พิมพ์หน้านี้ - พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: IMYean. ที่ 22-03-2019 01:45:17

หัวข้อ: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 22-03-2019 01:45:17
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



คำเตือน!
บางฉากมีทั้งบรรยายสภาพศพ  ความรุนแรง การข่มขืน สภาวะทางจิตใจ การฆ่าตัวตาย การตบตี/ทารุณเด็ก
เพราะเป็นเนื้อหาที่รุนแรงเป็นอย่างมาก จึงไม่แนะนำผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี อ่าน และผู้ที่เคยเจอสถานการณ์ดั่งกล่าวตามที่นักเขียนลงไว้ หรือ ผู้ใดที่รับการบรรยายที่แรงเกินไปไม่ได้  จึงแจ้งมา ณ ที่นี้ ให้นักอ่านที่เคารพทุกท่านทราบ

ขอใส่คำเตือนเพิ่มเติมนะคะ
บางอย่างคือการเกริ่นในนิยายของตัวละครในเรื่อง ตัวละครเอกไม่ได้เป็น 'คนเป็น' หรือ เป็น 'คนทำ'

1. Smut - ฉากบรรยายการมีกิจกรรมทางเพศ หรือฉากเรท
2. Non-con / Rape - ข่มขืน การร่วมเพศในลักษณะที่เห็นการไม่ยินยอม (Consent) จากอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
3. Graphic Depictions of Violence - มีการบรรยายถึงการใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจน
4. Character Death - ตัวละครตาย
5. Underage - กล่าวถึงหรือบรรยายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศของตัวละครที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
6. Mentioned/Implied Rape attempt / Rape Non-con - มีการกล่าวถึงการข่มขืน
7. Sexual Harassment - การล่วงละเมิดทางเพศ
8. Sexual Assault - การข่มขืน
9. Molestation - การลวนลามทางเพศ
10. Threats of Rape/Non-Con - การคุกคามคนอื่นด้วยการข่มขืน
11. Threats of Violence - การคุกคามคนอื่นด้วยความรุนแรง
12. Violence - มีการใช้ความรุนแรง
13. Domestic Violence - การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ
14. Incest - ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างเครือญาติหรือสายเลือดเดียวกัน
15. Pseudo-Incest - ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างบุคคลในครอบครัวเดียวกันที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน (e.g. พี่/น้อง/บุตรบุญธรรม) หลายคนนับเป็น Incest ไปเลย
16. Emotional Manipulation - การควบคุมอีกฝ่ายเพื่อให้เปลี่ยนพฤติกรรม ความคิด โดยการหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์
17. Abuse (Physical, Mental, Verbal, Sexual, Emotional) - การล่วงละเมิดและทารุณกรรม ทั้งในด้านของการทำร้ายร่างกาย การทำร้ายจิตใจ การใช้คำพูดรุนแรง การข่มขู่ ไปจนถึงการล่วงละเมิดทางเพศ
18. Mental Illness - ภาวะเจ็บป่วยทางด้านจิตใจ
19. Panic Attack - อาการตื่นตระหนกเฉียบพลันเมื่อถูกกระตุ้น มักจะมีอาการหายใจไม่ทัน หอบถี่ หายใจไม่ออก วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม และตกอยู่ในอารมณ์หวาดกลัว
20. Depression - ตัวละครมีอาการซึมเศร้า
21. PTSD / Post-Traumatic Stress Disorder - โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง เป็นภาวะทางจิตที่เกิดจากการเผชิญกับเหตุการณ์ตึงเครียด น่ากลัว หรือกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง (e.g. เคยถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิด เคยเข้าร่วมสงคราม) ผู้ป่วยมักมีอาการเห็นภาพหลอนหรือฝันร้ายถึงเหตุการณ์เหล่านั้น มีความคิดแง่ลบ สามารถถูกกระตุ้นได้โดยง่าย เป็นต้น
22. MDD / Major Depressive Disorder - ตัวละครป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
23. Abandonment Issue - การมีปมที่ถูกทอดทิ้ง
24. Self-Loathing / Self-Hated - ความรู้สึกเกลียดตัวเอง
25. Self-Esteem Issue - ตัวละครมีปัญหาเกี่ยวกับความภาคภูมิใจในตัวเอง
26. Suicide Attempt - การพยายามฆ่าตัวตาย
27. Internalized Homophobia - ภาวะรังเกียจหรือกลัวกลุ่มบุคคลที่รักใคร่ในเพศเดียวกันอยู่ลึก ๆ ซึ่งผู้เป็นอาจไม่รู้ตัว
28. Homicide - มีการฆาตกรรม
29. Mind Control / Mind Manipulation - การควบคุมจิตใจของอีกฝ่ายทั้งความคิดและการกระทำให้เป็นไปตามที่ต้องการ


ยังไงก่อนอ่านนิยาย ขอให้นักอ่านทุกท่านอ่านคำเตือนด้วยนคะ

ด้วยความเคารพ


| วายพีเรียด |

(https://www.img.in.th/images/fe6151b74df9c7f81b2794a1d41b8138.jpg)

"ยังรักกันอยู่ใช่ไหม..."
---
"แหวนน่ะใส่ไปก็เปื้อนเลือดเสียเปล่า เอาไปให้คนอื่นเถอะ"


สารบัญ

บทที่ ๑ : ศัตรูที่เกลียดไม่ลง(๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3957647#msg3957647)

บทที่ ๑ : ศัตรูที่เกลียดไม่ลง(๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3957915#msg3957915)

บทที่ ๒ : ยังคงรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3958663#msg3958663)

บทที่ ๓ ย้อนวัย :
พบกันครั้งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3959468#msg3959468)

บทที่ ๔ ย้อนวัย :
ก้าวแรกของสองเรา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3960201#msg3960201)

บทที่ ๕ ย้อนวัย : รอยแผล(๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3963235#msg3963235)

บทที่ ๕ ย้อนวัย : รอยแผล(๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3963236#msg3963236)

บทที่ ๖ ย้อนวัย : นิสัยที่เริ่มเปลี่ยน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3965957;topicseen#msg3965957)

บทที่ ๗ ย้อนวัย : โรงเรียนนายร้อยฯ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3970896#msg3970896)

บทที่ ๘ ย้อนวัย : อุปสรรคเดียวกัน(๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3979279#msg3979279)

บทที่ ๘ ย้อนวัย : อุปสรรคเดียวกัน(๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3979280#msg3979280)

บทที่ ๙ ย้อนวัย : ต่างแยกย้าย (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3982083#msg3982083)

บทที่ ๙ ย้อนวัย : ต่างแยกย้าย (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3982084#msg3982084)

บทที่ ๑๐ ย้อนวัย : ให้ทั้งชีวิต (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3983007;topicseen#msg3983007)

บทที่ ๑๐ ย้อนวัย : ให้ทั้งชีวิต (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3983010#msg3983010)

บทที่ ๑๑ ย้อนวัย : กลับบ้านเกิด (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3984710#msg3984710)

บทที่ ๑๑ ย้อนวัย : กลับบ้านเกิด (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3984727#msg3984727)

บทที่ ๑๒ ย้อนวัย : ชีวิตที่จบสิ้น (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3988337#msg3988337)

บทที่ ๑๒ ย้อนวัย : ชีวิตที่จบสิ้น (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3988339#msg3988339)

บทที่ ๑๓ ย้อนวัย : อดีตตำรวจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3991150#msg3991150)

บทที่ ๑๔ ย้อนวัยสุดท้าย : ฆ่าเพื่อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg3994624#msg3994624)

บทที่ ๑๕ : เบาะแสสำคัญ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4002091#msg4002091)

บทที่ ๑๖ : ผลชันสูตร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4016333;topicseen#msg4016333)

บทที่ ๑๗ : ทีมลับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4019794#msg4019794)

บทที่ ๑๘ : สัตว์เดรัจฉาน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4021194#msg4021194)

บทที่ ๑๙ : เรื่องของจัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4021958#msg4021958)

บทที่ ๒๐ : ความจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4022836#msg4022836)

บทที่ ๒๑ : กำจัดปลาน้อยอีกครั้ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4027312#msg4027312)

บทที่ ๒๒ : ถูกสงสัย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4031616#msg4031616)

บทที่ ๒๓ : ปืนของผู้ที่ล่วงลับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4035231#msg4035231)

บทที่ ๒๔ : เริ่มแผนการ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4035940#msg4035940)

บทที่ ๒๕ : จบลงและเริ่มเดินหน้าใหม่(๑/๓) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4036329#msg4036329)

บทที่ ๒๕ : จบลงและเริ่มเดินหน้าใหม่(๒/๓) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4036330;topicseen#msg4036330)

บทที่ ๒๕ : จบลงและเริ่มเดินหน้าใหม่(๓/๓) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4036331;topicseen#msg4036331)

จบบริบูรณ์

บทพิเศษ ๑.๑ : หลานคนแรก (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4037740#msg4037740)

บทพิเศษ ๑.๑ : หลานคนแรก (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4037741#msg4037741)

บทพิเศษ ๑.๒ เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : จัน จันธิพัฒน์(๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4039901#msg4039901)

บทพิเศษ ๑.๒ เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : จัน จันธิพัฒน์(๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4039902;topicseen#msg4039902)

บทพิเศษ ๑.๓ เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : สิงห์ สหัส(๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4041400#msg4041400)

บทพิเศษ ๑.๓ เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : สิงห์ สหัส(๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4041401#msg4041401)

บทพิเศษ ๑.๔ : แทบขาดใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4041402#msg4041402)

บทพิเศษ ๑.๕ : ของขวัญล้ำค่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.msg4041403#msg4041403)

#พ่ายโลกันตร์
TWITTER : @IMYean_
ชื่อนักเขียน : ยีนส์

หมายเหตุ : เนื่องจากนิยายเป็นแนวย้อนยุค ถ้าเนื้อหาส่วนไหนไม่ถูกต้องสามารถบอกแนะได้เลยนะคะ
ยีนส์จะพยายามหาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด เรื่องงานตำรวจ
งานราชการตั่งต่างถ้าหากผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วยจริงๆค่ะ

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 22-03-2019 02:01:16
 
บทที่ ๑

ศัตรูที่เกลียดไม่ลง

 

 

 

๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓

สถานีตำรวจอ้อยขวาง


ตำรวจเกือบนับสิบนายต่างเดินออกมายืนเรียงกันกลางโรงพักตามคำสั่งโดยมี ร้อยตำรวจเอก เกียรติ อิ่มอำนงค์ หรือที่ใครเรียกว่าสารวัตรโขมและร้อยตำรวจตรี เพลิงกาฬ ไตรย์ษิณ คนอื่นมักจะเรียกกันว่าหมวดไฟยืนรอสั่งการหน้าที่ให้นายตำรวจอยู่ด้านหน้า

“ที่ฉันเรียกมาในวันนี้เพื่อจะให้คำสั่งไปตรวจดูลาดเลาที่บ้านของหลวงธารานันท์ หลังจากเกิดเหตุโจรบุกปล้นบ้านท่านเมื่อคืนนี้ โจรพวกนี้มีชื่อเสียงและอันตรายเป็นอย่างมาก ทุกคนคงรู้จักเสือเอี้ยงกันใช่ไหม...” สารวัตรโขมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาคมกวาดตามองตำรวจทุกนายที่พยักหน้าและตอบรับอย่างพร้อมเพรียง แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยต่อก็มีคนมาขัดจังหวะเสียอย่างนั้น

“ขออนุญาตครับ!” ตำรวจนายหนึ่งที่ถูกสั่งให้ไปทำหน้าที่ในการตรวจตราในชุมชนรีบวิ่งขึ้นมาบนโรงพักด้วยความตื่นตระหนก

“มีอะไร” หมวดไฟขานถามแทน

“เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนชาวบ้านมาบอกว่าเมื่อช่วงเช้ามืดทางพวกลูกน้องนับสิบของเสี่ยพันธ์ได้ออกรถพร้อมกับอาวุธปืนมากมาย ทางผมและนายตำรวจอีกสามนายไปตรวจดูแล้วพบว่ามีรถยนต์คันหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในรถยนต์ของเสี่ยพันธ์เองยิ่งกว่านั้นชาวบ้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นคุณหญิงพิมพ์อรและลูกสาวอยู่บนรถนั้นด้วยครับ คาดว่าคุณหญิงคงจะพาลูกสาวหลบหนีออกมา”

“หนีออกมาได้ยังไงแล้วตอนนี้คุณพิมพ์อรอยู่ที่ไหน!” หมวดไฟรีบเค้นถาม ตำรวจทั้งโรงพักต่างรู้กันดีว่าหมวดไฟมีความหลังกับคนที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยพันธ์มากแค่ไหนจึงได้แต่เงียบให้หมวดไฟจัดการ

“ไม่ทราบว่าหนีออกมาได้ยังไงแต่ทางคุณหญิงและลูกสาวนั้น...” นายตำรวจก้มหน้าอึกอักไม่กล้าตอบ

“ว่ามาให้เร็วเสีย!” ชายหนุ่มทำหน้าขึงขัง สารวัตรโขมที่เห็นอย่างนั้นจึงวางมือลงบนบ่าแล้วบีบเบา ๆ ให้หมวดไฟคลายอารมณ์ที่คุกรุ่นในใจ

“รถที่คุณหญิงใช้หลบหนีถูกระเบิดทั้งคัน ตอนนี้ทางนายตำรวจที่อยู่ตรวจ กำลังทำการตรวจศพและรถอยู่ครับ” นายตำรวจกลั้นใจตอบ คนทั้งโรงพักจึงตกใจไปตาม ๆ กัน

สารวัตรโขมหันมองหมวดไฟที่มือไม้สั่นเทิ้มจากความโกรธ “หมวดไฟใจเย็นลงก่อน”

“พวกมันเห็นคนเป็นอะไรกัน นั่นเมียกับลูกสาวมันไม่ใช่หรือไง”

“หมวดไฟ” สารวัตรโขมเค้นเสียงเตือนอีกครา ชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจแล้วก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ “เอาเป็นว่าทางเรื่องที่บ้านคุณหลวงให้จ่าธงเป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องของคุณหญิงพิมพ์อรหมวดไฟไปตรวจสอบด้วย”

“ครับสารวัตร!” ตำรวจทุกนายตะเบ๊ะรับคำสั่งก่อนจะแยกตัวออกไปทำตามหน้าที่

“หมวดไฟ”

“ขอรับ” คนถูกเรียกหันกลับมายืนตัวตรงพร้อมรอฟัง

“ใจเย็นลงเสียบ้างนะอย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง มันเป็นสิ่งที่ตำรวจอย่างเราต้องพึงมี”

“กระผมต้องขอโทษจริง ๆ ขอรับสารวัตร”

“อืม เอาเถอะ ไปได้แล้วล่ะ”

“ครับ!” หมวดไฟตะเบ๊ะแล้วสวมหมวกเดินลงไปขึ้นรถของตำรวจที่มาบอกข่าวคราว

อำเภออ้อยขวางเป็นอำเภอที่มีพื้นที่เยอะที่สุดของจังหวัดสิงห์บุรีแต่ในช่วงนี้มีข่าวว่าทางคนใหญ่คนโตบางคนคบหาพูดคุยกับทหารญี่ปุ่นที่ต้องการจะขอเข้าเขตแดนของประเทศไทย จึงได้เห็นว่ามีพวกทหารญี่ปุ่นเข้ามาแถวนี้บ้างแต่กลับไม่มีใครเคยรอดออกไปเพราะฝีมือของคนที่ครอบคลุมทั้งอำเภออ้อยขวางอย่างเสี่ยพันธ์เป็นคนจัดการและขโมยอาวุธของทหารญี่ปุ่นไป

เสี่ยพันธ์นั้นมีไร่เป็นของตัวเองทั้งกว้างขวางและเป็นที่รู้จักในชื่อไร่อัครเดชที่เป็นนามสกุลของเสี่ยพันธ์เอง แต่ทุกคนก็ล้วนรู้ว่าภายในไร่นั้นต่างมีอาวุธและยาอีกมากมายที่มันเอาตุนเอาไว้เพื่อส่งขายไปทั่วทั้งในจังหวัดและอีกหลายจังหวัด

กฎหมายไม่สามารถทำอะไรมันได้เพราะมันเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีอำนาจมากถึงขั้นมีตำรวจยศใหญ่จากพระนครคุ้มกะลาหัวไว้ ตำรวจในเขตอ้อยขวางต้องคอยจับตามองเพื่อจะจับพวกมันให้ได้คาหนังคาเขา นอกจากนั้นยังมีพวกที่ซื้ออาวุธที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเสี่ยพันธ์อยู่อีก มีทั้งเจ้าสัวเหวยคนเชื้อสายจีนที่เปิดซ่องและบาร์อยู่ทั่วจังหวัด แล้วก็นายเอี้ยงหรือเสือเอี้ยงหัวหน้าชุมโจรที่ปล้นบ้านหลวงธารานันท์เมื่อคืน เรียกได้ว่าแบ่งเขตทำมาหากินทั้งภายในจังหวัดและยังจังหวัดใกล้เคียง

คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ชาวบ้านตกอยู่ในอำนาจของพวกมัน ทั้งกดขี่ข่มเหง ฆ่าคนได้ง่าย ๆ พวกเศษเดนที่ควรจะเอาใส่ตาราง

“นั่นคือรถที่คุณพิมพ์อรใช้หลบหนีมาหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นรถที่สภาพย่ำแย่อยู่บนกลางถนนสองข้างทางเป็นพื้นที่โล่งมีแต่ดินเรียบ รอบ ๆ รถมีตำรวจอยู่สามนายที่กำลังตรวจดูอยู่

“ใช่ครับ” นายตำรวจผู้แจ้งข่าวตอบก่อนจะขับไปจอดใกล้ ๆ

พอลงจากรถก็พยักหน้าให้นายตำรวจทั้งสามนายที่ตะเบ๊ะให้พร้อมกับมองเข้าไปในรถ “ตรวจพบอะไรบ้างไหม”

“เราพบเศษชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกแรงระเบิดครับแต่จะเป็นส่วนของศีรษะแล้วก็ร่างของผู้เสียชีวิตที่อยู่ด้านใน รู้สึกว่าการระเบิดนั้นอาจจะถูกระเบิดที่เป็นระเบิดจากด้านนอกที่ไม่ใช่ระเบิดจากในรถ เพราะหลังคารถเสียหายยับเยินศีรษะของผู้เสียชีวิตจึงถูกระเบิดอัด” นายตำรวจมีสีหน้ากระอักกระอ่วนรู้สึกสงสารสองแม่ลูกคู่นี้จับใจแต่ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป

หมวดไฟกุมหน้าผากด้วยความวูบโหวง หัวใจเต้นถี่เพราะเกิดจากความสูญเสียก่อนจะมองไปที่รถอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำ คุณพิมพ์อรเป็นคนใจดีเมื่อสมัยเขายังเด็กก็ทำขนมมาฝากบ่อย ๆ ลูกสาวเองพอโตขึ้นมาหน่อยก็เป็นเด็กน่ารักยังแวะมาสถานีตำรวจเพื่อจะเอาขนมที่ทำเองมาให้แทนผู้เป็นแม่

ทำไมกันนะ ทำไมคนดี ๆ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

“หมู่ไปเรียกหมอรัตน์มาแล้วก็เรียกทางตำรวจฝ่ายสืบสวนมาเพิ่มด้วย”

“ครับ!”

พอหมู่ขับรถอีกคันไปแล้วหมวดไฟจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ รถที่เกิดเหตุ พอเห็นสภาพด้านในก็ต้องลูบหน้าคลายความเสียใจเพื่อจะทำงานต่อ “รอบ ๆ นี้ยังรู้สึกอุ่น ๆ อยู่เลย นอกจากการระเบิดแล้วคงทำให้เครื่องยนต์ระเบิดตามจนเกิดไฟลุกขึ้น ร่างกายของคุณพิมพ์อรถึง…”

“ผมสันนิษฐานว่าคงเป็นการถูกระเบิดที่เป็นปืนใหญ่น่ะครับ แต่ว่าต้องตรวจดูอีกครั้งให้แน่ใจ”

“ถ้าปืนแบบนี้ที่ทำได้ นอกจากจะไม่มีรอยกระสุนอย่างอื่นนอกจากสะเก็ดระเบิดก็น่าจะเป็น ปืนM1A1 Bazooka หรือไม่ก็ปืนPIAT”

“ปืนสงครามทั้งนั้นเลยนี่ครับ”

“ใช่ พวกมันมีเป็นเบือ ถ้าผ่านไร่ของมันก็คงเห็นพวกลูกน้องที่ถืออาวุธกันมาก ล้วนเป็นอาวุธสงครามทั้งนั้น”

“น่าแปลกที่ไม่สามารถเรียกหมายจับพวกมันได้”

“เห็นข่าวหนาหูว่ามีคนในกรมตำรวจคุ้มกะลาหัวมันอยู่” จ่าคมเอ่ยต่อจากนายตำรวจอีกคน

“แต่ว่าเรื่องนี้เถอะ ถ้าถูกยิงจากปืนใหญ่จริง การใช้M1A1ต้องเป็นคนที่ใช้ปืนนี้บ่อยจนแม่นยำถึงยิงระยะไกลได้ แต่ถ้าใช้PIAT มันต้องระยะใกล้เท่านั้น แต่ยังไงไม่ว่าจะปืนไหนคนยิงต้องฝึกมาอย่างแน่นอน” ไฟขมวดคิ้วมุ่น ตัวเขาเองไม่ค่อยชำนาญเรื่องปืนสักเท่าใด ส่วนมากจะได้คนช่วยสอนมา…

“พอดีเลยครับหมวด ยังมีชาวบ้านให้การอีกว่า คนที่สั่งฆ่าทั้งสองแม่ลูกไม่ใช่เสี่ยพันธ์ครับ” นายตำรวจอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับชาวบ้านทั้งสองคนที่ว่า เป็นชายทั้งคู่ คนหนึ่งหนุ่ม คนหนึ่งค่อนไปทางวัยกลางคน

“แล้วใครสั่ง”

“อ่าวเร็วบอกไปสิ” นายตำรวจเร่งชาวบ้านทั้งสอง

“คือ… เมื่อช่วงเช้ามืดพวกเราต้องออกไปส่งผักที่ตลาด แต่ว่าเห็นพวกลูกน้องเสี่ยพันธ์ออกมาพอดีก็เลยพากันหลบไม่ให้พวกนั้นเห็น แต่พวกผมก็ได้ยินจากพวกมันว่า คุณสิงห์เป็นคนสั่งให้ฆ่า” ชาวบ้านที่เป็นชายวัยกลางคนตอบเสียงสั่นเล็กน้อย

ไฟคิดในใจลุงคนนี้คงกลัวว่าบอกไปแล้วจะถูกตามเก็บ

“สิงห์?” หมวดไฟถามย้ำอีกครั้ง จากที่กำลังคิดเรื่องหน้าที่ตรงหน้ากลับมีเรื่องที่ต้องสนใจมากกว่านั้นอยู่อีก

“ครับ ได้ยินเต็มสองรูหูว่าไอสิงห์สั่งให้เก็บสองแม่ลูก” ชาวบ้านหนุ่มอีกคนตอบให้คงเพราะเกลียดพวกนี้เต็มทน ถ้ามีคนกลัวก็ต้องมีคนไม่พอใจอยู่เป็นธรรมดายิ่งพวกเสี่ยพันธ์เองก็ยิ่งมีคนไม่พอใจอยู่มากเช่นกัน

นายตำรวจทั้งสองเห็นท่าไม่ดีจึงบอกให้ชาวบ้านรีบออกไปเพราะตอนนี้หมวดไฟเริ่มโกรธยิ่งกว่าเก่าเสียแล้ว

“จ่าคมเอากุญแจมา” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยออกมานั้นดูน่ากลัวกว่าปกติ

“เอ่อ...”

“เอามา” เร่งอีกครั้งด้วยสายตาแข็งกร้าวกุญแจรถเลยถูกยื่นให้กับมือทันที

“จะไปที่นั่นไม่ได้นะครับหมวด ถ้าเราไม่มีหลักฐานมากกว่านี้เดี๋ยวจะเกิดเรื่องเอาได้นะครับ อีกอย่าง…หมวดต้องอยู่ตรวจสถานที่เกิดเหตุนี้นะครับ” จ่าคมเอาน้ำลูบแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วในเมื่อหมวดไฟได้ขึ้นรถก็ขับออกไปไม่สนจะฟังใครทั้งสิ้น

“ไอ้สิงห์... มึงจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนวะ” ชายหนุ่มกัดฟันกรอดมือหนาบีบพวงมาลัยจนมือแดงเถือกไปหมด หมวกถูกหยิบออกมาวางไว้ที่เบาะข้างคนขับด้วยความรำคาญใจ

ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องทำแบบนี้ นั่นแม่กับน้องมันเองแท้ ๆ ยังไงก็ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่ามันเป็นคนสั่ง

แต่ถึงขั้นมีคนมาระเบิดรถคันนี้ สิงห์มันจะไม่ออกมาดูหน่อยหรือไง…

พอเข้าเขตไร่อัครเดชได้ก็เห็นคนยืนถืออาวุธอยู่ให้เต็ม แต่เขาก็ไม่ได้สนเรื่องนั้น ขับไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าทางเข้าที่มีคนยืนเฝ้าพร้อมอาวุธก็พุ่งเข้าชนประตูด้านหน้าทันที

“เฮ้ย! ทำอะไรของมึงวะ!” คนยืนเฝ้าคนหนึ่งตะโกนด่าเมื่อไฟขับรถชนประตูด้านหน้าอีกครั้งแต่ก็ยังไม่พังจึงถอยหลังออกมา

“ลงรถมาซะไม่งั้นกูยิง!” คนเฝ้าอีกคนชูปืนขู่แต่ไฟก็ไม่สนความตายบึ่งรถชนเข้าไปอีกครั้งจนมันพังลงจนได้

ปัง ๆ ๆ

เสียงปืนดั่งไล่หลังแต่ไฟก็ทำเพียงขับเข้าไปด้านใน มองเห็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่เป็นบ้านของเสี่ยพันธ์ คนที่ยืนเฝ้าตามทางต่างวิ่งหลบรถกันให้วุ่น

“หยุด!” ลูกสมุนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา แต่ไฟก็เอี้ยวตัวหลบไปด้านหลังแล้วเอาแขนหักคออีกฝ่าย พอมีอีกคนที่เข้ามาก็ใช้หน้าแข้งเตะเข้าที่ท้องแล้วฉกปืนมาจากมือก่อนจะหันไปยิงขาพวกมันสองสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ

ปัง

“อั่ก” ไฟล้มลงทันทีที่ถูกหนึ่งในพวกมันยิงเข้าที่แขนพอจะยกปืนขึ้นก็ถูกเตะปืนทิ้งอย่างรวดเร็ว

“อย่าขยับ!” ปืนนับสิบกระบอกถูกจ่อมาทางไฟและอีกหลายคนที่เดินมากักตัวไว้ให้หน้าแนบกับพื้นดินส่วนแขนก็ถูกดัดไพล่หลังจนขยับไม่ได้

“ปล่อยกู!” ตำรวจหนุ่มดิ้นไม่หยุดเลยถูกเตะเข้าที่หน้าหลายทีจนทำให้ดวงตาพร่าเบลอถึงกับต้องสะบัดหัวหลายหนเพื่อเรียกสติ

“ทำไมเอะอะเสียงดังกันจังวะ” น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหน้า ถึงจะมองไม่เห็นเพราะถูกกดหัวไว้แต่ก็จำน้ำเสียงนี้ได้แม่นยำ

“ไอ้สิงห์ไอ้เหี้ย!” พอถูกจับตัวให้ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าได้ก็พล่ามด่าคนตรงหน้าด้วยความโมโหทันที

“ก็ว่าใครที่ไหน.. มาถึงที่นี่เพื่อจะด่ากันเองหรอกหรือ” สิงห์เลิกคิ้วพอเดินเข้ามาใกล้ก็ก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ “เป็นตำรวจแท้ ๆ แต่ดันมาบุกรุกบ้านคนอื่น แล้วไหนยังจะทำร้ายร่างกายประชาชนอีก ใช้ไม่ได้เลยนะ”

“ถุ้ย! บ้านเป็นรังโจรขนาดนี้ยังจะกล้าพูด” ไฟสบถจนทำให้ลูกน้องที่จับตัวอยู่ผลักไฟให้ลงกับพื้นแล้วพากันกระทืบจนตำรวจหนุ่มต้องขดตัวเป็นกุ้งเอาแขนป้องกันหน้าไว้

“กฎบอกไว้ว่าห้ามตำรวจเข้ามาที่นี่โดยไม่มีหมายจับหรือหมายค้น ถ้าใครเข้ามาจะต้องถูกฆ่าเพราะถือว่าบุกรุกบ้านคนอื่น” พอสิงห์เริ่มพูดพวกลูกน้องจึงดึงตัวให้ไฟมานั่งคุกเข่าเช่นเดิม “ดีแค่ไหนที่บุกเข้ามาทำร้ายคนที่นี่แล้วยังมีปากกล้าด่าคนอื่นแบบนี้แต่ยังไม่ถูกเด็ดหัว”

“กูไม่สนเรื่องนั้น ที่กูสนคือเรื่องของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อ! มึงสั่งให้คนไปฆ่าพวกเขาใช่ไหม!” ไฟตะคอกเสียงดังดวงตาเริ่มแดงก่ำ “มึงฆ่าเพื่อนตัวเองไม่พอยังจะฆ่าคนในครอบครัวอีกหรือวะ! นั่นแม่มึงแล้วก็น้องสาวมึงไม่ใช่หรือไง!” ก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกมือนับสิบมาขย้ำหวังให้แหลกสลาย ไฟก้มหน้ากัดฟันปล่อยให้ความโกรธและความเสียใจล้นปรี่ออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บไว้

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าแม่กูตายไปตั้งนานแล้ว ผู้หญิงนั่นมันก็แค่เมียน้อยและกูก็เป็นลูกคนเดียวไม่เคยมีน้องสาวหรอกนะ”

ไฟเงยหน้ามองคนพูดที่เหมือนเรื่องราวในอดีตเป็นเพียงแค่ภาพลวง ใบหน้านั้นที่แสนจะเย็นชาและไร้ความรู้สึกมองกี่หนก็รู้สึกเจ็บข้างในอกทุกครั้ง

ยิ่งด่า ยิ่งโกรธ ยิ่งแค้น

ก็กลายเป็นว่าดันเจ็บปวดเสียเองที่ไปด่า ดันเจ็บปวดเสียเองที่ไปโกรธและดันเจ็บปวดเสียเองที่ไปแค้น

“เมื่อก่อนมึงเรียกน้าพิมพ์อรว่าแม่ น้องโดนรังแกก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บอกกูทีว่าทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องจริง เพราะไอ้สิงห์ที่กูรักมันไม่มีวันทำเรื่องชั่ว ๆ เหมือนตอนนี้!”

สิงห์ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีที่ไฟเริ่มพูดจาไร้สาระ “ปล่อยมันซะ”

“แต่—”

“กูบอกว่าให้ปล่อยมันไง” พอได้ยินอย่างนั้นลูกน้องก็เลิกกักตัวก่อนจะพากันเดินออกไปที่อื่นอย่างรู้งานส่วนคนเจ็บก็ออกไปรักษา ที่ตรงนี้จึงเหลือกันเพียงแค่สองคน

“มึง!” ไฟลุกขึ้นดึงคอเสื้อคนตรงหน้าง้างหมัดเตรียมจะต่อยแต่พอมองใบหน้าของคนที่ไม่เคยคิดจะเกลียดลงเพราะมันรักจนสุดหัวใจ มือที่จะต่อยก็สั่นค้างอยู่อย่างนั้น

“รีบออกไปซะ ยังพอให้อภัยได้เพราะพ่อมึงเองก็เป็นตำรวจใหญ่ จะฆ่าลูกชายของรองอธิบดีในกรมตำรวจภูธรเขตหนึ่ง คงจะเป็นเรื่องเอา” สิงห์เอ่ยเสียงเรียบแล้วดึงแขนของมันออก

“มึงสั่งให้คนไปฆ่าน้าพิมพ์อรจริง ๆ หรือเปล่า” น้ำเสียงของไฟดูอ่อนแรงคนที่เคยโกรธจนหน้ามืดบัดนี้กลับรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องเจ็บปวดกับเรื่องพวกนี้

“ไปได้ยินมาจากไหนล่ะ” สิงห์กอดอกเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่สภาพเหมือนหมาไหนจะเลือดจากตรงแขนที่ไหลไม่หยุด ปากก็เริ่มซีดคิดว่าอีกสักพักคงจะสลบเพราะเสียเลือดมาก

“ตอบกูมา”

“จะคิดอะไรก็เชิญ หรือถ้าจะจับกูก็ต้องหาหลักฐานมาด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะนอนรอให้ใส่กุญแจมือเลย” สิงห์ยิ้มมุมปากยกมือขึ้นตบข้างแก้มสากเบา ๆ สองสามทีแล้วหันตัวจะเดินกลับแต่ก็ต้องหยุดนิ่งกับที่เมื่อไฟยังคงยื้อไหล่ไว้

“เลิกทำแบบนี้ได้ไหม” หมวดไฟที่ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่าไฟตามชื่อทั้งฉุนเฉียว อารมณ์ร้าย ไม่ว่าจะโจรชั่วตัวไหนก็ถูกเก็บหมดไม่มีสงสาร แต่ใครจะรู้ว่าหมวดไฟคนนี้นั้นมีจุดอ่อนอยู่และมีเพียงแค่จุดเดียวก็คือ...

คนที่ชื่อ ‘สิงห์’

“เลิกทำอะไร? คำพูดคลุมเครืออย่างนี้ใครจะไปเข้าใจกัน” สิงห์หันมาถามพลางเลิกคิ้ว

“มึงก็รู้ดียู่แก่ใจ” ไฟพูดติดขัดดวงตาหรี่ลงร่างกายคล้ายจะทรุดอยู่ตลอดเวลา

สิงห์ทำเพียงมองใบหน้าที่บวมช้ำไม่ได้ตอบอะไรออกไป ทว่าแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นไฟก็ล้มลงมาด้านหน้าแต่สิงห์ก็เบี่ยงตัวหลบจนไฟหน้าคะมำลงไปกับพื้นอย่างแรงจนฝุ่นข้างล่างคลุ้งไปหมด

ส่วนคนที่มองอยู่ได้แต่ส่ายหัว “มึงมันโง่ไอไฟ” สิงห์ว่าเสียงเบาแล้วหันมองรถที่อีกคนเป็นคนขับเข้ามา “ไอ้เกื้อ!”

คนถูกเรียกรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหลังจากที่หลบตามพุ่มหญ้าอยู่นานคล้ายนายสิงห์จะรู้ว่ามันแอบดูอยู่ “แหะ ๆ ครับนายสิงห์”

“เอามันไปทิ้งที่หน้าโรงพักซะ”

“ต้องพาไปรักษาก่อนไหมครับ”

“ไม่ต้อง ถ้าโดนยิงแค่นี้แล้วตายก็ปล่อยมันไป ก็ถือว่าสาสมที่มายิงลูกน้องกู” สิงห์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านไม่ได้สนใจไยดีเลยแม้แต่น้อย

ส่วนคนถูกสั่งก็ได้แต่เกาหัวงก ๆ ก้มมองคนที่สลบที่พื้นพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วหันไปตะโกนเรียกคนอื่นให้มาช่วยแบกผู้หมวดคนนี้อีกแรง
 



(มีต่อด้านล่างนะคะ)
ปล.อำเภออ้อยขวางไม่มีในจังหวัดสิงห์บุรีนะคะเพียงแค่เอามาเป็นที่อยู่เฉยๆ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-03-2019 14:10:57
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 22-03-2019 23:19:14
*ต่อจากบทที่ ๑



หลังจากที่สลบไปหลายชั่วโมงไฟก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ รู้สึกปวดไปทั้งตัวจนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพ่งมองรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่คงจะเป็นห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลประจำจังหวัด

“ตื่นแล้วหรือลูก” น้ำเสียงนี้คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากมารดาผู้ให้กำเนิดที่คงจะรู้ข่าวจึงมาหา

“แม่…” ไฟหันมองหญิงวัยกลางคนที่ยังคงมีรอยน้ำตาที่เหือดแห้งอยู่ตามใบหน้า ในใจชายหนุ่มก็รู้สึกผิดขึ้นมา

“แม่ตกใจมากเลยนะรู้ไหม อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้สิ” ฤดีเอ็ดเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปลูบผมลูกชาย

“ขอโทษครับ ผมแค่โกรธ…” ไฟหลับตาลงเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง “แม่รู้เรื่องของคุณน้าพิมพ์อรหรือยังครับ”

ฤดีพยักหน้า “แต่แม่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อหรอกนะว่าคุณพิมพ์อรกับหนูต้นอ้อจะเป็นอะไรไปจริง ๆ รวมทั้งเรื่องของสิงห์เองด้วย…”

พอได้ยินชื่อใครบางคนนัยน์ตาชายหนุ่มก็สั่นไหว “ทุกอย่างมันชัดเจนมากเลยครับแม่ ไม่มีทางไหนที่จะคิดว่าสิงห์ไม่ได้ทำ แต่ผมก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ ผมอยากคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”

“เฮ้อ” เธอถอนหายใจรู้สึกสงสารลูกชายเหลือทนจนต้องลูบผมอีกครั้งเพื่อปลอบแผลในใจ “คนเคยรักกัน ย่อมมีเยื่อใยหลงเหลือนะ นิสัยของสิงห์เป็นยังไงลูกก็น่าจะรู้ดีที่สุด”

ไฟได้แต่คิดตาม แม่ชอบพูดเช่นนี้เสมอเมื่อต้องคุยกันเรื่องของคนรักของเขา

แต่ไม่รู้ว่าสิงห์ลืมไปหรือยังว่ามีเขาที่เป็นคนรักของมันอยู่

เมื่อก่อนนั้นทั้งสิงห์และเขาเรียนด้วยกันเมื่อสมัยมัธยม พอจบก็ไปต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่นครปฐมพร้อมกันโดยมีพ่อของเขาที่เป็นผู้ปกครองในการทำเรื่องให้

เราสองคนต่างรู้สึกพิเศษต่อกันตั้งแต่อยู่มัธยมและยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตอนเรียนอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้เพื่อนเพิ่มมาคนหนึ่ง มันชื่อจัน ส่วนสิงห์ก็ได้เพื่อนมาเช่นกันชื่อนนท์ จึงทำให้เราสี่คนเป็นเพื่อนกินเพื่อนตาย

จนเมื่อเรียนจบได้เป็นตำรวจกันสมใจ เราทั้งสองได้ย้ายมาประจำการที่อ้อยขวางจันเองก็ตามมาด้วย จึงทำให้มีแต่คนเรียกพวกเราว่า ‘สามบุรุษแห่งอ้อยขวาง’ เพราะออกงานล่าโจรกี่ครั้งก็ไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ความภาคภูมิใจนั้นมาได้เพียงระยะสั้นก็ต้องจบลงไป...

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนที่สิงห์ถูกพักราชการเพราะทำให้ทางกรมตำรวจสงสัยว่าช่วยเหลือพ่อของตัวเองในการส่งยาและอาวุธให้พ้นตาตำรวจที่ไปดักจับ

ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตั้งแต่สิงห์มาประจำการที่อ้อยขวาง ตำรวจที่นี่ก็ไม่เคยดักจับรถส่งของพวกเสี่ยพันธ์ได้อีกเลย เขาไม่เคยคิดจะเชื่อว่าสิงห์จะทำอย่างนั้น ต่อให้เอาชีวิตเป็นประกันก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าคนรักของเขาจะทำเรื่องพวกนั้นได้

จนเมื่อผ่านไปหนึ่งปีหลังจากถูกพักราชการสิงห์ก็ยกปืนยิงจันเพื่อนของพวกเราด้วยมือตัวเอง ภาพนั้นยังจำได้ติดตา ทั้งใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มสดใสกลับไร้ความรู้สึก หูนี้ที่อีกคนเคยพร่ำบอกว่ารักกลับเอ่ยบอกพวกลูกน้องที่วิ่งเข้ามาเพราะเสียงปืนว่าสารวัตรโขมและเขาเป็นคนจัดการไอ้จัน

นับตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าจะเจอหน้ากันกี่ครั้งก็เป็นอันต้องมีปากเสียง จากคนรักที่กว่าจะผ่านพ้นอะไรกันมาได้ ครานี้กลายมาเป็นศัตรูที่จ้องจะฆ่ากันแทน

บางครั้งก็ทำให้นึกถึงเมื่อวันที่เราเปิดใจคุยกับพ่อแม่ กว่าพวกท่านจะยอมรับนั้นยากเย็นเพียงใด ทั้งน้าพิมพ์อร น้องต้นอ้อ ทั้งพ่อและแม่ของเขาก็ต่างรู้เรื่องนี้กันหมด ยิ่งกับพ่อของเขาเองที่เป็นนายตำรวจยศใหญ่ย่อมมีหน้ามีตาในสังคม กว่าจะยอมรับเรื่องนี้ได้ต้องเสียน้ำตากันไปเท่าใด แม้ช่วงท้ายพ่อจะหมดความยอมรับในตัวสิงห์ แต่ครั้งหนึ่งท่านก็ยอมโดยไม่ห้ามและไม่พูดอะไร

สิงห์ลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วหรือ

“ใครพาผมมาที่นี่หรือครับ” ตอนแรกก็คิดว่าจะถูกฆ่าตายตั้งแต่ที่ไร่แล้วเสียอีก ยิ่งถ้าเสี่ยพันธ์ได้รู้เรื่องเข้าล่ะก็ไม่น่าจะปล่อยเขามาง่าย ๆ หรอก แต่บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่อยู่พวกลูกน้องจึงทำตามคำสั่งของสิงห์เสียมากกว่า

“ลูกน้องของเสี่ยพันธ์นั่นแหละ เห็นว่าเรียกให้ตามหมอทันทีที่มาถึง”

ไฟขมวดคิ้วแน่นหัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา สิงห์เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้พวกลูกน้องด้วยหรือเปล่า? ลึก ๆ ยังคงห่วงกันใช่ไหม

“อย่าดีใจไปเชียวหมวดไฟ” เป็นเสียงของจ่าธงที่พูดขัดขึ้นและเดินเข้ามาข้างเตียงพร้อมกับสารวัตรโขม พอเห็นอย่างนั้นไฟก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงทันทีเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อทั้งสอง

“เรื่องที่บ้านคุณหลวงเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือลุงธง”

“เรียบร้อยแล้วล่ะ” จ่าธงว่ายิ้ม ๆ

“แล้วเรื่องที่บอกว่าอย่าดีใจไปหมายถึงเรื่องอะไรกัน”

จ่าธงตั้งท่าจะพูด ฤดีจึงจับแขนแล้วส่ายหน้า แต่ปากคนแก่ก็ไวอย่างนี้ล่ะนะ “หมอรัตน์เล่าให้ฟังว่าที่จริงแล้วไอ้สิงห์บอกให้ลูกน้องไปทิ้งเอ็งที่โรงพักตามคำสั่ง แต่ว่ามันไม่อยากใจดำจึงมาส่งที่โรงพยาบาล เหมือนลูกน้องไอ้สิงห์จะรู้นะว่าเอ็งตื่นมาคงจะคิดอะไรไปไกลเลยมาบอกไว้ก่อน ฮ่า ๆ”

ทันทีที่ได้ฟังหัวใจที่กำลังเต้นแรงก็เริ่มค่อย ๆ ช้าลงจนกลับมาเป็นปกติ จ่าธงเองก็อยู่มาตั้งแต่เราสองคนยังเด็ก ๆ คนเก่า ๆ ที่เคยอยู่ทันตอนนั้นก็มีรู้เรื่องบ้าง ไม่แปลกที่จะมาพูดแทงใจดำกันอย่างนี้

“จ่าธงก็” ฤดีตีแขนไปที

“เอ้าก็ข้าพูดเรื่องจริง เอ็งก็ได้ยินไม่ใช่หรือไง”

“เอาล่ะ ๆ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างมันก่อนก็แล้วกันนะครับ” สารวัตรโขมที่เงียบมานานยกมือปรามทั้งคู่แล้วหันมาหาไฟพร้อมทำหน้าจริงจัง “หมวดไฟ ทางอธิบดีแจ้งมาว่าวันมะรืนให้ไปกรมตำรวจที่พระนครตามคำสั่ง”

“ทำไมล่ะขอรับ”

“เห็นว่าจะต้องถูกย้ายไปประจำที่นั่น คำสั่งว่าให้เข้าหน่วยนครบาล ส่วนรายละเอียดยิบย่อยต้องให้ทางการบอกอีกที”

หมวดไฟถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ถึงจะรู้ว่าการทำเกินกว่าหน้าที่และทั้งยังไม่ได้รับคำสั่งจะต้องถูกทางกรมตำรวจลงโทษแต่ไม่คิดว่าจะต้องถูกย้ายไปหน่วยนครบาลที่ทำหน้าที่ตามคำสั่งได้แค่ที่จังหวัดพระนครเท่านั้น

“สิงห์มันคงจะฟ้องทางนั้น” จ่าธงว่า

“ไม่หรอก ผมว่าน่าจะมีปัญหาอื่นเพราะเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงเองจะให้ส่งโทรเลขไปกว่าจะถึงคงเกือบอาทิตย์ได้ แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องที่หมวดบุกไปที่นั่นก็คงต้องส่งถึงที่กรมเข้าสักวัน อาจจะทำให้ถูกลงโทษเพิ่มแต่ก็ถือซะว่าเป็นเรื่องเตือนใจให้ตัวเองสงบลงเสียบ้าง” สารวัตรโขมยังคงพูดตักเตือนในฐานะพี่น้องตำรวจเหมือนกัน “อยู่พระนครคราวนี้ ต่อให้ทำงานเด่น ๆ เพียงใดคงยากที่จะขอยื่นย้ายกลับมาประจำการที่อ้อยขวางอีก ดีไม่ดีอาจจะต้องถูกย้ายไปช่วยเหลือทางจังหวัดอื่นแทน”

“ใจร้อนก็แบบนี้ ก่อนออกจากสถานี สารวัตรก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ใจเย็นซะบ้าง ถึงเรื่องนี้คงจะไม่เกี่ยวกับที่ไปบุกบ้านเสี่ยพันธ์แต่อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเสี่ยพันธ์ก็คงส่งยื่นฟ้องที่กรมตำรวจให้ลงโทษหนักขึ้นก็เป็นได้” จ่าธงได้ทีก็บ่นใหญ่

“กระผมต้องขอโทษที่ทำให้สารวัตรเดือดร้อนนะขอรับ”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากเพียงแต่อยากให้หมวดปรับเปลี่ยนบุคลิกนิสัยอีกสักนิดไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ หรอกนะ.. เพราะถ้าหมวดยังคงเป็นเหมือนเดิม คราวนี้นอกจากชีวิตหมวดจะไม่มีทางกลับมาเหมือนวันนี้แล้ว ยังทำให้ทางกรมตำรวจมีปัญหาเพิ่มอีก”

“ทราบแล้วขอรับ กระผมจะรีบปรับตัวเองใหม่” ไฟยืดตัวตรงใบหน้าและคำพูดดูหนักแน่นน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังคงต้องรอดูต่อไปอีกสักนิด

“ถ้าอย่างนั้นพักผ่อนเสียเถอะเดี๋ยวผมจะส่งโทรเลขไปที่กรมตำรวจว่าขอเวลาหมวดรักษาสักอาทิตย์หนึ่ง เพื่อจะได้เดินทางได้อย่างไม่ขัดข้อง”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” ไฟยกมือไหว้ ก่อนจะถามเรื่องที่สงสัย “แล้วเรื่องคุณพิมพ์อรเป็นยังไงบ้างครับ”

สารวัตรโขมมองหน้ากับจ่าธงเพียงครู่เดียวดวงตาก็ฉายแววหม่นลงทันทีและเป็นสารวัตโขมที่เอ่ยบอกแทน “ถึงตอนนี้จะยังตรวจสอบไม่ได้แน่ชัด แต่หมอรัตน์ก็บอกว่าให้ทำใจเอาไว้ก่อน”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดไฟก็นิ่งค้างในหัวขบคิดหลายอย่าง

“ถึงแม้จะดูยากแต่ศพทั้งสองก็เป็นศพผู้หญิง”

“เอาเถอะหมวดไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะ คิดเรื่องที่กรมตำรวจเถอะ” จ่าธงตบบ่าเบา ๆ สองสามทีนายตำรวจทั้งสองก็พากันเดินออกจากห้องไป

“หิวน้ำไหมลูก”

“ครับ” ไฟพยักหน้าอย่างอ่อนแรง

ฤดีรู้สึกตกใจแต่ก็ไม่อยากพะวงให้ลูกต้องคิดมากเพิ่มจึงหันไปเทน้ำใส่แก้วแล้วป้อนลูกชาย “เหมือนที่สารวัตรโขมบอกไว้นั่นแหละนะ ให้ใจเย็นลงเสียบ้าง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแม่คงอยู่ไม่ได้หรอกนะไฟ”

ไฟยิ้มบาง ๆ “เข้าใจแล้วครับ”

“ดีแล้ว” ฤดีคลี่ยิ้มแล้วหยิบผลไม้ที่ปอกไว้มาให้ลูกตนได้กิน

“แม่จะไปอยู่ด้วยกันไหมครับ พ่อเองก็ไปประจำอยู่ที่อยุธยาผมไม่อยากให้แม่อยู่ที่นี่คนเดียว”

“ไม่ได้ ๆ แม่เป็นครูที่นี่ก็ต้องอยู่ที่นี่เพื่อสอนเด็กที่โรงเรียน คงไปไม่ได้หรอก”

“แต่ว่าโจรมันชุกชุมไม่มีใครสามารถมาดูแลแม่ได้นะครับ เป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวด้วยแล้วยิ่งอันตราย”

“จ่าธงอยู่บ้านข้าง ๆ เดี๋ยวเรียกแกให้มาช่วยก็ได้”

“แต่บางทีลุงธงอาจจะอยู่เวรไม่กลับบ้านล่ะครับ ก็อันตรายอยู่ดี” ไฟขมวดคิ้วทำหน้าไม่เห็นด้วย ในสายตาของผู้เป็นมารดาเหมือนลูกตัวเองเป็นเด็กเล็กที่ทำหน้าเหมือนร้องไห้เพราะไม่ได้ขนมอย่างไรอย่างนั้น

ฤดีหัวเราะ “แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ตอนลูกไปเรียนแล้วก็ทำงานไกลแม่ยังอยู่ได้ตั้งหลายปี”

“มันไม่เหมือนกันเลยครับ ตอนผมไม่อยู่พ่อก็ยังกลับมาอยู่บ้านได้ แต่คราวนี้ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ประจำที่พระนครกี่ปีถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้แม่ไปอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัย พ่อเองก็ต้องอยู่ที่กรมคงหาเวลากลับยาก มันมีทางเดียวคือต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นกับพ่อเลย”

ฤดียิ้มบาง ๆ “เด็กที่นี่ยังต้องการครูสอน บ้านเราไม่ค่อยมีครูเยอะยังไงซะแม่ก็ต้องทำหน้าที่คนเป็นครูไว้ เด็ก ๆ ยังต้องการเรียนรู้นะ”

“แต่—”

“เอาเป็นว่าถ้ามีเรื่องอะไรจริง ๆ แม่สัญญาว่าจะไปหาที่พระนครด้วยตัวเองทันทีเลย”

ไฟยังคงไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องยอมเพราะถ้าแม่พูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดอะไรกับผู้เป็นมารดาในระหว่างที่ต้องประจำการที่พระนคร

แต่การที่ต้องอยู่รักษาตั้งเป็นอาทิตย์ก็อยากจะทำอะไรก่อนไปสักอย่าง เพราะหัวใจมันโหยหาจนคิดว่าถ้าไม่ได้ทำก็คงไม่สามารถไปที่พระนครได้...

มันอาจจะเป็นเรื่องที่สิ้นคิด แต่ว่า… เขาอยากจะคุย แม้ความหวังในการพบเจอจะน้อยนิด

ขอแค่ให้ได้รับรู้เรื่องทุกอย่างก่อนที่จะห่างกันไกลกว่าเดิม ขอเพียงเท่านี้จริง ๆ





จบบทที่ ๑
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 25-03-2019 07:40:08
บทที่ ๒

ยังคงรัก

 
 
๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เวลา ๐๐:๒๐ น.

ครบหนึ่งอาทิตย์ที่ต้องพักรักษาแต่ว่าไฟนั้นออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สองวันแรกแล้วและมาพักอยู่ที่บ้านแทน พอรุ่งเช้าของวันนี้มาถึงก็คงต้องรีบเดินทางไปที่พระนครทันที แต่ระหว่างนั้นก็กำลังจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการก่อนไป

ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้คิดไตร่ตรองถี่ถ้วนทุกอย่างไว้แล้วว่าจะทำยังไง มันอาจจะรวดเร็วสำหรับบางคน ทว่าสำหรับไฟมันช่างยาวนานและทรมาน การที่ต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนรักมานานสามปี มันควรจะพอได้แล้ว…

ถึงแม้ว่าเรื่องอาทิตย์ก่อนจะยังคงติดตราตรึงในก้นบึ้งของความรู้สึกก็ตาม

ชายหนุ่มหันมองซ้ายมองขวาภายในบ้านที่แสนจะเงียบเชียบ แม่คงจะเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเหมือนอย่างเคย ตอนนี้ผู้หมวดที่เคยเห็นแต่งชุดตำรวจเกือบทุกวันบัดนี้กลับใส่เพียงเสื้อเชิ้ตดำกางเกงดำสวมหมวกก็สีดำ ถ้าใครบอกว่าเป็นโจรปล้นบ้านก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งมีไอ้ผ้าสีดำที่พกมาด้วยแล้วเรียกได้ว่าเตรียมปล้นบ้านคนอื่นได้เลย

แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะไปปล้นใครหรอก

จักรยานคันโปรดที่ชอบขี่ไปสน.บ่อย ๆ ก็เอาออกมาขี่เพื่อจะได้ไม่ให้มันเป็นจุดเด่นและเสียงดังจนเกินไป ตามท้องถนนด้านนอกเองก็เงียบกริบ แม้ว่ายังพอมีแสงสว่างจากบ้านเรือนตามพื้นที่แต่พอขี่ออกมาเรื่อย ๆ บ้านคนก็เริ่มหาย ถนนจึงปกคลุมไปด้วยความมืดอย่างแท้จริง แต่ไฟก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นเพราะสมัยเด็กก็เคยแอบมาทำอย่างนี้บ่อยในเวลาที่พ่อกับแม่นอนแล้ว

ขี่ไปได้ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพิ่งจะถูกยิงมาสด ๆ ร้อน ๆ

และที่นี่คือไร่อัครเดชเป็นที่ที่เขาต้องการมาตั้งแต่แรก

พอขี่เข้ามาทางลัดที่เป็นทางที่เคยแอบมาตอนมัธยม มันเป็นป่าทึบที่อยู่ด้านข้างไร่เป็นทางที่เขาและสิงห์รู้กันเพียงสองคนเท่านั้น สมัยก่อนเขาชอบแอบมาหาสิงห์เพราะอยากอยู่คุยด้วย

เสี่ยพันธ์ก็ไม่ค่อยถูกกับตำรวจคงจะรวมถึงลูกตำรวจอย่างเขาก็ด้วย พ่อเองตอนอยู่ที่นี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ไล่จับเสี่ยพันธ์ไม่ปล่อย ไม่แปลกที่จะต้องทำอย่างนี้แทนการขอเข้าไปหาตรง ๆ

ในไร่มีแสงไฟเปิดเรียงรายพวกที่ยืนถือปืนคอยเฝ้าด้านในก็ยังคงมีอยู่ เมื่อสองสามปีก่อนหลังจากที่สิงห์ถูกพักราชการรวมถึงเรื่องที่ยิงจัน เขาอยากจะมาหาถึงที่นี่เหมือนวันนี้ แต่ว่าไม่รู้ทำไมถึงมีคนมาเฝ้าแถวตรงห้องของสิงห์จนไม่สามารถเข้ามาได้ตลอดสามปี

แต่ก็ต้องดีใจที่วันนี้แทบไม่มีคนมาอยู่แถวนี้เหมือนเปิดทางให้กัน ไฟรีบใส่ผ้าปิดปากไว้หันมองรอบกายอย่างระมัดระวังพอเห็นหน้าต่างชั้นสองของบ้านไม้ที่ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดก็เป็นอันเข้าใจดีว่าเจ้าของห้องคงหลับไปเสียแล้ว

บริเวณข้างบ้านมีพุ่มหญ้าให้หลบได้แต่ก็ไม่จำเป็นในเมื่อแถวนี้ไม่มีลูกน้องของเสี่ยพันธ์ยืนอยู่เลยสักคนแถมห้องของสิงห์เองก็ตรงข้ามกับป่าทึบจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะขึ้นไปได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเจอ

ตุบ!

พอปีนขึ้นมาถึงหลังคาของชั้นแรกก็ต้องหยุดนิ่งกับที่ มันแข็งแรงดีแต่ใช่ว่าจะไม่ลื่น ไฟสบถกับตัวเองเสียงเบาแล้วรีบจับขอบผนังไม้เพราะหน้าต่างเปิดไว้อยู่

พอเข้ามาได้ก็ต้องกะพริบตาหลายหนเพราะห้องมืดจนแทบมองไม่เห็นคนด้านใน ไฟหันไปปิดหน้าต่างทันทีเพื่อไม่ให้ใครมองเข้ามาได้ในเวลาที่ต้องไปเปิดไฟ ยังดีที่เป็นหน้าต่างทึบไม่ใช่หน้าต่างกระจก แต่คราวนี้พอปิดหน้าต่างก็ไม่มีแสงสว่างลอดออกมาจนต้องคลำตามผนังเพื่อไปที่สวิตช์ไฟ ขนาดไม่ได้มาหลายปีทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ชินทางในห้องจนสามารถหาที่เปิดไฟได้

“คิดจะเปลี่ยนใจไปเป็นโจรแล้วหรือไงครับผู้หมวด” เสียงของคนที่คิดว่านอนอยู่กลับดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงกดเปิดไฟ

พอหันไปมองเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังนั่งพิงหัวเตียงอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดใดคล้ายกับรู้ว่าจะต้องมีคนบุกเข้ามาในห้อง ก็นึกตกใจระคนดีใจ...

“รู้ได้ไงว่าเป็นกู” ไฟถามแล้วถอดผ้าปิดปากกับหมวกออก

“จะมีใครบ้างล่ะที่รู้ทางลัด ห้องของกูอยู่ใกล้กับป่าจะมาทางนั้นก็คงไม่โดนจับง่าย ๆ ต่างจากการบุกเข้ามาทางอื่นที่มีคนอยู่ให้เต็ม”

“แล้วไม่คิดว่าจะมีคนฉลาดเข้ามาทางนั้นเพื่อจะบุกมาฆ่ามึงหรือไง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ทว่าในใจกลับรู้สึกเป็นห่วงที่อีกคนไม่ใส่ใจเรื่องนี้

“ต่อให้กูปิดมิดชิดคนมันจะฆ่าต่อให้ปาระเบิดใส่ทั้งบ้านก็คงทำไปแล้ว” สิงห์พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ดูจะไม่กลัวอะไรเลยนะ” ไฟเดินเข้าไปนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะวางหมวกกับผ้าไว้ข้างกายเพื่อจะเท้าแขนคร่อมตัวเจ้าของห้องไว้พร้อมกับจดจ้องใบหน้าที่แสนจะคิดถึง

“นี่ผู้หมวดถ้ามีอารมณ์ก็ไปหาเด็กที่ซ่องก็ได้นะ เดี๋ยวจะคุยกับเจ้าสัวเหวยให้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ผลักออกแต่อย่างใด

“กูไม่ได้มาหาเพราะเรื่องนั้น”

“อือฮึ แล้ว?”

“กูแค่จะบอกว่ากูต้องไปประจำการที่พระนครนะ ไม่รู้ว่าต้องไปกี่ปี”

สิงห์หัวเราะในลำคอ “มาบอกทำไม ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย”

“เปิดหน้าต่างแล้วนั่งรอกันขนาดนี้ แน่ใจหรือว่าไม่อยากรู้” ไฟเลิกคิ้ว

“ก็แค่เปิดรับลมเท่านั้น อีกอย่างข่าวมันไวเสียซะจนกูต้องคิดไว้แล้วว่ามึงต้องมา”

“ข่าวไว? มึงมีสายหรือไง”

สิงห์ทำเป็นตกใจ “แย่เลย ถือว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดแล้วกันนะ”

“สิงห์...” ไฟกดเสียงต่ำแต่ก็เบื่อที่จะต้องมาทะเลาะกันเพราะที่ผ่านมาก็ไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้นเลย “กูจะถามมึงครั้งสุดท้ายก่อนไปที่พระนคร เรื่องของไอ้จันแล้วก็น้าพิมพ์อรตกลงมันเป็นยังไงกันแน่”

คนถูกถามถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “กูน่าจะพูดไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“มึงว่าแต่กูพูดจาคลุมเครือมึงเองก็ไม่ต่างกัน กูอยู่กับมึงมานานแค่ไหนดูก็รู้ว่าทุกคำที่มึงพูดมันมีแต่คำโกหก”

สิงห์เงียบไปนานก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม “ก็ได้ถ้ามึงอยากรู้เดี๋ยวจะบอกให้ แต่เรื่องไอ้จันมึงก็น่าจะเห็นไม่ใช่หรือไงว่ากูเป็นคนฆ่ามันแล้วยังจะมาถามอะไรอีก”

“แล้วมึงจะไปฆ่ามันทำไม มันทำอะไรผิดนักหรือไง นั่นเพื่อนนะสิงห์”

“แล้วอย่างไร มันควรจะขอบคุณที่ตายด้วยน้ำมือกูแทนที่จะเป็นไอ้พวกลูกน้องชั้นต่ำ”

ไฟขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ยังไม่พูดอะไรรอให้อีกคนพูดต่อ

“ที่จริงทั้งมึงแล้วก็สารวัตรโขมถ้าไม่อยู่ตรงนั้นกูก็คงไม่โยนให้พวกมึงหรอก แต่น่าเสียดายที่พวกมึงดันเสนอหน้าอยู่ เอาเป็นว่าอย่าถือโทษโกรธกันเลยนะ” สิงห์ยกมือลูบแก้มคนตรงหน้าปากเจือด้วยรอยยิ้มอย่างคนไม่รู้สึกรู้สาที่ไปฆ่าใคร

“ส่วนเรื่องของสองแม่ลูกนั่น กูสั่งให้คนไปฆ่าจริง ๆ ตามที่เข้าใจนั่นแหละ”

“ทำไม? มึงคิดว่าเรื่องนี้มันน่าเชื่อหรือไง”

“ไม่เชื่อก็ตามใจ ที่จริงกูบอกพวกมันว่าให้ยิงก็พอแต่ดันเอาระเบิดไปปาใส่รถด้วย ฮ่า ๆ แม่งซวยซะจริง”

“มึง…” ไฟหลับตาลงเพื่อพยายามอดกลั้นก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่าย “ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมึงก็ห่วงแม่กับน้องสาวขนาดนั้น มึงคิดว่ากูอยากจะเชื่อหรือไงว่าทั้งหมดมันเป็นความจริง”

สิงห์เงียบลงใบหน้าที่กำลังยิ้มก็กลับมาบึ้งตึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วจนคนมองตกใจ ก่อนที่มือเรียวนั้นจะเอื้อมไปจิกท้ายทอยของไฟพร้อมกับพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “กูไม่เคยคิดนับถือมันว่าเป็นแม่กู ต้นอ้อกูก็ไม่เคยคิดจะห่วงคนอย่างมัน! แต่กูต้องคอยดูแลต้องคอยไปปกป้อง เพราะถ้ากูไม่ดูแลมัน พ่อก็จะมากระทืบกู!!”

“ว่าไงนะ”

ทำไมเรื่องนี้ไม่เคยรู้เลย

“กูต้องทนรับชะตากรรมแบบนี้มานานแค่ไหนกูจำได้ดี ถ้าต้นอ้อมันมีแผลสักนิดกูก็โดนกระทืบ ไหนจะแม่มันที่มาเป็นเมียน้อยพ่อกูแล้วยังไปมีชู้เพิ่มอีก อาทิตย์ก่อนที่มันจะหนีออกไปมันจะออกไปกับชู้มัน กูเลยต้องสั่งลูกน้องให้ไปฆ่าพวกมัน ส่วนกูก็อยู่ฆ่าชู้มันที่นี่! กูโคตรสะใจตอนรู้ว่าพวกแม่งถูกระเบิดตาย ฮ่า ๆ”

สิงห์ทั้งโกรธทั้งยิ้มปะปนกันจนเหมือนคนบ้า แต่สำหรับคนมองแทนที่จะต้องควรโกรธมากกว่าเดิมแต่กลับรู้สึกสงสารจนได้แต่มองอีกคนหัวเราะแม้ดวงตาจะไม่ได้แสดงออกว่าอยากหัวเราะจริง ๆ

ถึงจะรู้ว่าเสี่ยพันธ์ตบตีสิงห์บ่อยแต่เหตุผลส่วนมากเพราะสิงห์ไปขัดใจคนเป็นพ่อแล้วก็เพราะคบหากับเขา ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับต้นอ้อเลยสักนิด

ความรู้สึกมันบอกว่าตอนนี้สิงห์ยังโกหกเขาอยู่เลย…

พอเห็นว่าสิงห์เริ่มสงบลงไฟจึงพูดขึ้นมา “รู้ไหมว่ากูโกรธมึงมากเลยนะ” สีหน้าของไฟในตอนนี้ไม่ได้มีเค้าของความโกรธตามที่พูดมันมีแต่ใบหน้าที่เจ็บปวดในตอนที่มองหน้าของคนที่ตัวเองรัก “แต่ที่โกรธ มันเพราะมึงไม่ยอมบอกอะไรกูเลย”

ไฟยังคงพูดต่อ “ถึงกูจะไม่เข้าใจว่าเหตุผลของมึงคืออะไร แต่มึงเชื่อไหมว่าขนาดกูเห็นมึงฆ่าเพื่อนต่อหน้าต่อตา ได้ฟังเรื่องอะไรหลายอย่างมาจากคนอื่น ทั้งเรื่องของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้ออีก แต่กูกลับคิดว่ามึงต้องมีเหตุผลที่ทำ มึงคงไม่ได้ตั้งใจ”

พูดไปภาพเก่า ๆ ก็ผุดเข้ามาในหัว ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าการเป็นผู้ชายและการเป็นตำรวจ ห้ามร้องไห้ ห้ามแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ตอนนี้กลับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพราะต้องทนกับเรื่องที่ตัวเองไม่เข้าใจมาสามปี ต้องทนอยู่เป็นศัตรูกับคนที่ตัวเองรักมาสามปี

จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย…

ไฟก้มลงเอาหน้าแนบกับไหล่อีกคนปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างกับไม่ใช่หมวดไฟที่คนภายนอกรู้จัก “กูคิดถึงมึง อยากกอดมึง อยากจะช่วยมึงออกมาถ้าเกิดมึงไปเดินบนเส้นทางที่ผิด กูพร้อมที่จะช่วยมึงทุกอย่างถ้ามึงบอกกูสักคำ แต่มึงก็ไม่เคยบอกกูเลย แม้แต่ตอนนี้ ที่มึงบอกมากูกลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงเลยสักนิด”

“กูเคยคิดนะว่ามันจะผิดต่อไอ้จันไหม จะผิดต่อน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อหรือเปล่าที่กูยังเชื่อใจว่ามึงต้องมีเหตุผลสักอย่าง”

สิงห์เค้นเสียง “เหอะ คนไม่เชื่อเขาจะถ่อมาถึงที่เพื่อจะด่ากันหรือไง”

ไฟผละตัวออกจากลาดไหล่ของอีกคนทันที “เพราะกูโกรธไงสิงห์ กูไม่เข้าใจอะไรเลย กูถึงถ่อมาหา เผื่อมึงจะบอกอะไรกูสักคำบ้าง”

“ถ้าอย่างนั้นมึงจะคิดอะไรก็เรื่องของมึง อยากจะเชื่อสิ่งไหนก็เชื่อไปเพราะถือว่ากูพูดไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็รีบไสหัวออกไปด้วย”

“สิงห์...” ไฟเรียกเสียงอ่อน “พอเถอะนะ”

นอกจากจะไม่ฟังอะไรแล้วยังทำร้ายจิตใจกันด้วยกระบอกปืนที่จ่อกลางอก ไฟก้มมองปืนนี้ที่สิงห์ใช้มาตั้งแต่เข้ารับราชการจนบัดนี้ใช้ไปในทางที่ผิด แสงวาววับสะท้อนตาเรียกให้ชายหนุ่มเอื้อมไปสัมผัส เห็นอีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย ไม่กลัวว่าปืนอาจจะลั่นใส่เพราะเขานั้นได้เห็นแหวนสีทองที่เคยให้สิงห์

สิงห์ยังคงใส่อยู่... หากเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นหลักฐานได้ไหมว่าสิงห์เองก็ยังรักเหมือนกัน

เขายิ้มบาง ๆ “ยังรักกันอยู่ใช่ไหม สิงห์..”

คนถูกถามเงียบไปนานก่อนจะผละปืนออกสลับไปถืออีกข้างแล้วกางนิ้วดูแหวนนิ้วนางข้างซ้าย “ลืมไปเลยนะว่าใส่ไว้อยู่ หากจำได้ว่าใส่คงจะถอดทิ้งไปนานแล้ว” พูดเสร็จก็เหลือบมองอีกฝ่ายที่มีแววตาเจ็บปวดทันทีที่ได้ยิน

“สิงห์...”

“จะขอคืนหรือ เอาไปสิ” สิงห์ถอดแหวนออกแล้ววางใส่มือคนตรงหน้า “ใส่ไปเดี๋ยวจะเปื้อนเลือดเปล่า ๆ เอาไปให้คนอื่นเสีย คืนให้ครั้งนี้ถือว่าเป็นน้ำใจที่เคยช่วยเหลือกัน”

คล้ายถูกมีดนับพันเล่มปักเข้ากลางอก เจ็บเสียยิ่งกว่าแผลที่ถูกยิงภายนอก “คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้”

“คิดดีมานานแล้ว” สิงห์ตอบเสียงเรียบ

ไฟมองคนรักที่แววตาไม่แม้แต่จะสั่นคลอนหรือรู้สึกผิดที่พูดอย่างนั้นเลย “เข้าใจแล้ว” เขายอมลุกไปดับไฟและเดินออกไปเปิดหน้าต่างทั้ง ๆ ที่ยังคงกำแหวนไว้แน่น มองเห็นดวงจันทร์สีครามเต็มดวงเหมือนดั่งวันที่เราเคยดูด้วยกันที่ศาลากลางน้ำสมัยเด็ก ก็นึกคิดถึงอดีตที่เคยดี

“ขอบคุณที่ทำให้กูได้มาคุยด้วยก่อนที่จะไปพระนคร”

“อย่าคิดไปเอง”

ไฟยิ้มอย่างเหนื่อยไปทั้งกายและใจหันไปมองคนรักด้วยน้ำตาที่คลอเล็กน้อย “ไฟรักสิงห์นะ และยังคงรักเสมอ” เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทำหน้ายังไงเพราะมันมืดจนแทบไม่เห็น อาจจะดีใจ เสียใจหรือไม่ได้สนใจ...

“ไปครั้งนี้คงนาน ฝากดูแลแม่ด้วยนะ ท่านอยู่บ้านคนเดียว” พอเห็นว่าสิงห์ไม่แม้แต่จะตอบอะไรจึงพูดต่อ “ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะไม่บุกมาเหมือนอาทิตย์ก่อนอีกแล้ว จะพยายามใจเย็น”

สิงห์ยังเงียบอยู่อย่างนั้น ไฟจึงหัวเราะในลำคอหันไปมองดวงจันทร์อีกรอบ “น่าแปลกนะ มึงเคยเตือนเรื่องนี้ตั้งหลายรอบ กูก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ดูตอนนี้สิ แม่งเหมือนหมาที่เพิ่งมาคิดได้ ถึงแม้ว่ากูยังไม่รู้เลยว่ากูจะทำได้จริงหรือเปล่า”

เขาเหมือนพูดระบายกับอากาศและลม  แต่ก็รู้ว่าสิงห์ยังคงฟังอยู่ไม่อย่างนั้นคงไล่ออกไปนานแล้ว “สิงห์... ถ้าวันไหนกูเกิดตายขึ้นมามึงจะร้องไห้หรือเปล่า”

สายลมเย็น ๆ ลอยพัดผ่านดวงใจที่เหี่ยวแห้งก็เหมือนกลับจะสามารถปลิวไปตามลมได้โดยง่ายเพียงแค่โดนนิดเดียว “กูแค่ถามไปอย่างนั้นแหละ คงเพราะในชีวิตกูเคยมีแต่มึงมาคอยช่วยแล้วก็มีแต่คิดว่ามึงยังรอกูกลับจากปฏิบัติหน้าที่กูเลยรอดมาได้ตลอด แต่ว่าพอไม่มีมึงมาห้ามไม่ให้ใจร้อน ไม่มีมึงที่รอกินข้าวด้วยกัน ชีวิตกูก็ขาดแสงสว่างไป กูยอมรับว่าชีวิตกูอยู่ได้เพราะมีแต่มึง”

เขาหันกลับไปมองคนรักอีกครา “เพราะฉะนั้นกูจะตามหาความจริงด้วยตัวเอง วันนี้อาจจะไม่ใช่วันของกูเพราะกูไม่ได้เข้มแข็งพอ หากพบกันอีกกูจะไม่ให้มึงมาไล่กูได้อย่างนี้แน่นอน”

ไฟยอมออกไปยืนนอกหน้าต่างเมื่อคิดว่าอยู่ไปก็ไม่ได้อะไรเพราะสิงห์ไม่แม้แต่จะตอบเขาสักคำ

“กูไปก่อนนะสิงห์ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ... ไฟรักสิงห์นะ

ก็ยังคงเป็นหมาขี้แพ้ที่รักเจ้าของไม่เสื่อมคลายแม้ว่าเจ้าของจะทิ้งขว้างไม่สนใจเหมือนเคย


 


พ่ายโลกันตร์

 

 

“ขอบคุณทุกคนที่เคยช่วยเหลือกันตอนทำงานนะ” หมวดไฟก้มหัวพลางยิ้มให้ตำรวจทุกนายที่ออกมายืนส่งตรงหน้าสถานี

“ตอนที่อยู่พระนครก็อย่าเพิ่งใจร้อนล่ะหมวด เดี๋ยวผมจะช่วยเหลืออีกแรง จะหาทางให้หมวดกลับมาประจำที่อ้อยขวางอีกครั้ง”

“ต้องเดือดร้อนสารวัตรเยอะเลย ขอบพระคุณมากนะขอรับ”

“ไม่เป็นไร คุณเป็นตำรวจที่ดีผมก็อยากจะช่วยเหลือ”

“หมวดไม่อยู่คงไม่มีใครคอยปลุกใจพวกเรา” จ่าคมพูดขึ้นเพราะเวลาไปจับโจรแม้จะไม่มีหนทางเหลือแต่ก็มีหมวดไฟที่คอยปลุกระดมความเป็นตำรวจให้ทุกคน ยิ่งเป็นลูกน้องในหน่วยของหมวดเองก็เสียดายที่ไม่ได้ร่วมงานกันไปอีกนาน

“เดี๋ยวให้สารวัตรกับจ่าธงเป็นคนจัดการเอง” หมวดว่าอย่างนึกขัน

“สารวัตรก็คงได้ แต่จ่าธงจะไหวหรือ”

“อ่าว ๆ ไอ้นี่ ดูถูกกูซะแล้ว” จ่าธงเท้าสะเอว

“แล้วตอนนี้ของที่ต้องเตรียมเอาไปเอาออกมาครบหรือยัง” สารวัตรเอ่ยถาม

“เห็นว่าแม่จ้างคนช่วยยกของ ไม่รู้จะขนอะไรไปเยอะแยะ” หมวดไฟบ่นตามภาษาคนไม่ค่อยใส่ใจ แม่เอาแต่จัดของซะเยอะ เสื้อผ้าคงเอามาทั้งตู้

“ยังไม่รู้เลยว่าจะไปประจำกี่ปีก็คงเตรียมไว้เผื่อให้”

“เผื่อไว้มากไป” จ่าธงว่า

“อันนี้ผมเห็นด้วย” หมวดไฟหัวเราะ เพียงไม่นานรถที่พ่อทิ้งไว้คันหนึ่งก็ถูกขับออกมา คนในรถนั้นมีแม่ที่นั่งมาด้วยโดยมีคนขนของอีกสองคนที่แม่จ้างมา

“นั่นไง ดูสิน่ะของเต็มหลังรถเลย” จ่าธงชี้

ไฟได้แต่กลืนน้ำลายกำลังคิดว่าหากไปไม่ทันการคงเพราะของหนักจนรถยางแบนเข้า

“ไม่น่าออกมาก่อนเลยไม่อย่างนั้นคงห้ามไม่ให้เอาของมาแล้ว” ไฟถอนหายใจพอแม่ลงรถมาก็ต้องเดินเข้าไปบ่นอีกครา “แม่ครับเอาของมาเยอะไปหรือเปล่า”

“ไม่เยอะเลยลูก ประจำกี่ปีก็ไม่รู้เอาไปเผื่อไว้” ฤดีลูบแขนลูกชาย

“แต่ถ้าของเยอะขนาดนี้เรียกผมเอาก็ได้ ผมจะได้ไม่ต้องออกมาที่สถานีก่อน”

“โอ๊ยไม่ได้ ๆ ขับรถไกลคงเมื่อยแย่ไว้เมื่อยแค่ตอนขับรถกับตอนขนของลงก็พอ”

“อ่าวแม่”

“ฮ่า ๆ ลำบากแล้วสิเอ็ง” จ่าธงหัวเราะชอบใจ

“รีบไปได้แล้วไปเดี๋ยวสายขึ้นมาจะถูกว่าเอา” ฤดีตบไหล่เบา ๆ ก่อนจะกอดแนบแน่น “ดูแลตัวเองด้วยนะลูก อย่าหักโหมงานหนักมากนะ”

“ขอบคุณครับแม่ แม่เองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ” ไฟหอมแก้มผู้เป็นแม่ก่อนจะหันไปตะเบ๊ะให้นายตำรวจทุกคน “ไว้ผมจะกลับมาที่นี่นะครับ”

“ผมจะรอ” สารวัตรพยักหน้า

“ฝากทุกคนดูแลคุณนายฤดีด้วยนะครับ”

“ได้เลย”

“ไฟก็” ฤดีหัวเราะ

“ไว้ใจข้าได้ แม่เอ็งจะปลอดภัยหายห่วง”

“ให้จริงเถอะจ่าธง”

“เอ้ เอ็งอยากจะโดนฟาดกระบาลก่อนไปหรือไง”

“หยอกน่ะครับ” ไฟอมยิ้มก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่ง “ขอบคุณครับ” เขาก้มหัวให้คนขนของที่ยื่นกุญแจรถให้แล้วก็ขอบคุณอีกคนที่มาด้วยกัน เป็นคนแก่ทั้งคู่ ได้แต่สงสารลุงทั้งสองที่รับงานหนักจากแม่

“ขับรถดี ๆ นะลูก”

“ครับ” ไฟคลี่ยิ้มเข้าไปนั่งข้างในพร้อมสตาร์ทรถเตรียมจะออก แต่พอนึกอะไรได้ก็ต้องหยุดลงแล้วหันมองทางด้านหลัง

“มีอะไรหรือเปล่าหมวด” สารวัตรก้มถาม

“อ่อ เปล่าครับ”

“หาใครอยู่ล่ะ ใช่คนนั้นหรือเปล่า แต่อย่างมันคงไม่มาหร๊อก” จ่าธงก็ยังคงเป็นจ่าธงเหมือนเดิม

“อีกแล้วนะจ่าธง” ฤดีปราม

“ข้าไม่ได้พูดชื่อนะ”

“นั่นสิครับ เพราะถ้าเขามาผมคงมัวแต่ดีใจจนไม่อยากไปพระนคร”

“รักจริง ๆ เลยนะคนนี้” จ่าธงทำหน้าเห็นใจแต่ก็ปนความหมั่นไส้ลึก ๆ

“รีบไปเถอะลูก” ฤดียิ้มให้ ไฟจึงยกมือไหว้บอกลาก่อนจะบึ่งรถออกจากสถานี ไม่วายยังหันมองกระจกหลัง เผื่อจะได้เห็นคนที่อยากเจอ

แต่ก็ไม่พบ...

“ไม่คิดจะมาส่งกันหน่อยหรือไง” เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างคนอ่อนแรง

สามปีก่อนหน้านี้ติดคำว่าหน้าที่จนไม่เป็นอันจะทำอะไร แล้วยังจะต้องห่างอีกไม่รู้กี่ปี วันไหนถึงจะได้พบกันอีก คงได้แต่รอเวลาเพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้ทำอะไรเลย

ไฟก้มมองแหวนในมือที่ยังใส่อยู่ก่อนจะจับสร้อยคอที่ห้อยด้วยแหวนอีกวงหนึ่งพลางถอนหายใจที่ทำได้แต่ยอมให้เป็นแบบนี้ไปก่อน ในเมื่อทำได้เพียงเท่านี้ก็คงต้องทนต่อไปอย่างเดียว






จบบทที่ ๒
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-03-2019 09:29:52
 :กอด1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 28-03-2019 01:57:22
บทที่ ๓

ย้อนวัย : พบกันครั้งแรก



พ.ศ. ๒๔๖๗

๑๖ ปีที่แล้ว ณ โรงเรียนประจำจังหวัด

เสียงคนพูดคุยดังก้องทั่วบริเวณ เด็กเล็กเด็กโตต่างยืนรอกันหน้าทางบ้านไม้ที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก วันแรกของการเปิดภาคเรียนเริ่มขึ้น เด็กหน้าใหม่หน้าเก่ามีเข้าเรียนอยู่ไม่ถึงสามสิบคนเพราะครูผู้สอนมีเพียงสี่ท่านเท่านั้น เด็กนักเรียนบางคนงบไม่ถึงจึงเรียนตามบ้านหรือไม่ก็เรียนที่วัด เพราะเหตุนี้คนมาเรียนที่นี่จึงมีน้อยนิด

“ขอยินดีต้อนรับนักเรียนทุกคนในการเปิดภาคเรียนวันแรกนะ สำหรับคนไหนที่เพิ่งจะเข้าชั้นมัธยมปีที่หนึ่งใหม่ให้มายืนกันตรงนี้” เสียงคุณครูวัยหนุ่มพูดขึ้นก็มีเด็กนักเรียนเจ็ดแปดคนที่เดินออกไปยืนเรียงกันตามที่คนเป็นครูบอก

“ถ้าครบแล้วก็ตามครูมา” ว่าเสร็จก็พาเดินเข้าไปด้านในห้องเรียนที่อยู่ใกล้เพียงนิดเดียวเท่านั้น

ที่นี่มีโต๊ะตั้งกับพื้นให้แต่ละคนแต่มีเพียงสิบตัวเท่านั้นแต่ห้องก็ไม่ได้แคบอะไร เด็ก ๆ ต่างหาที่นั่งกัน บางคนได้เพื่อนแล้วก็นั่งข้างเพื่อน ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีเพื่อนกันหมด ยกเว้นเด็กคนหนึ่งที่กำลังนั่งตัวคนเดียวหลังห้องริมหน้าต่าง

ดูไม่เข้าสังคมและดูเหมือนสังคมจะไม่ต้องการเช่นกัน

คนเป็นครูเองก็ได้แต่เก็บพะงำไม่กล้าพูดอะไรเพราะรู้ดีว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร

“ครูชื่อชาติชัยนะ เรียกครูชาติก็ได้ ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักทุก ๆ คนนะ” ครูหนุ่มยังคงพูดทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะบอกให้นักเรียนแนะนำตัวกันจนมาถึงเด็กคนหนึ่งที่เป็นจุดสนใจตั้งแต่อยู่ข้างหน้าห้องเรียน

“กระผมชื่อเพลิงกาฬ ไตรษิณย์ ชื่อเล่นชื่อไฟขอรับ”

“โอ้ ลูกผู้กองอนงค์ใช่ไหม”

“ขอรับ” ไฟยิ้มอย่างอารมณ์ดี เพื่อน ๆ พากันหันมาพูดคุยด้วยเพราะต่างรู้จักผู้กองอนงค์กัน

“พ่อฉันพูดถึงแต่พ่อไฟตลอดว่าเป็นตำรวจที่เก่งมาก ๆ เลยนะ ไม่เคยมีตำรวจคนไหนเก่งเท่านี้มาก่อน ขนาดฉันเป็นผู้หญิงเองยังชื่นชมท่านเลย”

“นี่ ๆ ฉันน่ะเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นตำรวจเพราะพ่อนายเลยนะ จะได้ไปปราบพวกโจรหน้าเลือดเหมือนอย่างผู้กองอนงค์บ้าง” ทุกคนต่างแย่งกันพูดจนคนฟังได้แต่หัวเราะอย่างคลาดเขิน

“ผู้กองอนงค์เป็นตำรวจที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ท่านได้ช่วยเหลือปราบคนเลว อย่างโจรดัง ๆ ที่ชื่อไอ้ษาผู้กองอนงค์ก็เป็นคนปราบมาแล้ว” พอครูชาติพูดเสร็จทุกคนก็ยิ่งชื่นชมพ่อของไฟขึ้นไปอีก จนทั้งห้องเอาแต่ถามไถ่เรื่องผู้กองอนงค์กันให้วุ่น

“เอาล่ะ พอ ๆ ค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลังก็แล้วกันนะ คนต่อไปแนะนำตัวเลย” ครูชาติผายมือไปทางเด็กที่นั่งริมหน้าต่าง ถึงจะเกร็ง ๆ ที่เด็กคนนี้ไม่ยิ้มไม่แย้มแต่ในฐานะครูก็ต้องดูแลเด็กทุกคนให้ดี

“กระผมชื่อสหัส อัครเดช ชื่อเล่นชื่อสิงห์” ถึงแม้จะแนะนำตัวตามเพื่อนทว่ากลับรู้สึกเหมือนน้ำเสียงดูเรียบนิ่งไม่ร่าเริงเหมือนดั่งคนอื่น

“ใช่ลูกเสี่ยพันธ์หรือเปล่าวะ” เด็กที่อยู่ข้าง ๆ ไฟหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนที่นั่งด้วยกัน

“นามสกุลอัครเดชขนาดนั้นจะมีใครอีกล่ะ” เด็กอีกคนตอบจึงดึงความสนใจของไฟเป็นอย่างมากเพราะพ่อเองก็ไล่จับคนที่ชื่อเสี่ยพันธ์มาเนิ่นนานแต่ก็ยังจับไม่ได้เสียที

เด็กหนุ่มหันไปมองคนริมหน้าต่างที่นั่งลงกับที่เหมือนอย่างเคยแล้ว ใบหน้าที่ดูเรียบนิ่งไม่สนใจใคร ทว่า พอคุณครูเริ่มสอนใบหน้านั้นก็มีปฏิกิริยาใคร่รู้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่มองอยู่เผลอยิ้มออกมาด้วยความไม่รู้ตัว ยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้าในขณะที่ผมสีดำเข้มขยับพลิ้วไหวยามที่สายลมพัดผ่านมาทางหน้าต่างก็ยิ่งละสายตาออกมาไม่ได้

หัวใจของเด็กหนุ่มกำลังเต้นแรง...

ไฟรีบหันกลับมาสนใจหนังสือบนโต๊ะพร้อมกับเคลื่อนมือมาจับตรงหน้าอกที่หัวใจมันเต้นเร็วซะจนกลัวว่ามันจะระเบิดออกมา ได้แต่คิดในหัวว่าแย่แน่... ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ ๆ  ต้องพยายามไม่ให้หันไปสนใจ อาการแปลก ๆ พวกนี้จะได้หายไปเสียที

ถึงแม้ว่าจะคิดอย่างนั้นแต่ไฟก็ยังหันไปมองคนริมหน้าต่างอยู่ทุกนาที

เด็กคนนั้นชื่อสิงห์หรือ?

ก็ดูตั้งใจเรียนดี ถึงภายนอกจะเหมือนไม่สนใจแต่พอถึงเวลาเรียน หรือเวลาเปลี่ยนวิชาคนที่ชื่อสิงห์ก็จะรีบทำตาม ดวงตาจดจ้อง หูรับฟังคำสอนของผู้เป็นอาจารย์ พยักหน้าบางครั้งแล้วเขียนลงกระดานดำ

ไฟแทบไม่ได้ฟังครูสอนเพราะมัวแต่หันมองคนริมหน้าต่าง เพราะดันตกอยู่ในภวังค์ของเด็กที่ชื่อสิงห์ไปเสียแล้ว

“ไฟมากินข้าวด้วยกันไหม” กานต์เพื่อนในห้องเอ่ยถามทันทีที่ถึงเวลาพัก

เด็กหนุ่มหยิบปิ่นโตเตรียมจะเดินไปด้วยแต่พอหันไปเห็นสิงห์ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเข้าไปคุยก็นึกอยากจะเข้าไปทักทาย

“พวกนายไปเถอะ ฉันว่าจะไปนั่งกินตรงนู้นสักหน่อย” ไฟบอกพวกกานต์ก่อนจะเดินออกไปหาเด็กที่ชื่อสิงห์ที่กำลังนั่งลงใต้ต้นไม้ห่างจากห้องเรียนไม่มากพร้อมกับเอาถ้วยปิ่นโตของตัวเองออกมาวางตรงหน้า

“สวัสดี นายชื่อสิงห์ใช่ไหม ฉันไฟนะ” เด็กหนุ่มโบกมือทักทายพร้อมกับนั่งลงตรงข้าม เปรยยิ้มอย่างเป็นกันเองแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้สนใจ

“นายเรียนเก่งเหมือนกันนะ ตอนอาจารย์เรียกตอบคำถามนายก็ตอบทันทีเลย ฉันยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ” ไฟหัวเราะ ค่อย ๆ หยิบถ้วยปิ่นโตออกมาวางบ้าง

“นายลองกินกับข้าวของฉันได้นะ แม่ฉันทำอร่อยมาก แล้วนั่นแม่นายทำให้ใช่ไหม” ไฟชี้ไปที่กับข้าวสองสามอย่างของคนตรงข้ามก่อนชะงัก “น้ำพริกหรือ อันนี้แกงอะไรดูเผ็ดน่าดู อ้อ ถ้วยนี้หมูทอด”

“ทำไมถึงมาคุยกับฉันล่ะ” สิงห์วางถ้วยข้าวลง ไม่ได้จะผลักไสหรือไม่อยากมีเพื่อนแต่แค่ไม่คิดว่าจะมีคนมาคุยด้วย

“ก็เพราะอยากเป็นเพื่อนไงเรื่องมันก็แค่นั้นเอง ขอชิมหน่อยนะ” ไฟตักหมูทอดน่ากินเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้งก็ต้องยิ้มกว้าง “อร่อยจัง”

“ไม่กลัวหรือ”

“กลัว?” ไฟเคี้ยวข้าวเต็มกระพุ้งแก้ม “เรื่องอะไรล่ะ”

“ก็ฉัน… เป็นลูกของโจร” สิงห์ก้มหน้าน้ำเสียงดูเบาหวิว

“แล้วนายคิดว่าตัวเองเป็นโจรหรือเปล่า” ไฟถามแล้วตักผัดเปรี้ยวหวานฝีมือของแม่ตนให้กับอีกคน

“ฉันไม่รู้” สิงห์ก้มมองกับข้าวในถ้วย

“ถึงนายจะเป็นลูกของโจร ใช่ว่าตนจะเป็นโจรไปด้วย ถ้านายบอกกับตัวเองว่าไม่ใช่โจรนายก็จะไม่ใช่โจร”

สิงห์ใจชื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “พ่อนายเป็นตำรวจ ฉันรู้ว่าผู้กองก็ตามจับพ่อของฉันด้วยแล้วทำไมนายถึงยังมาคุยกับฉัน ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นลูกของคนที่พ่อนายตามจับล่ะ”

ไฟยิ้มให้ “ก็บอกแล้วไงว่าฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับนาย”

การสานมิตรเป็นไปได้ด้วยดีแต่ถึงอย่างนั้นสิงห์ก็ยังคงเก็บตัวไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาต่างจากไฟที่ไม่ว่าจะมาถึงโรงเรียน พักกินข้าวหรือกลับบ้านก็เป็นอันต้องไปหาสิงห์อยู่ทุกเมื่อ เพื่อนในห้องก็ต่างชอบพูดว่าอย่าไปยุ่งเดี๋ยวจะโดนฆ่าอะไรก็ไม่รู้ของพวกนั้น แต่ไฟก็ไม่เคยคิดจะฟังคำใครนอกจากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น

 

ผ่านไปสามเดือน

“สิงห์!” ขอเพียงแค่เห็นสิงห์เดินไปโรงเรียนในทางเดียวกันเหมือนทุกครั้งไฟรีบก็วิ่งเข้าไปหาทันที “นี่ขนมใส่ไส้ แม่ฉันทำมาให้นาย”

สิงห์รับถุงกระดาษมาดู ปากก็เม้มเข้าหากันเหมือนอยากจะพูดอะไร

“ไม่ชอบขนมใส่ไส้หรือ”

“เปล่า” สิงห์ตอบเสียงเบาแล้วยื่นปิ่นโตขนาดเล็กให้กับไฟ “กล้วยบวชชีกับบัวลอยไข่หวาน แม่ทำมาให้”

“ฮ่ะ ๆ ขอบพระคุณขอรับ” ไฟรับปิ่นโตมาถือปากก็ยิ้มกว้างดีใจอย่างปิดไม่มิด

“ถ้าอร่อยจะทำมาให้อีก” สิงห์พูดตามที่แม่ของตนบอกทุกคำคล้ายจับวาง

“ไม่ต้องกินก็รู้ว่าอร่อย เพราะกับข้าวที่แม่นายทำก็อร่อยทั้งนั้น”

สิงห์หันมองคนข้างกายที่เดินพูดไปยิ้มไปพอเจ้าตัวหันมามองก็ต้องรีบหลบสายตา “กับข้าวแม่นายก็อร่อย…”

“อย่างนั้นหรือดีใจจังที่นายชอบ” ไฟอมยิ้มยกแขนคล้องคอคนข้าง ๆ อย่างที่ทำประจำ

 

พ.ศ. ๒๔๖๘ ขึ้นชั้นมัธยมปีที่สอง

“สิงห์ไปบ้านฉันไหม แม่บอกอยู่ตลอดว่าอยากให้นายไปกินข้าวที่บ้านแต่นายก็ไม่ยอมไปสักที” ไฟที่นั่งโต๊ะเรียนข้าง ๆ บ่นขึ้นมาทันทีหลังจากได้เวลาเลิกเรียน

“พ่อนายไม่ว่าหรือ”

“กลัวอะไรอีกล่ะ พ่อฉันเองก็อยากให้นายไปเหมือนกันนะ”

“ฉันกลัวว่าพ่อนายจะไม่ชอบฉัน”

“ฉันคุยกับพ่อเรื่องของนายแล้ว ท่านอยากจะเจอนายนะแล้วแม่ฉันก็มารอรับแล้วด้วย”

สิงห์มีท่าทีลังเลจนไฟต้องดึงแขนให้อีกคนเดินตามออกไปจากห้องเรียน

“ไฟ ทางนี้ลูก” เสียงเรียกของใครบางคนดังมาจากทางด้านหน้าโรงเรียนพอเห็นไฟยกมือไหว้คนเป็นแม่ก็เป็นอันเข้าใจได้ทันที แต่ใบหน้าของเธอดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากจนสิงห์ถึงกับมองเหม่อไปชั่วขณะ

“คนนี้ไงแม่ที่เคยเล่าให้ฟัง” ไฟเขย่าไหล่ของสิงห์เพื่อเรียกสติ

สิงห์จึงรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“ไงจ๊ะ ชื่อสิงห์ใช่ไหม”

“ครับ”

“เจ้าไฟชอบเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าสิงห์ขี้อาย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ปากอย่างใจอย่าง” เธอเอ่ยฟ้องเพื่อนลูกชายจึงทำให้สิงห์ถึงกับหันไปมองไฟทันทีที่ได้ยิน

“อะไร ฉันแค่พูดให้ฟังเฉย ๆ นะ ไม่ได้จะว่าร้ายนายสักหน่อย” ไฟรีบแก้ตัวแต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่สนใจตนเสียแล้ว

“สิงห์ไปกินข้าวกับน้านะลูก น้าทำกับข้าวไว้เยอะเลย”

สิงห์ยังคงอึกอักไม่กล้าตอบพอหันไปมองเพื่อนสนิทที่พยักหน้าเร่งอยู่หลายหนจึงต้องตอบรับไป “ได้ครับ”

“ดีเลย! ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านกันเถอะ”

ดูเหมือนว่าไฟจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษจึงทำให้คนเป็นแม่ต้องคลี่ยิ้มอย่างนึกเอ็นดูที่เด็กสองคนนี้ถึงแม้นิสัยจะต่างกันแต่กลับสนิทกันได้

เดินกลับเพียงไม่นานก็มาถึงบ้านไม้ทรงไทยสวยงาม ทั้งสามขึ้นไปยังชั้นบนเห็นชายวัยกลางคนดูสูงภูมิฐานที่กำลังยืนทำอะไรอยู่ตรงริมตู้

“พี่อนงค์คะ” เธอขานเรียนสามีพร้อมกับหยิบพวกสัมภาระของเด็กทั้งสองไปวางบนโต๊ะให้

“ว่าไงฤดี ไปรับเจ้าตัวแสบมาแล้วรึ” เสียงทุ้มน่าเกรงขามเอ่ยเพียงเท่านั้น ฟังแล้วดูขี้เล่นสำหรับคนในบ้านทว่าคนนอกอย่างสิงห์กลับรู้สึกกลัวจนเผลอถอยไปแอบข้างหลังของไฟ

“ค่ะพี่ เจ้าตัวก็พาเพื่อนมาด้วย” เธอเดินไปจับไหล่ของสิงห์ลูบปลอบให้หายหวั่นพร้อมกับยิ้มออกมาเป็นเชิงบอกว่าจะไม่เป็นไร

“ใช่ที่ชื่อสิงห์หรือเปล่า” อนงค์หันมามอง ใบหน้าดูเหมือนไฟเป็นอย่างมากดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันทว่าปากของไฟนั้นกระจับคล้ายกับแม่

“ฉันไหว้จ้ะ” สิงห์ยกมือไหว้ทันที

“ไหว้พระ ๆ มาก็ดีแล้วจะได้กินข้าวกันนะ” พ่อลูกคงจะคล้ายกันตรงที่หน้าดูเข้มและดุทว่าจิตใจกับคำพูดดูอ่อนโยน

“นั่งรอตรงนั้นก่อนนะเดี๋ยวน้าจะไปยกกับข้าวมาให้” ฤดีผายมือไปทางโต๊ะกินข้าวใกล้กับห้องรับแขก

“ให้ผมช่วยไหมครับ”

“ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวให้เจ้าไฟไปช่วย”

“อ่าวแม่”

“ไม่ต้องมาอ่าวเลย มานี่” ฤดีดันหลังลูกชายได้ยินเสียงสองแม่ลูกถกเถียงกันสิงห์ก็อมยิ้มขึ้นมา

“นั่งเลย ๆ” อนงค์เอ่ยบอกแล้วเก็บอุปกรณ์การช่างก่อนจะหายเข้าไปข้างใน สิงห์จึงเดินไปนั่งขัดสมาธิเพราะเป็นโต๊ะเตี้ยนั่งกินกับพื้น รอเพียงไม่นานก็ได้กลิ่นหอม ๆ ของกับข้าวโชยมา

“มาแล้ว ๆ” ไฟพูดมาแต่ไกลพร้อมวางถาดลงบนโต๊ะ ด้านในมีจานชามที่ใส่กับข้าวมากหน้าหลายตา

“น่ากินจัง”

“ใช่ไหมล่ะ”

“กับข้าวยังคงอุ่น ๆ อยู่ ต้องรีบกินเดี๋ยวจะชืดหมด” ฤดีถือหวดนึ่งข้าวมาวาง “ไฟไปเอาจานกับช้อนมาเลยลูก แล้วบอกพ่อด้วยว่าให้ตักน้ำมาด้วย”

“จ้า” ไฟตอบรับลุกออกไปพร้อมกับถาดในมือ

“สิงห์กินเผ็ดได้ใช่ไหมลูก”

“กินได้ครับ ของโปรดผมเลย”

“ดีแล้วเพราะเจ้าไฟน่ะดันกินเผ็ดไม่ค่อยได้ ต้องกินแต่กับข้าวที่ไม่เผ็ดมาก”

“จริงหรือครับ ก็ว่าทำไมตอนกินข้าวด้วยกันไฟกินแต่ของไม่เผ็ด” สิงห์อมยิ้ม

ฤดีหันมองทางครัวก่อนจะป้องปาก “คงอายถ้าบอกเพื่อนไปว่ากินเผ็ดไม่ได้”

สิงห์หัวเราะเล็กน้อย รู้สึกผ่อนคลายกว่าจากที่คิดไว้เยอะ

“เอ้าพ่อ ก็บอกว่าอย่าเดินเร็วไง น้ำมันหกเห็นไหมเนี่ย” ไฟบ่นเสียงดังเห็นสองพ่อลูกเดินข้างกันก็ยิ่งดูเหมือนฝาแฝด

“อะไรของเอ็ง ข้าก็เดินปกติน้ำมันไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ก็ไปโทษน้ำสิวะ” ผู้เป็นพ่อเองก็บ่นไม่แพ้กัน

“ก็พ่อเดินเร็วจนน้ำหกเดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดี”

“เอ็งนี่บ่นเหมือนแม่เลยนะ”

“พ่อก็ขี้บ่น”

“ไอ้ลูกคนนี้”

“พอเลย ก็ขี้บ่นเหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละ มา ๆ เดี๋ยวแม่ตักข้าวให้” ไฟยื่นจานกับช้อนให้แต่ยังขมวดคิ้วมุ่น

“เอ้อสิงห์ ได้ข่าวว่าเอ็งสอบได้ที่หนึ่งของห้องเลยใช่ไหม” อนงค์ที่นั่งลงข้างภรรยาเอ่ยถามแขกของบ้าน

“ครับ…” สิงห์เกร็งเล็กน้อยพอเห็นว่าท่านยิ้มก็เริ่มปรับตัวได้

“ดี ๆ ไม่เหมือนไอ้เจ้าไฟเรียนก็ไม่เข้าใจ สอบก็ได้ที่สุดท้าย”

“โธ่พ่อ คนเรายังต้องมีล้มบ้างเส้นทางมันไม่ได้เรียบง่าย”

“ล้มบ่อยไปแล้วเอ็งน่ะ” อนงค์ใช้ช้อนชี้หน้าก่อนจะตักข้าวกิน

“สิงห์ฝากสอนไฟหน่อยนะลูก” ฤดีพูดขึ้น

“ได้ครับ”

“อะไรของนายน่ะ ยังจะตอบรับคำอีก”

“ก็ตอนอยู่โรงเรียนนายก็ไม่ยอมตั้งใจเรียนไม่ใช่หรือไง”

“ใครบอกกัน”

สิงห์ตักข้าวกินแล้วชี้ที่ดวงตาของตัวเอง “เห็นอยู่ทุกวัน”

“มั่วแล้ว…”

“ฮ่า ๆ ขนาดเพื่อนยังพูดเลยไอไฟเอ๊ย” อนงค์หัวเราะชอบใจ

“ได้ ๆ คอยดูเถอะ ไฟจะเอาคะแนนดี ๆ มาให้ตกใจกันไปเลย”

“แล้วสิงห์ได้คิดหรือเปล่าว่าเรียนจบแล้วจะไปทำงานอะไร”

สิงห์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น “ผมอยากเป็นตำรวจครับ” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็ต่างหันมองสิงห์เป็นตาเดียว

“ไม่เห็นนายเคยบอกฉันเลย”

“ก็นายไม่ได้ถาม” พอได้ยินคำตอบ ไฟก็อยากจะหยิกแก้มคนข้างกายสักที ตั้งแต่สนิทกันดูเหมือนฝีปากจะเก่งขึ้นกว่าเดิม

“ทำไมถึงอยากเป็นตำรวจล่ะ” อนงค์ถามต่อใบหน้ากลับมาจริงจัง

“ไว้ทานข้าวเสร็จก่อนแล้วกันนะ” ฤดีเอ่ยขัดเพราะเผื่อสิงห์กลับบ้านเย็นไม่ได้ต้องรีบกินจะได้มาคุยกัน

จนทั้งสี่นั่งกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พาลงมานั่งใต้ถุนบ้าน อนงค์เองก็ไม่ยอมปล่อยให้เสียเวลาเปล่า “แล้วที่ถามไปล่ะ ว่าไง”

สิงห์ก้มหน้าลงเรื่องนี้มันไม่ได้ตอบยาก แต่พอนึกถึงเรื่องราวในชีวิตที่ต้องพบเจอร่างกายก็ดูอ่อนแรงทันตา

“ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรนะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกพร้อมสัมผัสอันแสนอบอุ่นที่ทาบบนไหล่จึงทำให้สิงห์เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนสนิท

น่าแปลกนะที่เพียงแค่นี้ก็ทำให้สบายใจขึ้นได้

“คุณลุงคงรู้ว่าพ่อกระผมเป็นโจร” สิงห์กล้าพูดเต็มปากถึงจะอายและไม่อยากพูดถึงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง

“ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ผมได้ยินเสียงปืนอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ คนร้องขอชีวิต ทุกครั้งที่เดินออกจากบ้านก็จะเจอแต่พวกที่ถือปืน พวกที่ติดยาติดฝิ่น ผมไม่เคยมีความสุขเลยที่ได้มองสิ่งพวกนั้น เงินที่ได้มาเรียนทุกวันก็ไม่รู้ว่าไปปล้นไปได้มาจากสิ่งผิดกฎหมายหรือเปล่า เห็นพ่อที่เป็นโจรร้ายผมไม่เคยดีใจหรือมีความสุขเลยสักนิด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเป็นตำรวจ จะทำให้ไร่อัครเดชเป็นไร่จริง ๆ ไม่ใช่ที่ของพวกโจร”

“โธ่ลูก” ฤดีรู้สึกเห็นใจ ทำไมเด็กอายุเพียงเท่านี้ถึงเจอเรื่องราวมรสุมในชีวิตที่หนักขนาดนี้กันนะ

“กล้าจับพ่อตัวเองหรือเปล่า?”

“กล้าครับ” สิงห์พยักหน้า “ผมคิดว่าการจับพ่อตัวเอง คงจะดีกว่าการที่เห็นพ่อต้องทำบาปเพิ่มอีก”

“เสี่ยพันธ์เกลียดตำรวจซะขนาดนั้น ถ้าเกิดไม่ได้เป็นตำรวจเพราะพ่อไม่เห็นด้วยขึ้นมาล่ะจะทำยังไง”

“ที่จริงผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันขอรับว่าจะต้องทำยังไง เพราะพ่อเองก็คงจะไม่ยอมง่าย ๆ เช่นกัน ถึงผมจะคัดค้านเรื่องที่พ่อเป็นโจรเพียงใดแต่เด็กอย่างผมในตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้มากอยู่ดี”

อนงค์พยักหน้าก่อนจะกอดอก “สมมุติว่าถ้าได้เป็นตำรวจแล้วทางการมีคำสั่งให้ฆ่าพ่อตัวเอง.. จะทำได้ไหม”

“พ่อ!” ไฟหน้าเสียรีบเอ่ยขัดเพราะไม่อยากให้สิงห์ต้องมารู้สึกไม่ดี

แต่สิงห์ก็ทำเพียงวางมือบนขาไฟเพื่อให้ใจเย็น “ผมยอมรับว่าทำไม่ได้ เพราะทำไม่ได้จึงอยากจะทำอย่างอื่นแทน”

“อย่างอื่น?”

“ในจังหวัดนี้หรือแม้แต่ทั่วทั้งภาคกลางคงไม่ได้มีแค่กลุ่มของพ่อ มันมีกลุ่มอื่นอีกผมอยากจะค่อย ๆ จับพวกนั้นก่อน พ่อจะได้ไม่ต้องไปขายอะไรให้ใครอีก พอถึงตอนนั้นผมก็อยากจะจับพ่อด้วยมือของตัวเอง”

อนงค์ทำเพียงแค่นั่งเงียบ ๆ จ้องมองเด็กตรงข้ามที่แม้ว่าดวงตาจะดูสั่นไหวแต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น เป็นเด็กที่มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ รู้จักวางแผน เฉลียวฉลาด ถ้าได้เป็นตำรวจจริง ๆ ก็คงจะทำผลงานเด่น ๆ ได้อีกเยอะอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นโจรก็ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ทางที่ดีถ้าในตอนนี้เด็กยังมีความดีในตัวและคิดดีอยู่ก็อยากจะดูแลปกป้องความดีเหล่านี้เอาไว้ไม่ให้เลือนหาย

พอถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้แล้วอนงค์จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “นอกจากเรื่องเรียนแล้วศิลปะการต่อสู้ได้เรียนบ้างไหม”

“ผมเรียนมวยไทยที่วัดพรหมวิหารตั้งแต่เรียนประถมแล้วขอรับ ก่อนจะจบประถมสี่ผมก็ไปเรียนยูโดแล้วก็คาราเต้เพิ่มกับคุณหลวงธารานันท์ ท่านใจดีคอยฝึกสอนให้”

“ดีเลยนะนั่น คุณหลวงเก่งเรื่องกีฬาโชคดีถ้าท่านเอ็นดู” อนงค์ยิ้มชม

“เรียนมวยไทยด้วยหรือ ฉันชักอยากจะลองดวลด้วยสักยก” ไฟกอดอกทำหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยม

“เจ้าไฟเคยเป็นตัวแทนมวยไทยของโรงเรียนน่ะ” ฤดีบอกเพื่อนลูกชายที่ทำหน้างุนงง

“เออน่าสน ถ้าอย่างนั้นพวกเอ็งก็ลองกันสักตั้งสิ”

“ครับ?” สิงห์เกือบตามไม่ทัน

“มาเร็ว ๆ” ไฟอยากสู้เต็มแก่ลุกออกไปยืนนอกบ้านพร้อมกับถอดเสื้อกับรองเท้าเพื่อจะเตรียมโชว์ความสามารถที่เก่งกว่าด้านเรียน

สิงห์ถอนหายใจแล้วถอดเสื้อออกบ้าง รองเท้าถุงเท้าก็ถอดออกทั้งคู่จึงเหลือเพียงกางเกงน้ำตาล

“ชนมือกันหน่อย”

ทั้งคู่ชนมือกันก่อนจะถอยหลังยกการ์ดตั้งท่าตามฉบับมวยไทย

“เอ้าเริ่ม!” สิ้นเสียงของผู้เป็นพ่อไฟก็ชกไปก่อนจากความใจร้อนแต่สิงห์ก็เอียงหัวหลบได้ทัน

ไฟชกเข้าไปอีกแต่อีกคนก็หลบได้เหมือนเดิม พอยกขาจะเตะสีข้างแต่สิงห์ก็ยกเข่ารับไว้ได้ทันท่วงที

“ก็ใช้ได้หนิ” ไฟยิ้มพร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างป้องกันหมัดซ้ายของสิงห์แล้วยกเท้าขวาใช้ท่ามอญยันหลัก*ถีบเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายในทีเผลอ พอเห็นว่าสิงห์ถอยหลังตามแรงถีบก็รีบใช้ส้นเท้าหมุนตัวในท่าจระเข้ฟาดหาง* แต่สิงห์ก็เอาแขนมารับไว้พร้อมเหวี่ยงออก

พอได้ทีตนบ้างสิงห์จึงเตะเข้าไปกลางหลังของไฟในตอนที่อีกคนยังตั้งตัวไม่ได้ก่อนจะกระโดดหมุนตัวใช้แรงขาเหวี่ยงกลับมาเตะอีกที ต่างจากท่ามวยไทยตามปกติที่น่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้ด้านอื่นที่เรียนเสริมมา

“โอ๊ย ๆ ใจเย็นสิ” ไฟรีบถอยออก ย่ำเท้าตั้งแขนพยายามหาช่องว่าง

ในใจได้แต่คิด ‘จะเสียชื่อตัวแทนโรงเรียนไม่ได้นะเว้ย’

สิงห์สบตามองคนตรงข้ามมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย คิ้วเข้มยักขึ้นยักลงโดยไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดไฟก็เข้าใจเป็นอันดีว่าอีกคนกำลังท้าทายเขาอยู่

“ถ้าเจ็บตัวก็อย่ามาว่ากันนะ” เพียงไฟพูดจบก็เริ่มเอาจริงบ้างจนสิงห์เสียท่าไปหลายหน แต่ไฟเองก็เหงื่อตกเช่นกัน

การต่อสู้ของทั้งคู่ดูสูสีซะจนอนงค์ถึงกับตบเข่าฉาดได้ใจไปหลายครั้งในตอนที่สิงห์ต่อยลูกชายตัวเองได้ เพียงเสียงของสามีภรรยาที่ดังอยู่ใต้ถุน ทางเพื่อนบ้างรอบข้างก็มามุงดูกันอย่างสนอกสนใจ จนยุติลงที่ทั้งคู่เสมอกันแทน

“อ่อนจริง ๆ เลยนะไอ้ไฟเนี่ย” ลุงธงที่มาดูด้วยเอ่ยเสียงขัน

“อะไรของลุง ผมไม่ได้แพ้เสียหน่อย” ไฟเท้ามือกับเข่าจ้องเขม็งลุงข้างบ้านที่ชอบพูดหยอกล้อกันอยู่เรื่อย

“แต่มีคนมาสู้เสมอกับเอ็งได้ขนาดนี้ก็ถือว่าแพ้แล้ว ฮ่า ๆ”

ไฟพ่นลมหายใจรู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุดแต่ก็ต้องสงบลงเมื่อหันไปเห็นสิงห์ที่ยืนคุยกับพ่อด้วยรอยยิ้มตรงริมต้นไม้ห่างจากใต้ถุน พลันใจก็กระตุกสั่นไหวราวกับมีคนมาตีกลองอยู่ด้านใน

ถึงอายุจะยังน้อยแต่ก็เข้าใจอย่างดีว่าอาการแปลก ๆ ที่เป็นอยู่มันคืออะไร…

รอยยิ้มที่นาน ๆ ทีจะได้เห็น แต่เวลาได้มองกลับทำให้จิตใจสงบ ไฟมัวแต่จดจ้องเพียงเพื่อนสนิท เขาไม่ได้ยินเสียงรอบกายคล้ายคนหูหนวก ได้ยินแต่เพียงเสียงหัวใจที่ดังก้องอยู่ข้างใน

ครั้งนั้นทำให้ไฟรู้สึกว่าตนเองกำลังหลงรักเพื่อนสนิทคนนี้เข้าให้แล้ว

 หรือไม่บางที… อาจจะหลงรักตั้งแต่แรกพบซะด้วยซ้ำ






จบบทที่ ๓

---------------------------------------------------------------------------------------------
คำทักทายในสมัยก่อนไม่ได้ใช้คำว่า 'สวัสดี' นะคะ จึงไม่เห็นว่าเราใส่ไป จะเริ่มใช้ในปี 2486 เริ่มใช้ครั้งแรก ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เริ่มให้ใช้คำว่าสวัสดีเป็นคำทักทายค่ะ

*ท่ามอญยันหลัก คือ การที่ฝ่ายรุกชกหมัดซ้ายเข้ามาบริเวณหน้าของฝ่ายรับ ส่วนฝ่ายรับให้รีบยกแขนทั้งสองขึ้นป่องกันหน้าพร้อมยกเท้าขวาทีบที่ยอดอกหรือท้องของฝ่ายรุกให้กระเด็นไป
*ท่าจระเข้ฟาดหาง คือ การหมุนให้ส้นเท้ากระแทกที่ศีรษะของอีกฝ่าย
- ที่จริงท่าจระเข้ฟาดหางเป็นท่าที่ต้องใช้ในสถานการณ์โดยมีฝ่ายรุกเดินมวยเข้าชกด้วยหมัดขวาสุดแรงจนตัวเสียหลักถลันเข้าไปข้างหน้า
- ฝ่ายรับจะก้าวเท้าซ้ายทแยงออกวงนอก เอี้ยวตัวให้หมัดผ่านทางไหล่ขวา ในระยะ ๑ คืบ แล้วใช้เท้าซ้ายเป็นหลัก หมุ่นให้ส้นเท้ากระแทกที่ศีรษะของฝ่ายรุก
เครดิต : ขอขอบคุณสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 28-03-2019 10:40:13
ภาษาสวย แต่งดีมากกก รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 30-03-2019 13:40:13
บทที่ ๔

ย้อนวัย : ก้าวแรกของสองเรา

 

ขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๓

พ.ศ. ๒๔๖๙


“เอาให้มันหักครึ่งไปเลยสิวะ” อนงค์เอ่ยว่าเสียงดัง

เด็กทั้งสองที่ใส่เพียงกางเกงขาสามส่วนต่างยืนเตะเข้าที่ต้นกล้วยที่ตั้งเรียงรายตามพื้นที่กันอยู่เป็นชั่วโมงแล้ว แต่ลำต้นมีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะมันแข็งซะจนขาคนเตะปวดไปหมด

“พ่อขอพักหน่อยสิ” ไฟถึงกับหยุดเตะ เหนื่อยหอบจนแทบหายใจไม่ทัน

“ยังจะมาขี้เกียจอีก ดูสิงห์ไว้ นั่นลำต้นมันเริ่มจะหักแล้วน่ะ”

“โธ่พ่อไม่เห็นต้องถึงกับลำต้นหักเลย”

“ไอ้ลูกคนนี้อ่อนปวกเปียกเสียไม่มี อายเพื่อนบ้างไหม เป็นนักมวยไปแข่งแท้ ๆ แต่ต้นกล้วยเพียงต้นเดียวดันเตะไม่หัก ลืมที่เรียนไปแล้วหรือไงว่าต้องใช้น้ำหนักขายังไง”

“ก็ใช่สิ ไอ้สิงห์มันเป็นเด็กน่าเอ็นดู” ไฟกอดอกหรี่ตามองคนที่ยังตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างไม่มีบ่นสักคำ

“ไอ้ลูกคนนี้ช่างจ้อเหลือทนนะ” อนงค์ว่าอย่างไม่ใส่ใจ

“ไหนว่าคืนนี้จะพาไปงานวัดไง แล้วทำไมยังให้มาฝึกกันล่ะพ่อ ถ้าเกิดปวดขาเดินไม่ไหวก็อดไปพอดีสิ” ไฟขมวดคิ้วเดินไปนั่งพักดื่มน้ำจากขันทันทีแต่ก็โดนตบหัวจนน้ำหกเรี่ยราด “เอ้าพ่อก็!”

“ไม่มีความกระตือรือร้นเลยนะเอ็งแต่จะยอมให้วันหนึ่ง สิงห์พักได้แล้วล่ะ มาดื่มน้ำมาลูกมา”

“มาลงมาลูกเชียวนะ” ไฟเอ่ยแหย่

“หุบปากไปเลยไอ้เด็กคนนี้” อนงค์ตบหัวลูกชายไปอีกทีก่อนจะดึงขันน้ำจากมือไฟไปให้สิงห์ที่เดินมานั่งข้าง ๆ

“เหนื่อยไหม”

“เหนื่อย”

“ไม่ได้ถามเอ็งไอ้ไฟ”

“อ่าว”

“เหนื่อยครับ” สิงห์ตอบตามจริง “แต่สนุกมากกว่า”

“เอ้อ ๆ ดี ๆ สมกับที่สอนมาตลอดปี” ตั้งแต่ให้ประลองฝีมือกันวันนั้นหลังจากเลิกเรียนหรือหยุดเรียนสิงห์ก็มักจะมาที่บ้านของไฟเพื่อจะฝึกมวยโดยมีอนงค์เป็นคนสอน

บางครั้งก็มีลุงธงหรือไม่ก็ลุง ๆ แถวบ้านมาช่วยเป็นลูกมือให้จนสนิทสนมกันเพราะคนแถวบ้านลุงอนงค์มักจะชื่นชมสิงห์และไม่สนเรื่องที่ว่าเป็นลูกของโจร ทุกคนต่างเอ็นดูและเห็นใจเสียมากกว่า แต่เรื่องนี้ก็ยังต้องเก็บเป็นความลับเพราะหากเสี่ยพันธ์รู้เข้ามันจะไม่เป็นการดี

“ตกลงพ่อเอ็งอนุญาตให้ไปหรือเปล่า”

สิงห์ยิ้มบาง ๆ “พ่อผมไม่ได้สนหรอกครับว่าผมจะออกไปไหนหรือกลับดึกเพียงใด ตอนขอท่าน ท่านก็พูดแต่ว่าจะไปไหนก็ไปแค่นั้นเองครับ”

อนงค์ถอนหายใจ “ไอ้พันธ์นะไอ้พันธ์กับลูกกับเต้าทำไมไม่ห่วงเสียบ้าง”

ไฟหันมองหน้าเพื่อนสนิทที่หม่นลงก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเป็นว่าไม่ต้องพูดแล้ว สิงห์ขึ้นบนห้องกัน ฉันว่าจะให้สอนการบ้านหน่อย” ไฟขัดบทสนทนาแล้วดึงแขนให้สิงห์ตามไปทันทีไม่ได้สนเสียงบ่นจากผู้เป็นพ่อเลยสักนิด

ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่อยากให้ใครต้องมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสิงห์มากนัก เพราะสิงห์น่ะเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดแล้ว

“หิวหรือเปล่าเด็ก ๆ” ฤดีที่เห็นทั้งสองขึ้นบนบ้านมาจึงเอ่ยถาม

“ไม่หิวครับ ผมจะให้สิงห์สอนการบ้านแล้วก็จะนอนพักสักนิด” ไฟตอบอย่างฉะฉานไม่ได้ถามความเห็นจากคนที่ถูกบอกว่าให้มาสอนการบ้านเลยสักนิดเดียว

จวบจนเข้าห้องมาแล้วไฟก็ทำเพียงแค่นอนลงบนเตียงไม่ได้เอาการบ้านออกมา แต่ถึงจะพูดว่าให้สอนการบ้านแต่มันก็ไม่มีการบ้านเสียหน่อย

“จะโกหกคุณลุงคุณน้าทำไม” สิงห์เอ่ยว่านั่งลงข้าง ๆ แล้วสางผมให้เหมือนอย่างที่ทำประจำ

“ก็ฉันอยากอยู่กับนายแค่สองคนหนิ” ไฟเปลี่ยนมานอนตักของสิงห์ ใบหน้าดูผ่อนคลายเวลามือของอีกคนลูบผมให้

“ชอบพูดจาแปลก ๆ อยู่เรื่อยเลยนะ” สิงห์ขมวดคิ้วตั้งแต่อยู่มอสองแล้วไฟชอบเอาแต่พูดจาชวนให้คิดอื่นไกล

“แปลกตรงไหนกัน ฉันแค่พูดความจริง” ไฟลืมตาขึ้นมองก่อนจะจับมืออีกข้างของสิงห์มาวางไว้บนอก

อาจจะไม่ใช่แค่เพียงคำพูดแต่เป็นการกระทำก็ด้วย

“ฉันว่านายต้องกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ ๆ เลย”

“ไม่ใช่เสียหน่อย ฉันออกจะปกติดี” ไฟอมยิ้ม ในความคิดของสิงห์นั้นมันเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ชอบกล

“ไม่น่าเชื่อถือสักนิด”

“ทำไมล่ะ ฉันดูแปลกยังไงหรือ บอกหน่อยสิว่ามันแปลกยังไง”

“ก็…” สิงห์ก้มมองคนบนตักเห็นดวงตาวาวระยับนั้นก็เผลอใจเต้นแรง “ไม่รู้สิ”

“เป็นคนบอกว่าแปลก พอถามกลับไม่รู้”

“ช่างเรื่องนั้นเถอะไปใส่เสื้อจะได้ไหม” สิงห์ว่าเพราะตนใส่เสื้อตอนเดินตามขึ้นบ้านแล้วแต่ไฟก็ยังคงไม่ใส่เสื้อเลย แถมยังปาลงไปบนพื้นอีก

“ก็มันร้อน”

“แต่ตัวเหนียวนะไฟ ที่จริงควรจะอาบน้ำก่อนขึ้นห้องซะด้วยซ้ำ ทั้งฝุ่นทั้งดินนอนลงไปได้ยังไง”

“นายนี่บ่นเหมือนแม่ฉันเลย”

“น่าให้บ่นไหมล่ะ”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็หัวเราะในลำคอ “พ่อกับแม่ฉันชอบเรียกนายว่าลูก อยากจะเป็นลูกอีกคนไหม”

สิงห์เงียบไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจความหมายพวกนั้น “ลูกอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“นั่นสินะคำว่าลูกมันมีหลายความหมาย ทั้งลูกที่เกิดจากพ่อแม่โดยตรง ลูกที่ถูกอุปการะ และลูกที่เกิดจากการแต่งงานเป็นลูกสะใภ้กับลูกเขย” ไฟคลี่ยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่ง “ส่วนลูกที่ฉันอยากให้นายเป็นน่ะมันเป็นลูกอย่างหลังนะ”

สิงห์กะพริบตาปริบ ๆ ใบหูเริ่มแดงระเรื่อ “เห็นไหม นายพูดจาแปลก ๆ อีกแล้ว” พูดไปก็หลบสายตาอีกคนไป

“ถึงจะแปลกแต่ฉันพูดเรื่องจริงนะ” ไฟขยับเข้าใกล้จนลมหายใจผัดผ่านผิว ขนแขกก็ลุกชัน

“พูดจาเลอะเทอะ ไปอาบน้ำซะเหม็นเหงื่อ” สิงห์ดันอีกฝ่ายแต่ไฟก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ดูร้ายกาจ

“ไอ้สิงห์ที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แสดงความรู้สึกก็ไม่เก่ง ทำไมตอนนี้ถึงขี้บ่นชอบเถียงแล้วยังจะมาเขินกันง่ายขนาดนี้ล่ะ”

“เขินหรือ?” สิงห์แทบลิ้นพัน “ใครเขินกันทำไมฉันต้องมาเขินกับนาย ถ้าเป็นผู้หญิงน่ารัก ๆ อย่างทับทิมก็ว่าไปอย่าง”

“นี่กล้าพูดชื่อผู้หญิงคนอื่นทั้ง ๆ ที่ฉันอยู่ตรงนี้หรือไง” ไฟเริ่มชักหงุดหงิด เพราะทับทิมเธอเองพอเห็นว่าสิงห์สามารถเล่นด้วยได้ปกติไม่มีใครกลัวเหมือนวันแรก ๆ ก็มาบอกชอบสิงห์ซะอย่างนั้น ขนมก็บอกว่าทำเองเลยเอามาให้ทุกวัน

เหอะ ขนมที่แม่เขาทำอร่อยกว่าเยอะ

“ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย” เป็นเพื่อนในห้องเชียวนะ ไฟลืมทับทิมไปอย่างนั้นหรือ?

“ก็แน่ล่ะฉันไม่ใช่ผู้หญิง ถ้าเกิดจะมาบอกชอบนายก็คงหาว่าแปลก” ไฟขยับออกนั่งกอดอกเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

ทว่าคนฟังกับนั่งนิ่งไม่ไหวติงเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดออกมาจากปากของไฟ “เมื่อกี้นายว่าไงนะ” สิงห์ถามย้ำหัวใจกลับเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเก่า

ส่วนไฟที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไปก็เริ่มอ้ำอึ้ง กลายเป็นคนเขินเสียเอง

“ฉัน…” ไฟเกาท้ายทอยหันมองอีกคนอยู่นานก่อนจะถอนหายใจอย่างจำยอม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วพูดไปเลยให้เข้าใจสักที เพราะตัวเขาเองชอบพูดตรง ๆ อยู่แล้ว “ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน แต่ว่ามารู้อีกที… ก็ชอบนายไปแล้ว นายก็คงสังเกตเห็นมันได้ใช่ไหมล่ะ”

ไฟสบตามองด้วยหัวใจที่สั่นไหว ถึงจะเขินแต่กลับกลัวเสียมากกว่า กลัวว่าจะถูกปฏิเสธ กลัวว่าจะถูกรังเกียจ ทุกวันที่ผ่านมาจึงใช้แต่คำพูดที่ชวนให้คิดแต่ไม่กล้าบอกความในใจออกมาสักที

“ฉันขออาบน้ำก่อนนะ” สิงห์หลบตาลุกไปเอาเสื้อผ้าของไฟจากในตู้เพราะขนาดตัวเท่ากันจึงใส่ด้วยกันได้ แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยตอบหรือออกความเห็นใดใดกับการที่ถูกบอกชอบ

“สิงห์!” เรียกไปก็ไม่มีประโยชน์ในเมื่อสิงห์หนีออกไปจากห้องไม่หันกลับมามองกันอีกเลย

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

เพียงชั่วอึดใจก็ถึงเวลาเปิดงานวัด ผู้คนต่างเดินพลุ่งพล่านเด็กเล็กเด็กน้อยวิ่งขี่ม้าที่ทำด้วยก้านกล้วย ร้านขนมกับร้านค้าต่าง ๆ ชวนให้หลายคนอยากเข้าไปชมดู

“อยากมางานวัดแต่ดันทำตัวไม่ครื้นเครง เอ็งจะมาทำไมวะ” อนงค์ว่าลูกชายที่ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ทำหน้าอมทุกข์กับชีวิตเหมือนคนตายอดตายอยาก

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” ฤดีจับแขนพร้อมถามอย่างห่วงใย คนเป็นลูกชายที่บัดนี้สูงกว่าพ่อแม่ไปแล้วทำเพียงส่ายหัวช้า ๆ

“เหนื่อยจากซ้อมมากไปหรือไง” อนงค์ว่าขำ ๆ แล้วเดินไปซื้อขนมให้ทั้งสิงห์และไฟ

“ไปดูลิเกกันไหม” ฤดีถามไถ่ มีแต่สิงห์ที่พยักหน้าแต่ไฟทำเพียงเดินตามเท่านั้น

ระหว่างที่นั่งดูลิเกกันอนงค์กับฤดีก็ดูเพลินเสียซะจนลืมความไม่ปกติของลูกชาย แต่สิงห์นั้นแอบเหล่มองคนข้างกายที่นั่งเงียบมาตลอด ในใจก็รู้สึกปั่นป่วนไม่เป็นสุข

ไม่ชอบให้ไฟเป็นอย่างนี้เลย

“กินไหม” สิงห์ยื่นถั่วที่แกะให้ ไฟทำเพียงก้มมองถั่วจากในมือสลับกับใบหน้าของสิงห์แล้วส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะหันไปดูลิเกต่อ ทั้ง ๆ ที่เหมือนจะเหม่อมากกว่าดูอย่างตั้งใจเสียอีก

สิงห์พอจะเข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ตัวเองก็ไม่กล้าที่จะพูด ถึงจะรู้สึก ‘แบบเดียวกัน’ แต่เพราะมัวแต่คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ พ่อกับแม่คงไม่ยอมรับ ซ้ำยังเป็นลูกโจรกับลูกตำรวจ สิงห์นั้นไม่เห็นจะเหมาะสมกับไฟตรงไหนเลย

คงจะดีกว่าไหมถ้าหากปล่อยให้ไฟไปเจอคนที่เหมาะสมกว่า

“ผมขอไปเดินเล่นนะ” ไฟที่เงียบมานานเอ่ยบอกพ่อกับแม่

“เอาเงินไปนะเผื่อจะซื้ออะไร” ฤดียื่นเงินจำนวนหนึ่งให้

“ไม่ชวนสิงห์ไปด้วยหรือไง” อนงค์ถามอย่างสงสัย แต่ลูกชายก็ทำเพียงเดินออกไปไม่ได้หันมาตอบ “ไอ้ลูกคนนี้กล้าเมินกันรึ”

“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าลูก” ฤดีหันมาถามสิงห์ที่มัวแต่มองไล่หลังของไฟไป

“เปล่าครับ” สิงห์หันมาตอบยิ้ม ๆ แต่ในใจกับเหมือนถูกบีบรัด นั่งอยู่นานก็ยิ่งอยู่ไม่สุข สุดท้ายก็ทนไม่ไหว “เดี๋ยวผมมานะครับ”

“เอาเงินไหม.. อ่าว” ฤดีค้างมือไว้อย่างนั้นที่สิงห์วิ่งออกไปไม่รอรับเงิน

แต่ผ่านไปเกือบหลายนาทีแล้วที่สิงห์เดินออกมาหาไฟแต่กลับไม่พบเจอแม้แต่เงา ในใจเด็กหนุ่มดันกลัวขึ้นมาว่าไฟจะเป็นอะไร เพราะเดี๋ยวนี้รู้สึกได้เลยว่า.. มักจะเห็นลูกน้องของพ่ออยู่ด้านนอกกันและยังอยู่ที่เดียวกับที่เขาอยู่ประจำเหมือนกำลังตามจับตาดูเขาอยู่

แล้วถ้าเกิดรู้เรื่องไฟเข้าล่ะก็…

เด็กหนุ่มนึกหวั่นรีบกลับไปดูที่โรงลิเกอีกทีเผื่อจะกลับมาแล้วแต่ก็ยังไม่พบอีกจึงรีบบอกกับน้าฤดีและลุงอนงค์ ทั้งสองกระวนกระวายรีบช่วยกันหาอีกแรง

แม้แต่ตอนนี้ที่กลับมาเจอกันที่โรงลิเกอีกครั้งก็ไม่มีใครพบ ลุงอนงค์เลยขอให้ทางโฆษกประกาศหา

สิงห์น้ำตาเอ่อคลอได้แต่พูดในใจว่าไปอยู่ไหน ก้มหน้าร้องไห้ออกมาทั้ง ๆ ที่เป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดี แต่พอเป็นเรื่องของไฟก็ไม่เคยเลิกใส่ใจได้สักที

“มีอะไรกันหรือ” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้สิงห์รีบหันไปมองทันทีก็พบว่าเป็นไฟที่กำลังถือของเต็มไม้เต็มมือ

“ไฟ! ไปไหนมาฮะ!? พวกแม่ตามหากันแทบแย่” ฤดีตีแขนลูกชายไปทีแต่ก็โล่งใจที่ไม่ได้เป็นอะไร

“ผมบอกไปแล้วหนิว่าจะไปเดินเล่น ทำไมถึงตามหากันล่ะ” ไฟดูงุนงง

“ก็สิงห์ออกไปหาลูกแต่ก็ไม่เจอเลย แม่ก็คิดไปนั่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ไฟหันมองสิงห์ที่มีน้ำตาเปื้อนตามแก้มก็ตกใจรีบเดินเข้าไปหา แต่สิงห์นั้นดันปลีกตัวเดินออกไปจากตรงนี้แทน

“สิงห์เดี๋ยวสิ!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกพร้อมกับวิ่งตาม

“สิงห์หยุดก่อน! สิงห์!” ไฟดึงแขนอีกคน “เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”

“เปล่า” สิงห์ปาดน้ำตาดึงแขนออกมาแต่ก็ไม่ได้หนีไปไหนอีก

“เห็น ๆ อยู่ว่าร้องไห้ยังจะโกหกอีก” ไฟเดินอ้อมไปด้านหน้าขมวดคิ้วจ้องดวงตาที่แดงก่ำ

“แล้วนายไปไหนมา” สิงห์ถามเสียงสั่น

“ก็ไปดูผีกระสือ ซื้อขนม นี่ซื้อหน้ากากผีมาด้วย” ไฟชูหน้ากากผีกับขนมอีกหลายอย่างที่ซื้อมาฝากสิงห์ทั้งนั้น

เด็กหนุ่มจ้องมองหน้ากากผีด้วยแววตาสงสัย “ตอนเดินซื้อของได้ใส่หน้ากากผีไหม”

“ใส่อยู่นะ ทำไมหรือ”

สิงห์ถึงกับถอนหายใจจากที่อยากจะร้องไห้เพราะเป็นห่วงดันหงุดหงิดขึ้นมาแทน “ก็คิดว่าหายไปไหน ออกมาหาก็ไม่เจอ เดินเล่นก็นานทำไมต้องทำให้เป็นห่วงด้วย”

ไฟร้องหือในลำคอก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เป็นห่วงขนาดไหนเชียว ถึงกับร้องไห้เลยหรือ”

“ไม่ได้ร้อง” สิงห์หลบตาจะเดินกลับไปโรงลิเกแต่ก็ถูกดึงแขนอีกครั้ง “อะไร?”

“ฉันไปเจอศาลาริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้ มาสิจะพาไปไม่มีคนด้วย” ไฟคลี่ยิ้มยังคงเอาแต่ใจจูงมือพาเดินลัดเลาะผ่านวัดจนมาถึงแม่น้ำข้าง ๆ เดินไปอีกนิดก็พบศาลาตามที่บอกห่างจากงานวัดไปเสียเยอะจนตรงนี้มีแต่เสียงนกเสียงแมลง

อย่าบอกนะว่าที่หาไม่เจอส่วนหนึ่งเพราะมาแถวนี้ด้วยน่ะ

“ทั้งมืดทั้งหญ้ารกขนาดนี้งูฉกตายกันพอดี”

“ไม่หรอกหน่า” ไฟปัดเศษใบไม้กับฝุ่นตรงที่นั่งให้อีกคน

“ไม่กลับไปที่โรงลิเกล่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ตามหาอีกหรอก”

“ถ้ารู้ว่ายังอยู่ดีแค่ออกมาซื้อขนมก็คงไม่ห่วงแล้วแหละ โดยเฉพาะพ่อฉันน่ะ” ไฟหัวเราะแล้วนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะหันมองพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงสว่างกระทบกับผิวน้ำดูสวยงาม

สิงห์เองก็เงยหน้ามองพระจันทร์สลับกับคนข้างกายครั้นอยากจะพูดบางอย่างก็เอ่ยเรียกชื่อออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรก่อนคล้ายปากขยับไปเอง “ไฟ”

“หื้อ”

สิงห์อึกอักอยากจะพูดเรื่องนั้นแต่ก็ไม่กล้า

“มีอะไร” ไฟเค้นถาม

“เรื่องที่พูดบนห้อง...”

“ช่างมันเถอะ ฉันเข้าใจว่านายคงไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ต้องห่วงฉันจะพยายามไม่ก้าวก่ายอะไรอีก” ไฟยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปมองพระจันทร์ต่อถึงแม้ในใจเด็กหนุ่มจะเหี่ยวแห้งก็ตาม

สิงห์ไม่ได้ตอบอะไร ภายในใจได้แต่กู่ร้องว่าไม่ใช่เลย เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย “นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันกับนายเรามีชีวิตต่างกัน นายคือลูกตำรวจ ส่วนฉันคือลูกโจรเราคบกันไม่ได้” สุดท้ายก็เอ่ยออกมาเพราะทนความอึดอัดนี้ไม่ไหว “เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ พ่อแม่เราคงไม่มีใครรับได้หรอก”

“แล้วมันทำไม?” ไฟหันกลับมาน้ำเสียงดูแข็งกร้าวทันที “เพราะเป็นผู้ชาย เพราะเป็นลูกโจรกับตำรวจแค่นี้ฉันจำเป็นต้องไปใส่ใจด้วยหรือไง ก็มันรักไปแล้วจะให้ทำไงวะสิงห์”

“เราคบกันไม่ได้จริง ๆ นะไฟ ขนาดเป็นแค่เพื่อนกันยังไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรู้มากกว่านี้ได้เลย”

“ก็ช่างสิ ทำไมนายต้องไปสนใจด้วย ถ้าไม่ชอบกันก็บอกไม่ชอบมาเลยสิไม่ต้องเอาเหตุผลพวกนั้นมาก็ได้ บอกไปแล้วว่าจะพยายามไม่ก้าวก่ายยังจะเอาอะไรอีกวะ!” ไฟจ้องเขม็งตะคอกเสียงดังจนสิงห์ตกใจ แต่ก็นึกโกรธที่อุตส่าห์พูดเพราะห่วง แล้วยังจะมาโมโหใส่กันอีก

“คิดถึงอนาคตบ้างสิไฟ นายอยากให้พ่อแม่เป็นขี้ปากชาวบ้านหรือ ลุงอนงค์กับน้าฤดีท่านดีกับฉันขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกของโจร จะให้ฉันทรยศความหวังดีของท่านเพราะเผลอชอบลูกของพวกเขาหรือไง!”

ไฟอึ้งไปชั่วขณะอารมณ์ที่คุกรุ่นในใจค่อย ๆ เบาบางลง “ชอบหรือ?”

สิงห์ถอนหายใจที่ดันเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งจนเผลอพูดออกไป “ฉันไม่อยากให้พวกท่านต้องมาโดนดูถูกเพราะเรื่องนี้หรอกนะ ถึงจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ แต่ท่านก็ดูแลฉันเป็นอย่างดี”

“นายชอบฉันใช่ไหม เมื่อกี้นายบอกว่าชอบฉันใช่หรือเปล่า” นอกจากจะไม่ฟังแล้วไฟยังเขยิบเข้ามาใกล้พลางจับไหล่เค้นถาม

“ถึงจะบอกไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดีไม่ใช่หรือ เราคบกันไม่ได้หรอก”

“ฉันไม่สนเรื่องพวกนั้น ยังไงซะเรื่องความรักของคนเรามันห้ามกันไม่ได้ นายคิดว่าฉันจะทนได้หรือไงหากเห็นนายไปเจอคนอื่น หรือต้องไปคบกับคนอื่นแทน ถึงจะบอกว่าไม่ก้าวก่ายแต่ฉันก็เชื่อว่าฉันไม่มีวันทนได้อยู่ดี”

“ทนไม่ได้ก็ต้องทน ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตัวเรานะไฟ พ่อแม่ล่ะ? ไฟเอาไปไว้ไหนนายจะทำเป็นไม่สนใจพวกท่านไม่ได้ ถึงฉันจะไม่เคยมีครอบครัวดี ๆ แบบนาย แต่ฉันก็ยังห่วง ยังกลัวว่าพวกท่านจะมาโดนขี้ปากชาวบ้านไปด้วย”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็เริ่มคิดตาม “แล้วจะต้องทำยังไง”

“ฉันไม่รู้หรอก” สิงห์ก้มหน้า

“ถ้าอย่างนั้นเรามาคบกันไหม”

“ไฟ—”

“ยังไม่ต้องบอกพวกท่านตอนนี้ รอจนกว่าเราจะเรียนจบ ถ้าแบบนี้ยังพอได้หรือเปล่า ตอนแรกฉันคิดว่านายจะไม่ชอบและไม่ยอมรับเลยไม่อยากบังคับ แต่ว่าตอนนี้เราคิดเหมือนกัน ฉันไม่อยากปล่อยให้มันเพียงแค่ชอบกันแต่คบกันไม่ได้หรอกนะ”

สิงห์ถอนหายใจ “บางทีเราอาจจะยังเด็กเกินไปก็ได้นะไฟ รอให้โตกว่านี้—”

“ถ้ารู้สึกเหมือนกันจะรออะไรอยู่ล่ะ”

“เอาแต่ใจนะ”

“แล้วนายไม่อยากคบกับฉันหรือไง”

“ฉันแค่อยากจะคิดดูก่อน”

“ไม่ต้องคิดแล้ว”

“นี่!” สิงห์จิ๊ปากที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ไฟก็เอาแต่ใจตัวเองอยู่เสมอ “ให้คิดสักนิดไม่ได้หรือไง”

“นายน่ะชอบคิดเยอะ อายุก็แค่นี้จะคิดไปถึงไหนกัน เรื่องเล็ก ๆ ยังคิดแล้วคิดอีก เหมือนคนแก่ไม่มีผิด”

“นายมันเด็กเกินไปต่างหาก คิดอะไรบ้างจะได้ไม่ต้องไปเดือดร้อนคนรอบกายไง”

“บางเหตุผลก็ใช่ว่าจะเป็นเหตุผลได้จริง ๆ เสียหน่อย ปล่อยไปตามใจตัวเองบ้างคิดให้มันปวดหัวทำไม”

“ก็เพราะฉันห่วงนายไงไฟ ห่วงพ่อแม่นายด้วย หรือต่อให้ฉันหรือนายเป็นผู้หญิงแต่เป็นลูกโจรกับลูกตำรวจมันเป็นเรื่องยากมากนะที่จะเปิดเผยให้ใครรู้ จะให้คนมาดูถูกนายที่มาคบกับลูกโจรหรือไง”

“แล้วนายจะเอายังไง ไม่ต้องเปิดเผยก็ได้นะ ถ้าเกิดว่ามันทำให้ได้อยู่กับนายต่อไป จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ก็ได้”

สิงห์ถอนหายใจ คิดไปก็ปวดหัวจริง ๆ พอหันมองคนข้างกายที่ดวงตาฉายแววเว้าวอนกับตนก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก ได้แต่บอกตัวเองว่าทีหลังจะไม่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้งอีกเพราะจะชอบเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกไปซะหมด เรื่องมันถึงเลยเถิดไปไกลแบบนี้

“นะสิงห์”

“เอาแต่ใจอีกแล้วนะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจหน่อยสิ” ไฟยื่นหน้าเข้าหาเพียงแต่สิงห์เบี่ยงหลบ

“เจ้าชู้นะไฟ”

“เจ้าชู้หรือ ตรงไหนกัน” ไฟถามใบหน้ายังคงคลอเคลียข้างแก้มไม่ห่าง

“คำพูดกับการกระทำนี่ไงดูเจ้าชู้ซะจริง รู้จักพูดจาอ่อนหวาน การกระทำเจ้าเล่ห์เหมือนผู้ใหญ่ ถ้าสาวน้อยสาวใหญ่มาได้ยินคงหลงกันเต็ม”

“ก็ไม่ได้ไปพูดให้ใครฟังเสียหน่อย จะพูดแค่กับสิงห์คนเดียว ให้สิงห์หลงไฟแค่คนเดียวก็พอแล้ว” พูดเสร็จก็เดินอ้อมไปนั่งด้านหลังโอบกอดรอบเอวแล้วหอมแก้มอยู่หลายที

นี่ขนาดยังไม่ได้ตอบรับอะไรก็เล่นถึงเนื้อถึงตัวซะเยอะเลย

แต่จะว่าไปก่อนที่ไฟจะมาบอกชอบก็เล่นถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เป็นประจำเหมือนกันเพียงแต่ไม่มากเหมือนดั่งวันนี้

“ปากหวานแบบนี้ไปได้จากใครมา ฮึ” สิงห์ปล่อยให้ไฟทำตามใจตัวเอง ถึงจะบ่นปาว ๆ ในใจแต่ก็ไม่ได้คิดผลักไส

“ไม่รู้สิ สงสัยเพราะเจอสิงห์เลยเป็นไปเองล่ะมั้ง” ไฟเอาคางเกยไหล่อีกคนไว้ จนถึงตอนนี้หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย ยังเอาแต่คิดว่านี่ใช่เรื่องจริงหรือเปล่า คงไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ไม่คิดเลยว่าสิงห์จะชอบเขาเหมือนกัน ไม่คิดเลยจริง ๆ

“งั้นสัญญากับฉันเรื่องหนึ่งสิ” สิงห์เอ่ย

“ครับ”

“ถ้าเกิดเรื่องของเราเปิดเผยแล้วพ่อกับแม่ยังไม่ยอมรับ นายก็อย่าเพิ่งใจร้อนนะ”

“ถ้าอย่างนั้น... แปลว่า” ไฟมือเย็นไปหมด

“ก็นั่นแหละ แต่ต้องสัญญาด้วย” ถึงสิงห์จะพูดอย่างนั้นแต่พอเอียงหน้าไปมองคนด้านหลังก็ต้องถอนหายใจอีกระลอกที่ไฟเอาแต่ยิ้มชูมือกับตัวเองไม่ได้ฟังอะไรเลย “นี่ไฟ! ฟังหรือเปล่า”

“หื้อ อ้อ ๆ” ไฟหัวเราะแหะ “แล้วมันทำไมหรือ”

“เชื่อฉันเถอะ ยังไงก็ต้องให้เวลาพวกท่าน นายก็อย่าใจร้อนจนทำให้เรื่องมันยากขึ้นก็แล้วกัน”

“เข้าใจแล้วครับ” ไฟตอบรับแล้วหอมแก้มอีกที

“ไม่ชินเลยแฮะ”

“อะไรหรือ”

“ก็นายมาพูดเพราะใส่” มันชักเขิน ๆ แปลก ๆ

“ไม่ดีหรือ”

“มันก็ดีนั่นแหละ.. รีบกลับเถอะ เราออกมานานแล้ว” สิงห์ดันแขนอีกคนออกแล้วหยิบพวกขนมที่ยังไม่แตะกลับไปด้วย

“บอกรักกันหน่อยสิ” ไฟที่เดินมาขนาบข้างพูดขึ้น

เพิ่งได้ตกลงปลงใจกันเพียงครู่คิดอยากจะให้เอ่ยคำรักแล้วหรือ ถึงจะคิดอย่างนั้นสิงห์ก็เอ่ยอย่างตามใจ “อืม รัก” สิงห์พูดเสียงเบาคล้ายกับพูดกับตัวเองซะมากกว่า

“ไม่ได้ยินเลย ทีตอนเถียงกับตอนบ่นเสียงดังฟังชัดดีจริง พอจะบอกรักทำมาเป็นเสียงเบาเชียว”

“เออ รัก”

“พูดเพราะ ๆ สิ”

“รักครับ”

“รักใคร”

สิงห์ผลักหัวคนข้างกายทันที “เรื่องมาก”

“ก็บอกมาก่อนสิว่ารักใคร”

“เฮ้อ… รักไฟครับ รักแค่คนเดียว รักมากจนไม่เหลือให้ใครแล้ว” สิงห์พูดเสียงดัง พอเห็นคนถูกบอกรักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็รีบจ้ำอ้าวออกไปก่อน

“อ้าว รอด้วยสิ”

เดินกลับมาถึงโรงลิเกก็เห็นพ่อกับแม่นั่งคุยกันอยู่อย่างอารมณ์ดี เด็กทั้งสองจึงลงไปนั่งข้าง ๆ เหมือนเดิม

“ไปไหนกันมาลูก วิ่งออกไปไม่บอกแม่เลย” ฤดีเอ่ยถามทันที

“พอดีสิงห์ต้องไปปลดทุกข์น่ะแม่” ไฟตอบพลางยิ้มกว้าง

“ทีหลังบอกก่อนนะเดี๋ยวเกิดเรื่องอะไรอีก”

“ครับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิกไปที่ข้างเอวของคนปากไว

ตลอดเวลาได้แต่นั่งหูแดงเพราะไอคนข้างกายเอาแต่จับมือบ้างล่ะเกี่ยวนิ้วเล่นบ้างล่ะ เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด ทั้งยังแกล้งเอาไหล่มาชน หันมายิ้มให้อย่างมีเลศนัย

ไม่รู้จักกักเก็บอาการไว้บ้างเลยนะ

“อยู่นิ่ง ๆ” สิงห์กระซิบหยิกขาอีกคนไปอีกที

ส่วนตัวการก็ได้แต่หัวเราะไม่ได้สะทกสะท้านใดใดกับการถูกหยิกเหมือนมดกัดแค่นี้

“เฮ้อ ไอ้แสบ” สิงห์ได้แต่บ่น พอยอมแล้วเป็นยังไงล่ะ ได้ใจทีก็เอาใหญ่เชียวนะ




จบบทที่ ๔
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 03-04-2019 02:53:47
 :mew1: ติดตามค้าบบ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-04-2019 18:36:35
บทที่ ๕

ย้อนวัย : รอยแผล



ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ช่วงปิดเทอม

พ.ศ. ๒๔๗๐


เสียงกิ่งไม้จากลำต้นดังแว่วตามแรงลมที่พัดผ่านกายเด็กหนุ่มทั้งสอง แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องผ่านใบไม้ทำให้สิงห์ต้องหรี่ตาก่อนจะขยับตัวหันไปซุกกับอกของคนที่นอนอยู่ข้างกาย

“ไปนอนที่บ้านไฟไหม”

“ไม่หรอกนอนตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวกลับบ้านไม่ทัน”

ไฟพยักหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว “แต่จะว่าไปยังไม่เคยเจอแม่กับน้องสาวสิงห์เลย พวกเขาออกมาไม่ได้จริง ๆ หรือ”

เพราะเพิ่งรู้ว่าแม่ของสิงห์ที่แท้จริงแล้วเสียไปตั้งแต่คลอดสิงห์ออกมา ส่วนแม่ในตอนนี้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของแม่สิงห์แต่กลับถูกเสี่ยพันธ์ข่มขืนจนทำให้มีน้องสาวเพิ่มมาคนหนึ่ง ตอนที่ได้ยินทั้งโกรธเสี่ยพันธ์ทั้งสงสารคนรัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งสองแม่ลูกยังไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เพราะเสี่ยพันธ์กลัวว่าพวกเขาจะหนีออกไป

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวได้โดนพ่อด่ากันพอดี”

“เฮ้อ อยากโตเร็ว ๆ จังจะได้ทำอะไรมากกว่านี้”

สิงห์คลี่ยิ้มบาง ๆ เข้าใจความรู้สึกของไฟได้ดี “ถ้าจบจากที่นี่จะไปเรียนต่อนายร้อยตำรวจใช่ไหม”

“ใช่แล้ว สิงห์ก็ไปด้วยกันสิ”

“ยังไม่ได้คุยกับพ่อเรื่องนี้เลย ไม่รู้ว่าท่านจะให้ไปหรือเปล่า”

“ไม่ไปเดี๋ยวจะไปฉุดมา”

“จะบ้าหรือไง” ว่าแล้วก็ชกหน้าท้องไปทีหนึ่งก่อนจะเอาคางเกยอกเพื่อมองหน้าคนรักแทน “ถ้าไปไม่ได้จริง ๆ ไฟก็ต้องไปเรียนนะ เรียนให้จบพอได้เป็นตำรวจก็กลับมาให้ดูด้วยว่าตอนไฟใส่ชุดตำรวจมันเป็นยังไง”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ เราจะต้องไปด้วยกัน” ไฟลูบผมสีเข้มพร้อมกับก้มลงจูบหน้าผากมน

“ไม่รู้สิ มัน…”

“ต้องไปได้”

สิงห์ได้แต่จำยอม “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ไปด้วยกันได้จริง ๆ”

“ก็เท่านั้นแหละ” ไฟอมยิ้ม ในเมื่อมันเป็นความฝันของสิงห์ก็ต้องลองดูสักตั้ง ไม่อยากให้เอาแต่คิดมากจนย่ำอยู่แต่กับที่แบบนี้

“ไว้ค่อยมาใหม่” ทั้งคู่พากันเดินออกมาจากป่าข้าง ๆ ไร่ที่สิงห์พาเข้ามาเพราะไม่มีใครรู้ทางนี้ว่าเป็นทางที่เข้าไร่ของสิงห์ได้ ทุกคนเอาแต่คิดว่าป่าด้านในเป็นทางตัน แต่แท้จริงแล้วมันมีทางเดินเข้าไปต่างหาก ที่รู้เพราะสิงห์เคยหนีมาหลบพ่อตัวเองครั้งหนึ่ง...

“ยังไม่หายคิดถึงเลย” ไฟบ่นเพราะเป็นช่วงปิดเทอมพร้อมจะขึ้นมอห้าจึงไม่ค่อยได้เจอกัน

“เดี๋ยวนี้พ่อมักจะเรียกไปนั่งฟังกับพวกลูกค้า จะออกไปไหนก็ไปไม่ได้นาน เพราะต้องจัดเอกสารของพ่อ”

“เฮ้อ แย่เลย คงต้องแอบไปที่บ้านแล้วล่ะมั้ง”

พอได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็รีบห้าม “อย่านะ ถ้ามีคนเห็นแล้วไปบอกพ่อเดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่เอา”

“ก็ได้ ๆ” ไฟยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหอมแก้มก่อนบอกลา “พรุ่งนี้จะมาหาที่นี่นะ”

“อือ กลับบ้านดี ๆ” สิงห์โบกมือลารอจนไฟออกไปแล้วถึงจะเดินลัดเลาะกลับเข้าไปทางไร่ของตัวเอง

“ไอ้สิงห์มันอยู่ไหน!!” เสียงที่ดังมาจากในบ้านทำให้สิงห์ต้องหยุดชะงัก ในอกสั่นไหวที่น้ำเสียงนี้เป็นปมของตัวเองที่ไม่ว่าได้ยินกี่ครั้งก็กลัวจนตัวสั่นไปหมด

“กูถามว่ามันไปอยู่ไหน!”

“โอ๊ยย”

“อย่าทำแม่นะ” พอได้ยินเสียงอีกสองเสียงที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่สิงห์จึงรีบปีนทางหน้าต่างห้องนอน เพราะขอให้แม่ช่วยปิดบังว่าเขาอยู่ในห้อง ตอนนี้แม่คงจะห้ามพ่อไม่ให้เข้ามาอยู่แน่ ๆ

“พ่อ ทำอะไรครับ” สิงห์วิ่งลงไปชั้นล่างเห็นว่าแม่กำลังอยู่ที่พื้นกับน้องก็รีบเข้าไปหา

“มึงไปไหนมา”

“ผม… ผมอยู่บนห้องไงครับ” ถึงจะกลัวแต่ก็มายืนบังทั้งแม่และน้องสาวไว้ไม่ให้โดนลูกหลง

“บนห้อง? แล้วทำไมอีสองตัวนี้มันไม่ให้กูขึ้นไปดู!” พ่อชี้ผู้หญิงทั้งสอง

“คือ…”

“ฉันบอกพี่แล้วไงว่าสิงห์หลับอยู่เลยไม่อยากให้ไปกวน” แม่เอ่ยบอก มือข้างหนึ่งจับแก้มตัวเองส่วนแขนอีกข้างก็กอดลูกสาวเอาไว้ เป็นภาพที่ทำให้สิงห์ไม่อาจทนมองดูได้

“หลับหรือ หลับแล้วทำไมกูต้องห้ามไปกวนมันด้วย กูเป็นพ่อมันทำไมกูจะเข้าไปหามันไม่ได้!”

“ผมขอโทษครับ มันเป็นความผิดของผมเองที่ไปบอกแม่ว่าอยากพักเสียหน่อยไม่อยากให้ใครกวน ถ้าเกิดจะด่า... มาด่าผมก็ได้ครับ” สิงห์ก้มหน้าก่อนจะถูกผลักหัวจนล้มลงกับพื้น

“สิงห์ลูก!” พิมพ์อรตกใจ

“หึ ถ้างั้นมึงก็รู้ไว้เลยว่าที่กูจะไปหามึงที่ห้องมันเพราะเรื่องอะไร” เสี่ยพันธ์ก้มชี้หน้า “มีคนไปเห็นว่ามึงอยู่กับลูกของไอ้อนงค์ บอกกูมาว่าพวกมึงไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน!”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สิงห์กลัวมากที่สุด เพราะกลัวว่าพ่อจะทำอะไรไฟ “เราไม่ได้สนิทกันครับ” คิดเรื่องนี้ไว้แล้วว่าจะต้องพูดกับพ่อยังไง มันอาจจะดูต่างจากความเป็นจริงที่เราสองคนคบกันเป็นคนรักแล้ว แต่การโกหกมันคือทางรอดเดียวที่จะสามารถเกลี้ยกล่อมให้พ่อใจเย็นได้

“ไม่สนิทแล้วทำไมถึงไปเดินด้วยกัน! ไอลูกทรพีกูบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกที่มันเกี่ยวกับตำรวจ มึงไม่ฟังกูเลยใช่ไหม” เสี่ยพันธ์ระบายอารมณ์โกรธด้วยการกระทืบลูกชายตัวเอง

“พอแล้วพี่! ฮึก พี่พันธ์นั่นลูกพี่นะ พอได้แล้ว!” พิมพ์อรร้องไห้ดันลูกสาวให้ออกห่างส่วนตัวเองก็เข้าไปห้าม ก้มบังตัวสิงห์ไว้จนโดนเท้าเหยียบใส่แทน

“แม่! พี่สิงห์! ฮือออ” น้องสาวกลัวตัวสั่นไม่กล้าเข้าไป ได้แต่ร้องไห้มองแม่กับพี่ชายที่ถูกทำร้าย

“พอแล้วพ่อ! อย่าทำแม่!” สิงห์ลุกขึ้นบังแม่อีกครั้ง ถ้าในเมื่อโกรธเพียงตนก็รีบขยับออกห่างเพื่อให้พ่อทำแค่ตัวเอง

“หลายปีที่ผ่านมามีคนมาบอกกูว่ามึงกับมันเคยอยู่ด้วยกัน กูอุตส่าห์ยอมปล่อยเพราะคิดว่ามึงต้องนึกถึงคำเตือนกู แต่เมื่อวันก่อนพวกมึงก็ยังไปเดินด้วยกันแถวตลาด มึงไม่เห็นหัวกูแล้วใช่ไหมไอ้สิงห์!” เสี่ยพันธ์เลิกกระทืบเปลี่ยนมาดึงหัวลูกชายแทน

“ผมแค่รู้จัก อึก… เราแค่บังเอิญเจอกันเลยเดินด้วยกัน ไม่ได้สนิทกันนะพ่อ” ถึงจะพูดยากลำบากที่ทั้งร้องไห้แล้วก็เจ็บตามตัวแต่ก็ต้องพยายามเข้มแข็ง เพื่อจะได้ไม่ให้แม่กับน้องต้องมาโดนไปด้วย

“คิดว่ากูจะเชื่อมึงหรือไงวะ!”

เพี๊ยะ!

“สิงห์!”

“มึงไม่ต้องมาแส่! จะไปไหนก็ไปอย่ามายุ่งเรื่องของกูกับลูก ไม่อย่างนั้นมึงจะโดนไปด้วย!”

“แม่ออกไป” สิงห์เอ่ยบอก “พาน้องไป ไม่ต้องห่ว—” พูดไม่ทันจบก็ถูกเตะที่เอวจนต้องนอนกุมด้วยความเจ็บปวด

“ออกไป!” เสี่ยพันธ์สั่งอย่างอดกลั้น สุดท้ายพิมพ์อรก็พาลูกสาวออกไปอย่างจำยอม

“กูขอเตือนมึงว่าอย่าไปยุ่งกับมันอีก ถ้าเกิดกูได้ข่าวเรื่องนี้เป็นครั้งที่สามกูไม่เอามึงกับไอ้เด็กนั่นไว้แน่” พูดเสร็จก็ผลักหัวอีกครั้ง “อาทิตย์หน้าหลวงรวีชัยจะมาที่บ้าน มึงต้องลงมาอย่าได้ขัด” เสี่ยพันธ์ชี้หน้าลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกไป

สิงห์หอบหายใจแรงปากมีเลือดออก หัวคิ้วแตก ปวดจุกตามร่างกายจนต้องนอนขดตัวร้องไห้อยู่คนเดียว สิ่งแรกที่นึกถึงคือไฟ กลัวว่าถ้าพ่อรู้เรื่องที่มากกว่านี้ไฟคงจะถูกฆ่าเอาได้

“สิงห์” น้ำเสียงอ่อนโยนที่เรียกหายิ่งทำให้สิงห์ร้องไห้หนักกว่าเดิม

“แม่ เป็นไงบ้าง” เด็กหนุ่มไถ่ถามแม่ตัวเองเสียงสั่นลุกแทบไม่ไหวก็ยังลุกขึ้นมาตรวจดูตามร่างกายของคนที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เด็ก

“ไม่ต้องห่วงแม่หรอก รีบขึ้นห้องเถอะแม่จะทายาให้นะ” พิมพ์อรลูบหัวลูกชายพร้อมกับช่วยพยุงตัวขึ้นไปบนห้อง ลูกสาวเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วจึงยิ้มเป็นการขอบคุณ

“พี่สิงห์...” ต้นอ้อเม้มปากสะอึกสะอื้นเพราะสงสารพี่ชาย “เจ็บหรือเปล่า”

สิงห์หันมองน้องน้ำตาก็ไหลแทบไม่หยุด “ไม่เจ็บ… ไม่เจ็บเลยสักนิด ต้นอ้อไม่ต้องห่วงพี่นะ”

คนเป็นน้องได้แต่กุมมือพี่ชายเอาไว้เพื่อปลอบใจ เหมือนกับที่แม่และพี่สิงห์ที่เคยกุมมือตนไว้ในเวลาที่ต้องร้องไห้เสียใจเช่นกัน

พิมพ์อรทั้งเช็ดหน้าเช็ดตัวเพื่อเอาคราบเลือดออกให้ ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกชายที่แม้ว่าจะอดกลั้นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมามาก ทว่าดวงตากลับมีน้ำสีใสไหลออกมาไม่หยุดหย่อน

เธอได้แต่เม้มปากกลั้นเสียงร้องไห้เช่นกัน มือก็วุ่นอยู่กับการเช็ดตัวให้ลูกชาย เห็นกี่ครั้งก็สะเทือนใจทุกครั้ง จำได้ว่าเมื่อวันที่เธอถูกข่มขืนสิงห์ก็พยายามจะมาช่วย…

พิมพ์อรนั้นรู้ดีว่าถ้าหากเธอยังขัดขืนปล่อยให้ลูกชายเข้ามาคงจะต้องถูกทุบตีอีกมาก เธอจึงได้แต่ร้องไห้ปล่อยให้เสี่ยพันธ์ทำตามใจตัวเอง ตัวเธอนั้นเหมือนกับชีวิตที่พังทลายที่ต้องมาถูกพี่เขยตัวเองข่มขืน

เคยคิดจะฆ่าตัวตายแต่พอเห็นว่าสิงห์ต้องมาทนอยู่เจอเรื่องพวกนี้ด้วยตัวคนเดียวก็มิอาจปล่อยไปได้ ให้คำสัญญากับพี่สาวไว้แล้วว่าจะต้องดูแลลูกชายของเธอเหมือนดั่งลูกในไส้ จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแพ้ท้องก็เข้าใจดีว่ามีลูกสาวเพิ่มมาคนหนึ่ง

กลายเป็นว่าชีวิตนี้มีห่วงอยู่สองห่วงที่ต้องดูแลอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าตัวเองจะเจอเรื่องร้ายเพียงใดขอแค่มีลูกทั้งสองอยู่ด้วยคงคลายความเหงาและความเจ็บปวดในแต่ละวันไปได้
 


 

พ่ายโลกันตร์

 

 

วันและเวลาผ่านล่วงเลยไปเป็นอาทิตย์แล้วและในวันนี้เองก็ต้องลงมาอยู่คุยกับแขกของพ่อ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งอาทิตย์ที่สิงห์ไม่ได้ออกไปหาไฟเช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังทำอะไรอยู่ คงจะเป็นห่วงเขาอยู่แน่ ๆ แต่ก็ยังออกไปหาไม่ได้หรอก จะให้ออกไปเห็นในสภาพย่ำแย่แบบนี้ได้ยังไง

เดี๋ยวได้โกรธหนักจนทำตามใจตัวเองขึ้นมาแล้วจะยุ่ง

“นี่ลูกชายกระผมเองขอรับคุณหลวง” เสี่ยพันธ์จับหลังของลูกชายที่นั่งข้าง ๆ ในชุดสุภาพดูดีทว่าก็ยังมีรอยฟกช้ำตามใบหน้าเล็กน้อย

“ยินดีที่ได้พบขอรับคุณหลวง” สิงห์พนมมือไหว้คลี่ยิ้มตามมารยาท

“หน้าไปโดนอะไรมาล่ะ”

เสี่ยพันธ์หันมอง ปากอมพะงำเพราะยังไม่ได้คิดเรื่องนี้แต่ลูกชายก็เอ่ยตอบอย่างฉะฉาน

“กระผมฝึกมวยกับภพน่ะขอรับ อาจจะต้องเสียมารยาทกับคุณหลวงที่มาให้พบในสภาพอย่างนี้ ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ” สิงห์ก้มหัว ส่วนภพที่ว่าคือคนสนิทของพ่อหรือมือขวาที่ยืนกุมมืออยู่ห่างจากโซฟาเล็กน้อย คนถูกพูดชื่อก็เข้าใจอย่างดีจึงก้มหัวลงตามเช่นกัน

เสี่ยพันธ์ดูพึงพอใจตบไหล่ลูกชายสองสามที “เอาเป็นว่ากระผมอยากให้ท่านดูโฉนดที่ดินแถวเขตชุมชนแอ่งธนเสียก่อน ถ้าท่านได้ไปอาจจะต่อยอดให้ท่านได้ศักดินาเพิ่มมากขึ้น”

หลวงรวีชัยหยิบโฉนดขึ้นมาดูใบหน้ากำลังครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา

“ส่วนนี่คือรายการของกลางที่ได้เอาไปเก็บรวมไว้ปะปนกับแถวชุมชนขอรับ” เสี่ยพันธ์ยื่นเอกสารให้อีกฉบับ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเอกสารที่สิงห์เป็นคนทำทั้งนั้น

ที่เอาลูกชายมาด้วยเพราะหลวงรวีชัยดูไม่ค่อยสนใจตนเมื่อเทียบกับลูกชายที่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็มักจะสนใจฟัง พอคิดได้อย่างนั้นก็รีบหันไปสะกิดลูกชายทันที

และสิงห์เองก็เข้าใจดีจึงรับมือต่อ “เอกสารทั้งหมดกระผมเป็นคนรวบรวมจัดการเอง บางทีคุณหลวงอาจจะดูไม่เข้าใจเพราะความรอบรู้ของกระผมยังต้อยต่ำนัก ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ขอกระผมได้ชี้แจงคุณหลวงได้หรือเปล่าขอรับ” สิงห์เป็นเด็กฉลาดทุกคนล้วนรู้ดี รู้จักพูด วาจาชวนคล้อยตามได้ง่าย

หลวงรวีชัยยิ้มอย่างพอใจแล้วตบเบาะโซฟาข้างกายให้สิงห์ไปนั่งข้าง ๆ

เด็กหนุ่มก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะไปนั่งข้างท่านพร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับของกลางอีกเพิ่มเติม

“ของกลางพวกนี้มาจากของที่พวกตำรวจเอาไปไม่หมด ทางเราได้ทำเอกสารปลอมให้ทางสายตำรวจที่เป็นเสมียนบัญชีจัดการไว้แล้วขอรับ ไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาพบเข้าว่าเป็นของที่ยังไม่ได้เก็บเข้าไปในส่วนกลางคลังที่หลวง”

“อืม” หลวงรวีชัยพยักหน้า “แต่โฉนดแผ่นนี้มันของไอกำนันลานไม่ใช่หรือไง ไปเอามาได้ยังไง”

พอได้ยินอย่างนั้นเสี่ยพันธ์ก็เอ่ยตอบเรื่องนี้เอง “กำนันได้ให้ความร่วมมือกับเรื่องนี้ขอรับ เพียงแค่ฟาดเงินให้มัน มันก็ปิดปากเก็บเงียบพร้อมทำตามแล้วขอรับคุณหลวง ฮ่า ๆ”

“ฉันถามเจ้าสิงห์ไม่ได้ถามเสี่ยพันธ์” หลวงรวีชัยว่าเสียงแข็งจึงทำให้เสี่ยพันธ์ต้องก้มหัวขอโทษ

“ต้องขอโทษด้วยนะขอรับ กระผมยังไม่ได้ถามไถ่จากพ่อ จึงไม่รู้เรื่องพวกนี้พ่อก็เลยตอบให้แทน ยังไงครั้งหน้ากระผมจะถามมาอย่างดี ไม่ให้คุณหลวงต้องรอเหมือนอย่างวันนี้อีก” เพียงสิงห์พูดคุณหลวงก็พยักหน้าเป็นอันเข้าใจ

“เอาเป็นว่าฉันรับไว้ก็ได้ แล้วข้อแลกเปลี่ยนคืออะไรล่ะ”

เสี่ยพันธ์ดีใจอย่างถึงที่สุดก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเอง “ต้องขอโทษที่เรื่องนี้กระผมก็ยังไม่ได้บอกลูกชาย ขอเสียมารยาทอีกสักครั้งเพื่อให้ตอบคุณหลวงจะได้หรือไม่ขอรับ”

หลวงรวีชัยหันมองเล็กน้อยแล้วพยักหน้า

“ข้อแลกเปลี่ยนคือการที่ให้พวกเราสามารถขนอาวุธผ่านเขตคุณหลวงได้น่ะขอรับ”

ปึก!

หลวงรวีชัยถึงกับหน้าบึ้งถมึงทิ้งเอกสารลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ “ช่างกล้าขอในสิ่งที่ไม่มีวันจะให้อย่างนั้นหรือ เรื่องโฉนดที่ดินกับมีสายตำรวจเพียงเท่านี้กูสั่งลูกน้องเพียงคำเดียวก็หามาได้หมดแล้ว หรือต่อให้เอาปืนยิงมึงที่นี่! ตรงนี้! กูก็แย่งมาได้!”

เพราะการขนส่งอาวุธผ่านเขตนั้นอาจทำให้ตำรวจจับตามองและคิดว่าหลวงรวีชัยที่เป็นถึงข้าราชการจะสมรู้ร่วมคิดกับโจร การที่ให้หลีกเลี่ยงมาโดยตลอดเพราะเป็นการแบกหน้าว่าไม่เคยยุ่งกับพวกโจร ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีเสือเอี้ยงที่คอยช่วยเหลือจัดการคนอื่นให้

“โธ่ คุณหลวง กระผมอุตส่าห์นอบน้อมต่อท่านแล้วแต่ท่านยังจะไม่ลดทิฐิต่อเราอีกหรือ ท่านคิดว่าการที่ท่านอยู่ในเขตของกระผมท่านจะทำอะไรก็ได้ใช่ไหม” พูดเสร็จทางฝั่งลูกน้องของคุณหลวงก็ยกปืนใส่เสี่ยพันธ์ก่อนจะพบว่ามีลูกน้องของเสี่ยพันธ์ที่เข้ามาจ่อปืนใส่ด้วยเช่นกัน

“กล้ายกปืนใส่กูขนาดนี้คงจะไม่อยากอยู่อย่างสงบใช่ไหมไอ้พันธ์”

“กระผมออกจะรักสงบ มีแต่คุณหลวงที่ยังคงไม่โอนอ่อนต่อเรา ทั้งยังบอกจะฆ่ากระผม แต่ว่ายังไงซะลูกน้องของกระผมก็คงไม่ยอมอยู่ดี” เสี่ยพันธ์ยิ้มมุมปากพิงหลังเหยียดเท้าบนโต๊ะไม่สนเรื่องมารยาทอีกต่อไป

“หรือเพราะมีรองอธิบดีคุ้มกะลาหัวมึงอยู่ มึงถึงกล้าที่จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นรึ” คุณหลวงโกรธจัด

“คุณหลวง” เสี่ยพันธ์หัวเราะ “คนมันเป็นโจรน่ะ ต่อให้ไม่มีตำรวจเป็นตัวช่วยมันก็ยังฆ่าได้”

คุณหลวงตัวสั่นเทิ้มรู้ได้ดีว่ามันไม่ได้พูดเล่น ไม่แปลกที่เจ้าสิงห์มันฉลาดนั้นได้มาจากใคร

“เหอะ เก่งกล้าขึ้นหนิ”

“โธ่ ๆ” เสี่ยพันธ์ส่ายหน้า “ใครกันแน่ที่เก่งกล้าวางท่ามากขึ้น ตั้งแต่มีไอเสือเอี้ยงคอยช่วยเหลือเพราะมีคาถาอาคม ยิงฟันไม่เข้า ตายไม่เป็น ดูท่าคุณหลวงจะชูคอมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีกนะ”

“ไอ้พันธ์!”

“พ่อพอเถอะครับ” สิงห์เอ่ยขัดจึงทำให้เสี่ยพันธ์ต้องหันมอง

“อย่ามาทำเป็นสั่ง”

“ผมแค่ไม่อยากให้มีเรื่องบาดหมางกันเดี๋ยวจะเสียคนกันไปเปล่า ๆ ปรองดองเอาไว้ก็ดีกับทั้งคู่ไม่ใช่หรือครับ คุณหลวงเองก็มีทางเสือเอี้ยงจากชุมโจรใหญ่ที่ครอบคลุมเกือบทั่วภาคกลาง ส่วนทางเราก็มีทั้งเจ้าสัวเหวย รองอธิบดีแล้วก็ลูกค้าอีกทั่วทั้งจังหวัด เกิดทะเลาะกันไปเดี๋ยวจะได้กลายเป็นสนามรบเอานะครับ”

แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องความฉลาดบางทีสิงห์อาจจะมากกว่า ในอนาคตถ้าได้เป็นพวกคงจะมีอะไรดี ๆ ทว่าเพราะเสี่ยพันธ์ที่ยังคงปากกล้าต่อตนที่เป็นถึงคุณหลวง จึงมีทิฐิค้ำคอตามจริงดั่งที่มันพูด

“การที่ให้รถผ่านเขตของคุณหลวงมันอาจจะต้องระวังพวกตำรวจจมูกดี ให้เรื่องนี้เป็นคุณหลวงที่ตัดสินใจเองดีกว่าครับ”

“ไอ้สิงห์” เสี่ยพันธ์ถึงกับโกรธที่มันกล้าพูดอะไรไม่เห็นหัวตน

“พ่อครับนี่เป็นทางที่ดีที่เราจะไม่ต้องมาฆ่ากันเอง ในเวลานี้มีพวกฝรั่งติดต่อกับทางไทยบ่อย ๆ พวกกรมตำรวจน่ะคงไม่กล้าบุ่มบ่ามยุ่งกับพวกนั้นหรอก ถ้าเกิดเราร่วมมือกันและแลกเปลี่ยนพูดคุยกับทางทหารต่างประเทศมันก็มีแต่ดีกับดีนะครับ”

“เป็นเด็กจริง ๆ หรือนี่” หลวงรวีชัยมองอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้กลับมองการณ์ไกลเกินกว่าผู้ใหญ่อย่างตน

“พูดมากไปแล้วนะมึง”

“ผมแค่หาทางออกให้พ่อ เพราะเป็นห่วงในฐานะลูกชายและอีกอย่างกระผมก็อยากจะได้อยู่พูดคุยกับคุณหลวงอีก” สิงห์หันมายิ้มให้คุณหลวงที่เริ่มสงบลงแล้ว

“ก็ได้กูจะยอมให้ขนอาวุธผ่าน... แต่!” หลวงรวีชัยจับไหล่ของสิงห์ไว้ “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ลูกมึงไปพูดคุยกับกูที่บ้านบ้าง”

เสี่ยพันธ์กระดิกเท้าไปมา มองทั้งสองคนสลับกันคล้ายกำลังครุ่นคิดก่อนจะยกมือสั่งให้ลูกน้องเก็บปืน “ถือว่าตกลง ส่วนเรื่องให้ไปพูดคุยหากว่าไม่มีเอกสารที่ต้องทำ กระผมจะให้มันไปหาคุณหลวงก็แล้วกัน”

คุณหลวงพยักหน้า “ดี ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อน”

“ก็ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย” เสี่ยพันธ์ก้มหัวพร้อมผายมือให้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นซะด้วยซ้ำ ส่วนสิงห์ที่กลายเป็นสิ่งของแลกเปลี่ยนข้อตกลงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นึกน้อยใจที่พ่อไม่เป็นห่วงตนเลย

“ถึงจะพูดอะไรเกินหน้าเกินตา แต่ก็ขอบใจที่ทำให้ไอ้คุณหลวงมันยอมได้” เสี่ยพันธ์ยกยิ้ม ลุกขึ้นตบไหล่ลูกชายสองสามที “ฮ่า ๆ งานนี้กูขนส่งสบายแล้วเว้ย!”

เด็กหนุ่มหันมองผู้เป็นพ่อที่เดินอารมณ์ดีออกไปกับพวกลูกน้อง ในใจได้แต่คิดว่าทำไมถึงต้องลงมาพูดคุยอย่างนี้ด้วย เขาไม่ชอบงานแบบนี้เลย แต่มันก็ต้องทำ... เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม พยายามอย่าไปขัดใจคนเป็นพ่อจะดีที่สุด

 

 
มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-04-2019 18:38:58
ต่อจากบทที่ ๕


ถึงเวลาพลบค่ำสิงห์ได้แต่นั่งจัดเอกสารที่ทำค้างไว้ ดวงตาพร่ามัวเพราะการอ่านเอกสารมานาน เด็กหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจยกมือนวดคลึงระหว่างหัวคิ้ว ต้องอ่านเนื้อหาข้างในรวมถึงต้องรู้จักลูกค้าของพ่อทุกคน ไหนจะคู่แข่ง ศัตรู หรือไม่ก็พวกสายต่าง ๆ ที่ส่งไปในแต่ละพื้นที่เพื่อจับตามองกลุ่มอื่น

ถึงสิงห์จะไม่ชอบงานแบบนี้แต่ยอมรับว่าพอได้อ่านก็ได้รู้อะไรเยอะแยะมากมายจึงไม่ค่อยอิดออดถ้าหากต้องจัดเอกสารหรือได้ไปพบปะกับลูกค้า

ลูกค้ารายใหญ่ของพ่อนั้นมีทั้งเจ้าสัวเหวยกับพวกเสี่ย ๆ คหบดีรวย ๆ ที่มีอำนาจตามแต่ละจังหวัด แต่เจ้าสัวเหวยเห็นว่าเป็นพวกเลือดเย็น จะเอาพวกผู้ชายที่ถึกทนและเก่งมาเป็นพวก ส่วนผู้หญิงก็หาแต่เด็ก ๆ สวย ๆ ไว้สนองตัวเอง เห็นบอกว่าทั้งหมู่บ้านนั้นที่เป็นที่อยู่ของเจ้าสัวเหวยกลายเป็นหมู่บ้านแห่งการนองเลือด ใครที่ไม่มีประโยชน์จะถูกฆ่าจนไม่เหลือแม้แต่ลูกหลานของคนหมู่บ้านนั้น

ได้รู้มาจากพ่ออีกนิดหน่อยว่า อย่าได้ขัดเจ้าสัวเด็ดขาด ไม่ว่าจะถูกสั่งให้ทำอะไรจงทำซะ เขาไม่เคยคิดว่าพ่อจะกลัวใครได้ แต่พอพูดถึงเจ้าสัวเหวยกลับแตกต่างจากลูกค้าคนอื่น นั่นจึงทำให้เขาต้องพยายามหาข้อมูลและนิสัยส่วนตัวของเจ้าสัวไว้

เพราะการขนส่งสินค้าล็อตใหญ่ครั้งนี้เขาต้องเดินทางไปหาเจ้าสัวพร้อมกับพ่อด้วย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“หือ?” สิงห์หันไปมองทางด้านหลัง เสียงเหมือนคนมาเคาะประตู แต่มันไม่ใช่... เสียงมันไกลกว่านั้นเหมือนกับมีคนมาเคาะทางหน้าต่างเสียมากกว่า

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วลุกขึ้นไปหยิบปืนป้องกันตัวที่ได้มาจากภพ ชูปืนจ่อทางหน้าต่างก่อนจะเอี้ยวตัวไปปลดล็อก

แต่ในตอนที่บานหน้าต่างค่อย ๆ เปิดออกก็รีบถอยห่างอย่างรวดเร็วเพราะมีคนสวมหมวกมาจับขอบผนังไม้ไว้

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! แล้วยกมือขึ้นซะไม่งั้นกูยิง” สิงห์สั่งเสียงแข็ง

“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งยิงนะ! นี่ไฟเอง!” ไฟรีบกุลีกุจอถอดหมวกออก

“ไฟ!” สิงห์ตกใจก่อนจะรีบดึงตัวอีกคนให้เข้ามาในห้องพร้อมกับล็อกหน้าต่างเอาไว้ “มาทำไม! ถ้าคนเห็นขึ้นมาจะทำยังไง”

“ก็สิงห์ไม่ไปที่จุดนัดพบมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ ไฟเป็นห่วงเลยมาดู” คนพูดทำหน้าง้ำหน้างอก่อนจะเอะใจเมื่อเห็นแผลตามใบหน้า “ไปโดนอะไรมา ใครทำอะไร”

สิงห์หลบตา “ไม่มีอะไรหรอก แค่ฝึกมวยนิด ๆ หน่อย ๆ”

“ไม่เชื่อ” ไฟขมวดคิ้ว

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ แต่เรื่องไฟเถอะบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาหา ถ้าเกิดคนมาเห็นเข้า ไฟจะเดือดร้อนนะ” ไม่น่าบอกไปเลยว่าห้องอยู่ทางไหน ไม่คิดว่าจะกล้ามาถึงห้องขนาดนี้

“ก็ไฟเป็นห่วง ดูสิ…ไม่เจอกันเพียงอาทิตย์เดียวหน้าก็ช้ำเลยเห็นไหม แล้วแบบนี้จะยังให้อยู่เฉย ๆ อีกหรือไง” ไฟนั่งลงกับเตียงดึงอีกคนให้นั่งลงข้าง ๆ กัน ตามจับใบหน้าอย่างเบามือพร้อมกับก้มดูตามแขน “แน่ใจนะว่าฝึกมวยจริง ๆ”

“อือ” สิงห์พยักหน้าสวมกอดคนรักด้วยความคิดถึง เพียงอาทิตย์เดียวมันนานเสียเหลือเกินที่ไม่ได้เจอกัน อุตส่าห์จะใจแข็งรอให้แผลหาย แต่พอเจ้าตัวมาหาถึงที่มันควรจะต้องโกรธและเตือนไม่ให้ทำแบบนี้อีก ทว่าใจกลับอยากกอดตั้งแต่เห็นหน้า อยากจะซึมซับความอบอุ่นเพื่อให้แผลข้างในได้ประสานกัน

ถึงจะรักษาแผลภายนอกไม่ได้แต่แผลจากข้างในก็เป็นไฟที่ช่วยฟื้นฟูมันขึ้นมา

“อย่าทำให้เป็นห่วงแบบนี้สิ” ไฟบ่นด้วยความเป็นห่วงกดจมูกลงกับกลุ่มผมย้ำ ๆ เพื่อคลายความคิดถึง

“ถ้าเกิดไม่ได้ไปหาก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พอดีว่างานที่ทำมันเยอะกว่าที่คิด ออกไปได้ก็คงเมื่อตอนที่ทำงานเสร็จหมดแล้ว”

“ไม่แปลกใจเลยที่สิงห์มักจะเอาแต่คิดมาก ขนาดอายุเท่านี้ก็ต้องทำงานเหมือนพวกผู้ใหญ่แล้ว”

สิงห์ผละกอดก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหน เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจมันแย่ ส่วนมากคนจบป.สี่ก็ได้ทำงานกันแล้ว”

“ก็คนพวกนั้นเขาไม่เรียนต่อกัน แต่สิงห์ยังเรียนต่อน่าจะเรียนให้จบก่อนค่อยทำก็ได้”

“แล้วนายคิดว่าคนอย่างฉันจะขัดคำสั่งพ่อได้หรือไง” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ฉันไม่ชอบหรอกงานของพ่อน่ะ เพราะมันมีแต่พวกงานผิดกฎหมาย แต่…มันก็ดูได้ประโยชน์ดี” คำหลังเสียงช่างเบาจนคนฟังต้องขยับหน้าเข้าไปใกล้

“เมื่อกี้สิงห์ว่าไงนะ ไฟไม่ได้ยินเลย”

สิงห์อึกอัก “เปล่าหรอก แต่นายเถอะทีหลังห้ามทำแบบนี้อีกนะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ.. ถ้ามีคนเจอนายเข้า พ่อฉันจะฆ่าเอาได้นะ”

“ตราบใดที่เสี่ยพันธ์ยังไม่รู้ มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรไม่ใช่หรือ”

“เรื่องนั้น...”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สิงห์หันไปมองทางประตูทันควันกระวนกระวายรีบดึงแขนไฟให้ลุกขึ้น “ออกไปก่อน”

ถึงจะยังไม่อยากออกไปแต่ก็ต้องพยักหน้าเข้าใจ ระหว่างนั้นเสียงจากคนด้านนอกที่ขานเรียกจึงทำให้ทั้งคู่หยุดชะงัก “สิงห์ นี่แม่เองนะ”

“ใจหายหมด” สิงห์พรูลมหายใจก่อนจะจับไหล่คนรัก “ไม่เป็นไรหรอก”

“แม่ที่ว่าใช่น้าพิมพ์อรหรือเปล่า”

“อือ” ตอบเสร็จก็เดินออกไปเปิดประตู มองด้านนอกที่ไม่มีใครนอกจากแม่ก็เอานิ้วชี้แตะปากแล้วพาผู้เป็นแม่เข้ามาในห้องนอน

“อ๊ะ!” พิมพ์อรตกใจเกือบหลุดปากเสียงดัง พอมองดี ๆ ก็ยังเห็นว่ายังดูเด็กอยู่เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันมาหาลูกชาย “ใครน่ะลูก”

“นี่ไฟคนที่ผมเคยเล่าให้ฟังไงครับ”

“ฉันไหว้จ้ะ” ไฟพนมมือไหว้

“พ่อไฟเข้ามาได้ยังไงล่ะลูก ถ้าเกิดเสี่ยพันธ์รู้เข้าจะแย่เอานะ” เธอตักเตือนพร้อมกับหันหน้าไปหาลูกชายอีกครั้ง “ลูกก็รู้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนลูกเจออะไรมาบ้างทำไมถึงยังจะมาเจอกันอีก รู้ไหมว่ามันอันตรายต่อทั้งคู่นะ”

“แม่ครับ” สิงห์เอามือจับไหล่ผู้เป็นแม่พลางส่ายหัวเป็นเชิงบอกไม่ให้พูด

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? ทำไมถึงเจอกันไม่ได้” พอได้ยินอย่างนั้นพิมพ์อรก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมพ่อไฟถึงมาที่นี่และไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“สิงห์… ลูกควรบอกไฟนะ” เธอยังคงเตือนอีกครา ถึงจะสงสารที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันได้อย่างอิสระแต่การทำอย่างนี้ก็เพื่อทั้งสองคน “สิงห์น่าจะเข้าใจดี ชีวิตที่ต้องทนกับอารมณ์โกรธของพ่อว่ามันทำให้ฆ่าคนทั้งเป็นได้ เสี่ยพันธ์น่ะไม่มีคำว่าเกรงกลัวกฎหมายอีกแล้วลูกก็น่าจะรู้ เขาทำร้ายลูกตัวเองขนาดนี้ เขาไม่มีความเป็นคนแล้วด้วยซ้ำ”

ไฟที่ฟังอยู่กำมือแน่น “ปัญหาพวกนั้นมันเกี่ยวกับแผลตามตัวด้วยหรือเปล่า” น้ำเสียงของไฟดูเรียบนิ่งทว่าสิงห์รู้ดีว่ามันเหมือนกับเพลิงที่ใกล้จะปะทุในไม่ช้า

“รีบคุยกันเสีย อีกเดี๋ยวแม่จะมาเรียกให้คุยเรื่องเรียนของต้นอ้อ”

“ครับ” สิงห์พยักหน้า พอผู้เป็นแม่เดินออกไปแล้วจึงได้แต่หันมองคนรักที่กำลังกัดฟันคล้ายคุมอารมณ์อยู่ “ไฟ...”

“จะบอกเมื่อไหร่” ไฟขบกรามแน่น “ต้องรอให้เรื่องมันหนักกว่านี้ถึงจะบอกกันหรือ”

“สิงห์แค่ไม่อยากให้ไฟต้องเป็นห่วง”

“การไม่บอกคือการที่ทำให้ฉันเป็นห่วงและฟุ้งซ่านกว่าเดิมไม่ใช่หรือไง” ไฟหน้าขึงตัวสั่นจากอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา คำแทนตัวเองก็เปลี่ยนไป “ฉันเข้าใจนะว่าบางเรื่องนายมีเหตุผลที่จะไม่บอก แต่เรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับฉันด้วยโดยตรงทำไมไม่บอกกันบ้าง ถึงฉันจะไม่กลัวตายแต่การที่ต้องทำให้นายเดือดร้อนขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกกันบ้าง”

“หรือกลัวว่า ถ้าหากบอกไปแล้วฉันจะทำอะไรไม่คิดจนเกิดเรื่องใช่ไหม”

สิงห์ได้แต่เงียบ เพราะในความคิดตนมันก็ไม่ต่างจากที่อีกคนพูดนักเพราะไฟนั้นเป็นคนอารมณ์ร้อนถ้าบอกไปไฟก็ต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่างที่มันเสี่ยงต่อตัวเอง อย่างไฟถ้าไม่พูดหรือห้ามอย่างจริงจังก็จะหยุดอีกคนไม่อยู่

“นายไม่ต้องบอกฉันทุกเรื่องก็ได้... แต่ว่าบางเรื่องนายไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้กับตัวเอง เพราะหากฉันรู้ทีหลัง.. ฉันจะโกรธที่นายไม่ยอมพูดปัญหาให้ฟังและจะเสียใจที่ปัญหาพวกนั้นฉันเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

สิงห์กัดปากไม่คิดเถียง

“เราเป็นคนรักกันหรือเปล่า” ไฟดวงตาแดงก่ำจากความโกรธแต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้คนที่มองอยู่ร้องไห้ออกมาแทน “ไม่ว่าจะเรื่องอะไร จะผิดหรือถูก น่าจะบอกกันสักคำ”

“นายเป็นห่วงฉัน ฉันเข้าใจ... แต่ฉันก็เป็นห่วงนายเหมือนกัน”

“ขอโทษ”

เพียงเท่านั้นไฟก็ก้มหน้าถอนหายใจอย่างคนพ่ายแพ้ต่อน้ำตาก่อนจะเดินเข้าไปกอดอีกคนเพื่อปลอบโยน “มีอีกอย่างที่สิงห์น่าจะเข้าใจดีนะ...”

 

 

“ว่าคนที่หยุดฉันได้มีแค่สิงห์เท่านั้น”






จบบทที่ ๕
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 14-04-2019 17:18:44
 :man1:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 18-04-2019 22:13:04
บทที่ ๖

ย้อนวัย : นิสัยที่เริ่มเปลี่ยน




พ.ศ. ๒๔๗๑

ผ่านไปหนึ่งเดือน หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๕


ถึงแม้ว่าการไปโรงเรียนจะได้เจอกับไฟเกือบทุกวัน ทว่า เราทั้งคู่ได้เริ่มตัดสินใจทำเป็นไม่สนิทกันเพราะพ่อสั่งให้คนมาตามจับดูเราทั้งสองคนอยู่ตลอดเวลา ส่วนไฟเองก็ยังคงมาหาที่ห้องในเวลากลางคืนเนื่องจากความมืดมันช่วยให้พรางตัวได้ดีรวมถึงไม่มีคนคอยมาเฝ้าแถวห้องของเขามากเพราะพวกนั้นจะไปเฝ้าแถวโกดังสินค้ากับแถวห้องของพ่อซะส่วนใหญ่

ตลอดปีที่ผ่านมาสิงห์ได้รู้จักลูกค้าของพ่อเกือบทุกคน ดูเหมือนว่าพ่อมักจะให้เขาออกไปพบลูกค้าด้วยบ่อย ๆ ทั้งยังสอนงานและแนะนำอะไรอีกหลายอย่าง

เมื่อก่อนการจะขออะไรสักอย่างหรือการเข้ามาในห้องทำงานของพ่อแทบไม่มีสิทธิ์ แต่เดี๋ยวนี้กลับทำได้เสียอย่างนั้น

“ว่ายังไง มีอะไรจะพูด” เสี่ยพันธ์เอ่ยถามในขณะที่ตัวเองกำลังก้มเขียนอะไรอยู่

สิงห์ที่วันนี้อยากจะมาขออะไรบางอย่างกับพ่อแต่ก็ยังไม่ได้บอกไปก่อนว่าเรื่องอะไร เพราะเรื่องที่จะมาขอนั้นมันอาจจะทำให้พ่อโกรธเอาได้ “ผมจะมาขออนุญาตครับ”

พ่อเงียบไปชั่วอึดใจคล้ายกำลังคิดอะไร ก่อนจะถามต่อ “เรื่องอะไร”

เด็กหนุ่มใจสั่นด้วยความกลัวฝ่ามือชื้นเหงื่อจากการบีบเข้าหากัน “ผมขอ.. ไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ไหมครับ”

กึก

เพียงแค่เสียงปากกาตกก็ทำให้สิงห์สะดุ้ง เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังของพ่อตนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังทำสีหน้ายังไง แต่รอบกายในตอนนี้มีแต่ความเงียบ

มันเงียบจนน่ากลัว

“เพราะอะไรทำไมถึงอยากเรียน” น้ำเสียงก็ดูนิ่งจนทำให้สิงห์มือสั่น

“ผม...ผมแค่อยากเห็นการทำงานของตำรวจ”

“เห็นการทำงานของตำรวจ?” เสี่ยพันธ์หันหน้ามาเส้นเลือดปูดตามขมับทว่ายังคงรักษาอารมณ์ “ไม่ใช่เพราะไอ้เด็กนั่นที่เรียนห้องเดียวกับมึงชวนให้ไปด้วยกันหรือไง”

“ค..ใครกันหรือครับ”

“ยังจะกล้าทำเป็นไม่รู้อีกนะ!” ความอดทนหมดลงมือหยาบกร้านก็ตบเข้าที่หน้าลูกชายทันที “กูพูดแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้เห็นเป็นครั้งที่สาม”

“มันไม่ใช่นะพ่อ”

“ออกไป! ก่อนที่กูจะทนไม่ไหว”

“พ่อ—”

“ออกไปไอ้ลูกเนรคุณ!” เสี่ยพันธ์ตะคอกเสียงดัง

“ออกมาก่อนเถอะครับคุณสิงห์” ภพที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รีบจับไหล่แล้วพาเดินออกจากห้องทำงานของเสี่ยพันธ์เพื่อไม่ให้เจ้านายต้องโมโหไปมากกว่านี้ แต่แทนที่จะออกมาส่งแค่นอกห้องกลับพาลงไปถึงชั้นล่างและเดินออกไปด้านนอกทั้งยังหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองใคร

“จะพาผมไปไหน”

ภพยังไม่ได้เอ่ยตอบหันมองรอบกายอีกครั้งพอเห็นว่าแถวนี้ไม่มีคนจึงหันมาหาลูกชายของเจ้านาย “คุณอยากจะเป็นตำรวจใช่ไหม”

เด็กหนุ่มนึกแปลกใจ “คุณสนใจด้วยหรือ”

ภพเค้นยิ้ม “ผมสนใจตรงที่ การจะให้คุณได้ไปเป็นตำรวจมันอาจจะดีกับทางเรา”

“นี่คุณหมายถึง...”

“คุณเป็นเด็กหัวไวนะคุณสิงห์ เพราะอย่างนั้นผมจึงอยากให้ความรู้และสิ่งที่คุณมีในตัวได้เข้าเป็นตำรวจเพื่อช่วยเหลือพ่อของคุณ”

สิงห์อยากจะเถียงแต่ก็ต้องเงียบเอาไว้

“อยากจะให้ผมเป็นตำรวจเพื่อเป็นสายให้พ่ออย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว มันดีใช่ไหมล่ะ จุดประสงค์ของคุณมันคือการเป็นตำรวจเพราะอย่างนั้น.. ถ้าคุณช่วยเหลือพ่อของคุณ... บางทีเสี่ยพันธ์อาจจะเห็นด้วย”

เด็กหนุ่มนึกคิดตาม การโกหกพ่อโดยใช้เรื่องพวกนี้ไปมันก็น่าจะดี อีกอย่างการทำเป็นเห็นด้วยกับภพ ก็คงจะให้ภพได้ช่วยพูดกับพ่อได้

“ผมไม่คิดนะว่าพ่อจะยอม เขาเกลียดตำรวจซะขนาดนั้นเรื่องที่ช่วยได้ก็คงไม่มีความหมาย หากพ่อยังไม่เห็นด้วย” สิงห์ยังคงพูดลองเชิง

ภพหัวเราะในลำคอ “นั่นสิครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยพูดให้”

สิงห์ขมวดคิ้ว “คุณน่ะเหรอจะช่วยพูด ผมว่าไม่ได้หรอก”

“อ่า มันอาจจะไม่ได้เพราะพ่อคุณกำลังวางมือเพื่อจะให้คุณทำงานต่อจากท่าน ดูจากวันนี้เขาพยายามเก็บอารมณ์เพื่อไม่ให้คุณต้องดูเสียหน้าต่อลูกน้อง ท่านพยายามจะยกทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณเป็นคนดูแลต่อ”

สิงห์ไม่ได้ตกใจเพราะยังไงสักวันพ่อก็ต้องทำแบบนี้ “เห็นไหมล่ะคุณยังพูดเลยว่ามันอาจจะไม่ได้”

“แต่ผมจะพยายามเกลี้ยกล่อม ถึงท่านจะเริ่มวางมือแต่คงต้องรออีกหลายปี บางทีในเวลานี้ที่ยังไม่ได้รับช่วงต่อก็คงจะหาทางคุยกับท่านได้”

“ทำไมคุณถึงต้องช่วยซะขนาดนั้นด้วย”

ภพยิ้มบาง ๆ “เพราะพ่อคุณลากผมออกมาจากเรือนจำ ผมก็ต้องตอบแทนท่านอยู่แล้ว”

สิงห์ครุ่นคิดก่อนจะยิ้มให้ “น่าดีใจนะที่พ่อผมมีลูกน้องอย่างคุณ”

เขายังเคยจำได้ดีเมื่อตอนนั้นที่เขาอายุสิบสองปีกำลังเข้าเรียนมัธยมปีที่หนึ่ง พ่อได้พาคนสามคนเข้ามาในบ้าน ทั้งสามคนที่ออกมาจากเรือนจำ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปได้มายังไง

ภพเป็นหนึ่งในนั้นและเป็นคนที่คอยติดตามพ่ออยู่เสมอเพราะเป็นคนที่พ่อไว้ใจที่สุด ส่วนอีกสองคน อย่างเทิดกับมั่น เห็นว่าเทิดเป็นพวกทำงานเบื้องหลังไปเก็บคนอื่นตามคำสั่งของพ่อ ส่วนมั่นไอ้คนนี้นี่แหละที่คอยทำให้เขาได้ยินเสียงร้องไห้และร้องขอชีวิตอยู่เกือบทุกวัน มันมักจะจับพวกสายตำรวจและสายของคู่อริพ่อมาทรมานเพื่อเค้นความจริง แถบโกดังสินค้าเองมันก็เป็นคนดูแล

สามคนนี้ที่พ่อพาเข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นโจรชื่อดัง ๆ เทิดเป็นนักฆ่าเห็นว่าแต่ละคนที่มันฆ่าล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตมีลูกน้องนับสิบคอยคุ้มกันแต่กลับไม่มีใครเคยจับไอ้เทิดได้ ส่วนไอ้มั่นเป็นฆาตกรโรคจิตเพราะอย่างนี้มันถึงชอบทรมานคน ส่วนภพเห็นว่าเป็นฆาตกรเช่นกันแถมยังฆ่าเพื่อนร่วมห้องขังทุกคนแล้วเหลือมันเพียงแค่คนเดียว

ทุกคนรู้ว่าพ่อเขาฉลาดเลือกคน ไม่แปลกที่คุณหลวงรวีชัยจะแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อจะให้ตัวเองเหนือกว่า

“ผมก็ดีใจที่ได้เข้ามาที่นี่” ภพว่าเพียงเท่านั้นก็ก้มหัวขอตัวกลับไปที่ห้องทำงาน

เด็กหนุ่มยังคงขมวดคิ้ว ความรู้สึกของเขามันบอกว่าสิ่งที่อีกคนพูดมันมีนัยบางอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ที่บอกว่าดีใจแต่มันเป็นทุกคำตั้งแต่ที่ภพออกมาพูดข้างนอก

ผู้ชายคนนี้ ไม่น่าจะใช่แค่ฆาตกรธรรมดา

สิงห์ถอนหายใจไม่อยากจะคิดเรื่องอื่นให้ปวดหัวมากกว่านี้แค่เก็บเอาไว้แล้วค่อยมาคิดทีหลังเอาก็ได้ เพราะงานเอกสารก็เต็มห้องจะให้เอาแต่คิดเรื่องนี้คงทำไม่เสร็จหรอก

ทว่า พอเดินเข้าบ้านมาได้สักพักก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุยกันมาจากห้องเก็บของ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่สนใจนักหรอกแต่เพราะสิงห์เป็นคนชอบสังเกตและชอบฟังคนพูดจึงเดินไปหลบมุมเพื่อไม่ให้คนด้านในเห็น

“เข้ามาทำงานที่นี่แล้วก็อย่าทำอะไรขัดใจเสี่ยพันธ์ล่ะ” เสียงนี้เป็นของภพอย่างแน่นอน เจ้าตัวคงจะยังไม่ได้ขึ้นไปที่ห้องทำงานของพ่อ

“ว่าแต่งานที่ถูกสั่งมา ทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนี้ล่ะครับ” ผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยไม่คุ้นหน้าสักเท่าไรบางทีอาจจะเป็นเด็กใหม่ที่เข้ามาทำงาน แต่สองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง ถึงได้พูดคุยคล้ายรู้จักกันมาก่อน

“อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง”

“อ่า นั่นสิ คงลำบากน่าดูเลยนะครับ”

“จะว่าลำบาก มันก็ลำบากหลายเรื่องล่ะนะ แต่ก็ถือว่าการที่อยู่ที่นี่ก็ได้รู้อะไรต่อมิอะไรเยอะเลย”

“ผมเองก็เพิ่งจะเข้ามา ยังไงผมจะพยายามทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ”

“ไม่ต้องทางการขนาดนั้น ให้คิดว่ากูก็แค่มือขวาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง”

“ขอโทษครับ”

“เรียกกูอย่างที่เคยให้เรียกซะ”

“อ่อ ได้ครับพี่”

“ถ้างั้นก็ไปทำงานได้แล้วไป”

“ครับ”

สิงห์รีบเข้าไปหลบด้านหลังของกล่องสินค้า เขาส่ายหัวสบถกับตัวเองจากที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้คิดทีหลังก็ต้องเอากลับมาคิดทันที

สองคนนี้เป็นใครกันแน่แล้วกำลังวางแผนอะไรกันอยู่ คิดถูกจริง ๆ ที่คิดว่าภพไม่น่าจะใช่แค่ฆาตกรธรรมดา

สิงห์ฟังเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดไป ก็รออยู่หลายนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าภพจะต้องเข้าห้องพ่อแล้ว จึงเดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อเข้าห้องของตัวเอง

“อยู่ไหนนะ” เด็กหนุ่มพึมพำเพราะพ่อให้เอกสารหลาย ๆ อย่างเพื่อให้เขาทำความเข้าใจรวมถึงเอกสารประวัติของลูกน้องที่เอาเข้ามาทำงานเพื่อจะได้ให้เขารู้จัก ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเจอประวัติของภพเข้า

“นาย ภพ ศิริกันต์ อายุยี่สิบเก้าปี เกิดที่จังหวัดชัยนาท ฆาตกรขึ้นชื่อ โดยที่นายภพให้เหตุผลแค่ว่าเป็นความสนุกส่วนตัว ต้องทำการจับขังคุกเดี่ยวเพราะได้ทำการสังหารเพื่อนร่วมห้องไปสิบคน ทางอธิบดีส่งเรื่องให้ศาลตัดสินและในเวลาต่อมาก็ได้ถูกโทษสั่งประหารแต่กลับหายตัวไปจากเรือนจำอย่างไม่พบร่องรอย”

“ไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติ ไม่มีประวัติใดใดนอกจากประวัติจากการถูกจับที่ชัยนาทเพราะฆ่าคน แต่ก็ถูกปล่อยตัวจนกลับมาทำอีก ทำให้ต้องเข้าเรือนจำที่พระนคร”

สิงห์ถอนหายใจลองหาเอกสารอื่น ๆ ดูแต่ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม “ไม่มีประวัติอะไรมากกว่านี้เลยหรือไง”

หมับ!

“อ๊ะ!” จากที่กำลังเครียด ๆ อยู่ก็ต้องตกใจเมื่อมีคนเข้ามากอดจากด้านหลัง แต่พอหันหน้าไปมองก็ต้องพ่นลมหายใจ “ไฟ! ทำตกอกตกใจหมด”

“ไฟเข้ามาตั้งนานแล้วนะแต่สิงห์ก็เอาแต่อ่านอะไรก็ไม่รู้” ไฟบ่นเล็กน้อยก่อนจะหอมแก้มอีกคน

“นี่ ไม่ต้องเลย ปล่อยก่อน”

“ไฟไม่ได้มาตั้งหลายอาทิตย์ ไม่คิดถึงกันเลยหรือไง” พูดไปก็หาว่าขี้น้อยใจ แต่มันก็น่าน้อยใจเพราะสิงห์เอาแต่ทำงานแล้วก็ทำงาน บางทีมาถึงก็เห็นว่าหลับจากความเพลียจึงไม่ค่อยได้คุยกันเลย

“คิดถึงสิ แต่ตอนนี้ปล่อยก่อนได้ไหม” สิงห์รีบปลอบพร้อมกับตบหลังมืออีกคนเบา ๆ  “พอดีมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดนิดหน่อย”

“ก็ได้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังคงทำหน้าง้ำหน้างอเดินไปนั่งคอตกอยู่ปลายเตียง

“ไฟ” สิงห์ลองขานเรียก แต่ว่าคนที่ถูกเรียกนั้นเอาแต่หัวคิ้วมุ่นและยังหันหน้าหนี เขาเลยได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปกอดแล้วกดศีรษะอีกคนให้ซบกับอก “อย่าน้อยใจเลยนะ”

“สิงห์มัวทำแต่งานแล้วยังจะชอบคิดแต่เรื่องอื่น พวกเราไม่ได้เจอกันบ่อยนะ พอเจอกันก็น่าจะพูดคุยกันบ้างสิ”

“ขอโทษครับ สิงห์จะไม่คิดเรื่องอื่นแล้ว” พูดเสร็จก็จับหน้าอีกคนให้เงยขึ้น “อย่าน้อยใจสิงห์เลยนะ”

“ช่างมัน ยังไงงานก็ต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว” ไฟยังคงหันมองทางอื่น

“ไม่เอาหน่าไฟ” สิงห์ใช้นิ้วโป้งลูบแก้มสากอย่างเบามือก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปาก “ดีกันเถอะนะ”

ไฟทำหน้าเซ็งยกแขนกอดอกเหมือนเด็กไม่มีผิด

“สิงห์สัญญาว่าจะไม่คิดเรื่องอื่นอีก” ให้คำมั่นแล้วกดจมูกลงบนแก้ม “ไฟ”

เรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาสอดประสาน จมูกเสียดสีกันเล็กน้อย บางครั้งก็ขยับปากคลอเคลีย บางครั้งก็ผละออกมามองหน้า วนอยู่อย่างนั้นจนไฟอดใจไม่ไหวต้องกอดเอวแล้วกัดปากทำโทษ

“อื้อ เจ็บนะ” ถึงจะบ่นแต่ก็ยังยอมให้อีกคนทำตามใจ

“ถ้ายังไม่สนใจกันอีกล่ะก็ จะได้โดนมากกว่านี้แน่”

“ฮ่ะ ๆ เข้าใจแล้ว” สิงห์อมยิ้มหยิกแก้มอีกคนด้วยความมันเขี้ยว หยอกล้อกันไปมาจนเผลอนั่งตักไปโดยไม่รู้ตัว

“คุยกับพ่อหรือยัง”

“อืม คุยแล้วล่ะแต่พ่อยังไม่อนุญาตเลย”

“อ่าว แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อล่ะ”

“ไม่รู้สิ คงต้องโกหกท่านว่าที่ไปเรียนเพราะอยากจะไปเป็นสายในการช่วยพ่อ”

“ต้องทำอย่างนั้นด้วยหรือ” ไฟขมวดคิ้ว

“จำภพมือขวาของพ่อที่เคยเล่าให้ฟังได้ไหม เขาเป็นคนมาบอกว่าจะช่วยคุยให้หากสิงห์ยอมช่วยเหลือในระหว่างที่เป็นตำรวจ”

ไฟส่ายหัวเอือมระอา “บังคับกันชัด ๆ”

“ไม่หรอก เขาไม่ได้บังคับแต่แค่ออกความเห็น สิงห์ว่ามันก็เป็นเหตุผลที่ดีนะ” สิงห์เคาะนิ้วกับไหล่อีกคน “เคยบอกไปแล้วหนิว่าการโกหกพ่อคือทางออกที่ดีที่สุด มันไม่มีทางไหนอีกแล้วนะ”

“งั้นสิงห์ก็จะต้องเป็นสายให้พ่อหรือ”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องทำให้พ่ออนุญาตให้ได้ก็พอ”

“อย่างนั้นหรือ” ไฟพยักหน้า “เอาเป็นว่าไฟจะรอจนกว่าเสี่ยพันธ์จะอนุญาต”

“ถ้ายังไม่ได้จริง ๆ ไฟก็ไปเรียนก่อนเถอะ สิงห์ไม่อยากให้ไฟต้องมาทนรอนาน”

“ไม่เป็นไร ไฟจะรออยู่กับสิงห์.. เราต้องไปพร้อมกัน”

สิงห์ได้แต่คิดว่าคงไม่มีใครที่จะมาแทนที่ไฟได้อีก คงไม่มีใครที่ยอมทนอยู่กับเขาได้ถึงขนาดนี้ นับวันยิ่งหลงรักผู้ชายที่ชื่อเพลิงกาฬจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว

 

 

พ่ายโลกันตร์


 


๑ ปี กับอีก ๖ เดือน

พ.ศ. ๒๔๗๓


สิงห์ในวัยสิบแปดปีกำลังนั่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะไม้ทรงกลมด้วยใบหน้าเรียบเฉยทว่าทำคนมองกดดัน ตรงหน้าเขามีลูกค้าของพ่อที่กอดอกวางมาดใบหน้าเขม่นเพราะคิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้จะไปทำอะไรได้

“นายคือภพใช่ไหม” เสี่ยตะวันเอ่ยถามมือขวาของพ่อที่รับหน้าที่มาพบลูกค้าพร้อมกับสิงห์

“ครับเสี่ย” ภพก้มหัวตอบ

“รู้ไหมว่ามันเสียมารยาทมากเลยนะที่เอาเด็กอายุเท่านี้มาพบฉันน่ะ” ในตอนแรกก็คิดว่าอาจจะอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ เพราะแต่งตัวตัดสูทอย่างดี สิงห์เองเป็นเด็กตัวสูงกว่าใคร จัดผมอีกนิดก็ดูโตแล้ว พอรู้ว่าเป็นลูกชายของเสี่ยพันธ์ที่ได้ข่าวว่าเพิ่งจะสิบแปดก็ต้องมีโมโหที่เสี่ยพันธ์กล้าส่งเด็กมาคุย

“เสี่ยครับ ในเวลาที่ต้องการยาเพื่อส่งข้ามประเทศตั้งขนาดนั้นไม่ว่าจะคุยกับใครก็อย่าเกี่ยงไปเลยนะ เพราะถ้าหากทางผมไม่ขายให้ขึ้นมา เสี่ยจะเดือดร้อนเอานะครับ” เด็กหนุ่มเองที่ได้พบเจอคนมากหน้าหลายตาซึมซับคำพูดและความคิดของหลาย ๆ คนเข้าตัวเองจนกลายเป็นเด็กที่น่ากลัวเหมือนดั่งพ่อตนที่ไม่เคยคิดจะก้มหัวหรือยอมให้ใคร

“ไอ้เด็กนี่!” เสี่ยตะวันกัดฟันกรอดทุบโต๊ะเสียงดัง

สิงห์ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือว่าต้องไปสนใจกับการกระทำโง่ ๆ อย่างนั้น เด็กหนุ่มทำเพียงกระดิกนิ้วให้ภพเอาเอกสารที่ตนได้สั่งให้เทิดไปสืบมา ไปวางไว้ตรงหน้าของเสี่ยตะวัน “นี่คือเอกสารประวัติการเซ็นสัญญากับทางลูกค้าต่างประเทศที่เสี่ยส่งขายออกไป ทางเอกสารนั้นมีเพียงชื่อเสี่ยตะวันที่เป็นพ่อค้าและได้กำหนดว่าสินค้าที่ส่งออกไปทั้งหมดตนเป็นคนหามาเองกับมือ ไม่ได้บอกว่าซื้อต่อจากพวกผม”

เขายิ้มขันที่เห็นสีหน้าหวั่นวิตกของไอ้แก่หน้าเลือด “คงเข้าใจนะครับว่าผมหมายถึงอะไร” เพราะถ้าหากไอ้เสี่ยตะวันไม่ส่งของตามกำหนดก็เป็นมันคนเดียวที่เดือดร้อน

สุดท้ายการค้าขายก็จบลงถึงแม้ว่าอาจจะไม่ลงรอยกับเสี่ยตะวันมากเท่าใด แต่มันก็คงไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านี้

“คุณสิงห์นี่สุดยอดจริง ๆ เลยนะครับ ทำเอาเสี่ยตะวันเงียบไปเลย” เกื้อที่มาด้วยชมยอแต่คนฟังกลับไม่แสดงอารมณ์ใดใด จนเจ้าตัวต้องหุบปากฉับแล้วทำหน้าที่ขับรถต่อไป

“เรื่องที่ขอเสี่ยพันธ์ผมคุยให้แล้วนะครับ” เพียงภพพูดเรื่องนั้นคนที่นิ่งเงียบมานานก็ขยับตัวรอฟังต่อ “ท่านเห็นด้วยเรื่องที่จะให้คุณสิงห์ไปเป็นสายในกรมตำรวจ คงเพราะผลงานเด่น ๆ จากการที่คุณไปคุยกับลูกค้าด้วยตัวเองมาตลอดปีจึงทำให้ท่านเริ่มยอมรับ”

“แล้วตกลงพ่อจะให้ฉันไปเรียนตำรวจหรือเปล่า” คำสรรพนามนั้นสิงห์เองเพิ่งมาเปลี่ยนตอนที่ต้องออกไปพบปะกับลูกค้า ทางภพแนะนำให้พูดอย่างนี้เพื่อจะได้ดูน่านับถือมากขึ้นโดยไม่ต้องเกี่ยงอายุ

“พอถึงบ้านแล้วคุณสิงห์ลองไปคุยดูสิครับ”

สิงห์พยักหน้า “อืม”

เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านไม้สวยงาม สิงห์ลงจากรถโดยมีภพที่เปิดประตูให้ ลูกน้องที่เฝ้าตามพื้นที่ต่างก้มหัวต้อนรับกลับแต่ก็ยังมีพวกที่ยังคงไม่ค่อยอยากจะแสดงความเคารพเพราะสิงห์นั้นดูอายุน้อยไม่น่าเกรงขามเหมือนเสี่ยพันธ์

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนักหรอก

“กลับมาแล้วหรือ” เสี่ยพันธ์ที่นั่งอยู่ห้องรับแขกเอ่ยทักทาย

“ครับพ่อ” เด็กหนุ่มเดินไปนั่งข้างกาย ส่วนภพกับเกื้อก็วางกระเป๋าที่บรรจุแบงค์เงินนับหมื่นลงบนโต๊ะ

“ได้มาอีกแล้วรึ เก่งจริงลูกพ่อ” เสี่ยพันธ์หัวเราะชอบใจกอดไหล่ลูกชายแล้วเปิดกระเป๋าดูเงิน

สิงห์หันไปสบตากับภพ ก่อนที่ภพจะดึงตัวเกื้อให้ออกไปอย่างรู้ความนัย “ผมมีอะไรจะคุยด้วยครับ”

“ว่ามาสิ” พ่อที่ชอบดุลูกชายและไม่เคยคิดจะยิ้มให้แต่บัดนี้กลับทำทุกอย่างเพียงเพราะเขาได้ทำงานสำเร็จทุกครั้งโดยไม่มีอะไรต้องเสียหาย

เห็นแล้วน่าขันสิ้นดี

“เรื่องไปเรียนตำรวจน่ะครับ” สิงห์เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากเด็กที่เอาแต่สั่นและผวาเวลาพ่อดุ ทั้งหมดนั้นมันไม่หลงเหลืออีกแล้ว

มันเหมือนกับว่าชีวิตที่ต้องพบในแต่ละวันกำลังบั่นทอนจิตใจให้เด็กหนุ่มที่เคยร่าเริงกลายเป็นเด็กที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา

“อยากเข้าเรียนขนาดนั้นเชียว”

“ครับ” เขาตอบทันทีดวงตาไม่ไหวหวั่นจนเสี่ยพันธ์ต้องพยักหน้าอย่างปลื้มใจที่ลูกชายดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นตอบพ่อมาตรง ๆ ข้อหนึ่ง” เสี่ยพันธ์หันมาพร้อมใบหน้าเคร่งขรึม “กับลูกไอ้อนงค์ จะไปเรียนด้วยกันใช่ไหม”

แต่มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่ทำให้สิงห์ยังคงเป็นสิงห์เหมือนเดิมที่สั่นไหวทุกครั้งเวลามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย “ครับ” เขาตอบตามตรง ก่อนจะจ้องพ่ออย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน “ผมแค่อยากสานสัมพันธ์เอาไว้ การทำงานจะได้ราบรื่น ไฟมันยังมีประโยชน์เพราะมันเป็นคนที่เชื่อสุดใจว่าผมนั้นไม่ได้ไปพัวพันกับพวกอาวุธและยา”

เสี่ยพันธ์ดูไม่ค่อยเชื่อนักแต่ที่พูดมามันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะเดี๋ยวนี้ตนปล่อยให้สิงห์ไปยุ่งกับไอ้เด็กนั่นได้แล้ว แต่สิงห์เองก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเสมอและไหนจะทำให้ลูกค้าที่เคยคุยกับสิงห์หลายคนชื่นชมและอยากร่วมงานด้วยอีก “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี เอาเป็นว่ามึงอยากทำอะไรก็ตามใจ แต่พอถึงเวลาที่เข้าเป็นตำรวจเมื่อไรก็อย่าลืมส่งข่าวมาด้วย”

“ครับ ขอบคุณครับพ่อ” สิงห์พนมมือไหว้ไม่ได้อยู่คุยต่อรีบลุกขึ้นไปบนห้องแต่ก็พบกับแม่ที่นั่งดูกระดาษอะไรบางอย่างอยู่ “แม่”

“อ่าวสิงห์” พิมพ์อรเปรยยิ้มให้ก่อนจะพับกระดาษแผ่นนั้นไว้

“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“แม่ได้ยินว่าลูกจะไปเรียนตำรวจใช่ไหม” คงจะได้ยินที่คุยกันสินะ

“ครับ ถ้าผมได้ไปเรียนก็คงจะต้องค้างอยู่ที่นั่นเลย” ทางคุณลุงอนงค์ทำเรื่องไว้ตั้งนานแล้วรอแค่ให้เขาและไฟไปเรียนเท่านั้น

“แม่กับต้นอ้อคงเหงาแย่เลย” เธอดูหม่นลงแต่ก็ยิ้มออกมาเพื่อให้ลูกชายคลายกังวล “เรียนกี่ปีหรือลูก”

“อาจจะสามสี่ปีครับ บางทีอาจจะมากกว่านั้นเพราะคงได้ทำงานที่อื่น”

“ไว้กลับมาเยี่ยมที่บ้านบ้างนะลูก”

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาได้หลังจากที่ไม่ได้แสดงอารมณ์มานาน “ครับ ถ้าว่างก็จะกลับมา”

“แล้วจะไปตอนไหนหรือ” เธออ้าแขนโอบกอดลูกชายพร้อมโยกตัวเบา ๆ

“คงสองสามวัน”

“ไปยังไงล่ะ เตรียมของหรือยัง”

“ไปกับไฟครับ ส่วนของไว้ค่ำแล้วค่อยเตรียมก็ได้”

“เดี๋ยวแม่เตรียมให้ไหม คงขนไปเยอะน่าดู”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมเตรียมเองดีกว่า” สิงห์ผละกอดออกว่าจะจัดเอกสารอีกสักนิดแล้วค่อยนอนเอาแรงมาจัดเสื้อผ้า

“ถ้าอย่างนั้นแม่ไปทำกับข้าวนะ เดี๋ยวจะขึ้นมาเรียก”

“ผมว่าจะของีบเสียหน่อย กินกันก่อนเลยก็ได้นะครับ”

“ได้จ้ะ” พิมพ์อรยิ้มบาง ๆ รีบออกจากห้องเพราะไม่อยากกวนลูกชาย แต่เธอก็คงไม่รู้ตัวว่าลืมของอะไรไว้

“หื้อ?” สิงห์เอียงตัวหยิบกระดาษที่ตัวเองนั่งทับขึ้นมาดูพลิกไปมาอย่างนึกสงสัยก่อนจะคลี่ออกเพื่ออ่านเนื้อความด้านใน พลันร่างกายก็นิ่งงัน จ้องมองข้อความในกระดาษด้วยดวงตาแข็งกร้าว

 

พิมพ์อรที่รัก ที่พี่เขียนลงในจดหมายนี้เพราะอยากบอกน้องว่า... พี่เพียงขอเวลาอีกสักนิด พี่สัญญาว่าจะรีบพาพิมพ์อรและหนูต้นอ้อหนีไปด้วยกัน รอพี่เถอะนะ...


สมาน.

 

“หนีหรือ?” สิงห์กัดฟันกรอดรีบเดินไปหยิบไฟแช็กพร้อมกับจุดไฟเผากระดาษนั้นทิ้ง “คิดง่ายเกินไปแล้ว”

 

 

พ่ายโลกันตร์





เวลาล่วงเลยมาจนถึงพลบค่ำแต่สิงห์ก็ยังไม่ได้นอน หลังจากอ่านเนื้อความที่อยู่ในกระดาษและรีบไปคุยกับแม่ เป็นครั้งแรกที่สิงห์รู้สึกโกรธอย่างถึงที่สุด โกรธจนนึกตกใจที่ตัวเองกลายเป็นเด็กน่ากลัวต่อหน้าผู้เป็นแม่ขึ้นมา

“เฮ้อ” เด็กหนุ่มถอนหายใจนวดคลึงระหว่างหัวคิ้วเพื่อคลายความเครียดที่สะสมมาตลอดเกือบทั้งวัน ไม่รู้ว่าเพราะมัวแต่คิดเรื่องจดหมายนั่นตลอดเวลาหรือเปล่าถึงไม่ได้ยินเสียงอะไร พอรู้ตัวอีกทีปากก็ถูกปิดด้วยความอุ่นร้อนที่คล้ายกัน

“อืม” แต่พอเห็นว่าเป็นใครสิงห์ก็ยกมือขึ้นขยุ้มผมสีเข้มของอีกฝ่ายพร้อมกับเอียงหัวรับจูบอย่างไม่อิดออด เพียงปลดปล่อยไปตามอารมณ์ความเครียดพวกนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขานึกขอบคุณที่ไฟมาได้ถูกเวลาเพราะเขาไม่อยากจะคิดเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว

“คิดถึง” เสียงทุ้มต่ำก้มกระซิบ ดวงแพรวพราวในตอนที่มองกัน

“คิดถึงเหมือนกัน” สิงห์กระซิบตอบเอาแขนโอบรอบคอในตอนที่ปากถูกสัมผัสอีกครั้ง

เราแลกเปลี่ยนความคิดถึงให้กันและกันจนพอใจไฟก็เขยิบตัวลงมานอนข้างกาย เขี่ยปอยผมของคนรักแล้วก้มลงหอมแก้ม

“มีข่าวดีจะบอก”

“หื้อ อะไรหรือ” ไฟก้มถามคนที่ซุกอก

“พ่ออนุญาตแล้วนะ”

“อ่อ... ห๊ะ!!” ไฟร้องเสียงหลงจนเจ้าของห้องต้องรีบเอามือปิดปากให้เงียบ

“ตกใจอะไรขนาดนั้น” เด็กหนุ่มหัวเราะแล้วเอามือออก

“กะ..ก็มันน่าตกใจไหมล่ะ” ไฟหลับตา ใบหน้าปริ่มเปรม “สมแล้วที่รอจนกว่าเสี่ยพันธ์จะอนุญาต”

“แต่มันก็นานมากเลย ขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไมกัน ตอนนี้ถ้าอยู่ด้วยกันได้ก็อยากจะอยู่ด้วยนาน ๆ พ่อบอกมาว่าหากไปเรียนแล้วไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันอาจจะเจอกันบ้าง แต่ถ้าเรียนจบ ถึงเวลาทำงานจริงอาจจะไม่ได้เข้ากรมเดียวกันจนแทบไม่ได้พบหน้าเลยก็เป็นได้”

“นั่นสิ” สิงห์เคาะนิ้วบนอกของไฟในตอนที่กำลังคิดอะไรอยู่ในหัว เหมือนทำเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ไฟเองก็พอเข้าใจได้ดีจึงนอนรอฟัง “หลังจากที่ได้เรียนก็ไว้ค่อยดูกันอีกที บางทีพอเรียนจบอาจจะอยู่กรมเดียวกันก็ได้”

“ขอให้ทำงานที่เดียวกัน สาธุ” ไฟยกมือขึ้นเหนือหัวทำให้คนที่นอนมองอยู่ได้แต่หัวเราะ

“ถ้าเกิดไม่ได้อยู่ด้วยกันก็อย่าไปคิดมากเลยนะ งานที่เราทำถึงจะอาชีพเดียวกันแต่ใช่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบเดียวกันตลอด ห่างกันบ้างคงเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เกือบทุกคนต้องพบเจอ”

“พูดเป็นคนแก่อีกแล้วนะ ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากอยู่กับคนที่ตัวเองรักน่ะ” ไฟย่นหน้า

“แค่บอกไว้ ถ้าห่างกันก็อย่าไปคิดมาก ถึงเราจะคบกันแต่เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะนะไฟ”

“ไฟรู้… แต่การเป็นตำรวจมันเป็นงานเสี่ยงนะ ยังไงสิ่งแรกที่ต้องเจอเหมือนกันก็คือพวกโจร ไฟก็ต้องเป็นห่วงสิงห์อยู่แล้ว” ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะฉลาดและเก่งด้านต่อสู้หลากหลายอย่างมากกว่าก็เถอะ...

คนนอนฟังได้แต่ยิ้ม ยื่นหน้าหอมแก้มเป็นการขอบคุณที่อีกคนห่วงใยตนถึงเพียงนี้

“แต่ก็อย่างที่ว่านะ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ไฟจะเรียนจบไหม”

“ฮ่า ๆ” สิงห์เผลอหัวเราะออกมาเสียงดังจนต้องรีบเอามือปิดปากไว้ “ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า”

“ก็ไฟไม่ถูกกับด้านวิชาการหนิ ถ้าทางปฏิบัติก็ว่าไปอย่าง”

“เรียนตำรวจมันก็ต้องทำทั้งสองอย่างไม่ใช่หรือไง ถ้าทำวิชาการไม่ได้ก็ไม่เป็นไรไว้สิงห์จะคอยสอนให้ ไม่ต้องดีเลิศกว่าใครขอแค่ได้เรียนรู้ไว้ สิงห์เชื่อว่าไฟทำได้ ไม่เก่งด้านวิชาไม่ได้แปลว่าเราโง่หรือเราเรียนไม่เก่ง อย่าไปโทษตัวเอง เราแค่มีความสามารถกันคนละด้าน”

ไฟถึงกับไถลตัวลงเปลี่ยนเป็นนอนซุกคอสิงห์แทนเพราะเหมือนกำลังฟังพ่อหรือแม่พูดก็ไม่ปราย

ส่วนสิงห์ได้แต่ขยี้ผมสีเข้มของคนที่ทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อยก่อนจะกอดแล้วกดจมูกย้ำ ๆ บนหัวทุย ๆ “ไฟเก่งเรื่องมวยมากกว่าสิงห์นะ แล้วยังเก่งเรื่องกีฬาอีก การเป็นตำรวจต้องมีสมรรถภาพที่ดี ไฟเองก็มีเต็มเปี่ยม เรื่องวิชาการก็ไม่ได้แย่มากถือว่าดีซะด้วยซ้ำ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ดูแค่ว่าเราเก่งเรื่องอะไรให้มุ่งจุดสนใจและทำสิ่งนั้นซะ”

“ครับแม่”

“นี่ไงชอบเล่นไปเรื่อยแล้วก็มาบ่น ๆ”

“อะไร ก็ฟังอยู่นี่ไง” น้ำเสียงไฟดูออดอ้อนหัวก็ขยับไถเหมือนแมวที่ชอบมาคลอเคลีย

“เอาเถอะ ก็อย่าลืมเก็บไปคิดด้วยนะ ไฟน่ะเก่งที่สุดสำหรับสิงห์อยู่แล้ว”

“มันต้องแน่นอนอยู่แล้ว”

สิงห์นักหมั่นไส้ เมื่อกี้ยังโอดโอยอยู่เลย “นี่ไฟ”

“จ๋า”

“เราต้องเรียนจบไปด้วยกันนะ”

ไฟเหลือบมองอย่างพินิจก่อนจะยิ้มออกมาเพื่อให้ความมั่นใจ “ก็ต้องเรียนจบอยู่แล้ว”

เขามองดวงตาสีนิลที่สั่นไหวเล็กน้อย แม้ว่าสิงห์จะก้มมองมาแต่กลับเหมือนกำลังเหม่อคิดเรื่องอื่นในหัวอยู่

ยังจะมีอะไรให้ต้องคิดมากอีกกันนะ...



จบบทที่ ๖
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 04-05-2019 20:31:31
บทที่ ๗

ย้อนวัย : โรงเรียนนายร้อยฯ

 

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พ.ศ. ๒๔๗๓

นักเรียนนายร้อยตำรวจของชั้นปีแรกนับร้อยคนยืนเรียงกันเป็นแถวอยู่ทางหน้าตึกเรียนขนาดใหญ่ บรรดาครูบาอาจารย์ที่ประจำสอนส่วนมากมาจากนายตำรวจที่มาฝึกสอนทั้งนั้น ไฟกับสิงห์ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ซึ่งห้องของไฟนั้นมีจำนวนห้าสิบกว่าคน ส่วนห้องของสิงห์มีห้าสิบกว่าคนเหมือนกัน เขาจำได้ว่าโอดครวญอยู่นานที่ห้องหนึ่งมีคนตั้งห้าสิบกว่าแต่ดันได้อยู่คนละห้อง สิงห์เลยต้องปลอบใจเขาไปหลายวัน

“เฮ้ยไอ้ไฟมองอะไรวะ” จันเพื่อนคนแรกตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่เอ่ยถามพลางชะโงกหน้ามองตามก็เห็นแต่พวกนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกันที่อยู่ภายในแถว

“มองเพื่อนน่ะ” ไฟหันมาตอบก่อนจะมองไปทางเดิมอีกครั้งเห็นสิงห์กำลังยืนคุยกับเพื่อนภายในแถวอย่างอารมณ์ดี พลันเขาก็สบายใจที่สิงห์เข้ากับคนอื่นได้ดี

“ใช่เพื่อนที่มึงบอกว่าเข้ามาเรียนด้วยกันหรือเปล่าวะ”

“เออคนนั้นแหละ”

“ไว้ชวนไปทำความรู้จักหน่อยดิ”

ไฟพยักหน้าแล้วยืนตรงนิ่งตามคำสั่งของผู้เป็นคนคุมกองร้อยตำรวจปีที่ ๑ นักเรียนนายร้อยตำรวจอยู่ในชุดฝึกธรรมดา ต้องรวมตัวกันเพื่อจะฝึกเดินสวนสนามในการรับแหวนรุ่นและกระบี่สั้นเพื่อเป็นเกียรติของการได้เข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจอย่างเต็มตัว หลังจากที่อดทน ฝ่าฟันมาตลอดร่วมสี่เดือน

“ผมในฐานะรุ่นพี่ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้เข้าเรียนนายร้อยตำรวจได้อย่างเต็มตัว อีกสองวันที่จะถึงนี้คืองานที่เป็นเกียรติต่อพวกเราเป็นอย่างมาก...” นักเรียนทุกนายยืนตรงฟังเสียงของผู้เป็นรุ่นพี่ที่มาร่วมด้วย ไม่มีใครพูดคุยไม่มีใครกระดิกตัวสมกับเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ

ไม่ว่าจะเป็นการเดินสวนสนามหรือทำอะไรในชีวิตประจำวันนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ทั้งการยืน การนั่ง การรับประทานอาหารต้องหนักแน่นและเป็นระเบียบอยู่สม่ำเสมอ เดินเข้าห้องเรียน เดินเข้าห้องนอนก็ต้องเดินเป็นแถวเป็นระเบียบเช่นกัน

ตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ไฟกับสิงห์แทบไม่ได้เจอกันเพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ อาจมีบ้างที่ได้เจอในเวลาเข้านอนเพราะตึกนอนของเราอยู่ตึกเดียวกันเพียงแต่คนละห้องและคนละชั้นก็เท่านั้น แต่ก็ยังไม่เคยได้รู้จักเพื่อนของอีกฝ่ายเลยเพราะกว่าจะได้เรียนก็ต้องมีพิธี ต้องฝึกอีกหลายอย่างจนพอเข้าเวลานอนก็หลับเป็นตาย

“ไปอาบน้ำกันเร็ว เดี๋ยวเลยเวลานอน” จันเขย่าไหล่เพื่อนที่นอนหมดแรงอยู่ที่เตียงหลังจากที่ซักซ้อมกันเสร็จเรียบร้อย

“เหนื่อย” ไฟบ่นเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นรีบหยิบของที่ต้องใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปด้วย

“เฮ้ยไอ้สิงห์ ถามไรหน่อยดิ” พอเข้ามาห้องอาบน้ำรวมได้สักพักเพื่อนในรุ่นคนหนึ่งก็เอ่ยถามชื่อที่คุ้นหูขึ้นจนคนที่ได้แต่ง่วงนอนต้องตื่นตาสว่างรีบหันซ้ายหันขวามองหาคนที่อยากเจอ

“ว่ามาสิ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านในสุดพอเห็นอย่างนั้น ไฟจึงรีบจับคอไอ้จันให้เดินไปด้วยกันแม้ว่ามันจะโวยวายที่เขาลากคอไม่บอกไม่กล่าวก็เถอะ

“สิงห์” ไฟขานเรียกก็เห็นว่าสิงห์หันมายิ้มให้แต่ก่อนจะคุยอะไรกัน เพื่อนคนเดิมก็ถามต่อ

“มึงรู้ไหมว่าคนไหนที่ได้ไปสอนยูโดวะ เห็นจ่าบอกมาแบบนี้แต่ไม่ได้บอกว่าใคร”

พอรู้ว่าเพื่อนคนนั้นถามอะไรไฟก็คลี่ยิ้มอย่างนึกภูมิใจ แต่ไม่ใช่เขานะที่ไปสอนเพราะคนที่ได้รับเกียรติในการสอนการต่อสู้ยูโดก็คือสิงห์

“อ่อกูเอง”

“เอ้าหรือวะ” ทุกคนต่างหัวเราะออกมาที่เพื่อนคนนั้นมันทำหน้างง “มึงไปสอนจริงดิ นี่แค่ปีแรกจะกลายเป็นอาจารย์พวกกูแล้วหรือไง”

สิงห์ได้แต่ยิ้มก่อนจะหันไปหาไฟที่ยืนอารมณ์ดี ดวงตาดูเป็นประกายในตอนที่ก้มมองตน พอสิงห์ลดระดับสายตาลงบ้างก็พบว่าไอ้ที่ตาเป็นประกายนั่นเพราะมองร่างกายของเขาที่กำลังเปลือยด้านบนอยู่

“เดี๋ยวเถอะ” สิงห์หยิกเอวไปที

“นิด ๆ หน่อย ๆ เอง” ไฟหน้างอแต่ก็เหมือนจะลืมอะไรจึงหันหลังไปมองก็พบกับเพื่อนสนิทอย่างจันที่นอนหน้าคว่ำอยู่บนพื้น “ไอ้จันมึงไปนอนอะไรตรงนั้นวะ”

จันกำมือแล้วดันตัวเองขึ้นมา “มึงลากคอกูมาจนล้มนี่ไงไอ้ห่า”

ไฟขำพรืดกุมท้องหัวเราะอย่างสะใจ “ฮ่า ๆ”

“มึงไอ้สัส ฝากไว้ก่อน” จันสบถค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วจับตามเอวเดินกะเผลกไปใกล้ ๆ เพื่อน

“อ้อ นี่สิงห์เพื่อนที่กูบอก” ไฟแนะนำให้

จันนิ่งไปสักพักก่อนจะยกมือขึ้นทักทาย “ไง”

“ไง ยินดีที่ได้รู้จัก” สิงห์ยื่นมือไปแตะเป็นการสานมิตรในแบบของตัวเองแล้วเขยิบถอยให้เพื่อนสนิทของตนเข้ามาร่วมวงบ้างเพราะเจ้าตัวนั้นไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก “คนนี้ชื่อนนท์ เพื่อนฉันเอง”

ไฟผงกหัวทักทายส่วนเพื่อนใหม่สิงห์ก็ทำเพียงพยักหน้าแล้วจัดการกับร่างกายของตัวเองต่อ เขารู้สึกคิ้วกระตุกเล็กน้อยที่อีกฝ่ายดูหยิ่งซะเหลือเกิน สิงห์เองก็เข้าใจได้ทันจึงรีบจับแขนไฟพลางส่ายหัว

“ฉันชื่อจันนะ” จันตะโกนบอกคนด้านหลังก็เห็นว่าหันมาพยักหน้าเหมือนเดิมไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

ไฟพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับกิริยาท่าทางวางมาดของอีกคนรีบล้างเนื้อล้างตัวเพื่อจะพูดคุยแค่กับสิงห์

“ให้ไปส่งที่ห้องไหม” ไฟก้มถามคนข้างกาย

“ไม่เป็นไร ไฟรีบขึ้นห้องนอนเถอะ จะได้พักผ่อนเยอะ ๆ”

“ยังคุยไม่หนำใจเลย”

สิงห์หัวเราะในลำคอ “ทนอีกนิดนะ สัญญาว่าถ้าเรียนจบจะตามใจเลย”

“ตามใจ?” ไฟเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มมุมปาก “ทุกอย่างเลยนะ”

“อ้อ...” สิงห์หลบตา “อือ”

“ได้!”

“ได้อะไรวะไอ้ไฟ” จันหันมองอย่างงุนงงที่อยู่ ๆ เพื่อนสนิทก็พูดคำว่าได้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ความลับเว้ย” ไฟกระแทกศอกพลางยักคิ้ว ก่อนหน้านี้ยังตายอดตายอยากไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร แต่พอเข้ามาอาบน้ำก็ดูกระปี้กระเป่าดีซะเหลือเกิน สงสัยน้ำคงเย็นมากถึงทำให้ไฟตาสว่างขนาดนี้


 


พ่ายโลกันตร์

 

 

เข้าปีที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๗๖

“เรื่องจริงหรือ” สิงห์ขมวดคิ้ว

“ใช่ พ่อฉันถูกฆ่าตาย ส่วนแม่กับน้องสาวถูกไอ้โจรนั่นจับตัวไป จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าทั้งสองเป็นยังไงบ้าง เหตุผลที่เข้ามาเรียนที่นี่ก็เพราะอยากเป็นตำรวจเพื่อจะได้สืบหาตัวคนร้าย เพราะคดีถูกปิดไปไม่มีใครสานต่อ”

สิงห์รู้สึกเห็นใจเพราะตนก็มีน้องสาว ชีวิตคล้าย ๆ กันจึงลูบบ่าของจันที่ตอนนี้ดูหม่นหมองไม่เหมือนจันคนก่อนที่ร่าเริงเสมอ

“ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่ กูจะช่วยมึงตามหาแม่กับน้องสาวมึงเอง” ไฟจับบ่าเพื่อน เรื่องนี้ก็เพิ่งจะรู้เมื่อวันที่มันกินเหล้าในงานเลี้ยงจนพูดอะไรออกมาหมดเปลือก

“ใครเป็นคนออกค่าเรียนให้ล่ะ” นนท์ที่เงียบมานานถามขึ้น

“เขาเป็นเจ้านายของพ่อน่ะ ท่านใจดีรับเลี้ยงฉันเป็นลูกบุญธรรม”

“อย่างนั้นหรือ” นนท์พยักหน้าเป็นอันเข้าใจแต่ไม่รู้ว่าไปขัดใจอะไรคนอื่นเขา ไฟถึงได้จ้องเขม็ง “มีปัญหาอะไร”

“มึงนี่หลายครั้งแล้วนะที่ชอบทำตัวแบบนี้ กูก็คิดว่ามึงอาจจะปรับตัวได้หากเป็นเพื่อนกันนาน ๆ แต่ก็เหมือนเดิม”

“ทำตัวยังไง? ฉันก็เป็นปกติของฉันแบบนี้ คนอื่นไม่เห็นมีปัญหาอะไร”

“คนไม่พูดแปลว่าจะไม่มีเสียหน่อย ถ้าทำตัวเหมือนคนไม่ต้อนรับใครแบบนี้ ใครจะอยากคบหาด้วยนาน ๆ วะ”

“ไฟใจเย็นก่อน” สิงห์รีบห้าม

“พูดเหมือนตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีมากอย่างนั้นแหละ”

“ไอ้นนท์!” ไฟโผล่เข้าไปกระชากคอเสื้อแต่ก่อนที่หมัดจะประทับหน้าอีกฝ่าย จันก็จับมือไฟเอาไว้แล้วส่ายหัว

“ไฟ เอามือลง” สิงห์ว่าเสียงแข็ง

“ทำไมมีแต่คนปกป้องมันวะ! มันวิเศษวิสงมาจากไหน เป็นแค่หม่อมเจ้าไม่ใช่หรือไง” ไฟกัดฟันกรอด “ที่กูพูดมันดีต่อตัวมันทั้งนั้น ทำไมถึงยังไปเห็นดีเห็นงามกับไอ้คนที่ไม่คิดจะฟังใครด้วยวะ”

“นนท์ก็แค่ถาม มึงจะไปคิดอย่างอื่นทำไม”

“มึงดูไม่ออกหรือไอ้จัน ว่ามันทำเหมือนไม่เชื่อมึงเลย”

“กินปูนร้อนท้องแทนเพื่อนหรือไง”

“ไอ้เหี้ยนนท์”

“จะหยุดได้หรือยัง” สิงห์มองทั้งคู่สลับกันเพื่อกดดันให้หมาบ้าทั้งสองตัวสงบลง “โตกันขนาดนี้แล้วควรจะเริ่มกักเก็บอารมณ์ไว้ซะบ้างสิ ต้องให้พูดอีกกี่รอบกัน”

“ฉันก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียง ถ้าคนอื่นไม่เริ่มก่อน” นนท์กอดอกจ้องเพื่อนสนิทตรง ๆ แต่พอเห็นใบหน้าที่ถมึงทึง ตนก็เผลอหันหนีแล้วถอนหายใจ แสดงออกว่ายอมแพ้อย่างง่ายดาย

“ขอโทษที ใจร้อนไปหน่อย” ไฟเองก็หันหน้าไปทางอื่นเช่นกันรู้ได้เลยว่ายังไม่ลดทิฐิ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้จันกับนนท์ตกใจอยู่เหมือนกันที่คนอารมณ์ร้อนขนาดนี้ถึงกับยอมขอโทษในทันทีที่ถูกเตือน

“อีกเดี๋ยวคงถึงเวลาเลิกพัก นนท์แล้วก็จันกลับไปที่พักก่อนเถอะ” สิงห์หันไปบอกทั้งสองก่อนจะเหลือบมองคนรัก “ตามมา”

เพียงเท่านั้นไฟก็เดินตามคนรักไปอย่างว่าง่ายปล่อยให้จันกับนนท์มองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อที่สิงห์สามารถสยบคนอย่างไฟได้

ระหว่างนั้นทางไฟที่เดินตามสิงห์มาเงียบ ๆ เอาแต่ก้มหน้าสบถกับตัวเอง ใบหน้าคมคายดูหมองเล็กน้อยแตกต่างจากนายเพลิงกาฬบุคคลที่เพื่อน ๆ ในกองร้อยต่างชื่นชมในความกล้าหาญที่เขาไม่กลัวใครและไม่กลัวสิ่งใด

แต่อยากจะบอกพวกมันเหลือเกินว่าถ้าหากเขาได้อยู่กับสิงห์เมื่อไหร่ จากหมาบ้าจะเป็นหมาที่แสนจะเชื่องทันที

“รู้ไหมว่าวันนี้ตัวเองทำอะไรลงไป” สิงห์เอ่ยถามเมื่อมาถึงห้องเก็บของที่เป็นส่วนที่ไม่มีใครเข้ามานานแล้ว

“ขอโทษ ก็ไอ้นนท์มัน...” ไฟอ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อเห็นดวงตาเรียวดุที่มองมา

“นั่นเพื่อนสิงห์นะไฟ เห็น ๆ อยู่ว่านนท์มันไม่ได้แสดงออกเลยว่าไม่เชื่อจันแล้วทำไมไฟยังไปหาเรื่อง”

“แล้วทำไมมันต้องถามอย่างนั้นล่ะ”

“ถามอย่างนั้นหรือ? แล้วมันดูเหมือนไม่เชื่อยังไง ทำไมไม่คิดบ้างว่านนท์มันก็แค่เป็นห่วงว่าใครจะดูแลไอ้จันในตอนนี้ ทำไมไม่คิดแบบนี้บ้างล่ะไฟ”

“สิงห์ก็เอาแต่ปกป้องมัน”

“ปกป้องยังไงไฟ ต่อให้คนอื่นมาดูก็ไม่มีใครคิดเหมือนไฟเลย” สิงห์ชี้อีกฝ่ายย้ำ ๆ

“ไฟผิดตรงไหนล่ะสิงห์ ในเมื่อมันก็ทำตัวเหมือนไม่อยากคบหากับใครมาตั้งนานแล้ว ยิ่งมันทำตัวแบบนี้ไฟก็ต้องโมโหแทนเพื่อนสิ”

“นนท์มันก็เพื่อนสิงห์นะ อะไรที่ว่าผิด สิงห์ก็ไม่เคยเห็นด้วยแต่อันไหนที่มันไม่ใช่เหตุผลต้องไปโกรธ มันก็ไม่จำเป็นต้องไปพยายามจับผิดเพื่อนตัวเองหรอกนะไฟ”

ไฟเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มยังคงหัวดื้อเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ สิงห์เองก็พอเข้าใจดีจึงพยักหน้ากับตัวเอง “สำหรับสิงห์ในตอนนี้ ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ แต่เพราะไฟเป็นคนเริ่มจึงเรียกมาคุยกันแค่สองคน นนท์มีศักดิ์เป็นถึงหม่อมเจ้า เรื่องนี้ไฟก็ควรมีมารยาทด้วย ถึงนนท์จะบอกว่าไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์แต่ก็ยังถือว่าเขาสูงกว่าเรานะ พูดอะไรควรคิดหน่อย สิงห์ไม่อยากให้ไฟต้องมาผิดใจกับเพื่อนของสิงห์หรอกนะ”

คนถูกเตือนเม้มปาก “ขอโทษ”

“ที่บอกเพราะหวังดีนะ ถ้าไม่มีใครมาพูดหรือทำเราก่อนก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน” พูดไปมือไม้ก็จัดเสื้อให้คนตรงหน้าไปก่อนจะเลื่อนมือขึ้นลูบแก้มสากเบา ๆ ที่ตอนนี้ผิวเริ่มคล้ำแดดเหมือนกับเขา “สัญญากับสิงห์อีกข้อจะได้ไหม”

ไฟพยักหน้า

“ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ไหน ควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ อย่าผลีผลาม ขอเพียงเท่านี้... ได้หรือเปล่า”

“ได้ สัญญา” คนตัวสูงกว่าเล็กน้อยจับมือที่กุมแก้มตัวเอง หลับตารับสัมผัสอันอ่อนโยนเหมือนน้ำเย็นที่คอยลูบให้ไฟอย่างเขามอดดับ

สิงห์ยิ้มบาง ๆ ยื่นหน้าเข้าไปหาพอเปลือกตาอีกคนลืมขึ้นก็ทำให้เขวโดยการเงยหน้าขึ้นไปจูบที่หน้าผาก ถึงจะเห็นว่าน่าเสียดายมากแค่ไหนก็ตามแต่ที่นี่ก็ไม่ควรทำอะไรเยอะมากกว่านี้ “เพียงเท่านี้ก็พอนะ”

เหมือนจะได้ยินไฟพึมพำว่ารอเรียนจบก่อนเถอะ

“รีบกลับที่พักกัน เดี๋ยวช่วงบ่ายคงได้เจอกันอีก”

“หื้อ? ทำไมล่ะ”

“เดี๋ยวก็รู้ ไปได้แล้ว” สิงห์อมยิ้มดันไหล่คนรักให้เดินออกจากห้องเก็บของ


 


พ่ายโลกันตร์


 


ตกช่วงบ่ายไฟกำลังนั่งเช็ดปืนลูกโม่ที่อาจารย์ได้เตรียมไว้ให้ หูก็ฟังแกอธิบายไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าบ่ายของสิงห์นี่ใช่ตอนบ่ายนี้หรือเปล่าแล้วไอ้ที่ว่าจะได้เจอกันมันจะเจอกันได้ยังไง ในเมื่อเขาเรียนอยู่ สิงห์เองก็คงจะเรียนเช่นกัน

“ไอ้ไฟ” จันสะกิด

“ว่า” เขาขานตอบรับโดยที่ยังคงก้มหน้าเช็ดปืน

“มึงว่าถ้าสอบยิงปืนลูกโม่นี่เราจะได้ไหมวะ”

ไฟหัวเราะ “มั่นใจในตัวเองหน่อย”

“โธ่เพื่อน มึงดูอย่างปืนอะไรนะที่เป็นปืนพกธรรมดาอะ M19 ป่ะ แม่งขนาดจับถนัดกว่าลูกโม่กูยังยิงพลาดเป้า”

“ของแบบนี้มันต้องฝึกกัน เดี๋ยวกูว่าต้องมีการประกอบปืน ชื่อปืนอะไรก็จำไม่ได้แต่น่าจะเป็นปืนสงคราม เห็นว่าประกอบได้ทั้งยิงกลและไรเฟิล”

“ไอ้ที่วางตรงนั้นเหรอ” จันชี้ไปที่ปืนตรงโต๊ะที่อาจารย์นั่งอยู่

“เออนั่นแหละกูจำชื่อไม่ได้”

“กูบอกเลยว่าไรเฟิลนั่นไม่ใช่ของถนัด ยิงปืนพกยังเบี้ยวถ้ายิงไรเฟิลกูไม่โดนใครหรอกจริง ๆ”

ไฟได้แต่หัวเราะกับความขี้บ่นของเพื่อนก่อนจะวางปืนลงเมื่ออาจารย์ปรบมือส่งสัญญาณให้ฟัง

“เดี๋ยวจะมีคนมาสอนเรื่องปืนลูกโม่นะ เป็นคนที่สอบเรื่องปืนเต็มทุกช่อง” เพียงอาจารย์พูดเท่านั้นทุกคนก็โห่ร้องอย่างอึ้ง ๆ “ยังไงก็ถือว่าสอนยูโดไปแล้วก็อยากให้สอนเรื่องปืนเสียหน่อย”

“ใครวะ ทำไมคุ้น ๆ” จันขมวดคิ้วก่อนจะอ้าปากค้างหลังจากมีคนเดินเข้ามาในชุดฝึกที่เหมือนกันและเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีแต่พอจะหันไปสะกิดเพื่อนอีกครั้งก็คงไม่ต้องแล้วเพราะมันเองก็ตกใจไม่ต่างกัน “มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้สิงห์มันเก่งเรื่องนี้”

คนที่อึ้งมานานเพิ่งจะได้สติ “ไม่รู้ สิงห์ไม่เคยบอกเลยว่ะ แต่ก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าจะได้เจอกันอีกทีตอนบ่ายกูก็เพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้แหละ”

“เพื่อนมึงจะเก่งไปถึงไหนวะ”

“คงจะเก่งได้ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแหละ” ไฟคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม

“สวัสดีเพื่อน ๆ กองร้อยที่หนึ่ง ผมว่าที่สิบตรี สหัส อัครเดช เรียกว่าสิงห์ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน” ทักทายเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกคนก็ต่างปรบมือต้อนรับ ส่วนบางคนที่รู้จักหรือเคยได้คุยก็จะเสียงดังกว่าใครเพื่อน

“ในฐานะที่ตอนนี้ทั้งเรียนและถือว่ารับราชการเป็นนายสิบตรี การที่มาสอนเรื่องพวกนี้ก็ถือว่าเป็นงานอย่างหนึ่งของตำรวจ” อาจารย์เอ่ยกับสิงห์ที่ได้พระราชทานยศสิบตรีตั้งแต่ปีแรกหลังจากรับกระบี่สั้นเพียงไม่นาน “นักเรียนกองร้อยที่หนึ่งยืนตรง!”

พรึ่บ!

“แบ่งออกเป็นห้าหน่วยปฏิบัติ!”

“ครับ!” นักเรียนนายร้อยต่างแยกกันออกไปตามหน่วยของตัวเองซึ่งแต่ละหน่วยมีสิบคนขึ้นไป ไฟเองอยู่หน่วยที่สี่และได้ครูเป็น...สิงห์

“ตกใจแทบแย่ที่เป็นมึง” จันยังคงตาตื่น

“ฮ่า ๆ ตกใจเหมือนกันที่จะได้มาสอนเรื่องปืน” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับคนที่มองมาก่อนจะเดินไปอยู่ด้านหน้าเพื่อจะเริ่มสอน “คงมีหลายคนรู้จักวิธีใช้แล้วเพราะยังไงก็ถูกสอนเรื่องปืนมาตั้งแต่ปีแรก แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่บางคนก็ยังไม่รู้ อย่างปืนลูกโม่ เดี๋ยวจะสอนวิธีการใช้อีกทีนะ เพราะเห็นว่าบางคนยังไม่เข้าใจเลย”

พูดเสร็จก็หยิบปืนที่แนบอยู่ข้างเอวขึ้นมาปลดกระสุนดูอีกรอบเพื่อความปลอดภัย “ปืนทุกกระบอกไม่ว่าจะมีลูกหรือไม่มีลูกอย่าหันหัวปืนใส่เพื่อนนะ มันอันตราย”

สิงห์เริ่มจากอธิบายในการจับปืน “การจับปืนลูกโม่มันอาจจะยากกว่าปืนพกอย่าง M1911 ที่ทุกคนเคยเรียนไป เพราะถ้าจับไม่ถูกมีสิทธิ์นิ้วขาดได้นะ”

“ฉิบหายละไอ้ไฟนิ้วกูจะอยู่ดีไหม”

ไฟแทบไม่ได้ฟังมันบ่นเพราะมัวแต่ฟังคุณครูคนพิเศษพูดอย่างอารมณ์ดี

“เห็นตรงที่ใส่กระสุนหรือที่เรียกว่าโม่หรือเปล่า เวลาจับปืนมีหลายคนถนัดในการเอานิ้วชี้หรือนิ้วโป้งแนบไปกับขอบลำกล้องใช่ไหม แต่ปืนลูกโม่เนื่องจากใส่กระสุนโดยไม่มีที่ป้องกัน… แก๊สที่พ่นจากการยิงตรงแนวลำกล้องมันจะทำให้นิ้วเราขาดได้”

ไฟก้มลงมองที่โม่นึกภาพออกเลยหากเอานิ้วไปแนบ

“เพราะฉะนั้นเวลาจับให้จับโดยเอานิ้วไขว้ลงมาไม่ว่าจะนิ้วชี้หรือนิ้วโป้งถ้าอยู่ใกล้โม่ก็เอาออกให้ห่าง พยายามจับให้แน่นที่สุด มันมีวิธีจับหลายอย่าง แต่จะขอแนะนำวิธีจับโดยการเอาอุ้งมือข้างที่ไม่ได้ถือปืนเข้าไปจับในพื้นที่ที่เหลือให้มากที่สุด อีกอย่างการง้างนก*ก่อนยิงจะทำให้แม่นขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องกลัวว่านกตรงที่มันงอน ๆ ปลายปืนเนี่ยจะไปกระทบอะไร มันไม่เป็นอันตราย  แล้วก็ต้องจับให้ลำกล้องปืนตรงระนาบเดียวกับลำแขนของเรา ไม่อย่างนั้นเวลายิงแล้วมันจะกระดกทำให้ยิงไม่แม่น และเวลายิงอย่าตั้งแขนตรงจนเกินไป...”

ครูจำเป็นสอนอยู่นานเพราะทุกคนต่างไม่มีพื้นฐานกัน ถึงจะเห็นว่าการยิงปืนดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายแต่ก็มีรายละเอียดหลายอย่าง และอาจบาดเจ็บได้

“แล้วก็เดี๋ยวจะสาธิตการใส่กระสุนและปลดกระสุน” สิงห์ปลดโม่โดยการเอานิ้วกลางกับนิ้วนางข้างซ้ายสอดเข้าไปในโม่ตอนที่มันปลดออกก่อนจะหยิบกระสุนจากกระเป๋าข้างเอวมาใส่ เป็นการสอนท่าทางทุกอย่างที่ต้องทำอย่างขะมักเขม้น

ไฟยิ้มแก้มปริ นับวันคนรักของเขายิ่งมีเสน่ห์ขึ้นเรื่อย ๆ

สิงห์ที่ค่อย ๆ สอนทีละคนก็มาถึงไฟที่ยืนมองอย่างเดียว “มัวแต่มองอยู่นั่นแหละ ฝึกซะสิ” เอ่ยกระซิบเสียงเบาแต่พอเห็นมุมปากหยักยกยิ้มหูก็เห่อแดงจึงรีบก้มหน้าก้มตาสอน

ความสัมพันธ์และการกระทำที่รู้กันเพียงสองคนมันทำให้เขาไม่กล้าสบตาไฟเลยสักนิด

“ต่อไปจะเป็นการยิงปืน” สิงห์กลับมาคุมสติ “ถ้าเป็นการแข่งหรือจะสอบสำหรับปืนพกหรือลูกโม่นี้ต้องเอาใส่ซองปืน วันสอบจะมีการให้ซองปืนไว้ให้ เวลาจับสัญญาณการยิง อย่างแรกให้เอามือรอหยิบปืนที่อยู่ในซองปืนข้างเอวฝั่งขวาส่วนมือซ้ายเอาไว้ที่ระดับหน้าอกเพื่อรอจับปืน พอสัญญาณขึ้น นับหนึ่งให้รีบจับปืน”

“นับสองเล็ง”

“นับสามยิง”

ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

“โหสุดยอด ง้างนกโคตรเร็วเลย” เพื่อนในกองร้อยคนหนึ่งเอ่ยชม

สิงห์ปลดกระสุนอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับมา “ตอนนี้ใครทำไม่ได้ก็ยิงทีละนัดไปก่อน ที่จริงไม่ต้องง้างนกก็ได้สำหรับใครที่ไม่ถนัด ตอนสอบก็ไม่จำเป็นต้องง้างนก เพียงแต่ที่บอกเรื่องง้างนกเพราะเพิ่มความแม่นยำเท่านั้น”

นอกจากจะชื่นชมเรื่องยิงปืนไวแล้วก็ต้องชื่นชมที่ไม่พลาดเป้าเลยสักนิด ไฟยืนอึ้ง ๆ เอาแต่มองคนรักอยู่อย่างนั้น

“การนับนี่นับในใจก็ได้นะไม่ต้องนับเสียงดัง เหมือนกับที่สอบปืนพกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ” สิงห์คลี่ยิ้มบาง ๆ ใครไม่ได้ส่วนไหนก็รีบตรงเข้าไปหาอย่างไม่เกี่ยง มันอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งชีวิตในวัยเด็กที่ผ่านมามีแต่ความอัดอั้นที่เอาแต่คลุกอยู่แต่กับสิ่งผิดกฎหมาย การมาเรียนที่นี่มันก็เหมือนกับว่าได้ปลดปล่อย อยากจะยิ้ม อยากจะหัวเราะ อยากจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมาพะวง

“ครูครับผมไม่เข้าใจอะไรนิดหน่อยครับ” ไฟที่อยู่ท้ายแถวยกมือขึ้น

สิงห์อมยิ้มเดินมาหาถึงที่ “ว่าไงครับคุณนายร้อยเพลิงกาฬ”

“คือ...” ไฟเอียงหัวทำท่าเป็นยกปืนให้ดู ทว่าการถามดันเป็นอีกอย่าง “ไม่ทราบว่าไอ้คำที่คนชอบพูดว่าให้กินลูกปืนนั้นมันเปลี่ยนมาเป็นกินคนยิงแทนได้ไหมครับ”

สิงห์อ้าปากพะงาบ ๆ เขินจนกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ ทำตาดุไปทีแต่ก็ไม่เป็นผลเลยสักนิดในเมื่อเขาแพ้รอยยิ้มร้ายกาจของอีกฝ่ายเข้าเต็มเปา




จบบทที่ ๗
------------------------------------------------------------------------------
โรงเรียนนายร้อยตำรวจที่สิงห์และไฟไปเรียน คือ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐมนะคะ ไม่ใช่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เพราะสามพราน ตั้งขึ้นเมื่อ ปี 2479 โดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้ย้ายโรงเรียนนายร้อยไปตั้งที่อำเภอสามพรานค่ะ ส่วนห้วยจระเข้ตั้งเมื่อปี 2464-2476 นั่นเองค่ะ

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 07-05-2019 17:06:42
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 30-05-2019 02:02:25
ชอบมากค่ะ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๘
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 02-06-2019 22:46:59
บทที่ ๘

ย้อนวัย : อุปสรรคเดียวกัน

 


วันจบการศึกษา ปี ๒๔๗๗

ว่าที่นายตำรวจทุกนายอยู่ในชุดราชการเต็มยศยืนตรงหน้าเสาธงฟังปราศรัยของอธิบดีกรมตำรวจที่มาเป็นประธานคนสำคัญ ความภาคภูมิใจในวันนี้เป็นสิ่งที่พวกเรานายร้อยตำรวจจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต ทุกนายได้ถือว่าเป็นว่าที่ร้อยตรี ส่วนบางคนก็ได้รับเกียรติเป็นนายร้อยดีเด่นอย่างน่าชื่นชมและไม่มีข้อกังขาใดที่คิดว่าไม่เหมาะสมเลยสักนิดในเมื่อตลอดปีก็แสดงผลงานมาให้เห็นหมดแล้ว

“ขอเชิญว่าที่ร้อยตำรวจตรี สหัส อัครเดช ขึ้นมาบนเวทีเพื่อเป็นเกียรติของนักเรียนนายร้อยดีเด่นประจำปีพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยเจ็ดสิบเจ็ดด้วยครับ”

คนถูกเรียกก้าวเท้าเดินอย่างหนักแน่นขึ้นไปบนเวทีและทำความเคารพท่านอธิบดี ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มอย่างเป็นกันเองก่อนที่ท่านจะมอบเกียรติบัตรให้และทำความเคารพซึ่งกันและกัน ไฟที่มองอยู่ด้านล่างได้แต่ยิ้มด้วยความภูมิใจ

เมื่อตำรวจหนุ่มลงมายืนที่แถวอย่างเคยว่าที่ร้อยตรีทุกคนก็เริ่มทำการท่องคำปฏิญาณตนอย่างพร้อมเพรียง

“ข้าพเจ้า จักจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง จักปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ จักเสียสละต่อประชาชน...”

จวบจนท่องคำปฏิญาณตนจนเสร็จกิจ นายตำรวจนับร้อยก็เดินเป็นแถวเข้าไปตักน้ำลอยมะลิดื่มเพื่อเป็นการสาบานอีกคราว่าจะไม่ทำให้การรับราชการตำรวจต้องเสื่อมเสีย ไฟตักน้ำขึ้นมาพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนจะดื่มจนหมดแล้ววางไว้ที่เดิม

งานพิธีเสร็จไปได้ด้วยดีก็ต้องแยกย้ายกันไปตามแต่ละพื้นที่ที่ต้องไปรับราชการ รวมถึงสี่หนุ่มนายร้อยที่พากันเดินออกไปด้วยกันดั่งเช่นเคย

“ท่านชายนนท์ดูท่าจะเหมาะกับชุดตำรวจเต็มยศมากเลยนะนี่” จันเอ่ยขึ้น

“บอกแล้วไงว่าให้เรียกเพียงแค่นนท์ ฉันไม่อยากถือศักดิ์กับใคร”

“มันก็ยากหน่อยล่ะนะ พอรู้ว่าเป็นหม่อมเจ้าใครจะกล้าเรียกธรรมดา ตอนที่ฉันรู้ตอนแรกนะฉันยังเกร็ง ๆ เลย”

นนท์ยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องเกร็ง เรียกนนท์อย่างเดิมไว้เดี๋ยวก็ชิน”

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะจบกันมาได้”

“หมายถึงกูหรือมึง” จันหันหน้าถามเพื่อนสนิทที่อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา

“ทั้งมึงทั้งกูเนี่ยแหละ” เพียงไฟพูดเท่านั้นทุกคนก็ขำออกมา

“ทำไมล่ะ ไฟออกจะเก่งตั้งหลายอย่าง เรียนก็ดีขึ้นเยอะเลยไม่ใช่หรือไง” สิงห์ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อตามขมับให้คนข้างกาย

“ไม่รู้สิ” ไฟถอนหายใจหัวก็เอียงให้อีกคนซับไป

“พวกมึงนี่ดูแลกันดีจังเลยเนาะ” จันทำหน้าสงสัย

“นั่นสิ” นนท์พูดต่อจึงทำให้สิงห์ถึงกับชะงักเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกก่อนจะรีบเก็บผ้าไว้เหมือนเดิม

“แปลกหรือวะ” ไฟที่ไม่ได้สนใจอะไรถามขึ้น

“ก็.. ไม่แปลกหรอกมั้ง แต่กูไม่เคยดูแลเพื่อนดีขนาดนี้เลยว่ะ” จันพูดไปก็เกาหัวตัวเองไป

“ไม่หรอก ทำแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ จะได้รู้ว่ามีคนที่ห่วงและรักอยู่ข้างกายตลอด”

“พูดดี” ไฟยิ้มให้นนท์

ส่วนสิงห์นั้นแทบจะเอาหน้ามุดดิน เขารู้ว่านนท์ดูออก การกระทำมันบอกทุกอย่างตั้งแต่เข้าเรียนแล้ว จำได้เลยว่าตอนที่นนท์ถามถึงความสัมพันธ์ของเขาและไฟ ถึงจะตอบไปว่าเพื่อนสนิทกัน แต่รอยยิ้มของนนท์ในตอนนั้นดูมีเลศนัยแต่เจ้าตัวก็ไม่ถามต่อ ตอบแค่ว่า ‘อย่างนั้นหรือ’ เท่านั้นเอง

แต่มันก็เป็นข้อดีของนนท์อย่างหนึ่ง ที่แม้ว่าจะรู้อะไรก็ตามจะไม่พูดออกมาถ้าไม่จำเป็น

“แล้วคิดว่าจะได้ไปประจำการที่ไหนกัน” จันถามขึ้น

“ไม่รู้สิ อาจจะกลับไปประจำที่บ้านเกิดหรือไม่ก็ถูกส่งตัวไปประจำที่อื่น” สิงห์เอ่ยตอบ

“หรือวะ คงต้องแยกกันแล้วแน่ ๆ เลย”

“ถึงเวลาที่ต้องแยกกันมันก็ห้ามไม่ได้หรอก เราถึงวัยที่จะต้องแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองแล้ว”

“แต่ฉันไม่อยากแยกเลย” ไฟขมวดคิ้ว

“ไฟ” คนรักอย่างเขาได้แต่ถอนหายใจ “เราพูดเรื่องนี้กันไปแล้วนะ”

“ตัวติดกันเป็นตังเมขนาดนี้ การงานไม่ต้องทำพอดี ห่างกันเสียบ้างเถอะ”

ไฟหันขวับไปมองคู่แค้นคู่กัดอย่างนนท์

นนท์เลิกคิ้ว “หรือไม่จริง”

“เอาหน่า เลิกทะเลาะกันเถอะ ไหน ๆ ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว” จันพูดห้ามปราม สองคนนี้ดีกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยมั้ง

“ยังไงก็ต้องได้เจอกันบ้างไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ยังไม่ใช่ร้อยตรีเต็มยศ เป็นแค่ว่าที่ร้อยตรีพวกเรายังต้องเป็นนักเรียนทำการสักหกเดือนที่พระนครเหมือนกัน ส่วนเรื่องแยกไม่แยกปล่อยให้มันเป็นไปตามอนาคตเอาก็ได้ จะเถียงกันไปทำไม”

พอได้ยินอย่างนั้นทั้งสองหนุ่มก็หันหน้าหนีไปคนละทาง

สิงห์ได้แต่ถอนหายใจ “เอาเถอะยังไงก็ไปเอาเอกสารก่อนพรุ่งนี้จะได้ไปรายงานตัว”

“แล้วมึงไปไงวะสิงห์”

“กูไปกับไฟน่ะมาด้วยกันหรือเปล่า”

“ไม่ล่ะ ๆ เดี๋ยวไปเอง ก็คิดว่าไม่มีรถไปว่าจะชวนไปด้วย”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะหันไปทางนนท์ “นายล่ะ”

“พอดีให้คนขับรถทิ้งรถไว้ให้แล้ว”

“อืม ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันที่พระนครนะ” ต่างคนต่างเดินกันไปคนละทิศละทางเพื่อแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกันที่เวลามันช่างผ่านไปไวเสียขนาดนี้

“แล้วมีที่พักแล้วหรือ”

“มีแล้ว สิงห์ขอให้นนท์ช่วยหา อันที่จริงเราสามารถไปกับนนท์ได้นะเพราะทางกลับของเราเป็นทางเดียวกัน แต่จะทิ้งรถที่ลุงอนงค์ซื้อให้ไฟก็ไม่ดี”

“ทางกลับหรือ?”

“ก็ไอ้บ้านที่ขอให้นนท์ช่วยหามันเป็นบ้านเรือนไทยที่อยู่ใกล้กับวังศุลภาณันท์น่ะ”

“ทำไมต้องไปอยู่ตรงนั้นล่ะ”

“ตอนนี้เรายังไม่ได้ทำงานนะไฟ จะเอาเงินที่ไหนไปเช่าบ้าน ที่มีอยู่ก็กะจะไว้ใช้แค่ค่ากินและค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ถ้าเป็นไปได้ก็ค่อย ๆ ทำงานเก็บเงินจ่ายค่าบ้านให้นนท์ทีละเดือนเอา”

“สิงห์ชอบบ้านนั้นหรือ”

“ใช่ ก่อนหน้านี้สิงห์กำลังหาบ้านเผื่อเวลามาพระนครจะได้มาพักได้ นนท์ก็เลยแนะนำบ้านเรือนไทยหลังนั้นให้ มันอยู่ใกล้ริมคลอง มีพื้นที่สามารถปลูกผัก ปลูกต้นไม้ได้ สิงห์ชอบแบบนั้น นนท์เลยใจดีขายให้ในราคาถูก”

ร่างสูงพยักหน้าเป็นการเข้าใจ “ถ้าสิงห์ชอบ ไฟก็ว่าตามนั้นแหละจ้ะ”

“หรือถ้าไฟไม่ชอบก็บอกได้นะเราจะได้ไปอยู่ที่อื่นกันมันยังมีอีกที่ทางแถวตลาดใกล้วังหลัง”

“ชอบจ้ะชอบ สิงห์เลือกอะไรไฟก็ชอบทั้งนั้น”

สิงห์คลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มสากอย่างเบามือ “ไว้เดี๋ยวเราซื้อของเข้าบ้านกันนะ”

“ก่อนจะซื้อของเข้าบ้าน...” ไฟเอียงหน้าซบกับฝ่ามือ มุมปากหยักก็ยกยิ้ม “ขอทวงที่สัญญาก่อนได้หรือเปล่า”

“ยังไม่ลืมหรือไง”

“ใครจะลืมลง ถูกตามใจทั้งทีนะ”

“อือ” สิงห์ผละมือออก ปากยิ้มแต่ไม่กล้ามองตา “ไปเอาเอกสารก่อนแล้วกัน”



 

พ่ายโลกันตร์

 
 


พอรับเอกสารเสร็จก็ขับรถทางไกลจากนครปฐมมาจนถึงพระนครด้วยรถจิ๊บคันใหญ่ที่อนงค์ได้ซื้อไว้ให้ลูกชายเมื่อตอนสอบเข้าได้กำลังขับเข้าไปตามถนนเล็ก ๆ ที่สิงห์บอก ข้างทางเป็นทุ่งนาดูสบายตาทั้งยังมีต้นตาลและต้นไม้อื่น ๆ จากอีกฝั่งที่คอยให้ร่มเงาทำให้ไม่ร้อนจนเกินไป สิงห์สูดอากาศเข้าเต็มปอดคล้ายกับอยู่ต่างจังหวัดก็มิปราย เป็นที่ที่ทำให้สบายใจจนยิ้มแทบไม่หุบ ตอนที่ออกมาทำงานที่พระนครในฐานะนายสิบก็แวะมาดูที่นี่ครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงบ้านก็ถูกใจสิงห์ไปหมด

“นากับไร่ต้นตาลนี่เป็นของไอ้นนท์ด้วยหรือเปล่า”

“อืมใช่”

“ก็สวยดีนะ ห่างจากบ้านเมืองคนดี”

“สิงห์คิดอยู่ว่าถ้าหากเราอยู่ด้วยกันก็จะมาอยู่บ้านที่ห่างไกลความวุ่นวายแบบนี้ อาจจะมีเพื่อนบ้านบ้างเล็กน้อยเผื่อเกิดปัญหาให้เขาช่วยเหลือได้ ก็ไม่ได้แย่อะไร”

“แล้วที่นี่มีบ้านอื่นนอกจากวังนั่นไหม”

“เห็นนนท์บอกว่ามีนะ จะเป็นบ้านของชาวบ้านละแวกนั้น แต่ส่วนมากเป็นบ้านของคนใช้ในวังทั้งนั้นแหละ ถ้าจะไปวังข้ามคลองไปก็เจอกับวังแล้ว ส่วนบ้านด้านในถ้าลึกเข้าไปอีกก็จะเจอกับบ้านคนอื่น ๆ”

“อืมดี ๆ”

เพียงไม่นานก็ขับมาถึงบ้านเรือนไทยที่ตั้งเด่นสวยงาม รอบบ้านเป็นพื้นที่กว้าง หญ้าก็ถูกดูแลอย่างดีและยังมีรั้วไม้กั้นเสริม ข้างหลังบ้านเป็นป่าขนาดเล็กเห็นลำคลองอยู่ไกล ๆ มองแค่นี้ก็น่าอยู่แล้ว

“ต้นมะลิหรือ” ไฟลงจากรถหลังจากที่ขับเข้ามาจอดด้านในเพราะประตูรั้วเปิดไว้อยู่ ข้างหน้าบ้านมีต้นมะลิปลูกอยู่สองสามต้นและยังมีต้นอื่น ๆ อีก ดูหลากหลายสี

“มีคนสวนแล้วก็คนดูแลบ้านมาคอยดูแลทุกเดือนน่ะ” สิงห์ว่าพร้อมกับขึ้นบนบ้าน “อ่าวนนท์”

แว่วเสียงของคนรักที่เรียกเพื่อนร่วมรุ่นไฟก็รีบหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของใช้สำหรับพวกเขาตามขึ้นไป

“จะมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม”

“อืมใช่ ยังไม่รู้เลยว่าถ้ารับยศเต็มตัวแล้วจะได้ประจำการที่ไหนก็อยู่ที่นี่ไปก่อน” สิงห์ตอบแทน

“เอาเถอะ ๆ ฉันให้คนเอาของใช้ที่จำเป็นมาไว้ให้แล้ว นี่คือกุญแจทุกห้องรวมถึงประตูรั้วด้วย คนดูแลบ้านจะมีอีกดอกเผื่อมาทำความสะอาดและเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน” ว่าเสร็จก็ยื่นพวงกุญแจให้ “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ข้ามคลองไปหาที่วังได้ฉันบอกคนที่วังไว้แล้วว่าพวกนายจะมาอยู่ที่นี่”

“ขอบคุณมากจริง ๆ นะนนท์ ต้องรบกวนเยอะเลย”

“ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ” นนท์ยิ้มให้แต่ก่อนจะกลับก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “พอถึงเวลาอาหารค่ำไปทานด้วยกันที่วังไหม เสด็จพ่อฉันชวนน่ะ”

“จะดีหรือ ฉันไม่ค่อยสันทัดเรื่องคำราชาศัพท์แล้วก็กลัวจะไปเสียมารยาทใส่”

“ไม่ต้องห่วงเด็จพ่อไม่คิดถือสาหรอก ท่านอยากพบ อยากพูดคุยตามภาษาคนแก่ที่อยากคุยกับเพื่อนลูกชายนั่นแหละ”

สิงห์พยักหน้า “แต่ไหน ๆ ก็มาอยู่ที่เขาแล้วยังไงก็ต้องพบเสียหน่อย ถ้าเกิดทำอะไรไม่ดีไม่งามช่วยเตือนด้วยนะนนท์”

“ได้สิ เดี๋ยวไว้ถึงเวลาฉันจะให้คนมาบอกแล้วกันนะ”

“ขอบคุณนะ”

นนท์พยักหน้าแล้วออกไปทันที ไม่ได้อยู่พูดคุยอะไรเพิ่มเพราะอยากให้ความส่วนตัวแก่ทั้งคู่

“เฮ้อ เหนื่อย... ขอนอนพักสักเดี๋ยวนะ” ไฟบ่นอิดออดวางกระเป๋าเอาไว้แล้วลากสังขารตัวเองไปนอนบนโต๊ะไม้ยาวที่เอาไว้สำหรับรับแขก

“เปลี่ยนชุดก่อนไฟจะได้นอนสบาย ๆ” ปากพูดตัวก็เดินไปหยิบกระเป๋าของคนรักพร้อมกับหาชุดสำหรับใส่นอนไว้ให้ “อะนี่ เร็ว ๆ”

“ครับ ๆ” ไฟตอบรับเสียงยานคางลุกขึ้นปลดกระดุมเสื้อออก

“ทำอะไรเชื่องช้าจริงนะ” ได้ทีก็บ่นไปยกหนึ่งแล้วช่วยปลดกางเกงให้อีกแรง

ไฟหูแดงน้อย ๆ เพราะต้องเปลือยต่อหน้าคนรัก เขาถูจมูกแก้เขินก่อนจะรีบหยิบกางเกงผ้าลื่นสีน้ำเงินมาใส่เป็นอันดับแรก

“เอ้านี่เสื้อ ใส่แล้วก็ไปนอนในห้องซะ นอนตรงนี้หลังขดหลังแข็งพอดี”

ไฟอมยิ้มก้มลงหอมแก้มคนรักพร้อมกับกอดเอวไว้หลวม ๆ “ต้องให้สิงห์ดูแลเหมือนเด็กเลย”

“ก็เด็กไหมล่ะ ดูสิเนี่ย ต้องบอกต้องพูดถึงจะลุกขึ้นมาทำ” สิงห์ขมวดคิ้วดุมือไม้ก็วุ่นแต่กับคลี่เสื้อให้อีกคน

“โชคดีจัง”

“อะไร?”

“ก็ที่ได้สิงห์เป็นคนรัก ไฟน่ะโชคดีมาก ๆ เลย”

จากที่ดุอยู่ก็เผลอยิ้มออกมา “จะเอาอะไร หื้อ”

“แค่จะบอกเฉย ๆ ว่าไฟโชคดี” ไฟหัวเราะแล้วก้มแนบหน้าผากกับอีกคน “แต่ถ้าจะให้เอา… เอาคนนี้ได้หรือเปล่า”

“ไปนอนก่อน เหนื่อยมากแล้ว ตื่นมาค่อย…” สิงห์กระแอ่มไอเล็กน้อย “ตื่นมาจะทำอะไรก็ตามใจไฟเลย ตอนนี้ไปพักก่อนเถอะ”

“จ้ะ” ตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ก็อดไม่ไหวต้องเคลื่อนหน้าเข้าไปประกบปากเพราะทนมาร่วมสี่ปี

คนถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ไม่ได้คิดห้ามใดใดเพราะตัวเองก็โหยหาอีกฝ่ายเช่นกัน

“อืม” สิงห์ครางเสียงต่ำพร้อมกับเปิดปากรับจูบก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปประคองใบหน้าของไฟยามที่ลิ้นร้อนเข้าแทรก กายทั้งสองเข้าแนบชิดจนไม่มีอากาศผ่าน ผละออกมาหอบหายใจได้ไม่นานก็ถูกเชยคางช่วงชิงอากาศไปอีกรอบ

“ไม่อยากนอนแล้ว” ไฟกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นถี่ จ้องมองดวงตาสีนิลด้วยความหลงใหล

“ตามใจไฟเลย” ตอบไปตามอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รู้ตัวอีกทีปากของเราทั้งสองก็ดูดดื่มกันอีกครั้ง จนหลังของสิงห์แนบชิดลงกับโต๊ะไม้ยาว สติสตางค์ก็หายเป็นปลิดทิ้ง

เป็นครั้งแรกที่เราทำกันเลยเถิดเพราะแต่ก่อนนั้นทำได้แค่กอด หอมและจูบ คงเพราะไม่ใช่สถานการณ์ที่จะทำอะไรอย่างนั้นได้ สิงห์จึงนึกขอบคุณคนรอบข้างที่คอยช่วยเหลือและรวมถึงตัวเขาเองที่ยอมเดินออกมาในทางสายที่ตัวเองเลือก ยอมออกมาจากขุมนรกที่คอยดึงเขาให้ต่ำลง

ก็พอรู้ว่าหากเป็นตำรวจแล้วอาจจะไม่ได้ง่ายและยังมีปัญหาตามมาอีก แต่ถ้าปัจจุบันที่อยู่ในตอนนี้มันดี ก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ให้ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักไปเรื่อย ๆ เกิดมาทั้งทีก็อยากจะมีความสุขสักเศษเสี้ยวพอให้ได้ใช้ชีวิตต่อ

และโชคดีที่ความสุขนั้นมาอยู่ตรงหน้าเขา

“สิงห์รักไฟนะ”

“ไฟรู้” คนด้านบนยิ้มบาง ๆ ก้มลงจูบหน้าผากมนพร้อมกับขยับกายอย่างช้า ๆ “ไฟก็รักสิงห์เหมือนกัน”





*มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๘ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 02-06-2019 22:49:30
*ต่อจากด้านบน

เข้ายามเย็นมาเนิ่นนานแสงแดดสีส้มก็ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่อยู่ทางหัวเตียง แต่ทั้งสองร่างที่นอนกอดกันพร้อมผ้าห่มที่คลุมตัวไว้ต่างยังคงอยู่ในห้วงฝันหวาน ในเวลานั้นเด็กวัยหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงขาสามส่วนวิ่งมาทางหลังบ้าน เงยหน้ามองทางหน้าต่างห้องนอนของผู้ที่เป็นเพื่อนเจ้านายเพื่อมองหาคนในเรือน

“คุณสิงห์ขอรับ คุณไฟขอรับอยู่ไหมขอรับ” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก “ใกล้จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้วขอรับ คุณสิงห์ขอรับ”

ไฟงัวเงียขยี้ตาตัวเองหลังจากที่ถูกใครบางคนปลุก หาวไปรอบหนึ่งก่อนจะหันมองคนที่หนุนแขนพร้อมกับหอมแก้มอย่างเคยชินแล้วค่อย ๆ เอาแขนออกเพื่อจะลุกหาทางต้นเสียง

“โอ้ คุณ ๆ” เด็กหนุ่มยิ้มร่า

“หือ” ไฟหันหลังไปมองนอกหน้าต่าง “มีอะไรหรือครับ”

“ท่านชายนนท์ทรงรับสั่งให้กระผมมาบอกพวกคุณ ๆ เรื่องอาหารค่ำน่ะขอรับ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว แต่ว่าพระองค์วายุภักษ์ประสงค์จะพบปะพูดคุยด้วย กระผมเลยมาตามก่อนเวลาขอรับ”

“อ่อ เดี๋ยวขอพวกผมจัดการเนื้อตัวก่อน ไว้จะรีบไป”

“ถ้าอย่างนั้นกระผมไปรอศาลาริมแม่น้ำใกล้ ๆ นี้นะขอรับ”

ไฟพยักหน้าพลางยิ้มให้พอเห็นว่าเด็กคนนั้นเดินไปแล้วจึงรีบปลุกคนรัก “สิงห์ สิงห์ตื่นได้แล้ว จะถึงเวลาอาหารค่ำแล้วนะ”

“อือ” คนถูกปลุกขานรับในลำคอรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวจนลืมตาแทบไม่ขึ้น

“ลุกไหวไหม ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวไฟไปบอกนนท์ให้”

สิงห์รีบโบกไม้โบกมือแล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ “ไม่ได้ มาอยู่บ้านเขายังไงก็ต้องไป” พูดเสร็จก็ยันตัวลุกขึ้นและมีไฟที่ช่วยประคองอยู่ข้าง ๆ

“ไหวแน่หรือ ขอโทษนะแทนที่จะได้พักแต่กลับ...” ไฟหน้าหมองจัดการพับผ้าห่มด้วยตัวเอง

“ไม่หรอก สิงห์ก็ห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มคนรักเพื่อให้คลายกังวล

“งั้นเดี๋ยวไฟอุ้มไปที่ห้องน้ำ” ไฟรีบใส่กางเกงของตัวเองพร้อมกับหาผ้าขาวม้าพันรอบเอวของคนรักไว้

“สิงห์เดินไปเองก็ได้นะ”

“กว่าจะถึงคงค่ำพอดี” ไฟพูดติดตลกแล้วอุ้มคนรักที่น้ำหนักตัวเยอะใช่เล่นแต่ก็พออุ้มได้ เขาเดินลงไปด้านล่างมีห้องน้ำที่สร้างจากไม้ไผ่ไม่แคบและไม่ใหญ่เกินไป “ในโอ่งมีน้ำเต็มเลย”

“นนท์คงบอกให้คนมาจัดการให้ล่ะมั้ง” สิงห์นึกขอบคุณเพื่อนตัวเองที่ใส่ใจกันถึงขนาดนี้

“เอาเถอะสิงห์อาบไปก่อน เดี๋ยวไฟจะเอาเสื้อผ้ามาให้”

“อือ”

ผ่านไปไม่นานทั้งคู่ก็อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อย สิงห์ดูสบายตัวขึ้นและเดินได้อยู่บ้าง ทั้งคู่อยู่ในชุดสุภาพสะอาดตา ถึงจะมีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนสั้นพ่วงด้วยกางเกงสแล็คขายาวแต่ก็ดูเข้ากัน

“หล่อเสียจริง” ไฟชมยอคนข้างกายที่เดินไปด้วยกัน

“หล่อไม่เท่าไฟหรอก” ชมกันไปชมกันมาก็มาเขินกันเองกว่าจะถึงศาลาริมน้ำไม่รู้ว่าแก้มจะนูนขึ้นไปกี่หน

“สวัสดีจ้ะ กระผมชื่อเฟื้องนะ”

“ฉันสิงห์ ส่วนนี่ไฟ”

“ขอรับคุณสิงห์ คุณไฟ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างตนเห็นทั้งสองมาแต่ไกลจนอดชื่นชมไม่ได้ ทั้งสูงเด่น ไหล่ผึ่ง ทุกระเบียบการย่างก้าวดูนุ่มนวลทว่าหนักแน่นสมกับเป็นตำรวจ “เชิญทางนี้เลยขอรับ”

ทั้งคู่พยักหน้าเดินตามผ่านสะพานที่สร้างมาอย่างดี ด้านตรงข้ามนั้นมีศาลาด้วยเช่นกันแต่จะตกแต่งมีดอกไม้ประดับให้เชยชมเล็กน้อยทั้งศาลาแต่งสีด้วยสีขาวสะอาด ต่างจากศาลาฝั่งของบ้านสิงห์ที่เป็นศาลาไม้ธรรมดา

“ใหญ่โตเสียจริง” ไฟอดชมไม่ได้เพราะวังแห่งนี้พอมาดูใกล้มันทั้งใหญ่และสวยงาม การตกแต่งเองก็ออกแนวตะวันตกนิด ๆ

“เฟื้องอายุเท่าไหร่หรือ” สิงห์เอ่ยถามเพราะรู้สึกถูกชะตา

“สิบห้าจ้ะ”

“เรียนที่ไหนล่ะ”

“เรียนที่อัสสัมชัญขอรับ พระองค์วายุภักษ์กับหม่อมสร้อยทรงมีพระเมตตากรุณาส่งกระผมเรียนขอรับ”

“ดีเสียจริง แล้วได้คิดหรือเปล่าว่าจะทำงานอะไร”

“ตอนแรกกระผมคิดว่าอยากจะเป็นทหารที่เก่งกาจเหมือนกับพระองค์วายุภักษ์ แต่ว่ากระผมก็อยากจะเป็นชาวไร่ชาวนา อยากทำไร่ทำนาเป็นของตัวเอง แต่มันคงไม่ดีพอกับสิ่งที่ได้รับมาจากผู้มีพระคุณทั้ง ๆ ที่ได้เข้าเรียนที่ดี ๆ แท้ ๆ แต่กลับคิดจะทำเพียงไร่นา..” เด็กหนุ่มนึกไม่มั่นใจ

“อยากทำอะไรก็จงเลือกทำเสียเถอะ ไม่ว่างานไหนจะเป็นยังไง ทุกงานย่อมมีเกียรติของมันเอง” สิงห์ลูบผมเด็กข้างกายที่หยุดอยู่หน้าทางเข้าวัง “ไม่ว่าจะเกียรติของทหารที่รับใช้ชาติ เกียรติของชาวไร่ชาวนาที่สร้างผลผลิตให้คนได้มีกิน งานทุกงานมันคืองานที่เพื่อตนและรวมถึงเพื่อผู้อื่น ถ้ารักถ้าชอบสิ่งไหนก็เลือกทำอย่าได้ลังเล”

“ขอบพระคุณมากขอรับคุณสิงห์” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกคล้ายกับพ่อของตนที่คอยพูดให้กำลังใจ

“เป็นเด็กดีนะ”

“ขอรับ” เด็กหนุ่มผงกหัวก่อนจะช่วยนำทางไปหาท่านชายนนท์

“ท่านชายขอรับ คุณสิงห์คุณไฟมาแล้วขอรับ”

“ขอบใจนะเฟื้องแล้วก็ไปบอกป้าบัวด้วยว่าให้เตรียมน้ำสำหรับเพื่อนของฉันแล้วก็เด็จพ่อ หม่อมแม่ อ้อพี่ชายภัสด้วย” นนท์สั่งคนรับใช้คนสนิทอย่างเสร็จสรรพก่อนจะผายมือให้เพื่อนทั้งสองไปทางโซฟา “นั่งรอกันสักครู่นะเดี๋ยวฉันจะไปบอกเด็จพ่อกับหม่อมแม่ให้”

พอสิงห์พยักหน้าเพื่อนสนิทก็เดินหายไปอีกทางหนึ่ง

“นนท์มีพี่ด้วยหรือ”

“ใช่ ชื่อท่านชายภัสกร ศุลภาณันท์ พี่ชายแท้ ๆ ของนนท์น่ะ”

“รู้เยอะเพียงนี้ไม่เห็นบอกกันบ้าง ครั้งแรกที่เจอกันไฟก็คิดว่านนท์แค่คนธรรมดา”

“นนท์ขอไม่ให้พูดถึงน่ะ เพราะไม่อยากถือศักดิ์กับเพื่อน ตอนแรกสิงห์เองก็ตะกุกตะกักพูดไม่ค่อยถูกหรอก แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วแหละ”

“แต่ไฟเพิ่งรู้หลังรับแหวนรุ่นเองนะ อีกอย่างเราไม่ได้เรียนด้วยกันเลยไม่ชิน”

“จริงหรือ เดี๋ยวเรียกไอ้เดี๋ยวเรียกชื่อเฉย ๆ นี่ยังไม่ชินจริง ๆ หรือ” สิงห์ยิ้มล้อ

“ก็... ปากมันไปเอง”

“เพลา ๆ ลงบ้างนะ ถึงนนท์จะไม่ถือสาแต่ก็เป็นถึงหม่อมเจ้า บางทีก็พูดดี ๆ กันเสียบ้างนะ”

“บอกเพื่อนสิงห์ด้วยเถอะ”

“บอกอยู่แล้วในเมื่อพอกันทั้งคู่” สิงห์อยากจะหยิกจมูกคนรักแต่คงจะดูไม่ดีถึงทำได้แค่ทำหน้ามันเขี้ยวใส่คนข้างกาย คนรับใช้ของวังก็เดินเอาน้ำมาให้จึงได้แต่ยิ้มขอบคุณ

“อ่าวว่าไง” เสียงทักทายดังมาแต่ไกลไฟและสิงห์ก็รีบลุกขึ้นทันทีก่อนที่ทั้งคู่จะคุกเข่าลงก้มหัวประกบมือจรดปลายนิ้วแนบหน้าผาก

“ถวายบังคมขอรับฝ่าพระบาท”

“ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมายนักหรอก ลุกขึ้นนั่งที่โซฟาเถิด”

“เป็นพระกรุณาอย่างสูง” สิงห์ก้มหัวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับพระองค์วายุภักษ์ข้างกายเองก็มีหม่อมสร้อย ส่วนโซฟาเดี่ยวทั้งสองข้างเป็นของท่านชายนนท์และท่านชายภัสที่ประทับ

“คนนี้คือไฟ เพลิงกาฬ ไตรย์ษิณ ขอรับ” นนท์ผายมือไปทางเพื่อนร่วมรุ่น

“อ้อ ๆ ลูกชายของอนงค์ใช่ไหม”

“ขอรับ” ไฟยิ้มพลางผงกหัว

“ดี ๆ พ่อเธอเป็นคนเก่ง น่านับถือ”

“เป็นพระกรุณาขอรับ” ไฟยกมือไหว้อีกรอบ

“ส่วนคนนี้สิงห์ สหัส อัครเดช”

“คนนี้.. เห็นนนท์เล่าให้ฟังว่าเป็นถึงนักเรียนดีเด่นของรุ่นหนิ ใช่ไหม”

สิงห์คลี่ยิ้ม “ขอรับกระหม่อม”

“มีแต่เพื่อนดี ๆ แบบนี้ไม่เห็นพามาหาพ่อบ้างล่ะชายนนท์”

“เรียนที่นั่นแทบไม่ได้ออกนอกรั้ว กลับวังมาช่วงที่ทำงานที่พระนคร สิงห์ก็ดันมีงานต้องทำจึงไม่ได้มาทูลเด็จพ่อขอรับ”

“น่าเสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไรในเมื่อเจ้าตัวมาอยู่ที่นี่แล้ว ฮ่ะ ๆ” หัวเราะพอเป็นพิธีหม่อมสร้อยก็เอ่ยถามขึ้นมา

“ทานอะไรกันมาหรือยังล่ะ”

“ยังเลยขอรับ” สิงห์ตอบให้

“เดี๋ยวแม่ไปดูในครัวก่อนนะ เพื่อนลูกชายมาทานด้วยทั้งที ต้องไปดูเสียหน่อย สั่งแม่ครัวไว้แล้วแต่ก็ยังกลัว ๆ อยู่” เธอว่าพลางหัวเราะเล็กน้อย

สิงห์กับไฟผงกหัวเป็นการขอบคุณเธอจึงลุกออกไป

“นี่บ้านหลังนั้นน่ะที่จริงเป็นของชายภัส พอรู้ว่ามีเพื่อนของชายนนท์กำลังหาบ้านนะ เจ้าตัวก็รีบบอกน้องให้ใช้บ้านหลังนั้นทันที”

ท่านชายภัสที่เงียบมานานยิ้มบาง ๆ “ถึงพี่กลับวังพี่ก็อยู่แต่ที่วัง ยังมีบ้านอีกหลังที่ซื้อไว้สำหรับเรือนหอ พี่เลยคิดว่าให้พวกเรามาอยู่ที่บ้านนั้นดีกว่าจะได้ไม่ต้องหาให้ลำบาก”

“เป็นพระกรุณาอย่างยิ่ง ต้องรบกวนท่านชายภัสเสียแล้ว”

“ไม่เป็นไร เป็นถึงเพื่อนของชายนนท์ก็เหมือนน้องพี่นั่นแหละ”

“นั่นสิ ชายนนท์น่ะกับเพื่อนกับฝูงไม่ค่อยจะมีหรอก เอาแต่นิ่งเงียบไม่เข้าสังคม พอรู้ว่ามีเพื่อนสนิทก็ตกใจแทบแย่”

“เด็จพ่อ..” นนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ตอนเรียนอยู่ท่านชายนนท์ก็ไม่ค่อยตรัสขอรับ แต่ท่านก็ยังตรัสกับกระหม่อมได้และให้คำปรึกษาในหลาย ๆ เรื่องได้ดีทีเดียว จนกระหม่อมนับถือท่านชายเป็นเสมือนเพื่อนสนิทตั้งแต่ได้พูดคุยปรึกษากันน่ะขอรับ”

“พูดเกินไปแล้วสิงห์” นนท์ขมวดคิ้วอีกคราแต่ก็อดยิ้มไม่ได้

“พอได้ยินอย่างนั้นก็ชื่นใจหน่อย คิดว่าจะเป็นหินผาไม่ไหวติ่งต่อสิ่งใดไปเสียแล้ว”

“หินผาแน่หรือ” ท่านชายภัสหรี่ตามองน้องชาย

สิงห์ที่มองอยู่สงสัยเล็กน้อยแต่ก็รอให้นนท์พูดเอง

แต่ก่อนจะได้พูดอะไรมากกว่านั้นอาหารมื้อค่ำก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยจึงต้องลุกไปที่โต๊ะอาหาร

“โต๊ะยาวเสียจริง” ไฟพึมพำเบา ๆ แต่คนรักก็ได้ยินจึงส่งสายตาปรามเล็กน้อย

พระองค์วายุภักษ์นั่งลงหัวโต๊ะมีหม่อมสร้อยกับท่านชายภัสที่นั่งฝั่งขวามือของเจ้าบ้าน ส่วนฝั่งซ้ายมือคือท่านชายนนท์ต่อด้วยสิงห์และไฟ

“ทานตามสบายนะ” พระองค์วายุภักษ์ผายมือทุกคนจึงรับประทานอาหาร นนท์มองเพื่อนทั้งสองที่คงเกร็งกันจนไม่กล้าเอื้อมไปตักของไกล ๆ ได้แต่กินไม่กี่อย่างที่วางตรงหน้าเท่านั้น

“ไม่อร่อยหรือ” หม่อมสร้อยถาม

“อร่อยขอรับ อร่อยมากเลย”

“ทั้งสองเป็นคนขี้เกรงใจน่ะขอรับหม่อมแม่” นนท์ตอบให้

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก มานี่มาแม่ตักให้”

“ไม่เป็นไรขอรับหม่อมสร้อย” สิงห์ยกมือเป็นพัลวันแต่ก็ต้องยกจานให้หม่อมสร้อยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ส่วนไฟนั้นที่ขำคนรักในใจได้ไม่นานก็ต้องนั่งตัวเกร็งด้วยที่ท่านชายภัสตักอาหารให้ ถึงจะกลัวว่าการยกจานรับจะเสียมารยาทแต่ดูไม่มีใครถือเรื่องนี้แค่อยากให้เพื่อนสนิทชายนนท์ได้ทานเยอะ ๆ

“เห็นว่าเป็นครูสอนยูโดกับเรื่องปืนด้วยใช่ไหม”

“ขอรับ เพราะได้พระราชทานยศสิบตรี การสอนยูโดและสอนเรื่องอาวุธปืนก็ถือว่าเป็นงานราชการขอรับ” สิงห์ตอบอย่างฉะฉาน ถึงเรื่องทานอาหารหรือเรื่องพูดคุยอาจจะติดตะกุกตะกักบ้างตามภาษาคนขี้เกรงใจและไม่รู้คำราชาศัพท์ แต่ถ้าเรื่องงานหรือเรื่องเรียนก็ตอบรวดเร็วจนพระองค์วายุภักษ์ถึงกับพยักหน้าอย่างชื่นชม

“ส่วนอีกคนสอนเรื่องมวยไทยใช่ไหม”

“ขอรับ” ไฟผงกหัวเขาเพิ่งจะได้รับเกียรติให้สอนเรื่องมวยไทยเมื่อช่วงปีที่สามหลังจากที่สิงห์ได้รับงานในการช่วยสอนเรื่องอาวุธปืน

“ชายนนท์ล่ะ ทำอะไรบ้าง”

ไฟหันมองก่อนจะตอบ “ท่านชายนนท์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านวิชาการเป็นอย่างมากรวมถึงเรื่องวางแผนนำทีมปฏิบัติการ กระหม่อมได้ท่านชายนนท์ประทานโอวาทเรื่องพวกนี้บ่อย ๆ น่ะขอรับ”

นนท์นึกแปลกใจแต่ก็เป็นเรื่องจริงเพราะหลังจากที่ไม่มีเรียนหรือฝึกอะไรช่วงเย็น ๆ เราสี่คนจะนัดกันไปอ่านหนังสือและเขาก็ช่วยไฟในบางครั้ง เพราะสิงห์นั้นไปช่วยสอนจันแล้ว คงเพราะอยากให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอาจจะทะเลาะกันแต่ก็เบาลงกว่าแต่ก่อน

“อืม ๆ” พระองค์ทรงพยักหน้าดูเหมือนนิ่ง ๆ แต่ก็รู้ว่าท่านภูมิใจในตัวลูกชายอยู่

ทานอาหารกันพออิ่มก็พากันไปนั่งที่สวนข้าง ๆ อากาศเย็นสบาย ยามสายลมพัดผ่านมีกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาให้ชื่นใจ มีน้ำชาชั้นดีร้อน ๆ และขนมไทยหลายอย่างวางไว้ให้แก้อาหารคาวโดยทั้งหมดเป็นฝีมือหม่อมสร้อย เธอนั่งคุยเพียงเล็กน้อยแล้วให้ผู้ชายเขาคุยกันต่อ

ส่วนมากที่คุยกันจะเป็นเรื่องการทำงาน การเมือง ระบบงานราชการ เรื่องสงครามโลกที่อาจเข้ามาถึงไทย เรื่องเศรษฐกิจ ทว่า ส่วนมากจะเป็นพระองค์เจ้าวายุภักษ์กับสิงห์ที่พูดคุยกันมากซะส่วนใหญ่จวบจนถึงเวลาที่พระองค์เสด็จบรรทมก็ได้คุยเรื่องเสกสมรสขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“พ่ออยากให้ลูกลองคิดดูนะ” ทรงยืนขึ้นพร้อมกับตรัสกับลูกชาย ทุกคนจึงยืนขึ้นตาม

“ขอรับ” นนท์ก้มหัวก่อนที่ท่านจะเสด็จขึ้นห้องบรรทม

“ยังไม่ได้ทูลเด็จพ่อเรื่องนั้นหรือชายนนท์”

“ยังเลยขอรับ นนท์ไม่กล้าทูลท่าน”

สิงห์กับไฟที่ยืนนิ่งเงียบได้แต่นึกสงสัยกับสิ่งที่ท่านชายทั้งสองตรัสกันแต่ก็ไม่อยากพูดอะไร

“เฮ้อ เรื่องนี้คงยากเพราะเด็จพ่อเองก็มีพระสัญญากับเพื่อนร่วมรบว่าหากมีลูกอยากให้ลูกของทั้งคู่เสกสมรสกัน พี่นั้นมีภริยาอย่างหม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณซึ่งเป็นพระธิดาของพระองค์เจ้าปัทธิศรที่เป็นสหายเก่าของเด็จพ่อเช่นกัน ของพี่แตกต่างตรงที่พี่กับหญิงรวีนั้นมีใจให้กันอยู่แล้ว ส่วนของชายนนท์นั้น... ไม่มีเลย”

ไฟออกจะปวดหัวกับคำราชาศัพท์แต่ก็พอเข้าใจบ้าง สิงห์เองที่เงียบฟังไม่มีท่าทีใดใดชั่วความคิดอยากจะเอ่ยถามเพื่อนแต่ก็ต้องเงียบไว้ก่อน เขารู้ดีว่าที่ท่านชายภัสตรัสขึ้นมาโดยยังมีพวกเขาอยู่คงอยากให้รู้และอยากให้พูดกับชายนนท์ที่ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ด้วยสายตาและคำพูดที่เหมือนคุยกับชายนนท์แต่เนื้อนัยมิใช่

“ความรักของเลือดเนื้อเชื้อไขที่เป็นเจ้า มันยากเพียงนี้ จะทำอะไรตัดสินใจยังไงต้องมองอนาคตไว้ด้วยนะ” ท่านชายภัสตรัสเพียงเท่านั้นก็ตบบ่าน้องชายปุ ๆ แล้วคุยกับสิงห์และไฟอีกนิดหน่อยถึงจะลุกออกไปปล่อยให้เพื่อน ๆ น้องชายคุยกัน

“อยากจะเล่าไหม” สิงห์ถามพลางจับบ่าเพื่อนสนิทที่นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน

“ฉัน...” นนท์ถอนหายใจก่อนจะมองไปที่ท้องฟ้าที่มืดมิดไม่มีแม้แต่ดวงดาวให้เชยชมนอกจากดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว...ไม่เต็มดวง “ฉันมีคนรักแล้ว”

“ห๊ะ” ไฟอ้าปากค้างส่วนสิงห์ทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้

“เธอชื่อปิ่น เป็นครูสอนเจ้าเฟื้อง ฉันเจอปิ่นเมื่อตอนที่ออกมาทำงานข้างนอก ตอนนั้นปิ่นทักเฟื้องที่มาช่วยฉันถือของที่ตลาด เราเลยได้คุยกัน”

สิงห์ร้องอ๋อในใจเพราะมีอยู่หลายครั้งที่นนท์มาทำงานที่พระนครทุกทีที่กลับมาจากที่นั่นก็เอาแต่ยิ้มกับกระดาษบางอย่างในมือ บ้างก็ดูรูปใครไม่รู้ บ้างก็เขียนจดหมาย.. ตอนแรกคิดว่าส่งกลับที่วังแต่พอเผลอไปเห็นข้อความด้านในที่หวานหยดย้อยเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่านนท์กำลังมีความรักแต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เพื่อนเครียดเพราะความรักที่มิอาจเข้ากันได้ คนหนึ่งเป็นเพียงครูสาว อีกคนเป็นเชื้อเจ้า สำหรับคนในวังคงคิดว่าไม่เหมาะสม

“ลองทูลพระองค์สักหน่อยไหม ทูลให้ท่านได้เข้าใจ ว่าใจนนท์รักใคร”

“ไม่ได้ พระสัญญาสำคัญกับเด็จพ่อเป็นอย่างมาก”

“ฉันคงแนะนำอะไรมากไม่ได้ แต่ก็อยากให้ทูลกับพระองค์” สิงห์คิดหนักแทนเพื่อน พูดเหมือนง่ายแต่เขารู้ว่ามันยากสำหรับนนท์

“หรือไม่ก็แสดงอะไรสักอย่างให้พระองค์ได้รู้ว่านายรักคนนี้จริง ๆ และพร้อมจะดูแลได้ทั้งครอบครัวและคนรัก” ไฟเปรยขึ้น

“ปิ่นเธอเป็นคนยังไง” สิงห์ถามต่อ

นนท์นึกถึงคนรัก “นิสัยดี เห็นอกเห็นใจคนอื่นเสมอ พูดจาไพเราะแต่ทุกคำนั้นทั้งหนักแน่นไม่เคยผิดเพี้ยน และมักจะคิดในสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงอยู่เรื่อย” เขายิ้มบาง ๆ จำได้ว่ากว่าเธอจะรับรักก็รอเป็นปีเพราะเธอเอาแต่บอกว่าไม่อาจเอื้อมแขนมาแตะฟ้าได้ ไหนจะเรื่องเสกสมรส เธอก็พูดอย่างตรง ๆ เลยว่าจะเป็นคนถอยและไม่ยุ่งกับเขาอีก ไม่น่าเชื่อว่าชายนนท์ที่เป็นหินผา ชายนนท์ที่ไม่หวั่นต่อสิ่งใดถึงได้เคยดื่มเหล้าหนักหลายหนเพราะน้อยใจสาวเจ้า

สิงห์มองเพื่อนอย่างนึกตกใจ นนท์เป็นคนยิ้มยากแต่ถึงกับมีคนทำให้ยิ้มได้เพียงแค่นึกถึงแค่นี้ก็ถือว่านนท์ยอมไปทั้งใจแล้ว

“ไม่ว่าจะความรักแบบไหนก็มีอุปสรรคเสมอเลยนะ” สิงห์ยิ้มฝืนหันมองคนรักข้างกายที่ดวงตาไม่ไหวหวั่นเพราะพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง ไอ้เขาก็นึกโล่งใจ...แต่พอหันมองเพื่อนที่ดวงตาสั่นระริกก็นึกห่วง

“ฉันกับสิงห์ก็มีอุปสรรคเรื่องนี้แต่เราตัดสินใจว่าจะเรียนให้จบและทำงานก่อนสักปีสองปีถึงจะบอกพ่อกับแม่” นนท์เงยหน้ามองทันทีเพิ่งเคยรู้เรื่องนี้ เพราะไม่คิดว่าทั้งคู่จะตัดสินใจกันแล้ว “นายคงรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน ที่ฉันพูดไม่ได้จะบอกว่าอุปสรรคของฉันมันมากกว่าหรือน้อยกว่า ฉันพูดเพราะอยากให้นายรู้ว่าหนทางมันมีหลายอย่างที่เลือกได้ ก็ใช่ที่คิดว่ามันคงไม่มีหรอก มันยากและมันไม่ได้ง่าย แต่ถ้าหากไม่ลองดูก็ไม่รู้”

ไฟพูดอย่างสบาย ๆ แต่ดูก็รู้ว่าคำพูดของไฟน่ะไม่ต่างจากการกระทำ ใบหน้านั้นคือใบหน้าของคนที่ตัดสินใจมาแล้วและพร้อมจะทำทุกอย่างที่ทำได้

คนที่เขาเคยไม่สนใจ คนที่เขาไม่เคยอยากเสวนาด้วยช่วงแรก ๆ กลับทำให้เขานึกชื่นชมหัวใจที่ยึดมั่นของคนคนนี้

“ถ้าเกิดคิดคนเดียวไม่ไหว ก็ยังมีอีกคนนะ” ไฟลุกขึ้นมาจับบ่าอีกข้าง

 

 

“ปัญหาชีวิตคู่ก็ต้องช่วยกันคิดและแก้ไขสิ...”





จบบทที่ ๘
---------------------------------------------------------------------
*ขอชี้แจงเรื่องที่ห่างหายไปนานกว่าจะอัพที
ช่วงนี้เราทั้งเรียนและทำงานไปด้วยเลยไม่ค่อยมีเวลามาแต่งสักเท่าไหร่
ต้องขอโทษคุณนักอ่านทุกคนจริงๆนะคะที่ปล่อยให้รอนานกัน ฮือออ
เราจะพยายามหาเวลาว่างมาต่อให้จนจบ
เพราะนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเรา เราอยากให้มันจบสมบูรณ์ตามที่เรากำหนดไว้
อยากให้เรื่องของไฟและสิงห์ดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ
ต้องขอโทษอีกครั้งจริงๆนะคะที่ดองไว้นานขนาดนี้
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะ


* แล้วก็ที่เคยเกริ่นไว้ว่าถ้าถึงตอนปัจจุบันแล้วเนื้อเรื่องจะเข้มข้นกว่านี้ รออีกนิดนะคะย้อนวัยกำลังจะหมดแล้ว
ที่เราย้อนให้ดูเพราะทุกตอนมีอะไรซ่อนอยู่นะคะเป็นสิ่งที่ดำเนินเนื้อเรื่องทั้งปัจจุบันและอนาคตได้
มันอาจจะย้อนหลายตอนสักหน่อยแต่ช่วยรออีกนิดนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๘
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 03-06-2019 00:32:28
สนุกมากค่ะ มีปมมีเรื่องราวหลายอย่างให้ชวนติดตาม  ออกแนวเข้มข้นแบบนี้ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ ยกนิ้วให้เลย
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๘
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 03-06-2019 11:36:06
ติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๙
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 12-06-2019 18:46:49
บทที่ ๙

ย้อนวัย : ต่างแยกย้าย

 

กรมตำรวจนครบาล ปี ๒๔๗๗

การทำงานในกรมตำรวจนั้นเริ่มเข้าอาทิตย์ที่สองไปแล้วแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยหายไปหลังจากที่เข้ามาทำงานก็คือคำดูถูกที่ส่งผ่านไปให้ลูกโจรชั่วอย่างพันธ์ อัครเดช ที่ต่างคนต่างบอกว่าการเข้ามาของสิงห์ไม่ใช่เพราะความสามารถ ทุกครั้งที่เจอคนพูดแบบนี้ไฟแทบจะกระชากคอเสื้อมาต่อยสักที แต่สิงห์กลับไม่สนใจและบากบั่นทำงานต่อไปเหมือนคนพวกนั้นไม่ได้พูดถึงตัวเอง

“ปากพล่อยขนาดนี้มันน่าโดนนัก” ไฟฉุนเฉียวกระแทกแก้วกาแฟดำจนน้ำกระฉอก ต้องเดือดร้อนคนรักหยิบผ้ามาซับมือให้

ร้อนไหมนั่น

“ทำไมมึงยังเฉยได้อยู่วะไอ้สิงห์” จันที่นั่งข้าง ๆ เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

“มันก็ไม่แปลกถ้าพวกเขาจะพูดแบบนี้ ถึงกูจะเรียนมาด้วยตัวเองและเข้ามาโดยใสสะอาด แต่ขึ้นชื่อว่าลูกของโจรทุกคนก็ต้องไม่ไว้ใจอยู่แล้ว”

“แล้วมันยังไงล่ะ มาพูดปาว ๆ ให้ได้ยินแบบนี้มันก็สมควรจะโดนสักหมัดก็ดี” ไฟกำมือแน่น ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่เคยได้ต่อยใครเพราะสิงห์จะห้ามตลอด บางทีก็ต้องระงับอารมณ์ด้วยตัวเองเพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่วู่วาม

“ใจเย็น ๆ อยู่ไปสักพักเดี๋ยวคนเขาก็เลิกพูดเองนั่นแหละ” สิงห์พูดยิ้ม ๆ แม้ในใจจะเกิดรอยแผลขึ้นก็ตาม

“ก็ดูแล้วกันถ้าผ่านไปอีกอาทิตย์ยังไม่เบาลงกูจะสั่งสอนให้” จันเปรยขึ้นเพราะโมโหแทนเพื่อน

“พอเลยทั้งคู่น่ะ” สิงห์ถอนหายใจ นนท์ออกไปปฏิบัติหน้าที่เลยไม่มีใครช่วยพูด “ปล่อยไปเถอะ ถ้ายิ่งสนใจดิ้นไปกับคำพวกนั้นเดี๋ยวจะคิดว่าเรายอมรับอีก”

“อะไรที่ไม่ใช่ก็ควรปกป้องตัวเองบ้างสิสิงห์ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแบบนี้”

“ไฟ…” สิงห์จับไหล่คนรัก

“ไม่ต้องสั่งสอนก็ได้ แค่พูดสักนิด ให้รู้ไปเลยว่าสิงห์เข้ามาเป็นตำรวจด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่อย่างที่พวกมันพูด”

สิงห์ยิ้มรับ พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจถึงจะไม่รู้ว่าตนจะทำตามที่คนรักบอกหรือเปล่า

“หมวดสิงห์ครับ หมวด ๆ ๆ” นายตำรวจคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาทางร้านกาแฟโบราณข้างกรมตำรวจ แกหอบหายใจแรงจนจันที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องยกมือปราม

“ค่อย ๆ พูดนะจ่านิด”

“ครับ...” จ่านิดพรูลมหายใจก่อนจะออกปากพูด “มีข่าวมาว่านายตำรวจที่ส่งไปจับตาดูเสี่ยเผิงที่เยาวราชถูกฆ่าตายครับ”

“เริ่มแล้วหรือ” สิงห์ลุกขึ้นทันทีไม่รีรอให้เสียเวลาก็รีบหยิบหมวกมาใส่ “จ่านิดไปเตรียมรถมาแล้วก็บอกให้จ่าเฉิ่มกับจ่าตาลขนอาวุธเท่าที่มีไปกับผมด้วย”

“ครับ!” จ่านิดตะเบ๊ะและวิ่งกลับไป สิงห์จึงจะตามไปด้วยแต่ก็ถูกจับข้อมือไว้

“ดูแลตัวเองด้วย” ไฟบอกเพียงเท่านั้นแต่ก็ถือว่าได้กำลังใจที่ดี สิงห์พยักหน้าก่อนจะเดินออกไป

เห็นนายตำรวจที่ถูกสั่งต่างวิ่งลงมาพร้อมกับอาวุธปืน สิงห์นั่งข้างคนขับตรวจสอบกระสุนกับปืนลูกโม่ตัวเองไปพลาง ดูก็รู้แล้วว่าเตรียมพร้อมจัดการเสี่ยเผิง โดยที่มีคนน้อยนิดคอยติดตาม

เพราะคนที่ยอมรับในตัวสิงห์มีเพียงแค่นั้น...

ไฟมองอย่างนึกห่วงแต่ตนเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ โจรมันชุกชุมถึงขนาดที่ว่านักเรียนนายร้อยทำการต้องออกปฏิบัติหน้าที่ทันที ไม่แปลกหากเห็นว่าทุกวันนี้ทั้งสิงห์ทั้งนนท์ออกไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอกและเสี่ยงอันตรายเพราะทั้งคู่ก็เคยออกมาทำงานในฐานะนายสิบจึงรู้อะไรเยอะพอควร

ส่วนทั้งเขาและจันนั้นยังต้องทำแต่ในกรมเท่านั้น จะออกไปทีก็ต้องออกไปพร้อมกับคนตำแหน่งโตกว่าและผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน

“ถ้างั้นกูไปหาสารวัตรก่อน เดี๋ยวไว้เจอกัน” จันลุกขึ้นไฟจึงผงกหัวแล้วลุกออกบ้างเพราะตนก็ต้องไปทำงานของตัวเอง

แต่เดินแยกไปทางห้องทำงานของตัวเองได้ไม่นานก็ต้องพบกับท่านรองอธิบดีวารินที่ช่วยแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างให้ตั้งแต่พวกเราเข้ามาที่นี่ ไฟตะเบ๊ะให้ท่าน

“เป็นยังไงบ้างล่ะ มีติดขัดอะไรบ้างไหม”

“ไม่มีขอรับ เพียงแต่กระผมต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย”

“ดีแล้ว งานพวกนี้มันต้องลองทำจริง ๆ ถึงจะเข้าใจ แต่ว่ามันก็สามารถปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละสถานการณ์มันยากตรงนี้นี่แหละ” ท่านว่าแล้วหันมองนอกหน้าต่าง “คนเก่า ๆ อยู่ไม่นานนักหรอก คนใหม่ ๆ ก็ต้องเข้ามาทำแทนอยู่แล้ว” ก่อนจะหันกลับมามองไฟด้วยใบหน้าจริงจัง “ฉันหวังว่านายจะเป็นตำรวจใหม่ที่ดีและเป็นตำรวจตัวอย่างให้แก่คนรุ่นต่อไปด้วยนะ”

“ขอรับ” ไฟก้มหัวรู้สึกชื่นชมท่านวารินอย่างถึงที่สุด

“ตั้งใจทำงานล่ะ” ท่านตบบ่าก่อนจะเดินออกไป

ไฟได้แต่มองตามพลางยิ้มบาง ๆ

แต่พอนึกถึงคนที่ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเร่งด่วนโดยไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรปากกระจับก็ค่อย ๆ หุบลง ความนึกห่วงถาโถมเข้ามาจนไม่มีอันจะทำอะไร ขนาดมานั่งเปิดแฟ้มคดีที่กำลังทำอยู่ก็เหม่อลอยซะคนที่นั่งใกล้ ๆ สะกิดอยู่หลายรอบ

ไฟผงกหัวเป็นเชิงขอโทษปิดแฟ้มคดีลงแล้วยื่นให้นายตำรวจร่วมงานที่มาสะกิดขอแฟ้มคดีไปดูต่อ มือหนาลูบใบหน้าเป็นพัก ๆ เพื่อจะเรียกสติกลับคืน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้สิงห์เป็นยังไงบ้าง มีกันแค่สามสี่คนจะเอาอะไรไปสู้กับคนเป็นสิบกัน

ผ่านไปชั่วโมงกว่าทั้งกรมตำรวจก็ดูจะวุ่นวายกันยกใหญ่ ไฟที่กำลังใช้เครื่องพิมพ์ดีดพิมพ์งานเงยหน้ามองนอกห้องเป็นระยะ ตำรวจที่นี่มีเยอะพอควรไม่แปลกหากเจอตำรวจนายอื่นเดินผ่านห้องบ่อย ๆ แต่แบบนี้ต้องมีเรื่องแน่ ๆ ถึงขนาดที่ว่าทั้งเสียงดังและต่างคนต่างวิ่งพกหมวกพกอาวุธไปด้วย

“ข้างนอกมีอะไรหรือครับหมวดอิฐ” ไฟเอ่ยถามหัวหน้าทีมของเขาที่เดินเข้ามาก่อนจะเอากระดาษออกจากเครื่องหลังจากพิมพ์เสร็จแล้ว

“ก่อนหน้านี้มีการปะทะกันของตำรวจกับเสี่ยเผิงที่เยาวราช ตอนนี้นายตำรวจบาดเจ็บสามราย เราต้องการกำลังคนไปเพิ่มเพราะเสี่ยเผิงคิดจะบุกหมู่บ้านใกล้ ๆ นั้น ดีที่ตำรวจสี่นายที่ออกไปก่อนหน้านี้ ดักไว้ได้เลยช่วยเหลือชาวบ้านไว้ทัน” หมวดอิฐพูดเพียงเท่านั้นไฟก็ลุกขึ้นทันที

“ผมขอไปที่เกิดเหตุด้วยนะครับ”

“อืม ไปสิ ฉันกำลังเข้ามาบอกให้พวกนายไปด้วยกัน” หมวดอิฐพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปก่อน ไฟไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปพร้อมกับสวมหมวกไปด้วย

นายตำรวจที่ไปมีอยู่สามขบวนรถ โดยไฟอยู่ขบวนรถแรกกับทีมตัวเองมือหนากำปืนลูกซองแน่น ทุกคนเอาอาวุธปืนอื่น ๆ ไปเพราะแค่ปืนพกอาจไม่ไหว

เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังแว่วให้ได้ยินเห็นคนนอนเกลื่อนกลาดดูชุดก็รู้แล้วว่ามีแต่พวกเชื้อสายจีนที่เป็นลูกน้องของเสี่ยเผิง

“ทางพวกเราจะไปช่วยหมวดสิงห์กัน ส่วนอีกสองขบวนรถจะไปจัดการลูกน้องเสี่ยเผิงที่อยู่บ้านมันแล้วก็ไปดูชาวบ้านที่อยู่ที่นี่ด้วย” หมวดอิฐพูดเพียงเท่านั้นก็สั่งให้ลูกน้องในทีมวิ่งไปทางเสียงปืนที่ยิงปะทะกันอยู่

“เฮ้ย ตำรวจมาเพิ่ม!” เสียงของคนในนั้นดังขึ้นพวกมันก็หันมาปะทะกับฝั่งของตำรวจที่มาเพิ่มทันที ไฟรีบหลบข้างกำแพง หมวดอิฐจึงส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องทีมสองคนไปดักพวกมันอีกทางแล้วก็หันมาทางเขาและตำรวจอีกนายที่อยู่ใกล้ ๆ ชี้ไปทางตำรวจสองสามคนที่สภาพไม่ต่างจากการผ่านสงคราม ไฟพยักหน้าเป็นการเข้าใจเพราะพวกเขาต้องไปช่วยเหลือคนพวกนั้น

ไฟมองหาคนรักก่อนจะพบว่าสิงห์กำลังยิงพวกลูกน้องเสี่ยเผิงใบหน้านั้นเปื้อนฝุ่นเสื้อผ้าเปื้อนเลือดข้างกายนั้นมีนายตำรวจคนหนึ่งคอยสับเปลี่ยนกระสุนปืนให้ มีทั้งปืนลูกซอง ไรเฟิลและปืนลูกโม่

“ฉันจะยิงสกัดไว้” หมวดอิฐบอกก่อนจะหยิบปืนกลไปยิงพร้อมกับตำรวจอีกคน ไฟก็ยิงสวนเหมือนกันเพื่อไม่ให้มันลุกขึ้นมายิงได้

“สิงห์” ไฟเรียกเสียงดังวิ่งเข้าไปหลบที่เดียวกับคนรักทันที

“วิ่งมาแบบนี้บ้ากันแล้วแน่ ๆ” พอมาถึงสิงห์ก็บ่นทันทีใบหน้านั้นถึงจะมีความเคร่งเครียดเพราะลูกน้องเสี่ยเผิงตรงนี้เยอะเกินไป แต่ก็ดูไม่ทุกข์ร้อนมากนัก

“ใครกันแน่ที่บ้า! พวกมันเยอะขนาดนี้ยังจะออกมากันแค่สี่คน” ไฟตะคอกเสียงดังแข่งกับเสียงปืนไม่วายยังคอยยิงพวกมันไปด้วย

“ใครว่าสี่คน” สิงห์ยิ้มมุมปากเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากทางที่ตำรวจขบวนรถอื่น ๆ ไป

“เสี่ย!” พวกมันลุกลี้ลุกลนทำตัวไม่ถูกในโอกาสนั้นสิงห์จึงพยักหน้ากับนายตำรวจทีมตัวเองแล้วส่งสัญญาณให้หมวดอิฐชี้ไปทางพวกลูกน้องเสี่ยเผิง

ใช้โอกาสนั้นยิงพวกมัน

“ตอนนี้แหละ” สิงห์สั่งก่อนจะหยิบปืนกลขึ้นมายิงพร้อมกับนายตำรวจคนอื่นที่มีอาวุธพร้อมขึ้นมายิง ไฟก็ไม่รีรอถึงจะไม่ค่อยเข้าใจที่คนรักพูดแต่ก็ใช้ลูกซองยิงพวกมัน

“ตอนนี้หัวหน้าพวกมึงตายแล้ว! ถ้าไม่อยากตายก็เดินออกมามอบตัวแล้วโยนอาวุธทิ้งซะ!” สิงห์ตะโกนสั่งเสียงแข็ง พวกมันไม่ได้ยิงสวนมาร่วมนาทีแล้ว

“กูให้เวลาแค่สิบวิถ้าไม่เดินออกมามอบตัวกูยิงไม่เลี้ยงแน่” สิงห์จ้องเขม็งมือจับปืนแน่นเตรียมพร้อมยิงหากใครตุกติก

“อั๊วยอมแล้ว ๆ” ลูกน้องคนหนึ่งรีบปาอาวุธทิ้งแล้วเดินยกมือออกมา คนอื่น ๆ ถึงตามออกมา

“ปาอาวุธมาทางนี้แล้วนั่งคุกเข่าตรงนั้นอย่าขยับ” หมวดอิฐออกไปจ่อปืนขู่ พวกมันจึงทำตาม

ไม่นานนักก็มีนายตำรวจที่ไปอีกทางวิ่งกันมาสี่ห้าคน

“เป็นยังไงบ้างครับหมวดอิฐ”

“พวกมันยอมแล้วล่ะ แล้วทางนั้นเกิดอะไรขึ้น”

“คือว่าชาวบ้านที่อยู่แถวนี้ไม่มีเลยสักคนครับ ผมไปเจอจ่านิดกับหมวดกล้าที่จัดการพวกลูกน้องเสี่ยเผิงและหมวดกล้าเป็นคนตั้งระเบิดไว้ครับ เสี่ยเผิงถูกจัดการไปแล้วพร้อมกับแรงระเบิดครับ ส่วนของกลางถูกขนออกมาไว้หมดแล้ว”

“หมวดกล้าไม่ได้ตายหรอกหรือ” หมวดอิฐขมวดคิ้ว

“ยังครับ หมวดกล้าถูกยิงก็จริงแต่แค่เฉียดครับหลังจากนั้นก็ตกน้ำพวกมันจึงคิดว่าหมวดกล้าตายแล้ว”

“อืม ขอบคุณมากแล้วก็ฝากจัดการพวกนี้ด้วย”

“ครับ!!” นายตำรวจรีบเข้าไปจับพวกลูกน้องที่เหลือก่อนที่หมวดอิฐจะเดินไปทางหมวดสิงห์และหมวดไฟที่ยืนจ้องหน้ากันเหมือนทะเลาะกันก็ไม่ปราย

“มันเสี่ยงอันตรายก็จริงแต่ผลลัพธ์มันก็ดีไม่ใช่หรือไง” สิงห์อธิบายให้คนรักฟังเพราะไฟห่วงจนกลายมาเป็นทะเลาะกันเสียได้

“โดยเอาชีวิตตัวเองมาเป็นหมากให้พวกมันรุมเนี่ยนะ แล้วที่กลับบ้านดึกก็เพราะแบบนี้ใช่ไหม” ไฟมือไม้ชี้มั่วซั่วด้วยความโกรธ

“เอาล่ะ ๆ ทะเลาะอะไรกันน่ะ ตอนนี้ก็ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” หมวดอิฐมองทั้งคู่สลับกันนึกชื่นชมที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ห่วงกันขนาดนี้...

ไฟยังคงคุกรุ่นแต่ก็ต้องพรูลมหายใจยิ่งเห็นแผลตามเนื้อตัวคนรักก็ไม่อยากพูดอะไรมากก่อนจะเดินออกไป

“ไฟอยู่ในทีมคงรับอารมณ์หนักนะครับหมวด” สิงห์หันมายิ้มให้หมวดอิฐที่อายุมากกว่าและอยู่มาก่อนนานแล้ว

“ไม่หรอก เขาเป็นลูกทีมที่ดีคนหนึ่งเลยนะ” หมวดอิฐยิ้มก่อนจะร้องอ้อ “แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ล่ะหมวด”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้สิงห์ได้รับมอบหมายให้จับตาดูเสี่ยเผิงเป็นคำสั่งส่วนตัวมากจากท่านอธิบดีหลวงกฤษติภพ สิงห์เลยเป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการกวาดล้างพวกเสี่ยเผิง โดยให้หมวดกล้าไปเป็นสายด้วยการปลอมตัวและยังได้รับความช่วยเหลือจากคนภายในเพราะหมวดกล้าได้ช่วยเหลือและรู้จักกับคนภายในอยู่เยอะ

หลังจากนั้นไม่นานก็รู้แหล่งเก็บฝิ่นของเสี่ยเผิงและลูกน้องของเสี่ยเผิงว่ามีกี่คน หลังจากนั้นก็จะจัดฉากเป็นว่ากล้าถูกจับได้และถูกยิงแต่แท้จริงแล้วคนยิงคือคนภายในที่สิงห์ขอให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้คนในทีมรู้แค่จ่านิดเพื่อให้ตบตาพวกมันได้

หมวดกล้าถูกยิงไปอาทิตย์หนึ่งเพื่อจะรักษาตัวและกลับมาคุยกับสิงห์ ในวันนั้นคนภายในที่เป็นสายให้แทนก็บอกว่าเสี่ยเผิงกำลังจะบุกหมู่บ้านใกล้ ๆ เพื่อจะเพิ่มพื้นที่ตัวเองในวันนี้

สิงห์เลยเรียกรวมตัวคนในทีมบอกแผนทั้งหมดทั้งเก่าและใหม่ให้คนในทีม แผนใหม่คือให้สายภายในและหมวดกล้าขนของกลางออกไปก่อนรวมถึงบอกชาวบ้านในละแวกนั้นไปด้วย เมื่อคืนนั้นพวกมันจัดงานเลี้ยงหลังจากที่ขายฝิ่นได้ดิบได้ดีเพราะเสี่ยเผิงมันจะอารมณ์ดีมากหากขายของได้และจัดงานเลี้ยงเสมอ

ที่นั่นจึงเสียงดังไปด้วยเสียงดนตรีจึงไม่รู้และไม่ได้ยินว่าสิงห์และคนในทีมไปช่วยชาวบ้านออกมาและก็ตามด้วยขนของกลางออกมา ไม่แปลกที่ไฟโกรธเพราะเมื่อคืนเขากลับบ้านเกือบเช้า

ทุกอย่างเตรียมมาเสร็จเรียบร้อยสิงห์จึงบอกให้จ่านิดมาบอกว่าหมวดกล้าถูกยิงตายแทนการบอกว่าที่จริงแล้วหมวดกล้าติดตั้งระเบิดเสร็จแล้วต่างหาก ทีมสิงห์จึงเตรียมบุกแล้วให้จ่านิดเปลี่ยนเสื้อผ้าลงจากรถไปก่อนเพื่อจะได้ไปหาหมวดกล้ากับสายภายใน จัดการลูกน้องเสี่ยเผิงที่คอยคุ้มครองมันในบ้านแต่ก็จัดการง่ายดายเพราะแต่ละคนเมายังไม่สร่างดี ส่วนสิงห์และนายตำรวจอีกสองคนมาเป็นตัวหมากที่เอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อให้พวกมันตามพวกเขามาเยอะ ๆ

ที่จริงพวกมันที่ตามมามีเกือบสิบกว่าคนสำหรับสิงห์คงจัดการได้ไม่ยากแต่เพราะต้องยื้อเวลาไว้รอให้ได้ยินเสียงระเบิดถึงจะเอาจริง แล้วก็คิดไว้แล้วว่าต้องมีคนตามมาช่วยเพราะแจ้งท่านอธิบดีไว้แล้วว่าจะให้นายตำรวจในกรมออกมาเพื่อจะได้ขนของกลางและดูเสริมว่ามีชาวบ้านหลงเหลือไหม เพราะทีมเขาไม่กี่คนคงดูไม่ไหว

อีกอย่างพวกมันยังไม่เตรียมตัวจะไปบุกจึงสกัดไว้ทันเพราะหัวหน้ามันยังนอนเมาอยู่เลยส่วนลูกน้องที่คอยคุ้มครองก็นอนเมาไม่ต่างกันจึงง่ายต่อการจัดการพวกมันในตอนนี้

และในบ้านมันเองอาจมีเด็กและคนโตที่ถูกจับให้รับใช้โดยไม่เต็มใจ เพราะอย่างนั้นสิงห์จึงไม่อยากให้หมวดกล้ากดระเบิดในทันที จะให้เข้าไปช่วยเหลือคนพวกนั้นก่อนถึงจะกดระเบิดฆ่าไอเสี่ยเผิงโดยไม่คิดจะจับเป็น เนื่องจากมันถูกหมายหัวให้จับตายได้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้ชีวิต ท่านอธิบดีก็อนุญาตแล้วและจะรับผิดชอบด้วยตัวเองเพราะเสี่ยเผิงมันชั่วจนหาคำบรรยายความชั่วของมันไม่หวาดไม่ไหว

คนแบบนี้กฎหมายก็ไม่อาจทำอะไรได้หรอก

“ท่านอธิบดีคงไว้ใจคุณมาก ๆ ถึงสั่งงานใหญ่แบบนี้” หมวดอิฐยิ้มบาง ๆ

แต่สิงห์กลับทำเพียงหัวเราะในลำคอ “ผมว่าที่สั่งงานหนักให้ทันทีอย่างนี้ไม่น่าจะใช่เพราะไว้ใจหรอกครับ”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดอิฐก็อึ้งไปเล็กน้อยแต่พอคิดตามก็พยักหน้า “ผมคิดว่าผลงานของคุณในตอนนี้คงจะแสดงให้ท่านเห็นแล้วล่ะครับ”

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นครับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะไปตรวจดูอะไรอีกนิดหน่อยและดูอาการของลูกทีมตัวเองแต่ละคนที่สะบักสะบอม บางอย่างมันอาจง่ายสำหรับบางคนแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดว่าง่าย สิงห์ลูบบ่าลูกทีมทุกคนพูดขอบคุณซ้ำ ๆ ที่เสี่ยงอันตรายด้วยกัน ถึงแม้ว่าบางคนจะเข้ามาเพราะถูกท่านอธิบดีสั่งและอคติเขามาก่อนอย่างกล้าและตำรวจอีกสองนายที่อยู่กับเขาแต่พออยู่ด้วยกันนาน ๆ ก็เริ่มเปิดใจและเคารพเขากันมากขึ้น

“รีบรักษาตัวเถอะ ทั้งจ่าเฉิ่มแล้วก็จ่าตาลด้วย”

“โธ่หมวดครับ พวกเราแทบไม่เป็นอะไรเลยเพราะหมวดจัดการเองหมดพวกเราก็แค่ช่วยยิงสกัดบ้าง ไหนจะเอาแต่หลบแล้วเปลี่ยนกระสุนให้ไม่ได้ช่วยยิงเลยสักนิด ถ้าหมวดเป็นอะไรพวกผมคงโทษตัวเองไปจนวันตาย”

“ฮ่า ๆ จ่าอย่าคิดมาก ผมว่าก็ยังดีกว่าให้ลูกน้องต้องมาตายนะ” สิงห์ตบบ่าจ่าเฉิ่มก่อนจะเดินไปหาจ่านิดและหมวดกล้าที่เดินมาพร้อมกับสายภายในสองสามคน

“บาดเจ็บกันตรงไหนไหม” สิงห์รีบถามไถ่

“พวกเราไม่เป็นอะไรหรอกครับทางหมวดเถอะที่เอาชีวิตมาเสี่ยงแทนแบบนี้เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” จ่านิดนึกห่วง ไอ้พวกเขาก็แค่ติดตั้งระเบิดกับจัดการคนเมาเท่านั้นไม่ได้ปะทะอะไรจริงจังเท่าที่นี่

“แผลมดกัดน่ะ” สิงห์มองตามเนื้อตัวที่มีรอยแผลเล็ก ๆ น้อยจากการต่อยตีกับลูกน้องเสี่ยเผิงบางส่วนแล้วก็แผลถูกยิงเฉียด ๆ ที่ไหล่ซ้ายนอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนลูกน้องอีกสองก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก

“ยังจะทำเก่งอีก” หมวดกล้าขมวดคิ้ว “รีบทำแผลเถอะหัวหน้า ไม่อยากเห็นคนนอนซมโรงบาลเดี๋ยวก็ไม่ได้ทำงานพอดี”

สิงห์อมยิ้มบาง ๆ เห็นหมวดกล้าหันหนีก็ได้แต่หัวเราะ เป็นห่วงแต่ปากแข็งอยู่เรื่อย

“ก็ควรจะไปรักษาได้แล้ว” เสียงทุ้มดังเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะพูดอะไรสิงห์ก็ถูกดึงแขนให้เดินตาม

“ไฟใจเย็น ๆ สิ”

“ยิ้มให้มันหวานเชียวนะ แผลเผลอน่ะไม่ต้องรักษาแล้วมั้ง” ไฟหน้าขุ่นถึงจะหึงแต่ก็ไม่กล้าบีบข้อมือคนรักหรอกได้แต่จับเบา ๆ ดึงเบา ๆ เพราะเพียงแค่นั้นสิงห์ก็เดินตามอย่างว่าง่ายแล้ว

“ยิ้มหวานที่ไหนกัน” สิงห์หัวเราะ

“ยังจะหัวเราะอีก” ไฟมองเขม่นก่อนจะพาหลบมุมหลังจากเดินออกมาได้ไกลแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงร่างสูงดันคนรักให้ติดผนังก่อนจะก้มลงจูบที่กลีบปาก

“อื้อไฟ เดี๋ยวคนเห็น” สิงห์ผละหน้าหนีใช้มือดันอกคนรักไว้

ไฟยอมอ่อนลงง่าย ๆ ก้มเอาหน้าแนบลำคอพร้อมกับกดจูบเบา ๆ อย่างหวงแหน “เป็นห่วงมากเลยนะ.. รู้ไหม”

สิงห์ใจเต้นแรงอย่างไม่เคยชินสักที กอดคนรักไว้แล้วจูบที่ปลายหู “ขอโทษนะที่ทำให้ห่วงขนาดนี้”

“รู้ว่าทำคนอื่นห่วงก็เพลา ๆ ลงบ้างนะเรื่องเสี่ยงอันตรายน่ะ” ไฟบ่นผละหน้าออกมาพร้อมกับยกมือเกลี่ยฝุ่นออกจากแก้มคนตรงหน้า

“จะพยายามนะ”

“ไม่จะพยายามสิ ต้องทำ” ไฟทำหน้าดุแต่ก็หมองลงอีกครั้งที่เห็นรอยโดนยิง

“เข้าใจแล้ว”

“ไปหาหมอเถอะ มัวแต่ยิ้มให้ชายอื่นเดี๋ยวเลือดก็หมดตัวพอดี”

สิงห์หัวเราะ “ยังไม่จบอีก ใครกันแน่ที่จะทำให้เลือดสิงห์หมดตัวกันน่ะ หื้อ”

คนขี้หึงยักไหล่แล้วรีบพาคนรักไปหาหมอ ถึงแม้สิงห์จะบอกว่าเดี๋ยวไปพร้อมกับลูกน้องก็ได้ไฟก็เหมือนไม่ฟัง แต่ก็ขับรถวนกลับไปรับลูกน้องที่บาดเจ็บขึ้นไปด้วยกัน

หลังจากจบงานนี้สิงห์ก็ได้รับความชื่นชมและลงข่าวหน้าหนึ่งชื่อของหมวดสิงห์ก็ดังไปทั่วพระนคร ได้รับความไว้วางใจจากคนในกรมมากขึ้น ท่านอธิบดีเองก็เริ่มไว้ใจจากการได้คุยกับสารวัตรอนงค์ที่มาช่วยพูดเรื่องสิงห์อีกแรง

ท่านอธิบดีจะจัดแจงลูกน้องในทีมสิงห์เพิ่มแต่สิงห์ก็ขอเพียงคนเดิมเท่านั้น

จวบจนทำงานในพระนครได้ครบนักเรียนนายร้อยทำการก็ได้รับยศร้อยตำรวจตรีเต็มตัวกันทุกคน แต่หลังจากผ่านไปอีกหลายเดือนสิงห์ก็ถูกส่งให้ไปช่วยที่อ่างทองโดยการเป็นสารวัตรที่นั่น นนท์ไม่ได้ถูกย้ายไปไหนยังคงทำงานที่กรมนครบาลเหมือนเดิม ส่วนไฟและจันถูกส่งไปสุราษฎร์ฯ ด้วยกัน



มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๙ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 12-06-2019 18:49:36
ต่อจากบทที่ ๙


ปี ๒๔๗๘

เสียงคลื่นกระทบดังไปทั่วกลิ่นไอเกลือลอยเข้าแตะจมูก ชายหนุ่มในชุดธรรมดาเหมือนชาวบ้านในพื้นที่พร้อมกับหมวกสานที่ปิดหน้าไว้ยังคงกรนเสียงดังกลางเปล เด็กน้อยในพื้นที่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน หมู่บ้านนี้สงบขึ้นเยอะหลังจากได้ตำรวจดี ๆ มาอยู่

“ไอ้ไฟ! ไอ้ไฟเว้ย!” จันเท้าสะเอวมองเพื่อนสนิทที่นอนไม่สนอะไรเลยก่อนจะนึกอะไรออกก็ยกขาขึ้นแล้วถีบเข้าสีข้างของมันจนตกเปล

“โอ๊ยยย ใครวะ” ไฟหยิบหมวกสานมาสวมลุกขึ้นจ้องไอคนถีบ “คนกำลังหลับสบาย ๆ ไอ้ห่านี่”

“อ่าว ๆ ไอ้นี่ กูอุตส่าห์มาตามไปแดกข้าว พี่อนัสให้เมียทำกับข้าวไว้ให้น่ะ ถ้าไม่อยากมาก็อดไปนะเว้ย” จันบ่นอุบอิบเดินออกไปก่อน ไฟทำหน้าเซ็งแล้ววิ่งไปล็อกคอเพื่อนต่างคนต่างแกล้งกันกว่าจะถึงบ้านพี่อนัสชาวบ้านในพื้นที่ก็ยิ้มอย่างเอ็นดูตำรวจหนุ่มทั้งสองที่มาสร้างสีสันให้ที่นี่

“อ่าวมา ๆ มากินข้าว” พี่อนัสพูดภาษากลางแปร่ง ๆ เพราะถึงจะมาอยู่หลายเดือนแล้วสองตำรวจหนุ่มก็ยังไม่คุ้นชินภาษาใต้ ทุกคนจึงพูดภาษากลางบ้างใต้บ้างเล็กน้อยเวลาคุยอะไรผู้หมวดทั้งสองจะได้เข้าใจด้วย

“เนือยอย่างแรงแลยพี่” จันที่เริ่มเข้าใจจึงพูดไป

“ฮ่า ๆ เอาสิ เมียข้าทำไว้เพียบ นี่น้ำชุบ”

“อ่อน้ำพริก” จันชี้พอพี่อนัสพยักหน้าก็ดีใจใหญ่

“แหมก็ชี้ให้ดูว่าเป็นน้ำพริกใครบ้างล่ะจะไม่รู้”

“ไอ้ไฟ มึงเงียบไปเลย”

“เออจะว่าไป นี่หัวเช้ามีใครเจอไอ้ก้งบ้างไหมนิ ทุกทีมันจะไปส่งปลาที่ตลาด แต่ไม่มีใครเห็นมันเลย” พี่อนัสถามด้วยความนึกห่วงน้องชายตัวเอง

“ไม่เห็นนะพี่ ผมตื่นมาก็ออกมานอนรับลมต่อที่เปลใต้ต้นมะพร้าวตรงนู้น” ไฟบอกแล้วชี้ไปที่นอนของเขา

“เออคงเห็นแหละตื่นแล้วแทนที่จะไปตรวจอะไรสักนิดแต่เสือกมานอน” จันส่ายหัวแต่ก่อนที่เพื่อนจะเถียงอะไรต่อก็พูดขึ้น “เมื่อเช้าก็ไม่เห็นเหมือนกันพี่ ผมไปตรวจดูแถวท่าเรือแล้วก็ที่ตลาดก็ไม่เจอไอ้ก้งเลยนะพี่” เนื่องจากก้งอายุน้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อยจึงสนิทกันมากพอควร

“เฮ้อ เริ่มขวยใจมันแล้ว” ไฟกับจันหันมองหน้ากันก่อนจะก้มตักข้าวยัด ๆ ใส่ปากด้วยความเร่งรีบพร้อมกับลุกขึ้นเพื่อจะได้ไปตรวจดูที่อื่น

“พี่นัส ๆ ๆ” เสียงชาวบ้านหนุ่มเรียกมาแต่ไกลยิ่งทำให้ไฟกับจันเริ่มกังวลเพราะหน้าตาของคนนี้ดูไม่ดีเสียด้วย

“ไอ้ไหร? ฉาวมาแต่ไกลเลยนิ”

“ไอ้ก้ง ๆ ๆ”

“ไอ้ก้งมันพรื๋อ”

“ไอ้ก้ง หลังตลาด ๆ”

พี่อนัสไม่รอให้มันพูดจบเพราะมันตกใจแล้วพูดไม่รู้เรื่องจึงเดินเข้าไปในบ้านหยิบปืนลูกซองออกมา

“ผมไปด้วย” ไฟขอแล้วรีบไปที่พักหยิบอาวุธปืนไปด้วย

ทั้งตลาดคนไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่แถมยังดูว่าง ๆ เห็นคนยืนมุงข้างหลังตลาดทั้งสามคนก็เดินเข้าไปด้านในทันที

“ไอ้ก้ง!” พี่อนัสร้องเสียงหลงวิ่งเข้าไปวางปืนลงแล้วดึงตัวน้องชายตัวเองขึ้นมาตามตัวมีแผลเต็มไปหมด ใบหน้าคมเข้มนิ่งสนิทจนน่าหวั่น

“ใครมาเห็นไอ้ก้งเป็นคนแรก” จันตะโกนถามทันที

“ฉัน ๆ ฉันเอง” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความหวาดกลัวแต่ก็บริสุทธิ์เพราะมาเห็นก่อนจริง ๆ

“ได้เห็นใครน่าสงสัยไหม”

“ไม่มีจ้ะ ฉันมาถึงก็เจอพี่ก้งนอนหมดสภาพอยู่เลยตะโกนเรียกคนให้ช่วย”

“พี่อนัส” ไฟก้มมองคิ้วขมวดมุ่น

“เออ ไอ้เสือเม็ด” พี่อนัสกัดฟันกรอดก่อนจะสั่งชาวบ้านที่ตัวเองดูแลสองสามคนแบกน้องชายกลับไปที่บ้าน “หมวดช่วยที”

ไฟพยักหน้าทันทีรวมถึงจันเองก็ด้วยตำรวจหนุ่มทั้งสองจึงเดินตามพี่อนัสไปเขตของเสือเม็ดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากเพราะเขตนี้แบ่งพื้นที่ระหว่างของพี่อนัสกับเสือเม็ดโจรใต้ที่ยังไม่มีใครกำราบลงได้เพราะมีคาถาอาคม

“ไปกันแค่สามคนจะไหวหรือ” จันเอ่ยถามขึ้นมา ขนาดคนปกติเจอสี่คนก็ยังจะไม่ไหว นี่เกือบสิบคนแล้วยังมีคาถาอาคมอีก ไปถึงไม่โดนยิงตายก่อนหรือไง

“เออลืมไป ตั้งแต่มายังไม่เคยปะทะกับพวกมีของเลยไม่ได้ให้” ไฟพูดขึ้นก่อนจะควักเอากระสุนที่สักลงของออกมาสามนัดและตะกุดอีกอัน

“มึงไปเอาของพวกนี้มาจากไหนวะ กูคิดว่ามึงจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ซะอีก” จันรับตะกุดกับกระสุนมา

“สิงห์ให้มาน่ะ บอกว่าโจรใต้ของแรงก็เลยยกของพวกนี้ให้ พระอาจารย์ที่เคยสอนสิงห์ตั้งแต่เด็กท่านก็ให้มาอีกที” ไฟคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอาตะกุดตัวเองยกเหนือหัวท่องบทสวดตามที่สิงห์สอนมาพร้อมกับเอาสายคาดตะกุดมาคาดเอว “ท่องบทสวดตามกู”

จันพยักหน้าระหว่างที่เดินกันอยู่จันก็ทำตามเพื่อนทุกอย่างแล้วเอาสายคาดตะกุดมาพันรอบเอว “จะได้ผลหรือวะ”

“ในโลกนี้ไม่มีคนยิงไม่เข้าฟันไม่เข้าหรอก ของที่มีก็ทำแค่หนังเหนียวแต่ก็ยังคงช้ำในได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่าประมาท” ไฟพูดลอกตามที่คนรักเคยพร่ำบอกก่อนมาที่นี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“แล้วกระสุนล่ะ”

“เอาไปก่อนเผื่อฉุกเฉินก็ยิงเลย นี่มีด” ไฟหยิบมีดที่ปลายดาบมีอักขระสลักไว้อยู่

“อีกนิดกูจะคิดว่ามึงเล่นของแล้วนะ”

ไฟหัวเราะ อยากจะบอกว่าที่จริงสิงห์จะให้มาเยอะกว่านี้เพราะเป็นห่วง ถึงมันจะแล้วแต่คนเชื่อแต่สิงห์ก็คิดว่าดีกว่าไม่มีอะไรมาเลย เพราะอย่างน้อยในเมื่อสู้กับคนมีของก็ต้องเอาอาวุธที่ปลุกเสกไปสู้

“เอาไปใช้หากต้องปะทะตัว ๆ”

“ก็ว่าอยู่ทำไมมึงพกทั้งปืนทั้งมีดแถมเอาไปเยอะเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ไฟยักไหล่ “แค่สังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่พี่อนัสถามเรื่องไอ้ก้งแล้ว ในถิ่นนี้ถ้าใครจะมาทำร้ายชาวบ้านก็มีแต่พวกไอ้เสือเม็ดที่เรายังจับกันไม่ได้นั่นแหละ”

“เฮ้อ ก็ขอให้แทงหรือยิงใครเข้าสักคนเถ๊อะ สาธุ”

“ไม่ต้องกลัวผู้หมวดจัน มีแค่ไอ้เสือเม็ดกับลูกน้องมันสองคนที่มีของ นอกนั้นก็แค่พวกปลาซิวปลาสร้อย”

“พี่อนัสพูดขนาดนี้พวกฉันก็ชื่นใจ” จันพูดยิ้ม ๆ ถึงแม้จะหวั่น ๆ อยู่ก็ตาม

“เอาล่ะ ถึงแล้ว” พี่อนัสพูดเสียงเบาแล้วพาย่องอ้อมไปอีกทางเพื่อปีนข้ามรั้วเหล็ก ดีที่เคยมาปะทะกับมันมาครั้งหนึ่งจึงรู้พื้นที่ดี

“ด้านหน้าสี่ ข้างในสาม” ไฟที่สอดส่องมาตั้งแต่ข้างหน้ายันอ้อมมาตรงนี้ก็สอดส่องข้างในโกดังที่พวกมันอยู่

“ในหมายจับขึ้นรูปแค่สามคน แต่ว่าที่จริงพวกมันมีกันแปดคน” จันเอ่ยบอกหลังจากที่เคยอ่านประวัติไอ้พวกนี้มา

“อีกคนหนึ่งคือไอ้เสือเม็ดงั้นหรือ”

“คงใช่ แต่มันไม่ได้อยู่ที่นี่” พี่อนัสขมวดคิ้ว “ระวังไอ้คนที่ขึ้นหมายจับให้ดี ๆ ผู้หมวดทั้งสองคงเคยเห็นแล้วใช่ไหม”

“ครับพี่” ไฟตอบเพราะหนึ่งในสามคนนั้นที่อยู่ในโกดังมีหน้าขึ้นหมายจับ ส่วนหนึ่งในสี่คนด้านหน้าทางเข้ามีหน้าขึ้นหมายจับเหมือนกัน

“พวกเอ็งไปจัดการสี่คนนั้นไหวไหม ฉันจะไปจัดการสามคนนั้น”

“เดี๋ยวพี่ มันตั้งสามคนนะแถมหนึ่งในนั้นมีของแล้วไหนจะหัวหน้ามันอีกไม่รู้ว่าหายไปไหนพี่จะไหวหรือ” จันรีบห้ามเพราะดูยังไงทางเราก็เสียเปรียบเห็น ๆ

“ไม่ต้องห่วง” พี่อนัสพูดขึ้นแล้วถกเสื้อให้เห็นลายสักที่หลังพร้อมกับถกแขนเสื้อให้เห็นรอยสักที่แขน “ข้าก็เล่นของ สำนักเดียวกับไอ้เสือเม็ด เป็นศิษย์พี่”

จันอ้าปากค้างแกไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ฟัง

“เอาไว้ข้าจะเล่าให้ฟัง พวกเอ็งไปจัดการสี่คนด้านหน้าเถอะ”

“ครับ” คราวนี้ตอบอย่างรวดเร็วแต่ไฟก็ยังพะวง ถึงบอกว่าต่อให้มีของแต่สามรุมหนึ่งแถมไหนจะหัวหน้าพวกมันที่ยังไม่โผล่แบบนี้อาจจะรู้ว่าเรากำลังมาและเตรียมแผนอะไรอยู่ก็ได้ “ระวังตัวด้วยนะพี่ ผมจะรีบจัดการและไปสมทบ”

“อืม ขอบคุณ” พี่อนัสตบบ่าไฟแล้วรอให้ทางไฟและจันไปก่อนเผื่อจะได้เรียกความสนใจแล้วใช้จังหวะนั้นยิงพวกมันสามคนด้านใน

ไฟชี้ให้จันอ้อมข้างโกดังไปฝั่งขวามือส่วนไฟก็จะอ้อมไปฝั่งซ้าย เดินเลียบทางมาจนถึงด้านหน้าก็กำปืนในมือแน่นแล้วเหวี่ยงตัวออกไปยิงพวกมันทันที

ปัง ๆ ๆ

“เฮ้ยมีคนบุก!” หนึ่งในคนด้านหน้าบอก เพื่อนถูกยิงไปคนหนึ่งก่อนจะยกปืนไปทางไฟแต่ทว่าก็โดนยิงกลางหลังเพราะจันออกมายิงมันแทน

ปัง ๆ ๆ

พลันเสียงปืนลูกซองก็ดังมาจากด้านในโกดัง ที่เป็นพี่อนัสที่ยิงพวกมันได้สองคนตามที่คำนวณไว้ แม้จะเหลืออีกคนที่ยิงไปก็ยังคงลุกมาได้ แม้จะช้ำในแต่ก็เหนียวพอควร

“พวกมันมาตอนไหนวะ แล้วมากี่คน” หนึ่งในคนที่ขึ้นหน้าหมายจับด้านหน้าตะโกนขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น หลบด้านในโกดังเพื่อสอดส่องไอ้คนที่ยิงพวกตัวเองไปสองคน

“พี่เม็ดล่ะพี่ฉัตร ไหนบอกจะไปหานายแป๊ปเดียวไง” ลูกน้องไม่มีของถามเสียงสั่น

ฉัตรกัดฟันกรอด รู้แต่แรกแล้วว่านี่มันเป็นกับดักแต่ก็ยังเป็นหมาซื่อสัตย์รอให้พวกนี้มันมา “พี่เม็ดไม่กลับมาแล้ว”

“ว่าไงนะพี่!”

“พี่เม็ดเขาไม่กลับมาแล้วมึงได้ยินไหม!! พี่เม็ดเขาทิ้งพวกเราแล้ว!!!”

เพราะเสียงนั้นทำให้อนัสชะงักจึงถูกไอ้คนที่รอดถีบเข้าที่กลางอกแล้วเตะปืนลูกซองทิ้งจึงจำเป็นต้องสู้ตัวต่อตัวสถานเดียว

ไฟที่อยู่ด้านนอกสบถกับตัวเองที่มาเจอเรื่องแบบนี้ “ถ้าพวกมึงไม่อยากตายก็มอบตัวซะ! กูสัญญาว่าจะจับเป็น!” คงต้องมีแต่วิธีนี้เพราะพวกมันคงไม่อยากสู้ต่อแน่ ๆ

“ไม่เว้ย!”

แต่ก็เดาผิดคาดในเมื่อฉัตรตะโกนสวนกลับ

“มึงเป็นควายกันหรือไงวะ! ถูกหลอกใช้แล้วยังจะสู้ต่ออีก!” ไฟตะโกนด่าอย่างเหลืออด

ฉัตรไม่สนใจคำด่านั้นในเมื่อถูกทิ้งก็จะหนีด้วยตัวเองไม่ยอมถูกจับง่าย ๆ “เฮ้ยมึงน่ะ!”

“พี่ ช่วยผมด้วยนะ” มันร้องขออย่างน่าสมเพชแต่แทนที่จะสงสารฉัตรกับดึงตัวมันเดินออกไป ไฟที่แอบดูอยู่ก็รีบชี้ปืนไปทางนั้นทันที “พี่! ทำอะไร!”

ยังไม่ทันได้ตอบฉัตรก็ยิงไปทางไฟก่อนจะถูกยิงที่หลังจากอีกฝั่งถึงจะแสบ ๆ คัน ๆ แต่ก็หันตัวเพื่อนร่วมชะตากรรมไปทางจันจึงทำให้จันยิงโดนไอ้คนนั้นเต็ม ๆ

ไฟสบถอีกคราที่มันขายเพื่อนตัวเองก่อนจะใส่กระสุนที่สิงห์ให้ท่องบทสวดแล้วหันไปยิงมัน แต่มันก็ดูไม่กลัวเพราะคิดว่าเป็นแค่กระสุนธรรมดาจึงไม่ได้ใส่ใจเอาตัวเพื่อนมาบังอีก

ปัง

เพียงนัดเดียวลูกกระสุนก็เจาะทะลุลำคอจนจันที่เห็นด้านหน้ายืนนิ่งอย่างตกใจ

“อ้ากกกก” ยังไม่ทันได้พักหายเหนื่อยก็ได้ยินเสียงพี่อนัสร้องขึ้นมาไฟรีบวิ่งเข้าไปในโกดังทันที เห็นพี่อนัสนอนกุมหัวเข่าตัวเองพร้อมเลือดมากมาย

“พี่!” ไฟร้องเสียงหลงก่อนจะยิงไปที่ไอ้คนทำแต่เพราะสติหลุดไปชั่วครู่จึงทำให้ยิงเบี้ยวจนมันวิ่งเข้ามาปัดปืนตกได้

ปัง ๆ

“ไอ้ไฟ!” จันที่ตามมาทีหลังร้องเรียกหลังจากที่ลูกน้องเสือเม็ดคนนี้จ่อปืนของตัวเองยิงกลางอกของเพื่อนอย่างไม่รีรอใดใด

“หมวดไฟ” อนัสกัดฟันจะคลานไปเอาปืนลูกซองเพื่อจะยิงมันแต่มันก็วิ่งหนีออกไปทางข้างหลังอย่างรวดเร็ว

“ไอ้ไฟ ๆ ๆ ๆ” จันวิ่งเข้ามาช้อนตัวเพื่อนสนิทตบหน้าเบา ๆ เรียกสติ “ไอ้ไฟตื่นสิวะ” จันมือสั่น

“ตามหมอ” พี่อนัสเรียกสติเพราะคนที่ไปตามได้เร็วที่สุดคือจัน

แต่จันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ “ไอ้ไฟมึงอย่าทิ้งกูนะเว้ย”

อนัสกำลังจะเตือนสติหมวดจันอีกครั้งแต่ก็ได้ยินเสียงคนทุบอะไรบางอย่างมาจากทางเข้าก่อนจะได้ยินเสียงคนมากมายเริ่มดังมาใกล้เรื่อย ๆ

“พี่อนัส!”

“หมวดไฟ! หมวดจัน!” เสียงคนเรียกดังมาแต่ไกลอนัสจึงยอมสงบลงก่อนที่ในโกดังจะวุ่นวายเมื่อชาวบ้านที่ตนดูแลต่างถืออาวุธเข้ามาไม่ว่าจะท่อนไม้ มีดอีโต้

“ไปตามหมอ” พี่อนัสพูดขึ้นจึงมีคนวิ่งออกไปตามให้

ถึงจะเสียดายที่พลาดไปคนหนึ่งและยังจะลูกน้องคนนี้ที่มีฝีมือเก่งพอดูไม่รู้ว่าเสือเม็ดไปได้มาจากไหน แต่ก็ดีที่ตอนนี้ไม่มีใครเสียชีวิต ไอ้ก้งก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ส่วนจันก็เฝ้าดูอาการเพื่อนที่นอนซมเพราะช้ำในบริเวณที่ถูกยิง เพราะถูกยิงถึงสองนัดต่อให้เป็นตะกุดปลุกเสกมาก็ช่วยไว้ไม่ดีพอ ไฟไม่เคยสักไม่เคยเล่นของเป็นธรรมดาของคนที่เอาของปลุกเสกมาป้องกันตัวแล้วโดนครั้งแรกจะปรับตัวไม่ถูก

และมันไม่ขลังถึงขนาดที่ว่าช่วยเหลืออะไรมากมายเพราะตอนนี้ไฟเองช้ำในสาหัสต้องนอนพักหลายวันเลยก็ว่าได้

จนผ่านไปหลายเดือนไฟหายอาการบาดเจ็บจากการถูกยิงและเข้าสน.เพื่อจะคุยกับสารวัตเรื่องเสือเม็ดและลูกน้องคนสนิทที่ถูกฆ่าตายอย่างปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าคนทำคือใครมีแต่ข่าวแว่วมาว่าเหนือไอ้เสือเม็ดยังมีนายใหญ่อีกคนที่แม้แต่คนในพื้นที่ก็ไม่มีใครรู้จักเพราะไม่เคยเห็นเสือเม็ดก้มหัวให้ใคร

ไฟต้องรออยู่สืบเรื่องคดีเสือเม็ดไปอีกนานเพราะมันน่าสงสัยและควรจะหาตัวไอ้นายใหญ่คนนี้ให้ได้โดยได้ความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ที่คอยให้ข่าวหลาย ๆ อย่าง

ไม่รู้ว่าคดีนี้จะยาวนานแค่ไหนและจะได้กลับไปหาสิงห์ไหม...

เขาไม่รู้เลย…

 


จบบทที่ ๙

------------------------------------------------------------------
ใครรู้ภาษาใต้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ น่าจะผิดเพี้ยนไปเยอะเลย
เรื่องของขลังเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๙
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-06-2019 22:03:03
 :pig4:
 :3123:
รออ่านต่อค่ะ
 o13
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๐ (๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 16-06-2019 13:37:19
 

บทที่ ๑๐

ย้อนวัย : ให้ทั้งชีวิต


 
กรมตำรวจนครบาล พ.ศ. ๒๔๗๙

เข้าเดือนเมษาแดดก็ร้อนอบอ้าวซะจนเหงื่อกาฬไหลตามขมับไม่หยุดหย่อนยิ่งด้วยชุดราชการเต็มยศก็ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ สิงห์ถอนหายใจเปิดเอกสารดูเรื่อย ๆ มาจนถึงคดีเสือเม็ดที่คนรักกำลังทำอยู่และส่งมาให้เขาที่กรมโดยเฉพาะ ตอนนี้ยังไม่รู้ข่าวคราวจากฝั่งสุราษฎร์ฯ มากนัก

เนื่องจากสิงห์ไปรับราชการที่อ่างทองจนได้รับคำชมจากชาวบ้านและคนในสถานีว่าเป็นตำรวจเก่งกาจและจัดการโจรร้ายในอ่างทองซะหมด ก่อนจะมาที่นี่ได้เข้าไปที่กรมตำรวจภูธรเขต ๑ เพื่อติดยศร้อยตำรวจเอกจากการทำความดีความชอบและรับราชการอย่างดีเยี่ยมจนเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้กองสิงห์ที่หลาย ๆ คนคุ้นชินและเรียกบ่อยขึ้น

ถึงแม้ว่าจะเลื่อนตำแหน่งมาถึงสองขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้นจะทำให้หลายคนสงสัย แต่เพราะยศร้อยตำรวจเอกเป็นการได้รับพระราชทานมากับที่เคยช่วยเหลือจังหวัดใกล้ ๆ อ่างทอง สิงห์เลยถูกเลื่อนขั้นเร็ว

เขาดีใจอยู่หรอกที่ได้เลื่อนขั้นแต่เลื่อนเร็วถึงสองขั้นกับอีแค่ผลงานปีกว่า ๆ มันไม่น่าภูมิใจสักเท่าไหร่ เขาอยากให้มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ไม่อยากได้ยศเร็ว เพราะเขารู้ว่าการจะได้เลื่อนตำแหน่งมันยากลำบากแค่ไหน

จากที่คำดูถูกเคยสงบไปช่วงหนึ่งก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง จนสิงห์คร้านจะใส่ใจจึงเปลี่ยนเป็นคิดแค่ว่าเราก็ทำงานของเราไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวทุกคนก็ยอมรับเอง เพราะยังไงซะคนก็เคยยอมรับมาครั้งหนึ่งแล้ว

“ผู้กองครับ” ดาบนิดก็ถูกเลื่อนขั้นเดินเข้ามาหาหัวหน้าตนเอง

“ว่าไง”

“มีจดหมายมาส่งครับ” ดาบนิดยื่นจดหมายให้ ก่อนจะพูดต่อ “แล้วก็... หมวดนนท์ฝากจดหมายอันนี้มาให้ด้วย” ว่าแล้วก็ยื่นจดหมายอีกฉบับให้

“หื้อ” สิงห์ขมวดคิ้ว จะว่าไปตั้งแต่กลับมาประจำที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่งก็ไม่เห็นหน้านนท์เลย “ดาบนิดรู้ไหมว่าหมวดนนท์หายไปไหน เขาได้มาทำงานหรือเปล่า”

“เอ่อ…คือว่า” ดาบนิดทำหน้ากังวล

“มีอะไร”

ดาบนิดถอนหายใจเฮือกหนึ่งเพื่อเพิ่มความกล้าถึงจะพูดออกไป “หมวดนนท์มีลูกแล้วครับ หมวดเลยต้องดูแลภรรยาและลูกที่บ้าน แต่หมวดก็มาทำงานอยู่นะครับ แค่ว่าง ๆ จะออกไปที่บ้านเพื่อไปดูลูก”

“ห๊ะ!” สิงห์ลุกขึ้นทันที “เรื่องนี้นานแค่ไหนแล้ว”

“ก็ตั้งแต่สองสามเดือนที่แล้วครับ”

สิงห์กัดปากอย่างเครียดครั้นนิ้วเรียวเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด “ตอนนี้หมวดนนท์อยู่ไหน”

“อยู่ที่ห้องครับ”

ผู้กองหนุ่มพยักหน้าเก็บจดหมายอีกฉบับที่น่าจะเป็นของคนรักไว้ในลิ้นชัก และหยิบจดหมายของเพื่อนสนิทออกไปด้วย ระหว่างทางก็คลี่จดหมายอ่าน เนื้อความด้านในบอกไว้อยู่แล้วว่าทางนนท์เกิดเรื่องนิดหน่อยแต่ไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องอะไร คงอาจจะไม่ได้มาต้อนรับเขากลับมาประจำที่พระนคร

สิงห์ถอนหายใจ ไปทำงานที่อื่นแค่ปีกว่าเรื่องรอบตัวก็หมุนเร็วซะจนแทบตามไม่ทัน พอมาถึงห้องของทีมหมวดนนท์ นายตำรวจคนหนึ่งก็กำลังออกมาพอดีจึงตะเบ๊ะทำความเคารพสิงห์แล้วเดินออกไป

“นนท์” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่นั่งก้มหน้าพิมพ์งานอยู่ ใบหน้าอิดโรยขอบตาดำคล้ำคล้ายคนไม่ได้นอน จากที่เป็นท่านชายสะอาดสะอ้านกลายเป็นคนนอนดึกไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ได้ยังไง

“สิงห์...” นนท์ตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบาง ๆ “คงรู้แล้วใช่ไหม”

“เรื่องมันเป็นยังไงนนท์ ทำไมถึงเป็นขนาดนี้”

นนท์มองรอบข้างก่อนจะพยักพเยิดไปทางข้างนอก “ไปร้านกาแฟกันเถอะ”

ผู้กองหนุ่มพยักหน้ารอเดินออกไปพร้อมกันจนมาถึงร้านกาแฟก็สั่งโอเลี้ยงคนละแก้ว ก็ยังดีที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไง”

นนท์คนโอเลี้ยงในแก้วแล้วนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อน “หลังจากที่พวกนายย้ายไปคนละที่ฉันก็คิดได้และไปบอกเด็จพ่อเรื่องปิ่นแต่ท่านกลับไม่เห็นด้วยและจะให้ฉันเสกสมรสกับลูกสาวเพื่อนพระองค์ให้ได้ ฉันเลยหนีออกมาข้างนอกออกมาหาปิ่นคุยกับเธอเรื่องนี้แต่เธอกลับบอกว่าให้ฉันไปเข้าพิธีขอหมั้น ฉันไม่รู้จะทำยังไง จนมารู้จากป้าที่เลี้ยงดูปิ่นว่าปิ่นท้องแต่ปิ่นสั่งไม่ให้บอกฉัน”

“นายเคย...”

“ใช่ บางวันฉันเหนื่อยจากงานเลยไปนอนที่บ้านปิ่นแต่ทุกอย่างก็จบตรงที่ฉันกับปิ่นนอนข้างกันในรุ่งเช้า ฉันทำด้วยรักและไม่เคยคิดข่มเหงรังแก ฉันคิดว่าจะขอคุยกับเด็จพ่อเพื่อจะขอปิ่นแต่งงานฉันถึงจะทำเรื่องแบบนั้น แต่มันก็ทำไปแล้ว เพราะฉันกลัว... กลัวว่าปิ่นจะหายไปเพราะเรื่องเสกสมรส และฉันคิดถูกเพราะเธอเก็บความลับเรื่องตัวเองท้องและจะหนีไป เพราะปิ่นคิดว่านั่นเป็นทางที่ดีที่สุดเพื่อจะได้ให้ตระกูลศุลภาณันท์ไม่มีเรื่องด่างพร้อย”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“ฉันบอกเด็จพ่อเรื่องทำปิ่นท้อง แต่ท่านไม่เชื่อว่าลูกในท้องเป็นลูกของฉันเด็จพ่อดูถูกปิ่นจนฉันเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ปากก็พาลหาเรื่องจนถูกไล่ออกจากวังตัดพ่อตัดลูกเด็ดขาดแม้แต่พี่ชายภัสกับหม่อมแม่ก็ช่วยไม่ได้ ฉันเลยต้องมาพักอยู่กับปิ่น พี่ชายภัสส่งเจ้าเฟื้องมาอยู่ด้วยเพื่อจะช่วยดูแลเพราะยังไงเฟื้องก็เป็นลูกศิษย์ปิ่นจึงช่วยพูดกับเธอทำให้เธอไม่คิดหนี ของใช้และอะไรหลาย ๆ อย่างที่อยู่ในบ้านเป็นของที่หม่อมแม่ซื้อมาเพื่อช่วยฉันอีกแรง”

“เฮ้อ นนท์นะนนท์” สิงห์คิดไม่ตก “แล้วตอนนี้คลอดแล้วใช่ไหมกี่เดือนแล้วตั้งชื่อหรือยัง”

“สามเดือนแล้วล่ะ ชื่อปราชญ์”

“เด็กผู้ชายหรือ”

“ใช่ แม่เขาตั้งชื่อให้น่ะ” พอพูดถึงแม่กับลูก นนท์ก็กลับมามีชีวิตชีวาทันที

“เย็นนี้ขอไปหาหลานได้ไหม”

“เอาสิ หลานคงอยากเห็นลุงสิงห์” นนท์หัวเราะ

สิงห์คลี่ยิ้ม “อย่าท้อล่ะ ไม่มีพ่อที่ไหนไม่รักลูกหรอก พระองค์ท่านต้องยอมอ่อนลงแน่ ๆ หากเจอหลาน” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะรักลูกจริง… เขาก็แค่ไม่อยากให้เพื่อนคิดมากจึงพูดออกไปอย่างนั้น

“อืม หม่อมแม่กับพี่ชายภัสมาดูหลานแล้วเหมือนกันพวกท่านต่างเอ็นดู หม่อมแม่ก็คุยกับปิ่นและคอยซื้อของดูแลปิ่นตลอด เหลือแต่เด็จพ่อเท่านั้น ฉันกำลังจะพาทั้งปิ่นและลูกไปแต่ขอให้อาการปิ่นดีขึ้นก่อน”

“ปิ่นป่วยหรือ”

“ใช่ เธอร่างกายอ่อนเพลียตั้งแต่คลอดลูก ตอนนี้ยังต้องรักษาอยู่โรงพยาบาล หม่อมแม่เลยให้ป้าบัวไปดูแลส่วนฉันก็ไปบ้างและต้องกลับมาดูแลลูกที่บ้าน จะเห็นสภาพฉันเป็นอย่างนี้ก็ไม่แปลก”

สิงห์พยักหน้าลูบบ่าเพื่อนอย่างนึกสะท้อนใจ “นายน่ะพักผ่อนเสียบ้าง ส่วนเรื่องลูกไว้ให้เฟื้องดูแลไปก่อน ตอนนี้เฟื้องเรียนอยู่ไหม”

“ปิดเทอมน่ะ”

“ก็นั่นแหละให้เฟื้องดูแลไปก่อนเดี๋ยวฉันไปช่วยดูลูกให้ก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอก ลูกคนเดียวฉันดูแลไหวอยู่แล้ว”

“เฮ้อ แน่หรือว่าคนเดียว.. ทั้งแม่ทั้งลูกไม่ใช่หรือ ต้องไป ๆ กลับ ๆ ทั้งโรงพยาบาลแล้วก็บ้านเลยใช่ไหม”

นนท์ได้แต่ยิ้มขืนแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

“ไม่ต้องเกรงใจนะ ยังไงซะฉันอยู่บ้านคนเดียวก็เหงาไว้จะไปช่วยดูแลตอนคุณพ่อไปดูคุณแม่แล้วกันเนาะ”

“ขอบคุณนะ ฉันจะรีบกลับไปดูลูก”

“ไม่ต้องห่วง แม่คนก็ต้องการกำลังใจนาน ๆ” สิงห์บีบไหล่เพื่อนอีกหนเห็นมันน้ำตาคลอก็ได้แต่ยิ้มปลอบใจ

พอตกเย็นนนท์ก็ไปรับสิงห์ที่บ้านใกล้วังตนเองเนื่องจากสิงห์ไม่มีรถส่วนตัวเพราะไฟก็เอาไปที่สุราษฎร์ฯ และสิงห์ก็ไม่คิดซื้อเพราะมีจักรยานคู่ใจอยู่ที่บ้านไว้คอยปั่นไปทำงานทุกเช้า เวลาออกไปทำงานก็มีรถราชการให้อยู่แล้ว

“บ้านสวยจัง” สิงห์มองบ้านชั้นเดียวที่กว้างขวางและเป็นโทนสีพื้นอ่อน ๆ เห็นแล้วสบายตา

“หม่อมแม่สั่งทำสีบ้านใหม่น่ะแล้วก็เติมห้องนู้นห้องนี้อีกนิด”

“ดีเสียจริง” สิงห์ยิ้มบาง ๆ เดินเข้าไปในบ้านก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะสองคน ทั้งคนโตและเด็กในเปล

“ท่ายชาย.. พี่สิงห์!” เพราะสิงห์อยู่ที่บ้านไม้นั้นนานและคอยไปเล่นกับบ้านใกล้เคียงหรือก็คือเฟื้องกับป้าบัวอยู่บ้านหลังใกล้ ๆ สิงห์จึงให้เฟื้องเรียกตนว่าพี่

“ว่าไงเรา”

“พี่สิงห์จริง ๆ หรือขอรับ” เฟื้องดีใจอย่างปิดไม่มิด

“ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครวะห๊ะ” สิงห์เท้าสะเอว

“พี่สิงห์!” เฟื้องดีใจจะกระโดดเข้ามากอดแต่พอหันมองท่านชายนนท์ก็ต้องสงบปากสงบคำ “ขอโทษที่เสียงดังขอรับท่านชายนนท์”

“อะไรกัน ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ตอนนี้ฉันก็แค่คนธรรมดาไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์จะกลัวไปไย หรือต่อให้มีก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเสียเลย”

“ก็... ป้าบัวบอกว่ามันไม่ดีหากคิดให้ท่านชายเสมือนคนต้อยต่ำอย่างกระผม”

“พูดเกินไปแล้ว” นนท์ทำหน้าดุใส่เด็กที่คิดว่าเป็นน้องชายมาตลอดเพราะเล่นด้วยกันบ่อย “อย่าได้คิดแบบนี้อีก เฟื้องคือน้องชายฉันไม่ใช่คนอื่นไกล”

เฟื้องเม้มปาก สะอึกสะอื้นเพราะถูกดุ “ฮึก ขะ..ขอรับ”

“นี่ไม่ต้องดุเด็กขนาดนั้นก็ได้ ดูซิร้องไห้โฮเลย” สิงห์หัวเราะเดินเข้าไปลูบหัวเฟื้องแล้วดันให้ซบอกตนเบา ๆ “ไม่ร้อง ๆ พี่นนท์ก็แค่ดุไปอย่างนั้นตามภาษาคนแก่ล่ะนะ”  สิงห์พูดเพื่อให้เฟื้องสบายใจเผื่อจะได้ชิน

“ไหนหลานฉัน ขอดูหน้าหน่อยซิจะเหมือนพ่อไหม” สิงห์เปรยขึ้นเฟื้องก็สงบลงวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กน้อยในเปลขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

“ชื่อน้องปราชญ์ขอรับ” เฟื้องบอกอย่างรวดเร็วแม้ดวงตาจะแดงก่ำ

“หื้อ ไหนขออุ้มหน่อย” สิงห์ค่อย ๆ ประคองเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอกก้มลงมองพร้อมกับพยักหน้าเล่นกับหลานชาย “ชื่อปราชญ์หรือครับ ชื่อเพราะเสียจริงเหมาะกับหนูมากเลยครับหลานชาย”

เด็กน้อยไม่ประสีประสาได้แต่ร้องแอ๊ะ ๆ ใส่ลุงสิงห์ มือเล็กปัดป่ายไปมา สิงห์จึงก้มให้เด็กน้อยจับปาก คุณลุงก็แกล้งทำเป็นงับเล่น ๆ จนเด็กน้อยหัวเราะชอบใจ

“ดูท่าจะชอบนายนะ” นนท์พูดขึ้น

“จริงหรือ ดีใจจังเลยครับ” สิงห์หัวเราะเดินรอบห้องเพื่อเล่นกับหลาน

“แล้วนี่เฟื้องดูน้องคนเดียวหรือ”

“ขอรับ แม่บัวไปดูแลครูปิ่น กระผมเลยดูแลน้องปราชญ์แทน แต่ว่าพักเที่ยงหรือว่าว่าง ๆ ท่านชายนนท์ก็จะมาช่วยดูอีกแรง”

“เคยเลี้ยงเด็กหรือ”

“ขอรับ เลี้ยงลูกของญาติที่รู้จักเลยรู้ว่าต้องเลี้ยงยังไงหรือต้องทำยังไงเพราะแม่บัวก็พาเด็กที่ไหนไม่รู้มาให้เลี้ยงบ่อย ๆ” พอได้ยินอย่างนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองก็หัวเราะเด็กหนุ่มจึงได้แต่เหลอหลาด้วยความงุนงง

“ดีแล้ว ๆ ถ้าเฟื้องเป็นคนเลี้ยงทั้งทีเด็กทุกคนต้องเติบใหญ่เป็นคนดีแล้วก็ได้ดิบได้ดีแน่นอน”

“แต่ว่าจริง ๆ นะขอรับ เด็กที่กระผมเคยเลี้ยงโตมาเป็นเด็กดีทุกคนเลยขอรับ อย่างไอ้แดงตอนนี้มันหกขวบแล้วพูดจ๊ะจ๋าน่ารักเชียวขอรับ แล้วก็น้องหยกก็เรียบร้อยแต่เด็ก...” ผู้ใหญ่ทั้งสองตั้งใจฟังเด็กหนุ่มพูดทุกคำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจากความเอ็นดู ไม่มีรำคาญและไม่เบื่อที่ได้ฟังเด็กคนนี้พูด

พลบค่ำนนท์ก็ไปดูแลภรรยาแต่เพราะมัวมาเกรงอกเกรงใจสิงห์ กว่าจะไปก็มืดค่ำเสียแล้ว สิงห์นอนแกว่งเปลน้องปราชญ์แทนเฟื้องที่หลับไปก่อนจากการดูแลมาทั้งวัน เจ้าเฟื้องก็อีกคนกว่าจะหลับก็ต้องมาเกรงใจเขาที่มาดูแลปราชญ์แทน สมกับเป็นพี่น้องที่ขี้เกรงใจเสียจริง

สิงห์หัวเราะในลำคอหลังจากที่คิดอะไรในหัว มือข้างหนึ่งอ่านหนังสือปรัชญาชีวิตที่ครูปิ่นมีเก็บไว้เพียบไม่แปลกหากเธอจะคิดอะไรที่ไม่น่าเชื่อ ถึงแม้บางข้อคิดของครูปิ่นเขาจะไม่เห็นด้วยแต่ก็นับถือใจผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าทำอะไรก็ตามอย่างไม่นึกหวั่นและตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา เขาเคยเจออยู่หลายครั้งตอนยังประจำที่พระนครเธอมีกิริยามารยาทที่งดงามแต่ทว่าก็แข็งแกร่ง เป็นผู้หญิงที่เก่ง ซึ่งผู้หญิงอย่างเธอคงหาได้ยากในสมัยที่ผู้หญิงต้องมารยาทอ่อนน้อมอย่างนี้

พอรุ่งเช้าสิงห์ก็งัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะถูกปลุกเห็นนนท์ทำหน้ากังวลก็ถามไถ่พอรู้ว่าที่กังวลเพราะนนท์ไปเฝ้าภรรยาจนเผลอหลับป้าบัวก็ไม่กล้าปลุกจึงหลับยาวจนถึงเช้าตื่นมาอีกทีก็ต้องรีบกลับมาที่นี่

“ขอโทษนะ ฉันน่าจะรีบกลับมา”

“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง มันก็ได้ประสบการณ์ใหม่ดีนะ” ได้ตื่นมาดูหลานกลางดึกแบบนี้เริ่มเข้าใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ต้องดูลูกเช้าค่ำไม่เว้นวัน แม้จะเหนื่อยแต่ก็เป็นอีกความสุขหนึ่งหากได้เลี้ยงเด็กจนเติบใหญ่ในทางที่ดีมันก็น่าจะภูมิใจไม่หยอก

“ถ้าเกิดไม่รบกวนมากไปถ้าอย่างนั้นให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเฟื้องไหมล่ะ ถ้าเกิดนายต้องไปดูปิ่นก็พักที่นั่นเสียเลย ฉันจะดูทางนี้เองไม่ต้องห่วง”

“ไม่ได้หรอก ลูกตัวเองจะให้คนอื่นมาลำบากลำบนได้ยังไง”

“คนอื่นที่ไหนกัน ฉันเป็นเพื่อนนายนะนนท์” สิงห์ทำหน้าจริงจังอยากให้เพื่อนพักผ่อนเสียบ้าง “อีกอย่างไฟเองก็ยังไม่กลับจากสุราษฎร์ฯเลย ฉันอยู่บ้านคนเดียวเหงาจะตาย”

“อย่างนั้นหรือ” นนท์คิดหนัก

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก... ถ้าอย่างนั้นค่าเลี้ยงดูเป็นข้าวเย็นหลังกลับจากทำงานทุกมื้อก็ได้ ไอ้ฉันก็ทำกับข้าวไม่เป็นด้วยสิ”

“เฟื้องทำเป็นจ้ะ ให้เฟื้องทำให้นะพี่สิงห์” เด็กหนุ่มยกมือ เจ้าตัวตื่นก่อนพี่สิงห์ตั้งแต่ไก่โห่

“ดีเลยอยากชิมฝีมือพอดี แต่ว่ารอให้พี่กลับมาค่อยทำนะเพราะเดี๋ยวเอ็งทำก่อนจะไม่มีใครดูหลาน”

“จ้ะ” เฟื้องพยักหน้าหงึกหงักไม่ได้เข้าใจเลยว่าที่พี่สิงห์พูดเองเออเองก็เพื่อไม่ให้เพื่อนสนิทพูดขัด

“นายจะนอนที่นี่เลยหรือ”

“ก็ถ้าเจ้าบ้านไม่ว่าอะไรก็ขอรบกวนเสียหน่อย จะมานอนกับหลานที่ห้องนี่แหละ”

“มันจะลำบากนะสิงห์”

“โอ๊ยย ลำบากลำบนอะไรกัน อยู่แบบนี้ดีกว่าอยู่ที่บ้านเกิดเยอะ” สิงห์พูดไปหัวเราะไปแต่ดวงตากลับวูบไหวไปเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว” นนท์ฟังเรื่องนี้มาบ้างจึงไม่อยากพูดอะไรอีกได้แต่ขอโทษขอโพยในเรื่องวันนี้แล้วพาเพื่อนไปเปลี่ยนชุดที่บ้านเพื่อจะได้มาทำงาน แล้วก็ข้อแลกเปลี่ยนอีกอย่างคือพวกเสื้อผ้านนท์จะขอเอาให้คนไปซักและรีดให้เอง สิงห์จึงได้แต่จำยอมขนเสื้อผ้ามาอยู่บ้านเพื่อนแทน

ในวันนี้สิงห์ขอไปเยี่ยมปิ่นที่โรงพยาบาล เห็นเธอนอนอ่อนแรงจนน่าห่วงร่างกายซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิม

“คุณสิงห์..” ปิ่นทักด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“คุณปิ่นไม่เจอกันเสียนาน” สิงห์ยิ้มให้ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ป้าบัวเธอจึงรับไหว้และยิ้มทักทายเล็กน้อยเขายกกระเช้าผลไม้วางไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ

“กลับมาประจำที่พระนครแล้วหรือคะ” ถึงเธอจะอาการไม่ทรงตัวแต่ก็ยังคงพูดคุยได้ไม่น่าห่วงมาก

“ครับ พอดีว่าท่านอธิบดีขอตัวผมกลับมาทำงานที่นี่น่ะครับ เพราะมีเรื่องต้องทำหลายอย่าง”

“นนท์บอกแล้วว่าคุณสิงห์จะมาช่วยดูเจ้าปราชญ์ แบบนี้คงลำบากคุณสิงห์แย่เลย”

“ไม่เลยครับ ดีเสียอีกผมจะได้ไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ผมน่ะอยากลองเลี้ยงเด็กบ้างเผื่อในอนาคตอาจจะได้อุ้มหลาน เผื่อมีจริง ๆ จะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง” ลูกของต้นอ้อนั่นแหละ... หากวันนั้นมีจริง ๆ นะ...

“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริง ๆ” เธอยกมือไหว้จนสิงห์ตกใจได้แต่ทำอะไรไม่ถูกหันไปหาเพื่อนสนิทก็เห็นว่านนท์พยักหน้าเพื่อให้ยอมไปก่อน

“คุณปิ่นไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ” สิงห์รับไหว้อย่างรวดเร็ว “นนท์เป็นเพื่อนผมและเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ที่ผมเป็น ผมต้องตอบแทนเขาบ้าง”

“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณจริง ๆ นะคะ ลูกคงดีใจที่มีคนเอ็นดูแกเยอะเพียงนี้” เธอยิ้มเมื่อนึกถึงลูกชายก่อนจะจับมือสามีที่เลื่อนมากอบกุมกัน

สิงห์มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม พ่อกับแม่ที่รักกันจากใจจริงและพ่อแม่ที่รักลูกชายด้วยความรักที่จริงใจและบริสุทธิ์ หนูปราชญ์โชคดีเสียจริงที่เกิดมาเป็นลูกของทั้งสองคนนี้ ต้องพูดเพราะกิริยามารยาทงามเหมือนพ่อ เข้มแข็งและเผชิญหน้าทุกอย่างโดยไม่หวั่นเหมือนแม่แน่ ๆ เลย

“คุณสิงห์อยู่ที่นั่นได้ตามสบายเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องจ่ายค่าอื่น ๆ หรอกค่ะ เดี๋ยวปิ่นจะให้นนท์จัดการเอง แล้วถ้าปิ่นหายดีปิ่นจะทำอาหารเลี้ยงขอบคุณ คุณสิงห์เองค่ะ”

“ไว้ผมจะรอนะครับ” สิงห์ยิ้มให้ อยู่คุยสักพักก็กลับไปที่บ้านนนท์เพื่อจะไปดูหลานแทนเฟื้อง

อยู่มาเนิ่นนานเวลาเฟื้องไปเรียนก็มีญาติสนิทของป้าบัวมาช่วยดูแลตอนทุกคนไปทำงานและเรียน พอตกเย็นก็เป็นเฟื้องและสิงห์ที่ดูแลต่อเป็นอย่างนี้เกือบปี อาการคุณปิ่นก็ดีขึ้นแต่ยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้




*มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๐ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 16-06-2019 14:03:08
*ต่อจากบทที่ ๑๐


มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๐

รถจิ๊บคันใหญ่ที่สภาพลุยโคลนไม่ได้ล้างมาค่อนปีขับไปตามเส้นทางในพระนครแขนล่ำในผิวสีแทนที่มีรอยแผลเล็กน้อย ๆ ตามจุดปรับเปลี่ยนพวงมาลัยอย่างไม่เร่งรีบ เสียงกรนหนัก ๆ ดังกรอกหูอยู่ร่วมชั่วโมงจนคนขับรถได้แต่ถอนหายใจ

ใบหน้าคมคายที่คล้ำแดดดูเข้มขึ้นกว่าแต่ก่อนหนวดเครามีบ้างประปรายเพราะไม่ได้โกนมาร่วมเดือน การไปประจำที่ภาคใต้คราวนี้ไฟกับจันก็เป็นอันที่รู้จักสำหรับคนที่นั่นและเป็นที่น่าไว้ใจ ไฟได้แผลมาเยอะพอควรไม่ว่าจะแขนหน้าท้องเพราะต้องสู้กับโจรใต้หลายคน หลังจากนั้นก็ถูกสั่งให้มาประจำที่พระนครจึงต้องกลับมาที่นี่

เพียงไม่นานก็มาจอดอยู่หน้ากรมตำรวจร่างสูงกำยำที่ผ่านอะไร ๆ มาหลายอย่างก้าวลงจากรถด้วยชุดราชการถึงจะไม่เรียบร้อยตรงที่ไม่ได้โกนหนวดให้ดี ๆ แต่ก็ไม่ได้ดูแย่ ไฟหันมองเพื่อนที่หลับไม่รู้เรื่องก็กดบีบแตรเพื่อให้มันสะดุ้ง

“อะไรวะ ๆ อะไร ๆ” จันพูดระรัวเช็ดน้ำลายข้างมุมปากไปพลาง

“ถึงแล้วโว้ย” ไฟทำหน้าเซ็งสวมหมวกเข้าที่หัว “ชักช้ากูไปก่อนละ”

“อ่าวเฮ้ย รอด้วยดิ” จันรีบวิ่งตาม

พอเข้าไปด้านในทุกคนก็ต่างมองทั้งสองเป็นตาเดียวก่อนจะมีนายตำรวจที่รู้จักมาทัก

“หมวดไฟกับหมวดจันใช่ไหม”

“อ้อใช่ครับ” จันพยักหน้าแล้วก็ถูกจับตัวหมุนไปมาเพราะทั้งคู่ดูสูงใหญ่ขึ้นและผิวที่คล้ำแดดก็ทำให้ดูน่าเกรงขามแปลก ๆ ยังจะรอยแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ของไฟบวกกับใบหน้าที่ไม่ได้ยิ้มแล้วก็ยิ่งไม่มีใครกล้าทัก

“ไปเถอะ” ไฟบอกจันแล้วเดินนำไปที่ห้องอธิบดีเพื่อรายงานตัวหลังจากนั้นก็ไปที่ห้องรองอธิบดีที่เป็นท่านสั่งให้พวกเรากลับมาที่พระนครก่อนที่เรื่องเสือเม็ดจะเรียบร้อย

“ดีใจเสียจริงที่พวกนายกลับมาอย่างปลอดภัย โจรใต้เห็นบอกว่าน่ากลัวแต่ก็ยังถูกพวกนายจัดการได้ สมแล้วที่ฉันไว้ใจส่งไปที่นั่น”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” ไฟยืดอกยืนตรง

“ไปพักเสียเถอะ ส่วนหมวดจันฝากเอาแฟ้มคดีเสือเม็ดมาด้วยแล้วกัน”

“ขอรับ” จันผงกหัวก่อนจะออกไปพร้อมกับไฟเพราะดันลืมเอาลงรถมาด้วย

“ถ้าเกิดหายขึ้นมานะซวยแน่” ไฟชี้หน้า

“โธ่ มึงก็ไม่ทักกูเรื่องนี้มึงก็ลืมเหมือนกันนั่นแหละ”

ไฟยักไหล่ไล่มันให้ไปเอาแฟ้มคดีมา ส่วนเขาก็เดินตรงดิ่งไปที่ห้องทีมผู้กองสิงห์ สอดส่องเข้าไปข้างในก็เห็นว่าสิงห์กำลังเปิดอะไรอ่านอยู่

ชายหนุ่มใจเต้นแรงอยากจะโผเข้ากอดเสียซะตรงนี้แต่ติดตรงที่ว่าทำไม่ได้จึงได้แต่ระงับตัวเองเดินไปหยุดหน้าโต๊ะนั้นมองคนที่ก้มหน้าขะมักเขม้นกับงานอย่างคิดถึงทั้ง ๆ ที่คนอื่น ๆ เริ่มออกไปทานข้าวกันแล้ว

“ไม่ทราบว่าผู้กองสิงห์ว่างหรือเปล่าครับ ไปทานข้าวด้วยกันไหม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามพลันเห็นมือเรียวที่กำลังเปิดหน้ากระดาษชะงัก

สิงห์เงยหน้ามองอย่างตกใจหนังสือเล่มนั้นล่วงลงพื้นพร้อมกับผู้กองหนุ่มที่ยืนขึ้นด้วยความรวดเร็ว “ไฟ!”

ไฟหัวเราะมองคนในทีมสิงห์ที่หันมามองกันเป็นตาเดียวก็ยกนิ้วจรดริมฝีปาก “เบา ๆ สิครับ”

“ไฟ...” ผู้กองหนุ่มน้ำตารื้น คิดถึงเหลือเกิน

“อ่าว มานี่มา” ไฟอึ้งเล็กน้อยแล้วพาสิงห์ออกไปด้วยกัน พอมาถึงรถก็ไม่เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อน จันมันคงเอาลงไปแล้วเขาจึงเป็นสารถีขับรถพาสิงห์กลับไปที่บ้านเพราะจะได้เก็บของและกินข้าว

“ไฟ...” ผู้กองหนุ่มเม้มปากดวงตาเริ่มแดง

“ใจเย็น ๆ ไม่ต้องร้อง” แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุพอพูดเสร็จสิงห์ก็ร้องไห้ออกมาทันที พอเห็นอย่างนั้นเขาก็หัวเราะแม้น้ำตาจะคลอเล็กน้อยเพราะคิดถึงมากเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ร้องออกไป “ไหนใครบอกนะว่าสักวันก็ต้องแยกย้ายทำงาน ต้องอยู่ให้ได้”

สิงห์กัดปาก “รู้แล้ว”

“หื้อ? รู้อะไร” ไฟเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“รู้แล้ว... ว่าห่างกันมันทรมาน”

“อายุเท่าไหร่แล้วฮึ ร้องไห้เป็นเด็กเลย” ไฟเอื้อมมือไปลูบผมสีเข้ม

“คิดถึง”

ไฟชื่นใจจนแทบหายเหนื่อย “พูดอีกซิ”

“คิดถึง... คิดถึงไฟ” สิงห์จับมือคนรักลูบเบา ๆ แล้วจรดปากจูบหลังมือ “คิดถึงมากเลย” ปากพร่ำบอกพร้อมกับกดจูบจนไฟไม่มีสมาธิขับรถ

“สิงห์... มันอันตราย”

“สิงห์รู้” ผู้กองหนุ่มว่าแล้วจูบตามแผลเป็นที่ไม่หายขาด “เจ็บหรือเปล่า อยู่ที่นั่นลำบากไหม”

“ไม่เจ็บเลย ไม่ลำบากด้วยกินอิ่มนอนหลับดี”

“สิงห์น่าจะขอท่านอธิบดีให้ไปประจำที่นั่นด้วย” นึกถึงเรื่องที่ไฟถูกยิงก็ต้องเม้มปากกลั้นน้ำตาเอาไว้ เกือบจะไม่ได้เจอไฟแล้ว...

ไฟใจหล่นวูบ “หลังจากวันนั้นไฟก็ระวังตัวมากขึ้นนะไฟไม่ใจร้อนแล้ว สิงห์ไม่ต้องห่วงนะ”

“แต่...”

“สิงห์ อย่าร้องเลยนะ ไฟอยากให้สิงห์ยิ้ม ไฟจะได้หายเหนื่อยไง”

สิงห์พยักหน้าจับมือหนาแน่นคล้ายกลัวว่าจะหายไปจริง ๆ “สิงห์ขอโทษ สิงห์แค่ห่วงไฟ”

“ไฟรู้” พูดไปนิ้วโป้งก็เกลี่ยมือคนรักที่ดูเล็กขึ้นทันตา เวลาสิงห์ร้องไห้ทีไรเขาใจเสียทุกทีไม่อยากให้คนรักต้องมาเป็นอย่างนี้ เขารู้ว่าดูภายนอกสิงห์จะเข้มแข็งสำหรับคนอื่นมากแค่ไหนแต่สำหรับไฟ… สิงห์น่ะอ่อนไหวที่สุดแล้ว

พอมาถึงบ้านของเราทั้งสอง สิงห์ก็รีบยกกระเป๋าขึ้นไปให้โดยที่ไฟแทบไม่ได้ถือ ร่างสูงถอนหายใจส่ายหัวยิ้ม ๆ แล้วเดินขึ้นบ้านตาม

“สิงห์ทำกับข้าวไม่เป็น แต่ไฟรอก่อนได้ไหมสิงห์จะขับไปซื้อให้” สิงห์รีบบอกกระวนกระวายจนไฟได้แต่มองอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะกอดคนรักแนบแน่น

“คิดถึงจะตายอยู่แล้ว ได้กอดเสียที” ไฟพูดข้างหูหอมแก้มจนช้ำก็ยังไม่พอใจ

“ให้สิงห์ไปซื้อข้าวนะ” สิงห์ยังไม่เลิกพยายามที่จะดูแลจนไฟได้แต่หัวเราะ

“ไม่เป็นไรจ้ะ ไฟขอทำเอง ได้สูตรอาหารใต้มาเยอะเลยอยากให้สิงห์ลองชิมด้วย”

“แต่ไฟเพิ่งกลับนะพักก่อนเถอะ”

“พักแล้วไม่ได้คุยกับสิงห์ ไฟขอไม่พักจะดีกว่า” ไฟหน้าหมองพาคนรักไปนั่งโต๊ะไม้โดยให้สิงห์นั่งตัก ลำแขนก็โอบรอบเอวพร้อมกับเอาคางเกยไหล่ “แต่ว่าอยู่แบบนี้ก็เหมือนพักเหมือนกันนะ”

สิงห์ถอนหายใจอย่างจำยอมเอียงหัวซบแล้วยกมือลูบข้างแก้มคนรัก “รู้ไหมว่าคิดถึงจนสิงห์อยู่บ้านคนเดียวไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นก็คงเอาแต่ร้องไห้คิดถึงไฟ”

“จริงหรือ” ไฟขมวดคิ้ว “แล้วสิงห์ไปอยู่ไหนทำไมถึงไม่อยู่บ้าน มืด ๆ ค่ำ ๆ มันอันตราย”

“สิงห์ไปยู่บ้านนนท์น่ะ ไปอยู่กับเจ้าเฟื้อง”

“เฟื้องน่ะหรือ ที่วัง?”

“เปล่า” สิงห์ไม่ได้เขียนจดหมายบอกเรื่องนี้ให้ไฟรู้เพราะคิดว่านนท์คงจะบอกเองเพราะเจ้าตัวก็เกริ่นขึ้นมาว่าหากทั้งไฟและจันกลับมาค่อยไปคุยกัน

“แล้วที่ไหนกัน ไปกับชายอื่นรึไง”

สิงห์หัวเราะ “ผู้ชายไปกับผู้ชายไม่เห็นดูไม่ดีตรงไหน อีกอย่างเฟื้องก็น้อง นนท์ก็เพื่อนไม่มีชายอื่นหรอก”

ไฟยังคงขมวดคิ้วแน่น

“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องหึงขนาดนั้นหรอกพ่อคุณ” สิงห์ยิ้มจูบข้างขมับก่อนจะบอกให้คลายกังวล “สิงห์ไปนอนบ้านครูปิ่นนั่นแหละตอนนี้เธอนอนโรงพยาบาลนนท์ต้องไปดูแล ฉันเลยขอไปอยู่ที่นั่นเฝ้าบ้านกับเจ้าเฟื้อง” ที่จริงเฝ้าลูกเขาต่างหาก

“แต่ก็ยังดี” ไฟพอเข้าใจได้ หอมแก้มไปอีกฟอดพร้อมกับคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องครูปิ่นเป็นอะไร แต่ก็บอกได้ไม่มากบอกได้แค่ว่านนท์จะเล่าเอง

หลังจากนั้นทั้งสิงห์และไฟก็ไปซื้อของมาทำอาหาร ไฟได้ของใต้มาเยอะแยะไปหมดจึงไม่ต้องซื้ออะไรมามากหลังจากกินข้าวฝีมือไฟเสร็จ สิงห์ก็ให้ไฟพักผ่อนส่วนตนก็ไปทำงานต่อโดยเอารถจิ๊บไป บอกนนท์เรื่องที่ไฟกลับมาพอดีกับที่ว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ครูปิ่นก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลเขาเลยไปขนเสื้อผ้ากลับ เจ้าเฟื้องร้องไห้อีกแล้วเพราะจะไม่ได้เล่นกับพี่สิงห์และไม่มีใครสอนการบ้าน สิงห์สงสารเด็กแต่ก็ต้องกลับ

กว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำ ป่านนี้ไฟอาจจะบ่นเขาอยู่ก็ได้ นึกแล้วก็ยิ้มบาง ๆ ขนเสื้อผ้าขึ้นบ้านเข้าไปในห้องก็เห็นคนรักหลับอยู่

“ยังไม่ตื่นอีกหรือ” สิงห์นึกสงสัย คงนอนทับตะวันแน่นอนเลยแต่ก็ไม่อยากปลุกในเมื่อมันก็มืดค่ำแล้วเขาจึงลงไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อจะขึ้นมานอน ชายหนุ่มดับไฟตะเกียงลงพร้อมกับปิดหน้าต่างกางมุ้งให้เรียบร้อยถึงจะปีนขึ้นไปนอนข้าง ๆ

“ฝันดีนะ” พูดเสียงเบาแล้วจูบเบา ๆ ที่หน้าผากแต่พอหงายหลังนอนได้ไม่นานก็ถูกคร่อมพร้อมกับปากที่ถูกปิดด้วยความอุ่นร้อน “อื้อ ไฟ!”

“กลับดึกเชียว” ไฟดุเล็กน้อยคลอเคลียตามข้างแก้ม

“ต้องแวะเอาเสื้อผ้าบ้านนนท์น่ะ” สิงห์เอียงหน้าให้คนรักได้หอมได้ถนัดมือก็ยกขึ้นขยุ้มผมยามที่ลำคอถูกเม้มกัด

“คืนนี้ไฟขอได้ไหม”

“อือ เอาสิ” สิงห์คล้อยตามอย่างง่ายดายเสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องอย่างรวดเร็ว สิงห์ครางเสียงพร่ายามที่นิ้วยาวของคนรักขยับเข้าออก ทั้งเสียวซ่าน อกสั่นไหวไปด้วยแรงอารมณ์ ในตอนที่คนรักถอนนิ้วออกไป สิงห์ก็วูบโหวงเผลอขยับเข้าหาจนเสียดสีกับเนื้อร้อนของอีกฝ่าย

“สิงห์...” ไฟกัดฟันกรอดเกือบจะทนไม่ไหว

“เข้ามาได้ไหม... ไฟ” สิงห์อ้อนวอนขยับบั้นท้ายด้วยความเผลอไผลดวงตาฉ่ำไปด้วยน้ำ

“ถ้าพรุ่งนี้เผลอเดินไม่ไหวก็อย่ามาโทษไฟนะ” ไฟพูดเสียงต่ำจับความเป็นชายของตัวเองเข้าไปตามคำร้องขอ ยิ่งอีกฝ่ายดูดกลืนก็ยิ่งสะท้านไปทั้งกาย

“ไฟ..” สิงห์ยังคงเรียกเสียงอ่อนตอดรัดเพราะโหยหายอีกคน “ขยับเถอะนะ”

ไฟคำรามในลำคอวันนี้สิงห์ทำเขาแทบคลั่ง และก็คลั่งดั่งไฟโหมเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวก็เหมือนถูกราดน้ำมันเพื่อจะได้แผดเผาร่างกายของคนใต้ล่าง เขาขยับกระชั้นถี่เพื่อให้ไฟลามไปทั่วทั้งตัว เหงื่อหยดตามขมับ สิ่งที่ผลุบโผล่นั้นร้อนระอุ

และสิงห์เองก็พอใจที่จะให้ไฟแผดเผาตัวเอง เมื่อความต้องการล้นปรี่ร่างกายก็ตอบสนองกลายเป็นน้ำมันที่ผสมกับเพลิง ผลัดกันกระทุ้งเข้าหาแลกเปลี่ยนความคิดถึงผ่านบทรัก

สิงห์ผลัดขึ้นไปข้างบนโยกกายกดย้ำ ๆ เพื่อให้สิ่งคับแน่นนั้นเข้าไปในตัวลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แขนโอบรอบลำคอปากบางก็ก้มลงจูบพร้อมกับขย่มอีกฝ่ายไปด้วย เสียงอันหยาบโลนและเสียงร้องครางดังไปทั่วห้อง

พอจะถึงจุดสุดท้ายไฟก็กลับมาจัดการด้วยตัวเองจนร่างกายของสิงห์แทบจะเหลวไปกับความอุ่นร้อนที่ทะลักเข้ามาด้านใน

สิงห์หอบหายใจแรงมองคนรักที่จับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นไปพรหมจูบก่อนจะตกใจเมื่อสัมผัสถึงความเย็นจากนิ้วนาง

“แต่งงานกันนะ”

คนถูกขออึ้งไปครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะกัดฟันน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไฟได้แต่ก้มกอดเพื่อปลอบประโลม

“ว่าไงครับ”

“อือ ๆ” สิงห์พยักหน้ายังคงร้องไห้ไม่หยุด มือเรียวกุมหน้าตัวเองดีใจจนพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตา ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้คล้ายว่าหาเสียงในลำคอไม่เจอได้แต่ร้องเสียงสะอื้นเป็นการตอบรับ

“ใส่ให้ไฟด้วยสิ” ชายหนุ่มขยับตัวหยิบของตัวเองออกมาเป็นแหวนทองเหมือนกัน เป็นแหวนของพ่อกับแม่ที่ให้เขามาเพื่อจะได้ใส่ให้คนที่ตัวเองรัก

สิงห์พยักหน้าน้ำตาบดบังจนจับไม่ถูก ไฟต้องจูบมือปลอบแล้วเอาแหวนวางบนมือให้ ส่วนสิงห์ก็พยายามจะลุกใส่ให้แต่ไฟก็ส่ายหัวแล้วเอามือซ้ายของตัวเองวางบนมือสิงห์

“รักสิงห์นะ” ไฟยิ้มให้คนที่กำลังสวมแหวน มือของสิงห์สั่นมากจนเขาต้องคอยช่วย ยิ่งเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ “ถึงจะไม่ได้สวยหรูแต่ไฟก็อยากให้แหวนนี้เป็นของสิงห์”

เขารู้ว่าสิงห์พูดอะไรไม่ออกและคงหาเสียงตัวเองไม่เจอจึงก้มเอาหน้าผากแนบกับอีกคน “อยู่กับไฟไปนาน ๆ นะ”

สิงห์พยักหน้าหลับตาแน่นรับจูบจากคนด้านบนก่อนจะกอดคนรักเอาไว้ สุดท้ายก็ค้นหาเสียงตัวเองเจอสักที “ทั้งชีวิตสิงห์ก็ให้ไฟได้... ให้ไปทุกอย่างแล้ว”

 

 

“จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตก็ยังได้...”

ไฟจำคำคำนี้ได้ขึ้นใจ ในอนาคตจะเป็นยังไงก็ขอเชื่อแต่คำคำนี้จนสุดหัวใจ...



จบบทที่ ๑๐

---------------------------------------------------------------------------------------
นี่ใช่นายสิงห์ตอนปัจจุบันจริงๆเหรอ ทำไมในอดีตดูขี้งอแงขนาดนี้55555555
อีกไม่กี่ตอนจะถึงตอนปัจจุบันแล้วนะคะ เสิร์ฟฉากซึ้งๆไปก่อนเนาะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 17-06-2019 06:17:29
:m4:    เรื่องนี้ดีงามมากอะ   


โดนใจที่สุดตรงที่ พระ-นาย แมนทั้งคู่!   :m3:


เฮียไฟเท่ ดุดัน มุทะลุ  …  พี่สิงห์สุขุมลุ่มลึก  ดีต่อใจ    :give2:


ชอบความพีเรียด   ชอบความขุนพันธ์ในบทที่ ๙



แต่แอบขัดใจตรงใช้คำว่า “ทาน” อยากให้ใช้คำว่า “กิน” แทนได้ไหม?

“กิน” ไม่ใช่ไม่สุภาพนะ


เห็นใช้คำว่า “หินภา” สองสามครั้ง ไม่ทราบว่าสะกดผิด หรือว่าเป็นการสะกดแบบโบราณฮะ?



รอตอนต่อไปนะ      o14
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๑ (๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 22-06-2019 22:55:59
บทที่ ๑๑

ย้อนวัย : กลับบ้านเกิด


 

เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๐

เวลาล่วงเลยผ่านไปเดือนกว่าได้หลังจากที่ไฟกลับมา ตอนนี้สี่หนุ่มนัดกันไปเลี้ยงต้อนรับในโอกาสไฟและจันกลับมาโดยมีเจ้ามือคือนนท์และสิงห์ เสียงเพลงในร้านเหล้ายังคงดังคลอไปทั่วร้านแข่งกับเสียงคุยโม้ของจัน

“พวกมึงรู้ไหมกูตกใจแทบตายที่ไอ้ไฟโดนยิง กูทำห่าอะไรไม่ถูกเลย” จันเล่าไปกระดกของมึนเมาเข้าปากไป

“ทีหลังก็ระวังตัวไว้ดี ๆ อย่าให้โดนยิงแบบนั้นอีก” สิงห์หันบอกคนรัก ถึงแม้จะพูดเรื่องนี้กันไปหลายครั้งแล้วแต่ก็อดย้ำอีกครั้งเสียไม่ได้

“รู้แล้วจ้ะ” ไฟกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินแค่สองคน

“แล้วตกลงจะทำเรื่องขอย้ายตอนไหนล่ะ” นนท์ถามขึ้นเพราะสิงห์บอกไว้ว่าจะทำเรื่องขอย้ายไปประจำที่สิงห์บุรี

“ก็คงรอทำเรื่องอื่น ๆ ให้ครบก่อนน่ะ”

“กูไปด้วยได้ไหมวะ” จันเปรยขึ้น

“ไปทีเดียวสามคนมึงว่ามันจะได้ไหมล่ะ ขนาดแค่สองคนกูยังไม่รู้เลยว่าจะทำเรื่องได้ไหม” ไฟเอ่ยพร้อมกับจิบน้ำเมาเล็กน้อย

“ไว้เดี๋ยวกูลองขอท่านอธิบดีเอา” จันว่า

“มึงก็อยู่นี่ก็ได้หนิ อยู่กับนนท์เนี่ยแหละ” สิงห์บอก

“เออหน่าถ้ากูไม่ได้ไปประจำด้วยก็อยู่ที่นี่นั่นแหละ” จันหัวเราะแล้วสะอึกไปที

เสียงพูดคุยยังคงดังไปเรื่อยจนเงียบกันหมดเพราะหันไปฟังเสียงใสกังวานของนักร้องสาวสวยที่ขึ้นมาบนเวที จันตาเยิ้ม นนท์ไม่แม้แต่จะปรายตามองส่วนสิงห์ก็ฟังและยิ้มไปด้วยต้องเดือดร้อนไฟต้องเอาตัวบังไม่ให้สิงห์มองสาวนักร้องคนนั้น

“ฉันมีเรื่องจะบอก” ผ่านไปสักพักนนท์ที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นเรียกความสนใจทั้งสามเป็นอย่างดี

“อะไร” ไฟถามขึ้นคิดว่าคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณปิ่นป่วย

“ฉันมีลูกแล้ว”

“ห๊ะ!!!” จันร้องเสียงหลง โต๊ะสั่นกึก ๆ เพราะแก้วเหล้าที่ถูกวางอย่างแรง

“เป็นท่านชายที่ไฟแรงเสียจริง”

“ไฟ” สิงห์กระทุ้งศอกใส่สีข้างของคนรัก

“โทษที”

“เมื่อไหร่ ตอนไหน แล้วไปทำอีท่าไหนห๊ะ! ท่านชายยยย” จันตาเหลือกตบโต๊ะย้ำ ๆ ให้เพื่อนเล่าจนสิงห์ต้องเขวี้ยงถั่วฝักยาวใส่หน้าเพื่อให้จันสงบลง

นนท์เล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกทุกครั้งที่พูดทีจันก็ร้องห๊ะทีแล้วก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่พูดจนต้องเอ่ยบอกว่าพรุ่งนี้เย็น ๆ ให้ลองไปเยี่ยมปราชญ์ดู

“ผ่านไปปีกว่า เหมือนผ่านไปสิบปีเพื่อนกูก็มีลูกมีเมียแล้ว” จันส่ายหัวกระดกเหล้าหลายแก้วเพื่อคลายความตกใจ

“หนึ่งขวบแล้วหรือคงจะน่ารักน่าชังน่าดู” ไฟชมออกไปก่อน นนท์จะได้ไม่ต้องคิดมากอะไร

นนท์ยังเล่าให้ฟังอีกว่าปิ่นร้องไห้เพราะรู้สึกผิดต่อลูกที่จะหนีไปทั้งอย่างนั้นไม่รู้ความอันตรายข้างหน้าและไม่ห่วงถึงความรู้สึกลูกชายที่มารู้ว่าตัวเองไม่มีพ่อเหมือนใครอื่น เธอรู้สึกผิดจนร้องไห้ทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอนมัวแต่ไปนั่งเฝ้าลูกที่ห้องทุกวัน

“โชคดีของหนูปราชญ์ที่คุณแม่คิดได้ทันและคุณพ่อที่ไม่ทิ้งครอบครัว” สิงห์ตบบ่าเพื่อนที่นั่งข้างกาย

จันที่นั่งเงียบมานานหรี่ตามองมือข้างซ้ายของสิงห์ที่เลื่อนไปจับบ่านนท์ตอนแรกก็ตกใจอยากจะถามว่ามึงก็มีเมียมีลูกอีกคนหรือไงแต่พอสายตาไปกระทบกับแหวนทองที่คล้ายกันของไอ้ไฟก็ต้องคิดหนักอีกรอบ

“นี่พวกมึงสองคนน่ะ....” จันวางแก้วเหล้าชี้ทั้งไฟและสิงห์สลับกัน

“อะไรของมึง” ไฟขมวดคิ้วแขนก็พาดพนักพิงของคนรักไว้

“พวกมึงสองคน...” จันจ้องเขม็ง

 

“มีลูกมีเมียกันแล้วใช่ไหมวะ”

“พรืด” ไฟหัวเราะอย่างห้ามไม่ได้ “อะไรของมึงเนี่ย อยู่กับกูที่สุราษฎร์มึงเห็นกูไปหลงสาวใต้ที่ไหนหรือไง” ไฟส่ายหัว

“ไม่หลงก็ดี” น้ำเสียงแข็ง ๆ ดังขึ้นข้างกาย พอหันไปก็พบกับแววตาขวาง ๆ ของคนรักจึงต้องขยับเข้าไปใกล้ใช้มือแตะ ๆ ไหล่เป็นเชิงบอกว่าจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน

“เอ้า ก็พวกมึงแม่งใส่แหวนกัน หรือมึงไอ้สิงห์” จันหันไปชี้อีกคนแทน

“จะมีที่ไหนล่ะ วัน ๆ จับแต่โจร” ว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปากก่อนจะขยับให้คนรักโอบไหล่ได้ถนัด

“แล้วพวกมึงจะใส่แหวนนิ้วนางซ้ายกันทำไมวะ กูก็นึกว่ามีลูกมีเมียหนีกูกันไปหมดแล้ว”

สิงห์ก้มมองแหวนในมือพลางหัวเราะในลำคอแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรเห็นนนท์เลิกคิ้วถาม ก็ชี้ไปที่ไฟก่อนจะผงกหัวให้รู้กัน

“ดีใจด้วย” นนท์เปรยขึ้นมาเรียกความงุนงงของจันเพิ่มไปอีก

“นี่พวกมึงมีเมียกันแล้วใช่ไหมวะ ดีใจอะไร ทำไมนนท์มันรู้” จันยังคงถาม

“มึงนี่โง่จริง ๆ” ไฟส่ายหัวยังขำไม่หาย จนป่านนี้มันก็ยังดูเขาสองคนไม่ออกกันหรือไง

“จะว่ากูทำไมเนี่ย” จันขมวดคิ้ว

“มึงดูไม่ออกหรือ” ไฟถามลองเชิง

“ดูอะไรวะ”

“แหวนเนี่ย” ไฟยกข้อมือที่จับไหล่คนรักขึ้นให้มันมอง นี่ขนาดทำตัวตามสบายไม่มาปิดบังใครเหมือนในกรมเลยนะ

“อะไรวะ” จันจ้องมือของเพื่อนแล้วจ้องที่มือของสิงห์พลางใช้ความคิด

“เกินเยียวยา” ไฟส่ายหน้า

“เออใช่” จันตบโต๊ะไปที “พวกมึงใส่แหวนเหมือนกันจังวะ”

“คิดว่าไง” ไฟถามยิ้ม ๆ

“แหวนแสดงมิตรภาพเพื่อนหรือวะ”

“โอ๊ย ไอ้จันเอ๊ย” ไฟกุมขมับส่วนสิงห์ก็ขำจนสำลักเหล้าไปแล้ว สุดท้ายก็ปล่อยให้มันเชื่อไปอย่างนั้นไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเพราะถือว่าเปิดเผยให้รู้เยอะพอควรแล้ว

พอเห็นว่าสมควรที่จะกลับบ้านกันแล้ว นนท์ก็ขออาสาไปส่งจันเองเพราะมันเมามายเดินแทบไม่ไหว ส่วนสิงห์ก็ขับรถกลับบ้านแทนเนื่องจากไฟดื่มเยอะพอกัน

วันรุ่งขึ้นกว่าจะลุกขึ้นไปทำงานก็เกือบสาย ทั้งสิงห์และไฟดำเนินเรื่องที่จะขอย้ายไปประจำที่บ้านเกิด พอตกเย็นก็ชวนกันไปหาหนูปราชญ์ที่บ้านครูปิ่น เจ้าเฟื้องกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วเหลือป้าบัวที่คอยดูแลกับป้าผึ้งคนเลี้ยงดูครูปิ่นที่เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด

“จันเป็นอะไรวะ” สิงห์เดินออกมานั่งข้างนอกตามจันที่อยู่ ๆ ก็ออกมานั่งตรงนี้คนเดียว

“กูคิดถึงแม่กับน้อง”

สิงห์เงียบลง “นั่นสิคิดถึงจัง” แม่พิมพ์อรกับน้องต้นอ้อ..

“พอเห็นลูกไอ้นนท์กูก็เก็บเอามาคิดกับตัวเองว่า.. หากกูมีอนาคตที่ดีพร้อมกับแม่กับน้อง.. กูคงมีลูกให้น้องกับแม่อุ้มไปแล้ว”

“แล้วได้เบาะแสอะไรไหม” สิงห์ถามเพราะจันบอกจะตามสืบเรื่องแม่กับน้องแต่คงยุ่งกับการย้ายไปประจำที่อื่นเลยไม่ได้มาทำเรื่องนี้

จันเงียบไปครู่หนึ่งใบหน้าก็หม่นลงทันตา “ไม่มีเลย...”

“อยากตามหาไหม กูจะช่วยอีกแรง”

จันยิ้มอย่างนึกขอบคุณ “ไม่เป็นไรหรอก มึงทำเรื่องจะไปประจำที่บ้านเกิดแล้วก็อย่าทิ้งโอกาสเลย กูไม่เป็นไร”

“โอกาสกูยังมีอีกเยอะหน่า ถ้าไม่ได้ตอนนี้ก็ยังมีปีอื่น ๆ”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ว่ะ กูไม่อยากให้พวกมึงต้องมาทิ้งโอกาสเพราะเรื่องนี้ ไว้กูมีเรื่องที่ทำไม่ได้จริง ๆ กูจะขอให้พวกมึงช่วยเองไม่ต้องห่วง”

สิงห์จะค้านต่อแต่จันก็ตบบ่าเขาแล้วเดินกลับเข้าไปเล่นกับหนูปราชญ์เหมือนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น สิงห์จึงเดินไปยืนข้างคนรักแล้วเล่าเรื่องเมื่อกี้ให้ฟัง แต่ไฟก็ทำเพียงบอกว่าให้ทำตามที่จันพูด เพราะถ้าจันต้องการแบบนี้เราสองคนก็ไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๐

สถานีตำรวจอ้อยขวาง จ. สิงห์บุรี


วันที่สามหลังจากมาประจำที่อ้อยขวางไฟก็ยังไม่เคยเห็นหน้าสารวัตรของที่นี่ แต่ก็มาประจำได้เพราะ ‘หลวงศักดิ์กมล’ หรือก็คือท่านอธิบดีกรมตำรวจภูธร เขต ๑ และพ่อของเขาที่ช่วยในด้านนี้

สิงห์ได้รับตำแหน่งรองสารวัตรของที่นี่ ส่วนเขาก็เป็นผู้บังคับหมวดหรือผู้ช่วยรองสารวัตร ส่วนจันยังมาไม่ได้และถูกส่งตัวไปประจำที่อื่นแทน นนท์เองก็ได้รับตำแหน่งรองสารวัตรที่กรมตำรวจภูธร เขต ๑ เห็นส่งจดหมายมาว่าพ่อของเขาช่วยเหลือนนท์ได้มากทั้งเรื่องที่อยู่ เรื่องกินและเรื่องลูกชาย พ่อก็ใจดีให้ยืมรถตนไปใช้เพื่อรับภรรยาและลูกมาอยู่ด้วยกันเพราะอยู่ใกล้ที่ทำงาน

“ลุงธง สารวัตรที่นี่คือใครกัน” ไฟหันไปถามจ่าธงที่พอพวกเขามาถึงก็พูดยาวเหยียด

“สารวัตรทัพน่ะ” แกว่าก่อนจะแลซ้ายแลขวาพร้อมกับป้องปากให้ได้ยินกันแค่สามคน “ไม่เอาการเอางาน ใครทำผิดก็เรียกเก็บเงินแล้วปล่อย”

“จริงหรือ แล้วมันเป็นสารวัตรได้ยังไงวะ” ไฟหัวฉุนจนสิงห์ต้องจับแขนปราม

“จ่าธงอย่าพูดไปเลย เดี๋ยวมีคนได้ยินเอาไปบอกสารวัตรเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง” สิงห์เตือนเล็กน้อย

“เออ ๆ ข้ารู้แล้ว เอ็งนี่ก็” จ่าธงส่ายหัวแต่ก็น้อมรับคำเตือน

“งานทุกงานถ้าหากมีเรื่องด่วนก็คงมีแค่สิงห์ที่รับหน้าที่ใช่ไหม สามวันนี้ไม่เห็นหัวสารวัตร มีแต่รองสารวัตรที่ทำงานงก ๆ” ไฟทุบโต๊ะ

“ไฟใจเย็นก่อน” สิงห์จับมือคนรักหันมองรอบกายอย่างโล่งอกที่ไม่มีใครแถวนี้

“แต่มันก็ดีนะ ไอ้พวกคนชั่วทั้งหลายมันจะได้เข้าคุกเข้าตารางจริง ๆ ไม่ใช่ถูกปล่อยตัวเพราะแค่ฟาดเงินใส่หัวไอ้สารวัตร” จ่าธงเสริม

“จ่าธง” สิงห์เอ็ด

“ผู้กองครับ! ผู้กอง!” เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ก็พบว่าเป็นจ่าคมที่วิ่งมาหา

“มีอะไร” ผู้กองหนุ่มลุกขึ้นไม่รอเวลาใดใดหากมีเรื่องก็จะให้เดินไปพูดไป

“ไอ้เดตมันโวยวายถามหาสารวัตรครับ”

“เดต? ที่ไปข่มขืนลูกสาวลุงเบิ้มหรือ”

“ใช่ครับ”

“มาโวยวายเหมือนคนอื่น ๆ ใช่ไหม” สิงห์ถามเสียงเรียบ

จ่าคมหน้าถอดสี “ครับ”

สิงห์เดินขึ้นไปบนสถานีได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านใน ตำรวจทุกนายไม่กล้าเข้าใกล้ เรื่องเดิม ๆ ที่โจรกล้าขู่ตำรวจโดยการเอาตำรวจที่ยศใหญ่กว่ามาเป็นคนคุ้มกะลาหัวตัวเอง เห็นไฟกับจ่าธงกำลังเดินมาจึงต้องรีบจับขังคุยไม่อย่างนั้นไฟคงหงุดหงิดมากกว่าเดิม

“จ่าคมกับหมู่ลากมันเข้าไปในห้องขังซะ”

“แต่..” หมู่นายนั้นอึกอักเพราะหากสารวัตรรู้คงโดนว่า

“ในเมื่อตอนนี้สารวัตรไม่อยู่สถานี ถือว่าคำสั่งของรองสารวัตรเป็นเด็ดขาด” สิงห์จ้องหมู่นายนั้นเพื่อกดดัน นายตำรวจทั้งสองจึงช่วยกันดึงตัวไอ้เศษเดนเข้าตาราง

“ปล่อยนะเว้ย! ปล่อยกู! พวกมึงกล้าขัดคำสั่งหัวหน้าพวกมึงหรือไง!”

สิงห์ถอนหายใจบอกจ่าคมว่าห้ามให้ใครเข้ามาโดยเฉพาะหมวดไฟ ถึงจ่าคมจะงุนงงแต่ก็พยักหน้า

ผู้กองหนุ่มปิดประตูด้านนอกให้จ่าคมเฝ้าหน้าประตูส่วนตนเองก็เดินเข้าไปถึงห้องริมสุดที่เป็นไอ้เดตกำลังโวยวาย และมีเพื่อนร่วมขังอีกสองสามคนที่อยู่ในนั้น

“มึงใช่ไหมผู้กองสิงห์ มึงกล้าจับตัวกูหรือวะ โง่หรือเปล่า” ไอ้เดตสบถลุกขึ้นจับกงเหล็ก “ปล่อยตัวกูซะ เดี๋ยวกูจะตอบแทนงาม ๆ ดีกว่าไอ้สารวัตรร้อยเท่า มึงเป็นลูกเสี่ยพันธ์ซะอย่างคงพูดง่ายใช่ไหม” มันว่ายิ้ม ๆ

แต่สิงห์กลับทำเพียงยืนกอดอกไม่ได้แสดงสีหน้าใดใดออกมา “คนทำผิดก็ต้องเข้าตาราง มันก็ถูกแล้ว” ถ้าเป็นไฟป่านนี้คงเข้าไปซัดปากมันหลังจากที่พูดออกมาแบบนั้นเป็นแน่

“คนอย่างมึงกล้าพูดเรื่องแบบนี้ด้วยหรือวะ อย่ามาทำเป็นตำรวจยุติธรรมตอนนี้ กูรู้ว่ามึงเข้ามาได้เพราะใคร” ไอ้เดตยังคงไม่รามือ “รีบปล่อยกูซะ นายกูรู้จักกับเสี่ยพันธ์ ถ้ารู้ว่ามึงจับกูไว้ งานที่พ่อมึงทำจะล่มเอานะเว้ย”

สิงห์เค้นหัวเราะ “ก็ช่างสิ งานของพ่อกูไม่ใช่งานกู ตอนนี้งานของกูคือตำรวจ ถ้าให้ปล่อยสวะอย่างมึงออกไปข่มขืนใครอีก กูคงไม่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หรอก”

“ไอ้สิงห์! มึงทำแบบนี้เท่ากับไม่เห็นหัวพ่อมึงเลยนะ”

“กูไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น...” สิงห์ใช้มือจับกรงเหล็กตาจ้องเขม็งอย่างกับไม่ใช่สิงห์ที่ใจดีและสุขุมเหมือนดั่งเดิม มันเป็นสายตาที่เคยใช้เมื่อตอนที่รับงานชั่ว ๆ จากพ่อตัวเองไปกดดันคู่แข่งและเขาทำมันสำเร็จเสมอ ไม่อยากจะทำอีกแต่ก็ต้องทำเพราะรู้ว่าพวกมันเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ

จะไปใจดีด้วยทำไมกับคนพรรค์นี้

“ถ้ามึงออกไปเมื่อไหร่ กูจะเอากระสุนยัดปากมึงด้วยน้ำมือตัวเองทันที” มันนิ่งงันรู้ว่ายังโกรธ สิงห์จึงผละออกแล้วตวัดตามองคนในห้องขังที่เหลือที่เคยเป็นลูกน้องพ่อสองคนและอีกคนที่เป็นโจรทั่วไปไม่มีใครคุ้มหัว “พวกมึงก็คงเข้าใจที่กูพูดใช่ไหม”

“ครับนายสิงห์” สองลูกน้องยังภักดีก้มหัวทันทีอย่างไม่รีรอ ส่วนอีกคนก็ไม่กล้าสู้หน้าแต่ไหนแต่ไร

“ถ้าทำตัวดีและไม่คิดจะกลับไปทำชั่วกูพร้อมจะปล่อยพวกมึง” สิงห์มองพวกมันทั้งห้องเป็นหนสุดท้ายก่อนจะออกไปข้างนอกพลางพรูลมหายใจ

“เป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็อาจจะเงียบไปสักพัก แต่คงกำราบไม่อยู่หรอกคนแบบนี้น่ะ” สิงห์ว่าพลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เดินไปทางห้องของตัวเองที่เป็นห้องรวมเพราะมีแต่ห้องสารวัตรเท่านั้นที่เป็นห้องเดี่ยว

“เป็นไงบ้าง” ไฟถาม

“ก็เหมือนคนอื่น ๆ เดี๋ยวก็โวยวายอีก” สิงห์ถอนหายใจนั่งลงที่โต๊ะ

จวบจนผ่านไปสามสี่วันหลังจากนั้นสารวัตรทัพก็มาที่สถานีด้วยชุดที่ยับยู่ยี่ไม่มีความเป็นตำรวจอยู่ในตัว สภาพคล้ายคนที่ไปขโมยชุดราชการมาใส่ก็คงไม่พูดเกินจริง

“ไอ้ผู้กองสิงห์!” สารวัตรเดินมาหาถึงที่ ใบหน้าดูโกรธถมึงมืออ้วนท้วมชี้หน้าด่า “อย่าทำอะไรโดยไม่ขออนุญาตกูอีก กูใหญ่กว่ามึง มีสิทธิ์จะสั่งอะไรก็ได้และมึงต้องทำตามไม่ใช่ขัดคำสั่งกู!”

ไฟกัดฟันกรอดกำลังจะลุกขึ้นไปประจันหน้าแต่สิงห์ก็เดินมาบังไว้ “ผมทำอะไรไม่ดีหรือครับ”

“ยังจะกล้าถาม!” สารวัตรทัพตะคอกเสียงดัง “มึงขัดคำสั่งกู!”

สิงห์เลิกคิ้ว “ผมก็ทำตามคำสั่งแล้วนี่ครับ”

“ตรงไหนที่มึงทำ ห๊ะ!!”

“ก็สารวัตรบอกผมไว้ว่า ‘รู้ใช่ไหมว่าควรทำยังไงกับคนพวกนี้’ ผมทราบและคิดว่าพวกมันสมควรถูกจับเข้าตาราง ไม่เห็นจะไปขัดคำสั่งสารวัตรตรงไหนเลยไม่ใช่หรือครับ”

สารวัตรทัพหน้าคล้ำมือไม้สั่นเทิ้ม “มึงจะลองดีกับกูใช่ไหม”

“ไม่กล้าหรอกครับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหุบริมฝีปากดวงตาแข็งกร้าวจ้องที่สารวัตรอย่างไม่เกรงกลัว “ผมจะกล้ากับพวกที่ทำความเลวและเข้าข้างในสิ่งที่ผิดเท่านั้น ใครที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย ผมจะไม่ทำอะไรพวกเขาหรอกครับ”

“ไอ้สิงห์!” สารวัตรทัพโกรธจัด “สักวันมึงจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้!” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินออกไปจากสถานีทันที

“พูดอะไรของมัน” ไฟที่ฟังอยู่นึกโมโห

“ไปทำงานเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้” สิงห์สั่งแต่ไม่ใช่เพียงแค่ไฟ แต่รวมถึงคนอื่น ๆ ก็ด้วย


 


พ่ายโลกันตร์

 

 

ผ่านไปสี่เดือน

ตุลาคม ๒๔๘๐


“ไอ้ไฟ! ไอ้สิงห์!” จันที่เพิ่งลงจากรถรีบหอบของวิ่งไปหาเพื่อนทั้งสองที่มารอรับ “กว่ากูจะมาที่นี่ได้ แม่งทำเรื่องซะนาน”

“บ่นมาก เอาของไปเก็บไป”

“รู้แล้วโว้ย คนมาเหนื่อย ๆ แทนที่จะช่วย” จันส่ายหน้าเห็นสิงห์ยื่นมือมาช่วยถือของก็ชื่นใจ

“ไม่พักกับไฟหรือ ไปพักอะไรที่บ้านเช่านั่นล่ะ” สิงห์ถาม

“พักที่นั่นดีแล้ว กูไม่อยากกวน” จันว่าก่อนจะป้องปาก “เผื่อเอาสาวมาจะได้ไม่ไปกวนแม่ไอ้ไฟไง”

“มึงนี่” ไฟจะตบหัว แต่มันก็หลีกได้

“อย่าคึกคะนองจนไม่เป็นอันทำการทำงานล่ะ”

“ครับผู้กอง!” จันทำท่าตะเบ๊ะจนสิงห์ถึงกับส่ายหัว

เพียงไม่กี่อาทิตย์จันก็เป็นที่รู้จักของทั้งสถานีและชาวบ้านเพราะความอัธยาศัยดีและพูดเก่งจึงมีแต่คนชื่นชอบ

“หมวดจัน เอ้า! นี่ต้มข่าไก่” ป้าคนหนึ่งยื่นปิ่นโตขนาดเล็กให้ “ขอบคุณที่ช่วยจับหัวขโมยให้นะ”

“ขอบคุณครับ” จันยิ้มยื่นมือรับของก่อนจะเดินไปหาเพื่อนทั้งสองที่นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟ

“เนื้อหอมนะมึง”

“แน่นอน” จันยักไหล่นั่งลงแล้วแบ่งของกินให้เพื่อน “แล้วตกลงเรื่องไอ้เดตเป็นไง”

เพราะได้ฟังอะไรหลาย ๆ อย่างมากมายจึงเข้าใจได้ดี แม้ตอนนี้สารวัตรจะกลับมาทำงานเช่นเคยและไม่มีท่าทีใดใดก็ถือว่าผิดปกติอยู่

หลังจากวันนั้นสิงห์ก็เล่าให้ฟังว่าขังมันได้แค่เดือนเดียวก็มีคนช่วยออกไปพร้อมกับฆ่าคนในห้องขังไม่เหลือสักคนเพื่อปิดปาก ส่วนไอ้เดตหนีรอดไปได้และได้ข่าวว่ามันคอยตามติดนายมันตลอดคงกลัวจะโดนเก็บหากอยู่คนเดียว

“ตอนนี้ดูเงียบผิดปกติ คงจะรวมตัวกันวางแผนปล้นชาวบ้านเหมือนเดิม”

“มันจะทำกันตอนไหนวะ” จันถาม

“บ่ายโมงที่หมู่บ้านเริงรมย์” สิงห์ตอบพยักพเยิดไปทางเจ้าของร้านกาแฟที่ได้ยินพวกมันพูดตอนมาที่ร้านนี้จึงเอามาบอกเขา

“คงไปกันทุกคนเหมือนเดิม” ไฟว่าต่อ

“มันไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมีลูกน้องไม่ถึงสิบคนเราสามคนน่าจะไหว” จันเอ่ยบอกเพราะตรวจสอบลูกน้องพวกมันมาแล้ว

“ตอนอยู่ สุราษฏร์ฯ มึงยังกลัวอยู่เลย”

“โธ่ นั่นมันมีของ นี่ไม่มียิงนัดเดียวก็ตาย”

“เอาเถอะ จะยังไงก็ต้องประสานงานกับจ่าธงไว้ก่อนเผื่อเกิดเรื่องอะไรจะได้ให้จ่าธงคอยซุ่มอยู่ห่าง ๆ”

“อืมก็ดี มีน้อย ๆ ไก่จะได้ไม่ตื่น โดยเฉพาะไก่ที่อยู่สถานีนั่นน่ะ” ไฟอดไม่ได้ที่จะแขวะคนที่เป็นถึงหัวหน้าตนเสียหน่อย

ส่วนสิงห์ไม่คิดจะห้าม รอถึงบ่ายก็เริ่มเตรียมตัวกัน สิงห์ขอมือจ่าธงและจ่าคมให้คอยช่วยอีกแรงแต่รอสมทบเท่านั้น ส่วนทั้งสามคนก็รอลุยเมื่อพร้อม

“จับเป็นได้ก็ควรจะจับเป็นไปก่อนนะ” สิงห์สั่งก่อนจะชี้ตำแหน่งแต่ละจุดให้ทั้งสองไป

การปะทะเกิดขึ้นอย่างที่พวกมันไม่ทันตั้งตัว เพราะกำลังเตรียมของไปปล้นจึงไม่มีอะไรป้องกันพวกมันยอมนอนราบกับพื้นเพราะถูกจันเอาปืนจ่อ

สิงห์จึงอาสาเข้าไปอีกทางซึ่งมีเสียงร้องของผู้หญิงดังระงม ส่วนไฟก็ให้รออยู่ช่วยจันตรงนี้เพราะมันมีกันหกคนเผื่อใครตุกติกขึ้นมาสู้ จันคนเดียวคงไม่ไหว

ผู้กองหนุ่มเข้าไปข้างในโดยการถีบประตูเห็นพวกมันสองคนกำลังทำเรื่องเลวระยำ ไม่รอช้าเขาก็จัดการยิงหัวพวกมันสองคนทันทีก่อนจะรีบหาผ้ามาคลุมผู้หญิงทั้งสอง

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ทุกคนปลอดภัยแล้ว” สิงห์เอ่ยปลอบ ยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นนั้นแต่ก็เป็นตราบาปของทั้งสองที่ไม่อาจลืมลง

สิงห์พาเธอทั้งสองออกมารอข้างนอกโดยใส่เสื้อผ้าเก่าครบก่อนจะให้จันไปตามจ่าคมกับจ่าธงมาจัดการต่อ

“พวกมันมีอีกค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งรีบเอ่ยบอกผู้กองทันที

“เข้าใจแล้ว พวกคุณหลบตรงนี้อย่าไปไหน” สิงห์เอ่ยบอกให้หลบหลังถังไม้ขนาดใหญ่ก่อนจะเอ่ยบอกคนรัก “ไอ้เดตไม่ได้อยู่ในนั้น”

“ว่าไงนะ!” ไฟขมวดคิ้วก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นยิงเฉียดแขนสิงห์ไป “สิงห์!”

“ตรงนั้น!” สิงห์ชี้ไปที่อีกทางหนึ่งก่อนจะหลบหลังกล่อง พวกมันหกคนที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นทันที

“แม่งเอ้ย!” ไฟสบถหันไปยิงขาพวกมันทีละตัวได้ยินเสียงปืนจากด้านนอกก็เข้าใจดีว่ายังมีพวกมันข้างนอกอีก

“นับคนพลาดหรือ” สิงห์ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปยิงมันคนหนึ่งล้ม

“มันมีคนที่ไหนมาเพิ่ม”

“ช่างเรื่องนั้นก่อน จับตายซะ” สิงห์สั่งทันทีเพราะงานนี้พวกมันถูกจับตายได้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เพียงแค่นั้นก็ปราดยิงไม่เลือกหน้าสิงห์วิ่งตามไอ้เดตทันทีที่จัดการไอ้หกคนที่เหลือเสร็จก่อนจะปะทะกับพวกข้างนอกอีก

การปะทะจบลงไปหลังจากที่สิงห์ไม่นึกไว้ชีวิตใคร ไอ้เดตก็ถูกยิงจุดเดียวกับที่เขาพูดที่ห้องขังตอนนั้น ผู้กองหนุ่มสั่งทุกคนให้จัดการเรื่องของที่มันปล้นมาและช่วยเหลือผู้หญิงทั้งสองที่ถูกจับมา เห็นว่าเป็นลูกสาวของคนในพื้นที่

พอจบเรื่องนี้สิงห์ก็ถูกต่อว่าที่ทำอะไรโดยพลการแต่สารวัตรก็ไม่สามารถทำโทษอะไรได้เพราะชาวบ้านในพื้นที่ต่างมาขอบคุณสิงห์และชื่นชมผู้กองหนุ่มมากขึ้น เรื่องในวันนี้ก็แพร่งพรายไปไกล

สิงห์สั่งเด็ดขาดว่าจะจับตายทุกคนหากไม่มามอบตัว สารวัตรทัพทำเพียงอยู่เงียบ ๆ อย่างผิดปกติแต่นั่นมันก็ดีแล้ว



 
*มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๑ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 22-06-2019 23:13:46
*ต่อจากบทที่ ๑๑


กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑

ผ่านไปอีกสี่เดือนจากการจับโจรร้ายเกือบทั่วจังหวัดทั้งสามคนก็ได้ชื่อ ‘สามบุรุษแห่งอ้อยขวาง’ จันที่ถูกชื่นชมอยู่แล้วก็ยิ่งน่าชื่นชมเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนไฟที่เป็นลูกรองอธิบดีอนงค์ก็ถูกชมว่าเก่งเหมือนพ่อ แม้ว่าไฟไม่ค่อยชอบคำชมนั้นแต่ก็ต้องรับไว้ ส่วนสิงห์จากที่มีคำอคติก็กลายเป็นว่าค่อย ๆ ลบคำพวกนั้นให้เลือนหาย

ยิ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับหน้าที่ในอดีตของผู้กองสิงห์ทั้งในกรมนครบาล ในจังหวัดอ่างทองหรือจังหวัดใกล้เคียงก็ถูกเป็นตำรวจดีเด่นที่ใคร ๆ ก็ยกย่อง

“ผู้กองครับ” ชาวบ้านคนหนึ่งมาคุยด้วยเหมือนย่างปกติที่มีหลาย ๆ คนมาพูดคุยด้วยไม่ว่าจะเรื่องโจรที่อื่นหรือเรื่องเศรษฐกิจเรื่องตั่งต่าง

“เออสิงห์ไปกินข้าวที่บ้านไฟไหม พ่อกลับมาแล้วน่ะก็เลยให้ไฟมาชวน” ไฟเอ่ยถามเมื่อชาวบ้านคนนั้นเดินออกไป

“ไปสิ ว่าจะไปรับแม่กับน้องมาด้วย”

“ออกมาได้หรือ”

“น้องออกมาเรียนได้แล้วตอนนี้ก็อยู่มัธยมสี่ ส่วนแม่ก็แค่ขอพาออกมากินข้าวคงไม่เป็นไร”

“ไฟไปรับแม่กับน้องด้วยได้ไหม”

“ไว้ขอสิงห์ไปรับแม่ก่อนแล้วจะได้ไปรับน้องด้วยกันนะ”

ไฟพยักหน้าก่อนจะทำหน้าจริงจัง “เราบอกพวกท่านกันไหม”

ผู้กองหนุ่มนึกหวั่นใจ “ถ้าอย่างนั้นบอกแม่กับน้องก่อนนะ ไว้ค่อยบอกคุณลุงกับคุณน้า”

“ได้จ้ะ” ไฟตอบ

พอถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ สิงห์ก็กลับไปรับแม่โดยเอารถที่เป็นรถของพ่อที่ให้มาทำงาน ตั้งแต่กลับมาก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง แม่เองก็ออกไปซื้อของหรือไปตลาดได้แล้ว ต้นอ้อก็ออกไปเรียนได้ตั้งแต่สิงห์ไปเรียนต่อ พ่อเองก็ไม่พูดอะไรและไม่ได้ใส่ใจมาก เขากลับมาที่บ้านในชุดตำรวจแต่พ่อก็ไม่พูดอะไรนอกจากสั่งให้เขาอย่าใส่ชุดนี้เดินในบ้านเท่านั้น

“แม่ล่ะภพ” หลังจากที่เข้ามาในบ้านก็เอ่ยถามมือขวาพ่อทันที

“อยู่ที่ครัวครับ”

สิงห์พยักหน้าเข้าไปหาแม่ก่อนจะกอดเธอแล้วหอมไปฟอดหนึ่ง

“โธ่ลูก ตกอกตกใจหมด” พิมพ์อรลูบหัวลูกชายจำได้ว่าเธอกับต้นอ้อร้องไห้ทันทีที่สิงห์กลับมาทั้งปลื้มใจและคิดถึงที่ห่างกันไปนานหลายปี

“ผมจะมารับแม่ไปกินข้าวกับครอบครัวไฟน่ะครับ”

“ไม่ไปกวนเขาหรือลูก”

“ผมก็เกรงใจครับ แต่ผมกับไฟมีเรื่องจะบอกแม่กับน้องด้วยเหมือนกัน”

พิมพ์อรหันมายิ้มบาง ๆ เธอเห็นแหวนนี้และเห็นเหมือนกันกับที่มือของเพื่อนสนิทลูกชายเมื่อวันที่พบกันที่ตลาด เธอพอเข้าใจดีถึงจะตกใจและนอนคิดมาเกือบหลายวันก็ต้องยอมรับในเมื่อนี่เป็นลูกชายเขา เรื่องความรักก็อยากให้ลูกตัดสินใจด้วยตัวเอง

“แม่เข้าใจลูก ไว้แม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” พิมพ์อรเห็นลูกชายน้ำตาคลอเธอจึงกอดปลอบไปอีกหนแล้วเดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีขึ้น

ทั้งสองแม่ลูกขึ้นรถโดยที่สิงห์บอกกับภพว่าจะออกไปกินข้าวเพราะพ่อไม่อยู่พอดี เขาแวะรับไฟที่สถานีก่อนโดยไฟอาสาขับรถส่วนสิงห์นั่งข้างคนขับ

เพียงไม่นานก็มาถึงโรงเรียนประจำจังหวัดที่สิงห์กับไฟเคยเรียน ดูอะไรหลาย ๆ อย่างดีขึ้นมากก็อดคิดถึงเรื่องราวในวัยเด็กไม่ได้

“นี่คุณน้าแต่ก่อนนะครับ สิงห์เงี๊ยบเงียบ ผมต้องชวนคุยอยู่หลายหนเลยล่ะกว่าจะคุยกับผมได้” ได้ทีไฟก็เล่าใหญ่จนพิมพ์อรหัวเราะอยู่หลายครั้ง

“เดี๋ยวเถอะ”

“เห็นไหมคุณน้า ดูสิ สิงห์ดุผมอีกแล้ว” ไฟฟ้องพิมพ์อรยกใหญ่ก่อนที่ทั้งคู่จะเถียงกันอีกครา

“โตกันขนาดนี้ยังจะเล่นเป็นเด็กอีกนะลูก” เธอหัวเราะก่อนจะบอกให้สิงห์ไปรับน้องมาเพราะถึงเวลาเลิกเรียน

ต้นอ้อในชุดนักเรียนดูน่ารักเสียจริงจนสิงห์ต้องจ้องไอ้พวกนักเรียนผู้ชายที่มองน้องสาวตาเยิ้ม

“พี่สิงห์อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ต้นอ้อว่าพี่ชายแล้วรีบขึ้นไปนั่งเบาะหลังข้างแม่ “หนูไหว้ค่ะแม่ หนูไหว้ค่ะพี่ไฟ”

“จ้ะลูก” พิมพ์อรลูบหัวลูกสาวส่วนไฟก็พยักหน้ายิ้ม ๆ

“จะไปไหนกันหรือคะ”

“ไปกินข้าวบ้านพี่ครับ” ไฟตอบให้

“จริงหรือคะ! ดีใจจัง!”

“ต้นอ้อ” พิมพ์อรเอ็ดลูกสาวที่ดีใจเกินเหตุ

“ก็หนูดีใจหนิคะแม่”

“เกรงใจเขาบ้างลูก”

“ฮ่า ๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ต้นอ้อก็เหมือนน้องสาวผมอีกคน”

“เห็นไหมแม่”

“เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้”

สิงห์รู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจที่ได้เห็นภาพอย่างนี้ เธอหันมองคนรักพร้อมกับหันมองครอบครัวคนสำคัญทั้งสองน้ำตาก็ระรื้นเพียงแต่เก็บเอาไว้

“ตกลงมีอะไรจะบอกแม่หรือสิงห์” พิมพ์อรเห็นแล้วจึงเอ่ยถามถึงเรื่องนี้

สิงห์ยิ้มบางหันมองคนรักที่มองมา ไฟทำท่าจะขอพูดแต่สิงห์ก็ส่ายหัวแล้วหันไปหาทั้งสองเอง “ผมกับไฟคบกันครับ”

“ห๊ะ!!” ต้นอ้อตกใจจนถูกแม่ตีแขนเบา ๆ ไปที

พิมพ์อรถอนหายใจ สิงห์เห็นแล้วถึงกับใจหล่นวูบแต่พอเห็นแม่ยิ้มออกมาดวงใจก็เต้นแรงขึ้นมา “นานหรือยังลูก ไม่เห็นบอกแม่เลย”

“แม่..” สิงห์เม้มปากน้ำตาเอ่อคลอ “ไม่รังเกียจหรือครับ”

“แม่ไม่เคยรังเกียจลูก เรื่องของความรักมันเป็นไปได้ทุกรูปแบบ ถ้าเขาดีกับลูกแม่ก็หมดห่วง ส่วนสิงห์ก็ต้องดีกับไฟด้วยนะ” เธอว่าแล้วลูบหัวลูกชายที่ร้องไห้ออกมาหลังจากที่อัดอั้นมานาน

“ขอบคุณครับแม่” สิงห์พนมมือไหว้จนเธอต้องกุมมือลูกไว้แล้วพูดปลอบอยู่อย่างนั้น

“คุณน้าขอบคุณนะครับ” ไฟที่จอดรถลงหลังจากถึงบ้านหันมาไหว้ทันที “ผมสัญญาว่าจะดูแลสิงห์ให้ดีที่สุด”

“เรียกแม่เถอะแล้วก็บอกเรื่องแหวนด้วยนะ” เธอชี้ที่มือ ไฟก็เสียวหลังวาบ

ถึงกับต้องอธิบาย “แหวนนี้พ่อกับแม่ให้ผมมาน่ะครับเป็นแหวนตั้งแต่รุ่นของคุณปู่คุณย่า พ่อกับแม่เลยให้ไว้กับผม เพื่อให้ผมได้มอบให้กับคนที่ผมรัก”

สิงห์แก้มแดงไม่กล้าสบตาผู้เป็นแม่

“พี่สิงห์เขินหรือคะ”

“เดี๋ยวเถอะต้นอ้อ” สิงห์เอ็ดน้องที่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เข้าใจเรื่องพวกนี้

“ต้นอ้อดีใจนะคะที่พี่สิงห์มีคนที่รักแล้ว พี่สิงห์จะได้มีความสุข” ต้นอ้อยิ้มกว้าง

“ขอบคุณนะ”

“พี่ไฟต้องดูแลพี่สิงห์ให้ดีนะ”

“ต้นอ้อ จะพูดอย่างนั้นได้ยังไง เป็นคนรักกันต้องช่วยกันดูแลถึงจะถูกนะลูก”

“จริงด้วย” เธอพยักหน้าเป็นการเข้าใจแล้วยกมือไหว้ขอโทษ “หนูขอโทษค่ะพี่ไฟ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ดูแลพี่ชายหนูอยู่แล้วไม่ต้องห่วงนะ”

“คบกันแล้วก็ช่วยกันประคับประคองชีวิตคู่นะลูก มีอะไรในใจก็พูดกันนะอย่าเก็บเอาไว้”

ทั้งคู่มองหน้าพลางยิ้มอย่างดีใจก่อนจะพากันไหว้แม่ที่แบมือรอรับมือของทั้งคู่ “ขอให้คบกันนาน ๆ มีความสุขกันทั้งคู่นะ”

“ขอบคุณครับแม่” สองหนุ่มพูดพร้อมกันจนเธอยิ้มอย่างอุ่นใจที่ลูกชายมีความสุขก่อนจะลูบหัวลูกสาวที่ร้องไห้เพราะซึ้งกับภาพตรงหน้า กว่าจะลงจากรถได้ทั้งพี่ทั้งน้องก็ต่างตาบวมตาแดงทั้งคู่

“ฉันไหว้จ้ะพี่พิมพ์อร” น้าฤดีที่ออกมาเพราะได้ยินเสียงรถ เธอไหว้คนคุ้นเคยที่พบกันทุกเช้าที่ตลาดบ่อย ๆ จึงได้รู้และแลกเปลี่ยนคุยกันเรื่องลูกชายก่อนจะรับไหว้ทั้งต้นอ้อและสิงห์

“เชิญเลยค่ะกับข้าวเสร็จพอดี” พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็ผายมือให้แขกเดินขึ้นบนบ้านไปก่อน

“ลุงอนงค์” สิงห์ยกมือไหว้ผู้มีพระคุณทั้งในเรื่องเรียนและเรื่องต่าง ๆ

“ว่าไง ๆ ไม่เจอกันเสียนาน เป็นถึงผู้กองสิงห์เสียแล้ว คล้ายลุงเมื่อวันวานไม่มีผิด ฮ่า ๆ” ลุงอนงค์ว่าแววตาชื่นชมอย่างถึงที่สุดก่อนจะหันไปรับไหว้คุณพิมพ์อร ได้มีโอกาสคุยอยู่บ้างจึงรู้อะไรเยอะเลย

“ขอบคุณพี่อนงค์กับน้องฤดีมาก ๆ นะคะที่เอ็นดูสิงห์และคอยช่วยเหลือมาตลอด เขามาถึงจุดนี้ได้เพราะพวกคุณเลย ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ” เธอไหว้อย่างนอบน้อมจนฤดีต้องรีบมาจับมือไม่ให้ทำอย่างนั้นส่วนอนงค์ก็ลุกขึ้นเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ สิงห์เป็นเด็กดีเราต้องเอ็นดูอยู่แล้ว”

“ผมดีใจนะที่สิงห์เป็นตำรวจที่ดีและยังดีมากกว่าผมเสียอีก สิงห์สมควรได้รับความรักและได้รับความช่วยเหลือ ผมเต็มใจเสมอ เพราะเห็นเขาเหมือนลูกเหมือนหลานไปเสียแล้ว” ลุงอนงค์ว่าแล้วเดินไปบีบบ่าสิงห์เบา ๆ

“ขอบพระคุณมากครับ” สิงห์ไหว้อย่างนึกขอบคุณจากใจจริง

“เป็นตำรวจที่ดีนะ” อนงค์จับบ่าทั้งสองข้างของคนที่เปรียบเสมือนลูกหลาน เขาคิดถูกจริง ๆ ที่ยอมเปิดใจให้เด็กคนนี้ ยิ่งเห็นโตขึ้นไปในทางที่ดีก็อดจะภูมิใจไม่ได้ ยิ่งเห็นใครในกรมอคติก็อยากจะไปพูดคุยเสียให้ได้ ยิ่งท่านอธิบดีหลวงกฤษติภพให้แล้ว ก็รอให้สิงห์ทำงานอะไรเด่น ๆ เสียก่อนจึงจะไปสมทบช่วยพูดเกี่ยวกับเด็กคนนี้ว่าอีกฝ่ายอยากเป็นตำรวจด้วยใจจริง

“พ่อแล้วผมล่ะ” ไฟชี้เข้าตัวเองจนอนงค์ต้องเคาะหน้าผากลูกชายก่อนจะสวมกอดจากความคิดถึง

“เอาล่ะ ๆ กินข้าวกันเถอะ” ฤดีว่าแล้วผายมือให้แขกนั่งที่โต๊ะกินข้าวเพราะหากนั่งพื้นอาจจะดูไม่ดี

“หนูต้นอ้อ นี่ผัดฉ่าปลานิลที่หนูชอบ” ฤดีเลื่อนจานไปให้

“ขอบคุณค่ะ” ต้นอ้อผงกหัว ตักของชอบกินทันที

“พอดีเจ้าไฟมาบอกว่าจะมีพี่พิมพ์อรกับหนูต้นอ้อมากินข้าวด้วย ฤดีเลยทำของชอบเผื่อน่ะค่ะ”

“ขอบคุณนะคะ พอต้นอ้อรู้ว่าจะมากินข้าวที่นี่ก็ดีใจใหญ่”

“แล้วที่สถานีเป็นยังไงบ้าง” อนงค์เอ่ยถามสิงห์ที่นั่งข้างน้องสาว

“ก็มีปัญหาอยู่ครับแต่โดยรวมแล้วถือว่าทุกคนเข้ากันได้ดีครับ”

“อืม เห็นตาธงบอกว่าสารวัตรทัพดูไม่เอาการเอางานใช่ไหม”

สิงห์ได้แต่ยิ้มไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ ส่วนไฟนั้นพอเปิดประเด็นขึ้นมาก็จวกใหญ่จนคนเริ่มอย่างอนงค์ต้องเอ่ยปราม

“พูดมากเชียว ตอนเรียนกับทำงานเป็นอย่างนี้ไหม ฮึ” ฤดีถามลูกชาย

“ผมก็พูดแต่กับครอบครัวผมเท่านั้นแหละ ตอนทำงานก็ต้องนิ่งไว้สิ”

“จริงหรือ ตาธงยังพูดอยู่เลยว่าเอ็งโมโหร้ายไม่เปลี่ยน”

“ลุงธงมั่วแล้ว”

“แล้วสิงห์ล่ะตอนอยู่ที่ทำงานเป็นไงบ้าง”

“พูดเก่ง อัธยาศัยดี ใจดีเกินไป ใจอ่อนเกินไป” ไฟจ้องคนตรงข้าม

“เกินไปตรงไหนกัน” สิงห์ขมวดคิ้วถาม ปากก็พ่วงด้วยรอยยิ้ม

“ทุกตรง”

อะไรของเขาน่ะ

“ก็ดีแล้วล่ะลูก” ฤดียิ้มให้

“อ่าวแม่”

ฤดีหันมองลูกชายด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไรผิดก่อนจะสนใจคนตรงข้ามตน

“พี่พิมพ์อรเดี๋ยวอีกไม่กี่วันจะมีงานบวชลูกคุณจรัญ มางานด้วยกันไหมคะ”

“ไปค่ะ คุณจรัญก็มาชวนอยู่เหมือนกัน”

“ไว้ไปพร้อมฤดีนะคะเดี๋ยวจะไปรับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ รบกวนน้องฤดี”

“ไปด้วยกันเถอะนะคะ” สุดท้ายพิมพ์อรก็จำยอม ต้นอ้อจึงขอไปด้วยคน

พอกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็คุยอะไรกันอีกนิดหน่อยสิงห์จึงขอตัวกลับไปส่งน้องกับแม่ก่อนเพราะได้บอกไว้แล้วว่ามีเรื่องจะคุยด้วยพร้อมกับไฟ

“ถ้าเกิดคุณลุงอนงค์กับคุณน้าฤดียังไม่ยอมรับ ต้องให้เวลาพวกเขาก่อนนะลูก” พิมพ์อรเอ่ยขึ้น

“ครับแม่ ผมก็ว่าจะทำอย่างนั้นหากพวกท่านยังไม่ยอมรับ” สิงห์ยิ้มบาง ๆ

“คุณลุงกับคุณน้ายอมรับพี่สิงห์แน่นอน” ต้นอ้อให้กำลังใจโดยการโอบกอดพี่ชาย

“ขอบคุณค่ะ” สิงห์ยีหัวน้องสาวแล้วเตรียมขึ้นรถ “ผมจะรีบกลับนะครับ”

“ขับรถดี ๆ นะลูก”

“อย่ากลับดึกนะคะ” ต้นอ้อโบกมือให้ สองแม่ลูกรอส่งก็ได้กำลังใจเต็มเปี่ยม จนขับกลับไปที่บ้านของไฟหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหว เห็นไฟลงมารับก็ยิ่งกังวล

“จะต้องไม่เป็นไร” ไฟกระชับฝ่ามือคนรักไว้แน่นก่อนจะผละออกแล้วพาเดินขึ้นบนบ้าน เห็นพ่อกับแม่กำลังพูดคุยสนุกสนาน

“สิงห์มาแล้วครับ” ไฟเปรยขึ้นทุกคนจึงพยักหน้าส่งยิ้มมาให้แล้วตบโต๊ะไม้ให้มานั่งด้วยกัน แต่ไฟกับสิงห์กลับนั่งลงตรงข้าม

“มีอะไรหรือลูก” ฤดีถามไถ่อย่างนึกห่วงเพราะสีหน้าของลูกชายกับสิงห์ดูกังวล

ไฟมองสิงห์แล้วหันไปมองหน้าพ่อกับแม่ด้วยใบหน้าจริงจัง “ผมกับสิงห์เราคบกันครับ”

ทั้งคู่ตกใจจนพูดไม่ออก ฤดียกมือปิดปากพอเห็นลูกชายจับมือของคนข้างกายก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก

“เล่นตลกกันหรือไง ฉันไม่ขำนะไอ้ไฟ” อนงค์จ้องลูกชายเขม็ง

“เรื่องจริงครับพ่อ ผมรักสิงห์และผมก็ให้แหวนไปแล้วด้วย” ไฟชูมือซ้ายขึ้นและรวมถึงของสิงห์ก็ด้วย

“ไอ้ไฟ! มึงรู้ไหมนี่มันของสำคัญแค่ไหน จะเอามาเป็นเล่นแบบนี้ไม่ได้!” อนงค์ลุกขึ้นชี้หน้าลูกชายอย่างโกรธเกรี้ยว

“ผมก็ไม่ได้ล้อเล่นนะพ่อ ผมจริงจังจริง ๆ ผมถึงให้”

“ผู้หญิงมีไม่ชอบกันหรือไง ทำไมถึงมาคบกันเอง เรื่องแบบนี้มันมีที่ไหนกัน!” อนงค์ว่าทั้งสอง

“แต่ผมรักสิงห์จริง ๆ รักอย่างที่พ่อรักแม่”

“หยุดพูดเรื่องน่าเกลียดแบบนั้นนะไอ้ไฟ แล้วออกไปจากบ้านซะ”

“พี่อนงค์!”

“หยุดเลยฤดี คุณยอมรับได้หรือ!” อนงค์กำหมัดแน่น

“พ่อ—”

“หุบปาก!” อนงค์โกรธจัด “มึงออกไป”

“พ่อก็ฟังผมบ้างสิ!”

“กูไม่ฟัง มึงมันพูดไม่รู้เรื่อง”

“พ่อนั่นแหละที่พูดไม่รู้เรื่อง พ่อไม่คิดฟังผมเลย!” ไฟลุกขึ้นกัดฟันกรอด

ยิ่งเห็นท่าทางก้าวร้าวอนงค์ก็ทนไม่ไหวตบหน้าลูกชายด้วยอารมณ์ชั่ววูบจนฤดีร้องไห้และจับแขนสามีเพื่อปราม

“พี่ตบหน้าลูกทำไม”

“ไฟ...” สิงห์เม้มปากเห็นรอยแดงที่แก้มก็ปวดใจ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวนี้กำลังมีความสุขดีแต่พอเขามามันก็ดูแย่ไปเสียหมด

“ออกไปซะ”

“พี่!”

“ออกไปจากบ้านกู!” อนงค์ตาแดงก่ำจากความรู้สึกผิดและความรู้สึกปั่นป่วนมากมาย

ไฟไม่เปล่งเสียงร้องแม้แต่นิดแต่น้ำตาที่ไหลกับแววตาแข็งกร้าวระคนเจ็บปวดยิ่งทำให้คนเป็นพ่ออยากจะตัดมือตัวเองทิ้ง

“สิงห์ไปกันเถอะ” ไฟว่าทั้ง ๆ ยังจ้องหน้าพ่อตัวเองแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อพ่อเอ่ยอะไรออกมา

“สิงห์อยู่กับลุงก่อน ลุงจะขอคุยด้วยหน่อย”

“จะคุยอะไรอีก!” ไฟปราดเข้ามาบังคนรัก

“มึงอย่ามายุ่ง! ออกไป!” อนงค์ชี้ไปข้างนอก

“ห้ามทำอะไรสิงห์เด็ดขาด” ไฟยังคงยืนบัง

“ไฟออกมาก่อนเถอะลูก” ฤดีใช้น้ำลูบโดยการจับแขนลูกชาย

“ไฟ.. ให้สิงห์คุยเถอะนะ” สิงห์ปลอบอีกครา

ไฟมองพ่อสลับกับคนรัก “ไฟจะไปรอข้างนอก” ว่าเสร็จก็เดินออกไปทันทีโดยไม่แลมองพ่อตนเอง

“คุยกันดี ๆ นะพี่” ถึงจะยังไม่ยอมรับแต่เธอก็ไม่อยากให้ใช้อารมณ์กัน ก่อนที่เธอจะเดินออกไปหาลูกชาย

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” อนงค์ยอมอ่อนลงแม้น้ำเสียงจะแข็งกระด้างเล็กน้อย “ตอบตามจริง”

สิงห์ก้มหน้า “ตั้งแต่มัธยมสามครับ”

“แล้วแหวนนั่นให้ตอนไหน”

“เมื่อเดือนมีนาที่ผ่านมาครับ”

อนงค์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “เพราะอะไรถึงตัดสินใจบอก”

“ผมคิดว่าควรบอกพวกท่าน แม้จะนานเกินไปแต่ก็อยากเรียนรู้กันและกันไปก่อนรวมถึงเรียนให้จบและทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งถึงจะมาบอกครับ” สิงห์เงยหน้าบอก

อนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็คิดไม่ตก เจ้าตัวลูบใบหน้าให้หายเครียดก่อนจะมองคนที่เหมือนลูกเหมือนหลาน

จะเกลียดก็เกลียดไม่ลง จะห้ามความรักที่เกิดขึ้นมาก็ยากพอควร...

“ขอเวลาลุงหน่อยได้ไหม”

สิงห์ได้ยินอย่างนั้นก็ใจชื้นขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เลวร้ายไปอย่างที่คิด “ได้ครับ ผมไม่เร่งรีบและผมก็อยากบอกให้คุณลุงรู้ว่าผมรักไฟจากใจจริง แม้จะผิดแปลกไม่เหมือนคนอื่น แต่ผมรู้ว่านี่คือความรักที่คนสองคนมีให้กันจริง ๆ”

อนงค์มองหน้าคนที่เคยเลี้ยงดู ภาพในวัยเด็กก็ประดังขึ้นมาทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรแรง ๆ ใส่ ได้แต่ก้มมองแหวนนั้นที่ตนเคยให้ฤดี “รักษาไว้ดี ๆ ล่ะ”

สิงห์ยิ้มขึ้นมา “สัญญาว่าจะรักษาและดูแลให้ดีครับ” รวมถึงไฟก็ด้วย

“อืม ไปเถอะ”

“ขอบคุณครับ” สิงห์พนมมือไหว้แล้วเดินลงไปข้างล่างเห็นน้าฤดียืนกอดลูกชายอยู่ “คุณน้า...”

เธอยิ้มบาง ๆ เห็นแหวนยังอยู่ก็เข้าใจดีจึงเดินเข้าไปกอดปลอบ “คงเสียขวัญใช่ไหมลูก”

สิงห์น้ำตาคลอ “ขอโทษครับที่อาจทำให้ผิดหวัง”

“ไม่เป็นไรลูก แค่ขอเวลาน้ากับลุงหน่อยนะ” เธอลูบหัวอีกฝ่าย

“ขอโทษครับ ขอโทษจริง ๆ”

“ไม่เอาลูกไม่ร้องนะ” เธอลูบหลังก่อนจะผละออกหันไปมองลูกชายที่ผ่านการร้องไห้มาเช่นกัน ดูก็รู้ว่าเสียใจแค่กอดนิดเดียวคนเข้มแข็งก็ร้องออกมาแล้ว “ไม่ต้องไปตามที่พ่อบอกหรอกนะลูก พ่อเขาแค่โมโห พ่อไม่ได้อยากไล่ลูกจริง ๆ หรอกนะ”

ไฟพรูลมหายใจเงยหน้าให้น้ำตาเหือดหายแม้ยากลำบาก “ผมจะไปเข้าเวรที่สถานี แม่ไม่ต้องห่วง”

“ไฟลูก..” เธอนึกห่วง

“ไฟอยู่บ้านเถอะนะคุณลุงแค่ขอเวลา” สิงห์จับแขนคนรัก “เราพูดเรื่องนี้กันแล้วนะ”

ไฟหันมองคนรัก “ไม่ล่ะ ไฟอยู่ก็จะโมโหเสียเปล่าขอไปสงบที่สถานีเถอะ ไหน ๆ จ่าธงก็อยู่คนเดียว นะครับแม่” คำหลังหันมาขอร้องมารดา

“พรุ่งนี้ต้องกลับมานอนบ้านนะไฟ”

“ครับ ขอโทษนะครับ”

ไฟเดินไปขึ้นรถของสิงห์ก่อนที่สิงห์จะพนมมือไหว้ลาคุณน้าแล้วขับรถแทนเพราะไฟคงไม่มีอารมณ์มาขับ

“ใจเย็น ๆ นะไฟ สิงห์คุยกับคุณลุงแล้ว ท่านไม่ขอแหวนคืนและยังบอกให้สิงห์ดูแลด้วย ท่านเพียงต้องการเวลาก่อน”

“เข้าใจแล้ว” ไฟหันมองนอกหน้าต่าง

“อย่าโกรธคุณลุงเลยนะ ท่านไม่ได้ตั้งใจ” สิงห์กุมมือคนรักไว้แน่นพยายามมองถนนสลับกับคนรัก

“ไฟรู้” ไฟหันมาพร้อมกับจับมือของคนรักขึ้นจูบแล้วใช้สองมือกอบกุมมือข้างซ้ายนั้นไว้พลางลูบแหวนด้วยความรู้สึกมากมาย “ขอโทษที่ต้องมาให้เจอสถานการณ์แบบนี้”

“ไม่เป็นไรเลยจริง ๆ สิงห์ต่างหากที่ต้องขอโทษ”

“ขอโทษทำไม ไม่ใช่คิดมากอะไรอีกนะ” ไฟว่าพลางลูบหัวคนรัก

“ไม่มีอะไรหรอก”

ไฟถอนใจก่อนจะกลับมาคิดเรื่องเดิม “ไฟให้เวลาพ่อกับแม่ได้เสมอไม่ว่านานแค่ไหน แต่หากบอกให้เลิกคบกัน ไฟไม่ยอมเด็ดขาด”

“ไฟ...” สิงห์อ่อนใจ

“พ่อแม่เป็นคนสำคัญของไฟก็จริง” ไฟประทับริมฝีปากลงกับนิ้วนางข้างซ้าย “แต่สิงห์เองก็สำคัญกับไฟมากเช่นกัน”

คนฟังได้แต่ยิ้มอย่างอุ่นวาบในดวงใจ “ขอบคุณนะ” ขอบคุณที่นึกถึงกันเสมอ



จบบทที่ ๑๑

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๒ (๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 08-07-2019 11:49:50
บทที่ ๑๒

ย้อนวัย : ชีวิตที่จบสิ้น


 

กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑

สถานีตำรวจอ้อยขวาง


ไฟที่มาอยู่เวรเป็นเพื่อนจ่าธงตั้งแต่เมื่อคืนก็ทำแกงงเข้าไปใหญ่ ถามกี่ครั้งมันก็ไม่ตอบอะไรไหนจะยังเอาแต่เหม่อพูดอะไรก็ไม่ค่อยจะฟัง จนมันเล่าเรื่องทั้งหมด หัวใจคนแก่แทบจะวายแต่ก็เห็นมันมาตั้งแต่เล็กจึงแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างไป ก็ถูกแล้วที่ให้อนงค์กับฤดีทำใจเสียก่อน เรื่องนี้มันยังไม่เป็นที่ยอมรับจะให้เข้าใจปุ๊บปั๊บใช่ว่าจะทำได้ที่ไหน

บ่นมันจนหูชาถึงเช้าก็ยังคงพูดให้ฟังอีกรอบ คราวนี้มีทั้งสิงห์ทั้งไฟอยู่ด้วยกันเพราะสิงห์ถูกไฟไล่ให้กลับไปนอนที่บ้านเมื่อคืนเลยต้องมาพูดตอนเช้าแทน

“จำไว้นะพวกเอ็ง อย่างอนงค์กับฤดีน่ะเปิดใจได้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็อย่าทำอะไรให้ผู้ใหญ่เขาห่วงนักเลย ยิ่งเอ็งไอ้ไฟข้าบอกแล้วว่าให้กลับบ้านไปนอนซะก็ไม่ยอม” จ่าธงโขกหัวเด็กที่เคยเห็นตั้งแต่ไอ้จ้อนยังน้อย

“โธ่ลุง เข้าใจแล้วหน่า”

“เออเข้าใจก็ดีแล้ว เวลาทำงานก็เรียกข้าว่าจ่าเสียทีสิโว้ย”

ไฟหัวเราะจึงโดนโขกหัวไปอีกรอบ

“ส่วนเอ็งน่ะก็ทำตัวดี ๆ ทำให้มั่นใจว่าจะดูแลเจ้าไฟได้”

“ครับจ่าธง”

“ทำไมเหมือนกำลังยกหลานสาวให้หลานเขยเลยวะ” จ่าธงเกาหัวงก ๆ

“หลานสาวอะไรกันลุง หลานชายสิ”

“ก็มันเหมือนนี่หว่า”

“ไม่ต้องเลยลุง”

“จ่าสิวะไอ้นี่”

“อะ จ่า ๆ” ไฟว่าพร้อมกับดันหลังจ่าธงให้ไปทำงานต่อ “ไม่ไหวเลยนะลุงธงน่ะ ไม่รู้ซะแล้วว่าใครผัวใครเมีย”

“เบา ๆ” สิงห์เอ็ดเพราะคนอยู่เยอะ ยืนคุยกันอยู่สักพักก็ต่างคนต่างแยกไปนั่งทำงานของตัวเอง

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาไฟไม่ได้คุยกับพ่อเลยสักนิด แม้จะกลับบ้านกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาแต่ก็เหมือนมีเส้นกั้นบาง ๆ ที่ขวางทั้งสองพ่อลูกไว้อยู่ เป็นเส้นความคิดที่แตกต่างและกีดกันเส้นอีกฝ่ายไว้ไม่ให้เข้ามาได้

“มีข่าวมาว่าเสี่ยพันธ์จะส่งของ รีบไปดักจับ” อยู่ ๆ สารวัตรทัพก็เดินออกมา สั่งให้หมวดไฟอยู่สถานี ส่วนหมวดจัน จ่าคมและสิงห์ออกไปกับสารวัตร

“ทำไมผมถึงไปไม่ได้” หมวดไฟลุกขึ้นถาม

“ต้องอยู่สถานีเผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน” สารวัตรว่าเพียงเท่านั้นก็ออกไปข้างนอก

“สิงห์...” ไฟนึกห่วงคนรัก

“ไม่เป็นไร” สิงห์ยิ้มบาง ๆ แล้วเดินลงตามไป

“มึงไม่เป็นไรแน่นะ” จันถามอีกครา

“ไม่เป็นไรจริง ๆ”

จันเลิกเซ้าซี้ตบบ่าเพื่อนหนสุดท้ายก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ

“ผู้กองทราบไหมว่า เสี่ยพันธ์จะส่งของทางไหนบ้าง” หลังจากที่รถออกไปได้ไม่นานสารวัตรทัพก็ถามขึ้นมา

แต่สิงห์ก็ไม่ได้หันไปมองหน้าคนถาม “ไม่ทราบครับ”

“งั้นหรือ” สารวัตรพยักหน้า “แล้วเคยได้ยินข่าวเรื่องที่เคยมีเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดเมื่อหลายปีก่อนทำงานแทนเสี่ยพันธ์ นายรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นคือใคร”

ผู้กองหนุ่มยังคงนั่งนิ่งไม่แสดงท่าทีใดใด “ก็ไม่ทราบอยู่ดีครับ”

“หึ น่าแปลกนะ อยู่ที่นั่นแท้ ๆ แต่กลับไม่รู้อะไรเลย”

“ไม่หรอกครับ ผมสนใจแต่เรียนและฝึกการต่อสู้เท่านั้น ไม่ได้สนใจอย่างอื่นที่มัน... เลวระยำอย่างนั้น” คำหลังนั้นสิงห์หันไปเน้นย้ำให้ฟังโดยที่ยังคงไว้ใบหน้าเรียบเฉย

สารวัตรทัพกำหมัดแน่นก่อนจะสงบอารมณ์แล้วหันไปทางอื่น “ลูกโจรยังไงก็คือโจร เคยเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งผิดกฎหมายแต่ยังเข้ารับราชการได้ หึ น่าขันสิ้นดี”

จันที่ฟังอยู่แทบจะทนไม่ไหวเผลอเบรกรถกะทันหัน

“ทำอะไรของมึงวะ!” สารวัตรทัพเดือดดาล จับหัวตัวเองที่โขกเบาะหน้าเต็ม ๆ

“ขอโทษทีครับ พอดีตัวเหี้ยมันตัดหน้าไปเมื่อกี้” จันก้มหัวก่อนจะยักคิ้วให้สิงห์ที่ส่ายหน้าเอือม ๆ ใส่

“ทีหลังก็ขับดูทางดี ๆ สิวะ”

“ครับสารวัตร!” จันรับสั่งเสียงดังก่อนจะบึ่งรถด้วยความเร็วจนหลังสารวัตรกระแทกกับเบาะ

“มึง!”

ระหว่างทางจันถูกด่าจนหูชากลายเป็นว่าสารวัตรทัพไปสนใจแต่หมวดจันจึงทำให้สิงห์รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องมานั่งฟังคำครหาพวกนี้

เพียงไม่นานก็มาถึงเส้นทางที่เสี่ยพันธ์จะผ่าน รออยู่ร่วมชั่วโมงก็มีรถใหญ่สัญจรผ่านมาจ่าคมโบกรถให้จอดแต่ก็ผิดคาดเมื่อสองรถคันใหญ่ขับฝ่าออกไปทันที

“หยุด!” หมวดจันตะโกน

ตำรวจทุกนายต่างหยิบปืนออกมายิงที่ล้อรถคันนั้นก่อนที่สิงห์จะขึ้นรถเป็นคนขับ “เร็วขึ้นรถ” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็ขึ้นรถยกเว้นสารวัตรที่ยังคงยืนอยู่ “สารวัตรขึ้นรถครับ”

“ให้ผู้กองขับมีแต่จะพาเปลี่ยนเส้นทางเสียมากกว่า”

สิงห์กำพวงมาลัยจนมือแดง “จันมึงมาขับ”

พอเปลี่ยนที่กันเสร็จเรียบร้อยสารวัตรก็ขึ้นมานั่งบนรถยังไม่วายแขวะสิงห์อีกเช่นเคย “มีคนไม่น่าไว้ใจอยู่แบบนี้ มันลำบากจริง ๆ”

“ถ้ามันลำบากขนาดนั้นทีหลังก็สั่งให้คนอื่นมาก็ได้นะครับ”

“ก็ถ้าไปสั่งคนอื่นแล้วปล่อยผู้กองไว้ที่สถานีจะไม่ออกไปส่งข่าวให้พ่อตัวเองหรอกหรือไง”

สิงห์กัดฟันกรอด

“ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้รถของเสี่ยพันธ์ไม่เคยคิดจะฝ่าออกไปแต่ทำไมวันนี้ถึงกล้าบ้าบิ่นนะ หรือมีตัวช่วยเลยไม่กลัวที่จะขับหนีหรือเปล่า”

สิงห์โกรธจนตัวสั่นจ้องหัวหน้าตัวเองไม่วางตา “สารวัตรอยากพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”

“ฉันก็แค่สันนิษฐานไปตามที่เห็นเท่านั้น” สารวัตรทัพเปรยยิ้ม “หรือผู้กองคิดว่ามันไม่แปลกหรือไง”

แต่ก่อนจะพูดอะไรมากกว่านั้นจันก็จอดรถ “ตามไม่ทันเลยครับพวกมันไปทางไหนแล้วไม่รู้” ว่าแล้วก็ชี้ทางแยกสองทาง

“ไม่ทันก็กลับ”

“ลองไปทางขวาดู” สิงห์เอ่ยแทรก

“โอ้ ผู้กองรู้ด้วยหรือ”

“ผมแค่เดา แล้วอีกอย่างถ้ากลับไปเลยโดยไม่สำรวจดูก่อน อาจารย์ที่สอนผมตอนอยู่โรงเรียนนายร้อยบอกกับผมว่า คนพวกนี้เรียกว่าพวกคนทำงานชุ่ยนะครับ”

“เหอะ ปากดีให้นาน ๆ เถอะ” ว่าเพียงแค่นั้นก็สั่งให้จันขับไปทางขวา

“ไม่พบเลยครับ” จ่าคมเอ่ยบอกเมื่อลองสอดส่องตามเส้นทางที่มาก็ไม่เจอแม้แต่เงา

“ตั้งใจบอกเส้นทางผิดหรือเปล่าผู้กอง”

สิงห์ถอนหายใจ “ผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้น”

สารวัตรทัพปรายตามองก่อนจะหัวเราะในลำคอ “ให้จริงแล้วกัน วนรถกลับสถานีซะ”

สิงห์ได้แต่นั่งเงียบแม้ภายในใจจะแผดเผาเพราะอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา ยิ่งมองรอยยิ้มที่สมเพชเขาก็ยิ่งไม่อยากจะใจเย็นเหมือนที่เตือนตัวเองมาตลอด อยากให้ชุดที่ใส่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาและอยากให้ความยุติธรรมที่ตัวเองเคยมีหมดลงแล้วจัดการไอ้ตำรวจหน้าเลือดนี่ที่ปากมากทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ชั่วไม่น้อยกว่าโจร

แต่ก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้มากจึงเลิกสนใจรอยยิ้มและใบหน้าที่ดูสนุกเวลาได้ดูถูกคนอื่น เพียงรถขับจอดเทียบกับหน้าสถานีสิงห์ก็ลงรถไปโดยไม่หันมองคนข้างหลังเลยสักนิด

“สิงห์” เมื่อเห็นคนรักเดินเข้ามาไฟก็ลุกขึ้นไปหาทันที ถ้าเป็นคนอื่นก็คงดูไม่ออกว่าตอนนี้สิงห์หงุดหงิดมากแค่ไหน คงจะเห็นเพียงแค่ว่าผู้กองหนุ่มยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่งและดูเย็นเยียบเหมือนเดิม แต่เขารู้ ดวงตานั้นที่ดุดันขึ้นมันบ่งบอกทุกอย่าง

หมวดไฟหันมองทางเพื่อนกับจ่าคมที่เพิ่งเดินเข้ามา จึงถามไถ่เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นอันเข้าใจ สบถด่าหัวหน้าได้แต่ภายในใจก่อนจะยืนจับบ่าคนรักให้คลายอารมณ์โกรธ

แม้ใจอยากจะเข้าไปคุยกับสารวัตรให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้เพราะสิงห์คงไม่ชอบแน่หากเขายังจะใส่ไฟ ไม่อยากให้สิงห์ต้องคิดมากเรื่องเขาเพิ่มไปอีก

 

๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

“หลบ! มันมีระเบิด!” สิ้นเสียงสั่งของผู้กองหนุ่มนายตำรวจราวห้านายก็ต่างวิ่งหลบลูกระเบิดกันให้วุ่น เสียงระเบิดดังไปทั่วพื้นที่พร้อมกับเสียงล้อรถบดถนนออกไปด้วยความเร็ว

“โธ่เว้ย!” หมวดจันตบเข่าตัวเองมองรถส่งอาวุธที่ขับออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา

“เป็นอะไรไหมหมู่ดิน” สิงห์รีบพยุงลูกน้องที่ถูกสะเก็ดระเบิดเพราะอยู่ใกล้สุด

หมู่ดินตอบแค่เสียงร้องระคนเจ็บปวดกับแขนตัวเองที่เนื้อหนังแทบจะหลุดลุ่ย

“รีบพาหมู่ไปโรงพยาบาล เร็ว!” สิงห์สั่งลูกน้องที่ยังคงยืนทำอะไรไม่ถูกก่อนจะอุ้มหมู่ดินด้วยตัวเองพาขึ้นรถไปด้วย

การจับกุมรถส่งของเสี่ยพันธ์ก็ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดใด ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ถูกฝ่าด่านไปทุกรอบและเริ่มเล่นแรงถึงขั้นเอาอาวุธออกมาใช้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทุกครั้งที่กลับสถานีก็จะถูกสารวัตรด่าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง

และวันนี้เองก็เช่นกัน

“เหอะ ปล่อยไปได้ยังไง มันเล่นถึงฆ่าขนาดนี้ไม่ตามไปล่ามันให้เสียซะจบ ๆ ไป หรือจะปกป้องลูกน้องพ่อตัวเองหรือไงผู้กอง” แม้น้ำเสียงจะดูโกรธทว่าสิงห์เองก็รู้ดีก็แค่ไอ้คนแสดงละครเป็นตำรวจแต่เนื้อในคือโจรของแท้

“หมู่ดินได้รับบาดเจ็บไม่อาจปล่อยให้ล่าช้าต้องพาไปโรงพยาบาลไม่อย่างนั้นคงเสียเลือดมาก บาดแผลเองก็สาหัส ถ้ายิ่งปล่อยไว้นานเข้าหมู่ดินอาจไม่รอด ผมต้องเลือกลูกน้องไว้ก่อน” สิงห์ตอบตามจริงเพราะรถมีคันเดียวจะขับไปล่ามัน หมู่ดินก็คงไม่รอดจนถึงตอนนี้

“มันโง่ที่ไม่ยอมหลบดี ๆ ผู้กองนั่นแหละที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้” สารวัตรชี้หน้าจนสิงห์ต้องขมวดคิ้ว

“จะกล่าวหากันไปเพื่ออะไรครับสารวัตร ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมไม่เคยมีความคิดต่ำ ๆ อย่างนั้น”

“งั้นบอกมาซิว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่ผู้กองไปตั้งด่านจับพวกเสี่ยพันธ์ทำไมมันถึงเหิมเกริมหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้” สารวัตรแบมือก่อนจะเอนหลังจ้องหน้าลูกน้องไม่วางตา

สิงห์จ้องกลับไม่นึกกลัว “ผมคิดว่าต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ผมมั่นใจ ว่าผมไม่ใช่ไอ้คนชั่วพรรค์นั้น”

“กับคนที่คลุกคลีอยู่กับโจร กลับจากงานตำรวจก็อยู่บ้านที่เป็นของพวกโจร ใช้เงิน กินอาหารที่มาจากพวกค้าอาวุธค้ายา แล้วแบบนี้ยังจะให้ใครมามั่นใจได้!” สารวัตรตบโต๊ะลุกขึ้นจ้องเขม็ง

สิงห์จุกไปทั้งอก ไม่อาจปฏิเสธใดใดได้ มันก็จริง… กลับบ้านที่เป็นที่อยู่ของโจรแต่เพราะบ้านนั้นมีแม่และน้องสาวอยู่จำเป็นต้องกลับไปนอนที่นั่น แต่เงินใช้ทุกอย่างเป็นของตัวเองที่ทำงานราชการ ยกเว้นแต่… กับข้าวที่แม่ทำให้ทุกเช้าและเย็นมันมาจากเงินของพ่อทั้งนั้น…

นึกแล้วก็สมเพชตัวเอง…

สารวัตรหัวเราะขัน “ผู้กองเองก็คิดใช่ไหมล่ะ ลองคิดกลับกันดูสิว่าคนที่เป็นลูกโจรมาเป็นตำรวจ ขนาดทำงานรับใช้ประชาชนยังกลับไปคลุกอยู่กับพ่อตัวเองที่เป็นคนชั่วร้าย แล้วแบบนี้ใครจะมามั่นใจในตัวผู้กองที่คำพูดไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือไม่จริง”

สิงห์ไม่อาจเถียงอะไรออกได้สักคำแม้แต่แก้ตัวสักนิดก็ไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่สารวัตรพูดมันก็ถูกทุกอย่าง แม้เขาจะพูดมาตลอดว่าไม่เหมือนพ่อ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดว่าเขาพูดจริง

“เอาล่ะในเมื่อผู้กองพูดแล้วว่าอาจจะมีคนบงการเบื้องหลัง งั้นฉันให้เวลาหนึ่งเดือนในการตามตัวไอ้คนนั้นมาให้ได้ ไม่อย่างนั้น…” สารวัตรเงียบไปครู่เพราะกำลังเปิดลิ้นชักหยิบอะไรบางอย่างให้ สิงห์รับไปอ่านพลันร่างกายก็แข็งทื่อ “ผู้กองอาจจะถูกตัดสินว่าช่วยเหลือพ่อตนเองในการขนส่งของจนอาจถูกออกจากราชการ”

และนั่นเป็นครั้งแรกที่สิงห์รู้สึกเหมือนถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยตั้งใจทำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนดีแค่ไหน บริสุทธิ์มากเท่าใดก็ยังคงมีเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นพวกคนเลวไปเสียหมด

รู้ดีว่าทุกคนไม่มีสีขาวและสีดำไปทั้งหมด สิงห์เองก็มือเปื้อนเลือดเพราะฆ่าคนแม้จะเป็นโจรแต่ก็ถือว่าฆ่าเหมือนกันและเขาเองไม่เคยคิดเห็นใจ แต่ว่า… สิ่งไหนที่เขายึดมั่นแล้ว สิ่งไหนที่เขาคิดไว้แล้วว่าจะต้องทำให้ได้ สิ่งนั้นที่เรียกว่าการเป็นตำรวจอย่างซื่อสัตย์และยุติธรรมที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก มันจะพังทลายลงแล้วจริง ๆ หรือ

“ถ้าเข้าใจก็ออกไปได้แล้ว” สารวัตรนั่งลงมุมปากก็หยัดยิ้ม

สิงห์เก็บเอกสารที่ถูกส่งมาจากกรมตำรวจภูธรเขต ๑ แล้วเดินออกไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก มันทั้งอ้างว้างและเหมือนถูกทุบให้กลายเป็นดินเป็นกรวดที่มิอาจต่อเติมกลับขึ้นมาใหม่ได้

ชีวิตคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้จริง ๆ หรือชาติที่แล้วไปทำบาปทำกรรมกับใครเอาไว้กัน ชาตินี้ถึงได้เจอแต่เรื่องไปเสียหมด

“เป็นไงบ้าง มันพูดอะไรหมา ๆ ฮึ” จ่าธงเท้าเอวแอบมากระซิบคุยให้ได้ยินเพียงสองคน ตนต้องมาดูแลแทนเพราะเจ้าไฟมันออกไปจับโจรที่ขโมยทองเดือดร้อนให้คนอื่นต้องมาดูคนรักแทน เพื่อนอีกคนก็มีงานด่วนที่พระนครไม่ได้มาช่วยดู ก็เลยมาตกที่จ่าธง แต่ว่าถึงจะไม่บอกไอ้เขาก็เอ็นดูเจ้าสิงห์เหมือนหลานเวลาไม่มีใครอยู่ก็อยากอยู่กับมัน

“ผม...” ถึงแต่ก่อนเวลามีอะไรสิงห์ก็จะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเดินหน้าต่อแต่วันนี้มันเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจจนถึงกับน้ำตาคลอ “ผมต้องทำถึงขนาดไหนคนอื่นถึงจะเห็นว่าผมตั้งใจจะเป็นตำรวจจริง ๆ หรือครับลุง”

จ่าธงถอนหายใจตบบ่าหลานไปทีพร้อมกับโอบเล็กน้อย “ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็อย่าไปใส่ใจเลยไอ้สิงห์ มองสิ่งรอบตัวดู ทั้งชาวบ้านที่เอ็งเคยช่วยเหลือ ทั้งข้า ไอ้ไฟและตำรวจที่ช่วยเหลือเอ็งตลอดนั่นน่ะ ทุกคนพร้อมเชื่อมั่นและช่วยเสมอเพราะพวกเขาไว้ใจเอ็งนะ การจะทำสิ่งใดต้องแลกมาด้วยความพยายาม เอ็งได้ทำให้ใครหลายคนได้รู้แล้วว่าเอ็งเป็นตำรวจที่รักในอาชีพอย่างสัตย์จริง ข้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าเอ็งสมกับเป็นตำรวจที่สุดแล้ว”

ผู้กองหนุ่มเม้มปาก ยิ่งฟังจ่าธงพูดใจดวงน้อยก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ถึงจะเสี้ยวเล็ก ๆ แต่ก็อบอุ่นไปทั่วกาย “ขอบคุณนะครับลุง ขอบคุณจริง ๆ”

“ทั้งเอ็งและไอ้ไฟต่างก็เหมือนหลานข้า ในฐานะลุงคนหนึ่งข้าก็อยากให้เอ็งสู้อีกนิดนะสิงห์เอ้ย... หากมันจะเป็นยังไงข้าก็จะอยู่ข้างเอ็งไม่เปลี่ยน”

สิงห์ยิ้มขึ้นได้ ก่อนจะพนมมือไหว้จนจ่าธงห้ามแทบไม่ทัน “ถ้าไม่มีจ่าธงผมก็คงมัวแต่นั่งเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเป็นแน่”

“เอ้อ ๆ เอาเถอะ ไม่ต้องไหว้หรอกเดี๋ยวคนมาเห็นขึ้นมา ราศีของรองสารวัตรจะดับหมด” ว่าแล้วก็หันซ้ายหันขวา

“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับถึงจะเป็นรองสารวัตรแต่ก็ต้องรู้บุญคุณ ลุงก็เป็นคนที่พาให้ผมมาอยู่ในจุดนี้ อย่าได้ห้ามผมเลยนะ”

“เฮ้อ พูดยากสมกับเป็นคนรักของไอ้ไฟเลยนะ” จ่าธงส่ายหน้าแต่คนฟังเริ่มแก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว

“อย่าพูดดังสิครับ”

“เออ โทษที อดบ่นไม่ได้เด็กสมัยนี้ทำเอาคนแก่ตามไม่ทันแล้ว ฮ่า ๆ” จ่าธงหัวเราะเสียงดังเลยพลอยให้สิงห์หัวเราะตามไปด้วย ได้กำลังใจขึ้นเยอะ ก็เริ่มจะตามหาคนบงการ แม้ว่าคนคนนั้นมันจะเป็นไอ้คนที่... เป็นหัวหน้าของเขาก็ตาม



*มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๒ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 08-07-2019 11:52:24
*ต่อบทที่ ๑๒


ถึงเวลาเลิกงานไฟก็ชวนสิงห์ไปกินข้าวที่บ้านเพราะแม่เป็นคนเอ่ยปากชวน ไฟตกใจจนแทบไม่เชื่อหูแต่พอรู้ว่าแม่ไปรู้เรื่องอะไรเข้า ก็เข้าใจดี ลึก ๆ แม่ยังคงห่วงสิงห์เพราะเห็นมาตั้งแต่เล็ก แถมพ่อเองก็กลับไปที่กรมตำรวจเวลาจะทำอะไรก็ไม่ต้องคอยปิดบัง เพราะแม่ก็เริ่มยอมรับได้แล้วเพียงแต่พ่อยังคงไม่ยอมรับจึงพูดอะไรมากไม่ได้

“คุณน้า” สิงห์ยกมือไหว้ทันทีเมื่อมาถึง

“จ้ะลูก มานั่งข้าง ๆ แม่มา” ฤดีตบพื้นที่ข้าง ๆ ทั้งคำแทนตัวนั้นจนสิงห์ต้องหันมองคนรัก

“ไปนั่งข้างแม่สิ” ไฟแตะเอวคนรักแล้วยิ้มให้

“มาเร็วลูก” รอยยิ้มใจดีที่เคยให้ตั้งแต่เจอกันจนถึงวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม สิงห์เดินไปนั่งข้างท่านอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

“เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้นะ” ไฟว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไปปล่อยให้แม่กับคนรักได้พูดคุยกัน

“เป็นยังไงบ้างลูก งานหนักไหม”

“คือ...” สิงห์อึกอัก

ยิ่งเห็นสิงห์เป็นอย่างนี้ฤดีก็นึกโทษตัวเองที่เคยคิดไม่ยอมรับ “แม่มาคิดแล้วว่าหากรักกันจริง ๆ ก็ไม่อยากขัดขวาง ในฐานะแม่ก็อยากให้ลูกทั้งสองมีคนรักที่ดีและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจริง ๆ แล้วก็เห็นแล้วล่ะ ว่าตาไฟน่ะรักและห่วงสิงห์มากแค่ไหน”

พอได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็ร้อนไปทั่วหน้า

“ทุกวันนะบอกให้แม่ทำกับข้าวเผื่อตั้งเยอะเพื่อเอาไปให้สิงห์กินด้วยกันตอนเที่ยง ไหนจะแอบย่องไปไหนดึก ๆ ดื่น ๆ กลับมาทีก็เกือบเช้า” สิงห์ถึงกับหลบตาแทบไม่ทัน

“แม่นินทาอะไร” ไฟเดินถือขันน้ำมาหาพร้อมกับนั่งข้างคนรัก

“นินทาอะไรกัน เห็นแม่เป็นคนยังไง ฮึเรา” ฤดีจะเขกหัวลูกชายแต่ก็ดันหลบหลังสิงห์ซะอย่างนั้น “ดูซินั่น ยังจะไปหลบหลังเขาอีก”

ไฟหัวเราะยอมออกมาให้โดนเขกหัวแต่โดยดีแม้ว่าจะเป็นการสะกิดมากกว่าเขกก็เถอะ

“ว่าแต่สิงห์ ที่สถานีเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า” ฤดีหันมาทำหน้าจริงจัง

“เรื่องอะไรหรือครับ?” สิงห์ขมวดคิ้วแล้วหันมองหน้าคนรักที่มีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกัน “มีอะไรไฟ”

ไฟมองผู้เป็นแม่ที่พยักหน้าเป็นเชิงให้พูด “สิงห์รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้มีข่าวแพร่ไปทั่วพื้นที่แล้วว่าสิงห์ช่วยเสี่ยพันธ์ในการค้าอาวุธกับยา วันนี้ไฟไปจับโจรก็ได้ยินชาวบ้านคุยกัน แม่เองก็ไปเอาเสื้อผ้าที่สั่งตัดมาเจ้าของร้านก็พูดเรื่องนี้ ดูเหมือนข่าวมั่ว ๆ พวกนี้จะถูกใครเอามาปล่อย”

สิงห์นิ่งไปสักพัก ได้แต่คิดว่ามันจะเป็นใครได้อีกนอกจากคนของพวกสารวัตร “ช่างมันเถอะ ตอนนี้สิงห์เองก็อยากตามหาคนที่ช่วยพ่อตัวจริงเหมือนกัน และต้องหาหลักฐานมาจับให้ได้ ในเวลาหนึ่งเดือน”

“หนึ่งเดือนหรือ ทำไมต้องกำหนดเวลาด้วยล่ะ”

“สิงห์ได้เอกสารมาจากสารวัตรที่ถูกส่งมาจากทางกรมภูธรอีกที ทางอธิบดีให้เวลาสิงห์เพียงเดือนเดียวในการตามหาสายภายใน หากไม่ทันเวลาอาจถูกออกจากราชการ”

“ว่าไงนะ!” ไฟขบฟัน “แม่... พ่อรู้เรื่องนี้ไหม”

ฤดีตกใจไม่แพ้กัน “แม่ไม่รู้จริง ๆ พ่อไม่ได้ส่งจดหมายมาบอกอะไรเลย”

“พ่ออยู่ที่นั่นทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนี้”

“ใจเย็น ๆ ก่อนไฟ” สิงห์รีบห้าม

“ใช่ลูก ใจเย็นลงก่อนบางทีพ่ออาจจะช่วยแล้วแต่คงช่วยไม่ได้เพราะท่านอธิบดีจัดการเอกสารมาเองขนาดนี้”

ไฟกำมือแน่น “เรื่องแค่นี้ถึงกับให้ออกราชการเลยหรือไง หลักฐานก็ไม่มีนอกจากข่าวมั่วที่คนมาใส่ความ ท่านอธิบดีน่ะหรือจะเป็นคนคิดเรื่องแบบนี้ เห็นพ่อบอกว่าท่านเป็นคนมีเหตุผลมากกว่านี้ไม่ใช่หรือไง เป็นหัวหน้าที่ดี แล้วนี่มันคืออะไร”

ฤดีก้มหน้าคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ เคยพบท่านอธิบดีบ่อย ๆ เพราะเคยเป็นทั้งหัวหน้าสถานีอ้อยขวางจนตอนนี้เป็นถึงท่านอธิบดีในกรมตำรวจภูธร เขต ๑ ก็ยังคงเป็นคนที่มีเหตุผล และยังเป็นคนที่น่านับถือ หากไม่คิดเรื่องใดและไตร่ตรองดูก่อนก็คงไม่ส่งเอกสารหรือสั่งอะไรที่มันไม่ยุติธรรมกับคนโดนอย่างนี้แน่

“ท่านอาจมีเหตุผล” ฤดีเงยหน้า

สิงห์เองก็คิดอย่างนั้นเพราะวันจบการศึกษานายร้อยตำรวจก็เป็นท่านที่มาอภิปรายและมอบของให้ในฐานะนายตำรวจดีเด่นประจำรุ่นนั้น ได้พูดคุยกันอยู่บ้างและท่านเองก็เคยช่วยเหลือในเรื่องตามสืบเกี่ยวกับโจรที่อ่างทอง ประสานงานด้วยกันจนเขาจับพวกมันได้ ท่านไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้

“ผมต้องคุยกับพ่อ”

“ไฟลูก”

“ไฟ” สิงห์บีบแขนคนรักเบา ๆ ให้คลายอารมณ์โกรธ “ไม่ว่าจะเป็นยังไงท่านก็เป็นคนหนึ่งที่สิงห์นับถือนะ ท่านช่วยอะไรสิงห์ตั้งมากมาย สิงห์เชื่อว่าท่านต้องมีเหตุผล ใจเย็น ๆ เถอะนะ ทางที่ดีตอนนี้รีบหาหลักฐานมัดตัวคนที่ทำจริง ๆ ก่อน”

“ทำตามที่สิงห์บอกนะไฟ แม่ไม่อยากให้ลูกต้องมาบาดหมางกับพ่อมากกว่านี้เลยนะลูก”

ไฟยอมอ่อนลงแต่ก็คงไม่ยอมง่าย ๆ หากเรื่องนี้ยังไม่คลี่คลาย

“ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอโทษคุณน้าจริง ๆ ที่อยู่กินข้าวด้วยไม่ได้ ถ้าเรื่องมันแดงขนาดนี้ผมกลัวว่าไฟและคุณน้าจะเดือดร้อนไปด้วย เอาเป็นว่าผมจะรีบกลับไปที่บ้านเพื่อหาหลักฐานมาก่อน” สิงห์ลุกขึ้นพร้อมพนมมือไหว้

“สิงห์มาที่บ้านนี้ได้เสมอนะ มานอนกับไฟก็ได้ลูก ไม่ต้องคิดมากนะ” ฤดีลูบแขนอีกฝ่ายเพื่อปลอบ

สิงห์ยิ้มอย่างนึกขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณมากนะครับคุณน้า ไว้ผมจะมานะครับ”

“จ้ะลูก”

“สิงห์” ไฟขมวดคิ้ว

ฤดีเห็นอย่างนั้นจึงปล่อยให้ทั้งสองได้คุยกัน

สิงห์หันมองน้าฤดีเดินหายไปจนลับตาก็ยกมือสางผมของอีกฝ่าย “ใจเย็น ๆ สิงห์รู้ว่าไฟรู้สึกยังไง”

“ไอ้สารวัตรใช่ไหมที่เป็นตัวการ”

“สิงห์ไม่รู้ สิงห์ยังไม่มีหลักฐานถึงต้องกลับไปที่บ้านไง”

“ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครได้อีก ก่อนหน้านี้ก็ช่วยพวกโจรให้พ้นตาราง จะมาช่วยเสี่ยพันธ์ด้วยก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง เป็นถึงสารวัตรแท้ ๆ ได้ยศมาได้ยังไงวะ” ไฟส่ายหน้า

“แต่ไฟก็ต้องใจเย็นหน่อยสิ ถ้าอยากช่วยเหลือสิงห์ก็ช่วยตามสืบจากชาวบ้านให้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวสิงห์จัดการที่บ้านสิงห์เอง” ว่าพลางเกลี่ยแก้มสากทั้งสองข้าง หากทำแบบนี้บ่อย ๆ ก็เหมือนคอยเอาน้ำลูบ เพราะไฟแพ้เวลาเขาทำอย่างนี้เสมอ

แล้วก็เป็นจริงเมื่อไฟเริ่มมีสีหน้าอ่อนลง “ก็ได้ แต่สิงห์อย่าทำอะไรจนเกินไปให้มันเป็นอันตรายกับตัวเองนะ”

“เข้าใจแล้ว” สิงห์ยิ้มรับเอียงตัวมองทางด้านหลังเป็นระยะก่อนจะหอมแก้มคนรักเป็นการบอกลา “สิงห์กลับบ้านก่อนนะ”

ไฟพยักหน้าแล้วก้มจูบหน้าผากมนเป็นหนสุดท้ายถึงจะเดินลงไปส่งถึงข้างล่างเพราะสิงห์ดันขอเอารถมาเองจึงไม่ได้ไปส่งเหมือนเคย

“ฝันดีนะ”

“ครับ ขับรถกลับดี ๆ นะ” ไฟยืนจับประตูไว้พอคนรักเข้านั่งเรียบร้อยก็ปิดประตูรถให้มองจนลับสายตาก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะขึ้นบนบ้านสักที

ฤดีที่ได้ยินเสียงรถก็เดินออกมาดูยิ่งเห็นลูกที่ดูเป็นห่วงคนรักมากขนาดนี้ก็นึกทอดถอนใจ

ทำไมโชคชะตาคนเราถึงได้เป็นอย่างนี้นะ คงจะดีหากทั้งคู่ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพะวงเรื่องใด

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

ผ่านไปเดือนกว่าหลังจากที่แยกย้ายกันสืบหาตัวการที่แท้จริงกับหาหลักฐานมา แต่ผ่านพ้นไปเพียงสามอาทิตย์เท่านั้นอยู่ดี ๆ สิงห์ก็ไม่มาที่สถานีอีก ยิ่งกว่านั้นก็ยังไม่สามารถไปที่บ้านได้เพราะมีคนเฝ้า แม้แต่น้องต้นอ้อกับน้าพิมพ์อรก็ไม่เจอ

“เกิดอะไรขึ้นวะ” จันที่เพิ่งกลับมาจากพระนครเมื่อวานเอ่ยถามเมื่อมาตรวจดูที่หมู่บ้านแต่ก็เห็นคนซุบซิบอะไรกันแล้วยังมองมาทางที่พวกเขาอยู่บ่อย ๆ

“สิงห์ถูกหาว่าช่วยพ่อขนอาวุธกับยา ข่าวมันแพร่มาหลายเดือน แล้วนี่สิงห์หายไปไม่บอกกู ไม่มาทำงาน คนก็ยิ่งเชื่อไปทางนั้น”

“เดี๋ยวสิวะ มันจะเกิดขึ้นได้ไง แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงวะเนี่ย” จันขมวดคิ้วแน่น “ไอ้สิงห์น่ะหรือจะช่วยพ่อมัน ไอ้ห่าต่อให้อมพระมาพูดกูก็ไม่เชื่อ”

“ก็มันเป็นอย่างนั้นไปแล้ว จะให้ทำไงเพราะคนทำจริง ๆ มันลอยนวล” จ่าธงที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยเอ่ยเสียงเรียบ

“เหอะ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง” ไฟสบถ

“นี่อยากจะบอกอะไรให้ ข้าเคยพูดคำนี้กับเจ้าสิงห์ไปตอนเจอมันครั้งสุดท้าย มันพูดกับข้าว่าไงพวกเอ็งรู้ไหม” จ่าธงจ้องหน้าทั้งสองคนสลับกัน “มันบอกข้าว่าคำพวกนั้นไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว เพราะว่า... ปลามันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวมันจึงเหม็นไปทั้งประเทศไงล่ะ”

เพียงจบคำพูดนั้นก็ยิ่งสร้างความสงสัย

“หมายความว่าไงลุง”

“ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่เจ้าสิงห์มันบอกแบบนี้ก่อนจะไม่มาทำงานอีกเลย” จ่าธงยักไหล่

“ตั้งแต่วันไหนลุงธง ทำไมฉันไม่รู้”

“เมื่ออาทิตย์ก่อน”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็หม่นลงเพราะอาทิตย์ก่อนเขาก็เจอ แม้สิงห์จะพูดคุยปกติแต่ก็ดูออกว่ามีอะไรในใจยิ่งวันสุดท้ายที่พบกันก่อนจะเงียบหายไป สิงห์ก็หยุดงานครึ่งวันพาเขาออกไปขับรถเล่นทั้ง ๆ ที่สิงห์ไม่เคยคิดจะปลีกวิเวกไปไหนในเวลางาน เราใช้เวลาในครึ่งวันด้วยกัน สิงห์ยังคงยิ้มให้แม้จะเป็นยิ้มที่เศร้า พอถามอะไรก็ขอร้องไม่ให้ถาม...

‘สิงห์ขอร้อง วันนี้เราอยู่ด้วยกันแค่สองคน ไม่อยากให้ต้องเอาเรื่องอื่นมาปนกันให้เครียดเสียเปล่านะ ขอแค่วันนี้เท่านั้นสิงห์ขอได้ไหมไฟ’

นั่นเป็นคำพูดเดียวที่เขาเข้าใจดีแล้วว่าสิงห์ต้องเจอเรื่องอะไรจากที่บ้านมาจนเป็นแบบนี้เป็นแน่ แต่เพราะยอมและมัวแต่คิดว่าพรุ่งนี้จะมาถาม แต่มันก็ไม่ทันการเสียแล้ว...

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนทำ” จันถามขึ้นมา

“จะใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้สารวัตรนั่นไง” ไฟทุบโต๊ะ

“เบา ๆ สิวะไอ้นี่” จ่าธงเอ็ด

“เออไม่น่าตกใจหรอกหากเป็นคนนี้” จันส่ายหัวแต่พอนึกอีกทีก็ถอนหายใจ “สิงห์หาหลักฐานไม่ได้หรือวะ ให้เวลาไปเดือนกว่าคงต้องมีบ้างแหละ”

ไฟที่ยังคงคุกรุ่นแทบไม่สนใจอะไรบางอย่างที่ควรจะสะกิดใจบ้าง... “อย่างมันไม่น่ามาเป็นตำรวจหรอก ถ้ามีหลักฐานแล้วจับตายได้กูจะเป็นคนยิงหัวแม่งเอง”

“เฮ้ย ใจเย็น” จันบีบไหล่เพื่อนก่อนจะรีบลุกขึ้นเมื่อมีคนมาเรียก “งั้นกูไปดูก่อน มึงอย่าใจร้อนล่ะ”

ไฟไม่ตอบได้แต่นั่งฟึดฟัด ส่วนจ่าธงที่เงียบมาก็เค้นหัวเราะออกมา

“ขำอะไรลุงธง”

“เปล๊า ข้าแค่คิดว่าเอ็งควรจะระงับอารมณ์เสียบ้างเผื่อจะสังเกตอะไร แต่ก็นะข้าเข้าใจว่าเอ็งเป็นคนยังไงแต่ลองสงบสติเสียบ้างแล้วมองและฟังรอบตัวดู เผื่อจะตงิดตรงไหนสักส่วน”

“อะไรของลุง” ไฟยังคงไม่เข้าใจ

“ก็ลองทำตามที่ข้าพูดดูสิ มัวแต่ใจร้อนแบบนี้มันจะไปตามทันใครเขา อย่างพวกชาวบ้านที่กระซิบกันใกล้ ๆ โต๊ะก็ฟังเสียบ้างนะ หรือแม้แต่คนร่วมโต๊ะก็ด้วย” ว่าแล้วก็ชี้ไปทางชาวบ้านที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟก่อนจะลุกขึ้น “ข้าก็พูดกับเอ็งได้เท่านี้ ไว้เก็บไปคิดดูแล้วกัน ใจร้อนมากไปก็ไม่ดีกับตัวหรอกนะไอ้ไฟ”

“เดี๋ยวลุงธง!” ไฟค้างมือไว้เมื่อจ่าธงเดินออกไป ก่อนจะมานั่งคิดกับตัวเอง จะให้ใจเย็นได้ยังไงกัน สิงห์หายไปทั้งคนนะ...






จบบทที่ ๑๒
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 20-07-2019 16:12:45

บทที่ ๑๓

ย้อนวัย : อดีตตำรวจ


 

๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

กรมตำรวจภูธร เขต ๑


“ด้วย ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ตำแหน่งรองผู้กำกับการอำเภออ้อยขวาง จังหวัดสิงห์บุรี ถูกต้องสงสัยว่าได้ช่วยเหลือบิดาในการค้าอาวุธสงครามและยาฝิ่น กรมตำรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ได้เป็นบุคคลที่น่าสงสัยและอาจร่วมมือกับบิดาของตนเอง จึงเห็นควรลงโทษให้พักราชการอย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” สิ้นเสียงพูดก้องทั่วห้องเอกสารก็ถูกตราประทับเหมือนกับเหล็กมาทุบกลางอก

สิงห์ที่หายหน้าไปนานออกมารับโทษในวันนี้อย่างเงียบ ๆ อดีตผู้กองหนุ่มตะเบ๊ะให้กับคนที่เคยเอ็นดูและดูแลตนมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเดียวกับที่อ่านเอกสารและลงตราประทับในการให้เขาพักราชการ

แววตานั้นที่เคยอ่อนโยนกลับเรียบนิ่ง สิงห์เข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นโจรเต็มตัวต่อสายตาลุงอนงค์เสียแล้ว

“สิงห์” น้ำเสียงคุ้นหูเรียกขึ้น หลังจากที่เดินออกมาได้ไม่นานพอหันไปมองก็พบกับนนท์ที่ไม่พบหน้าคาตากันนาน “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้”

สิงห์เพียงยิ้มบาง ๆ “มันเกิดไปแล้วและฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง”

“มันต้องแก้ได้สิ” นนท์นึกห่วงก่อนจะเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นมาแต่ไกลก็รีบยกมือเรียก

“ไฟ..” สิงห์พูดเสียงเบาเมื่อเห็นใครก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิท “นนท์! เป็นคนบอกไฟใช่ไหม”

“นายจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้นะสิงห์ รู้ไหมว่าไฟเป็นห่วงนายมากแค่ไหน หายเงียบไปอย่างนั้นนึกถึงใจคนรักหน่อยได้ไหม” เป็นครั้งแรกที่นนท์ตะคอกเสียงดัง

“แต่ไม่ใช่วันนี้...”

“นายหายไปนานขนาดนี้ยังจะพูดคำนี้อีกหรือ” นนท์นึกโกรธที่เพื่อนตนดูกลายเป็นคนไม่กล้าสู้หน้าใครไปเสียแล้ว “สิงห์ที่ฉันรู้จักไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หรอกนะ”

ยิ่งเห็นไฟวิ่งมาทางนี้ก็หัวใจก็เจ็บปวด “ฉันเหนื่อยนนท์... เหนื่อยมานาน ฉันแค่ทำเก่งแต่ฉันรู้สึกท้อทุกครั้งที่เจอเรื่องพวกนี้ ฉันไม่เคยเข้มแข็งได้สักครั้ง ฉันได้แต่ปลอบตัวเองว่ามันจะผ่านไป คนที่นายรู้จักมันเป็นคนขี้แพ้มานานแล้ว ที่มาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวฉัน มันเพราะมีคนฉุดฉันขึ้นมาจากขุมนรก ฉันถึงผ่านมันมาได้” ดวงตาเรียวสั่นระริกเมื่อมองคนรักก่อนจะยอมรับอ้อมกอดที่โผล่เข้าหาตัว

“หายไปไหนมา ทำไมถึงไม่บอกไฟ” ไฟกอดอีกฝ่ายแน่นเหมือนกลัวว่าจะหายไปอีกใบหน้าคมคายดูกระวนกระวาย ดวงตาก็แดงก่ำ ก่อนจะผละกอดออกมาลูบหน้าลูบตาคนตรงหน้าอย่างเป็นห่วง “เสี่ยพันธ์ทำอะไรหรือเปล่า ไปเจอเรื่องอะไรมาถึงคิดเงียบไป มาอยู่กับไฟเถอะนะสิงห์ ไม่ต้องอยู่บ้านนั้นแล้ว”

สิงห์กัดปากกลั้นเสียงร้องปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาได้แต่กำเสื้อคนรักไว้แน่นไม่อยากปล่อยเพราะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของตัวเองได้ แต่... เมื่อนึกถึงสถานะของตนก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำให้มาแปดเปื้อนเพราะตัวเขาเช่นกันเพราะอย่างนั้นจำจึงต้องปล่อยไป

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวไปรับน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อออกมาด้วยกัน สิงห์จะได้ไม่ต้องกังวลอะไร” ไฟพยายามพูดเกลี้ยกล่อมแม้ว่าสิงห์จะส่ายหัวไม่หยุดและพยายามดันอกเขาไม่ให้กอด

นนท์เห็นแล้วก็หลับตาเผินหน้าหนี นึกสงสารเพื่อนแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้

“สิงห์มาอยู่กับไฟนะ ไม่ต้องห่วง ไฟจะไม่ให้ใครมาทำอะไรสิงห์” ไฟลูบหัวคนรักที่ตัวสั่นจากการร้องไห้อยากจะกอดแต่ก็ถูกดันออก

“พอแล้ว... หยุด” สิงห์พูดเสียงสั่น

“สิงห์เชื่อไฟนะ ไฟปกป้องสิงห์ได้” ไฟพยายามจะเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดมือออก

“บอกให้หยุดไง!” สิงห์ตะคอกจนไฟนิ่งค้างไป “เลิกยุ่งกับสิงห์เถอะ ตอนนี้สิงห์เป็นโจรเต็มตัวแล้ว”

“อย่าพูดอย่างนั้นได้ไหม” ไฟจะเอื้อมมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดอีกครั้ง “สิงห์...”

“มาเอะอะเสียงดังอะไรกันตรงนี้ ไม่อายคนหรือไง” น้ำเสียงทุ้มต่ำแทรกขึ้นมาจนทำให้ทั้งสามหยุดชะงัก

“ท่านรอง” นนท์ก้มหัว

“นึกว่าจะดีใจที่ได้ออกจากการเป็นตำรวจไปแล้วซะอีก”

“พ่อ!” ไฟรีบบังตัวคนรัก “พูดอะไรออกมา”

“เคยเอ็นดู เคยชุบเลี้ยงมา แต่สุดท้ายก็ยังไปเป็นโจร”

“หยุดพูด!” ไฟทำตัวทรามชี้หน้าพ่อตนเอง “พ่อก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่คนอื่นคิด ทำไมถึงไปเชื่อไอ้สารวัตรนั่น”

อนงค์ไม่ได้สนใจเรื่องที่ลูกชายพูดนอกจากนิ้วชี้ที่จ่าหน้าตนเมื่อกี้ “มึงกล้ามากนะที่ชี้หน้ากูไอ้ไฟ มึงยังเห็นกูเป็นพ่ออยู่ไหม!”

“ผมยังเห็นพ่อเป็นพ่อผมเสมอหากมีเหตุผลมากกว่านี้ ไม่ใช่ไปฟังคนอื่นจนกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดไปแล้ว!”

“ไอ้ไฟ!” อนงค์เค้นเสียง

“ถ้าพ่อยังพูดไม่คิดใส่สิงห์อีกผมไม่ไว้หน้าพ่อแน่” ไฟจ้องเขม็ง

“มึง!” อนงค์ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อลูกชาย

“ท่านรองใจเย็นครับ” นนท์รีบห้ามส่วนสิงห์ก็รีบจับแขนไฟเช่นกัน

“มึงนั่นแหละที่หูหนวกตาบอดไอ้ไฟ! หลงพวกป่าไม้เดียวกันจงโงหัวไม่ขึ้นแล้วหรือไงวะ!”

“เลิกดูถูกความรักของผมสักทีจะได้ไหม เพียงคบกันเท่านี้ก็ทำให้เปลี่ยนความคิดพ่อจนเป็นแบบนี้เลยหรือ ทำให้คนบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องมาแบกรับอะไรหลายอย่างเพียงเพราะอคติแค่นี้จริง ๆ เหรอพ่อ” ไฟมีสีหน้าผิดหวังและเสียความรู้สึกจนอยากจะร้องไห้ออกมา เขาไม่ได้อยากทะเลาะกับพ่อเลยสักนิด แต่สิ่งที่พ่อทำเขาไม่อาจปล่อยไปเฉย ๆ ได้

อนงค์ที่เห็นลูกน้ำตาคลอก็หันหน้าหนีก่อนจะจ้องคนด้านหลังที่ตัวสั่นไม่หยุด “นายไปคุยกับฉันเป็นการส่วนตัว”

“ไม่!” ไฟยืนขวาง

“มึงอย่ามายุ่งไอ้ไฟ ออกไป” เหมือนภาพย้อนซ้ำอย่างกับวันที่บอกความจริงเรื่องที่คบกันเพียงแต่คราวนี้ไม่ได้มีการเห็นใจ...

“พ่อนั่นแหละอย่ามายุ่ง!”

“ไอ้ไฟ!” อนงค์ง้างมือจะตบลูกชายแต่ดันพลาดเพราะสิงห์เข้ามาบังจนเป็นคนโดนเสียเอง

“สิงห์” ไฟรีบดูอีกฝ่ายก่อนจะจ้องพ่อตัวเอง “เลิกบ้าได้แล้วพ่อ!”

อนงค์ที่ตกใจก็จ้องลูกตนเองกลับที่มันยอมเพื่อคนอื่นขนาดนี้ “กูเป็นพ่อมึงนะไอ้ไฟ คำพูดคำจาส่อสันดานจริง ๆ กูไม่เคยสั่งสอนอะไรแบบนี้ให้มึงสักครั้ง ยอมคนอื่นจนด่าพ่อตัวเองได้เลยหรือวะ!”

ไฟรู้ว่าเวลาตัวเองโกรธปากมันจะพาเสียไปหมดแต่เพราะตอนนี้สิงห์ไม่มีที่พึ่ง สิงห์มีเพียงเขาเท่านั้น

“พ่อเลิกยุ่งกับสิงห์ซะ แล้วก็เลิกยุ่งกับความสัมพันธ์ของพวกผมด้วย”

“กูเป็นคนทำให้มึงเกิดมา รักมึง ห่วงมึงมาตลอด มึงกลับปากพล่อยชี้หน้าพ่อตัวเองเพราะคนอื่นหรือไงวะไอ้ไฟ!” อนงค์กำมือแน่นจนสั่นไปหมด “กูผิดหวังในตัวมึงมากนะ กับครอบครัวตัวเองไม่เห็นหัวเลยหรือไง!”

ไฟหันหนีน้ำสีใสไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะหลับตากลั้นใจพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจบอกตอนนี้ได้ “ขอบคุณที่ทำให้ผมเกิดมา ผมจะตอบแทนทุกอย่างอยู่แล้วไม่ต้องห่วง และผมรักพ่อกับแม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเรียนเรื่องงานผมยอมพ่อได้เสมอ แต่ยกเว้นเรื่องเดียว... แค่เรื่องเดียวเท่านั้น” ไฟหันมองพ่อตนเอง “ขอผมรักคนคนนี้ต่อไปได้ไหมพ่อ ผมขอร้อง”

อนงค์จ้องลูกตัวเองไม่วางตาแล้วผันหน้าไปมองคนข้างหลังที่ยังคงก้มหน้าร้องไห้ “สิงห์ไปคุยกับฉันที่ห้อง แค่คนเดียว คนอื่นห้ามมา”

“พ่อ” ไฟเรียกเสียงอ่อนอย่างท้อใจ

“นนท์ ฝากด้วย” อนงค์สั่งลูกน้องตนเองก่อนจะเดินออกไปก่อน

“สิงห์” ไฟรีบจับแขนคนรักที่กำลังเดินตามพ่อไป

“ขอโทษ แต่ปล่อยสิงห์เถอะนะ” สิงห์ร้องขอ พอมือคนรักคลายลงก็รีบเดินออกไป

“สิงห์!”

“ไฟอย่า” นนท์รีบห้าม

“ทำไมวะ!”

“ปล่อยให้ทั้งสองคุยกันเถอะ”

“โธ่เว้ย!” ไฟทิ้งหัวตนเองจ้องทางเดินที่คนรักไปเมื่อกี้ด้วยความอัดอั้น

จะไปคุยอะไรกันอีก จะทำให้สิงห์ต้องรับเรื่องแย่ ๆ พวกนี้ไปอีกนานแค่ไหนทุกคนถึงจะพอใจ

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 
๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

สถานีอ้อยขวาง


ผ่านไปหกวันหลังจากที่สิงห์ถูกพักราชการ เขาได้ไปส่งสิงห์ถึงบ้าน แต่ระหว่างทางสิงห์แทบไม่คุยอะไรเลยนอกจากเงียบ จนเกือบจะถึงที่หมาย สิงห์ก็พูดขึ้นมาในสิ่งที่อีกฝ่ายคงอัดอั้นมานาน

‘เกิดมาเป็นลูกโจรนี่มันน่าสมเพชเสียจริง’

เขาคิดว่าพ่อตนเองต้องไปพูดอะไรที่สะเทือนใจใส่คนรักเป็นแน่ พอถามไถ่สิงห์ก็แสดงออกว่าเหนื่อยที่จะพูดและอธิบายให้ใครฟัง ก่อนจะลงรถก็ขอกอดและจูบกันหนสุดท้าย 

มันทั้งขมขื่นและไร้อารมณ์ความรู้สึก

นับตั้งแต่นั้นไฟก็ได้แต่รอตกกลางคืนและรอให้สิงห์ออกจากบ้าน ทว่า... มันไม่มีทางไหนไปได้เลย ทั้งบ้านเสี่ยพันธ์ที่มีคนมาเฝ้าและโลกภายนอกที่ไม่พบแม้แต่เงา

“หมวดครับ” จ่าคมเดินเข้ามาเรียกสติของผู้หมวดหนุ่มที่เหม่อลอยอยู่หลายหนจนเกือบพลาดงานไปหลายรอบ

“ว่าไง”

“โทรเลขจากกรมตำรวจภูธรเขตหนึ่งครับ”

ไฟนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าแล้วหยิบมาเปิดอ่าน

“มีอะไรวะไอ้ไฟ” จันที่นั่งข้าง ๆ ถามขึ้น

ไฟอ่านอย่างละเอียดก่อนจะตอบ “จะมีสารวัตรคนใหม่เข้ามาประจำตำแหน่งประมาณอาทิตย์หน้า”

“ห๊า? สารวัตรคนใหม่หรือวะ จะเป็นใครวะเนี่ย”

“ก็ขอให้ไม่ใช่แบบไอ้สารวัตรทัพนั่น”

“เฮ้ย พูดเสียงดัง” ว่าแล้วก็จุ๊ปาก

“หึ คนช่วยเหลือพวกเสี่ยพันธ์ก็เป็นมัน ขนาดหาหลักฐานไม่ได้ก็สั่งมั่วซั่วมาจับคนอื่น ผลงานเน่า ๆ ก็ยังทำให้เลื่อนขั้นไปเป็นรองอธิบดีในกรมตำรวจนครบาลได้เลยหรือวะ”

“อันนี้กูเห็นด้วย คนที่ไม่มีสมองคิดได้แต่กัดคนอื่นไปทั่วทำไมถึงได้เป็นรองอธิบดี” จันส่ายหัวพลางเค้นเสียงเหอะ

“หากพูดถึงสารวัตรคนใหม่เห็นพ่อเอ็งบอกว่าชื่อสารวัตรโขม” จ่าธงที่นั่งพิมพ์เอกสารเอ่ยบอก

“ใครกัน” ไฟขมวดคิ้ว

“ข้าเคยเจอครั้งหนึ่ง ยังดูหนุ่มอยู่เลย เป็นคนเก่ง ไม่เหมือน...” จ่าธงเว้นไว้ให้ทั้งสองคิด

“ถ้างั้นก็ดีจะได้ไม่ต้องมารับเรื่องปวดหัวของหัวหน้าที่ไม่ได้เรื่อง” จันพูดขึ้น

พูดยังไม่ทันหายลืมก็ผ่านไปอาทิตย์กว่าก็มีรถคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบท่าหน้าสถานี หมวดไฟที่ตอนนี้ถือว่าเป็นหัวหน้าสูงสุดแทนสารวัตรที่จะมาดำรงตำแหน่ง เดินออกไปดูรถราชการก็เป็นอันเข้าใจว่าสารวัตรคนใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้ว

หมวดไฟสั่งนายตำรวจทั้งสถานีคอยยืนต้อนรับด้านบน ส่วนเขา จัน แล้วก็จ่าธง จะลงไปข้างล่าง

“ยินดีต้อนรับครับสารวัตร” หมวดไฟตะเบ๊ะให้บุคคลตรงหน้าที่ดูสูงภูมิฐาน มองแวบแรกก็คิดแล้วว่าคนคนนี้เหมาะสมกับชุดตำรวจเสียจริง

“คุณ.. หมวดไฟใช่ไหม” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถามพลางยิ้ม

“ครับ ผมร้อยตำรวจตรีเพลิงกาฬ ไตรษิณย์ เป็นคนดูแลที่นี่แทนชั่วคราว”

สารวัตรใหม่พยักหน้าก่อนจะทักทายคนอื่น ๆ ตามลำดับและยังมีของมาให้ตั้งมากมายทั้ง ๆ ที่ฝ่ายต้อนรับต้องเตรียมของมาแท้ ๆ และนั่นเป็นความน่าชื่นชมในการพบปะกันครั้งแรก ของสารวัตรคนใหม่กับนายตำรวจเก่า

การทำงานผ่านไปหลายวันก็เริ่มเข้าที่เข้าทางกันดีแถมไฟยังได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องดีของจังหวัดนี้และภายในสถานีอ้อยขวางที่มีสารวัตรหน้าใหม่เป็นคนที่น่านับถือสมกับเป็นหัวหน้าอย่างแท้จริง

“ผมได้รู้เรื่องโจรและพื้นที่ต่าง ๆ มาจากท่านรองอธิบดีมาบ้างแต่คงจะดีหากได้สำรวจรอบ ๆ และเห็นหน้าคาตาบุคคลที่ข่าวลือทั่วไปที่คนในพื้นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเสี่ยพันธ์ เสือเอี้ยง หรือแม้แต่เจ้าสัวเหวย แล้วก็ข้าราชการคนหนึ่งที่อาจจะพัวพันกับโจรด้วย” สารวัตรพูดขึ้น ตอนนี้นายตำรวจที่ว่างงานกำลังนั่งดื่มกาแฟตรงข้ามกับสถานีมีทั้งหมวดไฟ จ่าธง สารวัตรและจ่าคม

“พูดถึงเรื่องนั้นสารวัตร” จ่าคมที่ร่วมวงด้วยว่าแล้วกระซิบ “ข้าราชการคนนั้นเห็นมีข่าวมาว่าจะไปพบกับคุณหลวงธารานันท์คุยเกี่ยวกับเรื่องกงสุลของอังกฤษอะไรสักอย่างเนี่ยแหละครับ”

สารวัตรทำหน้าสงสัย “เท่าที่รู้มาที่นี่มีข้าราชการสองคนที่ได้รับบรรดาศักดิ์จากการทำงาน แต่ว่าพวกท่านไม่ได้ถูกกันหรอกหรือ ทำไมถึง...”

“ไม่ถูกกันน่ะถูกแล้วครับสารวัตร” จ่าธงเสริม

“ที่จริงแล้วคุณหลวงธารานันท์ท่านเป็นข้าราชการที่ดีคนหนึ่งและไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณหลวงอีกท่านทำ” ไฟอธิบาย “อย่างที่รู้กันดีว่าท่านทั้งสองมักจะนัดพบพูดคุยกันอยู่เสมอ แต่เป็นฝ่ายคุณหลวงศรีรวีชัยที่นัดตลอดเพราะต้องการให้คุณหลวงธารานันท์มาเข้าพวกกับตน”

เรื่องนี้มีแต่คนในจังหวัดเท่านั้นที่ทราบกันดีแต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรข้าราชการหลวงคนนี้ได้

“อาจจะได้ไปดูแลความปลอดภัยให้คุณหลวงนะครับ” จ่าคมว่า

“อ้อ อันนี้ผมก็รู้มาจากท่านรองเหมือนกันว่างานทุกงานหรือแม้แต่นัดพบก็ต้องไปดูแลความปลอดภัย หรือต่อให้ไม่ถูกสั่งเราก็ต้องไป เพราะยังไงที่นั่นก็มีพวกเสือที่คอยคุ้มกันเหมือนกัน ในเมื่อเสือมาเราก็ต้องดักไว้”

ทุกคนพยักหน้าเป็นการเข้าใจก่อนที่นายตำรวจคนหนึ่งจะวิ่งมาหา “สารวัตรครับ”

“ว่าไงหมู่เริง”

หมู่เริงยื่นจดหมายให้แล้วอธิบาย “จดหมายนี้เป็นของคุณหลวงศรีรวีชัย ท่านต้องการให้สารวัตรไปพูดคุยที่บ้านท่าน ตามเนื้อความด้านในและที่อยู่”

สารวัตรโขมขมวดคิ้วเปิดกระดาษอ่านก็เป็นเข้าใจดีว่าการมารับราชการที่นี่เริ่มมีเรื่องใหญ่เข้ามาเสียแล้ว

“หมวดไฟ จ่าธงไปกับผม ส่วนจ่าคม ถ้าหมวดจันกลับมาจากปฏิบัติหน้าที่แล้วให้ดูแลทางสถานีแทนก่อนนะ”

“ครับสารวัตร!” พูดจบเพียงเท่านั้นก็เดินไปทางรถจิ๊บของไฟ

“มีอะไรหรือครับสารวัตร” หมวดไฟถามขึ้นเมื่อออกรถมาได้สักพัก

สารวัตรถอนหายใจ “ผมคิดว่าเราต้องระวังตัวมากขึ้นแล้วล่ะ...”

“ทำไมหรือครับ”

“ก็ในจดหมายแจ้งว่าให้ผมช่วยยกเลิกคำสั่งในการลาดตระเวนในเขตของคุณหลวง”

เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวมาว่าคุณหลวงกำลังคิดทำการใหญ่เขาจึงส่งตำรวจไปดูลาดเลาแต่คงคิดง่ายเกินไปเพราะตำรวจที่สั่งก็ทำให้ลูกน้องฝั่งนั้นจำหน้าได้

“หากผมปฏิเสธเราอาจมีภัย คนน้อย ๆ มันก็ดีตรงที่ไม่พาคนอื่นมาเสี่ยงมากและพวกคุณก็เป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุด ยังไงผมว่าเราเตรียมทางหนีทีไล่ก่อนเถอะ” ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าการเชิญชวนไปที่บ้านต้องมีแผนอะไรบางอย่าง

“ดีเหมือนกันครับผมก็สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเหมือนกัน” หมวดไฟเอ่ยว่าแล้วลองสำรวจพื้นที่แถวเขตคุณหลวงไปพลาง ถึงเขาจะเป็นคนจังหวัดนี้ตั้งแต่เกิดแต่ใช่จะรู้ทางทุกพื้นที่ โดยเฉพาะที่นี่ที่เขาแทบไม่เคยผ่านมาดู

เพียงไม่นานกับขับมาถึงเรือนไม้หลังโตมีลูกน้องคุณหลวงยืนอยู่เต็มพื้นที่ ก่อนที่ไฟจะหยุดชะงักเมื่อเห็นรถคุ้นหน้าคุ้นตาจอดอยู่ข้างหน้า และลูกน้องที่คุ้นหน้าบ้าง... ทั้งรถนั้นกับลูกน้องที่ยืนอยู่ที่รถคือของเสี่ยพันธ์ทั้งหมด

“เชิญ” คนตรงขั้นบันไดว่าเสียงห้วนแล้วพยักพเยิดให้ขึ้นไปข้างบน หึ ใบหน้าไม่รับแขกกันทุกคนจริง ๆ

“มาแล้วหรือสารวัตรคนใหม่” ถึงจะแทบไม่เคยเจอแต่ก็จำน้ำเสียงนี้ได้แม่น เขาล่ะอยากจะดับหูนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด น้ำเสียงนี้ทั้งเย้ยหยัน วางท่า เหอะ

หมวดไฟหงุดหงิดได้ไม่เท่าไหร่เดินเข้าไปด้านในจนลูกน้องที่ยืนล้อมค่อย ๆ แหวกออกก็เหมือนคนมาหยุดเวลาเมื่อเห็นใครบางคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานนับเดือนได้ และทำให้เขาเกือบจะเป็นบ้าตายไปแล้ว

“สิงห์...” เสียงของเขาช่างเบาหวิวเหมือนกับไม่รู้ว่าคนตรงหน้านั้นใช่คนรักเขาจริงหรือเปล่า

แล้วทำไมสิงห์ถึงมาอยู่ที่นี่กับคนพรรค์นี้ได้ล่ะ

“ยินดีที่ได้พบขอรับคุณหลวง” สารวัตรโขมยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้ามท่านกับอดีตนายตำรวจที่เขาเคยเห็นในข่าว

“ต้องขอบคุณสารวัตรที่มาตามคำขอนะ” คุณหลวงยิ้ม

“ถือว่าเป็นเกียรติมากกว่าขอรับที่กระผมได้รับเชิญจากคุณหลวง”

คุณหลวงยิ้มพอใจคิดว่าคงคุยง่ายจึงเข้าเรื่องไม่รีรอสิ่งใด “ถ้าอย่างนั้นเรามาทำข้อตกลงกันดีไหมสารวัตร”

ในระหว่างที่สารวัตรทบทวนเกี่ยวกับทางหนีและคำนวณลูกน้องคุณหลวงว่ามีกี่คนก็ต้องถอนหายใจตั้งแต่พบหน้าอดีตตำรวจดีเด่นคนนี้ จะหนียากก็คราวนี้... จึงหันมองจ่าธงเป็นการบอกนัย ๆ ว่าเราถูกล้อมจริง ๆ พอจะหันไปมองหมวดไฟ ผู้หมวดนั้นกลับเอาแต่มองอดีตเพื่อนตนไม่วางตา

ก็พอรู้มาว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก... คงจะยังไม่ยอมรับเรื่องที่ว่าเพื่อนตนนั้นกำลังนั่งร่วมวงกับคนที่เป็นถึงข้าราชการที่พัวพันเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย

“ข้อตกลงอะไรหรือขอรับ” ตอนนี้ก็คงทำได้แค่ตามน้ำไปก่อน

“สารวัตรอยากได้เงินพิเศษไหม” เปรยมาเท่านี้ก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว สารวัตรอดหัวเราะไม่ได้ มันจะดูถูกเขาเกินไปแล้ว “ขำอะไร?”

“ขอโทษขอรับ กระผมแค่คิดว่าคุณหลวงช่างตรงไปตรงมาเสียจริง”

คุณหลวงมองพิจารณาอีกครั้งก่อนจะว่าต่อ “ถ้าหากสนใจก็บอกได้ แล้วก็อีกเรื่องคือช่วยเอาตำรวจที่มาสอดส่องแถวนี้ออกไปด้วยก็ดี คนอื่นจะไม่มามองว่าข้าราชการอย่างฉันมีตำรวจมาคอยลาดตระเวนแถวบ้าน”

สารวัตรโขมมองคุณหลวงไม่วางตาก่อนจะมองลูกน้องคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่เต็มเรือน แม้จะยืนห่างออกไปแต่ก็ดูออกว่าเตรียมพร้อมวิ่งเข้ามาจับพวกเขา

“เรื่องเงินพิเศษกระผมต้องขออภัยที่ไม่อาจรับไว้ได้ เพราะผมไม่ชอบให้ใครมาติดสินบน” สารวัตรโขมว่าเพียงเท่านั้นคุณหลวงก็เริ่มหงุดหงิด “ส่วนเรื่องคนมาลาดตระเวนในเขตคุณหลวง ถ้าเกิดแถวนี้ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยกระผมจะสั่งยกเลิกทันที”

“ฉันว่าฉันพูดกับสารวัตรให้เข้าใจแล้วนะ” คุณหลวงจ้องเขม็ง

“กระผมก็คิดว่ากระผมพูดกับคุณหลวงชัดแล้วเหมือนกันขอรับ” สิ้นคำพูดนั้นคุณหลวงก็ทุบโต๊ะยืนขึ้นเอาไม้เท้าชี้หน้าและคิดว่าคุณหลวงจะทำอะไรทั้งจ่าธงกับหมวดไฟที่อึ้งไปชั่วขณะกลับมาคุมสติหยิบปืนจ่อทางคุณหลวงทันที

แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนรักของเขาลุกขึ้นยกปืนจ่อใส่เขาเหมือนกัน ไฟหน้าเสียก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกบีบรัด ตั้งแต่เข้ามายันเอาแต่นั่งมองหน้าคนตรงข้าม สิงห์ก็แทบไม่มองหน้าเขาเลยสักนิดคล้ายกับคนที่ไม่รู้จักกัน แล้วนี่คืออะไร ทำไมถึงหันปืนใส่เขากัน...

ทำไม...

“สารวัตรไม่อยากอยู่ที่นี่อย่างสบายใช่ไหม”

สารวัตรโขมคิดหนักเมื่อมีกระบอกปืนจ่อมาทางนี้มากมาย ลูกน้องตนสองคนที่มาที่นี่ด้วยก็ต้องอาจบาดเจ็บกลับไป หรือบางทีอาจจะไม่รอด

“วางปืนลงซะ” น้ำเสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมานานเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ทำให้ไฟยิ่งไม่เข้าใจจนลดมือลง

“สิงห์ทำไม...” เขามองคนรักอย่างเจ็บปวดและสับสน

สิงห์มองคนตรงข้ามด้วยแววตาเรียบนิ่งแล้วลดมือลงก่อนจะหันไปทางคุณหลวง “กระผมว่าคุณหลวงอย่าไปสนใจพวกเขาเลยขอรับ ถ้าพวกเขาไม่สนใจก็ช่างพวกเขาไป ทางเราก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักกับแค่ตำรวจยศน้อยไม่กี่คน”

ทำไมถึงคุยกันอย่างนั้นได้ “สิงห์…”

“รีบตัดสินใจเถอะขอรับ กระผมต้องรีบไปเตรียมของ ยังไงต้องขอตัวกลับก่อน”

“จะไปแล้วหรือ” คนที่หงุดหงิดเมื่อกี้หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเมื่อแขกกิตติมศักดิ์ที่สุดกำลังจะกลับ

“ไว้เราค่อยมาคุยกันใหม่นะขอรับ” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไปกับลูกน้องสามสี่คนที่มาด้วย

“เดี๋ยวสิงห์!” ไฟรีบตามไปจนจ่าธงต้องกุมหน้าผาก ที่หลานตัวดีปล่อยตนกับสารวัตรไว้ที่นี่สองคน

“สิงห์! หยุด!” ไฟปรี่เข้าไปหาแต่ลูกน้องก็มายืนกันไว้ “สิงห์มาคุยกับไฟก่อน!”

คนถูกเรียกหันมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะปัดมือให้ลูกน้องถอยออก ไฟจึงรีบเข้าไปจับแขนคนรัก “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสิงห์ถึงมาที่นี่ ถูกเสี่ยพันธ์บังคับใช่ไหม”

แววตาที่เคยเรียบนิ่งสั่นไหวเล็กน้อยกลายเป็นเหนื่อยล้าที่ส่งผ่านออกมาจนคนมองสัมผัสมันได้ สิงห์หลับตานิ่งงันก่อนจะตอบ “ไม่มีใครบังคับทั้งนั้น ฉันมาด้วยตัวเอง”

“ไม่ มันไม่จริงหรอกไฟรู้ สิงห์... ออกมาจากที่นั่นเถอะนะ ไฟดูแลสิงห์ได้จริง ๆ นะ”

สิงห์กำมือแน่น “ช่างเถอะ ปล่อยได้แล้วฉันจะกลับ”

“ไม่สิงห์” ไฟอยากจะกอดเพื่อรั้ง แต่ลูกน้องของสิงห์ก็กักตัวไว้ “ปล่อยสิวะ!”

“หยุดตามหา หยุดวิ่งตาม ต่างคนต่างอยู่เถอะนะ ถือว่าเราไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว” สิงห์พูดเพียงเท่านั้นก็ขึ้นรถอย่างไม่รีรอใดใด

“สิงห์! ไม่! ปล่อยดิวะไอสัส!” ไฟดิ้นจนหลุดออกมาจะวิ่งตามรถก็ไปไม่ทันในเมื่อมันขับไปไกลแสนไกล รถอีกคันของลูกน้องสิงห์ก็ขับออกไปจนไฟได้แต่สบถกับตัวเอง “โธ่เว้ย!!”

“หมวด! มีอะไรหรือเปล่า” สารวัตรที่ลงมาตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้เอ่ยถามไถ่

“เปล่าครับ” ไฟตอบแม้ตาจะมองทางที่รถนั้นขับออกไป

“ถ้าไม่มีอะไรเรารีบไปเถอะ ถึงจะถูกปล่อยตัวออกมาง่ายแต่คงไม่จบแค่นี้”

“ไปเถอะหมวด เรื่องอื่นไว้ค่อยคิด” จ่าธงดึงสติก่อนจะเป็นคนขับแทนเจ้าไฟเพราะมันคงไม่มีสมาธิขับอย่างแน่นอน

แต่พอขับออกมาได้ไม่ไกลนักก็มองเห็นได้ทันทีว่ามีคนขับรถตามเป็นพวกลูกน้องคุณหลวงไม่ผิดแน่

“นั่น! ระเบิด! รีบหลับเร็ว!” สารวัตรที่เห็นหนึ่งในพวกมันกำลังปาระเบิดมาก็รีบบอกแล้วกระโดดออกจากรถไปพร้อม ๆ กับคนอื่น ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกสะเก็ดระเบิดและยังกลิ้งไปกับพื้นไม่หยุดเพราะลงจากรถที่ขับออกมากะทันหัน ถึงแม้จะตรวจดูทางหนีแต่มันก็ไม่ทัน

“นี่แค่เตือนนะไอ้สารวัตร!” ลูกน้องที่เป็นคนโยนระเบิดตะโกนบอกพลางหัวเราะก่อนที่รถคันนั้นจะวนกลับไปเมื่อทำหน้าที่เสร็จสิ้น

“หมวดเป็นอะไรไหม” สารวัตรรีบลุกมาดูเพราะไฟกระโดดเป็นคนสุดท้ายและยังไปทางที่ดินขรุขระน่าจะกระแทกเศษหินไม่มากก็น้อย

“ไม่เป็นไรครับ” ไฟดันตัวขึ้นช้า ๆ จับแขนตัวเองแล้วมองรถที่พ่อซื้อไว้ให้ ค่อย ๆ มีไฟลุกท่วมทั้งตัวรถ กว่าจะได้เงินซื้อรถทั้งทีมันยากลำบากแค่ไหนเขารู้ดี เงินเดือนเขาทั้งปีหรือสองปีก็ยังไม่มีพอซื้อเลยด้วยซ้ำ รถนี้ยังเป็นคันแรกที่พ่อต้องการให้เป็นของขวัญ ถึงจะมีเรื่องทะเลาะรุนแรงกันมาหมาด ๆ แต่ไฟยอมรับว่าสิ่งของทุกชนิดที่พ่อให้มา เขาก็อยากจะดูแลให้ดีทั้งหมด

แต่วันนี้มันกลับถูกระเบิดโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย

“เอาเป็นว่าพวกเรารีบขอชาวบ้านแถวนี้ไปส่งที่โรงพยาบาลก่อนเถอะครับ” จ่าธงพูดขึ้นเพราะเป็นห่วงหลานเต็มทน เจอคนรักเก่าที่ผันตัวเปลี่ยนเป็นโจรเต็มที่ไม่พอ ยังต้องมาเสียรถที่พ่อซื้อให้อีก

“หมวดไฟลุกไหวไหม” สารวัตรเอ่ยถาม

“ครับ” ไฟตอบรับเสียงแผ่วลุกขึ้นโดยมีสารวัตรช่วยพยุง เขามองรถที่เผาไหม้อย่างใจหายถึงจะยอมเดินออกไปกับทั้งคู่



จบบทที่ ๑๓

-----------------------------------------------------------------------------------
ตอนหน้าก็จบภาคย้อนวัยแล้วนะคะ จะเป็นตอนที่ ๑๕ ที่จะเข้าสู่ช่วงปัจจุบันแล้ววว

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-07-2019 17:18:35
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 05-08-2019 19:13:51
 

บทที่ ๑๔

ย้อนวัยสุดท้าย : ฆ่าเพื่อน

 

๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒

สถานีอ้อยขวาง


“พี่ไฟคะ” เด็กสาวเอ่ยเรียกพี่ชายคนสนิทเป็นรอบที่สามของวันเพราะมัวแต่นั่งเหม่อจนเธอมาถึงที่นี่นานแล้วก็ยังไม่เห็นว่าอีกคนจะสนใจสิ่งใดเลยนอกจากเรื่องในหัว

“หื้อ?” ไฟรีบหันมองก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ต้นอ้อหรอกหรือ” จำได้ว่าตอนที่ต้นอ้อมาที่สถานีครั้งแรก เขาตกใจเป็นอย่างมากที่ต้นอ้อออกมาข้างนอกได้หลังจากที่ถูกห้ามไว้ก่อนหน้านี้ แต่พอพูดคุยจนรู้เรื่องก็เข้าใจดีแล้วว่าเป็นสิงห์ที่ขอร้องเสี่ยพันธ์ให้น้องได้เรียนต่อ

ต้นอ้อพยักหน้าแล้วยื่นขนมที่ทำมาให้ “กล้วยบวชชีค่ะ”

“ขอบคุณนะ” ไฟยิ้ม รับขนมไว้เหมือนดั่งทุกครั้งที่ต้นอ้อเอามาฝากก่อนไปเรียนทุกเช้า “แล้วสิงห์ล่ะ..”

แล้วก็เป็นทุกครั้งที่เขาถามถึงคนรัก ต้นอ้อจึงพรูลมหายใจเพราะตนก็อดเป็นห่วงพี่ชายตัวเองไม่ได้ “เหมือนเดิมค่ะ ไม่กินข้าว ไม่ออกจากห้องหากไม่ไปทำงานเกี่ยวกับ...อะไรพวกนั้น ต้นอ้อไปเคาะห้องอยู่หลายครั้งก็ถูกไล่ให้ไปนอนทุกที”

ดวงตาคมหม่นลง “สิงห์ไม่ออกมาคุยกับแม่แล้วก็ต้นอ้อเลยหรือ”

ต้นอ้อเม้มปาก “ค่ะ ไม่ออกมาเลย เจอกันแค่ตอนที่พี่สิงห์ออกไปข้างนอกแต่ว่าคุยกันนับประโยคได้”

ไฟถอนหายใจ “ฝากดูสิงห์ด้วยนะ อย่าปล่อยให้สิงห์อยู่คนเดียว”

“ได้ค่ะ หนูเองก็อยากให้พี่สิงห์กลับมาเป็นเหมือนเดิม”

อยากจะพูดไปว่านี่แหละสิงห์คนเดิมที่คิดมากและมักจะเอาตัวเองไปอยู่ในสิ่งที่คิดว่าดีต่อผู้อื่น แต่คนเดิมนั้นก็ยังบอกยังพูดให้รู้ว่ามีเรื่องอะไรในใจ เหมือนครั้งที่ถูกเสี่ยพันธ์ทำร้ายร่างกาย วันที่เขาบอกให้สิงห์พูด นับตั้งแต่นั้นอีกฝ่ายก็บอกทุกเรื่องตลอด

แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่เกิดเรื่องจากการถูกสงสัยว่าช่วยเหลือพ่อตัวเองก็ไม่เคยบอกกันเลยสักคำ

“พี่ก็อยากให้สิงห์ออกมาจากนรกนั่น”

ต้นอ้อมองคนรักของพี่ชายด้วยความรู้สึกที่เข้าใจก่อนจะยิ้มบาง ๆ “พี่ไฟก็อย่าเป็นห่วงไปเลยนะคะ ต้นอ้อจะช่วยดูแลพี่สิงห์ให้เอง”

ไฟหันมองน้อง “ขอบคุณมาก ๆ นะ”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอไปเรียนก่อนนะคะ” ว่าแล้วก็ยกมือไหว้

“ตั้งใจเรียนนะ” ไฟลูบหัวน้องมองจนต้นอ้อลับสายตาถึงจะเดินเข้าห้องทำงานนั่งลงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า

เขาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน มันออกจะยับและดูจะขาดอยู่รอมร่อ ทว่าก็ไม่ได้นึกสนใจ เนื้อหาด้านในจั่วหัวข่าวว่าเมื่อสองสามเดือนก่อน อดีตฉายาสิงห์ปืนไวผู้กองดีเด่นของสิงห์บุรีกำลังสั่งเข่นฆ่าชาวบ้านที่ไม่ยอมจำนนต่อตนเองและยังทำการขนส่งอาวุธและยาแทนบิดาที่ยกหน้าที่ทั้งหมดให้นายสิงห์

เป็นหัวข่าวที่หลายคนต่างสนใจ เมื่อตำรวจที่ชาวบ้านต่างยกย่องนับถือดันกลายมาเป็นโจรเสียเอง จึงถูกสาปแช่ง รวมถึงก่นด่าสารพัด กลายเป็นว่าหนึ่งในโจรร้ายในภาคกลางนั้นมีชื่อ ‘นายสิงห์’ รวมอยู่ด้วย ค่าหัวก็เยอะตามข่าวที่ดังเรื่อย ๆ จนมีหลายคนคิดจะเด็ดหัวหนึ่งในโจรร้ายผู้นี้แต่ก็ถูกฆ่าและแขวนคอประจานหากใครคิดลอบฆ่านายสิงห์อีก

‘ไม่น่าเชื่อว่าอดีตตำรวจที่ยุติธรรมที่สุดในวันนั้นกลับโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่เคยพบมา’ นั่นคือคำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ที่ไม่เคยทำใจชินกับมันลงเสียที

“เลิกอ่านได้แล้ว ข่าวมันก็จบไปตั้งแต่หลายเดือนก่อนยังจะเก็บมันไว้อีก” จันที่นั่งมองอยู่นานพูดขึ้นแล้วจับบ่าเพื่อนสนิท

เจ้าตัวยอมวางหนังสือพิมพ์ลงก่อนจะลูบหน้าตัวเอง “กูไม่เข้าใจเลย สิงห์ทำไปเพื่ออะไรกัน”

“มันคงมีเหตุผล”

ไฟเงยหน้ามองเพดานห้อง มีน้ำสีใสแห่งความอัดอั้นเอ่อคลอ “ทำไมสิงห์ต้องหนีกูไปอยู่เรื่อยเลยวะ จะทำอะไรก็ไม่เคยบอก ไม่เคยพูด เอาแต่เก็บไว้คนเดียว บางทีกูก็คิดนะว่ากูยังสำคัญอยู่ไหม” เวลาที่อยู่คนเดียวเขาเอาแต่กินเหล้าแล้วก็ร้องไห้ทำลายข้าวของจนแม่ห่วงพลอยทำให้แม่ร้องไห้ไปด้วยเพราะไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้ เขารู้สึกผิดกับแม่แต่มันห้ามไม่ได้เลย ทุกคืนเขาเอาแต่ร้องไห้ ก็พยายามพูดกับตัวเองว่าโตแล้วควรจะคิดเยอะ ๆ บ้าง

สุดท้าย... ก็ทำไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเลยสักนิด ยังคิดอยู่เลยว่าเพิ่งจบมอปลายมาหรือเปล่านะ ก่อนหน้านี้ยังได้ยิ้มได้หัวเราะกับสิงห์อยู่เลย

เมื่อก่อนมีความสุขแค่ไหนเขารู้ดี ช่วงเวลาที่มีสิงห์อยู่ข้าง ๆ เหมือนเป็นพลังชีวิตที่ทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมา

แต่กำลังใจนั้น... ได้หายไปจากเขาอีกแล้ว

ไฟลูบแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างเหม่อลอยกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นอะไรเพื่อนสนิทก็เขย่าไหล่ด้วยสีหน้าที่ตกใจ

“มึงร้องไห้ทำไม”

คนที่ได้สติกลับมายกมือจับแก้มที่ยังคงมีความเปียกชื้นก็ได้แต่พรูลมหายใจ เอาอีกแล้ว เป็นแบบนี้ทีไรก็ไม่เคยกลั้นความรู้สึกได้สักที พูดคุยอยู่ดี ๆ มีอันต้องเหม่อกลัดกลุ้มเรื่องของคนรักตลอด

“กูเพลีย ๆ ว่ะ”

“ลาสักครึ่งวันไหมเดี๋ยวกูบอกสารวัตรให้” จันยังคงห่วง

“ไม่เป็นไร”

จันถอนหายใจ “ไปพักเถอะเชื่อกู มึงทำงานต่อไม่ได้หรอก ดูแลตัวเองบ้างดิวะ”

ไฟก้มหน้าอย่างคนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรก่อนจะพยักหน้าด้วยความเชื่องช้า “อืม ขอโทษนะวันนี้มึงคงรับงานหนักแทนกู”

“เออไม่เป็นไร มึงไปพักซะเดี๋ยวกูไปส่ง” จันว่า

ไฟเตรียมลุกขึ้นก่อนที่จะมีนายตำรวจหลายคนชุลมุนวุ่นวายจนเห็นสารวัตรเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเครียดขมึง “ยกกำลังไปดักจับรถเสี่ยพันธ์ จะมีการส่งล็อตใหญ่ ทุกนายเตรียมตัวพร้อมขนอาวุธไปด้วย อาจมีการปะทะ”

“ไอ้ไฟเดี๋ยว!” จันรีบเรียกเพื่อนตนที่เดินออกไปไม่รอ “มึงไปไม่ได้นะไอ้ไฟ”

“กูจะไปหาสิงห์”

“มึงจะรู้ได้ไงว่าสิงห์มันไปด้วย สารวัตรพูดแล้วว่าจะมีการปะทะกัน ถึงมึงไปก็มีแต่ทำให้ตัวเองไปตายเปล่า ๆ นะเว้ย มึงดูสะภาพตัวเองสิวะ!” จันชี้หน้า “ไปทั้ง ๆ แบบนี้มึงจะทำอะไรได้ อาจจะไม่ได้เห็นมันเพราะมึงตายก่อนก็ได้นะไอ้ไฟ”

“ขอร้องนะจัน ให้กูไป”

จันกัดฟัน “ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ มึงนี่มันชอบทำให้กูเป็นบ้าอยู่เรื่อย” ไฟไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูดแต่ก็ใจชื้นเมื่อเห็นว่ามันมีสีหน้าอ่อนลง “จะไปก็ไป กูไม่มีสิทธิ์สั่งห้ามได้อยู่แล้ว แต่อย่าได้วู่วามล่ะ”

“ขอบใจ” ไฟยิ้มได้แล้วขึ้นรถไปกับคนอื่น ๆ ไม่สนว่าตัวเองจะมีจิตใจที่ฟุ้งซ่านแค่ไหน

ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เริ่มชะลอความเร็วและจอดห่างออกไปจากจุดที่ได้รับแจ้งมาจากตำรวจที่ตรวจพื้นที่ เพราะด้านในนั้นเป็นป่าทึบคาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกมันคงจะเตรียมการส่งจากทางนี้

“หมวดจัน จ่าคมและคนอื่น ๆ ไปทางนั้น ส่วนหมวดไฟ จ่าธงมากับผม” สารวัตรสั่งก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปแต่ละพื้นที่ของตัวเอง คล้อยหลังไม่ไกลนักจันหันมองไฟด้วยความเป็นห่วงและไฟก็รู้ดีจึงหันมองแล้วพยักหน้าให้เพื่อนมั่นใจ จันถึงจะนำทีมของตนเองออกไป

“คราวนี้พวกมันส่งให้ใครกันหรือครับสารวัตร” จ่าธงเอ่ยถาม

สารวัตรที่เดินนำหันมองทั่วก่อนจะตอบ “คงจะเป็นพวกเจ้าสัวเหวย หรือไม่ก็พวกที่ส่งของออกนอกประเทศ”

“ส่งล็อตใหญ่แปลว่าเสี่ยพันธ์ต้องมาด้วยตัวเองสินะครับ”

“ผมกลัวว่าจะไม่ใช่เสี่ยพันธ์น่ะสิจ่า”

พอได้ยินอย่างนั้นคนที่เดินตามเงียบ ๆ พลันใจกระตุกขึ้นมา ดีใจหรือ? คงใช่ หากเป็นคนรัก เขาคงดีใจ แต่ก็หนักใจเจ็บหน่วงไปทั้งอก เกิดมีการปะทะไม่แน่เขาอาจตายเพราะไม่กล้ายิงสู้กลัวสิงห์ถูกลูกหลง

นึกแล้วก็น่าขัน ผู้หมวดหนุ่มที่ไม่มีคำว่าไว้ชีวิตกับพวกนอกกฎหมายกลับต้องคิดที่จะไม่ยิงทันทีเมื่อคิดว่าคนรักของตัวเองไปอยู่รวมในนั้นด้วย ไม่แม้แต่จะลังเลที่จะยอมตกเป็นเป้าดีกว่าเป็นมือปืน

“เงียบขนาดนี้เกรงว่าจุดที่ส่งจะอยู่ทางหมวดจันนะครับสารวัตร”

“ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ว่าไม่แน่อาจจะเป็นทางนี้ เดินสอดส่องดูก่อนเผื่อเจออะไร”

“ครับ” จ่าธงตอบรับ

ทั้งสามเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็ไม่พบสิ่งใดแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงขนของนอกจากเสียงนกเสียงแมลง คำสันนิษฐานของจ่าธงคงจะถูก... ทว่า ยังไม่ทันที่สารวัตรจะเอ่ยคำสั่งใดพลันมีเสียงปืนดังขึ้นมาจากตรงที่ไม่ไกลมาก ราวกับจุดชนวนสงครามขนาดย่อม

“ไป!” สิ้นเสียงสั่ง ทั้งสามก็รีบวิ่งไปทางที่เกิดเสียงปืนทันที หมวดไฟที่ดูเชื่องช้ากว่าใครบัดนี้กลับวิ่งนำหน้าทั้งสองไปอย่างไม่รีรอ หัวใจเต้นถี่ไปด้วยความกลัว... มันกลัวที่จะต้องสู้กับสิงห์ เหมือนฟ้าไม่เป็นใจคิดอะไรได้เพียงครู่เดียวพลันร่างกายก็หยุดชะงักเมื่อพบกับภาพตรงหน้า

ต่อให้พูดว่าไม่เชื่อ ทว่า หลักฐานก็ตำตาจนปฏิเสธไม่ได้

“ต้องการแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม” จันยิ้มฝืนดวงตาแดงก่ำมองเพื่อนสนิทที่จ่อปืนทางตนเอง ใบหน้านิ่งเรียบนั้นไม่แม้แต่จะตอบสิ่งใด จันมองแล้วมิอาจพูดคำใดออกนอกจากพยักหน้าอย่างจำยอม

“สิงห์อย่า..” ไฟเพิ่งค้นหาเสียงตัวเองพบเมื่อเห็นว่าคนรักกำลังง้างนกเตรียมยิง

จันหันมองเพื่อนสนิทอีกคนแล้วยิ้มเจ็บปวด “หวังว่าชาติหน้าจะได้เป็นเพื่อนกับพวกมึงอีก...” สิ้นคำนั้นเสียงปืนนัดถัดมาก็จ่อเข้าที่กลางอกทันที...

“ไอ้จัน!!” ไฟร้องเสียงหลงน้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่จะวิ่งเข้าไปก็ถูกจ่าธงกับสารวัตรที่เพิ่งมาถึงกักตัวเอาไว้

“ใจเย็นหมวด” สารวัตรรัดตัวอีกฝ่ายแน่นเมื่อไฟทั้งดีดดิ้นร้องคำรามไม่เป็นภาษาเหมือนคนเสียสติ

“ไม่! ไอ้จัน! ไอ้จัน!” ไฟตะโกนจนเสียงแหบแห้งอารมณ์ที่ปะทุทำให้ร่างกายมีกำลังกว่าคนอื่นจนคนที่กักตัวไว้เริ่มล้าที่แขนเกือบจะหยุดไฟไม่ได้ จนมีเสียงคนวิ่งมาเพิ่มเป็นทางฝั่งพวกมันและตำรวจในทีมหมวดจันที่เพิ่งมา

“เกิดอะไรขึ้นครับ” จ่าคมเอ่ยถามร้อนรนแต่พอมองเห็นร่างสิ้นลมหายใจของคนที่นำทีมตนก่อนหน้าก็พลันเบิกตาโพล่ง

“จับตัวหมวดไฟพาออกไปจากที่นี่ เร็ว!” สารวัตรสั่ง คนอื่น ๆ เลยออกจากอาการตกใจมาช่วยอีกแรง

ทางด้านลูกน้องที่มาเพิ่มก็ตกใจไม่แพ้กันและเป็นภพที่ถามขึ้น “มีอะไรครับนาย”

“ไอ้หมวดไฟกับสารวัตรนั่นเผลอยิงมาเลยเกิดปะทะนิดหน่อย ส่วนมันก็ถูกลูกหลง” มันที่ว่านอนแน่นิ่งสนิทจนคนที่ฟังอยู่ถึงกับโมโห

“ถูกลูกหลงเหี้ยอะไร!!” ไฟตะโกนอย่างเหลืออด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นดวงตากลับวูบไหวเจ็บปวด ก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกขย้ำบดขยี้แม้จะแหลกไปแล้วก็ยังถูกสับเป็นชิ้น ๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง “มึงเป็นเหี้ยอะไรวะสิงห์! ทำแบบนี้ทำไม!”

สิงห์เพียงปรายตามองก่อนจะเก็บปืนไม่พูดอะไรออกมา ลูกน้องคนหนึ่งจะยกปืนยิงแต่ภพก็ห้ามมือไว้พลางส่ายหน้า

“นั่นมีลูกของรองอธิบดีกรมตำรวจภูธรอีกคน อย่าได้คิดยิง ไม่อย่างนั้นเกิดเรื่องมากกว่าเดิม”

“รีบไปเถอะ” เพียงนายสั่งทุกคนก็รีบทำตาม แม้จะเห็นโอกาสแต่หมวดไฟที่คลุ้มคลั่งตะโกนไม่หยุดก็ทำให้ต้องถอยอย่างเดียว

“สิงห์! หยุด!”

“ข้าขอโทษนะเว้ยไอ้ไฟ” จ่าธงใช้สันมือกระแทกหลังคอเพื่อให้อีกคนสลบก่อนจะพยักหน้ากับสารวัตรแล้วสั่งถอยพร้อมกับให้นายตำรวจคนที่เหลือไปเอาร่างหมวดจันออกมาด้วย

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

งานพิธีศพถูกจัดขึ้นที่วัดแถวพระนคร ไฟที่กว่าจะสงบลงได้ก็ต้องให้แม่มาพูดด้วยอยู่นาน แต่เพราะมีงานศพของจัน ไฟจึงมาช่วยที่งานและยอมหยุดลง นนท์ที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับภรรยาเดินตรงมาทางเพื่อนตนที่ยืนเหม่ออยู่ด้านนอกคนเดียว

“ไฟ” นนท์เรียกพร้อมกับจับบ่า เห็นเพื่อนยังคงยืนนิ่งก็ได้แต่มองหน้าปิ่นอย่างหาทางช่วย

แต่ปิ่นทำเพียงส่ายหน้าจับแขนสามีให้เดินไปอีกทางเพื่อจะได้ไปคุยกับสารวัตรของสถานีอ้อยขวาง ถามไถ่เรื่องราวจนจบก็ได้แต่นิ่งเงียบหนักอกหนักใจคร้านจะเอ่ยคำใดก็มิอาจเอ่ยออกมาได้

“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงคะ คุณสิงห์ไม่ทำแบบนั้นแน่” ปิ่นถึงแม้จะตกใจทว่าไม่เชื่อกับสิ่งที่หูได้ยิน

“ถ้าพูดให้ถูกคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดคงจะเป็นหมวดไฟ เพราะเขาวิ่งนำผมไปก่อน” สารวัตรเอ่ยบอกครูสาวก่อนจะเงยหน้าสบมองกับผู้กองนนท์ที่มองมาเช่นกัน “ผมกับจ่าธงห้ามไว้แล้ว อารมณ์ร้อนอย่างเขาก็ทำเอาผมเครียดเหมือนกัน”

นนท์ถอนหายใจกำมือแน่นมีไม่กี่ครั้งที่เขาจะโกรธ “ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คิดอะไรกันอยู่”

สารวัตรก็คิดเหมือนกันว่าเรื่องนี้เกินจะรับไหว “ผมไม่เข้าใจหรอกครับ แต่ว่ามันเกิดขึ้นไปแล้วก็ต้องอยู่ตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นมา”

นนท์ดวงตาแข็งกร้าวทันควันจนปิ่นต้องลูบแขนเพราะนนท์เองก็ออกมาอยู่ข้างนอกการกักเก็บบุคลิกที่ดีของท่านชายจึงเริ่มลดลงและแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้ามากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นผลดีมากนัก “ตั้งรับหรือ เรื่องแบบนี้คงไม่ใช่ผมกับไฟที่จะยอมรับมันง่ายขนาดนั้น”

สารวัตรเองหนักใจไม่แพ้กัน “ผมควรจะคิดให้รอบคอบมากกว่านี้”

“คุณมาพูดตอนที่มันสายไปแล้วหรือ โทษตัวเองแล้วได้อะไรขึ้นมาในเมื่อหนึ่งชีวิตจบไปโดยที่ทิ้งความเจ็บปวดให้คนที่อยู่แบบนี้เพราะความคิดตื้น ๆ ของพวกคุณ!” นนท์ชี้หน้า

“นนท์คะ” ปิ่นรีบจับมือคนรัก “นี่งานศพนะคะให้เกียรติคุณจันด้วย”

นนท์ยอมอ่อนลงแต่ก็ยังคงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น “เพื่อนผมต้องมาแบกรับเรื่องพวกนี้ก็เพราะพวกคุณ”

“สารวัตร...” จ่าธงที่เดินมาเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ตะเบ๊ะ “ผู้กองนนท์”

“คุณเห็นเขาเป็นหลานหรือเปล่า” นนท์ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อคนคุ้นเคยมาถึง

จ่าธงก้มหน้า “ผมเห็นเขาเป็นหลานเสมอ”

นนท์หลับตาพยักหน้า “งั้นก็ดูแลเขาให้ดีเถอะครับ อย่าปล่อยให้ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้”

“ครับ”

เพียงชั่วครู่ไฟที่ยืนอยู่คนเดียวเดินกลับเข้ามาด้านในมองบรรยากาศอึมครึมของเพื่อนร่วมรุ่นกับสารวัตรและจ่าธงแล้วก็ได้แต่สงสัย “มีอะไรกันหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก หมวดเถอะพักบ้างนะช่วยงานมาทั้งวันแล้ว” สารวัตรเอ่ยก่อนที่จ่าธงจะขอตัวเดินออกไปเหลือเพียงสี่คน

“ผมพักไม่ได้หรอกครับ” ไฟยิ้มบาง ๆ แล้วพยักหน้าให้นนท์ “ขอโทษนะที่ไม่ได้ทัก มัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“ไม่เป็นไร”

ไฟพยักหน้าขอบคุณแล้วหันมองภรรยาเพื่อน “คุณปิ่นยินดีที่ได้พบครับ ไม่เจอกันเสียนาน”

“ยินดีเช่นกันค่ะ พอดีปิ่นวุ่นกับเรื่องเจ้าปราชญ์เลยไม่ได้ออกไปไหน”

“แล้วตอนนี้ปราชญ์อยู่กับใครหรือครับ ผมว่าหากว่างจะไปหาเสียหน่อย”

“เฟื้องมาดูแลให้แทนน่ะ ฉันเลยมางานกับปิ่นได้” นนท์ตอบให้

“งั้นหรือ” ไฟยิ้ม แต่เป็นใครก็ดูออกว่าตอนนี้อีกคนฝืนมากแค่ไหนที่ทำให้ตัวเองร่าเริง

“หมวดไฟครับ หมวดจันมีญาติหรือเปล่า” จ่าคมเดินมาถามนั่นจึงทำให้ทุกคนเงียบลงก่อนที่ไฟจะส่ายหน้า

“ไม่มี”

“ถ้าอย่างนั้นหมวดไฟถือรูปหมวดจันนะครับ ตอนนี้กำลังทำการเคลื่อนศพไปที่เมรุก่อน”

ไฟตอบรับทันทีโดยที่ไม่ขัดข้องใดใดก่อนจะพยักหน้ากับนนท์ให้เดินไปช่วยคนอื่น ๆ ทางนนท์ จ่าธงจ่าคมและสารวัตรเป็นคนแบกโลงศพที่มีผ้าธงชาติคุมไว้อยู่ พิธีดำเนินการอย่างไม่เร่งรีบจนถึงเวลาเดินรอบเมรุทุกคนก็ประจำที่

ไฟก้มมองรูปเพื่อนสนิทด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะหันไปมองทางด้านหลังที่เป็นโลงศพเพื่อน ตั้งแต่มาช่วยงานเขาไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอใกล้จะถึงพิธีเผากลับอดกลั้นไม่ไหว เขามองเห็นนนท์ที่เป็นเหมือนกับตนไม่ต่างกันก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างเข้าใจ

ช่วงบ่ายสามครึ่งน่าจะร้อนอบอ้าวทว่ากลับมีลมพัดผ่านเย็นไปทั่วกาย เดินจบครบรอบก็ทำพิธีต่อไปโดยที่มีไฟและนนท์เป็นญาติไปก่อน ในตอนที่แบกศพจริงเข้าเผา ไฟกับนนท์ไม่ได้กลัวเลยสักนิด ยิ่งเห็นแบบนี้น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง

“ไปสู่สุคตินะจัน” ไฟยืนมองไม่ไปไหนก่อนที่ตำรวจหนุ่มทั้งคู่จะตะเบ๊ะพร้อมกัน

“ไม่ว่าเรื่องไหนที่เคยจะทำ ฉันจะทำต่อให้เอง” นนท์พูดขึ้นมา เห็นคนข้าง ๆ หันมองอย่างต้องการคำตอบก็คลายความสงสัยให้ “เรื่องแม่กับน้อง”

“ถ้าอย่างนั้นฉันทำด้วย”

พอได้ยินอย่างนั้นนนท์ก็ส่ายหัวทันที “ไว้ค่อยทีหลังเถอะนะ นายควรพักก่อน ยังไงเรื่องก็เกิดที่พระนคร ฉันจะตรวจสอบดูก่อนได้เรื่องแล้วจะมาบอกอีกที”

ไฟถอนหายใจแต่ก็จำยอม เดินออกจากเมรุก็พบกับท่านอธิบดีคนใหม่ของพระนครหรือก็คือท่านอธิบดีวาริน อดีตรองอธิบดีที่เลื่อนตำแหน่งไปไม่กี่ปีก่อน ไฟตะเบ๊ะให้ท่านที่ทำเพียงยิ้มบาง ๆ

“เสียใจด้วยนะหมวด งานนี้มันเหมือนยืนบนเส้นด้ายคล้ายเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับความตายตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่คงจะดีหากไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” ท่านว่าพลางจับบ่า

“จันคงจะได้พักแล้วล่ะขอรับ เขาไม่ต้องมาเหนื่อยแล้ว”

“นั่นสินะ” ท่านเหม่อมองควันที่พวยพุ่งขึ้นฟ้าก่อนที่จะตบบ่าไฟอีกสองหน “นายก็อยู่ต่อไปนะ ไม่อยากให้ตำรวจไทยต้องเสียคนดี ๆ ไปเพิ่ม”

“ขอรับ” ไฟรอให้ท่านเดินออกไปก่อนจะเดินไปหานนท์ที่ยืนมองอยู่นาน

“คุยอะไรกัน”

“ท่านมาแสดงความเสียใจเฉย ๆ น่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นไปที่บ้านฉันไหม”

“ปิ่นว่าจะทำอาหารให้ทานน่ะค่ะ เจ้าปราชญ์เองก็จะอยากพบคุณไฟด้วยเหมือนกัน”

ไฟเข้าใจความหวังดีของทั้งคู่จึงตอบรับไปเพราะเขาเองก็ไม่อยากจมปรักกับความทุกข์มากนัก ช่วยทางวัดจนเสร็จเรียบร้อยไฟก็ติดรถไปพร้อมกับนนท์ คาดว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาทำบุญให้จันเสร็จแล้วก็กลับอ้อยขวางเลยเพราะสารวัตรสั่งมาเขาก็ต้องทำตาม

“น้องปราชญ์ อย่าวิ่งครับ” เสียงเฟื้องดังมาแต่ไกลพร้อมกับเสียงเด็กน้อยหัวเราะทำให้ความเครียดทั้งวันผ่อนคลายลงอย่างน่าแปลก

“โอ๊ย” เด็กน้อยร้องเสียงดัง หงายหลังจนก้นกระแทกพื้น มือน้อย ๆ ลูบหน้าผากตัวเองปอย ๆ

“ซนจังเลยนะปราชญ์ วิ่งชนคุณลุงเขาแล้วเห็นไหม” นนท์เอ่ยดุเพียงเล็กน้อยแล้วปัดก้นให้ลูกชาย

“ขอโทษคับ” เด็กน้อยรู้มารยาทพนมมือไหว้จนไฟได้แต่จับมือนั่นไว้แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้า

“ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าวิ่งแบบนี้อีกนะเดี๋ยวจะบาดเจ็บเอาได้”

“ปราชญ์เข้าใจแล้ว” เด็กชายพยักหน้าแล้วถอยหลังต้อย ๆ ยื่นมือให้คุณพ่อจับ

“ขอโทษแทนลูกด้วยนะคะ แกชอบวิ่งเล่นบ่อย ๆ ห้ามกี่ทีก็ซน”

ไฟเค้นยิ้ม “ไม่เป็นไรครับคุณปิ่น ให้เล่นไปเถอะ เป็นเด็กร่าเริงดีกว่านิ่งเหมือนพ่อ”

พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็หัวเราะทันที นนท์ยิ้มขำพลางส่ายหน้าก่อนจะดึงมือลูกให้เดินเข้าบ้านแต่เด็กน้อยก็ไม่เข้าสักที

“ปราชญ์ต้องไหว้คุณลุงคับ” เด็กชายเงยหน้าพูดกับผู้เป็นพ่อแล้วปล่อยมือก้มหัวไหว้คุณลุงไฟจนเกือบหน้าทิ่ม

“ฮ่ะ ๆ ไหว้พระ ๆ” ทักทายพอเป็นพิธีก็นั่งคุยกันในบ้านรอปิ่นกับเฟื้องทำกับข้าว ไม่เจอกันนานปราชญ์ก็อายุสามขวบแล้วใบหน้าเด็กชายดูคล้ายแม่มาก แต่ก็ดูออกว่าได้ดวงตามาจากพ่อ กิริยามารยาทคงไม่ต้องพูดถึง แม้จะมีซนเหมือนเด็กทั่วไปแต่ก็รู้ไปลามาไหว้

“แล้วนายออกมาอยู่กับปิ่นถาวรเลยหรือ” ไฟถามตาก็มองเด็กน้อยที่พ่อสั่งให้นั่งเล่นห้ามเสียงดังก็ทำตามอย่างไม่อิดออด

“คิดว่าอย่างนั้นแหละ ชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร”

“หม่อมสร้อยกับท่านชายภัสคงอยากจะให้ครอบครัวนายไปอยู่ที่วัง”

นนท์ยิ้มแล้วถอนหายใจ “ก็อย่างที่บอกเสด็จพ่อไม่ประสงค์ให้ฉันเข้าวัง แม้จะเห็นเงียบไปบ้างแต่พระองค์ไม่ล้มเลิกเรื่องเสกสมรสหรอก”

“หากพระองค์ทรงเห็นปราชญ์อาจจะอ่อนใจลง”

“ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก”

“เฮ้อ ชีวิตคนเรานี่ก็นะ ไม่มีใครมีสุขไปตลอดจริง ๆ”

ไม่รู้ว่าหลังจากจบเรื่องวันนี้ยังจะมีเรื่องอะไรอีกไหม ทุกอย่างกำลังจะกลับไปเป็นอดีตแต่ก็เหมือนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในหัวตนตลอดเวลา เป็นภาพจำที่มิอาจลืมเลือนและมิอาจลบล้างออกไปจากใจได้

หากภายภาคหน้าต้องเจ็บช้ำอีกก็ขอให้ตัวเองลุกขึ้นมาใหม่มุ่งไปแต่ข้างหน้า ไม่สนแม้แต่ว่าจะเกิดอะไร หากมันเป็นภัยก็ให้มันเป็นไป

ก็เพียงแค่ชีวิตเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่มีคนผู้นั้นอยู่ข้าง ๆ แต่จะไม่ลืมความทรงจำที่เคยกระทำด้วยกัน ไม่ลืมแม้กระทั่งว่ายังรักคนคนนั้นอยู่สุดขั้วหัวใจ




จบบทที่ ๑๔

---------------------------------------------------------------------------------------------
จบพาร์ทอดีตสักที ฮืออออ เดี๋ยวอาจจะมีแก้ปีแต่ละปีเล็กน้อย(แก้ปีเดียว แหะ) แก้อายุหนูปราชญ์ด้วยอันนี้ก็ไม่ได้เยอะแค่แก้อายุอย่างเดียวค่ะ

แล้วก็อาจจะมีแก้เนื้อหาสำหรับตอนที่ ๑-๓ บางส่วน(ตอนอื่น ๆ อาจจะมีด้วยค่ะเพื่อให้เนื้อเรื่องมันดีขึ้น ดีไม่ดีอาจถึงกับรีไรท์เกือบทุกตอน) หากแก้แล้วจะบอกอีกทีนะคะ

ขอบคุณนักอ่านที่หลงเข้ามามาก ๆ เลยนะคะ

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-08-2019 00:48:41
ติดตามจ้า:L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 07-09-2019 16:37:14
บทที่ ๑๕

เบาะแสสำคัญ





ปัจจุบัน

๔ ปีให้หลัง พ.ศ. ๒๔๘๗


“พรุ่งนี้จะไปแล้วหรือ” เสียงเอ่ยถามดังขึ้นทำให้ผู้หมวดหนุ่มที่กำลังนั่งพิมพ์เอกสารต้องหยุดมือลงเพื่อเงยหน้ามอง

“ใช่ กว่าจะขอได้ต้องรอเสียนาน” ไฟจุดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มพิมพ์งานต่อ

สารวัตรนนท์มองอย่างอ่อนใจ ตั้งแต่ไฟถูกส่งตัวมาที่พระนครก็แทบจะไม่ทำงานอื่นใดนอกจากงานเอกสาร มีบ้างที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ด้านนอก แต่รวม ๆ แล้วไฟมักจะอยู่กับที่ห้องทำงานเสียมากกว่า สี่ปีนี้เกิดเรื่องมากมายไม่มีวันไหนที่จะได้หยุดพักเลย สารวัตรหน้าใหม่อย่างเขาที่เพิ่งรับตำแหน่งไม่กี่เดือนก่อนแต่กลับไม่ได้สุขใจในยศนี้เพราะต้องแลกมากับการสูญเสียลูกน้องในทีมที่อาสาเสียสละชีพช่วยเหลือตน

สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะการสูญเสียแบบไหนก็ช่างหนักหนาและเกิดขึ้นราวกับใบไม้ร่วงหล่นเสียจริง

“กลับไปแล้วอย่าได้ใจร้อนอีกล่ะ” นนท์เตือนด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเป็นอะไรด้วยอีกคน เขาสูญเสียคนใกล้ตัวมามากเกินพอแล้ว...

“เข้าใจแล้วครับสารวัตร” ไฟพูดติดตลกแต่พอเห็นใบหน้าซึมเศร้าของเพื่อนก็ได้แต่ทอดถอนใจ “เอาล่ะ ตอนนี้ฉันเสร็จงานแล้วว่าจะไปหาปราชญ์เสียหน่อย คงจะอยากให้ฉันสอนศิลปะป้องกันตัวต่อ คนเป็นพ่องานเยอะแบบนี้คงมีแต่ลุงไฟกับพี่เฟื้องที่อยู่เล่นด้วย”

สารวัตรหนุ่มมองสบเพื่อนด้วยความขอบคุณ

“การสูญเสียมันยอมรับยาก... นายอาจจะทนไม่ไหวจนทิ้งลูกไปอีกคน แต่ฉันก็อยากให้นายเข้มแข็งเพื่อลูกนะนนท์ และฉันเองก็จะเข้มแข็งขึ้นเพื่อคนที่ห่วงฉันด้วย เราต่างมีหน้าที่ที่ต้องแบกรับ ฉันไม่ห้ามหากนายจะคิดอะไร แต่จงเชื่อมั่นไว้ว่านายยังมีปราชญ์ ฉัน เจ้าเฟื้องคอยอยู่ข้าง ๆ เสมอ” ไฟคลี่ยิ้มบาง ๆ จัดเอกสารให้เสร็จเรียบร้อยถึงจะลุกขึ้นแล้วตบบ่าเพื่อนที่เงียบลงเพราะใช้ความคิด “มันจะมีสักเสี้ยววิที่นายไม่คิดจะสนคนรอบตัวและหายไป ฉันเองก็เคยเป็น จนลองตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ให้ตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ฉันถึงยอมอยู่กับชีวิตแบบนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจไอ้เรื่องพวกนี้นักหรอก พูดตามตรงก็หวั่นใจกับความคิดของตัวเองเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดเสมอคือไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นในสิ่งที่ต้องพรากตัวเราไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะคนไหนก็ตาม มันทรมานจะตายไป”

ที่เขาต้องพูดเตือนสติเพราะนนท์ได้สูญเสียคนที่รักไปแล้ว... คุณปิ่นเสียเพราะสงครามที่มีมายาวนาน และเป็นการถูกทิ้งระเบิดที่วัดสร้อยทองเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เธอมีเหตุจำเป็นต้องไปและก็ไม่คาดคิดว่าในวันนั้นจะมีการทิ้งลูกระเบิดครั้งแรกที่นอกเขตของพวกญี่ปุ่นอยู่ คนที่อยู่แถวนั้นหรือแม้แต่ครูปิ่นก็เสียชีวิตลงอย่างน่าสลด นนท์จึงจำต้องพาลูกกลับไปอยู่ที่วัง

สงครามมิอาจหยุดได้ง่ายและบ้านเมืองก็เข้าสู่เศรษฐกิจล่มจม คนในพระนครต่างหลบหนีลูกระเบิดที่มิรู้ว่าจะเกิดขึ้นกับบ้านตัวเองเมื่อใด อยู่ที่นี่เขาและนนท์ต่างก็มีความเสี่ยงมาก ยิ่งราชการตำรวจเข้าไปยุ่งกับพวกทหารญี่ปุ่นเข้าแล้วยิ่งเกิดความเสี่ยงมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นการตัดสินใจของคนใหญ่คนโตเขา ยศน้อย ๆ อย่างเรา ๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับคำสั่ง

ทางวังของนนท์นั้นยังอยู่ดีและคิดว่าปลอดภัยมากกว่ากรมตำรวจนครบาลแห่งนี้เสียอีก เขาไปอยู่ที่บ้านเดิมทุกครั้งที่ทำงานที่นี่ ความทรงจำต่าง ๆ ก็ไหลเข้ามา คิดเป็นห่วงคนอีกจังหวัดที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง เขาเองก็ยังหาหนังสือพิมพ์อ่านอยู่ตลอด แม้ว่าข่าวทุกฉบับจะมีเพียงเรื่องสงครามโลกกับเสือร้ายของแต่ละภาคเท่านั้น เขาก็ยังหาอ่านทุกวันเผื่อเจอเรื่องของอีกฝ่ายบ้าง

“ไว้เจอกันที่วังแล้วกัน ฉันจะกลับไปเก็บของก่อน ส่วนปราชญ์ไว้เก็บของเสร็จฉันจะไปหา”

“อืม ขอบคุณมาก” เราต่างพยักหน้าให้กันด้วยความเข้าใจก่อนจะแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่น

จวบจนมาถึงบ้านไม้หลังเก่า ไฟก็ขึ้นบนบ้านจัดเตรียมเก็บเสื้อผ้าและของใช้ คงต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควรเพราะอยู่สี่ปีก็เหมือนย้ายบ้าน หากเป็นแม่ของเขาก็คงเก็บเสร็จภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไอ้เขาก็คงจะเก็บนานเป็นวัน เพราะเก็บตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่เสร็จ

“ลุงไฟครับ อยู่ไหมครับ” เสียงเล็กเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ต้องเห็นหน้าก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ผู้เป็นลุงอมยิ้มน้อย ๆ นนท์คงจะโทรศัพท์เข้าที่วังบอกเจ้าปราชญ์ให้มาช่วยเขาเก็บของเหมือนดั่งเมื่อวานเป็นแน่ อดสอนศิลปะป้องกันตัวแล้วล่ะทีนี้เพราะของที่ต้องเก็บมีเยอะเต็มทน

“ว่าไง ขึ้นมาสิ” ไฟเดินไปชะโงกหน้ามองทางหน้าต่างห้อง เห็นเด็กน้อยในชุดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยพร้อมแว่นตาประดับหน้าจึงกวักมือเรียก เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างเด็กน้อยวัยแปดขวบ

“ขอเข้าไปนะครับ”

“มาเลยมา ต้องการคนช่วยพอดี” ไฟคิดเกรงใจหลานอยู่แต่ในเมื่อมาช่วยแล้วก็ไม่อยากห้าม แลกกับการสอนศิลปะป้องกันตัวคงจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนให้ได้

“ลุงไฟจะไปแล้วหรือครับ” เด็กน้อยถามตาซื่อ ใบหน้าหงอย ๆ นั้นทำเอาคนเป็นลุงใจอ่อนยวบ

“เดี๋ยวถ้าลุงว่างเมื่อไหร่ ลุงจะแวะมาหาที่วังด้วย ดีไหม”

พอได้ยินอย่างนั้นเด็กน้อยก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วพับเสื้อผ้าที่ดีกว่าเขาอยู่หลายโข คุณปิ่นสอนมาแท้ ๆ เลยเชียว

“ว่าแต่เจ้าเฟื้องหายไปไหน เห็นแวะมาที่วังแล้วก็กลับบ้านตลอด เจอกันก็อึกอักเหมือนคนปิดบังอะไร”

ปราชญ์เอียงคอ แว่นขยับตามคิ้วที่ขมวด “ปราชญ์ไม่ทราบเลยครับ พี่เฟื้องเป็นอย่างนั้นด้วยหรือครับ”

ไฟถอนหายใจ “เอาเถอะ แล้วกินอะไรมาหรือยัง”

“ทานเรียบร้อยแล้วครับ หม่อมย่าทำพะแนงหมูของโปรดปราชญ์ด้วยล่ะครับลุงไฟ”

ไฟหัวเราะ “กินแต่พะแนงหมูนะ ไม่เผ็ดหรือไง”

“หม่อมย่าทำไม่เผ็ดมากครับ ปราชญ์พอทานได้”

“กินได้แต่อย่ากินมาก อายุเพียงเท่านี้กินเผ็ดมาก ๆ ท้องไส้จะไม่ดีเอา”

“ปราชญ์เข้าใจแล้วครับ” เด็กน้อยยิ้มตาหยีก่อนจะหยุดมือเมื่อหยิบเจอรูปถ่ายที่ดูเก่าเสียซะแทบมองคนในรูปไม่ออกแต่ก็พอเห็นว่ามีเสด็จพ่อกับลุงไฟอยู่ด้วย แต่อีกสองคนนี่ใครกัน “ลุงไฟครับ คุณลุงสองคนนี้คือเพื่อนของลุงไฟกับเสด็จพ่อหรือครับ”

ไฟชะงักมือ เงียบไปสักพักก่อนจะหยิบรูปนั้นมาดู “ใช่... เพื่อนท่านชายนนท์กับลุงเอง”

“เหมือนปราชญ์จะจำได้ลาง ๆ ว่าเคยเจอคุณลุงสองคนนี้ แต่ปราชญ์จำชื่อไม่ได้เลยครับ”

“คุณลุงคนนี้ชื่อลุงจัน” ไฟชี้ที่เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ริมสุดฝั่งขวามือข้างเขา “ส่วนคนนี้ชื่อลุงสิงห์” ก่อนจะขยับเล็กน้อยไปทางซ้ายมือที่สิงห์ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเขาและนนท์

“อ๋อ แม่ปิ่นเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าลุงจันกับลุงสิงห์ชอบมาหาปราชญ์ตอนไม่กี่ขวบ” เด็กน้อยยิ้มกว้าง แม้จะจำไม่ค่อยได้แต่ก็ยินดีที่จะเจอกันอีก “ว่าแต่ลุงทั้งสองไปไหนหรือครับ ทำงานตำรวจที่อื่นหรือ”

ไฟมองเด็กน้อยสลับกับรูปในมือ ก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกบีบรัด เขาตาแดงขึ้นมาแต่ก็เก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกแล้วเปรยยิ้มให้เด็กตรงหน้า ปราชญ์จะได้ไม่ตกใจ “ลุงจันคงจะอยู่บนฟ้า ส่วนลุงสิงห์... เขามีงานมากมายคงไม่ได้เจอกัน”

เพียงแค่คำว่าอยู่บนฟ้าก็เหมือนกับแม่ปิ่น เด็กน้อยจึงก้มหน้า “ขอโทษครับลุงไฟ ปราชญ์ไม่ควรถาม”

ไฟยิ้มแล้วลูบผมเด็กน้อยให้คลายกังวล “ถามได้เลย ลุงไม่ว่าหรอก ลุงก็อยากเล่าให้ฟังนะว่าสมัยก่อนเราสี่คนเนี่ยเป็นยังไง จะบอกให้ว่าลุงกับพ่อหนูเคยทะเลาะกันด้วยแหละ”

ปราชญ์ตาโตอยากรู้จนนั่งตัวตรงแต่ก็อ้อมแอ้มไม่กล้าถาม จนไฟต้องเปิดปากเล่าตั้งแต่เราทั้งสี่พบกันพลอยให้ปราชญ์หัวเราะแล้วก็ตกใจไปด้วย หากจันอยู่ก็คงจะมาแกล้งหยอกเจ้าปราชญ์และหากสิงห์ไม่เปลี่ยนไปก็คงจะโอ๋มาอยู่กับปราชญ์ทุกวันจนเขาเป็นหมาหัวเน่าก็เป็นได้

เด็กคนนี้ที่สิงห์เคยเลี้ยงเมื่อก่อนกำลังจะโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ ลืมไปแล้วหรือยัง... อยากจะมาพบหน้าเจ้าปราชญ์ไหม

ไฟยิ้มเอ็นดูให้ปราชญ์ที่เล่าเรื่องของตนเองบ้างว่าเกือบตกบันไดเพราะสายตาสั้น ดูเหมือนว่าจะมองไม่ค่อยชัดมานานแล้วแต่เพิ่งจะเข้าใจเมื่อช่วงสี่ขวบ กลายเป็นคุณชายที่ดูเรียบร้อยทันตา พอเข้าวังมาก็ต้องแต่งตั้งเป็นหม่อมราชวงศ์ เห็นว่าพระองค์วายุภักษ์เอ็นดูคุณชายปราชญ์ไม่หยอก

“เมื่อวันก่อนพี่เฟื้องเอาบัวลอยไข่หวานกับกล้วยบวชชีมาให้ด้วยล่ะครับ จะชวนลุงไฟมาทานด้วยแต่ลุงไฟไปทำงาน”

“น่าเสียดายเสียจริง คงจะเป็นป้าบัวที่ทำ ตอนกินอาหารที่วังป้าบัวก็ทำกับข้าวอร่อยแต่ลุงก็ไม่อยากรบกวนทางวังเยอะมาก เกรงใจ” ไฟป้องปาก

“ถ้าลุงไฟอยากทาน เดี๋ยวปราชญ์บอกป้าบัวทำอาหารเผื่อลุงไฟด้วย”

“ฮ่า ๆ เด็กดี” อดไม่ได้ที่จะยีหัวไปที “ไม่เป็นไรหรอก บางทีลุงอยู่ที่กรมตำรวจทั้งวัน เดี๋ยวจะเสียดายของเอา”

คุยอะไรกันอยู่นานก็ได้ฤกษ์เก็บของให้เข้าที่สักที ไฟบอกให้เด็กน้อยกลับบ้านเสียก่อนเพราะมันเริ่มค่ำแล้ว ก่อนกลับก็ให้ตะกุดที่สิงห์เคยให้ไว้ตั้งแต่ตอนไปทำงานที่ สุราษฎร์ ฯ คงจะดีหากเอาไว้เตือนใจให้ระวังตัวไว้เพราะทั้งการทิ้งระเบิดที่ไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อใดและยังโจรร้ายนั่นอีก ถือเป็นของที่ระลึกสำหรับเขาและสิงห์...

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากทางเข้า หันไปมองก็พบกับนนท์ที่ยังคงใส่ชุดราชการ

“เพิ่งเลิกงานหรือ”

นนท์พยักหน้าแล้วนั่งลงโต๊ะไม้ข้าง ๆ “เก็บของเสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้ว ดีที่เจ้าปราชญ์มาช่วย”

“อืม แต่ก่อนจะกลับฉันมีอะไรจะให้ดูหน่อย”

ไฟเลิกคิ้วปิดวิทยุมองเพื่อนข้างกายที่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ เขารับมาแล้วคลี่ออก

‘ไม่มีผลการชันสูตรศพ เรื่องถูกปิดเงียบ’

“หมายความว่าไง?”

“ศพของคุณน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ...” ไฟนิ่งไปสักพักตั้งแต่รู้ว่าศพของผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงทั้งคู่ก็ไม่มีใครส่งข่าวอะไรมาอีกเลย “นายไปเอาจดหมายนี้มาจากไหน”

นนท์ถอนหายใจ “ฉันไปคอยตามสืบเรื่องนี้มาว่าศพที่เสียชีวิตใช่ทั้งสองจริงหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าฉันจะทำได้เท่านี้”

ไฟก้มมองกระดาษในมือ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“นายคงจะไม่เชื่อเหมือนกันใช่ไหมล่ะไฟ”

ไฟเงียบไปครู่ “แต่หมอรัตน์บอกมาว่าศพทั้งสองเป็นผู้หญิงทั้งคู่”

“ใช่ เป็นผู้หญิงทั้งคู่ แต่จะรู้ได้ยังไงว่านั่นคือศพของทั้งสองคนจริง ๆ”

“ฉันเห็นมาแล้วว่าศพจริง ก็ฉันเป็นคนไปตรวจดูเอง”

นนท์ส่ายหน้า “นายเห็นเพียงว่าศพทั้งสองคือศพคนจริง ๆ แต่ดูไม่ออกว่าเป็นคุณน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อไม่ใช่หรือ”

ไฟนึกคิดตามก่อนจะใจเต้นระรัวอย่างมีความหวัง

“ตามที่นายเล่าเหตุการณ์มาตั้งแต่ตรวจที่เกิดเหตุจนไปถึงที่บ้านสิงห์ทำให้ได้แผลมาและช่วงตอนกลางคืนนั่นอีก นายไม่คิดว่ามันแปลก ๆ หรือไฟ”

“ฉันว่ามันแปลก เพียงแต่... ฉันคิดไม่ออกว่ามันแปลกเพราะอะไรได้แต่เชื่อตามความรู้สึก”

“กลับไปแล้วอย่าลืมถามเรื่องนี้กับหมอรัตน์ด้วย แต่ก็ระวังไว้ก็ดีอย่าให้ใครรู้เรื่องที่ฉันไปสืบมา”

“แล้วหากเกิดว่าหมอรัตน์เป็นคนปิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจะทำไปเพื่ออะไร”

นนท์ทำหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด “อาจจะรู้เห็นกับสิงห์...”

“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าศพทั้งคู่อาจไม่ใช่..”

“ฉันไม่รู้ แต่... ฉันบอกนายได้แค่นี้ ฉันช่วยนายไม่ได้เพราะมีงานสำคัญอยู่ที่นี่ กลับไปแล้วก็มีสติมากกว่านี้ อย่าใจร้อน คิดให้รอบคอบ อีกอย่างนะ... นายควรสังเกตรอบตัวด้วยว่ามันมีสิ่งผิดปกติอะไรหรือเปล่า ไม่ว่าจะคนไหน... นายควรมองให้ทะลุ มองให้ออก ทุกคำพูดและการกระทำ ทุกคนที่ใกล้ตัวนาย

“ฉันไม่เข้าใจ”

“ทำตามที่ฉันบอก แล้วก็ไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุอีกทีแล้วกัน”

“สถานที่เกิดเหตุ?”

“อย่างสิงห์น่ะรู้เรื่องอาวุธดีแค่ไหน ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงพูดออกมาว่าลูกน้องตัวเองปาระเบิดใส่ตามที่นายเล่าให้ฟัง”

‘ที่จริงกูบอกพวกมันว่าให้ยิงก็พอแต่ดันเอาระเบิดไปปาใส่รถด้วย ฮ่า ๆ แม่งซวยซะจริง’

“มันอาจจะพลาดเพราะลูกน้องสิงห์ไม่รู้...”

“ใช่ มันอาจจะผิดพลาด แต่อย่าลืมสิคนที่ยิงปืนใหญ่ได้ก็ต้องรู้เรื่องปืนพอควรนะ แล้วอีกอย่างลูกน้องจะโง่ถึงขนาดเห็นปืนใหญ่เป็นลูกระเบิดเลยหรือไง ถ้าสิงห์รู้เรื่องระเบิดลูกน้องก็ต้องกลับไปรายงานอยู่แล้วสิว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง”

ไฟมองกระดาษในมือพลางขบคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีต ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีก็ยังคงจำคำพูดและสถานการณ์ที่เกิดได้แม่น

‘ยังมีชาวบ้านให้การอีกว่า คนที่สั่งฆ่าทั้งสองแม่ลูกไม่ใช่เสี่ยพันธ์ครับ’

“ชาวบ้านสองคนนั้น?”

นนท์ขมวดคิ้ว “คิดอะไรออกแล้วหรือ”

ไฟตาโต “ที่เกิดเหตุตอนนั้น! รถอยู่กลางถนน รอบข้างเป็นพื้นที่โปร่ง...”

“หมายถึงอะไร?”

“ฉันว่าฉันเจอเบาะแสสำคัญอย่างหนึ่งแล้ว ขอบคุณที่เตือนนะนนท์”

ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้าและพูดคุยอะไรกันอีกนิดหน่อย เฟื้องก็มาตามนนท์ให้ไปทำธุระข้างนอกต่อ ไฟถึงจะกลับมาคิดเรื่องที่ตนไม่ได้สนใจในวันที่เกิดเหตุตอนนั้น

 

 

พ่ายโลกันตร์

 

 

สถานีอ้อยขวาง

ตั้งแต่เมื่อคืนไฟก็คิดแต่เรื่องที่เกิดเหตุของคุณน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อว่ามันออกจะแปลกไปหลายส่วน จนแม่ที่จัดของให้เสร็จเรียบร้อยต้องบอกให้ไปนอนเพราะวันนี้จะต้องมารายงานตัวบรรจุที่นี่

ไฟจอดจักรยานคันโปรดไว้ที่เดิม ตอนมาถึงก็มีแต่แม่ที่รู้เรื่องอยู่คนเดียวขนาดลุงธงอยู่บ้านข้าง ๆ แกยังไม่รู้เลย ไม่ได้สังเกตเห็นรถหรือว่าอะไร หากนั่นไม่ใช่รถเขาแล้วดันเกิดอะไรขึ้นกับแม่จะทำไง บ่นในใจได้ไม่นานก็ต้องแวะหยุดทักคนรู้จักหน้าเดิม ๆ แต่ก็ไม่เห็นนายตำรวจบางคน คงเป็นเพราะเกิดเหตุตอนปฏิบัติหน้าที่แล้วก็อาจจะได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น

“เฮ้ยยย! ไอ้ไฟเว้ย!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของจ่าธงดังขึ้นทำให้ไฟอดหัวเราะไม่ได้

“สวัสดีครับลุงธง ไม่เจอกันนาน” ไฟยกมือไหว้ทันที

“กลับมาเมื่อไหร่วะ ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง”

“โธ่ลุง รถจอดทิ่มตำตาขนาดนั้นลุงยังไม่เห็น แบบนี้ดูแลแม่ผมจริงหรือเปล่าเนี่ย”

“ก็ข้าคิดว่า...” ลุงธงอ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจ “นึกว่าพ่อเอ็งกลับมาแล้ว”

“ลุงนี่ไม่ไหวเลย” ไฟส่ายหน้า

“เออหน่าข้าขอโทษเว้ย ไว้เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเป็นไง”

“ผมให้อภัยก็ได้” ไฟหัวเราะ

“เอ๊ะ ไอ้นี่ เห็นแก่กินนี่หว่า”

ไฟยิ้มขำก่อนจะกลับมาทำหน้าจริงจัง “เดี๋ยวผมมาแล้วกันนะ พอดีมีเรื่องจะถามด้วย”

“เออ ๆ ไว้จะรอที่ห้องทำงาน”

ไฟพยักหน้าให้จ่าธงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของสารวัตรโขม เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ “มารายงานตัวครับสารวัตร”

สารวัตรโขมเงยหน้ามอง ดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมา “กลับมาแล้วหรือ เป็นยังไงบ้าง เห็นข่าวทิ้งระเบิดปาว ๆ ก็นึกห่วงอยู่” ว่าแล้วก็เก็บเอกสารทันทีและผายมือให้นั่งเก้าอี้

“ก็อันตรายพอควรครับ ยังดีที่พระองค์วายุภักษ์คอยให้ที่หลบ”

“แล้วหมวดกินอะไรมาหรือยัง ได้พักบ้างไหม”

“กินมาแล้วครับ กลับมาตั้งแต่เมื่อวานได้พักเต็มที่แล้วครับไม่ต้องห่วง”

“ดีแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวมีอะไรจะบอกอีกที หากมีงานด่วนอะไรเข้ามา หมวดก็ทำทันทีเลยแล้วกัน”

“ครับ” ไฟพยักหน้าแต่ยังไม่ยอมลุกไปไหนสารวัตรจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “เอ่อ... คือผมอยากถามเรื่องคดีของคุณพิมพ์อรกับต้นอ้อน่ะครับ”

สารวัตรเงียบไปครู่ก่อนจะก้มหยิบแฟ้มคดีจากในลิ้นชักขึ้นมายื่นให้ ไฟจึงเปิดดูไปพลาง “ผลชันสูตรไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นทั้งคู่จริงหรือไม่ แต่เสื้อผ้าและของมีค่าที่เก็บได้นั้นเป็นของทั้งคู่จริง ๆ ไหนจะมีพยานจากชาวบ้านที่เห็นทั้งสองขึ้นรถคันนั้นอีก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง”

“ใครเป็นคนบอกหรือครับว่าเสื้อผ้านี้และสร้อยกับแหวนเป็นของทั้งคู่” ไฟมองภาพแหวน สร้อย รวมถึงเสื้อผ้าที่ไหม้แทบมองไม่ออก

“หมอรัตน์บอกว่ามีคนบอกมาอีกที”

ไฟขมวดคิ้วแน่น “แล้วสารวัตรก็เชื่อหรือครับ”

สารวัตรถอนหายใจ “หมอรัตน์ไม่เคยโกหก”

“แล้วใครเป็นคนทำคดีต่อจากผม”

“จ่าธงขอรับทำต่อ นี่คือหลักฐานทั้งหมดที่จ่าธงไปหามาได้”

ไฟอ่านเอกสารดูอีกครา “สรุปแล้วเป็นปืนสงคราม M1A1 จริง ๆ”

“ใช่ ผมคิดไม่ถึงว่าพวกมันจะมีถึงขั้นอาวุธสงครามที่ร้ายแรงขนาดนั้น”

“ผมไม่ได้ตกใจตรงนั้นหรอกครับ” ไฟมองสบกับสารวัตร “ตกใจตรงที่ว่า เรื่องทุกอย่างมันมีแต่ช่องโหว่”

สารวัตรขมวดคิ้ว “หมวดหมายถึงอะไร?”

ไฟวางแฟ้มแล้วชี้ที่รูปภาพของรถที่อยู่กลางถนน และรอบข้างเป็นพื้นที่โล่ง เขาจำได้ว่าระยะทางที่ไปตอนนั้นก็มีแต่พื้นที่ราบไม่มีแม้แต่บ้านคน ต้นไม้หรือพุ่มหญ้าสักที่ แต่ก็ต้องโทษตัวเองที่ใช้แต่อารมณ์ไม่ยอมตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดี และไม่ยอมสังเกตให้รอบคอบดั่งที่นนท์ว่า

“ชาวบ้านที่ให้การว่าได้ยินพวกนั้นคุยกันและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตามที่ได้บันทึกไว้ในแฟ้มนี้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมนึกถึงเรื่องอื่นไปจนไม่ได้ถามต่อ แต่ตอนนี้ก็มีจุดบอดให้เห็นเยอะเลยครับ”

“อย่างนั้นหรือ แล้วชาวบ้านทั้งสองคนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องยังไง”

“ก็ใครที่ไหนจะไม่เห็นชาวบ้านสองคนนี้ในพื้นที่โล่งขนาดนี้ล่ะครับ แล้วจะพูดได้ไงว่าหลบอยู่ ในเมื่อพื้นที่ตอนนั้นไม่มีสิ่งใดให้แอบได้เลย”

สารวัตรหน้าเปลี่ยน หยิบแฟ้มก้มมาดูอีกที “จริงด้วย”

“รูปในนี้ก็เป็นหลักฐานชั้นดีเหมือนกัน ต้องขอบคุณจ่าธงที่ถ่ายรอบ ๆ ให้ด้วย เรื่องนี้ยังไงซะมันก็ยังไม่ถึงขั้นปิดคดี เอาเป็นว่าผมขอสืบคดีนี้ต่อได้ไหมครับ”

สารวัตรคิดหนักก่อนจะพยักหน้า “ได้ ถ้ามีอะไรน่าสงสัยอีกอย่าลืมรายงานผมด้วย”

“ครับ” ไฟลุกขึ้นตะเบ๊ะพร้อมกับหยิบแฟ้มคดีออกไปด้วย ต้องเลิกคิดเรื่องอื่นและสืบเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น อย่างน้อยหากสืบเรื่องนี้อาจจะรู้อะไรอีกหลายอย่าง

“ว่าไงล่ะ ไปอยู่ที่นู่นตั้งนานได้เมียไหมวะ”

ไฟส่ายหัวหน่าย ๆ “ได้อะไรล่ะ จะถูกระเบิดทับตายอยู่แล้ว”

“หาเมียบ้างสิวะ อยากเหี่ยวตายหรือไง”

คนฟังได้แต่ถอนหายใจ “ผมมีเมียคนเดียว”

ลุงธงเลิกคิ้วก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย “มันไม่อยากเป็นเมียมึงแล้ว”

“ก็ช่างสิ”

“เอ้อ ไอ้นี่ ดูสงบขึ้นเยอะเลยเว้ย” ลุงธงยิ้มอย่างชอบใจ

“ถ้ายังเป็นเหมือนแต่ก่อน ผมคงไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“จนตอนนี้ก็ยังดูไม่รู้เรื่องเลยนี่หว่า”

ไฟขมวดคิ้ว “พอ ๆ เลิกพูด ผมว่าจะถามเรื่องคดีของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อหน่อย ลุงธงเป็นคนทำคดีนี้ต่อใช่ไหม”

“ใช่ มีอะไรวะ” จ่าธงถามแล้วเดินมาก้มดูแฟ้มที่ตัวเองทำ

“ลุงธงรู้ไหมว่าชาวบ้านสองคนนี้อยู่ที่ไหน”

“รู้ มันทำงานกับยายพรเป็นพวกเก็บผักไปขาย”

“แล้วนอกจากคำให้การนี้ ลุงธงได้ถามอะไรอีกไหม”

“ข้าก็ถามตามที่สงสัยหมดแล้ว มันมีอะไรผิดพลาดหรือไง”

“ลุงธงพาผมไปหาสองคนนี้ได้ไหม”

“ไปทำไมวะ”

“เออหน่าลุง ไปเถอะ สารวัตรมอบหมายให้ผมสืบเรื่องนี้ต่อแล้ว”

“อ่าวเดี๋ยวสิวะ อธิบายให้ข้าฟังก่อน” จ่าธงโวยวายเสียงดังก่อนจะยอมเดินไปด้วยอย่างว่าง่าย ลุงธงเป็นคนขับรถแทนเพราะไฟต้องการเก็บรายละเอียดในแฟ้มคดีอีกที

“ลุงธงไม่แปลกใจเลยหรือ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ลุงก็เห็นหนิว่าแถวนั้นเป็นพื้นที่โล่ง แต่พวกนั้นบอกว่าหลบคนของเสี่ยพันธ์ มันจะเป็นไปได้ยังไง”

จ่าธงตาเหลือก “เออว่ะ ลืมคิดเรื่องนี้ แต่เอ็งนี่ก็น่าจะปิดคดีนี้ได้แต่ดันทำเสียเรื่องเพราะอารมณ์ร้อน”

ไฟยิ้มแหย “ขอโทษครับ”

“แล้วเป็นไงมาไง ถึงกลับมาทำเรื่องนี้ต่อ”

“อะไรหลาย ๆ อย่างมันชวนให้อยากกลับมาทำน่ะลุง”

“หากทำครั้งนี้ เอ็งจะไม่เป็นเหมือนเดิมใช่ไหม”

“คงจะรับปากไม่ได้ แต่ผมจะพยายามไม่ใจร้อน”

จ่าธงถอนหายใจ “แล้วแบบนี้จะไปรอดไหม ฮึ”

“ไม่รอดก็ต้องรอดแหละลุง อุตส่าห์ได้หลักฐานจับผิดชิ้นโตมาที ก็ต้องเอาให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว”

“ฮ่า ๆ” จ่าธงส่ายหัว “อย่าแพ้ต่อความใจร้อนของตัวเองก็แล้วกันล่ะ”

ไฟยิ้ม “ครับ”

เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านยายพรที่ตั้งอยู่กลางสวนของตัวเองที่มีไม่มากนัก เห็นเด็กสองคนที่กำลังยุ่งอยู่ที่สวน จ่าธงบอกว่าเป็นหลานชายของแก

“ไอ้กล้าไอ้แก้ว ยายพรอยู่ไหม” จ่าธงตะโกนถามเด็ก ๆ ทั้งคู่หันมามองใบหน้าดูตกใจจนมองออก อาการที่หวั่นวิตกนั้นปิดไม่มิดเลยสักนิด “แค่จะมาถามยายพรไม่กี่เรื่องหรอก หากแกอยู่ก็เรียกให้แกมาพบหน่อยได้ไหม”

“มึงไปดิ”

“พี่ไม่ไปล่ะพี่แก้ว”

“มึงนั่นแหละ ไปสิวะ”

“แต่—”

“กูบอกให้มึงไปไงไอ้กล้า” ไฟเห็นท่าไม่ดีไอ้คนพี่ทำท่าจะตบหัวคนน้องอยู่รอมร่อจึงเข้าไปห้าม

“พอแล้ว น้องชายทั้งคนนะ” ไฟว่าเล็กน้อยถึงจะถามชื่อ “ชื่อแก้วใช่ไหม”

“จ้ะ” แก้วตอบเสียงเบา พออยู่กับผู้ใหญ่ก็ดูเรียบร้อยดีแท้ ๆ

ไฟยิ้มเพื่อให้เด็กเลิกกลัว “ไปตามยายพรให้หน่อยได้ไหม พี่อยากจะถามยายแกเรื่องคนงานสองคนก่อนหน้านี้น่ะ”

“ได้ ๆ จ้ะ” แก้วพยักหน้าหงึกหงักรีบวางกระบวยลงกับถังน้ำและวิ่งเข้าไปในบ้านหลังเล็ก

“กล้า”

“จ๊ะ!” กล้าตอบรับเสียงดังไม่รู้ว่ากลัวอะไรนัก

“ใจเย็น ๆ นะ พี่ไม่ได้มาทำอะไรหรือมาจับใคร” ไฟลูบหัวเด็กน้อยที่ตัวเท่าไหล่ “พี่แค่มาถามแล้วก็จะกลับเลย”

กล้าพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและเริ่มสงบลงก็เป็นพอดีกับที่เห็นแก้วเดินออกมา

“ยายบอกว่าให้เข้าไปหาได้เลยจ้ะ”

ไฟหันไปพยักหน้ากับจ่าธงถึงจะเดินเข้าไปในบ้าน

“สวัสดีครับยายพร” ไฟยกมือไหว้

ยายพรไม่ได้มีท่าทีใด ๆ นอกจากพยักหน้าเป็นการรับไหว้ “ฉันรู้ว่าคุณ ๆ จะมาถามเรื่องอะไร แต่ขอร้องอย่างเดียวอย่าโทษเด็กสองคนนี้เลยนะ”

“จ่าธงรู้เรื่องนี้ไหม” ไฟกระซิบถาม

“วันนั้นข้ามาถามยายพรเฉย ๆ ตอนนั้นก็เจอไอ้สองคนนั้น ข้าก็ถามตามที่บันทึกไว้ในแฟ้มคดีนั่นแหละ”

ไฟขมวดคิ้วในแฟ้มก็ให้การตามที่เคยได้ยินในวันที่เกิดเหตุเป๊ะ ๆ “ยายพอจะบอกได้ไหมว่าที่ยายพูดหมายถึงอะไรครับ”

ยายพรเรียกให้เด็กทั้งสองมานั่งข้าง ๆ บนโต๊ะแคร่ไม้ไผ่ “เด็กสองคนนี้เป็นคนขอให้ยายรับสองคนนั้นเข้ามาช่วยทำงานเอง”

เพียงพูดจบเด็กทั้งคู่ก็ร้องไห้ออกมาทันทีเพราะความกลัว ไฟได้แต่หันมองกับจ่าธงแล้วถอนหายใจ “บอกได้ไหมครับว่าทำไม”

“เมื่อวันนั้นแก้วกับกล้ามาขอร้องยายให้ช่วยรับทั้งสองคนเข้าทำงาน ยายก็คิดว่าพวกนั้นไม่มีงานทำจริง ๆ แต่พอมาทำงานด้วยกลับไม่ยอมรับเงินสักแดง ยายก็เพิ่งมารู้ในวันที่กฤษกับตาสมหมายหายไปแล้ว เจ้าแก้วกับเจ้ากล้าก็มาบอกว่ากฤษกับตาสมหมายเคยช่วยชีวิตจากการถูกพวกเสี่ยพันธ์จับไปทำร้ายเพราะไปเห็นพวกมันกำลังส่งของเข้า”

“แปลว่าสองคนนั้นตั้งใจจะทำอย่างนี้อยู่แล้ว” ไฟหันไปคุยกับจ่าธงทันทีที่ได้ฟัง

“แล้วมันจะทำเพื่ออะไร”

“หากเจาะจงว่าสิงห์เป็นคนทำ ก็ต้องเป็นสิงห์ที่ส่งมา” ไฟยิ้มออกมาอย่างมีความหวังแต่มันออกจะแปลกสำหรับคนที่ไม่รู้จึงผงกหัวขอโทษยายพรแล้วถามต่อ “แล้วสองคนนั้นมาขอร้องกับกล้าและแก้วยังไงหรือครับ”

ยายพรจับมือหลานชายคนโต “แก้วบอกคุณตำรวจเขาหน่อยลูก”

แก้วเม้มปากแน่นไม่กล้าแม้แต่จะมองตาได้แต่พูดเสียงสั่น “พี่กฤษกับลุงสมหมายบอกว่าอยากทำงานที่นี่”

“แค่นั้นหรือ”

“จ้ะ พวกเขาบอกกับแก้วแค่นี้ แต่ว่า...” แก้วหันมองยายตนเองเพื่อหาที่พึ่งพาคลายความกลัวพอได้รับมืออุ่น ๆ ลูบหัวก็ยอมตอบออกมา “พี่กฤษกับลุงสมหมายเป็นคนของเสี่ยพันธ์ที่ช่วยแก้วกับกล้าจ้ะ”

“สองคนนั้นเป็นคนของเสี่ยพันธ์อยู่แล้ว!?”

“ใช่จ้ะ”

“ลุงธง” ไฟหันเรียกคนข้างกาย ถึงจะหันกลับมาพูดกับยายพรต่อ “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ หากทั้งคู่มาสอบถามหรือมาหาช่วยแจ้งกับทางเราด้วยนะยาย”

“จะจับพวกเขาหรือ!” กล้าตะโกนเสียงดัง

“เราจะถามเท่านั้น” จ่าธงตอบแล้วเดินออกไปก่อน

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะ พวกเราจะเก็บเป็นความลับไว้” ไฟยิ้มใจดีให้เด็กทั้งสองก่อนจะยกมือไหว้ลายายพร

“จะไปไหนต่ออีกไหม” ลุงธงถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหลานตนขึ้นรถแล้ว

ไฟเปิดแฟ้มดูรูปศพ “ไปหาหมอรัตน์”






จบบทที่ ๑๕

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-10-2019 07:39:25
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 27-10-2019 16:52:51
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: spy_2003 ที่ 01-12-2019 12:35:55
รออยุ่เด้อออ :a5:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 05-12-2019 15:58:32
 
 

บทที่ ๑๖

ผลชันสูตร






ไฟมองคนไข้ที่มารักษากับหมอรัตน์อยู่ราว ๆ ชั่วโมงกว่าได้แล้วก็ยังไม่มีเวลาเข้าไปคุยด้วย เพราะหมอเองก็บอกไว้ว่าหากคนไข้หมดจะออกมาคุย แต่ในเมื่อที่นี่มีหมออยู่แค่สองคนคงกินเวลาทั้งวัน

“กลับก่อนไหมวะ รอหมอแกว่างจริง ๆ ค่อยไปคุยก็ได้” จ่าธงคะยั้นคะยอ

“มาถึงขนาดนี้แล้วลุง ต้องถามให้ได้”

จ่าธงถอนหายใจ “งานมันไม่ได้มีแค่เรื่องนี้นะโว้ย ป่านนี้ที่สถานีจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

ไฟคิดหนักแต่ก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นหมอหนุ่มเดินออกมา “หมอรัตน์”

“ครับหมวด ผมคุยได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมถามแค่ไม่กี่อย่าง” พอเห็นว่าหมอรัตน์พยักหน้าไฟจึงเดินตามไปที่ห้องทำงานของอีกฝ่าย

คุณหมอผายมือให้นั่งเก้าอี้ตรงข้ามถึงจะเปิดปากถาม “หมวดมีอะไรจะถามหรือครับ”

“ผมจะถามเรื่องศพคุณพิมพ์อรและคุณต้นอ้อน่ะครับ”

หมอรัตน์พยักหน้า “ตามที่ผมเคยบอกจ่าธงและส่งรายงานไป ศพไม่มีการถูกทำร้ายร่างกายที่อื่นจากภายนอก มีเพียงแต่ถูกระเบิดที่ทำให้ศีรษะขาดจนมองไม่ออก ร่างกายเองก็ถูกเผาทำให้เนื้อไหม้เกรียมแห้ง แข็ง จากที่ตรวจดูศพน่าจะเสียชีวิตทันทีที่เกิดเหตุ ของใช้ที่ติดตัวก็ตามที่เขียนรายงานไป”

“ผมอยากรู้ว่าของใช้ที่ติดตัวของทั้งคู่ หมอรัตน์ทราบได้อย่างไรหรือครับว่าเป็นของใช้ของผู้เสียชีวิตจริง ๆ”

หมอรัตน์เงียบไปครู่ สีหน้าไม่ได้แสดงออกใดใด “นายภพเป็นคนบอกมา”

ไฟตกใจ “ทำไมถึงมาบอกล่ะครับ ไปคุยกันเมื่อไหร่”

“เขามาหาผมในที่พักและขอดูของใช้ที่ติดตัวของทั้งคู่ จากนั้นเขาก็บอกว่าเป็นของทั้งคู่จริง ๆ และสิ่งหนึ่งที่เขาพูดขึ้นมาทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าใดนัก...”

“อะไรหรือครับ”

“นายภพบอกว่า ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นและไม่อยากให้ทั้งคู่ตายเพราะทั้งคู่ดีต่อนายภพมาก”

ไฟเงียบลงไปแทน

“ทำไมไม่เขียนในรายงานล่ะหมอ” จ่าธงถามขึ้นทำให้หมอรัตน์ขมวดคิ้วแน่น

“รายงานเพียงต้องการรายละเอียดคร่าว ๆ ไม่ใช่หรือครับ หากจ่าอยากรู้เพิ่มเติมก็สามารถถามผมได้เสมอ แล้วทำไมจ่าถึงไม่ยอมถามล่ะครับ”

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถามไม่ใช่หรือ เพราะยังไงก็สมควรรายงานทุกอย่างอยู่แล้ว จรรยาบรรณแพทย์น่ะหมอ”

ไฟมองทั้งคู่ที่ทำให้บรรยากาศผิดแปลกไป ไม่เคยเห็นจ่าธงเป็นแบบนี้ ทั้งยังหมอรัตน์ที่กักเก็บอารมณ์และสีหน้าได้เสมอกลับดูหงุดหงิดขึ้นจนมองออก “ใจเย็นเถอะครับ ทั้งคู่เลย” ไฟปราม “แล้วหมอมีอะไรเพิ่มเติมจากที่ทางเราไม่ได้ถามไหมครับ”

“ไม่มีแล้วครับ มีเพียงแค่นั้น”

“ขอบคุณมากครับ” ไฟลุกขึ้นแล้วตะเบ๊ะให้ถึงจะเดินออกจากห้อง

“ถือว่าคดีปิดหรือยัง”

“มันจะปิดได้ยังไงลุง ในเมื่อตัวคนร้ายเรายังไม่ได้เลย คิดจะปล่อยเงียบไปแบบนี้หรือ”

“เอ็งก็รู้ไม่ใช่เรอะว่าคนร้ายคือใคร”

ไฟนิ่งไป จ่าธงจึงพูดต่อ

“ต่อให้เรารู้ คิดว่าเราทำอะไรได้ไหมไฟ ถึงจะน่าสมเพชในฐานะตำรวจที่ทำอะไรไม่ได้เลย เพียงแต่มันไม่มีทางอื่นแล้ว”

“ก็เพราะแบบนี้ พวกคนชั่วถึงเหิมเกริมกันทั่วบ้านทั่วเมือง” ไฟจ้องด้วยดวงตาแข็งกร้าวจนทำให้จ่าธงหน้าเสีย “ผมจะเอาโทษให้ถึงที่สุด และรวมถึงสองคนนั้นที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน ยังไงก็ต้องเอาให้คดีปิด ไม่ว่าจะต้องจับใครก็ตาม”

หากเป็นเรื่องจริงคงจะดีกว่าถ้าจับตัวไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องไปทำบาปทำกรรมเพิ่มกับใครเขาอีก

“แน่ใจใช่ไหมว่าเอ็งกล้าจับไอ้สิงห์”

“ผมไม่รู้...”

“ไม่เปลี่ยนไปเลยนะไอ้ไฟเอ๊ย” จ่าธงบีบบ่าเบา ๆ

“ผมรับปากไม่ได้ว่าจะจับสิงห์ได้ไหม แต่วิธีนี้คงจะเป็นผลดีกับเจ้าตัว”

“เฮ้อ ข้าก็อยากให้เอ็งทั้งคู่ไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้หรอกนะ” จ่าธงขึ้นรถรอจนไฟขึ้นตามถึงจะพูด “ต่อไปนี้ไว้ข้าจะคอยช่วยเหลือเอ็งอีกแรงก็แล้วกัน จะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะ”

“ขอบคุณนะลุง”

ไฟยิ้มขึ้นมาก้มมองแฟ้มในมือที่มีรูปจั่วหัวเป็นภาพของสิงห์ที่ถูกถ่ายมาติดไว้ ทั้งภาพในอดีตสมัยยังเป็นตำรวจและภาพปัจจุบัน อธิบายไว้ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ มันก็เป็นได้แค่นั้น เพราะไม่มีใครดำเนินเรื่องต่อและปล่อยให้เงียบไปเฉย ๆ

 

 

พ่ายโลกันตร์


 
 

หนังสือพิมพ์เปิดหน้าแล้วหน้าเล่า ดวงตาเรียวคมมองผ่านกระดาษตรงหน้าไปทางมุมอับที่มีผ้าม่านสีแดงปลิวไสว ข้างหน้ามีคนยืนเฝ้าสองคน เห็นไกล ๆ ก็พบว่ามีหญิงบริการอยู่ในนั้นหัวเราะต่อกระซิกกับเจ้าของบ่อนที่ถูกต้องสงสัยว่าแอบเอาวัตถุโบราณไปขายให้ต่างประเทศ

“ทางหน้าห้องมีสองคน และเดินอยู่ทั่วร้านอีกสอง” หมวดไฟเอ่ยบอกนายตำรวจที่มาด้วยกันสองคน และอยู่ในชุดทั่วไปไม่ใช่ชุดราชการ ไฟได้กลับไปเปลี่ยนที่บ้านเพื่อจะมานั่งในร้านบาร์แห่งนี้เพราะจะต้องตามจับตามอง เสี่ยโก้ ตามที่สารวัตรสั่งการมา

“หมู่ไปเบี่ยงเบนความสนใจสองคนนั้นที่เดินอยู่ในร้าน ส่วนจ่า... ไว้ถ้าสองคนนั้นติดกับเมื่อไหร่ก็จัดการสองคนหน้าทางเข้าทันที ผมจะช่วยสนับสนุนห่าง ๆ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน”

“ครับ” ทั้งคู่ตกปากรับคำหมู่ก็เดินออกไปจนเกือบหน้าห้องของเสี่ยโก้พร้อมกับโวยวายไปด้วยแกล้งเป็นคนเมาที่เริ่มอาละวาด ก่อนจะดึงมีดออกมาทำให้ทั้งสองคนที่เป็นลูกน้องของเสี่ยโก้เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เพราะคงสงสัยและป้องกันไว้ก่อน เห็นว่าเรียกอีกสองคนที่อยู่ภายในร้านให้ลากออกไป

พอสามคนนั้นออกจากร้านได้ ไฟก็พยักหน้าให้จ่าที่เดินไปรอไว้แล้ว

“กรี๊ดดด!” เพียงชั่ววิเท่านั้นที่จ่าเริ่มทำให้สองคนนั้นสลบก่อนจะเข้าไปจับกุมเสี่ยโก้ทันที ไฟที่มองอยู่ห่าง ๆ เตรียมปืนไว้พร้อมเพราะหากสองคนนั้นมีท่าทีอันตรายเมื่อใดจะยิงทันที

“นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบด้วย!” ไฟสั่งเสียงดังทุกคนถึงจะสงบลงและหมอบไว้

“จับตัวได้แล้วครับหมวด” จ่าลากเสี่ยโก้ออกมาที่ดูจะสั่นกลัวเป็นอย่างมาก

“เอาไปไว้ที่สถานีเลย อีกสองคนนั้นไปเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นมารวบ แล้วก็ตรวจคนที่นี่ด้วยเผื่อมีพวกมันเล็ดลอดออกไป”

“ครับ” จ่าตะเบ๊ะให้และเดินออกไปพร้อมกับเสี่ยโก้ ไฟมองคนในร้านที่ดูจะหน้าซีดเซียว แม้จะไม่เกี่ยวข้องแต่ก็คงตรวจไว้เผื่อดีกว่าแก้

แต่ก่อนจะเดินไปตรวจที่ห้องของเสี่ยโก้ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นห้องด้านในสุดอีกห้องที่มองตรงที่เขานั่งจะไม่เห็น แต่ว่าในห้องนั้นยังมีคนนั่งอยู่ด้านในสามคน ผ้าเป็นสีดำที่แทบจะมองไม่ออกเหมือนดั่งผ้าสีแดง

“ขอโทษนะครับ พวกคุณ—” ไฟที่เลิกผ้าม่านออกได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบกับคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ใจของชายหนุ่มเต้นระรัว ปากหุบบ้างอ้าบ้างคล้ายจะอยากพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก

“หมวดไฟ?” หนึ่งในคนภายในห้องพูดขึ้น “ถ้าจะมาจับหรือถามอะไร ขอบอกว่าทางเราไม่เกี่ยวข้องกับเสี่ยโก้” ภพเอ่ยตอบแทนเจ้านายที่ยังนั่งนิ่งมองผู้มาใหม่ที่ตอนนี้ตกใจจนแม้แต่เสียงตนก็คงจะไม่ได้สนใจ

“ไม่เจอกันนาน แผลหายรึยังผู้หมวด” เกื้อผู้ที่เคยไปส่งผู้หมวดที่โรงพยาบาลถามขึ้นอย่างนึกขัน

ไฟสะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อเรียกสติถึงจะเข้าไปยืนนิ่ง ๆ มองดวงตาเรียวเรียบนิ่งที่จ้องมาก็ได้แต่ถอนหายใจ “ต้องขอโทษด้วยที่พวกผมมารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ แต่ยังไงก็ขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ หากไม่มีใครเกี่ยวข้องกับเสี่ยโก้จริง ๆ ผมจะปล่อยไปไม่ต้องห่วง”

ลูกน้องทั้งสองพยักหน้าอย่างว่าง่ายและดื่มกันต่อ เว้นเพียงเจ้านายที่ไม่ตอบโต้ใดใดนอกจากก้มหน้าอ่านอะไรในมือ

ตัวเขานั้นมีอะไรอยากจะพูดกับอีกฝ่ายมากมายแต่สถานการณ์และสถานะในตอนนี้มันไม่สามารถพูดคุยกันได้ และเขาคิดว่าลองปล่อยไปเสียบ้าง มันคงจะทำให้เขาเลิกคิดมากน้อยลง

คิดได้อย่างนั้นไฟก็เดินออกไปทันทีสร้างความประหลาดใจให้แก่คนในห้องที่ดูเหมือนว่า ข่าวลือเรื่องหมวดไฟอารมณ์ร้อนและไหนจะวันที่บุกมาถึงไร่อัครเดชนั่นอีก พอมาดูตอนนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิม แทบไม่เหลือเค้าโครงของผู้หมวดใจร้อนคนเก่าเลยสักนิด

“เขาดูใจเย็นขึ้นนะครับ” ภพพูดขึ้น

“วันนั้นยังคิดจะบุกไปหาคุณสิงห์ให้ได้ ผมนี่แทบจะอยากวิ่งออกไปแทน ถูกปืนรุมจ่อขนาดนั้นยังจะกล้า” เกื้อส่ายหน้า

สิงห์ที่ไม่ได้อ่านกระดาษในมือเข้าหัวก็พับเก็บไว้ในเสื้อก่อนจะมองออกไปยังด้านนอกที่ตอนนี้คนรักเก่ากำลังทำหน้าที่ตำรวจโดยไม่กลับมาตามบุกและสนใจตนมากอย่างที่เคยพูดไว้ “ช่างมันเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วหนิ”

“หึหึ งั้นหรือครับ” ภพหัวเราะในลำคอ พอไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรก็เป็นเกื้อที่เปลี่ยนเรื่องคุยแทน

ไฟขมวดคิ้วเมื่อใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าตอนนี้ไม่มีสมาธิจะทำงานตรงหน้าเพราะใจมันลอยไปหาสิงห์หมดแล้ว อยากจะพูด อยากจะคุยให้มากกว่านี้แต่เขารู้ว่าทำไม่ได้ เขาต้องทำหน้าที่ให้เสร็จเสียก่อน

สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่วู่วาม ไม่ใจร้อนอีก เรื่องแค่นี้คงทำได้ แม้จะหันไปมองบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปหาแล้วทิ้งงานไว้เหมือนแต่ก่อน

“หมวดครับ” หมู่ตะเบ๊ะให้หลังจากจับกุมตัวสองคนที่ลากตนที่แกล้งเมาออกไปได้

“ว่าไง ข้างนอกเรียบร้อยใช่ไหม”

“ครับ สองคนนั้นยอมรับสารภาพว่าเสี่ยโก้แอบลักลอบขนส่งวัตถุโบราณให้ต่างแดนจริง ๆ และเพิ่งส่งออกไปเมื่อสามวันก่อนตามที่สายรายงานมาครับ”

“อืม ดีมาก เสร็จแล้วรีบกลับสถานีเลย”

“ครับ!”

ไฟมองลูกน้องที่เดินออกไปแล้วตนถึงจะเดินกลับไปที่ห้องเดิม... ห้องของนายสิงห์

“ขอเชิญทั้งสามคนด้านนอกด้วยครับ ให้ความร่วมมือกับทางตำรวจสักครู่”

“เฮ้อ” เกื้อถอนหายใจเสียงดังถึงจะลุกออกไปก่อนตามด้วยภพและสิงห์ที่เดินออกมาอย่างว่าง่าย ไฟเผลอจับข้อแขนตอนที่สิงห์กำลังออกจากห้อง พอรับสายตาหงุดหงิดมาก็จำต้องปล่อยออก

“ขอโทษครับ” ไฟก้มหัวแล้วยอมเดินออกไปรอทั้งสามเพื่อสอบปากคำ

แต่ยังไงก็ตามทั้งสามก็ถูกปล่อยตัวเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสี่ยโก้จริง ๆ ถึงจะมีคดีติดตัวมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะจับได้เลย ตำรวจหลายนายออกจะเสียดายที่จับนายสิงห์ไม่ได้ ไฟเองก็เสียดายไม่น้อยที่เจอกันเพียงน้อยนิด เขาก็จะต้องกลับสถานีไปรายงานสารวัตรอีกเพิ่มเติม

“รอผมครู่หนึ่ง” ไฟหันไปบอกจ่าที่ทำหน้าที่ขับรถ ก่อนจะวิ่งไปทางรถที่จอดอยู่ไกล ๆ “สิงห์!” ไฟตะโกนเรียกก่อนที่อีกคนจะขึ้นรถ

“เฮ้ย ๆ ไหนบอกไม่มีอะไรแล้วไง” เกื้อที่เปิดประตูรถให้เจ้านายถึงกับโวย

“ขอคุยกับสิงห์เพียงนิดเดียว”

“ไม่ได้ ๆ นาย—”

“มึงไปรอกูในรถ ปล่อยให้มันพูด” สิงห์สั่ง เกื้อเลยทำเป็นชี้หน้าผู้หมวดถึงจะอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ “มีอะไรก็รีบ ๆ พูด”

ไฟคลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ดีใจลึก ๆ ที่สิงห์ยอมคุยด้วย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะมาพูดก็ต้องค่อย ๆ หุบยิ้มเปลี่ยนเป็นเศร้าชั่วครู่ถึงจะทำหน้าจริงจัง

“กูจะไม่ขอร้องให้มึงหยุดทำอีกแล้ว ต่อไปนี้กูจะตามจับมึงเข้าตารางเอง” ไฟขมวดคิ้วไม่มีแววตาล้อเล่น

“งั้นหรือ” สิงห์จ้องตากลับอย่างไม่ยอมแพ้ “หากมึงจับกูได้จริง คงไม่รอจนถึงวันนี้หรอก”

“ใช่ แต่ก่อนกูมันโง่เอง แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กูจะจับมึง... เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้มึงเลิกทำชั่วได้”

สิงห์เค้นเสียงแล้วตบบ่าอีกฝ่าย “ก็ขอให้มึงทำได้ดั่งที่ใจหวังก็แล้วกัน” ไม่พูดอะไรให้มากความกว่านี้สิงห์ก็เปิดประตูขึ้นรถของตัวเองไป ไฟมองจนอีกฝ่ายลับสายตาถึงจะกลับไปที่รถโดยไม่หันกลับไปมองที่ทางเดิมอีก

ในเมื่อตอนนี้ต่างคนต่างเส้นทาง ไม่ว่าเรื่องทุกอย่างจะจบยังไง สิ่งสุดท้ายที่รู้ได้ก็คือ...

เราทั้งคู่ไม่มีวันที่จะกลับไปมีชีวิตสุขเดิมได้อีกแล้ว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 
 


พ่ายโลกันตร์


 


มือหนาลูบใบหน้าให้คลายความเครียดที่สะสมมาทั้งวัน มองรูปคู่ที่ถ่ายกับสิงห์ มันถูกใส่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมขนาดเล็กบนโต๊ะทำงาน ไฟหยิบมาถือใช้นิ้วโป้งลูบวนตรงใบหน้าของคนรักเก่า เขาถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงสิงห์อีกแล้วก่อนจะยกมือข้างซ้ายขึ้น แสงแวววับของแหวนสะท้อนตา มองจนพอใจถึงจะเลื่อนลงมากุมที่กลางอก จับแหวนอีกวงที่สวมไว้กับสร้อยเส้นดำ

ขอบตาระรื่นไปด้วยน้ำสีใส เพียงแค่เห็นหน้าวันนี้ก็คิดถึงใจจะขาด ชายหนุ่มยิ้มฝืนเมื่อตนเองจะต้องจริงจังกับการจับคนรักเก่าคงไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้

“มึงทำได้ไอ้ไฟ” ให้กำลังใจตัวเองเหมือนดั่งทุกวันที่ทำ เผื่อจะกล้าขึ้นบ้าง

เรื่องหาความจริงในคดีน้าพิมพ์อรเขายังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะทุกอย่างมันดูไม่ถูกต้อง แต่ถึงจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นสุดท้ายก็ยังคงต้องจับสิงห์อยู่ดี เพราะสิงห์เริ่มก้าวขาเข้าวงการผิดกฎหมายตั้งแต่ถูกพักราชการ มีคดีติดตัวในวันที่ยิงเพื่อนตัวเอง และไหนจะคดีที่ส่งของให้คนนอกรวมถึงคนใน

ถึงจะหาความจริงเรื่องของน้าพิมพ์อรได้ก็ใช่ว่าสิงห์จะพ้นโทษ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ไฟ” คนถูกเรียกหันมองทางประตูก่อนจะตะโกนตอบผู้เป็นแม่ เพียงสักพักถึงจะได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก “ไปกินข้าวกันลูก” เธอจับบ่าลูกชายพร้อมกับมองกรอบรูปที่เจ้าตัวเพิ่งจะวางลงไว้ที่เดิม

“ครับ” ไฟเงยหน้ายิ้มให้แม่และลูบมือที่บ่าให้หายเป็นห่วง

“มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วสินะ” เธอว่าลูบหัวลูกชายไปด้วย “แม่...”

ไฟขมวดคิ้วที่อยู่ ๆ แม่ก็เงียบไป “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ฤดียิ้มให้ “เปล่าลูก ป่ะ ลงไปกินข้าวกันเดี๋ยวจะเย็นหมด”

ไฟพยักหน้ามองดูรูปอีกสักพักถึงจะออกไป

“อ่าวลุง” ไฟตกใจเล็กน้อยที่มีคนมานั่งร่วมด้วยก่อนจะยกมือสวัสดีเมียแก “สวัสดีครับป้าสาย”

“สวัสดีจ้ะ”

“ไหน ๆ บ้านก็อยู่ใกล้กัน เลยถือโอกาสมาร่วมวงด้วย” ลุงธงเอ่ยบอก

ไฟคลี่ยิ้ม “เอาสิครับ จะได้ไม่เหงากัน”

“มากินด้วยกันทุกวันเลยก็ได้นะพี่สายจ่าธง” ฤดีว่า

“ก็ดีนะจะได้ไม่ต้องล้างจาน”

“เดี๋ยวเถอะตาลุงนี่” ป้าสายขมวดคิ้ว

“จ้า ๆ กลัวแล้วจ้า” จ่าธงออดอ้อนเมียไม่สนสายตาผู้อื่นก่อนจะหันมาทางไฟ “แล้วตอนที่อยู่พระนคร เป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ปวดหัวนิดหน่อยน่ะลุง”

“ยังดีที่ไม่ถูกส่งให้ไปเข้าร่วมกับกองกำลังที่ชายแดนใต้ ทั้งตำรวจ ทหาร ชาวบ้านที่อาสาไปก็ต่างล้มตาย”

“ผมไม่อยากให้คิดว่าเป็นโชคเลยลุงถ้านับกับคนที่เสียไป”

“นั่นสินะ”

“อะไรกันสองคนนี้ มาคุยเรื่องแบบนี้ตอนกินข้าวได้ยังไง” ฤดีเอ็ดเล็กน้อย

“ขอโทษครับ” ไฟลูบบ่าคนข้างกาย

“เออแล้วเห็นว่าวันนี้ เอ็งพบกับไอ้สิงห์เรอะ” จ่าธงถามขึ้นเมื่อตักข้าวเข้าปากไปสองสามคำ

“จ่าธง” ฤดีส่ายหน้า

“นี่ถามอะไร ห๊ะ!” ป้าสายรีบหยิกแขนจนลุงแกร้อง

“เจอกันเพียงครู่เดียว ผมต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อ ไม่ได้คุยอะไรกันมากครับ”

“บ๊ะ!” ลุงธงตบเข่าฉาด “ไอ้ไฟคนเก่าหายไปไหนวะ”

“คนเราก็ต้องเปลี่ยนบ้างหรือเปล่าลุง”

“อย่างเอ็งเนี่ยนะ”

“โธ่ลุง”

“มันก็ดีแล้วไม่ใช่รึ” ป้าสายว่า

“ฮ่ะ ๆ ดีสิดี นึกว่าจะถูกยิงมาอีกรอบ”

ไฟส่ายหน้า “ผมไม่เป็นแบบเดิมหรอก”

“หมวด ๆ หมวดไฟอยู่ไหมครับ!” ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันอีกก็มีคนมาตะโกนหน้าบ้าน ดูเร่งรีบทำให้ไฟและจ่าธงต่างพยักหน้าแล้วเดินลงไปข้างล่างทันที

“อ่าว จ่าคม มีอะไร” ไฟถาม

“สารวัตรโขมโดนลอบฆ่าครับ”

“ว่าไงนะ!” ไฟตาโต “จ่าธงนำหน้าผมไปก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไป”

“ได้ ไปไอ้คม” จ่าธงรีบขึ้นรถเพราะตนเองก็ยังไม่ได้ถอดชุดและยังคงพกปืนตลอดเวลา

“มีอะไรลูก”

“สารวัตรถูกลอบทำร้ายครับ แม่กับป้าสายอยู่ด้วยกันก่อนนะ ผมจะรีบกลับ” พูดเสร็จก็รีบเข้าห้องไปเอาปืนพร้อมกับกุญแจรถ

เพียงไม่นานไฟก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านหลังเล็ก มีรถของจ่าคมก่อนหน้านี้และรถของคนอื่น ไฟไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที

“สารวัตรเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เป็นอะไรมากครับ ถูกยิงเฉียดเอวไปนิดเดียวเท่านั้น” หมอรัตน์เอ่ยบอกแทน

ไฟพยักหน้าให้หมอเป็นเชิงขอบคุณถึงจะหันไปถามจ่าคม “จับคนร้ายได้ไหม”

“ถูกฆ่าแล้วครับ”

“สารวัตรทำหรือ”

“เปล่าครับ เห็นบอกว่าเป็นสายสืบที่มาช่วยทัน”

“ขอบคุณมาก” ไฟพยักหน้าแล้วไปห้องที่สารวัตรอยู่ เห็นมีจ่าธงและใครอีกคนที่ใส่ผ้าปิดหน้าปิดตาอยู่ภายในห้องด้วย

“เป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะหมวด” สารวัตรยิ้มให้

“แล้วรู้ไหมครับ ว่าใครสั่งพวกนั้นมา”

“เจ้าสัวเหวย”

ไฟขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะครับ”

“ที่จริงผมตามสืบเรื่องพวกมันอย่างลับ ๆ แต่ดันมีคนไปบอก พอพวกมันรู้เลยคิดจะตามเก็บผม แต่หมวดไม่ต้องคิดมากหรอกนะ เพราะยังไงตั้งแต่ผมมาประจำที่นี่ก็เหมือนจะมีเจ้าถิ่นอยากทำให้หัวผมหลุดจากบ่าไม่รู้ตั้งกี่คน”

“เครียดบ้างก็ดีนะครับสารวัตร” ไฟยิ้มบาง

“เครียดแล้วมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกหมวด ผมว่าเอาเวลาที่เครียดเนี่ยน่าจะไปสู้ตอบพวกมันดีกว่า”

“บางทีสารวัตรก็เหมือนหมวดไฟในช่วงบ้างานนะครับ” จ่าธงหัวเราะ

“ฮ่า ๆ ผมก็ว่างั้นนะ”

“โธ่ เรื่องมันก็นานแล้วนะลุง”

“โอ๊ย ขนาดจะจับไอ้สิงห์มันก็ยังไม่รู้ว่าจะกล้าจับไหม รักขนาดนี้”

“มาพูดอะไรตรงนี้ล่ะลุง” ไฟรีบปรามเพราะไม่ได้มีแค่เขากับจ่าธง แต่มีสารวัตรกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย พอเห็นอย่างนั้นก็นึกว่าตัวเองเสียมารยาทเกินไปที่ไม่ทักทาย “เอ่อคนนี้ใช่สายของสารวัตรหรือเปล่าครับ”

“อ่อใช่ แต่บอกชื่อไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวมีใครมาได้ยิน”

“ผมเข้าใจครับ” ไฟพยักหน้าก่อนจะหันไปผงกหัวเป็นการทักทายซึ่งอีกคนก็ทำตอบ

“ถ้าอย่างนั้น ไว้มีเรื่องอะไรอีกก็ช่วยรายงานผมด้วยนะ” สารวัตรเอ่ยบอกสายของตนเอง “สำหรับวันนี้ขอบคุณมากที่มาช่วย คุณไปเถอะเดี๋ยวพวกมันจะสงสัย”

ชายปิดใบหน้าผงกหัวแล้วรีบออกไปตามที่บอก เพียงแต่ออกไปทางข้างหลังแทน

“ไปซะแล้ว น่าเสียดาย” จ่าธงส่ายหัว

“ดีนะครับที่มีคนมาช่วย ผมว่าสารวัตรมาอยู่ที่บ้านผมก่อนดีกว่าไหมครับ เจ็บแบบนี้ให้อยู่บ้านคนเดียวมันจะอันตราย”

สารวัตรคิดหนักอยู่พอควร เพราะหากตนไปนอนบ้านใครสักคน หากพวกมันตามมาลอบฆ่าอีกรอบ กลัวว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องจะเดือดร้อนไปด้วย

“ถ้าเรื่องนั้น ให้สารวัตรไปอยู่ที่บ้านผมแทนก็ได้ครับ” เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าห้อง หมอรัตน์ก้าวเท้าเข้ามายืนข้างหมวดไฟ

“แน่ใจหรือครับหมอ” ไฟถามย้ำ

“คงจะปลอดภัยไม่มากก็น้อย แต่คงไม่มีใครคิดว่าสารวัตรมาอยู่ที่เดียวกับผมหรอกครับ”

“ก็มีเหตุผล” จ่าธงลูบคาง

“เพราะยังไงสารวัตรก็ต้องคอยทำความสะอาดแผลอยู่แล้ว มีผมคอยช่วยน่าจะดีที่สุด”

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ รบกวนด้วยนะหมอ” สารวัตรว่า

“ยินดีครับ” หมอยิ้มบาง

“ไว้เดี๋ยวผมไปส่ง จะไปกันเลยไหมครับ” พอตกลงกันเสร็จ หมอรัตน์อาสาช่วยสารวัตรเก็บเสื้อผ้าส่วนจ่าธงรอช่วยอีกแรง

ไฟถอนหายใจเมื่อเดินออกมาข้างนอกและรวมถึงบอกให้คนอื่นกลับบ้าน ส่วนข้าวของที่พังไปสารวัตรบอกไว้ว่าค่อยมาเก็บตอนหายดี แต่ยังไงเขาก็จะอาสามาเก็บให้อยู่ดี

“กลับก่อนนะครับหมวด” จ่าคมตะเบ๊ะให้

“ขับรถดี ๆ นะจ่า” หมวดไฟโบกมือ พอคนหายข้างกายก็เงียบทันตา ไฟหันมองรอบ ๆ ก่อนจะผงะและจับกระบอกปืนที่ข้างเอว “ใคร!”

เงาตะคุ่มที่หลบอยู่ข้างบ้านยกมือขึ้นเหนือหัวพร้อมกับเดินออกมา พอเห็นว่าเป็นสายของสารวัตก็ต้องพรูลมหายใจอย่างโล่งอก

“มาทำอะไรตรงนี้มืด ๆ ครับ นึกว่ากลับไปแล้ว” ไฟถามมองคนตรงหน้าที่ออกมายืนพร้อมกับหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในเสื้อ

‘ผมรอไปส่งสารวัตรที่บ้านหมอ’

ไฟอ่านตามก่อนจะยิ้ม “เข้าใจแล้วครับ แปลว่าคุณไม่ได้กลับไปตามที่สารวัตรสั่งตั้งแต่แรก แต่กลับยืนฟังพวกเราอยู่”

รอสักพักอีกคนถึงจะเขียนเสร็จ ‘ขอโทษครับ แต่เพื่อความปลอดภัย’

ไฟพยักหน้า รู้สึกคุ้น ๆ ลายมืออย่างน่าแปลก “คุณนี่ลายมือสวยมากเลยนะครับ  เหมือน...” ไฟเผลอเงียบไปทันตา ก้มหน้ายิ้มกับตัวเองเมื่อคิดถึงแต่คนรักเก่า จะไปชี้ใครเขาทั่วว่าคือสิงห์ก็คงไม่ได้ “ขอโทษทีครับ”

อีกฝ่ายก็เงียบไปเหมือนกันก่อนที่จะก้มเขียนอะไรสักอย่าง

‘ดูแลตัวเองด้วย’

ไฟตกใจเล็กน้อย เป็นข้อความสั้น ๆ แต่กลับทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นแรง รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วกาย ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน หรือเพราะแค่คิดว่าลายมือเหมือนกันแล้วจะคิดไปเองว่าคนตรงหน้าคือสิงห์หรือไร

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริง ๆ” ไฟยิ้มกว้างแม้ดวงตาจะคลอเล็กน้อย

ไม่มีใครพูดอะไรมากกว่านี้เมื่อทั้งสามคนในบ้านเดินออกมา ไฟแอบยกหลังมือเช็ดตาอย่างรีบ ๆ ถึงจะหันไปมองทั้งสามคน

“อ่าว ทำไมถึงยังไม่กลับ” สารวัตรถามขึ้น

“เขาบอกจะรอไปส่งสารวัตรน่ะครับ เพื่อความปลอดภัย” ไฟตอบให้แทน

สารวัตรโขมมองทั้งคู่สลับกันก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินไปที่รถของไฟโดยมีหมอรัตน์ช่วยพยุง

“คุยกันถูกคอรึเปล่าล่ะ พวกเอ็ง” จ่าธงเท้าเอวถาม มืออีกข้างมีกระเป๋าเสื้อผ้าของสารวัตรพ่วงด้วย

“ถูกคออยู่ครับ” ไฟหัวเราะ

“เออดี ๆ” จ่าธงพยักหน้าแล้วเดินไปเก็บกระเป๋าไว้ข้างหลัง

“แล้วคุณจะไปด้วยกันไหมครับ” ไฟถามขึ้นแล้วก็ได้คำตอบโดยกุญแจรถที่อีกฝ่ายชูขึ้น “ถ้างั้นผมไปก่อนนะ”

รอจนอีกคนพยักหน้าไฟถึงจะเดินไปขึ้นรถและทำหน้าที่คนขับ ซึ่งคนที่นั่งข้างกายคือจ่าธง ส่วนหมอรัตน์กับสารวัตรนั่งอยู่ข้างหลัง และแสงสีส้มที่วาบขึ้นจากรถมอเตอร์ไซค์ BSA ที่ขับตามหลัง ทำให้ดูอุ่นใจยิ่งกว่าเดิม





จบบทที่ ๑๖

--------------------------------------------------------------------

รถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ BSA goldstar clubman ผลิตขึ้นเมื่อปี 1937 หรือเทียบเท่า 2480 ของไทยเราเองค่ะ

หากใครนึกภาพไม่ออกนะคะ
อยากดูรูปรถจิ้มตรงนี้ได้เลย (https://uploads.carandclassic.co.uk/uploads/cars/bsa/10610836.jpg)

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 06-12-2019 05:29:47
สิงห์รึปล่าว
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-12-2019 20:03:30
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-12-2019 12:16:14
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน โอยทั้งหน่วง อารมณ์หลากหลายเลย ชอบมากๆ
จะรอตอนต่อไปนะจ๊ะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: spy_2003 ที่ 15-12-2019 20:01:47
สิงห์หรอ ต้องเป็นสิงห์แน่ๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 31-12-2019 13:04:28


บทที่ ๑๗
ทีมลับ





สถานีดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะถูกเรียกให้นายตำรวจสามนายไปดูแลหลวงธารานันท์ ที่ต้องเดินทางไปพบกับหลวงรวีชัยเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเมืองในช่วงนี้ จากข่าวหลายแห่งบอกว่านายกรัฐมนตรีจะลาออก รวมถึงพูดคุยเรื่องผลประโยชน์ที่คนต้องการคงจะเป็นหลวงรวีชัย

“เอาล่ะ ยังไงก็ฝากสถานีด้วยนะจ่า” สารวัตเอ่ยปาก

“ครับสารวัตร” จ่าคมตะเบ๊ะพร้อมเดินออกไป

“สารวัตรไม่พักแน่นะครับ” หมวดไฟถามอย่างนึกห่วง

“แค่ไปดูแลท่าน พวกมันคงไม่นึกลงมือตอนนี้หรอก ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องจัดการคุณหลวงธารานันท์ หากทำขึ้นมาพวกมันก็ต้องเจอผลเสียในเรื่องผลประโยชน์ เพราะยังไงคุณหลวงธารานันท์ก็เป็นถึงผู้ว่าฯ พูดไปก็หาว่า ว่าท่านเพียงแต่ที่ทุกวันนี้พวกมันยังรอดได้ก็เพราะคุณหลวงธารานันท์ยังไม่คิดจะดำเนินเรื่อง”

“มันคงยากนะครับ การจะจัดการพวกคนชั่วที่เดินอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างนี้” จ่าธงเอ่ย

“ไม่ว่ายังไงก็ตามผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือเราอย่าเพิ่งเร่งรีบในการจับพวกมัน ไม่อย่างนั้นแผนที่วางมาทั้งหมดจะล่มเอาได้”

“แผนหรือครับ?” หมวดไฟขมวดคิ้ว “นอกจากเรื่องของเจ้าสัวเหวยแล้ว ยังมีคุณหลวงรวีชัยอีกหรือครับ ไม่อันตรายไปหน่อยหรือครับสารวัตร เราดักศัตรูสองทางไม่ไหวหรอกนะครับ”

สารวัตรหันมองก่อนจะถอนหายใจ “เรื่องนี้อาจจะไม่ลับ และอาจจะลับ แต่ว่า... ทั้งสองคนนี้ดูจะร่วมมือกันอยู่”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดไฟก็ได้แต่ตกใจ เมื่อตัวร้ายหลักของจังหวัดทั้งสองมาร่วมมือกันอย่างนี้ เป็นเรื่องร้ายแรงที่อาจจะหยุดพวกมันไม่อยู่ก็เป็นได้

“สารวัตรรู้มานานหรือยังครับ”

“หลายปีได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพอ เพราะว่าหลวงรวีชัยยังมีพวกเสือเอี้ยงคอยคุ้มครองตัวเองอยู่ หากหลวงรวีชัยกับเจ้าสัวร่วมมือกันจริง เสือเอี้ยงมันคงไม่อยู่ด้วย แต่ที่ที่เราไปคุณหลวงธารานันท์บอกว่า ฝั่งนั้นเขาเอาเสือเอี้ยงมาคุม”

“หรือไม่แน่ว่าหลวงรวีชัยอาจจะหลอกไอเสือเอี้ยงไปด้วย” จ่าธงกอดอก

“ก็เป็นไปได้ ในเมื่อเสือเอี้ยงมันเกลียดเจ้าสัวเข้าไส้มาแต่ไหนแต่ไร”

“หากเป็นแบบนี้ เราควรรายงานท่านอธิบดีไหมครับ” หมวดไฟถาม

“รอเรื่องชัดเจนกว่านี้ ผมจะรายงานท่านทันที แต่คงเป็นท่านรองดีกว่า”

หมวดไฟพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนที่ทั้งสามคนจะลงจากสถานีไปที่รถ จ่าธงอาสาขับให้ ส่วนหมวดไฟนั่งข้างคนขับและสารวัตรที่นั่งเบาะหลัง

“นอกจากเสือเอี้ยงยังมีใครมาอีกไหมสารวัตร” จ่าธงถามขึ้น

สารวัตรนั่งเงียบไปชั่วครู่ “ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง ว่าใครที่มาด้วยอีกคน”

จ่าธงเลิกคิ้วหันมองหลานชายข้างกายที่มองมาเช่นกัน “หวังว่าจะไม่ใช่คนที่ข้าคิดนะ”

ไฟพอเข้าใจว่าลุงธงหมายถึงอะไร ทว่า หลวงรวีชัยมีส่วนเกี่ยวข้องยังไง ในแง่ไหน เคยเห็นว่าเสี่ยพันธ์กับหลวงรวีชัยไม่กินเส้นกันอยู่ในอดีต แต่ในตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไง

จะว่าไปตั้งแต่เกิดเรื่องของน้าพิมพ์อรกับน้องต้นอ้อขึ้นก็ไม่มีใครเห็นหน้าคาตาของเสี่ยพันธ์เลย หายเงียบราวกับไม่ได้ออกไปไหน มีแค่ลูกชายที่ทำหน้าที่แทนอยู่ตลอด กลายเป็นว่าเสี่ยพันธ์สิ้นชื่อ มีเพียงนายสิงห์ที่ขึ้นแท่น

ข่าวจากหลายแหล่งบ้างก็ว่าเสี่ยพันธ์ตรอมใจตายเรื่องเมียกับลูก บ้างก็ว่าถูกลูกชายตัวเองเก็บเพราะคิดจะตั้งตัวเองเป็นใหญ่ ไฟพอฟังผ่าน ๆ แต่เรื่องของเสี่ยพันธ์ยังไงก็ต้องรู้ไว้ก่อน จิตใจคนเราไม่เหมือนกัน สิงห์ที่ตนเคยรู้จักอาจจะไม่หลงเหลืออีกต่อไป

ข่าวลือบางข่าวอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ในเมื่อไม่มีใครได้เห็นกับตาตัวเอง

“จะว่าไป สารวัตรคิดแผนพวกนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่หรือครับ แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้าง” หมวดไฟถามขึ้นเมื่อเป็นเรื่องที่ตนสงสัยมานาน

“ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คงตั้งแต่ย้ายมาประจำที่นี่นั่นแหละ ท่านอธิบดีในตอนนั้นมอบหมายให้ผมมาจับตามองพวกมัน แต่ว่าหลังจากที่ได้แต่งตั้งท่านอธิบดีคนใหม่ เป็นท่านอธิบดีทัพเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา...” พอได้ยินชื่อนี้ไฟก็ได้แต่เค้นเสียง เพราะมันที่ทำให้สิงห์ถูกพักราชการ อดีตสารวัตรทัพผู้ที่เคยดูแลสถานีอ้อยขวางที่ไม่มีใครเขานับถือ “จากนั้นท่านรองอนงค์ก็รับหน้าที่ดูแลทีมนี้อย่างลับ ๆ แม้แต่กรมตำรวจนครบาลก็ยังไม่มีใครทราบ เพราะยังไงพวกนี้ก็อยู่ในเขตกรมตำรวจภูธรเขตเราก็ต้องให้หน้าที่ทางเรารับผิดชอบอยู่แล้ว ส่วนทางพระนครเขาก็ยุ่งกับที่ของเขาไป ส่วนทางท่านอธิบดีเราก็ยังไม่ให้ทราบเรื่องนี้เหมือนกัน”

“แล้วที่มีข่าวลือว่ามีคนในกรมตำรวจอยู่ช่วยเบื้องหลังด้วย ที่ช่วยเสี่ยพันธ์น่ะครับ สารวัตรพอจะทราบไหมครับว่าคือใคร เกี่ยวข้องกันที่ว่าทางท่านรองถึงไม่รายงานให้ทางส่วนกลางและท่านอธิบดีทัพรู้ด้วยหรือเปล่าครับ อาจเป็นไปได้ว่าท่านอธิบดีทัพและใครอีกคนที่อยู่ในกรมตำรวจนครบาลรวมหัวกันอยู่”

สารวัตรลูบคางใบหน้าเหมือนฟังเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก “หมวดนี่ หากตั้งใจทำงาน ก็เป็นคนเก่งคนหนึ่งเลยนะ มองออกทุกอย่างได้แต่เพิ่งจะทำจริง ๆ จัง ๆ น่าเสียดาย ไม่อย่างนั้นคุณคงเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในทีมนี้แล้ว”

หมวดไฟถึงกับยิ้มแห้ง “โธ่ สารวัตร”

“โอ๊ย ก็แต่ก่อนมัวแต่ใจร้อนไงครับสารวัตร ตอนนี้ถึงเพิ่งจะดูเป็นการเป็นงานกับเขาขึ้นมาจริง ๆ” จ่าธงส่ายหน้า

สารวัตรโขมอมยิ้มเล็กน้อยถึงจะพูดต่อ “ที่หมวดพูดมา มันถูกทุกอย่าง มีคนในกรมตำรวจนครบาลรวมหัวด้วย แลว่าจะดูเป็นคนตำแหน่งสูงนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางโยกย้ายให้ท่านอธิบดีทัพมาดำรงตำแหน่งที่กรมตำรวจภูธร เขตหนึ่ง แทนท่านรองอนงค์ได้หรอก”

“ผมนึกไม่ออกเลยครับ แต่ว่าทางนั้นยังมีสารวัตรนนท์กับท่านอธิบดีวารินอยู่ คงจับได้แน่”

สารวัตโขมขมวดคิ้ว “เรายังไว้ใจใครไม่ได้หรอกหมวด แม้แต่ท่านอธิบดีวารินเองก็ตาม ผมเข้าใจนะว่าคุณนับถือท่านวารินมาก เพราะท่านเองก็เป็นตำรวจที่เก่งมากคนหนึ่ง แต่คนที่ไว้ใจได้มีแค่ทีมเราเท่านั้น”

“ในทีมนี้มีใครบ้างหรือครับ แม้แต่สารวัตรนนท์ก็ห้ามไว้ใจหรือครับ”

สารวัตรคิดหนักมองผ่านกระจกหลังเห็นจ่าธงที่มองมาเช่นกัน “ไม่หรอก สารวัตรนนท์...”

 

 

“ก็อยู่ในทีมนี้เช่นกัน”



 
พ่ายโลกันตร์


 

รถมากหน้าหลายคันจอดเทียบกับหน้าเรือนหลังใหญ่ที่เป็นของคุณหลวงธารานันท์ นายตำรวจทั้งสามต่างลงรถและขึ้นไปบนเรือน เห็นพวกเสือเอี้ยงที่ยืนคุมอยู่และรวมถึงพวกของนายสิงห์ที่มาด้วยเช่นกัน

“มาแล้วหรือ” หลวงธารานันท์เผยยิ้ม “ขอบคุณที่มากันนะ”

“ยินดีครับ” สารวัตรโขมผงกหัวแล้วเดินอ้อมไปยืนข้างหลังโต๊ะรับแขกที่มีคุณหลวงทั้งสองนั่งประจันหน้ากันอยู่และยังมีเสือเอี้ยงที่นั่งขวามือหลวงรวีชัยและนายสิงห์ที่นั่งทางซ้ายมือ

ไฟสบตาอีกฝ่าย ที่อยู่ตรงข้ามกันก่อนจะเป็นสิงห์ที่หันหน้าไปสนใจคุณหลวงธารานันท์ก่อน

“งั้นเข้าเรื่องต่อเลยนะ” หลวงรวีชัยว่า “กระผมเนี่ยอยากให้คุณหลวงเข้าร่วมกับทางเรา ร่วมมือช่วยกันสร้างบ้านเมือง คุณหลวงว่าดีไหมขอรับ”

“แน่หรือขอรับว่าจะดีจริง ๆ”

“อ่าว คุณหลวง ร่วมมือกับกระผมมันไม่ดีอย่างไร กระผมมาถึงที่นี่ถือว่าให้เกียรติท่านมากแล้วนะ”

หลวงธารานันท์หันมองลูกน้องของหลวงรวีชัยก็ได้แต่หัวเราะ “โดยการพาลูกน้องตัวเองมาเป็นโขยงอย่างนี้หรือ”

หลวงรวีชัยหันมองรอบ ๆ ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องร้ายแรง “ทีคุณหลวงยังเอาตำรวจมาเลยนี่ขอรับ ทำแบบนี้ถือว่าไม่ไว้หน้ากระผมนะ”

“แล้วใครกันที่เคยบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกโจร ทำไมถึงได้มานั่งด้วยกันหรือขอรับคุณหลวง” หมวดไฟยิ้มในขณะถาม

“ก็ดีกว่าไอพวกข้าราชการที่เห็นเงินดีกว่าความปลอดภัยของประชาชนล่ะวะ” เสือเอี้ยงเอ่ยว่า

ไฟกัดฟันกรอดเพราะเถียงอะไรไม่ได้ หลังจากเกิดสงครามโลก ข้าวยากหมากแพง ข้าราชการหลายคนเริ่มคดโกงประชาชนกันถ้วนหน้า แต่ถึงจะไม่มีอย่างนี้แต่ก็ยังคดโกงมาเนิ่นนาน “ข้าราชการดี ๆ ยังมี การที่เอาตัวเองไปเป็นโจรมาว่าข้าราชการเยี่ยงนี้แล้วตั้งตัวเองว่าเป็นบุรุษที่ช่วยเหลือประชาชน มันไม่ได้ต่างจากโจรชั่วตามบ้านเมืองเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ขโมยของจากผู้อื่นมา”

“มึง!” เสือเอี้ยงชี้หน้า

“ใจเย็นก่อน วันนี้วันดี มึงไม่อยากทำให้บ้านเมืองมันดีขึ้นแล้วหรือไง” หลวงรวีชัยตบเข่าคนข้างกายเพื่อปราม

“ถึงอย่างนั้น ข้าราชการก็ฮุบของกลางเป็นของตัวเอง ในฐานะที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน คงต้องบอกตรง ๆ ว่าเห็นหมดทุกอย่าง เป็นตำรวจก็ไม่ต่างจากโจร พวกคนใหญ่คนโตที่มีมาได้จนทุกวันนี้ก็รับเงินใต้โต๊ะกันทั้งนั้น ดีไม่ดีอาจจะอยู่เบื้องหลังเองก็ได้” สิงห์ที่เงียบมานานพูดขึ้นและหันมองตำรวจผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างไฟ

“ผมรักในอาชีพตำรวจ และขอพูดตรงนี้ว่าไม่ใช่ตำรวจทุกคนที่จะสนใจสิ่งของนอกกาย เพราะอย่างนั้นผมถึงบอกกับตัวเองว่าจะจับพวกที่คิดคดโกงประชาชนเข้าตารางให้หมด ไม่ว่าจะใหญ่โตมาจากไหน เป็นใคร” ไฟเน้นย้ำและจ้องหน้าคนรักเก่า “ผมก็จะจับพวกมันไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว”

“ก็ได้แค่พูดล่ะวะ กูเห็นใครตบหัวด้วยเงินก็คลานเข่าไปเลียแข้งเลียขาทั้งนั้น”

ไฟจะพูดอีกรอบแต่ก็มีแขนของสารวัตมาบังไว้ “สรุปแล้วที่มาพูดกันวันนี้ จะมาหาความยุติธรรมและเหตุผลที่ดีของตัวเอง หรือมาเพราะเรื่องอะไรกันแน่หรือครับ หากไม่มีอะไรก็ควรจะกลับกันนะครับ เพราะผมเองก็ไม่มีเวลาว่างมากนักทางสถานีเองก็มีเรื่องเข้ามาเยอะ คงอยู่ที่นี่นานไม่ได้”

“จะอยู่ทำไมล่ะครับคุณตำรวจ ก็กลับไปซะสิ คนที่จะคุยคือคุณหลวงไม่ใช่พวกคุณ” เสือเอี้ยงยิ้มมุมปาก

“คุณก็เงียบเถอะครับ เพราะคุณเองก็ไม่เกี่ยวข้อง” สิงห์หันมอง

“เหอะ มึงมันก็พวกไอเจ้าสัวยังจะกล้ามาเข้าร่วม ถ้าไม่ใช่เพราะหลวงรวีชัยเมตตา มึงก็แค่พวกขี้ข้าปลายแถว”

“หยุดได้แล้ว! ไม่อายบ้างหรือไงวะ แม่งกัดกันเป็นหมาไปได้” หลวงรวีชัยโกรธจัดก่อนจะถอนหายใจ “ต้องขอโทษแทนลูกน้องกระผมด้วยนะขอรับคุณหลวง มันก็แค่พูดไปเรื่อย”

หลวงธารานันท์พยักหน้า “เข้าใจขอรับ”

“กระผมว่าเรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า ยังไงหากคุณหลวงอยากเข้าร่วมด้วย กระผมจะคอยช่วยเหลือคุณหลวงอีกมือ คุณหลวงจะได้ไม่งานล้นมือ ให้เป็นตำแหน่งรองกระผมก็ยินดี เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข”

หลวงธารานันท์ก้มหน้ายิ้มก่อนจะเงยหน้ามอง “ไม่ล้นมือสักนิดเลยขอรับ กระผมสบายดี ยังเหลือสิ่งที่ต้องกำจัดไปบ้างในจังหวัดนี้ แต่กระผมก็ทำเองได้ ยังไงยังมีสารวัตรโขมคอยช่วยปราบปรามพวกคนชั่วด้วย เรื่องนี้กระผมคงไม่ต้องห่วง ส่วนเรื่องเศรษฐกิจในบ้านเมืองนี้ กระผมเองก็ดูแลกับคนของกระผมอยู่ ไม่ต้องหาใครมาเพิ่มก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรอกขอรับ”

หลวงรวีชัยถึงกับหน้าถมึงทึงแม้จะไม่พูดชื่อ แต่ก็ดูถูกกันมาก “คิดว่าคุยด้วยแล้วจะคุยง่ายเสียอีก ไม่คิดว่าคนที่ยังปราบปรามโจรในพื้นที่ไม่ได้จะมานั่งพูดมั่นใจอย่างนี้”

“คนของคุณก็คงพูดถูก ว่ายังมีข้าราชการบางคนมันคดโกงคนอื่นโดยการร่วมมือกับพวกคนชั่ว เพราะอย่างนี้ทางกระผมก็ทำงานลำบากเหมือนกัน” หลวงธารานันท์ทำตัวสบายพิงหลังอย่างไม่นึกกังวลสิ่งใด “แต่กระผมให้คำมั่นอย่างหมวดไฟแน่นอน ว่าจะจับพวกข้าราชการที่เป็นขี้ข้าโจรเข้าตารางให้หมดเช่นกัน จะสั่งยุบข้าราชการบางคนก็ยังทำได้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น”

“หึ ถือว่ากระผมเตือนคุณแล้วนะคุณหลวง” หลวงรวีชัยลุกขึ้น

“ไม่จำเป็นหรอกขอรับ” หลวงธารานันท์ยืนส่งและยิ้มให้

“ไป! กลับ!” หลวงรวีชัยสั่งลูกน้องด้วยความหัวเสีย

“เดี๋ยวก่อนสิงห์” หลวงธารานันท์เอ่ยเรียกลูกศิษย์ที่ตนเคยสอนมาหลายอย่างและเห็นเปรียบเสมือนเป็นลูกชายของตัวเอง

สิงห์พยักหน้าบอกหลวงรวีชัยเป็นเชิงว่าให้ไปก่อน “ขอรับ”

“อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลยนะลูก” หลวงธารานันท์ดูเศร้าสร้อย “พ่อไม่อยากให้ลูกต้องแบกรับเรื่องพวกนี้ บางทีลูกควรจะบอก—”

“พอเถอะขอรับ” สิงห์สั่งเสียงแข็ง “กระผมต้องขอบคุณ คุณหลวงที่หวังดีแต่กระผมเลือกแล้ว”

“อย่างน้อยคนที่สำคัญกับลูกก็ควรจะรู้”

สิงห์หันหน้าหนี “อย่ายุ่งกับชีวิตกระผมเลยขอรับ”

“พ่อเห็นเอ็งเหมือนลูกนะสิงห์”

“ในเมื่อคิดอย่างนั้น ก็อย่ายุ่งกับกระผม ถือว่าลูกขอแล้วกันขอรับ” สิงห์หันมองก่อนจะเดินออกไปไม่ฟังเสียงเรียกของหลวงธารานันท์เลยสักนิด

“เรื่องที่คุณหลวงพูด หมายถึงอะไรหรือขอรับ” ไฟถามขึ้น หากไม่ได้ตาฝาดเขาเห็นว่าสิงห์น้ำตาคลออยู่บ้าง

หลวงธารานันท์หันมองอย่างนึกอึดอัด แต่ก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ไม่มีอะไรหรอก”

“คุณหลวง—”

“กลับกันเถอะหมวด” สารวัตรทักขึ้น

“แต่...”

“ไปเถอะ” จ่าธงตบบ่า

“ขอบคุณมาก ๆ ถึงจะคุยกันไม่นานแต่ก็ยังมา”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำตามหน้าที่” สารวัตรก้มหัวก่อนที่จะออกไปขึ้นรถ

“คุณหลวง” หมวดไฟหันกลับมา “ไม่มีอะไรแน่นะขอรับ”

คุณหลวงถอนหายใจ “สักวันหมวดจะรู้เอง ผมไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้”

ไฟพยักหน้าอย่างจำยอมพร้อมตะเบ๊ะให้ท่านและรีบลงไปขึ้นรถ

“สารวัตรครับ” หมวดไฟขานเรียกเมื่อขึ้นมานั่งกับที่บนรถ “ทีมลับที่ว่า ผมสามารถเข้าร่วมได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้” สารวัตรรีบห้ามก่อนที่จะกระแอ่มไอ “หมวดต้องขอกับท่านรองเอาเอง ผมไม่สามารถรับใครเข้าทีมได้”

“แล้วจ่าธงได้อยู่ด้วยหรือเปล่า”

“อยู่”

หมวดไฟตาโต “ทีมนี้จัดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย แถมยังมีพ่อ... ไม่สิ ท่านรอง รวมถึงทั้งสารวัตรนนท์ สารวัตรโขมแล้วยังจ่าธงอีก ผมเคยเห็นสารวัตรนนท์ดูมีปากเสียงกับสารวัตรตั้งแต่งานศพจัน... ไม่คิดว่าจะอยู่ในทีมเดียวกัน แถมสารวัตรนนท์ก็อยู่ที่พระนคร ทำไมถึงได้เข้าร่วมด้วยได้” ไฟขมวดคิ้วก่อนจะนึกขึ้นได้ “หรือเพราะคิดว่ามีพวกของเสี่ยพันธ์อยู่ในกรมนครบาลจึงให้นนท์จับตาดูหรือเปล่าครับ”

ทั้งสองหันมองทางกระจกหลังกันอีกครั้ง จ่าธงหน้าเสียและทำหน้าที่ขับรถปล่อยให้สารวัตรจัดการ

“หมวด”

“ครับ”

“นี่คุณไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้ใช่ไหม” สารวัตรถามอย่างเคร่งเครียด

“ก็ตามที่ผมคิดและปะติดปะต่อมาทั้งหมด ที่จริงผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าสารวัตรนนท์จะเกี่ยวข้องยังไง จนสารวัตรบอกว่าสารวัตรนนท์อยู่ทีมเดียวกัน เข้ากับเรื่องที่ว่าผมถามสารวัตรในเรื่องคนที่ช่วยเสี่ยพันธ์ในกรมตำรวจ หากสารวัตรนนท์อยู่ในทีม ก็คงจะช่วยดูทางนั้น”

“แล้วคิดอะไรได้มากกว่านี้ไหม”

ไฟเงียบไปสักพัก “สมองผมก็ได้เท่านี้แหละครับ หากเป็นสารวัตรนนท์หรือ...” สิงห์ “ก็คงจะคิดได้เยอะกว่านี้ ดีไม่ดี อาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าใครบ้างที่อยู่ในทีมบ้างและแผนจะเป็นยังไง”

สารวัตรพยักหน้า “ที่จริงคนตั้งทีมนี้คือท่านอธิบดีคนก่อนกับท่านรองอนงค์ ท่านเลือกคนที่ไว้ใจเท่านั้น ทุกคนต่างได้รับเลือกเมื่อหกปีที่แล้ว ที่ผมถูกส่งมาที่นี่ก็ถือว่าเป็นแผนหนึ่ง”

“หกปีที่แล้ว...” ปีที่สิงห์ถูกพักราชการหรือ

“ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าวันไหนถึงจะจับพวกมันได้สักที ดูเหมือนจะง่ายแค่จับ ๆ ไป บุกเข้าไปเลยก็จบ แต่ทีมเรามีเพียงไม่กี่คน แล้วยังต้องปิดบังท่านอธิบดีทัพ เราแทบไม่มีพวกบุกเข้าหาพวกมันเลย ทำได้แค่ส่งคนสอดแนมให้ไปเป็นสายด้านในแทน เพื่อจะได้รวบรวมหลักฐานทั้งคนใหญ่คนโตหรือพวกคหบดี ข้าราชการที่ร่วมมือกับพวกมันให้ได้มากที่สุด”

“แต่อีกไม่นานหรอก พวกเราจะจับพวกมันได้แน่” จ่าธงพูด

“ผมตกใจจริง ๆ นะ ที่มารู้เรื่องทีมลับนี้”

“ผมขอแค่หมวดอย่าไปบอกใครหรืออยากรู้อะไรไปมากกว่านี้เลย ทั้งผมและจ่าธงเองก็หนักใจที่ไม่ได้บอกคุณ แต่ทุกคนเห็นว่าคุณยังไม่สามารถเข้าร่วมได้ คงรู้ใช่ไหมว่าเพราะอะไร”

ไฟยิ้มบาง “ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถพอที่จะเข้าร่วม ไหนจะเรื่องการควบคุมอารมณ์ ความคิดอีก ต่อให้ตอนนี้ผมไปขอท่านรอง ท่านก็คงไม่ให้”

“เพราะแบบนั้นเอ็งก็ต้องเข้าใจด้วยนะไฟ ไม่ว่าจะรู้เรื่องอะไรมา ทุกคนต่างมีเหตุผลที่จะทำ” จ่าธงหันมองคนข้างกายเพียงครู่ถึงจะหันไปขับรถต่อ

“ที่ผมเล่าให้ฟังเรื่องทีมลับนี้ มันเป็นเพราะว่าคุณควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเมื่อก่อน และคุณก็เป็นตำรวจคนหนึ่งที่พวกเราไว้ใจ คุณมีไหวพริบ จดจำและเอามาปะติดปะต่อให้ถูกกับเหตุการณ์ ถือว่าสมควรจะรับเข้าทีมนะ แต่แน่นอนว่าคงไม่ได้ เพราะยังไงท่านรองเป็นคนตัดสินไม่ใช่พวกผม”

“ผมเข้าใจครับและขอบคุณที่บอกผมในเรื่องนี้ ผมดีใจที่คนสำคัญของผมทุกคนอยู่ในทีมนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ทีมลับก็คือทีมลับ ไม่ต้องเล่าหรือบอกอะไรมากกว่านี้หรอกครับ หากวันใดผมได้เข้าร่วมไว้ค่อยบอกผมก็ได้” ไฟยิ้มขึ้น

“หวังว่าสักวันคุณจะได้เข้าร่วมนะ ผมเองก็อึดอัดเหมือนกันที่จะไม่พูดอะไรต่อหน้าคุณ... ใช่ไหมจ่าธง”

“ฮ่า ๆ คงอย่างนั้นแหละครับสารวัตร ผมเองก็อึดอัดแทบตาย แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้เหมือนกัน”

“ไว้ผมจะขอท่านรองเรื่องนี้ ทั้งสารวัตรแล้วก็จ่าจะได้ไม่ต้องอึดอัดกันอีก”

“เอาให้ได้ล่ะเอ็ง ข้าขี้คร้านจะปิดบังแล้ว”

“แต่คุณก็จำเอาไว้นะ การที่คุณไม่รู้มันก็คือหนึ่งในแผนของเราเช่นกัน หากถึงวันที่ควรจะรู้ เดี๋ยวจะมีคนมาบอกคุณเอง”

“ครับ...” ไฟคลี่ยิ้ม

 
‘สักวันหมวดจะรู้เอง ผมไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้’

‘หากถึงวันที่ควรจะรู้ เดี๋ยวจะมีคนมาบอกคุณเอง’



มันจะมีความเกี่ยวข้องกันบ้างหรือเปล่านะ กับคำพูดที่คล้ายกันนี้


 


จบบทที่ ๑๗

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: spy_2003 ที่ 31-12-2019 19:40:12
สิงห์อยู่ในทีมลับแน่ๆ อยากให้มาอัพบ่อยๆจัง เข้ามาส่องทุกวันว่าเมื่อไหร่จะอัพนะ แต่ไม่เป็นไรค่ะจะรอติดตามเรื่อยๆขอร้องอย่าทิ้งเรื่องนี้ก้พอค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-12-2019 23:27:19
อยากรู้ตอนต่อไปแล้วนะ ไฟกับสิงห์ จะไปทางไหนต่อ สงสารทั้งคู่
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 01-01-2020 17:54:03
 :L2: :pig4: :3123:

สวัสดีปีใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 11-01-2020 18:32:08
บทที่ ๑๘

สัตว์เดรัจฉาน




เข้าสายของวันผู้หมวดหนุ่มที่ตอนนี้นั่งอยู่ในบ้านหลังเล็กของยายพร ผู้ที่เคยรับนายกฤษกับนายสมหมายเข้ามาทำงานด้วย แก้วพี่ชายคนโตมาหาเขาถึงสถานีเมื่อได้เจอกับทั้งสองคนนั้น เห็นว่ามาหายายพรที่บ้านนี้พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบเฉย ๆ และยายเองก็ไม่ได้บอกเรื่องที่ทั้งเขาและจ่าธงมาหาที่บ้าน และมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากหากสองคนนั้นยังไม่รู้และคิดว่าเราไม่ได้ทำคดีต่อ

“ตาสมหมายบอกว่ามีงานใหม่ทำแล้ว แต่บอกไม่ได้ว่าทำอะไร” ยายพรบอก

“แล้วพอจะรู้ไหมครับยายว่าแกทำที่ไหน จะมีอะไรที่บอกได้ว่าสามารถไปหาแกได้ที่นั่น”

ยายคิดก่อนจะตอบ “ยายก็ไม่รู้หรอก เพราะมาเพียงครู่เดียวก็กลับกันแล้ว”

ไฟถอนหายใจ ยังดีที่รู้ว่าทั้งสองยังคงอยู่ภายในจังหวัดนี้ “ขอบคุณมากนะครับที่ให้ความร่วมมือ”

“จ้ะ ยายแค่หวังว่าจะไม่ลงโทษอะไรพวกเขาเลย”

“ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะครับ ไม่ต้องห่วง” ไฟยิ้มให้และยกมือไหว้ลายายพร เดินออกไปข้างนอกพร้อมสวมหมวกแต่หางตาก็หันไปมองเด็กทั้งสองคนที่หันมาทางนี้ แต่ก็รีบหันหนีอย่างรวดเร็ว

ไฟหันมองรอบ ๆ รวมถึงในบ้านถึงจะเดินไปหาทั้งคู่ “ไงเด็ก ๆ”

“สะ...สวัสดีจ้ะ” แก้วยกมือไหว้ คนน้องเลยยกมือขึ้นตาม

“สวัสดีครับ” ไฟคลี่ยิ้ม “ขอถามเรื่องตาสมหมายกับพี่กฤษได้หรือเปล่า” เป็นอันเข้าใจได้ทันทีเมื่อเด็กทั้งสองรีบก้มหน้าหลบตา

“ทั้งสองคนได้บอกอะไรกับพวกหนูหรือเปล่า ไม่ต้องกลัว พี่แค่ถามเฉย ๆ พี่อาจจะช่วยพวกเขาทั้งสองคนได้ พี่ไม่อยากให้ตำรวจคนอื่นมารู้นะ ไม่งั้นตาสมหมายกับพี่กฤษของแก้วและกล้าอาจจะโดนโทษหนักได้” ไฟใช้คำหลอกล่อ ดูผิดไปเสียหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องจริง ถ้าตำรวจคนอื่นมารับทำต่อและคิดว่าทั้งสองสมรู้ร่วมคิดฆ่าน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อ คงโดนโทษหนัก

ดูได้จากที่แก้วถูกยายบังคับให้มาบอกเขาที่สถานี ตำรวจที่อยู่ข้างล่างต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กคนนี้มายืนใกล้สถานีทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ มาร่วมนาที หากไฟไม่ลงไปดู แก้วก็คงไม่ขึ้นมาบอก

“จริงเหรอ” กล้ารีบโพล่งจนถูกแก้วตวาด

“ไอกล้า! เงียบ”

“ก็ตำรวจเขาบอก”

“หุบปากไปเลย”

“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน” ไฟยกมือปราม “ถ้าไม่มีอะไรจะบอกพี่ งั้นพี่กลับก่อนนะ หวังว่าจะไม่มีตำรวจคนอื่นมาจับตาสมหมายกับพี่กฤษไปนะ” ไฟทำหน้าเศร้าตั้งท่าจะเดินกลับแต่ถูกดึงเสื้อไว้

“เดี๋ยวก่อน” แก้วเม้มปาก

“ว่าไง”

“อย่าให้ตำรวจคนอื่นมาจับพี่กฤษกับตาสมหมายนะ” แก้วอ้อนวอนให้ผู้ที่มีพระคุณ

ไฟพยักหน้า “พี่สัญญา พี่จะไม่ให้ใครมาจับทั้งคู่หรอก” พูดเสร็จก็ชูนิ้วก้อย พอแก้วทำตามก็ดึงนิ้วเล็กไว้ยังไม่ให้ปล่อย “แต่แก้วกับกล้าจะต้องสัญญากับพี่ด้วยนะ… ว่าจะไม่บอกเรื่องพี่กับพวกเขา และหากทั้งสองคนกลับมาที่นี่อีกต้องเล่าให้พี่ฟังด้วยนะ”

แก้วหันมองน้องชายที่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว ตกลงข้อเสนออะไรก็ได้ที่ทำให้ตาสมหมายกับพี่กฤษปลอดภัย

“ก็ได้จ้ะ แก้วสัญญา”

“ห้ามผิดสัญญานะ”

“จ้ะ”

ไฟยิ้มกว้างถึงจะพากันไปนั่งบนแคร่ใกล้สวน ถามได้คร่าว ๆ ว่า นายกฤษแท้จริงเป็นลูกของตาสมหมาย และชอบมาเล่นกับแก้วและกล้า เล่าเรื่องของตัวเองเหมือนเล่านิทานให้เด็กฟัง ครั้งล่าสุดที่มาก็เล่าว่า ต้องไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายแต่ก็ดีใจที่ได้ทำ ภูมิใจที่ได้เป็น ไฟไม่ทราบว่าเป็นในที่นี้มันคืออะไร เพราะแก้วก็พูดเท่าที่เด็กเข้าใจ เห็นบอกว่ารู้สึกผิดกับใครสักคน แต่แก้วดันคิดไม่ออกว่ากฤษพูดถึงใคร

งานเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ไม่ได้ทำกับเสี่ยพันธ์ แก้วเองก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าคืออะไร แต่ไฟก็ดีใจที่แก้วบอกว่าพรุ่งนี้ช่วงเย็นกฤษจะไปบาร์นิรินทร์ หรือบาร์ที่จับเสี่ยโก้ไปหมาด ๆ ซึ่งพรุ่งนี้ของแก้วก็คือวันนี้เพราะทั้งคู่มาหายายพรเมื่อวาน อย่างน้อยถ้าไฟไปแถวนั้นอาจจะเจอ ยังไงรูปที่จ่าธงถ่ายยังติดอยู่ในแฟ้มคดีเขาเองก็จำได้แม่นแล้ว เป็นอีกทางที่พอจะระบุตัวของสองคนนี้ได้

“ขอบคุณมาก ๆ นะ” ไฟยีหัวเด็กทั้งสองบอกลากันเสร็จสรรพไฟถึงจะตีรถกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะอยู่ใกล้กว่าสถานี ยังไงวันนี้ทั้งวันก็ขอสารวัตรมายุ่งกับคดีนี้อยู่แล้ว จึงไม่ห่วงอะไรมาก
 

 

พ่ายโลกันตร์




ไฟอยู่ในชุดลำลองธรรมดาพร้อมกับหมวกติงลี่สีน้ำตาลเข้ม แว่นตาสีชาขยับตามใบหน้าที่หันมองรอบร้าน ไฟยกมือเรียกเด็กบริการจ่ายค่าห้องส่วนตัวที่มีผ้าม่านปิด เป็นห้องเก่าที่ตนเคยจับเสี่ยโก้ในนี้ คงจะดีกว่าหากอยู่หลบมุม ไม่อย่างนั้นคนในร้านบางคนอาจจะจำได้ว่าตนเคยมาที่นี่

ไฟเรียกหญิงบริการคนหนึ่งมาคอยรินเหล้ากับนวดไหล่เพื่อไม่ให้ดูสะดุดตา ต้องควักเงินจ่ายอีกรอบเมื่อบอกให้เธอแค่ปรนนิบัติธรรมดาเท่านั้น

รออยู่นานไฟก็ต้องรีบลุกขึ้นนั่งดี ๆ เมื่อคนที่ต้องการเจอเดินเข้ามาในร้านแล้ว ในรูปไม่มีหนวดเครา ทว่า ไม่เจอนานคงจะไว้หนวดเหนือปากดูไม่ค่อยคล้ายในรูป แถมยังมีรอยบากที่หัวคิ้ว น่าจะเป็นรอยแผลใหม่ ดูท่านายสมหมายจะไม่มาด้วย คนที่เดินเข้ามาจึงมีเพียงนายกฤษเท่านั้น

ไฟตกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นว่านายกฤษเดินมาทางนี้ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่งก็ได้แต่นึกโล่งใจ สาวเจ้ามองยังงุนงงไฟจึงบอกให้เธอไปเอาเหล้ามาเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่มีอยู่ยังไม่ลดสักนิด แต่การบริการก็ต้องทำต่อไม่มีสิทธิ์ต่อรอง

ตำรวจหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเธอเดินออกไปแล้วจึงเอนหลังพิงพนักโซฟา ไม่รู้ว่าโชคหล่นทับหรืออย่างไรที่นายกฤษเข้าห้องข้าง ๆ เขา แต่ก็ยังไม่ได้มองว่าเป็นใครบ้าง

“ขอบคุณที่มานะ” เสียงหนึ่งคนในห้องนั้นพูดขึ้น ไฟคิดว่าคุ้นหูพอตัวแต่ก็จำต้องนั่งฟังทั้ง ๆ ที่ นั่งหันหลังใส่

“มันยากมากเลยครับกว่าผมจะออกมาได้ ไอมั่นมันถามย้ำอยู่นั่น” เสียงนี้น่าจะเป็นนายกฤษที่บ่นออกมา ไฟขมวดคิ้วเมื่อคิดได้ว่าไอมั่นที่นายกฤษว่าจะใช่คนเดียวกับที่เคยเป็นลูกน้องของเสี่ยพันธ์หรือเปล่า ได้ข่าวมาว่าไอมั่นฆาตกรโรคจิตมันไม่ชอบเจ้านายคนใหม่อย่างสิงห์จึงหันไปเลียขาเจ้าสัว เพราะความโหดเหี้ยมของมันที่ทำกับเหยื่อมันถึงขั้นได้เป็นมือขวาที่เจ้าสัวไว้ใจ

จะว่าไปสามฆาตกรที่หนีออกจากเรือนจำในพระนครมาได้ก็มีไอมั่น ไอเทิด และไอภพ ดูเหมือนว่าสามคนนี้จะเดินเส้นทางแตกต่างกัน ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่าไอเทิดที่เคยอยู่กับเสี่ยพันธ์มันหายไปไหนเสียแล้ว เชื่อว่าหากใครไม่นึกถึงสามฆาตกรนี่ก็คงไม่นึกถึงไอเทิดที่ไม่มีใครเห็นหน้าตาเหมือนคนตายไปแล้ว

ไฟตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ในเมื่อไอมั่นอยู่กับเจ้าสัวแล้วนายกฤษพูดถึงมันก็แปลว่างานอันตรายนี้ก็คือเป็นลูกน้องเจ้าสัวอย่างนั้นหรือ?

“ระวังไว้แล้วกัน ไอมั่นไม่ใช่พวกบ้าไร้สมอง มันฉลาด ยังไงหลังจากวันนี้ไปมึงไม่ต้องออกมาแล้วก็ได้” คนฟังแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะหันไปมองอีกห้อง

“ผมก็คิดงั้นพี่ ไม่งั้นนะ ไอมั่นคงบอกเจ้าสัว ผมยิ่งอยู่ต่อหน้าเจ้าสัวแทบไม่ไหว บ้าหนักกว่าไอมั่นหลายโข”

“เฮ้อ ดีแล้วที่อยู่นี่”

“โธ่มึง สบายล่ะสิไม่ต้องพะวงว่าจะโดนจับได้แล้ว”

“แน่นอน นายใหม่กูดีก็แบบนี้แหละ”

“พวกมึงอะต่างก็เสี่ยงกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้มีไอกฤษกับลุงสมหมายที่เสี่ยงกว่าใคร ไม่ช่วยก็คงไม่ได้”

“ไม่เป็นไรพี่ ถือซะว่าได้ลดบาปบ้าง จะเสี่ยงแค่ไหนก็ไม่เท่ากับตอนที่มือเปื้อนเลือดหรอกพี่”

“กูเข้าใจนะกฤษ เพราะพวกกูเองต่างก็มือเปื้อนเลือดกันทั้งหมด สัตว์ร้ายอย่างพวกมันก็ต้องเจอสัตว์ที่ร้ายเหมือนกัน พวกเราทำได้เท่าที่ทำ กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานทั้ง ๆ ที่ไม่อยากเป็น”

“นั่นสิพี่ ถ้าไม่มีพ่ออยู่นะผมคงโมโหยกปืนยิงไอมั่นตอนมันทรมานคนแล้ว แม่ง”

ไฟยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมพวกข้างในนั้นพูดเหมือนตัวเองไม่อยากเป็นโจรอย่างไรอย่างนั้นแหละ

“แล้วตอนนี้มีข่าวอะไรเพิ่มอีกไหม” เสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหลังจากฟังอีกสองคนพูดกับกฤษมานาน มันเป็นเสียงคุ้นหูที่ทักนายกฤษแรกเริ่ม มันคุ้นจนไฟแทบอยู่ไม่สุข

“จะมีลูกน้องเสี่ยตะวันส่งยาให้ทางใต้น่าจะที่ชลบุรี คงจะไปกันหลายคน เสี่ยตะวันไปด้วยเพราะต้องเจอลูกค้ารายใหญ่ที่นั่น ไม่รู้ว่ามันจะไปกันกี่โมงแต่จะไปวันมะรืนครับ”

“อืม เข้าใจแล้ว”

“เอาไงครับ เราจะไปเองหรือส่งข่าว”

“กูไปเอง อย่างน้อยปลาเล็กตัวนี้ตายไปก็เหลือแค่ปลาใหญ่อีกสองตัวที่ต้องจัดการ เรื่องทุกอย่างจะได้จบสักที”

ไฟหันมองสาวเจ้าที่เข้ามาก่อนจะนึกอะไรได้จึงจับเหล้าจากมือเธอวางลงแล้วผลักให้อีกคนนอนลงบนโซฟาส่วนตนก็ลงทาบทับ

“นี่! ถ้าจะทำต้องจ่ายเพิ่มนะ!”

“รู้แล้ว ๆ เดี๋ยวให้เงิน” ไฟว่าก่อนจะปล่อยให้เธอทำตามใจชอบส่วนตนก็เงยหน้าขึ้นมองอีกห้อง

“ยังไงมึงก็ไปพาลุงสมหมายออกมาซะ ก่อนที่พวกมันจะไหวตัวทัน” ไฟตาโตเมื่อเห็นหน้าคนพูด ถึงแม้ผ้าจะบดบัง ทว่า ก็พอมองออก ตำรวจหนุ่มได้แต่นิ่งค้างผิดกับก้อนเนื้อในอกที่เต้นรัวแรง

“ครับคุณสิงห์

“อืม ไปเถอะ เดี๋ยวมีใครมาเจอ” กฤษพยักหน้าและรีบเดินออกไป ไฟที่แทบคิดอะไรไม่ออกก็ต้องจำยอมลุกออกจนหญิงบริการโวย เลยควักเงินให้อีกแดง หันมองอีกห้องด้วยความรู้สึกมากมายแต่ก็ต้องเดินเลี่ยงไปทางที่นายกฤษออกไปแทน

“ไปไหนแล้ววะ” ไฟสบถเมื่อตามมาติด ๆ มันเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่มืดและไม่มีคน เพียงแค่พริบตาเดียวมันก็หายไป

กริ๊ก

“มึงตามกูมาทำไม ใครส่งมึงมา”

ไฟเหล่มองข้างหลังตนก่อนจะยกมือขึ้นเหนือหัวทั้งสองข้างเมื่อถูกปืนจ่อหัวไว้ “รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่ต้องถามมาก มึงตอบกูมาก่อนไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน” กฤษสั่งเสียงแข็งพร้อมกับกระแทกปืนเล็กน้อย

“กูเป็นตำรวจ” ไฟตอบตามจริง ความรู้สึกมันบอกว่ากฤษจะไม่ยิงตัวเอง หลังจากฟังเรื่องพวกนั้นมา มองยังไงก็เหมือนโจรที่เป็นชื่อที่ถูกตั้งใส่คนที่ไม่คิดอยากจะเป็น เหมือนดั่งที่ภพพูดว่าไม่อยากเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไฟเริ่มเข้าใจดีแล้วว่าคนไหนพูดอะไร สามคนที่นัดกฤษมา คือภพ เกื้อและสิงห์ ในเมื่อพูดกันขนาดนี้ คงหวังได้ใช่ไหมว่าสิงห์จะไม่ใช่สัตว์ร้ายตามที่ใครเขาว่ากัน

อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่

“กูไม่เชื่อ”

ไฟสงบลงได้อย่างน่าแปลก รู้สึกสะท้อนใจที่กฤษไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขเพราะต้องพัวพันธ์กับเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นแก้วกับกล้าคงมีพี่ชายที่แสนดีใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว

“กูหมวดไฟ มึงคงรู้จักใช่ไหม” ไฟรู้สึกถึงแรงสั่นจากปลายกระบอก “กูรู้ว่ามึงไม่ทำร้ายใคร”

“หุบปาก!”

“ใจเย็น ๆ นะ” ไฟค่อย ๆ หันตัว เมื่อเห็นหน้าคาตากฤษก็มือสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไร กูไม่ได้จับมึง กูแค่มาถาม”

“ถามอะไร! กูไม่มีอะไรจะตอบมึงทั้งนั้น!”

ไฟลดแขนลง “มึงไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก”

“อย่าทำเป็นรู้ดี!”

“กูได้ยินหมดแล้วในห้องนั้น”

“มึง…” กฤษสบถกับตัวเองแล้วถีบกำแพงเพื่อระบายอารมณ์ “มึงรู้ได้ไงว่ากูจะมาที่นี่ ใครบอกมึง”

“แก้ว”

“มึงทำอะไรแก้ว” เพียงชั่วครู่ที่กฤษกลับมาจ่อปืนที่หน้าผาก ใบหน้าดูโมโหและไฟเองก็เข้าใจดี คงคิดว่าเขาไปขู่อะไรเด็กพวกนั้น

“กูไม่ได้ทำอะไรเลย กูสัญญากับแก้วว่าจะไม่จับมึงแลกกับการเล่าเรื่องของมึงให้ฟังเท่านั้น” ถึงแม้ว่าสัญญานั้นจะมีได้ไม่นานในเมื่อเจ้าตัวรู้แล้วว่าเขาไปหาแก้ว แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขาคิดถูกที่บอกไปแบบนั้น เพราะกฤษคล้ายคนปลงตกเก็บปืนไว้พร้อมกับใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง

“อย่าทำอะไรเด็กพวกนั้น เด็กมันไม่เกี่ยว”

ไฟพยักหน้าและยิ้ม “แก้วกับกล้าเป็นเด็กดี เป็นห่วงคนที่เปรียบเสมือนพี่อย่างมึงมาก”

กฤษเหมือนอึดอัด ใบหน้าที่ดูน่ากลัวนั้นบิดเบี้ยวไปด้วยความทรมานที่กินจิตใจ เมื่อได้ยินว่าน้องชายเป็นห่วงก็ได้แต่พิงกำแพงไถลตัวลงอย่างคนอ่อนแรง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

“พวกมันคงผิดหวังที่ไอพี่คนนี้เป็นโจร”

“ไม่เลย มึงไม่ได้อยากเป็น กูเชื่อว่าแก้วกับกล้าเองก็รู้ดี”

“กูอยากหนี อยากหนีไปให้พ้นจากที่นี่ ไปกับแก้วกับกล้า พาพวกมันไป แต่กูทำไม่ได้” ไฟคอยยืนฟังอีกฝ่ายระบายออกมาเงียบ ๆ “กูคิดแต่ว่าทำยังไงถึงจะอยู่กับเด็กพวกนี้ได้ ทำยังไงถึงจะดูแลพวกมันให้เติบใหญ่ วันที่กูช่วยพวกมันออกมา เด็กมันกอดกูแน่น แค่กูเห็นกูก็อยากจะพาพวกมันออกไปจากที่ที่มีแต่พวกชั่วชั้นต่ำ แต่เพราะกูเกิดมาในดงโจร กูทำงานเป็นโจร กูต้องฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อปากท้อง กูไม่สามารถหนีไปไหนโดยไม่ไถ่บาปให้คนที่กูฆ่าได้”

“ตอนนี้มึงทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว มึงไม่ได้เป็นคนเดิมที่ฆ่าใคร มึงช่วยเหลือคนอื่นและมึงก็ยังช่วยกำจัดพวกโจรร้าย มึงมอบตัวกับกูได้และกูจะบอกว่ามึงเป็นสายให้ตำรวจ โทษจะลด มึงก็จะได้อยู่กับเด็กพวกนั้น”

“มึงได้ยินทั้งหมด...”

“ใช่” ไฟเดินไปนั่งลงข้าง ๆ “ที่บอกเรื่องเสี่ยตะวัน เพราะจะกำจัดพวกมันใช่ไหม”

กฤษคิดหนักมือหนากุมขมับตัวเอง “มึงฟังมึงก็น่าจะรู้”

ไฟยิ้มขึ้นได้แล้วค่อย ๆ ถาม “แล้วที่บอกว่าจะส่งข่าว ส่งไปให้ใคร ตำรวจหรือเปล่า”

“กูตอบไม่ได้”

“ไม่เป็นไร” ตอบไม่ได้ก็ถือว่าใช่ “ถ้างั้นบอกกูได้ไหม เรื่องสิงห์น่ะ”

กฤษหันมองก่อนจะส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่ได้ กูพูดไม่ได้”

“สิงห์ก็ไม่ได้อยากเป็นโจรเหมือนอย่างที่มึงคิดใช่ไหม แค่บอกกูเรื่องนี้ ขอร้อง” ไฟจับไหล่คนข้างกาย

กฤษได้แต่หันหน้าหนี ส่ายหน้าและพึมพำว่าไม่ได้อยู่หลายหน

“ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกเรื่องรถระเบิดผู้หญิงสองคน คุณพิมพ์อรกับต้นอ้อ มึงรู้อะไรใช่ไหม”

“อย่าถามกูเลย กูตอบอะไรไม่ได้จริง ๆ”

“กฤษ… ช่วยกูสักครั้งเถอะ อย่าให้กูทรมานอีกเลย มึงแค่บอกกูมาว่ามึงเห็นพวกเขาตายจริงหรือเปล่า” ไฟกำไหล่อีกฝ่ายใบหน้าเคร่งเครียดจนกฤษมองออก คนที่อึดอัดและอัดอั้นคงจะไม่ได้มีแค่เขา

แต่ก็พูดไม่ได้…

“กูขอโทษนะเว้ย” กฤษตัดสินใจลุกออกแต่ไฟก็ดึงแขนไว้และลุกตาม

“กฤษ บอกกู”

“ไม่ได้” กฤษตั้งท่าจะวิ่งออกไฟเลยจำต้องเตะข้อพับให้อีกคนคุกเข่า

“กูไม่อยากทำร้ายมึงนะ”

“กูพูดไม่ได้จริง ๆ มึงปล่อยกูเถอะ”

“แต่—”

“เฮ้ย ทำไรวะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ไฟรีบหันไปมองก็พบกับเกื้อตามด้วยภพและสิงห์

“หมวดไฟ?” ภพรีบลดปืนลง “มาอยู่ที่นี่ได้ไง”

ไฟกัดฟันก่อนจะทำเป็นจับกฤษไว้ “ผมต่างหากที่ถามพวกคุณว่ามาทำไมกัน ผมกำลังจะจับคนที่ให้การเท็จเรื่องคดีที่ผมทำอยู่ พวกคุณรู้จักเขาหรือไง”

กฤษเริ่มเข้าใจแต่หากเป็นการขอโทษที่ตอบอะไรไม่ได้จึงต้องทำได้แค่นั่งเอาแขนไพล่หลังไว้

“เปล่า ไม่รู้จัก” สิงห์ตอบทันที ใบหน้าที่ดูตกใจเมื่อกี้หายไปแล้ว

“ถ้าไม่รู้จักก็อย่ามายุ่งนะครับ เพราะถ้าหากว่ายุ่ง จะถือว่าสมรู้ร่วมคิดกัน”

ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างหนักใจ กฤษใช้โอกาสที่ไฟไม่ได้จับแขนตนแน่นสลัดออกแล้ววิ่งออกไป

“เฮ้ยหยุด” ไฟตะโกนเสียงดังจะวิ่งตามไปแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเกื้อกับภพวิ่งมาบังไว้ “อะไรของพวกคุณวะ”

“คือมีโจรขโมยของไป ช่วยไปจับให้ทีได้ไหมคุณตำรวจ” เกื้อเอ่ยออกมาแทนความเงียบ และภพก็ได้แต่ถอดถอนใจ

“คิดว่าจะเชื่อหรือไง” หมวดไฟผู้ใจร้อนคนเดิมกลับมาชั่วคราว

“พวกผม...” ภพจะพูดแต่เมื่อเห็นเจ้านายยกมือห้ามก็ต้องเบี่ยงตัวออก

“จะไปขวางภารกิจสำคัญของเขาทำไม นาน ๆ ที จะได้เห็นคนทำงานเป็นสักที ไม่ใช่เอาแต่หัวร้อนกับเรื่องไร้สาระ”

ไฟหันมองก่อนจะเดินไปผลักให้สิงห์ติดกำแพง “สนุกมากรึไง!”

สิงห์ใช้มือกวักไล่ให้ลูกน้องทั้งสองออกจากตรงนี้ถึงจะพูดกับคนตรงหน้า “ก็แค่ลูกน้องกูเผลอไปยืนบังมึงเอง จะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร”

“เหอะ” ไฟยิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเอง “กูแม่งโง่ฉิบหายที่ดูพวกมึงไม่ทัน ว่าโกหกอะไรกูบ้าง”

สิงห์นิ่งไปทันตา แต่ก็ยังคงเล่นละครตบหน้า “คิดเองเออเองอีกแล้วนะผู้หมวด ไหนบอกจะตามจับไง นี่หรือตามจับ หรือตามตัดพ้อไอเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี่นะเหรอ”

ไฟหลับตาระงับโทสะที่แทบจะทะลุออกมา ทำไมถึงยังโกหก ทำไมถึงยังพูดจาว่าร้ายอย่างหน้าตาเฉยชาอย่างนี้ ทำไมถึงทำเหมือนว่าสิ่งที่พูดไปไม่ได้รู้สึกผิด ทำไมถึงชอบทำให้คิดว่าความหวังเมื่อกี้มันจะดับลงอีกแล้ว “มึงเหนื่อยไหมสิงห์”

พอเห็นว่าไม่ตอบอะไรไฟจึงพูดต่อ “ตอนนี้กูไม่มั่นใจอะไรในตัวเองแล้ว ว่ากูจะคิดว่ามึงเลือกเดินทางไหนกันแน่ ทุกครั้งที่กูคาดหวัง ก็จะเป็นมึงที่มาทำลายความหวัง ที่กูถามว่าเหนื่อยไหม กูก็ไม่รู้ว่ากูอยากได้คำตอบแบบไหน คำตอบที่บอกกว่าเหนื่อยจริง ๆ หรือคำพูดที่ทำลายความรู้สึกกูเพิ่มเพื่อให้กูตัดสินใจ ว่าจะไม่เชื่อในตัวมึงอีกแล้ว”

ต่างคนต่างเงียบไปกับความคิดของตัวเอง ใบหน้าตำรวจหนุ่มมีแต่ความเจ็บปวด มือที่บีบไหล่อีกคนแน่นค่อย ๆ คลายลงและปล่อยลงในที่สุด ไฟผละออกมายืนห่าง มองใบหน้าคนรักเก่าที่ไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกใดใดผ่านสีหน้าหรือแววตาออกมาให้เห็น

“กูเข้าใจแล้ว” ไฟพยักหน้า “ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก เพราะมึงแสดงให้กูเห็นหมดแล้ว” ตำรวจหนุ่มกำมือแน่นก้าวขาเดินออกไปด้วยความผิดหวังที่เหนื่อยเกินจะพูดอะไรอีกต่อไป

โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ยังอยู่ที่เดิมกลับนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว...




จบบทที่ ๑๘


-------------------------------------------------------------

สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังค่าาาา

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-01-2020 14:37:01
โว๊ะ...สิ่งที่แสดงออก ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย สิงห์ใจแข็งมากนะ
 :undecided:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 17-01-2020 00:17:46
บทที่ ๑๙

เรื่องของจัน

 


“ไอไฟ ๆ เฮ้ย” จ่าธงสะกิดไหล่หลานชายที่นั่งเหม่อคนเดียวมาตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าไปเจออะไรมาถึงได้นั่งทำหน้าอมทุกข์แบบนี้

“ขอโทษทีลุง” ไฟยิ้มบางเขยิบลุกขึ้นมานั่งดี ๆ “มีอะไรหรือเปล่า”

“เออ จะมาบอกว่าสารวัตรนนท์โทรมา กำลังรอสายอยู่”

“ขอบคุณครับ” ไฟผงกหัวและรีบลุกไปที่โทรศัพท์ของสถานี “ว่าไงนนท์”

(ขอโทษทีนะ ไม่ได้ติดต่อไปเลยตั้งแต่นายกลับไป)

“อืม ไม่เป็นไรหรอก แล้วมีอะไรหรือเปล่า”

(ฉันตามสืบเรื่องของจันมาแล้วนะ)

ไฟตาโต “เป็นยังไงบ้าง เจออะไรไหม”

ได้ยินเสียงกุกกักดังจากปลายสายคิดว่านนท์กำลังค้นอะไรอยู่ (ฉันเพิ่งไปดูจากประวัติในแฟ้ม จันบอกเองว่าพ่อเป็นตำรวจมาก่อนและเป็นลูกน้องของท่านอธิบดีวาริน แต่ในนามสกุลเก่าของจัน ไม่มีตำรวจคนไหนใช้นามสกุลนี้เลย มันคงเป็นไปได้ว่าจันอาจจะใช้นามสกุลแม่ แต่ว่าจากที่ฉันไปสืบมาอีก คนที่ใช้นามสกุลนี้คืออดีตโจรร้ายในจังหวัดนายที่ท่านรองอนงค์เคยตามจับ อาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นญาติกัน)

ไฟพยักหน้า “แล้วโจรที่ว่านั่นคือใคร เผื่อที่สถานีจะยังมีคดีเก่า ๆ อยู่ในคลัง”

(ชื่อนายจิตษา หรือที่คนมักเรียกว่าไอษาน่ะ)

“คนนี้...” สมัยเด็กไฟจำได้ว่าข่าวนี้ดังเป็นอย่างมากที่มีโจรชื่อษาบุกปล้นไปทั่วและไม่มีใครตามจับได้ แต่สุดท้ายก็โดนพ่อของเขาจับไป ถ้าให้ขุดก็คงยากเพราะเรื่องนี้จบไปนานแล้วและตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็กนักเรียนจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก แล้วยังเป็นช่วงที่เจอสิงห์ครั้งแรก ความสนใจจึงอยู่ที่สิงห์มากกว่า “ตอนนั้นฉันเพิ่งจะขึ้นมัธยมหนึ่งเอง แต่ก็จำได้ว่าพ่อเคยจับคนนี้... จริง ๆ ฉันก็แทบไม่ได้พูดคุยเรื่องคนในครอบครัวกับจันเลย แม่กับน้องสาวที่หายไปก็ไม่ได้รู้อะไรมากแม้กระทั่งชื่อหรือหน้าตา เรื่องพ่อจันที่เป็นตำรวจก็เพิ่งจะมารู้จากนาย”

(ฉันเองก็ไม่เข้าใจ แล้วฉันก็ไม่ได้บอกนายไว้ว่าก่อนที่จันจะไปประจำที่เดียวกับพวกนาย จันบอกกับฉันเองว่าพ่อเป็นตำรวจแล้วยังเป็นลูกน้องของท่านอธิบดีวาริน)

“น่าตกใจอยู่เหมือนกันนะที่คนที่จันเคยบอกว่ารับมันไปเลี้ยงคือท่านอธิบดีวาริน แต่ฉันก็แทบดูไม่ออกเลยนะ ที่งานศพท่านอธิบดีก็ไม่เห็นจะมาแสดงชื่อตนว่าเป็นญาติของจัน ถึงจะไม่ใช่ญาติแท้ ๆ แต่ก็ถือว่ารับเลี้ยงมาแล้ว”

(ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันว่าจันคงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร แต่เพราะว่าฉันเคยเห็นจันลงรถคันเดียวกันกับท่านอธิบดีอยู่หลายครั้งและดูพูดคุยสนิทสนมกันตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนนายร้อย ตอนนั้นฉันถึงถามว่าใครกันที่คอยส่งจันเรียน จนก่อนจันจะย้ายฉันเลยถามอีกครั้งตรง ๆ จนได้คำตอบทุกอย่างที่ฉันสงสัย)

“อ๋อ เข้าใจแล้ว พอพูดถึงเรื่องนั้นไอฉันก็พาลคิดว่านายหาเรื่องจันมัน” ไฟยิ้มขำพร้อมส่ายหัวกับความใจร้อนของตัวเอง

(ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว แต่เรื่องจันน่ะยังไงก็ฝากลองค้นแฟ้มเก่า ๆ ดูนะว่ามีไหม หรือลองถามใครสักคนที่เคยช่วยการจับนายจิตษาตอนนั้นด้วยก็ได้)

“ลุงธงก็เคยตามจับพร้อมพ่อ”

(ลองถามดูแล้วกัน เรื่องนานขนาดนี้คงจะค้นแฟ้มเก่า ๆ ยาก)

“ขอบคุณมากนะที่โทรมาบอก”

(ยินดีเสมอ)

“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

นนท์เงียบไปนานก่อนจะพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับคนอย่างนนท์ (ฉันไปทำคนท้อง)

“ห๊ะ! พูดล้อเล่นอะไรอยู่วะ ไม่ขำนะเว้ยนนท์”

(ฉันถูกใส่ยา)

“ได้ยังไง นายไม่ระวังตัวเลยหรือ”

(ฉันไปรับท่านหญิงแหวนเพื่อไปเต้นรำที่งานเลี้ยงตามคำสั่งเด็จพ่อ ตอนไปก็ดีอยู่แต่ว่าท่านหญิงบอกอยากกลับฉันจึงจะไปส่ง แต่ตอนนั้นฉันรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองเลยรู้ว่าโดนวางยา ฉันจึงต้องรีบจอดรถ แต่ก็มีคนแอบขับรถตามมาพาฉันกับท่านหญิงไปที่บ้านหลังหนึ่ง พวกมันจับฉันมัดและกรอกเหล้าเข้าปาก ถึงจะจำอะไรไม่ได้แต่ก็รู้ว่าต้องทำอะไรแย่ ๆ กับท่านหญิง เป็นฉันที่ผิดเองด้วยที่ปกป้องตัวเองและท่านหญิงไม่ได้ เพราะเธอก็ถูกบังคับ ฉันกับท่านหญิงเคยพูดเรื่องนี้กันแล้วว่าฉันยังไม่ลืมปิ่นและไม่คิดจะเริ่มต้นใหม่ เธอเองก็ไม่อยากถูกพ่อบังคับ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น)

ไฟนิ่งค้างไปกับข่าวใหม่ที่ทำเอาไปต่อไม่ถูก “ท่านหญิงแหวนที่ว่าคือคนที่พระองค์วายุภักษ์อยากให้เสกสมรสด้วยหรือเปล่า”

(ใช่ คนนี้แหละ เราได้กลับมาคุยกันอีก สำหรับฉันท่านหญิงแหวนเป็นน้องสาวที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง แต่พ่อของเธอ... เฮ้อ ฉันเองก็หนักใจ แต่ฉันต้องรับผิดชอบ)

“นานหรือยังเรื่องนี้”

(เดือนกว่าได้ ฉันบอกเสด็จพ่อแล้ว พระองค์เลยตัดหางอีกฝั่งที่หักหลังตัวเองแล้วรับดูท่านหญิงแหวน เพราะท่านหญิงก็ไม่อยากอยู่กับคนในสายเลือดที่เห็นเธอเป็นของใช้แทนที่จะเป็นลูก)

“โธ่นนท์ คุณปิ่นเพิ่งเสีย...”

(ฉันรู้ ฉันทำอะไรไม่ได้ไฟ ฉันต้องรับผิดชอบ)

“ถึงจะถูกวางยาจัดฉากมาซะอย่างดีแบบนี้ แต่ยังไงคนผิดก็นายด้วย ฉันว่านายควรจะบวชสักพรรษาหรือทำบุญเสียหน่อยไหมวะ”

ปลายเสียงหัวเราะเล็กน้อยคงจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อไฟพูดล้อ (คงอย่างนั้นแหละ เรื่องของฉันไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง ส่วนเรื่องจันฝากนายทำต่อด้วยแล้วกัน มีอะไรก็ไว้ติดต่อมา ฉันคงยุ่งกับทางนี้ยาวทั้งงานทั้งวงศ์ตระกูล)

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก ๆ ที่บอกกัน แล้วก็ต่อไปนี้หัดระวังตัวไว้บ้างแล้วกัน อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

(อืม จะระวัง)

“เฮ้อ” ไฟถอนหายใจยาว วันนี้มีหลายเรื่องประดังเข้ามาจนหัวรับแทบไม่ทัน ยังดีที่ทำให้ลืมเรื่องเมื่อวานไปได้เยอะจะได้มีอะไรทำแทนที่จะมานั่งเปลืองเวลางานอย่างนี้

“เป็นไงบ้างล่ะ คุยนานเชียว อย่าลืมจ่ายค่าโทรศัพท์ด้วยนะเว้ย” พอเห็นหลานเดินกลับมาจ่าธงก็บ่นทันที

“ไม่กี่นาทีเองลุง” ไฟส่ายหัวแล้วนั่งที่โต๊ะทำงาน “ว่าแต่ลุงรู้จักโจรที่ชื่อจิตษาหรือเปล่า”

จ่าธงดูตกใจ “เอ็งไปรู้มาจากไหนวะ”

“เถอะหน่าลุง เล่าให้ผมฟังทีว่าจิตษาเนี่ยมันเป็นยังไง”

แกมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วพยักพเยิดไปทางข้างนอก “ไปนั่งร้านกาแฟ”

ไฟพยักหน้าและลุกออกไปพร้อมกับลุงธง ที่ดูท่าจะไม่ใช่แค่โจรธรรมดา


 

พ่ายโลกันตร์


 

“ตกลงลุงจะเล่าให้ผมฟังหรือยัง” ไฟคะยั้นคะยอ เพราะตั้งแต่ลงมาที่นี่ ลุงธงก็เอาแต่เงียบและบอกให้รอได้กาแฟก่อน จนตอนนี้กินกันไปจะครึ่งแก้วแล้วแกก็ยังไม่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไรนอกจากใบหน้าที่ดูเครียดจริง ๆ

“เรื่องนี้มันนานแล้ว เอ็งจะอยากรู้ไปทำไมวะ”

“มีความลับที่ไม่ได้เปิดเผยไว้หรือไง ถึงได้ไม่ยอมเล่าเสียที” ไฟขมวดคิ้ว

“เฮ้อ สัญญากับข้าก่อนว่าถ้าเล่าไปเอ็งจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร”

“แล้วจะให้ผมไปเล่าให้ใครฟังล่ะ”

“เออช่างเถอะ ยังไงเอ็งก็ควรจะรู้ความจริง เพราะยังไงก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อเอ็งด้วย”

พอเห็นว่าหลานพยักหน้าจ่าธงจึงเปิดปากเกริ่น

“ข้าจะเล่าตั้งแต่ต้นแล้วกัน ตอนนั้นพ่อเอ็งกับคนที่ชื่อจิตษาถือว่าเป็นพี่น้องกันแม้จะคนละสายเลือด...” ถึงจะตกใจแต่ก็รอให้ลุงธงได้เล่าต่อ “ทั้งจิตษาและอนงค์ต่างก็เป็นเด็กกำพร้าทั้งคู่ แต่ได้พระยาเศกสรรค์รับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ทั้งคู่สนิทสนมเสมือนพี่น้องแท้ ๆ อนงค์เหมือนพี่ชาย จิตษาเหมือนน้องชาย แต่หลังจากพระยาสิ้น ทั้งคู่ได้สมบัติคนละครึ่ง อนงค์เจอกับฤดี ส่วนจิตษาเจอกับเริงรันย์ ทั้งคู่เลยต่างแยกย้ายกันไปมีครอบครัวแต่ก็ไปมาหาสู่กันเสมอ อนงค์ได้เป็นตำรวจตามที่ฝัน แต่เป็นได้ไม่นานก็มีข่าวว่าบ้านของจิตษาถูกรื้อค้นโดยตำรวจสันติบาล เพราะรูปโจรสมัยนั้นมันดูยากเลยดันไปคล้ายกับจิตษา อนงค์พยายามช่วยแต่เพราะตอนนั้นตำรวจมันคิดจะขืนใจเมียจิตษา มันเองเลยหมดความเชื่อในตัวตำรวจ ไม่ฟังพี่ชายของมัน หนีไปหลบคนเดียวและปล้นพวกคหบดีหรือข้าราชการรวย ๆ ไปแจกชาวบ้าน จนมีพวกโจรในชุมชนเข้าไปอยู่เป็นลูกน้องของมันกัน”

แกถอนหายใจเมื่อนึกถึงอดีต “ข้ารู้จักทั้งคู่ดีเพราะข้าก็อยู่บ้านใกล้อนงค์มานาน ได้คุยกันหลายหนได้รู้เรื่องเก่า ๆ เยอะ จนข้าเพิ่งได้เป็นตำรวจหลังพ่อเอ็ง มันอยู่ในช่วงที่ทางกรมตำรวจต้องการจับตายจิตษา เอ็งก็คงรู้ว่าตอนนั้นพ่อเอ็งเป็นหัวหน้าตำรวจสถานีอ้อยขวาง ส่วนคนเป็นรองก็คือไอทัพ”

“สารวัตรทัพน่ะหรือ”

“ใช่ มันนั่นแหละ ตอนนั้นข้ากับอนงค์จะไปหาจิตษากันแค่สองคนแต่ไม่รู้ว่าตำรวจคนอื่นหาเจอได้ยังไง จนมันชุลมุน จิตษาก็คิดว่ายกคนมาฆ่าพวกตัวเองเลยมีการปะทะกันเกิดขึ้น อนงค์กับข้าหาทางเลือกไม่ได้เลยจะไปหาจิตษาเพื่อพาหนี แต่ตอนนั้นไอทัพมันดันตัดหน้ายิงจิตษาไปก่อนเสียแล้ว” ลุงธงดูหนักใจ “จิตษาไม่เคยขอร้องอะไรอนงค์เลย แต่ก่อนที่จะตายมันขอให้อนงค์พาลูกกับเมียมันหนีไป”

“จิตษามีลูกด้วยหรือ”

ลุงธงพยักหน้า “ลูกชายกับลูกสาวน่ะ”

“แล้วชื่ออะไร ตอนนี้หาเจอกันหรือยัง” ไฟร้อนรนทำไมอะไรหลาย ๆ อย่าง ถึงทำให้คิดว่าจันอาจจะเป็นลูกของจิตษา...

“ไม่มีวันนั้นแล้วแหละไฟ เพราะสุดท้ายตำรวจที่ไปด้วยตอนนั้นยิงตายไปแล้วและทั้งสามก็ร่วงลงน้ำ ศพก็คงจะจมหรือไม่ก็ลอยไปกับสายน้ำแล้วล่ะ อนงค์โกรธจนไล่ตำรวจพวกนั้นออก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

“ไม่ใช่หรอกหรือ...” ไฟถอนหายใจ “ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดตอนนั้นผมสนใจคงจะได้เจออาของตัวเองแล้ว”

“ข้าเอ็งก็ลืมไม่ลงหรอก จิตษามันเป็นคนดี คำขอสุดท้ายของมันยังไม่ทันไรข้ากับอนงค์ก็ทำมันพังเสียแล้ว”

ไฟนึกเห็นใจทั้งลุงธงและพ่อตน “ไม่เป็นไรหรอกลุง เรื่องมันนานมากแล้ว”

“หากว่าพ่อเอ็งคิดอะไรหรือห่วงเอ็งเกินเหตุ เอ็งก็อย่าไปโทษอนงค์มันเลยนะ มันไม่อยากเสียใครไปอีก ที่ทำเพราะอยากปกป้องเอ็งกับฤดี”

“ผมเข้าใจ”

“ถ้ารู้อะไรจากนี้ก็อย่าโกรธอนงค์มันเลยนะ”

ไฟขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “ไม่โกรธหรอก ผมรู้ว่าพ่อห่วงผมกับแม่ แต่ถ้าเรื่องไหนมันมากไปก็อยากให้พ่อคุยกับผมกับแม่ก่อนก็ดี”

จ่าธงพยักหน้า “ข้าก็อยากให้อนงค์มันพูดกับเอ็งบ้าง นิสัยใจร้อน บุ่มบ่ามนี่ข้าบอกเลยว่าเอ็งได้มาจากไออนงค์แท้ ๆ เชียว”

“ผมก็คิดงั้น” ไฟยิ้มขำก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจะถามเรื่องจิตษามีญาติไหม “แล้วลุงรู้ไหมว่าอาจิตษาเนี่ยมีญาติอื่นอีกหรือเปล่าที่มีนามสกุลเดียวกันน่ะ”

“จะมีได้ไง บอกไปแล้วว่าจิตษามันเป็นเด็กกำพร้า นามสกุลนี้พระยาเศกสรรค์เป็นคนตั้งให้”

“อ่าว แล้วทำไมพ่อกับอาจิตษาถึงใช้คนละนามสกุลล่ะ”

“นามสกุลพ่อเอ็งก็เป็นของปู่เอ็งไง” จ่าธงเห็นหลานไม่เข้าใจจึงอธิบาย “ก็ปู่กับย่าเอ็งเสียไปตั้งแต่อนงค์เกิดได้ไม่กี่เดือนเอง กลายเป็นเด็กกำพร้าให้พระยารับเลี้ยง ปู่เอ็งถือว่าเป็นคนที่พระยาไว้ใจมาก เป็นที่ปรึกษาให้พระยาก็ว่าได้ท่านเลยให้ใช้นามสกุลปู่เอ็งเหมือนเดิม ส่วนนามสกุล ‘เศิกสรรค์’ ก็ได้มาจากชื่อ เศกสรรค์ของพระยา”

ไฟก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเพราะในเมื่อนามสกุลนี้พระยาตั้งให้แล้วจันทำไมถึงมีนามสกุลนั้น “แล้วหลังจากนั้นมีใครมีนามสกุลเศิกสรรค์อีกไหม”

จ่าธงนึกสักพัก “ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่คงไม่มีแล้วล่ะมั้ง ข้าว่าพระยาให้แค่จิตษาคนเดียวแหละ”

“อ่อ” ไฟพยักหน้าแต่ก็ยังสงสัย คงต้องรอถามนนท์อีกที

 


พ่ายโลกันตร์


 

ไฟขออยู่เวรแทนเพราะยังมีเรื่องจะคุยกับนนท์ต่อ หลังจากโทรศัพท์ไปก็เล่าให้ฟังทุกอย่างที่ลุงธงได้เล่าไว้ นนท์คิดเหมือนกันว่าจันอาจจะเป็นลูกของจิตษา แต่เพราะลุงธงบอกว่าทั้งสามคนตายไปแล้วจึงไม่อยากตัดสินใจ

(ถ้าเป็นลูกของคุณจิตษาจริง ฉันว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องใหญ่)

“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เสียดาย... หากจันยังอยู่คงคุยกับจันได้” ไฟนึกถึงเพื่อนก็ยิ่งเศร้า ภาพก่อนที่จันตายยังคงติดตามาจนถึงทุกวันนี้

(ฉันก็อยากจะรู้นะ ว่าถ้าเกิดท่านรองมารู้ว่าจันใช้นามสกุลเดียวกับน้องชายตัวเอง ท่านจะรู้สึกยังไง)

“แล้วหากจันเป็นลูกของอาจิตษา... ฉันคงรู้สึกผิดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย และไม่ถามอะไรจัน”

(อย่าโทษตัวเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาทำผิดพลาดกัน ฉันว่าฉันน่าจะเริ่มรู้อะไรบางอย่างแล้ว)

เสียงของนนท์ดูนิ่งเรียบ ทว่า ก็ดูคุกรุ่นจนคนฟังทางไกลยังรู้สึก “เป็นอะไรหรือเปล่าวะนนท์”

(ฉันล่ะอยากให้นายรู้ความจริงทั้งหมด นายคงจะเอะใจเหมือนฉัน)

“ความจริงอะไร”

(ขอถามนายก่อนว่าเจอเบาะแสอะไรเกี่ยวกับคุณพิมพ์อรหรือยัง)

“เจอแล้วล่ะ” ไฟเล่าตอนที่เจอกับนายกฤษ “ฉันคิดว่าสี่คนนั้นต้องวางแผนอะไรกันอยู่ แต่ว่าสิงห์ก็มักจะทำให้ฉันไม่กล้าจะคิดไปทางนั้น”

คนปลายสายถอนหายใจ (สิงห์นะสิงห์... เอาเป็นว่าเรื่องทั้งหมดนายจะกระจ่างได้ หากลองไปพบกับท่านรองและบอกว่าจันใช้นามสกุลเดียวกับจิตษา)

ไฟขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง”

(ฉันคิดว่าท่านรองคงจะต้องพูดแน่ เรื่องจริงที่นายตามหามาตลอด)

“ที่บอกคงหมายถึงเรื่องสิงห์ใช่ไหม”

(ใช่ ฉันขอโทษนะไฟที่ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะต้องทำตามหน้าที่ ขอโทษจริง ๆ)

ไฟเงียบไปทันตา มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย “นนท์...”

(ลองไปถามท่านรองเอาเองเถอะนะ)

“มีใครรู้บ้าง” ไฟเริ่มเสี่ยงสั่น

(ทุกคน...)

“นานแค่ไหน”

(...)

 

 

(ตั้งแต่สิงห์พักราชการ)

 


พ่ายโลกันตร์


 

ไฟอยู่ในชุดลำลองธรรมดาหลังจากรู้เรื่องก็ได้รีบออกบ้านตั้งแต่ออกเวร คนอารมณ์ร้อนคนเดิมกลับมาไม่ฟังแม้แต่สารวัตรหรือแม่ เปลี่ยนแค่ชุดไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าเผื่อนอน บึ่งรถมาด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตั้งแต่เมื่อคืน

ไฟบีบพวงมาลัยจนมือแดง กัดฟันจนเจ็บกรามไปเสียหมด โกรธจนจะร้องไห้ก็คงจะเป็นอย่างนี้

ขับรถเกือบสามชั่วโมงได้ ถึงจะมาที่กรมตำรวจภูธร เขต ๑ ไฟรีบลงรถเข้าไปด้านใน บางคนที่คุ้นหน้าตะเบ๊ะให้ และจะเข้ามาถามแต่ก็โดนไฟผลักออกและตรงไปยังห้องของท่านรองของกรมตำรวจ

ปัง!

“ไฟ...” อนงค์ขมวดคิ้ว สารวัตรโขมโทรมาบอกแล้วแต่ไม่คิดว่าจะมาถึงนี่ “มีอะไรก็พูดดี ๆ อย่ามาทำแบบนี้”

ไฟจ้องพ่อเขม็ง “พ่อรู้อะไรบอกผมมาให้หมด”

“พูดอะไรของเอ็งวะ”

“เรื่องของสิงห์บอกผมมา” ไฟกดเสียงต่ำ

อนงค์ดูตกใจเล็กน้อย “พูดเพ้อเจ้ออะไรอยู่”

“พ่อ บอกผมมา”

“กลับบ้านไปเสีย พ่องานยุ่ง”

“บอกผมสิพ่อ! จะปิดไปอีกนานแค่ไหน พ่อเห็นผมเป็นลูกหรือเปล่าวะ” น้ำสีใสไหลออกมาไม่หยุดเป็นเพราะความโกรธหรือเสียใจก็ยังไม่รู้

“ก็เห็นเป็นลูกไงวะ กูทำทุกอย่างก็เพื่อมึง”

“งั้นหรือ” ไฟพยักหน้า “ผมถามหน่อยนะว่าคนที่ชื่อจิตษา นามสกุลเศิกสรรค์ใช่ไหม”

“มึงรู้ได้ไง” อนงค์ถึงกับลุกขึ้นดูตื่นตระหนกจนเห็นได้ชัด

“ลุงธงเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”

อนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่สบถ “งั้นก็จำเอาไว้ว่าที่พ่อทำมันทำเพื่อเอ็ง ถ้าไม่มีธุระไรแล้วก็กลับไปเถอะ”

“ผมถามพ่อ” ไฟขึ้นเสียง “อาจิตษาใช้นามสกุลเศิกสรรค์ใช่ไหม”

“เออใช่ มันทำไมนัก”

“พ่อคงรู้จักเพื่อนผมที่ชื่อจันสินะ” ไฟกำหมัดแน่น “นามสกุลเก่าของจันคือเศิกสรรค์ มันบอกผมว่าอยากตามหาแม่กับน้องที่หายไป แล้วอาจิตษามีเมียและลูกชายกับลูกสาว พ่อคิดว่ายังไงล่ะ”

อนงค์นิ่งค้าง เบิกตาโต ตัวสั่นเทิ้มไปกับความจริงที่เพิ่งรู้ “จันน่ะเหรอ...”

“ใช่ จันเพื่อนผม จันที่ถูกสิงห์ฆ่า นนท์บอกผมว่าจันถูกท่านอธิบดีวารินรับเลี้ยงและนามสกุลเก่าเหมือนกับอาจิตษา”

“ไม่จริง” อนงค์ส่ายหน้ามือทั้งสองค้ำโต๊ะไว้ “ไฟอย่าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น”

“ผมไม่ได้ล้อเล่น พ่อต่างหากที่คิดอะไรอยู่ ผมไม่อยากจะคิดแล้วว่าทำไมจันถึงนามสกุลเหมือนอาจิตษาเพราะจันก็เคยบอกว่ามีน้องสาวกับแม่ที่หายไป มันตรงกันหมด ผมไม่อยากหลอกตัวเองแล้วว่าก็แค่ญาติทั้ง ๆ ที่ จันอาจจะเป็นลูกของอาจิตษา” ไฟพรั่งพรูออกมาก่อนจะตกใจเมื่อเห็นพ่อตนเองทรุดลงนั่งคุกเข่า ใบหน้าที่ดูเกรงขามกลับบิดเบี้ยวจากความเสียใจ

“ไม่จริง! กูไม่เชื่อ!” อนงค์ตะโกนเสียงดัง คนที่ดูเข้มแข็งกลับร้องไห้ออกมา

“พ่อ...” ไฟเริ่มสงบสติค่อย ๆ เดินไปนั่งประคองพ่อตนเอง

“บอกพ่อทีว่าไม่ใช่เรื่องจริง” อนงค์ตาแดงก่ำมือเหี่ยวแห้งจับแขนลูกชายถามย้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น

“ผมขอโทษ...” ไฟก้มหน้า

“โธ่เว้ย! ทำอะไรของมึงวะไออนงค์!” ผู้เป็นพ่อต่อยมือลงพื้นอยู่หลายหนจนเลือดซึม ไฟพยายามห้ามแต่ก็ถูกผลักออก ยิ่งมองก็ยิ่งคล้ายตัวเองตอนที่โมโหจัด ไฟรีบโทรบอกทางสารวัตรโขมให้พาแม่มาที่นี่ส่วนตนก็ไปเรียกคนอื่นมาช่วยหยุดพ่ออีกแรง เพราะรู้ว่าคนโกรธจะมีแรงกว่าปกติ

เกือบชั่วโมงที่พ่อเริ่มสงบ ไฟพากลับบ้านที่พ่อซื้อเอาไว้หลังจากท่านคลุ้มคลั่งมานาน แกนั่งนิ่งเหม่อลอยมองท้องฟ้าแม้จะเห็นว่าใบหน้ายังคงมีรอยน้ำตาที่ยังคงไหลอยู่อย่างนั้น ไฟถอนหายใจ ยิ่งเห็นพ่อตนเป็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด โทสะที่กักเก็บไม่ได้มันทำร้ายใครหลายคนจริง ๆ

นั่งรออีกหลายชั่วโมงถึงจะเห็นแม่รีบวิ่งมาทางนี้พร้อมกับลุงธง

“พ่อเป็นอะไรลูก” ฤดีรีบถามไถ่กอดสามีทันทีที่มาถึง

“ผมขอโทษครับ ผมรีบร้อนเลยพูดอะไรไม่สิ้นคิด”

“อะไรของเอ็งไอไฟ” ลุงธงดูโมโห

“พี่ธง” อนงค์เอ่ยเรียกพี่คนสนิท

“อะไรวะ ลูกเอ็งทำไรบอกกูมา กูจะสั่งสอนให้ไอเด็กคนนี้”

อนงค์ยิ่งร้องหนัก “จัน... จันมันเป็นลูกของไอษา”

“ว่าไงนะ!” จ่าธงตะโกนเสียงดัง

“จริงหรือพี่” ฤดีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เพื่อนของไฟคนนั้นน่ะเหรอ

“มึงแน่ใจใช่ไหมอนงค์”

“นามสกุลเก่าของจันคือเศิกสรรค์ครับ” ไฟตอบให้

“แล้วเอ็งไปได้มาจากไหน”

“จากผมครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นหันไปก็เป็นนนท์ที่มาที่นี่ด้วยชุดลำลองไม่ต่างกัน “ผมตามสืบเรื่องจันกับไฟเพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา ผมไปเจอแฟ้มนี่ที่ห้องอธิบดีวาริน” นนท์ยื่นให้จ่าธงก่อนที่แกจะตกใจ

“เรื่องจริงหรือ” ฤดีรับมาดูกับสามี

“ที่ผมบอกให้ไฟมาถามท่านรอง เพราะผมคิดว่ามันควรจะถึงเวลาแล้ว เพราะท่านรองได้ตัดสินใจผิดพลาดไปและผมคิดว่ามันหนักเกินไปที่จะต้องมีคนคนเดียวคอยแบกรับเรื่องที่ตัวเองก็ไม่รู้”

“อนงค์” จ่าธงหันมอง

“ผมเองก็ผิดที่รีบตัดสินใจให้ไฟมาหา เพราะผมก็เพิ่งนึกได้ว่าทั้งท่านรองและจ่าธงดูจะไม่รู้จริง ๆ ว่าจันคือลูกของคุณจิตษา ถึงจะมีส่วนน้อยที่คิดว่าไม่ใช่แต่เมื่อผมคิดว่าสิ่งที่จันเคยขู่ท่านรองว่าจะแก้แค้นแทนแม่กับน้องสาวที่ท่านรองฆ่า ผมเลยคิดว่ามันมีส่วนมากกว่า”

ไฟที่เพิ่งรู้รีบหันมองพ่อตน “จริงเหรอพ่อ จันน่ะเหรอพูดอย่างนั้น”

“เฮ้อ” จ่าธงเริ่มปลงตก “ยังมีอีกหลายเรื่องที่เอ็งไม่รู้ไอไฟ จันเพื่อนเอ็งน่ะเคยคิดจะฆ่าเอ็งหลายหน และยังจะฆ่าฤดีอีก”

“ทำไมล่ะลุง ผมไม่เชื่อหรอก”

“จันบอกว่าท่านรองเคยฆ่าแม่กับน้องสาวทั้ง ๆ ที่ปล่อยไปก็ได้ มันก็เข้าเค้ากับที่ว่าเมียและลูกของคุณจิตษาถูกลูกน้องของท่านรองยิงตายและตกน้ำไป” นนท์พูดต่อ

“เรื่องนั้นมัน...”

“ข้าว่าไอวารินมันต้องใส่สีตีไข่ให้จันมันเพิ่ม รับไปเลี้ยงทั้งที่รู้ว่าจันมันเป็นลูกใคร เลวจริง ๆ”

“เดี๋ยวก่อนลุงธง ลุงพูดอะไร”

“ไอวาริน กูจะฆ่ามัน!” อนงค์ใจร้อนรีบลุกออกทั้งสี่คนจึงต้องรีบปรามทันที

“พี่ใจเย็นก่อนสิ” ฤดีรีบห้าม

“ใจเย็นสิวะอนงค์” จ่าธงขึ้นเสียง

“เพราะมัน! ไอชาติชั่ว!” อนงค์คำรามลั่นจนฤดีใจเสียเธอร้องไห้กอดปลอบสามีที่ดูเสียสติไปแล้ว

“พี่ใจเย็นเถอะนะ อย่าทำแบบนี้”

“กูขอโทษไอษา กูฆ่าลูกมึง กูขอโทษ” อนงค์ก้มหน้าร้องไห้ออกมาดูไม่เหมือนพ่อที่ไฟรู้จัก

“ไม่เป็นไรพี่ ใจเย็น ๆ นะ” ฤดีลูบหลังปลอบ

“นนท์ฝากดูอนงค์หน่อยอย่าให้ไปไหน” ลุงธงเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าเรื่องมันเลยเถิดมาไกลเสียแล้ว

“ครับ”

“ไฟ มากับลุง” ลุงธงหันมองด้วยดวงตาแดงก่ำ “ลุงจะบอกเอ็งทุกเรื่อง”




จบบทที่ ๑๙

--------------------------------------------------------------------------------

โทรศัพท์ที่ใช้เป็นหน้าปัดแบบหมุนนะคะ โทรศัพท์ถูกสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1876 หรือเทียบเท่า พ.ศ. 2419 ของไทยค่ะ โดยAlexander Graham bell

นี่คือหน้าตาโทรศัพท์ประจำสถานีหรือกรมตำรวจที่ไฟกับนนท์ใช้เป็นตัวอย่างค่ะเผื่อใครนึกภาพไม่ออก
จิ้มดูรูปตรงนี้ (https://news.siamphone.com/upload/news/nw19498/a8.jpg)

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-01-2020 18:09:52
ทำไม ไปๆ มาๆ เรื่องมาวนในพวกเดียวกัน แต่ก็นะ บางอย่างเหนือความคาดหมายกว่าที่คิด
อยากรู้เรื่องที่ลุงธงเล่าแล้วละ มาต่อไวๆ น้าาา
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 23-01-2020 00:15:31
 

บทที่ ๒๐

ความจริง



ไฟอยู่ในห้องรับแขกกับจ่าธง แกถอนหายใจไปรอบก่อนจะเปิดปาก “ที่จริงแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังในการช่วยเหลือเสี่ยพันธ์ ก็คือจัน”

“ทำไมถึงเป็นมัน”

“เอ็งก็รู้มาแล้วว่าไอวารินมันรับเลี้ยงจันเป็นลูกบุญธรรม วารินมันเลยให้ไอจันเข้ามาเป็นสาย วารินมันก็รู้เรื่องที่พ่อเอ็งกับไอษาเป็นพี่น้องกันคงจะให้ลูกชายของทั้งคู่มาเข่นฆ่ากันเอง แม่งชั่วจริง ๆ”

คนที่ตนนับถือมากเป็นคนแบบนี้หรอกหรือ “แล้วทำไมถึงไม่บอกผม บางทีผมอาจจะช่วยคุยกับจันได้”

“ข้าถามจริง ๆ  นะ ตั้งแต่เอ็งไปประจำที่สุราษฎร์จนมาที่อ้อยขวางเอ็งไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง”

ไฟขมวดคิ้ว “ทำไม?”

“เอ็งรู้ไหมว่าคนที่สั่งไอพวกเสือเม็ดมันก็คือไอจัน และลูกน้องที่รอดไปได้จนมาถูกเก็บทีหลังมันคือลูกน้องของเจ้าสัว กระสุนที่ถูกยิงคือกระสุนที่เอ็งก็เคยใช้ยิงพวกเสือเม็ด มันใช่อันเดียวกับที่ไอสิงห์ให้เอ็งหรือเปล่า”

“ใช่... แล้วผมก็ให้จันไปด้วย”

“นั่นแหละที่ข้าจะบอก ข้ารู้เรื่องราววันนั้นหมดแล้ว อย่างไอจันน่ะเหรอจะไม่มีสติ ถึงภายนอกจะดูบ้า ๆ บอ ๆ แต่ก็เป็นคนมีสติมากกว่าใคร ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นถึงหัวหน้าคุมคนอื่นหรือ”

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย” ไฟพูดอย่างอ่อนแรง

“แล้วเอ็งจำวันที่สิงห์มันถูกใส่ร้ายเรื่องช่วยพ่อมันค้ายาได้ไหม” ไฟพยักหน้าจ่าธงจึงพูดต่อ “ทั้งเดือนนั้นจันมันต้องไปทำงานที่พระนคร เอ็งเล่าให้มันฟังแค่ว่าสิงห์ถูกใส่ร้ายแล้วก็เรื่องข่าวลือ มันพูดเหมือนไม่รู้เรื่อง แต่กลับบอกว่าสิงห์หาหลักฐานไม่ได้ ให้ไปตั้งเดือนกว่า มันจะไปรู้มาจากไหนถ้าไม่มีคนอย่างไอทัพไปบอก”

“วันนั้นลุงถึงบอกให้ผมสังเกตคนรอบตัวงั้นหรือ”

“ก็เออน่ะสิ ถ้าไม่มัวแต่ใจร้อน ป่านนี้เอ็งรู้เรื่องแล้ว” ลุงธงเหนื่อยหน่ายใจ

“แล้วตกลงสิงห์ถูกพักราชการเพราะจันมันหรือ...” ไฟบีบมือตัวเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“จะบอกว่าใช่ก็ไม่ถูก เพราะว่าท่านอธิบดีหลวงศักดิ์กลมต้องการอย่างนั้นเอง เพราะท่านก็ตั้งทีมลับกับอนงค์อย่างที่สารวัตรโขมเคยบอกเอ็ง พูดง่าย ๆ เลย มันเป็นเวลาเหมาะเจาะที่จะให้คนไปเป็นเส้นสายที่ใหญ่กว่าสายธรรมดา และวันนั้นมันก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มแผน”

“หมายความว่าสิงห์ถูกพักราชการก็แค่ฉากบังหน้าหรือลุง” คนถามตกใจไม่น้อย

ลุงธงพยักหน้า ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังแล้ว “ตอนนั้นสิงห์มันก็ไม่รู้หรอก ข้าพูดตรง ๆ ว่าอนงค์มันก็ทำตามใจ หลังจากรู้ว่าเอ็งถูกจันมันหมายหัว อนงค์ก็เร่งที่จะจบให้ไวไม่แม้แต่จะเห็นหัวใคร รวมถึงสิงห์ก็ด้วย” แกหน้าเครียด “ข้าต้องคอยบอกให้พ่อเอ็งใจเย็น ให้นึกถึงคนอื่นเสียบ้าง ตอนนี้ก็รับผลกรรมแล้ว”

“พ่อ...”

“คนที่สั่งให้ฆ่าไอจันมันก็คือพ่อเอ็ง”

“ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย จันมัน...” ไฟส่ายหน้า จากที่รู้ว่าตนถูกจันจะฆ่าก็น้ำท่วมปาก

“ก็จันมันจะเปลี่ยนไปฆ่าแม่เอ็งด้วย รู้ไหมว่ามีหลายครั้งที่ฤดีถูกทำร้ายตอนไปตลาดหรือไปสอน บ้างก็รถเฉี่ยว บ้างก็มีคนเดินตาม ล้วนแล้วเป็นแต่ไอจัน แต่เรื่องนี้ฤดีบอกแค่ข้าไม่กล้าบอกเอ็งเพราะกลัวเอ็งจะเป็นห่วง”

เป็นอีกครั้งที่ไฟพูดไม่ออก เพื่อนของเขามันคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ

“เพราะแบบนั้นอนงค์เลยใจร้อนสั่งให้สิงห์ฆ่า แม้ไอสิงห์จะไม่อยาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงตัดสินใจทำ เรื่องนี้เอ็งต้องไปถามมันเอาเอง”

“ทั้งหมดนี่มันเรื่องจริงใช่ไหมลุง ไม่ได้โกหกผมอีกแล้วใช่ไหม”

ลุงธงพยักหน้า “เรื่องจริงสิ ข้าไม่อยากปิดบังอะไรแล้ว ข้าเหนื่อย ข้าอึดอัด”

“งั้นสิงห์ก็อยู่ในทีมลับนี้ด้วย”

“ใช่ มีหมวดภพ กับจ่าเกื้อที่ไปเป็นสายนานแล้ว”

ไฟคิดไม่ผิด “ผมก็ว่าทำไมสองคนนี้แปลก ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นตำรวจ”

“ทั้งสองเป็นคนที่พ่อเอ็งส่งไปจับตาดูไอพันธ์ทั้งนั้น รวมถึงไอเทิด มันไม่ได้เป็นตำรวจแต่ก็อยากกำจัดพวกที่ทำบ้านเมืองเสื่อมเสีย เลยให้มาอยู่ในทีมนี้”

“แล้วไอมั่นล่ะ”

ลุงธงส่ายหน้าทันควัน “มันน่ะฆาตรกรของจริง ไปอยู่กับเจ้าสัวคงชอบใจพอดู”

“ผมพูดไม่ถูกเลยลุง จะดีใจก็ดีใจไม่สุด มัน... ไม่รู้สิ เรื่องมันเยอะจนผมไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงแล้ว”

“เฮ้อ กว่าจะมารู้เรื่องทั้งหมดก็ผ่านความเสียใจมานาน ข้านับถือใจเอ็งจริง ๆ ว่ะ ไอไฟที่ทนมาจนถึงตอนนี้ได้”

ไฟยิ้มขืน อยากจะบอกว่าเกือบจะทนไม่ได้อยู่หลายครั้ง คิดด้วยซ้ำว่าถ้าจับสิงห์ได้เมื่อไหร่ก็คงจะไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกแล้วก็เป็นได้

“ผมขอถามเรื่องน้าพิมพ์อรกับต้นอ้อได้ไหม”

ลุงธงพยักหน้า “เรื่องนี้สิงห์กับนนท์เป็นคนวางแผนกัน เพื่อให้พิมพ์อรกับหนูต้นอ้อหนีออกมาได้โดยไม่ต้องมีใครตามล่าอีก ในวันนั้นสิงห์มาขอให้ข้า สารวัตรและหมอรัตน์ไปช่วยอำพรางคดี หลอกเสี่ยพันธ์ว่าสมานที่เป็นชู้ของพิมพ์อรเข้าไปช่วย แต่แผนก็เกือบพลาดเพราะสมานเผลอยิงเสี่ยพันธ์จนตอนนี้มันเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ภพเป็นคนไปส่งเสี่ยพันธ์ให้หมอรัตน์รวมถึงพาสมานหนีออกไป แล้วสั่งให้จ่าเกื้อกับลูกน้องคนอื่นขับรถตามพิมพ์อรที่ขับรถหนีไปก่อนหน้า คนที่ยิงปืนใหญ่ก็คือจ่าเกื้อ และที่สิงห์เป็นคนบอกให้พิมพ์อรขับรถไปทางตลาดเพราะชาวบ้านจะได้เห็นว่าใครอยู่ในรถจะได้เอาพูดต่อได้ จากนั้นก็จะขับไปทางลัดเพื่อให้พิมพ์อรกับต้นอ้อไปที่รถอีกคันที่สารวัตรกับนนท์เตรียมไว้ให้”

ไฟนึกขันที่นนท์มันก็รู้แต่ทำเหมือนไม่รู้แล้วยังจะมาช่วยเขาพาสืบเรื่องนี้ โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนใจมันด้านชา แม้แต่ความยินดีหรือดีใจที่รู้ความจริงก็แทบไม่มีเหลือ

“ส่วนข้าก็ไปหาศพมาอำพราง เอาศพของคนที่ไม่มีญาติมา จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก แต่ก็ต้องทำ”

“หลอกซะผมเชื่อมาหลายปี สมกับเป็นทีมลับกันจริง ๆ”

ลุงธงหน้าเสีย “ข้าขอโทษนะเว้ยไอไฟ ข้าขอโทษจริง ๆ”

ไฟโบกมือ “ไม่เป็นไรลุง อย่างน้อยมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิด”

“ขอโทษครับ” นนท์เดินเข้ามา “ผมขอคุยกับไฟหน่อยได้ไหม”

ลุงธงหันมองหลานตนก่อนจะพยักหน้าแล้วไปดูอนงค์แทน

“หลอกเก่งดีนะ”

นนท์มีสีหน้าหนักใจ “ขอโทษ”

“ช่างมัน มีอะไรล่ะ”

“จะมาบอกว่า น้าพิมพ์อรเขาอยู่ที่วัง”

ไฟพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

“จ่าธงเล่าแล้วหรือ” พอเห็นเพื่อนพยักหน้าก็ได้แต่ถอนหายใจ “ทั้งกับข้าวหรือขนมทั้งหมดนั้นจริง ๆ แล้ว น้าพิมพ์อรเป็นคนทำให้กิน เผื่อนายจะเอะใจบ้าง ส่วนเฟื้องที่แทบไม่ได้ไปให้เห็นหน้าเพราะกลัวว่าจะปิดความลับไม่ได้ สิงห์ไปขอร้องทุกคนไม่ให้บอก”

ไฟเค้นเสียง “ตอนที่กูขอร้อง ไม่เห็นมีใครทำบ้าง กูต้องทนรับกับเรื่องพวกนี้มาตั้งกี่ปีวะนนท์”

นนท์หลบตา รู้สึกผิดมาตลอด “ถึงทุกคนจะมีเหตุผลของตัวเอง แต่ฉันรู้ว่ามันผิด มันหนักหนาเกินไป แต่ทุกคนไม่อยากปิดบังนายหรอกนะไฟ มัน...”

“มันจำเป็นใช่ไหม” ไฟกัดฟันกรอด น้ำสีใสเริ่มคลอ บอกว่าไม่เป็นไรแต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย “มันจำเป็นถึงขนาดให้กูรอมานานขนาดนี้เลยหรือวะ เห็นกูเป็นหินหรือไง ถึงจะทุบกันแหลกแค่ไหนก็ได้”

“ฉันพยายามช่วยนาย จ่าธงเองก็พยายามจะบอกอ้อม ๆ รวมถึงน้าพิมพ์อรที่คอยให้คนเอาขนมไปให้ ทุกคนอยากจะบอกนายนะ”

“ขอบใจที่เคยทำแบบนั้น”

“จะโกรธพวกเราก็ได้ แต่ขอร้อง... อย่าโกรธสิงห์”

ไฟเงยหน้ามองด้วยดวงตาแดงก่ำ “กูไม่รู้หรอกนนท์ ตอนนี้กูบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ทั้ง ๆ ที่กูรู้เรื่องแล้วแต่กูก็ยังไม่อยากจะไปเจอหน้าสิงห์”

นนท์หมดหนทางใช้มือกุมหน้าตัวเอง “มันเพราะแผนบ้า ๆ พวกนี้ พวกนายถึงเจอแต่เรื่องแย่ ๆ กันมาตลอด”

“ขอกูอยู่คนเดียวสักพักนะ”

“ไฟ ไฟ” นนท์มองตามหลังของเพื่อนที่เดินขึ้นไปชั้นบน

ไฟนั่งลงปลายเตียง นั่งก้มหน้ามองมือที่กุมกันของตัวเอง ก่อนที่มือนั้นจะค่อย ๆ บีบแรงขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงใบหน้าที่บิดเบี้ยวน้ำตาหยดลงพื้นอยู่หลายรอบ ได้แต่กลั้นเสียงเอาไว้จากอารมณ์ที่สับสนอยู่ข้างใน

ทำไมถึงเสียใจมากกว่าดีใจ ทำไมถึงรู้สึกว่างเปล่ามากกว่าเห็นทางออก เขาควรจะยอมรับและเดินหน้าใหม่สิ

ไฟร้องไห้อยู่นานจนเพลียหลับไปก่อนที่จะตื่นขึ้นจากเสียงเคาะประตู “ไฟ พ่อขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”

คนเพิ่งตื่นสะลึมสะลือปาดน้ำตาที่เหือดแห้งตามแก้มก่อนจะลุกไปปลดล็อคประตูก็พบกับพ่อที่ดูโทรมเล็กน้อยเดินเข้ามา

“พ่อขอโทษ”

ไฟพยักหน้า “ครับ”

“โกรธพ่อหรือเปล่า”

ไฟถอนหายใจ “ครับโกรธ”

“งั้นเหรอ” แกมองออกนอกหน้าต่างที่พระจันทร์สาดส่องเพียงครึ่งเสี้ยว “พ่อก็โกรธตัวเองที่ไม่คิดก่อนทำ จนต้องทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

ไฟไม่ได้ตอบอะไร อนงค์จึงพูดต่อ “ทุกสิ่งที่สิงห์ทำ พ่อเป็นคนบังคับ มันเป็นเพราะพ่อเอง ให้ความโกรธทั้งหมดลงแค่ที่พ่อได้ไหมไฟ”

“เรื่องสิงห์ไว้ผมค่อยคุยกับเขา... แต่เรื่องจัน ยังไงผมก็ให้อภัยใครไม่ได้ คำสุดท้ายก่อนตายที่มันบอกกับผมว่าชาติหน้าขอให้เกิดเป็นเพื่อนกันอีก คนแบบนั้นน่ะเหรอที่อยากจะทำลายผมกับแม่ ผมเชื่อไม่ลง”

อนงค์หลับตายอมรับในสิ่งที่ลูกพูด “พ่อรู้ แต่มันก็สายไปแล้ว พ่อทำลายชีวิตเด็กคนนั้นไปแล้ว ไอษาคงสาปแช่งพ่ออยู่ที่ดันจำลูกมันไม่ได้”

“ผมเกลียดคำว่าสายไปแล้ว เกลียดที่มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เกลียดที่ผมเป็นคนรู้คนสุดท้าย เกลียดที่ทำไมไม่ใช่ผมที่เป็นคนไปคุยกับมันด้วยตัวเองก่อนที่มันจะตาย มันเหมือนเพื่อนเหมือนพี่น้องอย่างที่พ่อรู้สึกกับอาษา”

คนเป็นพ่อที่เข้าใจดีเพราะษาก็นิสัยคล้ายจัน “พ่อขอโทษนะลูก ถ้าจบจากเรื่องนี้เมื่อไหร่ พ่อจะขอบวชให้จันตลอดชีวิต หากเป็นไปได้ฝากดูแลแม่ด้วยนะ”

ถึงอย่างนั้นไฟก็ไม่สามารถโกรธใครลงได้จริง ๆ ยิ่งเห็นพ่อตนรู้สึกผิดขนาดนี้แล้ว “เข้าใจแล้วครับ”

อนงค์ยิ้มฝืนกอดลูกชายตัวเองต่างคนต่างปลอบกันให้กับเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ฤดีที่ยืนมองนอกประตูได้แต่ปิดปากร้องไห้มองสองพ่อลูกที่ยอมเปิดเผยความรู้สึกออกมาจริง ๆ

 


พ่ายโลกันตร์




วันรุ่งขึ้นไฟยืนอยู่ในห้องรับแขกพร้อมกับนนท์ รวมถึงลุงธงและพ่อ หลังจากต่างคนต่างเข้าใจกันดี ไฟก็มาคุยเรื่องแผนทั้งหมดตามที่พ่ออยากให้มาฟัง

“แผนที่เราวางไว้คือจะจับพวกมันทีละเล็กทีละน้อยจนไปจับพวกตัวการใหญ่ ตอนนี้เสี่ยตะวันที่เหลือเพียงตัวสุดท้าย สิงห์ก็กำจัดไปแล้ว จึงเหลือเพียงหลวงศรีรวีชัย เจ้าสัวเหวยและอธิบดีทัพกับอธิบดีวาริน” อนงค์เอ่ยบอกลูกชาย “ตอนนี้ยังติดขัดเรื่องเสือเอี้ยงที่มันยังคิดว่าหลวงรวีชัยไม่คบค้ากับเจ้าสัวเหวย มันมองพลาดจนไปช่วยเหลือคนผิด ตอนนี้เราต่างพยายามหาหนทางกันอยู่แต่มันก็ยากเพราะเสือเอี้ยงมันเกลียดตำรวจและไม่ฟังใครนอกจากหลวงรวีชัย”

“แถมพวกเสี่ยพันธ์คนเก่าบางคนมันคอยจับตาดูสิงห์ตลอดเวลา รวมถึงพวกที่เคยก้มหัวให้ไอมั่น เจ้านายมันคงบอกให้คอยดูไว้ สิงห์เลยทำอะไรได้ไม่มาก แม้ว่าตอนนี้พวกของเสี่ยพันธ์หลายคนจะยอมเชื่อฟังสิงห์บ้างแล้ว แต่ยังไงบารมีเก่าเสี่ยพันธ์ก็ยังคงอยู่ รวมถึงการซื้อชีวิตของไอเจ้าสัวเหวย มันคงซื้อไปได้หลายคน แม้แต่สิงห์เองในตอนนี้ก็เป็นอันตรายไม่ต่างจากคนที่อยู่ในถ้ำเสือ” ลุงธงว่าต่อ

ไฟนึกห่วง “ผมขอเข้าไปหาสิงห์ได้ไหม”

“มันอันตรายนะไฟ” อนงค์ขมวดคิ้ว “หากพวกมันรู้ขึ้นมา สิงห์ก็จะเป็นอันตรายไปด้วย”

“แค่ปิดหน้าปิดตา ทำเป็นลูกน้องของสิงห์ก็ได้ ผมคงปล่อยเขาไว้คนเดียวไม่ได้”

อนงค์ถอนหายใจ “ถ้าเป็นแต่ก่อนตอนที่ไอพันธ์มันยังอยู่ พ่อคงไม่ให้ แต่ว่าตอนนี้ทางมันสะดวกอยู่ พ่อจะให้เอ็งไปคอยช่วยสิงห์แล้วกัน”

ไฟยิ้มขึ้นได้ก่อนจะค่อย ๆ หุบยิ้มเมื่อพ่อบอกเรื่องที่เพิ่งจะรู้

“แต่ฟังพ่อนะไฟ ห้ามเอ็งเดือดดาลจนทำแผนเสีย หากไปอยู่แล้วต้องเห็นพวกมันทำร้ายใครต่อหน้าต่อตา ก็ห้ามโมโหจนไปห้ามมัน”

“แล้วแบบนี้ต้องทนดูพวกมันข่มเหงคนบริสุทธิ์งั้นเหรอ” ไฟขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่าสิงห์ก็ต้องทนดูมาตลอด

“ใช่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกจะไม่มีใครตายแน่นอนเพราะเดี๋ยวพวกของสิงห์จะพาหนี” ลุงธงอธิบายให้ “ถึงจะช่วยตอนที่ถูกรังแกไม่ได้ แต่ช่วยไว้ไม่ให้ตายได้”

“ถึงได้พยายามจะจบเรื่องให้เร็วที่สุด แต่กว่าจะทำได้มันก็ยากเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังมันรับข้าราชการกันทั้งนั้น แถมยศใหญ่เสียด้วย” อนงค์ส่ายหัว

“ผมได้รับจดหมายของสิงห์เมื่อหลายวันก่อน เรื่องเส้นทางน้ำ ที่สิงห์บุรีมีเส้นทางน้ำหลายเส้นทาง สิงห์วาดแค่ทางน้ำและบอกว่าจะมีของส่งไปที่พระนคร” นนท์พูดขึ้นและหยิบกระดาษออกมา

อนงค์รับมาดูก่อนจะนึกได้ “สิงห์บุรีมีเส้นทางน้ำย่อยที่ไหลจากเจ้าพระยา สิงห์คงบอกกลาย ๆ ว่า พวกมันจะใช้เส้นทางนี้ส่งของ”

“ของรอบนี้คงสำคัญมาก ฝากนายกลับไปดูที่พระนครด้วย ให้หมวดกล้าเข้าไปสืบแถว ๆ ท่าเรือดู ทุกแห่ง”

“ครับ!” นนท์ตะเบ๊ะให้ก่อนจะตบบ่าไฟ “ฉันต้องกลับก่อน ฝากสิงห์ด้วยนะ”

ไฟพยักหน้า “ขับรถกลับดี ๆ”

“หมวดไฟ” อนงค์ขานเรียกก่อนที่ไฟจะเริ่มเข้าใจจึงยืนตรงเอาแขนแนบลำตัว

“ครับท่านรอง”

“ผมขอสั่งให้คุณได้เข้าร่วมทีมลับนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ช่วยผู้กองสิงห์ในการจับพวกโจรร้ายภาคกลาง รับทราบปฏิบัติ!”

“ทราบ!”

“คงต้องขอความร่วมมือจากทางนักข่าวเสียหน่อย” ลุงธงลูบคาง “เสียรถอีกคันจะเป็นไรไหมวะอนงค์”

“รถคันหนึ่งไม่ใช่ถูก ๆ แต่เอาเถอะ ฝากด้วยแล้วกัน”

“อะไรกันหรือครับ”

“เดี๋ยวเอ็งก็รู้” ลุงธงว่า

 

‘เมื่อช่วงเที่ยงของวันมีคนพบรถพลิกคว่ำตกลำธาร ผู้เสียชีวิตคาดว่าเป็นร้อยตำรวจตรีเพลิงกาฬ ไตรษิณย์ ตำรวจของสถานีอ้อยขวาง จังหวัดสิงห์บุรี ทางมารดาบอกว่าลูกชายจะเดินทางไปทำธุระที่พระนครแต่ดันเกิดเหตุร้ายขึ้นเสียก่อน งานศพจะจัดขึ้นในอีกห้าวันในจังหวัดสิงห์บุรี’

มือหนามองหนังสือพิมพ์ในมือที่ขึ้นรูปและข่าวของตัวเองก่อนจะจับหมวกปิดใบหน้ารวมถึงลูบนวดเคราที่ทำขึ้นเพื่อปลอมตัว รถโดยสารคันเก่าที่มีคนนั่งอยู่มากจอดเทียบกับทางเดินเข้าไปยังหมู่บ้านในจังหวัดสิงห์บุรี

ไฟกระชับกระเป๋าให้แน่นขึ้นก่อนจะเดินไปเรื่อย ๆ นั่งรถต่ออีกหน่อยจนมาถึงที่หมาย ชาวบ้านใจดีส่งแค่ภายนอกเพราะกลัว ไฟเลยต้องเดินไปมาทางหน้ารั้วที่มีคนยืนเฝ้าด้วยตัวเอง

“มาทำไม มีธุระอะไร”

ไฟยกมือขึ้น “กูอยากพบนายสิงห์”

พวกมันหันมองหน้ากัน “นายสิงห์ไม่อยู่ ออกไปตั้งแต่เช้ายังไม่กลับ มีอะไรเดี๋ยวบอกให้”

“กูไม่มีที่ไป อยากทำงานด้วย”

“ชื่ออะไร เอาประวัติมึงมา”

ไฟทำท่าจะค้นกระเป๋าแต่ก็มีเสียงคนขัดขึ้นจากข้างใน “เอามันเข้ามา”

“มันไม่น่าไว้ใจเลยนะพี่”

“เออเอาเข้ามาเดี๋ยวกูไปถามมันข้างใน” ภพเอ่ยบอก ลูกน้องทั้งสองเลยจำยอมเปิดประตูให้

“ขอบคุณ” ไฟกระซิบ

“ถ้าจะเอาคืนก็เล่นแรงมากนะครับ คุณสิงห์คลั่งจนเกือบทำแผนล่ม”

ไฟไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นก็รีบปฏิเสธ “ผมก็เพิ่งรู้ เรื่องนี้ท่านรองเป็นคนคิด ผมต้องขอโทษจริง ๆ”

ภพพยักหน้า “ตอนนี้ผมจำต้องขังเขาไว้ในห้อง เพราะคุณสิงห์จะออกไปหาคุณให้ได้ ยังไม่ได้บอกเรื่องที่ว่าคุณเข้ามาในทีมลับแล้ว เพราะท่านรองเพิ่งจะโทรมาบอกเมื่อครู่พอดีกับที่คุณมาถึงที่นี่”

ไฟพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะพยักให้กับจ่าเกื้อที่ยืนรออยู่ด้านใน “ไม่คิดว่าจะเจอกันในสถานการณ์อย่างนี้เลยนะครับหมวด”

ไฟยิ้มให้ “ยินดีที่ได้ร่วมงานนะจ่า”

“นี่กุญแจครับ” หมวดภพยื่นให้ ไฟจึงผงกหัวแล้วเดินขึ้นไปด้านบนตรงไปยังห้องของสิงห์ ได้ยินเสียงของแตกก็ต้องรีบไขเข้าไป

“ปล่อยกูออกไป” สิงห์คำรามลั่นเห็นประตูเปิดก็จะวิ่งออกไปแต่กลับถูกแขนของไฟรวบเอาไว้ “ปล่อยกู!”

ไฟกอดอีกฝ่ายแน่นที่ดีดดิ้นอย่างรุนแรง ใบหน้าดูผ่านการร้องไห้หนักมายาวนานจนใจชายหนุ่มอ่อนยวบ ไม่รอช้าคนปลอมตัวรีบถอดหมวกออก “สิงห์ใจเย็น นี่ไฟเอง”

สิงห์นิ่งไปทันตา “ไฟ...”

“ใช่ ไฟเอง ไฟยังไม่ตาย” เขาวางกระเป๋าลง แม้จะมีหนวดติดรอบปากแต่สิงห์ก็ยังจำได้

“ไฟจริง ๆ ใช่ไหม” คนถามยกมืออันสั่นเทาขึ้นทาบแก้มคนรัก น้ำสีใสไหลออกมาเมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าเป็นใคร “ขอโทษ สิงห์ขอโทษ อย่าทิ้งสิงห์ไปไหนนะ”

ไฟยิ้มบางโอบกอดคนรักเอาไว้ “ไม่ทิ้งหรอก ไฟจะอยู่กับสิงห์ตลอดไป”

“ขอโทษ” สิงห์ยังคงพร่ำบอกอยู่อย่างนั้นกว่าจะสงบก็นานหลายชั่วโมง พอควบคุมสติได้สิงห์ก็นั่งมองอยู่อย่างนั้นไม่แม้แต่จะเอ่ยอะไรออกมา

“ไฟรู้เรื่องหมดแล้วนะ”

สิงห์พยักหน้า

“ไฟโกรธมากเลยนะรู้ไหม”

คนฟังพยักหน้าอีกรอบ

“ถ้างั้นไฟขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า” แล้วก็เป็นดั่งเคยคล้ายฉายภาพซ้ำ “พร้อมที่จะเล่าเรื่องจันให้ไฟฟังไหม”

สิงห์เม้มปากหลบตาไปชั่วครู่ถึงจะหันกลับมาตอบเสียงเบา “ได้”

 

พ.ศ. ๒๔๘๒

สิงห์ยืนมองคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนอย่างจันกำลังนั่งเหม่อคล้ายคิดอะไรในหัว ดวงตาว่างเปล่า ล่องลอย คล้ายคนที่ไม่อยากใช้ชีวิตบนโลกนี้อีกแล้ว

“เรียกกูมาทำไม” สิงห์ถามขึ้น

“มึงจะฆ่ากูไหม”

“ไม่ กูบอกแล้วว่าจะหยุดเรื่องพวกนี้ ถ้ามึงทำผิดก็รอรับผลในคุก ไม่ใช่หนีปัญหา”

จันเค้นเสียง “มึงว่ากูจะทำตามมึงเหรอ ทางเดียวที่จะทำให้มึงฆ่ากูได้คงต้องไปฆ่าแม่ไอไฟนั่นแหละ”

“อย่ามายุ่งกับคนสำคัญของกู” สิงห์จ้องเขม็ง

“กูไม่อยากอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่รู้ว่าแม่กับน้องตาย ที่กูเข้าเรียนนายร้อยเพราะกูอยากจะฆ่าคนสำคัญของไออนงค์ไงให้มันได้รู้ว่าการสูญเสียคนในครอบครัวมันเป็นยังไง แต่เรื่องเหี้ยก็คือกูดันคิดฆ่าไอไฟไม่ลง กูเคยเกือบฆ่ามันได้แต่กูดันเสียใจ พอมันรอดกูกลับโล่งใจ กูเลยรู้ตั้งแต่นั้นมาว่ากูแก้แค้นให้ครอบครัวไม่ได้แน่ ๆ”

“แล้วยังไง มึงยังมีโอกาส หากมึงคุยกับไฟเรื่องนี้ไฟมันคงช่วยมึงได้ ยังมีอีกหลายวิธีที่มึงเลือกทำได้นะจัน”

จันหันมอง “ไม่ได้ กูทำเพื่อครอบครัวก็จริงแต่กูก็ทำเพื่อพ่อริน... เขารับเลี้ยงกูมา ดูแลกูดีมาตลอด กูต้องตอบแทนเขา หากกูฆ่าใครสักคนที่เกี่ยวพันธ์กับไออนงค์ กูขอเลือกเมียมัน”

สิงห์สบถ “มึงคิดตื้นเกินไปแล้ว วารินมันรักใครเป็นที่ไหน”

“มึงไม่ได้อยู่กับเขาตั้งแต่เด็กมึงไม่รู้หรอก”

“มึงไม่คิดบ้างเหรอว่ามันหลอกใช้มึงทำเรื่องพวกนี้”

“กูรู้ แต่หากไม่มีพ่อ กูก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกไปดูโลกข้างนอกไหม กูดีใจนะที่ได้พบเจอใครหลายคน กูดีใจที่มีพวกมึงเป็นเพื่อน” จันมองท้องฟ้าที่ดูครึ้ม “แต่กูคงทำให้พวกมึงผิดหวังกับสิ่งที่กูเป็น กูเคยโมโหไอทัพที่มันด่าแต่มึงว่าเป็นลูกโจร ไอกูที่เป็นลูกโจรเหมือนกันก็โมโหไม่ต่างกัน แต่กูก็ยังจะบอกมึงนะว่ากูเลือกทางนี้แล้ว”

“ถ้าเห็นพวกกูเป็นเพื่อนมึงจะไม่เลือกทางนี้”

“ถือว่ากูขอร้องแล้วกัน มึงฆ่ากูเถอะ กูไม่อยากไปฆ่าใคร ไม่อยากทำลายชีวิตไอไฟ” จันขอร้อง “กูไม่ได้ขู่ แต่กูทำแน่สิงห์ กูถึงมานั่งขอร้องให้มึงฆ่ากูซะ”

“ไม่ ถ้ามึงไม่อยากทำก็ไปมอบตัว ไปขังตัวเองไว้ในคุก” สิงห์ตั้งท่าจะเดินออกแต่ก็ดันถูกจับแขนเอาไว้

“ถ้างั้นกูจะบอกความจริงกับพ่อแล้วก็เจ้าสัว บอกเรื่องความสัมพันธ์ของมึงกับไอไฟ พวกเขาก็จะหมายหัวไอไฟไว้”

สิงห์อดกลั้นไม่ไหวจนต้องดึงคอเสื้อมัน “มึงเป็นบ้าอะไรวะจัน!”

“กูมีหนทางให้มึงเลือก ระหว่างฆ่ากูหรือปล่อยกูไปฆ่าคนสำคัญของมึง” แม้คำพูดจะดูโหดร้ายแต่แววตาของจันทั้งเศร้าหมองและเหนื่อยล้า

“มึงก็เพื่อนกูนะจัน มึงคิดว่าไฟจะรู้สึกยังไง”

“กูไม่ไหวแล้วสิงห์ ตอนนี้กูทำได้ทุกอย่าง กูเห็นแต่ตัวเองกูอยากพาตัวเองออกไปจากที่นี่จนกูสามารถทำทุกอย่างที่กูไม่คิดว่าจะทำได้แล้ว” จันน้ำตาคลอ

“อย่าคิดอีก” สิงห์ผลักอีกคนก่อนจะเดินออกไป

จนมาถึงอีกวันที่สิงห์จำต้องรับโทรศัพท์ของอนงค์

(วันนี้รีบฆ่ามันซะ)

“นั่นเพื่อนผม”

(แต่ยังมีอีกสองคนที่มันจะฆ่า หรืออยากให้ไอไฟมันตาย)

สิงห์กัดฟัน “ผมทำไม่ได้”

(ทำไม่ได้ก็ต้องทำ แล้วให้ไฟมันเห็นด้วยตอนที่ฆ่าไอจัน)

“ทำไม ลุงคิดอะไรอยู่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”

(มันจะได้ตามแผน ไอไฟจะได้ไม่ไปยุ่งกับเอ็งอีก เพราะถ้าเกิดใครรู้เรื่องพวกเอ็งสองคน ไม่คิดว่าไอไฟจะตกอยู่ในอันตรายรึไง)

“ผมว่าลุงใจร้อนเกินไป”

(งั้นก็จำไว้ด้วยว่าถ้าฤดีกับไอไฟตกอยู่ในอันตรายมันก็เพราะเอ็ง คงไม่ลืมวันที่ไอจันตั้งใจจะขับรถชนฤดีกับพยายามหาทางฆ่าไอไฟหรอกใช่ไหม)

สิงห์กำมือแน่น “ถ้าท่านต้องการอย่างนั้น ผมทำให้ก็ได้ แล้วท่านก็จำไว้ด้วยว่าสิ่งท่านทำมันจะส่งผลทีหลัง” พูดเสร็จก็วางสายทันที เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครยกเว้นจัน

“มึงแน่ใจแล้วใช่ไหม”

“ทำไมกูต้องมาปรึกษากับคนที่กูจะต้องฆ่าวันนี้วะ”

จันจับบ่า “คิดให้ดี กูจะมาหามึงคนเดียว อย่างน้อยก็ดีกว่าให้ไฟมันมาเห็นกับตา”

สิงห์มองเพื่อนจนลับสายตาก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง สิงห์ยิงปืนนัดหนึ่งขึ้นฟ้าเพราะอนงค์โทรมาบอกว่าได้ให้สารวัตรกับจ่าธงเข้าร่วมแผนแล้ว

จันดูตกใจก่อนจะขมวดคิ้วที่เห็นพวกไฟวิ่งมาแต่ไกล “ทำอะไรของมึง”

“กูคงโง่เองแหละจัน” สิงห์มือสั่นเล็กน้อยในตอนที่ยกปืนจ่อเพื่อน

จันตาคลอ “ต้องการแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม” แน่แล้วหรือที่จะแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ สงสารเพื่อนทั้งสองแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นน้ำตาของสิงห์ที่ไหลข้างเดียวเป็นข้างที่ไฟไม่เห็น จึงพูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมแล้วหันไปบอกไฟเป็นครั้งสุดท้าย “หวังว่าชาติหน้าจะได้เป็นเพื่อนกับพวกมึงอีก...”

ขอโทษที่ทำให้พวกมึงต้องเจอเรื่องแบบนี้

ปัง

สิงห์ยังจำได้ดีว่าหลังจากนั้นเขาก็ขังตัวเองไว้ในห้อง ร้องไห้อยู่หลายอาทิตย์จนพลอยให้ลุงธงแอบมาหาเพื่อปลอบ เป็นตราบาปที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต...


 

ไฟลูบมือคนรักที่เล่าไปร้องไห้ไป พูดขอโทษจนไฟคร้านจะบอกให้พอ

“ถือว่าปลดปล่อยมันแล้วกันนะ” ไฟพูดเสียงสั่นกอดคนรักเอาไว้ “ไม่เป็นไรนะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

“สิงห์ผิดเอง ที่ไม่คิดให้ดี”

ไฟหลับตาพรูลมหายใจออกมา เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงได้บอกว่าให้โกรธแค่เจ้าตัว “แค่รู้ว่าสิงห์ไม่ได้ตั้งใจก็ดีแล้ว หลังจากนี้ก็คอยทำบุญให้จัน ไฟไม่โทษสิงห์หรอก เพราะสิงห์เองก็ชดใช้ความผิดมาเยอะแล้ว”

ยอมแบกรับเรื่องทั้งหมดให้คนเกลียด ยอมห่างเขา ทำร้ายเขาที่เหมือนจะกลายเป็นการทำร้ายตัวเองทางอ้อม กลับไปอยู่ขุมนรกที่แม้แต่จะพูดก็พูดไม่ได้ จะเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเข้าใจ

“เรากลับมาเริ่มใหม่ได้ไหมสิงห์”

พอได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้สิงห์รู้สึกผิดขึ้นไปอีกจนได้แต่กำเสื้อคนรักไว้แน่น

“สิ่งที่สิงห์ทำมันเกินไปสำหรับไฟ สิงห์ไม่อยากให้ไฟต้องเจ็บปวด”

ไฟเกลี่ยแก้มอีกคน “ถ้าไฟต้องเจ็บปวดก็เป็นเพราะไม่ได้อยู่ข้างสิงห์” ก่อนจะจูบหน้าผากมน "อย่าหนีไฟไปไหนอีก อย่าไล่กันอีก อยู่ข้างกันต่อไปจะได้ไหม”

สิงห์เลื่อนแขนไปกอดพยักหน้าเป็นการตอบ

“คราวนี้อย่าให้ไฟต้องมาถามอะไรอีกนะ”

“อือ สิงห์จะไม่ปิดบังอะไรอีกแล้ว”





จบบทที่ ๒๐

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยังมีคำผิดที่ต้องแก้อีกไว้ถ้าว่างจะไปแก้ให้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนที่รู้ความจริง ที่เคยบอกว่าที่ย้อนอดีตให้อ่านเพราะมันเกี่ยวโยงกับปัจจุบันค่ะ ทุกอย่างถูกตั้งให้เป็นแบบนี้หมดแล้ว อาจจะตกใจเล็กน้อย แต่ยีนส์คิดมาแบบนี้ตั้งแต่เริ่มแต่งค่ะ เครียดพอตัวเหมือนกันว่ามันจะดีไหม แต่สุดท้ายก็ทำให้เป็นเรื่องแบบนี้จะดีกว่า เอาตามที่เคยคิดเอาไว้ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามเรื่องนี้นะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 02-03-2020 01:36:59
บทที่ ๒๑

กำจัดปลาน้อยอีกครั้ง



“ผมจะอธิบายให้ฟังนะครับ หมวดจะได้เข้าใจ” ภพพูดขึ้นขณะที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกพร้อมหน้าพร้อมตากับเทิดและสิงห์

ไฟมองไอเทิดที่หาตัวจับได้ยากมันดูนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา อายุคงใกล้เคียงกับภพ ทั้งรอยแผลตามใบหน้าหรือลำแขนดูออกเลยว่าบุกบ่าฝ่าฟันมาเยอะ

“เทิดเนี่ยเป็นคนคอยตามสืบและเป็นสายลับ ๆ ให้พวกเรา รวมถึงเป็นสายให้สารวัตรโขม” ไฟพยักหน้าคนที่สารวัตรบอกเป็นสายลับคือคนนี้สินะ

“แต่ว่าวันที่สารวัตรโดนลอบฆ่าน่ะ เทิดบาดเจ็บพอดีคุณสิงห์เลยไปช่วยแทน”

“ก็ว่าอยู่ทำไมรู้สึกคุ้นเคย” ผู้หมวดหันมองคนรักที่คลี่ยิ้มบาง ๆ

“หากเจอกันภายนอกก็อย่าทำเป็นรู้จักกัน เพราะวงในจะรู้ว่าเทิดออกจากการเป็นลูกน้องของคุณสิงห์แล้ว”

“แล้วตอนนี้เทิดทำงานกับใคร” ไฟหันไปถาม

“ผมทำกับเสือเอี้ยง มันยังไม่ไว้ใจผม แต่มันก็รู้ว่าผมเองก็ไม่ชอบเจ้าสัวเลยรับผมไว้”

สิงห์ที่เห็นคนรักขมวดคิ้วไม่เข้าใจจึงอธิบายเพิ่ม “เพราะว่าเราต้องการให้เสือเอี้ยงรู้ว่าคนที่มันนับถือกำลังร่วมมือกับเจ้าสัวอยู่ เทิดจึงเป็นคนที่ช่วยเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่าเสือเอี้ยงมันจะทำผิดกฎหมายแต่ก็อยากให้มาร่วมมือกัน เพราะคนของเราน้อยเกินไป”

“มันจะยอมหรือ”

“ต้องดูไปสักระยะ อย่างน้อยเรื่องที่ผมพูดกับมันเรื่องวีรกรรมหลวงศรีรวีชัยพวกมันก็ฟังบ้าง” เทิดเอ่ย

“แล้วเรื่องที่ว่าร่วมมือกัน รู้ตั้งแต่ตอนไหน”

“นานแล้ว ตั้งแต่ออกไปส่งของล็อตใหญ่กับพ่อ” สิงห์ยังจำได้ดีในวันนั้น...

 

พ.ศ.๒๔๗๐

รถขนของคันใหญ่ขับนำหน้า ตามมาด้วยรถJakobที่ไม่มีหลังคาขับตามโดยภพ และเบาะหลังที่มีเสี่ยพันธ์และลูกชายอย่างสิงห์นั่งอยู่ด้วยกัน

“มึงทำตัวให้ดีล่ะ” เมื่อถึงที่หมายเสี่ยพันธ์ก็สั่งลูกชายตนเองทันที

สิงห์พยักหน้าแม้ในใจจะหวั่น ๆ เพราะฟังเรื่องราวของคนนี้มาเยอะแต่ก็ยังเดินลงจากรถขนาบข้างกับผู้เป็นพ่อ

ภาพตรงหน้าคือคนนับสิบที่ถืออาวุธมากมายร่างกายบึกบึนสมกับที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเจ้าสัวรับแต่พวกถึกทน

สิงห์หันมองคนที่กำลังเดินออกมา ร่างสูงใหญ่ใบหน้าขาวใสดั่งคนจีน ในหัวของสิงห์คือจะอ้วนลงพุง ดูขี้ริ้วขี้เหร่แต่กลับผิดคาดเมื่อพ่อตนยกมือไหว้สวัสดีคนตรงหน้า

“สวัสดีครับเจ้าสัว” สิงห์จำต้องยกมือไหว้ตามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“ของครบไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม

“ครบครับ” เสี่ยพันธ์เลียแข้งเลียขาเต็มที่สั่งให้ลูกน้องเปิดหลังรถให้ดู

เจ้าสัวพยักหน้าอย่างพอใจแล้วสายตาก็เบี่ยงเบนไปทางลูกชายที่ยืนมองอยู่ “ลูกชายที่ว่าหรือ”

สิงห์รีบก้มหน้าไม่กล้าสบตา “ใช่ครับ ลูกชายผมเองพามันมาดูงานเผื่อโตไปมันจะได้รับช่วงต่อแทนผม ก็เลยอยากให้รู้จักกับเจ้าสัวไว้ครับ” ไม่ว่าเปล่ายังดันตัวลูกชายให้ไปยืนข้างหน้า

“พอใช้ได้” เจ้าสัวลูบคางก่อนจะเดินมายืนประจันหน้า ขนาดตัวผู้ใหญ่กับเด็กต่างกันจนสิงห์ตัวสั่น “กลัวฉันเหรอ”

สิงห์กลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างนี้ หากเป็นไปได้ไม่อยากให้สนใจตนเลย

“อย่าเงียบสิวะ คุยกับเจ้าสัวสิ” เสี่ยพันธ์ตะคอก

“ไม่เป็นไร เด็กคงกลัว” เจ้าสัวยกมือห้าม

สิงห์เงยหน้ามองเห็นรอยยิ้มที่ดูไม่มีพิษมีภัย ทำให้เกิดนึกสงสัยว่าคนที่โหดร้ายขนาดนี้ทำหน้าอย่างนี้เป็นด้วยหรือ และสิงห์เองก็เข้าใจได้ทันที กับคำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจมันมีอยู่จริง

“ฉันขอคุยกับเด็กคนนี้หน่อยได้หรือเปล่า”

“ได้ครับ ได้เลย” เสี่ยพันธ์ผายมือแต่เด็กหนุ่มกลับส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพ่อตน

แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล

“รู้จักหลวงศรีรวีชัยหรือเปล่า”

สิงห์หันมาอึกอักอยู่ครู่ถึงจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“งั้นหรือ ดีเลย” เจ้าสัวคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มที่คนภายนอกไม่รู้ด้านมืดก็คงเป็นรอยยิ้มธรรมดาที่เหมือนยิ้มให้เด็ก แต่เพราะสิงห์รู้ความมืดดำในจิตใจของคนนี้... เลยให้ความรู้สึกน่าขนลุก น่าขยะแขยงกับรอยยิ้มนี้ขึ้นมาจนต้องถอยห่างเล็กน้อย

เจ้าสัวเลิกคิ้วก่อนจะจับแขนให้เด็กตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ “ฉันชอบกระซิบคุยกันมากกว่าเสียงดังให้ใครได้ยินนะ” ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นทันตามือหนากำรอบแขนจนสิงห์หน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บ

“ถ้าอยากร่วมมือกับฉัน ให้คุยกับหลวงศรีรวีชัยซะ พ่อแบบนั้นไม่ต้องเอาไว้หรอก” เจ้าสัวกระซิบ “ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามันให้ตาย แล้วเธอจะได้เป็นใหญ่เป็นโต”

สิงห์น้ำตาคลอแขนที่ถูกกำปวดจนชาและเริ่มอ่อนแรง เด็กหนุ่มกัดปากจนห้อเลือด ความกลัวกัดกินจิตใจจนทำเพียงส่ายหัวอย่างเดียว

“เด็กน้อย ชู่ว” เจ้าสัวใช้นิ้วแตะริมฝีปาก “ไม่ต้องกลัว ฉันเห็นแววตาของเธอนะ ถึงจะกลัวแต่ก็ยังมีความพยศ ฉันชอบแบบนี้แหละ ชอบคนที่กล้าทำสายตารังเกียจใส่ฉัน”

เจ้าสัวยิ้มมุมปากและพูดต่อ “ดีไม่ดี โตอีกนิดเธออาจจะเป็นคนปลิดชีพพ่อของตัวเองก็ได้ ใครจะไปรู้ และถ้าหากเกิดขึ้นจริงก็บอกหลวงศรีรวีชัยนะ”

สิงห์ก็ยังคงเป็นสิงห์แม้จะกลัวแค่ไหนแต่ก็จดจำคำพูดนั้นไว้ ว่าเจ้าสัวเหวยมันร่วมมือกับหลวงศรีรวีชัยมานานแล้ว

 

“แม่งเลวจริง ๆ” ไฟกำมือแน่น ไม่คิดเลยว่าสิงห์จะต้องเจออะไรแบบนี้โดยที่เขาไม่รู้ แค่เรื่องในบ้านก็แย่พอตัวแล้ว

“ไม่เป็นไรแล้ว” สิงห์กุมมือคนรักไว้ใช้นิ้วโป้งลูบให้คลายมือลง

“หลังจากนั้นคุณสิงห์ก็บอกท่านรองไว้ เพราะอย่างนั้นเกื้อเลยได้เข้ามาร่วมเป็นสายด้วยเพื่อจะได้ดูแลคุณสิงห์”

“จริงหรือ” ไฟตกใจเล็กน้อย

สิงห์พยักหน้า “จริง ๆ สิงห์ก็ไม่รู้ว่าจ่าเกื้อกับหมวดภพมีความสัมพันธ์กันยังไง คิดว่าจ่าเกื้อเป็นคนที่พ่อรับเข้ามาใหม่ ตอนนั้นก็ได้แค่สงสัย จนมารู้ความจริงตอนที่ประชุมวางแผนกันน่ะ”

ไฟทำหน้าเหลือเชื่อมีหลายเรื่องจนแทบรับไม่ทัน แต่พอนึกถึงคนเป็นพ่อของคนรักตั้งแต่มาก็ยังไม่เห็นหน้าเลย “แล้วเสี่ยพันธ์ไปไหน”

สิงห์เงยหน้ามองชั้นบนถึงจะหันกลับมา “พ่ออยู่บนห้องตลอด ไม่พูด ไม่กินอะไร ตอนแรกก็โวยวายจะออกไปให้ได้ แต่หลังจากนั้นก็เงียบอย่างเดียว”

“เห็นลุงธงบอกว่าเป็นอัมพาตหรือ”

“ใช่ อัมพาตท่อนล่าง เดินไม่ได้”

“เขารู้ความจริงเรื่องภพกับเกื้อหรือยัง”

สิงห์พยักหน้า “หลังจากรักษาได้สักพัก สิงห์ก็เป็นคนบอกกับเขาเอง”

“ไม่เป็นไรนะ” ไฟกุมมือคนรัก

“อือ มีไฟอยู่ตรงนี้ทั้งคน”

“อะแฮ่ม ๆ เอ่อ... คือผมจะแจ้งข่าว” เกื้อโบกมือไปมาหลังจากที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานเพราะรอให้พูดคุยกันเสร็จเสียก่อน

“อ่อ ว่ามาสิ” สิงห์ยิ้มเล็กน้อยหันไปฟังเกื้อแม้มือยังกุมกับคนรักอยู่

“ไอเสี่ยตะวันมันกลบดานอยู่ที่ตลาดในเมือง จะไปจับมันไหมครับ”

สิงห์ขมวดคิ้ว “มันคิดจะอยู่ถ้ำเสือเพราะคิดว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดสินะ”

“ไม่แน่ มันอาจจะคิดว่าเจ้าสัวยังคุ้มกะลาหัวอยู่” ภพเอ่ยก่อนจะเป็นเทิดที่พูดต่อ

“หึ ถูกตัดหางปล่อยวัดตั้งแต่วันที่เราไปดักฆ่าแล้วมันคงไม่รู้ตัว”

สิงห์ทำหน้าจริงจังแล้วลุกขึ้นทันที “เทิดไปดูลาดลาว เกื้อไปบอกให้พวกสารวัตรโขมให้ไปช่วยเทิดอีกที ฉันกับภพจะไปดักทางลัดรีบตามมาด้วย ล่อพวกมันออกมาให้ห่างจากบ้านคนมากที่สุด หากมีเรื่องในนั้นเดี๋ยวชาวบ้านจะโดนลูกหลงไปด้วย”

“ครับ!”

“เดี๋ยว” ไฟรีบจับแขนคนรัก “ให้ไฟไปด้วย”

สิงห์พยักหน้า “ปิดหน้าปิดตาด้วย แค่หนวดปลอม ๆ มันดูง่าย”

“ได้”


 

พ่ายโลกันตร์

 


เมื่อถึงตลาดในเมืองที่ตอนนี้เงียบเชียบเนื่องจากไม่ใช่วันที่ต้องขายของ เทิดที่ปิดหน้าปิดตาตามส่องในห้องเช่า มีลูกน้องมันอยู่ข้างหน้าคนเดียว เทิดรอมันหันหลังก่อนจะย่องเสียงเบาไปใกล้ ๆ

อั่ก

เพียงแค่สะบั้นคอเท่านั้นก่อนที่เทิดจะรับร่างของมันไม่ให้ตกลงพื้น แบกไว้บนบ่าแล้วเอาไว้ที่ซอกเล็ก ๆ ไม่ให้ใครเห็น รวมถึงใส่เสื้อของมันและหมวกที่มันใส่อยู่ เพื่อจะปลอมตัวเป็นมันเข้าไปข้างในห้องเช่า

“เฮ้ยพวกมึง มีคนน่าสงสัยอยู่ทางปากซอยว่ะ” เทิดพูดเพียงเท่านั้นลูกน้องอีกสามคนก็วิ่งออกไปทันที

“ไอเหี้ยพวกนั้นมาอีกแล้วแน่ ๆ เลย”

เทิดขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นคนที่ต้องการ หากจัดการได้ในตอนนี้มันก็จะดีกว่า

“มีคนบุกมา!” เทิดถอนหายใจเมื่อพวกสารวัตรโขมมากันแล้วก่อนที่ตนจะทำเป็นวิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับพวกมัน

“รีบพาเสี่ยหนี!” หนึ่งในลูกน้องที่วิ่งออกไปพูดขึ้นก่อนที่เทิดจะวิ่งตามไปหาและพบว่าเสี่ยตะวันมันอยู่ในรถอยู่แล้ว

“มึงคอยยิงพวกมันเดี๋ยวกูพาเสี่ยหนี”

เทิดขมวดคิ้วเมื่อถูกสั่งอย่างนั้น “กูจะพาหนีเอง”

“อะไรของมึงวะ กลัวตายรึไง”

คนถูกพูดอย่างนั้นถึงกับหัวเราะ ใครกันแน่ที่กลัวตาย ทำเป็นเลียตีนเจ้านายปกป้องจนสุดชีวิตเพื่อจะได้เอาเงิน รู้ว่าเจ้านายใช้ตัวเองเป็นตัวล่อ หากตำรวจเข้าไปจับพวกมันในห้องเช่า เสี่ยตะวันที่เห็นความวุ่นวายก็คงบึ่งรถหนี ก็เหมือนกับมันที่หน้ามืดลงไปกับความชั่วใช้คนอื่นเป็นโล่ป้องกันตัวเองอีกที

“ถ้ามึงไม่กลัวตายก็ให้กูพาหนีสิวะ”

มันหัวเสียพอตัวจนคนในรถต้องชะโงกหน้าออกมา “ทำห่าอะไรกันอยู่วะ พ่อมึงแห่กันมาหมดแล้ว”

พอเห็นคนที่ต้องการเทิดค่อย ๆ จับปืนออกมา ก่อนจะหันปืนไปทางเสี่ยตะวัน

“เฮ้ย!” ลูกน้องคนเดิมรีบถีบเทิดออก แม้จะเตรียมยิงแต่กลับต้องหลบกระสุนของตำรวจแทบหัวหมุนจนต้องขึ้นรถแล้วขับออกไป

“แม่งเอ้ย!” เทิดต่อยพื้นด้วยความคุกรุ่นก่อนจะรีบลุกออกไปหลบพวกตำรวจ เพราะยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้

“ถูกยิงรึเปล่าวะไอเทิด” จ่าธงที่เห็นรีบแอบมาหา

“ไม่เป็นไรพี่ ไม่ได้ถูกยิง รีบล่อให้พวกมันไปทางคุณสิงห์เถอะ”

“เออ ๆ” จ่าธงตบบ่าแล้วรีบวิ่งออกไปทันที พร้อมบอกกับสารวัตรโขม

ตำรวจทุกนายต่างรีบขึ้นรถ ขับตามรถสามคันที่คล้ายกันเพราะการนี้ รอจนพ้นบ้านคนอื่นก็รีบยิงสกัดทันที

“สารวัตรครับมันแยกกันครับ”

“ตามคันนั้นไป” สารวัตรบอกคันที่ขับไปคันเดียวส่วนอีกสองคันให้พวกสิงห์เป็นคนจัดการเพราะมันไปทางสิงห์พอดี

เพียงไม่นานก็มีรถที่ขับมาสองคันทางนี้ตามที่คิดไว้ “มันมาแล้ว” สิงห์ที่นั่งหลบกับไฟอยู่กระบะหลังเอ่ยบอกก่อนจะเป็นคนหยิบกระสุนปืนใหญ่ใส่แล้วแบกขึ้นบ่า

ตู้ม!

เพราะรถมันขับมาอย่างเร็วจึงพลาดท่าจนรถทั้งสองหักเลี้ยวเข้าไปทางป่า สิงห์สบถแล้วโยนปืนใหญ่ออกก่อนจะตบหลังคารถ

“ตามมันไป!”

รถกระบะคันใหญ่ขับตามเข้าไปทันที เสียงปืนยิงกันระงม ด้านหน้ามีรถเก๋งอยู่สองคันที่กำลังพยายามขับหนีอย่างรวดเร็ว บุคคลที่ตายไปแล้วจากในข่าวหยิบระเบิดออกมา ดึงจุกมันออกแล้วเขวี้ยงไปด้านหน้าทันที

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับควันโขมง รถเก๋งคันหนึ่งเบี่ยงหลบจนไปชนต้นไม้ ก่อนที่ภพที่เป็นคนขับกระบะตามดึงเบรคจอดรถทันที

“ลงไปจับ” สิงห์ตะโกน เร่งให้ลูกน้องสองคนลงไปกักตัวพวกนั้นไว้ ก่อนที่สิงห์จะลงจากรถกระโดดขึ้นกระบะหลังของรถเกื้อที่ขับตามมาพร้อมกับรับปืนใหญ่จากไฟที่ขึ้นหลังรถตาม “ภพจัดการตรงนี้”

“ครับ” ภพพยักหน้ารีบออกจากรถและจ่อปืนให้คนในรถเก๋งสองคนลงมา เกื้อที่เห็นว่าตรงนี้เรียบร้อยแล้วจึงเร่งเครื่องขับตามรถเก๋งคันหน้าไป

สิงห์แบกปืนใหญ่ m1a1 ขึ้นบ่าอีกรอบ ก่อนที่ไฟจะยัดกระสุนใส่ให้ “เรียบร้อย” เพียงเท่านั้นสิงห์ก็หรี่ตาเล็งไปทางรถข้างหน้าที่เริ่มล่นระยะห่างเรื่อย ๆ จนถึงระยะพอดีก็ยิงปืนใหญ่ใส่ทันที

รถคันหน้าเกิดระเบิดจนรถพลิกคว่ำกลิ้งตะหลบและหยุดลงในที่สุด เกื้อรีบจอดห่างเล็กน้อยทั้งสามคนถึงจะลงไปดูคนด้านใน

“แม่ง มีแค่คนขับ ไม่ใช่ไอเสี่ยตะวัน” สิงห์สบถ ทุกคนที่ยืนอยู่ใส่ผ้าปิดหน้าปิดตาเพราะต้องการมาลอบฆ่าเสี่ยตะวันเพราะมันดันหนีรอดมาได้กับลูกน้องอีกห้าหกคนจากการจับผิดพลาดในวันที่มันไปส่งของที่ชลบุรี

“จะเอาไงต่อดีครับ” เกื้อถามขึ้น

“รอดูว่าสารวัตรจับทางนู้นได้ไหม แล้วก็ไปถามไอพวกที่จับได้ซะว่าเจ้านายพวกมันจะไปไหน”

“ครับ”

ไฟมองสถานการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้ใหม่ สิงห์ก็ไม่ใช่คนที่ดูใจดีอย่างเคยจนไฟได้แต่ขนลุกเกลียว ยามมองใบหน้านั้นเกรี้ยวกราดคิ้วที่ขมวดเข้าหากันตลอดเวลา แววตาดั่งสัตว์ร้ายที่ตามล่าเหยื่อ

“ขึ้นรถ” คล้ายลืมตัวสิงห์เลยสั่งคนรักตัวเองเสียงแข็งจนไฟรีบตอบรับขึ้นรถตามทันที

 


พ่ายโลกันตร์




โกดังใหญ่ที่เคยเอาไว้ตุนของบัดนี้กลับมีแต่ตำรวจที่มาเป็นสาย พร้อมลูกน้องของเสี่ยพันธ์ที่ยอมรับในตัวสิงห์มาอยู่ด้วย

ไฟมองทางสารวัตรโขมกับจ่าธงที่แต่งตัวปิดหน้าปิดตาเข้ามาอยู่ในนี้ด้วย เพราะทางสารวัตรก็ดันจับพวกมันพลาดเหมือนกัน

“พวกมึงออกไปดูต้นทาง เผื่อพวกไอมั่นยังอยู่” สิงห์สั่งลูกน้องของตนให้ออกไปทั้งหมดให้เหลือเพียงทีมลับเท่านั้นก่อนที่ดวงตาเรียวคมจะหันมาจ้องตัวการสองตัวที่จับมาได้และถูกมัดกับเก้าอี้ “คราวนี้ จะจัดการกับพวกมึงยังไงดี”

“อย่าทำอะไรฉันเลย”

“ใช่ ๆ ฉันจะบอกทุกอย่างแต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ”

สิงห์เลิกคิ้ว ดูง่ายกว่าที่คิด “กูจะรู้ได้ไงว่าพวกมึงจะพูดความจริง”

“พูดสิ ฉันพูดแน่ เจ้านายอย่าทำอะไรฉันเลยนะ”

“ให้พวกฉันเป็นลูกน้องเจ้านายก็ได้นะ พวกฉันยอมทำตามทุกอย่าง”

“ได้” เพียงแค่สิงห์ตอบรับพวกมันก็ดีใจกันยกใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นพวกมึงรู้กันไหมว่าเป็นพวกกูที่ไปลอบฆ่าตั้งแต่วันนั้น”

พวกมันมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าแล้วคนทางซ้ายมือเอ่ยตอบ “ไม่รู้เลยเจ้านาย พวกฉันก็คิดว่ามีสายไปบอกตำรวจ เสี่ยตะวันก็สงสัย”

“เอ้อ แต่เห็นบอกว่าสงสัยเจ้านายด้วย” คนทางขวาที่เพิ่งนึกได้พูดขึ้น

“แล้วมึงรู้ไหมว่าเจ้าสัวตัดหางเสี่ยตะวันแล้ว”

“จริง ๆ พวกฉันก็ไม่เชื่อ แต่พอเสี่ยตะวันพูดว่าเจ้านายไปลอบฆ่าพวกฉันสองคนเลยคิดว่าจะหนีกันแล้วปล่อยให้เสี่ยตะวันไปกับคนอื่น พวกฉันจะได้หนีสบาย”

“ก็ไม่ได้โง่หนิพวกมึง” เทิดพูดขึ้น

“หุบปากไปเลยมึง”

“เอาล่ะ ๆ” สิงห์ยกมือปราม “แล้วรู้ไหมว่าเสี่ยตะวันจะไปที่ไหนอีก”

คราวนี้พวกมันมองหน้ากันด้วยความกลัวเล็กน้อย สีหน้าดูเคร่งเครียดก่อนที่คนซ้ายจะเริ่มตอบ “ม...ไม่รู้เลยครับเจ้านาย”

สิงห์ลูบคาง “แน่ใจนะ”

“ครับ” พวกมันตอบเสียงเบาพร้อมกับหลบตา

“เสี่ยตะวันไม่ได้บอกอะไรพวกมึงแน่ใช่ไหม” สิงห์ถามย้ำอีกครั้งเพื่อกดดันก่อนที่ภพและเกื้อจะเดินเข้าล้อมพร้อมกับของมีคมเพื่อให้รู้ว่าถ้าไม่บอกจะไม่ฆ่าให้ตายแต่จะทรมานจนกว่าจะพูด

“คือ...บอกแค่ว่าจะไปหาคุณหลวงรวีชัย”

“มึงจะพูดทำไม” คนทางซ้ายรีบด่า

“ไม่เห็นต้องปิดกันเลยหนิ” สิงห์กอดอก “คุณหลวงก็เปรียบเสมือนพ่อกู คิดหรือว่าท่านจะฟังคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง”

“ไม่เลยเจ้านาย ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะ” คนทางซ้ายเอาหน้าอีกคราแม้จะเสียไปแล้ว

“งั้นกูขอถามครั้งสุดท้าย พวกมึงจะยอมกลับตัวกลับใจไหม ถ้ากูบอกว่าจะช่วยพวกมึงหากมาช่วยพวกกูจับพวกนั้นเข้าคุก”

พวกมันตกตะลึง “เจ้านาย... ไม่ได้เลิกเป็นตำรวจหรอกเหรอ”

สิงห์เหลือบตามองสารวัตรชั่วครู่ “ใช่ กูยังเป็นตำรวจ หากพวกมึงช่วยกูจับ กูจะลดโทษให้และพวกมึงต้องกลับตัวกลับใจไม่ทำชั่วอีก ต้องรับผลตามกฎหมาย”

“พวกฉัน...”

“หรืออีกทางเลือก มึงจะไปไหนก็ได้ แต่ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกเสี่ยตะวัน”

“ฉัน ๆ ขอไป”

“ใช่ฉันด้วย”

“จะหนีไปและไม่บอกใคร แต่ต้องไม่ปล้นหรือฆ่าใครอีกด้วยนะ”

คราวนี้พวกมันเงียบอีกครามองหน้ากันอยู่นานก่อนที่คนซ้ายจะยิ้มและตอบ “ได้ครับเจ้านาย”

“อืม เข้าใจแล้ว” สิงห์พยักหน้าเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เสแสร้งนั่นและผงกหัวให้เกื้อกับภพแก้มัดพวกมัน “พวกมึงเลือกเองนะ”

พวกมันดีใจยกมือไหว้กันให้ว่อง ทั้งคู่รีบเดินตรงไปประตูโกดังก่อนจะเป็นสิงห์ที่หยิบปืนมายิงพวกมันกลางหัวอย่างแม่นยำโดยที่พวกมันก็ไม่รู้ตัว

ไฟตกใจนิ่งค้างกับสิ่งที่เกิดทันทีเมื่อไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ “ทำไมทำอย่างนั้นล่ะสิงห์”

สิงห์ชะงักหันมองทางคนรัก แววตาที่เหมือนสัตว์ค่อย ๆ คลายลง “สิงห์ต้องปิดปากไม่อย่างนั้นพวกมันคงเอาไปบอกเสี่ยตะวัน”

“ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ พวกมันก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะหนีไปไม่บอกใคร”

“คือสิงห์...”

“ใจเย็นเว้ย” จ่าธงถอดผ้าปิดปากออกแล้วบีบบ่าหลานชาย “มันจำเป็น ดูก็รู้แล้วว่ามันยังไม่เลิกก้มหัวให้ไอเสี่ยตะวัน คนคิดได้อะไรจะตัดสินใจนานก็แค่บอกว่าห้ามไปฆ่าไปปล้นอีก มันยังช่างใจกันอยู่เลย”

“หมวดอย่าลืมว่าที่นี่ยังมีพวกของมั่นที่คอยจับตาสิงห์อยู่ หากปล่อยมันไว้ที่นี่พวกมันอาจสงสัยได้ หรือต่อให้จับไปขังคุกก็ต้องมีคนไปแหกคุกพวกมันออกมาและยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกว่าตำรวจรู้ที่อยู่ได้ยังไง” สารวัตรพูดด้วยสีหน้าหนักใจ

“แล้วทำแบบนี้มันต่างอะไรกับสิ่งที่พวกมันทำกัน”

“ผมไม่เข้าใจหรอกนะกับสิ่งที่หมวดพูด แต่พวกมันไม่มีความเป็นคนแล้ว มันเห็นแต่ตัวเอง รอดไปได้ก็ยังคงสันดานเดิม กลับไปฆ่าคน ข่มเหง ปล้น ไม่สนแม้แต่ว่านั่นจะเด็กหรือคนแก่”

“กฎหมายมันไม่ยุติธรรมแล้วในยุคนี้ ยุคที่มีแต่โจรเป็นผู้นำทั้งนอกและในข้าราชการ” ภพพูดขึ้นต่อ

ไฟเงียบลงทันตา แม้จะปฏิเสธไม่ได้ แต่ทำไมต้องเป็นสิงห์ที่ทำ “ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังทนกับสภาพอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเริ่มต้นจับพวกมันได้แล้ว ในเมื่อก็มีหลักฐานมากมายขนาดนั้นจะปล่อยไว้ทำไม”

“หลักฐานเอาไปให้ตอนนี้ก็เสียเปล่า เราต้องทำทีละขั้นตอน เราใช้เวลามาหลายปีแล้วก็จริงแต่ทุกเวลาที่เราทำกันกว่าจะจับจุดหรือหาหลักฐานมันไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะรู้แต่ละเรื่องเราผ่านอะไรกันมาเยอะ แต่มันจะจบแน่นอน” สารวัตรโขมพูดขึ้น

“แม้จะไม่ได้เป็นตำรวจแต่ผมก็ถือว่าอยู่ในทีม ในเรื่องเสือเอี้ยงอย่างที่บอกไปผมเพิ่งจะได้เข้าไปคุยก็เมื่อไม่นาน เพราะผมต้องตระเวนไปเป็นสายที่อื่นกว่าจะมาเป็นคนที่ขัดใจกับคุณสิงห์มันยาก” เทิดอธิบายเสริม

“พวกผมยังไม่อยากให้หมวดไฟต้องเร่งรีบเข้าใจพวกเรา แต่หมวดไฟช่วยฟังพวกผมหน่อยนะ คุณเป็นตำรวจเหมือนกันก็น่าจะรู้ดีว่างานบางงานมันยากจนต้องใช้เวลาวางแผนกันนับหลายปี เหมือนกับงานนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่งานหนึ่ง ที่เราต้องจับตัวการใหญ่ที่เปรียบเสมือคนคุมจังหวัดนี้ กับตัวการใหญ่ที่มันเป็นข้าราชการ เส้นสายมีเยอะและโยงกันไปทั่ว มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ต้องเร่ง ๆ แล้วให้จับเลย” ภพพูดต่อ

“บางเรื่องมันก็หนักอย่างที่เอ็งว่านะ แต่ไม่มีใครเขาต้องการแบบนี้มันแค่ต้องทำเท่านั้น เพื่อคนอื่นแล้ว เราจะทนทุกข์แบบนี้ก็ไม่แปลก สาบานกินน้ำลอยมะลิไปแล้วหนิว่าจะปกป้องประชาชน” จ่าธงตบหลัง “ถึงจะโหดร้ายไปหน่อย แต่ถือว่าข้าคนหนึ่งขอไม่นับไอพวกมารสังคมว่าเป็นประชาชนที่ต้องปกป้อง”

“แบบนี้มันดีแล้วหรือ” ไฟถามย้ำเสียงเบา

“ข้าไม่ได้บอกว่ามันดี มือเปื้อนเลือดขนาดนี้ถึงจะเป็นตำรวจมันก็เหมือนเป็นฆาตรกรไปแล้ว” จ่าธงถอนหายใจ “อย่างน้อยไอคนที่มันกลับใจจริง ๆ และไม่คิดจะทำตั้งแต่แรกพวกมันก็ยอมมาช่วยเป็นสาย บ้างก็หลบหนีที่ถูกพวกเจ้าสัวตามล่าแล้วขอให้สิงห์มันดูแลลูกเมีย หลังจากจบเรื่องถึงจะมามอบตัว ข้าบอกเลยว่าที่หลบซ่อนของไอสิงห์มันจะเหมือนรับเลี้ยงคนไร้บ้านแล้ว เราไม่ได้ฆ่าใครเรื่อยเปื่อย ฆ่าเพราะจำเป็นเท่านั้น”

ไฟก้มหน้าขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้ามองทางคนรักที่ดูก็เสียใจกับสิ่งที่เกิด “เพราะมีเรื่องแบบนี้ถึงไม่อยากบอกผมด้วยหรือเปล่า”

จ่าธงยักไหล่ “มันก็เกี่ยวล่ะนะ เอ็งมันก็ตามคนไม่ทัน ถ้าเอ็งมองและสังเกตดี ๆ เอ็งก็น่าจะรู้ว่าพวกมันสองคนน่ะไม่มีวันทำตามที่สิงห์บอกหรอก ก็เหมือนกับที่เอ็งฆ่าพวกโจรเพราะรู้ว่ามันต้องกลับไปทำอีกนั่นแหละ มันไปไหนแล้ววะไอหมวดไฟที่ไม่ปราณีโจรสักตัวน่ะ”

“ไอไฟคนนั้น... มันคงหายไปตั้งแต่เกิดเรื่องนั่นแหละ” ไฟพูดพร้อมกับมองคนรักที่หันมามองกัน

จ่าธงมองทั้งคู่สลับกันแล้วผละออก “เอาล่ะ ไว้ไปคุยกันเอาเอง พวกข้าไปก่อน”

ทุกคนต่างแยกย้ายตามที่จ่าธงว่า ส่วนศพจ่าธงกับสารวัตรรวมถึงเทิดออกไปด้วยกันเพื่อนำไปเผา ส่วนภพกับเกื้อจัดฉากว่าลองปืนเพื่อไม่ให้พวกของไอมั่นสงสัย

“ขอโทษนะ” หลังจากที่เข้ามาในห้องและไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกสิงห์ก็เอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยความอึดอัด “สิงห์ทำเกินไปจริง ๆ”

ไฟที่เพิ่งถอดหนวดออกเหลือบตามองคนรักผ่านกระจก “ไฟแค่ไม่อยากให้สิงห์ต้องมาแบกรับเรื่องพวกนี้”

“สิงห์รู้...”

ผู้หมวดหนุ่มถอนหายใจลุกขึ้นไปนั่งปลายเตียงข้างคนรัก “ต้องทนมาตั้งกี่ปี เหนื่อยมากไหม”

เพียงคำพูดนี้คนฟังกลับน้ำตาคลอ มือหนาที่ลูบแก้มมันกลับช่วยให้อุ่นวาบไปทั่วอก “เหนื่อยมาก... เหนื่อยเหลือเกิน”

ไฟเกลี่ยน้ำตาออกพรหมจูบอย่างอ่อนโยนและให้ไหล่เป็นที่พักพิง “ไม่เป็นไรนะ ไฟอยู่กับสิงห์แล้ว ไม่ต้องแบกอะไรไว้คนเดียวแล้วนะส่งมันมาให้ไฟบ้าง... ให้ไฟได้ช่วยแบกรับมันด้วย”

สิงห์พยักหน้ามือเรียวขย้ำเสื้อคนรักปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทนรับมาตลอดหลายปี เป็นการร้องไห้ที่ไม่กลั้นเสียงเป็นครั้งแรก และมันช่างสบายใจยิ่งกว่านั่งร้องไห้ในห้องคนเดียวเงียบ ๆ เป็นไหน ๆ





จบบทที่ ๒๑

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นี่คือหน้าตาของรถ Jakob (ov4, "jakob",pv4 sedan introduce) นะคะ ผลิตขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1927 หรือเทียบเท่า พ.ศ.2470 ของไทยค่ะ เอามาเป็นหน้าตาให้ดูเผื่อใครนึกภาพไม่ออก แม้ไทยเราจะไม่ได้รับรถคันนี้เข้ามาจริง ๆ
อยากเห็นรูปจิ้มตรงนี้ (https://myntransportblog.files.wordpress.com/2015/01/1927-volvo-ov4-2.jpg?w=840)

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 08-04-2020 06:31:32
 

บทที่ ๒๒

ถูกสงสัย

 


ผลัดไปอีกวันมีสารนัดคุยจากหลวงรวีชัย สิงห์จำเป็นต้องไปตามนัด คงจะพูดเรื่องที่เสี่ยตะวันโดนตามล่า ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าให้ภพและเกื้อ

“เกื้อไปเตรียมรถซะ”

“ครับ”

“ส่วนไฟต้องไปอีกคันนะ” หันมองคนรักที่ปกปิดตัวเองด้วยหนวดเหมือนเดิม

“มันจะรู้หรือเปล่าว่าเป็นพวกสิงห์” ไฟขมวดคิ้ว

“อาจจะรู้แต่คงไม่แน่ใจ แต่ไอตะวันมันคงไม่มีหลักฐาน เพราะวันที่ถูกตามล่าก็เป็นพวกตำรวจเท่านั้นที่มันเห็น”

“แต่เห็นเทิดด้วยไม่ใช่หรือครับ” ภพถามขึ้น

สิงห์หน้าเครียด “จริงด้วยสิ เทิดจะฆ่าได้อยู่แล้วก็ดันพลาด แต่ยังดีเพราะไอตะวันมันจำหน้าเทิดไม่ได้ อาจจะคิดว่าเป็นพวกสายตำรวจก็ได้”

“ลูกน้องมันก็บอกว่าสงสัยคุณสิงห์แบบนี้ หมายความว่าที่ผ่านมาพวกมันไม่ได้เชื่อใจคุณสิงห์เต็มร้อยเลย”

“นั่นน่ะสิ ก็ยากหน่อยนะคนเคยเป็นตำรวจ อีกอย่าง... จันที่เคยเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นถูกฉันฆ่าคงสงสัยกันอยู่บ้าง”

ไฟเผลอเสหน้าหลบเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนที่ล่วงลับไปแล้ว เขาพรูลมหายใจเมื่อคิดได้ว่ามันคงไม่กลับมาแล้ว

“ไปกันเถอะ” เมื่อเกื้อขับรถมาจอดเทียบหน้าบ้านสิงห์ก็เอ่ยสั่ง ก่อนที่ไฟจะไปนั่งรถอีกคัน

เพียงไม่นานก็มาถึงเรือนของหลวงรวีชัย เกื้ออ้อมมาเปิดประตูให้อย่างเคย สิงห์เดินขึ้นเรือนทันทีโดยไม่ต้องโดนสั่งห้ามเปรียบเสมือนที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง

มองเห็นหลวงรวีชัยที่นั่งอยู่กับตัวการที่กำลังพูดอะไรไม่หยุดก่อนจะชักสีหน้าใส่คนมาใหม่พร้อมกับเงียบลงไป

“เรียกกระผมมาทำไมหรือขอรับ” สิงห์เอ่ยถามและนั่งลงตรงข้าม

“ได้รู้เรื่องที่เสี่ยตะวันถูกลอบฆ่าไหม”

คนถูกถามพยักหน้า “ได้ยินมาบ้างขอรับ แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะเสี่ยตะวันหรือจะให้ฉันช่วยคุ้มกัน?” สิงห์ถามลองเชิง แต่ดูออกว่ามันไม่ได้ต้องการอย่างนั้น เพราะมันสงสัยในตัวเขาอยู่

“เหอะ ให้คนที่คิดจะฆ่ากูมาช่วยกูน่ะเหรอ”

“สำรวมหน่อยนะ” หลวงรวีชัยจ้องเขม็งมันถึงจะเงียบปาก “ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีสายตำรวจเยอะ ถึงจะไม่ได้คุยกันบ่อยแต่อย่างน้อยเสี่ยตะวันก็เป็นถึงคนเคยคบค้าสมาคมด้วย เลยอยากให้สิงห์ช่วยลุงหน่อย”

“ช่วยอะไรหรือขอรับ”

“หาสายตำรวจที่มันคอยสืบเสี่ยตะวัน”

สิงห์เงียบลงมองทางเสี่ยตะวันที่ดูตกใจเหมือนกัน “ได้สิขอรับ”

“แต่คุณหลวง กระผมไม่สามารถไว้ใจมันได้”

“ถ้าไว้ใจสิงห์ไม่ได้ ก็หมายความว่าไว้ใจฉันไม่ได้สินะ”

เสี่ยตะวันหน้าซีดเผือด เหงื่อตามขมับไหลออกมา มองคนตรงข้ามที่นั่งมองด้วยใบหน้าเรียบนิ่งขนก็ลุกซู่ขึ้นมาอย่างน่าแปลก ทำไมถึงมีความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยขึ้นมากันนะ สายตาของคนคนนี้น่ะหรือคือคนเดียวกับเด็กอายุสิบแปดเมื่อวันนั้น อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าตอนที่มันยังเด็กเขาไม่กลัวมันเลย แต่ตอนนี้ดูแตกต่างเกินไป

ถึงมันจะฉลาดเหมือนเดิมที่ทำเขาเสียศูนย์ แต่ก็เพิ่มมาด้วยความโหดเหี้ยมที่คิดว่าคนอย่างมันก็ทำได้โดยไม่ต้องนึกคิดให้เสียเวลา

“ผม...”

“เสี่ยตะวันน่าจะรู้แล้วนะว่าเจ้าสัวเขาตัดหางแล้ว” เพียงหลวงรวีชัยพูดเท่านั้นเสี่ยตะวันก็ถึงกับจุกไปทั้งอก “ฉันเห็นว่าเสี่ยตะวันเคยดีกับฉันมาก่อน ฉันจึงช่วยแล้วยังให้หลานของฉันมาช่วยอีกแรง เสี่ยตะวันจะไม่รับน้ำใจก็ไม่เป็นไรนะ แต่เสี่ยคงรู้... ว่าหลังจากที่เสี่ยไม่มีใครคุ้มกะลาหัวจะเป็นยังไง”

คนถูกขู่กลืนน้ำลายมองแววตาดั่งสัตว์ร้ายก็ได้แต่กำมือแน่นก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ถูกกำหนดโดยคนอื่น “เข้าใจแล้วขอรับ”

“อืมก็ดี อยู่กับสิงห์ไม่ถูกลอบฆ่าง่าย ๆ หรอก” หลวงรวีชัยพูดก่อนจะหันมายิ้มให้คนตรงข้าม “ใช่ไหมหลานรัก”

สิงห์ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ใส่หน้ากากเข้าหาดั่งเช่นเคย “ขอรับคุณหลวง”

“เอาเป็นว่าเสี่ยตะวันจะอยู่ที่นี่ก่อน ถ้าออกไปไหนจะให้ลูกน้องสิงห์พาไป”

“ขอรับ...” เสี่ยตะวันได้แต่จำยอม แน่นอนว่าเขาไม่ออกไปไหนแน่ อย่างน้อยก็อุ่นใจได้อยู่ที่เรือนคุณหลวง

“ถ้างั้นเสี่ยตะวันไปพักเสียเถอะ ฉันจะคุยธุระอีกนิดหน่อย”

“ขอรับคุณหลวง” เสี่ยตะวันก้มหัว ก่อนจะลุกออกไม่วายหันมองคนตรงข้ามด้วยสายตาเกลียดชัง

“ทำไมคุณหลวงถึงยังปกป้องมันอยู่” สิงห์ถามขึ้นทันทีเมื่อมันเดินออกไปแล้ว

“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าเสี่ยตะวันก็ดีกับลุง”

“แน่หรือขอรับ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นจนมันถูกจับตัวไปแล้วปล่อยความลับของเราขึ้นมา มันจะแย่เอานะขอรับ”

“ฮ่ะ ๆ ช่างมันเถอะ ลุงบอกแล้วว่าถ้าได้สิงห์ช่วยคงไม่ถูกจับง่าย ๆ หรอก”

สิงห์ขมวดคิ้ว “คุณหลวงก็สงสัยกระผมหรือขอรับ”

คนที่หัวเราะเมื่อครู่เงียบไปแต่ก็ยังคงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

“เพราะถ้าเป็นปกติแล้ว คุณหลวงคงจะเก็บมันทันทีไม่มาช่วยอะไรแบบนี้ ในเมื่อมันไร้ประโยชน์ต่อคุณหลวง หรือเพราะคุณหลวงเชื่อว่ากระผมไม่น่าไว้ใจดั่งที่มันบอก”

หลวงรวีชัยหุบยิ้มสีหน้าเปลี่ยนทันที “ลุงไว้ใจเอ็งนะสิงห์ แต่ลุงก็ต้องให้เอ็งสร้างความเชื่อใจอีกครั้งโดยการช่วยเสี่ยตะวัน”

สิงห์พยักหน้าแล้วเอนหลังพิง “ความคิดนี้เป็นของเจ้าสัวหรือขอรับ”

พอได้ยินอย่างนั้นหลวงรวีชัยก็ขมวดคิ้วแต่ไม่พูดอะไร

“กระผมยอมรับนะว่านับถือเขา แต่เขาจะไม่เชื่อใจคนที่ทำงานด้วยมานานก็ดูจะยโสโอหังกันเกินไปแล้ว ดีไม่ดีต่อไปเขาอาจจะไม่เชื่อใจแม้กระทั่งคุณหลวง”

“พูดเยอะไปแล้ว” คุณหลวงดูกลัวเล็กน้อย

“กระผมแค่พูดในสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ คุณหลวงคิดดูนะ ทุกวันนี้ใครกันที่ถูกสนับสนุนมากที่สุดจากท่านอธิบดีวาริน”

“อธิบดีวารินก็ต้องสนับสนุนทุกคนอยู่แล้ว”

“จริงหรือขอรับ กระผมบอกเลยนะว่าที่กระผมยังดีกับเจ้าสัวได้ ก็เพราะคุณหลวงทั้งนั้น ถ้าเกิดมันหักหลังขึ้นมาล่ะก็ กระผมคงไม่ยอมรามือแน่ เพราะมันมาทำลายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลุงของกระผม”

หลวงรวีชัยดูเครียดเล็กน้อย “แต่อย่างน้อยก็มีพวกเสือเอี้ยงช่วยถ้าเกิดอะไรขึ้นมา”

“คุณหลวง” สิงห์ทำสีหน้าเหมือนเห็นใจเต็มประดาถึงแม้ในใจอยากจะยัดลูกกระสุนใส่สมองของมัน “แล้วถ้าเกิดพวกเสือเอี้ยงมันรู้ว่าคุณหลวงร่วมมือกับเจ้าสัวขึ้นมา คิดหรือว่ามันจะช่วยในเมื่อมันถูกหลอกมาตั้งหลายปี”

“แล้วเจ้าสัวจะหักหลังลุงทำไม เพราะลุงก็ยังช่วยอะไรได้หลายอย่าง ยังช่วยเรื่องที่จะให้เป็นนายกได้”

“คุณหลวงคิดกับเสี่ยตะวันยังไง เจ้าสัวก็คงคิดอย่างนั้นกับคุณหลวง” สิงห์ส่ายหน้าอย่างนึกเพลียใจ “นี่ล่ะหนาความคิดคน กระผมน่ะอยากให้คุณหลวงคอยระวังตัวเอาไว้ คนที่ถูกเขี่ยทิ้งคนต่อไปอาจจะเป็นคุณหลวงก็ได้ อย่างเจ้าสัวน่ะคงทำได้ง่าย ๆ”

หลวงรวีชัยกัดฟันกรอดยังคิดหนักอยู่อย่างนั้น สิงห์ได้ใจจึงคลี่ยิ้มชั่ววิถึงจะทำสีหน้าจริงจัง

“ขนาดกระผมที่ช่วยงานเจ้าสัวตั้งเยอะเขายังไม่ไว้ใจกระผมเลย ยังให้คุณหลวงรับภาระในการดูเสี่ยตะวันอีก ไหนจะท่านอธิบดีวาริน... ก็อย่างที่คุณหลวงรู้ว่าท่านอธิบดีน่ะหากใครที่ดูมีอำนาจมากกว่าก็พร้อมย้ายฝั่งอยู่แล้ว” สิงห์ถอนหายใจ “คุณหลวงจะคิดยังไงก็แล้วแต่เลยนะขอรับ กระผมไม่บังคับ แต่กระผมจะอยู่ข้างคุณหลวงเสมอ” คนมาตามนัดเตรียมลุกออกก่อนจะยืนนิ่งเมื่อถูกเรียก

“เดี๋ยว” หลวงรวีชัยเงยหน้าแกเครียดอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเอ่ยบอกในสิ่งที่สิงห์ก็พอจะเดาได้ “จริง ๆ เจ้าสัวสงสัยเอ็ง อธิบดีวารินก็เช่นกัน”

สิงห์ผงกหัว “ขอบพระคุณมากขอรับที่บอกกัน กระผมไม่สนใจหรอกขอรับว่าใครจะสงสัยในตัวกระผม เพียงแค่คุณหลวงเพียงคนเดียวที่ไม่สงสัยในตัวกระผมก็เพียงพอแล้ว”

“ลุงไม่ได้อยากสงสัยเอ็งเลยนะ ลุงเห็นเอ็งเหมือนลูกเหมือนหลานแท้ ๆ แต่ลุงต้องทำเพราะเจ้าสัวสั่งมา”

คนถูกตั้งสถานะอยากจะสำรอกออกมาแต่ก็ต้องทำเพียงเค้นยิ้ม “กระผมก็เห็นคุณหลวงเปรียบเสมือนพ่อเช่นกันขอรับ”

พูดเพียงเท่านั้นสิงห์ก็ขอตัว เมื่อขึ้นรถได้สิงห์ก็มีแววตาเรียบเฉยทันที “ก็พอจะเดาได้ว่าพวกมันสงสัยฉัน แต่คงจะสายเกินไปที่จะสงสัยแล้วล่ะ”

“แล้วเรื่องไอตะวันจะเอาไงหรือครับ” ภพถามขึ้น

“ปล่อยมันไปก่อน ในเมื่อเล่นแบบนี้ฉันก็จะยอมตามน้ำไป แต่ก็ต้องเด็ดหัวอะไรที่ใหญ่กว่าไอตะวันให้ได้ในระหว่างที่มันพุ่งความสนใจมาแค่เรื่องนี้”

“ใครหรือครับ” ภพถามย้ำ

“ไอทัพ”

“จะดีหรือครับ” เกื้อตกใจไม่น้อย

“คงต้องขอความช่วยเหลือจากคนคนหนึ่ง”

ภพขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจ “แต่ว่าเทิดเพิ่งจะได้คุยกับพวกนั้นนะครับ”

สิงห์ยิ้มมุมปาก “ ถ้าเป็นไอทัพ เสือเอี้ยงต้องยอมอยู่แล้ว เสือเอี้ยงมันรู้แค่ว่าไอทัพเป็นพวกเดียวกับเจ้าสัว ไหนจะเคยทำลายชุมชนที่เสือเอี้ยงเคยอยู่ ฉันจะให้เทิดไปลอบฆ่า อย่างน้อยเสือเอี้ยงมันคงช่วย”

“มันอันตรายนะครับ พวกปลาใหญ่มันคงจะเริ่มเคลื่อนไหวหนักกว่านี้”

“มันได้นกหลายต่อนะ นอกจากจะกำจัดไอทัพได้แล้ว พวกอธิบดีวารินกับเจ้าสัวคงเพ่งเล็งไปที่เสือเอี้ยง ถึงมันจะดูไม่ดีหน่อย แต่คนที่แตกหักก็คงจะเป็นหลวงรวีชัยกับเจ้าสัว รวมถึงถ้าเสือเอี้ยงรู้ความจริงว่ามันถูกหลวงรวีชัยหลอก หลวงรวีชัยก็จะไม่มีใครคุ้มกะลาหัว กำจัดมันได้อีกหนึ่ง อย่างน้อยถ้าเกิดได้เสือเอี้ยงมาเป็นพวกคงสู้กับพวกเจ้าสัวไหว เพราะนนท์ก็จัดการให้ที่พระนครร่วมกับท่านรองอนงค์อยู่แล้ว”

“อ่า สุดยอดจริง ๆ ครับ” เกื้ออดชมไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นทางท่านรองจะไปเปิดโปงเรื่องของอธิบดีวารินพร้อมกับสารวัตรนนท์หรือครับ”

“ใช่ หลักฐานเรื่องไอทัพก็เช่นกัน ในวันที่ประชุมกันฉันคิดไว้ว่าวันที่ต้องปะทะกับเจ้าสัวต้องเป็นวันเดียวกับที่ท่านรองอนงค์และนนท์ไปให้หลักฐานกับทางอัยการเรื่องของไอทัพและวาริน พวกมันจะได้ไม่ต้องมาช่วยเหลือเจ้าสัวทัน”

ภพพยักหน้า “เรื่องนี้ก็คิดมานานแล้วใช่ไหมครับ”

“อืม ฉันกับนนท์คิดเผื่อแผนล่ม ถ้าทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จก็คิดแผนสำรองมาไว้ตลอด จะได้จับพวกมันได้สักที”

“แล้วถ้าเกิดมันไม่เป็นไปตามนั้นล่ะครับ หากพวกเสือเอี้ยงไม่ยอมช่วยเทิดเพราะงานใหญ่เกินไป”

สิงห์คิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “ก็ทำให้มันรู้ซะว่ามันถูกหลวงรวีชัยหลอก หลังจากนั้นก็คงต้องขอความร่วมมือให้มันทำเป็นญาติดีกับหลวงรวีชัยไปก่อน จากนั้นก็เด็ดหัวไอทัพกัน ไม่ว่าตอนนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น การเด็ดหัวไอทัพก็พาให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเราหมด”

“แบบนี้จะไม่เป็นปัญหาหรือครับ ทำเกินกว่าเหตุอย่างนี้”

“ถ้าเป็นเรื่องไอทัพ ทางกรมตำรวจคงทำอะไรไม่ได้เพราะคนที่ฆ่าคือโจร ส่วนเราก็แค่เอาหลักฐานเรื่องไอทัพไปให้ เรายังมีอธิบดีอัยการที่ช่วยเรื่องนี้อยู่ ดีนะที่หลวงศักดิ์กลมคอยดำเนินเรื่องให้แม้จะออกจากตำแหน่งอธิบดีไปแล้ว”

“เสียดายอย่างเดียว ไอทัพดันขึ้นมารับตำแหน่งแทนท่านรอง” เกื้อส่ายหน้า

“แต่ก็มีอีกแผน หลังจากเด็ดหัวไอทัพแล้ว พอหลวงรวีชัยไม่มีคนคุ้มกันก็จับเป็นไว้และพาส่งศาลพร้อมกับหลักฐานของพวกไอทัพและไอวาริน หลังจากนั้นเจ้าสัวมันก็จะเตรียมหนีเพราะไม่มีตำรวจช่วย ทางเราที่เหลือจะดักพวกมันไว้ ให้มันคิดว่าเรากำลังทำเรื่องศาลอยู่ไม่มีเวลามาไล่จับมันทัน”

“เหมือนดักมันได้ทุกทางเลยครับ”

“ก็เรามีหลักฐานกันครบแล้ว เหลือก็แค่เวลาที่ต้องรอจะทำลายพวกมัน ก็คงต้องบอกล่ะนะว่าขึ้นอยู่กับพวกเสือเอี้ยง”

“ผมรู้นะว่าพวกคุณวางแผนเก่ง แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่สำเร็จหากเราพึ่งแต่เสือเอี้ยง”

สิงห์พยักหน้า “ฉันเองก็ไม่อยากต้องพึ่งโจรหรอกเพราะเราเป็นตำรวจก็ต้องทำด้วยตัวเอง แต่ยังไงก็ตามเราก็ต้องเอาเสือเอี้ยงมาเป็นพวกให้ได้ เพราะตำรวจด้วยกันเองที่จะช่วยก็มีไม่เยอะเลยสักนิด เพราะเลียขาคนยศใหญ่ที่ทำชั่วกันหมด”

รู้สึกขมขื่นที่ต้องพูดอย่างนั้นแต่มันคือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เงินทองมันคงหอมหวานมากถึงได้หน้ามืดตามัวลุ่มหลงไปกับอำนาจ สิงห์คิดไม่ตกว่าหากเรากำจัดพวกนี้ไปได้ ในภายภาคหน้ามันจะมีอีกหรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยกันมาตั้งขนาดนี้ พวกเขาคงอยู่ไม่ถึงที่จะช่วยเหลืออะไรได้อีกแล้ว

ยังไงกับเจ้าสัวก็ต้องสู้เพราะคนอย่างเจ้าสัวเหวยมันไม่ยอมมอบตัวดี ๆ อยู่แล้ว และพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะรอดหรือเปล่า...   

เมื่อกลับถึงบ้านสิงห์ก็ได้อธิบายแผนการทั้งหมดให้คนรักฟังรวมถึงส่งจดหมายเรื่องแผนให้ทางสารวัตรโขม

อีกไม่กี่วันนี้ทางตาสมหมายกับกฤษก็จะมารวมกันที่นี่ คงได้แต่ภาวนาให้หนีออกมาจากพวกเจ้าสัวให้ได้

“ถ้าจะเกิดการปะทะแบบนี้ต้องระวังตัวด้วยนะ” ไฟหน้าเครียด

“เข้าใจแล้ว ไฟก็เหมือนกัน”

“เฮ้อ จะได้ปิดบัญชีพวกนั้นแล้วสินะ”

สิงห์พยักหน้าแม้ในใจยังคงรู้สึกหวั่น ๆ ขึ้นมาอย่างน่าแปลก “แต่สิงห์รู้สึกกลัวยังไงไม่รู้”

“ทำไม?”

“สิงห์กลัวว่าไฟจะเกิดอันตราย”

ไฟถอนหายใจก่อนจะลูบผมคนรัก “ไม่ต้องห่วงหรอก ไฟจะไม่เป็นอะไร”

“ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดนะ”

“สัญญาเลย”

ทว่า คำสัญญานี้จะมีผลก็ต่อเมื่อ จบเรื่องทั้งหมด


 


พ่ายโลกันตร์


 

ตกค่ำสิงห์ถือถาดข้าวต้มขึ้นไปยังห้องอีกฝั่งที่เป็นคนละทางกับห้องของตัวเอง เคาะอยู่สองสามครั้งก็เปิดเข้าไป เห็นร่างของชายวัยกลางคนที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ข้าวต้มครับพ่อ”

คนเป็นพ่อหันหน้ามามองเล็กน้อยก่อนจะวางหนังสือลง “เรื่องจบรึยังล่ะ”

สิงห์ช่วยยกถ้วยให้แกถือก่อนจะนั่งเก้าอี้ด้านข้าง “ยังครับ แต่ก็ใกล้แล้ว”

“งั้นเหรอ” พันธ์ตักข้าวต้มเข้าปากก่อนจะเหม่อมองไปยังด้านหน้า “ไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ในจุดนี้”

สิงห์อ้าปากจะพูดแต่ก็เงียบลง

“ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ก็ให้พ่อไปบอกความจริงด้วยละกันนะ”

คนเป็นลูกนั่งนิ่งก่อนจะกัดปาก น้ำสีใสคลอหน่วยตา “ทำไม...”

พันธ์หันมองเมื่อได้ยินเสียงสั่นของลูก ถ้วยข้าวต้มถูกวางไว้โดยไม่ได้แตะอีก

“ทำไมพ่อไม่เลิกทำไปตั้งแต่แรก ทำไมพ่อถึงเพิ่งจะมาเปลี่ยนตัวเอง” สิงห์ก้มหน้าร้องไห้ “ถ้าเกิดพ่อกลับใจเร็วกว่านี้ ทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้”

“พ่อขอโทษ”

“ฮึก ผมไม่เคยเกลียดพ่อลงเลย จนถึงตอนนี้ผมก็ยังสงสารที่พ่อต้องเดินไม่ได้ ต้องอยู่คนเดียวในห้อง ทั้ง ๆ ที่พ่อทำร้ายผมมาตลอด ผมก็ไม่เคยเกลียดลงเลยสักนิด ได้แต่โกรธกับน้อยใจที่พ่อไม่สนใจเท่านั้น”

“พ่อมันแย่เอง พ่อยอมรับนะว่าถ้าเกิดพ่อไม่ได้มาเป็นแบบนี้พ่อจะสำนึกได้ไหม ก็คงเป็นคนบ้าอำนาจ คลั่งเงินทองจนไม่สนแม้แต่ครอบครัวตัวเอง” มือเหี่ยวย่นลูบหัวลูกชาย “ไม่ต้องยกโทษให้พ่อหรอกนะ เรื่องที่ผ่านมาพ่อทำเกินไปจริง ๆ”

สิงห์ได้แต่สะอึกสะอื้นก้มหัวให้ผู้เป็นพ่อลูบหัวปลอบ

“มันอาจจะสายไปในหลาย ๆ อย่าง แต่พ่อก็อยากทำอะไรให้ลูกบ้าง” พูดเพียงเท่านั้นก็หยิบเอกสารที่ให้สิงห์เอามาให้เมื่อหลายเดือนก่อน “ที่พ่อให้ลูกไปเอาให้ มันคือเอกสารการส่งของกลางจากอธิบดีวารินให้กับเจ้าสัวเหวย”

สิงห์รับมาดูพร้อมกับเปิดดูด้วยความตกใจ เพราะตอนเอามาให้ สิงห์ไม่ได้เปิดดูสักนิดก็คิดเหมือนกันว่าไม่ใช่เอกสารธรรมดาแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้นึกถึงเรื่องหลักฐาน เพราะเขานั้นเอาเอกสารที่จะเป็นหลักฐานส่งไปให้ลุงอนงค์หมดแล้ว

“แล้วก็มีเรื่องของเสมียนบัญชีที่ร่วมมือกับอธิบดีทัพโดยการหุบของกลางเอาไว้ พ่อคิดว่าสิงห์ไม่น่าจะเห็นเพราะมันอยู่ใต้เพดานห้อง”

สิงห์ที่ไปเอามาให้เปิดอ่านแต่ละหน้าอย่างละเอียด นี่จะเป็นอีกหลักฐานที่จับพวกมันได้เลย “ทำไมพ่อถึงเก็บไว้”

“ไม่รู้สิ ที่พ่อชอบเก็บเอกสารทั้งหมดนี้คงเพราะวันนี้ล่ะมั้ง เป็นหลักฐานชิ้นดีเลยใช่ไหมล่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ทั้งคู่เงียบไปนานพอควรก่อนจะเป็นพันธ์ที่เอ่ยก่อน “ระวังตัวด้วยนะ พวกมันเล่ห์เหลี่ยมเยอะ โดยเฉพาะไอเจ้าสัวเหวย” สิงห์พยักหน้าผู้เป็นพ่อจึงพูดต่อ “เจ้าสัวเหวยมันคงจะทำได้ทุกอย่างเพื่อชีวิตตัวเอง ถ้าเกิดต้องสู้กัน... ต้องเอาให้ถึงตายนะ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ยอมง่าย ๆ”

“ครับพ่อ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะสิงห์”

สิงห์คลี่ยิ้มออกมาได้ “ครับ”

พอเก็บถ้วยและให้กินน้ำกับยาสิงห์ก็เดินลงไปข้างล่าง เห็นไฟกับภพกำลังคุยกันอยู่ ก่อนที่ภพจะขอตัวออกไป

“ทำไมตาแดง ๆ” ไฟถามขึ้นพร้อมกับเกลี่ยแก้ม

“ขยี้แรงไปน่ะ แล้วคุยอะไรกันอยู่”

“เรื่องพวกลูกน้องของไอมั่นน่ะ พวกมันชอบมาเดินแถวหน้าบ้านแล้วมองเข้ามา”

“อือ ระวังด้วยนะ”

ไฟพยักหน้า “แล้วเป็นไงบ้างเรื่องพ่อ”

สิงห์ยิ้มบาง “คุยกันแล้วล่ะ แถมให้หลักฐานมาเพิ่มด้วย” ว่าเสร็จก็ชูเอกสารก่อนจะเดินไปหลบมุมไม่ให้คนนอกเห็นได้

“ให้ไฟเอาไปให้พ่อแทนไหม”

“ฝากด้วยนะบอกลุงอนงค์เรื่องแผนด้วย”

ไฟพยักหน้าพร้อมหยิบเอกสารไป “ไฟจะรีบกลับมา”

“จะไปเลยเหรอ มันดึกแล้วนะ”

“ไปถึงที่นั่นก็เช้าพอดี รีบไปจะได้รีบกลับมารวมตัวไง”

“ก็ได้ งั้นขับรถดี ๆ ล่ะ” สิงห์ลูบหน้าคนรักก่อนจะหลับตารับจูบที่หน้าผาก

“ไปก่อนนะ”

สิงห์เดินไปส่งไม่ได้เพราะเดี๋ยวคนสงสัยได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่เดินหายไป ส่วนเขานั้นก็ยังมีอะไรให้ทำ ว่าแล้วก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองห้องทำงานของพ่อเปลี่ยนมาเป็นของเขา หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะหมุนปัดตัวเลขที่คุ้นเคย

รอสายอยู่ไม่นานทางปลายสายก็รับ (สวัสดีครับ)

“นนท์นี่ฉันเอง”

(อ่าวสิงห์ มีอะไรหรือ)

“เตรียมการไว้เลยนะ ถ้าไม่มีอะไรคาดเคลื่อนคงสองสามวันนี้ที่จะไปจัดการไอทัพ”

(อืมได้ ทางฉันพร้อมแล้วแหละเหลือแค่รอทางจเรตำรวจกับอัยการช่วยดำเนินเรื่อง)

“งั้นไว้จะโทรศัพท์บอกอีกที”

(เข้าใจแล้ว ฝั่งนายก็ระวังตัวด้วยนะ)

“อืม จะระวัง” สิงห์วางหูก่อนจะเดินไปทางหน้าต่างมองไปยังข้างล่างเห็นพวกของไอมั่นห้าหกคนที่เดินป้วนเปี้ยนไปเหมือนทำเป็นเฝ้าระวังให้ แต่จริง ๆ กลับคอยเอาแต่สอดส่องเข้ามาข้างในบ้าน

“หึ กูจะจับพวกมึงให้หมด”





จบบทที่ ๒๒

-------------------------------------------------------------------------------------

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกสองสามตอนก็คิดว่าจะจบแล้วค่ะ... ;___;
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-04-2020 22:36:01
เนื้อเรื่องงวดเข้ามาแล้ว ยังไงก็ขอให้ปลอดภัยทุกคนนะ แต่ก็อย่างว่านะ ตำรวจ โจร พ่อค้ายา และข้าราชการทุจริต เมื่อเจอกันก็ต้องมีการบาดเจ็บอยู่ดีนะ สู้ๆ นะไฟกับสิงห์
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 28-04-2020 21:39:49

บทที่ ๒๓

ปืนของผู้ที่ล่วงลับ


 

ถึงวันที่ต้องเริ่มดำเนินแผนได้ข่าวจากเทิดว่าทางเสือเอี้ยงไม่ได้ช่วย ในวันนี้สิงห์จึงจะเดินทางไปหาเสือเอี้ยงถึงที่ สิงห์ให้ภพอยู่ที่นี่เพื่อคอยรับข่าวสารจากคนอื่นแทน ส่วนไฟก็ยังอยู่ที่กรมตำรวจกับลุงอนงค์คงจะกลับมาถึงที่นี่ช่วงหัวค่ำ เลยมีเกื้อกับลูกน้องอีกสองสามคนที่ยอมกลับตัวเมื่อรู้ว่าสิงห์ยังไม่ได้เลิกเป็นตำรวจมาด้วยกัน

“เข้าไปในถิ่นมันอย่างนี้ จะไม่โดนมันยิงเอาเหรอครับ” เกื้อถาม เหงื่อแตกพลั่ก ๆ

“คงเป็นวิธีเดียวนั่นแหละ เพราะเสือเอี้ยงมันคิดว่างานนี้ใหญ่เกินไปสำหรับมัน แต่ถ้ามีคนมาร่วมมันอาจจะยอม”

“ผมกลัวว่ามันจะไม่ยอมน่ะสิครับ”

“ถ้าไม่ได้จริง ๆ คงต้องเล่าทุกอย่างให้มันฟัง” อาจจะได้ผลไม่มากก็น้อย

หลังจากมาถึงที่หมาย สิ่งแรกที่ถูกต้อนรับคือ ปืนนับสิบกระบอกที่จ่อรถสองคัน จนทุกคนต้องลงรถอย่างห้ามไม่ได้

“มึงมาทำไม” เสืออัธ น้องเสือเอี้ยงรีบถามทันทีพร้อมกับปืนที่จ่อหน้าผาก

“กูมาคุยกับพี่มึง”

“คุยเรื่องอะไร กูไม่เห็นจะจำได้ว่าพี่กูญาติดีกับมึงจนต้องมาคุยกันได้”

สิงห์ถอนหายใจ ทั้งพี่ทั้งน้องนิสัยเหมือนกันไม่มีผิด “ถ้ากูบอกว่ามาคุยเรื่องหลวงรวีชัย พวกมึงจะฟังกูไหม”

เสืออัธขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรวะ จะมาส่งงานใหม่ของคุณหลวงรึไง ทำไมพวกมึงถึงมาแทน”

“ไม่ใช่” สิงห์จ้องตามันทั้ง ๆ ที่หน้าผากถูกปืนจ่ออย่างไม่นึกเกรงกลัว “กูจะมาบอกว่า หลวงรวีชัยมันหลอกพวกมึงมาตลอด”

คนที่ได้ยินต่างตกใจกันหมด เสืออัธถึงกับดันปืนจนสิงห์ต้องถอยหลังเล็กน้อย “พูดเหี้ยอะไรของมึง พวกกูคุ้มกันคุณหลวงได้ แล้วคุณหลวงจะมาหลอกพวกกูให้เสียคนไปทำไม”

“มึงไม่รู้จริง ๆ เหรอ ว่าหลวงศรีรวีชัยก็มีเส้นสายของเขาอยู่” พอเห็นว่ามันไม่ตอบจึงเปรยออกไป “เส้นสายที่ใหญ่กว่าพวกมึงและคุ้มครองได้ดีกว่า เป็นคนที่พวกมึงเกลียดเข้าไส้”

“กูจำเป็นต้องเชื่อคนอย่างมึงที่เลียขาให้ไอชาติชั่วนั่นเหรอวะ” ไฟแค้นสะสมมานานนับสิบปี เสืออัธโกรธทุกครั้งที่ใครพูดถึงไอเหวย ที่มันมาทำให้พ่อกับแม่เขาตาย พี่สะใภ้ก็ถูกพวกมันข่มขืนจนตาย พี่เอี้ยงเลยได้แต่ทุกข์กับเรื่องนี้มาตลอด ไอพวกตำรวจเฮงซวยก็ช่วยห่าอะไรไม่ได้เลย ไปแจ้งความก็ให้รับเงินเป็นค่าทำขวัญแทนการจับพวกมันเข้าตาราง

สิงห์เห็นว่าปืนอีกฝ่ายสั่นเล็กน้อยก็พอเข้าใจประวัติพวกนี้มาบ้าง นึกเห็นใจอยู่เหมือนกัน แต่โจรก็คือโจร ทุกอย่างที่ทำมันผิดกฎหมาย “มึงไม่ต้องเชื่อกูก็ได้ แต่กูขอได้เล่าความจริงให้พวกมึงฟังสักครั้ง มึงจะคิดยังไงก็เชิญเลย ถ้ากูโกหกกูยอมให้พวกมึงมาเด็ดหัวกูได้เลย”

“นายครับ!” ลูกน้องทุกคนต่างแย้งทันที

สิงห์ยกมือเป็นเชิงให้หยุดก่อนจะมองเสืออัธด้วยความจริงจัง “ขอแค่ให้กูเล่าเรื่องความชั่วของพวกมัน กูไม่อยากให้พวกมึงโดนหลอกแบบนี้”

พวกมันดูลังเลอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะมีตัวช่วยที่ทำให้สิงห์คลี่ยิ้มออกมาได้

“พี่เอี้ยงสั่งให้พาพวกเขาเข้ามา” เทิดเดินออกมา ลูกน้องเสือเอี้ยงที่เห็นต่างก็เก็บปืนกันหมด

“หึ” เสืออัธยอมเก็บปืนบ้างก่อนจะเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด

“เสือเอี้ยงยอมแล้วหรือ” สิงห์ถามพร้อมกับเดินตามหลัง

“ผมบอกความจริงเรื่องที่ผมเป็นสายให้คุณสิงห์แล้วครับ”

สิงห์ตกใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็หลังจากเปรยเรื่องที่จะไปฆ่าไอทัพน่ะครับ... จริง ๆ ผมว่าพี่เอี้ยงแกไม่ได้โง่ แกดูออกแค่ไม่พูด” เทิดดูนับถือคนคนนี้มากแม้จะเข้ามาไม่ถึงปี

“ถ้าเรื่องรักพวกพ้อง รักครอบครัว ฉันก็นับถืออยู่นะ ยกเว้นนิสัยชอบจิกกัด”

เทิดยิ้มบางก่อนจะทำหน้าสำนึก “ผมต้องขอโทษคุณสิงห์จริง ๆ นะครับ ที่ทำอะไรไม่บอกก่อน”

“อย่าคิดมาก” สิงห์ตบบ่า พอเข้าไปในหมู่บ้านก็เห็นทั้งเด็กและผู้หญิงรวมถึงคนอื่น ๆ ที่ดูเหมือนว่าเสือเอี้ยงจะช่วยให้พ้นจากพวกโจรจากที่อื่น

“จะดีมากเลยนะครับ ถ้าที่นี่เป็นแค่หมู่บ้านธรรมดา” เกื้อกระซิบ ซึ่งสิงห์เองก็เห็นด้วย หากว่าพวกคนที่เหลือไม่ได้ไปเป็นโจร มันคงจะดีกว่านี้

“คนอื่นห้ามเข้า” พอมาถึงก็มีลูกน้องเสือเอี้ยงที่ยืนอยู่ไกลออกไปมาบอก สิงห์เห็นแล้วว่าเสือเอี้ยงมันนั่งอยู่ตรงริมหน้าผากับน้องชายของมัน

“จะเกินไปแล้ว”

สิงห์เอาแขนกั้นคนอื่นพร้อมกับส่ายหน้า “อืม เข้าใจแล้ว” พูดกับลูกน้องเสือเอี้ยงคนนั้นก่อนจะหันไปบอกลูกน้องตัวเอง “อยู่นี่ ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ครับ” ลูกน้องตอบรับอย่างว่าง่าย สิงห์เลยเดินตามลูกน้องของเสือเอี้ยงไป ยังมีเทิดที่เดินมาด้วยกัน

“พวกตำรวจมันห่วยขนาดนั้นเลยเหรอวะ ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากโจร” ทักทายคำแรกก็ทำเอาสิงห์เข็ดฟันแต่จำเป็นต้องเอาน้ำลูบไม่ให้ไฟโหมไปมากกว่านี้

“ยอมรับว่ามีห่วย ๆ แต่ที่ขอมันก็จำเป็นจริง ๆ” สิงห์นั่งลงตรงไม้ที่มีคนตัดไว้สำหรับทำเป็นที่นั่ง

“เหอะ แดกภาษีคนอื่นไปวัน ๆ ไม่ทำห่าอะไรเลย” สิงห์ไม่เถียงใดใดทั้งสิ้น เสือเอี้ยงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง

“ไหนมึงลองว่ามา เกี่ยวกับไอคุณหลวงนั่น”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะเล่าตั้งแต่ตอนที่เจอหลวงรวีชัยตั้งแต่เริ่มแรกรวมถึงวันที่เจอเจ้าสัว ความรู้สึกอัดอั้นพูดออกมาจนหมดสายตาที่เกลียดชังสะท้อนให้คนมองรู้สึกได้ถึงความกรุ่นโกรธที่อยู่ในใจมานานนับหลายปี ถึงจะไม่ใช่สถานการณ์เดียวกัน แต่ความรู้สึกไม่ต่างกันเลย “จะด่าจะว่าพวกข้าราชการอะไรก็ได้ กูไม่ว่าเลย แต่กูอยากให้พวกมึงร่วมมือกับกูกำจัดไอเศษสวะพวกนั้น มองกูเป็นพวกคนหนึ่งไม่ใช่ตำรวจก็ได้ ชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันหมด กูรับเลี้ยงคน ให้โอกาสโจรที่กลับตัว แต่มันก็ไม่พอจะไปสู้กับคนอย่างพวกมัน แล้วกูก็ไม่สามารถรับเลี้ยงใครไหวอีก”

เสือเอี้ยงตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อฟังเรื่องราวของคนที่คิดว่าเลียขาให้เจ้าสัว แต่ก็ยังคงไม่ได้ไว้วางใจถึงขนาดต้องเอาชีวิตพวกพ้องไปเสี่ยงด้วย “แค่คำลมปากกูไม่ไว้ใจมึงหรอกนะ ทางกูเองก็มีคนต้องดูแล กูจะรู้ได้ไงว่าถ้าร่วมมือกับมึงแล้วมึงจะไม่หักหลังกู ขนาดไอคุณหลวงมันยังหักหลังกูได้”

“พี่เอี้ยง พี่เชื่อมันเหรอ” คนน้องรีบค้าน

“ก็พอจะเดานิสัยไอคุณหลวงได้อยู่ แต่กูก็เจ็บใจที่มันหลอกกูมานานขนาดนี้”

“คุณหลวงเนี่ยนะพี่”

“กูก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันไออัธ แต่ทุกอย่างมันทำให้กูเถียงห่าอะไรไม่ได้” พอคนพี่พูดขนาดนี้คนน้องจึงจำต้องยืนเงียบ ๆ แม้จะขัดใจแต่ก็ยอมรับว่าที่อีกฝ่ายพูดมันดูจริง รวมถึงเทิดที่เล่าออกมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่พบกัน

“ถ้าอย่างนั้นช่วยกูจัดการไอทัพก็พอ ส่วนพวกเจ้าสัวพวกกูจัดการเอง และกูก็จะไม่ให้ใครรู้ว่าพวกมึงมาช่วย พวกมึงก็จะไม่ถูกหมายหัว ให้เป็นแค่พวกกูที่โดน”

สองพี่น้องมองหน้ากัน เสือเอี้ยงขมวดคิ้วมุ่นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังและพร้อมจะเสียสละอย่างแท้จริง คนเป็นผู้นำคนอื่นมีหน้าที่ต้องแบกรับชีวิตพวกพ้องแค่มองตาก็เข้าใจกัน ว่าไอสิงห์มันเอาจริง “ถ้าแบบนั้นก็ได้ แต่...”


 
“ไอหลวงรวีชัยกูขอเป็นคนฆ่ามันเอง”

 


พ่ายโลกันตร์


 

ทางนนท์ที่ตอนนี้อยู่กับสารวัตรอิฐที่เข้าร่วมเหมือนกันพร้อมกับลูกน้องสิงห์คนเก่าอย่างหมวดกล้า จ่าเฉิ่ม จ่านิดและจ่าตาล ทั้งหกคนอยู่ในชุดลำลองเพราะต้องทำงานร่วมกัน มันเป็นเรื่องที่ดีที่สามารถมาคุยกันได้โดยไม่ต้องถูกสงสัย

“ตอนนี้ทางผู้กองสิงห์กำลังดำเนินแผนอยู่ คิดว่าคงวันสองวันนี้ที่อธิบดีทัพจะถูกฆ่า” นนท์อธิบายแผนการตอนนี้พวกเขาจับโจรกันเรียบร้อยหมดแล้ว ทำเป็นจะเคลียร์พื้นที่แต่แท้จริงมาเพื่อคุยกันเท่านั้น

“ผู้กองชอบพาตัวเองไปที่เสี่ยง ๆ ตลอดเลย” หมวดกล้าส่ายหน้า หัวหน้าเขายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

 “มันจะไม่เป็นอะไรแน่หรือสารวัตร” สารวัตรอิฐถามอย่างสงสัย “ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องตามกระบวนการกฎหมายนะ แถมตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องคดีที่อธิบดีทัพทำเลย”

 “ถ้าให้พูด ก็คงต้องบอกว่าเสี่ยงพอตัวครับ ในตอนแรกสิงห์คิดจะจับเพื่อดำเนินคดีพร้อมหลักฐานแต่มันก็เสี่ยงที่จะมีคนมาช่วย”

“ถึงแม้ว่าแผนจะวางกันมานานแต่แผนเรื่องฆ่าอธิบดีทัพผมว่ามันเปลี่ยนได้นะ อย่างน้อยเราก็เอาหลักฐานไปบอกให้ทางจเรตำรวจจัดการให้”

นนท์ขมวดคิ้วพร้อมพยักหน้า “ผมจะคุยกับสิงห์อีกทีในเรื่องนี้ แต่ว่าพรุ่งนี้นี้เราต้องเอาหลักฐานของพวกมันไปให้ทางอัยการ รวมถึงสายข่าวที่ท่านรองจัดการเปิดเผยเรื่องพวกนี้ลงหนังสือพิมพ์”

“แบบนั้นก็ดีครับ ทุกคนจะได้รู้ความชั่วของพวกคนใหญ่คนโตที่หลงในอำนาจ” หมวดกล้าเห็นด้วย

“ถ้าอย่างนั้นผมคิดว่าต้องมีคนไปช่วงทางผู้กองสิงห์บ้าง พวกผมไปได้นะ” จ่าเฉิ่มเอ่ย

“ใช่ครับ ให้พวกผมไปเถอะ” จ่านิดพูดอีกคน จ่าตาลเองก็พยักหน้าเสริม

“แต่มันเป็นทางกรมภูธรเขาต้องจัดการน่ะสิ ของเราจำกัดแค่ทางพระนคร” สารวัตรอิฐหน้าเครียด เพราะอยากไปช่วยเหมือนกัน ถ้าเทียบกับไอแค่ลงหลักฐานและจัดการในศาลยังดีกว่าไปสู้กับพวกเจ้าสัวเหวยที่อาวุธครบมือที่ไม่รู้จะมีโอกาสรอดหรือเปล่า

“รู้แบบนี้ผมย้ายตามผู้กองไปด้วยแล้ว” จ่าตาลว่า

“จริง ๆ มันก็ไม่ได้ทำไม่ได้ เพียงแต่มีสามทางเลือก” สารวัตรนนท์ว่า “ทางเลือกแรก คือถูกส่งตัวโดยคำสั่งของอธิบดีหรือรองอธิบดี แน่นอนว่ามันไม่ได้— ส่วนอีกทางเลือก ต้องไปแบบปกปิดตัวตนให้คนอื่นคิดซะว่าเป็นลูกน้องเสี่ยพันธ์ที่กลับตัวกลับใจก็ได้”

“แล้วทางเลือกที่สามล่ะครับ” หมวดกล้าขมวดคิ้ว

“ทางเลือกที่สาม ไปโดยไม่มีคำสั่ง อาจโดนโทษที่ทำอะไรโดยพลการ แต่ทางเลือกนี้ต้องไปโดยไม่ให้ทางกรมรู้เด็ดขาด เอาง่าย ๆ เลยว่า รู้ตัวอีกทีก็จับตัวพวกนั้นหมดแล้ว”

“ผมขอทางที่สาม” จ่าเฉิ่มเริ่ม คนอื่น ๆ ก็ตามมา

“ผมเลือกทางที่สามเหมือนกัน อย่างน้อยก็จะได้ให้คนเขารู้ว่าพวกผมคือลูกน้องของผู้กองที่ใช้ยศและหน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นประกันได้ ว่าหัวหน้าผมยังคงเป็นตำรวจที่ทำเพื่อประชาชน” หมวดกล้าว่าอย่างนั้นทุกคนก็พยักหน้า

นนท์คลี่ยิ้มอย่างดีใจแทนเพื่อนที่มีลูกน้องดี ๆ แบบนี้ “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นทางนี้ผมกับสารวัตรอิฐจะเป็นคนดำเนินเรื่องเอง ส่วนทางผู้กองสิงห์ขอฝากพวกคุณด้วยนะ”

“ครับสารวัตร!!!!” ทั้งสี่คนตะเบ๊ะให้

“ตอนนี้หมวดไฟเพิ่งจะถึงที่อยุธยาเพื่อหาท่านรองที่กรมตำรวจ พวกคุณไปสมทบกับหมวดไฟเลยก็ได้ เดี๋ยวผมให้ยืมรถไป”

“ครับผม”

“เดี๋ยวจะเขียนหมายลาไว้ให้ ระวังตัวด้วยล่ะ”

“ขอบคุณครับสารวัตรอิฐ”

“ฝากสิงห์ด้วยนะ” นนท์พูดขึ้นทั้งสี่คนจึงยิ้มออกมาและพยักหน้าก่อนที่จะต่างคนต่างแยกย้ายไปเก็บของและเจอกันอีกทีที่นัดหมายโดยใช้รถของสารวัตรนนท์

ตัดมาทางสิงห์ที่ตอนนี้กำลังยืนคุยเรื่องแผนกับเสือเอี้ยงโดยในห้องมีเกื้อ เทิด และเสืออัธร่วมด้วย

“คงต้องมีกลุ่มหนึ่งที่ไปอยุธยาเพื่อจะไปเก็บไอทัพและอีกกลุ่มอยู่รอจัดการหลวงรวีชัยที่นี่” สิงห์ว่า

“กูก็อยากจัดการเหมือนกันนะไอทัพเนี่ย ทำกูไว้เยอะเหมือนกัน” เสือเอี้ยงคิ้วมุ่นก่อนจะหันมองน้อง “ไออัธ มึงไปกับไอสิงห์ก็ได้”

“อะไรวะพี่! ให้ไปกับมันเนี่ยนะ”

“ก็ถือว่าไปแก้แค้นมันไง”

“ไม่พี่ ผมไม่ไว้ใจมัน”

“เอาล่ะ ๆ” สิงห์ยกมือปรามทั้งคู่ “กูบอกแล้วว่ากูจะจัดการไอทัพเอง พวกมึงก็จัดการหลวงรวีชัยเถอะ”

เกื้อถึงกับหันมองหัวหน้าตนเองก่อนจะกระซิบ “ไหนผู้กองบอกว่าจะให้พวกมันจัดการทัพไงครับ”

สิงห์ถอนหายใจ “มันไม่เป็นตามนั้นน่ะสิ”

“แล้วแบบนี้ก็แย่น่ะสิครับ ผมไม่ได้กลัวว่าพวกเจ้าสัวจะเพ็งเล็งมาทางเราแต่ผมกลัวว่าจะกลายเป็นทำอะไรเกินกฎหมายกำหนดแล้วจะเข้าทางอธิบดีวาริน”

คนฟังเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็ต้องรอคุยกับทางลุงอนงค์และนนท์อีกที เพราะวันนี้ลงรายละเอียดคร่าว ๆ ว่าใครจะจัดการยังไง แต่เริ่มจริงคงวันสองวันนี้

เสือเอี้ยงมองสักพักเพราะได้ยินที่พวกนั้นพูดก่อนจะเคาะนิ้วกับโต๊ะเพื่อนึกคิดสักพัก “ไอสิงห์”

“ว่าไง”

“ออกไปคุยกับกู”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะเดินตามออกไปอย่างว่าง่าย พอห่างจากบ้านพักที่ร่วมวางแผนพอสมควรเสือเอี้ยงจึงพูดขึ้นมา

“เรื่องจัดการไอทัพ ให้เป็นชื่อกู”

“หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ” เสือเอี้ยงถอนหายใจมองไปทางป่าข้างล่างหน้าผาก่อนที่จะเงยหน้ามองแสงอาทิตย์ที่ลอยเด่นข้างบน “มึงคงรู้มาตลอดว่ากูเกลียดพวกข้าราชการมากขนาดไหน แต่มึงรู้ไหมว่ามีตำรวจคนหนึ่งที่ทำให้กูนับถือเขาได้”

“ใคร?” สิงห์ขมวดคิ้วทันทีเพราะไม่คิดว่าเสือเอี้ยงจะมาบอกเรื่องแบบนี้และที่น่าตกใจกว่าคือเสือเอี้ยงเคยนับถือตำรวจด้วยหรือ

“สารวัตรโขมไง”

“จริงหรือวะ” สิงห์หัวเราะ “ทั้ง ๆ ที่เวลาสารวัตรโขมถูกเรียกไปที่เรือนคุณหลวง มึงก็ด่าแซะข้าราชการไม่ใช่หรือไง”

เสือเอี้ยงอดหัวเราะบ้างไม่ได้ “ก็นะ กูมันพวกปากมาก กูน่ะ— นับถือเขาตั้งแต่วันที่รู้ว่าไอคุณหลวงมันเรียกให้ไปหาเพื่อจะให้สารวัตรเลียขาตัวเอง แต่สารวัตรกลับไม่ทำ"

สิงห์ไม่ได้พูดอะไรและฟังมันเล่าต่อ

“เป็นครั้งแรกที่กูรู้สึกว่า ตำรวจดี ๆ ก็มี แต่ทิฐิมันบังตากู เพราะกูถูกพวกห่านั่นมาทำลายความศรัทธาพวกข้าราชการหมด แต่มึงรู้ไหมว่ายุคที่มีพวกมึงที่เป็นสามบุรุษอ้อยขวางกับยุคที่มีสารวัตรโขมมาดูแล กูเหมือนมีความหวัง”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามึงเคยคิดแบบนี้” สิงห์ส่ายหน้าแม้ปากยังไม่ได้หยุดยิ้มเลยสักนิด

“พวกมึงเป็นตำรวจที่ดีนะ” เสือเอี้ยงหันมา “ถึงมึงจะเคยทำให้กูหมดศรัทธาอีกคนเพราะข่าวออกมาว่ามึงช่วยพ่อตัวเองแล้วยังไปเลียขาไอเจ้าสัวเหวยอีก”

“มันก็แค่ข่าวหลอก”

“เออนั่นแหละ กูถึงตกใจตอนที่มึงมาเล่าให้ฟังเรื่องนี้ไง”

“กูไม่คิดเลยว่าจะได้ยินสิ่งพวกนี้มาจากปากของมึงเอง”

“กูก็ไม่คิดว่ากูจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาเหมือนกันว่ะ แต่พอกูฟังเรื่องราวของมึง กูดันสงสาร มันเหมือนเห็นตัวเองอีกคน ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันมึงกับกูไม่ต่างกันเลย”

สิงห์พยักหน้าและพูดสิ่งที่ตัวเองคิดบ้าง “จริง ๆ แล้ว ที่กูจะชวนพวกมึงไปฆ่าไอทัพเพราะว่าจะให้ทางอธิบดีวารินกับเจ้าสัวเหวยมันเล็งมึง และทางกรมจะได้ไม่เอาผิดอะไรได้เพราะเป็นโจรที่ฆ่าไอทัพ”

“ความคิดมึงชั่วดี” ถึงจะได้ยินอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ “แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะ”

“จะว่าเปลี่ยนใจก็ไม่เชิง มันไม่เป็นไปตามแผนต่างหาก” สิงห์พรูลมหายใจ “แต่ทั้ง ๆ ที่มึงเสนอชื่อมึงให้เป็นคนฆ่าขนาดนี้ กูกลับถามและยังไม่ตอบรับ มันเพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือกูเองก็เห็นใจมึงอย่างที่มึงเห็นใจกู”

ทั้งสองเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเป็นเสือเอี้ยงที่พูดขึ้น “กูบอกเลยนะ ว่ากูไม่ยอมให้ครอบครัวกูต้องมอบตัวกับเรื่องนี้”

“แต่กูก็คงบอกเหมือนกันว่ากูเองก็ต้องทำตามกฎหมาย แต่จะให้ชื่อว่าพวกมึงช่วยเหลือราชการ โทษจะได้ลด”

“เข้าใจ” เสือเอี้ยงพยักหน้าก่อนจะหันมายืนประจันหน้าที่ไม่ใช่สาดซัดคำครหาหรือคำด่าใส่กันอีกแต่เป็นการร่วมมือและเห็นเป็นพวกคนหนึ่ง “กูเลยอยากให้มึงสัญญาอะไรกับกูสักข้อหน่อย”

“อะไรวะ?”

“ดูแลพวกชาวบ้านและปล่อยลูกน้องกู”

สิงห์ขมวดคิ้ว

“จับกูไปคนเดียวพอ”

“มันไม่ได้—“

“สิงห์ กูขอร้อง”

สิงห์คิดหนักพอควร “กูคงรับปากมึงไม่ได้ แต่จะพยายาม”

“ขอบคุณมึงมาก”

สิงห์ไม่คิดว่าจะทำได้จริง ๆ ไม่คิดว่าคนที่ทะเลาะกันตลอดจะมาขอร้องอะไรอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย คงไม่แปลกใจที่เทิดเข้ามาได้ไม่นานก็นับถือเสือเอี้ยงขนาดนี้ เพราะมันดีกับคนที่ดีกับมันจริง ๆ เรียกว่าให้ใจเต็มร้อยไม่สนแม้แต่ชีวิตตัวเองที่ยอมเสี่ยงเพื่อคนอื่น

ถึงจะนับถือขึ้นมาแล้วบ้างแต่กับสิ่งที่มันทำมาทั้งหมดก็ยังคงผิดกฎหมายอยู่ดี เพราะอย่างนั้นสิงห์ถึงคิดหนัก อย่างน้อยคนอื่นก็สมควรจะรับโทษตามกฎหมายจะได้ไม่ต้องมีปัญหาอื่นตามมา

“กูถามมึงได้ไหม ว่าทำไมถึงไม่อยากให้คนอื่นถูกจับ”

“พวกมันมีลูกมีเมียต้องดูแล ถ้าให้พวกมันติดคุกไปด้วย กว่าจะได้ออกลูกกับเมียมันจะอยู่กันยังไง”

“แล้วมาเป็นโจรทำไม”

“มันมีหนทางอื่นหรือวะกับคนที่ไม่มีห่าอะไรเลยอย่างพวกกู ไม่มีเงินทองไปเรียนไปทำอะไรอย่างคนอื่นเขา ถึงจะเคยมีแต่ก็ถูกพวกโจรที่อื่นกับพวกข้าราชการมันเอาไปหมดแล้ว”

สิงห์ถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้า “เข้าใจมึงนะ แต่ถ้าใครในลูกน้องมึงมีทั้งชื่อและรูปที่เคยลงในหนังสือพิมพ์หรือค่าหัว กูขอบอกตรงนี้ว่าอาจจะช่วยไม่ได้มากเพราะถือว่าอยู่ในรายชื่อคนผิดกฎหมายที่ต้องถูกหมายจับ คงต้องถูกจับสถานเดียว”

“ไม่มีทางอื่นจริง ๆ หรือวะ” เสือเอี้ยงเครียดเพราะก็มีหลายคนเหมือนกันที่มีรายชื่อและค่าหัวอยู่

“กูอยากช่วยพวกมึงบ้างนะ แต่เรื่องนี้มันเกินไปสำหรับกูหรืออย่างน้อยก็ให้กูดูแลครอบครัวพวกเขาก่อน หลังจากพ้นโทษค่อยมาหากู”

“มึงก็รับคนไปดูเยอะแล้วไม่ใช่หรือวะ”

“หลวงธารานันท์ช่วยกูอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ท่านรับคนไปดูแลโดยให้ดูพวกสวนพวกไร่และเอาไปขายในตลาดหรือต่างจังหวัด แล้วก็ที่พระนครมีไร่ต้นตาลกับนาข้าวที่ตอนนี้ลุงกับแม่กูทำอยู่ที่นั่นก็มีบางคนไปอยู่นู่น ถ้าเป็นคนของพวกมึงก็ยังรับได้อยู่ ไหน ๆ กูว่าหลังจากจบเรื่องนี้คงพัฒนาไปได้อีก ก็คงต้องการคนงานเพิ่มเหมือนกัน”

เสือเอี้ยงโล่งใจขึ้นทันที “ดีเลย คนที่นี่ทำงานเป็น ถึกทนทั้งนั้นไม่แม้แต่ผู้หญิงเพราะสอนให้ทำงานเป็นจะได้ไม่มีใครมาดูถูก”

“งั้นก็มีคนที่ทำงานหนัก ๆ ได้ใช่ไหม”

“เออ มีอยู่เยอะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา งานที่ให้ทำก็มีตากแดดตากลมซะส่วนใหญ่กลัวว่าจะไม่ไหวกัน จะมีบ้างที่เย็บปักถักร้อยที่วังหรือเป็นแม่ครัว คนรับใช้สำหรับคนที่อาจจะป่วยง่ายหรือร่างกายอ่อนแอมาแต่เกิดให้ไปทำที่วังได้”

“วังหรือวะ?” เสือเอี้ยงตาโต

“อืม วังของเพื่อนกูเอง แต่ก็เกรงใจเหมือนกันคงรับได้ไม่กี่คนนะ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็บุญหัวพวกมันแล้ว ขอบคุณมึงมากจริง ๆ ว่ะสิงห์” เสือเอี้ยงจับบ่า

“ยินดีเสมอ ขอแค่พวกมึงรับโทษตามกฎหมายและรอปล่อยตัวมันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

“ไออัธคงโวยวายว่าทำไมพี่มันยอมง่ายขนาดนี้” เสือเอี้ยงหัวเราะ ก่อนจะยิ้มบาง “มันเองก็มีลูกมีเมีย ยิ่งมารู้ว่ามึงยอมช่วยเหลือขนาดนี้ กูก็ไม่อยากเสียคนในครอบครัวไปอีกแล้วว่ะ กูแม่งคิดมาตลอด คิดตั้งแต่ไอเทิดเปรยเรื่องไอหลวงรวีชัย”

“ยังดีที่มึงคิดได้ทันก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้”

เสือเอี้ยงหันมองก่อนจะจับบ่า “กูก็ยังพูดเหมือนเดิมว่ากูเกลียดข้าราชการ ยกเว้นพวกมึงที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง สักวันพวกเขาจะเห็นอย่างที่กูเห็นว่ามึงก็เป็นตำรวจที่ดีคนหนึ่ง”

“ขอบคุณมึงมากที่ยอมร่วมมือกับกูและเปิดใจยอมรับแม้ว่าข้าราชการคนอื่นจะทำเหี้ย ๆ ไว้กับพวกมึงก็ตาม”

“ช่างพวกมันเถอะ กูก็ทำมามากพอละ จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ไว้มึงกับกูมาแดกเหล้ากัน”

สิงห์ตบบ่าคนข้างกาย “เออ ไว้มาแดกเหล้ากัน”

 


พ่ายโลกันตร์

 


กลับถึงบ้านได้ไม่นานก็ต้องคุยกับภพเรื่องที่ว่านนท์โทรศัพท์มาหาเพื่อเปลี่ยนแผนไม่ต้องจัดการอธิบดีทัพ สิงห์จึงต้องโทรศัพท์หาอีกรอบและพูดคุยกัน โดยมีสารวัตรอิฐที่คุยด้วยเพราะทั้งคู่อยู่ด้วยกันในตอนนี้

“เสือเอี้ยงมันยอมตกลงที่จะให้เป็นชื่อมันแล้วก็ส่งตัวน้องชายกับพรรคพวกอีกเจ็ดแปดคนมาร่วมด้วย” สิงห์ว่าก่อนจะคิดหนัก “แต่ว่าการทำแบบนี้พวกเสือเอี้ยงอาจจะโดนโทษเพิ่มได้”

(จะช่วยพวกเสือเอี้ยงจริง ๆ ใช่ไหมสิงห์) นนท์เอ่ยถาม

“อืม ฉันรับปากไปแล้ว”

(ได้บอกเรื่องนี้ไหมว่าพวกมันจะถูกโทษเพิ่มได้)

“บอกแล้วแหละ ถ้าเป็นอย่างนั้นเสือเอี้ยงมันก็จะยอมรับโทษคนเดียว” สิงห์นวดขมับ “ถ้าจบเรื่องแล้ว ฉันจะลองต่อรองดู”

(ยังไงล่ะ)

“ฉันมีวิธีอยู่ ส่วนเรื่องที่ต้องฆ่าไอทัพมันยังคงเดิม แผนเดิมของเรา”

(ถ้าผู้กองคิดว่าดีผมก็เอาตามนั้น) เสียงสารวัตรอิฐแว่วเข้ามาก่อนจะเป็นนนท์ที่พูด (กว่านายจะกลับสิงห์บุรีพวกเจ้าสัวมันจะไม่เตรียมพร้อมเสร็จแล้วหรือ มันอันตรายนะ อย่างน้อยนายอยู่จัดการหลวงรวีชัยดีกว่าไหม)

“ไม่หรอก ฉันไม่ได้ไปแล้วล่ะ”

(อ่าว แล้วจะปล่อยให้พวกเสืออัธไปหรือ พวกมันยอมหรือไง)

“ก็มีไฟอยู่ที่นั่นไง ฉันโทรศัพท์บอกท่านรองไว้ก่อนแล้วแหละว่าให้ไฟอยู่ที่นั่นก่อน”

(ให้คนหัวร้อนง่ายสองคนอยู่ถ้ำเดียวกันเนี่ยนะสิงห์) สารวัตรนนท์ว่าเสียงเอื่อย

“นั่นสินะ แต่ไฟก็เปลี่ยนไปเยอะแล้ว”

(เฮ้อ เอาเถอะ ฉันส่งคนในทีมเก่านายไปด้วย บอกจะไปช่วยให้ได้)

“ว่าไงนะ? พวกหมวดกล้าเหรอ”

(ใช่)

“มันอันตรายนะ ส่งมาทำไม”

(ก็เพราะมันอันตราย พวกนั้นถึงเป็นห่วงหัวหน้าอย่างนายไงสิงห์)

สิงห์เงียบไปครู่ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง “ถ้ามาถึงนะจะสั่งสอนสักที”

(ฮ่า ๆ คงเตรียมใจกันไว้แล้วแหละ)

“ถ้าอย่างนั้นไว้แค่นี้ก่อนนะ หลังจากเสืออัธถึงอยุธยาคืนนี้ก็จัดการอธิบดีทัพเลย แล้วก็ท่านรองก็จะเดินทางไปพระนครแล้วพวกนายเตรียมหลักฐานฝั่งพวกนายไว้แล้วกัน”

(ได้ ดูแลตัวเองด้วยนะสิงห์ ห้ามตายเด็ดขาด)

“รับทราบครับสารวัตร” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็วางสายก่อนจะถอนหายใจเมื่อวันนี้วางแผนกันเสร็จเรียบร้อย รอเพียงแค่จุดระเบิดลูกใหญ่ที่คงจะมาถึงในเร็ววัน

สิงห์ที่พิงพนักเก้าอี้อยู่ยกมือลูบใบหน้าให้หายเครียด ในชั่วจังหวะหนึ่งที่กำลังลูบหน้าและนวดขมับก็เผลอมองกรอบรูปหนึ่งที่มีรูปของนายตำรวจสี่คนยืนถ่ายรูปด้วยกัน เมื่อมองผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเลยเลื่อนลิ้นชักออกมาก็พบกระบอกปืนลูกโม่ที่สลักชื่อว่า ‘จัน’ ไว้ โดยที่สารวัตรโขมเก็บไว้ให้

 “กูขอใช้ปืนมึงนะจัน กูจะเป็นตัวแทนมึงเอง” สิงห์น้ำตาคลอเล็กน้อยก่อนจะทำหน้ามุ่งมั่น “นับตั้งแต่บัดนี้ กระผม... ผู้กองสิงห์ขอรับปืนหมวดจันไปจัดการพวกเจ้าสัวเหวย”

เสียงลมพัดเอื่อย ๆ ทางหน้าต่างคล้ายกลับรับรู้และคอยเป็นกำลังใจให้คนที่อยู่ภายในห้อง พระจันทร์คืนนี้เต็มดวงส่องแสงสะท้อนกับปืนและชื่อที่สลักไว้ทำให้เด่นอยู่ในสายตาผู้ที่ถือ

“คิดถึงมึงนะจัน...”




จบบทที่ ๒๓
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-04-2020 00:00:53
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-04-2020 17:18:34
ทุกคนย่อมมีมุมดี มุมเลวในตัวเอง บางคนเลวโดนเหตุการณ์บังคับ แต่ยังไงก็รักครอบครัว และห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 03-05-2020 11:06:06
 

บทที่ ๒๔

เริ่มแผนการ

 


ณ พระนคร

สารวัตรนนท์และสารวัตรอิฐที่ตอนนี้เดินไปพร้อมกับทางจเรตำรวจเพื่อไปยังห้องทำงานของอธิบดีวาริน ตำรวจภายในกรมต่างหันมองด้วยความสงสัยก่อนที่สารวัตรนนท์จะเป็นคนเปิดประตูเข้าไป

“อธิบดีวารินคุณต้องไปกับเรา”

อธิบดีวารินเงยหน้ามอง ดวงตาเบิกเล็กน้อยก่อนจะสงบลง “มีอะไรกันหรือ”

“คุณถูกสงสัยว่าร่วมมือกับโจรและยึดฝิ่นยึดของกลางเพื่อไปหมุนเงินอีกที โดยมีความช่วยเหลือจากหลวงศรีรวีชัยและเจ้าสัวเหวย”

“จะมากล่าวหากันโต้ง ๆ แบบนี้ไม่ได้นะสารวัตร” อธิบดีวารินขมวดคิ้วมือซ้ายหยิบหูโทรศัพท์ออกมาวางกับโต๊ะ คนอื่นไม่มีใครเห็นเพราะว่ามีกองงานที่บดบังอยู่ ในระหว่างที่หมุนเลขที่คุ้นดีก็ยังคงมีท่าทีสงบ

“ผมมีหลักฐานเกี่ยวกับคุณจากเสี่ยพันธ์ที่ให้หลักฐานเพิ่มมาและสายของเราที่เอามาจากเจ้าสัวเหวยและรวมถึงลูกชายบุญธรรมของคุณ”

พอได้ยินชื่อของคนที่เคยหลอกใช้ก็มีแววตากรุ่นโกรธขึ้นมาแต่ยังคงไม่แตกตื่น “หลักฐานพวกนั้นมันก็ปลอมแปลงได้ไม่ใช่หรือ” วารินเห็นว่าปลายสายคงจะรับแล้วจึงใช้นิ้วเคาะโต๊ะสามครั้งเป็นการส่งข้อความลับให้

“เราตรวจกันมาแล้วว่าไม่ใช่เอกสารที่ปลอมแปลง ทุกอย่างล้วนเป็นของจริง และคุณเคยส่งลูกชายบุญธรรมอย่างหมวดจันเพื่อเข้าไปเป็นหนอนบ่อนไส้ในข้าราชการให้กับทางเสี่ยพันธ์และหลวงศรีรวีชัย” ว่าแล้วก็ชูจดหมายฉบับหนึ่งกางออกก็จะเห็นตรารอยนิ้วมือประทับกับชื่อที่เซ็น “หมวดจันได้ยอมรับและส่งจดหมายนี้ให้กับทางรองอนงค์ ว่าคุณร่วมมือกับโจรภาคกลางจริง ๆ”

วารินจ้องเขม็งก่อนจะพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับพวกนาย”

นนท์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอธิบดีวารินยอมกันง่าย ๆ แต่ก็เป็นอันเข้าใจเพราะวารินเป็นคนใจเย็น คงมีแผนอยู่สินะ “เอาตัวไปเลยครับ” หันบอกทางจเรตำรวจ

“ฉันขอเดินไปเฉย ๆ โดยไม่ต้องรวบฉันได้ไหม ถือว่าเห็นแก่ฉัน”

อิฐพยักหน้าให้นนท์เลยจำเป็นต้องทำตาม ในตอนที่กำลังออกจากห้องนนท์ก็เหลียวมองที่โต๊ะทำงานด้วยความสงสัยก่อนจะออกจากห้องไปเมื่อไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ...

ตัดมาทางคนรับที่ฟังก็คลี่ยิ้มออกมา “ลื้อไปจัดเตรียมของซะ เราจะไปพระนครกัน” บอกกับไอมั่นที่กลายเป็นมือขวาแล้ววางหูโทรศัพท์และมองไปยังคนสองคนที่ถูกมัดตัวและปิดปากเอาไว้ “เมื่อกี้นี้อธิบดีวารินโทรศัพท์มาบอกข่าวคราวว่าถูกจับมีหลักฐานในเรื่องที่ช่วยกู แต่หลักฐานที่บอกว่าเอามาจากเจ้าสัวเหวยนี่ พวกมึงใช่ไหมที่เอาไปให้ตำรวจ”

กฤษตัวสั่นจากทั้งความโกรธและความกลัวหันมองพ่อสมหมายที่ตอนนี้ดูนิ่งจนแปลก

“แน่มากเลยนะที่มาเป็นสายให้พวกมัน” เจ้าสัวเหวยยิ้มแต่เป็นยิ้มที่น่ารังเกียจสำหรับคนมอง “กูคงไม่รู้ตัว หากว่าวันนั้นลูกน้องกูไม่ไปเห็นมึงที่บาร์เพื่อคุยกับเจ้าสิงห์ กูยอมปล่อยไปก่อนให้พวกมึงตายใจ จะได้รู้ว่าการมาหักหลังกูมันเป็นยังไง”

กฤษกำมือแน่นจ้องเขม็งมัน

“แค้นกูใช่ไหมล่ะไอกฤษ” เจ้าสัวเหวยว่าเสร็จก็เดินมาทางคนข้าง ๆ ที่ดูจะไม่เกรงกลัว น่าเสียดายที่อยู่อีกฝั่งไม่อย่างนั้นคงให้เป็นคนสนิทอีกคน “ลุงสมหมายดูเตรียมใจมาแล้วสินะ”

กฤษรีบหันมองก่อนจะดิ้นไปมา “อื้อ ๆ!!”

“น่าเสียดายนะ แต่กูคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู” พูดไปมือก็หยิบปืนออกมา

“อื้อ!!!!” กฤษดิ้นแรงกว่าเดิมจนข้อมือแดงและเลือดซิบเบิกตากว้างเมื่อมันจ่อปืนไปทางพ่อสมหมาย

“กูจะเก็บมึงไว้นะไอกฤษ และส่งพ่อมึงไปสู่นรกเอง” พูดเสร็จก็เอาผ้าจากปากของตาสมหมายออก “เผื่ออยากจะพูดอะไรก่อนตายนะ ดูสิว่ากูใจดีกับพวกมึงแค่ไหน” 

ตาสมหมายเงยหน้ามองไม่มีความไหวหวั่นก่อนจะหันมองลูกตัวเองพร้อมยิ้ม “ลูกต้องรอดนะ พ่อขอโทษที่อยู่ด้วยไม่ได้—”

ปัง!

“อื้อ!!!!” กฤษร้องออกมาน้ำตาไหลพรั่งพรู จากนิ่งงันกลายเป็นสั่นจากสั่นกลายเป็นคลุ้มคลั่ง ดิ้นจนเก้าอี้ล้มกับพื้น กฤษได้แต่ตะโกนอย่างไม่มีเสียงใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาแดงฉานขยับไปหาพ่อตัวเองทั้ง ๆ ที่โดนมัดกับเก้าอี้

พ่อ!

กฤษอยากจะตะโกนคำนี้ออกมาแต่มันทำไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟาย “อื้อ!”

“หึ ทีนี้เข้าใจรึยังว่าการหักหลังกูมันเป็นยังไง” เจ้าสัวเหวยนั่งย่อตัวลงแล้วใช้ปืนเกลี่ยหัว หัวเราะอย่างสะใจเมื่อเห็นแววตาโกรธแค้นที่มองมา “อย่างนั้นแหละดี โกรธเข้าไป แล้วก็โกรธไอคนที่มันส่งพวกมึงมาด้วย ที่ทำให้ชีวิตพวกมึงเลยลงเอยแบบนี้”

กฤษตัวสั่นเทิ้มมองตามมันที่เดินออกไปจนลับสายตาก่อนจะหันมองพ่อ น้ำสีใสยังไหลไม่หยุดถึงแม้จะเจ็บที่เชือกรัดแน่นแต่ก็คลานเข้าไปใกล้ให้ศีรษะตรงกับเท้าก่อนจะก้มให้หัวแนบลงเป็นการกราบแทน เพราะมือก็ถูกเชือกมัดอยู่

ได้แต่ขอโทษในใจที่ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้โกรธคุณสิงห์เลย ไม่สักนิด เพราะเป็นพวกเขาที่อาสากันมาเองเพื่อที่จะตอบแทนคุณสิงห์และอาจจะลบบาปที่เคยฆ่าคนในตอนที่ยังเป็นลูกน้องเสี่ยพันธ์ แต่บาปหนักเกินไปสินนะผลกรรมเลยถูกทำให้เป็นแบบนี้ ได้พรากคนสำคัญไปคนหนึ่ง ทำให้ต้องเหมือนตกนรกทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิต

นี่สินะความรู้สึกของคนที่มีคนสำคัญตายไป

นี่สินะความรู้สึกของคนที่มองเราในวันที่เราฆ่าคนของเขา

บาปนี้ต่อให้ชดใช้ทั้งชาติมันก็ไม่พอ

กฤษหลับตาสะอึกสะอื้นปลายหน้าผากที่ถูกเท้าพ่อสั่นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดและความเศร้าโศรกนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะจบลงเมื่อใด...


 

พ่ายโลกันตร์

 

 
ฝั่งทางอยุธยานั้นเสืออัธได้มาถึงที่แล้วและอยู่ที่บ้านของอนงค์ ไฟออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่สิงห์ส่งโจรมาช่วย แน่นอนว่าเขาเกือบจะมีเรื่องกันแล้วเพราะยกปืนจ่อพวกนี้ ถึงแม้จะเข้าใจแผนแล้วแต่ก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย

“จะเริ่มเมื่อไหร่ กูจะได้กลับสักที” เสืออัธพูดพลางกระดิกตีนที่พาดบนโต๊ะ

ไฟจ้องเขม็ง “มึงรีบหรือวะ”

“ก็ใช่ไง มึงก็รีบไม่ใช่รึไง”

“เรื่องของกู”

“อ่าวไอห่านี่อยากมีเรื่อง”

“มึงก็เงียบแล้วรอเฉย ๆ ไม่ได้เหรอวะ”

“เอ้า นั่นก็เรื่องของกูเหมือนกัน”

ไฟลุกขึ้นทันทีตั้งท่าจะหาเรื่องและเสืออัธก็ลุกขึ้นเช่นกัน ลูกน้องที่มาด้วยได้แต่ถอนหายใจและปล่อยให้ทะเลาะกันต่อไป เข้าใจพี่เอี้ยงแล้วว่าทำไมต้องบอกว่าให้เตือนน้องชายตัวเองด้วย

“ใครมา” ลูกน้องเสืออัธพูดขึ้นเพราะเห็นรถคันหนึ่งขับมาจอดที่ข้างหน้าบ้าน

“พวกของกูเอง” ไฟรีบบอกมองเสืออัธด้วยสายเชือดเฉือนก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอก “ว่าไงหมวดกล้า จ่านิด จ่าเฉิ่ม จ่าตาล มากันครบเลยนะ”

“แน่นอนสิครับ” จ่าเฉิ่มว่า

“นั่นพวกเสืออัธหรือหมวด” หมวดกล้าถามพลางพยักพเยิดไปข้างในบ้าน

ไฟพยักหน้า “ใช่ เอาเป็นว่าเข้าไปข้างในกันเถอะ”

“นี่หมวดกล้า จ่าเฉิ่ม จ่าตาล จ่านิด รู้จักไว้” ไฟแนะนำก่อนจะเริ่มคุยกันเรื่องแผน

“คิดว่ารอให้เย็นกว่านี้ค่อยไปจัดการดีไหม” หมวดกล้าบอก

“นานไป”

ไฟหันมองเสืออัธด้วยความรำคาญแต่ถึงอย่างนั้นมันก็นานไปจริง ๆ เพราะว่าต้องรีบกลับสิงห์บุรีจะได้ไปสมทบกับสิงห์ทัน “ก็อยากรอให้มันมืดกว่านี้ แต่ก็ต้องรีบกลับสิงห์บุรี”

พอได้ยินอย่างนั้นหมวดกล้าก็พยักหน้า “นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นแล้วแต่หมวดไฟเลยแล้วกัน”

“ตอนนี้ไอทัพมันยังอยู่กรมตำรวจ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ระวังไม่ทำร้ายตำรวจที่ไม่รู้เรื่อง”

“เหอะ”

ไฟถอนหายใจ “ถ้ามึงมีปัญหามากก็กลับไปซะ”

“มึงจะอะไรกับกูหนักหนาวะ”

“เอ่อ...” จ่านิดเกาหัว

“เป็นแบบนี้มานานแล้ว” ลูกน้องเสืออัธคนหนึ่งเอ่ยบอก กลุ่มคนที่เพิ่งมาใหม่จึงถอนหายใจไปตาม ๆ กัน

“ถ้ายังเป็นแบบนี้งานก็จะไม่เสร็จแล้วก็จะไม่ได้ไปช่วยทางผู้กองสิงห์นะ” หมวดกล้าว่า

ไฟระงับโทสะทันที “ขอโทษที แต่ว่าอย่างที่บอกไป เรามาเพื่อจัดการไอทัพกับพวกของมัน คนอื่นไม่เกี่ยวข้อง”

“แล้วหมวดรู้ไหมครับว่ามีพวกของอธิบดีทัพกี่คน” จ่าตาลถาม

“มีอยู่เก้าคน เป็นตำรวจเจ็ดคนอีกสองคนอยู่ที่บ้านอธิบดีทัพและไม่ได้เป็นตำรวจ”

“เงินมันหอมเลยยอมเลียขาคนเหี้ย ๆ”

ไฟไม่ฟังเสียงนกเสียงกาก่อนจะวางรูปของตำรวจทั้งเจ็ดคนไว้ “เจ็ดคนนี้คือพวกอธิบดีทัพ นอกนั้นไม่เกี่ยว แต่ถึงจะเกี่ยวก็อยากทำให้สลบไว้ดีกว่า เดี๋ยวเรื่องจะบานปลาย”

“ทีพวกกูยอมฆ่าทันที แต่กับพวกตัวเองดันเห็นใจหรือวะ”

“จะพอได้รึยัง อย่าให้กูหมดความอดทนกับมึงนะไออัธ”

เมื่อเห็นว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดพวกนี้ไม่ได้ หมวดกล้าจึงลุกขึ้น “ถ้าหากพวกคุณยังเป็นอยู่แบบนี้ ผมจะไปกันเอง คุณสองคนก็อยู่เฉย ๆ ไปซะ”

“อะไรวะ”

“เดี๋ยวหมวดกล้า”

ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่งกันอยู่หน้าบ้านหลังจากที่ลูกน้องเสืออัธและลูกน้องสิงห์ทิ้งหนีออกไปกันหมด

“เพราะมึง” ไฟชี้หน้าก่อนจะไปรถอีกคันที่พ่อทิ้งไว้

“อ่าว เฮ้ย! มึงจะทิ้งกูไว้ไม่ได้นะเว้ย” ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปขึ้นรถด้วยจึงมีฝีปากกันไปอีกรอบ

หลังจากมาถึงก็พบว่าคนของเสืออัธยังอยู่ในรถ พอถามไถ่ก็พบว่าเพราะหมวดกล้าและคนอื่นเป็นตำรวจจึงไม่เด่นในสายตาใครคงคิดว่ามาพบหาเฉย ๆ

“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงรอกันตรงนี้ก่อนแล้วกัน” พูดเสร็จก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน เสืออัธเลยได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ

ทุกคนดูตกใจที่ยังเห็นไฟ บางคนกลัวจนวิ่งหนีกัน บางคนก็เข้ามาทัก ไฟตอบแค่เป็นงานจากนั้นก็ตรงไปยังห้องของอธิบดีทัพ

“พวกมึงกล้ามากนะที่ทำกับกูแบบนี้!! เป็นแค่ไอพวกยศน้อยอย่าเก่งให้มาก!!”

ไฟมองคนโวยวายที่ถูกจับใส่กุญแจมือและลูกน้องมันอีกสี่คนที่ถูกทำให้สลบและลากไปกองอยู่ที่เดียวกันมุมห้อง ก่อนจะถามไถ่เรื่องคนที่ยังไม่เห็น “มีแค่นี้หรือ”

“ใช่ครับ คนอื่น ๆ หมวดกล้ากับจ่าเฉิ่มไปหาอยู่”

“มึงไอไฟ!? มึงยังไม่ตายเหรอวะ” ทัพเบิกตาโต

ไฟก้มมองคนที่ถูกจับให้หน้าแนบกับโต๊ะ “ใช่ กูยังไม่ตายและกูก็จะมาจัดการมึงไอทัพ คงจำได้นะว่ามึงทำเหี้ยอะไรไว้ที่สิงห์บุรีบ้าง”

ทัพดูกลัวแต่ก็ยังคงปากกล้า “พวกมึงไม่ตายดีแน่ที่มายุ่งกับกู พวกมึงแม่งโง่กันหมด”

“มึงน่ะสิโง่” ว่าแล้วก็ขอซัดหมัดใส่หน้ามันสักที

“ใจเย็นครับหมวด” จ่าตาลรีบห้าม

ไฟยอมผละออกก่อนจะเดินไปทางประตูแง้มออกเล็กน้อยเพื่อมองข้างนอก “เราต้องเอาตัวพวกนี้ออกไป แล้วค่อยให้พวกเสืออัธจัดการ”

“แต่เราก็ต้องหาพวกของอธิบดีทัพก่อน ไม่อย่างนั้นคงเสียแผน”

จ่านิดพยักหน้าเห็นด้วย

“พวกมึงร่วมมือกับเสือเอี้ยงหรือวะ” ทัพตกใจไม่น้อย “พวกมันไปร่วมมือกับมึงได้ไง”

ไม่มีใครตอบอะไร จากที่ตะโกนด่ากลายเป็นนิ่งเงียบ ความกลัวเริ่มกินจิตใจ “พ..พวกมึง ถ้าปล่อยกูไปกูจะบอกทุกอย่างเอง”

ไฟถึงกับขมวดคิ้วหันมองมันที่ยอมง่าย “เหอะ อย่างมึงน่ะเหรอ พอกลัวแล้วก็หมาดี ๆ นี่เอง”

“มึงอยากได้อะไรกันบอกมา กูพร้อมยกให้ แค่ปล่อยกูไป อย่าฆ่ากู”

คนฟังถึงกับส่ายหน้า “เก่งให้เหมือนกับตอนที่กดหัวคนอื่นหน่อย เห็นแบบนี้แล้วสมเพชว่ะ”

ทัพกัดฟันกรอด

ปัง ๆ ๆ ๆ

“เสียงปืน!” จ่านิดตกใจ

“ทั้งสองคนอยู่นี่ดูมันไว้ เดี๋ยวผมมา”

“ครับ!!”

ไฟรีบวิ่งออกไปก็เห็นว่าคนในกรมวุ่นวายกันหมด ก่อนจะวิ่งไปทางข้างนอกเพราะตำรวจคนอื่นวิ่งไปทางนั้นกัน

“เฮ้ย! พวกเสือเอี้ยงมา!” นายตำรวจคนหนึ่งตะโกน ก็พบว่าเป็นพวกของอธิบดีทัพ

“หมวดไฟ” จ่าเฉิ่มรีบวิ่งมาหา “พวกมันคนหนึ่งรอดไปได้”

“ผมเห็นแล้วแหละ นั่นไง” ว่าเสร็จก็ชี้

“ห่าเอ้ย ทำทั้งกรมแตกตื่นหมด มันสินะที่ยิงปืน”

ไฟขมวดคิ้วก่อนจะนึกอะไรได้ “ในเวลานี้ก็รีบไปทางข้างหลังแล้วเอาตัวพวกไอทัพไปเลยแล้วบอกหมวดกล้าให้ไปเอากุญแจรถของกรมตำรวจซ่อนไว้ก่อน”

“ได้ครับ”

ไฟมองตามจ่าเฉิ่มไปก่อนจะหันมองคนต้นเรื่องที่พูดเสร็จก็ยิงใส่รถของเสืออัธ มีรถของทางหมวดกล้าที่หายไปเหลือแต่รถเขาและรถของเสืออัธที่เป็นที่บดบัง

ไฟส่งสัญญาณมือให้เป็นเชิงบอกว่าให้เรียกความสนใจเอาไว้ ดีนะที่ไอลูกน้องทัพคนนี้มันไม่รู้แผน เพราะอย่างนั้นการเรียกคนอื่นเพื่อคิดจะจับพวกเสืออัธนั้นมันเข้ากับแผนของพวกเขาที่ต้องการให้คนรู้ว่าทัพถูกจัดการเพราะเสือเอี้ยง

เพียงไม่นานจ่าเฉิ่มก็ออกมาส่งสัญญาณว่าเรียบร้อยแล้ว ไฟเลยบอกทางเสืออัธให้รีบหนีไปก่อน ส่วนตนก็ปลีกตัวตามคนต้นเรื่องและจัดการลูกน้องทัพคนนั้น พร้อมกับแบกขึ้นบ่าอ้อมไปข้างหลัง

“กุญแจรถไปไหนหมด!”

“มีพวกมันเข้ามาในกรม! ท่านอธิบดีทัพถูกจับไปแล้ว!”

ไฟที่หลบตำรวจคนอื่นอยู่ก็ต้องหันมองทางเสียงเรียก

“หมวดทางนี้!” หมวดกล้าตะโกนบอก ไฟจึงรีบขึ้นไปบนรถคันนั้นทันที

“เกือบไปแล้ว” ไฟพรูลมหายใจ ขับออกมาไกลพอควรก็มีรถเสืออัธและรถเขาที่ตามมา

“เราจะเอามันไปที่ไหนครับ”

“ไปสิงห์บุรีเลยก็ได้”

“ห๊ะ!?”

“แวะซื้อเชือกมัดพวกมันเอาไว้ที่หลังรถ”

“เอาไปที่สิงห์บุรีด้วยทำไมล่ะหมวด?” หมวดกล้างุนงง

“จะได้จัดการทีเดียว” พูดเสร็จก็ยื่นแขนออกหน้าต่างกวักมือเรียกรถของเสืออัธ

“เราจะไปสิงห์บุรีกันเลย”

“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงนำกันไปก่อน เดี๋ยวกูมา” เสืออัธที่อยู่บนรถของเขาพูดขึ้น

“มึงจะไปไหน มึงถูกไล่ล่าอยู่นะ”

“เออหน่า ไปจัดการไอสองคนที่เหลือไง ฆ่าได้ใช่ไหม”

“เดี๋ยวดิ เฮ้ย!” ไฟสบถเมื่อมันเอารถเขาไปพร้อมกับลูกน้องมัน

“ปล่อยไปเถอะครับ” จ่าตาลว่า




พ่ายโลกันตร์


 

ในระหว่างทางต้องปรับเปลี่ยนคนขับและเปลี่ยนคนไปดูข้างหลัง ซึ่งหลังจากซื้อเชือกไฟก็ขออาสาดูเองมาตลอด

มีบางคนตื่นกันมาแล้วแต่ก็ไม่กล้าขยับมากเพราะไฟจ่อปืนไว้

“มึงอยากรู้เรื่องของจันไหม”

ไฟอดตกใจไม่ได้ “มึงรู้อะไร”

ทัพหันมอง “ก็เพื่อนมึงน่ะเป็นสายให้พวกกูไง”

พอได้ยินเรื่องที่รู้แล้วไฟก็ได้แค่เค้นเสียง “กูรู้แล้ว และจันก็เป็นคนบอกพวกกูด้วย หลักฐานที่ว่ามึงกับไอวารินร่วมมือกับเจ้าสัวเหวยและหลวงศรีรวีชัย จันก็เอามาให้”

“ถ้างั้นมึงก็รู้แล้วสินะว่าทำไมไอจันมันโกรธแค้นพ่อมึง”

“ใช่ มึงน่ะหุบปากไปเถอะ พวกกูรู้เรื่องหมดแล้ว”

ทัพสบถแต่ก็สงสัยเหมือนกันว่ารู้ขนาดนี้ทำไมไม่โกรธ ทัพเลยได้ใจบ่นความอัดอั้นออกมา “รู้แบบนี้กูฆ่ามันตั้งแต่วันนั้นก็ดีแล้ว”

“ว่าไงนะ?” ไฟก้มมองก่อนจะดึงคอเสื้อ “มึงหมายความว่าไง”

“ก็แค่จะบอกว่ากูควรฆ่ามันตั้งแต่ตอนยังเด็ก โตมาแล้วแทนที่จะสำนึกบุญคุณดันหักหลัง เสียดาย”

“ไอเหี้ย!” ไฟใช้กระบอกปืนทุบหน้ามัน

“หมวด ๆ พอได้แล้วครับ” จ่านิดที่นั่งมาด้วยรีบจับแขนห้าม

“ถุ้ย” ทัพถุ้ยเลือดทิ้งก่อนจะหัวเราะ

“มึงขำห่าอะไรวะ!” ไฟโกรธจัด

“ก็ขำเรื่องไอจันไง ตายไปแล้วมันจะรู้ไหมว่าคนที่ฆ่าครอบครัวมันคือกูไม่ใช่ไออนงค์ โกรธแค้นคนผิดจนถึงตอนนี้ตายไปแล้วก็คงไม่รู้ ฮ่า ๆ”

ไฟตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ น้ำตาเริ่มคลอ มันเพราะความเดือดดาลทั้งนั้น โกรธจนร้องไห้เป็นยังไงก็เพิ่งรู้

“พวกมึงมันเหี้ย!!” ไฟไม่ทนอีกต่อไปทั้งมือทั้งเท้าหยุดให้ไปกระทืบมันไม่ได้

“หมวด! พอ!” จ่านิดรีบบัง

“แค่ก ๆ มึงจะโมโหทำไมวะ ไหนบอกรู้เรื่องแล้วไง”

“เรื่องอื่นน่ะรู้ แต่เรื่องนี้กูเพิ่งจะรู้!” ไฟกำหมัดแน่นมือที่ถือปืนอีกข้างก็สั่น

ทัพเลิกคิ้วก่อนจะค่อย ๆ สงบปากเมื่อเห็นว่าไปทำมันโกรธเข้าแล้ว ห่าเอ้ยก็คิดว่ารู้ไปแล้วไม่เห็นแสดงท่าทีอะไร

“หมวด” จ่านิดจับบ่า

“มึงสินะที่ฆ่าครอบครัวของเพื่อนกู มึงแม่ง!! ไอสัสเอ้ย!” ไฟถีบมันก่อนที่จ่านิดจะรีบล็อคตัวของไฟเอาไว้ “มึงรู้ไหมว่ามันคิดไปแล้วว่าพ่อกูฆ่าครอบครัวมัน! มันมองไอวารินเป็นผู้มีพระคุณ ทั้ง ๆ ที่พวกมึง!!”

ไฟกัดกราม น้ำตายังคงไหลเมื่อนึกถึงเพื่อน

ทัพกุมหน้าและไม่ต่อปากต่อคำเพื่อหวังว่ามันจะสงบไปเอง แต่เปล่าเลย…

“คนที่สมควรตายคือมึง! ไม่ใช่จัน!” ไฟตะคอกเสียงดังและเพราะความกรุ่นโกรธเลยหลุดจากจ่านิดได้และยกปืนจ่อคนใต้ตีน

“อย่า ๆ ไม่! อย่—”

ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ

“หมวด!!!”

จ่าตาลที่เป็นคนขับรถรีบจอดทันทีก่อนที่คนอื่น ๆ จะลงรถมาดู

“หมวด…” จ่าเฉิ่มกลืนน้ำลาย รีบเสหน้าหลบ

เพราะทัพตายคาที่แล้วโดนทั้งยิงหัวและลำตัวจนน่าสยดสยอง ทำให้คนเห็นต้องพากันอ้วก ลูกน้องทัพบางคนรีบเขยิบหนีไฟเพราะกลัวและบางคนก็อ้วกกับภาพที่เห็น

ไฟหอบหายใจแรง มือที่ยิงยังสั่นอยู่อย่างนั้น ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นกระบะ ยกมือกุมหัวตัวเองไว้

“จ่านิดเอาปืนออกมา เดี๋ยวผมอยู่ที่นี่กับเขาเอง” หมวดกล้าเอ่ยบอก ก่อนที่จะเดินทางอีกครั้งและแวะซื้อผ้าคลุมเพื่อมาคลุมศพเอาไว้แต่กลิ่นเลือดก็ยังคละคลุ้ง

“ผมไม่เสียใจหรอกนะที่ทำ” ไฟมองมันด้วยแววตาเย็นชาแม้น้ำตายังคงไหลไม่หยุด “แต่ที่ผมร้องไห้ เพราะเพื่อนผมไม่มีวันรู้ว่าไอพวกเหี้ยนี่มันทำอะไรไว้บ้าง”

“เฮ้อ คุณเป็นคนโมโหร้ายจริง ๆ หมวดไฟ”

ไฟพยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ผมไม่มีวันยอมใจอ่อนกับคนพวกนี้ ที่จริงแม่งควรถูกทรมานก่อน มันจะได้สาสมกับสิ่งที่ทำมาตลอดนับสิบ ๆ ปี”

หมวดกล้ากลัวความคิดนั้นอยู่แต่ก็เข้าใจเพราะเสียเพื่อนที่สำคัญไป ไหนจะการหลอกลวงของพวกวารินและทัพยังทำให้หมวดไฟกับหมวดจันบาดหมางกันอีก ใคร ๆ ก็ต่างรู้จักกลุ่มเพื่อนสี่คนที่สนิทกันมาก ไม่คิดว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างนี้

“ถึงมันจะสมควรโดน แต่ก็ไม่อยากให้คุณเหมือนพวกมันที่ทำอะไรโดยไม่คิดอีก”

“ผมก็เคยคิดอย่างนั้น... ผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ทีมลับเขาทำกันแล้ว พวกที่มันไม่มีความสำนึกไม่รู้จะเอาไว้ไปทำไม” หมวดไฟถอนหายใจ “ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ผมทำมันถูก และผมก็ไม่ได้บอกว่าผมจะเป็นคนขาวสะอาดขนาดนั้น กับสิ่งที่ทำเพราะเคยถูกกระทำเลยแค้น บางคนยอมปล่อยไปได้ แต่ไม่ใช่ผม... เพราะมันทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”

หมวดกล้าไม่พูดอะไรออกมาไฟจึงพูดต่อ

“บางทีการยอมเป็นเหมือนพวกมันเพื่อฆ่าพวกมันอีกที ผมก็ยอมได้ แต่จะไม่เหมือนตรงที่ว่าพวกที่ผมฆ่าก็ไม่อยากจะนับว่าเป็นคน เพราะพวกมันไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว” ไฟมองผ้าคลุมศพ “พวกนี้มันก็แค่เห็นแต่ตัวเอง หลอกลวงประชาชน เข้ารับราชการเพราะจะอยากสุขสบายและเป็นใหญ่มากกว่าการดูแลประชาชนจริง ๆ”

ต่างคนต่างความคิดสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรสิ่งที่ผิดคืออะไร?

ในยุคสมัยที่มีแต่การฆ่าแกงเป็นชีวิตประจำวัน ไม่รู้สึกผิดหรือนึกคิดกับสิ่งที่ทำ แต่ทุกคนล้วนมีทั้งขาวและดำปะปนกันไป

ทุกคนก็ต่างมีความคิดอยากจะฆ่าใครสักคน ฆ่าคนนั้นวนอยู่ในหัวแต่ไม่ทำก็มีและทำเลยก็มี จิตใจมนุษย์เราปรับเปลี่ยนกันง่ายไม่มีใครเหมือนเดิมตลอด ความคิดก็เช่นกัน

ความโกรธซึ่งนำพาความหายนะมา

คำนี้ไม่เกินเลยจริง ๆ

เมื่อมาถึงที่หมายก็ค่ำเสียแล้ว ทางนี้ขับรถเข้าที่ไร่อัครเดชได้เลยเพราะเห็นว่าจับพวกสายของไอมั่นได้หมดแล้ว

“ลงไป” หมวดกล้ากระดิกปืนให้พวกของอธิบดีทัพลงก่อนจะหันมองหมวดไฟที่ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น

“พวกนายนี่ มาจนได้” สิงห์เดินออกมาพร้อมคลี่ยิ้มก่อนทำหน้าเหยเก “กลิ่นฉุนขนาดนี้ไปทำอะไรกันมา”

“ผู้กอง...” จ่านิดเอ่ยเสียงเบา

“มีอะไรหรือ ไฟล่ะ”

“อยู่หลังรถครับ” หมวดกล้าว่าอย่างนั้น “ฝากดูเขาหน่อย”

สิงห์ขมวดคิ้วแล้วเดินอ้อมไปยังหลังรถพร้อมกับเบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นกองเลือดมากมายและกลิ่นฉุนที่ว่า “ไฟ...”

คนที่นิ่งไปนานหันมอง “สิงห์”

“ไฟ เป็นอะไร” สิงห์รีบขึ้นไปดูพร้อมกับลูบใบหน้าที่เปื้อนเลือด

“จัน...”

“จันทำไม”

“พวกวารินมันหลอกใช้จันมาตลอด” ไฟก้มหน้าแนบกับไหล่อีกคน

สิงห์ลูบผมคนรักพร้อมกับเอื้อมมือเปิดผ้าอดไม่ได้ที่จะหันหนีและรีบคลุมผ้ากลับที่เดิม “ใช่ พวกมันหลอกใช้มาตลอด จันไม่ควรโดนแบบนี้”

“สิงห์รู้หรือเปล่าเรื่องจัน”

“อะไรหรือ?” สิงห์ผละออกมามองหน้า

“ที่จริงแล้วจันมันแค้นผิดคน พวกที่ฆ่าครอบครัวจันจริง ๆ เป็นไอทัพไม่ใช่พ่อไฟ”

สิงห์ตกใจไม่น้อยมือเริ่มสั่น “เรื่องจริงเหรอ...”

ไฟพยักหน้า “มันยังเป็นลูกของจิตษาที่เป็นพี่น้องกับพ่อด้วย”

กลายเป็นว่าคนที่นิ่งไปเป็นสิงห์แทนและคนที่เริ่มร้องไห้ออกมาก็เป็นสิงห์ คนเล่าความจริงจึงได้แต่กอดคนรักเอาไว้ด้วยความตกใจ

“สิงห์ไม่น่าฆ่าเลย สิงห์ไม่น่าทำ สิงห์น่าจะรู้เรื่องก่อน” แผลที่กินในจิตใจเริ่มกลับมา ภาพที่ยิงเพื่อนตัวเองวนฉายซ้ำ ๆ คล้ายดั่งอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา

“ไม่เป็นไรสิงห์ ไม่เป็นไรนะ” ไฟตบหลังเบา ๆ

“ฮือออ ขอโทษ ๆ ๆ” สิงห์เริ่มไม่มีสติและปล่อยให้ตัวเองต่อยพื้นกระบะจนเปื้อนเลือดของศพไปหมด

ไฟเริ่มลนลานก่อนจะอุ้มคนรักออกจากหลังรถเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง ทุกคนที่อยู่ข้างในไม่ได้เอ่ยเรียกอะไรเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี

“สิงห์ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้อง” ไฟปล่อยให้คนรักยืนดี ๆ “สิงห์ล้างเนื้อล้างตัวก่อน”

ไฟรีบล้างเนื้อล้างตัวถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออกก่อนจะล้างตัวให้สิงห์เช่นกัน ตอนนี้สิงห์กำมือแน่นมากและยังจิกเล็บด้วยไฟเลยรีบเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้และพาไปนั่งที่ปลายเตียง

เขาคุกเข่ากับพื้นลูบมือนั้นให้คลายออกก่อนจะสอดมือเข้าไปจับ “สิงห์มองไฟ” เขาว่าพร้อมจับหน้าให้ก้มมอง “ไม่เป็นไรแล้วนะ”

ไม่อยากคิดเลยว่าตลอดเวลาที่สิงห์อยู่ตัวคนเดียวเป็นอย่างไรบ้างจะหนักกว่านี้ไหม เพราะมันเป็นแผลลึกใหญ่ที่ไม่มีวันหาย ถึงขั้นจ่าธงมาดูตอนนั้นคงจะหนักมากสินะ รู้อย่างนั้นเขาก็ยังจะพูดเรื่องนี้ให้สิงห์รู้สึกผิดอีก

“เรื่องมันผ่านมาแล้ว จันไม่โกรธสิงห์หรอก”

“แต่สิงห์ทำผิด” และคงไม่รู้ตัวสิงห์จึงเผลอจิกเล็บลงกับหลังมือของไฟจนเลือดเริ่มซิปออก

ไฟใช้มืออีกข้างลูบแก้มอีกคนก่อนจะหลับตาสักพักทำให้สงบลงอย่างน่าแปลก เขาเปิดเปลือกตาขึ้น “ทุกคนผิดหมดไม่มีใครทำถูก... แต่สิงห์คิดหรือว่าจันมันต้องการอย่างนี้? ถ้าจันอยู่คงจะถูกมันด่าแล้วก็บอกว่าถ้าอยากสำนึกผิดก็อยู่ต่อไปแล้วทำอะไรแทนมันก็พอแต่อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”

คนฟังเริ่มสงบลงบ้างแต่มือยังคงจิกอยู่อย่างนั้น ไฟเลยใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบา ๆ

“สิงห์... หลังจากจบเรื่องนี้เราจะทำบุญให้จันทุกวันนะ แบบนี้ดีไหม”

มือที่จิกเริ่มคลายออกก่อนที่สิงห์จะพยักหน้า

“ดีมาก” ไฟคลี่ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งข้างกายและกอดเอาไว้โยกไปมาเปรียบเสมือนเป็นเด็กแต่ก็กลับเป็นการปลอบที่ดี

ผ่านไปหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกันที่สิงห์เริ่มได้สติและกลับมาเป็นตัวของตัวเอง

“ขอโทษ เจ็บไหม” ว่าแล้วก็จับมือหนานั้นไว้จูบปลายแผลเบา ๆ

“เจ็บสิ สิงห์ต้องดูแลนะแบบนี้”

“ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร แค่สัญญากับไฟก็พอว่าอย่าทำแบบนี้อีก ไฟไม่อยากให้สิงห์ต้องเจ็บนะ”

สิงห์พยักหน้า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ทั้งคู่หันมองก่อนที่จะเป็นไฟไปเปิดประตู “หมวดภพ มีอะไรหรือเปล่า”

ภพหนักใจ “นายกฤษกลับมาแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ สิ—”

“เดี๋ยวครับ” ภพรีบจับแขน “คือ... ลุงสมหมายแกเสียชีวิตแล้ว เพราะถูกจับได้ว่าเป็นสายให้คุณสิงห์”

ไฟเงียบลงก่อนจะพยักเป็นเชิงเข้าใจ “แล้วตอนนี้นายกฤษเป็นอย่างไรบ้าง”

“สะบักสะบอมพอตัวครับ นายกฤษถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อจะให้พวกเรารู้ว่าพวกมันรู้แผนกันหมดแล้ว เห็นว่าจะไปพระนครด้วยคงจะไปช่วยวาริน”

“ถ้ารู้ขนาดนี้คงเตรียมการกันหมดแล้ว โทรศัพท์บอกสารวัตรนนท์หรือยัง”

“ยังเลยครับ เพิ่งจะฟังจบก็รีบขึ้นมาบอกพวกคุณ”

“งั้นก็โทรศัพท์บอกเลย ผมจะคุยกับสิงห์ให้”

“ได้ครับ”

พอภพเดินลงไปยังข้างล่างแล้วไฟก็เดินกลับมาหาคนรัก “เมื่อกี้นี้ ได้ยินหรือเปล่า”

“ได้ยิน” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็พรูลมหายใจหลับตาเพื่อจะขจัดความคิดแย่ ๆ ออก “สิงห์ไม่เป็นไรแล้ว”

“แน่นะ”

“แน่สิ ถ้ามัวแต่ชักช้าอยู่แบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงพังหมด”

เมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไฟก็จับมือคนรัก “เราต้องรอดไปด้วยกันนะ”

“อือ เราจะรอด”




จบบทที่ ๒๔

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาตอนนี้รุนแรงมากเลย อยากให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านกันนะคะ และขอไม่ส่งเสริมวิธีนี้ที่ไฟใช้
ถ้าเป็นปัจจุบันเราคงคิดว่าสิงห์อาจจะมีโรคประจำตัว แต่เพราะว่าสมัยนั้นไม่มีการแพทย์ที่ดีขนาดนี้เลยได้แต่มีแสดงอาการแต่ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรเท่านั้น และสุดท้าย... ตอนหน้าคิดว่าจะจบแล้วค่ะ ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๔
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-05-2020 14:36:17
อ่านไป ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพื่ออำนาจและชื่อเสียงพร้อมความร่ำรวย เป็นสิ่งที่ยั่วยวนทำให้ข้าราชใช้อำนาจในทางที่ผิดๆ  สงสารไฟ กับสิงห์ ที่รู้ว่าเพื่อนโดนหลอกใช้
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๕ (๑/๓)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 05-05-2020 15:49:46
 

บทที่ ๒๕

จบลงและเริ่มเดินหน้าใหม่

 

ทุกคนตอนนี้อยู่ที่ห้องรับแขกของสิงห์ทั้งหมดไม่ว่าจะทางสารวัตรโขม จ่าธงหรือหมอรัตน์ที่มาช่วยดูพ่อแทนและเสือเอี้ยง เห็นว่าเสืออัธไปบุกบ้านของอธิบดีทัพแล้วเอาของมีค่าไปแจกจ่ายคนในชุมชนเลยมาช้ากว่าใคร ทุกคนต่างอยู่ในชุดสีดำพร้อมผ้าปิดปากตามที่สิงห์ขอก่อนมา

“จากที่กฤษเล่ามาว่าพวกมันรู้แล้ว และก่อนที่จะปล่อยตัวกฤษพวกมันก็ได้ขนของพร้อมไปพระนครแล้ว” ภพเอ่ยบอก “เป็นไปได้ว่าจะไปช่วยอธิบดีวารินก่อนแล้วค่อยหนี”

“มันไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่” สิงห์ขมวดคิ้ว “อย่างเจ้าสัวเหวยหรือจะหนี มันมีคนที่เก่ง ๆ เยอะ ถ้าเป็นมัน... มันก็จะจัดการพวกตำรวจที่รู้ทั้งหมดเพื่อปิดปากจะได้ไม่เสียผลประโยชน์”

“หรือจะไปช่วยอธิบดีวารินและพากลับมาสิงห์บุรี” จ่านิดว่า

“มันจะไป ๆ มา ๆ ทำไมล่ะ” จ่าธงเหนื่อยหน่าย

“เราต้องแยกเป็นสองกลุ่มไปทางพระนครกลุ่มหนึ่ง ไม่คิดว่ามันจะใช้วิธีนี้ เพราะคนของเราส่วนมากมาที่นี่กันหมดไม่มีใครไปช่วยทางพระนคร” สารวัตรโขมเอ่ย

“แล้วถ้าเกิดมันเป็นแค่หลอกล่อให้เราไปล่ะครับ มันปล่อยตัวกฤษมาง่ายขนาดนี้เพื่อจะให้เรารู้ว่ามันจะไปพระนครมันไม่เปิดเผยไปหน่อยหรือครับ” หมวดกล้าขมวดคิ้ว

“แต่ว่ายังไงเราก็มีหลักฐานแถมรองอนงค์ก็เปิดเผยต่อนักข่าวไปแล้ว วันนี้ก็ลงหนังสือพิมพ์ เกิดไปช่วยแล้วจะได้ประโยชน์อะไร” หมวดไฟเสริมเพราะพ่อเขาเพิ่งจะคุยกับทางนักข่าวก่อนที่จะไปพระนคร

สิงห์กอดอกลองคิดแบบที่เจ้าสัวเหวยคิด ถ้าเกิดมันอยากจะทำจริง ๆ ก็คงบอกเลยว่าแผนที่ล่อเราไปก็มีเหตุเพื่อที่จะได้จัดการเราที่เหลือที่นี่ หรือมันอาจจะไปจริง ๆ แต่ถึงขั้นปล่อยตัวกฤษมาง่าย ๆ แปลว่ามันต้องไม่เกรงกลัวเราเลย

สิงห์ยกนาฬิกาขึ้นดู นับจากเวลาที่มันส่งตัวกฤษมาก็ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว “กฤษ ตอนที่พวกนั้นเตรียมตัวกะเวลาได้ไหมว่ากี่ชั่วโมง”

กฤษที่เหม่อเล็กน้อยก็นึกตาม ตั้งแต่มันพูดกับไอมั่นว่าจะไปพระนครถ้ารวมตอนมาถึงนี่ก็นานพอตัว “คิดว่าสามสี่ชั่วโมงนี่แหละครับ”

“นานอยู่นะ” จ่าธงว่า

“นาน แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะพอต่อการกักตุนของ ถ้ามันจะหนีมันต้องเอาของมันไปแน่นอนคนอย่างมันไม่ยอมเสียของไป อย่างพวกนี้ต้องใช้เวลาทั้งวันหรือสองวันถึงจะกักตุนของเสร็จเพื่อหนี และพื้นที่ที่มันอยู่ก็เป็นหมู่บ้านเป็นที่ที่มันอยู่มาตลอด มันจะยอมทิ้งไปหรือ” สิงห์พูดขึ้นทุกคนเลยพยักหน้าตาม

“ในฐานะที่ผมอยู่มาตลอดก็คงอย่างที่คุณสิงห์ว่า พวกมันต้องใช้เวลา” กฤษพูดต่อก่อนจะทำหน้าเครียด “แต่... มันพูดกับผมว่าเห็นผมไปหาคุณสิงห์ที่บาร์ เหมือนมันรู้ว่าคุณสิงห์ส่งผมไปเป็นสาย บางทีมันอาจจะไหวตัวทันนานแล้วและพร้อมจะหนีก็ได้ครับ”

“อืม อย่างไม่กี่วันก่อนหลวงรวีชัยก็บอกกับผมว่าเจ้าสัวเหวยไม่เชื่อใจผม ก็เข้าเค้ากับสิ่งที่กฤษพูด พวกมันไม่เชื่อใจผมตั้งแต่แรกยิ่งมารู้เรื่องที่อธิบดีวาริน...” สิงห์เงียบไปครู่ “เดี๋ยวนะ เจ้าสัวมันรู้เรื่องที่อธิบดีวารินถูกคุมตัวได้ยังไง”

“เห็นว่าไอวารินมันโทรศัพท์มา ผมก็เห็นว่ามันฟังจากวารินอยู่แต่มันกลับไม่คุยอะไรเลยเหมือนฟังเอาเฉย ๆ”

สิงห์กัดปากที่ห้องวารินมันมีโทรศัพท์แน่ ๆ แต่ถ้าคุยได้อย่างนี้มันรู้ก่อนว่าเราจะไปจับหรือ? ก็ไม่ใช่ เพราะเรื่องนี้เก็บเป็นความลับไว้เพื่อมันจะได้บอกคนอื่นไม่ได้ แต่ทำไมโทรศัพท์บอกเจ้าสัวเหวยได้กัน

“มันรู้ว่าเราจะไปคุมตัวมันเหรอ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เปิดเผยหรือบอกมันก่อนเลยนะเพราะสารวัตรนนท์ก็ไปคุมตัวทันที” สารวัตรโขมขมวดคิ้วมุ่น

“ผมขอเวลา” สิงห์ผละออกและไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ ๆ ต่อสายหาเลขของโทรศัพท์วังเพราะนนท์คงจะอยู่วังแล้ว

(วังศุลภานันท์ค่ะ ไม่ทราบว่าท่านใดโทรศัพท์มาคะ)

เสียงนี้สิงห์จำได้ดีว่าเป็นป้าบัว “ป้าบัวครับ ผมสิงห์เอง”

(อ่าวคุณสิงห์นี่เอง มีอะไรหรือเปล่าคะ)

“ท่านชายนนท์อยู่ไหมครับ”

(ยังไม่เสด็จกลับเลยค่ะ)

“อ่อ ขอบคุณมากครับ” สิงห์วางสายที่วังก่อนจะโทรศัพท์หาที่กรม นานพอตัวก่อนจะได้ยินเสียงรับเป็นคนอยู่เวรเลยถามไถ่ก่อนจะพบว่านนท์เพิ่งจะกลับมาที่กรม

(มีอะไรหรือเปล่า)

“นนท์ลองไปเช็กที่ห้องวารินหรือยังว่ามีอะไรน่าสงสัยไหม”

(ยังเลย หลังจากหมวดภพโทรศัพท์มาบอกเรื่องของเจ้าสัว ฉันก็คิดว่ามันแปลก ๆ เลยไปถามวารินแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ฉันเพิ่งจะกลับมาที่กรมเพื่อมาตรวจที่ห้องอธิบดีเนี่ยแหละ)

“ตอนนี้วารินอยู่ไหน”

(ก็อยู่ที่เรือนจำ ถูกสั่งจำคุกแล้ว แต่มันดูไม่กลัวเลยถามอะไรก็บอกว่าไม่ได้ทำบางทีก็เงียบ แต่เพราะว่าหลักฐานค้ำคอศาลเลยตัดสินจำคุก)

“คงเพราะมันบอกเจ้าสัวแล้วน่ะสิ”

(ว่าแล้วว่ามันแปลก ๆ วางก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะโทรศัพท์บอกอีกที)

“ได้ ฝากด้วยนะ”

“เป็นยังไงบ้างครับ” หมวดภพถาม

“ต้องรอก่อน”

“จะว่าไปแล้ว เรื่องของหลวงรวีชัยเป็นยังไงจัดการกันหรือยัง” ไฟถาม

“เรียบร้อยแล้ว” เสือเอี้ยงว่า

 

ช่วงสายของวัน กลุ่มเสือเอี้ยงนับสิบคนและสิงห์กำลังเดินทางไปหาหลวงศรีรวีชัยที่เรือน พอมาถึงก็จัดการยิงสองคนที่ข้างหน้าทันทีจนคนบนเรือนต่างตกใจ ถ้าให้เทียบแล้ว ลูกน้องของหลวงรวีชัยมีแค่ไม่กี่คนเพราะส่วนมากที่เห็นเยอะ ๆ ก็เป็นพวกของเสือเอี้ยงทั้งนั้น

พอวันนี้เสือเอี้ยงไม่ยอมก้มหัว มันก็แค่เหยื่อที่รอกำจัดอยู่ในกับดัก

ไม่มีคำว่าปราณีให้ใครเด็ดขาด ลูกน้องของหลงรวีชัยถูกฆ่าตายหมดโดยเสือเอี้ยง สิงห์ถอนหายใจเมื่อมองศพพวกนี้

“ไปจับมันมา” เสือเอี้ยงสั่งลูกน้องให้จับเสี่ยตะวันที่จะแอบหนีและหลวงรวีชัยมาอยู่กลางเรือน

“นี่มันอะไรกัน ทำอะไรของพวกมึง” หลวงรวีชัยโกรธจัดมือกำไม้เท้าแน่น

“กูต้องถามมึงมากกว่าไอคุณหลวงที่หลอกใช้กูมาตลอดแบบนี้ มึงกล้ามากนะ” เสือเอี้ยงหน้าทะมึน

“พูดอะไรของมึง” หลวงรวีชัยดูตกใจไม่น้อยก่อนจะหันมองหลานตน “หมายความว่าไงไอสิงห์!”

สิงห์เบื่อที่จะเล่นบทจงรักภักดี “คุณหลวง...” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะต่อยหน้ามันไปสองที “นี่คือสิ่งที่มึงทำกับกูมาตลอด และนี่—คือสิ่งที่มึงทำกับชาวบ้าน”

เพียงสองหมัดเลือดก็กบปาก คนถูกต่อยแทบสลบก่อนจะเป็นลูกน้องเสือเอี้ยงที่พยุงมันให้นั่งคุกเข่าดี ๆ

“ทำไม...” เสียงมันแหบแห้ง

“มึงจำใส่หัวเอาไว้นะ ว่ากูไม่เคยนับถือมึงเหมือนลุง คนที่กูนับถือมีแค่หลวงธารานันท์เท่านั้น” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็ขอลากเสี่ยตะวันออกไปเพื่อจัดการ ส่วนทางหลวงรวีชัยให้เสือเอี้ยงจัดการไป

“เดี๋ยว... สิงห์”

“มองหน้ากูนี่ไอสวะ” เสือเอี้ยงตบหน้ามัน “ทำกูแสบมากนะ”

“อย่า... ไว้ชีวิตกูเถอะ”

“ได้” เสือเอี้ยงยิ้มร้าย “กูจะทรมานมึงจนกว่าจะตายเอง ดีไหม”

“ไม่ ๆ ไม่ ไม่!!!!”

สิงห์เงยหน้ามองข้างบนไม่รู้ว่ามันทำอะไรแต่ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยเลยมองเสี่ยตะวันที่ดูน่าสมเพชเสียซะจนอยากจะอ้วก

“ตอนนี้ไม่มีใครปกป้องมึงได้แล้วเสี่ยตะวัน”

“กูไปทำอะไรให้มึงวะ มึงถึงกัดกูไม่ปล่อยอย่างนี้”

สิงห์ส่ายหน้า “ก็เปล่า แต่มึงทำผิดกฎหมายและยังร่วมมือกับเจ้าสัวเหวย เพราะฉะนั้นกูต้องจับมึง”

มันเบิกตาก่อนจะชี้นิ้วสั่น ๆ “มะ...มึงไม่ได้เลิกเป็นตำรวจจริง ๆ ด้วย!”

“ใช่ กูยังเป็นตำรวจเหมือนเดิม” สิงห์ว่าแล้วก็ให้เกื้อใส่กุญแจมือ “ถือว่ากูยังปราณีนะที่ไม่ฆ่ามึง ทั้ง ๆ ที่หมายจับให้ฆ่าได้เลย”

มันสั่นอย่างแรงเอาแต่ก้มหน้าเมื่อได้ยินคำว่าฆ่า

“ถ้ามึงยอมช่วยเปิดเผยเรื่องเจ้าสัว กูจะไม่ฆ่ามึง”

คราวนี้พยักหน้าเร็ว ๆ โดยไม่คิด เมื่อคิดว่าทางตัน

“ดี”

“ไอสิงห์”

สิงห์เงยหน้ามอง “ว่าไง”

“เอาตัวไอห่านี่ไปด้วยเลยแล้วกัน เผื่อจะเป็นหลักฐานอะไรได้บ้าง”

“มึงไม่จัดการแล้วหรือ?”

เสือเอี้ยงยักไหล่ “ไหน ๆ กูกับมันก็จะได้เข้าคุกแล้ว กูไปจัดการมันในคุกดีกว่า”

สิงห์พยักหน้าเขาจะไม่ยุ่งอะไรแล้วเพราะถือว่าจับพวกนี้หมดแล้ว ก่อนที่จะมีคนของเสือเอี้ยงส่วนหนึ่งรวมถึงจ่าเกื้อที่ส่งตัวทั้งสองคนไปให้รองอนงค์


 

“ตอนนี้จ่าเกื้ออยู่กับท่านรองเพราะเป็นคนส่งตัวพวกเสี่ยตะวันกับหลวงรวีชัยไป คิดว่าพวกนั้นถูกตัดสินจำคุกหมดแล้ว ก็เหลือแต่เจ้าสัวเหวย” สิงห์ว่า

“ดันยากตรงที่ว่าไม่รู้ว่ามันจะไปพระนครหรือไม่ไปกันแน่” จ่าธงถอนหายใจ

“เอาเป็นว่าทางกรมนครบาลคงจะช่วยอะไรบ้าง เพราะยังไงคนที่นั่นคงรู้กันหมดแล้วว่าวารินร่วมมือกับโจร ไม่น่าจะนิ่งนอนใจ” หมวดภพพูด

“เรื่องที่เราจะต้องไปช่วยที่นั่นคงต้องเลิกคิดไว้ก่อน เราบุกไปดูเลยดีกว่า” สิงห์ว่าอย่างนั้น

“บุกไปเลยหรือ” ไฟขมวดคิ้ว

“ใช่ เพราะยังไงเราก็พอรู้เกี่ยวกับลูกน้องของพวกมันที่ตอนนี้มีเกือบสี่สิบคน ทางที่ดีฆ่าให้ตายดีกว่าเพราะตัวลูกน้องมันแต่ละคนไม่ใช่เล่น ๆ”

“ถ้านับพวกเรากับกลุ่มเสือเอี้ยงก็มีแค่ยี่สิบแปดคนเองนะครับ” จ่าตาลว่า

“สามสิบสองคน” สารวัตรโขมพูดขึ้น “ที่สถานีอ้อยขวางยังมีตำรวจอยู่อีกสี่คน”

“ก็ยังน้อยไปอยู่ดีนะครับ” จ่าเฉิ่มเอ่ย

“ทางเราพอจะสู้กับมันอยู่แล้วถ้ารวมกับลูกน้องเก่าของพ่อผมที่กลับใจอีกห้า-หกคน ยังต้องนับด้วยว่าพวกมันอาจจะส่งคนไปพระนครจริง ๆ ถึงเวลานั้นพวกของมันก็จะลดลงพอที่เราจะสู้ได้” สิงห์ว่าก่อนจะหันมองกฤษ “ไม่มีใครมาเพิ่มแล้วใช่ไหม”

“ไม่มีครับ จากที่ผมรู้จักและสอดส่องมาตลอดก็สี่สิบคนรวมไอมั่นกับเจ้าสัวก็สี่สิบสองคนเท่านั้น”

“เอาแบบนี้เราต้องส่งคนไปดูลาดเลาก่อน” สิงห์เอ่ยก่อนจะหันมองคนที่พอเป็นสายที่ดีได้ “หมวดกล้า เทิด พอไหวไหม”

“ไหวครับ”

“ก็เหมือนกับที่ไปเป็นสายพวกเสี่ยเผิงที่เยาวราช” หมวดกล้าดูมั่นใจ

“จากนั้นเราจะส่งคนไปคอยสนับสนุนสองคนนี้ในเวลาที่เกิดเหตุร้ายให้รีบหนีกันออกมาก่อนและมาวางแผนกัน ไม่ต้องเข้าไปลึกมาก พอดูคร่าว ๆ ไว้”

“ครับ”

“คุณสิงห์” กฤษเรียก

“ว่าไง”

“ผมวางแผนที่คร่าว ๆ ได้นะครับ จะได้ไม่มีใครไปเสี่ยง”

“แบบนั้นก็ดี แต่ยังไงเราก็ต้องส่งคนไปสอดส่องดูก่อนว่าพวกมันทำอะไรกันอยู่”

กฤษพยักหน้าก่อนจะไปวาดผังของที่พักของพวกมัน รอเพียงไม่นานกฤษก็วาดเสร็จและบอกว่าหลังไหนเก็บอาวุธ หลังไหนเก็บฝิ่น หรือบ้านไหนของเจ้าสัวเหวยที่อาศัย ซึ่งที่ของมันนี้เป็นถนนยาวและมีบ้านเจ้าสัวเหวยกั้นสุดซอย ยังมีอยู่อีกสามหลังและโกดังสองหลังรวมคอกม้าหน้าทางเข้าด้วยอีกหนึ่ง

ระหว่างนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสิงห์เลยต้องไปรับก่อน

(สิงห์)

“เป็นไง”

(หูโทรศัพท์ของวารินโดนยกออกมาวางไว้ ฉันคิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ฉันเข้ามาคุมตัว แต่ไม่เห็นเพราะเอกสารบังหมดเลย)

“ก็ดีที่มันรู้จากตอนนั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าสัวเหวยมันรู้จากวารินได้ไง ยังพอจัดการได้”

(แล้วจะไปกันหรือยัง)

“อืม กำลังวางแผน”

(ระวังตัวด้วยนะ)

“เข้าใจแล้ว” สิงห์วางสายและเดินกลับมาบอกว่าเจ้าสัวรู้ได้ยังไงก่อนจะเริ่มวางแผน “ผมเคยไปที่นั่นบ้างก็พอจำได้ แต่ไม่รู้ว่าข้างในบ้านไหนเก็บอะไรหรือมีใครอยู่ ดีที่กฤษรู้ ถ้าคิดแผนทางบุก ผมจะแยกเป็นสี่กลุ่มให้เข้าล้อมทุกทิศ” ว่าเสร็จสิงห์ก็ใช้หมากรุกวางเป็นแสดงฐานกลุ่มแทน “กลุ่มแรกตัวเบี้ย มีสารวัตรโขมและทีมสถานีอ้อยขวางแล้วก็ลูกน้องของพ่อผมไปทางตะวันตกหรือทางเข้าของหมู่บ้านเพื่อบุกก่อน และนี่คือกลุ่มที่สองกลุ่มขุนจะอยู่ภายนอกเพื่อสนับสนุนและซุ่มยิงพวกมันจากด้านนอกทางทิศใต้โดยมีหมวดภพ จ่าเฉิ่ม จ่านิด จ่าตาล”

“และเรือ จะให้เสืออัธและลูกน้องอีกสิบคนบุกทางน้ำที่อยู่ทางทิศเหนือ เพื่อต้อนให้พวกมันไปทางพลซุ่มยิง ทุกคนจะต้องรอสัญญาณการบุก ได้ไหม”

เสืออัธเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะพยักหน้า

“ส่วนม้า กลุ่มของผมที่มีหมวดไฟ เสือเอี้ยงและคนของเสือเอี้ยงอีกหกคนจะเข้าทางตะวันออกหรือข้างหลังของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ที่เจ้าสัวเหวยอาศัยอยู่”

สิงห์มองแผนที่อีกรอบก่อนจะพูดต่อ “เทิดกับหมวดกล้าถ้าเข้าไปสอดส่องได้ ถ้าเกิดว่าพวกมันรวมตัวกันอยู่ตรงไหนมากที่สุดให้มาบอกผมเผื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนแผน ผมจะรอทางแม่น้ำกับกลุ่มเสืออัธ”

“ครับ”

“ที่ผมให้พวกคุณใส่ชุดสีดำและเอาผ้ามาปิดปากเพื่อจะได้กลมกลืนกับเวลากลางคืนและรู้ว่าใครเป็นพวกใครได้” สิงห์ว่าก่อนจะหันมองเทิดและหมวดกล้า “พวกคุณสองคนไปเลยแล้วกันแล้วก็ผมฝากสารวัตรช่วยสนับสนุนเขาหน่อย”

“ได้”

“ดีที่มีคลังอาวุธที่ปล้นมาจากพวกทหารญี่ปุ่นอยู่ในโกดังพวกคุณไปเอามาใช้ได้และกลุ่มขุนเริ่มไปที่ป่าใกล้หมู่บ้านพวกคุณรออยู่ที่นั่นไว้ก่อน”

“ครับ!!!”

“งานนี้ต้องรอดทุกคน คำสั่งเดียวของผมคือห้ามตาย ไม่ว่าใครก็ตาม ทราบ!” สารวัตรโขมเอ่ยเสียงดัง

“ทราบครับ!!!”

“ไม่มีคำว่าตำรวจหรือโจร มีแต่พวกพ้องเข้าใจนะ” สิงห์เสริมและทุกคนก็พยักหน้าส่วนเสืออัธก็ถูกพี่ชายตบหัวให้พยักหน้าตาม “เอาล่ะ แยกย้าย!”

ทุกคนต่างออกไปกันหมดกลุ่มหมวดภพไปโกดังเพื่อไปเอาปืนสไนไม้และบอกลูกน้องคนอื่นให้ตามสารวัตรโขมไป สิงห์หันมองหมอรัตน์ที่เพิ่งจะลงมาจากชั้นสอง

“ฝากดูพ่อผมด้วยนะหมอ”

หมอพยักหน้า “ผมก็ขอให้พวกคุณปลอดภัยนะ”

“กฤษพักที่นี่นะ”

“ครับ ต้องรอดนะครับคุณสิงห์”

สิงห์พยักหน้าและเป็นอีกกลุ่มที่ออกไปบ้าง


 
*มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๕ (๒/๓)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 05-05-2020 15:53:45
*ต่อ


พอมาถึงที่หมายทุกคนจะอยู่ห่างแค่ลำน้ำกั้น แต่ก็พอให้มองไปข้างในได้ ตอนนี้ทางท่าน้ำอีกฝั่งทุกคนกำลังหลบแถวต้นไม้ ดีที่เป็นช่วงเวลากลางคืนมันเลยมืดมิด ยังดีที่พอมองทางอีกฝั่งที่เป็นพวกเราได้ ทุกกลุ่มต่างมีไฟฉายเพื่อกะพริบส่งเป็นสัญญาณ

กะพริบครั้งแรกคือทางโล่ง

กะพริบสองครั้งคือจัดการหมดแล้ว

กะพริบสามครั้งคือต้องการความช่วยเหลือ

เปิดแช่ไว้คือไปช่วยไม่ได้

“พวกมันเดินกันแถวโกดังบ่อยนะ” ไฟว่า

“คงจะเตรียมขนของจริง ๆ แต่ว่าบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่ฝั่งทางป่า แม้แต่กฤษก็ไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านอะไร น่าสงสัย”

“จากที่เห็นไม่มีคนยืนเฝ้าด้วยซ้ำ” เสือเอี้ยงเอ่ย

“นั่นเทิด” ไฟชี้เห็นเทิดกำลังหลบอยู่หลังบ้าน ส่วนหมวดกล้าน่าจะไปอีกฝั่ง

ทางหมวดกล้าอีกฝั่งที่อ้อมป่าไปก็เข้าไปสอดส่องบ้านหลังที่ใกล้กับบ้านเจ้าสัวเหวยแต่กลับไม่มีคนคุมอยู่เลย เหมือนมันจะวุ่นวายแค่กับโกดังกันซะส่วนใหญ่และมีคนเฝ้าทางเข้าอยู่ฝั่งเขาห้าคน

ส่วนบ้านที่อยู่ฝั่งนี้ติดกับคอกม้าหรืออยู่ระหว่างกลางของคอกม้าหน้าทางเข้าและบ้านที่ไม่มีคนคุม เป็นที่พักของพวกมันและมีคนอยู่ข้างใน แต่ไม่แน่ชัดว่ากี่คน ส่วนบ้านที่อยู่ฝั่งขวาของเจ้าสัวเหวย เงียบผิดปกติ

หมวดกล้าพรูลมหายใจเพราะทางบ้านเจ้าสัวก็มีคนเฝ้าอยู่สามคนจากด้านหน้า และข้างหลังอีกสอง ตอนนี้เขาเห็นนับยี่สิบกว่าคนได้ เขาลองมองทั่วบ้านก็ไม่มีอะไรให้ส่องเลยลองแง้มหน้าต่างเกือบทุกบาน

“ดีล่ะ” พอเห็นว่าบานหนึ่งเปิดได้หมวดกล้าก็เปิดบานนั้นออกช้า ๆ และปีนเข้าไป ข้างในมืดและเหม็นอับจนแทบจะอ้วก เรียกว่าทั้งอับทั้งเน่าเลยก็ว่าได้นี่ขนาดปิดหน้าครึ่งหนึ่งกลิ่นยังแรงขนาดนี้ หลังนี้เป็นชั้นเดียวและมีห้องซ้าย ขวา

หมวดกล้าหยิบมีดออกมาเพื่อระวังไว้ เขาไปห้องทางฝั่งซ้ายก่อนจะพบว่ามันถูกล็อกด้วยกุญแจด้านนอก ถ้าอย่างนั้นอาจจะมีของสำคัญ ว่าแล้วก็ไปดูอีกฝั่งก็พบว่าล็อกกุญแจเหมือนกัน

แต่นั้นก็ไม่ระคายต่อมือของเขา หมวดกล้าเตรียมพร้อมเสมอเพราะเป็นสายบ่อย รวมถึงลวดที่เตรียมมาไว้ก่อนเผื่อจะได้ไขอะไรแล้วก็ได้ไขจริง ๆ

แกรก

พอเปิดมาก็ยิ่งกลิ่นฟุ้งจนต้องยกแขนปิดจมูกเสียงโซ่ลากขึ้นและเสียงคนทำให้หมวดกล้าต้องรีบส่องไฟ ก่อนจะเบิกตาโต

“อย่าทำฉันเลย”

“ฮืออออ”

“หนูกลัว”

หมวดกล้าตะลึงได้แค่ชั่วครู่เท่านั้นต้องดึงผ้าออกและยกนิ้วชี้เป็นการให้เงียบและคนพวกนั้นก็เงียบทันที

“ไอชั่ว” หมวดกล้าสบถเมื่อเห็นสภาพของผู้หญิงและเด็กโดนโซ่ขังที่ข้อเท้าบ้าง เชือกมัดบ้าง นอนคลุกอยู่กับขี้ เยี่ยว รวมถึงศพของคนที่น่าจะเสียชีวิตไปนานพอควร

“ฟังนะ ทุกคนอย่าส่งเสียงและอยู่นี่ห้ามไปไหนเด็ดขาด”

พวกนั้นพยักหน้าเร็ว ๆ คงคิดว่าเขาเป็นพวกมันและกลัวที่จะเถียงอะไร “ไม่ต้องกลัวนะ ผมเป็นตำรวจและผมจะมาช่วยทุกคน”

“จริงเหรอ”

“ช่วยเราจริง ๆ เหรอ”

ทุกคนต่างร้องระงมอีกครั้งหมวดกล้าจึงต้องบอกให้หยุด “ทุกคนต้องอยู่เงียบ ๆ และรอพวกเราที่นี่ เข้าใจหรือเปล่า เราจะใส่ชุดดำปิดหน้า ถ้าใครไม่ใช่แบบนี้แปลว่าไม่ใช่พวกเรานะ ระวังด้วย”

พอเห็นว่าทุกคนพยักหน้า หมวดกล้าก็ไปอีกห้องหนึ่งและพบว่าเหมือนกัน รวมทั้งสองห้องมีอยู่สิบสี่คน และผู้เสียชีวิตอีกสาม ห้องซ้ายหนึ่ง ห้องขวาสอง

เขาจำเป็นต้องล็อกอีกรอบเผื่อพวกมันเข้ามาก่อนจะรีบไปบอกทางพลซุ่มยิงว่ามีคนถูกจับไว้และวิ่งกลับข้ามฝั่งไปหาเทิด

“บ้านหลังนั้นมีแต่คนถูกจับไป” หมวดกล้าที่วิ่งหลบตามกล่องที่พวกมันขนออกมาว่าอย่างนั้น “ไปกันเถอะ”

เทิดพยักหน้าและทั้งคู่ก็ค่อย ๆ เดินลงน้ำดำน้ำไปหาคุณสิงห์อีกฝั่งหนึ่ง

“เป็นไงบ้าง”

หมวดกล้าขึ้นมาก่อนและอธิบายให้ฟัง

“ไอเหี้ย มันไม่ใช่คนแล้ว” เสือเอี้ยงโกรธจัด

“แล้วเทิดล่ะ” สิงห์ถามอีกคน

“โกดังสองโกดังนี้พวกมันกำลังขนอาวุธและฝิ่น รวมถึงของกลางอื่น ๆ ที่เคยเห็นว่าวารินเก็บไว้ในคลัง แต่ที่จริงเอามาไว้ที่นี่ พวกมันขนเกือบจะเสร็จจากที่นับดูมีคนเกือบยี่สิบคนได้อยู่ในโกดัง ส่วนบ้านที่อยู่หน้าทางเข้าก็เป็นที่พัก มีคนอยู่ข้างในแต่นับไม่ได้ว่ากี่คน”

คนฟังพยักหน้าตาม แปลว่าไม่มีใครไปพระนคร มันก็แค่พูดให้เราไขว้เขว จากฟังคร่าว ๆ คิดว่าแผนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไร เว้นแต่ว่าคนที่อยู่บ้านฝั่งของหน้าทางเข้านั้น ทางที่ดีน่าจะจัดการไว้ก่อน

“หมวดกล้า เทิด ขอกำลังอีกรอบ ไปจัดการคนหน้าทางเข้าที่บ้านหลังนั้นและอย่าให้ใครเห็น จัดการได้แล้วส่งสัญญาณให้ทีมสารวัตรโขมเริ่มแผนบุกได้เลย และทั้งคู่คอยสนับสนุนทางทีมสารวัตรโขมที่จะบุกด้วย”

“ครับ”

ทั้งคู่รีบลงน้ำและดำน้ำเพื่อว่ายไปทางบ้านหน้าทางเข้า ต่างคนต่างพกมีด หลังนี้มีสองชั้นคล้ายห้องแถว เทิดให้หมวดกล้าขึ้นชั้นสองส่วนตนดูข้างล่าง จากที่ดูแล้วข้างล่างมีสองคนเลยจัดการได้ง่าย ทางหมวดกล้าก็จัดการอีกสามคนที่อยู่ข้างบนได้ พอเห็นว่าเทิดส่งสัญญาณ หมวดกล้าเลยส่องไฟแรกเพื่อเป็นการให้ทีมสารวัตรบุก

“สัญญาณมาแล้ว บุก!!” สารวัตรโขมว่าเสียงดังก่อนที่เขาและลูกน้องสิงห์คนหนึ่งที่มีรถกันคนละคันจะเป็นคนขับรถและให้คนที่เหลือวิ่งตามหลังรถไป พวกนั้นจะได้ไม่เห็น เพื่อให้ไฟรถบดบังสายตาและมองด้านหลังยาก

ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ

เพียงไม่นานการปะทะก็เกิดขึ้น พวกมันเพ่งความสนใจไปที่หน้าทางเข้าและมีบางจำพวกวิ่งไปข้างหน้าเพื่อจะสู้ด้วย

ฝั่งทางขุนหรือทีมหมวดภพส่องสไนไม้ไปทางหน้าคอกม้าและเลือกจัดการกันคนละตัว “เตรียม! ยิง!” เพียงเท่านั้นคนหน้าทางเข้าคอกม้าก็ถูกยิงหมดจากทีมขุนเพื่อเปิดทางให้สารวัตรโขม

“เสืออัธไปเลย” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นกลุ่มเสืออัธก็ลงน้ำและดำน้ำไปก่อนจะโผล่ขึ้นและยกปืนยิงพวกมันที่หลบโกดัง

“พวกเราไป” สิงห์สั่งกลุ่มตัวเองและลงน้ำอ้อมไปทางบ้านเจ้าสัวเหวย มือข้างหนึ่งยกเหนือหัวเพื่อไม้ให้ไฟฉายโดนน้ำพอถึงที่ ก็กระพริบไฟฉายสามครั้งให้ทางขุนเพื่อขอความช่วยเหลือ

“สัญญาณจากผู้กองครับ” จ่านิดชี้

หมวดภพส่องกล้องก็พบว่ามีคนเฝ้าอยู่สี่คนถ้าเห็นจากตรงนี้ “จากที่เห็นมีสี่คน เตรียมนะ ผมจะยิงคนไกลสุด”

“ครับ” นักซุ่มต่างเลือกคนที่จะยิงก่อนจะรอฟังหมวดภพ

“ยิง!”

สิงห์เห็นว่าคนอื่น ๆ ล้มกันไปแล้วเหลือแค่อีกฝั่งหนึ่งที่หมวดภพไม่เห็น เลยใช้มือสั่งหมวดไฟที่ตอนนี้เตรียมรอ

“ไป”

หมวดไฟพยักหน้าก่อนจะขึ้นน้ำและใช้มีดปาดคอ ก่อนจะสอดส่องทางหน้าต่างเพื่อมองข้างในแต่กลับไม่พบใคร

ทุกอย่างกำลังไปได้ดีก่อนจะมีเสียงระเบิดดังขึ้นจากหน้าทางเข้า

“สารวัตร” สิงห์ตกใจเมื่อเห็นไฟฉายกะพริบขอความช่วยเหลือ

“เดี๋ยวกูไปช่วยเอง พวกมึงไหวนะ” เสือเอี้ยงถาม

“เออ ฝากมึงด้วย” สิงห์พยักหน้าก่อนที่เสือเอี้ยงจะให้ลูกน้องตนอีกสองคนสนับสนุนสิงห์และที่เหลือไปกับตน

“แยกเป็นสองกลุ่มนะ” สิงห์ว่าแล้วให้ไฟกับลูกน้องเสือเอี้ยงไปอีกทางหนึ่งส่วนตนก็เข้าอีกทาง

ไฟที่เข้ามาได้ก็ไม่พบใครก่อนจะเบิกตากว้างยังไม่ทันเตรียมตัวก็ถูกชกที่หน้า

“เฮ้ย!” ลูกน้องเสือเอี้ยงยิงอีกฝ่ายก่อนที่มันจะหลบได้แล้วหักแขนฉกปืนมายิงลูกน้องเสือเอี้ยงทันที

“ไอมั่น”

“ว่าไงผู้หมวด” มั่นยิ้มอย่างน่ารังเกียจและชูปืนเพื่อจะยิง

ไฟสบถก่อนจะหลบปืนแล้วเตะปืนทิ้งใช้แขนบังหมัดและชกกลับผลัดกันโดนและไม่โดนจนสิงห์เข้ามา

“ไปดูว่าเจ้าสัวอยู่ข้างบนไหม” สั่งคนที่มาด้วยก่อนจะยิงไอมั่นแต่มันก็หลบได้แล้วปาหมอนบนโต๊ะไม้ใส่ ไม่ทันตั้งตัวมันก็วิ่งมาถีบกลางอกจนสิงห์กระเด็นติดกำแพง

“หัวหน้าเก่า ไม่เจอกันนานฝีมือตกนะ”

“มึง!” ไฟลุกขึ้นมาชกแต่มันก็เบี่ยงหลบและจับแขนไว้ใช้เข่ากระแทกท้องสองทีจนไฟล้มลง

สิงห์กวาดขาให้มันล้มก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วต่อยหน้าไปหลายทีและมันก็หยุดมือได้แล้วหยิบมีดที่เหน็บข้างเอวฟันท้อง

“สิงห์!”

คนถูกฟันหลบวูบเฉียดเล็กน้อยแต่ก็พอเป็นแผลได้ ไอมั่นกระโดดลุกขึ้นอย่างง่ายดายก่อนจะกวาดแขนไปข้างหลังเพื่อฟันใส่ไฟ แต่ไฟก็หลบได้แล้วหมุนตัวใช้จระเข้ฟาดหาง พอมั่นมันตั้งตัวไม่ได้ก็วิ่งไปเหยียบเข่าใช้ศอกกระทุ้งหัวมันจนล้มไป

มันสะบัดหัวไปมาก่อนที่จะก้มตัวแล้ววิ่งใส่ไฟกอดเอวไว้แล้วยกขึ้นเพื่อกระแทกลงกับโต๊ะไม้จนมันหัก

“ไฟ!” สิงห์วิ่งเข้ามาก่อนจะถูกไอมั่นชกที่ท้อง มันดันมีดใส่เข้ามาเลยจำต้องหลบอีกรอบแล้ววิ่งตรงไปยังกำแพงก่อนจะเหยียบกำแพงกระโดดกลับหลังใช้มือทั้งสองข้างจับคอมันแล้วทุ่มกับพื้น

“อั่ก” มั่นถึงกับมึนก่อนจะหมุนตัวเมื่อสิงห์จะกระทืบก่อนที่จะใช้มีดฟันข้อเท้าจนสิงห์คุกเข่า “ตายซะมึง”

ไฟที่เพิ่งจะลุกขึ้นได้รีบวิ่งไปถีบหน้าด้านข้างจนมันกระแทกกับกำแพงก่อนที่จะเตะมีดทิ้งแล้วใช้เท้าเตะปลายคาง เห็นมันล้มอย่างนั้นจึงรีบหยิบมีดเตรียมจะแทง

ปัง

“ไฟ!” สิงห์ร้องเสียงหลงเมื่อคนรักถูกยิงที่ท้อง หันไปมองก็พบกับเจ้าสัวเหวยที่เดินลงมาพร้อมลากคอลูกน้องเสือเอี้ยงที่ตายแล้วลงมาด้วย

“มาเร็วจังนะพวกมึง” เจ้าสัวเหวยชูปืน

“ไฟ” สิงห์รีบเข้าไปดูคนรักเห็นเลือดไหลออกมาก็ต้องใจหาย “อย่าเป็นอะไรนะ” ว่าแล้วก็ใช้ผ้าปิดปากของทั้งคู่มากดห้ามเลือดเอาไว้

“เจ้าสิงห์” คนถูกเรียกแทบไม่สนใจสิ่งใดนอกจากคนรักแต่เจ้าสัวเหวยก็ไม่ได้คาดคั้น มันผลักลูกน้องเสือเอี้ยงออก “เก่งนะที่มากันถึงตรงนี้”

“หุบปาก” สิงห์ตะคอกเสียงดังตาแดงจัดมือก็สั่นมาก

“ฉันให้โอกาสเอาไหม” เจ้าสัวเหวยคลี่ยิ้ม “เจ้าสิงห์มากับฉัน แล้วฉันจะไม่ยิงมันซ้ำ”

สิงห์นิ่งไปมือยังคงกดเลือดอยู่อย่างนั้น

“ไม่...อย่า” ไฟพูดเสียงแหบแห้ง เหงื่อไหลเต็มขมับ

“เดี๋ยวมีคนมาช่วยนะ ไฟกดแผลไว้” มือของสิงห์สั่นไปหมดเสียงก็สั่น น้ำตายังไหลอย่างนั้น “ทนไว้นะ อย่าเป็นอะไร”

“อย่าไป...สิงห์” ไฟยกมือลูบหน้าคนรัก

“ไม่เป็นไร ๆ สิงห์จะไม่เป็นไร ไฟทนไว้นะ” สิงห์สะอึกสะอื้น ค่อย ๆ ลุกออก

“สิงห์... อย่า”

สิงห์กัดปากแน่นแล้วยกมือจับหลังหัวเดินไปหาเจ้าสัวเหวย

“ก็แค่นั้น ไอมั่นลุก!” เจ้าสัวเหวยสั่งลูกน้องคนสนิทที่ยังมึน ๆ และเดินตาม “เดินไปทางแม่น้ำซะ” มันชี้ปืนสั่ง

“เฮ้ยหยุด” เพียงไม่นานเสืออัธก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับเทิดและหมวดกล้า

“อย่าเข้ามา” ไอมั่นรีบล็อกคอสิงห์ไว้

“ดูไฟด้วยไม่ต้องห่วงฉัน” สิงห์ตะโกนก่อนจะถูกลากออกไปทางแม่น้ำ

“ไอไฟ!” เสืออัธรีบมาดูเมื่อเห็นเลือดไหลชุ่มผ้าก็รีบเอาผ้าตัวเองมากดทับไว้อีกก่อนจะตะโกนบอกคนด้านนอก “รีบพาไฟไปโรงพยาบาลเร็ว!”

“อัธ...” ไฟจับแขนอีกฝ่ายแน่น

“อะไร จะตายห่าอยู่แล้วไม่ต้องพูด” เสืออัธว่าอย่างนั้นมือก็ยังคงกดแผลไว้

“ช่วยสิงห์...ขอร้อง”

เสืออัธสบถ “เอาตัวมึงให้รอดก่อน ไอสิงห์มันหนังเหนียวอยู่แล้ว”

“เดี๋ยวผมตามผู้กองเอง” หมวดกล้าว่าอย่างนั้นก็วิ่งไปกับเทิดก่อนที่คนด้านนอกจะพาไฟออกไป

“คุ้มกันด้วย” เสืออัธตะโกนบอกคนอื่นแล้วแบกไฟไปขึ้นรถ จ่าธงรีบวิ่งมาดูก็ตกใจก่อนจะขึ้นรถไปด้วยเพื่อจะเป็นคนขับรถให้ส่วนเสืออัธก็เป็นคนกดแผลห้ามเลือดไว้ตลอดทาง

ทางด้านสิงห์ที่ตอนนี้ต้องเป็นคนลากเรือลงแม่น้ำ ก่อนจะเป็นเจ้าสัวขึ้นไปก่อนตามด้วยสิงห์และมั่น

“ผู้กอง!” หมวดกล้าชูปืนก่อนจะรีบหลบเมื่อเจ้าสัวยิงใส่

“อย่าตามมา ไม่อย่างนั้นกูจะยิงมัน” มั่นตะโกนเสียงดัง

สิงห์เริ่มสงบลงก่อนจะยกมือขึ้นเป็นการส่งสัญญาณแล้วก็ถูกเจ้าสัวใช้ปืนกระแทกหัว “อั่ก”

“อย่าตุกติก”

สิงห์เลยนั่งนิ่ง ๆ แล้วจ้องเขม็งอย่างไม่เกรงกลัว

“เห็นสัญญาณ” จ่านิดเอ่ยบอกจ่าเฉิ่มที่ตอนนี่ซุ่มกันอยู่สองคน ส่วนคนอื่นก็ไปช่วยข้างล่างหมด

“ทางแม่น้ำเหรอ” จ่าเฉิ่มส่องกล้องไปทางนั้น

“ฉันจะยิงมั่นเอง” จ่านิดว่า

“ได้ เตรียมนะ” จ่าเฉิ่มสั่งแทนจ่านิดก็กลั้นหายใจรอ “ยิง!”

มั่นถูกยิงตกน้ำเหลือเจ้าสัวเหวยที่แค่เฉี่ยว

“อะไรวะ”

“โธ่เว้ย สั่นไปหน่อยเพราะผู้กองถูกจับเป็นตัวประกัน” จ่าเฉิ่มต่อยกับพื้นระบายอารมณ์

สิงห์เห็นทางโล่งเลยใช้เท้าถีบมันจนตกน้ำก่อนจะต้องล่วงน้ำลงไปด้วยเพราะเจ้าสัวมันพลิกเรือลง

“หายไปแล้ว” จ่านิดที่ยังส่องเอ่ยบอก

ทางสิงห์ที่ตอนนี้กำลังสู้กับมัน ฟ้าที่ใกล้จะสว่างพอให้เห็นบ้างแต่ก็ยังมืดอยู่ดี สิงห์ซัดหน้ามันแล้วถีบอีกรอบจนมันจมไปก่อนที่เขาจะถูกดึงขา สิงห์ใช้เท้าถีบอยู่หลายรอบแต่ก็ออกแรงไม่ได้เยอะเพราะเท้าเจ็บอยู่และไหนจะแรงดันน้ำจนขยับเหมือนคนอ่อนแรง

“โธ่เว้ย” สิงห์สบถก่อนจะถูกดึงลงไปแล้วเป็นเจ้าสัวที่ขึ้นมากดหัวสิงห์เอาไว้

หมวดกล้ายกปืนจ่อไว้เพื่อเตรียมยิงแต่ก็ต้องหงุดหงิดเพราะมันอยู่ไม่นิ่ง เทิดเองก็พร้อมเช่นกัน

ทางสิงห์ที่เริ่มไม่มีลม มือไม้อ่อนแรงจนไม่มีแรงทุบ อากาศกำลังจะหมด... ก่อนจะหยิบปืนที่แอบไว้ในเสื้อหนังออกมาและเป็นปืนของจัน เขายกมันขึ้นเพื่อเล็งหัวคนที่กดตน แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็แปลกที่มั่นใจว่าจะโดนหัวมัน

ปัง!

เจ้าสัวเหวยโดนยิงหัวทันทีอย่างแม่นยำจนคนที่เห็นต่างตกใจ แต่สิงห์ก็กำลังจมใต้น้ำเพราะไม่มีแรงเหลือพอจะว่ายขึ้นไปข้างบนแล้ว

“ผู้กอง!” เทิดลงไปนานแล้วเพื่อรอช่วย หมวดกล้าก็ลงไปช่วยเช่นกัน

เพียงไม่นานก็เจอเลยพาขึ้นเหนือน้ำ เทิดรีบว่ายพาเจ้านายขึ้นบก คนที่ส่องกล้องอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ส่องไปทางทีมอื่นก็พบว่าจัดการหมดแล้วและกำลังช่วยคนที่ถูกจับออกมาและพาบางคนที่บาดเจ็บไปหาหมอแล้ว

“ผู้กอง ๆ” หมวดกล้าก้มเอาหูแนบอกก่อนจะรีบปั๊มหัวใจ

“เป็นไงบ้าง” สารวัตรโขมที่เพิ่งวิ่งมา ถามขึ้น

“จัดการหมดแล้วครับ แต่ผู้กองจมน้ำคงจะกินน้ำเข้าไป” ว่าแล้วก็ช่วยต่อ “ตื่นสิผู้กอง”

เหมือนแสงริบหรี่แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ อย่างน้อยจบเรื่องนี้แล้วสิงห์ก็ควรจะได้รับอิสระหรือความสุขบ้าง

หมวดกล้ายังคงช่วยอยู่อย่างนั้น ส่วนเทิดก็จับหน้าให้เจ้านายหงายขึ้นและเป่าปากทุก ๆ การปั๊มสามสิบครั้ง

“ฟื้นสิ” หมวดกล้าตะโกน

สารวัตรโขมรีบไปเตรียมรถมาถ้าทั้งสองปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จจะได้รีบพาไปโรงพยาบาล

“ผู้กอง”

“แค่ก ๆ ๆ” คนหมดสติสำลักน้ำออกมา กะพริบตาอยู่หลายครั้งเมื่อยังคงมึนหัว

“คุณสิงห์”

“ผู้กอง”

เสียงแว่วเข้ามาทำให้สติเริ่มขึ้นแต่ก็ยังคงแสบคอและปวดหัว

“รีบพาขึ้นรถ เร็ว!” สารวัตรโขมตะโกนเรียกเลยช่วยกันอุ้มไปหลังรถ

คนที่พิงอยู่กับหลังรถหอบหายใจ เหมือนกับหลับและฝันไปรอบหนึ่ง สิงห์หรี่ตาเมื่อมีแสงส่องตา เขายกมือขึ้นบังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แสงอาทิตย์เริ่มขึ้น ก่อนที่จะปล่อยแขนลงแล้วมองเช้าของวันเต็มตา

“นี่ครับ ผมเก็บมาให้... เห็นคุณสิงห์กำปืนนี้แน่นเลย” เทิดยื่นปืนที่เป็นของจันให้

สิงห์ยิ้มบางพยักหน้าเป็นการขอบคุณและรับปืนของเพื่อนสนิทมาถือไว้ ก้มหน้ามองพร้อมกับลูบเบา ๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลกระทบปืน

ขอบคุณเพื่อนที่ช่วยชีวิต...


*มีต่ออีก ๆ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๕ (๓/๓)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 05-05-2020 15:55:08
*สุดท้ายแล้ว


ผ่านไปสองอาทิตย์ทุกอย่างก็คลี่คลาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวการปราบปรามโจรใหญ่ของสิงห์บุรีและข่าวการที่อธิบดีของกรมภูธร เขต ๑ และอธิบดีของกรมนครบาลร่วมมือกับโจรชื่อดังอย่างเจ้าสัวเหวย โดยมีหลวงศรีรวีชัย เสี่ยตะวันและลูกน้องของอธิบดีทัพทั้งเจ็ดคนสารภาพออกมา ส่วนอธิบดีวารินที่คิดว่าตนจะถูกช่วยแน่ ๆ แต่กลับผิดคาดเมื่อพวกนั้นถูกจัดการไป เลยต้องสารภาพออกมาในที่สุด

รองอนงค์ลาออกเพื่อจะบวชเลยเป็นสารวัตรโขมที่เลื่อนขั้นเป็นอธิบดีกรมภูธรแทน ส่วนกรมนครบาลก็เป็นสารวัตรนนท์ที่ถูกแต่งตั้งเป็นรองอธิบดี สารวัตรอิฐเป็นอธิบดี หมวดกล้าเป็นสารวัตร ส่วนจ่าเฉิ่ม จ่าตาล จ่านิดเข้าร่วมเป็นลูกน้องในทีมของสารวัตรกล้า ส่วนสิงห์หลังจากที่เปิดเผยว่าอยู่ในทีมลับชาวบ้านในอ้อยขวางต่างก็ยินดีต้อนรับสิงห์กลับที่สถานี แต่ว่ามีการแต่งตั้งใหม่โดยให้สิงห์เป็นรองอธิบดีของจังหวัดสิงห์บุรีแทน

แต่ว่าผู้เสียชีวิตจากการสู้กันก็มีอยู่ไม่น้อย จ่าคม หมู่เริง ที่เป็นคนในสถานีอ้อยขวาง รวมถึงคนของเสือเอี้ยงสามคนและลูกน้องเสี่ยพันธ์อีกสามคน ทุกคนถูกจัดงานศพที่เดียวกันคือสิงห์บุรี ทุกโลงต่างมีธงชาติประดับไว้

กลุ่มเสือเอี้ยงถูกจำคุกที่เรือนจำและให้ครอบครัวที่เกี่ยวข้องมาช่วยพิธีศพแทน

และอีกศพหนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องทำ... ก็จัดในวันเดียวกัน

สิงห์ตาคลอลูบโลงศพอีกโลงหนึ่ง “ทิ้งไปอีกคนแล้วนะ ทนมาตั้งนาน ทำไมถึงหลับนิ่ง ๆ ไปล่ะ”

นนท์เห็นแล้วสะท้อนใจก่อนจะลูบหัวลูกชายที่มาด้วยกัน “คนในโลงศพนั้น...” ปราชญ์ชี้ผู้เป็นพ่อเลยส่ายหน้า ลูกชายเลยก้มหน้าพูดไม่ออก

“ไม่ต้องห่วงนะ หลับให้สบาย สิงห์บอกแล้วว่าจะอยู่ต่อไป สิงห์ยังมีคนข้างกายมากมาย ไม่ต้องห่วงนะ... ไม่ต้องห่วงเลย... ฮึก” สิงห์กัดฟันน้ำตาไหลออกมาอย่างเก็บไม่มิด

พิมพ์อรเม้มปากเดินไปกอดลูกชายไว้ “ไม่เป็นไรลูก เขาไปสบายแล้ว”

สิงห์ร้องระงม เหมือนใครมาบีบหัวใจจนเจ็บไปหมด

อยากเจอ... อยากเจอไฟ...

พิธีศพเริ่มขึ้น ทุกศพถูกเผาพร้อมกันท่ามกลางลานกว้าง สิงห์ อธิบดีโขม รองนนท์ จ่าธง หมวดภพ จ่าเกื้อและครอบครัวของลูกน้องเสือเอี้ยงอีกสามคน ก่อไฟที่โลงพร้อมกัน

ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไร่อัครเดชถูกยึดไปเพราะเป็นของที่ทำขึ้นจากการปล้นหรือผิดกฎหมาย สิงห์ไม่คัดค้าน หลวงธารานันท์เซ็นชื่อที่ดินให้สิงห์เป็นคนดูแลแทน สิงห์จึงจำต้องอยู่ที่นั่นและรับดูครอบครัวของผู้ที่ถูกจับและคนที่เสียชีวิตจนเกิดเป็นไร่อัครเดชขึ้นมาจริง ๆ

๔ ปีให้หลัง ต้นอ้อที่อายุ ๒๗ กับเฟื้องที่อายุ ๒๙ แต่งงานกัน และอยู่ที่พระนคร รวมถึงแม่พิมพ์อรกับลุงสมานที่ตอนนี้อยู่พระนครเช่นกัน สร้างไร่ต้นตาลกับโรงสีเป็นชื่ออัครเดชกันเอง โดยที่สิงห์มารู้ทีหลังจนห้ามไม่ได้

ส่วนสิงห์ในวัยสามสิบหกปีกำลังถือสังฆทานไปถวายวัด ก่อนจะคลานเข่ากราบหลวงพ่ออนงค์

“มาทำบุญให้เขาหรือโยม”

“ขอรับหลวงพ่อ” สิงห์ยกมือพนมไหว้ก่อนจะเริ่มกรวดน้ำและนั่งคุยกับท่านอีกสักพัก

“คนเราเมื่อเสียคนสำคัญไปแล้ว ก็มีแต่อมทุกข์ โศกเศร้า เสียใจ แต่อย่าได้จมปรักกับความเศร้ามากนัก ชีวิตยังมีต่อ ยังต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง”

สิงห์ยิ้มรับ “ขอบพระคุณขอรับหลวงพ่อ กระผมจะทำตามดั่งที่ท่านสอน”

พระอนงค์คลี่ยิ้ม “คิดซะว่าคนที่เรารักนั้นหลับสบายอยู่บนฟ้าแล้ว”

“ขอรับ ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวลา” สิงห์กราบอีกสามครั้งก่อนจะคลานเข่าลุกออกจากศาลาวัด

นอกจากนั้นสิงห์ยังต้องแวะไปโรงเรียนเก่าของเขาที่ตอนนี้แม่ฤดีเป็นครูใหญ่แล้ว สิงห์เตรียมอาหารเที่ยงให้แกด้วย

เขามองต้นไทรที่เป็นที่นั่งตอนที่ไฟมาทักเขาครั้งแรก เรานั่งกินข้าวด้วยกัน ไฟเอาแต่กินของไม่เผ็ดเพราะกินเผ็ดไม่ได้ สิงห์ยิ้มบางมองเด็ก ๆ ที่นั่งกินข้าวใต้ต้นไทร ยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึง...

“อ่าวสิงห์ มาทำอะไรเหรอลูก”

สิงห์มองหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดราชการครูก็ยกมือไหว้

“เอากับข้าวมาให้แม่น่ะครับ”

“โธ่ลูก ลำบากแย่เลย” ฤดีเดินมารับของพร้อมโอบกอดก่อนจะผละออกมาลูบใบหน้า “กินอะไรมารึยัง”

“ว่าจะกลับไปกินที่บ้านน่ะครับ”

“แล้วเป็นไงบ้าง ไร่ไปได้ด้วยดีไหม”

“ดีครับ ส่งออกได้เยอะอยู่เหมือนกัน”

“ดีแล้ว” ฤดีคลี่ยิ้ม “ไว้ว่าง ๆ ก็มาหาแม่บ้างนะ อยู่คนเดียวแล้วเหงา”

“ครับผม เอาเป็นว่าไม่กวนแม่แล้วดีกว่า ไปก่อนนะครับ” สิงห์ยกมือไหว้ก่อนชะงักเมื่อถูกเรียก

“สิงห์”

“ครับ?” เขาหันกลับมองแม่

“เรื่องมันผ่านมาแล้ว สิงห์ก็อย่ามัวแต่นึกถึงมันนะ”

ได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็ยิ้มออกมา “ครับแม่ ไปก่อนนะครับ”

สิงห์ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขี่ไปทางบ้านของตน หลวงธารานันท์เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วสิงห์เลยจำต้องดูแลเต็มที่ เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านเรือนไทย เขาเห็นคนงานมากมายก็ยิ้มบางก่อนจะขึ้นบนบ้าน

เตรียมจัดกับข้าวทอดปลา ทอดไข่และน้ำพริกที่ตำเก็บเอาไว้ใส่ถาด รวมถึงข้าวเหนียวอีกหกกระติ๊บ

“จะถือไหวไหมเนี่ย” สิงห์เห็นแล้วถอนหายใจก่อนจะถือถาดข้างหนึ่งและถือกระติกน้ำสองอันอีกข้าง

มองเห็นเด็ก ๆ อย่างกล้าแก้วนั่งเล่นกันบนแคร่ สองคนนี้จะได้ไปเรียนเทอมหน้า

“กับข้าวมาแล้ว”

“ข้าว ๆ ๆ ๆ ๆ” เด็กทั้งสองต่างวิ่งมาช่วยถือไปวางบนแคร่ น่าเสียใจที่ยายพรแกก็เสียไปเช่นกันเพราะอายุมากแล้วเขาเลยดูแลเจ้าพวกนี้แทน

“แล้วกฤษไปไหนล่ะ”

“พี่กฤษไปดูคนงานตรงนู้น” แก้วชี้สุดลูกหูลูกตา ตรงนู้นมันตรงไหน... ตอนนี้กฤษเป็นหัวหน้าคนงาน ในนี้ก็มีทั้งเทิดและเสืออัธที่มาช่วย ส่วนเสือเอี้ยงยังคงติดคุกนานกว่าใคร

สิงห์นั่งลงบนแคร่มองเด็ก ๆ กินข้าวกันด้วยความเอ็นดูก่อนจะหันมองไร่ตัวเองที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาก

“พี่สิงห์ไม่กินเหรอ” กล้าถามขึ้นก่อนจะยีหัวเด็กน้อยแล้วยกถาดเล็กอีกถาดที่เอามาด้วยรวมถึงกระติกน้ำอีกกระติก

“กินสิ กินแถวคลองจะไปดูปลา”

“ไปด้วย!”

“ไม่ต้องเลยไอกล้า อยู่นี่แหละเดี๋ยวตกน้ำ” แก้วเขกหัวน้อง

สิงห์หัวเราะก่อนจะเดินเลียบไปด้านข้าง อยู่ไกลเล็กน้อยเพราะเป็นคลองติดกับคลองอื่น ได้ยินเสียงผิวปากเป็นเพลงมาแต่ไกล สายลมเอื่อย ๆ พัดทำให้อากาศไม่ร้อนมากนัก แถมตรงนี้ยังมีต้นไม้คอยให้ที่ร่ม

แผ่นหลังกว้างที่ไม่ได้ใส่เสื้อพร้อมกับผ้าขาวม้าพาดบ่า ในมือมีเบ็ดตกปลาทำมือกับกระป๋องเล็กที่น่าจะใส่ไส้เดือนไว้

สิงห์วางถาดลงบนโต๊ะเล็กที่ทำเอาไว้โดยเฉพาะก่อนจะนั่งลงบนเสื่อข้างกายอีกคนที่ตกปลาอยู่

“มาแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ก่อนจะผละแขนข้างหนึ่งมากอดเอวหอมแก้มสิงห์ไปฟอดหนึ่ง

“รำไปไหนล่ะ เพิ่งจะซื้อมาไม่ใช่หรือทำไมเอาไส้เดือนมาแทน ดูซิมือเปื้อนหมด”

“ก็ไอมารวยมันคาบไปกินหมดเลยน่ะสิ” ชายหนุ่มหงุดหงิดเสียเต็มประดา ไอมารวยหมาแถวบ้านที่ชอบมาคาบถุงรำไปกิน จึงจำต้องไปขุดดินเอาไส้เดือนมา

“ทีหลังก็เอาไว้ใกล้ตัวสิ หมามันจะรู้ได้ไงว่ารำเป็นของไว้ตกปลา” ปากก็บ่นไปแต่มือก็แกะปลาทอดพร้อมกับปั้นข้าวเหนียวจ่อปากคนข้างกาย

คนถูกป้อนงับเข้าปากแต่ก็ยังบ่น “ไฟก็ไล่มันแล้วนะ มันไม่ยอมแถมยังขู่ใส่อีก”

สิงห์ส่ายหัวพลางยิ้มไปด้วย แกะให้ตัวเองกินบ้างก่อนจะเอาอีกคำให้คนรัก “คนอะไรทะเลาะกับหมา”

“ก็มันนั่นแหละผิด” ไฟขมวดคิ้วยุ่ง

สิงห์อมยิ้มเมื่อมองหน้าคนรักก่อนจะหอมแก้มสากเพื่อเป็นการปลอบ “เอาหน่า ไว้ทีหลังสิงห์จะช่วยไล่”

ไฟยิ้มขึ้นได้ก่อนจะยักไหล่ “หอมรอบเดียวไม่พอหรอก”

“จะเอาอะไรเยอะแยะ หื้อ” สิงห์ใช้หลังมือผลักหัวก่อนจะยื่นข้าวเหนียวพร้อมไข่ทอดใส่ปากอีกคน ถาดนี้ไม่มีน้ำพริกเพราะน้ำพริกให้เด็ก ๆ หมดแล้ว ไฟน่ะกินเผ็ดไปคงน้ำหูน้ำตาไหล

“เอาทั้งคืนเลยได้หรือเปล่าล่ะ” ไฟเคี้ยวข้าวพร้อมสายตาที่มองคนรักด้วยความกรุ้มกริ่ม

คนถูกมองอดไม่ได้ที่จะผลักหัวอีกรอบ “ทะลึ่งนัก”

ต่างคนต่างพูดคุยกัน หัวเราะและยิ้มไปพร้อมกัน ในตอนนั้นไฟถูกส่งทันเวลาพอดีแต่ต้องรักษาตัวเดือนหนึ่งเลยไม่ได้เข้าร่วมพิธีศพ ส่วนศพที่ทำเขาใจหายก็เป็นศพของพ่อที่นอนหลับนิ่ง ๆ หมอรัตน์เองก็เปรยให้ฟังว่าพ่อพันธ์แทบจะไม่กินไม่พูดแล้วก็เสียอย่างที่เห็น

ไฟถูกแต่งตั้งเป็นอธิบดีของจังหวัดสิงห์บุรี วันนี้เป็นวันหยุดที่ไฟขอหยุดเองจนเขาต้องบ่นไปหลายที เพราะดันเอาเขามาด้วยไม่ได้ทำงานทำการกันพอดี

สิงห์ทำบุญให้พ่อและจันทุกวันจนหลวงพ่ออนงค์ต้องพูดอย่างนั้นเพราะคิดว่าเขาคงยังคงทุกข์ ยอมรับว่ามีนึกถึงบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่เพราะก็มีไฟอยู่ข้างกาย

ส่วนไฟนั้นมาอยู่ที่บ้านเขาเต็มตัว จะให้แม่มาด้วยแม่ก็บอกไม่เอาและให้ไฟมาอยู่กับเขาแทน

ไม่แปลกที่แกจะเหงา เลยไปนอนที่บ้านนั้นบ้างเป็นบางครั้ง จ่าธงพักการเป็นตำรวจอยู่บ้านกับเมีย เวลาที่แม่ฤดีกินข้าวแกก็กินกันสามคน

ทางกรมตำรวจขอให้พระอนงค์ศึกให้มาช่วยที่กรมแต่พระอนงค์จำต้องบวชอีกสองพรรษาถึงจะศึก

ผ่านอะไรมาหลายอย่าง จนสิ้นหวังไปแล้วเกือบหลายครั้ง ทุกวันนี้เขาคงต้องบอกว่าขอบคุณไฟจริง ๆ ที่ยังคงให้อภัยและไม่ทิ้งไปไหน มีแต่เขาที่เอาแต่เดินหนี

สิงห์ถอนหายใจกับข้าวหมดแล้วเลยขยับไปนั่งใกล้ ๆ และพิงหัวกับไหล่คนรัก “ขอบคุณนะไฟ ที่ไม่ทิ้งสิงห์ไปไหน”

คนถูกขอบคุณยิ้มร่า “ขอบคุณเหมือนกันที่สิงห์ยังอยู่ตรงนี้”

ทั้งคู่ยิ้มออกมาเป็นยิ้มที่ความสุขจากใจจริง ในตลอดสี่ปีมานี้สิงห์ไม่เคยหยุดยิ้มได้เลย ความสุขนี้คล้ายทดแทนกับสิ่งที่หายไปเมื่อครั้งอดีต มีไร่อัครเดชที่สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของคนที่สนิทและรู้จักกัน มีพ่อแม่ที่ดี มีน้องสาวที่มีผู้ชายที่ดีดูแลแล้วและมีคนรักที่อยู่ด้วยกัน เป็นเสมือนเพื่อน ครอบครัว สิงห์ไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย

สิงห์น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่ได้แต่ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจแต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข จนคนให้พักพิงสัมผัสได้

ไฟเลิกคิ้ว “เราไปตกปลากันที่ห้องไหม”

“ตาบ้านี่” สิงห์ถึงกับหัวเราะแล้วผลักไหล่คนรักที่นับวันยิ่งเป็นตาแก่ลามก “ในหัวมีแต่เรื่องนี้รึไง”

“ได้ไหมล่ะจ๊ะ” ไฟว่าพร้อมกับโอบเอว

“เดี๋ยวเถอะ”

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เขาก็จะให้คำมั่นว่าจะไม่ทอดทิ้ง มีเรื่องอะไรจะหันหน้าเข้าหา จะพูดจะบอก จะประคับประคองชีวิตคู่ไปด้วยกันแบบนี้

ขอบคุณผู้คนที่เข้ามา ขอบคุณผู้คนที่จากไป ขอบคุณที่ทำให้สิงห์และไฟมีวันนี้ได้

ขอบคุณจริง ๆ




จบบริบูรณ์

---------------------------------------------------------------------------

จบแล้วววว

ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ เราดันร้องไห้ตอนแต่งจบ ใจหายอยู่เหมือนกัน

เพราะเรื่องนี้อยู่กับเรามาหลายปี แก้แล้วแก้อีก เครียดแล้วเครียดอีก แต่ก็จบอย่างสำเร็จ และจบตามที่คิดเอาไว้

เรารักทุกตัวละครมาก ๆ ผูกพันกับทุกคนเลย พอมาถึงวันนี้ก็อดจะร้องไห้ไม่ได้

เป็นเรื่องแรกที่แต่งจนจบ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันแต่งนิยายจบกับเขาด้วย

ขอบคุณมาก ๆ นะคะ สำหรับนักอ่านที่ติดตามมาตลอด แค่คนเฟบ คนเม้น คนให้กำลังใจเราก็ดีใจมากแล้ว

แล้วก็ขอบคุณตัวละครทุกคนที่บุกบ่าฝ่าฟันมาเยอะ หวังว่าบางคนจะรับบทเรียน และบางคนที่เพิ่งจะมีความสุขก็ขอให้สุขไปนาน ๆ

ขอบคุณไฟและสิงห์ที่มาเป็นตัวละครให้เรา

ขอบคุณนักอ่านที่คอยให้กำลังใจมาตลอด

ขอบคุณมากๆค่ะ

แล้วเดี๋ยวเราจะมีตอนพิเศษ แต่ยังบอกไม่ได้ว่ามีกี่ตอน (รวมถึงจะแก้คำผิดด้วย)

จนถึงตอนนี้ก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทที่ ๒๕ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-05-2020 21:37:19
และแล้วก็จบเสียที คนเราทำยังไงก็ได้อย่างนั้น คนทำไม่ดีก็รับกรรมกันไป แอบสะกิดใจตอนสิงห์ร่ำไห้ แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นไฟ
ขอบคุณไรท์ที่มาก สำหรับนิยายดีๆ มาให้อ่าน ขอบคุณอีกครั้ง
 :3123: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๑ (๑/๒) {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 14-05-2020 00:01:16
 

บทพิเศษ ๑.๑

หลานคนแรก


 

ปี ๒๔๙๒

บ้านไม้หลังใหญ่มีผู้คนครึกครื้นเป็นพิเศษ ต่างคนต่างก็มีของเล่นสำหรับเด็กมากันให้วุ่น สิงห์กับไฟเพิ่งจะมาถึงอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศ ในมือของสิงห์ถือปลาตะเพียนกับซองเงินต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว

อธิบดีไฟถึงกับต้องบอกคนรักให้ใจเย็น ๆ เพราะรีบร้อนจนออกจากงานทั้งยังชุดราชการ

“นั่นท่านรองสหัส” ผู้คนในบ้านต่างซุบซิบและตื่นตะลึงที่เจอคนคนนี้ ใครเล่าจะไม่รู้จัก สิงห์ สหัส บุคคลที่ปราบปรามกองโจรมาแล้วหลายจังหวัด ทั้งพระนคร อ่างทอง หรือสิงห์บุรีเองก็ตามจนออกหนังสือพิมพ์ดังไปทั่วรวมถึงมีหนังสือเล่าเกี่ยวกับประวัติของคนผู้นี้จนมีแต่คนชื่นชอบ รวมถึงอธิบดีไฟที่ดูสง่าผ่าเผย เป็นหนึ่งบุคคลที่มีอิทธิพลมาก ๆ ในภาคกลางและยังเป็นหนึ่งในสี่บุรุษที่รู้จักกันอย่าง สี่ผู้หมวดในยุคนั้น นนท์ สิงห์ ไฟ จัน

“อ่าวสิงห์ มาทำไมไม่บอกแม่ก่อนลูก” พิมพ์อรอยู่ในวัยชราแล้ว ทว่า ก็ยังคงแข็งแรงเดินมาแตะไหล่ลูกที่ดูร้อนรน

“ขอโทษครับแม่ ก็ข่าวว่าหลานกลับบ้านแล้วเลยมาหา” สิงห์พูดไปตัวเองก็สอดส่องหาหลานไป เห็นน้องสาวกับน้องเขยกำลังนั่งอยู่กลางเรือนโดยมีญาติ ๆ ของฝั่งเฟื้องกับเพื่อนแม่เพื่อนลุงสมานทั้งนั้นและล้อมรอบอะไรอยู่ “สิงห์ขอไปหาหลานนะครับแม่”

พิมพ์อรคลี่ยิ้มที่ลูกสาวคงโทรศัพท์บอกพี่ชาย “ใจเย็นลูก ใจเย็น”

สิงห์รีบค้อมตัวไปหาหลาน ต้นอ้อเห็นพี่ชายก็ยิ้มกว้าง “พี่สิงห์ มาแล้วหรือคะ”

“ต้นอ้อ” สิงห์ยิ้มเมื่อเห็นน้องก่อนจะขอโทษขอโพยให้แขก และแขกเองก็ไม่ว่าและต่างคนต่างเดินออกให้คุณลุงเขามาดูหลาน “ละ...หลาน หลานพี่เหรอ”

สิงห์ถึงกับยืนนิ่งเมื่อเห็นหลาน น้ำตาเริ่มคลอ เพราะวันที่ต้นอ้อคลอดเขามีงานเร่งและกว่าจะได้มา เด็กคนนี้ก็จวนจะหนึ่งขวบอยู่แล้ว

“พี่สิงห์มาอุ้มหลานสิ” ต้นอ้ออุ้มลูกขึ้นเดินมาหาพี่ชาย

“มาครับพี่สิงห์ เดี๋ยวผมถือของให้” เฟื้องที่ตอนนี้ดูโตกว่าตอนเจอไปมากเดินมาถือของให้

“พี่อุ้มได้จริงเหรอ” สิงห์มือไม้พันกันยุ่งกลัวว่าจะแตะหลานไปแล้วจะบุบสลาย

“อุ้มได้สิคะ พี่นี่ก็” ต้นอ้อหัวเราะแม้น้ำตาจะคลอตามพี่ชาย ที่เราทั้งคู่ก็คงคิดเหมือนกันว่ามันมีวันนี้ได้แล้ว จากวันที่โหดร้ายมาเป็นวันอย่างนี้ ยากที่จะเชื่อเลย “เร็ว ๆ หลานร้องหาแล้ว”

อธิบดีไฟมองทางคนรักที่ดูจะเก้ ๆ กัง ๆ ตนนั่งอยู่กับลุงสมานและแม่พิมพ์อรอมยิ้มมองภาพตรงหน้า

“หลานลุง” สิงห์เอ่ยเสียงเบา ค่อย ๆ รับหลานชายเข้าอ้อมอก พลันเสียงร้องไห้ก็ค่อย ๆ หยุดร้องแถมยังมองเขาตาแป๋ว “น่าชังจังเลย” สิงห์น้ำตาไหลโยกเด็กน้อยไปมาปากก็ทำท่างับมือที่ปัดป่าย

เขามีหลานแล้ว มีหลานจริง ๆ ไม่ได้เพ้อฝันอีกแล้ว

“ต้นอ้อ” สิงห์เอ่ยเรียกน้องสาวพร้อมกวักมือ น้องสาวเดินเข้ามาก่อนจะกอดกับพี่ชาย สิงห์โอบน้องด้วยมือข้างเดียวก่อนจะก้มมองหลานชายที่หัวเราะดูมีความสุข “ตั้งชื่อหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ เรียกพี่สิงห์มาเพราะจะให้ตั้งชื่อให้”

สิงห์ตกใจ “จะดีหรือ”

“ดีสิคะ พี่เฟื้องก็อยากให้พี่สิงห์ตั้งให้”

สิงห์มองน้องเขยที่พยักหน้า ตนเลยก้มมองหลานแล้วนึกอยู่สักพัก “ต้นสนไหม แสดงถึงความสง่างามและความกล้าหาญ”

“ชื่อเพราะจัง”

“มาจากต้นคำหน้าของคุณแม่และส.เสือจากคุณลุง” สิงห์หัวเราะเมื่อน้องเขยพูดอย่างนั้น “ไว้ชื่อแบบผมจะตั้งลูกคนที่สอง”

ต้นอ้อหน้าแดง “เดี๋ยวเถอะพี่เฟื้อง”

“ส่วนชื่อจริงก็ให้คุณพ่อเขาตั้งนะ” สิงห์ว่าแล้วพยักหน้าเล่นกับหลาน “ว่าไงครับ ต้นสน... ต้นสนของลุง”

“ไหนขอดูหน้าหลานหน่อย” ไฟเดินมาหาบ้าง ต้นอ้อกับเฟื้องเลยปลีกตัวออกไปคุยกับแขก “หน้าตาเหมือนสิงห์เลย”

สิงห์ยิ้ม “หล่อได้ลุง”

“น่าตีเหมือนลุง”

สิงห์ถึงกับตีคนรักเบา ๆ “นิสัย... ลองอุ้มหลานไหม”

คนตัวสูงถึงกับทำตัวไม่ถูก “เอาจริงเหรอ ทำลูกเขาตกขึ้นมาจะทำยังไง”

“เอาหน่า แขนไฟใหญ่กว่าหลานจะตายอุ้มแค่นี้ไม่ตกหรอก” สิงห์ว่าพร้อมกับยื่นหลานให้

ไฟร้องโอดโอยในตอนที่อุ้มหลาน โยกตัวได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าหลานคนนี้ก็ร้องลั่น “อ่าว ๆ ๆ จะร้องทำไม ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเอ็งเลยนะเนี่ย”

สิงห์หัวเราะก่อนจะเอาหลานคืนแล้วเอ๋ ๆ “สงสัยจะกลัวลุงไฟ”

“ห๊ะ?” ไฟถึงกับงุนงง

“กลัวเหรอครับ อ่อ ๆ อยู่กับลุงสิงห์ดีกว่าเหรอ ชอบลุงใช่ไหม” สิงห์คุยไปทั่วจนคนรักแอบหมั่นไส้ลึก ๆ น่าหยิกทั้งหลานทั้งลุง

“เจอคนเห่อหลานแล้ว วันนี้ดูท่าจะไม่ปล่อยแน่เลย” สมานหัวเราะ

“ไปถ่ายรูปครอบครัวกันดีไหมครับ” เฟื้องเสนอเมื่อญาติ ๆ แต่ละคนเริ่มกลับเพราะอยากให้ความส่วนตัวแก่ครอบครัว

“เอ้อดี ๆ จะได้อัดกรอบรูปเก็บไว้ประดับบ้าน” สมานเห็นด้วย

“พี่สิงห์เราไปถ่ายรูปกันไหม” ต้นอ้อถามไถ่

“เอาสิ” สิงห์เต็มใจทันที เพราะตนก็อยากเก็บรูปหลานไว้เหมือนกัน

ทุกคนต่างเก็บของและเตรียมออกจากบ้านเพื่อไปร้านถ่ายรูป ในระหว่างนั้นก็มีเด็กผู้ชายสวมแว่นเดินมาทางนี้พร้อมกับปลาตะเพียนในมือดูจะระวังเป็นอย่างมากในการถือ สิงห์จำได้แม่นทันทีว่าเป็นใคร

“ปราชญ์ ไม่เจอกันนานเลย” สิงห์คลี่ยิ้มให้

คุณชายปราชญ์ตกใจไม่น้อยก่อนจะรีบก้มไหว้ “สวัสดีครับลุงสิงห์ สวัสดีครับลุงไฟ”

สิงห์ได้เจอปราชญ์ในวันงานแต่งงานของเฟื้องและต้นอ้อ เด็กคนนี้ดูโตขึ้นมากเลยจากเด็กที่เขาเลี้ยงในวันนั้นตอนนี้เป็นคุณชายเสียแล้ว

“เอาของเล่นมาให้น้องหรือครับ” สิงห์ถามพร้อมกับย่อตัวลงเล็กน้อย

“ใช่ครับ ปราชญ์นั่งทำกับป้าบัวเมื่อคืนนี้” ปราชญ์ยิ้มตาหยีก่อนจะหุบยิ้มเมื่อมองปลาตะเพียนที่ทำด้วยใบตอง “แต่มันคงจะเหี่ยว แถมไม่สวยเลย”

“โธ่ลูก” คนเป็นลุงอดเอ็นดูไม่ได้จึงเอื้อมมือไปหยิบปลาตะเพียนให้หลานชาย “ของที่ปราชญ์ตั้งใจทำให้ น้องต้องชอบอยู่แล้ว” เขาไม่พูดเปล่ายังให้ปราชญ์ดูด้วยว่าน้องหัวเราะสดใสขนาดไหนตอนเล่นปลาตะเพียน

“พ่ออยู่ไหม” ไฟถามถึงเพื่อน

“เด็จพ่ออยู่ที่กรมตำรวจครับลุงไฟ”

“นั่นสินะ” ไฟพยักหน้าลืมไปเลยว่าไม่ใช่วันหยุด “ลุงจะไปถ่ายรูปกัน ปราชญ์ไปด้วยกันไหม”

“ได้ไงเล่าเอาลูกคนอื่นเขาไปข้างนอกเนี่ย” สิงห์ถึงกับตีแขนคนรักก่อนจะมองปราชญ์ที่ดูจะตื่นเต้นเลยได้แต่ถอนหายใจ “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถ้าอย่างนั้นปราชญ์บอกกับที่วังไว้แล้วมาหาลุงนะ ลุงจะรอ”

ปราชญ์ดีใจ “ปราชญ์ไปได้จริง ๆ หรือครับ”

“ได้สิจ๊ะ” ต้นอ้อที่ได้ยินรีบบอกทันทีเพราะกลัวว่าเด็กจะเกรงใจจนไม่กล้า เพราะปราชญ์น่ะเป็นเด็กขี้เกรงใจ แต่ก็อ่อนโยน พูดจานอบน้อมเสมอ ยิ่งโตยิ่งดูสง่าสมเป็นคุณชาย

“ขอบคุณครับ” ปราชญ์ก้มหัวแล้วรีบวิ่งไปที่วังเพื่อบอกคนในวังไว้

รออยู่ไม่นานปราชญ์ก็มา เฟื้องกับต้นอ้อนั่งรถคันของตัวเองพร้อมกับแม่และพ่อสมานส่วนสิงห์และไฟไปรถของตัวเองพ่วงด้วยหลานชายอย่างต้นสนที่ดูท่าจะไม่ปล่อยจริง ๆ

“ปราชญ์อายุเท่าไหร่แล้วตอนนี้” สิงห์ถามหลานอีกคนที่นั่งสงบเสงี่ยมแม้หัวจะชะโงกมองทางน้องจนเขาหัวเราะ

“อายุสิบสามครับ”

“โอ้ สิบสามแล้วหรือ สูงขึ้นเยอะเลยนะ” สิงห์ยิ้มก่อนจะยื่นหลาน “อุ้มน้องไหม”

ปราชญ์โบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไรครับ ลุงสิงห์อุ้มเถอะครับ น้องคงอยากอยู่กับลุงสิงห์นาน ๆ จะได้เจอกันที”

สิงห์ไม่คาดคั้นจึงอุ้มหลานต่อไป “แล้วรู้ชื่อน้องหรือยัง”

ปราชญ์ส่ายหัว “ยังเลยครับ น้าต้นอ้อบอกว่ารอลุงสิงห์ตั้งชื่อให้”

“ลุงตั้งแล้ว ตั้งไม่นานนี้เอง”

“แล้วน้องชื่ออะไรหรือครับ”

“ต้นสน น้องชื่อต้นสน”

เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย “ชื่อเพราะมากเลยครับ”

“ฮ่า ๆ ใช่ไหมล่ะ ลุงสิงห์ตั้งให้ซะอย่าง” สิงห์หัวเราะจนไฟอดยิ้มไม่ได้

“เห่อหลานจริง ๆ เลย” ไฟว่าพร้อมกับหยิกแก้มคนรัก

“ก็ดูสิ หลานคนแรกเลยนะ” คนอุ้มหลานยิ้มแก้มแทบปริเอียงหัวเล็กน้อยเวลาคนรักยกมือขึ้นลูบผม

ปราชญ์หูแดงขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อรู้สึกถึงอะไรแปลก ๆ ออกจากตัวของทั้งคู่เวลาหยอกล้อกัน เด็กหนุ่มเม้มปากมองนกมองฟ้านอกหน้าต่างทำเป็นไม่เห็น

“จะไปไหนหรือ” สิงห์ถามทันทีเพราะไฟตีรถขึ้นไปบอกเฟื้องที่เป็นคนขับอีกคันว่าให้ไปที่นั่นก่อน

“เดี๋ยวก็รู้” ไฟยิ้มบาง

เพียงไม่นานก็มาถึงกรมตำรวจนครบาล ตามที่ไฟอยากจะมา

“มาหานนท์เหรอ”

ปราชญ์หันมองด้วยความสงสัยทันที เขาแทบไม่ได้มาที่ทำงานของเสด็จพ่อเลย พอเห็นแล้วก็อดตะลึงเสียไม่ได้ ตำรวจเดินเต็มเลย

“พามันไปถ่ายรูป”

“จะบ้าเหรอไฟ นนท์ทำงานอยู่ไหมจะไปลากออกมาได้ยังไง ลากลูกเขามายังไม่ได้บอกอีกด้วยเนี่ย”

“เถอะหน่า ตอนนี้ช่วงเที่ยงคงพักกินข้าวกัน” ไม่ว่าเปล่าก็ออกไปตามให้แทนจนสิงห์ได้แต่กุมขมับ

“เด็จพ่อจะไปด้วยหรือครับ”

“ไม่รู้สิ” สิงห์ถอนหายใจ และแล้วทั้งคู่ก็เดินตีคู่กันมา สิงห์เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของเพื่อนก็อดจะหัวเราะไม่ได้ ไฟคงลากมา ลากที่ลากจริง ๆ

“เด็จพ่อ” ปราชญ์เอ่ยเสียงเบาแล้วเขยิบจนชิดเบาะอีกฝั่ง

“มากับเขาจริง ๆ ด้วยสินะ” นนท์พูดเสียงเรียบจนเด็กหนุ่มต้องนั่งตัวเกร็ง

“พวกฉันชวนมาเองแหละ” สิงห์พูดขึ้น “นี่เห็นหลานฉันรึยัง”

นนท์มองทันที “ฉันคงทำงานมากไปจนไม่รู้เรื่อง”

“ลองอุ้มดูสิ”

“จะดีหรือ”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะยื่นหลานให้

ปราชญ์อดจะตาโตไม่ได้เมื่อมองพ่อที่ตอนนี้ดูอ่อนโยนเป็นอย่างมาก จากที่ต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวเลยต้องวางตัวเป็นอย่างมากหลังจากเสด็จปู่สิ้นพระชนม์ไปหลายปีก่อน

“ชื่ออะไรหรือ”

“ต้นสนน่ะ ฉันตั้งเอง”

“อืม ชื่อเหมาะสม”

“ยิ้มแย้มหน่อยสิวะ หลานมันอยากเห็นลุงนนท์ยิ้ม” ไฟอดจะพูดไม่ได้แล้วก็อดจะอิจฉาไม่ได้ ทีเขาอุ้มนะดันร้องขึ้นมาเสียได้เจ้าหลานคนนี้

นนท์ก้มมองก่อนจะหัวเราะออกมาหลังจากแทบไม่ได้มีอารมณ์นึกขันมาตลอด “มีวันนี้กันจนได้นะ”

ลูกชายอย่างปราชญ์อดยิ้มตามไม่ได้เพราะช่วงที่เกิดเรื่องตนก็พอรู้มาบ้าง วันที่คุณยายพิมพ์อรกับน้าต้นอ้อมาที่วังเขานึกว่ามาเยี่ยมเยียนกัน พอโตขึ้นมาหน่อยปราชญ์ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมา ยิ่งเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงสองคนนี้ถึงดูทุกข์มากและไม่ค่อยยิ้มแย้มเสียเลย แถมยังไม่ให้ลุงไฟรู้เสียอีกว่าพวกท่านอยู่ที่นี่ อยู่ที่บ้านป้าบัว...

หลังจากเรื่องจบปราชญ์เลยได้อ่านประวัติของลุงสิงห์จึงปะติดปะต่อกับที่ว่าในวังมีคนมาเพิ่มเพราะเสด็จพ่อประสงค์จะช่วยเหลือด้วย ที่วังจึงมีคนเยอะแถมที่ไร่ต้นตาลกับโรงสีพี่เฟื้องเองก็เยอะพอกัน

ไม่แปลกใจที่เสด็จพ่อเองก็ดูมีความสุขออกมา ปราชญ์น่ะไม่ได้เห็นเสด็จพ่อแย้มยิ้มมากขนาดนี้มานานแล้ว

“แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง”

นนท์มองเด็กในอ้อมแขนปากยังเจือด้วยรอยยิ้มแต่ก็แฝงความอัดอั้น “ก็ดี”

สิงห์ที่มองอยู่นิ่งไปมองทางหนูปราชญ์ที่มองผู้เป็นพ่ออยู่ก็เลยเงียบไว้

“ทีหลังปราชญ์ก็นวดให้พ่อมันหน่อย สงสัยทำงานหนักเกินไป” ไฟพูดขึ้น

“ไม่หรอกครับ คือ...” ปราชญ์ดูไม่มั่นใจ

“ถึงแล้ว” นนท์พูดขัดก่อนจะลงรถไปก่อน ปราชญ์เองก็เช่นกัน

“นนท์มันไม่สนใจลูกมันเลยรึไง” ไฟหัวเสีย

“คงมีปัญหาอะไรอยู่นั่นแหละ เราเองก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรต่อ”

“กับเมียใหม่ล่ะ แล้วไหนจะลูกอีกคน”

“เอาเถอะ ๆ ไว้ถ้านนท์อยากเล่าเดี๋ยวก็เล่าให้ฟังเองนั่นแหละ” สิงห์รีบปลอบคนรักแล้วลงรถไปอุ้มหลานแทน

“มาแล้วเหรอลูก อ่าวท่านชาย” พิมพ์อรตกใจ

“ทะ..ท่านชายนนท์” เฟื้องกุลีกุจอรีบลุกขึ้นก้มหัวเดินมาทางนี้ “เสด็จมาที่นี่มีประสงค์อันใดหรือขอรับ”

นนท์มองคนที่เปรียบเสมือนน้องชายที่ไม่ว่ากี่ปี ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม “อย่าเป็นทางการนักเลย ฉันแค่อยากมาเห็นหน้าหลานนายน่ะแล้วก็จะได้ถ่ายรูปกับเพื่อนด้วย”

“อะ ขอรับ เชิญเลยขอรับ”

นนท์ส่ายหัวยิ้ม ๆ แล้วไปนั่งโซฟาอีกตัวด้านในร้านพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน พูดคุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยก็ถึงเวลาถ่ายรูป เป็นการถ่ายรูปแค่สิงห์ พิมพ์อรและต้นอ้อรวมถึงหลานต้นสนก่อนแล้วค่อยรวมลุงสมานและเฟื้อง

“นนท์ ปราชญ์มาเร็ว” สิงห์กวักมือเรียกแล้วก็เป็นทั้งคู่ที่เดินเข้าไปถ่ายรูปด้วย “ต่อไปเอาสองคนนี้ครับ”

“หื้อ?” นนท์ถึงกับงุนงง

“เร็ว ๆ อุ้มหลานด้วย” สิงห์ให้เพื่อนอุ้มหลานแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งก่อนจะให้หนูปราชญ์ยืนข้าง ๆ

พอถ่ายเสร็จเรียบร้อยก็ถึงตาหนูปราชญ์ที่อุ้มน้องถ่ายเก็บเป็นที่ระลึกไว้

“ต้นสนมาหาลุงมา” สิงห์อุ้มหลานแล้วพยักหน้ากับไฟให้พานนท์มายืนเรียงกันสามคนเหมือนดั่งวันที่ถ่ายรูปสี่คน แม้จะขาดไปคนแต่ก็เพิ่มหลานเข้ามาด้วย ไฟกอดไหล่สิงห์เหมือนที่นนท์ทำก่อนจะทำเป็นโอบกอดอากาศข้างซ้ายมือตัวเองที่ไม่มีใครอยู่...

ทั้งสามคนยิ้มกว้างออกมาและได้เก็บรูปนั้นกันไว้อีกใบ

“ถ้าพี่ ๆ เขายังอยู่ด้วยกันคงจะดีเนาะ” ต้นอ้อพูดขึ้นเมื่อมองพวกพี่ชายกำลังวุ่นกับการถ่ายรูป

“ถึงจะไม่อยู่เป็นกายแต่ก็ยังคงอยู่ในนี้” พิมพ์อรชี้กลางอกพลางยิ้มบาง

“เขาคงมองเราและยิ้มอยู่บนฟ้านั่นแหละ คนเห่อหลานอีกคนคงจะเป็นคุณจันเขาล่ะ” เฟื้องยิ้มเมื่อนึกถึงพี่จัน เพราะตอนมาดูคุณชายปราชญ์พี่จันก็เห่อซะจนแทบไม่วางหลานเช่นกัน แย่งหลานกับพี่สิงห์ไปมาจนกลัวหลานจะเฉามือเสียก่อน

“เฮ้อ เนี่ยแหละหนาชีวิตคน” สมานนึกสะท้อนใจ

หลังจากเสร็จสิ้นเรียบร้อยหมดทุกอย่าง ก็พากันไปกินข้าวเที่ยง เฟื้องเหงื่อแตกพลั่ก ๆ เมื่อคิดว่าตัวเองจะได้กินข้าวกับท่านชายนนท์ ถึงจะเคยทำแบบนี้สมัยที่ดูแลคุณชายปราชญ์แต่ว่าตอนนี้มันก็ต่างกันมากโข เพราะท่านชายนนท์ก็กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวของวังแล้ว จะกดดันก็ไม่แปลก

“พี่เฟื้องก็” ต้นอ้อหัวเราะเมื่อเห็นสามีตนเองอยู่ไม่สุข

“พี่ตื่นเต้น” เฟื้องกระซิบบอกภรรยา

สิงห์มองแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “เฟื้อง ใจเย็นไว้”

“แม่ให้ผมอุ้มให้ไหมครับ แม่จะได้กินข้าว” ไฟรีบถามแม่พิมพ์อรเมื่อแกอุ้มหลานที่คงเหนื่อยจนหลับไปเสียแล้ว

“ไม่เป็นไรลูก”

“เอาเถอะแม่ ได้โอกาสเขาล่ะตอนหลานหลับเนี่ย อย่าให้ตื่นเลยไฟไม่ได้อุ้มหรอก” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมา พิมพ์อรเลยยื่นหลานให้ไฟอุ้มแทนที่ตอนนี้กำลังพัดลมเย็น ๆ ให้หลานไปด้วย ดูเป็นภาพที่เห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ สิงห์ลูบเหงื่อคนรักให้ก่อนจะตักข้าวรองมือป้อนอีกคนเพื่อไม่ให้ตกใส่หลาน

ปราชญ์หูแดงอีกแล้วเมื่อมองความใส่ใจเล็ก ๆ นั้นของทั้งคู่ เขาที่นั่งข้างพ่อได้แต่มองพ่อว่าเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไง แต่ก็พบกับรอยยิ้มที่ดูมีความสุขเป็นอย่างมากเวลามองเพื่อนของตน

นนท์เองรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาเลยหันมองข้างกาย “มีอะไรหรือ”

“เปล่าครับ ปราชญ์แค่สงสัยว่าทำไมเสด็จพ่อถึงยิ้มกว้างเพียงนี้”

“พ่อมีความสุขไง” นนท์ลูบผมลูกชายแล้วก้มกระซิบกันสองคน “ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าพวกเขาเจออะไรกันมา”

ปราชญ์พยักหน้าและเข้าใจอย่างดีแล้ว “เสด็จพ่อคงรักสหายมากเลยใช่ไหมครับ”

“อืม ใช่... เพราะพวกเขาอยู่ข้างพ่อไม่ไปไหนและเราก็ฝ่าฟันอะไรกันมาเยอะ”

“ดีจังเลยครับ ปราชญ์เองก็อยากมีสหายดี ๆ แต่ว่าเสด็จพ่อก็เคยป้อนข้าวลุงไฟกับลุงสิงห์ใช่ไหมครับ”

นนท์ถึงกับไอออกเสียงจนเฟื้องรีบประคองน้ำให้ ตกใจใหญ่คิดว่าอาหารไม่ถูกปากจนนนท์ต้องยกมือห้าม นนท์ยิ้มจนตาหยีและปราชญ์ก็งุนงงว่าทำไมเสด็จพ่อยิ้มแต่ลึก ๆ ก็ดีใจที่เสด็จพ่อยิ้มให้เขาหลังจากที่คุยกัน

“ไม่เคยหรอก แต่พวกเขาเป็นคนพิเศษต่อกันมากกว่านั้น” นนท์กระซิบและให้ลูกดูสิงห์ที่คอยป้อนข้าวคนรักที่อุ้มหลาน

“เหมือนคนรักกันเลย...” ปราชญ์พูดขึ้นเมื่อมองดู แต่ผู้ชายกับผู้ชายหรือ?

“ปราชญ์โตขึ้นอีกนิดก็คงรู้เองนั่นแหละ พ่อน่ะไม่อยากปิดกั้นเรื่องแบบนี้หรอกนะ”

ปราชญ์เงยหน้ามองพ่อ “ที่โรงเรียนเคยมีครูคนหนึ่งถูกต่อว่าเพราะเขามีคนรักเป็นผู้ชาย ผมถามคุณครูใหญ่ ท่านก็บอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควร”

“ฟังพ่อนะลูก” นนท์วางมือบนศีรษะลูกชาย “ชีวิตเราก็คือชีวิตของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น เราจะเลือกทางไหน รักใคร ตราบใดที่ไม่เดือดร้อนคนอื่นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ควร การไม่ควรจริง ๆ คือการที่ไปยุ่งและตราหน้าคู่ชีวิตคนอื่นเขาว่าไม่สมควรต่างหากล่ะ”

สิงห์มองสองพ่อลูกแล้วยิ้มบางสะกิดคนรักให้ดูตามแล้วก็ยิ้มกันสองคน

“ไม่ใช่รักต้องห้ามหรือครับ”

“ไม่เลย”

ปราชญ์หันมองลุงสิงห์และลุงไฟอีกครั้งรวมถึงมองคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่ไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลก แถมดูมีความสุขกันขนาดนี้ เพราะมีครอบครัวที่ดีที่พร้อมยอมรับและเห็นว่าเป็นแค่ความรักของคนคนหนึ่งสินะ

พอกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็ต้องรีบกลับไปส่งนนท์ที่กรมตำรวจ โดยให้ปราชญ์นั่งรถไปกับเฟื้องแทน

“ที่วังเป็นไงบ้าง” สิงห์ถามเพื่อน

“ฉันกำลังจะมีลูกอีกคน”

ไฟเกือบเหยียบเบรก “พลาดอีกหรือวะ!”

“ไฟใจเย็น”

นนท์หน้าเครียด “ไม่—ไม่ได้พลาด”

“แล้วทำไม...” สิงห์ฟังเรื่องนนท์มาบ้างจากไฟจึงไม่เข้าใจเพื่อนสักเท่าใด

“น้องแหวนเป็นผู้หญิงที่ดีมากจนฉันเผลอใจ... มันผิดต่อปิ่นหรือเปล่าที่ฉันรู้สึกดีที่มีน้องแหวนข้างกาย ฉันผิดใช่ไหม”

ทั้งคู่ที่ฟังต่างตกใจส่วนสิงห์ก็ยื่นแขนไปจับบ่าเพื่อน ที่ไม่ค่อยยิ้มและไม่คุยกับปราชญ์เพราะนนท์คงรู้สึกผิดต่อลูกชายอยู่แน่ ๆ

“นายควรจะเริ่มต้นใหม่ได้แล้วนนท์”

นนท์น้ำตาคลอ “ฉันยังคิดถึงปิ่นแต่ฉันก็เผลอรักน้องแหวน ฉันควรจะทำยังไงดี ไม่อยากให้ปราชญ์ต้องรับรู้ พ่อแบบฉันมันแย่”

ต่างคนต่างก็หนักใจเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก พวกเขาทั้งคู่ผ่านพนอุปสรรคมาได้แล้ว เหลือแต่เพื่อนที่ยังคงมีปัญหาอยู่ร่ำไป

“นายมีลูกอีกคนอย่างหนูกรณ์ไปแล้วและตอนนี้กำลังจะมีอีก มันไม่มีทางอื่นนอกจากยอมรับและลองเปิดใจดู ฉันว่าครูปิ่นคงอยากให้นายเดินหน้าต่อนะ ปราชญ์เองก็เริ่มโตขึ้น เป็นพี่ชายคนแล้ว ลองคุยกับลูกดู ปราชญ์ไม่ใช่เด็กที่ไม่รับฟังอะไร ยิ่งนายไม่พูดไม่จาเอาแต่เศร้าให้ลูกเห็นคิดหรือว่าลูกจะสบายใจ ดูอย่างวันนี้สิ ปราชญ์มีความสุขแค่ไหนที่เห็นพ่อตัวเองยิ้มน่ะ”

สิงห์เคยเจอลูกชายของหม่อมแหวนในวันงานแต่งงานของน้องสาวแล้วและหนูกรณ์ก็นิสัยดี พูดเพราะ แถมติดหนูปราชญ์แจ วันงานก็มีเด็กสองคนที่เดินด้วยกันตลอด ลูกของนนท์กับหม่อมแหวนชื่อ หม่อมราชวงศ์ อิตธิกรณ์ หรือคนชอบเรียกว่าชายกรณ์ และปราชญ์เองพอมีน้องก็ไม่เหงาอีก เวลาโบที่ปกเสื้อน้องชายยับก็เห็นปราชญ์คอยจัดและดูแลตลอด

หม่อมแหวนก็เป็นผู้หญิงเรียบร้อยที่คอยดูแลเด็กทั้งสองอีกที ตอนหนูปราชญ์ทำพลาดเธอก็ช่วยเหลือเปรียบเสมือนเป็นลูกของตนเอง คงเหลือแต่นนท์ล่ะนะที่ยังคงคิดมากและรู้สึกผิดต่อภรรยาเก่าและลูกชายคนแรกอยู่

“ฉัน...” นนท์กุมมือทั้งสองและบีบกันแน่น

“ลองเก็บไปคิดดู พร้อมแล้วค่อยคุยกับลูก”

นนท์พยักหน้า “ขอบคุณมากนะ ต้องให้พวกนายคอยบอกว่าต้องทำอะไรตลอด ฉันน่ะคิดอะไรเองไม่ได้เลย”

“ก็รู้ตัวนี่หว่า โอ๊ะ!” ไฟถึงกับกุมหัวไหล่เมื่อคนรักหยิกก่อนจะจอดรถที่หน้ากรม

“อย่าคิดมากนะ มีอะไรโทรศัพท์บอกได้เสมอ”

“ขอบคุณอีกครั้งนะ”

“เออ ๆ ไปได้แล้วท่านชาย เดี๋ยวสายหรอก” ไฟโบกไม้โบกมือ “ป่ะ กลับบ้านเรากัน”

“เดี๋ยวสิ ยังไม่หายคิดถึงหลานเลย”

ไฟถอนหายใจก่อนจะโยกหัวคนรัก “หมายถึงว่าบ้านแม่พิมพ์อรเนี่ยแหละ” เพราะที่บ้านนั้นเคยเป็นบ้านของพวกเขาตอนมาทำงานที่กรมนครบาลเลยอดลืมไม่ได้จนพูดอย่างนั้น

สิงห์ถึงกับอายที่อาการเห่อหลานกำเริบอีกรอบ


*มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๑ (๒/๒) {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 14-05-2020 00:03:01
*ต่อจากด้านบน


ทั้งครอบครัวนั่งกินข้าวรอบค่ำกัน โดยที่สิงห์เอาแต่หันมองทางห้องนอนน้องสาวเพราะอยากเจอหลาน

“คอจะหักแล้วนั่น” ไฟอดล้อไม่ได้

“หลานจะกินนมแม่นอนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นกับหลานก็ได้สิงห์” พิมพ์อรว่าแล้วก็หักผักรวมไว้กับข้าวแล้วใส่น้ำพริกกิน

“ก็พรุ่งนี้สิงห์จะต้องกลับแล้วไงแม่”

“กลับเร็วจังล่ะ มายังไม่ทันผายลมเลย” สมานขมวดคิ้ว

“ติดงานน่ะสิพ่อ ยังมีคดีที่ยังสืบไม่เสร็จด้วยไม่อยากค้างคา”

“พักบ้างนะสิงห์”

“เดี๋ยวผมว่าจะพักเหมือนกัน น่าจะเกษียณตัวเองแล้วหันมาดูไร่เต็มตัว”

“ดีแล้ว อยู่กับธรรมชาติซะบ้าง” แม่พูดพร้อมแกะปลาให้สิงห์อย่างเคยชิน

“พี่สิงห์ พี่นอนห้องเดิมได้เลยนะพี่ ผมทำความสะอาดให้แล้ว”

สิงห์ถึงกับตาโต “โธ่เฟื้อง พี่ทำเองก็ได้”

เฟื้องเดินมาร่วมวงหลังจากเก็บของและอาบน้ำแล้ว “ได้ไงล่ะพี่ เดินทางมาเหนื่อย ๆ”

สิงห์ถอนหายใจ “เอาเถอะ ๆ ขอบใจนะ”

“ยินดีครับ”

“แล้วไม่มีใครใช้เลยหรือห้องนั้น” ไฟถามเพราะเป็นห้องเก่าของเขาและสิงห์

“เก็บไว้เวลาไฟกับสิงห์มากันไงลูก” พิมพ์อรตอบให้

“แต่มีต้นสนแล้วก็ยกให้หลานไปเลยก็ได้นะแม่ ถ้าโตเป็นหนุ่มอีกนิดก็ฝึกให้นอนคนเดียวได้แล้ว”

“ยังคงวนมาเรื่องหลาน” ไฟหัวเราะ

“บ้านเรามีตั้งสี่ห้อง ให้อีกห้องหนึ่งก็ได้”

“เอ้า ก็เผื่อมีหลานอีกคนไงแม่” พอสิงห์พูดอย่างนั้นเฟื้องถึงกับสำลัก

“พี่ก็พูดไป”

“หรือเอ็งไม่อยากมี” ไฟเท้าขา

“ก็อยาก...” เฟื้องตอบเขิน ๆ

“ถ้าเป็นแบบนี้ก็ส่งไปเรียนที่นู่นคนนึงเป็นไง” สมานเสนอ

“ไม่ดีหรอกพ่อ เผื่อหลานอยากอยู่กับพ่อแม่” สิงห์เอ่ยแต่ใบหน้ากลับเหงาหงอย

“ก็ดีนะพ่อ แต่ต้องดูก่อนเหมือนกันว่าถ้าต้นสนโตขึ้นจะอยากไปไหม ไม่อยากบังคับลูก ส่วนอีกคนนี่ก็ไม่รู้จะมีตอนไหนเหมือนกัน อยากให้ต้นอ้อพักก่อน”

พอพ่อเขาอนุญาตสิงห์ก็ตาเป็นประกายจนมองได้ชัด “อือ เอาแบบนั้นก็ได้”

ทุกคนต่างส่ายหัวแล้วก็หัวเราะให้ลุงที่เห่อหลานผู้นี้ จวบจนกินข้าวกันเสร็จสิงห์ก็อาสาล้างจานกับไฟข้างล่าง

“ดาวสวยเสียจริงวันนี้” ไฟที่ก้มล้างจานจากน้ำสะอาดพูดขึ้นเมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า

สิงห์พยักหน้าแล้วคลี่ยิ้ม “วันนี้มีแต่เรื่องดี ๆ ได้เจอครอบครัวแล้วก็ได้เจอเพื่อน ได้ถ่ายรูปด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ได้ปรึกษากันหลังจากไม่ได้ติดต่อกันนาน มันทำให้หวนนึกถึงวันเก่า ๆ”

“ว่าแล้วก็คิดถึงจริง ๆ นั่นแหละ” ไฟยิ้มแล้วเขยิบไปนั่งใกล้ ๆ คนรัก อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มไปที

“อะไรเนี่ย เดี๋ยวคนเห็น”

“มืดขนาดนี้จะมีใครล่ะ”

“ทางวังนู่นไง”

“ก็ปล่อยไปสิ เขาจะข้ามสะพานมาที่นี่ทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ” ไม่ว่าเปล่ายังกอดเอวแล้วคลอเคลียคอขาว

“อื้อไฟ เข้าห้องก่อนสิ” สิงห์เอียงหลบให้วุ่น

“ตรงนี้ก็ได้บรรยากาศดีนะหรือไปตรงศาลาริมแม่น้ำดีล่ะ— โอ๊ย ๆ” ไฟถึงกับก้มตามมือเรียวที่ดึงหูตัวเอง

“ทะลึ่ง” สิงห์ว่าไปที “เดี๋ยวก็หนีไปนอนอีกห้องซะหรอก ถ้าไม่ฟัง”

ไฟถึงกับรีบถอยห่างทันที เอาแต่ขมักเขม่นนั่งล้างจานอย่างเดียวจนสิงห์อดยิ้มไม่ได้

ทั้งคู่ขึ้นห้องทันทีเมื่อเสร็จหมดแล้ว สิงห์ก็ยังอดไม่ได้จะไปห้องน้องสาวก่อนแล้วหอมหัวหลานชาย บอกฝันดีสามพ่อแม่ลูกเสร็จถึงจะเข้าห้องตัวเอง

พอเห็นคนรักที่นั่งพิงหัวเตียงรอพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย สิงห์มองแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หาวแล้วบิดขี้เกียจคลานขึ้นไปนอนพร้อมหันหลังใส่

“อ่าว” ไฟรอเก้อ “สิงห์”

“นอนกันเถอะ ไฟขับรถมาไกลก็พักซะนะ”

“สิงห์” ไฟเรียกเสียงอ่อนพร้อมกับกอดจากด้านหลัง “วันนี้สิงห์ติดหลานทั้งวันเลย ลืมไฟแล้วหรือไง”

คนฟังได้แต่หัวเราะในใจ “ค่อยกลับสิงห์บุรีแล้วจะให้ เดี๋ยวจะไปรบกวนพ่อกับแม่แล้วก็หลานด้วย” ไฟยังไม่ละเลิกความพยายามสอดมือเข้าไปในเสื้อขาวจนสิงห์ถึงกับสะดุ้ง “เดี๋ยวเถอะไฟ”

“นะสิงห์ ที่รักของไฟ”

สิงห์ไม่รู้จะเขินหรือหัวเราะดี อยู่กันมานานก็อดจะขำไม่ได้กับคำเรียกของคนรัก “ที่รงที่รักอะไร นอนไปเลย”

“นะ ๆ ๆ” ว่าแล้วก็จุ๊บคอหลายทีในตอนที่พูดไปด้วย

“อืม นอนได้แล้วไฟ อื้อ! อย่าดูดสิ เดี๋ยวคนที่กรมก็สงสัยอีกเหมือนวันนั้นหรอก” สิงห์รีบปิดคอตัวเองเพราะวันนั้นไฟก็ทำแบบนี้จนเกิดรอยแดงพอไปทำงานลูกน้องก็ตกใจกันใหญ่นึกว่าหัวหน้าตัวเองโดนอะไรกัด ถึงมันจะมีแค่สองสามรอยแต่ก็เห็นชัดอยู่

“คนใจร้าย” ถ้ามีคนมาเห็นว่าอธิบดีไฟที่โหดจนขึ้นชื่อมาทำหน้างอใส่คนรักแบบนี้ พูดกับใคร ใครเขาก็ไม่เชื่อ

สิงห์ถอนหายใจ ตบหลังมือคนรักเบา ๆ ก่อนจะเอียงคอไปมองหน้าคนด้านหลัง ไฟยอมหลับตาลงแล้วแต่คิ้วนี่สิขมวดอยู่นั่นจนจะเป็นปมอยู่แล้ว “ดูทำตัวเข้า อายุก็ขนาดนี้แล้ว” ถึงจะบ่นแต่ก็หันหน้าเข้าหาแล้วนวดคิ้วให้คลายลง

ดวงตาเรียวคมมองใบหน้าคนรัก สำรวจผิวกร้านแดด หน้าผากกว้าง ขนตายาวที่แผ่ออกมาเวลาหลับ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากอิ่ม หากไฟลืมตาตื่นขึ้นมาสักนิดจะเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่สะท้อนใบหน้าตนเองและมีความลึกซึ้งซ่อนอยู่

มือที่นวดคิ้วให้เริ่มเกลี่ยที่แก้มสาก ก่อนที่ปากบางจะขยับไปจูบที่ริมฝีปาก จูบย้ำ ๆ คล้ายต้องมนตร์ จนไฟได้แต่ขบกรามแน่น

“ไหนบอกให้นอนไง—” พอลืมตาตื่นใจชายหนุ่มก็เต้นแรง ยามที่ดวงตาของสิงห์หวานเยิ้มในเวลาที่มองตน “สิงห์...”

“ไม่นอนแล้ว” เสียงพร่าเอ่ยพูดเพียงเท่านั้นก็โอบรอบคออีกฝ่ายพร้อมกับพรหมจูบด้วยแรงอารมณ์

ไฟที่แทบตั้งตัวไม่ทันนิ่งชะงักไปเพียงครู่ถึงจะตอบรับจูบนั้นและอุ้มอีกฝ่ายให้คร่อมบนตัว

เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันพร้อมกับเสียงจูบที่ดังทั่วห้อง สิงห์ดูดดึงปากคนใต้ล่างบั้นท้ายก็ขยับเขยื้อนไปโดนกับสิ่งอยู่ภายใต้กางเกงของคนรัก มือก็จัดการปลดกระดุมเสื้อ จนไฟได้แต่หัวเราะในลำคอ

“คนบอกให้นอนดันมีอารมณ์ซะเอง” ไฟพูดขึ้นเมื่อสิงห์ลุกขึ้นนั่งเพื่อถอดเสื้อตัวเอง

“เพราะไฟนั่นแหละ”

“ไม่เกี่ยวเลย” ไฟส่ายหัวก่อนจะเป็นคนขึ้นคร่อมเองซุกไซร้ตามลำคอหยอกล้อและต่างคนต่างหัวเราะออกมาก่อนที่สิงห์จะรีบปิดปากตัวเอง “จุ๊ ๆ เบา ๆ เดี๋ยวหลานตื่น”

สิงห์หน้าแดงใช้แขนอีกข้างตีคนรัก “รีบทำ”

“ใจร้อนจังเลย” ไฟยิ้มและถอดเสื้อตัวเองบ้างเผยกล้ามเนื้อที่ผ่านอะไรมามากมาย เมื่อสิงห์เห็นแผลที่ตนเคยยิงไหล่อีกฝ่ายเมื่อวันที่ไฟบุกไปที่บ้านก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอดไม่ได้จะยกมือขึ้นไปลูบแผลเป็นนั้น

เห็นกี่ทีก็อดถามไม่ได้ว่าเจ็บอยู่ไหม แต่ไฟก็ตอบว่าไม่เจ็บ พอขอโทษก็บอกว่าไม่เป็นไรเสมอ แต่นั่นก็เป็นตราบาปสำหรับสิงห์ไปแล้ว

เสื้อผ้าของทั้งคู่ปลดเปลื้องจนหมด สิงห์ต้องกลั้นเสียงไว้ในยามที่นิ้วของคนรักสอดเข้ามา มือขาวปิดปากแน่นในยามที่นิ้วอีกคนขยับ

“เจ็บไหม”

สิงห์ส่ายหน้า มันต้องการมากกว่านั้น “อยากได้ของไฟ”

ไม่ว่าจะกี่ปี ๆ ไฟบอกได้เลยว่าสิงห์น่ะทะลึ่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก ไฟตามใจอีกฝ่ายจับแก่นกายรูดรั้งอยู่สองสามครั้งแล้วค่อย ๆ สอดเข้าไป

“อื้ออ” สิงห์ปิดปากตัวเองแน่นกว่าเดิมแล้วใช้มืออีกข้างจิกไหล่คนด้านบน

“ถ้าเจ็บบอกเลยนะ จะได้หยุด” ไฟยังคงห่วงเรื่องนี้พอใส่จนสุดก็ดึงมือคนรักออกจากปากเพื่อป้อนจูบ

ไฟดูดดึงริมฝีปากพร้อมกับขยับกระแทกอย่างช้า ๆ และเพิ่มความเร็วขึ้นจนเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นเสียยิ่งกว่าเสียงครางของคนสองคน เพราะต่างก็เก็บเสียงตัวเองไม่ให้คนอื่นได้ยิน

สิงห์เอียงหน้าซุกกับหมอนปล่อยเสียงออกมาดังอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ ไฟก้มลงหอมแก้มคนรักก่อนจะก้มตัวอีกจนปากชิดกับหู สิงห์ขนลุกซู่ยามที่ได้ยินเสียงหอบหายใจอีกฝ่ายระยะใกล้ ยิ่งโดนกระแทกจุดสำคัญสิงห์ก็ผละออกจากหมอนแล้วกอดลำคอคนด้านบนไว้แน่น

“อะ อื้อ” สิงห์อดจะปลดปล่อยเสียงไม่ได้ ปากก็ขยับงับหูคนด้านบน ต่างก็แลกเปลี่ยนเสียงหอบด้วยความอดกลั้น

ไฟคำรามในลำคอผละลุกขึ้นยืดตัวตรงพร้อมกับจับขาอีกฝ่ายให้แยกออกยิ่งกว่าเดิม กระแทกกระทั้นจนเตียงเขยื้อนหนัก

สิงห์ได้แต่อดกลั้นเสียงและตอดรัดเท่านั้น อีกนิดก็จะถึงฝั่งฝันและไฟเองก็รู้ดีจึงก้มลงจูบปิดปากเพื่อไม่ให้มีเสียง

“อืม” ไฟคำรามต่ำในขณะที่ปากยังคงพัวพันกับคนใต้ล่างและเอวที่ยังคงขยับโหมรุนแรง

สิงห์ขยุ้มผมอีกฝ่ายแน่นแรงอารมณ์เกือบจะถึงสุดขีด “อื้อ!!” น้ำสีขาวขุ่นพ่นออกมาในที่สุดจนเปื้อนหน้าท้องตัวเองและเพียงไม่นานนักก็ได้รับความอุ่นจากในช่องทางที่ตามมาติด ๆ

ทั้งคู่หอบหายใจแรงถึงจะไม่ได้ร้องเสียงดังแต่ช่วงจังหวะก็มีเสียงเล็ดลอดบ้าง ไหนจะเตียงที่ขยับตามจนกระแทกผนังห้อง บ้านนี้เป็นไม้ยังไงก็ได้ยิน

พอนึกได้อย่างนั้นสิงห์ถึงกับเอามือปิดหน้า หูก็แดงจนไฟที่มองอยู่หัวเราะออกมา

“หัวเราะอะไรเล่า เขาได้ยินกันหมดบ้านแล้วมั้ง” สิงห์ขมวดคิ้วมุ่น

“ไม่ได้ยินหรอก” ไฟว่าพร้อมกับก้มจูบตามลำคอ

“อือ พอแล้วไฟ”

“อีกรอบนะ”

“ไม่ได้ อื้อ! ไฟ! อย่าขยับ อ๊ะ”

สิงห์ลืมนึกไปว่ารอบเดียวสำหรับไฟคงไม่มีวันนั้น


ช่วงเช้านี้ทำให้สิงห์รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริง เพราะต้นอ้อน่ะยิ้มแปลก ๆ ให้เขาตั้งแต่เข้าตรู่เลย ไหนจะมากระซิบพูดจนเขาต้องเขกหัวน้องสาวที่เป็นผู้หญิงพูดจาอะไรอย่างนี้ ไอที่พูดว่า ‘ถ้าพี่สิงห์ท้องได้ ป่านนี้มีลูกมีหลานเต็มบ้านแล้ว’ ใครได้ยินจะไม่เขินอายบ้างล่ะ

ให้ตายสิยัยน้องคนนี้




------------------------------------------------------------------------------------

เอาตอนพิเศษมาเสิร์ฟคับผม แล้วก็มีข่าวมาแจ้งว่ามีภาคต่อ ๆ ๆ(แอคโค่)

จะว่าภาคต่อก็ไม่เชิงหรือเปล่า เป็นคู่ที่สองแล้วกัน คิดว่าฟิลกู๊ดนะเรื่องที่สอง(หรือเปล่า) เพราะคู่ไฟสิงห์นี่ปวดตับตั้งแต่ตอนแรกยันเกือบตอนท้าย เลยอยากให้เรื่องนี้หวาน ๆ ไม่อมทุกข์
คิดว่ามีบางคนน่าจะรู้แล้วว่าคู่ไหน เพราะเราเองก็เปรย ๆ มาตั้งแต่ย้อนอดีตของเรื่องนี้ว่าคนไหนจะได้มีแววต่อ
มันจะมีตอนหนึ่งที่สิงห์เพ้อฝันและอยากมีหลานชาย (น่ะ ๆ คนนี้หรือเปล่า) และใครกันที่มีบทเยอะเหมือนกันในภาคย้อนอดีต ทุกคนก็จะได้รู้แล้ว หากเข้าลิงค์นี้ (จิ้มเลย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4037732;topicseen#msg4037732))
ตอนพิเศษยังมีอีกแน่นอนค่ะ รอติดตามได้เลย ยังไงก็ฝากเรื่องที่สองด้วยนะคะ ชื่อเรื่อง 'เฝ้าคำนึง' ตามลิงค์ที่ให้เลยค่ะ

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๑ {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 14-05-2020 15:33:15
รอภาคต่อค่ะ เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ เต็มอิ่มกัับตอนพิเศษ เสียดายจันไม่นาตายเลยย รอนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๒ (๑/๒) {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 28-05-2020 02:45:51
 
(https://www.img.in.th/images/89d8aba02fa39730cf8caba96bd2b7fb.jpg)

บทพิเศษ ๑.๒

เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : จัน จันธิพัฒน์





ปี ๒๔๖๖

-          ร้อยตำรวจตรี จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์ (จัน)

ภายในกระท่อมเล็ก ๆ สามแม่ลูกกำลังช่วยกันทำกับข้าวของวันนี้ เด็กหนุ่มในวัยสิบเอ็ดปีกำลังใช้พัดเพื่อก่อไฟต้มข้าว ส่วนทางคนเป็นแม่ก็กำลังหั่นผัก เด็กสาวอีกคนคอยเด็ดใบโหระพา

“จัน ไปตักน้ำให้แม่หน่อยลูก” ดวงหรือเริงรันย์ บอกลูกชายคนโตที่หน้าดำจากการถูกเถ้าถ่าน

“จ้ะแม่” จันตอบรับเสียงใสออกไปหยิบติหมา ตรงไปยังแม่น้ำไกลจากกระท่อมเล็กน้อย ก่อนจะก้มตักน้ำขึ้นมา

“จัน ไอจันโว้ย” เสียงเรียกฝั่งตรงข้ามทำให้เด็กหนุ่มต้องเงยหน้ามอง

“อ่าวลุง มีไรรึ”

“พ่อมึงอยู่ไหมวะ”

“พ่อษาอยู่จ้ะ แต่คุยกับคนอื่นอยู่ยังเข้าไปพบไม่ได้ ลุงมีอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวจันบอกพ่อให้ก็ได้”

ลุงคนนั้นดูคิดหนักก่อนจะรีบวิ่งอ้อมมาทางฝั่งนี้ ใบหน้าตื่นตระหนก มือเหี่ยวย่นจับไหล่ทั้งสองข้างของจันไว้

“ฟังลุงนะไอจัน รีบพาแม่กับน้องออกไปซะ”

จันไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะลุง”

“ตำรวจจะมาจับพ่อมึงไง นี่กูเห็นว่าพ่อมึงคอยช่วยชาวบ้านนะ ถึงมาบอก”

เด็กน้อยเบิกตามือที่ถือติหมาหล่นลง “ตำรวจมาหรือ”

“ใช่สิวะ เร็วรีบพาแม่กับน้องออกไป”

“เดี๋ยวสิลุง ตำรวจจะจับแค่พ่อไม่ใช่หรือ”

“กูไม่รู้เว้ย กูไปแล้ว เดี๋ยวซวยไปด้วย”

“ลุง! ลุงเดี๋ยวก่อน!” จันเริ่มกลัว ใจดวงน้อยเต้นระงมก่อนที่เท้าเล็กจะรีบวิ่งกลับไปทางบ้าน

ปัง!

เท้าทั้งสองหยุดชะงัก เหงื่อกาฬไหลเต็มขมับ เห็นคนในเครื่องแบบอยู่ไกล ๆ กำลังสู้อยู่กับลูกน้องของพ่อ

“แม่! เดือน!” จันนึกถึงแม่กับน้องสาวก็รีบรุดไปที่กระท่อม เห็นทั้งสองกำลังกอดกัน “หนีกันเถอะแม่”

ดวงที่ร้องไห้ส่ายหน้า “จะหนีไปล่ะลูก ถ้าออกไปก็โดนลูกหลงพอดี” จันเม้มปาก เสียงปืนดังอยู่ตลอดจนเด็กน้อยต้องลงไปกอดกับแม่ “ไม่ต้องห่วงนะ พ่อมีพี่ชายเป็นตำรวจ เขาช่วยเราได้”

พอได้ยินอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ผ่านไปสักพักเสียงปืนก็สงบลงแล้ว จันลุกไปดูทางหน้าต่างเห็นพ่ออยู่ไกล ๆ โดยมีตำรวจล้อมรอบอยู่

“มอบตัวซะนะ ษา” ผู้กองอนงค์บอกน้องชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ทั้ง ๆ ที่โดนยิงท้องและแขนไป

“ฆ่าคนอื่นทำไม” จิตษาพูดเสียงเบา ยิ่งมองเห็นลูกน้องล้มตายเกลื่อนก็ได้แต่เจ็บแค้นในใจ

“กูบอกไว้แล้วว่าถ้าไม่ขัดขืนกูจะไม่ทำอะไร และมึงก็คุยกับกูแล้ว!” ผู้กองอนงค์ตะคอกอย่างอดกลั้น น้ำสีใสคลอเพียงเล็กน้อย “กูบอกแล้วว่าจะไม่ฆ่า มึงจะสู้กลับทำไม!”

“ใจเย็นก่อน” ธงจับบ่าคนข้างกาย

“ไม่ใช่พวกมึงเหรอที่มายิงพวกกูก่อน” จิตษาเงยหน้ามองพี่ชายตัวเอง แววตามีทั้งผิดหวัง เสียใจ และแค้นเคืองที่เสียลูกน้องไป

อนงค์ตัวสั่นเทิ้ม หายใจแรงด้วยความคุกรุ่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะมีลูกน้องตนอย่างหมวดทัพ ยิงใส่คนที่นี่ก่อน ทั้ง ๆ ที่สั่งไว้แล้วว่าอย่าเพิ่งทำอะไร มาที่นี่เพื่อมาจับเป็นเท่านั้นและคุยกับจิตษาไว้แล้ว

“กู...” คล้ายน้ำท่วมปาก

“เหอะ” จิตษาเค้นเสียง “มึงสั่งลูกน้องมึงยังไงวะ ถึงฆ่าคนอื่น ฆ่าแม้กระทั่งคนในครอบครัวมัน”

อนงค์กัดฟันกรอด เงยหน้ามองหมวดทัพที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อน มันมองหัวหน้าตนก่อนจะกางมือ “ผมผิดหรือผู้กอง ที่ทำก็แค่ป้องกันตัว พวกมันถือปืนกันให้ว่อนแล้วแบบนี้จะไว้ใจได้ยังไง”

“คนชั่วอย่างมึงไม่มีวันตายดีหรอก” จิตษาหันมองคนด้านหลังอย่างหมวดทัพ

“มึงทำเกินหน้าที่ที่กูสั่ง!” ผู้กองอนงค์จ้องเขม็ง

“เกินหน้าที่? อย่างไรเล่า พวกมันก็โจรทั้งนั้นแถมจับตายได้ ตายไปสักคนสองคนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”

“ไอทัพ!” อนงค์โกรธจัด

“ทัพมึงออกไปก่อน” จ่าธงรีบดับไฟ

ทัพเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มมองจ่าธงอย่างหาเรื่อง “เป็นแค่จ่าริอาจมาสั่งกู”

“ออกไป” อนงค์สั่งแทน มันถึงจะเดินออกไป

“พาลูกกับเมียกูหนีไปด้วย ถ้ามึงยังเห็นใจสักนิด”

“กูพยายามแล้วษา กูอุตส่าห์มากับพี่ธงแค่สองคน แต่ไอทัพ...”

“ช่างมันเถอะ กูไม่โกรธมึงหรอก แต่ช่วยดูแลเมียกับลูกกูด้วย” คำขอร้องครั้งสุดท้ายของจิตษาทำให้คนเป็นพี่ได้แต่กล้ำกลืน

ส่วนทางด้านจันที่ตอนนี้กำลังตกใจกับศพของคนหลายคนที่มักคุ้นดี เด็กน้อยใจสั่นรีบจับแขนแม่ “แม่ พวกน้าถูกฆ่าหมดเลย”

ดวงตกใจ “จริงหรือ! ไหนพี่อนงค์บอกว่าจะไม่ฆ่าไง”

อนงค์... ชื่อนี้จันจำขึ้นใจ คนนี้หรือที่เป็นพี่ชายของพ่อแล้วยังเป็นตำรวจที่ใคร ๆ ก็รู้จัก จันเองครั้งหนึ่งเคยชื่นชมและอยากเป็นตำรวจเหมือนดั่งผู้กองอนงค์ แต่ว่าตอนนี้... เด็กน้อยกลับค่อย ๆ หมดศรัทธาลง

“หนีกันเถอะแม่”

ดวงที่กลัวเช่นกันแต่ก็ห่วงลูกทั้งสองจึงตัดสินใจด้วยตัวเอง เธอกอดลูกสาวพร้อมกับหอม “ไปกับพี่จันนะเดือน”

เดือนในวัยเก้าขวบได้แต่กลั้นเสียงร้องมาตลอด เด็กน้อยส่ายหน้า “แม่ไปด้วย”

“ไม่ได้ลูก แม่จะรออยู่ที่นี่ก่อน” ดวงลูบหัวลูกพร้อมน้ำตาก่อนจะหันทางลูกชายที่เริ่มร้องไก้ออกมา “มานี่มาลูก”

“แม่” จันร้องไห้หนักเข้าไปกอดผู้เป็นแม่

“แม่รักลูกทั้งสองคนมากนะ”

ทั้งสามต่างสะอึกสะอื้นร่ำไห้กันอยู่ภายในกระท่อม ก่อนที่จันจะพาน้องออกไป

“ต้องรอดนะลูก” เธอบอกลูก ๆ ของเธอ “จันดูแลน้องด้วย”

จันพยักหน้าก่อนจะให้น้องขี่หลังและพาออกไป วิ่งมาไกลจนข้ามไปอีกฝั่งก็หันกลับไปมอง เห็นแม่ที่กำลังวิ่งมาทางนี้ จันยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกก็ต้องนิ่งงันเมื่อได้ยินเสียงปืน ใจเด็กน้อยก็คล้ายถูกบีบรัด มองจากตรงนี้จันเห็นร่างแม่กำลังล้มจนตกแม่น้ำไป ต้นไม้บดบังใบหน้าของคนที่ยิง จันมองเห็นเพียงแต่ชุดตำรวจ และคนคนนั้นก็กำลังตรงมาทางนี้

“เดือนกอดพี่แน่น ๆ นะ”

“ฮือออ แม่ จะไปหาแม่ พี่จันช่วยแม่ด้วย” เดือนเบะปากร้องเสียงดัง

“ไม่ได้ เราต้องหนี” จันบอกน้องแล้วจะวิ่งออก

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน เสียงปังดังก้องอยู่ในหู ภาพเบื้องหน้าคล้ายช้าลง เพียงอีกนิดเดียวก็จะพ้นพวกนั้นแล้วแท้ ๆ

“เดือน อย่าหลับนะเดือน” จันบอกน้องเสียงสั่น ไม่มีแม้เสียงตอบรับ ลมหายใจที่โรยรินก็หายไปแล้ว “เดือน..”

จันปากสั่นแขนที่อุ้มน้องเริ่มอ่อนล้าเมื่อร่างไร้วิญญาณเริ่มทิ้งตัว ก่อนที่จะตกใจเมื่อปืนนัดที่สองยิงอีกระลอกเฉียดขาไปเล็กน้อยแต่ก็พอให้เป็นแผล เด็กน้อยร้องลั่นก่อนจะหงายหลังล่วงลงน้ำไปพร้อมกับศพน้อง

ก่อนที่ดวงตาจะจมลง ภาพพร่ามัวก็เหม่อมองไปทางคนยิงสองสามคน ที่ถูกตำรวจคนอื่นจับคว่ำหน้ากับพื้นจนไม่รู้หน้าคาตาว่าเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเห็นหน้าใครบางคนที่จันเคยเห็นมาคุยกับพ่อช่วงหัวค่ำจนจดจำได้ดี โดยที่ไม่รู้เรื่องเด็กน้อยก็คิดไปเสียแล้วว่า ผู้กองอนงค์

เป็นคนที่สั่งฆ่าแม่กับน้อง

“ไอทัพ มึงทำอะไรลงไป! พวกมึงด้วย!” จ่าธงตะคอกเสียงดังกดหัวพวกมันจมดิน ไอทัพคิดอะไรถึงฆ่าเมียจิตษาแล้วยังสั่งตำรวจอีกสองนายยิงเด็กสองคนนั้นอีก

“ผู้กอง!” ลูกน้องคนอื่นเรียกเสียงดังเมื่อผู้กองกระโดดลงน้ำเพื่องมหาร่างเด็กกับน้องสะใภ้ แต่จนแล้วจนเล่า ก็ไม่พบ เพราะน้ำไหลเชี่ยวกรากคงพัดศพไปไหนต่อไหน

“โธ่เว้ย!!!” อนงค์ที่เพิ่งขึ้นบกต่อยพื้นดินด้วยความเจ็บใจ “ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” ได้แต่กล่าวขอโทษซ้ำ ๆ แม้ตำรวจนายอื่นจะกลับแทบหมดแล้ว แต่อนงค์ก็ยังดำน้ำหาลูกและเมียของน้องชาย จนป่านนี้แล้วอนงค์ก็ยังไม่รู้ชื่อของเด็กสองคนนี้ด้วยซ้ำ...

ความผิดนี้ อนงค์จำไม่ลืม

ส่วนจันที่ถูกน้ำพัดไปก็ติดกับผักบุ้งจนคนมาเห็นและส่งโรงพยาบาล เด็กน้อยที่หลับไปนานค่อย ๆ ลืมตาตื่น หันมองรอบกายก็พบกับใครบางคนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ

“อ่า...” เสียงแหบแห้งขานเรียกก่อนที่บุคคลนั้นจะเงยหน้ามองและรีบลุกไปหยิบแก้วน้ำมาให้

“ดื่นน้ำเสียหน่อยนะ” รอยยิ้มอบอุ่นส่งมาให้ พร้อมกับมือที่คอยประคองหัวเด็กน้อย “เอาอีกไหม”

จันส่ายหน้าก่อนจะถูกดึงตัวอย่างเบา ๆ ให้นั่งพิงเตียง ความเจ็บแปลบที่ขากลายเป็นเครื่องช่วยเตือน ความทรงจำอันโหดร้ายก่อนหน้านี้ย้ำเตือนขึ้น ก่อนที่จันจะมือสั่น ดวงตาเบิกโพลง น้ำสีใสไหลออกมา

“แม่ เดือน!” จันร้องเสียงหลงจะลุกออกก็ถูกกดตัวไว้ “ปล่อย! ปล่อยกู!”

จากเด็กที่พูดจาไพเราะ ใจดีกับผู้อื่น เปลี่ยนไปจนน่าใจหาย แขนเล็กปัดป่ายไปมาและใช้กำปั้นน้อย ๆ ทุบตีคนที่กดตัวเองไว้

“ใจเย็น ๆ ก่อนสิ” คนเฝ้ารีบเตือนสติ

“ไม่! ปล่อย!” จันตะคอกเสียงดังจนคนด้านนอกเข้ามาดู

“ท่านรอง มีอะไรครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นและวิ่งเข้ามา ก่อนที่จะช่วยกดเด็กคนนี้

ใช้เวลานานพอควรกว่าเด็กคนนี้จะสงบและเผลอหลับไปด้วยความเพลีย

เพียงไม่นานก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็สงบลงและเงียบนิ่ง แม้ดวงตายังมีน้ำสีใสไหลตลอดเวลา แต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงร้อง

“คนที่เสียไปแล้ว เราคงไปช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มพูดและเช็ดตัวให้ “ฉันน่ะสงสารเธอมากเลยนะ ที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

แม้หูจะฟังแต่กลับไม่ได้หันมอง คนพูดก็ไม่ได้คิดมากอะไร จึงพูดต่อไปอย่างนั้น

“จริง ๆ แล้วฉันเป็นตำรวจนะ”

เพียงเท่านั้นจันก็สนใจทันที ดวงตาฉายแววโกรธแค้นจนคนถูกมองสัมผัสได้และชื่นชอบเสียด้วย

“แต่ฉันมาแค่คุยธุระ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดเมื่อสองวันก่อนหรอก” ใช่แล้ว เด็กคนนี้หลับไปเกือบสองวัน “ได้ข่าวว่าเธอเป็นลูกชายของนายจิตษาใช่ไหม”

จันไม่ตอบและมือเล็กกำกันแน่น คนถามจึงลูบมือนั้นให้คลายลง

“ผู้กองอนงค์... สั่งฆ่าทุกคนที่นั่น และฉันก็ไม่เห็นด้วยเลยสักนิด” ใบหน้าชายหนุ่มเศร้าหมอง “ฉันอยากชดใช้ให้เธอแทนเขานะ เพราะสิ่งที่ผู้กองอนงค์ทำ มันแย่จริง ๆ ทำให้เด็กอย่างเธอต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายขนาดนี้”

จันเริ่มกำมืออีกรอบแต่กำมือของชายตรงหน้าที่สอดเข้ามาจับไว้

“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้มาช่วยเธอ ทั้ง ๆ ที่เป็นตำรวจแท้ ๆ” ชายหนุ่มส่ายหน้า ถอนหายใจ “เธออยากให้ชดใช้อย่างไร บอกฉันได้เลยนะ”

“ฆ่ามัน”

“หื้อ?”

“ฆ่าไออนงค์” จันพูดเสียงแข็งแววตาไม่มีความล้อเล่น

“ฆ่าหรือ...” คนฟังได้แต่ยิ้มในใจแม้ใบหน้านั้นจะทำเป็นคิดหนัก “ฉันทำไม่ได้หรอก ผู้กองอนงค์มีลูกมีเมีย และฉันเองก็เป็นถึงตำรวจตำแหน่งสูง คงทำให้ไม่ได้”

จันได้ยินคำว่าลูกเมียก็พุ่งความสนใจ “มันมีลูกมีเมียด้วยหรือ”

“ใช่ ลูกของผู้กองอายุเท่ากับจันเลยนะ เห็นว่าจะไปเรียนนายร้อยด้วยหากโตอีกนิด”

“เรียนนายร้อย?”

“มันคือโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จันสนใจหรือ”

เด็กน้อยขมวดคิ้ว ถึงแม้จะหมดความศรัทธาแต่ก็อยากไปหาประสบการณ์ตามความอยากรู้อยากเห็น

“ลูกไออนงค์ก็จะไปเรียนใช่ไหม” จันถามย้ำ

“ใช่สิ”

“ถ้าฆ่าลูกกับเมียมัน มันคงรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม”

มุมปากของผู้ใหญ่ยกยิ้มเล็กน้อย “ใช่ รู้สึกเจ็บปวดที่สูญเสีย เหมือนตายทั้งเป็น”

ดวงตาของจันแข็งกร้าว ภายในมีแต่ความกรุ่นโกรธ “กูจะฆ่าพวกมัน จะฆ่าคนในครอบครัวมัน”

“ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น ให้ฉันช่วยได้นะ และฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหยื่อของเธอ”

จันมองคนข้างกาย “เป็นตำรวจจะช่วยได้ยังไง”

“ไม่ต้องห่วง ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอและฉันจะไม่ห้าม นี่มันเรื่องของเธอเองที่จะแก้แค้น ไม่ใช่ฉัน แต่ฉันอยากให้เธอได้เรียนรู้และฝึกฝนตัวเองเสียหน่อย จะได้สู้กับคนอื่นได้”

“ยังไง”

“ไปเรียนนายร้อยไหม ฉันเห็นเธอสนใจ”

จันนิ่งไป ขมวดคิ้ว “ไปได้เหรอ”

“ได้สิ และเธอก็จะได้เจอลูกของผู้กองอนงค์ เธออาจจะใช้เวลาที่เรียนด้วยกันทำให้ลูกของผู้กองไว้ใจก็ได้นะ”

“ทำให้ไว้ใจหรือ”

“ทำให้ไว้ใจมาก ๆ และฆ่าทิ้ง เหมือนที่ผู้กองทำให้นายจิตษาไว้ใจและสั่งฆ่าไง”

ความเป็นจริงทุบหัวอีกครั้ง จันก็โกรธจนตัวสั่น ยังจำได้ดีว่าแม่ตนนั้นไว้ใจอนงค์มากแค่ไหน เนี่ยน่ะเหรอคนที่จะช่วย

“พาไปหน่อย”

“ไปไหน”

“ไปเรียนนายร้อย”

ชายหนุ่มยิ้มบาง ใช้นิ้วเกลี่ยมือเล็กและลูบหัว “เธอต้องเรียนก่อน ฉันจะพาไปอยู่ด้วยนะ ไปไหม” ดูเหมือนจันจะคิดมาก เลยพูดหว่านล้อมอีกนิด “ฉันไม่มีลูกเลย และฉันเห็นเธอตัวคนเดียว ใจฉันก็เจ็บปวด เธออยากมาเป็นลูกชายของฉันไหม”

จันมอง พลันใจก็อุ่นขึ้นมาคล้ายถูกปลอบประโลม “จัน... จันเป็นลูกได้จริงเหรอ” เพราะสูญเสียจึงอยากจะหาที่พักพิง ไม่แปลกที่เด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้จะต้องการความอบอุ่น

“จริงสิ ฉันอยากให้เธอเป็นลูกฉันนะ”

จันเริ่มร้องไห้มือน้อยกำมือของอีกฝ่ายเบาลงแล้ว

“ไหนเรียกฉันว่าพ่อสิ”

“พะ...พ่อ”

“อืมเด็กดี” ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อย “ฉันชื่อวารินนะ ยินดีที่ได้พบกัน”

จันพยักหน้าก่อนจะกอดคนตรงหน้า “พ่อ..พ่อริน”

หมวดทัพที่เพิ่งเข้ามาคุยนั้นดูจะไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ เพราะว่าเด็กคนนี้จำหน้าตนที่ฆ่าแม่กับน้องตัวเองไม่ได้ ทัพได้แต่นึกขัน ขนาดคนฆ่าอยู่ตรงหน้า มันดันโง่ไม่รู้เรื่อง

หลังจากจันไปอยู่กับวาริน ก็เปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘สินกรรม’ จึงชื่อ จันธิพัฒน์ สินกรรม ไม่มีใครรู้ว่าเป็นลูกใคร รู้แค่ว่าเป็นลูกบุญธรรมของรองอธิบดีวาริน

ถ้าเกิดวารินไม่รู้เรื่องว่ามีเด็กถูกยิงมาติดผักบุ้งใกล้กับที่พักของหมวดทัพ บางทีจันอาจจะลอยหายไปไหนไกลจนไม่ต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ก็เป็นได้...


*มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๒ (๒/๒) {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 28-05-2020 02:50:00
*ต่อจากด้านบน


ปี ๒๔๗๓

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

“แม่กับน้องกูถูกจับตัวไป” จันพูดขึ้นมือทั้งสองกำกันแน่น ในงานเลี้ยงนี้ดูครึกครื้น ผิดกับใจของจัน

ไฟตาโต ตกใจไม่น้อย “จริงหรือวะ”

“อืม”

“แล้วเจอตัวหรือยัง พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ไฟถามอย่างร้อนรนแต่จันกลับไม่ได้รู้สึกดีด้วยเลย

“ยังไม่เจอ กูไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นไงกันบ้าง ไม่รู้สักนิด” จันกัดฟัน มือกำแน่นจนแดงเถือก

ไฟที่ฟังได้แต่เห็นใจก่อนจะตบบ่าเพื่อน “ไม่เป็นไรนะ สักวันต้องเจอแน่นอน กูสัญญาว่าจะช่วยมึงตามหาแม่กับน้อง”

จันอยากจะพูดว่าไม่ต้องตามหาหรอก เพราะยังไงก็ไม่มีวันเจออีกแล้ว...

“จริง ๆ กูมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อสิงห์ มาเรียนที่นี่ด้วยกัน”

จันเงยหน้าอย่างสนใจ

“สิงห์น่ะมีแม่กับน้องสาวที่ดีมาก ๆ เลย แต่รู้ไหมว่าพ่อสิงห์น่ะ ทำร้ายพวกเขาตลอด”

“ทำไมล่ะ” จันขมวดคิ้ว

“เรื่องนี้ อย่าไปบอกใครนะ กูไว้ใจมึงที่สุดแล้ว และเห็นว่ามึงมีน้องเหมือนกันเลยบอก”

จันพยักหน้าไฟจึงเล่าต่อ “พ่อเพื่อนกูน่ะ เป็นโจร มันชั่วถึงขนาดที่ว่าทำร้ายลูกกับเมียตัวเอง สิงห์เลยมาเรียนนายร้อย เพื่อจะมาจับพ่อตัวเองเนี่ยแหละ”

คนฟังคล้ายกับมีอะไรมาปลดล็อก “แล้วมึงเป็นลูกตำรวจไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีเพื่อนเป็นลูกโจร”

ไฟยิ้มบาง “กูไม่สนหรอกว่าจะเป็นลูกใคร เพราะคนที่ชั่วมีแต่พ่อของสิงห์ และกูเองก็อยากให้สิงห์มีเพื่อน ให้สิงห์ได้ออกไปดูโลกกว้าง อยากพาออกจากขุมนรก อยากจะช่วยแม่กับน้องสิงห์ออกมาจากไอชั่วนั่น”

จันมองด้วยตาสั่นระริกก่อนจะก้มหน้าลง “มึงดูห่วงเพื่อนมึงมากเลย”

“แน่นอนสิ” ไฟยิ้มกว้างก่อนจะกอดไหล่เพื่อน “กูเองก็ห่วงมึงนะจัน ถึงจะเพิ่งมาเป็นเพื่อนกัน แต่มึงก็เป็นเพื่อนที่กูไว้ใจและสนิทใจที่สุดแล้ว กูจะช่วยทั้งมึงและสิงห์เอง แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูก็จะไปกับพวกมึงจนสุดปลายทาง”

คล้ายกับมีอะไรมาผัดผ่านดวงใจที่แห้งเหี่ยวไปนาน ความสุขนั้นเป็นยังไง จันเหมือนจะจำมันได้อีกครั้งหลังจากเจอเพื่อนคนนี้

 

ปี ๒๔๗๘

“ไอไฟตื่นสิวะ” จันตบหน้าเพื่อนตัวเองเบา ๆ แม้ทั้งหมดจะเป็นแผนของตัวเองที่ไฟจะต้องถูกฆ่าวันนี้ แต่ทำไม...

ทำไมถึงเสียใจ

“ไอไฟมึงอย่าทิ้งกูนะเว้ย” น้ำตาของชายหนุ่มคลอ ดวงใจสั่นไหว เขาได้ยินรอบข้างหมด พี่อนัสพูดว่าให้ตามหมอ

ใช่แล้วเขาได้ยิน และเขารู้ว่าต้องทำ แต่ร่างกายกลับไม่ทำเพราะความแค้นที่มีมานาน จันสับสนอยู่ในหัว เขาควรจะต้องสะใจสิที่มันจะตาย ไออนงค์จะได้รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น เขาควรจะต้องดีใจที่แก้แค้นให้ครอบครัวได้

แต่ทำไม...

“หมวดไฟ หมวดจัน” ชาวบ้านที่มาช่วยรีบเข้ามาหา ผ่านไปไม่นานไฟก็ถูกหามส่งโรงพยาบาล

โล่งใจ...

นั่นคือสิ่งที่จันรู้สึกเมื่อเพื่อนพ้นขีดอันตราย

ชายหนุ่มถอนหายใจขอร้องพี่อนัสให้เฝ้าเพื่อนไว้ก่อนส่วนตนก็ออกจากโรงพยาบาลและไปยังบ้านพัก หยิบปืนและกระสุนที่ปลุกเสกไว้ที่ไฟเป็นคนให้

มาถึงผาหินใกล้ทะเลเห็นคนสองคนที่ยืนรออยู่ จันจึงเดินเข้าไปหา

“ไหนเงินวะ กูต้องเสียลูกน้องไปเยอะ กูคิดเพิ่มอีกสองเท่านะเว้ย” เสือเม็ดเอ่ยว่า

จันเค้นเสียง “ทำงานก็พลาด แล้วมึงก็ยังหนีปล่อยให้ลูกน้องจัดการ แบบนี้มันน่าให้ไหม”

เสือเม็ดสบถ “แต่กูก็สั่งให้มันทำแล้ว เพราะงั้นเอาเงินมา”

จันจ้องเขม็ง “ได้” ไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรจันก็หยิบปืนขึ้นมายิงหัวพวกมันสองคนทันที

 

 

ปี ๒๔๘๐

“ดีใจเสียจริงที่พวกนายกลับมาอย่างปลอดภัย โจรใต้เห็นบอกว่าน่ากลัวแต่ก็ยังถูกพวกนายจัดการได้ สมแล้วที่ฉันไว้ใจส่งไปที่นั่น”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” ไฟยืดอกตรง

“ไปพักเสียเถอะ ส่วนหมวดจันฝากเอาแฟ้มคดีเสือเม็ดมาด้วยแล้วกัน”

“ขอรับ” จันผงกหัว เงยหน้ามองพ่อบุญธรรมที่ส่งสายตามาอย่างรู้ความนัย จันก็เดินออกไปพร้อมกับไฟ

“ถ้าเกิดหายขึ้นมานะซวยแน่” ไฟชี้หน้าเพื่อนข้างกาย

“โธ่ มึงก็ไม่ทักกูเรื่องนี้มึงก็ลืมเหมือนกันนั่นแหละ” จันว่าไปทีแต่ไฟก็ยักไหล่และไล่เขาให้ไปเอาแฟ้มคดีของเสือเม็ด

จันวิ่งมาเอาของใช้ส่วนตัวและแฟ้มคดีขึ้นไปยังห้องทำงานของ รองอธิบดี

“สุดท้ายก็พลาดงั้นหรือ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงวารินก็เปิดประเด็นหลังจากที่จันล็อกห้องเรียบร้อย

“ครับ” จันก้มหน้า

“อุตส่าห์ส่งมือดีข้องเจ้าสัวไปช่วยด้วย ก็ถูกจัดการได้ง่าย”

จันไม่ได้ตอบอะไร

“เอาเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่จะทำ จะพลาดก็ไม่แปลก ฉันหวังว่าเธอจะฆ่าหมวดไฟได้นะ เพราะยังไงฉันก็อยากกำจัดเสี้ยนหนามอย่างอนงค์เหมือนกัน”

จันเม้มปาก เขาเพิ่งรู้หลังจากไปอยู่กับพ่อริน ว่าท่านนั้นคบหากับโจรภาคกลางไปทั่ว และคอยช่วยเหลือพวกนั้น จันไม่อยากจะคิดร้ายต่อผู้มีพระคุณที่ทำให้มายืนอยู่ในจุดนี้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าพ่อรินนั้น ช่วยเขาจริง ๆ หรือยากจะใช้เขากัน

 

 

ปี ๒๔๘๑

“ลูกโจรยังไงก็โจร เคยเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งผิดกฎหมายแต่ยังเข้ารับราชการได้ หึ น่าขันสิ้นดี”

จันที่ฟังอยู่แทบจะทนไม่ไหวเผลอเบรกรถกะทันหัน

“ทำอะไรของมึงวะ!” สารวัตรทัพเดือดดาล จับหัวตัวเองที่โขกเบาะหน้าเต็ม ๆ

“ขอโทษทีครับ พอดีตัวเหี้ยมันตัดหน้าไปเมื่อกี้” จันก้มหัวก่อนจะยักคิ้วให้สิงห์ที่ส่ายหน้าเอือม

“ทีหลังก็ขับดูทางดี ๆ สิวะ”

“ครับสารวัตร!” จันรับสั่งเสียงดังด่อนจะบึ่งรถด้วยความเร็วจนหลังสารวัตรกระแทกกับเบาะ

“มึง!”

จันไม่สนเสียงบ่นของสารวัตรทัพสักนิด เพราะตอนนี้เขาโกรธมันที่ปากมาก ยอมรับเลยว่าสิงห์คล้ายเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลูกโจร มีน้องสาวเหมือนกัน ต้องอยู่กับสิ่งผิดกฎหมายมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับใฝ่ฝันที่จะเป็นตำรวจเหมือนกัน

เวลาเขาอยู่กับสิงห์ เหมือนอยู่กับตัวเอง เข้าใจหัวอกเดียวกัน ถึงแม้ว่าที่เขาจะมาที่นี่ด้วยเพราะไอทัพมันสั่งให้ช่วยใส่ร้ายสิงห์ เขาเกือบจะไม่ทำ แต่พอมารู้ว่าสิงห์กับไฟนั้นมีความพิเศษต่อกันที่มากกว่าเพื่อนกลับต้องคิดใหม่

ความแค้นเขายังมีอยู่และยังไม่หาย เห็นไฟเล่าให้ฟังว่าอนงค์ก็เอ็นดูสิงห์เหมือนลูกคนหนึ่ง จันจึงตอบรับที่จะช่วยทันที

หลังจากหยุดจอดเพื่อดักรถของเสี่ยพันธ์ แต่กลับไม่ถูกจัดการและรถคันนั้นแท้จริงไม่ได้ขนของอะไร แค่เตี๊ยมกันเพื่อใส่ร้ายสิงห์โดยเฉพาะ และคงมีอีกเป็นแน่

จันมองทั้งสองทะเลาะกันเรื่องเดิม ๆ ก่อนจะขึ้นรถไปขับแทน เพราะสารวัตรทำเป็นพูดว่าไม่ไว้ใจให้สิงห์ขับเพราะกลัวเปลี่ยนเส้นทาง

ในระหว่างนั้นก็มีเสียงทะเลาะกันอีกรอบ จันมองทั้งคู่ผ่านกระจกหลังพอเห็นว่าสิงห์และจ่าคมที่มาด้วยเพ่งความสนใจไปแค่สารวัตรทัพ จันที่เห็นรถของเสี่ยพันธ์อยู่ไม่ไกลขับเลี้ยวไปทางซ้าย จันจึงจอดรถลง

“ตามไม่ทันเลยครับ พวกมันไปทางไหนแล้วไม่รู้” ว่าแล้วก็ชี้ทางแยกสองทาง

“ไม่ทันก็กลับ”

“ลองไปทางขวาดู” สิงห์เอ่ยแทรก

“โอ้ ผู้กองรู้ด้วยหรือ” และทั้งคู่ก็ซัดสาดคำพูดใส่กันอีกครั้งจนจันได้แต่ถอนหายใจ

และผ่านไปได้ไม่นาน สิงห์ก็ถูกต้องสงสัยว่าช่วยเหลือพ่อตัวเองขนอาวุธและยา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะอยู่ในแผนทำให้สิงห์ถูกใส่ร้าย แต่ก็ไม่คิดว่าทางกรมภูธรจะทำเรื่องเร็วขนาดนี้ จันที่บอกคนอื่น ๆ ว่ามีธุระที่พระนครแต่แท้จริงอยู่ที่บ้านเสี่ยพันธ์

“จัน...” สิงห์ตกใจมองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ห้องรับแขก “มาที่นี่ทำไม ไหนว่าไปพระนคร”

จันเงยหน้ามองเพื่อนก่อนจะยิ้มบาง “กูก็มาหามึงไง”

“เข้ามาได้ยังไง ไม่ได้ถูกยิงตรงไหนไหม” สิงห์นึกห่วงเพื่อนเลยรีบเข้าไปดู

จันหันหน้าหนีเพื่อนซ่อนความไหวหวั่น เผลอดีใจที่เพื่อนเป็นห่วงจนเกือบจะเลิกสนใจงานของตัวเองจริง ๆ “กูแค่จะมาบอกอะไรมึงสักหน่อยน่ะ”

“บอกอะไรหรือ?”

จันหันมองเพื่อนและยิ้มขัน “กูเองที่เป็นสายตัวจริง”

คนฟังเบิกตา “พูดอะไร กูไม่เล่นนะจัน”

“กูก็พูดจริง ใช่ไหมครับเสี่ยพันธ์”

สิงห์รีบหันหลังไปมองก็พบกับพ่อตนที่เดินยิ้มเข้ามา “ใช่แล้วล่ะ จะให้รู้จักนะ นี่คือจันลูกบุญธรรมของรองวาริน รองวารินเนี่ยหรือที่คนทั่วไปเขาบอกว่าคนคุ้มกะลาหัวให้เสี่ยพันธ์ จันถูกสั่งให้มาช่วยเหลือพ่อในการขนอาวุธ”

“ไม่จริง” สิงห์ส่ายหน้าดวงตาเริ่มแดง “ไม่จริงใช่ไหมจัน”

จันมองตาเพื่อน ก่อนจะเสหน้าหลบ ทำเป็นยิ้มหัวเราะแม้จะเจ็บปวดตามเพื่อนก็ตาม “เรื่องจริง และกูก็เป็นสายให้พ่อรินมาตั้งนานแล้ว”

สิงห์กัดฟันกรอด มือกำแน่นก่อนจะกระชากคอเสื้อเพื่อนแล้วต่อยมัน “มึงทำแบบนี้ทำไม! กูไปทำอะไรให้มึง! มึงเห็นกูเป็นเพื่อนบ้างไหมวะ!!!”

จันได้แต่ยอมถูกเพื่อนต่อยเผื่อว่าจะเป็นการไถ่โทษที่หลอก

“พอใจมึงหรือยัง! กูจะถูกพักราชการแล้ว กูบากบั่นเพื่อยืนในจุดนี้มาตั้งนาน มันพังไปแล้ว! มึงเห็นไหมจัน! กูก็แค่ลูกโจรที่แม่งยังเป็นโจรอยู่วันยันค่ำ! พอใจมึงรึยัง!!!” สิงห์ปากระดาษราชการใส่หน้าเพื่อน ก่อนจะร้องไห้ออกมา

จันกัดปากจนเลือดซิบ ดวงตาคลอด้วยน้ำแต่ก็ทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ต่างจากความรู้สึกที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน

จันต้องพักรักษาตัวเองเกือบเดือนไม่อย่างนั้นคนคงสงสัยว่าไปต่อยกับใครมา

 

 

ปี ๒๔๘๒

ตลอดปีที่ผ่านมาจันพยายามจะฆ่าฤดีแม่ของไฟแต่กลับไม่เคยทำได้ ทุกครั้งที่ตั้งใจจะฆ่าพอทำจริงกลับพลาดทุกครั้งเพราะความลังเลของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เลิกหมายหัวเพื่อนสนิทอย่างไฟ เขารู้ตัวดีแน่ว่าฆ่าไฟไม่ได้อีกแล้ว

ความอยากแก้แค้นก็ค่อย ๆ เริ่มหายไปเมื่อเห็นเพื่อนต้องมาบาดหมางกัน ยิ่งเห็นว่าไฟเหมือนคนใจลอยไม่มีสมาธิทำงานก็ดันห่วงขึ้นมา

มันทำให้เขาไม่รู้จะอยู่ต่อไปอีกทำไม อยากจะหายไป อยากจะไปหาครอบครัวตัวเองใจจะขาด

อยากจะหลับไปตลอดกาล...

แต่เขาคงไม่กล้ายิงตัวเองขนาดนั้น อย่างน้อยเขาก็อยากให้สิงห์เป็นคนทำ ถึงมันจะทำให้สิงห์ต้องแบกรับอะไร แต่มีสิงห์แค่คนเดียวที่เข้าใจเขาดียิ่งกว่าใคร ว่าการมีชีวิตของเขาในตอนนี้มันหนักหนาสำหรับเขามาก

จันถอนหายใจดวงตาปริ่มน้ำในตอนที่เขียนความจริงทั้งหมดของวารินและโจรภาคกลาง บอกความจริงเรื่องที่ตัวเองเข้าไปเป็นสายให้

คนที่หลอกใช้เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้เขามีที่พักพิงยามที่ไม่เหลือใคร จันทั้งรักทั้งเกลียดผู้ชายคนนี้

 

‘กระผม ร้อยตำรวจตรี จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์ ขอบอกความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับรองอธิบดีวาริน นายวารินนั้นได้ร่วมมือกับโจรทั่วทั้งภาคกลางในการส่งของผิดกฎหมายและยังปลอมแปลงเอกสารโดยสั่งเสมียนบัญชีให้ทำลายหลักฐานการยักยอกของกลางในคลัง รวมถึงส่งกระผมนายจันให้ไปเป็นสายในกรมตำรวจเพื่อช่วยเหลือเจ้าสัวเหวย เสี่ยพันธ์และหลวงศรีรวีชัย โจรร้ายของจังหวัดสิงห์บุรี กระผมในฐานะตำรวจคนหนึ่ง ขอยอมมอบตัวและเปิดเผยความจริงเรื่องนี้ให้กับสาธารณชนได้รู้ความชั่วช้าของนายวาริน และขอให้ทุกท่านได้รับทราบว่า ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโจรภาคกลางแต่อย่างใด ผู้กองสิงห์บริสุทธิ์คือเรื่องจริง และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตำรวจมาตลอด ได้โปรดทุกท่านจงเปิดใจรับผู้กองสิงห์ใหม่ ด้วยความเคารพ จาก ร้อยตำรวจตรี จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์’

 

จันเซ็นชื่อและปั๊มนิ้วมือตัวเองก่อนจะส่งให้ชื่อ รองอนงค์ คนที่เขาแค้นมาตลอด

ไม่รู้ว่าจดหมายนี้จะส่งไปถึงตอนไหนเพราะเขาบอกกับทนายว่าให้เปิดอีกทีหลังจากเขาตายและส่งให้อัยการในวันที่วารินต้องถูกขึ้นศาล รวมถึงเปิดเผยต่อหน้านักข่าวให้ลงหนังสือพิมพ์

เขาก็จะได้ช่วยเหลือเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตแล้ว...



พ่ายโลกันตร์




ปี ๒๔๙๓

สิงห์หัวเราะออกมาเมื่อกำลังมองดูรูปภาพเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยเด็ก และที่โรงเรียนนายร้อย รวมถึงกรมตำรวจที่ไปปฏิบัติงาน จนไฟที่เพิ่งกลับจากทำงานเข้ามานั่งข้างกายพร้อมกับหยิบรูปขึ้นมาดู

“สมัยไหนเนี่ย” ไฟนึกขัน เปิดรูปดูเรื่อย ๆ

“คิดถึงสมัยก่อนเนอะ” สิงห์ยิ้มกับคนรัก มองรูปหลากหลายวัย

“นั่นสินะ” ไฟยิ้มบาง เปิดเห็นรูปเพื่อนสนิทที่ลาลับไปแล้วก็ได้แต่ใช้นิ้วเกลี่ยเบา ๆ “คิดถึงมันจัง”

สิงห์มองตาม “ใช่ คิดถึงมันมากเลย”

“ตอนนี้คงอยู่กับครอบครัวแล้วมั้ง”

“อยู่กับพวกเขาบนฟ้า คงมีความสุขไปแล้วล่ะ” สิงห์ยิ้มแม้ใจจะเจ็บปวด เพราะมันคือตราบาปไปชั่วชีวิต และเขาก็ไม่เคยลืมเลือนว่าเขาทำพลาดอะไรไป เพราะอย่างนั้นเขาจึงคิดตลอดว่าถ้าจันยังอยู่มันก็คงจะดี แต่ก็ไม่กล้าพูดกับไฟเพราะรู้ว่าเจ็บปวดไม่แพ้กัน ต่างคนต่างรู้แต่ก็ไม่พูดออกมา จนตอนนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่าหากจันไม่ตัดสินใจจะจบชีวิต บางทีตอนนี้อาจจะมีลูกมีเมีย พบเจอกัน ดื่มเหล้าเมามาย คุยเรื่องเก่า ๆ และกอดคอกันไปจนแก่จนเฒ่า

แต่ทั้งหมดก็สายไปเสียแล้ว

สิงห์ได้แต่นึกคิดและบอกตัวเองเสมอว่า ถ้าเจอใครคิดจะจบชีวิตอย่างจัน เขาก็อยากจะอยู่ข้างกายและให้กำลังใจอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง แม้ไม่สนิทหรือไม่เคยคุย ก็อยากให้พวกเขารู้ไว้ว่า ชีวิตของคุณมีค่าเสมอ ได้โปรดใช้ชีวิตอยู่ต่อไป

ดูกันอยู่นานสิงห์ก็หยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาเป็นรูปที่พวกเขาถ่ายกับต้นสนพร้อมกับนนท์ด้วยเมื่อปีที่แล้ว

แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อรูปมันมีอะไรแปลก ๆ “รูปเสียหรือ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย”

ไฟก้มมองก่อนจะตกใจ “จริงด้วย ทำไมมันเป็นสีขาว ๆ แบบนี้ล่ะ” ไฟลองเช็ดรูปก็พบว่ามันไม่เกี่ยวกับเปื้อนอะไร

“ดันมาเป็นตรงที่ไฟกำลังเหมือนโอบจันด้วยนะ” พอสิงห์พูดคำนั้นจบ ไฟก็นิ่งไปก่อนจะหยิบรูปตั้งแต่สมัยเรียนนายร้อยที่เขายืนกันสี่คนเหมือนกับปัจจุบันเป๊ะ ๆ

สิงห์ที่มองดูถึงกับขนลุกวาบไปทั้งตัว ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่ง

“ไฟทำเป็นโอบจัน เหมือนรูปเก่าอันนี้” ไฟว่าเสียงเบา

สิงห์กลืนน้ำลาย “พรุ่งนี้เช้าไปทำบุญกันไหม”

“ไปสิ” ไฟตอบทันที

พอรุ่งเช้าทั้งคู่ก็มาทำบุญ หลวงพ่ออนงค์ยังไม่ศึกและกำลังนั่งให้พรอยู่หลังจากถวายของเสร็จแล้ว

“เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ”

ไฟพนมมือตอบ “สบายดีขอรับหลวงพ่อ”

“อืมดีแล้ว ว่าแต่ทำไมถึงมาทำบุญให้โยมจันเยอะเพียงนี้” หลวงพ่อถาม เพราะของที่เอามาถวายเยอะเป็นพิเศษ ถึงจะมาทุกเช้าแต่ก็แค่ถวายอาหาร แต่นี่ทั้งข้าวของเครื่องใช้

“คือ” สิงห์ยิ้มแหย “พอดีเมื่อวานกระผมกับไฟดูรูปกันอยู่เลยคิดว่าจันมาทักทายน่ะขอรับ”

“นี่ขอรับ” ไฟยื่นรูปให้ดูทั้งเก่าและใหม่ “รูปปัจจุบันนี้กระผมทำเป็นโอบจันเหมือนรูปสมัยก่อน ตอนแรกที่ได้รูปมันไม่มีอะไรเลยขอรับ แต่เมื่อวานกระผมและสิงห์พูดถึงจัน พอดูรูปนี้อีกทีก็มีอะไรขาว ๆ อยู่ในรูปแล้ว”

“มันจะงมงายเกินไปหรือเปล่าขอรับ” สิงห์ขมวดคิ้ว เขาไม่อยากงมงายกันแต่ก็อดคิดแบบนี้ไม่ได้

หลวงพ่อมองพลางยิ้มบาง “เขาแค่มาลา” พูดเสร็จก็เงยหน้ามองตรงไปข้างหลังของทั้งคู่ที่หน้าศาลาวัด “มาลาเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้น”

พอได้ยินอย่างนั้นทั้งคู่ก็ขนลุกขึ้นอีกรอบแต่กลับทำให้สบายใจขึ้นและน้ำตาคลอขึ้นมา

“ต่อไปนี้ก็อย่าโทษตัวเองที่เคยทำผิดพลาดอะไรในอดีต เรื่องมันผ่านมานานแล้ว อยู่กับปัจจุบันและใช้ชีวิตต่ออย่างมีความสุขแทนคนที่จากไป”

“ขอรับหลวงพ่อ” สิงห์กับไฟยิ้มทั้งน้ำตาพูดบอกลาเพื่อนในใจ

คุยอะไรกันอยู่นานทั้งไฟและสิงห์ก็ขอตัวกลับ ส่วนพระอนงค์ก็เดินไปริมน้ำติดกับวัด หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา เป็นจดหมายที่ส่งมาให้หลังจากทำการคุยกับอัยการเรื่องส่งวารินไปที่ศาล

พระอนงค์ยิ้มบางพลางลูบจดหมายอย่างเบามือ มองชื่อ จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์ ที่เป็นอีกฉบับไว้ให้สำหรับอนงค์โดยเฉพาะ

‘ถึงลุงอนงค์ กระผมจันลูกของพ่อจิตษา เรื่องอดีตผมยังแค้นลุงอยู่แต่ผมก็ไม่อยากจมอยู่แต่กับความแค้นแล้ว ผมหวังว่าลุงจะเป็นพ่อที่ดีของไฟ อย่าทำมันเสียใจ ดูแลให้ดี ๆ เข้าอกเข้าใจลูก และปกป้องด้วยชีวิต ตอนนี้ผมไม่โกรธอะไรลุงแล้ว น้องสาวของผมชื่อเดือน ชื่อจริง เดือนดารา เศิกสรรค์ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ฝากลุงทำหลุมศพให้น้องสาวผมหน่อย และขอโทษที่เคยคิดจะฆ่าครอบครัวของลุง ขอให้ลุงมีความสุข อย่าได้โทษตัวเอง ด้วยรัก จาก จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์’

สุดท้ายก็ได้รู้ชื่อของหลานตัวเองเสียที

 


------------------------------------------------------------------------------

 

น้ำตาไหลเป็นทางเลยทีเดียวกับตอนนี้ แต่ละช่วงปีคืออยู่ในบทย้อนอดีตทั้งนั้น ซึ่งปูเรื่องมาทางนี้แล้วค่ะ

แล้วก็ดีใจที่ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวพวกนี้ เราคิดไว้ว่าจะต้องมีเปิดเผยเรื่องของจันด้วย ก็เลยเอาเป็นตอนพิเศษแทน

สำหรับใครที่สงสัยว่าปีพวกนี้คือบทที่เท่าไหร่บ้าง เผื่ออยากจับจุดที่ตัวเองพลาดไป55555 เราจะมาบอกให้ทราบกันค่ะ

-          ปี ๒๔๖๖ ไม่มีเกิดขึ้นในย้อนอดีต แต่ปีถัดมาคือปี ๒๔๖๗ เป็นปีที่สิงห์กับไฟเจอกันครั้งแรก(บทที่ ๓ ย้อนวัย : พบกันครั้งแรก) ซึ่งในปี ๒๔๖๗ อาจารย์ประจำชั้นของสิงห์และไฟได้มีการพูดถึงโจรชื่อดังอย่างไอษา ที่ผู้กองอนงค์จับได้จนเป็นที่เลื่องลือ แท้จริงแล้วก็คือพ่อของจันหรือน้องชายต่างสายเลือดของอนงค์นั่นเองค่ะ และได้เปิดเผยในบทที่ ๑๙ : เรื่องราวของจัน ไปแล้ว

-          ปี ๒๔๗๓ คือปีเดียวกับ บทที่ ๗ ย้อนวัย : โรงเรียนนายร้อยฯ ซึ่งก่อนหน้าที่ไฟจะแนะนำจันให้รู้จักกับสิงห์ก็ได้คุยกันเรื่องสิงห์ ตามที่เปิดเผยเรื่องราวออกมา

“ใช่เพื่อนที่มึงบอกว่าเข้ามาเรียนด้วยกันหรือเปล่าวะ”

“เออคนนั้นแหละ”

“ไว้ชวนไปทำความรู้จักหน่อยดิ” นี่คือประโยคที่คุยกันของสองคนนี้ตอนเปิดบทที่ ๗  เพราะไฟเคยเล่าให้จันฟังเรื่องสิงห์ไปแล้วนั่นเองค่ะ

-          ปี ๒๔๗๘ คือปีเดียวกับ บทที่ ๙ ย้อนวัย : ต่างแยกย้าย ช่วงเกือบท้าย ๆ บท จะเป็นปีที่ไฟกับจันถูกรองอธิบดีวารินสั่งให้ไปประจำที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งจันตั้งใจจะฆ่าไฟโดยจ้างเสือเม็ดและลูกน้องเจ้าสัวอีกคนให้ไปอยู่ภาคใต้ แต่ก็พลาด และในย้อนวัยนั้น ตามบทบอกว่าเสือเม็ดและลูกน้องถูกฆ่าตายปริศนา ซึ่งแท้จริงจันฆ่าปิดปากนั่นเอง และถูกเปิดเผยว่าจันจ้างฆ่าใน บทที่ ๒๐ : ความจริง จ่าธงเป็นคนบอกนั่นเองค่ะ

-          ปี ๒๔๘๐ คือปีเดียวกับ บทที่ ๑๐ ย้อนวัย : ให้ทั้งชีวิต ถ้าใครตงิดใจเล็กน้อยก็จะเห็นว่า วารินสั่งให้จันเอาแฟ้มคดีมาให้ ทั้ง ๆ ที่ไฟถือว่าต้องมาคุยเรื่องนี้ด้วยเพราะงานก็เป็นของไฟเหมือนกันแต่กลับพูดแค่จันเหมือนจะคุยกันแค่สองคน เราจึงเอามาเปิดเผยในบทพิเศษนี้ว่าคุยอะไรกันและจันคิดอะไรอยู่ค่ะ

-          ปี ๒๔๘๑ คือปีเดียวกับ บทที่ ๑๑ ย้อนวัย : กลับบ้านเกิด เป็นช่วงที่จันมาประจำได้หลายเดือนและอยู่ในชื่อ สามบุรุษแห่งอ้อยขวาง แต่ว่าตอนนั้นทัพกับสิงห์มีปัญหากัน จันที่ถูกวารินส่งตัวมาช่วยเสี่ยพันธ์ก็เลยเข้าร่วมด้วย และในปีเดียวกันนั้น แต่ข้ามบทมาเป็นบทที่ ๑๒ ย้อนวัย : ชีวิตที่จบสิ้น สิงห์ก็ถูกสงสัยและจะถูกพักราชการ ในระหว่างที่สิงห์กำลังตามหาความจริง จันก็ได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นสายที่แท้จริง เพราะอย่างนั้นสิงห์จึงไม่อยากพบหน้าไฟ เพราะความจริงที่จันช่วยพ่อตัวเองเกินที่จะทำใจรับค่ะ

-          ปี ๒๔๘๒ คือปีเดียวกับ บทที่ ๑๔ ย้อนวัยสุดท้าย : ฆ่าเพื่อน เป็นปีที่จันพยายามจะทำลายครอบครัวอนงค์แต่ก็ทำไม่สำเร็จด้วยความลังเลค่ะ เพราะงั้นจึงอยากจะบอกความจริงและเอาหลักฐานให้กับรองอนงค์ ซึ่งบางคนอาจจะไม่สังเกต ในบทที่ ๒๔ : เริ่มแผนการ ตอนที่นนท์กับสารวัตรอิฐไปคุมตัวรองวาริน ได้มีการพูดถึงหลักฐานและลายเซ็นรวมถึงรอยนิ้วมือที่ปั๊มลงกระดาษ ซึ่งอยู่ในประโยคและคำอธิบายนี้ค่ะ

“เราตรวจกันมาแล้วว่าไม่ใช่เอกสารที่ปลอมแปลง ทุกอย่างล้วนเป็นของจริง และคุณเคยส่งลูกชายบุญธรรมอย่างหมวดจันเพื่อเข้าไปเป็นหนอนบ่อนไส้ในข้าราชการให้กับทางเสี่ยพันธ์และหลวงศรีรวีชัย” ว่าแล้วก็ชูจดหมายฉบับหนึ่งกางออกก็จะเห็นตรารอยนิ้วมือประทับกับชื่อที่เซ็น “หมวดจันได้ยอมรับและส่งจดหมายนี้ให้กับทางรองอนงค์ ว่าคุณร่วมมือกับโจรภาคกลางจริง ๆ”


ยาวมากก จริง ๆ ไม่รู้ว่ามีนักอ่านท่านใดสังเกตรายละเอียดที่เราใส่ไว้ไหม แต่ยังไงเราก็อยากเปิดเผยให้ได้รู้กันกับความจริงนี้

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ตอนพิเศษยังไม่หมดเลย เพราะเราพยายามเก็บรายละเอียดที่ตัวเองใส่ลงไปในเรื่อง 55555

รอติดตามตอนพิเศษได้อีกนะคะ
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๒ {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 02-06-2020 21:03:10
เฮ้ยย!!สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบ ผูกเรื่องราวได้ดี ดีใจนะที่กลับมารักกันไปไหนมาไหนด้วยกันอีก ก็เพราะต่างรักกันมากนี้แหละถึงผ่านอุปสรรคมาได้ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านกัน อ่านไปลุ้นไปสืบไปหาเบาะแส กว่าจะรู้อะไรเป็นอะไร มันส์ดีค่ะ 55555  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓ (๑/๒) {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-06-2020 02:21:36
 

บทพิเศษ ๑.๓

เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : สิงห์ สหัส




 
๖ พฤษภาคม ปี ๒๔๘๑

-          ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช (สิงห์)

ณ อยุธยา กรมตำรวจภูธร เขต ๑


“ด้วย ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ตำแหน่งรองผู้กำกับการจังหวัดสิงห์บุรี ถูกต้องสงสัยว่าได้ช่วยเหลือบิดาในการค้าอาวุธสงครามและยาฝิ่น กรมตำรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ได้เป็นบุคคลที่น่าสงสัยและอาจร่วมมือกับบิดาของตนเอง จึงเห็นควรลงโทษให้พักราชการอย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” สิ้นเสียงพูดก้องทั่วห้องเอกสารก็ถูกตราประทับเหมือนกับเหล็กมาทุบกลางอก

สิงห์ที่หายหน้าไปนานออกมารับโทษในวันนี้อย่างเงียบ ๆ อดีตผู้กองหนุ่มตะเบ๊ะให้กับคนที่เคยเอ็นดูและดูแลตนมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเดียวกับที่อ่านเอกสารและลงตราประทับในการให้เขาพักราชการ

แววตานั้นที่เคยอ่อนโยนกลับเรียบนิ่ง สิงห์เข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นโจรเต็มตัวต่อสายตาลุงอนงค์เสียแล้ว

พอเดินออกมาข้างนอกก็เจอกับนนท์ แต่กลับเหนื่อยเหลือเกินที่จะพูด เหนื่อยที่จะยืนหยัดต่อไป

“ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ได้”

“มันเกิดไปแล้วและฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง”

เพราะจัน เพื่อนสนิทของพวกเรากำลังหักหลังอยู่ เขาไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับใคร สิ่งที่เขาตั้งใจทำมาทั้งหมดมันสูญเปล่า ไม่รู้เลยว่าทำไมจันต้องทำแบบนี้ ก่อนมาก็เอาเอกสารพักราชการปาใส่หน้าเพื่อนไปทีด้วยความโมโห

เขาจะบอกกับทุกคนยังไง ว่าคนที่เป็นสายให้พ่อเขาจริง ๆ คือไอจัน

“มันต้องแก้ได้สิ” นนท์ว่าพลางยกมือให้ใครบางคน

สิงห์หันไปมองก่อนจะเบิกตาโต “ไฟ..” สิงห์ทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากเห็นหน้าไฟเพราะกลัวว่าจะเผลอบอกไปแล้วไฟจะไปหาจันและอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

“สิงห์มาอยู่กับไฟนะ ไม่ต้องห่วง ไฟจะไม่ให้ใครมาทำอะไรสิงห์” ไฟลูบหัวคนรักที่ตัวสั่นจากการร้องไห้อยากจะกอดแต่ก็ถูกดันออก

“พอแล้ว... หยุด” สิงห์พูดเสียงสั่น

“สิงห์เชื่อไฟนะ ไฟปกป้องสิงห์ได้” ไฟพยายามจะเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดมือออก

“บอกให้หยุดไง!” สิงห์ตะคอกจนไฟนิ่งค้างไป “เลิกยุ่งกับสิงห์เถอะ ตอนนี้สิงห์เป็นโจรเต็มตัวแล้ว”

ใช่แล้ว ต่อให้พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว ลุงอนงค์ก็คงจะเกลียดเขา ผิดหวังในตัวเขา

“อย่าพูดอย่างนั้นได้ไหม” ไฟจะเอื้อมมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดอีกครั้ง “สิงห์...”

ขอโทษ สิงห์ได้แต่ขอโทษที่ต้องทำอย่างนี้

“มาเอะอะเสียงดังอะไรกันตรงนี้ ไม่อายคนหรือไง” ลุงอนงค์เดินออกมายิ่งทำให้สิงห์ไม่กล้าสู้หน้า “นึกว่าจะดีใจที่ได้ออกจากการเป็นตำรวจไปแล้วซะอีก” สิงห์กัดปากแน่นไม่คิดเลยว่าคนที่เอ็นดูตนจะพูดคำนี้ออกมา

สองพ่อลูกทะเลาะกันเสียงดัง ซัดสาดคำที่ไม่เห็นแก่ใจของอีกฝ่าย สิงห์อึดอัดจนไม่อยากอยู่ตรงนี้ ยิ่งเห็นไฟยืนกราดปกป้องตนเองก็เหมือนถูกบดขยี้ซ้ำ ๆ ว่า ต่อให้ทำดีและยืนหยัดมากแค่ไหนก็ล้มเหลวลงได้

“กูเป็นคนทำให้มึงเกิดมา รักมึง ห่วงมึงมาตลอด มึงกลับปากพล่อยชี้หน้าพ่อตัวเองเพราะคนอื่นหรือไงวะไอไฟ!” อนงค์กำมือแน่นจนสั่นไปหมด “กูผิดหวังในตัวมึงมากนะ กับครอบครัวตัวเองไม่เห็นหัวเลยหรือไง!”

ไฟหันหนีน้ำสีใสไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะหลับตากลั้นใจพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจบอกตอนนี้ได้ “ขอบคุณที่ทำให้ผมเกิดมา ผมจะตอบแทนทุกอย่างอยู่แล้วไม่ต้องห่วง และผมรักพ่อกับแม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเรียนเรื่องงานผมยอมพ่อได้เสมอ แต่ยกเว้นเรื่องเดียว... แค่เรื่องเดียวเท่านั้น” ไฟหันมองพ่อตนเอง “ขอผมรักคนคนนี้ต่อไปได้ไหมพ่อ ผมขอร้อง”

อนงค์จ้องลูกตัวเองไม่วางตาแล้วผันหน้าไปมองคนข้างหลังที่ยังคงก้มหน้าร้องไห้ “สิงห์ไปคุยกับฉันที่ห้อง แค่คนเดียว คนอื่นห้ามมา”

“พ่อ” ไฟเรียกเสียงอ่อนอย่างท้อใจ

“นนท์ ฝากด้วย” อนงค์สั่งลูกน้องตนเองก่อนจะเดินออกไปก่อน

“สิงห์” ไฟรีบจับแขนคนรักที่กำลังเดินตามพ่อไป

“ขอโทษ แต่ปล่อยสิงห์เถอะนะ” สิงห์ร้องขอพอมือคนรักคลายลงก็รีบเดินออกไป

“สิงห์!”

สิงห์เม้มปากกลั้นเสียงร้องไห้ก่อนจะเดินตามลุงอนงค์ไป เข้ามายังในกรมตำรวจก่อนจะเปลี่ยนไปยังห้องหนึ่งที่น่าจะเป็นห้องประชุมของคนที่นี่ ก่อนที่อนงค์จะหยุดแล้วหันมาหาดวงตาฉายแววเศร้า

“ลุงขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่”

ดวงตาของสิงห์เบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้เหมือนเกลียดกันเหมือนดั่งตอนที่อ่านใบพักราชการ

“ไม่คิดเลยว่าไฟมันจะรักสิงห์มากขนาดนี้” ลุงอนงค์ถอนหายใจ

“หมายความว่าไงครับลุง ทำไม...”

“เมื่อกี้ลุงใส่อารมณ์ไปหน่อย แต่คงบอกว่ามันเป็นความรู้สึกจริง ๆ แต่เพราะลุงมีเหตุผลนะ ที่รู้สึกอย่างนั้น”

“เพราะอะไรหรือครับ”

“คงรู้แล้วใช่ไหมว่าใครที่มันอยู่เบื้องหลังจริง ๆ”

สิงห์เงียบไปก่อนจะตอบเสียงเบา “ครับ”

“รู้ไหมว่ามันเข้ามาเป็นสายตั้งแต่ตอนเรียนนายร้อย”

“จริงหรือครับ” เรื่องนี้ไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมถึงดูไม่ออกเลยล่ะ

“มันพยายามจะฆ่าไฟตั้งแต่ที่ไปประจำด้วยกัน คนว่าจ้างเสือเม็ดก็ไอจัน” อนงค์ว่าดวงตาคุกรุ่น

สิงห์เหมือนถูกความจริงกระแทกหน้า ตอนนี้ทุกอย่างเลวร้ายไปหมด ถ้าไฟรู้ไฟจะทำยังไงกับจัน

“พวกมันคงจะอยากให้สิงห์ออกจากราชการสินะ คงเพราะไอทัพไม่ชอบสิงห์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไอพันธ์ก็คงจะให้ลูกชายออกไปดูงานแทนการเป็นตำรวจ” อนงค์ว่าเสียงเรียบก่อนจะเอามือทาบกับประตูไว้ “แต่ที่สิงห์ออกราชการมันเป็นเพราะลุงกับท่านอธิบดีตัดสินกันเอง เวลานี้คงเหมาะสมที่สุดแล้ว ให้พวกมันคิดว่าสิงห์ออกเพราะไอทัพส่งเรื่อง”

พูดเสร็จก็เปิดประตูเข้าไปด้านใน ก่อนที่สิงห์จะตกใจเมื่อเห็นภพและเกื้อลูกน้องของพ่ออยู่ที่นี่ รวมถึงจ่าธงและท่านอธิบดีหลวงศักดิ์กมล

“สองคนนี้เป็นลูกน้องลุง และเป็นตำรวจที่ไปเป็นสายให้กับทางเรา” อนงค์อธิบาย “ที่นี่คือห้องประชุมสำหรับทีมลับ”

“ภพ เกื้อ” สิงห์มองทางสองคนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ผมร้อยตำรวจตรี ศิริกันต์ หรือหมวดภพ”

“ผมจ่าสิบเอก จ่าเกื้อครับผม” พอทั้งคู่แนะนำตัวทำเอาสิงห์ไปต่อไม่ถูก

“ผมก็ว่าพวกคุณคงรู้จักกันและมีเหตุผลบางอย่างที่ไปเป็นลูกน้องพ่อผม แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นตำรวจทั้งคู่”

“ขอโทษนะครับที่ต้องปิดบัง” หมวดภพว่า

“ไม่เป็นไรครับ ยินดีเสียอีกที่คนใกล้ตัวไม่ได้เป็นโจรไปซะหมด” สิงห์ยิ้มขึ้นได้ก่อนจะหันมองจ่าธง “จ่าธงก็รู้หรือครับ”

“เพิ่งรู้เมื่อวันที่ผู้กองบอกถูกพักราชการนั่นแหละ เลยมาถามท่านรองอนงค์จึงรู้ความจริง” จ่าธงบอกและพูดเป็นทางการแทนเพราะท่านอธิบดีอยู่

“ท่านอธิบดี” สิงห์ก้มหัวให้

“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ ที่ทำอะไรโดยไม่บอกก่อน” หลวงศักดิ์กมลว่า

“ไม่เป็นไรขอรับ กระผมยินดีเสมอหากท่านยังเห็นว่ากระผมพร้อมจะเป็นตำรวจ”

“เธอพร้อมมานานแล้ว และฉันยินดีที่จะให้งานใหญ่นี้กับเธอ” หลวงศักดิ์กมลเค้นยิ้ม “ต่อไปนี้ฉันจะขอคืนยศเดิมให้เธอและขอสั่งการให้ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช เป็นหัวหน้าปฏิบัติการกวาดล้างโจรภาคกลางและทำหน้าที่สายลับให้กับทางรองอนงค์ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”

สิงห์เหมือนเห็นแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง เขาตะเบ๊ะรับทันที “รับทราบครับ!”

“เอาล่ะ ฉันจะเริ่มอธิบายแผนการให้” อนงค์ว่า “ตอนนี้เรารู้ตัวการใหญ่อย่างเจ้าสัวเหวยที่ถือว่าเป็นโจรรายใหญ่ที่สุดของสิงห์บุรี แต่เหนือกว่ามันนั้นยังมีอีกคนที่คอยช่วยเหลือมันมาตลอด รวมถึงโจรคนอื่นอย่างเสี่ยพันธ์ และข้าราชการอย่างหลวงศรีรวีชัย”

“ผู้กองสิงห์คงรู้ว่ามีสายตำรวจช่วยเสี่ยพันธ์อยู่อย่างสารวัตรทัพกับหมวดจัน และรองอธิบดีที่หนาหูเหลือเกินว่าเป็นคนคุ้มกะลาหัวให้แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าคนนั้นเป็นใครรวมถึงผู้กองสิงห์ด้วยใช่ไหม” หลวงศักดิ์กมลชี้ถาม

“ครับ พอได้ยินบ้างแต่พ่อ... เสี่ยพันธ์ ไม่เคยเปิดเผยให้ผมรู้เลยครับ”

“อืม เพราะอย่างนั้นฉันถึงส่งหมวดภพไปเป็นสายโดยหลอกมันว่าหมวดภพนั้นอยู่เรือนจำและฆ่าเพื่อนร่วมห้องขังใส่เอกสารปลอมแปลงไป ให้หมวดภพช่วยเหลือมันเพื่อให้มันไว้ใจและหมวดภพก็รู้มาว่ารองอธิบดีคนนั้นคือใคร” อนงค์อธิบายเสริม

“ซึ่งรองอธิบดีคนนั้น... คือรองอธิบดีวาริน”

สิงห์ตกใจทันที “ท่านรองวารินน่ะหรือครับ”

“ใช่ครับ” หมวดภพพยักหน้า

“ผู้กองอาจจะเห็นว่าดูน่านับถือ แต่ที่จริงไม่ใช่เลย รองวารินน่ะช่วยโจรมาตั้งนานแล้ว” จ่าธงว่า

“ไม่อยากจะเชื่อเลยครับ”

“แต่ถึงเราจะรู้ เราก็ยังไม่มีหลักฐานมากพอ และตอนนี้เสี่ยพันธ์เหมือนโดนหลอกอยู่กราย ๆ ผู้กองน่าจะเข้าใจว่าโดนรองวารินและพวกเจ้าสัวหลอกเรื่องอะไร”

สิงห์นึกสักพักก่อนจะเข้าใจได้ทันที “ที่จริงแล้วรองวารินช่วยเจ้าสัวและหลวงศรีรวีชัย คุณหลวงหลอกเสี่ยพันธ์ว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าสัว และเจ้าสัวก็เหมือนอยากจะกำจัดเสี่ยพันธ์ ตามที่ผมเคยเล่าให้ท่านรองฟัง”

สิงห์เคยเล่าเรื่องสมัยเด็กกับลุงอนงค์ตอนที่ไปพบเจ้าสัวเหวย

“เพราะอย่างนั้นฉันจึงห่วงความปลอดภัยของเธอ เลยส่งจ่าเกื้อไป ถือว่าเป็นเพื่อนคลายเหงาด้วย” อนงค์ว่า

“เป็นอย่างนั้นเองหรือ” สิงห์ยิ้มอย่างนึกขอบคุณ

“เราต้องหาสายเพิ่มเพื่อช่วยเหลือทางเรา แต่ตอนนี้ยังนึกใครไม่ออกเลย บางทีไปขอก็กลัวว่าจะเป็นพวกของวารินหรือไม่ก็ของเจ้าสัวเหวย” อนงค์ถอนหายใจ

“ผมจะลองหาให้ครับ” สิงห์ว่าด้วยใบหน้าจริงจัง

“ผู้กองนึกใครได้หรือ”

“ลูกน้องพ่อผมบางคน”

“แต่มันก็อันตรายเกินไปอยู่ดีนะครับ” จ่าเกื้อว่าเพราะแต่ละคนไม่ได้จะช่วยหรือกลับใจง่ายขนาดนั้น

“ผมจะลองดู”

“ถ้าอย่างนั้น ฝากผู้กองคอยรับคำสั่งจากฉันและนำทีมด้วย”

“ครับท่านรอง”

พอประชุมกันเสร็จเรียบร้อยลุงอนงค์ก็ขอคุยกับสิงห์เพียงสองคน “สิงห์”

“ครับ”

อนงค์มีสีหน้าหนักใจ “เรื่องนี้อย่าบอกไฟนะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็รู้ใช่ไหมว่าไฟมันเป็นคนอารมณ์ร้อน มันคงไม่ยอมแน่หากรู้ว่าสิงห์ต้องเข้าไปเป็นสายเพราะมันอันตราย รวมถึงเรื่องจันถ้าไฟมันรู้แล้วไปอาละวาด เดี๋ยวแผนจะเสียกันไปหมด”

สิงห์คิดหนักก่อนจะถูกจับบ่า

“ถือว่าเห็นแก่ลุงและเห็นแก่ไฟ ลุงรู้ว่าพวกเอ็งรักกัน... แต่ลุงก็ไม่อยากให้ไฟมันรับรู้เรื่องนี้ ไม่ต้องทำเพื่อลุงก็ได้ แต่ถ้ารักไอไฟก็ทำเพื่อมัน ทำยังไงก็ได้ให้ไฟคิดว่าสิงห์ร่วมมือกับพวกมันจริง ๆ เพราะไม่อย่างนั้นพวกมันจะไหวตัวทัน ยิ่งกับไอจันที่เป็นเพื่อนกัน คงดูได้ง่ายถ้าเกิดไฟมันรู้แล้วนิ่งเงียบไป รวมถึงเสี่ยพันธ์และลูกน้องบางคนที่รู้ว่าสิงห์กับไฟเป็นเพื่อนกันมานาน ต้องทำให้พวกมันตายใจให้ได้ เข้าใจไหม”

น้ำหนักที่บีบลงมาทำเอาสิงห์ไม่สามารถปฏิเสธได้ ก็พอเข้าใจเหตุผลจึงพยักหน้า “ได้ครับ”

“ขอบคุณมากนะ”

“ครับ...”

สิงห์ได้แต่ถอนหายใจ หลังจากนั้นการตบตาก็เกิดขึ้นหลังจากออกจากห้องประชุม...

พอกลับถึงสิงห์บุรี เข้าไปในบ้านก็พบกับพ่อและจันที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“พอใจหรือยัง ตอนนี้ไม่ใช่ตำรวจแล้ว เป็นแค่ลูกโจรที่ช่วยเหลือพ่อตัวเอง”

เสี่ยพันธ์คลี่ยิ้ม “ก็ดีแล้วหนิ จะได้ช่วยงานพ่อจริง ๆ จัง ๆ เสียที”

สิงห์กัดฟันกรอดหันมองเพื่อนสนิทที่หันหน้าหนี พอรู้ว่าจันมันคิดจะฆ่าไฟก็ยิ่งโกรธจัดจนไปดึงตัวมันออกมาคุยกันเพียงสองคน

“ปล่อยกู” จันสะบัดแขนออกทันที

สิงห์จ้องเขม็งพร้อมชี้หน้ามัน “มึงทำร้ายกูได้ แต่อย่าทำคนที่กูรัก ไม่อย่างนั้นกูจะไม่เอามึงไว้เหมือนกัน”

จันนิ่งไปก่อนจะปั้นหน้ายิ้ม “ทำได้หรือ”

“กูทำได้แน่ แต่จะทำเพราะมึงคิดจะทำร้ายก่อน และกูหวังว่าความเป็นเพื่อนที่พวกกูมีให้มึงจะหลงเหลือในตัวมึงบ้าง ตอนนี้กูไม่สามารถยืนอยู่ข้างไฟได้แล้ว มีแต่มึงเท่านั้น คนที่หักหลังเพื่อนตัวเอง แต่มีเสี้ยวหนึ่งที่กูยังไว้ใจฝากไฟไว้ให้มึงดูแล”

คนฟังถึงกับดวงตาสั่นระริกแต่ก็กักเก็บมันได้ ถึงอย่างนั้นก็พอให้สิงห์ดูออก

“ตอนนี้กูต้องบอกว่าทั้งรักและเกลียดมึงเลยว่ะเพื่อน” ว่าเสร็จก็เดินออกไปปล่อยให้คนทรยศได้แต่ยืนกล้ำกลืนอยู่คนเดียว

 

 

 

๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๑

เรือนไทยของ หลวงศรีรวีชัย

สิงห์นั่งร่วมอยู่กับคุณหลวง เหตุผลที่มาก็เพราะมาคุยงานได้ส่วนหนึ่ง และมาส่งข่าวให้กับสารวัตรโขมด้วย เพราะเหมือนว่าท่านรองจะยังไม่บอกเรื่องที่เขาเป็นสายให้กับสารวัตรโขมรู้

“สิงห์” เขาได้ยินที่ไฟพูดและรู้ว่ามา ถือว่าจะได้ตบตาไปด้วยเลยว่าเขาเปลี่ยนเป็นโจรเต็มตัวแล้ว

“ฉันว่าฉันพูดกับสารวัตรให้เข้าใจแล้วนะ” คุณหลวงจ้องเขม็ง

“กระผมก็คิดว่ากระผมพูดกับคุณหลวงชัดแล้วเหมือนกันขอรับ” สิ้นคำพูดนั้นคุณหลวงก็ทุบโต๊ะยืนขึ้นเอาไม้เท้าชี้หน้าและคิดว่าคุณหลวงจะทำอะไรทั้งจ่าธงกับหมวดไฟที่เหม่อไปชั่วขณะกลับมาคุมสติหยิบปืนจ่อทางคุณหลวงทันที

สิงห์ยกปืนขึ้นจ่อฝั่งทางตำรวจเหมือนกันเพื่อประกาศชัดว่าเลิกเป็นตำรวจจริง ๆ ให้หลวงรวีชัยตายใจ

“วางปืนลงซะ” น้ำเสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมานานเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ทำให้ไฟยิ่งไม่เข้าใจจนลดมือลง

“สิงห์ทำไม...”

สิงห์มองคนตรงข้ามด้วยแววตาเรียบนิ่งแล้วลดมือลงก่อนจะหันไปทางคุณหลวง “กระผมว่าคุณหลวงอย่าไปสนใจพวกเขาเลยขอรับ ถ้าพวกเขาไม่สนใจก็ช่างพวกเขาไป ทางเราก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักกับแค่ตำรวจยศน้อยไม่กี่คน”

“สิงห์” น้ำเสียงที่ดูเจ็บปวดทำให้สิงห์ไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้อีก

“รีบตัดสินใจเถอะขอรับ กระผมต้องรีบไปเตรียมของ ยังไงต้องขอตัวกลับก่อน”

“จะไปแล้วหรือ” คนที่หงุดหงิดเมื่อกี้หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเมื่อแขกกิตติมศักดิ์ที่สุดกำลังจะกลับ

“ไว้เราค่อยมาคุยกันใหม่นะขอรับ” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไปกับลูกน้องสามสี่คนที่มาด้วย ก่อนจะส่งสายตาหาหมวดภพที่ยังคงอยู่ด้านบนเพื่อส่งข้อความให้สารวัตรโขม

หมวดภพรีบเดินเข้าไปหาแทนเจ้านาย “คุณหลวงขอรับ ปล่อยพวกเขาไปก่อนเถอะ”

“หึ” หลวงรวีชัยเค้นเสียงก่อนจะโบกมือเป็นเชิงปล่อย

หมวดภพเห็นอย่างนั้น ระหว่างที่กำลังลงบันไดก็สอดกระดาษบางอย่างใส่ในมือสารวัตรโขมและเดินไปที่รถมองหมวดไฟกับผู้กองสิงห์ที่ดูมีปากเสียงกันอยู่ ก่อนที่จะสั่งให้ลูกน้องคนอื่นไปกักตัวไว้ไม่ให้หมวดภพไปยุ่งกับผู้กอง

จ่าเกื้อมองหัวหน้าตนเองผ่านกระจกหลังอย่างนึกห่วง เพิ่งจะเคยเห็นผู้กองสิงห์ร้องไห้ก็วันนี้ บอกได้เลยว่าคุณสิงห์นั้นเข้มแข็งมาก แทบไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น แต่ตอนนี้กลับน้ำตาไหลพรั่งพรูจนคนมองตกใจ แม้อีกคนจะกลั้นเสียงร้องไห้ไว้แต่ก็รู้ว่าเจ็บปวดกับสิ่งที่ทำ

คงหนักใจมากที่ต้องแบกรับเรื่องนี้

 

 

๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒

หลังจากทำหน้าที่ส่งของเสร็จ สิงห์ก็มาถึงบ้านด้วยร่างกายที่อ่อนเพลีย จากการไม่ได้นอนมาหลายวัน อยากจะเดินขึ้นห้องแต่ก็หยุดชะงักเมื่อเห็นใครนั่งอยู่ห้องรับแขก

สิงห์ถอนหายใจ “มึงมาทำไม”

“กู... มีเรื่องจะคุยด้วย”

“กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง”

“เดี๋ยวสิงห์” จันรีบลุกขึ้น “กูขอร้อง”

สิงห์มองแววตาเพื่อนที่เหมือนเป็นคนเดิมที่รู้จักมานาน เขาพยักพเยิดไปข้างนอก ก่อนที่ทั้งคู่จะไปนั่งคุยกันที่โต๊ะหน้าบ้าน

“มีอะไร”

“กูพยายามจะฆ่าไอไฟกับน้าฤดี” เพียงได้ยินเท่านั้นสิงห์ก็เดือดดาลรีบขย้ำคอเสื้อคนข้างกายทันที

“ไอจัน มึงทำอะไรพวกเขา!”

จันยกมือทั้งสองขึ้น “ใจเย็นก่อน กูแค่จะบอกว่า... กูทำไม่ได้”

สิงห์ขมวดคิ้วมือค่อย ๆ คลายแต่ก็ยังคงไม่ปล่อย “เพราะอะไร”

“กูแม่ง... กูเห็นน้าฤดีเหมือนแม่กู เขาดีกับกูมากเลย ไอไฟมันก็เพื่อน ไอห่านี้ไม่เคยสงสัยในตัวกูเลยสักนิด โงฉิบหาย” ถึงปากจะด่าแต่ดวงตาก็คลอไปด้วยน้ำสีใส

สิงห์ปล่อยเพื่อนแล้วนั่งมองมันที่ปลดปล่อยความอัดอั้นออกมา

“ถ้าอย่างนั้นกูจะบอกอะไรมึงให้” พอเห็นว่ามันหันมองก็พูดต่อ “ที่จริงกูมาเป็นสาย กูไม่ได้ถูกพักราชการจริง ๆ”

จันเบิกตา “มึงบอกกูทำไม”

“เพราะกูเชื่อว่ามึงจะไม่บอกพวกมัน”

“มึงไม่รู้อะไรสิงห์”

“กูไม่รู้หรือ ใช่ กูคงไม่รู้อะไร”

“มึงไม่คิดว่ากูจะเอาไปบอกพ่อมึงหรือ ไม่คิดว่ากูจะเอาไปบอกพวกเจ้าสัวหรือไง”

สิงห์ยังคงไม่สะทกสะท้าน “จริง ๆ มึงควรจะคุยกับไฟ เผื่อจะช่วยกันแก้ไข แต่อย่าบอกเรื่องกู”

“ไม่ได้...” จันบีบมือแน่น “ยังไงกูต้องฆ่าใครสักคน”

“เพื่ออะไรวะ”

“เพื่อพ่อริน”

“พ่อริน? ไอวารินเหรอ”

“ใช่”

“เหอะ กูว่ามึงคงโดนหลอกใช้”

จันไม่สนว่ามันจะเป็นยังไง “สิงห์” มือทั้งสองข้างรีบจับแขนเพื่อน “มึงต้องฆ่ากูนะ”

“อะไรของมึงวะไอจัน”

“มึงต้องฆ่ากู ไม่อย่างนั้นกูคงไปฆ่าใครสักคนในครอบครัวไออนงค์”

“เลิกคิดอะไรแบบนั้น”

จันทำหน้าเครียด “กูอยากไปให้พ้นจากความรู้สึกนี้ กูอึดอัด กูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วสิงห์”

“มึงต้องเข้าตาราง ยอมรับผิดและช่วยเหลือกู”

“ไม่ได้ กูทำไม่ได้”

“มันไม่ได้ยุ่งยากเลย ถ้ามึงเห็นกูเป็นเพื่อน”

“มึงเข้าใจกูดีนะสิงห์” จันมองด้วยสายตาอ้างว้าง คล้ายคนไม่มีจุดหมายในชีวิตอีกแล้ว “กูเหนื่อย กูอยู่ไม่ไหวแล้วสิงห์ มึงเข้าใจกูใช่ไหมทำไมกูเป็นแบบนี้”

สิงห์มองเพื่อนนิ่งก่อนจะเสหน้าหลบ “กูไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจ เลิกคิดแบบนั้น ชีวิตมึงก็มีค่าสำหรับกูเหมือนกัน” พูดเสร็จก็เดินหนีมันไม่สนเสียงเรียกใดใด

“สิงห์! ไอสิงห์!”

๗ มิถุนายน ๒๔๘๒

แต่ถึงอย่างนั้น...

ปัง

“ไอจัน!!” เสียงของไฟเหมือนแก้วที่แตกพร้อมจะบาดลึกลงในหัวใจของคนยิง สิงห์น้ำตาไหลอยู่ข้างเดียว เป็นข้างที่ไฟไม่เห็น

ได้ยินเสียงเหมือนคนมาทางนี้จึงรีบเช็ดน้ำตาลวก ๆ ทำเป็นไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีอะไรครับนาย”

สิงห์เหมือนคนใจสลายที่ไม่สามารถแสดงออกได้ว่าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายังคงแสดงละครตบตาที่นึกทึ่งตัวเองที่ทำได้ขนาดนี้ “ไอหมวดไฟกับสารวัตรนั่นเผลอยิงมาเลยเกิดปะทะนิดหน่อย ส่วนมันถูกลูกหลง”

“ถูกลูกหลงเหี้ยอะไร!!” ไฟตะโกนเสียงดังยิ่งทำให้สิงห์อยากจะหนีไปจากตรงนี้ “มึงเป็นเหี้ยอะไรวะสิงห์! ทำแบบนี้ทำไม!”

“รีบไปเถอะ” สิงห์สั่งลูกน้องคนอื่น ๆ และเดินออกไปก่อนใคร ขาก้าวไม่หยุดจนแทบจะวิ่งแล้วถ้าไม่ติดว่ามีพวกไอมั่นมองอยู่ สิงห์ต้องระวังตัวไว้ตลอดแม้ตอนนี้อยากจะปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองขนาดไหน

พอมาถึงที่บ้านก็สั่งภพว่าห้ามใครเข้าพบ สิงห์ล็อกประตูอย่างแน่นหนา ก่อนที่ทั้งร่างจะทรุดลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง น้ำตามากมายไหลออกมาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ปากอยากจะตะโกนแต่กลับต้องกลั้นเสียงร้องไห้อยู่คนเดียวภายในห้องที่แสนจะกว้างเกินไปสำหรับสิงห์ ทั้งหนาว ทั้งมืด เหมือนห้องมันบีบเข้าหาตัวเอง เสียงจันลอยเข้าหู มือไม้สั่นเมื่อเห็นภาพเลือดและปืนที่ถือไว้

สิงห์เป็นอย่างนี้ หลอนทั้งเสียงทั้งภาพตลอดหลายเดือน จนหมวดภพเป็นห่วง จะบอกคุณพิมพ์อรกับคุณต้นอ้อก็ไม่ได้ มีทางเดียวก็คือบอกจ่าธงที่น่าจะปลอบคุณสิงห์ได้ ภพให้จ่าเกื้อแอบพาจ่าธงเข้ามาในบ้านและขึ้นไปหาคุณสิงห์

เมื่อสิงห์เห็นใครก็เผลอโผเข้ากอด เสียงร้องไม่มีให้ได้ยินเลยสักนิด แต่ดวงตาบอบช้ำ ใบหน้าทรุดโทรม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายก็ซูบผอมจนน่าห่วง

“ลุงอยู่นี่นะ ไม่เป็นไร ๆ” จ่าธงลูบหัวหลาน ปลอบอยู่หลายวันเลยก็ว่าได้สิงห์ถึงจะยอมกินข้าวและออกจากห้อง

 
*มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓ (๒/๒) {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-06-2020 02:25:08
*ต่อจากด้านบน



เมษายน ๒๔๘๓

“ลุงสมานคงรู้ใช่ไหมว่าไม่สามารถช่วยแม่ผมได้” สิงห์ยืนคุยกับตาสมานที่เคยส่งจดหมายหาแม่ตนว่าจะพาหนี ตาสมานเป็นเพื่อนกับลุงสมหมายที่เป็นลูกน้องพ่อ ตอนที่ลุงสมหมายต้องไปเฝ้าแม่ตามคำสั่งพ่อทุกครั้งที่แม่ออกไปจ่ายตลาด จึงได้คุยกับตาสมานบ้าง

ทั้งคู่หลงรักกันมานาน และที่สิงห์โมโหดเพราะแม่ไม่บอกอะไรเลย มันจะเกิดอันตรายขึ้นได้ ยิ่งมาเจอว่าตาสมานแอบเข้ามาโดยได้รับความช่วยเหลือจากลุงสมหมายและกฤษเพื่อจะพาแม่หนี แต่ก็ถูกภพจับได้เสียก่อน สิงห์จึงพาตาสมานเข้าห้องตนเองทันที

“แต่ลุงอยากช่วยพิมพ์อรกับหนูต้นอ้อออกมา”

สิงห์ถอนหายใจ “มันอันตราย”

“แล้วจะให้ลุงทำไง คอยดูแต่ภายนอก ทั้งที่คนรักถูกโดนทุบตีอย่างนั้นหรือ”

“ผมเข้าใจลุง แต่ลุงต้องใจเย็น ๆ ก่อน ถ้าเกิดว่าตอนที่ลุงแอบเข้ามา ดันเป็นคนอื่นที่เห็นล่ะจะทำยังไง ป่านนี้ลุงโดนพวกไอมั่นพาไปทรมานเค้นถามแล้ว”

ตาสมานสบถกับตัวเอง

“ผมอยากให้ลุงรอก่อน รอผมวางแผน ลุงรอได้ใช่ไหมเพราะผมก็อยากให้แม่กับน้องพ้นไปจากนรกนี่เหมือนกัน”

สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม สิงห์เลยขอเรียกประชุมลับ ๆ โดยขอร้องนนท์ให้มาช่วยวางแผนอีกแรง ในห้องพักของสารวัตรโขมจึงมีหมวดภพ นนท์ จ่าธงและหมอรัตน์ รวมถึงลุงสมหมายกับกฤษที่เปลี่ยนตัวเองอยากกลับตัวกลับใจ

“ผมจะบอกแผนคร่าว ๆ นะ” สิงห์ว่าด้วยสีหน้าจริงจัง “เราจะทำให้คุณพิมพ์อรกับต้นอ้อ เหมือนถูกฆ่าตายแล้ว เพื่อความปลอดภัย จะได้หลบไปอยู่ที่อื่นได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะตามจับอีกแล้ว ผมอยากจะให้จ่าธงไปหาศพผู้หญิงสองคนมากับผู้ชายอีกหนึ่งคนมีอายุหน่อย ขอที่ไม่มีญาตินะ ไว้เราจะขอขมาพวกเขาด้วย ถึงมันจะไม่ดีแต่ก็หาวิธีอื่นไม่ได้ ต้องใช้ศพจริงเพื่อความสมจริง ฝากหมอรัตน์ปลอมแปลงเอกสารเรื่องศพให้ด้วย”

หมอรัตน์ถอนหายใจ ไม่ค่อยจะอยากสนับสนุนแต่ก็ต้องทำ “ได้ครับ”

“ผมจะให้ลุงสมานทำเป็นเข้าไปช่วย เสี่ยพันธ์จะได้ไม่สงสัย ถ้าเผื่อฉุกเฉินอะไรผมจะให้หมวดภพรอช่วยที่นั่นด้วย และลุงสมหมายกับกฤษแกล้งปลอมตัวไปเป็นชาวบ้านทำเป็นบอกตำรวจว่าฉันเป็นคนทำ จะได้มีการลงข่าวและพวกเจ้าสัวจะได้รู้ว่าผมเป็นโจรเต็มตัวจริง ๆ”

“ครับ” ทั้งคู่ตอบรับทันที

“ผมจะทำเป็นว่าลุงสมานถูกฆ่าที่บ้านนั้น ส่วนคุณพิมพ์อรกับต้นอ้อขับรถหนีไปสองคน ผมจะบอกพวกเธออีกทีว่าให้ขับไปทางตลาด รวมถึงให้จ่าเกื้อแกล้งสั่งคนอื่น ๆ ให้ขับรถตามทีหลัง ชาวบ้านจะได้เห็นและเอาไปเล่าปากต่อปากได้ว่าคุณพิมพ์อรกับลูกสาวได้ทำการหลบหนีเสี่ยพันธ์ ขอฝากลุงสมหมายทำหน้าที่ขับรถไล่ตามไปก่อนนะ ขับช้า ๆ ไว้ก่อน เสร็จจากตรงนั้นไว้ช่วงเช้ามืดถ้าตำรวจรู้ก็ไปปลอมตัวเลย”

พอลุงสมหมายพยักหน้าสิงห์ก็พูดต่อ “สารวัตรโขมผมอยากจะให้คุณไปรอเปลี่ยนรถกับคุณพิมพ์อรพร้อมกับนนท์ที่ทางลัดทางหนึ่งจะได้ไม่มีใครเห็น”

“ได้”

“ผมจะให้จ่าเกื้อทำเป็นยิงปืนใหญ่ใส่รถคันนั้น เดี๋ยวนนท์จะเปิดเกียร์ค้างไว้ทำให้รถไหลไปเอง พวกลูกน้องพ่อคนอื่นที่ไปด้วยจะได้ไม่สงสัยกัน ศพนั้นก็ตบตาได้เป็นอย่างดี”

“ถ้าเกิดไม่สำเร็จแล้วเกิดเหตุฉุกเฉินล่ะ” หมอรัตน์ถามอย่างสงสัย

“ผมจะให้จ่าธงรออยู่ที่ป่าข้างไร่ผม ตรงนั้นไม่มีใครรู้ว่ามีทางทะลุมาได้ เผื่อว่าลุงสมานบาดเจ็บจะให้ส่งไปหาคุณทันที ถ้าเกิดแผนล่มที่บ้านก็จะให้ภพช่วยในเรื่องนี้ได้ รวมถึงจ่าเกื้อที่ยังคงไม่ไปตามแผน เพราะยังไงผมจะให้ลุงสมหมายรอในรถไว้ รอให้คุณพิมพ์อรขับไปไกลพอที่จะเปลี่ยนรถได้ทัน”

“นี่ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณยังไม่ถูกพักราชการนะ คุณคงเป็นคนหนึ่งที่น่ากลัวจริง ๆ” สารวัตรโขมว่าอย่างนึกทึ่งในการวางแผน

“อ้อ ลืมบอกเลยครับ เดี๋ยวผมว่าจะฝากสายลับคนหนึ่งไว้กับสารวัตรโขม เพราะจะให้ผมหรือหมวดภพกับจ่าเกื้อออกไปข้างนอกบ่อยจะเป็นที่จับตามองเอา”

“ใครหรือครับ”

“เทิดครับ”

“เขาจะร่วมมือหรือครับ”

สิงห์ขมวดคิ้ว “ผมต้องลองคุยกับเขาก่อน แต่เทิดก็ถือว่าเป็นสายลับได้ดี ยังไงเขาก็ไม่ชอบพวกคดโกงคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าสารวัตรโขมอยากรู้อะไรก็อาจจะสั่งเขาได้”

สารวัตรโขมพยักหน้า “ผมเองก็อยากได้เขามาเป็นพวกเหมือนกัน”

พอพูดคุยอะไรกันเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มตามแผนจริง ๆ

 

๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๓

สิงห์กระดิกนิ้วกับโต๊ะรอสัญญาณของหมวดภพ เขามองแม่กับน้องที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน

“สิงห์อยู่ที่นี่คนเดียวได้หรือลูก” พิมพ์อรถามอย่างนึกห่วง

“ไม่เป็นไรครับแม่ ยังมีหมวดภพกับจ่าเกื้ออยู่” เพราะเขาได้เล่าให้ฟังหมดแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไงและแม่กับต้นอ้อดูจะไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่เขาไม่บอกอะไรกับไฟเลย

“อย่างน้อยก็ให้ไฟเขารู้หน่อยก็ได้นะลูก”

“นั่นสิคะพี่สิงห์ พี่ไม่สงสารพี่ไฟเหรอ”

สิงห์หลุบตาลง “มันจำเป็นน่ะ”

“แต่—”

ปัง

ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง “พ่อ..”

“ละ..ลุงไม่ได้ตั้งใจ ลุงแค่ตกใจ” ลุงสมานว่าอย่างนั้นก่อนจะปาปืนทิ้ง

สิงห์หลับตาเพื่อตั้งสติก่อนจะรีบทำตามแผนทันที “ภพพาพ่อไปหาจ่าธงข้างป่า ต้องเอาไปส่งหาหมอรัตน์ด่วน ส่วนลุงสมานไปแอบหลังรถ แม่ ต้นอ้อรีบลงไปขึ้นรถแล้วขับรถหนีไปซะ”

“สิงห์” เธออยากบอกลาลูก แต่ก็ทำไม่ได้

“รีบไปเถอะครับ เร็ว!” สิงห์สั่งเสียงแข็งก่อนที่ทุกคนจะดำเนินตามแผนของตัวเอง เขาเดินเข้าไปในห้องตัวเองก่อนจะขนศพผู้ชายออกมาจากห้อง กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งก่อนจะลาดเลือดปลอมลงบนศพอีกที

ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอก สิงห์จึงลงไปข้างล่างเห็นทุกคนวุ่นวายพากันไปหยิบอาวุธ เขาส่งซิกให้จ่าเกื้อที่นั่งบนหลังรถพร้อมกับตะโกนสั่งคนอื่นให้หาปืนใหญ่ที่ต้องเอาไปหลบซ่อนเพื่อให้หาเจอได้ยากเล็กน้อยจะได้ชะลอเวลา ก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุงสมหมายที่นั่งเป็นคนขับ

“เกิดอะไรขึ้น” ไอมั่นวิ่งมาพร้อมกับขมวดคิ้ว

“มึงไปเก็บศพไอคนข้างบนให้หน่อย”

“ศพ? ศพใคร”

“ชู้ของพิมพ์อร มันจะพาหนี แต่กูฆ่ามันไปแล้วส่วนพ่อกูถูกมันยิง ภพพาไปส่งหมออยู่ ตรงนี้เลยเหลือแต่มึง”

มั่นยังคงนึกสงสัย “คุณน่ะเหรอฆ่าชู้คุณพิมพ์อร”

สิงห์ปรายตามอง “หรือมึงอยากจะโดนกูอัดลูกปืนไปด้วยเลยดี ถ้ายังมาถามเจ้านายมึงอยู่อย่างนี้แล้วไม่ทำตามที่กูสั่งสักที”

มั่นสบถเสียงเบาแล้วสั่งลูกน้องตนเองขึ้นไปข้างบนเพื่อจะเก็บศพ แม้จะสงสัยว่าศพที่เพิ่งถูกฆ่าทำไมถึงส่งกลิ่นเหม็นขนาดนี้

ทางนนท์ตอนนี้อยู่กับรถอีกคันที่มีศพปลอมกับสารวัตรโขมที่เอารถตนมาด้วยเพื่อรอเปลี่ยนรถ

“นั่นมาแล้ว” สารวัตรโขมชี้ก่อนจะโบกมือให้รถคุณพิมพ์อร

พอรถจอดลง เธอก็รีบลงมาทันที “ขอบคุณนะคะที่ช่วย”

“ยินดีครับ รีบไปเถอะครับ” สารวัตรโขมผายมือก่อนจะลากศพนั้นไปไว้อีกรถ

พิมพ์อรกับต้นอ้อหันหนีทันทีพร้อมกับขอขมาในใจ

“ขึ้นรถเถอะครับ ผมจะพาไปที่วัง” นนท์บอกและเป็นคนขับรถให้ทั้งสามคนก่อนจะหันมองทางสารวัตร “ฝากสารวัตรบังคับพวงมาลัยให้มันตรง ๆ นะครับ”

“ได้เลย พวกคุณรีบไปเถอะ” พอนนท์ขับรถออกไปแล้วสารวัตรโขมจึงรอบังคับพวงมาลัยอีกสักพักพอมันเริ่มไหลลงเร็วขึ้นก็รีบไปขึ้นรถตัวเองแล้วขับหนีไป

เพียงไม่นานสมหมายก็ขับมาถึงจุดที่คุณสิงห์บอกก่อนจะจอดไกลจากระยะเล็กน้อย จ่าเกื้อจึงยกปืนใหญ่ขึ้นบ่าเอียงคอหรี่ตาเล็งไปทางรถคันนั้นและยิงทันทีจนมันเกิดระเบิดขึ้น ลูกน้องคนอื่นรีบลงไปดูศพ พอเห็นว่าเป็นศพจริงกับรถที่เป็นของเสี่ยพันธ์จึงเชื่อกันสนิทว่าในนั้นคือศพของพิมพ์อรกับต้นอ้อจริง ๆ และพากันกลับที่ไร่ ลูกน้องของมั่นบางคนที่ไปด้วยก็บอกหัวหน้าตัวเอง จึงทำให้ไอมั่นไม่ได้สงสัยอะไรมากอีก

วันที่ไฟบุกมาที่บ้าน สิงห์กลัวว่าพวกของไอมั่นจะเผลอยิงเลยรีบออกมา ยิ่งเห็นว่าถูกรุมทำร้ายก็อยากจะหยิบปืนยิงหัวพวกมันทุกคนที่กล้าทำคนรักของเขา แต่ก็ต้องทำตัวเหมือนไม่ใส่ใจ เพราะเขาเห็น...

ไอมั่นกำลังยืนดูอยู่

เขาต้องรีบให้พวกนั้นออกไปเพราะไฟดันเผลอพูดความลับระหว่างเราขึ้นมา ยังดีที่ไม่มีใครเอะใจ สิงห์อยากจะพาคนรักไปโรงพยาบาลตอนนี้แต่ก็ทำไม่ได้

“เลิกทำแบบนี้ได้ไหม”

“เลิกทำอะไร? คำพูดคลุมเครืออย่างนี้ใครจะไปเข้าใจกัน” สิงห์หันมาถามพลางเลิกคิ้ว

“มึงก็รู้ดียู่แก่ใจ” ไฟพูดติดขัดดวงตาหรี่ลงร่างกายคล้ายจะทรุดอยู่ตลอดเวลา

สิงห์ทำเพียงมองใบหน้าที่บวมช้ำไม่ได้ตอบอะไรออกไป ทว่าแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นไฟก็ล้มลงมาด้านหน้าแต่สิงห์ก็เบี่ยงตัวหลบจนไฟหน้าคะมำลงไปกับพื้นอย่างแรงจนฝุ่นข้างล่างคลุ้งไปหมด

ส่วนคนที่มองอยู่ได้แต่ส่ายหัว “มึงมันโง่ไอไฟ” สิงห์ว่าเสียงเบาแล้วหันมองรถที่อีกคนเป็นคนขับเข้ามา “ไอเกื้อ!”

คนถูกเรียกรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหลังจากที่หลบตามพุ่มหญ้าอยู่นานคล้ายนายสิงห์จะรู้ว่ามันแอบดูอยู่ “แฮะ ๆ ครับนายสิงห์”

“เอามันไปทิ้งที่หน้าโรงพักซะ”

“ต้องพาไปรักษาก่อนไหมครับ”

“ไม่ต้อง ถ้าโดนยิงแค่นี้แล้วตายก็ปล่อยมันไป ก็ถือว่าสาสมที่มายิงลูกน้องกู” สิงห์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ขอให้จ่าเกื้อรับรู้ว่าต้องไปส่งโรงพยาบาลเพราะตอนนี้ไอมั่นมันยังคงยืนมองไม่ห่าง ถ้าไม่พูดอย่างนั้นเดี๋ยวพวกมันจะสงสัยเอาได้

 

 

๑๘ พฤษภาคม ๒๔๘๓ เวลา ๐๐:๒๐ น.

สิงห์ถอนหายใจก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ จ่าธงบอกว่าไฟจะไปพระนครวันนี้แล้วและคิดว่าคงจะมาหาเขาถึงที่นี่

และดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แม้สิงห์อยากจะบอกลาอย่างปกติแต่ก็ยังคงตบตาว่าไม่ได้รอและกลายเป็นพวกไม่มีหัวจิตหัวใจ

ในตอนที่ไฟในห้องดับลงเพราะคนรักไปปิดมันก่อนจะออกทางหน้าต่าง สิงห์จึงขยับร่างกายตามใจ เขาหยิบผ้าปิดปากและหมวกของคนรักที่ไม่ได้เอาติดไปด้วย กอดมันไว้แนบอกและมองไฟจากในที่มืดด้วยความรู้สึกผิด

ไฟยิ้มอย่างเหนื่อยไปทั้งกายและใจหันไปมองคนรักด้วยน้ำตาที่คลอเล็กน้อย “ไฟรักสิงห์นะ และยังคงรักเสมอ”

สิงห์ก็รักไฟ และยังคงรักเสมอเหมือนกัน

“ไปครั้งนี้คงนาน ฝากดูแลแม่ด้วยนะ ท่านอยู่บ้านคนเดียว” สิงห์ไม่เอ่ยปากแต่ตอบรับในใจแล้วว่าจะดูแลให้ “ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะไม่บุกมาเหมือนอาทิตย์ก่อนอีกแล้ว จะพยายามใจเย็น”

สิงห์ยังเงียบอยู่อย่างนั้น แม้จะยิ้มทั้งน้ำตา “น่าแปลกนะ มึงเคยเตือนเรื่องนี้ตั้งหลายรอบ กูก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ดูตอนนี้สิ แม่งเหมือนหมาที่เพิ่งมาคิดได้ ถึงแม้ว่ากูยังไม่รู้เลยว่ากูจะทำได้จริงหรือเปล่า”

ทำได้สิ ไฟต้องทำได้อยู่แล้ว

“สิงห์... ถ้าวันไหนกูเกิดตายขึ้นมามึงจะร้องไห้หรือเปล่า”

คำถามนั้นทำเอาสิงห์ชะงัก มือกำผ้ากับหมวกของคนรักแน่น ปากพรหมจูบลงไปและบอกในใจว่า จะไม่มีวันให้ไฟเป็นอะไรเด็ดขาด

 “กูแค่ถามไปอย่างนั้นแหละ คงเพราะในชีวิตกูเคยมีแต่มึงมาคอยช่วยแล้วก็มีแต่คิดว่ามึงยังรอกูกลับจากปฏิบัติหน้าที่กูเลยรอดมาได้ตลอด แต่ว่าพอไม่มีมึงมาห้ามไม่ให้ใจร้อน ไม่มีมึงที่รอกินข้าวด้วยกัน ชีวิตกูก็ขาดแสงสว่างไป กูยอมรับว่าชีวิตกูอยู่ได้เพราะมีแต่มึง”

สิงห์ก็อยู่ได้เพราะมีไฟ... ไฟคือแสงสว่างของสิงห์เหมือนกัน

“เพราะฉะนั้นกูจะตามหาความจริงด้วยตัวเอง วันนี้อาจจะไม่ใช่วันของกูเพราะกูไม่ได้เข้มแข็งพอ หากพบกันอีกกูจะไม่ให้มึงมาไล่กูได้อย่างนี้แน่นอน”

สักวันก็อยากจะบอกความจริงทุกอย่างเหมือนกัน แต่ก็กลัวเหลือเกินกับสิ่งที่ทำเกินตัว ยิ่งมีความผิดฆ่าเพื่อนตัวเองปากมันก็ดันแข็งขึ้นมา

“กูไปก่อนนะสิงห์ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ... รักมึงนะ”

รักไฟเหมือนกัน รักมาก และขอให้เดินทางปลอดภัย

เสียงคนกระโดดลงพื้นและวิ่งออกไปทำให้สิงห์เผลอส่งเสียงออกมา เขายังกำผ้าในมือและเดินไปทางหน้าต่าง มองเห็นแผ่นหลังคนรักอยู่ไกล ๆ ก่อนจะหายเข้าไปในป่า

“ไฟ...” สิงห์เม้มปากคุกเข่าลงตรงนั้นที่ไปกอดลาอีกฝ่ายไม่ได้

 

ปี ๒๔๘๗

สิงห์รู้แล้วว่าไฟกลับมาแต่เขาก็ยุ่งเหมือนกัน พอจ่าธงบอกว่าไฟจะไปจับเสี่ยโก้ที่บาร์ สิงห์เลยไปที่นั่น ทำเป็นไปนั่งคุยกับลูกน้อง แต่ที่จริงอยากไปเจอ ตอนเห็นหน้าคนรักดวงใจก็เต้นระส่ำ พอเห็นว่าไฟดูใจเย็นขึ้นก็ยินดีกับอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็จำต้องแสดงละครต่อไป

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ เทิดบาดเจ็บจนต้องพักรักษา สิงห์เลยปลอมตัวไปเป็นสายให้สารวัตรโขมแทน แล้วเขาก็เจอกับคนรัก แต่เพราะไฟไม่รู้ว่าเขาคือใคร จึงเผลอตัวเขียนข้อความในสิ่งที่อยากพูดกับอีกฝ่าย

“คุณนี่ลายมือสวยมากเลยนะครับเหมือน...” เสียงนั้นเงียบไปและสิงห์ก็รู้ดีว่าไฟหมายถึงใคร “ขอโทษทีครับ”

ภายใต้ผ้าปิดปากสิงห์ยิ้มบางก่อนจะก้มเขียนอีกรอบในสิ่งที่อยากจะบอก

‘ดูแลตัวเองด้วย’

เขาเห็นคนรักดูตกใจแต่ก่อนจะได้คุยอะไรคนอื่น ๆ ก็ออกมา

“แล้วคุณจะไปด้วยกันไหมครับ” สิงห์ยกกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นแทนการตอบ “ถ้างั้นผมไปก่อนนะ”

สิงห์นิ่งไปมองสำรวจคนรักให้เต็มตาก่อนจะพยักหน้า และขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามหลังเพื่อคุ้มกันอีกที

 

วันนี้ต้องมาขอความร่วมมือกับหลวงธารานันท์ สิงห์ออกจะเบื่อหน่ายเสือเอี้ยงที่กระแนะกระแหนใส่คนอื่น แต่ที่มันพูดก็ไม่ผิดนัก ในเมื่อตกลงอะไรไม่ได้ก็เตรียมจะกลับที่ของตัวเอง

“เดี๋ยวก่อนสิงห์” หลวงธารานันท์เอ่ยเรียก

สิงห์จึงพยักหน้าบอกหลวงรวีชัยเป็นเชิงว่าให้ไปก่อน “ขอรับ”

“อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลยนะลูก” หลวงธารานันท์ดูเศร้าสร้อย “พ่อไม่อยากให้ลูกต้องแบกรับเรื่องพวกนี้ บางทีลูกควรจะบอก—”

“พอเถอะขอรับ” สิงห์สั่งเสียงแข็ง “กระผมต้องขอบคุณ คุณหลวงที่หวังดีแต่กระผมเลือกแล้ว”

“อย่างน้อยคนที่สำคัญกับลูกก็ควรจะรู้”

สิงห์หันหน้าหนี “อย่ายุ่งกับชีวิตกระผมเลยขอรับ” เขาบอกไปแล้วว่าเหตุผลที่ทำเพราะอะไร แต่ตอนนี้เรื่องมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

“พ่อเห็นเอ็งเหมือนลูกนะสิงห์”

“ในเมื่อคิดอย่างนั้น ก็อย่ายุ่งกับกระผม ถือว่าลูกขอแล้วกันขอรับ” สิงห์หันมองก่อนจะเดินออกไปไม่ฟังเสียงเรียกของหลวงธารานันท์เลยสักนิด ได้แต่ขอโทษคนที่เปรียบเสมือนพ่อในใจ ถึงจะอยากบอกไฟมากเหมือนกันแต่ก็ยังทำไม่ได้ เขาไม่มีความกล้ามากพอ

 

 

สิงห์นัดกฤษมาคุยเรื่องเจ้าสัวเหวย เพราะเขาได้ส่งกฤษกับลุงสมหมายเข้าไปเป็นสายด้านใน แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมาเห็นพวกเขา

“หมวดไฟ?” ภพรีบลดปืนลง “มาอยู่ที่นี่ได้ไง”

ไฟกัดฟันก่อนจะทำเป็นจับกฤษไว้ “ผมต่างหากที่ถามพวกคุณว่ามาทำไมกัน ผมกำลังจะจับคนที่ให้การเท็จเรื่องคดีที่ผมทำอยู่ พวกคุณรู้จักเขาหรือไง”

“เปล่า ไม่รู้จัก” สิงห์ตอบทันที ใบหน้าที่ดูตกใจเมื่อกี้หายไปแล้ว ไฟมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงหรือว่าจะรู้แล้วว่ากฤษปลอมตัวไปเป็นชาวบ้าน

พอเห็นกฤษหนีไปได้ก็นึกโล่งอก เกื้อกับภพรีบวิ่งไปยืนบังจนไฟหงุดหงิด เขาจึงเอ่ยบอกเสียงเรียบ เผื่อไฟจะหันมาสนใจเขาแทน “จะไปขวางภารกิจสำคัญของเขาทำไม นาน ๆ ที จะได้เห็นคนทำงานเป็นสักที ไม่ใช่เอาแต่หัวร้อนกับเรื่องไร้สาระ”

ไฟหันมองก่อนจะเดินไปผลักให้สิงห์ติดกำแพง “สนุกมากรึไง!”

สิงห์ใช้มือกวักไล่ให้ลูกน้องทั้งสองออกจากตรงนี้ถึงจะพูดกับคนตรงหน้า “ก็แค่ลูกน้องกูเผลอไปยืนบังมึงเอง จะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร”

“เหอะ” ไฟยิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเอง “กูแม่งโง่ฉิบหายที่ดูพวกมึงไม่ทัน ว่าโกหกอะไรกูบ้าง”

สิงห์นิ่งไปทันตา แต่ก็ยังคงเล่นละครตบหน้า “คิดเองเออเองอีกแล้วนะผู้หมวด ไหนบอกจะตามจับไง นี่หรือตามจับ หรือตามตัดพ้อไอเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี่นะเหรอ”

“มึงเหนื่อยไหมสิงห์”

พอเห็นว่าไม่ตอบอะไรไฟจึงพูดต่อ “ตอนนี้กูไม่มั่นใจอะไรในตัวเองแล้ว ว่ากูจะคิดว่ามึงเลือกเดินทางไหนกันแน่ ทุกครั้งที่กูคาดหวัง ก็จะเป็นมึงที่มาทำลายความหวัง ที่กูถามว่าเหนื่อยไหม กูก็ไม่รู้ว่ากูอยากได้คำตอบแบบไหน คำตอบที่บอกกว่าเหนื่อยจริง ๆ หรือคำพูดที่ทำลายความรู้สึกกูเพิ่มเพื่อให้กูตัดสินใจ ว่าจะไม่เชื่อในตัวมึงอีกแล้ว”

ต่างคนต่างเงียบไปกับความคิดของตัวเอง ใบหน้าของคนรักดูเจ็บปวด มือที่บีบไหล่เขานั้นค่อย ๆ คลายลงและปล่อยลงในที่สุด

“กูเข้าใจแล้ว” ไฟพยักหน้า “ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก เพราะมึงแสดงให้กูเห็นหมดแล้ว”

สิงห์ยังคงไว้ใบหน้าเรียบนิ่งพอไฟเดินออกไปจนลับตาเขาก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ได้แต่ขอโทษไฟในใจ ถึงจะขอโทษเป็นพัน ๆ ครั้ง ก็ยังไม่พอเลยด้วยซ้ำกับความผิดครั้งนี้

 




 ------------------------------------------------------------------------------

ตอนแรกว่าจะไม่เอาลง แต่สุดท้ายก็เอาลง5555555 เพราะอยากให้รู้จริงๆ

ให้คิดว่าตอนเราอ่านแต่พาร์ทของไฟเลยไม่รู้ว่าสิงห์คิดอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น ซึ่งตอนนี้ก็ได้รู้แล้วนะคะ

ซึ่งแต่ละเหตุการณ์นั้นก็น่าจะคุ้นเคยกันบ้าง

-          ๖ พฤษภาคม ๒๔๘๑ (ตรงกับบทที่ ๑๓ ย้อนวัย : อดีตที่จบสิ้น)

เป็นวันที่สิงห์ถูกพักราชการ ตอนนั้นคุณนักอ่านจะรู้แค่ว่าสิงห์เข้าไปคุยกับรองอนงค์ แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน เราเลยส่งช่วงนี้ลงไปค่ะ

-          ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๑ (ตรงกับบทที่ ๑๓ ย้อนวัน : อดีตที่จบสิ้น)

ซึ่งวันที่นี้ไม่มีในนิยาย แต่เป็นหลังจากวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ตามที่ในนิยายบอกว่าสารวัตรโขมจะมาบรรจุที่สถานีอ้อยขวาง และได้ไปพบปะกับคุณหลวงเพื่อขอให้สารวัตรโขมช่วยเหลือหลวงรวีชัย ตามที่บอกไปว่าสารวัตรรู้ว่ามีทีมลับแต่ยังไม่รู้ว่าสิงห์ก็อยู่ในทีมลับและเพิ่งรู้วันนั้นเองค่ะ ตามนิยายถ้าใครสังเกตจะเห็นว่าสารวัตรโขมนั้นคิดว่าสิงห์กลายเป็นโจรเต็มตัวจริงๆ

-           ๒๘ มีนาคม ๒๔๘๒ (ปีนี้ ตรงกับบทที่ ๑๔ : ฆ่าเพื่อน)

ไม่มีวันที่นี้ในนิยาย และไม่มีบอกในบท แต่ว่าเป็นปีเดียวกับที่จันถูกฆ่า นั่นเป็นครั้งแรกที่จันบอกสิงห์เรื่องที่ว่าฆ่าเพื่อนไม่ลงค่ะ

-          ๗ มิถุนายน ๒๔๘๒ (ตรงกับบทที่ ๑๔ : ฆ่าเพื่อน)

ทุกคนคงรู้ดีว่าวันนั้นตรงกับวันอะไร...

-          เมษายน ๒๔๘๓ (ตรงกับบทที่ ๑ : ศัตรูที่เกลียดไม่ลง)

ไม่มีเดือนนี้ในบท แต่ว่าเป็นเดือนก่อนที่จะจัดฉากว่าสิงห์สั่งฆ่าแม่กับน้องตัวเอง หลังจากนั้น ตามบทที่มี คือวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๓ เป็นวันเริ่มดำเนินแผนนั่นเองค่ะ

-          ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๘๓ เวลา ๐๐:๒๐ น. (ตรงกับบทที่ ๒ : ยังคงรัก)

ถ้าจำได้ไฟจะแอบไปหาสิงห์ และหน้าต่างเปิดไว้ไม่มีใครเฝ้าข้างล่างด้วย ก็เป็นเพราะสิงห์เองนั่นแหละค่ะที่รออีกฝ่าย แต่ต้องแสดงละครตบตาว่าไม่ได้รอ ทุกคนน่าจะจำได้ว่าไฟเอาผ้าปิดปากกับหมวกถอดไว้ แต่ก็ไม่ได้เอากลับ เพราะลืมนั่นเอง5555 แต่สิงห์ก็กอดผ้าพวกนั้นไว้ และบอกลาไฟเหมือนกันค่ะ แม้จะในใจก็เถอะ

-          ปี ๒๔๘๗ ปัจจุบัน (ตรงกับบทที่ ๑๖ : ผลชันสูตร บทที่ ๑๗ : ทีมลับ และ บทที่ ๑๘ : สัตว์เดรัจฉาน)

บทที่ ๑๖ คือตอนที่สารวัตรโขมถูกลอบฆ่า แล้วเทิดบาดเจ็บจากงานอื่นพอดีสิงห์เลยมาแทน และบอกความจริงไปแล้วในบทที่ ๒๑ : กำจัดปลาน้อยอีกครั้ง

บทที่ ๑๗ คือตอนที่สารวัตรโขมต้องไปปกป้องหลวงธารานันท์หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันค่ะ ถ้าใครจำได้หลวงธารานันท์จะพูดกับสิงห์เหมือนรู้และให้บอกไฟ แต่สิงห์ก็เริ่มกลัวและไม่กล้าค่ะ จากที่ทำเรื่องเลวร้ายมาตลอดแม้บางอย่างที่ทำมันจำเป็นก็ตาม

บทที่ ๑๘ ทุกคนน่าจะจำได้ว่าสิงห์ดูตกใจที่เห็นไฟ ช่วงนี้ใครหลายคนน่าจะเดาออก ว่าสิงห์ไม่ได้ตั้งใจทำ และมีแผนการอยู่

ในตอนนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากเล่าในพาร์ทของสิงห์ที่คุณนักอ่านไม่ได้รู้ มันเยอะมากเลย จริงๆก็มีที่ยังไม่ได้เปิดเผยอีกแต่คิดว่าพอแค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวมันจะยาวจนเกินไป จบแล้วก็ต้องพักสมอง อ่านเรื่องไม่เครียดแหละเนาะ55555

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๔ {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-06-2020 02:28:13
 

บทพิเศษ ๑.๔

แทบขาดใจ

 


ปี ๒๕๐๒

“เฮ้ย ๆ ๆ จับมันเร็ว” เสียงทุ้มใหญ่พูดเสียงดัง หนวดสีเข้มอยู่เหนือปากทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นมาก มือก็เท้าเอวมองเด็กสามคนวิ่งกันให้วุ่น “เอ้าไอกล้า เอ็งจะไปกลัวมันทำไมวะ!”

คนที่นั่งอยู่กับโต๊ะไม้ใกล้ริมคลองมองสี่ลุงหลานกำลังวุ่นกับการจับไอมารวยหรือสุนัขที่ชอบมาคาบรำไปกิน วันนี้ก็มาอีกแล้ว สิงห์ส่ายหน้าปากเจือด้วยรอยยิ้มมือก็วุ่นอยู่กับการประกอบสายเอ็นกับที่เกี่ยวเบ็ดให้เด็ก ๆ ทั้งสามคนที่วันนี้อยากจะมาตกปลากับลุงไฟเขา

“ไอแก้วไปดักตรงนู้นสิ” ไฟชี้ย้ำ ๆ แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี “ไม่ได้เรื่องเลยพวกเอ็งเนี่ย”

“โห่ บ่นอยู่นั่นแหละ ลุงไฟไม่มาจับเองล่ะ” เสียงเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นและก็เป็นเสียงเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ที่มีศึกระหว่างคู่ลุงหลานสองคนนี้บ่อยเสียซะจนคนนอกคิดว่าไฟทารุณเด็ก แต่เป็นแค่การปะทะฝีปากที่มีแต่เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น บ่นกันไปกันมาอยู่อย่างนั้นแหละ สิงห์เองก็ห้ามจนเอือมเช่นกัน อะไรจะกัดกันซะยิ่งกว่าหมาแบบนี้

“อ่าวไอนี่ หาเรื่องข้าหรือวะ” ไฟเท้าสะเอวมองหลานตัวน้อยที่สุดในนี้ที่หน้าตาดูดื้อเป็นอย่างมาก

“ลุงไฟนั่นแหละขี้บ่น เป็นคนไม่ดูเองแล้วใช้เด็กมาจับหมาแทน”

“ไอเด็กนี่ปืนเกลียว” ไฟหงุดหงิด

“ลุงสิงห์” แต่พอเปลี่ยนเป็นใครก็ตามที่ไม่ใช่ลุงไฟ เด็กคนนี้ก็เรียกเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหา กอดผู้เป็นลุงเอาไว้แล้วทำหน้าเศร้า “ดูลุงไฟสิ ว่าต้นสนอีกแล้ว”

ไฟถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ

“พี่ไฟไปจับเองแล้วกัน เหนื่อยอะ อยากตกปลาแล้ว” แก้วที่โตเป็นหนุ่มอายุยี่สิบห้าเดินทำหน้าเซ็งไปช่วยลุงสิงห์ประกอบเบ็ดตกปลา

“ใช่ ๆ” กล้าในวัยยี่สิบสี่พยักหน้าเห็นด้วยและอาสาไปขุดไส้เดือนแทน

แก้วและกล้าเรียนจบมหาลัยกันแล้วและมาเป็นหัวหน้างานที่ไร่แทน แก้วจะดูพืชผักส่วนกล้าจะดูทางคลองที่เอาไว้เพาะพันธุ์ปลาและพวกคอกสัตว์อย่าง วัว หมูและไก่ ส่วนพี่ชายของทั้งคู่อย่างกฤษในวัยสี่สิบเอ็ดปีก็ดูเรื่องการส่งออกแทน

“น้ำมาแล้วจ้า” เด็กสาวอีกคนชื่อหนูอิ่มลูกของอัธ อายุยี่สิบเอ็ดเรียนมหาลัยอยู่แต่กลับมาบ้านช่วงวันหยุดและชอบมาที่นี่เหมือนกัน

“พ่อไปไหนล่ะหนูอิ่ม” สิงห์ถามถึงเพื่อน

“พ่ออัธไปจัดการเรื่องคนขโมยวัวจ้ะ”

สิงห์พยักหน้าพลางถอนหายใจ มีพวกขโมยมาแถวคอกสัตว์บ่อยเหมือนกัน เสืออัธหรือที่ตอนนี้ที่ไม่ให้ใครเรียกเสือนำหน้าแล้ว เลยเรียกอัธเฉย ๆ สิงห์ถือว่าอัธเป็นเพื่อนคนหนึ่งเพราะอายุสี่สิบเจ็ดเท่ากัน ส่วนเสือเอี้ยงหรือพี่เอี้ยงตอนนี้แกไปอยู่ต่างจังหวัดแล้ว

“เด็กพวกนี้อ่อนแอกันนัก”

แก้วถึงกับส่ายหัว “พาลใส่เด็ก”

“ใช่” เด็กน้อยสุดในวัยสิบขวบผสมโรงจนไฟได้แต่เท้าเอว

“พอเลยตัวแสบ ไปช่วยพี่กล้าขุดไส้เดือนไป” สิงห์ยีหัวหลานชายอย่าง ‘ต้นสน’ ที่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สองปีที่แล้ว เห็นบอกว่าจริง ๆ จะไม่มาแล้วหากปราชญ์ยังอยู่ที่นั่น แต่ว่าปราชญ์ในตอนนี้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ต้นสนคงจะเหงาน่าดู ต้นอ้อบอกว่าต้นสนติดหนูปราชญ์มาก ติดขนาดที่ว่าตอนบอกลากัน ต้นสนร้องไห้ไม่หยุดเลย ถึงแม้หนูกรณ์จะไปเล่นด้วยบ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรเท่ากับหนูปราชญ์ ต้นสนเลยขอมาอยู่กับเขาแทนเพราะกลัวจะเอาแต่คิดถึงพี่ปราชญ์ของเจ้าตัวจนไม่เป็นอันทำอะไร

และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะอยากเป็นตำรวจจึงอยากมาเรียนการต่อสู้และให้สอนพิเศษส่วนตัวจากลุงทั้งสอง สิงห์คิดว่าโตไปต้นสนอาจจะเปลี่ยนใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะพากลับพระนครเพื่อเรียนต่อมหาลัยแทน คงต้องรอดูอีกนิดว่าต้นสนยังเลือกจะอยากเป็นตำรวจอยู่ไหม สิงห์ก็ไม่อยากบังคับอะไรมากอยากให้หลานเรียนในสิ่งที่ชอบก็พอ

“ครับผม” พอเป็นลุงสิงห์ก็พูดจาว่าง่าย ก่อนจะวิ่งไปหาพี่กล้าไม่วายยังหันไปแลบลิ้นใส่ลุงไฟ

“อ่าว ๆ เฮ้ย ๆ กล้านักนะ”

“เหนื่อยไหมคะลุงไฟ ดื่มน้ำเสียหน่อย คอแห้งหมดแล้วมั้งมัวแต่บ่นหลาน” หนูอิ่มว่าแล้วยื่นขันเล็กไปให้

สิงห์หัวเราะ “มานั่งนี่มา เอาแต่โวยวายอยู่นั่น”

“ก็ดูหลานสิงห์สิ” ไฟขมวดคิ้วมุ่นยอมนั่งลงและรับน้ำจากหนูอิ่มมาดื่ม

“ทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นไปได้” สิงห์ส่ายหน้า

“ใช่” แก้วกับอิ่มพยักหน้าตาม

“ใช่ ๆ” ไฟเขกหัวไอหลานทั้งสอง

“เนี่ยดูสิ พี่สิงห์” แก้วทำเป็นร้องโอดโอย

“นิสัยไม่ดีเลยลุงไฟ” อิ่มแกล้งเจ็บเสริม

“ไอเด็กพวกนี้” ไฟเท้าเอว

“พอเลย” สิงห์ห้ามทั้งสามก่อนจะสอนหนูอิ่มเรื่องทำเบ็ดตกปลา

เพียงไม่นานทุกคนยกเว้นสิงห์มานั่งเรียงกันริมคลองเพื่อจะตกปลา แล้วก็เป็นอย่างเคยที่คู่ลุงหลานที่นั่งข้างกันบ่นใส่กันตลอด

“ลุงไฟอย่ามาตกปลาใกล้ต้นสนสิ”

“เอ้า ก็ที่ตรงนี้ข้านั่งมาตั้งนาน เอ็งนั่นแหละมาตกปลาใกล้ข้าเอง” ว่าแล้วก็ขยับเบียดหลานไปที

“ลุงสิงห์” ต้นสนทำเป็นงอแงร้องเรียกให้ลุงช่วย ส่วนไฟก็ทำเสียงเรียกล้อเลียน

“โอ๊ะ” ไฟร้องเสียงหลงเมื่อถูกผลักหัวจนเด็ก ๆ ขำกันหมด

“ไปแกล้งหลาน” สิงห์ที่เดินมาผลักหัวว่าก่อนจะนั่งลงบนเสื่อด้านหลังทั้งคู่ “ใครเขาสอนให้นั่งเรียงกันตกปลา ทำไมไม่ห่างสักนิดบ้าง”

พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็ปลีกตัวแยกย้ายแยกกันไป แต่ก็ไม่ห่างกันมาก ตรงนี้จึงเหลือเพียงสามลุงหลาน

“ลุงไฟไปนู่นสิ” ต้นสนยู่ปากทำเป็นชี้แทนนิ้ว

“นู่นไหนล่ะวะ” ไฟยู่ปากตาม

“พี่ไฟอย่าทำเลย ขอร้อง” แก้วที่นั่งไกลออกไปนิดเอ่ยบอก

“อะไรวะ” ไฟส่ายหัว

“ลุงไฟไปนั่งตรงนู้น” ต้นสนยังไม่เลิกบ่น

“เอ๊ะ ข้าจะนั่งตรงนี้มีปัญหารึไง” ไฟขมวดคิ้ว

“ไม่ได้ เดี๋ยวปลาไม่กินเหยื่อของต้นสน”

“ก็ช่างเอ็งสิ”

“ลุงสิงห์” ต้นสนหงายหลังเพื่อซุกอกคนเป็นลุงที่นั่งข้างหลังทันที “ตีลุงไฟให้หน่อย”

สิงห์อดจะหัวเราะไม่ได้ หยิกแก้มหลานอย่างนึกมันเขี้ยว “ก็นั่งด้วยกันเนี่ยแหละ”

พอเห็นคนรักเข้าข้างก็ทำเป็นยักคิ้วใส่หลาน

“ถ้าไอมารวยมากินไส้เดือนล่ะ เพราะลุงไฟเลยนะ”

“หมามันจะกินไส้เดือนทำไมวะ”

ต้นสนหน้าหงิกมือทั้งสองยังถือเบ็ดตกปลาแต่ตัวเอนพิงกับหน้าอกของลุงสิงห์แล้ว “ลุงสิงห์ตัวหอมจัง” ไม่ว่าเปล่ายังซุกแล้วสูดดม

“เฮ้ย ๆ ลามปาม” ไฟถึงกับดึงหัวหลานให้ลุกขึ้น แต่ต้นสนก็เบี่ยงตัวหลบ

“อย่ามาจับหัวต้นสนนะ” ต้นสนหงุดหงิดผละแขนข้างหนึ่งมากอดแขนลุงสิงห์ไว้

“ห้ามหอมเว้ย ของข้าคนเดียว”

“อ้วกกก” ทั้งแก้วและอิ่มพากันทำเป็นอ้วก ส่วนกล้าก็หัวเราะไม่หยุด

“อะไร ๆ ก็ข้าพูดจริง นี่เมียข้า ข้าหอมได้คนเดียว” พูดเสร็จก็หอมแก้มโชว์จนแก้วกับอิ่มทำหน้าเอือมระอาส่วนต้นสนหวงลุงยิ่งกว่าสิ่งใดรีบวางเบ็ดตกปลาแล้วลุกขึ้นไปนั่งตักลุงไม่ให้ลุงไฟยุ่ง

สิงห์กอดหลานไว้ไม่ให้ตก แก้มแดงเล็กน้อย ไม่เคยชินเสียทีกับการถูกหอมต่อหน้าหลาน ๆ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ทุกคนจะรู้กันแล้ว แต่ก็อดเขินอายไม่ได้ที่ยังคงทำตัวหวานหยดย้อยทั้ง ๆ ที่อายุจะห้าสิบกันอยู่แล้ว

“ทำอะไรไม่อายบ้างรึไง” สิงห์ตีแขนคนรัก

“อายทำไม โธ่” ไฟยักไหล่จะเข้าไปหอมก็ถูกกันไว้

“ห้ามหอม” ต้นสนขมวดคิ้วมุ่น

“ตัวโตจะเท่าควายอยู่แล้ว ยังไปนั่งตักอีก”

ต้นสนกะพริบตาหันมองลุงสิงห์ทันที “ต้นสนตัวใหญ่เหรอ”

“ไม่ใหญ่ครับ ยังเล็กอยู่ ลุงสิงห์อุ้มได้เลยนะ” ว่าพลางลูบหัวหลาน

“เห็นไหม” ต้นสนยักคิ้วใส่ลุงไฟ

“นี่ก็เข้าข้างหลานจัง” ไฟโคลงหัวคนรัก

ตกปลากันจนเย็น ทางแก้วกับกล้าก็ออกไปดูงานนานแล้วส่วนอิ่มคงไปหาพ่อตนเอง ตอนนี้สามลุงหลานอยู่บนบ้านกำลังช่วยกันทำกับข้าว สิงห์เอาหมูที่หมักมาทอด ส่วนไฟหุงข้าว ต้นสนทำหน้าที่เด็ดผัก

“อยากกินกะปิจังเลย” ต้นสนว่า

“เผ็ดจะตาย” ไฟส่ายหน้า

“เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เย็น ๆ เราไปตลาดแล้วซื้อของมาทำแล้วกันนะ” สิงห์บอกหลาน

“จ้ะ”

“ซื้อหน่อไม้มาด้วยนะ อยากกินผัดไข่หน่อไม้” ไฟบอกเพราะพรุ่งนี้ทำงานคงกลับดึก

“จืดจะตาย” ต้นสนล้อเลียน

“เดี๋ยวก่อน ๆ” ไฟเอาพัดชี้หน้า

เพียงไม่นานกับข้าวก็เสร็จเรียบร้อย มีปลากับหมูทอด ไข่เจียว แกงเลียงปลาช่อน ทั้งสามพากันช่วยขนกับข้าวไปที่กลางบ้าง สิงห์ตักข้าวใส่จานให้ตนเองและคู่ลุงหลาน ที่คนหนึ่งถือถาดกับข้าวส่วนอีกคนถือขันน้ำ

“ลุงไฟอย่าชนต้นสนนะ เดี๋ยวน้ำหก”

“เดินห่างกันเป็นวา” ไฟส่ายหน้าวางกับข้าวลงกลางโต๊ะ

“ต้นสนจะนั่งข้างลุงสิงห์นะ”

“เออ ๆ” ไฟพยักหน้าอย่างเอือมระอา ไอนี่หวงลุงของมันเสียจริง

ต้นสนกินเยอะเป็นพิเศษเพราะทั้งวันมัวแต่ตกปลาจนลืมกินข้าว กินไปได้นิดเดียวก็เผลอวางไว้จนมดขึ้น ถูกลุงสิงห์ดุเลย

“ค่อย ๆ กิน กลัวใครเข้าแย่ง” ไฟบอกหลาน

“กลัวลุงไฟแย่ง” ต้นสนหัวเราะ

“พรุ่งนี้ลุงสิงห์ไปรับแล้วเลยไปตลาดเลยนะ”

“จ้า” ต้นสนพยักหน้า

“อยากไปด้วยอยู่ ว่าจะซื้อตะปูเพิ่มมาทำโต๊ะนั่งแถวริมคลอง ตะปูมันไม่พอ”

“เดี๋ยวสิงห์ซื้อมาให้ก็ได้”

“บอกลุงชัยแกไปว่าเอาสามนิ้ว ตะปูตอกไม้เฉย ๆ เอาลังหนึ่ง” พอเห็นคนรักพยักหน้าก็เตือนอีกเรื่อง “ไปแล้วก็ระวังด้วยล่ะ โจรมันชุมอีกแล้ว ตลาดแถวนั้นโดนบ่อย”

“ไม่เป็นไร จะรีบซื้อรีบกลับ”

“มีต้นสนอยู่ไม่ต้องห่วง” ต้นสนยิ้มแก้มปริ

“น่าห่วงล่ะสิไม่ว่า”

“วุ๊ ลุงไฟอะ” ต้นสนหงุดหงิดแล้ว

หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ต่างคนต่างไปอาบน้ำ ต้นสนนอนแยกห้อง แม้ว่าช่วงแรกที่มาอยู่จะมานอนกับลุงสิงห์ตลอดแต่ก็เริ่มนอนคนเดียวได้เมื่อปีที่แล้ว

“พรุ่งนี้เช้าถ้าอยากทำบุญกับลุงก็ตื่นเช้า ๆ นะ”

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงยานคางเพราะเริ่มง่วงแล้ว สิงห์จึงหอมหัวหลานกางมุ้งให้แล้วเดินกลับห้องตัวเองที่อยู่ข้าง ๆ

ห้องมืดลงแล้ว หน้าต่างก็ปิดเรียบร้อย สิงห์จึงเข้าไปในมุ้งเห็นคนรักกำลังนอนหนุนมืออยู่

“อะไร” สิงห์ถามเสียงเบาเมื่อเห็นดวงตาที่จดจ้องอย่างวาบหวาม ก่อนจะนอนลงพร้อมเหล่มองคนรักที่ยังคงมองไม่หยุด

“ตัวหอมจริงเหรอ” ไฟถาม

“ไม่หอม”

“แต่หลานบอกตัวหอม” ไม่ว่าเปล่ายังก้มไปหอมแก้มดังฟอด

“อือ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ไฟกระซิบเสียงพร่าหนวดสีเข้มขยับคลอเคลียตามซอกคอ

“หนวดมันทิ่ม” สิงห์เอียงหน้าดันอกคนรักที่คร่อมตัวตนไว้

“ก็ทิ่มทุกวัน”

พอได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็หน้าร้อนผลักหัวไปที “เดี๋ยวเถอะ”

ไฟหัวเราะในลำคอสอดตัวเข้ากลางหว่างขาขยับให้ขาคนรักอ้าออกก่อนจะแนบตัวให้ชิดกันขยับบดเบียดจนคนใต้ล่างครางอื้ออึง

ปากบางเผยอรับจูบยามที่ลิ้นร้อนแทรกเข้ามา เกี่ยวกวัดกันอย่างไม่ยอมใคร แขนขาวโอบรอบคอคนด้านบนไว้ จิกกับผมสีเข้มที่เริ่มมีงอกขาวประปราย เปล่งเสียงในลำคอยามที่ถูกคนรักเบียดส่วนล่างจนเนื้อผ้าเกิดเสียงเสียดสีดังทั่วห้อง

กางเกงผ้าลื่นถูกล่นไปอย่างง่ายดายด้วยมือของไฟ ก่อนที่สิงห์จะเม้มปากกลั้นเสียงยามที่ถูกปรนเปรอด้วยปากของอีกฝ่าย

ไฟเลิกเสื้อคนรักให้ขึ้นจนถึงหน้าอกใช้มือลูบอย่างหลงใหล “ขาวเสียจริง”

คนฟังได้แต่หลบตา หอบหายใจแรงยามที่นิ้วอีกฝ่ายเกลี่ยกับหัวสีชมพูที่ชูชันตามแรงอารมณ์

สิงห์กัดปากแน่นเล็บเผลอจิกกับไหล่คนรัก ลิ้นร้อนที่ตวัดแทนนิ้วทำให้หลังของสิงห์แทบไม่ติดเตียง

“อย่ากัด” สิงห์รีบมองคนรักที่เคลื่อนหน้าขึ้นมากัดคอตนเบา ๆ ยิ่งหนวดสีเข้มขยับซุกไซร้ขนแขนก็ขนลุกชัน

ไฟจับแท่งสีเนื้อสัมผัสกับช่องทางโดยที่ยังไม่ได้สอดใส่ เสียงทุ้มครางต่ำอย่างอดกลั้นแขนหนาขึ้นเส้นเลือดจนเห็นชัด เพียงเข้าแค่นิดเดียวคนใต้ล่างก็เผลอร้องครางเสียงดังจนต้องเอามืออุดปากไว้เพราะกลัวหลานได้ยิน

“เจ็บหรือ” ไฟถามเสียงเครียด

สิงห์ส่ายหัว “ตกใจอยู่ ๆ ก็ใส่”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็หัวเราะก้มลงหอมแก้มย้ำ ๆ พร้อมกับสอดเนื้อร้อนเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเริ่มขยับเมื่อคนรักปรับตัวได้ เอวหนาเขยื้อนเนิบนาบและเริ่มเร็วขึ้นตามอารมณ์ที่รุนแรงขึ้น

เสียงเตียงดังลั่นห้องพอ ๆ กับเสียงครางของสิงห์ที่ไม่กักเก็บไว้แล้ว จริง ๆ เคยร้องดังกว่านี้แต่ต้นสนก็ไม่ตื่นเลย คงจะโชคดีที่หลานเป็นคนหลับลึก แต่ถึงอย่างนั้นก็ระวังไว้ดีกว่าเพราะกลัวว่าหลานเผลอตื่นกลางดึกแล้วได้ยินเอา

“อื้อ เบา ๆ เดี๋ยวหลานได้ยิน” มือขาวรีบดันหน้าท้องของคนรักไว้ทันทีที่ขยับแรงจนเตียงมันกระทบกับผนังห้องดังเกินไป

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ลุงสิงห์ เป็นอะไรหรือเปล่า ลุงสิงห์”

ยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเคาะห้องพร้อมกับเสียงเรียก ไฟถึงกับครางในลำคอเพราะต้องหยุดกลางคัน

“ไฟ... สิงห์ไม่ได้ล็อกห้อง” สิงห์บอกคนรักอย่างตกใจเพราะไม่เคยล็อกห้องเผื่อหลานมีเรื่องอะไรจะได้เข้าห้องมาได้

“ลุงสิงห์” ต้นสนเปิดประตูเข้ามา แต่เพราะความมืดแล้วก็มุ้งมันทำให้มองไม่ค่อยเห็นด้านใน แต่เห็นใครเหมือนนั่งบนเตียง “ลุงไฟเหรอ ลุงสิงห์ร้องทำไม”

ไฟพรูลมหายใจ หันไปมองหลาน “ไม่มีอะไร เอ็งจะมาขัดทำไม รีบไปนอนไป”

“อ่าว” ต้นสนหน้าบึ้ง “ก็ต้นสนเป็นห่วงลุงสิงห์ ไหนขอดูลุงสิงห์หน่อย ลุงสิงห์เป็นอะไร”

“เฮ้ยอย่า” ไฟรีบเอาผ้าห่มมาคลุมคนรักไว้

“ลุงไม่เป็นไรครับ” กว่าจะเปล่งเสียงได้ก็เกือบใจหาย “ต้นสนไปนอนนะ”

ต้นสนยังไม่ไว้วางใจ “ไม่เป็นอะไรแน่นะ”

“ครับ” สิงห์ตอบเสียงสั่นมือจับผ้าห่มแน่น

“ถ้าลุงไฟทำอะไรบอกต้นสนนะ”

“ครับลูก”

“ไปได้แล้วไป”

ต้นสนจิ๊ปาก “รู้แล้ว ห้ามทำอะไรลุงสิงห์นะ”

“เออ” ไฟส่ายหัว พอห้องถูกปิดลงก็เริ่มขยับอีกครั้ง

“อ๊ะ บอกว่าเบา ๆ” สิงห์ตีแขนคนรัก

ไฟยอมทำตามกระแทกกระทั้นไม่รุนแรงนักแต่การทำแบบนี้ก็ไม่ต่างกันมาก เตียงมันก็ชนกับผนังอยู่ดี

เดี๋ยวได้ทำกระท่อมเล็ก ๆ กลางนาจะได้ไม่สนว่าใครจะได้ยิน

มือขาวปิดปากตัวเองแน่นเมื่อเริ่มจะเสร็จ คราวนี้เตียงกระทบผนังดังยิ่งกว่าเก่าแต่ทั้งคู่ก็ไม่สนอะไรแล้ว สิงห์หอบหายใจแรงผละมือออกไปโอบบ่าคนรักร้องครางเสียงดังก่อนที่จะปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาตาม ๆ กัน

“เฮ้อ” สิงห์ถอนหายใจลูบหลังคนรักที่นอนทับตัวเองทันทีที่เสร็จ ปากบางขยับจูบตามขมับอย่างรักใคร่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ลุงสิงห์ร้องอีกแล้ว ลุงไฟทำอะไร”

ไฟทนไม่ไหวตะโกนเสียงดัง “ข้าทำลูกเว้ย โอ๊ย”

สิงห์หยิกเอวทันที “ตาแก่นี่พูดอะไร”

สุดท้ายสิงห์ก็ต้องใส่เสื้อผ้าลุกไปบอกหลานว่าไม่ได้เป็นอะไร กลับมาแทนที่จะได้นอน ตาแก่ไฟก็ดันคึกขึ้นมาอีกรอบ แต่เปลี่ยนลงไปทำข้างล่างแทน...

 


พ่ายโลกันตร์




พอถึงเวลาเลิกเรียน เด็ก ๆ ต่างก็เดินกลับบ้าน บ้างก็ขี่จักรยานกลับ ส่วนต้นสนยืนรอลุงสิงห์หน้าโรงเรียน เห็นรถมอเตอร์ไซค์ขี่มาจอดข้างหน้าก็ยกมือไหว้แล้วขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายทันที

“วันนี้นะ ต้นสนได้ทำม้าก้านกล้วยด้วย”

“จริงเหรอ เก่งจังเลย” สิงห์ยิ้ม ไม่ได้ขี่รถเร็วมากค่อนข้างช้าเพราะห่วงหลาน

“แต่เพื่อนบอกต้นสนว่าเหมือนม้าเด็ก”

“ทำไมล่ะ”

“ก็มันเล็ก” ต้นสนพูดเสียงเบา

“ไม่เป็นไรครับ ม้าเด็กก็มีแถมน่ารักเสียด้วย ลุงสิงห์ยังทำม้าเด็กไม่ได้เลย”

หลานยิ้มกว้าง “ใช่ ๆ ม้าเด็กทำยาก”

ต้นสนพูดจาเจื้อยแจ้วตลอดทางเพียงไม่นานก็มาถึงตลาดแถวบ้าน ต้นสนตื่นเต้นทุกครั้งที่มาตลาดเพราะคิดว่าได้มาเที่ยวข้างนอก เดินชมโน่นชมนี่ตามภาษาเด็กที่อยากรู้อยากเห็น ยิ่งเห็นปลาเป็น ๆ ในกะละมังดิ้นไปมาก็ตกใจ แม้บ้านตัวเองจะตกปลาเกือบทุกวันเห็นปลามากมาย แต่พอมาเจอที่อื่นก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้

“ปลาไหลตัวใหญ่มากเลยลุงสิงห์” ต้นสนว่า เพราะที่คลองใกล้บ้านไม่เคยเห็นปลาไหลเลย

สิงห์ได้ของมาครบแล้วก็เหลือแต่ตะปูของคนรัก ว่าแล้วก็เดินนำหลานไปร้านขายเครื่องมือที่มีที่เดียวในจังหวัดนี้

“อ่าวท่านรองมาเอาอะไรครับ” ถึงแม้ว่าสิงห์จะออกจากราชการหลายปีแล้วแต่ชาวบ้านก็ยังรู้จักและเรียกท่านรองมาตลอด

“ตาไฟบอกจะเอาตะปูตอกไม้ สามนิ้วน่ะลุงชัยมีไหม”

“มีครับ ๆ”

“เอาลังหนึ่งนะครับลุง”

“ได้เลย รอเดี๋ยวเดียว” ลุงชัยว่าพร้อมกับเดินไปหาตะปูมาให้

“ต้นสนอย่าจับ” สิงห์ว่าแล้วให้หลานถอยออกจากของในร้าน

“ต้นสนเห็นทองหยอดหน้าร้าน ต้นสนไปซื้อได้ไหม”

สิงห์หันไปมองก็พบว่าไม่ไกลจึงให้เงินไป “ซื้อเสร็จรีบมาหาลุงนะ”

“จ้ะ” ต้นสนยิ้มดีใจวิ่งออกไปหน้าร้านสั่งขนมทองหยอดทันที พลันเสียงร้องก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ ต้นสนเห็นยายขายทองหยอดวิ่งไม่ไหวเลยช่วยพยุง แต่ยังไม่ทันไปไหนต้นสนก็ถูกมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าช่วงท้อง

“ต้นสน!!” สิงห์ที่วิ่งออกมาเพราะเสียงร้องตะโกนของชาวบ้านก่อนจะหยิบเหล็กจากร้านลุงชัยฟาดใส่หน้าโจรคนหนึ่งที่จะวิ่งหนีแล้วหันไปเตะสีข้างของโจรอีกคนที่เอามีดแทงหลานตนเอง พอมันล้มลงก็ใช้เหล็กฟาดหัวจนมันสลบ

“ท่านรอง” ตำรวจนายหนึ่งตกใจก่อนจะเรียกคนอื่นมาจับกุม “พวกมันอีกสองคนอยู่ตรงนี้!”

“ต้นสน” สิงห์เสียงสั่นรีบไปช้อนตัวหลานขึ้นมา

“สิงห์” ไฟที่มาถึงเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากตัวหลาน “ไปเอารถมาเร็ว!”

“ครับ!”

“ต้นสน” ไฟใจหายรีบลงไปนั่งคุกเข่า

“เจ็บ” ต้นสนน้ำตาคลอ

“ทนไว้นะ ไม่เป็นไร อย่าหลับนะต้นสน” ไฟลูบหัวหลานก่อนจะหันมองคนรักที่ตัวสั่นไปหมด และร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว

เพียงไม่นานรถตำรวจก็มาจอด ไฟจึงอุ้มหลานให้ขึ้นไปหลังรถ สิงห์รีบนั่งให้หลานนอนตักทันที ฉีกเสื้อตัวเองเพื่อเอามาคลุมมีดไว้ไม่ให้ขยับมาก

“สิงห์ใจเย็น” ไฟรีบบอกคนรักที่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด น้ำเสียงเหมือนคนจะขาดใจ ได้แต่ภาวนาให้ถึงโรงพยาบาลเร็ว ๆ

พอมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่ได้หายห่วงเลยสักนิด สิงห์นั่งไม่ติดที่ได้แต่เดินวนไปมามือขาวกำแน่น

“สิงห์มานี่มา” ไฟดึงแขนคนรักให้มานั่งข้าง ๆ ก่อนจะกอดปลอบ

“สิงห์ผิดเอง สิงห์ไม่ดูหลาน”

“ไม่เป็นไร ๆ มันเป็นเหตุสุดวิสัย” ไฟลูบผมคนรัก “ไฟเป็นตำรวจมาตรวจกับมือยังปล่อยให้พวกมันหนีไปได้สองคน จนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

แท้จริงแล้วพวกมันมีห้าหกคน แต่ก็เผลอทำให้สองคนหลุดออกมาได้ ถือว่าเป็นงานสะเพร่าของเขาอีกคน

รออยู่หลายชั่วโมงหมอถึงจะออกมา สิงห์และไฟรีบลุกถามทันที

“ต้นสนเป็นไงบ้างครับหมอรัตน์”

หมอรัตน์เปรยยิ้ม “พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ต้องนอนพักที่นี่ก่อนยังกลับบ้านไม่ได้นะครับ”

“ขอบคุณครับหมอ ขอบคุณมากเลยครับ” สิงห์ยกมือขอบคุณก่อนจะคล้ายคนอ่อนแรงนั่งลงพิงกับเก้าอี้ทันที

ไฟคุยกับหมอรัตน์อีกสักพักก็ไปนั่งลงข้างกายพร้อมกับกุมมือคนรักไว้ “สบายใจแล้วนะ ตอนนี้หลานรอดแล้ว”

สิงห์พยักหน้าแม้ใจจะโล่งอกแต่ก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

 

ผ่านไปเดือนกว่าได้ ต้นสนออกจากโรงพยาบาลและวิ่งเล่นอย่างเดียว ต่างจากสิงห์ที่ใจหายใจคว่ำที่หลานวิ่งเล่นจนกลัวแผลจะฉีก แม้แผลมันจะปิดสนิทไปแล้วก็ตาม

“อย่าวิ่งสิต้นสน”

ต้นสนหัวเราะเสียงดังก่อนจะวิ่งมาหาลุงสิงห์ “ไม่ต้องห่วงนะ ต้นสนแข็งแรงมาก ๆ เลย”

“ต้องห่วงสิ ถ้าต้นสนเป็นอะไรไปลุงจะอยู่ยังไง” สิงห์ลูบหน้าหลาน

แม้ต้นสนจะปวดและชาตอนที่ถูกมีดแทงแต่ก็ยังรับรู้ ได้ยินเสียงร้องของลุงตนเองตลอด ต้นสนขอร้องลุงสิงห์ไม่ให้บอกพ่อกับแม่เพราะกลัวพวกท่านห่วง แต่ยังไงสิงห์ก็ต้องบอก ต้นอ้อกับเฟื้องรีบมาที่นี่ทันทีที่รู้เรื่อง

สิงห์จะให้หลานกลับไปอยู่พระนคร ต้นสนก็ร้องไห้เสียงดังไม่ยอมกลับท่าเดียว ดูเหมือนจะติดที่นี่เสียแล้ว ต้นอ้อกับเฟื้องก็บอกให้อยู่ที่นี่ เพราะที่นั่นเด็กช่างยังตีกันอยู่เลย มันหนักว่าที่นี่มาก ก็เลยต้องยอม

“ต้นสนสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้” ต้นสนทำหน้าจริงจัง “จะไม่ทำให้ลุงสิงห์ร้องไห้แล้ว”

พูดเสร็จก็ก้มหัวให้ลุงสิงห์ลูบผมก่อนจะทำหน้าหงุดหงิดเมื่อมีคนเดินมาร่วมวง

“ไงไอแสบ วิ่งฉิวเชียว” ไฟว่าพร้อมกับโอบไหล่คนรักไว้

ต้นสนมองมือของลุงไฟ ถึงจะหวงลุงสิงห์มากแต่ต้นสนยอมให้โอบนะเพราะว่าตอนต้นสนเจ็บมีแค่ลุงไฟปลอบลุงสิงห์ได้ ต้นสนมาปลอบไม่ได้

“ฮึ” ต้นสนหันหน้าหนี ก่อนจะวิ่งออกไปกลางทุ่งนาหันมาโบกมือให้ลุงทั้งสองที่ยืนมองอยู่

“ร่าเริงดีจริง”

“ซนเหมือนลิงมากกว่า”

สิงห์ส่ายหัวก่อนจะตกใจที่คนรักหอมแก้ม “ไฟ! ทำอะไร! ไม่อายหรือไง”

“อายทำไม” ว่าแล้วก็หอมอีก

“พอแล้ว” ทั้งคู่หัวเราะออกมาก่อนที่ไฟจะทำหน้าจริงจัง

“นี่สิงห์”

“หื้อ”

ไฟขมวดคิ้ว “นอกจากต้นสนแล้ว ถ้าเกิดสิงห์เป็นอะไรไปอีกคน ไฟก็ทนไม่ได้หรอกนะ”

“อือ สิงห์จะระวังตัวให้มากกว่านี้”

“อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ อย่าเพิ่งไปไหน”

“เข้าใจแล้ว” สิงห์ลูบแก้มคนรักก่อนจะหอมไปทีหนึ่ง

“ลุงสิงห์” ต้นสนเดินจ้ำอ้าวมาทางนี้ทันที “หอมตาลุงนี่ทำไม หอมต้นสนดีกว่า”

“เอ้า อะไรของเอ็ง ห๊ะ” ไฟเท้าเอว

“ลุงสิงห์หอมแค่ต้นสนก็พอ”

“อะไร ๆ คนเขาจะหวานกัน เอ็งนี่ชอบขัดตลอด”

ต้นสนแลบลิ้นใส่ลุงไฟและกอดลุงสิงห์แน่น

“พอเลย” สิงห์แสร้งทำหน้าดุ ก่อนจะโอบทั้งคู่เข้าหาตัว “ลุงรักต้นสนมากเลยนะ รู้ไหมลูก”

“ต้นสนก็รักลุงสิงห์” เด็กน้อยพูดอู้อี้เพราะเขินอาย

เห็นอย่างนั้นก็อดจะหอมหัวไม่ได้ พอหลานซุกอกก็ได้แต่หัวเราะแล้วหันไปหาคนรัก “สิงห์ก็รักไฟเหมือนกันนะ”

ไฟเค้นยิ้มก้มพูดกรอกหูหลาน “ได้ยินไหมวะ ลุงเอ็งก็รักข้า”

“ไม่ต้องเลยลุงไฟ” ต้นสนเงยหน้ามาต่อยอกลุงข้างกายเบา ๆ “โอ๊ย ปล่อยนะลุงไฟ”

ไฟจับหัวหลานให้ซุกกับอกตัวเองส่วนแขนอีกข้างก็โอบเอวคนรักไว้ ก้มลงป้อนจูบให้กับอีกฝ่าย

สิงห์ยิ้มบางยกแขนข้างหนึ่งจับต้นคอคนรักแล้วเอียงหน้ารับจูบที่บดลงมาบางเบา ก่อนจะผละออกในตอนที่ที่ต้นสนดิ้นหลุดออกมา

“ตัวลุงไฟเหม็น” ต้นสนขยี้จมูก

“เหม็นตรงไหนวะ”

“ไม่รู้แหละ เหม็น ๆ” หลานทำท่าปิดจมูกแล้วดึงแขนลุงสิงห์ทันที “หนีลุงไฟกันเถอะลุงสิงห์ ตัวลุงไฟเหม็นเน่า”

“เอ้า อะไรวะ” ไฟได้แต่ยืนงุนงง คนรักถูกลากไปแล้วเลยแกล้งทำเป็นวิ่งไล่หลาน จนเกิดเสียงหัวเราะของทั้งสามคนดังทั่วทุ่งนา





----------------------------------------------------------------------------------------

ถึงจะเป็นบทที่ควรจะหวานแหวว ดันมีเรื่องเครียด55555

ดราม่าจนสุดจริงๆ แต่ว่าตอนที่ต้นสนถูกแทงจะถูกนำไปพูดถึงในเรื่อง เฝ้าคำนึงค่ะ

ไม่ถือว่าสปอยล์หรอกใช่ไหม
หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๕ {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-06-2020 02:31:02
 

บทพิเศษ ๑.๕

ของขวัญล้ำค่า

 



ปี ๒๕๐๓

ไม่รู้ว่าไฟเป็นอะไร ถึงได้มีเรื่องเครียดตลอดเวลา บางทีก็กลับดึก ส่วนคนงานก็มีเสียงบ่นมากมายว่างานหนัก สิงห์พยายามจะพูดคุยเรื่องนี้แต่กลับไม่มีใครฟังเลยทั้งวัน ต้นสนก็ไม่พูดด้วย บอกว่าทำการบ้านอย่างเดียว

สิงห์ได้แต่นั่งเศร้าคนเดียวที่ริมคลอง ยังดีที่มารวยสุนัขที่ชอบคาบรำไปกินกลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้แล้ว มันติดสิงห์มากและเชื่อฟังสิงห์ที่สุด ตอนนี้มันก็เป็นเพื่อนคลายเหงาชิ้นดี

“แกว่าทุกคนเบื่อฉันไหม ฮึ มารวย” ถามสุนัขที่ทำเพียงแลบลิ้นห้อย ๆ ให้ ไม่มีเสียงตอบรับใดใด

“ทุกคนเบื่อฉันแน่ ๆ เลย” พูดเสร็จก็ถอนหายใจพลางเหยียดขาไปกับโต๊ะนั่ง มองคลองด้วยสายตาเหม่อลอย

สิงห์ออกไปเดินทั่วไร่ แต่มีเขตกั้นจนนึกสงสัยว่าก่อสร้างอะไรอยู่ เขาไม่ได้สั่งด้วยซ้ำ แต่คนงานก็ห้ามเข้า บอกว่าแก้วสั่ง เห็นอย่างนั้นจึงไปหากฤษน่าจะบอกอะไรได้บ้าง “กฤษ ตรงนั้นเขาสร้างอะไรอยู่”

กฤษที่สั่งคนงานอยู่ถึงกับสะดุ้ง “คุณสิงห์...”

“ว่าไง” เมื่อเห็นไม่ตอบจึงถามย้ำ

“คือ..” กฤษโกหกไม่เก่งด้วยสิ ยิ่งเจ้านายตนเค้นถามด้วยสีหน้าจริงจัง กฤษไม่รู้จะพูดยังไง

“พี่กฤษ” เสียงใสของหญิงสาวทำเอากฤษโล่งอก เห็นอิ่มวิ่งมาไกล ๆ “ไปช่วยพี่กล้าดูเรื่องปลาหน่อยสิ”

“ได้สิได้ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“อ่าว เดี๋ยวสิ” สิงห์ตะโกนเรียกแต่กฤษก็เดินหนีไปแล้ว หันมองหนูอิ่มที่หันมาหา “หนูอิ่ม รู้ไหมว่าเขาสร้าง—”

“หนูไปก่อนนะคะ พ่ออัธเรียกไปทำกับข้าวพอดี”

คนฟังถึงกับเท้าเอว ไหนล่ะไออัธ ไม่เห็นหัวเลยจะมาเรียกตอนไหนในเมื่อยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้

“เป็นอะไรกันหมดนะเจ้าพวกนี้”

จนตกเย็นแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องที่ไร่ สิงห์ก็แทบไม่ได้คุยกับใครเลย คนขี้เหงาได้แต่ขึ้นบนบ้าน ที่จริงต้องไปรับต้นสนเหมือนปกติ แต่ว่าต้นสนอยากให้ไฟไปรับแทน สิงห์ไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้หลานน้อยใจหรือเปล่า

“อ่าว ของหมดหรือ” สิงห์ถอนหายใจ ต้องออกไปซื้อของเข้าครัว พลันได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามาจอดจึงเดินออกไปหาคนรักกับหลาน “กลับมาแล้วหรือ”

ต้นสนเงยหน้ามองยกมือไหว้เสร็จก็ขึ้นเรือนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้าเป็นอย่างปกติคงเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังแล้ว สิงห์ทำหน้าเศร้าก่อนจะหันมองคนรักที่ดูเหนื่อยจากงานมาก

“ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็ว สิงห์ยังไม่ได้ทำกับข้าวเลย” บอกคนรักที่เดินขึ้นเรือน

“ไม่ต้องทำหรอก” ไฟพูดเพียงเท่านั้นก็เดินเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนชุด

“เป็นอะไรกันหมด”

“ลุงไฟ สอนการบ้านหน่อย” ต้นสนวิ่งออกมาพร้อมสมุด สองลุงหลานออกมานั่งคุยกันกลางบ้าน สิงห์ขมวดคิ้วถอนหายใจแล้วไปเอาน้ำมาให้ทั้งคู่

พอคนรักไปในครัวแล้วไฟก็พรูลมหายใจ “อยากกอดปลอบจังเลยเว้ย”

ต้นสนทำหน้าเบื่อหน่าย “เป็นความคิดใครล่ะ”

“ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ไอเจ้าแก้วกับหนูอิ่มคิดต่างหาก”

“แต่ลุงไฟก็ยอมทำตาม” ว่าแล้วก็ปล่อยการบ้านไว้อย่างนั้น ต้นสนน่ะเรียนเก่งอยู่แล้ว ลุงไฟสอนไม่รู้เรื่องหรอก

“วันเกิดของเด็กสมัยใหม่นี่ทำข้าปั่นป่วนไปหมด”

“ถ้าลุงสิงห์รู้จะโกรธหรือดีใจนะ”

ไฟกลืนน้ำลาย “ลุงเอ็งเวลาโกรธน่ากลัวจะตาย”

ถึงจะไม่ชอบเห็นด้วยกับลุงไฟ แต่เรื่องนี้ต้นสนพยักหน้าทันที

“ข้าว่าข้าต้องเตรียมแอบเปิดหน้าต่างไว้แล้ว”

“อะไรของลุงไฟ”

ไฟเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ใบหน้าเคร่งเครียด “ถ้าโดนโกรธขึ้นมา ข้าอาจจะได้นอนนอกห้องก็ได้”

หลานถึงกับยิ้มขำ “ก็ดีสิ”

“เอ๊ะ เอ็งนี่ ไม่เข้าข้างข้าเลย”

“ก็ลุงไฟไปทำให้ลุงสิงห์โกรธเอง”

“เอ้า ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็อาจจะโดนโกรธเหมือนกัน”

ต้นสนชะงักแล้วหันหน้าหนี พูดอู้อี้ “มะ..ไม่โดนหรอก”

“น้ำครับ” ทั้งคู่ถึงกับสะดุ้งแล้วเปลี่ยนไปทำหน้านิ่งทันที

ไฟกระแอ่มไอ “ขอบคุณ”

เสียงนิ่งไปไหมวะ

สิงห์มองลุงหลานที่นั่งพูดเรื่องการบ้านที่เหมือนไม่ใช่การบ้าน เขาเดินไปนั่งเยื้องเล็กน้อยแล้วเอาเอกสารของกำนันมาอ่าน เห็นว่าอยากให้เขาไปให้ความรู้กับชาวบ้านเรื่องทำไร่ทำนา สิงห์ไม่เกี่ยงเลยและพร้อมยินดีที่จะช่วยเหลือ

อ่านทำความเข้าใจเพียงครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย สิงห์ก็ไปเอาปืนของตนกับจันออกมาเช็ดทำความสะอาดอย่างเคย

สองลุงหลานถึงกับขนหลังลุกวาบ มองหน้ากันด้วยความหวาดหวั่น

“กลัวไรก็แค่เช็ดปืน” ลุงไฟกระซิบหลาน

“ลุงไฟนั่นแหละกลัว ต้นสนไม่ได้กลัว”

สิงห์เอากระสุนออกมาจนหมดและทำความสะอาด เสียงซุบซิบด้านหลังทำให้คนได้ยินเปรยยิ้มบาง ๆ เพราะได้ยินตั้งแต่ตอนจะเอาน้ำมาให้แล้ว ต้องบอกว่าแสดงละครกันเก่งเสียจริง แต่ผิดแผนเพราะสองลุงหลานคู่นี้ที่อาการปิดไม่มิด

สอนการบ้านอะไรแทบไม่เห็นได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการเรียนเลย อย่างไฟน่ะหรือจะสอนการบ้านต้นสน ป่านนี้ลืมเนื้อหาที่เคยเรียนสมัยเด็กไปหมดแล้ว อีกอย่างเนื้อหาการเรียนก็เพิ่มมากขึ้น มีบางวิชาที่ต้นสนได้เรียนในสมัยนี้แต่สมัยเราไม่มี ที่ต้นสนถือมาก็เป็นวิชาที่สิงห์จำได้ว่าไม่เคยเรียน แต่สิงห์ก็เคยทำความเข้าใจเพื่อมาสอนต้นสน ไฟน่ะยังไม่รู้เรื่องเลย

แล้วไอเสียงซุบซิบเหมือนแมลงหวี่ด้านหลังทำเอาเขาอยากจะหันไปเขกหัวเสียจริง เจ้าแก้วกับหนูอิ่มคงร้องไห้แล้วมั้งที่แผนพัง สิงห์จำวันเกิดตัวเองได้อยู่และเมื่อเช้าเพิ่งทำบุญไป แต่ไม่คิดว่าที่ทุกคนทำเป็นไม่คุยด้วยจะเป็นแผนเกี่ยวกับวันเกิดเขา

ไอเราก็อายุมากขึ้น คงตามเด็ก ๆ ไม่ทัน

ปึก!

เสียงวางปืนลงทำเอาทั้งสองเผลอตกใจ สิงห์ปรายตามอง “ไม่ทำการบ้านหรือต้นสน”

“อะ...ทะ..ทำครับ” ต้นสนรีบก้มหน้าทำการบ้านทันที เขียนอย่างว่องไวโดยไม่ต้องมีใครสอน

ไฟมองคนรักอย่างตื่น ๆ แล้วแสร้งก้มชี้สมุด

“ไฟ”

“จ๊ะ! แฮ่ม ว่าไง” เกือบหลุดแล้วไอไฟเอ้ย

สิงห์มองคนรักสักพักก่อนจะยิ้มบาง “หิวไหม จะไม่ให้ทำกับข้าวจริงหรือ”

“ไม่ต้องหรอก”

ต้นสนถึงกับกลอกตาที่ลุงไฟทำเสียงเข้ม

“แต่เพิ่งกลับจากทำงานคงเหนื่อยแย่ ต้นสนก็เพิ่งกลับจากโรงเรียน ถ้าไม่ทำอะไรเดี๋ยวได้เป็นลมเป็นแล้งกันหมดหรอก”

หลานเงยหน้ามองลุงไฟที่ดูลุกลี้ลุกลน จะให้บอกยังไงว่า ตอนนี้คนงานพากันทำกับข้าวอยู่และจัดงานเงียบ ๆ เพื่อวันเกิดสิงห์ที่นาน ๆ ครั้งจะจัดที

“ไม่เป็นไร ไฟไม่หิว”

สิงห์พยักหน้า เหมือนจะไม่คาดคั้นอะไรก่อนที่จะหันกลับมาอีกครั้งทำเอาสองลุงหลานผวา “อ้อ ลืมเลย”

ไฟเบิกตาเล็กน้อยตอนที่คนรักเดินเข้ามาใกล้ สิงห์ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นแล้วก้มหอมหัวหลานไปที ก่อนจะหันมาหอมแก้มคนรัก “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”

ไฟมองคนรักเดินเข้าไปในห้อง คนที่อยู่ด้านนอกก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว เมื่อไรจะจัดงานเสร็จ” ตาแก่ลามกคงไม่ได้ชื่อนี้เพราะโชคช่วย ถ้าการถอนหายใจทำให้ชีวิตสั้นลง ต้นสนคงไม่อยู่แล้ว

“ตาแก่หื่นกาม”

“ว่าใครห๊ะ” ไฟเขกหัวหลาน

“ว่าลุงไฟนั่นแหละ”

“ก็เมียข้าน่าเอ็นดูขนาดนี้ ใครจะทนไหว”

ต้นสนถึงกับกุมขมับ “สงสารลุงสิงห์จริง ๆ เลย”

“สงสารข้าสิวะ จะกอดก็ไม่ได้กอด อยากหอมก็ไม่ได้หอม”

“วันเดียวเองไหมลุงไฟ”

“ตั้งวันหนึ่ง”

“โธ่เอ้ย” ต้นสนส่ายหน้าแล้วนั่งทำการบ้านต่อ ปล่อยให้ตาแก่บ่นคนเดียว

เพียงไม่นานกล้าก็วิ่งขึ้นมาบนบ้าน “จัดเสร็จแล้ว”

ไฟกับต้นสนพากันลุกขึ้นทันที สิงห์ที่นั่งอ่านหนังสือหันมองก่อนจะตกใจที่ลุงหลานคู่นี้เดินมาจับตัวเขาไว้

“ปิดตา” ไฟบอก

“ปิดทำไม”

“นี่ ๆ” ต้นสนวิ่งไปเอาผ้ามาให้

“เถอะหน่า” ไฟบอกเสร็จก็หยิบผ้ามาปิดตาคนรักไว้

“เดินตกบันไดขึ้นมาทำไง”

“ไม่ตกหรอก” ไม่ว่าเปล่ายังอุ้มคนรักขึ้น

“ไฟ” สิงห์ร้องเสียงหลงคว้าลำคอหมับ “เดี๋ยวตก”

“ไม่เชื่อใจหรือไง”

สิงห์เม้มปาก ก็รู้แหละว่าจะพาไปไหนแต่มันก็อดตื่นเต้นเสียไม่ได้ ครั้งแรกเลยที่จัดงานเพื่อตัวเองขนาดนี้ “ไม่ใช่หนุ่ม ๆ นะ อุ้มไหวหรือไง”

“อุ้มทั้งวันยังได้” ไฟกระซิบข้างหูแล้วหอมแก้มไปทีจนคนถูกอุ้มเขินอาย

“หลานอยู่ไม่อายหรือไง”

“โอ๊ย พวกมันวิ่งออกไปกันหมดแล้ว”

“อ่าวเหรอ” เพราะถูกปิดตาเลยไม่รู้เรื่อง ก็ว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงใคร แรงสะเทือนในตอนที่คนรักพาเดินไปที่จัดงาน พอคิดได้ว่าจะมีใครบ้างเห็นแบบนี้หน้าก็เห่อร้อนนำไปก่อนแล้ว

“ไฟ”

“หื้อ”

“ขอบคุณนะ”

“รู้แล้วหรือ”

“อือ” สิงห์ยิ้มบางกระชับแขนกอดรอบคอก่อนจะหอมแก้มคนรัก “ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”

ไฟยิ้มกว้าง “นานหนจะมีที ก็อยากทำอะไรพิเศษ ๆ ให้บ้าง”

“แต่ดันเก็บอาการไม่เก่ง”

“โธ่” ไฟทำหน้าเศร้า

“ฮิ้ววววว”

“อุ้มกันมาเลยเว้ย” เสียงทุกคนดังขึ้นจนสิงห์ถึงกับเอาหน้าซุกคนรักเพื่อหลีกหนี แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องลงมายืนพื้นดี ๆ

“อย่าเพิ่งลืมตานะ” ไฟว่าและแกะผ้าออกให้ “เอาล่ะลืมตาได้”

เปลือกตาเปิดขึ้นแสงจ้าก็เข้าตา สิงห์หรี่ตาเล็กน้อยพอปรับได้ก็อดมองค้างไม่ได้ ไฟหลากสีมากมายกระจ่างขึ้นตรงหน้า แถมยังมีโต๊ะนั่ง กับข้าวหลายอย่าง เครื่องดื่มหลายชนิด ของขวัญที่วางบนโต๊ะ คนงานทุกคนก็อยู่ที่นี่กันหมด

เห็นภาพเบื้องหน้าที่เป็นเสมือนครอบครัวคนสำคัญอยู่กันพร้อมหน้า สิงห์ดวงตาคลอ พูดอะไรไม่ออก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครื้มก่อนจะก้มหน้าปลดปล่อยความดีใจออกมา

“ลุงสิงห์ไม่ร้องไห้นะ ต้องยิ้มสิ” ต้นสนวิ่งมาบอก

“ครับ... ลุงไม่ร้องแล้ว” สิงห์เม้มปากเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วกอดหลาน “ขอบคุณนะลูก”

ต้นสนหัวเราะเอิ้กอ้ากแล้วดึงแขนลุงสิงห์ให้ไปร่วมวง สิงห์ตกใจเมื่อเห็นแม่กับน้องสาวและน้องเขยมาร่วมงานด้วย

“แม่” สิงห์เข้าไปกอดเธอแน่น “มาทำไม่บอก”

“ไปอยู่กับคุณฤดีมา”

“โธ่” สิงห์โยกตัว

“สุขสันต์วันเกิดนะลูก”

“ขอบคุณครับแม่” สิงห์ยิ้มแล้วผละออกมาไหว้แม่ของตน “ขอบคุณที่เลี้ยงดูผมมานะ”

“จ้ะ แม่รักสิงห์นะ”

สิงห์พยักหน้า “สิงห์ก็รักแม่ครับ”

สองแม่ลูกกอดกันสักพักสิงห์ก็เดินไปกอดน้องสาวต่อ

“สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่สิงห์” ต้นอ้อลูบหลังพี่ชายที่ร้องไห้ไม่หยุด

“ขอบคุณนะ” สิงห์ลูบผมน้องพลางหันมองหลานสาวอีกคนที่เฟื้องโอบไหล่ไว้อยู่ “แล้วนี่ ใครเอ่ย”

“ลุงสิงห์” ฟ้าใสโผล่เข้ากอดผู้เป็นลุงแน่น

“มาด้วยเหรอเจ้าตัวดื้อ” สิงห์ยีหัวหลานพร้อมกับหอมหน้าผาก

“ฟ้าใสเอาของขวัญมาให้ลุงสิงห์ด้วยนะ พี่ต้นสนต้องตกใจแน่”

อยากจะถามเหมือนกันว่าพี่ชายของหนูจะตกใจไปทำไม “ขอบคุณนะคะเด็กดี”

“ค่ะ หนูรักลุงสิงห์มาก ๆ เลยน้า ลุงสิงห์ไปหาหนูบ้างสิ” ฟ้าใสหน้างอ เธออยากมาเล่นกับลุงสิงห์บ้าง

“ไว้ปิดเทอมมาอยู่กับลุงไหม”

ฟ้าใสยิ้มกว้างก่อนจะเงยหน้ามองพ่อ “ได้ไหมจ๊ะพ่อ”

เฟื้องยิ้ม “ได้สิลูก เดี๋ยวพ่อมาส่ง”

ฟ้าใสกระโดดดีใจแล้วกอดแขนลุงสิงห์แน่นทันที

“ฟ้าใส” ต้นสนตะโกนเสียงดังจะวิ่งมากอดน้องแต่น้องกลับยกมือห้าม

“พี่ต้นสนห้ามกอดฟ้าใส ตอนนี้ฟ้าใสให้ลุงสิงห์กอดได้คนเดียว”

ต้นสนที่คิดถึงน้องอยากพาน้องไปเล่นถึงกับห่อเหี่ยว “ฟ้าใสไม่คิดถึงพี่ต้นสนเหรอ”

“ฟ้าใสคิดถึงแต่ฟ้าใสไม่กอดพี่ต้นสน”

“คิดถึงแล้วต้องกอดสิ”

“ไม่ได้ ๆ วันนี้ให้ลุงสิงห์ เนาะ” ฟ้าใสพยักหน้ากับผู้เป็นลุงที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย

สุดท้ายเด็ก ๆ ก็พากันไปนั่งเล่นวงเด็กน้อยเขา สิงห์นั่งกับญาติผู้ใหญ่

“สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ฤดีอวยพรพร้อมให้ของขวัญ

“ขอบคุณครับแม่”

“ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะ” พ่ออนงค์ที่สึกมาอยู่กับภรรยายิ้มให้ลูกชายอีกคน

“ขอบคุณครับพ่อ”

พ่อสมานไม่ได้มาเพราะต้องดูงานที่นั่น จริง ๆ เฟื้องจะดูงานแทนแต่พ่อสมานก็อยากให้เฟื้องมาดูแลสาว ๆ เพราะคนแก่คงทำอะไรไม่ค่อยไหวแล้ว

“เดี๋ยวแวะไปก้งเหล้าด้วยนะมึง” อัธเดินมากระซิบ ตอนนี้กริ่ม ๆ เลยก็ว่าได้

“เออ เดี๋ยวไป อย่าแดกกันหมดก่อนล่ะ”

อัธหัวเราะชอบใจ “ถ้ามึงช้าก็หมดล่ะวะ” พูดเสร็จก็สวัสดีคนเฒ่าคนแก่แล้วเดินไปนั่งกับเทิดและกฤษ รวมถึงคนงานบางคนที่นั่งกงเหล้ากันอยู่

“ลุงธงบอกจะมาหา ไอเราก็ไม่เห็น เห็นอีกทีก็นู่นไปนู่นแล้ว” อนงค์ชี้พี่ชายตนที่เดินร่วมวงเหล้าทันทีที่มาถึง

สิงห์หัวเราะ “ปล่อยแกไปเถอะครับ” แม่ฤดีกับแม่พิมพ์อรไปนั่งคุยกับสาว ๆ แม่บ้าน พ่ออนงค์กับเฟื้องเลยไปนั่งวงเหล้ากัน

“ไอไฟไปไหนวะ” อัธถามถึงเพื่อนอีกคนที่หายหน้าหายตา

สิงห์ก็เพิ่งสังเกตว่าคนรักไม่ได้อยู่ที่นี่ “นั่นสิ”

“ช่างมัน มาดื่ม ๆ” อัธว่าพร้อมเทเหล้าใส่แก้วก้ง สิงห์ดื่มจนหมด แสบร้อนคอจนต้องหาของกลับแก้มกิน

“ไอหลานรัก เป็นไงบ้างวะ” ลุงธงเมาเยอะกว่าใคร แกโอบไหล่หลาน ตัวเอนไปมา

“สบายดีลุง”

“เหรอ ดี ๆ วันนั้นนะไอไฟกลับมาบ้าน มันบอกเอ็งไม่ค่อยสบาย ข้าก็นึกห่วงหลาน ว่ามันจะเป็นอะไร แต่มันบอกเมื่อคืนจัดหนัก” สิงห์ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีรีบอุดปากลุงธงไว้

“เอาล่ะ ๆ เมาแล้วลุงธง”

“ไม่เมา ๆ ข้าไหว”

“ไปซื้อเหล้าเพิ่มนะ เอาไรไหม” เทิดว่า

สิงห์รีบจับลุงธงที่จะหงายหลังตกโต๊ะทันที “พี่เทิดฝากไปส่งลุงธงด้วยสิ แกเมาแล้ว”

เทิดพยักหน้าแล้วเข้ามาแบกแก “โอ๊ย หนักแท้ ลุงธงกลับบ้าน ๆ”

“เฮ้ย ยัง ๆ ยังไม่กลับ”

“กลับ ๆ เมียตามแล้ว”

“มา เดี๋ยวผมช่วย” กฤษรีบไปประคอง จะเอาคนเมากลับบ้านคงไปคนเดียวไม่ไหว

“ฝากด้วยนะกฤษ” สิงห์บอกอย่างนึกห่วง

“เล่นกินเหล้าแต่หัววันไม่เมาก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว” อนงค์ส่ายหน้า

คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยอยู่ ๆ ไฟในงานก็ดับ สิงห์ขมวดคิ้วคิดว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าก่อนจะตกใจเมื่อเห็นตะเกียงไฟกะพริบขึ้นท่ามกลางความมืด มันอยู่ไกลเล็กน้อย ถึงจะมีตะเกียงแต่ก็มองไม่ชัดว่าเป็นใคร

“ท่านเทพครับ!!!” เสียงตะโกนดังอันคุ้นหูทำสิงห์อดจะสะดุ้งไม่ได้ ทุกคนในงานพากันเงียบเหมือนรู้งาน แรงผลักเบา ๆ ตรงไหล่เป็นพ่ออนงค์ที่พยักพเยิดให้ไป

สิงห์เดินออกไปยืนมองคนรักที่ยืนถือตะเกียงอยู่คนเดียว

“ผมจะบอกท่านเทพว่า ไฟรักสิงห์นะ!!”

“ฮิ้วววว” เพียงไม่นานเสียงคนก็เงียบลงอีกครั้งเพื่อให้ไฟพูด

“อยู่ด้วยกันจนมาถึงวันนี้แล้ว ก็อยู่กันไปอีกนาน ๆ นะ!!” คำตะโกนนั้นเหมือนดังก้องอยู่ในหูสิงห์ตลอดเวลา ทำเอาปากยิ้มแทบไม่หุบ “วันนี้เป็นวันที่ดีมาก ๆ เลย เป็นวันที่ท่านเทพส่งคนรักผมมาเกิด ขอบคุณที่เกิดมานะคุณสหัส!!”

สิงห์เอามือปิดปากตัวเองทันที น้ำตาไหลออกมาด้วยความสุขล้นปรี่

“เราผ่านอะไรกันมามากมาย แล้วผมก็จะบอกว่าอยากจะเดินเคียงคุณสหัสต่อไปแบบนี้จนชั่วชีวิต ท่านเทพจงอวยพรให้เราด้วย!!”

ตะเกียงนั้นค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น ไฟเดินมาหยุดตรงหน้า ใบหน้าคมคายเด่นชัดขึ้นจากแสงสว่างเพียงเล็กน้อย

“ขอบคุณที่เกิดมาจริง ๆ นะ” ไฟพูดพลางยิ้มบางก้มกอดคนรักที่ร้องไห้โฮออกมา “ไฟรักสิงห์นะ รักมาก ๆ เลย”

สิงห์พยักหน้าอย่างเดียว พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“ยิ้มหน่อยคนดี” ไฟผละออกมาเกลี่ยน้ำตาให้

เจ้าของวันเกิดยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “ขอบคุณนะ”

ไฟพยักหน้าเกลี่ยแก้มเบา ๆ แล้วก้มลงจูบกลีบปากคนรัก นิ่งค้าง ทว่าแนบแน่น

พลันไฟก็สว่างขึ้นจนคนเขาโห่กันอีกรอบ สิงห์รีบผละออกทันทีแต่โดนกอดเอวไว้

“ไม่เคยเห็นคนพลอดรักหรือไง”

“ลุงไฟหน้าหนา” แก้วส่ายหน้าก่อนจะก้มบอกน้อง “ต้นสนอย่าเป็นแบบนี้นะ”

“ทำไมเหรอ”

“ก็ลุงไฟหน้าหนา” อิ่มเสริมทัพ

“ก็ไปสอนน้อง” กล้าส่ายหน้า

“ดูดิไม่อายฟ้าอายดิน” แก้วบ่นอุบอิบแม้น้ำตาจะคลอเหมือนกันเพราะดีใจกับทั้งคู่ที่มีวันนี้ได้

ต้นสนพยักหน้า “ใช่ไม่อายฟ้าอายดิน” แม้จะไม่รู้ว่าหน้าหนาคืออะไรก็เถอะ

“ใครมันคิดวะท่านเทพเนี่ย” อัธตะโกนถามพลางหัวเราะ

“มันทำไมล่ะวะ กูคิดเอง” ไฟเท้าเอว

“โธ่ ท่านเทพคงบอกมึงไปพลอดรักกันไกล ๆ” อัธหัวเราะไม่หยุด

ไฟเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มก่อนจะหอมแก้มคนรัก “ทำมันตรงนี้แหละ อายทำไม”

“ฮิ้วววว”

“เดี๋ยวเถอะ” สิงห์ตีแขนคนรัก ก่อนจะเบิกตาที่โดนจูบอีกรอบ หูแดงระเรื่อจนไม่กล้าสู้หน้าใครแล้ว

“หน้าหนาอีกแล้ว” แก้วบ่น

“ใช่ ตาลุงไฟเนี่ยนะ” อิ่มกอดอก

กล้าได้แต่ถอนหายใจกับสองพี่น้องคู่นี้

“ฟ้าใสอย่าดูนะ ลุงไฟหน้าหนา” ต้นสนปิดตาน้องทันที

“ฟ้าใสอยากเห็น”

“ไม่ได้สิ”

พอลูกชายเดินเข้ามาฤดีจึงหยิกแขนลูกชายทันที “สิงห์เขินหมดแล้ว ดูทำเข้า”

“อ่าวแม่ ก็คนมันรักอะเนาะ”

“ดีนะที่ทุกคนเข้าใจ” แม่พิมพ์อรว่า

“ลองไม่เข้าใจสิ ผมจะฟาดกะโหลกให้” ไฟทำท่าฟาดแต่โดนพ่อตนฟาดหัวไปที

“ทำเอาตกอกตกใจหมด ไปตะโกนกลางทาง เห็นแสงแวบ ๆ นึกว่ากระสือ” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมาทันที

“พ่อก็ลองทำกับแม่บ้างสิ”

“อายุปูนนี้แล้ว มาทำอะไร”

ไฟชี้พ่อ “จริง ๆ ก็อยากทำล่ะสิ”

“ไม่บ้าเหมือนเอ็งหรอก ตะโกนคำเดียวก็แสบคอแล้ว”

“โธ่” ไฟส่ายหน้า

งานวันเกิดเริ่มครึกครื้นขึ้น อัธทำหน้าที่ตีแก้วเหล้าเป็นเพลงแล้วก็ร้องแหกปากโวยวายแทบไม่ได้ศัพท์ ไฟร่วมวงร้องประสานเสียงยิ่งเพี้ยนเข้าไปใหญ่

สิงห์ได้แต่ส่ายหัว มองผู้คนที่ยิ้มหัวเราะกันสนุกสนาน เป็นภาพที่ไม่คาดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้น พอนึกย้อนอดีตที่เคยขมขื่น พอมีวันนี้ได้จึงเข้าใจดีว่ามันผ่านมานานแล้ว แต่ความทรงจำบางส่วนก็ย้อนเข้ามาได้เสมอ

ถึงอย่างนั้นสิงห์ก็ไม่ได้เสียใจหรือโศกเศร้าอีกแล้ว เพราะตอนนี้สิงห์มีครอบครัวที่ดี มีคนรักที่อยู่ข้างกายเสมอ เรื่องอดีตก็แค่ทำให้นึกถึงและปล่อยวางมันไป ชีวิตที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบ อยู่กับหลานกับเพื่อนกับน้อง ทำงานในสิ่งที่อยากทำ อาจมีเรื่องเครียดบ้างตามวิถีของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาต้องพบเจอ ได้แต่แก้ไขและปล่อยให้เวลามันผ่านไป

ชีวิตในตอนนี้สิงห์พอใจแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่านี้ ขอแค่มีความสุขกับคนที่รักในแต่ละวัน เหมือนของขวัญล้ำค่าที่หาที่ไหนไม่ได้อีก

ขอบคุณที่ให้ของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตมา

ครอบครัวที่ดี คือของขวัญที่สิงห์อยากขอบคุณจริง ๆ

แม้ว่าบางคนไม่ได้อยู่ในสายเลือดเดียวกัน แต่คำว่าครอบครัวไม่ได้มีแค่พ่อแม่ลูก ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ลุงหลาน เพื่อน ทุกคนก็ล้วนเป็นครอบครัวได้

นี่แหละคือครอบครัวที่สิงห์ต้องการ และจะอยู่กับพวกเขาไปตลอด จดจำจนชั่วชีวิต





--------------------------------------------------------------------------------------

เอามาเสิร์ฟตอนพิเศษ สามตอนด้วยกัน ถึงจะเป็นตอนพิเศษที่จบแล้วแต่ก็ยังไม่จบทีเดียว

เพราะบางช่วงมีพูดถึงในเฝ้าคำนึงเหมือนกัน ขอบคุณมากๆนะคะที่ติดตามจนจบ

ขอบคุณที่เม้นและให้กำลังใจมาตลอด อาจจะผิดพลาดไปบ้างแต่พยายามจะทำให้ดีที่สุดค่ะ

ใจหายอยู่เหมือนกันที่จะไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับทั้งคู่อีกแล้ว

เรื่องราวของสิงห์และไฟจบลงในนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินชีวิตต่อไป

เรื่องราวต่อไปของต้นสนเริ่มขึ้นยังไงก็ฝากติดตามเรื่อง เฝ้าคำนึงด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 01-08-2020 12:33:49
เพิ่งมีโอกาสได้อ่าน
อ่านรวดเดียวจบ

พอจบ  บอกได้เลยว่าใจหาย
รู้สึกผูกพันกับตัวละคนไฟและสิงห์มาก
ทั้งสองผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมาก
ด้วยช่วงระยะเวลาของเรื่องที่ดำเนินมาหลายปีมาก
มันยิ้งทำให้เรารู้สึกผูกพันและรักตัวละครนี้มากๆเช่นกัน

ขอบคุณผู้แต่งมากๆเลยค่ะที่นำเสนอเรื่องราวของ
ไฟและสิงห์
อยากว่านี่จะเป็นนิยายอีกเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจมากๆที่สุด

รอติดตามเรื่องไปนะคะ