ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
เรื่องสั้นธีม Bookfair
MRT #สถานีดีต่อใจ <END>
>> https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69983.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69983.0)
_________________________
Read me like a book
"สิ่งที่คนคนนั้นเขาเขียนมันออกมา ส่วนหนึ่งผมรู้ว่าเขาใส่ความรู้สึกของตัวเองลงไปเต็มเปี่ยม
ทั้งสิ่งที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาไม่ต้องการ... เขาจะระบายมันลงไปในหนังสือทั้งหมด
แต่นับจากนี้ผมจะพยายามทำให้ชีวิตที่แสนมืดมนของเขา
เต็มไปด้วยเรื่องของ เรา ให้ได้"
เรื่องของนักศึกษาหนุ่มสายเทคแคร์ที่ต้องทำงานหาเงินอย่างหนักเพื่อหาเงินมาใช้ในครอบครัว
กับคุณนักเขียนนิยายชื่อดัง ที่นิสัยค่อนข้าง..แปลก ไม่สิ เอ่อ... เอาใจลำบากนิดหน่อย ..ล่ะมั้งนะ
คำเตือน : [เอ่อ....เรื่องของเราเป็นแบบน่ะหรอ พูดยากจังเลยแหะ คุณฟองพูดอะไรบ้างสิครับ /ไม่!!!! / เดี๋ยวว อย่าเพิ่งหนีไปไหนสิครับ คุณฟอง!]
TAG #คุณฟองครับ
Twitter @Inomekii
ชอบไม่ใช่ยังไงมาเติม MP ให้นัก(หัด)เขียนคนนี้ได้น้าา รวมพลังปั่นตอนต่อไป 555555 :katai4:
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาลอง(หรือหลงมา)ทำความรู้จักกับพวกเขาด้วยนะคะ อิอิ
Read me like a book : Page 1
“สนใจเล่มไหนสอบถามได้นะครับ”
ผมเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มนิด ๆ ให้ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาดูหนังสือในบูธที่ผมกำลังรับจ๊อบเป็นพนักงานขายอยู่ แต่เขากลับแสดงเจตนาว่าต้องการเดินดูด้วยตนเองผมเลยปล่อยให้เขาเลือกตามสบายแล้ว
หันไปดูแลลูกค้าท่านอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือแทน
ด้วยความที่พ่อกับแม่ผมเสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งไว้เพียงผมกับน้องชายวัย
สิบห้า เราสองคนไม่มีญาติฝั่งไหนให้ความสนใจไยดี ก็นะ...บางคนกลับมองว่าเป็นภาระซะอีก กลายเป็นว่าครอบครัวของผมเหลือมีแค่น้องชายคนเดียวให้ดูแล
จริง ๆ ผมควรจะได้ขึ้นปีสามพร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่น แต่ก็นะอะไรหลาย ๆ อย่างมันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป แถมผมยังไม่ได้รับทุนจากคณะด้วยเพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องผมก็เรียนพอผ่าน ๆ เกรดก็ไม่ได้ดีมากมาย ผมเลยตัดสินใจดรอปเรียนไว้ก่อนเนื่องจากภาระเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จนตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วหลังจากที่สูญเสียพ่อกับแม่ไป
ดังนั้นผมเลยต้องออกมาหางานทำเพื่อหาเลี้ยงปากท้องสองชีวิต งานไหนที่รับนักศึกษายังไม่จบปริญญาตรีเข้าทำงาน ผมลองทำมาหมดแล้วเกือบทุกอย่าง ทั้งร้านอาหาร ส่งของ เด็กเสิร์ฟ ร้านหนังสือ ล่าสุดนี่ก็มารับเป็นพนักงานขายพาร์ทไทม์ในงานหนังสือ เพราะต้องหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ค่ากินอยู่ ค่าข้าว ค่าน้ำค่าไฟ ค่าของใช้ ค่าเดินทางต่าง ๆ การใช้ชีวิตในเมืองหลวงนี่มันง่ายซะที่ไหนกัน ถึงแม้จะพยายามประหยัดแต่ค่าครองชีพต่อเดือนก็ยังทำให้พวกเราลำบากอยู่ดี
ช่วงนี้พีปิดเทอม เลยยังไม่มีภาระเรื่องค่าเรียน ทั้ง ๆ ที่ผมอยากให้เขาโฟกัสแต่กับเรื่องเรียน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายแต่เจ้าตัวก็อาสาไปช่วยงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านก๋วยเตี๋ยวแถวบ้านด้วยเหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะเศร้าแค่ไหน ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี...ถ้าเกิดผมล้มไปอีกคน เจ้าพีน้องชายผมก็คงลำบากน่าดู บทเรียนครั้งนี้คงเป็นโชคชะตาให้ผมแข็งแกร่งขึ้นล่ะมั้ง
“พี่คะ เรื่องเจ้าบ่าวของยมทูตอยู่ตรงไหนหรอคะ” เสียงน้องผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัว
“เชิญด้านนี้เลยครับ เดี๋ยวผมหยิบให้” ผมตอบอย่างสุภาพก่อนจะแนะนำน้องไปตามที่สำนักพิมพ์ได้เทรนมาก่อนเริ่มงาน
“ขอบคุณมากค่ะ เอ่อ..พี่พีท?” พนักงานทุกคนจะมีป้ายชื่อติดไว้ เธอคงมองดูป้ายชื่อของผม
“ยินดีครับ” ผมยิ้มนิด ๆ ไม่ได้ถือสาอะไร แล้วทำทีเป็นขอตัวเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ ปล่อยให้ลูกค้าได้เลือกตามสบาย แต่ก็ทันเห็นน้องเขามองมาที่ผม แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนที่เจ้าตัวจะรีบหันไปคว้าแขนเพื่อนเดินออกจ่ายเงินด้วยความเขิน
เมื่อละออกมาจากน้องผู้หญิง ผมไล่ดูหนังสือบนชั้น ถ้าเห็นว่าเล่มไหนเริ่มน้อย ผมก็มีหน้าที่คอยเติม
สต๊อกหนังสือให้เต็มด้วยเหมือนกัน
ตลอดเวลาที่ทำงานยังพอจับความรู้สึกได้ว่ามีสายตายังคงจับจ้องมาหลายต่อหลายครั้ง ผมพยายามทำใจให้ชินกับสายตาเหล่านั้น ด้วยความที่รายได้ต่อวันก็ดี แถมยังไม่ไกลจากบ้านเท่าไร ผมเลยเลือกมาทำงานที่นี่
“สนใจเรื่องไหนอยู่หรือเปล่าครับ ถ้าหาไม่เจอสอบถามได้นะครับ” ผมเดินเข้าไปสอบถามลูกค้าคนนึงพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นกันเอง เห็นเขากำลังยืนดูหนังสือด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์
เขาคาดแมสปิดปากสีดำ ปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงพอเห็นนัยน์ตาคมคู่สวยได้ราง ๆ ผ่านเส้นผมที่ปรกหน้าผากขาว ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกมัดลวก ๆ ไว้ที่ท้ายทอยทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงห้าว ๆ คนหนึ่ง แต่เมื่อดูจากท่าทาง รูปร่าง ส่วนสูงและเสื้อผ้า บางอย่างก็บอกผมว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชาย
ลูกค้าคนนั้นตวัดสายตาจากกองหนังสือหันกลับมามองผมด้วยแววตาเฉยเมย ทำให้ผมแอบหวั่นใจนิด ๆ สูญเสียความมั่นใจเบา ๆ แหะ
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองสบตาผมชั่วขณะแล้วเจ้าตัวก็หันหลังเดินออกไปจากบูธแบบนิ่ง ๆ โดยที่ไม่ได้หันมองกลับมาและดูจะไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลย
อ่า...เพิ่งเคยเจอลูกค้าแบบนี้แหะ หรือผมทำอะไรผิดกัน?
ผมละความสนใจจากเขาก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ต่ออย่างขยันขันแข็ง บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน จริง ๆ แล้วมันก็สนุกดีนะที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยความที่ผมชอบอยู่กับหนังสือด้วยมั้ง กลิ่นหนังสือทำให้ผมรู้สึกจิตใจสงบ... ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านหนังสือเท่าไรก็ตาม
มรดกชิ้นใหญ่ที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้นอกจากเงินเก็บจำนวนหนึ่งก็มีชั้นหนังสือในบ้านที่เป็นของสะสมของพวกท่าน เวลาเหนื่อย ๆ แค่ได้นั่งมองหนังสือบนชั้นเหล่านั้น ร่างกายก็เหมือนจะถูกโอบกอดปลอบประโลมให้หายเศร้า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ ช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อยได้มั้ยคะ” เสียงลูกค้าผู้หญิงดังขึ้นข้างตัวทำให้ผมรีบเรียกสติพร้อมทำหน้าที่ต่อไปด้วยรอยยิ้ม
เธอชี้ปกหนังสือเรื่องหนึ่งที่อยู่บนชั้นก่อนจะส่งยิ้มหวานออกมา
ไม่ใช่ว่าจะดูเจตนาไม่ออก... แต่ด้วยความที่ผมก็มีหน้าที่ของผมเลยไม่ได้ปฏิเสธอะไรพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นไปหยิบหนังสือเรื่องที่เธอต้องการส่งให้แทน
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอยิ้มอีกครั้ง ยกมือขึ้นมาจับผมทัดหูอย่างเอียงอาย
“เอ้า ขอน้องเขาเลยซิมึง” เสียงเพื่อนของพี่ผู้หญิงที่ดูน่าจะเป็นวัยทำงานกระซิบเบา ๆ ด้านหลัง พยายามที่จะสะกิดดันให้ลูกค้าคนนั้นทำอะไรบางอย่าง
ผมกลัวว่างานจะเข้า เลยพยายามลอบมองซ้ายมองขวาหาผู้จัดการเพื่อขอความช่วยเหลือ
“เอ่อ พี่ขอถ่ายรูปน้อง...พีทหน่อยจะได้มั้ยคะ” เธอขอพร้อมกับหยิบโทรศัพท์เตรียมถ่ายรูปเต็มที่ จ้องมาที่ผมด้วยแววตาคาดหวัง
“คุณลูกค้ามีอะไรหรือเปล่าครับ” พอดีกับที่พี่โน้ตคนประสานงานกับสำนักพิมพ์เห็นผมส่งสัญญาณให้ พี่เขาเลยเดินเข้ามาถามพอดี แต่พอได้ความว่าพี่ผู้หญิงเขาอยากถ่ายรูปพนักงานอย่างผมเลยกลายเป็นว่า
พี่เขาเลยสั่งให้ผมถ่ายรูปแทน
“อย่าลืมยิ้มหล่อ ๆ ด้วยนะมึง จะได้โปรโมทบูธไปด้วย” ไม่ลืมหันมากระซิบย้ำกับผมอีก
นี่คือ..ผมกลายเป็นมาสค็อตบูธนี้ไปแล้วไง
ครับ... เรื่องจบลงที่ลูกค้าท่านนั้นได้รูปหล่อ ๆ ของผมไปลงเฟซเจ้าตัว โดยที่ไม่ลืมโฆษณาบูธและ
ชี้เป้าบอกบุญให้คนอื่นด้วย แถมแอดมินเพจของสำนักพิมพ์ได้ยังแชร์ภาพนั้นไปอีก
กลายเป็นว่าเกือบทั้งสัปดาห์หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ขายของอย่างสงบสุขอีกเลย จะต้องมีสาว ๆ ทั้งวัยเรียน วัยทำงาน แวะเวียนมาขอให้ผมช่วยนั่นนี่ แนะนำหนังสือบ้าง หยิบหนังสือให้บ้าง ชวนคุยเรื่องหนังสือบ้าง แทบไม่ได้หยุดหย่อนเลยทีเดียว
จากที่เป็นสำนักพิมพ์มีชื่อเสียงลูกค้าเข้ามาเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูเหมือนจะยิ่งมีสาว ๆ แวะเวียนเข้ามามากขึ้นกว่าเดิมอีก ก็พอจะรู้ตัวว่าหน้าตาค่อนข้างดี แต่แบบนี้ก็เกิดไปมั้ยครับ...
“พีท พี่โน้ตเรียกนายไปพบแน่ะ” เพื่อนผู้ชายที่เป็นพนักงานคนนึงเดินมาเรียกผมในขณะที่กำลังกินข้าวกลางวันที่เตรียมมาเองจากบ้าน ลำบากหน่อยตรงที่บูธไม่ได้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้พนักงานด้วยนี่แหละ อาหารในนี้แพงจะตาย อะไรประหยัดได้ผมก็จะประหยัดนะ
“มึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่าเนี่ย”
“อ่า ก็ไม่นะ...สงสัยกูหล่อเกินไปจนลูกค้าคอมเพลนมั้ง” ผมตอบหน้านิ่ง ๆ จนเต้อดเบ้ปากหัวเราะไม่ได้เราเพิ่งรู้จักกันที่ทำงานนี่ แต่ด้วยความที่เขาอัธยาศัยดีแถมวัยใกล้กันอีกเลยทำให้สนิทกันได้ง่าย แถมเรื่องที่มีคนโพสต์ภาพผมลงโซเชียลก็รู้กันทั้งบูธแล้ว กลายเป็นว่าพวกเพื่อน ๆ ชอบมาแซวอีก
ผมรีบกินข้าวกล่องให้หมดก่อนจะเดินกลับไปยังบูธแล้วมองหาคนที่เรียกพบ
“มาทางนี้เลยพีท” พี่โน้ตกวักมือเรียกผมเข้าไปหา หลบด้านหลังบูธ
“มีเรื่องอะไรหรอครับพี่โน้ต”
“เอ่อ...” พี่โน้ตทำท่าจะพูดแต่นิ่งไปสักพักทำให้ผมใจคอไม่ดี “ตอนที่พี่สัมภาษณ์เราเคยบอกว่ามีน้องชายคนนึงต้องดูแลใช่มั้ย”
“ใช่ครับ น้องผมเพิ่งสิบห้า”
“เราทำงานบ้านได้หรือเปล่า ซักผ้า ล้างจาน ล้างห้องน้ำ อะไรพวกนี้อะ” พี่โน้ตยื่นมือมาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของผมแล้วพูดออกมารัว ๆ
“ได้ครับ มีอะไรหรือเปล่าเนี่ยพี่”
“ทำอาหารล่ะ พอได้มั้ย”
“ได้ครับ ทำกินที่บ้านบ่อย ประหยัดกว่าซื้อข้างนอกนะ” ผมลอบมองเขางง ๆ แต่ก็ตอบตามจริง
พี่แกจะถามผมไปทำไมวะ
“เพอร์เฟ็ค! เราอยากได้จ็อบรายได้ดีมั้ย งานง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก มึงช่วยพี่หน่อยนะพีทนะ” พี่โน้ตทำตาเป็นประกายแล้วจับมือผมเขย่า ๆ เอ่อ...
“พี่ไม่ได้จะหลอกผมไปขายใช่มั้ย” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า
“ไม่ใช่โว้ย คือพี่เห็นเราทำงานดีไง ใจเย็น ช่างดูแล ชอบเทคแคร์ เอาใจใส่ลูกค้าดีด้วย แถมยังทำงานบ้าน ทำอาหารเป็นอีก--”
“พี่ชมซะเล่นเอาผมขนลุกเลยอะ”
“พี่พูดจริงโว้ยไอ้นี่ เพราะอย่างนั้นพี่เลยอยากให้เราช่วยไปเป็นคนดูแลนักเขียนของสำนักพิมพ์คนหนึ่ง รายนี้เขาเอาใจยากหน่อย”
“อ่อ...เป็นพ่อบ้าน ประมาณนั้นใช่มั้ยครับ”
“ก็ไม่เชิงนะ พอดีคุณคนนี้ออกจะติสต์ ๆ นิดนึง ชอบหมกตัวทำงานที่คอนโดคนเดียว ไม่สนใจโลกภายนอกเท่าไร พี่อยากให้เราช่วยดูแลเรื่องการใช้ชีวิตเขาด้วย มันก็มีใช่มั้ยพวกที่จมอยู่กับงานจนไม่สนใจดูแลตัวเองเลยน่ะ แล้วนี่คือเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลหลายรอบแล้วด้วย พวกบก.เองก็ลำบากเลยอยากได้คนมาช่วยดูแลหน่อย”
“แล้วปกติไม่มีคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้วหรอครับ?”
“เอ่อ... ก็เคยมี แต่แบบว่า...ทนไม่ไหวน่ะ ลาออกกันเป็นแถว”
“...”
“จริง ๆ แล้วคุณฟองค่อนข้างจะเอ่อ...เจ้าอารมณ์นิด ๆ เอาใจยากหน่อย ๆ แต่พี่เชื่อว่าพีทต้องรับมือได้แน่นอน”
“คุณฟอง? ผู้หญิงหรอครับ แล้วจะดีหรอที่ให้ผมเข้าไปอยู่บ้านเขาสองต่อสองน่ะ”
“หืม เอ่อ...คือ... น่า ไม่เป็นไรหรอก คนนี้เขาวัน ๆ จมอยู่แต่กับนิยายจนลืมกินลืมนอน นาน ๆ จะลุกออกจากหน้าคอม เราเข้าไปแค่ทำความสะอาดบ้านกับช่วยเตรียมหาอาหารให้ด้วยก็พอ”
“แต่ผมต้องดูแลน้องด้วยนะครับ คงไม่ค่อยสะดวกที่จะไปทำงานที่นั่นนาน ๆ ผมเป็นห่วงน้องชาย”
“สบายมาก เข้าออกงานไม่เป็นเวลา จะมาช้ากลับเร็วก็ได้ ขอแค่ช่วยจัดระเบียบห้องให้สะอาดสะอ้าน แล้วก็ช่วยดูแลเขาให้ดีก็พอ อ้อ รายได้ดีด้วยนะ สัญญาทดลองว่าจ้างเดือนนึงก่อน ค่าตอบแทนสามหมื่น
มัดจำให้นายก่อนด้วยหมื่นห้า”
“โห ทำไมเยอะจังอะพี่” คือสามหมื่นสำหรับผมตอนนี้นี่จัดว่าเยอะมากเลยนะ
“ใช่มั้ยล่ะ สรุปว่า...เราโอเคเนอะ”
“...ตกลงครับ” ผมตัดสินใจรับงานนี้ทันที จะปฏิเสธก็เสียดายแย่ พีคงเข้าใจอยู่แล้วแหละ
“เยี่ยมไปเลย! เริ่มงานอาทิตย์นี้หลังจบงานหนังสือนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะพาเราไปบ้านเขาเอง”
“ได้ครับ”
ถ้าผมได้ทำงานนี้ต่อไปสักระยะ ไม่แน่ว่าเทอมหน้าก็อาจจะมีเงินพอจ่ายค่าเทอมที่มหาลัยแล้ว
เก้าโมงเช้าวันอังคาร พี่โน้ตขับรถมารับผมที่บ้านก่อนจะพาไปยังบ้านของคุณนักเขียนที่ผมตัดสินใจรับหน้าที่ดูแลเขา เมื่อคืนผมบอกเจ้าพี รายนั้นก็ดูดีใจที่ผมไม่ต้องออกตระเวนไปทำงานหลาย ๆ อย่างในวันเดียวกันอีก แถมสำนักพิมพ์ได้โอนเงินมัดจำเข้ามาในบัญชีของผมก่อนด้วย มื้อค่ำเมื่อวานเราสองคนพี่น้องเลยช่วยกันทำอาหารหลายอย่างกินเลี้ยงฉลองให้กับความโชคดีนี้
ผมเงยหน้ามองคอนโดดีไซน์ทันสมัยที่ตั้งสูงตระหง่านติด BTS ในขณะที่รถยนต์ของพี่โน้ตขับเข้ามา ให้ตาย หรูเป็นบ้าเลย เจ้าของห้องนี่ต้องรวยขนาดไหนถึงจะสามารถซื้อคอนโดระดับนี้ย่านทองหล่อได้ด้วย
“เดี๋ยวพี่พาเราไปส่งที่ห้องนะ แต่ต้องขอตัวกลับก่อน อยู่คุยด้วยไม่ได้จริง ๆ พอดีมีงานด่วนที่สำนักพิมพ์น่ะ” พี่โน้ตบอกผมขณะที่พาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 14 ที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก
คนนอกไม่สามารถเข้ามาได้เลยถ้าไม่มีบัตร ยกเว้นก็แต่เจ้าของห้องได้ติดต่อทำเรื่องกับสำนักงานไว้ให้
จะได้คีย์การ์ดเข้าออกคอนโดมาอีกอัน
“พี่มีคีย์การ์ดห้องคุณเขาด้วยหรอครับ”
“ไปหักคอขอมาจากบก.เขาน่ะ รายนี้ปล่อยทิ้งไว้คนเดียวไม่ได้หรอก เดี๋ยวได้ตายคาห้อง”
พี่โน้ตพาผมเดินตรงเข้ามาผมแอบมองซ้ายมองขวา ทั้งชั้นนี้มีประตูประมาณห้าห้องเท่านั้นเอง
“ถึงแล้ว ห้องนี้แหละ” พี่โน้ตหยุดหน้าห้องหมายเลข 1403 เขาหันมายิ้มพร้อมทั้งส่งคีย์การ์ดและลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันมาให้
“ถ้ามีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะ พี่ไปละ โชคดีนะพี่” เขาว่าก่อนจะเดินหันกลับกลับออกไปแทบจะทันที
ก๊อก ๆ
ผมเคาะห้องตามมารยาทให้เจ้าของห้องทราบ.... ไม่มีเสียงตอบกลับ และไม่มีวี่แววว่าห้องจะเปิด
เอาไงดีวะ ... ก้มหน้ามองคีย์การ์ดในมือก่อนจะตัดสินใจใช้มันเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไป
นี่มีเจตนาดีนะ ไม่ได้มาขโมยของ ไม่เป็นอะไรหรอกมั้งนะ
ด้านในเป็นคอนโดตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายโทนสีขาวครีมอบอุ่นสบายตา แต่ตามมุมต่าง ๆ กลับมีข้าวของวางระเกะระกะมากมาย ไหนจะมีขวดน้ำเปล่ากองพะเนิน บนพื้นก็มีเศษกระดาษขยำเป็นก้อนปะปนไปกับกองเสื้อผ้าที่ดูเหมือนว่าจะใส่ไปแล้ว
เรียกได้ว่าเละเทะ... ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องทนรับสภาพนี้ไหวได้ยังไงกันนะ แถมนี่ห้องผู้หญิงไม่ใช่หรอ
“สวัสดีครับคุณฟอง” ผมส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องที่ยังไม่เจอวี่แวว ไม่ใช่เกิดมาเห็นผมบุกเข้ามาแล้วเข้าใจผิดว่าเป็นโจรนี่แย่เลยนะ
“คุณฟองครับ ผมเป็นคนดูแลมาจากสำนักพิมพ์ครับ”
... เงียบกริบ หรือว่าจะไม่อยู่?
โครม!
เสียงเหมือนของมีน้ำหนักบางอย่างกระทบกันดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะรีบมองหาที่มาด้วยความรวดเร็ว พลันสายตาไปสะดุดกับประตูห้องนึงเปิดอ้าไว้เล็กน้อย
เมื่อลองแง้มประตูเข้าไปดูก็ต้องตกใจที่เห็นร่างบอบบางในชุดสีเข้มนอนฟุบตัวล้มอยู่ใต้โต๊ะทำงาน
ผมยาวสยายปกคลุมแผ่นหลัง เก้าอี้เอียงคว่ำไปอีกด้าน ไม่รอช้าผมรีบวางกระเป๋าก่อนจะพุ่งตรงไปสำรวจที่ร่างนั้นทันทีเผื่อมีอันตรายอะไร พอเห็นว่าเขาดูเหมือนจะแค่สลบไปเพราะพิษไข้เลยค่อย ๆ ประคองร่างบางขึ้นมาแล้วอุ้มไปที่เตียงในห้อง จัดท่าทางให้เจ้าตัวนอนสบายก่อนจะจับตัวและสังเกตดูอาการโดยคร่าว ๆ
สวย
คำแรกที่แวบขึ้นมาในสมอง หลังจากที่ได้เห็นร่างบางในชุดเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนเต็มตา ผมสีน้ำตาลเข้มนุ่มสลวยกระจายอยู่บนหมอนสีขาว แพขนตายาวรับกับคิ้วสวย จมูกได้รูป
แต่ที่ใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อซึมตามไรผมจนเปียกชุ่ม ริมฝีปากบางดูซีดเซียวแห้งผากจนทำให้คนคนนี้ดูราวกับว่าจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
แค่จับตัวเมื่อกี้ก็รู้แล้วว่าดูท่าจะมีไข้สูง... มิน่าถึงได้สลบคาโต๊ะทำงานไปแบบนี้เลย
ผมตัดสินใจหันไปสำรวจดูรอบ ๆ ห้อง ถือวิสาสะเปิดประตูเสื้อผ้ามองหาผ้าเช็ดตัวก่อนจะหยิบมันไปชุบน้ำบิดหมาด ๆ แล้วนำมาเช็ดซับเหงื่อที่ใบหน้าและตามตัว
พยายามหลับตาปี๋ไม่มองร่างบางของคนป่วยบนเตียงพลางเอาผ้าที่ชุบน้ำลูบไปตามตัว ผมเจตนาดีนะ
แต่..เดี๋ยวก่อน
เอ่อ... ดูท่าว่าผมจะเข้าใจผิดไปเองสินะ
...คุณฟองเป็นผู้ชาย...
ไอ้เราก็คิดว่าชื่อฟองก็คงจะเป็นชื่อผู้หญิงนี่นา รวบรวมความกล้าก่อนตัดสินใจเช็ดตัวให้ตั้งนาน
ที่รู้ก็เพราะตอนที่เช็ดตัวให้เขาดันเผลอลอบมองด้านบนไปพอดี คือจะว่าหน้าอกแบนมันก็ไม่ใช่ไง
แต่ไอ้เรื่องที่คุณเขาสวยเกินไปนี่ก็ทำใจยากน่าดูเหมือนกันนะ ขาวเจิดจ้าแสบตามากครับ
หลังจากที่เช็ดตัวโดยที่พยายามจะไม่ใส่ใจกับความขาวเสร็จ ผมก็พยายามเดินหากล่องปฐมพยาบาลของเจ้าของห้องแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอ แต่ก่อนจะกินยาก็ต้องกินข้าวก่อนสินะ
เมื่อลองเปิดตู้เย็นดู...ไหงมีแต่ช็อกโกแลตหลากหลายยี่ห้อกับน้ำเปล่าเนี่ย ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลย
ไข่สักฟองก็ยังไม่มี ในตู้เก็บของก็ไม่มีข้าวสาร เครื่องปรุงใด ๆ ก็ไม่มีเลยแม้แต่อย่างเดียว มีแค่หม้อไฟฟ้าที่ยังเก็บไว้ในกล่องอย่างดี
เฮ้อ คิดแล้วปวดหัว คนคนนี้ใช้ชีวิตรอดมาได้แบบไหนกันแน่นะ
ไหน ๆ ก็มีคีย์การ์ดมาแล้ว ผมเลยตัดสินใจผละออกจากร่างที่นอนอยู่ลงไปด้านล่างคอนโดเพื่อหาซื้อยาลดไข้เป็นอันดับแรก จากนั้นก็ไปตามหาซุปเปอร์มาร์เกตใกล้ ๆ ซื้อข้าวสาร ไข่ หมูสับ พร้อมทั้งวัตถุดิบอื่น ๆ กะว่าจะมาตุนใส่ในตู้เย็นไว้ รวมทั้งซื้อเครื่องปรุงรสต่าง ๆ มาเตรียมทำข้าวต้มเครื่องให้คุณคนป่วย ยังดีที่ได้รับเงินมัดจำมาจากสำนักพิมพ์แล้วด้วย คงต้องดูแลคุณเขาให้ดีที่สุดล่ะนะ
“คุณ...คุณฟอง ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนครับ”
หลังจากที่ทำข้าวต้มเสร็จเรียบร้อย ผมก็ยกชามเข้ามาในห้องนอนแล้วสะกิดปลุกคนป่วยให้รู้สึกตัว
“..ใคร” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นมานิ่ง ๆ ดวงตาคมค่อย ๆ ปรือขึ้นมามองสบตากับผม
“ผมชื่อพีท สำนักพิมพ์ส่งผมมาให้ช่วยดูแลคุณ ฝากตัวด้วยนะครับ ขอโทษที่เข้ามาโดยพลการนะครับ แต่พอดีผมได้ยินเสียงดังพอเข้ามาก็เห็นคุณล้มอยู่ใต้โต๊ะน่ะครับ” ผมแนะนำตัวพร้อมกับยิ้มแสดงความจริงใจ
“อืม งั้นหรอ”
“แล้วคุณฟอง...ไม่แนะนำตัวหน่อยหรอครับ” ผมยิ้มถามพลางจัดที่วางชามข้าวต้มตรงโต๊ะด้านข้าง
คนป่วย
... เอ่อ ผมตื่นเต้นเอง บ้าเอ๊ย คุณฟองก็ชื่อฟองสิ
“...” เขาเงยหน้าขึ้นมามองสบตาผมนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาคมคู่สวยดูเย็นชาซะจนแอบขนลุกไม่ได้
“เอ่อ... คุณฟองอายุเท่าไรแล้วหรอครับ ปีนี้ผมอายุ 21 พอดี น่าจะอายุน้อยกว่าคุณไม่เท่าไรหรอกมั้งนะ”
“...”
“ขอโทษครับ ถ้าคุณฟองไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ อ๊ะ อย่าลืมเป่าก่อนนะครับ มันร้อนนะ”
ผมเอ่ยประโยคหลังออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าค่อย ๆ หยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มที่ผมทำไว้เข้าปาก
“...” ไม่ทันขาดคำ เขาก็ชะงักนิด ๆ เมื่อช้อนแตะมุมปาก แล้วจากนั้นก็วางช้อนกลับไปในชามเหมือนเดิม
“เป่าก่อนสิครับ ผมเพิ่งทำเสร็จเอง กินก่อนนะแล้วค่อยกินยา จะได้หายไว ๆ”
ผมตักข้าวต้มขึ้นมาคำเล็ก ๆ ก่อนจะเป่าให้แล้วยื่นช้อนไปด้านหน้าร่างบางตรงหน้า
เขามองสบตาผมกลับมานิ่ง ๆ
...เอ่อ เชี่ย ลืมตัว คือปกติผมก็ชอบพูดกับน้องชายเวลาที่เขาไม่สบายแบบนี้ไง เลยทำด้วยความเคยชินล้วน ๆ เขาจะรู้สึกแปลก ๆ หรือเปล่าเนี่ย
เมื่อเห็นว่าคนป่วยดูท่าว่าจะหงุดหงิดที่ผมลามปาม ผมเลยชะงักแล้วรีบวางช้อนลงด้วยความรวดเร็ว
ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงพลางมองคนป่วยกินข้าว เขาดูท่าว่าจะไม่อยากอาหารเท่าไร เมื่อกินไปสองสามคำก็วางช้อน
“ไม่อร่อยหรอครับ กินอีกหน่อยนะ เดี๋ยวไม่หายป่วยหรอกครับ”
“อิ่มแล้ว”
“กินน้อยไปแล้วครับ นะ กินอีกหน่อย แล้วเดี๋ยวจะได้กินยาพักผ่อน อย่าลืมดื่มน้ำเยอะ ๆ ด้วย
รับรองว่าพรุ่งนี้หายดีแน่นอน”
“...” สายตาคมตวัดมามองผมนิ่ง ๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยอมหยิบช้อนขึ้นมา ตักข้าวต้มกินต่อจนหมดชาม
“เป็นยังไงบ้างครับ ฝีมือผมพอใช้ได้มั้ย”
“ก็ดี” สรุปว่ามันดีใช่มั้ยครับ!
“ดีใจที่คุณฟองชอบนะ แฮ่ ผมตั้งใจทำสุดฝีมือเลย สูตรพิเศษ”
“อืม”
“บ้วนปากก่อนนิดนึงนะครับ” ผมส่งแก้วใส่น้ำให้เขาได้กลั้วปาก พร้อมกับถือกะละมังใบเล็กเตรียมไว้ โชคดีที่คุณฟองยังยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี ถึงแม้ว่าหน้าเขาตอนนี้จะไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยก็ตาม
“เดี๋ยวผมจะออกไปจัดการเก็บข้าวของข้างนอกก่อนนะครับ อีกสักพักเดี๋ยวคุณลุกมากินยานะ”
ผมวางแก้วใส่น้ำพร้อมกับยาลดไข้ไว้ข้างเตียงคนป่วย ยื่นมือไปแตะหน้าผากเขาเบา ๆ เพื่อวัดไข้อีกครั้ง หลังจากเช็ดตัวไปเมื่อกี้ก็ดีขึ้นกว่าตอนแรกหน่อยล่ะนะ
“...อืม”
ร่างบางใต้ผ้าห่มหนาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเอนตัวลงพิงกับหัวเตียง ผมลุกขึ้นเก็บกะละมังพร้อมกับผ้าเช็ดตัวออกไปซัก จัดผ้าห่มคลุมร่างเขาให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องนอน
เมื่อเข้าไปในครัว ผมจัดการเก็บล้างทำความสะอาดจานชามจนเสร็จเรียบร้อยก่อนจะจัดเครื่องปรุงบนชั้น และเรียงวัตถุดิบต่าง ๆ แช่ในตู้เย็น
ผ่านไปไม่นานผมเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนคุณฟองแล้วสะกิดให้คนป่วยลุกขึ้นมากินยา เมื่อเรียบร้อยดีแล้วผมจึงผละลุกขึ้นมาปิดไฟในห้องนอน ปิดประตูเบา ๆ ต่อไปกะว่าจะทำความสะอาดห้องนั่งเล่นต่อ
งานนี้สาหัสนิดหน่อย อุปกรณ์ทำความสะอาดอะไรก็ไม่มีเลย ทำให้ผมต้องออกไปขอยืมมาจากแม่บ้านของคอนโดก่อน
เมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งผมพยายามเลือกงานที่ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนป่วยที่กำลังนอนอยู่
เลยก้มลงเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าแยกไว้เตรียมไปส่งซัก เก็บขวดน้ำพลาสติกมาแยกใส่ถุงไว้รีไซเคิล ส่วนพวกเศษกระดาษก็แยกไว้ต่างหาก
สำหรับข้าวของต่าง ๆ ผมยังไม่กล้าแตะต้อง คงต้องรอเจ้าของห้องอนุญาตก่อนแล้วกัน
ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาจดบันทึกรายการของใช้ที่ต้องซื้อเพิ่ม เป็นพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำยาถูพื้น น้ำยาเช็ดกระจกและน้ำยาล้างห้องน้ำพวกนี้ รวมทั้งไม้กวาด ไม้ถูพื้น เครื่องดูดฝุ่นด้วย
ไม่รู้ว่าทุกวันนี้คุณฟองเขาอยู่ไปได้ยังไง แต่เอาเป็นว่านับจากนี้ผมจะทำให้เขารู้สึกดีที่มีผมคอยดูแลจนต้องต่อสัญญาจ้างแน่นอน
Read me like a book : Page 2
กลายเป็นกิจวัตรไปแล้วที่ผมจะต้องแวะเวียนไปหาซื้อของสดทั้งผักผลไม้ที่ซุปเปอร์ เขาให้เงินสำหรับซื้อวัตถุดิบและของใช้ในบ้านพวกนี้มาอีกจำนวนหนึ่งทำให้ผมไม่ต้องกังวล ตลอดทั้งสัปดาห์มานี้ผมพยายามสรรหาเมนูที่จะถูกใจคุณท่าน เอ๊ย คุณฟอง รวมทั้งยังต้องหากลวิธีมาหลอกล่อให้เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ยอมกินผลไม้อีกต่างหาก ไม่แปลกใจเลยที่ร่างกายเขาจะไม่ค่อยแข็งแรง
ถ้าไม่เรียกกินข้าวก็ไม่ยอมกิน บางทีเขาจะทำงานจนลืมเลยเวลาถ้าไม่บังคับก็ไม่ยอมกิน
วัน ๆ ขลุกอยู่กับแค่หน้าโน้ตบุ๊ก มือพิมพ์ ตาจ้องจอ แถมไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลยอีกต่างหาก
แรก ๆ ผมก็ไม่ค่อยกล้าบังคับเขาเท่าไรหรอก เพราะเจ้าตัวจะชอบตวัดมามองด้วยสายตาคมแบบดุ ๆ แต่พอเริ่มคุ้นแล้วจับทางได้ การเลี้ยง เอ๊ย การดูแลคุณฟองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
โดยรวมแล้วงานนี้ก็ไม่ได้แย่นะ ออกจะสนุกซะด้วยซ้ำเวลาที่หาทางหลอกล่อให้คุณฟองเขายอมทำตามที่ผมบอกได้ ที่ยากที่สุดก็คงจะเป็นแค่เรื่องอาหารการกินนี่แหละ จนผมชักจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคุณแม่คุณฟองเข้าไปทุกทีแล้วเนี่ย!
คุณฟองไม่ชอบกินผัก อย่างเช่น หอมแดง หอมใหญ่ มะเขือเทศ คือจะต้องสับให้ละเอียดมาก ๆ จนแทบมองไม่เห็น ถึงจะกินได้แบบไม่เขี่ยออกมา ถึงอยากเขี่ยก็เขี่ยไม่ได้อยู่ดี
คุณฟองไม่ชอบกินผลไม้ กินได้อยู่แค่ไม่กี่อย่าง ฝรั่ง แตงโม มะม่วง นอกนั้นจะไม่ยอมลองกินเลย
คุณฟองชอบกินของหวาน ๆ ช็อกโกแล็ตนี่ของโปรด จะต้องมีติดตู้เย็นไว้ตลอด ถ้าวันไหนไม่ได้กิน
วันนั้นจะยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านเป็นพิเศษ
ผมเลยหยิบไอศกรีมช็อกโกแลตเตรียมไว้ให้เป็นของรางวัลคนเก่งด้วย เพราะผมตั้งใจว่ามื้อกลางวันของวันนี้จะทำผัดผักกับไข่น้ำ ใส่แคร์รอตเยอะ ๆ ด้วย
เขาใช้สายตาเยอะมาก แต่ไม่ยอมบำรุงสายตา เดี๋ยวจะแย่เอา วันนี้ผมต้องทำให้คุณฟองยอมกิน
แคร์รอตให้ได้!
“กลับมาแล้วครับ” ผมหิ้วถุงผ้าที่ในนั้นเต็มไปด้วยสารพัดผัก และแคร์รอตเข้าไปไว้ในครัว ตะโกนบอกคุณฟองที่ยังคงปิดประตูทำงานอยู่ให้ห้องนอน ตอนนี้ใกล้จะสิบเอ็ดโมง อีกสักพักเดี๋ยวเริ่มทำมื้อเที่ยงได้แล้วมั้ง
ก๊อก ๆ
ผมเคาะประตูห้องนอนคุณฟองก่อนจะเปิดเข้าไปเบา ๆ เขาไม่ค่อยตอบรับเท่าไร แต่พอเข้าไปก็ไม่ได้ตำหนิอะไร ทุก ๆ ครั้งเวลาที่เข้ามาแบบนี้ก็คือผมมีเรื่องจำเป็นนะครับ
“คุณฟองครับ”
สายตาของคุณนักเขียนยังคงจับจ้องไปที่โน้ตบุ๊ก พร้อมกับมือที่พิมพ์ข้อความอย่างรัว ๆ โดยที่ไม่มีจังหวะหยุดพัก
“คุณฟอง.. เซียมซีครับ” ผมเรียกเขาอีกครั้ง ทำให้ร่างตรงหน้ายอมละมือจากแป้นคีย์บอร์ดแล้วหันมาคว้าโทรศัพท์มือถือของผมไปปัดแทน ก่อนจะส่งคืนมาแล้วหันกลับไปเขียนหนังสือต่อโดยไม่หยุดดูหน้าจอ
หึ
ผมลอบขำในใจเมื่อเห็นภาพที่แสดงตรงหน้าเป็นมักกะโรนีผัดซอส หลังจากที่ผมไม่รู้จะทำอาหารเมนู ‘อะไรก็ได้’ มาให้คุณฟองถูกใจ ผมลองโหลดแอปสุ่มเซียมซีอาหารมาให้เขาหมุนแทน ทีแรกเจ้าตัวเขาก็ดูรำคาญ ๆ อยู่หรอก แต่พอผมเกลี้ยกล่อมว่าจะใส่ชื่อเมนูที่เขาชอบกินไว้ทุกอย่างจากนั้นมาเขาก็ไม่ว่าอะไรอีก
ถึงแม้ว่าจะมีบ้างที่หมุน ๆ เป็นสิบ ๆ ครั้งกว่าจะยอมพอใจก็เถอะนะ จนตอนหลังผมต้องตั้งกฎไว้ว่าวันนึงห้ามหมุนเปลี่ยนเมนูเกิน 5 ครั้งนะ
“เมนูวันนี้เป็นผัดผักกับไข่น้ำนะครับ” เซฟมีสิทธิเลือกนี่นา ผมพูดออกมาขำ ๆ ก่อนจะหมุนตัวหมายจะออกจากห้องไปเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร
“ไม่เอาแคร์รอต” เสียงนิ่ง ๆ ดังแว่วมา โดยที่เจ้าตัวยังคงไม่หยุดเคาะแป้นพิมพ์
“ได้ตามบัญชาครับ” ผมว่ายิ้ม ๆ แล้วหันหลังกลับมาเตรียมวัตถุดิบ คือวันนี้นี่ตั้งใช้ให้เสี่ยงเซียมซีพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ
ก่อนอื่นเลยก็เตรียมแคร์รอต ‘ของโปรด’ คุณเขาก่อน คุณฟองบอกว่าเคยลองกินแล้วแต่ไม่ชอบ
ผมเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นเพราะว่ากินแบบแข็ง ๆ หรือเปล่า ครั้งนี้เลยตั้งใจว่าจะทำให้นิ่มแบบจวนจะละลายในปากเลย
ผมแบ่งแคร์รอตเป็นสองส่วน ส่วนแรกพยายามแกะให้เป็นรูปดาว อีกส่วนเป็นรูปดอกไม้ จากนั้นก็
หั่นแบบไม่หนามาก เสร็จแล้วก็เตรียมหั่นข้าวโพดอ่อน และบรอกโคลีต่อ ด้วยความที่แม่ผมแพ้ชูรสเลยกินข้าวนอกบ้านกันไม่ได้ ทำให้ผมกับน้องโดนจับหัดเข้าครัวเองเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่เมนูที่ทำก็จะวน ๆ อยู่แค่เมนูที่ชอบกินเท่านั้นแหละ
เมื่อเตรียมเครื่องเสร็จผมลงมือทำไข่น้ำก่อนโดยเจียวไข่ใส่น้ำให้นิ่ม ทอดพอให้นุ่มฟู แล้วเติมน้ำกับใส่เครื่องปรุงรสต่าง ๆ ลงไปพอให้กลมกล่อมแบบที่ไม่ใส่ผงชูรส และใส่แคร์รอตที่หั่นเป็นรูปดาวและดอกไม้ชิ้นเล็ก ๆ ลงไปต้มจนชิมแล้วแคร์รอตนิ่มพอสมควร ผมไม่ได้ใส่กุ้งแห้งเพราะไม่รู้ว่าเขาจะแพ้ด้วยหรือเปล่า ใส่ผักชีแค่เล็กน้อยพอให้หอม ๆ ถึงใส่เยอะแค่ไหนเดี๋ยวคุณเขาก็ไปเขี่ยออกอยู่ดี
ต่อมาผมทำผัดผักรวมแบบที่ใส่แคร์รอตลงไปผัดให้นานกว่าปกติ ตามด้วยข้าวโพดกับบรอกโคลี
ถ้าทำให้ขนาดนี้แล้วบอกว่าแข็งนะ ผมอยากจะตีเด็กดื้อเลย ต่อให้ง้างปากแล้วป้อนเขาผมก็จะทำ!
...เอ่อ พูดไปงั้นแหละ ไม่กล้าทำจริงหรอก
ก๊อก ๆ
ครั้งที่หนึ่ง
“คุณฟองครับ”
ครั้งที่สอง
“คุณฟองครับ กับข้าวเสร็จแล้วนะ มากินข้าวก่อนครับ” ผมเคาะประตูห้องแล้วชะโงกหน้าเข้าไปบอกเขา
...ครั้งที่สาม คนข้างในถึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วเดินออกมาแบบทำหน้ายุ่ง ๆ
จริง ๆ เขาก็ทำหน้านิ่งเหมือนปกตินั่นแหละ แต่มันมีอาการแบบฟึดฟัด ๆ เพิ่มขึ้นมา
“ทำไมมีแคร์รอต” ทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะ เขาก็พูดขึ้นเรียบ ๆ ทันที
“คุณให้ผมกินด้วยไง ผมชอบเลยใส่มาเพียบเลย ลองกินดูสิครับ”
ไม่ว่าเปล่าผมนั่งลงตรงข้ามกับเขาแล้วตักแคร์รอตรูปดาวจากผัดผัดใส่ในจานเขาทันที
“คุณดาวอร่อยนะ” ผมแกล้งหยอกเขาเหมือนพูดกับเด็กน้อย
“...” เอ่อ...ไม่ขำแหะ
“น่า ผมทำแบบนิ่มมากเลย รับรองคุณกินได้แน่นอน จะได้ช่วยบำรุงสายตาไง ถ้าวันนี้คุณฟองกินแคร์รอตได้ผมมีไอติมช็อกโกแลตให้ด้วยเอ้า”
คนตรงหน้าชะงักนิ่ง จนผมอดลุ้นไปด้วยไม่ได้ ก่อนที่ช้อนในมือเขาจะค่อย ๆ ตักชิ้นแคร์รอตขึ้นมาใส่ปากพร้อมกับข้าวสวย
“เก่งมากเลยครับ! เป็นยังไงบ้าง อร่อยใช่มั้ยล่า”
ความรู้สึกนี้นี่มัน...เหมือนเป็นแม่ที่หัดให้ลูกกินผักได้แล้วสินะ
“...ก็พอได้” หมายถึงอยู่ในระดับปานกลางสินะ ผมเมมในพจนานุกรมฉบับคุณฟองเรียบร้อยแล้ว
“งั้นกินเยอะ ๆ นะครับ จะได้โตไว ๆ ร่างกายแข็งแรง”
พอผมพูดจบปุ๊บเจ้านายคนสวยก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องแบบดุ ๆ ทันที
แฮ่ ลืมตัว
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมนี่แทบจะร้องไห้กลางโต๊ะอาหาร คุณฟองจัดการกินแคร์รอตที่ผมทำให้จนเกลี้ยง นี่ไม่ใช่ระดับ “ก็พอได้” แล้ว แต่มันอร่อยจน “ก็ดี” ไม่ใช่หรอครับคุณฟอง!
ตามสัญญาผมเลยไปตักไอติมช็อกโกแล็ตมาส่งให้คุณฟองเป็นของรางวัล
“อันนี้เงินผมออกเองนะครับ ไม่เกี่ยวกับส่วนที่คุณให้ไว้ เพราะงั้นสรุปว่าผมเลี้ยงคุณเนอะ”
เขารีบรับไปทันทีโดยไม่อิดออด ทำเอาผมต้องลอบอมยิ้มขำ ๆ
“เสื้อเปื้อน...” ผมก้มมองตามสายตาของคุณฟอง จึงเห็นว่ามีรอยซอสกระเด็นมาเปื้อนนิดหน่อย
“อ๋อ นิดหน่อยเองครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกลับไปซักเอาก็ได้ครับ”
เมื่อผมยืนยันแบบนั้น คนข้าง ๆ เลยลุกเดินหนีไปที่โซฟาแล้วเปิดโทรทัศน์เลื่อนหาดูรายการที่น่าสนใจ ส่วนอีกมือนึงก็ตักไอติมเข้าปาก
‘สัตว์ป่าเหล่านี้ต่างก็ล้มตายเพราะไฟป่า---’ ติ๊ด
ผมอมยิ้มขำ ๆ นิสัยเด็กน้อยของคุณเขา ดูเหมือนจะเป็นความเคยชินจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว ผมเริ่มแยกแยะออกนะว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ดวงตาคู่สวยจะดูมีชีวิตชีวามากกว่าปกตินิดนึง...หลังจากที่ได้กินของหวานล่ะมั้ง
อ่า.. ตอนนี้คนสวยกำลังตบตีกับผมยาวของตัวเองอยู่ครับ ฮ่า ๆ พอก้มหน้ากินทีผมเขาแทบจะเข้าปากแล้วนั่น เจ้าตัวก็จับทัดหูพอให้พ้น ๆ ปกติเวลาอยู่ในบ้านเขาก็จะปล่อยผมยาวระแผ่นหลังไว้แบบนั้นแหละเหมือนไม่ใส่ใจที่จะทำอะไรกับมัน
“คุณฟองครับ มียางมั้ยครับ” เขาพยักหน้าส่ง ๆ ไปทางโต๊ะทำงาน ผมเลยลุกขึ้นเดินไปหยิบ แล้วกลับมานั่งที่โซฟาข้าง ๆ เขา
“ผมมัดให้นะครับ คุณฟองหันหลังมาทางนี้หน่อย”
“ไม่ต้องยุ่งน่า” เขาว่าผมดุ ๆ โดยที่ตายังคงจดจ้องไปที่โทรทัศน์ตรงหน้า
“คุณจะกินผมตัวเองเข้าไปด้วยหรือไงครับ เชื่อผมเถอะนะ” ไม่รอเขาอนุญาตผมเอื้อมมือไปรวบผมของเขาอย่างเบามือแล้วมัดเป็นมวยเล็ก ๆ ไว้ “เห็นมั้ย แบบนี้จะได้ไม่รำคาญไง เนอะ”
ผมเขานุ่มกว่าที่คิดแหะ ลื่นมาก
“อ๊ะ คุณฟองกินเลอะเทอะหมดแล้ว เช็ดปากหน่อยนะครับ” ผมเผลอหันไปเห็นไอศกรีมเปื้อนที่มุมปากเขาพอดีเลยเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่มาเช็ดมุมปากให้เขา
...เชี่ย มือเร็วอีกแล้วมั้ยล่ะ เผลอทำเหมือนตอนอยู่กับน้องอีกแล้ว
คุณฟองนิ่งชะงักไปสักพักก่อนจะคว้ารีโมตกลับไปกดเลื่อนดูรายการอื่นต่อ
‘ข่าวเที่ยงวันทันทันทั่วโลกวันนี้เราจะพาไปดูภาพนาทีระทึกที่---’ ติ๊ด
‘สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้ รายการกินทั่วไทยของพวกเราพาทุก ๆ มาที่ร้านผัดไทยคุณยายมี เราจะมาลองลิ้มรสชาติผัดไทยสูตรโบราณ เจ้าเก่า โด่งดังมาก ๆ จะเห็นได้ตอนนี้ในร้านนี่คนเยอะมาก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยอะเหมือนกันนะคะ’
หืม... แปลกนะเนี่ยที่หยุดอยู่ที่ช่องนี้นานกว่าปกติ รายการนี้เขาจะนำเสนอเมนูเด็ดตระเวนหาเจ้าอร่อยแล้วมาแนะนำให้คนไปทาน ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่ดัง ๆ คนชอบไปกินกันด้วย
‘อาหารมาเสิร์ฟแล้วค่ะคุณผู้ชม ดูสิคะ เส้นผัดไทยผัดคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงสูตรพิเศษของทางร้านห่อไข่บาง ๆ โรยด้วยถั่วลิสง รูปร่างน่าทานมาก ๆ เลยค่ะ เดี๋ยวเรามาลองชิมกันดีกว่าว่าจะเด็ดแค่ไหน’
“อยากกินหรอครับ” ผมหันไปถามคุณฟองที่นั่งถือถ้วยไอศกรีมพลางจ้องมองหน้าจอ
“ผมทำให้กินเอามั้ย” คุณเขาส่ายหน้านิ่ง ๆ
“จะไปกินที่ร้านหรอครับ?”
“...มื้อเย็น”
โอเค เป็นอันรู้เรื่องเลย เย็นนี้ผมไม่ต้องทำข้าวเย็นเอง เฮ้
“ถ้าคุณฟองไม่มีอะไรแล้วงั้นผมกลับแล้วนะครับ” ผมเดินเข้าไปบอกเขาเมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่า แถมผมยังจัดการเคลียร์ทำความสะอาดต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้วด้วย
“อย่าเพิ่งไป”
ผมเห็นเขาพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลง คว้ากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วเดินตรงเข้ามาหาผมที่กำลังทำหน้างง
“คุณฟองจะให้ผมทำอะไรอีกหรอครับ” ไหนว่าวันนี้จะไปกินผัดไทยข้างนอกไม่ใช่หรอ แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย
“ตามมา...” เขาว่าแล้วเดินนำออกไปนอกห้องปล่อยให้ผมคว้ากระเป๋าเดินตามมาแบบงง ๆ
“คุณฟองจะให้ผมไปกับคุณด้วยหรอครับ” ผมรีบร้อนวิ่งตามออกมาก่อนจะถามเขา
“หรือไม่ได้?”
“ได้อยู่แล้วสิครับ ไปกินผัดไทยกันเลย!”
คุณฟองเดินนำผมไปที่ลานจอดรถแล้วหยุดอยู่ข้าง Yaris สีขาว เจ้านี่ดูมีฝุ่นเกาะนิด ๆ ดูขัดกับลุคคุณฟองเขาแหะ สงสัยว่าจะไม่ค่อยได้ขับไปไหนเท่าไร
“มีใบขับขี่มั้ย?”
“หืม.. อ้อ มีครับ คุณฟองจะให้ผมขั--” ไม่ทันจบประโยคคุณฟองเขาก็โยนกุญแจรถมาให้ผม แล้วเจ้าตัวก็เปิดประตูขึ้นไปจับจองที่นั่งฝั่งด้านข้างคนขับทันที
ได้ครับ สรุปผมได้เลื่อนตำแหน่งเป็นคนขับรถด้วย
“ร้านอยู่แถวไหนนะครับ?” ผมหันไปถามเขาหลังจากที่ขับรถออกมาจากคอนโดแล้ว
“จำไม่ได้...”
“ง่า งั้นรบกวนคุณฟองช่วยหาในเน็ตให้หน่อยได้มั้ยครับ พอดีผมขับรถอยู่เลยเปิดดูเองไม่ได้น่ะ ไม่มีเน็ตด้วย แฮ่”
“...เฮ้อ” ผมได้ยินนะ คุณถอนหายใจทำไมครับเนี่ย
“ตรงไป....” ครับ ๆ ผมขับตาม GPS คุณฟอง “เลี้ยวขวาตรงแยกข้างหน้า”
เดี๋ยวนะ .... “ข้างหน้าห้ามรถธรรมดาเลี้ยวขวานะครับคุณฟอง”
“...ไปทางซ้าย”
“เอ่อ...”
“ขับต่อไปสิ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปดู GPS ในมือถือเขา สรุปว่าก็ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายนั่นแหละ “เลี้ยวซ้ายด้วย” เสียงนุ่มของคุณเขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“ครับ ๆ ได้เลยครับ”
ส่วนที่เขาบอกเมื่อกี้นั่นมัน... ไม่มีอะไรครับ ผมจะไม่นินทาเจ้านายเด็ดขาด
ในที่สุดผมก็พาคุณเขามาถึงหน้าร้านได้โดยสวัสดิภาพแบบที่เกือบหลง เพราะคนบอก— แค่ก ๆ
ไม่ใช่สิ เพราะ GPS ในมือถือมันไม่ค่อยเสถียรเท่าไร แหะ ๆ
ด้วยความที่ร้านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง ทำให้เวลานี้คนยืนรอคิวกันเยอะมาก มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่อแถวกันยาวเหยียด
“คิวยาวจังเลยนะครับ คุณฟองทนไหวมั้ย อยากเปลี่ยนร้านหรือเปล่า” ไอ้ตัวเองน่ะไม่เท่าไรหรอก ผมเป็นห่วงคนข้าง ๆ มากกว่า เริ่มทำหน้ายู่ตั้งแต่เห็นจำนวนคนรอคิวแล้วนั่น
“จะกินร้านนี้”
“ครับ ๆ” คุณเขาว่ามาแบบนี้ให้ทำไง ผมเลยได้แต่พยายามชวนคุยเล่นไปเรื่อยเปื่อยไม่ให้เขาเบื่อ เอ่อ...จะเรียกว่าพูดคนเดียวก็ใกล้เคียง ผ่านไปสักผักผมกับเขาก็ได้เข้ามานั่งด้านในร้าน
ภายในร้านตกแต่งแบบบ้าน ๆ ธรรมดา ริมผนังมีเมนูแนะนำพร้อมกับติดกรอบรูปที่ใส่บทความในหนังสือพิมพ์ รวมทั้งภาพถ่ายรางวัลต่าง ๆ ไว้การันตีรสชาติความอร่อยของผัดไทยสูตรดั้งเดิมของร้าน
“คุณฟองเอาอะไรดีครับ เดี๋ยวผมสั่งให้”
นิ้วเรียวสวยจิ้มไปที่รูปภาพในเมนู ผมพยักหน้าแล้วบอกเมนูกับพนักงานในร้าน
“เอาเป็นผัดไทยเส้นจันทน์ธรรมดาห่อไข่สองครับ ไม่ใส่กุ้งนะครับ แล้วก็น้ำเปล่าสองครับ”
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ผมมองคุณฟองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศภายในร้าน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ ...มันดูนานเกินกว่าจะเป็นแคปชั่นของภาพถ่ายนะ
“คุณฟองทำอะไรอยู่หรอครับ”
“หาพล็อต” ...อ๋อ มิน่าละ
“คุณคงชอบเขียนหนังสือมากสินะครับ”
“ไม่รู้สิ”
“...” เอ่อ หรือผมถามผิดไปจนเขาไม่อยากคุยต่อ เราเลยเงียบกันไปสักพัก ต่างคนก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง
“เป็นเพื่อนมั้ง” ...หืม หมายถึงการเขียนหนังสือสินะ?
“ตอนนี้คุณก็มีผมเป็นเหมือนเพื่อนอีกคนแล้วไงครับ แบบว่าเป็นคนคอยดูแลที่เป็นเพื่อนด้วยไง”
อันนี้ผมพูดมาจากใจจริงนะ ใครจะว่าคุณฟองเข้ากับคนยากหรือเอาใจยากอะไรก็แล้วแต่ เขาก็เป็นเขา นิสัยดีกว่าใครหลาย ๆ คนที่ผมเคยเจออีก
“คุณฟองเริ่มเขียนหนังสือมานานแล้วใช่มั้ยครับ ดีจังเลยนะที่ได้ตีพิมพ์หนังสือของตัวเองด้วย”
“...ห้าปีได้”
“โห มิน่าล่ะ จะว่าไปผมยังไม่รู้นามปากกาของคุณฟองเลยนี่นา เป็นนักเขียนก็ต้องมีนามปากกาสินะครับ คุณใช่ชื่อว่าอะไรหรอ เผื่อไว้ผมไปหาหนังสือคุณอ่านบ้าง”
“หึ อย่าดีกว่า...”
“เอ๋ ทำไมล่ะครับคุณฟอง ผมอยากลองอ่านงานคุณจริง ๆ นะ”
“ผัดไทยสองที่ได้แล้วค่ะ” พนักงานหญิงแทรกเข้ามาวางจานผัดไทยสองจานบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเสิร์ฟโต๊ะอื่นต่อ
ผมจ้องคนตรงหน้าที่กำลังหยิบตะเกียบขึ้นมาค่อย ๆ คีบเส้นผัดไทยขึ้นมาชิม ดูเหมือนเขาจะจงใจเลี่ยงคำถามก่อนหน้านี้ของผม ...แต่ไหน ๆ เจ้าตัวเขาไม่อยากบอก ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไรมากมายเพื่อความสบายใจของเขาด้วยเหมือนกัน จู่ ๆ คุณฟองก็วางตะเกียบลงหลังจากเพิ่งกินไปได้แค่คำเดียว
“อ้าว วางตะเกียบทำไมล่ะครับ ไม่โอเคหรอ” ประโยคหลังผมลดเสียงแล้วถามเขาเบา ๆ
“...ก็งั้น ๆ”
อ่า มาแล้วครับ เกณฑ์มาตรฐานคุณฟองระดับใหม่ที่ผมเพิ่งเคยได้ยิน “ก็งั้น ๆ” อันนี้เดาได้ว่าน่าจะอยู่ต่ำกว่า “ก็ดี” กับ “ก็พอได้” เพราะถึงขั้นไม่หยิบตะเกียบมากินต่อเลยนี่นา
สรุปสั้น ๆ ตามความคิดของผม “ก็ดี” ของคุณฟองน่าจะประมาณสัก 3 คะแนน
“ก็พอได้” คือ 2 คะแนน
ส่วน “ก็งั้น ๆ” คือ 1 คะแนนนั่นเอง
ผมหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมาชิมผัดไทยในจานบ้าง ก่อนจะหยิบเครื่องปรุงรสใส่เพิ่มเติม ทั้งน้ำปลา น้ำตาล เติมพริก และบีบมะนาวอีกนิดหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคีบผัดไทยป้อนให้คุณฟองได้ลองชิมดู
“แบบนี้ล่ะครับ”
“ดีขึ้น”
ผมยิ้มออกมาก่อนจะสลับจานผัดไทยของตัวเองที่ปรุงแล้วให้คุณฟอง แล้วหยิบจานเขามาแทน
“งั้นสลับกันนะครับ” กลายเป็นว่ามื้อนี้ผมก็ต้องมาปรุงให้คุณฟองอยู่ดีจนได้ ผมอมยิ้มมองแก้มขาวที่เคี้ยวผัดไทยในจานต่อโดยที่ไม่ว่าอะไรออกมาอีก ผมสีน้ำตาลที่มัดเป็นมวยไว้ลวก ๆ หล่นมาระต้นคอระหงจนทำให้ผมอยากเอื้อมมือเข้าไปเกลี่ยออกให้
เอ่อ... ไม่ได้สิ ไม่ได้ ๆ ข้ามความคิดนั้นไปด่วน ๆ
“เดี๋ยวไว้วันหลังผมค่อยทำให้คุณฟองกินใหม่นะ”
คุณฟองเงยหน้าขึ้นมองผมนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู
เห็นมั้ยครับใครว่าเขาดูแลยาก คนคนนี้นี่...เลี้ยงง่ายจะตายไป
เนอะ :P
Read me like a book : Page 3
หลังจากที่ได้มาทำงานได้สองอาทิตย์กว่า หน้าที่ประจำอีกอย่างหนึ่งของผมที่เพิ่มขึ้นมานอกจากการทำอาหารแต่ละมื้อให้คุณฟอง ก็คือการรับพัสดุ .. ครับ พัสดุไปรษณีย์นั่นแหละ คุณฟองชอบสั่งของออนไลน์ คงเพราะเจ้าตัวเขาไม่ชอบออกไปที่ไหนนี่เนอะ อย่างวันนี้ก็มีมาอีกสามชิ้น ส่วนผมก็ได้แต่รอคุณเขาแกะเสร็จแล้วก็เก็บกล่องรวมไปทิ้งทีหลังนั่นแหละ
ก๊อก ๆ
“คุณฟองครับ มีพัสดุมาส่งครับ”
ผมแง้มประตูเดินเข้าไปในห้องนอน เห็นคุณฟองนั่งตั้งหน้าตั้งตาเคาะแป้นพิมพ์อยู่
“ผมวางไว้ที่เดิมนะครับ” ที่เดิมก็คือบนเตียงเขานั่นแหละ ปกติคุณฟองเขาก็จะมาแกะของเขาเอง เมื่อวางเสร็จเรียบร้อยผมก็หันหลังจะเดินออกจากห้อง แต่แปลกตรงที่คุณฟองเรียกออกมาเบา ๆ
“มีอะไรหรอครับคุณฟอง”
“แกะนั่นให้ด้วย” เขาหันหน้ากลับมาแล้วชี้ไปที่ซองไปรษณีย์สีเทา แล้วก็หันกลับไปจ้องหน้าจอต่อเหมือนเดิม
“ให้ผมแกะหรอครับ?” ผมถามงง ๆ แต่ก็ยอมหยิบซองไปรษณีย์ที่เขาว่ามาแกะแต่โดยดีตามที่เจ้านายสั่ง ดูท่าของในซองอาจจะเป็นพวกเสื้อผ้าล่ะมั้ง พอแกะซองแล้วหยิบของข้างในออกมาดูผมก็แปลกใจนิด ๆ ในซองมีแค่ผ้าชิ้นนึง...เหมือนเป็นชุดอะไรสักอย่าง
“ผ้ากันเปื้อนหรอครับ” เป็นผ้ากันเปื้อนเต็มตัวสีเทาเข้ม สายสองข้างทำจากหนังสีน้ำตาล
“คุณฟองจะใส่ทำกับข้าวหรอครับ!” ผมถามด้วยความตกใจ จู่ ๆ ในหัวนี่มีภาพร่างบาง ๆ ของเขา สวมผ้ากันเปื้อนกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว
ยอม ยอมเลยครับ...
“ไม่ใช่!” อ้าว ดับฝันกันซะกัน “ซื้อให้...”
หืม? เดี๋ยวนะครับ
“นี่..นี่คือให้ผมหรอครับ จริงหรอครับ!”
“จะได้กันเปื้อน”
“ขอบคุณมากครับคุณฟอง ใจดีจังเลยน้า”
ผมรีบคว้าผ้ากันเปื้อนที่เขาซื้อให้ขึ้นมาสวม แล้วหมุนตัวให้คนตรงหน้าดู ...เอ่อ ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงจ้องที่จออยู่ก็เถอะ
“เซฟพร้อมแล้วครับคุณฟอง... เอ่อ คุณฟองว่าผมดูเป็นยังไงบ้าง เหมาะมั้ยครับเนี่ย”
เขาหันหน้ากลับมามองผมชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปเหมือนเดิม “....ก็ได้...มั้ง”
ง่ะ ... แล้วไอ้ ‘ก็ได้มั้ง’ นี่มันอยู่ตรงขั้นไหนในพจนานุกรมคุณฟองเนี่ย!
ดูเวลาก็ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว ไหน ๆ เป็นเชฟเต็มตัวแล้วด้วย ผมเลยทำทีเป็นก้มมาถามคุณฟอง
“วันนี้ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากจะรับประทานอะไรดีครับ”
“....” มือบางชะงักคาที่แป้นพิมพ์ชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะตอบออกมา “...อะไรก็ได้”
“โถ่ คุณฟอง! เดี๋ยวผมไปหยิบเซียมซีก่อน รอแป๊บนะครับ” รีบออกไปนอกห้องก่อนจะหยิบมือถือตัวเองมาเปิดแอปเซียมซีอาหาร
“หมุนดูเลยครับ มื้อเที่ยงวันนี้จะเป็นอะไรดีนะ”
เขาถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยอมยื่นมือขึ้นมาปัดหน้าจอมือถือ ภาพในจอค่อย ๆ สลับไปสลับมาจนกระทั่งหยุดที่...ไข่ทรงเครื่อง
“...เอาใหม่”
คราวนี้เป็น...ผัดเต้าหู้หมูสับ
“ไม่เอา”
“ครับ ๆ เชิญเลยครับ เหลือโควตาหมุนอีกแค่สามครั้งนะครับ” ผมลอบอมยิ้มเบา ๆ ให้คนช่างเลือก
หลังจากที่คุณเขาหมุนแล้วหมุนอีก ก็สรุปได้ว่า...
“ตกลงเป็นว่าสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศนะครับ”
“อีกรอบ...”
“กติกาต้องเป็นกติกาสิครับ คุณเปลี่ยนเมนูไม่ได้แล้วนะ ครบห้ารอบแล้วครับ” คราวนี้ผมไม่ยอมนะ พอเห็นสีหน้าบึ้งนิด ๆ ของคุณฟองก็อดขำในใจไม่ได้
“นะครับ...มะเขือเทศดีจะตาย บำรุงผิวแล้วก็บำรุงสายตาด้วยนะครับ”
“...” เขาไม่ตอบ แต่ก็ทำท่าฟึดฟัดแล้วหันเก้าอี้กลับไปมองหน้าจอคอมทันที
อ้าว โดนงอนซะงั้นอะ...
ผมออกเดินออกเข้าครัวมาเตรียมเครื่องสำหรับทำสปาเก็ตตี้โดยที่คราวนี้ใส่ผ้ากันเปื้อนที่คุณฟองซื้อมาให้ รู้สึกมีออร่าเชฟกระทะเหล็กนิด ๆ เลยแหะ
ก่อนอื่นก็ตั้งน้ำเตรียมต้มเส้นสปาเก็ตตี้โดยใส่เกลือและน้ำมันพืชนิดหน่อย ระหว่างรอให้น้ำเดือดผมก็หันมาเตรียมผัก ล้างหอมใหญ่ มะเขือเทศ แคร์รอต ข้าวโพดอ่อน อย่างหลังสุดนี่คุณฟองชอบมาก แต่หอมใหญ่กับมะเขือเทศนี่ ....ผมกำลังพยายามหั่นให้เป็นชิ้นเล็กมาก ๆ สับแล้วสับอีกให้คุณเขาเขี่ยไม่ได้
“ผักเยอะ...”
จู่ ๆ คนที่กำลังพาดพิงในใจก็เดินเข้ามาชะโงกหน้าดูในครัว ปากบาง ๆ นั่นยู่ออกนิด ๆ แบบที่เขาไม่รู้ตัว
“ผมสับละเอียดเลยนะ อีกนิดก็แทบจะปั่นแล้วครับ คือถ้าไม่ใส่มันไม่อร่อยนะ” เขารับฟังนิ่ง ๆ แต่ยังคงทำหน้างอนิด ๆ เหมือนเดิม
“คุณฟองเคยทำอาหารเองมั้ยครับ”
“ไม่”
“...อ้อ งั้นอยากลองทำดูบ้างมั้ย ไม่ยากหรอกครับ เดี๋ยวผมช่วยสอนให้ นะ มาตรงนี้สิครับ”
ผมกวักมือเรียกคุณฟองให้เดินเข้ามาหา ในใจนี่อยากลองเรียกเหมียว ๆ มาก แต่กลัวคุณฟองจะกระโดดข่วนหน้าเอา ฮ่า ๆ คืออารมณ์เขาเหมือนแบบ...แมวเปอร์เซียสีขาวขนฟูน่ะ ดูหยิ่ง ๆ นิ่ง ๆ ไม่แคร์ใครเท่าไร แต่ถ้ามีอะไรมาหลอกล่อได้ก็ถึงจะยอมหันมาสนใจด้วย
ส่วนตัวเองน่ะหรอ ตอนนี้เหมือนเป็น ‘ทาสแมว’ ยังไงไม่รู้แหะ
เมื่อเขายอมเดินเข้ามา ผมก็ถอดผ้ากันเปื้อนที่ตัวเองสวมอยู่แล้วหันไปสวมให้เขา เปิดก๊อกน้ำให้คุณฟองล้างมือแล้วก็ให้เขาหยิบเส้นสปาเก็ตตี้ออกมากำนึง
“ตอนนี้น้ำเดือดแล้ว เดี๋ยวคุณฟองค่อย ๆ ใส่เส้นลงในน้ำเลยนะครับ”
ดูท่าว่าเจ้าตัวเขาคงไม่เคยเหยียบเข้ามาในครัว เขาเลยพยายามยื่นแขนออกไปจนสุดแล้วค่อย ๆ หย่อนเส้นสปาเก็ตตี้ลงไปในหม้อตามที่ผมบอก อีกมือก็ถือทัพพีไว้แบบเกร็ง ๆ
“ดีมากครับ ใช้ทัพพีค่อย ๆ กดเส้นลงไปในน้ำก็ได้นะครับ ที่เหลือก็แค่รออีกสักพักให้เส้นสุกก็ยกขึ้นมาพักไว้”
ผมลอบขำสีหน้าของคุณฟองขณะที่เข้าจ้องไปที่เส้นสปาเก็ตตี้ในหม้อ ระหว่างนั้นก็ผละออกมาเตรียมแคร์รอตโดยหั่นพอให้เห็นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ คิดว่าถ้าไม่แข็งมากเขาก็คงยอมกินเหมือนครั้งก่อน
“น่าจะได้ที่แล้วนะครับ คุณฟองถอยออกนิดนึงก่อนนะเดี๋ยวโดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ครับ” เมื่อเห็นว่าเส้นสปาเก็ตตี้สุกได้ที่ดีแล้วผมก็ยกหม้อออกมาเทเส้นใส่กระชอนพร้อมกับเปิดให้น้ำเย็นไหลผ่าน
“เดี๋ยวคุณฟองช่วยเอาเส้นมาคลุกน้ำมันงาหน่อยนะครับ ไม่ต้องเยอะ แค่พอให้มันไม่ติดกัน..แบบนั้นแหละครับ”
ผมยิ้มออกมาเมื่อลูกมือเชฟฝึกหัดตั้งใจทำตามที่บอกโดยที่ไม่บ่นอะไร จากนั้นก็หยิบกระทะขึ้นมาเตรียมผัดซอสสปาเก็ตตี้ต่อ เริ่มจากใส่น้ำมันไปเล็กน้อย ใส่แคร์รอตหั่นเต๋าลงไปผัดสักพัก ตามด้วยใส่หอมใหญ่สับละเอียดลงไปผัดจนพอเหลือง ตามด้วยหมูสับ และมะเขือเทศ หลังจากที่เติมน้ำเปล่าลงไปก็ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาล ซอสหอย และซอสมะเขือเทศ ใส่ซอสพริกและพริกไทยดำลงไปอีกนิดหน่อยพอแก้เลี่ยน เมื่อชิมรสชาติจนพอใจแล้วก็หยิบช้อนขึ้นมาตักกะจะให้คุณฟองได้ลองชิมดู
“อ้าปากหน่อยนะครับ” ผมยื่นช้อนไปที่ด้านหน้าคุณฟอง เจ้าตัวลังเลชั่วครู่ที่เห็นว่าในซอสมีทั้งหอมใหญ่ มะเขือเทศ และแคร์รอตที่ตัวเองไม่ชอบกินแต่ก็เหมือนจะยอมกลั้นใจอ้าปากชิมแต่โดยดี
“ใช้ได้มั้ยครับคุณฟอง”
“...ก็ดี”
เป็นไงล่ะ! สามผ่านสิครับ ระดับนี้แล้ว
“งั้นคุณฟองช่วยผมเตรียมเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานได้เลยครับ จะได้ตักซอสราดเลย”
“อืม” เข้าว่าเบา ๆ แล้วทำตามที่ผมบอก
ให้ตาย คุณฟองโหมดว่าง่าย ๆ แบบนี้นี่...ไม่ชินเลยครับ!
“ทำไมคุณฟองย้ายมาอยู่คอนโดคนเดียวล่ะครับ” ผมชวนเขาคุยระหว่างที่เรากำลังกินสปาเก็ตตี้ ไม่อยากอวยตัวเองเลยว่าคุณฟองตักทั้งหอมใหญ่ ทั้งมะเขือเทศเข้าปากแบบที่ไม่เขี่ยเลย...เอ่อ...คงเขี่ยยากเกินไปมั้ง
“ไม่มีใครมาวุ่นวายดี”
“อ่า... งั้นหรอครับ”
“...” เขาก้มหน้าก้มตากินต่อเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไร แต่ผมพอจะจับความรู้สึกเศร้า ๆ ได้จากน้ำเสียงนั่นได้
“จริงสิ ตอนเย็นอากาศดี ๆ ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ กันมั้ยครับ จะได้เดินออกกำลังไปด้วยไง แล้วค่อยกลับมากินข้าวเย็นหรือไม่ก็หาอะไรกินข้างนอกกัน”
“ไม่เอา.. เหนื่อย”
“นิดเดียวเองครับคุณฟอง แถมวันนี้กินสปาเก็ตตี้อีก จะได้ไปเผาผลาญแคลอรี่ไง ถ้าคุณฟองน้ำหนักขึ้นผมไม่รู้ด้วยนะ”
“...” คนที่นั่งตรงข้ามตวัดสายตาขึ้นมาจิกผมทันทีเลยครับ ฮ่า ๆ แสดงว่าเรื่องน้ำหนักนี่ห้ามแตะต้องเป็นอันขาด
“นะครับ...ไปเดินเล่นกัน ครั้งก่อนที่ผมมานี่เห็นว่าเพิ่งมีคาเฟ่เปิดใหม่แถวนั้นด้วย เผื่อคุณฟองอยากกินเค้กจะได้ซื้อกลับมาที่คอนโดไงครับ”
“... ก็ได้”
แผนลวงสำเร็จแล้ว หึหึ ในที่สุด หลังจากผ่านมาเกือบจะสามอาทิตย์ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถพาคุณฟองออกจากห้องสี่เหลี่ยมนี่ได้ ไม่นับอาทิตย์ก่อนที่เจ้าตัวเขาอยากออกไปกินผัดไทยเองอ่านะ จะได้ออกกำลังกายบ้างอะไรบ้าง อยู่ที่คอนโดก็ไม่ได้ออกกำลังกายเลย
จริง ๆ คุณฟองไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำหนักหรอก ผมว่าเขาออกจะตัวบางไปซะด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเขาได้กินข้าวเป็นเวลาบ้างมั้ย แต่ยังดีที่ช่วงนี้ได้กินข้าวครบสามมื้อ เลยดูจะมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่เราจัดการมื้อกลางวันเสร็จ ผมก็มีหน้าที่เก็บล้างจานชามและทำความสะอาดห้องครัวเหมือนเดิม ส่วนคุณฟองก็กลับเข้าห้องไปทำงานต่ออีกครั้ง
ผมพูดจริงนะที่อยากลองอ่านหนังสือที่เขาเขียน อยากเห็นว่าคน ๆ นั้นคิดอะไรอยู่ในใจ แล้วเขียนอะไรออกมาบ้าง อย่างน้อยเราก็คงจะได้รู้จักกันมากขึ้น แต่...ตั้งแต่วันนั้นคุณฟองก็ไม่ยอมพูดกับผมเรื่องงานของเขาอีกเลย ผมก็ทำได้แค่ให้พื้นที่ส่วนตัวเขาและไม่ไปก้าวก่ายการตัดสินใจอะไร
ได้แค่หวังแค่ว่าจะมีสักวันที่เขาเปิดใจแล้วยอมบอกผมด้วยตัวเอง...
จะมีโอกาสแบบนั้นมั้ยนะ
“เดินไหวมั้ยครับคุณฟอง” ผมก้มหน้ามองคนข้าง ๆ ที่หยุดเดินพลางหอบหายใจนิด ๆ ระยะทางจากคอนโดของเขามาที่สวนนี่จริง ๆ แล้วก็ไม่ไกลเท่าไร แต่ก็นั่นแหละ...ดูท่าแล้วคุณฟองคงจะไม่เคยออกกำลังกายเลย ถึงได้มีอาการแบบนี้
“พักก่อนมั้ยครับ”
เขาส่ายหน้านิด ๆ แล้วเดินต่อนิ่ง ๆ ผมเลยเดินตามเขาเผื่อเขาเกิดเป็นอะไรไป พร้อมกับบอกทางที่จะไปสวนและชี้ให้เขาดูทางไปร้านคาเฟ่ที่ไว้จะแวะตอนขากลับคอนโด
“คุณฟองเคยมาที่นี่มั้ยครับ” ผมหันไปถามเขาที่กำลังนั่งพักบนเก้าอี้ยาวหลังจากที่เราเดินเข้ามาด้านในสวน
ที่นี่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาออกกำลังกาย พักผ่อน ได้ตามอัธยาศัย ต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ทำให้บรรยากาศด้านในร่มรื่นอยู่ไม่น้อย ด้านหน้ามีแปลงไม้ดอกไม้ประดับหลากสี ตรงเข้าไปด้านในยังมีทางเดินที่เชื่อมไปยังบ่อน้ำพุใสสะอาด ตอนนี้อากาศไม่ร้อนมากทำให้เริ่มมีคนเข้ามามากขึ้น บ้างก็วิ่งจ๊อกกิ้ง บ้างก็นั่งเล่น เรียกได้ว่าบรรยากาศเหมาะแก่การมาพักผ่อนเป็นอย่างมากเลย
ไม่ต้องรอคำตอบก็เดาได้ว่าคนข้าง ๆ คงเพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรก เขาหยิบมือถือขึ้นมาหันซ้ายหันขวาถ่ายรูป ทั้ง ๆ ที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งนั่นแหละ ดูท่าจะเหนื่อยจนลุกไม่ไหวจริง ๆ แหะ
“หิวน้ำมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำปั่นมาให้ คุณฟองเอาเป็นโกโก้ปั่นมั้ยครับ”
เมื่อเห็นเขาพยักหน้านิด ๆ ขณะที่มือกำลังง่วนกับการถ่ายรูป ผมเลยเดินลุกออกไปยังร้านขายน้ำปั่นที่ทางเข้าสวน พอหันกลับไปก็เห็นคุณฟองก้มหน้าก้มตาพิมพ์ในมือถือ คงจะจดพล็อตไปเขียนหนังสือเหมือนเคย
ไม่นานนัก ผมเดินกลับเข้ามาตรงม้านั่งที่เดิม แต่กลับไม่เห็นคุณฟองนั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยความรีบร้อนเลยวิ่งวนหาดูรอบสวนสาธารณะ เผื่อจะเจอเขาที่ลุกไปเดินเล่นตรงที่อื่น จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นผมจึงยอมตัดใจทิ้งแก้วโกโก้ปั่นที่น้ำแข็งละลายจนเกือบหมด ก่อนออกตามหาเขาต่อ
ที่นี่ไม่ได้กว้างมากนัก ผมจึงลองวิ่งไปดูแทบทุกมุมแบบไม่ได้หยุดพัก ดูเวลาอีกทีก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ใกล้จะหกโมงเย็นแล้วด้วย ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเข้าไปทุกที แต่ผมยังไม่เห็นวี่แววของคุณฟอง ถามคนที่เดินเล่นอยู่แถวนั้นก็ไม่มีใครสังเกต
ปัญหาคือผมไม่มีเบอร์คุณฟองด้วย! แม่งเอ๊ย เอาไงดีวะ...
เดี๋ยวนะ พี่โน้ต! ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพี่โน้ตทันที
“พี่โน้ต! พี่มือเบอร์คุณฟองมั้ยครับ ผมขอหน่อย!”
[เฮ้ย มีอะไรหรือเปล่าพีท ทำไมเสียงน่ากลัวเป็นแบบนั้น]
“คุณฟองพี่.. ผมพาคุณฟองมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะแถวคอนโด ผมออกไปซื้อน้ำปั่นแป๊บเดียว กลับมาก็ไม่เจอคุณฟองแล้ว ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนเนี่ย”
[อ้าว เวร! นี่จะมืดแล้วด้วย]
“พี่มีเบอร์คุณฟองมั้ย ผมขอหน่อย”
[เออ ๆ เดี๋ยวส่งให้ แต่ถึงจะโทรไปเขาก็ไม่ค่อยรับสายอยู่ดีนะ ลองหาแถวนั้นทั่วหรือยัง ใจเย็นก่อน]
“หาแล้วพี่ วิ่งวนแถวนี้ไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย”
[เขาออกไปที่อื่นหรือเปล่า แต่ปัญหาแม่งคือคุณฟองเขาเป็นพวกหลงทิศด้วยนะ]
“อะไรนะ!”
[เออ ตะโกนเสียงดังทำไมวะ แบบ...หลงทางง่ายอะไรแบบนี้อะ คือจะต้องมีคนพาไปตลอด ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียวเลยด้วย]
“ชิบ งั้นแค่นี้ก่อนนะพี่ ส่งเบอร์เขามาให้ผมด้วยนะ”
หลังจากวางสายผมกดโทรออกตามเบอร์ที่พี่โน้ตให้ไว้
แต่ไม่ว่าจะลองโทรไปกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม คือมีแต่เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ดังซ้ำ ๆ จนเข้าสู่ระบบฝากข้อความ
“รับสิ ๆ”
ผมภาวนากับตัวเองเบา ๆ แล้วกดโทรออกย้ำ ๆ พร้อมกลับกวาดสายตามองหาคุณฟองไปด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของโทรศัพท์จะกดรับสาย และก็ไม่เจอใครที่มีลักษณะคล้ายกับเขาเลย
“บ้าเอ๊ย!”
ผมวิ่งออกมาด้านนอกสวนสาธารณะ หันซ้ายหันขวาดูรอบตัวก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปฝั่งตรงข้ามกับทางเดิมโดยที่หวังว่าจะขอให้มีโชคเจอคุณฟองสักที พร้อมกับพยายามโทรเขาเบอร์ของเขาตลอดเวลา
ตอนนี้ขาผมล้าไปหมด เหงื่อออกท่วมตัว แทบจะไม่มีแรงแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะเจอเขาโดยที่เขาไม่เป็นอะไร ขอแค่ให้เจอเขา...
ผมเพ่งสายตามองรอบตัว ฟ้าเริ่มมืดขึ้นทุกที ๆ แต่เหมือนโชคช่วย ผมบังเอิญเห็นแผ่นหลังโปร่งคุ้นตาริมฟุตปาธด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลเท่าไร ดูลักษณะการแต่งกายและทรงผมก็คล้ายกับคุณฟอง ผมจึงไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที
“คุณฟองครับ!” ผมตะโกนเรียกเขาเสียงดังแต่ร่างโปร่งดูท่าว่าจะไม่ได้ยิน ระหว่างตำแหน่งที่ผมยืนกับที่คนนั้นยืนอยู่มีถนนคั่น เวลานี้รถกำลังจอแจทำให้ผมต้องหยุดยืนรอสัญญาณไฟทั้ง ๆ ที่ในใจนี่อยากจะวิ่งออกไปหาเขาให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อผมข้ามฝั่งมาได้ก็รีบสาวเท้าไปหาเขาด้วยความรวดเร็ว มองเห็นพอดีว่าตรงนั้นเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีวินสองสามคนกำลังยืนล้อมเขาอยู่
“คุณฟองครับ!!” ผมลองเรียกดูอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าของชื่อหันกลับมามองผมนิ่ง ๆ แต่ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดีเท่าไร
“อ้าว เหมือนคุณพี่ชายมารับแล้วนะครับน้อง” ชายวัยรุ่นหนึ่งในนั้นหันมามองผมแล้วพูดกับเขาขำ ๆ แกล้งยกมือขึ้นดันไหล่คุณฟองให้เดินมาหาผม
“ไม่ใช่น้อง!” คุณฟองตวาดออกมาแบบดุ ๆ พลางปัดมือที่แตะหัวไหล่ออกอย่างแรง
“ฮ่า ๆ น้องคนนี้โกรธซะแล้วว่ะ”
“พอดีน้องคนนี้เขามาสั่งจะให้พาไปส่งบ้านน่ะ แต่พอถามว่าที่ไหนเจ้าตัวก็ดันตอบไม่ได้ พวกพี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี” ลุงที่ยืนข้าง ๆ กันเดินเข้ามาพูดเบา ๆ กับผมพร้อมกับทำหน้าลำบากใจ
“ครับ ต้องขอโทษที่รบกวนด้วยนะครับ” ผมก้มศีรษะขอโทษเขาแล้วพาคุณฟองเดินออกมา
“ไม่เป็นไร ๆ กลับบ้านดี ๆ นะน้องชาย”
“เฮ้อ คุณไม่เป็นอะไรไปก็ดีแล้วล่ะครับ กลับบ้านกันนะ” ผมหันไปพูดกับคุณฟอง
“อืม” คุณฟองพูดออกมาเบา ๆ ผมยื่นมือไปคว้ามือเขามาจับ ก่อนจะจูงมือเดินนำออกไปเพื่อจะกลับคอนโด
“หิวมั้ยครับ”
คนตัวเล็กกว่าพยักหน้า แต่ก็ยังคงก้าวเท้าเดินตามผมมานิ่ง ๆ ไม่ได้ว่าอะไร
“เดี๋ยวหาอะไรกินแถวนี้แล้วกัน ตอนนี้ผมเหนื่อยจนไม่มีแรงทำอะไรแล้ว ทีหลังคุณอย่าหายไปแบบนี้อีกรู้มั้ยครับ”
เขาพยักหน้า ดวงตาคมจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ แต่ก็ดูท่าว่าจะไม่ได้รู้สึกอะไร
“ทำไมไม่นั่งเล่นรอผมในสวนล่ะครับ” ผมถามนิ่ง ๆ กดอารมณ์ขุ่นเคืองเขาที่ทำให้เป็นห่วงจนแทบบ้า แต่ก็พยายามไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา
“อยากกินเค้ก”
“....” ให้ตายสิ คนคนนี้
“ร้านเค้กอยู่คนละทางกับที่คุณเดินไปนะ รู้มั้ยว่าถ้าเมื่อกี้ผมไม่บังเอิญหาคุณเจอแล้วจะเป็นยังไง คุณจะกลับคอนโดถูกหรอครับ” พอพูดจบก็รู้ว่าตัวเองเผลอกุมมือบางของเขาแน่นขึ้น
“ให้มอไซค์ไปส่ง”
“งั้นหรอครับ ไหนคุณบอกชื่อคอนโดที่คุณอยู่มาหน่อยสิครับ”
“....จำไม่ได้”
“ให้ตายสิ งั้นทีหลังก็อย่าทำให้ผมเป็นห่วงแบบนี้อีกได้มั้ย!”
....
สุดท้ายก็จบลงตรงที่ผมพาคุณฟองเขามากินก๋วยเตี๋ยวในซอยเล็ก ๆ เป็นอาหารเย็น มื้อนี้คงจะเป็นมื้อแรกที่เรากินกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาก่อน
ปกติผมจะเป็นคนเริ่มถามเขา แต่พอผมไม่ได้ชวนคุย เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา...
ผมทั้งเหนื่อย ทั้งหงุดหงิดที่คนตรงหน้ามาทำให้ผมกังวลมากขนาดนั้น ความรู้สึกตอนที่รู้ว่าเขาหายไปยังคงค้างคาอยู่ มันเหมือนจู่ ๆ ก็มีโพรงสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างในตัวเอง
หลังจากกินเสร็จผมก็เดินพาเขากลับไปส่งที่คอนโด ระหว่างทางที่เดินไปยังคงมีแต่ความเงียบ คราวนี้ผมไม่ได้ขึ้นไปด้วย ทำแค่ยืนส่งจนกระทั่งเห็นร่างโปร่งเข้าไปในลิฟต์ อาการคงไม่แย่ขนาดจำห้องตัวเองไม่ได้หรอกมั้ง
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพี่โน้ตเพื่อบอกให้เขาสบายใจก่อนจะเดินออกจากคอนโดไปยังป้ายรถเมล์เพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
ระหว่างที่รถติดก็เผลอย้อนคิดไปถึงคนคนนั้น บางทีก็อยากจะเข้าไปนั่งดูในสมองคุณเขาเหมือนกันนะ
ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องเขียนนิยายแล้ว...เขาคิดอะไรอยู่กันแน่
Read me like a book : Page 4
สัปดาห์สุดท้ายของการทำงานมีแต่ความเงียบ ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติ พร้อมทั้งบอกขอโทษเขาทีเมื่อวันก่อนเผลอตวาดใส่ไปแบบนั้น แล้วก็ชวนเขาคุย แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
จู่ ๆ เหมือนว่าระยะห่างของเรามันกลับกว้างขึ้นมากกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลาสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าเรารู้จักกันมากขึ้นซะอีก
ไม่ใช่ผมไม่เดินเข้าหาเขา...แต่เหมือนคุณฟองเองที่กำลังพยายามดึงตัวเองให้ยิ่งห่างออกไป
เหลือเวลาอีกห้าวันก็จะครบหนึ่งเดือน..สัญญาว่าจ้างเป็นคนดูแลคุณฟองก็จะหมดลง แต่เจ้าตัวเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องต่อสัญญาอะไร แถมสำนักพิมพ์เองก็ไม่ได้ติดต่ออะไรผมมาอีกเลย เมื่อลองโทรไปถามพี่โน้ตเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
...เขาคงจะไม่ต้องการผมแล้วสินะ
ผมพยายามไม่คิดอะไรมากแล้วเตรียมตัวทำความสะอาดห้องเหมือนทุก ๆ ครั้ง ที่จะต้องทำวันนี้ก็คือดูดฝุ่นและถูพื้นในห้อง แต่ไม่ว่าจะทำตัวให้ยุ่งยังไงก็ยังคงเผลอไปคิดถึงเรื่องของคุณฟองอยู่ดี
ผ่านมาได้สองวันหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นที่สวนสาธารณะวันนั้นดูเหมือนว่าเขาจะพยายามปลีกตัวออกห่าง ไม่ยอมมามีปฏิสัมพันธ์อะไรกับผมเท่าไรนัก อย่างในเรื่องอาหารแต่ละมื้อ กลายเป็นว่าคุณฟองไม่สนใจเซียมซีอะไรนั่นอีก ไม่ว่าผมจะทำอาหารอะไรเขาก็ไม่ได้สนใจ อะไรที่ไม่กินก็จะเหลือไว้ในจาน เขากินข้าวน้อยลงจนเห็นได้ชัด ไม่ยอมกินมื้อเช้าที่ผมเตรียมไว้ให้ ส่วนมื้ออื่นเท่าที่สังเกตก็ยุบไปแค่ไม่กี่คำ
นอกจากนี้เขาก็ไม่ยอมเดินออกมากินข้าวนอกห้องทำงาน เปลี่ยนเป็นให้ผมยกจานไปวางในห้องแทน
จากนั้นก็ไล่ผมออกจากห้องนอน ล็อกประตูแล้วก็...ใช้ชีวิตอยู่ในห้องนอนนั้นคนเดียว
ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ซักถามหรือพูดคุยอะไรกับเขาเลย
เพล้ง!
ด้วยความที่ผมดันไม่ระวังเองเลยทำให้เท้าสะดุดกับขอบโต๊ะกาแฟ แล้วจังหวะที่เกือบจะล้มลงนั้นดันเผลอหาอะไรมาค้ำไว้ กลายเป็นว่าตอนนี้ไม้ถูพื้นที่ถืออยู่ดันฟาดเข้าไปที่กระจกตู้หนังสือบานใหญ่จนแตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษกระจกหล่นหลงมาร่วงกระเด็นเต็มพื้นกระเบื้องสีขาว อีกทั้งยังทำให้หนังสือในตู้ถูกเกี่ยวจนร่วงลงมากระจัดกระจาย
ชิบ.... ผมยกมือลูบหน้าเรียกสติก่อนจะค่อย ๆ ยกเท้าถอยออกมา ก้มมองแขนที่ถูกเศษกระจกบาดเป็นรอยยาว โชคดีที่ไม่ได้ลึกมากนักแต่ก็ทำให้รู้สึกแสบพอสมควร
โชคยังดีที่ตอนนี้สวมรองเท้าแตะไว้เลยไม่ถูกเศษกระจกบาด ผมออกไปสวมถุงมือยางและเข้ามาเก็บทำความสะอาดเศษชิ้นกระจกอย่างระมัดระวัง คุณฟองยังคงอยู่ในห้องของเขา สงสัยอาจจะไม่ได้ยินหรือไม่ก็...
ไม่ได้สนใจ...
ระหว่างที่กำลังปาดเศษกระจกออกจากตู้หนังสือ สายตาของผมบังเอิญเห็นสันหนังสือสี่ห้าเล่มมีโลโก้สำนักพิมพ์ที่เคยไปทำงานที่งานหนังสือ จากนั้นก็ค่อย ๆ นั่งลงตั้งใจจะเก็บหนังสือบนพื้นที่ร่วงลงมาจากชั้นเดียวกัน แล้วเอื้อมไปหยิบพลางปัดเศษกระจกที่กระเด็นมาติดออกจากหน้าปกหนังสืออย่างเบามือ
ผมชะงักหยุดมองชื่อหนังสือและหน้าปกของเล่มนี้เพราะรู้สึกว่ามันคุ้นตา
‘Since 2014’
หน้าปกเป็นภาพวาดสีน้ำบรรยากาศทะเลยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีน้ำเงินเข้มตัดกับสี ของส้มของพระอาทิตย์ แนวมินิมอลเรียบ ๆ ชวนให้บรรยากาศดูเหงาอย่างบอกไม่ถูก นิยายเล่มนี้เพิ่งออกเมื่องานหนังสือที่ผ่านมา ตอนนั้นก็ขายดีจนผมต้องช่วยเติมสต๊อกไม่รู้กี่รอบ คนซื้อก็เข้ามาถามหาอยู่หลายต่อหลายครั้ง
หลังจากที่เก็บหนังสือที่หล่นลงบนพื้นทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผมเลยลุกขึ้นตั้งใจว่าจะเก็บมันเข้าที่เดิม แต่พอลองสังเกตดูดี ๆ หนังสือเหล่านี้เขียนโดยคนคนเดียวกันทั้งหมด
ไม่ยักรู้ว่าลุคอย่างคุณฟองจะอ่านนิยายด้วยเหมือนกัน แถมยังมีเยอะมากอีกต่างหาก
หืมมม... พอเห็นเรตผู้อ่านนี่ยิ่งแทบไม่น่าเชื่อ คนอย่างคุณฟองเนี่ยนะจะอ่านอะไรแบบนี้เป็นกับเขา!!
เดี๋ยวนะ ...นามปากกานี่มัน
‘ทำไมหนังสือโซนนี้มันขายดีจังเลยอะ เติมหลายรอบเลยนะเนี่ย ใกล้จะหมดแล้วด้วย’
จำได้ว่าตอนที่ทำงานที่บูธผมเคยถามประโยคนี้กับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่มีหน้าที่คอยช่วยเติมสต๊อกเหมือนกัน
‘มึงนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว เดี๋ยวนี้นักอ่านเขาชอบหนังสือแนวนี้โว้ย ความรักแม่งไม่จำกัดเพศแล้ว นี่มันนิยายวายไง รู้จักปะ’
‘คิคิ ถ้าสงสัยพีทจะลองอ่านบ้างมั้ยล่ะ เล่มนั้นดีมากเลยนะ’
‘ใจเย็นมึง..มันเป็นกับดักนะพีท ดูเรตซะก่อนมึง อายุถึง 20 ยังวะ จัดเต็มเลยนะเว้ยนั่น’
‘เอ่อ...แพรวอ่านแนวนี้ด้วยหรอ’
‘ชอบมาก คุณเขาถ่ายถอดออกมาได้อารมณ์มากเลยนะ ใช้ภาษาดี แถมเขียนดีมากจนบางฉากเราน้ำตาซึมเลย ทั้งหน่วงทั้งเจ็บ แต่บางฉากก็ฮอตจนเล่นเอาเขินหน้าชาไปหมด’
‘ขนาดนั้นเลยหรอ..’
‘เอาไปอ่านบ้างมั้ย เราให้ยืมของเราได้นะเพิ่งซื้อมาเอง’
‘ไม่เป็นไรแค่สงสัยเฉย ๆ แล้วนามปากกา E-n-f-a-n-t อ่านว่าอะไรอะ... เอนฟ้านต์?’
‘ฮ่า ๆ ไอ้นี่ ไม่ใช่โว้ย ชื่อเขาไม่ได้อ่านว่าแบบนั้นซะหน่อย กลับบ้านไปถามอากู๋ซะนะ’
‘อ้าว แล้วต้องอ่านว่าอะไรอะ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษหรอ?’
ตอนนั้นพอหันไปถามแพรวก็ไม่ได้รับคำตอบ มีแค่รอยยิ้มขำ ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นพอกลับไปผมก็ไม่ได้เก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจเท่าไร จนตอนนี้ผมมาเห็นนามปากกาที่ว่านั่นอยู่บนหน้าปกหนังสือที่คุณฟองสะสม กะด้วยสายตาคร่าว ๆ ก็เกือบ ๆ สิบเรื่องได้
ตอนนี้พอลองคิดดูดี ๆ อีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ภาษาอื่นที่คล้าย ๆ กันแล้วอ่านคนละแบบก็...
หรือว่าจะเป็น...ภาษาฝรั่งเศส?
Enfant
....อองฟองท์
คุณฟอง!!!
แกร๊ก
เสียงประตูห้องนอนคุณฟองดังขึ้นเบา ๆ ทำให้ผมที่สะดุ้งแล้วรีบหันกลับไปมองเขาด้วยความตกใจส่วนมือก็รีบดันหนังสือเล่มนั้นเข้าไปเก็บในชั้น
“เอ่อ คุณฟอง ต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมดันซุ่มซ่ามจนทำกระจกแตกขนาดนี้ จะหักเงินค่าแรงไปเลยก็ได้นะครับ”
“....” เขาจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ แล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหา พอเห็นแบบนั้นผมเลยยกมือห้ามเขาไว้ก่อน
“คุณฟองอย่าเพิ่งเดินเข้ามาทางนี้นะครับ เผื่อยังมีเศษกระจกอยู่เดี๋ยวโดนบาดเอา”
“เห็นแล้วสินะ...”
“ครับ?”
“เห็นในตู้แล้วใช่มั้ย?” คุณฟองถามย้ำแบบนิ่ง ๆ ผมพยายามจับอารมณ์จากสีหน้าเขาตอนนี้แต่อธิบายไม่ถูกเพราะดูสับสนปนกันไปหมด
“หมายถึงหนังสือพวกนั้นหรอครับ”
“คิดว่ายังไงล่ะ?”
“เอ่อ... คุณฟองพูดเรื่องอะไรหรอครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”
“พวกนั้นน่ะ...ฉันเขียน” เขายิ้มหยันออกมานิด ๆ คนคนนี้ดูไม่ค่อยเหมือนคุณฟองที่ผมรู้จักเท่าไร หรือเขาเพิ่งจะแสดงด้านนี้ออกมาให้ผมเห็นกันแน่
“คุณ...ฟอง?”
“หึ อยากลองอ่านดูบ้างมั้ยล่ะ ...เคยถามนี่” เขาเดินเข้ามายืนข้าง ๆ ผม รอบตัวมีบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกแปลก ๆ เขาเอื้อมมือผ่านหน้าไปหยิบหนังสือนิยายในชั้นออกมาเล่มนึง
“อ่านดูสิ....ฉันอยู่ในนี้”
“...ได้ครับ”
“...” เขาไม่ได้พูดอะไรต่อแต่สายตานั้นยังคงจ้องมองมาที่ผม
“คุณส่งมาสิครับ” ผมสบตากับเขา พร้อมทั้งยกมือขึ้นเพื่อขอหนังสือเล่มนั้น
“หึ ช่างมัน...” เขาว่าก่อนจะโยนหนังสือเล่มนั้นทิ้งไป
“แต่ผมอยากรู้จักคุณมากขึ้นจริง ๆ นะ” เขากลับยืนหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง หลังจากได้ยินประโยคที่ผมเพิ่งพูดออกไป
“ถ้าฝืนนัก..ก็ไม่ต้อง!!!!”
“คุณฟอง! ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”
“นายมีแฟนมั้ย”
“ก็เคยครับ..”
“ผู้หญิง?”
ผมพยักหน้า
“หรอ... แล้วเคยนอนด้วยมั้ยล่ะ”
!!!!... ผมนิ่งอึ้งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบตามจริง
“เอ่อ... ก็เคยครับ”
“หึ สุดท้าย... ก็เหมือนกันหมด”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไป ไม่ได้ใส่ใจผมที่ยังคงยืนตกใจอยู่กับท่าทีของเขา ทำไมดูต่างจากทุกทีได้ขนาดนี้
“ไม่ต้องมาที่นี่แล้ว” เขาพูดขึ้นเสียงดังโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับมามอง เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้
“ทำไมล่ะครับ! ใจเย็นแล้วมาคุยกันดีๆ ก่อนสิครับ”
“ส่งคีย์การ์ดมา...”
“ไม่ครับ ถ้าคุณฟองยังไม่ยอมมาคุยกันก่อน”
“...วางมันไว้บนโต๊ะ” คุณฟองบอกนิ่ง ๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ระหว่างที่เขากำลังจะหันกลับเข้าห้องผมรีบคว้าข้อมือเล็กของเขาไว้ก่อน
“อย่างน้อยก็บอกผมหน่อยไม่ได้หรอว่าผมทำผิดที่ตรงไหน!!!”
เขามองที่มือตัวเองที่ถูกผมกำไว้แน่น แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดช้า ๆ แต่เมื่อฟังแล้วเหมือนมันบาดลึกลงไปในหัวใจ
“หยุด! อย่าเข้ามา”
“บอกผมสิ... ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ด้วย”
“อย่าล้ำเส้น”
...
ปึง!
รู้สึกตัวอีกทีเขาก็เดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับปิดประตูใส่ผมเสียงดัง
ดูเหมือนว่าเรื่องมันจะยิ่งแย่ไปยิ่งกว่าเดิม...
หลังจากที่จัดการเก็บกวาดเศษกระจกและจัดชั้นหนังสือนั้นจนแน่ใจว่าไม่มีเศษกระจกชิ้นไหนหลงเหลืออยู่ ผมก็เก็บของแล้วเดินออกไปจากห้องของคุณฟองทันที ตั้งใจว่าจะลงไปซื้อของมาสำหรับเตรียมทำอาหารเย็น...
เมื่อกลับเข้ามาในห้องของคุณฟองอีกครั้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม.... และประตูห้องนอนบานนั้นก็ยังคงปิดสนิทเช่นเดิม ไม่มีวี่แววของเจ้าของห้อง
ผมเดินเข้าครัวแล้วเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำอาหารมื้อเย็นให้คุณฟองตามปกติ...ตั้งใจว่าจะพยายามสุดฝีมือ
เพราะมันอาจจะเป็นมื้อสุดท้ายแล้วก็ได้ที่เขาจะยอมให้ผมเข้ามาทำอะไรแบบนี้ในพื้นที่ส่วนตัว
ผมรู้ดีว่าตอนนี้เขาคงอยากให้ผมออกไปจากห้องนี้โดยเร็วที่สุด แต่ผมก็ไม่สามารถทิ้งเขาไว้แบบนี้ได้เช่นกัน
ถ้าผมกลับไปแล้ว...คุณฟองจะได้กินอะไรบ้างไหม
ถ้าผมกลับไปแล้ว...คุณฟองจะเป็นยังไงบ้าง
ผมไม่เข้าใจคำว่า “ล้ำเส้น” ที่เขาบอก... ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับโลกของเขา
บางทีคงเป็นผมเอง....ที่ดันเผลอก้าวเข้าไปในโลกของคุณฟองเขาโดยที่เขาไม่เต็มใจ
คุณฟองครับ..
แต่ผมอยากทำความรู้จักคุณให้มากขึ้นจริง ๆ นะ
ผมอยากเห็นตัวตนของคุณ...อยากเห็นทุกอย่างที่เป็นคุณและอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ
และผมก็....อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทุก ๆ วันข้างในโลกของคุณ
เหมือนเดิม...
ก๊อก ๆ
“อาหารเย็นเสร็จแล้วครับ”
ผมเคาะประตูห้องนอนเรียกคุณฟองที่ขังตัวเองอยู่ข้างในนั้น หวังให้เขายอมเดินออกมานั่งคุยกันดี ๆ ไม่ใช่ปล่อยให้มันกลายเป็นเหมือนแบบนี้
ก๊อก ๆ
“คุณฟองครับ มากินข้าวก่อนนะ”
“ออกไป!” เขาตะโกนออกมา... เหมือนคำคำนี้ยิ่งกรีดลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม
“...ถ้าคุณยอมกินข้าวก่อน ผมถึงจะไป” ผมตัดสินใจก่อนจะบอกเขาไปแบบนั้น...
“วางไว้หน้าประตู...”
“ถ้าคุณว่าแบบนั้น ...ก็ได้ครับ” ผมพูดเสียงเบา ก่อนจะเดินไปถือถาดใส่อาหารเย็นของวันนี้ที่เป็นเมนูที่ผมเคยสัญญาเอาไว้ว่ากลับมาทำให้เขา....ผัดไทย
ที่เลือกเมนูนี้...ก็เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมามีโอกาสทำกับข้าวให้เขากินอีกไหม
อย่างน้อย ผมก็อยากรักษาสัญญา
“วางไว้หน้าประตูแล้วนะครับ หวังว่าคุณจะยอมออกมาทานนะ”
“....”
“...ผมไปแล้วนะครับ”
“เดี๋ยว!!” เสียงคุณฟองดังลอดออกมาทำให้ผมที่กำลังจะหันหลังเดินออกไปหยุดชะงักทันที
“ครับคุณฟอง”
“คีย์การ์ด”
“....”
“....”
“ได้ครับ...”
ผมจะไม่พูดคำว่า ลาก่อน ...เพราะ เราจะต้องได้พบกันอีก
ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมหวังว่าวันพรุ่งนี้...คุณคงจะอารมณ์ดีขึ้นนะครับ คุณฟอง