พิมพ์หน้านี้ - รักเป็นโจ๊ก : Chapter 13 (14/07/2019)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: everlastingly ที่ 06-04-2019 21:12:45

หัวข้อ: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 13 (14/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 06-04-2019 21:12:45
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Introduction (06/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 06-04-2019 21:20:23
เรื่องราวเด็กหนุ่มคนหนึ่ง “เหมา” ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสดใส จินตนาการและความร่าเริง ที่ทำให้ “เหมา” ยังสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้ในแต่ละวัน

และแวดล้อมไปด้วยความรักจากครอบครัว ญาติ พี่น้องและมิตรภาพจากผองเพื่อนที่ทำให้ชีวิตในแต่ละวันมีเรื่องราวสีสันมากมาย

แต่ถ้าวันหนึ่ง ชีวิตที่มีความสุขกลับถูกทำให้สับสนและวุ่ยวาย
โดยลูกของเจ้านายบริษัทที่ป๊าทำงาน อย่าง “ภูมิ” เด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมัธยมจากเมืองนอก กลับมาเรียนต่อที่ไทย

“เหมา” จะรับมือกับ “ภูมิ” ได้อย่างไร



นิยายวายเรื่องนี้ เป็นผลงานชิ้นแรกของคนเขียนที่ได้ลองแต่ง และลองนำผลงานมาลงในเล้าให้ทุกๆ คนได้ลองอ่านกัน
แต่สิงสถิตย์อยู่ในเล้าแห่งนี้มานานหลายปีแล้ว และเล้าแห่งนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการติดนิยายวายอย่างงอมแงมของคนเขียนด้วย
คนเขียนจึงอยากให้คนอ่านทุกๆ คน ช่วยแนะนำ ติชม หรือให้กำลังใจกันด้วยนะ

Everlastingly
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 1 (06/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 06-04-2019 21:44:55
Chapter 1


บรรยากาศของเช้าวันใหม่ที่ผู้คนตื่นจากการหลับใหล ภายในบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในซอยที่บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ที่ปลูกไว้บริเวณหน้าบ้านแต่ละหลัง คอยให้ความร่มรื่นและความสวยงาม

แม้พระอาทิตย์จะยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่กิจกรรมต่างๆ ของเช้าวันใหม่ในบ้านเล็กๆ หลังนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นมาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้ว

เพราะกิจวัตรประจำวันของทุกเช้า คือการตื่นขึ้นมาเตรียมทำโจ๊กขายในช่วงเช้า เพราะรายได้ส่วนหนึ่งของบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนหลังนี้มาจาก

“การขายโจ๊กในยามเช้า และการขายหมูสะเต๊ะในยามเย็น”

บ้านหลังนี้มีประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน คือ คุณพ่อ คุณแม่ ลูกสาวซึ่งเป็นพี่ และลูกชายซึ่งเป็นน้อง ต่างอบอวลไปด้วยความอบอุ่น เสียงหัวเราะ และความสุขในแต่ละวัน
ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวยหรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา แต่ก็อยู่กันอย่างมีความสุขเท่าที่ตนเองมี

Part หลิน :
ณ เวลา 04.00 น.

“หลิน!”

“นี้เจ้าเหมายังไม่ตื่นอีกเหรอ เจ้าน้องชายเราจะไปช่วยแม่เปิดร้านหรือเปล่าเนี้ยะ”

เป็นเสียงของหญิงสาววัย 40 เกือบจะ 50 ที่เอ่ยถามลูกสาวถึงลูกชายที่ยังไม่ตื่นนอน

“ยังเลยอ่ะแม่ หลินขี้เกียจไปเรียกไอ้เหมาแล้ว ตื่นสายทุกวัน เดี๋ยวก็จะเปิดเทอมมหาลัยแล้ว”

“ถ้ายังนอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้นะ โดนรีไทร์ เพราะเข้าเรียนไม่ทันตั้งแต่ปี 1 แน่ๆ”

น้ำเสียงของ “หลิน” ที่บ่นด้วยความห่วงใยนิดหนึ่ง จากการตื่นสายของน้องชายที่กำลังจะขึ้นชั้นปี 1

ส่วนตัวหลินเองก็กำลังจะขึ้นปี 3 ทั้งคู่เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เรียนต่างคณะ โดยหลินเรียนคณะสัตวแพทยศาสตร์ เพราะชอบน้องหมามากๆ


ส่วนไอ้น้องชายจอมขี้เกียจ เห็นแบบนี้ก็สมองเก่งใช่ย่อยเลย เพิ่งจะสอบติดคณะทันตแพทยศาสตร์

และเมื่อข่าวที่ไอ้เหมาสอบติดคณะทันตะได้แพร่กระจายออกไปในละแวกบ้านข้างเคียง

จากคำบอกเล่าและความเห่อลูกจากป๊าและแม่ (-_-“) ตั้งแต่หน้าปากซอยยันท้ายซอย ก็ทำให้ป๊าและแม่เนี่ยะ

“ยิ้มปากกว้าง ตาเป็นประกายตลอดเวลา”

เมื่อมีชาวบ้านเดินมาซื้อโจ๊กหรือหมูสะเต๊ะ หรือแม้แค่เดินผ่านร้านหรือหน้าบ้าน ต่างพูดชมการเลี้ยงลูกยังไงให้เก่ง สอบติดคณะดีๆ ทั้งสองคนเลย

แต่พอนึกถึงเหตุการณ์พวกนี้ขึ้นมา หลินยังหมั่นไส้ไอ้เหมา (ที่ยังไม่ตื่นจากที่นอน) ไม่หายเลย

เพราะตั้งแต่ผลสอบประกาศออกมา ไอ้น้องชายตัวดีก็แอ่นอกเฉิดฉายทั่วซอยเลย

แต่จริงๆ แล้วตัวหลินคิดว่าไอ้เหมามันใช้ดวงและบาปบุญทำให้สอบติดได้คะแนนสูงมากกว่าการใช้ความรู้ของมันเองสอบเข้ามา
ก็เพราะตอนเรียน ม.ปลาย มันก็ไม่ได้เก่งอะไรเล๊ยยย

แต่ก็ไม่ได้โง่อะไรขนาดนั้น ผลการเรียนก็แค่กลางๆ พอๆ กันกับเพื่อนในแก๊งค์มันแหล่ะ

แต่เผอิญมันฟลุ๊คสอบได้คะแนนเยอะ คะแนนนี้โดดออกจากเพื่อนๆ ไอ้เหมาก็เลยลองยื่นคะแนนสอบเข้าคณะทันตะดู
ปรากฏว่า

“ติดตัวจริง!”

ที่บ้านก็ปลาบปลื้ม ปรบมือ! (-_-“)
หึ่ยยยยยยยย! พูดมาแล้วก็ของขึ้น หมั่นไส้ งานบ้านกว่าจะลุกมาช่วยก็ช่วงสายๆ อู้งานมากกกกกกกก ก.ไก่ ล้านตัว

แถมบางวันก็ลุกมาตอนที่จะขนหม้อโจ๊กไปร้านที่หน้าปากซอยแล้ว เป็นไงล่ะ หึๆ ตื่นเช้ามากจริงๆ

แต่บางวันมันก็เถียงกลับว่า

“ถือเป็นรางวัลให้เหมานะ ที่สอบติดคณะทันตะแล้ว ขอตื่นสายนิดหนึ่ง ไม่กี่วันเองหรอก”

แต่นี้มันตื่นสายมาอาทิตย์กว่าๆ แล้ว รางวัลบ้าบออะไรของมัน โมโห!

แล้วยิ่งกว่านั้นป๊ากับแม่ก็ดูจะเข้าอกเข้าใจมันมากด้วยว่า

“น้องคงอ่านหนังสือหนัก และนอนดึกช่วงก่อนสอบ พอสอบติดแล้วน้องคงเหนื่อยๆ เพลียๆ นะ”

นังหลินคนนี้อยากกรี๊ดให้บ้านแตก เพราะเห็นมันแตะหนังสือน้อยกว่าคนอื่นๆ ที่เขาจะไปสอบกันมากโข แล้วไอ้เหมามันแทบจะใช้ชีวิตแบบทุกวันปกติด้วยซ้ำไป

แต่! แต่! แต่!

เราจะให้ไอ้เหมามาเอาเปรียบเราแบบนี้อีกไม่ได้แล้วในวันนี้

ต้องรีบขึ้นไปปลุกให้มันตื่น ถ้าไม่ได้ด้วยเสียงก็ต้องใช้กำลังกันสักหน่อยแล้วแหล่ะ หึๆ


Part เหมา :

“แง๊มๆๆ...”

เสียงเคี้ยวน้ำลายของชายหนุ่มร่างผอมที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนุ่มๆ อย่างมีความสุขในช่วงเช้ามืดของอีกหนึ่งวัน

“แอ๊ดดด (เสียงประตู) ไอ้เหมาโว้ยยยยยยยยยยยย ตื่นได้แล้ว”

เสียงดังกัมปนาทจากพี่สาวสุดสวยของเหมาได้ตะโกนปลุกเขาอย่างไม่เกรงกลัวว่าคนข้างบ้านจะตื่นขึ้นมา

พร้อมกับย่างก้าวไปยังเตียง พร้อมดึงผ้าห่มที่ห่อร่างของเหมาออก และใช้เท้าถีบน้องชายตัวเองให้ตื่นนอน

“โอ๊ยยยยย เจ๊! ถีบเหมาทำไม? คนกำลังหลับสบาย”

เสียงบ่นของเหมาพร้อมกับใช้ฝ่ามือลูบบริเวณต้นขาที่โดนเท้าของพี่สาวถีบอย่างเบาๆ ด้วยสีหน้าที่งวยเงีย ตาก็ยังลืมไม่เต็มที่

“แกยังมีหน้ามาถามฉัน นี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังไม่ลุกมาช่วยกันทำโจ๊กไปขายห่ะ ไอ้เหมา!”

“โห้ยยย เจ๊ เมื่อคืนเหมานอนดึกไปหน่อยก็แค่เล่นเกมดูหนังอ่ะ ทดแทนช่วงเวลาที่หายไปของเหมา ที่ทุ่มเทให้กับการสอบ เจ๊ก็เห็นว่าช่วงนั้นเหมาต้องเสียสละเวลาอันมีค่าของเหมาไปมากแค่ไหน”

“แกอย่ามาตอแหล ฉันไม่ใช่แม่นะที่จะมาสงสารเอ็นดูแก เพราะฉันไม่ค่อยเห็นแกอ่านหนังสือหนักหนาอะไรเลย ที่แกสอบติดเพราะดวงทั้งนั้นแหล่ะไอ้เหมา”

“โห้ยยย เจ๊ดูถูกผมอ่ะ”

“ไม่ต้องมาพูดมากอะไรแล้ว ลุกไปเตรียมตัว แล้วออกไปร้านช่วยฉันกับแม่เดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ฉันจะได้ตบแก”

เป็นยังไงล่ะครับ เจ๊หลินสุดโหดและสุดสวยของผม

เฮ้อออออ น่าสงสารตัวเองนะครับที่โดนพี่สาวใช้กำลังทำร้ายร่างกาย

ก็แค่เมื่อคืนผมนอนดึกไปหน่อยเองเลยทำให้ตื่นสาย ใช่ว่าผมจะอู้งานทุกวันซะหน่อย

พอผมล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย ก็เดินลงมาชั้นล่างของบ้านก็เจอป๊าที่กำลังนั่งกินกาแฟและดูโทรทัศน์ไปด้วย

ป๊าของผมทำงานอยู่บริษัทเอกชน H&Q Company ครับ ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่มากๆ ตึกที่ทำงานตั้งตะหง่านอยู่กลางเมือง
ป๊าจบวิศวะคอมพิวเตอร์สถาบันเดียวกันกับที่ผมและเจ๊กำลังเรียนนี้แหล่ะครับ

โดยตอนนี้ป๊าทำงานเป็นรองหัวหน้าฝ่ายควบคุมคุณภาพสินค้า เงินเดือนก็เกือบๆ ครึ่งแสนต่อเดือนเลย


ที่นี้ ทุกคนก็คงสงสัยว่า เงินเดือนของป๊าก็ได้พอสมควร แล้วทำไมแม่ของผมถึงยังต้องมาขายโจ๊กตอนเช้า แล้วตอนเย็นยังจะขายหมูสะเต๊ะเพิ่มอีก

เหตุผลง่ายๆ เลยครับ คือ

“แม่ไม่อยากอยู่นิ่งเฉยๆ กลัวเหงา เลยหากิจการอะไรทำไม่ให้เบื่อหรือเหงา”

แต่ในทางตรงกันข้าม ผมกลับมองว่า การขายอาหารของแม่หนักพอสมควรเลย

เพราะต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมาเตรียมของ จัดร้าน

พอขายโจ๊กและเก็บของตอนเช้าเสร็จ ช่วงสายๆ ก็จะปิดร้าน

เพื่อไปตลาดซื้อวัตถุดิบมาเตรียมทำอาหารขายในวันถัดไป ส่วนช่วงบ่ายก็เตรียมขายหมูสะเต๊ะด้วย กว่าจะปิดร้านในแต่ละวันก็ดึกๆ และยังต้องเก็บร้านอีกด้วย

แต่ตอนขายจริงๆ ก็มีผู้ช่วยนะครับ คือ “พี่ดาว” และ “พี่ปิ่น”

 สองพี่สาวแสนสวย อายุเพิ่งจะ 30 ต้นๆ มาจากเขาจากดอยทางภาคเหนือของไทยโดยแท้เลยครับ (แต่พี่เขามีสัญชาติไทยนะ) พี่เขาทั้งสองคนบอกว่ามาจากหมู่บ้านเดียวกัน แล้วก็ตัดสินใจด้วยกันว่า จะเข้ามาหางานทำในเมืองด้วยกัน

ซึ่งจริงๆ แล้วพี่ทั้งสองคนทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด ประจำคอนโดแถวๆ นี้แหล่ะครับ

แต่ช่วงเย็นๆ หลังเลิกงานประจำก็จะมารับจ๊อบพิเศษเป็นผู้ช่วยขายหมูสะเต๊ะที่ร้านของแม่ครับ โดยมีผมกับเจ๊เป็นเด็กเสิร์ฟ เก็บโต๊ะหรือคิดเงินบ้าง

อ๋อ! ผมลืมเล่าให้ฟังว่า โจ๊กและหมูสะเต๊ะที่แม่ผมขาย จะขายที่ร้านหน้าปากซอยนะครับ

ซึ่งเป็นตึกแถวหลายๆ คูหาติดๆ กัน แต่มีแค่ 2 ชั้นนะครับ

ชั้นล่างเป็นส่วนของร้าน โซนเตรียมอาหารขาย และโซนที่นั่งของลูกค้า

ส่วนชั้นสองก็จะเป็นที่เก็บของและห้องนอน เพราะบางทีผมและเจ๊ก็ไปนอนที่นั่นบ้าง ถ้าเก็บร้านตอนกลางคืนแล้วขี้เกียจเดินเข้าซอยกลับไปนอนบ้าน แต่ก็นานๆ ที

พร่ำมานานแล้ว ผมต้องขอตัวไปช่วยเจ๊และแม่เตรียมของขายและเปิดร้านก่อนนะครับ

เพราะอุปกรณ์และวัตถุดิบทุกอย่างอยู่ที่ร้านหมดเลย

ซึ่งแม่ก็จะตื่นแต่เช้าไปทำโจ๊กขายที่นั่นเลย ผมต้องรีบวิ่งไปร้านที่หน้าปากซอยแล้ว ไม่งั้นคงโดนเจ๊ตบจริงๆ แน่
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 1 (06/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-04-2019 22:49:54
 :pig2:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 1 (06/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-04-2019 08:12:58
 :L2: :pig4:
น่าสนใจ
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 2 (07/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 07-04-2019 10:51:03
Chapter 2


เช้าของวันนี้อาจจะแปลกแยกไปจากทุกๆ วันหน่อย เพราะมันคือ

“วันอาทิตย์”


เป็นวันที่แม่ไม่ได้เปิดร้านขายอาหารทั้งเช้าและเย็นเลย 555 ซึ่งทำให้ไอ้เหมาคนนี้ได้พักผ่อนเต็มที่

แต่ก็มีเหตุที่ทำให้ไม่ได้นอนจนตื่นสายเช่นเคย เพราะว่า

วันนี้ทางมหาวิทยาลัยเขามีกิจกรรมต้อนรับเด็กใหม่อย่างพวกผมก่อนเปิดเทอม นั้นคือ

“กิจกรรม First Date หรือวันแรกพบ” นั้นเอง

ซึ่งผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดหรอกนะครับ ว่ากิจกรรมมันมีอะไรบ้าง รู้แค่เขาแบ่งให้อยู่ตามแต่ละบ้าน

และผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้อยู่บ้านไหน และจะมีเพื่อนหรือคนรู้จักไหม จะมีใครอยากเป็นเพื่อนใหม่กับผมหรือเปล่า แฮ่ๆ

ส่วนทำไมไม่ถามเจ๊หลิน ง่ายๆ เลย คือ “ขี้เกียจถามครับ 555”

ถามอะไรนิดอะไรหน่อยก็จ้องแต่คอยจะด่าไอ้เหมาตาดำๆ อย่างเดียวเลย

พอผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ประมาณหกโมงครึ่งแล้ว

เลยเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ก็เจอป๊ากับแม่กำลังนั่งทานข้าวเช้าอยู่

ส่วนเจ๊หลิน ผมคิดว่าคงยังไม่ตื่นแน่ๆ

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ผมก็ไหว้ลาป๊ากับแม่ เพื่อออกเดินทางไปยังมหาลัยใจกลางเมือง

ด้วยรถประจำทางที่ต้องเดินไปรอที่ป้ายหน้าปากซอย

เช้าวันอาทิตย์บนรถประจำทาง ผู้โดยสารมีค่อยข้างน้อย ทำให้ไอ้เหมาได้นั่ง

ซึ่งโอกาสแบบนี้จะเจอได้เสมอ ถ้าผมนั่งรถโดยสารกลับบ้านค่ำๆ หรือเช้าวันหยุดแบบนี้ แต่ต้องแลกกับการรอรถที่นานหน่อย

นั่งกินลมชมวิวไปสักพัก รถประจำทางก็แล่นมาหยุดที่ป้ายรถหน้ามหาวิทยาลัยของผมแล้ว

“โอโห้!”

 นั่นเป็นเสียงอุทานของผมเอง

เพราะว่า พอมองเข้าไปในเขตมหาวิทยาลัยก็เจอผู้คนมากมาย ไม่รู้ว่าใครเป็นรุ่นพี่หรือใครเป็นเด็กปี 1 อย่างผมบ้าง

เพราะในกิจกรรม First Date ทุกๆ คนล้วนแต่ใส่เสื้อสีเดียวกัน

พอมองๆ ไป ก็ทำให้บรรยากาศภาพรวมของงานดูมุ้งมิ้งมากๆ เลย 555

หลังจากที่ผมลงทะเบียนและได้รับป้ายชื่อเสร็จ แล้วก็ถูกเกณฑ์ให้รวมกลุ่มตามบ้านที่ตัวเองสังกัด ทำให้ตอนนี้ผมกำลังนั่งต่อแถวอยู่ในเต็นท์ขนาดใหญ่ ที่มีป้ายด้านหน้าเขียนว่า

“บ้านฟรี”

แต่จะฟรีอะไรยังไง ผมก็ยังสงสัยกับชื่อบ้านอยู่เหมือนกันครับ

ระหว่างรอให้เด็กปี 1 ที่กำลังทยอยลงทะเบียน และเริ่มแยกย้ายเข้าเต็นท์ตามบ้าน รุ่นพี่ที่ดูแลบ้านฟรีของผมก็กำลังชวนน้องๆ พูดคุยปราศัยอยู่ด้านหน้าครับ

ทั้งเล่ากิจกรรมของวันนี้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ มากมายในรั้วมหาวิทยาลัย จากการฟังการแนะนำตัวของพี่ๆ สตาฟแล้ว ทำให้พบว่า

“พวกพี่ๆ อยู่คนละคณะกัน”

ทำให้ผมเองก็แปลกใจในการทำงานร่วมกันของพี่เขา ซึ่งคงมีจิตอาสามาทำกิจกรรมจริงๆ

และอีกอย่างคือพวกเราปี 1 ไม่มีการแบ่งแยกคณะในการเข้าบ้านด้วย

ทำให้ตอนนี้ “บ้านฟรี” เต็มไปด้วยเพื่อนใหม่หลากหลายคณะเลย

จึงเป็นสาเหตุทำให้สายตาซุกซนของผม เริ่มทำการสาดส่องไปรอบๆ ว่ามีใครหน้าตาดี เอ้ย! คุ้นหน้าคุ้นตาผมบ้างหรือเปล่า แต่ก็...ไม่มีคนที่ผมรู้จักเลย 555

ผมจึงก้มหน้าก้มตาส่งข้อความทางไลน์หา “ไอ้ไทม์” ครับ

มันเป็นเพื่อนแก๊งค์เดียวกันกับผมอยู่ห้องเดียวกันตอน ม.ปลาย

แล้วก็บังเอิญมีผมกับมันในแก๊งค์ที่สอบติดได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยกัน

แต่ไอ้ไทม์มันเรียนคณะบัญชีฯ

ที่บ้านวางแผนให้มันได้เรียนสายนี้ แล้วไปต่อ ป.โท กับ ป.เอก ที่เมืองนอก

แล้วกลับมาบริหารงานบริษัทที่บ้านมันต่อ ชีวิตมันดูรุ่งโรจน์ดีครับ 555


—ไอ้ไทม์ มึงมาที่มอหรือยัง
—มึงอยู่บ้านอะไรว่ะ
—กูอยู่บ้านฟรีนะ ชื่อโคตรแปลก เลย 555


ประมาณสัก 1 นาทีต่อมา ข้อความที่ผมกดส่งไปก็ขึ้นว่า “อ่านแล้ว”


เห้ย! กูก็อยู่บ้านฟรีว่ะ—
กูเพิ่งลงทะเบียนเสร็จ เจอกันๆ—


หลังจากอ่านข้อความจบชีวิตของไอ้เหมาก็รู้สึกจะร่าเริงขึ้นมาทันที

เพราะอย่างน้อยก็มีเพื่อนให้ได้คุยระหว่างกิจกรรมทั้งวัน น้ำลายไอ้เหมาไม่บูดแล้ว 555

สักพักผมก็เห็นไอ้ไทม์ ผู้ชายผิวไม่ขาวไม่ดำมาก แต่มันสูง 180 กว่าๆ เดินทำหน้างงๆ ท่าทางตลกๆ เหมือนกำลังมองหาผมอยู่

ผมเลยยกมือขึ้นโบกทักทาย เพื่อให้มันเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงไหน

แต่ทันใดนั้น!!!


“อ้าาาา...เรามีรุ่นน้องปี 1 ผู้้อาสาของเราแล้ว ขอเชิญน้องที่ยกมือออกมาแนะนำตัวเลยค่ะ”


เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ! พี่เขากำลังพูดถึงอะไร ยังไง ผมงง...

แต่คำตอบทุกอย่างก็แจ่มชัด

เมื่อผมมองไปยังรอบๆ ตัว ก็พบกับสายตานับร้อยของทั้งเด็กปี 1 และรุ่นพี่จ้องมองมาที่ผม

คือ...ยังไงล่ะ ซวยแล้ว!

ระหว่างที่ทุกคนรอผมลุกขึ้นไปด้านหน้า ก็เป็นจังหวะที่ไอ้ไทม์กำลังจะนั่งลงข้างๆ ตัวผมพอดี

โดยระหว่างที่มันกำลังจะหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ ผม มันก็หัวเราะขึ้นมา แล้วแซวผมว่า

“แหม่ มึงก็...อยากเด่นอะไรขนาดนั้น”

ทำไงล่ะครับที่นี้ นอกจากเดินออกไปด้านหน้าท่ามกลางเพื่อนๆ ปี 1 ร่วมร้อยอย่างงงๆ

พร้อมทั้งเสียงกลองที่ตีขึ้นด้วยจังหวะสนุกสนานจากรุ่นพี่


“แนะนำตัวเลยจ้า คุณน้อง ชื่ออะไร จบจากโรงเรียนอะไร เป็นน้องใหม่คณะอะไรค่ะ”

“สวัสดีครับ…”


พอผมพูดจบก็หยุดหายใจเข้าหนึ่งเฮือก แล้วแนะนำตัวต่อ


“ผมชื่อ เหมา ครับ จบ ม.ปลาย จากโรงเรียน xxx”

“เป็นนักศึกษาใหม่ ปี 1 คณะทันตแพทยศาตร์ครับ”

“กรี๊ดดดดดด อยากฟันหมอ เอ้ย! อยากให้หมอฟัน เอ้ย! อยากให้หมอมาทำฟันให้”


นั่นคือปฏิกิริยาของพี่สตาฟประจำบ้านที่เป็นพิธีกรครับ -_- ที่มาพร้อมกับเสียงรัวของกลอง


“พี่รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยค่ะ ที่ได้สมาชิกบ้านฟรีของเรา เป็นเด็กทันตแพทย์”

“จัดว่าเป็น rare item เลยก็ว่าได้ เพราะแต่ละรุ่นมีประชากรแค่หยิบมือเอง”


พี่แกก็พูดเสริมต่อด้วยเสียงจริงจังที่ชวนให้ตลกซะมากกว่า


“และบ้านฟรีของเรานั่น ก็มีรุ่นพี่คณะของคุณน้องเป็นสตาฟประจำบ้านเราด้วยนะคะ”

“นู้นค่า ทางนู้นค่ะน้องๆ ด้านหลังของเรา หันไปสวัสดีทักทายพี่ๆ เขาหน่อยซิค่ะ”


แล้วทันใดนั้น สมาชิกบ้านฟรีร่วมร้อยชีวิตรวมทั้งผม ก็หันหน้าไปด้านหลังอย่างพร้อมเพียง

พร้อมกับยกมือไหว้ทักทายพี่ๆ เขาทั้งห้าคน ที่รับไหว้ด้วยสีหน้าเหวอๆ 555

เหตุก็คง เพราะได้รับการไหว้จากน้องๆ ร่วมร้อยชีวิตอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

จากนั้นผมก็ได้รับการปล่อยตัวให้กลับมานั่งที่เดิมข้างๆ ไอ้ไทม์นั่นแหล่ะครับ

มันก็แซวผมใหญ่เลยครับ ผมเลยได้แต่ด่ามันกลับ

จากนั้นกิจกรรมทั้งวันก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่...


…เต้น เต้น เต้น

เล่นเกมส์ เล่นเกมส์ เล่นเกมส์

เดิน เดิน เดิน

แล้วก็เต้นๆๆๆๆๆ… 555


แต่ก็สนุกทั้งวัน ได้รู้จักสถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัยอีกเยอะเลยครับ

ข้าวเที่ยงที่มหาลัยเลี้ยงก็อร่อยดี 555
 
แต่พอตกเย็นนี้ ไอ้เหมาหมดแรงเลยครับ ระหว่างกิจกรรมก็ไดทำความรู้จักเพื่อนใหม่ต่างคณะที่อยู่บ้านฟรีเหมือนกันบ้างประปราย

จนในที่สุดเมื่อกิจกรรมสิ้นสุดลง เด็กใหม่ปี 1 ก็แยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอครับ

รวมทั้งผมและไอ้ไทม์ที่แยกย้ายกันกลับบ้านที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย

อีก 1 สัปดาห์ครับ กว่าที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเทอม

ซึ่งตัวผมเองจะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาอย่างเต็มรูปแบบทั้งการเรียนและการใช้ชีวิตครั้งแรก

สู้โว้ยยยยย ไอ้เหมา
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 2 (07/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-04-2019 12:26:05
 :L2: :pig4:

ติดตามนะ
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 3 (11/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 11-04-2019 16:05:59
Chapter 3


“เหมา เอาถ้วยนี้ไปเสิร์ฟโต๊ะ 5 หน่อย”


เสียงคำสั่งจากเจ๊หลินในช่วงเช้าของวันนี้ ช่วง 6 โมงเช้าเกือบจะครึ่งแล้ว ลูกค้าจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับวันธรรมดาที่หลายๆ คนตื่นนอนแต่เช้า

และหาอาหารเช้าทานก่อนจะไปทำงาน บรรยากาศภายในร้านก็มีทั้ง อากง อาม่า พี่วินมอไซต์ พนักงานบริษัท หรือนักเรียนนักศึกษาก็มีที่มาฝากท้องยามเช้าที่ร้านของแม่ผมครับ

ตอนนี้ที่ร้านก็เลยจะยุ่งๆ หน่อย ทั้งแม่ เจ๊หลิน พี่ดาว พี่ปิ่น และผมหนุ่มน้อยที่แสนขยันอีกคน

ต้องผลัดกันเสิร์ฟและคิดเงินมือเป็นระวิง ส่วนแม่ก็จะยืนหนึ่งในการตักและปรุงเครื่องโจ๊กก่อนจะถูกนำไปเสิร์ฟ

แต่อีกสักพักประมาณ 8 โมงเช้า สถานการณ์ก็จะเริ่มดีครับ

เพราะลูกค้าก็จะเริ่มน้อยลงพร้อมกับโจ๊กที่เกือบจะหมดหม้อแล้วเช่นกัน ส่วนป๊าก็เพิ่งจะขับรถยนต์ประจำบ้านของเราออกไปทำงานเมื่อสักครู่นี้เอง

สำหรับวันนี้ หลังจากช่วยแม่เก็บร้านเสร็จ ผมก็มีแผนจะไปเดินเล่นที่ห้างฯ หน่อย กะว่าจะไปตากแอร์เย็นๆ เอ้ย!

ซื้อพวกอุปกรณ์เครื่องเขียนใหม่ต้อนรับการเปิดเทอมของชีวิตมหาลัย อีก 7 วันเท่านั้นเองครับ


พอสักประมาณ 08.30 น.

ลูกค้าก็เริ่มน้อยลงพวกผมก็เริ่มเคลียร์โต๊ะ เก้าอี้ ถ้วยหม้อจานต่างๆ บางส่วนไปหลังร้านแล้วครับ

หน้าที่ของการล้างก็จะเป็นหน้าที่ของพี่ดาวและพี่ปิ่นครับ

แต่สักพักสายๆ ช่วง 11 โมงกว่าๆ พี่ทั้งสองคนก็ต้องรีบปลีกตัวจากงานพาร์ทไทม์ ไปทำงานประจำครับล่วงเลยไปถึงช่วงกลางคืน
 
แต่บางวันพี่ดาวกับพี่ปิ่นก็จะสลับกันเข้างานคนละกะครับ งานพี่เขามีทั้งกะเช้าและกะบ่าย คือ 06.00-12.00 และ 13.00-19.00 น.

 ทำให้บางวันอาจจะมีผู้ช่วยของแม่แค่คนเดียว

แต่อย่างวันนี้จะหนักหน่อยที่ช่วงเย็น เพราะพี่สาวทั้งสองคนต้องเข้าเวรบ่าย

ฉะนั้นเย็นนี้ผมจึงต้องรีบกลับมาช่วยแม่เตรียมร้านและขายหมูสะเต๊ะครับ

จริงๆ แล้วงานช่วงเย็นผมว่าหนักกว่าช่วงเช้านะ เพราะโจ๊กเราแค่ต้มเสร็จและอุ่นให้ร้อนเตรียมไว้ตลอด

แต่ไอ้หมูสะเต๊ะนี้ซิ !!

ต้องใส่ทั้งถุงมือและแมสปิดจมูกย่างที่หน้าเตาร้อนๆ 555 พร้อมขาย

ทำให้หน้าหล่อๆ ของไอ้เหมาเสียโฉมหมดแล้ว จากที่เคยหล่อๆ หน้าใสๆ ตอนนี้ก็โทรมคลำหมดแล้ว

แต่ด้วยหน้าที่ลูกกตัญญูก็ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินใช่ไหมครับ :)


ตอนนี้ก็ 9 โมงเช้าแล้ว

ผมกับเจ๊หลินเดินกลับจากร้านเข้าซอยมาถึงบ้านพอดี ส่วนแม่ก็ขอเคลียร์ร้านกับพี่ปิ่น พี่ดาวก่อน

ส่วนผมเองกลับมาถึงบ้านก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวหล่อๆ พร้อมจะออกไปเดินห้างแล้วครับ

ส่วนเจ๊หลินเหมือนเจ๊แกไม่มีแผนอะไร คงอยู่บ้านช่วยม๊าเตรียมขายหมูสะเต๊ะตอนเย็น ก่อนออกจากบ้านผมก็ร่ำลาเจ๊นิดหนึ่ง

แบบบอกกล่าวไว้ว่าจะไปไหน เจ๊และแม่จะได้ไม่เป็นห่วงผมมากมาย

ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางสายประจำครับ สายนี้จะขับผ่านโรงเรียนมัธยมที่ผมเพิ่งจบมา

แต่ถ้านั่งต่ออีกสัก 2-3 ป้ายก็จะถึงห้างฯ ที่เป็นเป้าหมายของการช็อปปิ้งในวันนี้

และเมื่อรถประจำทางแล่นมาห้างฯ ผมก็ลงจากรถ และมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในแต่ร้านที่ผมจะไปซื้ออยู่ชั้นใต้ดินครับ

ผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ เขามีอาการแบบผมบ้างหรือเปล่า

คือ ผมชอบบรรยากาศในร้านหนังสือแห่งนี้ครับ แอร์เย็นๆ เพลงขับกล่อมเพราะๆ ที่ร้านเปิดไว้สลับกับเสียงนุ่มๆ ที่กำลังโปรโมตโปรโมชั่นหรือสินค้าต่างๆ ของร้าน

และที่สำคัญคือ ทุกคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้จะอยู่กับตัวเอง ทำให้บรรยากาศเงียบทั้งๆ ที่มีลูกค้ามากมายในร้านแห่งนี้

สักพักหลังจากที่ผมได้ลองเขียนปากกาที่คิดว่าเหมาะมือและถูกใจมากที่สุดได้แล้ว

รวมทั้งได้หนังสืออีก 1 เล่มเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศที่ผู้คนไม่ค่อยไปกันนัก

จริงๆ แล้วผมก็มีความฝันที่อยากจะท่องเที่ยวไปรอบโลกเช่นกันครับ โดยเฉพาะประเทศที่เงียบสงบ นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก แต่กว่าความฝันจะเป็นจริงได้ผมคงต้องเรียนให้จบ ทำงานเก็บเงินให้ได้ก่อน 555

หลังจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้ว ผมก็กำลังมองๆ หาขนมกินเล่นซื้อไว้ก่อนกลับบ้านดีกว่า

แต่แล้วก็มีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นที่กระเป๋ากางเกงของผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนโทรมากันแน่

พอล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่า เป็นสายโทรเข้าของป๊าครับ

แต่เอ๊ะ!

นี้ก็กำลังจะเที่ยงพอดี

สงสัยว่าป๊ามีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงได้โทรหาไอ้เหมาคนนี้ ผมจึงเลื่อนสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายป๊า


“หวัดดีครับป๊า”

“เหมาลูก นี้ป๊านะ”

“ครับ! ป๊ามีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้โทรมาหาผม”

“ป๊าจะโทรมาถามว่า เหมาออกมาซื้อของที่ห้างฯ xxx ใช่ไหม เมื่อกี้ป๊าโทรไปถามแม่เรา แม่เราบอกว่าเหมาออกมาตั้งแต่ 10 โมงเช้าแล้ว”

“อ๋อ ใช่ครับ เหมาซื้อของเสร็จแล้ว กำลังจะกลับพอดีเลย ป๊ามีอะไรหรือเปล่าครับ”

“งั้นเหมารอป๊าอยู่ที่ด้านหน้าของห้างฯ xxx ก่อนนะ เดี๋ยวป๊าจะรับมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน เพราะพอดีวันนี้ป๊าประชุมกับฝ่ายบริหารเสร็จช่วงเช้าพอดี”

“แล้วลุงกวิน รองประธานบริษัทของป๊าอ่ะ ที่เคยแวะไปร้านโจ๊กบ้านเราอ่ะ เหมาจำได้ไหม”

“ลุงกวินเขาชวนเหมามาทานข้าวเที่ยงด้วย”


พอจบประโยคนี้ความงงงวยก็โผล่ขึ้นมาในสมองของไอ้เหมาทันทีครับ

“ลุงกวินไหนว่ะ”

นั่นเป็นประโยคแรกของผมหลังจบบทสนทนากับป๊า

เอ้! ถ้าลุงกวินที่ป๊าพูดถึงเป็นรองประธานบริษัทก็แสดงว่ามื้อเที่ยงนี้เป็นลาภปากของไอ้เหมาซะแล้ว

ร้านอาหารที่จะได้ไปกินต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

ตายแล้วไอ้เหมาเอ้ย! ต้องสำรวมกริยามารยาทซะหน่อยแล้ว ไม่งั้นขายขี้หน้าป๊าหมดเลย

ซึ่งระหว่างที่ผมกำลังคิดเพ้อไปเรื่อยเปื่อย ขาทั้งสองของผมก็กำลังมุ่งหน้าเดินออกจากห้างฯ เพื่อไปรอป๊าที่ด้านหน้า

ซึ่งโชคดีที่อากาศวันนี้ไม่แดดหรือร้อนมาก เพราะมีเมฆค่อนข้างเยอะแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าฝนจะตกทำให้ผมนั่งรอป๊าพร้อมกับฟังเพลงจากหูฟังได้อย่างสบายใจ



ผ่านไป 15 นาที



รถ 6-7-8 ที่นั่งกึ่งๆ รถตู้คันงามสีดำเคลือบเงาอย่างสวย พร้อมป้ายยี่ห้อหน้ารถบ่งบอกฐานะเจ้าของรถคันนี้ได้เป็นอย่างดี

กำลังชะลอเข้ามาจอดเทียบกับฟุตบาทที่ผมกำลังนั่งรอป๊าอยู่

แต่เมื่อรถจอดนิ่งก็มีเสียงเรียกชื่อของผมพร้อมกับประตูรถที่เปิดออก


“เหมา ขึ้นรถมาเร็วลูก ป๊ามารับแล้ว”


ว้าวววววว แค่รถที่มารับก็กินขาดแล้ว ไม่อยากจะนึกเลยว่าวันนี้ไอ้เหมาจะได้ทานอะไรบ้างที่ราคาแพงๆ
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 3 (11/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-04-2019 17:02:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 3 (11/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-04-2019 18:21:01
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 4 (12/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 12-04-2019 16:13:15
Chapter 4


หลังจากที่ป๊าของผมได้เปิดประตูรถและเรียกให้ผมขึ้นรถแล้ว เมื่อก้าวขาขึ้นมาพร้อมกับเสียงปิดของประตูรถ และเดินมาถึงที่นั่ง ที่คิดว่าเป็นของผมแล้ว

ผมจึงหย่อนก้นลงบนเบาะนุ่มๆ ของรถราคาแพงคันนี้ พร้อมกับยกมือไหว้ลุงผู้ชายที่นั่งข้างๆ ป๊า


“สวัสดีครับ”


แต่ผมไม่แน่ใจว่าใช่ลุงกวินหรือเปล่า แต่มือไม้อ่อนเข้าไว้ผู้ใหญ่จะหลงรัก 555 เลยขอไม่เอ่ยชื่อคุณลุงก่อนล่ะกัน กลัวตัวเองหน้าแตก

พร้อมกันที่คุณลุงคนนั้นยกมือรับไหว้ทันที แต่เมื่อลองสังเกตบรรยากาศต่างๆ รอบตัว พบว่า ยังมีผู้ชายที่ผมไม่รู้จักอยู่บนรถคันนี้อีกถึง 4 คน

โอ้โห้! หนึ่งในนั้น มีคุณลุงที่ดูสูงวัยเป็นคนขับรถ และด้านหน้าก็มีพี่ผู้ชายที่รูปร่างดูแข็งแรงนั่งข้างๆ คนขับ ซึ่งคาดว่าคงเป็นลูกน้องของคุณลุงกวินมั้ง?

และแน่นอนแถวตรงกลางก็เป็นป๊าของผม ซึ่งที่นั่งถัดไปน่าจะเป็น “ลุงกวิน” ผู้ที่มีตำแหน่งรองประธานบริษัทที่ป๊าของผมโทรมาบอกว่า จะเลี้ยงข้าวเที่ยงผมด้วยวันนี้แน่ๆ

ไอ้เหมามั่นใจ!

แต่จะติดก็ตรงที่ผู้ชายคนสุดท้าย ที่ผมกำลังนั่งสงสัยอยู่ ก็คือ


“ไอ้เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ แถวสุดท้ายกับผมนี้เป็นใคร?”


น่าจะอายุใกล้เคียงผมนะ แต่ภาพลักษณ์ของมันกับผมตอนนี้ต่างสุดๆ นั้นก็เพราะ ไอ้หน้านิ่งๆ ตัดผมทรงสกินเฮด แค่นั่งก็ยังรู้ว่าสูงกว่าผมมาก แล้วไหนจะ จมูกโด่งๆ ผิวแทนๆ ไม่ดำไม่ขาวของมันที่ทำให้มัน


“โคตรเท่!”


ซึ่งตัดกันกับชุดที่มันกำลังใส่อย่างมาก ผมก็ไม่รู้ว่าชุดที่มันใส่เรียกสไตล์ไหน แต่เป็นเสื้อกึ่งสูทสีครีม เสื้อด้านในสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำขายาว รองเท้าหนังสีดำเงาวับแทบจะสะท้อนใบหน้าของไอ้เหมาได้ ไม่บอกไม่รู้เลยว่าไปกินข้าว

ผมก็คิดว่า ไอ้หน้านิ่งข้างๆ ผมกำลังจะไปเข้าประชุมบริษัทที่ไหน แต่ด้วยวัยของมันที่น่าจะใกล้เคียงกับจึงหยุดข้อสันนิษฐานนี้ไปก่อน เอ๊ะ! หรือว่ามันกำลังจะไปถ่ายแบบ


และถ้านี้ เป็นการถ่ายหนังละครแล้ว ลองนึกภาพให้ช่างกล้องตัดภาพมาที่ผมซิ คุณๆ จะเห็นซึ่งความต่าง แต่ถ้าผมได้ลองแต่งตัวแบบนั้น เชื่อเลยว่าความหล่อของผมไม่แพ้มันแน่นอน แต่จะว่าไปแล้ว สำหรับการมาเดินห้างฯ เพื่อซื้อเครื่องเขียนและหนังสืออีก 1 เล่มที่กำลังวางอยู่บนตักของผม จะให้แต่งอะไรมากมาย ก็แค่เสื้อยืดสีขาวลายใบไม้หนึ่งใบที่มุมอกด้านซ้าย และกางเกงยีนส์ขายาว ดูรวมๆ แล้วก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร

ระหว่างที่กำลังแอบเหล่สายตาไปสำรวจไอ้สกินเฮดที่นั่งข้างๆ ก็มีเหตุให้ต้องละสายตามามองลุงผู้ชายที่นั่งข้างๆ ป๊าของผม ที่ผมคาดว่าน่าจะเป็น “คุณลุงกวิน” ที่เอ่ยทักผมเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับหันหน้ามาคุยกับผม


“สวัสดีนะ หนูเหมา”


ห่ะ! อะไรนะ! คุณลุงเรียกผมว่า “หนูเหมา” โห้ยยย  o22 หวานอะไรขนาดนั้นครับ ผมเป็นเด็กผู้ชายนะครับ นี้ถ้าไอ้เพื่อนๆ ของผมสมัยมัธยมมาได้ยินคงโดนล้อไปอีกหลายวันแน่ๆ


“สวัสดีครับ”


ผมก็ตอบรับสวัสดีคุณลุงเป็นรอบที่สอง 555 พร้อมกับยิ้มพิมพ์ใจไปอีกหนึ่งที


“ลุงชื่อกวินนะ”

“เผอิญว่า วันนี้อะไรๆ มันก็ได้จังหวะไปหมด ลุงเลยบอกให้ป๊าของเรา ชวนหนูมาทานข้าวเที่ยงกับลุง”

“และก็...เอ่ออ...ไอ้เจ้านี้หลานของลุงเอง”


ผมก็ได้แต่นึกอ๋อในใจว่า ที่คิดไว้นั้นไม่ผิดเพี้ยน คุณลุง คือ คุณลุงกวิน รองประธานบริษัทที่ป๊าทำงานนั้นเอง ออร่าสง่าราศรีเจ้าของบริษัทช่างเปล่งประกายจริงๆ ครับ แฮ่ๆ

แต่ เอ๊ะ! ไอ้หน้านิ่งข้างๆ ผมเป็นหลานของคุณลุงเหรอเนี่ยะ? ผมก็ได้แต่หันไปมองหน้าของมันอีกครั้ง แล้วก็พบว่า มันก็กำลังมองกลับมาที่ผมเหมือนกัน เอ่ออ...สายตามันดูเอาเรื่องมากเลยครับ แบบว่า...


“อย่ามายุ่ง อย่าคุยกับกูนะ กูไม่ได้อยากรู้จักมึงเลยสักนิด” อะไรทำนองนั้น


แต่ด้วยความที่ไอ้เหมาเป็นคนดี (เกี่ยวไหม?) จึงยิ้มตอบกลับไปหามันอย่างเป็นมิตร แม้ว่าหน้าของมันจะนิ่งอยู่เหมือนเดิมก็ตาม แต่แล้วเสียงกระแอ่มจากลุงกวินก็ดังขึ้นมาขัดความคิดของผม


“อะแฮ่ม! นี้หลานของลุงนะ ชื่อ ภูมิ อายุก็เท่าๆ กับเรานั้นแหล่ะ”

“เผอิญว่าลุงได้คุยกับป๊าของเราพอดี เลยรู้ว่าเจ้าภูมิกับหนูเหมากำลังจะเข้าเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันพอดี”

“ลุงเลยอยากให้ได้รู้จักและสนิทกันไว้ เผื่อมีปัญหาหรือมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”

“เอ่อ...โดยเฉพาะเจ้าภูมิเนี่ยะ ไปเรียนต่างประเทศมาตั้งแต่ ม.ต้น เลยอาจจะแปลกๆ งงๆ กับสถานที่ สิ่งแวดล้อมบ้าง”

“นี้ก็เพิ่งกลับมาไทยได้ไม่นาน ลุงเลยอยากให้หนูเหมาช่วยดูแลเจ้าภูมิด้วย”


ลุงกวินพูดจบด้วยรอยยิ้มอันสดใสกึ่งๆ มีความหวังอะไรทำนองนั้น ทำให้ไอ้เหมารู้สึกงงและเบลอนิดๆ ที่อยู่ๆ ก็ได้มาเจอไอ้หน้านิ่งเด็กอินเตอร์

ว่าแต่มันยังพูดและเข้าใจภาษาไทยได้ไหมว่ะ 555 ถ้าจู่ๆ มันเกิดสปีคอิงลิชขึ้นมา ไอ้เหมาคนนี้ตายสถานเดียวนะครับ

ไม่นานนักลุงคนขับรถก็พาพวกเรามายังร้านอาหารใจกลางเมืองแห่งหนึ่งที่บรรยากาศดูร่มรื่นเป็นธรรมชาติมาก แต่ภายในยังคงตกแต่งอย่างสวยหรู ทำให้ไอ้เหมาได้รู้สึกเหมือนอยู่ในต่างประเทศ แน่นอนว่า การตกแต่งร้านมาขนาดนี้แล้ว เมนูอาหารและราคาย่อมไม่เบาไปด้วยแน่นอน

เมื่อเดินเข้าถึงบริเวณโต๊ะที่คุณลุงได้จองไว้ล่วงหน้า พร้อมกับบริกรชายที่เดินนำไปยังโต๊ะ ก็พบกับ โต๊ะขนาดใหญ่ แต่มีเก้าอี้อยู่ 4 ตัวเอง นั่งห่างกันเป็นวาเลย

โดยที่ ป๊ากับคุณุลุงนั่งติดกัน ทำให้ผมและไอ้เด็กนอกหัวสกินเฮดได้นั่งเก้าอี้ข้างกัน นั่งรอได้ไม่นานเมนูอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ได้ถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับสีสัน และกลิ่นที่หอมเตะจมูกไอ้เหมาเหลือเกิน ทำให้ป๊าต้องเอ่ยแซวขึ้นมาเบาๆ ว่า


“เหมาๆ เก็บอาการหน่อยลูก ป๊ารู้อยู่ว่า อาหารมันน่ากิน”


ผมก็เลยทำได้แค่เขินและยิ้มแห้งให้ป๊าและลุงกวินที่ยิ้มเอ็นดู ส่วนไอ้ภูมิหน้านิ่งก็ยังคงนั่งนิ่งๆ เช่นเดิม ไม่ได้แสดงท่าทางหรืออาการใดๆ ออกมา สงสัยมันคงฟังไทยไม่รู้เรื่องแล้วมั้ง

ระหว่างการทานอาหารเที่ยงมื้อนี้ ก็ทำให้ผมได้ทราบข้อมูลอะไรต่างๆ มากมาย เช่น ป๊าเป็นรุ่นน้องคณะวิศวะ สถาบันเดียวกันกับคุณลุงกวิน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับที่ผมและไอ้ภูมิกำลังจะเข้าไปเรียน แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าไอ้ภูมิมันก็กำลังจะเข้าเรียนคณะวิศวะเหมือนกัน

สงสัยมันคงจบมาสานต่อกิจการบริษัทของที่บ้านมันแน่ๆ เหมือนไอ้ไทม์เพื่อนของผม เพราะพ่อของไอ้ภูมิก็เป็นรองประธานบริษัทอีกคนเช่นกัน ส่วนประธานคนปัจจุบันเป็นปู่ของไอ้ภูมิ

ในระหว่างบทสนทนาต่างๆ ไอ้หน้านิ่งก็ถามคำตอบคำกับลุงกวินและป๊าของผม แต่ผมก็แอบสังเกตเห็นปฏิกิริยาของมันอยู่จังหวะหนึ่ง เมื่อมันรู้ว่าผมจะเข้าเรียนคณะทันตแพทย์ บอกเลยว่า


“มันคงอยากมีเรื่องกับผมเป็นแน่!” เพราะสีหน้ามันเปลี่ยนอารมณ์ไปทันที แบบว่า


“หน้าอย่างไอ้ข้างๆ กูเนี้ยะนะ เรียนคณะทันตแพทย์” พอผมเห็นสีหน้ามัน ก็ต้องคุมอารมณ์ตัวเองไว้


“ไอ้เหมา ใจเย็นๆ~~ ต่อหน้าผู้ใหญ่ต้องเป็นเด็กดีและน่ารัก ผู้ใหญ่จะได้เอ็นดู”


ฝากไว้ก่อนเถอะมึง เจอกันข้างนอก กูเอามึงคืนแน่ “ไอ้ภูมิ” หัวสกินเฮดเม่งๆ ได้เลือดแน่ ฐานที่มันกล้ามาหยามผม เพราะเพื่อนของผมเยอะแยะ มึงเพิ่งกลับมาไทย ไม่รอดแน่มึง!!! 555 ต่อให้เป็นลูกรองประธานบริษัทของป๊ากูก็เถอะ


แต่ เอ๊ะ!

มันเป็นลูกหลานของประธาน รองประธานบริษัทที่ป๊าของผมทำงานอยู่ แล้วจะทำอะไรทำได้ว่ะ ที่นี้! เจ็บใจโว้ย!!

นี้กูจะไม่มีทางเอาคืนมึงใช่ไหมว่ะ?

ถ้ากูทำอะไรมึงไป ป๊ากูไม่โดนเด้งออกจากที่ทำงานเหรอว่ะ ไม่ซิๆ มันต้องมีวิธีเอาคืนซิว่ะ และความกวนของมันก็พาลทำให้อรรถรสในการทานอาหารมื้อเที่ยงของผมลดไปถึง 15% เลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 4 (12/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-04-2019 18:04:35
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 4 (12/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-04-2019 18:44:27
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 5 (12/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 12-04-2019 22:14:05
Chapter 5


“เหมาไปเรียนก่อนนะครับ แม่”

ผมคุยกับแม่ พร้อมยกมือขึ้นมาไหว้ ก่อนจะออกเดินทางไปเรียนในชีวิตนักศึกษาวันแรก ส่วนป๊ากับเจ๊หลินออกไปทำงานและไปเรียนก่อนผมแล้วครับ


วันนี้เป็นวันแรกของชีวิตปี 1
ตารางเรียนในเช้าวันแรกก็ดีต่อใจผมซะจริงๆ ที่มีเรียนตอน 10 โมงเช้า ทำให้ผมมีเวลาเตร็ดเตร่ที่ร้านของแม่นิดหน่อย

บรรยากาศก็ยังคงเหมือนเดิม คือแน่นไปด้วยลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่ๆ บ้าง ระหว่างทางที่อยู่บนรถเมล์ ผมบอกได้เลยว่า ตื่นเต้นมากๆ กับการจะได้เรียนและได้ทำกิจกรรม พบเจอเพื่อนๆ และรุ่นพี่มากมาย

แต่ผมก็พอจะรู้จักเพื่อนใหม่ในคณะเดียวกันบ้างแล้ว จากกิจกรรมของคณะก่อนเปิดเทอม แต่ก็รู้จักผ่านๆ ไม่ได้คุยสนิทอะไรกันมาก คงต้องมาลุ้นอีกทีก็เปิดเทอมนี้แหล่ะครับ

ส่วนไอ้ไทม์เพื่อนในกลุ่มสมัย ม.ปลาย ของผม
ซึ่งผมอาจจะลืมบอกไปว่า มันเรียนคณะนิเทศศาตร์ครับ เพราะมันเคยบอกว่า “อยากเป็นผู้กำกับหนัง” มันเลยเลือกคณะนี้

แต่จะว่าไปคณะมันกับคณะผมก็อยู่คนละฝากฝั่งของมหาลัยกันเลย โอกาสจะได้เจอกันโดยบังเอิญคงน้อย

แต่ช่วงที่ทำกิจกรรมของคณะก่อนเปิดเทอม ผมก็คุ้นๆ หน้าตาเพื่อนในรุ่นอยู่บ้าง ประมาณ 3-4 คน ที่ผมจำได้ว่ามาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่จบจากคนละห้องกัน

ผมก็เลยไม่ได้สนิทหรือคุยด้วยเท่าไร แต่ก็เล็งๆ ไว้นิดหนึ่ง เผื่อว่าไม่มีใครยอมคบเป็นเพื่อนกับผม 555 ผมคงต้องพุ่งเข้าชนเป้าหมายเพื่อนๆ แก๊งนี้แน่นอน

ตอนนี้เวลา 09.30 น.
มีมนุษย์ตัวหนึ่งมายืนงงๆ เอ๋อๆ แถวตึกคณะวิทยาศาสตร์ครับ นั้นคือ ผมเอง

เพราะไม่แน่ใจว่าห้องที่จะไปเรียนคือ ตึกไหน 555 วิชาแรกเป็น “วิชาเคมี” ครับ ทำให้ผมกำลังเล็งๆ หาตัวช่วยครับ รุ่นพี่สักคนที่หน้าตาดี เอ้ย! ที่พอจะใจดีบอกทางไปห้องเรียนของผมได้บ้าง

แต่ๆๆ คือว่า พระเจ้าช่วย! ผมเจอ “พี่แม็กซ์” รุ่นพี่โรงเรียนของผมนั่นเอง ที่สนิทกันได้ เพราะพี่แม๊กซ์เป็นพี่รหัสของผมนั้นเอง พี่แกเรียนวิศวะ ปี 2 ที่นี้เช่นกัน ทำให้ตอนนี้ขาของผมรีบวิ่งพุ่งไปหาทันที

“พี่แม็กซ์”
 เสียงเรียกของผมทำให้พี่แกหันมามองด้วยความตกใจ และยิ้มออกมา

“เห้ยยยย ไอ้เหมา มึง!”
โห้!! พี่ทักผมซะผมเองยังตกใจ 555 แล้วพี่แกก็เข้ามากอดผมทีหนึ่ง แล้วผละออกมา

“กูได้ข่าวอยู่ว่า มึงสอบติดทันตะที่นี้  กูไม่อยากจะเชื่อเลย มึงไปบนบานวัดไหนมาเนี้ยะถึงสอบติด”
 ทำไมพูดเหมือนเจ๊หลินเลยอ่ะ ไอ้เหมาก็เก่งอยู่นะเว้ย ผมก็ได้แต่ยิ้มรับไป

“กูไม่คิดว่าจะบังเอิญได้มาเจอมึงเร็วขนาดนี้ เป็นไงว่ะ เปิดเรียนวันแรก ชีวิตมหาลัยดีไหม”

“ก็ดีนะพี่ สนุกดี 555 แต่พี่ๆ คือผมมีเรื่องรบกวนหน่อย คือ ไอ้ห้องเรียนเนี้ยะ มันไปทางไหน แฮ่ๆ”

ผมถามพร้อมกับจิ้มเลขห้องในตารางเรียนที่ปริ้นท์มาอย่างดี ให้พี่แม็กซ์และเพื่อนของพี่แกอีก 2 คนดู ด้วยความหวังที่จะเป็นแสงสว่างให้ผม

“555 ตอนพวกกูอยู่ปี 1 ก็เป็นแบบนี้ แต่เรียนๆ ไปก็จะรู้เอง ไอ้ห้องเนี่ยะมันอยู่ตึกนู้นอ่ะ ห้องนี้อยู่ชั้น 3 ส่วนอยู่ฝั่งไหน มึงก็ลองเดินไล่หาล่ะกัน”
พี่แม็กซ์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังตึกที่ว่า

“เอ่อ ไอ้เหมา พี่ขอไลน์มึงไว้หน่อยดิ เดี๋ยวถ้าวันกูไหนว่างจะได้นัดมึงไปเลี้ยง ชอบไม่ใช่เหรอ? อาหารฟรีเนี่ยะ”

“โห้ยยย พี่ก็...ใส่ร้ายผม แต่ได้เสมอเลยครับเรื่องของกินฟรีเนี่ยะ” พูดจบผมก็พิมพ์และแอดไลน์ของตัวเองในมือถือของพี่แม็กซ์ไปด้วย

“ขอบคุณพี่มากเลย ผมไปเรียนก่อนนะพี่ หวัดดีครับพี่แม็กซ์และเพื่อนของพี่แม็กซ์” ผมก็ยกมือไหว้และยิ้มเล็กน้อย ก่อนขอตัวแยกไปยังตึกที่พี่แม็กซ์ชี้บอกไว้

เมื่อมาถึงห้องเรียนตามเลขที่ระบุไว้ในตารางเรียน ก็พบว่า มันเป็นห้องที่ใหญ่มากๆ น่าจะจุคนได้สัก 100-200 คนเลย ซึ่งแน่นอนว่าความวุ่นวายของเสียงพูดคุยและการเดินไปมาของนักศึกษาในห้องย่อมเกิดขึ้น ตามจำนวนประชากร ผมเลยเดินเข้าไปด้านในเพื่อหาที่นั่งว่างๆ และดีๆ สำหรับการเรียนใน 2 ชั่วโมงต่อจากนี้ไป


สักพักเมื่อใกล้เวลาก็มีผู้หญิงที่ดูมีวัยวุฒิเดินเข้ามาในห้อง 2 คน ที่คาดว่าน่าจะเป็นอาจารย์


“สวัสดีค่ะ นักศึกษาปี 1 ทุกคน ดิฉันทั้งสองคนเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาตร์นะคะ เป็นผู้รับผิดชอบประสานงานรายวิชานี้ ถ้านิสิตมีข้อสงสัยหรือปัญหาอะไรในวิชานี้ สามารถติดต่ออาจารย์ทั้งสองท่านได้ที่ห้องพัก...บลาๆ”


หลังจากที่อาจารย์ทั้งสองท่านได้แนะนำตัวและเริ่มแนะนำรายวิชาเรียนนี้เสร็จแล้ว การเรียนการสอนก็ดำเนินไปโดยอาจารย์เพียงหนึ่งท่านที่เป็นคนกล่าวสวัสดีทีแรก

ซึ่งทำให้ผมทราบว่าวิชานี้คณะผมต้องเรียนรวมกับเพื่อนๆ คณะเภสัชฯ ด้วย เอาล่ะทีนี้! ตัดเกรดรวมด้วย ผมจะตายไหมนะ? 555

ระหว่างที่นั่งๆ เรียนไป ความเย็นสบายของเก้าอี้และแอร์ก็จะพาลทำผมหลับไป แต่สักพักก็มีเสียงทักและมือมาสะกิดที่ไหล่ของผมจากด้านหลัง

ผมจึงหันไปมองด้วยความสงสัย ปรากฏว่าเป็นเพื่อนผู้ชาย 2 คนที่กำลังยิ้มและมองมาที่ผม


“สวัสดีเหมา/หวัดดีเหมา”
สองคนนั้นพูดทักทายผมขึ้นมาพร้อมกัน ผมก็นั่งงงเลยซิครับ “ใครว่ะ?” นั้นเป็นความสงสัยที่เกิดขึ้นกับผม


“เอ่อ..รู้จักเราเหรอ” ผมถามไปด้วย ยิ้มแหยๆ ไปด้วย

“555 รู้จักซิว่ะ พวกเราเพื่อนคณะเดียวกันนะเว้ย แล้วที่สำคัญพวกเรายังอยู่บ้านฟรีเหมือนกันด้วย นี้กู เอ้ย! ขอโทษล่ะ พูดเราๆ ผมๆ คุณๆ ไม่ถนัดว่ะ”
ผู้ชายหน้าตี๋ใส่แว่นกรอบดำ ที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือของผมพูดขึ้นมา

“และที่สำคัญ มึงก็เด่นซะขนาดนั้น กล้าหาญออกไปแนะนำตัวคนแรกด้วย 555” และผู้ชายอีกคนที่ผิวเข้มกว่าหน่อยพูดขึ้นมา

“อ๋อ...เอ่อ ยินดีที่ได้รู้จักเว้ย”

“ป่ะ ไปกินข้าวเที่ยงกับพวกกูกัน”

ผู้ชายใส่แว่นที่ตอนนี้ผมยังไม่รู้จักชื่อพูดขึ้นมา ห่ะ!! “ข้าวเที่ยง” ผมจึงก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือก็พบว่าจะเที่ยงแล้วพอดี และพอหันไปมองรอบๆ ก็พบว่านักศึกษาคนอื่นๆ ก็กำลังเก็บของเตรียมจะลุกออกไปกินข้าวเหมือนกัน นี้ผมตั้งใจเรียนมากไป หรือเผลอหลับในจนไม่รู้เวลากันแน่ ไอ้เหมานะ ไอ้เหมา คาบเรียนแรกแท้ๆ ก็ดูท่าทางจะไม่รอดซะแล้ว
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 5 (12/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-04-2019 22:52:56
 :m20:

ใจลอยไปไหน

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 6 (13/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 13-04-2019 20:27:35
Chapter 6


หลังจากการทานข้าวเที่ยงจบไป ทำให้ตอนนี้ ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ด้วยกันถึงสองคน คือ ไอ้ตาวและไอ้ข้าว

ซึ่งจากบทสนทนาระหว่างมื้อเที่ยงทำให้ผมได้รู้ว่า พวกมันทั้งสองคนเป็นรูมเมทหอในกัน และเพิ่งมารู้จักกันตอนเข้าเรียนปี 1 แต่ที่บังเอิญกว่านั้นคือ พวกผมสามคนได้อยู่ “บ้านฟรี” ในกิจกรรมแรกพบของมหาลัยเหมือนกัน

ในช่วงบ่าย พวกผมมีเรียนวิชาชีวะต่อ ทีแรกที่ผมเห็นตารางเรียนแล้ว ทำให้ผมอยากเห็นหน้าของคนจัดตารางเรียนซะเหลือเกิน นี้เขาไม่รู้เหรอว่า “ตารางเรียนวันจันทร์ของพวกผมมันโหดร้ายซะเหลือเกิน”

แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากก้มหน้าเดินคุยเตร็ดเตร่กันไปสามคนระหว่างที่ยังคงเดินวนเวียนแถวตึกคณะวิทยาศาสตร์ และโชคดีที่ยังเรียนที่ตึกเดิมเหมือนในตอนเช้า ไม่เช่นนั้นคงตามหาตึกเรียนกันวุ่นวาย

วิชานี้ช่วงบ่ายจะมีแค่คณะพวกผมที่เรียนด้วยกัน ถ้าจะว่าด้วยเรื่องของจำนวนนักศึกษาในรุ่นแล้ว ก็ไม่มากไม่มาย ประมาณ 70 คนได้ครับ แต่ก็ถือว่าเยอะมากแล้วนะ สำหรับคณะนี้ในสถาบันอื่นๆ

ในคาบวิชานี้ พอจะทำให้ผมได้มองเห็นหน้าเพื่อนๆ ในรุ่นได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ว่ามีใครบ้าง เผื่อเจอหน้ากันข้างนอกจะได้ทักทายช่วยเหลือกันบ้าง


“อ่าค่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนนะกัน สำหรับการ Intro และเนื้อหาเบาๆ สำหรับวิชานี้ อย่าลืมกลับไปทบทวนเนื้อหามาล่วงหน้าตาม course syllabus กันด้วยนะจ๊ะ”


เสียงอาจารย์สูงวัยประจำรายวิชานี้ได้กล่าวขึ้นอันเป็นสัญญาณว่าได้สิ้นสุดการเรียนในคาบนี้แล้ว ผมก็เลยถือวิสาสะยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นไปในอากาศ เพื่อบีบไล่ความเมื่อยล้าตลอดสองชั่งโมงที่ผ่านมา เพราะตลอดทั้งคาบ ผมต้องพยายามฝืนสังขารตัวเองไม่ให้หลับเป็นอย่างมาก

แต่พอหันไปมองที่นั่งข้างๆ คือ ไอ้ข้าว รายนั้นหลับตั้งแต่ 15 นาทีแรกของคาบเลยครับ แต่มันก็ตื่นขึ้นมาฟังเป็นระยะๆ ไม่ต่างจากตัวผมมากนัก แต่ไอ้ตาวเนี้ยะ คารวะมันในความตั้งใจเรียนสุดๆ เลย ไม่หลับเลยสักนิดและตั้งใจเรียนตั้งใจจดอย่างคุ้มค่าเทอม เข้ากับบุคลิกใส่แว่นซะเหลือเกิน หึๆ! เจอแล้วครับ! เจอแล้ว! ความหวังของกลุ่มในการพาผมเรียนจบตลอดรอดฝั่งในคณะนี้


“หาวววว…” เสียงไอ้ข้าวมันหาวหลังจากจบคาบครับ

“ไอ้เหมา หลังเลิกเรียนมึงไปไหนไหมว่ะ” ผมจึงหันหน้าไปมองไอ้ข้าวที่ถามคำถามผมออกมา

“อ๋อ…ไม่นะ กูว่าง ทำไม? มึงจะชวนกูไปไหน 555”

“กูกับไอ้ตาวคิดว่า พวกเราจะต้องไปกินเลี้ยงฉลองอะไรกันสักหน่อยเว้ย ไหนๆ โชคชะตาก็นำพาให้ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว”

“ได้ซิมึง ว่าแต่จะไปกินอะไรกันดีว่ะ…”
ยังไม่ทันที่ความคิดของผมจะโผล่ขึ้นมาเตือนว่า

“ต้องโทรไปบอกป๊าหรือแม่ก่อนว่า วันนี้จะกลับบ้านช้าหน่อยนะ”
ก็มีเสียงของผู้หญิงที่นั่งอยู่แถวสโลป ด้านล่างต่อแถวของพวกผมพูดขึ้นมา

“นี้พวกนาย ลืมจริงๆ หรือตั้งใจกระโดดกิจกรรมตอนเย็นกันแน่?”

“พี่ๆ ปีสองเขานัดที่ลานใต้ตึกคณะตอน 5 โมงเย็น เขาแจ้งตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”
ห่ะ? ตอนไหนว่ะ ทำไมผมไม่รู้

แต่แล้วเหมือนจะมีคนแปรพักตร์ คือ ไอ้ตาว -_-

“เอ่อ ใช่ว่ะ กูลืมไปเลย พี่ๆ เขาแจ้งไว้ในไลน์อ่ะ ว่าจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับสายรหัสอะไรสักอย่างเย็นวันนี้” ห่ะ? ในใจรอบที่สอง

“ไลน์ไหนว่ะ ไอ้ตาว กูงง” ใช่ครับ ผมงงว่าเพื่อนๆ เขากำลังพูดถึงไลน์อะไรกัน ผมไม่รู้เรื่องเลย

“อ๋อออออ กูรู้แล้ว 555” แล้วอยู่ๆ ไอ้ข้าวมันก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเอามือขวาของมันมาโอบไหล่ของผม พร้อมกับลูบเบาๆ คล้ายกับปลอบใจผม

“โถ่ๆๆๆ น้องเหมาผู้น่าสงสาร ในกลุ่มไลน์เขาก็ตามหากันให้วุ่นว่า น้องปี 1 อีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้เข้าไลน์กลุ่มคือใคร?
“ที่แท้ก็…น้องเหมาผู้น่าสงสารของเรานี้เอง 555”
มันอธิบายให้ผมหายงงทันทีเลยครับ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารอะไรขนาดนี้ว่ะ ไม่รู้ข่าวสารอะไรกับชาวบ้านเขาเลย T-T

“เอ่อ…กูไม่รู้เลยว่ะ เขาแอดไลน์สร้างกลุ่มกันตอนไหนว่ะ กูอยากจะร้องไห้ เหมือนกูถูกทิ้งออกจากรุ่นยังไงยังงั้นเลย”

“มาๆๆ เดี๋ยวกูแอดมึงเข้าไปเอง รับรองมึงต้องได้รับ “การต้อนรับ” ที่ล้นหลามอย่างแน่นอน” ไอ้ข้าวพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีนัยยะ ทำซะผมกลัวเลย

“ป้าบบ! ไอ้ข้าว! มึงก็ไปพูดแกล้งไอ้เหมา ไอ้นี้” นั้นคือเสียงตบหัวไอ้ข้าวที่มอบให้จากไอ้ตาวครับ

“จริงๆ มันไม่มีอะไรหรอกมึง อย่าไปฟังไอ้ข้าวมันมาก เขาแค่ให้เพื่อนๆ ในรุ่นช่วยกันตามหามึงเฉยๆ”

“อ๋อออ…นายนี้เองนะเหรอ” ห่ะ! รอบที่สามในใจ

เพราะเป็นเสียงของเพื่อนผู้หญิงคนเดิมที่ทักหรือด่าพวกผมไปก่อนหน้านี้แหล่ะครับ แต่มันจะไม่มีอะไรเลย ถ้าเธอไม่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ คล้ายจะเยาะเย้ย คือ…???

ไอ้เหมาก็งงเลยครับ เช่นเดียวกันกับสายตางงๆ ของไอ้ตาวและไอ้ข้าว พอเธอพูดจบก็เดินออกไปจากห้องพร้อมกับแก๊งค์ๆ ของเธอเลย

“กูทำอะไรผิดว่ะ?” ผมหันไปขอความคิดเห็นจากมันทั้งสองคน แล้วก็ได้แค่การส่ายหน้าอย่างงงปนสงสัยกลับคืนมา

“เอ่อๆ ช่างมันเถอะ ไอ้ข้าวมึงแอดไลน์กูเข้ากลุ่มเร็วๆ”

“เอ่อๆ กูลืมไปเลย กำลังงงๆ กับผู้หญิงคนเมื่อกี้ ไอ้ตาวมึงรู้จักเขาไหมว่ะ” มือไอ้ข้าวมันก็กำลังกดยุกยิกๆ ไปพร้อมกับหันไปถามไอ้ตาวไปพลาง

“กู…” ยังไม่ทันที่ไอ้ตาวจะได้ตอบอะไรสักอย่าง ก็มีเสียงแทรกจากฝั่งที่นั่งถัดจากไอ้ตาวไป 2-3 ตัวขึ้นมาว่า

“นี้พวกนาย ฉันชื่อ แพรว นะ อยากขอเตือนพวกนายไว้ก่อน ยัยนั้นนะ ถ้าไม่มีความจำเป็น อย่าไปยุ่ง! หรือไปคุยกับนางและเดอะแก๊งค์ๆ เลย คือ ฉัน…”

โห่!!! ตอนนี้ผมงงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ ผู้หญิงสองคน เอ้ย! เรียกว่า สองแก๊งค์ดีกว่า


“แก๊งค์ผู้หญิงด้านล่าง” กับ “แก๊งค์ผู้หญิงด้านข้าง”


เพื่อนผู้หญิงที่ชื่อ แพรว และเดอะแก๊งค์อีก 3 คน กำลังเอ่อ… “เล่า” แต่ใช้คำว่า “แย่งกันเล่า” ดีกว่าครับ เกี่ยวกับประวัติและข้อมูลของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งพวกผู้ชายอย่างผมก็มึนงงกับการเม้าท์เป็นต่อยหอยและออกรสออกชาติของพวกเธอทั้งสี่คนมาก
โดยสรุปแล้วจากการบอกเล่าของแพรวและพ้องเพื่อน -_-

ผู้หญิงคนนั้นเธอชื่อ “ไข่มุก” แก๊งค์นั้นมีด้วยกันสามคน แก๊งค์แพรวและไข่มุกจบจากโรงเรียนหญิงล้วนที่เดียวกัน ทำให้เธอมีข้อมูลมากมาย จนถึงขั้นพูดออกมาว่า

“พวกนายเอ้ย! ถ้าจะให้ฉันเล่านะ สามวันก็ไม่จบจ๊ะ!” แต่คร่าวๆ เธอบอกว่า แก๊งค์นั้นเป็นลูกหลานตระกูลไฮโซ แต่พฤติกรรมนิสัยไม่ค่อยโอเคเท่าไร คือแบบ…


“ไม่ friendly อ่ะแก /

หยิ่งๆ ชอบพูดจาประชดชัน /

นางเข้าหาผู้ใหญ่เก่งมาก สัมมาคารวะมาเต็ม แต่กับเพื่อนรุ่นเดียวกันเนี้ยะ ไม่อยากพูด! /

นางหวงผู้ของนางมากกกก ยกแก๊งค์ตบตีกับเด็กโรงเรียนอื่นมาแล้ว /

เรียนเก่งกับหน้าตาดีซะเปล่า /

ขนาดนายที่หล่อนไม่รู้จักนะ ยังพูดขนาดนี้…”


นั้นแหล่ะครับ -_- ตามคำอธิบายของแก๊งค์แพรวที่แย่งกันเล่าให้พวกผมทั้งสามคนได้ฟัง

“เอาเป็นว่า พวกนายอย่าไปใกล้หรือสุงสิงอะไรพวกนางเลยล่ะกัน ถ้าไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิง” นี้คงเป็นบทสรุปจากแก๊งค์แพรว แหล่ะมั้งครับ

“งั้นพวกเราไปก่อนนะ บ๊ายบาย” และแล้วแก๊งค์แพรวก็ได้เดินจากกลุ่มพวกผมไป

“เอ่ออออ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นะว่ะ” เป็นไอ้ข้าวครับที่พูดขึ้นมา 555

“เอาเป็นว่า ตามที่แก๊งค์นั้นพูดนั้นแหล่ะ พวกเราไปหาอะไรกินดีกว่า ป่ะ ไอ้เหมา!” ไอ้ตาวก็คงงงไม่ต่างจากพวกผมเท่าไร แต่ก็ช่างเถอะครับ ไอ้เหมาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วแก๊งค์นั้นเขาก็เป็นผู้หญิง จะให้ผมไปทำอะไรเขาได้ 555

แต่ถ้าเป็นผู้ชายนะ…หึๆ ได้เจอไอ้ไทม์เพื่อนผมแอนด์เดอะแก๊งค์แน่นอน
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 6 (13/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-04-2019 22:01:03
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 6 (13/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-04-2019 22:11:27
 :L2: :pig4:

เหมา จะไหวไหม
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 7 (14/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 14-04-2019 16:39:28
Chapter 7


ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าๆ หลังจากที่ผมเรียนชีวะเสร็จแล้ว ก็อพยพกันจากตึกคณะวิทย์ มานั่งแช่ตากแอร์เย็นๆ ที่ห้องสมุดของคณะครับ ซึ่งจะมีโซนมุมร้านกาแฟและขนมด้วย

หลังจากที่ไลน์ของผมได้รับการแอดเข้ากลุ่มไลน์ที่มีรุ่นพี่ปีสองและรุ่นพวกผมแล้ว (จากความเมตตาของไอ้ข้าว) สักพักก็มีข้อความใหม่มากมายเด้งขึ้นมาในมือถือของผม


“ว้าววววว ยินดีต้อนรับจ้า”

“น้องปี 1 ที่หายไปใช่ไหมเอ่ย”

“น้องข้าวทำดีมากจ๊ะ”

“น้องชื่ออะไรๆ!!! ~~~”

“สวัสดีเพื่อน”


และอีกหลากหลายข้อความ ทั้งจากรุ่นพี่และเพื่อนๆ ทำให้ผมตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับทุกๆ คนว่า


“สวัสดีครับ พี่ๆ และเพื่อนๆ ร่วมรุ่นทุกคน”

“ผมชื่อเหมานะครับ จบจาก รร.XXX ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”


ทันใดนั้นก็มีทั้งสติกเกอร์และข้อความตอบรับเด้งขึ้นมาอย่างมากมาย พอเหลือบไปดูจำนวนสมาชิกในกลุ่มไลน์ก็มีแปดสิบกว่าคน หลังจากสบายใจว่า

“ต่อจากนี้ไป ผมคงไม่ตกข่าวหรือข้อมูลใดๆ แล้ว”

ก็กดออกจากแอปนี้ทันทีแล้วเงยมาขึ้นมา แต่ก็เจอกับสายตาของไอ้ตาวและไอ้ข้าวที่จ้องมองมาแล้ว แล้วยิ้มๆ คล้ายกับจะหัวเราะด้วย


“แหม่ ฮอตจังมึงไอ้เหมา ขนาดรูปโปรไฟล์เป็นหมาน้อย”

“ไอ้ข้าว มึงอยากจะฮอตแบบกูเหรอ ที่เพิ่งได้รับเกียรติแอดเข้ากลุ่มไลน์เนี้ยะ”

“555 กูว่า เย็นนี้มึงได้โชว์ตัวแน่ เอ่อ...ว่าแต่วันนี้พวกเราจะได้ไปกินข้าวเย็นเลี้ยงฉลองกลุ่มกันไหมว่ะ?”

“ต้องดูเวลาก่อนล่ะมึงว่า พี่เขานัดคุยอะไร นานหรือเปล่า”


•+•+•+•+•+•+•


ตอนนี้พวกผมและเพื่อนๆ ปี 1 ต่างพากันทะยอยมารวมตัวบริเวณลานใต้ถุนคณะแล้วครับ เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พี่ๆ ปีสองได้นัดหมายเอาไว้

“อ่า น้องๆ ปีหนึ่งครับ ขยับมานั่งรวมๆ กันตรงนี้เร็ว พี่จะอยากพูดคุยในเรื่องที่นัดหมายไว้”

ทุกคนก็ต่างขยับตัวมานั่งในบริเวณที่พี่เขาแจ้งไว้ครับ แล้วสายตาของผมเองก็หันไปเจอกับแก๊งค์ของไข่มุกและแพรวครับ แต่นั่งกันคนละฟากฝั่งเลยสงสัยจะไม่ชอบกันจริงๆ


“สวัสดีค่ะ น้องๆ”

“ก่อนอื่นเลย วันนี้เรามีเรื่องน่ายินดีที่ว่า...ว่า...ว่า...”

“รุ่นน้องปี 1 คนสุดท้ายได้ถูกแอดเข้ากลุ่มแล้ว ปรบมือ!” ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับเสียงหัวเราะในมุขตลกของรุ่นพี่ปีสอง

“อ่า ถ้างั้นพี่ขอให้น้องเหมาและน้องข้าว โชว์ตัวให้พี่ๆ และเพื่อนๆ เห็นหน่อย อยู่ไหนเอ่ย?”

สิ้นเสียงประกาศจากรุ่นพี่ ผมก็รีบหันไปมองหน้าไอ้ข้าว เพื่อจะเอ่ยปากมันว่าควรจะทำยังไงดี? จะลุกดีไหมว่ะ? แต่คำถามของผมยังไม่ทันจะหลุดออกจากปาก มือของไอ้ข้าวก็รีบฉุดดึงผมให้ลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของมัน ทำให้ท่าทางของผมตอนนี้ ที่อยู่ในอาการมึนๆ เบลอๆ ต้องลุกขึ้นตามแรงดึงของมัน

ตอนนี้ทั้งผมและไอ้ข้าวกลายเป็นเป้าสายตาของรุ่นพี่และเพื่อนๆ หมดแล้ว

“คนไหนน้องข้าว คนไหนน้องเหมาจ๊ะ แนะนำตัวให้พี่ๆ รู้จักหน่อย”

“สวัสดีครับ! ผมชื่อข้าวครับ และที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม คือ เหมา ครับ”

“เอ่อออ..สวัสดีครับ ผมชื่อเหมา”

“กรี๊ดด..อุ๊ปส์!” แต่ระหว่างที่ผมแนะนำตัวอยู่ก็มีเสียงกรี๊ดเบาๆ ที่เหมือนไม่ได้ตั้งเปล่งออกมาเกิดขึ้น จากเพื่อนปี 1 บริเวณด้านหน้าใกล้ๆ กับที่พี่ปี 2 ยืนอยู่ และตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ปนความสงสัย

“เดี๋ยวๆ ออกมานี้เลยหนูๆ เมื่อกี้หนูกรี๊ดอะไรค่ะ“

เสียงพี่ปีสองกวักมือเรียกเพื่อนที่น่าจะเป็นที่มาของเสียงกรี๊ดให้ออกมาด้านหน้าเพื่ออธิบายความสงสัยในเสียงกรี๊ดที่เกิดขึ้น ซึ่งเพื่อนผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกมาด้วยท่าทางเขินอาย แล้วตอบคำถามที่สามารถเรียกทั้งเสียงกรี๊ดเพิ่ม (ห่ะ?) เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากคนที่ได้รับฟังคำตอบ

“คือว่า หนูเป็นสาววายค่ะ แล้วอยู่ๆ ความรู้สึกจิ้น “ข้าวเหมา” ก็โผล่แว๊ปขึ้นมาค่ะ ตั้งแต่เหตุการณ์แอดไลน์และก็มาแนะนำตัวแทน อร๊ายยย”

เธอจบการตอบคำถามด้วยการส่งเสียงเขินแบบมีความสุข พร้อมกับวิ่งกลับเข้าไปนั่งที่ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากพี่ๆ เพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี


“555 อ๋อ...สาววายนี้เอง คุณน้องเก็บอาการนิดหนึ่งนะ อ่ะ แต่ไหนๆ ก็นะ”

“เพื่อโหมเปลวเพลิงนี้ พี่จึงมีคำถามให้น้องข้าวและน้องเหมา คือ จากข้อสงสัยเมื่อสักครู่ สรุปแล้ว!..”

“น้องทั้งสองคนเป็นแฟนกันจริงไหมค่ะ”


เสียงหัวเราะ เสียงกรี๊ดดังขึ้นมาอย่างมากมาย ผมเองก็เผลอไปมองไอ้ตาวที่นั่งอยู่ๆ แต่ตอนนี้กำลังนั่งขำหน้าดำหน้าแดงจนต้องถอนแว่นออกมาเช็ดน้ำตา แล้วรู้สึกหมั่นไส้

แต่ก็ต้องหันกลับขึ้นมองทันที เมื่อไล่สายตาตามลำแขนสีแทนๆ ของไอ้คนข้างๆ ตัว คือ “ไอ้ข้าว” มันกำลังเอาแขนมาโอบไหล่ของผมไว้ พร้อมกับกระชับตัวผมให้ชนกับไหล่ของมัน


“กรี๊ดดดด/อร๊ายยยยย/โหววววว”


เพราะเสียงตอบรับจากคนที่กำลังนั่งอยู่ใต้ถุนตึกคณะ ต่อการกระทำของไอ้ข้าวในตอนนี้ ทำให้ผมหันไปมองหน้ามัน แล้วผลักแขนที่โอบผมออกแรงๆ พร้อมอยากเตะมันหนักๆ สัก 1 ที


“มึงโอบกูทำเพื่อ! ไอ้ข้าว!” ผมกระซิบถามด้วยโมโหเบาๆ

“555” มีเพียงหัวเราะตอบกลับจากมัน

“สรุปแล้วว่า น้องทั้งสองคนเป็น...”

“เป็นเพื่อนกันเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไร ไอ้ข้าวมันแค่แกล้งเล่นๆ ครับ” เป็นเสียงของผมเองที่รีบตอบรุ่นพี่กลับไป เพื่อป้องกันไม่ให้พี่ๆ เพื่อนๆ เข้าใจผมและไอ้ข้าวผิดไป

“อ๋อ โอเคจ๊ะ เคลียร์แล้วนะน้องๆ ข้าวกับเหมานั่งลงได้แล้วจ๊ะ”

“แต่ ถ้าพัฒนาความสัมพันธ์เมื่อไรแล้วอย่าลืมแจ้งข่าวดีให้พวกพี่ทราบด้วยนะ 555”


ผมและไอ้ข้าวจึงนั่งลงที่เดิม แล้วผมเองก็หันไปชี้หน้าไอ้ข้าว เพื่อคาดโทษมันที่มาโอบไหล่ผม และทำให้เพื่อนๆ พี่ๆ เข้าใจผิด แต่มันหันมายิ้มอย่างสนุกสนานใส่ผม


“อ้าวล่ะ พี่ขอโทษทีที่พาออกไปนอกเรื่อง กลับเข้ามาในประเด็นที่พี่นัดหมายน้องๆ มาประชุมวันนี้ดีกว่า คือว่า คณะของพวกเราจะมีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญ ก็คือ กิจกรรมสายรหัส! โดยวันนี้พี่ๆ จะมีฉลากให้น้องๆ ได้จับกัน”

“แต่ถ้าน้องคาดหวังว่าในฉลากนั้นเป็นชื่อจริงของพวกพี่ล่ะก็ พี่บอกเลยว่า No! ฉะนั้นแล้วน้องๆ ต้องตามหาพี่รหัสปี 2 ให้เจอนะจ๊ะ แล้วน้องก็จะได้พบกับพี่ๆ สายรหัสที่เหลือในปี 3 ถึง 6 เอง”


และแล้วกิจกรรมจับสายรหัสที่ดูจะวุ่นวายนิดๆ ก็ได้จบลงไป พร้อมกับคำใบ้ที่แสนงวยงงสำหรับสายรหัสของผมเอง ซึ่งไม่ต่างจากสีหน้าของไอ้ข้าวและไอ้ตาวสักเท่าไร โดยพี่เขาให้เวลาพวกผมจนถึงวันพุธหน้าที่จะต้องหาสายรหัสให้เจอ ไม่เช่นนั้นจะมีการทำโทษสำหรับน้องๆ ที่หาสายรหัสไม่เจอด้วย

หลังจากจบการนัดประชุม ผม ไอ้ตาว ไอ้ข้าวกำลังเดินไปตลาดแถวๆ มหาลัยครับ เพื่อหาข้าวเย็นทานในช่วงเวลา 6 โมงเย็นนิดๆ โดยมีไอ้ตาวบอกว่า

“วันนี้กินอุ่นเครื่องด้วยกันไปก่อนล่ะกัน มึง! เอาไว้พรุ่งนี้พวกเราไปกินชาบูกัน” ผมก็ตอบตกลงมันตามนั้นแหล่ะครับ กลับบ้านไปจะได้บอกแม่กับเจ๊หลินไว้ก่อนว่า

“พรุ่งนี้จะกลับบ้านดึกหน่อย”

แต่เชื่อไหมครับ แค่คิดถึงชื่อในหัว ตัวก็มาปรากฏต่อหน้าเลยทันที ใช่แล้วครับ “เจ๊หลิน” นั้นเอง แล้วตอนนี้เจ๊ก็มองมาเห็นผมแล้ว และกำลังเดินยิ้มมาหาผมแล้ว กูจะโดนอะไรไหมว้า!


“อ้าวเหมา!” เสียงเรียกพร้อมรอยยิ้มของพี่สาวที่ทำให้ดูใจดีในสายตาของเพื่อนๆ ของผม

“เอ่อ...เจ๊ ไอ้ตาว! ไอ้ข้าว! นี้เจ๊หลิน พี่สาวแท้ๆ ของกูเอง เรียนสัตวแพทย์ปี 3 แล้ว”

“สวัสดีครับ/สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ๊ะ น้องๆ เป็นเพื่อนใหม่ของเหมาเหรอ”

“ใช่ครับ ผมชื่อตาว ส่วนไอ้นี้ชื่อข้าวครับ”

“อ๋อ...ตาวกับข้าว พี่ยินดีที่ได้รู้จักนะ ยังไงก็ฝากดูแลน้องชายพี่ด้วยนะ น้องชายพี่มันยิ่งเซ่อๆ มึนๆ ด้วย เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ เพื่อนๆ พี่รอทานข้าวอยู่”

นั้นไงครับ เดินมาทักทายน้องยังไม่วายโดนด่าด้วย “เจ๊หลินไม่รักผมเลย ผมเสียใจ”

“555 นั้นพี่สาวแท้ๆ มึงเหรอ” เสียงจากไอ้ข้าวมันถามออกมา พร้อมกับการหัวเราะที่ผมโดนเจ๊หลินแอบแซะด่าเบาๆ

“ก็เอ่อนะซิ พี่สาวกูดุจะตาย ที่พวกมึงเห็นว่า “ใจดี” นะภาพลวงตาทั้งนั้น สั่งข้าวกินกันดีกว่า

หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 7 (14/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-04-2019 18:20:20
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 7 (14/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-04-2019 18:41:12
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 7 (14/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-04-2019 20:18:02
 :L2: :pig4:

 :o8: 55  มีคู่จิ้นกะเขาเลย
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 8 (15/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 15-04-2019 12:08:59
Chapter 8


เข้าสู่วันที่สองของการเปิดเทอม สำหรับนักศึกษาใหม่ ปี 1


“เฮ้ออออ เหนื่อยว่ะพวกมึง”


เสียงบ่นจากไอ้ข้าวดังขึ้น ขณะที่พวกเรากำลังเดินออกจากตึกคณะวิทย์ หลังจากที่เรียนแลปชีวะในช่วงบ่ายเสร็จ ถึงแม้จะเป็นการเรียนแลปคาบแรก แต่เนื้อหาและแลปที่ต้องทำก็เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร พวกผมสามคนถูกแยกกลุ่มในการทำแลป เพราะเลขที่ไม่ใกล้กันเลย ซึ่งทำให้ผมได้อยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนผู้หญิงอีก 2 คนที่เลขที่ติดกัน คือ “ปรางกับเลมอน”

แต่ไอ้ตัวอันตรายต่อการใช้ชีวิตของผมในคณะช่วงนี้ อย่าง “ไอ้ข้าว” มันบังเอิญหรือโชคชะตาฟ้าลิขิตก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะสมาชิกกลุ่มมันพีคมากถึงมากที่สุด

เพราะประกอบด้วย “ไอ้ข้าว”, “ไข่มุก” และ “ต้นหอม” เพื่อนผู้หญิงที่เผลอกรี๊ดออกมาตอนที่ผมและไอ้ข้าวแนะนำตัวตอนเย็นเมื่อวานนี้แหล่ะครับ

ผมเลยรู้สึกหวั่นใจกับไอ้ข้าวหน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่า


“มันจะเล่นหรือพูดอะไรๆ พิเรนทร์ๆ ให้ต้นหอมได้ฟัง แล้วคิดไปไกลหรือเปล่า”


แต่ส่วน…ไข่มุก ไม่รู้เหมือนกันว่าพอทำงานกลุ่มด้วยกันแล้ว ไอ้ข้าว จะเหลือชีวิตรอดหรือจะโดนด่าอะไรไหม เอาไว้ตอนกินข้าวค่อยถามมันล่ะกัน


“จะไปกินชาบูร้านไหนดีว่ะ”


ไอ้ตาวเป็นคนถามขึ้นมา หลังจากที่พวกเราสามคนเดินออกมาอยู่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมเองเลยเป็นคนเสนอไปในฐานะที่เป็นคนในพื้นที่ แม้ว่าบ้านจะไม่ได้อยู่แถวนี้ก็เถอะ

ท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็เดินทางมาถึงร้านชาบูบุฟเฟ่ต์ที่โด่งดังในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะเรื่องราคาและรสชาติที่คุ้มค่าสำหรับนักศึกษาอย่างพวกผม ภายในร้านตอนนี้ก็เริ่มมีลูกค้าที่เป็นนักศึกษาอย่างพวกผมมากพอสมควรแล้วครับ

พอได้ที่นั่งดีๆ แล้วพวกเราก็เริ่มที่จะไปตักอาหารมาทานกันแล้ว พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยด้วยความสนุกสนาน โดยเฉพาะเหตุการณ์ช่วงบ่ายที่ผ่านมาในการเรียนแลปที่ทำให้พวกผมได้ทำความรู้จักเพื่อนคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันมากยิ่งขึ้น แต่ที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษคงเป็นกลุ่มแลปของ “ไอ้ข้าว”

“พวงมึงเอ๊ย! หลังจากที่กูไล่ชื่อตามกลุ่มที่บอร์ดหน้าห้องเสร็จ กูก็เดินตามมาหมายเลขโต๊ะแลปไปเรื่อยๆ แต่พอกูเจอโต๊ะกลุ่มแลปของกูเท่านั้นแหล่ะ มึงรู้ไหมกูเจออะไร!”

“กูเจอ ไข่มุก เว้ย! นั่งสายตาดุๆ ไล่มองกูจากหัวจรดเท้า ตอนนั้นกูรู้สึกขนลุกซู่เลย”

“ทำไมกูดวงดีขนาดนี้ว่ะ!!!”


ไอ้ข้าวมันเล่าด้วยท่าทางที่เล่นใหญ่มากครับ ทำเอาผมและไอ้ตาวนั่งขำกับอาการของมัน


“กูเลยเดินเข้าไปถามว่า เธอๆ เธออยู่กลุ่มโต๊ะนี้ใช่ไหม”

เขาก็ตอบกูมานิ่งๆ ว่า “ใช่ แล้วทำไมเหรอ”

“กูก็ช็อคซิ ไม่ได้เตรียมใจมาว่าจะเจอไข่มุกไง กูเลยพูดสุภาพๆ กับเขาไปว่า เอ่ออ…เราอยู่กลุ่มเดียวกันนะ”

“เขาก็พยักหน้ารับรู้เฉยๆ ว่ะ กูนี้โคตรเกร็ง! เลยมองหาเพื่อนที่พอจะคุยทักทายได้จากโต๊ะแลปรอบๆ แทน แต่เหมือนโชคจะยังอยู่กับกูนิดๆ ตรงที่แลปเมทอีกคนคือ ต้นหอม คนที่กรี๊ดกูกับมึงเมื่อวานนี้อ่ะ ไอ้เหมา!”

“นั่นแหล่ะที่กูกังวล (-_-) กูกลัวว่ามึงจะไปพูดเรื่องบ้าบอไร้สาระให้ต้นหอมฟังอีก”

“ไอ้ตาวมึงหยุดขำเลย” ผมพูดแทรกการเล่าของไอ้ข้าวให้มันฟัง แล้วหันไปดุไอ้ตาวนิดๆ ไอ้นี้ก็หัวเราะเพื่อนอยู่ได้ แต่มันก็พูดสวนกลับขึ้นมาว่า

“แต่มึงก็เหมาะกับไอ้ข้าวดีนะ คู่จิ้นๆ”

“ถ้าดังนะมึงเอ้ย! พวกมึงอาจจะเป็นเน็ตไอดอล คิ้วท์บงคิ้วท์บอยอะไรพวกนั้นก็เป็นได้”

“ไม่เอาโว้ยยยยย ไอ้ตาวมึงหยุดจินตนาการอะไรบ้าๆ ของมึงเลยนะ กูจะร้องไห้”

“โอ่ๆๆ มาๆ เดี๋ยวพี่ข้าวจะปลอบน้องเหมาเอง”

“เดี๋ยวโดนๆ ไอ้ข้าว” ผมก็ทำท่ายกหมัดขึ้นมาจะตีไอ้ข้าวให้ได้เลย ในขณะที่มันกำลังทำท่าจะเข้ามากอดผมจริงๆ และยังกล้าเรียกแทนตัวว่า “พี่ข้าวกับน้องเหมา” อีก!

“แล้วเป็นยังไงว่ะ ตอนทำงาน” และเป็นไอ้ตาวที่พาบทสนทนากลับสู่ภาวะปกติ

“ก็ดีนะมึง อย่างไข่มุกอ่ะดูจริงจัง ตั้งใจทำงานแลปมากเว้ย ไม่มีท่าทางอารมณ์ฉุนเฉียวแบบวันนั้นเลย”

“เอ่ออ…หรือเขาแค่ไม่ชอบกูว่ะ” ผมเลยพูดในมุมความคิดของผม

“กูว่าไม่หรอก ไอ้เหมามึงคิดมาก เขาอาจจะอยากให้งานแลปเสร็จเร็วๆ หรือเปล่า เพราะเขาคงรำคาญไอ้ข้าวงี้” ไอ้ตาวพูดแย้งขึ้นมา

“อืม กูว่าไอ้ตาวอาจจะพูดถูก เห้ย!! เดี๋ยวๆ ไอ้ตาว นี้มึงกำลังว่ากูเหรอ?” จากที่กำลังคิดมากในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ ก็ต้องเผลอหลุดขำออกมากับความปัญญาอ่อนของไอ้ข้าวที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าโดนไอ้ตาวด่า

“เปล่าๆ กูแค่พูดให้ไอ้เหมาสบายใจ 555” คำพูดแก้ต่างของไอ้ตาวไม่ได้ทำให้ไอ้ข้าวดูดีขึ้นมาเลย ผมเลยเปลี่ยนเรื่องไปที่ต้นหอมแทน สังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าไอ้ข้าวต้องทำอะไรชั่วๆ เอาไว้แน่นอน

“มึง! แล้วต้นหอมล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ผมถามไอ้ข้าวไป พลางคีบชิ้นหมูจากหม้อชาบู

“555 รายนั้นเหรอ ทีแรกที่รู้ว่ากูอยู่กลุ่มแลปเดียวกันนี้ มีกรี๊ดอ่ะมึง กูก็งงเลยดิ”

“แล้วเขากรี๊ดทำไมว่ะ หรือต้นหอมก็รังเกียจมึงอีกคน” ไอ้ตาวแขวะไอ้ข้าวอีกครั้ง

“ไอ้ตาว!” ไอ้ข้าวเรียกชื่อมันที่กำลังยิ้ม พร้อมกับหันมามองแรงหนึ่งที

“ทีแรกกูก็งง แต่ไม่ใช่แค่กูนะ ไข่มุกก็ตกใจหันมามอง”

“กูก็เลยถามไปว่า กรี๊ดทำไมเหรอ? แล้วกูก็งงมากกับคำตอบ เพราะต้นหอมตอบว่า”


/////

“คือแบบบบ…เอ่ออ…นายเข้าใจไหมอ่ะ คือว่า เราก็จิ้นนายกับเหมาไง แล้ว…แล้วมาเป็นแลปเมทด้วยกันมันก็เลยเขินๆ ทำตัวไม่ถูก มีคำถามมากมายที่อยากรู้เกี่ยวกับนายและเหมาอ่ะ อยากให้เป็นคู่เรียล”
“นายเข้าใจไหม แบบว่า…คนมันปลื้มและดีใจ!”

/////


“พอกูได้ฟัง กูก็งงซิครับ 555 มันเป็นไปได้ขนาดนั้นเลยหรือว่ะ”

“555 กูว่าแล้วต้องมีคนคิดแบบนี้” ไอ้ตาวพูดขึ้นมาพร้อมกับแกล้งทำท่าทางม้วนเขินจนน่าถีบ

“ไอ้ตาว!/ไอ้ตาว!” ผมกับไอ้ข้าวพร้อมใจกัน หันไปพูดกึ่งดุในน้ำเสียงใส่มัน แต่ท่าทางของไอ้ตาวกลับหัวเราะชอบใจเข้าไปใหญ่ ไม่ได้สำนึกเลยสักนิด

“แล้วมึงได้ไปพูดอะไรผิดๆ ให้ต้นหอมฟังหรือเปล่า” ผมถามมันไป แต่ยังโชคดีที่มันปฏิเสธ เพราะอย่างที่บอกครับว่า แลปค่อนข้างยุ่งเลยไม่ค่อยมีโอกาสคุยนอกเรื่องสักเท่าไร และมันก็ยังเกร็งๆ กับไข่มุกด้วย เลยไม่มีช่องว่างให้ต้นหอมได้ซักถามอะไรมากนัก แต่ไม่วายทิ้งท้ายว่าคาบถัดๆ ไปก็ไม่แน่ ถ้ามีเวลาว่างมันจะใส่ไฟเรื่องมันกับผมให้ต้นหอมได้ฟัง

“กูเตือนไว้ก่อนเลยนะไอ้ข้าว! ถ้ามีข่าวลืออะไรแปลกๆ ออกมาอีก มึงได้เจ็บตัวแน่!”

“555 โอ๊ยย กลัวแล้วครับน้องเหมา” มันแสร้งพูดและแสดงท่าทางหวาดกลัวแบบน่าถีบออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของทั้งไอ้ข้าว ไอ้ตาว

“แล้วของพวกมึงล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ไอ้ข้าวถาม

“กูก็ดี เรื่อยๆ/ของกูก็โอเค” ผมและไอ้ตาวก็ตอบกลับไป

“เดี๋ยวกูไปเติมน้ำก่อน ฝากหยิบอะไรไหม” ผมถามไอ้เพื่อนทั้งสองคน ก่อนที่จะลุกขึ้นไปเติมน้ำดื่มใส่แก้วแบบรีฟีล แต่พวกมันก็ส่ายหัวทั้งคู่ เพราะเริ่มจะมีอาการอิ่มกันหมดแล้ว

ระหว่างที่ผมกำลังกดน้ำอัดลมจากตู้อยู่นั้น ก็มีคนมากดน้ำอยู่ด้านข้างเช่นกัน ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะหันไปดู ถ้าไม่มีเสียงกวนๆ ทักขึ้นมาก่อน

“หึ! สวีทกับผู้ชายไม่เกรงใจหน้าตาของคุณลุงเลยเนอะ” พอได้ยินประโยคข้างต้น ผมก็สงสัยจึงรีบหันไปมอง ก็พบว่า ไอ้ผู้ชายที่ยืนข้างๆ ผมก็ไม่ใช่ใคร มันคือ “หลานของเจ้านายที่ทำงานของพ่อผมเอง” ที่เคยไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไง

แต่…มันชื่ออะไรก็ไม่รู้? ผมลืม!

แต่ประเด็นอยู่ที่ประโยคลอยๆ ที่มันกล่าวมาเมื่อสักครู่ ผมจึงหันไปมองรอบข้างตอนนี้ แต่ก็มีแค่ผมกับมันที่กำลังยืนกดน้ำอยู่
ฉะนั้น

“มึงว่าใคร?”

ผมหันไปถามมันอย่างเอาเรื่อง แต่มันกลับไม่ตอบอะไร และยังเดินหันหลังหนีผมไปด้วยซ้ำ พอสังเกตโต๊ะที่มันเดินกลับไป ก็ร่ายล้อมไปด้วยเพื่อนๆ ปี 1 ของมันเกือบสิบคนเห็นจะได้

“ใจเย็นไว้ๆ มันมากันหลายคน ไอ้เหมา!”

“มึงอดทนไว้ๆ เดี๋ยวสักวันกูต้องมีโอกาสเอาคืนมึงแน่”

ตอนนี้ผมพยายามหายใจเข้าออกด้วยแรงหนักๆ เพื่อระงับความโมโห พวกมันมากันหลายคนแถมเป็นเด็กวิศวะด้วย ถ้าเข้าไปบุกตอนนี้ คงจะเป็นผมเองที่ไม่รอด

แล้วก็ตัดสินเก็บความโมโหเดินกลับโต๊ะ เพื่อคิดเงินก่อนที่จะแยกย้ายกลับบ้าน โดยที่ไอ้ตาวและไอ้ข้าวตัดสินใจเดินไปส่งผมที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยก่อน แล้วพวกมันจึงเดินกลับไปยังหอในด้วยกัน
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 8 (15/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-04-2019 13:35:01
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 8 (15/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-04-2019 15:03:44
 :L2: :pig4:

ตัวเล็กใจใหญ่อ่า
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 9 (15/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 15-04-2019 20:09:55
Chapter 9


หลังจากที่บอกลาไอ้ข้าวและไอ้ตาวไปแล้ว ผมก็เดินกลับมานั่งรอบริเวณป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อกลับบ้าน ตอนนี้เวลาก็เกินหนึ่งทุ่มครึ่งมานิดหน่อย ระหว่างที่นั่งรอรถเมล์ ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาเล่น เพื่อดูว่าพรุ่งนี้มีเรียนอะไรบ้าง ปรากฏว่า

“พรุ่งนี้สบายครับ 555”

เพราะมีเรียนแค่ช่วงบ่าย เป็นวิชาภาษาอังกฤษและภาษาไทย คาบละหนึ่งชั่วโมงครึ่งเอง ชิลๆ ทำให้ช่วงเช้าพรุ่งนี้ของผมว่าง มีเวลาได้กลับไปช่วยแม่ขายโจ๊กเหมือนเดิมแล้ว งานลูกดีเด่นต้องมา 555

และระหว่างที่รอ ผมก็เล่นโซเชียลต่างๆ สลับกับเงยหน้าขึ้นไปมองรถเมล์ที่ผ่านไปมา แต่ยังไม่เจอสายที่ผ่านหน้าปากซอยของบ้านผมสักที เวลาในมือถือตอนนี้ก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว แต่การกลับบ้านในช่วงเวลาแบบนี้ถือว่า ปกติ เพราะช่วง ม.ปลาย ก่อนสอบเข้ามหาลัย ผมและเพื่อนไปติวสอบด้วยกันเลิกดึกกว่านี้อีก

ขณะที่นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยๆ ข้อความเตือนจากแอปสีเขียวก็เด้งขึ้นมา ทำให้ผมต้องนั่งขำภาพและข้อความมากมายในแชทกลุ่มเพื่อนแก๊งค์ ม.ปลาย ที่ลงรูปจากงานรับน้องของแต่ละคน

แต่จู่ๆ ก็มีเสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้นมาดึงความสนใจของผมจากมือถือ พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับรถเก๋งสีดำคันสวยที่กำลังจอดนิ่งหน้าป้ายรถเมล์แห่งนี้ ด้วยความสงสัยผมจึงมองไปรอบๆ ก็พบ ผู้หญิงวัยทำงานสองคนที่กำลังนั่งรอรถเมล์ แต่ดูจากสีหน้าและสายตาก็คงสงสัยเช่นเดียวกันกับผม เพราะทั้งสองคนกำลังมองไปที่รถคันสีดำ แล้วก็ย้อนกลับมามองที่ผมแทน

ผมจึงได้แค่ยิ้มและส่ายหัวเชิงปฏิเสธไปเล็กน้อย เพื่อบอกว่า “ผมไม่รู้จักรถคันนี้” เพราะปกติไม่มีใครเขามาจอดรถที่หน้าป้ายรถเมล์แบบนี้หรอกครับ งั้นก็แสดงว่า “คนที่รอรถเมล์อยู่ตอนนี้ ก็ไม่มีใครรู้จักเจ้าของรถเก๋งสีดำคันนี้ซินะ”

แต่ถ้าอยากจะจอดรถตามอำเภอใจขนาดนี้ ไอ้เจ้าของรถน่าจะซื้อถนนหน้ามหาลัยของผมไปซะเลย ถ้าคิดอยากจะจอด จนไม่ใส่ใจสถานที่ซะขนาดนี้ เพราะตรงนี้มันที่รอรถเมล์นะเว้ย!!!

“พลั่ก!” เสียงเปิดประตูรถฝั่งคนขับดังขึ้น ทันทีหลังจากเสียงเครื่องยนต์ได้ดับลง เอาแล้ว! ไอ้เหมา!

ใครว่ะมึง? หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แฟนของเจ๊ที่กำลังรอรถเมล์คนใดคนหนึ่งมาตามกลับบ้านหรือเปล่า 5555 แต่ถ้ามันเป็นโจรแล้วคิดจะมาชิงทรัพย์ผม อย่างน้อยก็อุ่นใจว่ะ! ที่ไม่ได้ของมีค่าอยู่กับตัว และอย่างน้อยถ้าถูกปล้นหรือฆ่าก็มีพยานรู้เห็น

เอ่อ…พอคิดๆ ดูแล้ว สภาพรถที่มันขับกับสถานะทางการเงินของผมในตอนนี้ น่าจะเป็นผมเองมากกว่าที่จะไปชิงทรัพย์ไอ้เจ้าของรถ แต่ความมโน ความเพ้อพกทั้งหมดก็หายไป เมื่อได้เห็นใบหน้าเจ้าของรถ

“ความอยากกระโจนไปสตั้นท์ใบหน้า” ก็ผุดขึ้นมาแทนที่ ก็เพราะไอ้คนที่ลงมาจากรถ คือ


คือ...


เอ่ออ...มันชื่อว่าอะไรนะ?

ไอ้หลานชายรองประธานบริษัทที่พ่อของผมทำงานอยู่อ่ะ

ไอ้..ไอ้...ช่างมันเถอะ

แต่มันคือคนที่เพิ่งพูดจากวนบาทาผมที่ร้านชาบู และตอนนี้มันกำลังเดินมุ่งมั่นตรงมาที่ที่ผมกำลังนั่งอยู่ครับ สีหน้าของมันดูโรคจิตมาก เพราะรอยยิ้มที่ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งของมัน คล้ายกับว่ากำลังจะเอามีดมาแทงผม

แต่ยังไม่ทันที่จะได้มองหาทางหนีทีไล่ มือของมันก็เอื้อมมาคว้าแขนของผมเอาไว้ แล้วดึงกระชากให้ลุกขึ้น คล้ายกำลังจะลากผมไปยังรถยนต์ของมันที่จอดอยู่ริมฟุตบาท


“ไอ้…ไอ้…มึงจะทำอะไรกูว่ะ ปล่อยนะเว้ย”


ตอนนี้ผมทั้งตกใจและอึ้งกับท่าทางของมัน พยายามรั้งตัวเองไว้ไม่ให้ลุกตามแรงดึงและใช้มืออีกข้างที่ว่างแกะมือของมันออกจากแขน เอาซิว่ะ! ตัวเท่าๆ กัน แค่มันสูงกว่าผมนิดหน่อยเอง ใครจะอยู่ใครจะไป!

แต่…ตอนนี้ ไอ้เหมากำลังจะร้องไห้แล้ว! เพราะตัวผมกำลังจะปลิวไปตามแรงดึงของมัน ตัวของผมก็ใกล้จะถึงรถของมันแล้ว หนทางสุดท้ายเพื่อเอาชีวิตรอด คือ “ตะโกนขอความช่วยเหลือ”


“ช่วยด้วยครับ! พี่ครับ ช่วยผมด้วย!”


ผมแหกปากไปสุดชีวิต เพื่อหวังให้พี่ผู้หญิงทั้งสองคนมาช่วยผม หรือแจ้งตำรวจก็ได้ ผมกลัวมันจะพาผมไปฆ่า ผมยังไม่อยากตายนะ


“มึงจะแหกปากหาอะไรว่ะ ไอ้เหมา กูไม่ได้จะพามึงไปฆ่าสักหน่อย”

มันกระซิบเบาๆ อย่างกัดฟันบอกผม นั้นไง! ที่ผมคิดเอาไว้มันจริงๆ ด้วย ไอ้ชั่วนี้กำลังจะพาผมไปฆ่า แต่เอ๊ะ! มันจำชื่อผมได้ด้วย?

“พี่ครับบบบ! ช่วยผมด้วย ผมไม่รู้จักเขา ช่วยผม…”

“ไม่มีอะไรครับพี่ แฟนผมเขาโกรธอยู่ครับ แต่ผมเลิกกับเขาไม่ได้จริงๆ ผมรักเขามาก”

ห่ะ???

ใครแฟนมึง?

 กูไปโกรธอะไรมึงตอนไหน ร่างกายผมสตั้นท์ไปทันทีกับคำพูดของมัน แต่จังหวะนั้นถูกใช้เป็นโอกาสของไอ้เอี้ยนั่น เพราะร่างของผมถูกกระชากเข้าไปนั่งในรถทันที นี้ผมต้องโดนมันฆ่าแน่ๆ ใช่ไหมอ่ะ T-T แม้จะพยายามปลดล็อครถแค่ไหนก็ออกไม่ได้

เอี้ยเอ้ย!


/////
“ผมต้องขอโทษที่ทำให้พี่ตกใจด้วยนะครับ ผมรักแฟนมากจริงๆ”

“เอ่อ…คุยกันดีๆ นะคะน้อง” พี่ผู้หญิงสองคนนั้นบอกด้วยเสียงสั่นๆ และมีสีหน้าที่ตกใจ อาจจะกำลังงงกับเหตุการณ์ฉุดกระชาก หรือกำลังตกใจที่ผู้ชายสองคนเป็นแฟนกันก็ไม่รู้
/////


ไอ้เอี้ยนั้นมันกำลังจะขึ้นมาบนรถแล้วครับ หลังจากที่เห็นมันคุยอะไรไม่รู้กับพี่ผู้หญิงสองคนนั้น ผมต้องใช้โอกาสนี้ในการหนี

“พลั่ก! มึงหยุดเลย ถ้าไม่อยากให้พ่อมึงเดือดร้อน”

การเคลื่อนไหวของผมถูกหยุดชะงักลงด้วยคำพูดของมันที่เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูรถแล้วหนีออกไป ผมจึงกลับมานั่งตัวตรงอยู่กับเบาะข้างคนขับเหมือนเดิม ไอ้เอี้ยนั้นก็เข้ามานั่งเบาะคนขับพร้อมกับเสียงล็อคของประตูรถ

เสียงสตาร์ทรถและแอร์ก็ดังขึ้น แต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ของตัวรถ แล้วตอนนี้ พี่ผู้หญิงทั้งสองคนก็ได้ขึ้นรถเมล์ไปเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกตอนนี้มันบอกไม่ถูกเลยครับ

“มันกลัว ตกใจ กลัวว่าผมเองจะถูกเอาไปฆ่าจริงๆ”

ตอนนี้ในใจผมคิดถึงป๊าและแม่มากๆ เลย รวมทั้งไอ้ไทม์และเดอะแก๊งค์ที่มันจะคอยช่วยเหลือผมอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่า

“ไอ้เอี้ยนี้ ไปโกรธหรือโมโหอะไรผมมา”

เพราะผมสาบานได้เลยว่า ครั้งแรกที่เจอมันคือตอนไปกินข้าวเที่ยง และครั้งที่สองก็วันนี้ที่ร้านชาบู ผมไม่เคยไปกวนบาทามันเลยสักครั้ง ความเงียบก็ยังคงปกคลุมภายในรถที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อย่างต่อเนื่อง ผมจึงแอบเงยหน้าไปมองมันนิดๆ แต่เหมือนมันจะรู้ตัวว่าผมแอบมองอยู่ มันเลยตวัดหน้ากลับมามอง

ผมก็ตกใจซิครับ! รีบหันหน้าออกไปมองหน้าต่างทันที


“เฮ้ออออ…บ้านมึงอยู่ไหน กูจะไปส่ง” นั้นคือน้ำเสียงไอ้ข้างๆ ผมที่ถามขึ้นมา หลังจากที่ผมและมันต่างเงียบกันมาสักพัก

“ม่ะ…ไม่ต้อง ไม่ต้อง กูกลับเองได้ มึงแค่ปล่อยกูลงก็พอ” ผมก็ตอบมันกลับไปด้วยนำเสียงสั่นๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ยังคงหันหน้าออกไปมองป้ายรถเมล์

“มึงกลัวกูเหรอ เสียงสั่นเชียว หึๆ”

“เปล่า…เปล่าสักหน่อย ปล่อยกูลงได้แล้ว กูกลับเองได้” เอี้ยเอ้ย! น้ำเสียงที่พูดออกมาไม่ให้ความร่วมมือกับตัวเองเลย

“ไอ้เหมา! กู-จะ-ไม่-ถาม-ซ้ำ นับ หนึ่ง…สอง…” น้ำเสียงมันเหมือนจะมีอารมณ์โมโหแล้ว เพราะมันพูดเน้นๆ ช้าๆ ทุกคำเลย
ไอ้เอี้ย! มึงกดดันกูเพื่ออะไร

“บอกๆๆๆ อยู่แถว xxx มึงขับไปก่อน เดี๋ยวกูบอกทาง” ผมจำใจต้องพูดบอกมันออกไป เพราะยังรู้สึกกลัวมันอยู่

“ก็แค่นั้น”

และในที่สุดรถของมันก็เคลื่อนตัวออกจากป้ายรถเมล์ มุ่งหน้าไปยังบ้านของผม โดยที่มีเพียงบทสนทนาในการบอกเส้นทางเท่านั้นที่เกิดขึ้นบนรถ เว้นแต่เพลงเศร้าๆ อกหักที่ดังขึ้นจากเครื่องเสียงของรถมัน

จนในที่สุดรถก็เคลื่อนที่ผ่านการจราจรที่ติดขัดในบางช่วงของท้องถนน มาถึงหน้าปากซอยทางเข้าบ้านผม ซึ่งเป็นผมเองที่บอกให้มันจอดแค่ตรงนี้

“ไหนบ้านมึง” ไอ้เอี้ยข้างๆ ถามขึ้นมา

“อยู่ในซอย ส่งแค่นี้แหล่ะ กูไปแล้ว” ผมรีบตอบมันออกไป พร้อมกับจะเปิดประตูลงแล้ว ไม่อยากอยู่กับมันให้นานกว่านี้สักวินาทีเดียว

“หยุด! อย่าเพิ่งลง”

“อะไร!” ตอนนี้น้ำเสียงของผมเริ่มเดือดขึ้นมานิดหนึ่งแล้วครับ แต่มันไม่สนใจที่จะตอบคำถามผมเลย มันกลับเลี้ยวรถเข้าซอยไป

“เห้ย! จะไปไหน ส่งกูแค่นี้ก็พอ”

“มึงบอกทางกูมา ว่าบ้านมึงอยู่ตรงไหน หลังไหน” มันยังคงขับรถต่อไป ไม่ฟังเสียงทักท้วงของผมเลย

“ขับตรงไปก่อนนิดหนึ่ง” เมื่อมันเลือกที่จะไม่รับฟังผม ผมจึงจำใจบอกทางให้มันขับไปส่งถึงหน้าบ้าน แต่พอถึงบริเวณหน้าบ้าน ก็เจอกับเจ๊หลิน! ที่กำลังเอาถุงขยะมาทิ้งที่ถังขยะรวมเยื้องหน้าบ้านพอดี

“ทำไมเจ๊ต้องมาขยันตอนนี้!” ผมบ่นขึ้นมาในใจ

“ซวยแล้ว!” ผมเผลออุทานเบาๆ เมื่อเห็นเจ๊หลินที่กำลังมองมาที่รถด้วยความสงสัย เพราะรถของมันจอดที่ทางเข้าหน้าบ้านพอดี

“มึงพูดว่าอะไรนะ” ไอ้เอี้ยข้างๆ ถามขึ้นมา

“ไม่มีอะไรๆ กูลงแล้ว ขอบใจที่มาส่งแต่วันหลังไม่ต้อง”

ผมรีบพูดไม่รงไม่รออะไรแล้ว กลัวมันจะรั้งผมไว้เหมือนที่หน้าปากซอย พอลงจากรถได้ ผมก็รีบดึงกลอนประตูเล็กหน้าบ้าน แล้ววิ่งเข้าไปในบ้านทันที

“ผมไม่อยากเจอมันแล้วโว้ยยยยยยย ไม่ว่าจะเหตุจำเป็นหรือเหตุบังเอิญใดๆ”

หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 9 (15/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-04-2019 20:31:02
 :laugh:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 9 (15/04/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-04-2019 20:36:34
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 10 (4/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 04-05-2019 12:48:46
Chapter 10


“ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ ...”


เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือแจ้งเตือนดังขึ้น เรียกให้ผมที่กำลังนอนหลับต้องงัวเงียขึ้นมาปิดเสียง

ตอนนี้ก็เป็นเวลาตี 5 พอดี ไหนๆ ก็ไม่มีเรียนช่วงเช้าแล้ว ก็ขอทำตัวเป็นเด็กดี ช่วยแม่ตั้งร้านก่อนดีกว่า

หลังจากแปรงฟัน ล้างหน้า เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลงมาชั้นล่าง เห็นแม่กำลังทำอาหารมื้อเช้าให้สมาชิกในบ้าน เพื่อให้ป๊าและลูกๆ ได้ทานตอนเช้า



“ผมมาช่วยแล้วครับ แม่”

“ในครัวไม่มีอะไรให้ช่วยแล้ว เหมา”

“เอางี้ดีกว่า ลูกไปเปิดร้านที่หน้าปากซอยเลย เตรียมโต๊ะเก้าอี้ไปก่อนล่ะกัน เดี๋ยวแม่ตามไป”

“โอเคครับ”



นั้นแหล่ะครับ หน้าที่โดยปกติของผม เวลามาช่วยแม่ขายโจ๊กตอนเช้า คือ การจัดโต๊ะ เช็ดเก้าอี้ กวาดถูพื้น บลาๆ แล้วแต่ที่ไอ้เหมาจะทำได้ เพราะถ้าให้ผมไปทำอะไรเกี่ยวกับโจ๊กนะ

บอกได้คำเดียวครับว่า



“ได้เป็นโจ๊กแน่นอน แต่ “เละ!” เป็นโจ๊กนะ 555”



ฝีมือการทำกับข้าวของผมไม่ถึงขนาดห่วยนะ แต่ก็ไม่อร่อย ทำอาหารกินเองทีไร จืดชืดตลอด หรือไม่ก็เอ่อ...ทานไม่ได้เพราะไหม้ 555 ตอนนี้ทำได้ดีที่สุดแค่ต้มมาม่าและไข่เจียว

หลังจากเดินออกจากบ้านอย่างเตร็ดเตร่ในช่วงบรรยากาศที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแบบนี้ ผมก็เปิดประตูหน้าร้านเป็นที่เรียบร้อย กวาดทำความสะอาดพื้นไปเรื่อยๆ รวมทั้งใบไม้ที่ร่วงลงมาบริเวณหน้าร้าน จากต้นไม้ที่ทางราชการเขาปลูกบริเวณริมทางเท้าด้วย

แม้ตอนนี้พระอาทิตย์จะยังไม่โผล่จากขอบฟ้า แต่ชีวิตของคนทำงานก็เริ่มต้นขึ้นตามธรรมดาของคนหาเช้ากินค่ำแหล่ะครับ เพราะว่าเยื้องถัดไปจากหน้าร้าน จะเป็นป้ายรถเมล์ประจำที่ผมจะใช้รอรถเมล์ เพื่อเดินทางไปเรียนตั้งแต่มัธยมจนมหาลัย

สักพักก็เห็นเจ๊หลินกำลังถีบจักรยานมาถึงที่ร้าน โดยมีแม่เป็นคนนั่งซ้อนท้ายออกมาจากซอย น่ารักใช่ไหมล่ะ บ้านของผมเอง

แต่พอมาถึงหน้าร้านเท่านั้นแหล่ะครับ เจ๊หลินก็จอดจักรยานและเริ่มทำงานทันที แต่ไม่ใช่การเตรียมวัตถุดิบหรือยกถ้วยยกหม้อนะ แต่เป็นปากของเจ๊แกต่างหากที่เริ่มทำงาน



“ไอ้เหมา มานั่งนี้เลยแก มาให้ฉันกับแม่สอบสวนแกซะดีๆ”


อ้าวซวยอีกแล้ว!


ไอ้เหมาทำอะไรผิดว่ะ นึกยังไงก็นึกไม่ออก ผมจึงเดินไปเก็บไม้กวาดให้เข้าที่ แล้วเดินมานั่งรอเจ๊หลินที่โต๊ะ

เพื่อรอตอบคำถามอะไรก็ไม่รู้ ตอนนี้เจ๊แกก็เดินออกมาพร้อมกับหม้อและอุปกรณ์ต่างๆ มากมายจากห้องครัวหลังร้าน พอแม่เดินมาสบทบที่หน้าร้าน การสอบสวนก็เปิดฉากขึ้นทันที



“ไอ้เหมา เมื่อวานแกทำอะไรไว้ เล่ามาเดี๋ยวนี้”

“อะไรอ่ะเจ๊ เหมาไม่เข้าใจ เมื่อวานเราเจอกันแค่ตอนผมกลับเข้าบ้านเองนะ เหมายังไม่ได้ทำอะไรเจ๊เลย”

“นั้นแหล่ะย่ะ!”

“หาาา ???”



ตอนนี้ผมงงไปเรียบร้อยแล้ว เจ๊กำลังพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าให้นึกย้อนเหตุการณ์กลับถึงบ้านเมื่อวาน

ก็...

...เจ๊กำลังทิ้งขยะหน้าบ้าน?

...ไอ้เอี้ยนั่นมาส่งที่หน้าบ้าน?

...ผมรีบวิ่งเข้าบ้าน?

แล้วสรุปผมไปทำอะไรผิดเนี่ยะ ไม่เข้าใจสักอย่างเลย ผมเลยหันไปมองที่แม่ที่กำลังเทข้าวสารลงหม้อโจ๊ก



“แม่ครับ แม่เข้าใจที่เจ๊เขาพูดไหม เหมาไม่เห็นจะเก็ทเลย”

“หลินนี้ก็...ไม่ถามน้องไปตรงๆ ซะเลยล่ะ” นี้ไงครับแม่กำลังจะช่วยให้ผมหายสงสัยแล้วทีนี้

“คือ เมื่อวานเหมากลับบ้านมายังไงลูก?” แต่คำพูดของแม่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการงงปนสงสัยของผมดีขึ้นเลย

“หือ! เอ่อ..คือ อ๋อ! เมื่อวานเพื่อนมันมาส่งอ่ะครับ เหมาไปกินชาบูกับเพื่อนมาไง ที่บอกแม่ว่าจะกลับบ้านดึกหน่อย”



ผมตอบกลับไปอย่างรนๆ เท่าที่พอจะนึกออกได้



“ถ้างั้น แล้วทำไมถึงทิ้งเพื่อนไว้อย่างนั้น ไม่ชวนเพื่อนเข้ามากินน้ำกินท่าก่อน”

“เราเนี่ยะ! นิสัยไม่ดีเลย! เพืื่อนเขาอุตส่าห์มาส่ง แล้วหลังจากขึ้นชั้นบนไป ก็ไม่ลงมาต้อนรับอะไรเขาเลย ปล่อยให้เพื่อนนั่งรออยู่ตั้งนาน”



ห่ะ! แม่พูดแบบนี้แสดงว่า “มันเข้ามาในบ้านผมเหรอ”

ใครชวนมันเข้ามาในบ้าน?

ผมอยากจะบ้าตาย!



“ดีนะที่ฉันสงสัย เลยเคาะกระจกรถของเพื่อนแกถาม เพราะไม่เห็นขับรถออกไปสักที หลังจากที่แกวิ่งลงจากรถ แล้วเข้าบ้านไป

“ฉันเลยชวนเพื่อนแกเข้ามานั่งเล่นในบ้านก่อน”



โห่! เจ๊ช่างเป็นคนมีน้ำใจเหลือเกิน แต่จะรู้บ้างไหมว่า ไอ้คนที่ชวนมานั่งพักในบ้าน เกือบจะฆ่าน้องชายคนนี้ของเจ๊แล้ว



“แล้วยังเดือดร้อนฉันที่ต้องขึ้นไปเรียกแกบนห้อง แต่พอเข้าไป ฉันก็เห็นแกหลับไปแล้ว เพื่อนเขาเลยต้องมารอแกเก้อเนี่ยะ”

“หัดรู้จักขอบคุณในน้ำใจของเพื่อนแกบ้าง เขาอุตส่าห์มาส่ง บ้านเขาก็อยู่คนละทางกับบ้านเราด้วยซ้ำไป”



ชัดเลยครับ เมื่อฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากเจ๊หลิน ไอ้เอี้ยนั่นมันคงหลอกล่อให้เจ๊เข้าใจว่า ผมกับมันเป็นเพื่อนกันแน่ๆ ถึงทำให้เจ๊ลากมันเข้าบ้านมาได้



“เอ่อ...”



ผมไม่รู้จะตอบแม่กับเจ๊ยังไงเลยทีนี้ จะบอกว่าไม่รู้จักมัน มันไม่ใช่เพื่อนผม หรืออะไรยังไงในตอนนี้ ผมคงจะผิดทุกทางแน่ๆ เช้านี้คงไม่สดใสเป็นแน่

หรือจะให้บอกไปตรงๆ ก็กลัวจะตกใจ หรือบางทีแม่กับเจ๊อาจจะเชื่อคำพูดของไอ้เอี้ยมันกว่าผมก็เป็นไปได้



“ทีหลังก็ชวนเพื่อนมานั่งพักกินน้ำก่อนก็ได้ หรือถ้ามันดึกมากก็ชวนเพื่อนนอนค้างที่บ้านเราไปเลย ขับรถดึกๆ แม่ว่ามันอันตราย”



โห้ยยย สถานการณ์ตอนนี้กู่ไม่กลับแล้วครับ “แม่ของผม” แค่ไม่กี่ชั่วโมงมันทำให้แม่กับเจ๊เชื่อใจมันได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้เอี้ยนั้นมันคงร้ายกาจกว่าที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ T-T



"ไม่ต้องมาทำหน้าตาอย่างนั้นเลยย่ะ! แกนะผิดเต็มๆ และก็เตรียมตัวรอโดนป๊าดุอีกรอบเลย"

"ป๊าบอกว่า เพื่อนแกเขาเป็นถึงลูกหลานของรองประธานบริษัทที่ป๊าทำงานอยู่ เมื่อคืนป๊าก็บ่นแกใหญ่เลยว่าแกเป็นเด็กไม่ดี"

"แต่เพื่อนแกเขาก็ดีนะที่ไม่ว่าอะไรแก แต่เชื่อฉันเลยว่า งานนี้แกโดนทำโทษหนักแน่ๆ เหมา!"

"เอ๊ะ! หลิน เรานี้ก็ไปพูดขู่น้อง ป๊าเขาก็ไม่ได้บ่นอะไรขนาดนั้นสักหน่อย"



แม่ก็พูดเอ็ดว่าเจ๊หลินพร้อมกับยิ้มนิดๆ ก่อนจะลงมือทำโจ๊กเพื่อเตรียมขายต่อไป ตอนนี้ผมกำลังโดนรุมประนาฌ เอ้ย! รุมบ่นเต็มๆ สองรูหูของไอ้เหมาแต่เช้าเลยวันนี้ อุตส่าห์ไม่มีเรียนทั้งที

จากบทสนทนาเมื่อเช้ามืดจากแม่และเจ๊ ก็ทำให้หัวของผมมีแต่ความสงสัยและความโมโหในตัวมัน ถึงแม้ว่ามือและขาของผมจะยังทำงานไม่หยุดก็ตาม แต่ก็มีแอบเหม่อหรือเผลอคิดหาทางเอาคืนจนโดนเจ๊หลินด่าอีกครั้งจนได้

ทำไมรู้สึกว่า สถานะของตัวเอง กำลังจะตกจากบังลังค์ลูกรักยังไงก็ไม่รู้

ฝากไว้อีกทีก่อนเถอะมึง "ไอ้เอี้ย" ที่ผมก็ยังจำชื่อมันไม่ได้สักที

หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 10 (4/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-05-2019 20:00:08
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 11 (11/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 11-05-2019 13:17:59
Chapter 11


หลังจากวันนั้นที่เช้าสดใสของผมต้องแปรเปลี่ยนเป็น “สนามอารมณ์” ให้ป๊า แม่และเจ๊หลินบ่นด่าตามความเข้าใจผิดที่สร้างจาก “ไอ้เอี่ย” นั้น


อ๋อ...ผมรู้ชื่อมันแล้วครับ


แต่ไม่ได้เกิดจากการที่ผมเสน่หา นึกชื่อมันขึ้นมาได้เองนะ อย่าเข้าใจผมผิด ถึงแม้มันจะหน้าตาดีก็เหอะ! เพราะผมรู้มาจากป๊าที่เอ่ยถึงชื่อมันตอนบ่นผมนี้แหล่ะครับ


ไอ้นั้นมันชื่อ “ไอ้เอี่ยภูมิ”


แต่แล้วเรื่องราวของ “ไอ้เอี่ยภูมิ” ก็สลายไปตามกาลเวลา

เพราะผมก็ไม่ได้สนใจใส่ใจอะไรมันอยู่แล้ว และหลังจากเปิดเทอมมาได้หนึ่งสัปดาห์ กิจกรรมรับน้องต่างๆ และการเรียนก็เริ่มเข้มข้นขึ้นมาบ้างแล้ว

โดยเฉพาะไฮไลท์ของห้องเชียร์วันสุดท้าย ที่ผมได้มีพี่รหัสและได้รับของขวัญต้อนรับเข้าสายอย่างมากมายจากพี่ปี 2 ถึงปี 6 ซึ่งทำให้ “ไอ้เหมา” สนิทสนมกับพี่ปี 2 เพิ่มมากขึ้นไปโดยปริยาย

ซึ่งผมที่ภูมิใจนำเสนอพี่รหัสของผม นั่นคือ


“พี่นานา” !!!  :impress2:


คนอะไรไม่รู้ทั้งสวย น่ารัก ใจดี และชอบชวนผมไปเลี้ยงขนมที่ร้านน่ารักๆ รอบมหาวิทยาลัย เหมาะกับตำแหน่งดาวคณะของรุ่นพี่ปีสองจริงๆ เลย และนี้เป็นเรื่องราวที่ทำให้ไอ้ตาว ไอ้ข้าวและเพื่อนผู้ชายในรุ่นคนอื่นๆ อิจฉาผมเป็นแถว


แต่เรื่องราวที่เด็ดกว่านั้น คงหนีไม่พ้น การประกาศผลดาวและเดือนของรุ่นผมเอง 555

แค่นึกขึ้นมาก็กลั้นขำแทบไม่อยู่แล้วล่ะครับ

ด้วยความที่คณะของผมในแต่ละรุ่นมีประชากรน้อยกว่าคณะอื่น และคณะก็มีอยู่แค่สาขาเดียว เลยได้ตัวแทนจากการโหวตของเพื่อนๆ และรุ่นพี่ที่ดูแลกิจกรรม ซึ่งผลของการคัดเลือกดาวก็เป็นไปตามความคาดหมาย คือ

“มารี” ลูกครึ่งไทยเยอรมันได้ตำแหน่งนี้ไปครองอย่าง “ใสๆ”

แม้หน้าจะหน้าฝรั่ง แต่ทีเด็ดอยู่ที่การพูดภาษาไทยติดทองแดงที่ทำให้เธอมีเสน่ห์มากๆ เวลาพูด เพราะมารีเรียนและโตที่ไทย เรียนจบมัธยมจากจังหวัดภูเก็ต และความสามารถพิเศษคือ เล่นเปียโน ได้แบบเก่งเวอร์ๆ

แต่ส่วน “ไอ้ที่ขุ่นๆ” เนี่ยะ 555

ก็ผลการคัดเลือก “เดือนคณะ” นั้นแหล่ะ ไม่รู้มีการล็อคผลหรือนับคะแนนผิดหรือเปล่า เพราะไอ้คนที่ได้ตำแหน่งเดือนคณะ ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผมเลย เพราะเดือนทันตะปีนี้ คือ


“ไอ้ข้าว” นะซิ!!!  :oni3:


และหลังจากเสียงประกาศตำแหน่งเดือนคณะในห้องเชียร์วันสุดท้ายจบลง หูของผมนี้ก็ชาและก้องไปด้วยเสียงประกาศชื่อของมัน เหมือนมีเสียง echo ลอยอยู่ในหู


“น้องข้าว ข้าว ข้าว ข้าว ...”


ผมล่ะงงจริงๆ แค่คิดว่า มีคนโหวตให้มันก็ขำแล้ว แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน


แต่นี้???

มีคนโหวตให้มันเยอะ...เยอะจนชนะ!! ได้เป็นเดือนของรุ่น ผมก็ช็อคเลยซิครับ  o22


แล้ววันนั้นหลังจากเสียงประกาศ มันที่นั่งเก้าอี้อยู่ข้างๆ ผมก็เก๊กหล่อเดินขึ้นเวทีไปรับช่อดอกไม้และสายสะพาย พร้อมกล่าวคำขอบคุณเล็กๆ น้อบๆ ที่สมควรจะได้รับมอบ “การถีบก้นงามๆ” จากผมหนึ่งที ในฐานความผิดที่พูดจาโม้โอ้อวด หลงตัวเอง


"ผมต้องขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ และเอฟซีทุกคนที่โหวตให้ผมนะครับ ผมจะพยายามใช้หน้าตาอันหล่อเหล่าที่มี"

"ทำชื่อเสียงให้คณะ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้องต่อไปครับ”


และค่ำคืนนั้น ก็จบลงด้วยคำกล่าวชวนอ้วกของมัน พร้อมทั้งเสียงกรี๊ด เสียงโห่ เสียงขำหัวเราะมากมาย

จนทุกวันนี้ “ไอ้ข้าว” กลายเป็นคนดังในคณะไปแล้ว เดินไปไหนด้วยกันสามคนกับผมและไอ้ตาว มันจะได้รับการทักทายจากรุ่นพี่ตลอดเลยทางเลย ไม่เว้นแม้แต่พี่ปี 5-6 ที่เข้าร่วมงาน ทั้งพูดหยอกล้อ หรือขอสมัครเป็นเอฟซีมันบ้างก็มี

แต่ถ้าเรื่องราวมันจะมีแค่นั้นผมก็คงหมั่นไส้มันเฉยๆ แต่เหตุจากไอ้ข้าวเป็นเดือนคณะ เพื่อนของมันอย่างผมและไอ้ตาวก็ต้องมีภาระเพิ่มมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว คือ หน้าที่ “ดูแลเดือนคณะ”

ให้ตายเถอะ บ้าเอ้ย! เพราะมีวันหนึ่งไอ้ข้าวถูกพี่ๆ ปีสองเรียกพบประชุมเรื่องการเตรียมตัวประกวดาวเดือนของมหาวิทยาลัย แล้วมันก็ลากพวกผมสองคนให้ไปเป็นเพื่อนมัน แต่ระหว่างประชุมคุยงาน ผมและไอ้ตาวที่กำลังนั่งเล่นเกมมือถือรอมันอยู่ ก็ถูกพี่ปีสองเรียกให้มาฟังการอธิบายที่ชวนให้ตกใจ ในภาระหน้าที่นี้


“คนดูแลเดือน คือ ประมาณเป็นพี่เลี้ยงให้เดือนอ่ะน้อง แบบวันประกวดและวันซ้อม หยิบจับของดูแลอาหารการกิน และอาจจะต้องช่วยเดือนในการแสดงความสามารถพิเศษ"

"แต่ก็จะมีพวกพี่ปีสองเป็นคนประสานหลักๆ อยู่แล้ว แต่พี่แค่อยากให้เพื่อนของข้าวมาดูแลจะสะดวกและสนิทใจกว่าไง”


พอผมกับไอ้ตาวได้ฟังคำอธิบายจากปากพี่ๆ เขาแล้ว แทบจะลากไอ้ตัวดีมารุมกระทืบ เพราะหน้าที่ที่ได้รับผมกับไอ้ตาวไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลย ลำพังถ้าให้ไปนั่งเป็นเพื่อนมันตอนซ้อมหรือดูแลให้มันมีชีวิตรอดถึงวันประกวดก็พอจะทำได้อยู่

ทางด้านไอ้ข้าวเอง มันก็มาอ้อนวอนให้ไปเป็นเพื่อนมัน ตอนซ้อมหรือทำกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยให้หน่อย ซึ่งผมและไอ้ตาวก็คงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้ เพราะเพื่อนทั้งคน!

แต่ไอ้เรื่องการแสดงอะไรนั้น ผมกับไอ้ตาวคงต้องไปอธิบายให้พี่ๆ เขาเข้าใจอีกทีหนึ่ง ว่าพวกผมไม่มีสมรรถภาพ หรือความสามารถใดๆ เลยที่จะไปช่วยไอ้ข้าวเรียกคะแนนจากกรรมการได้ แต่ถ้าให้ช่วยยกของแบกหามนี้

“ผมเต็มที่! ว่ามาเลย” 555


//////////////


แม้จะเพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่กี่สัปดาห์ แต่การเรียนและกิจกรรมต่างๆ ในรั้วมหาลัยกลับทำให้ผมรู้สึกสนุกและเกิดสีสันต่างๆ ในชีวิต (ถ้าไม่นับการที่จะต้องไปดูแลไอ้ข้าว) การเรียนการทำงาน การจัดการบริหารเรื่องต่างๆ ที่เข้ามา รวมทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตของผม

ตอนนี้พวกผมกำลังจะเลิกเรียนคาบบ่าย ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของวันศุกร์แล้ว


“เห้ย ไอ้ตาว ไอ้ข้าว เลิกเรียนพวกมึงจะไปสนามบินเลยใช่ป่ะ”

“ใช่ว่ะ กูกับไอ้ข้าวจะนั่งแท็กซี่ไปสนามบินเลย ไฟลท์เวลาใกล้ๆ กัน อีกอย่างพวกกูก็กลัวตกเครื่อง”

“อ๋อ เดินทางปลอดภัยนะเว้ย อย่าลืมของฝากด้วย 555”


แล้วพวกผมก็เก็บข้าวของเดินออกมาจากห้องเรียนเลทเชอร์มายังบริเวณหน้ามหาลัย แล้วก็ส่งไอ้ข้าวและไอ้ตาวขึ้นแท็กซี่ไปสนามบิน ก็เพราะช่วงสุดสัปดาห์นี้ เสาร์-จันทร์ เป็นวันหยุดชดเชยทางราชการพอดี พวกมันเลยถือโอกาสกลับบ้าน

แต่สำหรับผม เมื่อบ้านอยู่ที่นี้ก็เลยไม่ได้ไปไหน แผนจะไปเที่ยวก็ไม่มี อย่างมากที่สุดคงนัดพวกไอ้ไทม์และเพื่อนสมัยมัธยมไปนั่งกินบุปเฟต์สักวัน ถือเป็นการคืนสู่เหย้า

และต้องทำหน้าที่ลูกกตัญญูให้เต็มที่อีกครั้ง ด้วยการช่วยแม่ขายโจ๊ก

แต่วันศุกร์ที่แสนสุขของผมวันนี้

ผมมีนัดกับพี่นานาอีกแล้ว แต่จะมีพี่แปลนสายรหัสปี 3 อีกคนด้วย เพราะพี่แปลนนัดเลี้ยงสายที่ร้านขนมและเครื่องดื่มแห่งหนึ่งใกล้ๆ มหาลัย ซึ่งเป็นร้านที่พี่นานายังไม่เคยพาผมไป 555

เป็นน้องรหัสสายนี้มันจะเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักหน่อยๆ ก็เพราะเหตุนี้แหล่ะครับ แต่คนอย่างไอ้เหมาก็เต็มใจ

หลังจากการเลี้ยงสายรหัสโดยพี่แปลนเสร็จแล้ว ผมก็ร่ำลาพี่นานาและพี่แปลนเพื่อที่จะกลับบ้าน แต่โชคชะตา ความบังเอิญ หรือพรหมลิขิตอย่างไรก็ไม่ทราบ

เพราะขณะนี้เหลือเพียงพี่นานาที่กำลังรอรถมารับ และผมที่ยืนรอเป็นเพื่อนพี่นานาอีกที ในฐานะรุ่นน้องที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งก็เป็นห่วงสวัสดิภาพของพี่รหัสที่สวยน่ารักเป็นธรรมดา

และถ้าส่งพี่นานาขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็คงจะเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายอย่างปกติที่เคยทำ

ระหว่างที่รอรถมารับ ผมกับพี่นานาก็คุยแลกเปลี่ยนชีวิตการเรียน และพูดคุยไร้สาระกันไปพลาง สักพักก็มีไลน์เข้ามือถือพี่นานา


“น้องชายพี่ไลน์มาบอกว่าติดไฟแดงตรงแยกด้านหน้าอยู่ ใกล้จะถึงแล้ว”

“จริงๆ พี่ว่าให้น้องชายพี่ขับรถไปส่งเหมาที่บ้านก็ได้นะ เพราะไอ้ภูมิน้องชายพี่ มันก็ว่างอยู่แล้วแหล่ะ”


ห่ะ!!! “ภูมิ”


น้องชายที่จะมารับพี่นานา เอ่อ...คงแค่คนชื่อซ้ำกันล่ะมั้ง ใครๆ ในโลกนี้ก็ชื่อภูมิกันได้ทั้งนั้น

แต่แล้วฝันในทุ่งลาเวนเดอร์ของไอ้เหมาก็สลายไปในพริบตา เพราะรถเก๋งคันสวยสีดำกำลังตีไฟเลี้ยวเข้ามาจอดริมฟุตบาท ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม


“ผมสามารถจดจำลักษณะรถ และป้ายทะเบียนของมันได้ขึ้นใจ”


แม้ว่าใครๆ ในโลกนี้จะสามารถชื่อ “ภูมิ” ได้ทั้งนั้น แต่ไอ้คนที่ขับรถคันนี้ ก็ไม่ใช่ภูมิไหนทั้งนั้นที่กำลังโผล่ใบหน้าและยกยิ้มมุมปากผ่านกระจกรถข้างคนขับที่ถูกเลื่อนต่ำลง พร้อมเอ่ยเรียกพี่นานา


“ไอ้เชี่ยภูมิ” นั่นเอง


คุณเชื่อไหมครับว่าสุดท้ายแล้ว

ตอนนี้ผมนั่งอยู่เบาะหน้าคนขับของรถไอ้เอี่ยภูมิ “เป็นครั้งที่ 2” แล้ว และเป็นทั้งสองครั้งที่ผมไม่เต็มใจและไม่อยากจะมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของมันเลย แต่ครั้งนี้ต้องยอม เพราะลูกตื้อและติดเกรงใจพี่นานา

และ ไอ้เอี่ยภูมิ ยังกล่าวเสริมพี่นานาไปอีกด้วยว่า


“เห้ยนาย! ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก รุ่นน้องพี่นานาก็เป็นเหมือนเพื่อนของเราคนหนึ่ง เรียนมอเดียวกันด้วย เราเต็มใจ!”


พร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของมัน ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้ ติดเกรงใจพี่นานา และก็โดนคาดโทษจากป๊า แม่ และเจ๊หลินอยู่

ฮือๆ ช่วงนี้ชีวิตของไอ้เหมาโดนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกป่ะว่ะ สงสัยจะต้องเพิ่มตารางนัดเพื่อน นอกจากไปกินชาบูบุฟเฟตืแล้ว คงต้องนัดพวกผมพาผมไปทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลาด้วย

ไอ้ไทม์! ช่วยกูด้วย T-T

หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 12 (12/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 12-05-2019 23:08:36
Chapter 12


ในที่สุด “ไอ้เชี่ยภูมิ” ก็วนเวียนกลับเข้ามาอยู่ในชีวิตของผมอีกครั้งจนได้…เฮ้ออออ

ตอนนี้รถของไอ้ภูมิมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ใหญ่มากๆ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไร เพราะพี่นานาก็ perfect ขนาดนั้น สวย รวย เก่ง แต่หลังจากร่ำลาพี่นานาและเดินเข้าบ้านไปแล้ว บรรยากาศบนรถก็ชวนให้ผมอยากจะวิ่งลงไปอ้อนวอนขอค้างที่บ้านพี่นานา หรือไม่ก็ขึ้นแท็กซี่กลับบ้านเองทันที ดีกว่าที่จะต้องนั่งรถร่วมกับไอ้ภูมิอีกครั้งหนึ่ง T-T


“มึงจะนั่งเงียบและเกร็งอีกนานไหม”

“ห่ะ หาาา อะไร? ใครนั่งเกร็ง มึงอย่ามาพูดมั่วๆ นะเว้ย”

“ถ้ามึงไม่เต็มใจหรือไม่อยากจะไปส่งกู กูเรียกแท็กซี่กลับเองได้ ไปก่อนนะเว้ย”


ด้วยความตั้งใจของผมที่มีแต่เริ่มแรก ทำให้มือรีบคว้าที่เปิดประตูรถ เพียงหวังจะลงจากรถไป แต่ก็ไม่ทันเสียงล็อคประตูรถที่ดังขึ้นก่อนหน้าเพียงเสี้ยววินาที พร้อมกับน้ำเสียงโมโหของไอ้ภูมิที่ดังขึ้น


“กูไม่อนุญาตให้มึงลง!”

“ถ้าไม่อยากมีปัญหา นั่งนิ่งๆ ของมึงไปเลย

“เดี๋ยวกูไปส่งที่บ้าน”


ผมเลยทำได้แค่ปล่อยมือจากประตูรถ แล้วนั่งนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งหน้ารถมันต่อไป จนในที่สุดรถก็แล่นมาถึงหน้าบ้านของผม แต่...


“วันนี้กูจะนอนบ้านมึง”

“ห่ะ” ผมรีบสะบัดหน้าหันไปถาม คอแทบเคล็ด

“กูบอกว่าจะนอนที่บ้านมึง คืนนี้!!”

“ลงไปเปิดประตูให้กูเอารถเข้าด้วย!”


ไอ้เอี่ย!!! ผมได้แต่อุทานในใจแล้วหันไปถามมันอย่างแทบจะกินหัวมันได้แล้ว


“มึงจะมาค้างบ้านกูทำไม?

“บ้านกะ ก่ะ กู...ไม่มีห้องนอนรับแขกให้มึงหรอกนะเว้ย

“บ้านกูก็เล็กด้วย”

“แล้วนี้...ก็ยังไม่ดึก กูว่ามึงกลับบ้านไปเถอะ เดี๋ยวที่บ้านมึงเขาจะเป็นห่วงเอาได้”


ผมพยายามพูดจาหว่านล้อม แต่พอเผลอสบตากับมัน ก็เจอเพียงสายตาดุๆ บ่งบอกว่า คำพูดของผมไม่มีผลต่อการตัดสินใจของมันสักนิดเลย และกำลังขัดใจมันอยู่ พร้อมส่งสัญญาณว่าใกล้จะโมโหเต็มทนแล้ว


“ไอ้เหมา!”

“ก่อนหน้านี้ กู-พูด-ว่า-อะ-ไร”

“เอ่อออ...กูลงไปเปิดประตูบ้านก็ได้”


และแล้วผมก็ต้องวิ่งลงจากรถอย่างจำยอม เพื่อไปเปิดประตูบ้านให้มันขับรถเข้าไปจอดข้างๆ กับรถของป๊า ถ้างั้นก็แสดงว่า ตอนนี้สมาชิกในครอบครัวของผม ต้องอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแน่ๆ


ชีวิตไอ้เหมา!!!
ว่าแต่ว่า...
มันจะมาค้างบ้านผมทำไมว่ะ ?

ไอ้เอี่ยภูมิ!


ตั้งแต่วันนี้ไป ชีวิตของกูจะวุ่นวายเพิ่มขึ้นอีกมากแค่ไหน หวังว่ามึงจะไม่ทำให้ชีวิตวันหยุดยาวของกูพังลงนะ

เมื่อมันดับรถพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบไป ผมจึงเดินไปเปิดประตูรถของมัน เพื่อหยิบกระเป๋าสะพายข้างออกมา

แล้วเดินนำหน้ามันเข้าบ้าน แต่หลังจากถอดรองเท้า แล้วกำลังจะเดินเข้าบ้านก็เจอกับป๊าที่กำลังเดินออกมาหน้าบ้านพอดี


“อ้าว เหมาลูก!”

“ป๊านึกว่าใคร ว่าแต่ป๊าได้ยินเสียงรถยนต์”

“รถใครที่ไหนเหรอ ป๊ากำลังจะเดินมาดูพอดี”

“เอ่อออ...คือ..คือว่า”

“อ้าววววว ภูมิ!”

“เสียงรถของเราเองเหรอ แล้วภูมิมากับเจ้าเหมาเหรอ?”


ป๊าทั้งถามทั้งชี้ไม้ชี้มือไปที่รถไอ้ภูมิบ้าง ชี้มาที่ผมและมันสลับกันบ้าง แล้วป๊าก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง..ที่ผิดไป


“อ๋ออออ คงมาส่งเจ้าเหมาเหมือนวันนั้น อาต้องขอบใจเรามากๆ เลยที่มีน้ำใจ มาๆ เข้ามานั่งพักในบ้านอาก่อนล่ะกัน”


ไปแล้วครับ ป๊าของผม T-T ที่หน้าบ้านตอนนี้คงเหลือแค่ผมที่ยังยืนเป็นหมาหัวเน่าเพียงลำพัง หลังจากที่ป๊าโอบไหล่พา

“ไอ้เอี่ยภูมิ” ลูกรักคนใหม่เข้าไปในบ้าน เฮ้อออออ

พอเดินเข้ามาในโซนห้องนั่งเล่นที่จะใช้รับแขกและห้องนั่งเล่นดูทีวีของคนในบ้าน ก็ต้องพบกับภาพสะเทือนใจ คือ ป๊าและแม่กำลังนั่งคุยกับไอ้ภูมิอย่างออกรสชาติ พร้อมกับเจ๊หลินที่กำลังเดินประคองแก้วน้ำ แล้วยื่นวางบนโต๊ะให้ไอ้ภูมิ ที่มารยาทงามไหว้ขอบคุณเจ๊ของผมไป

ทีแรกนึกว่าจะไม่มีใครสนใจผมแล้ว แต่เหมือนฟ้ามาโปรด แล้วโปรดถีบผมตกจากสวรรค์

เพราะเจ๊หลินทักทายผมให้ได้มีตัวตน แต่ถ้าจะทักแบบนี้ เรียกว่า “ด่า” น่าจะถูกต้องมากกว่า แต่ปล่อยให้ผมเดินผ่านอย่างเงียบๆ อาจจะดีกว่า T-T


“ไอ้เหมา มานี้เลยแก” พร้อมกับเดินมาลากแขนของผมเดินไปนั่งโซฟาข้างๆ ไอ้ภูมิ


พอก้นของผมแตะโซฟาเท่านั้น ก็ต้องเด้งตัวสะดุ้งขึ้นมา คล้ายกับนั่งบนพื้นร้อนๆ แต่ความเป็นจริง คือ สะดุ้งเสียงด่าที่มาจากเจ๊หลินต่างหาก


“ยังดีนะแก ที่รู้ซึ้งในน้ำใจของเพื่อนแกบ้าง เขาอุตส่าห์มาส่ง”

“แค่พาเขาเข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าแค่นี้จะลำบากอะไร!”


///// (โปรดปรับการอ่านเป็นเสียงสองหรือขั้นกว่า)

“น้องภูมิ พี่ต้องขอโทษแทนไอ้เหมาด้วยนะ ที่ครั้งก่อนมันไม่มีมารยาท”

//// (และปรับมาเป็นเสียงธรรมชาติอันดุดัน)


“นี้! ไม่คิดจะแนะนำเพื่อนใหม่ให้ป๊า แม่และฉันได้รู้จักอย่างเป็นทางการเลยหรือไง ไอ้เหมา!”


นี้เจ๊หลินของผมแกเป็นไบโพลาร์หรือเปล่า ทำไมน้ำเสียงกับคำพูดที่คุยกับไอ้ภูมิและน้องชายสุดที่รักถึงต่างกันเพียงนี้
เหมือนเจ๊คุยกับ “โอปปาเกาหลีในฝัน” และ “ทาสในเรือนเบี้ย” นี้มันสองมาตรฐานชัดๆ

ผมเลยได้แต่หันไปมองป๊าและแม่คนละที แล้วหันกลับมามองไอ้ตัวปัญหาที่กำลังยิ้มแฉ่งอวดฟันขาวให้ทุกคนที่กำลังตกหลุมพรางหน้ากากคุณชายผู้แสนดีของมันอยู่


“เอ่ออ มัน เอ้ย! เขาเป็นเพื่อนใหม่ของเหมา ชื่อ ภูมิ”

“เจอกันตอนที่ป๊าพาไปทานข้าวกับเจ้านายของป๊า ที่เป็นลุงของมัน เอ้ย! ของภูมิ”

“แล้วก็...เราบังเอิญได้เจอกันบ่อยๆ ที่มหาลัย เพราะเรียนที่เดียวกัน แต่คนละคณะ เลยได้เจอกัน”

“แต่จริงๆ ทุกคนน่าจะรู้จักอยู่แล้วนะ ไม่น่าให้ผมแนะนำมันเลย”


ประโยคสุดท้ายผมแอบพูดกระซิบเบาๆ ให้ตัวเองได้ยิน และผมก็ได้อธิบายที่มาที่ไปของ “เพื่อนใหม่” ให้ทุกคนได้รู้จักอย่างทางการ เฮ้ออออ ขนาดเผลอเรียกว่า “มัน” ยังโดนสายตาดุจากแม่และเจ๊เลย

ต่อไปไอ้เหมาคงใช้ชีวิตลำบากแน่ๆ เพราะประเมินสถานการณ์แล้ว

ป๊ากับแม่คงต้องฝากให้มันดูแลผมเป็นแน่ แล้วมันคงจะใช้เหตุผลนี้ มาวนเวียนกวนประสาทผมบ่อยๆ แน่นอน เวรกรรม!


“จะว่าไป น้องภูมิไม่น่าจะเป็นเพื่อนไอ้เหมา น้องชายของพี่ได้เลยนะ ดูนิสัยไม่ค่อยเหมือนกันเลย”


โห้!! เจ๊หลินของผม ไอ้เอี่ยภูมิมันจ้างเท่าไรเนี้ยะ


“ไม่หรอกครับ พี่หลิน”

“ผมกับเหมาเรามีอะไรคล้ายๆ กันเยอะเลย อยู่กับเหมา ผมก็สนุกมีความสุขดี เหมาเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ยิ้มง่าย”

“ร่าเริง ยิ้มง่าย? หรือเป็นบ้ากันแน่น้องพี่อ่ะ ภูมิคิดดีๆ นะ”

“เจ๊หลินนนนนน T-T แม่ครับ”


ผมรีบอ้อนแม่ เพื่อช่วยเหลือผมจากการโดนเผา ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรดีไปมากกว่านี้ แต่พอมองแว๊บผ่านไปทางไอ้ภูมิที่นั่งข้างๆ ผม มันกลับยกยิ้มคล้ายกลั้นหัวเราะอยู่

และพอนั่งคุยกันไปได้สักพัก ผมที่นั่งเป็นอากาศอยู่รอบๆ ก็ได้ข้อมูลอะไรมากมายเกี่ยวกับไอ้ภูมิ เช่น

มันมีพี่ชายหนึ่งคนตอนนี้เรียนจบแล้ว กำลังทำงานช่วยบริษัทครอบครัวอยู่ แล้วอนาคตไอ้ภูมิก็ต้องมาช่วยสานต่อเช่นกัน เพราะตอนนี้ประธานบริษัทคือ ปู่ของมัน

ส่วนพ่อของมันก็เป็นรองประธานเช่นเดียวกับลุงของมัน โห้ย! ไอ้คนรวย!

หรือเรื่องที่มันไปเรียนมัธยมที่เมืองนอก แล้วกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ไทย หมั่นไส้คนเก่งอังกฤษโว้ย!

หรือจะเป็น “การนอนค้างที่บ้านของผมในคืนนี้” หาาาาาาาา! เดี๋ยวนะ หลังจากที่มันพูดออกมา โดยอ้างว่าตกลงกับผมไว้แล้ว

ผลลัพธ์ก็คือ ป๊ากับแม่ก็ยิ้มดีใจพร้อมต้อนรับขับสู้เต็มที่เลย รวมทั้งเจ๊หลินด้วย ว่าแต่ว่า จะให้มันนอนไหนล่ะ?

แต่เจ๊หลินสุดที่รักของผม ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักครั้ง รีบเฉลยข้อสงสัยของผมในทันที


“น้องภูมินอนห้องเดียวกับไอ้เหมาล่ะกันนะ บ้านนี้ไม่มีห้องรับแขกเลย อาจจะลำบากหน่อยนะ”


ซวยขั้นสุดยอดแล้วผม T-T


“ไม่เป็นไรเลยครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว ถ้ามีงานบ้านหรืออะไรให้ผมช่วย บอกได้นะครับ”

“ผมทำอาหารได้นะครับ ตอนอยู่เมืองนอกต้องทำกินเองตลอดเลย”


โม้ไปอี้กกกกก! ไอ้ภูมิ 555

ต้องมาประลองฝีมือกับกูหน่อยแล้ว เรื่องทำอาหาร แต่แล้ว...


“โอ๊ยยยยย น้องภูมิของเจ๊ จะ perfect อะไรขนาดนั้น ทั้งหล่อ รวย แล้วยังทำอาหารเก่งอีก”

“ไอ้เหมาดูแย่ไปเลย”

“เจ๊หลินนนนนนนน T-T”


อาการปลาบปลื้มไอ้ภูมิของเจ๊หลินเก็บไว้ไม่อยู่แล้วครับ แสดงออกมาซะเต็มที่ ป๊า แม่ และไอ้ภูมิยังอดขำกับท่าทางและคำพูดของเจ๊ไม่ไหวเลย แต่ติดอยู่เรื่องหนึ่ง คือ


“ทำไมต้องโยงมาด่าไอ้เหมาอีกแล้ว?”


ผมไม่เข้าใจ T-T



ป.ล.คนอ่านสามารถแสดงความคิดเห็น ร่วมติชมนิยายของคนเขียนได้นะ เพราะเป็นเรื่องแรกที่ลองแต่งนิยายให้ได้อ่านกัน จะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาต่อไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเป็นนักอ่านที่ดีในวงการนิยายวายมาร่วมจะ 7 ปีแล้ว หาทางออกไม่เจอเลย 555
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 12 (12/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-05-2019 23:50:31
น่าติดตามดีนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 12 (12/05/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-05-2019 01:26:51
 :laugh:


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 13 (14/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 14-07-2019 22:08:32
Chapter 13


ตอนนี้ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่บนห้องนอนคนเดียว หึๆ...ถ้าถามถึงไอ้ตัวดีตอนนี้ก็คงกำลังถูกป๊า แม่ชักประวัติอยู่ชั้นล่างที่ห้องรับแขกเหมือนเดิม

ซึ่งผมก็เลิกกังวลแล้วล่ะครับ ว่ามันจะมาแย่งป๊ากับแม่เป็นลูกรักแทนผม เพราะมานั่งคิดไปเรื่อยๆ ระหว่างเช็ดหัวตัวเองไปด้วยแล้ว ว่า


“ยังไง๊ยังไง มันก็มาบ้านผมแค่วันนี้ จะมาสู้ไอ้เหมา ลูกกตัญญูคนนี้ได้ไง”

“ก๊อกๆ”


นั้นไงเสียงเคาะประตู ผมจะเตรียมใจยังไงดี จะให้มันนอนตรงไหน เมื่อมองไปรอบๆ ห้องขนาดเล็กของผม จะมีแค่เตียงขนาดไม่กว้างมากตรงกลางห้อง และมีโต๊ะเก้าอี้ไว้ทำการบ้านที่มุมห้อง ตู้หนังสือและตู้เสื้อผ้าอยู่อีกมุมหนึ่ง


“เหมา! แม่เปิดประตูเข้าไปนะ”


เป็นเสียงของแม่ผมเอง พร้อมกับเดินนำหน้าไอ้ภูมิเข้ามา


“แม่พาภูมิมาส่ง”

“ตามสบายเลยนะภูมิ ขาดเหลืออะไรบอกเจ้าเหมาได้เลย ส่วนเสื้อผ้าให้เจ้าเหมาเอาตัวใหญ่ๆ มาให้เราเปลี่ยนก่อนล่ะกัน ลูกน้าตัวเล็กกว่าชาวบ้านเขาไปหน่อย”

แม่!!! แทนที่จะบ่นว่าไอ้ภูมิตัวสูงใหญ่กว่าชาวบ้านเขา แต่ดันมาบ่นผม ลูกชายที่สูงตามเกณฑ์มาตรฐานชายไทยอ่ะนะ  :sad4:


“แม่ไปแล้วนะ ดูแลเพื่อนดีๆ ล่ะ เหมา”


แม่เข้ามาฝากฝังมันไว้กับผม แล้วก็ปิดประตูห้องเดินออกไป

ทุกอย่างตอนนี้อยู่ในความเงียบไร้การเคลื่อนไหว เพราะผมกับไอ้ภูมิต่างกำลังจ้องหน้ากัน ไม่มีใครเริ่มพูดหรือขยับตัวใดๆ คล้ายสงครามประสาทที่ฝ่ายผมกำลังพยายามเพ่งกระแสจิตด่าไล่มันให้กลับไปนอนที่บ้านของมันเอง

และดูเหมือนจะเป็นมันที่ยอมแพ้ก่อน 555 ผมชนะแล้วคราวนี้ เพราะมันเริ่มขยับตัวและถอนหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งที

แต่...เหตุการณ์มันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ เพราะมันเริ่มขยับตัวด้วยการก้าวเดินตรงเข้ามาหาผม ที่กำลังนั่งถือผ้าเช็ดตัวอยู่ปลายเตียง พร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัวของมันเหมือนที่เคยเห็นก่อนหน้านี้


“อะ อะ อะไร มึงจะเดินเข้ามาทำไม”


ผมรีบถามมันออกไปพร้อมกับลุกขึ้นไปยืนพิงเก้าอี้ที่มุมห้อง ก่อนที่มันจะเดินก้าวเข้ามาใกล้ตัวผมเองมากกว่านี้


“อะไรของมึง?”


คำพูดของมันเหมือนจะมีความสงสัย แต่สีหน้าที่แสดงออกมาคือ กำลังกวนเบื้องล่างของผมแน่นอน


“มึง มึงไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวกูเอาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าไปให้เปลี่ยนให้ห้องน้ำ”

“แล้วกูขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่า มึงมาขอนอนที่บ้านของกูเอง แล้วเตียงของกูก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดจะให้มึงมาเบียดด้วย”

“ฉะนั้น กูเอาเอาเบาะยาวมาปูให้มึงนอนที่พื้น มึงไม่มีสิทธิ์เลือกนะ...นะ กู..กู กูบอกไว้ก่อน”


บ้าเอ่ย! ทำไมเสียงตอนที่สั่งมันต้องสั่นด้วยว่ะ เสียฟอร์มหมดเลยกู

ผมจึงไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าที่คิดว่าขนาดใหญ่ที่สุด แล้วส่งให้มัน พร้อมกับไล่ให้มันเข้าไปอาบน้ำ หลังจากที่มันเดินเข้าไป สักพักก็ได้ยินเสียงน้ำไหลกระทบกับพื้น ผมจึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ทำไมมันถึงเหนื่อยเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากจัดการชีวิตที่มีไอ้เอี้ยภูมิเข้ามาวุ่นวาย

ดังนั้นแผนการช่วงวันหยุดนี้ ต้องเริ่มจากการสลัดมันให้ออกจากชีวิตของผมก่อน ด้วยการหยิบมือถือมาไลน์หาเพื่อนๆ ในแก๊งค์สมัยมัธยม เพื่อรวมตัวกันไปสังสรรค์ และหลีกหนีไอ้เอี้ยภูมิด้วย หมั่นไส้มันโว้ย!!!


—พวกมึง เสาร์นี้ว่างกันไหม
—ไปกินชาบูหรืออะไรก็ได้
—กูอยากกิน

ได้ๆ ทางกูและไอ้เล้งว่าง—


ข้อความของผมถูกอ่านและตอบกลับทันทีจากไอ้วิน ซึ่งไอ้วินและไอ้เล้งเรียนด้วยกันที่มหาลัยแห่งหนึ่งแถบชานเมืองหน่อยๆ พวกมันสองคนเรียนวิศวะ แล้วก็พักเป็นรูมเมทด้วยกัน

สักพักก็ได้รับการแจ้งเตือนไลน์มาอีก 4-5 ข้อความ


กูก็ว่าง—
ว่างเช่นกัน—
นัดเวลาสถานที่มาเลยเพื่อน—
แหม่! ไอ้เหมา—


ข้อความสุดท้ายถูกส่งมาจากไอ้ไทม์ ที่อ่านแล้วชวนให้คิ้วของผมต้องขมวดปมเข้ามาหากันอย่างสงสัย


ทางกระผมนึกว่า น้องเหมาจะลืมเพื่อนซะแล้ว—
กระผมเห็นนะว่า น้องเหมาของเรายืนหัวเราะกับผู้หญิงน่ารักๆ—
หน้าร้านขนมแถวมหาลัย—
หู้ววว—
จริงอ่ะ ไอ้ไทม์—
น้องเหมา พอเข้ามหาลัย ร้ายกาจนะครับ—


เอากับพวกมันซิครับ มากันครบทั้งแก๊งค์ เริ่มจากไอ้ไทม์ตัวจุดประเด็น ไอ้วิน ไอ้เล้ง ไอ้ณะ และไอ้เคน แก๊งค์ของผมก็มีกันอยู่ 6 คน ตามที่บอกไปก่อนครับว่า ไอ้วินและไอ้เล้งเรียนวิศวะที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ยังมีไอ้เคนอีกคน ที่เรียนรัฐศาสตร์ มหาลัยเดียวกับไอ้วินและไอ้เล้ง

ส่วนไอ้ณะเรียนแพทย์ครับ มหาวิทยาลัยก็ไม่ใกล้ไม่ไกล แค่ข้ามฝั่งแม่น้ำไปเรียน แต่ยังไงความเป็นเพื่อนก็ยังสำคัญ ที่ทำให้พวกเรานัดเจอพบปะกันได้เสมอ แต่มันจะพังเพราะไอ้ไทม์ตัวดีนี้แหล่ะครับ


—บ้าอะไรของมึง ไอ้ไทม์
—มึงใส่ร้ายกู

แหม่ น้องเหมา—
จะให้กูส่งรูปให้ดูไหม—
ส่งเลยๆ ไอ้ไทม์—
555—


และแล้วไอ้ไทม์ตัวดีก็ส่งรูปลงกลุ่มไลน์ พร้อมกับข้อความและสติกเกอร์มากมายจากไอ้เพื่อนตัวดีแต่ละคน


น่ารักเวอร์ คณะไหนๆ ไอ้เหมา—
ไอ้เหมา ไอ้ร้าย!—
สวยมาก—
เขาคิดผิดป่ะว่ะ ที่มาเป็นแฟนไอ้เหมา—
555—


ผมจะบ้าตายกับพวกมันแต่ละคน ซึ่งผู้หญิงที่พวกมันกำลังพูดถึงและชื่นชม รวมทั้งแอบหลอกด่าผม คือ “พี่นานา” พี่รหัสปีสองของผมเอง แล้วในรูปเป็นจังหวะที่กำลังคุย เรื่องตลกอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ เพราะสภาพใบหน้าของผมคือ "ยิ้ม" และหัวเราะไปทั้งหน้า

แต่ขณะที่กำลังคันนิ้วมือ จะพิมพ์ด่าพวกมันในไลน์ ก็มีเสียงทักขึ้นมาก่อน


“มึงทำอะไรอ่ะ”

“เห้ย!!”


เสียงทักนั้นทำให้ผมตกใจหมดเลย ทุกคนน่าจะเคยเป็นนะ เวลาเราตั้งใจหรือจดจ่อกับอะไรมากๆ ก็ไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมเท่าไรหรอก

แต่ก็ตกใจกับเสียงทักของมันได้ไม่นาน ก็ต้องตกใจซ้ำอีกครั้ง เมื่อผมมองไปตัวไอ้ภูมิ เพราะตอนนี้มันนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว และยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามตัว


ตอนนี้พวกคุณหวังอะไรกัน?

หวังให้ผมเคลิ้ม และทอดสายตาจดจ้องไปยังลำตัวที่มีซิคแพคเบาๆ พร้อมกับหยดน้ำเกาะตามตัวหรือ?

หรือหวังให้จ้องใบหน้าหล่อๆ ที่เส้นผมถูกเสยรวบไปด้านหลัง โชว์หน้าและสันกรามคมๆ ของมัน?


ม่ายยยยยยยย...เพราะผมกำลังจะด่ามัน


“ไอ้ภูมิ มึงมายืนโชว์อะไรแถวนี้ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมกูไม่รู้”

“เสื้อผ้ากู..กู ก็เอาให้แล้ว มึงก็ต้องเอาเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำด้วยซิว่ะ นี้มันห้องนอนกูนะเว้ย!”

“อะไรกันมึง? แค่กูนุ่งผ้าขนหนูแค่นี้ก็มาด่ากูซะงั้น หรือมึงเขินหุ่นกูเหรอ”

“อยากลองจับไหมล่ะ”

“ไอ้เอี้ยภูมิ ใครจะไปอยากจับ ไอ้ทะลึ่ง! มึงไปใส่เสื้อผ้าเลยนะเว้ย”


แล้วมันก็เดินหันหลังโชว์กล้ามแผ่นหลังเข้าห้องน้ำไป? คือ ไอ้เหมาจะบ้าตาย คำพูดของมันดูทะลึ่งตึงตังมาก และไหนจะสายตาเจ้าเล่ห์ของมันอีก เบื่อโว้ยยยยย

แต่ดูเหมือนผมเกือบจะลืมสิ่งที่ถืออยู่ในมือไปแล้ว ถ้าไม่มีแจ้งเตือนข้อความขึ้นมาบนหน้าจอแบบรัวๆ

ผมเองก็ขี้เกียจพิมพ์อธิบายอะไรไปยาวเหยียด เอาแค่สั้นๆ พอ


—พวกมึงหยุดคิดไปไกลเลย
—ไม่มีอะไรทั้งนั้น เอาไว้พรุ่งนี้กูจะอธิบายให้ฟังทีเดียว
—งั้น พรุ่งนี้บ่ายโมงเจอกันที่หน้าสถานีรถไฟฟ้า xxx ล่ะกัน
—วันนี้เหนื่อย จะนอนแล้ว
—ห้ามมีใครมาสายนะเว้ย ไม่งั้นเจอดีแน่!!!


สักพักนั่งวางโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างเตียง แล้วไอ้ภูมิก็เดินออกมาพร้อมกับใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย


“นั้น ข้างๆ คือ ที่นอนของมึง มีหมอนและผ่าห่มให้ แล้วก็ไม่ต้องบ่นด้วย ห้องกูมันก็แคบเท่านี้แหล่ะ”

“และกูก็ไม่ให้มึงขึ้นมานอนเบียดกูด้วย” ผมรีบพูดออกไป เมื่อเห็นมันกำลังจะอ้าปากพูด

“อ๋อ กูจะนอนแล้ว มึงจะทำอะไรก็เชิญตามสบาย แต่อย่าลืมปิดไฟด้วย”


ผมจึงหันหลังให้มันแล้วพยายามข่มตานอน เพราะพรุ่งนี้ยังจะต้องตื่นเช้าไปช่วยแม่เปิดร้าน นี้แหล่ะครับหน้าที่ของลูกกตัญญูดีเด่น ให้มันรู้ซะบางอย่างไอ้คุณชายภูมิ มันคงนอนตื่นสายแน่ๆ ในวันหยุดแบบนี้

5555 ตำแหน่งลูกรักของป๊าและแม่ รวมทั้งตำแหน่งน้องรักของเจ๊หลินต้องกลับมาเป็นของ “ไอ้เหมา” ผู้นี้ให้จงได้





>>> พูดคุย

*** คนเขียนต้องขออภัยคนอ่านทุกๆ ท่าน ที่หายไปนานร่วมสองเดือน สำหรับการลงนิยายตอนที่ 13 นี้ เพราะคนเขียนเรียนหนักและยุ่งมาก ตอนนี้ก็เรียนปีสุดท้ายแล้ว แต่พยายามหาเวลาว่างเท่าที่มีมาลงให้ทุกคนได้อ่านกันต่อแล้วนะ

** ขอกำลังใจด้วย comment จากคนอ่านทุกๆ คนหน่อยนะ ถ้ามีสัก 2-3 ข้อความ เดี๋ยวช่วงกลางคืนของวันพรุ่งนี้จะรีบมาลงตอนที่ 14 ให้ได้อ่านกันต่อไป

* คนเขียนอยากอ่านคำแนะนำ คำติชม เพื่อนำไปพัฒนาผลงานต่อไป ขอบคุณนะ
หัวข้อ: Re: รักเป็นโจ๊ก : Chapter 13 (14/07/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 15-07-2019 00:09:09
มาแล้วๆๆ. ใครจะตื่นก่อนกันนะ,,,