดือนทำน้ำเสียงเรียบๆ ผมไม่ได้ถามเขาต่อ เอาเถอะ ถ้าเขาอยากปิดเป็นความลับผมก็จะไม่บังคับให้เขาพูดอะไร “วันเสาร์นี้เรามาเลือกหนังสือที่ห้องสมุดลงกล่องช่วยกันเถอะนะ”

“แล้วคนอื่นๆล่ะครับ?”

“ชมรมดนตรียังไงก็ต้องซ้อมดนตรีกันอยู่แล้วใช่มั๊ย?” นทีขานรับ “คนอื่นในชมรมของเราจะมาช่วยจัดวันอื่น ผลัดกันทำเพื่อไม่ให้เสีบเปรียบ แล้วก็วันจริงก็อย่าลืมพวกข้าวของเครื่องใช้สำหรับค้างคืนหนึ่งวันด้วยล่ะ”

ผมพยักหน้า ตอบรับสิ่งที่พี่เดือนสั่งมา พวกเรานั่งคุยเรื่องอื่นอย่างเช่นข้อสอบและการเรียนอีกจนกระทั่งแยกย้ายกันกลับ พี่เดือนมาส่งถึงหน้าบ้านผม แต่ก็โดนพ่อกับแม่ลากเข้าไปนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันเสียก่อน แถมยังบอกว่าให้คอยเอาใจผมด้วย

ผมรู้สึกว่าเขามีความสุขมากที่ได้คุยกับครอบครัวผม แต่เมื่อพวกท่านเริ่มถามถึงครอบครัวฝั่งพี่เดือนแล้ว เขาก็ไม่ค่อยอธิบายอะไรมาก พ่อแม่เองก็คงเข้าใจว่าเขาไม่ค่อยถูกกับคนที่บ้านนักเลยไม่อยากจะพูดให้คนนอกไม่สบายใจไปด้วย

“เดือน”

“ครับ?”

“ถ้าไม่สบายใจอะไรล่ะก็ ที่นี่ต้อนรับเสมอนะจ๊ะ” แม่ของผมยิ้ม พี่เดือนจึงยิ้มตาม

“ขอบคุณครับ” และพูดขอบคุณจากใจจริง



==========


ต่อจากนี้คือความหวานจ้า หวานแบบเพิ่มไซรัปหลายเท่าเลย พี่เดือนมีเรื่องมาเซอร์ไพรสบทหน้าด้วย อิอิ

แต่พอหลังจากหวานๆแล้ว ความขมมันก็มากเท่าตัวนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (09/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-05-2019 23:24:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

ให้นทีสอนเล่นกีตาร์ใช่ป่ะ  แล้วก็ไปสะใภ้น้องในงาน  อิอิ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (14/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 14-05-2019 22:00:00
บทที่ 8

 

“สวัสดีทุกคนในที่นี้ด้วยนะครับ พวกเราชมรมดนตรีและชมรมบรรณารักษ์ วันนี้พวกเรามาจัดกิจกรรมห้องสมุดสันจรให้แก่ชุมชนของทุกคน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

สิ้นสุดเสียงของหัวหน้าชมรมดนตรี เสียงปรบมือก็ดังขึ้นตาม แม้ว่าที่นี่จะมีชาวบ้านไม่เยอะมาก แต่พวกเขาก็ต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น ช่วยตั้งข้าวของภายในตึก พวกผมจึงต้องตอบแทนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้โดยการให้ความรู้ที่มีและเล่นกับเด็กๆที่มาที่นี่

นทีชอบเด็กมาก ผมเห็นเขากำลังวิ่งเล่นกับเด็กหน้าตึกที่เป็นทั้งที่พักและที่ตั้งของห้องสมุดสันจรของเรา มีคุณลุงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังนั่งเปิดหนังสือปรัชญา แม่บ้านมือใหม่กำลังเลือกหนังสือทำอาหาร คนไทยที่พอทำได้ก็จะตามไปสอนให้ถึงบ้าน ฟังดูเวอร์วังไปหน่อยแต่นั่นคือสิ่งที่พวกเราเด็กม.ปลายช่วยกันทำ พี่เดือนกำลังอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง น้ำเสียงเขานุ่มๆฟังเพลินดี ส่วนคนอื่นๆก็คอยจัดหนังสือให้เข้าที่บ้าง สอนเด็กอ่านบ้าง มีผมที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่กับการตามเก็บงานเอกสารต่างๆอยู่คนเดียว พี่เดือนก็อาสาช่วยแต่ผมห้ามเขาเพื่อให้เขาให้ความสนใจกับผู้พิการก่อน

กึ่ก

“พี่...อ่าน” เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งเดินเตาะแตะมาดึงเสื้อของผมเอาไว้ ผมจึงหันมองหาพ่อแม่ของเด็กคนนี้แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครจะมาตาม

“ว่าไงครับคนเก่ง อยากให้พี่อ่านให้ฟังเหรอ?”

เด็กชายพยักหน้า ผมนั่งลงกับพื้น เด็กน้อยเดินเข้ามานั่งจุมปุ๊กลงข้างๆพร้อมกับเบียดตัวเข้ามาเพื่อให้เห็นรูปภาพในหนังสือเท่าที่จะทำได้ ผมหัวเราะก่อนที่จะเปิดหน้ากระดาษ มันเป็นนิทานภาพสำหรับเด็ก มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมเสื้อฮู้ตสีแดงเตรียมเข้าป่าเพื่อไปเยี่ยมคุณยายของเธอ

หนูน้อยหมวกแดง นิทานคลาสสิก

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เด็กหญิงในเสื้อฮู้ตสีแดงได้เดินเข้าป่าเพื่อไปเยี่ยมคุณยายที่กำลังนอนป่วย” ผมหันมองเด็กผู้ชายที่นั่งข้างๆกัน “คนเก่งเคยไปเยี่ยมคุณยายรึเปล่าครับ?”

“คับ คุงยายใจดี”

“คุณยายของหนูน้อยหมวกแดงคนนี้ก็ใจดีนะ เรามาต่อกันดีกว่า ในระหว่างทาง หมาป่าก็ได้แอบตามเธอไปเพื่อหวังจะจับกิน ทว่าหาจังหวะไม่ได้เสียที เมื่อได้ยินเสียงเด็กคนนั้นพูดเบาๆกับตัวเองว่าไปหาคุณยาย เจ้าหมาป่าก็คิดกลอุบายขึ้นมาว่าเขาจะต้องไปถึงบ้านคุณยายของเด็กคนนี้ก่อน จับคุณยายกิน และปลอมตัวเป็นคุณยายของหนูน้อยแทนเสียเพื่อจะอาศัยจังหวะที่เธอเดินเข้ามาใกล้ๆกระโจนเข้าใส่”

“หมาป่าใจร้าย หมาป่าจะกิงคุงยาย”

“ใช่มั๊ยล่--อะ” หนังสือนิทานภาพในมือของผมถูกดึงออกไปโดยพี่เดือนที่มายืนอยู่ข้างหลังผมเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขาเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องให้แทนโดยที่มานั่งข้างๆผมด้วย “พี่เดือน ผมยังอ่านให้น้องฟังให้จบเลย”

“มันโหดร้ายไปสำหรับเด็กนะ เอาลูกหมูสามตัวไปดีกว่า” นิทานลูกหมูสามตัวในมือของผมกำลังเปิดไปที่หน้าแรก พอผมจะขอนิทานเล่มที่อ่านอยู่คืน พี่เดือนก็ฝากให้คนอื่นเอาไปเก็บไว้เสียแล้ว “ถ้าพี่จำไม่ผิดมันจบลงที่เด็กก็ถูกกินนี่นา?”

“พี่ไปจำมาจากไหน คุณยายไม่ได้ถูกกิน เด็กไม่ได้ถูกกิน นายพรานเข้ามาช่วยไว้ได้ทันตังหาก” ผมเถียงพี่เดือนไป เขาก็ยังคงส่ายหน้าอยู่ดี

เฮ้อ

“เสียดายจังนะที่พี่ชายใจร้ายคนนี้เอานิทานเราไปแล้ว” ผมหันไปคุยกับเด็กผู้ชาย เขายิ้มกว้าง ชี้ไปที่พี่เดือนแล้วพูดออกมา

“พี่ชายใจร้าย น่ากัวเหมืองหมาป่า”

“อ้าว โดนกล่าวหาว่าใจร้ายกว่าหมาป่าไปแล้วเหรอเนี่ย” พี่เดือนหัวเราะ “งั้นพี่จะให้พี่น่ารักคนนี้เล่านิทานเรื่องใหม่ให้ฟังนะ หนูรู้จักหมูรึเปล่าเอ่ย?”

“หมูอู๊ดๆ”

“ใช่ครับ กุมภ์ เล่าให้น้องฟังสิ”

“ครับๆคุณหัวหน้าชมรม กาลครั้งหนึ่งมีลูกหมูสามตัวเป็นพี่น้องกัน อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน วันหนึ่งพวกเขาตัดสินใจที่จะสร้างบ้านเป็นของตัวเอง จึงต่างแยกย้ายกัน สร้างบ้านด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน” ผมอ่าน พี่เดือนทำท่าทางตาม ตอนนี้เขากำลังเลียนแบบลูกหมูตัวที่หนึ่งอยู่ “ลูกหมูตัวแรกสร้างบ้านจากฟาง เพราะว่าเบา สร้างง่าย ประหยัดเวลา หมาป่าที่ผ่านมาหวังจ้องจะจับลูกหมูกิน จึงเคาะประตูขอให้ลูกหมูเปิดประตูให้ แต่ว่าลูกหมูไม่เปิดให้”

“จากนั้นหมาป่าก็จัดปากเป่าลมให้บ้านฟางปลิว อย่างนี้” พี่เดือนทำท่าเป่าลมไปที่กระดาษแผ่นเล็กๆจนปลิวไปอีกทาง “ลูกหมูตัวนั้นรีบวิ่งไปหาลูกหมูตัวที่สองที่สร้างบ้านด้วยไม้”

“หมาป่าใช้กลอุบายเดิม และเมื่อไม่สำเร็จก็เป่าลมให้บ้านไม้ปลิวไปเช่นกัน ลูกหมูทั้งสองจึงร้องไห้งอแงวิ่งไปหาลูกหมูที่อยู่บ้านหลังที่สาม”

“ลูกหมูตัวที่สามสร้างบ้านจากอิฐ แข็งแรง ทนทาน ถึงจะเสียเวลากว่าลูกหมูตัวอื่นแต่เขามั่นใจว่าปลอดภัยจากหมาป่า” พี่เดือนหยิบหนังสือออกมา ทำท่าหลบซ้ายขวา “หมาป่าเป่าลมมาแบบนี้ ฟู่!”

“ก็ไม่ปลิวไปกับลม หมาป่าจึงยอมแพ้กลับบ้านไปในที่สุด ลูกหมูทั้งสามตัวดีใจมากที่ไม่ต้องตกเป็นอาหารของหมาป่าตัวนั้น” ผมปิดท้ายให้ แต่พอหันไปมองเด็กอีกที เด็กคนนั้นก็ไหลไปหลับบนตักผมเสียแล้ว “พี่เดือนก็ไม่บอกผมว่าเด็กหลับไปแล้ว เล่าเสียเวลาเปล่าเลย”

“ถ้าเกิดหยุดกลางคันเด็กก็ตื่นขึ้นมาพอดี” พี่เดือนหัวเราะ “เหมือนกำลังเลี้ยงเด็กเลยนะ”

“ไม่รู้ว่าพ่อแม่เด็กคนนี้หายไปไหนนี่แหละครับ”

“ถ้าเป็นพ่อแม่เด็กคนนี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าพวกเราก็เล่นรอพวกเขามารับเด็กคนนี้ก็ได้นะ” พี่เดือนขยับตัวเข้ามาลูบเส้นผมเด็กชายช้าๆ “ดูสิ หลับปุ๋ยเลย อาจจะเล่นจนเหนื่อยมาก่อนก็ได้”

“เด็กคนนี้เขารั้งผมเอาไว้ให้ผมอ่านหนังสือให้ฟังน่ะครับ ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นผมที่ไม่ได้อยู่ประจำที่ให้เด็กเห็นหน้า”

“คงเป็นเพราะกุมภ์มีหน้าที่น่าเข้าหาที่สุดแล้วมั้ง?”

“ครับ?”

“กุมภ์ไม่รู้เหรอว่าเวลาที่กุมภ์กำลังมีความสุขหรือได้ทำอะไรที่ชอบ หน้ากุมภ์จะยิ้มตลอดเวลา คนเลยอยากเข้าหามากกว่าเดิม” พี่เดือนเลื่อนมือตัวเองมาลูบตรงนิ้วมือผมเบาๆ เกลี่ยไปมาเพื่อแสดงความรู้สึกอ่อนโยน “พี่รักจุดนั้นกุมภ์ มันทำให้กุมภ์ดูเป็นคนอ่อนโยนไปด้วย”

“นั่นก็ปกติของผมนะครับ เวลาที่เราได้ทำอะไรที่เรารักก็มักจะมีความสุข ไม่มีใครทำหน้าอมทุกข์หรอก แต่พี่เดือนเวลาดูแลเด็กนี่ก็ดีนะ มุมอ่อนโยนเอาใจใส่พี่ช่วยผ่อนคลายกับสร้างบรรยากาศให้เด็กสนใจพี่ได้มากขึ้น หรือไม่มันก็อาจจะเป็นพรสวรรค์ของพี่อยู่แล้วที่สามารถทำให้ทุกคนสนใจพี่ได้”

“ยกเว้นกับครอบครัว”

“ไม่นับตรงนั้นสิครับ วันนี้เรามางานนันทนาการ เราจะไม่คุยเรื่องเครียดๆกัน เราจะต้องมีความสุขกับสองวันที่จะมอบช่วงเวลาดีๆให้ชาวบ้านที่นี่” ผมบอกเขา พี่เดือนยิ้มแห้งๆให้เมื่อเขากลายเป็นฝ่ายลากความเศร้าเข้ามา

แต่ไม่เป็นไร เพราะผมจะเป่าให้ความเศร้านั้นปลิวหายไปเหมือนที่หมาป่าเป่าลมให้บ้านปลิวเอง

“พอมาคิดๆดูแล้ว ไม่เหมือนเลี้ยงเด็กนะ แต่เหมือนเรากำลังเลี้ยงลูกอยู่มากกว่า”

“พี่เดือน!” พูดอะไรบ้าๆออกมา! ลูกอะไร! “อย่าพูดอย่างนั้นเสียงดังสิ!”

“ก็นี่ไง กุมภ์เป็นแม่ พี่เป็นพ่อ มีลูกสักคนสองคนให้วุ่นวายหน่อยๆกำลังพอดี” พี่เดือนยิ้มกรุ่มกริ่ม ผมรู้สึกว่าหน้าผมมันร้อนกว่าที่ควรจะเป็นจากความคิดแปลกๆของพี่เดือน "ถ้าเราคบกันแล้ว พี่ไม่ยอมอยู่ใต้ร่างกุมภ์นะ"

“พี่เดือนลามก!”

“พี่แค่หยอกเล่นเฉยๆน่า คิดมากไป” พี่เดือนหัวเราะ “เมื่อมันถึงเวลา มันก็ถึงของมันเอง อนาคตยังอีกไกลนะ”

“แต่พี่ก็ไม่ควรจะมาพูดเรื่องอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะหรือต่อหน้าเด็ก”

“เด็กหลับไปแล้วนี่นา ไม่เป็นไรหรอก” พี่เดือนเปลี่ยนทิศทางตัวเองนั่งอีกครั้งมานั่งข้างๆผม พวกเรามองดูเด็กที่กำลังหลับไปด้วยกันจนกระทั่งผ่านไปอีกสามสิบนาที ผมก็เริ่มง่วงนอนตามบ้าง

“...” ผมสะบัดหน้าเบาๆเรียกสติ หันไปทางพี่เดือนที่น่าจะเปิดหนังสืออ่านเงียบๆอยู่ก็เห็นว่าเขาเองก็หลับไปแล้วเหมือนกัน

และผมเองก็ค่อยๆหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองท่องเที่ยวไปในโลกความฝันแสนหวานแทน

 

“สงสัยว่างานนี้เราจะมีคู่รักคู่ใหม่ว่ะไอ้น้องนที”

“นั่นสิพี่ ดูสิ นอนหลับซบกัน แถมมีเด็กอยู่ด้วย ยังไงก็พ่อแม่ลูกชัดๆ”

ผมกับพี่เดือนเลี่ยงไม่สนใจเสียงแซวจากบรรดาสมาชิกชมรมดนตรีและบรรณารักษ์หลายคนด้วยอาการหน้าแดง พ่อแม่ของเด็กคนนั้นรีบกลับมารับลูก ขอโทษใหญ่ที่ปล่อยเอาไว้โดยไม่บอกก่อน พวกผมไม่ได้ว่าอะไรเพราะเด็กก็เป็นเด็กน่ารัก ไม่ซน จากนั้นช่วงเย็นๆพวกเราก็เตรียมการเริ่มต้นกิจกรรมต่อไปที่แพลนเอาไว้ด้วยกันโดยที่ชมรมดนตรีเป็นหัวเรือในคืนนี้

วงดนตรีโฟล์คซองค์ที่จัดขึ้นเพื่อสร้างเพลิดเพลินให้กับชาวบ้าน แน่นอนว่าคนที่สนใจก็จูงลูกจูงหลานมาดู วัยรุ่นในชุมชนที่รักดนตรีก็พากันปั่นจักรยานมานั่งจองที่ตรงลานเล็กๆที่พวกเราใช้เป็นพื้นที่ในการจัดกิจกรรม นทีนั่งปรับสายกีตาร์อยู่เงียบๆข้างผม พี่เดือนเดินไปเตรียมอาหารเย็นที่ทุกคนช่วยกันทำโดยขอยืมครัวของอาคารแห่งนี้ ผมได้กลิ่นแกงเผ็ดฟักลอยมาตามลมด้วย เรียกน้ำลายผมใหญ่

“นที คือกูสงสัยว่าพี่เดือนมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกับมึงเหรอตอนนั้น” ผมหมายถึงตอนที่พี่เดือนขอไลน์นทีมัน เขาหันหน้ามาทำหน้างงๆก่อนที่จะเลี่ยงการให้คำตอบกับผม

“ก็...ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวกูจะแสดงแล้วนะ ไปนั่งรอเถอะ ไปๆ”

“เอ้า...”

ผมถูกคนอื่นในชมรมดนตรีดันหลังให้เดินมานั่งข้างหน้าพื้นที่ที่ปูเสื่ออย่างงงๆ ถามแค่นี้ทำไมต้องเลี่ยงคำตอบกันด้วย

หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น?

ผมคุยเรื่องงานกับพี่สา พี่สาบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เดือนกำลังคิดอะไร พี่เดือนเป็นคนที่พี่สาเดาความคิดยากที่สุด เผลอๆอาจจะเป็นความติสต์ส่วนตัวของพี่เดือนด้วยก็ได้ใครจะไปรู้

“อ่า...ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ”

เสียงนทีดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของคนหลายคน เขาทำให้ทุกคนหันไปมอง “ก็สำหรับในค่ำคืนนี้ พวกเราจะมีการแสดงโฟล์คซองค์จากชมรมดนตรี นอกจากนี้ยังมีเซอร์ไพรสพิเศษอีกด้วยตังหาก นั่นก็คือโซนอาหารที่ตั้งอยู่ตรงขวามือของทุกคนนะครับ” นทีผายมือไปทางโต๊ะอาหาร พี่เดือนกำลังช่วยยกออกมาจากครัว มิน่าละถึงไปดูแล “ใครที่หิวๆแล้วอยากทานอะไรก็เชิญได้เลยนะครับ มีน้ำ มีขนมพร้อม คืนนี้จะได้อยู่กับพวกเราไปนานๆ อย่าเพิ่งเบื่อพวกเรากันด้วยล่ะ”

นทีเรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้านได้ดี เขามีความสามารถพิเศษตรงที่เป็นจุดดึงสายตาคนอื่นได้นี่แหละ

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเริ่มด้วยเพลงแรกกันก่อนเลยนะครับ เป็นเพลงฟังง่ายๆ สบายๆ Lemon Tree ครับ”

 

‘I'm sitting here in the boring room

It's just another rainy Sunday afternoon

I'm wasting my time

I got nothing to do

I'm hanging around

I'm waiting for you

But nothing ever happens and I wonder’*

 

*Lemon Tree by Fools Garden


 

นทีเริ่มร้องเพลงที่ผมคุ้นออกมา มันเป็นเพลงฟังสบายๆ แถมเมื่อนทีเปล่งคำออกมาปุ๊บ ทุกคนก็ยิ่งให้ความสนใจกันใหญ่ เสียงของนทีมันมีพลังในตัวสูงทีเดียว มันไม่ได้ทุ้มเกิน ไม่ได้สูงเกิน อยู่ในช่วงพอดีๆที่ฟังเพราะหู ทุกคนเองก็ดูจะเพลินไปกับนทีที่ตอนนี้เข้าสู่อีกโลกไปแล้วด้วย ผมจึงขอลุกไปหาอะไรกินเสียก่อน

พี่เดือนยืนอยู่ข้างๆถาดผลไม้ กำลังจิ้มแตงโมในจานกระดาษกินอยู่ ผมจึงถือวิสาสะแย่งพี่เขากินพร้อมกับหันไปยักคิ้วใส่ พี่เดือนคงหมั่นไส้ผมเลยใช้จังหวะที่ผมกำลังจะจัดการแตงโมอีกชิ้นเข้าปากดึงมือผมงับแตงโมนั่นเข้าไปเอง

ผมกับพี่เดือนเถียงๆเล่นๆกันไปสักระยะก่อนที่จะถึงช่วงพักของนที ให้วงโฟล์คซองค์อีกวงที่มาสำรองสลับกันเล่น นทีเดินเข้ามาหยิบแก้วน้ำแดงชงเย็นๆขึ้นดื่ม มองพวกเราเล่นด้วยกันแล้วยิ้มให้ ถ้ามันไม่ได้พูดอะไรผมก็ไม่ต้องไปสนหรอก แต่ผมเองก็กังวลเหมือนกันว่าพี่เดือนจะคิดมากรึเปล่าที่คนอื่นเองก็เริ่มพอสังเกตได้บ้างว่าผมกับพี่เดือนมีอะไรที่มากกว่าที่เห็น หลายคนก็คงพอเดาได้แล้วจากการที่เราเผลอหลับซบไหล่กันตอนกลางวัน ผมรู้สึกโล่งหน่อยที่ไม่มีใครบ่นว่ารังเกียจ อาจจะเป็นเพราะพี่เดือนก็ได้ที่ไม่มีใครกล้าบ่นออกมา

จะว่าไปแล้วผมเคยถามคนอื่นที่อยู่ม.6 เหมือนพี่เดือนอยู่ว่าเคยเห็นพี่เดือนฟิวส์ขาดมั้ย เขาก็ตอบว่าเคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง

เขาบอกว่าตอนนั้นมีคนทำน้ำหกใส่กองเอกสารงานสำคัญของห้องจนเปียกใช้ไม่ได้ พี่เดือนที่เสียเวลาทั้งคืนเพื่อทำมันโดยไม่ได้นอนก็หลุดอารมณ์เสียออกมา ถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าโมโหหรืออะไร แต่ทั้งวันก็ไม่ยอมพูดกับใครเลย หน้านิ่งตลอดเวลาด้วย

ถ้าพี่เดือนทำแบบนั้นกับผม...ผมเองก็คงกลัว

แต่ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พี่เดือนกำลังอารมณ์ดี นี่ไง ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแย่งน้ำแก้วเดียวกันกับผมอยู่เนี่ย

“พี่เดือนครับ มีน้ำตั้งหลายแก้วแต่ทำไมพี่ต้องมาแย่งผมด้วย”

“แกล้งเด็กสนุกดี”

“พี่เดือนครับ คนเริ่มมองแล้วนะ”

“เวลากุมภ์ไม่พอใจจะชอบพูดคำว่า ‘พี่เดือนครับ’ ตลอดเลยรู้ตัวรึเปล่าเนี่ย หืม?” พี่เดือนลูบหัวผม “แต่ก็น่ารักสมกับเป็นกุมภ์ดีนะ เอ้า มานี่ เดี๋ยวพี่ป้อนมะม่วงสุกนี่ให้ดีกว่า”

“อย่านอกเรื่องสิครับพี่เดือน แต่มะม่วงสุกก็ดี ผมกินเองดีกว่า” ผมรับจานมะม่วงสุกมานั่งจิ้มกินอร่อยๆ พี่เดือนมองผมแล้วก็ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก นทีที่นั่งพักเส้นเสียงตัวเองจนคิดว่าโอเคแล้วก็กลับไปเล่นกีตาร์พร้อมกับร้องเพลงอีกครั้ง

 

‘Handy Man

Hey, girls, gather round

Listen to what I'm puttin' down

Hey, baby, I'm you handyman

I'm not the kind to use a pencil or rule

I'm handy with love and I'm no fool

I fix broken hearts I know that I truly can

If your broken heart should need repair

Then I am the man to see

I whisper sweet things you tell all your friends

They'll come runnin' to me

Here is the main thing that I want to say

I'm busy twenty four hours a day

I fix broken hearts, I know that I truly can’*

 

*Handy Man by James Taylor



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (09/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 14-05-2019 22:05:14
“พี่อิจฉานทีนะ”

“ครับ?”

“นทีน่ะ เขามีสิ่งที่เขาชอบ เขาสามารถทำในสิ่งที่ชอบได้อย่างเต็มที่ ต่างจากพี่ที่ไม่มีอะไรเลย ความฝันก็ไม่มี สิ่งที่ชอบจริงๆก็ไม่มี” พี่เดือนเหม่อมองวงโฟล์คซองค์ตรงหน้า “พี่อยากเป็นคนธรรมดาๆ ที่มีความชอบ มีความฝัน ไม่ต้องมีฐานะที่ดี ไม่ต้องมีทุกอย่าง ขอแค่พี่ได้หัดฝันบ้างไม่ใช่ทำอะไรต้องมาทำตามที่คนอื่นต้องการแบบนี้ กุมภ์ช่วยบอกพี่ทีได้มั้ยว่าพี่สามารถทำได้?”

“ครับพี่เดือน” ผมยิ้มให้เขา “พี่ทำได้ วันที่พี่จะสามารถพังกรงนั้นออกมามันมีแน่นอน ต่อให้ต้องยากลำบากเท่าไหร่แต่พี่เดือนต้องคิดถึงปลายทางที่สวยงามกว่านี้เสมอนะครับ ผมจะคอยรอดูพี่ในวันนั้นนะ”

“...นั่นสินะ พี่ต้องทำได้” พี่เดือนเดินไปทางวงโฟล์คซองค์ที่เล่นเพลงจบลงแล้ว “แล้วก็..”

“?”

“เซอร์ไพรสที่ว่าน่ะ มันคือนี่ตังหาก”

“อ้าว ในที่สุดพระเอกของงานจริงๆก็มาสักทีนะครับ ผมจะบอกว่านี่คือครั้งแรกเลยที่พี่เดือน พีรดลของพวกเราจะมาร้องเพลงให้ฟัง ใครที่ไม่เคยได้ยิน งานนี้พิเศษจริงๆนะ ห้ามถ่ายวิดีโอด้วยล่ะ พี่เดือนแกขอมาโดยเฉพาะ”

พี่เดือนจะร้องเพลง?

นั่นเหนือกว่าความคาดหมายของผมไปหลายขุมเลยทีเดียว

“ทีแรกก็ว่าจะเล่นกีตาร์ไปด้วยนะ แต่มาคิดๆดูพี่ว่าพี่คงเล่นเป็นไม่ทันเวลา เอาเป็นว่าร้องเพลงอย่างเดียวแล้วยกตำแหน่งมือกีตาร์ให้นทีนั่นแหละเนอะ” พี่เดือนยิ้มแห้งให้ทุกคนที่นั่งดู คนในชมรมทั้งสองรีบวิ่งเข้ามากรูรอดูวินาทีประวัติศาสตร์ของพี่เดือนใหญ่

ก็นะ พี่เดือนร้องเพลงคงเป็นของหายาก แถมคนที่จะได้ฟังคือคนในชมรมดนตรีกับชมรมบรรณรักษ์เท่านั้น พิเศษขนาดไหน

“วันนี้พี่เดือนจะร้องเพลงอะไรครับ?”

“อ่า...มันเป็นเพลงเก่ามากแล้วนะตั้งแต่สมัยผมยังไม่เกิดหลายสิบปีเลยแหละ แต่ถ้าคนที่รักเพลงเก่าๆอาจจะรู้จักเนอะ เพลง It’s So Easy ของลินดา รอนสตัดต์”

“โห พี่เล่นเพลงนี้มีความหมายอะไรปะเนี่ย” นทีหัวเราะ ผมว่าสองคนนี้ถ้าให้เอาไปเอนเตอร์เทรนคนคงจะสนุกดี “งั้นขอเชิญทุกคนฟังเสียงร้องเพราะๆของเจ้าชายโรงเรียนเลยดีกว่านะครับ”

ทุกคนในวงโฟล์คซองค์เริ่มเล่นดนตรีของตัวเองขึ้นมา รวมถึงนทีที่เลื่อนไมค์ให้พี่เดือนไปแล้ว จากนั้นพี่เดือนก็เปล่งเสียงใส่

เสียงพี่เดือน...

ดีมาก

 

‘It's so easy to fall in love

It's so easy to fall in love

People tell me love's for fools

Here I go breaking all the rules

Seems so easy

Yeah, so doggone easy

Oh it seems so easy

Yeah where you're concerned

My heart can learn

It's so easy to fall in love

It's so easy to fall in love’*

 

*It’s So Easy by Linda Ronstadt


 

“เฮ้ย ไม่คิดว่าพี่เดือนจะเสียงดีขนาดนี้อะ”

“ใช่ปะ บุญหูตัวเองมาก”

ผมที่เข้าใจความหมายของภาษาอังกฤษนั้นก็แทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ มันง่ายเหลือเกินที่จะตกหลุมรักใครสักคน แต่กว่าที่จะรู้ตัวก็เล่นเอานานเหมือนกัน การที่พี่เดือนร้องเพลงนี้มันย่อมมีความหมายแฝงอยู่แล้วทำให้ผมยิ่งยิ้มกว้าง

มันคือเพลงที่เขาจะใช้จีบผม

ฮึฮึ

ผมบอกแล้วว่าเขาน่ารัก วิธีการจีบแบบเนียนๆแบบนี้มีเขาเท่านั้นแหละที่คิดได้

 

คืนนั้นหลังจากที่จบการแสดงดนตรี ทุกคนก็พากันแยกย้ายเข้าไปในอาคารเพื่อพักผ่อนนอนเอาแรงไปเก็บของกลับพรุ่งนี้ มีแต่ผมกับพี่เดือนที่ยังนอนไม่ลง ทำให้นั่งเล่นตรงโขดหินเล็กๆกลางลานที่เห็นดาวเต็มท้องฟ้านี้ด้วยกัน

“กุมภ์ พี่มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟัง”

“ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวพี่--”

“พี่เต็มใจจะเล่าให้ฟัง ไม่ต้องคิดมากหรอก” พี่เดือนมองหน้าผม เขาขยับตัวเข้าหาผม ถอดเสื้อคลุมกันลมสีขาวให้ “อากาศมันเย็น ใส่คลุมไปก่อนนะ”

“พี่เดือนไม่หนาวเหรอครับ?”

“ใส่ไปเถอะ” พี่เดือนลูบแก้มผมเบาๆเพิ่มความอุ่นให้ “สมัยก่อนพี่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นอย่างนี้หรอกนะ แต่พี่กอยากจะเป็นฝ่ายให้ความอบอุ่นกับคนอื่นบ้าง เหมือนกุมภ์ที่คอยให้พี่มาตลอดแม้ว่าจะรู้จักกันแค่เทอมเดียว

“ตอนพี่เด็กๆ พ่อแม่ไม่เคยสนใจพี่เลยว่าพี่จะเป็นยังไง เขาอยากให้พี่เรียนได้ที่หนึ่งของห้อง ที่หนึ่งของสายชั้น ต้องเป็นที่หนึ่งในทุกๆอย่าง ไม่ว่าจะแข่งขันภายในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียน และเพราะความที่พี่เป็นเด็กทำให้พี่ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะคิดว่ามันคือสิ่งที่พ่อแม่หวังดีด้วย แต่เมื่อขึ้นมัธยมมามันเริ่มไม่ใช่ พี่เริ่มถามตัวเองว่าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปมันจะดีจริงๆเหรอ? มันทำให้พี่ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตจริงๆเหรอ? จนกระทั่งพี่ลองออกนอกกรอบดูสักครั้ง ปรากฏว่ามันทำให้คะแนนพี่ดรอปลง ทุกคนไม่สงสัยหรอกว่าทำไมคะแนนพี่ตกลงเพราะเขาคิดว่ามีรุ่งก็ต้องมีร่วง แต่พอพ่อกับแม่เห็นคะแนนของพี่ เขาก็ทำร้ายร่างกายพี่”

“พี่เดือน...” ผมไม่เคยรู้เลยว่าในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างนั้นจะมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นด้วย

“เขาบอกว่าพี่มันไม่มีสมอง แค่นี้ยังทำไม่ได้แล้วทำงานไปจะไปทำอะไรได้ นั่นทำให้พี่ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ในสายตาของพวกท่าน ทำให้พวกเขาไม่คิดว่าพี่ไร้ประโยชน์ ทำให้พวกเขาเห็นความพยายามทั้งหมดของพี่ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนพี่ก็ต้องทำ

“แต่ตอนนี้พี่เหนื่อย พี่เหนื่อยมาก พี่เหนื่อยจนไม่อยากเดินต่อแล้ว จนมาเจอกับกุมภ์ กุมภ์ทำให้พี่รู้สึกว่าพี่ยังต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อเพื่อเจอวันที่ดีกว่า พี่ต้องอดทนอีกสักนิดเพื่อเดินไปให้ถึงจุดนั้น พี่ต้องทำให้ได้ และพี่ไม่รู้ว่าว่าพี่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”

พี่เดือนเหม่อมองดวงดาวบนฟ้า ดาวสะท้อนลงเลนส์แว่นตาของเขา ต้นดอกลั่นทมไม่ไกลจากพวกเรามากนักกำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ พวกเรากำลังพูดคุยเรื่องหนักใจกันอยู่

“กุมภ์เป็นคนที่ช่วยชีวิตพี่เอาไว้ ช่วยดึงพี่ออกมาจากจุดที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต พี่ชอบทุกอย่างในตัวกุมภ์ น้ำเสียง รอยยิ้ม เวลาที่เถียง ทุกช่วงวินาทีมันทำให้พี่รู้สึกว่าพี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่กลับมีเด็กคนหนึ่งมายืนคุยเพื่อไม่ให้พี่เหงา เข้ามาในโลกสีดำของพี่เพื่อเปิดหัวให้พี่ได้มองสิ่งใหม่ๆ และเป็นคนที่ทำให้พี่รู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวของตัวเอง พี่ขอบคุณกุมภ์จริงๆนะที่มาในชีวิตของพี่ ถ้ากุมภ์เข้ามาช้ากว่านี้หรือว่ากุมภ์ไม่ได้มาเรียนที่นี่...

“พี่คงฆ่าตัวตายไปแล้ว”

“พี่เดือน!” ผมตกใจที่เขาพูดคำว่าฆ่าตัวตายออกมา “ทำไมพี่ถึงคิดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ?!”

“เพราะพี่คิดว่าทุกอย่างที่พี่ทำมันไม่มีค่าเลยในสายตาของพ่อแม่ แต่เรื่องที่ไม่ควรจะมองก็มอง เกรดหรือคะแนนมันวัดอนาคตของคนเราได้จริงๆเหรอ? ถ้าไม่ได้คะแนนดีๆนั่นหมายถึงว่าบุคคลนั้นคือคนที่จะมีชีวิตล้มเหลวเหรอ? มันไม่ใช่ พี่ไม่อยากฝืนตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว มันถึงจุดที่พี่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา” พี่เดือนหัวเราะเบาๆ ผมไม่ได้ขำตาม “พี่อยากเห็นสีหน้าของพ่อแม่พี่ตอนที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของพี่ เห็นพี่กำลังผูกคอแขวนตัวเองกับเพดานหรือไม่ก็นอนชักยานอนหลับบนเตียงจัง”

“มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะครับ พวกท่านต้องเสียใจมากแน่ๆ”

“พวกท่านไม่เคยเสียใจหรอก”

“...”

“เพราะยังไงแล้ว...พี่ก็เป็นแค่หุ่นชักของพวกเขาที่ต้องทำตามเท่านั้น พี่หายไปทั้งคนก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

พี่เดือนต้องเจออะไรที่มันหนักหนาสาหัสมากถึงขั้นพูดถึงเรื่องฆ่าตัวตายได้เหมือนเรื่องลมฟ้าอากาศ พวกเรานั่งมองท้องฟ้าด้วยกันก่อนที่จะกลายเป็นผมที่อดทนไม่ไหว

“ตอนนี้พี่เดือนไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว”

“พี่รู้ พี่มีกุมภ์ มีคนอื่นๆ แต่ว่า...”

“พี่ฟังผมนะครับ ผมไม่เข้าใจหรอกว่าพี่ผ่านมันมาได้อย่างไร พี่ต้องลำบากมากเท่าใด แต่มันถึงเวลาแล้วที่พี่จะต้องทิ้งความหนักบนบ่าของพี่ออกไป...” ผมจับมือของเขาเอาไว้ “แต่ถ้าทิ้งไม่ได้ พี่แบ่งมาให้ผมช่วยแบกด้วยก็ดีนะครับ”

พี่เดือนค่อยๆสวมกอดผมเอาไว้ พี่เดือนเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบจากภายนอก ทว่าภายในของเขานั้นกลับว่างเปล่า รอวันที่จะให้มีคนเข้ามาเติบเต็มแก่มัน และผมก็หวังอยู่ลึกๆเหมือนกันว่าผมจะเป็นคนที่สามารถเติมน้ำลงไปในแก้วใบนี้ให้จนเต็ม แต่ถ้าผมได้เป็นส่วนหนึ่งที่รินน้ำลงไปในแก้วใบนั้น แม้เพียงนิดเดียว นั่นก็ทำให้ผมดีใจมากแล้ว

สักวันพวกเราก็ต้องแยกจาก ไม่มีใครอยู่เคียงข้างชั่วนิรันดร์

ความรู้สึกของคนเรามันก็คงเหมือนแก้วน้ำ น้ำแต่ละมิลลิลิตรนั้นมันหมายถึงความรู้สึกหนึ่งของเรา จนเมื่อเต็มแก้ว นั่นคือจุดสูงสุดของความรู้สึก และถ้าเติมลงไปอีก มันก็จะล้นออกมา น้ำส่วนที่ล้นออกมานั้นเป็นความรู้สึกเก่าๆที่ถูกลืมไปตามกาลเวลา

สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมและพี่เดือนนั้นมันไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น จะกลายเป็นฝ่ายไหนที่หมดความรู้สึกนี้ไปกันก่อน แต่ผมก็อยากให้ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตนี้ได้เรียนรู้กับความรู้สึกชอบใครสักคนอย่างนี้ให้เต็มที่ เมื่อมันผ่านพ้นไป มันจะได้กลายเป็นความทรงจำอย่างหนึ่งที่คอยเตือนเราตลอดเวลาที่เหลือ

“พี่อยากให้กุมภ์คอยอยู่ปลอบใจพี่แบบนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นสถานะไหน แต่กุมภ์ช่วยเข้ามาหาพี่ในวันที่พี่เดินต่อไม่ไหวได้มั้ย?”

“ด้วยความยินดีครับ”


 

พวกเรายังคงนั่งอยู่ที่เดิม นาฬิกาในโทรศัพท์ขึ้นเลขบอกว่านี่คือเวลาเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว พี่เดือนนั่งมองดาวไปเรื่อยๆ มีชี้บอกบ้างว่านั่นคือดาวอะไร กลุ่มดาวนี้ต้องดูยังไง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้มากนักแต่ถ้าเขามีความสุขที่จะเล่าให้ผมฟัง ผมก็ยินดี

ผมรู้สึกโชคดีมากที่เอากล้องมาด้วย ผมจึงได้ถ่ายรูปท้องฟ้าเก็บเอาไว้ ในเมืองมีแต่แสงไฟ ถ่ายยังไงก็ไม่เห็นดาวมากขนาดนี้ บางทีก็แอบหันไปถ่ายพี่เดือนที่จมไปกับท้องฟ้าเรียบร้อย

“ลมหนาวเริ่มมาแล้วสินะ...”

พี่เดือนบ่นขึ้นมา ช่วงนี้ใกล้จะเข้าหน้าหนาว ถึงจะไม่หนาวเท่าปีก่อนๆแต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

“นั่นสินะครับ ถ้ามีโกโก้ร้อนๆนี่กำลังอบอุ่นเลย”

“แล้วก็ผ้าพันคอสักผืน...”

“นั่งเก้าอี้ม้าโยกอยู่หน้าเตาผิง” ผมหัวเราะ “เข้าท่าดีนะครับ”

“บางทีพี่อาจจะอยากได้ชีวิตบั้นปลายแบบนั้น นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ฟังเสียงนกร้อง จิบชาสักแก้ว เข้านอนด้วยกันกับคนที่พี่รักและอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต...” พี่เดือนมองผม “กุมภ์..คือ...”

“ผมเข้าใจครับ บางทีพวกเราอาจจะไม่ใช่ใครคนนั้น ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเวลาไปดีกว่าเนอะ” ผมบอกกับพี่เดือน หาวหวอดจากความง่วงที่เริ่มเข้ามาสู่ร่างกายของผมจากความล้า “ไปนอนเถอะครับพี่เดือน ไม่ไหวแล้ว”

“อืม”

พี่เดือนเดินจับมือกับผมเข้ามาในอาคาร ทุกคนกำลังเข้าสู่ห้วงความฝันของแต่ละคน ค่อยๆเดินผ่านไม่ให้เสียงดังเดี๋ยวจะตื่นกัน พวกเราเลือกมุมนอนที่ห่างจากชาวบ้าน ไม่เป็นจุดสายตาเท่าไหร่ ปูผ้านวมที่เอามาไว้ติดกันโดยมีเพียงหมอนใบเล็กๆจากชาวบ้านกั้นเอาไว้เท่านั้น ปกติพี่เดือนเล่าให้ฟังว่าเขาจะทาครีมก่อนนอน มิน่าล่ะว่าทำไมหน้าของเขามันยังดูดีแม้ว่าจะต้องอ่านหนังสือหนักแค่ไหนก็ตาม

“ภาพลักษณ์มันก็สำคัญ ถ้าพี่ไม่รักษาสภาพร่างกายให้ตัวเองดีๆเอาไว้ พี่ก็คงไม่ได้ขึ้นไปพูดหรอก”

มันก็จริงตรงที่เวลาจะเลือกคนไปพูดอะไรจะเลือกที่บุคลิกภาพเอาไว้ก่อน เด็กม.6 ทุกคนก็ไม่ค่อยมาโรงเรียนเท่าไหร่ยกเว้นพี่เดือนที่มีงานรับผิดชอบเยอะ เขาเลยต้องใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนมากกว่าการอ่านหนังสืออยู่บ้าน และบางทีก็อาจจะเพราะว่าโรงเรียนทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าด้วย

แต่ในเทอมหน้า พี่เดือนจะเข้าสู่ช่วงการสอบเข้าเรียนต่ออย่างเต็มที่ เขาจะไม่ค่อยมีเวลาเท่าที่ควรแล้ว ฉะนั้นบางงานเขาก็เริ่มปล่อยให้คนอื่นทำบ้างอย่างงานหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ที่คอยสอนผมตลอด

ในคืนนั้นผมบอกฝันดีกับพี่เดือน แต่ไม่ทันได้หลับตา ผมก็ได้ยินเสียงร้องเพลงเบาๆจากคนที่นอนอยู่ข้างๆ

เขากำลังร้องเพลงกล่อมผม

ทำตัวน่ารักแบบนี้...จะไม่ให้ชอบได้ยังไง

 

เปิดเทอมสอง ลมหนาวที่พัดผ่านทำให้ผมรู้สึกเย็นที่ขากว่าเดิม ใครมันให้ผู้ชายวัยมัธยมปลายใส่กางเกงขาสั้นกัน สั่นไปหมดแล้ว

ตอนนี้ทุกคนเข้ามานั่งเล่นในห้องสมุดมากขึ้น เพราะถ้าให้ออกไปนั่งเล่นข้างนอก มีหวังกระดาษงานโดนลมพัดปลิวหมด ไม่มีใครคิดว่าลมจะแรงขนาดนี้ ขนาดพี่เดือนยังใส่ผ้าพันคอผืนบางๆมาด้วย ทุกคนต่างเห็นกันว่าผู้ชายคนนี้ใส่อะไรก็ดูดีไปหมด

สมาชิกในชมรมบรรณารักษ์รู้สึกโล่งใจที่งานในตอนปิดเทอมผ่านไปได้ด้วยดี ครูไม่ได้ติอะไรว่าให้ไปปรับปรุง คงเป็นเพราะเรามีทีมงานร่วมด้วยช่วยกันทำกับชมรมดนตรี ทำให้งานมันสมบูรณ์ไม่น่าเบื่อ พวกเราจึงรวมตัวกันไปขอบคุณชมรมดนตรีด้วย นทีทำหน้าเหวอใหญ่ที่รู้ว่าคนที่พาคนอื่นมาขอบคุณคือตัวพี่เดือนเอง ก็นะ ไม่มีใครคิดว่าพี่เดือนจะทำถึงขนาดนี้

งานเลี้ยงเล็กๆน้อยๆจัดที่ร้านหมูกระทะใกล้ๆโรงเรียน พี่เดือนบอกทุกคนว่าห้ามสั่งเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์มาเด็ดขาดซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โต๊ะของพวกเรามีสมาชิกอยู่สี่คนคือผม พี่เดือน นที และพี่สาที่เป็นเศษมาจากโต๊ะอื่น พวกเราค่อนข้างจะสนิทกันเลยไม่รู้สึกอึดอัด แต่ก็ต้องยอมอดไปเอากุ้งมาต้มตรงหม้อน้ำซุปของกระทะเพราะพี่เดือนแพ้กุ้งชนิดรุนแรง

“พี่เดือน หนูถามจริงๆเถอะนะ พี่เดือนกำลังคุยกับกุมภ์ใช่มั้ยคะ?”

“แค่ก!”

“สำลักอย่างนี้ใช่แน่ๆ” พี่สาสรุปเอาเอง “คือทุกคนในชมรมบรรณารักษ์น่ะไม่ได้บื้อนะพี่เดือน เขามองออกว่าพี่เดือนกำลังกุ๊กกิ๊กกับกุมภ์”

“...” พี่เดือนหน้าแดงแข่งกับกุ้งของโต๊ะข้างๆ “...เฮ้อ”

“พี่เดือนจะถอนหายใจทำไมคะ ไม่ต้องไปคิดมากหรอก พี่เดือนมีความสุขดีเท่านี้พวกเราก็ดีใจแล้ว ความสุขของพี่เดือนคือความสุขของพวกเรานะคะ” พี่สาบอกให้ผมตักผักให้พี่เดือน ผมเออๆออๆทำตามที่พี่เขาบอกโดยทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที นทีมันแอบอมยิ้มก่อนที่จะทำเป็นก้มลงไปกินเนื้อหมูย่างต่อ

“ถ้าอย่างนั้นพี่เดือนเหลือแต่บอกกับครอบครัวแล้วนะ” ผมสะกิดพี่เดือนเบาๆ “แต่เอาเป็นหลังพี่จัดการอะไรทุกอย่างเสร็จก่อนก็ดี”

“นั่นสิ...” พี่เดือนเปิดปฏิทินในโทรศัพท์ดูกำหนดการต่างๆ “ถ้าพี่สามารถสอบติดรอบสองได้...พี่ก็จะมีเวลาอีกเยอะ”

“สู้นะครับ พี่เดือนทำได้อยู่แล้ว” พี่เดือนตั้งใจจะสอบแพทย์ก่อน ถ้าไม่ได้จะไปสอบรอบสามบริหาร แต่ผมว่าระดับพี่เดือนแล้วก็คงได้แพทย์ “เดี๋ยวผมให้รางวัลเป็นการให้ยืมกล้องถ่ายรูปเลยหนึ่งวัน”

“แค่นั้นเองเหรอ?”

“ถ่ายรูปให้ฟรี แต่งให้พร้อม”

“พี่ว่ามันยังไม่สมกับความพยายามของพี่เลยนะ”

“ถ้างั้น--”

“พอค่ะ เลิกต่อรองขอรางวัลกันได้แล้ว รู้สึกหมั่นไส้ ทำไมไม่คบๆกันไปเลยเนี่ย” พี่สาชี้ตะเกียบลงกลางวง เมื่อพี่เขาถามแบบนี้มา พวกเราก็มองหน้ากันแล้วยิ้มตอบกลับไปด้วยคำตอบเดียวกันทันที

“ให้มันอยู่กับเวลาดีกว่านะ/ครับ”

 

พี่เดือนทำงานหนักขึ้น เหนื่อยขึ้น จนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่ผมกับพี่เดือนต้องเข้าชมรมด้วยกันสองคน น่าเสียดายที่ไม่มีคนเข้าห้องสมุดในวันนี้ แต่นั่นก็ทำให้งานเราน้อยลงเยอะ

พี่เดือนมีสภาพที่โทรมลงจนไม่น่าเชื่อ เขาโหมร่างกายตัวเองเพื่ออ่านหนังสืออย่างหนักจนไม่ได้นอน ไหนจะรีบมาโรงเรียนเพื่อมารับผมแล้วก็เข้าทุกคาบ เข้าชมรมบรรณารักษ์ แล้วก็เข้าสภานักเรียนอีก สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีด้วย

“อ่า...” พี่เดือนค่อยๆครางออกมา เขานอนราบแขนไปกับโต๊ะในห้องชมรม สักพักก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆที่หมายถึงว่าเขาหลับไปแล้ว ผมเดินไปหยิบผ้าห่มที่เตรียมเอาไว้ในห้องเผื่อหนาวมาคลุมให้เขา ถ้าอยู่กับคนอื่นพี่เดือนก็ไม่มานอนอย่างนี้ให้เห็นแน่ๆ

พอหันไปเห็นกำหนดการ ผมก็รู้สึกเหนื่อยแทนพี่เดือนที่ต้องวิ่งเต้นคอยประสานงานไปทั่ว โอเพ่นเฮาส์ใกล้จะมาถึงแล้ว นั่นคืองานที่ยุ่งยากระดับหนึ่ง แต่อุปสรรค์ที่ยากกว่านั้นคือกีฬาสีที่อยู่แทบจะติดกันเลยนั่นตังหากที่ทำให้ทุกคนทั้งม.5 และม.6 แทบจะกลายเป็นซอมบี้ พี่สาตอนผมเห็นมาสภาพก็ใช่ย่อย เผลอๆอาจจะล้มลงตั้งแต่เดินเข้ามาในชมรมเลยก็ได้

ผมทิ้งให้พี่เดือนหลับอยู่ในห้อง เดินออกมาจัดหนังสือเข้าชั้นแล้วเช็คจำนวนหนังสือคนเดียว กลับเข้ามาอีกทีก็เห็นพี่เดือนกำลังตื่น ยกมือทั้งสองข้างมานวดข้างขมับเอาไว้

“พี่ปวดหัว...”

“ถ้าพี่เดือนไม่ไหวก็กลับก่อนได้นะครับ เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”

“อ่า...ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะ...” พี่เดือนทำท่าจะลุก แต่จู่ๆเขาก็ล้มลงไปกับพื้น ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเขาแล้วก็รู้ว่าพี่เดือนมีไข้ขึ้นสูงมาก แต่ด้วยความที่อยู่ในห้องแอร์เลยทำให้อุณหภูมิร่างกายเมื่อจับยามแรกเย็นเพราะมันเป็นเพียงสัมผัสสั้นๆเท่านั้น

“พี่เดือนครับ?! พี่เดือน?!”

“อ่า...ขอโทษนะ พี่ฝืนตัวเองจนไม่มีแรงแล้ว...”

“งั้นผมพาไปห้องพยาบาลนะ” ผมค่อยๆพยุงร่างพี่เดือน แม้ว่าพี่เดือนจะสูงกว่าผมเยอะจนต้องเดินค่อนข้างทุลักทุเลไปหน่อย แต่ในที่สุดผมก็พาพี่เดือนที่หมดแรงแล้วมาถึงห้องพยาบาลจนได้

ครูพยาบาลที่ประจำอยู่ตกใจมากเมื่อเห็นพี่เดือนกำลังนอนหอบจากพิษไข้ เธอเตรียมยากับสั่งให้พี่เดือนนอนพักสักชั่วโมงหวังอาการดีขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นจะได้ติดต่อให้พาเขาไปโรงพยาบาล ผมเองก็หวังว่าพี่เดือนเมื่อตื่นขึ้นมาจะได้สติสามารถพาตัวเองกลับบ้านได้

“ปกติครูไม่เคยเห็นเขาเข้าห้องพยาบาลเลยนะ” ครูห้องพยาบาลบอกกับผม “แต่มีครั้งหนึ่งที่เป็นตรวจสุขภาพประจำปี พีรดลเขาบอกว่าเขาเหนื่อยค่อนข้างง่ายจากอาการหอบหืดของเขา เขาฝืนตัวเองมาตลอด ครูคิดเอาไว้แล้วล่ะว่าสักวันยังไงเขาก็ต้องมานอนบนเตียง”

ผมมองพี่เดือน ท่าทางเขาจะยังหลับไปค่อยลงเท่าไหร่ ผมจึงบอกครูห้องพยาบาลว่าผมจะเฝ้าเขาที่นี่เอง เธอจึงพยักหน้าให้แล้วปล่อยให้ผมนั่งข้างๆพี่เดือน

“พี่ไม่ควรมาโรงเรียนวันนี้”

“ถ้าพี่ไม่มา...พี่ก็ไม่เจอหน้ากุมภ์น่ะสิ” พี่เดือนเข้าสู่โหมดอ้อน เขากระตุกแขนเสื้อผมด้วยมือที่อ่อนแรง พอหมดพลังข้าวต้มแล้วก็กลายเป็นเด็กทันทีเลยนะ “...พี่อยากจับมือกุมภ์...”

“ครับๆ” ผมหัวเราะ ยื่นมือข้างหนึ่งไปให้เขาจับ ร่างกายของพี่เดือนร้อนรุ่ม บนหน้าผากของเขามีแผ่นเจลลดไข้แปะเอาไว้ “พี่มีอะไรก็ต้องบอกผมนะ ไม่ใช่มาบอกเอาวินาทีสุดท้าย มันฉุกละหุก ทำอะไรไม่ทัน เกิดข้อเสียมากกว่าเดิมอีก”

“ก็พี่ไม่อยากให้กุมภ์มาห่วงหน้าห่วงหลังนี่นา...มือกุมภ์นี่ให้ความรู้สึกดีจัง...”

ผมลูบหลังมือเขาเล่นๆ พี่เดือนค่อยๆหลับตาลงแล้วก็เงียบไป ในที่สุดเขาก็ได้พักผ่อนบนเตียงสบายๆสักที

และเพราะนี่คือเวลาเลิกเรียน ทำให้ไม่มีใครมาห้องพยาบาลนอกจากพวกเราเลยค่อนข้างจะส่วนตัว ถ้าไม่มีม่านที่กั้นเอาไว้อยู่ผมก็คงไม่กล้าจับมือพี่เดือนอย่างนี้ต่อหน้าใครเพื่อความสบายใจของตัวเองและความสบายใจของพี่เดือนด้วย

เขาชอบคิดไปเองตลอดว่าคนจะไม่ยอมรับเขา แต่จากที่ผ่านมาคนในชมรมต่างก็ปฏิบัติตนกับพี่เดือนเหมือนเดิม เว้นแต่ว่าจะแซวพวกเราทุกครั้งที่เห็นว่าอยู่ด้วยกันเท่านั้น ผมชินแล้วกับการที่คนอื่นมาพูดแบบนี้ให้ แต่พี่เดือนยังคงหน้าแดงๆแล้วทำเฉไฉไล่คนอื่นไปทำงาน ทุกคนจึงออกความเห็นว่ามุมพี่เดือนเขินนี่เป็นมุมที่น่ารักที่สุดของเขา

สำหรับผม พี่เดือนน่ารักในทุกๆมุม ไม่ว่าจะเป็นอ่อนโยน จริงจัง หรือแม้กระทั่งเศร้าเสียใจ ทุกอย่างมันหลอมให้กลายเป็นผู้ชายคนหนึ่ง พี่เดือนเป็นเพียงแค่ผู้ชายที่ต้องการความสุขจริงๆของตนเอง พี่เดือนเป็นแค่ผู้ชายที่ต้องพยายามรักษาทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อพอเขาเริ่มได้ปล่อยบางอย่างออกไป เขาก็เริ่มเผยมุมที่ไม่น่าเชื่อออกมา และมุมต่างๆของเขานั้นมันเป็นสิ่งที่พิเศษในความธรรมดา นั่นคือสิ่งที่เขาใช้มัดหัวใจของผมเอาไว้ได้

พี่เดือน...เป็นคนแรกเลยที่ผมมีความรู้สึกดีๆที่มากกว่าพี่น้องหรืออะไรให้

ผมใช้มือข้างที่ว่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปพี่เดือนตอนกำลังนอนเอาไว้ ถึงสีหน้าจะซีดๆแต่เขากำลังหลับฝันดี ผมนึกถึงวันที่พวกเรานอนข้างกันที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นเขาหลับมีความสุขมากเท่านี้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะมือที่จับกัน อาจจะเป็นเพราะคนที่มีความรู้สึกเดียวกันอยู่ข้างๆ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่ต้องคิดกังวลอะไรเมื่อมีคนที่ไว้ใจอยู่ด้วย

“พี่เดือนครับ ถ้าพี่ไม่สบาย ขอให้ผมเป็นคนดูแลพี่นะ”

พี่เดือนยิ้มทั้งที่เขากลับอยู่ บางทีเสียงของผมอาจจะส่งไปถึงตัวของเขาที่กำลังเดินเล่นในความฝันนั่นก็ได้


=========


พี่เดือนร้องเพลงแหละ เล่นกีตาร์ไม่ทันแน่ๆเลยให้นทีสอนฝึกร้องนิดๆหน่อยๆแทน

ในแง่ความสัมพันธ์ เราชอบแบบความค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า ทั้งคู่รู้ใจตัวเอง แต่ก็ไม่เอ่ยปากกันสักทีว่าจะคบกันเพราะต่างคนต่างอยากให้มีช่องว่างความส่วนตัวเหลือเอาไว้อยู่ ซึ่งมันเป็นช่องว่างที่ไม่ได้ว่างเลยเนอะ

ส่วนที่มาอัพช้านั้น...กราบด้วยค่ะแง ตอนนี้เปิดเทอมแล้วเลยวุ่นๆกับงาน ไหนจะปฐมนิเทศ ไหนจะวิ่งวุ่นตำแหน่งหัวหน้าห้องอีก กลับบ้านมามันก็เหนื่อยแล้ว อยากเล่นเกม แงงง
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (15/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-05-2019 01:24:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุ้ย ๆ เดาเอ้ยวิเคราะห์ถูกด้วยว่ามีสะใภ้แน่  อิอิ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 21-05-2019 20:10:33
บทที่ 9

 

หลังจากวันที่พี่เดือนนอนในห้องพยาบาล เขาก็ใส่แมสก์มากันไม่ให้คนอื่นติดไข้จากเขา นั่นสร้างความแปลกใจให้แก่หลายคนเลยทีเดียว เขาไม่เคยไม่ขึ้นหน้าเสาธงเพื่อประกาศข่าวสารต่างๆ แต่วันนี้กลับให้งานคนอื่นแทน ทุกคนเลยไปถามเข้าเจ้าตัวว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงพี่เดือนแหบๆแห้งๆนั่นแหละถึงรู้เหตุผล

ผมไล่ให้เขาไปหาหมอ แต่เขาก็บอกว่ากินยาก็คงเอาอยู่ ผมเองก็ไม่อยากไปบังคับซ้ำซ้อนอะไรมากนักเลยปล่อยเลยตามเลยไปก่อน อย่างว่านั่นแหละนะ พูดไปพี่เดือนก็ไม่ค่อยอยากฟัง ดื้อเก่งที่หนึ่ง น่าตีที่สุด

พี่เดือนนั่งอยู่ในห้องชมรม กำลังเสียบหูฟังเปิดเพลงอ่านหนังสือฆ่าเวลา เขาบอกว่าวันนี้สมองมันเบลอๆเรียนไปก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมานั่งอ่านหนังสือเล่นๆเอาดีกว่า แต่ผมก็รู้นะว่าเขาอยากอยู่กับผมในวันนี้ที่ต้องมาเข้าดูแลความเรียบร้อยกับพี่สา

“ช่วงนี้ตัวติดกันมากเลยนะ โปรโมชั่นอยู่ก็คงแบบนี้” พี่สาจัดหนังสือเข้าชั้นอยู่ข้างๆผม เธอหัวเราะก่อนที่จะเอาหนังสือเล่มบางๆเคาะหัวผมเบาๆหนึ่งที “แต่พี่เดือนเขากำลังจะไปเรียนที่อื่นแล้ว รีบๆคบกันให้รู้แล้วรู้รอดเลยไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่าให้มันเป็นเรื่องของเวลาจะดีที่สุด อีกอย่างก็คือบางทีเป็นแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน ต่างคนต่างยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องรักมากนัก ถ้าเกิดเราก้าวเท้าเข้าไปในชีวิตของอีกฝ่ายโดยไม่ทันคิดอะไร ความสัมพันธ์ที่สร้างมาทั้งหมดอาจจะพังลงได้แค่ชั่ววูบเดียว ผมไม่ได้คบกับพี่เดือนเขาเพียงเพราะหลายคนเรียกร้องให้คบกัน ผมอยากคบกันในวันที่พวกเราทั้งคู่คิดว่ามันถึงเวลาและเข้าใจความหมายของความรักแล้ว” ผมอธิบายให้พี่สาฟัง หลายคนยังไม่เข้าใจเหตุผลของผมกับพี่เดือนเท่าไหร่นัก จ้องเชียร์ให้คบกันอย่างเดียว “ผมไม่อยากเร่งความสัมพันธ์...พี่สาเข้าใจนะครับ”

“นั่นสินะ...เพื่อนพี่คนหนึ่งก็รีบคบกัน สุดท้ายไปไม่รอดก็พยายามฆ่าตัวตายเพราะเสียใจ” พี่สายิ้ม “จริงสิ เดี๋ยวใกล้จะโอเพ่นเฮาส์แล้ว กุมภ์ไม่สนไปเดินเล่นในงานกับพี่เดือนเหรอ?”

“ครับ?”

“นานๆทีให้พี่เดือนได้พักจากงานไปเดินเล่นบ้าง กุมภ์เองก็ไปเป็นเพื่อนพี่เดือนเขาสิ” พี่สาเสนอความคิด “พวกเราจัดการกันเองได้ มันไม่ได้ยากอะไรไม่ใช่รึยังไง? หัวหน้ากับรองหัวหน้าหนีไปเดทกันคงไม่มีใครว่าหรอก”

“พี่สาครับ...” ผมรี่ตาใส่ผู้หญิงปีสูงกว่า เธอยิ้มแย้มก่อนที่จะวิ่งหนีไปจัดชั้นหนังสืออื่นปล่อยให้ผมยืนข้างๆกองหนังสือปรัชญาจำนวนมหาศาลนี่คนเดียว

เฮ้อ...แต่ถ้ามันทำให้พี่เดือนได้พักก็คงไม่เลวเหมือนกัน

ผมใช้เวลาสักพักกว่าจะจัดหนังสือเข้าชั้นจนครบ ย้อนกลับมานั่งทำเอกสารแทนพี่เดือนที่กำลังหลับพักสายตา ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่สาบอกว่าต่อให้ลมฟ้าอากาศโลกถล่มหรืออะไรยังไงพี่เดือนคงไม่มานอนให้เห็นกันแบบนี้ ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่เห็นได้ชัดเจน อีกอย่างคือตัวเขาไม่ได้โหมงานหนักรับไว้บนบ่าคนเดียวแล้ว

พวกเขาบอกว่าผมสอนพี่เดือนใช้ชีวิตตัวเอง

จะว่าผมสอนก็คงไม่เชิง ผมแค่บอกเขาว่าวิธีการเป็นอยู่ของเขาในตอนนี้มันจะส่งผลไม่ดีต่ออนาคตข้างหน้า แล้วเขาก็ยอมเปลี่ยนเพื่อตัวเขาเอง และส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะตัวผมด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ฟังคนรอบข้างอยู่บ้างถ้ามันทำให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย บางครั้งอาจจะนานหน่อยเพราะพี่เดือนชินกับการทำแบบนั้น พอต้องมาเปลี่ยนเลยเกร็งบ้าง

พี่เดือนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนที่ผมกำลังเคาะกระดาให้ตรงกัน ผมเอ่ยคำขอโทษแล้วยื่นขวดน้ำให้พี่เดือนที่น่าจะคอแห้ง

“กี่โมงแล้ว”

“ตอนนี้บ่ายสี่ครึ่งครับ เลยเวลาเรียนพิเศษแล้วนะพ่อคนเก่ง” ผมพูดหยอกล้อกับเขา พี่เดือนหัวเราะเบาๆก่อนที่จะลุกขึ้นบิดตัวให้กล้ามเนื้อคลาย “พี่เดือนจะกลับเลยรึเปล่าครับ?”

“ยังหรอก พี่ยังไม่ค่อยอยากกลับไปเท่าไหร่”

“ทำไมครับ?”

“วันนี้ที่บ้านจะไปงานเลี้ยงของโรงแรม ถ้าพี่กลับไปก่อนมีหวังโดนลากไปด้วยแน่ๆ”

“แต่พี่ไม่สบาย...” ถ้าไม่สบายก็คงไม่ได้ไปอยู่แล้ว “...ผมลืมไปว่าบ้านพี่เดือนคงจะบังคับพี่อยู่ดี”

“นั่นแหละ พี่ไม่อยากไปฟังพ่อพูดถึงตัวพี่ให้คนอื่นฟัง ขี้เกียจยืนจนขาเกร็งด้วย” พี่เดือนมองหนังสือตรงหน้า “พี่เคยไปครั้งหนึ่งแล้วพี่ขยาดไปเลย พ่อพี่จะให้พี่ไปยืนข้างๆ พูดทักทายบอกชื่อตัวเอง ก่อนที่พ่อจะเป็นฝ่ายเล่าหมดเลยว่าพี่ทำอะไรมาบ้าง กว่าจะหลุดออกมาได้ก็นานโขเหมือนกัน”

“ยังไงพี่ก็ต้องเจอบ้างนั่นแหละนะกับงานสังคมอย่างนี้” พี่เดือนถอนหายใจอัดหนังสือ จากนั้นก็คว้าหมอนที่อยู่บนโต๊ะของสมาชิกคนหนึ่งชมรมที่ลืมเอาไว้มากอด เขากำลังองแงไม่ชอบใจที่ต้องพูดถึงงานเลี้ยงแสนน่าเบื่อ เป็นผมผมไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นใคร ขอไปกินอะไรให้อิ่มท้องก่อน ถึงมันจะดูมารยาทไม่ดีแต่ถ้ามันฝืนตัวเองก็คงต้องทำแบบนั้น “จะว่าไปเมื่อกี๊พี่สาเขาบอกว่าให้พวกเราไปเดินเล่นด้วยกันในงานโอเพ่นเฮาส์ ไม่ต้องคอยมาหวงชมรมเพราะดูแลกันเองได้อยู่แล้ว พี่เดือนจะเอายังไงครับ?”

“โอเพ่นเฮาส์เหรอ...ถ้าหมดหน้าที่พิธีกรแล้วก็คงมีเวลาว่างเยอะ เพราะมันไม่ต้องมาเดินแนะนำสถานที่ให้คนอื่นฟัง” พี่เดือนเปิดดูปฏิทิน “โอเพ่นเฮาส์สองวัน ถ้าอย่างนั้นเราไปวันที่สองก็ได้ วันแรกเราต้องดูแลความเรียบร้อยให้เข้าที่เข้าทางก่อน”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“อ้อ แล้วก็วันที่สองเขาให้ใส่เสื้ออะไรมาก็ได้เพราะตอนเย็นจะมีการแสดงปล่อยผี” พี่เดือนหัวเราะ “เขาคงอยากให้เราสนุกก่อนที่จะเจองานเครียด”

ปล่อยผีก่อนที่จะมาสอบเหรอ...มันก็ทั้งดีและไม่ดี แต่ถ้าจัดในโรงเรียนคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง “ปล่อยผีที่ว่าเนี่ย...”

“เห็นว่าพวกดนตรีสากลจะอาสาเล่นเอง เราจะได้เห็นกีตาร์ไฟฟ้าที่พวกเขาพยายามขอจากโรงเรียนมาค่อนชีวิตแล้วล่ะ” พี่เดือนว่า “ส่วนนทีอาจจะได้ร้องให้พวกเราฟังด้วย”

“เพื่อนผมนี่ได้งานเยอะจังเลยนะ ถ้าไม่ติดว่าเอาแต่งานชมรมนี่ผมก็คิดว่ามันเป็นเด็กกิจกรรม” ผมส่ายหน้า “ความจริงแล้วผมเองก็แอบเห็นนทีตอนที่ทำหน้าหม่นๆอยู่เหมือนกัน มันทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เวลาที่สีหน้าไม่ค่อยดีอย่างนั้น เหมือนมีอะไรที่แย่ๆเกิดขึ้นแต่ไม่อยากจะพูด มันเป็นคนที่ไม่กล้าบอกเรื่องของตัวเองเท่าไหร่นัก ผมก็ไม่กล้าไปถามมันตรงๆด้วยเพราะผมไม่รู้ว่าผมจะไปสะกิดปมอะไรในใจมันรึเปล่า”

“กุมภ์เป็นคนที่รับรู้ความรู้สึกคนอื่นเก่งมากเลยนะ นี่เป็นข้อดีกุมภ์จริงๆนั่นแหละ” พี่เดือนยิ้ม “ถ้าเกิดกุมภ์เอาข้อดีส่วนนี้ไปช่วยคนอื่นล่ะก็ มันต้องดีมากแน่ๆ”

“แต่การที่ผมสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นยังไงมันก็ไม่ได้ดีมากหรอกครับ เพราะนั่นมันจะทำให้ผมห่วงคนอื่นมากเกินเหตุ ผมน่ะ...เป็นคนที่คิดมากนะ ถึงจะไม่เท่าพี่เดือนแต่ผมเองก็ไม่อยากให้อะไรหลายๆอย่างมันพังลงเพียงแค่คำพูดที่ผมใช้กับคนคนหนึ่ง”

พี่เดือนเลิกคิ้ว ก่อนที่จะยื่นมือเข้ามาลูบหัวผมทั้งที่ตัวเองไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่นัก

ผมบอกแล้วไงว่าพวกเรายังคงยืนอยู่ในเซฟโซนตัวเอง ที่มีเส้นบางๆกั้นเอาไว้อยู่เพื่อรอคอยวันที่เหมาะสมก้าวข้ามเข้าหากันและกัน

 

ในที่สุด งานโอเพ่นเฮาส์มันก็มาถึงแล้ว

จากความพยายามที่ผ่านมา มันก็ออกมาคุ้มค่าพอตัวเมื่อมีคนเข้ามาซุ้มชมรมของเราเยอะ ผมเดินงานเอกสารทั้งวันเลยค่อนข้างเหนื่อย ส่วนพี่เดือนเองก็ประชาสัมพันธ์แต่เช้า เสียงก็คงมีหายๆบ้าง พักเที่ยงพวกเราสองคนจึงหลบมานั่งกินข้าวด้วยกันที่ห้องโฮมรูมที่ไร้คนของผม

พอไร้คน มันก็กลายเป็นว่านี่คือพื้นที่ส่วนตัวไปเลย

“กุมภ์กินมะเขือเทศบ้างสิ” พี่เดือนตักมะเขือเทศจากจานข้าวผัดที่ซื้อในงานให้ผม ผมส่ายหน้ารัวๆ มันคือศัตรูธรรมชาติอันดับหนึ่ง ถ้าให้ผมกินผมจอกัดลิ้นตายดีกว่า “แล้วก็บอกให้คนอื่นกินของที่มีประโยชน์ ตัวเองมาไม่กินเองแบบนี้มันน่าตีนะ”

“พี่เดือนจะเอาคำพูดผมไปใช้ไม่ได้นะครับ อีกอย่างคือพี่เดือนต้องลดเปรี้ยวบ้าง น้ำที่ซื้อมานั่นกรดล้วนๆเลย เดี๋ยวโรคกระเพาะก็ถามหา” ผมดุเขาคืน นั่งจ้องหน้าไม่ยอมแพ้สักพักก็หลุดหัวเราะทั้งคู่ ต่างคนต่างเป็นห่วงกันอย่างนี้มันก็ออกจะน่าขำอยู่ใช่ย่อย “วันนี้ละให้หนึ่งวันแล้วกัน พรุ่งนี้มาถ้าผมเห็นพี่เดือนกินอะไรที่มันเปรี้ยวเกินความจำเป็นอีกนะ ผมจะไม่เดินเล่นกับพี่เดือนแล้ว”

“โธ่กุมภ์...กุมภ์ก็รู้นี่นาว่าพี่ชอบของเปรี้ยวๆ ถ้าจะให้ลดมันก็ลำบากอยู่นะ”

“ไม่รู้แล้วครับ พี่ต้องลดบ้างเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง”

“งั้นกุมภ์ก็กินมะเขือเทศบ้างเพื่อสุขภาพตัวเองเหมือนกัน”

พี่เดือนยัดมะเขือเทศเข้าปากผมทั้งที่ผมกำลังอ้าปากพูดอยู่ ผมอยากคายออกแต่พี่เดือนเอาฝ่ามือตัวเองมาปิดปากผมเอาไว้จนผมคอยออกมาไม่ได้จำใจต้องกลืนลง

ร้ายนักนะเดี๋ยวนี้!

“เห็นมั้ยว่าถ้ากุมภ์กินก็กินได้”

“พี่ยัดเข้าปากผมเองตังหาก แค่ก...” รสชาติมันแหยะจะตาย ทำไมพี่เดือนกินสดๆได้กัน

“เอานี่ น้ำเปล่า” พี่เดือนยื่นขวดน้ำให้ผม “ห้องโฮมรูมกุมภ์นี่เป็นห้องที่มุมกำลังดีเลยนะ นั่งตรงนี้เห็นต้นราชพฤกษ์ด้วย ช่วงก่อนปิดเทอมคงได้เห็นดอกบานพอดี”

“คงคล้ายๆกับซากุระที่ญี่ปุ่นมั้งครับ บานช่วงฤดูใบไม้ผลิรับวันจบการศึกษา” ผมมองไปที่ต้นไม้ที่ยังมีแต่ใบสีเขียว ลมพัดผ่านทำให้ใบไหวตามความแรง “พี่เดือน...เรียนจบแล้วผมต้องเป็นคนแรกที่ได้ถ่ายรูปพี่นะ”

“พ่อแม่พี่ก็คงไม่มาหรอก เอาสิ” พี่เดือนว่า “พี่เองก็อยากให้กุมภ์เป็นคนแรกที่ได้บันทึกวันสำคัญของพี่”

พวกเราไม่ได้คุยกันต่อ ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ มือที่แอบจับกันใต้โต๊ะนั้นทำให้พวกเรารู้สึกอบอุ่นท่ามกลางความเย็นในฤดูหนาว วันนี้พี่เดือนใส่เสื้อคาดิแกนสีเทาส่วนของผมเป็นสีครีม พวกเราแอบไปซื้อมาใส่เป็นเพื่อนกันเมื่อวันก่อน มันไม่ใช่ผ้าดีอะไรมากแต่ก็ให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้นเมื่อใส่เสื้อแบบเดียวกันมา

พรุ่งนี้...ทั้งผมและพี่เดือนอาจจะใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับคาดิแกนตัวเดิมเดินเล่นในงานจนกว่าจะถึงพิธีปิด พวกเราจะซื้ออาหารที่ซุ้มมานั่งกินด้วยกัน จะเล่นกิจกรรมด้วยกัน จากนั้นผมก็จะให้กำลังใจพี่เดือนที่ต้องเต็มที่กับการสอบ ในอีกสองปีข้างหน้าผมเองก็ต้องทำแบบนั้นด้วย ผมยังนึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร

แต่ตอนนี้...พวกเราควรจะใช้เวลาในปัจจุบันให้คุ้มค่าที่สุดเพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

 

“ตรงนั้นมีปาลูกโป่งด้วยเหรอ? พี่ไม่รู้เลยนะ”

พี่เดือนเดินถือไอติมโคนรสนมอยู่ข้างๆผม ค่อยๆเลียกิน โชคดีที่วันนี้อากาศเย็นแต่ไม่มีลมพัดเลยไม่ต้องมากังวลเรื่องมันจะละลายก่อนมากนัก “ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน สงสัยเป็นเพราะเมื่อวานวิ่งเดินเอกสารอย่างเดียวเลยไม่รู้เรื่อง”

“พี่ก็มัวแต่ทำงาน”

“งั้นเราลองไปดูหน่อยมั้ยครับ? เผื่อพี่อยากปาลูกโป่งเอารางวัล” ผมเดินนำหน้าเขา พี่เดือนส่ายหน้านิดหน่อยก่อนที่จะเดินตาม “อะไรครับ? ส่ายหน้าทำไม?”

“กุมภ์ไม่รู้ตัวเหรอว่ามีไอติมเลอะมุมปากน่ะ”

“ฮะ? จริงด้วย” ผมใช้กระดาษทิชชู่ที่ขอมาจากร้านข้างๆกันเช็ด

“เวลากินอะไรก็ระวังเลอะหน่อย ถ้าเกิดพี่ไม่ทักขึ้นมาวันนี้ได้เดินปากเลอะไปทั่วงานทั้งวันแน่” เขายิ้มให้ผมพร้อมกับดึงแก้มของผมจนยืด ไม่สนสายตาคนอื่นที่กำลังมองมาเท่าไหร่ “ไปตรงซุ้มปาลูกโป่งกัน”

ผมกับพี่เดือนเดินมาจนถึงซุ้มปาลูกโป่งของรุ่นพี่ชั้นม.5 พวกเขาเชียร์ให้พี่เดือนลองปายกใหญ่ บอกว่าอยากเห็นพี่เดือนเล่นบ้างอะไรบ้าง ผมเองก็เชียร์ไปด้วยจนเขายอมใจอ่อนจ่ายค่าเล่นไป

“...รู้แล้วล่ะว่าพี่เดือนไม่ถนัดอะไร คิกคิก” รุ่นพี่ผู้หญิงในซุ้มหัวเราะขึ้นมา “พี่เดือนไม่ต้องทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้นก็ได้ หนูกลัวแล้ว”

พี่เดือนตีหน้าบึ้งให้ทุกคนในซุ้มเมื่อลูกดอกที่เขาปาไปนั้นไม่โดนตัวลูกโป่งเลยสักลูก “เป็นเพราะผมสายตาไม่ดีตังหากครับ วันนี้ผมใส่แว่นเก่ามายังไม่ได้ตัดใหม่--”

“ผมจำได้ว่าวันก่อนที่ไปดูหนังสือด้วยกันพี่เดือนไปรับแว่นอันนี้ด้วย”

“กุมภ์!” พี่เดือนหน้าขึ้นสีแดงเมื่อผมบอกความจริงไป เขามองไปที่ซุ้มปาลูกโป่งอีกครั้งแล้วกระแอมขึ้น “ก็ได้ๆ ผมไม่ได้เล่นนานมากแล้ว ฝีมือเลยตก”

“พี่เดือนเวลาอายนี่น่ารักดีนะครับ” รุ่นพี่ผู้ชายอีกคนที่กำลังเก็บลูกดอกที่ตกพื้นร้องขึ้น “เอาเถอะน่า มีแค่พวกผมที่เห็นเท่านั้นแหละ พี่เดือนลองไปดูตรงซุ้มตอบคำถามจากหนังสือตรงนั้นดีมั้ยครับ? เห็นว่ายังไม่มีคนได้เลยนะเผื่อพี่จะได้” ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปซุ้มที่ไม่ได้ห่างจากตรงนี้มากนัก พี่เดือนพยักหน้าทั้งที่หูยังแดงๆแล้วรีบเดินหนีไปเลย

“พี่เดือนเป็นแบบนั้นประจำเหรอ?” พี่ผู้หญิงคนเดิมเลิกคิ้ว “เวลาเขินหรืออายอะไรจะหนีไปแบบนั้นเอาดื้อๆ”

“อ่า...ครับ พี่เดือนไม่รู้จะแก้ตัวยังไงเพราะเดิมทีเขาก็เป็นคนเข้าหาคนอื่นไม่เก่ง พอจะต้องมาหาข้อแก้เขินอะไรให้คนที่ไม่คุ้นเคยให้ฟังก็จะแอบติดลนบ้าง” ผมบอกเธอ “พี่เดือนเองก็เป็นเหมือนพวกเรานี่แหละครับ เขายังบอกผมเลยว่าไม่อยากให้คนมองเขาเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นในโรงเรียน เขาเองก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่มีสิ่งที่ชอบสิ่งที่เกลียด เพียงแค่เขาไม่แสดงออกให้ใครเห็นเพราะมันเป็นหน้าที่เท่านั้น”

“ลำบากแย่เลยนะ แต่ช่วงนี้เห็นเขามีความสุขมากขึ้น พี่ก็รู้สึกว่าอะไรๆในโรงเรียนมันก็สดใสขึ้นตามแล้วล่ะ”

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“อ้าว เมื่อวานไม่ได้ดูพี่เดือนเข้าขึ้นหน้าเสาธงเหรอ?” ผมส่ายหน้า “พี่เดือนเขายิ้มกว้างเลยนะ แถมน้ำเสียงก็สดใสสุดๆแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่ผ่านมาน้ำเสียงเขาจะนิ่งๆเรียบๆเป็นพิธีมากกว่านี้อีก”

อย่างนั้นหรอกเหรอ...คนอื่นก็คงจะเริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาได้แล้วเหมือนกันสินะ นั่นคือเรื่องที่ดีเลยทีเดียว แต่เจ้าตัวจะรู้รึเปล่าว่าตอนนี้ตัวเขาเริ่มปล่อยออร่าความสุขมาบ้างแล้ว

“กุมภ์!”

“ครับ!”

ผมโบกมือลาพี่ๆในซุ้มปาลูกโป่ง วิ่งไปหาพี่เดือนที่อยู่ตรงซุ้มตอบคำถาม เขายื่นสมุดโน้ตเล็กๆมาให้ “พี่ตอบคำถามได้มา”

“เป็นคนแรกที่ตอบถูกนะคะเนี่ย สมกับเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์”

“แล้วเขาถามอะไรพี่ครับ?” คำถามไม่น่าจะเป็นคำถามง่ายๆด้วย

“เขาถามว่าประโยคนี้มาจากหนังสือหรือนิยายบนเว็บเรื่องอะไร” พี่เดือนยิ้ม “ประโยคที่ว่า ‘ในที่สุด ชายคนนั้นก็ได้พบกับแสงสว่างที่ดึงเขาออกมาจากความเศร้า เขาเริ่มที่จะกล้าเผชิญกับสิ่งต่างๆมากขึ้น เริ่มที่จะทำสิ่งต่างๆที่ไม่เคยทำมากขึ้น’ ”

“ประโยคทำนองนั้นมันอยู่ในหนังสือเกือบล้านเล่มบนโลกเลยมั้งนั่น...” ผมอ้าปากค้าง “แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่ามาจากเรื่องไหน?”

“มันเป็นบทหนึ่งจากนิยายปรัชญาของ HiddenShadow ที่เอาลงเว็บไปไม่นานมานี้” พี่เดือนหันไปทางผู้หญิงเจ้าของซุ้ม “ไม่คิดว่าจะเจอแฟนหนังสือของเขา”

“HiddenShadow มีสไตล์การเขียนหนังสือที่ทำให้พี่รู้สึกว่าเขามีความเศร้าอยู่ภายในจริง ออกผ่านทางตัวอักษรทำให้สะเทือนใจ แต่งานล่าสุดที่เขาเพิ่งอัพลงนี่พี่คิดว่าชีวิตเขาน่าจะดีขึ้นแล้ว” เธอหัวเราะ “พี่เป็นกำลังใจให้เขานะ หวังว่าสักวันจะได้เขียนงานหนังสือที่เกี่ยวกับชีวิตที่มีความสุขของตัวเอง”

“เราไปกันเถอะ ซุ้มนั้นมีของกินน่าอร่อยเต็มเลย” พี่เดือนลากผมไปทางอื่น ในมือเขามีสมุดโน้ตเล่มสีเนื้ออีกเล่มอยู่ “ถ้ามองสมุดเล่มนี้ล่ะก็พี่ได้มันมาสองเล่ม พี่เลยแบ่งให้กุมภ์ไง”

“อ้อ” ผมร้องเบาๆ แค่ผมมองแป๊บเดียวก็ตอบคำถามให้แล้ว “พี่เดือน นั่นสายไหม”

“อยากกินเหรอ?”

“ก็อยากนะครับ แต่เหมือนคนจะเยอะมาก” ผมเห็นแค่จำนวนคนที่ต่อคิวซื้อก็ท้อแท้แล้ว “เอาไว้คนน้อยกว่านี้ค่อยไปต่อคิวเอาก็ได้”

“งั้นเราไปซุ้มของเด็กม.4 ก่อนดีมั้ย? ห้องกุมภ์ทำเป็นอะไร?”

“ห้องผมทำคุกกี้โฮมเมดครับ” ผมตอบ “พอดีว่าที่บ้านเพื่อนผมคนหนึ่งในห้องเขาทำเบเกอรี่ พวกเราเลยออกแค่ค่าวัตถุดิบ ที่เหลือทางนั้นก็จัดการเอาเองหมด จริงสิ มันมีคุกกี้ที่เป็นจำนวนจำกัดด้วยนะ พี่เดือนมากับผมหน่อย เผื่อจะยังเหลืออยู่”

คุกกี้ที่ว่านั่นคือคุกกี้สอดไส้ผลไม้อบแห้ง เนื้อคุกกี้ใส่กลิ่นน้ำผึ้งลงไปแล้วทาหน้าด้วยเมเปิ้ลไซรัปเคลือบบางๆ พี่เดือนน่าจะชอบเพราะผลไม้ที่ใส่มันเป็นพวกรสเปรี้ยวๆตัดกับน้ำตาลพอดี แต่ด้วยเพราะมันวุ่นวายที่จะทำเลยมีเอามาวางขายในซุ้มไม่กี่ห่อ

พวกเราเดินไปจนถึงซุ้มของห้องผม ทุกคนยกมือไหว้พี่เดือนก่อนที่จะเอาถาดคุกกี้ตัวอย่างมาให้ชิม ในนั้นยังมีคุกกี้สอดไส้ผลไม้เหลืออยู่บ้าง ผมจึงถามไปว่ามันเหลือกี่ห่อ

“ห่อสุดท้ายพอดีเลย จะเอาใช่มั้ย?” เพื่อนคนหนึ่งในห้องยื่นห่อคุกกี้มาให้ “ราคาพิเศษสำหรับสมาชิกในห้อง...ที่สามารถพาพี่เดือนมาที่ซุ้มได้ เนี่ย คนเยอะขึ้นเพราะตามพี่เดือนมากันนี่แหละ”

“ฮะ?” ผมหันไปข้างหลัง หลายคนที่น่าจะเดินตามมาพากันหัวเราะแห้งๆแล้วทำเป็นซื้อคุกกี้จากห้องผม ผมส่ายหน้า ไม่มีอะไรเสียหายหรอกถ้าจะตามมากัน ยิ่งได้เพิ่มรายได้เข้าห้องก็ยิ่งดีด้วยซ้ำ

พี่เดือนซื้อคุกกี้แบบธรรมดามาอีกห่อก่อนที่จะชวนผมไปนั่งเล่นตรงซุ้มห้องพี่เดือนที่จัดเป็นดูไพ่ทาโรต์ ไม่ยักกะรู้ว่ามีคนดูดวงเป็นด้วย บรรยากาศซุ้มจะออกโทนสีม่วงๆน้ำเงินๆหน่อยเพื่อเพิ่มบรรยากาศ ผมไม่รู้ว่าที่เขาทำนายมันจะแม่นยำเท่าไหร่กันแต่ผมก็ไม่ได้อยากจะดูมากนัก เกิดมันไม่ดีขึ้นมาก็ยิ่งจะทำให้ผมไม่สบายใจไปเปล่าๆ

“กุมภ์ไม่สนใจจะดูเหรอ?” พี่เดือนทักผม เขาถือไพ่ทาโรต์ของเพื่อนขึ้นมา “อุดหนุนห้องพี่หน่อยสิ ระดับห้องโครงการพิเศษอย่างนี้รับรองแม่น”

“เดือนขายของเก่งตั้งแต่ตอนไหนกันวะ” ผู้ชายเพื่อนร่วมห้องพี่เดือนหัวเราะ “แต่ไม่สนใจจริงๆเหรอน้อง พี่นี่มือชำนาญเรื่องการดูดวงไพ่ทาโรต์นะ”

“อ่า...ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากคิดมากถ้าเกิดได้ใบไม่ดีขึ้นมา พี่เดือนไม่ดูล่ะ?”

“พี่เนี่ยนะ?” พี่เดือนชี้ตัวเอง “...เอ่อ...”

“มันไม่เกี่ยวกับภาพลักษณ์หรอกน่า มาๆๆ”

พี่เดือนยอมแพ้นั่งลงกับเก้าอี้เพื่อให้เพื่อนตัวเองเปิดไพ่ทาโรต์ทำนายดวง ก่อนที่พี่ผู้ชายคนนั้นจะร้องเฮ้ยออกมาเสียงดังลั่นซุ้ม

“ดีใจด้วยนะเพื่อน ดวงการเรียนช่วงนี้กำลังขาขึ้นมาก ประสบความสำเร็จแบบสุดๆเพราะนั่นคือสิ่งที่ตัวเองพยายามมา” เขายิ้มกว้างหลังจากจบประโยคนั้น “แต่เรื่องที่น่าดีใจกว่าน่ะ...”

หลายคนที่ได้ยินพากันหันมามองเจ้าของดวงดีที่ทำหน้าไม่ถูก

“ความรักเบิกบาน จะสละโสดเร็วๆนี้จ้า!”

“ฮิ้ววววว!!!!”


ทันทีที่สิ้นสุดเสียงของพี่ชายนักทำนาย คนทั้งซุ้มก็ร้องโห่ให้ด้วยความดีใจก่อนที่จะวิ่งเข้ามาหาพี่เดือนกันใหญ่

“เด็กเรียนอย่างเดือนนี่จะสละโสด?! ร้องไห้แล้ว กูยังไม่มีแฟนเลย!”

“ลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมืองนะเดือน อุ้ย! ลืมไปว่ายังไม่ได้แต่ง”

“นึกว่าจะแต่งกับงานไปแล้ว”


พี่เดือนทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนคนในห้องล้อมพยายามถามว่ากำลังคุยกับใคร เขาเหลือบตามามองผมเพื่อขอความช่วยเหลือ ผมยิ้มแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเมินจนพี่เดือนร้องออกมาว่าให้ทุกคนใจเย็นก่อน

“ใจเย็นก่อนนะทุกคน คือเรื่องนั้น...ผมมีคนที่คุยด้วยแล้วจริงๆ”

“เอาว่ะๆ”ผู้ชายตัวสูงว่า “เป็นคนยังไงอะ?”

“ก็...น่ารัก เด็กกว่าสองปี” พี่เดือนยิ้ม “บอกแค่นี้แหละ เดี๋ยวจะไปกินข้าวแล้วนะ ไปกันเถอะกุมภ์ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันด้วยที่เมื่อกี๊เมินไม่ช่วยพี่”

“หืม? อะไรครับ? ใครไม่ช่วย? พี่ขอให้ผมช่วยตอนไหนอะ?”

“แสบนักนะ” พี่เดือนหยิกแก้มผมในขณะที่พวกเราเดินไปด้วยกัน ปล่อยให้คนในห้องตัวเองยืนงงกับสถานการณ์อยู่ แต่ผมได้ยินแว่บๆเหมือนกันว่าพูดถึงผมกับพี่เดือน

“เฮ้ย นั่นคือรุ่นน้องที่เป็นรองหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ใช่มั้ย?”

“ใช่ๆ เห็นว่าอยู่ม.4”

“น่ารักด้วยอะ สนิทกันมากอีกตังหาก”

“เฮ้ย...อย่าบอกนะว่า...กรี๊ดดด”



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (15/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 21-05-2019 20:15:58
“พี่เดือนสนุกมั้ยครับ ได้แกล้งผมเนี่ย”

“?”

“หยิกแก้มผมน่ะ” ผมนั่งหน้าบูดอยู่กับพี่เดือนในโรงอาหารสอง พี่เดือนกำลังตักข้าวผัดไข่เข้าปากในขณะที่ผมคนน้ำส้มคั้นในแก้วเล่นเพราะกินผัดไทหมดแล้ว “อย่ากลั้นหัวเราะสิ!”

“ก็กุมภ์ชอบทำตัวให้น่าแกล้งนี่นา”

“เอาพี่เดือนคนเก่าเมื่อเทอมที่แล้วคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมแก้แค้นเขาโดนการขโมยไข่ในจานเข้าปากตัวเอง “แบบนั้นยังน่ารักกว่าอีก”

“เขินนะเนี่ยที่มีคนชมว่าพี่น่ารัก” พี่เดือนหลุดหัวเราะออกมาจนได้ นั่นยิ่งทำให้ผมหัวเสียเข้าไปใหญ่เลยนะ!

ผมรอนทีมาที่นี่พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน แต่สุดท้ายก็ไม่มาสักทีเพราะพี่ในชมรมของนทีมันไม่ยอมปล่อยให้ออกมากินข้าวตอนนี้ ส่วนคนอื่นก็ส่งข้าวส่งน้ำให้เพื่อนร่วมห้องกันอยู่ มีแค่พวกเราที่ว่างงานจนเดินเล่นได้ “จะว่าไปแล้ววันนี้นทีจะได้ขึ้นเวทีใหญ่มั้ยนะ...”

“เห็นบอกว่าวันนี้ไม่ได้ขึ้นแล้วล่ะ” พี่เดือนมองไปที่นอกโรงอาหาร “อ้าว นั่นเพื่อนนี่นา”

อุ้มกับดินเดินตรงมาด้วยสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก เหมือนโดนใช้งานนักก่อนจะลากมาที่นี่ได้ ผมเปิดขวดน้ำกรอกปากเพื่อนไปให้สดชื่อตื่นตัวก่อนที่จะพากันเล่าเรื่องที่ไปเจอมา

“เนี่ย ตอนนี้คนในชมรมดนตรีพากันวุ่นวายใหญ่ จู่ๆนทีมันก็ล้มลงไปเลย”

“อ้าว”

“มันอาการไม่ค่อยดี เพราะคืนก่อนโหมตัวเองหนักไปหน่อยจนมีสภาพเป็นอย่างนั้น ยิ่งมาซ้อมนักวันนี้ก็ยิ่งทำให้ร่างกายรับไม่ไหว สวิทช์เครื่องดับเหมือนถอดปลั๊กคอมทั้งที่ยังไม่ได้ชัดดาวน์” อุ้มอธิบาย “แต่ก็พาไปนอนในห้องพยาบาลแล้วล่ะ วันนี้คงไม่ได้แสดงอะไร”

“น่าเสียดายอยู่นะ แต่เพื่อตัวมัน ทำแบบนี้คงดีกว่า” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับดิน “พี่เดือน วันนี้เดทกับกุมภ์มีความสุขมั้ยครับ?”

“เดทอะไรเล่า!!”

“อ๋อ ทั้งมีความสุขทั้งสนุกที่ได้แกล้งเด็กเลยล่ะ” ว่าแล้วพี่เดือนก็ยื่นมือเข้ามาหยิกแก้มผมอีกแล้ว! “พี่อยากให้กุมภ์ตัวเท่านี้ตลอดไปเลย มีแก้มให้บีบ”

“โปรโมชั่นความรักสุดๆ เอาเป็นว่าช่วงบ่ายพวกผมไม่กวนหรอกนะครับ เดี๋ยวต้องไปลงสนามรบอีก”

“แล้วหลังจากนี้ก็มีงานกีฬาสี” อุ้มร้อง “ตายๆๆ แล้วก็สอบ ตายแน่ๆ”

“พี่ติวให้ก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“โอ้ย ไปติวให้กุมภ์มันคนเดียวเถอะค่ะพี่ อยู่ด้วยกันบ่อยๆไปเลย” อุ้มยิ่งใส่ฟืนให้ผมร้อนๆที่หน้า ดังนั้นผมจึงเอื้อมมือไปตบต้นแขนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มให้ “เจ็บนะเฮ้ย!”

“ใครเขาให้พูดเรื่องนี้เสียงดังกัน”

“แหม่ๆ แสดงว่ายังไม่ได้อ่านโพสของเพจคิ้วท์โรงเรียนสินะ ที่ลงแซวมึงกับพี่เดือนอะ”

“ฮะ?”

“เขียนเอาไว้ว่า ‘สองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอดจนแทบจะติดกันอยู่แล้ว แถมได้ข่าวว่าดวงพี่เดือนมีแววจะได้สละโสด หรือว่าจะเป็นรองหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์คนนี้กัน’ คนแชร์กันเต็มเลย”

“นั่นก็แค่คำทำนายรึเปล่า มันจะเป็นจริงได้สักกี่เปอร์เซ็นกัน” ผมส่ายหน้า

“แต่พี่ก็หวังให้มันเป็นจริงสักวั--”

“ว้าก!!”

รีบเอามือตะคลุบปากพี่เดือนเอาไว้ก่อนที่พี่เขาจะพ่นคำหวานชวนขนลุกออกมาจนคนหันมามองทั้งโรงอาหาร อุ้มกับดินหัวเราะเสียงดังลั่นจนผมค้อนสายตาส่งไปให้ ส่วนเจ้าตัวคนพูดก็ทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เหมือนว่ากำลังปั่นให้ผมอารมณ์เสียอยู่คนเดียว

ผมไม่พูดกับพี่เดือนไปสักสิบนาทีจนเขาเริ่มรู้ว่าผมกำลังหงุดหงิดจริงนั่นแหละ เขาถึงยอมง้อผมด้วยการเอาขนมมาให้

“ขอโทษนะครับ...” พี่เดือนยื่นถาดขนมครกมาให้ น่าจะเพิ่งซื้อมาจากร้านข้างๆร้านข้าว “พี่ไม่หยอกแล้ว”

“...ครับๆ เฮ้อ...” แล้วผมเองก็ใจอ่อนง่ายด้วย พี่เดือนยิ้มร่าก่อนที่จะส่งถาดขนมมาให้หน้าผม “ขนมครกใส่ข้าวโพดกับเผือก? ปกติเขาใส่ผักลงไปไม่ใช่เหรอร้านนี้?”

“เห็นว่าวันนี้เป็นวันพิเศษเลยทำไว้หลายแบบ ความจริงถ้าทำแบบมีข้าวโพดกับเผือกแต่แรกอาจจะขายดีกว่านี้” พี่เดือนมองถาดขนมนั่น “กุมภ์มีกล้องมาด้วยรึเปล่า?”

“กล้อง? ผมไม่ได้เอามานะครับ รอถ่ายงานกีฬาสีอย่างเดียวเลย ดีนะที่ห้องผมไม่ได้ขึ้นแสตนด์ แต่ก็ไม่ได้ไปเดินขบวนเหมือนกัน”

“อ้าว? แล้วห้องกุมภ์ทำอะไรล่ะ?”

“คนที่แข่งกีฬาก็มีงานทำแน่นอนครับ แต่คนที่เหลือนี่คงจะเร่ร่อน” ผมส่ายหน้า “ผมอยากมีส่วนร่วมในงานกีฬาสี ไม่งั้นผมจะไม่ได้ร่วมกิจกรรม แล้วก็จะไม่ผ่านอีก”

“งั้นมาช่วยพี่เปิดกับปิดพิธีมั้ย?”

“ครับ?”

พี่เดือนป้องมือตัวเองเพื่อกระซิบกับผม “เดี๋ยวพี่ใช้เส้นพี่ช่วยให้กุมภ์ยืนเป็นพิธีกรช่วยพี่เปิดปิดพิธี เท่านี้ก็มีกิจกรรมแล้ว”

“มันจะไม่โกงคนอื่นไปหน่อยเหรอครับนั่น” พี่เลิกคิ้ว ปกติแล้วพี่เดือนไม่น่าจะเป็นคนประเภทใช้เส้นตัวเองเพื่อให้ได้ผลประโยชน์อะไรสักอย่าง

“นานๆทีการใช้เส้นบ้างมันก็เกิดผลดีกับเรา หลายคนก็คงจะมองเห็นว่ากุมภ์เป็นคนที่พี่ไว้ใจให้ทำงานช่วยด้วยได้ ไม่มีใครกล้าเถียงหรอก” พี่เดือนหัวเราะในลำคอ “สมัยนี้ใครๆก็ใช้เส้นกันทั้งนั้น เพราะถ้ายังติดกับฐิติมากเกินไป โอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองมันก็ยาก”

คนเรามักจะแข่งกัน ยิ่งถ้าได้เส้นมันก็ยิ่งเป็นใบเบิกทาง

“ถ้าพี่เดือนว่ามาอย่างนั้นก็ได้ครับ หวังว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมจะเตรียมตัวทันรึเปล่า? ได้ข่าวมาว่าพิธีเปิดงานกีฬาสีตัวแทนนักเรียนจะต้องใส่เสื้อสูทฟอร์มโรงเรียนด้วยนี่นา ผมไม่ใช่คนในสภานักเรียนแล้วผมจะได้เสื้อนี่มาจากไหน?” คำถามมากมายหลุดออกจากปากผม พี่เดือนรีบห้ามเอาไว้แล้วค่อยๆตอบ

“เรื่องปัญหาน่ะมันไม่มีอยู่แล้ว สคริปต์การพูดการอะไรพี่ก็มีของพี่เอามาให้กุมภ์ดูได้ ส่วนเรื่องเสื้อสูทฟอร์มทางโรงเรียนพี่มีตัวเก่าที่เล็กกว่าตัวที่ใส่ตอนนี้อยู่” ผมพยักหน้า “คนในสภานักเรียนไม่ใส่ใจหรอกว่าใครจะใส่ ถ้าครูถามพี่ก็จะอธิบายให้ฟัง”

“อะแฮ่ม คุณกุมภ์คะ ลืมใครที่อยู่ตรงนี้ไปรึเปล่าเอ่ย?”

อุ้มร้องขึ้นมา เพื่อนทั้งสองคนกำลังนั่งจิ้มแตงโมตัดเป็นชิ้นมองผมและพี่เดือนคุยกัน ทำหน้าเบื่อหน่าย “คนมันจะหวานกันก็ให้หวานไปเถอะ”

“แต่กูหมั่นไส้”

“แล้วมึงทำอะไรได้มั้ยล่ะ?”

“ก็ไม่”

“เออ ปล่อยไปเถอะ ฟีลเตอร์ความรักมันกำลังเปิดอยู่—โอ้ย!”

“จะมีสักวันมั้ยที่ไม่แซวกันเนี่ย” ผมคว่างฝาขวดน้ำใส่โดนหัวดินพอดี “ไปกันเถอะครับพี่เดือน ไปดูนทีมันด้วยก็ดี”

“ดูดิ มีการชวนหนีไปที่อื่น แม่กูใจแตกแล้ว”

“หุบปากไปเลยน่า!”

 

 ผมมาเยี่ยมนทีที่กำลังนอนหลับบนเตียงเลยไม่กวนมัน สีหน้าตอนมันหลับนั้นดูเหมือนไปค่อยจะดีเท่าไหร่นักราวกับว่าฝันร้ายอะไรสักอย่าง ทีแรกว่าจะปลุกแต่พี่เดือนบอกว่าอย่าเลยเผื่อเป็นคนหลับยาก จึงต้องปล่อยให้นทีนอนกัดริมฝีปากเบาๆอยู่อย่างนั้น

ช่วงตอนบ่ายผมกับพี่เดือนเดินเล่นต่อในโซนซุ้มของนักเรียนชั้นม.5 ผมโชว์ฝีมือยิงลูกกระสุนพลาสติกใส่ลูกเป็ดยางสีเหลืองตัวเล็กๆให้หล่นลงจนได้ครอบครัวเป็ดกลับมาเกือบหกตัว พี่เดือนดูเหมือนว่าจะอาบนิดๆที่ตัวเองปาเป้าไม่โดนสักดอก ผมจึงปลอบใจเขาโดยการแบ่งเป็ดให้ครึ่งหนึ่งเอาไปตั้งโชว์ในห้อง

“ถ้าพ่อแม่พี่มาเห็นเข้าคงมีตกใจโยนเป็ดทิ้ง” เขาว่าขำๆ “มีครั้งหนึ่งเขาบอกว่ามันไร้สาระ พี่ไม่ควรจะต้องสะสมอะไรนอกจากหนังสือและผลงาน”

“...”

“แต่มันผ่านมานานแล้วล่ะ พวกเขาไม่ได้เข้าห้องพี่มาเกือบจะสามปีได้แล้วตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย” เขาตีสีหน้ากลับมาร่าเริงเหมือนเดิม “วันนี้ไม่ควรพูดเรื่องแย่ๆสิเดือน แย่จริงๆเลย”

“พี่เดือนลองไปดูตรงนั้นดีมั้ยครับ? มีซุ้มขายโรตีใส่ไข่ด้วยนะ” ผมพยายามสร้างมู้ดที่ดีขึ้น พี่เดือนได้ยินคำว่าโรตีก็หูผึ่งทันที

“โรตีเหรอ...พี่ไม่เคยกินเลย”

“ฮะ?”

“แม่พี่บอกว่าโรตีมันไม่สะอาดที่สุดจากบรรดาอาหารข้างทาง เพราะโต๊ะที่ทำ มือที่ใช้ทำ ผ้าที่ใช้เช็ด หรือแม้กระทั่งนมกระป๋องที่เปิดทิ้งเอาไว้ล้วนแต่มีเชื้อโรค แม่พี่เลยไม่เคยให้กินอะไรพวกนี้”

“ถ้าโรตีไม่สะอาด อย่างอื่นก็ไม่สะอาดหมดแหละครับพี่เดือน แม่พี่เดือนอาจจะไม่อยากให้พี่กินเพราะน้ำตาลจากนมข้นหวานและน้ำตาลทรายมันเกินความพอดีที่พี่ต้องการในหนึ่งวันสมัยเด็กๆ” บางทีแม่พี่เดือนเองก็คงจะอยากเตือนลูกบ้างว่าไม่ให้กินอะไรพวกนี้บ่อยๆ ที่ไม่ให้กินก็เพราะห่วงสุขภาพลูกเพราะตัวเองนั้นเป็นถึงหมอ ก็น่าจะรู้ดีว่าอะไรควรกินมากแค่ไหน “ถ้าอย่างนั้นผมจะพาพี่เดือนกินเอง มากันครับ”

พี่เดือนเดินตามผมมายังซุ้มโรตีใส่กล้วย ผมสั่งมาหนึ่งถาดเพื่อแบ่งกินกับพี่เดือน แถมยังส่งเป็นแบบใส่นมข้นน้อยลงหน่อยเพราะพี่เดือนคงไม่กล้ากินนมข้นเยิ้มๆเหมือนที่หลายคนชอบแน่ๆ โชคดีด้วยที่ร้านนี้สะอาดมากพอที่จะทำให้พี่เดือนไว้ใจได้ระดับหนึ่ง

คำแรกที่พี่เดือนชิมเข้าไป ก็มีคำที่สองคำที่สามตามมา ท่าทางจะติดใจรสชาติหวานๆของโรตีนี่เข้าให้แล้วล่ะ

“ชอบล่ะสิ กินเอาๆแบบนั้น” ผมหัวเราะทันทีที่พี่เดือนขอส่วนที่เหลือทั้งหมดไปถือกินคนเดียว พี่เดือนหันมาพยักหน้ารัวๆพร้อมกับป้อนโรตีให้ผมด้วยหนึ่งคำ แน่นอนว่าผมมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่มีใครเห็น

ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะ...

พวกเรานั่งเล่นอยู่ตรงซุ้มของห้องสมุดเพื่อรอให้เวลาช่วงการแสดงปิดงานเริ่มขึ้น พอได้ยินเสียงดนตรีคลอๆมาบ้างแล้วพี่เดือนก็ชวนผมเดินไปดูตรงท้ายๆสนามเลยเพราะเขาไม่อยากเข้าไปแย่งคนดู

“ได้ยินเสียงเพลงโอเคแล้วล่ะ”

“นั่นสินะครับ”

ชมรมดนตรีของโรงเรียนเริ่มเล่นเพลงให้คนร้องตาม เปลี่ยนเป็นเพลงช้าบ้างสนุกบ้าง ผมโยกหัวเบาตามจังหวะ ส่วนพี่เดือนก็ยืนกอดอกฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้ร้องตามหรืออะไร

“พี่เดือนไม่ร้องตามบ้างเหรอครับ?”

“ไม่เอาหรอก เสียงพี่เวลาร้องเพลงน่ะเอาไว้ให้แค่คนในชมรมกับกุมภ์ฟังก็พอแล้ว ที่นี่คนมันเยอะกว่าพี่ไม่ชอบ” พี่เดือนยิ้มบางๆ “ท้องฟ้าในฤดูหนาวนี่สวยดีนะ”

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ แอบเห็นดวงจันทร์ชัดขึ้น เขาบอกว่าฤดูหนาวตอนกลางวันจะเร็วกว่าตอนกลางคืน ทั้งที่ตอนนี้มันยังแค่หกโมงครึ่งกว่าๆฟ้าก็มืดเสียแล้ว

“ในที่สุดมันก็หมดไปอีกวันนะครับ”

“นั่นสินะ...”

วันเวลามันยังคงเดินไปข้างหน้า ในขณะที่เวลาชีวิตของคนเรามันเดินถอยลงไปเรื่อยๆ การที่เราผ่านไปในแต่ละวันนั้นมันหมายถึงเรามีเวลาให้ทำสิ่งต่างๆน้อยลง แต่ถ้าถามว่าทุกสิ่งที่ทำมาตลอดนั้นมันคุ้มค่ามั้ย? เป็นตอนนี้ก็ยังหรอก ผมรู้ว่าผมยังเหลือเวลาอีกมากในการทำสิ่งที่ชอบ ที่สำคัญคือวันเวลาที่ผ่านไปนั้นมันยิ่งย้ำเตือนพวกเราเสมอว่าให้รักษาและอยู่ปกป้องสิ่งที่สำคัญที่สุดเอาไว้ให้ได้นานเท่าที่จะทำได้

และเวลาที่ยิ่งผ่านไป ก็ยิ่งย้ำให้ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่เดือนนั้นมันมากขึ้นเรื่อยๆ

“วันแรกที่เจอกัน...” พี่เดือนพูดขึ้นก่อน “พี่จำได้ว่าเจอตอนวันฝนตก”

“...”

“วันนั้นพี่อุ้มลูกแมวตัวหนึ่งมาหลบฝน พี่ไม่ค่อยได้สนใจคนรอบข้างเท่าไหร่ แต่พี่จำได้ว่าคนที่ยืนมองพี่อยู่เป็นเด็กม.4 ตัวเล็กๆที่สมัครเข้าชมรมบรรณารักษ์ พี่ไม่เคยคิดเลยว่าจากเด็กคนที่ไม่เคยจะสานสัมพันธ์อะไรไปมากกว่าคนในชมรมจะกลายมาเป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงมุมมองหลายๆอย่างของพี่”

ผมเองก็จำได้...วันที่ผมเข้าไปยื่นใบสมัครให้พี่เดือนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะชมรม เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่กลับเรียบเฉยจนน่าอึดอัด

“ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าผมจะได้เห็นพี่เดือนในมุมที่ไม่เคยมีใครเห็น”

พี่เดือนในตอนนั้นเขาจะไม่ใช้คำว่าพี่กับผมแน่นอน แต่เป็นคุณ น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นไม่นานเขาเปลี่ยนมาใช้พี่กับผม ราวกับว่าผมเป็นข้อยกเว้นและได้รับความไว้วางใจมากกว่าคนอื่น

“พี่พยายามมาตลอดเพื่อที่จะปกปิดสิ่งที่พี่ต้องการจริงๆเอาไว้ภายใต้ความปรารถนาของคนอื่น แต่ว่ากุมภ์ก็เป็นคนเปิดม่านนั่นออก” พี่เดือนจ้องไปที่ท้องฟ้า เอื้อมมือขึ้นไปข้างบน “ม่านนั่นทำให้พี่เห็นสิ่งที่พี่ควรจะได้รับ เห็นสิ่งที่พี่ต้องการ เห็นท้องฟ้าที่สดใสกำลังรอให้พี่บินออกจากกรงที่ขังพี่เอาไว้”

“...”

“กุมภ์”

“ครับ”

“กุมภ์ปกป้องพี่มาหลายรอบแล้ว” พี่เดือนลดมือลงมา จ้องตาผมพร้อมกับรอยยิ้มท่ามกลางหลอดไฟนีออนตกแต่งสีนวลผิว สร้างบรรยากาศอบอุ่น “ถ้าวันไหนที่พี่เข้มแข็งมากพอและสามารถบินออกจากกรงนี่ได้แล้ว”

“...”

“พี่ขอเป็นคนปกป้องกุมภ์บ้างนะ”

อ่า...

พี่เดือนคงกำลังบอกผมกลายๆสินะว่าให้รอวันที่เขาเข้มแข็งมากกว่านี้ ให้รอวันที่เขาเป็นอิสระจากทุกสิ่งมากกว่านี้

เขาจะคบกับผมในวันที่เขาสามารถยืนด้วยตัวเองได้จริงๆแล้ว

“พี่ไม่อยากเร่งมัน แต่พี่จะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่ไม่อยากล้มแล้วยอมแพ้ตั้งแต่ตรงนั้น” พี่เดือนเลื่อนมือมาแตะใบหน้าผมเอาไว้ “กุมภ์รอได้ใช่มั้ย?”

“...แน่นอนสิครับ ผมรอได้อยู่แล้ว” ผมเองก็เลื่อนมือเข้าไปแตะใบหน้าเขา

“เมื่อถึงวันนั้น...พวกเราทั้งคู่ จะจับมือไปด้วยกัน ล้มก็ล้มไปด้วยกัน”

พวกเราปล่อยให้เสียงเพลงดังไปตามสายลม ไม่สนใจว่าจะมีใครมองหรือไม่ แค่ในตอนนี้...เวลานี้...ที่มือของพวกเราสัมผัสไออุ่นจากใบหน้าของอีกฝ่าย ที่สายตาของพวกเรากำลังจับจ้องประกายสดใสจากอีกฝ่ายมันก็เพียงพอแล้ว

แค่นี้...มันก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้


==========


พี่เดือนของนุเติบโตขึ้นมากเลยนะ  จิร้องไห้ :hao5:

ขอใบ้ๆไว้นะคะว่าเรื่องนี้จะมีจบแบบ What If ด้วย ถ้าเกิดว่าตัวพี่เดือนในอนาคตเลือกทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ในส่วนของ What If นั้นจะเอาไปลงเล่มแทนถ้าได้ตีพิมพ์นะคะ ในเว็บจบดีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นแต่ระหว่างทางช่วงหลังๆจะสะบักสะบอมไปหน่อยนะ แฮะๆ....

ช่วงนี้ไม่มีเวลาเขียนเลยค่ะ เปิดเทอมแล้ว วิ่งวุ่นวายมากตั้งแต่ได้รับตำแหน่งที่ต้องคุมเพื่อนๆสองห้องเลย รวมไปถึงงานที่โถมเข้ามา เลยทำให้ปั่นช้าไปนิดนึงเพราะกว่าจะทำงานส่วนนั้นเสร็จ เอเนอร์จี้ก็ไม่เหลือแล้ววว
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (21/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-05-2019 08:11:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (24/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 24-05-2019 14:39:37
บทที่ 10

 

วันก่อนงานกีฬาสีเป็นวันอาทิตย์ พี่เดือนมาที่บ้านผมพร้อมกับเสื้อสูทฟอร์มโรงเรียน ไม่คิดว่าจะพอดีกับตัวผมขนาดนี้ด้วยซ้ำ แสดงว่าสมัยก่อนพี่เดือนตัวเล็กเท่าผมเลยสินะ

“ตอนพี่เด็กๆ พี่เป็นคนตัวเล็กมากเลยนะ พอเริ่มขึ้นชั้นม.5 ขึ้นมาความสูงพี่มันก็พรวดเอาๆ” พี่เดือนยิ้มบางๆ “บางทีความสูงกุมภ์อาจจะมายืดเอาตอนปีหน้าก็ได้”

“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีสิครับ บ้านผมนี่มีแต่คนตัวเล็กๆ” ว่าแล้วก็มองรูปครอบครัว บ้านผมมีแต่คนตัวเล็กจริงๆ โดยเฉพาะแม่ที่สูงแค่ร้อยห้าสิบเท่านั้น พ่อของผมก็สูงร้อยหกสิบแปด สองพี่น้องมีผมที่เลยร้อยหกสิบมาคนเดียว ญาติคนอื่นๆก็พากันตัวเล็กไปหมด

พี่เดือนดูรูปครอบครัวผม แล้วก็หัวเราะเบาๆ “แต่ตัวเล็กจริงๆนั่นแหละ นี่กุมภ์ตอนกี่ขวบกัน?”

“ในรูปนั้นผมสักสิบขวบได้มั้งครับ มีแต่คนล้อว่าตัวเตี้ย ผมโกธรมากเลยนะสมัยนั้น” โกธรกับเรื่องไร้สาระ โกธรกับเรื่องที่ไม่ควรโกธรอย่างส่วนสูง รู้ทั้งรู้ว่ามันเกี่ยวกับพันธุกรรมแต่มันก็อดที่จะโมโหไม่ได้เวลาถูกล้อเยอะๆ

“ตอนพี่เรียนประถม มีแต่คนอยากเรียนพิเศษตามพี่ทั้งนั้นแหละ เพราะเห็นว่าพี่ไปเรียนมาแล้วผลการเรียนมันดีขึ้น ความจริงแล้วระดับประถมมันไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษด้วยซ้ำ”

“เขาเรียนตามสมัยนิยมครับ แล้วเรื่องหลักสูตรการเรียนสมัยนี้มันวุ่นวายกว่าสมัยที่พ่อแม่เรียนเยอะ ไม่แปลกที่พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกตัวเองด้อยไปกว่าใคร ว่าแต่พี่เดือนเถอะ เรียนตั้งแต่ประถมเลยแบบนั้นไม่เหนื่อยเหรอครับ?”

“เหนื่อยสิ เหนื่อยมากๆ แต่พี่ก็ไม่มีสิทธิบ่นอะไรเพราะพี่อยากเป็นเด็กดีในโอวาท พอมาตอนนี้พี่ชักอยากจะเป็นเด็กไม่ดีบ้างแล้ว” พี่เดือนว่าขบขน เขาหันมาทางโน้ตบุ๊คของผมที่เปิดค้างเอาไว้ “กำลังแต่งรูปเหรอ?”

“อ่า...ครับ รูปที่จะส่งประกวด” ไม่นานมานี้ผมไปเปิดกระทู้เจอหัวข้อแข่งขันที่น่าสนใจ ผมจึงใช้เวลาว่างไปถ่ายรูปแล้วค่อยๆแต่งส่งเอาภายในปีนี้ “หัวข้อท้องฟ้า น่าสนใจดีนะครับ”

“ท้องฟ้า?”

“ผมตีความว่าท้องฟ้าก็เป็นเหมือนผืนน้ำ กว้างใหญ่แต่ก็มีขอบเขต”

“ท้องฟ้าไม่มีขอบเขตนี่นา...” พี่เดือนขมวดคิ้ว

“ท้องฟ้าของผมไม่ใช่ท้องฟ้าแบบที่ทุกคนเห็น แต่เป็นท้องฟ้าในใจมนุษย์ตังหาก”

“...”

“เรามีอิสระที่จะทำทุกอย่างอยู่ภายในขอบเขตที่จำกัดเอาไว้ นั่นทำให้มนุษย์พยายามที่จะฝืนขีดจำกัดที่มีอยู่เพื่อเปิดท้องฟ้าให้กว้างมากขึ้น มันถึงน่าอัศจรรย์ใจที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มาเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง”

“...”

“พี่เดือนเองก็มีสิทธิที่จะเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างด้วยมือของพี่นะครับ”

“กุมภ์เป็นคนที่น่าสนใจกว่าที่คิดนะ เพราะมีความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้พี่ยิ่งอยากรู้จักตัวกุมภ์มากขึ้นเรื่อยๆ” พี่เดือนยื่นมือเข้ามาลูบหัวผม พวกเราเล่นด้วยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่แม่จะเคาะประตูห้องเรียนพวกเราไปกินข้าวเย็นด้วยกัน

พี่เดือนตั้งใจจะค้างคืนที่นี่ เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกจากบ้านแต่มืดเพื่อไปรับนทีไปร้านแต่งหน้า ผมลืมบอกไปรึเปล่าว่านทีมันเป็นคทากรชายประจำสีผมปีนี้ เรื่องมันมีอยู่ว่าวันหนึ่งตอนประชุมสี นทีมันเดินสะดุดล้มแล้วแว่นหลุดจากหน้าใกล้ๆกับพี่สตาฟสีที่กำลังหาคนมาเป็นคทากร พอเห็นเข้าก็ถูกใจนทีมันใหญ่เลยลากให้ไปทำหน้าที่โดยแลกกับไม่ต้องทำกิจกรรมใดๆอีกตลอดเทอม มันเป็นข้อเสนอที่สามารถทำให้นทีติดกับได้อย่างง่ายดาย ในที่สุดมันก็ได้หน้าที่ที่เป็นหน้าเป็นตาของสี

ผมเองก็อยากเห็นตอนมันแต่งแบบเต็มที่ว่าดูดีแค่ไหน

 

ช่วงตีสี่ พี่เดือนขับรถไปรับคนขี้เซาอย่างนทีที่บ้าน จากนั้นก็พามาที่ร้านแต่งหน้าที่เปิดเฉพาะกิจสำหรับงานกีฬาสีโรงเรียนเรา มันบ่นอุบอิบว่าไม่อยากทำๆ แต่สุดท้ายมันก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว

อย่างที่พี่สาว่า นทีตอนถอดแว่นหน้าตาดีจริงๆ

“ไม่อยากใส่คอนเทคเลนส์อะ ใส่แว่นไม่ได้เหรอ...”

“ไม่ได้ค่ะ น้องต้องใส่คอนเทคเลนส์ น้องต้องหล่อนะคะวันนี้ ถ้าใส่แว่นมาเจ้รับไม่ได้!” เจ้รัตน์เป็นช่างแต่งหน้าประจำของที่นี่ เธอกำลังดุนทีที่งอแงไม่อยากแต่งหน้า ตอนนี้โดนเจ้แกโปะแป้งรองพื้นไปแล้ว “อดทนเอานิดเดียว น้องต้องได้เสียงกรี๊ดจากชะนีกลับมานะคะ” และครับ...เจ้แกเป็นสาวประเภทสอง

พี่เดือนส่ายหน้าพลางหัวเราะมองนทีทำท่าจะร้องไห้เต็มทน พวกเราซื้อนมกล่องมาทิ้งเอาไว้ให้มันดูดเผื่อหิวด้วย จากนั้นก็โบกมือลาเพราะตัวของพวกเราเองก็มีหน้าที่ต้องไปประจำอยู่ที่โรงเรียน

พวกเราจะรอขบวนพาเรดเข้ามาแล้วพูดถึงสีต่างๆว่ามีใครทำหน้าที่อะไรบ้างตามใบรายชื่อ ผมกับพี่เดือนโชคดีที่ได้อยู่สีเดียวกันก็คือสีชมพู เวลาทำงานอะไรประสานงานก็ง่ายหน่อย ที่สำคัญคือผมกับพี่เดือนได้อยู่ด้วยกันตลอด บางทีก็จะมานั่งแอบๆคุยกับโดยไม่ให้คนอื่นรู้ แต่หลายครั้งเหมือนกันที่มีคนแซวพี่เดือนมาเป็นระยะๆว่าผมคือคนที่จะทำให้เขาสละโสดใช่มั้ย?

พี่เดือนทำแค่ยิ้มๆตอบกลับเท่านั้น ทำให้เกือบทุกคนเข้าใจไปในแง่เดียวกันว่าเขาคุยกับผมจริงๆ

พี่เดือนขับรถมาถึงโรงเรียนช่วงประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานโดยเฉพาะพวกสภานักเรียนที่ตอนนี้กำลังวิ่งเต้นเร่งทางอ้อมให้บรรดาผู้บริหารมาช้ากว่านี้ กำหนดการจริงๆงานจะเริ่มตอนแปดโมง แต่นี่พวกผอ.มานั่งรอเสียแล้ว จะรีบกันไปไหนเชียว

“เดี๋ยวพี่ไปจัดการตรงนั้นแป๊บหนึ่งนะ กุมภ์รออยู่ที่ห้องแต่งตัวตรงนั้นก่อน” พี่เดือนชี้ไปที่ห้องเล็กๆ เขาบอกให้ผมไปแต่งตัวเปลี่ยนเป็นเสื้อสูท พอผมแต่งเสร็จพี่เดือนถึงเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าที่ดูโล่งใจขึ้น

“จัดการเสร็จแล้วเหรอครับ?”

“อืม พี่คุยกับพวกผู้บริหารแล้วว่าให้มันเป็นไปตามกำหนดการ ถ้ามันเริ่มก่อนอะไรหลายอย่างๆมันจะเร่งงานเกินไป ระบบจะรวนหมด”

“สมกับเป็นพี่เดือนจริงๆ ปกติแล้วผู้ใหญ่ฟังกันที่ไหน เอะอะจะเอาตามใจตัวเองตลอด” ผมชมพี่เดือน เขาเขี่ยแก้มแก้เขิน “รีบแต่งตัวกันดีกว่าครับ เดี่ยวจะไม่ทันงานเอา”

ฟอร์มสูทโรงเรียนจะเป็นเสื้อนอกสวมทับเสื้อนักเรียน ไม่มีไทค์หรืออะไรเพิ่ม ถ้าเป็นประธานนักเรียนจะมีแถบผ้าสีขาวกลัดตรงแขนเสื้อฝั่งซ้ายมือเพื่อให้แยกออกมาจากคนอื่นๆ ส่วนพี่เดือนจะมีแถบผ้าจิ๋วสีฟ้ากลัดตรงหน้าอกแทน พอพี่เดือนใส่แบบเต็มยศแล้วก็ดูดีขึ้นมาแม้ว่าจะใส่กับกางเกงนักเรียนสั้นสีน้ำตาลก็ตาม น่าอิจฉาคนดูดีใส่อะไรก็ดูดีจริงๆ

“อยากกินอะไรก่อนมั้ย? ตรงนั้นมีน้ำมีขนมเตรียมเอาไว้ให้สตาฟ หยิบมากินนิดๆหน่อยๆได้ไม่มีใครว่าหรอก” พี่เดือนไม่รอคำตอบจากผมเขาก็เดินเข้าไปหยิบขนมไข่ห่อเล็กๆมายัดใส่มือให้ “ตอนเช้ายิ่งพากันกินมาแค่ขนมปังก้อนเดียวกับนมคนละกล่อง ไม่อยู่ท้องหรอก”

“งั้นพี่เดือนก็กินด้วยเลยแล้วกัน ผมจะได้ไม่เอาเปรียบคนเดียว” ผมแกะห่อขนมแล้วอาศัยจังหวะไม่มีคนสนใจป้อนพี่เดือน ทีอย่างนี้ล่ะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจที่ผมบริการ พี่เดือนเองก็แกะห่อขนมอีกห่อแล้วป้อนผมเหมือนกันตามด้วยน้ำเปล่าอีกคนละแก้วก่อนที่ทางสตาฟจะเรียกให้พวกเราไปเตรียมตัวขึ้นเป็นพิธีกร

ปกติแล้วโรงเรียนอื่นจะให้ครูมาเป็นพิธีกร แต่โรงเรียนจะเน้นให้นักเรียนได้มีผลงานต่างๆเลยได้มีนโยบายให้นักเรียนทุกคนต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างน้อยคนละหนึ่งกิจกรรม  แต่ที่ผ่านมาตลอดสามปีพี่เดือนแกเล่นเหมาไปเกือบทุกอย่างเลย นักเรียนคนอื่นๆจึงไม่เด่นเท่าเขา แต่ว่าถ้าพี่เดือนออกไปแล้วผมว่าพี่เดือนเองกจะค่อยๆหายไปจากความทรงจำของคนที่เคยอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าอีกสักสองปีคนก็ลืมไปหมดแล้วล่ะว่าพี่เดือนแกเป็นใครมาจากไหน

ในขณะที่บางคนพยายามทำให้ใครหลายคนจดจำ ก็ยังมีคนที่พยายามไม่ทำตัวให้เป็นที่จดจำแต่กลับโด่งดังก็มี

เมื่อขบวนพาเรดมาถึง พวกเราก็ทำตามหน้าที่อย่างที่พี่เดือนแกได้เขียนสคริปการพูดเอาไว้ให้ ตอนที่สีชมพูของพวกเราเดินผ่าน นทีเหมือนแอบเหลือบมองผมแล้วยิ้มให้นิดๆด้วย ผมยอมรับว่านทีในร่างนี้หล่อบาดใจมาก นักเรียนผู้หญิงทุกคนพากันกรี๊ดให้คทากรชายจากสีชมพูตัวสูงผมยาวมัดทรงหางม้า ตรีมสีประจำปีนี้คืออัศวิน ดังนั้นแล้วนทีจึงมาในชุดอัศวินสีขาวบริสุทธิ์พร้อมกับหมวกแฟดอร่าสีขาวติดขนนกสีชมพู ไม้คทาเป็นรูปร่างดาบสีเงินสวยงาม ส่วนผู้หญิงจะเป็นอัศวินสาวเสื้อสีเดียวกัน สวมปิดมิดชิด ผมแอบสงสารที่ต้องทนแดดแต่ก็ต้องภาวนาให้มันอดทนไหว

แต่ก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะทำสิ่งต่อไปนี้

นทีมองไปที่สแตนด์สีชมพูของตัวเองที่ติดฉากรูปปราสาทกับดวงจันทร์ ส่งจูบด้วยปลายนิ้วก่อนที่จะถอดหมวกแฟดอร่าแล้วเควี้ยงไปหากลุ่มผู้หญิงเรียกคะแนนเสียงกรี๊ดกร๊าด นั่นทำให้ทุกคนในสนามฮือฮาแล้วพากันอิจฉาใหญ่ พี่เดือนแอบหัวเราะให้สิ่งที่เพื่อนของผมทำลงไปแต่ก็ไม่ได้มีกฎห้ามสักหน่อยนี่ว่าไม่ให้เล่นกับกองเชียร์

หลังจบพิธีเปิด นทีมันรีบวิ่งมาหาผมก่อนที่จะงอแงใส่ว่าร้อน อยากถอดเสื้อ ติดตรงที่ว่ามีคนอยากถ่ายรูปกับมันมากมาย ผมจึงไล่ให้มันไปถ่ายรูปกับคนที่อยากถ่ายก่อน

“ค่อยมาหากูก็ได้ กูอยู่แถวๆนี้แหละ”

ผมกับพี่เดือนรอนทีอยู่บริเวณสนามที่ใช้เป็นสถานที่เปิดพิธี คราวนี้นทีมันกลับมาพร้อมกับขนมที่มีคนเอามาให้มากมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นฐานแฟนคลับที่ตามจากงานแสดงดนตรีอยู่แล้ว พอเห็นว่าคนที่ชื่นชอบถอดแว่นแล้วดูดีก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ขนมบางอย่างที่นทีไม่ชอบก็แบ่งมาให้ผมเพราะเจ้าตัวคงไม่แตะแน่ๆ

จากนั้นอุ้มกับดินที่อยู่สีน้ำเงินก็ตามมาสมทบ แม้ว่าจะอยู่กันคนละสีแต่พวกเราก็ใช่ว่าจะเขม่นกัน อุ้มชวนพวกเราไปดูกลุ่มผู้ชายเล่นบาสที่กำลังจะเริ่มเร็วๆนี้ เนื่องจากว่าสีชมพูและสีน้ำเงินนั้นแข่งเป็นคู่แรก

“พนันว่าสีกูชนะแน่ๆ”

“สีชมพูสิ”

“ถ้าสีใครแพ้ คนนั้นเลี้ยงข้าวเที่ยงนะครับ” อุ้มดีดนิ้ว ถือว่าเป็นการดีลที่ลงตัว เลี้ยงข้าวเที่ยงก็ไม่ได้หนักกระเป๋าใครมากนัก พวกเรานับว่าเป็นการเสี่ยงดวงตัวเองเล็กๆน้อยๆด้วยซ้ำ “แล้วพี่เดือนไม่ต้องจัดการงานอะไรต่อเหรอคะ?”

“ไม่ๆ กีฬาสีเป็นวันฟรี”

“ดีจัง พี่ได้พักแล้วสินะ ไปดูกีฬากัน!” อุ้มวิ่งลากนทีที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อไปพร้อมๆกับดิน  ส่วนผมกับพี่เดือนค่อยๆเดินตามกันไป

“เพื่อนกุมภ์นี่พลังงานเยอะดีจังเลยนะ”

“ก็อย่างนี้แหละครับ แต่พอขึ้นม.5 แล้วก็คงไม่มีเวลาที่มีความสุขแบบนี้ พวกเราต้องเตรียมงานกีฬาสี พวกเราต้องเตรียมตัวเลือกมหาลัยที่ต้องการแล้ว ยิ่งถ้าขึ้นม.6 ก็ต้องอ่านหนังสือสอบอย่างเดียว” ผมมองไปที่เพื่อนสามคนกอดคอกัน “ช่วงเวลาวัยเด็กคือเวลาที่ดีที่สุดแล้ว ยิ่งโตก็ยิ่งรับรู้ถึงความเจ็บปวดของโลก...ความเจ็บปวดของจิตใจ และความทรมานทางชีวิตที่ต้องมาเจอกับปัญหาต่างๆ”

“แต่พี่ไม่อยากจำวัยเด็กของพี่เท่าไหร่”

“ยกเว้นพี่เดือนสินะ แต่เชื่อผมเถอะนะครับว่าต่อให้มันเลวร้ายหรือดีมากแค่ไหน มันจะเป็นความทรงจำที่สอนบทเรียนประเมินราคาไม่ได้ให้แก่พวกเรา” พี่เดือนแค่ยิ้มให้ผม เดินไปเรื่อยๆจนถึงโรงยิมที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนแข่งกัน พวกเราไม่ได้เดินเข้าไปดูในสนามเพราะคนมันเยอะมาก มีแค่กลุ่มเพื่อนสามคนข้างหน้าเท่านั้นที่ฝ่าเข้าไปได้ “เอาเป็นว่าเราไปที่อื่นก็ได้นะครับ”

“แล้วพวกนั้น...”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ไม่ค่อยตื่นเต้นกับงานกีฬาสีเท่าไหร่ พวกเราไปนั่งเล่นในห้องชมรมกันดีกว่า” ผมชวนพี่เดือนไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดแทน “อย่างน้อยก็มีอะไรให้พวกเราทำอย่างอ่านหนังสือ”

“งั้นเดี๋ยวพี่ขอแวะไปที่รถก่อนได้มั้ย พี่ว่าจะหยิบโน้ตบุ๊คมาทำงาน”

“งาน?”

“พี่ว่าพี่จะทำพอร์ตส่งรอบแรกของคณะบริหารดู” พี่เดือนพูด “ถ้าไม่ได้ พี่ก็จะสอบแข่งแพทย์”

“พยายามเข้านะครับ”

“ขอบคุณนะ”

ระหว่างทางที่พี่เดือนเดินไปที่รถแล้วย้อนกลับมาที่ห้องสมุดนั้นไม่ใช่ระยะทางสั้นๆ แต่พี่เดือนไม่ได้บ่นอะไร พวกเราเดินเท้าไม่นานนักก็มาถึงห้องสมุด หรือมันอาจจะนานก็ได้แต่เพราะเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันนั้นมันมีความสุขดี เลยทำให้รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็ว

งานกีฬาสีจะเสียงดังตรงเฉพาะจุดที่มีการแข่งขัน...ภายในห้องสมุดที่ไร้คนแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ที่เงียบมากและเป็นพื้นที่ส่วนตัวไปในทันที ซึ่งนั่นหมายความว่าพี่เดือนจะได้โอกาสนอนพักหลังจากที่เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ

เมื่อคืน...พี่เดือนนอนละเมออีกแล้ว

เป็นคำว่า ‘อย่าตีผม’

สมัยเด็กๆพี่เดือนต้องเคยถูกทำร้ายร่างกายมาก่อนไม่ว่าจะแรงขนาดไหนก็ตาม มันกลายเป็นบาดแผลทางใจที่ฝังลึกอยู่ข้างใน ยิ่งโดยเฉพาะถ้ามันมาจากการที่ครอบครัวไม่พอใจแล้วมาลงกับเขา ก็ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่กล้าขัดอะไรกับคนที่บ้านมาจนถึงทุกวันนี้

ในห้องชมรมเพิ่งได้โซฟาตัวเก่าจากห้องพักครูที่กำลังจะเอาไปทิ้งมาตั้งเอาไว้เพราะครูประจำชมรมคนใหม่ของผมเสียดาย ผมจึงกระโดดไปนั่งกับเบาะนุ่มๆ พี่เดือนที่เห็นว่าผมนั่งลงกับโซฟาตัวนั้นแล้วเหลือพื้นที่อีกเยอะจึงกระโดดขึ้นมาตาม แต่ทว่าเขากลับโน้มตัวเอาหัวเขามานอนบนตักผม ปล่อยให้ตัวส่วนที่เหลือพาดไปจนสุดฝั่งที่นั่ง

“พี่เดือน...”

“ตักกุมภ์นุ่มดี พี่ขอนอนหน่อยนะ”เขาว่าอย่างนั้นก่อนที่จะหลับตาลง ผมเถียงไม่ได้เพราะความจริงเองนั้นก็รู้สึกเหมือนกันที่พี่เดือนจะอ้อนเป็นเด็กบ้าง ดังนั้นผมจึงยื่นมือเข้าไปลูบหัวเขาเบาๆ กล่อมให้พี่เดือนได้หลับสบายๆบ้าง

ติ๊ก...ต่อก

เสียงนาฬิกาเข็มในห้องค่อยๆเดินไป ผมกับพี่เดือนอยู่ในโซนปลอดภัย ไม่มีใครสามารถเข้ามากวนพวกเราได้ ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกข้างนอกนั่นตัวของพี่เดือนกำลังพักผ่อน ส่วนผมก็นั่งดูผู้ชายคนหนึ่งทิ้งความกังวลทุกอย่างในชีวิต

น่าแปลกที่เมื่อพี่เดือนหลับอยู่ข้างๆผม พี่เดือนกลับไม่มีท่าทีจะฝันร้ายอะไร

บางที...คงเพราะว่าผมเป็นเซฟโซนสำหรับเขา

ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวก็ตอนที่พี่เดือนกำลังใช้นิ้วตัวเองเกลี่ยใบหน้าผม กลายเป็นผมที่นอนตักของเขาแทน

“จะเที่ยงแล้วนะ กินข้าวที่ไหนกันดี?”

วันกีฬาสีโรงเรียนของเราจะปล่อยให้นักเรียนเป็นอิสระ ไปไหนก็ได้ แต่ขอให้มาเช็คชื่อช่วงเย็น พี่เดือนตั้งใจจะพาผมออกไปกินข้าวข้างนอกอยู่แล้ว ตอนแรกตั้งใจจะพาเพื่อนผมไปด้วยแต่คงไม่ได้ไปแล้วล่ะ

“ที่ร้านอาหารหน้าโรงเรียนก็ได้...ป้าแป๋วทำอร่อยอยู่นะ” ผมงัวเงียตอบ “รึว่าจะไปกินร้านที่อยู่ห่างจากที่นี่อีกเกือบร้อยเมตร?”

“ร้านอ้าปากน่ะเหรอ?” พี่เดือนค่อยๆดันให้ตัวผมลุกขึ้น “แล้วแต่กุมภ์เลยนะ”

“งั้นไปกันเลยดีกว่าครับ คนไม่ค่อยอยากกินข้าวในโรงอาหารเท่าไหร่ ถึงจะเข้าไปนั่งกินโรงอาหารเดี๋ยวโรงอาหารก็แตกก่อน” ปกติคนมันเยอะจนแทบจะไม่มีที่ให้นั่งอยู่แล้ว “ร้านอ้าปากก็ได้ คนคงน้อยกว่า”

พี่เดือนเดินออกมากับผม คนที่ผ่านไปมาก็มองๆอยู่ว่าพวกเราเข้าไปทำอะไรในห้องสมุด ถ้านึกได้ก็จะรู้ว่าพวกเราเป็นหัวหน้าและรองหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ เลยไม่ต้องแก้ตัวอะไรมาก แต่สมมุตินะว่าคนในชมรมบรรณารักษ์ผ่านมา คงมีโดนแซวกันจริงๆจังๆ

ร้านอ้าปากเป็นร้านอาหารตามสั่งติดแอร์ที่ราคาเหมาะสมกับนักเรียน โชคดีมากที่คนไม่เยอะเพราะคงไม่อยากเดินมาไกลถึงที่นี่ พี่เดือนสั่งผัดกระเพราหมูกรอบราดข้าว ส่วนผมก็สั่งข้าวมันไก่ เลือกโต๊ะที่เป็นมุมอับสายตาไม่ให้ใครมาเห็นว่าพวกเรานั่งกินข้าวด้วยกัน...ความจริงนั่งกินด้วยกันมันไม่แปลกหรอกแต่พี่เดือนอยากได้ความเป็นส่วนตัว ดังนั้นแล้วการที่เลือกพื้นที่ด้านใน จะทำให้เขาแอบแกล้งผมได้ด้วย

“พี่เดือน...”

ผมมองพี่เดือนที่ตอนนี้กำลังใช้ส้อมจิ้มมือผมไปมาแล้วหัวเราะราวกับคนบ้า ถาไม่ติดว่าไม่มีคนนั่งแถวนั้นป่านนี้โดนมองแรงไปแล้วล่ะ “พี่อยากแกล้งกุมภ์นี่นา หลังจากนี้พี่ก็จะไม่มีเวลาจริงๆแล้วนะ”

“พี่เดือนต้องอ่านทั้งหนังสือ ทั้งทำงานพอร์ต ถ้ามีเวลาก็พักบ้างนะครับ เป็นคำสั่งจากผมนะ” ผมแนะนำพี่เดือน เขายิ้มรับ “ข้าวมาพอดี กินกันเถอะ”

พี่เดือนขโมยไก่ในจานผมไปแล้วตักหมูกรอบมาให้ผมแทน “เห็นกินแต่ไก่ ระวังเป็นเก๊านะ”

“พี่เดือนก็อย่ากินแต่พวกมะเขือเทศล่ะ ขาดสารอาหารอย่างอื่นก่อน” ยิ้มรับแล้วก็ตักข้าวในจานเข้าปากต่อ “ข้าวติดปากพี่เดือนนะ”

“สงสัยหิวไปหน่อย”

“กินเป็นเด็กไปได้”

“น้ำจิ้มข้าวมันไก่ก็เลอะปากกุมภ์เหมือนกันนั่นแหละ”

“อ้าว...” โดนพี่เดือนเล่นกลับซะแล้ว

“พอพวกเรามาเถียงกันเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบดีนะ” พี่เดือนเลื่อนเหยือกน้ำมาให้ “พี่อยากให้พวกเราอยู่เถียงเรื่องไร้สาระอย่างนี้ไปเรื่อยๆจัง”

“ผมเองก็เหมือนกัน แต่ว่าพี่จะเรียนจบแล้ว พี่ต้องคิดถึงเรื่องอนาคตของพี่ให้ดีๆนะครับ” ผมบอกพี่เดือน “อีกไม่กี่สัปดาห์พี่ก็ต้องยกตำแหน่งหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ให้ผมแล้วนี่นา”

“อื้ม เพราะพี่คงไม่ได้ทำต่อแล้วล่ะ ติดงานขนาดนี้” พี่เดือนตักเนื้อหมูเข้าปาก “กุมภ์ทำได้ดีกว่าพี่แน่ๆ เป็นไปจนถึงม.6 เลยนะ”

“โห ล็อคตำแหน่งนี้ให้ผมไปจนจบเลยเหรอ?” ผมหัวเราะ

“เอ้า ก็มีกุมภ์แค่คนเดียวนะที่พี่ไว้ใจให้ทำหน้าที่นี้...อีกอย่างคือพี่ไม่ค่อยอยากให้คนที่ไม่รู้หน้าที่ว่าต้องทำอะไรมาแทนที่ สู้เอาคนเก่าที่เคยทำมาแล้วลงดีกว่า”

ผมเห็นด้วย

“อีกอย่างคือพี่อยากให้เกียรติคนที่ช่วยเหลือพี่มาตลอด” พี่เดือนไม่ได้ยิ้ม แต่เขาเองก็ไมได้หน้าบูดบึ้ง ตอนนี้แดดไม่แรงมาก แต่มีลมหนาวแรง พี่เดือนบอกว่าโชคดีที่พวกเราใส่เสื้อสูทคลุมมา ไม่งั้นคงจะมีเย็นๆกันเหมือนพวกรุ่นน้องที่เล่นกีฬาเหนื่อยๆมีเหงื่อออกแล้วต้องเจอลมจนตัวสั่น

ผมได้รับข้อความจากน้องชายของผม มีนาบอกว่าวันนี้เลิกไว จะนั่งรถมาหาผมที่นี่ ผมไม่ได้ขัดน้องเพราะมีนาก็ดูแลตัวเองได้ เผลอๆดูแลตัวเองเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ

“มีนาจะมางั้นเหรอ?”

“ครับ บอกว่าอยากมาดูงานกีฬาสีโรงเรียนนี้ ปีหน้าน้องจะมาสอบเข้าที่นี่ตามผม” โรงเรียนที่ผมเคยอยู่กับมีนาเป็นโรงเรียนที่สอนถึงมัธยมต้นเท่านั้น ทำให้ผมต้องสอบมาอยู่ที่นี่ ตอนแรกๆมันก็ใจหายเหมือนกันที่ไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันกับน้องชาย แต่ก็ใช่ว่าเราไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันเสียหน่อย

“โรงเรียนนี้อัตราแข่งขันน้อยลง สอบเข้าได้อยู่แล้วล่ะ สมัยพี่นี่แข่งกันแทบตาย อ่านหนังสือกันข้ามวันข้ามคืน”

พี่เดือนคนน้ำในแก้วเล่น “อ้อ แล้วก็คนที่เข้าได้ส่วนใหญ่จะเล่นเส้นด้วย โชคดีมากนะที่ปีที่แล้วเปลี่ยนผู้บริหารเลยลดปัญหาเรื่องนี้ไปได้บ้าง แต่ที่ยังน่าเป็นห่วงก็คือเรื่องครูที่สอนนี่แหละ ครูในโรงเรียนนี้บางส่วนก็จะบรรจุใหม่กันทั้งนั้น ไม่มีประสบการณ์สอน จะคุมพวกเรายากและบวกกับพอคุมไม่ได้ก็ท้อ ไม่เข้าสอนแทน”

“ส่วนครูที่สอนดีๆก็ย้ายไปโรงเรียนอื่น กลายเป็นว่าโรงเรียนอื่นมีมาตรฐานดีกว่า” ผมปิดท้ายให้เขา “แต่ก็นะครับ มันอยู่ที่ตัวนักเรียนด้วยว่าจะเป็นยังไง อย่างพี่เดือนไง”

“ขอบคุณที่พี่เรียนแบบไม่ดูหน้าดูหลังเลยไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรมาก เพราะพี่เรียนด้วยตัวเอง” พี่เดือนแกล้งดัดเสียงให้แหลมขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยจนน่าหมั่นไส้ ผมจึงปาทิชชู่บนโต๊ะใส่ “ปามาทำไมเนี่ย! พี่แค่เล่นด้วยเอง”

“เสียงแหลมพี่น่าเกลียดมากอะ” ผมหัวเราะพอขำ พี่เดือนเองก็แก้แค้นผมด้วยการปาทิชู่แผ่นเดิมใส่ “พี่เดือนทำเสียงแหลมได้น่ากลัวมากครับ”

“กุมภ์ทำเสียงแหลมๆเล็กๆแล้วน่ารักดี เหมือนเด็กน้อย” พี่เดือนจิ้มแก้มผม “ดูไปดูมากุมภ์ก็เหมือนหนูแฮมสเตอร์ดีนะ”

“หนูแฮมสเตอร์นั่นมันมีนาครับ” ผมเถียงไป “ใครๆก็เห็นว่ามีนาเป็นหนูแฮมสเตอร์”

“งั้นกุมภ์เป็นหนูตะเภา”

“...จะไม่ให้พ้นจากหนูเลยรึครับ” ผมมองพี่เดือนที่ยังวนเวียนยัดเหยียด “ผมชอบปลามากกว่า”

“ทำไมต้องเป็นปลา?” พี่เดือนเลิกคิ้ว

“เพราะปลาได้ว่ายไปในทะเลกว้างใหญ่ ผมชอบอิสระ เป็นหนูตะเภามันต้องอยู่ในกรงวิ่งในวงล้อไปวันๆ”

“แต่ปลาก็เป็นอาหารของมนุษย์...”

“พี่เดือน...”

“ฮึฮึ ขอโทษครับๆ ปลาก็ปลาเนอะ” พี่เดือนลูบหัวผม “กินเสร็จแล้วเราไปกันดีกว่า คนอื่นจะได้มานั่งต่อด้วย”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่เดือน จากนั้นก็ย้ายตัวเองกลับไปที่โรงเรียนโดยไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีคนแอบถ่ายรูปของพวกเราได้ แล้วในคืนนั้นก็เป็นวันที่ทั้งผมและพี่เดือนต้องหัวหมุนตอบคำถามคนหลายคนที่ทักเข้ามาจนต้องปิดการแจ้งเตือน



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (24/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 24-05-2019 14:42:07
เช้าวันต่อมาเป็นวันที่สองของการแข่งกีฬาสี พี่เดือนเดินอยู่กับผมท่ามกลางเสียงซุบซิบจากคนรอบข้าง มันเป็นไปในแง่กลางๆอย่าง ‘จริงๆเหรอ’ กับ ‘พี่เดือนเป็นเกย์เหรอ?’ ขอบคุณที่คำวิจารณ์หนักๆไม่ได้มีเยอะไปกว่านี้ ไม่งั้นพี่เดือนมีกัดลิ้นแน่ๆ

เมื่อคืนเพจคิ้วท์ของโรงเรียนลงรูปพวกเราที่กำลังนั่งกินข้าวฝั่งตรงข้าม พี่เดือนหยิกแก้มผม ในนั้นพวกเราทั้งคู่กำลังหัวเราะอยู่ แถมแคปชั่นใต้โพสยังเป็น ‘อย่าบอกนะว่าพี่เดือนจะสละโสดกับคนนี้จริงๆ’ คนที่ชื่นชอบพี่เดือนหลายคนก็ยินดีด้วย แต่คนที่รับไม่ได้ก็พากันสาปแช่ง ผมบอกไม่ให้พี่เดือนอ่านเพราะผมคิดว่าสภาพจิตใจพี่เดือนไม่เข้มแข็งเท่าผมแน่นอน

แต่ผมเคยบอกใช่มั้ยครับว่าพี่เดือนเป็นคนดื้อ

“กุมภ์...พี่ขอโทษที่ไม่ทันได้คิดก่อนทำอะไร...”

และนี่คือบทลงโทษของคนดื้อ เขากำลังอึดอัดจากการถูกมองในอีกแง่ พี่เดือนเองก็คงจะไม่ค่อยรู้สึกดีเท่านักเมื่อมีคนทักถามว่าเป็นเกย์รึเปล่า พี่เดือนยังไม่สามารถให้คำตอบนี้กับใครได้เพราะเขาชอบผมเป็นคนแรกในชีวิต ส่วนเพื่อนร่วมห้องของผมก็ถามทำนองเดียวกันว่าเป็นอะไรกับพี่เดือน ผมก็พยายามเลี่ยงที่จะตอบ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมทำใจแล้วล่ะว่าสักวันต้องมีคนรู้”

“พี่ยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย ถ้าเกิดพ่อแม่พี่เห็นเข้า...”

“พี่ก็แค่อธิบาย” ผมบอกกับพี่เดือน “ถ้าพวกเขารับไม่ได้ พวกเขาจะใช้เวลาสักพักในการทำใจ ความรักมันห้ามกันไม่ได้อยู่แล้วนี่นา” พี่เดือนพยักหน้าครั้งเดียวก่อนที่จะขอตัวแยกไปเข้าห้องน้ำ พอเขาแยกตัวไปก็มีคนรุมเข้ามาถามผมทันทีว่าเมื่อกี๊คุยอะไร

ผมไม่ตอบ ไม่ว่าจะไม่รู้จักหรือรู้จักก็ตาม แต่ผมก็ไม่ตอบเพราะพวกเขาเริ่มคุกคามความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อพี่เดือนออกมาผมก็รีบจูงข้อมือเขาวิ่งหนีมาที่ห้องโฮมรูมผมทันที ในห้องโฮมรูมผมมีนทีที่กำลังนอนพับอยู่กับโต๊ะ พอได้ยินเสียงกุกกักจากพวกผมถึงตื่น

“...อื๋อ?” นทีงัวเงีย “พี่เดือน? กุมภ์? มาทำอะไรที่นี่อะ แล้วทำไมดูหอบๆเหมือนวิ่งหนีอะไรมา?”

พี่เดือนเปิดกระเป๋าตัวเองหยิบยาพ่นออกมา ผมลืมคิดไปว่าพี่เดือนเป็นหอบหืดเลยขอโทษเขา แต่พี่เดือนส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร ผมจึงโล่งอกที่มันไม่ได้หนักไปมากกว่านี้ “ก็มีคนถามเรื่องความสัมพันธ์ของกูกับพี่เดือนเหมือนที่มึงถามเมื่อคืนนั่นแหละพอคนถามเข้าเยอะๆก็ทนไม่ไหวพากันหนีมาเนี่ย” ผมอธิบายให้เพื่อนฟัง นทีก็เออๆออๆตาม “แล้วมึงเข้าใจใช่มั้ยว่ามันคือเรื่องส่วนตัว ยิ่งถามเยอะก็ยิ่งไม่อยากตอบ ทำไมทุกคนต้องชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านด้วยกัน”

“แล้วหลังจากนี้จะทำยังไงล่ะ หนีไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”

“คงต้องอาศัยเวลาสักพักให้เรื่องมันทุเลาลงก่อน แอดมินเพจคือใครกัน?” พี่เดือนสงสัยขึ้นมา นั่นสิ...แอดมินเพจคือใครกันที่ทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตขนาดนี้ พี่เดือนเองก็เป็นคนที่มีหน้าตาในโรงเรียน มันเป็นเหมือนดาบสองคมที่มีทั้งคนชื่นชอบและเกลียดชัง เมื่อมีรูปที่เขากำลังอยู่กับผมแล้วเขียนอะไรที่สื่อไปในทางความรักอย่างนั้นย่อมทำให้มีเรื่องตามมาแน่นอน อย่างน้อยก็เรื่องคุกคามสิทธิส่วนบุคคล แต่ถ้าอย่างมากก็คืออาจจะมีถึงขั้นบูลลี่กันได้

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนพี่หรอกนะ แต่ถ้ารู้ก็คงอยากจะเตือนเขาอยู่ว่าคราวหลังจะโพสอะไรให้ระวังบ้าง” พวกเราทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็เปลี่ยนประเด็นมาคุยเรื่องอื่นแทนเพื่อไม่ให้เครียดกันจนเกินไป

พี่เดือนยังไม่สบายใจที่จะออกไปตอนนี้ ดังนั้นแล้วนทีจึงอาสาออกไปซื้อข้าวให้เข้ามากินที่นี่แทน แล้วก็โทรบอกอุ้มกับดินให้มานั่งเป็นเพื่อน เมื่ออุ้มกับดินมาถึง สองคนนั้นก็บอกว่าเดี๋ยวคนก็จะไม่สนใจ ปล่อยให้มันหายไปตามกาลเวลาเอาแทน

“มันก็เหมือนกับข่าวซุบซิบดารานี่แหละครับพี่เดือน พาดหัวข่าวนิดๆหน่อยๆให้คนตกใจ พี่เองก็รู้ว่าเฉลี่ยแล้วคนไทยอ่านหนังสือไม่เกินเจ็ดบรรทัด เจอหัวข้อข่าวอย่างนั้นไปก็สรุปเอาแล้ว แต่พอผ่านไปสักพักเรื่องมันก็ซาไม่มีใครพูดถึงเพราะคนเขาไปสนใจเรื่องอื่นแทน”

ดินบอกอย่างนั้น ผมเลยรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย

นทีกลับมาพร้อมกับข้าวกล่องห้ากล่อง แจกจ่ายคนละหนึ่ง ทั้งหมดเป็นข้าวผัดหมูที่ไม่มีใครแพ้อะไรในนั้น พอกินเสร็จพี่เดือนก็เปิดกระเป๋าเพื่อเอายามากินอีกครั้ง

“นั่นยาอะไรครับ?”

พี่เดือนส่ายหน้า เขายิ้มบางๆแต่ไม่ตอบผม เขาคงไม่อยากให้ผมรู้ว่าเขากำลังกินยาอะไร แต่มันอาจจะเป็นยาบำรุงราคาสูงก็ได้เพราะถ้าผมรู้เข้าผมก็คงจะบ่นเขา แต่พอหันไปหานที นทีกลับขมวดคิ้วเหมือนเห็นอะไรที่ผิดปกติก่อนที่จะกลับมายิ้มให้กับผมเหมือนเดิม

รึว่านทีมันรู้ว่าเป็นยาอะไร?

“มึง”

“ว่า?” ผมกระซิบใส่หูนที มันตอบกลับด้วยความสงสัย

“พี่เดือนกินยาอะไรเข้าไปอะ? มึงมองเหมือนมึงรู้เลย”

“...ไม่มีอะไรหรอก แค่มองแล้วคุ้นๆเหมือนยาบำรุงร่างกายที่แม่เคยยัดใส่ปากพ่อ” นทีพูดติดตลก แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าตลกตามเลย “พี่เดือนเองก็ทำงานหนัก เรียนหนัก ไม่กินเดี๋ยวร่างกายก็ไม่ไหว”

ความคลาแคลงใจยังคงวนเวียน แต่ผมก็เลือกที่จะไม่เซ้าซี้ใครต่อ เก็บไว้ในใจคนเดียว เพราะยังไงเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วผมค่อยถามเอาก็ได้ ขนาดเรื่องที่มีคนโพสรูปพวกเราลงเพจยังคิดมากขนาดนี้เลย ถ้าผมถามเรื่องส่วนตัวกว่าอย่างยาที่เขากินไปมากกว่าเขาอาจจะหลุดโมโหผมก็ได้ ผมไม่เคยเห็นพี่เดือนโกธร แต่ก็ใช่ว่าอยากเห็นพี่เดือนโกธรนี่นา

และดูเหมือนว่าคนอื่นจะไม่ติดใจอะไรที่พี่เดือนกินยา ผมจึงไม่กล้าถามด้วยนั่นแหละ

“ตอนเย็นมีพิธีปิดอีก พวกเราก็ต้องไปนะ” เสียงพี่เดือนทำให้สติของผมกลับมา เขาอธิบายกับคนอื่นให้ฟัง “ปีนี้มีกองไฟค่ายงานลูกเสือด้วย ถึงกองไฟจะเป็นหลอดไฟ LED ก็เถอะ”

“อ่า...ก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดนั่นแหละครับ” นทีพูด “ตอนประถมเองก็ใช้แบบนั้นเพราะพวกเราเข้าค่ายในป่า ถ้าเกิดมีอะไรแล้วเราคุมไม่ได้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่อีก

“แต่ถ้ามีกองไฟก็แปลว่าต้องมีอะไรสนุกๆแน่ๆเลย” อุ้มตื่นเต้น “อย่างพวกเต้นรอบกองไฟ ปล่อยผี เปิดเพลงให้ร้องตาม”

“มีการแสดง มีโชว์หลีดด้วยนี่นา” ดินตบมือ “ไปดูกันดีมั้ย? สีของเราทุ่มทุนให้หลีดเยอะพอตัวอยู่นะ”

“นี่มันงานกีฬาสีหรือว่างานแสดงหลีดกัน” นทีบ่นเบาๆ “มีพี่คนหนึ่งตั้งใจจะจับกูไปเป็นหลีดด้วยถ้ากูไม่เบรกเอาไว้ก่อน”

“พี่เองก็เกือบเป็นเหมือนกันนะ”

“พี่เดือน?” ผมทวน “อ่า...ไม่แปลกใจหรอกครับ แต่คำว่า ‘เกือบ’ นี่หมายถึง...”

“อืม พี่พูดไปเองว่าไม่เอา จะเป็นพิธีกรอยากเดียว” พี่เดือนตอบผม ก้มหน้าลงมากระซิบข้างๆหู “อีกอย่างคือกุมภ์ก็รู้ใช่มั้ยว่าพี่เป็นหอบหืด ถ้าพี่ออกไปทำงานอย่างนั้นมีหวังโดนหามส่งโรงพยาบาลตั้งแต่ซ้อมวันแรก”

ผมเข้าใจ เพราะร่างกายพี่เดือนก็ไม่ได้แข็งแรงเท่าคนปกติทั่วไป จะให้ทำงานที่ใช้พลังเยอะๆก็ไม่ไหว ดังนั้นแล้วภาพลักษณ์ของพี่เดือนที่ทุกคนเห็นจึงเป็นผู้ชายสะอาดๆที่เก่งทางด้านวิชาการและการประชาสัมพันธ์เสียมากกว่าการที่จะออกนอกพื้นที่ไปทำนู่นนี่ “แล้วเวลาที่เรียนพละ มันจะมีประเภทที่ต้องใช้พลังงานเยอะๆ พี่ทำยังไงครับ?”

“พี่ก็อดทนกัดฟันเอานิดหน่อย ดีที่เรียนแค่ม.5 เทอมเดียว เทอมต่อมาก็เป็นพวกลีลาศ”

“ลีลาศ? เฮ้ย อันนี้หนูไม่เคยลองมาก่อน” อุ้มร้อง “ปกติพวกนี้ต้องมีคู่ด้วยใช่มั้ยคะ? แล้วพี่เดือนตอนนั้นเต้นคู่กับใครอะ”

“พี่จำได้ว่าคู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถักผมเปีย เป็นคนที่ขี้อายชอบสะดุดเท้าตัวเองแล้วก็ขอโทษพี่ตลอดว่าเป็นตัวถ่วง เชื่อรึเปล่าว่าตอนที่พี่เต้นต่อหน้าครูเพื่อสอบพี่ก็เกร็งตัวเองแทบตายเหมือนกัน แอบมีหลุดจังหวะด้วยนะ” พี่เดือนหัวเราะ “พี่มีเรื่องไม่ถนัดเยอะ แต่เพราะพี่เลือกที่จะไม่พูด คนเลยมองพี่ว่าทำได้ทุกอย่างมั้ง?”

“แต่พี่เดือนก็เก่งมากๆเลยนะ ถ้าเป็นหนูทำอะไรผิดขึ้นมาคงลนลานแก้ไม่ถูก”

“มันขึ้นอยู่กับคนด้วยว่าจะแก้สถานการณ์เก่งแค่ไหน เชื่อพี่เถอะว่าสักวันพวกเราอาจจะเห็นพี่ตกใจทำอะไรไม่ถูกวิ่งเป็นหนูติดจั่น”

พวกเราทุกคนหัวเราะเสียงดัง และไม่แน่ใจว่าเพราะความเสียงดังนี้รึเปล่าที่ทำให้คนที่เดินผ่านต้องโผล่เข้ามาดู

“นั่นพี่เดือนนี่นา”

“ไหนๆ”

“พี่เดือนอยู่กับเด็กคนนั้นด้วย!”

“พี่เดือน พวกเราอยากรู้ว่ามันเป็นจริงอย่างที่ในเพจเขาเขียนเอาไว้รึเปล่า”


นักเรียนในชุดพละที่น่าจะอยู่ชั้นม.5 หลายคนเดินกรูเข้ามาทางโต๊ะที่พวกเราล้อมรอบ ผมกับพี่เดือนโดนแยกจากกลุ่มเพื่อนที่เหลือ มีคำถามมากมายที่เลือกตอบไม่ทันผ่านหู พี่เดือนมองหน้าผมอย่างไม่แน่ใจ ส่วนผมเองก็ทำตัวไม่ถูก

“พี่เดือนครับ”

“พี่เดือน!”


“คือว่า...” ผมกำลังจะห้ามทุกคนเอาไว้ แต่จู่ๆคนที่เข้ามาก็ชะงักเมื่อพี่เดือนสติหลุด

“พวกคุณจะยุ่งกับชีวิตส่วนตัวอะไรของผมนักหนา!”

ไม่ใช่เพียงแค่พวกนั้นที่ตกใจ ผมก็ยังตกใจที่พี่เดือนขึ้นเสียงมาแบบนี้

“พวกคุณไม่รู้สึกอึดอัดหรือรำคาญใจเลยเหรอที่มีคนมาถามเรื่องส่วนตัวของพวกคุณ? ใช่ ผมรู้สึกรำคาญ แต่ผมก็ไม่อยากจะลงอารมณ์กับพวกคุณอย่างที่ทำในตอนนี้ ผมเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน” พี่เดือนร้องใส่ทุกคนจนหน้าซีด “ผมจะให้อภัยพวกคุณครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังมีคนมาถามเรื่องของผมหรือเรื่องของกุมภ์อีก ผมจะไม่อดทนเงียบอีกต่อไป”

ผมพูดไม่ออก พี่เดือนกำลังโมโห...ใบหน้าของเขาไม่ได้ขึ้นสีแดงก่ำจากความโกธรหรืออะไร มันเป็นใบหน้านิ่งๆ เสียงก็ไม่ได้กระแทกหรือขึ้นมาก แต่ในแต่ละคำนั้นมันเน้นย้ำว่าเขาไม่ชอบแบบนี้

พี่เดือนเป็นคนโกธรที่นิ่ง...แต่น่ากลัว

“...ขอโทษครับ/ค่ะ...”

“ถ้าพวกคุณเข้าใจแล้วก็เชิญไปทำธุระของพวกคุณเถอะ ในตอนเย็นพวกเรามีกิจกรรมรอบกองไฟ ขอให้เข้าร่วมด้วย” พี่เดือนลดเสียงลง แต่ยังคงไว้ด้วยความเย็นชา “ถ้าพวกคุณไม่ให้ความร่วมมือ กิจกรรมของพวกคุณก็จะผ่านยาก”

“ครับ...”

พวกเขาเดินออกไปด้วยท่าทางหงอยๆ พี่เดือนนั่งลงกับเก้าอี้ก่อนที่จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดตาตัวเอง

“ระเบิดไปจนได้...อุตส่าห์จะอดทนไว้แล้วเชียว”

“พี่เดือนระเบิดแล้วแม่งโคตรน่ากลัว...” ดินกระซิบข้างหูผม

“แต่พี่ระเบิดออกมาบ้างนั่นก็ดีแล้วนะครับ อะไรที่มันมากเกินไปพี่ก็ควรจะพูดบ้างไม่ใช่อดทนเอาอย่างเดียว ไม่งั้นพวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าพี่เดือนจะมีอาการแบบไหนอะไรยังไงถ้าทำแบบนี้” ผมบอกพี่เดือน เขาถอนหายใจแล้วก็หลับตา ปล่อยมือทั้งสองข้างลง “พวกนั้นคงไม่กล้าเอาเรื่องไปบ่นในแง่ร้ายหรอกครับ เชื่อเถอะ”

“แต่ถ้าทำขึ้นมา...”

“ผมบอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก” ผมดีดต้นแขนพี่เดือนจนเขาสะดุ้ง “พี่อย่าไปคิดถึงขนาดนั้นเลย”

“...”

“เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งไปนึกถึงเรื่องนี้ดีกว่าเนอะ เรามาลุ้นตอนเย็นดีกว่าว่าสีไหนจะชนะกีฬาในปีนี้”

“นั่นสินะ...”

“อะแฮ่ม พวกเราเหม็นความรักมากนะคะ” อุ้มขัดจังหวะ “เข้าใจค่ะว่าห่วงกัน แต่ช่วยให้มันพอดีๆหน่อยเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น บังเอิญว่าพวกเราไม่ค่อยถูกกับกลิ่นแบบนี้”

“...” ทั้งผมและพี่เดือนมองหน้ากัน ก่อนที่จะหัวเราะ

ก็จริงอย่างอุ้มว่าล่ะมั้ง? เวลาที่พวกเราคุยด้วยกันมันเหมือนมีกำแพงอะไรสักอย่างที่ดันพวกเราให้อยู่ในโซนของตัวเองเสมอ คนอื่นที่อยู่ด้วยกลายเป็นตัวประกอบซะงั้น “ขอโทษนะ แต่พอดีว่าสนิทกันมากน่ะ”

“จ้า สนิทมาก ม้ากกกก” อุ้มลากเสียงยาว

อื้ม สนิทกันมากเลยเนอะ

 

ตอนเย็นมาผมหยิบกล้องถ่ายรูปมาเตรียมถ่ายบรรยากาศงานหลังจากที่เสร็จพิธีปิด พี่เดือนช่วยผมกันคนออกเพื่อให้ถ่ายรูปมุมสวยๆได้ในบางส่วน เมื่อถึงเวลา ผมกับพี่เดือนก็ไปเป็นพิธีกรและปล่อยให้ผอ.กล่าวปิดงานกีฬาสีตลอดสองวันนี้

‘ผมขอปิดงานกีฬาสีประจำปี 256--’ ณ เวลานี้’

ทันที่สิ้นสุดเสียงผอ. นักเรียนในสนามทุกคนก็ร้องเฮขึ้นมา หลอดไฟ LED ที่โมเป็นกองไฟก็สว่างขึ้น เสียงเพลงดังตาม ทุกคนพากันเต้นรอบกองไฟไม่เว้นแม้แต่พี่เดือนที่จูงมือผมเต้นอยู่รอบนอกที่ไม่มีคน

“ปีนี้เป็นกีฬาสีปีแรกที่พี่สนุกขนาดนี้” พี่เดือนว่า เขากำลังทำท่าตามกลุ่มคนที่อยู่แถวๆกองหลอดไฟ “เพราะมีกุมภ์ด้วยนี่แหละ ถ้าเป็นปีก่อนๆพี่ก็คงยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ทำท่าอะไรตาม ไม่ได้รู้สึกสนุกตาม แค่ปล่อยให้มันเป็นอีกวันที่ผ่านไป”

“พี่ได้สนุกผมก็ดีใจแล้วครับ วันนี้ผมเห็นพี่ในอีกมุมหนึ่งด้วย” ผมตอบกลับเขาไป ยกกล้องตัวเองขึ้นมาถ่ายภาพพี่เดือนกำลังเต้น "ทั้งโกธร ทั้งมาเต้นแบบนี้ ไหนจะมุมขี้กังวลมากๆของพี่อีก"

“แล้วแบบไหนที่กุมภ์คิดว่าดีล่ะ?”

“ไม่มีใครดีไปหมดหรอกครับ ทุกอย่างที่พี่แสดงออกมามันหลอมรวมเป็นตัวพี่เดือน เป็นเดือนที่มีคนเดียว” ผมยิ้มให้ก่อนจะกดชัตเตอร์ในจังหวะที่พี่เดือนยิ้มกว้างพอดี “แต่ถ้าจะดีที่สุด ก็คือตอนที่พี่เดือนยิ้มแบบนี้นะครับ”

พี่เดือนลากผมไปยืนเต้นเบาๆข้างๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นร้องเพลงคลอดตามกันเป็นเพลงสามัคคีชุมนุม มีโชว์พิเศษจากกลุ่มหลีดที่ชนะการแข่งขันในปีนี้ ถึงแม้ว่าสีของผมจะไม่ใช่ทีมที่ชนะ แต่นั่นก็เพียงพอมากแล้วล่ะเพราะสิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มของใครหลายๆคน

“หลังจากวันนี้...”

พี่เดือนหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา

“พี่จะไม่มีเวลาเหมือนอย่างที่เคยแล้ว พี่จะไม่ค่อยได้มาแล้ว กุมภ์ดูแลตัวเองเก่งกว่าพี่คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกใช่มั้ย?”

“พี่เดือนต้องเตรียมสอบ พี่เดือนห่วงตัวเองก่อนที่จะห่วงผมเถอะครับ” ผมพูดเล่นๆกับเขา ขยับตัวเข้าใกล้กัน ผมรู้ว่าพี่เดือนจะทำอะไร เพราะหลังพวกเราเป็นต้นไม้พุ่มเล็กๆ ท้องฟ้าเริ่มมีดาวขึ้นบ้างเพราะในโรงเรียนตอนนี้ปิดไฟหมดจนกว่าจะถึงช่วงหกโมงครึ่ง “ฉากหลังเป็นท้องฟ้าที่เห็นดาวนิดๆ สวยดีนะครับ”

“กุมภ์เป็นอะไรหลายอย่างให้พี่นะ ทั้งทะเล ทั้งท้องฟ้า ทั้งแสงสว่างที่เข้ามาช่วยพี่ในวันที่พี่กำลังจะเดินต่อไม่ไหว” พี่เดือนยิ้ม แล้วตัวของพวกเราก็ติดกันมากกว่าเดิม “พี่ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณมากนะ”

“เราถ่ายรูปกันก่อนที่คนอื่นจะมาเห็นเถอะนะครับ” ผมบอกพี่เดือนเมื่อเริ่มได้ยินเสียงคนเดินมาบ้างแล้ว “นี่คือรูปคู่รูปแรกเลยนะ”

“ครับๆ”

แล้วพี่เดือนก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ในโทรศัพท์ตัวเอง ในรูปนั้นทั้งผมและเขาต่างยิ้มกว้าง แก้มแนบชิดกัน มันเป็นความสุขที่สร้างบรรยากาศอบอุ่นทุกครั้งเมื่อผมดู พี่เดือนตั้งเป็นรูปหน้าจอโทรศัพท์ก่อนที่จะเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม

“กลับกันเถอะ อยู่ดึกกว่านี้คงไม่ได้ เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วงเอา”

“แล้วพี่เดือนจะย้อนกลับมาเก็บงานเหรอครับ?”

“เปล่า พี่ฝากคนอื่นแล้วล่ะ” พี่เดือนว่า “พวกเขาโล่งใจที่พี่ฝากงานบ้าง เพราะที่ผ่านมาพี่ทำคนเดียวมาตลอด เขาเลยไม่บ่นอะไร ดีใจด้วยซ้ำที่ได้แบ่งภาระ”

“อ่า...” มันก็ดีเหมือนกันนะ สงสัยคนที่พี่เดือนไปขอร้องน่าจะรู้ดีว่าพี่เดือนเหนื่อย “เย็นนี้พี่เดือนกินข้าวกับบ้านผมมั้ยครับ?”

“ชวนผู้ชายเข้าบ้านนี่มันดีรึยังไงกันฮะเราน่ะ”

“แต่พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แค่สนิทกันมากๆ”

“อื้ม พวกเราสนิทกันจนกินข้าวที่บ้านกุมภ์”


ก็บอกแล้วว่าพวกเราพอใจที่จะอยู่กันแบบนี้มากกว่า แบบที่พวกเราต่างรู้ใจตัวเองกันดีโดยไม่ต้องหาคำอธิบายอะไรมากมายมาบอกคนอื่นถึงความสัมพันธ์ พวกเราสนิทกัน แต่พวกเราก็เข้าใจกันว่าในความสนิทนั้นมันสนิทกันแบบไหน

แบบนี้นี่แหละ...คือจุดที่พวกเราควรจะยืนอยู่ในตอนนี้
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (24/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-05-2019 09:56:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยาที่กิน  ยาระงับประสาท หรือยาแก้เครียด แหงเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (29/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 30-05-2019 00:36:40
บทที่ 11

 

วันเวลามันผ่านไปเร็วกว่าที่ทุกคนคิด จากงานกีฬาสี เข้าสู่การสอบกลางภาค และในที่สุดพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่วันปัจฉิมนิเทศแล้ว

ปกติปัจฉิมของรุ่นพี่ม.6 จะเป็นช่วงกลางเดือนมีนาคม หรือก็คือหลังจากสอบปลายภาคไม่กี่วันเท่านั้น การเตรียมการอะไรก็ต้องเตรียมแต่เนิ่นๆ พี่เดือนไม่ค่อยมาโรงเรียนเหมือนที่เคยเพราะต้องอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน—ความจริงก็คือครูไม่ได้เข้าสอนแล้วด้วย นักเรียนแทบทุกคนเลยที่จะเลือกอยู่บ้านอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยที่หวังเอาไว้ พี่เดือนบอกว่าเขาไม่ได้รอบพอร์ตของบริหารธุรกิจ แต่ยังดีที่บ้านไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะคิดว่าสอบเข้าโอกาสได้มันเยอะกว่า ด้วยมันสมองระดับพี่เดือนแล้วอ่านไม่นานก็จำได้หมด

ช่วงนี้เองพี่เดือนก็ไม่ค่อยได้คุยกับผมเท่าไหร่นัก ถึงจะได้คุยกันก็ทางโทรศัพท์ที่ผมหลับไปก่อน จะตื่นก็ตอนที่เขาเรียกทางสายนั่นแหละว่าให้ไปนอนบนเตียงดีๆ

ผมเองก็ไล่พี่เดือนเหมือนกันว่าให้ไปนอน แต่เขาก็ทำเป็นหัวเราะแล้วก็ได้ยินเสียงขีดปากกาลงกระดาษต่อ

มันน่าโมโหมั้ยนั่น ไม่เคยฟังจริงๆ

แต่ระหว่างที่พี่เดือนเตรียมสอบ ผมเองก็เตรียมทำของขวัญสำหรับปัจฉิมให้พี่เดือนไปด้วย แถมยังหาข้อมูลเกี่ยวกับภาษาของดอกไม้ที่ผมจะให้พี่เดือน มันต้องเป็นความหมายเรียบๆแต่กลับมีแฝงไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง ผมจึงเลือกที่จะใช้ดอกลิลลี่สีขาว เพราะจากการที่ผมไปค้นหาความหมายของมันมาแล้ว มันน่าจะมีความหมายที่ดีและฟังดูเข้าท่าที่สุด

นทีบ่นให้ฟังว่าช่วงนี้เหนื่อยง่าย ซึ่งนั่นน่าจะมาจากการที่มันต้องซ้อมดนตรีหนักขึ้น ส่วนเพื่อนอีกสองคนนั้นไม่มีภาระอะไรต้องให้ทำมาก และพอบริหารเวลาได้ ตัดกลับมาที่ผมที่ได้รับหน้าที่หัวหน้าชมรมบรรณารักษ์เต็มตัว ยิ่งต้องทำงานและกลับช้ากว่าเดิม คอร์สเรียนพิเศษที่สมัครเอาไว้ก็เลื่อนเวลาไปเรียนอีกนิดหน่อยเพื่อให้ตารางชีวิตสมดุล

เช้าวันปัจฉิมผมรีบตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะเตรียมของใส่ถุงเอาไปรุ่นพี่หลายๆคนที่ผมรู้จัก ฝากแม่ให้พาไปร้านขายดอกไม้ใกล้ๆบ้านเพื่อเลือกดอกไม้สด ไหนจะทั้งทำรูปโพลาลอยด์แยกให้รายคนอีก ทำให้เมื่อคืนผมเกือบไม่ได้นอน ยังดีหน่อยที่กว่าจะปัจฉิมเสร็จก็ปาไปเที่ยงแล้ว นั่นทำให้มีเวลาแอบงีบอีกสักนิดเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

รูป...ดอกไม้ และของขวัญพิเศษสำหรับพี่เดือนที่มันจะออกมาจากใจผม...น่าจะเพียงพออยู่

 

“ห้องพี่เดือนออกมาเป็นห้องสุดท้ายเลย” นทีบอกกับผม “แต่คิดว่าคนน่าจะรุมพี่เดือนเยอะที่สุดด้วย”

“ก็ปกติ คนรู้จักพี่เดือนกันแทบทุกคน คนไหนบ้างล่ะที่ไม่อยากให้ของขวัญพี่เดือนยกเว้นพวกที่หมั่นไส้เขา”

“ก็...พวกคนที่ไม่มีของจะให้แล้ว?” อันนี้ดินตอบกวนอุ้มที่ยืนพูดอยู่ท้ายแถวข้างๆกัน “เฮ้ย! ไม่เอา!”

อุ้มกำลังจะโยนหนอนดอกไม้ตัวเล็กๆที่หลงมาไปทางดิน ดินห้ามเอาไว้ก่อนที่จะได้ยินเสียงตามสายของโรงเรียนประกาศว่ารุ่นพี่ที่เรียนจบปีนี้กำลังจะลงมาจากหอประชุมแล้ว

พวกเรายืนดูรุ่นพี่คนแล้วคนเล่าได้รับของขวัญจากรุ่นน้อง ผมเองก็มียื่นให้รุ่นพี่บางคนที่อยู่ในชมรม พี่รหัส รวมถึงพี่ที่เป็นหนึ่งในสตาฟสี ทุกคนดีใจที่ได้รับของขวัญจากผม ผ่านไปนานเกือบสามสิบนาทีเหมือนกันที่กว่าจะถึงคิวห้องของพี่เดือนที่มาเป็นห้องสุดท้าย นักเรียนโครงการพิเศษทุกคนไม่ค่อยมีใครรู้จักกันมากนักเพราะเก็บตัวเรียนกันมากเสียกว่า แต่ทว่าเด็กที่เป็นรุ่นน้องในโครงการเดียวกันก็จะเล่นใหญ่ให้อะไรที่มันเว่อวัง

ผมว่าพี่เดือนคงจะอยู่คนสุดท้ายเลยนั่นแหละ เพราะคนดูท่าทางใจจ่ดใจจ่อขนาดนี้ อาจจะมองหาคนดังของโรเรียน

“นั่นไงพี่เดือน” นทีสะกิดแขนผม พี่เดือนกำลังรับของจากคนอื่นด้วยความลำบาก ในมือของเขามีทั้งขนม ตุ๊กตา ดอกกุหลาบกับมงกุฎดอกไม้ที่ซื้อได้ตามหน้าโรงเรียน เขาไม่ได้ยิ้มอะไรมาก มันคงเป็นตามมารยาทที่เขาจะไม่ค่อยชอบให้คนที่ไม่รู้จักเข้าหาทันทีนัก

“ดูฝืนๆยังไงไม่รู้เลยนะ”

“พี่เดือนเอาจริงๆก็ไม่อยากอยู่กับคนเยอะๆเท่าไหร่หรอก ที่อยู่ก็จะอยู่เพราะหน้าที่เท่านั้น” ผมบอกเพื่อนตัวเอง “เดี๋ยวรอให้เขามาถึงก่อนดีกว่า ไม่อยากแย่งเข้าไป”

“คิดเหมือนกัน แย่งเข้าไปตอนนี้พี่เดือนไม่รู้แน่ๆว่าของที่ได้นั่นน่ะมาจากคนพิเศษ” ดินแซวผม ทำให้ผมต้องเอามือข้างที่ยังว่างอยู่ตีเข้าไปที่ต้นแขนดังเพลี๊ยะ ก่อนที่จะยืนรอให้พี่เดือนเดินตรงมาทางนี้ดีๆ

พี่เดือนเดินมาเรื่อยๆ ของในมือของเขาล้นออกมาจนเกือบจะหล่นลงไปหลายรอบถ้าไม่ได้เพื่อนช่วยประคอง เขาขอบคุณไปหลายครั้ง ก่อนที่จะสบตากับผมเข้า

“เดือน ไปเลยดิ น้องรออยู่”

ผมได้ยินเพื่อนร่วมห้องของเขาพูดพร้อมกับพยายามดันให้ตัวเขาเข้าหาผม ส่วนเพื่อนของผมเองก็พยายามดันร่างผมให้ไปยืนอยู่ตรงกลางแถวที่เดินลงมาจากหอประชุม กลายเป็นว่าทั้งผมและพี่เดือนโดนผลักออกมาให้ยืนเผชิญหน้ากัน

“...”

“...”

“...คือพี่เดือนครับ...”

“ครับ?” พี่เดือนยิ้มอ่อนให้ สายตาของเขาดูละมุนมากกว่าที่เคยเป็น

“ยินดีด้วยนะครับ...ที่เรียนจบแล้ว” ผมยื่นช่อดอกลิลลี่สีขาวให้เขา พร้อมกับอัลบั้มรูปที่ผมแอบแต่งมาตลอด “นี่ของขวัญจากผม--”

ฟุ่บ

“พี่เดือน!”

“ขอบคุณมากนะ”

พี่เดือนกอดผมกลางแถว ทิ้งของทุกอย่างที่ได้มาจากนักเรียนคนอื่นๆไปกับพื้นท่ามกลางสายตาของคนอื่นนับร้อยที่มองมาทางเดียว เขาไม่สนใจสายตาใครอีกต่อไป มีเพียงความอบอุ่นที่พี่เดือนเขาส่งมาให้ผมเท่านั้น

“...”

“พี่ไม่รู้สึกดีใจที่ได้ของขวัญจากคนอื่นเท่าได้จากกุมภ์เลย” พี่เดือนกอดผมแน่นกว่าเดิม “ความจริงกุมภ์ไม่ต้องให้อะไรพี่ พี่ก็รู้สึกดีใจมากแล้วล่ะ เพราะกุมภ์คือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตนี้แล้ว” เขากระซิบเบาๆพอให้พวกเราสองคนได้ยิน ผละตัวออกจากผม ถือช่อดอกลิลลี่ไว้ตรงอก ไม่สนใจของที่กองอยู่บนพื้น

“ผมดีใจนะที่พี่ชอบ...ถึงมูลค่ามันจะไม่เยอะเท่าของคนอื่นที่พี่ได้ก็เถอะ”

“นี่แหละคือของที่พี่อยากได้” พี่เดือนใช้นิ้วชี้จิ้มจมูกผมเบาๆ “น่ารักที่สุด”

“พี่เดือน...บางทีพี่ก็อย่าลืมนะว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางฝูงคน” ผมบอกเขา หลายคนเริ่มหันไปคุยกันตอนที่พี่เดือนพูดกับผมว่า ‘น่ารักที่สุด’ “รึว่าพี่ไม่แคร์แล้ว?”

“วันสุดท้ายพี่ไม่สนใจแล้วล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ถ้าไม่มีใครเอาไปพูดอะไรเสียๆหายๆนะ” พี่เดือนยักไหล่ “ไปกันเถอะ พี่อยากไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดเป็นวันสุดท้าย”

เขาจับข้อมือของผม ลากวิ่งตรงไปทางห้องสมุดโดยไม่สนว่าจะมีใครเรียกให้ทำอะไร ไม่ต่างจากผมที่วิ่งตามด้วยความงุนงงและสับสนเมื่อผู้คนมากมายกำลังพยายามรั้งผมเอาไว้เพื่อขอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา โชคดีที่เพื่อนผมพยายามช่วยกันกันคนไม่ให้วิ่งตามมามากกว่านี้

เมื่อวิ่งมาถึงที่ห้องสมุด พี่เดือนปิดประตูลงกลอนดังปัง พร้อมกับหอบด้วยรอยยิ้มนิดๆ ช่อดอกลิลลี่สีขาวในมือนั้นไม่ได้มีส่วนเสียหายแต่อย่างใดเพราะเขาปกป้องมันยิ่งกว่าชีวิตอีก “วิ่งหนีคนก็สนุกดีเหมือนกัน”

“พี่เดือนนั่งก่อนนะ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้” พี่เดือนพยักหน้า ก่อนที่ผมจะเดินไปเปิดตู้เย็นของบรรณารักษ์เพื่อเอาน้ำดื่มขวดมาให้พี่เดือนที่นั่งหอบกับโซฟา เขาใช้เวลาสักพักจนลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ “ทำไมพี่เดือนถึงไม่สนสายตาใครแล้วกัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น...”

“เพราะพี่กำลังจะได้หลุดจากกรงนี่แล้วยังไงล่ะ”

“ครับ?”

“กรงขังของโรงเรียนที่ต้องให้พี่รักษาภาพลักษณ์มาตลอด หลังจากนี้พี่ก็จะเป็นอิสระจากส่วนหนึ่งแล้ว” พี่เดือนหัวเราะเบาๆ พลางลูบหัวผมไปด้วยเมื่อผมนั่งข้างๆเขา “พี่จะตามใจตัวเองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การเริ่มต้นใหม่ของพี่จะต้องเริ่มตอนนี้เลย”

“โดยไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไรพี่?”

“ไม่สนใจว่าจะว่าอะไรพี่หรือกุมภ์ในทางเสียหาย ถ้าเมื่อไหร่ที่กุมภ์รู้สึกแย่ พี่จะไม่รักษาหน้าของคนคนนั้นเอาไว้อีก” พี่เดือนหมุนดอกลิลลี่ที่อยู่ในช่อดอกไม้ออกมา “กุมภ์เองก็เข้าใจเลือกดอกไม้ดีนะ”

“พี่รู้ความหมายของมันใช่มั้ย?” ผมถามพี่เดือน เขาแค่ยิ้มให้แล้วก็ยื่นดอกลิลลี่สีขาวนั่นมาให้ผม “พี่เดือน?”

“กุมภ์ให้ดอกลิลลี่สีขาวพี่มาแบบนี้...กุมภ์ก็ต้องรู้ความหมายเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ? ฉะนั้นแล้วกุมภ์ก็รับมันไปด้วยสิ ดอกลิลลี่สีขาวที่มีความหมายออกมาจากใจอย่างนี้” เขาดึงดอกลิลลี่นั่นกลับไปเหมือนคิดอะไรได้

พี่เดือนค่อยๆประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบดอกไม้สีขาว หลับตาพริ้มเพื่อมอบความนุ่มนวลที่สุดราวกับว่าถ้ารุนแรงเพียงนิดเดียวมันจะบอบช้ำ จากนั้นเขาก็ยื่นกลับมาให้กับผม

“ความหมาย...ที่มีเพียงสองเราที่รู้กัน”

 ผมหุบยิ้มไม่อยู่ พี่เดือนเป็นคนที่โรแมนติกกว่าที่ทุกคนจะสามารถคิดได้ เพียงแค่ดอกไม้ดอกเดียวยังทำให้เขินได้ขนาดนี้...ถ้าเกิดว่าเขาทำอะไรที่มันยิ่งกว่า ผมกลัวว่าหัวใจของผมจะเต้นแรงจนรับเอาไว้ไม่อยู่ “ใช่ครับ ความหมายที่มีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้นที่รู้”

แล้วก็เป็นฝ่ายผมบ้างที่รับดอกลิลลี่ดอกเดียวกันมา ประทับรอยจูบลงซ้ำที่เดิมกับที่พี่เดือนได้มอบความเบาบาง ให้มันเป็นเหมือนสัญญาระหว่างเราสองคนว่าจากนี้พวกเราจะอยู่ข้างๆกัน คอยช่วยเหลือกัน และคอยเป็นแหล่งพึ่งพิงยามที่อีกคนกำลังอ่อนแอ ความหมายของดอกลิลลี่สีขาวคือความรักบริสุทธิ์ มันเป็นความรักที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันเป็นความรักที่ไม่ได้หวือหวาหรือยิ่งใหญ่ แต่มันเป็นความรักของคนธรรมดาๆสองคนที่มีให้กัน เป็นรักที่เกิดจากความเป็นตัวของตัวเองที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็น ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เคยเอ่ยบอกกันว่ารักในตัวตนของอีกคน ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เคยพูดขอความสัมพันธ์ที่มากกว่าพี่น้อง

แต่พวกเราก็สามารถรับรู้ในสิ่งที่อีกคนกำลังสื่อถึงได้

“กุมภ์กำลังจะเลื่อนชั้นในเทอมหน้า งานจะหนักขึ้น ทุกอย่างจะลำบากขึ้น ถ้าวันไหนที่ไม่ไหวแล้ว กุมภ์ก็ระบายกับพี่ให้ฟังได้นะ” พี่เดือนดันหัวของผมให้ซุกกับไหล่ของเขา “กุมภ์ก็มีสิทธิที่จะงอแงได้...พี่เองก็จะพยายามเติบโตขึ้นเพื่อให้กุมภ์พึ่งพาได้”

“เท่านี้พี่เดือนก็เติบโตขึ้นมากแล้วนะ” ผมค่อยๆไถตัวไปกับไหล่ของเขา “จากคนที่ไม่เคยพูดถึงความเหนื่อยของตัวเอง...กลายเป็นคนที่รู้ลิมิตตัวเองและพูดว่าตัวเองกำลังต้องการอะไรในตอนนี้ พี่เดือนโตขึ้นมาจริงๆ”

“ชมพี่อย่างนี้เดี๋ยวพี่ก็ตัวลอยหรอก”

“ผมจะรั้งเอาไว้เอง”

“ตัวเล็กๆอย่างนี้เนี่ยนะจะรั้งพี่อยู่? กุมภ์น่าจะลอยไปกับพี่มากกว่า” พี่เดือนหัวเราะพร้อมกับดึงแก้มผมเบาๆไปมาด้วยความเอ็นดู “แต่ถ้าเราลอยไปด้วยกันก็น่าจะดี อยู่ด้วยกันสองคนบนท้องฟ้าตลอดไป”

“พี่เดือนเพ้อเก่งขึ้นด้วย” ผมลุกขึ้นมาจากไหล่ของเขาแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นนอนตักเพื่อให้เห็นโครงหน้าของเขาแทน “แต่น่ารักดี ผมชอบนะ”

“ชมพี่อีกแล้ว ปะ ลอยกันเลยดีกว่า” พี่เดือนจี้เอวผมจนผมหัวเราะแทบจะตกจากตักเขา ดีที่พี่เดือนหยุดมือก่อน ไม่งั้นผมคงขาดใจจากการหัวเราะตาย

ผมพักหายใจ แต่พี่เดือนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆจนผมลุ้นว่าเขาจะทำอะไรต่อไป ใจหนึ่งผมก็คิดว่าเขาอาจจะจูบกับผม แต่อีกใจก็คิดว่าเขาอาจจะจ้องตาผมเฉยๆ เพราะในตอนนี้พี่เดือนกำลังผมกำลังมองตากันไม่วาง

จุ๊บ

“ตอนนี้เอาเท่านี้ไปก่อนนะ เจ้าเด็กลามก”

“พี่เดือน!” ผมร้องโวยวายเมื่อพี่เดือนจูบลงหน้าผากของผม เขาล้อเลียนผมว่าผมคิดไปในทางลามกทั้งๆที่ความจริงแล้วผมคิดไปแค่ปากประกบปากธรรมดาๆเท่านั้น (ความจริงมันก็เกือบจะสิบแปดบวกแล้วล่ะ) แต่ผมยอมรับเหมือนกันว่าพี่เดือนเวลาจูบนั้นมันนุ่มนวลมากจริงๆ เหมือนเขากำลังรักษาของมีค่าที่สุดให้อยู่กับเขาไปนานๆ ซึ่งผมก็ดีใจมากที่เขาได้มอบความรู้สึกนี้กับผม

พวกเราหยอกเล่นด้วยกันไปอีกสักพักก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆจากข้างนอก ผมกับพี่เดือนต่างคนต่างสะดุ้งเมื่อมีคนมาขัดจังหวะมีความสุข  เขาหัวเสียก่อนที่จะค่อยๆเปิดประตูให้

“สวีทกันจนลืมเพื่อนลืมน้องเลยนะคะ” พี่สายิ้มให้ เธอยืนถือข้าวของที่พี่เดือนทิ้งเอาไว้ตั้งแต่แถวส่งรุ่นพี่เรียนจบอยู่ “ของพี่เดือนเยอะมากๆ สาตามเก็บเกือบไม่หมดเนี่ย ดีนะที่ได้รุ่นน้องในชมรมช่วยกัน ไหนๆก็อยู่ด้วยกันวันสุดท้ายแล้ว พวกเราเลี้ยงฉลองสักหน่อยในนี้สักหน่อยดีมั้ย?”

“แต่มันจะเลอะนะ...”

“อยู่ในห้องนี้ไม่เป็นไรหรอกน่า ครูคุมชมรมพวกเราเองก็อยากเลี้ยงฉลองให้พี่เดือนที่เรียนจบด้วยนะ” พี่สาเร้าพี่เดือนให้คล้อยตาม “กุมภ์เองก็ด้วยใช่มั้ย? อยากเลี้ยงฉลองให้พี่สุดที่รักเหมือนกันเนอะ”

“นั่นสินะครับ ซื้อขนมกับน้ำมากินเลี้ยงในนี้นิดๆหน่อยๆไม่เสียหายหรอกนะ” พี่เดินมาสมทบกับพี่สา “พี่เดือนรออยู่ที่นี่ ผมจะเดินออกไปซื้อขนมมาให้เอง คนเรียนจบแล้วอยู่เฉยๆเถอะ”

“พี่อยากไปด้วย...” พี่เดือนงอแง “พี่เองก็อยากมีส่วนร่วมกับทุกคนจนถึงวันสุดท้ายเหมือนกันนะ...”

ผมกับพี่สาสบตากันก่อนที่จะเป็นฝ่ายพี่สาพยักหน้าให้ “ก็ได้ครับคุณอดีตหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์” ผมจูงมือพี่เดือนให้เดินไปพร้อมๆกัน “หน้าโรงเรียนมีเซเว่น ซื้อของกินนิดๆหน่อยมาจัดปาร์ตี้เล็กๆด้วยกัน”

พี่สาโทรเรียกคนในชมรมให้มาช่วยกันถือขนมคนละนิดๆหน่อยๆ เมื่อเลือกเสร็จแล้วก็ขนกลับมาที่ห้องชมรมบรรณารักษ์ของพวกเรา จัดจานกระดาษ แก้วพลาสติกคนละใบ น้ำแข็งในกระติกที่ยืมมา ซึ่งพี่ผู้ชายในชมรมเล่นใหญ่ซื้อลูกโป่งมาติดกำแพงกับเพดานเพื่อให้มันดูเป็นเหมือนปาร์ตี้มากขึ้นอีกด้วย

“ทุกคน...พี่ขอบคุณมากจริงๆนะที่อยู่มาด้วยกันจนถึงวันนี้ จากนี้ต่อไปพี่อยากให้ทุกคนอยู่ร่วมกันโดยมีความสุข ช่วยเหลือกันและกัน ถ้าวันไหนที่ผมว่างๆผมจะมาแอบๆดูที่ชมรมนะว่ารักกันมากแค่ไหน”

ทุกคนหัวเราะ

“พี่เดือนเองก็อย่าขยันเรียนมากเกินไปจนไม่ไหวล่ะ พวกเราทุกคนเองก็รักพี่เดือน โดยเฉพาะเด็กคนนี้ หัวหน้าชมรมคนใหม่ของเรา” พี่สายกแก้วน้ำขึ้น “พวกเราจะเป็นสมาชิกชมรมบรรณารักษ์ตลอดไป”

“ตลอดไป”

ทุกคนพูดพร้อมกันหลังจากที่พี่สาร้องออกมาเสร็จ หัวเราะไปด้วยกัน แล้วก็หันกลับไปสนใจกับขนมบนโต๊ะต่อ พี่เดือนเดินมาข้างๆผมพร้อมกับแก้วน้ำโค้กที่นานๆเขาถึงได้ดื่มที มืออีกข้างเป็นจานไส้กรอกมินิค็อกเทลราดซอสมะเขือเทศ

“ป้อนพี่หน่อย”

“อ้อนเป็นเด็กอีกแล้ว เอ้า” ผมจิ้มไส้กรอกเข้าปากพี่เดือน เขาเคี้ยวอย่างมีความสุข คนที่หันมาเห็นพอดีพอกันร้องโอดครวญและหมั่นไส้พี่เดือนที่ยักคิ้วให้ ถ้าพี่เดือนไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์อะไรแต่แรก พี่เดือนก็คงกลายเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่มีรุ่นน้องคอยตามไล่กวนประสาท ไม่ก็กลายเป็นฝ่ายกวนประสาทเสียเองแน่ๆ

“พี่อยากอ้อนบ้างนี่นา เดี๋ยวพี่ก็ไม่อยู่อุบลฯแล้วนะ” พี่เดือนว่า “ที่บ้านจะให้พี่ไปเรียนกรุงเทพ จนถึงขั้นซื้อคอนโดเตรียมของเอาไว้ให้พร้อมแล้วด้วย”

“ทั้งที่ยังไม่รู้ผลเนี่ยนะครับว่าพี่เดือนจะได้รึเปล่า?”

“เพราะพวกท่านตั้งมั่นว่าพี่ต้องเข้าไปอยู่ในรั้วมหาลัยนั้นให้ได้ไง ถึงจัดการทุกอย่างเองแบบนั้น ล่าสุดเห็นว่าซื้อตู้หนังสือเตรียมเข้าไปตกแต่งเพิ่มให้...ตู้หนังสือมันก็ดีอยู่หรอก”

 ผมหัวเราะ ความจริงมหาลัยนั้นอาจจะเป็นสถานที่ที่พี่เดือนตั้งใจอยากเข้าแต่แรกแล้วด้วย และด้วยที่ครอบครัวของพี่เดือนเองก็หวังให้ลูกไปเข้าเรียนต่อที่นั่น จึงกดดันทางอ้อมด้วยการซื้อห้องคอนโดใกล้ๆมหาลัยดังให้ ตกแต่งครบทุกอย่างเพื่อย้ำพี่เดือนว่าถ้าไม่เข้าไปอยู่ทุกอย่างจะเสียมูลค่าไปใช่เหตุ

“พี่เดือนอยากไปก็ทำให้ได้สิครับ”

“แต่ว่า...”

“ความฝันของพี่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าพี่ไม่ทำวันนี้แล้วพี่จะทำวันไหนกัน?” ผมยิ้ม พี่เดือนนิ่งไปนิดๆก่อนที่จะเดินหนีไปทางอื่นพร้อมกับบ่นอุบอิบๆ สงสัยเพราะผมตีโดนจุดตายของเขาเลยทำให้เถียงไม่ได้ “พี่เดือนไม่ต้องบ่นเลยครับ ผมรู้นะว่าพี่อยากไปเรียนที่นั่นตั้งนาน ตอนนี้มันก็โอกาสที่ดีแล้วไม่ใช่เหรอ การที่บ้านพี่ซื้อห้องคอนโดเอาไว้ให้พี่ก็อย่าไปคิดว่าเป็นการกดดันแต่เป็นของขวัญล่วงหน้าที่สอบติดให้ดีกว่าเนอะ”

“ของขวัญ?” พี่เดือนหันกลับมา “ที่บ้านพี่ไม่เคยให้ของขวัญอะไรเลย...”

“ผมถึงบอกให้พี่คิดไงว่านี่คือรางวัลความพยายามตัวเอง พ่อแม่พี่ไม่พูดก็ใช่ว่าไม่ทำสักหน่อย?”

หลังจากวันกีฬาสี ผมเองก็พยายามทำความเข้าใจกับครอบครัวพี่เดือนโดยการฟังเรื่องราวที่เขาแบ่งปันมา ผมเยพอจะรู้ๆมาว่าบางทีครอบครัวของเขาไม่ถนัดการพูดออกมาตรงๆ หรือถ้าพูดออกมาตรงๆก็จะทำร้ายจิตใจกันเสียส่วนใหญ่เพราะไม่รู้ว่าจะใช้คำอย่างไร พี่เดือนเองก็เป็นคนคิดมาก ชอบคิดไปก่อนที่จะฟังอะไรให้หมด แถมยังไม่กล้าร้องขออะไรจนกลายเป็นปัญหาบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้

ถ้าพี่เดือนได้คุยกับครอบครัวดีๆ ก็อาจจะเคลียร์กันไม่ยาก

“รางวัล...สินะ” พี่เดือนพึมพำ “ถ้ากุมภ์บอกว่ามันคือรางวัลล่วงหน้าของพี่ พี่ก็จะคิด”

ท่าทีของพี่เดือนดูอารมณ์ดีขึ้นมาอีกหน่อย ผมรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็เปลี่ยนมุมมองเล็กๆของเขาได้

“กลับบ้านไปวันนี้พี่เดือนก็นอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลย ให้สมกับเป็นรางวัลความพยายามตลอดสามปีที่อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ”

“ไม่เอา พี่อยากคุยกับเด็กคนหนึ่งก่อนนอน”

“ผมยังมีงานต้องจัดการนะครับพี่เดือน...”

“สักนิดก็ยังดีน่า...” พี่เดือนอ้อน “พี่อยากนอนหลับฝันดี”

“...”

“นะครับ”

“ก็ได้ครับ” ผมถอนหายใจ “พี่โทรมาตอนสามทุ่มแล้วกัน ให้ผมจัดการอะไรเสร็จให้หมดก่อน”

แล้วอีกวันหนึ่งของพวกเราก็ผ่านไป...


[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (24/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 30-05-2019 00:41:17
กาลเวลาหมุนเวียนกลับมาที่เดือนพฤษภาคมอีกครั้ง ตอนนี้ผมกลายเป็นนักเรียนชั้นม.5 เต็มตัว พี่เดือนกำลังเตรียมตัวย้ายไปพักอยู่ที่กรุงเทพหลังจากที่ได้รับข่าวดีที่สุดนั่นก็คือการที่เขาสอบติดแพทย์ท็อปเท็น ทุกคนร่วมกันแสดงความยินดีกับเขาที่สามารถเดินไปถึงจุดสูงสุดของใครหลายๆคนได้ แต่ผมเองก็รู้ดีว่านี่คือสนามรบแรกของเขา การเรียนแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่าย คนเก่งๆหลายคนเคยยอมแพ้มาแล้ว ผมเองก็กลัวว่าพี่เดือนจะยอมแพ้เหมือนกัน

การทำหน้าที่หัวหน้าชมรมของผมโดยไม่มีพี่เดือนมาช่วยดูนั้นไหลลื่นดีในสัปดาห์แรก และผมเองก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นทีเองก็ยังคงเป็นสมาชิกวงโฟล์คซองค์ สนุกกับการเล่นดนตรีที่ชื่นชอบ พวกเราทุกคนยังไม่ต่างจากตอนปีที่แล้วมากนัก มันผ่านมาเรื่อยๆจนได้ประมาณครึ่งเทอมที่ในคืนวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม พี่เดือนก็โทรมาหาผมตามปกติ แต่ทว่า...

‘พี่เหนื่อย...’

 พี่เดือนโทรมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนเดิม มันไร้ชีวิต เหมือนเขาต้องการอะไรสักอย่างที่สามารถทำให้จิตใจของเขาดีขึ้นได้

แต่นั่นยังเป็นขั้นแรก ต่อๆมา นับวันพี่เดือนก็ยิ่งงอแงมากขึ้นเรื่อยๆ

‘พี่ไม่อยากเรียนแข่งกับคนอื่นๆ’

‘พี่ว่าพี่ทำไม่ได้ดี’

‘คะแนนรอบนี้พี่รู้สึกว่าแย่กว่ารอบที่แล้วอีก’


นั่นคือคำที่พี่เดือนพูดออกมาบ่อยที่สุด มีครั้งหนึ่งที่พี่เดือนน่าจะทนไม่ไหว เขาถึงระบายออกมาด้วยเสียงสั่นๆว่า

‘พี่ไม่อยากเรียนแล้ว...’

พี่เดือนต้องทนความกดดันมากกว่าตอนเรียนมัธยมเยอะ ไม่น่าจะแปลกใจที่เขาจะระเบิดออกมาเป็นน้ำตา สำหรับคณะที่ต้องเรียนหนักอย่างแพทย์นั้นมันเป็นเรื่องที่ปกติถ้าจะท้อบ้าง แต่สำหรับแล้วพี่เดือนไม่ได้เพียงแค่ท้อ เขากำลังจะไม่ไหวจริงๆ

ผมนึกโทษตัวเองที่อายุน้อยกว่า ผมอยากจะอายุเท่าเขา ไปปลอบเขาว่ามันต้องไม่เป็นอะไร อยากให้กำลังใจ อยากเป็นที่พึ่งพิง

พี่เดือนช่วยอดทนอีกนิดนะ...

 

เทอมสองก้าวเข้ามาถึง ผมเหนื่อยกับงานกีฬาสีมาก แต่นั่นก็คงเทียบไม่ได้ถึงครึ่งของพี่เดือนที่สติกำลังจะแตก เขาแทบไม่ได้นอนเลยจากการอ่านหนังสือให้มากกว่าเก่าเท่าที่จะทำได้ หนำซ้ำยังต้องแข่งกับคนนู้นนี่คนนี้เพิ่มขึ้นอีกขั้น เขาบอกว่าหลายคนหักดิบซิ่วรอไปเรียนคณะอื่นเป็นที่เรียบร้อย

เข้าสู่ช่วงกีฬาสี ผมที่กำลังคุมน้องๆสีเดียวกันอยู่ก็ได้ยินข่าวจากคนอื่นมาอีกทีว่าพี่เดือนกำลังมีปัญหาอะไรสักอย่างจากที่ฟังจากพี่ตัวเองมา ผมหวังว่ามันคงไม่ได้ร้ายแรงมากนัก

เย็นนั้นผมกลับไปถาม พี่เดือนก็แค่ตอบปฏิเสธว่าไม่มีอะไรมาเฉยๆ

และในวันสอบกลางภาค ผมได้ยินจากกลุ่มผู้ปกครองที่มารับลูกหลานตัวเองว่านายพีรดลที่เคยอยู่โรงเรียนนี้กำลังจะเตรียมซิ่ว ผมค่อนข้างเชื่อว่าพี่เดือนไม่ซิ่วแพทย์แน่....ถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ที่ผ่านมาผมคุยกับพี่เดือน ท่าทางเขาเหนื่อยขึ้นทุกวันจนเริ่มไม่ใช่ตัวของตัวเองแล้ว

จนกระทั่ง...

“มึง พี่เดือนแกซิ่วหมอเหรอวะ?”

เพื่อนคนหนึ่งในห้องผมถามขึ้นมาเพราะเห็นว่าผมสนิทกับพี่เดือนที่สุด ผมเองก็เพิ่งได้ข่าวมาเมื่อเช้าเหมือนกันว่าพี่เดือนจู่ๆก็ยื่นใบลาออกจากมหาลัยนั้นแล้วก็ไปทำงานพิเศษระหว่างรอสมัครเรียนใหม่แทน นั่นทำให้ทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เดือนกันแน่

“ก็เป็นไปได้ เรียนหมอมันยากจะตาย”

“เฮ้ย แต่นั่นเป็นคณะที่พี่เดือนแกหวังไว้นานแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ความกดดันไง เรียนหมอต้องกดดันเป็นปกติ แต่กูเสียดายแทนพ่อแม่พี่เดือนนิดๆนะ”

เสียดายแทนพ่อแม่...แล้วพ่อแม่พี่เดือนเห็นชอบรึเปล่าที่เขาลาออกจากมหาลัยอย่างนั้น แน่นอนว่าไม่ ถ้าพี่เดือนอธิบายเหตุผลดีๆก็อาจจะพอฟังกันบ้าง แต่นี่ผมไม่รู้รายละเอียดลึกกว่านี้เลยว่าพี่เดือนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน มีเพียงแค่ประวัติการโทรฯและแชทที่คุยกันยืนยันว่าพี่เดือนยังคงใช้ชีวิตอยู่ มีช่วงหนึ่งที่เขาหายไปจนผมเริ่มกระวนกระวายใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขารึเปล่า

ผมตัดสินใจโทรฯหาพี่เดือนทันทีในช่วงกิจกรรมชมรม พี่เดือนรับสายช้ากว่าปกติ

‘กุมภ์’

“พี่เดือนครับ เรื่องที่พี่ลาออกจากคณะแพทย์นั่น...”

‘อืม’

“...”

‘พี่ตัดสินใจดีแล้วล่ะ’ พี่เดือนหัวเราะตามหลัง แต่เสียงดูเหนื่อยเหลือเกิน ‘กุมภ์อย่าพลาดเหมือนพี่แล้วกันนะ’

“แล้วพ่อแม่พี่...”

‘แน่นอนล่ะว่าต้องบินมากรุงเทพกะทันหันเพื่อมาต่อว่า แต่นี่คือสิ่งที่พี่ตัดสินใจแล้วจริงๆ’

“...” ผมรอฟังพี่เดือนพูด

‘พี่เพิ่งเจอสิ่งที่พี่ต้องการจริงๆแล้ว’

“พี่เดือน...”

‘พี่รู้จักคนคนหนึ่งตอนพี่กำลังจะกลับคอนโด เขามาแวะดูส่วนพี่กำลังเดินอยู่แถวนั้น บังเอิญว่าพี่ใจลอยไปหน่อยเลยเดินชนเข้าให้ แต่เขากลับไม่ว่าอะไรแถมยังชวนพี่ไปนั่งเล่นตรงสวนข้างๆหอประชุม เขาบอกว่าจริงๆแล้วเขาก็ไม่ชอบสถานที่คนเยอะๆ ตั้งใจจะมาถ่ายแหล่งน้ำในมหาลัยช่วงกลางคืนมากกว่า’ พี่เดือนว่า เสียงหัวเราะเบาๆของเขาดังขึ้นเป็นระยะ ‘เขาถือกล้องแล้วถ่ายนู่นนี่ไปทั่ว...ทำให้พี่นึกถึงกุมภ์ ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงหรอกที่ยื่นกล้องมาให้พี่ อ้างว่าเห็นพี่กำลังเหม่อมองมาอาจจะอยากลอง’

“แล้วพี่ก็ลอง”

‘อืม รู้รึเปล่าว่าความรู้สึกแรกที่พี่จับกล้องนั่นมันทำให้พี่นึกไปถึงกุมภ์ กุมภ์ก็คงรู้สึกแบบเดียวกันแน่ๆ’

ผมกลืนน้ำลายลงคอ

‘ความรู้สึกที่เรียกว่าตื่นเต้นน่ะ’

ถึงผมจะไม่เห็นหน้าพี่เดือน แต่ผมเดาได้ว่าเขากำลังยิ้มแน่ๆ

‘พี่รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ถ่ายรูป รู้สึกตื่นเต้นที่พี่ได้จับสิ่งที่กุมภ์ชอบ ตอนที่พี่จับกล้องของกุมภ์มันยังไม่รู้สึกเท่านั้นมาก่อน’ เขาพูดต่อ ‘ไม่รู้สิ...มันเหมือนกันว่าหัวใจของพี่มันพองโตขึ้นมายังไงไม่รู้ พี่คิดเล่นๆว่าถ้าเกิดพี่มีกล้องสักตัว เดินทางไปถ่ายรูปทำงานกับกุมภ์ทั่วโลกจะเป็นยังไง? มันคงจะน่าสนุกน่าดู พอคิดอย่างนั้นแล้วพี่ก็ได้คำตอบว่าสิ่งที่พี่ต้องการมาตลอดมันคือสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะใช่สิ่งที่ต้องการ’

“พี่เดือน...ผมดีใจด้วยนะครับที่พี่เจอแล้ว...” น้ำตาของผมซึม ไม่คิดว่าเป็นเพราะผมที่ทำให้เขาเจอสิ่งที่อยากได้มาตลอด

มันเป็นเพียงแค่ความฝันของผม...ที่อยากเดินทางไปทั่วโลกเพื่อถ่ายรูปสถานที่สวยๆเก็บเอาไว้ในความทรงจำ พี่เดือนอยากจะช่วยผมสานความฝันนั้น จนมันกลายเป็นความฝันของเขาไปด้วย

‘พี่อยากเจอโลกกว้างจริงๆ พี่ไม่ได้อยากอยู่แต่ในโรงพยาบาลหรือโรงแรม พี่อยากออกไปเจอโลก...โดยที่มีกุมภ์อยู่ด้วย ถ้าพวกเราสองคนอยู่ด้วยกันล่ะก็...’

“ก็จะช่วยกันสานฝันได้”

พวกเราพูดพร้อมกัน หัวเราะพร้อมๆกัน ก่อนที่พี่เดือนจะขอตัววางสายเพื่อไปทำงานพิเศษต่อ

ผมไม่รู้ว่าพี่เดือนทำงานพิเศษอะไร แต่ถ้าพี่เดือนว่างแล้วไม่อยากกลับบ้านก็คงเหมาะกับเขาดี

เพราะว่าตอนนี้เขาก็คงโดนที่บ้านกดดันไม่น้อยที่ทำเรื่องแบบนี้ออกไปโดยไม่ปรึกษาใครก่อน

 

เมื่อผมขึ้นชั้นม.6 ผมได้ข่าวว่าพี่เดือนเข้ามหาลัยใหม่ในฐานะเด็กนิเทศเอกถ่ายภาพ ทุกคนที่รู้จักพี่เดือนพากันตื่นเต้นที่พี่เดือนเปลี่ยนตัวเองจากว่าที่นายแพทย์มาเป็นว่าที่ช่างภาพแทน ไม่มีคนคิดเลยว่าพี่เดือนจะเบนเข็มมาคนละเส้นทางแบบนี้ หลายคนเองก็ถามพี่เดือนผ่านแชทว่าเพราะอะไรที่ทำให้พี่เดือนเลือกเรียนสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวเองมาตลอด พี่เดือนก็ตอบเพียงแค่ว่าเจอสิ่งที่รักจริงๆแล้ว

ระหว่างที่พี่เดือนกำลังปรับพื้นฐานตัวเอง เขาก็ชอบโทรมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงมีความสุข เผลอๆมันดีกว่าช่วงที่เขาอยู่กับผมที่นี่ด้วยซ้ำ เขาเล่าให้ฟังว่าเจอเพื่อนดีๆ เจอคนดีๆคอยแนะนำเขามากมาย แต่พี่เดือนก็เล่าถึงเรื่องน่าเศร้าให้ฟังด้วยเช่นกัน

‘พี่น่ะ...ตอนนี้ต้องส่งตัวเองเรียนแล้ว’

ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นกับพี่เดือน พ่อแม่ของพี่เดือนพูดประกาศมาว่าจะไม่ส่งพี่เดือนเรียนอีกต่อไปหลังจากที่ทำให้พวกท่านผิดหวัง ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ตัดขาดเรื่องคอนโดที่เขาอยู่ในตอนนี้ ไม่งั้นพี่เดือนต้องเหนื่อยกับการทำงานพิเศษหาเงินเลี้ยงตัวเองมากขึ้นแน่

‘พี่รับงานถ่ายภาพที่พอจะทำได้พร้อมกับทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟ ระหว่างนี้พี่คงต้องกู้เงินยืมเรียนด้วยนั่นแหละนะ’ เขาว่าขำๆ ‘แต่ยอมรับว่าพี่มีความสุขดี เหนื่อยแต่คุ้มค่า’

พี่เดือนเจียดเงินที่เก็บเอาไว้ในบัญชีทั้งชีวิตออกมาซื้อกล้องรุ่นเดียวกันกับที่ผมมีอยู่เพื่อรับงานถ่ายภาพและใช้ในการเรียน มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ทางการเงินเขากำลังต้องเผชิญในตอนนี้ แต่ผมเชื่อว่าพี่เดือนบริหารตัวเองเก่งพอที่จะเอาตัวรอดได้

‘พี่พอจะมีเงินเก็บบ้างแล้ว พี่จะลงทุนซื้อของมาขายออนไลน์นิดๆหน่อยๆ’

พี่เดือนเองก็มีหัวธุรกิจเหมือนกัน ไม่นานนักหลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็เปิดขายสมุดเล่มเล็กๆที่เขาวาดหน้าปกเอง ลายเส้นพี่เดือนถูกใจผู้หญิงมาก เลยได้กำไรกลับมาค่อนข้างเยอะ แถมบางครั้งพี่เดือนก็ลงรูปที่ตัวเองถ่ายเอาไว้เผื่อมีคนติดต่อจ้างวานงานถ่าย เขาน่ากลัวมากเมื่อถึงเวลาที่ต้องเก็บเงินเพื่ออะไร ผมเองยังกลัวเลยว่าอนาคตไปถ้าเขาไปเป็นพ่อค้าคงจะเก็บทุกเม็ด

ส่วนผมก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเหมือนเดิม การคุมเด็กๆในชมรมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะพวกที่หัวดื้อ เข้ามาชมรมนี้เพื่อเช็คชื่อแล้วหนีกลับ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลาแวะเข้ามาดูเนื่องจากมีคนดึงผมให้เข้าไปเป็นรองประธานนักเรียน เลยต้องเข้าห้องสภาบ่อยๆ มาดูที่ชมรมอีกทีรุ่นน้องที่ผมให้เป็นเลขาก็บอกว่าสมาชิกหนีกลับไปหมดแล้ว

สมัยพี่เดือนสามารถคุมคนได้ แต่ทำไมผมถึงคุมไม่ได้กัน

ผมเริ่มเข้าใจพี่เดือนในสมัยก่อนแล้วว่าความกดดันที่ได้รับนั้นมันทำให้จิตใจผมแย่ลงเพียงใด บางครั้งพวกเราก็โดนผู้อำนวยการต่อว่าที่ทำหน้าที่ไม่ดีพอ บางครั้งก็มีคนปล่อยข่าวลือเสียๆหายๆว่าสภานักเรียนปีนี้ไม่เคยทำอะไรเลยทั้งๆที่พวกเราพยายามแทบตาย ไหนจะทั้งมีคนฝากความหวังเอาไว้มากมายอีก ยังไม่นับเรื่องการที่ต้องอ่านหนังสือหนักๆเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาลัยดีๆ

 

“พี่กุมภ์...ถ้าพี่ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย พักบ้างเถอะ” มีนา น้องชายของผมพูดขึ้นมากลางโต๊ะม้านั่งช่วงพักเที่ยง น้องผมสอบเข้าที่นี่ และสนิทกับนทีมากจนแทบจะรู้ใจกัน “พี่นทีเองก็เห็นนะครับว่าพี่เหนื่อยมากแค่ไหน”

“อย่างที่น้องว่า มึงกำลังจะไม่ไหวแล้วนะ” นทีค่อยๆประคองตัวผมให้สามารถทรงอยู่ได้

ผมรู้ดีว่าร่างกายของผมถูกใช้งานหนักกว่าที่เคยเป็นจนมันแทบจะรับไม่ไหวแล้ว แต่เพราะมันเป็นหน้าที่ที่ทำให้ผมต้องอดทนกัดฟันทำต่อไปโดยไม่มีสิทธิบ่นมากนัก อย่างที่กำลังโอนเอนอยู่ตอนนี้ก็เป็นแค่เฉพาะต่อหน้าเพื่อนสนิทหรือน้องเท่านั้น

“ไม่เป็นไร กูยังไหว...”

“ไหวบ้าอะไร! ไปๆ ไปงีบหลับก่อนแล้วค่อยเรียน เกิดหน้ามืดเป็นลมอะไรขึ้นมาพี่เดือนรู้เข้าจะผิดหวังในตัวมึงเอานะ”

นั่นสิ...ผมเคยเป็นฝ่ายบอกให้พี่เดือนพักแท้ๆ แต่ตัวเองกลับมาเหนื่อยเหมือนเขาอย่างนี้ พี่เดือนต้องไม่ชอบใจแน่

“...ก็ได้”

และเป็นเพราะพี่เดือน...ที่ยังทำให้ผมรู้สึกมีแรงในการทำงานไปในแต่ละวัน

 

และผมก็เรียนจบมาด้วยสภาพร่างกายทรุดโทรม

ล่าสุดที่ไปตรวจมา หมอบอกผมว่าผมเป็นโรคเครียดและโรคกระเพาะอาหาร ทั้งหมดนั้นเกิดจากการทำร้ายตัวเองล้วนๆ แต่เรื่องที่น่าดีใจอย่างหนึ่งก็คือผมสามารถเข้าไปเรียนคณะนิเทศเอกเดียวกันกับพี่เดือนได้ด้วยผลงานพอร์ท พี่เดือนเมื่อรู้ว่าผมจะกลายมาเป็นรุ่นน้องในคณะเขาก็ดีใจใหญ่พร้อมกับบอกให้ผมมาอยู่ที่คอนโดเดียวกันกับเขาได้ ผมยังลังเลอยู่ว่าจะดีรึเปล่าเพราะนั่นเท่ากับว่าพื้นที่ส่วนตัวของพวกเราทั้งสองคนนั้นจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันทันที แต่จากการตัดสินใจที่ใช้เวลาสักพักผมก็ยอมทำตามพี่เดือนแนะนำ ผมจะไปอยู่คอนโดเดียวกันกับเขาเพื่อลดค่าใช่จ่ายเรื่องหอ แบ่งเบาภาระครอบครัว พ่อแม่พี่เดือนไม่เข้ามายุ่งกับเขาได้สักพักแล้ว เขาจึงไม่กังวลเรื่องที่พวกท่านจะบุกเข้ามาเห็นผมกับพี่เดือนอยู่ด้วยกันแน่นอน

ในขณะเดียวกัน นทีก็ได้มหาลัยเดียวกันกับผม ถึงจะคนละคณะแต่ก็เป็นคณะที่ตึกเรียนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ผมรู้สึกดีที่เพื่อนสนิทคนนี้ก็ยังคงจะได้อยู่ช่วงพึ่งพากันไปอีก อุ้มกับดินสอบติดอีกที่ พวกเราจึงต่างมีเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน มันเป็นช่วงเวลาสามปีที่สั้นก็สั้น ยาวก็ยาวสำหรับมิตรภาพเหล่านี้

ผมเตรียมเก็บข้าวของในห้องชมรมที่เป็นของผมทั้งหมดออก บางชิ้นมันก็มีความทรงจำดีๆฝังเอาไว้ อย่างโซฟาตรงนั้น...ผมกับพี่เดือนเคยนอนตักกันและกัน โต๊ะตัวนั้น...ที่พี่เดือนเคยนั่งพิมพ์งานอยู่ และที่ผมเคยนั่งทำเอกสารอยู่ ชั้นหนังสือเล็กๆที่ผมมักจะเอาของสะสมมาตกแต่งเสมอ กองเอกสารสมาชิกทั้งเก่าและใหม่ที่มีชื่อของพี่เดือนและผมปนกัน ยืนมองไปได้สักพักน้ำตาผมมันก็รื้นขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

ความทรงจำเกี่ยวกับชมรมนี้ตลอดสามปีที่ผ่านมา...มันถือว่าล้ำค่ามากจริงๆ

ผมขนกล่องลังที่เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะเอาไปจริงๆไปไว้ที่หน้าห้องสมุด เหลือเอาไว้เพียงแค่รูปภาพหนึ่งที่ไม่เคยส่งไปถึงพี่เดือน มันเป็นภาพที่เขากำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมุด แสงแดดยามเย็นกำลังส่องลงมากระทบกับตัวเขาพอดี บรรยากาศในรูปดูอบอุ่น มันเป็นหนึ่งในภาพที่ผมแอบถ่ายเอาไว้และไม่คิดจะเอาให้อดีตหัวหน้าชมรมดูเลย

ตัวตนของพี่เดือน...จะอยู่ที่นี่ตลอดไปในฐานะความทรงจำ...เช่นเดียวกับผมที่กลายเป็นอดีตหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์เหมือนกัน

ความรู้สึกของพี่เดือนเวลาเดินออกจากโรงเรียนนี้ในฐานะนักเรียนวัยสุดท้ายมันคงจะเหมือนผม ใจหาย แต่มันคืออีกก้าวที่เราต้องเดินเพื่ออนาคต

 

‘กุมภ์อยู่ที่ไหน?’

“อ่า...ตรงเซเว่นข้างๆลานจอดรถครับ” ผมพูดโต้ตอบกับพี่เดือน เวลาตีห้าครึ่งนี้คนยังไม่เยอะมากนักเพราะผมอยู่ที่สถานีขนส่งของบริษัทรถทัวร์ชื่อดังพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบโต “เห็นผมรึยัง?”

‘ใส่เสื้อคลุมสีขาวรึเปล่า?’

“ใช่ครับ”

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงว่ามีใครกำลังแตะไหล่ผม พอหันกลับไปคนที่เพิ่งคุยเมื่อครู่ก็กำลังส่งยิ้มกว้างให้อยู่

พี่เดือนดูสดใสขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับสองปีก่อน เขามีน้ำมีนวลขึ้น แถมยังน่าจะสูงขึ้นอีกด้วย ไหนจะรูปร่างที่ดูกำยำกว่าเดิม ทำให้ยิ่งเป็นคนดูดีเข้าไปใหญ่ แต่ที่สำคัญในตอนนี้ก็คือผมคิดถึงตัวจริงของเขาเหลือเกินจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา

จากที่เหนื่อยมาตลอด...พอได้อยู่กับคนที่เรารักมันทำให้ผมสามารถเผยด้านอ่อนแอออกมาได้โดยไม่ต้องสนใจอะไร

“อย่าเพิ่งร้องไห้เลย ไปที่รถกันเถอะนะ” พี่เดือนปลอบผม เขาจูงมือให้ผมเดินตามเขาไปที่รถวีออสคันเดิม การที่พี่เดือนยังสามารถไปไหนมาไหนไกลๆได้ก็เป็นเพราะรถของเขาที่ใช้อยู่ แต่ถ้าใกล้ๆเขาก็จะโดยสารรถไปเพื่อความประหยัด

“สองปีนี้พี่เปลี่ยนไปเยอะมากเลยนะ”

“สองปีนี้กุมภ์เองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน”

“...”

“นทีแชทฟ้องพี่ตลอดว่ากุมภ์ฝืนตัวเอง กุมภ์ไม่ค่อยได้กินข้าว ทำงานหนัก แถมยังนอนไม่พอจนเกือบหลับในชั่วโมงเรียนตั้งหลายรอบ มันน่าตีมั้ยนะเด็กคนนี้” พี่เดือนพูดแทงใจดำผมทั้งหมด น้ำเสียงเขาดูโกธรๆ “พี่ไม่ได้โกธรเรื่องที่กุมภ์ฝืนตัวเอง แต่พี่ไม่ชอบที่กุมภ์ไม่บ่นอะไรให้พี่ฟัง พี่เองก็อยากให้กุมภ์ระบายทุกสิ่งออกมาบ้าง”

“ผมขอโทษครับ...”

“...เอาเถอะ แต่ตอนนี้พี่ว่าตัวพี่เองก็เข้มแข็งมากพอแล้ว” พี่เดือนเหยียบคันเร่งออกจากที่จอดรถเมื่อจัดการอะไรเรียบร้อย “มันถึงคราวของพี่แล้วล่ะที่พี่จะต้องเป็นฝ่ายดูแลกุมภ์บ้าง เด็กไม่ดีต้องควบคุม”

“...” ผมหน้าบูดใส่เขานิดหน่อยก่อนที่จะหันออกไปมองถนน “พี่เรียนนิเทศแล้ว...พี่มีความสุขขนาดไหนครับ?”

“ก็มากจนถึงขั้นที่พี่สามารถยิ้มได้แม้ว่าวันนั้นมันจะยากลำบากเท่าไหน”

“...”

“พอมันมีเรื่องความฝันมาเกี่ยวด้วย พี่ก็รู้สึกว่าพี่สามารถทำได้ทุกอย่าง”

“...”

“กุมภ์รู้ตัวเองมั้ยว่าตอนนี้กุมภ์กำลังเป็นแบบพี่อยู่ เป็นกุมภ์ที่เหนื่อยกับทุกสิ่งจนลืมสิ่งสำคัญของตัวเองไป”

น้ำตาของผมเริ่มไหลลงมา นั่นสิ...ผมลืมไปได้ยังไงกันว่าผมเคยเป็นคนที่มีความสุขมากกว่านี้

“กุมภ์ลืมรอยยิ้มของตัวเองนะ” พี่เดือนค่อยๆคลี่ยิ้มออกอีกครั้ง “แต่กุม์ไม่ต้องห่วง”

ผมยังคงสะอื้น พี่เดือนอาศัยจังหวะที่สัญญาณไฟจราจรขึ้นสีแดงยื่นมือเข้ามาลูบหัวผมพร้อมกับกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“เพราะหลังจากนี้...พี่จะทำให้กุมภ์ยิ้มเยอะๆเหมือนอย่างที่กุมภ์เคยทำยังไงล่ะ”


==========


บทหน้าเราจะมาดูมุมมองของพี่เดือนในช่วงเวลาเดียวกันกับกุมภ์ในบทนี้บ้างกันดีกว่า ระหว่างสองปีนี้พี่เดือนเขาอีโวตัวเองนะเออ ในขณะที่กุมภ์เริ่มกดดันตัวเองจากภาระมากขึ้น ทำให้ลืมสิ่งสำคัญอะไรหลายๆอย่างไปอย่างรอยยิ้มที่เขามักจะมีให้คนอื่น แถมบางครั้งถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาห่วงก็จะปากแข็งไม่บ่นด้วย นิสัยนี้ได้มาจากพี่เดือนชัดๆ...
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (29/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-05-2019 01:20:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (31/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 31-05-2019 20:06:28
บทที่ 12

 

= เดือน =

 

ชีวิตใหม่ในรั้วมหาลัยของผมนั้นมันไม่ง่ายเหมือนที่ทุกคนคิดเลย

การเป็นนักศึกษาแพทย์ หมายถึงว่าทุกคนจะมองเห็นพวกคุณเป็นว่าที่คนที่จะมารักษาพวกคุณในอนาคต ความกดดันต่างๆมันก็เริ่มถาโถมเข้ามาอย่างเรื่อยๆ แถมยังต้องขยันมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่าถ้าไม่อยากให้แพ้ใคร มันเป็นเหมือนสนามรบที่นักศึกษาทุกคนต้องแข่งกับตัวเองไม่พอและยังต้องมาแข่งกับคนอื่นอีกด้วย

โชคดีที่คนในคณะของผมคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย เขาชื่อว่าโอม เป็นผู้ชายหน้าตาดีที่มาจากอุบลฯเหมือนกัน รายนั้นบอกว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้หวังอยากให้ตัวเองเป็นอะไร แต่นี่คือความตั้งใจส่วนตัว ในขณะที่ผมนั้นฝ่ายแม่อยากให้ผมเรียนตามที่ท่านต้องการเพื่อมารับช่วงต่อให้เป็นธุรกิจภายในครอบครัว

เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ออกไปตามคำแนะนำของกุมภ์ โอมก็บอกว่ามันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี หรือว่าถ้าไม่ไหวจริงๆก็อย่าฝืนตัวเอง เรียนในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆดีกว่า

ความจริงแล้ว...ผมยังมีความลับที่ยังไม่เคยบอกใครเลยสักคนแม้กระทั่งคนที่ผมไว้ใจที่สุดอย่างกุมภ์นั่นคือก็คือนักเขียนเจ้านามปากกา HiddenShadow คนนั้นคือตัวผมเอง

ผลงานหนังสือเล่มแรกที่ผมได้ออกวางตามร้านนั้นมันมาจากชีวิตของผมเองล้วนๆ จบลงที่การฆ่าตัวตายแม้ว่าตัวผมจริงๆในตอนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่งั้นผมอาจจะไม่ได้เจอกับกุมภ์ ซึ่งหลังจากผมเขียนหนังสือเล่มนั้นจบไป ผมก็ตั้งใจจะเขียนหนังสืออีกเล่มขึ้นมาเพื่อเป็นการระบายความเครียดของตัวเองผ่านตัวอักษร แต่ไม่คิดว่าเมื่อได้มองโลกในอีกแง่หนึ่งผ่านรุ่นน้องที่ผมห่วงที่สุดคนนั้น ก็ทำให้แนวทางการเขียนของผมมันแตกต่างจากเรื่องที่แล้วอย่างสิ้นเชิง

ใครจะไปคิดว่า HiddenShadow จะเขียนงานที่มีโทนสดใสตรงกันข้ามได้ขนาดนี้

ขอบคุณกุมภ์ที่เดินเข้ามาในชีวิต...ที่มอบแสงสว่างให้ และคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆเสมอ

 

“ไหวรึเปล่านั่น”

โอมยื่นขวดน้ำมาให้ผม พวกเราสองคนตัวติดกันตลอดเพราะผมเพิ่งรู้ว่าโอมเองก็อยู่คอนโดห้องข้างๆ ผมส่ายหน้าปฏิเสธไปทั้งที่รู้ตัวดีว่าวันนี้มันค่อนข้างจะกินพลังงานของผม “ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบใจนะ”

“จะว่าไปแล้ววันนี้มันก็เรียนหนักจริงๆนั้นแหละ เรายังเหนื่อยเลย” โอมยิ้มแห้ง “แล้วน้องที่คุยด้วยกันอยู่เป็นยังไงบ้างล่ะ? เคยเล่าให้ฟังไม่ใช่นี่ว่าเป็นหัวหน้าชมรมต่อจากเดือน?”

“อืม ก็เรื่อยๆนะ ขอบคุณที่เขาทำใจเรามีกำลังใจในการเรียน” เมื่อนึกถึงกุมภ์แล้วใจมันก็ชื่อขึ้นมา โอมเข้าใจความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกของผมกับกุมภ์ดี เพียงแต่ผมไม่เคยเล่าให้กุมภ์ฟังว่ามีคนที่รู้เรื่องนี้เพิ่มอีกคน

“เราเองก็อยากจะมีคนที่ทำให้เราหายเหนื่อยอย่างนี้บ้างจัง แค่พ่อแม่มันไม่พอหรอก...แต่เรียนหมอนี่ก็ไม่มีเวลาจะขยับไปไหนแล้วนี่สิ”

นี่ขนาดแค่ปีหนึ่งยังโทรมกันขนาดนี้ บางคนก็ทนไม่ไหวตั้งแต่สัปดาห์แรกด้วยซ้ำ ถ้ายิ่งชั้นปีสูงๆนี่ยิ่งไม่อยากพูดถึงสภาพเลยว่าจะเหลือเค้าความเป็นมนุษย์กี่คน ซึ่งคนที่ตั้งใจจะเรียนสายนี้คงต้องทำใจมาสักพักแล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ไม่ใช่เรียนเอาเพื่อเท่อย่างเดียว อาชีพแพทย์นั้นมันต้องแบกรับภาระ ต้องเป็นที่พึ่งได้ไม่ว่าจะเวลาไหน มาคิดๆดูแล้วผมเองก็อดนับถือแม่ตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่ต้องสละตัวเองเพื่ออาชีพนี้ พอได้มองข้ามสิ่งที่เคยเกิดขึ้น บางในฐานะผู้ใหญ่ที่ทำงานคนหนึ่ง แม่ของผมเองก็เป็นคนที่ทำเพื่อส่วนรวมจริงๆ ท่านไม่ได้บ่นว่ารำคาญคนป่วยหรืออะไรให้ผมได้ยิน

ตัวผมเองพอยิ่งได้เข้าสังคมอะไรมากขึ้น เริ่มทำความรู้จักอะไรมากขึ้น ผมก็เห็นสิ่งต่างๆมากขึ้น มันเป็นเพียงเพราะความน้อยใจและไม่เข้าใจของผมเองที่ปิดกั้นอะไรหลายๆอย่างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ

โอมชวนผมไปนั่งกินข้าวที่ตึกคณะนิเทศที่เขาว่ากันว่าอาหารอร่อยที่สุด ผมเลือกสั่งเมนูธรรมดายอดนิยมอย่างผัดกระเพราหมูมานั่งที่โต๊ะในมุมหนึ่ง โอมเองก็มีท่าทางว่าจะชอบกับข้าวที่ตึกคณะนี้มากด้วย หรือเป็นเพราะพวกเราคุ้นชินกับอาหารของคณะตัวเองก็ไม่รู้ คณะของพวกผมเน้นอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อสร้างสุขลักษณะที่ดี แต่มันก็แลกกับว่าอาหารเกือบทุกชนิดนั้นจะรสค่อนข้างจืด

ผมนั่งตักข้าวไปได้สักพักก็เห็นกลุ่มคนเดินผ่านมา พวกเขาถือกล้องหลายแบบหลายเลนส์ ผมนึกถึงกุมภ์ที่ชอบถือกล้อง ตั้งแต่ครั้งที่กุมภ์พาผมไปใช้กล้องวันนั้น...ก็นานมามากแล้ว ผมเองก็อยากลองจับมันอีกครั้งเหมือนกัน...

“เหม่ออะไรขนาดนั้นเชียว เห็นเด็กนิเทศถือกล้องมาแล้วอยากลองเล่นบ้างเหรอ?”

โอมสะกิดผมเข้าที่มือที่ว่างอยู่ มองผมด้วยสายตาสงสัยสลับกับกลุ่มคนที่เพิ่งเดินผ่านไป

“อ่า...กล้องก็ดูน่าสนุกนะ นิเทศเองก็มีเรียนอะไรหลายๆอย่าง ถ้าสมมุติว่าเราชอบอะไรพวกนี้คงสนุกน่าดู”

สนุก...อย่างนั้นเหรอ?

นั่นสิ ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมสนุกกับชีวิตตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เจอกุมภ์ตัวเป็นๆล่าสุด? ได้เที่ยวด้วยกันกับกุมภ์ก่อนที่จะมาที่นี่? แต่ที่สำคัญก็คือผมจำไม่ได้ว่าความสนุกนั้นมันเป็นอย่างไร

“จริงสิ วันนี้ไปที่ห้องเรามั้ย? เรามีกีตาร์อยู่ เอามาเล่นคลายเครียดรอรับเรื่องของวันพรุ่งนี้ดีกว่า” โอมเสนอมา ดนตรีเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ แต่ถ้าได้ลองมันก็... “เดือนเล่นดนตรีเป็นมั้ย?”

ผมส่ายหน้า

“โห...นี่ไม่เคยทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือเลยเหรอ? ทำไมทำร้ายตัวเองตั้งแต่เด็กกัน” เขาบ่นอุบ “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ยังไม่เจอคำตอบแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอคำตอบเลย”

“คำตอบ?”

“คำตอบที่จะมาไขคำถามของเดือนไงว่าท้ายที่สุดแล้วน่ะ...” โอมชี้นิ้วมาที่หน้าอกข้างซ้ายของผม “หัวใจกำลังเรียกร้องอะไร”

“...”

“เราชอบดนตรี ชอบวาดรูป แต่มาถามหัวใจแล้ว จู่ๆมันก็รู้สึกว่าเต้นตึกตักทันทีเมื่อพูดถึงหมอ นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ” โอมอธิบายให้ผมฟังเมื่อผมเผลอหลุดทำหน้าไม่เข้าใจไป “สิ่งที่เราชอบกับสิ่งที่เราเป็น...บางทีมันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกันเสมอไป เราชอบอะไรแต่ถ้าเราทำตามความชอบนั้น บางทีมันจะทำให้เราเกลียดมันไปตลอดชีวิตจากการที่รับภาระหนักหรือทำได้ไม่ดีเท่าเก่า ต่างจากสิ่งที่เราเป็น เราจะเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เราจะพัฒนาตลอดเวลา และเมื่อถึงวันนั้นเราจะรู้ตัวว่าเรากำลังสนุกกับสิ่งๆนี้อยู่แม้ว่ามันจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม”

ผมคิดตามโอม ผมไม่มีความชอบ ผมทำตามความต้องการของพ่อแม่

“ถ้าคิดตามไม่ทัน เอาอย่างนี้ก็ได้ สมมุติว่าเดือนชอบทำอาหาร เลยเรียนอาหาร จบไปก็ทำอาหาร มันก็วนลูปอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ สักวันเดือนก็จะถามตัวเองแน่ๆว่าเรายังมีความสุขกับมันอยู่รึเปล่า มันเหมือนกับการที่เราฟังเพลงที่เราชอบ เปิดวนอยู่อย่างนั้นจนร้องได้ทุกท่อน แต่สักวันเราจะต้องเบื่อมัน ดังนั้นแล้วเราเลยเลือกที่จะเรียนในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราชอบเพื่อให้เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา ใช่ว่าเราจะละทิ้งดนตรีไปเลย เรายังเล่น แต่เราเล่นเพราะชอบไม่ใช่เล่นเพราะจะเอาไปเป็นอาชีพ

“เดือนอาจจะยังคิดว่าเรียนหมอเพื่อสร้างความสบายใจให้ตัวเอง หลอกตัวเองว่าชอบเพื่อไม่ให้ใครผิดหวังจนลืมถามตัวเองจริงๆว่าเราอยากได้อะไร บางครั้งการที่เราอยากทำบางอย่างที่มันตรงข้ามกับตัวเองนั้นก็เพื่อใครบางคนนะ”

เพื่อใคร...บางคน?

นั่นสิ ผมเรียนหมอเพื่อพ่อแม่ แต่พอย้อนกลับมาดูจริงแล้วผมเองก็สงสัยว่าจริงๆแล้วพวกท่านเคยอยากให้ผมทำเพื่อพวกเขารึเปล่า มันฟังดูคล้ายๆกันแต่มันมีความแตกต่างกันอยู่ บางทีอาจจะเพื่อสานต่อโรงพยาบาลนี้ให้เป็นของตระกูลผมไปตลอด บางทีอาจจะเพราะต้องการให้ชื่อเสียงของมันโด่งดังจนเป็นที่รู้จัก

...พวกเขาก็แค่ให้ผมเรียนไปแล้วย้อนกลับมาสานต่อโรงพยาบาลเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น ไม่ได้เพื่อตัวพวกท่านหรือตัวผมเลยสักนิด

มันเป็นสิ่งที่ทั้งขาวและดำในตัว พวกท่านไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงส่วนตัว แต่พวกท่านทำเพื่อให้โรงพยาบาลมีชื่อและได้รับการยอมรับว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำซึ่งส่งผลให้มีคนไว้วางใจเข้ารับการรักษามากกว่าเก่าและนั่นคือสิ่งที่จะทำให้ครอบครัวของเรามั่งคั่งไปอีกนาน

หรือง่ายๆก็คือพวกท่านเห็นเม็ดเงินเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต

มันก็ใช่ว่าไม่จริง แต่มันให้ความรู้สึกว่าถ้าไม่มีเงิน อะไรๆก็จะลำบากมากขึ้นไปอีก ผมเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่มีเงินจำกัด แต่ผมเองก็ไม่เคยใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือยเพราะมันไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่

 

เย็นวันนั้นหลังจากเลิกเรียน ผมก็ตรงไปที่ร้านกาแฟในมหาลัยเพื่อซื้อเครื่องดื่ม เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงตัวเล็กชื่อว่าพี่ใบบัว บางครั้งก็จะใจดีแบ่งคุกกี้สูตรเฉพาะของร้านมาให้ผมพร้อมกับกาแฟด้วยเลย

“เห็นว่าเหนื่อยๆ คุกกี้สมุนไพรจะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นได้นะ”

ผมว่าสังคมมหาลัยของผมค่อนข้างจะดีกว่าสมัยมัธยม ผมได้รู้จัก ได้พูดคุยกับผู้คนมากขึ้น ได้ทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ และที่สำคัญก็คือทุกคนแล้วล้วนแต่บอกให้ผมไม่แบกรับภาระตัวเองจนเกินไป

แม้แต่พนักงานในร้านยังสังเกตเห็นผมเลยว่าผมเหนื่อยแค่ไหน

“อยากลองเล่นกล้องดูเหรอ?”

พนักงานผู้ชายชื่อว่าศึกถามผม เขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างใหญ่ เรียนอยู่วิศวกรรมปีเดียวกันกับผม ตอนแรกยังตกใจที่เขาขึ้นกูๆมึงๆใส่ตั้งแต่เจอแรกพบ แต่เอาไปเอามาผมก็เริ่มชินและได้ใช้กับเพื่อนคนนี้บ้าง

“ก็ไม่เชิง มันทำให้นึกถึงน้องที่อุบลฯมากกว่า”

“แสดงว่าพิเศษล่ะสิถึงได้นึกถึง ไม่ลองซื้อมาเล่นดูบ้างวะ บ้านมึงก็มีเงินอยู่” ศึกเท้าสะเอว “ซื้อมาแล้ววัดดวงไปเลยว่าอยากเล่นกล้องเพราะอะไรหรือเพราะใคร ถ้าซื้อมาแล้วแป๊บๆเบื่อค่อยขายมือสองไปก็ไม่เสียหายนี่นา”

“ซื้อน่ะมันซื้อได้ แต่กูไม่มีเวลาจะมาเดินถ่ายรูปหรอก” ผมถอนหายใจ ศึกเองก็ยังคงยืนค้ำหัวผมไม่ยอมไปรับออเดอร์ลูกค้า “มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าเรียนหมอมันแทบไม่มีเวลาเดินไปไหน”

“แต่ถ้ามึงเจียดเวลามาแบ่งให้กับความสุขตัวเองบ้างมันก็ไม่เสียหายนี่หว่า ไม่ต้องอ่านมันตลอดทั้งวันทั้งคืน ให้สมองมันได้พักบ้าง”

“...”

“ทุกคนเขาเป็นห่วงมึง มึงชอบทำร้ายตัวเองจนชาวบ้านไม่อยากเห็นมึงทรมานนะเว้ย”

เมื่อกลับมาถึงห้องพักในคอนโด ผมก็กระโดดขึ้นเตียงทันทีโดยไม่ได้อาบน้ำหรืออะไร นอนคิดอยู่อย่างนั้นว่าจริงๆแล้วผมกำลังหลอกตัวเองอยู่ใช่รึเปล่าว่าไหว? หรือมันเป็นแค่คำพูดที่ให้ความหวังลมๆแล้งๆกับคนอื่น? จังหวะที่ใจกำลังจะเหม่อลอย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน

‘พี่เดือนครับ กินข้าวรึยัง?’

กุมภ์...เด็กคนนี้คอยโทรฯมาถามผมเสมอว่าได้กินข้าวหรือกินอะไรรองท้องบ้างรึเปล่า เขาเอาใจใส่ผมมากกว่าพ่อแม่แท้ๆเสียอีก นี่คือหนึ่งในคนที่ทำให้ผมต้องมานั่งคิดคำตอบของหัวใจของผมอยู่ทุกวัน

ผมทำเพื่อเขามั้ย? ผมมีความสุขเพื่อเขามั้ย?

บางครั้ง...ผมก็งอแงให้เขาฟัง เขาก็ปลอบใจผม แต่มันไม่เท่ากับการได้เห็นตัวจริง การได้สัมผัสกับตัวจริง การพูดเฉยๆมันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ผมอยากเจอเขา ผมอยากอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง กุมภ์เป็นคนที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อมากที่สุด

“ยังไม่ได้กิน...”

‘ไม่ได้นะครับ พี่ต้องกินอะไรบ้าง ไม่งั้นร่างกายพี่ไม่ไหวแน่’

“รู้แล้วครับๆ เดี๋ยวพี่จะไปหาอะไรมากินแล้ว” ผมโกหกเขา ผมเหนื่อยเกินกว่าที่จะไปข้างนอกเพื่อซื้ออะไรกิน “ดูแลตัวเองด้วยนะ เห็นว่างานหนักไม่ใช่เหรอ?”

‘อ่า...ก็นิดหน่อยครับ ผมพอทนไหวอยู่ อาจจะเพราะยังปรับตัวตามไม่ทัน’

กุมภ์เป็นคนเก่ง ผมเชื่อว่าเขาสามารถทำได้

“พยายามเข้านะ”

‘ครับ พี่เดือนเองก็เหมือนกันนะ’

นี่คือสิ่งที่พวกเราพูดให้กันในแต่ละวัน คงเป็นคำว่าพยายามเข้าของกุมภ์ที่ทำให้รู้สึกว่ามีแรงขึ้นมากอีกนิดหน่อย ผมจะทำให้น้องผิดหวังในตัวผมไม่ได้เด็ดขาด

 

แต่แล้วในวันหนึ่งของเทอมที่สองมันก็ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป

 

ผมกำลังเหนื่อยกับการเรียน เหนื่อยจนผมร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวทั้งวัน มันหนักหนาเกินกว่าที่ผมจะทนเอาไว้ได้แล้ว ผมพยายามหลอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถหลอกได้อีกต่อไป

ผมเดินเล่นในมหาลัยช่วงเลิกเรียนซึ่งวันนี้เลิกค่ำแถวๆข้างตึก ไม่รู้ว่าผมเหม่อหรืออะไรที่ทำให้เดินชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวสูงพอๆกันกับผม เขาสวมหมวกสีดำกับเสื้อคลุมสีขาว ถือกล้องถ่ายรูปมาด้วย ถ้าเกิดว่าเมื่อกี๊ชนแรงกว่านี้มีหวังเลนส์แตกแน่ๆ

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ผมเองก็ขอโทษเหมือนกันนะครับ เหม่อไปนิด” ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา “คุณเป็นนักศึกษาที่นี่นี่นา ผมขอถามทางได้รึเปล่าครับ?”

“ได้ครับ”

“คือว่าผมจะไปสระน้ำของมหาลัย แต่ผมหาไม่เจอสักที...”

“อ๋อ ถ้าเป็นสระน้ำเดินตรงไปอีกสักหน่อยเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ” ผมพยายามยิ้มตอบเขาทั้งที่ตัวเองยกยิ้มไม่ไหวแล้วก็ตาม “ผมพาไปก็ได้นะครับ”

“ขอบคุณมากนะครับ”

ระหว่างที่ผมพาเขาไปที่สระน้ำ ผมก็ถามเขาอีกรอบ “ทำไมถึงไปที่สระน้ำครับ?”

“พอดีว่าผมอยากถ่ายบรรยากาศริมน้ำของมหาลัยแห่งนี้น่ะครับ ต้องเป็นช่วงกลางคืนด้วย ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะเจอหิ่งห้อยบินมา”

“หิ่งห้อย?”

“อ๋อ ผมได้ยินจากนักศึกษามาว่าบางทีตอนกลางคืนสระน้ำตรงนั้นจะมีหิ่งห้อยออกมาบินด้วย น่าแปลกใจนะครับที่มีพวกมันอยู่ในตัวเมืองอย่างนี้” เขาหัวเราะ “ผมรักการถ่ายภาพธรรมชาติ มันทำให้ผมรู้สึกว่านี่แหละคือตัวของผม ยิ่งได้เห็นสัตว์ดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่แบบนี้ยิ่งรู้สึกรักเข้าไปอีก”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อมาถึงสระน้ำแล้วเขาก็ยืนถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ส่วนผมเองก็นั่งดูเขาถ่ายอยู่กับเก้าอี้ พื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างจะเปลี่ยว ผมกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาแล้วจะมีคนช่วยเขาไม่ทันเอา

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรชายคนนั้นถึงเดินตรงเข้ามาทางผม

“เห็นจ้องผมนานแล้ว หรือว่าสนใจกล้องเหรอครับ?”

“ไม่ครับคือ--”

“จ้องตาเป็นประกายขนาดนั้น”

“...” สายตาของผมเนี่ยนะ...เป็นประกาย?

“ผมไม่หวงกล้องผมครับ ลองดูก็ไม่เสียหาย เกิดว่าสนใจขึ้นมาจริงๆแล้วก็มาเรียนเอกเดียวกันกับที่ผมจบมาได้นะ ผมเองก็อยากมีคนรู้จักเล่นกล้องเหมือนกัน” เขาหัวเราะ ยื่นกล้องมาให้ผม “เคยจับกล้องมารึเปล่าครับ?”

“เคยครับ ปีที่แล้วกับน้องคนหนึ่ง”

“แสดงว่าน้องคนนั้นอาจจะทำให้จุดความสนใจของเราเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้”

“...”

“มาลองดูสิ”

ผมรับกล้องมาจากเขา เขาบอกว่าให้ผมลองซูมดูนั่นนี่ไปก่อนแล้วเขาก็มานั่งแทนผม ปล่อยให้ตัวผมนั้นยืนเคว้งกับกล้องที่ไม่ใช่ของตัวเองอยู่

จู่ๆก็มีหิ่งห้อยบินเข้ามาเกาะที่ใบหน้าใกล้ๆ ผมไม่คิดว่าจะเจอหิ่งห้อยที่เขาว่ามาจริงๆเลยเดินตามมันไปถึงจุดๆหนึ่งที่เห็นหิ่งห้อยอีกหลายตัวกำลังช่วยกันเปล่งแสงออกมา ในวินาทีนั้นมันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มือที่ถือกล้องอยู่นั้นเริ่มสั่นระริกราวกับว่าถ้าผมไม่รีบถ่ายมันเอาไว้ ผมจะพลาดมันไปตลอดชีวิตอย่างนั้น

หรือว่าจริงๆแล้ว...

ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อในที่สุดผมนั้นก็รู้สักทีว่าผมต้องการอะไร

โลก...ที่ผมอยากเห็นผ่านเลนส์กล้อง

ผมไม่รู้ว่าใช้เวลากับกล้องตัวนี้ไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งหิงห้อยพวกนั้นบินหายไปหมดผมถึงได้เดินกลับมาที่เดิมพร้อมกับรูปที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลองของผม ผู้ชายคนเดิมยังคงนั่งอยู่กับม้านั่ง เขามองผม ผมมองเขา แล้วเขาก็ปรบมือให้

“ยินดีด้วยนะ...ที่เจอกับสิ่งที่เป็นตัวเองเสียที”

 

“จะลาออกเหรอ?” โอมถามผมขึ้นมาเมื่อวันนี้ผมมานั่งอยู่ในห้องกับเขา “คิดดีแล้วใช่มั้ย? แน่ใจนะว่ามันจะไม่มีอะไรมากระทบความตั้งใจนั่น?”

“อืม คิดดีแล้ว อยู่ต่อไปก็ไม่มีความสุข แถมยังฝืนตัวเองเปล่าๆ เราเลยจะลาออกแล้วเตรียมตัวเข้านิเทศแทน”

“โอ้ อยากเป็นเด็กนิเทศจริงๆด้วยสินะ ดีแล้วๆ หน้าตาดีๆแบบนี้มาเรียนหมอให้มันโทรมเสียดายออก” เขาเดินไปที่ตู้เย็น หยิบกระป๋องน้ำผลไม้ออกมาแล้วเปิดกระป๋องยื่นให้ผม “เพื่ออนาคตเด็กถ่ายภาพ”

“ฮึฮึ เพื่ออนาคต” ผมตอบรับ น้ำกระป๋องมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกว่านี่คืองานฉลองสักเท่าไหร่

“แล้วเรื่องที่บ้าน...”

“เราจะบอกหลังจากลาออกแล้ว ไม่งั้นคงมีค้านแน่” ผมตัดสินใจด้วยตัวเองทุกอย่าง มันถึงเวลาที่ผมต้องบินออกจากกรงนี่เสียที ผมไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่ากรอบอีกต่อไป

มีเพียงท้องฟ้ากว้างเท่านั้น...ที่ผมต้องการ

“มันจะดีเหรอ...”

“ถ้าตัดสินใจแล้ว...ก็พุ่งชนมันเข้าไปเลยดีกว่า”

“...”

“ไม่ได้อยากเป็นเดือนคนที่ลังเลหรือไม่กล้าทำอะไรนอกกรอบแล้วล่ะ”

 

หลังจากที่ผมลาออกจากมหาลัยมาได้หนึ่งอาทิตย์ พ่อกับแม่ผมที่รู้ข่าวก็รีบบินตรงมาที่นี่แล้วก็ตบเข้าที่หน้าของผมจนหันไปข้างหนึ่ง

“แกทำอะไรโง่ๆลงไปกัน!”

“...มันคือชีวิตของผมครับแม่” ผมหันกลับมา แม่ของผมมีใบหน้าขึ้นสีแดงจากอารมณ์โกธรจัด ส่วนพ่อกำลังยืนกอดอกไม่แสดงออกอะไร “ผมไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ ผมไม่ได้อยากจะเป็นหมดตามแม่ ไม่ได้อยากดูแลโรงแรมเหมือนพ่อ แต่ผมอยากเดินทางไปทั่วโลก ไปทั่วโลกเพื่อเก็บความทรงจำต่างๆในกล้อง”

“นี่แกไปสนใจเรื่องไร้สาระแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน! กล้องอะไรนั่นมันไร้ประโยชน์สำหรับแก!”

“มันไม่ไร้ประโยชน์ครับแม่”

“...”

“ที่ผ่านมาผมไม่เคยมีความสุขเลยกับการที่ต้องทำอะไรตามใจพ่อกับแม่ ผมเองก็อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง ไม่ได้อยากจะอยู่กับความทุกข์แบบนี้ไปตลอดชีวิต พ่อกับแม่อาจจะไม่เข้าใจผมว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนี้ลงไป แต่ผมอยากให้พ่อกับแม่ปล่อยผมได้เสียที ผมทนไม่ไหวแล้ว”

“แต่ฉันเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดให้แกนะ เป็นหมอมันดีจะตาย มีทั้งเงินทั้งชื่อเสียงของตัวแก”

“แม่คิดเพื่อผมหรือว่าแท้จริงแล้วทำเพื่อตัวเองกันแน่ครับ?” ผมสูดลมหายใจ มือของผมมันสั่นไปหมด เกิดมาไม่เคยเถียงหรือทะเลาะกับคนที่บ้านจริงจังอย่างนี้มาก่อนเลย “ถ้าทำเพื่อผมจริง...แม่คงต้องรู้แล้วว่าผมเหนื่อยมากแค่ไหน คำว่าเหนื่อยมั้ยยังไม่ถามผมเลยสักคำ ให้ผมอ่านหนังสือตั้งใจเรียนอย่างเดียว บอกให้ผมสอบเข้าบริหารไม่ก็แพทย์ บอกให้ผมเป็นนู่นเป็นนี่ ผมเป็นผม เป็นคนคุมเกมชีวิตนี้เอง แม่ไม่ได้มีสิทธิมาคุมตัวผมให้เดินตามอย่างนี้”

“ฉันอยากให้โรงพยาบาลเป็นชื่อของตระกูลพวกเราตลอดไป และแกก็ต้องสืบทอด น้องชายแกจะรับงานโรงแรม ถ้าแกไม่ทำแกไม่สงสารน้องรึยังไงที่ต้องมาแบกรับเอาไว้สองอย่างด้วยคนเดียว หรือว่าแกมันไม่มีหัวใจ?”

“แล้วแม่ไม่สงสารผมเหรอครับ?”

“...”

“ผมเหนื่อย ผมอยากจะบอกหลายรอบแล้ว ผมทนไม่ไหวที่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ แต่เมื่อผมได้จับกล้อง ความรู้สึกที่เคยขาดหายไปมันก็ถูกเติมเต็มลงจนครบ ผมไม่อยากจะเป็นนกในกรงขังของพ่อแม่อีกต่อไป ผมไม่ได้อยากจะเป็นชีวิตอีกชีวิตที่พ่อแม่เลือกให้เดิน แม่ไม่สงสารผมเหรอที่ผมต้องมาเหนื่อยกับการใช้ชีวิตที่วนลูปอยู่อย่างนี้ แม่ไม่สงสัยบ้างเหรอเลยว่าผมคิดยังไงกับการใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์”

“...แกนี่มัน...”

“ใจเย็นก่อนแม่” พ่อของผมเดินเข้ามาปรามแม่ก่อนที่จะลงไม้ลงมือกับผมอีกรอบ “แกแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าจะทำแบบนี้”

“ผมแน่ใจแล้วครับ”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามครับ” ผมตอบเสียงแน่น “ผมมีเป้าหมายที่ตัวเองต้องการแล้ว ผมจะไม่หลบซ่อนในมุมอีกต่อไป”

“ถ้าเกิดว่าฉันไม่จ่ายค่าเทอมให้แกเรียนต่อแล้วแกจะทำยังไง”

คำถามนี้ของพ่อไม่เหมือนคำถาม มันเป็นเหมือนคำสั่งที่เขาบอกมาว่าจะไม่ส่งผมเรียนอีกต่อไปตลอดสี่ปีที่ผมจะเริ่มต้นใหม่

“ฉันจะทดสอบแกว่าจะบริหารเงินที่มีอยู่ยังไง จะยังมีชีวิตต่อได้รึเปล่าหลังจากที่พวกฉันผลักแกลงมาจากที่สูง จากที่เคยมีจะไม่มี ฉันยังจะให้แกมีรถมีที่พัก แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆแกต้องหามาเอง” พ่อสูดลมหายใจ “แกทำได้รึเปล่า?”

ผมยืนคิด...มีที่พักกับรถให้ไปมาไหนได้นี่ถือว่าหยวนให้มากพอแล้ว แล้วผมค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าผมสามารถจัดการทุกอย่างในมือตัวเองได้ ผมจึงตอบกลับไปโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิดว่า

“ผมทำได้แน่นอนครับ พ่อกับแม่รอดูเอาไว้ได้เลย”
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (31/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 31-05-2019 20:09:46
เมื่อพ่อแม่ตัดเงินผม ผมก็ต้องดิ้นรนหาเงินเรียนเอง

ใช่ครับ ผมมาสมัครทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟในมหาลัย พี่ใบบัวเองดูแปลกใจไม่ใช่น้อยที่เห็นผม แต่เธอก็อ้าแขนเปิดรับให้คนที่ไม่เคยทำงานอย่างผมมาฝึกประสบการณ์ พอรู้เรื่องว่ามันเป็นมาอย่างไรทุกคนเองก็ดูจะเห็นใจผมเหลือเกิน

“พ่อแม่มึงทำยังงี้ได้ไงวะ? นี่มันเท่ากับว่าตัดหางปล่อยวัดแล้ว” ศึกบ่นในขณะที่เขากำลังล้างแก้วช่วยผม ผมตอบกลับไปด้วยยิ้มบางๆ

“พวกท่านคงทดสอบกูนั่นแหละว่าจะทำได้รึเปล่า อาจจะอยากเห็นกูกลับบ้านไปขอร้องก็ได้มั้ง?”

“แล้วมึงคิดว่ามึงทำได้เหรอ? ค่าใช้จ่ายที่กูบริหารตอนนี้ยังแทบจะไม่เหลือเก็บเลยนะ” ศึกว่าด้วยความเป็นห่วงผม ผมส่ายหน้า ความจริงมีแผนอะไรหลายๆอย่างที่อยากทำมานานแล้วเหมือนกันแต่ยังไม่ได้ลอง

“โดนตัดเงินก็ใช่ว่าจะโดนตัดสมองหรือคลังทรัพย์ในบัญชีสักหน่อยนี่”

“...”

“กูจะลงทุนซื้อกล้อง...มารับงานพิเศษระหว่างที่รอสมัครเรียนใหม่” ผมตอบเขา เงินที่มีอยู่ในบัญชีตอนนี้ก็มีมากพอที่จะจ่ายค่าเทอมสองสามเทอมรวมค่ากินค่าอยู่ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผมเขียนหนังสือแล้วได้ค่าต้นฉบับมาด้วย “เจียดมาซื้อ เก็บเงินต่อ ทำงานพิเศษไปเรื่อยๆเท่าที่ตัวเองจะทำได้โดยไม่ฝืนอีก”

“ถ้าเป็นกู กูคงสติแตกก่อนที่จะได้ทำอะไรแน่”

ผมหัวเราะ ก่อนที่จะวางแก้วลงแล้วเดินไปรับออเดอร์ลูกค้าต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะหน้าตาผมรึเปล่าที่ทำให้บางครั้งก็ได้ทิปมาด้วย แต่ผมก็เก็บเข้ากองกลางของร้านหมดเพื่อเอามาแบ่งกันทีหลัง

นอกจากผมจะทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟแล้ว ผมยังไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ เป็นพนักงานฝ่ายจัดสินค้าเข้าชั้น บางครั้งก็จะได้ขนมที่ห่อไม่สวยหรือน้ำขวดที่ฉลากหรือบรรจุภัณฑ์เสียหายนิดๆหน่อยกลับมากินด้วย ทำให้ประหยัดเข้าไปอีก ไม่นานนักผมก็ตัดใจซื้อกล้องรุ่นเดียวกันกับกุมภ์มา ผมจำได้ดีว่านี่คือกล้องตัวแรกที่ผมจับ ทำให้คุ้นพอสมควร ตอนกลับมาที่คอนโดแล้วจ้องกล้องนั่นมันทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนมีเด็กคนนี้อยู่ข้างๆตลอดเวลา

ผมลงทุนอีกนิดหน่อยในการซื้อสมุดมาขายออนไลน์ วาดรูปด้วยมือลงไปขายได้กำไรกลับมาพอตัวเพราะคนชอบเยอะ บางครั้งก็จะลงรูปที่ตัวเองไปถ่ายงานมาด้วยเผื่อมีคนสนใจ และก็มีคนสนใจจริงๆจนได้เงินมาอีกจำนวนหนึ่ง

ช่วงแรกๆลำบากพอตัว แต่เมื่อเริ่มเข้าที่แล้วตารางชีวิตของผมมันวุ่นวายน้อยกว่าเรียนแพทย์ด้วยซ้ำ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข แม้ว่าจะเหนื่อย แต่มันเหนื่อยคนละแบบ แถมยังได้รู้จักการทำงาน รู้จักการเข้าสังคมมากกว่าเก่า มีคนคอยช่วยเหลือเยอะแยะ มันไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ฟังคนอื่นมาเลยสักนิด

แต่ในขณะเดียวกัน...นทีก็โทรฯมาฟ้องผมตลอด

นทีบอกว่ากุมภ์เริ่มฝืนตัวเอง เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง พยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีใครต้องมากล่าวหาว่าทำงานไม่สมศักดิ์ศรี

เขากำลังจะกลายเป็นผมในอดีต ส่วนผมก็กลายเป็นตัวของเขาในอดีต

ผมโทรไปถามไถ่กุมภ์ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เขายังตอบแบบเดิม น้ำเสียงดูเหมือนพร้อมกับสลบได้ตลอดเวลา ผมไม่อยากให้เขาฝืนเหมือนที่ผมเคยฝืน หรือว่านี่คือกรรมที่ตัวเองเคยทำให้กุมภ์เป็นห่วงผมขนาดนี้กัน พอมาเจอกับตัวเองแล้วทั้งตัวและใจก็สงบลงไม่ได้เลย

‘วันนี้กุมภ์มันเกือบจะล้มลงที่ห้องสมุดครับ เห็นมีคนบอกว่าน่าจะวูบ’

ผมอยากจะกลับอุบลฯเพื่อไปดูอาการน้องเสียตรงนี้ ติดที่ว่าผมเองก็ต้องเก็บเงินเอาไว้จ่ายค่าเทอม ผมจึงต้องอดทนเอาไว้และฝากให้เพื่อนสนิทน้องดูแลแทน ผมมั่นใจว่านทีสามารถทำตามสิ่งที่ผมสั่งได้เพราะเขาเองก็ห่วงกุมภ์ไม่ต่างจากผม

 

ผมเข้ามาเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ เอกถ่ายภาพ และกำลังจะเป็นที่จับตามองจากหลายๆคนเพราะด้วยการที่มีคนบอกว่าผมเคยเรียนแพทย์มาก่อน เลยทำให้สงสัยกันว่าเพราะอะไรถึงเบนตัวเองมาที่คณะนี้ได้

มะยม...เป็นผู้ชายคนแรกที่เดินเข้ามาบอกผมว่าเขาทิ้งคณะวิศวกรรมที่พ่อแม่หวังจะให้เข้าเพื่อมาเรียนในสิ่งที่เขารัก นั่นทำให้พวกเราสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว คนที่อายุน้อยกว่าก็เกรงใจผมเหมือนกันแต่ผมเป็นฝ่ายบอกไปเองว่าไม่ต้องเรียกพี่เพราะอายุห่างกันแค่ปีเดียว และผมเองก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นพี่ใหญ่ใครมากนักเนื่องจากด้านประสบการณ์การใช้กล้องใช้อะไรมันน้อยกว่าคนที่เจอตัวเองตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ

ผมมีความสุขมากจริงๆ ในขณะที่นทีก็คอยโทรฯมาฟ้องตลอดว่ากุมภ์ไม่ไหวแล้ว

กุมภ์ไม่ยิ้ม กุมภ์ทำแต่งาน นั่นทำให้ผมห่วงเขามากกว่าเก่า นานๆทีโอมจะแวะมาหาผมที่คณะ เขาบอกว่าถ้าไม่สบายใจอะไรก็โทรฯไปถามตรงๆเลยว่าเหนื่อยมั้ย หรือว่าอย่างไร ผมเองก็ทำ แต่ว่ากุมภ์เลี่ยงที่จะตอบอยู่เสมอ เขาไม่อยากให้ผมเป็นห่วง เขาอยากให้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ผมจึงแอบบอกนทีว่าให้กุมภ์ได้พักงานบ้างอะไรบ้าง กุมภ์ก็ทำตามอยู่ช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาวนอยู่ลูปเดิมตลอด

วันๆหนึ่งของผมไม่มีอะไรมาก เรียน ทำงาน พักผ่อน เก็บเงินไปเรื่อยๆ เรื่องที่ผมกำลังเขียนลงเว็บก็มีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามาจะขอเอาไปตีพิมพ์บ้างแล้ว แต่ผมยังไม่ให้เพราะตั้งใจจะเขียนให้จบก่อน ผมจึงปฏิเสธไปหลายที่ รวมถึงพี่นักเขียนคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมคือ HiddenShadow เขาก็ทักผมมาด้วยว่าทำไมถึงไม่เอาไปขายสักที

“ผมอยากเขียนเล่าไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีอะไรให้เล่าแล้ว”

ผมตอบแบบนั้น มันคือหนังสือที่จะเกิดขึ้นจากชีวิตของผม ผมไม่อยากกำหนดชีวิตตัวเองเอาไว้ก่อน

งานพิเศษที่ทำก็กำลังไปได้ดี พี่ใบบัวบอกว่าเพิ่มเงินให้ผมเพราะผมทำงานเกินค่าแรง ศึกเองก็เป็นคนขอให้พี่ใบบัวเพิ่มให้ วันไหนที่เหนื่อยๆพี่ใบบัวก็จะให้ผมหยุดพักโดยไม่หักเงิน ผมไม่อยากเอาเปรียบคนอื่นเลยขอให้พี่ใบบัวทำกับผมแบบพนักงานทั่วๆไป

“วันนี้มีตลาดนัดนักศึกษา มึงจองที่เอาไว้ขายของรึยังวะ?” ศึกถามผม โต๊ะที่ร้านกาแฟมุมหนึ่งมีโอม ศึก และผมนั่งด้วยกัน ผมจองพื้นที่เอาไว้สำหรับไปขายสมุดปกวาดมือโดยเพื่อนทั้งสองคนของผมจะเป็นลูกมือช่วยขอแลกกับเอาของเล็กๆน้อยๆไปตั้งเอาไว้ด้วยกัน ผมพยักหน้าตอบเพื่อนไป “แล้วมึงเอาอะไรมาขายวะโอม?”

“เราเอาปากกาหมึกเจลลบได้มาขาย พอดีที่บ้านบอกว่าสั่งมาเหลือเยอะเกินกลัวขายไม่ทัน ของศึกนี่อย่างที่เคยพูดรึเปล่าว่าเป็นสติ๊กเกอร์?”

“ช่ายยย เอาไว้ล่อผู้หญิงให้มาซื้อเยอะๆ ร้านเรามีแต่คนหน้าตาดีนะเว้ยรับรองขายได้” ศึกยกนิ้วโป้งขึ้นมา แสดงสีหน้ามั่นใจ “ถ้าขายไม่ได้ให้กระทืบเลย”

“กำลังอยากได้ที่ระบายอารมณ์พอดี”

“กูพูดเล่นมั้ยเพื่อน!” ผมหัวเราะกับบทสนทนาระหว่างพวกเราสามคน โอมเองก็เครียดกับการเรียนหมอเหมือนเคย ส่วนศึกก็กำลังวุ่นๆกับการทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเหมือนผม บางครั้งการมานั่งแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันและกันก็สนุก มันเป็นการระบายสิ่งที่กำลังทุกข์หรือคิดออกมาโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น

เพราะตอนสมัยเรียนมัธยม ผมไม่เคยได้มานั่งจับเข่าคุยกับใครแบบนี้ ผมเลยเก็บความเครียดเอาไว้คนเดียวจนเรื้อรัง

“ว่าแต่มึงเป็นคนวาดเองหมดจริงๆเหรอนั่น น่ารักว่ะ”

“อืม พอดีว่าตอนเรียนมัธยมเคยแอบปลอมตัวในกระดาษเป็นผู้หญิง ลายมือกับเส้นวาดอะไรพวกนี้ก็ต้องฝึกเอาไว้ให้เนียนๆสองแบบ” ผมบอกศึกที่กำลังจ้องรูปปลาดาวตัวเล็กๆบนหน้าปก “พอเอามาใช้ในชีวิตจริงก็ทำกำไรให้เยอะแยะเลย”

“มีหัวการค้าแบบนี้น่าอิจฉาจัง กูเองก็อยากฉลาดแบบมึง พ่อแม่จะได้ไม่ต้องมาด่าอยู่ทุกวันว่าส่งควายเรียนรึเปล่า” แล้วเขาก็ชะงักไป “เฮ้ย...กูขอโทษ กูลืม”

“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้กระทบจิตใจกู” ผมส่ายหน้ากลับ “ความจริงก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยตั้งแต่ลาออกจากคณะแพทย์นั่นแหละ”

“กูลองมึงไม่ลองกลับไปคุยดูอีกครั้งเหรอ? เผื่อเขาจะอารมณ์เย็นลงแล้วคุยด้วยเหตุผลก็ได้”

“จริงด้วย เดือนลองไปคุยกับพ่อแม่ตัวเองอีกครั้งนะ” คราวนี้โอมเองก็เสริมศึก ผมเลยตอบกลับไปว่า

“เราอยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราโตมากพอที่จะดูแลตัวเองได้จริงๆโดยไม่หันกลับไปหาพวกเขาไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เพราะเราเชื่อว่าเขาเองก็กำลังมองเราอยู่จากที่ห่างๆ”

พ่อแม่ไม่ตัดขาดกับผมแน่ๆ เพราะผมคิดว่าถ้าถึงวันที่ผมไม่สามารถเดินต่อไปได้ พวกท่านจะยื่นมือเอาข้อเสนอมาให้แลกเหมือนเดิม นั่นหมายถึงว่าพวกท่านก็มองดูตัวผมเติบโตอยู่ เมื่อผมไม่ไหวก็เดินเข้ามามอบความช่วยเหลือที่ต้องแลกกับการถูกล่ามโซ่อีกครั้ง

 

“กุมภ์อยู่ที่ไหน?”

ผมถามผ่านโทรศัพท์ ทั้งๆที่ตัวของผมนั้นเห็นเขาแล้ว แค่มองจากข้างหลังยังรู้เลยว่าเด็กคนนี้เปลี่ยนไปมากแค่ไหน

ท่าทางอิดโรย...สูงขึ้นอีกนิดหน่อยแต่เหมือนจะล้มได้ตลอดเวลาอย่างนั้นน่ะ ผมเห็นแล้วก็อดที่จะน้ำตาซึมไม่ได้ น้องเปลี่ยนไปในทางที่ค่อนข้างจะโทรม แต่ผมก็พยายามกัดปากตัวเองไม่ให้เผลอส่งเสียงสะอื้นออกไป ปาดน้ำตาตรงหางออกแล้วก็ถามเขาไปอีกครั้งเมื่อได้รับคำตอบที่ผมรู้อยู่แล้วกลับมา

“ใส่เสื้อคลุมสีขาวรึเปล่า?”

เขาตอบว่าใช่

ผมเดินไปแตะไหล่เขา กุมภ์หันมาด้วยท่าที่หวาดๆ แต่แล้วเขาก็น้ำตาไหลออกมาโดยที่ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่แต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น

เด็กคนนี้...เหนื่อยมามากและกำลังแสดงด้านที่อ่อนแอให้ผมเห็น

“อย่าเพิ่งร้องไห้เลย ไปที่รถกันเถอะ” ผมบอกกุมภ์ จูงมือให้เดินตามมาถึงรถ เขายังร้องไห้ไม่หยุด แม้ว่าจะไม่ได้เสียงดังมากนักแต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ใจของผมอดแกว่งไปไม่ได้

“สองปีนี้พี่เปลี่ยนไปเยอะมากเลยนะ”

“สองปีนี้กุมภ์เองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน” ผมหันไปดุกุมภ์ที่ยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้ผมขนกระเป๋าขึ้นรถ “นทีแชทฟ้องพี่ตลอดว่ากุมภ์ฝืนตัวเอง กุมภ์ไม่ค่อยได้กินข้าว ทำงานหนัก แถมยังนอนไม่พอจนเกือบหลับในชั่วโมงเรียนตั้งหลายรอบ มันน่าตีมั้ยนะเด็กคนนี้ พี่ไม่ได้โกธรเรื่องที่กุมภ์ฝืนตัวเอง แต่พี่ไม่ชอบที่กุมภ์ไม่บ่นอะไรให้พี่ฟัง พี่เองก็อยากให้กุมภ์ระบายทุกสิ่งออกมาบ้าง”

กุมภ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงอยๆ “ผมขอโทษครับ...”

“...เอาเถอะ แต่ตอนนี้พี่ว่าตัวพี่เองก็เข้มแข็งมากพอแล้ว” ผมบอกเขา เพราะตอนนี้ผมเข้มแข็งมากพอที่จะปกป้องกุมภ์ได้แล้วจริงๆ “มันถึงคราวของพี่แล้วล่ะที่พี่จะต้องเป็นฝ่ายดูแลกุมภ์บ้าง เด็กไม่ดีต้องควบคุม”

แล้วน้องก็ทำหน้าบูดตามกลับผมมา อย่างน้อยก็ยังดีกว่าสีหน้าอมทุกข์แบบเมื่อกี๊ “พี่เรียนนิเทศแล้ว...พี่มีความสุขขนาดไหนครับ?”

“ก็มากจนถึงขั้นที่พี่สามารถยิ้มได้แม้ว่าวันนั้นมันจะยากลำบากเท่าไหน” ผมยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้หันไปมองเขาก็ตาม “พอมันมีเรื่องความฝันมาเกี่ยวด้วย พี่ก็รู้สึกว่าพี่สามารถทำได้ทุกอย่าง” แล้วผมก็เอ่ยคำที่ต้องการจะพูดกับเขาตั้งนานแล้วออกไป “กุมภ์รู้ตัวเองมั้ยว่าตอนนี้กุมภ์กำลังเป็นแบบพี่อยู่ เป็นกุมภ์ที่เหนื่อยกับทุกสิ่งจนลืมสิ่งสำคัญของตัวเองไป”

กุมภ์ร้องไห้ ผมยิ้มออกมาเพื่อปลอบใจเขา มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย

“กุมภ์ลืมรอยยิ้มของตัวเองนะ”

ผมยื่นมือเข้าไปลูบสัมผัสจากศีรษะที่ไม่ได้จับมาสองปี

“แต่กุมภ์ไม่ต้องห่วง”

“...”

“เพราะหลังจากนี้...พี่จะทำให้กุมภ์ยิ้มเยอะๆเหมือนอย่างที่กุมภ์เคยทำยังไงล่ะ”

อยากให้น้องยิ้ม...เหมือนที่สองปีก่อนยิ้มให้

อยากให้น้องหัวเราะ...เหมือนที่สองปีก่อนหัวเราะให้

อยากให้น้องอยู่กับผม...เหมือนที่สองปีก่อนอยู่ด้วยกันจนเลิกเรียน


ผมว่ามันถึงเวลาของผมแล้วที่จะเอ่ยคำนี้ออกไป

เป็นคำที่ผมเตรียมพูดมาตลอดปีกว่าๆที่ตัดสินใจทิ้งสิ่งที่พ่อแม่อยากให้ผมเป็นทุกอย่างไปกับตัวผมที่อ่อนแอคนนั้น

“พี่จะดูแลกุมภ์ จะเป็นคนที่คอยรับฟังกุมภ์ จะเป็นคนที่มอบความอบอุ่นให้กุมภ์ จะมอบให้ทุกอย่าง จะเอาใจใส่ยิ่งกว่าที่ทำกับคนอื่น เพราะกุมภ์เป็นคนที่ทำให้พี่เป็นพี่ในทุกวันนี้ ถ้าให้พูตามตรง พี่อยากผูกมัดกุมภ์เอาไว้กับพี่แค่คนเดียว เป็นคนเดียวที่พี่รัก เป็นคนเดียวที่มีสิทธิเห็นกุมภ์อ่อนแอหรืองอแง”

รถยังคงไม่เคลื่อนจากไฟแดง บรรยากาศมันไม่น่าอภิรมย์เลยในการที่จะบอกเรื่องสำคัญให้กับคนพิเศษฟัง กุมภ์มองผมด้วยสายตาที่คาดหวังว่าผมจะพูดอะไรต่อ ส่วนผมเองก็ละเอาไว้จังหวะหนึ่งเพื่อกลืนน้ำลายตัวเองและค่อยๆเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“กุมภ์...คบกันพี่นะ”

ทุกอย่างในรถมันเงียบงัน

กุมภ์กัดริมฝีปากตัวเอง สัญญาณไฟเขียวบ่งบอกให้ผมเหยียบคันเร่งอีกครั้ง ระหว่างที่ขับไปที่ห้องคอนโดของผม พวกเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย ราวกับว่าอาศัยจังหวะนี้ฟังเสียงหัวใจของกันและกัน

ถ้าหัวใจของพวกเรา...มันสื่อถึงกัน ผมก็หวังว่ากุมภ์จะตอบตกลง

แต่ผมเองก็ไม่ได้หวังอะไรขนาดนั้น สองปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของพวกเรายังอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหน จะขึ้นจะลงก็ไม่มี ซึ่งพอมาตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เริ่มเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น แล้วผมก็จะขอใช้เวลาและโอกาสที่มีอยู่นี้เดินเข้าไปในโลกของอีกคนอย่างสมบูรณ์

ผมขับรถมาจนถึงคอนโดที่พัก ปลดเข็มขัดแล้วก็ดับเครื่อง ผมกำลังจะบอกว่าให้กุมภ์ไปยืนรอก่อนแต่ฝ่ายคนที่เด็กกว่าก็พูดขึ้นมา

“ครับ...”

ใบหน้าของกุมภ์แดง เขากำลังอายที่ตอบอะไรอย่างนี้ออกมา แต่นั่นคือสิ่งที่ผมอยากได้ยินมาตลอดทางจนผมอดยิ้มไม่ได้

“พี่เดือนจะหน้าบานอะไรขนาดนั้นกัน นี่แค่คบนะ”

“อืม ถ้าแต่งงานคงจะปิดถนนเลี้ยง”

“พี่เดือน!”

กุมภ์ตีเข้าที่ไหล่ข้างซ้ายของผม จากนั้นก็เปลี่ยนมาซุกเอาไว้แทน ผมหัวเราะร่าแล้วกดจมูกลงไปกับกลุ่มเส้นผมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของผลไม้ “พี่ดีใจนะที่ในที่สุดเราก็ยืนอยู่ในโลกเดียวกันจริงๆ”

“ผมก็เหมือนกันครับ ผมสัญญาว่าจะไม่แบกอะไรเอาไว้คนเดียว มีอะไรจะบอกพี่เดือนหมดทุกอย่างเลย”

“เข้าห้องกันเถอะนะ ยังต้องจัดของไม่ใช่เหรอ?” กุมภ์พยักหน้า “ขืนช้าเดี๋ยวพี่ก็ไม่พาไปเที่ยวหรอก”

“ผมไม่ค่อยอยากไป อยากอยู่กับพี่มากกว่า พี่ต้องเก็บเงินเรียนเองด้วย อย่าเอาไปสลายกับเรื่องนี้เลย” กุมภ์ส่ายหน้า “เก็บของเสร็จแล้วขอนอนเอาแรง”

“ได้ครับๆ ช่วยกันเก็บเนอะ” ผมผละตัวเองออกจากกุมภ์ พวกเราจ้องตากัน ถึงกุมภ์จะดูเหนื่อยมากแค่ไหนก็ตามแต่ผมก็เชื่อว่าเมื่อทุกอย่างเข้าตัว เขาจะกลับมาเป็นคนเดิม ส่วนผมเองก็จะต้องพยายามรักษา ‘แฟน’ คนแรกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

คนเรามักจะบอกว่าแฟนคนแรกไม่ใช่คู่ชีวิตของเรา แต่ผมจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่านี่คือคนที่ผมอยากอยู่ไปด้วยกันตลอดชีวิต อยากแก่ไปด้วยกัน อยากจะเดินทางไปทั่วโลกด้วยกัน

บางที...พระเจ้าเบื้องบนคงคิดจะส่งของขวัญที่ดีที่สุดนี้ของผมลงมาเกิดหลังจากผมสองปีและผูกให้พวกเราเจอกันในวันที่ผมกำลังจะหมดกำลังใจเพื่อให้เจอกับคำตอบของชีวิต

และกุมภ์คือคำตอบชีวิตของผม

ขอแค่มีกุมภ์...ผมก็สามารถทำได้ทุกอย่าง


“รักนะครับตัวเล็กของพี่”


==========

พี่เดือนโตแล้ว คบกันแล้ว เข้าสู่โค้งสุดท้ายของเรื่องแล้ว

แต่เป็นโค้งสุดท้ายที่ค่อนข้างจะไม่โค้งหน่อยนะคะ ยังอีกยาวนาน แง
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (31/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-06-2019 00:33:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (07/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 07-06-2019 22:51:07
บทที่ 13

 

นี่คือความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่า ‘เป็นคนรักกัน’ สินะ?

พี่เดือนกำลังนอนกอดผม ผมเองก็นอนกอดพี่เดือน หลังจากที่พวกเราคบกันไม่ถึงสองชั่วโมงก็พากันมานอนบนเตียงเดียวกันเสียแล้ว

อะ...อย่าคิดว่าเป็นเรื่องทำนองนั้นนะ ผมหมายถึงนอนจริงๆน่ะ พวกเราช่วยกันจัดสัมภาระที่ผมหอบมาจากอุบลฯเข้าตู้ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง พอเสร็จแล้วก็หอบเหนื่อยทั้งคู่ เป็นพี่เดือนที่ชวนผมเข้ามานอนเอาแรงในห้องก่อนที่จะไปหาอะไรกินช่วงเย็น พี่เดือนเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ มีแค่เรื่องทำอาหารนี่แหละที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมากเลย

ห่วยเท่าผมยังไงก็ห่วยเท่าผมอย่างนั้น

ในตู้เย็นไม่มีอาหารสด ผักปลาอะไรก็ไม่มี มีแต่พวกน้ำเปล่ากับนมนิดๆหน่อยๆ ที่เหลือก็เป็นพวกขนมที่กินเหลือเอาไว้แล้วโยนๆเข้ามา พอพี่เดือนเป็นอิสระแล้วก็ปล่อยตัวเต็มที่เลยจริงๆ ผมแอบเห็นว่าบนโต๊ะทำงานนั่นมีกระป๋องมาม่ากินแล้วยังไม่ทิ้งกองเอาไว้ด้วย ผมก็ดุเขาไปเรื่องนี้อยู่ พี่เดือนบอกว่าก่อนเขาจะไปรับผมก็ทำงานอยู่กับหน้าโน้ตบุ๊กเพลินจนเกือบลืมกินข้าว แต่พอได้กินแล้วก็ลืมที่จะเอาไปทิ้งด้วย

“อืม...พี่เดือนปล่อย...”

ผมดิ้นขยับตัวเพื่อให้ตัวเองหลุดออกมาจากมือปลาหมึกของเขาได้ พี่เดือนทำท่าไม่พอใจนิดๆก่อนที่จะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ “พี่ยังง่วงอยู่เลย...”

“จะเที่ยงแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะครับ” ผมลุกขึ้นมาจากเตียง ผ้าปูสีเขียวกับผ้าห่มสีขาวตัดกันกำลังสบายตา ผ้าม่านสีขาวกำลังสะบัดไปตามแรงลมร้อนจากหน้าต่างที่พัดผ่าน ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกเย็นหัวใจอยู่เช่นกัน บิดขี้เกียจอยู่สักพักผมก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อตัวเองมาเป็นเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ สวมเสื้อฮู้ดสีเหลืองทับอีกที กลับมาก็ยังเห็นพี่เดือนนอนซุกกับหมอนอยู่จุดเดิม “พี่เดือนครับ...”

“อย่าดุพี่สิกุมภ์...พี่อยากนอนต่ออีกหน่อย...”

ขี้เซาเพิ่มด้วย

ปกติแล้วพี่เดือนจะเป็นคนที่ตื่นเช้ามาก แต่สงสัยเพราะด้วยความที่เขาไม่จำเป็นต้องรีบเข้าเรียนเหมือนตอนมัธยม ตารางชีวิตของเขาทุกอย่างก็เลยปรับตัวตาม จากที่เคยตื่นแต่เช้ามืดเลยกลายมาเป็นตื่นตอนแปดโมงเช้า จากที่เคยนอนตอนเที่ยงคืนตีหนึ่งบางครั้งก็มานอนตอนห้าทุ่ม จากที่ไม่เคยเหนื่อยจากการทำงานก็มาเหนื่อยจากการทำงาน แต่พี่เดือนก็ไม่เคยบ่นเลยว่ามันยาก เพราะเขาเป็นคนที่ปรับตัวง่าย อยู่ง่ายกว่าผมเสยอีกละมั้ง?

“อยากนอนก็ไปนอนตอนกลางคืนเอาครับ ตอนนี้พี่ต้องไปหาอะไรกินก่อน ไม่งั้นตอนเย็นจะหิวหนักกว่านี้อีก” ผมดึงแขนข้างหนึ่งของพี่เดือนให้พ้นจากผ้าห่ม เขาดื้อดึงกับผมแล้วกลายเป็นฝ่ายยอมแพ้ งัวเงียบ่นอะไรงุบงิบแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับธุระของตัวเอง

เขาเดินออกมาอีกทีสิบนาทีให้หลัง พี่เดือนใส่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมคอหนึ่งเม็ดกับกางเกงขายาวธรรมดาๆ มีแต่ผมที่คิดไปเองรึเปล่าว่ายิ่งพี่เดือนอายุมากขึ้นก็ยิ่ง...ดูดีขึ้น

หมายถึงหล่อนั่นแหละ

ทรงผมของเขาเองก็ยาวขึ้นจากสองปีที่แล้ว เจ้าตัวตัดอยู่สม่ำเสมอแต่ไม่ได้ถึงขั้นเกรียน แค่ยาวมีผมหน้าม้าให้ใส่เจลปัดไปข้างๆ เห็นพี่เดือนเคยบ่นอยากจะย้อมให้เป็นสีน้ำตาลแต่สุดท้ายก็ไม่ทำเพราะเปลืองเงิน

“ไปกันเถอะ”

“ไหน เมื่อกี๊ใครงอแงไม่ยอมไปหาอะไรกินกันครับ?”

“แหม พี่เองก็ตื่นเต็มตัวแล้ว พี่พาไปกินร้านข้าวแถวมหาลัย เจ้าของร้านเป็นลุง ทำอร่อยแถมได้เยอะด้วย” พี่เดือนจูงมือผม คว้ากระเป๋าเงินกับโทรศัพท์รุ่นเดิมกับสองปีที่แล้วมายัดลงกระเป๋าสะพายข้าง “นั่งรถไปนะ มันใกล้ๆจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำมัน”

“ผมเข้าใจสถานการณ์เงินพี่เดือนดีครับ ผมไม่เรื่องมากด้วย” ผมยิ้มรับ “ไม่ว่าพี่เดือนจะเป็นแบบไหผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ”

“เด็กดี” พี่เดือนลูบหัวผม “ถึงเวลาไปจริงๆแล้ว เดี๋ยวจะได้กินช้ากว่านี้นะ”

ผมกับพี่เดือนเดินพ้นธรณีประตู ในจังหวะที่ห้องข้างๆก็เปิดประตูมาปะทะกัน พี่เดือนเลิกคิ้วก่อนที่จะทักทายเพื่อนบ้านที่ท่าทางจะรุ่นเดียวกันกับพี่เดือน

“อ้าว ว่ายังไงโอม จะอกไปหาอะไรกินเหรอ?”

“อื้ม เดือนก็เหมือนกันใช่มั้ย? แล้วนั่น...”

“อ๋อ นี่แฟนเราเอง” พี่เดือนเน้นเสียงคำว่าแฟนเป็นพิเศษ ก่อนที่จะแนะนำชื่อผมตาม ส่วนตัวผมเองก็ไม่คิดว่าพี่เดือนจะประกาศต่อหน้าใครเร็วขนาดนี้เลยตั้งตนรับไม่ทันต้องหลบอยู่ข้างหลังพี่เดือนเพื่อบังหน้าแดงๆ

“แล้วไปคบกันตนไหนนี่ ไม่เห็นบอกเราเลย หรือว่าเราอ่านแต่หนังสือจนลืมข่าวสารโลกไปแล้ว?” คนที่พี่เดือนบอกว่าชื่อโอมมองมาที่ผม “ตัวจริงน่ารักดีนี่นา สมแล้วที่เดือนจะชอบ”

“เพิ่งคบกันเมื่อเช้านี่เอง” เดือนยิ้มภูมิใจ “พอมีแฟนมาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่ามีกำลงใจในการทำงานขึ้นเยอะเลยล่ะ”

“ขิงใหญ่เลยน้าเพื่อนเราเนี่ย”

“พี่เดือนครับ...” ผมค่อยๆโผล่ตัวออกไป ดึงแขนเสื้อของเขาที่กำลังยืนคุยกับเพื่อนอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อนคนนี้คือเพื่อนในคณะแพทย์ของเขาหรือว่าเพื่อนในคณะวิศวกรรมของเขาเพราะเขาเล่าให้ฟังแค่ว่ามีเพื่อนสนิทสองคนจากสองคณะนี้เท่านั้น “ไปกินข้าว...”

“ไม่แกล้งแล้วๆ” พี่เดือนหันไปคุยอีกรอบ “เดี๋ยวพาน้องไปกินข้าวก่อนนะ ยังอายอยู่น่ะที่เพิ่งเปลี่ยนความสัมพันธ์กัน”

“...”

“อืมๆ เราเองก็จะไปเหมือนกัน คืนนี้เรียกศึกมาเลี้ยงฉลองต้อนรับสมาชิกใหม่ดีมั้ย?”

“อย่าเลยดีกว่า เปลืองเงิน” พี่เดือนส่ายหน้า “โอมอย่าบอกว่าจะเป็นคนออกเงินทุกอย่างเด็ดขาด เอาไว้เป็นงานสำคัญกว่านี้ค่อยฉลอง”

“น้องเสียใจแย่”

“ผมไม่เสียใจหรอกครับ มันไม่จำเป็นจะต้องเลี้ยงผมด้วยซ้ำไป เอาไว้งานสำคัญกว่านี้ค่อยเลี้ยงฉลองกันยังไม่สายนี่นา” ผมตอบกลับไป “อย่างวันปีใหม่ก็ได้ครับ ยังไงผมก็คงไม่เทียวไปเทียวมาอุบลฯกรุงเทพเพราะวันหยุดสองสามวันนี้หรอก”

“จริงเหรอ? งั้นขอบคุณมากนะ พี่ชื่อโอม เป็นเพื่อนคณะแพทย์ของเดือน ตอนนี้อยู่ปีสามแล้ว แอบเสียดายนิดๆที่เดือนออกมาแต่ก็ยินดีด้วยที่ในที่สุดเขาก็เจอสิ่งที่ต้องการจริงๆ ถ้ามีอะไรหรือติดต่อเดือนไม่ได้ก็โทรฯมาเบอร์พี่แล้วกัน” พี่โอม—ยื่นโทรศัพท์ที่พิมพ์เบอร์ตัวเองเอาไว้ ผมก็บันทึกเก็บเอาไว้ในเครื่อง ส่วนพี่เดือนเองก็ไม่ว่าอะไรที่ผมจะเก็บเบอร์ผู้ชายคนอื่นเอาไว้

พี่เดือนก็แยกเป็นนี่นาว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะหึง

พี่เดือนพาผมลงมาชั้นล่างของคอนโด จากที่คิดจะนั่งรถ แต่เมื่อเขาดูจำนวนคนที่จะขึ้นแล้วก็ยอมแพ้แล้วเดินมาที่ใต้คอนโดเหมือนเดิม เขาขอโทษผมบอกว่าจะพาไปกินวันหลังเพราะไม่อยากให้ผมรอนาน วันนี้ซื้อเป็นข้าวกล่องไปก่อน ผมไม่ได้ว่าอะไรเขา ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่เขาไม่ต้องออกค่ารถเพิ่มเพียงเพราะจะหาเรื่องพาผมไปกินข้าวนอกสถานที่

ผมไม่ต้องการอะไรที่มันหวือหวา ไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอแค่พี่เดือนมีความสุขผมเองก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งถ้าผมได้ช่วยเขาทำอะไรได้ก็ยิ่งดี

“กุมภ์อยากกินอะไรก็หยิบเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก”

“ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าพี่ไม่ต้องตามใจผมขนาดนี้ ผมเอาแค่ข้าวกล่องเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างคือผมจ่ายเองได้ พี่เดือนไม่มีความจำเป็นต้องเลี้ยงผมตลอดเวลา เก็บเงินไว้เป็นค่าเรียน พอเรียนจบมีงานทำแล้วค่อยเลี้ยงผมก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าจะคบกับพี่ไปนานๆเลย?” พี่เดือนยิ้ม เขาหยิกแก้มผมเหมือนที่เคยทำ “ห้ามคืนคำนะ พี่ไม่มีวันเลิกกับกุมภ์เด็ดขาด”

“งั้นมาพิสูจน์กันมั้ยครับว่าใครจะรักใครมากกว่ากัน?” ผมมองหน้าพี่เดือน จ้องตาแข่งกันแล้วพี่เดือนก็เป็นฝ่ายที่ตบบ่าพร้อมกับส่งยิ้มท้าทายมาให้ “พี่เดือนอาจจะเบื่อผมก่อนก็ได้ใครจะไปรู้”

“พี่ว่าพี่ชนะขาดลอยนะ?”

“ไม่มีทางเลือกอย่างเสมอกันเลยเหรอครับ?” คราวนี้เป็นผมที่จับมือเขา “ผมเป็นคนมีเหตุผล เวลามีอะไรจะไม่ชวนทะเลาะก่อนที่จะได้อธิบาย”

“พี่เองก็ใจเย็นพอที่จะฟังคนอื่นพูดก่อน”

“เสมอกัน”

“เสมอกัน” พี่เดือนพยักหน้า “เราซื้อข้าวไปกินกันเถอะ ยืนนานเดี๋ยวเขาจะหาว่าเรามาขโมยของ”

พี่เดือนพาผมเดินไปเลือกข้าวกล่องแช่แข็ง ลังเลว่าจะกินอะไรอยู่สักพักก็เลือกเอาข้าวผัดปูติดมือกลับห้อง ดูโดยรวมแล้วห้องพี่เดือนก็เหมาะสำหรับอยู่สองคน มีห้องนอนอยู่สองห้องแต่เขาเปลี่ยนเป็นห้องเก็บของ ว่าง่ายๆในห้องนั้นก็เต็มไปด้วยลังหนังสือเก่าๆของเขาที่ผมขอเข้าไปดู มีทั้งหนังสือเรียนตอนมัธยม เอกสารเรียนสมัยพี่เดือนยังเรียนอยู่แพทย์ศาสตร์ ไหนจะทั้งกองนิตยสารเกี่ยวกับการถ่ายภาพรายเดือนที่พี่เดือนคงจะสมัครเป็นสมาชิกรายปีทิ้งเอาไว้อีก แถมไม่ได้มีแค่ของเจ้าเดียว ยังมีเป็นเกือบสิบๆที่ทั้งฟรีและไม่ฟรี เงินพี่เดือนส่วนหนึ่งคงจะเจียดมาให้กับพวกนี้ด้วย

ห้องถัดไปคือห้องนอน เตียงขนาดควีนไซส์ของพี่เดือนนั้นพอดีกับการนอนสองคน มีตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะหนังสือและชั้นวางของ บนพื้นมีกล่องกระดาษลังที่มีสมุดเล็กๆอยู่ข้างในวางเต็มไปหมด ห้องน้ำจะอยู่ด้านนอก ซึ่งบริเวณกลางคอนโดนี้มีเคาน์เตอร์ครัวขนาดเล็ก โต๊ะกินข้าวสองคนนั่ง โทรทัศน์ตัวเล็กอีกตัววางเอาไว้ มันไม่ได้มีอะไรมากมายเพราะพี่เดือนคงไม่ชอบใจถ้าจะมีเฟอร์นิเจอร์เยอะเกินเหตุเมื่ออยู่คนเดียว

ทั้งผมและพี่เดือนนั่งกินข้าวด้วยกันแล้วก็พูดถึงเรื่องที่ผ่านมา มันน่าแปลกใจไม่น้อยที่ความสัมพันธ์ของพวกเรามันไม่ได้ตัดขาดเหมือนหลายคนที่แยกกันอยู่ แต่มันให้ความรู้สึกว่าแน่นกว่าเดิมเสียอีก พี่เดือนก็เปลี่ยนไปทั้งในเรื่องรูปร่างและนิสัย เขาหนักแน่นขึ้น กล้าตัดสินใจมากขึ้น และยังเข้มแข็งมากขึ้น ในที่สุดพี่เดือนก็ได้กางปีกบินไปยังท้องฟ้าที่เขารอมานาน ในขณะที่ผมเริ่มเอาตัวเองเข้ากรง ถ้าไม่ได้พวกเพื่อนๆช่วยคอยประคอง ผมคงไม่มีความสุขหรือยังเป็นผู้เป็นคนแบบนี้หรอก

“กุมภ์ พี่มีเรื่องจะบอกนะ”

“ครับ?”

“กุมภ์ไม่ต้องเครียดอะไร กุมภ์มาอยู่มหาลัยที่นี่เท่ากับว่าทิ้งหน้าที่ที่โรงเรียนเก่าไปแล้ว ที่นี่คือจุดเริ่มต้นใหม่” พี่เดือนว่าพลางเดินไปเอาน้ำมารินใส่แก้วให้ผม “ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเอง...เข้าใจนะ”

“เข้าใจครับ...ผมเองก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่มันก็อดใจหายไม่ได้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่รองประธานนักเรียนหรือหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์แล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ชวนโหยหามากกว่าจะไม่อยากนึกถึง มันเหนื่อยแต่ในความเหนื่อยอย่างน้อยก็ช่วยให้ผมเข้าใจพี่เดือนก่อนที่จะเจอผมมากขึ้นนี่นา” ผมตอบพี่เดือน เขาเลิกคิ้วก่อนที่จะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผมแทน “พี่เดือนเหนื่อย...แต่ไม่สามารถบ่นกับใครได้ว่าเหนื่อยต่างจากผมที่ไม่ว่าจะยังไงก็ยังมีคนคอยให้ระบาย พี่เดือนผ่านเรื่องแบบนี้มาได้พี่เดือนเองก็มีความเข้มแข็งในตัวมากพอแล้ว”

“แต่พี่เองก็เกือบจะยอมแพ้แล้วถ้าไม่ได้กุมภ์เข้ามาช่วย เด็กที่ไหนกันที่เห็นพี่ไม่เหมือนชาวบ้าน พี่ยังจำวันที่กุมภ์เห็นพี่ซุ่มซ่ามในวันนั้นได้เลย”

“พี่หมายถึงวันที่พี่หล่นลงมาจากเก้าอี้...?” ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นบันไดหรือเก้าอี้ในห้องสมุด แต่นั่นคือจุดที่ทำให้พี่เดือนเริ่มคุยกับผม “ถ้าเป็นวันนั้น นั่นคือวันแรกที่พี่เดือนคุยกับผมนอกเหนือจากเรื่องงานภายในชมรม ผมแปลกใจนะว่าทำไมพี่เดือนถึงแทนตัวเองว่าพี่ตั้งแต่ตอนนั้นเลย?”

“อาจจะเพราะพี่คิดว่าเจ้าตัวเล็กตรงหน้าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องแทนตัวว่าผมกับคุณมั้ง?” พี่เดือนโอบไหล่ผม “มันมีบางอย่างในตัวพี่บอกว่าคนตรงหน้าถ้าเกิดใช้คำพูดที่ห่างเหินไปด้วย...อาจจะไม่ได้คุยต่อตลอดชีวิต พี่กลัวว่าพี่จะไม่ได้ทำความรู้จักกับใครเลยทั้งที่พี่อยากจะคุยกับคนนั้นคนนี้แทบตาย”

“ถ้าคนในชมรมเมื่อสองปีก่อนมาเห็นพี่บ่นแบบนี้คงดีใจจนน้ำตาไหล” ผมหัวเราะ เอาหัวไปซุกไหล่ของเขา พี่เดือนเกลี่ยเส้นผมของผมเล่นไปมา “พี่เดือนพ่นออกมาไฟแล่บอย่างนี้ถ้าไม่มีบุญจริงก็คงไม่ได้เห็น”

“งั้นกุมภ์ทำบุญมาเยอะสินะถึงได้เห็นพี่บ่นแบบนี้”

“แน่นอนสิครับ อาจจะสะสมมาจากชาติก่อนด้วยก็ได้”

พวกเราหัวเราะเสียงดัง

“พี่ชอบที่กุมภ์หัวเราะแบบนี้นะ ยิ้มเอาไว้เยอะๆ” พี่เดือนหยิกแก้มผมเป็นครั้งที่สองของวัน นี่เขาเห็นแก้มผมเป็นซาลาเปารึยังไง! “อ้าว หน้าบูดซะแล้ว”

“ก็พี่เล่นหยิกแก้มผมจนเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย! ปล่อยนะ!” ผมตีต้นแขนพี่เดือน “พี่เดือนขี้หยอกขึ้น ขี้แกล้งขึ้นตั้งแต่ตอนไหน เอาพี่เดือนคนนิ่งๆคืนมา”

“พี่เป็นแบบนี้แล้วไม่ชอบเหรอ? พี่ยิ้มง่ายขึ้น พี่ร่าเริงขึ้น ไม่ใช่คนทำหน้าอมทุกข์แบบมัธยมนั่นแล้วนะ” พี่เดือนเสียงหงอลง “ถ้าว่ามาอย่างนั้น...”

“แบบไหนผมก็ชอบนั่นแหละครับ แต่พี่อย่าแกล้งผมบ่อยสิ ไม่งั้นผมฟ้องพ่อกับแม่นะ พวกท่านอุตส่าห์ยอมให้ผมอยู่กับพี่แล้วแท้ๆ” กว่าผมจะขอพวกท่านมาได้นี่ยากแค่ไหน พ่อแทบจะหยิบลูกซองออกมายิงพี่เดือนที่นี่ด้วยซ้ำ (ทั้งที่ตัวเองไม่มีปืนหรืออะไรเลย) ส่วนแม่เองก็บอกว่ายังไงก็คงดื้อไปอยู่กับพี่เดือนอยู่ดีเลยปล่อยให้มา มีข้อแม้อย่างเดียวว่าอย่าสร้างความเดือดร้อนหรือไม่ทำการทำงานอะไรเลยเมื่ออาศัยเขาอยู่ ผมสบายกับพวกนี้มากเลยไม่ต้องมาปรับตัวให้ลุกมาทำงานบ้านอะไรมาก เว้นไว้แค่เรื่องอาหารก็พอ

“ที่กุมภ์บอกว่าถ้าพี่ทำกุมภ์ช้ำ พ่อกุมภ์จะมาฆ่าพี่น่ะเหรอ?” เขาว่าขำๆ “กุมภ์ไม่ช้ำหรอกถ้าอยู่กับพี่”

“พี่จะช้ำแทนน่ะสิ พ่อผมเวลาเอาจริงก็น่ากลัวนะ...” ผมขู่พี่เดือน เขาไม่สนใจเหมือนเดิม “...ผมจะบอกเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพ่อแม่ดีมั้ย?”

“พ่อแม่กุมภ์ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วนี่ บอกไปก็ไม่เสียหายอะไร พี่จะได้ฝากตัวในฐานะลูกเขยด้วย”

“...”

“แต่กับพ่อแม่พี่...แค่เรื่องเรียนยังตัดขาดกันถึงขนาดนี้ ถ้าพี่บอกไปอีกว่าพี่มีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ว่าพี่จะโดนยึดทุกอย่างเลยรึยังไงกัน? รึว่าพี่จะทำบัญชีธนาคารแยกเอาไว้เผื่อพ่อแม่จะเอาไปทุกอย่างดีนะ?”

พี่เดือนทำหน้าจริงจังกับเรื่องนี้ ผมหัวเราะ บอกพี่เดือนว่าไม่ต้องรีบร้อนไปพูดอะไรก็ได้ถ้ายังไม่พร้อม ตอนนี้ผมเองก็เข้าใจสถานการณ์ภายในบ้านของพี่เดือนว่ามันไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ถ้าเกิดว่ามีประเด็นอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นทั้งที่เรื่องเก่ามันยังไม่จบลงไป มีหวังพี่เดือนได้เสียศูนย์ครั้งใหญ่อีกรอบแน่

ในคืนนั้นพวกเราเข้านอนด้วยกัน ไม่มีอะไรในกอไผ่กันทั้งนั้นครับไม่ต้องหวัง และพี่เดือนเองก็เป็นคนดีมากพอที่จะทำแค่กอดเอาไว้เหมือนช่วงเช้า

พอได้อยู่ในอ้อมกอดคนที่เรารัก...มันรู้สึกแบบนี้เองสินะ?

 

“สรุปว่าคบกับพี่เดือนแล้ว? ยินดีด้วยแล้วกัน” นทีเดินถือนมกล่องอยู่ข้างๆผม วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศของมหาลัยพวกเรา พี่เดือนเองก็มีส่วนช่วยเหลือในงานนี้อย่างการเดินถ่ายภาพเก็บบรรยากาศ โชคดีหน่อยที่ช่วงเช้าพวกเขาให้นั่งรวมๆกันไม่ต้องแยกกับใคร ทำให้พวกเราสองหน่อตัวติดกันได้ “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“รวมๆแล้วไม่มีปัญหาอะไร พี่เดือนก็เทคแคร์ดี ความจริงเหมือนเดิมทุกอย่างเลยด้วยซ้ำ” ผมอธิบาย “ตอนบ่ายต้องแยกตามคณะแล้ว หวังว่ามึงจะได้เพื่อนใหม่เยอะนะ”

“ก็คงดี”

ผมไม่ค่อยจะเข้าใจนทีเท่าไหร่ที่ลงเอกการประพันธ์ทั้งที่เขาสามารถลงเอกวอยซ์ได้สบายๆเพราะเสียงที่ดีของเขา แต่นทีก็คงมีเหตุผลส่วนตัวของตัวเองเหมือนกันที่เลือกหนทางนี้ อาจจะเป็นเหมือนพี่เดือนที่เพิ่งมารู้ว่าชอบอะไรจริงๆ “เอาน่า มึงรู้ตัวเองดีใช่มั้ยว่าต้องการอะไร? ถ้าต้องการเพื่อนก็เข้าหา พยายามใช้คำที่รักษาน้ำใจแต่แรกพบหน่อยก็สนิทกันแล้ว”

“อืม...” นทีเองตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมาก็แปลกไป เขาดูเงียบๆขึ้น ไม่ค่อยงอแง แถมยังเก็บตัวมากกว่าเดิม กาลเวลาอาจจะทำให้นิสัยคนเปลี่ยนไปได้จริงๆ “เอาเป็นว่าจะพยายามแล้วกันนะ...”

“กูขอถามหน่อยได้มั้ยว่ามึงเป็นอะไรถึงไม่ค่อยร่าเริงเลย กลัว? รึว่าวันนี้ไม่ค่อยสบายแต่ฝืนมา?” ผมเอามือตัวเองอังหน้าผากคนตัวสูงกว่ามาก “ก็ไม่ได้ตัวร้อนนี่นา”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่กังวลเฉยๆว่าจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้” นทีตอบปฏิเสธผม “มึงก็หาเพื่อนให้ได้เยอะๆนะ จะได้มีคนดูแลเผื่อมึงทำงานหนักอีก”

“มึงก็อย่าฝืนตัวเองแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็สะกิดเรียกด้วย”

ผมบอกเท่านั้น ก่อนที่พวกเราจะเข้าหอประชุมเพื่อไปนั่งฟังแนะนำมหาลัยรวมถึงบอกสถานที่สำคัญต่างๆ ในช่วงเที่ยงผมกับนทีต้องแยกกันไปตามคณะของตัวเอง นทีโบกมือลาผมด้วยรอยยิ้มเศร้านิดๆ มันไม่ใช่การแยกจากกันสักหน่อย เพียงพวกเราแค่แยกกันเรียนคนละทางในมหาลัยเดียวกันเท่านั้น

เอาจริงๆแล้วผมก็อดห่วงเพื่อนขี้เหงาคนนั้นไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีผมคอยซับพอร์ทอยู่ข้างๆแล้วจะไหวรึเปล่ากัน

“น้องๆ”

“ครับ?” ผมหันไปทางพี่คนหนึ่ง เขาถือถุงพลาสติกสีขาวมาให้ผมพร้อมกับชี้นิ้วไปที่พี่เดือนที่กำลังเดินไปถ่ายภาพที่อื่นอยู่ แต่เพียงเพราะเสียงเรียกก็ทำให้หลายคนมองมาแล้ว

“มีคนฝากมาให้ บอกว่าเดี๋ยวหิวตอนเดินไปสถานที่สำคัญของมหาลัย” แล้วพี่เขาก็ยิ้มกรุ่มกริ่มให้ “พี่เป็นเพื่อนคนที่ฝากของมาชื่อมะยม อดีตเดือนนิเทศเอกถ่ายภาพ มีอะไรก็บอกพี่ได้เหมือนกันนะ ไม่ใช่บอกแต่เขา”

“อ่า...ครับ” พี่มะยมเดินจากไป ส่วนสายตาคนอื่นที่มองผมอยู่ก็ยังคงให้ความสนใจ จนกระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาถามผม

“นายๆ ที่พี่มะยมเขาชี้ไป...นั่นใช่พี่เดือนที่เขาว่าซิ่วมาจากหมอรึเปล่า?”

“รู้ได้ยังไงว่าพี่เดือนซิ่วมา?”

“ก็พี่เราที่เรียนจบไปแล้วบอกมาว่ามีนักศึกษาแพทย์หน้าตาดีคนหนึ่งลาออกเพราะทนเรียนไม่ไหว มาลงเรียนนิเทศแทน พี่เราเสียดายมากเลยนะที่ไม่ทันรับพี่เดือนเป็นน้องในคณะ” เธอหัวเราะ “เราชื่อแนน มาจากเชียงใหม่”

“เราชื่อกุมภ์ มาจากอุบลฯ ที่เดียวกับพี่เดือนนั่นแหละ เขาเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมเราเอง” ...และเป็นแฟนผมด้วย ผมไม่ได้บอกเธอไป เดี๋ยวจะตกใจตื่นเอากลางที่คนเยอะๆ อีกอย่างคือผมยังไม่อยากบอกเรื่องนี้กับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

“จริงดิ? โห ดีอะ ให้ขนมมาแบบนี้แสดงว่าต้องรู้จักกันน่ะสิ”

“อืม พี่เดือนเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ตอนเราอยู่ม.4 จากนั้นเขาก็ให้เราทำแทน พี่เดือนเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าคุยกับคนอื่นเท่าไหร่ แต่ถ้าแนนอยากคุยก็เข้าไปคุยได้นะ พี่เดือนไม่ได้เข้าถึงยากเหมือนที่เห็นหรอก”

“ได้เลย พอดีเราอยากรู้ด้วยว่าหมอเขาเยนอะไรยังไงพอคร่าวๆ เราจะเอาไปแต่งนิยาย” แนนยิ้มให้ผม “เราก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับใครเหมือนกันเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้เรื่อง แต่เพราะพี่มะยมแท้ๆเลยนะที่ทำให้มีเรื่องที่จะคุยด้วยได้ ฝากตัวด้วยนะ”

“เหมือนกัน” ผมตอบกลับ ก่อนที่จะหยิบขนมในถุงแบ่งเพื่อนใหม่ไปเพราะยังไงก็คงกินไม่หมด แนนขอบคุณผมใหญ่ พอสังเกตไปมาก็รู้สึกว่าแนนมีส่วนที่เหมือนกับอุ้มอยู่เหมือนกัน ทั้งความร่าเริง ความกระตือรือร้น ที่ไม่เหมือนก็คงรู้จักการวางตัวมากกว่า อยู่นิ่งเป็นมากกว่า

หลังจากที่พวกเราเดินดูสถานที่ต่างๆจนขาลากและได้เวลากลับบ้าน พี่เดือนที่ยืนรอผมอยู่ตรงหน้าอาคารเรียนก็โบกมือให้ผม ตอนนี้คงไม่มีใครสังเกตหรอกมั้งว่าน้องใหม่กับรุ่นพี่ปีสองมายืนทำอะไรด้วยกัน ถ้าสงสัยก็คงมองเป็นรุ่นรุ่นน้องจากโรงเรียนเดียวกันมาคุยมากกว่า “ได้เพื่อนแล้วสินะ”

“ครับ ชื่อแนน ทำให้ผมนึกถึงอุ้มแต่เป็นเวอร์ชั่นปวดหัวน้อยกว่าเยอะ” ผมหัวเราะในลำคอ “เย็นนี้พี่จะไปถ่ายงานใช่มั้ยครับ?”

“อืม งานแต่งงานน่ะ สนใจไปด้วยกันมั้ยถ้าอยู่ห้องแล้วเบื่อๆ” พี่เดือนยื่นข้อเสนอให้ผม “พี่ก็ไม่เคยไปถ่ายงานแต่งเลยสักครั้ง กลัวเคว้งคว้าง”

“พี่ถ่ายงานนับสิบแล้วยังกลัวเหงาอีกเหรอ? ทำใจเถอะครับพี่เดือน เดี๋ยววันนี้ผมจะแสดงฝีมือนักถ่ายภาพรุ่นเยาวชนที่ได้รางวัลระดับประเทศมาแล้วให้ดูเลย”

“น่ากลัวจัง” เขาหัวเราะ “ไปกันเถอะ--”

“กุมภ์!” เสียงนี้มัน... “อ้าว กำลังคุยกับพี่เดือนเหรอ? สวัสดีค่ะพี่เดือน หนูชื่อแนน เพื่อนของกุมภ์เอง”

“สวัสดีครับ” พี่เดือนพยักหน้า “ผมเพิ่งคุยธุระเสร็จพอดี มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“อ๋อ พอดีว่าจะมาถามเรื่องหอที่พักน่ะค่ะ เผื่อกุมภ์อยากได้คนหารค่าหอ เพื่อนหนูคนหนึ่งที่อยู่คณะอื่นเขาอยากแบ่งเงินไปทำอย่างอื่นด้วย” พี่เดือนเลิกคิ้ว เขาหันมาทางผมทันที

“กุมภ์ไม่ได้บอกเพื่อนเหรอว่าพักอยู่กับพี่น่ะ?”

“ก็เห็นว่ามันไม่ได้จำเป็นต้องบอกเท่าไหร่นี่นา” ผมมุ่ยหน้าไป สร้างความสงสัยให้กับแนน “คือเราอยู่คอนโดกับพี่เดือนน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก”

“ไม่เป็นไรๆ แค่ถามไว้เฉยๆ แต่นี่สนิทกันมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? นึกว่าจะแบบรุ่นพี่รุ่นน้องในชมรมเฉยๆซะอีก”

“แล้วกุมภ์ก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้เหรอ?” พี่เดือนถามผมอีกครั้ง ก่อนที่จะใช้นิ้วตัวเองจิ้มมาที่หน้าผากผมกดลงเบาๆ “มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดอะไรเลยนะ มีเพื่อนก็บอกไปว่าพี่เป็นแฟนกุมภ์น่ะ”

“แฟน?” แนนร้องออกมา แต่ไม่ได้ดังจนคนอื่นได้ยิน “เฮ้ย ทำไมกุมภ์ไม่บอกเรา!” แล้วเธอก็เดินเข้ามาตีที่แขนผม พี่เดือนก็หยิกแก้มผมจนเจ็บไปหมด “ต้องลงโทษแล้ว นี่จะปิดเราเหรอ?”

“ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะบอก อีกอย่างก็กลัวจะรับไม่ได้ที่เราชอบผู้ชายนี่นา”

“ชอบผู้ชายก็คนนะคะคุณเพื่อน พี่เดือนคะ พี่เดือนคงไม่หึงหนูหรอกนะ?” เพื่อนใหม่ถามเพื่อความแน่ใจ พี่เดือนยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าไปมาบอกว่าไม่ได้หึงอะไรเพราะรู้ว่าหยอกกัน จากนั้นก็คุยกันอีกนิดหน่อย พี่เดือนฝากให้แนนช่วยๆดูผมด้วยเพราะกลัวผมจะทำแต่งานจนไม่ห่วงสุขภาพตัวเอง ตัวเขาก็คงจะมาดูแลตลอดไม่ได้ แนนเองก็บ่นไปมาเหลือเกินว่าผมไม่ยอมบอก ปล่อยให้คิดไปอยู่ว่าพี่เดือนใจดีกับผมมาก

พี่เดือนก็ไม่ได้มองว่าแนนเป็นคนไม่ดีเข้าหาเพราะเหตุผลอะไรถึงได้ฝากผมกับเธอไว้อย่างนั้น

 

[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (07/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 07-06-2019 22:51:56
“พี่เดือนไม่บอกผมว่านี่เป็นงานแต่งของอาจารย์ในคณะ ผมจะได้ใส่เสื้อเรียบร้อยกว่านี้มาร่วมงาน” ผมมองดูเสื้อตัวเองที่เป็นเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับคาดิแกนสีฟ้าในขณะที่พี่เดือนสวมเสื้อสูทสีดำสุภาพมา “คือมันก็โอเคอยู่นะครับที่แต่งแบบนี้ แต่ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้ให้เกียรติอาจารย์พอ”

“อาจารย์แกไม่ว่าอะไรหรอก กุมภ์สบายใจได้” พี่เดือนว่าพลางกับยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ฉากเจ้าบ่าวเจ้าสาวตัดเค้ก “อีกอย่างคือกุมภ์ก็มาทำงานช่วยพี่ คนทำงานก็ต้องแต่งชุดทะมัดทะแมงพร้อมลุยเสมอนี่”

“แต่พี่เล่นใหญ่ใส่สูทมาผมก็อดสงสารตัวเองไม่ได้เหมือนกันนะครับที่ไม่มีเสื้อแบบนี้ใส่ จะว่าไปทำไมพี่เดือนถึงมีเสื้อแบบนี้ในตู้ด้วยล่ะครับ? มันแพงไม่ใช่เหรอ?”

“ของพี่ตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้ว โชคดีที่ยังใส่ได้ ถึงขากางเกงจะแอบสั้นขึ้นมาหน่อยก็เถอะ” ผมหมั่นไส้เขาที่สูงขึ้นอีกจริงๆ พอมาย้อนดูตัวเองที่สูงขึ้นเพราะรองเท้าแล้วเจ็บใจ ผมเลยยกมือข้างที่ไม่ได้ประคองกล้องของตัวเองมาตบไหล่คนตัวสูงกว่าจนเขาสะดุ้งแล้วบ่นโอดครวญ “ตีพี่ทำไมครับ? พี่เองก็เจ็บเป็นนะ”

“หมั่นไส้”

“หมั่นไส้พี่เรื่องอะไร? รึว่าเรื่องส่วนสูง? โอ๋นะครับเจ้าตัวเล็ก กุมภ์สูงเท่านี้กำลังน่ารักพอดีแล้—เจ็บ!”

ผมหยิกพี่เดือน บังคับให้เขาไปทำงานต่อ ส่วนผมก็เดินมาตรงบริเวณรอบนอกเพื่อเก็บภาพโดยรวม ไม่นานนักพี่เดือนก็เดินกลับมาพร้อมกับเจ้าบ่าวในพิธี

“นี่ไงครับ เด็กปีหนึ่งคนใหม่ที่ผมว่า กุมภ์ นี่อาจารย์ปริญญาเจ้าของงานแต่ง” พี่เดือนแนะนำอาจารย์ในคณะให้กับผม ผมยกมือไหว้ท่านก่อนที่จะกลับมายืนนิ่งเพื่อฟังสิ่งที่พวกเขากำลังจะพูดต่อ “เด็กคนนี้ชื่อกุมภ์ เป็นคนที่ทำให้ผมต้องมาเรียนนิเทศนี่แหละครับ”

“กุมภ์...กุมภ์...ใช่กุมภาที่ส่งพอร์ทที่มีผลงานระดับประเทศคนนั้นรึเปล่า?” อาจารย์ปริญญามองหน้าผม

“ครับ”

“ผมยินดีที่ได้คุณมาเป็นนักศึกษาในเอกถ่ายภาพนะครับ ฝีมือคุณนี่ดีจริงๆ การจัดแสง องค์ประกอบ จังหวะของภาพอะไรดีทุกอย่างเลย พีรดลเองก็ดีนะที่รู้จักกับคนที่มีความสามารถแบบนี้ แต่ผมเชื่อว่าสักวันคุณต้องไล่ตามเขาทันแน่ๆ”

“ไล่ตาม?” ผมเลิกคิ้ว “ขอโทษนะครับ หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

“ตอนพีรดลอยู่ปีหนึ่ง พีรดลยังจับอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลย ผมเองก็ค่อนข้างจะเป็นห่วงเหมือนกันเพราะผมกลัวว่าคนอื่นจะพัฒนาเร็วกว่าเขา ที่ไหนได้ พอจับได้ไม่ถึงสัปดาห์เขากลับทำได้ดีกว่าคนที่จับมาเป็นปีๆเสียอีก” อาจารย์ปริญญาหัวเราะ “สมองของพีรดลไวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แถมยังนำมาประยุกต์ได้ดีมาก ผมตกใจสุดๆที่จากเด็กไม่ประสีประสาอะไรกลายมาเป็นผู้ชายที่น่ากลัวคนหนึ่งได้ไวขนาดนี้”

จะว่าไปพี่เดือนก็น่ากลัวจริงๆ คนอะไรพัฒนาเร็วขนาดนี้ ผมแอบๆดูรูปของพี่เดือนอยู่ก็พัฒนาขึ้นจนผมตกใจเหมือนกัน “พี่เดือนก็แบบนี้แหละครับ ทำให้ผมตกใจได้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว กลัวเหมือนกันนะที่จะมีคู่แข่งแบบนี้”

“พี่ยังต้องเรียนอีกมากเลยนะกว่าจะถึงจุดที่กุมภ์อยู่ได้”

“แต่ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปนานมากแล้วเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าฝีมือผมตกไปแค่ไหน” ผมจ้องตาพี่เดือน “ความจริงผมสามารถเลี้ยวตัวเองกลับมาดีเท่าเดิม...ไม่สิ มากกว่าเดิมได้นะ ผมไม่ยอมให้พี่เดือนมาท็อปผมได้หรอก”

“งั้นเรามาพนันดีกว่า”

“พนัน?”

“ให้อาจารย์ปริญญาเป็นคนตัดสินว่ารูปจากกล้องใครในวันนี้ถ่ายได้ดีกว่ากัน” พี่เดือนยกยิ้ม “ยังไงเจ้าบ่าวก็ต้องเลือกรูปอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะครับ?”

“ผมไม่วางเงินพนันนะ ผิดกฎหมาย” ผมพูดติดตลก ทั้งพี่เดือนและอาจารย์ปริญญาหัวเราะ “พี่จะพนันด้วยอะไรล่ะ?”

พี่เดือนขยับเข้ามาใกล้ๆผม ก่อนที่จะก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า

“จูบแบบดูดดื่ม...เป็นไง?”

“ฮะ?”

“ถ้าพี่ชนะ กุมภ์ต้องทำตามที่พี่ขอ แต่ถ้าพี่แพ้ แล้วแต่กุมภ์เลยว่าจะให้พี่ทำอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเงินนะ” เขาดักผมเอาไว้ แต่สิ่งที่ผมได้ยินก็มีเพียงแค่ประโยคหน้าเท่านั้น

...จูบดูดดื่ม...

งั้นก็หมายถึง...

“พี่เดือน!”

“ครับ” พี่เดือนตอบเสียงหวาน เล่นเอาผมขนลุกชันไปทั่วร่าง จากนั้นก็เดินหนีเขาไปถ่ายรูปที่อื่นแทน

เดี๋ยวคืนนี้ได้มีตัดสินกันแน่ๆว่าใครหมู่ใครจ่า!!

 

“กุมภ์...”

“...” ผมนั่งหันหลังให้พี่เดือนบนเตียง หลังจากที่รู้ผลแล้วว่าใครแพ้ใครชนะ ก็เล่นเอาผมจุกที่คอหอยไปต่อไม่เป็น ไม่ใช่เพราะว่าผมรับไม่ได้ที่แพ้ ไม่ใช่เพราะว่าผมน้อยใจฝีมือของตัวเองที่ตกลง แต่เป็นเพราะ...

“จูบ--”

“หยุด-พูด-ถึง-เลยครับ!” ผมเน้นยำคำต่อคำให้พี่เดือนที่นั่งไหล่ตกอยู่ “มาขอเรื่องอะไรแบบนี้ให้เวลาผมทำใจก่อนได้มั้ย?”

“...ก็ได้ครับ...” พี่เดือนถอนหายใจ “จนกว่ากุมภ์จะพร้อมเนอะ พี่รอได้”

“ดีมากครับ” ความจริงจะให้ทำเลยมันก็ได้ แต่ว่า...มันอายนี่นาที่จะต้องมาจูบแบบนั้นกับคนที่รักเป็นครั้งแรก ถ้าเกิดว่ามันไม่สร้างความประทับใจให้เขาล่ะ? ถ้าเกิดว่ามันทำให้พี่เดือนหงุดหงิดแทนล่ะ? โอ๊ย! มาคิดมากกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน

ทั้งผมและพี่เดือนโน้มตัวลงเตียงเพื่อเตรียมตัวนอนเอาแรงไปใช้ชีวิตในวันถัดไป แต่ต่างคนก็ต่างนอนไม่หลับ พี่เดือนที่หันหลังเข้าหาหลังผมนนั้นก็พูดขึ้นมา

“งานแต่ง...พี่เองก็กำลังนึกถึงงานแต่งของพี่เองอยู่ว่ามันจะเป็นยังไง”

“คิดไปถึงวันนั้นแล้วรึยังไงครับ?” ผมหัวเราะเบาๆที่จู่ๆเขาก็หยิบเรื่องนี้มาเป็นประเด็น “พี่ลองเล่ามาให้ฟังสิว่าพี่อยากได้แบบไหน”

“พี่...ไม่อยากให้มีใครรู้มากมายว่าแต่งงานแล้ว ความจริงไม่ต้องมีก็ได้ พี่แค่อยากสวมแหวน จองคนที่รัก ให้คนที่รักจองพี่ แค่นั้นก็พอแล้ว” พี่เดือนขยับตัวเข้าหาผม “ถ้าพวกเราคบกันจนถึงวันนั้น...กุมภ์อยากได้งานแต่งมั้ย?”

“ทำไมผมคิดแบบเดียวกันกับพี่นะ” ผมเองก็ขยับตัวเข้าหาเขา “ไม่จำเป็นต้องมีคนมาเห็นพวกเราสวมแหวนกัน มันเป็นความรู้สึกระหว่างพวกเราสองคนที่ไม่ต้องมีคนอื่นมาร่วมเห็นด้วยก็ได้” จากนั้นผมก็หันตัวไปมองแผ่นหลังพี่เดือน “ผมไม่อยากมีงานแต่ง เปลืองก็เปลือง”

“งกนะเราน่ะ” พี่เดือนหันมา พวกเรากำลังจ้องกันท่ามกลางความมืด “แต่เปลืองจริง”

“ใช่มั้ยครับ? ฉะนั้นแล้วแค่สวมแหวนให้กัน จูงมือไปจดทะเบียนด้วยกันก็จบ ง่ายๆไม่กี่สเต็ป”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงแล้วนะ พวกเราจะไม่มีงานแต่ง”

“เดี๋ยวๆพี่เดือน นี่เอาจริง?”

“อืม พี่ไม่ได้คิดเล่นๆกับกุมภ์นะ พี่มั่นใจแล้วว่าพี่รักกุมภ์ รักจนพี่รู้สึกว่าพี่รักไม่ได้อีกแล้ว เป็นคนที่ทำให้พี่เจอกับสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ไม่เคยเห็น ทุกๆอย่าง และพี่เองก็สนุกทุกครั้งเวลาที่ได้เจออะไรใหม่ๆกับรุ่นน้องคนนี้” พี่เดือนใช้มือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของผม “พี่สัญญา...ว่าจะดูแลกุมภ์ให้ดีที่สุดเท่าที่พี่จะทำได้ ถ้าไม่มีกุมภ์ก็ไม่มีพี่ในวันนี้ ถ้าไม่มีกุมภ์พี่ก็คงไม่มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเขียนบทสรุปบั้นปลายตัวเอง”

“ผมเอง...ก็ได้เรียนรู้จากพี่เดือนว่าแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นมีความทุกข์มากมายเพียงใด และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถพูดออกมาได้ตรงๆเพราะยังมีความกลัวในจิตใจ ผมเองก็อยากช่วยพวกเขาทุกคนเหมือนอย่างที่ได้ช่วยพี่เดือน แต่ทว่าผมก็ไม่สามารถช่วยได้ทุกคนรวมถึงตัวเอง”

“ทุกคนยังคงรอวันที่จะมีคนดึงพวกเขาออกจากจุดนั้นอยู่ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่อดทนมาสิบแปดปีเพื่อเจอกับกุมภ์ก็ได้” พี่เดือนยิ้ม กระชับอ้อมกอดเข้ามา “เมื่ออดทนจนมาถึงวันนี้...พี่ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้และพยายามมาตลอด”

“ผมบอกแล้วว่าพี่เดือนเองก็มีความเข้มแข็งอยู่ในตัว เพียงแต่ว่าความกลัวของพี่มันทำให้ส่วนนี้ไม่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น” ผมค่อยๆซุกหน้าตัวเองกับอกอุ่นๆ กลิ่นครีมอายน้ำสูตรเย็นนั้นกระจายไปทั่วทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย หนังตาของผมค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ามีมนต์วิเศษเมื่ออยู่ใกล้เขา มนต์วิเศษที่ทำให้ผมสบายใจและทิ้งความคิดมากมายจากทั้งวันไปกับความฝัน “...ผมง่วงจริงๆแล้วสิ...”

“อย่างนั้นเหรอ? ฝันดีนะครับที่รัก”

“อื้อ...อย่าพูดแบบนั้นสิ เขินเป็นเหมือนกันนะ” ผมพูดอู้อี้ “ฝันดีเหมือนกันครับ...”

 

นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมพูดออกไปก่อนที่จะกลับสนิทตลอดทั้งคืน

มันเป็นความรักที่เรียบง่ายตามที่ผมหวัง และผมก็อยากให้มันสงบสุขเช่นนี้ตลอดไป

 

แต่ทว่า...

...ผมเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องที่ทำให้กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นกับผม...



==========


บทนี้สั้นจริงค่ะ แอ่ก

ขอตัวไปอ่านนิยายต่อแล้วนะคะ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (31/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-06-2019 01:38:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

ฝันร้ายอะไร?  อย่าบอกนะว่าจะเสริฟมาม่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 11-06-2019 21:49:01
บทที่ 14

 

ผ่านมานานแล้วเหมือนกันตั้งแต่เปิดเทอม ผมที่ได้เพื่อนใหม่คนเดียวในวันนั้นกลายมาเป็นผมที่มีเพื่อนล้อมตัวมากมายในวันนี้ ซึ่งพวกเราทุกคนนัดกันว่าจะมาดูแข่งประกวดดาวเดือนของมหาลัย

คณะของผมได้ตัวแทนเดือนมาจากเอกวารสาร ส่วนดาวมาจากเอกถ่ายภาพ แนนบอกว่าเอาใจเชียร์ดาวเต็มที่เพราะคิดว่ายังไงเดือนก็สู้ตัวแทนที่มาจากดุริยางค์ไม่ไหว

ให้เดาสิครับว่าใคร

“กุมภ์ กูไม่อยากขึ้นเวที...”

นทีกำลังนั่งทำหน้าซีดๆอยู่ข้างๆผม หลายคนกำลังหันมามองว่าเดือนดุริยางค์มานั่งอะไรตรงนี้ทั้งที่ใกล้ถึงเวลาต้องเข้าไปสแตนด์บายเต็มที ผมก็ทำอะไรกับมันมากไม่ได้นอกจากการตบบ่าให้กำลังใจ ส่วนเพื่อนคนอื่นของผมก็พากันไปให้กำลังใจตัวแทนจากคณะของตัวเองกัน

“มันมาถึงขนาดนี้แล้วนะเว้ยนที มึงกลั้นใจตัวเองอีกนิด เดี๋ยวมันก็จบแล้ว” ผมบอกเพื่อนไป นทียิ่งเบะปากทำท่าจะร้องไห้ “อย่าร้องไอ้นที มึงอายุสิบเก้า เป็นเดือนคณะดุริยางค์ ถ้าเขาเห็นมึงในสภาพที่งอแงเป็นเด็กตอนนี้มึงยิ่งยากว่าเก่าแน่”

“ก็กูไม่ได้อยากเป็นนี่นา ถ้าวันนั้นพี่ในคณะไม่แกล้งถอดแว่นกูนะ กูคงรอดพ้นกลับไปนอนตีพุงที่หอแล้ว”

นทีเล่ามาว่าในวันเลือกดาวเดือนคณะ มันกำลังนั่งดื่มนมกล่องอยู่หลังห้องประชุม บังเอิญว่ารุ่นพี่คนหนึ่งอยากจะแกล้งเด็กแว่นดำหนาๆเลยหาพุ่งไปที่นทีแล้วก็ถอดแว่นมันออก ปรากฏว่าหลังจากนั้นนทีโดนลากให้ไปเป็นเดือนคณะอย่างงงๆ ผมเองก็เห็นใจมันเหมือนกันที่จู่ๆก็โดนยัดเยียดหน้าที่มาให้ แต่พอขอตามมันไปดูถึงคณะ ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมรุ่นพี่ถึงเลือกนทีกัน ปีนี้มีแต่คนหน้าตาไม่โดดเด่น เอาไปก็คงไม่มีหวัง ทางเลือกเดียวก็คือการที่ส่งนทีไปเป็นหน่วยกล้าตายทั้งๆที่ไม่ได้ถามความสมัครใจก่อน ส่วนนทีเองก็ปฏิเสธชาวบ้านไม่เก่ง มันเลยกลายมาเป็นแบบนี้

“เอาเถอะ วันนี้มึงขึ้นเวทีไปมึงต้องฟาดทุกคนด้วยกีตาร์กับเสียงมึง เข้าใจนะ?”

“กูไม่ได้อยากชนะใคร กูอยากอยู่ของกูเฉยๆ” นทีร้องออกมา “หนีไปได้มั้ย?”

“ไม่ได้”

“แต่กูไม่อยากขึ้นเวทีจริงๆ...”

นทีเป็นคนไม่อยากขึ้นเวทีใหญ่...ผมรู้นิสัยนี้ดี แต่ผมไม่รู้ว่ามันมีเรื่องอะไรฝังใจมันรึเปล่าที่ทำให้มันไม่อยากจะขึ้นแบบนี้ อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าถามไปสักที

ผมกลัวว่าจะไปกระทบจิตใจเพื่อนเข้าถ้าเป็นเรื่องใหญ่

“ไปเถอะ เดี๋ยวจะหาที่นั่งดีๆคอยเชียร์มึงนะ มึงไม่ต้องลน ไม่ต้องมองใครนอกจากเพื่อนตัวเอง” ตบบ่าเพื่อนอีกรอบเพื่อให้กำลังใจ ผมลุกออกจากที่นั่งตัวเองเมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนเรียนเอกเดียวกันตรงมาทางนี้ “มึงทำให้ดีที่สุดก็พอ”

“อืม...”

ผมเดินจากนที เพื่อนของผมยิ้มทักทายพร้อมกับถามว่าเป็นอะไรกับเดือนคณะดุริยางค์ หลายคนแซวว่าผมกับเขาเป็นกิ๊กกันรึเปล่า ผมก็ส่ายหน้าตอบไป ส่วนแนนก็ตอบขยายความไปทันที

“กุมภ์เขามีแฟนแล้ว ไม่กิ๊กกับคนอื่นหรอก นั่นเพื่อนสนิทเขา”

“มีแฟนแล้ว? ทำไมไม่บอกล่ะ รู้ตัวรึเปล่าว่ามีคนจ้องมึงตาเป็นมันตั้งแต่เปิดเรียนเลยนะ” คนนี้ชื่อว่าเจมส์ ผู้ชายรูปร่างใหญ่แต่ขี้แกล้ง โดยเฉพาะแกล้งผมที่ตัวเล็กที่สุด “จ้องแบบจะจับมึงกินได้ทั้งตัว”

“ก็ไม่มีใครถามกุมภ์ กุมภ์ก็ไม่พูดหรอกน่า” ส่วนคนนี้ชื่อคิว เป็นคนตัวสูง ผิวแทน “เป็นกูก็ไม่พูด”

“แล้วแฟนมึงคคนไหนวะ? อยากเห็น น่ารักปะ?”

“แฟนกุมภ์เป็นคนใกล้ตัวเรานี่แหละ ในเอกเราเลย” แนนใบ้ให้เพื่อนอีกสองคนฟัง เจมส์กับคิวเลิกคิ้วก่อนที่จะหันซ้ายขวามองคนอื่นๆในบริเวณนั้น “เป็นรุ่นพี่”

“แนน...”

“แถมตอนนี้ยังนอนอยู่คอนโดเดียวกันด้วย”

“...”

“เป็นรุ่นพี่ปีสอง” แนนหยอกผมเล่น “อย่าโกธรไปเลยน้าเพื่อนกุมภ์ เราแค่อยากหยอกเฉยๆ ตัวเล็กน่ารักมายืนเทียบกันดีๆแล้วกุมภ์เตี้ยกว่าเราอีกนะ“

เจ็บปวดหัวใจ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง

“ถ้าอย่างนี้คงมีแฟนเป็นผู้ชายแล้วมั้ง” เจมส์ว่า “...นิ่งแบบนี้รึว่าใช่?!”

“สภาพอย่างนี้ไม่น่าจะมีแฟนเป็นผู้หญิงได้หรอ--”

“ทำอะไรกันอยู่เหรอเด็กๆ” เสียงคนมาใหม่ดังขึ้น พี่เดือนเดินถือกล้องเข้ามาหาพวกเราที่กำลังยืนเถียงเรื่องแฟนผมอยู่—ก็พี่เดือนนั่นแหละ และท่าทางเขาก็น่าจะได้ยินด้วยว่าพวกเราพูดเรื่องอะไรถึงยิ้มหน้าบานมาแบบนี้ “ท่าทางกำลังคุยสนุกเชียว”

“สวัสดีครับพี่เดือน พอดีพวกเรากำลังถามกุมภ์มันน่ะครับว่ามีแฟนเป็นผู้ชายรึผู้หญิง ผมนี่เฉามาตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ก็ยังไม่มีสาวน่ารักๆวิ่งเข้ามาหาเลย” เจมส์บ่น คิวถอนหายใจใส่เพื่อนตัวเอง

“พี่ก็รู้จักแฟนกุมภ์นะ”

อ้าวเฮ้ย! พี่เดือนจะไปเล่นกับพวกนั้นด้วยทำไม?!

“จริงเหรอครับ? แล้วแฟนกุมภ์เขาเป็นคนแบบไหน...ไม่สิ เป็นคนไหนดีกว่า แนนบอกว่าเป็นรุ่นพี่ในเอกเรานี่แหละ” คิวถามพี่เดือน พี่เดือนยิ้มให้ก่อนที่จะพูดออกมา

“เป็นผู้ชายตัวสูงๆ บางทีก็ใส่แว่นเพราะสายตาไม่ค่อยจะดี ชอบถือกล้องเดินไปมาทั่วมหาลัย ทุกวันนี้หาค่าเทอมเรียนเอง อาจจะไปกู้ยืมเรียนในอนาคตเร็วๆนี้”

“...คุ้นๆนะ”

“คุ้นใช่มั้ยล่ะ? อีกอย่างก็คือยืนอยู่ตรงหน้าพวกน้องด้วย” ทันทีที่พี่เดือนพูดจบ แนนก็ส่งเสียงหัวเราะก๊ากออกมาให้เพื่อนอีกสองคนของผมงง ก่อนที่จะร้องขึ้นมาพร้อมกันด้วยความแปลกใจ ส่วนผมน่ะเหรอ?

หลบหลังพี่เดือนแล้ว เขิน

“เดี๋ยวๆ นี่ไม่คิดว่าจะเป็นพี่เดือนที่เป็นแฟน...กุมภ์ ไปเจอกันอะไรยังไง แล้วแนนบอกว่ากุมภ์นอนคอนโดเดียวกันกับพี่เดือนนี่มันหมายความว่าอะไร? ใจแตกแล้วเหรอเพื่อนกู?!” เจมส์ร่ายยาวออกมาจนพี่เดือนยกมือห้ามขึ้นทั้งเสียงหัวเราะ

“คือพี่รู้จักกับกุมภ์มาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว และเพราะอะไรหลายๆอย่างเลยทำให้พวกเราคลิ๊กกันน่ะ แต่มาคบจริงๆจังๆก็เพิ่งช่วงใกล้มหาลัยเปิดนี่เอง” เขาว่า “มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าพี่กับกุมภ์กำลังคบกัน จำมะยมได้มั้ย? คนที่ชอบเข้ามาหยอกคนอื่นน่ะ นั่นก็รู้ ส่วนอีกคนที่รู้ก็แนน ถึงได้หัวเราะเสียงดังแบบนั้นไง”

“นี่ไม่ได้สังเกตเลยเหรอว่ากุมภ์กับพี่เดือนกลับพร้อมๆกันน่ะ” แนนยังคงกลั้นขำ “หลายๆอย่างมันก็ใบ้ไปในตัวแล้วนะว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน โอย...ทำไมคนรอบข้างไม่ค่อยสังเกตเลย”

“ก็มัวแต่เรียนจนไม่มีเวลามาดูชาวบ้านทั้งวันนี่นา” คิวท้วงไป “กูก็ไม่อะไรหรอกที่จะคบกับผู้ชาย รักกันนานๆแล้วกันนะ”

“อืม” ผมตอบกลับแค่นั้น ก่อนที่จะชวนพี่เดือนไปหาอะไรกินรองท้องก่อนเข้าไปในหอประชุมเพื่อรอดูประกวดดาวเดือน “ฝากจองที่ให้ด้วยนะ”

“เอาแถวหน้าๆใช่มั้ย? เดี๋ยวจะจองให้นะ ไปหาอะไรกินกับแฟนไปเลย” เจมส์ประชดผม “อิจฉาโว้ยย”

ทั้งผมและพี่เดือนเดินจากมาพร้อมกับหัวเราะกันสองคน จากนั้นก็มาถึงร้านเครปที่ตั้งอยู่ในโรงอาหารของคณะนิเทศ พี่เดือนชอบสั่งเป็นแป้งเปล่าๆราดนมข้นหวานนิดๆ และมันต้องกรอบด้วย เขาบอกว่ากินแบบนี้เพลินดีเหมือนกินมันฝรั่งถุง ผมเลยสั่งตามบ้างและมันก็อร่อยอย่างที่พี่เดือนว่ามาจริงๆ แวะซื้อน้ำมาอีกสามขวดเอาไปให้เพื่อนที่กำลังจองที่นั่งให้ งานประกวดจะเริ่มในอีกสิบนาทีนี้ ทำให้ผมต้องรีบนั่งติดเก้าอี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาแย่ง

คิดดูว่าขนาดมาก่อนตั้งนานคนยังเยอะขนาดนี้

“พี่อยากรู้นะว่าใครจะเป็นเดือนปีนี้” พี่เดือนว่าขำๆ “บางทีอาจจะไม่ใช่นทีก็ได้ พี่ก็ไม่เห็นหน้าเดือนคณะอื่นเลย”

“นั่นสินะครับ แต่เท่าที่ได้ยินมาก็มีแต่คนบอกว่านทีหน้าตาดีที่สุดแล้ว ส่วนความสามารถนั้นก็คงต้องลุ้นกัน ความจริงผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้เพราะท่าทางมันจะเป็นคนที่ตื่นเวทีใหญ่ๆพอตัว”

“พี่เองก็มีครั้งหนึ่งที่ต้องขึ้นเวทีแบบนี้เหมือนกันตอนมัธยมต้น”

“พี่ได้ทำอะไรครับ?”

“เขาให้พี่เล่นเปียโน” พี่เดือนส่ายหน้า “ตอนนี้พี่ก็ลืมไปหมดแล้วล่ะว่าเล่นยังไง เพราะตอนนั้นเขาบังคับให้พี่แสดงความสามารถทางดนตรีอะไรก็ได้หนึ่งอย่างเพื่อเป็นการเปิดงานให้กรรมการมาประเมิน คนที่เล่นเป็นก็ไม่เอาขึ้นเพราะไม่ใช่คนที่คนอื่นรู้จัก พี่ก็โดนคนมองไปหลายวันเหมือนกันว่าพี่เป็นคนเสนอตัวไป”

น้ำเสียงเขาดูเศร้าๆ “พ่อแม่พี่ก็ดูเหมือนว่าจะดีใจไม่น้อยที่พี่ได้หน้าจากงานนี้ โดยไม่สังเกตเลยว่าพี่กำลังโดนคนอื่นมองไม่ดี แต่พี่จะทำอะไรได้ในเมื่อครูเขาเป็นคนสั่งให้พี่ทำ พี่ก็ต้องทำ”

“ลำบากน่าดูเลยนะครับ...” พี่กุมมือเขาปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะพี่เดือน อดีตก็คืออดีต ตอนนี้พี่เดือนก็คือคนใหม่ที่บินออกมาจากกรงแล้ว พี่มีอิสระที่จะทำตามใจตัวเองแล้วนะ”

“นั่นสิ แต่เรื่องหาเงินนี่พี่ต้องพยายามหน่อยแล้วล่ะ รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่เลยหลังจากจ่ายค่าเทอมไป” เขาบ่นเบาๆ “พี่อยากทำเรื่องกู้ยืมเรียน แต่ติดปัญหาที่ว่าเอกสารต้องให้ผู้ปกครองเซ็น พ่อแม่พี่คงไม่ยอมแน่ๆ จะไปถามญาติคนอื่นก็จะสงสัยกันอีกว่าบ้านพี่มีเงินทำไมลูกถึงจะกู้ยืมเรียนอย่างนี้”

“พูดถึงเรื่องเรียน พี่เดือนเคยเล่าให้ฟังว่าพี่มีน้องชายนี่นา?”

“ใช่ น้องพี่ชื่อหนึ่ง ตอนนี้อยู่ม.4 แล้วล่ะ โรงเรียนเดียวกันกับที่พวกเราจบมา แต่พี่เองก็ไม่รู้หรอกว่าหนึ่งเขาจะเรียนอะไรระหว่างบริหารกับแพทย์ เพราะพี่ทิ้งส่วนของแพทย์ไปแล้ว แทนที่หนึ่งจะต้องเข้าบริหารเพื่อสานโรงแรม กลับกลายเป็นว่าต้องมาควบสองให้ได้”

ผมเห็นใจน้องชายของพี่เดือนเหมือนกัน...ถึงแม้ว่าจะพวกเขาทั้งคู่จะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ในเมื่อต่างคนต่างต้องแข่งขันกันเองแบบนี้ ถ้าเป็นผม ผมก็คงทนไม่ไหวที่ต้องมาแข่งกับมีนาหรอก

“จะว่าไปปีนี้มีนาก็เตรียมสอบ?”

“ครับ มีนาอยากเข้าอักษร พ่อแม่พวกเราไม่ได้ขัดเลยว่าจะเรียนอะไร ขอแค่เรียนจบมีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ก็พอ”

“ดีจังเลยนะ พี่เองก็อยากจบไวๆหาเงินมาเลี้ยงตัวเองให้ได้เยอะๆ พอมีเงินเยอะแล้วจะพากุมภ์ไปเที่ยวทุกประเทศเลย” พี่เดือนยกแก้วน้ำชาขึ้นมา “เริ่มจากที่ไหนก่อนดีล่ะ? แคนาดา? อเมริกา? รึว่าจะเป็นอิตาลีดี?”

“พี่เดือนคิดไปไกลเกินอีกแล้วนะ...อะ งานเริ่มแล้วครับ” ผมบอกพี่เดือนเมื่อไฟหน้าเวทีถูกลดแสงลง ตามด้วยเสียงของพิธีกรที่ดังขึ้น

หลังจากพิธีกรแจ้งอะไรต่างๆครบแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงของการเปิดตัวดาวเดือนแต่ละคณะโดยคณะของผมออกมาเป็นคณะแรกก็สามารถสร้างเสียงร้องให้หลายคนในหอประชุมได้ แต่เมื่อคณะสุดท้ายหรือคณะดุริยางค์ออกมา เสียงกรีดร้องก็ดังไปทั่วหอประชุมจนผมคิดว่ามันดังไปถึงหน้ามหาลัยด้วยซ้ำ

นทีท่าทางจะตกใจนิดๆเมื่อมีคนกรี๊ดให้ขนาดนั้น แต่มันก็ตั้งสติกลับมาได้แล้วปั้นหน้ายิ้มบางๆเดินไปยืนริมขวาสุดของเวที พิธีกรให้ทุกคนแนะนำตัวว่าชื่ออะไรมาจากคณะอะไรตามที่ควรจะเป็น

“สวัสดีครับ ผมนายนที ไมตรีจิตร ชื่อเล่นนที คณะดุริยางค์ เอกประพันธ์ครับ”

เขาไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับตัวเอง แต่แค่นั้นก็ทำให้หลายคนจ้องนทีเป็นหนุ่มที่ตัวเองชื่นชอบไปเสียแล้ว

“ทำไมวันรับน้องฉันถึงไม่เห็นเขาเลยล่ะทั้งที่เด่นขนาดนั้น”

“ไม่รู้สิ เห็นมีคนบอกว่าปกติแล้วจะใส่แว่นตากรอบดำหนาๆปิดหน้าหล่อๆนั่นเอาไว้ แถมยังไว้ทรงผมยุ่งๆพรางตัวเองอีก แต่พอกลายมาเป็นแบบนี้แล้วฉันก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงทำแบบนั้น เขาไม่อยากเป็นจุดเด่นจนสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิต” ผู้หญิงสองคนข้างหลังผมพูดขึ้นมา ผมพยักหน้าเบาๆเห็นด้วยเพราะนทีไม่ชอบเป็นจุดเด่น แค่ได้รับหน้าที่นี้ก็งอแงจนไม่รู้จะยังไงแล้ว

การประกวดดาวเดือนยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงคราวแสดงของนทีและดาวของคณะดุริยางค์ ฝ่ายนทีเป็นคนเล่นกีตาร์ให้ดาวที่มาจากเอกวอยส์เป็นคนร้อง และนานๆทีนทีถึงจะร้องออกมาตามเพื่อเป็นคอรัสให้ เมื่อเล่นจบการแสดงก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด

ผลประกาศไล่มาเรื่อยๆจนนทีกลายเป็นสามคนสุดท้าย ซึ่งมันแน่นอนแล้วว่าเขาคือหนึ่งในสาม นทีมองผมมาเป็นระยะๆแล้วทำปากบ่นประมาณว่า ‘ฉิบหายแล้ว’ อยู่อย่างนั้น ผมเองก็ช่วยไม่ได้ มันอยากหน้าตาดีเองเลยทำไปแต่หน้าตายิ้มขำจนนทีมองตาเหมือนพยายามจะกินเลือดกินเนื้อผมหลังจากจบการประกวด ในที่สุดผลก็ออกมาเป็นว่าเพื่อนของผมคือเดือนมหาลัยคนใหม่

ผมกับพี่เดือนอยู่รอนทีเพื่อที่จะช่วยถือของที่ได้รับจากคนอื่นถึงหอ พอออกมาได้นทีก็ทำหน้าเหมือนไม่ดีใจเลยสักนิดที่ได้รับตำแหน่งเดือนมหาลัยมา

“ทำไมต้องเป็นกูด้วยอะ...”

“ก็มึงหน้าตาดี แถมเสียงดีเล่นกีตาร์เพราะ ทำอะไรๆก็ดูดี” ผมบอกง่ายๆ นทีก็เอาตุ๊กตาหมีขาวที่ได้จากใครสักคนฟาดเข้าที่ตัวผมจนแทบเซ “ตัวใหญ่ๆอย่างนี้อย่าเอามาตีเล่นสิ หนักเหมือนกันนะ!”

“มาช่วยขนเลย ไม่ไหวแล้ว” นทียื่นถุงขนมนมเนยมาให้ “ขอบคุณนะครับพี่เดือนที่มาช่วย”

“ทีกูไม่ขอบคุณ”

“เงียบไปเลยน่า เดี๋ยวไม่แบ่งขนมไปให้กินหรอก”

 

ผมกับพี่เดือนเดินไปส่งนทีถึงหอ จากนั้นก็ช่วยมันจัดของเข้าที่อีกนิดหน่อยก่อนที่จะพากันเดินกลับมหาลัย วันนี้พี่เดือนเอารถมาเพราะตั้งใจจะไปรับงานถ่ายภาพที่อื่นต่อ เขาบอกว่าผมน่าจะเหนื่อยแล้วเลยให้อยู่คอนโดดีกว่า ผมก็ไม่งอแงเขา ผมรู้ว่านี่คืองาน ตามเขาไปตลอดเวลาไม่ได้

พี่เดือนขับรถออกไปจากสายตาผม ผมถอนหายใจแล้วก็เดินขึ้นคอนโดไป นั่งเพลินๆในห้องสักพักจู่ๆก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังขึ้น จากนั้นก็ตามด้วยฟ้าผ่าจนสะดุ้ง เมื่อครู่ยังฟ้าโล่งอยู่เลยแท้ๆเชียว

พอได้ยินเสียงฝนก็อดไม่ได้ที่จะห่วงพี่เดือนว่าขับรถถึงที่รึยัง หรือว่ากำลังทำอะไรอยู่เลยโทรฯไป

‘พี่อยู่งานแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ พี่รอฝนหยุดก่อนแล้วพี่จะค่อยๆขับกลับ’

พี่เดือนว่ามาอย่างนี้ผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อย

แต่ผมน่ะสิ ตอนนี้กำลังนั่งดูน้ำฝนที่เกาะหน้าต่างอยู่คนเดียวพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง

พอมานั่งคิดๆดูแล้ว...ผมเองก็อายุจะเข้าหลักสองภายในอีกปี รู้สึกราวกับว่าผมเพิ่งผ่านวัยเด็กมาได้ไม่นานเอง เดี๋ยวนี้เวลาเดินไวกว่าที่ควรจะเป็น ทุกลมหายใจเข้าออกมันบอกผมเสมอว่าคนเรามีสิทธิจะลงโลงได้ทุกเมื่อ มันก็ใจหายเหมือนกันที่ยังไม่ได้ทำอะไรตั้งหลายอย่างแต่กลับปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างนั้น ตอนเด็กๆก็หวังแค่ว่าเรียนจบสูงมาหางานทำเพื่อเลี้ยงพ่อแม่ ตอนนี้ก็ต้องมีอะไรมาให้คิดเล็กคิดน้อยนับไม่ถ้วน การเดินเข้าสู่โลกผู้ใหญ่นั้นมันยากกว่าที่ผมคิดเสียอีก

ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้เจอพี่เดือน...จะเป็นยังไงนะ?

ผมนั่งคิดเพลินจนมาถึงเรื่องของพี่เดือน นั่นสิ พี่เดือนบอกว่าถ้าเขาไม่ได้เจอผม เขาก็คงไม่ใช่เขาในวันนี้ แล้วกลับกันถ้าเป็นผมที่ไม่รู้จักพี่เดือนบ้างจะเป็นยังไง ผมจะอยู่ในจุดไหนอะไรยังไงกัน?

อย่างแรกเลยก็คงไม่ได้เป็นหัวหน้าชมรมห้องสมุด—ไม่ได้ออกกิจกรรมบ่อยเหมือนที่พี่เดือนทำ ไม่ได้ทำความเข้าใจกับคนอีกหลายๆประเภท ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับการรับมือกับภาระหน้าที่เหมือนที่เขาเคยทำ

การที่ได้รู้จักพี่เดือนมันทำให้ผมลำบากก็จริง แต่นั่นก็สอนให้ผมรู้จักความเหน็ดเหนื่อยที่อย่างน้อยในชีวิตหนึ่งต้องเจอ

อย่างที่สองก็คือผมคงไม่ได้รู้จักคำว่ารักแบบนี้...

คิดเองก็เขินเอง อืม

ผมเดินหน้าแดงไปอาบน้ำแล้วก็กระโดดขึ้นเตียง พี่เดือนท่าทางน่าจะเลิกดึก กว่าจะกลับก็คงนู่นแหละ เที่ยงคืนตีหนึ่ง เขาถึงบอกว่าให้ผมนอนได้เลย ผมรู้ลิมิตตัวเองด้วยว่าคงทนไม่ไหวเลยทำตัวเป็นเด็กดีฟังคำสั่งของแฟน หลับไปทั้งที่ไฟข้างนอกยังเปิดเอาไว้อยู่



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (31/05/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 11-06-2019 21:52:39
Rrrrr

“อืม...” ผมงัวเงียตื่นมารับโทรศัพท์ “สวัสดีครับ...”

‘ญาติของนายพีรดล นารีรัตน์ใช่มั้ยครับ?’ เสียงปลายสายเป็นเสียงคนที่ผมไม่คุ้นเคย แต่พอยกหูออกมาก็ขึ้นชื่อว่าพี่เดือน หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน?

“..ใช่...ใช่ครับ”

‘คือ...นายพีรดลประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้กำลังอยู่ห้องไอซียูนะครับ’

เปรี้ยง

ทันทีที่เสียงปลายสายสิ้นสุดลง ฟ้าก็ผ่าลงมาพร้อมกับหัวใจของผมที่แทบจะแตกสลายไป ณ จุดนั้น แล้วผมก็รีบถามเขาไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือควบคุมตัวเองไม่อยู่ว่าพี่เดือนอยู่ที่โรงพยาบาลไหน จนกระทั่งได้สถานที่มา ผมก็รีบโทรไปหานทีที่เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของผม

พี่เดือน...พี่อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ ผมจะรีบไปหา

“อืม...มีอะไรกุมภ์..”

“นที! พี่เดือนรถชนเข้าโรงพยาบาลกำลังอยู่ไอซียู! ฮึก...พากูไปหาพี่เดือนหน่อย...” ผมปล่อยโฮออกมา “กูยังบอกพี่เดือนอยู่เลยว่าระวังอุบัติเหตุ กู...กูไม่น่าพูดออกมาเลย!”

“มึงใจเย็นก่อนนะ! เดี๋ยวกูจะรีบไปหามึงที่คอนโดเดี๋ยวนี้แหละ” ปลายสายตอบกลับมา “ไม่ต้องวางสาย กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง”

ผมพยักหน้าทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าตัวไม่เห็น จากนั้นก็รีบเก็บเอกสารสำคัญเข้ากระเป๋าทั้งๆที่น้ำตายังไหลไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมร้องไห้ให้กับคนอื่น คนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวแต่กลับสำคัญเป็นอย่างมาก

นทีวิ่งขึ้นมาถึงหน้าห้องของผม ผมนึกได้ว่าพี่โอมที่เป็นเพื่อนแฟนตัวเองอยู่ห้องตรงกันข้าม จึงเคาะประตูดังๆ พี่โอมเปิดออกมาด้วยความงัวเงียและผมก็อธิบายไปโดยไม่สนว่าพี่เขาจะฟังทันหรือไม่ แต่จากการที่พี่โอมเบิกตากว้างนั้นก็คงเข้าใจ แต่ผมขอตัวรีบออกมาก่อนด้วยความเป็นห่วง

ตลอดทางผมก็ร้องไห้แล้วซุกกับหลังเพื่อนของผมที่ขี่รถพาคนตัวเล็กกว่าฝ่าฝนไปหาพี่เดือนที่โรงพยาบาล ในจังหวะนั้นสมองผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว มันทั้งโล่ง ทั้งเบลอ ทุกอย่างมันรวมกันเป็นสีขาวไปหมด กว่าจะรู้ตัวว่าเสียงของผมมันหายไปแล้วก็ตอนที่นทีสะกิดผมให้เดินเข้าไปในโรงพยาบาลพร้อมกับถามว่ายังไหวมั้ยนั่นแหละ

พยาบาลออกมาบอกอาการว่าพี่เดือนขับรถแล้วมีรถคันอื่นพุ่งเข้ามาชนจากด้านหลัง ทำให้รถของเขาไถลไปชนกับเสาไฟอีกที อาการเบื้องต้นบอกว่าศีรษะแตกไม่ได้สติ มีบาดแผลตามตัวแต่ไม่ลึกมาก ที่น่าเป็นห่วงคือเสียเลือด ถ้าเกิดพามาไม่ทันเขาอาจจะช็อกได้ ฝ่ายคู่กรณีเองก็พร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่างเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจและถนนลื่น เลยทำให้เขาประมาทพร้อมกับขอให้ผมให้อภัยเขา

ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะผมตอบไม่ได้ มัวแต่ร้องไห้ไม่มีเสียงอยู่อย่างนั้น

“กุมภ์...”

“...”

“มึงต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่พี่เดือนนะ” นทีเขย่าบ่าผม เขายังคงอยู่ในชุดนอนเช่นเดียวกัน ไม่นานนักพี่โอมกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จักก็วิ่งมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน พี่โอมเดินเข้ามาปลอบใจผมพร้อมกับกอดหลวมๆ ส่วนอีกคนเดินเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เดือน

“ใจเย็นนะกุมภ์ ใจเย็น เดือนต้องไม่เป็นอะไร” พี่โอมยอมให้ไหล่ของเขาเปื้อนน้ำตาของผม “ใจเย็นไว้เพื่อเดือนนะ”

ผมพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติตัวเอง มือที่สั่นเทาของผมยกโทรศัพท์ของพี่เดือนที่หน้าจอแตกขึ้นมาพร้อมกับปลดล็อคตามรหัสที่พี่เดือนบอกเอาไว้ นิ้วค่อยๆเลื่อนหารายชื่อติดต่อที่เขาไม่ได้โทรฯไปนานมากแล้ว ทันทีที่กดโทรออก ผมก็รู้ทันทีแล้วว่าหลังจากนี้เรื่องที่ผมคบกับพี่เดือนมันจะไม่ใช่ความลับกับครอบครัวนารีรัตน์อีกต่อไป

‘ลมอะไรทำให้แกโทรฯมาตอนนี้กันเดือน?’ เสียงผู้ชายอายุมากแล้วดังขึ้น ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพื่อไม่ให้มันไหลลงมาก่อนที่จะพูดไม่รู้เรื่อง ‘นั่นเสียงอะไร?’

“สะ...สวัสดีครับ...” ผมว่าเสียงเบา รวมเสียงและแรงทั้งหมดที่มีเพื่อเปล่งออกมา “คือ...ผมเป็น...”

ผมมองหน้านที พี่โอม และพี่อีกคนด้วยความลังเล นทีส่ายหน้า ทำปากขมุบขมิบว่าโกหกไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร

“ผมเป็นแฟนพี่เดือนครับ...ชื่อกุมภ์...”

“...”

“แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าครับ...ฮึก...พี่เดือนประสบอุบัติเหตุอยู่ที่โรงพยาบาลตอนนี้ ผม...ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว...”

“เดี๋ยวฉันจะรีบไป”
พ่อพี่เดือนรีบตัดสายจากผมทันที ผมใจเสียที่เขาตอบแค่นั้น แล้วสุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบราวกับว่าผมได้สารภาพเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตออกไป

 

“โดยรวมแล้วอาการนั้นถือว่าคงที่ อีกไม่นานก็จะฟื้นตามฤทธิ์ยาสลบที่หมดค่ะ ส่วนเรื่องบาดแผลอื่นๆไม่มีอะไรร้ายแรง แต่เรื่องบาดแผลที่บริเวณข้างหน้าผากฝั่งซ้ายนั้นถ้าดูแลไม่ดีอาจจะติดเชื้อหรือเป็นแผลเป็นระยะยาวได้ ขอให้ระวังเรื่องนี้กันด้วยนะคะ”

เสียงพยาบาลสาวดังขึ้นก่อนที่จะเดินออกไป พี่เดือนตอนนี้อยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพีที่พ่อพี่เดือนเป็นคนสั่งให้เปิด ถึงจะตัดขาดแต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะตัดขาดถึงขั้นไม่ช่วยเหลืออะไรลูกชายคนโตเลย

เขามาคนเดียว...เพราะแม่ของพี่เดือนและน้องชายของเขาไม่สามารถมาด้วยได้ แต่แค่นี้ผมก็เกร็งจะแย่แล้ว

“พวกเธอทั้งสามคนออกไปก่อน ฉันจะคุยกับเด็กคนนี้ตามลำพัง” คำสั่งของพ่อพี่เดือนหนักแน่นมากพอที่จะทำให้สามคนที่เหลือที่ยืนในห้องสะดุ้งและเดินออกไป พี่โอมหันมายิ้มบางๆให้กำลังใจผมก่อนที่จะปิดประตูสีขาวสะอาดนั่น

ผมเงียบ...ไม่กล้าเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน

“เธอบอกว่าเธอเป็นแฟนของเดือน”

“ครับ...” ผมว่าเสียงเบา พลางสูดน้ำมูกแต่ไม่ดังจนเสียงมารยาท “ชื่อกุมภ์ เป็นรุ่นน้องของเขาสองปีครับ”

“รู้จักกันนานรึยัง?”

“ครับ...ตั้งแต่พี่เดือนเรียนอยู่ม.6”

“อย่างนั้นเหรอ...” พ่อพี่เดือนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองไปที่ลูกชายคนโต และอ้าปากอีกครั้ง “เธอรู้ใช่มั้ยว่าเดือนเขาต้องทำตามเป้าหมายของครอบครัว ไม่หมอก็ผู้บริหารโรงแรมคนต่อไป แต่หลังจากที่เขาเจอกับเธอ เขาก็เปลี่ยนไป

“เขาดื้อขึ้น เริ่มไม่ทำตามสิ่งที่พวกฉันวางเอาไว้ให้ และร้ายแรงสุดก็คือการที่ลาออกจากคณะแพทย์แล้วมาเรียนนิเทศที่ไม่ใช่สายที่พวกฉันทั้งคู่หวังเลยสักนิด”

ผมก้มหน้า

“ฉันเองก็ท้าเขาไปว่าถ้าอยากจะเรียนสายนี้ก็ให้เรียนเอาเอง ไม่ส่งเงินค่าเรียนให้ แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่าเขาไม่คิดจะติดต่อกลับมาอีกเลยจนกระทั่งเป็นเธอที่โทรฯไป ตอนนั้นฉันคิดว่าเจ้าลูกชายคนโตตัวดีอาจจะลำบากเข้าให้แล้วเลยยอมลดฐิติตัวเองเพื่อมาขอร้อง” เขายังคงมองไปที่พี่เดือนที่กำลังหลับบนเตียง “แต่พอได้ยินว่าลูกตัวเองเข้าโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุ...ฉันก็รู้สึกใจแกว่งทันที มือของฉันมันก็สั้นเหมือนกับเธอในตอนนี้”

“ผม...ผมกลัวว่าพี่เดือนจะเป็นอะไรไป พี่เดือนเป็นผู้ชายที่น่าตีที่สุดในชีวิตของผม ทำทุกอย่างเพื่อให้พวกคุณภูมิใจโดยไม่นึกถึงตัวเองว่าจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ถ้าพี่เดือนเขา...” น้ำตามันไหลลงมาอีกแล้ว...ทั้งที่ก็รู้ดีว่าพี่เดือนปลอดภัย “...ขอโทษครับ...”

“...”

“ผมขอโทษ...ที่ปิดบังความสัมพันธ์ของผมกับพี่เดือน ที่พวกเราทำไปเพราะเพื่อความสบายใจเท่านั้น แต่ความจริงแล้วพวกเราแค่กลัวว่าพวกคุณจะเข้ามาดึงพี่เดือนกลับไป...ผมไม่อยากให้พี่เดือนต้องไปทนกับสิ่งที่เขาไม่ต้องการอีก มันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมเอง”

พ่อพี่เดือนหันมาทางผม ผมค่อยๆหดตัวลงเรื่อยๆตามจังหวะที่เขาก้าวเข้ามา ก่อนที่เขาจะตบหน้าผมเข้าไปข้างหนึ่งเต็มๆ

ผมพูดไม่ออก...รู้ดีวาต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ไม่แน่ว่าประโยคต่อไปเขาจะไล่ผมออกจากห้อง

“...เธอไม่ควรปิดบัง”


“...”

“ที่ผ่านมาเดือนไม่เคยบอกอะไรตรงๆ แม้กระทั่งเรื่องที่เขามาเรียนนิเทศเขายังไม่บอกตรงๆเลยว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขาเจอกับสิ่งที่ต้องการจริงๆ นั่นทำให้ฉันโกธรแล้วพูดว่าจะไม่ส่งเขาต่อ” เขากำมือแน่น “ฉันไม่ชอบคนที่ไม่ทำตามความรู้สึกตัวเอง และก็ไม่ชอบคนที่ลังเลหรือโลเลที่จะบอกอะไรให้หมด ที่เดือนเขาเลือกเรียนนิเทศก็เพราะเธอใช่มั้ย?”

“...” ผมค่อยๆยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบแก้มเบาๆ พยักหน้าด้วยอาการยอมรับผิด

“ถ้าเดือนบอกอย่างนั้นแต่แรก ฉันก็ไม่ขวางเขา ฉันไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไรขนาดถึงขั้นต้องฝืนใจให้ลูกเรียนต่อทั้งที่ทนไม่ไหว ฉันยอมรับว่าที่ผ่านมาฉันใส่ใจลูกชายน้อยเกินไป ใส่ใจความรู้สึกน้อยเกินไปจนกระทั่งเห็นเขากำลังสติแตกทะเลาะกับพวกฉัน พอกลับไปนอนคิดดูแล้วฉันเองก็ผิดที่ไม่รับฟังความต้องการจากใจจริงของเขาตั้งแต่เด็กด้วยเลยทำให้เขาไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ต้องการ”

“...พี่เดือนเองก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะครับที่ทำให้พวกคุณผิดหวัง...” ผมว่าออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมได้เงยหน้ามองใบหน้าของบิดาผู้ชายที่เป็นที่รักของผม หน้าตาของเขาเหมือนกับพี่เดือนเหลือเกิน...ถ้าเขาอายุมากไปก็คงจะเป็นแบบนี้เลย “พี่เดือนบอกว่าเขาก็ไม่ได้อยากแตกออกมาจากครอบครัวแบบนี้ แต่เขาก็หันหลังกลับไปไม่ได้ถ้าเขายังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง พี่เดือนเป็นคนที่พยายามทำอะไรด้วยตัวเองตลอด และพี่เดือนก็ทำสำเร็จ เขามีความสุข เขาสามารถปกป้องตัวเองและเดินก้าวไปในทางที่ต้องการได้ด้วยสองขาของเขา และเขายังทำให้ผมรู้สึกได้ว่าในวันที่ผมไม่มีใคร ผมก็ยังมีเขาอยู่ข้างๆ ฐิติพี่เดือนสูงก็จริงแต่เขาสูงไปเพื่อหวังว่าสักวันเขาจะนำความสำเร็จในชีวิตกลับมาทำให้พวกคุณภูมิใจ”

“...”

พวกเราเงียบ...ไม่มีอะไรจะพูดกันอีก เสียงแอร์ในห้องเป็นเสียงเดียวที่ทำให้รู้สึกว่าไม่อ้างว้าง

“ผมขอโทษ/ฉันขอโทษ”

สิ้นเสียงที่พูดออกมาพร้อมกัน ทั้งผมและพ่อพี่เดือนต่างก็จ้องหน้าโดยอัตโนมัติ ก่อนที่พ่อพี่เดือนจะเป็นฝ่ายขอพูดก่อน

“ฉันไม่อยากให้ลูกชายตัวเองต้องมาเสียใจอีกแล้ว”

“ผมเองก็ไม่อยากทำให้พี่เดือนต้องมาคิดมากกับเรื่องที่ต้องอธิบายให้พวกคุณเข้าใจอีกแล้ว...”

“เธอเป็นเด็กดีนะ” เขายิ้มบางๆ “ฉันดีใจแทนเดือนจริงๆที่เจอกับเธอ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ ฉันไม่อะไรเท่าไหร่กับการที่ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกัน แต่รตา...หมายถึงแม่เขาน่ะ เธอจะรับได้รึเปล่านี่สิ”

“ผมกังวลแค่เรื่องนั้นครับ พี่เดือนกลัวว่าพวกคุณจะไม่ยอมรับตัวตนของเขา แต่ถ้าคุณยอมรับได้...พี่เดือนก็คงสบายใจขึ้นเยอะ” ผมตอบเขา ลุกขึ้นไปลากเก้าอี้นั่งข้างๆพี่เดือนที่หลับอยู่ ผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะของเขานั้นเตือนให้ผมรู้ว่าเขาเพิ่งผ่านอุบัติเหตุมา “แต่ผมก็ยังกลัวอยู่ดี...ที่พี่เดือนเจออุบิตเหตุเข้า มันทำให้ผมใจเสียขึ้นมา ผมบอกเขาเอาไว้อยู่ว่าให้ระวังเวลาขับรถตอนฝนตก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนอื่นที่ขับเข้ามาชนเขาจนโดนผลไปด้วย”

“เขายังหลับอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน...ฉัน—พ่อเชื่อว่าเขาเข้มแข็งกว่าเมื่อก่อนมาก เขาต้องตื่นขึ้นมาเจอหน้าเธอแน่นอน” พ่อพี่เดือนเปลี่ยนคำแทนตัวเองจากฉันเป็นพ่อ...นั่นหมายความว่าเขายอมรับผมยอมนั้นเหรอ?

ถึงจะเร็วไปหน่อยจนผมสับสน แต่มันก็คงดีแล้วล่ะที่เขายอมรับเรื่องที่พี่เดือนมีแฟนเป็นผู้ชายได้

ผมขอตัวออกไปซื้อเครื่องดื่มให้ชายอายุรุ่นพ่อ พอเปิดประตูออกมาก็เห็นว่าสามคนที่อยู่เป็นเพื่อนผมกำลังยืนพิงผนัง นทีเดินเข้ามาก่อนด้วยความตกใจที่เห็นรอยแดงๆที่แก้มผม ผมอธิบายไปทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะกับการพูดถึงประเด็นที่ทั้งผมและพ่อพี่เดือนเปิดใจให้กัน

นที พี่โอม และพี่อีกคนที่แนะนำตัวว่าชื่อศึกถอนหายใจโล่งที่ในที่สุดก็สามารถเคลียร์ไปได้หนึ่งเรื่อง ชวนผมไปซื้ออะไรรองท้องก่อนที่จะต้องไปเรียนตามหน้าที่ ตอนแรกผมไม่ได้อยากไป แต่ในเมื่อพ่อของพี่เดือนบอกให้ผมไปเรียนก็คงขัดอะไรไม่ได้ ผมเองก็ไม่อยากเสียการเรียนด้วย

 

ข่าวที่พี่เดือนประสบอุบัติเหตุดังไปทั่วเอกถ่ายภาพจนทุกคนอดเป็นห่วงพี่เดือนไม่ได้ คอยถามผมตลอดว่าพี่เดือนเป็นอย่างไรบ้างเพราะผมเป็นคนเดียวที่เข้าถึงพี่เดือนมากที่สุด ไม่เว้นแต่พี่มะยมเองก็รีบถามผมว่าเพื่อนตัวเองอยู่ที่ไหน จนกระทั่งมีพี่อีกคนหนึ่งเดินเข้ามา

“พี่ชื่อนกฮูก เป็นเพื่อนของเดือนนี่แหละ ได้ข่าวว่าเดือนรถชนเสาไฟฟ้าใช่มั้ย? เป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“พี่เดือนอาการคงที่ครับ อย่างน้อยก็ไม่ถึงชีวิต รอแค่ฟื้นกับทำกายภาพบำบัด อาจจะต้องลารักษาตัวสักระยะ” พี่นกฮูกพยักหน้า

“แล้วมีคนไปส่งมารับมั้ย?”

“ผมมากับเพื่อนครับ แต่ถ้าวันไหนที่เรียนไม่ตรงกันผมก็จะมาเอง” พี่นกฮูกพยักหน้าอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะถามไปเพื่ออะไร แต่สุดท้ายเขาก็ขอตัวลาไปกับพี่มะยมเพื่อเรียน แนนที่ไปซื้อน้ำเดินตรงมาหาผมเพื่อชวนกันไปเจอกลุ่มเพื่อนที่อยู่หน้าตึก

และผมเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าผมกลายเป็นเป้าหมายของใครคนหนึ่งเข้า

 

หลายวันผ่านไป พี่เดือนที่ฟื้นแล้วกำลังทำกายภาพบำบัดอยู่ พอได้คุยเปิดใจกับพ่อของเขาพี่เดือนก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก แถมยังหัวเราะกับเรื่องที่พ่อของเขาเล่าให้ฟังด้วย นั่นคือสัญญาณที่ดีว่าอีกไม่นานพวกเขาจะเข้าใจและผูกพันในฐานะพ่อลูกเหมือนที่เคยเป็น

“เดือนบอกว่าเธอชอบกินนี่” พ่อพี่เดือนเลื่อนจานขนมมาให้ผม “กินสิ พ่อซื้อมาให้”

“ขอบคุณครับ” ผมรับจานขนมมา แต่ยังไม่ได้ลงมือกิน “แล้วแม่พี่เดือนไม่มาเลยเหรอครับ?”

“รายนั้นเขาต้องอยู่ดูเจ้าหนึ่งเขา จะสอบเข้าหมอ” ผมเข้าใจ แม่ของเขาคงหวังมาก “เดือน พ่อมีเรื่องจะขอ ได้รึเปล่า?”

“ครับ?” พี่เดือนเลิกคิ้ว

“พ่ออยากให้เดือนเรียนต่อปริญญาโทบริหาร”

“...”

“พ่ออยากให้โรงแรมที่พ่อสร้างขึ้นมากับมือ...เป็นของลูก พ่อไม่ได้บังคับว่าจะมารับงานต่อตอนอายุเท่าไหร่ แต่พ่อขอได้มั้ยว่าเมื่อไหร่ที่พ่อไม่ไหวแล้ว เดือนมารับช่วงต่อแทนพ่อด้วย” เขากำลังขอร้องพี่เดือน...เขาไม่อยากให้โรงแรมนี้ต้องบริหารด้วยคนอื่น “พ่อไม่ไว้ใจคนอื่นให้มาบริหาร พ่อเชื่อมั่นในฝีมือเดือนว่าเดือนทำได้”

“คือ...”

“พ่อไม่ได้บังคับเดือน ค่อยๆตัดสินใจไปดีกว่า” เขาว่าแค่นั้น ก่อนที่จะยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นมาดูดด้วยท่าทีใจเย็น พี่เดือนในชุดผู้ป่วยกำลังยกมือขึ้นมากุมขมับเหมือนคิดอะไรมาก ผมไม่อยากกวนจึงขอตัวกลับไปที่คอนโดก่อน

ผมเดินลงมาถึงหน้าโรงพยาบาล กำลังจะขึ้นรถแท็กซี่กลับเพื่อความสะดวก แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไรก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนมายืนจ้องมองผมอยู่จากทางด้านหลัง ผมจึงรีบหันกลับไปแล้วก็ไม่เจออะไรนอกจากผู้ป่วยและคนอื่นๆที่เดินเข้าออกจากโรงพยาบาลเป็นปกติ

เมื่อกี๊...มันอะไรกัน?

ผมเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ความคิดของผมเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยที่มีคนจ้องอยู่ตลอดเวลา ผมจึงเปลี่ยนเป็นโทรฯเรียกนทีให้มารับแทน

อยู่กับเพื่อนย่อมปลอดภัยกว่า ผมเชื่ออย่างนั้น

 

“กูรู้สึกว่าเหมือนมีคนตามกูมาสองสามวันแล้ว” ผมบอกกับแนน เจมส์ และคิวกลางโต๊ะอาหาร “มีคนจ้องกูตลอดเวลาเลย กูไม่สบายใจถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งกูกลับคนเดียวก็ยิ่งหลอน”

“มึงคิดมากรึเปล่ากุมภ์? มึงเป็นผู้ชายนะ ไม่มีใครคิดจะดักฉุดมึงหรอก” คิวว่า แต่เจมส์รีบท้วงขึ้นมาก่อน

“แต่สมัยนี้ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงก็โดนหมดนะ ถ้ามึงไม่สบายใจอะไรยังไงกูไปส่งมึงที่คอนโดให้ทุกวันจนกว่าพี่เดือนจะออกจากโรงพยาบาลก็ได้”

“ขอบคุณนะ ต้องรบกวนหน่อยแล้ว”

“ว่าไงกุมภ์”

เสียงมาใหม่เป็นของพี่นกฮูกที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เขาเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำแดงในมือ โอบคอผมด้วยท่าทีเป็นมิตร แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากกว่า ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นทำแบบนี้ด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับพี่นกฮูก” ผมดึงแขนพี่นกฮูกออกด้วยความรู้สึกไม่พอใจนัก พี่นกฮูกไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าว่าตกใจหรืออะไร เหมือนเขาน่าจะรู้แล้วด้วยซ้ำว่าต้องเจอแบบนี้ “พี่มะยมล่ะครับ?”

“มะยมซื้อข้าวอยู่ แต่เดี๋ยวก็มาแล้ว เป็นไงบ้างล่ะเห็นว่าไปเยี่ยมเดือนทุกวันเลย มันดีขึ้นมากรึยัง?”

“ก็ใกล้ออกจากโรงพยาบาลเร็ววันนี้แหละครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงพี่เดือน”

ผมคุยกับพี่นกฮูกอีกสักพักก่อนที่เขาจะเป็นคนขอตัวไปก่อน ทันทีที่เขาหายไปจากสายตา แนนก็รีบเรียกให้พวกเราทุกคนสุมหัวกัน

“เราไม่ค่อยไว้ใจพี่นกฮูก”

“ทำไม?”

“ไม่รู้สิ...เซ้นท์มันบอกว่าพี่แกเข้าหากุมภ์มากเกินไป มากกว่าคนที่เป็นแฟนอย่างพี่เดือนจะเข้าหาด้วยซ้ำ มีใครที่ไหนเดินมาโอบคอเหมือนเป็นคนรักกับคนที่รู้จักไม่นานอย่างนั้นกัน” แนนอธิบาย “กุมภ์ระวังตัวหน่อยนะ ที่บ้านมีแต่คนบอกว่าเซ้นท์เรามันแรง พี่นกฮูกก็ท่าทางไม่น่าไว้ใจด้วย เมื่อก่อนไม่เคยเห็นมาพูดคุยกับพี่เดือนพี่มะยม”

นั่นสิ...พี่เดือนไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่ามีเพื่อนชื่อนกฮูก และพี่นกฮูกก็ทำท่าทางสนิทกับทั้งสองคนจนเกินไป ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆที่ทำให้เขาเข้าหาถึงขนาดนั้น

หรือว่า..

“เขาตั้งใจจะจีบ?” ผมสรุปแบบนี้ออกไป เจมส์ดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนที่จะพูดออกมา

“เออใช่! แบบนี้แม่งต้องอย่างนี้แน่ แต่กูว่าวิธีการมันน่ากลัวไปหน่อยว่ะ รุกแรงเกิน” ผมพยักหน้า “มึงก็ต้องบอกเขาไปเลยว่ามึงมีแฟนแล้ว”

“ถ้าเขาสนิทกับพี่เดือนก็ต้องรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าแฟนพี่เดือนคือกุมภ์?”

ทุกคนเงียบอีกครั้ง

“เอาเป็นว่า...กูจะระวังตัวจากพี่นกฮูกให้ดีแล้วกัน รวมถึงคนที่แอบตามกูด้วย เพราะกูไม่รู้ว่าเป็นใคร ด่วนสรุปไปก็ใช่เหตุ” ผมตัดบทแค่นั้น “พยายามทำตัวตามปกติเพื่อไม่ให้ใครสงสัยก็พอ กูอยากจับได้แบบคาหนังคาเขา”

“แต่มัน...”

“เราดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” ผมบอกกับผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม “อีกอย่างคือเจมส์มึงจะไปรับไปส่งกูใช่มั้ย? ผู้ชายตั้งสองคนกับคนคนเดียว ยังไงสี่เท้าก็กระทืบสองเท้าชนะเห็นๆ”

“...”

ผมไม่อยากให้เพื่อนเครียดแทนผมไปมากกว่านี้ จึงแสร้งทำเป็นให้ความสำคัญกับอาการพี่เดือนมากกว่า ถึงรู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกว่ามีคนมองผมก็ตาม

ถ้ามากกว่านี้อีกสักสัปดาห์...ผมว่าผมจะเริ่มหลอนแบบจริงๆจังๆขึ้นมาเสียแล้ว


==========


พี่เดือนรถชน แล้วน้องกุมภ์ก็มีสโตรกเกอร์ เอ...
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-06-2019 22:44:55
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาม่าถูกเสริฟ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (18/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 18-06-2019 23:45:25
บทที่ 15

 

มีคนตามผมจริงๆ ผมไม่ได้คิดไปเองแล้ว เพราะวันก่อนผมเห็นเงาคนแว่บๆตอนที่ผมกำลังจะเข้าไปในคอนโดหลังจากที่ให้เจมส์ไปส่งผม

ผมระแวง...กลัวว่าเขาไม่ได้มาแบบมีจุดประสงค์ดี ถ้ามีจุดประสงค์ดีคงไม่มาด้อมๆมองๆอย่างนี้ตลอดสัปดาห์หรอก ที่สำคัญก็คือเหมือนเขาจะรู้ด้วยว่าผมอยู่กับพี่เดือนเลยอาศัยจังหวะที่พี่เดือนเข้าโรงพยาบาลมาตามผม บางทีพี่เดือนอาจจะมีคู่กรณีก็ได้

ประเด็นก็คือพี่เดือนไปมีคู่กรณีที่ไหนนี่สิ

เขาไม่ชอบทะเลาะกับคนอื่น ถึงจะทะเลาะก็จะออกแนวทำสงครามเย็นมากกว่า ต่อยตีไม่ใช่แนวทางของผู้ชายสายเรียนเลยสักนิด ความจริงผมก็แอบคิดเหมือนกันว่าพี่เดือนจะมีปัญหาเข้ากับใครไม่ได้มั้ย เพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่หนึ่งปีในคณะ เด็กบางคนอาจจะไม่ชอบหน้าที่อายุสูงกว่า หรือบางทีเขาก็อาจจะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว

...ก็นะ หน้าตาเขาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่ ถ้าได้แต่งหน้าดีๆก็มีคนคิดว่าเป็นดาราหน้าใหม่ด้วยซ้ำ

แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับว่าผมจะถูกตามจากใคร ในเมื่อมีคนไม่กี่คนที่รู้ว่าผมคบกับพี่เดือน แสดงว่าถ้าข่าวไม่รั่วออกไปก็เป็นกลุ่มคนที่สนิทกับพี่เดือนนั่นแหละเป็นคนตาม ส่วนเรื่องที่ตามผมเพราะอะไรนั้นผมก็ไม่สามารถรับรู้ความคิดได้

วันนี้ผมเลือกที่จะให้นทีมาอยู่กับผม ยอมออกมาเช้าหน่อยเพื่อความปลอดภัยกับตัวเอง ระหว่างทางไปมหาลัยผมก็พูดกับเพื่อนที่คบมานานถึงเรื่องที่มีคนตามผม นทีบอกว่าให้ไปแจ้งความเอาไว้ แต่ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ถ้าเกิดเป็นความเข้าใจผิดกัน

“จะเข้าใจผิดได้ยังไง เขาตามมึงมาตลอดอย่างนี้”

“กูไม่รู้ว่าตามเพราะอะไร ใจเผื่อเอาไว้ในส่วนที่กูคิดมากไปเอง”

ผมตอบอย่างนั้น นทีดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เหตุผลของผมเป็นแบบนี้ แต่อย่างนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อเพราะมันไม่อยากวุ่นวายคนอื่น เมื่อมาถึงมหาลัยผมก็ขอตามเขาเข้าไปในคณะเพื่อนั่งรอเรียน

ส่วนใหญ่คณะดุริยางค์เรียนรวมกันตอนปีแรก ทำให้มีคนในห้องซ้อมดนตรีอยู่เต็มไปหมด หลายคนทักนทีว่าพาใครมา เขาก็ตอบว่าเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่บางคนก็แซวว่าเขาพาแฟนมานั่งดูเขาเล่นดนตรี

“มันมีแฟนแล้ว”

“ไม่แปลก น่ารักอย่างนี้” ผู้หญิงที่เป็นดาวคณะพูดขึ้นมา “วันก่อนเราเห็นอยู่หน้าเวที กำลังจู๋จี๋กับรุ่นพี่คนหนึ่ง”

นี่เธอเห็นผมด้วยอย่างนั้นเหรอ? แต่ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกเพราะผมตั้งใจนั่งตรงนั้นเพื่อให้นทีมันเห็นผมแล้วรู้สึกสบายใจที่อย่างน้อยก็มีคนรู้จักอยู่แถวนั้น

“นั่งรอตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวไปซ้อมเปียโนก่อน”

“เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”

“ก็...ฝึกอยู่น่ะ ยากพอตัวเพราะชินกับกีตาร์ แต่เดี๋ยวก็คงจะคล่องเอง ให้รุ่นพี่ที่อยู่เอกเปียโนมาสอน” ผมพยักหน้า แล้วก็นั่งลงกับเก้าอี้เบาะนุ่มๆ ทุกคนไม่สนใจผม ต่างคนต่างวุ่นวายอยู่กับเครื่องดนตรีของตัวเองจนกระทั่งมีอาจารย์เข้ามาสอน เขาเห็นผมแล้วถามว่าผมเป็นใคร นทีช่วยตอบแทนด้วยว่าผมเป็นเพื่อนเขา มาขอนั่งดูซ้อมดนตรี อาจารย์คนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมนั่งไปเรื่อยๆ นทีโดยรุ่นพี่ดุหลายรอบเหมือนกันแต่เขาก็พยายามไม่งอแงออกมา สีหน้าตั้งใจนั่นผมนับถือมันจริงๆ เขาคงไม่อยากยอมแพ้ตั้งแต่ตัดสินใจลงเอกที่ตัวเองทำท่าทีไม่สนใจมาก่อน

บางที...ถ้าเกิดว่าพี่เดือนเล่นดนตรีเป็นแล้วมานั่งที่เปียโนหลังนี้แทน ผมก็คงจะหลงเขาได้ง่ายๆ

ครืน...


“อ้าว ฝนตก?” อาจารย์ร้องออกมา “ห้องนี้ไม่ค่อยกันเสียงด้วย เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เลิกคลาสได้เลย”

“ขอบคุณครับ” อาจารย์เดินออกจากห้องทันทีเมื่อฝนตก นทียักไหล่เหมือนบอกว่าเป็นอย่างนี้ประจำแล้วมานั่งกับผมที่เบาะแทน “ถ้าฝนตกมันจะไม่ค่อยได้ยินเสียงดนตรีเท่าไหร่ อาจารย์แกเลยเลิกคลาสเพราะคิดว่าฝืนเล่นต่อก็คงไม่ดี”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ใกล้ได้เวลามึงเรียนแล้วนี่? ไปได้แล้วมั้ง ฝนตกเดี๋ยวก็ไม่ทันเข้าคลาสหรอก”

ผมดูนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงมุมห้อง จริงอย่างที่นทีพูด ใกล้ถึงเวลาไปเรียนแล้ว ผมเลยขอตัวกับเพื่อนแล้วหยิบร่มในกระเป๋าออกมากางเดินไปที่ตึกคณะตัวเอง ระยะแม้จะไม่ห่างกันมากแต่ด้วยความที่ฝนตกหนักแบบนี้ก็ทำให้ชายเสื้อของผมเปียกได้อย่างง่ายดาย

ตุบ

“พี่ขอไปด้วยนะกุมภ์”

ผมหันไปข้างๆ พี่นกฮูกที่ตัวเปียกมะลอกมะแลกยิ้มแห้งๆมาให้ ท่าทางจะเดินอยู่แล้วฝนเทลงมาโดยไม่ทันให้เขาตั้งตัว ผมไม่ได้อะไรที่พี่เขาจะตามมาด้วย แต่ผมรู้สึกอึดอัดที่เขาเบียดตัวกับผมมากเกินกว่าความจำเป็นทั้งที่ร่มก็คันใหญ่พอสองคนเดินไปด้วยกัน

“กุมภ์ เดือนเขาแพ้อะไรรึเปล่า?”

“ครับ?”

“พอดีว่าพี่จะไปเยี่ยมน่ะ จะเอาของกินไปฝากด้วย พี่กลัวว่าจะเอาของที่เดือนแพ้ไปให้”

“พี่เดือนแพ้กุ้งครับ เขาบอกว่าแพ้รุนแรงด้วย” ผมตอบกลับไป “เย็นนี้ผมจะไปเยี่ยมเขาก่อนที่เขาจะออกจากโรงพยาบาลมะรืนนี้ พี่ไปพร้อมกับผมเลยก็ได้นะครับ”

“ขอบคุณมากนะ” พี่นกฮูกยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหัวผม แต่ผมขยับตัวหนีจนเขาสะดุดไปชั่วขณะ สายตาส่งความไม่พอใจออกมาไม่นานก็เปลี่ยนกลับมายิ้มตามปกติ “ไม่ชอบให้คนอื่นลูบหัวสินะ พี่ขอโทษ พี่เห็นว่ากุมภ์น่าเอ็นดูดี”

“ครับ” ผมตอบเสียงเย็น ไม่ชอบเลยกับสิ่งที่เขาทำกับผม “ถึงตึกคณะแล้ว ไปก่อนนะครับ ผมมีเรียนเดี๋ยวจะเข้าไม่ทัน”

ผมรีบวิ่งขึ้นตึกทันที พอผู้ชายคนนี้มาอยู่ข้างๆกันผมก็รับรู้ได้ถึงความอันตรายที่ส่งออกมา สายตาเมื่อครู่มันไม่ได้ยิ้มตามมุมปากสักนิด มันน่ากลัวที่จู่ๆคนที่ผมเพิ่งรู้จักจะเดินเข้ามากอดคอ ลูบหัว หรือแม้กระทั่งการที่พยายามสร้างความสนิทสนมเกินความจำเป็นขนาดนี้

ให้ตายสิ...ผมชักจะกลัวทั้งคนที่แอบตามผม ทั้งกลัวพี่นกฮูกเข้าแล้ว

 

ผมไปเยี่ยมพี่เดือน เลี่ยงที่จะไปพร้อมกันกับพี่นกฮูก และมันก็ไม่พ้นที่ผมจะเจอเขาที่โรงพยาบาล พี่เดือนก็มีท่าทีอึดอัดกับการเข้าหาของพี่นกฮูก พี่นกฮูกทิ้งข้าวกล่องเอาไว้ก่อนที่จะขอตัวกลับไปก่อน ทำให้ผมได้อาศัยจังหวะนี้พูดเรื่องพี่นกฮูกกับพี่เดือน

“พี่เดือน ผมว่าช่วงนี้พี่นกฮูกเข้าหาผมมากเกินไป...จนผมกลัว”

“แล้วเขาได้ทำอะไรกุมภ์รึเปล่า? อย่างพวกกอด โอบ อะไรที่ทำให้กุมภ์ไม่สบายใจน่ะ” พี่เดือนถามผม สีหน้าของเขาดูไม่พอใจที่พี่นกฮูกทำอะไรอย่างนี้กับแฟนตัวเอง ผมพยักหน้าพร้อมกับบอกว่าพี่เขาทำอะไรลงไปบ้าง พี่เดือนยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจเข้าไปใหญ่ “เพื่อนบอกผมว่าพี่นกฮูกพยายามจีบผม พี่ได้บอกมั้ยว่าพี่คบกับผม?”

“พี่บอก แต่ไม่คิดว่านกฮูกจะทำแบบนี้ ออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องบอกสักหน่อย พี่ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอดทนกับคนที่ทำให้แฟนพี่ไม่สบายใจได้หรอกนะ”

“...”

“พี่ห่วงกุมภ์...พี่ไม่อยากให้ใครที่พี่ไม่ไว้ใจมาดูแลตอนที่พี่ไม่อยู่”

“พี่หมายถึง...พี่ไม่ไว้ใจพี่นกฮูก?” ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเขาจะไม่ไว้ใจพี่นกฮูกทั้งที่รู้จักกัน

“เขาเข้าหาพวกเรามากเกินไป พี่ไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่เข้ามาตีสนิทกันโดยสร้างความอึดอัดอย่างนี้ กุมภ์ก็น่าจะรู้ว่าพี่ไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาล้ำชีวิตส่วนตัว บางวันนกฮูกก็ถามพี่ว่าพี่ชอบกินอะไร ชอบไปที่ไหนชอบอย่างนู้นอย่างนี้มั้ยจนพี่รำคาญ พี่ไม่อยากตอบ พอพี่ตอบไปก็จะถามเรื่องอื่นเรื่อยๆไม่ยอมหยุด พี่ก็ไม่อยากระเบิดอารมณ์ตัวเองไปให้เขา” พี่เดือนส่ายหน้า “พี่ก็อยากบอกตรงๆ พี่ก็กลัวว่ามันจะไม่รักษาน้ำใจเขา พี่เลยพยายามบอกอ้อมๆมาตลอด แต่ถ้ามันถึงขั้นขนาดนี้แล้วพี่ก็ต้องบอกจริงๆนั่นแหละ”

“ก่อนหน้านี้พี่นกฮูกก็ถามผมด้วยว่าพี่เดือนแพ้อะไร ผมบอกว่าพี่แพ้กุ้ง...” ผมนึกได้ว่าเขาเอาข้าวกล่องมาฝาก ผมจึงเดินไปเปิดสำรวจดูแต่ก็ไม่เจอความผิดปกติอะไร “...ไม่น่าจะใช่ ผมคงคิดมากไปเองว่าเขาจะเอากุ้งมาใส่ในนี้”

“อย่าคิดมากไปเลย พี่ก็ดูเป็นว่าอะไรผสมในนั้นบ้าง” พี่เดือนหัวเราะเบาๆ “คืนนี้กลับไปนอนที่คอนโดเถอะ โทรฯเรียกเพื่อนมารับดีกว่า ไม่ก็เรียกโอมก็ได้”

“แต่พี่โอมเขา...”

“โอมเขาก็มีเวลาอยู่บ้าง ยังบอกอยู่เลยว่าถ้าพี่ติดขัดอะไรเดี๋ยวจะช่วยดูแลกุมภ์”

ในวันนั้นผมขอให้พี่โอมมารับผมที่โรงพยาบาล สีหน้าพี่โอมดูอิดโรยจากการเรียนหนัก แต่ก็ยังมีความสดใสอยู่เสมอ ระหว่างทางพี่โอมเขาบอกให้ผมแวะซื้อข้าวไปกินเพราะเขาดูออกว่าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย โชคดีที่พี่เดือนมีเพื่อนอย่างพี่โอม

และหลังจากนั้นชีวิตของผมก็วุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เริ่มจากมีจดหมายมาเสียบไว้ที่กล่องรับพัสดุใต้คอนโด จ่าหน้าถึงผม ข้อความภายในเขียนเอาไว้ว่าคอยดูผมอยู่ จากนั้นก็มีคนเอาห่อขนมมาใส่กระเป๋าของผมเอาไว้ตอนที่ผมมีควิซแล้วเอากระเป๋าทิ้งไว้หน้าห้อง เย็นวันเดียวกันก็รู้สึกว่ามีคนมองจ้องจากข้างหลังเมื่อผมขึ้นคอนโดไป

พี่เดือนออกจากโรงพยาบาลมาไม่กี่วันก่อน เขายิ่งกังวลว่าใครที่ตามผมจนพาผมไปแจ้งความ แต่ตำรวจไม่รับแจ้งเพราะหลักฐานน้อยเกินไป ทั้งผมและพี่เดือนต่างไม่สบายใจเมื่อชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง เพื่อนของผมก็ยิ่งเป็นห่วงตาม จนกระทั่งวันที่พวกเราต้องไปรับน้องนอกสถานที่มาถึง พวกเราต้องไปที่ทะเลแห่งหนึ่งอยู่ทางภาคใต้ พี่เดือนบอกว่าผมไม่จำเป็นต้องไปก็ได้แต่ผมก็ไม่อยากอยู่คนเดียวที่คอนโดเพราะกลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว ดังนั้นเลยดื้อตามมางาน อย่างน้อยคนเยอะๆก็ทำให้ผมสบายใจได้มากกว่า

แต่ที่ไหนได้ ผมกลับรู้สึกว่ามันอันตรายมากกว่าเก่าเสียอีก

ห้องนอนที่จัดไว้ให้เหมือนจงใจ ผมนอนกับพี่เดือน พี่นกฮูก และพี่มะยม พี่มะยมบอกว่าพวกเราคงอึดอัดที่มีคนอื่นมานอนด้วยเลยขอตัวไปนอนที่อื่น ส่วนพี่นกฮูกก็ทำตีเมินเฉยจองเตียงนอนคั่นกลางระหว่างผมกับพี่เดือน

วันแรกของกิจกรรม ทุกอย่างยังคงปกติ แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางคืนก็ทำให้ผมอึดอัดจนขอตัวกลับมาที่ห้องพร้อมกับพี่เดือน ถึงจะต้องทนโดนแซวว่ามีอะไรกันมั้ยแต่ก็ยังดีกว่าการที่พี่นกฮูกจะมาโอบเอวลูบหลังอย่างนี้

“พี่จะไปคุยกับนกฮูกแล้ว” พี่เดือนว่าแค่นี้ ก่อนที่จะขอตัวกลับไปที่ริมชายหาด ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ข้างล่าง ผมเลยโผล่หน้าออกจากระเบียงโรงแรมแล้วเห็นว่าพี่เดือนกำลังกระชากคอเสื้อพี่นกฮูกอยู่ พี่มะยมเป็นคนห้ามพี่เดือนเอาไว้ ส่วนรุ่นน้องที่อยู่บริเวณนั้นก็ไมกล้าเข้ามายุ่งเพราะกลัวโดนลูกหลง

พี่เดือนถึงขั้นลงมืออย่างนั้น...มันต้องมีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ

พี่เดือนกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจสุดขีด เขาไม่พูดคุยอะไร เดินเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อมานอนทันที เวลาที่พี่เดือนโกธรจะน่ากลัวแบบกดดัน เขาจะสร้างออร่าไม่น่าเข้าใกล้ให้แม้กระทั่งผมยังไม่กล้าเข้าไปเลย แต่สุดท้ายพี่เดือนก็เรียกผม

“กุมภ์...มานอนกับพี่มา”

“มันจะไม่เบียดกันเหรอครับ แล้วพี่นกฮูก...”

“ไอ้เหี้ยนั่นเดี๋ยวมันก็ไปนอนห้องอื่นเอง” ผมตกใจที่พี่เดือนพูดกับพี่นกฮูกอย่างนั้น “ขอโทษนะที่หลุดหยาบไป แต่พี่ทนไม่ไหวแล้วล่ะ”

“เขาทำอะไรให้พี่” ผมเดินไปที่เตียงเขา หย่อยตัวลงนั่งข้างๆพี่เดือนที่นอนเงยหน้ามองเพดาน

“เขาบอกว่ากุมภ์น่ารัก ถ้าพี่ดูแลไม่ได้เขาจะเป็นฝ่ายดูแลให้แทน” พี่เดือนหัวเราะสะใจเบาๆ “ที่มีเสียงโวยวายกันก็เพราะพี่ต่อยเขาไป”

“พี่เดือนต่อย? ผมไม่คิดว่าพี่จะทำแบบนี้”

“พี่ยังไม่คิดเลยว่ามือตัวเองจะไปไวขนาดนั้น แต่อย่างน้อยพี่ก็รู้สึกดีที่ได้ซัดหมอนั่นไปสักหมัด เหมือนมันได้ระบายอารมณ์หงุดหงิดออกมา แล้วพี่ก็ขอโทษด้วยนะที่ทำหน้าอารมณ์เสียขนาดนั้นให้” พี่เดือนดึงผมลงไปนอนด้วยซุกหน้ากับไหล่ผมไปมา “คนที่เคยอยู่โรงเรียนมัธยมด้วยกันถ้ามาได้ยินว่าพี่ต่อยชาวบ้านคงช็อคกันไปเป็นแถบๆ”

“แค่พี่ซิ่วหมอมาคนอื่นก็ตกใจกันจะแย่แล้วครับ” ผมหัวเราะในลำคอ ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มพี่เดือน “แต่พี่เดือนก็ยังเป็นพี่เดือนไง เป็นพี่เดือนที่อ่อนโยนกับผมเสมอ แล้วก็เป็นพี่เดือนที่น่าแกล้งเสมอ วันก่อนผมแอบเห็นพี่เดือนสะดุดพรมเช็ดเท้านะ”

“ตลอดนั่นแหละ พี่ว่าจะเอาออกแล้ว ลื่นตลอด” เขาผละตัวเองออกจากผม ก่อนที่เปลี่ยนมาเป็นกอดหลวมๆแทน “ถ้าพี่ลื่นหัวแตกตายจะทำยังไง”

“พี่อย่าพูดเรื่องความเป็นความตายเล่นนะครับ พี่เพิ่งรอดมาจากรถชนไม่นานนี้เอง รถก็ส่งซ่อมอยู่ ถ้าเกิดว่าผมไม่โทรฯไปบอกพ่อพี่ล่ะก็นะ หนี้ท่วมหัวแน่” พี่เดือนหัวเราะเบาๆเชิงขอโทษ พวกเราหยอกล้อคิกคักกันได้สักพักพี่นกฮูกก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งๆ เขาไม่ได้มองพวกเราเลยแม้แต่น้อยราวกับจงใจเมิน พี่เดือนเองก็นิ่งไปเพราะไม่อยากแสดงอาการขุ่นมัวออกมา

บรรยากาศความอึดอัดฟุ้งไปทั่วห้องจนผมรู้สึกหายใจไม่ออก ก่อนที่พี่นกฮูกจะออกไปเขาเดินเข้ามายืนข้างๆเตียงที่ผมกับพี่เดือนกำลังนอนข้างกันอยู่

“กุมภ์ ตอนนี้กุมภ์ก็น่าจะรู้แล้วนะว่าเพราะอะไรที่ทำให้พี่เข้าหา”

“...”

“เพราะกุมภ์ต้องมาเป็นของพี่ พี่จะแย่งทุกอย่างมาจากเดือนคนเก่งของกุมภ์ยังไงล่ะ”

ผมขนลุกที่เขาพูดแบบนั้น พี่นกฮูกลากกระเป๋าออกไปจากห้อง ทุกอย่างกลับสู่สิ่งที่ควรจะเป็นอีกครั้ง พี่เดือนลุกขึ้นมาแล้วลงมือล็อคกลอนจากข้างในเพื่อไม่ให้เพื่อนเดินเข้ามาอีก ท่าทางของเขาดูยังนิ่ง น่ากลัว ผมว่าเขากำลังจะเริ่มสงครามจิตวิทยากับพี่นกฮูก สักพักเสียงการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ของพี่เดือนก็ดังขึ้นมา

พี่เดือนหยิบขึ้นมาดู ขมวดคิ้วเป็นปมก่อนที่จะทำอะไรสักอย่างกับการแจ้งเตือนที่เข้าไม่สิ้นสุดนั่นจนมันเงียบไป เขาเดินมานอนที่เดิมอีกครั้งแล้วดึงผมเข้ามากอดให้แน่นกว่าเก่าจนผมรู้สึกว่าหัวใจของพี่เดือนนั้นเต้นแรงกว่าที่เคย

ไม่ใช่เต้นแรงจากการที่ได้กอดกับคนรัก แต่มันเต้นแรงจากความโกธรที่กำลังจะปะทุ

“พี่เดือน...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ให้พี่ใจเย็นลงกว่านี้ก่อน” พี่เดือนพูดเสียงเย็น ผมสะดุ้ง และยอมอยู่เฉยๆจนเผลอหลับไปกับความรู้สึกที่ไม่สบายใจโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าพี่เดือนแอบย่องลงจากเตียง

 

วันรับน้องวันต่อมา ผมขอไม่ออกจากห้องเพราะไม่กล้าสู้หน้าพี่นกฮูก ความจริงก็คือกลัวด้วยซ้ำเลยอ้างไปว่าไม่สบายจากการตากลมเยอะไป ผมนอนกลิ้งไปมาบนเตียงด้วยความเบื่อ พี่เดือนซื้อขนมซื้อน้ำมาทิ้งเอาไว้ให้เนื่องจากมาอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้ในเมื่อเขาเป็นคนถือกล้องถ่ายบรรยากาศงาน มีบ้างที่ผมแอบๆมองลงไปตรงลานกิจกรรมหน้าโรงแรมที่พี่คนอื่นๆกำลังให้นักศึกษารุ่นเดียวกันร้องเพลงเชียร์ แต่ในตอนบ่ายผมโผล่หน้าออกไปดูคนอื่นเล่นน้ำตามความอยากรู้ ผมก็เห็นว่าพี่นกฮูกกำลังยืนอยู่ตรงลานกิจกรรมคนเดียว จ้องขึ้นมาทางห้องผมด้วยสายตาที่อ่านได้

ผมรับรู้ถึงความอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ทำให้ผมรีบปิดผ้าม่านทันทีแล้วมานั่งสั่นเพราะตกใจบนเตียง

ผม...ผมต้องบอกพี่เดือน

ตอนเย็นก่อนที่จะมีกิจกรรมบายศรีส่งท้าย พี่เดือนแวะขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อพร้อมกับถามผมว่าอยากลงไปหรือไม่ ทำให้ผมต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันไป พี่เดือนยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจ เขาบอกให้ผมอยู่แต่ในห้อง บายศรีไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยของผม นับชั่วโมงพี่นกฮูกยิ่งคุกคามพวกเรามากขึ้นด้วยสาเหตุที่ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่เขาสัญญาว่าจะจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมนั่งเหม่อแง้มม่านออกมาดูพิธีบายศรีรับน้อง ทุกคนมีความสุข มองไม่เห็นหรอกว่ามีใครอยู่ในกลุ่มบ้าง ผมจะแอบไปเข้าร่วมกับเขาดีมั้ยนะ? แต่มาคิดๆดูถ้าพี่เดือนรู้ว่าผมเข้าไปต้องโกธรมากแน่ๆที่ไม่ฟังเขา ดังนั้นพลาดไปก็คงไม่เสียหายอะไรมากหรอก

ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่เดือนก็แค่นั้น

ก๊อก ก๊อก

“หืม?” ผมเดินไปดูตรงตาแมวของประตูว่าใครมา ผมเห็นพี่นกฮูกกำลังยืนอยู่หน้าห้อง ผมเลยเดินถอยหลังไปตั้งหลักทำใจก่อนที่จะเงียบๆทำเหมือนหลับไปแล้ว

ก๊อก ก๊อก

ก๊อก ก๊อก

ก๊อก


เสียงเคาะประตูยังคงดัง และมันเพิ่มระดับความดังมากขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มที่จะทนไม่ไหว ผมพุ่งไปที่เตียงแล้วคลุมผ้าห่มให้ทั่วไป ไม่นานนักเสียงเคาะเหล่านั้นก็หายไปกลายเป็นเสียงดังเบาๆที่ประตูเหมือนเขากำลังห้อยอะไรไว้ที่ประตู

ผมยังไม่ไว้ใจที่จะเปิดประตู แต่พอก้มดูตรงพื้นก็เห็นว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดเข้ามา มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ระวังตัวให้ดี

ระวังตัว...ระวังตัวจากอะไร? แต่ที่แน่ๆคือผมต้องระวังตัวจากพี่นกฮูกให้มาก ผมเดาไม่ออกแล้วว่าพี่เขากำลังคิดอะไร จะทำอะไร ผมค่อยๆเปิดประตูออกมาแล้วดูของที่เขาห้อยเอาไว้ที่ลูกบิดประตู เป็นถุงที่เต็มไปด้วยของชอบของผม ผมไม่พิศวาสที่รับมันมา ผมจึงถือถุงนั้นเดินไปที่แม่บ้านที่กำลังทำความสะอาดตรงลิฟต์ เอาให้เธอบอกว่ามีคนเอามาให้ผิดห้อง ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ฝากไปไว้ที่เคาน์เตอร์ส่งคืนเจ้าของ จากนั้นก็เดินกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แอบดูเหตุการณ์ข้างล่าง ผมเห็นเงาพี่นกฮูกกำลังยืนอยู่แถวๆหน้าเตาย่างกุ้ง พี่เดือนกำลังถ่ายรูปเพื่อนๆของผม แนนนั่งกินกุ้งกับเจมส์และคิว ทุกอย่างเป็นปกติ

อืม...บางทีผมควรจะรีบเข้านอนก่อนเพื่อให้วันนี้มันจบเร็วๆด้วย

ก๊อก ก๊อก


ผมที่กำลังจะนอนลุกขึ้นมาส่องอีกครั้งว่าเป็นใครที่มาเคาะประตูอีก คราวนี้เป็นพี่มะยมเพื่อนสนิทของพี่เดือนจริงๆมา หน้าตาเขาดูตื่นๆจนผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นถึงรีบวิ่งขึ้นมาแบบนี้

“ครับพี่มะยม?”

“กุมภ์! ตอนนี้เดือนกำลังช็อคเพราะเผลอกินมันกุ้งเข้าไป! ตามไปโรงพยาบาลด่วนเลย!”

ผมตกใจลนลาน รีบเก็บข้าวของแล้วตามพี่มะยมไป พี่เดือนเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลแต่กลับต้องมาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งนี่มัน...

มันทำให้ผมใจเสียหนักกว่าเก่า



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (18/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 18-06-2019 23:51:15
หลังจากที่ฟังรายละเอียดคร่าวๆ ผมได้ยินมาว่าเตาที่ใช้ย่างกุ้งกับบาร์บีคิวนั้นเป็นเตาเดียวกัน มันกุ้งที่หยดออกมาติดตะแกรงย่างนั้นมันเคลือบกับผิวบาร์บีคิว พอพี่เดือนกินเข้าไปแม้ว่าปริมาณจะไม่ได้มากขนาดนั้น แต่เพราะด้วยพี่เดือนเป็นคนแพ้กุ้งรุนแรงเลยทำให้อาการหนักจนต้องรีบพาเข้าห้องไอซียูไปเช็คอาการ ประมาณชั่วโมงกว่าๆพี่เดือนถึงได้ออกมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจของพี่มะยมที่โล่งอกไปกับผมด้วย

ผมเดินเข้าไปบีบมือพี่เดือน สีหน้าของเขายังไม่ค่อยดีนัก ตามผิวยังมีผื่นแดงๆขึ้นบ้างแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนที่รถพยาบาลมารับ พี่เดือนยิ้มบางๆให้พร้อมกับลูบหัวปลอบว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว

“พี่ขอโทษที่ไม่ทันระวังตัว กินเข้าไปไม่ดูเองว่าเขาใช้เตาเดียวกัน”

“พี่เป็นห่วงพี่แทบตาย! ถ้าเกิดอาการหนักกว่านี้พี่จะทำยังไง! ผมจะทำยังไง!” ผมทุบหน้าอกพี่เดือนด้วยกำปั้นตัวเอง พี่เดือนดูอึ้งๆไปหน่อยที่ผมระเบิดอารมณ์พร้อมกับน้ำตา แล้วเขาก็ดึงผมเข้าไปกอดไว้เพื่อให้ผมสงบลง

“พี่ขอโทษจริงๆนะ...ขอโทษนะคนดี” เขาปรับริมฝีปากลงกับกลุ่มเส้นผม ปลอบโยนผมทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนปลอบโยนด้วยซ้ำ “ตกใจใช่มั้ย? ไม่เป็นไรแล้ว...พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว...”

“...สองครั้งแล้วนะที่พี่เฉียดเป็นเฉียดตาย ผมไม่ชอบ ผมกลัว...”

“ชู่ว...ไม่ร้องนะ...” พี่เดือนผละตัว โน้มลงมานิดหน่อยแล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลลงมาให้ “พี่จะไม่ประมาทแล้ว...หยุดร้องเถอะนะ”

ผมสะอื้น แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลลงแล้ว พี่เดือนปลอบผมอีกสักพักใหญ่เลยถึงค่อยเดินไปรับยา ผมเห็นพี่นกฮูกยืนอยู่ห่างๆจากเคาน์เตอร์ สายตามองมาด้วยความแค้น ผมจะเดินไปยืนข้างๆพี่เดือนแล้วกระตุกแขนเสื้อเขาแรงๆ

พี่เดือนหันมามองผม แล้วก็หันไปทางจุดที่พี่นกฮูกยืนอยู่ พอพวกเขาสบตากันพี่เดือนก็ส่งออร่าเย็นชาออกมาทันทีอย่างไม่เป็นมิตร เหมือนเขาน่าจะพอเดาอะไรบางอย่างออก

เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิด พี่นกฮูกเป็นคนคุมเตานี่นา...

“พี่เดือน พี่นกฮูกรู้ว่าพี่แพ้กุ้ง แล้วเขาก็ใช้เตานั่นย่างกุ้งกับบาร์บีคิว”

“ตอนพี่หยิบบาร์บีคิว พี่หยิบจากเด็กคนหนึ่ง เขาบอกว่ามีคนเอามาให้” พี่เดือนพูดเสียงเรียบ “คิดจะประกาศสงครามกับพี่ ให้กุมภ์รับอารมณ์กดดันอย่างนั้นเหรอ...มันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”

“พี่เดือน ถ้าเขาจะทำอะไรผมทำไมไม่เล็งมาที่ผมเลย ทำไมต้องเล็งพี่ก่อน?”

“พี่ก็ไม่รู้...” พี่เดือนส่ายหน้า “พี่ว่าจะกลับก่อน พี่มีตั๋วรถที่แอบจองเอาไว้สองที่ กุมภ์เองก็กลับพร้อมกันเลย”

“...”

“พี่ว่าไม่ไหวแล้วที่จะให้นกฮูกคุกคามแบบนี้”

“พี่เดือน ตอนที่มีบายศรี พี่นกฮูกก็มาเคาะประตูห้อง เอาขนมที่ผมชอบมาห้อยไว้ที่ลูกบิดประตูด้วย” ผมบอกพี่เดือน “แต่ผมไม่ได้เก็บเอาไว้ ผมเอาไปให้แม่บ้านของโรงแรม บอกว่ามีคนเอามาห้อยไว้ให้ผิดห้อง ถ้ามีใครมาถามถึงก็เอาให้เขาไป”

“ดีแล้วล่ะที่ทำแบบนั้น ถึงขนมจะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อหรือจากไหนพี่ก็ไม่ไว้ใจทั้งนั้น” พี่เดือนโอบเอวผม แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่พาเดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมกัน พี่มะยมเดินตามข้างหลังพร้อมกับช่วยดูว่ามีใครกำลังแอบมองอยู่รึเปล่า

เรื่องนี้ผมบอกกับพี่มะยมว่ามีคนกำลังตามสโตรกพวกเรา และผมก็เริ่มปักใจเชื่อไปแล้วว่าคนที่ตามผมมาตลอดนั่นก็คือพี่นกฮูก

พี่เดือนยืนยันว่าไม่เคยไปมีปัญหากันมาก่อนเลยจริงๆนอกจากตอนที่ไปต่อยเขา...แต่นั่นกำม่น่าจะใช่สาเหตุที่ทำให้พี่นกฮูกมาตามเพราะเขาตามผมก่อนหน้านั้นอีก

แต่ในคืนนี้ผมกับพี่เดือนต่างนั่งรถกลับเข้ากรุงเทพด้วยกันพร้อมกับความหวาดระแวงที่ก่อตัวในใจของผมมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากที่รับน้องผ่านมาเดือนกว่าๆ ผมกับพี่เดือนก็คิดว่าคงจะปลอดภัยขึ้นแล้วเพราะผมไม่รู้สึกว่ามีคนตามผมอีก แต่ผมก็จะไม่ใช้ชีวิตประมาทเพราะพี่นกฮูกยังคงวนเวียนๆอยู่ บางทีก็เข้ามาหากลุ่มเพื่อนผมเพื่อเอาขนมมาให้ บางทีก็มาดักรอที่ใต้คอนโด พี่เดือนไล่ไปทุกครั้ง พี่นกฮูกก็ยิ้มๆก่อนที่จะยอมไปราวกับว่าเขารออาศัยจังหวะที่ผมอยู่คนเดียวยังไงยังงั้น

วันนี้ผมกับพี่เดือนมามหาลัยตามปกติ ใกล้จะสอบแล้วก็ต้องขยันมาจดเล็กเชอร์กันสักนิดแม้ว่าเอกของพวกเราจะเน้นภาคปฏิบัติ นทีที่พ่วงสอยมาด้วยก็มานั่งอ่านภาคทฤษฏีด้วยกัน ผมเองก็สงสัยว่าเขาไม่มีเพื่อนเลยหรือยังไงถึงมาตัวติดกับผมเหมือนตามมัธยมอย่างนี้

“พี่เดือน ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย?”

“โธ่พี่ ผมไม่ได้อายุสามขวบนะ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ผมยิ้มให้พี่เดือน ก่อนที่จะลุกเดินไปห้องน้ำข้างๆโรงอาหารที่ผมว่าคนน่าจะเยอะ ที่ที่คนเยอะคงไม่มีอันตรายหรอก

ผมออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นว่าพี่นกฮูกกำลังยืนดักอยู่ตรงประตูทางเข้า เขาหันหลังให้ผม ผมไม่กล้าทัก แต่ถ้าผมไม่ทักก็จะไม่ได้ออกจากห้องน้ำนี่แน่ๆ

ใจดีสู้เสือวะ

“พี่ครับ ผมขอทางหน่อยครับ”

“ว่ายังไงน้องกุมภ์” พี่นกฮูกผลักตัวผมเข้าไปในห้องที่มีชักโครก ปิดประตูลงกลอนแล้วใช้นิ้วของเขาเสยคางผมให้เงยหน้ามองเขาชัดๆ ใต้ตาพี่นกฮูกคล้ำอย่างชัดเจนเหมือนเขาไม่ได้นอนมาหลายวัน “รอจังหวะนี้มานานมากแล้ว...ใช่...รอมานานมาก”

“พี่รออะไร?”

“รอจังหวะที่จะได้แก้แค้น...เมื่อห้าปีที่แล้ว”

“ห้าปี...ที่แล้ว?” ห้าปีก่อน...ก็คงเป็นตอนที่พี่เดือนอยู่ม.4ได้? “พี่เดือนบอกว่าไม่เคยรู้จักพี่มาก่อน ห้าปีก่อนพี่เดือนจะไปทำอะไรให้พี่ได้กันครับ? พี่อย่ามามั่วนะ แล้วก็ขอทางให้ผมด้วย”

ปัง!

“ไม่ ให้ ไป!” พี่นกฮูกตะคอกใส่หน้าผมเสียงดังชัดเจนจนผมสะดุ้ง จากนั้นเขาก็จับเข้าที่บ่าทั้งสองข้างของผม พูดด้วยน้ำเสียงสั่นปนระรัวจนเกือบจะฟังไม่ออก “เมื่อห้าปีก่อน...มันทำผลงานให้โรงเรียนเยอะมาก พี่ที่พยายามแทบตาย ทำผลงานให้ได้เท่าไม่เคยมีใครเคยเห็นหัวเลย! เพราะมันหน้าตาดีกว่า! มาจากตระกูลหมอ! อะไรที่มันต้องการมันก็ได้! ส่วนพี่ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองนั้นไม่เคยมีใครสนใจเลย! เพราะพี่มันเป็นเด็กเนิร์ดที่ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้เด่น ทำผลงานก็ไม่มีใครมาชื่นชมยินดีด้วย!

“กุมภ์เข้าใจพี่มั้ยว่าพี่กดดันมากแค่ไหนที่ทุกคนเห็นเดือนมันสำคัญกว่า พี่เองก็อยากให้มีคนสนใจ อยากให้พ่อแม่สนใจว่าลูกคนนี้ก็พยายามแทบตายเพื่อให้ได้รางวัลดีๆ แต่ไม่มีใครเลยที่มองพี่! ไปแสดงความยินดีกับมันหมด! ทั้งที่รางวัลของมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก!”


ผมค่อนข้างอึ้งที่พี่นกฮูกระเบิดอารมณ์ลงมาอย่างนี้ เขาเก็บเอาไว้ในใจมากจริงๆ แต่ผมก็ไม่คิดที่จะหลวมตัวเพียงเพราะแค่นั้นแน่นอน

“พี่ย้ายโรงเรียนเพราะทนกับสถานการณ์อย่างนี้ไม่ไหว แต่มันก็แย่กว่าเก่า! พี่อดคิดถึงมันไม่ได้เลย! พอขึ้นมหาลัยมาพี่ก็ไม่คิดว่าจะเจอมันในที่เดียวกัน เรียนหมอ...แล้วก็ย้ายมานิเทศที่พี่กำลังรุ่ง มันแย่งทุกอย่างไปจากพี่อีกครั้งหลังจากที่กลับมาตั้งหลักได้!”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยพี่นกฮูก! พี่เดือนเองก็เจอกับเรื่องแบบเดียวกันกับพี่มาเหมือนกัน! เขาต้องทรมานมากแค่ไหนถึงจะมาถึงจุดนี้ได้! เขากดดันมากกว่าพี่เสียอีก พี่แค่ไม่อดทน พี่แค่ไม่ยอมรับเท่านั้น!” ผมเป็นฝ่ายผลักเขาเข้ากับประตูห้องน้ำบ้าง พี่นกฮูกร้องโอ้ยออกมาก่อนที่จะจ้องตาผมอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“ท่าทางจะหัวดื้อน่าดู เชื่อพี่เถอะว่าคบกับมันไปจะไม่มีความสุข”

“จะไม่มีความสุขก็เพราะพี่คุกคามพวกเรานี่แหละ! ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะครับ!”

“บอกแล้วไม่เชื่อนะ”

“...”

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องพรากสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของมันไปแล้วสิ”

“!!”

.

..

ฉึ่ก

.

..

“มันคงเสียใจน่าดูถ้าคนที่มันรักที่สุดต้องมาตายอนาถเพราะเพื่อน” ในมือของพี่นกฮูกมีมีดสั้น ผมรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าท้อง ของเหลวสีแดงเริ่มไหลลงมาจากบาดแผลที่เขาทิ่มแทงเข้ามา แต่เขายังไม่หยุดแค่นั้น เขาแทงเข้ามาอีกแผลบริเวรใกล้ๆกันจนผมร้องไม่ออก

“ทีแรกจะตั้งใจให้มันตาย...แต่ถ้าทำอย่างนี้คงจะสนุกกว่าเพราะมันจะตายทั้งเป็น”

และอีกแผล...

“มันกุ้ง...ก็เป็นแผนที่ตั้งใจทำเพื่อให้มันช็อกจนต้องเข้าโรงพยาบาล เสียดายที่รักษาทันอาการไม่งั้นค่ายรับน้องของนิเทศปีนี้ต้องเกิดอาถรรพ์แน่”


ซ้ำอีกรอบ...

“พี่จะต้องทำให้มันเสียใจ...เสียใจจนคิดว่าทุกอย่างเป็นความผิดของมัน ถ้ามันไม่ทำตัวเด่น...”

ผมยืนไม่ไหว...ทรุดลงกับพื้นห้องน้ำ เลือดของผมไหลลงไปผสมกับน้ำที่เจ่อนองพื้นปูกระเบื้อง สมองคิดอะไรไม่ออกแล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

“และมันจะต้องฆ่าตัวตายตาม...ถ้าน้องกุมภ์ไม่อยู่บนโลกนี้”

พี่นกฮูกนั่งยองๆลงกับพื้น จับมือข้างซ้ายของผมขึ้นมาพิจารณามองด้วยสายตาที่น่ากลัวราวกับว่าจะตัดมันให้ขาดเสียตรงนั้น ผมพยายามจะพูดคำออกไปแต่ด้วยเพราะการที่โดนแทงทำให้ความเจ็บปวดนั้นแทรกแซงไปหมดจนไม่สามารถจะเปล่งอะไรออกไปได้เลย

“มือสวยดีนี่นา”

“...”

“พี่อยากได้นิ้วก้อย...ขอนะ”

ฉับ

“อะ..!”

เจ็บปวด...แต่ไม่สามารถร้องออกไปได้...

ทรมาน...แต่ก็ทำได้แค่หลั่งน้ำตา

พี่นกฮูก...ตัดนิ้วก้อยข้างซ้ายของผมด้วยกรรไกรคมขนาดใหญ่ สีแดงจากเลือดอาบไปทั่วมือของผม ความเจ็บปวดแล่นเข้ามายิ่งกว่าเมื่อถูกแทง เขาหัวเราะสะใจเสียงดังไม่กลัวว่าข้างนอกนั้นจะมีคนผ่านไปเยอะแค่ไหนก็ตามในขณะที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย

“ขอบคุณที่อยู่คุยด้วยนะ ไปก่อนดีกว่า” พี่นกฮูกเปิดประตูห้องน้ำออกไป เพราะการที่ไม่มีคนที่ทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าผมกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ในห้องชักโครก มือของผมพยายามเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์เพื่อกดโทรฯหาพี่เดือนให้ได้ก่อนที่สติของผมจะหมด

ผม...จะยอมแพ้ไม่ได้...

แต่มันก็เจ็บเหลือเกิน หนังตาของผมมันหนักขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเริ่มไม่ฟังคำสั่งของผม มือสั่นมากขึ้น นี่คืออาการช็อกจากการเสียเลือดมากไปหรือเปล่านะ? ผมไม่รู้ สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียวก็คือต้องอดทนอีกสักวินาทีก็ยังดี

ในที่สุดหลังจากการพยายามอย่างนาน ผมก็สามารถหยิบโทรศัพท์ตัวเองมากดเบอร์โทรฯของพี่เดือนได้ แต่ทว่ามือผมมันก็หมดแรงเสียแล้ว

‘กุมภ์? อะไรเหรอ?’

“พี่..เดือ...”

‘กุมภ์?’

“...” ปาก...มันไม่ขยับตามแล้ว...แต่เปลี่ยนมาเป็นอ้าพะงาบเกรงแทน ผมพยายามพูดออกมาอีกครั้งแต่เสียงที่ออกมามีแค่คำว่า ‘อะ’ เท่านั้น

ความรู้สึกที่สมองมันกำลังจะดับลงนี่มันอะไรกัน...

‘กุมภ์! เกิดอะไรขึ้น!’

‘กุมภ์! กุมภ์อยู่ไหน!’

“เฮ้ย! มีคนโดนแทงอยู่ในห้องน้ำ! เรียกรถพยาบาลเร็ว!”

“นั่นกุมภ์ไม่ใช่เหรอ?! กุมภ์! มึงทำใจดีๆเอาไว้!”


สติของผม...มันดับลงไปพร้อมๆกับเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน มันเป็นเสียงที่ผมต้องการได้ยินมากที่สุดในเวลานี้...ต่อให้มันจะเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของผม แต่ถ้ามันทำให้จิตใจของผมรู้สึกสงบอย่างนี้...ผมเองก็ดีใจมากแล้ว

 

“กุมภ์อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ!”

.

..

อ่า...

มีความสุขจัง...ที่อย่างน้อยเขาก็มาถึงก่อนที่ผมจะหลับไป...


 

 

 

 

“กุมภ์ วันนี้มีเรียนพิเศษรึเปล่า?”

เพื่อนสนิทของผมชื่อว่านทีถามขึ้นมาเมื่อพวกเราเรียนจบคาบสุดท้ายของวัน มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าผ้าใส่เสื้อพละส่วนอีกข้างกำลังสะพายกระเป๋ากีตาร์ตัวโปรด เขาเป็นสมาชิกชมรมดนตรี ตำแหน่งมือกีตาร์ของวงโฟล์คซองค์ ส่วนผมเป็นสมาชิกชมรมบรรณารักษ์ ด้วยความที่พวกเราสองคนนั่งข้างกันในวันปฐมนิเทศ ทำให้ได้ทำความรู้จักกันและมาสนิทกันในภายหลัง

กุมภ์ หรือกุมภา สิริกุล คือชื่อของผม ปีนี้เป็นนักเรียนชั้นม.4...แต่ทำไมผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เรียนม.4 จริงๆกัน?

ช่างมันเถอะ

ผมให้นทีมาส่งผมถึงที่เรียนพิเศษ เดินเข้าไปในที่เรียนพิเศษ หยิบการ์ดพลาสติกที่เป็นบัตรขึ้นมาดูว่าผมเรียนห้องไหนก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นสองที่เป็นห้องเรียนแบ่งโซน ที่นั่งจัดให้ผมไปนั่งอยู่แถวๆต้นไม้กระถางไม่สูงมากเท่าไหร่ ผมรู้สึกโชคดีเพราะว่าผมจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเวลาที่เห็นแต่ห้องเรียนสีขาวนี้

แต่ในใจของผมเองก็รู้สึกอึดอัดราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้น

ข้างๆผมมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังใส่เฮดโฟนเรียนอยู่ มือของเขาจับปากกาสีน้ำเงินแล้วเขียนใส่ลงสมุดข้างๆ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็กำลังยกแก้วน้ำขึ้นมาดูด

หืม? นี่มันผู้ชายที่ผมเจอเมื่อวานนี่นา

ถ้าสงสัยว่าเขาเป็นใคร เขาคือพี่เดือน พีรดล นารีรัตน์ นักเรียนชั้นม.6 เป็นรุ่นพี่คนเก่งของทุกคน ด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูงจนน่ากลัวกับผลงานทางวิชาการมากมายนั้นทำให้เขากลายอมนุษย์ในสถานศึกษาแห่งนี้ ไหนจะหน้าตาที่ดี ผมสีดำสนิทตัดถูกระเบียบ ดวงตาเมล็ดอัลมอนด์ โครงหน้าเรียวได้รูป จมูกที่โด่งพอดี รวมถึงริมฝีปากบางๆทำให้ยิ่งเป็นที่สนใจ แต่จุดที่น่าสนใจกว่าก็คือไม่ค่อยมีใครได้คุยกับเขามากนักทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนแบบไหน บ้างก็ว่าเขาหยิ่ง บ้างก็ว่าเขาไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า

แต่ก็น่าแปลกใจอีก...ที่ผมคุ้นเคยกับเขาคนนี้เสียเหลือเกิน

ราวกับว่าผมรู้จักเขาคนนี้มานานแสนนาน


“กุมภ์...”

“อะ...พี่รู้จักชื่อผม?” ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่เดือนรู้จักชื่อของผม แต่ก็มานึกได้ว่าพี่เดือนเป็นหัวหน้าชมรมบรรณารักษ์ที่ผมสมัครไป “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“อย่าทิ้งพี่ไป” น้ำเสียงของเขาสั่น แล้วโลกก็หมุนจนผมต้องหลับตาเพราะเวียนหัว เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างปกติดีแล้วผมก็ลืมตาขึ้นแล้วพบว่าผมกำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย...ไม่สิ มันรู้สึกคุ้นน่าประหลาด มันเป็นห้องสี่เหลี่ยม เป็นเหมือนคอนโดของใครสักคน แต่นี่คงเป็นความฝันของผมเอง ดังนั้นจึงไม่ค่อยตื่นตระหนกเท่าไหร่กับการที่โผล่มาที่พักของคนอื่นอย่างนี้

“กุมภ์...”

“...”

“พี่ไม่อยากให้กุมภ์ต้องหายไป กุมภ์ช่วยอดทนเพื่อพี่อีกสักนิดได้มั้ย? ถ้าพี่ไม่มีกุมภ์อยู่แล้ว...พี่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง” พี่เดือนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหาร “มันเจ็บมากมั้ย...ตรงท้องน่ะ?”

“ท้อง?” ผมก้มลงดูหน้าท้องของตัวเองที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่ผมไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง...หรือเคยรู้สึกแต่ว่ามันจางไปแล้วกัน “ผมว่ามันน่าจะเคยเจ็บ...แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บหรือไม่อะไรเลย”

“แล้วนิ้วก้อยข้างซ้ายของกุมภ์ล่ะ?” ผมดูที่มือข้างซ้ายของตัวเอง จำไม่ได้เลยว่าผมมีสี่นิ้วอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนไหน แต่ในความรู้สึกที่เคยสัมผัสมานั้น...ผมว่าผมเคยมีครบทั้งห้านิ้วมาก่อน “กุมภ์...กุมภ์ไม่ได้อยู่คนเดียว กุมภ์มีพี่ มีเพื่อน มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ กุมภ์อย่าแบกความรู้สึกเอาไว้คนเดียว อย่าทำให้มันชินจนกลายเป็นความเฉยชา กุมภ์จำได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่กุมภ์เลือกที่จะไม่จำ กุมภ์รู้ตัวเองดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่กุมภ์เลือกที่จะปิดกั้นและโกหกกับตัวเอง พี่ก็เคยเป็น แต่พี่ขอร้อง...กุมภ์อย่าปิดใจตัวเองเพื่อป้องกันความเจ็บปวดนี้เลย พี่อยากเข้าไปปลอบประโลม...พี่อยากเข้าใจกระซิบบอกข้างๆหูว่ามันจะต้องไม่เป็นอะไร พี่อยากจะเข้าไปกอดจากด้านหลัง มอบความอบอุ่นและปลอดภัยให้”

ผม...ไม่เข้าใจอะไรสักนิด ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำตาถึงไหลลงอาบข้างแก้ม ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆความเจ็บปวดก็แล่นเข้าสู่ร่างกายอย่างนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เดือนถึงต้องร้องไห้ตามผม ไม่เข้าใจเลย...ไม่เข้าใจสักนิด...

ผมรู้อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ ผมรักพี่เดือนมาก เท่านั้น...

“กุมภ์ตื่นมา...ตื่นมาพบกับความจริง ตื่นมาเจอพี่เถอะนะ...พี่ขอร้อง...พี่ขอโทษที่ปกป้องกุมภ์ไม่ได้...” พี่เดือนทรุดลงไปกับพื้น เขาร้องไห้...น้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นสายเลือด และห้องก็หมุนไปอีกครั้งกลายเป็นว่าผมกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดคนเดียว

เสียงร้องไห้ของพี่เดือน...ก็ยังคงดังอยู่ไปก้องทั่วบริเวณที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแห่งนี้

เปลือกตาของผมมันหนักเหลือเกิน...อยากเปิดมากเท่าใดก็ทำไม่ได้ อยากจะขยับปากเท่าใดก็ไม่มีแรง ผมต้องมีกำลังมากกว่านี้...พี่เดือนกำลังร้องไห้ ผู้ชายที่ผมรักกำลังร้องไห้ให้กับผมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“มันน่ากลัวนะ...ที่เรายังต้องหลับอยู่แบบนี้”

ผมหันหลังไป เห็นร่างของใครบางคนกำลังยืนหันหลังให้ แต่พอมองดีๆแล้วนั่นมัน...ตัวของผมเอง?

“ในขณะที่ร่างของเรายังคงหลับใหลบนเตียงอย่างสงบสุข ใครอีกคนต้องมาเสียใจอย่างหนักโดยที่เราไม่สามารถปลอบประโลมได้เลย...” ตัวผมอีกคนเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็กอดผมเอาไว้ “แต่มันจะต้องไม่เป็นอะไร...พี่เดือนเข้มแข็งมากพอที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยตัวเองเพื่อจัดการทุกอย่างให้เสร็จ พวกเรารอเขาอยู่ตรงนี้ก็พอแล้วเถอะนะ...หลังจากนี้มันจะเป็นคราวของเขาที่ต้องเป็นฝ่ายออกตัวบ้าง”

“แต่ว่า...”

“ไม่เชื่อใจพี่เดือนเหรอ?”

“...”

“เชื่อใจเขาเถอะนะ...เพราะยังไงหัวใจของพวกเราก็สื่อตรงไปถึงเขาได้นี่นา”

“หมายความว่ายังไง?”

“ทั้งตัวของเราและตัวของเขา...ต่างได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน มันจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้อีกฝ่ายทำเพื่ออีกคน ทำตามสิ่งที่ใครอีกคนต้องการแม้ว่าจะไม่สามารถพูดได้ก็ตาม”

“...”

“ก็รักอีกฝ่ายมากซะขนาดนั้น...หัวใจมันกลายเป็นดวงเดียวกันไปตั้งนานแล้วนี่?”

 

พี่เดือนช่วยอดทนรอผมอีกสักนิดก่อนนะ...

ผมเองก็พยายามที่จะลืมตาเพื่อคุยกับพี่อีกครั้งเหมือนกัน




==========

บทหน้าจะส่องสปอร์ตไลท์ไปที่พี่เดือนกันนะคะ มาดูกันว่าพี่เดือนจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น

น้องกุมภ์โดนตัดนิ้วก้อย  :o12:
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (18/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-06-2019 02:15:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...แรงแค้นของนกฮูกนี่  เข้าข่ายโรคจิตชัด ๆ

ส่วนนุ้งกุมภ์  ทำไมไม่ฟื้น?
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (18/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 23-06-2019 23:08:07
บทที่ 16

 

= เดือน =

 

หมอบอกว่ากุมภ์เสียเลือดมากจนช็อก อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาในเร็วๆนี้ ผมจึงรู้สึกเครียดมากจนต้องหยิบยาระงับประสาทมากินทั้งที่ไม่ได้แตะมันมานานได้ร่วมปีกว่าๆ

ตอนที่ผมเห็นร่างของกุมภ์นอนอยู่บนพื้น...ผมคิดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนอยู่นิ่งกับที่ มะยมดันตัวผมให้ขึ้นรถพยาบาลตามเข้าไป ผมสังเกตว่านิ้วก้อยข้างขวาของกุมภ์หายไปด้วย ไม่ว่าก็ตามที่ทำ...เขาทรมานร่างกายกุมภ์ ทำให้เขาสูญเสีย ทำให้เขาต้องเฉียดตาย และนั่นทำให้ผมต้องโทษตัวเองซ้ำๆว่ามันคือความผิดของผมที่ปล่อยให้เขาเข้าห้องน้ำคนเดียว ถ้าเกิดว่าผมตามเขาไป...ถ้าเกิดว่าผมเดินตามไปหลังจากนั้นสักนาที เรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิดขึ้น

ทำไม...

ทำไมกัน

ทำไมกุมภ์ต้องมาสูญเสียแทนผม? ทำไมกุมภ์ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลด้วยอาการที่สาหัสกว่าผม เมื่อกุมภ์ถูกเข็นเข้าห้องไอซียู สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่นั่งลงข้างๆประตู ร้องไห้ราวกับว่าโลกนี้ไม่มีอนาคตอีกต่อไป ความจริงคือมันไม่น่าจะมีตั้งแต่แรกแล้วที่รู้ว่ากุมภ์โดนหมายเอาชีวิต ทรัพย์สินของเขาไม่ได้หายไปไหน มันกลายเป็นการทำร้ายร่างกายอย่างแน่นอน

“เดือน น้องปลอดภัยแล้ว แค่น้องยังไม่ตื่นเท่านั้นเอง”

โอมบีบมือของผมเอาไว้ น้ำตาของผมยังไหลเป็นสายทางอาบแก้ม มันเจ็บปวดที่เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไปเที่ยวที่ไหน หรือว่าอีกฝ่ายกำลังจะฝันอะไร มันทรมานที่ผมต้องมาเห็นเขานอนอยู่บนเตียงไม่ขยับแบบนี้

“ถ้า...ถ้าเกิดว่าเขาไม่ตื่นขึ้นมาล่ะ? ถ้าเกิดว่าเขา...เขา...”

“เดือน ใจเย็นก่อน น้องไม่เป็นอะไรแล้ว” ศึกตบบ่าผมเพื่อเตือนสติ แต่ผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว มือที่สั้นเทาเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์เพื่อพยายามติดต่อกับพ่อแม่ของกุมภ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าพวกเขารู้ว่าผมไม่สามารถปกป้องลูกชายคนโตได้ผมจะทำยังไง พวกเขาจะโทษผมแน่ๆ แล้วพวกเขาจะทำยังไงต่อ พวกเขาจะไล่ผมให้ออกไปจากชีวิตของเขารึเปล่า? หรือว่าเขาจะไล่ให้ผมไปตายเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิด?

ผมโทรบอกพวกเขา...พวกเขาตกใจแล้วรีบถามว่ากุมภ์อยู่โรงพยาบาลอะไร ผมตอบกลับไปทั้งที่น้ำเสียงนั้นมันเบา จากนั้นก็ติดต่อกับพ่อของผมเพื่อให้เขารู้ว่าตอนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น

ในวันต่อมา ทุกคนมารวมตัวกัน พ่อแม่ของกุมภ์กอดปลอบผมทั้งที่ผมเป็นฝ่ายผิด บอกว่าไม่เป็นอะไรไม่ใช่ความผิดของผม มีนาน้องชายของกุมภ์ก็บอกว่าผมไม่ต้องร้องไห้ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมทำอะไรผิดเลย ส่วนพ่อของผมก็ตามมาติดๆแล้วก็ได้พูดคุยกับครอบครัวกุมภ์ว่าจะช่วยจัดการค่าใช้จ่ายให้ในฐานะที่ผมกับกุมภ์เป็นแฟนกัน มีอะไรก็จะช่วยเหลือให้ตามความสามารถ

ทุกคนบอกให้ผมกลับไปนอนที่คอนโดก่อนเพราะเมื่อคืนผมไม่ได้นอนเลย

ผมทำตามที่พวกเขาบอกเนื่องจากไม่อยากจะเถียง พอหัวถึงหมอนผมก็หลับลงไปทันที

 

มันเป็นความผิดของนายเองนะเดือน

นั่นใคร...?

ฉันคือนาย...ตัวตนของนายที่แท้จริงที่ยังคงอยู่ภายในจิตใจ

ผมลืมตาขึ้น ตอนนี้ผมอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เห็นร่างของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือตรงหน้าของผม สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนักเหมือนฝืนทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ หนังสือวิชาคณิตศาสตร์ม.ต้นไม่เหมาะกับเด็กวัยประถมอย่างนี้ด้วยซ้ำ ทำไมเขาต้องมาอ่านอะไรแบบนี้ แต่พอผมจะทักเขา เขาก็หยิบหนังสือที่กองไว้ข้างๆกันเดินจากไปเสียก่อน พอมองจากข้างหลังแล้วผมก็คุ้นเขาเหลือเกินราวกับว่าผมรู้จักเขามาก่อน

ไม่สิ...

เด็กคนนั้นคือผม

“เดี๋ยวก่อน!”

‘นายกำลังโทษตัวเองว่ามันคือความผิดของนาย ใช่ มันคือความผิดของนาย...ความผิดของเรา’ ผมในร่างเด็กหันมา ยิ้มอ่อนๆให้กับผม มันเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าเหลือเกิน ‘ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่รู้จักกุมภ์ตั้งแต่แรก...ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่หลงรักกุมภ์ตั้งแต่แรก แล้วเดินมาในเส้นทางที่ควรจะเป็น มันก็จะไม่มีเรื่องแบบนี้’

“ไม่ใช่...มันไม่ใช่แบบนั้น...” ผมกำลังจะเถียงตัวเอง แต่...มันก็เป็นความจริง ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้เจอกับกุมภ์...บางทีการที่ปล่อยให้ตัวของผมเองไม่มีความสุขในชีวิตยังดีกว่าต้องมาให้กุมภ์เจ็บหนักขนาดนี้ “..มัน...”

‘มันคือความจริง...นายเถียงไม่ได้สินะ’

“แต่การที่ได้รู้จักกับกุมภ์มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต ถ้ากุมภ์ไม่เข้ามา ก็จะไม่ได้เปิดใจให้กับอะไรหลายๆอย่าง ถ้ากุมภ์ไม่เข้ามา ก็ไม่ได้เจอกับสิ่งที่ต้องการ” ผมพูดเบาๆ ตัวผมอีกคนเดินเข้ามาใกล้ๆก่อนที่จะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงให้ “ฉันอยากให้มันเป็นแบบนี้...แต่ก็ไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ด้วย”

ผมในร่างเด็กจับมือของผม แล้วพยายามพาลากไปที่ไหนสักที่ท่ามกลางความมืดมิดนั่น ผมเห็นเครื่องฉายภาพยนตร์อันเก่าตั้งอยู่กลางสถานที่สีดำนี้ เขาบอกให้ผมนั่งลง แล้วตัวผมอีกคนเองก็เดินไปที่เครื่องนั่น ใส่ฟิล์มหนังที่เก่าจนแทบจะขาดลงไป ปรากฏภาพสีขาวบนพื้นที่สีดำราวกับว่านี่คือจุดสิ้นสุดของห้องสีดำแห่งนี้

ในภาพนั่น...มันเป็นวิดีโอที่เล่นเป็นฉากๆ เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผมทั้งนั้น

 

“พ่อครับ แม่ครับ ผมได้รางวั--”

“อยู่ที่นี่คนเดียวได้ใช่มั้ย? แม่จะออกไปโรงพยาบาลก่อน”

“พ่อเองก็ต้องไปคุยงานกะทันหัน ดูบ้านให้ดีด้วย”


วันนั้นคือวันที่ผมได้รางวัลจากการแข่งขันครั้งแรกในชีวิต ผมตั้งใจจะอวดที่บ้านให้ดูว่าผมไม่ได้ทำให้พวกท่านผิดหวัง ผมเลือกถูกที่จะทำแบบนี้ แต่ทว่าพวกท่านไม่ได้สนใจผมเลย...ผมก็ทำได้แต่ยินดีกับตัวเองแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

‘ผมสอบเข้าที่นี่ได้ครับ’

‘ได้ที่หนึ่งรึเปล่า?’

‘...ครับ’


นี่เป็นตอนที่ผมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นได้ ผมอยากให้พวกท่านภูมิใจที่ผมสอบเข้าที่ดีตามที่พวกท่านหวัง ไม่ใช่ให้พวกท่านหวังว่าผมจะเป็นที่หนึ่งแบบนี้

‘ทำไมผลการเรียนถึงตก!’

‘...’

คราวนั้น...ที่เกรดเฉลี่ยผมตกลงมานิดหน่อยแล้วที่บ้านก็ดุด่าว่ากล่าวจนผมไม่อยากจะทนอยู่อีกต่อไป มือของผมในตอนนั้นถือมีดคัตเตอร์เตรียมกรีดข้อมือฆ่าตัวตายในห้องนอนตัวเอง ไหนใครว่าเรียนได้เกรดดีๆพ่อแม่จะภูมิใจและมีคนชม เป็นตัวอย่างที่ดีต่อคนอื่น? ถ้าเป็นตัวอย่างที่ดีต่อคนอื่นแต่ตัวเองไม่มีความสุขแบบนี้สู้ผมหายไปจากโลกเลยไม่ดีกว่าเหรอ?

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในตอนนั้น แต่ว่ามันมีเสียงหนึ่งในสมองบอกให้ผมรอ...รอใครสักคนที่จะสามารถดึงผมออกมาจากนรกได้ และมันก็เป็นจริงที่ผมเจอกับกุมภ์ คนที่ดึงผมออกจากความทรมาน ดึงผมออกจากความทุกข์ ช่วยผมเปิดกรงตัวเองออกมา

และเขาเป็นคนที่ทำให้ผมต้องตกนรกทั้งเป็นอีกครั้ง เพราะผมรักเขามากเกินไป...มากเกินกว่าที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายหายไปได้ เพราะผมไม่สามารถปกป้องเขาได้เลยทำให้ผมต้องมาทรมานแบบนี้ เพราะผมที่วางใจมากเกินไปเลยทำให้กุมภ์ต้องมานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เพราะผม...เพราะผมที่ทำให้กุมภ์ต้องเสียนิ้วก้อยข้างซ้ายตัวเองไป

 

‘รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะนายล้วนๆเลยนะ ถ้านายเดินตามทางที่พ่อแม่ปูเอาไว้ กุมภ์จะไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้...’

ตัวผมอีกคนพยายามสะกดจิตผม...เขาพยายามทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเก่าซึ่งมันได้ผล ถึงนี่จะเป็นเพียงแค่ความฝันแต่มันเป็นความฝันที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของผม...

กุมภ์...พี่...พี่ขอโทษ...

 

“เดือน...มึงไหวนะ?”

ศึกถามผม นี่ก็ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้วที่กุมภ์ยังไม่ฟื้นขึ้นมา อาการเพิ่มเติมตามที่หมอบอกก็คือต้องระวังเรื่องแผลติดเชื้อ ส่วนผมก็คอยอยู่ดูแลให้ตลอดเวลา

“ไหวสิ”

“แต่สายตามึงมันบอกว่ามึงไม่ไหวแล้ว กูเข้าใจนะว่ามึงอยากร้องไห้ แต่มึงจะมากลั้นเอาไว้ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้” ศึกเขย่าตัวผม “ถ้ามึงไม่ร้องต่อหน้าคนอื่น ไปร้องคนเดียวในห้อง เชื่อกู มันจะรู้สึกดีขึ้น”

รู้สึก...ดีขึ้นงั้นเหรอ?

ฮึ..

“ขอบคุณนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก กูแค่ล้าเฉยๆ” ผมผลักศึกออก เขามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ แล้วผมก็เดินไปที่ตึกคณะท่ามกลางหลายสายตาที่มองมาทางผมจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหลายคนถึงพากันจ้องผมขนาดนี้...แต่เอาเถอะ ผมชินแล้วล่ะที่มีคนจ้องมองมาตั้งแต่เด็กๆ มันคงไม่มีอะไรหรอกนอกจากการที่คนอื่นจะเห็นใต้ขอบตาผมมันคล้ำๆ

 

นั่นพี่เดือนที่เขาบอกว่าเป็นแฟนกุมภ์เหรอ? ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้

สงสัยห่วงแฟนจริงๆนั่นแหละ ก็แหงล่ะ โดนแทงอาการปางตายแถมนิ้วยังโดนตัดไปด้วย

น่าสงสารทั้งคู่เลย


 

เสียงกระซิบที่ไม่ใช่กระซิบดังเข้าหูผมตลอดทาง ผมไม่มีสมาธิเรียน ผมไม่มีจิตใจจะทำอะไรทั้งนั้นผมเลยลุกออกจากห้องกลางคลาสแล้วเดินออกมาโดยไม่บอกเหตุผลอาจารย์เลยว่าเพราะอะไร มะยมพยายามเรียกตามผมตั้งหลายรอบแต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะหนีมาที่ดาดฟ้าของอาคารแห่งนี้

สายลม...มันทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของผมมันถูกปัดเป่าไปได้บ้าง

ผมเปิดกระเป๋า หยิบซองยาออกมากลอกใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามจนหมดขวด แล้วก็เปลี่ยนมานั่งกับพื้นเหม่อมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ฝนกำลังจะตก...และมันคงไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะมานั่งตากฝนอย่างนี้ แต่เพราะผมไม่มีอารมณ์ที่จะมาหาที่หลบฝนอะไรแล้วนี่แหละที่ยังทำให้ตัวของผมไม่ขยับไปไหน

สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือการหาที่หลบภัยให้กับความคิดบ้าๆของตัวเอง จากตรงนี้คงจะสูงไม่น้อยที่จะกระโดดลงไป...ผมคิดแบบนั้นตลอดเวลาที่เดินขึ้นมาที่นี่แต่ทว่าผมก็ทำไม่ลง ถ้าเกิดว่ากุมภ์ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอผม เขาก็เสียใจจะแย่แล้ว ยิ่งถ้าเกิดเขารู้ว่าผมตายไป ไม่ใช่เขาจะฆ่าตัวตายตามผมเลยอย่างนั้นเหรอ?

ในที่สุดฝนก็ตกลงมา ผมนั่งชันเข่ากอดตัวเองแล้วร้องไห้เสียงดังท่ามกลางฝน เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาจากข้างหลังของผม ผมไม่มีเวลาสนใจจะไปดูว่าเป็นใคร ถ้าตามขึ้นมาบนนี้คงมีไม่กี่คนหรอก

“มานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้เองเหรอ?”

“นกฮูก...”


“เห็นว่ากุมภ์เข้าโรงพยาบาลเพราะโดนตัดนิ้วกับแทงเข้าที่ท้องจนช็อกเสียเลือดปางตาย แล้วทำไมถึงยังไม่ไปหาน้องอีกกัน” นกฮูกเดินเข้ามาใกล้ผม ท่ามกลางสายฝนอย่างนี้ทำให้ทุกอย่างดูเป็นใจแก่การหาเรื่องทะเลาะกัน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่ายามปกติไอ้หมอนี่มันคงไม่โผล่หน้ามาอย่างนี้หรอก “ที่ว่ารัก นี่เหรอคือสิ่งที่คนรักทำ?”

“มึงจะมายุ่งด้วยทำไม”

“กูแค่จะมาบอกว่ากูเสียดายนิ้วสวยๆกุมภ์ ตื่นขึ้นมาคงจะใจเสียน่าดูที่ต้องสูญเสียนิ้วก้อยข้างหนึ่งไป” นกฮูกยังคงต้องด้วยน้ำเสียงยียวน ผมไม่ชอบจึงลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา สายตาของนกฮูกดูสะใจมากราวกับว่าคำพูดเมื่อครู่มันทำให้ผมฟิวส์ขาดขึ้นมา “หวงน้องรึยังไง? กูก็แค่ห่วงน้อง...เหมือนที่มึงห่วง”

“ถ้ามึงจะมาหากูเพราะแค่นี้มึงช่วยออกไปเถอะ”

“แล้วมึงไม่อยากรู้เหรอว่าเพราะอะไรที่ทำให้กุมภ์ต้องกลายเป็นแบบนั้น?” นกฮูกเลิกคิ้ว เสียงฟ้าร้องดังตาม แต่ทว่าทั้งผมและนกฮูกไม่มีใครสนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างเท่าไหร่นัก

หรือว่า...

“มึงใช่มั้ยที่ทำกุมภ์! ไอ้เหี้ย!” ผมพุ่งตัวเข้าไปต่อยที่หน้าของนกฮูกและซัดเข้าที่หน้าท้องของเขา นกฮูกหันกลับมาแล้วปล่อยหมัดเข้าที่สีข้างของผม บาดแผลของผมยังสร้างความเจ็บปวดแต่มันไม่เท่ากับการที่คนตรงหน้านั้นได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไป “มึงทำไปเพราะอะไร?!”

“เพราะมึงแย่งทุกอย่างไปจากกูยังไงล่ะ!”

“...”

“กูอยากจะเป็นคนแบบมึงตอนมัธยมปลาย แต่มึงเด่นอยู่คนเดียว กูยอมไม่ได้ที่จะอยู่ในเงาของมึงแบบนี้!” นกฮูกหยิบกล่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดออก หยิบสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา

นิ้วข้างที่ถูกตัดไปของกุมภ์

“กูจะเอาทุกอย่างที่มึงรักไปให้หมด! มึงเอาทุกอย่างไปจากชีวิตกูแล้ว! มึงพังชีวิตกู! มึงทำให้กูต้องมาทนเจ็บปวดอยู่กับการเข้าออกโรงพยาบาลโรคจิตเพราะกูเครียด! เครียดจนจะเป็นบ้า! มึงไม่รู้หรอกว่าปีหนึ่งกูจะฆ่าตัวตายเพราะมึงกี่รอบ!”

ผมจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าผมคือใคร ถ้าเคยเจอกันจริงผมก็คงต้องคุ้นบ้างแล้ว “แต่กูไม่รู้จักมึง”

“ใช่สิเพราะมึงมัวแต่สนใจเรียน!”

“...”

“มึงไม่สนใจคนรอบข้าง! มึงเอาแต่แข่งกับตัวเอง!   พอชนะอะไรมาก็มีหน้ามีตาเด่นกว่ากู! กูอิจฉา! กูทำตาม! แต่มันก็ไม่เหมือนมึง!” นกฮูกตะคอกใส่ผม “แต่ถ้ามึงหายไปจากชีวิตของกู กูก็จะมีความสุข หรือหัวใจของมึงหายไปจากชีวิตมึง มึงก็จะไม่มีความสุขแบบกู!”

นกฮูกพุ่งเข้าชาร์จใส่ผมจนเสียหลักแล้วถลาไปยังขอบระเบียงตึก เขาทำท่าจะผลักผมให้ตกลงไปแต่ผมสามารถหลบได้ก่อนจนกลายเป็นว่านกฮูกเกือบจะตกลงไปเสียเอง เขาหันกลับมามองผม ดึงมีดพกออกมาจากกระเป๋าแล้วจัดการตะหวัดไปทั่วราวกับว่ามันต้องโดนผมสักจังหวะ ผมพยายามหลบให้ได้มากที่สุดแม้ว่าจะเฉียดๆโดนเนื้อไปนิดบ้าง

“แต่เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับกูเลยสักนิด มันเป็นเรื่องของมึงคนเดียว”

“แต่เพราะมันเป็นเรื่องของกู มันเลยเกี่ยวกับมึงด้วย!”
นกฮูกพุ่งเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงฟ้าผ่าตามหลังลงมาด้วย สายฟ้านั้นลงหม้อแปลงไฟที่อยู่ข้างอาคารแห่งนี้จนระเบิดเสียงดังไปทั่ว ทั้งผมและนกฮูกต่างตกใจแต่กลายเป็นว่านกฮูกเสียหลักล้มลงไปกับพื้น มีดของเขาหลุดมือตกอยู่ข้างๆเขา

เขารีบเอื้อมมืดหวังจะหยิบมันให้ได้แต่ผมเตะมีดออกไปแล้วเหยียบแผ่นหลังของเขาเอาไว้แทน นกฮูกเปลี่ยนมาจับขาผมแล้วดึงให้ร่างของผมกระแทกลงพื้นจนชาไปทั่วแผ่นหลัง เขาลุกขึ้นด้วยท่าทีทุลักทุเลเพราะฝนที่ตกลงมาทำให้พื้นลื่นมากกว่าเดิม แต่แล้วเขาก็สามารถหยิบมีดมาไว้ในมือเหมือนเดิมได้แล้วถลาตัวเข้ามาทางผมหวังจะแทงให้สำเร็จ

แต่ทว่าผมสามารถกลิ้งตัวหลบมีดนั่นได้ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วยืนดูสถานการณ์ ตอนนี้นกฮูกคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ผมเอก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกันในสมัยเด็กๆ อาการเครียดที่สะสม...ความกดดัน และปัจจัยหลายๆทำให้สิ่งที่กักเก็บเอาไว้มันระเบิดรุนแรงยิ่งกว่าภูเขาไฟ เพียงแค่ของนกฮูกนั้นมันไม่ใช่การทำร้ายตัวเอง แต่เป็นการทำร้ายคนอื่น

“พีรดล นารีรัตน์ ใครๆก็บอกว่าเขาคนนี้คือเด็กที่เก่งที่สุดในโรงเรียน ทั้งที่กูก็ไม่ได้ต่างจากมึงมากนักแต่ทำไมทุกคนถึงสนใจมึงหมด! แม้แต่พ่อแม่กูยังไม่สนใจกูเลย!”

นกฮูกวิ่งเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับควงมีดร้องเสียงดัง เท้าของผมมาลื่นเพราะน้ำอีกครั้ง แต่เพราะความลื่นที่ทำให้นกฮูกเปลี่ยนจังหวะการแทงไม่ทันแล้วตรงไปที่ระเบียงที่เปิดโล่งนั่นแทน

วินาทีนั้น...ผมคิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากจะยื่นมือเข้าไปจับเขาเอาไว้

“มึงจะช่วยกูทำไม! ปล่อยให้กูตกลงไปตายเลยยังจะดีกว่าที่ต้องมาจับมือคนแบบมึง!”

“กูไม่เข้าใจเหตุผลของมึงที่มึงทำแบบนี้! แต่กูก็ไม่อยากให้ใครมาตายทั้งที่ยังมีปัญหาคาใจแบบนี้อยู่นะ!” ผมตะโกนออกไปแล้วดึงร่างนกฮูกให้เข้ามา เขาหอบก่อนที่จะนั่งลงกับพื้น ทิ้งมีดลงไป “ชีวิตของมึงเองก็มีค่า! กูไม่อยากให้มึงตายตอนนี้เข้าใจมั้ย?!”

“...”

“มึงอธิบายเหตุผลกับกูดีๆ กูขอคำตอบดีๆสักครั้ง...เพื่อให้กูสบายใจได้มั้ยว่ามึงทำแบบนี้กับกุมภ์ทำไม” ผมก้มลงไปมองนกฮูกที่ตอนนี้ทำหน้าจะร้องไห้เหมือนผม ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้เขาตอนไหน แต่จากการที่ฟังมาเมื่อครู่ก็คงจะประติประต่อได้นิดหน่อย

เขาเคยเรียนที่เดียวกันกับผม และเขามองว่าผมเป็นคนที่ทำให้เขาไร้ตัวตน ไม่มีใครสนใจในสิ่งที่เขาทำ ไม่มีใครมองเห็นคุณค่าของเขา มันน่าเศร้าที่ตัวของผมเองก็คิดอย่างนั้นตลอดเวลา จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ไฟสปอร์ตไลท์อยู่กับตัวผมตลอดเวลาโดยไม่ได้มองเลยว่ามีใครคนหนึ่งพยายามไล่ตามผมเช่นกัน

“...ถ้าไม่ตอบอะไรก็ลงไปข้างล่างกันเถอะ สารภาพผิด แล้วเข้ารับการบำบัดซะ” ผมบอกกับนกฮูก เดินกลับเข้าไปในอาคารพร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนสองคน นกฮูกเดินตามมาอย่างเงียบๆ

ฟังดูเหมือน...ทุกอย่างจะปกติแล้ว แต่ว่า...

“เดือน”

“อะไร?”

“พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกัน ถ้าทุกอย่างมันพังไปหมดแล้ว” ผมหันไปทางนกฮูกในขณะที่เท้าของพวกเรายืนอยู่บนชั้นหนึ่ง ทุกคนมองพวกเราด้วยสายตาสงสัยว่าทำไมทั้งเปียกและเปื้อนเช่นนี้ “ทำให้มันจบลงไปดีกว่า”

ฉึ่ก

“อึ่ก!” นกฮูกแทงเข้ามาที่ต้นแขนของผมแล้วดึงมีดออกมา โชคดีที่ผมตั้งรับทันไม่งั้นมันต้องเป็นตำแหน่งหัวใจของผมแน่ ผมเงยหน้ามองนกฮูกเพื่อที่จะถามว่าเขาตั้งใจทำอะไร แต่ทว่า...

ฉึ่ก

“เฮ้ย! คนแทงตัวเอง! ถอยไปก่อนเร็ว! เรียกรถพยาบาลมาด้วย!”

“กรี๊ดดด!!”

“นั่นพี่เดือนกับพี่นกฮูกไม่ใช่เหรอ?!”


ผมรีบวิ่งไปหานกฮูกทั้งทีแขนตัวเองก็มีเลือดออก ความเจ็บมันก็มีมากเช่นกันแต่ผมไม่มีเวลาไปนึกถึงตรงนั้น ใครบ้าที่ไหนจะแทงตัวเองต่อหน้าผู้คนขนาดนี้

“มึงทำอะไรของมึงลงไปนกฮูก?!”


“ชดเชยไง...”

“...”

“กูทำชีวิตมึงพัง ฉะนั้นแล้วกูก็จะพังชีวติตัวเองบ้างจะได้แฟร์ๆกัน”


[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (18/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 23-06-2019 23:12:59
ผมตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล นี่เป็นครั้งที่สามของเทอมนี้แล้วที่ผมมาโผล่ในสถานที่แบบนี้ พ่อเป็นห่วงผมมากที่ทำอะไรบ้าๆลงไป เขาทั้งดุ ทั้งด่า สารพัดคำต่อว่าจะออกมาจากปากเขาได้ แต่สุดท้ายก็บอกว่าบุญรักษาผม

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นพยานว่าเกิดอะไรขึ้นกลางมหาลัยชื่อดัง และผมเองก็เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาถามผมเกือบจะทุกชั่วโมงว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ผมตอบตามความจริงทุกอย่างไป มีตำรวจคนหนึ่งบอกว่าอาการของนกฮูกนั้นสาหัสมาก เขาแทงตัวเองลึกจนทะลุม้าม เลือดออกจนไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถทนได้รึเปล่า ส่วนเรื่องนิ้วก้อยของกุมภ์ที่โดนตัดออกไปนั้น ตำรวจก็ได้ทำการโยงคดีเข้าหากันและกลายเป็นว่านกฮูกต้องโดนคดีทำร้ายร่างกายและจงใจฆ่า

และจากการตรวจสอบประวัติก็พบว่านกฮูกเข้ารับการรักษาอาการทางจิตอยู่หลายปี ก่อนที่เขาจะเรียนที่เดียวกันกับผมเสียอีก แสดงว่าเขาไม่ปกติมานานมากแล้ว แต่พอจะมารักษาก็เรื้อรังยืดยาวมาจนไม่ทัน ด้วยความที่นกฮูกไม่ได้รับยาด้วยเลยทำให้อาการกำเริบทนไม่ไหว

ส่วนกุมภ์...ผมได้ยินมาว่าเขาเริ่มขยับตัวนิดหน่อยเหมือนตอบสนองแล้ว นั่นคือข่าวดี

ผมเดินไปที่ห้องของกุมภ์ทั้งๆที่ยังทำแผลไม่เสร็จเพราะความรีบร้อน เปิดประตูห้องด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดและเห็นว่าเพื่อนของเขากำลังรายล้อมรอบตัวเขาเอาไว้อยู่ ต่างคนต่างทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ผมจึงเดินเข้าไปถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

“กุมภ์...มันไม่โอเคเลยพี่ มันกลัวมาก ตัวสั่นยิ่งกว่าลูกนกตกน้ำอีก”

คิวอธิบายมาอย่างนี้ ทุกคนปล่อยให้ผมอยู่กับกุมภ์สองคน กุมภ์น่าจะหลับไปอีกรอบ ผมไม่รีบร้อนจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงเขา เอื้อมมือเข้าไปจับมือข้างที่มีนิ้วไม่ครบเบาๆ ลูบไปมา

พี่ขอโทษจริงๆนะ...แต่ว่าตอนนี้พี่จะไม่โทษตัวเองแล้วล่ะ


แล้วผมก็หลับไปจากความเหนื่อย...

 

‘ไม่โทษตัวเองแล้วเหรอ?’

ตัวผมอีกคนในความฝันถาม พวกเรากำลังอยู่ท่ามกลางความมืดที่ตรงหน้าเป็นจอสีขาวฉายสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในอดีตอยู่

“ไม่รู้สิ...พอมาเห็นกุมภ์กำลังนอนแบบนั้น บวกกับเคลียร์เรื่องของนกฮูกได้ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความผิดของตัวเองแค่คนเดียว มันเกิดขึ้นจากตัวของนกฮูกด้วย ตัวคนอื่นด้วย” ผมไม่ได้โทษคนอื่น แต่เพราะเรื่องราวพวกนี้มันมีหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกันไปด้วยหมด แต่คนที่รับผลกระทบกลับมีไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อมาคิดดีๆแล้วทุกการกระทำมันย่อมมีเหตุผลและสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามต่อกัน ต่อให้ต้องอีกนานแค่ไหนแต่มันต้องเกิดขึ้นแน่ๆ “แปลกเหมือนกันที่ตัวเองเริ่มปล่อยวางกับมัน”

‘แต่นายไม่เสียใจเหรอว่าเพราะอย่างนี้ที่ทำให้กุมภ์ต้องมาเจ็บตั--’

“ฉันเคยพูดกับกุมภ์เอาไว้แล้วว่าจะปกป้องเขา ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตามก็จะปกป้องเขาให้ถึงที่สุด และเพราะเขายังมีชีวิตอยู่ ฉันจะต้องอยู่เคียงข้างเขา จะไม่กลับไปเป็นกุมภ์ที่เอาแต่โทษตัวเองอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ดันดึงตัวเองในอดีตออกมาอย่างนี้” ผมหันไปพูดกับเด็กผู้ชายที่ผมสั้นกว่า ตัวเล็กกว่า และเป็นคนที่มองโลกแง่ลบกว่า เดือนคนนี้ยังคงอยู่กับผมตลอดเวลา แต่ผมเลือกที่จะเก็บเขาเอาไว้ให้เป็นอดีตและเดินไปข้างหน้า ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือรอยยิ้มของเขาที่ค่อยๆเผยออก มันสดใสจนผมรู้สึกว่าทำไมผมถึงไม่ยิ้มแบบนี้ให้ตัวเองตั้งแต่ตอนเด็กๆกัน บางทีถ้าผมยิ้มแบบนี้ให้ครอบครัวบ้าง อะไรๆก็อาจจะดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น

‘ขอบคุณนะที่พูดแบบนั้น มันถึงเวลาที่ต้องกลับเข้าที่เดิมแล้วสิ ไปก่อนนะ’

เขาบอกแค่นั้น ก่อนที่จะหายไป ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันพลางสะบัดหน้าเบาๆเรียกสติตัวเอง กุมภ์ที่นอนบนเตียงก็ค่อยๆขยับตัวเหมือนรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ข้างๆแล้วเหมือนกัน

“กุมภ์...หิวน้ำมั้ย?”

“...พะ...” เขาไม่มีเสียง แต่ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไร ผมหยิบแก้วน้ำให้เขา ค่อยๆประคองร่างให้ลุกขึ้นมาดื่มได้สะดวกขึ้น พอวางแก้วให้เขาก็ขยับตัวเข้ามากอดผม

“มีอะไรเหรอครับคนดี หืม?”

“ผะ...ผมกลัว...”

“ไม่ต้องกลัวนะ...มันจบแล้ว นกฮูกเขาจะได้รับโทษแล้ว คนดีของพี่ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้วนะ” ผมยกมือลูบหัวเขา กุมภ์ซุกหน้ากับหน้าอกแล้วค่อยๆปล่อยน้ำตาออกมา “พี่จะปกป้องกุมภ์เอง เป็นยังไงบ้างล่ะ นอนสบายเป็นสัปดาห์เลย”

“นอนสบายอะไรเล่าพี่...มันมีแต่ความมืด ผมคิดว่า...ผมต้องอยู่คนเดียวแล้วเสียอีก” กุมภ์พูดเสียงอู้อี้ มันน่ากลัวจริงๆนั่นแหละกับการที่ต้องอยู่ในความมืด ผมไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะถ้าพูดมากไปเดี๋ยวกุมภ์จะรำคาญเอา “...ตอนผมโดนแทง...มันเจ็บ...มันปวดไปหมด นิ้วของผม...มันหายไป...พี่นกฮูกเป็นคนทำทุกอย่าง ตอนนั้นผมไม่ห่วงชีวิตตัวเองเท่ากับห่วงความปลอดภัยของพี่ ถ้าเกิดว่าพี่นกฮูกไปทำร้ายพี่ต่อ...”

“พี่ไม่เป็นอะไรจริงๆนะ...”

“แต่พี่มีแผลโดนแทง...ตรงนี้” กุมภ์ใช้ปลายนิ้วตัวเองจิ้มไปที่ผ้าพันแผลของผม “พี่นกฮูกเป็นคนทำใช่มั้ยครับ?”

“...”

“ผม...ก็แย่เองที่วางใจเกินไป จนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พี่เดือนไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะ” กุมภ์พยายามยิ้มให้ผม แต่สายตาของเขาไม่ได้ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความเศร้า ผมรู้ว่ากุมภ์ยังเสียใจเรื่องที่ตัวเองจะไม่มีอวัยวะครบเหมือนคนทั่วไปแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าเขาเข้มแข็งจริงๆที่เขาพยายามมองข้ามมันไปให้ได้ “ผมฝันแปลกๆด้วยนะ...ฝันว่าผม...เจอกับตัวเองอีกคน เขาบอกว่าถ้าทั้งผมและพี่เดือนไม่ออกไปไหนอีกก็จะไม่ต้องเจ็บปวดอีก...”

“หมายความยังไงกุมภ์? พี่ไม่เข้าใจ?”

“ผมไม่อยากออกจากห้องอีกแล้ว ผมอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปกับพี่เพราะพวกเราจะได้ปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่าง”

 

“กุมภ์...ดูเหมือนจะปกติแต่เมื่อกี๊พี่ลองให้หมอจิตเวทเข้าไปคุยด้วยแล้วล่ะ” ผมคุยกับนทีและคนอื่นๆหน้าห้องพัก หลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา อาการของเขาก็แปลกๆไป ราวกับว่าสติของเขาไม่ได้อยู่กับตัวตลอดเวลาอย่างนั้น “หมายความว่ายังไงกัน...ที่ว่าไม่อยากออกจากห้องอีก”

“อันนี้ผมพอจะเดาได้นะครับพี่เดือน” นทียกมือขึ้นให้สูงเท่าหน้าอกของเขา ผมพยักหน้าให้เพื่อนสนิทของแฟนผมพูดต่อ “พี่เดือนรถชนกับเสาไฟฟ้า ช็อกเพราะแพ้กุ้ง ไหนกุมภ์จะโดน...ทำร้ายร่างกาย หนำซ้ำพี่เดือนก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งกับพี่นกฮูกที่ดาดฟ้าอีก พี่ลองคิดดูดีๆนะครับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีอะไรเหมือนกัน?”

ทั้งกลุ่มเงียบ...แต่แล้วก็เป็นพ่อของผมที่พูดขึ้นต่อ

“ทุกที่...เป็นข้างนอกหมดใช่มั้ย?”

“ครับ ทุกเหตุการณ์มันเกิดขึ้นข้างนอกห้องทั้งหมด นั่นทำให้กุมภ์ฝังใจว่าถ้าออกไปข้างนอกจะไม่ปลอดภัย เซฟโซนก็คือภายในบ้าน” นทีสรุป “บางทีตอนที่กุมภ์หลับอยู่ มันมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นส่วนที่ทำให้เขาหวาดกลัวออกมาเลยกลายเป็นแบบนี้ สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือค่อยๆทำให้กุมภ์สามารถกลับมาคิดได้ว่าการออกจากห้องนั้นมันไม่ได้น่ากลัวหรืออันตรายอย่างที่เขาคิด”

“แต่กุมภ์ดูปกติมากเลยนะ? อาจจะเป็นเพราะมึนยาหรืออะไรรึเปล่า?” เจมส์ถามนที เขายืนอยู่ข้างกำแพงกำลังถือถุงน้ำผลไม้สดกับแนนและคิว สามคนนี้เป็นกลุ่มแรกที่เข้าไปเจอกุมภ์ในห้องน้ำเพราะบังเอิญเข้าพอดี

“เชื่อเถอะว่านั่นไม่ใช่เพราะมึนยา คนเราไม่เหมือนกันหรอกเวลาแสดงออกบางอย่าง ความกลัวของกุมภ์อาจจะถูกเก็บเอาไว้ใต้สีหน้าที่เป็นปกตินั่นก็ได้” นทีส่ายหน้า “พี่เดือนครับ ถ้าหมอออกมาแล้ว สิ่งแรกที่ผมอยากให้พี่ทำก็คือให้กุมภ์เชื่อใจพี่ให้มากกว่านี้”

“ทำไม?”

“เชื่อผมเถอะ...ผมผ่านมาแล้ว” นทีเดินมากระซิบข้างหูผม “ผมเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายๆนี้มาแล้ว ตอนนั้นผมอาจจะหนักกว่าเขาด้วยอีก...”

นทียิ้มบางๆให้ผม ส่ายหน้าบอกว่านี่คือความลับห้ามบอกใคร “นั่นไงครับ หมอออกมาพอดีเลย”

จิตแพทย์ที่เข้าไปตรวจดูอาการของกุมภ์เล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังในอีกห้องหนึ่ง มีผม พ่อของผม และครอบครัวของกุมภ์เท่านั้นที่เข้าไปฟัง และมันก็เป็นอย่างที่นทีพูดขึ้นมาจริงๆที่ว่ากุมภ์เก็บอาการความกลัวการออกจากห้องเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่ดูปกตินั่น ถ้ายังไม่ทำอะไรก็จะเป็นแบบนี้อยู่ แต่สมมุติว่าจะพาเขาออกจากห้องล่ะก็...

“มีโอกาสที่เขาจะอาละวาดครับ กว่าจะถึงช่วงที่กลับมาเป็นปกติได้คงต้องให้เขาได้พักการเรียนเพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้นเสียก่อน”

กุมภ์ต้องดร็อปเรียน...เพื่อรักษาอาการทางจิต ยังดีที่มันยังไม่รุนแรงมากนัก สามารถรักษาด้วยการบำบัดและยานิดๆหน่อยๆได้ แต่กุมภ์ก็ยังมีสภาวะเครียดจัดจากการที่ต้องแบกรับอะไรหลายๆอย่างโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็น ถ้าเกิดรีบร้อนรักษามากไป สภาวะความเครียดนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้น ยิ่งทำให้รักษายากกว่าเดิม

ผมออกมาจากห้องพร้อมกับความรู้สึกที่โหวงๆ ผมไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกยังดีระหว่างเสียใจและโล่งใจ ในขณะเดียวกันก็มีคนบอกว่านกฮูกนั้นพ้นขีดอันตราย กำลังนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ผมจึงตั้งใจว่าจะไปดูอาการของเขาสักหน่อย

ถึงอีกฝ่ายจะทำร้ายร่างกายผมก็เถอะ...แต่ผมก็อยากทำความเข้าใจกับเขาให้ได้มากี่สุดก่อนที่เขาจะต้องทำการรักษาอาการต่อไป

ในวันต่อมานกฮูกฟื้นตัว ผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าเขากำลังนอนเหม่อมองเพดานบนเตียงด้วยสายตาว่างเปล่า เขารู้ว่าผมมา แต่เขาก็ไม่ตอบหรือไม่ทักทายอะไรทั้งสิ้นราวกับว่าปิดกั้นตัวเองไปเรียบร้อย แม้แต่เข้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาทำการสืบสวนก็ยังไม่สามารถพูดคุยอะไรได้จนต้องเชิญจิตแพทย์มาดูให้ สักพักนกฮูกก็ร้องออกมาเสียงดังลั่นจนทุกคนในห้องอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆนกฮูกก็ยิ่งร้องเพราะกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

“ให้อภัยด้วย ให้อภัยด้วย...”

นี่คือสิ่งที่นกฮูกพูดออกมา ผมไม่รู้ว่านกฮูกกำลังคิดอะไรแต่ทุกคนเห็นด้วยว่าอาจจะเป็นเพราะผมเลยต้องขอให้ออกไปก่อนผมไม่ได้ขัดอะไรพวกเขาเพราะถ้าเกิดผมอยู่อีกต่อไป นกฮูกต้องอาละวาดมากกว่านี้แน่

พอมาที่ห้องของกุมภ์ กุมภ์กำลังนั่งอ่านหนังสือที่พ่อแม่ของเขาเอามาให้ เขายิ้มให้ผมด้วยความสดใส ทั้งที่ในใจผมเองก็รู้ดีว่ามันพังไปมากขนาดไหน ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นถึงความปกติที่เกิดขึ้นกับเขา เลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วจับมือ

กุมภ์ทำหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม เขาถามผมว่ามีอะไรอยู่สามรอบได้แต่เมื่อไม่ได้คำตอบจากผม กุมภ์ก็ถอนหายใจแล้วเปลี่ยนมาอ่านหนังสือเหมือนเดิม

“กุมภ์...อยากไปเดินเล่นมั้ย?”

“ผมไม่ค่อยอยากเดินเท่าไหร่ครับ แดดมันร้อน”

กุมภ์อ้างว่าแดดร้อน มันก็เป็นความจริงที่วันนี้มันร้อนมากกว่าหนาว แต่เหตุผลเบื้องหลังจริงๆก็คือเขาไม่กล้าก้าวออกจากห้องนี้ด้วยซ้ำ

“งั้นกุมภ์อยากกินอะไรมั้ย? เราเดินไปซื้อที่ร้านกาแฟข้างล่างด้วยกันรึเปล่า?”

“ถ้าพี่หิวพี่ก็ไปก่อนก็ได้ครับ ผมไปด้วยจะลำบากเอาเปล่าๆ”

ทุกคำถามที่ล่อลวงให้กุมภ์ลุกจากเตียง...มันไม่ได้ผล กุมภ์เป็นเด็กฉลาดอยู่แล้วเขาจึงรู้คำตอบที่จะบ่ายเบี่ยง ผมเลยเลิกที่จะถามเขาไปในที่สุด

ความจริง...ผมอยากจะเอารูปที่เขาถ่ายเก็บเอาไว้ในกล้องออกมาให้ดูว่าเขาเคยออกไปเที่ยวเล่นถ่ายรูปพวกนี้มาก่อน เผื่อจะอยากออกไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่สมควรนัก ถ้าเกิดว่าผมรีบเร่งเกินไป...มันจะแย่กว่าเก่า

“พี่เดือนเป็นอะไรรึเปล่าครับ? ดูเครียดๆนะ?”

“ไม่มีอะไรหรอกกุมภ์ ไม่มี...” ผมส่ายหน้า ความจริงมีหลายอย่างที่อยากจะถามเขาว่าเขาฝันถึงอะไร แต่แล้วกุมภ์จะนอนลงแล้วเหม่อมองเพดานราวกับว่ามีอะไรจะบอกผม "กุมภ์อยากบอกอะไรรึเปล่า?"

“คือผม...ไม่อยากถ่ายรูปแล้วล่ะ เพราะมันอันตรายเกินไปที่จะออกไปข้างนอก” กุมภ์ว่าเสียงเบา “มันเป็นความฝันของผมที่อยากจะเดินทางทั่วโลกก็จริง แต่ความฝันกับสิ่งที่ต้องเป็นนั้นมันเอามาปนกันไม่ได้ เที่ยวรอบโลกเอาไว้ทำตอนแก่ก็ยังไม่สายไปสักหน่อย ผมว่าจะเปลี่ยนไปเรียนอย่างอื่นแทน”

“แต่ว่า...”

“ขนาดพี่ยังเปลี่ยนเลย ทำไมผมถึงเปลี่ยนไม่ได้กัน?” กุมภ์ถามผม มันทำให้ผมรู้สึกจุกที่ลำคอ อยากพูดก็พูดออกมาไม่ได้ในเมื่อมันก็จริงอย่างที่เขาพูด ผมเปลี่ยนได้แล้วทำไมกุมภ์ถึงจะเปลี่ยนไม่ได้

แต่...ผมก็อยากให้กุมภ์ทำตามความฝันของตัวเอง ไม่ใช่มาเปลี่ยนเอาเพราะความกลัวที่จะเดินเส้นนี้ต่อ

“พี่ลงไปซื้อกาแฟก่อนนะ เดี๋ยวขึ้นมา กุมภ์อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย?”

“ครับ รีบมานะ ข้างนอกมันอันตราย”

กุมภ์ทิ้งท้ายอย่างนั้น ผมเดินออกมาด้วยความไม่สบายใจ กุมภ์เลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ปฏิเสธทุกอย่างที่เป็นตัวเอง ผมกลัวว่ามันจะหนักมากขึ้นจนเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นที่เคยเป็นได้ และนั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ

ระหว่างที่ผมเครียดๆ ผมก็เดินมาถึงหน้าร้านกาแฟโดยไม่รู้ตัว แต่ผมค่อนข้างแปลกใจที่มันไม่มีคนเลยนอกจากพนักงานตรงเคาน์เตอร์ที่ทำหน้าง่วงนอนอย่างนั้น แต่ผมก็ยังเลือกที่จะเดินเข้าไป อาจจะเพราะตอนนี้คนไม่ค่อยลงมาก็ได้...

ผมสั่งอเมริกาโน่เข้มๆมาหนึ่งแก้วแล้วนั่งติดกับริมหน้าต่างที่เห็นทิวทัศน์ถนน ซุกหน้าลงกับฝ่ามือแล้วเท้าโต๊ะอยู่อย่างนั้นด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ มันมืดแปดด้าน ผมไม่อยากให้กุมภ์ต้องมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากฝืนกุมภ์ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว มันทำให้ผมเริ่มกลับมาปวดหัวจากความเครียดสะสม

ผมนี่มัน...

“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?”


เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นผู้ชายตัวสูงพอๆกับผมสวมแว่นตาดำกันแสง ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มจากการย้อม สวมเสื้อผ้าเหมือนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ในมือของเขามีแก้วอเมริกาโน่ร้อนขนาดใหญ่ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไรเพราะเขาสวมแมกส์กันฝุ่นด้วย

“อ่า...ผมเครียดเฉยๆน่ะครับ ไม่มีอะไรมาก” ผมยิ้มบางๆตอบเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขามานั่งตรงข้ามกับผมทั้งๆที่ร้านนี้ไม่มีคนที่โต๊ะอื่นเลย

“ความเครียดมันไม่ใช่เรื่องที่ควรปล่อยผ่านนะ ผมเห็นว่าคุณกำลังนั่งกุมขมับเลยสงสัยว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรรึเปล่า เพราะผมเองก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน อาการเดียวกันเป๊ะเลย” เขาหัวเราะเบาๆ “แต่ก็ยอมรับนะครับว่ากว่าจะผ่านมาได้มันก็ลำบากพอตัว แต่พอผ่านมาแล้วทุกอย่างในโลกนี้มันดูง่ายไปหมดเพราะผมเข้าใจหลักการและเหตุผลที่ทำให้เรื่องที่เราเครียดมันเกิดขึ้น

“มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ทำให้เรื่องราวนั้นเกิดขึ้นมา...นี่คือคำตอบครับ”

“ไม่มีเหตุผล...รองรับ?” ผมถามเขา “แต่จากที่ผมรู้มา ทุกอย่างมันย่อมต้องมีเหตุผลของมันอยู่แล้วนี่นา...”

“ชีวิตของคนเรามันไม่ได้เหมือนในนิยายหรอกนะครับ”

“...”

“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับทุกอย่างเพื่อให้มันสมจริง...แต่มันเกิดขึ้นเพื่อให้ชีวิตสามารถเดินต่อไปเท่านั้นเอง” เขาจับแก้วอเมริกาโน่ มองลงไปในน้ำสีดำที่ไม่มีน้ำตาลนั่น “คนเรามักจะร้องเรียกหาเหตุผลเสมอเมื่อเกิดเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ถ้าเราปล่อยวาง...ให้บางเรื่องมันเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องไปคิดอะไรมาก มันจะดีขึ้นเอง เชื่อผมเถอะนะ”

“...แต่ผม...กลัวว่าถ้าทำอะไรที่มันไม่มีการคิดอะไรหรือวางแผนอะไรมาก่อน มันจะทำให้ทุกอย่างพังลงมา” นอกหน้าต่างตอนนี้เริ่มมีรถวิ่งผ่านบ้าง เสียงคนที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนผมรู้สึกว่ามันน่าปวดหัวกลับมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าเหมือนจะเลือนราง ความรู้สึกของผมเริ่มมึนงง แต่ผมพยายามที่จะคุมน้ำเสียงตัวเองให้คงที่เพื่อคุยกับเขา “ผมกลัว...กลัวว่าจะเป็นคนพังชีวิตของเขาด้วยมือของผมเอง...”

“ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะพังตัวเขา”

“...ทำไมครับ?”

“เพราะตัวกุมภ์ที่แท้จริงน่ะ...กำลังรอให้เธอดึงเขาออกมาจากความหวาดกลัวนั้นอยู่นะ”

แล้วผมก็รู้สึกเหมือนโลกมันหมุนแรงมากกว่าเก่า ท่ามกลางความสงสัยของตัวผมว่าทำไมเขา...

“คุณรู้จักชื่อของเขาได้ยังไง?! เดี๋ยวก่อน--”

 

เฮือก!


ผมสะดุ้งขึ้นมากลางดึก พอมองไปรอบๆแล้วเห็นนาฬิกาที่แขวนผนังอยู่...มันก็ตีหนึ่งแล้ว วันที่ในโทรศัพท์ก็บอกว่ามันคือวันเดียวกันกับที่ผม...ฝัน?

แสดงว่าผมตื่นซ้อนตื่นเหรอ...ท่าทางจะเหนื่อยเกินไปสินะ

กุมภ์ที่กำลังหลับอยู่บนเตียงนั้นดูสงบ...ผ่อนคลายทุกอย่าง มือของเขาผสานกับมือของผมราวกับว่ากลัวผมจะหายไปไหน ผมจึงเลื่อนมืออีกข้างไปลูบเส้นผมด้วยความอ่อนโยน ปลอบเขาให้เขารู้สึกว่าโลกนี้มันปลอดภัย และเขาจะปลอดภัยเมื่อผมอยู่ข้างๆ

ความฝันเมื่อครู่...มันก็อาจจะจริง

ผมไม่ต้องหาเหตุผลมารองรับ ไม่ต้องไปคิดมากอะไรเรื่องที่กุมภ์กลัวการจะออกไปข้างนอก เพราะผมจะต้องพาเขาก้าวเดินไปด้วยกัน ผมจะไม่เดินนำหน้าเขาก่อนเพื่อให้เขาเดินตาม นั่นจะสร้างบาดแผลให้เขา แทนที่จะเป็นปกป้องแต่เขาจะคิดว่านั่นคือการปล่อยให้เขาเดินด้วยตัวเอง

“พี่จะพากุมภ์เดินออกมาจากความมืดด้วยกัน...ไม่ต้องกลัวนะเพราะพี่จะจับมือเอาไว้เอง...”

ผมกระซิบบอกข้างหูเขา กุมภ์ขยับตัวนิดหน่อยก่อนที่จะนิ่งไปอีกครั้ง แล้วผมก็เปลี่ยนมาฟุ่บหน้าลงกับข้างเตียงเพื่อดูเขานอน...

กุกกัก

เสียงอะไร?

ผมมองไปที่ประตู เห็นเงาคนกำลังยืนด้อมๆมองๆอะไรอยู่ตรงนั้นจนผมรู้สึกอึดอัด ผมปล่อยมือของกุมภ์แล้วเดินไปเปิดประตูเพื่อดูว่าตรงทางเดินมีใคร แต่ก็เห็นว่ามีร่างของนกฮูกกำลังยืนอยู่ข้างๆกำแพงด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด

“...กูมาขอโทษ...แล้วก็มาดูว่ามึงสบายดีรึเปล่า?”

“กูไม่ได้อยากหาเรื่องกันตอนนี้ แต่ว่ามึงกลับไปเถอะ ความหวังดีของมึงมันทำให้กูขยะแขยงไม่กล้าเข้าหาด้วยอีกแล้ว” ผมตอบเสียงเย็น นกฮูกมีสีหน้าเศร้าลงไปชัดเจน สายตายังคงดูเลื่อนลอย “กูให้อภัยมึงไม่ได้ เพราะกูไม่ใช่พ่อพระที่จะมีความเมตตากับคนทั้งโลกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้าใจนะ? มึงกลับไปที่ห้องตัวเอง พักผ่อน แล้วเตรียมรับการรักษาเถอะ”

“...เข้าใจแล้ว...” นกฮูกเดินจากไป ผมถอนหายใจ คิดว่าเขาจะมาทำอะไรแล้วเสียอีก แต่เขาก็คงไม่เสี่ยงที่จะทำเรื่องอันตรายในโรงพยาบาลหรอก

แต่ทำไม...ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย

ผมกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง พร้อมกับความคิดที่ยังคงทำให้สมองผมหลับไม่เต็มที่

 

‘ข่าวด่วน เวลาตีสองสิบนาที ผู้ป่วยรายหนึ่งในโรงพยาบาลชื่อดังตัดสินใจที่จะกระโดดลงมาหลังจากที่มีความผิดข้อหาทำร้ายร่างกาย ประกอบกับมีอาการทางจิตทำให้ไม่สามารถรับความอดทนได้ไหว แพทย์ผู้ทำการรักษานั้นเปิดเผยว่าผู้ป่วยกำลังจะถูกส่งไปบำบัดอาการทางจิตในอีกสามวัน อีกทั้งเขายังพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่งที่ทำให้เป็นสาเหตุที่เขาเข้ารับการรักษาที่นี่--’

เสียงข่าวในโทรทัศน์ดังขึ้น ผมที่ถูกปลุกโดยเสียงโทรศัพท์จากมะยมก็รีบตื่นขึ้นมาดู มันเป็นไปตามที่ผมคิด เมื่อชั่วโมงที่แล้วนกฮูกเดินมาที่ห้องนี้...มาขอโทษกับเรื่องที่ทำไปแล้วตัดสินใจที่จะกระโดดตึกเพื่อจบชีวิตตัวเอง ผมไม่ได้รู้สึกผิดหรือเสียใจกับการตัดสินใจของเขา แต่ผมรู้สึกว่ามันน่าใจหายที่เขาทำแบบนี้เพื่อเป็นการหนีจากชีวิตที่แสนโหดร้าย ผมที่เคยคิดอย่างนั้นพอมาเจอกับคนใกล้ตัวเข้าก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าให้มีชีวิตอยู่ต่อไปแม้ว่ามันจะยากเท่าใดก็ตาม

ใครๆก็อยากให้เห็นฟ้าหลังฝนเสมอ

แต่สำหรับนกฮูกนั้น...เขาคิดว่ามันจะไม่มีวันนั้นอีก เขาจึงเลือกทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตตัวเอง เลือกทางที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดแม้ว่ามันจะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ตาม

ตอนเช้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบถามกับผมว่าเมื่อคืนผมได้เจอกับนกฮูกแล้วคุยเรื่องอะไรตามหลักฐานกล้องวงจรปิด ผมบอกไปเพียงว่าผมไม่อยากให้เขามาวุ่นวายแถวนี้เพราะกลัวว่าจะทำให้กุมภ์ตื่นตัว และพวกเขาก็ยื่นโทรศัพท์ของนกฮูกมาให้ผมดูข้อความที่เขาพิมพ์ลงไปในนั้น

ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ทำไป ผมรู้ตัวเองดีว่าผมผิด...แต่ผมก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว ขอให้การจากไปของผมในครั้งนี้เป็นการจบเรื่องราวทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมด

เหตุเกิดมันเริ่มมาจากความอิจฉา...จนกลายมาเป็นความกดดันและความเครียด ผมไม่เคยได้ระบายเลยแม้ว่าจะได้พบกับจิตแพทย์ก็ตาม ดังนั้นแล้วผมก็เป็นแค่คนบ้าคนหนึ่งที่ทำไปเพราะเหตุผลงี่เง่าของตัวเอง

ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอให้เดือนปกป้องน้องจนกว่าจะปล่อยมือกันไป ผมไม่อยากแย่งสิ่งที่คุณมีไปแล้วเพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ของผม

...ในที่สุดผมก็สามารถมีความสุขเป็นของตัวเองได้เสียที...


เขา...ปลดล็อกตัวเองไปแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นตอนไหน แต่บางเรื่องก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็นนั่นแหละถึงดีที่สุด

ผมเอง...ก็ขอให้เขามีความสุขจริงๆหลังจากนี้ แม้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนหรือเกิดใหม่เป็นอะไรก็ตามแต่

 

วันเวลาผ่านไป ผมค่อยๆชวนกุมภ์เดินเล่นตามทางเดินในโรงพยาบาล กุมภ์ดูเกร็งแต่เพราะว่ามีผมอยู่ด้วย เลยทำให้เขาคิดว่ามันน่าจะปลอดภัย เพื่อนๆต่างผลัดกันมาเยี่ยมเยียน กำลังใจของเขาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

“...ผมว่าผมพอจะออกไปข้างนอกได้บ้างแล้ว” คำพูดของกุมภ์ทำให้หลายคนรู้สึกโล่งอก เขาไม่ได้กลัวเท่าตอนแรกๆ “ถ้ามีพี่เดือน...หรือคนอื่นอยู่ด้วย ผมว่าผมสามารถไปเรียนได้ตามปกติ”

“อย่าฝืนตัวเองดีกว่านะ แม่ไม่อยากให้ลูกต้องกังวลกับอะไร” แม่ของกุมภ์ยืนอยู่ข้างๆผม กุมภ์มองท่านก่อนที่จะตัดสินใจพยักหน้าเป็นคำตอบว่าเขาจะฟังแม่ “แม่รู้ว่ากุมภ์อยากออกไปแค่ไหน แต่ให้มันเป็นเรื่องของเวลาดีกว่าเนอะ”

“นั่นสิ ถ้ากลัวเรียนไม่จบเดี๋ยวพ่อเข้าเรียนใหม่เป็นเพื่อนลูกก็ได้”

“พ่อก็ ผมไม่ได้กลัวเรื่องนั้นหรอกครับ ผมแค่อยากกลับไปเป็นปกติไวๆเท่านั้นเอง” กุมภ์ยิ้มแล้วจับมือของผม ผมกุมมือของเขาแน่นเพื่อยืนยันว่าผมจะอยู่ตรงนี้

“แล้วพ่อของเดือนว่ายังไงบ้างล่ะ เขายินดีที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง พ่อกับแม่เกรงใจเขาจะแย่แล้ว”

“ผมห้ามอะไรเขาไม่ได้หรอกครับ ไม่ต้องกังวล เพราะยังไงท่านก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือได้เสมอ” ผมพูดถึงพ่อตัวเองที่ตอนนี้น่าจะกำลังเดินทางมา เพราะเขาต้องมาดูงานที่นี่ด้วยจะแวะมาก็คงไม่เสียเวลามากนัก ตั้งแต่ที่เข้ารักษามาเขาโอ๋กุมภ์ยิ่งกว่าใครอีกมั้งนั่น

กุมภ์น่ารัก...พ่อผมว่าอย่างนั้น ตอนแรกทำท่าเหมือนจะรับไม่ได้จะตาย หรือว่าจริงๆแล้วท่านแค่ปากแข็งกัน?

“แล้วแม่ของเธอ...”

“ขอโทษนะคะที่รบกวน”

ผมหันไป เสียงประตูของห้องดังขึ้น กุมภ์สะดุ้งนิดๆเพราะเสียงที่มาใหม่นั้นเป็นน้ำเสียงดุดันจริงจัง และนั่นคือเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินอีกเสียงหนึ่งในชีวิตนี้

“...รตาอยากตามมาด้วยเพราะเห็นว่าช่วงนี้ลูกเข้าโรงพยาบาลบ่อย...แล้วก็...”

“คุณเงียบไปเลย” ท่านสั่งให้พ่อของผมเงียบ “ได้ข่าวว่าฉันไม่ได้สอนให้แกรักผู้ชายสักหน่อยนี่ ทำไมไม่บอกอะไรเลย”

“...”

“ตามแม่มา เรามีเรื่องต้องคุยกันให้มันจบ”

 

แม่ของผม...ที่ค้านและเกลียดเรื่องการคบหาของเพศเดียวกันเป็นที่สุด เป็นคนสุดท้ายบนโลกที่ผมอยากให้รู้ว่าผมกับกุมภ์เป็นแฟนกัน


==========


เหลือด่านแม่พี่เดือนและอาการของน้องกุมภ์แล้วนะคะ โค้งสุดท้ายจริงๆแล้ว ฮึบเข้าไว้!
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (23/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-06-2019 00:33:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย...อิแม่   เป็นหมอซะเปล่า   แต่ความคิดไดโนเสาร์มากอ่ะ
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (23/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 02-07-2019 21:48:04
บทที่ 17

 

= เดือน =

 

“บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ว่าคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เมื่อหลายเดือนก่อน...ตอนใกล้จะเปิดเทอม แต่ผมกับน้องคุยด้วยกันก่อนหน้านั้นแล้วสองปี” ผมตอบแม่ด้วยความใจเย็น ห้ามใจร้อนเด็ดขาดไม่งั้นจะจบลงที่การทะเลาะกันอีกแน่ “ผมกับกุมภ์เรารักกันจริงๆ”

“แต่พวกแกเป็นผู้ชายทั้งคู่ จะรักกันได้ยังไง?” ท่านยังไม่ยอม ทำท่าเหมือนจะเข้าไปหากุมภ์ในห้องแต่ผมก็ห้ามท่านเอาไว้ก่อน “ถอยเลยนะ แม่จะไปคุยกันให้รู้เรื่อง”

“แต่ตอนนี้น้องกำลังป่วย เขาต้องรับการรักษา ถ้าแม่เข้าไปตอนนี้แม่จะทำให้เขารู้สึกไม่ดีและเครียดมากกว่าเก่า”

“คิดว่าแม่จะสนใจเหรอ?”

“เขาถือว่าเป็นผู้ป่วย และแม่ก็เป็นหมอ แม่จะยอมให้คนมองว่าแม่กระทำการรุนแรงทางจิตใจกับผู้ป่วยเพราะเรื่องนี้เหรอครับ?”

ผมย้ำเรื่องนี้กับแม่ไป ท่านนิ่งไปก่อนที่จะยืนอยู่กับที่เหมือนเดิม หายใจเข้าออกเพื่อคุมสติเอาไว้ให้ได้ แล้วเปลี่ยนมาเป็นนั่งลงกับเก้าอี้หน้าห้องแทน “แกเบี่ยงเบนเพราะอะไร แม่จำได้ว่าแกไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยจนกระทั่ง...เดี๋ยวนะ หรือว่าเพราะคนนี้ที่ทำให้แกไม่เรียนแพทย์ตามที่แม่หวังต่อ?”

“คนนี้แหละครับที่ทำให้ผมเจอกับสิ่งที่ต้องการจริงๆ” ผมยืนยันกับท่าน “เขาเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตผม ให้ผมมองหาสิ่งที่ผมอยากได้ ผมอยากได้อิสระ และผมก็ได้มันแล้ว เขาเป็นฝ่ายปกป้องและดูแลผมเมื่อสองปีก่อน และตอนนี้ผมเองก็จะเป็นฝ่ายที่ปกป้องเขาบ้าง ผมจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหนเด็ดขาดจนกว่าผมจะตาย”

“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่านั่นคือความรักของพวกแก ทั้งที่มันเกิดขึ้นไม่นาน”

“แล้วที่แม่แต่งงานกับพ่อนั่นเพราะความรักหรือผลประโยชน์ล่ะครับ?”

“...”

“แม่เองก็หวังแต่ผลประโยชน์ ปากบอกว่ารักพ่อแต่สุดท้ายแล้วแม่ก็หวังแค่ชีวิตที่มั่นคงกว่าเดิม มีลูกสองคนเพื่อให้สืบทอดทุกอย่างต่อ หาเงินเข้าตัวเองให้ได้มากที่สุด แม่ไม่ได้มองผมเลยเหรอครับว่าผมไม่มีความสุขแค่ไหน? นานเท่าไหร่แล้วที่ผมยิ้มต่อหน้าแม่ ครอบครัวเป็นสิ่งที่พรากผมจากความสุขจนมาเจอกับกุมภ์ที่มอบรอยยิ้มให้ผมอีกครั้ง แม่...รักพวกเราจริงๆรึเปล่า? หรือมันเป็นเพราะหน้าที่ของคำว่าแม่เฉยๆ”

“แม่รัก แม่ถึงจะให้สิ่งที่ดีที่สุด เดือนฟังนะ การที่มีครอบครัวดี การงานดี มันจะทำให้ชีวิตยั่งยืน”

“แม่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตของผมนะครับ”

“...”

“ชีวิตของผม...แม่อย่าทำให้มันเป็นเกมชีวิตที่สองของแม่เลย ผมอยากเล่นด้วยตัวเอง พลาดก็พลาดด้วยตัวเอง เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาควบคุม และที่ผมชอบกุมภ์นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบผู้ชายคนอื่น ตอนมัธยมผมนิยามตัวเองว่าเป็นเกย์ แต่ตอนนี้ผมมาคิดดูเอาอีกที ผมแค่รักกุมภ์เท่านั้น ผมรักกุมภ์ที่เป็นกุมภ์ ไม่ได้รักผู้ชายคนอื่นเลย”

“แต่มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของแม่เสีย”

“เพราะแม่มัวแต่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองนี่แหละครับที่ทำให้ผมไม่อยากจะยุ่งอะไรกับแม่อีกแล้ว แม่กลัวแต่ตัวเองจะเสียหน้า กลัวข่าวว่าลูกชายคนโตของตระกูลโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในอุบลเป็นเกย์ กลัวคนจะนินทาจนเสียชื่อเสียงที่สร้างมา แม่ครับ ชื่อเสียงมันสำคัญกับแม่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ผมถามแม่ ท่านกำลังตัน ไม่รู้ว่าเลี่ยงไปทางไหนได้ “...แม่ให้คำตอบผมไม่ได้ก็แปลว่าแม่ห่วงแต่ตัวเองจริงๆ”

“แล้วแกจะเสียใจที่เลือกแบบนี้”

“มันไม่มีอะไรน่าเสียใจไปกว่าการที่แม่ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกจริงๆหรอกครับ แม่แค่เห็นผมเป็นหมากชีวิตอีกตัวเท่านั้น ผมขอตัวก่อนดีกว่า ต้องพากุมภ์ไปเดินเล่นที่สวนข้างล่าง”

ผมปล่อยให้แม่นั่งอยู่ตรงนั้น พ่อที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พวกเราคุยกันนักบอกว่าจะจัดการให้ ตอนนี้ท่านอาจจะไม่อยากยอมรับอะไรทั้งสิ้นเพราะฐิติที่สูงเกินไป ถ้าช่วยกล่อมได้ก็จะช่วย

“เดือนก็ทำให้แม่เห็นสิว่ากุมภ์เป็นเด็กน่ารักแค่ไหน”

“ถ้าแม่เขายอมมองนะครับ” ผมถอนหายใจ “พ่อก็รู้ว่าจริงๆแล้วแม่ดื้อมาก”

“ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกนะ เพียงแต่รตาเขาไม่กลายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ให้เวลาเขาต่ออีกหน่อยเถอะ”

“ผมให้แม่มานานมากแล้ว แม่ยังไม่เห็นอีกเหรอว่าผมกำลังมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่มัธยมแค่ไหน” ประโยคนี้ทำให้พ่อสะอึก เขาก็คงจะรู้สึกผิดที่เป็นส่วนหนึ่งด้วย ผมจึงเลื่อนมือตัวเองไปจับแขนท่านเอาไว้ “มันผ่านมาแล้ว พ่อไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมจะพากุมภ์ไปเดินเล่นจริงๆแล้วล่ะ”

“ระวังด้วยนะ”

ผมกลับมาที่ห้อง กุมภ์กำลังกินขนมที่พ่อผมเอามาฝากอยู่บนเตียง เพื่อนของเขากลับกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงพ่อแม่กุมภ์ที่ยังนั่งดูโทรทัศน์ในห้อง ผมขออนุญาตพวกเขาพาน้องออกไปข้างนอก พวกท่านก็พยักหน้าปล่อยให้ไป

“พี่เดือนครับ แม่พี่มาแล้วพี่มีปัญหาอะไรด้วยรึเปล่า?” กุมภ์ว่าพลางจับมือของผมค่อยๆเดินไปตามทางเดินริมตึกผู้ป่วย สวนที่อยู่ด้านซ้ายมือของพวกเรานั้นเป็นสวนขนาดเล็ก มีดอกไม้เล็กๆที่ผมไม่รู้จักชื่อปลูกอยู่เป็นพุ่มๆ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ประมาณสี่ห้าต้นได้ ตรงกลางมีน้ำพุเล็กๆ “ผมได้ยินเสียงพี่ทะเลาะกับแม่”

“เรียกว่าคุยด้วยเหตุผลแต่น้ำเสียงไม่ดีมากกว่าเถอะ” ผมพูดติดตลก กุมภ์ก็ยิ้มตาม “แต่พี่จะค่อยๆคุยกันไป พี่ไม่ยอมปล่อยมือจากกุมภ์แน่ รักซะขนาดนี้”

“พูดเหมือนอยู่ด้วยกันมาแล้วสิบปี”

“พี่อยากอยู่กับกุมภ์ไปอีกสักแปดสิบปี อยู่ด้วยกันไปจนตายเลย” คราวนี้กุมภ์ยิ่งหัวเราะเสียงดัง ผมรู้สึกดีใจที่น้องอารมณ์ดีในวันนี้ บางวันก็ซึมราวกับว่าคิดอะไรอยู่คนเดียวตลอดทั้งวัน “อยากกินอะไรมั้ยหลังออกจากโรงพยาบาล? เดี๋ยวพี่จะซื้อให้”

“ไม่ถังแตกแล้วเหรอครับ? จำได้ว่าเมื่อก่อนยังบ่นๆเรื่องจะซื้อนมบำรุงอยู่เลย” นมบำรุงที่ว่าคือนมบำรุงร่างกายคุณภาพดี เสียที่ราคาสูงเกินกับคุณภาพไปนิดเพราะเป็นราคานำเข้าจากต่างประเทศ ตอนแรกพ่อผมก็อยากสั่งมาให้กุมภ์ดื่มนั่นแหละแต่ผมขัดเอาไว้ก่อน ถ้ากุมภ์รู้ว่าราคามันสูงขนาดนั้นเขาไม่ยอมกินแน่

ผมจับมือกุมภ์เดินเข้ามาในสวน นั่งเล่นที่ม้านั่งไม้ด้วยกัน ผมร้องเพลงให้กุมภ์ฟังและเขาก็เผลอหลับไป ไม่รู้ว่าเพราะเสียงผมมันเอื่อยๆรึยังไงเลยทำให้หลับปุ๋ยอย่างนี้

กุมภ์...ผมยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าจะรักเขาได้มากขนาดนี้

เวลาที่ผ่านมาไม่นานมันสร้างความผูกพันให้ทั้งผมและกุมภ์ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งหลงใหลตัวตนของอีกคนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมยังไม่เห็นทุกด้านของกุมภ์ กุมภ์ก็ยังไม่เห็นทุกด้านของผม แต่สิ่งที่พวกเราเห็นแล้วนั่นก็คือความรักที่มีให้กัน ขอแค่ไม่ปล่อยมือ จับไว้ไปเรื่อยๆอย่างนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้พวกเราสบายใจแล้ว

“พี่รักกุมภ์...รักจนไม่รู้จะทำยังไงถ้าไม่มีกุมภ์อยู่ข้างๆ” ผมประทับจูบลงข้างแก้มนิ่มของเขา กุมภ์ขยับตัวเพื่อปรับองศาร่างกายนิดหน่อยก่อนที่จะหลับสนิทเหมือนเดิม ผมปล่อยให้น้องนอนหนุนตักผมท่ามกลางความร่มรื่นในสวนที่ไม่ค่อยมีคนเดินเข้ามา ถึงจะมีพวกเขาก็แค่ยิ้มๆให้ผมเท่านั้น คงเข้าใจดีว่าพวกเราเป็นอะไรกัน

ผมรู้ว่ามีหลายคนที่ยังไม่ยอมรับกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน...แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ การที่จะเปลี่ยนความคิดของคนนั้นมันยากยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ซึ่งผมก็หวังว่าแม่จะเปิดใจรับกับสิ่งที่พวกเราเป็นได้สักหน่อยก็ยังดี

การที่หลายคนออกมาพูดว่าพวกเราผิดธรรมชาตินั้นอาจจะมาจากเพราะความเชื่อสมัยก่อนที่มีมา ใครๆก็อยากได้ทาญาติเอาไว้สืบสกุล จำต้องมีลูกหลานและให้แต่งงานออกเรือนกันไป ความรักของบางคนก็ต้องจบลงเพียงเพราะเหตุผลนี้ แต่มันเอามาใช้กับปัจจุบันไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่ากันหมดแล้ว การบังคับนั้นเท่ากับการฝืนใจให้ทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ

“เดือน”

“ครับพ่อ?” ผมหันไปตามเสียงเรียกของพ่อ ท่านกำลังยืนอยู่ด้านข้างผมพร้อมกับแม่ “มีอะไรรึเปล่าครับ? เดี๋ยวผมจะปลุกน้องขึ้นไปแล้ว”

“อย่าเพิ่งปลุกเขาเลย หลับสนิทอย่างนั้น” พ่อเปลี่ยนมาทรุดตัวนั่งลงกับม้านั่งที่อยู่ถัดไปไม่ไกล แม่เดินไปนั่งตาม สีหน้าบึ้งตึงนั่นก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่าทะเลาะมา “แม่อยากเห็นกุมภ์ชัดๆ”

“...”

“ได้มั้ย?”

“ถ้าแม่ไม่ได้ทำอะไรน้องผมก็ไม่ว่าอยู่แล้วครับ” ผมมองไปที่แม่ ท่านไล่สายตามองกุมภ์ที่นอนหนุนตักของผม จากนั้นก็เอ่ยประโยคออกมา

“รูปร่างบางอย่างนี้ได้กินข้าวกินน้ำรึเปล่าหรอก แถมยังตัวเล็กไม่สมผู้ชายอีก”

“รตา!”

“แต่แม่ก็ยอมรับว่าเด็กคนนี้หน้าตาก็น่าเอ็นดูดี เพียงแค่แม่ไม่คิดว่าจะมาทำให้แกรักหัวปักหัวปำได้” แม่ไม่ได้พูดอะไรต่อ พ่อส่ายหน้าถอดใจ

“รตาก็แค่ปากแข็ง เธอเองก็ชอบเขาไม่ใช่น้อยเหมือนกันนั่นแหละ”

“คุณคะ!”

“นี่รตา เพราะเขาเป็นผู้ชายเท่านั้นเหรอที่ทำให้เธอต้องกั้นพวกเขาออกจากกัน? เธอกลัวว่าเธอจะเสียหน้าเวลามีคนมาว่าลูกของเธอ แต่เชื่อฉันเถอะ ไม่มีใครมาสนใจใครหรอกว่าจะคบกับเพศไหนอะไรยังไง ถึงสนใจแต่ก็ลืมไปเอง” พ่อปรามแม่ที่กำลังจะขึ้นเสียงอีกครั้ง “เธอไม่ลองให้เดือนอธิบายเหรอว่าตอนเจอกับเด็กคนนี้เขารู้สึกยังไง?”

“...”

“เดือน อธิบายให้แม่เธอฟังสิว่าเพราะอะไรที่ทำให้เธอมาหยุดที่คนคนนี้ได้”

ผมเหลือบมองพวกท่าน ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของกุมภ์ที่หลับ สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาให้ฟัง

“กุมภ์เป็นรุ่นน้องในชมรมบรรณารักษ์สมัยเรียนมัธยมปลาย เขาเป็นคนแรกที่เห็นหน้าซุ่มซ่ามของผม ผมกำลังจัดหนังสือเข้าชั้นอยู่ในวันนั้นแต่ก็ตกบันไดเล็กๆลงมา ถึงจะไม่เจ็บมากแต่ผมก็เสียหน้าต่อหน้าเขาไม่น้อยเลย จากนั้นผมก็มีเหตุทำให้เจอกับเขามากขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าจะที่ร้านหนังสือ ที่เรียนพิเศษ มันเป็นความโลกกลมที่ยิ่งกว่าโลกกลมอีก

“ผมไม่รู้ว่าผมสนิทกับเขาตอนไหน มารู้ตัวก็ตอนที่ไปไหนก็ไปด้วยกัน เริ่มมีคนคบค้าสมาคมด้วยก็เพราะเขา เริ่มได้พูดเปิดใจในสิ่งที่ผมเก็บเอาไว้มาตลอดเพราะเขา กุมภ์เป็นคนที่น่ารักมากนะครับ เป็นคนที่ร่าเริงเป็นพลังบวกให้กับทุกคน เป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยผมตอนที่ผมไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ

“แต่มารู้ตัวว่าผม...เริ่มชอบเขาเข้าก็ตอนที่ไปเที่ยวไร่ลูกหม่อนด้วยกัน ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่แซวพวกเราว่าเป็นแฟนกัน ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริงแต่พอโดนพูดเข้าหน้าพวกผมกลับแดงเหมือนเขิน จากนั้นมันก็เหมือนกับว่าความรู้สึกที่อยู่ในอกมันประทุออกมา ผมบอกกับกุมภ์ว่าผมชอบเขา ในใจผมกลัวว่ากุมภ์จะรังเกียจ แต่ไม่เลย กุมภ์เองก็คิดเหมือนกัน ผมดีใจมากเลยนะที่หัวใจของผมมันดันไปตรงกับคนที่ผมชอบพอดี จากนั้นพวกเราก็ยิ่งตัวติดกันมากไปอีก ผมพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้เป็นช่องว่างของความรู้สึก ไม่เข้าหามากเกินไป แต่ก็ไม่ห่างกันจนเกินไป ยิ่งนับวันก็ยิ่งรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ คือสิ่งที่ผมโหยหวน การที่มีใครสักคนสามารถรับฟังปัญหาของผมได้ตลอดคือคนที่ผมตามหามาทั้งชีวิต

“กุมภ์มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวสูง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีมุมเด็กๆที่น่าเหลือเชื่อ เขาบอกกับผมว่าให้อดทนอีกนิดแล้วผมก็จะเป็นอิสระ ถ้าผมไม่ได้กุมภ์ ตัวผมที่เป็นตอนนี้ก็คงจะกำลังนั่งเครียดแล้วร้องไห้จากความกดดันอยู่ที่คอนโด ไม่ได้อยู่ข้างๆเขาแบบนี้

“เขากำลังคิดว่าชีวิตของผมถ้าไม่มีกุมภ์...ผมจะยังสามารถมีลมหายใจมาพูดกับพ่อแม่แบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่”

“หมายความว่ายังไงเดือน?” หลังจากที่ผมบ่นนาน แม่ก็พูดเมื่อได้ยินคำว่าลมหายใจของผม

“พ่อกับแม่ไม่รู้หรอกครับว่าผมเคยฆ่าตัวตายครั้งหนึ่ง แต่มันไม่สำเร็จ”

“...”

“ตอนนั้นผมเครียดมาก...ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรหรือทำไปเพื่ออะไรกันแน่ ตอนที่จะลงมือกรีดข้อมือตัวเองมันก็มีความคิดสองอย่างแทรกเข้ามา ผมกลัวกับผมต้องรอ...รอชีวิตที่ดีกว่านี้ และมันก็ไม่ทำให้ผมเสียความอดทนที่รอเพราะผมเจอกับคนที่ทำให้ผมปลดล็อกทุกอย่างให้” มือของผมยังลูบใบหน้าของกุมภ์ด้วยความห่วงใย “และในตอนนี้ผมก็สมควรจะได้เวลาที่ออกมาปกป้องเขาบ้างแล้ว เขาปกป้องผมมามากพอที่จะให้ลูกนกอย่างผมกล้ากางปีกบินออกจากกรง คราวนี้ผมอยากจะดูแลคนที่ทำให้ผมได้รับสิ่งที่ดีที่สุด อยากทำให้เขามีความสุข ไม่ต้องกังวลอะไรแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแค่ไหน ที่สำคัญก็คือผม...อยากจะเป็นคนที่ปกป้องเขาไปตลอดชีวิต

“ผมบอกเขาว่าถ้าเราไปด้วยกันไม่ได้ พวกเราก็จะยังยืนอยู่ข้างๆในฐานะพี่น้อง แต่ในตอนนี้ที่ผมแน่ใจในความรู้สึกของผมแล้ว ผมไม่ได้อยากกลับไปเป็นพี่น้องกันอีก ผมอยากเป็นคนรักของเขา และผมก็อยากให้ตัวผมเป็นคนที่เขารักตลอดไป“

“ความรักมันไม่ยั่งยืน โดยเฉพาะกับคนแรก” แม่เถียง “แม่เคยคบกับคนอื่นมาก่อน มันจบไม่สวย”

“เพราะแม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขารึเปล่าครับ?”

“...”

“แม่ห่วงตัวเองเป็นคนแรก...นั่นทำให้แม่ไม่ได้หันไปมองอะไรหลายๆอย่างรอบตัว แม่ขังตัวเองเอาไว้ในกรอบความคิดของตัวแม่เอง แม่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นเท่าความรู้สึกของตัวเอง ผมพยายามจะบอกแม่ว่าผมไม่อยากทำแบบนี้แต่แม่ก็ไม่เคยมอง ผมเลยทำเป็นชินชากับมันไปจนกลายมาเป็นว่าพวกเรากลับมาคุยหน้ากันตรงๆไม่ได้อีก

“มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าแม่จะคบกันมากี่คน แต่คนที่ใช่มันก็คือคนที่ใช่ เหมือนที่ผมรู้ตัวว่ากุมภ์นี่แหละคือคนที่ผมอยากจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต”

“รตา เธอฟังเดือนหน่อยนะ...ฉันรู้ว่าเธอรักลูก แต่เธอไม่แสดงออกมาเพราะฐิติเธอ เธอช่วยลดลงมาอีกนิดได้มั้ย? เพื่อลูกเองนะ”

“...ถ้าอย่างนั้นแกก็พิสูจน์ดูสิว่าจะรักกันได้นานเท่าไหน เด็กคนนี้จะทำให้ฉันประทับใจได้รึเปล่า? หรือเข้าหาเพียงเพราะผลประโยชน์เท่านั้น”

พูดเหมือนตัวเองไม่เข้าหาผลประโยชน์ ผมนึกในใจ ผมไม่ได้อยากว่าแม่ตัวเองแต่เพราะมันเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ แม่เองก็คงจะรักพ่อด้วย หวังผลด้วย แล้วความหน้ามืดกับสิ่งที่ตัวเองต้องการมันมากเกินไปหน่อยเลยทำให้ท่านไม่สนใจที่จะมองคนรอบข้างมากนัก แต่เอาจริงๆแล้งแม่ก็เป็นคนเก่ง สามารถพาโรงพยาบาลของเราก้าวกระโดดไปได้หลายขั้นจนเป็นที่ยอมรับของคนในจังหวัดมากขึ้น

“...ได้ครับ ผมมั่นใจด้วยซ้ำว่าอีกไม่นานแม่ก็จะใจอ่อน” ผมยิ้มให้แม่ “เขาเป็นคนน่ารัก เอาใจคนเก่งด้วย ถึงจะยังกังวลๆหน่อยแต่ผมว่าอีกไม่นานเขาจะเข้าไปวิ่งเล่นในใจแม่”

“ไว้ดูกัน”

“แม่ลูกเริ่มพนันกันแล้ว นี่หมายความทุกอย่างมันดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” พ่อหัวเราะ เขาตบบ่าผม “ตอนเย็นพ่อจะซื้ออาหารชุดใหญ่เข้ามาเลี้ยงน้องเอง เห็นเขาบ่นอยากกินอะไรมั้ย?”

“ฉันแนะนำว่าอย่าให้กินของที่มีแต่ไขมัน”

“ไม่ทันไรแม่ก็ห่วงแฟนผมแล้ว สงสัยปากแข็งจริงๆ”

“เดือน!”
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (23/06/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 02-07-2019 21:51:21
กุมภ์กลับมาอยู่ที่คอนโดได้สักพักแล้ว ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี เขาสามารถเดินอยู่แถวๆใต้คอนโดได้ด้วยตัวคนเดียว แต่การที่จะออกไปที่ไหนที่ไกลมากกว่านี้เขายังเกร็ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ออกจะเป็นเด็กแสบเสียมากกว่าที่พยายามจะซนออกไปด้วยตัวคนเดียวให้ได้

“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าไม่ไหวอย่าออกไปคนเดียว”

“ผมอยากหายไวๆ”

“หายไวจริงเหรอ? ตอนเดินอยู่คนเดียวก็เกร็งไปหมดจนคนชนล้มหัวเข่าถลอกเนี่ย” ผมทายาลงไปตรงหัวเข่าของกุมภ์ที่ถลอกเป็นแผลไม่ใหญ่มาก “กุมภ์กำลังเร่งตัวเอง เร่งตัวเองมากไปเดี๋ยวพี่ก็ไม่พาออกไปข้างนอกอีกเลยซะนี่”

“ไม่ได้นะ! ผมยังอยากถ่ายรูปอยู่ ตอนนั้นผมไม่น่าพูดเลยว่าไม่อยากทำตามฝันแล้ว...”

กุมภ์มีสีหน้าเศร้าลงไป ผมปลอบใจเขาด้วยการกอด ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นก็คงจะช็อคอยู่เลยไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง

นิ้วก้อยข้างซ้าย...กุมภ์ตัดสินใจว่าจะไม่สวมนิ้วเทียมหรือว่าต่อนิ้วใหม่เพราะเขาบอกกับผมว่าให้มันเป็นการตัดอดีตตัวเองออกไป อดีตที่เลวร้ายของเขาให้มันจากไปกับนิ้วส่วนนั้น หลายคนก็ท้วงกันว่าเขาจะไม่สามารถใช้มือได้สะดวกเท่าเดิม แต่กุมภ์ก็ย้ำว่ามันคือเจตนาของเขา อีกทั้งนิ้วที่หายไปก็ไม่ใช่นิ้วที่สำคัญมาก เสียใจก็ทำอะไรมากไม่ได้

พอกุมภ์ตอบคำถาม นทีเลยแซวว่าเพราะนิ้วก้อยข้างซ้ายนั้นไม่ใช่นิ้วที่ใช้สวมแหวนแต่งงาน

“แล้วพี่จะเรียนต่อบริหารจริงๆเหรอครับ?” กุมภ์แตะผ้าก๊อซที่ปิดแผลของเขา ลูบมันไปมาเพราะใช้ความคิด “พี่บอกว่าพี่ไม่ชอบนี่นา”

“ความฝันกับความจริงมันไม่เหมือนกัน แต่เราทำไปพร้อมกันได้นี่?” ผมบอกน้อง “พี่รู้ตัวดีว่าถ้าเกินอายุสามสิบไป สายตาพี่ก็คงจะไม่ดี ทุกวันนี้ถ้าพี่ไม่ใส่แว่นหรือคอนเทคเลนส์พี่ก็จะมองไม่เห็นอยู่แล้ว ดังนั้นพี่เลยจะเรียนต่อบริหารแล้วรับงานต่อจากพ่อ บริหารโรงแรมให้เป็นไปตามที่พี่ต้องการ พี่อยากให้โรงแรมมีแต่คนยิ้มแย้ม พนักงานทุกคนสดใส ตอนพี่เข้าไปนะ หน้าบึ้งกันราวกับว่าจะเตะพี่ออกมายังงั้น”

“เขาไม่เตะลูกชายผู้บริหารออกมาหรอกน่าพี่เดือน คิดมากไปได้”

“แต่พอเห็นอย่างนั้น...พี่เองก็อยากเป็นคนที่มอบรอยยิ้มให้แก่ทุกคนเหมือนกับที่กุมภ์ทำ ไม่ว่าจะวิธีไหนเราก็มีหนทางการสร้างความสุขให้ได้ไม่ใช่เพียงเพราะการทำในสิ่งที่เราชอบเท่านั้น” ผมค่อยๆขยับตัวไปหยิบกรอบรูปที่มีรูปครอบครัวของผมสมัยผมยังเป็นเด็กตัวนิดเดียว “บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พี่ตอนเด็กต้องการ...พี่อยากให้พ่อแม่ยิ้มภูมิใจกับพี่สักครั้งในชีวิต แต่เพราะยิ่งโตขึ้น ภาระยิ่งมีมากขึ้น พี่เลยลืมสิ่งนี้ไป”

“พูดถึงพ่อแม่พี่...แล้วแม่พี่เป็นยังไงบ้างครับ? ท่านไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่นี่นา?”

“จะบ้าเหรอ? แม่พี่น่ะชอบนิสัยกุมภ์นะ”

“ฮะ?”

“แม่พี่ชอบนิสัยกุมภ์ แต่ติดตรงที่ท่านไม่อยากให้กุมภ์เป็นผู้ชาย แม่พี่กลัวว่าจะมีคนนินทาที่พี่คบกับผู้ชายกันเองจนท่านเสียหน้า” ผมหัวเราะ “ฐิติสูง แต่เดี๋ยวปิดเทอมพี่จะพากุมภ์ไปบ้านพี่นะ”

“เฮ้ย! มันจะดีเหรอครับนั่น?!”

“พี่ยังไปบ้านกุมภ์ตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวกันใหม่ๆเลย คราวนี้กุมภ์เป็นฝ่ายต้องไปบ้างแล้วนะ” กุมภ์ถลาตัวไปนอนบนเตียง เอาผ้าห่มปิดตัวปิดหน้าเมื่อรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร “ไปแนะนำตัวกับพ่อปู่แม่ย่าไง”

“พี่เดือน!”

“พี่หยอกเล่นหรอกน่า พี่ก็แค่อยากให้กลับบ้านไปเจอครอบครัวบ้าง อยู่แต่ที่นี่มันก็ไม่ดีนัก มีแต่อากาศจากท่อเสียรถยนต์”

“แต่ว่า...”

“เอาไว้พี่ปิดเทอมแล้วพี่จะพาไป รถก็ซ่อมเสร็จแล้ว ระหว่างทางจะได้แวะเที่ยวด้วยเลย ดีมั้ย?” ผมยกกล้องขึ้นมา “ได้ถ่ายรูปเล่นด้วยกัน ผ่อนคลายสักหน่อย”

“...”

“พี่อยากเห็นกุมภ์ยิ้มกว้างอีกสักครั้ง...เหมือนที่กุมภ์เคยยิ้มให้ไง”

กุมภ์สะอื้น เขาปาดน้ำตาด้วยนิ้วตัวเองและพร่ำบอกแต่คำว่าขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่รู้ว่าจะปลอบใจเด็กขี้แงคนนี้ด้วยวิธีไหนนอกจากการดึงเขาเข้ามากอด จูบซับน้ำตาเพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย ก่อนที่จะเบี่ยงความสนใจเขาด้วยการประทับริมฝีปากกับอวัยวะเดียวกัน ความชุ่มฉ่ำของสิ่งที่อยู่ภายในมันอุ่นและให้ความรู้สึกแนบแน่น กุมภ์ไม่รู้วิธีจูบ ผมเองก็ไม่รู้วิธีจูบ ทุกอย่างมันจึงดูเก้ๆกังๆ แต่หยอกล้อกันด้วยลิ้นไปอีกสักพักผมก็ละออกมาแล้วใช้ปลายจมูกตัวเองเกลี่ยคนตรงหน้า

ผมยังไม่อยากล่วงเกิน...เพราะผมเชื่อว่ากุมภ์ยังไม่พร้อม และผมเองก็รอได้แม้ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม

“ลืมความเศร้าของวันนี้ไปเถอะนะ พรุ่งนี้กุมภ์ช่วยยิ้มให้พี่ด้วยล่ะ”

 

ผมกับกุมภ์ช่วยกันขนของฝากลงมาจากหลังรถ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเค้กที่ตั้งใจจะเอามาให้ครูที่โรงเรียนเก่าด้วย ให้คนระแวกบ้านด้วย แต่ก็มีตะกร้าผลไม้ชุดใหญ่เอากลับมาที่บ้านของกุมภ์เหมือนกัน

พ่อแม่ของกุมภ์ต้อนรับอย่างดี มีนาที่อ่านหนังสืออยู่บนห้องรีบวิ่งลงมากอดพี่ชายตัวเองใหญ่เพราะตัวเองไม่สามารถเดินทางไปเยี่ยมเขาได้ตั้งแต่แรก เขาร้องไห้ที่เห็นว่าพี่ชายนั้นต้องมาบาดเจ็บและมีแผลทางจิตใจ แต่กุมภ์ก็ปลอบน้องเหมือนที่ผมปลอบ เขาคงจะพยายามทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่นยกเว้นผม

มื้อเย็นวันนั้นพ่อแม่ของกุมภ์ทำของชอบให้ลูกตัวเอง มีหลายอย่างจนผมคิดว่าไม่มีทางกินหมดได้แน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นกุมภ์ก็กินหมดราวกับว่าไม่ได้กินอะไรมานาน พวกเรานั่งคุยเรื่องราวต่างๆด้วยกันจนกระทั่งกุมภ์เผลอหลับไป

“น้องคงเหนื่อย พาน้องไปนอนบนห้องเถอะนะ”

ผมพากุมภ์มานอนบนห้องของเขา ห้องนี้มีคนทำความสะอาดอย่างดีเลยทำให้ไม่มีกลิ่นอับหรือฝุ่น ลากฟูกนอนออกมาปูไว้สองอันเพราะผมคงต้องนอนเป็นเพื่อนเขา ตั้งแต่ที่กุมภ์โดนทำร้ายร่างกาย เขาก็ไม่สามารถนอนคนเดียวได้อีกเพราะความกลัว

ผมย่องไปเปิดอัลบั้มรูปของเขาที่ถ่ายส่งประกวด บางอันก็ได้รางวัล บางอันก็เป็นรูปที่ถ่ายเล่นเอาไว้ ทุกภาพล้วนแล้วแต่เป็นวิวทิวทัศน์ ไม่ค่อยมีรูปคนเท่าไหร่ ส่วนอัลบั้มที่สองเป็นรูปถ่ายจากงานต่างๆเหมือนเก็บเอาไว้ทำพอร์ท

ตุบ

“?”

มีสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งหล่นลงมาเมื่อผมกำลังจะหยิบอัลบั้มรูปอีกอัน ผมก้มลงไปเก็บ หน้าปกไม่มีอะไรเขียนเอาไว้ แต่มันน่าจะเป็นสมุดบันทึกทั่วไปผมเลยเปิดดู

“อุบ...น่ารักจัง”

เนื้อหาข้างในไม่ใช่บันทึกธรรมดา มันเป็นสมุดบันทึกที่เป็นไดอารี่ แถมยังเก็บโน้ตของผมในฐานะ ‘พี่มูน’ เมื่อสมัยผมยังเรียนอยู่มัธยมเอาไว้ด้วย

แถมยังเก็บตั้งแต่แผ่นแรกที่ผมเขียนอีกด้วย

“เพราะอย่างนี้แหละที่ทำให้พี่รักได้ขนาดนี้...นี่จะเก็บทุกอย่างเอาไว้เลยใช่มั้ยเจ้าตัวเล็ก?”

เสียงลมหายใจเข้าออกพร้อมกับหัวที่มุดเข้าไปในผ้าห่มนั้นเป็นคำตอบ

“ข้างในก็ยังเป็นคนเดิมจริงๆนั่นแหละ”

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านผมเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงกระทบกันของช้อนส้อมเท่านั้นที่ได้ยิน กุมภ์กำลังนั่งเกร็งตัวอยู่ข้างๆผม ส่วนพ่อก็ทำท่าเหมือนอยากชวนคุยแต่ก็ไม่กล้าขัดแม่ที่กำลังวิเคราะห์กุมภ์ด้วยสายตาคมๆนั่น

“แข็งแรงดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้นกว่าตอนนั้นเยอะนี่?”

“ครับ...”

ตัวลีบเป็นกระเทียมแล้วเจ้าหนูตะเภาเอ้ย

“แล้วคุณป้าล่ะครับ? สบายดีมั้ย?”

“ฉันก็ปกติ”

“...” นั่นไง ยิ่งทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่

“เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันไม่อยากให้เดือนคบกับผู้ชายกันเองเพราะมันจะทำให้คนในสังคมมองว่าพวกเธอเป็นตัวประหลาด?” แม่เริ่มเข้าประเด็น กุมภ์ก้มหน้าลงมองจานอาหารด้วยความหวาด ผมจับมือของเขากุมเอาไว้ข้างล่างเพื่อไม่ให้เขาสติแตกก่อน “ที่ผ่านมาในตระกูลไม่มีใครเคยคบกับผู้ชายสักคน เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้อับอายขายหน้า”

“แต่ว่า...ผมกับพี่เดือนรักกันจริงๆนะครับ พวกเราไม่ได้สนใจเลยว่าจะรักเพศไหน ชอบเพศอะไร พวกเราแค่รักกันเท่านั้น” กุมภ์พูดเสียงเบา

“พวกเธอนี่มัน...เฮ้อ”

“แม่ฟังเหตุผลของพวกเราเถอะนะครับ” ผมเป็นคนออกหน้าให้บ้าง “ที่ผมเป็นผมได้ก็เพราะกุมภ์ ผมไม่รู้ว่าผมจะเจอคนดีๆแบบนี้ได้อีกสักกี่คนในชีวิต ถ้ามีโอกาสผมเองก็อยากรักษาเขาเอาไว้ให้เป็นคนสำคัญที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาคอยช่วยเหลือผม ชี้ทางให้ผมเจอทางเดินต่อไป”

“แต่ก็เพราะเขาเป็นผู้ชาย ที่ทำให้ฉันไม่ชอบ”

“แม่ชอบนิสัยเขาผมรู้” แม่สะดุ้งเหมือนโดนจับได้ “เรื่องนี้พ่อโทรฯบอกผมประจำว่าแม่ชอบคนนิสัยแบบกุมภ์ เป็นคนน่ารักและรู้จักวางระยะห่าง รู้จักจังหวะและการเข้าหาผู้คน เป็นคนพูดเก่งแม้ว่ากุมภ์จะหวั่นช่วงแรกๆ”

“...”

“แม่อย่าใจแข็งเลยเถอะนะครับ สมัยนี้ผู้ชายคบผู้ชายมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว”

“...”

“และถ้าแม่อยากแยกพวกเราออกจากกัน ผมก็จะขอออกจากบ้านนี้ถาวรเพราะมันไม่เคยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจเลย”

“อย่านะเดือน! แม่ห่วงลูกมากแค่ไหนตอนที่บอกว่าให้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง! แม่กลัวว่าลูกจะลำบากเพราะว่าลูกไม่เคยอยู่ด้วย...!”

“...แม่โป๊ะแตกแล้วนะครับ” เสียงหัวเราะของพ่อดังลั่นโต๊ะอาหาร พ่อเองก็คงรอจังหวะให้แม่หลุดออกมาเหมือนกัน “ขอเถอะครับแม่ ไม่มีอะไรน่าอายเลยที่จะยอมรับว่าแม่ชอบกุมภ์”

“หมายความว่ายังไงครับพี่เดือน?” กุมภ์บีบมือผมแน่นจนเหงื่อออก เมื่อครู่คงทำให้เขากดดันน่าดู “แม่พี่...”

“แม่พี่ก็แค่ปากแข็งไปนิดเท่านั้นเอง”

“พอคบกับเด็กนี่แล้วเอาใหญ่เลยนะ!” แม่ร้องออกมา กุมภ์สะดุ้งแล้วก็จับมือผมแน่นอีกครั้ง แม่น่าจะเห็นว่ากุมภ์ตกใจเลยส่ายหน้าพร้อมกับลดน้ำเสียงลง “เพราะเธอเป็นแบบนี้ไงฉันถึงไม่ชอบ นอกจากจะเป็นผู้ชายแล้วยังขี้ตกใจง่ายอีก”

“แต่นั่นเพราะเธอไปตะคอกใส่พวกเขานะรตา น้องก็กลัวสิ”

“น้อง?”

“ตอนแรกฉันเองก็ไม่อยากเชื่อที่เดือนคบกับผู้ชาย แต่พอเห็นว่าเขามีความสุขมากกว่าที่อยู่กับพวกเราอีกมันก็ทำให้ฉันคิดได้ เราไม่ใช่เจ้าชีวิตของเขา เราไม่มีสิทธิอะไรในการบังคับเขาเพราะยังไงสักวันเจ้านกตัวนี้ก็ต้องบินออกจากกรงที่พวกเราขังเอาไว้อยู่ดี ถ้าช้ากว่านี้เดือนอาจจะต้องทรมานกับสิ่งที่พวกเราไม่เคยใส่ใจมาเลยก็ได้” พ่อยิ้มบางๆ “เพราะฉันรักเดือน...ฉันถึงยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระเสียที แล้วเธอรักเขารึเปล่าล่ะ?”

“ฉันก็รักสิ”

“ดังนั้นแล้ว...เธอปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้างนะ” ผมเบิกตาที่พ่อขอร้องแม่แบบนั้น เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มหน้าลง ปกติแล้วพ่อเป็นคนที่ไม่ก้มหน้าให้ใครเลยแม้กระทั่งคนที่สูงกว่า แต่การที่เขาทำแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นการขอที่อยากให้ทำจริงๆ

“...”

“ครั้งหนึ่งเธอก็เคยขออิสระจากคุณพ่อคุณแม่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

ขออิสระ?

“ก็ตอนนั้นฉันไม่ได้อยากทำงานของครอบครัว ฉันแค่อยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่มารู้ทีหลังว่ามันคือหน้าที่ที่ฉันต้องทำฉันถึงเป็นแบบนี้ไง แต่ฉันก็มีความสุขดี”

“เธอมีความสุขจริงๆหรือแค่เพราะหลอกตัวเองรตา?”

“...”

“เธอหลอกตัวเอง แต่เธอจะให้เดือนมาตกในชะตากรรมแบบเดียวกันไม่ได้ เธอรู้ว่าเขาต้องการอิสระแต่เขาไม่ใช่ชีวิตที่สองของเธอ ฉันขอร้องจริงๆ ปล่อยให้ทั้งเดือนและหนึ่งเป็นอิสระจากสิ่งที่เจอเถอะนะ”

ผมกับกุมภ์ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ทุกอย่างตอนนี้มันเหมือนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแม่ ผมไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดอะไรหรือตั้งใจจะทำอะไร แต่ผมก็อยากให้แม่ได้ปล่อยผมไปเสียที

ผมอยากให้โซ่ที่ล่ามขาเส้นสุดท้ายนี้...ถูกปลดออกเสียที

“...ก็..ด..”

“?”

“ฉันบอกว่าก็ได้” แม่หันหน้าไปทางอื่น ไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้าที่กำลังกล้ำกลืนอะไรสักอย่าง “ถ้ามันทำให้เธอมีความสุข...ฉันยอมปล่อยไปก็ได้”

“แม่...”

“เพราะฉันไม่ยอมให้แกทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลาเหมือนที่ทำตอนเด็กๆนั่นหรอกนะ แล้วก็ฉันไม่อยากเห็นสีหน้าผิดหวังจากแกด้วย” ปากแข็งจริงๆแม่ของผม...แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รีบลุกออกจากเก้าอี้แล้วกอดท่านเข้าไปเต็มๆจนท่านตกใจ ลูกชายตัวสูงจู่ๆวิ่งเข้ามากอดแบบนี้เป็นใครก็ทำตัวไม่ถูกหรอก “ออกไปได้แล้ว...”

“ทำไมครับ? ลูกชายคนโตไม่ได้กอดแม่ตัวเองมานานหลายสิบปีได้มากอดแบบนี้ทำตัวไม่ถูกใช่มั้ย? กลับมาบ้านรอบหน้าผมจะกอดให้หนำใจไปเลย”

“เธอใช่มั้ยที่สอนให้ลูกฉันทำแบบนี้?”

“ผมไม่เกี่ยวนะครับ! แต่นั่นเป็นตัวของเขาจริงๆ พี่เดือนเขาขี้แกล้งผมมากเลยนะ” ได้ทีแล้วฟ้องใหญ่ แม่ถอนหายใจแต่ก็ยอมยกมือขึ้นมาลูบหัวผมไปมาเบาๆ มันเป็นสัมผัสที่อบอุ่นจากแม่ที่ไม่ได้รับมาตลอดสิบกว่าปีได้ แต่ในตอนนี้ผมได้รับมันแล้ว

ผม...เป็นอิสระจริงๆแล้ว

.

..

“แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้เรื่องที่เดือนมีแฟนเป็นผู้ชายนะ”

“แม่...”

“ให้เวลาฉันทำใจก่อนสักสิบปี ถ้าตอนนั้นยังไม่เลิกกันฉันก็อาจจะเรียกเธอว่าลูกก็ได้” กุมภ์หน้าแดงๆเมื่อได้ยินคำว่าลูกจากปากของท่าน ผมเดินกลับไปแล้วจูงมือเขาให้ออกมายืนอยู่ข้างๆแม่ ยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเปิดกล้องหน้า พ่อรู้ว่าผมคิดจะทำอะไรเลยรีบวิ่งเข้ามาเพื่อหวังจะได้ติดรูปสักนิด

“เจอครอบครัวทั้งคู่แล้ว เดี๋ยวผมจะนัดให้ทุกคนมาร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันสักครั้งนะครับ แต่ตอนนี้เอารูปครอบครัวลงก่อนดีกว่าเนอะ ไม่ได้ถ่ายด้วยกันกี่ปีแล้ว”

 

ตั้งแต่ผมโพสรูปครอบครัวลงไป หลายคนก็เข้าแสดงความคิดเห็นว่าผมคืนดีกับพวกท่านแล้ว ความจริงจะเรียกว่าคืนดีก็คงไม่ใช่ เรียกว่าปรับความเข้าใจน่าจะถูกกว่า เพราะแม่เองก็ยังไม่ค่อยอยากจะพูดกับผมเรื่องนี้นัก

กุมภ์ดร็อปเรียนหนึ่งปีเพื่อรักษาอาการตัวเองให้ดีที่สุด เขาเลือกที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัว ตอนแรกเขามีท่าทีจะไม่อยากให้ผมไม่สบายใจที่ไม่อยู่กับผม แต่ผมก็เป็นฝ่ายขอร้องให้เขากลับบ้านแทน รั้งไปตอนกุมภ์อยู่ห้องคนเดียวก็ทำให้เขาเหงาเปล่าๆ

ในขณะที่กุมภ์อยู่บ้าน ผมก็เป็นฝ่ายที่ขยันเรียนให้มากขึ้น ผมไม่อยากให้ที่บ้านต้องย้อนกลับมาคิดว่าผมเรียนเอกนี้ไปเพื่ออะไร และจะพิสูจน์ตัวเองว่าผมนั้นไม่ได้เล่นๆกับสิ่งนี้ มะยม โอม และศึกก็คอยสนับสนุนผมตลอด มีบางครั้งที่พวกเราจะนัดรวมตัวกันมานั่งอ่านหนังสือแม้ว่าจะคนละเอกก็ตาม แต่ด้วยเพราะที่ผมสมองดี...อันนี้ปมไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ผมว่าผมมีความจำดีที่สุด เวลาอ่านอะไรแป๊บๆก็เข้าใจ ผมจึงมีเวลาว่างมากกว่าคนอื่นมานั่งดูดกาแฟในแก้วเพลินๆ บางครั้งก็แอบถ่ายรูปเพื่อนที่กำลังปวดหัวส่งไปให้กุมภ์ดูด้วย

เขาเริ่มสดใสขึ้น คงเพราะได้อยู่กับครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า เพื่อนบางคนของเขาก็ถามที่อยู่ของกุมภ์เพื่อที่จะไปเยี่ยมตอนปิดเทอม และที่สำคัญคืออุ้มกับดินเองก็มาโวยวายให้ผมใหญ่ว่าทำไมไม่บอกเรื่องที่เพื่อนสมัยมัธยมตัวเองเข้าโรงพยาบาล ปิดเทอมไปเยี่ยมมาก็พากันตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นสองคนนี้ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นความผิดของผมแต่อย่างใด กลับบอกว่ามันคงเป็นกรรมของกุมภ์ตั้งแต่ชาติก่อนๆ

“ถือว่ามันเป็นการสะเดาะเคราะห์ไปแล้วกันนะพี่เดือน หลังจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆเข้ามา ทั้งตัวพี่และกุมภ์”

อุ้มบอกอย่างนี้ ผมเองก็อยากคิดให้มันเป็นไปในทางนั้น

หลังจากนี้จะไม่มีอะไรที่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงคนเดียวเจ็บปวดอีก

หลังจากนี้จะไม่มีอะไรที่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงคนเดียวต้องมาเสียน้ำตาอีก

หากพวกเราต้องเจ็บปวดก็จะต้องเจ็บปวดไปด้วยกัน

หากพวกเราต้องเสียน้ำตาก็ต้องเสียน้ำตาไปด้วยกัน


 

และนั่นคือความหมายของความรักของผมที่ใช้เวลาสองปีกว่าถึงจะเข้าใจความหมาย

มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น

ความรักอาจจะเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่สดใสเมื่อทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข

ความรักอาจจะเป็นเหมือนน้ำผึ้งที่หวานหอม หลอกล่อให้ลุ่มหลง

และความรัก...

มันก็คือการที่เราได้รู้จักใครสักคนและพร้อมที่จะเดินไปพร้อมๆกัน

ไม่ว่าจะต้องเหยียบเศษแก้วจนเลือดไหลไปมากเท่าใดก็ตาม

แต่ถ้าเราจับมือกัน...เศษแก้วพวกนั้นมันก็เป็นแค่อุปสรรค์ที่ทำให้ไม่กล้าที่ก้าวเดินต่อเท่านั้น




==========



บทหน้าส่งท้ายแล้วนะคะ :u;
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (02/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-07-2019 03:26:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นเกลือ ที่ 11-07-2019 22:23:44
บทส่งท้าย

 

แสงแดดที่ส่องกระทบลงมาข้างหน้าต่างร้านกาแฟแห่งนี้ทำให้ผมที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดดูรูปในกล้องต้องรีบย้ายตัวเองหนีออกจากโต๊ะริมกระจกสีใสมาเป็นโต๊ะสีครีมอ่อนในร้านแทน

ผมกำลังรอให้ใครคนนั้นออกมาจากหอประชุมเพื่อจะถ่ายรูปให้ในวันสำคัญของเขา มันเป็นวันที่ใครหลายคนรอมานาน ชีวิตของทุกคนจะต้องแยกทางกันโดยสมบูรณ์แบบ และเขาก็เลือกที่จะเรียนต่อเพื่อทำตามความประสงค์และความจริงของชีวิต

รูปในกล้องมีเยอะมากจนผมคิดว่าเปลี่ยนเมมดีกว่า ในนั้นมีแต่รูปที่ถ่ายส่งประกวดทั้งนั้น แต่จะลบก็เสียดายเพราะผมอยากเป็นไฟล์ภาพดิบเอาไว้เนื่องจากมันแก้ได้ง่าย

แก้วกาแฟบนโต๊ะค่อยๆละลายผสมกับน้ำแข็งจนมันจืดชืด นิ้วข้างหนึ่งที่หายไปมันไม่ได้ส่งผลกับชีวิตของผมมากนัก แต่มันก็ทำให้หัวใจของผมรู้สึกวูบไปบ้างเมื่ออวัยวะส่วนที่เคยมีครบมาร่วมสิบเก้าปีมันถูกตัดออกไปโดยฝีมือของผู้ป่วยอาการทางจิตคนหนึ่งที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองไปแล้ว

ไม่นานนักผมก็เห็นกลุ่มนักศึกษาสวมเสื้อครุยเดินออกมาจากหอประชุม ผมนั่งรออยู่ในร้านเหมือนเดิมเพราะไม่อยากไปเบียดกับคนเยอะๆ อีกทั้งเขายังบอกว่าจะเข้ามาเองด้วย ผมไม่รู้หรอกว่าจะแทรกผ่านคนมาได้เร็วแค่ไหน แถมยังเป็นที่รู้จักไปทั่วอย่างนี้ อย่างน้อยสุดก็สิบนาทีได้ แต่แล้วผมก็เป็นฝ่ายที่คิดผิดเพราะผมเห็นร่างสูงของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“รอนานมั้ยครับคนดี?”

“นานมากจนกาแฟละลายหมดแล้วเนี่ย ฝ่าคนมาโดยที่สภาพยังดีแบบนี้ได้ไงครับ?”

“พี่ก็รีบวิ่งออกมาเลย พี่ไม่ค่อยอยากถ่ายกับคนที่พี่ไม่รู้จัก เพื่อนพี่ก็รวมกลุ่มกันที่อื่นก่อน รอให้คนตรงนี้สงบแล้วค่อยเดินมาถ่ายนอกรอบก็ได้” พี่เดือนขยี้เส้นผมของผม พอเขาขึ้นปีสามมาก็ตัดสินใจที่จะย้อมสีผมตัวเองให้เป็นสีน้ำตาลเข้มตามผม ผมก็ว่าเขาเหมือนกันว่าไม่กลัวสีมันกัดหนังหัวรึยังไงแต่เขาไม่สนใจ อ้างว่าอยากมีสีผมเดียวกันกับแฟนตัวเอง ผมเลยไม่เถียงอะไรต่อ

แน่สิ เขามันดื้อเก่งที่หนึ่ง

แต่ก็เป็นคนที่เก่งที่หนึ่งด้วย

“อ้อ ผมมีของขวัญรับปริญญาของพี่ด้วยนะครับ” ผมหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับหนังสือเล่มสีขาว ปกเขียนเอาไว้ว่า ‘365 วันของนักเรียนดีเด่น’ นั่นคือหนังสือของนักเขียนนามปากกา HiddenShadow หรือตัวพี่เดือนเอง เขาเลือกที่จะหยิบหนังสือนั่นมาพร้อมกับทำหน้าไม่เข้า แต่ผมก็บอกให้เขาเปิด

“...กุมภ์...”

“ตอนนี้เด็กผู้ชายจากหนังสือเล่มแรกของ HiddenShadow มีความสุขแล้วนะครับ” ตรงกระดาษรองปกผมเขียนข้อความถึงนักเขียนคนนี้พร้อมด้วยข้อความแสดงความยินดี ถึงพี่เดือนจะบอกว่าไม่คิดจะเขียนหนังสือต่อแล้ว แต่เขาก็ยังแอบไปเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดบ้าง แน่นอนว่ามีแต่คนชื่นชมที่พี่เขามีความสามารถในการเขียนสูง งานหนังสือปีที่แล้วก็ถูกเชิญให้ไปขึ้นเวทีพูดคุยกับนักเขียนคนอื่น เขายอมไปปรากฏตัวเป็นครั้งแรกและสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนหนังสือเพราะไม่คิดว่าจะเป็นงานของเด็กมัธยมที่เขียนแล้วขายดี นอกจากนี้ภายในงานเขาก็ประกาศว่าจะลาจากวงการน้ำหมึกเล่มจนกว่าจะมีเรื่องราวมาถ่ายทอดอีกครั้ง

ส่วนสมุดอีกเล่มที่ผมให้เขานั้น เป็นสมุดว่างเปล่าที่ผมหวังว่าจะให้เขาเขียนเรื่องราวชีวิตตัวเองลงไป เผื่อมันจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มอีกเรื่อง น่าตลกเหมือนกันที่ผมให้อะไรแบบนี้แทนดอกไม้หรือของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่านี้ แต่เชื่อผมเถอะว่าพี่เดือนต้องชอบของที่มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าอยู่แล้ว

“งั้นก็เหลือรอพี่เรียนจบโท แล้วกุมภ์ก็จบตรี คราวนี้จะได้ไปเที่ยวรอบโลกสมใจแล้ว”

“พี่ทำงานเก็บเงินก่อนเถอะครับ” ผมหัวเราะ “ริจะเที่ยวรอบโลกต้องมีเงินเก็บเยอะๆ แต่ความจริงบ้านพี่ก็รวยอยู่แล้วนี่นา”

“ก็พี่อยากใช้เงินตัวเองนี่ เงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของพี่เอง” พี่เดือนโคลงหัว เปิดโทรศัพท์เพื่อดูข้อความที่เข้า “เดี๋ยวครอบครัวพี่ก็จะมาแล้ว ครอบครัวกุมภ์มารึเปล่าวันนี้?”

“มาอยู่แล้วครับ แฟนผมเรียนจบทั้งทีนะ” ผมบีบแก้มพี่เดือน เขาตบมือผมเบาๆเพื่อเป็นการบอกว่าให้ผมปล่อยเขา “วันนี้เป็นวันสำคัญของพี่ ทำไมจะไม่มา”

“รู้มั้ยว่าตอนที่พี่ยังไม่เจอกุมภ์ พี่กำลังคิดถึงสภาพตัวเองรับปริญญาแล้วกลับบ้านเลย ไม่มีใครมารอถ่ายรูปด้วย”

“พอจะนึกออกครับ”

“แต่ตอนนี้พี่มีกุมภ์ พี่ไม่ต้องกลับคอนโดคนเดียวแล้ว” พี่เดือนขยับตัวมานั่งข้างๆผม “แล้วก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว”

“มาหวานอะไรตรงนี้ครับพี่ ไปถ่ายรูปข้างนอกเถอะ เพื่อนผมก็รอถ่ายรูปกับพี่เต็มเลย”

“เขินเหรอ? คบกันมาตั้งนานยังเขินอยู่อีกนะ”

“ไปเถอะครับ...”

ผมและพี่เดือนจับมือเดินออกไปจากร้านกาแฟท่ามกลางสายตาของหลายคนที่หันมามอง ตอนนี้พวกเราไม่สนแล้วว่าใครจะมองพวกเรายังไง เพราะโลกที่ผมกับพี่เดือนเดินอยู่นี่เป็นโลกส่วนตัวที่มีแค่เราสองคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปฟังคำกล่าวหาคนอื่น ไม่จำเป็นต้องคิดมากกับคำพูดของคนอื่น

และในโลกแห่งนี้มีเพียงแค่เสียงหัวใจกับด้ายแดงที่เชื่อมโยงพวกเราเข้าด้วยกันเท่านั้น

 

‘ตั้งแต่พบกันวันนั้น

ใจก็รู้ว่าเราจะมีกันวันนี้

เธอเติมเต็มสิ่งดีๆ ให้ทุกวันที่มี

กลายเป็นวันที่มีความหมาย

ไม่ใช่แค่วันพรุ่งนี้

แต่จากนี้แม้นานเท่านานสักเพียงไหน

จะมีเธอ เธอมีฉันมีกันตลอดไป

ยิ่งพบเจอยิ่งได้รู้จักยิ่งรักเธอหมดใจ’*

 

*ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ – ดา เอ็นโดรฟิน


 

 

= เรื่องราวของพวกเรามันยังไม่สิ้นสุดแค่ตรงนี้ แต่เพราะถึงเวลาที่ต้องจากจึงจำเป็นกล่าวบอกลา =

= จนกว่าจะพบกันใหม่ ขอให้คุณคิดถึงพวกเราเสมอ =

= The End =



==========



จบไปแล้วกับนิยายที่ไม่มีอะไรเลยนะคะ แง

ช่วงนี้มีเรื่องให้เครียดเยอะมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว ปัญหาจากการเรียน หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ชวนให้หงุดหงิดได้ในแต่ละวัน ทำให้ไม่มีสมาธิปั่นนิยายสักเท่าไหร่ หลังจากจบเรื่องนี้คือจะพักไปสักเดือนสองเดือนเพื่อเคลียร์สมองและเขียนเรื่องใหม่ให้จบไปด้วยเลย

เรารักตัวละครพี่เดือน มันทำให้เรานึกถึงตัวเองเลยแม้ว่าจะเป็นคนละด้านกัน พยายามเอาชนะตัวเองและคนอื่นเพื่อให้มีใครสักคนสนใจ แต่ไม่มีความสุขกับชีวิตเท่าไหร่นัก เราอยากเจอเพื่อนหรือใครสักคนที่สามารถรับฟังเราได้ทุกอย่างโดยไม่รำคาญเราเหมือนที่พี่เดือนเจอกุมภ์

ความจริงแล้วเราก็แค่อยากจะมีความสุขที่เรียกว่าความสุขจริงๆเท่านั้นเองค่ะ

แต่เพราะเราไม่สามารถพูดออกมาได้ ทำให้เราต้องถ่ายทอดออกมาเป็นตัวพี่เดือนส่วนหนึ่ง และตัวของกุมภ์ส่วนหนึ่งที่ยังไม่อยากยอมแพ้กับสิ่งต่างๆเหมือนช่วงท้ายๆที่กำลังจะหมดไฟในการหาคำตอบของชีวิต

สุดท้ายนี้การเดินทางของเราก็มาถึงจุดนี้ได้เพราะคนติดตามที่มีเพียงแค่หยิบมือ แต่มันคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เรายังสามารถเขียนต่อไปได้ หลังจากนี้เราจะไปเจอกันในเรื่องใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-07-2019 00:26:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 12-07-2019 21:32:38
                                            :กอด1: :กอด1: :กอด1:
                                 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: inkku ที่ 13-07-2019 17:36:58
ชอบมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันให้อะไรเรามากเลย มุมมองหลายอย่างเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ ไว้จะติดตามผลงานต่อไปด้วยค่ะ จะรออย่างใจจดใจจ่อเลย 555
หัวข้อ: Re: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 15-07-2019 20:55:41
ทำไมสายหวาน กลายเป็นสายดาร์ไปได้ล่ะ  :monkeysad:

สะเทือนหัวใจ...แต่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ในสมัยนี้...โลกที่โหดร้าย ถูกกดดันให้อยู่สูงตลอดเวลา  o13
หัวข้อ: Re: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 04-08-2019 12:33:29
 :m16: ขอบคุณค่ะ มันมีข้อคิดดีๆในเรื่องนี้  :katai2-1: การเดินเรื่องดีค่ะ ภาษาก็ดีด้วย
หัวข้อ: Re: [END] [รีไรท์] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ #ยิ่งรู้จัก (11/07/2019 UP)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 12:19:53
 :pig4: