พิมพ์หน้านี้ - อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Artemis ที่ 19-03-2019 17:27:14

หัวข้อ: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 19-03-2019 17:27:14
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ รีรัน) บทที่๑ อัพ๑๙มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 19-03-2019 17:42:03
เกริ่นเล็กๆน้อยๆ

นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่๒ ที่หัดเขียน และเป็นเรื่องแรกที่เขียนแนวจินตนิยายหรือแฟนตาซี
เคยลงที่เล้ามาครั้งหนึ่งแล้วจนจบภาคที่๑ หากก็มีเหตุให้ขอลบออกไปเนื่องจากจำต้องแก้ไขบทกลอนที่นำมาอ้างอิงเพราะกลัวปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์

ตอนนี้ทยอยแก้ไขเกือบหมดแล้ว เลยเอามาลงอีกครั้ง เพื่อที่ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านแล้ว หรือท่านที่เพิ่งเข้ามาอ่านจะได้เอาไว้อ่านเล่นๆก่อนที่จะลงภาค๒หลังจากที่รีรันเสร็จ และจะต่อให้ภายในกระทู้นี้กระทู้เดียวกันไปเลยค่ะ

ตอนที่เขียนเรื่องนี้ จำได้ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องเพอร์ซี่  แจ็คสัน เลยลองเอามาฝึกเขียนในแนวจินตนิยายไทยดู
ข้อผิดพลาดยังมีมากมายหลากหลายเหมือนเดิม ขออภัยด้วยนะคะ และก็ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่ชื่นชอบอัศวินดารา ขอบพระคุณที่ยังติดตาม และให้กำลังใจเสมอมา ขอบคุณค่ะ   :กอด1: :pig4:

Artemis ๑๙ มีนาคม ๖๒
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ รีรัน) บทที่๑ อัพ๑๙มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 19-03-2019 17:42:47
สารบัญ

บทที่๑ อาทิตย์อัสดง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3956797#msg3956797)
บทที่๒ ฟ้าผ่ากลางสยามสแควร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3957148#msg3957148)
บทที่๓ คืนวันพระจันทร์ทรงกลด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3957151#msg3957151)
บทที่๔ อสรพิษแสนซน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3957474#msg3957474)
บทที่๕ ฝัน หวาน อาย จูบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3961708#msg3961708)
บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3966650#msg3966650)
บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3973564#msg3973564)
บทที่๘ เราสองสามคน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3974664#msg3974664)
บทที่๙ พระศุกร์เข้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3977424#msg3977424)
บทที่๑๐ พระเสาร์แทรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3987789#msg3987789)
บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3988617#msg3988617)
บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg3990283#msg3990283)
บทที่๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4006234#msg4006234)
บทที่๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4008399#msg4008399)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๑) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4014778#msg4014778)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4019020#msg4019020)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๓) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4021890#msg4021890)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๔) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4024706#msg4024706)
บทที่๑๔ เทวราชโองการ (ส่วนที่๕) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4031369#msg4031369)
บทที่๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี (ส่วนที่๑) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4037498#msg4037498)
บทที่๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี (ส่วนที่๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69862.msg4038093#msg4038093)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ รีรัน) บทที่๑ อัพ๑๙มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 19-03-2019 17:45:32
บทที่๑ อาทิตย์อัสดง

กุฏิหลังน้อยตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในบริเวณหลังวัดป่าอันวิเวกห่างไกลจากผู้คน วัดแห่งนี้เงียบสงบจนเหมาะกับการปฏิบัติธรรมยิ่งนัก นานๆจะมีญาติโยมมาทำบุญกันสักที ทำให้มีภิกษุจำพรรษากันน้อยรูปซึ่งส่วนใหญ่ขอย้ายไปจำพรรษากับวัดดังๆในเมืองเสียหมดสิ้น วัดแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่สำหรับพระที่ต้องการความสงบจริงๆ แลตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งปวง

บริเวณด้านหน้ากุฏิคือลานกว้างสะอาดยิ่ง มิมีใบไม้ร่วงหล่นทับถมให้ดูระเกะระกะรำคาญตาแก่ผู้พบเห็นแต่อย่างใด ใกล้ๆลานกว้างนั้นคือต้นไทรต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาเกินมาเกือบครึ่งของลาน ฉะนี้แล้วในเวลากลางวันประกายแห่งพระสุริยาทิตย์จึงสำแดงฤทธีได้แค่เพียงรำไร เฉกเดียวกับเวลานี้ซึ่งเป็นเวลาที่จันทรเทพทรงราชรถเทียมม้าสีเศวตเกือบถึงครึ่งท้องฟ้า หากแต่แสงรัศมีนวลนั้นหนาทอประกายจับได้แค่หลังคากุฏิแลยอดไทรเท่านั้นเอง

แสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่จับอยู่ทั่วบริเวณลานกว้างแลกุฏิ จึงมาจากจีวรสีกลักของพระภิกษุชรารูปหนึ่งผู้เป็นเจ้าอาวาสที่ชาวบ้านหรือคนบ้านป่าละแวกนี้เรียกท่านว่าหลวงตา ท่านนั่งบริกรรมทำสมาธิอยู่หน้ากุฏิหลังน้อยๆนั้นเป็นเวลาเท่าใดไม่มีใครทราบ แลจะสิ้นสุดเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ แล้วจู่ๆลมที่พัดเอื่อยๆ เรื่อยๆยามค่ำคืน ก็กลับกลายเป็นสายลมกรรโชกรุนแรงยิ่งประหนึ่งจะทำให้กุฏิหลังนั้นปลิวหายลับดับไปตามแรง ร่างภายใต้จีวรสีกลักมิสะทกสะท้านไหวติงแต่อย่างใด หลวงตาเพียงแค่ลืมตาช้าๆ ลาจากฌานอันพิศุทธิ์ ลุกขึ้นแล้วเดินลงมาหน้ากุฏิ ปล่อยชายจีวรต้องแรงลมปลิวไสว ร่างเล็กๆของท่านเดินอย่างมั่นคงยิ่ง แล้วน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากล่าวเอื้อนเอ่ยท่ามกลางกระแสลมแรงมาว่า

“อัสดง...เจ้ากลับมาแล้วเหรอ”

สิ้นเสียงหลวงตา ก็บังเกิดเป็นเปลวเพลิงสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณนั้น เปลวเพลิงนี้โหมลุกลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วม้วนตัวเป็นเกลียวรวมกันกลายเป็นร่างของเด็กหนุ่มวัยประมาณสิบแปด ร่างนั้นสูงใหญ่ งามราวรูปสลักสัมฤทธิ์ประหนึ่งนิรมิตจากอุ้งหัตถ์แห่งทวยเทพ ผิวกายนั้นหรือก็งามวะวับประดุจสีหม้อใหม่สะอาดตา ใบหน้าคมคาย ยามแย้มยิ้มพรายทำให้เห็นเขี้ยวเล็กๆเรียงกับฟันที่ขาวสะอาดยิ่งดูแล้วชวนให้หลงเสน่ห์ อกผายเริ่มฉายแววกำยำ อิสสตรีใดที่ได้ยล ก็คงอยากจะซบลงตรงแผงอกนั้น แม้กระทั่งบุรุษด้วยกันเองก็เถอะ

รอยลักยิ้มข้างแก้มคืออีกหนึ่งเสน่ห์ที่ปรากฏให้เห็นตลอด ขณะที่เจ้าตัวค่อยๆลอยลงมาจนร่างทั้งร่างยืนบนพื้นดินเรียบร้อย ศักติและอำนาจพิเศษลึกล้ำกำจายรอบ ใครได้เห็นจะบังเกิดความยำเกรงลึกๆ ทว่าศักตินั้นลดลง ยามอยู่ต่อหน้าหลวงตาผู้เป็นพระอาจารย์

“หลานกลับมาแล้วครับหลวงตา เห็นหลวงตาให้อรุณไปตาม มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ตาจะบอกเจ้าว่า ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องกลับไปเผชิญโลกภายนอกแล้ว ภารกิจสำคัญรอเจ้าอยู่ สิ่งที่เจ้าฝึกฝนกับตามาหลายปีถึงเวลาที่จะได้ใช้แล้ว”

“หลานไม่อยากไป หลานอยากอยู่กับหลวงตา” เจ้าของรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์หุบยิ้มทันทีที่ได้ยินหลวงตากล่าวมาเช่นนั้น

“เจ้าต้องไป ไม่มีใครเลี่ยงเทวราชโองการพ้น  เทวะเกิดมาด้วยเพราะหน้าที่ หน้าที่ที่เจ้าต้องกระทำให้ลุล่วง”

“แต่....” เด็กหนุ่มยังคงแย้ง ครั้นพอจะพูดต่อ แต่หลวงตาท่านตัดบทมาว่า

“ไม่มีแต่ พวกมารและอสูรเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจ้ายังขืนชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการ”

“หลานไม่กลัวพวกมัน ให้พวกมันเข้ามาเหอะ จะเผาให้วอดเลย” ความกล้าหาญถูกถ่ายทอดออกทางน้ำเสียงทุ้มกังวานก้องเกินวัยสิบแปดนัก

“ลำพังเจ้าคนเดียวสู้มันไม่ได้หรอก เจ้าไม่ใช่เทวะเต็มตัว เจ้าแค่เป็นอณูของท่าน อำนาจของเจ้ายังไม่เต็มที่ อย่าเพิ่งทระนงตนไป เจ้าต้องกลับไปสู่โลกภายนอก กรุงเทพคือที่หมายแรก เมื่อเจ้าไปถึง ที่นั่นจะมีสหายที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเจ้า มารอรับเจ้าอยู่ แล้วเจ้าก็ต้องรวบรวมสหายให้ครบเจ็ดคน สหายพวกนี้คือผู้มีอำนาจวิเศษมาแต่กำเนิดทั้งสิ้น” หลวงตาพักทอดมองศิษย์เอก แล้วกล่าวต่อ

“งานนี้เป็นงานหนัก เหล่าบริวารอสูรเองก็เริ่มเคลื่อนไหวและขยายอำนาจไปทั่วทุกสารทิศเช่นกัน อย่าใช้อำนาจพร่ำเพื่อ และเมื่อเจ้าพบสหายทั้งหมด เมื่อนั้นจะมีเทวราชโองการประทานลงมาอีกครั้ง”

“ผมเป็นห่วงหลวงตา” ด้วยความที่ใจไม่อยากจาก...เหตุผลสารพัดจึงนำมากล่าวอ้าง

“เจ้าไม่ต้องห่วงตา ปราบอสูรสำคัญกว่า อีกอย่างเจ้าก็จากแสงสีของโลกภายนอกมานานแล้วถึงเวลากลับไปเสียที อรุณจะอยู่ที่นี่คอยดูแลตาเอง ไปเก็บของได้แล้ว เจ้าต้องเดินทางคืนนี้เลย อรุณมันคงไปตามรถในตัวหมู่บ้านมาให้เจ้าแล้วอีกสักพักคงมา อย่าให้เขารอ”

“ครับหลวงตา”

อัสดงจำต้องรับคำหลวงตาที่เลี้ยงเขามาด้วยข้าวก้นบาตรมาตั้งแต่เจ็ดขวบ เดินขึ้นกุฏิเข้าห้องไปเก็บของ เด็กหนุ่มรู้สึกใจหายที่ต้องจากหลวงตานัก เพราะที่ผ่านมาก็ได้หลวงตานี่แหละคอยดูแลมาตลอด หลวงตาท่านได้ถ่ายทอดสรรพวิทยาความรู้ และเชิงอาวุธอีกทั้งอาคมต่างๆ ที่ยากนักคนสมัยใหม่จะเข้าใจ

อัสดงถูกซ่อนเร้นจากแสงสีของโลกสมัยใหม่...และเหล่าอสูร มานานนับเกือบสิบปี
เหตุแห่งการซ่อนเร้นนี้ ก็คือเตรียมพร้อม สำหรับภารกิจใหญ่ ....ที่เป็นถึงเทวราชโองการ

ฉะนี้แล้วใครจะกล้าขัด!!

และเท่าที่อัสดงจำความได้ พ่อกับแม่ จำต้องพาเขามาฝากไว้ที่นี่ เพราะไม่สามารถเลี้ยงเขาได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน พ่อของเขาติดอันดับเศรษฐีของเมืองไทยเสียด้วยซ้ำ แต่ที่เลี้ยงไม่ได้หมายถึงว่า ไม่มีวาสนาที่จะเลี้ยงมากกว่า เพราะยามที่พ่อกับแม่จับตัวเขา มือจะร้อนอย่างกับถูกไฟเผาและบางครั้งบางครายามเขาโกรธหรือไม่พอใจ ร่างของเขาทั้งร่างจะกลายเป็นเปลวไฟขึ้นมาทันที พ่อกับแม่ต่างก็หวาดกลัวในยามนั้น จนวันหนึ่งหลวงตาท่านจาริกไปบิณฑบาตหน้าบ้านนั่นแหละ เขาจึงได้มาอยู่ที่นี่

“โยม ลูกชายโยม ไม่ใช่คนธรรมดานะ โยมให้เขามาอยู่กับอาตมาสักพักเถิด มิฉะนั้นโยมเองจะเดือดร้อน เพราะอำนาจลูกชายโยม”

“ลูกชายผมเป็นอะไรครับหลวงพ่อ ทำไมถึงได้กลายเป็นดวงไฟไปได้...ลูกผมไม่ใช่คนเหรอครับ” พ่อของเขากล่าวมาด้วยสีหน้ากังวล

“ลูกโยมเป็นคนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา พูดง่ายๆ เขามีอำนาจเหนือคนธรรมดา เขามีหน้าที่ที่สำคัญรออยู่”

“แล้วใครที่ทำให้ลูกผมมีอำนาจพรรค์นั้น”

“โยมแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าเถิด นั่นแหละคือต้นกำเนิดและสิ่งที่ทำให้ลูกชายโยมมีอำนาจเช่นนี้”

ดวงสุริยาฉายฉาน กลางนภมณฑลที่มีเมฆขาวสะอาด ก่อกำเนิดแสงสว่างจ้า แสงสว่างที่ให้ชีวิตและพร้อมที่จะทำลายทุกๆชีวิตหากพิโรธ แสงที่ให้ความอบอุ่นในยามเช้า....และจะเรืองโรจน์ร้อนแรง ยามประทับเหนือศีรษะมนุษย์

“หลวงพ่อหมายความว่า ละ ลูกผม คือ........ดวงอาทิตย์” พ่อของเขากล่าวมาอย่างละล่ำละลัก

“ใช่แล้วโยม......โยมเข้าใจถูกต้องแล้ว นั่นคือต้นกำเนิดลูกชายโยม”

นับแต่นั้นเป็นต้นมา อัสดง ก็มาอยู่กับหลวงตาที่นี่  เข้าเรียนที่โรงเรียนวัด เพื่อให้คนพบเห็นน้อยที่สุด ตราบที่เขายังไม่สามารถควบคุมอำนาจนั้นได้ แรกๆเขาก็งอแงและไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องที่หลวงตาบอกจะเป็นเรื่องจริง แต่ด้วยความสามารถพิเศษที่เขามีนั้น มันทำให้เขาเชื่อและยอมรับว่าเขาเป็นใคร “สุริยเทพ” คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ตัวตนที่ยากจะปฏิเสธ ซึ่งมาพร้อมกับหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้

ช่วงแรกๆ พ่อกับแม่มาเยี่ยมเขาเป็นประจำ ตอนหลังก็หายไปเพราะพ่อกับแม่ได้แยกทางกันต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวใหม่ นานๆจะมาหาสักที แล้วนี่ถ้าเขากลับไปกรุงเทพ เขาจะไปอยู่บ้านใคร ระหว่างที่เขากำลังนึกถึงอดีตอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นทำให้ อัสดงที่เพิ่งเก็บของลงเป้เสร็จลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วพบผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็ก อายุอานามประมาณสิบสอง ตาที่เคยแป๋วแดงกล่ำ มองดูก็รู้ว่าร้องไห้มา และเหตุผลก็คงไม่หนีไม่พ้น ที่ศิษย์ผู้พี่ ‘ต้องจากไป’

“พี่อัสดง รถมาแล้วครับ” อรุณศิษย์ผู้น้องนั่นเอง เขาไปตามรถมาให้อัสดงเรียบร้อยตามคำสั่งของหลวงตาแล้ว
 
“อย่าร้องไห้อรุณ พี่คงต้องไปแล้ว ดูแลหลวงตาดีๆนะ มีอะไรก็บอกพี่แล้วกัน ขอบใจมาก”

“ครับ ผมจะดูแลหลวงตาให้ดีที่สุด ....ฝากฆ่าไอ้พวกยักษ์เผื่อผมด้วย” เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะโผเข้ามากอด ผู้ที่เป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ

“เอาสิ พี่จะเผามันให้วอดไปให้หมดเลย อย่าลืมนะ นายต้องฝึก สร้างอาคมกั้นเขตปริมณฑล อย่ามัวแต่เล่นสนุก”

“ครับพี่ ยังไงพี่ก็ดูแลตัวเองด้วย”

“อืม ขอบใจ พี่ไปลาหลวงตาก่อน ฝากยกกระเป๋าลงไปด้วย“

อัสดงเอามือมาขยี้หัวศิษย์ผู้น้องอย่างเอ็นดูแล้วรีบเดินไปลาหลวงตาอีกครั้ง ถึงเวลาแล้วสินะ ที่เขาต้องกลับไปเสียที ถึงเวลาที่พวกยักษ์จะได้รู้เสียทีว่า  เทพนั้นยังไงก็เหนือกว่าอสูรวันยังค่ำ เขานี่แหละจะจัดการให้มันกลับไปอยู่ใต้อุ้งบาทเทวะตลอดไป

รถจิ๊ฟเก่าคร่ำคร่าประดุจดังโครงเหล็กเก่าๆที่วิ่งได้ บัดนี้ควบปุเลงๆวิ่งฝ่าความมืดออกมาจากวัดป่าได้สักพักแล้ว เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่ว ทำให้สรรพสัตว์ที่หากินยามค่ำคืนแตกกระจายเพราะเสียงเครื่องยนต์นั้น ชายสูงวัยที่ทำหน้าที่คนขับต้องใช้ความพยายามในการบังคับรถมิให้ตกหลุมขรุขระที่มีอยู่กลาดเกลื่อน อัสดงที่นั่งตอนหน้าเคียงคู่คนขับขณะนี้ไม่ได้มองทางนั้นหรอก ได้แต่นั่งเหม่อลอยมองออกไปในความมืดไปเรื่อย

‘นี่เราต้องจากที่นี่ไปจริงๆหรือ’

อัสดงเปรยขึ้นกับตัวเองในใจ นึกๆแล้วก็รู้สึกใจหาย เพราะเขาโตมาที่นี่ ที่แห่งนี้เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งห่างไกลจากแสงสีอันศิวิไลซ์ เขาเคย “ลอย” ไปไหนมาไหนยามอยู่ที่นี่ แล้วถ้าอยู่ที่กรุงเทพ เขาคงจะลอยแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ แล้วทำไมเขาต้องไปปราบพวกอสูรพวกยักษ์ด้วย เทพองค์อื่นๆก็มี ทำไมต้องเป็นเขา ข้อสงสัยนี้เขาเคยถามหลวงตามาเช่นกัน หากคำตอบที่ได้รับคือ

“ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอก วันมีเทวราชโองการเจ้าจะรู้เอง”

อัสดงยังคงนั่งใจลอยไปเรื่อยๆ เหมือนกับรถที่วิ่งไปตามทาง ส่วนนายมะโตกระเหรี่ยงอพยพ ซึ่งทำหน้าที่คนขับ เห็นเด็กหนุ่มเงียบขรึม จึงอยากจะชวนคุยแต่ไม่กล้า ได้แต่นึกชมในใจว่า

‘ลูกศิษย์ของหลวงตาคนนี้ หน้าตาหล่อเหลากว่าพระเอกยี่เกที่เคยมาเล่นในหมู่บ้านเป็นกอง เสียอย่างเดียว ไม่ค่อยยิ้มเท่าไร’

เหตุที่นายมะโตไม่กล้าชวนคุย คงมิใช่เพราะลูกศิษย์หลวงตาไม่ค่อยยิ้มหรอก หากเป็นเพราะรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ มันทำให้รู้สึกยำเกรงอย่างประหลาด คงเริ่มตั้งแต่เห็นเดินลงมาจากกุฏิกับหลวงตาแล้ว ดูมีสง่าราศีพิกลๆ นายมะโตที่มัวแต่หันหน้ามามองอัสดงพอหันกลับไปดูทางอีกที ก็ต้องเบรกรถกะทันหัน จนทำให้หัวของอัสดงทิ่มไปข้างหน้ากระแทกกระจกเต็มๆ

“โอ๊ยลุง ลุงหยุดรถแบบนี้ หัวฉันกระแทกเลยเห็นไหม” อัสดงหน้านิ่ว เจ็บเพราะหัวกระแทก ดีนะที่หัวไม่แตก

“ตายห่า ลุงขอโทษ .....พอดีมีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ข้างหน้า ลุงไม่ทันมอง”

“เอ๊า แล้วต้นไม้ล้มมาขวางทางได้ยังไง”

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวขอลงไปดูก่อน เอ อีตอนขามาก็ไม่มีนี่นา”

ว่าแล้วลุงมะโตกระเหรี่ยงสูงวัยที่พูดไทยชัดแจ๋ว ก็กุลีกุจอรีบลงจากรถไปดูต้นไม้ต้นเหตุที่ทำให้ต้องเบรกรถกะทันหัน อัสดงได้ยินที่ลุงมะโตพูดก็รู้สึกเอะใจในคำพูดนั้นทันที แต่จะห้ามไม่ให้ลงไปก็ไม่ทันเสียแล้ว

ลุงมะโตเดินลงมาจากรถแล้วมุ่งหน้าไปดูต้นไม้ที่ล้มขวางทางนั้น หะแรกมองดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่แล้วจู่ๆต้นไม้ที่ล้มอยู่ก็เสมือนจะเขยื้อนเคลื่อนไหว คิดไปเองว่าน่าจะตาฝาด แต่พอส่วนปลายทั้งสองด้านที่พาดยาวมองไม่เห็นในตอนแรกนั้น เริ่มที่จะออกมาจากสองข้างทาง ก็รู้ได้เลยว่าสายตาตนไม่ได้ฝาดไปเลยสักนิด

และเพียงชั่วระยะเวลาเข็มตกในสภาวะตระหนก ส่วนปลายทางด้านซ้าย ก็โผล่พ้นชายดงออกมาเริ่มม้วนขดเป็นวงกลมเข้ามายังกึ่งกลางถนน พอได้ระยะ ส่วนปลายที่อยู่ทางด้านขวาจึงโผล่พ้นชายดงออกมาชูสูงขึ้นไปในอากาศที่มืดมิด เสียงหวีดหวิวดังเฟี้ยวๆ ระคนเสียงขู่ฟ่อๆ ระงมไปทั่ว แลด้วยความเร็วปานพายุพัด ส่วนหัวของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นก็พุ่งกลับลงมายังพื้นดิน จนกระทบแสงไฟสว่างจ้าหน้ารถ ทำให้หนึ่งอณูแห่งเทวะและอีกหนึ่งมนุษย์ตกตะลึงในภาพนั้น

เศียรเงื้อม ชะโงกง้ำ แผ่ขยาย     เนตรแดงคล้าย สุริยัน สาดส่อง

ต้นไม้ที่เห็นแต่แรกขณะนี้กลับกลายเป็นร่างที่มีเกล็ดเป็นมันระยับ ลำตัวใหญ่ยาวเหยียดกำลังม้วนตัวขดเป็นวงกลม  ส่วนปลายด้านขวาที่แท้ก็คือส่วนหัวนั่นเอง ดวงตาแดงก่ำดุจดวงสุริยาจ้องเขม็งเอาเรื่อง หงอนสีทองสุกใสบิดไปมา ลิ้นสองแฉกตวัดออกมาเป็นระยะๆ ลุงมะโตแทบล้มทั้งยืนตะโกนออกมาลั่น ก่อนจะสิ้นสติ ด้วยความตกใจ ฟุบไปกับพื้นถนน

“งะ งะ งูยักษ์....”

เจ้างูยักษ์ มิได้ใส่ใจมนุษย์กระเหรี่ยงต่ำต้อยนั่นหรอก หากแต่เป้าหมายของมันคือคนที่นั่งในรถต่างหาก มันจึงเบนหัวมาที่อัสดงแล้วพุ่งเข้าใส่ในทันที  อัสดงพอได้สติก็รีบกระโดดลงจากรถลงมานอนกองอยู่กับพื้นถนน ก่อนที่ศีรษะอันใหญ่โตของอสรพิษยักษ์ จะฉกลงมาที่เขา เสียงกระทบระหว่างหัวงูกับรถดังสะเทือนเลื่อนลั่น โชคดีที่เขาลงมาทัน มิฉะนั้นเขาคงต้องไปเฝ้าพระยมราชก่อนไปปราบพวกอสูรเป็นแน่ เพราะสภาพรถตอนนี้ กลายเป็นเศษเหล็กไปเรียบร้อยแล้ว

“ชิ ไอ้พวกนาค” อัสดงพึมพำเบาๆ แล้วปัดฝุ่นออกจากกางเกง ลุกขึ้นมายืนแล้วพูดกับเจ้าอสรพิษยักษ์ว่า “หลีกทางให้เรา เรากับเจ้าไม่เคยล่วงเกินต่อกัน จงไปเสีย อย่าทำให้เราเสียเวลา”

ทว่าเจ้างูมีหงอนหรือนาคตนนั้น หาได้สนใจในคำพูดนั้นไม่ ดวงตาแดงก่ำยิ่งขึ้น แล้งพุ่งสวนฉกลงมาอีกครั้งรวดเร็ว

“เมื่อพูดดีๆ ไม่ฟังก็ตามใจ เจ้ารนหาที่เองนะ”

อัสดงพูดจบก็หงายฝ่ามือขวาขึ้น เปลวไฟน้อยๆ ประทุลอยออกมาจากฝ่ามือนั้น แล้วเริ่มรวมกลุ่มหนาแน่น จากนั้นหมุนคว้าง แรงขึ้น แรงขึ้น จนกลายเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่ และทันที่ที่เศียรแห่งนาคาพุ่งฉกลงมา จักรเพลิงในอุ้งงมือนั้นก็พุ่งสวนขึ้นไป ตัดเศียรมหึมานั้นขาดกระเด็น แล้ววกกลับมาครอบลงที่ลำตัวไร้หัว เผาผลาญไปจนทั่ว จนร่างแห่งนาคาและเศียรที่ถูกตัดขาด มอดไหม้เป็นภัสมธุลี ไม่เหลือเค้าของนาคาตัวใหญ่แม้แต่เงาและร่องรอย

อัสดงยืนดูจนเจ้างูยักษ์เหลือแต่ซาก แล้วก็เดินไปหยิบเป้ที่กระเด็นลงไปอยู่ข้างทางตอนกระโดดหลบเมื่อสักครู่ แล้วยกขึ้นมาสะพายไว้กับไหล่ดังเดิม เด็กหนุ่มหันไปมองซากรถที่กลายเป็นกองเหล็กสนิมเขรอะไร้ค่า แล้วก็ต้องส่ายหน้าถอนหายใจ

“ยังไม่ทันถึงกรุงเทพ ก็แห่มากันเสียแล้ว เห็นทีคงจะไม่ได้อยู่สงบๆแล้วเรา” เขาเปรยกับตนเองก่อนจะหันมาหาสารถีที่ยังสลบไศล  “ลุง โทษทีนะ ถึงเวลาลุงได้เปลี่ยนรถแล้วล่ะ ”

อัสดงยืนอยู่นิ่งๆอีกสักพักแล้วก็เตรียมตัวเดินทางต่อ ไม่รอให้ลุงมะโตฟื้น มันคงจริงอย่างที่หลวงตาว่า พวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว นี่ขนาดเพิ่งออกมาจากเขตวัดแท้ๆทีเดียว  เห็นทีคงต้องรีบไปจัดการเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ชักช้าไม่ได้แล้ว

“ขอโทษครับหลวงตา รถพังแล้ว หลานคงต้องเดินทางด้วยวิธีเดิมแล้วนะครับ”

ว่าแล้วอัสดงก็กลายร่างเป็นเปลวเพลิงดวงใหญ่ แล้วค่อยๆลอยขึ้นฟ้าจากนั้นก็สลายวับหายไป ทิ้งร่างกระเหรี่ยงชรา ซากรถและธุลีแห่งนาคาตนนั้น ไว้เพียงเบื้องหลัง ปล่อยให้ความมืดมิดกลับมาปิดสนิทลงและแผ่ปกคลุมบริเวณป่าโดยรอบอีกครั้ง แต่ก็คงจะมืดได้มินาน เพราะหลังจากอัสดงหายวับไปเพียงแค่แวบเดียว บรรยากาศรอบข้างที่มืดสนิทยิ่งกว่ามืด ก็กลับมาสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยรัศมีสีเขียวเจือทองสว่างจ้าทันที

 รัศมีนั้นครั้นพอจางลงก็กลายเป็นร่างของเด็กหนุ่มน้อย ผู้ทรงพัสตราภรณ์ สีเขียวอ่อนก้านมะลิจนเกือบขาว เกศายาวเป็นมันขลับถูกปล่อยทิ้งไว้เบื้องหลัง กลางนลาฏคาดไว้ด้วยรัดเกล้าสีทองสุกปลั่งเป็นรูปนาคราชสองตัวไขว้เศียร รูปร่างผิวพรรณลักษณะแลเครื่องประดับที่ห้อยพระศอ บ่งบอกถึงวรรณะที่สูงศักดิ์ ดวงเนตรสุกใสสีครามน้ำทะเลดูล้ำลึก ยากที่จะหยั่งถึง หากดูแล้วงามยิ่งนัก นี่ถ้าหากมีนักกวีคนใดได้เห็น คงขึ้นบทชมโฉมให้ว่า

‘งามจริงงามเกินเทวบุตร .....แสนพิศุทธิ์มองได้ไม่รู้เบื่อ’

“ไม่เบาเหมือนกันนี่ ”  ริมโอษฐ์รูปกระจับสีสดใส แย้มเยื้อนขึ้นขับสุรเสียงไพเราะเสนาะน่าฟัง  “ไม่เสียแรงที่เป็นอณูแห่งสุริยเทพ”

หนุ่มน้อยที่เพิ่งมาถึง ตรัสจบก็เดินไปที่ซากธุลีของนาคาตนนั้น แล้วยื่นหัตถ์ซ้ายออกมาข้างลำตัว เศษธุลีที่เผาไหม้กองอยู่ที่พื้นก็ลอยขึ้นมากองอยู่บนหัตถ์ขาวเนียนนั้น แล้วกลับกลายเป็นกำไลข้อมือที่ขดเป็นตัวนาคราชซึ่งบัดนี้เศียรขาดหายไป

“ทำกำไลเราพินาศเลย แค่ล้อเล่นนิดหน่อยถึงกับต้องเผากันเป็นจุณเลยเหรอ”

“แต่ที่ฝ่าพระบาททรงทำ มันไม่เหมือนล้อเล่นเลยนะพะย่ะค่ะ หากเมื่อกี้อณูน้อยนั้นเกิดพลาดพลั้ง ฝ่าพระบาทจะทำอย่างไร” แสงสว่างวาบจากผู้ติดตาม วิบวับตามมาติดๆ แต่ไม่เจิดจ้าเท่าเด็กหนุ่มผู้ประทับยืน แสดงถึงวรรณะที่ต่ำกว่า บัดนี้ร่างผู้ติดตามได้หมอบเฝ้าอยู่กับพื้นแล้ว

“จะต้องไปทำยังไง กะอีแค่มนตราเด็กๆ แก้ไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” เด็กหนุ่มตอบมา ปลายสุรเสียงตวัดเล็กน้อย

“แต่ฝ่าพระบาทก็ไม่ควรไปล้อเล่นกับเขาอย่างนั้น”

“เหอะ เราว่าน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะต้นกำเนิดของเขาหรอกเหรอ ....ที่ทำให้พวกเราต้องลงมาอยู่ที่บาดาล”

“แต่กระหม่อมว่า ท่านสุริยเทพไม่น่าจะเกี่ยว ที่เกี่ยวน่ะ ทูลหม่อมปู่กับสมเด็จทวดของฝ่าพระบาทต่างหาก” ผู้ติดตามยังคงขัดมาเรื่อยๆ ทำให้เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เริ่มไม่พอพระทัย

“เอ๊ะ นาเคนทร์เจ้าเป็นพวกใคร เราหรือสุริยเทพนั่น เราบอกว่าเกี่ยวก็เกี่ยวสิ ก็ไม่ใช่เพราะเขามัวแต่ขับรถอวดโฉมไปทั่วเหรอ ทวดเราถึงได้ทะเลาะกันเพราะเรื่องทายสีม้าของเขา จนเป็นเหตุกับพวกพญาเวนไตย” สุรเสียงเสนาะแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอพระทัยออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงพญาเวนไตยเจ้าแห่งเทวปักษีหรือพญาครุฑ

“แต่ฝ่ายเราผิดนะพะย่ะค่ะ ฝ่ายเราโกงเขาก่อน”

“นาเคนทร์ เจ้าแน่ใจนะ ว่าเจ้าไม่ได้เป็นพวกครุฑกลับชาติมาเกิด ขัดเราอยู่ได้ ไปกันได้แล้ว แล้วอย่าบอกใครล่ะว่าเราขึ้นมา”

สิ้นสุรเสียงร่างของเด็กหนุ่มก็กลับกลายเป็นแสงสว่างจ้าแล้วหายวับลับไป พร้อมกับผู้ติดตาม  “ฝากไว้ก่อนเหอะสุริยเทพ เราไม่หยุดแค่นี้หรอก เราต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าแบ่งภาคลงมาเกิดทำไม”

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๒ นะคะ

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ รีรัน) บทที่๑ อัพ๑๙มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-03-2019 09:33:59
มาแล้วๆๆๆ ดีใจมากๆเลยค่า  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ปรับปรุง) บทที่๒-บทที่๓ อัพ๒๐ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-03-2019 16:13:09
บทที่๒ ฟ้าผ่ากลางสยามสแควร์

เช้านี้ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ผู้คนค่อนข้างแน่นขนัดคับคั่งกว่าทุกวันที่เคยเป็นมา ทำให้อัสดงต้องใช้เวลานากว่าจะผ่านผู้คนออกมาได้ หนุ่มน้อยเจ้าของลักยิ้มอันทรงเสน่ห์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที นี่ถ้าเป็นที่วัดป่าป่านนี้เขาก็คงลอยไปแล้วคงไม่ต้องมาเดินฝ่าฝูงชนออกมาให้ยุ่งยาก ดูอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมาสิ เขายังลอยมาที่สถานีรถไฟในตัวจังหวัดแล้วถึงได้ขึ้นรถไฟมาจนถึงกรุงเทพตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนออกเดินทาง

ในระหว่างทางที่หนุ่มน้อยเดินออกมานั้น ด้วยรูปลักษณ์ที่สะดุดตา หน้าตาที่คมคาย ทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างก็ต้องตาสะดุดหยุดกับที่ มองแล้วก็ต้องมองอีก สาวๆบางคนถึงกับทอดตาหวานมาให้ อัสดงก็ได้แค่ยิ้มตอบแต่ไม่สนใจ เดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ เพื่อจะออกนอกสถานีให้เร็วที่สุด ครั้นเมื่อออกมาได้แล้ว ก็เหลียวซ้ายแลขวาแลลังเลว่าจะไปทางไหนดี หลวงตาบอกแค่ว่าเมื่อมาถึงกรุงเทพจะมีสหายมารอรับ แล้วไอ้สหายร่วมชะตากรรมคนนั้นมันอยู่ไหนกัน

“ถ้าไม่เจอจะทำยังไงดี จะไปบ้านพ่อหรือบ้านแม่เลือกไม่ถูก” ระหว่างที่เขากำลังเปรยกับตนเองและคิดไม่ตกนั้นสายตาหลายๆคู่เริ่มจับจ้องมาทางเขาหนักขึ้น เสียงซุบซิบจากที่ดังเบาๆกลายกับเป็นเซ็งแซ่ หากแต่มีบางเสียงที่นำมาจนเด่นชัดได้ยินถนัดเต็มสองรูหูว่า

“หล่อจังเป็นนายแบบหรือว่าดารามาถ่ายหนังหรือเปล่า” เจ้าของเสียงคือไก่แก่นางหนึ่งพูดขึ้นกับแม่ปลาช่อนที่ยืนข้างๆผู้เป็นเพื่อนที่เสนอความคิดเห็นตามมา

“เออจริงๆด้วย หล่อจริงๆ หล่อกว่าพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์อีก นี่ดูเหมือนว่าเขาจะหลงทางนะเธอ ไปช่วยเขากันไหมเผื่อจะได้ซดข้าวต้มมื้อสายๆ”

อัสดงเมื่อได้ยินบทสนทนานั้นก็ได้แต่ยิ้มๆ หัวเราะเบาๆ แล้วก็ต้องส่ายหน้า “ผู้หญิงอาไร้ ไม่ไหวเอาซะเลย ถ้าเป็นสาวๆ สวยๆก็ว่าไปอย่าง แต่นี่แก่คราวแม่ นี่ถ้าหลวงตามาเห็นเข้าคงจับเทศน์เสียหลายกัณฑ์”

นังไก่แก่และนังแม่ปลาช่อนไม่พูดเปล่า ทั้งสองนางต่างก็เริ่มเดินทอดน่องมาที่อัสดงแต่ก่อนที่จะเดินถึงนั้นก็มีเหตุให้นางไก่แก่ล้มหน้าคะมำลงกับพื้นเสียก่อนเสียงดังโครม จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรี๊ดแสบแก้วหูดังลั่นว่า

“ ว๊ายยยยยย ใครถีบกู”

“โทษทีป้า.....แค่ชนยังไม่ได้ถีบ พอดีรีบวิ่งมาหาคน ไม่ได้มอง” เจ้าต้นเหตุหันมาตอบ แล้วไม่สนใจอันใดอีก

เจ้าต้นเหตุคนนี้ คือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สูงพอๆกับอัสดงหากแต่ผิวขาวกว่า รูปร่างสมส่วนสวมเชิ้ตเข้ารูปสีตองอ่อน รับกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีซีด ทรงผมทำสีสันทันสมัยราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น ดูรวมๆกันแล้วจัดว่าเป็นหนุ่มน้อยที่น่ามองอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว แล้วเจ้าหนุ่มน้อยก็หันไปพูดกับอัสดงที่ยังยืนมองอยู่เฉยๆว่า

“นายคงเป็นอัสดงใช่ไหม ฉันชื่อ เอราวัต ได้รับคำสั่งให้มารับนาย”

อัสดงมองเจ้าคนพูดก็เห็นว่า ไอ้คนนี้มันเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางไม่น่าจะเป็นสหายผู้มีฤทธิ์ร่วมชะตากรรมตามที่หลวงตาบอก หน้าอ่อนๆอย่างนี้น่ะเหรอจะมาร่วมกันปราบอสูร ด้วยความที่ผ่านการฝึกปรือแลเคยถูกสอนให้รู้ซึ้งถึงเล่ห์กลของยักษ์จึงทำให้มิยอมวางใจ เป็นไปได้ไหมที่มันจะเป็นยักษ์และอสูรพวกนั้นปลอมตัวมา แล้วจะพิสูจน์อย่างไรดี

“เฮ้ย นี่เมื่อไหร่นายจะเลิกนิสัยดูถูกคนวะ ไม่เปลี่ยนเลยไม่ต้องมาพิสูจน์อะไรกับฉันหรอก ไอ้พระอาทิตย์เอ๊ย” หนุ่มน้อยผู้มีนามว่าเอราวัตกล่าวขึ้นเพราะรู้ว่าสิ่งที่อัสดงคิด ‘ในใจ’ นั้นคืออะไร

“นี่นายอ่านใจออกด้วยเหรอ และนายก็รู้ว่าฉันเป็นใคร” อัสดงถามกลับมาด้วยความประหลาดใจ เหตุไฉนไอ้คนนี้มันถึงได้รู้ในสิ่งที่เขาคิด แต่ในเมื่อมันมีความสามารถแบบนี้ ก็คงจะหมดข้อกังขาไปได้เปราะที่ว่าหน้าอ่อนๆอย่างมันมีฤทธิ์หรือไม่มี

“ก็เออน่ะสิ นี่ถ้าไม่ใช่เทวโองการให้มาปราบอสูร ฉันก็ไม่อยากจะมายุ่งกับนายนักหรอก สุริยาทิตย์”

“ฉันก็ไม่ได้อยากให้นายหรือใครมาวุ่นวายเหมือนกัน เรื่องปราบอสูรฉันว่าฉันทำคนเดียวได้ ดีกว่ามีผู้ช่วยเสียด้วยซ้ำ”

อัสดงตอบกลับก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น ปากก็พูดไปอย่างนั้นเอง เพราะหลวงตาเคยบอกแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีคนคอยช่วยกัน ส่วนในใจก็เดินพลางคิดพลาง เนื่องจากไอ้คนที่บอกจะมาช่วย นอกจากมันจะมีฤทธิ์อ่านใจได้ เทวโองการยังเป็นอีกเรื่องที่มันก็รู้ แต่ถึงมันจะรู้ หากก็ควรอย่าเพิ่งไว้ใจ ดูทีดูท่ามันก่อน ฝ่ายส่วนเอราวัตเมื่อได้ยินสิ่งที่อัสดงพูดก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วบ่นขึ้น ก่อนจะถอนหายใจมาเฮือกใหญ่แล้วรีบตามอัสดงต่อไปในทันที

“ไอ้นี่ ทั้งหยิ่งทั้งอวดดีไม่เลิกสักที”

ด้านนังไก่แก่และนังแม่ปลาช่อนได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็ได้แต่งง ครั้นพอเห็นหนุ่มน้อยผิวสีแทนเดินจากไปแล้วหนุ่มน้อยผิวขาวก็เดินตาม ทำให้นางผู้ร่านสวาททั้งสองต่างก็ได้แต่มองกันตาค้างจนลับตา 

“เห็นไหม หล่อนมัวแต่ซุ่มซ่าม เลยอดแดกข้าวต้มเลย” นังปลาช่อนพูดออกมาอย่างเสียดาย

“ไม่ต้องด่งไม่ต้องแดกมันแล้ว มาช่วยกูก่อน อีนี่ ไม่เห็นเหรอว่าข้าวต้มของหล่อน กลายเป็นข้าวเหนียวถั่วดำไปเรียบร้อยแล้วย่ะ เห็นไหมเขาตามตูดกันซะขนาดนั้น ถ้าอยากจะแดกนักก็ตามไปคนเดียวเหอะ” นังไก่แก่ตอบกลับพร้อมกับค้อนประหลับประเหลือก “มาดึงกูขึ้นซะทีสิ ไปเหอะเรา กลับไปหาผัวแมงดาที่บ้านดีที่สุด”

ฝ่ายอัสดงในเวลานี้ก็ยังคงได้แต่เดินดุ่มๆไปข้างหน้า เอราวัตเองก็ยังตามและตะโกนเรียกไล่หลังมาเรื่อยๆไม่หยุด

 “เฮ้ย รอก่อนสิวะอัสดง”  แม้นเอราวัตจะเรียกเท่าไหร่ อัสดงก็มิสนใจฟัง เอราวัตจึงตัดสินใจเหยียบอากาศกระโดดลอยมาขวางหน้า และก็โชคดีนักที่ไม่มีใครเห็นนอกเสียจากอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ที่ตนกำลังดักไว้

“ระวังหน่อย ฤทธิ์และอำนาจไม่ควรใช้พร่ำเพื่อ อาจารย์นายไม่สอนเหรอวะ”

“ก็มันจำเป็นโว้ย แล้วก็ขี้เกียจตามแล้ว นี่ไอ้พระอาทิตย์ ฟังนะเรื่องปราบยักษ์มันสำคัญนะ ถ้านายไม่ร่วมกลุ่มด้วยพวกเราทำไม่สำเร็จแน่ๆ”

“ก็เรื่องของพวกนายสิ ฉันไม่สน”

“แต่พลังของนายเหนือกว่าพวกเรานะ ยังไงซะเราก็ต้องพึ่งนาย และนายก็ต้องเป็นหัวหน้าพวกเราตามเทวบัญชา”

ประโยคนี้ของเอราวัตทำให้อัสดงสนใจฟังทันที คำว่า ‘หัวหน้า’ นั้นน่าสนใจไม่ใช่เล่น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วเขาไม่ชอบรับคำสั่งสักเท่าไร เขาชอบเป็นผู้ออกคำสั่งแลเป็นผู้นำมากกว่า อีกอย่างตอนอยู่ที่วัดป่า เขาก็เป็นศิษย์คนโต ทำให้มีแต่คนยำเกรง ฉะนี้แล้วการมารวมตัวกันปราบอสูรครั้งนี้ หาควรเป็นรองใครไม่

“นายพูดจริงนะ”

รอยลักยิ้มข้างแก้มปรากฏขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆตรงมุมปาก นี่แหละคือสิ่งที่ต้องการ จะออกรบทั้งทีตำแหน่งแม่ทัพก็ต้องเป็นของเขา เรื่องอะไรจะเป็นแค่พลทหารหรือขุนศึกกระจอกๆ

“ก็จริงสิวะ”

 “งั้น เราก็ตกลง เมื่อกี้นายบอกว่านายชื่อ... เอราวัตใช่ไหม ตอนนี้เรามีกันแค่สอง แล้วคนอื่นๆอีกห้าคนล่ะ ”อัสดงถามขึ้น

“อีกหกต่างหากโว้ย ทั้งหมดรวมเราด้วยเป็นแปด นี่อาจารย์นายไม่บอกอะไรเลยหรือไง”

“เออใช่ แปดคน ลืมไป แล้วนายรู้รายละเอียดอะไรอีกหรือเปล่า”

อัสดงใช่ว่าไม่รู้ แต่คงจะทดสอบเอราวัตมากกว่า จึงแกล้งบออกจำนวนคนผิด ซึ่งมีแต่ ‘คณะเทพ’ ผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่รู้ข้อมูลนี้ เอราวัตเองก็ตอบได้ถูกควรสบายใจได้แล้ว เจอสหายที่หลวงตาว่าเสียที

“ฉันก็รู้เท่าที่นายรู้ เมื่อเรารวมตัวครบกันเมื่อไร จะมีเทวราชโองการลงมาอีกครั้ง”

“แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันเป็นคนที่นายตามหา แล้วเราจะเริ่มตามหาคนที่เหลือที่ไหน”

“ฉันเห็นนายผ่านข่ายพระญาณ ส่วนอีกหกคนที่เหลือบอกตรงๆว่ายังไม่รู้ว่ะ แต่ตอนนี้ฉันว่า ฉันต้องพานายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะก่อน มอมแมมโคตร แถมเสื้อผ้ายังเชยชะมัดยาด และอีกอย่างเราต้องหาที่พักให้นายด้วย ไปกันเหอะ”

เอราวัตพูดจบก็โบกมือเรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมาให้จอด พอได้รถก็เปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่งด้านใน ส่วนอัสดงยังไม่ค่อยจะวางใจเท่าไรนัก จนเอราวัตต้องร้องเรียกซ้ำ ให้ขึ้นมา แล้วอัสดงก็ตัดสินใจ เอาไงก็เอากัน ครั้นพอประตูปิดสนิทเรียบร้อย เอราวัตก็บอกคนขับถึงจุดหมายปลายทางว่า

“สยามสแควร์”


ตลอดระยะทางจากหัวลำโพงถึงสยามนั้น อัสดงได้แต่นั่งมองโน่นมองนี่ข้างทางตลอด ด้วยความที่ไม่ได้มากรุงเทพเสียนานอะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปหมด ดูแล้วน่าสนใจยิ่งแต่ก็ยังสงวนทีท่าไว้ เกรงว่าเอราวัตมันจะหาว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุง เอราวัตเห็นเข้าแล้วก็ล่วงรู้ถึงความคิดนั้น ก็ได้แต่หัวเราะเปรยกับตัวเบาๆ

“ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย”

“ทำไมนายถึงได้มอมแมมนักวะ” เอราวัตถามขึ้นมาเป็นประโยคแรก เมื่ออยู่ในรถ

“มีเรื่องนิดหน่อย แต่พูดในนี้ไม่ได้”

แน่ล่ะลองพูดออกไปสิว่ามีเรื่องกับพวกพญานาค คนขับรถคงหาว่าเป็นลิเกหลงโรงหรือดีไม่ดีอาจจับส่งโรงพยาบาลบ้าก็ได้ อัสดงจึงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนในใจทิ้งให้เอราวัตอ่านเอาเอง

“ นี่นายไปทำอีท่าไหน ทำไมถึงไปมีเรื่องกับพวกนั้นได้ อันตรายมากเลยนะ บางทีนะพวกที่บินได้ยังต้องเกรง หลบหลีกพวกที่อยู่ในน้ำ” เอราวัตทันทีที่ทราบความจากการอ่านใจ ก็ตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัสดงเมื่อคืน เขาเลือกใช้คำอื่นมาแทนที่ ดีกว่าจะเอ่ยมาว่าครุฑกับนาคโดยตรง ซึ่งถ้าคนขับได้ยินอาจจะตกใจ หาว่าบ้าอย่างที่อัสดงคิด

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ช่างเหอะ ว่าแต่นายยังไม่เล่าให้ฟังเลยว่านายเป็นใครมาจากไหน” อัสดงถามขึ้นมาบ้าง

“ ฉันเหรอ ฉันก็อายุพอๆกับนายแหละ พ่อฉัน แม่ฉันเป็นครูอยู่ต่างจังหวัด พอเข้ามหาลัย พ่อก็ส่งมาให้อยู่กับปู่ที่กรุงเทพ ปู่ฉันเป็นหมอดูชื่อดังเลยนะ”

“อันนั้นฉันไม่อยากรู้ สิ่งที่ฉันอยากรู้จริงๆ นั้นก็คือ นายคือใคร” อัสดงจ้องหน้านั้นอย่างจริงจัง ทำให้เอราวัตได้แต่ยิ้มน้อยๆแล้วหยิบโทรศัพท์ไอโฟนขึ้นมา ใช้ฝ่ามือสะบัดผ่านหน้าจอเบาๆ ฉับพลันก็บังเกิดแสงสว่างวาบเรืองรองกลายเป็นภาพเหนือจอทัชสกรีน และแล้วสิ่งต่างๆก็หลุดลอยออกมายิ่งกว่าหนังสามมิติ ปรากฏต่อหน้าเฉพาะสายตาของอัสดงให้เห็นแต่เพียงผู้เดียว ภาพนั้นหากจะบรรยายเป็นตัวอักษรก็คงบรรยายได้ว่า

“มหาบุรุษผู้เลิศลักษณา ผู้ทรงจันทรเศขร กรีดหัตถ์ตวัดเอาคชสารซึ่งล้วนแต่เป็นยอดแห่งคชลักษณะรวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดเชือก แล้วบีบด้วยอุ้งหัตถ์จนกลายเป็นผุยผง จากนั้นห่อด้วยผ้าสีเขียวดั่งมรกต แล้วประพรมด้วยน้ำอมฤต เสร็จแล้วทรงบริกรรมพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์จนบังเกิดเป็นเทวบุตรรูปงาม ทรงรัศมีเขียวนวลสว่างไสวกระจ่างตาอย่างน่าดูชม”

รัศมีที่เห็นในภาพ จับทั่วทั้งองค์  ถึงแม้จะจ้า แต่ก็เห็นพระพักตร์ชัด ...และพระพักตร์นี้เองก็เหมือนกับคนที่นั่งข้างๆ
แลด้วยรัศมีอันเดียวกันนี้ จึงทำให้แยกออกว่าใครคือต้นกำเนิดของใคร แล้วใครคือร่างอวตารของใคร
 
“นายคือ พระพุธ”

อัสดงยิ้มออกมาได้แล้ว เอราวัตยักคิ้วให้เป็นการแทนคำตอบว่าใช่ เมื่อหมดข้องสงสัย อัสดงจึงวางท่าทีเป็นมิตรมากกว่าเดิม เพราะไหนๆ องค์ต้นกำเนิดก็เคยประชุมที่เทวสภาด้วยกันมาก่อน  ทำงานกับพวกคุ้นเคยอย่างนี้จึงโล่งใจนัก

“เก่งนี่ทายถูกด้วย นี่แค่ตำนานเดียวนะโว้ย ยังมีอีกหลายคลิป ที่แย่ที่สุด ตำนานที่ว่าฉันเป็นลูกชู้ของเมียพระพฤหัสเกิดกับพระจันทร์นี่สิ ขายหน้าที่สุด ไม่มีสื่อไหนแก้ข่าวให้ด้วย ” เอราวัตกระซิบเบาๆ ทำให้อัสดงหัวเราะออกมาได้ เป็นครั้งแรก


“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยอัสดง นายเองก็เหอะ ได้ข่าวว่าแม่ไม่ยอมพาไปเฝ้าพ่อเหรอ ถึงต้องได้ขับรถทั่วท้องฟ้า”

“ใครบอกว่าไม่พาไป พาไปโว้ย แต่ขี้เกียจอยู่ สู้ขับรถดูสาวๆไม่ได้” อัสดงตอบมาทีเล่นทีจริง ความกินแหนงแคลงใจระแวงว่าเอราวัตจะมีเจตนาไม่ดีหายไปหมดสิ้น

“ถึงว่า เดี๋ยวพอถึงสยามแล้ว นายได้ดูสาวๆอย่างเต็มตาแน่ ว่าแต่ เราสองคนเกิดมาจากไหนกันแน่เนี่ย ฉันก็ยังงงๆเหมือนกัน”

“นั่นสิไอ้พระพุธ ไว้เวลามีข่าวจากข้างบนลงมานายก็ถามท่านสิ”อัสดงเสนอขึ้นเข้าท่า

“แล้วทำไมนายไม่ถามเองล่ะ ไอ้ดวงไฟลูกใหญ่”

“เพราะฉันกลัวได้คำตอบว่า เราสองคนเป็นลูกท่านน่ะสิ”

สิ้นเสียงของอัสดงก็เรียกเสียงหัวเราะจากเอราวัตได้ไม่หยุด ทั้งสองหัวเราะพร้อมกันลั่นรถ มิตรภาพเริ่มก่อตัวขึ้นแล้วระหว่างอัสดงและเอราวัต ทีนี้ก็เหลือแต่ช่วยกันตามหาอีกหกให้ครบเรื่องจะได้กระจ่างสักที คนขับรถแท็กซี่ได้ยินบทสนทนานั้นทั้งหมดก็ได้แต่ทำหน้างงๆ ส่ายหน้าช้าๆ

“เด็กสองคนนี่คุยอะไรกันแปลกๆ เต็มหรือเปล่า”

เมื่อถึงสยาม เอราวัตก็บอกให้รถจอดตรงหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังบริเวณนั้นแล้วพาอัสดงข้ามฝั่งมาเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ร้านประจำฝั่งตรงข้าม อัสดงรู้สึกแปลกตากับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ ทุกอย่างดูทันสมัย ต่างกันลิบลับกับตอนที่เขาเด็กๆ ดูอย่างการแต่งตัวของสาวๆที่นี่ ก็นุ่งน้อยห่มน้อยเสียจนไม่น่ามอง หน้าตาก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหน จมูกแหลมๆหน้าแหลมๆพิกล แถมยังแต่งหน้าทาปากเสียดูไม่ได้ นางฟ้าที่วรรณะต่ำสุด ก็ยังสวยกว่าผู้หญิงพวกนี้หลายเท่านัก

“เนี่ยนะเอราวัต สาวๆที่นายบอก หน้าแปลกๆตาโตๆ เหมือนจะพิการ คล้ายผีดิบ ยังไงก็ไม่รู้”

“นายไปอยู่ไหนมาวะ ....เนี่ยอินเทรนด์สุดๆแล้ว โคเรียนฟีเวอร์”

“เหรอ...งั้นนายต้องไปเห็นที่วัดป่าที่นั่นสาวๆสวยกว่านี่อีกร้อยเท่า แล้วนายจะเปลี่ยนใจ”

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ปรับปรุง) บทที่๒-บทที่๓ อัพ๒๐ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-03-2019 16:14:36
“สาวที่ไหนไปอยู่ที่วัดป่าวะ” เอราวัตถามขึ้นอย่างสนใจ

“ก็พวกนางฟ้า นางไม้เวลามาฟังเทศน์ตักบาตรกับหลวงตา ฉันเห็นจนเบื่อ”

ท่าทางอัสดงคงจะเบื่อจริงๆ เพราะแสดงออกมาทั้งน้ำเสียงและแววตาได้อย่างครบถ้วนเพราะบรรดาแม่เทพธิดาพวกนั้นต่างก็ทอดสายตาให้อัสดงเสมอๆ เวลามาที่วัด บางนางถึงกับกวักมือเรียก จนบางทีเขารู้สึกรำคาญด้วยซ้ำ ต้องเดือดร้อนอรุณศิษย์ผู้น้องคอยเป็นไม้กันนางฟ้าอยู่เรื่อยๆ

“โธ่นั่นมันนางฟ้า นี่มันมนุษย์เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีโอกาสก็แนะนำให้ฉันสักคนนะ”

เอราวัตกล่าวตอบยิ้มๆแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาพาอัสดงเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ เข้าร้านนี้ออกร้านนู้นจนได้ของครบ  แล้วอัสดงก็สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ เสื้อผ้าที่ดูทันสมัยอย่างเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป ทำให้เขาน่าดูยิ่งขึ้นจากเดิมที่ใครเห็นก็ว่าน่าดูอยู่แล้ว ยิ่งมาแต่งตัวแบบนี้เลยทำให้ดูดีไม่หยอก แม้แต่เอราวัตเองเห็นเข้ายังต้องเอ่ยปากกล่าวชม

“นายนี่หล่อไม่เบาเลยนะ”

“ของมันแน่อยู่แล้ว....ว่าแต่เราไปจากที่นี่กันเหอะ ฉันอยากพักผ่อน ” อัสดงคงจะเพลียจัด ไหนจะรบกับนาคเมื่อคืน ไหนจะเดินทางมากรุงเทพ แถมเอราวัตยังพามาซื้อของอีก

“ไอ้บ้ายอ....ก็ได้ กลับก็กลับ ฝนเหมือนกำลังจะตกด้วย แปลกจังเมื่อกี้แดดยังจัดอยู่เลย”

ยังไม่ทันจะขาดคำของเอราวัต เสียงแปะๆของหยาดน้ำเม็ดใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ทำให้ผู้คนต่างวิ่งหลบเข้าที่ร่มกำบังฝน จู่ๆฝนตกได้อย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีเค้ามาก่อน ทั้งสองหนุ่มน้อยก็จำต้องวิ่งหาที่หลบฝนเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ จนมายืนอยู่ที่หน้าซอยเล็กๆข้างๆโรงหนังเก่าแก่ ลมก็พัดรุนแรงยิ่งขึ้น แต่แปลกที่ยังมิใช่พายุ แถมยังมีสายอัสนีบาตฟาดผ่านจากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง สลับไปสลับมา ก่อให้เกิดเสียงดังพรั่นพรึงยิ่ง จนบางครั้งบางคราเหมือนว่าดังอยู่ใกล้ๆหูนี่เอง

อีกทั้งความหนาวเย็นก็เริ่มแผ่กระจายไปทั่ว ฉับพลันความรู้สึกแปลกๆ ก็บังเกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่ต้องหันมามองหน้ากันเพราะความรู้สึกอันนั้น มันเป็นความรู้สึกอันนุ่มนวลอ่อนโยน จนถึงขั้นน่าหลงใหล วาบวับจับใจ สอดแทรกเข้ามาในจิตใจของคนทั้งสองท่ามกลางห่าพายุฝน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังครุ่นคิดหาสาเหตุแห่งความรู้สึกนี้นั้น สายตาของเอราวัตก็มองเห็นไปยังอีกฟากของถนน ซึ่งมีหนุ่มนักศึกษากำลังสาละวนวิ่งหลบฝนที่เริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักจากฟากฝั่งตรงข้าม จนข้ามมายังฝั่งฟากทางเขาสองคน แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็มายืนหลบฝนอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับสลัดน้ำออกจากผมที่ยาวเคลียบ่า ทำให้น้ำกระเซ็นไปโดนอัสดงกับเอราวัตที่ยืนอยู่ก่อน

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวขอโทษขึ้น เพราะเห็นว่าเอราวัตกำลังเช็ดหยาดน้ำที่กระเซ็นมาโดนเขา ตอนแรกเอราวัตตั้งใจจะต่อว่าสักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ทำให้โกรธไม่ลง  แถมความรู้สึกก็ยังผันแปรเป็นความอ่อนหวานกำซาบซ่านมากขึ้นกว่าเดิม

“ไม่เป็นไรครับ” เอราวัตกล่าวตอบหนุ่มน้อยนักศึกษาแล้วก็ยิ้มให้ อัสดงเองก็รู้สึกแปลกใจ ความรู้สึกนุ่มนวลแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็เริ่มบทสนทนาชวนทั้งสองคุย แลสองอณูก็อดไม่ได้ที่จะต้องแย้มเยื้อนตอบ

“แย่จังนะครับ ฝนตกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย”

“ฝนตกไม่เท่าไรหรอกครับ แต่ฟ้าร้องฟ้าผ่าสิ เสียงแปลกๆ” ยังมิทันจะสิ้นเสียงของเอราวัต อัสดงก็ผลักสองหนุ่มที่กำลังยืนคุยกันล้มกระเด็นลงไปนอนอยู่กับพื้น แล้วตะโกนลั่น

“ หลบเร็ว”

โชคดีที่อัสดงเห็นสายวัชระพุ่งปราดเป็นลำลงมาจากฟากฟ้า จึงหลบไปได้ทัน สายฟ้านั้นมันมาดหมายตรงบริเวณที่หนุ่มน้อยทั้งสามยืนอยู่ เสียงระเบิดกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้งสามบัดนี้ที่ลงไปนอนคลุกน้ำฝนอยู่กับพื้น พอยืนขึ้นมาได้ ก็เห็นว่าบรรยากาศรอบข้างมืดลงโดยฉับพลันแสดงว่ามีใครบางคนดึงพวกเขาเข้ามาในอาณาเขตแห่งมนตราแล้ว

อัสดงไยจะมิรู้ อาณาเขตมนตรา คืออาคมที่กางกั้นยามสู้รบในมนุษย์โลก เป็นการจำกัดพื้นที่และมิให้ศาสตราวุธและอาคมที่ใช้รบพุ่งกระทบโลกภายนอก....อาณาเขตมนตรานี้ มิใช่มีแค่เทวะที่ทำได้ หากแต่อสูรก็ทำเป็น   

“พวกอสูร”

อัสดงกล่าวขึ้นกับเอราวัต เพื่อบอกให้สหายหนุ่มเตรียมตัวรับมือ ลำพังเพียงเขากับเอราวัตหากสู้กับอสูรตอนนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นอณูแห่งเทวะ แต่ไอ้มนุษย์ธรรมดาอย่างไอ้เด็กคนนี้น่ะสิ จะทำยังไง มันโดนดึงเข้ามาด้วยในสนามรบ คงเป็นภาระให้เขาทั้งสองห่วงหน้าพะวงหลังไม่น้อย

“นายคอยหลบอยู่ข้างหลังพวกฉัน อย่าตกใจและกลัวในสิ่งที่เห็น”

เอราวัตกล่าวกับเจ้าหนุ่มนักศึกษา พร้อมกับดึงตัวเจ้านั่นเข้ามาหลบอยู่ข้างหลังพวกเขา  สายฟ้ายังคงฟาดมาอีกครั้ง ครานี้ฟาดลงตรงหน้าพวกเขาทั้งสาม ประกายวัชระวาบแวบแสบตานั้นเริ่มรวมเป็นร่างสูงใหญ่ตระหง่านเงื้อม ใบหน้าถมึงทึงเขี้ยวขาวโง้งงุ้มออกมานอกริมฝีปากหนาที่กำลังแสยะยิ้ม ในมือถืออาวุธเป็นขวานเพชรระยิบระยับ ประจุไฟฟ้าแล่นไปทั่ว

“รามสูร”

อัสดงกล่าวขึ้น แล้วก็มิรอช้าหงายฝ่ามือข้างลำตัวจนบังเกิดเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงพวยพุ่งออกมา ก่อนหมุนคว้างรวมตัวกลายเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่  ส่วนเอราวัตก็ใช้ปลายนิ้วสัมผัสพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน ฉับพลันหยาดน้ำที่เนืองนองอยู่นั้นก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นโล่แลดาบสีใสดุจสายน้ำอยู่ที่มือทั้งสองข้างของเขา ส่วนเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังยังคงยืนนิ่ง ดูทีท่ามิค่อยแปลกใจในภาพที่เห็น จนเอราวัตย้ำมาอีกครั้งว่า

“นายไปหลบตรงข้างเสานั่นดีกว่า”

เด็กหนุ่มคนนั้นพยักหน้ารับคำ วิ่งไปหลบตามที่เอราวัตบอก แต่ก็หลบมิได้มิดชิดนัก กลับเบี่ยงตัวออกมาคล้ายจะรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

“ความจำท่านยังดีนี่ ท่านสุริยาทิตย์ วันนี้ข้ามาไม่เสียเที่ยวนอกจากท่านแล้วยังมีท่านพระพุธด้วย ช่างบังเอิญและเป็นโชคดีอะไรเช่นนี้ มาพร้อมๆกัน  ข้าไม่ต้องตามหาให้เหนื่อย”

“ไอ้พวกอสูรต่ำศักดิ์เจ้าคิดเหรอว่าจะทำอะไรเราได้ ขนาดแค่เทพธิดาเมขลาเจ้าก็พ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน อย่าบังอาจหาญกล้ามาต่อกรกับพวกเรา หลีกไปก่อนที่จะกลายเป็นธุลี” น้ำเสียงของอัสดงกึ่งดูถูกกึ่งเย้ยหยันเจ้ารามสูร ทำให้เจ้าของหน้าถมึงทึงยิ่งดุดันขึ้นไปอีก แน่ะล่ะการปราชัยให้แก่พระนางเมขลาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ตนอับอายเป็นที่ยิ่ง และรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่มีใครหยิบยกปมด้อยนี้ขึ้นมาพูด

“นั่นมันตอนนั้น แต่วันนี้ ตอนนี้ พวกท่านทั้งสองอย่าหวังว่าจะมีโอกาสได้กลับสวรรค์เลย ข้าจะกำจัดพวกเทวดาอวตารให้หมด แล้วพวกอสูรอย่างเราจะกลับมายิ่งใหญ่เหนือพวกท่าน คอยดูเหอะ”

“พวกเราต่างหากที่ควรบอกเจ้าเช่นนั้นรามสูร เราขอเตือนอีกครั้ง หลีกไป แล้วเราจะให้อภัยเจ้า ที่เจ้าล่วงละเมิดเราทั้งสองเมื่อสักครู่” เอราวัตพูดขึ้นกับจอมอสูรแล้วขยับดาบที่ถืออยู่ในมือชี้ไปทางเจ้าอสูรต่ำศักดิ์ตนนั้น

“ท่านคิดว่าข้ากลัวท่านเหรอ”

รามสูรยกขวานเพชรที่อยู่ในมือแล้วฟันฟาดลงมากลายเป็นสายฟ้าพุ่งตรงมายังร่างอวตารแห่งพระพุธ เทวะน้อยยกโล่กำบังสายฟ้านั้นไว้ แล้วตวัดดาบที่ถืออยู่ในมือออกไปกลายเป็นสายน้ำอันคมกริบพร้อมจะตัดทุกสิ่งให้ขาดกระเด็น จอมอสูรเกเรฟาดขวานลงมาอีกครั้ง ครานี้สายฟ้ากระทบสายน้ำก่อให้เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น รามสูรเซถลาไปเล็กน้อย อัสดงไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไป ขว้างจักรเพลิงออกไปทันที จอมอสูรซึ่งกำลังเสียหลักรีบเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ไม่วายถูกอำนาจแห่งจักรนั้นเผาผลาญ จนทำให้ต้องเสียเลือดหยดแรก

“โอ๊ย”

รามอสูรถึงแม้จะบาดเจ็บแล้วแต่ก็ยังสู้ไม่ถอย ขว้างขวานออกไปไม่หยุดยั้งแสงวัชระและเสียงกัมปนาทดังไปทั่ว เทวะน้อยทั้งสองต่างก็ต้องหลบหลีกกันเป็นพัลวัน แต่ก็ไม่วายตอบโต้ซัดกลับมาจนจอมอสูรแทบจะรับมือไม่ไหว ฉับพลันสายฟ้าสายหนึ่งของจอมอสูรที่ถูกเอราวัตปัดออกไปด้วยดาบนั้น ก็พุ่งแฉลบไปยังเสาที่เจ้านักศึกษาหลบอยู่ อัสดงเห็นเข้าจึงตะโกนออกมาลั่น

“เฮ้ยยย หลบเร็ว” ครั้นสิ้นเสียงของพระอาทิตย์รูปงาม แรงระเบิดนั้นก็ดังขึ้นทำให้ร่างในชุดนักศึกษากลิ้งหลุนๆออกมาทันที แลรามสูรก็เห็นว่า มีผู้ที่ไม่ได้รับเชิญ

 ‘ทำไมมนุษย์เข้ามาในข่ายมนตราข้าได้ ข้าดึงแต่เทวะ ไม่ได้ดึงมันมา เหอะ ไหนๆมันก็หลุดมาแล้ว ลองจับมันมาต่อรองดีกว่า เผื่อไอ้เทพทั้งสองมันจะเห็นค่าของชีวิตมนุษย์แล้วยอมศิโรราบ’

จอมอสูรคิดได้ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีไปที่มนุษย์น้อยนั้นแทน เอราวัตเห็นท่าไม่ดีจึงกระโดดเข้าไปช่วย แต่ด้วยความที่ห่วงหน้าพะวงหลังทำให้เขาพลาดโดนสายฟ้าแฉลบกระแทกเข้าสีข้าง จนร่างกระเด็นไปหลายเมตร อัสดงรีบเหิรไปรับร่างสหายไว้แล้วพยุงขึ้นมา

 “เป็นไรหรือเปล่าเอราวัต”

“ไม่เป็นไร แค่เคล็ดๆ คันๆ รีบไปดูไอ้คนนั้นเถอะ”

เมื่อทั้งสองกำลังจะลุกขึ้น ก็พบว่ารามสูรกำลังจะถึงตัวเจ้านักศึกษาแล้ว ทั้งอัสดงและเอราวัตตะโกนออกมาแข่งกับเสียงฟ้าร้องลั่นว่าให้หนีไป แต่เด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดของอณูน้อยทั้งสอง หนำซ้ำยังยืนอยู่กับที่เหมือนโดนมนต์สะกดอีกด้วย

อีกไม่กี่ช่วงแขน รามสูรกำลังจะถึงตัวแล้ว เจ้านั้นมันก็ยังไม่ไหวติง ฝ่ามืออันใหญ่โตของยักษ์เกเรกำลังจะถึงตัวอยู่รอมร่อ ทันใดนั้นเจ้าเด็กหนุ่มจึงขยับเอามือทั้งสองมาพนมอยู่กลางระหว่างอกทำให้บังเกิดแสงสีเงินนวลสว่างจ้า พอมือทั้งสองแยกออกจากกันดาบอันยาวอย่างยิ่งเล่มหนึ่งก็ยืดออกมาจากฝ่ามือนั้นแล้วตวัดไปที่แขนแห่งรามสูรทันที  บังเกิดเป็นเสียงดังฉับพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญดังลั่น จอมอสูรผู้ประมาทและชะล่าใจไม่ทันระวังตัวเห็นว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา จึงถูกดาบเล่มนั้นตัดแขนขาดกระเด็น แขนอีกข้างที่กำลังถือขวานวิเศษอยู่นั้นก็เงื้อขึ้นหมายจะประหารเจ้ามนุษย์ผู้ประหลาด แต่ก็ต้องชะงักงัน เพราะจู่ๆ ก็ปรากฏดวงมณีเล็กๆแต่ทว่าเจิดจ้าลอยอยู่กลางลำตัวเจ้ามนุษย์คนนั้น แสงเหลืองนวลจากมณีนี้ดูแล้วบาดตาบาดใจเป็นที่ยิ่ง ทำให้รามสูรลืมความเจ็บปวดและการมุ่งเอาชีวิตเปลี่ยนเป็นกระโจนไล่ไขว่คว้าอัญมณีดวงนั้นแทน

“เร็วเข้าสิ จังหวะนี้แหละ โจมตีเลย”

หนุ่มน้อยปริศนาในคราบนักศึกษาตะโกนบอกอัสดงกับเอราวัตที่ยังตะลึงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างไม่คาดฝัน ก็พลันได้สติเพราะเสียงนั้น แล้วทั้งสามก็พร้อมใจกันสาดอาวุธเข้าใส่เจ้ารามสูร เจ้ายักษ์เขลาผู้ซึ่งมัวแต่ไขว่คว้าดวงแก้วนั้นไม่ทันระวังตัว ทำให้ต้องอาวุธแห่งเทวะทั้งสามก่อเกิดเสียงระเบิดดังลั่นแลร่างแห่งอสูรนั้นก็ดับดิ้นสิ้นฤทธีเหตุเพราะตามแสงแห่งดวงมณีนั่นเอง

ดวงมณีดวงน้อยยังลอยคว้างอีกพัก แล้วจึ่งลอยกลับมายังมือเจ้าของแล้วก็สลายหายวับไปพร้อมกับอาณาเขตมนตราบรรยากาศรอบข้างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งไม่มีวี่แววของสายฝนและสายฟ้าเลยสักนิด ผู้คนก็ยังเดินกันขวักไขว่บริเวณนี้ เด็กหนุ่มทั้งสามยังคงยืนอยู่ที่เดิม อาวุธที่ถืออยู่ทั้งหลายก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น ทั้งสามยังคงยืนหอบเพราะเหนื่อยกับการโรมรันกับยักษ์อันธพาลเมื่อสักครู่ เอราวัตนั้นที่โดนสายฟ้าฟาดตรงสีข้างเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบๆตรงชายโครงจนเกือบทรุด เด็กหนุ่มปริศนาจึงเข้าไปช่วยประคอง

“เป็นอะไรมากไหม นั่งพักก่อนดีกว่า”

“ฉันไม่เป็นอะไรมาก ขอบใจที่เพิ่งแสดงตัว ว่านายไม่ใช่คนธรรมดา”

“ใจเย็นๆก่อนสิ มา..ฉันช่วย”

เอราวัตปัดมือนั้นออกด้วยความโมโห ไอ้เวรนี่เขาสู้อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าจะโดนยักษ์ฆ่าตายห่าดันเสือกซ่อนคมซะได้ มันเป็นใครกัน ครั้นพอยิ่งมองก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า หน้าตาคุ้นๆ หน้ามันหวานๆ ตามันใสๆสวยอย่างกับตากวาง ขนตานั้นมันก็งอนอย่างกับผู้หญิง ปากนิดจมูกหน่อย เจ้าสำอางแบบนี้เคยเห็นที่ไหน  แถมน้ำเสียงหวานๆใสๆของมันก็ยิ่งคุ้นหูอีกด้วย

“ต่อยแม่งสักทีเหอะ”

อัสดงเองก็โมโห จึงคว้าคอเสื้อและเงื้อหมัดกำลังจะฟาดกำปั้นลงมาที่หน้าของไอ้หนุ่มปริศนานั้น ฉับพลันความรู้สึกที่กำลังร้อนรุ่ม โมโห ก็มลายหายไปรวดเร็ว แล้วความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวานก็เข้ามาแทนที่เพียงแค่หน้าของหนุ่มปริศนายิ้มมาให้

“บอกแล้วไง ใจเย็นๆก่อนสิเพื่อน ขอโทษที่ทำให้โมโห”

น้ำเสียงนุ่มๆ ปนออดอ้อน กล่าวขึ้นมาแถมรอบกายของเด็กหนุ่มคนนี้ยังมีรัศมีเหลืองนวล พอเห็นเข้าทำให้อัสดงกับเอราวัตคลายความโมโหลงหมดสิ้น ความรู้สึกอ่อนหวานเริ่มรุนแรงและยังคงแผ่กระจายมาเรื่อยๆ เป็นที่แน่นอนแล้วว่ามันมาจากตัวไอ้คนนี้นี่เอง

“นายเป็นใคร”

อัสดงพูดจบพร้อมกับปล่อยคอเสื้อของไอ้เจ้านักศึกษาคนนั้นให้เป็นอิสระแล้วรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ริมฝีปากแดงธรรมชาติอ่อนระเรื่อ แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างสบายๆว่า

“เราชื่อทรงกลด ...อณูของจัทรเศขรผู้เป็นปิ่นแห่งมหาศิวะ ยินดีที่ได้เจอนายสองคนอีกครั้ง ไอ้ดวงไฟ ไอ้พระพุธ”

“ไอ้พระจันทร์!!!”

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๓ นะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ปรับปรุง) บทที่๒-บทที่๓ อัพ๒๐ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-03-2019 16:16:01
บทที่๓ คืนวันพระจันทร์ทรงกลด

“ทรงกลด”หรือเด็กหนุ่มปริศนาที่ถูกอัสดงและเอราวัตเรียกว่า “ไอ้พระจันทร์” นั้น บัดนี้ยืนยิ้มแถมยังยักคิ้วให้ทั้งสองหนุ่มอย่างยียวน เอราวัตเห็นอีกฝ่ายยิ้มแบบนั้นก็แทบจะเข้าไปเตะให้หายโมโหสักที

“ไอ้นี่ทำไมไม่แสดงตัวตั้งแต่แรก ฉันจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวเพราะห่วงหน้าพะวงหลัง”

“โทษที เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายสองคนลงมาจากข้างบน ในโองการแรกบอกไว้แค่แปด แต่ไม่ได้บอกว่าใครบ้าง อีกอย่าง พวกเราอยู่ในสภาพของมนุษย์ยากที่จะจำกันได้ แต่เราก็รู้สึกถึงพลังของพวกนายนะ คนนึงร้อน อีกคนนึงเย็นๆเหมือนน้ำ เลยรีบเดินมาหาไง แต่ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง พอดีเกิดเรื่องซะก่อน” ทรงกลดกล่าวตอบเอราวัตใบหน้าไม่วายยิ้มระเรื่อ

“นี่นายได้เทวโองการเหมือนกันเหรอ ถ้าอย่างนั้นคงเดาไม่ยากแล้วล่ะ ว่าอีกห้าคนที่เหลือมีใครกันบ้าง”อัสดงพูดขึ้นหลังจากระงับโทสะได้แล้ว

“ใช่ เดาไม่ยากแล้วล่ะ เออ แล้วพวกนายชื่ออะไรกันบ้าง หรือจะให้เรียกชื่อเดิมดี” ทรงกลดถามขึ้น

“ฉัน เอราวัต ส่วนไอ้รูปหล่อนี่ มันชื่ออัสดง แล้วนี่พวกเราจะยืนคุยกันอย่างนี้เหรอ ฉันว่าพวกเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า ฉันเริ่มๆจะจุกอกแล้ว สายฟ้าไอ้ยักษ์นั่นเล่นเอาแสบซี่โครง”เอราวัตเสนอขึ้น พร้อมเอามือกุมสีข้างไว้

“เรียกฉันว่าทรงกลดหรือกลดก็ได้ แต่นั่นสิ นายบาดเจ็บนี่นา ฉันว่าไปกินข้าวบ้านฉันแล้วนั่งคุยกันเลยดีกว่า ที่นั่นปลอดภัย อยู่แถวนี้เดี๋ยวอะไรโผล่มาอีก” ทรงกลดกล่าวชักชวนให้สหายเทวะไปยังบ้านของตน เอราวัตนั้นแสดงสีหน้ายินดีอย่างยิ่งเรื่องกินเรื่องเที่ยวขอให้บอกส่วนอัสดงยังคงทำหน้าลังเลจนเอราวัตต้องบอกว่า

“ก็ดีเริ่มหิวแล้วด้วย ไปเถอะอัสดง นายบ่นเหนื่อยไม่ใช่เหรอ”

“แต่นายต้องพาฉันไปหาที่พักไม่ใช่เหรอไอ้พระพุธ” ใช่สิที่พัก..เอราวัตนั้นลืมเสียสนิท

“ไม่ต้องหาที่ไหนหรอก.... พักที่บ้านฉันนั่นแหละ จะอยู่นานสักเท่าไรก็ได้ หรืออยู่เลยยิ่งดี ทุกอย่างฟรีตลอดรายการ ฉันจะได้มีเพื่อนแก้เหงา แล้วอีกอย่างเวลาจะคุยกันจะได้สะดวก”ทรงกลดกล่าวชวนมาอีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ดีสิ .....นายได้ที่พักแล้วอัสดงไม่ต้องหาให้เหนื่อย แต่ฉันขอไปพักด้วยคนนะ จะได้สนุกๆ” เอราวัตกล่าวตอบตกลงแทนอัสดงเพราะเขาชอบอะไรที่แปลกใหม่ยิ่งการเดินทางรอนแรมไปพำนักในที่ต่างๆแล้ว เขาโปรดปรานเป็นที่สุด

“ได้สิไอ้ลูกชาย นานๆจะได้มานอนกับพ่อซะที”

“ถ้านายเรียกฉันว่าลูกชายอีกที ฉันเปลี่ยนใจไม่ไปจริงๆด้วย” ครานี้เอราวัตทำหน้าย่นใส่ ส่วนอัสดงก็ได้แต่หัวเราะเพราะเขารู้ดีว่าเอราวัตนั้นเซ็งกับข่าวลือเรื่องนี้เป็นที่สุด ข่าวลือที่ว่า “เขาเป็นลูกชู้ของพระจันทร์”

“อ๊ะ ก็ได้ไปกันเหอะ” ทรงกลดยักไหล่เล็กน้อยแบบกวนๆ เอราวัตด้วยความหมั่นไส้จึงต่อยไปที่ไหล่นั้นเบาๆ ทรงกลดก็ไม่น้อยหน้า แกล้งยกขาเตะไปที่ชายโครงของเจ้าเอราวัต ซ้ำรอยสายฟ้าฟาดทำให้เจ้าตัวต้องหน้านิ่วเอามีกุมสีข้างเอาไว้อีกครั้ง

 “เจ็บนะโว้ยยย ไอ้เวรกลด”

เสียงหัวเราะของสามหนุ่มน้อยดังทั่วบริเวณนั้น มิตรภาพเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะเจอกันแค่วันเดียวแต่ตัวตนจริงๆของพวกเขานั้น รู้จักกันมานานแสนนาน  ทรงกลดเดินนำสหายทั้งสองไปเรียกรถแท็กซี่ที่มีอยู่ดาษดื่นบริเวณนั้น พอขึ้นรถพวกเขาก็มุ่งหน้าสู่บ้านของทรงกลดตามคำชวนทันที

เทวะน้อยทั้งสามจะรู้ไหมว่าเมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ยังมีสายตาคู่หนึ่งนั้นจ้องมองอยู่ เจ้าของสายตาคู่นั้นหยุดพ่นน้ำ ในสระน้ำพุจำลองที่ตั้งอยู่หน้าร้านสปาหรู ดวงตาโปนกลับกลอกไปทั่ว ลิ้นที่ถูกปั้นด้วยปูนบัดนี้เคลื่อนไหวตวัดแปลบปลาบ หงอนสีแดงสดเริ่มบิดไปมา เหตุการณ์ทั้งมวลรวมถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกไว้โดยตาโปนแดงก่ำอย่างครบถ้วนดุจเครื่องอัดวีดีทัศน์ชั้นดี เมื่อทุกอย่างสงบลงและสิ่งที่นายของมันต้องการได้มาครบถ้วนแล้ว มันจริงเลื้อยลงไปในสระจำลองนั้น และหายลับลงไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

เด็กหนุ่มน้อยเจ้าของพัสตาภรณ์สีเขียวอ่อนก้านมะลิ บัดนี้กึ่งนั่งกี่งนอนอยู่บนพระยี่ภู่ใจกลางสุวรรณคูหา ผนังถ้ำทุกด้านดุจกรุไว้ด้วยเพชรและอัญมณีมีค่าหลากหลาย ส่องแสงประกายวิบวับ ในพระหัตถ์ยังคงถือกำไลนาคราชที่โดนไฟแห่งสุริยเทพแผดเผาทำลาย

“ล้อเล่นนิดหน่อย ทำเป็นโกรธ นี่น่ะหรือเทพชั้นผู้ใหญ่ เฮอะ ไม่เห็นน่าไหว้สาเลย”

เสียงเสนาะนั้นเปรยกับองค์เองเบาๆ บรรดานางข้าหลวงที่หมอบเฝ้าอยู่ต่างก็ได้แต่หมอบอยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้าพระพักตร์ เพราะเมื่อไรที่ทรงอยากประทับอยู่องค์เดียวนั่นแหละหมายความว่าทรงกริ้วจริงๆหรือไม่ก็ไม่พอพระทัยอะไรสักอย่าง

แล้วแสงวูบวาบก็สว่างขึ้นหน้าที่ประทับกลับกลายเป็นร่างของบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นกล่าวมาเสียงดังฟังชัดกับนางข้าหลวงเวรว่า “ทูลหม่อมเล็กประทับอยู่ไหม เรามีเหตุต้องเข้าเฝ้าเป็นการด่วน”

“อยู่เจ้าค่ะ .....แต่ยังไม่โปรดให้ผู้ใดเฝ้า รบกวนท่านราชองครักษ์กลับไปก่อน หากมีรับสั่งเรียกเมื่อไรเราจะไปตามท่าน”

“เจ้าไม่ได้ยินหรือไง ว่าเรามีเหตุต้องเข้าเฝ้าเป็นการด่วน” ราชองครักษ์ย้ำมาอีกครั้ง

“แต่......”นางข้าหลวงกำลังจะตอบโต้มาอีก แต่แล้วเสียงเสนาะก็ดังขึ้นมาจากด้านใน

“ให้นาเคนทร์เข้ามาได้”

พอสิ้นพระสุรเสียงนางข้าหลวงก็จำต้องถดถอย เจ้าองครักษ์กำยำหันมายิ้มเยาะ ประหนึ่งจะบอกว่า  ‘เห็นไหมล่ะ หลีกทางตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง’ และเพียงชั่วแวบเจ้าราชองครักษ์หรือนาเคนทร์ก็ได้เข้ามาเฝ้าอยู่หน้าพระพักตร์แล้วก็หมอบราบกราบทูลถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในวันนี้ทั้งหมด

“แบ่งภาคกันลงมาสามองค์เลยเหรอ ทั้งพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระพุธ แล้วอีกห้าองค์ล่ะ เป็นใคร”

“กระหม่อมไม่ทราบ เห็นตรัสกันว่า ในเทวโองการไม่ได้ระบุไว้”

“ช่างเหอะ เราพอเดาออกว่าเป็นใคร แล้วเทวโองการว่าไว้อย่างไร ทำไมพวกนี้ถึงอวตาร” สุรเสียงเสนาะเริ่มซักไซ้

“ไม่ทราบเกล้าพะยะค่ะ กระหม่อมได้ยินไม่ถนัด” นาเคนทร์ทูลตอบมาอย่างอุบอิบ

“แล้วทำไมเจ้าไม่ตั้งใจฟัง ไม่ได้เรื่อง เจ้าจะต้องให้เราไปสืบเองหรืออย่างไร” คราวนี้ทรงกริ้วปัง สุรเสียงดังลั่น เล่นเอาผู้ที่เข้าเฝ้าหมอบจนตัวลีบ

“กระหม่อมว่า ถ้าทูลหม่อมทรงทูลถามท่านพญาอนันตนาคราชหรือท่านพญาวาสุกี คงจะได้ความ ทั้งสองพระองค์ย่อมรู้เทวโองการดี ” นาเคนทร์ยกมือไหว้เหนือหัวยามเอ่ยถึงพระนามของเจ้าแห่งนาคาทั้งสองพระองค์

“อย่าบังอาจมาแนะนำเรา ถ้าถามได้เราก็คงถามไปนานแล้ว ไม่ต้องใช้เจ้าให้ไปสืบข่าวหรอก อีกอย่างถ้าถามไป คงจะโดนหาว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก ดีไม่ดีทูลหม่อมปู่ทั้งสองคงได้ทำโทษเราเท่านั้น ไปไป๊จะไปไหนก็ไป ไม่ได้เรื่องสักตน เราอยากอยู่คนเดียว”

พระสุรเสียงดังยิ่งกว่าเดิม สิ้นรับสั่งครานี้นาเคนทร์ต้องถอยกรูดๆคลานเข่าออกมา ขืนอยู่ต่อคงโดนแน่ เสียงนางข้าหลวงที่หมอบเฝ้าอยู่หน้าห้องหัวเราะกันคิกคัก เมื่อเห็นราชองครักษ์โดนไล่ออกมา คราวนี้นางข้าหลวงได้ส่งสายตายิ้มเยาะบ้าง
 
‘เห็นไหมล่ะ กลับไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง’

เมื่อเจ้าองครักษ์กลับออกไปแล้ว หนุ่มน้อยเจ้าอารมณ์หรือทูลหม่อมเล็กก็เสด็จออกมาด้านนอกแล้วตรัสกับนางข้าหลวงที่หมอบเฝ้าว่า  “เจ้าสองคนไปกับเราหน่อย แล้วอย่าแพร่งพรายให้ใครรู้”

เพียงสิ้นรับสั่ง หนุ่มน้อยก็สลายกลายเป็นแสงโชตินาการอันเจิดจ้าพุ่งปราดขึ้นด้านบน เป็นรัศมีเขียวนวลสว่างวาบ พร้อมพระดำรัสสุดท้าย คล้ายจะฝากไปถึงใคร

“สงสัยเราต้องไปเยี่ยมท่านกับพวกด้วยตัวเราเองละมั้ง สุริยเทพ”

“เพคะ” นางข้าหลวงเมื่อรับพระบัญชาแล้วก็ไม่รอช้า บิดกายหายวับตามนายไปทันที

รถแท็กซี่หยุดจอดส่งผู้โดยสารทั้งสามตรงหน้าซอยเล็กๆ ข้างโรงพยาบาลใหญ่ริมน้ำ ทรงกลดจ่ายค่ารถแล้วพาเพื่อนทั้งสองเดินลัดเลาะตามซอกซอย มาที่ท่าเรือแล้วจ้างเรือเมล์แถบนั้นขับไปส่งยังที่หน้าบ้าน

“โหย บ้านนายไกลโคตร นี่ถ้ารู้ว่าต้องต่อเรือไปอีก ฉันไม่มาหรอก” เอราวัตบ่อนกระปอดกระแปด แต่ปากเขาก็บ่นไปอย่างนั้นเองตามประสาคนช่างพูด แต่สีหน้าแสดงถึงความสนุกอย่างเต็มที่

“บ้านฉันเข้าได้สองทางถ้ามาทางรถต้องเดินลุยสวน ไม่สนุก แถมแฉะ  ฉันชอบมาทางเรือได้นั่งดูนั่นดูนี่สวยกว่ากันเยอะ”

“แล้วอีกไกลไหม อยากพักผ่อนแล้ว” อัสดงถามขึ้น เปลือกตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่

“เอาน่า อีกนิดเดียวก็ถึง”

แต่ที่ไหนได้ นิดเดียวของทรงกลด ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันเรือยนต์ลำน้อยพาทั้งสามลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาจอดอยู่หน้าศาลาริมน้ำของบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ บริเวณนั้นแทบจะไม่ค่อยมีบ้านเรือนตั้งอยู่คงมีแต่บ้านหลังนี้เท่านั้นแหละละมังที่ปลูกอยู่อย่างโดดเดี่ยว และเพียงแค่ย่างเท้าก้าวขึ้นมาอัสดงกับเอราวัตก็รู้สึกถึงความสงบอย่างประหลาด นี่ใช่ไหม อำนาจและรัศมีแห่งจันทรเทพ อ่อนโยน ผ่อนปรนอย่างนี้นี่เอง นอกจากพลังของทรงกลดแล้ว ยังมีไม้ใหญ่หลายต้นให้ความร่มรื่นตลอดทั้งบริเวณบ้าน เถาดอกไม้หลายชนิดออกดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง สวยงามอย่างกับวิมานของเทพธิดา จนทั้งสองต้องเอ่ยปากชมออกมา

“บ้านนายสวยจัง อยู่คนเดียวเหรอ”

“ขอบใจ ใช่ฉันอยู่คนเดียว พ่อกับแม่เสียหมดแล้ว  แต่ก่อนพ่อเราจะเสีย ท่านบอกไว้ว่า วันหนึ่งจะเจอสหายที่มีฤทธิ์อีกเจ็ดคนร่วมภารกิจในการปราบอสูร ตอนนั้นฉันยังเด็กๆอยู่เลย นึกว่าพ่อฉันเพ้อเพราะพิษไข้ แต่ที่ไหนได้ หลังจากนั้นฉันก็พบว่าฤทธิ์ที่พ่อฉันพูดถึงนั้นมีอยู่จริง แม่เลยพาฉันไปอยู่กับพราหมณ์ที่อินเดียตามคำสั่งพ่อ ที่นั่นฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง พอแม่เสียก็เลยกลับมาเมืองไทย มาอยู่ที่บ้านเก่าของแม่” ทรงกลดเอ่ยออกมาอย่างเศร้าๆ เพราะทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ทีไรน้ำตาก็จะเริ่มปรี่ไหลทุกที

“เราเสียใจด้วย” อัสดงกล่าวขึ้น

“ช่างเหอะมันผ่านไปแล้ว ป่ะขึ้นบ้านกันเถอะ เย็นแล้ว ไปดูห้องพักกัน”

ทรงกลดพาอัสดงกับเอราวัตเดินขึ้นบ้าน ทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตาว่าบ้านหลังนี้ผู้ชายจะอยู่ เพราะดูสะอาดสะอ้านพื้นไม้กระดานถูกขัดเป็นเงามันวับ เครื่องเรือนและเครื่องตกแต่งร่วมสมัยเข้ากับบ้านทรงไทยได้อย่างดี น้ำมันหอมกลิ่นมะลิหอมฟุ้ง รัศมีสีนวลอ่อนๆเย็นตาเริ่มกำจายมาอีกครั้งจากเจ้าของบ้าน ทำให้ดวงหน้าขาวๆ กระจ่างใสยิ่งขึ้น ครั้นจ้องดีๆ ก็จะเห็นว่าทรงกลดมีขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี ยามกระพริบทีไร ดุจจะพาเอาหัวใจของคนที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย ไอ้พระจันทร์นี่เสน่ห์มันเหลือเกินเลยทีเดียว นี่ถ้าพวกเขาเป็นผู้หญิงคงไม่แคล้วต้องหลงรักมันแน่ๆ

“นี่ห้องพวกนาย ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลังนะโว้ย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน หรือถ้าอยากจะอาบน้ำแบบธรรมชาติล่ะก็ ผ้าขาวม้าอยู่ในตู้ แล้วเชิญเสด็จกระโดดลงคลองได้เลย” ทรงกลดกล่าวขึ้นเมื่อพาเพื่อนมาถึงห้องพักซึ่งก็อยู่ข้างๆติดกับห้องของเขา

“น่าสนใจ ไม่เคยเล่นน้ำคลอง เคยเล่นแต่น้ำตก ท่าทางคงสนุก หวังว่าคงไม่มีใครมาแอบดูนะ ”

อัสดงเริ่มรู้สึกสนุกไปกับข้อเสนอของทรงกลด ที่วัดป่าของเขาไม่มีคลองมีแต่น้ำตก ซึ่งเขากับอรุณและบรรดาศิษย์ผู้น้องทั้งหลายต่างแหวกว่ายด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ มาระยะหลังเริ่มงด เพราะแม่พวกนางไม้ ชอบแห่มาแอบดู บางครั้งบางครา เอาพวกจากไกรลาศมาด้วย แม่พวกนั้นก็กระไร หุบปีกได้ ก็ลงมาแช่น้ำด้วยกันเฉย พวกสาวๆนี่ น่ารำคาญเสียจริง ไม่ว่านางมนุษย์จนกระทั่งเทพธิดา

“จะบ้าเหรอ ไม่มีหรอก ใครจะมาดู แต่ละคนน่าดูชมนักนี่วันนี้ มอมแมมโคตร ....เอาล่ะ งั้นเดี๋ยวลงไปอาบน้ำคลองกันแต่พวกนาย รอแป๊บนึงนะ ฉันขอไปหุงข้าวทำกับข้าวให้พวกนายก่อน อาบน้ำเสร็จแล้ว จะได้กินมื้อเย็นกันเลย”

 “ฉันไปช่วยนายดีกว่า จะได้เสร็จเร็วๆ อีกอย่างหิวจะตายอยู่แล้ว”เอราวัตเสนอตัวขึ้น

“ได้สิ....งั้นอัสดงนายก็ไปพักผ่อนก่อนเหอะ ดูท่าจะเหนื่อยมาก เสร็จแล้วฉันจะไปเรียก” เจ้าของบ้านรูปงาม เอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจ อัสดงคงจะไม่ไหวแน่แท้ เปลือกตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่

“ขอบใจ งั้นขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวฉันเก็บล้างให้เอง”

“ได้สิ ตกลงตามนี้”

ทรงกลดกับเอราวัตรับคำแล้วก็ปล่อยให้อัสดงเข้าห้องพักผ่อน พออัสดงเข้าห้องมาได้ ก็เหวี่ยงเป้ไว้ตรงมุมห้อง ถอดเสื้อทิ้งไว้ที่ปลายเตียง แล้วนอนแผ่หราอยู่บนเตียงหนานุ่ม ด้วยความที่วันนี้ใช้ฤทธิ์ไปเยอะจึงรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวแทบจะหมดแรง และเพียงแค่หัวถึงหมอน ม่านตาก็เริ่มหนาหนักพร้อมจะปิดลงให้จงได้ ทว่าในระยะเวลาระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง แสงวาบนวลก็บังเกิดกลางห้อง

‘ใครกันอีกวะเนี่ย บังอาจกวนเวลาพักผ่อน เดี๋ยวจะจัดการให้น่าดูเลย’ อัสดงเปรยในใจ แล้วแกล้งทำเป็นหลับสนิท หากแต่แอบปรือตาไว้ โสตทั้งสองยังคงเปิดรับสรรพสำเนียงรอบด้าน แล้วเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นว่า
 
“ไหนว่าจะแค่มาแอบดูไงเพคะ นี่ฝ่าบาทมาดูอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้แอบ” 

“เงียบเหอะน่า เจ้าไม่เห็นเหรอว่าเขาหลับแล้ว” หนุ่มน้อยผู้ทรงรัดเกล้านาคราชสีทองกล่าวขึ้นจากนั้นก็ทรงชะโงกพระพักตร์ดูหน้าคนที่นอนหลับอย่างถี่ถ้วน เกศาดำเป็นมันขลับ ตกระเรี่ยเคลียหน้าคนแกล้งหลับ

‘หอมจัง กลิ่นสดชื่นเหมือนอากาศบริสุทธิ์ในท้องทะเล’ อัสดงอดนึกไว้ในใจมิได้ และยังคงแกล้งหลับต่อเพื่อดูสิว่า แขกคนนี้จะทำอย่างไรต่อไป

“ก็ใช้ได้....ดีกว่ามอมแมมเหมือนตอนอยู่วัดนิดหนึ่ง”

“แต่หม่อมฉันว่า ท่านรูปงามมาก มิน่านางข้าหลวงของพระมารดาฝ่าบาทแอบมาดูอยู่บ่อยๆ”

“ไม่เห็นจะงามตรงไหน พวกเจ้าไปดูสิว่าอีกสองคนทำอะไรกันอยู่ ถ้าได้ยินอะไรที่เป็นประโยชน์รีบมาบอกเรา”

“เพคะ”

สองนางข้าหลวงรับคำแล้วรีบหายไปทำตามรับสั่ง ทิ้งให้นายผู้เอาแต่พระทัยประทับอยู่ลำพังกับอณูเทวะรูปงามสองต่อสอง วงพักตร์กระจ่างใสยังคงชะโงกมองคนที่นอนหลับอยู่อย่างนั้น อดคิดไม่ได้ว่า จริงอย่างที่นางข้าหลวงพูด คนคนนี้รูปงามจริงๆ

ทว่าจุดประสงค์ที่มานี่ไม่ได้มาแค่อยากดูหน้าชัดๆ แต่เพราะอยากรู้ว่าทำไมถึงได้ลงมาเกิด แล้วทำไมรามสูรถึงต้องมาโจมตี ฤาข่าวลือหนาหูที่ว่าอสูรจะทำสงครามนั้นจะเป็นจริง มิน่า ทูลหม่อมปู่ทั้งสองกับทูลหม่อมพ่อ รับสั่งให้ทูลหม่อมพี่ชายทรงเร่งรวมกำลังพลจากน่านน้ำต่างๆ แล้วถ้าหากสงครามเกิดจริงๆเล่า องค์เองจะต้องร่วมรบอยู่ตรงไหน

“สงสัยคงต้องรบอยู่ที่เกษียรสมุทรแน่เลยเรา”

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ปรับปรุง) บทที่๒-บทที่๓ อัพ๒๐ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-03-2019 16:18:43
ในระหว่างที่ทรงเปรยและทรงคิดอะไรเพลินๆนั้น จู่ๆคนที่แกล้งนอนหลับก็ลืมตาขึ้นในฉับพลันทันใด ทำให้พระเนตรใสสีครามน้ำทะเลประสานเข้าโดยตรงกับดวงตาสีอำพันที่อยู่ห่างไปไม่ถึงศอก แลเพราะมิทันได้ระวังองค์อีกทั้งยังทรงเผลอ  เจ้าคนที่เสมือนนอนหลับอยู่ก็ตวัดแขนรัดเจ้าของดวงตาสีครามนั้นไว้แล้วดึงมาแนบอกทันที

ฉะนี้แล้วใบหน้ากระจ่างใสจึงลอยห่างเพียงแค่คืบ เจ้าตัวพยายามดิ้นจนสุดแรงแต่ยังไงก็ไม่เป็นผล เหตุไฉนคนที่บ่นหมดแรงและเหนื่อยอ่อนกลับมีแรงรัดแน่นขนาดนี้ และแล้วรอยยิ้มจางๆจนเห็นลักยิ้มแลเขี้ยวอันทรงเสน่ห์จากคนด้านล่างก็แย้มพรายออกมาพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า

“เจ้าเป็นใคร มาที่นี่ทำไม มาแอบดูเราทำไม”

ไม่มีคำตอบจากคำถามนั้นแถมคนที่โดนกอดก็พยายามดิ้นให้หลุด แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นก็ยิ่งโดนรัดแน่นขึ้น

“ปล่อยเรานะ” สุรเสียงย่อมสั่นพร่าด้วยความโมโห “อย่าถือว่าเป็นอณูของเทพแล้วจะมาทำอย่างนี้กับเราได้”

“ไม่ปล่อยจนกว่าเจ้าจะบอกเราว่าเจ้ามาจากไหน เป็นใคร มาอยู่ในห้องของเราทำไม” อัสดงยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น กลิ่นจากพระวรกายที่หอมกรุ่นถูกเขาสูดเข้าจนเต็มปอด

“เราเป็นใครไม่สำคัญ ปล่อยเรานะ ถ้าไม่ปล่อย จะหาว่าเราไม่เตือน”

ว่าแล้วสายตาสีครามก็สว่างวาบ ทำให้ไอพิษอันร้อนแรงเริ่มสำแดงผล จนแขนอัสดงแทบไหม้เกรียม นี่ถ้าเขาไม่ใช่ร่างแบ่งภาคของพระอาทิตย์เขาคงกลายเป็นจุณไปแล้ว เจ้าตัวหอมนี่ฤทธิ์เยอะนัก  ครั้นเมื่อเห็นว่าพิษทำอะไรคนๆนี้ไม่ได้ ร่างที่โดนกอดก็พยายามดิ้นอีกครั้ง อัสดงก็ไม่ยอมปล่อยจนหนึ่งอณูแห่งเทวะและหนึ่งนาคากลิ้งตกลงมาจากเตียงสูงทั้งคู่ ร่างทั้งสองยังคงทับกันอย่างแน่นสนิท และด้วยแรงกระแทกนี้เองทำให้ริมฝีปากของทั้งสองมาบรรจบประกบชิดติดแนบแน่นกันพอดิบพอดี

ช่วงสัมผัสนี้จะผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้ริมฝีปากทั้งสองก็ยังไม่ยอมแยกจากกัน จนเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นนั่นแหละ ทำให้ผู้มาเยี่ยมเยือนถึงกับได้พระสติ ดวงเนตรสีครามน้ำทะเลเบิกโพลง ฉับพลันร่างที่กอดอยู่นั้นก็กลับกลาย เป็นจงอางตัวใหญ่สีขาวพิสุทธิ์ อัสดงตกใจรีบปล่อยจากการกอดรัด หนุ่มน้อยลุกขึ้นแทบไม่ทัน จงอางแปลงนั้นชูคอสูงและแผ่แม่เบี้ยเตรียมเอาคืนเทวะน้อย เสียงเคาะประตูด้านนอกเริ่มดังระรัวขึ้น แล้วมีเสียงตะโกนมาว่า

“อัสดง เปิดประตูหน่อย เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงดังโครมไปถึงข้างนอกแน่ะ”

อัสดงยังไม่ทันตอบ เจ้าจงอางใหญ่ตนนั้น ก็พุ่งฉกมาทันที อัสดงหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด ครั้นพอจะหันมาเผชิญหน้ากันอีกที เจ้านาคาหน้าใสก็มลายหายวับไป เหลือแต่เสียงกริ้ว หากแต่เสนาะโสต ดังขึ้นกล่าวส่งท้ายว่า

“ฝากไว้ก่อนเหอะ”   

“หึ มาถึงที่นี่กันเชียว คราวหน้าจะจับให้ได้เลยคอยดู ฤทธิ์เยอะดีนัก”

อัสดงส่ายหน้าเปรยตามต่อ นี่พวกนาคอีกแล้วหรือ มั่นใจไม่ได้ไปทำอะไรสักหน่อย ทำไมถึงได้แห่กันมาที่นี่ แต่ก็น่าแปลกนักที่ครั้งนี้ทำไมตนไม่รู้สึกโกรธ หรือว่ามาอยู่บ้านไอ้พระจันทร์เลยทำให้ใจเย็น คงไม่น่าใช่ เสียงเคาะประตูยังดังมาอีกระลอก ทำให้ต้องไปเปิดประตูให้พร้อมใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้มยามพบสหายทั้งสองที่รอด้านนอกด้วยความกระวนกระวาย

“เกิดอะไรขึ้น นายเป็นไรหรือเปล่า” เอราวัตถามสหายที่ยังยืนยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ

“เปล่าไม่มีอะไร แค่ฝันดีผสมฝันร้ายนิดหน่อยเลยตกเตียง ไม่มีอะไรหรอก”

เอาน่าเป็นเทพก็ต้องมีพูดไม่จริงบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่อัสดงแค่เป็นร่างแบ่งภาคกฏพวกนี้ลดหย่อนกันได้ แล้วการที่จูบเจ้าตัวหอมนั่น ควรจะเรียกว่าฝันดีหรือฝันร้ายกัน

“แน่ใจนะ .....” ทรงกลดถามขึ้นเหมือนกับไม่เชื่อคำพูดนั้น อัสดงเองก็พยายามเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจ

“เออน่ะสิ .....จะไปอาบน้ำกันหรือยัง เหนียวตัวจะแย่”

“ก็ว่าอีกสักพักจะมาตาม พอดีได้ยินเสียงดังโครมในห้องซะก่อนเลยมาดู นึกว่าอสูร”

“ไม่มีอะไรหรอก ไปอาบน้ำกันเหอะ”

อัสดงตัดบท เพราะไม่อยากบอกเพื่อนว่า ที่ดังโครมเมื่อครู่ไม่ใช่อสูรแต่เป็นอสรพิษแสนซนต่างหาก รู้ตัวเลยว่า เห็นทีจากนี้คงจะได้ เหนื่อยจริงๆก็คราวนี้แหละ

‘เจ้านาคน้อย....เจ้าเป็นใครกันนะ ทำไมต้องมาแอบดูเรา’

อัสดงอดนึกในใจมิได้ แล้วก็พยายามปรับสีหน้าเป็นปกติ จากนั้นก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อเตรียมอาบน้ำในคลองตามที่ตกลงกันไว้และระหว่างที่อัสดงกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นสร้อยอัญมณีวิบวับ จี้ที่ห้อยอยู่ตรงกลาง แกะสลักจากมรกตทั้งแท่งเป็นตัวนาคาเกี่ยวกระหวัดสวยงามยิ่งนัก ดวงตาฝังด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเล็ก หงอนสีทองสุกใสหลอมจากทองคำแท้ เขาหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาก่อนที่เอราวัตและทรงกลดจะเห็นแล้วรีบซ่อนไว้ด้วยมนต์บังตาทันที


ทั้งสามบัดนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นนุ่งขาวม้าเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่เป็นร่างแบ่งภาคของเทพ ทำให้ร่างกายของคนทั้งสามดูงามราวกับรูปสลักชั้นเลิศแม้จะนุ่งแค่ผ้าขาวม้าคนละผืนก็เหอะ ช่วงไหล่ที่กว้างและแข็งแรง อีกทั้งยังมีหน้าท้องที่มีกล้ามเป็นลอนแบนราบ และเหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือใบหน้าที่ตรึงใจงามไปคนละแบบ โดยเฉพาะอัสดงกับทรงกลดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นร่างของเทวดาที่รูปงามที่สุดบนสวรรค์ หากบรรดานางฟ้า นางสวรรค์มาเห็นเข้า ณ ตอนนี้ คงกระโจนลงคลองตามไปด้วยเป็นแน่แท้

“ฮ้า น้ำเย็นสดชื่นดีจัง ชักชอบที่นี่แล้วสิ” เอราวัตเอ่ยขึ้น

“นายชอบ นายก็มาบ่อยๆสิ เอราวัต .....ว่าแต่นายมีชื่อเล่นไหม เรียกเอราวัตยาวไป” ทรงกลดกล่าวถามพร้อมกับแหวกว่ายน้ำไปรอบๆ

“ไม่มีอ่ะ......ตั้งแต่เด็กใครๆก็เรียกแต่เอราวัต”

“แล้วทำไมถึงชื่อเอราวัต”

“ก็เพราะ.....เฮียข้างบนตามตำนานเขาถูกสร้างมาจากช้างไง ตอนแรก ปู่ดูให้ว่าจะให้ชื่อเอราวัณ แล้วกลายมาเป็นเอราวัตได้ไงก็ไม่รู้” เฮียข้างบนของเอราวัตน่าจะหมายถึงพระพุธ

“แล้วทำไมนายชื่อทรงกลด” เอราวัตถามกลับมาบ้าง

“ก็เพราะฉันเกิดวันพระจันทร์ทรงกลด คืนไหนที่พระจันทร์ทรงกลดและพระจันทร์เต็มดวง อำนาจฉันจะถึงขีดสุด อย่างเช่นคืนนี้ ความรักความโหยหาอาจจะครอบงำจิตใจของใครหลายๆคน”

“ถึงว่าสิ ฉันถึงได้......” จู่ๆอัสดงที่นั่งแช่น้ำฟังอยู่นานก็หลุดปากออกมา แต่ก็ยังยั้งไว้ทัน

“ถึงได้อะไรวะ” เอราวัตถามขึ้นอย่างสงสัย

“เปล่าไม่มีอะไร......แต่วันนี้นายหัวไวมากเลยนะทรงกลดที่หลอกล่อรามสูรมันด้วยดวงแก้ว” อัสดงยังคงบพยายามเบี่ยงประเด็นไม่ให้เพื่อนๆสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ก็ตามตำนาน ไอ้ยักษ์นั่นมันชอบลูกแก้ว เลยลองดู ไม่คิดว่าจะได้ผล ว่าแต่เห็นเอราวัตบอกว่าก่อนมานี่นายมีเรื่องกับพวกที่บาดาลเหรอ”

“ใช่ ”

อัสดงตอบตามจริง ใช่สิเรื่องนี้ตนลืมไปเลย นาคที่ฆ่าเมื่อคืนก่อนอาจเกี่ยวพันอะไรกับเจ้านาคาแสนซนเมื่อสักครู่ หรือว่าจะเป็นคู่กันเลยตามมาล้างแค้น

“ระวังหน่อยแล้วกัน ถ้ามีเรื่องกับพวกบริวารก็ช่างมันเหอะ แต่ถ้านายไปมีเรื่องกับพวกชั้นลูกท่านหลานเธอ อาจจะลำบากหน่อย พวกนี้ไม่ใช่นาคธรรมดาแต่เป็นเทวนาคา ฤทธิ์มาก เทพบางองค์ยังต้องหลบให้ ครุฑไม่สามารถจับได้ แถมเส้นสายในสวรรค์ค่อนข้างใหญ่ด้วย”

อัสดงคิดตาม แล้วก็เกิดคำถามเงียบๆกับตนเองว่า ไอ้เจ้านาคน้อยตาสีฟ้านั่นมันเป็นเทวนาคาหรือเปล่า ดูจากการแต่งตัวและเครื่องประดับ มันคงไม่ใช่นาคธรรมดาแน่ๆ และดูท่าวันนี้มันคงโกรธไม่ใช่เล่น

“อ้าวเฮ้ยยย เป็นอะไรอัสดงถึงกับเหม่อเชียว” ทรงกลดเห็นเพื่อนเหม่อจึงตบไหล่เรียกสติแล้วกล่าวต่อ “ไม่ต้องกังวลถ้านาคพวกนั้นมาหาเรื่องนายอีก ฉันจะช่วยนายเอง”

“ใครบอกว่าฉันกังวล”

“ก็ฉันสองคนเห็นนายนั่งเหม่อ”

“ไม่ได้เหม่อซะหน่อย” อัสดงรีบปฏิเสธข้อกล่าวหาจากเพื่อนทั้งสองและพยายามไล่ความรู้สึกนึกคิดถึงพวกนาคออกให้หมด โดยเฉพาะเจ้านาคาตาฟ้าคราม ก่อนที่เอราวัตจะอ่านจิตใจเขา

“แหมมมม รีบลบความคิดเลยนะ นายต้องมีอะไรปิดบังแน่ๆเลย ดูแปลกๆตั้งแต่ตื่นมา”

เอราวัตเบ้หน้าแล้วยื่นมาใกล้อัสดงอย่างพินิจพิเคราะห์ อัสดงด้วยความรำคาญจึงผลักหน้านั้นออกแล้วว่ายน้ำหนีไปอีกฟากคลอง เอราวัตกับทรงกลดก็ไม่ยอมพยายามว่ายน้ำจับให้ทันแต่ก็ไม่ทันสักที จนทั้งสองยอมแพ้

“เอาวะ ไม่มีก็ไม่มี ขึ้นบ้านกันเหอะเดี๋ยวได้กินข้าวกัน” ทรงกลดกล่าวอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงเกาะตีนบันไดท่าน้ำแล้วช่วยดึงเอราวัตขึ้นมา “ทำไมมันว่ายน้ำเก่งจังวะ เหนื่อยฉิบ”

นั่นสิอัสดงเองก็ยังงงเหมือนกัน “พวกนายสองคนขึ้นไปก่อน....เดี๋ยวตามไป ขอแช่น้ำอีกสักพัก”

“ตามใจนายเหอะ....ไม่อยากรู้แล้ว ระวังพวกบาดาลมาเอาตัวไปอยู่ด้วยแล้วกัน” เอราวัตตะโกนตอบไปแล้วขึ้นฝั่งไปพร้อมกับทรงกลดทิ้งให้อัสดงแช่น้ำอยู่ผู้เดียวในคลอง ....เมื่อสหายทั้งสองลับตาไปแล้ว อัสดงก็คลายมนต์บังตาหยิบสร้อยนาคราชขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง สงสัยสร้อยเส้นนี้ละมังที่ทำให้ตนว่ายน้ำได้เร็ว และตอนนี้ก็ดูเหมือนกับว่าสร้อยนาคานั้นมีชีวิต เพราะเพียงแค่โดนน้ำก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวผงกหัวไปมา อัสดงใช่นิ้วเขี่ยเล่นอย่างเอ็นดู เจ้านาคน้อยก็ดูเหมือนจะเล่นด้วยเลื้อยพันนิ้วมือเขาจนแน่น อดจะคิดไม่ได้ว่านี่ถ้าบรรดานาคน่ารักอย่างเจ้าตัวนี้ก็คงจะดี ไม่ใช่มาทีตัวใหญ่เบ้อเริ่มอย่างกับท่อนซุงหรือแปลงเป็นจงอางตัวเท่าแขน แล้วเหตุใดเล่าตนถึงอยากให้นาคน่ารัก คำถามนี้คงยากจะตอบ

“เจ้าของเจ้าเป็นใคร”

อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ถามเจ้านาคมรกตตัวน้อยที่ยังพันนิ้วเขาอยู่  แต่เจ้านาคจำแลงตนนั้นกลับมิตอบ แต่กลับพ่นไฟออกมาเบาๆ จนขนที่นิ้วเขาไหม้เกรียม

“ไอ้นี่....เล่นด้วยแล้วเหลิง เดี๋ยวเหอะ อย่ามาฤทธิ์เยอะเหมือนเจ้าของเจ้านะ”

อัสดงเสียงเกรี้ยวหน่อยๆ แล้วจู่ๆกลิ่นหอมกรุ่น สดชื่นเย็นสบายดุจมาจากห้วงทะเลที่ลึกที่สุดก็ลอยมาเตะจมูกอีกครั้งพร้อมกับสุรเสียงใสๆเสียงเดิมที่ฝากไว้เมื่อครู่ในห้องนอน

“เอาสร้อยเราคืนมานะ คนขี้ขโมย”

แสงสว่างวาบเจิดจ้าปรากฏตรงหน้าแล้วรวมร่างกลายเป็นเด็กหนุ่มตาสีฟ้าคนเดิม คนที่เขากอดอย่างแนบแน่นเมื่อตอนเย็น บัดนี้เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่เหนือผิวน้ำตรงหน้าอัสดง พระกรทั้งสองกอดพระอุระไว้แน่น ริมฝีปากเชิดเป็นรูปกระจับแดงระเรื่องามงดสดใส เหนือขึ้นไปคือรัดเกล้าสีทองสุกปลั่ง ด้านหลังมีปลายเกศายาวถูกผูกไว้ด้วยด้ายสีทอง ทีท่าที่อวดดีหยิ่งทระนงอย่างนี้ เห็นทีคงไม่ใช่นาคธรรมดา คงเป็นชั้นลูกท่านหลานเธออย่างที่ทรงกลดบอกแน่ๆ เหอะวันนี้จะดัดนิสัยพวกนาคเทวะสักที จับมาตีก้นสั่งสอนเสียให้เข็ด เอาให้หายดื้อไปเลย

“นึกแล้วว่าเจ้าต้องมา....ถ้าอยากได้คืนก็เข้ามาเอาไปเองสิ”

สิ้นเสียงของอัสดง ผู้ที่ทรงรัดเกล้าสีทองก็กระทืบบาททำให้ผิวน้ำปั่นป่วนม้วนตัวเป็นระลอกแล้วพุ่งเข้าชนอัสดงที่ยังยืนแช่อยู่ในน้ำนั้น เสียงลั่นสนั่นของกระแสคลื่นที่กระทบกับตลิ่งดังไปทั่ว อัสดงลอยหลบไปได้ทันและมายืนอยู่บนกิ่งไทรใหญ่ ถ้าเมื่อกี้พลาด ร่างของเขาคงแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะกระแสน้ำรุนแรงนี้

“กะเอากันให้ตายเลยเหรอ แค้นฉันมาแต่ชาติปางไหน”

อัสดงยิ้มน้อยๆและกระโดดหลบอีกครั้งเพราะกระแสคลื่นลูกที่สองโหมกระหน่ำมาทางเขา และแล้วต้นไทรที่น่าจะมีอายุหลายร้อยปีก็ถึงกาลปาวสานทำให้รุกขเทวาที่สิงสถิตอยู่ในต้นไทรนั้นโดนลูกหลงไปเต็มๆ “โอ๊ยยยยยย ฝ่าพระบาท ข้าพุทธเจ้าไม่เกี่ยว แล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่ บ้านพังหมดแล้ว”

สายน้ำยังคงพุ่งชนไปเรื่อยๆ อัสดงก็ลอยหลบไปมาได้อย่างหวุดหวิดแทบทุกครั้ง แต่บรรดาสิ่งรอบข้างที่โดนหางเลขแทนตนน่ะสิต่างย่อยยับพินาศไปตามๆกัน คงปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ ว่าแล้วอัสดงก็ขยับผ้าขาวม้าให้กระชับยิ่งขึ้น แล้วร่างของเขาก็กลายเป็นดวงไฟเจิดจ้าขนาดใหญ่พุ่งตรงลงมาบ้าง ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่บนผิวน้ำต้องเป็นฝ่ายกระโดดหลบ เจ้าดวงไฟก็ไม่หยุดแค่นั้น พอสายน้ำพุ่งมาอีก ดวงไฟก็แปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นกงจักรขนาดใหญ่ตัดผ่านสายน้ำจนซ่านกระเซ็นไปทั่ว จักรเพลิงยังคงหมุนคว้าง แยกตัวออกจากหนึ่งเป็นสอง แล้วแยกจากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปดทั่วทิศ แล้วพุ่งหาเจ้านาคาตาสวยสีฟ้าคราม เจ้านาคาน้อยเตรียมดึงน้ำมาเป็นโล่กำบังแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว จักรเพลิงถึงตัว แว่บแรกนึกว่าพระวรกายจะขาดแต่ที่ไหนได้ จักรทั้งแปดดันมาครอบร่างตนอย่างแนบสนิทรัดรึงไว้เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

“ปล่อยเรานะ”

ทรงกลดกับเอราวัตที่อยู่ในตัวบ้านรีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วทั้งสองก็ต้องตกตะลึงในภาพนั้น ภาพของหนุ่มน้อยผู้หนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางฟ้าถูกรัดครอบไว้ด้วยจักรเพลิง ร่างนั้นพยามดิ้นเร่าๆ เดี๋ยวเปลี่ยนตนเป็นมนุษย์เดี๋ยวเปลี่ยนตนเป็นนาคาสีขาวเจิดจรัสสลับไปสลับมา แต่ทำยังไงก็ดิ้นไม่หลุดสักที ท้ายสุดจักรเพลิงก็พาร่างหนุ่มน้อยลอยลงมายังพื้น ยืนต่อหน้าสหายทั้งสอง และจักรเพลิงนั้นก็คืนร่างเป็นอัสดง ที่กำลังกอดหนุ่มน้อยคนนั้นไว้แนบแน่น

“เฮ้ยยยย.......พวกบาดาล”

เอราวัตกับทรงกลดอุทานขึ้นมาพร้อมกัน ใบหน้าของทั้งคู่ตกใจระคนสงสัย เกิดอะไรกันขึ้น ร่างในพัสตราภรณ์เขียวก้านมะลิยังดิ้นเร่าๆแลกระทืบบาททำให้อัสดงต้องใช้กำลังรัดแน่นขึ้นแล้วเขาก็หันไปยักคิ้วให้กับสหายทั้งสอง แล้วบอกเพียงแค่ว่า

“ป่ะขึ้นบ้านกันเถอะ พวกเราจะได้ช่วยกันลงโทษเชลย”

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๔ นะคะ

ขอบพระคุณคุณTanYung0209 นะคะ ที่ยังรัก คิดถึง และติดตามนิยายเรื่องนี้เสมอมา  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ปรับปรุง) บทที่๒-บทที่๓ อัพ๒๐ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-03-2019 17:19:44
 :hao7:
 :katai2-1:
 :pig4:
ตามคร่าาาา
สนุกคร่า
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ฉบับปรับปรุง) บทที่๔ อัพ ๒๑ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 21-03-2019 15:43:27
บทที่๔ อสรพิษแสนซน

“เชลย” ที่อัสดงกล่าวถึงเมื่อได้ยินว่าจะถูกรุมลงโทษก็ยิ่งบิดกายเร่าๆ หวังว่าจะให้หลุดออกมาจากวงแขนแข็งแรงที่กอดรัดอยู่นั้นแต่จนแล้วจนรอดก็ดิ้นไม่หลุดสักที

“ถ้าเราหลุดไปได้เมื่อไร พวกเจ้าไหม้เป็นจุณแน่” สุรเสียงที่ใสเสนาะหากแต่กราดเกรี้ยว กล่าวอาฆาตมาอย่างนั้นหากแต่อัสดงไม่เกรงกลัวเลยสักนิด

“ยังจะมาอวดดีอีก ถูกจับขนาดนี้เจ้าจะทำอะไรเราได้”

ว่าแล้วเขาก็ตวัดแขนช้อนร่างเล็กที่กอดอยู่แนบอกอันเปล่าเปลือยขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน พระบาททั้งสองข้างของเชลยตาสวยบัดนี้ลอยขึ้นถีบอากาศพัลวัน พระวรกายถูกกอดอย่างแนบชิดประหนึ่งอิสตรียามถูกอุ้มเข้าเรือนหอ

อัสดงอุ้มร่างนั้นแล้วพาเดินขึ้นบ้านทันใด ทรงกลดกับเอราวัตได้แต่มองตามเพื่อนรูปหล่อที่กำลังจัดการกับเชลยอย่างพิศวงเพราะแทนที่สหายจะจัดการด้วยอาวุธ เจ้าพระอาทิตย์ดันใช้มือเปล่าทั้งสองข้าง แถมใบหน้าก็แนบติดซุกอยู่กับเกศาของเชลย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นอัสดงเล่าให้พวกเราฟังก่อน”

เอราวัตถามไล่หลังแต่อัสดงก็ไม่สนใจยังคงพาเชลยตาฟ้าครามที่ร้องลั่นมาด้วยความโมโหอย่างไม่หยุดยั้งจนมาถึงบนบ้าน เมื่ออัสดงขึ้นมาถึงแล้วเขาจึงหันไปกล่าวกับทรงกลดเจ้าของบ้านและเอราวัตที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาพร้อมกัน

“ฉันจะมัดเชลยไว้ตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ...ฝากไว้แป๊บนึง”

ที่ว่าฝากของอัสดงคือค่อยๆส่งร่างที่กำลังดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นไปให้ทรงกลด แล้วจึงประนมมือบริกรรมพระคาถาเสกเชือกอาคมส้นยาวมา เพื่อเป็นพันธนาการ ในแวบแรกทรงกลดคิดจะปล่อยเชลยลงและแค่จะจับมือของเชลยไพล่หลังไว้เฉยๆ แต่ครั้นพอได้สบพระพักตร์นั้นตรงๆความตั้งใจดันเปลี่ยนและมลายหายไปสิ้นเมื่อตาประสานตา

เป็นไปได้ไหมที่เจ้านาคาน้อยนี่... ทรงฤทธีร้าย สะกดเขาได้เพียงแค่มอง
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ...อณูแห่งจันทรเทพคงมิได้อยู่แค่ภายใต้มนต์สะกดธรรมดา.....แต่คงเป็นมหามนตราแน่แท้

ยามนี้สมองจึงมิสามารถบังคับแขนหากแต่หัวใจเริ่มที่จะเข้ามาบงการแทน ด้วยเหตุฉะนี้เชลยตัวน้อยจึงถูกดึงเข้ามาไว้แนบอกบ้าง กลิ่นหอมสดชื่นอันกำจายไปทั่ว  ถูกสูดเข้าปอดมิต่างอะไรกับที่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์กระทำ

“หอมอย่างนี้นี่เอง อัสดงมันถึงกอดแน่นนัก เจ้านี่มันทั้งพยศทั้งน่าเอ็นดูซะจริง แต่เอ...รู้สึกว่าหน้าของเจ้านี้มันคุ้นๆจัง ต้องเคยเห็นบนสวรรค์มาก่อน  ”

อัสดงเมื่อบริกรรมคาถาเสร็จอีกคาบ แสงเรืองรองก็บังเกิดขึ้นสำทับลงไปบนพันธนาการเส้นยาว แล้วบอกให้ทรงกลดที่กำลังเพลินอยู่กับการกอด ปล่อยร่างเชลยลงแล้วติดไว้กับเสาใหญ่กลางบ้าน แม้หลวงตาเคยกล่าวไว้ว่า อย่าใช้อำนาจพร่ำเพื่อ ทว่าตั้งแต่ออกมาจากวัดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูจำเป็นไปเสียสิ้น การที่จะมัดเจ้าคนนี้เชือกธรรมดาเอามันไม่อยู่หรอก มันต้องเชือกวิเศษที่เสกขึ้นพิเศษสำหรับ “อสรพิษแสนซน” โดยเฉพาะ

“เจ็บนะ พวกเจ้าบังอาจล่วงเกินเรา รู้ไหมเราเป็นใคร”นาคาน้อยยังคงตะโกนไม่หยุดแม้พระวรกายจะถูกมัดแน่นติดอยู่กับเสาแล้ว การพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เจ็บใจเป็นที่ยิ่ง “คนเกเร พวกอันธพาล แน่จริงปล่อยเราแล้วมาสู้กันใหม่”

สุรเสียงที่ยังอวดดีตรัสท้ามาเรื่อยๆ อัสดงยิ้มน้อยๆ มิรู้ทำไมอยากหาอะไรปิดปากเจ้าเชลย จะใช้มืออุดก็ดูจะรุนแรงไป แล้วถ้าใช้วิธีแบบตอนเย็นล่ะจะดีไหม เพราะวีธีนั้นได้ผลดียิ่งเจ้านาคไม่เพียงแต่นิ่งงันแถมมันยังปล่อยให้เขาปิดปากด้วยปากเป็นนานสองนาน

“เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าเป็นใคร” อัสดงตอบกลับขยับผ้าขาวม้าที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ให้แน่นยิ่งขึ้นแล้วหันหน้ามาสบตาฟ้าครามที่กำลังหันพระพักตร์ไปอีกทางยามที่เขาจัดผ้าที่นุ่งอยู่ให้เข้าที่

“เรามีศักดิ์สูงเทียบเทพอย่างพวกท่าน ปู่เราพระองค์ใหญ่คือพญาอนันตนาคราชผู้ทรงเป็นบัลลังก์แห่งมหาวิษณุเจ้าและปู่เราอีกพระองค์คือพญาวาสุกีนาคราชผู้เป็นสร้อยสังวาลแห่งมหาศิวะเจ้า รู้อย่างนี้ก็ปล่อยเราซะ พวกเจ้าบังอาจเกินพอแล้ว”

“ไม่ต้องเอาปู่เจ้ามาขู่ ต้นกำเนิดเรารู้จักท่านดี แล้วนี่เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าพวกเราเป็นเทพ”

อัสดงเห็นทีท่า ได้ยินคำพูดคำจา ก็ยิ่งอดคิดมิได้ว่า เจ้านาคาน้อยตนนี้สำคัญนัก ท่าทางจะรู้อะไรเยอะแถมยังทระนงตนไม่เลิก จริงอย่างที่ทรงกลดบอก ‘พวกเทวนาคาชั้นลูกท่านหลานเธอ’ ฤทธิ์เยอะจริงๆ คงต้องดัดนิสัยเอาให้หายอาดดีหายดื้อไปเลย

“ก็แน่ล่ะสิ พวกเจ้าก็คืออณูของเทพเกเรกลุ่มหนึ่งบนสวรรค์ ที่ทระนงตนว่าตนเองสำคัญ”

“อ้าว พูดให้มันดีๆ หน่อยนะครับ ใครกันแน่ที่เกเรแล้วมาถึงที่นี่ มาหาเรื่องพวกเรา” เอราวัตที่ยืนฟังอยู่นานกล่าวขึ้นมาบ้าง เจ้านาคน้อยนี่ ดูท่าจะเอาลงยาก ไม่เกรงกลัวใครแม้ยามตกเป็นเชลย อวดดีไม่เลิก

“เราไม่ได้หาเรื่อง.....เราก็แค่ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาดูว่าพวกเจ้าสมคบคิดกันทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อสวรรค์หรือเปล่าก็เท่านั้น หาใช่อย่างที่เจ้ากล่าวหา”

“แต่เราว่าเจ้าจงใจมากกว่า เพราะบ้านของเราถูกกั้นและบังตาด้วยเทวอาคมอย่างแน่นหนา ผู้ที่จะเข้ามาได้ต้องใช้เวลาหาพอสมควรแล้วทำลายเข้ามา ไม่มีทางที่จะผ่านมาเฉยๆแน่นอน”

ทรงกลดกล่าวตอบมา ยอมรับเลยว่า เจ้านาคนี่ท่าทางจะฤทธิ์มากจริง เพราะสามารถทลายม่านอาคมที่เขาลงไว้ได้ มันต้องมีจุดประสงค์สิ่งใดแน่นอน ฉะนี้ใบหน้ากระจ่างใสของเขาจึงเริ่มมองหน้าของเชลยอย่างพินิจพิเคาระห์ขึ้นไปอีก 

‘หน้าตาหาใช่เล่นเลยเจ้าคนนี้ น่ามองที่สุด ทำไมตอนเราอยู่บ้านคนเดียวมันไม่บุกมานะ จะได้จัดการตามวิธีของเราดูบ้าง’ทรงกลดคงอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้

ฝ่ายเจ้านาคาตาสวยเมื่อถูกจับจุดได้ก็เริ่มตรัสอะไรไม่ออกได้แต่เชิดพระพักตร์ ทีท่าหยิ่งทระนงอวดดียังคงเพิ่มมากขึ้น เมื่อนิ่งไปได้สักพักก็กล่าวตอบมา  “ก็เราบอกแล้วไง ว่าเราแค่มาดูว่าเจ้าสมคบคิดทำอะไรกันหรือเปล่า เราจะได้ทูลฟ้องได้ทัน”

“พวกเราไม่ได้คิดไม่ดีอย่างที่เจ้ากล่าวหา เรารวมตัวกันเพราะเทวโองการ ปู่เจ้าน่าจะรู้ดีไม่เชื่อก็ลองถามท่านดูสิ เจ้าต่างหากที่คิดไม่ดีกับพวกเรา ถึงได้มาแอบดู” อัสดงตอบสวนมาพร้อมทั้งยกประเด็นแอบดูขึ้น ทำให้เจ้านาคน้อยเริ่มที่จะจนมุม

“เราเปล่านะ.....พวกเจ้าไม่มีหลักฐาน อย่ามากล่าวหาเรา”

“แล้วใครที่แอบเข้ามาในห้องนอน แถมยังมาชะโงกหน้าดูตอนเราหลับแล้วทำสร้อยเส้นนี้ตก หรือว่าเจ้าติดใจเรา” อัสดงพูดจบก็ชูสร้อยนาคาหลักฐานชิ้นสำคัญขึ้น หลักฐานที่มัดตัวแน่นหนา ทำให้เชลยหน้าแดงระเรื่อ .....หน้าแดงไม่ใช่เพราะถูกจับได้ หากแต่โดนกล่าวหาว่า ติดใจใครต่างหาก

ทรงกลดกับเอราวัตเมื่อได้ยินก็ถึงบางอ้อทันที ที่แท้เสียงโครมครามที่ดังเมื่อตอนเย็นก็เป็นเสียงของอัสดงกับเจ้านาคน้อยนี่เอง แล้วไยอัสดงถึงต้องเงียบ ทรงกลดตั้งคำถามขึ้นกับตัวเองหันมามองหน้าทั้งสอง สงสัยตอนเย็นคงจะสู้กันในห้องนอนแบบรุนแรงชนิดพิเศษถึงได้โครมครามลั่นห้องขนาดนั้น

“เราไม่ได้ติดใจเจ้าอย่างที่เจ้ากล่าวหา ใครจะไปติดใจเจ้าลง รังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ฉวยโอกาสแถมยังทำหยาบคายใส่เราอีก”

“นี่ไอ้นาคดื้อ เรารังแกและทำหยาบคายกับเจ้าตอนไหน”

“ก็ตอนที่..............’’เชลยกำลังจะกล่าวตอบแต่แล้วก็ต้องหยุดลงทันใด คงดูไม่ดีหากอีกสองคนรู้ว่าตนโดนจูบ “ช่างเหอะ....ปล่อยเรา เราจะกลับบาดาลแล้วเอาสร้อยเราคืนมาด้วย”

“ไม่ปล่อยจนกว่าเจ้าจะพูดความจริง เราจะมัดเจ้าไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวจะมาสอบสวนต่อ”อัสดงกล่าวตอบเชลยตาสวยแล้วหันไปพูดกับสหายทั้งสองว่า “เฮ้ย กลด เอราวัต นายสองคนเฝ้าไอ้ดื้อนี่ไว้ให้ดี ฉันไปแต่งตัวก่อนเดี๋ยวมา”

“ก็ดี.....ผ้าขาวม้านายจะหลุดอีกแล้ว เห็นแล้วน่าหวาดเสียว เดี๋ยวอัสดงน้อยก็ออกมาหรอก ดีไม่ดีมาหลุดตรงนี้จะยุ่งไปกันใหญ่ เดี๋ยวฉันกับไอ้กลดจะจัดการเฝ้าไว้ให้เอง” เอราวัตตอบอัสดงแล้วหันมาพยักพเยิดกับทรงกลด
 
“หลุดก็หลุดไปสิ บางคนเขาจะได้ไม่ต้องมาแอบดู จะได้ดูให้ชัดๆไปเลย”

อัสดงตอบเอราวัตก็จริงแต่สายตาปรายไปทางเชลยและแล้วเขาก็แกล้งเดินมาใกล้เชลยตนนั้นแล้วทำท่าจะถอดผ้าขาวม้าตรงหน้า จนเอราวัตกับทรงกลดร้องลั่น

“ไอ้บ้าอัสดง ทำอะไรวะ”

และบัดนี้หน้าท้องที่เป็นลอนแบนราบพร้อมกับส่วนล่างของร่างกายที่ถูกปิดด้วยผ้าขาวม้าผืนบางที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำกำลังจะหลุดและอยู่ห่างจากหน้าของเชลยเพียงแค่คืบ เชลยที่ถูกมัดอย่างหนีไปไหนไม่ได้รีบเบนหน้าหนีแล้วร้องลั่นมาด้วยความตกพระทัย

“ไอ้บ้า ไอ้คนลามก หยาบคาย เราจะฟ้องปู่เรา ฮือๆ ฮือๆ ฮือๆ”

คราวนี้เชลยไม่ร้องด่าอย่างเดียวพร้อมกับทรงกรรแสงมาด้วย หยาดน้ำใสพิสุทธิ์หลั่งไหลออกมาจากพระเนตรอาบพระปรางทั้งสอง อีกทั้งยังทรงสะอื้นด้วยความเจ็บพระทัย ไม่เคยมีผู้ใดหยามพระเกียรติได้ขนาดนี้ อณูแห่งพระสุริยเทพ นั้นทำเกินไปแล้ว

“ไอ้อัสดง ....เขาร้องไห้เลยเห็นไหม ทำไงดีล่ะที่นี้”

อัสดงเห็นเชลยตรงหน้าร้องไห้ก็ทำอะไรไม่ถูกหยุดแกล้งทันใด ครั้นพอจะทรุดกายลงไปนั่งปลอบให้หยุดร้องไห้ กลับทำให้เชลยยิ่งร้องหนักขึ้นไปอีก

“ฮือๆๆๆๆๆ เราเกลียดเจ้า สุริยาทิตย์”

“เฮ้ยยยยย นายสองคนมัวทำอะไรอยู่วะ ช่วยกันปลอบสิ ร้องดังลั่นบ้านไปหมดแล้ว”

“นายแกล้งเขานายก็แก้ปัญหาเองเหอะอัสดง” เอราวัตเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งเข้าไปข้างในบ้านทิ้งให้คนก่อเรื่องแก้ปัญหาเอาเอง อัสดงเองก็จนปัญญาแล้วจึงชิ่งหนีบ้าง

“เฮ้ยยย ไอ้กลด ฝากปลอบด้วยล่ะกัน จนปัญญาแล้ว ไปก่อนล่ะ” สิ้นเสียงคนก่อเรื่องก็วิ่งหายลับเข้าไปในบ้านบ้างทิ้งให้ทรงกลดเผชิญชะตากรรมผู้เดียว

“ไอ้อัสดง ไอ้เอราวัต กลับมาก่อนเลย ฉันจะทำยังไรเล่าเนี่ย เขาร้องไม่หยุดเลย กลับมาก่อน”

นาคาแสนซนผู้ตกเป็นเชลยยังคงร้องไห้ไม่หยุดแถมยังดังขึ้นอีก คนก่อเรื่องอันตรธานหายไปแล้วทิ้งให้ทรงกลดอยู่ในที่เกิดเหตุผู้เดียว เขารู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่งจะปลอบคนข้างหน้าอย่างไรดี ไม่เคยปลอบใครซะด้วย แต่ก็ขอลองสักหน่อย

“เอ่ออออน้องครับ  น้องนาคดื้อ เงียบเถิดนะ ไม่มีใครทำอะไรเจ้าแล้ว” เสียงเย็นๆแถมยังนุ่มนวลปนอ่อนหวานกล่าวขึ้น หากแต่คนที่ร้องไห้ก็ยังไม่ยอมหยุดหนำซ้ำยังแผดเสียงออกมาว่า

“เรามีชื่อ อย่ามาเรียกเราว่าดื้อ”

“แล้วเจ้าชื่ออะไรล่ะ พี่ชื่อทรงกลดนะ หยุดร้องก่อน ค่อยๆพูดกันนะครับ” ทรงกลดพูดพร้อมกับเขยิบเข้ามาใกล้เด็กดื้อแล้วถือวิสาสะวางมือบนพระอังสาของเชลยที่กรรแสงเบาๆ รัศมีเหลืองนวลถ่ายทอดจากมือข้างนั้น ทำให้ความรู้สึกที่คับแค้นแน่นพระทัย เริ่มเย็นลง เย็นลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงแค่สะอื้นเบาๆ และรัศมีอันเดียวกันนี้นี่เองได้แผ่ซ่านหวลกลับมาจับตัวเขาเองอีกด้วย ทำให้ความรู้สึกนุ่มนวลห่วงหาดันวาบวับเข้าจับหัวใจตนเองอย่างไม่มีทางเลี่ยง


“ดูสิ ร้องไห้อย่างนี้หมดหล่อเลย......ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้เป็นเด็กๆแบบนี้หรอกนะ” ว่าแล้วทรงกลดก็ใช้มือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาของเด็กดื้อที่ยังค้างคาอยู่เบาๆ สัมผัสอันอบอุ่นเย็นใจ กำซาบซ่านคราวนี้เด็กดื้อหยุดร้องไห้ทันที แล้วเงยพระพักตร์มาสบตาคนที่กำลังปลอบอยู่ นี่นะหรือจันทรเทพ เคยได้ยินแต่เสียงลือว่างามนักงามหนา หน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง

แว่บแรกที่เขาจะเช็ดน้ำตาให้ ตั้งใจจะสะบัดหน้าหนี ทว่ากลับทำมิได้ เขาคนนี้ดูท่าคงจะไม่เกเรอย่างสองคนนั่น แต่ก็ยังวางใจอะไรไม่ได้หรอก เพราะถ้าเขาเป็นคนดีจริง เขาคงไม่ไปเป็นชู้กับเมียของพระพฤหัสอย่างที่ได้ยินมา...เจ้านาคน้อยคิดเช่นนั้น

แม้ทรงกลดจะเช็ดน้ำตาให้เชลยจนหมดแล้ว แต่ความรู้สึกอ่อนหวานชื่นทรวงกลับดันเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น.....ดวงตาสุกใสสว่างวาบดุจดาวฤกษ์ของเทวะน้อยจ้องดวงตาฟ้าครามที่ล้ำลึกสุดคาดคะเนอย่างไม่วางตา ฤาความรัก ความโหยหา ของคืนพระจันทร์ทรงกลดจะย้อนกลับเข้ามาหาตน

“เจ้ายิ้มอะไร”

เชลยที่เพิ่งหยุดร้องไห้หลบสายตาหวานซึ้งของคนที่กำลังปลอบอยู่ พระปรางทั้งสองแดงระเรื่ออีกครั้ง จากเหตุแห่งเทพน้อยคนละองค์ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ สามารถทำให้ตนเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ คนหนึ่งทำให้ร้องไห้แต่อีกคนหนึ่งคือผู้ที่เช็ดน้ำตา

“เปล่า.....ไมมีอะไรแค่ยิ้มเฉยๆ เห็นเด็กดื้อขี้แย หยุดร้องไห้ก็ดีใจ เออ เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้าชื่ออะไร พี่ว่าหน้าเจ้าคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

“จะเคยเห็นที่ไหนก็ช่าง และท่านไม่จำเป็นต้องรู้นี่ จันทรเทพ”

“เจ้ารู้ชื่อเดิมพี่ แต่พี่ยังไม่รู้ชื่อเจ้า ....เอาล่ะไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร งั้นพี่จะเรียกเจ้าว่า น้องดื้อ อย่างที่เพื่อนพี่เรียกแล้วกัน” ดูท่าทางนาคาน้อยอายุไม่น่าจะเกินสิบหกปี ยังไงๆ ก็ดูเด็กกว่าคงไม่เสียหายที่จะแทนตัวเราเองว่าพี่ ว่าแล้วทรงกลดก็ก้มหน้าลงไปหานาคาน้อยที่หลบสายตาเขาอยู่ อยากจะบอกไปนักว่า

‘เอาเถอะพยศไปเถอะแล้วเจ้าเองก็จะรู้ว่าแสงจันทร์ยามค่ำคืนนั้นมีเสน่ห์น่าโหยหาปานใด ไม่ร้อนแรงเหมือนแสงอาทิตย์ เย็นตาเย็นใจกว่ากันเยอะ’

“อย่ามาเรียกเรา ดื้อ เราไม่ชอบ ก็ได้เราจะบอกก็ได้ เรามีนามว่า สีทันดร เป็นราชนัดดาในพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกี”

“เจ้าบอกพวกพี่แล้วว่าเจ้าเป็นหลานใคร ว่าแต่ชื่อเจ้าเพราะจัง.....ชื่อเหมือน มหานทีสีทันดร”

“เราถูกตั้งชื่อตาม มหานทีสีทันดรต่างหาก ชื่อเราไม่ได้เหมือน”

แต่ก่อนที่ทรงกลดจะอ้าปากต่อปากต่อคำต่อนั้น อัสดงที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมา หะแรกที่เห็นเชลยหยุดร้องไห้ก็ดีใจ แต่พอเห็นทรงกลดที่นั่งชิดใกล้ๆความรู้สึกก็ผันแปรเป็นคันยิบๆที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก และเขาก็เดินออกมาทันจนได้ยินว่า เจ้านาคาตาฟ้าชื่อ สีทันดร

“สีทันดร เจ้าแพ้เรา เราจับเจ้าได้ เจ้าต้องเชลยของเราผู้เดียว” อัสดงรำพึงกับตนเองมาเช่นนั้น แล้วเดินเข้าไปหาสหายกับเชลยผู้เป็นต้นเหตุแห่งอาการคันหัวใจทันที

“ไง...อารมณ์ดีขึ้นแล้วสิไอ้ดื้อ” คนพูดคล้ายไม่พอใจอะไรสักอย่าง ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกว่าไอ้ดื้อ เชิดพระพักตร์ไปอีกทางยามได้ยินเสียงนั้น เสียงของสุริยเทพ คนเกเร ที่แม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะมอง

“มันก็เรื่องของเรา แล้วเราก็มีชื่อ เลิกเรียกเราว่า ไอ้ดื้อ ซะที”

“มันก็เรื่องของเราเหมือนกันที่เราจะพอใจเรียกเจ้าว่า ไอ้ดื้อ  มีอะไรไหม” มือแข็งแรงของอัสดง บัดนี้จับวงพักตร์กระจ่างใสให้หันมาประจันหน้า ลมหายใจร้อนผะผ่าวลอยห่างเพียงคืบ โลมไล้พระปรางทั้งสอง ก่อบังเกิดสีแดงระเรื่อซึมซับทั่วพระปรางนั้น

“อย่ามาทำกับเราแบบนี้นะ เราเจ็บ ...จะฆ่าเราก็ฆ่า เราแพ้เจ้าแล้วนี่”

“เฮ้ย อัสดงนายจะทำอะไรของนาย น้องเขาเจ็บ” ทรงกลดรีบร้องเตือนมา แต่อัสดงไม่สนใจคำทัดทานนั้น

“เราไม่ฆ่าเจ้าหรอก เก็บไว้ทรมานเล่นๆ สนุกกว่าเยอะ” อัสดงปล่อยพระพักตร์เชลยจอมดื้อ แล้วหันไปพูดกับทรงกลดที่นั่งอยู่ด้านข้างซึ่งกำลังมองมาด้วยความไม่พอใจนักที่อัสดงเข้าถึงเนื้อถึงตัวผู้ที่เขาเพิ่งปลอบให้หยุดร้องไห้ 

“นายเก่งนี่กลด....ปลอบไอ้ดื้อนี่เสียอยู่หมัด ท่าทางคงจะถูกใจไม่น้อย” ปลายน้ำเสียงยังคงตวัด เน้นหนักที่คำว่าถูกใจ ทำให้ทรงกลดเริ่มรู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้นที่อัสดงพูดมาเช่นนั้น

“ยิ่งกว่าถูกใจอีกว่ะ นายจะให้ฉันปลอบน้องดื้อทั้งคืนก็ยังไหว”

มันน่าแปลกที่ทรงกลดใช้น้ำเสียงแค่เย็นระเรื่อแต่พออัสดงได้ฟังก็ประดุจดั่งไฟบรรลัยกัลป์เผาไหม้หัวใจ คำพูดของไอ้พระจันทร์ ช่างยียวนนัก ฟังแล้วมันทำให้ร้อนในอก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ฉบับปรับปรุง) บทที่๔ อัพ ๒๑ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 21-03-2019 15:47:12
“ไอ้ดื้อนี่ ฉันจะดูแลเอง ฉันปราบมันได้ คงไม่รบกวนนายแล้ว”

“แต่ฉันยินดีว่ะ ไม่ได้เป็นการรบกวน” 
 
“นี่ถ้าเจ้าสองคนถ้าไม่ฆ่าเรา ก็ปล่อยเราซะแล้วอีกอย่างเราดูแลตัวเราเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาวุ่นวายกับเราทั้งนั้น” สีทันดรทรงตัดรำคาญ แต่เจ้าของใบหน้าคมเข้มและลักยิ้มอันทรงเสน่ห์ กลับตอบกลับมาชวนสงสัย

“เราไม่ปล่อยเจ้า เราจะมัดเจ้าไว้ ขังเจ้าไว้อย่างนี้ ตลอดไป” 

“ เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่มีสิทธิ์มากักขังเรา เหอะ...เราจะทูลฟ้องพระมหาเทพ”

“เชิญเสด็จพระราชดำเนิน...ขี่ม้าสามศอก ไปฟ้องเลย” น้ำเสียงประชดประชันยังคงมีมาเป็นระยะๆ

“อัสดง....ฉันว่านายปล่อยน้องดื้อเขาเหอะ แล้วจะได้คุยกันดีๆ เถียงกันไปเถียงกันมาแบบนี้ทั้งคืนก็ไม่รู้เรื่อง”

“นายเฉยๆ เหอะทรงกลด ....บอกแล้วไงฉันจัดการเอง” พระอาทิตย์น้อยไม่ค่อยสบอารมณ์นัก นึกรำคาญเพื่อนเสียจริง ทรงกลดเองคงจะเย็นไม่ไหวแล้ว เริ่มขึ้นเสียงมาบ้าง

“ แต่นายไม่มีสิทธิ์มัดน้องเขาไว้นะโว้ย ถ้าพ่อแม่เขารู้เข้า เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง” 

ระหว่างที่การโต้เถียงดำเนินอยู่นั้น ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย เอราวัตที่หายเข้าไปในบ้านเสียนานแล้ว จู่ๆก็วิ่งพรวดพราดออกมา ตะโกนลั่น

“เฮ้ย อัสดง ทรงกลด เกิดเรื่องแล้ว พวกนาคบุก ตอนนี้แห่กันมาเต็มคลองเลย มาดูเร็ว”

อัสดง ทรงกลด รีบหันมาทันใด พวกนาคบุกหรือนี่ แค่ไอ้ดื้อตนเดียวฤทธิ์ก็เยอะพออยู่แล้วนี่ดันยกโขยงกันมาทั้งฝูง จะทำอย่างไรดี ว่าแล้วทั้งสองก็วิ่งตามเอราวัต ไปที่เฉลียงหน้าบ้าน และภาพที่ปรากฏแก่คลองจักษุของทั้งสามคนก็คือ บรรดางูตัวใหญ่มีหงอน ชูคอสูงลอยสลอนเต็มคลองไปหมด บางตัวมีสามหัว บางตัวมีห้าหัว นาคพวกนั้นต่างก็พยายามจะพุ่งเข้ามา แต่ด้วยม่านอาคมที่ทรงกลดลงไว้ทำให้เข้ามาไม่ได้  แถมยังซัดเหล่านาคากระเด็นกระดอนกลับไปอีกด้วย

“มันเอาเราแน่ ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ พวกนายเตรียมตัวให้ดีคืนนี้เราคงเจอศึกหนัก” อัสดงขบกรามแน่นเปรยกับสหายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ

และแล้วตัวที่คาดว่าน่าจะเป็นจ่าฝูงก็ชูคอสูงแผ่พังพาน พ่นพิษลงมาเพื่อจะทำลายม่านอาคมนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล พวกตัวใหญ่ๆหลายตัว จึงรวมตัวพ่นพิษมาพร้อมกัน ทรงกลดเห็นดังนั้นจึงบริกรรมคาถาขึ้น แสงสีเงินยวงสว่างระเรื่อรอบกายปรากฏโดยรอบ ขยายวงกว้างครอบคลุมทั้งบ้าน ม่านอาคมถูกสร้างขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งแล้ว

“ฉันจะรับหน้าด้านนี้ไว้เอง พวกนายจัดการพวกที่เหลือ” ทรงกลดหันมากล่าวกับสหายทั้งสอง

“สงสัยมันจะมาช่วยนายของมัน ...อัสดง นายปล่อยเจ้าดื้อนี่ไปเหอะ มีเรื่องกับพวกนาคไม่สนุกหรอก” เอราวัตบอกอัสดงให้ปล่อยสีทันดรคืนไป เผื่อพวกนาคจะยุติการโจมตีก็ได้

“ไม่ปล่อย .... ถ้านายกลัวก็ถอยไป เดี่ยวฉันกับไอ้กลด จัดการตรงนี้เอง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น.......แต่รอบข้างตอนนี้ พินาศไปด้วยพิษนาคหมดแล้ว เรามีกันแค่สามคนนะโว้ย แต่พวกนั้นมาเป็นฝูง”

อัสดงไม่สนใจคำพูดของเอราวัต เขารีบแบมือขึ้น เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาเช่นเคยคราวนี้ไม่ได้กลายเป็นจักรเพลิงหากแต่รวมตัวกันเป็นศรเพลิงขนาดใหญ่ อัสดงกระชับคันศรในมือแน่น เพียงเขาง้างสายธนู ลูกศรเพลิงก็ปรากฏขึ้นแล่งอย่างอัศจรรย์

อัสดงไม่รอช้าสูดหายใจเข้าเต็มปอดจนเอวคอดกิ่วทำให้แผงอกกำยำขยายกว้าง กล้ามแขนเป็นมัดเงื้อสายธนูเต็มเหนี่ยวพอได้ที่ก็รีบยิงไปกลางฝูงนาคทันที ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์และมนต์วิเศษที่ประสิทธิ์ประสาทในธนูดออกนั้น เพียงออกจากแล่งทะยานขึ้นฟ้า ก็กลายเป็นพญาครุฑาตัวใหญ่ บินถลาโฉบตวัดไปในหมู่นาคนั้น ทำให้เกิดความโกลาหลสะเทือนทั่วทั้งผืนน้ำ นาคพวกนี้เป็นเพียงแค่นาคบริวาร ไฉนเลยจะมีฤทธีต่อกรกับครุฑได้ ถึงแม้จะเป็นแค่ครุฑจำแลงก็เหอะ

“คนขี้โกง ....เจ้าเล่นไม่ซื่อ” สีทันดรร้องตะโกนออกมา เมื่อเห็นอัสดงใช้ครุฑมาต่อกรกับบริวารของตน

อัสดงไม่สนใจคำบริภาษนั้นซ้ำยังปล่อยศรเพลิงออกไปอีกสองดอก ซึ่งแต่ละดอกก็กลายร่างเป็นครุฑอีกเช่นกัน ครุฑทั้งสองเข้าไปช่วยจิกตีนาคพวกนั้น นาคบางตัวที่สู้ไม่ได้ก็หลบลี้หนีลงน้ำ เหลือเพียงเจ้าตัวจ่าฝูงและตัวใหญ่ๆอีกไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สู้ไม่ถอย แถมยังซัดครุฑจำแลงร่วงไปเสียหนึ่งตัว ..... ความรู้สึกของอัสดงตอนนี้ยากที่จะบ่งบอก เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ถึงไม่ยอมปล่อยไอ้ดื้อนี่คืนไปซะ ทำไมเขาถึงอยากจับมันไว้อย่างนี้ และเพราะเหตุใดกัน เขาถึงยอมสู้ขาดใจ

“นาเคนทร์ เจ้ามาช่วยเรา ....เราอยู่ทางนี้”

“เงียบซะ ไม่มีใครช่วยเจ้าได้”

“ไม่เงียบ ... นาเคนทร์ ให้พวกบริวารที่เหลือ อ้อมไปทางด้านหลังบ้าน ตรงนั้นอาคมมีรอยโหว่ เราทำลายเอาไว้ พวกเจ้าจงเข้ามาทางนั้น”

“บรรลัยแล้ว หุบปากเจ้าเลยไอ้ดื้อ ถ้าเจ้าไม่หยุดพูดเราจะปิดปากเจ้าเหมือนตอนเย็น” อัสดงลดศรลงทันใดตะโกนก้อง ว่าแล้วเขาก็รีบวิ่งเพื่อจะไปสกัดทางด้านหลังบ้าน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว จงอางใหญ่หลายตัวบัดนี้เลื้อยขึ้นมาแผ่พังพานเต็มลานบ้านหมายจะเอาชีวิตเทพน้อยทั้งสาม

เอราวัตเห็นท่าไม่ได้การ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โทรศัพท์ที่ดูเหมือนเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ดูแสนจะธรรมดากลับปรากฏแสงสว่างจ้ายามที่พระพุธน้อยแตะหน้าจอทัชสกรีนนั้น หอกด้ามยาวด้ามหนึ่งลอยออกมา  ร่างอวตารแห่งพระพุธกระชับหอกแนบแน่นไว้ในมือ หมุนคว้างโดยรอบแล้วโผนทะยานเข้าสู่หมู่จงอางพร้อมกับหวดอาวุธฟันฟาดลงไปตรงเจ้างูตัวใหญ่เกล็ดดำมะเมื่อมตัวหนึ่ง เพียงหอกกระทบร่าง จงอางตัวนั้นก็ลอยกระเด็นเป็นอันดับดิ้นสิ้นฤทธิ์ พวกที่เหลือเห็นสหายถูกทำร้ายก็เดือดดาลเลยชูคอสูง พุ่งฉกลงมาพร้อมกัน อัสดงหันมาจะช่วยรับมือ แต่เอราวัตกลับบอกให้ไปช่วยอีกด้าน
 
“นายช่วยไอ้กลดรับด้านหน้าไป ด้านหลังฉันจัดการเอง”

เอราวัตยังคงหมุนปลายหอกเป็นจักรผันซัดไปทางใด จงอางทั้งหลายต่างก็ดับสูญดิ้นพล่าน ที่บาดเจ็บก็บิดกายเร่าๆ คืนร่างมาเป็นมนุษย์ร้องโอดครวญไปทั่ว ฉับพลันนาคสามเศียรตัวหนึ่งก็หลุดเข้ามาในบ้าน พระพุธน้อยจึงอาศัยจังหวะที่มันพุ่งมานั้นลอยสวนกลับไปแล้วเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับซัดหอกเข้าที่ตาซ้ายของหัวด้านหนึ่ง ทำให้นาคสามหัวนั้นคำรามลั่น

“ไอ้พวกงูดิน คิดจะลองดีเหรอ เจอนี่หน่อยเป็นไร” คราวนี้หอกซัดไปที่อีกสองหัว แต่ก่อนที่หอกจะฟาดลงไป นาคตนนั้นก็พ่นพิษสวนลงมา อัสดงหันมาเห็นพอดี ร้องเตือนลั่น

“ เอราวัต ระวัง”

อัสดงไม่เตือนเปล่า รีบกระโดดผลักเพื่อนออกจากบริเวณนั้น แล้วฟาดคันศรลงไปตรงแสกหน้าของงูมีหงอนจนมันกระเด็นลงกับพื้นม้วนตัวดิ้นเร่า ครั้นพอง้างสายธนูหมายปล่อยศรยิงซ้ำ แต่งูอีกตัวเลื้อยเข้ามาขวางไว้เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปจัดการงูตัวนั้นแทน สีทันดรที่ถูกมัดติดอยู่กับเสาร้องลั่นที่เห็นบริวารตนเองพลาดท่า เสียทีให้เทพทั้งสาม ครั้นจะออกไปช่วยก็ถูกเขาตรึงไว้ด้วยอาคม ตอนนี้ทำได้แต่หาตัวช่วย แลผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตามใจตน


“ข้าแต่ ทูลหม่อมย่าน้อย พระนางมนสาเทวี โปรดเสด็จมาช่วยหลานด้วย”

สิ้นพระสุรเสียง รัดเกล้าสีทองสุกปลั่งก็ส่งแสงเรืองรองขึ้นไปยังท้องฟ้า สว่างจ้าไปทั่วทั้งนภากาศ ชั่วระยะเวลาเข็มตกก็ปรากฏลำแสงขาวพิสุทธิ์อย่างยิ่งพุ่งลงมา แล้วแสงสว่างจ้าลำนั้น ก็พุ่งซัดครุฑอาคมของอัสดงจนแหลกสลายแล้ววิ่งพุ่งชนม่านอาคมของทรงกลดแตกกระจาย ทรงกลดที่กำลังสร้างม่านอาคมอยู่ถึงกับกระเด็นลอยคว้างดีที่อัสดงกระโจนรับไว้ได้ทันก่อนที่จันทรเทพจะลอยไปกระแทกผนัง 

ลำแสงขาวนวลลำนั้นบัดนี้พุ่งวนอยู่กลางบ้าน แสงโชตนาการอันขาวยิ่งกว่าขาวบัดนี้หยุดลงตรงหน้าสีทันดร แล้วสลายเป็นประกายระยิบระยับดุจดาวประกายพรึก รวมร่างเป็นบุรุษสูงใหญ่ เกศาขาวยาวปลิวไสว เคราขาวสีนวลสะอาดตา สะบัดพลิ้ว

“ทะ ทูลหม่อมปู่วาสุกี”

“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าหยุดให้หมดทุกคน”

สิ้นสุรเสียงทรงอำนาจ เหล่านาคาทั้งหลายก็หยุดชะงักแล้วกลับกลายคืนร่างเป็นมนุษย์หมอบราบตัวสั่นงันงก อัสดง ทรงกลด และเอราวัต กลับมายืนรวมตัวกันทรุดนั่งยกมือพนมหว่างอก ถวายบังคมพร้อมเพียง

“ท่านพญาวาสุกี”

“ทูลหม่อมปู่ช่วยหลานด้วย พวกเทพเกเรพวกนี้รังแกหลาน” สีทันดรรีบทูลฟ้องมาทันใด

“หุบปากเจ้าซะเดี๋ยวนี้ สีทันดร ที่ข้าลงมานี่ก็เพราะเจ้านั่นแหละ ก่อเรื่องวุ่น” จอมนาคาตวาดก้อง แสดงว่ากริ้วราชนัดดาจอมดื้อ ทำให้สีทันดรที่ถูกมัดอยู่ถึงกับสลดลงแต่ก็ไม่วายตรัสเถียงมาอย่างอุบอิบ

“หลานไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“นี่ขนาดเจ้าไม่ได้ทำยังยุ่งขนาดนี้ถ้าเจ้าทำจะยุ่งขนาดไหน ดีนะที่ข้าลงมาเอง ถ้าเป็นมนสาเทวีเธอมา คงจะเข้าขากับเจ้าก่อเรื่องวุ่นไปทั่ว เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะจัดการกับเจ้าทีหลัง” พญาวาสุกีตรัสจบ ก็วาดดัชนีชี้กราด ไปยังพวกนาคบริเวรทั้งหลาย

“ส่วนพวกเจ้า มีความผิดโทษฐานขึ้นมาจากบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังมาก่อเรื่องในเขตของเทวะ เราจะขอลงโทษพวกเจ้าให้อยู่ในร่างของงูดินธรรมดา จะคืนร่างเป็นมนุษย์หรือนาค และกลับบาดาลไม่ได้ จนกว่าพระมหาวิษณุเจ้าจะบรรทมตื่น”

เมื่อสิ้นพระดำรัส เหล่านาคบริวารก็เหงื่อกาฬแตกพล่าน บทลงโทษนี้รุนแรงอย่างยิ่งเพราะทั้งหลายรู้ดีว่ายามพระมหาวิษณุเจ้าบรรทมนั้นนานแสนนานเพียงไร จากนาคต้องกลายเป็นงูดินธรรมดา รู้ถึงไหนอายถึงนั่น และแล้วแสงสีเขียวสว่างจ้าก็ส่ายสาดทั่วร่างนาคพวกนั้นครั้นพอสลาย ร่างก็กลายเป็นงูดินตามบทลงทัณฑ์

“ไสหัวไปได้แล้ว”

“โธ่ บริวารของเรา เราเสียใจที่ทำให้พวกเจ้าลำบาก” สีทันดรตรัสออกมาเบาๆ วงพักตร์สลดลงไปอีกนาคบริวารพวกนี้มาช่วยตนแท้ๆกลับต้องถูกลงโทษ นี่ก็เพราะ อณูแห่งพระสุริยาทิตย์แท้ๆทีเดียว

“ข้าต้องขอโทษท่านด้วย สุริยเทพ จันทรเทพ และท่านพุธเทพ ที่หลานข้าและบริวารมาก่อเรื่องให้รำคาญใจ ข้าผิดเองที่ตามใจหลานข้าจนเคยตัว พ่อแม่มันก็ใช้ไม่ได้ ไม่เคยสั่งเคยสอนลูก เดี๋ยวข้าจะไปจัดการ”

“ไม่เลยพะย่ะค่ะ เจ้าดื้อนี่ยังเด็กนัก เลยซน แต่ไม่ได้ทำให้รำคาญใจ” อัสดงทูลตอบแล้วนึกอยู่ในใจคนเดียวว่าท่านตรัสผิดแล้วพญาวาสุกี  ไอ้ดื้อนี่ไม่มีทางทำให้รำคาญใจหรอก ถ้าจะตรัสให้ถูกควรตรัสว่า ทำให้คันหัวใจน่าจะเหมาะกว่า

“พ่อหลาน ก็เป็นโอรสทูลหม่อมปู่เองนะ ถ้าพ่อหลานใช้ไม่ได้ ทูลหม่อมปู่เองนั่นแหละที่ไม่เคยสั่งเคยสอน”

“ไอ้สีทันดร ....บัดเดี๋ยวเหอะ เถียงคำไม่ตกฟาก ฤาเจ้าอยากจะเป็นงูดิน”

สีทันดรเงียบลงทันใด ส่วนเทพน้อยทั้งสามที่นั่งฟังก็ได้แต่อมยิ้ม ไอ้ดื้อนี่มันคงจะดื้อจริง นี่ขนาดปู่มันแท้ๆมันยังเถียงยอกย้อนได้ลงคอ ไม่เกรงกลัวเลยสักนิด ส่วนทีท่าของพญาวาสุกีก็ดูเหมือนจะไม่โกรธอะไรจริงจังมากนัก ท่าทางไอ้ดื้อนี่น่าจะเป็นหลานตัวโปรด 

“บ้านท่านพังหมดเลย จันทรเทพ เดี๋ยวเราจะรับผิดชอบเอง” เจ้าแห่งนาคาเมื่อระงับโทสะได้ ก็ทรงเป่าลมออกจากพระโอษฐ์เบาๆ ทำให้เปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้บนพื้นกระดาน สงบลงและปราศจากรอยไหม้เกรียม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งใดที่แตกหักเสียหายกลับกลายเป็นปกติ อำนาจวิเศษมันดีอย่างนี้นี่เอง

“ส่วนเจ้าสีทันดร เจ้ามันตัวต้นเหตุ อยากรู้ อยากเห็นไม่เข้าเรื่อง....เอาล่ะในเมื่อเจ้าอยากรู้นัก ข้าก็จะบอกให้ว่า ท่านทั้งสามเนี่ย เขาแบ่งภาคลงมาปราบอสูร หาได้เกเรอย่างที่เจ้ากล่าวหา ตอนนี้เหล่าอสูรเริ่มกล้าแข็ง แถมได้รับการเกื้อหนุนจากพวกมาร”

“พญาปรนิมมิตวัตสวัตตี”

“อย่าเอ่ยชื่อ เรายังไม่มีหลักฐาน มหาเทพทั้งสองจึงทรงลงโทษไม่ได้ ถึงได้ให้ท่านสุริยเทพกับสหาย ลงมาจัดการ”

“แล้วทำไม มหาวิษณุไม่ทรงลงมาปราบเอง สมัยก่อนหลานเห็นอวตารลงมาบ่อยไป ไหนจะเป็นพระรามบ้างล่ะ พราหมณ์เตี้ยบ้างล่ะ”

คำถามของสีทันดรถูกใจเทพน้อยทั้งสามยิ่งนัก  ถ้าจะว่ากันจริงๆพวกเขาก็ยังอยู่ในร่างของเด็กวัยรุ่นอายุสิบแปดสิบเก้า ยังมองไม่เห็นทางเลยว่าจะจัดการกับพวกอสูรได้อย่างไร

“ ท่านคือมหาเทวะ กลียุคมาถึงแล้วฤาไร ท่านถึงต้องเสด็จมาเอง.. แต่เจ้าไอ้สีทันดร อย่าพูดไป โดนลงโทษขึ้นมา ข้าไม่เกี่ยวด้วยนะ  ก็ท่านทรงบรรทมอยู่ ใครกล้าปลุกขึ้นมาทูลถามบ้างล่ะ ดีไม่ดีเกิดกริ้วขึ้นมากลายเป็นแบบคราวพระมหาพิฆเณศวร พระเศียรถึงกับหลุดต้องไปหาหัวช้างมาเป็นพระเศียรแทน”

ก็จริงอย่างที่ท่านปู่ว่า คงไม่มีใครกล้าปลุกมหาเทวะเป็นแน่ เรื่องของมหาพิฆเณศวรเป็นที่โจษจันไปทั่วสามโลก ยามนั้นทรงประสูติใหม่ๆ เทพผู้ใหญ่หลายพระองค์เสด็จมาร่วมพิธีสมโภชหากแต่มหาวิษณุเจ้าพระองค์เดียวที่ยังไม่เสด็จมาเพราะทรงบรรทมอยู่ เทพที่ไปเชิญเสด็จก็ผลีผลามไปปลุกพระบรรทม พอทรงบรรทมตื่นก็ทรงทราบเรื่องจึงตรัสลอยๆมาว่า “ไอ้ลูกหัวหายนี่ยุ่งชะมัด” เท่านั้นแหละพระเศียรแห่งเทวกุมารพระองค์น้อย ก็อันตรธานหายไปด้วยวาจาศักดิ์สิทธิ์ คณะเทพที่เฝ้าจึงต้องรีบไปหาพระเศียรมาให้ใหม่ ท้ายสุดก็ได้ศีรษะของช้างมาต่อเป็นพระเศียรแทนของเดิม

“ท่านสุริยเทพ พวกท่านตอนนี้ลงมาอยู่ในร่างมนุษย์ อำนาจและฤทธีคงใช้ไม่ได้เต็มที่ ในนามของคณะเทพแห่งโลกบาดาล พวกเราจะให้ความช่วยเหลือ โดยมีเจ้าหลานจอมดื้อของเราเป็นสื่อกลางและเข้าร่วมด้วย เพราะตัวข้าเองจะออกหน้าอย่างโจ่งแจ้งมากไม่ได้ มิฉะนั้นมารจะไหวตัว และยังไม่มีเทวราชโองการ....ส่วนเจ้าสีทันดร นับแต่นี้ไป เจ้าจะต้องอยู่ช่วยเหลือท่านสุริยเทพกับสหายที่นี่ ข้าย้ำนะว่าอยู่ช่วยเหลือ ไม่ใช่ก่อเรื่องวุ่น เสร็จภารกิจเมื่อใดค่อยกลับบาดาล”

“ทูลหม่อมปู่รับสั่งอะไรอย่างนั้น” สุรเสียงของนาคาน้อยดังก้องอย่างไม่พอพระทัย

“นี่คือการลงโทษ เด็กดื้ออย่างเจ้า ฤาเจ้าจะให้ข้าขังเจ้าไว้ที่บาดาล”

จอมนาคาขับสุรเสียงเข้มขึ้นมาแล้ว  สีทันดรทรงรู้องค์ดีว่าถ้าแข็งขืนขัดรับสั่งตอนนี้ มีแต่จะทำให้พิโรธหนัก จึงหักพระทัยยอมไปก่อนแล้วค่อยหาทางเลี่ยง เพราะยังไงก็ดีกว่าที่จะถูกจองจำอยู่แต่ในบาดาลไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน 

“ก็ได้พะย่ะค่ะ”

“จำไว้ จงช่วยท่านสุริยเทพ อย่างสุดความสามารถ หากข้ารู้ว่าเจ้าเกเรข้าเอาเรื่องเจ้าแน่...ท่านสุริยเทพข้าฝากหลานข้าด้วย หากมันเกเรท่านลงโทษได้ตามสมควร”

อัสดงกระหยิ่มในใจ โอกาสคงเป็นของเขาแล้ว คราวนี้แหละไอ้ดื้อ  จะดูสิว่าเจ้าจะมีฤทธิ์อะไรอีก สะใจเสียจริงดื้อดีนัก เดาว่าคงได้จับมันตีก้นแน่ๆ คงจะเร็วๆนี้แหละ ในเมื่อเจ้าเคยบอกว่าเกลียดเรานัก เราจะทำให้เจ้าเกลียดเราไม่ลง

“เป็นพระมหากรุณายิ่งแล้ว คราวนี้หม่อมฉันคงอุ่นใจที่ไม่ต้องทำศึกอย่างโดดเดี่ยว หม่อมฉันสัญญาว่าจะดูแลน้องดื้อ เอ๊ยน้องสีทันดรเป็นอย่างดี”

ทรงกลดกล่าวแทนสหายทั้งสอง ขนตาหนาปลายงอนกระพริบวิบวับไปยังนาคาจอมดื้อ รู้สึกโล่งอก เพราะตอนแรกนึกว่าน้องดื้อจะโดนลงโทษให้กลายเป็นงูดินเยี่ยงพวกนั้น ดีที่ยังคงอยู่ในร่างนี้ ส่วนอัสดงที่ได้ฟังก็เริ่มยิ้มไม่ออก ไอ้พระจันทร์จะมาไม้ไหนของมัน ตั้งแต่ให้ช่วยปลอบไอ้ดื้อรู้สึกว่าจะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไรนัก

“ข้าไปก่อนพวกเจ้าดูแลตัวเองกันด้วย จำไว้หากยามใดคับขัน ให้นึกถึงมหาเทพทั้งสองไว้”

แสงสว่างวาบปรากฏอีกครั้ง เพียงแค่กระพริบตา พญาวาสุกีเจ้าแห่งนาคาที่ยืนประทับตรงหน้าก็หายวับไปถ้อยรับสั่งยังคงก้องกังวานในโสตแห่งเทพน้อยทั้งสามและหนึ่งนาคาจอมดื้อ สิ้นสุดกันสักทีกับค่ำคืนที่สุดแสนจะวุ่นวายนี้

“นี่พวกเจ้าจะนั่งทื่อกันทำไม แก้มัดให้เราได้แล้ว ตอนนี้เราไม่ได้เป็นเชลยพวกเจ้าแล้วนะ”

อัสดงหันขวับทันใด เอาแล้วไงไอ้ดื้อ นี่ขนาดปู่เจ้าเพิ่งไปนะนี่ ไม่ทันไรก็แผลงฤทธิ์ซะแล้ว พยศดีนัก อ้าปากมาแต่ละที ฟังแล้วมันน่าปิดปากอีกรอบ ดูสิว่าจะพูดอะไรได้อีกไหม.....ไอ้ดื้อเอ๊ย

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๕ นะคะ

ขอบพระคุณ คุณ AkuaPink  มากๆนะคะที่เข้ามาติดตาม แล้วจะลงให้เรื่อยๆค่ะ  :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ฉบับปรับปรุง) บทที่๔ อัพ ๒๑ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: kakilover ที่ 28-03-2019 22:36:03
รอตอนต่อไปคับ เราเคยอ่านจบไปแล้วและชอบมาก[ กลับมาหาอ่านอีกก้อโดนลบไปแล้ว ] ดีใจคับที่กลับมารีไรท์  :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา (ภาค๑ ฉบับปรับปรุง) บทที่๔ อัพ ๒๑ มีนาคม๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 30-03-2019 09:57:47
จำได้ว่าสนุกม๊ากกกกก… อะเรื่องนี้!!


รอบทที่ ๕ นะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๕ ฝัน หวาน อาย จูบ อัพ ๐๔ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 04-04-2019 16:48:26
บทที่๕ ฝัน หวาน อาย จูบ

“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาให้มันเพราะๆหน่อย ถ้าขืนพูดจาอย่างนี้ ฝันไปเหอะว่าเราจะแก้มัดให้เจ้า”

อัสดงกล่าวตอบมาทันควัน แล้วเริ่มไม่นั่งทื่ออย่างที่เจ้านาคาน้อยว่า ขยับตัวเข้ามาใกล้ จนสีทันดรต้องเริ่มขยับถอยหนีแต่จะไปไหนก็ไม่ได้เพราะพระวรกายยังถูกมัดติดแน่นกับเสาต้นใหญ่

“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุเรามากกว่าพวกท่านสามคนรวมกันซะอีก เจ้านั่นแหละเป็นเด็กจะพูดจะจาอะไรกับเราควรระวัง”

“ดื้อจริงโว้ย เถียงคำไม่ตกฟาก เราไม่ใช่ปู่เจ้านะที่จะมานั่งต่อปากต่อคำด้วย เหอะ พญาวาสุกีนาคทั้งฝูงปกครองได้ แต่กะอีแค่หลานคนเดียวเอาไม่อยู่”

“อย่ามาลามปามปู่เรานะ ..... พวกเจ้ามันก็ดีแต่พูดลับหลัง ทีอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เห็นนั่งทื่อเป็นสากกะเบือดิน”

“ความอดทนเรามีขีดจำกัดนะไอ้ดื้อ ....ถ้าเราทนไม่ไหวอย่าหาว่าเราไม่เตือน”

ใช่สิความอดทนของอัสดงมักมีขีดจำกัดเสมอ ทว่าตัวเขาเองตอนนี้ปากก็ได้แต่พูดไปส่วนในใจลึกๆก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ จะทำลงอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า เพราะบทลงโทษที่เตรียมไว้มันไม่ธรรมดา เถียงคำไม่ตกฟากอย่างนี้ จะลงทัณฑ์ให้พูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

“ใจเย็นๆก่อนสิวะอัสดง ฉันว่านายปล่อยน้องดื้อเขาได้แล้ว จะได้คุยกันดีๆซะที” ทรงกลดพูดพลางก็วางมือไว้บนไหล่ของสหายขี้หงุดหงิด รัศมีเหลืองนวลเย็นระเรื่อกำจายออกมาจากมือข้างนั้น ซึมซาบสู่ร่างสุริยเทพน้อยรูปงาม ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวจางหายลงทันใด

อัสดงเมื่อหายโมโหแล้วก็หลับตานั่งนิ่งชั่วครู่ พอลืมตาก็ดีดนิ้วเบาๆ เชือกที่มัดเจ้านาคาจอมดื้ออยู่ก็คลายปมหลุดออกเองอย่างอัศจรรย์ ทำให้เชลยผู้ที่ซึ่งเป็นอิสระรีบขยับกายลุกออกมาจากเสาต้นใหญ่ พอหลุดมาได้เท่านั้น เจ้าตาฟ้าครามสวยก็ย่นพระพักตร์ตรัสอย่างเสียไม่ได้

 “ขอบใจ”

กริยาอาการที่ยังเป็นเด็กๆเอาแต่พระทัย ดูน่ารักยิ่งในสายตาของทรงกลด..เมื่อ ‘ถูกตา’ เยี่ยงนี้แล้ว ‘ต้องใจ’ จึงตามมาเป็นลำดับ  ส่วนอัสดงนั้นน่ะหรือ ต้องใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คืออาการคันยิบๆที่หัวใจกำลังกำเริบมาอีกระลอก ถ้าหากได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง มันต้องรับผิดชอบในฐานะเหตุแห่งอาการนั้น

“หิวข้าวแล้วตั้งโต๊ะกินข้าวเหอะ”

จู่ๆเอราวัตก็บ่นขึ้นมาพยักเพยิดไปทางทรงกลดแต่เจ้าพระจันทร์กำลังเหม่อมองอยู่ที่ราชนัดดาแห่งบาดาลเลยทำให้ไม่ได้ยินคำพูดของสหาย เจ้าพระพุธน้อยเลยต้องตะโกนใกล้ๆ ทรงกลดถึงกับสะดุ้งโหยง

“ฉันหิวข้าวโว้ย”
 
“ทำไมต้องตะโกนวะ ก็ยืนอยู่ด้วยกันใกล้แค่นี้เอง”

“ก็นายมัวแต่เหม่อ....เป็นอะไรวะ”

“เปล่า...นายว่าอะไรนะ หิวข้าวใช่ไหม กินซะทีก็ดีเหมือนกัน เฮ้ยอัสดงไปช่วยยกกับข้าวกันดีกว่า ฝากน้องดื้อไว้ให้ไอ้พระพุธดูเนี่ยแหละ”

ทรงกลดกอดคออัสดงแล้วพาเดินไปหลังบ้าน เรื่องอะไรจะปล่อยไอ้พระอาทิตย์ไว้ลำพังกับน้องดื้อฝากไว้กับไอ้พระพุธดีที่สุด อัสดงเองใช่ว่าอยากจะไปช่วยยกหรอก แต่โดนพระจันทร์ลากไปอย่างนั้นก็จำต้องไปช่วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก และก็มิววายกำชับทิ้งท้าย

“อย่าแผลงฤทธิ์มาอีกเด็ดขาด ถ้าก่อเรื่อง เราลงโทษเจ้าแน่”

“แหวะ จ้างให้ก็ไม่กลัว” พระเนตรสีครามใสเปล่งประกายกระพริบวิบวับ พระชิวหาแลบออกมาล้อเลียนทรงกลดกับเอราวัตหัวเราะในความแสบสันของน้องดื้อ แต่อัสดงหัวเราะไม่ออก สะบัดหน้าเดินไปทันที

 “มันเขี้ยวนัก”

“สหายท่านนิสัยแย่จังนะ สักวันเราจะจับมัดบ้างแล้วโยนลงทะเลให้พวกมัจฉาบริวารเรา รุมตอดกินเสียให้เข็ด” สีทันดรหันมากล่าวกับเอราวัตที่ยืนอยู่ข้างๆ

“มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ....เออ เจ้าชื่อสีทันดรใช่ไหม เราเอราวัตนะยินดีที่ได้รู้จัก” เอราวัตตอบพร้อมกับยื่นมือมาเช็คแฮนด์ตามธรรมเนียมตะวันตก สีทันดรไม่เข้าใจในธรรมเนียมนั้น ได้แต่ยืนมองอย่างสงสัย

“เขาเรียกว่า เช็คแฮนด์ ยื่นมือมาจับกันแสดงถึงมิตรภาพและการทักทาย” พระพุธน้อยจึงยื่นมือไปจับหัตถ์ขาวนวลนั้นเอง เพียงสัมผัสสีทันดรก็รู้สึกว่ามือของนายพระพุธดูร้อนๆพิกล สงสัยนายคนนี้จะบาดเจ็บ

“เจ้าไม่สบายหรือบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า หรือว่าโดนพิษแห่งบริวารเรา มือท่านร้อนๆพิกล”

“พิษเหรอ เปล่านี่ แต่บาดเจ็บคงใช่ เพราะเมื่อตอนบ่ายพลาดท่าถูกสายฟ้าของรามสูร” พอพูดถึงเรื่องนี้เอราวัตก็เจ็บสีข้างขึ้นมาทันใด จนต้องใช้มือกุมไว้

“ไหนขอเราดูหน่อยสิ ไหนๆทูลหม่อมปู่ก็สั่งเราให้ช่วยเหลือ แต่บอกไว้ก่อนนะ เราไม่ค่อยอยากจะช่วยนักหรอก”

“แล้วตกลงจะช่วยหรือไม่ช่วยนี่”

“ก็ต้องช่วยสิ มัวแต่ต่อความยาวสาวความยืดอยู่นั่นแหละ เอาล่ะ ให้เราดูได้แล้ว”

แล้วเอราวัตก็เปิดเสื้อให้ดูตรงสีข้างที่บาดเจ็บจากการสู้รบ สีทันดรอยากเห็นให้ชัดกว่านี้จึงบอกให้พระพุธน้อยถอดเสื้อที่สวมใส่ออกเสียเพื่อที่จะได้เห็นร่องรอยบาดเจ็บถ้วนทั่ว แรกๆเอราวัตก็อิดออด รู้สึกเขินนิดๆ เพราะคนที่จะดูอาการให้นั้นดันสวยเกินเด็กผู้ชาย

“นี่ไม่ต้องมาอายเรานะ ทีตอนเย็นยังนุ่งผ้าคนละผืนกระโดดน้ำตูมๆได้เลย เราเห็นหมดแล้ว และก็ไม่คิดจะพิศสวาทอะไรเลยด้วย  เลิกทำสะดิ้งเสียที”

เจ้านาคน้อยตรัสจบก็ประทานค้อนมาให้ขวับ เอราวัตจึงถอดเสื้อออกตามคำสั่ง ถึงแม้เขาจะไม่ใช่เทวะที่รูปงามที่สุดบนสวรรค์อย่างพระอาทิตย์กับพระจันทร์ แต่เทวะก็คือเทวะ แม้จะเป็นเพียงแค่อณู หากร่างกายก็งดงามดังรูปสลัก มัดกล้ามของเด็กหนุ่มที่เพิ่งแตกพานสวยงามได้รูป หน้าท้องเป็นลอนแบนราบ ไรขนอ่อนๆไล่ลงจากสะดือเรื่อยลงไปจนหายไปในขอบกางเกงนอนตัดกับสีผิวที่ขาว หากมีรอยไหม้เกรียมปรากฏตรงสีข้างไล่ลงไปเป็นทางยาว

“เรามองไม่ถนัด ท่านมาตรงนี้ดีกว่า สว่างหน่อย”

สีทันดรเดินนำมาตรงกลางบ้านที่แสงไฟสว่างกว่าทุกจุดแล้วตรัสสั่งให้พระพุธน้อยนอนลง คราวนี้พอทอดพระเนตรเห็นชัด ถึงกับต้องอุทาน

“ตายแล้ว นี่ขนาดเจ้าพลาดโดนสายฟ้านะเนี่ย ถ้าโดนเต็มๆจะขนาดไหน รีบรักษาดีกว่า ปล่อยไว้จะเป็นอันตราย”

ปลายนิ้วเรียวสวยดุจลำเทียน ลูบเบาๆบริเวณสีข้างของเอราวัต พระพุธน้อยหลับตาแน่นิ่งสะกดกลั้นอาการเจ็บนั้นไว้ รอยไหม้จากสายฟ้าเริ่มลามเรื่อยจนไปถึงลำตัวด้านล่าง สีทันดรด้วยความที่ไม่คิดอะไร เพียงแต่อยากดูอาการเท่านั้น จึงดึงกางเกงด้านนึงลงมาจนเห็นชั้นในสีขาว

“เฮ้ยยย ทำอะไร เดี๋ยวโป๊” เอราวัตรีบเอามือกุมเป้าไว้แน่น หน้าแดงทันใด “อย่านะโว้ยเจ้านาคน้อย”

“นี่...ไม่ได้อยากจะดูนักหรอก อย่าเพิ่งอายได้ไหม เราจะดูอาการให้ต่างหาก ...เจ้าเป็นหนักเลยรู้ไหม”

ยามนี้เอราวัตเองที่นอนอยู่ความอายเริ่มจางหาย เพราะความเจ็บปวดเริ่มเข้ามาแทนที่ฉับพลัน จนต้องร้องออกมา “เจ็บอ่ะ ทำไมมาเจ็บเอาตอนนี้”

“ก็ฤทธิ์แห่งรามสูร เจ้าต้องรักษาตัวนะ เดี๋ยวเราจะช่วยบรรเทาอาการให้ก่อน”

สีทันดรก้มพระพักตร์หลับพระเนตรนิ่งทันใด พอลืมตาก็เป่าเบาๆลงไปตรงสีข้างที่บาดเจ็บของเอราวัต แรงลมเป่าจากพระโอษฐ์นั้นเป็นละอองสีแดงเจือทองระยับ เข้าจับรอยไหม้ที่เริ่มขยายสกัดไว้ให้หยุดชะงักลง

ทางด้านอัสดงกับทรงกลดที่เพิ่งถือถาดอาหารมื้อเย็นออกมา เห็นภาพนั้นพอดี ภาพที่เหมือนกับว่าเจ้านาคาน้อยกำลังก้มลงไปทำอะไรให้เอราวัตที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น หนำซ้ำเสื้อผ้าก็ไม่ใส่แถมกางเกงด้านหนึ่งยังถูกดึงร่นลงมาด้วย ภาพที่เห็นนี้ มันชวนให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้จริงๆ

“เฮ้ยยย ทำอะไรวะไอ้เอราวัต” ทรงกลดร้องลั่นรีบวิ่งเข้ามา นึกด่าพระพุธน้อยในใจอย่างขุ่นเคือง ‘ไอ้เอราวัตนึกว่าจะไว้ใจได้ คิดผิดซะแล้ว น้ำนิ่งไหลลึกนะมึง’

อัสดงเองก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้ามาเหมือนกัน และก็มิต่างอะไรกับพระจันทร์ ที่คิดเองเออเอง คล้ายๆกัน หากที่ต่างกันคืออัสดงไม่คิดอย่างเดียว แต่กลับพูดออกมาด้วย พร้อมอารมณ์ขุ่นมัวที่เริ่มปะทุ  “ไวไฟกันนักนะทั้งคู่ คงจะแอบมองกันอยู่นาน จนอดใจกันไว้ไม่อยู่ล่ะสิ นี่ถ้าอดใจกันไม่ไหว ห้องด้านในก็มีนะ ไม่ใช่มาทำอะไรอย่างโจ่งแจ้งตรงนี้”

“เจ้าคิดบ้าอะไรกัน เรากำลังจะช่วยสหายเจ้า” สีทันดรเงยพระพักตร์ขึ้นกล่าวตอบทันควัน

“อ๋อแน่ละสิ....เจ้าคงช่วยจนไอ้พระพุธมันตัวเบาแน่ๆ ถ้าเราสองคนไม่ออกมา ทำอะไรหัดอายคนอื่นเขาซะมั่ง ปากก็บอกว่าเป็นราชนัดดาพญานาคราชสูงศักดิ์ แต่ทำตัวไม่ต่างอะไรกับงูดิน เสพสมไม่เลือกที่” วาจาเผ็ดร้อนรุนแรงออกมาจากปากพระอาทิตย์รูปงาม ดวงตาสีอำพันจ้องมาอย่างผิดหวัง อดคิดไม่ได้ว่า

‘ไอ้ดื้อ นี่ถ้าเรารู้ว่าเจ้า “ง่าย” ขนาดนี้ เราจะได้สนองเจ้าเสียให้สมใจตั้งแต่ตอนเย็น’

และแล้วดวงตาฟ้าครามสว่างวาบกลายเป็นสีทองทันใด แสดงถึงพระอารมณ์พิโรธจนถึงขีดสุด พระหัตถ์ขาวนวล เงื้อขึ้นสะบัดกลางอากาศ เสียงดังสนั่นของแรงลมปะทะผิวหน้าของอัสดงดังเพียะ ทำให้เจ้าของหน้าคมเข้มเซถลาเพราะแรงตบนั้น

“เจ้ามันหยาบคายสุริยเทพ เราขอย้ำคำเดิมว่าเราเกลียดเจ้า ...ก่อนที่เจ้าจะว่าเรา เราอยากให้เจ้าแหกตาลงดูสหายเจ้าก่อนว่าเขาเป็นอะไร ทำไมเราถึงต้องช่วย” สุรเสียงสั่นพร่าดังก้อง แล้วชี้ลงไปที่พระพุธที่บัดนี้ลุกขึ้นมานั่งแล้ว

“นายสองคนกำลังเข้าใจผิดนะ ฉันบาดเจ็บจริงๆ ตอนที่สู้กับรามสูรเพราะเข้าไปช่วยนายแหละไอ้กลด ลืมไปแล้วเหรอ”
เท่านั้นแหละอัสดงกับทรงกลดก็ทรุดกายลงมาดูแล้วพบว่าสีข้างของเอราวัตมีรอยบาดเจ็บจริงๆด้วย ใช่แล้วไอ้พระพุธมันโดนสายฟ้านี่นา

“ถ้าไม่ได้เจ้านาคน้อยนี่ช่วยไว้เมื่อกี้ ฉันคงแย่เพราะจู่ๆอาการก็กำเริบขึ้นมา นายสองคนน่าจะดูอะไรให้ดีๆซะก่อน ก่อนจะพูดออกมานะโว้ย” เอราวัตพูดพลางก็สวมเสื้อคืนดังเดิมจัดกางเกงให้เข้าที่ แล้วหันมาหาเจ้านาคน้อยที่กำลังพยายามระงับโทสะ

“เราขอโทษแทนสหายของเราทั้งสองด้วยนะ”

“เราไม่อยากจะใส่ใจวาจาหยาบช้าของสหายเจ้าหรอก พระพุธ.....ถ้าคืนนี้อาการท่านกำเริบอีก ท่านก็ให้สหายท่านช่วยแล้วกัน เราขอตัวก่อน”

สุรเสียงเกรี้ยวกล่าวตอบปลายน้ำเสียงยังคงสะบัด พระพักตร์จับจ้องไปแต่พระพุธผู้เดียว แลมิได้ชายพระเนตรไปยังเทพน้อยผู้เข้าใจผิดทั้งสอง เมื่อตรัสจบสีทันดรก็เดินไปนั่งคนเดียวที่มุมนึงของเฉลียงบ้าน ทรงกลดจึงรีบวิ่งตาม

“น้องดื้อครับ พี่ขอโทษที่เข้าใจผิด”

“เราบอกแล้วไง ว่าเราไม่ใส่ใจ ใครจะเข้าใจผิดถูกอย่างไรก็ช่าง และก็ไม่ต้องตามเรามา เราอยากนั่งเงียบๆคนเดียว” ว่าแล้วสีทันดรก็เสด็จเลี่ยงออกมา แล้วประทับนั่งพิงเสา พระเนตรคู่งามคืนกลับมาเป็นสีฟ้าดังเดิม เหม่อมองไปในความมืด

“คนหยาบช้า คำขอโทษจากปากเจ้าสักคำก็ไม่มี คอยดูเหอะ ถ้าเป็นเจ้าบาดเจ็บมาบ้าง เราจะไม่แลตาดูเจ้าสักนิดสุริยาทิตย์”

มื้อเย็นได้ถูกตั้งขึ้นแล้ว หนุ่มน้อยทั้งสามต่างก็นั่งกินไปคุยกันไปพลาง ทรงกลดขอโทษขอโพยเอราวัตเป็นการใหญ่ที่เข้าใจผิด แถมยังห่วงอาการของเอราวัต อัสดงเองก็ขอโทษออกมาเช่นกัน แต่เอราวัตกลับบอกว่า

“ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก นายควรไปขอโทษเขานู่น ....นั่งซึมอยู่ตรงนู้น นายไปว่าเขาซะแรงเชียว”

“ก็ใครจะไปรู้วะ เห็นนายนอนถอดเสื้อถอดผ้าแถมไอ้ดื้อนั่น ทำท่าเหมือนกับจะ ทำอย่างว่า เป็นใครใครก็ต้องเข้าใจผิด”

“แล้วทำไมไม่ดูให้ดีเสียก่อน ก่อนจะไปว่าเขา ไปขอโทษเขาเลยไอ้อัสดง”

“นายควรจะไปขอโทษเขานะอัสดง”ทรงกลดกล่าวเสริมขึ้นมา

“ไม่มีทาง ทีมันตบหน้าฉันแล้วยังไม่ขอโทษฉันเลย”

ปากก็บอกไม่มีทาง หากแต่ในใจของอัสดงนั้นอยากจะวิ่งเข้าไปขอโทษนัก ....สายตาของเขาแอบลอบชำเลืองมองไปเรื่อยๆ จนครั้งหนึ่งตาคู่งามสีฟ้าก็หันมาประสานพอดี หนึ่งนาคาน้อยและหนึ่งเทวะหนุ่มต่างก็สะบัดหน้าไปอีกทางยามที่หันมาเจอกันโดยบังเอิญ

“ตามใจ...นายยังเหมือนเดิมเลยนะไอ้พระอาทิตย์.... เออแล้วคืนนี้จะนอนกันยังไง แล้วเจ้านาคน้อยจะนอนไหน นายเตรียมห้องให้เขาหรือยังไอ้กลด” เอราวัตถามขึ้น

“ยัง....กะว่าจะให้นอนห้องฉันแหละ แล้วฉันไปนอนกับพวกนาย หรือพวกนายจะย้ายมานอนห้องฉันแล้วให้น้องเขานอนห้องพวกนาย”

“ยังไงก็ได้ทั้งนั้น”

“ถ้างั้นนายมานอนห้องฉันดีกว่า เพราะกว้างหน่อยเตียงนอนได้สามคนสบาย ส่วนห้องนั้นให้น้องดื้อเขานอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยหาทางขยับขยายคืนนี้นอนเบียดไปก่อนแล้วกัน”

“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกเขาให้เอง เพราะดูท่าเขาคงไม่อยากจะคุยกับนายสองคนเท่าไรนัก” เอราวัตพูดจบก็ทำหน้าที่ราชทูตเดินไปหาสีทันดรที่นั่งเงียบๆ แล้วก็บอกความเรื่องห้องพักจนเสร็จสรรพ แล้วเดินกลับมารายงานที่โต๊ะ

“เขาอยากนั่งคนเดียวอีกสักพัก เดี๋ยวเขาจะเข้าไปนอนเอง ฉันบอกน้องเขาแล้วว่าห้องไหน พวกนายอิ่มกันหรือยังจะได้เข้านอนกันเสียที วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ”

“อิ่มพอดี.....เก็บโต๊ะเหอะ เสร็จแล้วจะได้เข้านอน”

ทรงกลดกล่าวตอบแล้วจัดแจงเก็บโต๊ะอาหาร ใจไม่อยากปล่อยน้องดื้อไว้ลำพัง แต่ถ้าเข้าไปหาตอนนี้คงไม่เหมาะ  อัสดงกับเอราวัตเข้ามาช่วยเก็บจาน แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปหลังบ้าน ทิ้งนาคาตาสวยไว้ลำพังตามที่ต้องการ

หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเทพน้อยทั้งสามก็เตรียมเข้าห้องนอนเพื่อพักผ่อนแต่ก่อนจะเข้าห้องนั้นเอราวัตก็ถามอัสดงมาอีกครั้งว่า

“นายจะไม่ขอโทษเขาจริงๆเหรอ ท่าทางเขาโกรธนายมากนะโว้ย”

“ไม่มีวัน...เข้านอนเหอะ ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ” อัสดงยักไหล่กล่าวตอบมา แล้วเดินนำหน้าเข้าห้อง เอราวัตได้แต่ส่ายหน้า อดมิได้ที่จะพูดเบาๆกับตนเอง “ ไอ้ปากแข็ง อย่าลืมนะฉันอ่านใจคนออก ฉันรู้ว่านายคิดอะไร ไอ้พระอาทิตย์”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๕ ฝัน หวาน อาย จูบ อัพ ๐๔ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 04-04-2019 16:50:55
ดึกสงัดแล้ว เมื่อเทพน้อยทั้งสามเข้าห้องนอนไปได้สักพักใหญ่ สีทันดรที่นั่งอยู่คนเดียวก็ขยับพระวรกายลุกเข้าห้องนอนเตรียมพักผ่อนบ้าง พอเสด็จผ่านห้องนอนของทรงกลดก็ย่นพระพักตร์ใส่หน้าห้องนอนนั้นเพราะรู้ว่ามีใครคนหนึ่งที่ทำให้ตน ไม่สบอารมณ์นักนอนอยู่ด้วย

“คนหยาบคาย เรารึอุตส่าห์รอให้เจ้ามาขอโทษ เจ้าก็ยังไม่มา คนอะไรไม่สำนึกผิด เห็นทีต้องสั่งสอนซะหน่อย”

ว่าแล้วก็ทรงจำแลงกายเข้าไปในห้องนอนของเทพน้อยทั้งสาม พอเข้าไปได้ก็เห็นคนหยาบคายที่นึกถึงนอนอยู่ตรงกลางเตียงใหญ่ขนาบข้างด้วยพระพุธและพระจันทร์ สองคนนี้นั้นท่าทางจะหลับสนิท แต่อีตาคนปากร้ายนี้ ไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาทำแบบตอนเย็นอีกจะเสียทีเขาเปล่าๆ

“อย่าไปไหนนะครับ อย่าทิ้งอัสดงไว้ อัสดงเหงา”

ระหว่างที่สีทันดรกำลังคิดอะไรเพลินๆ อัสดงก็ละเมอออกมาแถมทำท่าไขว่คว้ากอดอากาศพัลวัน นี่คงจะฝันดีล่ะสิไม่แคล้วฝันถึงผู้หญิง ถึงได้ละเมอมาเป็นแบบนี้ อยากจะรู้นักว่าคนที่อณูหยาบคายคนนี้ฝันถึงหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้ถูกใจจนต้องเก็บมาฝัน หากมิเข้าไปดูก็คงจะไม่มีทางรู้แน่นอน

สีทันดรคิดได้ดังนั้น หัตถ์ทั้งสองก็ประกบระหว่างพระอุระทันที เทวฤทธิ์จึงประสิทธิ์โดยพลัน วรองค์ในภูษาเขียวอ่อนก้านมะลิ ก็กลายเป็นตะไลเพลิงหมุนคว้าง ลอยละล่องเหนือร่างของคนที่กำลังละเมอ แล้วสลายหายวับลงไประหว่างกลางหน้าผากนั้น

ตะไลเพลิงสว่างจ้า บัดนี้เข้ามาในห้วงฝันของพระอาทิตย์รูปงามเรียบร้อย นี่น่ะหรือภาพที่คนเกเรฝันถึง คนอะไรฝันถึงวัดถึงวา จิตใจดีขนาดนี้เลยเหรอ แต่เมื่อกี้เห็นไขว่คว้ากอดอะไรสักอย่างแถมยังกล่าวว่า อย่าทิ้งอัสดงไปไหน หรือว่าเจ้าอณูนี่จะพาสาวๆเข้ามาทำอะไรในวัด ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้ามันก็บัดสีไม่ต่างอะไรกับอย่างที่เขากล่าวหาตนสักนิด

ทว่าวัดนี้เป็นวัดป่าที่เขาเคยอยู่นี่นา เห็นทีคงต้องเข้าไปดูชัดๆ ว่าแล้วตะไลเพลิงก็กลายร่างคืนมาเป็นสีทันดรลอยละล่องตามหาเจ้าของความฝันว่าอยู่หนใด

มินานก็เด็กน้อยคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่หน้ากุฏิหลังเล็ก หน้าตาบูดบึ้ง ซ้ำยังร้องไห้มาอีก หน้าตาถอดแบบคนเกเรมาทั้งดุ้น ใช่แล้วคงเป็นไอ้ไฟมหาประลัยตอนเด็ก และข้างๆกันนั้น ก็มีภิกษุชราในจีวรสีกลักยืนอยู่ด้วย

“เข้าไปข้างในเถิดอัสดง....เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมอีก”

น้ำเสียงกังวานเย็นระเรื่อสายตาที่บ่งบอกถึงความโอบอ้อมอารี รัศมีบริสุทธิ์สว่างไสว ทำให้สีทันดรรู้ได้ทันทีว่านี่คือพระอริยสงฆ์ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ความฝันหากได้นมัสการก็ถือว่าเป็นบุญยิ่งนัก นาคาน้อยจึงรีบทรุดพระวรกายหมอบราบกราบลงทันที

“พ่อครับ แม่ครับ อย่าไปไหนนะครับ อย่าทิ้งอัสดงไว้ อัสดงเหงา”

บุรุษและสตรีวัยกลางคนคู่หนึ่งเดินจากไป เด็กชายอัสดงพยามยามวิ่งเข้าไปกอดคนทั้งสองนั้น แต่หลวงตายึดตัวไว้ น้ำตาของอัสดงร่วงหล่นมาเป็นสาย สีทันดรเห็นภาพนั้นก็สงสารขึ้นมาจับใจ “โถ ที่แท้ เจ้าก็โดนพ่อแม่เอามาทิ้งไว้กับพระคุณเจ้านี่เอง ถึงได้ขาดความอบอุ่นเกเร เราชักจะโกรธเจ้าไม่ลงแล้วสิ”

บุรุษและสตรีคู่นั้น เลือนหายไปแล้ว อัสดงร้องไห้หนักขึ้นพยายามสะบัดตัวออก ตะโกนลั่นว่าจะกลับบ้าน แถมเจ้าอัสดงน้อยยังดิ้นสุดฤทธิ์ที่มี แล้วเปลวเพลิงแห่งสุริยเทพก็โหมกระหน่ำขึ้นรอบๆตัวเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรหลวงตาได้แม้แต่ปลายจีวร

“ไอ้ไฟบ้า ท่านเป็นพระอริยสงฆ์มันบาปนะไปทำร้ายท่าน”

สีทันดรกล่าวขึ้น กำลังจะใช้อำนาจสยบไฟที่โหมกระหน่ำแต่หลวงตาเพียงแค่สะบัดมือขึ้นฟ้าเบาๆ หยาดฝนก็โปรยปรายลงมาและโหมกระหน่ำเป็นวงกลมอยู่ตรงเด็กน้อยจุดเดียว สายฝนวิเศษที่เกิดจากอำนาจพระพุทธคุณ สยบเพลิงแห่งสุริยเทพอย่างราบคาบ อัสดงน้อยเริ่มสิ้นฤทธีตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น จะวิ่งหนีออกไปก็ไม่ได้

 “ปล่อยผมนะ ผมหนาว พ่อครับ แม่ครับช่วยด้วย ฮือๆๆ”

“อยู่อย่างนั้นสักพัก จนกว่าเจ้าจะใจเย็น” หลวงตาพูดจบก็เดินขึ้นกุฏิไป อัสดงน้อยยังคงติดอยู่ในม่านน้ำฝนนั้น สีทันดรที่แอบดูอยู่นานแล้ว ยิ่งสงสารขึ้นมาอีกจึงปรากฏกายออกมา อยู่ต่อหน้าเด็กชายตัวน้อย

“ไงเกเรดีนัก โดนแบบนี้แหละสมแล้ว” ถึงแม้จะสงสารเพียงไร แต่ก็ขอว่าสักหน่อยเหอะ คนอะไรร้ายแต่เด็ก

“พี่เป็นใครช่วยอัสดงด้วย อัสดงหนาว”

สุริยเทพตัวน้อยกล่าวออกมา ปากสั่นตัวสั่น เห็นแล้วน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง นึกๆดูก็คล้ายๆตนตอนเด็กๆ ก็แผลงฤทธิ์เอาแต่ใจเหมือนกัน เวลาถูกลงโทษก็ร้องไห้อย่างนี้ เอาเถอะตอนนี้เจ้ายังเป็นเด็ก เจ้ายังไม่รู้อะไร ความผิด ความหยาบคายตอนโตที่เจ้าทำไว้ คงต้องพักไว้ก่อน

“ช่วยก็ได้ เห็นว่ายังเด็กอยู่หรอกนะ สุริยาทิตย์”

“เร็วๆสิ ผมหนาว”

“เอ๊ะ ก็เดี๋ยวสิ ชอบขึ้นเสียงเสียจริง นิสัยเสียตั้งแต่เด็กจนโต เดี๋ยวก็ไม่ช่วยเลยนี่” สีทันดรขึ้นเสียงมาบ้าง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วปรบพระหัตถ์ขาวเนียนสามครั้ง สายพระพิรุณจางหาย อัสดงน้อยเป็นอิสระทันใด

“เป็นไงล่ะ รู้หรือยังว่าตอนที่เจ้ามัดเราไว้ มันทรมานแค่ไหน สมน้ำหน้าโดนหลวงตาท่านลงโทษ”

“พี่เป็นใคร”

“ตื่นมาเจ้าก็รู้เองแหละ ....ไม่ต้องมาถาม จะว่าไปชีวิตเจ้าก็น่าสงสารเนอะ มีพ่อมีแม่แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อแม่เจ้าก็ใจร้ายทิ้งเจ้าได้ลงคอ จริงๆแล้วเราก็ไม่อยากยุ่งเรื่องครอบครัวเจ้านักหรอก ”

“พี่พูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง ผมหนาว คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ พาผมกลับบ้านหน่อยนะ” อัสดงน้อยไม่พูดเปล่า เข้ามากอดเอวสีทันดรไว้แน่น

“พากลับไปได้ที่ไหนกันเล่า นี่มันในนิมิต เจ้านี่ไม่รู้อะไรซะเลย” สีทันดรกล่าวตอบเด็กชายตัวน้อย พยายามแกะแขนที่กอดแน่นนั้นออก เพราะถึงจะเป็นเด็กแต่ก็ไม่โปรดให้ใครมากอด 

“ทำไมจะไม่รู้ เรารู้สิ เรารู้ว่า มีไอ้นาคดื้ออยู่ตนนึง นอกจากมันจะแอบเข้ามาในบ้านคนอื่นแล้ว มันยังชอบแอบเข้ามาในความฝันอีกด้วย”

อัสดงน้อยหยุดร้องไห้ทันใด น้ำตาเหือดหาย ดวงตาที่ช้ำกลับเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายวาบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ฉับพลันนั้นจากเด็กชายอัสดงก็กลายเป็นนายอัสดงที่กอดรัด ไอ้ดื้อ ไว้แน่น กว่าสีทันดรจะรู้ตัว ก็หลงกลตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดงเรียบร้อย ครั้งที่สามแล้วสินะวันนี้ ที่โดนเขากอด

“ปล่อยเรานะ คนเจ้าเล่ห์”

“ใครใช้ให้เจ้าแอบเข้ามาในความฝันของเรา”

“ก็เห็นนอนละเมอเลยเข้ามาดู”

“สอดรู้น่ะสิไม่ว่า ตอนแรกเราตั้งใจจะฝันถึงสาวๆสักหน่อย เจ้าดันเข้ามาซะก่อน เราเลยอดทำแบบนี้” ว่าแล้วอัสดงก็ซุกหน้าที่งามคมคายไปยังซอกพระศอของนาคาจอมดื้อ ทำให้คนถูกกอดดิ้นเร่าตะโกนลั่น

“เจ้าอย่ามาทำหยาบช้ากับเรานะ เราไม่ใช่ผู้หญิงในฝันของเจ้า”

“เราไม่สน เจ้าอยากเข้ามาในฝันเราทำไม แย่หน่อยนะที่คืนนี้เราอยากฝันว่าเราเข้าห้องหอซะด้วย” อัสดงเงยหน้าจากซอกพระศอที่หอมกรุ่น ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ

“เจ้าก็เปลี่ยนไปฝันถึงผู้หญิงสิ เดี๋ยวเราออกไปจากความฝันเจ้าก็ได้”

“จะไปฝันถึงทำไม ในเมื่อเจ้าเข้ามาให้ท่าเราถึงในนี้ ก็ต้องเป็นเจ้านั่นแหละมานี่”

ฉับพลันทัศนียภาพรอบด้านก็บิดเบี้ยว กุฏิหลังน้อยเลือนหาย กลายเป็นหน้าผาสูงชันที่มีม่านน้ำตกซัดซู่ลงมา หยาดน้ำพิศุทธิ์ยามกระทบลำธารเบื้องล่าง ก่อให้เกิดฟองขาวกระจายไปทั่วแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทะลุตามคาคบไม้ใหญ่สาดผ่านละอองน้ำซ่านกระเซ็น ส่องประกายสายรุ้งพร่างพราย ร่างทั้งสองที่ลอยอยู่กลางฟ้า บัดนี้ลอยละลิ่วลงมาแช่ในลำธารใสเย็น วงน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้าง และตรงใจกลางนั้นร่างสูงกำยำราวรูปสลักตระกองกอดวรองค์น้อยแห่งราชนัดดาของโลกบาดาลไว้แนบแน่น

“ไอ้บ้า เปียกหมดเลย”

“อยากเข้ามาทำไมล่ะ เจ้ารนหาที่เองนะ นี่คือโทษฐานของคนที่ชอบแอบดู” ริมฝีปากร้อนผะผ่าวประทับลงตรงพระปรางใส แล้วโลดไล่คลอเคลียลงมาตรงซอกพระศออีกครั้ง

“ปล่อยยยย เดี๋ยวฟ้าผ่า เราเป็นบุรุษนะไม่ใช่อิสตรี”

“ก็เพราะเจ้าเป็นผู้ชายน่ะสิเราถึงทำอย่างนี้”

ในฝันไม่ต้องกลัวอะไรแล้วอัสดงเอ๋ย อยากทำอะไรก็ทำ .....ไอ้ดื้อ นี่คือบทลงโทษที่เจ้าบังอาจเข้ามาทำให้เราคันหัวใจ

อัสดงยังจำได้ดีวินาทีที่ลืมตามาพบดวงเนตรฟ้าครามใส กลิ่นเกศาหอมกรุ่นยามตกระเรี่ยเคลียหน้านั้นหอมเสียยิ่งกว่าหอม วงพักตร์ที่งามเกินเทวบุตร แม้บรรดาเทพธิดาที่งามที่สุด หากเห็นเข้าก็คงต้องละอายหนีไปจุติเป็นแน่แท้ คำว่าถูกใจคงน้อยไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ยากที่จะสรรหาคำมาบรรยาย หรือว่าเขาจะหลงรักไอ้ดื้อนี่เสียแล้ว 

ไม่จริง ตนเพียงแค่อยากจะดัดนิสัยและเอาชนะมันเท่านั้นเองต่างหาก แต่คำพูดและเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ ที่ตนเข้าใจผิด จนกล่าววาจารุนแรง มันก็ทำให้ตัวเองเจ็บปวดเหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก แถมยังโมโหนักที่ไอ้ดื้อนี่ ทำอย่างนั้นกับเอราวัต หากเหตุการณ์นั้นเป็นของจริง ตนควรจะทำอย่างไร รีบกระชากตัวมันออกมากระนั้นหรือ ฤาจะฆ่าเอราวัตให้ตายคามือ

“วันนี้เราขอโทษนะ ที่เข้าใจเจ้าผิด ให้อภัยเรานะ สีทันดร”

เสียงกระซิบเบาๆ หากแต่ทำให้สั่นสะท้านไปทั่วพระหฤทัย คำว่า “ไอ้ดื้อ” ลบเลือนจางหาย มีแต่คำว่า “สีทันดร” ที่กล่าวออกมาได้อย่างหวานซึ้งเข้ามาแทนที่  พระวรกายยังคงสั่น ไม่ใช่เหตุแห่งสายลำธารที่เย็นยะเยียบแต่เป็นเพราะสัมผัสจากริมฝีปากคู่งามที่ร้อนแรงนั้นต่างหาก ตั้งแต่เจริญพระชันษา เรื่องแบบนี้ก็ยังไม่เคยแผ้วพานมาในพระชนม์ชีพ ครั้นพอเกิดขึ้นครั้งแรกก็ทำให้ยากที่จะทัดทาน เหตุการณ์ในห้องนอนตอนเย็น ถ้าจะว่ากันจริงๆ เพียงแค่ตั้งใจฉกลงมาตรงๆ เขาคนนี้คงไม่พ้นคมเขี้ยว แต่ทำไมทำไม่ได้ก็ไม่รู้ จุมพิตครั้งแรก ต้องเสียให้กับผู้ที่ทำให้วงศ์วานต้องระเห็จเสด็จจากสวรรค์ลงมาอยู่บาดาล คิดแล้วก็น่าแค้นใจตัวเองที่ทำไมยอมให้เขาทำเยี่ยงนี้ แต่เราจะไปขัดขืนอะไรเขาได้ เรี่ยวแรงตอนนี้มลายหายไปสิ้น ร้องให้ใครช่วยก็ไม่ได้ หรือว่าเราไม่อยากร้องออกมาเองกันแน่

วงแขนแข็งแรงยังคงโอบรัดนาคาจอมดื้อเอาไว้ เท้าที่เหยียบถึงก้นบึ้งของลำธาร เดินดันหน้าไปเรื่อยๆ จนร่างของทั้งคู่หายลับเข้าไปในหมู่โขดหิน อัสดงดันพระวรกายที่หอมกรุ่นจนมาเกยอยู่บนพื้นเรียบของโขดหินใหญ่ ร่างทั้งสองทับกันอย่างสนิทแน่น ความตั้งใจแรกที่แค่จะลงโทษพอหอมปากหอมคอมลายหายไปสิ้น ตอนนี้หยุดไม่อยู่แล้ว แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงความฝัน เขาก็พร้อมแล้วที่จะทำตามความต้องการลึกๆของหัวใจ  สัญชาติญาณ บ่งบอกร่างกายว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เรื่องแบบนี้ไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหน

“เจ้าเสร็จเราแน่ ...ไม่มีใครช่วยเจ้าได้”

จมูกที่โด่งสันเป็นคมของอัสดงยังไม่หยุดคลอเคลียพระพักตร์กระจ่างใส พระเกศายาวถูกโลมไล้อย่างเบามือ “ปล่อยเรานะ คนเกเร ไอ้คน...”

ครานี้ริมฝีปากไม่ได้ซอกไซร้อยู่ที่บริเวณพวงแก้มแล้ว กลับประกบลงมาอย่างแนบแน่นลงบนริมโอษฐ์รูปกระจับสีแดงระเรื่อพระสุรเสียงเลือนหายลงพระศอสิ้น หนำซ้ำปลายลิ้นแห่งสุริยเทพน้อยยังสอดใส่เข้ามาทำให้ร่างที่แข็งขืนปวกเปียกอ่อนระทวย นาคาน้อยถึงกับลืมพระองค์ตวัดปลายชิวหาสอดประสาน

“เราเคยบอกกับตัวเองว่า เราจะทำให้เจ้าเกลียดเราไม่ลง เราไม่คิดว่าวันนั้นของเรามาเร็วซะเหลือเกิน”

อัสดงถอนริมฝีปากออกยืดกายถอดเสื้อกล้ามเหวี่ยงทิ้งไว้บนโขดหิน แผงอกงามของเด็กหนุ่มทาบทับลงมาอีกครั้ง สีทันดรถูกไฟแห่งสุริยเทพเผาผลาญจนทั่วร่างแล้ว แต่ไฟนั้นไม่ใช่ไฟธรรมดากลับกลายเป็นไฟสวาทลุกโชนท่วมท้นพระวรกาย
แต่ก่อนที่อัสดงจะลุกล้ำไปมากกว่านั้น บรรยากาศรอบข้างก็กลับบิดเบี้ยวอีกครั้ง ม่านน้ำตกฉ่ำเย็นเลือนลางจางหาย โขดหินเรียบที่รองรับร่างทั้งสองสลายพลัน ความมืดมิดเข้ามาแทนที่ แล้วหมุนคว้าง ร่างของอัสดงถูกดึงเข้าสู่ความมืดทันใด ร่างกายสั่นสะท้าน เสียงดังก้องกังวานอยู่ในโสต

“ไอ้อัสดงเป็นห่าอะไรวะ กอดฉันอยู่ได้ ตื่นๆ”

ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นทันใด แล้วเจ้าตัวก็พบว่าที่เขากอดอยู่นั้นไม่ใช่พระวรกายที่หอมกรุ่น กลับเป็นทรงกลดที่นอนอยู่ด้านข้าง ความฝันอันแสนวาบหวามจางหาย สายน้ำเย็นยะเยียบกลับกลายเป็นความเย็นของเครื่องปรับอากาศเข้ามาแทนที่ โขดหินเรียบเป็นมัน กลายเป็นฟูกขาวหนานุ่ม แลมีสองสหายนอนอยู่ข้างๆ

“ปลุกทำไมวะไอ้กลด....ตัวอะไรเข้ามาอีก” อัสดงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก ไอ้นี่ท่าทางจะตั้งตนเป็นตัวมารทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝัน

“จะไม่ให้ปลุกได้ยังไง ก็นายเล่นกอดฉันแน่น หายใจไม่ออก แถมยังละเมออะไรอีกก็ไม่รู้ ท่าทางจะฝันถึงสาวล่ะสิ พร้อมรบเชียว” ทรงกลดไม่โกรธสหายที่กำลังอารมณ์ขุ่นมัว แถมยังหัวเราะเมื่อมองส่วนที่ดันนูนเด่นชัดขึ้นมาบริเวณกางเกงนอนของสหาย

“โทษทีนะเพื่อนฉันไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะนายจริงๆ”

“ช่างเหอะ.....นอนต่อดีกว่า โทษทีแล้วกัน” อัสดงพยายามข่มอารมณ์กรุ่น

“ไม่เป็นไร ฮะๆ ถ้านายไม่ไหวล่ะก็ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะโว้ย จะได้จัดการให้หมดภาระ คั่งค้างคาไว้ไม่ดีนะ” ทรงกลดกล่าวแซวปนหัวเราะ แล้วก็ลดตัวนอนตามเดิม อัสดงหมั่นไส้จึงหยิบหมอนฟาดใส่หน้าแล้วก็ด่าทันที

“ไอ้บ้า ทะลึ่ง”

อณูน้อยแห่งจันทรเทพเอ๋ย ถ้าเจ้ารู้ว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์อยู่กับใครในฝัน เจ้าจะหัวเราะไม่ออกแน่นอน... อัสดงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเยาะมาเช่นนั้น แล้วล้มตัวนอนบ้าง .......เผื่อจะฝันต่อ

‘สาธุ ขอให้ไอ้ดื้อยังอยู่ต่อในฝันเถอะ’

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๖ นะคะ

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามเสมอมา  :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน อัพ ๒๐ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-04-2019 21:10:20
บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน

ตะไลเพลิงสว่างจ้าลอยละลิ่วลงมาอยู่เหนือฟูกหนานุ่มแล้วหมุนคว้างบิดเป็นเกลียว คืนร่างกลายเป็นสีทันดร ที่ประทับนอนเอนพระวรกาย กรกอดพระอุระแนบแน่น พระโอษฐ์สีแดงสด เผยอเล็กน้อย เพราะยังคงรู้สึกฉ่ำไปด้วยรสจูบของคนเจ้าเล่ห์ จูบที่ร้อนแรงแต่หวานเสียยิ่งนัก พระวรกายยังคงสั่นสะท้าน ครั้นพอรู้สึกพระองค์ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น พระพักตร์ที่แดงระเรื่ออยู่แล้ว กลับแดงยิ่งขึ้นไปอีก

“เกือบไปแล้วไหมเรา ไม่น่าหาเรื่องเลย บัดสีที่สุด ถ้าทูลหม่อมปู่ทรงทราบ จะทำอย่างไรดี” สีทันดรรำพึงกับองค์เองเบาๆแล้วเลื่อนปลายนิ้วมาคลึงเคล้าเบาๆ อยู่ที่ริมโอษฐ์ “ฟ้าจะผ่าไหมเนี่ย ....ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์ เจ้าทำอย่างกับเราเป็นสตรี คอยดูนะถ้าเนื้อตัวเราบุบสลายเป็นรอยขีดข่วน เราจะจัดการเจ้าให้น่าดูเชียว”

ว่าแล้วเจ้านาคน้อยก็ลุกขึ้นเดินไปที่กระจกบานใหญ่ตรงมุมห้อง เพียงดีดนิ้วเบาๆ ไฟที่หน้ากระจกก็สว่างขึ้น แสงสลัวๆ หากแต่ก็เพียงพอที่จะทอดพระเนตรเห็นว่า รอบๆพระศอตอนนี้ ปรากฏรอยแดงเด่นชัดไปทั่ว “ทำไมตรงคอมีรอยแดงด้วย เจ้าทำอะไรเรา สุริยเทพ”

ด้วยความที่ยังมิเคยแผ้วพานเรื่องอย่างว่า เลยทำให้ไร้เดียงสาในเรื่องแบบนี้ยิ่งนัก ถึงแม้จะซนไปทั่วทั้งบาดาล หรือบางทีขึ้นไปถึงเขาพระสุเมรุ ก็ยังมิเคยเจอแลมีประสบการณ์ในด้านกามรส เลยมิทรงรู้ว่ารอยแดงที่เกิดจากการโดนจูบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มนตรารักษาแผลหลายบทจึงถูกงัดออกมาใช้ แต่ก็มิทำให้รอยแดงเป็นจ้ำ เลือนรางจางหายหรือบรรเทา เจ้านาคน้อยจะรู้ไหมว่า รอยแดงพวกนี้หาได้เกิดจากสิ่งใดไม่ นอกจากการเม้มริมฝีปากที่ช่ำชองแล้วดูดขบเบาๆที่ผิวบริเวณนั้น จนเป็นสุญญากาศ ทำให้พระโลหิตมารวมตัวเป็นจุดเดียว

“ไอ้บ้านั่น มันแค่จูบเรา ไม่ได้กัด ทำไมถึงเป็นรอย แย่จังมีตั้งหลายรอย ทำไงดี มนตรารักษาก็ใช้ไม่ได้ หรือว่าไอ้ไฟนรกนั่นมันจะเล่นอาคมกับเรา เกลียดนักเชียว ลองล้างด้วยน้ำดีกว่าเผื่อจะออก จะได้ล้างกลิ่นกายไอ้บ้านั่นออกไปด้วย” ว่าแล้วก็เสด็จออกจากห้องพระบรรทม ลอยละลิ่วลงไปท่าน้ำทันที

อัสดงเมื่อถูกปลุกจากฝันอันแสนหวาน ก็นอนไม่หลับอีก ทั้งๆที่พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เป็นผล ความรู้สึกหงุดหงิด ระคนเสียดายที่กลับไปในฝันไม่ได้ พลุ่งพล่าน

“ไอ้พระจันทร์ ไอ้เวร เสือกมาขัดจังหวะได้ มันน่านัก  ป่านนี้ไอ้ดื้อมันออกมาหรือยังก็ไม่รู้ หรือมันยังรอให้เราเข้าไปอีกครั้ง”อัสดงที่นอนกระสับกระส่ายผลุดลุกขึ้นทันใด “โว้ยยย ...โธ่โว้ย เพราะนายคนเดียวไอ้กลด มันน่าถีบให้ตกเตียงนัก เสือกกะโหลกไม่เข้าเรื่อง กำลังจะ ....อยู่แล้วเชียว”

อณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์คว้าหมอนที่นอนหนุนหัวฟาดลงไปที่กลางตัวทรงกลดอีกครั้ง ครานี้ทรงกลดไม่รู้สึกตัว อัสดงเห็นหน้าสหายก็หมั่นไส้ยิ่งขึ้น ลุกจากเตียง หมายใจออกไปเดินเล่นตากน้ำค้าง  เผื่ออารมณ์หงุดหงิดจะจางลง

และแล้วร่างกายสูงสง่าของเทวะน้อยก็ออกมายืนตากลมยามดึกอยู่ที่เฉลียงบ้าน สายลมเอื่อยๆพัดพาเอาความเย็นยามค่ำคืนมากระทบร่าง ผิวกายภายนอกชื้นขึ้นด้วยละอองน้ำค้างแต่หัวใจข้างในนี้สิ ยังร้อนรุ่มไปเปลี่ยนแปลง

“หงุดหงิดเป็นบ้าเลย เกิดอะไรขึ้นวะ” แม้จะเป็นเพียงแค่ในฝัน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงคำว่า “ค้าง” อย่างปฏิเสธไม่ได้

ถ้าเป็นสมัยก่อน หากเกิดอารมณ์อย่างนี้ เขาก็คงบรรเทาด้วยตัวเองอย่างที่เด็กหนุ่มๆทุกคนในโลกกระทำไปแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ตั้งแต่ ไอ้ดื้อตาสวยนั้นเข้ามา ถ้าจะต้องปลดปล่อยก็ต้องให้คุ้มค่าทุกหยาดหยด ไม่ใช่ทำทิ้งทำขว้างอย่างที่เคยทำ

“เรารู้สึกกับเจ้าอย่างไรกันแน่นะไอ้ดื้อ ต้องการแค่จะแกล้งเจ้า หรือเราต้องการกับเจ้าแบบนั้นจริงๆ”

อัสดงเหม่อมองไปรอบๆของบรรยากาศริมคลองที่มืดมิด และก็ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้าง  สายตาก็พลันไปเห็นรัศมีสว่างวาบเขียวนวลเจือทอง อยู่ตรงบันไดท่าน้ำ แสงสว่างนี้เองทำให้เลือดเด็กหนุ่มในกายสูบฉีดขึ้นมาอีกครั้ง ประดุจไฟที่กำลังจะมอดถูกเติมเชื้อให้สว่างวาบอีกครา

“เจ้านี่มันรนหาที่จริงๆ สีทันดร ในที่สุดเจ้าก็ต้องเจอเราวันยังค่ำ”

ยังมิทันที่อัสดงจะลงไปถึงเจ้าของรัศมีสีเขียวทอง สุรเสียงใสเสนาะก็ดังมาให้ได้ยิน

“อี๊.....ออกๆ ให้หมด”

เจ้าตัวตรัสพลางก็วักน้ำในคลองขึ้นมาขัดตรงซอกคอแล้วล้างหน้าล้างตากำกับด้วยมนตราอีกครั้ง คันฉ่องบานเล็กถูกเนรมิตขึ้นมาพร้อมส่องดูรอบพระศอ แต่ก็ต้องทำให้ขัดพระทัยยิ่งขึ้นที่รอยแดงนั้น ยังไงก็ไม่จางหาย “มันใช้อาคมบทไหนกับเรานี่ ล้างไม่ออกซะที”

“ทำไม กะอีแค่กอดนิดจูบหน่อย มันจะเป็นอะไรนักหนา ถึงต้องมาล้างหน้าล้างตัวขนาดนี้”

น้ำเสียงตวัดกังวานก้องดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดุจผู้พูดเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง เสียงๆนี้นี่เองเมื่อได้ยินทีไรก็ทำให้พระหทัยสั่นระรัวได้ทุกครา พระพักตร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงมาอีกครั้งทำให้วรองค์น้อยๆสะบัดเบือนไปอีกทาง เพราะยังคงเขินกับเหตุการณ์ในฝันเมื่อสักครู่ เรือนร่างอันหล่อเหลาดังรูปสลักยังคงเดินเข้ามาเรื่อยๆ แล้วทรุดนั่งลงข้างๆ เจ้านาคาน้อยจึงรีบขยับหนี หากแต่ก็ไม่ไวไปกว่า มือแข็งแรงที่ยื้อยุดฉุดข้อพระกรเอาไว้

“เราทำอะไรให้เจ้า ถึงได้เกลียดเรานักหนา”

“ยังจะมาถามอีก ก็ใครกันล่ะทำหยาบคายใส่เรา”

“แล้วใครใช้ให้เจ้าบุกมาที่นี่ ใครใช้ให้เจ้าเข้ามาในฝันของเรา รู้ไว้ด้วยนะ ในฝันเราจะทำอะไรก็ได้ และอีกอย่างการที่เราทำแบบนั้นเจ้าควรจะดีใจเสียมากกว่า เพราะนางฟ้าและเทพธิดาหลายองค์อยากให้เราทำแบบนั้นจะตายไป”

ทุเรศคนอะไรหลงตัวเอง พูดออกมาได้ไง ใครจะดีใจก็ช่าง แต่คงไม่ใช่ราชนัดดาแห่งบาดาล “เราไม่มีวันที่จะรู้สึกแบบนั้น ปล่อยมือเราได้แล้วเราเจ็บ”

“ก็แค่จับมือ จะเจ็บอะไรนักหนา อย่ามาสำออย”

“เราไม่ได้สำออย แหกตาดูซะเจ้าทำอะไรกับเราไว้” ไอ้ดื้อแผดเสียงแล้วยกข้อพระกรที่เป็นรอยไหม้เกรียม จากการที่โดนเชือกอาคมแห่งสุริยเทพมัดไว้ อัสดงเห็นเข้าก็ตกใจ นี่เขาทำรุนแรงขนาดนี้เชียวเหรอ พระวรกายขาวใสทั่วทั้งร่างกลับมีรอยไหม้ประดุจตำหนิ เด่นชัดขึ้น เด็กหนุ่มหน้าเสียลงทันใด

“นี่และก็ตรงนี้อีก เป็นรอยแดงไปหมด  เจ้าเล่นอาคมใส่เรา เราแก้อย่างไรก็ไม่หาย ถอนอาคมเสียเดี๋ยวนี้ เจ้าทำให้ผิวเรามีตำหนิ”

นาคาน้อยเอียงพระศอทันใด อัสดงพอได้ดูอย่างถี่ถ้วนพินิจพิเคราะห์ ก็เริ่มยิ้มออกมาได้ โถไอ้ดื้อเอ๋ย เจ้านี่ไม่ประสาอะไรเลย นี่เขาเรียกว่ารอยดูด ที่เกิดจากอารมณ์พิศสวาทที่ร้อนแรงเท่านั้น เจ้าควรจะดีใจนะที่มีรอยแบบนี้ อาคงอาคมที่ไหนกันเล่า แต่แกล้งมันซะหน่อยดีกว่า เผื่อความรู้สึกที่คั่งค้างจะได้ถูกต่อยอด ว่าแล้วอัสดงก็แสร้งทำหน้าสลด ทำเสียงเครือ

“เราขอโทษ เดี๋ยวเราจะถอนอาคมให้”

“จะทำอะไรก็ทำเสียสิ นั่งซื่อบื้ออยู่ทำไม”

“หึๆๆ ไอ้ดื้อ เจ้าอนุญาตเราเองนะ”อัสดงยิ้มน้อยๆ ยกข้อพระกรขึ้นมาแล้วเป่าลงไปเบาๆ ฉับพลันรอยไหม้ก็จางหาย ผิวขาวพิสุทธิ์เปล่งประกายอีกครา เอาละทีนี้ก็เหลือตรงซอกคออย่างเดียว

“เอ๊า นี่ไอ้ดื้อ....จะนั่งซื่อบื้ออยู่ทำไม เอียงคอมาสิ เราจะถอนอาคมให้”

ครานี้ เจ้าอัสดง แผดเสียงมาบ้าง ทำให้ไอ้ดื้อขมุบขมิบปาก คาดว่าคงจะด่าตอบในใจ ไอ้ดื้อด้วยความที่ไม่ประสีประสาและอ่อนเยาว์ในเรื่องอย่างว่า จึงเอียงคอไปให้อัสดง ที่กำลังนั่งคุกเข่ายิ้มอยู่ที่มุมปาก เขี้ยวเสน่ห์เผยให้เห็นรำไร รอยลักยิ้มอันมีมนต์สะกดข้างแก้มปรากฏขึ้น สีทันดรได้เห็นยามที่เขาคนนี้แย้มยิ้ม ปานประหนึ่งตกอยู่ในห้วงภวังค์ฝัน ดูไม่ต่างอะไรกับจงอางเชื่องๆตัวหนึ่งยามได้ยินเสียงปี่เป่า โลดไล่ เล่นระบำไปตามเสียงเพลง

“ไอ้ดื้อ เจ้านี่มันเชื่อคนง่ายซะเหลือเกิน”

อัสดงแกล้งหลับตา สวดพึมพำอยู่ชั่วครู่ แทนที่จะเป่ามนต์ลงไป กลับกลายเป็นหายใจรดต้นคอเบาๆ ลมหายใจร้อนผ่าวแผ่ซ่านมาอีกครา ยามกระทบผิวใส ก็สร้างความซาบซ่านรัญจวนใจ พระโลมาลุกชัน ครั้นพอเจ้านาคาน้อยเผลอ กิกรรมที่ค้างเอาไว้ในฝันก็ถูกสานต่อทันใด ริมฝีปากเด็กหนุ่ม ไม่รอช้า โลดไล่ข่มเหงบนผิวกายขาวระเรื่ออีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าจะไม่รุนแรงอย่างในห้วงฝัน แต่ที่แน่ๆ ก็ทำให้ร่างของสีทันดรสั่นระรัวมาอีกครา กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลเขา ก็สายไปเสียแล้ว
พระวรกายโดนรัดไว้แนบแน่น แถมตอนนี้ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์ยังทำเหมือนเดิมอีก คือเม้มปากจนผิวบริเวณพระศอ ถูกดูดกลืนอีกคำรบ พอหนำใจแล้วฟันที่ขาวสะอาดตาก็โผนทะยานมารังแกขบกัดอยู่ที่ติ่งพระกรรณเบาๆ ลมสวาทถูกเป่าเข้าพระโสต คราแรกพระกรทั้งสองพยายามดันร่างของอัสดงออก แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นตกระเรี่ยเคลียร่าง ในที่สุดก็เผลอยกมาลูบไล้แผ่นหลังกำยำนั้นไว้ สุรเสียงเลือนหายหมดสิ้น ได้แต่ร้องออกมาเบาๆ สั่นสะท้าน

 “เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์นัก ปล่อยเรานะ”

“เฉยๆเหอะน่า เรากำลังจะถอนอาคมให้เจ้าเดี๋ยวไม่หายไม่รู้นะ หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ สีทันดร” ด้วยธรรมชาติของไฟ เวลาโหมกระหน่ำถึงขีดสุดมักรวดเร็วและร้อนแรงเสมอ อัสดงเองก็เป็นเช่นนั้น ยามถูกจุดติดขึ้นมาแล้ว ไม่มีทางเสียแหละที่จะสงบลงง่ายๆ

“เจ้าโทษเราไม่ได้นะไอ้ดื้อ เจ้าอยากเข้ามาจุดไฟในหัวใจเราทำไม” อัสดงพูดออกมาเบาแสนเบา

 นัยแห่งคำว่าต้องการของเขา ล้ำลึกยิ่งนัก  ครานี้ไอ้ดื้อรู้ได้โดยพลันว่าคำว่า ต้องการ ของสุริยเทพ หมายถึงสิ่งใด “ไม่ต้องแล้ว เจ้าถอนบ้า ถอนบออะไร เราไม่ต้องการ เจ้ากำลังทำเหมือนเดิมต่างหาก ปล่อยเดี๋ยวใครมาเห็น”

“ดึกป่านนี้แล้ว ไม่มีใครมาเห็นหรอก .....ยอมรับมาเหอะว่าเจ้าลงมารอเรา ไอ้ดื้อ เจ้าติดใจเราใช่ไหม”

วงแขนแข็งแรงตวัดช้อนร่างที่เริ่มอ่อนระทวย มาโอบอุ้มแล้ววางไว้แนบตัก ครานี้พระปรางใสจำต้องซุกแนบอกกำยำ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“อย่าหลงตัวเองนักได้ไหม ....เราก็แค่จะลงมาล้างเนื้อล้างตัว ล้างกลิ่นกายของเจ้าออก เราเหม็นสาบ”

“เจ้าเกลียดเราถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เราไปทำอะไรให้เจ้า”

ดวงตาสีอำพันเริ่มจ้องมองมาอย่างละห้อยโหยหาอย่างรอฟังคำตอบ แต่จนแล้วจนรอด คำตอบก็มิปรากฏ พระวรกายที่ตอนแรกดิ้น เริ่มสงบลงแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขน แล้วเจ้าของอ้อมกอดก็กล่าวต่อมาว่า “เราขอโทษหากนาคที่เราสังหารตอนออกจากวัดตนนั้นเป็นคู่ของเจ้า เจ้าคงเสียใจเลยเกลียดเราใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ เรามีคู่เสียที่ไหน นาคตัวนั้นไม่ใช่คู่เรา” พระเนตรฟ้าครามจ้องกลับ นึกหัวเราะคนที่ทำตัวเหมือนว่าเก่งไปซะทุกเรื่องกลับไม่รู้ว่านาคตัวนั้นถูกจำแลงมาจากกำไลข้อพระกร

“แล้วเจ้าเกลียดเราเรื่องอะไร ...ยังไงเราต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่บอกเราก็ไม่ปล่อยเจ้าหรอก เราจะทรมานเจ้าแบบนี้” ใบหน้างามคมคายซุกลงไปอีกครั้ง ร่างน้อยๆเริ่มดิ้นพล่านอีกครา

“ปล่อยเรานะ เดี๋ยวใครมาเห็น”

“จะให้บอกอีกกี่ครั้ง ไม่มีใครมาเห็นหรอก ไอ้พวกนั้นมันหลับกันหมดแล้ว เราจะได้สานต่อสิ่งที่ค้างไว้ในฝันซะที”

สิ้นเสียงของอัสดง เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง หนึ่งในไอ้พวกนั้นที่เขาว่าหลับ กลับตะโกนลงมาจากนอกชานด้านบน
 
“อัสดง...นายอยู่ไหนวะ” เสียงของทรงกลดนั่นเอง ไอ้เวรนี่อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มาปลุกให้ตื่นจากความฝัน มาตอนนี้เสือกตื่นมาขัดจังหวะอีก เห็นทีจะได้กระทืบมึงแน่ๆไอ้ตัวมาร

“นายอยู่ข้างล่างใช่ไหม อัสดง”

ทรงกลดยังร้องตะโกนมาจากด้านบนแล้วรีบเดินลงมายังบันไดท่าน้ำ สีทันดรได้โอกาสช่วงที่อัสดงเผลอ สลัดตัวออกจากอ้อมอกของเด็กหนุ่ม บิดกายสลายวับหายไป อัสดงพยายามจะดึงร่างนั้นมากอดไว้แต่ก็ไม่ทัน วงแขนได้แต่ไขว่คว้ากอดอากาศมืดมิดว่างเปล่า

“เดี๋ยวก่อนสิ ไอ้ดื้อ...โธ่โว้ย”

“อยู่นั่นเอง .....นายทำอะไรวะ” ทรงกลดกล่าวถามขึ้น น้ำเสียงร้อนรนยิ่ง

“ลงมานั่งตากลม นายมีอะไรนักหนาวะ ”

น้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนักกล่าวตอบมา เป็นใครใครก็โกรธ เพราะ ทรงกลดเป็นต้นเหตุให้อัสดงค้างทั้งสองรอบ

“ฉันไม่มีอะไรหรอก แต่ไอ้เอราวัตกำลังแย่ อาการบาดเจ็บกำลังกำเริบ เราต้องหาทางช่วย”

“เฮ้ยนายว่าอะไรนะ......อาการไอ้พระพุธกำเริบ แล้วนี่มันเป็นหนักไหม พาไปดูหน่อยเร็ว” น้ำเสียงขุ่นมัวหายไปสิ้น กลายเป็นตกใจ ทรงกลดไม่รอช้ารีบพาอัสดงไปดูอาการของเอราวัตทันที

พระพุธน้อยตอนนี้กำลังนอนบิดกายเพราะความเจ็บปวด อยู่บนเตียง พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดนั้นไว้จนถึงขีดสุดแต่แล้วก็เริ่มทนไม่ไหว ร้องครางออกมา แทบไม่เป็นภาษา

“เจ็บบบบบ โอ๊ยยยย ....ช่วยฉันด้วย”

อัสดงเมื่อเข้ามาถึงก็ไม่รอช้ารีบใช้มนตราเป่าพรวดรักษาลงไป แต่ก็ไม่เป็นผล ทรงกลดลองดูบ้างก็ล้มเหลวเช่นกัน เอราวัตยังคงครางไม่หยุด ทำยังไรดี

“ฉันว่าฉันไปตามน้องดื้อดีกว่า เมื่อตอนเย็นน้องเขารักษาได้” ทรงกลดพูดจบกำลังจะออกไปตามน้องดื้อ แต่ยังไม่ทันจะออกจากห้อง แสงรัศมีสีเขียวเจือทองสว่างวาบก็ปรากฏอยู่กลางห้องนอนของเทวะน้อยทั้งสาม

 “น้องดื้อ พี่กำลังต้องการให้เจ้าช่วยอยู่พอดีเลย เจ้ารู้ได้ไงเนี่ย” ทรงกลดกล่าวมาอย่างละล่ำละลัก แล้วเข้าไปฉุดข้อพระกรมาที่ข้างเตียงคนเจ็บ

“ห้องก็อยู่ใกล้กัน หนำซ้ำสหายเจ้าร้องโอดครวญลั่นขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ยินหูเราก็คงจะหนวก” ถึงจะอยู่ในช่วงคับขันอย่างไร อัสดงเห็นทรงกลดทำกริยาอาการจับมือถือแขนไอ้ดื้อ มันก็ทำให้เขาไม่ค่อยจะพอใจนัก

“อย่าเพิ่งพูดอะไรมากได้ไหม ไอ้ดื้อ ดูอาการไอ้พระพุธนี่ก่อน” อัสดงกล่าวมาทำให้ไอ้ดื้อที่เพิ่งมาถึง สะบัดเบือนพระพักตร์ที่ยังคงแดงระเรื่อไปอีกทาง พยายามหลบสายตาสีอำพันคู่งามที่กำลังจ้องมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“คนบ้าอะไร พูดด้วยดีๆเป็นไหม ชอบขึ้นเสียงนัก”

“อย่างเพิ่งมาชวนทะเลาะตอนนี้ได้ไหม ไอ้ดื้อ” อัสดงเสียงเข้มกว่าเดิม
 
“ก็ได้ .....พวกเจ้าช่วยถอดเสื้อเขาออกก่อน เราจะดูอาการ”

คราวนี้ไอ้ดื้อเริ่มตรัสเป็นการเป็นงานขึ้น อัสดงกับทรงกลด มิรอช้าทำตามคำสั่งทันใด และแล้วพระพักตร์ก็ต้องแปรเปลี่ยนส่อแววกลัดกลุ้มขึ้นมายามเห็นรอยบาดเจ็บนั้น  ซึ่งขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นทุกที ผิวหนังเริ่มไหม้เกรียมกระจายทั่ว

“อาการหนักมาก ....เราไม่รู้ว่า เราจะเอาอยู่หรือเปล่านะ แต่เราจะลองดู ตอนนี้ยึดร่างเขาไว้ให้แน่น เขาจะเจ็บมาก”

สีทันดรตรัสจบก็เป่าลมลงไปยังรอยบาดเจ็บนั้น สายลมสีแดงระเรื่อปนทองพวยพุ่งออกจากพระโอษฐ์กระทบร่างพระพุธน้อย ครานี้เจ้าตัวดิ้นพล่าน จนอัสดงกับทรงกลดแทบจะทานกำลังไม่ไหว แต่ก็ดิ้นเพียงชั่วครู่ แล้วก็สงบนิ่งลง รอยไหม้เกรียมจากสายฟ้าหยุดกำเริบและจางลงชั่วขณะ

“เยี่ยมไปเลยครับน้องดื้อ ใช้มนตราบทไหนกันนี่”

“เราไม่ได้ใช้มนต์ เราใช้พิษแห่งเทวนาคา รุนแรงเสมือนอสนีบาต หรือยิ่งกว่าด้วยซ้ำ  เราใช้พิษต้านพิษ ....รู้ไหมว่าเจ้ารามสูรมันใช้อุบายซ่อนอาคมพิษจากไว้ในสายฟ้า เพื่อนเจ้าถึงได้เจ็บหนัก ลำพังโดนแค่สายฟ้าอย่างเดียว เราว่าคงไม่ครณามือเทพอย่างพวกท่านหรอก เราก็คิดอยู่แล้วเชียว ว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น ตอนเย็นกำลังจะตรวจให้แน่ชัด พวกเจ้าก็เข้ามาขัดจังหวะแถมยังเข้าใจเราผิด ไม่งั้นป่านนี้เพื่อนท่านก็คงไม่เป็นหนักขนาดนี้”

“เอาล่ะไอ้ดื้อ....จะให้เราขอโทษที่เข้าใจเจ้าผิดร้อยครั้งพันครั้งก็ได้ ตอนนี้เจ้าจะรักษาเอราวัตเลยได้ไหม”

“ได้น่ะมันได้....แต่เราต้องใช้ตัวยาสำคัญ ซึ่งหายากพอสมควร”

“แล้วตัวยาที่ว่านั่นมันคืออะไร ....แล้วเจ้าใช้พิษของเจ้ารักษาไม่ได้เหรอ”

“พิษของเราใช้ต้านได้เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง รักษาได้ไม่หายขาด เราจะต้องหา อัคคีสัตตบงกช ซึ่งมีแต่ในป่าหิมพานต์เท่านั้นมาผสมกับน้ำในสระอโนดาตปรุงเป็นตัวยา”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน อัพ ๒๐ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-04-2019 21:11:14
“เจ้าแน่ใจหรือ ....” อัสดงเปรยออกมาเพราะไม่แน่ใจว่า เด็กดื้อๆอย่างเจ้านาคน้อยนี่จะรักษาได้ เพราะลักษณะภายนอกนั้นดูสำอางและทีท่าที่มัวแต่เล่นซนไปวันๆ มันทำให้เขายากที่จะไว้ใจ 

“นี่เราเป็นนาคนะ พิษใดๆในโลกทั้งปวงล้วนแต่อยู่ในอำนาจเรา ถ้าเราไม่รู้วิธีรักษา เราจะเป็นเจ้าแห่งพิษได้อย่างไร ถ้าท่านไม่เชื่อใจ....ก็ไปหาคนอื่นรักษาสหายเจ้าเอาเองแล้วกัน รู้ไว้ด้วยนะที่เราช่วยก็เพราะเป็นรับสั่งทูลหม่อมปู่ เป็นโองการที่เราขัดไม่ได้ ไม่งั้นเราคงไม่มาอยู่ให้เจ้ารังแกเล่นและดูถูกเช่นนี้” สีทันดรแหวขึ้นมา กำลังจะหันกายกลับ ครานี้อัสดงเองนั่นแหละที่คว้าพระกรไว้แน่น

“เดี๋ยวสิ เราก็แค่ถาม ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า งั้นจะรอช้าทำไม ก็ไปกันเลยสิ” คำว่าไปของอัสดง ไม่ใช่พูดจบแล้วไป แต่เขาก้าวขาไปทั้งๆที่ยังพูดไม่จบ สีทันดรดึงพระกรกลับส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“นี่ เจ้าคิดว่าหนทางไปหิมพานต์มันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ ....อย่าลืมสิ ตอนนี้เจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าไม่ใช่เทวดา เส้นขีดกั้นระหว่างภพ ยากที่เจ้าจะข้ามไปได้ด้วยกายหยาบ”

สีทันดรตรัสได้ถูก ถึงหิมพานต์จะเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างสววรค์กับโลกมนุษย์ แต่ก็มีกฎและการแบ่งชั้นพรมแดนกั้นเอาไว้ กายหยาบของมนุษย์มิสามารถเข้าไปได้ ....ยกเว้นแต่กายทิพย์เท่านั้น

“เราไปได้สบายมาก เราจะพาเจ้าไปก็ได้ แต่มนุษย์กึ่งเทพอย่างเจ้าทั้งสอง ต้องไปด้วยกายทิพย์ พวกเจ้าไม่มีปัญหาตรงนี้ใช่ไหม”

“ไม่มี”

อัสดงกับทรงกลดแทบจะกล่าวตอบมาพร้อมๆกัน ทันทีที่ได้ยินว่า “ใคร” จะเป็นผู้พาไป ความต้องการที่จะช่วยเพื่อนเริ่มกลายเป็นสิ่งบังหน้าเสียแล้ว การที่ได้ไปหิมพานต์กับเจ้านาคาน้อยนี่สิ กลายเป็นสิ่งที่พระอาทิตย์กับพระจันทร์ปรารถนา  ทั้งคู่จึงไม่รอช้าเตรียมเข้าสมาธิ ถอดกาย สีทันดรทอดพระเนตรเห็น ส่ายพระพักตร์อีกครา แล้วตรัสมาโดยเร็ว
 
“ถ้าเจ้าไปทั้งสองคน ใครจะอยู่ดูอาการเพื่อนเจ้า แล้วร่างกายพวกเจ้ายามกายทิพย์ออกจากร่างล่ะ ใครจะเฝ้าไว้”

“ฉันไปเอง” อัสดงรีบชิงพูดออกมาก่อน ทรงกลดเองก็ต้องการจะไปจึงเกี่ยงงอนให้อัสดงนั่นแหละเฝ้า

“ฉันไปดีกว่า นายเฝ้าเอราวัตเหอะ และอีกอย่างนายก็ฤทธิ์มาก ฉันฝากร่างไว้กับนายคงปลอดภัย”

“แต่ฉันว่าฉันไปดีกว่า หิมพานต์อันตราย และอีกอย่างอัคคีสัตตบงกชชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเป็นไฟ ....นายคงไม่สะดวกหรอกนะไอ้กลด ไฟก็ต้องเจอกับไฟอย่างฉัน ....เอาล่ะ ตามนี้แล้วกัน” อัสดงพยายามรวบรัดตัดบท แต่ทรงกลดไม่ยอมแถมยังจะแย้งต่อมาว่า

“เฮ้ยยย ฉันไม่หวั่น”

“ แต่เขาพูดถูก ....อัคคีสัตตบงกชคือดอกบัวเพลิงอันร้อนแรงยิ่ง ต้องใช้ผู้ที่ครองธาตุไฟเท่านั้นถึงจะดึงออกมาได้ เจ้าอยู่ที่นี่แหละพระจันทร์ พวกเราคงไปไม่นาน เชื่อเราเหอะ”

สีทันดรต้องพูดไปตามจริงถึงแม้จะไม่ค่อยจะอยากไปกับอัสดงเท่าไรนักเพราะกลัวว่าสิ่งที่มันคั่งค้างอยู่อัสดงคงหาวิธีกระทำต่อแน่ๆ เพราะอีตาพระอาทิตย์ตอนนี้กำลังยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ เกลียดนักเชียวรอยยิ้มแบบนี้ เห็นทีไร เปลืองตัวทุกที

ทรงกลดทำหน้าบอกบุญไม่รับทันใด หากก็จำต้องอยู่  แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขามีดีสู้อัสดงไม่ได้เพราะเห็นว่าเป็นน้องดื้อหรอก ถึงได้ยอม “ก็ได้.....พี่จะอยู่เฝ้าก็ได้ รีบไปรีบมานะครับ”

“อาการของพระพุธจะยังไม่กำเริบในช่วงนี้ ขอให้ท่านวางใจ เมื่อเราได้ตัวยาครบเราจะรีบกลับมา ส่วนท่านก็รีบถอดกายทิพย์ซะ เดี๋ยวเราจะออกไปรอด้านนอก”

อัสดงไม่รอช้ารีบนอนลงบนเตียงข้างๆเอราวัตที่หลับแน่นิ่งด้วยอาการบาดเจ็บ ตั้งสมาธิรำลึกถึงหลวงตาขอให้ท่านคุ้มครอง ด้วยความชำนาญและฝึกฝนมาอย่างดีทำให้มี “วสี” คือความชำนาญ ที่จะเข้าสู่ฌานระดับสูงได้โดยเร็ว แสงสว่างวาบปรากฏทั่วโครงร่าง และแล้วกายทิพย์ที่งามสง่าก็ทะยานออกมา เทวดามักเป็นอย่างนี้ เมื่ออยู่ในสภาวะทิพย์มักงามเสมอ

“ฝากดูด้วยนะไอ้กลด ไปก่อนล่ะเดี๋ยวจะรีบมา” อัสดงหันมากล่าวกับทรงกลดแถมยังยักคิ้วให้ อย่างมีชัยเหนือกว่า แล้วลอยออกไปสมทบกับสีทันดรที่รออยู่ด้านนอก ทรงกลดหน้าบูดมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องจำยอม ......อย่าให้ถึงทีเขาบ้างก็แล้วกัน อัสดง

“เราพร้อมแล้ว”

อัสดงขณะนี้ออกมาสมทบกับสีทันดรที่รออยู่ด้านนอกแล้ว เพียงดวงเนตรฟ้าครามหันมาเห็นก็ต้องตะลึงในความงามสง่าของร่างทิพย์แห่งสุริยเทพน้อย เจ้านาคน้อยพยายามปรับสีพระพักตร์ให้เป็นปกติ หากก็อดคิดไม่ได้เลยว่า ‘คนบ้านี่ หล่อจริงๆด้วย มิน่า ถึงได้หลงตัวเองนัก’

“ถ้าพร้อมแล้วงั้นก็เกาะเราไว้ให้แน่นๆ เราจะพาเจ้าลัดไปทางบาดาล แล้วไปโผล่ตรงมหานทีสีทันดร ริมเชิงเขาพระสุเมรุตรงนั้นใกล้หิมพานต์ที่สุด”

“แต่เราไม่อยากลงบาดาล ...เพราะเรากลัวว่า พญานาคจอมดื้อบางตนจะหลงเสน่ห์เราเข้าแล้วกักตัวเราไว้เชยชมในบาดาล เราไปแบบที่เราเคยไปดีกว่า”

ลักยิ้มอันทรงเสน่ห์ปรากฏอยู่ข้างแก้ม.....น้ำเสียงยียวนกวนโทสะ ฟังแล้วมันน่าจับขังไว้จริงๆยิ่งนัก แถมจะเอาก้อนหินอุดปากไว้ด้วยคงจะดี

“พูดอะไรเป็นเล่นไปได้ สหายเจ้าบาดเจ็บอยู่นะ และก็ไม่มีวันเสียหรอกที่เราจะกักตัวเจ้าไว้ อย่าหลงตัวเองให้มันมากนักเลย”

“เจ้านั่นแหละ หลงตัวเอง เราแค่บอกว่าพญานาคจอมดื้อ เราไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้าซะหน่อย”

“นี่เจ้า.....เจ้านี่มัน.....ฮึ่ยยย เราว่าเราเปลี่ยนใจไปกับจันทรเทพดีกว่า เจ้ามันกวนโทสะนัก” พระบาททั้งสองกระทืบอย่างไม่พอพระทัย ที่เสียรู้และไม่สามารถเถียงชนะ คนคนนี้ได้

“เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว มานี่” อ้อมแขนแข็งแรงทำงานอีกครั้ง ตวัดเอวเจ้านาคาน้อยมากอดไว้แน่น “อยู่เฉยๆ อย่าดิ้น”

อัสดงพูดจบก็ผิวปากเป็นท่วงทำนองสูงต่ำแปลกๆ ฉับพลันตรงเส้นขอบฟ้านั้นเองก็ปรากฏแสงสีแดงระเรื่อ และเริ่มพุ่งเข้ามาใกล้ เข้ามาใกล้จนมองเห็นว่า แสงสีแดงนั้นแท้จริงแล้วก็คือม้าอันงามสง่ายิ่งกว่าม้าพันธุ์ใดๆในโลก ม้าที่ว่านั้นดูท่าจะดีใจยามรู้ว่าใครที่เรียกมันมา

“อุจไฉยศรพ ม้าของเราเอง ได้มาตอนกวนเกษียรสมุทร”

ม้าสีแดงหรือม้าอุจไฉยศรพที่ว่า บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้าพระอาทิตย์รูปงาม ขาหน้าทั้งสองตะกุยขึ้นฟ้าร้องทักเจ้านายของมันมาอย่างดีใจ

“พาเราไปหิมพานต์” อัสดงกล่าวขึ้นกับเจ้าม้าตัวนั้นแล้วบอกกับสีทันดรว่า  “ไป ขึ้นไป เราจะให้อุจไฉยศรพพาไป เร็วกว่าที่เจ้าลัดลงไปทางบาดาล”

“ปล่อยนะ ไม่ เราไม่ขึ้นม้าตัวนี้”

“โธ่โว้ย อย่าเรื่องมากได้ไหม .....เมื่อกี้บอกเราเองไม่ใช่เหรอ ว่าให้เราเกาะแน่นๆ นี่ก็เกาะแน่นแล้ว จะเอายังไงอีก เอาล่ะ จะขึ้นดีๆ หรือจะต้องให้เราอุ้มเจ้าขึ้นไป”

ก็จริงอย่างที่อัสดงพูด เมื่อกี้องค์เองเป็นคนบอกให้เขาเกาะแน่นๆเองนี่นา แต่อีตานี่คาดว่าคงจะสับสนระหว่างคำว่า เกาะกับกอด ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร  สีทันดรได้ฟังก็ยิ่งขัดใจ แต่ก็ต้องหยุดดิ้น จำใจต้องขึ้นม้าตัวนั้นแต่โดยดี ดีกว่าถูกเขาอุ้มขึ้นไปนั่ง เมื่อสีทันดรขึ้นไปประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว อัสดงจึงขึ้นไปนั่งซ้อนแนบแน่นทางด้านหลัง ทำให้พระปฤษฎางค์แนบสนิทชิดอกกำยำ ลมหายหายใจร้อนผะผ่าวรดต้นคออีกครั้ง พระเกศาดำเป็นมันขลับถูกลูบไล้ด้วยปลายจมูกแห่งเทพน้อย

“หอมจัง ชื่นใจที่สุด”

“ถอยออกไปหน่อยสิ ทำไมต้องนั่งชิดเราขนาดนั้นด้วย”

“นั่งใกล้ๆกันดีแล้ว ม้าตัวนี้ยิ่งพยศอยู่ด้วย ถ้าเรานั่งห่างจับเจ้าไว้ไม่ทัน ตกลงไปไม่รู้ด้วยนะ.... ไปกันได้แล้วอุจไฉยศรพ”

สิ้นคำสั่ง ม้าอุจไฉยศรพ ก็โผนทะยานโบยบินขึ้นฟ้า ควบตะบึงกลางเวหา แล้ววิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนมองเห็นหลังคาบ้านอยู่ลิบลับ  สีทันดรด้วยความกลัวตกจึงจับแผงคอมันไว้แน่น เพราะตนเองไม่ใช่เจ้าแห่งเวหาอย่างพญาครุฑ ไม่ถนัดนักที่จะลอยสูงขนาดนี้ อัสดงเองก็รู้ว่าเจ้านาคน้อยนี้คงจะกลัวตกเป็นแน่แท้ จึงดึงเอวไอ้ดื้อมากอดไว้อีกครา

“บอกแล้วไง ว่านั่งชิดๆน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องกลัวตก”

“แล้วทำไมต้องกอด ปล่อยสิ”

“อ้าวถ้าไม่กอด แล้วเราจะดูแลเจ้าอย่างไร อย่างที่บอก อุจไฉยศรพ มันยิ่งพยศอยู่ด้วย”

ยังไม่ทันจะขาดคำเจ้าม้าสีแดงเหมือนจะรู้ใจนายของมันยกขาหน้าขึ้นแถมยังดีดขาหลัง ทำให้วรองค์น้อยๆ ตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดงแนบแน่นกว่าเคย อัสดงก็ไม่ยอมให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปรีบเอาแก้มตนมาแนบแก้มเนียนใส ทำให้เจ้าของแก้มนั้นรีบสะบัดพระพักตร์หลบหลีกแล้วร้องลั่นดังทั่วฟ้า

“ไอ้บ้า ไอ้คนฉวยโอกาส” พอด่าคนเสร็จ สีทันดรก็ร้องด่าม้าต่อ “เฮ้ยยยยยย วิ่งดีๆเป็นไหม เดี๋ยวเราก็ทำให้เจ้าตัวดำอีกรอบหรอก ไอ้ม้าเวร”

อุจไฉยศรพเหมือนจะรู้ว่าสีทันดรตรัสอะไร ได้แต่ร้องลั่นแถมยังไม่เลิกพยศกลางฟ้า ยกขาหน้าถีบอากาศพัลวันจนอัสดงต้องตบเบาๆ ที่สีข้าง

“เลิกพยศได้แล้ว วิ่งดีๆ ไอ้ดื้อนี่มันพูดเล่น” เท่านั้นแหละ เจ้าม้าสีแดงแสนรู้ก็หยุดออกฤทธิ์ออกเดช แต่ก็ยังไม่วายร้องออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “เอาน่าอุจไฉยศรพ เขาแค่ล้อเล่น.....ไปต่อได้แล้ว”

สิ้นคำสั่งจากนาย เจ้าม้าแสนรู้ก็ ควบตะบึงกลางฟ้าที่มืดมิดต่อไป ส่วนสีทันดรที่นั่งอยู่ด้านหน้ารู้สึกใจหายใจคว่ำ “เกลียดนักเชียวทั้งม้าทั้งนาย.....รู้งี้มากับพระจันทร์ดีกว่า”

“อุจไฉยศรพ มันไม่ชอบที่เจ้าไปขู่มันว่าจะทำให้ตัวมันดำ ....มันบอกว่า ขี้เหร่ เดี๋ยวสาวๆไม่หลง ตอนนั้นมันโมโหแทบตาย ที่ตัวดำ”

“ก็มันอยากพยศทำไมล่ะ เลยต้องขู่แบบนี้ ตอนนั้นทูลหม่อมปู่น่าจะพ่นพิษให้หนักกว่านี้เนอะ ตัวมันจะได้ดำไปตลอดกาล”

“นี่เจ้ารู้เรื่องปู่เจ้าด้วยเหรอ”

“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ .....ก็เพราะเจ้ากับม้าตัวนี้นั่นแหละ ทำให้เราต้องลงมาอยู่ที่บาดาล”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ” อัสดงขมวดคิ้วถามโดยพลัน

“เกี่ยวสิ ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าขับรถเทียมม้าตัวนี้อวดโฉมไปทั่วหรอกเหรอ ถึงได้เป็นเหตุให้ สมเด็จทวดของเราต้องมานั่งทายสีม้าของเจ้า ตอนนั้นพระนางวินตามารดาแห่งพวกนกขี้เรื้อนเธอทายว่าเป็นสีแดง แต่ทวดเราพระนางกัทรุเธอทายว่าเป็นสีดำ และมีข้อแม้ว่าใครทายผิดจะต้องยอมตกเป็นทาสของอีกฝ่าย ส่วนปู่เราด้วยความที่เป็นลูกกตัญญู น่ายกย่อง กลัวว่าสมเด็จทวดจะแพ้ก็เลย เล่นกล นิดๆหน่อยให้ม้าตัวนี้เป็นสีดำเสีย ตอนหลังความแตกก็เพราะเจ้า โวยวายลั่นสวรรค์ ว่าใครมาแกล้งม้าเวรนี่ ให้ตัวดำ แล้วไปทูลฟ้องพระมหาวิษณุ แถมเจ้าก็ยังเข้าข้างพวกครุฑ พวกเราก็เลยโดนพระมหาเทพลงโทษลงมาอยู่บาดาล เหตุก็เพราะเจ้ากับม้าของเจ้า”

“เหอะ เจ้านี่มันพาลเนอะ ต่อให้เด็กอมมือมาตัดสิน ก็รู้ว่าใครผิด.....และเหตุนี้ใช่ไหมที่เจ้าเกลียดเรานักเกลียดเราหนา”

“ใช่” พระสุรเสียงใสกล่าวตอบทันควัน

“เจ้าต้องไปโทษปู่เจ้าเองที่ขี้โกง .....แต่เจ้าไม่ควรมาลงที่เรา เพราะเราเป็นแค่ร่างแบ่งภาค ณ เวลานี้เราเป็นแค่เด็กผู้ชายอายุสิบแปด ไม่ใช่สุริยเทพ ตอนนี้เราเป็นแค่นายอัสดง ที่ต้องแบกภาระหนักมาปราบพวกอสูร ซึ่งไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดหรือไม่ เจ้าไม่เห็นใจเราบ้างเลยเหรอ แล้วยังมาเกลียดเราได้ลงคอ”

น้ำเสียงตัดพ้อของนายอัสดงกล่าวขึ้น วงแขนแข็งแรงรัดเจ้านาคาน้อยแน่นขึ้นไปอีก ใบหน้างามคมสันซุกลงมาที่พระเกศายาวดำขลับอีกครั้ง หากสีทันดรหันไปเห็นหน้าก็คงจะทอดพระเนตรเห็นว่า ดวงตาสีอำพันที่เคยเจ้าเล่ห์นั้น เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

มันก็จริงอย่างที่เขาพูด ฤาว่าตนพาลไปเอง ดูสิ พูดเสียน่าสงสารเชียว ฟังดูแล้วทำให้ตนรู้สึกผิดยังไรก็ไม่รู้ ไม่ได้อย่าใจอ่อน แต่เอาเหอะ จะยกให้ก่อนก็ได้ เพราะเขานั้นเป็นเพียงแค่ร่างแบ่งภาคไม่ใช่ตัวจริง เสร็จภารกิจปราบอสูรเมื่อไร ค่อยว่ากัน.... แต่ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์นี่  เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเจ้าชู้เกเร ชักจะตามอารมณ์ไม่ถูกแล้วสิ

“ก็ได้ เราจะถือว่าเจ้าเป็นเพียงนายอัสดง แต่ตอนนี้ เอาหน้าเจ้าออกไปจากคอเราก่อนได้ไหม รอยเก่ายังไม่หายเลยนะ”

“แล้วเจ้าไม่เกลียดเราแล้วเหรอไอ้ดื้อ”

“จะเกลียดต่อก็เพราะเจ้าทำแบบนี้แหละ อีกอย่างเราก็เป็นผู้ชายนะ มันดูแปลกๆยังไงไม่รู้ เจ้าทั้งกอดทั้งจูบเราอย่างนี้” นี่ไงเริ่มทำเจ้าชู้มาอีกแล้ว นายอัสดง เราตามอารมณ์ที่ผันแปรของเจ้าไม่ทันจริงๆ

“ไม่เห็นจะแปลก ใครๆสมัยนี้เขาก็ทำกัน ” อัสดงกล่าวตอบมาอย่างหน้าตาเฉย

“ใครที่เจ้าว่า นั้นคือใคร ไหนลองเอ่ยมาสิ ใครที่ไหนจะทำแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน”

“ยังนึกไม่ออก ไว้นึกได้แล้วจะบอก..... แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไร ดูโน่นดีกว่า จวนสว่างพอดี เจ้าจะได้รู้ว่าการเริ่มต้นวันใหม่ มันสวยขนาดไหน”

อัสดงพูดพร้อมเอาคางมาเกยไหล่แล้วชี้ให้เจ้านาคาตาสวยมองไปที่เส้นขอบฟ้า ซึ่งยามนี้เริ่มปรากฏแสงสีแดงระเรื่อวาบวับจับไปทั่ว หากมองด้วยตามนุษย์นั้นก็จะเห็นเพียงแค่เริ่มสว่าง แต่ถ้ามองด้วยเนตรแห่งเทวะแล้ว ภายในแสงสีแดงนั้น ปรากฏเป็นเทวบุตรรูปงามทรงรถม้าควบตะบึงกลางท้องฟ้า อัสดงกระซิบเบาๆที่ข้างพระกรรณว่า

“เจ้าคงไม่เคยเห็นว่าเวลาแห่งการเริ่มต้นวันใหม่นั้น เริ่มยังไง เจ้าเห็นสีแดงระเรื่อนั่นไหม นั่นแหละคือพระอัศวิน ที่เจ้าเห็นท่านกำลังควบรถม้าอยู่ ท่านจะเสด็จป็นองค์แรก ทรงเป็นผู้นำโภคาทรัพย์มาให้มนุษย์ เจ้าว่าหล่อไหม....แต่เราว่า ยังไงก็หล่อแพ้เรานิดนึง”

“แหวะ หลงตัวเอง” ปากก็ว่าอัสดงหลงตัวเองแต่ในพระทัยใยไม่เห็นด้วย ‘คนเจ้าชู้เกเรนี่ งามกว่าพระอัศวินจริงๆ’

แล้วสีทันดรผู้ที่ไม่เคยเห็นขั้นตอนอาทิตย์อุทัยยามเช้าตรู่นั้นถึงกับตะลึงยามได้ทอดพระเนตรเนื่องด้วยตนเองนั้นอยู่บาดาล ลืมพระเนตรยามเช้าก็เจอแต่ผนังสุวรรณคูหาเสียสิ้น ครั้นจะเสด็จขึ้นจากบาดาลเพื่อมาดูแต่เช้าก็ใช่เรื่อง แล้วฉับพลันก็ปรากฏแสงสีทองอมชมพูอันเรืองรองตามมาติดๆ ภายในแสงทองนั้น ดรุณีแน่งน้อยนางหนึ่งในภัสตราภรณ์แดงส้มอมทองระยิบระยับ กำลังเริงระบำสะบัดพลิ้วเริงร่ากลางหมู่นางอัปสรสวรรค์ วงพักตร์แย้มยิ้ม รัศมีสีทองเปล่งประกาย

“พระอุษาเทวีเธอเสด็จ เธอนำความร่าเริงแจ่มใสมาสู่มวลมนุษย์ ด้วยท่าร่ายรำอันวิเศษของเธอ พระอุษาเทวีเธอจะงามขึ้นอย่างนี้ไปตลอดทุกๆวัน แต่มนุษย์จะชราลงยามที่เธอปรากฏ...เพราะเธอคือสัญลักษณ์ของวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

“เข้าใจสิ พอเริ่มวันใหม่ มนุษย์ก็แก่ลงไปหนึ่งวันไง  พอพระอุษาเธอเสด็จอีก ก็จะเปลี่ยนเป็นวันใหม่อีกที มนุษย์ก็แก่ลงไปอีกหนึ่งวัน เป็นอย่างนี้ตลอดไป เราเข้าใจถูกต้องใช่ไหม” สุรเสียงใสเสนาะตรัสตอบมา สีทันดรเวลาเจ้าพูดจาดีๆอย่างนี้ เจ้าน่ารักจัง

“ถูกเผงเลย ....เก่งนี่”

 “พระอุษาเทวีท่านสวยจัง....ดีใจด้วยนะที่เจ้ามีชายาสวยขนาดนี้” จู่พระสุรเสียงก็แปรเปลี่ยนแผ่วลง พระทัยเหมือนกับโดนเข็มเล่มน้อยสะกิดให้ปวดแปลบๆ หรือเพราะเหตุที่เขาคนนี้มีชายาแล้ว

“พระสุริยาทิตย์คิดกับเธอเหมือนน้องสาว พระอุษาเธอไม่ใช่ชายา” อัสดงรีบกล่าวมาโดยพลัน ราวกับรู้ว่าพระทัยของอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด

“ก็ท่านสวยออกขนาดนั้น ...ใครเห็นก็ต้องถูกใจเป็นธรรมดา”

“แต่เราว่า มีคนคนหนึ่ง น่ามองกว่าพระอุษาเธอเสียอีก เราเจอครั้งแรกยังอดใจไม่ไหวจนต้องดึงเข้ามากอด ตาสีฟ้าๆ ตัวหอมๆ แถมยังดื้อด้วย”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน อัพ ๒๐ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-04-2019 21:13:34
“ใครกันที่ว่านั่น...สวยเกินพระอุษาเธอเชียวเหรอ” สีทันดรใช่ว่าไม่รู้ ว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่ก็แสร้งเฉไฉ ในพระทัยเต้นระรัว

“เจ้าไม่รู้จริงๆเหรอไอ้ดื้อ ว่าเราหมายถึงใคร” อัสดงขมวดคิ้วมาอีกแล้ว น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนหวาน ขุ่นมัว เพราะคำตอบที่คาดหวังไม่ได้เป็นแบบนี้

“เอาล่ะถ้าเจ้าไม่รู้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ดูตรงนั้นดีกว่า .....คนสำคัญที่สุด หล่อที่สุด มาโน่นแล้ว”

ดวงอาทิตย์สีแดงอมส้ม ดวงใหญ่ปรากฏขึ้น ภายในมีราชรถทรงสีทองเปล่งประกายและมีเทวบุตรรูปงามร่างกายใหญ่โตเป็นสารถี หากแต่มีพระวรกายเพียงครึ่งท่อน

“พระอรุณ สารถีแห่งเรา”

“ทำไม ท่านมีร่างกายเพียงแค่ครึ่งตัวล่ะ” สีทันดรถามมาอย่างสงสัย เทวบุตรองค์นี้ งามเหมือนกันถึงจะมีร่างกายเพียงท่อนบนครึ่งท่อนก็เหอะ

“เรื่องมันยาว ....อย่าไปสนใจเลย สนใจพระเอกดีกว่า นั่นไง ประทับอยู่นั่น”

วรองค์สูงหนาราวกำแพง ร่างกายกำยำสง่างามกว่าเทวบุตรองค์ใดที่เคยพบเห็น ยามแย้มยิ้มทำให้พระหทัยกระตุกวาบ พระพักตร์หล่อเหลายิ่งกว่ารูปสลักใดๆ ของช่างฝีมือในสามโลก ยากที่สรรหาบทกวีมาบรรยายความเป็นเลิศนี้ และที่สำคัญ พระพักตร์นั้น ก็คือใบหน้าของอัสดงนั่นอง สีทันดร ขยี้พระเนตรอย่างไม่เชื่อสายตา เหลียวหลังกลับไปมอง ก็พบดวงตาสีอำพันหวานซึ้งรออยู่ก่อนแล้ว

“หล่อใช่ไหม พระสุริยาทิตย์ไงล่ะ ที่เจ้าเกลียดนักเกลียดหนา เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นวันใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ ท่านนำความอบอุ่นและแสงสว่างมาสู่มวลมนุษย์และขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืนให้จางหาย ท่านดีขนาดนี้....แล้วเจ้าจะเปลี่ยนใจมารักเรา เอ๊ย พระอาทิตย์ได้หรือยัง” น้ำเสียงของอัสดงเปลี่ยนกลับมาเป็นอ่อนหวาน ยิ่งประโยคท้ายด้วยแล้ว ใครได้ยิน ก็ต้องบอกว่า ไพเราะปนออดอ้อนได้น่าเอ็นดูยิ่งนัก

ทันทีที่ได้ฟัง ดวงเนตรฟ้าครามสวยก็จำต้องหลุบต่ำลง พระพักตร์ที่แดงระเรื่อเพราะเลือดกำลังสูบฉีดขึ้นไปหล่อเลี้ยงพระปรางใสก้มลงต่ำ พระหทัยกระตุกวาบ พระโอษฐ์แดงสดยิ้มพรายอาการแบบนี้ใช่ไหมที่ภาษามนุษย์เขาเรียกว่า “เขิน”

“บ้าใครจะไปรักเจ้า”

สีทันดรตอบมาอย่างแผ่วเบา แน่ล่ะ อาการขวยเขินแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะโดนจีบเอาซึ่งๆหน้า....พระดำรัสที่ตรัสออกมานั้นฟังดูก็รู้ว่าเริ่มที่จะตรัสไม่ตรงกับใจ ....  ส่วนอัสดงเองได้เห็นอาการที่เจ้านาคน้อยก้มหน้าหลบสายตาเขานั้นก็ได้แต่หัวเราะ แย้มยิ้ม นึกในใจว่า

‘ทำไมเช้านี้ เรามีความสุขจัง อยากจะหยุดเวลาไว้เท่านี้ ตรงนี้ได้ไหม’

เสียงหัวเราะชอบใจของอัสดงยังคงดังระเรื่อ เขายิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ หนึ่งอณูเทวะน้อยและหนึ่งนาคาตาสวยยังคงอยู่บนหลังม้าท่ามกลางท้องฟ้าที่เริ่มสว่างไสวแล้ว แสงสีทองอันอบอุ่นเริ่มสาดส่องทั่วทั้งนภากาศ ยามหักเหแลตกกระทบก่อให้เกิดสีชมพูอมส้มดุจกลีบกุหลาบจับทั่วหมู่เมฆ ตระการตายิ่งนัก รัศมียามเช้าของพระอาทิตย์อุทัยช่างงามและน่าหลงใหล สีทันดรขณะนี้ก็ยังไม่รู้พระองค์ว่า ตนนั้นเริ่มที่จะตกอยู่ในมนต์สะกดของอาทิตย์ยามเช้าเข้าแล้ว พระเนตรฟ้าครามใสเหม่อมองไปทั่วและนึกในพระทัยว่า

‘จะเป็นไปได้ไหมที่คนเกเรคนนี้จะอยู่ในภาวะที่อบอุ่นอย่างนี้ตลอดไป แต่คงจะยาก พระอาทิตย์ก็คือพระอาทิตย์ ไม่มีวันเสียแหละที่จะเบาแรง ครั้นพอยามสาย เขาคนนี้ก็คงกลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วตัวเรา จะทนแสงร้อนแรงนั้นได้ไหม วันนึงหากเรามอดไหม้ขึ้นมาเราจะทำอย่างไร....สีทันดร’

ม้าอุจไฉยศรพ ยังคงควบตะบึงไปเรื่อยๆ ทั้งสองขณะนี้ต่างก็เงียบงันไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะคนหนึ่งยังคงเขินอีกคนหนึ่งก็ได้แต่อมยิ้มอย่างสุขใจ..... และแล้วม่านสีรุ้งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า นี่แหละเส้นเขตแดนที่ต้องผ่านเข้าไปให้ได้ ......อัสดงเตือนไอ้ดื้อมาว่า

“จับให้แน่น เรากำลังจะผ่านเข้าไปแล้ว ถ้ากลัวตกก็หลับตาเสีย”

ตอนนี้ไอ้ดื้อ ไม่ดื้ออีกแล้วเริ่มว่าง่ายตามคำบอกของอัสดง เพราะท้องฟ้าไม่ใช่เขตแดนของตน ม้าอุจไฉยศรพ ทะยานโลดแล่นเข้าสู่เขตแดนด้วยความเร็วสูง อากาศรอบข้างเริ่มบีบอัด ทำให้หายใจไม่ออกแต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น พอหลุดออกมาได้ บรรยากาศก็พลันสดใส ท้องฟ้ากลายเป็นสีรุ้งระเรื่อ ด้านล่างเป็นผืนน้ำที่ขาวละเลื่อมพรายสะอาดตาอย่างยิ่ง

“ไชโยเราถึงแล้ว ......นั่นไงมหานทีสีทันดร ตอนนี้เรามาอยู่ตรงเชิงเขาจักรวาล สุดเขตแดนสวรรค์”สุรเสียงใสเสนาะ กล่าวขึ้นทันทีที่ลืมพระเนตรเห็นภาพเบื้องล่าง คราวนี้ผู้ที่ทำหน้าที่บรรยาย กลายมาเป็นหน้าที่ของเจ้านาคาตาฟ้าแสนสวย

“เจ้าจำทางไปได้หรือเปล่า สุริยาทิตย์”

“นี่ไอ้ดื้อ เราแบ่งภาคลงมาเกิดนะ บางอย่างเราก็จำได้บางอย่างเราก็จำไม่ได้ แล้วก็เลิกเรียกเราว่าสุริยาทิตย์ได้แล้ว ตอนนี้เราชื่ออัสดง”

“นี่ ทีเจ้ายังเรียกเราว่าไอ้ดื้อเลย”

“งั้นเอาอย่างนี้ เราเรียกเจ้าว่าสีทันดรก็ได้ แต่เจ้าต้องเรียกเราว่าอัสดง จะเติมคำนำหน้าว่าพี่อัสดง หรือคำต่อท้ายว่าอัสดงที่รักก็ได้ ตกลงไหม” เอาอีกแล้ว ไอ้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มยามพูดยามจา ปรากฏมาอีกแล้ว 

“ไม่ตกลง ไอ้บ้า” สีทันดร ถองศอกกลับไปโดยพลัน อัสดงถึงกับหน้านิ่วเพราะไม่ทันระวังตัวมาก่อน นี่แนะกวนโทสะดีนัก เห็นขี้เก๊กอย่างนี้เหอะ พูดจาเลี้ยวลดสำคัญนัก ตั้งแต่ในฝันแล้ว อย่าหวังเลยที่เราจะเรียกเจ้าว่าพี่อัสดง และยิ่งอัสดงที่รักแล้ว ยิ่งไม่มีทาง

“เจ็บนะ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวก็โดนแบบเมื่อคืนอีกหรอก อยากโดนนักใช่ไหม” เสียงห้าวกังวาน กล่าวขู่ขึ้นมา

“อย่านะ เดี๋ยวก็พลัดตกลงไปทั้งคู่หรอก....ตอนนี้บอกม้าเจ้าก่อนเหอะว่า ให้วิ่งข้ามสัตตบริภัณฑ์ทั้งเจ็ดไปเรื่อยๆก่อน เดี๋ยวเราจะบอกทางอีกทีเมื่อถึงเขาพระสุเมรุ”

“สัตตบริภัณฑ์ทั้งเจ็ด คืออะไร” อัสดงกระซิบเบาๆที่ข้างหู คำถามที่ดูเหมือนกับว่าอยากรู้แต่แท้จริงแล้วอยากทำแบบเมื่อคืนมากกว่า พูดใกล้ๆหู อยู่ชิดๆซอกคอน่ะ ดีที่สุดแล้วอัสดง

“พูดธรรมดาก็ได้เลิกกระซิบข้างๆหูเราได้แล้ว ...สัตตบริภัณฑ์ทั้งเจ็ด ก็คือเทือกเขาทั้งเจ็ด ที่รายล้อมเขาพระสุเมรุไง เทือกเขาที่ว่านั้นจะถูกแบ่งเป็นชั้นๆ กั้นด้วยมหานทีสีทันดร ชั้นนอกที่เรากำลังลอยอยู่เหนือขณะนี้ได้แก่ เขาอัสสกัณณะ”

“มหานทีสีทันดร ชื่อเหมือนเจ้าเลย”

“ก็เราเกิดที่มหานทีสีทันดรนี่ ....ก็เลยตั้งชื่อเราตามมหานที ถัดจากเทือกเขานี้ไปก็จะเป็นเขา วินันทกะ แล้วก็เนมินธร ตามมาด้วยสุทัศนะ และก็กรวิก ถัดไปเป็นอิสินธร จนถึงชั้นในสุดชื่อยุคนธรซึ่งสูงที่สุด สี่หมื่นสองพันโยชน์ ในบรรดาเขาทั้งเจ็ด”

“เจ้าจำเก่งจัง” อัสดงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม

“ไม่เห็นต้องจำอะไรเลย เราเที่ยวเล่นแถวนี้ตั้งแต่เด็ก นานๆเข้ามันก็รู้เอง”

“ถึงว่าสิ เจ้าถึงได้ซนขนาดนี้....แล้วโยชน์หนึ่งมันเท่ากับกี่กิโลเมตร”

เอาแล้วสิ ตาบ้านี่ถามอะไรอีก แล้วโยชน์หนึ่งมันเท่ากับกี่กิโลเมตรล่ะ ตนก็ไม่รู้เสียด้วย มาตราวัดของพวกมนุษย์ ไยจะต้องสนใจ “ไม่รู้ ถามอะไรที่เรารู้สิ”

“เก่งไม่จริงนี่หว่า จำไว้ หนึ่งโยชน์เท่ากับ สิบเก้าจุดสองศูนย์กิโลเมตร”

“เราไม่สนมาตราวัดระยะสมัยใหม่ เรารู้จักแต่โยชน์  ....ว่าแต่ตอนนี้ เจ้าบอกให้ม้าเจ้าบินต่ำๆลงหน่อย ตอนนี้เราเลยเขายุคนธรแล้ว กำลังจะถึงเขาพระสุเมรุ ถ้าบินสูงขนาดนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นลอยอยู่เหนือวิมานท้าวเวสสุวรรณหนึ่งในจตุมหาราชทั้งสี่ จะไม่งาม” ถึงจะซนและดื้อขนาดไหน เจ้านาคน้อยก็ยังรู้จักที่ต่ำที่สูง การลอยอยู่เหนือวิมานเทพชั้นผู้ใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

“อืม อุจไฉยศรพ เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม ทำตามซะสิ”
 
เจ้าม้าสีแดงร้องตอบพยักหน้าแล้วโผนทะยานลดเพดานบินลงมาอยู่เหนือมหานทีสีทันดรแทน ผืนน้ำกว้างใหญ่สะอาดตาใสกระจ่าง เปลี่ยนสีได้ดั่งใจนึก ส่องสะท้อนเงาของผู้โบยบินได้อย่างอัศจรรย์ ใต้ผืนน้ำนั้น เหล่าปลาหน้าตาแปลกๆ แหวกว่ายอยู่ทั่วบ้างท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นปลา 

“พวกเงือกบริวารเราเอง”

ใกล้ๆกันนั้น นาคน้อยใหญ่ต่างก็ดำผลุดดำว่ายเล่นน้ำอยู่ทั่ว เพียงเห็นนายของตนเสด็จมาบนหลังม้า ต่างก็รีบคืนร่างเป็นมนุษย์หมอบราบก้มกราบเหนือมหานที “ทรงพระเจริญ” คือเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญยังคงดังไปทั่ว ฉับพลันก็ปรากฏเงามหึมาขนาดใหญ่ หลายเงาพร้อมเสียงกระพือปีกพรึบพับ ตวัดโฉบลงมา ทำให้เหล่านาคาเร้นกายลงมหานที แล้วตะโกนบอกต่อกันลั่น

“พวกครุฑ....หนีเร็ว”

สีทันดรเห็นเหตุการณ์โกลาหลที่เกิดขึ้น รีบถอดรัดเกล้าที่สวมอยู่แล้วตวัดฟาดไปทางพวกครุฑที่รังแกบริวารของตน รัดเกล้าที่เคยเป็นเครื่องประดับงามงด บัดนี้กลายเป็นแส้ร้อนแรงสะบัดทั่ว

“ไสหัวไปให้หมด ไอ้นกขี้เรื้อน พวกเจ้าลืมไปแล้วใช่ไหม ว่าพวกเจ้าจะจับนาคตอนอยู่ในร่างมนุษย์ไม่ได้  หากเจ้ายังบังอาจ เราจะได้เห็นดีกัน”

ครุฑเหล่านั้นหยุดชะงักทันใด เมื่อเห็นว่าใคร ประทับอยู่กลางท้องฟ้า สายตาที่จับจ้องมองมาเคียดแค้นชิงชัง แต่แล้วก็จำเป็นต้องล่าถอย

“พวกเทวนาคา....พวกท่านจะมีแรงดูแลบริวารได้สักเท่าไรกัน พวกเรามาอีกแน่” เสียงกระพือปีกดังลั่นทั่วฟ้า แล้วก็เลือนรางหายไป  สีทันดรถึงกับต้องถอนพระหทัยกล่าวมาว่า

“เมื่อไรจะจบสิ้นสักที ...เมื่อไรครุฑจะรังแกนาคไม่ได้”

อัสดงเองก็กำลังเตรียมพร้อมอยู่ เผื่อพวกครุฑเข้ามายังไงเขาก็ต้องช่วยไอ้ดื้อ เมื่อเห็นว่าพวกครุฑไปหมดแล้วจึงเก็บอาวุธแล้วถามว่า “ทำไมบริวารเจ้าไม่สู้ล่ะ”

“ทำไมจะไม่สู้ ...แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะสู้ไม่ได้เพราะโดนมหาเทพสาปไว้ นาคพวกนี้ก็เป็นเพียงบริวารจะเอาฤทธิ์ที่ไหนมาสู้ล่ะ”

“แล้วทำไมถึงโดนมหาเทพสาบล่ะ”

“ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องทายสีม้าของเจ้าแหละ ....เห็นไหมเหตุทั้งมวลก็เพราะเจ้า”

“มาลงอะไรที่เราอีก ไอ้ดื้อ” เอาอีกแล้วเจ้าพูดเรื่องนี้อีกแล้วสีทันดร นี่เราสองคนจะพูดจากันดีๆไม่ได้บ้างเลยหรือไง อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแท้ๆ

“ไม่รู้แหละ ...เอาล่ะ ช่างมันก่อน บอกม้าเจ้าด้วย ว่าให้รีบอ้อมเขาพระสุเมรุไปทางทิศเหนือ แล้ววิ่งไปเรื่อยๆ เราจะเจอสระขนาดใหญ่ แล้วลงตรงนั้น ตรงอโนดาต เป้าหมายแรกของเรา”

ไอ้ดื้อที่ขณะนี้กำลังพาลตรัสแว้ดออกมา แต่อัสดงไม่ยักโกรธ ลึกๆแล้วเขาเริ่มดีใจซะอีกที่ได้ต่อปากต่อคำด้วย แต่ปากแบบนี้มันน่าจับมาจูบเสียอีกรอบ ไว้เสร็จงานช่วยไอ้พระพุธเมื่อไร เจ้าไม่รอดแน่.... สีทันดร

************
รบกวนติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน อัพ ๒๐ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-04-2019 00:55:07
ดีใจจังได้กลับมาอ่านเรื่องนี้อีก รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน อัพ ๒๐ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maicy ที่ 08-05-2019 20:49:59
 รอนะคะ เป็นกําลังใจให้ค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๖ มารยาชาย หลายร้อยเล่มเกวียน อัพ ๒๐ เมษา๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Jaymezc ที่ 09-05-2019 06:00:16
ดีใจที่กลับมา  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ อัพ ๑๓ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 13-05-2019 17:48:15
บทที่ ๗ เดอะ บัวจ๊อบ

ม้าอุจไฉยศรพที่กำลังควบตะบึงกลางเวหา บัดนี้เริ่มชะลอฝีเท้าแล้วลอยละลิ่วอยู่เหนือแนวป่าที่คาครื้มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ป่าที่ชาวสวรรค์สรรสร้างใช้เป็นที่เที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจและเป็นที่ทรงศีลของฤาษีทั้งหลาย อีกทั้งเป็นที่อยู่ของสัตว์แปลกตานานาชนิด ได้ถูกขนานนามเรียกว่า ‘หิมพานต์’ มานานนับแสนโกฏิ 

ป่าแห่งนี้ช่างสวยงามยิ่งนักในสายตาของอัสดง เพราะอุดมไปด้วยพรรณไม้แปลกๆ บางต้น ออกดอกออกผลเป็นเด็กสาวอายุราวสิบหก นุ่งน้อยห่มน้อย หน้าอกอวบอิ่มแทบล้นทะลักใยไม้บางๆที่ห่อหุ้ม อัสดงจ้องสังเกตชั่วครู่ก็รู้ได้โดยพลันว่า เด็กสาวพวกนี้มีแต่ร่างกายหามีจิตวิญญาณไม่ นี่ใช่ไหมที่เรียกว่านารีผล  สีทันดรหันไปเห็นอัสดงยังมองแล้วมองอีกเลยตรัสขึ้น

“พวกผู้ชายเป็นอย่างนี้กันหมดหรือไง หมกมุ่นแต่กามารมณ์” หากจะบอกว่าเวลานี้เจ้านาคน้อยไม่พอพระทัยก็ย่อมได้ “มองอยู่นั่นแหละ เขาเรียกว่านารีผล ขากลับเจ้าจะเก็บไปสักผลสองผลก็ได้นะ อย่าลืมเอาไปเผื่อสองคนนั่นด้วยแล้วกัน”

“ใครบอกว่าเราจะเก็บ”

“ก็เราเห็นเจ้ามอง”

“ก็แค่มองและสงสัยเท่านั้น ....เราจะเก็บไปทำไม เรารู้หรอก นารีผลพวกนี้อยู่ได้แค่เจ็ดวัน สู้หาคนจริงๆดีกว่าสนุกกว่ากันเยอะและอีกอย่างเราก็มีคนที่น่ารัก น่ากอดอยู่ในหัวใจเราแล้วด้วย”

“หน้าตาคงหน้าเกลียดพิลึก คงเหมาะสมกับคนอย่างเจ้าแล้ว”

ใครกันหนอที่อยู่ในหัวใจของคนเกเรนี่ หากเป็นไปได้ก็อยากจะเห็นหน้า  แต่ในเมื่อเขามีคนรักอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเขามากอดมาจูบตนทำไม สีทันดรเริ่มถามองค์เอง พระหทัยดวงน้อยขณะนี้เจ็บแปลบดั่งถูกสะกิดด้วยเข็มปลายแหลมอีกครา

‘เราไม่ใช่คนที่เจ้าจะมาใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์เปลี่ยวของเจ้านะอัสดง’ ความในพระทัยอยากส่งออกไปนัก แต่ก็มิได้ตรัส คงมีแต่พระพักตร์งอง้ำ ที่ส่งมาให้เห็น หากก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อได้ภายในชั่วพริบตา เมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคายพูดขึ้นว่า

“คนอะไรว่าตัวเองก็เป็น” คนพูดแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ หากแต่คนฟังคงมิรู้มิชี้มิได้แล้ว

สีทันดรทรงรู้ว่าอัสดงหมายถึงใคร ฉะนี้แล้วพระอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นอันยากบอกสาเหตุเมื่อครู่ก็สลายลง แต่ยังฝืนทรงบอกองค์เองในพระทัยว่า อย่าไปฟังเขา เขาคงไม่ได้คิดอะไร เขาคงอยากที่จะแกล้งอย่างที่ผ่านๆมาเพียงเท่านั้น  ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร สีทันดรตอนนี้จึงยังตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่คิดอยู่อย่างนั้น

อัสดงพอเห็นเจ้านาคน้อยเงียบลงไป ไม่โต้ตอบมาเหมือนเคย เลยชะโงกหน้ามาดู มือแข็งแรงถือวิสาสะเชยคางน้อยๆขึ้น พระเนตรฟ้าครามรีบหลบตาสีอำพันหวานซึ้งโดยพลัน

“ไหน...ขอดูหน้าหน่อยสิ หน้าตาก็ไม่เห็นน่าเกลียดอย่างที่เจ้าว่าเลย ฮึไอ้ดื้อ ...ดูยังไง เราก็ว่าน่ารักจะตายไป”

“เราไม่คุยกับเจ้าแล้ว เอาล่ะถึงอโนดาตพอดี ลงกันเหอะ” พระพักตร์กระจ่างใสสะบัดออกพลัน พระโอษฐ์รูปกระจับสีแดงระเรื่อๆ แอบแย้มยิ้ม ตรัสพึมพำในพระทัย ‘ไอ้ลูกไฟบ้า’

อัสดงเองก็ยิ้มน้อยๆเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มอายม้วน ปกติแล้วเขาเองเป็นคนพูดน้อยพูดสั้นๆ แต่ทำไมพอมาเจอไอ้ดื้อนี่ คำพูดต่างๆมันพรั่งพรูออกมาเองได้ยังไงก็ไม่รู้ อีกอย่างเขาก็ไม่เคยพูดอย่างนี้กับใคร ฤาประโยคหวานๆเหล่านั้น มันพุ่งตรงออกจากหัวใจไม่ผ่านสมอง มั่นใจว่ายังคงมีอีกหลายประโยคที่คิดแต่ยังไม่ได้พูดออกไป หากไอ้ดื้อเอาหูมาแนบกับอกเขาก็คงจะรู้เองจากเสียงหัวใจที่เต้นระรัว

พระเนตรฟ้าครามยังคงหลบสายตาของอัสดงอยู่อย่างนั้นอีกสักพัก  จวบจนดัชนีเรียวงามชี้ลงไปยังเบื้องล่างยามทอดพระเนตรเห็นสระน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ม้าอุจไฉยศรพมิต้องรอคำสั่งจากนายของมันแล้วเพราะบัดนี้เริ่มพุ่งลงจากอากาศลงมายืนอยู่บนพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมขอบอโนดาต อัสดงที่หน้ายังเจือไปด้วยรอยยิ้มกระโดดลงมาเป็นคนแรก แล้วยื่นมือไปให้สีทันดรจับเพื่อที่จะลงมาได้อย่างสะดวก

“ขอบใจนะ สุริยาทิตย์” ในเมื่อเขาทำดี ตรัสดีๆกับเขาด้วยจะเป็นไร  “เดี๋ยวเราเดินกันไปทางนู้นเถอะ เราจะไปหาสหายเราด้วย เดาว่าคงอยู่แถวๆนั้น เราจำเป็นต้องหากำลังเสริมมาช่วยตอนไปเอาอัคคีสัตตบงกช”

“ทำไมต้องหากำลังเสริม ...ลำพังเรากับเจ้า แค่สองคน ไม่พอหรือไง” ใบหน้าแย้มยิ้มของอัสดงแปรเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วยุ่ง ถามมาทันใด

“ก็เพราะดอกบัวเพลิงนั่น มีคนเฝ้าไว้น่ะสิ ใช่ว่าจะถอนกันมาง่ายๆ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย รีบไปกันเถอะ”

“อุจไฉยศรพเจ้ากลับไปได้แล้ว เสร็จธุระเราจะเรียกเจ้ามาอีกที” อัสดงบทจะว่าง่ายก็ว่าง่าย ยอมตามที่เจ้านาคน้อยพูดทุกอย่าง

เจ้าม้าแสนรู้พอได้ยินคำสั่งก็โบยบินจากไป สีทันดรไม่รอช้ารีบเดินนำหน้า อัสดงก็รีบเดินตามจนขึ้นมาเดินเคียงคู่ เพื่อจะไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้ เดินไปก็มองรอบๆไป ยอมรับอีกครั้งว่า ป่านี้สวยจริงๆ อโนดาตก็น่าลงไปแหวกว่ายนัก นี่ถ้าไม่ติดเรื่องช่วยสหาย คงจะเป็นการเดินทางที่มีความสุขที่สุด แต่ถึงจะมาช่วยสหาย ก็หาใช่ว่าจะหาความสุขเล็กๆไม่ได้ซะเมื่อไหร่กัน ฉะนี้แล้วมือหนาๆที่เคยจับแต่ศาสตราวุธจึงคว้าเอามือเล็กกว่ามากุมไว้พลัน พร้อมเหตุผลสั้นๆ ที่ ‘หลง’ เข้าไปแล้ว แต่ดันกลับพึ่งมากลัว

“เรากลัวหลง”

สีทันดรตอนแรกก็ตั้งใจจะสะบัดออก แต่พอโดนจับกระชับแน่นขึ้น สัมผัสที่อ่อนโยนจากมือแข็งแรงนั้น มันทำให้สะบัดหลุดไม่ลง ‘หลง’ ตอบ ‘อนุญาต’ ด้วยพระพักตร์ซ่อนยิ้ม ยอมเดินเคียงคู่กันกับเขาไปอย่างนั้น ท่ามกลางดอกไม้ป่าริมขอบสระที่กำลังขยายกลีบเบ่งบานยามดำเนินผ่าน สอดประสานด้วยบางดอกที่เหี่ยวเฉาอันกลับฟื้นคืนสดใส ดุจได้ไอรักจากใครบางคน ทำให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“เจ้าจะเงียบอยู่อย่างนี้อีกนานไหมสีทันดร” คำว่าไอ้ดื้อเลือนรางจางหายโดยพลัน พระนามสีทันดรถูกกล่าวมาได้อย่างอ่อนหวานยิ่งนัก

“ถ้าเจ้าไม่พอใจ เจ้าจะปล่อยมือก็ได้นะ”

“แล้วเจ้าจะให้เราพูดอะไรล่ะ ...ก็เราไม่มีอะไรจะพูดนี่” สุรเสียงที่เคยใส ขับออกมาได้งุบๆงิบๆ

“คุยอะไรมาก็ได้ อยู่ด้วยกันสองคนแล้ว เจ้าอยากคุยอะไรก็คุย เดินกันเงียบๆ เราเหงา” อัสดงยามนี้คงมิต่างอะไรกับหนุ่มน้อยทั่วๆไป ที่กำลังปล่อยให้เลือดหนุ่มตามธรรมชาติ วิ่งปราดไปทั่วร่าง ภาระที่แบกมาคล้ายจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังชั่วขณะ ยามหาเรื่องอะไรก็ได้มาชวนคุย

“งั้นเล่าเรื่องสระอโนดาตให้ฟังหน่อยสิ เราชักจะลืมๆไปแล้ว”

“ได้สิ จริงๆแล้วที่หิมพานต์เนี่ย ยังมีสระอีกหลายสระ แต่ที่อโนดาตจะเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดเพราะอยู่ใจกลางหิมพานต์ น้ำจะไม่มีวันเหือดแห้งตราบจนไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญสามโลกนั่นแหละ” แล้วคนที่ไม่รู้จะพูดอะไร ก็เริ่มเปิดปากได้เป็นธรรมชาติ


“ที่อโนดาตนี้ ใช่ว่าใครอยากจะลงไปแช่ตรงไหนก็ได้นะ เราต้องไปยังท่าน้ำที่จัดเอาไว้ซึ่งจะแบ่งเป็นสี่ท่า ได้แก่ท่าสำหรับเทวบุตรคือท่าสิงห์หรือสีหมุข ท่าเทพธิดาจะเป็นท่าช้างหัตถีมุข ท่าที่สามจะเป็นท่าสำหรับพระปัจเจกโพธิคืออัสมุขเรียกง่ายๆว่าท่าม้า ส่วนท่าสุดท้ายจะเป็นท่าวัวอุสภมุขสำหรับคนธรรพ์วิทยาธรและพวกฤาษี”

เจ้านาคาน้อยเริ่มกล้าหันไปมองคนตัวสูงกว่าก็เห็นเขาตั้งใจฟังตาแป๋ว จึงเล่าต่อ “น้ำในสระจะไหลวนเวียนไปเรื่อย แถมยังถูกส่งออกไปยังดินแดนต่างๆออกปากสัตว์มงคลตามทิศทั้งสี่ ก็พวกสัตว์ตามชื่อท่านั่นแหละ ทิศตะวันออกปากสิงห์ ทิศเหนือปากช้าง ทิศตะวันตกปากม้า และทิศใต้จะผ่านปากวัว อันเป็นดินแดนมนุษย์”

“เจ้าเก่งจังสีทันดร ทำไมเจ้าถึงรู้ล่ะ”

“ก็บอกแล้วไงเราเที่ยวเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็ก”

“เด็กๆ เจ้าคงซนน่าดูเลยสินะ” คนตัวสูงกว่าถามยิ้มๆ รู้ตัวดีว่าถึงแม้จะจับมือ หัวใจก็หลงไปตามมือจับแล้ว

“ก็นิดหน่อยแหละแล้วเจ้าล่ะ ตอนอยู่กับพระคุณเจ้าเป็นไงบ้าง”

“ก็อย่างที่เจ้าเห็นในฝัน...งอแงช่วงแรกๆ หลังจากนั้นก็ฝึกวิชาศาสตราวุธ ฝึกอาคม  ไม่สุขสบายเหมือนเจ้าหรอก” น้ำเสียงกังวานสั่นพร่าเล็กน้อยยามกล่าวถึงอดีต สีทันดรได้ฟังก็เห็นใจ

“เราไม่ควรถาม เราขอโทษ”

“ช่างเถอะ เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าพูดจาดีๆแบบนี้ เจ้าน่ารักขึ้นเป็นกองเลย” อัสดงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“ก็เจ้านั่นแหละกวนอารมณ์ทำให้เราโมโหก่อนแถมยังชอบทำเจ้าชู้กับเรา”

“ก็เจ้าอยากดื้อทำไม”

“เราไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เอาล่ะถึงพอดี นี่แหละคือท่าของเทวบุตรอย่างที่เราบอก เราเดินเข้าไปกันเถอะ สหายเราต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ แล้วก็ปล่อยมือเราก่อน เดี๋ยวใครๆเห็น”

เจ้านาคน้อยตัดบทเมื่อถึงที่หมาย อัสดงจำใจต้องปล่อยมือน้อยๆนั้นตามคำขอ แต่ก็ไม่วายเดินเคียงคู่เข้าไปยังท่าสิงหมุขที่ขณะนี้คราคร่ำไปด้วยเทพน้อยใหญ่ บ้างก็ยืนคุยกัน บ้างก็แหวกว่ายในสระอโนดาต รัศมีสว่างไสวของเทพเหล่านั้น ดูรวมๆกันแล้วแสบตาไปหมด

แล้วทั้งสองก็มองไปยังตรงปลายท่าด้านหนึ่ง เทวบุตรกลุ่มใหญ่ ยืนล้อมวงกันอยู่ส่งเสียงเฮลั่นสนั่นป่า ดุจเชียร์หรือดูกีฬาอะไรสักอย่าง สีทันดรจึงเดินนำเข้าไปทำให้เทวบุตรที่ยืนออกันอยู่นั้นแหวกออกแตกเป็นช่อง แล้วยกมือหว่างอกเป็นการบังคมด้วยเพราะศักดิ์ที่ด้อยกว่า

“พระราชนัดดาสีทันดร”

“ตามสบายเถอะ....เรามาหานล นลอยู่ไหม”

“อยู่กลางน้ำโน่นแน่ะพะย่ะค่ะ กำลังแข่งเรืออยู่”

หนึ่งในเทวบุตรกล่าวตอบมา ละแล้วเสียงโห่ร้องอย่างดีใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่ง พาเรือลำน้อยเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรก ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า นุ่งแต่เพียงกางเกงขาสามส่วน เผยให้เห็นความงามในเรือนร่างกำยำอันดูแล้วชวนมองยิ่งนัก ยิ่งพิศดูใบหน้านั้น ถ้าหากเป็นมนุษย์ก็จัดว่าหน้าตาดีทีเดียว แต่ครั้นพอแย้มยิ้มออกมา เขี้ยวแก้วใสจึงปรากฏ สามารถจำแนกออกได้ว่า ไม่ใช่เทวบุตรทั่วไป แต่เป็น ‘เทวอสุรา’ หรือ เจ้าแห่งยักษ์นั่นเอง

“นล....”

สีทันดรที่ยืนดูอยู่ตะโกนก้อง ทำให้คนมีเขี้ยวหันขวับมาทันใด ใบหน้าแย้มยิ้มแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด เขี้ยวแก้วใสส่องประกายวิบวับ แล้วคนที่ถูกเรียกว่านลก็กระโจนขึ้นจากน้ำลอยลงมายืนตรงหน้าสีทันดรโดยพลัน พอเท้าแตะพื้นเท่านั้น วรองค์ของนาคาน้อยก็ถูกดึงมากอดไว้แนบแน่น

“สีทันดร .... คิดถึงจังเลย ไม่เจอกันตั้งนาน เป็นไงบ้าง”

“สบายดี นลล่ะเป็นยังไง โตขึ้นเป็นกองเลย เป็นหนุ่มแล้วนะ”

อัสดงชักสีหน้าไม่พอใจมาทันทีที่เห็นไอ้ยักษ์เขี้ยวแก้วนี่ กอดสีทันดรไว้แน่น แถมไอ้คนถูกกอดก็ดันมิขัดขืน  เหอะทีเขากอดนิดกอดหน่อยทำมาเป็นสะดิ้ง ไอ้ยักษ์นี่มันเป็นใครกัน ส่วนเจ้ายักษ์นลเห็นอัสดงยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ด้านข้าง ก็ถามสีทันดรโดยพลัน

“ใครน่ะเจ้าพาใครมาด้วยสีทันดร แฟนเหรอ”

“แฟนคืออะไร”

“แฟนก็คือคนรักไง เจ้านี่ไม่รู้อะไรซะเลย เสียแรงไปเที่ยวโลกมนุษย์ออกบ่อยๆ ภาษามนุษย์แค่นี้ เจ้าก็ไม่รู้จัก”

“ไม่ใช่สักหน่อย นลบ้าคิดอะไรก็ไม่รู้ เขาชื่ออัสดง อณูแห่งพระสุริยาทิตย์” สีทันดรทรงรีบแก้ต่าง มองนลที่กำลังยื่นมอมาทักทายอัสดง

“ยินดีที่ได้รู้จัก เราชื่อนลกุพร โอรสแห่งท้าวเวสสุวัณหนึ่งในจตุมหาราชทั้งสี่”

อัสดงเองก็ยื่นมือมาทักทายตอบแต่บีบมือนั้นแรงเสียยิ่งนัก นึกในใจว่า มันอะไรกันนักหนา ไหนจะไอ้พระจันทร์แล้วยังมียักษ์นลนี่โผล่หัวมาอีกตน ...ศัตรูหัวใจทั้งนั้น นลกุพรเองก็รู้สึงได้ถึงแรงบีบมือที่ผิดธรรมดาก็บีบตอบโดยแรงไม่แพ้กัน มิรู้ว่ามันโมโหใครมาจากไหน หรือว่ามันจะเป็นแฟนสีทันดรอย่างที่คิด คงเห็นกอดกันสงสัยจะหึง   

ร่างกายสูงสง่าของเด็กหนุ่มทั้งคู่ยังคงยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างนั้น ความสูงและความแข็งแรงพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ให้มองในด้านความหล่อเหลาและทำให้หัวใจอ่อนระทวยยามพบเห็นนั้น  อณูแห่งพระสุริยาทิตย์คงกินขาด

“นล....นลคงรู้อะไรมาบ้างจากพ่อนลแล้วใช่ไหม ว่าพระสุริยาทิตย์อวตารลงมาทำไม”

“ก็พอรู้มาบ้างแหละสีทันดร ....ตอนนี้พ่อเราเองก็เตรียมกำลังไว้คอยหนุนได้ทุกเมื่อ รอเทวราชโองการจากพระมหาศิวะเท่านั้น ตอนนี้พวกมารเหิมเกริมนัก แถมยักษ์บางกลุ่มยังไม่ยอมอยู่ในบัญชาของพ่อเราอีกแล้ว ไปเข้ากับพวกมารหมด ก็ไอ้พวกที่ยังจงรักภักดีกับพญาพลีนั่นแหละ”

“อ้าวพญาพลี ไม่ได้ถูกมหาวิษณุจองจำอยู่หรอกเหรอ” สีทันดรถามขึ้น สุรเสียงสูง

“หน่วยข่าวว่าหนีออกมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ที่ไหน ...แถมยังมีข่าวลือว่าพญาปรนิมมิตวัตสวัตตีหนุนหลังอยู่ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เทวะเจอศึกหนักแน่ๆ” ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มของนลกุพร บัดนี้ส่อแววกลัดกลุ้มยามเอ่ยถึงเรื่องศึก

“ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง พวกเราคงเลี่ยงสงครามไม่ได้แน่ ตอนนี้ปู่กับพ่อก็รวมกองกำลังนาคาไว้เหมือนกัน เผื่อจะได้ช่วยยามฉุกเฉิน เห็นทีพวกเราคงต้องฝากความหวังไว้กับเขาแล้วล่ะ” สีทันดรกล่าวกับนลกุพรแล้วบุ้ยปากไปทางอัสดงที่กำลังยืนฟังซึ่งยังทำหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

“อย่ามาฝากความหวังไว้กับเรามากเลย เตรียมพึ่งตัวเองกันเหอะ....เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มตรงไหน ราชโองการแรกกล่าวไว้แค่ว่า เราต้องรวมกลุ่มให้ครบแปด ตอนนี้เรารวมได้แค่สามเอง” น้ำเสียงที่เมื่อสักครู่อ่อนหวาน ขณะนี้แข็งกระด้างเสียยิ่งนัก 

นลกุพรมีฤาจะจับนัยจากสำเนียงเสียงนั้นมิได้ สงสัยจะหึงไม่เลิก ยิ่งหึงก็ต้องยิ่งแกล้ง  นลกุพรคิดได้ดังนั้นจึงกอดสีทันดรมาอีกครั้งแถมยังลูบไล้มุ่นเกศาดำขลับ รอดูอีกฝ่ายที่คงจะกระอักเลือดในมิช้า

“เราเชื่อใจว่าท่านทำได้สุริยาทิตย์ ว่าแต่สีทันดรจ๋า นลได้ข่าวมาว่า เจ้าโดนปู่เจ้าลงโทษลง เจ้าคงลำบากแย่เลยนะ ที่ต้องไปอยู่เมืองมนุษย์”

“โหยยย ข่าวเร็วจริง .....ปู่เราก็ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”

“ถ้าเจ้าลำบากนัก เจ้าจะกลับบาดาลไปก็ได้นะไอ้ดื้อ  เราต้องการความเต็มใจ หากเจ้าไม่อยากอยู่หรือเจ้ารู้สึกว่าโดนบังคับเชิญกลับไปได้เลย”

“ก็อยากกลับเหมือนกันแหละ แต่ตอนนี้ต้องช่วยเพื่อนเจ้าก่อน” สีทันดรสวนกลับ งุนงงกลับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนของอีกฝ่าย หากก็ยังมิอยากทอดความสนพระทัย จึงหันกลับไปคุยกับสหายแทน เข้าเรื่องตามจุดประสงค์ที่ต้องการ

“นล....ที่เรามาเนี่ย เรามีเรื่องอยากให้นลช่วย พอดีพระพุธที่อวตารลงมา พลาดท่าถูกพิษจากสายฟ้าของรามสูร เราจำเป็นต้องใช้อัคคีสัตตบงกช นลจะช่วยเราได้ไหม”

“ได้น่ะมันได้ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะสีทันดร พวกวิทยาธรที่เฝ้าไว้น่ะ ร้ายไม่ใช่เล่น”

“เราถึงอยากให้นลช่วยไงนะๆ  ถ้านลช่วย เดี๋ยวเราติดต่อมุจลินทร์ให้”

นลกุพรยืนนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ข้อเสนอที่สีทันดรเสนอมาน่าสนใจ ด้วย “มุจลินทร์” คือเทวนาคีที่ทรงสิริโฉม และตนก็หมายปองอยู่นาน หากได้สีทันดรช่วยเป็นพ่อสื่อให้ คาดว่าหนทางคงสะดวก ข้อเสนอของสีทันดรนี้ มันยากปฏิเสธ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ อัพ ๑๓ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 13-05-2019 17:49:23
“เจ้าพูดจริงๆ นะ ....งั้นก็ได้ เราตกลง”

“ไชโย นลน่ารักที่สุดเลย”

สีทันดรดีพระทัยถึงขนาดกอดยักษ์นลแน่น ส่วนอัสดงที่ยืนฟังอยู่ก็พอจะยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว เพราะ เท่าที่ฟัง เหมือนสีทันดรจะติดต่อใครให้ไอ้ยักษ์นี่ แสดงว่าไอ้ยักษ์นลคงเป็นแค่เพื่อนสนิท มิใช่ศัตรูหัวใจอย่างที่คาดคิด ....อัสดงรีบปรับสีหน้าให้เป็นมิตรขึ้นมาทันที

“เอาล่ะ บอกนลมาจะให้นลช่วยยังไง”

“นลไม่ต้องทำอะไรมาก แค่หาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจและถ่วงเวลาจากพวกวิยาธรพวกนั้นเป็นพอ แล้วเรากับอัสดงจะเข้าไปเอาดอกบัวเอง”

“เจ้าพูดเหมือนกับว่าจะเข้าไปเอามาได้ง่ายๆแหละ คิดดีๆนะสีทันดร เราไปขอเขาดีๆไม่ดีกว่าหรือ บอกเขาว่ามีคนเจ็บเขาก็คงให้ ก่อเรื่องขึ้นมามันจะไม่ดีนะ ” นลกุพรทรงเตือน

“แล้วถ้าเราไปขอดีๆ ใครเขาจะให้ เพราะอัคคีสัตตบงกช ห้าร้อยปีกว่าจะผลุดมาสักดอก ไม่มีอะไรมากหรอกน่านล ปอดแหกไปได้ หากเป็นเรื่องขึ้นมา เรารับผิดชอบเอง”

“เจ้ามันก็อย่างนี้ทุกทีแหละสีทันดร คราวที่แล้วมาหลอกให้เราไปแหย่พุงปลาอานนท์ จนไอ้ปลาเวรนั่นสะบัดตัว เรานะ โดนหางมันฟาดไปเต็มๆ กระเด็นไปติดเขาพระสุเมรุแน่ะ เจ้ารู้ไหมคราวนั้นน่ะ เกิดโกลาหลที่โลกมนุษย์เลย แผ่นดินไหวไปทั่ว พระมหาวิษณุกริ้วมาก พ่อเรากริ้วจนเกือบจะฆ่าเราแน่ะ ส่วนเจ้าก็บอกอย่างนี้แหละ บอกว่าจะรับผิดชอบ พอเป็นเรื่องขึ้นมาก็หายหัวไปหลบหลังพระมหาเทวี ออกมารับเสียที่ไหน เราเลยซวยคนเดียว” นลกุพรทรงตัดพ้อขึ้นมา พระพักตร์คมคายเง้างอยามนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น นึกทีไรก็เจ็บพระทัยทุกที

“โธ่ นล เรื่องมันก็แล้วไปแล้วน่า นึกถึงมุจลินทร์ไว้สิ สองสามวันก่อน ยังบ่นหาถึงนลอยู่เลยนะ” สีทันดรพยายามใช้ลูกอ้อน โกหกนิดๆหน่อยๆคงไม่เป็นอะไรหรอก

“เจ้าพูดจริงเหรอมุจลินทร์คิดถึงนล”

“ก็จริงสิ เราเคยโกหกนลเหรอ” พระเนตรฟ้าครามใสแป๋ว เปล่งประกายวิบวับ “เราไม่เคยโกหกเจ้าครั้งเดียว จริงๆนะ”

“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าไม่เคยโกหกเราครั้งเดียว”

“เอ่อออ เราพูดผิดน่ะ เราจะพูดว่า เราไม่เคยโกหกเจ้าสักครั้งเดียว”

“ไม่จริงหรอก ตลอดแหละ เจ้าน่ะ ...ท่านเองก็ต้องระวังตัวนะท่านสุริยาทิตย์ เห็นสีทันดรมันอย่างนี้ มันร้ายจะตาย”

“เรียกเราว่าอัสดงดีกว่า เรารู้แล้วว่าร้ายแค่ไหน แล้วเราก็รู้วิธีกำราบเด็กดื้อเด็กซนแล้วด้วย” อัสดงตอบนลกุพรมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรแล้วหลังจากที่รู้ว่า นลไม่ใช่เสี้ยนหนาม

“ได้สิอัสดง แล้วเจ้าปราบสีทันดรยังไง” นลกุพรแย้มยิ้มตอบ ถามกลับด้วยความอยากรู้รวดเร็ว

“ก็แค่เอาปาก....”

“หยุดนะ ไอ้ไฟบ้า ถ้าเจ้าพูดขึ้นมาเราโกรธเจ้าจริงๆด้วย”

สีทันดรตวาดแว้ดมาทันที เพราะรู้ว่าอัสดงจะพูดอะไร คนอะไรทำในที่ลับแล้วจะมาไขในที่แจ้ง  พูดไปก็มีแต่จะเสียหาย รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ทั้งโดนกอดโดนจูบคง งามหน้านัก นลกุพร ได้ฟังครึ่งๆกลางๆ ก็พอเดาออกว่าอัสดงปราบยังไง

“ เอาล่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด รีบไปเอาดอกบัวเพลิงนั้นเถอะ ยืนคุยกันอยู่ได้เราเสียเวลามากแล้ว เราจะไปเริ่มที่ไหนกันดี”

“ไม่ต้องเริ่มที่ไหนหรอก อยู่ที่นี่แหละ อยู่ใจกลางอโนดาตนี่เอง แต่มันก็ไกลหลายโยชน์อยู่”

“แล้วเราจะบุกเข้าไปซึ่งๆหน้าอย่างนี้น่ะเหรอ เราว่าลอบเข้าไปเอาไม่ดีกว่าหรือไง” อัสดงเสนอ

“ลอบไปเอากับบุกเข้าไป ยังไงซะพวกเราก็เลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกวิทยาธรไม่ได้อยู่ดี บุกไปแบบนี้ดีแล้ว นลจะรับหน้าด่านแรกกันพวกวิทยาธรส่วนหนึ่งไว้ ส่วนเราจะคอยช่วยเจ้ายามไปเอาดอกบัว”

“แล้วเราจะไปกันยังไง ลอยไป หรือต้องว่ายน้ำไป” อัสดงถามด้วยความที่ยังไม่กระจ่างในแผนการ

“เจ้านี่มันเขลาจัง จะว่ายน้ำไปหรือเหาะไปทำไมให้เหนื่อย เรามีวิธี ....ว่าแต่ เจ้าเอาสร้อยของเราที่เจ้าเก็บไว้คืนให้เรามาก่อน เร็วสิ”

“ได้สิ อ่ะ เอาไป”

อัสดงคลายมนต์บังตาแล้วถอดสร้อยนาคาที่สวมไว้คืนไปให้เจ้าของตามที่ขอทันที อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้านาคดื้อนี่จะทำอะไร ส่วนสีทันดร พอได้สร้อยคืนก็หลับตาแน่นิ่งบริกรรมพระคาถา พอแบพระหัตถ์ออกมาสร้อยนาคาก็ลอยละลิ่วลงสระอโนดาต กลายเป็นนาคยักษ์ใหญ่ เทวดาที่เล่นน้ำอยู่ในละแวกนั้น รีบเหาะขึ้นจากน้ำทันใด แล้วแตกตื่นแยกย้ายหายไปหมดสิ้น อัสดงจ้องมองอย่างตาค้าง จำได้ว่านี่มันนาคตัวที่เขาสังหารไปเมื่อคืนก่อน แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จำได้ว่าเผาวอดไปแล้วหรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวพันกัน

“นี่มันนาคตัวที่เราสังหารไปเมื่อสองวันก่อนนี่นา มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไอ้ดื้อ”

“โอ๊ยยย ตัวเดียวกันที่ไหน คนละตัวกัน แต่สร้างมาจากอาคมบทเดียวกัน อุ๊ย...” ไอ้ดื้อจะปิดปากก็ไม่ทันซะแล้ว เรื่องที่แกล้งเขาไว้มันหลุดมาทั้งยวง

“นี่เจ้า....เจ้าเองใช่ไหมที่ส่งนาคตัวนั้นไปทำร้ายเรา เจ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”

อัสดงปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ทันที ที่แท้นาคตัวนั้นก็มาจากไอ้ดื้อเอง มันน่านัก ว่าแล้วอัสดงก็จับข้อพระกรแน่น แล้วดึงเข้ามาหวังจะลงโทษอย่างที่เคยทำ สีทันดรได้แต่ร้องลั่นให้นลกุพรช่วย นลได้แต่ยืนนิ่งอมยิ้มดูสหายก่อนจะช่วยห้ามทัพ

 “ เอาล่ะ พอก่อนอัสดง เดี๋ยวเจ้าสองคนค่อยมาทะเลาะกันต่อรีบไปกันเหอะ”

อัสดงได้แต่เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยอมยุติ ส่วนไอ้ดื้อพอหลุดออกมาได้ ก็รีบไปหลบหลังยักษ์นล “ทำบ้าอะไรของเจ้า ผีเข้าหรือไง แกล้งนิดแกล้งหน่อยทำมาเป็นโมโห ...แล้วก็มัวยืนทื่ออยู่นั่นแหละ รีบขึ้นไปหลังนาคสิ จะได้รีบไปกัน”

สิ้นพระสุรเสียง อัสดงก็ขึ้นไปบนหลังพญานาคตัวใหญ่ ตามด้วยนลกุ....สีทันดรนั้นเห็นว่าขึ้นไปกันเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้นาคตัวนั้นแหวกว่ายไปกลางน้ำ แล้วตนเองก็จำแลงกายกลายเป็นนาคาสีขาวเจิดจรัสแหวกว่ายเคียงคู่สู่จุดหมายแห่งดอกบัวเพลิง

นาคาตัวใหญ่แหวกว่ายจนมาถึงกลางน้ำ เริ่มลดเลี้ยวผ่านชั้นดอกบัวกอใหญ่ยักษ์ ที่ขยายกลีบเบ่งบานรับแสงตะวันอันตระการตายิ่ง แต่สายตาของอัสดงมิได้จับจ้องเหลียวแล เพราะตนเองนั้นกำลังมอง นาคาสีขาวเจิดจรัส ที่ว่ายน้ำเคียงคู่นั้นต่างหาก ลำตัวช่างขาวพิศุทธิ์ หงอนสีทองสุกใส ช่างงามจับใจ

‘เราอยากเปลี่ยนไปขี่หลังเจ้าจัง สีทันดร’

อัสดงเขินตัวเองเหมือนกันที่อดคิดอย่างนั้นมิได้จริงๆ จู่ๆ สายลมอ่อนๆ พาพัดเอากลิ่นหอมหวลของดอกบัวมากระทบปลายจมูก กลิ่นดอกบัวนั้นหอมเสียยิ่งนัก ยามสูดดมสร้างความเคลิบเคลิ้มเป็นที่ยิ่ง ประสาทสัมผัสทั้งมวลเริ่มถูกครอบงำด้วยกลิ่นหอมตลบ ม่านตาหนาหนักเริ่มจะปิดลงให้จงได้เรี่ยวแรงหดหายพลัน นลกุพรเองก็ตกอยู่ในมนต์สะกดของกลิ่นหอมเช่นกัน สีทันดรที่อยู่ในร่างนาคาเห็นท่าไม่ดี จึงสะบัดหางกระแทกน้ำเสียงดังสนั่นเพื่อดึงทั้งสองกลับสู่ภาวะปกติ สุรเสียงใสส่งเข้าทางจิตของอัสดงกับนลกุพรพลัน

“กลิ่นดอกบัวพวกนี้อันตรายนัก มันจะทำให้เจ้าสองคนหมดสติ ตั้งจิตไว้ให้มั่น นึกถึงพระมหาเทพ แล้วปิดจมูกเสีย”

ทั้งสองรีบทำตามคำสั่งของสีทันดร ปิดจมูกแน่นตั้งจิตแน่วแน่ถึงพระมหาศิวะกับพระมหาวิษณุ กลิ่นหอมนั้นเหมือนจะรู้ว่าคนทั้งสองพยายามปิดนาสิก ก็เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อัสดงแทบทนไม่ไหว กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ว่า

“เผามันเลยดีไหม นล”

“อย่าเผา เดี๋ยวควันไฟจะเป็นที่สังเกตได้ ทนอีกนิด เราจะพ้นกอบัวนี้แล้ว” ทั้งสองอดทนกลั้นใจอยู่อีกสักพักจนปวดหัวตื้อไปหมดพอเลยผ่านกอดดอกบัวนั้นมาได้ อากาศสดใสก็ถูดสูดเข้าเต็มปอดอีกครา

“โล่งงงง เห็นกลิ่นหอมอย่างนี้ ทำไมพิษสงร้ายนัก”

“เราก็ลืมเตือนเจ้าไปอัสดงว่ากอบัวกอนี้มันอันตราย เราก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน ใครที่หลงเข้ามาในกอบัวนี้ หากสูดดมกลิ่นเข้าไปมากๆ จะทำให้หมดสติลงไปนอนนิทราแอ้งแม้งอยู่ใต้น้ำ โชคดีนะเนี่ยสีทันดรยังมีสติอยู่ ....แต่ตอนนี้เตรียมตัวให้พร้อมเหอะ  เราจะเข้าเขตอัคคีสัตตบงกชแล้ว”

สิ้นคำของนลกุพร พื้นน้ำใสกระจ่างก็ปรากฏควันสีขาวพวยพุ่ง น้ำที่เคยใสเย็นกลับเดือดปุดๆอยู่ทั่ว อัสดงลองเอานิ้วจิ้มลงไปก็ต้องรีบชักมือกลับ นี่มันน้ำเดือดชัดๆ อานุภาพความร้อนแรงของดอกบัวเพลิงนี่มันขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำร้อนขนาดนี้แล้วไอ้ดื้อที่ว่ายน้ำอยู่จะเป็นยังไงบ้างชักเป็นห่วงแล้วสิ อัสดงรีบมองหาสีทันดรในร่างนาคด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ต้องใจเสียเพราะสีทันดรหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“มองหาอะไรอัสดง”

“ก็มองหาไอ้นาคดื้อน่ะสิ ไปไหนแล้ว น้ำร้อนขนาดนี้ไม่สุกไปหมดแล้วเหรอ”

“ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก เขาเป็นเทวนาคา เอาตัวรอดได้น่า ตอนนี้ห่วงเราสองคนกันเหอะ โน่นเจ้าถิ่นมาโน่นแล้ว”

นลกุพรชี้ไปยังแสงสว่างวิบๆ หลายๆดวงที่ลอยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พอถึงระยะสายตาจับภาพชัดก็พบว่า ในแสงนั่นคือบุรุษตัวใหญ่กำยำ แต่งตัวเหมือนพวกเทวดาที่เคยเห็นตามผนังโบสถ์ ในมือถืออาวุธครบครัน ชายเหล่านั้นถามขึ้นด้วยเสียงแข็งกร้าวทันใดว่า

“พวกเจ้าเป็นใคร ...เข้ามาที่ได้อย่างไร บริเวณนี้เป็นเขตหวงห้าม”

“เราหลงทางมา น่ะพี่ชาย พอดีว่ายน้ำเล่นอยู่ตรงริมอโนดาต แข่งกับเพื่อนช่วยกันจับนาค พอจับได้ก็เลยขึ้นขี่ไกลมาถึงนี่” นลกุพรกล่าวสวนกลับไป แล้วแอบสะกิดเตือนอัสดงให้เตรียมพร้อม

“โกหก ...เราเห็นตั้งแต่พวกเจ้าผ่านกอบัวมาแล้ว บอกเรามาตรงๆ ว่าจุดประสงค์ของพวกเจ้าคือสิ่งใด”

“ก็บอกแล้วไง ว่าหลงทางมา หูหนวกหรือไงพี่ชาย” นลกุพรเริ่มยวน

“ไอ้ยักษ์เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่ามาสามหาว ...ไสหัวกลับไปกินนมแม่เจ้าซะ”

“อ้าวววววว เล่นถึงแม่เลยเหรอ อย่างนี้ก็สวยสิ เห็นทีจะได้กระทืบปากผู้ใหญ่ก็คราวนี้แหละ”

ว่าแล้วนลกุพรก็สำแดงเดช กระโดดลงจากหลังนาคยักษ์ ลอยลงมายืนประจันหน้ากับพวกวิทยาธรกลุ่มใหญ่ แล้วกระทืบเท้าลงไปบนผืนน้ำนั้น ด้วยแรงมหาศาลของเจ้าแห่งยักษ์ ทำให้เกิดระลอกคลื่นสั่นไหวไปทั่ว บรรดาร่างของวิทยาธรทั้งหลาย ทรงกายไว้ไม่อยู่ล้มระเนระนาด นลกุพรไม่หยุดอยู่แค่นั้น เป่าลมออกจากโอษฐ์ก่อพายุลูกใหญ่ พัดพาร่างของพวกวิทยาธรกระเด็นไปไกล พวกที่จัดว่ามีฤทธิ์เยอะหน่อย รีบใช้อาคมต้านแรงพายุนั้นไว้ แล้วสาดอาวุธเข้ามายังร่างของนลกุพร

นลกุพรใช้ฝ่ามือยกขึ้นกลางอากาศห้ามอาวุธที่สาดซัดเข้ามานั้นด้วยม่านอาคม พอสะบัดมืออีกที อาวุธนั้นก็ลอยละลิ่วกลับคืนไปยังเจ้าของ พวกที่หลบได้ก็โชคดี แต่พวกที่หลบไม่ได้ก็ถูกอาวุธของตนซัดกลับเข้ามาทำร้าย บาดเจ็บแดดิ้น แสงสว่างวาบหลายดวงเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วกลายเป็นวิทยาธรอีกกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเสริมกำลัง อัสดงรีบหงายฝ่ามือขึ้นพลัน ดึงจักรเพลิงออกมาใช้ แล้วเหวี่ยงซัดไปทางวิทยาธรกลุ่มนั้น ก่อเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทดังลั่น เปลวเพลิงสุริยเทพโหมกระหน่ำลุกโชนเผาไหม้ร่างกายของบรรดาวิทยาธร จนมอดไหม้กลายเป็นธุลี แต่ดูเหมือนว่ายิ่งทำลายมากเท่าไร วิทยาธรก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่านั้น

“อัสดงอย่าชักช้า รีบไปเอาดอกบัวเพลิงซะ ทางนี้เราจัดการเอง ไม่ต้องห่วง”

“ไหวเหรอนล ....พวกนั้นมาสมทบกันอีกแล้วนะ แล้วเจ้าคนเดียวไหวแน่เหรอ” อัสดงกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เขามิใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะเอาตัวรอด

“ไปเถอะ สบายมากแค่นี้เอง เยอะกว่านี้ก็เคยมาแล้ว ไปสิเร็วเข้า เจ้าเห็นแสงสว่างลิบๆนั่นไหม นั่นแหละ ดอกบัวเพลิงอยู่ข้างหน้านั่น”

นลกุพรกล่าวสำทับมาอีกครั้ง อัสดงจึงต้องจำใจผละจากนล แล้วลอยขึ้นฟ้ามุ่งไปยังด้านหน้า ตามที่นลกุพรชี้บอกทางให้ แสงสว่างลิบๆ แต่ไอร้อนรุนแรงมาถึงนี่ ไม่ผิดแน่ อัสดงหันลงไปมองด้านล่างอีกครั้ง ก็เห็นนลกุพรกำลังจัดการกับพวกวิทยาธรอย่างมันมือ ส่วนวิทยาธรหลายตน เห็นอัสดงลอยขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังสิ่งที่ตนหวงแหนก็ไม่รอช้ารีบลอยตามมาประกบทันที เสียงห้าวกังวานตะโกนก้อง   

“มีผู้บุกรุก จับตัวไว้ เด็กสองคนนี่ จะมาชิงอัคคีสัตตบงกช จัดการอย่าให้หลุดรอดไปได้”

วิทยาธรที่ลอยตามมาด้านหลังต่างขยับอาวุธในมือพุ่งซัดใส่อัสดงที่ลอยอยู่ด้านหน้า แต่ก่อนที่อาวุธเหล่านั้นจะถึงตัวเด็กหนุ่ม แส้เพลิงอันร้อนแรงก็ฟาดฟันมาพร้อมๆกับกับรัศมีเขียวเจือทองสว่างวาบกลางท้องฟ้าครั้นพอสลายก็กลายเป็นสีทันดร ที่คืนร่างกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว สุรเสียงที่เคยเสนาะแข็งกร้าว ตวาดก้องนภากาศ

“พวกเจ้าอย่าหมายบังอาจขัดขวางเรา เราต้องการอัคคีสัตตบงกช ถอยไปเสีย”

“เจ้านาคน้อย ... อัคคีสัตตบงกชเป็นของสูง แลได้ถวายเพื่อบูชาพระแม่เจ้าลักษมีเทวีแล้ว เจ้านั่นแหละอย่าบังอาจ ถึงเจ้าจะมีศักติสูงส่ง เราก็หาเกรงเจ้าไม่”

วิทยาธรตนหนึ่งกล่าวตอบมาแล้วยกดาบพุ่งมายังสีทันดร อัสดงที่ลอยอยู่ด้านหน้าหันกลับมาดู ก็เห็นว่าหัวใจดวงน้อยๆ กำลังจะถูกทำร้ายจึงหันกลับมาช่วย แต่ก่อนที่อัสดงจะมาถึง เจ้านาคน้อยก็ตวัดแส้เพลิงมาอีกครั้งฟาดดาบหักเป็นสองท่อน ข้อพระหัตถ์ควงเป็นวงกลมทำให้ปลายแส้หมุนคว้างแล้วซัดปลายแหลมของดาบนั้นคืนไปยังเจ้าของ ปลายดาบอันคมกริบเสียบเข้ากลางอกวิทยาธรตนนั้นแม่นเหมือนจับวาง ก่อเกิดเสียงโอดครวญดังลั่นพร้อมๆกับร่างที่ดิ้นเร่าเริ่มสลายกลายเป็นธุลี  ส่วนพวกวิทยาธรที่เหลือเห็นสหายพลาดท่าก็กรูกันเข้ามาซัดอาวุธเข้าใสสีทันดรไม่ยั้ง สีทันดรเองก็ควงแส้ในมือโผนทะยานเข้าโรมรันทันที

อัสดงใจหายวาบกลัวว่าสีทันดรจะเสียที จึงรีบกระโจนฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วยรับมือ เปลวเพลิงในมือซัดใส่วิทยาธรที่กำลังมะรุมมะตุ้มกระเด็นกระดอนไปไกล ความรู้สึกตอนนี้ เขารู้สึกห่วงสีทันดรอย่างบอกไม่ถูก พอเข้าถึงตัวสีทันดรได้ก็รีบกุมพระหัตถ์น้อยนั้นไว้แน่น

“ไอ้ดื้อ เรามาช่วยเจ้าแล้ว...เจ้าไม่ต้องกลัว”

 “เราไม่ได้กลัว เจ้ากลับมาทำไม เจ้าไม่ต้องห่วงทางนี้ ...เรารับมือได้ รีบไปเอาดอกบัวเร็วเข้า”

“แต่เราเป็นห่วงเจ้า สีทันดร” อัสดงตะโกนก้องสวนกลับมา

“ไม่ต้องห่วง เราเอาตัวรอดได้ รีบไปเถอะ ดอกบัวอยู่ข้างหน้านั่น ไปสิ”

สีทันดรกล่าวตอบมาทันควัน แส้ในพระหัตถ์ยังคงหมุนเป็นจักรผันฟาดไปทางใด วิทยาธรก็มีอันสลายไปเสียสิ้น ถึงแม้เจ้านาคน้อยจะบอกว่ารับมือได้แต่อัสดงก็ยังคงลังเล ใครบ้างเล่าที่จะปล่อยให้หัวใจตนอยู่ในอันตราย ถึงสีทันดรจะเก่งแค่ไหนแต่ก็ยังเด็กนัก จะทันเล่ห์เหลี่ยมพวกวิทยาธรได้ไหม มันไม่คุ้มกันเลยถ้าช่วยชีวิตเอราวัตได้แล้วหากอีกคนต้องบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เริ่มเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจทั้งสี่ห้องของตน  คอยดูนะหากสีทันดรพลาดท่าและเป็นอะไรไปหรือมีแม้แต่รอยขีดข่วน เขาจะฆ่าล้างบางพวกวิทยาธรให้หมดและจะไม่ให้อภัยตนเองตลอดชีวิต ส่วนสีทันดรเห็นอัสดงยังเฉยอยู่จึงกล่าวสำทับมาอีกครั้ง

“ไปเถอะ เราดูแลตัวเองได้ อย่าชักช้าเดี๋ยวไม่ทันการ”

“แต่ .....เรา”

“ไม่มีแต่...ไปซะ”

แส้ในพระหัตถ์สะบัดพลันตวัดรัดเอวอัสดงไว้แน่น ตั้งพระทัยหมายจะเหวี่ยงอัสดงออกจากวงล้อมแต่แล้ววงแขนแข็งแรง กลับฉุดรั้งบั้นพระองค์แน่นแล้วดึงวรองค์นั้นมากอดไว้ น้ำเสียงหนักแน่นของสุริยเทพน้อย กระซิบข้างพระกรรณว่า

“เราไปก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับเรานะว่าเจ้าต้องสู้อย่างระวังตัว จะเป็นอะไรไปไม่ได้ หากตอนนี้จะถามเราว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดเราบอกได้เลยว่าไม่ใช่ดอกบัว แต่เป็นเจ้าคนเดียวเท่านั้น สีทันดร”

 หากเป็นยามปกติสีทันดรคงอายม้วน แต่ยามนี้อยู่ในเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทำได้เพียงแค่ยิ้มให้อัสดง แล้วพระกรน้อยๆก็ดันร่างแข็งแรงนั้นออก ตวัดแส้ในมือเหวี่ยงอัสดงออกจากวงล้อมพลัน หันพระพักตร์เผชิญหน้ารับมือพวกวิทยาธรต่อ เสียงก้องกังวานแห่งสุริยเทพยังคงดังกลับไปกลับมาอยู่ในพระโสต พระพักตร์ใสซึมซับด้วยสีชมพูอมแดงระเรื่อ หากอัสดงทราบความในพระทัยขณะนี้ก็คงจะดีไม่น้อยเพราะเจ้าตัวได้ตอบรับในพระทัยแล้วว่า

‘เราเองก็ห่วงเจ้าเช่นกัน เจ้าคนเกเร เจ้าต้องเอาดอกบัวมาให้ได้ แล้วกลับมาบอกเราให้ชัดๆอีกครั้งว่า เราสำคัญกับเจ้าอย่างไรอัสดง’
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ อัพ ๑๓ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 13-05-2019 17:53:44
อัสดงเมื่อถูกเหวี่ยงลอยละลิ่วออกมา จำต้องกลั้นใจมุ่งหน้าไปยังดอกบัวเพลิงที่ส่องแสงประกายเจิดจ้าอยู่ด้านหน้า ใจหนึ่งยังคงห่วงสีทันดร อีกใจหนึ่งก็อยากจะไปเอาดอกบัวเพลิงมาซะจะได้จบๆเรื่อง แต่เอาเหอะ ดอกบัวลอยเด่นอยู่นั่น ใกล้แค่เอื้อมแล้ว เด็ดมาแล้วรีบไปจัดการไอ้พวกนั้นก่อนที่สีทันดรจะรับมือไม่ไหว อัสดงจึงเหยียดกายลอยไปด้านหน้า และบัดนี้เขาก็ลอยอยู่เหนือผิวน้ำใสกระจ่างที่มีไอร้อนคละคลุ้ง ครั้นพอลอยเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นว่าดอกบัวเพลิงดอกนั้นก็คือดอกบัวธรรมดาๆนี่เองเพียงแต่รัศมีเจิดจ้าเสียยิ่งนัก ไอร้อนยังคงแผ่กำจายโดยทั่ว แต่แล้วฉับพลัน ดอกบัวที่แสนจะธรรมดาก็ปรากฏเปลวเพลิงน้อยๆละโลดไล่มาตามกลีบ และเปลวเพลิงนั้นก็ขยายวงกว้าง หมุนติ้วกลายเป็นจักรเพลิงอันร้อนแรงหมุนคว้างครอบคลุมไว้ตั้งแต่ดอกจรดโคนโดยถ้วนทั่ว  อัสดงหดมือกลับทันใด ในเมื่อดอกบัวดอกนี้มีจักรเพลิงห่อหุ้ม เห็นทีเขาคงต้องใช้จักรเพลิงของเขาจัดการดูบ้าง

อัสดงจึงสะบัดมือออก เปลวเพลิงแห่งสุริยเทพ สำแดงเดชรวมตัวเป็นจักรเพลิงร้อนแรงเช่นกัน สุริยเทพน้อยไม่รอช้า ขว้างจักรออกไป ทันทีที่จักรทั้งสองประสานกันก็เกิดเสียงดังกัมปนาทสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว คมจักรแต่ละคม ต่างเสียดสีก่อเกิดประกายไฟลูกมหึมากระเด็นกระดอนไปโดยรอบกระทบร่างวิทยาธรทั้งหลายที่สู้กับนลกุพรอยู่เหนือพื้นน้ำ นลกุพรเองก็ใช่ว่าจะไม่โดน เจ้านลยักษ์เขี้ยวแก้วจึงสร้างม่านอาคมกำบังไว้แล้วอาศัยจังหวะนั้นลอยไปหาสีทันดรที่ลอยโรมรันอยู่กลางฟ้าสู้กับวิทยาธรอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนวิทยาธรกลุ่มที่กำลังสู้อยู่กับสีทันดรนั้นก็ไม่แคล้วโดนไฟครอกเช่นกัน แต่กลุ่มนี้ท่าจะโดนหนักหน่อยเพราะไหนจะแส้เพลิงไหนจะสะเก็ดเพลิง ทำให้ต้องหลบกันจ้าละหวั่น

เปลวเพลิงขณะนี้เริ่มแตกกลุ่มกระจายไปทั่ว ทางด้านตัวสีทันดรเองก็รีบดึงน้ำมาเป็นม่านกำบังไว้ แล้วสั่งให้นาคายักษ์ที่แหวกว่ายอยู่ด้านล่าง พ่นน้ำสกัดเพลิงมิให้ลอยไปยังป่าหิมพานต์โดยรอบก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่โตจนไฟไหม้ป่า

“พ่นน้ำไว้ อย่าให้ไหม้ป่า”

 นลกุพรเมื่อลอยมาถึงสีทันดรแล้วก็ช่วยสร้างม่านอาคมกั้นเพลิงเอาไว้อีกชั้นกันไม่ให้ไฟโหมไปมากกว่านี้ เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วรีบกล่าวมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “สีทันดร ถ้าไฟยังโหมอยู่อย่างนี้ เรารับมือกันไม่ไหวแน่ บอกอัสดงให้หยุดเพลิงไว้ก่อนดีกว่า เร็วๆเข้า”

“หยุดได้ที่ไหนกันนล ตอนนี้เขากำลังจะเด็ดดอกบัวได้อยู่แล้ว ทนอีกนิดนะนล”

“ก็บอกให้มันทำเร็วๆหน่อย นลจะรับไม่ไหวแล้ว”

ระหว่างนั้น จักรกับจักรยังคงโรมรันกันอยู่ แต่ไฟที่ไหนจะสามารถสู้กับไฟแห่งสุริยเทพได้ อัสดงสำรวมจิตแน่นิ่งส่งพลังไปยังจักรเพลิงอีกครั้ง แล้วจักรของเขาหมุนคว้างเพิ่มความเร็วจนเป็นสุญญากาศ.... และแล้วก็ตัดจักรเพลิงของอัคคีสัตตบงกชขาดสะบั้น เปลวไฟกระจายขึ้นฟ้าไกลหลายโยชน์ แสงสว่างวาบแสบตายิ่งนัก  แรงปะทะทำให้ม่านอาคมของนลกุพร สลายพลัน ทั้งนลทั้งสีทันดรล้มครืนตกลงกับพื้นน้ำ นาคายักษ์ที่พ่นน้ำดับไฟอยู่กระเด็นลิ่วพลันสลายคืนกลับกลายเป็นสร้อยพระศอสู่หัตถ์แห่งเจ้าของ  เปลวเพลิงพวยพุ่งโหมกระหน่ำกระจายทั่วสารทิศ พุ่งเป็นลำมุ่งสู่ป่าหิมพานต์

“ซวยแล้วนล ไฟไหม้ป่าแล้ว ทำไงดี”

“ก็ช่วยกันดับสิ....เร็วเข้า” นลตอบกลับแล้วกลายร่างเป็นยักษ์สูงใหญ่ก้มลงอมน้ำในอโนดาตแล้วพ่นดับไฟที่กำลังเผาไหม้แนวป่า สีทันดรก็ไม่รอช้า คืนร่างเป็นนาคช่วยกันพ่นน้ำดับไฟเช่นกัน ก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้

อัสดงก็ไม่รอช้าใช้จังหวะที่ไฟแห่งอัคคีสัตตบงกชถูกทำลาย เอื้อมมือเข้าไปถอนบัวดอกนั้น แต่พอมือจะถึงก้าน รัศมีสีชมพูอมทองสว่างวับระยิบระยับก็ปรากฏขึ้นเหนือดอกบัวนั้น ทำให้เปลวเพลิงโดยรอบสงบนิ่งลงโดยพลัน กลิ่นควันไฟถูกกลบด้วยกลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอม ไอร้อนแรงแห่งเปลวเพลิงถูกแทนที่มาด้วย บรรยากาศฉ่ำเย็นยะเยียบเข้าจับหัวใจ

สีทันดรและนลกุพรสัมผัสได้รีบคืนสู่ร่างปกติเมื่อเห็นรัศมีนั้น พวกวิทยาธรก็เช่นกันรีบทรุดกายลงหมอบราบกราบลงกับพื้นน้ำ เหลือแต่อัสดงที่ยืนจังก้าท้าทาย  ครั้นพอรัศมีสว่างไสวจางลง ก็พบว่า เหนือนภากาศนั้นมีสตรีที่งามเสียยิ่งกว่างามผู้หนึ่ง ประทับยืนเด่นเป็นสง่าในภูษาทรงเยี่ยงนางกษัตริย์ชั้นสูง พรั่งพร้อมด้วยปวงเครื่องถนิมพิมพาพรล้ำค่า วงพักตร์นั้นกระจ่างใสชวนมองและมองได้ไม่รู้เบื่อ ดุจมีดาวส่องแสงเจิดจรัสนับร้อยนับพันดวงแตะแต้มอยู่ โอษฐ์สีกลีบบัวแย้มยิ้ม สุรเสียงใสปานระฆังแก้ว หากแต่ทรงไว้ด้วยอำนาจ ตรัสโดยพลันว่า

“ช้าก่อน อณูแห่งสุริยเทพ ดอกบัวนี้เป็นของเรา วิทยาธรเหล่านี้ ได้บูชาเราเพื่อเป็นการสักการะแล้ว เจ้าบังอาจและกล้าดีอย่างไร”

อัสดงชักมือกลับและกำลังจะเอื้อนเอ่ยถามว่าสตรีผู้นี้คือใคร เหตุไฉนจึงมาขัดขวาง แต่แล้วสีทันดรกับนลกุพรก็รีบลอยข้ามารวมกลุ่ม แล้วรีบดึงให้อัสดงทรุดตัวลงนั่ง คุกเข่าแล้วหมอบราบกราบลง นลกุพรรีบบอกอัสดงทันใด

“พระมหาลักษมีเทวี..... กราบเร็วนั่งทื่ออยู่ได้ เดี๋ยวโดนลงอาญาหรอก”

“ทูลทราบพระแม่เจ้า ขอพระองค์โปรดเมตตา หม่อมฉันกับสหายมิได้ตั้งใจล่วงละเมิด และไม่ทราบมาก่อนว่า ดอกบัวเพลิงนี้นั้นได้ถูกถวายให้กับพระแม่เจ้าแล้ว หม่อมฉันเพียงแต่ต้องการนำไปช่วยสหายอีกคนที่กำลังบาดเจ็บ” สีทันดรรีบทูลตอบแทนอัสดงหัตถ์พนมระหว่างพระอุระยามกราบทูล

“อ้อ เจ้ามาอยู่นี่เองเหรอ สีทันดร เอ๊ะ นลกุพรก็ด้วย อย่าบอกเรานะว่าเจ้าสองคนก่อเรื่องและเป็นตัวต้นเหตุ อีกทั้งยังมีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ จนเกือบจะทำให้ไฟไหม้หิมพานต์”

“เป็นเด็กพวกนี้แหละพะยะค่ะ พวกข้าพระพุทธเจ้าพยายามขัดขวางแล้ว” วิทยาธรตนหนึ่งรีบทูลฟ้อง

“สอด....พระแม่เจ้าไม่ได้ตรัสกับเจ้า สาระแน” สีทันดรแหวใส่วิทยาธรตนนั้นโดยพลัน

“นี่ให้มันน้อยๆหน่อย สีทันดร นี่ต่อหน้าเรานะ เรารู้หมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มาที่นี่ เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ อยากได้ดอกบัวก็ไม่ยอมขอดีๆ หาเรื่องจนได้ ถ้าเรามาไม่ทันไฟไหม้หิมพานต์มาจะทำยังไง เจ้ารับผิดชอบไหวเหรอ เจ้านี่มันได้นิสัยแบบนี้จากใครมา ”

ครานี้สีทันดรโดนเอ็ดมาบ้าง แต่พระพักตร์แห่งนาคาน้อยยังไม่สลดกลับยิ้มอยู่อย่างนั้น อัสดงได้แต่มองวงพักตร์ทั้งสองกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น วงพักตร์แรกคือพระพักตร์แห่งมหาเทวีผู้งามงดเหยียบสามโลกยากจะหาผู้ใดเทียมเท่า ใครเห็นก็หลงใหลแม้แต่พระมหาวิษณุหนึ่งในสามมหาเทพ ยังอดพระทัยไม่ไหวจนต้องเชิญเสด็จมาเป็นเอกอัครมเหสีคู่พระบารมี ส่วนวงพักตร์อีกวงหนึ่งนั้นก็งามราวกับถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกัน ต่างกันที่ไอ้ดื้อมีรัศมีไม่เจิดจ้าเท่าและเป็นผู้ชาย ....แล้วทำไมพระแม่เจ้าพระพักตร์ถึงได้คล้ายกับสีทันดรนัก

ด้วยวาระจิตที่สูงส่งกว่า จิตและความคิดที่ด้อยกว่าจึงถูกดักได้ พระมหาลักษมีเทวีทราบความในใจของอัสดงหมดสิ้น ทรงพระสรวลน้อยๆ แล้วตรัสขึ้น  “จะไม่ให้เหมือนกันได้อย่างไร ต้นกำเนิดเจ้ายังมีอณูอย่างเจ้าได้ แล้วไยเราจะมีบ้างไม่ได้ และถ้าจะพูดให้ถูกควรพูดว่า ไอ้ดื้อของเจ้านั้น เหมือนเราน่าจะเหมาะกว่า”

“ถ้างั้นก็ทรงได้คำตอบแล้ว ว่าหม่อมฉันซนเหมือนใคร”

สีทันดรทูลมาปนหัวเราะ นลกุพรก็พลอยเริ่มหัวเราะไปด้วย อัสดงก็ได้แต่แย้มยิ้ม เข้าใจที่พระแม่เจ้าตรัส และสิ้นสงสัยแล้ว แต่เจ้านาคน้อยนี่มันไม่เกรงกลัวอะไรจริงๆ ขนาดพระแม่เจ้านะ  ยังกล้าย้อน แสดงให้เห็นเลยว่า ไอ้ดื้อนี่ท่าทางจะเป็นตัวโปรด

“เหอะเดี๋ยวเราก็ลงโทษเจ้าเท่านั้นสีทันดร ยังมาหัวเราะระรื่นกันอีก เรื่องปลาอานนท์เรื่องเก่ายังไม่จางหาย ยังมาก่อเรื่องใหม่อีก เราจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี” พระสุรเสียงปานระฆังแก้วเข้มขึ้นแต่ก็ไม่มากนัก อีกทั้งพระเนตรคู่งามยังฉายแววเอ็นดูอยู่ สีทันดรเลยรู้ว่าองค์เองคงมิโดนลงโทษอะไรหรอก  ตั้งใจจะกราบทูลออกรับแต่ก็มิทันอัสดง

“เรื่องดอกบัว เกล้ากระหม่อมขอรับผิดชอบเองพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมเป็นคนวางแผนทั้งหมดเอง”

“ทำไมเจ้าถึงออกรับล่ะ สุริยาทิตย์ เราว่าคนวางแผน คนก่อเรื่อง น่าจะเป็นสีทันดรนะ”

“พระแม่เจ้าคงทราบเรื่องภารกิจของเกล้ากระหม่อมแล้ว พอดีพระพุธพลาดท่าบาดเจ็บ เกล้ากระหม่อมอยากช่วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้อัคคีสัตตบงกชรักษา จึงชวนไอ้ดื้อ เอ๊ย สีทันดรมาเอาดอกบัว ถ้าจะลงโทษ ลงโทษเกล้ากระหม่อมเถอะ”

“อัสดง.....เจ้ามาออกรับทำไม” สีทันดรกล่าวขึ้นทันที พระเนตรฟ้าครามฉายแววสงสัย

พระมหาลักษมีเทวีได้ทรงสดับตรับฟัง ก็ทรงพระสรวลน้อยๆ แย้มยิ้ม รัศมีสีกลีบกุหลาบแรกแย้มสว่างไสว ก่อนจะตรัสขึ้นว่า    “เอาล่ะ เรื่องลงโทษไว้ค่อยว่ากัน เรารู้เรื่องภารกิจของเจ้าและรู้ว่า อณูแห่งพระพุธบาดเจ็บอยู่ เจ้าอย่าชักช้าเลย เราอนุญาตให้เจ้าเอาดอกบัวไปได้แต่ไม่ต้องเอาไปทั้งดอกหรอก เอาไปแค่กลีบเดียวก็พอรักษาแล้ว”

พระมหาเทวีตรัสจบ ก็กรีดดัชนีตวัดข้อพระกร และแล้วกลีบบัวเพลิงกลีบหนึ่งก็หลุดลอยออกจากดอก ลอยลงมาอยู่ตรงหน้าอัสดง

“พระแม่เจ้าทรงพระเมตตายิ่งนัก  เกล้ากระหม่อมขอนมัสการ” อัสดง สีทันดรและนลกุพรก้มกราบลงพร้อมกัน ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก

“จำไว้ ทีหลังหากมีสิ่งใดติดขัด อย่าผลีผลามและกระทำการหุนหันพลันแล่น เทพผู้ใหญ่หลายๆองค์ยินดีให้ความช่วยเหลือพวกเจ้า คราวนี้เราจะไม่เอาความ แต่อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ...เราต้องไปแล้ว เราขออวยพรให้เจ้าโชคดี และขอให้ภารกิจในการปราบอสูรสำเร็จ”

“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”

“ยังมีอีกเรื่อง หลังจากพระพุธหายดีแล้ว สหายคนที่สี่จะปรากฏตัว พวกเจ้าเตรียมตัวให้ดี ส่วนพวกเจ้าวิทยาธรทั้งหลาย เราขอบใจที่เฝ้าดอกบัวให้เราและดูแลอย่างดี พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว...เราไปล่ะ” สิ้นรับสั่งวิทยาธรทั้งหลายหมอบกราบลงแล้วสลายหายวับไป สีทันดรกับนลกุพรไม่รอช้ารีบกราบถวายบังคมลามาเช่นกัน

อัสดงก็เก็บกลีบบัวขึ้นมาแล้วก้มลงกราบน้อมรับพระเสาวนีย์ ไหนๆก็เป็นบุญตาที่ได้เฝ้าชมพระบารมี มันจะเกินไปไหมหากจะทูลขอพรสักข้อ ก่อนที่พระมหาเทวีจะเสด็จกลับ อัสดงรีบนึกในใจทันใด

“ขอพระเมตตา โปรดประทานให้ความรักของเกล้ากระหม่อมสมหวังด้วยเถิด”

พระมหาเทวีทรงพระสรวลทันทีที่ทรงทราบว่าอัสดงทูลขอพรอะไรไว้ในใจ “ ไยเจ้าขอ ในสิ่งที่ต้นกำเนิดเจ้าขอไว้แล้ว ...ถ้าให้ไปจะดูแลอย่างดีไหมล่ะ”

“ด้วยชีวิตทั้งชีวิตของเกล้ากระหม่อมเลยพะย่ะค่ะ”

“งั้นเราก็ให้ตามคำขอ”

สิ้นพระสุรเสียง รัศมีสีกุหลาบเจือทองก็สว่างวาบทั่วทั้งนภากาศ พอสลายพระวรกายแห่งมหาเทวีก็ไม่อยู่ ณ ที่อโนดาตแล้วสีทันดรได้ยินรับสั่งสุดท้ายโดยตลอด ฟังดูเหมือนกับว่าอัสดงทูลขออะไรสักอย่างและพระแม่เจ้าก็ประทานให้ ลางสังหรณ์บ่งบอกว่า มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับองค์เองแน่ๆ พอเงยพระพักตร์ได้ จึงรีบถามอัสดง

“เมื่อกี้เจ้าทูลขออะไรพระแม่เจ้า บอกเรามานะ”

“ไม่บอก...ไว้เจ้าก็รู้เองคงเร็วๆนี้แหละ รีบไปกันเถอะ ป่านนี้ไอ้กลดกับไอ้เอราวัตรอแย่แล้ว”

“ก็บอกมาก่อนสิ เพื่อนเจ้ายังไม่ตายหรอกน่า” พระหัตถ์น้อยๆเขย่าแขนของอัสดงอย่างกับเด็กน้อยเวลาตื๊อจะขออะไรสักอย่าง ดูแล้วก็น่าเอ็นดูยิ่งนัก แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกว่าขออะไร

“อีกหน่อยก็รู้เองแหละ ไปเหอะ....นลเราไปก่อนนะ ขอบใจนลมากเรื่องวันนี้” อัสดงหันมากล่าวขอบคุณนลกุพรสหายใหม่ ที่ตอนนี้เขาเริ่มสนิทใจกับนลแล้ว เพราะนลไม่ใช่เสี้ยนหนามหัวใจ

“ไม่เป็นไรอัสดง หวังว่าเราคงได้ร่วมรบกันอีกนะ เราก็ต้องกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวพ่อกลับมาไม่เจอตัวจะกริ้วอีก”

“แน่นอน .....แล้วเจอกันนล ไปไอ้ดื้อไปกันได้แล้ว”

อัสดง ตบไหล่เบาๆล่ำลายักษ์เขี้ยวแก้วรูปงามเป็นการส่งท้าย นลกุพรเข้ามากอดลาสีทันดร บอกว่าว่างๆจะไปเยี่ยมที่เมืองมนุษย์ แล้วยังไม่วายกำชับเรื่องที่สีทันดรติดสินบนไว้ “โชคดี ว่างๆ นลจะไปเยี่ยม ...อย่าลืม เรื่องมุจลินทร์นะ”

“แหมมมม นลไม่ได้เลยนะ มุจลินทร์เนี่ย นลออกจะเก่งไม่ลองจีบเองดูล่ะ”

“อย่ามาบิดพลิ้วนะสีทันดร ไม่งั้นเราจะบอกอัสดงให้แกล้งเจ้าหนักๆเลย”

“เออน่ารู้แล้ว ช่วยก็ช่วยสิ ...แต่เหอะพวกเด็กผู้ชายตัวโตๆอย่างพวกเจ้า ทำตัวเก่งไปซะทุกเรื่อง แต่โง่ในเรื่องความรัก แค่นี้ก็ต้องขอให้คนช่วย ลองจีบเองดูสิน่าภูมิใจกว่าเยอะ”

คำพูดของสีทันดรจี้จุดแทงใจดำอัสดง ไอ้ดื้อนี่จงใจว่ากระทบเขาหรือเปล่าหรือว่ามันจะอ่านความคิดออก คงไม่ใช่ เพราะเขาเองก็เพิ่งทูลขอพรพระลักษมีเทวีเรื่องความรัก ใจเขาอยากบอกออกไปนักว่า

‘ไอ้ดื้อเอ๋ย ทำไมเราจะไม่จีบเอง เราก็จีบเจ้าอยู่นี่แล้วไง...เจ้านั่นแหละที่มัวแกล้งทำเป็นไม่รู้  ฉะนั้นเราเลยต้องใช้ตัวช่วย  ก่อนที่เจ้าจะหลุดไปอยู่ในมือคนอื่น’

แม้ใจอยากจะบอก แต่ก็มิได้บอกออกไป อัสดงไม่พูดอะไรต่ออีก แล้วใช้มือฉุดแขนไอ้ดื้อที่ยังยืนอยู่เหนือผืนน้ำออกมาโดยพลัน เขาผิวปากเรียกม้าอุจไฉยศรพด้วยทำนองเดิม สักพักแสงสีแดงสว่างจ้าก็พุ่งตรงลงมากลางน้ำแล้วกลายเป็นม้าสีแดงจอมพยศตัวเดียวกันกับขามา

“เอ้าขึ้นไปสิ รีรอทำไมอีก”

“บอกเรามาก่อนสิ เราอยากรู้นี่ ...ว่าเจ้าขออะไร มันต้องมีอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเราแน่ๆ” สีทันดรไม่วายตรัสถามมาอีกรอบ

“ทำไมจะไม่ดี ในเมื่อเราทูลขอในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า...ไปขึ้นม้าได้แล้ว หากยังสงสัยอีกเดี๋ยวเราจะทำให้เจ้าหยุดสงสัยอย่างที่เคยทำต่อหน้านลเนี่ยแหละเอาไหม สอดรู้ดีนักเจ้านี่”

“อย่านะ... ก็ได้ขึ้นก็ขึ้น ไปล่ะนลแล้วเจอกัน” สีทันดรรีบขึ้นม้าก่อนที่จะโดนอัสดงจัดการ อัสดงขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายที่เดิมแล้วสั่งให้ม้าอุจไฉยศรพออกเดินทางกลับบ้านของทรงกลดทันที “พาเราไปส่งยังที่ที่เจ้ารับเรามา”

สิ้นคำสั่งม้าสีแดงจอมพยศก็ควบตะบึงวิ่งขึ้นสู้ฟ้า นลกุพรเมื่อเห็นว่าสหายกลับไปแล้วก็สลายหายวับไปยังถิ่นพำนัก ...อัสดงจ้องมองแนวป่าที่งามตระการตาและเกือบจะถูกไฟไหม้ ยังติดใจในความงาม แล้วในใจก็นึกแต่เพียงแค่ว่า

‘วันนี้เรามาได้แค่แป๊บเดียว วันหน้าเราจะกลับมาที่ป่าแห่งนี้อีกครั้งพร้อมกับเจ้าสีทันดร’


************
รบกวนติดตามต่อบทที่๘ นะคะ

ขอบพระคุณ คุณdahlia คุณ maicy คุณ Jaymezc  และท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ยังติดตามอ่าน และทุกๆกำลังใจที่มีให้เสมอมา สวัสดีค่ะ  :pig4:  :กอด1:

PS. คิดถึงคุณ dahlia เสมอนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ อัพ ๑๓ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 15-05-2019 07:22:01
มาต่อแล้ว ขอบคุณนะครับ
ผมเคยอ่านจบไปละ 2-3 รอบสมัยเรียนป.ตรี ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ อัพ ๑๓ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 16-05-2019 00:03:44
พวกนาคที่โดนลงโทษให้เป็นงูดิน ต้องเป็นพวกแขกทั้งหลายของซันที่อัพวาแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ อัพ ๑๓ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 16-05-2019 00:19:28
สนุ๊กสนุก    :m1:


ขอตอนต่อไปเลยดั้ยม่าย?

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๗ เดอะ บัวจ๊อบ อัพ ๑๓ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 16-05-2019 09:12:30
ขอบคุณที่นำกลับมานะคะ สมใจ ไม่ว่าจะอ่านใหม่กี่ครั้งก็ยังไม่เคยเบื่อ สนุกทุกครั้งที่ได้อ่าน ได้ทั้งความรู้ และภาษาสวยๆ  :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๘ เราสองสามคน อัพ ๑๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 17-05-2019 17:03:22
บทที่ ๘ เราสองสามคน

อุจไฉยศรพ โผนทะยานลอยละลิ่วกลางเวหา รอบตัวรัศมีสีแดงจ้าสุกสว่างกระจายทั่ว หากแต่ชั้นในที่รายล้อมพระวรกายแลอีกหนึ่งกายทิพย์นั้นอบอวลด้วยสีกุหลาบเข้ม อ่อนหวานชื่นทรวง รัศมีของเทวะจะบอกอารมณ์ ความรู้สึกเสมอ สีกุหลาบเข้มนี้คงจะหมายถึงอารมณ์ใดมิได้ นอกเสียจากความรัก แน่นอนว่าย่อมต้องกำจายมาจากอัสดง และเจ้าตัวก็เพิ่งรู้แท้ถึงคำว่า “ตกหลุมรัก”ก็คราวนี้เอง

ลำแสงสีแดงที่เริ่มจะกลายเป็นสีกุหลาบยังคงพุ่งปราดไปเรื่อยๆ กลางห้วงนภาฟ้าคราม จวบจนผ่านเส้นแบ่งเขตแดนมาแล้วนั่นแหละ ฟากฟ้าก็กลับกลายเป็นเวลากลางคืน แสดงให้เห็นถึงเวลาที่แตกต่างกันระหว่างสวรรค์กับมนุษย์พิภพ ดาวนับร้อยนับพันดวง ทอแสงส่องประกายระยิบระยับ แต่ก็ไม่มีดวงใด จะเปล่งประกายงามเจิดจรัสเท่ากับดาราสีอำพันคู่หนึ่ง คู่ที่สยบพระเนตรฟ้าครามได้อย่างราบคาบ

“จ้องอยู่ได้ ไม่เคยเห็นเทวนาคาหรือไง” สีทันดรทรงรู้ได้โดยพลัน มิต้องผินพระพักตร์ ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง มีดวงตาเจิดจ้าเพียงใดยามมองมา

“เพิ่งรู้ว่า มีกฏมณเฑียรบาล ห้ามมอง ถ้างั้นก็โปรดพระราชทานอภัยโทษ ให้กับเทพต่ำต้อยอย่างเกล้ากระหม่อมด้วย ที่ชอบมองและหมายปองของสูง”

“นี่ ไม่ต้องมาประชดใช้ราชาศัพท์กับเรา ....คักดิ์ของเราเสมอกัน ถ้าเจ้าไม่พูดอย่างเดิม เราจะผลักเจ้าตกเดี๋ยวนี้”

“พระทัยร้าย.....ก็ได้พูดอย่างเดิมก็ได้ แต่เราว่าศักดิ์เจ้าสูงกว่า เจ้าคืออณูของพระแม่เจ้า  เราก็ต้องยกย่องยำเกรงเป็นธรรมดา”
“สมองเจ้ากระทบกระเทือนหรือเปล่า พูดจาดีผิดปกติ”

“สมองน่ะไม่ แต่หัวใจสิ ถูกกระทบอย่างแรง ไม่เชื่อเจ้าลองฟังดู” อัสดงเขยิบเข้ามาจนชิดแล้วโน้มร่างแนบสนิทดึงเศียรไอ้ดื้อซบกับอกตนพลัน พระกรรณแนบชิดติดหัวใจของสุริยเทพ ทำให้ทรงสดับถึงเสียงตุ้บ ตับ ระรัว กลิ่นกายาจากเทวะหนุ่มน้อย ลอยระเรื่อเข้านาสิก เลือดในพระวรกายวิ่งพล่าน พระปรางใสเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด พระหัตถ์ที่จับม้าไว้ เปลี่ยนมายันอกกำยำนั้นออก

“ทำบ้าอะไร เดี๋ยวก็ตกลงไปทั้งคู่หรอก”

“ก็อยู่เฉยๆสิ ....เราอยากให้เจ้าฟังเสียงหัวใจเรา เจ้าก็ต้องฟัง”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งเราให้ทำนู่นทำนี่นะอัสดง”

“แต่ปู่เจ้าฝากเจ้าไว้กับเรา ก็แค่กอดจะเป็นอะไรนักหนา ทีเมื่อกี้ตอนอยู่หิมพานต์ยังให้เราจับมือ ก่อนหน้านี้เราก็กอดเจ้ามาตั้งหลายหน เกิดจะมาหวงตัวอะไรกันตอนนี้”

“นั่นมันตอนนั้น ปล่อยเดี๋ยวใครมาเห็น”

“ใครจะมาเห็นเราอยู่กันกลางฟ้า” อัสดงไม่พูดเปล่า พร้อมกับจรดปลายจมูกคมสันลงบนพระเกศาดำขลับซึ่งหอมเสียยิ่งกว่าหอม

“ก็พวกดาวเหล่านี้ไง ….แถมพระจันทร์อีกดวงเบ้อเร่อ ปล่อยเรานะ” จริงๆแล้ว สีทันดรก็ตรัสไปอย่างนั้นแหละ แต่ในพระทัยกับอึงอลไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

‘อ้อมกอดของเขา อบอุ่นจัง เหอะ....แต่เขาทำให้เราต้องระเห็จมาอยู่บาดาล อย่าใจอ่อนเชียวสีทันดร’ ที่ว่าอึงอล คงยังไม่เท่าคนฟังที่กำลังอลอึง เพราะจู่ๆ น้ำเสียงที่นุ่มๆ กลับแข็งกระด้างขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แขนแข็งแรงยันพระวรกายออกบีบต้นพระพาหาแน่น 

“ที่แท้ เจ้าก็กลัวไอ้พระจันทร์มันเห็นน่ะสิ กลัวมันเข้าใจผิดหรือไง เจ้าสนใจมันมากใช่ไหม ทั้งๆที่เราให้เจ้าดูพระอาทิตย์ไปเมื่อตอนเช้า ตอนนี้เจ้ากลับพูดถึงพระจันทร์ ใจเจ้าทำด้วยอะไรสีทันดร” เจ้าพระอาทิตย์หนุ่มเริ่มไปไกล

“โอ๊ยยย เราเจ็บนะ ไอ้ไฟบ้า หัดเอาอย่างพระจันทร์เขามั่งสิ เขาไม่เคยรังแกเราเลยนะ”

แล้วประโยคนี้เอง ประดุจดั่งราดน้ำมันลงกองเพลิง หนำซ้ำด้วยลมเพชรหึง โหมกระพือ ทำให้อารมณ์โมโหพลุ่งพล่านไปไกลกว่าเดิมอีก

 “ทำไม ต้องไปพูดถึงมันด้วย อยู่กับเราก็ต้องพูดแต่กับเราสิ เจ้าไม่รู้หรอกว่าไอ้พระจันทร์น่ะร้ายขนาดไหน” นานแล้วที่อัสดงไม่ได้เอาแต่ใจตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล มาครั้งนี้เขาขัดใจเป็นที่ยิ่ง ที่คนที่อยู่ตรงหน้าดันเอ่ยชื่อ “ไอ้พระจันทร์” มาซะนี่

“เราก็เห็นเขาสุภาพดี ไม่เกกมะเหรกเกเร รังแกเรา”

“ยังไม่มีโอกาสล่ะสิไม่ว่า ลองอยู่สองต่อสองกับมันสิ เหอะถ้ามันไม่ทำอย่างเรา เราให้เจ้าฆ่าเราได้เลย คนเจ้าชู้อย่างมัน แย่งเมียเพื่อนก็เคยมาแล้ว”

“เขาไปแย่งเมียเพื่อนตอนไหน”

“ก็เมียพระพฤหัสไงตอนอยู่บนสวรรค์ ทั้งๆที่ตัวเองก็มีเมียอยู่แล้วยี่สิบเจ็ดนาง ก็พวกเทพธิดากลุ่มดาวฤกษ์นั่นแหละ ธิดาพระทักษะทั้งนั้น ก็วงศ์วานว่านเครือของทวดเจ้าไม่ใช่เหรอ” บทอัสดงจะจำได้ ก็จำได้ซะละเอียด

“นั่นเป็นตอนก่อนเขาอวตาร ตอนนี้เขาคงไม่เหมือน” สีทันดรยังทรงเถียงไม่ยอมลดละ

“ไม่เชื่อก็ตามใจ ....แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า คนอย่างไอ้พระจันทร์น่ะ เห็นหงิมๆอย่างนั้น เจ้าชู้เป็นที่หนึ่ง ใครเป็นคู่ก็มีแต่จะเสียใจ สมแล้วที่โดนพระทักษะสาป ให้เป็นฝีในท้อง”

“ทำไมถึงโดนสาป”

“ก็เพราะมัน รักเมียไม่เท่ากัน มันรักนางโรหิณีมากที่สุด จนชายาอีกยี่สิบหกนางไปฟ้องพ่อ พระจันทร์มันเลยโดนพระทักษะสาปให้เป็นฝีในท้อง จนบางทีท้องแหว่ง กลายเป็นพระจันทร์ข้างขึ้นข้างแรม จนมหาศิวะท่านทรงเห็นก็เลยสงสาร ท่านจึงหยิบมาเป็นปิ่นปักมวยผมเสีย”

“เจ้าไม่อยากให้เราสนใจเขา แต่เจ้าก็เล่าเรื่องเขามาเองนะอัสดง” สุรเสียงใสใช้ยวน พระโอษฐ์น้อยๆ ทรงเริ่มแย้มยิ้มออกมาได้แล้วหน่อยๆ

“เราเล่าเพื่อเตือน พูดถึงขนาดนี้ เจ้ายังดื้อไม่ยอมเชื่อมันก็สุดแล้วแต่เจ้า” ใบหน้างามคมสันยังเง้างอ ที่จริงอัสดงไม่อยากจะใส่ไฟพระจันทร์นักหรอก แต่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้ากล่าวถึงศัตรูหัวใจ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเล่าให้ฟัง

“เจ้าไม่ต้องมาเตือนเรา เพราะเราไม่ได้สนใจเขาสักหน่อย”

“เจ้าพูดจริงเหรอ” คนหน้างอยิ้มกว้างได้แล้ว บ่งบอกถึงความดีใจฉายชัด มันต้องอย่างนี้สิ ไอ้ดื้อของเรา

“ก็จริงน่ะสิ แต่ทำไมเจ้าต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นด้วย มีบ้างไหมที่เจ้าจะเศร้าสลดเป็นกับเขาบ้าง”

“มีสิ ทำไมจะไม่มี ก็ตอนที่ เจ้าบอกว่าเจ้าเกลียดเราไง เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดของเจ้า มันทำร้ายเราเหลือเกิน สีทันดร”

แขนแข็งแรงโอบบั้นเอวคนที่อยู่ด้านหน้ามาอีกครั้ง ปลายคางมนสากด้วยไรหนวดแห่งวัยหนุ่มคลอเคลียทั่วพระศอสีเศวต อัสดงคาดว่าสีทันดรคงบ่ายเบี่ยงงอแงผลักตนออก แต่แล้วก็กลับนั่งนิ่ง หนำซ้ำยังปล่อยพระวรกายทิ้งลงมาในอ้อมอกของเขาอย่างแนบชิด

“เราพูดไปเพราะอารมณ์โมโห ตอนนั้นเจ้าอยากมาแกล้งเราทำไม” พระพักตร์ที่งามเกินเทวบุตร เริ่มหลบเร้นเอียงอาย

“ก็แค่แหย่เล่นๆ เราไม่คิดว่าเจ้าจะโกรธ” อัสดงพูดจบก็ขบเบาๆ ซ้ำรอยเดิมตรงซอกพระศออันหอมกรุ่น สีทันดรรู้สึกถึงกระแสอันอ่อนโยนวาบหวามผ่านริมฝีปากงามคู่นั้น สร้างความหวั่นไหวให้สีทันดรทรงสะท้านยิ่ง  “ต่อไปเราจะไม่แกล้งเจ้าอีกแล้วสีทันดร เราสัญญา”

“ให้มันจริงเถอะ เราจะคอยดู .....เอาล่ะถึงบ้านแล้ว ลงไปกันเหอะ”

สิ้นพระสุรเสียง วรองค์น้อยๆ ก็สลายกลายเป็นแสงเขียวทองปนชมพูกุหลาบใส พุ่งตรงลงไปยังพื้นด้านล่าง .... อัสดงยิ้มจนแก้มแทบปริ ความหวังที่เคยริบหรี่รำไรว่าจะไม่ได้รับรักตอบ ครานี้ชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

“สีทันดร นับจากวินาทีนี้ไป หัวใจเราจะมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียว”

รัศมีสีแดงปนกุหลาบเข้มสว่างวาบและพุ่งปราดเป็นลำลงไปยังนอกชานบ้านทรงไทยที่อยู่ด้านล่าง ตามติดด้วยรัศมีเขียวทองเจือกุหลาบไปติดๆ อีกนานไหมนะ ที่รัศมีทั้งสองจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว หากวันนั้นมาถึง แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง คงเจือไปด้วยความอบอุ่น ซ่านผ่านหัวใจของมนุษย์ทุกผู้เป็นแน่แท้

ร่างสูงโปร่ง ของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดครอบไว้ด้วยรัศมีเหลืองนวลเย็นตา ทอประกายระเรื่อทำให้บริเวณนอกชานที่มืดมิดเริ่มสว่างสลัวๆ ใบหน้าหล่อเหลาหวานซึ้งปกติยามใครได้พบก็ต้องมองเหลียวหลัง อีกทั้งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวยามได้ยลก็แทบทำให้ใจละลาย บัดนี้ใบหน้านั้นฉายแววกังวลมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากแดงเม้มแน่นยามที่รู้สึกไม่ถูกใจทุกครา

เจ้าตัวยังคงเดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเอราวัต อาการเริ่มแย่ลงทุกขณะ พิษลามกระจายทั่ว พลังทิพย์เริ่มอ่อนแรงทุกที หากปล่อยไว้อย่างนี้ เห็นทีคงไม่แคล้วดับสูญ อีกประการหนึ่ง การที่เจ้าน้องดื้อต้องไปหิมพานต์กับอัสดงมันทำให้เขาเจ็บแปลบเข้าที่หัวใจ กังวลว่า อัสดงคงฉวยโอกาสนี้ ต่อยอดความสัมพันธ์เป็นแน่แท้ ภายนอกถึงจะแสดงว่าไม่ถูกกัน แต่ภายในนี้น่ะสิ ผู้ชายด้วยกันดูกันออก และก็รู้ว่า อัสดงหมายปองสิ่งเดียวกับตน สิ่งนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากดวงหทัยเจ้านาคา

“น้องดื้อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ทำไมยังไม่กลับมากันอีก นี่ก็ปาเข้าไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเข้าแล้ว” ทรงกลดปรารภกับตนเอง ครั้นพอสิ้นเสียง หัวใจที่กำลังกระวนกระวายนั้นก็ต้องฉ่ำเย็น เพราะรัศมีเขียวทองที่ยังเจือด้วยสีกุหลาบ พุ่งตรงลงมาจากฟากฟ้า แล้วสลายรวมร่างกลายเป็นน้องดื้อที่เขาคิดถึงและเป็นห่วงอยู่แทบทุกลมหายใจ

“น้องดื้อพี่กำลังบ่นถึงเจ้าพอดี” คิ้วที่กำลังขมวดยุ่งคลี่คลาย ใบหน้าเริ่มเจือไปด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นดังเคย ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพิบวิบวับ ฉายแววดีใจยามเห็นวรองค์น้อยๆประทับยืนอยู่ตรงหน้า

“พระพุธเป็นอย่างไรบ้าง จันทรเทพ”

“อาการแย่ลง พลังทิพย์เริ่มไม่เหลือแล้ว พี่พยามยามถ่ายพลังไปให้ จนพี่เองก็อ่อนกำลัง” ทรงกลดไม่ได้เล่าอาการมาอย่างเดียว หากทว่าปนลูกอ้อนมาด้วย “แล้วอัสดงล่ะครับ ไม่มาด้วยเหรอ แล้วตัวยาล่ะ ได้มาไหม”

“โน่นไง ตามมานู่นแล้ว”

กายทิพย์ของอัสดงพุ่งลงจากฟ้าลอยละลิ่วผ่านนอกชานวิ่งตรงเข้าสู่ห้องนอน เพื่อรวมกับร่างจริงที่ยังนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งข้างๆร่างของเอราวัต กายทิพย์สว่างใสเริ่มลอยทาบกายหยาบจนสนิทแน่น พออัสดงลืมตาขึ้นมาได้สิ่งแรกที่หันมาดูก็คือ เอราวัต ที่บัดนี้นอนแน่นิ่ง รัศมีแห่งเทวะเริ่มจางลงจางลงเป็นลำดับ

“สีทันดรรีบมาดูอาการเอราวัตเหอะ ท่าจะแย่แล้ว”

สีทันดรได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาด้านใน สุรเสียงใสเริ่มกล่าวเป็นการเป็นงานทันทีว่า “อัสดงเจ้าถอยไปก่อน แล้วเอากลีบบัวอัคคีสัตตบงกชมาให้เรา”

พระหัตถ์ขาวนวลเมื่อรับกลีบบัวมาได้ ก็กำแน่นบริกรรมพระคาถาที่ร่ำเรียนมา ปรุงยาวิเศษน้ำจากสระอโนดาตในสร้อยนาคาที่อมไว้ ถูกรีดออกมาใช้ ครั้นพอแบพระหัตถ์ กลีบบัวก็สลายกลายเป็นผงสีทองลอยละลิ่วขึ้นฟ้า ผสมรวมกับหยาดน้ำแห่งสระอโนดาตนั้น

ไอร้อนรุนแรงเริ่มกระจายทั่วห้อง เสียงสังวัธยายมนตราเริ่มดังระรัว สายวัชระแปลบปลาบครั้นครื้นขึ้นอย่างไม่มีเค้ามาก่อน ราวกับรามสูรเริ่มโมโหที่พิษของตนกำลังจะถูกถอดถอน พระวรกายขาวนวลเริ่มเปลี่ยนสีเป็นแดงอมชมพูแสดงว่าไอร้อนนั้นเริ่มจับพระวรกายผู้ร่ายมนตราเช่นกัน เอราวัตจากที่นอนสงบหายใจรวยระรินเริ่มดิ้นพล่าน พระอาทิตย์กับพระจันทร์ต้องรีบรุดมายึดร่างนั้นไว้

“จับเขาไว้ให้มั่น แล้วเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกให้หมด”

อัสดงกับทรงกลดรีบทำตามรับสั่งทันใด ครั้นพอร่างกายเอราวัตปราศจากอาภรณ์ใดๆปกปิดแล้ว สายตาทุกคู่จึงเห็นว่า ร่างกายซีกที่โดนพิษนั้น ลุกลามไปยิ่งกว่าเดิม และเริ่มกระจายไปสู่ด้านล่างของร่างกาย สีทันดรที่หยุดร่ายมนตราพอเห็นเข้าก็ถึงกับทอดถอนพระหฤทัย

“เราเริ่มไม่มั่นใจแล้ว ว่าจะได้ผลไหม แต่เราจะลองดู”

เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเขินอายที่จะต้องมาเห็นใครเปลือยกายอยู่ตรงหน้า สีทันดรวนพระหัตถ์รวมตัวยาวิเศษแล้วส่งผ่านไปยังร่างของพระพุธอย่างสุดพระกำลัง พระโอษฐ์ร่ายพระอาคมอีกครั้ง

“ โอม นมัส ศิวาเย มหาเทพโปรดประทานพร”

เอราวัตจากเดิมที่ดิ้นพล่านอยู่แล้วก็ยิ่งดิ้นขึ้นไปอีก รัศมีสีทองสว่างวาบระยิบระยับเริ่มกัดเซาะบริเวณที่ถูกพิษทีละน้อยทีละน้อย พระพุธสะท้านกายทุกครายามที่ยากับพิษโรมรันกัน ครั้นพอหมด ร่างกายของเขาลอยเหนือเพดานห้อง อัสดงกับทรงกลดมิสามารถยึดร่างสหายไว้ได้ต่อไปแล้ว ไอร้อนที่อัดแน่นก็เหมือนจะระเบิดออกมา แสงวาบสว่างจ้าดุจกลางวันกระจายทั่ว หากพอแสงสลายมลายลง ร่างกายพระพุธก็ร่วงกลับลงมายังที่นอน ร่างกายที่ดิ้นพล่านสงบลงโดยดุษฎีพร้อมๆกับเปลือกตาที่เสมือนว่าหนาหนัก เริ่มเผยอขึ้น  เสียงเคยคุ้นของสหายช่างพูดแหบพร่า กระท่อนกระแท่น

“นี่ฉันเป็นอะไร ไปนี่ แล้วใครมาจับฉันแก้ผ้าวะ”

เท่านั้นแหละก็ก่อให้เกิดเสียงไชโยดีใจลั่นห้อง อัสดงกับทรงกลดโผกอดสหายพลัน “มันรอดแล้ว” ส่วนสีทันดร ก็ยังคงยืนอยู่กลางห้อง พระวรกายเริ่มโงนเงนทรงไว้ไม่อยู่ ครั้นพอย่างพระบาทพระสติก็ดับวูบลงไปในบัดดล

“สีทันดร...”

“น้องดื้อ”

อัสดงกับทรงกลดรีบโผเข้าประคองร่างของสีทันดรก่อนที่จะล้มลงกับพื้น หนึ่งอาทิตย์แลอีกหนึ่งจันทร์ต่างตระกองกอด วรองค์บางไว้ในอ้อมแขน พระวรกายที่ขาวผ่องกระจ่างใส บัดนี้เริ่มเป็นสีซีด

“สีทันดร เจ้าเป็นอะไร ลืมตาขึ้นสิ ตื่นมาคุยกับเราก่อน”

“พาน้องดื้อไปนอนที่ห้องก่อนดีกว่า สงสัยจะใช้พลังไปเยอะ”

“อืม ก็ได้แต่ฉันจะพาไปเอง นายปล่อยสีทันดรได้แล้ว ต่อไปนี้ฉันจะดูแลสีทันดรเอง”

อัสดงพูดจบก็ดึงร่างของสีทันดรออกจากอ้อมแขนของทรงกลด ทำให้อณูแห่งจันทรเทพเริ่มตีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ครั้นจะแย่งน้องดื้อกลับมา เอราวัตที่เริ่มได้สติก็ร้องเรียกมาพลัน

“กลด นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าใครมาจับฉันแก้ผ้าวะ แล้วนั่น ไอ้นาคน้อยมันเป็นอะไร แล้วนายจะพามันไปไหน ไอ้อัสดง”

อัสดงไม่สนใจคำถามของเอราวัต อุ้มร่างที่อ่อนระทวยของสีทันดร ไปยังห้องข้างๆที่จัดไว้เป็นห้องบรรทม ทรงกลดรีบเดินตามไปบ้าง เอราวัตก็ยังร้องเรียกไม่หยุด “เฮ้ยยย เล่าให้ฉันฟังก่อน เกิดอะไรขึ้น”

“เลิกถามได้แล้ว ไอ้เอราวัต ใส่เสื้อผ้าซะ ถ้ามีแรงก็ลุกตามมา”

ทรงกลดตอบกลับเอราวัตอย่างหัวเสีย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการกระทำของอัสดงที่ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของเจ้านาคาตาสวยอย่างออกหน้าออกตา..... “นายไม่มีสิทธิ์ ไอ้อัสดง”

เมื่อเข้าห้องมาได้ อัสดงค่อยๆบรรจงวางร่างน้อยๆ ลงบนเตียงหนานุ่ม หัวใจเต้นระส่ำด้วยความกังวลใจ  “สีทันดรของพี่ เจ้าเป็นอะไร ตื่นมาคุยกับพี่สิ”

น้ำตาใสๆของลูกผู้ชายเริ่มคลอหน่วย เพราะพยายามปลุกอย่างไร เจ้านาคายอดดวงใจก็ยังไม่ฟื้นคืนพระสติ มือแข็งแรงของเด็กหนุ่มลูบไล้ไปทั่วพระปรางสีซีด

“ตื่นสิ สีทันดร  เจ้าอยากรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าทำไมเจ้าถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าอยากรู้ใช่ไหม ว่าเราขอพรอะไรจากมหาลักษมีเทวี  แล้วเจ้ามาเป็นอะไรไปอย่างนี้ เราจะบอกสิ่งที่อยู่ในหัวใจให้ใครฟัง”

หากสีทันดรตื่นขึ้นมาได้สดับรับฟัง พระปรางที่ซีดคงกลับมีเลือดฝาดขึ้นมาแน่ๆ รัศมีเขียวทองเริ่มอ่อนจนเกือบขาวแสดงว่าพลังทิพย์เริ่มสลายลงเป็นลำดับ

“ทำอะไรสักอย่างสิอัสดง พลังทิพย์ของน้องดื้อเริ่มจางลงแล้ว มัวแต่คร่ำครวญอยู่นั่นแหละ”

ทรงกลดที่ตามเข้าห้องมาพร้อมกับเอราวัตที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วกล่าวเตือนสติขึ้น พระอาทิตย์รูปงามก็ยังคงทำอะไรไม่ถูก เจ้าพระจันทร์ทนรอไม่ไหวเข้ามาผลักอกตนออก

“ถ้าจะนั่งดูน้องดื้อเฉยๆ ก็ถอยไป ฉันจะถ่ายพลังให้น้องดื้อเอง”

รัศมีเหลืองนวลจากร่างของทรงกลดเปล่งประกายวาบ ไหลระเรื่อลงกลางฝ่ามือของเด็กหนุ่มม้วนเป็นลำเข้าสู่พระวรกายที่ประทับนอนแน่นิ่ง เพียงกระทบกันในคราแรก รัศมีแห่งเทวะนาคาเหมือนจะตอบรับ หากพอสักพัก กลับกลายเป็นผลักออก ประดุจเจ้าของร่างมิสนใจใยดี ที่จะรับไมตรีจิตจากอณูแห่งจันทรเทพ

“พระมหาลักษมีเทวี โปรดประทานพร ให้เกล้ากระหม่อมช่วยสีทันดรได้ด้วยเถิด”

อัสดงนึกถึงพระมหาเทวี ฉับพลันดวงตาสีเหลืองอำพันก็กลับกลายเป็นสีกุหลาบ รัศมีแดงร้อนแรงเริ่มเจือด้วยสีชมพูอ่อนใส แต่แทนที่อัสดงจะถ่ายพลังทิพย์เฉกเช่นวิธีเดียวกับทรงกลด เขากลับผลักอณูแห่งจันทรเทพออกไปบ้าง แล้วโน้มตัวลงประกบริมฝีปากลงไปบนริมโอษฐ์ที่คล้ายว่าจะเผยอรอรับอยู่แล้ว

“เฮ้ย อัสดง นายทำบ้าอะไร” ทรงกลดกับเอราวัตอุทานมาแทบจะพร้อมกัน เพราะไม่คิดว่าเจ้าพระอาทิตย์จะทำวิธีนี้ แต่ด้วยปาฏิหาริย์หรือพลังทั้งคู่ต่างก็รอคอยซึ่งกันและกัน ทำให้รัศมีเขียวอ่อนที่เริ่มจะโรยรา ค่อยๆสว่างจ้าขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย  จนกระทั่งเรืองรองดังเดิม ริมฝีปากของอัสดงค่อยๆถอนออกช้าๆ ไอทิพย์ยังคงถูกถ่ายลงมา พออัสดงหุบปากลง  นั่นก็คือความหมายว่าการถ่ายพลังนั้นสุดสิ้น

พลังแห่งสุริยเทพเข้ากันกับพลังแห่งเทวะนาคาได้ อณูแห่งจันทรเทพเริ่มรู้ หากแต่ไม่ยอมรับ !!!

พระพักตร์ขาว คลี่คลาย แจ่มกระจ่าง
ดั่งกุหลาบ บานสล้าง เฉลาฉาย
ดวงเนตรงาม  กระพือขึ้น โอษฐ์แย้มพราย
ดั่งบัวสาย คลายคลี่กลีบ ปทุมมาลย์

สีทันดร ‘ตื่นแล้ว’ พระเนตรฟ้าครามที่ปิดสนิทเริ่มลืมขึ้น หากยังบรรทมนิ่ง ราวทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พระหัตถ์น้อยๆเลื่อนมากุมมือของอัสดง สัมผัสอ่อนหวานถ่ายทอดออกมาจากมือทั้งสองข้างนั้น อัสดงเองก็รู้สึกได้ ครั้นพอทอดพระเนตรเห็น ผู้ที่นั่งรายล้อมรอบเตียงนั่นแหละก็ทำให้อุทานเบาๆ มือที่กุมอยู่ค่อยๆเลื่อนออก

“แย่จัง ใช้พลังมากไปหน่อย เลยทำให้พวกเจ้าลำบาก ” ครั้นพอจะยันกายลุกขึ้น ทรงกลดก็โน้มตัวมากดพระอังสะเบาๆ ให้ประทับนอนเช่นเดิม

“อย่าเพิ่งลุกครับ นอนพักก่อน”

“เราไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านพระพุธล่ะ หายดีแล้วเหรอ”

“หายดีแล้ว ขอบใจมากที่ช่วย เจ้าเก่งมากสีทันดร เราเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”

“ท่านควรขอบคุณอัสดงเหอะ เพราะไม่ได้เขา เราก็ไม่มีทางได้ดอกบัวเพลิง”

เอราวัตตบไหล่อัสดงเบาๆ แล้วกอดคอสหายไว้แน่น “ขอบใจมากเพื่อน ต่อไปนี้ ชีวิตฉันเป็นของนายสองคน”

มิตรภาพก่อตัวแนบแน่น ความไม่พอใจยามที่สุริยาทิตย์ชอบแสดงท่าเป็นพระเอกตอนอยู่บนสวรรค์เลือนรางจางหาย รอยยิ้มอ่อนๆคลี่คลาย

“อย่าคิดมากน่า ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”

“ใช่เราเป็นเพื่อนกัน ฉันก็ต้องขอบคุณนายด้วย กลด ที่ดูแลยามฉันหมดสติ” พระพุธน้อยขอบคุณไปทั่ว

“ไม่เป็นไร ....พวกเราไปกันเหอะ ปล่อยให้น้องดื้อพักผ่อน”

ทรงกลดพยักพเยิดชวนอัสดงกับเอราวัตออกจากห้องบรรทม หากแต่อัสดงยังมิคงยอมลุกไปไหน

“นายสองคนไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับสีทันดรนิดนึง”

ทรงกลดชะงักพลัน คำพูดธรรมดาๆแต่ฟังแล้วขัดหูยิ่ง ทำไมอัสดงเอ่ยพระนาม ‘สีทันดร’ได้อ่อนหวานเหลือเกิน ครั้นพอหันไปสบพระเนตรฟ้าคราม ก็เห็นว่าพระเนตรคู่นั้น เปล่งประกายยินดีฉายชัด ไปหิมพานต์สองต่อสองทำให้ศัตรูกลายมาเป็นคู่รักเชียวหรือ

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหานมร้อนๆ ให้น้องดื้อดีกว่านะครับ กินแล้วจะได้ดีขึ้น ฟื้นกำลังได้เร็ว ไปกันเหอะเอราวัต นายก็ควรพักผ่อน อัสดงนายตามมาเร็วๆล่ะ อย่าเพิ่งกวนน้องดื้อนานนัก”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๘ เราสองสามคน อัพ ๑๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 17-05-2019 17:07:32
“ขอบคุณท่านมาก จันทรเทพ”

“ไม่เอา เรียกใหม่ เรียกว่าพี่กลดได้ไหม”

“เอ่อ...พี่กลด” คงไม่เสียหายอะไร หากจะเรียกเขาว่าพี่ เพราะยังไรถ้าจะนับอายุทางร่างกาย ตนก็เด็กกว่าเขา

“เยี่ยมเลยครับ เดี๋ยวพี่มานะ” ก่อนจะไป ทรงกลดก็บีบพระหัตถ์น้อยเบาๆ อัสดงแสดงสีหน้าไม่พอใจพลัน ถ้าไม่ติดว่าทรงกลดเป็นเจ้าของบ้าน ก็คงประเคนกำปั้นให้สักหมัดด้วยเสนอหน้าดีนัก

“เสือก”

คำสั้นๆจากอัสดงมีให้ทรงกลดเบาๆ หากได้ยินเข้าก็คงหันมาวางมวยกับอัสดงเป็นแน่แท้ ครั้นพอประตูปิดสนิทใบหน้าที่ขมวดคิ้วยุ่งก็หันมาเล่นงานคนที่นอนอยู่

“ปล่อยให้เขาจับมือทำไม”

“ทำไมต้องอารมณ์เสีย ไหนบอกว่าจะคุยอะไรกับเราก็คุยมาเสียสิ มานั่งทำหน้าทำตาบูดบึ้งอยู่ได้”

“เราก็เป็นอย่างนี้ของเรา ใครจะหน้าตาระรื่นเหมือนไอ้พระจันทร์ล่ะ เหอะ ตอนแรกก็ว่าจะคุย ตอนนี้ไม่คุยแล้ว เจ้ารอกินนมร้อนๆ ของพี่กลดของเจ้าเหอะ”

อัสดงลุกออกจากเตียง แล้วเดินออกนอกห้องไปบ้าง ทิ้งให้เจ้านาคาตาสวยมองตามตาค้าง “คนบ้า คนงี่เง่า ผีเข้าผีออก อยากไปไหนก็ไปเลย”

หมอนที่นอนหนุน ถูกยกปาไปที่ประตู พระกรกอดพระอุระแน่น อุตส่าห์แอบดีใจที่อีตานี่จะคุยอะไรเป็นการส่วนตัว แต่ก็เจอบทงี่เง่าของเขาคนนี้ เชิญประสาทแดกไปคนเดียวเถิด ไม่สนใจแล้ว

เวลาผ่านไปสักพัก สีทันดรที่ประทับเอนพระวรกายก็ยันกายลุกขึ้น กำลังวังชากลับคืนมาอย่างครบถ้วน ในพระทัยก็ยังไม่วายคิดถึงคนงี่เง่าอยู่เช่นนั้น

“ออกไปดูซะหน่อยดีกว่า ไปถามให้รู้เรื่อง ว่าเป็นบ้าเป็นบออะไร”
ครั้นพอจะเสด็จออกประตูห้องบรรทมก็เปิดออกพลันแต่คนที่เข้ามา หาใช่คนที่ทรงคิดคำนึงถึงอยู่ไม่

“อ้าว น้องดื้อ ลุกมาทำไมครับ เอ๊ะ ทำไมหมอนมาอยู่ตรงนี้” ทรงกลดเหยียบหมอนที่สีทันดรขว้างอยู่ตรงประตูเต็มเท้า สงสัยการเจรจาจะไม่ได้ผล สมน้ำหน้า

“อ๋อ เราเอาขว้างผีบ้าไล่ออกไปจากห้องน่ะ พี่กลดมีอะไรเหรอ”

“พี่เอานมร้อนๆมาให้ตามสัญญาไว้ไง ดื่มก่อนเถิด จะได้ดีขึ้น นะครับ ” อณูแห่งจันทรเทพคะยั้นคะยอ

“ขอบใจนะ”

ที่จริงแล้วสีทันดรมิได้อยากดื่มนมนักหรอก หากถ้าปฏิเสธก็จะเป็นการเสียน้ำใจ จึงรับนมแก้วนั้นมา แต่วิธีเสพนั้นต่างจากมนุษย์ เพราะเพียงแค่ดมเฉยๆ เท่านี้ก็ทรงลิ้มรสนมแก้วนั้นจนเพียงพอ

“ทำไมไม่ดื่มล่ะครับ พี่ตั้งใจทำให้”

“เราไม่ได้เป็นมนุษย์อย่างพวกท่านนะ เราจึงมีวิธีกินแผกกันจากพวกท่าน”

นมแก้วนั้นถูกส่งคืนกลับ พลังทิพย์รัศมีรอบพระวรกายฉายชัดเช่นดังเดิม ดุจเดียวกับรัศมีเหลืองนวลของจันทรเทพ ที่ยังพยายามคลอเคลียรัศมีเทวนาคาพระองค์น้อย แต่ก็ได้แค่กระทบ มิหลอมรวม เฉกสุริยเทพ

“เอ้านี่ พี่มีของมาฝาก จับได้เมื่อกี้นี้เอง หวังว่าน้องดื้อคงชอบ”

ขวดแก้วใส ถูกบรรจงวางลงบนฝ่ามือเนียนนุ่ม ภายในมีแมลงตัวเล็กๆอยู่หลายตัว โบยบินทั่ว

“แมลงอะไร ไม่เห็นน่าดู”

“ดับไฟก่อนสิ แล้วเจ้าจะรู้ ว่าภายใต้แสงจันทร์มันมีอะไรให้น่าดูขนาดไหน” เสียงนุ่มของทรงกลดชวนให้วาบ แต่ยังมิหวามเข้าพระหฤทัย

แล้วแสงอัจกลับกลางห้องถูกดับด้วยฤทธี ภายในห้องมืดสนิท เหลือเพียงแสงจันทร์นวลที่สาดส่องทะลุบานหน้าต่าง ขวดแก้วใสในพระหัตถ์สว่างเรื่อรองรอง สีเหลืองทองจากแมลงพวกนั้นส่องวูบวาบ ดุจรัตติมณียามค่ำคืน

 “สวยจัง...พี่กลด”

“เขาเรียกว่าหิ่งห้อย พี่จับมาให้เจ้าตรงต้นลำพูข้างศาลาท่าน้ำ เจ้าชอบไหม”

“ชอบสิ แล้วจับมาได้ไง” สีทันดรตอบ พระหัตถ์ยกชูสูงเพื่อให้ดวงไฟดวงเล็กหลายดวงในขวดแก้วส่องสว่าง ภายใต้ความมืดสลัวดวงหน้าที่งามสง่าจับจ้องเทวนาคาองค์น้อยอย่างไม่วางตา

คำว่าถูกใจคงน้อยไปสำหรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ต้องตาและตรึงใจ ดูท่าจะเหมาะสมกว่า โดยมิต้องรอให้สมองสั่งการ แขนแข็งแรงโอบเอวเจ้านาคาน้อยพลัน ดึงเข้ามากอดแนบชิด

“เฮ้ย พี่กลดทำอะไร ปล่อยเรานะ” พระวรกายพยายามบ่ายเบี่ยง แต่อำนาจแห่งจันทรเทพ กลับตรึงไว้ไม่ให้ทรงหลุดรอดไปไหน

“พี่ขอแค่กอดเจ้า จะได้ไหม สีทันดร”

จริงแท้อย่างที่อัสดงว่า ‘ไอ้พระจันทร์มันเจ้าชู้ ลองอยู่สองต่อสองกับมันสิ’ แล้วเขาก็ทำอย่างที่อัสดงทำ อ้อมอกที่กอดแผกกัน ความรู้สึกก็ต่างกัน คนนึงร้อนแรงหากแต่ทำให้หัวใจถวิลหา คนนึงอบอุ่นแต่หัวใจยังมิต้องการ

“อย่านะพี่กลด” สีทันดรพยายามบ่ายเบี่ยง หากน้ำเสียงออดอ้อนปนเศร้า วิงวอนขอ

“ขอพี่กอดเจ้าเถิด รู้ไหม พี่อยากกอดเจ้ามาตั้งนานแล้ว หรือว่าเจ้าจะเก็บไว้ให้อัสดง ทำไมเจ้าไม่ให้โอกาสพี่บ้าง”

กลิ่นดอกบัวหอมปนกระแสห้วงทะเลลึกถูกทรงกลดสูดเข้าจนเต็มปอด หากจะใช้กำลังบังคับนาคาน้อยก็คงไม่แคล้วถูกเชยชม แต่ด้วยความที่ต้องใจเสียยิ่งนัก หากจะทำอย่างว่า ก็ต้องให้เขายินยอมพร้อมใจ ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพริบวิบวับ เชยชมดวงพักตร์อ่อนหวานถ้วนทั่ว แล้วก็จำยอมต้องปล่อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะแข็งขืนไปมากกว่านี้

“พี่กลดทำอย่างนี้ทำไม”

“พี่ก็ไม่รู้ รู้แต่หัวใจมันบอกให้ทำอย่างนี้ อย่าโกรธพี่เลยนะ”

หากคนที่กล่าวเป็นอัสดงก็คงจะดีไม่น้อย แต่คนบ้านั่นป่านนี้หายหัวไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แทนที่จะอยู่เราจะได้ไม่โดนคนอื่นกอด ฟังจากน้ำเสียงของคนเจ้าชู้เงียบคนนี้ก็น่าเห็นใจ ควรจะให้โอกาสเขาอย่างที่เขาขอไหม ฤาไม่ควร ในเมื่อหัวใจเริ่มถูกครอบงำจากคนขี้โมโหไปแล้ว

“เราไม่โกรธหรอก เพราะเราคิดว่า พี่ชายเวลากอดน้องชายก็คงทำแบบนี้กันทุกคน ขอบคุณสำหรับของขวัญ” รัศมีเขียวทองสว่างวาบแล้วเลือนหายไปพร้อมๆกับร่างสีทันดร วงแขนแข็งแรงแห่งจันทรเทพพยายามคว้าร่างนั้นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

“แต่ พี่ไม่ได้คิดอย่างเช่นพี่ชายน้องชาย อย่าเพิ่งไป ฟังก่อน”

สีทันดรใช่ว่าจะมิรู้ ว่าทรงกลดคิดยังไร แต่หัวใจมีอยู่แค่ดวงเดียว จะให้ทำอย่างไร ไมตรีจิตจากเทวะน้อยถูกนำมาเสนอ พระทัยหวั่นวาบ หากจะรักใครตอบคงมิใช่เพราะสงสาร หากเทวะอีกพระองค์ที่ทำให้หัวใจเอนเอียงก็ยังมิยอมบอกชัดๆว่ารู้สึกอย่างไร จะได้มั่นพระทัย มิอยากคิดไปองค์เดียว

สีทันดรปรากฏกายที่ศาลาท่าน้ำ ในพระหัตถ์ยังคงถือของขวัญจากทรงกลดอยู่ หิ่งห้อยตัวน้อยแข่งกันกระพริบแสงวิบวับ ยามมิได้ประสบพบรัก ก็มิมีแม้แต่จะแผ้วพาน หากยามจะมี ก็ดันเข้ามาถึงสอง พระกามเทพทำไมท่านต้องทำให้วุ่นวายใจด้วย จะทำอย่างไรดี นึกๆแล้วก็ทรงขันในพระชาตาชีวิต จากราชนัดดาแห่งบาดาล ต้องมาอยู่เมืองมนุษย์เพื่อร่วมศึก แถมยังมีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้อง

“ไม่น่าหาเรื่องซนเลยเรา อยู่อย่างเดิมก็คงน่าจะดี”

“พระอารมณ์แจ่มใส” เสียงยียวนกวนโทสะเสียงเดิม ดังขึ้นจากด้านหลัง มิต้องผินพระพักตร์ก็รู้ว่าใครมา คนบ้า ที่แท้ก็มาหลบอยู่นี่เอง

“ก็หายแล้ว ก็ต้องอารมณ์ดีเป็นธรรมดา”

“นึกว่ากินนมพี่กลดของเจ้า แล้วทำให้อารมณ์ดีซะอีก” อัสดงยังมิวายประชดประชัน

“ก็ดีกว่ากินรังแตน มาจากไหนเหมือนเจ้าแหละ นี่มาก็ดีแล้ว ถามหน่อยสิ เป็นบ้าเป็นบออะไร ถึงมาโมโหใส่เรา”

“ใครใช้ให้เจ้าปล่อยให้ไอ้พระจันทร์มันจับมือถือแขน เราไม่ชอบ”

“เจ้าพูดอย่างกับเจ้าเป็นเจ้าของเรางั้นแหละอัสดง เราไม่อยากสนใจแล้ว เชิญงี่เง่าไปคนเดียวเหอะ”

ครั้นพอตรัสจบเจ้าตัวก็เตรียมเดินจากไป แต่อัสดงก็ทำเหมือนเช่นทุกครั้งที่เคยทำ คือดึงร่างนั้นมากอดไว้ อัสดงเตรียมตัวพร้อมเผื่อเจ้านาคน้อยขัดขืน แต่แล้วก็ผิดคาด พระวรกายน้อยๆ กลับนิ่งเฉย แถมยังปล่อยตัวลงมาจนแนบแน่น อัสดงจะรู้ไหม ว่าอ้อมกอดของตนคือสิ่งที่คนตรงหน้าถวิลหา

“หายโมโห หรือยัง”

สีทันดรถามขึ้น แล้วรอยยิ้มกว้างของอัสดงก็คือคำตอบ ไอ้ดื้อเริ่มไม่ขัดขืนแล้วแถมยังแนบศีรษะลงบนอกตน โดยมิได้ร้องขอ มันต้องอย่างนี้สิ

“ทีนี้ ก็บอกเราได้แล้ว ว่าเจ้าจะคุยอะไรกับเรา อัสดง”

“หึ ไม่มีหรอก ก็แค่อยากหาเรื่องอยู่กับเจ้าสองต่อสอง”

“ทำไมถึงอยากอยู่กับเราสองต่อสอง”

“แล้วทำไมถึงไม่อยากอยู่กับเราสองต่อสอง” เจ้าพระอาทิตย์น้อยยังคงกวนตะกอน

“ขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วยแล้ว เอาล่ะเราเข้าเรื่องเองก็ได้ ตอนที่สู้กับพวกวิทยาธร ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเราสำคัญกับเจ้าที่สุด”

“ถ้าไม่มีเจ้า แล้วใครจะรักษาเอราวัต”

อัสดงตอบได้ง่ายรวดเร็ว ดวงพักตร์ของสีทันดร งองุ้ม ได้รวดเร็วเช่นกัน เพราะคำตอบที่ได้ ไม่ตรงกับพระทัยที่คิด ครานี้พระวรกายสะบัดออก

“ นี่เจ้าเห็นแค่เรามีประโยชน์”
 
“ใช่”

“ไอ้บ้า เราไม่คุยกับเจ้าแล้ว” สุรเสียงใส แหวขึ้นได้โดยมิต้องมีใครร้องขอ

“เดี๋ยวสิ ล้อเล่นน่า .....ถ้าเราเห็นเจ้าแค่มีประโยชน์เราคงไม่ทำแบบนี้หรอก” จมูกงามคมสันซบลงตรงพระเกศา นาคาน้อยที่แข็งขืนสงบลงอีกครา

“สีทันดร เจ้าไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าเรารู้สึกอย่างไร”

“เราอ่านใจคนไม่เก่ง รู้สึกอย่างไรก็พูดมาซะสิ”

“บอกตอนนี้มันก็หมดสนุก เร็วไป ดูการกระทำของเราดีกว่า เจ้าจะได้รู้ว่า เวลาเราบอกความในใจ เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” คงสากมนที่มีไรหนวดแข็งของวัยหนุ่มน้อย เริ่มคลอเคลียทั่วพระศอสีเศวต เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ 

 “ก็ได้เราจะรอวันนั้น อัสดง......แล้วเจ้าทูลขอพรอะไร พระแม่เจ้า”

“อยากรู้ก็ไปทูลถามเอา” เสียงกระซิบอ่อนหวาน ซ่านผ่านพระกรรณ เสนาะโสตยิ่งนัก “ไปนั่งคุยกันตรงนู้นดีไหม สีทันดร เงียบดี ขืนเราอยู่กันตรงนี้ เดี๋ยวพี่กลดของเจ้าจะมาเห็น เจ้าคงไม่ชอบใจ”

“หยุดซะทีเหอะ พูดจากระแทกแดกดันอย่างนี้ ถ้าขืนยังทำอีกเรากลับขึ้นห้องจริงๆด้วย”

“ครับ ไม่พูดก็ได้ ไปนั่งกันตรงนู้นเหอะ นะ” อัสดงชี้ไปทางมุมมืดริมศาลา แล้วพาเจ้านาคาน้อยเดินไปตรงที่ที่ว่านั้น สายตาก็พลันชำเลืองไปเห็นสิ่งหนึ่งที่สีทันดรถืออยู่ “นั่นถือขวดอะไรอยู่”

“อ๋อพี่กลดให้มา หิ่งห้อยน่ะ สวยดีเจ้าว่าไหม” เจ้านาคน้อยชูอวดขวดแก้วใส ที่มีหิ่งห้อยเกาะอยู่ด้านใน

“ไม่สวย ทรมานสัตว์ ปล่อยมันไปเหอะ ดูพวกมันตามธรรมชาติสวยกว่า” อัสดงแย่งขวดแก้วมาจากหัตถ์ แล้วเปิดฝาขวด หิ่งห้อยตัวน้อยพรั่งพรูบินออกมาโดยรอบคนทั้งสอง ดูงามตระการตากว่าอยู่ในขวดแก้วดังที่อัสดงว่าจริงๆด้วย

“โอ้โห มันสวยกว่าอย่างที่เจ้าว่าไม่มีผิด”

“ไปกันเถิดสีทันดร เราอยากคุยกับเจ้าจะแย่อยู่แล้ว”

อัสดงตัดบทฉุดข้อพระกร เดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น ครั้นพอถึงที่หมายตา ปากที่บอกว่าอยากคุยก็ไม่คุยดังว่า กลับประกบลงมาบนริมโอษฐ์

“ไหนว่าจะนั่งคุยไง” นาคาน้อยทักท้วงเบาๆแต่ก็ไม่ขัดขืนประการใด

“นี่แหละวิธีคุยของเรา สีทันดร”

บรรยากาศหนาวยะเยียบยามค่ำคืน อบอุ่นไปด้วยรัศมีสีกุหลาบจากหนึ่งเทวะและหนึ่งนาคา พระจันทร์ดวงกลมโตกลางท้องฟ้าเริ่มสีซีด ดุจเจือไปด้วยความผิดหวังหม่นหมอง เพราะหัวใจและเส้นทางของทั้งคู่เริ่มบรรจบเป็นหนึ่งเดียว

เพราะรัก จึงสัมผัส ความสงบ
เพราะรัก จึงพานพบ ความอ่อนหวาน
เพราะรัก จึงได้ยล ความตระการ
เพราะรัก จึงขับขาน ....ยอดฤทัย

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๙ นะคะ

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกๆท่านมากๆนะคะ ที่ยังติดตามอ่าน ยังถามถึง และให้กำลังใจเสมอมา สวัสดีค่ะ  :กอด1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๘ เราสองสามคน อัพ ๑๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 18-05-2019 21:03:18

เขาได้กันแล้ว….     ยัง!!    :laugh:



ตามต่อ ๆ

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 27-05-2019 17:25:51
บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า

อรุณรุ่งแล้วอณูแห่งเทวะผู้เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างทั้งมวล ยังคงนอนคุดคู้อยู่บนเตียงหนานุ่ม เพราะเมื่อคืนกว่าจะเข้านอนได้ ก็ปาไปหลังเที่ยงคืน ทรงกลดกับเอราวัต ลุกไปเสียตั้งแต่เช้ามืด เพราะนัดกันไว้ว่าเช้านี้จะไปใส่บาตรไล่เคราะห์ไล่โศก ส่วนอัสดงก็ยังตกอยู่ในภวังค์ของฝันหวาน ริมโอษฐ์ที่จูบลงไปเมื่อคืน ฉ่ำหวานเสียยิ่งนัก

กลิ่นพระวรกายหอมกรุ่นยังคงติดตัวไม่จางหาย ริมโอษฐ์นุ่มบางเบา เสมือนประกบอยู่ ค่ำคืนที่หวานซึ้งยังคงอยู่ในห้วงคำนึง อัสดงจำได้ว่าแขนทั้งสองข้างของเขาทั้งกอดทั้งรัดแลเจ้าตัวก็มิขัดขืนประการใด แต่พอจะลุกล้ำไปมากกว่านั้น เจ้านาคาตาสวยก็บ่ายเบี่ยง เอียงอาย

“พอก่อนเถิด อัสดง เรายังไม่เคย”

“เราก็ยังไม่เคยเหมือนกัน สีทันดร” คำว่าไอ้ดื้อ เลือนรางจางหาย ไปอีกครา ถูกแทนที่มาด้วยพระนาม “สีทันดร” ที่กล่าวมาด้วยน้ำเสียงหวานยิ่งกว่าหวาน

“งั้นก็อย่าเพิ่งเลยดีกว่า อีกอย่าง ชายกับชาย มาทำแบบนี้ เราก็รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ เราว่า เราไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เราค่อยเจอกันนะอัสดง” สีทันดรตรัสจบก็ค่อยๆ ออกจากอ้อมกอดของอัสดง รัศมีเขียวนวลเจือทองที่บัดนี้ถูกกลืนด้วยสีชมพูปนกุหลาบ เปล่งประกายลอยวาบพุ่งตรง ละลิ่วสู่หน้าประตูห้องบรรทม ครั้นพอจะแทรกกายเข้าไปด้านใน รัศมีสุกใสสีแดงจ้า ก็เข้ามาขัดขวางไว้ ครอบคลุมรัศมีเทวนาคาไว้แน่น ทั้งสองคืนร่าง ยืนหยัดอีกครา

“เรายังไม่อนุญาตให้เจ้านอนเลยนะสีทันดร”

“แต่เราง่วงแล้ว”

“งั้นก็ไปนอนด้วยกัน” ความพยายามอยู่ที่ใด ชยะ หรือความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกล อัสดงจึงไม่ลดละ

“ไม่ ....อย่าเซ้าซี้น่า เดี๊ยวเหอะ เดี๊ยวก็โดนดีหรอก เห็นยอมนิดยอมหน่อยอย่าทำมาได้ใจนะ”

“อะๆๆ ก็ได้ ปล่อยให้ไปนอนก็ได้ แต่ต้องมีข้อแม้” ดูเถิดคนอะไร ทั้งๆที่ตัวเอง กำลังรังแกเขาอยู่ จะปล่อยคนที่ถูกรังแกทั้งทีก็ต้องมีข้อแม้ พวกเทวะบนสวรรค์นี่ เกเร ร้อยเล่ห์จริงๆ

“ข้อแม้อะไร มิทราบ” พระสุรเสียงสูงขึ้นพลัน ตรัสถามอย่างรวดเร็ว

“เจ้าต้องฝันถึงเรา”

“ไอ้บ้า ไม่มีทาง”

อัสดงยังคงค้างกับภาพและบทสนทนาเหล่านั้นเป็นแน่แท้เพราะขณะนี้เจ้าตัวเริ่มก่ายกอดหมอนข้างแน่น ปานประหนึ่งเจ้านาคาตาสวยยังอยู่ในอ้อมกอดนั้น แสงแดดแรงจัด เริ่มสาดส่องทะลุม่าน ความฝันเลือนราง จางหาย พอลืมตาขึ้น ก็พบว่าสิ่งตนก่ายกอดอยู่เป็นเพียงหมอนข้าง ความงัวเงีย ถูกสลัด เพราะหัวใจกำลังร่ำร้องอยากเจอตาฟ้าครามคู่งาม เขาจึงรีบจัดการอาบน้ำชำระร่างกาย และแต่งตัวดีกว่าทุกๆวันที่เคยผ่านมา ยามมีความรัก ก็เป็นแบบนี้แหละ ต้องดูดีที่สุดใครบ้างเล่าไม่เป็น

“สีทันดร ตื่นหรือยัง”

อัสดงบัดนี้มายืนอยู่หน้าห้องบรรทม เคาะประตูเรียกเจ้านาคาตาสวย มิช้านานเสียงใสเคยคุ้นก็ดังขึ้น แต่เสียงนั้น แทนที่จะมาจากในห้องกลับกลายมาทางด้านหลังเขาเสียนี่

“ตื่นตั้งนานแล้ว เจ้าแหละ มัวแต่ตื่นสาย”

อัสดงหันขวับเหลียวมอง ก็พบว่าคนที่ตนร้องเรียก ประทับยืนอยู่ด้านหลัง กรกอดพระอุระเช่นเคย วงพักตร์เชิด หยิ่งทระนงในศักติแห่งเทวะนาคายังมีเหมือนเดิม หากแต่ที่แผกตาไป คือเจ้าตัว แต่งองค์ด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่  ใส่เสื้อยืดลายสกรีนตามสมัยนิยม รับกับกางเกงยีนส์ น่าดู น่ามอง เจ้าดื้อไปหามาใส่ได้อย่างไรนะ

“อ้าว เฮ้ย ทำไมแต่งตัวแบบนี้”

อัสดงมองจนตาค้าง ปกติเจ้าดื้อนี่ก็น่ามองอยู่แล้ว ตอนอยู่ในภูษาทรงเยี่ยงยุวกษัตริย์ ก็ต้องเรียกว่าหล่อเกินเทวบุตรในสามโลก เหมือนจะสัมผัสไม่ได้ เอื้อมไม่ถึง แม้เขาจะเป็นอณูแห่งสุริยเทพก็ตาม หากพอมาแต่งตัวแบบวัยรุ่นสมัยใหม่ ยิ่งต้องตายิ่งขึ้น เหมือนคนธรรมดา จับต้อง ไขว่คว้า มากอดได้อย่างสนิทใจ

       งามเอ๋ย งามนักเจ้านาคน้อย
งามเอ๋ย เจ้างามลอยสิเน่หา
งามเอ๋ย เจ้างามเหยียบสามโลกา
งามเอ๋ย เจ้าตาฟ้าหาใครเกิน

รัศมีเขียวนวลเจือทองจางหายแล้ว เจ้านาคาตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาคนหนึ่ง หากใครพบเห็น คงเหลือไว้แต่พระเกศายาวซึ่งถูกรวบไว้ด้านหลัง กลางนลาฏยังไว้ซึ่งรัดเกล้านาคาไขว้เศียร

“พี่กลดกับพี่เอราวัตหามาให้ พี่เขาอยากให้เราแต่งตัวและอยู่อย่างคนธรรมดา ตบตาพวกมารและอสูรน่ะ เพราะไหนๆ เราก็ต้องอยู่เมืองมนุษย์ จนกว่าศึกจะจบนี่”

“แล้วไปเอาเสื้อใครมาใส่ ....ไอ้สองคนนั้น ตัวมันโตแล้ว คงไม่ใช่เสื้อผ้าพวกมัน”

“ของพี่กลดตอนอายุสิบห้าไง สวยไหม”

“ผู้ชายเขาต้องเรียกว่าหล่อ ไม่ได้เรียกว่าสวย ....แต่สำหรับเจ้า จะใช้คำนั้นก็ได้ เพราะเจ้ามองได้แบบนั้นจริงๆ ใครเห็นก็ถูกใจ” ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแย้มยิ้ม ดวงตาสีอำพันฉายแววซุกซน หยอกล้อพระเนตรฟ้าครามที่อยู่ตรงหน้า อยากจะดึงเข้ามากอดเสียจริง

“ใครบ้างล่ะ ที่ว่าไหนลองบอกเรามาสิ”

“ก็ แถวๆนี้แหละ ยิ่งตอนโดนแกล้งจนร้องไห้ ยิ่งน่า....”

“น่าอะไร บอกมานะ”

“น่าจูบ”

“พูดอะไรก็ไม่รู้ ...” รอยลักยิ้มข้างแก้มปรากฏ ภาษามนุษย์เรียกว่าเขิน พระปรางใสเจือระเรื่อด้วยสีแดง

คนเกเร ขี้โมโหคนนี้ พูดหวานๆเป็นกับเขาก็ได้ ถ้าดวงอาทิตย์ฉายฉานรังสีแห่งความสุขอย่างนี้ตลอดก็คงดี หัวใจคงอบอุ่นตลอดกาล แต่ทำไมปากแข็งนักก็ไม่รู้

“ถ้าจะให้ดี ถอดรัดเกล้าออกด้วย จะได้ดูสมจริง ”

สีทันดรนึกได้ตามคำบอก สะบัดพระเศียรชั่วแวบ แค่นั้น รัดเกล้ามลายหาย “สมจริงหรือยัง”

“เออ ค่อยดีหน่อย เอ๊ะ แต่ไหนเข้ามาใกล้ๆสิ เหมือนเสื้อจะขาดนะ ไหนขอดูหน่อย”

หากสีทันดรเฉลียวพระทัยสักนิด หันมามองหน้าอัสดงก็คงจะรู้ว่า ตนกำลังจะโดนหลอก แต่เจ้าตัวก็ไม่ทันระวังพระองค์ จึงเยื้องกายเข้าไปใกล้ จนตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดง ที่รอท่าอยู่แล้ว

“เอาอีกแล้ว ชอบทำแบบนี้ เกลียดนักเชียว เจ้าเล่ห์ มารยา ไม่มีใครเกิน” สีทันดรพยายามสะบัดองค์ออกแต่ยิ่งสะบัดก็ยิ่งถูกรัดแน่น

“ถ้าขอดีๆ จะยอมไหมล่ะ”

“แล้วแต่อารมณ์ ปล่อย นี่มันกลางวันแสกๆนะ เดี๋ยวใครมาเห็นจนได้”

ยังไม่ทันสิ้นพระดำรัส เอราวัตที่หายดีแล้ว ก็โผล่หน้าเดินขึ้นมา เห็นภาพชุลมุนตรงหน้า สองคนนี่คงไม่ตีกันธรรมดาๆ แน่แล้ว

“ฮั่นแน่ ทำอะไรกันน่ะ เผลอแป๊บเดียวแอบมากอดกันอยู่ตรงนี้เอง”

“เอ่อ ไม่มีอะไรน่ะ เล่นกันเฉยๆ” อัสดงกำลังตอบเอราวัตแก้เก้อ สีทันดรได้โอกาส ตอนอัสดงเผลอ สะบัดตัวออกพลัน
 
“เห็นไหมล่ะ อายเขาไหม”

“แน่ใจนะว่าเล่น อย่าลืมนะโว้ย ว่าฉันอ่านใจออก ฉันรู้นายคิดอะไร อัสดง เบื่อนักไอ้พวกปากแข็งนี่”

“เออ รู้แล้วก็เงียบๆไว้ ....แล้วไอ้กลดไปไหน”

“มันอยู่ข้างล่าง ตรงสวนริมคลอง มันให้ฉันมาตามนาย จะให้ช่วยไปดูอะไรหน่อย” สีหน้าท่าทางของพระพุธเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที อัสดงรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติไม่อย่างนั้น ทรงกลดคงไม่ให้เอราวัตมาตาม

“อะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้น”

“ เอาน่า ตามมาแล้วจะรู้เอง”

เอราวัตพาอัสดงกับสีทันดรลัดเลาะร่องสวนมาสักครู่ และก็มาถึงจุดที่ทรงกลดกำลังนั่งรออยู่ ทีท่าครุ่นคิดของจันทรเทพ ทำให้อัสดง รู้ได้โดยพลันว่า คงมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว

“อ้าว มาพอดีอัสดง นายดูรอยเท้านี่หน่อยสิว่า มันเป็นรอยเท้าอะไร”

อัสดงมองไปยังพื้นดินริมตลิ่งที่ทรงกลดชี้ให้ดู พื้นดินที่อ่อนนุ่ม ใครเหยียบก็ต้องทำให้เกิดรอย ไม่น่าสนใจอะไร หากถ้าพิจารณาให้ดี รอยเท้าที่มองเห็นอยู่นั้น ใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาสองสามเท่า และที่สำคัญ มีรอยเล็บจิกดินเต็มอยู่ทั่ว อัสดงขณะนี้ มีสีหน้าไม่ต่างอะไรกับทรงกลด ร้องออกมาเบาๆ “อมนุษย์”

“รอยเท้ายังไม่เท่าไหร่ แต่ดูนี่สิ”

อัสดงหันตามไปมอง ก็ต้องตกใจ เพราะบริเวณริมตลิ่งตรงนั้น เต็มไปด้วยเลือดสีแดงข้นกระจายเปรอะเปื้อนอยู่โดยรอบ

“หวังว่าคงไม่ใช่เลือดคนนะ”

“ไม่ใช่หรอก นี่ซากติดอยู่บนคาคบไม้นี่” ทรงกลดบุ้ยปากให้อัสดงดูซากที่ติดอยู่บนคบไม้ต้นหนึ่งริมตลิ่ง ซากนั้นมองดูก็รู้ว่าเป็นไก่ แต่สภาพน่าสยดสยอง เครื่องในถูกควักออกมากินเสียหมดสิ้น “รอยยังใหม่ๆเลย เห็นทีจะไม่เกินตอนเช้ามืดที่ผ่านมานี่เอง”

“คงเป็นอมนุษย์หรือไม่ก็อสุรกาย อย่างที่อัสดงว่า พิจารณาจากรอยเท้า คาดว่าคงจะตัวใหญ่น้องๆยักษ์เลยทีเดียว แต่ทำไมมันต้องเอาซากไก่ไปวางไว้บนต้นไม้ด้วย” เอราวัตกล่าวแสดงความเห็น ซึ่งเขาเองก็รู้สึกสยดสยองไปไม่น้อยกว่า อัสดงกับทรงกลด

“มันคงโยนทิ้งไว้แหละหลังจากกินไก่ตัวนั้น แต่คาดว่าตัวมันคงสูงเทียมยอดไม้เลยทีเดียว เวลาโยนซากทิ้งถึงได้ติดอยู่บนนั้น นี่โชคดีที่เรากั้นเขตอาคมกันไว้หนาแน่น เพราะมิฉะนั้น เราคงเหนื่อยกันแน่เมื่อคืน”

“แต่ทำไมเมื่อคืนเราไม่รู้ตัวกันเลย”ทรงกลดพึมพำมาอย่างขอความเห็น

“เพราะว่าเมื่อคืนเราเหนื่อยอ่อนกันนะสิ กระแสจิตพวกเราเลยจับตอนที่มันเข้ามาไม่ได้ เอราวัตก็เพิ่งฟื้น ฉันกับนายก็อ่อนกำลังนี่ ใช่ไหมไอ้กลด”

“เราคงต้องเตรียมรับมือกันอีกครั้ง นี่กลด นายควรจะกั้นเขตอาคมอีกครั้ง กันเอาไว้ดีกว่าแก้ ลองถ้ามันกล้ามาเหยียบจมูกพวกเราแบบนี้ คาดว่ามันคงมีฤทธิ์พอตัวทีเดียว” อัสดงบอกกับทรงกลดซึ่งเขาก็เห็นด้วย โดยมิรอช้า อำนาจแห่งจันทรเทพ เปล่งประกายรัศมีเหลืองนวลพุ่งกว้าง ครอบคลุมบริเวณบ้านทั้งหมดอีกครา

“คืนนี้ฉันจะมาซุ่มดู หากมันมาอีก จะได้จัดการ ฉันแน่ใจทีเดียวว่า ต้องเป็นพวกมาจากนรกภูมิ เมื่อคืนมันคงพลาดท่า แต่คืนนี้มันต้องมาอีกแน่ๆ และที่สำคัญอาจจะไม่ได้มาตนเดียว” อัสดงกล่าวกับสหายทั้งสอง ทั้งคู่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ยอมที่จะให้อัสดงจะลงมาซุ่มเผชิญอันตราย จัดการเพียงคนเดียว

“ได้ไงวะไอ้อัสดง แล้วฉันสองคนจะนอนอยู่บนบ้านเฉยๆได้อย่างไร บอกตรงไม่อยากเอาเปรียบนายว่ะ ให้ฉันกับไอ้เอราวัตลงมาด้วยเหอะ” แม้อัสดงจะเป็นศัตรูหัวใจ แต่ยังไงซะเขาก็คือเพื่อนคนหนึ่ง

“จริงอย่างที่ไอ้กลดบอก”

“นี่ๆๆ พวกเจ้าสามคน กำลังลืมเราอีกคนหนึ่งนะ เราก็เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มเหมือนกัน” สีทันดรแย้งขึ้นมาในทันที ลืมใครไม่ลืม ดันมาลืมเรา

“พอเลยไอ้ดื้อ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” คราวนี้อัสดงเสียงเข้ม เพราะเกรงว่าหากไอ้ดื้อลงมาซุ่มดูอยู่ด้วย อะไรที่ง่ายๆ กลับอาจจะวุ่นวาย ดูท่าที่รักของเขา ถนัดนักที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้อิทธิฤทธิ์มันจะมากก็เถอะ แต่เรื่องอะไร จะให้หัวใจตนเข้ามาเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์ หากพลาดพลั้ง เขาคงไม่ทรมานใจแย่เหรอ

“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ” สุรเสียงแหลมขึ้น แย้งมาโดยทันที

“น้องดื้อ พี่ว่าเชื่อพวกพี่สักครั้งเถอะ อย่าลงมาเลย มันอันตราย อยู่บนบ้านดีกว่า พี่คาดว่าอสุรกายตัวนี้ คงไม่ธรรมดา เพราะมันสามารถมาถึงบ้านพี่ได้ แถมดูท่ามันคงกระหายเลือด คงหลุดมาจากขุมนรกที่ลึกที่สุด เป้าหมายของมันคงไม่แคล้วพวกเรา อย่าให้พวกพี่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเลยนะ เชื่อพี่กลดสักครั้งนะครับ” คราวนี้ทรงกลดเห็นด้วยกับอัสดง ทำให้พระพักตร์จากคนที่ถูกหาว่าเป็นเด็กคว่ำลงทันใด

“ถ้าไม่ให้เราลงมา เราจะไปบอกพญายมราช ให้มาจับพวกนี้กลับไป เราดูแลตัวเองได้ พวกเจ้าคิดมากไปหรือเปล่า อย่าลืมสิ เราเป็นนาค ภูตผีและอสุรกายทำอะไรเราไม่ได้หรอก นะๆ พี่เอราวัตช่วยพูดหน่อย” คราวนี้ทรงหันไปหาที่พึ่งสุดท้ายคือเอราวัต แต่แล้วคำตอบที่ได้ก็ไม่สบพระทัย

“พี่เห็นด้วยกับอัสดงและทรงกลดนะ น้องดื้อ อย่าไปกวนท่านพญายมราชเลย ถ้าเป็นอย่างที่อัสดงพูดจริง พี่ว่าอสุรกายพวกนี้คงไม่ธรรมดา ถึงขนาดหนีหลุดข่ายพระญาณมาได้”

“โธ่เอ๊ย พวกเจ้านี่ จะมาห่วงอะไรกับเรานักหนา จะให้เราบอกกี่ครั้งว่า เรา....” สีทันดรกำลังจะตรัสต่อ แต่แล้วก็ต้องหยุดกะทันหัน พระเนตรฟ้าครามเปล่งประกายวาบทันที ที่เสียงกิ่งไม้จากด้านหลังหักลง เสียงสวบสาบเหมือนคนหลบหนีอะไรสักอย่างอยู่หลังพุ่มไม้  หรือไม่ สิ่งนั้นก็มาแอบฟังอยู่นานแล้ว

“นั่นใครออกมาเดี๋ยวนี้”

ไม่มีเสียงตอบรับ สีทันดรไม่รอช้า กระทืบพระบาท เสียงปังดังขึ้น ตามมาด้วยรัศมีแวบวาบสีฟ้าคราม ทำให้พุ่มไม้บริเวณนั้นแยกออกทันที คราวนี้เกิดเสียงร้องลั่น

“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆก่อน ฉันไม่ได้มาแอบฟังนะ”

คนที่อ้างว่าไม่ได้มาแอบฟัง บัดนี้ ถูกรุมล้อมเป็นวงกลม อัสดงคว้าคอเสื้อเขาผู้นั้นขึ้นมา คนคนนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุอานามคงรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ดูจากลักษณะเครื่องแต่งกาย คงไม่ใช่ชาวบ้านแถวนี้ หน้าตาผมเผ้าอย่างกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นวัยรุ่น ใบหน้าเรียบเกลี้ยงเกลา หล่อเหลาลักษณะทีท่าละม้ายคล้ายทรงกลด แต่ท่าจะเฮี้ยวกว่า หน้าตาไอ้โจรแอบฟังนี่มันดีไม่ใช่เล่นแฮะ

“นายเป็นใครวะ มาแอบฟังพวกเราคุยกันทำไม” อัสดงขึ้นเสียงถามเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น ฤา มันจะเป็นมาร แปลงกายมาสอดแนม

“ก็บอกแล้วไงว่า ไม่ได้แอบฟัง แค่เดินเล่นผ่านมา จะมานั่งเล่นตรงริมน้ำ เห็นพวกนายสี่คนทำลับๆล่อๆ เลยกำลังจะหันหลังกลับ”

“นายแน่ใจนะว่าไม่ได้ยินอะไรที่พวกเราพูดถึงเมื่อกี้” ทรงกลดถามขึ้น พยายามเพ่งดูคนนั้น ใครว่า ไม่เคยเห็นแถวนี้ แต่หน้าตาคุ้นๆยังไงไม่รู้ ทว่าพยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก “นายไม่ใช่คนละแวกนี้ นายมาที่นี่ได้ยังไง”

“ก็เดินมา ตอนเด็กๆ ฉันมาเล่นน้ำตรงนี้บ่อยๆ ควรจะถามแหละว่าพวกนายเป็นใคร”

“โกหก ฉันอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เด็ก ทำไมไม่เคยเห็นนาย” ทรงกลดไม่เชื่อคำพูดนั้นแย้งมาทันที

“จะไปโกหกทำไมวะ ก็บ้านยายฉันอยู่ตรงหัวสวนนู่น เด็กๆ ฉันก็ไม่เคยเห็นนายเหมือนกัน ฉันควรจะถามแหละว่านายเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้ไง บ้านหลังนี้ ปิดมาตั้งนานแล้วนี่ พวกนายแหละบุกรุก”

จริงอย่างที่ไอ้คนนี้มันว่า ทรงกลดตรองดู เห็นจะจริง เพราะบ้านของเขาถูกปิดมานาน จนเขากลับมาเรียนที่นี่ ทรงกลดเลยกลับมาอยู่บ้านแม่อีกครั้ง “ปล่อยเขาก่อนอัสดง”

“พวกนายมันอันธพาล ถามคนดีๆเป็นไหม”

“นายหมายความว่านายเป็นหลานยายแจ่มตรงหัวสวนเหรอ”

“เออสิวะ”

“แต่เท่าที่รู้ยายแจ่มไม่เคยมีลูก จะมีหลานได้ยังไง”

“แล้วนายไม่คิดว่ายายแจ่มจะมีพี่สาวหรือน้องสาวเลยบ้างหรือไง ยายของฉันเป็นน้องสาวยายแจ่ม ฉันมาที่นี่ทุกๆปิดเทอม พอใจหรือยัง” แน่ะ ไอ้นี่มันเข้าใจเถียง

ไอ้คนนี้มันคงจะพูดจริง มันคงจะเป็นหลานยายแจ่มอย่างที่มันว่า เขาเองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับบ้านยายแจ่มนัก รู้แต่ว่ายายแจ่มเป็นเจ้าของสวนติดๆกับบ้านแม่เขา ที่ผ่านมาก็แค่คนอยู่บ้านใกล้กัน เรื่องสุงสิงไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่มี ตอนมันมา เขาคงไปเรียนกับพราหมณ์ที่อินเดียแล้วเลยทำให้ไม่พบกัน แต่ถึงกระนั้นทรงกลดก็ยังไม่ไว้ใจ ส่งโทรจิตให้เอราวัตรับรู้

“ เฮ้ย เอราวัต ช่วยอ่านความคิดของไอ้เจ้านี่หน่อย มันมีอะไรน่าสงสัยหรือเปล่า ฉันคุ้นหน้าคุ้นตามันยังไงพิกล”

“ได้สิ กำลังจะบอกอยู่พอดีว่าคุ้นๆหน้ามันเหมือนกัน” เอราวัตรับคำ นิ่งไปชั่วครู่แล้วก็กระซิบกับทรงกลดว่า “ มันชมว่าพวกเราหล่อ แต่ไม่น่าเป็นกุ๊ย ท่าจะดูหนังอสุรกายมากไป”

“แสดงว่ามันได้ยิน” ทรงกลดกล่าวตอบเบาๆ แล้วก็หันมาทางไอ้เจ้าคนต้องสงสัย ซึ่งกำลังจัดเสื้อผ้าจากการถูกยื้อยุดฉุดกระชากให้เข้าที่เข้าทาง

“เอาล่ะ ฉันรู้ว่านายได้ยิน และรู้ว่านายคิดอะไร และก็ต้องขอบใจที่ชมพวกฉันว่าหล่อ แต่ไม่ว่านายจะได้ยินอะไร ฉันขอบอกว่า ให้นายเงียบปากไว้ มิฉะนั้น นายจะเป็นอันตรายเข้าใจไหม นายไม่มีวันเข้าใจที่พวกฉันพูด พวกเราไม่ได้ดูหนังอสุรกายอย่างที่นายกล่าวหา แต่พวกเราขอเตือนนายด้วยความหวังดี ออกไปจากบริเวณนี้ซะ ก่อนจะเอาชีวิตไม่รอด เพราะสิ่งที่นายหัวเราะเยาะ มันมีอยู่จริง”

เด็กหนุ่มคนนี้ รู้สึกประหลาดใจ ที่กลุ่มคนตรงหน้าล่วงรู้ความคิดของเขา ไอ้คนพวกนี้แปลกๆ รีบกลับบ้านดีกว่า ไปให้พ้นจากคนพวกนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนไปเขาก็ทำใจดีสู้เสือ ทิ้งท้ายท้าทาย
 
“นายคิดว่าพวกนายเป็นใครวะ อะไรกันแค่นี้ก็ต้องมาขู่กันด้วย ไม่กลัวหรอกโว้ย ไม่ไปไหนใครจะทำไม ฉัน...นายคืนฉาย ถ้าตัวต่อตัว ไม่มีวันกลัวขออย่าหมาหมู่ก็พอ”

“ปากดีนัก ซัดให้สักทีดีไหม” อัสดงรำคาญเงื้อหมัด แต่เอราวัตห้ามไว้

“อย่าอัสดง มันคนธรรมดาปล่อยมันไปเหอะ”

คนที่แทนตัวเองว่านายคืนฉาย พูดจบก็รีบวิ่งกลับไปทางเดิม ก่อนที่จะโดนรุม ทรงกลดรู้สึกแปลกๆ กับคนคนนี้แต่ก็ไม่กล้าพูด หากแต่เอราวัตกับอัสดง กล่าวมาพร้อมๆกันว่า

“ฉันว่าไอ้คนนี้มันแปลกๆ นะโว้ย”

“คิดเหมือนกันเลย ฉันว่ามันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่พวกเรายังไม่รู้ก็เท่านั้น”

“เฮ้อ ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ แต่ตอนนี้ มีเรื่องน่าหนักใจกว่าอยู่นะ ที่มีมนุษย์มาอยู่ในละแวกที่อสุรกายมาเพ่นพ่าน เราคงจะปล่อยให้คนธรรมดาถูกทำร้ายไม่ได้” เอราวัตทำท่าหนักใจแล้วกล่าวต่อมาว่า “ลำพังเราสามคนคงไม่พอ คืนนี้เราต้องแบ่งกำลังกันเฝ้าดูแล้วล่ะ ส่วนหนึ่งคุ้มกันมนุษย์ อีกส่วนดักไอ้ปีศาจร้ายมันที่นี่ เห็นที น้องดื้อคงได้ช่วยแล้วมั้ง งานนี้”

แม้อัสดงกับทรงกลดจะไม่เห็นด้วยที่สีทันดรจะมาร่วมปราบอสุรกาย แต่ก็ต้องจำนนต่อเหตุผลที่เอราวัตอ้างขึ้น

“ไง เห็นไหมล่ะ ในที่สุดทุกคนก็ยอมให้เรา” สีทันดรเลิกพระขนงเอียงพระศออย่างมีชัย ท้ายสุดแล้ว เคยมีใครห้ามอะไรตนได้เสียที่ไหน

อัสดงกับทรงกลด ถอนหายใจพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย เหตุการณ์พาไป จำให้ไอ้ดื้อของพวกเขา ต้องเข้ามาร่วมด้วย คงได้ทีหาเรื่องสนุกล่ะสิไม่ว่า ทรงกลดรีบกระซิบกระซาบกับอัสดงว่า “ เดี๋ยวเรามาตกลงเรื่องน้องดื้อกัน ทำไงดี ท่าทางคงป่วนแน่ๆ”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 27-05-2019 17:27:34
“เออได้ ...ไอ้พระพุธนะไอ้พระพุธไม่น่าชี้โพรงให้พญานาคเล้ยยย พับผ่าสิ”

“กระซิบกระซาบอะไรกันน่ะ อย่าบอกนะว่า กำลังวางแผนสกัดเรา” สีทันดรเห็นทั้งสองกระมุบกระมิบกระซิบกระซาบ เริ่มแผดเสียงอย่างไม่พอพระทัย หันมาตั้งใจจะเล่นงานคนทั้งสอง อัสดงกับทรงกลดแตกฮือ รีบวิ่งหนีขึ้นบ้าน ก่อนจะโดนเล่นงาน

“ไปก่อนละโว้ย ไอ้เอราวัตตามมาเร็วๆนะ”

เอราวัตทำท่าจะวิ่งตาม แต่เจ้านาคาน้อยคว้าแขนหมับเข้าให้ “ บอกมานะพี่เอราวัต สองคนนั่นวางแผนอะไรกัน จะไม่ยอมให้เรามาร่วมด้วยใช่ไหม พี่อ่านใจคนออก บอกเรามา”

“พี่ไม่รู้ น้องดื้อไปถามไอ้อัสดงกับไอ้ทรงกลดเองเหอะครับ พี่ไปก่อนล่ะ” เอราวัต วิ่งตามไปบ้างติดๆ สีทันดรเม้มพระโอษฐ์ ยืนกำพระหัตถ์นิ่ง นึกในพระทัย
 
“คอยดู๊ คอยดูเถอะ ขัดขวางกันดีนัก ถ้าลีลาไม่ยอมให้เราไป เดี๋ยวคืนนี้จะป่วนให้ดู ไม่รู้จักสีทันดรซะแล้ว”

เด็กหนุ่มน้อยหรือ คืนฉาย เมื่อหลุดพ้นจากคนที่ตนกล่าวหาว่าเป็นอันธพาล ก็วิ่งอย่างสุดชีวิตมาหยุดพักที่บันไดหน้าบ้านตน อย่างที่บอกตัวต่อตัวไม่กลัว ต่อยกันก็ยังได้ แต่ท่าทางไอ้พวกนั้น มันคงจะรุมเขาแน่ คนอะไร หน้าตาก็ดีกันหมด แต่นิสัยไม่ไหว แถมยังพูดอะไรบ้าๆบอๆ

“ เฮ้อ เป็นวันซวยอะไรของเราวะ เจอพวกอันธพาล ลิเกหลงโรง”

คืนฉายยังนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่เดิมสักพักแล้วก็ได้ยินเสียงเรียก ของยายแจ่ม ดังมาจากบนบ้าน “ ฉายเอ๊ย อยู่ไหมลูก ...ไปไหนเสียละนี่”

“ครับยาย ผมอยู่ข้างล่างนี่ ....ยายมีอะไรเหรอ”

“แล้วไปทำอะไรอยู่ข้างล่างล่ะลูก ขึ้นมาบนบ้านนี่ มาหายายหน่อย มีคนมาหา”

ใครกันมาหาเขา อุตส่าห์หลบมาอยู่บ้านสวนแล้วสิ ใครกันนะตามมาถึงนี่ได้ สิ้นเสียงเรียกของยาย คืนฉายหรือฉาย ก็ขึ้นบ้านและก็พบว่าคนที่นั่งคุยอยู่กับยายแจ่ม ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ที่แท้ก็คือ พี่หนึ่ง รุ่นพี่ที่คณะเขาเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างพี่หนึ่งกับเขา มีน้อยคนที่รู้ว่ามันเกินกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง เกินคำว่าพี่ชาย น้องชาย เขาทั้งสองมีอะไรกันลึกซึ้งหลังจากเขาเข้าปีหนึ่งได้ไม่นาน ด้วยความที่เขายังเด็ก และรูปร่างหน้าตาใครเห็นก็พึงใจ คืนฉายจึงเลือกที่จะสนุกเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เท่านั้นก็พอแล้ว แต่สลัดอย่างไร พี่หนึ่งก็ไม่ยอมไปจากชีวิตเขาซะที มิรู้จะสิเน่หาอะไรในตัวเขานักหนา

“นี่ไง ตาฉายมาแล้ว งั้นยายไปก่อนนะ วันนี้วันพระ ยายจะต้องไปถือศีลที่วัด แต่ยังไม่แน่ว่าจะค้างหรือเปล่า เดี๋ยวยายโทร.มาบอก ฝากบ้านด้วยตาฉาย กับข้าวกับปลายายทำไว้ให้หมดแล้ว ตอนเย็นถ้ายายไม่กลับก็อุ่นกินเอาแล้วกัน”

“ครับยาย” คืนฉายรับคำ ครั้นพอคล้อยหลังยายแจ่ม คืนฉายก็เปิดศักราชรวน

“พี่หนึ่งมาได้ยังไง” วันนี้ท่าจะเป็นวันซวยของเขาเป็นแน่แท้ พึ่งหนีจากกลุ่มเด็กบ้ามาได้ ก็ต้องกลับมาเจอคนที่เขาหนีมาอีก

“พี่ไปหาฉายที่บ้านมาน่ะ แม่ฉายบอกว่า ฉายมาที่บ้านคุณยายแจ่ม ท่านเลยเขียนแผนที่ให้พี่มาหาฉายที่นี่ พอดีพี่มีเรื่องด่วนอยากจะคุยกับฉาย โทร.เข้ามือถือ ฉายก็ไม่รับ”

“เรื่องอะไรอีกพี่ เราคุยกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ วันนี้ฉายเจอเรื่องแย่ๆ มามากพอ และฉายก็ไม่มีอารมณ์อยากจะคุยกับใครแล้ว พี่กลับไปเหอะ” คืนฉายแสดงทีท่ารำคาญคนที่อยู่ตรงหน้า แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด โธ่ แม่นะแม่ ไปบอกเขาทำไมว่าฉายอยู่นี่ แล้วนี่พี่หนึ่งเขาบอกอะไรแม่เรื่องความสัมพันธ์หรือเปล่า

“พี่ทำอะไรผิดฉาย ถึงได้หลบหน้าพี่”

“พี่หนึ่ง ฉายบอกแล้วไงว่าฉายเบื่อ พี่เลิกตอแยกับฉายซะทีได้ไหม ที่ผ่านมาพี่ก็ได้จนคุ้มเกินคุ้มแล้ว” คืนฉายคงสุดจะทน ตะเบ็งเสียงออกมาลั่น

“แต่ฉายอย่าลืมนะว่า ที่ฉายได้เป็นเดือนคณะ ฉายได้ทุน และอะไรอีกหลายๆอย่าง มันก็เป็นเพราะพี่สนับสนุน”

“พี่ต้องการอะไร พี่บอกฉายมาเลย ฉายจะคืนให้ จะได้เลิกแล้วต่อกัน”

“ฉายก็รู้ว่า พี่มาหาฉายเพราะต้องการอะไร พี่รู้ดี ว่าพี่คงจะบังคับอะไรฉายไม่ได้ พี่เลยจะมากวนฉายเป็นครั้งสุดท้าย คืนสุดท้าย พี่อยากจะจำฉายไว้ในความทรงจำให้นานที่สุด ก่อนที่เราจะไม่ได้เป็นอะไรกันอีก”

หยาดน้ำใสๆ คลอหน่วย เสียงของหนึ่งเริ่มสะอื้นแต่กลั้นไว้ ถึงฉายจะทำให้เขาเจ็บ แต่เขาก็ไม่เคยโกรธ อะไรที่ฉายทำแล้วมีความสุข เขายอมได้เสมอ

คืนฉายเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า เริ่มจะร้องไห้ ก็คิดได้ หนึ่งอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงนี่ เพราะคิดถึงเขา หากครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่หนึ่งจะมาพัวพัน เขาคงจำต้องยอม

“ก็ได้พี่หนึ่ง หากมันจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเราสองคน”

อัสดง ทรงกลด และเอราวัต เมื่อขึ้นบ้านมาได้ ก็นั่งจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องวิธีการรับมือเจ้าอสุรกายซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนาๆ

“นายแน่ใจนะ ว่าคืนนี้มันจะมาอีก อัสดง” ทรงกลดถามขึ้น

“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีก เมื่อคืนมันเข้ามาไม่ได้ คืนนี้มันคงไม่ยอมแพ้ แต่ฉันกลัวอีตรงที่ มันจะพาเพื่อนพ้องของมันมาด้วย ลำพังพวกเราฉันไม่ห่วงหรอก ห่วงก็แต่พวกมนุษย์ที่อยู่ละแวกนี้ หากพวกมันได้รับคำสั่งจากใครคนใดคนหนึ่งส่งมาทำร้ายพวกเรา ไหนๆเมื่อมันมีโอกาสขึ้นมาแล้ว มันคงไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านพ้นไป มันคงหาอาหารไปด้วยเป็นแน่ แล้วนายรู้ไหมว่า แถวๆนี้มีบ้านคนตั้งอยู่กี่หลัง ไอ้กลด”

“หลังเดียว ไม่รวมบ้านฉันก็บ้านยายแจ่มแหละ”

“ถ้างั้นก็อย่างที่ฉันบอก แบ่งกำลังเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกซุ่มดูอยู่ที่นี่ ฝ่ายที่สอง ไปซุ่มที่บ้านยายแจ่มเผื่อมันไปหาอาหาร”เอราวัตเสนอขึ้น “เราแบ่งกำลังเป็นฝ่ายละสองคนดีไหม”

“นี่นายจะยอมให้น้องดื้อเข้ามาเสี่ยงด้วยจริงๆเหรอ มันอันตราย” จนแล้วจนเล่าทรงกลดมิยอมตกลงปลงใจ เท่าใดนัก เฉกเช่นเดียวกับอัสดง

“ถึงเจ้าตัวเขาบอกว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่สีทันดรยังเด็กนัก มองเห็นทุกสิ่งเป็นเรื่องสนุกไปหมด หากพลาดพลั้งจะแย่ ด้วยเหตุนี้แหละฉันเลยอยากปรึกษาพวกนายว่าจะเอายังไงดี”

“แต่เราจำเป็นอัสดง กำลังเราไม่พอ เชื่อเหอะ อย่างสีทันดรน่ะ เอาตัวรอดได้สบายๆ สำคัญตรงที่คนที่ไปเฝ้ากับสีทันดร ต้องเข้มงวดมากหน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งก็คงเป็นนายสองคน คนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ฉัน เพราะฉันชอบตามใจ หากไปซุ่มดูอยู่กับน้องดื้อสองต่อสอง คงไม่พ้นพากันก่อเรื่องเท่านั้น ว่าแต่ พวกนายว่ามั้ยว่า น้องดื้อน่ะมาแต่งตัวแบบนี้น่ารักนะโว้ย ...อีกอย่างบอกตรงๆว่ากลัวไขว้เขวว่ะ แม้น้องดื้อจะเป็นผู้ชายก็เหอะ ดีไม่ดี เผลอไปลวนลามน้องเขาเข้า ฉันอาจจะโดนนายสองคนรุมกระทืบ”

เอราวัตกล่าวขึ้นเป็นการเป็นงานในตอนแรกแต่ตอนท้ายก็ยังไม่วายพูดเล่นตามประสาเด็กหนุ่มที่รักสนุกช่างเจรจา คงจะจริงอย่างที่เจ้าตัวรู้ตัวเองและยอมรับมาว่า หากตนไปเฝ้ากับน้องดื้อ คงก่อเรื่องวุ่นๆแน่ๆ 

“พอเลยไอ้เอราวัต ดีแล้วที่รู้ตัวเอง ขอบอกตรงนี้เลยว่า ห้ามยุ่งกับไอ้ดื้อเป็นเด็ดขาด”

“อะไรวะ อัสดง นิดๆหน่อยมาทำเป็นหวง นายไม่ได้เป็นอะไรกับน้องเขาสักหน่อย ใช่ไหมวะกลด” เอราวัตแกล้งกระเซ้าอัสดงเล่น

“เออใช่ ....นายจะทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปทำไมวะ นายไม่คิดบ้างเหรอว่าคนอื่นเขาอาจจะชอบน้องดื้อบ้างก็ได้” ทรงกลดได้ที เสริมขึ้นทันควัน อัสดงได้ฟังก็ไม่ค่อยจะพอใจนัก จากเรื่องศึก กลายมาเป็นคุยเรื่องหัวใจไปได้ไงก็ไม่รู้

“คนอื่นที่นายหมายถึงคงเป็นนายสินะ ไอ้กลด”

“เออ จะทำไม แล้วนายล่ะ เห็นหาเรื่องทะเลาะกับน้องเขาบ่อยๆ นายมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่าอัสดง ”

“เรื่องของฉัน แต่ก็ไม่ทำไมหรอก จะบอกแค่ว่า ต่อไปหากใครมาเกาะแกะสีทันดร เป็นเรื่องแน่” อัสดงกล่าวมาอย่างนิ่งๆ อยากจะต่อยหน้าทรงกลดสักที ไอ้นี่หน้าด้าน ยอมรับหน้าตาเฉย ว่าชอบคนคนเดียวกัน

“นายมันไม่ยุติธรรม เราควรมาแข่งกันอย่างลูกผู้ชาย ไม่ใช่มาสั่งห้ามคนนู้นคนนี้มาจีบ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขา หรือว่านายไม่กล้าวะอัสดง นายคงกลัวแพ้ฉันละมัง”

“ฉันไม่ได้กลัวอะไรนายเลยสักนิดเดียวไอ้กลด มาลองกันสักตั้งก็ได้”เป็นใครโดนหยามมาแบบนี้ก็โกรธกันทั้งนั้น อัสดงโมโหจนควันออกหูก่อนจะฆ่าอสุรกาย ขอฆ่าไอ้พระจันทร์นี่ก่อนได้ไหม

“อ้าวเฮ้ยๆ เพื่อนกัน อย่าเพิ่งทะเลาะกันเอง เอาน่า ฉันรู้ว่านายสองคนน่ะชอบน้องดื้อ และรู้อีกอีกว่า นายสองคนกำลังหาโอกาสและเวลาเหมาะๆ เผด็จศึกน้องเขา ชายชอบชายสมัยนี้ไม่แปลก แต่ระวังนะโว้ย น้องดื้อเป็นเทวนาคา ฤทธิ์เยอะ เสียบผิดที่ผิดทาง เจอพิษนาคราช น้องชายนายอาจจะเหี่ยวเป็นมะเขือเผา แล้วจะหาว่าไม่เตือน” เอราวัตรีบห้ามศึกก่อนจะบานปลาย พยายามพูดติดตลก เขารู้ความในใจของทั้งสองคนหมดแล้วและรู้ดีว่าทั้งสองคิดอย่างไรกับสีทันดร ผู้ชายด้วยกันมองกันออก พอเขาพูดออกมาก็ทำให้อัสดงกับทรงกลดที่จะวางมวยกันเปลี่ยนเป็นหน้าแดงขึ้นมาทันที ไอ้เอราวัตนี่รู้มากจริงๆ รู้อย่างเดียวไม่พอ เสือกพูดออกมาด้วย แน่ล่ะเขาทั้งสองกำลังหาโอกาสอยู่ ซึ่งต่างก็ภาวนาให้โอกาสนั้นลอยมาถึงตน

“ไอ้ทะลึ่ง!!!! ขอเตะสักทีเหอะ” อัสดงกับทรงกลดรร้องด่ามาพร้อมกัน สงบศึกหัวใจชั่วคราว ไล่เอราวัตไปรอบๆ

“เล่นอะไรกันหรือกำลังวางแผนหาทางไม่ให้เราไป”

สุรเสียงดังมาก่อนองค์เสมอ สีทันดรเดินขึ้นบันไดบ้านมา เห็นคนทั้งสามวิ่งไล่กันก็ขมวดพระขนงถามไปอย่างสงสัย “เมื่อกี้ เราได้ยินแว่วๆ มีใครพาดพิงถึงเรา เกี่ยวกับพิษนาคราช แล้วมะเขือเผาคืออะไร”

ทั้งสามหยุดไล่กันในทันที แล้วหัวร่องอหงายดังลั่น ไอ้ดื้อไม่รู้จักมะเขือเผา เอราวัตพยายามหยุดหัวเราะ แล้วบอกมาว่า “มะเขือเผาก็เหี่ยวนะสิใช้การอะไรไม่ได้ แต่น้องดื้อไม่ต้องกลัว ที่นี่ไม่มีมะเขือเผา พี่รับรองได้เลยว่า ที่นี่ มีแต่มะเขือยาว แถมแข็งทุกอันอีกด้วย ถ้าอยากดู พวกพี่ๆ เต็มใจจะให้ดู”

สิ้นคำเอราวัต ทั้งสามหนุ่มน้อยก็พากันหัวเราะดังลั่นบ้านมาอีกคำรบ เจ้านาคาตาสวยนี่ ไม่ประสีประสาเรื่องอย่างว่าเอาซะเลย “เราไม่เข้าใจ พวกเจ้าพูดอะไรกัน  อย่าให้รู้นะว่านินทาพาดพิงอะไรมาถึงเรา ฮึ”

สีทันดรตรัสจบก็เสด็จผ่าน เข้าสู่ห้องบรรทม ปล่อยอณูเทพทั้งสามนั่งหัวเราะงอหงายอยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไปได้สักพัก ประตูห้องบรรทมก็เปิดออกอีกครา พร้อมกับหมอนหลายๆใบถูกเขวี้ยงออกมาใส่เทพน้อยทั้งสามเป็นพัลวัน พระสุรเสียงแหว ระคนเขินอายดังลั่น เพราะเจ้าตัวส่งกระแสจิตถาม “นลกุพร” สหายสนิทซึ่งเป็นพหูสูตของเรื่องโลกมนุษย์ซึ่งนลกุพรก็อธิบายมาได้อย่างแจ่มแจ้งแถมยังหยอดท้ายมาว่า...... “อัสดง ชวนให้ดูเหรอ”
 
บัดนี้เจ้านาคาน้อยเข้าใจหมดแล้วว่าทั้งสามหมายถึงอะไร ลักษณะไหนแทนมะเขือเผา แล้วลักษณะไหนแทนมะเขือยาว   

 “ ไอ้พวกบ้า พวกลามก”

 “แซวกันเล่นๆ น่า อย่าโกรธไปเลย แต่ถ้าน้องดื้ออยากดู พี่เต็มใจจริงๆนะ” ทรงกลดกลั้นหัวเราะเต็มที่ กล่าวหยอกเอิน เจ้านาคาตาสวยที่พระพักตร์แดงแป๊ด

“ไม่พูดด้วยแล้ว ทั้งพี่กลด พี่เอราวัต โดยเฉพาะเจ้า อัสดง”

“อ้าวแล้วไหงมาลงที่เราคนเดียว”

“คอยดูเหอะ เราจะทำให้พวกเจ้าได้เหี่ยวเป็นมะเขือเผาจนสมใจอยาก” สีทันดรกระแทกพระบาท เดินปึงปังไป กำลังจะลงจากบ้าน เอราวัตรีบคว้าข้อพระกรไว้

“น้องดื้อ พวกพี่แซวเล่นๆ เอาน่า ...เนี่ยคืนนี้พี่ตั้งใจจะให้น้องดื้อ มาร่วมซุ่มดักอสุรกายด้วยนะ”

สีทันดรหายโกรธยิ้มได้ออกมาทันที “จริงๆเหรอ”

“จริงสิ...แต่น้องดื้อต้องอยู่กับ อัสดงหรือไม่ก็ทรงกลด ต้องไปเฝ้ามนุษย์ ส่วนทางนี้พี่จะอยู่กับคนที่เหลือเอง”

“เราอยู่ตรงไหนกับใครก็ได้ทั้งนั้น ขอให้เรามีส่วนร่วมเป็นพอ แล้วใครจะมาอยู่กับเรา”

“พี่เอง”

“เราเอง”

เอาอีกแล้ว อัสดงกับทรงกลดแย่งกันอีกแล้ว คราวนี้ทั้งสองดูเอาจริงเอาจังในการแย่งอย่างเต็มที่ เอราวัตต้องออกโรงมาไกล่เกลี่ยอีกครา

“ไม่ต้องแย่งกัน เอางี้ๆ จับมะเขือสั้นมะเขือยาว เอ๊ยยย ไม้สั้นไม้ยาวแล้วกัน ใครยาวได้อยู่กับน้องดื้อ” เอราวัตยังขี้เล่นตามประสา สีทันดรหุบยิ้ม ซัดเบาๆไปที่แขน “พี่เอราวัต เล่นอยู่ได้”

อัสดงกับทรงกลดเตรียมพร้อมในการชิงชัย เอราวัตหายจากตรงนั้นไปชั่วครู่กลับมาพร้อมกับไม้สั้นไม้ยาวในมือ ทั้งสองรีบจับพลัน และแล้วผลที่ปรากฏออกมาทำให้อัสดงต้องผิดหวัง ส่วนทรงกลดยิ้มกว้างยักคิ้วมาอย่างมีชัย

“เสียใจด้วยนะอัสดง พอดีวันนี้ฉันโชคดีที่ไม้ฉันยาวกว่า ฮะฮ่า”

นั่นก็หมายความว่า คืนนี้อัสดงต้องไปนั่งเฝ้ากับเอราวัต ส่วนทรงกลดต้องอยู่กับสีทันดรทั้งคืน อัสดงแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ต้องทำตามกติกาที่วางไว้ ปล่อยให้มันได้ใจไปก่อน เหอะ ไอ้พระจันทร์ “ฝากไว้ก่อน อย่าได้ใจไปหน่อยเลย หากคืนนี้นายล่วงเกินอะไรไอ้ดื้อ ฉันเอานายตายแน่”

ทรงกลดยักไหล่อย่างไม่สนใจคำขู่นั้น เดินจากไป ตอบกลับมาลอยๆ แถมยั่วโทสะยิ่งนัก  “กลัวตายล่ะ”

พลบค่ำแล้ว ยายแจ่มจึงได้โทรมาบอกหลานชายว่าจะค้างวัด ทำให้คืนฉายต้องอุ่นอาหารเอง วันนี้เป็นวันพระ บรรยากาศที่บ้านสวนช่างดูวังเวงนัก หนำซ้ำเสียงจิ้งหรีดที่เคยส่งเสียงระงม ก็หายไปหมด ปกติ ถ้าเขามาที่นี่ เวลาพลบค่ำก็จะนั่งคุยกับยาย หรือบางทีพ่อแม่ก็มาด้วย ทำให้รู้สึกไม่วังเวงเท่าไรนัก วันนี้ตรงกันข้าม แต่โชคก็ยังดี ที่มีพี่หนึ่งมาค้างเป็นเพื่อนแม้จะไม่พอใจเท่าไรนัก

เสร็จจากมื้อค่ำ คืนฉายก็ปิดบ้านปิดประตูเรียบร้อยตามยายแจ่มสั่ง ลมหนาวสะท้าน พัดมากระทบผิวกายทำให้ขนลุกซู่ชูชันไปยันท้ายทอย คืนฉายรีบเข้าห้องนอน ซึ่งก็พบว่า พี่หนึ่งรออยู่ในห้องก่อนแล้ว

“เดี๋ยวฉายอาบน้ำก่อน พี่หนึ่งหาผ้าเช็ดตัวเอาในตู้เองนะ” น้ำเสียงเย็นชากล่าวขึ้น ทำให้หนึ่งน้ำตาแทบไหล คืนฉายเปลี่ยนไป จากคนที่เคยช่างฉอเลาะเอาใจ คืนฉายคนดีคนนั้นหายไปอยู่ไหนกัน

คืนฉายถอดเสื้อผ้าออกหมดสิ้น แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ หนึ่งมองภาพนั้นก็ให้ละห้อยโหยหา ร่างกายที่หล่อเหลาของรุ่นน้องคนนี้ช่างถูกใจอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนตั้งแต่วันแรกที่ได้ใกล้ชิดกันจนกระทั่งวันนี้ ทั้งกล้ามอก กล้ามท้อง มันตรึงใจเสียยิ่งนัก ผิวกายสีน้ำผึ้งอ่อนค่อนไปทางขาว น่าสัมผัส ถูกขับให้เด่นด้วยปุยขนสีน้ำตาลไล่ลงมาจากสะดือ ต่อไปเขาคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีกแล้ว คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่กับคืนฉาย ก่อนจะร้างลา

คืนฉายอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว ร่างกายยังเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าใดๆมาขวางกั้น เขาไม่อายหนึ่ง เพราะเคยเห็นกันมาหมดแล้วทั่วทุกตารางนิ้ว หนึ่งลุกจากเตียง สวมกอดคืนฉายทางด้านหลัง มือทั้งสองข้างละโลดไล่เรื่อยลงมา จับแกนกลางของฉายเบาๆ

“ให้ฉายแต่งตัวเสร็จก่อนได้ไหม พี่หนึ่ง” น้ำเสียงของฉายยังแข็งกระด้างเช่นเคย

หนึ่งไม่สนใจ สูดกลิ่นกายที่หอมด้วยสบู่จนฉ่ำปอด พูดเสียงกระเส่า “แต่งทำไม ยังไงฉายก็ต้องถอด ฉายก็รู้ว่าพี่ต้องการ ฉายสัญญากับพี่แล้วนะ”

คืนฉายถอนหายใจอย่างรำคาญ ก็ได้ถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายและคืนสุดท้ายจริง ทำๆไปซะจะได้จบเรื่อง เมื่อคิดได้ดังนั้น คืนฉายจึงยอมปล่อยให้หนึ่งคลึงเคล้าส่วนนั้นของเขาเล่น หนึ่งเองก็ไม่จับเปล่า ระดมจูบไปทั่วตั้งแต่ซอกคอ ดูดกินหยาดน้ำเม็ดเล็กๆที่เกาะพราวทั่วตัวที่ฉายยังเช็ดไม่หมด ปานน้ำทิพย์อันหอมหวาน แล้วจึงเบี่ยงตัวมาอยู่ข้างหน้า ขบที่หัวนมของหนุ่มน้อยเบาๆ แม้คืนฉายจะไม่เต็มใจและเบื่อคนตรงหน้าเพียงใด ก็ไม่สามารถ หักห้ามเสียงครางกระเส่าของตนออกมาได้

หนึ่งเริ่มคุกเข่าลงตรงหน้า จูบและขบเบาๆลงมายังท้องน้อย ปลายลิ้นโลมเลียท่อนลำของคืนฉายจนถ้วนทั่ว แล้วครอบปากลงไปในส่วนหัวสีชมพู เรื่อยไปยังแกนกลางที่กำลังชูชัน ปุยขนสีน้ำตาลอ่อนกระทบใบหน้า ดั่งที่ต้องการ ไออุ่นๆในปากสร้างความกระสันให้คืนฉายเป็นทวีคูณ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงส่วนปลายที่เริ่มกระทบกับผนังลำคอ แท่งลำทั้งแท่งถูกบีบรัด ตอดด้วยคอเป็นระยะๆ พี่หนึ่งใช้ปากได้เก่งเช่นเคย ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่เข้าข้างหลังของพี่เขาเลย

บริเวณบ้านที่เงียบสงัด บัดนี้ถูกแทรกเสียงคราง ซาบซ่าน ใครมาได้ยินเข้าก็ต้องรู้ในทันทีว่า คนบนบ้านกำลังทำอะไรกัน เสียงนั้น คงคันยิบๆเข้าไปที่หัวใจของคนที่ได้ยินเป็นแน่แท้ ดังเช่นทรงกลดเป็นอยู่ ณ ขณะนี้

ทรงกลดปรากฏกายบนยอดกิ่งไม้ข้างๆหน้าต่างห้องนอนของคืนฉายที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำ เพื่อเฝ้าดูระแวดระวังภัยให้ จนกระทั่งคืนฉายเข้ามาในห้องนั่นแหละ เขาจึงได้เห็นภาพนั้น เต็มตา
 
“เฮ้ย ไอ้คนนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆด้วย มันมีคู่ขาเป็นผู้ชาย”

ตอนแรกทรงกลดเองก็ไม่อยากแอบดูอะไรนักหรอก ตั้งใจจะเลี่ยงเสีย แต่ภาพวาบหวามนั้นมันเริ่มตรึงเขาไว้อยู่กับที่ ไม่ให้ละสายตาไปไหน เขาเองก็แปลกใจเช่นกัน ที่ภาพนั้น ทำให้เขารู้สึกร่วมไปกับเด็กหนุ่มแปลกหน้า เพราะของๆเขาก็เริ่มที่จะแข็งแรงตื่นตัวมาพร้อมๆกัน เขาตั้งใจใช้มือจับให้มันสงบ แต่ยิ่งจับมันก็ยิ่งขยายใหญ่คาคับเต็มกางเกง ท่าทางคงอยากออกมาสัมผัสอากาศภายนอกบ้างเป็นแน่แท้ 

“เฮ้ย มาแข็งอะไรตอนนี้วะ”

จู่ๆ รัศมีเขียวนวลเจือทองก็สว่างวาบข้างๆกิ่งไม้ที่เขานั่งอยู่... สีทันดรนั่นเอง  “เป็นไงบ้างพี่กลด มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติไหม ทางฝั่งนู้นเรียบร้อยดี”

ทรงกลดถึงกับสะดุ้ง ตอบทั้งๆยังหน้าแดง “พี่ตกใจหมดเลย น้องดื้อมาเงียบๆ”

“แค่นี้ก็ต้องตกใจ แล้วทำไมพี่กลดต้องหน้าแดงด้วย” สีทันดรกล่าวถามอย่างพิศวงแล้วพอหันพระพักตร์ไปที่หน้าต่างบ้าน คราวนี้พระพักตร์ก็เริ่มเจือระเรื่อด้วยสีแดงไม่แพ้กัน “อุ้ย”

สีทันดรทรงอุทานมาแค่นั้นแล้วพยายามเบือนพระพักตร์ไปอีกทาง เพราะภาพที่ปรากฏแก่สายพระเนตรก็คือ เด็กหนุ่มที่มาแอบฟังเมื่อตอนกลางวัน กำลังแอ่นกายเร่า กระแทกหน้าท้องเข้ากับปากของอีกฝ่าย เสียงดังพั่บๆระรัว ระคนเสียงครางดังลั่นมานอกหน้าต่าง คนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นก็ทำหน้าที่อย่างไม่ลดละ ต่อให้สีทันดรไร้เดียงสาเพียงใด เห็นภาพตรงหน้าก็รู้ว่า อะไรเป็นอะไร การเสพสังวาสระหว่างชายกับชายเป็นอย่างนี้นี่เอง

“ไปตรงอื่นกันเถิดพี่กลด” สีทันดรตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงสั่นๆ ตั้งใจจะคว้าข้อมือของทรงกลดให้ลอยออกมาจากตรงนั้นแต่ด้วยความที่ไม่กล้าสบตาชายที่อยู่ข้างๆ พระหัตถ์จึงไปจับเอาผิดที่

“เฮ้ย นี่พี่กลด เอ้อ ....อุ๊ย”

เพียงพอได้สัมผัสสิ่งนั้น เจ้านาคาน้อยที่พระพักตร์แดงอยู่แล้วก็แดงยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนที่แข็งแรงกลางเป้ากางเกงของทรงกลดเดิมทีก็แข็งเต็มที่ ครั้นพอโดนพระหัตถ์อ่อนนุ่มจับลงไปเต็มๆ เลยทำให้แข็งยิ่งกว่าเสาหิน ทรงกลดเองก็คงเขินอายไม่แพ้กัน ใบหน้าหนุ่มน้อยที่เคยขาวนวล ถูกสูบฉีดไปด้วยเลือดหนุ่มในกายจนแดงแป๊ด
 
“มะเขือยาว ที่พูดถึงเมื่อตอนกลางวันไง” ทรงกลด คงมิรู้จะพูดอะไรแก้เก้อ จึงพูดไปอย่างนั้น

“บ้า พี่กลดอ่ะ บ้า”สีทันดรไม่ตรัสเปล่ากับทรงทุบกำปั้นลงไปบนต้นแขนของทรงกลดเต็มเหนี่ยว “พี่กลดลามก”

ทรงกลดหลบหลีกพัลวัน แล้วรัศมีเหลืองนวลก็แผ่กำจายรอบๆ พร้อมๆกับวงแขนแข็งแรงที่ตวัดนาคาน้อยประทับลงตรงระหว่างตัก สะกดแน่นิ่งตรึงไว้ในอ้อมแขน บั้นพระองค์ได้สัมผัสส่วนกลางที่แข็งแรงของเทวะหนุ่มน้อยเต็มที่ สีทันดรขยับเขยื้อนเคลื่อนพระวรกายไปไหนไม่ได้ ครั้นพยายามจะบ่ายเบี่ยงออก แต่ก็ถูกทรงกลดรัดเสียแน่นยิ่งขึ้น กลิ่นหอมรัญจวนใจแถมยังมีหนังสดปลุกอารมณ์ให้ดูตรงหน้า เขาจึงอดใจไว้ไม่อยู่ ริมฝีปากของเขาจึงโลดไล่ตามพระศอสีเศวตทั่ว

“สีทันดร.....ขอพี่กอด เจ้าหน่อยนะ”

“ปล่อยนะพี่กลด นี่เรามาทำงานนะ พี่อย่าให้ตัณหานั้นครบงำสิ โอ๊ะ” สีทันดรทรงกล่าวมาได้แค่นั้น พระโอษฐ์ก็ปิดสนิทเพราะทรงกลดประกบปากลงมาอย่างดูดดื่ม บดขยี้แทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน

ทางด้านคืนฉาย เมื่อหนำใจกับการใช้ปากของหนึ่ง เขาจึงยันหนึ่งออกเบาๆ หนึ่งรู้ถึงความหมายนั้น จึงถอดเสื้อผ้าออก แล้วโก้งโค้งหันหลังให้ คืนฉายด้วยความชำนาญใช้นิ้วนำร่องสร้างความสุขให้อีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า ครานี้กลับกลายเป็นเสียงของหนึ่งครางระรัว คืนฉายยังคงทำอย่างต่อเนื่อง แล้วชักนิ้วออกสอดใส่ของจริงเข้าไป เพียงส่วนหัวชมพูใสผ่านพ้นหนึ่งก็บิดกายเร่า นี่แหละสิ่งที่ตนถวิลหา จังหวะที่ถูกกระแทกแต่ละครั้งทำให้หัวใจอิ่มเอมเปรมปรีดิ์

“แรงๆ เลยฉาย สุดยอดจริงๆ”

คืนฉายกระแทกไม่ยั้ง ซ้ำยังเปลี่ยนท่าจับหนึ่งมานอนหงาย บั้นเอวของเขาดุจทำงานด้วยจักรกลอัตโนมัติ ถูกตั้งโปรแกรมช้าเร็วมาอย่างดี บางครั้งบางครา ในจังหวะช้าก็ทำให้เสียวกระซ่านครั้นบทจะรวดเร็วก็แรงปานพายุพัด เสียงท้องน้อยของหน้าท้องที่แข็งแรงกระทบบั้นท้ายของหนึ่งดังระรัวประหนึ่งฟ้าร้องคำราม
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 27-05-2019 17:29:11
“สะใจไหม สะใจหรือยังพี่หนึ่ง”

“โอว ฉาย ลึกๆ ลึก กว่านั้น”

คืนฉายเด้งบั้นเอวไปสุดตัว เร่งจังหวะซอยถี่ยิบเร็วยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ระหว่างที่คนในห้องกำลังเสพกามรส สีทันดรที่กำลังโดนกอดรัดก็บ่ายเบี่ยงเป็นพัลวัน

“ปล่อยเรานะ พี่กลด พี่กลดอย่ารังแกเราด้วยวิธีนี้เลย”

“สีทันดรจ๋า เจ้าไม่รู้ความต้องการพี่เลยหรือไง พี่ทนมองเจ้าเฉยๆไม่ไหวแล้ว ทำไมเจ้าไม่เปิดโอกาสให้พี่บ้างหรือเจ้าจะเก็บไว้ให้อัสดง”

ใช่สิ อัสดงอยู่ไหน ในพระทัยตอนนี้เรียกเพรียกหาแต่อัสดงทรงตั้งใจจะส่งสัญญาณเรียกอัสดงดังที่เขาสั่งไว้ “หากเจ้าเจออสุรกายให้เรียกเราทันทีรู้ไหม”

“รู้แล้วน่า”

“อ้อ แล้วอีกอย่าง หากไอ้พระจันทร์มันล่วงเกิน ให้เรียกเราทันที เข้าใจไหม”

“เจ้าพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วนะอัสดง”

“ก็เราไม่ไว้ใจมันนี่” คำสั่งของอัสดงกล่าวไว้เช่นนั้นก่อนแยกจาก หากจนแล้วจนรอดก็มิทรงสามารถทำตามคำสั่งนั้นได้ ด้วยเพราะมนต์เสน่หาแห่งจันทรเทพ ตรึงพระวรกายและพระทัยไว้แนบแน่น

“เรารู้ว่าพี่กลด คิดอย่างไรกับเรา รู้ตั้งแต่ตอนพี่มองเราครั้งแรก แต่....”

“แต่อะไร” ทรงกลดถามพลางจูบลงตรงพระปรางแดงระเรื่อ

“แต่เราคิดกับพี่เหมือนพี่ชาย”

“งั้นน้องดื้อคิดกับอัสดงเกินกว่าพี่ชายเหรอ พี่อยากรู้ว่าอัสดงมันมีอะไรดี เจ้าถึงติดใจมันนัก”

“อย่าเพิ่งมาคาดคั้นเอาอะไรกับเราตอนนี้เลยพี่กลด ถ้าพี่กลดรักเราจริง ก็ต้องฟังคำขอของเรา” สีทันดรพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แล้วใช้ปลายนิ้วดันริมฝีปากทรงกลดออกเบาๆ กล่าวต่อด้วยสายพระเนตรวิงวอน แท้จริงแล้วทรงกลดเองก็เป็นคนรั้น คงต้องพูดด้วยดีๆ หากเกรี้ยวกราดอาจจุดเชื้อไฟให้ลุกลามเพิ่มขึ้น

“อย่าเพิ่งเลยนะ อย่าเพิ่งรังแกเรา ภารกิจปราบอสูรยังคงมี”

ทรงกลดถอนหายใจแล้วจำต้องยอมปล่อยให้สีทันดรเป็นอิสระ วันนี้เจ้ายังไม่ยอม วันหน้าเจ้าจะต้องเป็นของพี่  ทรงกลดกล่าวหมายมั่นกับตนเองเช่นนั้น ที่เขายอมปล่อยสีทันดร เพราะเขารัก มิใช่อัสดงกล่าวขู่ก่อนจะมาเฝ้าที่นี่

“เราขอโทษนะ ที่เราสนองพี่ไม่ได้ พี่กลด เรายังไม่เคย และถ้าหากจะเคย เราก็ขอมอบให้คนที่เรามั่นใจจริงๆ” สีทันดรกล่าวมาเบาๆ ทรงกลดยิ้มน้อยๆ เริ่มเข้าใจ ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพริบวิบวับ

“ช่างเหอะ พี่เองก็ขอโทษที่ล่วงเกิน พี่ควบคุมใจไม่อยู่จริงๆ พี่เองก็ไม่เคยทำแบบนี้กับใครเหมือนกัน”

“แล้วผู้ชายกับผู้ชาย เวลามีอะไรกันต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ” สุรเสียงใสตรัสถามมาประสาซื่อ

“ใช่ แบบนี้แหละแล้วเจ้าจะให้มีทางไหน”

“คนคนนั้นคงเจ็บแย่ ดูหน้าตาท่าทางบิดๆเบี้ยวๆพิกล” สีทันดรเริ่มก้มพระพักตร์ตลอดเวลาพูด เพราะภาพในห้องนอนก็ยังดำเนินต่อไป “เราไปจากตรงนี้กันเถอะ พี่กลด อย่าไปดูเขาเลย”

“แต่พี่รับรอง ว่าถ้าเป็นพี่ พี่จะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ”

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไปกันเหอะ”

“อืม ไปก็ไป ” ทรงกลดยอมตามมาแต่โดยดี แต่แล้วเสียงซาบซ่าน ก็ดังขึ้นอย่างสุดเสียง ตรึงหนึ่งนาคาและหนึ่งเทวะ ให้อยู่กับที่ เหลียวกลับหันมามอง

บทรักอันร้อนแรงคงจะถึงขีดสุดแล้ว เพราะไอ้เจ้าคนแอบฟัง กระแทกตัวจมไปทั้งลำตัว แล้วถอนตัวขึ้น ใช้มือจับแกนกลางของเขาชักออกมา ฉับพลัน สายน้ำสีขาวพุ่งกระฉูดไกล แม้มองด้วยสายตาธรรมดาข้างนอกก็มองเห็นได้ชัดว่าพุ่งเร็วและแรงเพียงใด สายน้ำสีขาวดุจน้ำนม พุ่งเป็นสาย กระจายทั่วแผงอกและใบหน้าของหนึ่ง นานเนิ่นกว่าจะสงบลง

“สมใจแล้วใช่ไหมพี่หนึ่ง พี่ได้อยากที่พี่ต้องการแล้ว ทีนี้เราก็สิ้นสุดกันเสียที”

คืนฉายเข่าอ่อนฟุบลงกับพื้น แม้บรรยากาศรอบข้างจะเริ่มหนาวเย็นวังเวง แต่เหงื่อกาฬก็แตกพลั่กเกาะพราวทั่วลำตัว หนึ่งเองก็นอนนิ่งสักพัก ยันกายลุกขึ้นมา สายตาเปล่งประกายวาบ “พี่เปลี่ยนใจแล้วฉาย พี่จะไม่ยอมจากฉายไปไหนอีก เพราะของฉายอร่อยเหลือเกิน”

หนึ่งใช้นิ้วปาดคราบน้ำกามที่เลอะตามใบหน้า มาดูดกินจนทั่ว แลบลิ้นเลียรอบๆปาก คืนฉายเห็นอาการวิตถารก็ต้องเบือนหน้าหนี เพราะหนึ่งไม่เคยอิ่มไม่เคยพออย่างนี้น่ะสิ ทำให้เขาต้องหนี จนสุดจะทน

“พี่ไม่รักษาคำพูด นี่เรายังพูดภาษาคนกันไม่รู้เรื่องหรือไง ผมทนพี่ไม่ไหวแล้วนะ แล้วหยุดทำอะไรที่มันน่าขยะแขยงเสียที”

“พี่ก็ทนที่จะปล่อยให้ฉายไปไม่ไหวเหมือนกัน มาอยู่กับพี่ตลอดกาลเถิดนะ”

หนึ่งกล่าวออกมาด้วยเสียงแหบพร่า แล้วค่อยๆแลบลิ้นออกมา คุณพระช่วยทำไมลิ้นของหนึ่งยาวเหยียด เกินมนุษย์ สามารถตวัดคราบน้ำกาม ที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามอกมากลืนกินจนหมด “อร่อยมาก .....ฮะฮ่า”

แล้วดวงตาธรรมดาของหนึ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำ ขยายใหญ่กว้าง ดุจตาของสัตว์ร้าย หูทั้งสองข้าง แหลมเฉียงยาวขึ้นไป ผิวหนังกลับกลายเป็นสีดำคล้ำ แห้งกรังจนเห็นหนังติดกระดูก เล็บแหลมยาวงอกเงย ร่างกายขยายสูงใหญ่จนติดเพดานห้อง บริเวณแผ่นหลัง มีปีกงอกเงยประดุจปีกค้างคาวยักษ์

คืนฉายตกใจลนลานกับภาพที่เห็น ร่างกายที่ยังคงเปล่าเปลือยถอยกรูดจนชิดติดมุมห้อง  นี่มันอะไรกัน ทำไมพี่หนึ่งกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว หรืออสุรกายที่เด็กพวกนั้นพูดจะมีอยู่จริง

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”

เจ้าอสุรกายเดินมาคร่อมร่างของคืนฉายซึ่งขณะนี้ปัดป้องพัลวัน ฝ่ามือแห้งเหี่ยวสะบัดออก กรงเล็บงองุ้ม คว้าคอคืนฉายบีบแน่นยกชูขึ้นฟ้า

“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก เป็นของข้าเถิด คืนฉาย เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

เขี้ยวขาวแสยะกว้าง หมายกัดฝังเอาลำคอของเด็กหนุ่ม แต่ก่อนที่อะไรจะสายเกินไปนั้น รัศมีเหลืองนวลก็พุ่งปราดเข้าสู่บานหน้าต่าง เข้าซัดจนเจ้าอสุรกาย กระเด็นลอยละลิ่ว ออกสู่บานหน้าต่างกระแทกพื้นดังสนั่นลั่น

“หยุดเดี๋ยวนี้ เวตาล เจ้าบังอาจคุกคามมนุษย์มาเกินพอแล้ว ”รัศมีเหลืองนวลรวมร่างเป็นทรงกลด ตวัดดาบชี้หน้าเจ้าอสุรกาย เจ้าปิศาจร้ายตนนี้แท้จริงก็คือเวตาลสัตว์นรกกึ่งอสูรชั้นต่ำ ที่ถูกกักขังยังก้นบึ้งของนรกภูมิ มันหลุดรอดออกมาได้อย่างไรกัน

เจ้าตัวเวตาลค่อยๆยืนหยัด ขยายกายใหญ่สูงชะลูดเทียมยอดไม้ ปีกอันแสนน่าเกลียดคล้ายค้างคาว ค่อยๆกระพือพยุงกายลอยขึ้นแต่แล้วก็ถูกสีทันดรซัดกระเด็นจากทางด้านหลัง ล้มฟุบลงไปอีกคำรบ พอเงยหน้ามาได้ ก็แสยะปากกล่าวด้วยเสียงฟังดูสยดสยอง

“พวกเทพลอบกัด แน่จริงมาสู้กันซึ่งๆหน้าสิ...แต่ เหอะ จันทรเทพ ท่านมาก็ดี เสียดายที่เมื่อคืนนี้ ข้าไม่สามารถจัดการเจ้าได้ ดีแล้วออกมานอกเขตอาคม ข้าจะได้ไม่ต้องบุกเข้าไปให้เหนื่อย”

“เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ หาญกล้าต่อกรกับเทวะ กลับลงไปสู่นรกภูมิซะ”

“พวกเทวนาคา อย่าหมายพระทัยว่าจะชนะศึก จอมอสูรท่านรู้แล้ว ว่าพวกเจ้ามาหนุนหลังเทวะพวกนี้ ดีมากันเสียให้หมดก็ดีจะได้จัดการทีเดียว”

เจ้าเวตาลกระพือปีก ตาโปนใหญ่แทบถลนออกนอกเบ้ามันเริ่มแยกกายออกจากหนึ่งมาเป็นสอง จากสองมาเป็นสาม จากสามเป็นสี่ ตั้งใจปลิดชีพ เทวะน้อย ถือเอาจำนวนมากกว่า พุ่งปราดเข้าใส่ทรงกลดกับสีทันดรทันที

สีทันดรไม่รอช้า ดึงกำไลข้อพระกร แปรเปลี่ยนเป็นแส้ อาวุธคู่พระหัตถ์หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือนาคบาศ ซัดเข้าใส่อสุรกายเวตาล เสียงกระทบดังลั่นทำให้ อสุรกายเวตาล มีอันต้องกระเด็นไปด้วยแรงแส้ ส่วนทรงกลดใช้ดาบอันยาวยิ่งฟาดซัดออกไปก่อเกิดรัศมีสีเหลืองดุจแสงจันทร์ คมกริบเข้าซัดใส่ร่างตัวเวตาลที่พุ่งมาหาเขา..... คืนฉาย เห็นภาพนั้นก็ตะลึงตะลานทำอะไรไม่ถูก ร่างกายสั่นงันงก พูดกับตนเองละล่ำละลั่ก

“เราฝันไปหรือเปล่าเนี่ย”

ตัวเวตาลอีกสองตัวที่รอดพ้นคมดาบ บินวกกลับลอยมาหาคืนฉาย ทรงกลดกระโดดเข้าปกป้อง แล้วแทงสวนไปที่กลางแผ่นหลัง เวตาลตัวนั้นคำรามลั่น สะบัดกาย ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเหลือคณา

“ไปหาเสื้อผ้าใส่เสีย แล้วหลบไปที่อื่นก่อน” ทรงกลด ตะโกนสั่งคืนฉาย ที่กำลังทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปบอกสีทันดรว่า

“น้องดื้อ เรียกอัสดงกับเอราวัตมาที่นี่เร็ว” สีทันดรได้ยินดังนั้น ก็ใช้มนตราเสกกำไลอีกข้างโยนขึ้นฟ้า กำไลส่องแสงสว่างวาบเป็นสัญลักษณ์เรียกอัสดงกับเอราวัต มิช้านานเทพน้อยทั้งสองก็พุ่งปราดเข้ามาช่วยโรมรันได้ทันท่วงที

“ระวังอัสดงมันคือเวตาล ฤทธิ์มันร้ายไม่ใช่เล่น” ทรงกลดร้องเตือน

อัสดงเมื่อมาถึง รีบหงายฝ่ามืออก ปรากฏเปลวเพลิงพวยพุ่งรวมตัวเป็นกรงจักรสีแดงเพลิงสว่างจ้า แล้วขว้างจากมือของเขาพุ่งเข้าสู่ ร่างแห่งอสุรกาย แต่เจ้าตัวเวตาลก็โบยบินหลบกลางเวหาไปได้... สี่ต่อสี่ คราวนี้เวตาลคงไม่รอด เอราวัตที่เหิรลอยตามมา รีบกระโดดเข้ามาในห้องนอน ช่วยทรงกลดรับมือ หอกยาวพุ่งเข้าซัดใส่หลอกล่อเวตาลออกมาโรมรันข้างนอก ด้วยชั้นเชิงและลีลาการรบแห่งอณูของเทวะ ทำให้เจ้าเวตาลตนนั้นเกือบเสียที เวตาลอีกตัวก็บินมาทางด้านหลังหวังลอบกัดจู่โจม ทรงกลดลอยละลิ่วมาช่วยสกัดกั้นไว้ เหตุการณ์โรมรันชุลมุนกลางฟ้า ยังดำเนินต่อเนื่องปรากฏแก่สายตาของคืนฉายโดยตลอด บัดนี้เจ้าตัวสวมใส่เสื้อผ้าและกางเกงเรียบร้อย เตรียมหนี อย่างที่เด็กอันธพาลกลุ่มนี้บอก เด็กหนุ่มพวกนี้ มิใช่คนธรรมดา มันไม่ได้บ้าและเป็นลิเกอย่างที่เขาคิด พวกเขามาช่วยตน

เวตาลทั้งสี่ ยังคงสู้อย่างไม่ลดละ เข้าต่อกรอย่างไม่กลัวชีวิตจะหาไม่ “มาพร้อมๆกันก็ดี ทั้งสี่คน ข้าจะจัดการให้เรียบ”

ว่าแล้วเจ้าเวตาลในร่างของหนึ่งตัวแรก ก็แสยะเขี้ยว บินสูงสุดเสียดฟ้า อีกสามตัวที่เหลือบินตามมา ประสานมือกัน ก่อบังเกิดตาข่ายสีเงินขนาดใหญ่ ทั้งสี่มิทันระวังตัวนึกว่าพวกมันจะหนีจึงหลงกลลอยทะยานขึ้นตามมากลางฟ้า เข้าสู่ ตาข่ายอาคมนั้น
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 27-05-2019 17:34:39
“แย่แล้วพวกเราติดกับดัก เราหลงกลมัน” 

สีทันดรมิรอช้า คืนร่างเป็นนาคาทันใด พุ่งเข้าชนหวังหลุดรอดออกจากรูตาข่าย แต่ประจุไฟฟ้าก็ซัดพระวรกายกลับกระเด็นกระดอนเข้ามารวมกลุ่มกับอัสดง

“โอ๊ยยยยยยยยย”

“สีทันดรเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ ตาข่ายพญามาร อาคมขั้นสูงของพวกมาร ร้ายกาจจริงๆ”

“งั้นเราจะลองตัดมันดู” อัสดงเขวี้ยงจักรเพลิงออกไป หมายตัดตาข่าย แต่จักรนั้นพอกระแทกก็พลันสลาย กลายเป็นเปลวเพลิงย้อนอยู่ในนั้น จนทั้งสี่ต้องเร้นกายสร้างมนตร์กำบังเพลิงแห่งสุริยเทพที่ย้อนมาทำลายพวกตน

อสุรกายทั้งสี่เห็นพวกเทพติดกับดัก จึงแสยะยิ้มมาอย่างดีใจ กล่าวเยาะเย้ย“ให้พวกข้าจัดการกับอาหารก่อน แล้วจะมาจัดการกับเทพอย่างพวกเจ้าทีหลัง”

คืนฉายเห็นคนทั้งสี่ตกอยู่ในอันตราย อยากเข้าไปช่วย ความกลัวจนลนลานเริ่มจางหาย แต่เขาเป็นคนธรรมดา จะไปทำอะไรได้ เวตาลทั้งสี่เมื่อขังเทพทั้งสี่ไว้ได้ ก็ทะยานลงมา บินเป็นวงกลมเหนือหลังคาบ้าน หนึ่งในนั้นร้องเรียกชื่อเขา แต่เสียงที่เปล่งออกมากลายเป็นเสียงของพี่หนึ่ง มาเสียนี่

“ฉาย พี่รักฉาย นะ มาเถิด มาอยู่กับพี่ มาเป็นของพี่ น้ำรักของฉายมันอร่อยจริงๆ พี่อยากรู้ว่าถ้าเป็นเลือดของฉายจะอร่อยขนาดไหน ฮะฮ่าๆๆ”

คืนฉายยกมือปิดหู แต่ถึงยังไงก็มิสามารถกั้นเสียงนั้นได้ เสียงปีศาจร้ายอันมีมนต์สะกด ทำให้เขาเริ่มเดินออกไปที่ริมหน้าต่าง เขาพยายามบังคับขาทั้งสองข้างแต่ไม่เป็นผล เจ้าอสุรกายเวตาล เห็นว่าคืนฉายตกอยู่ในมนต์สะกดตนแน่แล้ว จึงพุ่งตรงเรียงลงมา  หาเหยื่ออันโอชะเช่นเขา

“หนีไป อย่าให้มันจับตัวได้ โธ่” ทรงกลดตะโกนลั่นฟ้าแต่เท่าไรคืนฉายคงมิได้ยิน  ยังคงมุ่งสู่เงื้อมือของพญามัจจุราชที่หมายจะกลืนกินเลือดทุกหยาดของเขา

ก่อนที่อะไรจะสายเกินการ แสงสว่างวาบสีน้ำเงินฟ้าเจือขาว ก็พุ่งปราดลงมาจากฟากฟ้า ภายใต้แสงบาดตานั้น เงาหรือโครงร่าง ของเด็กหนุ่ม ในพัสตราภรณ์นุ่งห่มคล้ายฤาษี ฉายวาบ ใบหน้านั้นประดุจหล่อมาจากพิมพ์เดียวกันกับคืนฉาย หากแต่งามงด หมดจดยิ่งกว่า เทวะองค์นั้นเสด็จมาบนหลังโคอสุภราช งามยิ่งกว่าโคอื่นใดในโลกหล้า ลำแสงฟ้าสกาวเข้ารวมร่างกับคืนฉาย ก่อเกิดแสงสว่างจ้า ซัดเข้าใส่เวตาลทั้งสี่กระเด็น กระดอนไกล

คืนฉายรู้สึกถึงกระแสพลังอันหนักหน่วง กำจายซ่าน รอบกรอบโครงร่างเปล่งประกายฟ้าพราว กระแสพลังวิ่งวนอยู่ทั่วตัว ดวงตาเจิดจ้าเป็นประกาย ดุจไม่ใช่คืนฉายคนเดิม เสียงมนตราบางอย่างดังขึ้นกึ่งกลางของสมอง ภายในเสียงนั้นมีเสียงสอดแทรกดังกังวานขึ้น

“ คืนฉาย เจ้าผู้เป็นอณูแห่งเรา เทวะผู้ครองสัญชีวนีมนตราและเทพแห่งความรัก ผู้เป็นคุรุแห่งเทพอสูรทั้งหลาย จงตื่นขึ้นจากการหลับใหล เข้าสู่การสงคราม ณ บัดนี้”

พลันสิ้นเสียงนั้น ประกายสีฟ้าจ้าเจิดจรัสพุ่งออกจากฝ่ามือ กระทบเจ้าเวตาล ตัวหน้าสุดจนแดดิ้นกลายเป็นธุลี ส่งผลให้ ม่านตาข่ายอาคมด้านหนึ่งเกิดรอยโหว่ อัสดงมิรอช้ารีบ ใช้กรงจักรอีกครั้งตัดช่องโหว่นั้นให้มากขึ้น แล้วหลุดลอด ลอยละลิ่วลงมาเป็นคนแรก แล้วสะบัดจักรเพลิงอีกครั้งตัดหัวเจ้าเวตาลตัวหนึ่งจนขาดกระเด็น ตามมาด้วยทรงกลดและเอราวัต ที่พุ่งอาวุธเข้าใส่เจ้าตัวที่สามพร้อมๆกัน ก่อให้เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทดังกึกก้อง ส่วนสีทันดรที่เหิรลอยรั้งท้าย กลับมิยอมทรงสังหารเจ้าตัวที่เหลือ กลับใช้แส้นาคบาศฟาดปีกของมันจนแหลกสลาย แล้วรัดคอมันแน่นเหิรลอย ข้ามกิ่งไม้ ถือปลายแส้อีกข้าง แขวนคอ เจ้าเวตาลตนนั้นแทน

“ใครส่งเจ้ามา เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ”

เจ้าเวตาลที่เหลืออยู่ถูกรัดคอแน่น จะพูดก็พูดไม่ได้ เท้าถีบอากาศพัลวัน ทรงกลดกลัวมันจะตายซะก่อนที่จะรู้ความจริง จึงเตือนขึ้นมา “น้องดื้อไปรัดคอมันอย่างนั้น มันอยากจะพูดก็คงพูดไม่ได้แหละ”

สีทันดรจึงตวัดปลายแส้อีกครั้ง เจ้าเวตาล ลอยละลิ่วตกลงมา ปลายแส้ขณะนี้เปลี่ยนมารัดรอบตัวมันแน่น “เราจะถามเจ้าอีกครั้งใครส่งเจ้ามา แล้วเจ้าเข้ามาสิงอยู่ในร่างมนุษย์ผู้นี้ได้อย่างไร”

เจ้าเวตาลแสยะยิ้ม แยกเขี้ยวยังคงไม่ยอมตอบคำถามนั้น อัสดงเงื้อมือหมายจะสังหารให้มันพ้นจากความทุเรศลูกตา แต่เอราวัตห้ามไว้ก่อน แล้วบอกว่า “เท่าที่ฉันจับกระแสจิตมัน ไอ้เจ้าเวตาลนี่ มันเพิ่งมาเข้าร่างของมนุษย์ผู้นี้ ตอนเย็นนี่เอง พอดีเขาจิตอ่อน แถมยังอยู่ในภาวะเศร้า มันเลยฉวยโอกาส”

“แล้วถ้าเราสังหารเจ้าตัวนี้ คนที่มันสิงอยู่จะเป็นอะไรไหม” สีทันดรถามขึ้น

“คงหมดหวังที่จะมีชีวิตรอด เขาคงสิ้นใจตั้งแต่ ตอนโดนมันเข้าสิงแล้ว เลือดในกายเขาไม่มีเหลือ”

“แล้วใครกันที่ส่งมันมา”

“ฉันอ่านความคิดมันไม่ออก มันมืดเหลือเกิน รู้แต่กระแสพลังรุนแรงมาก”

“ฮะ ฮ่า เจ้าไม่มีวัน รู้หรอก ว่าใครส่งข้ามา พวกเทวะเตรียมพบกับความฉิบหายได้แล้ว”

สิ้นเสียงเจ้าเวตาลก็บังเกิดไฟลามทั่วตัวของมัน เสียงกรีดร้องแหลมเล็กจากความเจ็บปวดดังขึ้น มันยอมสังหารตัวเองแทนที่จะบอกว่าใครส่งมันมา พอเปลวไฟสงบลง ร่างของมันก็กลับกลายเป็นร่างของพี่หนึ่ง นอนฟุบแน่นิ่ง อัสดงกับพวกเข้ามาดูอาการทันใดและได้พบว่า ร่างเปล่าเปลือยบัดนี้ไร้ซึ่งลมหายใจดั่งคาดเดาแล้ว

คืนฉายเหิรลอยละลิ่วลงมายืนตรงพื้นดินรวมกลุ่มกับพวกอัสดง เขาเดินช้าๆไปยังร่างของหนึ่งที่หมดลมหายใจ กล่าวขึ้นมาเบาๆ “ให้เราจัดการเอง”

แล้วคืนฉายก็ค่อยๆทรุดกายลง พนมมือขึ้นกลางระหว่างอก คืนฉายคงมิใช่คืนฉายคนเดิมอีกต่อไป บัดนี้อำนาจแห่งเทวะถูกบรรจุอยู่เต็มเปี่ยม

เสียงสังวัธยายมนตราเริ่มดังขึ้น ดังขึ้น จากเบาเปลี่ยนเป็นดังระรัว ท่วงทำนองสูงต่ำสลับกันก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ ลมพัดแรงฟ้าคะนองอึงคะนึง “สัญชีวนีมนตรา” หรือ มนตราชุบชีวิต ถูกขับขานออกมาแล้ว และผู้ที่จะใช้มนตราบทนี้ได้ก็มีเพียงแต่พระศุกร์ คุรุแห่งเทพอสูรเท่านั้น เทวะผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและโลกียสุข รัศมีฟ้าครามเริ่มกำจายออกแผ่ปกคลุมห่อหุ้มร่างของหนึ่งไว้ พอคาบสุดท้ายจบลง ลมหายใจที่หายไปของหนึ่งก็กลับคืนมาอย่างอัศจรรย์

อัสดง ทรงกลด เอราวัต รู้ได้โดยทันทีว่า มนตราบทนี้คืออะไรและใครที่สามารถใช้ได้ เพราะเคยคุ้นในเทวาสุรสงคราม หรือ “สงครามระหว่างเทวดากับอสูร” ครั้งกระนู้น สงครามครั้งนั้น ฝ่ายเทวดา ได้ฤทธิ์กำลังและความเป็นอมตะจากน้ำอมฤต ส่วนฝ่ายอสูรได้ถูกชุบชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า จากมนตราบทนี้ และผู้ทำการชุบชีวิตก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เทวะองค์นั้นคือพระศุกร์นั่นเอง

“ไอ้พระศุกร์” ทรงกลดและเอราวัต ต่างกรูเข้าไปห้อมล้อมจับมือถือแขน คืนฉายด้วยความดีใจเป็นการใหญ่ แย่งกันถามเซ็งแซ่ “ ทำไมเพิ่งแสดงตัววะ”

“ไอ้พระจันทร์ ไอ้พระพุธเป็นไงบ้างวะ ไม่ได้เจอกันซะนานเลย” คืนฉาย ละจากร่างของหนึ่ง ต่อยไหล่ทรงกลดกับเอราวัตเบาๆเป็นการทักทาย ส่วนอัสดงยังยืนอยู่กับที่ บอกกับสีทันดร ที่กำลังยืนงงว่า “ ไอ้เด็กเมื่อกลางวัน ที่จริงมันคือพระศุกร์แบ่งภาคลงมาเหมือนกับเรา มนตราเมื่อกี้ คือมนตราชุบชีวิต หรือ สัญชีวนีมนตรา”

“อ๋อ เราเคยได้ยินชื่อมนตราบทนี้ ปู่เคยเล่าให้ฟัง... เราว่า เขาคงเป็นสหายคนที่สี่ของเจ้าไงอัสดง เจ้าจำที่พระแม่เจ้ามหาลักษมี ตรัสได้ไหม ที่แท้เขาก็คือพระศุกร์นั่นเอง” สีทันดรนึกได้ถึงถ้อยรับสั่งแห่งพระแม่เจ้า ที่ตรัสไว้กับอัสดง

“เออใช่ ที่แท้ก็เป็นมันนี่เอง สหายคนที่สี่ เราลืมเสียสนิทเลย...ไป เราเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกนั้นกันเหอะ” อัสดงกับสีทันดรรีบเดินมารวมกลุ่ม เจ้านาคาน้อยรีบถามมาทันทีว่า

“ท่านคงเป็นอณูแห่งพระศุกร์ เมื่อกี้ท่านคงใช้สัญชีวนีมนตรา ท่านรู้หรือไม่ว่า ท่านกำลังฝืนกฎแห่งยมโลก พญายมราชคงไม่พอพระทัย เท่าที่เราทราบมหาเทพทั้งสองเองก็ทรงสั่งห้ามท่านมิให้ใช้มนตร์บทนี้มิใช่เหรอ”

คืนฉายหันมาแย้มยิ้มตอบให้สีทันดร กริยาอาการของเด็กเมื่อกลางวันหายไปหมดสิ้น หากสิ่งที่คงเหลือไว้คือใบหน้าหล่อเหลา หมดจดหรือบางทีอาจจะงามขึ้นด้วยซ้ำ

 “ เจ้าคงเป็นเทวนาคาเชื้อสายแห่งพญาวาสุกี เจ้านาคน้อย เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว เราคือพระศุกร์ การที่เราชุบชีวิตมนุษย์ผู้นี้ได้ เพราะเขายังไม่ถึงฆาต หากสิ้นชีพเพราะมารกระทำ จึงไม่ฝ่าฝืนกฎแต่อย่างใด” คืนฉาย อธิบายจบก็เว้นวรรคไว้นิดหนึ่งหันมามองหน้าอัสดง แล้วทักทาย

“ไอ้พระอาทิตย์ คงสบายดีนะ”

“เออ สบายดี แล้วทำไมนายเพิ่งแสดงตัววะ ปล่อยให้ร่างแบ่งภาคของนายหลับใหลอยู่ตั้งนาน”

“มหาเทพ ทรงกำหนดไว้ให้น่ะ ท่านให้แบ่งภาคลงมาก่อน ส่วนทิพยอำนาจค่อยตามลงมา เพราะถ้าลงมาพร้อมๆกันเลยเหมือนพวกนาย ท่านทรงเกรงว่าอำนาจแห่งโลกียสุขของฉันจะสร้างปัญหาน่ะสิ มันคงวุ่นวายพิลึกแหละ ที่ไปทางไหนก็มีแต่คนติดใจ มีแต่คนหลง ท่านทรงรอให้ฉันถึงวัยที่จะคุมอำนาจได้ดี แต่ฉันว่า ท่านทรงกลัวว่าฉันจะใช้สัญชีวนีมนตราพร่ำเพรื่อมากกว่า ก็อย่างที่เจ้านาคน้อยพูดเมื่อกี้แหละ ท่านมิโปรดที่ฉันใช้มนต์บทนี้เท่าไหร่”

“เออฉันก็ว่าอย่างนั้น  คนตายแล้วฟื้นกันเป็นว่าเล่นคงวุ่นวายพิลึก... ว่าแต่นายชื่ออะไรล่ะ ฉันชื่อเอราวัต อณูแห่งพระพุธ ส่วนไอ้รูปหล่อพระอาทิตย์นี่ ชื่ออัสดง และนี่ก็ทรงกลดหรือไอ้พระจันทร์ เรียกมันไอ้กลดแหละ และท้ายสุด จอมยุ่ง ของเรา หลานพญาอนันตนาคราชกับพญาวาสุกี ชื่อสีทันดร พวกเราเรียกเขาง่ายๆว่า น้องดื้อ”

คืนฉายจับมือเพื่อนใหม่ทุกคน หากแต่เป็นเพื่อนเก่าบนสวรรค์อีกครั้ง“ฉันคืนฉายไง เรียกสั้นๆว่าฉายแหละ ง่ายดี บอกไปแล้วเมื่อกลางวัน ก่อนจะหนีพวกนายที่จะรุมกระทืบฉันไง  เฮ้อ...แต่ยังไงก็ดีใจว่ะ ดีใจที่ได้เจอกันซะที”

“แต่ท่านเป็นคุรุแห่งเทพอสูร ท่านมาร่วมศึกกับเราทำไม” สีทันดรยังสงสัยมาอีกเรื่องจึงตรัสถามขึ้น

“เพราะอสูรมันเนรคุณเราน่ะสิ และอีกอย่างเป็นบัญชาแห่งมหาศิวะเจ้า” คืนฉายตอบกลับเจ้านาคาน้อย ถือโอกาสจับมือจอมดื้อของคณะไม่ยอมปล่อย

“เฮ้ย ไอ้ฉาย เตือนไว้ก่อน อย่าไปจับมือน้องเขานาน เดี๋ยวก็โดนกระทืบมาจริงๆหรอกมีคนจองไว้แล้ว” เอราวัตกระซิบข้างๆหู บุ้ยปากไปทางอัสดงกับทรงกลด ที่เริ่มเมียงมองมา

“โธ่ไอ้บ้า ไม่ได้คิดอะไรเล้ยยย น้องเขาน่ารักดี เอ็นดูเหมือนน้องชาย ....เออ ไอ้พระพุธ เอ๊ย เอราวัต มีเรื่องให้ช่วยนิดหน่อย นายลบความทรงจำมนุษย์ได้ใช่ไหม งั้นช่วยลบของคนคนนี้ออกให้หน่อยได้ไหม ความทรงจำเกี่ยวกับตัวฉันทั้งหมดน่ะ”

“ได้สิ แต่ขอถามหน่อย เพราะอะไร”

“เพราะฉันไม่อยากให้เขาอยู่อย่างทรมานจิตใจไงล่ะ อำนาจสิเน่หาแห่งพระศุกร์มันรุนแรงนายก็รู้” ทุกคนหันมามองคืนฉาย สงสัยว่าเหตุใดเขาจึงกล่าวเช่นนั้น มีแต่ทรงกลดกับสีทันดรที่รู้เรื่องว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใด แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะถามเอาตอนนี้

เอราวัตรีบจัดการให้ตามคำขอจนเสร็จสิ้น “เรียบร้อย พอเขาตื่นมา เขาจะลืมเรื่องเกี่ยวกับนายทั้งหมด แล้วนายจะทำอย่างไรกับมนุษย์คนนี้ต่อไป”

“ฉันจะให้เทพบริวารจากข้างบนพาเขาไปส่งที่บ้าน เหตุการณ์ระหว่างเขากับฉันมันคงเลือนหายเหมือนภาพความฝัน ทีนี้ฉันคงได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะอณูแห่งเทวะเต็มตัวสักที”

“พวกเราขอยินดีต้อนรับนาย สู่บ้านของฉัน เรามาอยู่ด้วยกันนะคืนฉาย” ทรงกลดกอดคอกล่าวกับคืนฉาย สมาชิกใหม่ได้เพิ่มมาแล้วอีกหนึ่ง

“ขอบใจทรงกลด ....ฉันจะช่วยให้เต็มกำลังที่สุด” คืนฉายกล่าวตอบ แล้วหันไปมองร่างของหนึ่งสักพัก ด้วยเทวฤทธิ์ เขาเรียก เทพบริวารมาจัดการพาหนึ่งไปส่งบ้าน ตามตั้งใจ สิ้นสุดกันเสียที ระหว่างหนึ่งกับเขา สิ่งที่หนึ่งต้องการก็ได้สนองให้ตามคำขอ การชุบชีวิตคงเป็นการตอบแทนสิ่งที่หนึ่งเคยให้มาทั้งหมด ไม่มีอะไร ค้างคาต่อกันอีกต่อไป

ไม่รัก ไม่เจ็บไม่ห่วง
ไม่รัก ไร้บ่วงไร้ปัญหา
หมดรัก สิ้นหลงหมดน้ำตา
หมดรัก เมินหา.......... ไม่ต้องการ

************
รบกวนติดตามต่อบทที่๑๐ นะคะ

ขอบพระคุณ คุณblanchard และท่านผู้อ่านมากๆนะคะ ที่ยังคงติดตามเสมอมา  :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-05-2019 09:04:53
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 29-05-2019 20:36:54
ดีต่อใจ รอความสนุกตอนต่อไปค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 30-05-2019 10:52:07
แฟนคลับคืนฉายครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๙ พระศุกร์เข้า อัพ ๒๗ พ.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 30-05-2019 23:14:59
รออณูเทพองค์ต่อไป     :impress:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-07-2019 17:16:21
บทที่ ๑๐  พระเสาร์แทรก

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คืนฉายก็ย้ายมาอยู่บ้านของทรงกลด อยู่รวมกับเพื่อนเก่าแต่ครั้งก่อนแบ่งภาคลงมา บางครั้งบางคราเขาก็แวะเวียนไปบ้านยายแจ่มที่อยู่ตรงหัวสวนบ้าง มิตรภาพก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาว่างๆ อณูหนุ่มน้อยทั้งหลายก็ฝึกอาวุธ ฝึกอาคมกันไปเรื่อย ส่วนสีทันดรนั้นหรือ ก็ทำหน้าที่ตัวยุ่งจอมดื้อได้อย่างดีเยี่ยม แต่พวกเขาทั้งหลายดูเหมือนจะไม่มีใครรำคาญแต่กลับเอ็นดูเจ้านาคน้อยยิ่ง โดยเฉพาะอัสดงกับทรงกลดนั้น กลับเป็นฝ่ายไปยุ่งกับเจ้านาคดื้อเสียเอง ก็มีแค่ระยะหลังมานี่ ที่ฝึกอาวุธกันหนักหน่อยเพราะต้องเตรียมรับมือบรรดาอสูรทั้งหลายที่จะปรากฏตัวเมื่อไรก็ได้ ความพร้อมจึงต้องเตรียมไว้เสมอ ....จึงห่างหายจากการตอแยน้องดื้อไปบ้าง

วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาพักจากการฝึกอาคม คืนฉายก็ถามอัสดงขึ้นมาว่า “เออหมู่นี้น้องดื้อไม่ค่อยวุ่นเลยเนอะ ทะเลาะอะไรกับนายหรือเปล่า”

“เฮ้ย เปล่านี่ ...สีทันดรมาบอกอะไรเหรอ”

“เปล่าก็เห็นแค่น้องเขาเงียบๆไป นายไม่ลองไปคุยกับน้องเขาซะหน่อยวะ ฝึกวิชาเนี่ย ว่างๆเว้นๆบ้างก็ได้ เออแล้ว นี่ไอ้อัสดง ....แล้วทำไมนายไม่เผด็จศึกน้องเขาซะที ปล่อยไว้อยู่ได้” จู่ๆคืนฉายก็ถามเรื่องนี้ขึ้น

“เป็นฉันนะ เรียบร้อยไปนานแล้ว”

คืนฉายคงได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆจากเอราวัตมาครบถ้วนว่าใครเป็นยังไง ใครแอบชอบใคร ส่วนอัสดงก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องปิดบังคืนฉาย เพราะคืนฉายได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแล้ว ดีซะอีกจะได้ปรึกษาปัญหาหัวใจกัน เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครให้คำแนะนำได้ยอดเยี่ยมเกินเจ้าพระศุกร์แน่แท้

“เพราะฉันไม่ใช่นายน่ะสิไอ้ฉาย ฉันจะทำก็ต่อเมื่อ เขาพร้อม” อัสดงใช่ว่ามิอยากจะทำอย่างคำแนะนำ แต่ด้วยที่ต้องใจเจ้านาคน้อยมาก ตกหลุมรักเขาเข้าหลุมเบ้อเร่อ จึงไม่อยากจะขืนใจ ทั้งๆที่ จะทำเมื่อไรก็ทำได้

“แล้วเมื่อไรถึงจะพร้อม อย่าลืมนะว่า คู่แข่งนายคือไอ้กลด ...ไอ้นี่เห็นมันหงิมๆ แต่มันร้ายนะ มิฉะนั้นมันไม่มีเมียตั้งยี่สิบเจ็ดคน” คืนฉายหมายถึงเทพธิดากลุ่มดาวฤกษ์ ที่ถูกยกให้เป็นชายาของพระจันทร์ครั้นอยู่ข้างบน

“นั่นมันพระจันทร์ แต่นี่มันก็แค่ไอ้กลด ร่างแบ่งภาค ฉันไม่กลัวหรอก ว่าแต่นายเหอะไอ้ฉาย ได้ข่าวว่า นายได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจริงหรือ”

“เออ ....สมัยนี้ก็อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ แต่น่าแปลก ที่ฉันยังไม่เจอคนที่ฉันรักซะที” คืนฉายตอบมาอย่างหน้าตาเฉย อัสดงเองก็ยังมิวายสงสัยต่อ

“อ้าว แล้วคนที่โดนไอ้เวตาลสิง ไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าใช่ ฉันก็คงไม่สลัดเขาไปหรอก ตอนแรกๆก็ดีอยู่หรอก แต่ตอนหลังๆนี่สิแย่” คืนฉายถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงทอดถอนแทบจะโทนเดียวกับเสียงถอนทอดหายใจ  “เขาเริ่มติดฉันแจ ...แถมยัง ยังไม่เคยพอในเรื่องอย่างว่า บางวันสามสี่หน”

“เฮ้ย จริงเหรอ แล้วนายเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนวะ” เจ้าพระอาทิตย์น้อย สงสัยเป็นที่ยิ่ง

“ไม่รู้โว้ย ฉันเลยเบื่อไง”

“เออ แล้วนายไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอที่มีอะไรกับผู้ชาย” 

“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ไว้นายลองกับน้องดื้อดูสิ แต่ถ้านายยังไม่เคย ฉันจะบอกวิธีให้”

ว่าแล้วคืนฉายก็สาธยายกลเม็ดเด็ดพรายให้อัสดงฟัง เท่าที่เขาเคยมีประสบการณ์ อัสดงถึงแม้จะหล่อเหลาจนใครๆเหลียวมอง แม้กระทั่งเทพธิดานางฟ้าที่มาทำบุญกับหลวงตา หากก็ยังไม่เคยในเรื่องอย่างว่า มากที่สุดก็บรรเทาความใคร่ด้วยตัวเอง ครั้นพอมาฟังเจ้าพระศุกร์ปาถกถา ในเรื่องนี้ก็พลันหน้าแดง

“ต้องอย่างนั้นเลยเหรอ....” อัสดงเคยคิดว่าเรื่องแบบนี้คงไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหน เป็นไปด้วยสัญชาติญาณ พอได้ฟังกลเม็ดเด็ดพรายของคืนฉายก็ถึงกับอึ้งและก็ทึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียวเหมือนคืนฉาย

“เออสิวะ รับรองน้องดื้อของนายจะเรียกหาแต่พี่อัสดง”

“นินทาอะไรเราอีก”

 คนที่ถูกพูดถึง จู่ๆ ก็ปรากฏกายอยู่ด้านหลัง ได้ยินประโยคสุดท้ายที่คืนฉายพูดพอดี เหอะ เทพพวกนี้ลับหลังก็ไม่แคล้วนินทากาเล มันน่านัก

“เปล่า......ซะหน่อย เออนี่น้องดื้อมาพอดี อัสดงมันมีอะไรอยากจะบอกแน่ะ” เจ้าพระศุกร์รีบโยนไปให้อัสดงพลัน

พระเนตรฟ้าครามใส หันไปจับจ้องที่อัสดงทันใด สงสัยนักว่า คนเกเรนี่จะบอกอะไร  แล้วไยหน้าจึงต้องหน้าแดงด้วย “จะบอกอะไรเรา อัสดง”

“ปะ..เปล่า ไอ้ฉายมันเพ้อเจ้อ แล้วนี่ไปไหนมา”

“ไปเที่ยวเล่น แถวๆนี้มา ...เมืองมนุษย์ ไม่เห็นสวยเท่าไรเลย เราเบื่อจะแย่อยู่แล้ว อยากไปหิมพานต์อีก” สีทันดรท่าทางจะทรงเบื่อจริง  เพราะสีพระพักตร์พระสุรเสียงแสดงออกมาจนครบถ้วน ทีท่าซุกซนจางหาย

“ก็นี่เมืองมนุษย์ จะให้สวยเหมือนสวรรค์หรือหิมพานต์ได้ยังไงเล่า เอาเหอะถ้าอยากเที่ยว เดี๋ยวจะพาไปเที่ยว”

อะไรก็ตามที่เจ้ายอดดวงใจต้องการและสบพระทัย เหตุใดจึงไม่สนอง  คืนฉายมองภาพสองคนตรงหน้า ก็อมยิ้ม ไอ้คู่นี้มัวแต่ชักช้า ไม่ทันใจเอาซะเลย เป็นเราหน่อยไม่ได้ ปล่อยให้อยู่กันตามลำพังดีกว่า ว่าแล้วเขาก็ถอยฉากออกไปเงียบๆ

“เจ้าคงคิดถึงบ้านล่ะสินะ” เมื่อคืนฉายไปแล้ว อัสดงจึงเขยิบเข้ามาใกล้เหมือนเคย โอบบั้นพระองค์เอาไว้ คางสากมนเกยอยู่บนอังสะเจ้านาคน้อย

“อืม ป่านนี้ ทูลหม่อมพ่อ กับสมเด็จแม่คงวุ่นๆ ไม่รู้ว่าจะทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

ทีท่าหยิ่งทระนงในศักติแห่งเทวนาคาจางหาย บัดนี้สีทันดรก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ที่มีความคิดถึงคนอันเป็นที่รักครอบงำ จากที่ทรงเคยถูกแวดล้อมไปด้วยนาคบริวาร เคยทรงซนไปทั่วไปจนถึงยอดพระสุเมรุ บัดนี้อ้างว้าง บาดาลก็กลับมิได้ ....ส่วนคนปากแข็งที่เริ่มจะเป็นที่รักอีกคน ก็มัวแต่ฝึกอาวุธ ดุจมิรู้พระทัยว่าทรงเหงาพระทัยเพียงใด

“สีทันดร เจ้าคงเหงามากสินะ อัสดงขอโทษที่หลายวันมานี่มัวแต่ฝึกอาวุธอยู่กับไอ้พวกนั้น”

น้อยยิ่งกว่าน้อย ที่เจ้าแห่งไฟอันร้อนแรงจะยอมสยบเป็นเพียงไฟจากก้านไม้ขีด อบอุ่นดั่งแสงตะเกียงยามค่ำอันสว่างไสวในหัวใจอันมืดมน ขณะนี้มีแค่สีทันดรกับอัสดง หน้าที่และยศ อำนาจ วางไว้เบื้องหลัง

อัสดงเลื่อนตัวมาข้างหน้า เชยคาง สบตาฟ้าครามที่หลุบลง “อย่าทำหน้าเศร้าสิ สีทันดร เจ้าเศร้าอย่างนี้หมดหล่อเลยรู้ไหม อัสดงผิดเอง ที่ไม่ได้ดูแลเจ้าเลย ....เอาล่ะ เดี๋ยวอัสดงพาไปเที่ยวนะ”

“จริงๆเหรอ” สีทันดรยิ้มน้อยๆ สบสายตาสีอำพันที่ทอดลงมามอง “เราเองก็ทำให้เจ้าวุ่นวาย เจ้าควรจะมีสมาธิฝึกอาวุธ ฝึกอาคม ไม่ควรจะมาห่วงอะไรกับเราเลย”

“เคยบอกแล้วไง ว่าเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” อัสดงโน้มพระเศียรเจ้านาคน้อย ดึงมาแนบอกตน ริมฝีปากประทับลงไปตรงกลางนลาฏ “หายเหงาได้แล้วนะ”

สีทันดรรู้สึกถึงความอบอุ่นนั้น จึงแนบพระเศียรทิ้งพระวรกายลงไปในอ้อมอกที่อุ่นพระทัยที่สุดเท่าที่ประสบมา บัดนี้ทรงเริ่มรู้แล้วว่า หากยามเหงาและว้าเหว่ จะทรงหันไปทางใดดี

อันอกกว้างยามซบแข็งแรงนัก
ย่อมปกปักษ์รักษาเราให้อยู่ได้
ยามเราทุกข์ยามเรามีเภทโพยภัย
เพียงอยู่ในอ้อมอกนี้อย่าได้เกรง

หลังจากมื้อค่ำ สี่อณูเทวะหนุ่มน้อยต่างก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว สีทันดรเข้าห้องบรรทมไปแต่หัวค่ำ ส่วนเอราวัตกับคืนฉายก็ชวนกันไปอาบน้ำ ทรงกลดก็นั่งเล่นโน๊ตบุ๊คไปเรื่อยๆ อัสดงนอนเล่นอยู่บนเตียง คลึงเคล้าสร้อยพระศอนาคมรกตของสีทันดรไปมา นาคมรกตตัวนั้นสีเริ่มหม่นเพราะเจ้าของกำลังว้าเหว่พระทัย

“เฮ้ย ทรงกลด ฉันว่าจะพาน้องดื้อไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาสักหน่อย นายว่าดีไหม” ถึงแม้ทรงกลดจะเป็นศัตรูหัวใจแต่ยังไงก็เป็นเพื่อน อัสดงจึงเปรยเรื่องนี้ขึ้น

“เออก็ดี เห็นน้องเขาเงียบๆ ฉันก็มัวแต่ ฝึกอาคม ช่วงนี้ไม่ได้สนใจน้องเขาเลยเหมือนกัน” ถึงทรงกลดจะต้องใจน้องดื้อเพียงใด หากเทวะดำรงไว้ด้วยหน้าที่ ดังนั้นภารกิจย่อมมาก่อนหัวใจเฉกเช่นอัสดง “ไหนๆเราก็ชอบคนคนเดียวกัน อะไรที่ทำให้น้องดื้อหายเหงาและสบายใจฉันยินดี”

“ฉันเลยกำลังจะถามนายไง ว่าจะพาน้องเขาไปไหนดี นายคงมีความคิดอะไรดีๆ”  อัสดงแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ถามเรื่องนี้กับคู่แข่ง

“ก็ไปทะเลไง น้องดื้อเป็นเทวนาคา คงคิดถึงท้องทะเล พาไปทะเลแหละดีที่สุดแล้ว คงคลายเหงาได้บ้าง แต่นายคงไม่ใจแคบพากันไปสองต่อสองนะ”

“ถ้านายอยากไปด้วยฉันก็ไม่ขัด แต่นายจะทำใจได้เหรอหากเห็นฉันกอดสีทันดร”

ทรงกลดหันมามองอัสดง ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ สะกดอารมณ์คุกรุ่นกล่าวตอบทันควัน “ฉันควรจะถามนายมากกว่านะอัสดง นายต่างหากจะทนได้เหรอถ้าเห็นฉันกอดน้องดื้อ”

“ไม่มีทางหรอกไอ้กลด เพราะฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น”

“เอาล่ะ ไอ้อัสดง ฉันว่าเราสองคนมาตกลงกันดีกว่า ไหนๆก็รักน้องดื้อเหมือนกัน ถ้านายแน่จริง เรามาแข่งกันจีบดีไหม แข่งกันอย่างลูกผู้ชาย แล้วให้น้องดื้อตัดสินใจ ว่าจะเลือกใคร โดยมีข้อแม้ว่าถ้าน้องดื้อเลือกแล้ว ห้ามยุ่งเกี่ยวกับน้องดื้ออีก”
 
“งั้นนายก็เตรียมทำใจได้เลย กลด ”

“อย่ามั่นใจไปนักอัสดง ถึงนายจะนำฉันไปหลายขุม แต่ฉันก็มั่นใจว่า ฉันจะตีตื้นได้ทัน ระวังให้ดี”

“แล้วฉันจะคอยดู หากแพ้แล้วอย่าร้องไห้แล้วกัน”

ทรงกลดไม่สนใจคำพูดนั้นหันหน้าเข้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เริ่มหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวชายทะเล ทั้งสองต่างไม่พูดจาอะไรกันอีก ครั้นพอทรงกลดเจอชายทะเลที่หนึ่งน่าสนใจ เขาจึงเปิดปากพูดกับอัสดงมาว่า

“เจอแล้ว นายว่าที่นี่สวยไหม อัสดง”

อัสดงผลุดลุกจากเตียงมานั่งดูรูปจากหน้าจอด้วยกัน ท้องทะเลฟ้าครามเจือสีเขียวใสมรกต กลมกลืนด้วยหาดทรายขาว สวยยิ่งนัก ทั้งสองลืมข้อบาดหมางวิวาทพลัน “สวยว่ะ ....ที่ไหนอ่ะไอ้กลด เราพาไอ้ดื้อไปที่นี่ดีไหม”

“ใจตรงกัน กำลังจะบอกนายพอดี ว่าไปที่นี่แหละ ไม่ไกลด้วย อยู่ระยองเอง”

“เยี่ยม ....งั้นวันศุกร์ออกเดินทาง ค้างสักสองคืน”

“ตกลงตามนี้”

ทรงกลดยักคิ้วให้กับอัสดง เป็นอันตกลงแล้วว่า ทะเลระยองคือเป้าหมายคลายเหงา อณูเทพหนุ่มน้อยทั้งสองต่างก็ช่วยกันดูและหารายละเอียดเพื่อที่การท่องเที่ยวครานี้ จะเป็นครั้งที่วิเศษสุดแห่งยอดดวงใจของเขาทั้งสอง และจะเป็นการวัดว่าใครจะทำให้ถูกพระทัยได้มากกว่ากัน

ทางด้านเอราวัตกับคืนฉาย หลังจากเสร็จมื้อเย็น จึงตกลงกันจะไปอาบน้ำด้วยกัน ทั้งสองจึงเปลี่ยนมานุ่งผ้าขาวม้าคนละผืน ด้วยความที่เป็นร่างแบ่งภาคแห่งเทวะ ร่างกายของทั้งสองจึงงาม หล่อเหลาดังรูปสลัก แม้จะไม่ใช่ประติมากรรมชั้นเลิศสุด แต่หากใครได้เห็นก็อยากจะซุกหน้าลงไปแนบกับหน้าท้องแข็งแรงนั้นนัก คืนฉายกับเอราวัตต่างฝ่ายต่างก็แอบชมร่างกายของอีกฝ่ายในใจ โดยเฉพาะคืนฉายหรือพระศุกร์ นั้นเริ่มมองแล้วมองอีก ความคิดนึกสนุกแวบเข้ามาในบัดดล เขาจึงพยายามใช้ฤทธิ์ปิดความคิดนั้นไว้ก่อนที่เอราวัตจะจับได้

“แกล้งมันซะหน่อย”

“หุ่นใช้ได้นี่หว่า ไอ้เอราวัต”

“เออ ขอบใจ นายก็หุ่นดีนะไอ้ฉาย ไปฟิตเนสบ่อยเหรอ” เอราวัตยิ้มกว้าง พอๆกับคืนฉายที่กำลังเริ่มโยนหินถามทาง

“เออ ....แล้วนี่สาวๆคงตอมหึ่งเลยล่ะสิ ได้ฟันบ้างยังอ่ะ”
“มีบ้าง.....แต่ตั้งแต่ มาอยู่บ้านไอ้กลดนี่ อดอยากปากแห้งเลยว่ะ ไม่มีสาวๆเลย พับผ่า”

“อยากเอาออกไหมล่ะ ฉันมีวิธี”

คืนฉายดำเนินยุทธการโยนหินถามทางต่อ เห็นชัดว่าไอ้พระพุธหน้าตาดีใช่เล่น อยากลองเล่นกะเขาซะหน่อย

“วิธีอะไรวะ อย่าบอกนะว่า ใช้นางทั้งห้า ....อันนั้นน่ะ เบื่อแล้ว...ไปอาบน้ำเหอะเดี๋ยวจะดึก” เอราวัตตัดบทแล้วเดินนำลงไป คืนฉายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หัวเราะเบาๆ 

“หึๆ เดี๋ยวนายก็รู้ ไอ้เอราวัตเอ๊ย ว่าฉันจะช่วยนายยังไง”

ทั้งสอง บัดนี้ เดินลงไปท่าน้ำ ครั้นพอถึงแทนที่คืนฉายจะลงไปแช่ทั้งผ้าขาวม้า เขากลับถอดทิ้งไว้เหนือขั้นบันไดท่าน้ำเสียนี่ เขาเริ่มแผนการแกล้งเพื่อนแล้ว เอราวัตมิสามารถอ่านความคิดนั้นได้ มิรู้อุบายเห็นเข้าก็ร้องลั่น

“ไอ้ห่าฉาย นายไม่อายผีอายสางบ้างหรือไงวะ เสือกแก้ผ้ามาได้ นายเป็นร่างแบ่งภาคนะ ทำอะไรให้มันน่าดูสักหน่อย”

“มันจะอะไรนักหนาว่ะ ไอ้เวรนี่ มืดแล้ว ไม่มีใครมานั่งแอบดูหรอก แล้วกะแค่แก้ผ้าอาบน้ำมันจะผิดตรงไหน”

“เออๆ  เรื่องของนาย” ว่าแล้วเอราวัตก็ลงไปแช่น้ำบ้าง แต่เขาลงไปแช่โดยมีผ้าขาวม้ากางกั้น น้ำเย็นยะเยียบยามค่ำคืนกระทบผิวกาย คืนฉายไม่หนาวเลยหรือไร แหวกว่ายไปรอบๆ แถมยังโป๊เสียอีก เอราวัตได้แต่นั่งแช่ตรงริมบันไดท่าน้ำว่ายไม่ออกเพราะน้ำมันหนาวเสียเหลือเกิน

คืนฉายดำเนินแผนการต่อไป ว่ายกลับมาที่ท่าเหยียบขั้นบันไดยืนขึ้นฟอกสบู่ ร่างกายทุกส่วนสัด ถูกขัดถูกถูทั่ว โดยไม่อายสายตาของเอราวัต ที่กำลังร้องด่ามาอีกครั้ง

“ไอ้ห่า กระจู๋นาย จะโดนหัวฉันอยู่แล้ว ไปฟอกไกลๆหน่อยได้ไหม”

“แหมไอ้นี่ พูดมากจังโว้ย ก็ใครใช้ให้นายนั่งแช่อยู่เล่า ออกไปว่ายน้ำนู่นไป ”

คืนฉายด่ากลับแล้วก็ถูสบู่ต่อไป มิสนใจ ส่วนนั้นของฉายเมื่อโดนมือหลายๆครั้งเข้าจากที่หดก็เริ่มพองตัวขึ้น ด้วยความที่จงใจให้มันตื่น คืนฉายจึงถูแต่ส่วนนั้นถูและเริ่มรูดเข้ารูดออก ดูเผินๆเหมือนจะทำความสะอาด แต่มิใช่..... เอราวัตคงขี้คร้านจะด่า จึงเลิกนั่งแช่น้ำ เปลี่ยนใจไปอาบน้ำในโอ่งดีกว่า

“ไอ้ฉายไอ้ลามก”

และในระหว่างที่เอราวัตขึ้นบันไดนั้น คืนฉายก็กระตุกผ้าขาวม้าของเจ้าพระพุธพลัน เจ้าตัวมิทันระวัง ผ้าขาวม้าหลุดออกโดยทันที ขณะนี้เขาจึงตัวเปล่าเปลือยเฉกคนดึง

“ฮ่าๆๆๆๆ วู้ ไอ้เอราวัต ซ่อนรูปเหมือนกันนะมึง”

“เล่นส้นตีนอะไรวะเอาผ้ากูมา”

กูมึงเริ่มมีมาแล้ว คืนฉายไม่คืนผ้าให้กลับเหวี่ยงขึ้นไปด้านบน เป็นการบังคับให้เอราวัตต้องแก้ผ้าโทงๆ เดินขึ้นไป

“ไหนๆ ขอวัดขนาดดูหน่อย ใครใหญ่กว่ากัน” คืนฉายจอมซุกซนไม่พูดอย่างเดียวจับหมับเอาเข้ากับน้องชายของเอราวัต “เล็กกว่าของฉันนิดนึง”

“ไอ้บ้ามันยังไม่แข็งโว้ย”

เอราวัตปัดมือออก ตั้งใจเลี่ยงเพื่อนจอมเซี้ยว แต่แล้วเสียงยั่วโทสะก็ร้องเยาะเย้ยตามหลังมา “ โหย ไอ้ปอดเอ๊ย หรือว่ากลัวจะเล็กกว่า แน่จริงมาวัดกันไหม เอาตอนที่นายแข็งๆ น่ะ จะได้รู้กันไง”

ถึงแม้เอราวัตจะไม่ค่อยโมโหใครก็ตาม แต่เมื่อถูกร้องท้ามาอย่างนี้ ก็เกิดแรงฮึด ตกหลุมพรางของพระศุกร์เจ้าเล่ห์

“แล้วมึงจะได้รู้ไอ้ฉาย”  พระพุธเดินลงมาประจันหน้ากับคนร้องท้า นั่งอยู่หน้าขั้นบันไดเอามือปั่นของตัวเองบ้าง “มาปากดีนักนะมึง งั้นกูกับมึงมาแข่งกัน หากกูใหญ่กว่า มึงโดนกระทืบแน่”

เอราวัตด้วยความที่ถูกท้าและสบประมาทหลงอุบายของคืนฉายในเรื่องขนาด ผู้ชายที่ไหนโดนเข้าใครจะทนได้ จึงตั้งหน้าตั้งตาปั่นสู่กับคืนฉายที่มือก็รูดของตัวเองเป็นระวิง พอสักพัก ครั้นพอได้ที่ทั้งสองจึงเอามาเทียบกัน หัวสีชมพูระเรื่อชนกันโดยตั้งใจ แล้วเลื่อนมาขนาบข้าง ต่างผลัดกันจับวัดขนาดจนแน่ใจ

“เท่ากัน ว่ะไอ้ฉาย โธ่นึกว่าจะใหญ่กว่า ไอ้ขี้คุยเอ๊ยยยย”

คืนฉายยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เอาล่ะได้ที่แล้ว จังหวะนี้แหละ ว่าแล้วจึงแอบร่ายพระเวทเสกผ้าขาวม้าทั้งสองผืนที่กองไว้ เข้ามารัดมือทั้งสองข้างของเอราวัตแน่นกับขั้นบันได เอราวัตไม่ทันระวังจึงร้องลั่น

“เฮ้ยมึงเล่นอะไรวะ”

คืนฉายไม่ตอบ ใช้มือรูดของเอราวัตขึ้นลงอยู่อย่างนั้น ครานี้จากที่ชูชันธรรมดา กลับกลายเป็นแข็งโป๊ก ยิ่งกว่าบันไดหิน พระพุธน้อยเสียทีพระศุกร์จอมโลกีย์เข้าแล้ว แรกๆเอราวัตก็ขัดขืนร้องด่า ถีบพัลวัน แต่ไปๆมาๆ เป็นเพราะเพลินหรืออะไรมิทราบ เขากลับแอ่นกายสู้มาเสียนี่ ด้วยความที่ช่ำชองเรื่องแบบนี้มาเสียยิ่งนัก และอีกอย่างเอราวัตก็มิได้เอาออกมาเสียนาน เวลาผ่านไปชั่วครู่ เขาก็เด้งบั้นเอวจนขีดสุดตอบรับแรงชักครั้งสุดท้าย

“โอวว! ไอ้ฉาย กูแตกแล้ว”

สิ้นเสียงเท่านั้นแหละ หยาดน้ำสีขาวพุ่งกระจายเป็นสายแล้วหยดลงแหมะกระจายทั่วหน้าท้อง ที่เป็นลอนงามแบนราบ บางหยดหยาดแตะแต้มอยู่เหนือพงหญ้าดำสนิท ดุจน้ำค้างพราวเหนือยอดหญ้า

ภารกิจแกล้งเพื่อนสมใจแล้ว คืนฉายจึงหัวเราะลั่น นี่แหละวิธีที่เขาจะช่วยไอ้พระพุธ “ มึงไม่ได้เอาออกมากี่วันแล้วไอ้ห่า น้ำเยอะเชียว ฮะฮ่าๆๆ”

“ฝากไว้ก่อนไอ้ฉาย มึงแกล้งกู ไว้ถึงทีกูบ้างเหอะ แก้มัดกูได้แล้ว” พระพุธน้อยเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวอาฆาต “ทีกู กูจะเอาคืนให้นักเลย”

“เรื่องอะไร ถ้ากูปล่อยมึงตอนนี้ มึงก็ไล่เตะกูเท่านั้น มึงโดนมัดไว้อย่างนี้แหละ ดีแล้ว หาทางแก้มัดเอาเองแล้วกัน อาคมแค่นี้ไม่ครนามือมึงหรอก ไปล่ะ”

พระศุกร์จอมเซี้ยวพูดจบก็กลายเป็นรัศมีฟ้าครามใสสุกสกาว โพยพุ่งขึ้นบ้าน ทิ้งพระพุธที่ยังคงถูกมัดไว้ที่ท่าน้ำ ร้องด่าตามมาเสียงขรม “ไอ้ฉาย ไอ้เชี่ยยยยยยยยยย กูจะฆ่ามึง”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-07-2019 17:17:39
สีทันดรเมื่อเข้าห้องพระบรรทมมาได้ ก็ประทับนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง ทรงทอดมองออกไปในความมืดมิด เหม่อมองผืนน้ำในคลองที่ดำสนิทเป็นมันระยับดุจดั่งนิลกระทบแสงจันทร์ ในพระทัยคงไม่แคล้วคิดถึงบ้าน ‘บาดาล’ สถานที่ที่ทรงเจริญชันษา อีกทั้งวนอุทยานใต้น้ำอันงามเกินจะบรรยาย นึกถึงทีไร ก็ทำให้พระเนตรที่เคยพราวสุกสกาว คลอด้วยหยาดน้ำใสๆที่มนุษย์ขานเรียกว่า ‘น้ำตา’

“เกือบเดือนหนึ่งมาแล้วสินะ ที่เรามาอยู่ที่นี่” เจ้าตัวทรงเปรยกับองค์เองมาเช่นนั้น ความเหงาและความคิดถึงยังมิจางห่างหาย แม้เขาคนนั้น จะสัญญามาแล้วว่าจะพาไปเที่ยว ‘เดี๋ยวอัสดงพาไปเที่ยวนะ’

นึกถึงเขาคนนั้น แรกเริ่มยามได้เห็นหน้าครั้งแรก เคยพูดว่าเกลียดเขา แต่ลึกๆลงไปนั้นทรงรู้สึกคันพระทัยทุกครา นี่หรือคนที่เป็นสาเหตุทำให้วงศ์วานต้องลงมาอยู่ที่บาดาลครั้นพอโดนเขากอด เขาจูบ อาการที่คันพระทัย เริ่มจางลงทีละน้อย ทีละน้อย กลายเป็นซ่านพระหฤทัยยามได้ยลหน้าและได้ยินเสียงเขาคนนั้น

‘อัสดง เจ้าคิดกับเราอย่างไรกันแน่’  หากความลังเลสงสัย ถูกลบกลบมาด้วยประโยคที่เขาเคยบอกมาด้วยน้ำเสียงที่หวานยิ่ง ‘เจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด’

เมื่อไรเล่า เมื่อใด .....เขาจะบอกเราตรงๆ สักที เราไม่อยาก ‘เหงาหัวใจ’ อีกต่อไป

สีทันดรยังคงนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น จวบจนกระทั่งคนที่อยู่ในห้วงคำนึง เปิดประตูห้องบรรทมเข้ามา เสียงประตูเปิดปิดมิทำให้ทรงหันมาแม้แต่น้อย หากสิ่งที่ทำให้ทรงรู้สึกพระองค์ว่ามีคนเข้ามาก็คือวงแขนแข็งแรงที่สวมกอดเข้ามาจากเบื้องพระปฤษฎางค์

“นั่งเหม่อเชียว ยังไม่หายเหงา อีกเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่ม กระซิบผ่านเข้าสู่พระกรรณ ไรหนวดอ่อนๆของวัยหนุ่มคลอเคลียทั่วพระศอ

“เจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร” สีทันดรพยายามรีบเช็ดน้ำตา ก่อนที่อัสดงจะเห็น หากไม่ไวไปกว่า ดวงตาสีอำพันที่สังเกตมาก่อนแล้ว

“สีทันดร ...เจ้าร้องไห้ทำไม ใครรังแกเจ้าบอกเรามา ไอ้กลดใช่ไหม” น้ำเสียงร้อนรน กล่าวถาม ใครกันที่ทำให้หัวใจของเขาร้องไห้

“ไม่ใช่....เรานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พลันเลยไปคิดถึงบ้านน่ะ จู่ๆน้ำตามันเลยไหล”

“ไม่เอาอย่าร้องไห้ ....อัสดงบอกแล้วไงเดี๋ยวจะพาไปเที่ยว เห็นเจ้าร้องไห้มาอย่างนี้ ใจไม่ดีเลย รู้สึกผิดยังไงไม่รู้ที่ปล่อยให้เจ้าเหงา...เลิกร้องเหอะนะ อัสดงอยากเห็น ไอ้ดื้อ คนเก่า .....เฮ้อไม่รู้ว่าหายไปไหนเสีย” อัสดงพยายามปลอบคนที่อยู่ในอ้อมกอด ฝ่ามือแข็งแรงหากแต่เบาดุจปุยนุ่น ปาดเช็ดรอยรื้นแห่งพระอัสสุชล ได้เบายิ่ง

“นี่ ดูนี่ดีกว่า....จะได้สดชื่น” อัสดงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้สีทันดรดู พอคลี่ออก เจ้านาคน้อยก็เห็นรูป ท้องทะเลครามใสตัดกับพื้นทรายขาวบริสุทธิ์ “นี่ไง ที่ที่จะพาจอมดื้อของอัสดงไปเที่ยว อยากไปไหม”

สีทันดรแย้มยิ้มได้โดยพลัน ทะเลเปรียบเสมือนบ้าน....เขาคนนี้ จะพาเรากลับไปเที่ยวบ้านแล้ว “จริงๆ เหรอ อย่าหลอกให้เราดีใจเล่นนะ”

“เราเคยพูดไม่จริงกับเจ้าเหรอ...วันศุกร์ที่จะถึงนี้ เราจะไปเที่ยวกัน แล้วค้างสักสองคืน ดีไหม”

“ดีสิ ...แล้วเราจะไปกันกี่คนล่ะ” สุรเสียงที่ตรัสถาม เริ่มที่จะสดใสกลับมาเป็นดังเดิม

“ไปกันหมดนี่แหละ....นั่งรถกันไป เจ้าจะได้หัดใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดาด้วย”

“เราขี่อุจไฉยศรพไปไม่ดีกว่าเหรอ เร็วกว่าตั้งเยอะ”

“อย่าเลย นั่งรถกันไปน่ะสนุกกว่า เจ้าจะได้ชินกับมนุษย์ เผื่อวันข้างหน้าเสร็จศึก เจ้าอาจจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป”

“ไม่หรอก ...เราเป็นนาคยังไงซะ เราก็ต้องกลับบาดาล เราไม่มีทางอยู่ที่นี่”

“ใจคอเจ้า จะทิ้งมนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่งได้ลงคอหรือ....สีทันดร” ดวงตาสีอำพันหวานซึ้งจ้องพระเนตรฟ้าครามอย่างเอาคำตอบ คำถามนั้นทำให้พระทัยกระตุกวาบ เพราะทรงยังไม่เคยนึกถึงในข้อนี้ ใช่สิ หากสิ้นศึกกับอสูร ...ตนก็ต้องกลับบาดาล แล้วคนที่นี่เล่า จะอยู่อย่างไร ....ตอนนั้นก็คงจะเหงาเฉกเช่นตอนนี้ ความคิดถึงบ้านคงแปรเปลี่ยนมาคิดถึงโลกมนุษย์แทน

“อัสสะ....เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยดีไหมไว้รอให้มันมาถึงก่อนเราค่อยพูดกัน” พระหัตถ์น้อยๆ ค่อยๆยกลูบใบหน้าที่หล่อเหลานั้น หากวันนั้นมาถึง จะทำอย่างไร จะตัดสินพระทัยอย่างไร .....แล้วตัวเราจะอยู่ในฐานะอะไร นี่คือสิ่งสำคัญ

“ได้สิ.....แต่เมื่อกี้ เจ้าเรียกเราว่าอะไรนะ เรียกเราว่าอัสสะงั้นเหรอ....แปลกดีไม่เคยเห็นมีคนเรียก”

“ก็เพราะไม่มีใครเรียก เราถึงได้เรียกไง” พระพักตร์ใสเอียงอาย เริ่มซุกแนบอก จนคนที่ถูกเรียกว่าอัสสะ ต้องเชยคางนั้นขึ้น ชื่อพิเศษที่ตั้งให้คนพิเศษ ฟังกี่ครั้งก็ชื่นใจที่สุด “ทีเจ้ายังเรียกเราว่าไอ้ดื้อ ได้เลย ไม่เคยมีใครเรียกเราอย่างนี้เหมือนกัน”

“ก็เพราะไม่มีใครเรียก เราถึงได้เรียกไง” คำตอบเดียวกัน มาพร้อมกับหัวใจที่หนักแน่น “จำได้ไหม อัสสะเคยขอให้ไอ้ดื้อเรียกอัสสะว่าพี่แต่ ไอ้ดื้อ ก็ปฏิเสธ .....งั้นต่อไป เรียกอัสดงว่าอัสสะ อย่างที่เรียกเมื่อกี้แล้วกันนะ ฟังแล้วชื่นใจ”

“ตกลง” สีทันดร ทรงรู้แล้วว่า คนที่อยู่ตรงหน้ามีบทบาทพิเศษสำหรับตนเพียงใด ถึงแม้คำว่ารักยังไม่หลุดออกจากปากเขา แต่ก็จะรอ.....รอจนกว่าเขาจะเอ่ยออกมา ดูการกระทำอย่างที่เขาบอก หากวันหนึ่งเราต้องเอ่ยว่ารักเขากลับไปบ้าง เราจะได้บอกรักกับเขาอย่างเต็มปากเต็มคำเช่นกัน อาการเหงาหัวใจต่อไปคงไม่มี

“ดึกแล้วไปนอนเถอะ อัสสะเริ่มง่วงแล้ว”  ว่าแล้วอัสสะของไอ้ดื้อ ก็ใช้แขนแข็งแรง ตวัดร่างนาคาน้อยอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ดุจคราแรกที่ทรงถูกจับ คราวนี้ไม่ทรงดิ้นเหมือนครั้งที่แล้ว พระวรกายบัดนี้ถูกวางอย่างแผ่วเบาบนฟูกหนานุ่ม ในแวบแห่งความคิดทรงคิดว่าคนคนนี้จะโถมทับตัวลงมา แต่มิใช่ เขากลับประทับจูบก่อนนอนเบาๆตรงหน้าผาก เลื่อนผ้าห่มมาห่มให้ กล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไปเพียงว่า

“ ฝันถึงอัสสะด้วยนะ...อัสสะจะฝันถึงไอ้ดื้อของอัสสะเช่นกัน”

ประตูห้องบรรทมถูกปิดสนิทแน่น หากประตูหัวใจถูกเปิดออกอย่างกว้างขวาง เสียงน้อยๆที่ตรัสเรียกว่า “อัสสะ” ยังดังก้องส่งผลให้อัสดงเดินยิ้มจนแก้มแทบปริ นับแต่นี้ต่อไป เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าเหงาอีกแล้วสีทันดร หากเจ้าต้องการสิ่งใด แม้น้ำอมฤต ต่อให้ทำศึกกับอสูรทั้งมวล ...ชัยชนะนั้นจะมากองไว้แทบบาท และอุ้งหัตถ์ของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

รถตู้โดยสาร ขณะนี้จอดเทียบท่าเรือที่จะจะข้ามไปยังสถานที่พักผ่อนตากอากาศ เพียงประตูรถเปิด สีทันดรก็แทบวิ่งถลาลงไป กลิ่นไอทะเล ถูกสูดจนแน่นปอด ทีท่าสดใสกลับคืนมาอีกครั้ง

“ดูเป็นคนละคนเลยนะ....ว่ามั๊ยอัสดง” คืนฉายมองเจ้านาคน้อยแล้วกล่าวกับอัสดงอย่างเอ็นดู ทรงกลดกับเอราวัตตามลงมาด้วยสีหน้าแจ่มใสเช่นกัน  “เห็นน้องเขาหายเหงาก็ดีใจ ฉันเองก็รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก นานๆได้มาเที่ยวตากอากาศแบบนี้เสียที”

“ที่พักอยู่ไกลไหม ไอ้กลด”

“นั่งเรือไปอีกประมาณสี่สิบห้านาที ก็ถึงแล้ว ป่ะไปนั่งรอเรือกันเหอะ”

ทรงกลดพูดจบก็เดินนำไปเป็นคนแรก ส่วนสีทันดรมิต้องเอ่ยถึงแทบจะวิ่งนำทั้งสี่คนไปด้วยซ้ำ อัสดงรีบมาเดินเคียงคู่แล้วจับมือกันเดินไปยังท่าเรือ ทรงกลดเห็นเข้าก็ไม่รอช้ารีบทำคะแนนตามมาจับมืออีกข้างของสีทันดร กลายเป็นขนาบข้าง เราสามคนเดินนำหน้า ทิ้งคืนฉายกับเอราวัตไว้เบื้องหลัง

“ดูไอ้อัสดงกับไอ้กลดสิ แย่งกันทำคะแนนน่าดู ถ้ากูเป็นน้องดื้อ กูก็คงเลือกไม่ถูก” เอราวัตเปรยขึ้น คืนฉายก็ตอบมาว่า “แต่ถ้าเป็นกู กูจะเอาแม่งทั้งสองคนเลย มาเรามาจับมือกันไหม เผื่อจะดูน่ารักกับเขาบ้าง”

คืนฉายแทนที่จะจับมือเพื่อนกลับแกล้งไปจับคว้าหมับเอาเป้ากางเกงของเอราวัตอีกหน “ไอ้เชี่ยนี่ เล่นส้นตีนอะไรอีก เตะแม่งสักทีเหอะ คราวที่แล้วกูยังไม่เอาคืนเลยนะ”

“คนอาไร้....แข็งไม่ยอมหด”

คราวนี้ ‘ส้นเท้า’ หรือ ‘ส้นตีน’ หนักๆถูกเหวี่ยงเข้าไปหาพระศุกร์จอมขี้เล่นหากเจ้าตัวก็หลบหลีกได้เป็นพัลวัน ทั้งสองมัวแต่เล่นกันอย่างไม่ระวัง คืนฉายจึงถอยไปชนคนที่เดินตามมาข้างหลังเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย ระวังหน่อยสิคุณ”

คนที่ถูกชนจนแว่นกันแดดที่เหน็บเสียบไว้บนเสื้อตกลง เจ้าตัวเก็บขึ้นมาตั้งใจจะต่อว่าต่อ แต่พอได้เห็นหน้าของคืนฉาย เขาคนนั้นก็เหมือนกับถูกสะกด เสน่ห์แห่งพระศุกร์เริ่มกำซาบซ่าน ตรึงขาทั้งสองไว้แน่นก้าวไปไหนไม่ได้ นี่ใช่ไหมที่เรียกว่า ตกตะลึง
 
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีเล่นกับเพื่อนเพลิน แว่นแตกหรือเปล่า” คืนฉายกล่าวขอโทษ เสียงพูดของเขาทำให้คนตรงหน้าหลุดจากภวังค์นั้น

“ไม่เป็นไรครับ ไม่แตก....”

“ถ้างั้นขอโทษอีกครั้งละกันครับ ...ขอตัวก่อนนะครับ”

คืนฉายรีบเดินออกไปจากตรงนั้น ด่าเอราวัตที่ทำให้ตนต้องหลบส้นเท้าจนไปโดนคนอื่นที่เดินตามมา ส่วนคนคนนั้นก็ยังคงยืนอยู่กับที่ จนเพื่อนที่ตามหลังมาด้วยกันตบหลังถามขึ้น

“เป็นไรวะ ไอ้ตา ...มีเรื่องเหรอ”

“เปล่าไม่มีอะไร เขาแค่ชนโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ ไปซื้อตั๋วเรือกันเหอะ”

ตาที่เพื่อนๆเรียกหรือนามเต็มนายตระการตา เริ่มก้าวขาออกหากสายตาทอดมองไปยังคืนฉายที่ขณะนี้ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้ามองนานนักเพราะกลัวเสียมารยาท เขามาเที่ยวทะเลแก้เบื่อกับเพื่อนๆเหมือนเดิมทุกปีเป็นประจำ หากปีนี้....น่าจะมีอะไรพิเศษ แค่ถึงท่าเรือ ก็เจอคนที่ทำให้หวั่นไหวเข้าแล้ว ...สาธุ ขอให้นั่งเรือลำเดียวกัน และพักที่เดียวกันด้วยเถิด

ตระการตาจะรู้ไหมหนาว่า มนตร์แห่งพระศุกร์ได้รอบล้อมตนอยู่ทั่ว ยามที่เขาเอ่ยคำขอโทษเสียงเขาเพราะยิ่ง ขณะนี้จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ยามเข้าคิวซื้อตั๋วเรือก็จ่ายเงินผิดจ่ายเงินถูกอยู่นั่น จนเพื่อนๆต้องมาช่วย

“มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะไอ้ตา” เพื่อนๆถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“เออ กูบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ”

เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารให้ลงเรือ ประกาศมาครั้งสุดท้าย ตระการตา พยายามชะเง้อชะแง้แลมองว่า คนที่เดินมาชน จะลงมาด้วยหรือเปล่า ใจเขาเริ่มเสียเพราะบนเรือนั้น ไม่มีเงาของเขาคนนั้นเลยสักนิด ท่าจะหมดหวังเสียแล้ว...และแล้ว เรือโดยสารเริ่มบ่ายหัวออกจากท่า แต่ฉับพลันเสียงโหวกเหวกโวยวาย ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ก็ต้องทำให้คนบนเรือหันไปมองเป็นตาเดียวกัน เสียงตะโกนนั้นดังลั่น

“รอพวกผมด้วยครับ”

เขาคนนั้นนั่นเอง หัวใจของตระการตาพองโต ....ในที่สุดเขาก็มาเรือลำเดียวกับตน แต่จะทำไงดีล่ะเรือเริ่มเบี่ยงหัวออกมาแล้ว และทีท่าคนขับก็มิสนใจจะหันกลับ

“เพราะมึงคนเดียวไอ้เอราวัต เสือกปวดฉี่ ไม่ทันเรือเลยเห็นไหม”

“ใครว่าไม่ทัน ทันสิ กระโดดตามมาเร็ว”

สีทันดรบัดนี้กลับทรงเป็นปกติแล้ว ตรัสยังไม่ทันจบด้วยซ้ำก็ทรงกระโดดลงเรือเป็นคนแรก แต่ท่าจะพูดให้ถูก ควรจะพูดว่า เหาะลงมา เสียมากกว่า อัสดง ทรงกลด เอราวัตและคืนฉายมิรอช้าตามเจ้านาคาน้อยลงไปทันที ผู้โดยสารบนเรือต่างมองด้วยความทึ่ง ว่าระยะทางที่ห่างออกมาจากท่านั้น พวกเขากระโดดลงมาได้อย่างไร แถมยังลงมายืนหยัดกันได้อย่างนุ่มนวล

“ไปหาที่นั่งกันเหอะ” อัสดงกล่าวชวนแล้วพาคณะไปหาที่นั่ง จนได้ที่ทางท้ายเรือ พวกเขาเดินผ่านกลุ่มของตระการตาไป โดยมิได้สนใจ แต่ตระการตานั้นแอบเหลียวมอง แม้กระทั่งเพื่อนๆของเขาก็เช่นกัน พูดกรอกหูกันเซ็งแซ่ว่า

“แม่ง...โคตรเท่ห์เลย  พวกนายแบบมาถ่ายแบบหรือเปล่าวะ กูว่าไอ้ตระการตาหล่อแล้วนะ มาเจอพวกนี้ชิดซ้ายไปเลย”

“เออ หน้าตาดีกันทุกคนเลย แต่กูว่าคนที่เด็กที่สุดในกลุ่มที่ผมยาวน่ะ โตขึ้นอีกหน่อย คงจะหล่อมาก”

คนที่กำลังพูดน่าจะหมายถึงสีทันดร เจ้าตัวที่เดินอยู่ก็ทรงได้ยิน แม้พวกมนุษย์จะซุบซิบกันเบาเพียงไร สีทันดรหันมากล่าว กับคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ว่า

“ขอบใจที่ชม”

พวกนั้นหน้าเสีย หยุดพูดทันใด และไม่มีทางรู้ว่าคนที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี้มิใช่เด็กหนุ่มธรรมดา ส่วนตระการตาได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มจับเข้าในใจ พวกเขาเป็นใครกันนะ ทำไม เหมือนรู้สึกว่า....พวกเขากลุ่มนั้นมีอำนาจอะไรบางอย่างแฝงไว้อยู่ในตัว อำนาจที่ทำให้ตนจะว่ากลัวก็ไม่ใช่ จะยำเกรงก็ไม่เชิง  หากโชคเข้าข้าง ขอให้ได้พักที่เดียวกัน จะได้ถือโอกาสทำความรู้จัก โดยเฉพาะ คนที่ทำให้ตนก้าวขาไปไหนไม่ออก

เรือโดยสารลอยละล่องแหวกผืนทะเลยามสายเกิดฟองคลื่นสีขาวสะอาดตา แสงแดดสาดส่องก่อเกิดประกายระยิบระยับ ดุจอัญมณีหลากสีนานาชนิดแตะแต้มทั่วพื้นมหาสมุทรนั้น ด้วยความสวยงามแห่งธรรมชาติที่ยากนักจักหา นักท่องเที่ยวหลายๆคนต่างก็ยืนชมความงามนั้น บางคนก็ถ่ายรูปกันไป ไม่เว้นแต่พระพุธกับพระศุกร์ซึ่งขณะนี้ก็ยืนชมธรรมชาติแห่งผืนทะเลนั้นอยู่ ลมแรงจากห้วงสมุทรพัดเอากลิ่นน้ำหอมที่เจ้าตัวใส่ไว้กำจาย

“นี่ไอ้ฉาย มึงอาบน้ำหอมมาเหรอ แหม มึงฉีดซะฟุ้งเชียว”

“กูฉีดนิดเดียว ....ว่าแต่มึงช่วยกูดูตรงพื้นน้ำนั้นหน่อย มึงเห็นอะไรไหม ...จะได้ยืนยันว่าตากูไม่ฝาด”

คืนฉายชี้ให้เอราวัตมองดูพื้นน้ำที่เริ่มเปล่งประกาย ด้วยสายตาแห่งอณูของเทวะ ภายใต้ผืนน้ำนั้น มีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ ประกายระยับส่องพราว หากแต่ตามนุษย์คนอื่น เห็นได้แค่เพียงแสงตกกระทบจากพื้นน้ำเท่านั้น

ภาพเหนือจินตนาการใดๆก่อกำเนิด สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม เริ่มลอยละเลียบเทียบสีข้างเรือ อัสดง ทรงกลดและสีทันดร จับสังเกตเอราวัตกับคืนฉายที่กำลังมองอยู่ได้จึงเข้ามารวมกลุ่ม จึงได้เห็นสิ่งที่งามเกินบรรยาย นั่นก็คือ ดรุณีกลุ่มหนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ภายใต้ม่านน้ำผืนทะเลใส สาวน้อยกลุ่มนั้น งามตาเป็นที่ยิ่ง โดยเฉพาะนางที่ว่ายอยู่ตรงกลาง อันมีนางอื่นๆล้อมรอบเป็นบริวาร นางผู้นั้นทรงรัศมีสีเขียวอมทอง แม้จะมิเจิดจ้าเท่าสีทันดร หากอณูน้อยก็บอกได้ชัดเลยว่า นางย่อมทรงศักดิ์เทวนาคีแน่แท้

“มุจลินทร์”

สีทันดรทรงร้องเรียกทันใด ประกายเขียวใสอมทองระเรื่อพวยพุ่งจากฝืนน้ำ รวมร่างเป็นนางผู้ทรงโฉม ผิวพรรณผุดผาด พิลาศเลื่อม งามเกินกว่าสตรีใด ที่เคยพานพบ มนุษย์บนเรือมิสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากได้ยลคงจะตะลึงไปตามๆกัน

“ทูลกระหม่อมเล็ก” เทวนาคีโฉมสะคราญ ทูลทักแล้วบังคมด้วยกิริยาอ้อนแอ้นน่าชมยิ่งนัก “หม่อมฉันยินดีที่ฝ่าพระบาทเสด็จมาที่นี่ หม่อมฉันเลยมาดักรอ”

“มีอะไรเหรอมุจลินทร์” ถึงแม้มุจลินทร์จะเป็นเทวะแห่งพญานาคชั้นลูกท่านหลานเธอเหมือนกับสีทันดร หากแต่รัศมีรอบกายไม่เจิดจรัสเท่าแสดงให้เห็นว่า น่าจะเป็นอีกชั้นที่รองลงมา

“สมเด็จฯทรงให้หม่อมฉัน มาทูลให้ทราบว่า พระนางจำต้องทรงฌานร่วมกับพระพันปีกัทรุ กั้นบาดาลไว้จากพวกอสูรเพคะ เนื่องด้วยทูลกระหม่อมพ่อ จำต้องเสด็จฯขึ้นเฝ้ามหาศิวะ พร้อมทูลกระหม่อมใหญ่พระเชษฐาของฝ่าบาท พวกอสูรอาจบุกบาดาลได้”

“แล้วทูลหม่อมปู่ล่ะ เสด็จฯไหนเสีย”

“ทรงขึ้นเฝ้ามหาอุมาเทวีเพคะ ....เพื่อวางแผนการศึก” มุจลินทร์ทูลตอบ รัศมีรอบกายเริ่มสั่นไหว ต่อให้เป็นเทวนาคี ยามนึกถึงศึกที่กำลังจะก่อตัวขึ้น ก็ทำให้ไม่สบายพระทัยเช่นกัน ขณะนี้หลายๆพระองค์บนสวรรค์และบาดาลกำลังวุ่น

“มหาอุมาเทวีเสด็จออกบัญชาการเองเลยเหรอ....แต่ก็ยังดี หากเป็นมหาทรุคา หรือมหากาลี เสด็จออก ไม่ใช่อสูรอย่างเดียวที่จะพินาศ ...มนุษย์โลกก็ไม่เหลือ”

สีทันดรทรงกล่าวถึงก็ยังย่นย่อพระวรกาย พระโลมาลุกชัน ทรงจำได้ครานั้น ยามที่มหาอุมาเทวีเสด็จออกในภาคมหาทรุคา ยามนั้นสามโลกสั่นสะเทือน แม้บาดาลที่มั่นคงและลึกที่สุดยังรับรู้ถึงพระราชอำนาจอันร้องแรงนั้น มหาศิวะจำต้องหลีก มิมีผู้ใดเข้าพระพักตร์ติดแม้แต่พระนารท...พระบิดาเลี้ยงยังต้องรออยู่รอบเขตจักรวาล

“เพคะ ยังทรงประทับอยู่ในภาคมหาอุมาเทวี และที่หม่อมฉันมานี่ นอกจากจะส่งข่าวแล้ว สมเด็จฯยังทรงฝากสิ่งนี้ให้กับฝ่าพระบาทด้วย”

สมเด็จฯที่มุจลินทร์เอ่ยถึงนั้น คือพระสมุทรเทวี สมเด็จพระชนนีในสีทันดรนั่นเอง แล้วมุจลินทร์จึงทรงหันไปพยักพระพักตร์ ให้กับบรรดานางข้าหลวงที่ลอยตามขึ้นมาหมอบราบกราบลงอยู่กับพื้น นางนาคาและนางมัจฉาบริวาร ช่วยกันประคองพานแว่นแก้วใส ภายในมีอัญมณีสุกใสลูกหนึ่งส่องแสงเจิดจรัส

“สมุทรมณี เจ้าเอามาให้เราทำไม” 

สีทันดรทรงจำได้ สมุทรมณี ที่ถูกเก็บไว้ในส่วนที่ลึกสุดของบาดาล ของสำคัญค่ายิ่ง ทำไมสมเด็จแม่ต้องประทานมาให้ตน สีทันดรจำต้องทรงรับมาไว้อยู่ในพระหัตถ์ พระทัยยังสงสัย

‘มันต้องมีอะไรแน่ๆ สมเด็จแม่คงต้องให้เราเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไรสักอย่าง’

“หม่อมฉันไม่กล้าทูลถามเหตุผลเพคะ ....หม่อมฉันคงต้องไปแล้ว ขอให้ฝ่าพระบาททรงพระเจริญและขออำนวยชัยให้แก่อณูแห่งเทวะทุกพระองค์เพคะ”

มุจลินทร์ถวายบังคมลา รัศมีรอบกายเริ่มปล่งประกายวาบ ลอยกลับลงสู่พื้นน้ำ หากสีทันดรตัดรั้งไว้ “เดี๋ยวก่อนมุจลินทร์ มีคนเขาฝากความคิดถึงมาแน่ะ”

เพียงสีทันดรตรัสมาแค่นี้มุจลินทร์ก็ทรงรู้ได้ทันทีว่าใครฝากมา “ไม่รับฝากเพคะ ถ้าแน่จริงก็ให้ลงจากเชิงเขาพระสุเมรุมาบอกหม่อมฉันเองที่บาดาล ฤาว่าขี้ขลาด”

ชั่วแวบกระพริบตา ภาพแห่งเทวนาคาอันสะคราญโฉมก็มลายหายวับไป บนเรือเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นักท่องเที่ยวต่างก็ยืนคุยกันทั่ว มนุษย์จะรู้ไหมหนอว่า โลกบาดาลอยู่ใกล้เพียงนิดเดียว

“เราบอกให้แล้วนะนล .....เดี๋ยวจะหาว่าเราพูดไม่จริง คงได้ยินแล้วนะว่ามุจลินทร์เขาพูดยังไง” สีทันดรแหงนพระพักตร์ตะโกนขึ้นฟ้า ชั่วแวบก็มีเสียงตอบกลับมาดังเฉพาะสีทันดรกับอัสดงว่า “เหอะ ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ ...พอลงไปจริงๆก็ไล่นลกลับมาเท่านั้น”

“สมแล้วนล ระวังนะ ระวังจะมีคนตัดหน้า มัวแต่ชักช้า” สีทันดรตรัสตอบสหายแล้วเสกสมุทรมณีเก็บไว้ในอุ้งหัตถ์ แล้วทรงผินพระพักตร์ไปอธิบายเทพน้อยทั้งสี่

“มุจลินทร์ พี่สาวเราเอง พ่อเดียวกันกับเรา เธอประสูติแต่พระสนมเอกน่ะ สวยใช่ไหม”

“สะ สวย มากครับน้องดื้อ แล้วเขามีแฟนหรือยัง” พระพุธน้อยจ้องมองตะลึงจนตาค้าง แม้เจ้าตัวจะจากไปแล้วก็เหอะ

“ไม่รู้สิ ...รู้แต่ว่ามีคนจีบเยอะ แต่ถ้าพี่เอราวัตจะจีบก็ยากหน่อยนะ ต้องฝ่าด่านยักษ์ทึ่มเขี้ยวแก้วตั้งตนหนึ่ง”

 “นลมันตาถึงเนอะไอ้ดื้อ แต่ยังไงก็สู้อัสสะไม่ได้หรอก” อัสดงได้ยินเข้าก็หัวเราะกล่าวเสริม สีทันดรเองพระพักตร์เริ่มระเรื่อ เพราะทรงรู้ว่าอัสสะหมายถึงสิ่งใด

“เฮ้ยย ไอ้พระพุธ ฉันว่านายเลิกล้มความตั้งใจเสียเหอะ นายสู้ไอ้ยักษ์นั่นไม่ได้หรอก กระวังโดนกระบองยักษ์ฟาดหัวแตก”

“ ฉันก็มีกระบองโว้ย ใช่ไอ้ยักษ์ที่พูดถึงนั่นจะมีคนเดียว”

“นั่นสิ แข็งด้วย” เอราวัตกว่าจะรู้ตัวว่าคืนฉายจับเป้ากางเกงตัวเองอีกรอบ ก็โดนเขาบีบซะแรง เจ้าตัวโมโหร้องด่าไล่เตะไปทั่ว “ไอ้ ฉายจับกระเจี๊ยวกูอีกแล้ว ไอ้ๆๆ โรคจิต” 

อัสดงกับทรงกลดเห็นเข้าก็ได้แต่หัวเราะ ไม่คิดจะห้ามปรามอันใด ส่วนสีทันดรต้องเบือนพระพักตร์หนี “ลามก”

พระพุธกับพระศุกร์วิ่งไล่กันทั่ว และแล้วเสมือนเหตุการณ์บนฝั่งเกิดขึ้นซ้ำสอง พระศุกร์หรือคืนฉายก็ไปชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มคนนั้นก็คงไม่แคล้ว นายตระการตา ด้วยแรงปะทะ ทำให้เจ้าตัวเกือบกระเด็นตกจากดาดฟ้าเรือโชคดีที่คืนฉายคว้าเอาไว้ได้ทัน

“เฮ้ยยย ระวัง”

ร่างของตระการตาถูกดึงเข้ามากอดไว้รอดพ้นจากสถานการณ์หมิ่นเหม่ หากตกลงไปก็ไม่แคล้วเจ็บตัว

“คุณอีกแล้ว” ใบหน้าของตระการตาแดงกล่ำอาจเป็นเพราะด้วยไอแดดหรือเพราะเลือดสูบฉีดขึ้นบนใบหน้ากันแน่ก็มิทราบได้ กลิ่นน้ำหอมที่คืนฉายฉีดไว้ถูกสูดจนทั่ว “อยากจะเอาจมูกแนบลงไปเหลือเกิน”

เอราวัตที่วิ่งตามมารีบถามคืนฉายทันที “เขาเป็นอะไรหรือเปล่า หลับตาพริ้มเชียว นี่คุณๆ”

ตระการตาพลันได้สติยิ้มแหะๆ ตื่นจากภวังค์ทันใด คืนฉายกล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ตระการตาก็มิยักโกรธเหมือนกับดีใจที่โดนเขาชนถึงสองรอบ “ไม่เป็นไรฮะ พวกคุณสองคนนี่ดูสดใสกันจังเลย มาจากกรุงเทพเหมือนกันใช่ไหมฮะ ...ผมชื่อตระการตา เรียกว่าตาก็ได้”

“ใช่เรามาจากกรุงเทพ เราชื่อคืนฉาย ส่วนนี่เพื่อนเราชื่อเอราวัต”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ...แล้วคืนนี้พักที่ไหนกันฮะ ผมพักที่รีสอร์ท นางยวน...อยู่กับเพื่อนสองสามคน” ตระการตาได้ที เปิดโอกาสทำความรู้จักกับคืนฉาย คนอาไร้ แค่ได้เจอก็สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ขนาดนี้

“จริงเหรอ ที่เดียวกันเลย ใช่ไหมคืนฉาย”

“เออว่ะ ที่เดียวกัน....เราก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ ยังไงขอโทษอีกครั้งแล้วกัน  เราขอตัวก่อน”

“คะ ครับ ละ แล้วเจอกัน หวังว่าวันนี้ถ้ามีโอกาสคงได้ทานข้าวเย็นกันนะครับ” ปกติตระการตาเป็นคนพูดจาฉะฉาน แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าคนที่เพิ่งรู้จักคนนี้ น้ำเสียงเหมือนเริ่มหายลงลำคอหมดสิ้น

“ได้สิฮะ แล้วเจอกัน” คืนฉายรับคำแล้วเดินลงมากับเอราวัต จู่ๆเอราวัตก็บอกว่า “ไอ้คนนั้น ชื่ออะไรนะ ตาๆ อะไรสักอย่าง”

“เขาชื่อตระการตา”

“เออนั่นแหละ ...ตระการตา เขาชอบนายนะไอ้ฉาย แต่ฉันขอบอกนายไว้ก่อนว่า จะทำอะไรก็แล้วแต่อย่าให้ฉันต้องเข้าไปลบความทรงจำของมนุษย์อีกเป็นอันขาด”

“ไอ้บ้า...เพิ่งเจอกัน เขาจะมาพิศวาสอะไรกับกู”

“มึงอย่าลืม เสน่ห์ของพระศุกร์ นั้นร้อนแรงทีเดียว ยิ่งได้ผสานกับอำนาจแห่งพระจันทร์ของไอ้กลดด้วยแล้ว มนุษย์ที่โดนไม่แคล้วต้องเกิดเสน่หา...ทำไมพวกนายไม่รู้จักความคุมพลังกันบ้างวะ ป่านนี้คนชื่อตระการตาคงเพ้อใหญ่แล้ว”

“เออใช่...อยู่ตรงนี้ ไอพระจันทร์ของไอ้กลดยังแผ่มาถึงที่นี่ แถมยังพลังของฉันอีก โทษทีลืมนึกไป”

“เออถึงได้บอกให้ระวังไง” เอราวัตพูดจบก็ไม่กล่าวอะไรอีก ส่วนคืนฉายก็ได้แต่ส่ายหน้า “โฮ้ยยย เป็นอณูเทพนี่ยุ่งเนอะ ต้องมานั่งระวังพลังตนเอง ....เฮ้อกลุ้มเกิดมาเสน่ห์แรงก็อย่างนี้แหละ ไม่มีใครเข้าใจเลยพับผ่าสิ”

เมื่อเรือโดยสารจอดเทียบท่า ผู้โดยสารต่างก็แยกย้ายลงจากเรือขนสัมภาระเข้าพักตามรีสอร์ทต่างๆ ทรงกลดพากลุ่มเพื่อนๆไปยังรีสอร์ทที่ตนจองไว้ ครั้นพอมาถึง บรรยากาศอันสงบร่มเย็น กลิ่นอายอ่อนๆจากลมทะเลที่สดชื่น ก็แทบจะทำให้พวกเขาทุกคนล้มนอนพักผ่อนตรงชายหาดนั้น
เมื่อทำการลงทะเบียนเข้าพักเป็นที่เรียบร้อย พนักงานก็พาทั้งหมดไปยังบ้านพักที่จองไว้ บ้านหลังน้อยริมทะเล เหนือเชิงผาหิน สวยงามยิ่งนัก มองไปทางใดก็เห็นผืนน้ำสีครามสว่างใส  แต่สีครามของน้ำทะเลนั้นจะสู้ดวงเนตรของน้องดื้อที่ใสฟ้าพราวได้ฤา  สีทันเองเมื่อได้กลิ่นทะเล ก็สดใสเรืองรอง ร่ำๆจะลงไปในทะเลให้ได้ แต่ทรงกลดห้ามไว้ก่อน

“แดดกำลังร้อนนะครับอย่าเพิ่งลงไปเลย”

“โธ่พี่กลด เราเป็นเทวนาคา....กลัวอะไรกับแดด ขอเราเล่นน้ำให้ชื่นใจก่อนเหอะ” สีทันดรไม่ตรัสเปล่า กลับทรงสวมวิญญาณจอมดื้อมาอีกครั้ง เทวฤทธิ์ประสิทธิ์โดยพลัน รัศมีเขียวจ้าสว่างไสวพุ่งทะยานลงสู่ท้องทะเล กลายเป็นนาคาขาวเจิดจรัสดุจประกายเพชรเหนือท้องฟ้าและทะเลสีคราม หากมนุษย์มิสามารถมองเห็นได้....แต่เทพทั้งสี่นี่สิ ....เพิ่งเห็นนาคายามเล่นน้ำครั้งแรก ก็ถึงกับตะลึง

“สาธุ น้องดื้อ...อย่าซัดคลื่นมาทางนี้แล้วกัน กระโดดน้ำเล่นคลื่นทีอย่างกับ สึนามิ”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-07-2019 17:18:38
คณะของตระการตาตามมาเข้าพักติดๆ จะว่าโชคช่วยหรือเพราะพรหมลิขิตหรือไงก็ไม่ทราบ บ้านพักของเขาอยู่แทบจะติดๆกันกับบ้านพักของเทพน้อยทั้งสี่ ตระการตามองเห็นแล้ว ว่าบ้านข้างๆนั่นใครมาเข้าพักอยู่ เพราะเจ้าตัวกำลังถอดเสื้อออกเหลือแต่กางเกงขาสามส่วนเผยให้เห็นหุ่นอันสมส่วนงดงามกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

“คืนฉาย ชื่อนี้ผมจะจำให้ได้ขึ้นใจ”

ระหว่างที่ตระการตา กำลังเดินเข้ามาที่บ้านพัก สีทันดรก็กำลังม้วนน้ำขึ้นมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ แล้วสะบัดกระจายเต็มแรง ด้วยฤทธีแห่งเทวะนะคา คลื่นลูกใหญ่นั้น พุ่งปราดขึ้นมาบนฝั่ง เพื่อนที่มาด้วยกับตระการตา เห็นเข้าร้องลั่นวิ่งหนี แต่ตระการตาด้วยความที่เหม่อมองคนบนนอกชานตรงหน้า จึงทำให้ไม่ระวังครั้นพอรู้ตัวก็สายไปซะแล้ว ได้แต่ร้องลั่น เทพน้อยทั้งสี่หันขวับพุ่งมองไปยังเสียงนั้น  แต่ด้วยสติและความไว ของคืนฉาย เขากลายเป็นรัศมีสีฟ้าครามพุ่งปราดเข้าสกัดคลื่นนั้นไว้ แล้วพาตระการตาออกมาจากบริเวณพื้นทรายตรงนั้นทันท่วงที

ด้วยแรงปะทะอันมหาศาล ทำให้พื้นทรายกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่เบ้อเร่อนี่ถ้า เขามาช่วยไว้ไม่ทัน ไอ้คนนี้คงไม่โดนคลื่นกระแทกตายแล้วเหรอ

“เป็นไงบ้าง”

“ไม่เป็นไร...คืนฉายวิ่งมาเร็วมากเลย” ชั่วแวบก่อนจะหลับตา ตระการตาเห็นเพียงใบหน้าของคืนฉายลอยมาและแล้วเสมือนระบบประสาทถูกตัดไปชั่วครู่  พอรู้สึกตัวอีกที คืนฉายก็พามาอยู่บนบ้านพักของตระการตาที่เพื่อนๆหนีตายมาหลบอยู่ก่อนแล้ว

“ขอบคุณนะ คุณช่วยผมไว้”

“เรียกว่าฉายเฉยๆเหอะง่ายดี ระวังหน่อยแล้วกันวันนี้คลื่นลมจะแรง ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งลงเล่นน้ำ ฉายไปก่อนล่ะ”

คืนฉายพูดจบก็วิ่งดุ่มๆ ลงไป แบบคนธรรมดากลับไปยังบ้านพักหลังข้างๆ เพื่อนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ถามกันเซ็งแซ่

“ใครอ่ะตา ไปรู้จักเขาได้ยังไง หล่อมาก”

“ก็พวกนายแบบที่พูดถึงกันอยู่ในเรือไง ที่กระโดดลงเรือมาน่ะ”

“เออใช่ เห็นแล้วอยากเอาหน้าไปซุกอกเขาจริงๆเลยเธอ” ตระการตาได้ฟังเพื่อนๆพูดก็ได้แต่แย้มยิ้ม ในวินาทีเฉียดตายของเขา...เขากลับได้พบความหวานซึ้ง คืนฉาย หรือเขากำลังจะเข้ามาส่องแสงฉายในยามค่ำคืนที่มืดมิดให้กับตนแน่แล้ว

นอกจากกลุ่มของอณูน้อยและกลุ่มของตระการตาแล้ว ใตรจะคิดว่าภาพเหตุการณ์โกลาหลเมื่อครู่ ถูกเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ในบ้านพักหลังสุดท้าย ที่ผู้พักปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่น ชะแง้แง้มมองลอดผ่านแต่เพียงม่าน เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ เหมือนจะพูดกับตนเองแต่ก็มิใช่ 

“มากันเยอะเลยนี่ เหอะมนุษย์ มาหาที่ตายกันทำไม ...รัก ยม ไปดูให้เราสิ ว่ามากันกี่คน”

ลำแสงวูบวาบค่อยๆรวมตัวเป็นร่างเด็กหัวจุกสองคน สิ้นคำสั่งสองร่างนั้นมลายหายวับ เหลือแต่ผู้เป็นนาย จับภาพกลางท้องทะเลนิ่ง “พวกบาดาลนี่นา ขึ้นมาทำไมถึงข้างบนนี้ เห็นทีคืนนี้คงสนุกแน่ๆ”

ทางฟากฝั่งอณูน้อยทั้งสี่ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็ออกมานั่งรับลมรวมกลุ่มกันตรงนอกชานของบ้านพัก สี่สหายต่างสบายอารมณ์เป็นที่ยิ่ง คุยเล่นกันสนุกสนาน เอราวัตซึ่งแบกกีตาร์มาด้วยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวเขาก็ดีดเล่นเพลงตามแต่ชอบโดยมีคืนฉายร้องนำ เสียงร้องของเขาจัดอยู่ในลำดับของนักร้องมืออาชีพเลยทีเดียว แน่ล่ะก็เขาเป็นพระศุกร์แบ่งภาคลงมานี่ ศิลปะการดนตรีมีหรือเทพผู้นี้จะไม่ช่ำชอง

“เยี่ยมว่ะ ไอ้ฉาย เอาอีกสักเพลงสิ ขอเพลงหวานๆ ฉันกำลังมีความรัก” อัสดงขอมานั่นเอง คืนฉายก็สนองมาให้เต็มที่ เสียงกีต้าร์เคล้าเสียงนุ่มๆทำให้บ้านพักอีกหลายๆหลังต่างก็ออกมานั่งฟัง โดยเฉพาะตระการตา ที่นั่งนิ่งดุจถูกตรึงไว้ด้วยมนต์สะกดแห่งเทพน้อยนั้น เขาจะนั่งอยู่นานเท่าไรมิทราบได้รู้แต่เพียงว่าจากฟ้ายามบ่ายที่สว่างใสกลับกลายเป็นฟ้าที่มืดมิดลง บ้านทุกหลังต่างก็เตรียมตั้งวงกินเหล้า แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย

จู่ๆบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ถัดออกไป เจ้าของที่มาพักเพิ่งจะออกมานอกบ้านเป็นครั้งแรก ในมือถือแซ็กโซโฟนมาด้วย และเขาคนนั้นก็เริ่มบรรเลงท่วงทำนองอ่อนหวานไปตามเสียงเพลงของคืนฉาย สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังคนเป่าแซ็กคนนั้น ศิลปินจากที่ใดกัน ....หรือว่าสถานที่ตากอากาศห่างนี้ เวลานี้จะรวมไว้ด้วยอาร์ทติส ที่พร้อมไปด้วยหน้าตาและความสามารถพรักพร้อม

เมื่อเห็นว่ามืดมากแล้ว ทรงกลดด้วยรอบคอบจึงสะกิดอัสดงออกมา ช่วยกันกั้นเขตอาคมเป็นปริมณฑลอย่างที่เคยทำ ‘กันไว้ดีกว่าแก้’ ทั้งสองเมื่อช่วยกันเสร็จแล้วต่างฝ่ายต่างก็มิได้นัดหมาย หันหน้าเดินลงไปยังชายหาดพร้อมกัน เสียงแซ็กโซโฟนไล่หลัง ฟังไปฟังมา เหมือนกำลังจะบีบหัวใจมากกว่าไพเราะ ครั้นพอหยุดยืนกับที่อาการนั้นก็หายไป ครั้นพอจะก้าวเดินลงไปใหม่ อาการก็กำเริบอีก นี่มันอะไรกัน

ทรงกลดสะบัดมือบังเกิดแสงนวลจ้าดุจดาวประกายพรึก พุ่งประทะเสียงดนตรีที่ลอยตามลมมานั้น เสียงดังเปรี๊ยะดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงแซ็กโซโฟนที่หยุดลงกะทันหัน นักดนตรีนิรนามมีอันต้องล่าถอยเซถลาปิดประตูเข้าบ้าน ทำให้คนฟังที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่กำลังเคลิ้ม อารมณ์ค้างกันแทบทุกคน ยิ่งคืนฉายกับเอราวัตยิ่งแล้วใหญ่ทั้งสองกำลังเพลินอย่างได้ที่

“อ้าวไอ้พระอภัยเป่าแซ็กหายไปไหนแล้ว”

“เสียงแซ็กมีมนตรา อัสดง คืนนี้พวกเราคงต้องระวังตัว”

“เวรเอ๊ย มาพักผ่อน แท้ๆ ยังจะมีพวกตามรังควาน ไปจัดการมันเลยดีไหม”

“อย่าเพิ่ง มนุษย์เยอะเดี๋ยวจะแตกตื่นกันไปหมด ...รอคืนนี้ค่อยพิสูจน์กัน ตอนนี้ ตามน้องดื้อกลับมาก่อนดีกว่า ชักเป็นห่วงแล้ว”

ว่าแล้วทรงกลดก็ป้องปากเรียกสีทันดร ให้กลับขึ้นมาบนฝั่งซะที เพราะเล่นน้ำนานเกินไปแล้ว ตั้งแต่ตลอดบ่าย คลื่นที่แรงจัดทำให้ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าลงไป ขณะนี้กระแสคลื่นรุนแรงนั้นค่อยๆสงบลงทีละน้อย ทีละน้อย จนเหลือเพียงคลื่นลูกเล็กที่วัดซ่ามาตามปกติ รัศมีเขียวนวลสว่างใส พวยพุ่งลงมาประทับยืนเหนือชายหาด ทีท่าสดใส เต็มเปี่ยม

“โหยย พี่กลด เรายังไม่อยากขึ้นเลย ขอเล่นต่ออีกนิดนะ”

“ไม่ได้ ขึ้นได้แล้ว”

หนึ่งอาทิตย์และหนึ่งพระจันทร์ต่างก็พูดมาพร้อมๆกันแล้วก็ช่วยกันฉุดข้อพระกรขึ้นฝั่ง สีทันดรโดนเขาทั้งคู่ตอแยมาอีกแล้ว แต่ก็ทรงไม่กล้าดื้ออะไรได้อีก เพราะที่ผ่านมา วันนี้เขาก็ตามใจมาทั้งวัน เมื่อทรงขึ้นมาถึงนอกชาน ก็ทรงรู้สึกว่าชั่วแวบหนึ่งมีรัศมีแปลกปลอมลอยวนอยู่ ทรงชะงักชั่วครู่ เพื่อจะจับให้ถนัด พอตั้งใจดัก รัศมีนั้นก็เลือนหาย

“เป็นไรไปอีก น้องดื้อ” ทรงกลดถามขึ้นเพราะเห็นเจ้านาคน้อย มีท่าทางแปลกๆ

 “เปล่า แค่รู้สึกว่า เหมือนมีรัศมีแปลกๆลอยวนอยู่ พวกเจ้ากั้นเขตอาคมแล้วใช่ไหม”

“เฮ้ย มาเที่ยว ไม่เห็นต้องกั้นเลย กั้นทำไม” คืนฉายหยุดร้องเพลงชั่วคราวหันมาร่วมบทสนทนาด้วย ทรงกลดก็ตอบมาว่า “กั้นแล้ว อย่าประมาทไว้ดีที่สุด ป่ะไปกินข้าวที่รีสอร์ทกันเหอะ”

มินานหลังจากนั้นทั้งห้าก็ไปทานมื้อเย็น ครั้นกลับมาถึงบ้านพักก็ค่อนข้างมืดมากแล้ว หากแต่บ้านหลายๆหลังยังคงตั้งวงกินเหล้ากันอยู่ โดยเฉพาะบ้านของตระการตา ที่เพื่อนๆของเขากำลังสนุกได้ที่ ครั้นพอกลุ่มเทวะน้อยๆเดินผ่านเพื่อนๆจึงสะกิดบอกตระการตาที่กำลังนั่งเหม่อ

“ตาๆ นายแบบของแกมาแล้ว”

ตระการตาหันขวับ เมื่อสายตาจับจ้องมองเห็นเขาเดินมา จึงรวบรวมความกล้าวิ่งลงจากบ้าน ไปยังเขาคนนั้น “ฉายครับ ฉาย”

ทั้งกลุ่มหยุดหันมอง ตระการตาบัดนี้มายืนต่อหน้าคืนฉายแล้ว พูดต่อด้วยอาการละล่ำละลักว่า “ ถ้าไม่รังเกียจ มานั่งทานเหล้าด้วยกันไหมครับ ....ทั้งห้านี่เลยก็ได้ครับ เพื่อนๆผมก็อยากจะรู้จักด้วย”

“เอาไงดี...” หากจะปฏิเสธไปก็ดูจะกลายเป็นการเสียน้ำใจ มนุษย์คนนี้ ท่าทางไม่มีพิษมีภัย คืนฉายลังเลชั่วครู่ก็ตอบตกลง “งั้นรบกวนด้วยละกัน ป่ะ”

คืนฉายพยักหน้าให้เพื่อนๆ เดินตามตระการตามา อัสดง ทรงกลด และเอราวัต มิอยากปล่อยคืนฉายไปคนเดียว จึงเดินตามมาด้วย ยกเว้นสีทันดร ที่ยอมไม่เดินตามมา อ้างว่า

“เราอยากเข้านอนแล้ว พวกเจ้าไปเหอะ”

“งั้นอัสสะจะไปส่ง”  อัสดงพูดจบก็จูงข้อพระกรเดินออกมาจากตรงนั้น ทิ้งสหายทั้งสามไว้ ทรงกลดตั้งใจจะเดินตาม แต่เอราวัตดันฉุดแขนเขาเอาไว้เสียนี่

“เฮ้ยย ปล่อยฉันไอ้เอราวัต ฉันจะไปส่งน้องดื้อ”

“นายจะไปทำไมวะ เดี๋ยวไอ้อัสดงมันก็กระทืบเท่านั้นหรอก ฉันขี้เกียจห้ามศึก นายไม่ได้ยินเหรอ เขาเรียกกันจี๋จ๋าขนาดนั้น นายจะไปยุ่งกับเขาทำไม”

“แต่....”ทรงกลดกำลังจะแย้งแต่เอราวัต ก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ เพราะก่อนมานี่ อัสดงเคยขอเขาไว้ว่า ‘เอราวัต ถ้าไปทะเล นายช่วยกันไอ้กลดออกไปห่างๆไอ้ดื้อหน่อยได้ไหมวะ ฉันอยากหาเวลาอยู่กับไอ้ดื้อสองต่อสอง’

‘ได้สิ นายเคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้ แค่นี้สบายอยู่แล้ว’

เอราวัตยื้อทรงกลดไว้จนเขาต้องเดินตาม ทรงกลดเองก็ไม่ค่อยจะพอใจนัก แต่แล้วคืนฉายก็มากระซิบพอทำให้เขาจะยิ้มออกมาได้บ้าง  “นายไม่ต้องกลัว ไอ้กลดคืนพรุ่งนี้ยังมี....นายเคยช่วยฉันให้พ้นจากเวตาล แล้วฉันจะช่วยนายเอง”

อัสดงเมื่อพาสีทันดรออกมาแล้ว ก็พาเดินไปเรื่อยแต่แทนที่จะพาขึ้นบ้าน กลับพาเดินลัดเลาะริมชายทะเลไปเรื่อยๆ มือยังคงกุมมือของไอ้ดื้อไว้แน่น ดุจกลัวว่าลมทะเลจะพัดหอบเอาสีทันดรกลับบาดาลไป

“ทำไมไม่ไปกินเหล้ากับเพื่อนล่ะ ส่งเราแค่นี้ก็พอแล้ว”

“ไม่ดีกว่า อยู่กับเจ้าดีกว่าตั้งเยอะ กินแล้วก็เมา อัสสะทำอะไรไม่ได้พอดี”

นานๆอัสดงจะเขินอย่างนี้สักที รอยลักยิ้มข้างแก้มปรากฏ เขายิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ยิ่งตอนที่ไอ้ดื้อหันกลับมาประจันหน้า มันแทบทำให้เขาละลายกองอยู่ตรงนั้น เพราะยามที่นาคาคืนถิ่น ยามนั้นความงามและศักติจะคงพร้อมที่สุด เฉกเช่นยามนี้

“หมายความว่ายังไง จะทำอะไร”

“ก็....ทำอย่างที่เคยทำแบบนี้ไง” อัสดงตั้งใจจะดึงสีทันดรเข้ามากอดแต่เจ้าตัวก็หลบหลีกไปได้ทัน “ขอกอดหน่อยสิ วันนี้ยังไม่ได้กอดเลยนะ คนดีของอัสสะ”

“ไม่เอา แถวนี้บริวารเราขึ้นมาบ่อยๆ เดี๋ยวพวกมันมาเห็นเข้า ไปกราบทูลแม่เรา เราจะยุ่ง”

“แม่เจ้าทรงฌาน ...ไม่รู้หรอก นะๆ จะไม่ให้รางวัลอัสสะหน่อยเหรออุตส่าห์พามาเที่ยว” นานๆอัสดงจะปล่อยลูกอ้อนมาสักที

สีทันดรทรงทำหน้าคุร่นคิดสักครู่ ก็ทรงตอบมาว่า “ก็ได้ แต่ไปตรงที่ลับๆตาคนหน่อยได้ไหม”

ประโยคสุดท้ายแผ่วเบายิ่ง แต่อัสดงได้ยินเต็มสองหู มิรอช้าเขาจูงมือไอ้ดื้อของเขาไปยังโขดหินที่ใกล้ที่สุด โขดหินโขดนั้นสามารถปิดบังสายตาจากคนทั่วไปได้ ยังมิทันจะเข้าไป พระวรองค์ที่หอมเสียยิ่งกว่าหอมก็ถูกดึงมาแนบอกโดยพลัน

“วันนี้อัสสะดีใจ ที่เห็นเจ้าดื้อคนดีสดใสเหมือนเดิม และวันนี้อัสสะมีของขวัญให้ด้วยนะ”

“ของขวัญอะไรเหรอ”

“อัสสะอยากร้องเพลงให้ฟังเป็นของขวัญ....วันนี้ไอ้ฉายมันร้องเพลงเสียเพราะเชียว อัสสะเลยอยากร้องบ้าง แต่อยากร้องให้เจ้าฟังคนเดียว อยากฟังไหม”

“ไม่อยาก ...” ถึงจะทรงอยากฟังเพียงไหน สีทันดรก็ตรัสว่าไม่อยากฟังไว้ก่อน เพราะแกล้งเขาคนนี้สนุกเสียยิ่งกระไร

“งั้นก็ช่วยไม่ได้ ...เพราะนักร้องคนนี้อยากร้องให้ฟัง” นักร้องหนุ่มไม่สนใจผู้ฟังว่าจะฟังหรือไม่ และแล้วเสียงทุ้มนุ่มกังวานใสก็เอื้อนเอ่ยออกมา

“เราสองนั้นอยู่กันคนละภพ       เหตุใดจึงพึงพบประสบหน้า
ชะรอยบุญแก่เก่าเราสร้างมา   คล้ายดังว่าใจสองดวงเคยผูกพัน
ฤาอาจมีใครสักคนอยู่บนฟ้า   ขีดดวงชะตาเราสองต้องกัน
ขออย่าเปลี่ยนให้เจ้าเป็นฝัน   อย่าจากพรากกันฉันและเธอไม่คลาดคลา”

สีทันดรบัดนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอสรพิษเชื่องๆ พระหทัยวาบตามจังหวะ เนื้อความของเพลงที่เขาร้อง มันช่างตรงเสียเหลือเกิน เขาอยู่โลกมนุษย์ ส่วนเราอยู่บาดาล เจอกันจะเรียกว่าฟ้าลิขิตก็ได้  สีทันดรทรงเริ่มซุกพระพักตร์ลงแนบอกของอัสดงเพราะกลัวว่าเขาคนนี้จะเป็นดั่งภาพฝัน ดังคำร้อง 

“ร้องเพราะดีนี่...หยุดทำไมร้องต่อสิ”

“เจ้าอย่าเพิ่งขัดสิ ฟังอัสสะร้องให้จบ”

“อยู่กันคนละฟากฟ้า      หวั่นฤทัยสักวันเจ้าต้องกลับไป
แล้วพี่จะอยู่ต่อไปเช่นไร   ถ้าขาดเจ้าไปยามเมื่อไกลห่างกัน
ถ้าเราจากกัน      พี่ก็คง..........................ขาดใจ”      

เพียงท่อนสุดท้ายจบ น้ำตาใสๆก็ไหลออกมาอาบข้างพระปรางทั้งสอง ‘ถ้าเราจากกัน พี่ก็คงขาดใจ’ ท่อนนี้เอง ทำให้พระหทัยหวั่นวาบแลเจ็บแปลบดั่งทรงถูกเข็มเล่มน้อยสะกิด อัสดงเองก็ห้ามมิให้เสียงสั่นไม่ได้ ปานว่าเขาจะขาดใจ ณ ตอนนี้

“ว้า...ร้องไห้ทำไม สงสัยนักร้องคนนี้ เสียงคงจะห่วยแตก ร้องเพลงยังไง ทำเอาคนฟังร้องไห้ ตั้งใจจะร้องให้ซึ้งนะเนี่ย”

“เพราะอัสสะเสียงเพราะและร้องได้กินใจต่างหากล่ะ เราถึงร้องไห้ จะเป็นไปได้ไหม หากวันข้างหน้าเราต้องกลับบาดาล อัสสะต้องสัญญาว่าวันนั้น อัสสะจะไม่ขาดใจ ได้ไหม” พระสุรเสียงใสทรงกลั้นสะอื้น ตรัสขอวิงวอนเพราะกลัวว่า เขาคนนี้จะขาดใจ

“อัสสะจะไม่มีวันขาดใจ เพราะไอ้ดื้อ จะต้องอยู่เป็นขวัญใจของอัสสะที่นี่”

“เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ สักวันเราคงต้องกลับไป”

“แล้วอัสสะจะอยู่อย่างไร .....ถ้าเราจากกัน อัสสะนั้นก็คงขาดใจ”

สีทันดรไม่ทรงเหลือศักติหยิ่งทระนงอีกแล้ว ทรงกันแสงแนบอกอุ่นแข็งแรงนั้น เพลงหวานซึ้งก็จริงอยู่ แต่ลึกๆลงไปในเนื้อความ ทำให้หวั่นพระทัยยิ่งนัก เพราะทรงกลัวว่าเขาคนนี้จะ ‘ขาดใจ’ ไปจริงๆ

“คนดี อย่าร้องไห้ไปเลย โอมเพี้ยงงงง จงหาย”

อัสดงพยายามพูดเล่น แกล้งทำท่าเป่ามนต์ ซึ่งก็ทำให้เจ้านาคาน้อยยิ้มออกมาได้บ้าง “อย่ากังวลใจไปเลย วันนั้นยังมาไม่ถึง อัสสะสัญญาจะหาวิธีที่ดีที่สุด ขอเพียงแค่ให้เจ้าเชื่อ”

ริมฝีปากบางเบาประทับลงตรงข้างๆแก้ม แขนทั้งสองข้างของอัสดงโอบพระวรกายแน่น คำที่อยู่ในใจมานาน และคนที่ถูกกอดก็กำลังอยากฟัง บัดนี้ดังสะท้อนก้องอยู่ภายในอก พร้อมจะถ่ายทอดออกมาแล้ว

“สีทันดร ยอด....”

แต่ก่อนที่อัสดงจะพูดออกมานั้นก็บังเกิดเสียงหัวเราะคิกคัก เสียงนั้นเป็นเสียงเด็ก สีทันดรกับอัสดงชะงักพลันแล้วเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นดังอยู่ตรงโขดหินใกล้ๆแค่นี้เอง แถมยังมีเสียงกระซิบกระซาบดังแว่วๆมาว่า

“รักๆ เมื่อกี้เขาจูบกันใช่ไหม”

“ใช่ ผู้ชายจูบกัน ....ยมลองปีนไปดูอีกทีสิ เผื่อพวกเขากำลัง.... อุ๊ย จั๊กกะจี๋จัง”

คนพูดท่าจะแก่แดดไม่น้อย เพราะกำลังทำท่าทำทางประกอบให้สหายที่มานั่ง “แอบดู” ด้วยกันเห็น ....มองเผินๆผ่านๆ เจ้าสองคนนี่ก็เหมือนเด็กธรรมดา แต่ถ้ามองดีๆด้วยตาแห่งผู้มีฤทธิ์ก็จะรู้ได้ทันทีว่า มันสองคนนั้นมิใช่มนุษย์ และอีกอย่างเด็กที่ไหนจะไว้จุกแต่งตัวด้วยผ้านุ่งโบราณ ออกมาเล่นดึกๆดื่นๆ   ‘รัก ยม’ หรือโอปาติกะ จำพวกหนึ่ง ที่คอยรับใช้ มนุษย์ มานั่งแอบดูอยู่นี่ แล้วเจ้านายพวกมัน อยู่ที่ไหน

“ไม่เอา เดี๋ยวตายมเป็นกุ้งยิง” เจ้าตัวนี้ก็ทะเล้นไม่แพ้เจ้าตัวแรก กลัวตาเป็นกุ้งยิง แต่ก็ยังสาระแนเตรียมปีนโขดหินไปดูเขาอีกรอบ “เสียงเงียบไปแล้ว หรือว่ากำลังจะ จ้ำจี้มะเขือเปราะกันแล้ว รัก”

“ไอ้เด็กผีเปรต ตาพวกเจ้าจะไม่เป็นกุ้งยิง แต่เราจะควักลูกตาพวกเจ้าออกมาเสียเดี๋ยวนี้”

สีทันดรที่เงี่ยพระโสตฟังอยู่ ก็ทรงรู้ได้ด้วยอำนาจวิเศษว่า คลื่นเสียงที่มันเจรจากันนั้น มิใช่มนุษย์ จึงทรงผละจากอ้อมอกของอัสดงเหิรลอยละลิ่วเหนือหมู่โขดหิน พระเนตรฟ้าครามกลายเป็นสีทองทันใด จุดเล็กๆสีแดงจ้าดุจทับทิมกลางพระเนตรส่องประกายระยับ พลังแห่งเทวนาคากำจาย ดวงวิญญาณต่ำต้อยสองดวง สั่นไหว ตกใจสะดุ้งโหยงสุดตัว

“เฮ้ยยยยย ซวยแล้วรัก พญานาคนี่หว่าไปกันเหอะ”

ทั้งสองเตรียมหนี แต่ก็ไม่ไวไปกว่า สีทันดรที่สะบัดพระหัตถ์ฟาดลงไปเกิดเป็นลำแสงพวยพุ่งกระทบเข้ากับผีเด็กสองตนนั้นทั้งรักและยม ลอยละลิ่วเข้ากระทบกับโขดหินเบื้องหน้า เสียงดังสนั่น หากเป็นคนธรรมดาคงสิ้นชีพ แต่นี่มันเป็นวิญญาณจึงได้แต่นอนฟุบโอดครวญอยู่บนพื้นทราย 

“โอ๊ย เจ็บ... ยมแย่แล้ว ทำไงดี ” อาคมวิเศษถูกกำกับกั้นไว้มิให้พวกมันหนีไปไหนได้แต่นอนดิ้นพล่านคลุกพื้นทราย

“ใครส่งพวกเจ้ามาแอบดูเรา” สีทันดรเลื่อนพระวรกายลงมาประทับยืนเหนือหน้าเด็กผีทั้งสอง ดัชนีชี้กราด “เจ้าผีเด็กหากเจ้าไม่ตอบ เราจะเผาเจ้าให้เป็นจุณ”   
 
“อย่าขอรับ ....รักกลัวแล้ว อย่าทำรักเลย เราสองคนแค่ผ่านๆมาแถวนี้ มานั่งเล่นอยู่นี่ พอดีเห็นพี่สองคนเดินเข้ามาจะหลบออกไปก็เกรงใจพี่ โอ๊ย รักเจ็บไปหมดแล้ว” เจ้ารัก ทูลตอบอย่างโอดครวญแต่ไม่เล่าความจริงทั้งหมด ที่มันจงใจมาแอบดูเมื่อเห็นอัสดงกับสีทันดรแอบเข้ามาในหมู่โขดหินนี้ต่างหาก

“เจ้าเลยฟังอยู่ตั้งแต่ต้น เราฆ่าเจ้าให้ตายอีกรอบดีไหม” สีทันดรเงื้อพระหัตถ์หมายพระทัยจะขู่ ซึ่งทำให้เจ้ารักยมกลัวจนตัวสั่นลนลาน

“อย่าเลยจ้า....ปล่อยรักกับยมไปเหอะเราสองคนกลัวแล้ว พี่ดื้อ” เจ้าผีเด็กรักกับยม ยกมือไหว้ปลกๆเหนือหัวจุกของมัน หนำซ้ำยังสะเออะมาเรียกพระนามของเจ้านาคาตาสวยว่าดื้อเสียอีก แสดงว่ามันฟังมาตั้งแต่ต้น “บังอาจนัก มาเรียกเราว่าดื้อ เดี๋ยวเหอะ”

 อัสดงเหิรลอยตามมาเห็นว่าเป็นแค่ผีเด็ก ด้วยความสงสารเพราะกำลังโดนสีทันดรเล่นงานซะน่วม จึงไม่อยากจะเอาความ “ปล่อยมันไปเหอะ ไอ้ดื้อ มันเป็นแค่รักยม ไม่มีพิษสงอะไรมากหรอก ไม่ใช่อสูร”

“ก็ได้”ในเมื่ออัสสะขอมา สีทันดรจึงมิทรงขัดและทรงสะบัดพระหัตถ์อีกครั้ง เจ้าผีเด็กสองตนก็เป็นอิสระ มันรีบกราบลงกับพื้นกลัวจะถูกเผาจนตัวสั่น

 “ขอบคุณครับ พี่ดื้อ”

“ไอ้ทะลึ่ง !!! เดี๋ยวเหอะ”

“อย่าไปโมโหมันเลยไอ้ดื้อ เด็กมันไม่รู้น่ะ ให้อัสสะจัดการดีกว่านะ” อัสดงโอบพระวรกาย บอกให้คนดีของเขาใจเย็นๆ แล้วเขาก็เริ่มคาดคั้นพวกมันมาเอง

“เจ้าสองคนเป็นบริวารของใคร ตอบดีๆนะ อุตส่าห์ปล่อยแล้ว”

ขึ้นชื่อว่ารักยมย่อมมีนายบงการ ยากนักที่จะไม่มีนายปกครอง รักยม คราแรกก็ตั้งใจจะบิดพลิ้วหาทางเลี่ยงไม่ตอบ แต่พอมองอัสดงชัดๆ รัศมีแห่งเทวะสีแดงเพลิงของเขาก็สะกดทำให้พวกมันกลัวจนตัวหดลีบเล็กลงทันใด 

“เทวดานี่นา ....ใครสวดชุมนุมเทวดาวะวันนี้ มารวมกันหมด โอ๊ยร้อน แสบตา ไม่เหมือนรัศมีของ......”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง ก็บังเกิดลมพายุใหญ่กรรโชกพัดวูบ เสียงแซ็กโซโฟนบาดใจสอดแทรกมากับสายลมนั้น พอกระทบก้อนหินก็กัดกร่อนจนปะทุคล้ายระเบิดย่อมๆ  อัสดงกับสีทันดร ร่ายพระเวทกั้นตนเองไว้ ครั้นพอลมสงบ เจ้าผีเด็กรักยม ก็อัตรธานหายไปเสียแล้ว สายลมพายุนั้นพัดลอยวนไปกลางทะเล หมายมุ่งจะข้ามไปอีกฟาก ของชายหาด อัสดงกับสีทันดรมิรอช้า เหิรทะยานตามไปทันที 

“นายของมันมา ฤทธิ์เยอะไม่ใช่เล่น  ตามไปดูกันเหอะไอ้ดื้อ ท่าทางคืนนี้จะ ได้สนุกกันอีกแล้ว”

รัศมีแดงเพลิงกับรัศมีเขียวอมทองสุกใส พุ่งปราดเป็นลำ ตามไปติดๆ ด้วยอิทธิและอำนาจแห่งพระอาทิตย์และเทวนาคาจอมดื้อรัศมีทั้งสองนั้นช่างสว่างเสียยิ่งกระไร จึงเรียกความสนใจแก่ผู้พบเห็นทั้งหลาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่รีสอร์ทที่นั่งกินเหล้ายังไม่หลับไม่นอนเช่นบ้านของตระการตา

“เฮ้ยย แสงอะไรไม่รู้ สีแดง สีเขียว อยู่กลางทะเลนั่น มาดูเร็ว”

มนุษย์ผู้อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง จึงวิ่งกรูกันไปดูที่ริมหาดไม้เว้นแม้แต่ตระการตา ส่วนทรงกลด เอราวัตและคืนฉายเห็นรัศมีทั้งสองเข้า ก็รู้ได้โดยพลันว่าเป็นใคร

“สองคนนั่นจะไปไหนกัน อย่าบอกนะว่าจะไปหาที่จู๋จี๋”

“จะบ้าเหรอไอ้ฉาย ถ้ามันจะจู๋จี๋กัน มันคงไม่ทำให้ใครแตกตื่นอย่างนี้หรอก กูว่ารีบตามไปดูเหอะ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ” เอราวัตกล่าวด้วยสีหน้ากังวล เพราะเทวะและอณูทั้งหลายหากไม่จำเป็นคงจะไม่แสดงอิทธิให้มนุษย์เห็น

“เห็นด้วยกับเอราวัต...เราตามไปกันเหอะ” ทรงกลดพยักเพยิดเห็นด้วย เข้าทางเขาแล้ว จะได้เข้าไปแทรกกลางระหว่างรัศมีสีแดงกับสีเขียวนวลนั้นซะที โดยมิรอช้า อำนาจจากจันทรเทพประสิทธิ์ประสาท แว่บหายขึ้นฟ้ากลายเป็นรัศมีสีเหลืองนวลพุ่งปราดผ่านเหนือหัวของกลุ่มมนุษย์ที่ยืนดูอยู่ริมชายหาด

“เฮ้ย รอด้วยไอ้กลด” เอราวัตกับคืนฉายรีบตามไปบ้าง รัศมีสีเขียวแลอีกหนึ่งรัศมีสีฟ้าครามใส ตามขึ้นไปติดๆ เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนดังขึ้น “นั่นๆ มาอีกสามสี เมื่อกี้รู้สึกว่าลอยผ่านหัวพวกเราไปอย่างนั้นแหละ พุ่งไปกลางทะเลกันหมดแล้ว”

ตระการตาเองก็มองอย่างตกตะลึง เอ.... ดวงไฟหลากสีแปลกๆ ลอยมาจากไหนกัน สองลูกแรก เห็นมาจากชายฝั่งด้านนู้น แต่สามลูกหลังนี่สิ เหมือนลอยมาจากบนฝั่งข้างหลังนี่เอง ครั้นพอเขาหันกลับไปดู ก็ไม่พบอะไร

‘เอ๊ะ ...แล้วคืนฉายกับเพื่อนหายไปไหนแล้วล่ะนี่ แปลกจัง!’

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-07-2019 17:20:27
ทางฝ่ายสายลมปริศนาอันเหิรนำหน้ามาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มม้วนตัวเป็นลำละลิ่วเหนือพื้นน้ำทะเล ตามติดมาด้วยอัสดงกับสีทันดร อีกนิดเดียวก็จะตามทันอยู่แล้วหากเพียงชั่วแวบนั้น สายลมก็สะบัดเอาเสียงดนตรีที่คมกริบพุ่งสวนเข้าใส่ทั้งสอง อัสดงซัดพลังของตนเข้าไปปะทะก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นทั่ว

 เปรี้ยง!

แรงปะทะอันรุนแรง ทำให้สายลมนั้นหมุนวนเซถลา แลอัสดงเองก็ลอยเคว้งเกือบจะทรงตัวมิได้ สีทันดรต้องทรงเข้ามาช่วยฉุดไว้ ทั้งสองลอยอยู่เหนือผิวน้ำทะเลเตรียมรับมืออีกครั้ง ทรงกลด เอราวัตและคืนฉายที่เหิรลอยตามมาด้านหลังต่างก็เตรียมพร้อม ทั้งห้ายังมิได้เจรจาใดๆกันทั้งสิ้นว่าเกิดอะไรขึ้น สายลมปริศนานั้นดูเหมือนจะหยุดดูอยู่กับที่เพื่อหยั่งเชิง และแล้วก็บังเกิดเสียงแซ็กโซโฟน ท่วงทำนองประหลาดๆ แสบแก้วหูยิ่ง เสียงดนตรีเสียงเดียวกับที่จู่โจมอัสดงกับทรงกลดเมื่อพลบค่ำหากแต่รุนแรงกว่า สาดเข้าใส่ เทพน้อยทั้งหลายจำต้องใช้มนต์ต้านไว้ ครั้นพอตั้งใจซัดกลับไป สายลมนั้นก็มีอัตรธานสลายหายไปเสียสิ้น

“มันหนีไปแล้ว....ขึ้นฝั่งกันก่อนเดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง” อัสดงกัดฟันกรอด เหอะคราวหน้ามันหนีไม่รอดแน่ๆ

สี่เทพน้อยเลี่ยงขึ้นฝั่งมาอีกทางพร้อมสีทันดร ทั้งหมดนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่บนโขดหินโขดเดิมที่อัสดงใช้เป็นเวทีร้องเพลงให้สีทันดรฟังเมื่อสักครู่ อัสดงเล่าความตั้งแต่เจอผีเด็กรักยม และถูกสายลมปริศนานั้นโจมตี แต่เขาไม่ได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น เพราะเขาอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นการส่วนตัวระหว่างเขากับไอ้ดื้อเท่านั้น

“ไอ้ผีเด็กนั่น มันต้องมาสอดแนม อยากรู้นักใครใช้มันมา” คืนฉายกล่าวขึ้นมองหน้าเพื่อนๆ สีหน้าหงุดหงิด เมื่อรู้ว่าต้องเหนื่อยเพราะมีมารมาขัดจังหวะความสนุกในการท่องเที่ยวพักผ่อน

“เฮ้อ มาพักผ่อนแท้ๆ ยังมาเจอเรื่องให้ต้องเหนื่อย จริงๆแล้วฉันกับอัสดงโดนมันโจมตีตั้งแต่ตอนไปตามน้องดื้อขึ้นฝั่งแล้ว จะเล่าให้นายสองคนฟังก็ลืม....ไอ้นักดนตรีเป่าแซ็กนั่น มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเมื่อกี้ ฉันจับเสียงแซ็กตอนมันปะทะกับอัสดงได้”

“ทำไมเพิ่งบอกวะ ไอ้กลด ฉันว่าเรารีบไปที่บ้านหลังนั้นกันเหอะ” เอราวัตเสนอขึ้น แต่คืนฉายก็แย้งเสีย

“นายจะไปทำไมวะ ถ้าลมพายุนั่น เป็นไอ้นักดนตรีเป่าแซ็ก ป่านนี้มันคงเปิดตูดหนีไปแล้ว”

“แต่ฉันเห็นด้วยกับเอราวัต ไปดูเหอะ....เผื่อมันพอจะมีอะไร ในบ้านเหลือไว้เป็นเบาะแสสำหรบพวกเราบ้างก็ได้”

สิ้นคำของทรงกลด ทั้งหมดบัดนี้ก็มาปรากฏกายอยู่หน้าบ้านพักที่ปิดสงบเงียบ ไฟดับแทบทุกดวง ต่างจากบ้านหลังอื่นๆ ที่อย่างน้อยก็เปิดไฟตามไว้ตรงนอกชาน บรรยากาศยามดึกยามนี้ เงียบสงัดยิ่ง หลายๆบ้านเริ่มเข้าพักผ่อน พวกที่เมาก็หลับฟุบนอนระเกะระกะ จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งที่เทพน้อยทั้งหลายจะสำแดงเดชได้เต็มที่

คืนฉายเดินนำจะขึ้นไปบนบ้านนั้นเป็นคนแรกหากสีทันดรฉุดแขนเอาไว้

“เดี๋ยวก่อนพี่ฉาย รอสักครู่”

สีทันดรตรัสจบก็เสกนาคจำแลงตนหนึ่งพุ่งซัดเข้าไปบนบ้าน เพียงนาคนั้นออกจากพระหัตถ์ก็บังเกิดสายอสุนีบาตซัดใส่นาคจำแลงนั้นระเบิดกระจายเป็นผุยผง  “นึกไว้แล้วไม่มีผิด ....เจ้าของบ้านท่าจะไม่ธรรมดา สร้างเขตอาคมไว้รุนแรงเชียว”

“เกือบไปแล้วไหมเรา มาพี่จัดการเอง” คืนฉายกำลังพนมมือจะร่ายพระเวททำลายม่านอาคมนั้น แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกชื่อตนข้างหลังดังขึ้น

“อ้าว ฉาย มาอยู่ตรงนี้เองเหรอ เราตามหาซะทั่ว”

ตระการตา ท่าทางคงจะตามหาคืนฉายอยู่นาน ครั้นพอเจอสีหน้าจึงแสดงความดีใจอย่างยิ่ง ส่วนคืนฉายนั้นเริ่มจะยิ้มไม่ออก เพราะตระการตาเล่นตามติดเขาแจ แถมตอนนั่งกินเหล้า ยังคอยมาป้วนเปี้ยนบริเวณต้นขาเขาอีกด้วย นี่ขนาดยังไม่มีอะไรด้วยนะ

“เอ่อ... ตา ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ยังหรอก เห็นฉาย หายไปจากวงเหล้าเลยมาตาม เราเป็นห่วง”

 “ตาไม่ต้องห่วงเราหรอก รีบกลับไปบ้านเหอะดึกแล้ว ไปพักผ่อนซะ”

“ยังหรอก....ตาอยากชวนฉาย ไปกินเหล้าต่อน่ะ ไปไหม อยากคุยกับฉายต่อด้วย ”

“ขอบใจนะ สำหรับมิตรภาพ  แต่คงไม่แล้วล่ะ ขอฉายพูดตรงๆ เลยแล้วกันนะว่าฉายรู้ ว่าตาคิดอย่างไรกับฉาย แต่ฉายคงต้องขอโทษเป็นครั้งที่สามสำหรับวันนี้ เพราะว่าฉายมีแฟนแล้ว” คืนฉายพยายามตัดปัญหาทั้งปวงด้วยการบอกปัดมิตรภาพที่ตระการตาเอื้อนเอ่ยนำเสนอ เขาเข็ดแล้วกับคนที่ชอบตามเขาแจ ไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิมของพี่หนึ่ง

ตระการตาทำสีหน้าปั้นยาก แทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่ได้ยิน พวกอัสดง ที่ยืนฟังอยู่รู้สึกเห็นใจตระการตาที่โดนคืนฉายหักสะบั้นไมตรี ทั้งๆที่ไม่มีวี่แววว่าคืนฉายจะพูดแบบนี้ ดูเหมือนแรกๆฉายจะชอบด้วยซ้ำที่มีคนมาปลื้ม แต่พระพุธด้วยความที่อ่านใจคืนฉายออกจึงกระซิบบอกกับอัสดงและทรงกลด ทั้งสองจึงเข้าใจในเหตุผลนั้น

“ฉะ....ฉาย” ตระการตายืนอึ้ง และก็ต้องอึ้งยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อคืนฉาย เอามือไปโอบเอวเอราวัตที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ดึงเข้ามากอด “นี่ไง แฟนฉาย ขอโทษเป็นครั้งที่สี่ ที่ไม่ได้บอกความจริงให้รู้ตั้งแต่ตอนแรก”

ทั้งหมดตกตะลึงพึงเพริดเพราะไม่คิดว่าคืนฉายจะเล่นไม้นี้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกลับดันมีเรื่องสะบั้นไมตรีเกิดขึ้น เอราวัตเองทีแรกก็ตกใจจะดันร่างคืนฉายออก แต่คืนฉายส่งกระแสจิตขอร้องให้ช่วย “ ช่วยกูด้วย กูไม่อยากทำให้มนุษย์ดีๆคนหนึ่งต้องมาเพ้อและช้ำใจเพราะกู”

เหตุนี้ เอราวัตจึงยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของคืนฉาย ตระการตา มองอย่างไม่เชื่อสายตา ใบหน้าชาร้อนผ่าว เหมือกับถูกเขาตบหน้ามาอย่างแรง

“ถ้าตายังไม่เชื่อนี่คงจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ ว่าฉายรักแฟนฉายพียงไหน” คืนฉายพูดจบจึงโอบคอเอราวัตและประกบปากลงไปบนริมฝีปากของเอราวัต อัสดง ทรงกลด และสีทันดร ตะลึงมาอีกครั้ง

“มะ มัน ไปเป็นแฟนกันตอนไหน” ทั้งสามไม่คิดว่าคืนฉายตัวแสบจะเล่นไม้นี้ แต่ตระการตานี่สิ ใจสลายลงพลัน

เอราวัตเองก็ไม่คิดว่า คืนฉายจะทำถึงเพียงนี้ เพื่อนเขาทำรุนแรงเกินไปกับคนตรงหน้าหรือเปล่า แต่จะทำไงได้ จึงยอมประกบปากไว้ เพื่อการแสดงจะได้สมจริงที่สุด ตระตาการ มองภาพนั้นเพียงชั่วครู่ เสียงสั่นเครือกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งหันหลังกลับไปเพียงว่า

“ ตา ขอโทษที่เข้ามาวุ่นวาย โดยไม่ดูให้ดีก่อน”

ตระการตาวิ่งหายลับไปจากตรงนั้นแล้ว เอราวัตจึงผลักคืนฉายออก บอกเพื่อนจอมก่อเรื่องไป “ฉาย มึงทำเกินไปหรือเปล่า มึงไม่ชอบเขามึงก็บอกเขาไปดีๆสิ ไม่ใช่มึงไปทำอย่างนี้ หากเขาเสียใจขึ้นมา แล้วทำอะไรเกินไป มึงจะทำอย่างไร”

“เขาคงฉลาดพอที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆ กูมีเหตุผลของกู กูไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยพี่หนึ่ง ขอบใจที่มึงช่วย” คืนฉายไม่เหลือเค้าขี้เล่นเลย ในตอนนี้ เสียงเขาเข้มขึ้น หากใครๆจะด่าเขา เขาก็ยอม เพราะเขาหวังดีไม่อยากให้มนุษย์คนนี้ช้ำใจ ตัดไฟเสียแต่ต้นลมนั้นดีที่สุด .....ความขี้เบื่อ รักง่ายหน่ายเร็วของเขา มันสามรถฆ่าคนได้ทั้งเป็น

“งั้นมึงจำไว้ กูจะไม่ช่วยมึงเรื่องนี้อีก” เอราวัตสะบัดหน้า ตัดบท เปลี่ยนเรื่อง บอกอัสดงกับทรงกลดและสีทันดรที่ยืนดูอย่างงงๆ “ช่วยกันทำลายม่านอาคมแล้วขึ้นไปดูข้างบนกันเหอะ”

ส่วนตระการตา เมื่อออกมาจากตรงนั้นได้ ก็วิ่งจนสุดแรงเกิด หนีให้พ้นคนใจร้าย ในชีวิตไม่เคยถูกใครหยามให้อายขนาดนี้มาก่อน หากไม่รักไม่ชอบ ทำไมไม่บอกกันดีๆ

“นาย มันใจร้าย คืนฉาย”

ตระการตาทรุดลงนั่งริมชายหาดฟุบหน้าลงกับเข่า บอกตัวเองไว้ว่าอย่าร้องไห้ แต่หยาดน้ำใสๆ ก็ไหลลงมา มันอาจจะเป็นน้ำทะเล ที่กระเซ็นมาโดนหน้า แต่ทำไมน้ำทะเลที่แสนเค็มถึงได้ไหลลงมาจากตา ฤาว่า มันจะเป็นน้ำตาจริงๆ

เสียงแซ็กโซโฟน ลอยตามลมมาเรื่อยๆ เพลงที่เศร้าแสนเศร้า เข้ากับบรรยากาศปวดร้าวเสียยิ่งนัก คืนฉายตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงดนตรีนั้น จากลอยมาไกลๆ บัดนี้ดังชัดเจนมาเล่นอยู่ใกล้ๆหูอยู่ซะนี่ เพียงเขาหันไปก็พบว่า เด็กหนุ่มนิรนามคนเป่าแซ็กเมื่อตอนเย็นนั่นเอง นักดนตรีปริศนา บัดนี้มายืนอยู่ที่นี่ ไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงสามส่วน พอได้มองเขาใกล้ๆ ก็เข้าใจถึงคำว่า ดาร์ก ทอลแอนด์แฮนด์ซั่ม เพราะร่างนั้นสูง ใบหน้าคมคาย ดูได้ไม่รู้จักเบื่อ ผิวกายแม้จะคล้ำหากแต่เนียน สะอาด อกผายสมวัยหนุ่มน้อย  ถ้าเอามาเทียบกับคืนฉายแล้ว หากต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง คงตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเลือกใคร .....เขาคนนั้นหยุดบรรเลงเพลงชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้น   

“ทำไมต้องร้องไห้ มาทะเล อย่าเอาความเสียใจมาทิ้งที่นี่ ตักตวงเอาความสดใสจากทะเลกลับไปดีกว่า”

“นาย เป็นใคร” ตระการตากล่าวตอบ พยายามเช็ดน้ำตาที่ค้างคาอยู่ แต่เช็ดยังไงก็ไม่หมดซะที

“มาเราจะช่วยเช็ดให้” เจ้านักดนตรีหนุ่มไม่ตอบคำถาม กลับจะเช็ดน้ำตามาให้เสียนี่ เขายกแซ็กโซโฟนขึ้นมาเป่าอีกครั้ง ครานี้ท่วงทำนองจากเศร้าสร้อยกลับมีชีวิตชีวาขึ้น แต่ละตัวโน้ตในเพลงดุจมนต์วิเศษเช็ดน้ำตาของเขาให้เหือดแห้งโดยพลัน นี่หรือคือวิธีการเช็ดน้ำตาของเขา ตระการตาเริ่มปล่อยใจให้ฝันไปกับเสียงเพลงนั้น ม่านตาค่อยๆหนาหนัก เริ่มจะเปิดลงให้จงได้ เขาค่อยๆฝืนแต่ฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่อยู่ ครั้นขนตากระทบกันครั้งสุดท้าย หัวใจก็ลอยละลิ่วไปอยู่ในโลกแห่งความฝันทันที

ในความฝันอันเลือนราง เขานั่งอยู่บนหาดทรายขาวสะอาด เสียงคลื่นกระทบกัน ซัดซ่าฟังแล้วสุขใจ ในสมองที่เคยมีแต่เรื่องของคืนฉาย บัดนี้ว่างเปล่า สายตาของเขาเหม่อมองไปในท้องทะเลฟ้าคราม  จู่ๆภาพของสตรีนางหนึ่ง ก็ผลุดขึ้นมา สตรีนางนั้นไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ ปกปิดร่างกาย ผมดำขลับสยายยาวปิดหน้าอกเต่งตึงและส่วนกลางนั้นไว้ หญิงสาวในภาพอารมณ์บาดใจค่อยๆกวักมือเรียกเขาลงไปในน้ำด้วยกัน ทำกริยาล่อแหลม เย้ายวน ให้ตระการตาตามลงไป แต่จะกวักเรียกเท่าไร ตระการตาก็ยังไม่สนใจ พยายามจะลุกหนี เพราะไม่เคยพิสมัยในอิสตรี

หญิงสาวใจกล้า นุ่งลมห่มฟ้าจึงใช้กลยุทธ์ใหม่ เริ่มเปล่งเสียงเป็นทำนองสูงต่ำ เป็นบทเพลงที่แปลก ฟังแล้ว ใจรู้สึกเศร้าสร้อย ตกอยู่ในภวังค์ ขาทั้งสองข้างเริ่มก้างโงนเงนลงไปในน้ำทะเล  “มาเถิด มากับเรา แล้วเจ้าจะลืมความทุกข์”

บทเพลงแห่งนางพรายเริ่มขับขาน บังคับให้ตระการตาก้าวเดินลงทะเล หากแต่เสียงแซ็กโซโฟน ในท่วงทำนองที่แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน แทรกเข้ามาในห้วงฝัน ทำลายภาพวาบหวามของสตรียั่วกิเลสเสียสิ้น เสียงของนางพรายกรีดร้องดังลั่น ภาพงดงามดั่งชื่อตระการตา บิดเบือนกลับสู่ความจริง หญิงสาวที่สวยงามคืนร่างเป็นนางปีศาจ เขียวขาวงองุ้มออกมานอกปาก ผิวกายน่าเกลียดแห้งซีดเซียว นมทั้งสองข้างยานโตงเตงมิเต่งตึงเหมือนในภาพฝัน

“อย่าลงไป”

นักดนตรีหนุ่ม หยุดบรรเลงเพลง ตะโกนเรียก พอเห็นไม่เป็นผลเขาจึงบรรเลงเพลงมาอีกคำรบ คราวนี้เป้าหมายจู่โจมนางพรายตนนั้น  เสียงดนตรีบาดทรวงพุ่งผ่านกระแทกนางพรายกระเด็นไปไกล ระคนมาด้วยเสียงกรีดร้องแสดงถึงความเจ็บปวดเหลือคณา นางพรายมิยอมแพ้ พอลุกขึ้นมาได้ จึงร่ายมนต์บทเพลงขับร้องสู้กับเสียงดนตรี ตระการตาตื่นจากภวังค์ทันใด ด้วยความที่เป็นมนุษย์ธรรมดา มีหรือจะทนคลื่นเสียงแห่งมนตรานี้ได้ เขารีบยกมือปิดหูแต่ยังไรก็มิอาจกางกั้นเสียงทั้งสอง สติของเขาเริ่มดับวูบลงไปอีกครั้ง

คลื่นเสียงแห่งการปะทะกันทั้งสอง ทำให้มนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้น สิ้นสติไปกันหมด เหลือแต่พวกของอัสดง ครั้นพอจับสำเนียงเสียงได้ ก็ยุติการเข้าค้นบ้านของนักดนตรีปริศนาต้องสงสัย ต่างคนต่างออกมารวมกลุ่มข้างล่าง “ค้นดูจนทั่ว ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่กระเป๋าเสื้อผ้า แต่ไม่มีร่องรอยเจ้าของ”

“ฉันว่าท่าจะไม่ดีแล้ว ว่าแต่พวกนายได้ยินเสียงอะไรไหม เสียงเหมือนกับเสียงดนตรี กำลังกระทบกับอะไรสักอย่างดังอยู่ชายหาดด้านนู้น” คืนฉายกล่าวขึ้นพร้อมกับพยายามเงี่ยหูฟัง

“เออใช่ ....ฉันว่าเรารีบไปดูกันเถอะ” อัสดงกล่าวจบก็ไม่รอช้า พุ่งทะยานเหิรลอยนำไปลิ่ว ทั้งสี่ที่เหลือรีบตามมาทันใด จนเข้าใกล้ในรัศมีแห่งการปะทะกันของคลื่นเสียงปริศนา

นักดนตรีหนุ่มยังคงเป่าแซ็กโซโฟนโรมรันกับนางผีพรายปีศาจ  เพียงบทสุดท้ายจบลง เสียงดนตรีจากการเป่าก็ดังจนถึงขีดสุด ฟาดใส่กระทบร่างนางพรายตัดหัวมันจนขาดกระเด็น อัสดงกับพวกมิทันเห็นภาพนั้น เห็นแต่ร่างของตระการตานอนสลบอยู่ริมหาด จึงเข้าใจว่าเป็นเหตุจากเสียงแซ็กโซโฟน และก่อนหน้านี้ เขาก็ถูกเสียงดนตรีเสียงนี้ลอบโจมตี มันแสดงตัวออกมาแล้ว และจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากไอ้พระอภัยเป่าแซ็กนี่เอง ทั้งห้าจึงเข้ารุมโจมตีเจ้านักดนตรีนั่นทันที

“คิดไว้ไม่มีผิด ไอ้พระอภัยเป่าแซ็ก มันเป็นต้นเหตุ จัดการมันเลย”

เจ้านักดนตรีหลบหลีกการโจมตีนั้นได้ทันท่วงที แถมยังซัดอาวุธจากเหล่าเทพน้อยคืนกลับไปแต่แรงเพียงหนึ่งเดียวหรือจะสู้อีกห้าแรงได้ เจ้าพระอภัยเป่าแซ็กจึงตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม เขายังไม่ถึงกับเสียทีซะทีเดียว แซ็กโซโฟนในมือถูกแปรเปลี่ยนเป็นธนูคันใหญ่ด้วยฤทธิ์ เหนี่ยวสายยิงศรออกต่อกร ทั้งสี่ทิศที่รายรอบ

“นายเป็นใคร แสดงตัวมาซะ ไอ้ปีศาจ” อัสดงตะโกนถาม

เจ้าพระอภัยตั้งใจจะกล่าวตอบ แต่หอกของเอราวัตพุ่งสวนมา เขาจึงจำต้องเบี่ยงตัวออก พร้อมกับยกคันธนูตวัดเป็นรัศมีสีม่วงซัดเข้าใส่คืนกลับไป แต่ก่อนจะถึงตัวพระพุธ แสงรัศมีสีนวลจากปลายดาบของทรงกลดก็เข้ามาขวางไว้ตามมาด้วยจักรเพลิงอันร้อนแรงของอัสดง เสียงระเบิดกัมปนาทจากการที่พลังกระทบกัน ก่อเกิดแรงผลักมหาศาลทำให้ทั้งหมดกระเด็นล้มลงฟุบกับผืนทราย

ในช่วงวินาทีนั้น ท้องทะเลก็เกิดปั่นป่วน กลายเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ ลมทะเลพัดแรงจนแทบจะกลายเป็นพายุ ฉับพลันก็บังเกิดมือใหญ่ยักษ์โผล่พ้นออกมาจากใจกลางน้ำวนนั้น คว้าเอาร่างของตระการตาที่นอนสลบแน่นิ่งผลุบหายลงไปตรงใจกลาง ต่อหน้าต่อตาของเหล่าเทวะน้อย  ลมพายุจางหาย พื้นทะเลกลับกลายเป็นปกติเหลือเพียงคลื่นที่ซัดสาดแผ่วเบา คืนฉาย ตะโกนลั่น

“ตระการตา!!”   

ร่างของตระการตาจมหายลงไปในท้องทะเลพร้อมกับมือปริศนา เทวะน้อยทั้งหลายกว่าจะได้สติ จะเข้าไปช่วยดึงร่างคืนมาก็สายจนเกินการแล้ว

“เพราะพวกนายแท้ๆทีเดียว ....ฉันกำลังจะจัดการมันได้อยู่แล้ว พวกนายทำให้แผนฉันเสียหมด ไอ้พระอาทิตย์” เจ้าพระอภัยเป่าแซ็กกล่าวมาอย่างหงุดหงิด ทำให้พวกอัสดงหันขวับ

“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันคือใคร”

“ทำไมจะไม่รู้ แล้วกรุณาแหกตาดูให้ดีๆ ได้แล้ว ว่าฉันคือใคร พวกนายนี่มันยุ่งเสียจริงพับผ่าสิ ตั้งแต่อยู่บนสวรรค์จนมาลงมาเกิดก็ยังไม่วายป่วน แถมยังไม่เคยดูตาม้าตาเรืออีกต่างหาก ไอ้เวร” เจ้าพระอภัยพนมมือกลางระหว่างอก รัศมีสีม่วงปนทองแผ่กำจาย ก่อบังเกิดเป็นเงาทับซ้อน ซ่อนด้วยภาพแห่งบุรุษรูปงามประทับบนหลังพยัคฆราช พระหัตถ์ทรงศร ใบหน้าละม้ายคล้ายเจ้าพระอภัยมณี แต่งามและรัศมีเรืองรองกว่าหลายเท่า

“ฉันชื่อ คันฉัตร ร่างแบ่งภาคแห่งศนิเทพ เทวะแห่งอารยธรรม หรือที่พวกนายเรียกติดปากว่า ไอ้พระเสาร์ ไงล่ะ”

“ไอ้พระเสาร์!!!”

“เออ กู เอง พวกนายนี่ยุ่งฉิบหาย อย่าเพิ่งพูดอะไรกันมากเลย เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ตอนนี้รีบตามลงไปช่วยคนก่อน” สิ้นเสียง ของผู้ที่ถูกเรียกว่าพระเสาร์ ร่างงามสง่าพลันสลายกลายเป็นรัศมีสีม่วงเจือทอง โผนทะยานพุ่งลงไปในท้องทะเลที่เพิ่งจะสงบเงียบ แล้วเสียงดังก้องกังวานตามหลังบอกแก่พวกอัสดงมาว่า

“เฮ้ย ตามลงมาสิวะ ชักช้าอยู่ได้”

อัสดง ทรงกลด เอราวัต คืนฉายและสีทันดร  รีบตามลงไป ตอนนี้ต้องช่วยมนุษย์ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยเจรจาพาทีกับไอ้พระเสาร์สหายเก่า ทุกคนต่างเป็นกังวล โดยเฉพาะคืนฉาย ถึงแม้เขาจะเป็นคนปฏิเสธ ความรักที่ตระการตาเสนอให้ แต่ความห่วงใยมันเป็นคนละเรื่องกัน...มนุษย์คนหนึ่งบัดนี้ถูกจับลงไป ชีวิตจะยังมีอยู่ไหม มือปริศนาใหญ่ยักษ์มิบี้ตระการตาแหลกสลายไปแล้วหรือ 

รัศมีแห่งเทวะทั้งห้าสี และอีกหนึ่งนาคาบัดนี้ดำดิ่งลงใต้ทะเล ผ่านทุ่งท้องปะการังอันงดงาม ปลาตัวน้อยนานาชนิด ว่ายหนีแตกเป็นช่องหลีกทางให้ทั้งหมดดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ จนยากที่มนุษย์ผู้ใดจะลงมาถึง ท้องทะเลยิ่งลึกก็ยิ่งสวย โดยปกติแสงสว่างยากที่จะลงมาถึงหากด้วยอำนาจแห่งเทวะน้อยและรัศมีที่เรืองรอง ทำให้ใต้ท้องน้ำระเรื่อไปด้วยแสงสว่าง เจ้าพระเสาร์ยังคงเหิรลอยนำหน้า ตามกลิ่นไออสูรไม่ลดละ คืนฉายอยากจะซักถามรายละเอียดจึงรีบลอยมาจนทัน  รัศมีฟ้าครามเริ่มกระทบรัศมีสีม่วงนั้น กระแสจิตถูกส่งออกไปทันใด

“ไอ้พระเสาร์ รู้ไหม ใครจับมนุษย์คนนั้นไป”

“เหอะจะมีใคร ....ก็นางยักษ์ขมูขี ผีเสื้อสมุทรไงล่ะ”

“เป็นไปไม่ได้ ....นางยักษ์นั่น มันมีแต่ในนิทานของสุนทรภู่”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ นางยักษ์นี่มันก่อกรรมทำเข็ญมานานแล้ว อยู่มานานโข บริเวณทะเลแถบนี้แหละ มันเป็นตัวเดียวกันกับที่นายอ่านเจอในวรรณคดี ฉันเดาว่าสุนทรภู่คงเคยเห็นมัน เลยเอามาแต่งเป็นตัวละคร สุนทรภู่เคยมาระยองนี่ใช่ไหม”

กระแสจิตแห่งคันฉัตรส่งตอบมา  คืนฉายมิอยากเชื่อก็ต้องเชื่อ หลังจากที่เขารู้ตัวว่าเป็นพระศุกร์แล้ว อะไรๆล้วนแปลกพิสดารไปเสียสิ้น จากหนุ่มน้อยวัยรุ่นธรรมดากลับกลายมาเป็นร่างอวตารแห่งเทวะไปเสียนี่ แม้อำนาจแห่งเทวะจะหวนคืน หากยังมีอีกมาก ที่ต้องเรียนรู้จากสหายที่ ‘รู้ตัว’ มาก่อนเขา


คันฉัตรยังคงสื่อสารต่อ คราวนี้ทุกคนได้ยิน  “ฉันตั้งใจว่าอาทิตย์หน้าจะไปตามหาพวกนายที่กรุงเทพเพราะฉันจับกระแสพลังของพวกนายตอนเข้าฌานได้ แต่พอดีได้รับบัญชาจากพระมหาอุมาเทวีให้มาปราบนางพรายกับนางยักษ์ขมูขีที่นี่ซะก่อนพวกมันลากคนไปเยอะแล้ว เลยต้องกำจัด แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอพวกนายที่นี่ แถมยังทำแผนฉันแตกอีก”

“ก็ไม่รู้นี่หว่า ไม่เสือกแสดงตัวตั้งแต่แรก” เสียงของเอราวัตส่งตอบกระแสจิตนั้น คันฉัตรกำลังจะโต้ตอบหากก็มีเหตุให้หยุดชะงักอยู่กับที่ เพราะเบื้องหน้า คือเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างพิภพมนุษย์กับบาดาล กลิ่นไออสูรจางหายลง ณ ตรงนี้

“นี่มันลงมาลึกถึงขนาดนี้เลยเหรอ....เห็นทีพวกเราต้องเข้าบาดาลเสียแล้ว” เจ้าพระเสาร์ กำลังจะโผนทะยานผ่านเขตแดน แต่สีทันดรเสด็จลอยมาสกัดกั้นไว้ก่อน

“ช้าก่อนอณูแห่งศนิเทพ อย่าเพิ่งผลีผลาม พวกท่านเป็นเพียง ร่างแบ่งภาค กายหยาบของมนุษย์มิสามารถผ่านเข้าสู่โลกบาดาลได้ พวกท่านต้องเข้าไปด้วยกายทิพย์”

“แต่เราไม่มีเวลาแล้ว เจ้าพญานาคน้อย หากถอดกายทิพย์คงไม่ทัน”

เจ้าพระเสาร์รู้ได้โดยทันทีว่าผู้เสด็จเข้ามาขวางนี้คือใคร รัศมีสีเขียวนวลมรกตเจือทองสว่างใสกว่าผู้ใด สามารถบ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิด ศักติแลเดชะสำแดงเด่นชัด ‘เทวนาคา’ พระองค์นี้ทรงเจริญด้วยพระสิริลักษณ์ยากนักจักหาในสามโลก หากพูดอย่างภาษาชาวบ้าน แวบแรกที่เห็นบนบกก็ว่าหล่อแล้ว ยิ่งคืนถิ่นอยู่ในน้ำ กลายเป็นปานประหนึ่งภาพฝันที่งามเลิศ ดุจภาพฝันนั้น สรรค์สร้างด้วยหัตถ์แห่งเทวะ

“ยังไงท่านก็เข้าไม่ได้.....ถ้าเป็นนางผีเสื้อสมุทรจริงอย่างที่ท่านว่า มันไม่สามารถอยู่ในบาดาลได้หรอก เพราะมันเคยถูกขับออกมาแล้ว และเราได้ยินมาว่า ถ้ำของมัน อยู่ใต้ทะเลธรรมดาเนี่ยแหละ หากแต่ถูกบังไว้ด้วยมนตรา”

“อ้าวแล้วทำไมเพิ่งมาบอกละครับน้องดื้อ” คืนฉายรีบถามทันที 

“ก็ไม่เห็นมีใคร ถามเราสักคน จู่ๆ ก็ดำดิ่งลงมายังข้างใต้ เราก็นึกว่าพวกเจ้ารู้ทาง เห็นนำทางกันลงมา จะถามเจ้าของพื้นที่สักนิดก็ไม่มี” สีทันดรทรงพิงก้อนหินใต้ทะเลกรกอดพระอุระ ไงล่ะ อวดเก่งกันดีนัก นำมาผิดทางจนได้ ไม่ถามตนสักนิด

“อ้าว เฮ้ย แฟนใคร ช่วยจัดการทีเหอะวะ มันน่านัก ไอ้น้องดื้อ” คืนฉายเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน นี่ถ้าเป็นแฟนเขา คงจะจัดชุดใหญ่ให้สักยก กวนดีนัก ทรงกลด รีบเสนอตัวเป็นทูตเจรจามาพลัน

“น้องดื้อ...ไม่เอาน่า พี่ว่าอย่าเพิ่งเล่นเลยนะ ตอนนี้ตระการตาโดนยักษ์จับ เรามาช่วยกันตามหาเหอะอย่าเล่นแง่อยู่เลย”

“ฉันพูดเอง นายมันคนนอก ไอ้กลด” อัสดงปราดหน้าเข้ามา ลอยเด่นอยู่หน้าไอ้ดื้อของเขา ไอ้พระจันทร์เสือกกะโหลก ตนต่างหากล่ะแฟน ไม่ใช่นายสักหน่อย

“ ไอ้ดื้อ .....เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวโดนทำโทษ กำลังน่าสิ่วหน้าขวานนะ  เอาน่า เห็นแก่อัสสะ ช่วยหน่อยแล้วกัน” อัสดงเองก็เอ็ดไปอย่างนั้น เพราะตั้งแต่กลับมาจากหิมพานต์หัวใจเขาก็ยอมศิโรราบให้เด็กดื้อตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

ทรงกลดหน้าตึงพลัน จะขยับเข้าไปใกล้สีทันดร เพื่อแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนนอกอย่างที่อัสดงพูดสักหน่อย แต่เอราวัตกับคืนฉายด้วยความรำคาญ ฉุดไหล่ไว้

“มึง เฉยๆเหอะ ไอ้กลด อย่าให้มันวุ่นวายนักเลย กูสองคนรำคาญจะแย่อยู่แล้ว แย่งกันอยู่ได้”

คันฉัตรหรือพระเสาร์ได้แต่ส่ายหน้า เจ้านาคน้อยนี่ น่าเอ็นดูไม่ใช่เล่น ทำเอาพระอาทิตย์และพระจันทร์ปั่นป่วนได้  ดื้อๆกวนๆแบบนี้ เห็นแล้วมันก็น่านัก แต่จะคิดอะไรเกินเลยคงยาก ดีไม่ดีโดนตีนพระอาทิตย์กับพระจันทร์คงไม่คุ้ม โดยเฉพาะไอ้พระอาทิตย์แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของเสียออกนอกหน้าเชียว “เอาเป็นว่า เรารับผิดเอง ที่นำลงมาไม่ดูตาม้าตาเรือ เจ้าเห็นแก่มนุษย์เถอะนะ น้องดื้อ”

ตอนนี้พระนามสีทันดรดูเหมือนจะไม่มีใครเรียก ใครๆต่างก็เรียกว่า “น้องดื้อ” มาเสียสิ้น 

“เอาละๆ เราก็ไม่ได้อะไรหรอก แค่อยากจะสื่อให้พวกเจ้ารู้ว่า จะทำอะไร หัดถามเราบ้างแค่นั้น” พอตรัสจบ ไอ้ดื้อก็ทรงหลับพระเนตร ส่งกระแสจิตถึงผู้ที่พอจะรู้ว่า ถ้ำนางยักษ์นั่นมันอยู่ที่ใดกัน “มุจลินทร์ เจ้ารู้ไหม ว่าถ้ำนางผีเสื้อสมุทรอยู่ที่ไหน แล้วใช่มันหรือไม่ที่จับมนุษย์ไป”

เสียงแว่วกังวานใสทูลตอบมาทันทีที่ทรงนึกถึง “เป็นมันแน่แล้วเพคะ ....ส่วนถ้ำของมันอยู่ที่ใดหม่อมฉันมิอาจรู้ แต่สมุทรมณีจะช่วยได้”

ใช่แล้วสมุทรมณีที่สมเด็จแม่ประทานมาให้ คงช่วยหาที่อยู่นางยักษ์นั่นได้ ลืมไปเสียสนิท แต่สมุทรมณีจะมีประโยชน์แค่นี้เองหรือ คงไม่ใช่เป็นแน่ ช่างก่อนดีกว่า หาทางตามหาถ้ำนางยักษ์นั่นก่อน ... สีทันดรทรงรำพึงกับองค์เองมาเช่นนั้น แล้วก็ทรงประนมหัตถ์ ดึงสมุทรมณีมาใช้ ดวงแก้วใสสุกสว่างสกาว บัดนี้ลอยตระหง่าน กลางพระอุระ

“พาเราไปหาที่อยู่ของนางผีเสื้อสมุทร” สิ้นรับสั่งสมุทรมณี ก็ฉายแสง พวยพุ่ง ปราดเป็นลำ ไปยังอีกฟากของใต้ท้องทะเล... สีทันดร ทรงลอยตามลำแสงทันใด ตรัสสั่งให้ห้าเทพน้อยเหิรลอยตามมา “ตามมาเร็ว”

สมุทรมณีลอยละลิ่ว คดเคี้ยวไปตามซอกหิน พุ่งปราดไปเรื่อยๆ ฉวัดเฉวียนไปมา ทั้งหกตามมาไม่หยุดยั้งจวบจนกระทั่งหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วแสงสว่างบาดจ้าก็สว่างวาบ พื้นใต้น้ำทะเลเบื้องล่าง จากที่มีแต่พื้นทรายก็กลับกลายเป็นโขดหินระเกะระกะสูงชัน ภายในเป็นโพรงใหญ่ นี่น่ะหรือคือถิ่นพำนักแห่งนางอสูร

พอคณะของเทพน้อยเหยียบลงกับพื้นทราย ภาพเงาจางๆหลายๆภาพทับซ้อนก็ปรากฏหน้าปากถ้ำ รวมร่างเป็นสาวงามวัยกำดัดหลายคนในสภาวะเปลือยเปล่า กริยาอาการบ่งบอกถึงอารมณ์ร่านสวาทร้อน ในกลางกลุ่มนางเหล่านั้น ร่างของบุรุษหลายๆร่างที่เปลือยเช่นกัน ถูกโอบรัดไว้ด้วยผมสยายยาว บ้างก็กำลังถูกบังคับ ปลุกปั่นให้ระเริงสวาทโดยมิอายสายตา   ชายเหล่านั้นต่างก็ขมุบขมิบปากขอให้ช่วย ร่างใสๆบ่งบอกให้รู้ว่าร่างทั้งหลายตรงหน้าเป็นเพียงวิญญาณที่ถูกนางพรายมากราคะกักไว้ ชายพวกนี้คงจะเป็นดวงวิญญาณของมนุษย์ที่พวกมันลากมาเสพสมจนสิ้นชีพเป็นแน่แท้

สีทันดรด้วยความไม่สบพระทัย เพราะหนึ่งในนางพราย บังอาจ กวักมือเรียกอัสดง แถมยังเปิดหน้าอกเต่งตึงอวดให้ดู และกำลังจะแย้มกลีบส่วนล่างเพื่อยั่วตะกอนแห่งตัณหา และแล้วแส้ในพระหัตถ์กระชับมั่น ฟาดลงไปทันทีก่อนนางพรายจะแสดงกริยาต่ำทรามไปมากกว่านี้  เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่น ไปพร้อมๆกับร่างที่แหลกสลายของนางพรายตนนั้น ....นางพรายอีกหลายๆตนที่เหลือ หยุดระเริงสวาทแปรเปลี่ยนสภาพ คืนร่างเป็นนางปีศาจ หันหน้า โผนทะยานเข้าต่อกร

 “นางปีศาจชั้นต่ำ หาญกล้าต่อกรกับเรา อย่าไปผุดไปเกิดเลย” 

สีทันดร ตวาดลั่น ทรงกระทืบบาท พื้นน้ำม้วนตัวเป็นระลอก เข้าซัดนางพรายทั้งหลาย กระเด็นกระดอนไปไกล หลายตัวถูกแส้ฟาดดับแดดิ้น ตัวที่รอดรีบมุดหนีเข้าไปในโพรงถ้ำ แต่ก็ไม่ไวไปกว่าคืนฉายที่เหิรลอยมาสกัดกั้น สังหารด้วยเทวฤทธี จนหมดสิ้น

“ร่านดีนัก กลับไปร่านในนรกซะไป๊”

เมื่อสิ้นนางพราย ดวงวิญญาณ ชายหนุ่มทั้งหลาย ก็เป็นอิสระ สีทันดรทรงแบพระหัตถ์ ละองทองระยิบระยับปรากฏ จับดวงวิญญาณเหล่านั้นลอยขึ้นเหนือพื้นน้ำด้านบน เหล่าดวงวิญญาณ ไหว้สาแก่ผู้ทรงประทานความช่วยเหลือ

“ขอบพระทัย”

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-07-2019 17:25:30
“จงไปสู่มันทร” มันทรหรืออีกความหนึ่งคือสุคติภพ ถูกประทานมาให้ ร่างโปร่งใสน้อมรับ เริ่มสั่นไหว บิดเบี้ยว แต่ก่อนที่จะสลายขึ้นด้านบน เสียงเบาๆสั่นพร่า ดุจบ่าวยามกลัวเจ้านาย บอกเซ็งแซ่

“นางมาแล้ว ...โปรดระวังองค์”

ฉับพลันพื้นท้องทะเลเกิดสั่นไหวคล้ายแผ่นดินจะแยก เงายักษ์ใหญ่ดำมืด โผล่ผลุดพยายามไขว่คว้าดวงวิญญาณบุรุษเหล่านั้น แต่ไม่เป็นผล เงานั้นมิสามรถครอบครองได้อีกแล้ว เสียงกรีดร้องกึกก้อง ดุจสมบัติอันมีค่าถูกพรากจากอก “ ใคร บังอาจ มาปล่อย หนุ่มๆของข้า”

สิ้นเสียงดั่งลำโพงแตก เงาดำๆเริ่มเด่นชัดยิ่งขึ้น แล้วรวมร่างกลายเป็นนางอสูรร่างใหญ่ยักษ์ ใบหน้าหาแววความสวยมิได้ ปากแสยะเขี้ยวโง้ง ร่างกายหนาดังกำแพง ดำคล้ำน่าเกลียด ไม่ใส่เสื้อและปล่อยนมยานถึงบั้นเอว หากส่วนล่างบังไว้ด้วย ผ้านุ่งสั้นแค่คืบ มือข้างขวาถือกระบอง หากแต่มือซ้ายนี่สิ มันกำร่างของตระการตาไว้ คือมันแน่แล้ว นางอสุรีผีเสื้อสมุทร

“ปล่อยมนุษย์ผู้นั้นซะ นางยักษ์ชั้นสวะ” คืนฉายชี้หน้า ตวาดนางผีเสื้อสมุทร หากแต่นางยักษ์มิได้สะทกสะท้านกลัวเกรง กลับชม้ายชายตามาให้เสียนี่ ตาใหญ่โปนชมดชม้อยหยดย้อยทั่ว มองกราดไปยังร่างแห่งเทวะหนุ่มทั้งหลาย

“แหมๆ หล่อจัง เทวะน้อยๆ วันนี้ข้าช่างโชคดีเสียนี่กระไร มีผู้ชายหล่อๆมาหาถึงที่ สงสัยจะได้โชคมีผัวคราวเดียวกัน ห้า หกคน ฮะฮ่า ใครก่อนดีละ หรือจะเข้ามาพร้อมๆกันข้ารับไหว”

“อย่าให้มันต่ำช้านักเลย นางผีเสื้อสมุทร พวกเรามิมีใครอยากสมสู่เป็นผัวเจ้าหรอก ปล่อยมนุษย์แล้วพวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า” คันฉัตรหรือเจ้าพระเสาร์ ขยับคันธนูในมือมั่น พร้อมเหนี่ยวศรออกโรมรันได้ทุกเวลา

“เราได้รับบัญชาให้มาจับเจ้า จงยอมแพ้ซะ เผื่อพระแม่เจ้ามหาอุมาเทวีจะทรงเมตตา”

ยามที่พระนามแห่งมหาเทวีถูกขับขาน ร่างใหญ่ยักษ์แห่งนางผีเสื้อเกิดสั่นไหว  กายสั่นเทิ้ม “ไม่จริง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพระแม่เจ้าจะส่งพวกเจ้ามา ถึงจะส่งมาจริงข้าก็ไม่กลัว หนุ่มๆหน้าละอ่อนอย่างพวกเจ้านะเหรอจะทำอะไรข้าได้ ดีไม่ดี ตกเป็นผัวข้า อยู่ใต้น้ำนี่เสียเท่านั้น” นางยักษ์ทำใจดีสู้เสีย กลัวพระบารมีพระแม่เจ้าน่ะกลัว แต่ผัวก็อยากมี สายตานางยักษ์จับจ้องมายังเทวะหนุ่มน้อย พิจารณาร่างแห่งเทวะถ้วนทั่ว ราวกับเป็นอาหารอันโอชะ จับกินน่ะกินแน่ แต่จะต้องจับกินทั้งตัว กินบนเตียงในถ้ำเท่านั้น บัดนี้ นางอสูรร่านสวาท หลงเสน่ห์บรรดาผู้ที่จะมาเอาชีวิตตนซะแล้ว

 “พวกเจ้าแต่ละคน หล่อนัก ข้าไม่กลัวพวกเจ้า อาวุธและอาคมทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ยอมเป็นผัวข้าซะดีๆ”นางผีเสื้อหลงเพ้อ ปล่อยร่างของตระการตาตกจากมือ คืนฉายเหิรลอยไปรับไว้ได้ทัน ร่างอันหมดสติของตระการตาตกลงอยู่ในอ้อมกอดของพระศุกร์เจ้าเสน่ห์แล้ว สีทันดรตรัสบอกทันใด

“พี่ฉาย พามนุษย์คนนั้นขึ้นไปข้างบนก่อน ร่างของเขาทนอยู่ใต้น้ำไม่ได้แล้ว รีบไปซะก่อนที่วิญญาณของเขาจะออกจากร่าง”

จริงดั่งสีทันดรว่า เพราะร่างของตระการตาบัดนี้ เริ่มมีกรอบโครงร่างใสๆทับซ้อน ดวงวิญญาณเริ่มแยกจากกายหยาบ หากแต่ยังถูกโยงใยเหนียวแน่น แต่ถ้าช้า สายใยที่โยงยึดกันไว้ อาจจะขาดจากกัน

“แล้วทางนี้ล่ะ” คืนฉายเป็นห่วงสหาย เกรงจะเสียที ....อัสดงบอกแทนมาว่า “ไม่ต้องห่วง นายรีบขึ้นไปก่อน ไอ้ฉาย พวกฉันจัดการได้”

คืนฉายจำใจพาร่างของตระการตาลอยขึ้นด้านบน ห่วงเพื่อนก็ห่วง แต่ตอนนี้ห่วงตระการตามากกว่า ถึงแม้เขาจะมีสัญชีวณีมนตราชุบชีวิตก็เถิด แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้ ฉะนั้นเขาจะช้าไม่ได้ ด้วยความห่วงหาอาทรที่เริ่มวาบวับเข้าจับจิต เขาจึงร้อนรุ่ม รัศมีสีฟ้าเริ่มกำจายวาบพุ่งปราดทะลุแผ่นน้ำด้วยความเร็วสูง จำทิ้งสหายไว้เบื้องหลัง 

“ ตา นายต้องไม่เป็นอะไร”

ด้านนางผีเสื้อสมุทร มิสนใจแล้วกับเจ้ามนุษย์ต่ำต้อย ใครจะพามันไปไหนก็ช่าง ตอนนี้กูจะเอา คนที่อยู่ตรงหน้าดีกว่า ว่าแล้วนางก็โผนทะยานเข้าสู่ร่างแห่งเทวะทั้งหลาย พุ่งเป้าหมายมายังเจ้าพระเสาร์คนแรกและมิกลัวอาสัญ “ผู้ชายอะไร้ ...กล้ามท้องน่าซุกเสียยิ่งนัก”

พระเสาร์รอท่าอยู่ก่อนแล้วเหนี่ยวสายธนูยิงสวนออกไปทันที ศรดอกนั้นแม่นเหมือนจับวาง เสียบเข้ากลางหน้าผากนางยักษ์ร้าย เสียงอสุนีบาตดังก้อง นางผีเสื้อกระเด็นสะท้อนไกล กระแทกหินโสโครกแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ พื้นแผ่นดินใต้ทะเล สั่นไหวสะเทือนราวกับจะแยกจากกัน

“โอ๊ยยยยยย ข้าเจ็บนะ ทำไมต้องทำรุนแรงกับข้าด้วย” นางผีเสื้อค่อยๆผลุดลุกยันกายขึ้นมา ศรแห่งเทวะ ยังปักเด่อยู่ที่หน้าผาก คันฉัตรแทบไม่เชื่อสายตาว่านางยักษ์ร่านสวาทจะมิเป็นอะไร ธนูทุกดอกของเขาลงอาคมไว้หมดแล้ว ไม่เคยพลาด แต่ทำไมไม่ทำให้มันระคายผิวเลย แถมมันยังดึงออกหักกลางได้ง่ายดายเสียนี่

“ทำไมมันไม่เป็นอะไรเลย”

 “แหมรุนแรงจริง .... ไม่รู้ว่าธนูดอกใหญ่ของเจ้า จะเสียบข้าแรงอย่างดอกเล็กเมื่อกี้หรือเปล่า”

“อย่าร่านสวาทให้มันมากนักเลย จะไม่มีเงาหัวอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัว” ทรงกลดร้องด่าไปบ้าง เกิดมาก็เพิ่งจะเคยพานพบยักษ์ขิณีประเภทนี้ ตัณหาคงเต็มเปี่ยมไปในหัวสมองขี้เลื่อยของมัน ฝ่ายนางอสุรีผีเสื้อน้ำ มิสะทกสะท้านในคำด่าทอ หนำซ้ำยังคงทำกริยาสะบัดสะบิ้ง ดูดัดจริตรำคาญตา

เอราวัตทนกริยาอาการไม่ไหว จำต้องเบือนหน้าหนี ความรังเกียจในนางยักษ์ชั้นต่ำแสดงชัด และเอื้อนเอ่ยตอบมาด้วยวาจาเผ็ดร้อน “กูไม่มีวันเอามึงทำเมียหรอกอียักษ์ชั่ว”

จนแล้วจนรอด นางผีเสื้อสมุทรก็มิได้นำพา  อัสดงจึงขว้างจักรเพลิงออกไป หมายบั่นหัวนางผีเสื้อ ด้วยอำนาจไฟแห่งสุริยเทพ ไฟนั้นสามารถก่อเกิดได้ในผืนน้ำและทะลุผ่านมายังร่างใหญ่โต แต่มันก็หลบลีกไปได้ ทรงกลดกับเอราวัตตอนแรกก็มิอยากรุมทำร้ายสตรี ถึงแม้มันจะเป็นยักษ์ แต่นางคนนี้มิทำก็มิได้

“สังหารเสียจะได้จบปัญหาทั้งมวล” ทั้งสองจึง ต่างก็ช่วยกันซัดอาวุธเข้าใส่พัลวัน นางยักษ์ร้ายหลบลีกไปได้ทุกครั้งและเริ่มจะซัดกระบองในเมือกลับคืนมาบ้าง

 “เปลี่ยนมารุมข้าบนเตียงดีกว่านะ” วาจาหยาบโลน สองแง่สองง่ามของมันยังมีมาตลอด

“ต่ำช้า ไม่มีใครเกิน”

สีทันดรกัดพระทนต์กรอด ตวัดแส้ในพระหัตถ์รัดนางยักษ์ไว้ นางผีเสื้อมิทันระวังถูกจับเหวี่ยงกระแทกกับปากถ้ำ อัสดง ทรงกลด เอราวัต และคันฉัตร ไม่ปล่อยให้มันลุกมาได้อีก นางยักษ์นี่ร้าย ใครจะว่ารุมและรังแกผู้หญิงก็ช่างเหอะ ทั้งสี่จึงสาดอาวุธใส่ บังเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทดังลั่น แสงสว่างจ้าทั่วใต้ท้องน้ำ ครั้นพอสลาย เสียงโอดครวญของมันก็ร้องมาว่า

“ ข้าเจ็บนะ ...ข้าไม่เล่นด้วยแล้ว เห็นว่าหล่อหรอกข้าจึงยอมให้ ทีนี้ข้าจะเอาจริงๆล่ะนะ”

นางผีเสื้อสมุทรประนมมือกลางระหว่างอก ร่ายอ่านพระเวท มนตราอาคมขลัง ฉับพลันบังเกิดกระแสน้ำวนอันรุนแรงรอบๆ กระแสน้ำนั้นพุ่งเข้าซัดใส่เหล่าเทวะน้อย โดยมิทันตั้งตัว ด้วยฤทธีอสุรียักษ์ร้าย ครานี้นางเริ่มถือไพ่เหนือกว่า เอราวัตเกือบเสียท่าถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น แต่โชคยังดีที่สีทันดรใช้แส้รัดเอวดึงคืนกลับมา พาไปหลบไว้หลังก้อนหินใหญ่

คันฉัตรกลับทรงกลด พยายามหลบหลีก ยึดก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งไว้เช่นกันมิให้ตัวต้องลอยไปกับกระแสน้ำ ส่วนอัสดงพยายามใช้เทวฤทธิ์ต้านกระแสน้ำไว้ ด้วยตบะและเดชะแห่งนางยักษ์ที่สะสมมาเนิ่นนาน อำนาจแห่งนางมารจึงรุนแรงซัดสะท้อนอัสดงลอยไปไกล พระหทัยแห่งเจ้านาคาน้อยแทบตกลงไปกองอยู่ที่ข้อพระบาท ทรงโผนทะยาน สกัดร่างอัสดงไว้ก่อนจะชนกองหินโสโครกหน้าปากถ้ำ

“อัสสะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร มันร้ายนัก....ทำไมอาวุธและอำนาจพวกเราทำอะไรมันไม่ได้เลยล่ะไอ้ดื้อ”

“นั่นสิ เราก็ยังสงสัย หากเป็นยักษ์หรือมารตนอื่น เพียงธนูดอกแรกเมื่อกี้ก็คงไม่รอดแล้ว เดี๋ยวเราจะลองถามนลดีกว่า”

แล้วสีทันดรจึงทรงส่งกระแสจิตถามนลกุพรสหายสนิทผู้เป็นราชโอรสแห่งท้าวเวสสุวรรณ เจ้าแห่งยักษ์ทั้งหลาย หากคำตอบที่ได้มาก็ทำให้ทรงคิดไม่ตก

“นางยักษ์นั่น สมัยก่อนมันเคยได้รับพรจากพระมหาศิวะเจ้า มิให้ตายด้วย อาวุธใดๆ ....ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าจึงฆ่ามันไม่ได้”

“แล้วจะทำยังไงล่ะนล อาคมมันก็ไม่สะทกสะท้านหรือจะให้พวกเราฆ่ามันด้วยมือเปล่า ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”

“สีทันดร เรื่องนี้เราเองก็จนปัญญา ....เจ้าระดมสมองกันเหอะ พวกอัสดงกับสหายคงจะมีคำตอบแน่”

สีทันดรรีบถ่ายทอดให้อัสดงฟัง อัสดงเองก็คิดไม่ตก ส่งกระแสจิตไปให้กับสามสหายเทวะที่เหลือ กระแสน้ำวนยังคงหมุนรุนแรง ทั้งหมดจำต้องหลบหลังกองหินโสโครก กั้นไว้ด้วยม่านอาคม นางผีเสื้อสมุทรพยายามทำลายม่านอาคมแห่งเทวะแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ นางผีเสื้อ โอมอ่านพระเวทอีกครั้ง เรียกบริวารภูตผีนางพรายที่ยังเหลือในปกครอง ช่วยกันโจมตีทำลายม่านอาคมแห่งเทวะ หากก็ยังไม่เป็นผล หลายตัวแดดิ้นสิ้นชีพ แต่ก็ถาโถมกันเข้ามาไม่หยุดยั้ง  เหล่าเทพน้อยที่หลบกันอยู่คนละมุมต่างช่วยกันคิดติดต่อทางกระแสจิต หาวิธีทำลายนางยักษ์

“จะทำอย่างไงดีวะ ถ้าไม่ฆ่ามันด้วยอาวุธหรืออาคมก็ไม่มีทางแล้ว หากปล่อยไว้อีกนิด อำนาจพวกเราอาจทานฤทธิ์มันไว้ไม่ได้ เห็นทีคงจะเป็นผัวยักษ์แน่ๆ”

“แต่ฉันมี” ว่าแล้ว คันฉัตรก็โผนทะยานออกจากม่านอาคม เหิรลอยเหยียบอยู่เหนือชะง่อนหินปลายบนสุดของหน้าผาถ้ำ ทรงกลดตะโกนลั่น

“เฮ้ย ออกไปทำไม ไอ้พระเสาร์ เดี๋ยวก็เสียทีมันหรอก”

“พวกนายไม่ต้องห่วงฉัน อยู่ในม่านอาคมแหละและก็ปิดหูให้แน่น ในเมื่อนางยักษ์นี่มันมีตัวตนอยู่จริงๆ เหมือนในวรรณคดี ฉันก็จะฆ่ามันให้ตายด้วยวิธีเดียวกัน อีกอย่างพระแม่เจ้าทรงมีพระเสาวนีย์ให้ฉันจัดการ ฉันจะขอรับผิดชอบเอง”

คันฉัตร จึงขยับคันธนูในมือแล้วแปรเปลี่ยนเป็นแซ็กโซโฟนคู่ใจ ใช้แทนต่างปี่แห่งพระอภัย ในเมื่อมันเคยตายด้วยเสียงปี่ แต่วันนี้จะให้มันลองชิมรสเสียงแซ็กโซโฟนดูบ้าง ว่าแล้ว ‘เจ้าพระอภัยเป่าแซ็ก’ จึงยกเครื่องดนตรีชิ้นนั้นจรดขึ้นบนหน้าผากระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์และอำนาจแห่งองค์พระเสาร์ และแล้ว ท่วงทำนองดนตรีบาดจิตถูกขับขานออกมาอีกครั้ง ฟังเผินๆคราแรกก็คือเพลงธรรมดาๆ แต่พอกลุ่มปีศาจภูตผีนางพรายจะเข้าไปหา อำนาจแห่งเสียงดนตรีนั้นก็พลันสังหารให้ร่างของพวกมันแหลกสลายไปเสียนี่

นางผีเสื้อสมุทร มิรู้ชะตากรรมแห่งตน เห็นเทวะรูปงามเหิรลอยออกมจากม่านอาคม ก็ดีใจพลันลอยเข้ามาหา ครั้นพอเห็นเขายกแซ็กขึ้นมาเป่า ก็ต้องหยุดอยู่กับที่ท่วงทำนองที่หวานบาดจิต ตรึงมันไว้ไม่ให้ไปไหน หัวใจของมัน เต้นระส่ำไปตามจังหวะ กายเริ่มสั่นกระบองในมือทิ้งตกลงกับพื้นมิได้ตั้งใจ เข่าอ่อนยวบ เสียงแซ็กโซโฟน บาดลึกลงไปกลางจิตใจนางยักษ์แล้ว กระแสน้ำวนจากมนตราเริ่มสูญสลาย คงเหลือแต่ร่างใหญ่ยักษ์ของมัน ที่กำลังพ่ายให้กับเสียงดนตรี

“ในเมื่ออาวุธทำอะไรมึงไม่ได้ มึงก็จงตายด้วยเสียงดนตรีอย่างในวรรณคดีเหอะอียักษ์ชั่ว”

“เพลงเพราะจัง แต่ทำไม ใจข้าเหมือนจะขาด โอ๊ยยยยยย”

เสียงดนตรีที่หวานหยดย้อยเริ่มเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองเร่งจังหวะกระชั้นรุนแรง หัวใจนางยักษีเต้นระรัวเร็วขึ้นเร็วขึ้น เลือดสดๆเริ่มซึมไหลผ่านออกหูแลทุกทวารของร่างกาย ครั้นพอท่วงทำนองห้องสุดท้ายจบลง เสียงขาดผึงแห่งดวงใจนางยักษ์ดังลั่น ชีวามอดม้วยจบลงพลันไปพร้อมๆกับเสียงแซ็กโซโฟน ที่ใช้แทนเสียงปี่แห่งพระอภัยนั้น ร่างใหญ่ยักษ์ล้มครืนดังตึง สั่นสะเทือนทั่วใต้ท้องทะเล ตาโปดโปนถลนออกมานอกเบ้า เลือดสีแดงไหลไม่หยุดกระจายลอยตามสายน้ำ ดวงวิญญาณในอาณัติหลายดวง ถึงคราวเป็นอิสระ เลือนลางจางหาย อวสานแห่งนางยักษ์ผีเสื้อสมุทรบัดนี้จบลงแล้ว

“สำเร็จแล้ว ท่านทำสำเร็จแล้วศนิเทพ ท่านสังหารมันได้” สีทันดรลอยทะลุผ่านม่านอาคมมายังเจ้าพระอภัยเป่าแซ็ก ตามมาด้วยอัสดง ทรงกลดและเอราวัต ที่โผเข้ากอดคอสหายใหม่พร้อมกัน

“เยี่ยมไปเลยไอ้พระเสาร์”

“เฮ้อ หมดเรื่องหมดราวกันซะที ทีนี้พวกเราก็พักผ่อนเที่ยวให้สนุกกันได้แล้ว ป่ะขึ้นข้างบนกันเหอะ”

คันฉัตรกอดคอตอบแห่งสหายเทวะทั้งหลาย แล้วชวนกันขึ้นกลับไปบนฝั่ง ก่อนไปทั้งหมดมองดูร่างที่แน่นิ่งสิ้นชีพ ของนางยักษ์ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นหินไปแล้ว สีทันดรคงจะยังมิวางพระทัย ใช้แส้ในพระหัตถ์ฟาดจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

“จะได้แน่ใจ ว่ามันตายจริง”

แล้วทั้งหมดก็เหิรลอยขึ้นด้านบน ทิ้งเศษหินแห่งร่างของนางผีเสื้อสมุทรไว้เพียงเบื้องหลัง ภาระช่วยมนุษย์จบสิ้น หากแต่ภาระอันใหญ่หลวงข้างหน้ายังคงมี รองเพียงแต่รวมตัวให้ครบแล้วเทวะโองการจะประทานลงมา

บนริมหาดชายฝั่ง คืนฉายถ่ายอำนาจทิพย์รักษาให้ตระการตา ร่างกายที่เริ่มซีด กรอบวิญญาณที่ทับซ้อนจางหาย สายใยแน่นเหนียวที่คอยเหนี่ยงรั้งวิญญาณไม่ให้หลุดลอยดึงสนิทแนบแน่น สบายใจได้แล้ว ตระการตารอดพ้นแห่งมรณะกาล

คืนฉายค่อยๆลูบหน้าลูบผมตระการตา ในใจให้สะท้อนนึกถึงความผิดที่ตนกระทำ นี่ถ้าหากเขาไม่มีอำนาจวิเศษและไม่ใช่อณูแห่งเทวะ เขาคงมิต้องเสียตระการตาไปแล้วหรือ คืนฉายยังคงพิศดูใบหน้าที่หลับตาพริ้มนั้น รำพึงเบาๆบอกกับตัวเองว่า

“ใช่ว่านายไม่น่ารักนะตระการตา ถ้าป็นเมื่อก่อน ฉายคงสนองให้ไปแล้ว หากแต่ตอนนี้ ฉายรู้ตัวแล้วว่าฉายคือใคร และมนุษย์อย่างนายคงทนฉายไม่ได้หรอก ...โปรดเข้าใจฉายนะ ตระการตา”

เพียงประโยคสุดท้ายจบลง ตระการตาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา และพบว่าภาพแรกที่ตนเห็น ก็คือคนในห้วงคำนึงถึงทั้งวัน ใบหน้าหล่อเหลา ลอยห่างเพียงแค่คืบ หากประกบปากลงมาก็คงสนิทแนบแน่น แต่ทำไม เขาคนนั้น ไม่ทำ....เขายังคงรักษาระยะห่างไว้เช่นเดิม

“ฉะ ฉาย นี่เราเป็นอะไร ไป ทำไมมานอนอยู่นี่”

“นายเมาน่ะสิ พอดีเราเดินมาเจอ ป่ะจะพาไปนอนที่บ้าน”

คืนฉายประคองร่างนั้นให้ลุกขึ้นค่อยๆพาเดินขึ้นจากชายหาด แสงสว่างวาบสว่างขึ้นจากเบื้องหลัง สลายกลายเป็นร่างของเหล่าเทวะน้อยและสีทันดร ตระการตากำลังงัวเงียเลยมิได้ทันสังเกต การมาถึงสภาวะทิพย์เหล่านั้น

“เป็นไงบ้าง คงไม่มีอะไรน่าห่วงใช่ไหม ไอ้ฉาย” เอราวัตเดินเข้ามาหาเป็นคนแรก ช่วยประคองตระการตาให้ทรงตัวได้เป็นปกติ “มา ฉันช่วย”

“อืมไม่เป็นไรแล้ว นี่กำลังจะพาเขาไปที่บ้านพัก แล้วทางนั้นเรียบร้อยใช่ไหม”

“เออ ไอ้พระเสาร์มันจัดการเรียบร้อยแล้ว” เอราวัตมิทันระวังและลืมไปว่ามีมนุษย์ธรรมดาอย่างตระการอยู่ตรงนี้ด้วย จึงเรียกว่าพระเสาร์มาเต็มๆ

“พระเสาร์ อะไรเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอก นายคงเมามาก ไปนอนพักเหอะ” คืนฉายแก้แทนมาให้แล้วหันไปบอกกับพวกอัสดงที่ยืนรออยู่ว่า “เดี๋ยวไปเจอกันที่บ้านนะมึง”

คืนฉายกับเอราวัต พาตระการตาแยกจากไปแล้ว ทั้งสี่ที่เหลือจึงแยกไปรอยังบ้านพัก ถึงเวลาจะเจรจากับไอ้เสาร์ซักที เสือกทำตัวลี้ลับดีนัก เจ้าพระเสาร์ยิ้มระเรื่อด้วยความภูมิใจไม่หายที่สามารถปราบนางยักษ์ได้ ทรงกลดกอดคอสหายใหม่ไว้แน่นกล่าวขึ้น

“เอาละ ทีนี้นาย ก็เตรียมตัวถูกพวกฉันซักฟอกได้เลย ....เสือกทำลี้ลับดีนัก มานี่”

“เบาๆสิวะไอ้พระจันทร์กูเจ็บนะโว้ย” เจ้าพระเสาร์ร้องโอดครวญถูกลากหลุนๆขึ้นบันไดบ้านพัก อัสดงเข้ามาบ้าง ตบหัวสกินเฮดไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

“มึงเล่ามาเลย .....เป็นไงมาไง ถึงมาเจอกันที่นี่”

“ก็เล่าไปแล้วไง เออๆ ก็ได้ เล่าใหม่ก็ได้” ว่าแล้วเจ้าพระเสาร์จึงชี้แจงแถลงไขมาอีกคำรบ ว่าเป็นมายังไง อัสดงกับทรงกลดฟังแล้วก็ยังโมโหเจ้าสหายที่เพิ่งมารวมตัว อยากจะเตะให้อีกสักที

“แล้วทำไมไม่แสดงตัวตั้งแต่ตอนแรกวะ ไอ้ห่านี่” อัสดงยกขาหมายจะเตะ แต่คันฉัตรก็เบี่ยงตัวหลบทัน ไปอยู่ข้างหลังทรงกลด ทำให้เท้าหนักๆเกือบโดนสีข้างของจันทรเทพ ส่วนทรงกลดเองด้วยความหมั่นไส้จึงล็อคคอคันฉัตรไว้แล้วตบหัวไปอีกหนึ่งทีบ้าง

“ขอสักทีเหอะ ไอ้เวร”

“โอ๊ย กูเจ็บ ก็ไม่แน่ใจนี่หว่า....พวกนายเองยังไม่แสดงตัวเลยว่าเป็นเทพ ตอนมาถึงฉันจับกระแสพลังนายได้ที่ไหนกัน มาเริ่มรู้ก็อีตอนที่ไอ้พระจันทร์มันซัดพลังใส่เมื่อตอนเย็นนี่แหละ เราเรอะก็หวังดี เห็นเดินลงไปตรงหาด กลัวจะถูกน้องพญานาคเล่นน้ำ ฆ่าตายซะก่อน เลยห้ามไว้ ใครจะรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน”

“พอกันแหละทั้งมึงทั้งไอ้กลด”

เสียงของเอราวัตดังมาก่อนตัว พระพุธน้อยเดินขึ้นมาทำหน้ายุ่งพร้อมๆกับคืนฉาย เสียบเข้าบทสนทนาได้พอดี นึกๆแล้วก็น่าโมโหเพราะตอนทรงกลดปรากฏตัวคราแรกก็ไม่แสดงตัวเหมือนไอ้พระเสาร์แถมยังทำให้เขาบาดเจ็บเพราะรามสูรอีกด้วย

 “เอาละมารวมตัวกันก็ดีแล้ว จะได้แนะนำตัว นายเรียกฉันว่าเอราวัต ส่วนนั่น ทรงกลด และคืนฉาย ส่วนไอ้คนที่จะเตะนายชื่ออัสดง รู้ชื่อแล้ว คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเป็นใคร”

“อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น กูชื่อ คันฉัตร หรือพวกมึงจะเรียกไอ้ฉัตรก็ได้ตามสุดแล้วแต่จะเรียก” แน่ละ ทำไมจะต้องแนะนำตัวกันอีก ในเมื่อพวกเขารู้จักกันเป็นอย่างดีตอนอยู่บนสวรรค์ แค่บอกชื่อตอนมาอยู่โลกมนุษย์ก็พอแล้ว ...สัญญา คือ การ จำได้ หมายรู้ ฉะนั้นเมื่อแบ่งภาคลงมาสัญญาจึงมีเต็มเปี่ยม รัศมีของแต่ละคน ฉายชัด ใครคือใคร

“เอ แล้วน้องพญานาคคนนั้นนั่นชื่ออะไร” คันฉัตรหันไปยิ้มให้เจ้านาคาน้อยที่นั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะ“หล่อนะนี่...ถ้าโตขึ้นอีกนิด”

คันฉัตรด้วยความเอ็นดู จึงถือโอกาสโอบไหล่เจ้านาคาน้อยไว้แต่ยังไม่ทันที่มือจะถึง อัสดงก็ปัดมือออก เตือนด้วยสายตามาว่า ‘ไอ้ทะลึ่ง ของกู’

“ขอบใจ ศนิเทพ ...เราชื่อสีทันดร ”

“เรียกพี่ว่า พี่ฉัตรแล้วกัน....ตอนนี้พวกเราก็มารวมกันได้ห้าแล้ว เหลืออีกสาม ก็คงเดาไม่ยากแล้วล่ะใครเป็นใคร” คันฉัตรหันไปแย้มยิ้มตอบ แล้วหันกลับมาคุยกับพวกอัสดงต่อ

“ต่อไปพวกเราคงต้องฝึกให้หนักอีกมาก ภาระข้างหน้ายังมี ....เฮ้อ คิดแล้วก็เหนื่อย ไหนๆก็มาเที่ยวแล้วใช้อีกหนึ่งคืนที่เหลือให้สนุกคุ้มค่าแล้วกัน เห็นด้วยไหม” ทรงกลดเสนอมา และทุกคนก็เห็นด้วย ตอนนี้ยังมีเวลาสนุกได้ก็ต้องสนุกให้เต็มที่

“ตามนั้น ตามที่ไอ้กลดว่า”

และแล้ววันรุ่งขึ้นทั้งวัน เทพน้อยทั้งหลายก็ใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ คันฉัตรกับคืนฉายและเอราวัตต่างเล่นดนตรีร้องเพลง อย่างมีความสุข อัสดง ทรงกลด ต่างก็ผลัดกันป้วนเปี้ยนวอแวกับเจ้านาคาตาสวย แต่ตอนนี้เจ้าตัว ก็ทรงสนุกกับการเล่นน้ำทั้งวัน แถมยังมีมหาดเล็กใหม่สองตนคอยรับใช้ คือเจ้ารักกับเจ้ายม ลูกน้องของคันฉัตรตามติดต้อยๆ เจ้าสองตนนั่น คงเข็ดขยาดสีทันดรไปอีกนาน จึงยกให้เป็นนายอีกคน แถมยังพานายใหม่ซนไปทั่ว

“น้องดื้อได้ลูกคู่แล้ว สงสัยต่อไปพวกเราคงปวดหัวแน่ๆ”

ครั้นยามเย็น เทวะน้อยทั้งหลาย ก็เลี้ยงฉลองกันตามประสาวัยหนุ่มน้อย ประสบการณ์ประสบกามถูกยกนำมาเล่ากลายเป็นเรื่องตลกสนุกสนาน พวกเขาไม่ลืมที่จะชวนตระการตากับเพื่อนมาร่วมด้วยเป็นการตอบแทนไมตรีที่ตระการตาเคยเชื้อเชิญเมื่อคืนก่อน มนุษย์ธรรมดา ที่มานั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย ต่างก็หลงเสน่ห์แห่งเทวะน้อย ถ้วนทั่ว

ตระการตาก็คงไม่พ้นจับจ้องเอาอยู่แต่คืนฉาย ที่กำลังร้องเพลงคลอไปกับเสียงแซ็กโซโฟนของคันฉัตร เสียงใสๆ ตรึงเขาไว้นั่งนิ่งอยู่กับที่ เอราวัตเห็นแล้วก็ได้แต่เห็นใจ ที่ช่วยอะไรไม่ได้ บทไอ้ฉายจะไม่เอาก็คือไม่เอา บังคับมันได้เสียที่ไหน คืนฉายก็คงทราบได้แต่ไม่อยากจะใช้เสน่ห์แห่งตนทำร้าย จึงพยายามอยู่แต่ใกล้ๆกับเอราวัต แสดงเสมือนว่าเป็นคู่รักอยู่ตลอดเวลา 

‘ตระการตา เราขอโทษนายจากใจจริง’

เอราวัตจำต้องสนองแสดงบทบาท เขาเองก็ไม่อยากจะให้มนุษย์คนหนึ่งต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง  ตระการตาเห็นภาพนั้นก็ใจสั่น พยายามไม่หันไปมองอีก แล้วสายตาของเขาก็หันไปสบกับสายตาของคนคนหนึ่งที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตาของนักดนตรีเป่าแซ็กที่รูปงามนั่นเอง  เขาคนนี้ที่เคยเจอเมื่อคืน หนุ่มน้อยในผมทรงสกินเฮดที่ตนเองยังตกปากมาว่า ดาร์ก ทอลแอนด์แฮนซั่ม สายตาคู่นั้นยังจับจ้องมิยอมละสายตาไปไหน

ตระการตาจำต้องหลบหลีกเสียเอง โดยเลี่ยงเดินลงจากบ้าน แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เจ้าของสายตาคู่นั้น ยืนรออยู่ตรงมุมโขดหินมุมหนึ่ง ร่างงามสง่ายืนตระหง่าน เดินเข้ามาหา กลิ่นกายหอมแปลกๆของเขาคนนั้น ลอยตามลมเข้ามาแตะปลายจมูก หอมคนละแบบกันกับคืนฉาย เขาคนนั้นเดินเข้ามาหา ไม่พูดอะไร เพียงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ บอกเพียงสั้นๆว่า

“อ่านซะ”

ลมทะเลพัดวูบ กลิ่นกายของเขาหอมอวลกระทบใบหน้า สายลมนั้นยังพัดพาละอองน้ำจากเกลียวคลื่นที่ซัดสาด กระเด็นเป็นหยาดเล็กๆ กระทบข้างแก้ม ตระการตาจำต้องหลับตาหลบหลีก พอลืมตาขึ้นมา เขาคนนั้นก็มลายหายไปแล้ว หรือว่าเขาจะเป็นเพียงภาพฝันที่แวบเข้ามาในช่วงหัวใจที่กำลังอ่อนล้า แต่แปลกจริง เขาไปมาได้อย่างไร ช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน

กระดาษใบน้อยในมือ ถูกคลี่อ่าน ลายมือสวยงามเป็นระเบียบเขียนเป็นข้อความ อ่านแล้วก็พาให้น้ำตาซึม มันคงจะจริงอย่างที่เขาคนนี้เขียนไว้ ข้อความที่เขาจงใจให้ มันตรงกับความรู้สึกในขณะนี้เสียเหลือเกิน

“คันฉัตร เขาชื่อคันฉัตร”

ท้ายกระดาษลงชื่อไว้อย่างนั้น ตระการตาพับกระดาษเก็บเข้าใส่ในกระเป๋าเสื้อ แล้วเดินกลับไปยังบ้านพักของตน กำลังใจที่เขาคนนี้มอบให้ มันคือนิยามแห่งความรักในรูปแบบใหม่ ที่ออกแบบสรรค์สร้างมาเพื่อเขา โดยเฉพาะ

แสงตะวันยามสายส่องประกายจ้า จับทั่วดาดฟ้าหลังคาเรือโดยสาร และกระทบผืนน้ำทะเลฟ้าครามงามระยับ ธรรมชาติที่สวยงามเช่นนี้ กำลังจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ตระการตาทอดถอนใจเป็นครั้งสุดท้าย จำต้องอำลา ท้องทะเลงาม ครั้นพอเรือโดยสารเทียบท่า คนที่เขาไม่คิดว่าจะมาหาก็กลับเดินเข้ามาจับมือเขาไว้แน่นกลางดาดฟ้าเรือ

“เราต้องไปแล้วนะตระการตา ยินดีที่ได้รู้จัก และขอขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่นายมอบให้”

“ ฉาย......แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม”

“คงได้เจอกัน ...เรายินดีที่ได้เพื่อนใหม่อย่างนายนะตระการตา ลาก่อน”

คืนฉายปล่อยมือตระการตาแล้วหันหลังเดินจากไป ตระการตาอยากจะโผเข้ากอดเพื่ออำลา แต่ก็ไม่กล้า คงจะไม่ได้เจอเขาอีกเป็นแน่แล้ว ตระการตามองจนคืนฉายเดินรวมเข้าไปในกลุ่มเพื่อนของเขา เห็นเขากอดคอคนที่เขาบอกว่าเป็นแฟนมาอย่างสนิทสนม ทั้งหมดหันมาโบกมือให้กับตระการตา แล้วขึ้นจากเรือเดินขึ้นฝั่งไป ตระการตาค่อยๆลงจากดาดฟ้าเรือช้าๆ แล้วเดินขึ้นฝั่งไปบ้าง จู่ๆกลิ่นหอมกลิ่นเดิมเมื่อคืนก็หอมลอยแตะจมูกมาจากกระเป๋าเสื้อ กลิ่นมันมาจากกระดาษแผ่นนั้นนั่นเอง 

เจ้าของกระดาษหันกลับมามองแล้วยิ้มให้ ใช้นี้วชี้ไปยังอกด้านซ้ายที่ตรงกับหัวใจ แล้วโบกมือยิ้มอำลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะขึ้นรถตู้ที่เปิดรอรับไว้อยู่แล้ว

“ไง ตระการตา นายแบบของแกไปกันหมดแล้ว ได้บ้างยัง เฮ้อ แกนี่ไม่ได้เรื่องเล้ย แล้วขอเบอร์เขาไว้หรือยัง”

“ไอ้บ้า....”

 ตระการตาด่าเพื่อนมาเบาๆ แล้วก้าวขึ้นรถที่รอรับกลับกรุงเทพเช่นกัน รถของเขาคนนั้นขับออกไปแล้ว ตระการตาได้แต่นั่งนิ่งเงียบ  นั่นสิ ไม่ได้ขอเบอร์เขาแล้วจะติดต่อกับเขาอย่างไร คงต้องรอเพียงคำว่า วาสนา เท่านั้น กระดาษใบน้อยถูกหยิบมาคลี่อ่านอีกครั้ง นิยามรักของเขาที่คันฉัตร นักดนตรีแซ็กโซโฟน มอบให้ถูกอ่านทบทวนไปมาอยู่หลายครั้ง จนจำได้ขึ้นใจ

‘เมื่อรู้ว่ารักใครสักคน และรู้ว่า เขาไม่อาจรักตอบได้นั้น ว่ากันว่ามันทรมานยิ่งนัก
แต่มันก็คงจะไม่เท่า กับการที่เราห้ามมิให้รัก .... ความรู้สึกนี้นั้น มันทรมานยิ่งกว่า

ความรัก...มันมักจะมาโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ยามที่มันจากไป ต่อให้เงียบกริบเพียงใด หัวใจก็แทบขาด
ฉะนั้น เมื่อรู้ว่าเรารักใครสักคนแล้ว ถึงเขาจะรักตอบไม่ได้ ก็จงอย่าห้ามความรู้สึกนั้นอีกเลย
เพราะหัวใจที่มันขาดอยู่แล้ว จะยิ่งบอบช้ำขึ้นไปอีก

จงปล่อยให้มันเติบโตต่อไปเรื่อยๆ หัวใจแข็งแรงขึ้นเมื่อไหร่  แผลมันจะค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา
ก็คงอีกมินานหรอก....ที่หัวใจ จะกลับมาพองโตได้ และมันจะแกร่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอน’


*********************

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ทุกความเห็น และแรงใจที่มีให้กันเสมอมา  :mew1:  :pig4: เจอกันตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 08-07-2019 08:05:31
:m3:    คู่ คืนฉาย-เอราวัต คือดจีย์!!     

เขาจะได้กันจริง ๆ  ใช่ไหม?     :m13:




ฉากพะบู๊กับผีเสื้อนี่ม่วนขนาด    o13


พูดถึงตระการตา นางแลดูคันเนอะ    :try2:

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-07-2019 15:55:16
สนุกมาก  จำของเดิมไม่ได้เลย 555
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๐ พระเสาร์แทรก อัพ ๐๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 08-07-2019 22:49:01
ขอฉัตร 555
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 09-07-2019 17:40:56
บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร

สายฝนเทกระหน่ำมาตั้งแต่เช้ามืด ที่จริงควรจะเรียกว่าพายุฝนเสียมากกว่า เพราะลมพัดแรงกระหน่ำจนต้นไม้ใหญ่รอบๆบ้านหลายๆต้นเอนลู่ หยาดน้ำเม็ดใหญ่ๆกระทบหลังคาบ้านดังลั่น ด้วยปริมาณน้ำฝนที่มากมายนี้เองทำให้น้ำในคลองเริ่มปรี่ล้นและไหลเชี่ยวแรง บรรยากาศอึมครึมขมุกขมัวเช่นนี้ คาดว่าวันนี้ทั้งวันอณูแห่งเทวะทั้งห้า คงไม่ได้ฝึกอาคมเป็นแน่แท้ และก็เป็นจริงดังคาด ทั้งห้านั่งเล่นฆ่าเวลาอยู่ที่นอกชาน รอให้ฝนหยุด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอกันอีกถึงเมื่อไร

“เบื่อโว้ย ทำไมฝนจะต้องมาตกเอาวันที่ขยันๆด้วย” คันฉัตรเปรยขึ้นแล้วเดินไปเดินมาจนเพื่อนๆบอกให้นั่งเพราะเวียนหัว

“ไอ้ฉัตร มึงจะเดินหาหอกอะไรวะ กูเวียนหัว” คืนฉายกล่าวกับเพื่อนแต่สายตาของเขาเหม่อมมองออกไปเรื่อยๆทะลุม่านน้ำฝน ที่โหมกระหน่ำจนแทบจะมองทิวทัศน์เบื้องหน้าไม่เห็น

ไอ้ฉัตร หรือนายคันฉัตร หรือพระเสาร์ จึงนั่งลงเท้าคางสีหน้าบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายเต็มที่ หลังจากที่เขาพบกับพวกอัสดงที่ทะเล เขาก็ตามกลับมาอยู่ด้วย มารวมตัวที่บ้านของทรงกลดซึ่งใช้เป็นฐานบัญชาการ หลายวันที่ผ่านมาต่างก็ช่วยกันฝึกอาวุธและอาคมกันอย่างขยันขันแข็ง ใครอ่อนเรื่องใดก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

“ทำไมหมู่นี้ฝนตกบ่อยนักวะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนกับฝนตกหนักอยู่บริเวณบ้าน ตรงนี้แห่งเดียว”

“คิดมากน่า ก็หน้าฝนมึงอย่าบ่นนักเลย ถ้าอยากรู้มึงไปถามพระพิรุณท่านไป๊” ทรงกลดตอบมาให้ แล้วเหลียวมองไปทั่ว “แล้วนี่น้องดื้อไปไหนล่ะ ไม่เห็นเลย”

“นู่น ออกไปกับไอ้รักไอ้ยม ไปเล่นน้ำฝนอยู่นู่น มึงเฉยๆเหอะ แฟนเขายังไม่ว่าอะไรเลย มึงจะไปยุ่งอะไรกับเขาไอ้กลด” เอราวัตตอบทรงกลดแล้วบุ้ยปากไปทางอัสดงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ อัสดงได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม แหม ไอ้พระพุธนี่ตั้งแต่ช่วยให้พ้นพิษรู้สึกว่าจะทำหน้าที่ เพื่อนพระเอกได้อย่างดีเยี่ยม

“น้องดื้อไม่ใช่แฟนไอ้พระอาทิตย์ น้องดื้อยังไม่ได้ตกลงใจกับใครเลย” ทรงกลดเถียงมา ทำให้อัสดงที่กำลังยิ้มหุบยิ้มลงทันที ปิดหนังสือ กำหมัด ตั้งท่าทำหน้าเอาเรื่องพร้อมที่จะต่อยปากไอ้พระจันทร์ได้ทุกเมื่อถ้ามันยังไม่หยุด

“งั้นมึงก็ถามเจ้าตัวเองแล้วกัน มานู่นแล้ว” สิ้นคำของเอราวัต สีทันดรหรือน้องดื้อในฉลองพระองค์มนุษย์ธรรมดา ก็กระโดดขึ้นมาประทับยืนบนนอกชาน โดยมีมหาดเล็ก รักยม ยืนยิ้มแฉ่งขนาบข้างพระวรกาย

“ทำไมมานั่งกันเฉยๆ ไม่ไปเล่นน้ำฝนด้วยกันล่ะสนุกนะ” สีทันดรตรัสชวนทุกคนแต่แท้จริงแล้วในพระทัย ทรงอยากกล่าวเฉพาะกับอัสดงมากกว่า ซึ่งเจ้าตัวก็เหมือนรู้ จึงตอบมาว่า

“ไม่ดีกว่า กลัวพญานาคจอมดื้อบางตน จะพาซนไปเล่นน้ำจนถึงบาดาลแล้วไม่ปล่อยให้กลับ”

“เหอะ เราคงเลี้ยงไว้หรอก พูดจายียวนแบบนี้ .....ไปกันเหอะรักยม เราไปเล่นน้ำฝนต่อดีกว่า”

หากอยู่กันสองต่อสอง จะทรงเข้าไปทุบสักทีสองที คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้กันหมดพอดี ว่ามีความรู้สึกพิเศษให้กันมากเพียงใด หากพอจะหันพระวรกายกลับออกไปมือแข็งแรงก็กลับฉุดข้อพระกรไว้ อัสดงคงไม่อายสหายแล้วแต่เจ้านาคาตัวน้อยนี่สิ แทบจะทำพระพักตร์ไม่ถูก จู่ๆก็ถูกเขาจับมือถือแขนแถมยังทำตัวเป็นผู้ปกครองมาซะด้วย

“พอแล้ว ไม่ให้ไปเล่นแล้ว เล่นเป็นเด็กๆไปได้ ...เจ้าสองคนก็เหมือนกันรักยม แทนที่จะช่วยกันห้ามเจ้านาย กลับพากันเล่นซน เดี๋ยวเราจะบอกให้ไอ้ฉัตรขังไว้หรอก”

“แหม พี่พระอาทิตย์ ก็แค่เล่นน้ำฝนจะอะไรนักหนา พี่ไม่เห็นเวลาพี่ดื้อ พ่นน้ำนี่ สุดยอด” เจ้ารักกับเจ้ายมตอบมาพร้อมกัน แถมยังทำท่าพ่นน้ำให้ดู “พ่นน้ำที นะ เกิดพายุด้วย ต้นไม้เอนเลย พี่ดื้อเก่งจริงๆ”

“ไอ้รัก ไอ้ยม เดี๋ยวเหอะ ความลับแตกเลยเห็นไหม” สีทันดรเวลานี้ คงอยากจะฟาดไอ้รักไอ้ยมให้ตายอีกรอบนัก “ไอ้ปากสว่าง”

“นั่นไง ถึงว่าสิ ว่าทำไมถึงมีพายุ พอเถอะน้องดื้อเดี๋ยวชาวบ้านแถบนี้เขาจะเดือดร้อน แค่ฝนตกหนักก็พอแล้ว อย่าพ่นน้ำให้รุนแรงซ้ำเติมอีกเลย” คันฉัตรถึงบางอ้อทันที ที่แท้ที่ฝนตกหนักก็เพราะน้องดื้อช่วยพ่นน้ำนี่เอง แฟนไอ้อัสดงนี่ร้ายกาจจริงๆ ฤทธิ์เยอะๆแบบนี้ ถ้าเป็นแฟนเราเห็นทีก็คงจะเอาลงยาก สงสัยจัง อัสดงมันปราบของมันยังไงหนอ

“เจ้ารัก เจ้ายม ไปได้แล้ว ไปตรวจตรา แถบนี้ได้แล้ว ได้เวลาทำงานอย่าอู้” แล้วคันฉัตรก็หันมาสั่งงานสมุนคู่ใจ สิ้นคำสั่งเจ้าผีเด็กสองตนก็หายวับไป ก่อนไปก็ยังทำหน้าทำตาไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “พี่ฉัตร อย่างนี้ทุกทีเลย น่าเบื่อ สู้พี่ดื้อก็ไม่ได้”

“โอ๊ย รักกับยมไป แล้วเราจะเล่นกับใครล่ะ พี่ฉัตรนี่” เจ้านาคาตาสวยทรงโอดครวญ

“มาเล่นกับพวกพี่นี่มา” คันฉัตรตอบยิ้มๆ แต่อัสดงหันไปด่าทันควัน “ทะลึ่ง มึงไปหาเอาใหม่ไป ของกู”

“แค่ล้อเล่นน่า...”

“นู่นมึงไปเล่นกับไอ้ฉายไอ้เอราวัตนู่น ....ห้ามตอแยกับน้องดื้อ” ทรงกลดกล่าวสำทับมาบ้าง นี่ถ้าไอ้พระเสาร์มาร่วมด้วยอีกคน เขาคงเหนื่อยยิ่งขึ้น แค่ไอ้อัสดงคนเดียวก็จะสู้ไม่ได้แล้ว

“มาลงอะไรกับฉันสองคนวะ ไอ้กลด ....นายนั่นแหละยังว่าง จะได้ไม่ต้องไปตอแยน้องดื้อ  ” เอราวัตกล่าวสวนมาแต่ก็ต้องเกิดอาการจุกอกเพราะทรงกลดย้อนกลับมาให้บ้างอย่างทันควันว่า

“ที่นายไม่ว่าง เพราะว่านายเล่นอยู่กับไอ้ฉายจริงๆ ใช่ไหมล่ะ ไอ้พระพุธ”

คืนฉายที่กำลังกินน้ำอยู่แทบสำลักน้ำ ส่วนอัสดง สีทันดรและคันฉัตรก็หัวเราะสะใจที่ทรงกลดย้อนเข้าให้ สมน้ำหน้าแกล้งเป็นแฟนกันดีนักสาธุ ให้มันได้จริงๆกันสักทีเถิด เอราวัตอ้าปากกำลังจะแก้ตัวแต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ซึ่งนานๆจะดังซักที เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงแค่ใครนึกถึงเขาอำนาจแห่งเทวะก็รู้ได้ทันทีว่ามีคนอยากจะติดต่อ และรู้ด้วยว่าเรื่องอะไร ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้หลายๆคนอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่พกไว้ก็เพื่อติดต่อกลับไปหาเท่านั้น ครั้งนี้ดังขึ้น เพียงจับโทรศัพท์เห็นเบอร์บ้านที่ต่างจังหวัดก็รู้ได้โดยพลันว่า มีเรื่อง ขึ้นแน่แล้ว 

“ครับแม่”

“ตาหนูเหรอลูก กลับมาบ้านหน่อยได้ไหม ที่บ้านมีเรื่องวุ่นๆน่ะ” น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาพยายามสะกดไว้ไม่ให้ความกังวลส่งผ่านปลายสายมาด้วย แต่มีหรือที่อณูแห่งเทวะอย่างเอราวัตจะจับมิได้ เพียงแค่เกริ่นๆ เขาก็พอรู้แล้วว่าใครเป็นอะไร

“เรื่อง พี่คชาใช่ไหม ...ได้ครับเดี๋ยวผมจะกลับคืนนี้เลย”

“จ้า รีบมานะ” ผู้เป็นแม่คงเคยชินแล้วว่าลูกชายตนรู้ได้อย่างไร จึงไม่ซักถามต่อ เอราวัตพอวางสาย ก็บอกกับเพื่อนๆว่า “เฮ้ย ฉันต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดด่วนว่ะ ยังไม่รู้ว่ากี่วัน เดี๋ยวจะส่งกระแสจิตมาบอก”

“อ้าวมีเรื่องอะไรเหรอ ...”

“ที่บ้านมีเรื่องวุ่นๆน่ะสิ ก็ญาติผู้พี่น่ะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มองทางจิตไม่ชัด เลยจะไปดูสักหน่อย”

“เฮ้ยงั้นไปด้วยคนสิ ....เผื่อจะได้ช่วย” คืนฉายเสนอตัวเข้ามา แต่เอราวัต มิอยากรบกวน จึงพยายามปฏิเสธ  คืนฉายจึงอ้างเหตุผลที่เขาไม่อาจปฏิเสธมาได้ว่า “ทีนายยังช่วยฉันเรื่องตระการตาได้เลย คราวนี้ฉันจะไปช่วยนายบ้าง เข้าใจ๋”

คืนฉายมิรอให้อีกฝ่ายอนุญาตรีบเข้าห้องไปเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าทันใด  เอราวัตจะห้ามก็คงไม่ทันแล้ว คนอย่างคืนฉาย บทจะได้ก็ต้องได้ บทจะไม่ต้องการมันก็ไม่เอา อย่างกรณีของหนึ่งกับตระการตา คงต้องยอมให้มันไปด้วยซะแล้ว

“แล้วบ้านแม่นายที่ต่างจังหวัดอยู่ที่ไหนวะ”

“มุกดาหาร”

“งั้นพวกเราไปด้วย ห้ามมีข้อแม้” อัสดง ทรงกลดและคันฉัตร กล่าวมัดมือเขามาอย่างนั้น ทั้งสามเห็นพ้องต้องกัน เอราวัตได้แต่ถอนใจ “ไม่ได้ไปเที่ยว ไปธุระ เดี๋ยวพวกนายจะเบื่อเปล่าๆ”

“แต่เราเพื่อนกันนะ บนสวรรค์เรายังเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันเลย ตอนเทวาสุรสงคราม ทำไมตอนนี้เราจะไปช่วยนายไม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่าห้ามเลย”

“เอ๊า ถ้างั้นก็ตามใจ ไปกันหมดนี่แหละ บอกไว้ก่อนนะ ที่ต่างจังหวัดไม่ค่อยมีที่เที่ยวนะ ห้ามบ่นว่าเบื่อเด็ดขาด” เอราวัตด้วยความที่อ่านใจเพื่อนๆออกและรู้ว่าเพื่อนๆคิดอย่างไร เพื่อนทั้งหมดอยากตามไปด้วยเพราะเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง เพื่อนๆอยากไปเพราะด้วยน้ำใสใจจริง เขารู้ซึ้งและซาบซึ้งจนตื้นตัน แต่ความรู้สึกนั้นก็ต้องมลายหายพลัน เพราะเจ้าตัวยุ่งตาสวยตะโกนลั่นแทรกขึ้นมา

“รัก ยม อยู่ไหน ไปช่วยเราเก็บของหน่อย เร็วจะไปเที่ยวอีกแล้ว”

สีทันดรนั่นเอง ทั้งหมดถึงกับส่ายหน้า เอาอีกแล้วไอ้นาคดื้อ เห็นทีคงไม่พ้นก่อเรื่องยุ่งๆเป็นแน่ แล้วพ่อกับแม่ของเอราวัตจะไม่ตกใจเหรอ ที่จู่ๆมี ‘เทวนาคา’ มาเยือนบ้าน แถมพระองค์นี้ ยังซนจนชนิดที่สวรรค์และโลกมนุษย์เคยสะเทือนมาแล้ว อัสดงเหมือนจะรู้ในความหนักใจของเอราวัต จึงพูดขึ้น

“เดี๋ยวฉันดูแลเอง”

เช้าวันรุ่งขึ้น เอราวัตก็จำใจพาเพื่อนๆมาถึงบ้านที่ต่างจังหวัด บ้านของเขาอยู่ริมน้ำโขง อยู่บนเนินที่มองทอดออกไปก็เห็นทิวทัศน์อันงดงาม อาณาบริเวณที่กว้างขวางนี้เอง จึงทำให้ที่บ้านของเขาสามารถปลูกบ้านหลังใหญ่โตได้ แถมยังสร้างด้วยไม้สักทอง ซึ่งสงวนไว้สำหรับผู้มีอันจะกิน เรียกง่ายๆก็ ‘บ้านเศรษฐี’ นั่นแหละ

บ้านของเอราวัตถูกขนานนามมาอย่างนั้น พ่อกับแม่เป็นแค่ครูก็จริงแต่ด้วยทรัพย์สมบัติ ทำให้มีอันจะกินเหนือคนอื่นๆ “พ่อแม่ฉันเป็นครู พอฉันโตหน่อย ก็ส่งฉันไปอยู่กับปู่ที่กรุงเทพ ที่นั่นฉันได้รู้ว่าฉันคือใคร และฉันก็ได้ฝึกอาคมกับอาวุธที่วัดมหาธาตุ”

เอราวัตบรรยายประวัติของเขาให้เพื่อนๆฟังอีกหน หลายๆคนได้เงี่ยหูแต่ฟัง แต่สายตาเหม่อมองทอดไปดูทิวทัศน์ลำน้ำโขงหมดสิ้น เว้นแต่ คืนฉาย ผู้เดียว ที่หันมาสนใจฟัง สายตาของเขาทอดมองกลับมายังเจ้าของบ้านหนุ่มน้อยยิ้มๆ จนเจ้าตัวต้องถามกลับไปว่า

“มึงยิ้มอะไรไอ้ฉาย” สำหรับคืนฉาย สรรพนามกูมึง นั้นสมควรใช้กับมันเสมอ เจ้าพระศุกร์เองก็ดูจะไม่ยี่หระอะไร แถมยังตอบกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชึ้

“เปล่า ...ไม่มีอะไร” 

“ให้มันจริงเหอะ”  เอราวัต มิค่อยจะวางใจนัก คราวที่แล้วที่โดนคืนฉายรีดพิษเอาที่ศาลาท่าน้ำ มันก็ยิ้มแบบนี้แหละ เห็นทีไรไม่วางใจซักที

“อ้าวมาถึงแล้วเหรอ ตาหนู แม่คิดถึงที่สุด” แม่ของเอราวัต กล่าวขึ้นพร้อมๆกับเดินลงมาจากบันไดบ้านชั้นบน โผเข้ากอดลูกชายที่นานๆ จะเจอหน้ากันสักที แล้วหอมแก้มซ้าย หอมแก้มขวาไปทั่ว

“แม่...ผมโตแล้ว อายเพื่อนๆมัน” เอราวัตพยายามเบี่ยงตัวออก เขาเขินที่โดนแม่เขาหอมแก้มอย่างกับเป็นเด็กๆ แม่ของเขาหน้าไม่เหมือนกับเขาเลย ก็แน่ล่ะ เขาเป็นอณูแห่งเทวะแบ่งภาคลงมานี่นา

“แหม แม่หอมนิดหอมหน่อยทำมาเป็นเขิน จะเก็บแก้มไว้ให้ใครหอม สาวๆกรุงเทพใช่ไหม แม่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าไม่เข้าตาแม่ไม่ให้เข้าบ้านจริงๆด้วย แล้วนั่นพาเพื่อนมาด้วยเหรอ”

“ครับแม่ นี่เพื่อนผมเอง ....อัสดง ทรงกลด คืนฉาย คันฉัตร และก็สีทันดร” ทั้งหมดยกมือไหว้แม่ของเอราวัตอย่างนอบน้อม แม้กระทั่งสีทันดร ที่ทรงพนมหัตถ์ระหว่างพระอุระและก้มพระเศียรได้งามยิ่ง ตามปกติ ‘เทวะนาคา’ มิจำเป็นต้องก้มพระเศียรให้มนุษย์ ค้อมพระเศียรเท่านั้นคงพอ แต่สตรีผู้นี่ ยามแสดงความรักกับลูกชาย ทำให้ตนคิดถึง ‘สมเด็จแม่’

“หน้าตาหล่อเหลากันทุกคนเลย โดยเฉพาะพ่อคนตัวเล็กนั่น ชื่ออะไรนะ”

“ชื่อสีทันดรครับ คุณอาใจดีจัง” เจ้าตัวตอบมายิ้มแฉ่ง ใครชมว่าหล่อ ถูกพระทัยทุกครา “เห็นแล้วคิดถึงแม่”

“ชื่อเพราะจังลูก งั้นก็เรียกว่าแม่สิจ๊ะ มาเถอะขึ้นบ้านกัน แม่เตรียมกับข้าวไว้เยอะแยะเลย” มารดาของเอราวัต ฉุดข้อพระกรของเจ้านาคาตาสวยเดินนำไปเป็นคนแรก วาบแรกที่สัมผัสก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะพระหัตถ์เย็นยะเยียบดุจน้ำแข็ง สีทันดรจึงรีบปรับพลังให้เป็นปกติ ให้ร่างกายอุ่นเหมือนมนุษย์แล้วไปจับมือมารดาของเอราวัตซะเอง

“ไงตาหนูของแม่ ตกกระป๋องแล้ว แม่นายได้ลูกชายคนใหม่” คันฉัตรเดินขนาบข้างกล่าวแซว เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ อัสดงกับทรงกลด รีบสำทับ ทับโถมทันใด

“นายมันลูกแหง่นี่หว่า เหตุนี้ใช่ไหม ถึงไม่อยากให้พวกฉันมาบ้าน กลัวรู้ว่าเป็นลูกแหง่”

“เออสิวะ และก็ห้ามแซวเรื่องนี้เด็ดขาด”

“ไม่แซว ก็ไม่แซว” เพื่อนทั้งสามรับคำว่าจะไม่แซว หากแต่เจ้าคืนฉายที่เดินรั้งท้ายสุด รีบเดินเข้ามาใกล้กระซิบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนบาทาเหลือจะกล่าว “ตาหนู บักหำน่อยยย”

เสียงแซวน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ลมหายใจอ่อนๆ ที่กระทบติ่งหูน่ะสิ มันแปลกๆ พิกล

“ไอ้ฉาย ไอ้.....” เอราวัตอยากจะยกส้นเท้าถีบให้สักที แต่เจ้าเพื่อนตัวดีวิ่งปรู๊ดขึ้นบันไดไปซะก่อนแล้ว มันน่านัก!!!

เมื่อขึ้นมาถึงบนบ้าน ทั้งหลายก็ต้องชื่นชมที่บ้านของเอราวัตตกแต่งไว้สวยงามยิ่ง เครื่องเรือนไม้สักถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เข้ากับตัวบ้านได้เป็นอย่างดี พื้นกระดานถูกขัดเป็นมันระยับ ไม่แพ้บ้านของทรงกลด

“พาเพื่อนไปหายายเสียก่อนเถอะลูก ยายอยู่ในห้องพระแหละ เห็นว่าหนูจะมาท่านดีใจใหญ่ เดี๋ยวแม่จะไปให้เด็กยกกับข้าวมาให้”

“ครับแม่” เอราวัตรับคำแล้วพยักหน้าให้เพื่อนๆเดินตามมา เข้าสู่ตัวชั้นในของบ้านซึ่งแบ่งเป็นห้องหับต่างๆ ครั้นพอถึงห้องพระ บานประตูห้องก็เปิดไว้รอรับอยู่แล้ว กลิ่นธูปหอมกำจายลอยแตะจมูก ผสานด้วยกลิ่นหอมของเทียนขี้ผึ้ง ซึ่งสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครใช้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ทำยากและก็แพง แต่ยายของเขาทำเองและให้เหตุผลว่า

‘บูชาพระเราต้องใช้แต่ของดีๆสะอาด เครื่องหอมขาดไม่ได้ ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง’

“ตาหนูเรอะ ยายอยู่ข้างในนี่เข้ามาเหอะ” เสียงของสตรีผู้มากด้วยวัยกล่าวดังขึ้นจากข้างใน เอราวัตขานตอบแล้วพาเพื่อนๆเข้าไปในห้องพระ เพียงเหยียบย่างเข้าไปทั้งหลายก็รู้สึกถึงกระแสแห่งความเย็นกำจายวาบ กระแสแห่งผู้เจริญด้วยศีลและสมาธิ เยือกเย็นและอ่อนโยนอย่างนี้นี่เอง

“สวัสดีครับคุณยาย”

ทั้งหลายยกมือไหว้สตรีสูงวัย ที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยในชุดขาวสะอาด บนเบาะผืนเล็กๆหน้าแท่นบูชา สีทันดรทรงจับสัมผัสแห่งรัศมีอ่อนโยนนั้นได้ เพราะรอบๆตัวของสตรีผู้นี้มีรัศมีสีขาวเรืองรอง สตรีผู้ถือศีล ควรค่าแก่การเคารพ

“ไหว้พระเถิดลูก ไปไงมาไงกัน ไม่เห็นบอกว่าจะพาเพื่อนมาด้วย” คุณยายทักขึ้นและมองไปถ้วนทั่ว และเริ่มรู้ได้ทันทีว่า เพื่อนของหลานชายแต่ละคน ไม่ใช่คนธรรมดาเฉกเช่นหลานชาย เพราะรัศมีที่ปิดยังไร ตนก็มองชัด “เทวะ” เสด็จมาเยือนเรือน

“ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับเจ้าค่ะ”

กริยาค้อมตัวจนต่ำ ทำให้อัสดงและพวกเคอะเขิน รีบบอกคุณยายของสหายมาว่า “โอ๊ย คุณยาย ทำปกติเถิดครับ เดี๋ยวพวกผมอายุสั้น แล้วคุณยายทราบด้วยเหรอว่าพวกผมเป็นใคร”

“ยายรู้ รัศมีของพ่อหนุ่ม ยายมองด้วยตาเปล่าก็เห็นชัด สว่างไสวเหมือนตอนที่ตาหนูเกิด” คุณยายหยุดพูดเว้นระยะไปนิดหนึ่ง เอื้อมมือไปโอบกอดหลานชายสุดที่รัก เจ้าหลานชายจึงนอนแนบตักกอดยายตอบอย่างทะนุถนอม แล้วคุณยายก็กล่าวต่อมา

“ตอนนั้นยายยังไม่ได้ถือศีล เลยตกใจ กลัวตาหนูเป็นคนประหลาด พอดีปู่เขามาเยี่ยม เลยตรวจดูดวงชะตาให้เลยรู้ว่าเป็นใคร จึงต้องส่งไปอยู่กับปู่ ที่กรุงเทพ ให้เรียนวิชากับสมเด็จท่านเจ้าคุณที่วัดมหาธาตุ”

“คุณยายมีบุญ ที่มีลูกสาวเป็นผู้ให้กำเนิดอณูแห่งเทวะ ขอให้รักษาศีลต่อไปเถอะ ภพภูมิที่คุณยายปรารถนา คงไม่ไกลเกิน” สีทันดรตรัสกับสตรีผู้มากวัย คุณยายจึงหันมามองยังวรองค์ที่นั่งพับเพียบตระหง่าน สง่างามยิ่ง รัศมีสีนี้ สว่างแบบนี้ มิเคยเห็น ตาฤาก็สวยงามงด ดุจสีเดียวกับท้องทะเล กลิ่นหอมลอยอวล นี่แหละคือผู้ที่มาจากทิพยภพของแท้ คุณยายจึงพยายามก้มลงกราบหากแต่สีทันดรทรงตรัสห้ามไว้

“ไม่ต้องกราบเราหรอก เราต่างหากที่ต้องกราบท่าน ท่านถือศีลเป็นนิจ เจริญพร้อมด้วยสมาธิ เทวดา ครุฑา พญานาค ต่างหากควรนอบน้อมให้แก่ท่าน”

‘แล้วพ่อหนูคือพระองค์ใด’ คุณยายคิดอยู่ในใจมิได้พูดออกมา เอราวัตแย้มยิ้มเพราะอ่านใจยายของตนออก จะตอบแทนให้ แต่สีทันดรดันชิงตรัสมาก่อน

“คุณยายสวดพระขันธปริตอยู่บ่อยๆ พอจะรู้ไหมว่าสวดให้ใคร”

บทสวดมนต์ พระขันธปริตถูกทบทวนทันใด คุณยายมิเคยสวดแบบนกแก้วนกขุนทอง เมื่อสวดบาลีได้ก็ย่อมแปลได้ เพื่อจะได้รู้ว่าสวดสรรเสริญบูชาใครอยู่......“วิรูปักเข เม เมตตัง เมตตังเอราปะถิหิเม ฉัพพยาปุตติหิเม เมตตัง”

“พญานาค พ่อหนูคือพญานาค”

“ใช่แล้ว เรามาจากภพภูมิที่เรียกว่าปตาลหรือบาดาลในภาษามนุษย์ แต่เราไม่ใช่นาคในสกุลแห่งท่านท้าววิรูปักข์หรอก ท่านปกครองนาคอีกจำพวกหนึ่ง ในท้องมหานทีสีทันดร ท่านเป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ทิศเหนือคือท้าวกุเวร ตะวันออกท้าวธตรฐ ทิศใต้คือท้าววิรูฬหก ตะวันตกคือท้าววิรูปักข์”

“พญานาคมีหลายสกุลเหมือนมนุษย์แตกต่างหลากสายพันธ์ สกุลของเราปกครองบาดาล เป็นสกุลที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจสูงสุด สกุลแห่งพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกินาคราช ท่านเคยคุ้นไหม” ทีท่าซุกซนจางหาย ศักติและเดชะแห่งเทวนาคา ฉายชัด ยามเอ่ยถึงสกุลแห่งตน

“เคยได้ยินเจ้าค่ะ แต่ไม่เคยเห็น และก็ไม่คิดว่าจะได้เห็น เป็นบุญตาเหลือเกิน พ่อหนูงามจับใจ”

คุณยายยกมือพนมขึ้น ยอบหัวไหล่น้อมนบ หากเป็นเมื่อก่อนตอนก่อนถือศีลและฝึกสมาธิ คงตกใจลมแทบจับเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มน้อยตรงหน้าคือพญานาค แต่บัดนี้สติกลับถูกนำมาจับจิตใจ มิให้หวาดและตกใจ นี่แหละที่เขาว่ากันว่า คนอยู่ในศีลในธรรมมักจะได้ประสบพบเจอ สมดังคำกล่าว.......‘อีกมากมายไม่เคยรู้จะได้รู้  อีกมากมายไม่เคยดูจะได้เห็น’ จริงๆ

“ขอบใจ ...ยังไงเราขอรบกวน คุณยายพักที่นี่ ซะหน่อยนะ คุณยายสวดมนต์เช้าเย็นใช่ไหม เย็นนี้เราจะมาสวดด้วย”

“เจ้าเนี่ยนะน้องดื้อ จะสวดมนต์ ระวังชวนคุณยายสวดผิดสวดถูก ไปเรียกลมเรียกฝนมาอีก เดี๋ยวน้ำท่วมบ้านพี่กันพอดี” เอราวัตแย้งมาเรียกเสียงหัวเราะได้ถ้วนทั่ว เพราะทุกคนรู้แล้วว่า เจ้าตัวนั้น ถนัดทำเรื่องที่ไม่ควรจะยุ่งให้ยุ่ง

“เฉยๆเหอะพี่เอราวัต”
 
“ได้เจ้าค่ะ”  คุณยายแย้มยิ้ม เทวนาคา พระองค์น้อย พระอัธยาศัยน่ารัก ดูเผินๆ เหมือนเด็กมนุษย์ธรรมดา แต่วงพักตร์และรัศมีนี่สิบ่งบอกได้ถึงเผ่าพันธุ์ พญานาคถ้าอยู่ในร่างนี้ก็ไม่น่ากลัวเลยสักนิด แล้วจะมีไหม ที่คืนร่างกลายเป็นงูมีหงอนตัวใหญ่ยักษ์

“ไม่หรอกคุณยาย ถ้าไม่จำเป็น” เสียงหัวเราะสรวลใส ดังระเรื่อ คุณยายได้แต่ยิ้ม หากอยู่ใกล้ผู้มีฤทธิ์ให้ระวังจิต ดังที่เจ้าหลานชายเคยแอบอ่านจิตบ่อยๆเพราะไม่ระวัง

“งั้นเย็นนี้ผมมาสวดมนต์กับยายด้วยละกัน คิดถึงยาย” เอราวัตกอดคุณยายแน่น เอาใจ

“ไม่ต้องมาปากหวานเอาใจยายเลย ตาหนู หายไปไม่กลับบ้านมาเลย กลับมาคราวนี้ก็ดีแล้ว มาช่วยดูเจ้าคชามันหน่อย มันแปลกๆเพ้อๆให้กินน้ำมนต์ก็ไม่หาย ตาหนูคงพอรู้เรื่องบ้างแล้วสินะ”

“ครับยาย แต่มองไม่ชัด กลับมานี่ผมก็จะมาดูพี่คชาเนี่ยแหละ แล้วพี่เขาไปไหนซะนี่”

“เฮ้อ มันจะไปไหน มันก็อยู่ที่เรือนริมน้ำนั่นแหละ นั่งซึมทั้งวัน ไปดูมันหน่อยเหอะ” 

คชาญาติผู้พี่ถูกกล่าวถึง เขาเป็นเหตุให้เอราต้องกลับมาบ้าน เกิดอะไรขึ้นกับพี่คชา ต้องไปดูสักหน่อย

“ไปกินข้าวกินปลากันก่อนเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ พักผ่อนซะแล้วไปช่วยกันดู”

“ครับยาย”

แล้วมินานมื้อเช้าก็ถูกตั้งขึ้น ทั้งห้าเทวะรับอย่างเต็มอิ่ม ของโปรดของเอราวัตหลายๆจานกลายเป็นของโปรดของเพื่อนๆทั้งสี่ไปด้วย

“อร่อยไหมตาหนู”

“อร่อยครับแม่ นานๆจะได้กินฝีมือแม่ทั้งที กินแล้วชื่นใจ”

“ปากหวานเหมือนพ่อ ....ทีหลังอยากกินก็มาบ่อยๆ นั่งรถแค่คืนเดียวเอง”

“โหแม่ครับ ตั้งคืนนึงมากกว่าไม่ใช่แค่คืนเดียว แล้วนี่พ่อไปไหนล่ะ”

“พ่อเขาเข้าไปในเมือง รู้ว่าตาหนูจะมาไงลูกเลยไปซื้อพวกแฮมอาหารฝรั่งไว้ให้”

“โถแม่กับพ่อ จะลำบากทำไม คงอยู่ไม่กี่วัน”

“อยู่นานหน่อยเถอะ ปิดเทอมนี่ ....พอดีหนูเกดเขากลับมาอยู่บ้านด้วย จำหนูเกดได้ไหม ที่เป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กๆน่ะ ตอนนี้เขาโตเป็นสาวแล้วนะ สวยด้วย แม่อยากให้คุ้นๆกันไว้”

เพียงมารดาเอ่ยมาเช่นนี้ เอราวัตก็รู้ได้โดยพลันว่า มารดาประสงค์สิ่งใด ที่ผ่านมาลูกสาวของเพื่อนๆแม่หลายคนถูกนำมาให้รู้จัก แต่เขาก็ไม่สนใจ ทำให้ผู้เป็นแม่หนักใจที่ลูกชายไม่มีแฟนเหมือนกับเด็กผู้ชายคนอื่นๆซะที กลัวว่าลูกชายตนจะเป็นเกย์ไปซะ แต่พอไปอยู่กรุงเทพก็โล่งใจได้เพราะปู่รายงานมาเสมอว่า เจ้าลูกชายตัวดี ออกไปกับสาวๆบ่อยครั้ง

“นั่นไงพูดถึงหนูเกด หนูเกดก็มาพอดี”

หนูเกดที่แม่พูดถึงท่าทางจะตายยาก พูดยังไม่ทันขาดคำก็เดินพ้นหัวบันไดบ้านขึ้นมา ในมือถือถาดใส่ผลแอปเปิ้ลลูกใหญ่หลายๆลูก ทรวดทรงองค์เอวน่ะหรืออรชรอ้อนแอ้น เสื้อตัวเล็กที่รัดแล้วรัดอีก ทำให้กระดุมที่ติดไว้เริ่มปริ หน้าอกหน้าใจแทบจะทะลักทะลายออกมา ใบหน้าที่จัดลำดับได้ว่าสวย ชม้ายชายตาไปยังเอราวัตอย่างพอใจ แล้วไล่ระเรื่อย ไปยังเพื่อนๆทั้งสี่...... ‘หล่อทั้งกลุ่ม’

“สวัสดีค่ะคุณอา พอดีมีแอปเปิ้ลมาฝากให้คุณยายถวายพระค่ะ” น้ำเสียงปนจริตจะก้าน ฟังแล้วบาดหูยิ่งนัก คันฉัตรส่งกระแสจิตเข้าหาพระพุธที่ทำหน้าไม่ถูกทันที ‘ไอ้พระพุธ สงสัยแม่มึงจะหาเมียให้มึงแน่แล้ว มึงสำลักนมตายแน่ๆ ใหญ่อย่างกับลูกมะพร้าว’

“อุ๊ยยย ขอบใจจ้า แหม ช่างนึกถึงผู้หลักผู้ใหญ่น่ารักจริง ใครได้เป็นสะใภ้คงโชคดี ว่าไหมลูกตาหนู”

แม่ของเอราวัตเริ่มโยนขี้มาให้แล้ว ‘ซวยล่ะกู’ เขาได้แต่นึกในใจ ส่งจิตไปหาเพื่อนๆ ทั้งสี่ก็ได้แต่หัวเราะ สมน้ำหน้าเจ้าพระพุธน้อย

“ครับ สบายดีนะเกด” เอราวัตกล่าวทักท้ายสาวน้อยผู้มากด้วยจริตเกินวัย แก้เขินที่ถูกสาวน้อยจ้องมอง

“สบายดี กลับมาเมื่อไรล่ะเอราวัต”

“เมื่อเช้า...นี้เอง”

“คุยกันไปก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่เก็บจาน เก็บโต๊ะให้ เอ่อ เอราวัตเดี๋ยวพาเกดเอาแอปเปิ้ลไปให้คุณยายที่ห้องพระหน่อยนะลูกแม่ขอตัวก่อน”

“งั้นผมช่วยครับ”

คืนฉายขันอาสาช่วยเก็บจานที่ทานเสร็จแล้วยกเข้าครัว หะแรกก็สะใจที่แม่เอราวัตพยายามจับคู่ให้ แต่บัดนี้ ณ วินาทีนี้ เขารู้สึกรำคาญเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างไม่มีสาเหตุจึงตัดสินใจหลบฉากออกมาซะ อัสดง ทรงกลดและคันฉัตร ตามมาด้วยสีทันดร เลี่ยงออกมาบ้างตั้งใจแกล้งพระพุธให้อยู่กับคนที่แม่หมายตาไว้สองต่อสอง
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 09-07-2019 17:42:16
“เฮ้ยย ไปไหนกันหมด รอด้วย”

“คุยกับแขกไปแหละมึง พวกกูจะเข้าห้องไปพักผ่อน” คันฉัตรกล่าวทิ้งท้ายแล้วพากันเดินเข้าห้องที่จัดไว้ให้ด้านใน เอราวัตไม่รู้จะทำยังไง จึงแก้เก้อยกถาดผลไม้เดินลิ่วเข้าไปข้างในบ้าง

“ไปไหนล่ะเอราวัต”เกดรีบลุกวิ่งตามหลังมาจนหน้าอกกระเพื่อม เกาะแขนเขาไว้แน่น

“จะเอาแอปเปิ้ลไปให้ยาย ปล่อยก่อนเกด เดี๋ยวถาดตก”

เกดมิฟังเดินเกาะแขนแจตามเข้าไปด้านใน หน้าอกหน้าใจใหญ่โตเบียดต้นแขนเขาแน่น “แหมเอราวัตโตขึ้นนี่หล่อจังนะ มีแฟนหรือยัง เกดน่ะก็ยังไม่มีหรอก”

“ยัง....เอ่อ เราว่าเกดเดินห่างๆหน่อยดีไหม มันดูไม่ดีเดี๋ยวใครมาเห็น”

“แหมม แก้ผ้าเล่นน้ำมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ จะมาเขินอายอะไร กะอีแค่กอดแขน”

และแล้วเสมือนเกดจะจงใจหรือว่าลื่นล้มจริงๆก็สุดยากจะรู้ เจ้าตัวจึงลื่นไถลหงายหลัง เหนี่ยวแขนเอราวัตลื่นล้มลงมาทับทาบ ใบหน้าของเอราวัตซบลงตรงเต้าตระหง่าน พอดิบพอดี เสื้อรัดรูปบางตัวเล็ก ที่กระดุมเผยอออกอยู่แล้ว เผยให้เห็นยอดอกสีชมพูชูชันระเรื่อ.....ให้ตายเหอะ  เกดไม่ใส่เสื้อชั้นใน

“ว้ายยยยย”

เกดได้แต่ร้อง แต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้นนอนหงายให้เอราวัตเอาหน้าซุกนมอยู่อย่างนั้น เจ้าพระพุธน้อยพอได้สติก็รีบลุกขึ้นกล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

“ เฮ้ยเกดเราไม่ได้ตั้งใจ โทษที ....ฝากเก็บแอปเปิ้ลไปให้ยายเราในห้องพระด้วย ไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวสิ เอราวัต ....กลับมาก่อน อีตาบ้านี่” เกดร้องลั่นตามหลัง อุตส่าห์จงใจมาหา กลับถูกทิ้ง “ไอ้ทึ่ม คอยดูเหอะเสร็จอีเกดแน่ๆ”

เอราวัตวิ่งหนีหายไปแล้ว เกดได้แต่โมโห เก็บผลไม้ที่หล่นกระจายใส่ถาด แล้ววางไว้ตรงนั้น เดินกระแทกเท้าปังๆ ลงจากบ้านไป ทั้งสองมิรู้ว่าภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มีสายตาคู่หนึ่งแอบเห็นอยู่ สายตาคู่นั้นมองเห็นก็หลบออกไป อารมณ์บางอย่างที่เคยตกตะกอนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ เริ่มถูกเขย่า พวยพุ่ง ‘ไม่พอใจ’ หรือกระไร แล้วทำไมต้องไม่พอใจด้วย คืนฉายเริ่มหาคำตอบให้กับตัวเอง

“นี่เราเป็นอะไรไปวะ หรือเราจะแค่อิจฉาที่ไอ้พระพุธมันมีคนมาติด ไม่เข้าใจโว้ย”

เอราวัตเมื่อวิ่งหนีเกดมาได้ก็เข้าห้องส่วนตัวปากก็พร่ำบ่นว่า ‘ไม่เคยพบเคยเห็น’ ในชีวิตของเขาเคยแต่ลวนลามผู้หญิงก่อน ครั้นพอมาเจอผู้หญิงเป็นฝ่ายรุกล้ำก่อนบ้าง จึงทำให้ตื่นตระหนก

“เกือบซวยแล้วเรา ผู้หญิงอะไรกันวะ ตอนเด็กๆก็ไม่เห็นจะเป็นขนาดนี้”

“เป็นอะไรวะไอ้พระพุธ หนีใครมา หรือว่า ....หนีว่าที่เมียที่แม่มึงหามาให้” คันฉัตร เอ่ยปากถามขณะที่ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมๆกับอัสดง ทรงกลด และสีทันดร คำถามที่แทงใจดำทำให้เจ้าตัวอิดเอื้อนปฏิเสธไม่ได้ว่าหนีผู้หญิงมา ลองขึ้นชื่อว่าผู้ชายหากหนีผู้หญิงคงเป็นเรื่องที่น่าละอายยิ่ง แต่ผู้หญิงอย่างเกด ผู้ชายที่ไหนเจอก็ต้องหนี

“เออ น่ะสิ แม่งเล่นเกาะกูแจ ขนาดเพิ่งเจอกันนะนี่ แถมยังเอานมมาถูหลังถูแขนกูอยู่ได้”

“แล้วทำไมนายไม่สนองสักทีสองทีวะสาวมาให้ท่าถึงบ้าน” ทรงกลดกล่าวแซว

“ฉันไม่ใช่นายนะ ไอ้กลด ...แม่ฉันก็เหลือเกิน กลับบ้านทีไร ชอบหาคนนู้น คนนี้มาให้รู้จัก คราวที่แล้วก็ลูกสาวครูใหญ่ คราวนี้เอาลูกสาวผู้ใหญ่บ้านมาให้ เนี่ยแหละอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่อยากกลับบ้าน”

เอราวัตเริ่มเล่าเรื่องหนักใจให้เพื่อนๆฟัง แม่ชอบหาสาวๆมาแนะนำให้เขารู้จัก เขาไม่เคยสนใจเลยสักนิด คราวนี้แม่หนักข้อขึ้นเล่นพาเอาเกดซึ่งเป็นลูกสาวผู้ใหญ่บ้านมาให้ แถมยังเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็ก จะปฏิเสธไล่ตะเพิดเหมือนคนอื่นๆก็ทำได้ไม่ถนัดนัก เพราะสายสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อกับแม่และลุงผู้ใหญ่บ้านนั้นแนบแน่น จนถึงขนาดอยากให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน

“แหมๆ พี่เอราวัตนี่เสน่ห์แรงไม่เบา ว่าแต่เสียงแม่คนนั้นบาดหู น่ารำคาญเสียจริง” สีทันดรทรงเบ้พระพักตร์มาบ้าง นางมนุษย์คนนั้น ไม่ไหวเลย มิรู้จักสำรวมกริยา ดูท่าจะช่ำชองในกาม  ทีท่าชมดชม้อยสายตาหวานหยดย้อย ยามมองพวกพี่ๆเทวะยังกลับจะกลืนกินไปทั้งตัว แถมยังบังอาจ มาแอบมอง ‘อัสสะ’ อีกด้วย

“เห็นไหมน้องดื้อยังรู้สึกรำคาญเลย นับประสาอะไรกับพี่ จะบอกแม่ยังไงดีวะ ว่าไม่ชอบ”

“นายก็บอกแม่ไปตรงๆแหละ แม่คงเข้าใจ หรือไม่นายก็ลองบอกไปว่ามีแฟนแล้วก็สิ้นเรื่อง” อัสดงแนะนำมา เออ เข้าท่าแฮะ แต่ถ้าแม่ถามต่อว่า แฟนเป็นใคร อยู่ที่ไหนอย่างไร จะบอกต่อว่าอย่างไร โกหกไม่เก่งซะด้วย

“ความคิดดีว่ะ แต่ฉันยังไม่มีแฟน แล้วถ้าแม่อยากรู้ว่า แฟนฉันเป็นใคร ฉันจะบอกว่าอย่างไร ฉันโกหกไม่เก่ง”

“ไหนนายเคยคุยว่า มีสาวๆที่กรุงเทพหลายคนไง โธ่ที่แท้นายมันก็ไอ้ขี้คุย ....ถ้าลำบากนัก นายก็เอาไอ้ฉายเนี่ยแหละ อุปโลกน์ไปเป็นแฟนก่อน นายสองคนเคยแกล้งเล่นเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอตอนไปเที่ยวทะเล” ทรงกลดเสนอตัวเลือกมาให้ คงจะไม่มีใครเหมาะเกินกว่าคืนฉายอีกแล้ว

“จะบ้าเหรอ แม่ฉันคงช็อคตายหากบอกว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย” เอราวัตร้องเสียงหลง เพราะรู้ดีว่าแม่เขากลัวว่าเขาจะเป็นเกย์มากเพียงใด หากแนะนำว่าคืนฉายเป็นแฟน แม่คงลมจับ ไหนจะยาย กับพ่ออีก

“แล้วมีแฟนเป็นผู้ชายไม่ดีตรงไหนวะ”

คืนฉายเปิดประตูเข้ามาในห้อง เสียบบทสนทนาได้พอดิบพอดี เจ้าพระศุกร์มาแล้ว เขานี่ไงเคยมีแฟนเป็นผู้ชาย สายตาของเขาเป็นประกายจับจ้องมายังพระพุธเนื้อหอม จนเจ้าตัวรู้สึกได้ เอ๊ะ ทำไมวันนี้ ไอ้ฉายสายตาแปลกๆ เจ้าพระพุธ จึงพยายามอ่านความคิดว่าคืนฉายมีอะไรซ่อนอยู่ แต่ไม่เป็นผล เพราะคืนฉายเล่นใช้อำนาจบังไว้หมดเสียนี่ ครั้นพอเพ่งลงไปลึกๆ หัวใจก็กลับกระตุกวาบ อาการคันยิบๆที่ไม่เคยเป็น เริ่มกำเริบจับทั่วหัวใจตนเอง ทำไมในความคิดของคืนฉาย มีแต่สีชมพูกุหลาบเจือปน คืนฉายแกล้งอะไรตนอีกหรือเปล่า

‘ไอ้ฉาย วันนี้มันเป็นบ้าอะไรวะ’ เอราวัตเปรยขึ้นในใจ

ส่วนคืนฉายเองก็รู้ว่าพระพุธพยายามอ่านความคิดตน พยายามแทรกเข้ามาในจิตใจเพื่อให้รู้ว่าตนคิดสิ่งใด แต่ไม่มีวันเสียหรอกที่จะยอมให้อ่านใจได้ เทวฤทธิ์จึงถูกใช้กำบังไว้ ถึงจะใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นอย่างไรก็ไม่สามารถบดบังและบังคับรัศมีสีกุหลาบที่เริ่มเจือระเรื่อภายในอก เจ้าตัวยังสงสัย รัศมีแบบนี้ไม่เคยมีในกายตน บัดนี้กลับมีมาด้วยเหตุอันใด

‘วันนี้ เราเป็นอะไรของเราวะ’ ไม่ใช่เอราวัตคนเดียวหรอกที่สงสัย คืนฉายเองก็กำลังคิดไว้ไม่ต่างกัน

เอราวัตรีบสลัดความคิดที่ว้าวุ่น จัดเรียงลำดับให้เป็นปกติ เปลี่ยนเรื่องซะเอง “ก็ไม่ได้ว่ามันเลวร้าย แต่แม่กูเป็นคนหัวเก่า รับไม่ได้เหมือนที่บ้านมึงหรอกไอ้ฉาย เออแล้วนี่มึงเข้ามา แม่กูไปไหนเสียล่ะ”

“เห็นบอกว่าจะลงไปที่เรือนริมน้ำ ฝากมาบอกให้นายตามลงไปด้วยน่ะ ให้รีบลงไปดูพี่ชายนายที่ชื่อคชา” คืนฉายพยายามปรับเสียงตนให้เป็นปกติ มิให้สั่นไหวดั่งคลื่นหัวใจ ที่กำลังทำงานนอกเหนือการสั่งการแห่งสมอง

“อ้าว ...เฮ้ยงั้นพวกเราลงไปดูกัน พวกนายจะได้ช่วยพิจารณาด้วยว่า ลูกพี่ลูกน้องฉัน เป็นอะไรนักหนา จนแม่ต้องตามตัวให้ฉันกลับมาช่วยดู”

เอราวัตรีบเดินนำออกมาจากห้อง พาเพื่อนๆลงไปยังเรือนเล็กสร้างอยู่ริมน้ำโขง เรือนไม้สักหลังเล็กกะทัดรัด หากแต่น่าอยู่ บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคน ประกอบด้วยคนงานในบ้านและชาวบ้านที่กำลังมุงดูอะไรซักอย่าง พอมาถึงพวกเขาจำต้องแหวกกลุ่มคนเข้าไป

“ขอทางหน่อยครับ”

ใจกลางวงล้อม ชายสูงวัยร่างเล็กดำคล้ำ นุ่งห่มด้วยชุดขาวแต่ก็ไม่ขาวเท่าคุณยาย ถือไม้ไผ่เรียวเล็กในมือข้างหนึ่ง อีกข้างถือขันน้ำมนต์ใบใหญ่ ยืนบงการสั่งให้บรรดาชายฉกรรจ์หลายๆคน จับร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้แน่น เด็กหนุ่มคนนั้นพยายามขัดขืนสะบัดตัวออกทั้งถีบทั้งถองชายฉกรรจ์เหล่านั้น แต่แรงเดียวหรือจะสู้หลายคน

“จับไอ้คชาไว้แน่นๆ มันโดนผีเข้า” ชายสูงวัยกล่าวขึ้น ยกไม้เรียวชี้กราด

“ปล่อย กูนะโว้ย กูไม่ได้เป็นอะไร”

“ช่วยลูกชายฉันด้วยเถิดค่ะ ท่านมหายก” แม่ของพี่คชายกมือไว้ชายสูงวัยที่เรียกว่ามหายกท่วมหัว มหายกตอบว่า “ลูกชายเอ็งมันโดนผีเข้า แต่ไม่ต้องกลัว ข้าจะจัดการให้ เอ๊าจับมันไว้แน่นๆ”

พอร่างของคชาโดนตรึงแน่น มหายกก็ยกขันน้ำมนต์ขึ้นเหนือหัว แล้วเป่าพรวดลงไปยังร่างของคชาที่พยายยามดิ้นจากการถูกจับ ไม่ไผ่เรียวเริ่มฟาดลงไปกระทบเนื้อดังผั่บๆ

“โอ๊ย กูเจ็บนะ ปล่อยกู”

“อะไรกันวะ” เอราวัต สุดจะทน จึงวิ่งเข้าไปกลางวงผลักสมุนของมหายกออก แล้วใช้มือรับไม้เรียวของมหายก กระชากไม้นั้นออกมาหักสะบั้นโยนทิ้งไปในลำน้ำโขงข้างเรือน

“พอได้แล้ว ...ไม่เห็นหรือไงว่าพี่คชาเจ็บ”

“ไอ้หนุ่ม ออกไป ...เฮ้ยพวกมึงจับไอ้หนุ่มคนนี้ออกไป”

สมุนของมหายกเข้ามาหมายจะจับตัวเอราวัตออก เอราวัตจึงสวนหมัดหนักๆเข้าไปที่ปลายคาง ของสมุนคนแรกที่เข้ามาถึงตัวเขา ด้วยแรงแห่งอณูของเทวะ หมัดข้างนั้นจึงแรงยิ่งกว่าหมัดใดๆ ทำเอาสมุนคนนั้นแน่นิ่งฟุบลงกับพื้น สมุนอีกหลายๆคน จึงถาโถมรุมกันเข้ามา คันฉัตรกับคืนฉายจึงเข้าไปช่วย ซัดสมุนพวกนั้นจนหมอบด้วยมือเปล่าตีนเปล่า มหายกเห็นท่าไม่ดีจึงเข้ามาบ้างแต่ก็ถูกส้นเท้าหนักๆของอัสดงถีบกระเด็นจนขันน้ำมนต์หล่นจากมือแล้วกลิ้งตกลงแม่น้ำโขง ผู้คนที่มุงดูแตกฮือ ไม่คิดว่าจะมีมวยวัดเกิดขึ้น มหายกที่ตกลงไปในน้ำพยายามว่ายตะเกียกตะกายขึ้นมา ปากตะโกนด่าลั่น

“ไอ้เด็กเวร ไอ้เด็กอัปรีย์ มึงบังอาจนัก ...เฮ้ยใครก็ได้ดึงกูขึ้นไปที”

สมุนที่เหลือเข้ามาช่วยดึงอาจารย์ของตนขึ้นมาบนฝั่ง มหายกพอตั้งตัวได้ ก็ชี้หน้าด่าดังลั่น เพราะแค้นที่ถูกถีบจนกระเด็นตกน้ำ “พวกมึงเข้ามาสอดทำไม กูกำลังจะช่วยไอ้คชามันโดนผีเข้า”

“พี่คชาไม่ได้โดนผีเข้าอย่างที่ลุงมหาบอก ลุงกลับไปซะ มิฉะนั้นลุงจะโดนยิ่งกว่าส้นตีนเมื่อสักครู่” เอราวัตยืนหยัดปกป้องญาติผู้พี่ แม่กับป้ารีบร้องห้าม เพราะมหายกเป็นคนที่นับหน้าถือตาของคนละแวกนี้หากมีเรื่องจะลำบาก

“ตาหนู พูดอะไรอย่างนั้น ขอโทษลุงมหาเสียซะ”

“เลิกงมงายได้แล้วครับ พี่คชาไม่ได้โดนผีเข้า ผมจะรักษาพี่คชาเอง....ลุงมหาออกไปจากบ้านผมได้แล้ว ผมไม่อยากขึ้นชื่อว่ารังแกผู้ใหญ่” สายตาของเอราวัตเปล่งประกายวาบ มหายกจ้องมองก็แทบผงะ เดชะแห่งเทวะสำแดงให้เห็น รัศมีเขียววาบมรกตทำให้ ชาวาบไปทั้งร่าง ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นใคร ทำไมตบะและเดชะจึงมี เห็นจะไม่ธรรมดาซะแล้ว

“ไอ้หนูน้อย มึงไม่รู้แล้วว่าเล่นกับใคร กูมหายก อาจารย์ไสยเวทอันดับหนึ่ง ใครๆก็นับถือกู วันนี้พวกมึงหยามกู แล้วพวกมึงจะต้องเสียใจ” มหายกยังปากสั่นคอสั่น แต่ก็แกล้งทำใจดีสู้เสือ เพราะกลัวขายหน้า

“พอซะทีเถอะมหายก กลับไปได้แล้ว” เสียงของคุณยายดังขึ้น พร้อมๆกับกลุ่มคนที่แหวกแตกออกเป็นช่องจึงได้เห็นร่างในชุดขาวเดินเข้ามากลางวงล้อม “ที่นี่บ้านฉัน พ่อมหาไม่มีสิทธิ์ มาชี้หน้าด่าหลานฉัน กลับไปซะ มิฉะนั้นฉันจะเรียกตำรวจ”

คุณยายของเอราวัต ซึ่งก็เป็นที่นับหน้าถือตาเช่นกัน กล่าวขึ้นเรียบๆ มหายกต่อให้จะอหังกาเท่าไร หากแต่ก็ยังเกรงใจคุณยาย จึงพาสมุนเดินออกไป แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายกล่าวอาฆาต

“ฝากไว้ก่อนเหอะ”

“อ้าว มีอะไรก็ไปทำกันเสียมายืนมุงดูอะไรกันอยู่นี่” คุณยายหันไปบอกพวกคนงานที่ยืนมุงดู สิ้นคำสั่งคนงานจึงแยกย้ายกันกลับไป เหลือแต่แม่กับป้าและพี่คชาที่เรือนหลังเล็ก

“ ทำไมต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวาย แม่บอกแล้วไง ตาหนูกลับมาแล้ว ตาหนูคงจะช่วยเจ้าคชาได้ ไปตามมหายกมาทำไมกัน ทีนี้ก็คงจะดังกันไปทั่วบางแหละว่าว่าหลานชายฉันโดนผีเข้า งามหน้านัก แถมยังมีเรื่องกับมหายกอีก”

คุณยายปกติแทบจะไม่เคยแหวใส่ใคร บัดนี้กำลังแหวใส่ป้าของเอราวัต แสดงว่าคงถึงที่สุดแห่งการระงับโทสะแล้วจริงๆ

“หนูห่วงลูกค่ะคุณแม่”

“แม่บอกแล้วไง ว่าตาหนูกลับมาแล้ว แม่จะให้ตาหนูดูเอง” คุณยายไม่กล่าวอะไรต่อ ทรุดกายลงกอดคชาที่สายตาเลื่อนลอยปลอบขวัญไว้แนบอก “ไม่เป็นไรนะเจ้าคชา ...น้องมันมาแล้วเดี๋ยวหนูก็หายนะ คนดีของยาย”

คชาหนุ่มน้อยที่จัดว่าหน้าตาดีคนหนึ่ง หลับตาพริ้ม ซบลงกับตักของคุณยาย หนุ่มน้อยผู้ที่เคยเป็นที่หมายปองของสาวๆ เคยสดใสยิ่งนัก หากบัดนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขาก็มิทราบได้ เพราะเป็นเวลาหลายเดือนมาแล้ว ที่จู่ๆก็เอาแต่เหม่อลอย มานอนค้างที่เรือนริมโขงแทนที่จะอยู่บนเรือนใหญ่ แรกๆ ก็เป็นไม่มาก มาระยะหลังนี่เพ้อหนัก ร่ำร้องแต่จะให้ถึงกลางคืนเร็วๆ ข้าวปลาอาหารไม่ยอมกิน พร่ำพูดอยู่แต่ว่า ‘เธอมาหรือยัง ....มาหาคชาได้แล้ว คชาคิดถึง’ อาการของพี่ชาย ถูกถ่ายทอดให้เอราวัตรับรู้ และเอราวัตต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าพี่ชายเป็นอะไร ทำไม เพ้อเช่นนี้

“ทำไม ไม่บอกผมเสียตั้งแต่แรกๆ ปล่อยให้ล่วงเลยมาขนาดนี้” เอราวัต ถามขึ้น คุณยายก็ตอบมาว่า

“ตอนแรกยายไม่คิดว่าจะเป็นหนักน่ะสิ ตาหนู ช่วยพี่เขาหน่อยนะ ยายรู้ว่าตาหนูของยาย พิเศษเหนือคนอื่นๆ ช่วยรักษาพี่เขาหน่อย” คนในครอบครัวของเอราวัต ใยไม่รู้ว่าเขา ‘พิเศษ’ เหนือคนอื่นๆ อย่างไร หากก็ปิดกันไว้ มิอยากให้คนนอกรับรู้ เอราวัตจึงถูกส่งไปอยู่กับปู่ที่กรุงเทพ กันไว้จากสายตาของคนละแวกนี้

“ครับผมจะดูแลพี่คชาเอง ตอนนี้พาพี่คชาขึ้นไปบนเรือนใหญ่ก่อนเหอะครับ พาไปไว้ในห้องพระ” เอราวัตพูดจบก็จัดแจงพยุงคชาลุกขึ้นมา คืนฉายเข้ามาช่วย แล้วพากันเดินขึ้นบ้าน นำสู่ห้องพระ ครั้นถึงจึงวางร่างของคชาลงนอนกลางห้อง เอราวัตรีบจุดธูปเทียนบูชาพระแล้วบอกกับคุณยายว่า

“คุณยายสวดพระคาถาชินบัญชรได้ไหมครับ คาถาบทนี้จะช่วยปกป้องพี่คชาพ้นจากอำนาจชั่วร้ายหรือสิ่งใดก็ตามที่ทำให้พี่คชาเพ้อ ไร้สติ”

“ได้สิลูก จะให้สวดเลยไหม” อะไรที่ทำแล้วหลานชายหาย คุณยายยอมทั้งนั้น

“ครับสวดเลย พวกผมจะอยู่สวดด้วย แล้วต่อไปคอยสวดเช้าเย็นนะครับ บารมีแห่งพระอรหันต์จะช่วยรักษาพี่เขาได้”

กลิ่นธูปหอมและเทียนขี้ผึ้งเริ่มโชยกำจาย ทั้งหมดนั่งพับเพียบพนมมือบูชาพระตามคุณยายล้อมร่างของคชาไว้ รัศมีแห่งเทวะน้อยทั้งห้าและหนึ่งนาคาฉายเจิดจ้า เจือด้วยรัศมีแห่งผู้ถือศีลของคุณยาย เย็นวาบขาวนวลจับตา เสียงของคุณยายที่เคยพูดแต่เบาๆ กลับกังวานยิ่งเมื่อเริ่มนำสวด พระคาถาที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ได้รจนาขึ้น อัญเชิญพระบารมีแห่งพระอรหันต์ยี่สิบแปดพระองค์ ถูกสังวัธยาย เชิญมาปกเกล้าเหนือหัวของคชาแล้ว

ปุตตะกาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโม ละเภทะนัง
อัตถิกาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน
ท้าวเวสสุวัณโณ มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

ชะยาสะนากะตาพุทธา เชตะวามารัง สะวาหะณัง
จตุสัจจาสะภัง ระสัง  เย ปิวิงสุ นราสะภา
ตัณหังกะราทะโยพุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตามัยหัง มัตถะเกเตมุนิสรา ........

ข้าฯขอเชิญเสด็จ        พระสรรเพชญพุทธองค์
นราสภาทรง       พิชิตมารและเสนา
ยี่สิบแปดพระองค์       นายกสงฆ์ทรงสมญา
ตัณหังกรเป็นต้นมา    ทรงดื่มแล้วซึ่งรสธรรม
......
คุณยายนำสวดมาเรื่อยๆ ศีลที่หมั่นรักษาทำให้เกิดจิตใจที่แน่วแน่ และอำนาจแห่งจิตใจนี้เอง ก่อให้เกิดสมาธิ และเมื่อมีสมาธิ ยามที่สวดแต่ละบท จึงมีรัศมีเรืองรองที่มองด้วยตามนุษย์ธรรมดามิเห็นพวยพุ่งเข้าครอบร่างของคชาไว้ ครั้นเพียงบทสุดท้ายจบลง แสงจ้าสีรุ้งดุจประกายเพชร หมุนวนเป็นกรงจักร ได้ถูกอัญเชิญมาคุ้มครองครบถ้วนสู่ร่างพี่คชา

“กรงจักรแห่งพระอรหันต์ บัดนี้ได้ถูกอัญเชิญ มาคุ้มครองมนุษย์ผู้นี้แล้ว เทวดา มารและภูตผีมิสามารถกล้ำกลาย ทำอันตรายเขาได้  แม้แต่เราเองก็เหอะ  เข้าใกล้เขาไม่ได้เหมือนกัน” สีทันดรกล่าวขึ้นกับเอราวัต ทันทีที่บทสวดชินบัญชรจบลง “คุณยายถือศีลเป็นนิจ บทพระคาถาจึงศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง  พี่เอราวัตสบายใจได้”

“แล้วน้องดื้อ พอรู้ไหมว่า สิ่งใดทำให้พี่ชายพี่เป็นแบบนี้”

“ไม่รู้ชัด ได้แต่สงสัย ถ้าจะให้แน่ใจ พวกเราต้องไปดักดูที่เรือนริมโขง”

“น้องดื้อสงสัยว่าอะไรครับ แล้วทำไมต้องไปดักดูที่เรือนริมโขงด้วย”

“เราสงสัยว่า พี่ชายของพี่เอราวัต คงโดนมนต์เสน่ห์น่ะสิ อาการมันฟ้อง และคนที่ทำเพื่อที่จะต้องการให้เขาหลง คงมาหาเขาอยู่เนืองๆ ”

“อะไรนะ มนต์เสน่ห์....” เอราวัตถามขึ้นเสียงสูง  มนต์เสน่ห์ ใครบังอาจทำใส่พี่ชายเขา มิน่าล่ะ พี่คชาถึงได้เพ้อขนาดนี้ พร่ำเพ้อหาแต่ ‘เธอคนหนึ่ง’

“ไม่รู้ชัด ถึงได้ต้องไปดักดูไงล่ะ เราเชื่อว่า คนที่ทำต้องมาอีกแน่ๆ” สีทันดรทรงกล่าวมาอย่างครุ่นคิด ทรงหันไปทางคุณยายที่เริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยจะดีว่า “คุณยายไม่ต้องห่วง พวกเราจะช่วยหลานชายคุณยายเอง”

“ช่วยหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” คุณยายตั้งใจจะยกมือไหว้ สีทันดรรีบตรัสห้ามไว้ “คุณยาย อย่าไหว้เรา เราบอกแล้วไง เราต่างหากที่ควรไหว้สา คุณยายรู้ไหม มนุษย์ที่มีศีลบริสุทธิ์ครบถ้วนอย่างคุณยาย จะเป็นที่เคารพสรรเสริญของเทวะทั้งหลาย เทวะต่างหากควรกราบกราน ยกย่อง และยำเกรง”

“ทำตามที่น้องดื้อ เอ๊ย สีทันดรบอกเหอะครับยาย...เออ  คืนนี้ฉันจะลงไปเฝ้า ใครจะไปกับฉันบ้าง” เอราวัตกล่าวกับคุณยายและหันมาถามเพื่อนๆ แล้วเสียงตอบเสียงแรกที่ดังกว่าใครก็ดังขึ้น พร้อมๆกับเจ้าตัว ที่เขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ จนได้กลิ่นหอมฟุ้ง ‘มันอาบน้ำหอมมาหรือไง’ กลิ่นกายพิเศษแห่งอณูเทวะ ปกติก็หอมอยู่แล้ว ยิ่งมาผสานกับกลิ่นน้ำหอมสมัยใหม่จรุงใจ ทำให้ใจของเอราวัตสั่นๆพิกล

“ฉันเอง” คืนฉายแสดงเจตจำนงออกมาเช่นนั้น ดวงตาของเขาส่องประกายวาบ เอราวัตเริ่มมิกล้าสบตาหรืออ่านความคิดใดๆของเขาอีกแล้ว เพราะกลัวจะเจอรัศมีสีกุหลาบที่ซ่อนไว้ข้างในจากเขาคนนี้ เอราวัตจึงก้มหน้างุดๆ

“ไอ้ห่าฉายนี่ มองหน้าเราหาอะไร มันคิดอะไรของมันอยู่นะ”

ครั้นตกเย็น เอราวัตรีบอาบน้ำ เตรียมไปดักดูคนที่บังอาจทำเสน่ห์พี่ชายเขาที่เรือนริมโขง ระหว่างที่เขาแต่งตัวอยู่ คืนฉายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเช่นกัน ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง เจ้าของห้องยังแต่งตัวยังมิทันเสร็จ เสื้อผ้าสักชิ้นยังไม่ได้ใส่ แถมคนที่ก้าวเท้าเข้ามาก็นุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว

“ไอ้ห่าฉาย มึงเคาะประตูเป็นไหม กูโป๊อยู่”

เอราวัตรีบเอามือมากุมเป้าไว้ หน้าแดงพลัน นี่ตนมาแก้ผ้าอยู่ต่อหน้าไอ้พระศุกร์อีกแล้ว หากมันมือไวมาอีกจะทำอย่างไร  ไอ้ฉายมันยิ่งลามกโรคจิตอยู่ด้วย ชอบจับน้องชายตนอยู่เนืองๆ

“มึงจะอายส้นตีนอะไรวะ กูกับมึงเห็นกันมาหมดแล้ว แถมยังเคยผลัดกันจับอีก มึงจำไม่ได้เหรอ ที่ศาลาท่าน้ำบ้านไอ้กลด หรือจะให้กูต้องทบทวนความจำ” คืนฉายแกล้งคว้าส่วนนั้น เอราวัตรีบงอตัวหลบ

“พอเลยมึง อย่ามาเล่นอัปรีย์ที่บ้านกู” เอราวัตยังกุมเป้าไว้แน่น ร้องด่าเพื่อน อารมณ์โมโหเริ่มมีรำไร ไอ้นี่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แม้มือของเขาจะใหญ่เพียงใด หากบางส่วนแห่งอวัยวะส่วนนั้นก็ยังโผล่พ้นออกมาให้เห็น คืนฉายได้แต่ยิ้ม นึกในใจ

‘ทำเป็นอายดีนัก แม่ง เดี๋ยวแกล้งจับชักว่าวอีกรอบเลยนี่’ แต่เขาคงจะลืมไปแล้วละมังว่า คนตรงหน้านั้นอ่านความคิดออก

“อย่านะมึง คราวนี้กูกระทืบจริงๆด้วย คราวที่แล้วกูเสียทีโดนมึงจับชักว่าว กูยังไม่ได้ชำระแค้นเลย แล้วมึงเข้ามาทำไม”

“เฮ้อ ไม่น่าคิดดังเลยกู ....เอาล่ะ กูแค่จะเข้ามายืมเสื้อมึงนั่นแหละ มีให้กูยืมใส่สักตัวไหม กูเอามาน้อย และก็ไม่ต้องกลัวกูถึงขนาดนั้น กูรู้กาลเทศะหรอกน่า ว่าที่นี่ที่ไหน มึงกลัวแม่มึงเห็นใช่ไหม”

“เออรู้ก็ดีแล้ว...งั้นมึงถอยไปไกลๆกูก่อน เดี๋ยวหยิบให้” เอราวัตเริ่มวางใจ แต่ก็ยังไม่วายถอยตัวออกมา หลบให้พ้นรัศมีแห่งมือของคืนฉาย “ มึงถอยไปซะทีสิ”

คืนฉาย จงใจถอนหายใจให้เอราวัตได้ยิน บ่นอุบอิบงุบงิบ แล้วถอยไปนั่งรอบนเตียง เจ้าพระพุธเห็นว่าเพื่อนจอมเซี้ยวถอยไปไกลแล้ว จึงหันหลังไปเปิดตู้เสื้อผ้า หาเสื้อให้ มือทั้งสองข้าง ต่างก็ค้นหาเสื้อขนาดที่คืนฉายพอจะใส่ได้ จึงลืมที่จะปิดบังส่วนนั้น โอกาสมาถึงคืนฉายแล้ว ฉับพลันไวดั่งความคิด เขารีบลอยประชิดร่างของสหายคว้าหมับเอาน้องชายของเอราวัตอย่างที่เคยทำทันที เสียงยียวน ยั่วโทสะกล่าวเยาะ

“ ไง บักหำน้อย หลับอยู่ทำไม ตื่นได้แล้ว”

เอราวัตด้วยความตกใจ ที่ถูกจู่โจมโดยมิทันได้ตั้งตัว จึงหันกลับมาผลักคืนฉายออกทันที ด้วยแรงแห่งเทวะ แรงผลักนั้นจึงมหาศาลยิ่ง คืนฉายเองก็ไม่คิดว่าเอราวัตจะผลักตนออก  ร่างของเขาจึงกระเด็นไปไกล กระทบผนังห้องดังลั่น

“มึงเล่นอะไรของมึงวะ มึงเป็นโรคจิตหรือไง ชอบจับกระเจี๊ยวกู เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง” พระพุธน้อย สบถลั่น เกิดอารมณ์เสียอย่างไม่เคยเป็น เคยบอกแล้ว เคยเตือนแล้วว่าไม่ชอบ ยังจะทำอีก หากแม่หรือใครในบ้านมาเห็นแล้วไม่เข้าใจว่าเล่นกันจะทำยังไง ที่นี่ ไม่ใช่บ้านไอ้กลดที่กรุงเทพนะ

“ทำไมมึงต้องโมโหและอารมณ์เสียขนาดนี้ ที่ผ่านมากูก็จับเล่นตั้งหลายหน มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึง” คืนฉายลุกขึ้นมาได้ก็ตะเบ็งเสียงกลับมาเหมือนกัน ตัวน่ะไม่เจ็บเท่าไรหรอก แต่มันเจ็บจี๊ดๆ คันที่ใจมากกว่า “ล้อเล่นแค่นี้เอง”

“แต่ที่นี่มึงจะเล่นแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวแม่กูมาเห็น แล้วนี่ เอาไป เสื้อที่มึงขอ” เอราวัตยังคงโมโหอยู่จึงปาเสื้อที่เพิ่งค้นเจอใส่หน้าคืนฉาย ครั้นพอเสื้อตัวนั้นกระทบหน้า เจ้าพระศุกร์จึงขยุ้มเสื้อตัวนั้น เขี้ยวงกลับไปใส่หน้าพระพุธบ้าง

“มึงเอาเสื้อของมึงคืนไป กูไม่เอาแล้ว เล่นนิดเล่นหน่อยมึงทำเป็นมีโมโห ก็ได้ นับจากวันนี้เป็นต้นไป กูไม่เล่นกับมึงก็ได้ ถ้ามันทำให้มึงรำคาญนัก เชิญมึงไปดูดนมหนองโพ อย่างที่มึงทำเมื่อตอนเที่ยงเหอะ เผื่อจะหายรำคาญ อารมณ์ดีขึ้น” คืนฉายพูดจบก็เดินออกไป พร้อมเสียงปิดประตูดังปัง!!

เสียงปิดประตูที่แสนดัง ทำให้เอราวัตพอจะรู้สึกตัวได้ว่า เขาอารมณ์เสียเกินเหตุเกินไปหรือเปล่า จริงอย่างที่คืนฉายว่า ปกติก็เล่นกันอย่างนี้ แต่ทำไมวันนี้เกิดโมโหนัก หรืออาจจะกำลังกลุ้มใจเรื่องคชา หรืออาจกลัวว่าแม่จะมาเห็น แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่จู่ๆก็ผลุดขึ้นมาในสมอง เหตุผลเหตุนี้ เขาไม่อยากจะยอมรับนัก เพราะมันคือเหตุผลที่ว่า ‘กลัวหวั่นไหว’ นั่นเอง ‘ไม่จริง มันไม่ใช่อย่างนั้น’ แล้วประโยคที่คืนฉายด่าให้เขาไปกินนมหนองโพอย่างเมื่อตอนเที่ยงล่ะ มันคืออะไร หรือว่ามันจะเห็นเรื่องระหว่างเขากับเกด

“ทำไมมันต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดด้วย”

ความรู้สึกวาบในใจเริ่มมีมาแล้วพร้อมด้วยสำนึกแห่งผู้ผิดตามมาติดๆ ‘เราผิดเองนี่นา’ ว่าแล้วจึงตั้งใจจะวิ่งตามไปขอโทษ แต่เขาก็นึกได้ว่าตนยังโป๊อยู่ จึงรีบใส่เสื้อผ้าวิ่งตามออกจากห้อง พร้อมหัวใจที่สับสน

“ฉายกูขอโทษ....ไอ้ฉายกลับมาก่อน”

ยามนี้ ถ้าหากจะถ่ายทอดความรู้สึกของเอราวัตแปลออกมาเป็นภาษาพูด ก็สามารถพูดได้ว่า ‘หัวใจเริ่มลอยไปไกลก่อนตัวแล้ว ใจที่ร้อนรนยิ่ง เสาะหาแทบจะทุกมุมของบ้าน...แต่ก็ไม่พบวี่แวว

“นี่มันไปหลบอยู่ที่ไหนของมันกันวะ”

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 09-07-2019 17:43:33
เอราวัตเข้าไปตามหาในห้องพระก็ไม่เจอ เข้าไปถามหายังห้องพักของพวกอัสดง ก็ไม่เจออีก แถมยังไปขัดจังหวะอัสดงที่กำลังขายขนนมจีบให้สีทันดร จนโดนอัสดงไล่ออกมา

“มึงไปหาที่อื่นไป๊ ไอ้ฉายมันอยู่แถวๆนี้แหละ ไปได้แล้ว ขัดจังหวะกูหมด”

เจ้าพระพุธจึงลงจากบ้านลองมาตามหาดูข้างล่าง หากแต่ก็ยังไม่พบอีก ความรู้สึกสำนึกผิด อยากขอโทษทำให้ใจกระวนกระวายและว้าวุ่น ใจดวงน้อยเริ่มเต้นแรงจนเหนื่อย ส่งผลทำให้ขาทั้งสองข้างที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนยวบทรุดกายลงนั่งพักอยู่เชิงบันได

“เราทำอะไรลงไป”

เอราวัตนั่งอยู่นานเท่าไรก็มิทราบ รู้แต่ว่า จากท้องฟ้าที่แรกเริ่มเป็นสีเทาบัดนี้มืดดำสนิท ดวงดาวบนฟ้า ทอแสงระยับ แล้วดาวพระศุกร์เล่าหนีไปทอแสงอยู่หนใด สายลมโชยอ่อนๆยามค่ำคืนเริ่มพัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนที่หอมประหลาดๆบางชนิด ส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วฆานประสาท เขารู้สึกว่าภายในกลิ่นหอมเหล่านั้น มีกลิ่นหอมบางกลิ่น คล้ายจะเคยคุ้น พอตั้งใจจะดมให้แน่ชัด กลิ่นนั้นกลับจางหาย พอทำเฉยๆ กลิ่นกลับกำจาย น้ำหอมกลิ่นแบบนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก มันคือ ไอ้พระศุกร์ที่เขาตามหาอยู่นั่นเอง

“ ไอ้ฉาย นายใช่ไหม” 

เสียงจักจั่นเรไร แทนคำตอบได้เป็นอย่างดีว่า ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ตามหา แต่กลับมี เสียงเพลงเคยคุ้นบางเพลง ลอยแว่วตามลมมาแต่ไกล บ่งชัดมิได้ว่ามาจากที่ไหน น้ำเสียงที่ถ่ายทอดบทเพลงนั้น กินใจ เป็นที่ยิ่ง แต่ตอนนี้ยังหาคืนฉายไม่เจอ ....ต่อให้เพลงจะหวานสักเท่าไร หัวใจก็มิได้แช่มชื่นไปตามเสียงเพลงเลยสักนิด

พระพุธน้อยจะรู้ไหมว่าภาพของตนที่นั่งอยู่เชิงบันได ปรากฏขึ้นแก่ดวงตา สีน้ำตาลที่เริ่มส่องประกาย เจ้าของตาคู่นั้น บัดนี้เหยียบอยู่เหนือยอดไม้สูง มือทั้งสองข้างกอดอกเพ่งมอง สามลมโชยเหนือยอดไม้พัดไรผมที่เคยปิดหน้าปลิวไสว รัศมีสีฟ้าที่เริ่มสว่างระยับ ถูกบังไว้ด้วยมนตรามิให้เห็น

“ มันตามมาขอโทษเราเหรอ”

คืนฉาย แว่บแรกก็ตั้งใจจะลงไปตามเสียงเรียก หากแต่คำว่าทิฐิ ฉุดรั้งเอาไว้ “ออกไปหาง่ายๆ เดี๋ยวมันจะได้ใจ คราวหน้ามันคงโมโหและตะคอกใส่เราอีก”

ฉะนี้แล้วเจ้าพระศุกร์จึงหลบอยู่เหนือยอดไม้สูงอยู่อย่างนั้น  แต่เขาจะรู้หรือไม่ว่าสายลมโชยได้พัดพากลิ่นกรุ่นประจำตัวของเขาลอยระเรื่อลงไปด้วย พร้อมๆกับพัดพาเอาเสียงเพลงแว่วๆ ลอยขึ้นมาจนถึงยอดไม้สูง และดูเหมือนว่าเจ้าพระพุธจะรู้แล้วว่าเขาอยู่แถวนี้ เหอะ บังเอาไว้ หาอย่างไรก็ไม่เจอ  แล้วทำไมเขาต้องดีใจด้วยที่ไอ้พระพุธมาง้อ

ใจเจ้าเอ๋ย....มิเคยจะเจอเนื้อคู่
ฤาลมจะรู้ จึงพัดพามากับสายลม
มิทันได้ทัก มิทันได้เชยชิดชม
แล้วสายลมโชย ให้เจ้าเลือนลับตา

จู่ๆหัวใจที่เริ่มสับสนของคืนฉาย ยามได้ฟังบทเพลงท่อนนั้น ก็เกิดอาการวาบที่ในใจ ซ่านผ่านเข้าสู่สี่ห้องหัวใจเต็มเปี่ยม พลันฉุกคิดได้ว่า หากสายลมนั้นหอบพัดพาเอาไอ้พระพุธไป แล้วใครจะกล่าวคำขอโทษเขา แล้วเขาจะแกล้งใคร อำนาจลี้ลับแห่งบทเพลง บัดนี้ครอบคลุมทั้งพระพุธและพระศุกร์ พระพุธเองยามได้ยินท่อนนี้ก็ผลุดลุกขึ้นยืน เปรยกับตัวเองด้วยเสียงสั่น

“หรือว่าไอ้ฉายจะโดนลมพัดพาจนเลือนหายลับตาไปแล้ว”

ก่อนที่จะคิดอะไรไปไกลเกินกว่านั้น รัศมีสีฟ้าก็พุ่งลงมาจากยอดไม้สูง พอสลายก็กลับกลายคืนร่างเป็นคนที่หลบหนีหายหน้าไป แม้จะเพียงแค่ชั่วแวบ เขากลับรู้สึกและรู้ซึ้งถึงคำว่า ‘เสียใจ’ อย่างบอกไม่ถูก คืนฉายกลับมายืนอยู่ตรงหน้า นี่เขาคงไม่ได้ฝันไปใช่ไหม สายลมพัดเอาคืนฉายคืนมาแล้ว

“ไอ้ฉาย มึงหายไปไหนมา” เจ้าพระพุธเอ่ยถามขึ้นทีนที ที่คืนฉายปรากฏกายอยู่ตรงหน้า เขาจ้องมองอย่างไม่ค่อยจะเต็มตานัก เพราะต้องก้มหน้างุดๆหลบสายตาของอีกฝ่าย ‘ความหวั่นไหว’ ที่เคยกลัว ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้

“ก็หายไปให้พ้นจากคนขี้โมโหอย่างมึงไง” น้ำเสียงที่กล่าวตอบไม่ได้มีแววประชด แต่กลับตัดพ้อมาเสียมากกว่า

“กูขอโทษ กูอารมณ์เสียไปหน่อย พอดีกลุ้มๆเรื่องพี่คชา ยกโทษให้กูเถิดนะ ถ้ามึงยังโกรธกูอย่างนี้ กูคงมีเรื่องหนักใจเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง”

น้อยนักที่เอราวัต จะบอกสิ่งที่อยู่ในใจตน ส่วนใหญ่เขาชอบอ่านสิ่งที่อยู่ในใจคนอื่นมามากกว่า ครั้งนี้บอกออกมาแล้ว และคนตรงหน้าก็ฉายแววแห่งความเข้าใจ ณ ช่วงเวลานี้เอง รัศมีเขียวนวลเย็นตา เริ่มลอยมากระทบรัศมีสีฟ้าที่แผ่กว้างอยู่ตรงหน้า ครั้นพอผสานกัน รัศมีกลายเป็นรัศมีสีชมพูไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ....รัศมีแห่งเทวะ จะแสดงความรู้สึกภายในใจออกมาด้วย เทพน้อยทั้งสองจะรู้ไหมนะ

ลมยังคงโพยพัด และเริ่มพัดแรงขึ้น จนวูบใหญ่แห่งแรงลมนั้น ได้พัดพาเอาทั้งสองมายืนชิดจนใกล้ ลมธรรมชาติหายไปแล้ว บัดนี้เหลือแต่ลมหายใจอ่อนๆที่ต่างก็ถ่ายเทรินรดใบหน้าซึ่งกันและกัน ใบหน้าทั้งสอง ห่างกันแค่คืบ ต่างคนต่างก็เริ่มหลบหลีกสายตาของอีกฝ่าย  ทิฐิในใจเริ่มจางหาย หัวใจเริ่มผ่อนปรน สายลมปริศนานั้น มีอำนาจลึกลับยิ่งนัก

“ เออ ไม่โกรธก็ได้ กูเองก็ผิดที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”

เอราวัตยิ้มได้ทันทียามได้ยิน ภูเขาทั้งลูกถูกลมพัดพายกออกจากอกไปแล้ว ‘ไอ้พระศุกร์หายโกรธแล้ว’ ด้วยความดีใจเขาโผเข้ากอดคืนฉายแน่น 

“ เรื่องนี้ฉันผิดเอง  กูสัญญาว่าจะไม่โมโหมึงแบบนี้อีก ให้โอกาสกูแก้ตัวนะไอ้ฉาย”

คืนฉายยามนี้ได้แต่ยืนนิ่ง พลังบางอย่างวิ่งปราดไปทั่วร่าง ในอ้อมกอดของเจ้าพระพุธนี้ เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงสัมผัสพิเศษ เทวะแห่งความรัก เช่นเขาไม่รู้ความรู้สึกนี้ก็ประหลาดแล้ว มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าอาการใจวาบเมื่อกี้ เป็นเพราะรัก

‘ไม่จริง มันไม่ใช่เช่นนั้น เราจะรักใครไม่ได้’ แต่แปลก ความรู้สึกแบบนี้ยิ่งกดลงให้ดิ่งลึกลงไป มันก็ยิ่งผลุดขึ้น แถมยังแรงขึ้นกว่าเดิมซะอีก

จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ*

‘ไอ้พระพุธ ขออย่าให้นายมาอ่านใจฉันตอนนี้เลย ...เพราะฉันยังไม่อยากให้นายรู้ว่ารัศมีสีชมพูกุหลาบ มันแทนถึงสิ่งใด’

แต่ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อไป เสียงแสบแก้วหูก็ดูจะเป็นเหมือนมารขัดจังหวะขึ้น

“ว้าย ทำอะไรน่ะ เอราวัต”

ต่อให้เอาสำลีอุดหู หรืออยู่ไกลหลายร้อยเมตร เสียงแหลมๆ เสียงนี้  เอราวัตก็จำได้ โดยไม่ต้องหันไปมอง เจ้าของเสียงเหมือนกับถูกตรึงแน่นอยู่กับที่เพราะเห็นภาพหนุ่มที่เขากำลังหมายมั่นปั้นมือจะเอามาทำผัวนั้น ‘กอด’ อยู่กับผู้ชายด้วยกัน

“นี่ เอราวัต ชะ ชอบผู้ชายเหรอ” 

คืนฉายรีบคลายตัวออกจากอ้อมกอดของพระพุธ ส่งกระแสจิตในใจออกไป ‘เวรแล้วไงมึง ไหนว่ากลัวคนที่นี่เห็น ดันมากอดกูได้ เป็นไงล่ะ งานเข้าแล้ว’

“เกด มาตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็นานพอจนเห็นเอราวัตกอดกับผู้ชายแหละ เกดไม่ยอมนะ เอราวัตทำแบบนี้ได้ไง หยามเกดชัดๆ” เกดยืนเท้าสะเอว อกกระเพื่อมตั้งตระหง่าน หายใจเข้าออกแรงยิงด้วยความโมโห กระดุมเสื้อตัวเล็กแทบจะปริแตก ด้วยหน้าอกไซส์ขนาดลูกมะพร้าว หากก้มหน้าทีหัวคงทิ่มดิน ลมเย็นยามค่ำพัดเอาน้ำหอมที่ฉุนจนแสบจมูก ทำให้คืนฉายกับเอราวัตต้องจามเสียหลายหน

“เราไปหยามเธอตอนไหนเกด เราก็แค่กอดกัน”

“แล้วกอดกันทำไม เกดไม่ยอมนะ” เกดท่าจะสำคัญตัวผิด จึงยืนกระทืบเท้างอแง ดูน่ารำคาญยิ่ง คืนฉายจึงจะพยายามช่วยอธิบายแก้ไขสถานการณ์ให้ว่า “ คุณเกดอย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราสองคนแค่มีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย เพิ่งปรับความเข้าใจกันได้ เลย....”

“ไม่ต้องอธิบายหรอกฉาย ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง ปล่อยให้ยืนโวยวายไปคนเดียวอย่างนั้นแหละ ไปกันเหอะ” เอราวัตกล่าวตัดบทคืนฉายที่พูดยังไม่ทันจบดี แล้วดึงแขนพากันออกมาเสียนี่ เกดจากที่โวยวายอยู่แล้ว ก็ยิ่งร้องลั่น

“เกดไม่ยอมนะ ทำงี้ได้ไง”

“นี่เกด เลิกโวยวายซะที เราจะกอดกับใครมันก็เรื่องของเรา เลิกโวยวายได้แล้ว เกดอย่าลืมสิว่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเพิ่งเจอกันนะเกด” เอราวัตที่กำลังเดินออกไปหันมากล่าวกับเกดทิ้งท้ายเพราะทนเสียงน่ารำคาญไม่ไหว “และจะขอบอกอีกอย่างว่า เรามีแฟนแล้ว”

“ไม่จริง ....ก็ไหนตอนกลางวันบอกไม่มีไง”

“แต่ตอนนี้มีแล้ว นี่ไงแฟนเรา” เอราวัตโผเข้าหาคืนฉายทันใด คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเริ่มเสียเอง โดยดึงคืนฉายเข้ามาแล้วประกบปากลงไปบนริมฝีปากของคืนฉาย ต่อหน้าเกดที่ยืนอ้าปากค้าง ใจจริงเขาไม่อยากจะใช้วิธีนี้นักหรอก แต่ในเมื่อเขาเคยช่วยคืนฉายเรื่องตระการตา คืนฉายจำต้องช่วยเขาบ้างในการตัดเกดให้ไกลออกไป ยอมถูกนินทาว่าเป็นชายรักชาย ถ้าแม่จะรู้ก็ไม่สนแล้ว จะได้เลิกวุ่นวายหาคนนู้นคนนี้มาให้เสียที หากจะมีเมีย ต้องหาเองเท่านั้น

“มึงต้องช่วยกูบ้างแล้วไอ้พระศุกร์” คืนฉายเองก็มิได้ขัดขืนประการใด กลับยืนแน่นิ่งสัมผัสรสจูบนั้น ‘รักหลอกๆ’จะเริ่มต้นอีกครั้งแล้วฤา หรือคราวนี้เราจะสานต่อให้กลายเป็นของจริง

“ว้ายยยย ไอ้บ้า ไอ้ๆ คนผิดเพศ” เกดเห็นภาพตรงหน้าก็กรีดร้องลั่น หันหลังวิ่งกลับบ้าน ไม่เหลียวมองมาอีก ความมั่นใจในเสน่ห์ยั่วยวนแห่งตนสูญสลาย บัดนี้ต้องมาพ่ายให้กับรักระหว่างชายกับชาย สิเน่หาของตน ไม่สามารถทำให้เขาติดบ่วงสวาทได้เลยเหรอ

“ทุเรศที่สุด”

เกดวิ่งลับหายไปแล้ว แต่เอราวัตกับคืนฉายก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ริมฝีปากทั้งสองยังประกบกันแน่น คืนฉายเมื่อเห็นว่าเกดวิ่งไปแล้วจึงบอกเอราวัตโดยใช้กระแสจิตหรือโทรจิตว่า ‘ยัยเกดอะไรนั่นไปแล้ว ทำไมยังไม่ถอนปากออกอีก เดี๋ยวคนอื่นจะมาเห็น ไม่กลัวแล้วเหรอ’

‘แล้วทำไมมึงไม่ถอนก่อนล่ะ’ เจ้าพระพุธแย้งมา

‘มึงนั่นแหละ ถอนก่อน ไหนว่า มึงไม่ชอบให้เล่นแบบนี้ไง แล้วทำไมมึงใช้วิธีนี้’

‘กูไม่รู้ จู่ๆก็เกิดอยากจะใช้ขึ้นมา เห็นว่าได้ผลดี’

ริมฝีปากทั้งสองยังทาบทับกันอยู่อย่างนั้น การสื่อสารใช้แต่โทรจิตเพราะปากประกบกันยังพูดไม่ได้ บริเวณรอบด้านลมพาพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนลอยอบอวล

‘กูไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่ามันคงจะช่วยกูให้พ้นจากเกดได้’

‘เท่านั้นจริงๆ หรือ’

คืนฉายถามขึ้น แล้วรอฟังคำตอบ หากเพื่อจะแกล้งให้พ้นจากเกด แล้วทำไมไอ้พระพุธไม่ยอมถอนปากออกซะที ก็ได้ในเมื่อนายอยากจะเล่นบทนี้ ฉันก็จะสนองให้ ว่าแล้วในระหว่างที่รอคำตอบ คืนฉายจึงสอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปากของเอราวัต แต่เอราวัตก็ไม่ได้สะทกสะท้าน อำนาจเหนือธรรมชาติบางอย่างทำให้เขาตั้งรับได้เป็นอย่างดี

‘เท่านี้จริงๆ ..หรือมึงคิดว่ามีมากกว่านั้น ลองบอกมาก่อนสิ’

ทั้งสองยังเหมือนตกอยู่ในภวังค์ จนเสียงแม่ของเอราวัตร้องเรียกมาจากบนบ้านนั่นแหละ ทำให้ทั้งสองหลุดจากอารมณ์พิเศษนั้น ใบหน้าที่เคยขาวกระจ่างของทั้งคู่เริ่มเจือด้วยสีแดงระเรื่อ ยามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้

“แม่เรียก กูไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันที่บ้านพี่คชาตรงริมน้ำ”

เอราวัตกล่าวจบก็รีบวิ่งปรู๊ดขึ้นบ้านไป คืนฉายยังยืนอยู่ที่เดิม กล่าวขึ้นไล่ไหลังไปว่า “ไอ้เวรไม่แน่จริงนี่หว่า ไหนว่าไม่กลัวใครเห็น พอแม่เรียกทำไมรีบไป เหอะไอ้ปอดเอ๊ย”

เมื่อเอราวัตลับตาไปแล้ว คืนฉายจึงกลายเป็นลำแสงฟ้าจ้า พุ่งตรงไปยังบ้านพี่คชาริมโขง ตามที่นัดกับเจ้าพระพุธไว้  คืนนี้มีนัดกันไปซุ่มดูคนที่ทำเสน่ห์พี่คชา ....แล้วคนที่มาทำเสน่ห์ใส่ตัวเขาเล่าใครจะจัดการ

เสียงเพลงลึกลับยังคงลอยมาตามลมไล่หลังคนทั้งสอง รอยแย้มยิ้มอ่อนๆเจือทั่วใบหน้าทั้งคู่  “เมื่อกี้ มันคงไม่ใช่ความฝันแน่นอน”

เจ้าพระพุธกับพระศุกร์จะรู้ไหมหนอว่า เหตุการณ์เมื่อสักครู่ มีสายตาสองคู่ จับจ้องมองดูอยู่ คู่หนึ่งในสองนั้นก็คือต้นเสียงผู้ขับขานเพลงหวานซึ้งลอยมาตามลม อีกคู่หนึ่งที่เหลือ เป็นผู้สร้างและบันดาลให้เกิดสายลมลึกลับ ที่ยามกระทบโดนผิวกาย จะก่อให้เกิด ....ความโหยหา และหัวใจที่อ่อนหวาน

“เยี่ยมยอดมาก ไอ้ฉัตร เสียงเพลงนายมีมนต์เสน่ห์จริงๆด้วย”

“แต่มันก็ไม่เท่า มนต์สิเน่หา จากจันทรเทพหรอก ใช่ไหมไอ้กลด ร้ายนักนะมึง ครอบงำจนมันจูบกันได้”

“ฮะฮ่าๆ ....ไอ้สองคนนั่นมันต้องโดนแบบนี้แหละ แต่มนตราของฉันน่ะ คงไม่ได้ผลมากหรอก หากมันไม่มีใจให้กันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”

“นายหมายความว่า...”

“หมายความอย่างที่นายคิดแหละ...ทีนี้เรามารอลุ้นดีกว่าว่า ไอ้สองคนนี่จะทำอย่างไรต่อไป เชื่อฉันเหอะ คู่นี้ ไม่ธรรมดาแน่ๆ รักหลอกๆที่พวกมันสร้างขึ้น คงไม่แคล้วเป็นของจริง”

รัศมีสีฟ้าพุ่งปราด ลงมายังนอกชานของเรือนริมโขง พอสลายก็กลายเป็นร่างของคืนฉาย ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ เจ้าตัวเอามือลูบคลำริมฝีปากตนเองอยู่เช่นนั้น แล้วทรุดกายลงนั่งเหนือบนผนังฉลุลายไม้ สายตาทอดมองไปยังลำน้ำโขงที่กระเพื่อมไหวด้วยแรงลมอยู่เป็นระลอก

“เมื่อกี้เราจูบกับไอ้พระพุธ”

เขาพึมพำกับตัวเอง เหมือนไม่เชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่จะเกิดขึ้นจริง ที่ผ่านมาได้แต่เล่นๆกัน แล้วคราวนี้ล่ะ จะเป็นจริงหรือไร ไยไอ้พระพุธมันถึงไม่ยอมถอนปากออกไป ใยมันประกบแน่นสนิทขนาดนั้น แถมตอนสอดลิ้นเข้าไป ยังตวัดลิ้นมารับเสียนี่ มันคิดอะไรของมัน .....หรือจะถามมันตรงๆดีไหม หากไม่ได้คิดก็จะได้แล้วกันไป เพราะต่างคนต่างจะไม่ได้ติดหนี้บุญคุณกัน แต่ถ้าหากคิดขึ้นมา เขาควรจะทำอย่างไร

สนองตอบหรือปฏิเสธ เพียงแค่คำว่าปฏิเสธผลุดขึ้นมาในหัว รัศมีสีฟ้าที่เริ่มเจือชมพูก็สั่นไหว หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบ เกิดอะไรขึ้นอีก ทำไมหัวใจเหมือนจะคัดค้าน ในเมื่อเพียงแค่คิดเฉยๆ  ที่ผ่านมา ในบรรดาหมู่เพื่อนๆด้วยกัน เขายอมรับว่าสนิทและเล่นหัวกับเอราวัตมากที่สุด อาจเป็นเพราะถูกอัธยาศัย แต่บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป อัธยาศัยคงกลายเป็นเหตุผลรองไปแล้ว ด้วยเพราะเหตุแห่งสายลมและเสียงเพลงปริศนานั้นนั่นเอง

“นายจะคิดเหมือนฉันหรือเปล่าวะไอ้พระพุธ ...ฉันอยากรู้จริงๆ”

คืนฉายยังคงนั่งครุ่นคิดพิงระเบียงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลมพัดเอาหยาดน้ำเม็ดใหญ่ๆ ที่หล่นร่วงมาจากฟ้ามืด ลอยมากระทบร่างจึงลุกขึ้นถอยเข้าข้างใน จู่ๆ ฝนก็ดันตกมาได้ แล้วไอ้พระพุธไปไหนเนี่ย ไหนว่าจะตามมา ป่านนี้ยังไม่มาซะที เขาไม่อยากนั่งเฝ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ยิ่งฝนตกพรั่งพรูมาอย่างนี้ .....มันเหงานัก

“รอนานไหมวะไอ้ฉาย พอดีหาร่มอยู่ แม่งฝนดันตกมาซะได้ ไม่มีเค้าเลย” และแล้วเจ้าคนตายยากที่เพิ่งบ่นถึงหยกๆ ก็เดินบ่นเข้ามายังไม่ทันจะเข้ามาในเรือนหลังน้อยด้วยซ้ำ

“อ้าว ทำไมไม่เหาะมาวะ เดินมาทำหอกหาร่มให้เสียเวลาทำไม”

“เดี๋ยวแม่กูเห็นจะตกใจน่ะสิ ....เออ แล้วมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบ้างไหม”

สิ่งใดเล่าที่ผิดปกติ เหตุการณ์หรือว่าหัวใจ “เหตุการณ์ปกติยังไม่มีอะไรคืบหน้า ....แต่มีบางอย่างที่เริ่มผิดปกติแล้วว่ะ”

“อะไรเหรอ” เจ้าพระพุธหุบร่มเดินขึ้นมาบนเรือนน้อย จ้องหน้าคนพูดอย่างสงสัย เอ๊ะ ทำไมไอ้ฉายต้องหน้าแดง “อะไรที่มึงว่าผิดปกติ”

เจ้าพระศุกร์อึกอัก ตอบไม่ถูกครั้นจะบอกมันไปว่า หัวใจเริ่มรู้สึกแปลกๆ คำพูดเหล่านั้นก็ดันจุกอกติดคอมาเสียนี่ “เอ่อ....ก็ฝนไงดันตกมาเสียได้ แล้วแม่เรียกไปทำไมวะ”

ดูเอาเถิด คนปากแข็งแกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่นจนได้ เอราวัตก็จับสัมผัสนั้นได้ ‘ไอ้ฉายมีอะไรปิดบัง’ แต่เขาจะไปว่าคืนฉายก็ไม่ได้ เพราะตนเองก็มีบางสิ่งปิดบังเอาไว้เช่นกัน เขาเองก็เริ่มรู้สึกถึงอาการทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะในส่วนที่เรียกว่าหัวใจแล้ว.....สายใยสีชมพูบางเบาเริ่มโยงใย หรือจะเป็นสายใยดั่งเคยได้ยิน  ‘ใยใดจะเบาเท่าใยรัก ใยใดจะหนักเท่าใยใจ’

 “อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอก แม่เรียกให้ไปเอา ช็อกโกแลตน่ะ ของโปรดของกูเลยนะโว้ย นี่ไงเอามาเผื่อมึงด้วย” เอราวัตแกล้งทำเป็นไม่สงสัยในอาการผิดปกติ เปิดกล่องช็อกโกแลตให้คืนฉายดู แต่แล้วตัวเขาเองก็ต้องผงะ มาเสียนี่เพราะทั้งกล่องนั้นดันกลายเป็นช็อกโกแลตรูปหัวใจไปเสียหมด

“เฮ้ย เมื่อกี้ไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่นา”

คืนฉายชะโงกหน้าไปดูหมายจะเอื้อมมือหยิบสักชิ้นแต่ก็ต้องชะงักงัน ‘ช็อกโกแลตรูปหัวใจ’ ใครจะกินลง ใครหนอช่างมาเล่นตลก ทำเอาคู่รักหลอกๆ ถึงกับยืนนิ่งอึ้ง

“รูปหัวใจหมดเลย ไม่กล้ากินหรอก มึงกินไปคนเดียวเหอะไอ้พระพุธ”

เอราวัตก็ตอบไม่ถูก แต่ถ้าจะเดาต้องเป็นฝีมือของใครคนใดคนหนึ่งในบรรดาสหายที่เหลือแน่ๆ ที่สามารถนิรมิตเปลี่ยนรูปได้ เขามั่นใจว่าก่อนลงมา ช็อกโกแลตยังเป็นแท่งเต็มกล่อง แล้วตอนนี้เหตุไฉนกลายเป็นหัวใจ  ทำไงดี แล้วเขาจึงพูดแก้เก้อไปว่า

“กินๆไปเหอะ รูปอะไรก็ช่างมัน ....อย่าเรื่องมากน่า”

กล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจถูกยัดเยียดให้หยิบ เจ้าพระศุกร์จึงสนองหยิบขึ้นมา คำพูดบางคำหลุดออกจากปากไปโดยที่ตัวเองก็เริ่มยั้งไม่อยู่

“ อ่ะก็ได้ .....เดี๋ยวจะเสียน้ำใจ ว่าแต่ มึงเอาหัวใจมาให้กู ให้แล้วให้เลยห้ามเอาคืนนะโว้ย”

“ไอ้บ้า”

ไอ้พระศุกร์มันคงพูดเล่นไปเรื่อยโดยไม่คิดอะไร แต่มันจะรู้ไหมว่าคำพูดพล่อยๆของมันนั้น มันทำให้ คนอย่างเขาเขินเป็นเหมือนกัน และครั้งนี้... คงเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตละมั๊งที่เอราวัตจะหน้าแดงเป็นกับเขาบ้าง ส่วนคืนฉายที่หยิบมาแล้วก็ดันไม่กิน ดันเก็บเอาใส่กระเป๋าเสื้อเสียฉิบ

“อ้าวเอามาให้กิน เสือกเก็บเอาไปทำไม”

“กูไม่ได้บอกว่ากูจะกินซะหน่อย ใครจะกินลง ช็อกโกแลตรูปหัวใจสวยขนาดนี้ มันก็ต้องเก็บไว้คู่กับหัวใจกูสิ” คืนฉายไม่สนใจยังคงยัดช็อกโกแลตเข้ากระเป๋าเสื้อข้างซ้าย เก็บแนบไว้กับหัวใจตามที่บอก

รัศมีสีเขียวอ่อน นวลเย็นตา บัดนี้อบอุ่นยิ่งขึ้นด้วยสีชมพูสอดประสาน ไอ้พระศุกร์พูดอะไรของมัน ตอนนี้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเกด อย่าพูดอย่างนี้ หากไม่ได้คิดจริงๆ นายมันชอบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง อย่ามาทำให้คนที่ชอบผู้หญิงอย่างเราเกิดความหวั่นไหว เพราะหากมันเกิดขึ้นแล้ว  มันก็ยากที่จะลบเลือนออกไปง่ายๆ ฉะนั้นจงอย่าให้มันเกิดขึ้นเลย ....และอีกอย่างนายคงมีหัวใจหลายดวงเก็บเอาไว้อยู่แล้ว ไอ้พระศุกร์

“ท่าทางมึงคงจะเก็บไว้หลายดวงสินะไอ้ฉาย”

“ถ้าเป็นตอนก่อนคงใช่ แต่ตอนนี้คงเก็บไว้เพียงดวงเดียว นายอาจจะมองว่าฉันเป็นคนเจ้าชู้ ชอบทำร้ายจิตใจคน ขี้เบื่อ แต่ขอให้รู้ไว้ว่า คนอย่างนายคืนฉาย หากรักใครนั้นรักจริง และจะไม่เบื่อง่ายๆ ที่ผ่านมาฉันอาจจะไม่ดีพร้อมเหมือนใครๆ แต่ฉันก็จะพยายามและพร้อมจะทำให้ดีขึ้นไป เพื่อใครสักคน” คำแทนตัวว่า “กู”และ “มึง” จางหายกลายเป็น “ฉัน”และ “นาย”มาแทนที่ คืนฉายยั้งปากไม่อยู่แล้ว คำพูดบางคำที่เมื่อกี้ตีบตันจุกอยู่แค่คอหอย ถูกปล่อยออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว

เอราวัตฟังแล้วก็เกิดอาการวาบที่ในใจ ใบหน้าจากแดงระเรื่อกลายเป็นแดงแป๊ด ยิ่งกว่ารัศมีกายของอัสดง คืนฉายหมายถึงใคร .... นายทำให้ฉันหวั่นไหวจริงๆแล้ว ‘ฉาย นายพูดอะไร นายคงไม่ได้หมายความตามที่ฉันคิดใช่ไหม’ ครานี้เป็นเอราวัตเองแหละที่เกิดอาการคำพูดจุกอยู่ที่กลางอกเรื่อยมาจนถึงลำคอบ้าง แต่ก่อนที่คืนฉายจะตอบ สายฝนดันสาดเข้ามาบนนอกชานของเรือนน้อยริมโขง ทำให้ทั้งสองที่ยืนอยู่ต้องวิ่งหลบเข้าข้างใน เสมือนจงใจให้อยู่ใกล้ชิดเข้าไปในที่ลับตา

“เข้าไปหลบฝนข้างในกันก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

ครั้นพอเปิดประตูออกเท่านั้นแหละ อะไรบางสิ่งที่ยาวเหมือนขดเชือกก็พุ่งสวนออกมาประจันหน้า ด้วยเดชแห่งเทวะทั้งสองจึงหลบเลี่ยงไปได้อย่างหวุดหวิด ลักษณะลำตัวที่ยาวยิ่ง เมื่อพลาดเป้า ก็มาขดตัวรวมกองขยายใหญ่ แผ่พังพาน ชูคอสูงเหนือศีรษะเทวะน้อยทั้งสอง ลิ้นสองแฉกแลบแปลบปลาบรวดเร็วกว่าสายฟ้าแลบ เสียงขู่ฟ่อๆ ดังน่ากลัวกว่าฟ้าที่ร้องครืนๆอยู่ตอนนี้หลายเท่านัก เกล็ดดำมะเมื่อมดั่งสีนิลดำน่าสะพรึงกว่าความมืดมิด มองเผินๆคล้ายงูจงอางยักษ์หากแต่หงอนสีแดงนั่นแหละทำให้บอกลักษณะทันทีได้ว่าไม่ใช่ ลักษณะคล้ายน้องดื้อยามคืนร่าง แต่ไม่เหมือน และไม่งามเท่า 

“พญานาค!”

ไวดั่งความคิด อาวุธประจำกายแห่งเทวะน้อย ถูกนิรมิตให้มาอยู่ในมือ เอราวัตถือหอกเตรียมพร้อม พญานาคตนนี้ ท่าทางคงไม่ได้มาดีและคงไม่ใช่บริวารของสีทันดรแน่ๆ

“สมุนของสีทันดรหรือเปล่า”

“คงไม่ใช่ ....ถ้าใช่คงไม่จู่โจมเรา และคงไปเฝ้าน้องดื้อแล้ว ลองเจรจากันก่อนดีกว่า”

เอราวัตตั้งจิตแผ่กุศล หากไม่เคยมีสิ่งใดบาดหมางต่อกันก็จงกลับไปเสีย แต่ท่าทางนาคตนนั้น คงจะไม่สนใจฟัง กลับชูคอสูงขึ้นไปอีก ดวงตาแดงก่ำจ้องลงมาหมายสังหารเทวะน้อยทั้งสอง พังพานแผ่เต็มที่สูงสุดใหญ่เกือบเท่ากระด้ง เตรียมพร้อมพุ่งฉกลงมา

“คงไม่เป็นผล มันเอาเราแน่ๆ”

“ที่นี่ไม่ใช่กิจของพวกท่าน กลับไปเสีย” เสียงเสนาะแว่วเข้ามาในโสตประสาทของคืนฉายกับเอราวัต นาคตนนี้ไม่ใช่เพศผู้ แต่กลับเป็นนางนาค แล้วทำไมนางถึงได้ขึ้นมาบนนี้ หรือมีอะไรโยงใยกับพี่คชา

“ที่นี่ไม่ใช่ภพภูมิของเจ้า เจ้านั่นแหละกลับไป เราไม่อยากรังแกผู้หญิง” พลังแห่งพระศุกร์อัดแน่นเต็มผ่ามือเตรียมพร้อมหากนางพญานาคพุ่งสวนเข้ามา เขาจะได้ซัดพลังได้ทันท่วงที

นางนาคมิฟังสิ่งใดทั้งสิ้น พุ่งสวนลงมา เอราวัตกับคืนฉายลอยหลบ พร้อมซัดอาวุธเข้าใส่ แต่เกิดอาการลังเล เพราะไม่อยากรังแกผู้หญิง นางนาคจึงวกกลับเข้ามาหมายยังร่างของพระพุธ พระศุกร์รีบซัดรัศมีสีฟ้าเข้าไปสกัดกั้น ซัดร่างนางนาคกระเด็นลงจากเรือนกระทบต้นไม้ด้านล่างจนเอนลู่ เสียงดังพลั่กลั่นสนั่นพร้อมเสียงสตรีร้องโอดครวญดังลั่น

“โอ๊ยยยยย”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 09-07-2019 17:44:28
เอราวัตขยับหอกในมือเตรียมพุ่งลงไปเสียบร่าง แต่ก่อนที่หอกแห่งเทวะจะพุ่งทะยานออกไป ก็กลับมีเสียงเด็กทารกร้องจ้าดังขึ้นอยู่ด้านใน มือทั้งสองข้างชะงัก

“เสียงเด็กร้องนี่ อยู่ในบ้าน”

“นางบังอาจจับเด็กมนุษย์มาเป็นเหยื่อหรือนี่”

นางนาครีบชูคอขึ้นโผนทะยานมาบนนอกชานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่เทพน้อยทั้งสอง นางกลับหลอกล่อให้ทั้งสองหลบไปอีกทางแล้วลอยสวนเข้าบานหน้าต่างเข้าไปด้านในบ้าน เอราวัตกับคืนฉายที่เสียรู้ สบถลั่น

“ฉิบหาย มันเข้าไปแล้ว รีบไปดูเด็กกันเหอะ”

ทั้งสองโผนทะยานเข้าไปบ้าง พอเข้าไปถึงก็ต้องยืนนิ่งอึ้งเพราะภาพที่ปรากฏแก่สายตาในขณะนี้ ไม่มีวี่แววและเค้าพญานาคเลยสักนิดกลับมีดรุณีแน่งน้อยผู้หนึ่ง นั่งกอดทารกน้อยคนหนึ่งไว้แนบอก ทารกน้อยผู้นั้นร้องไห้จ้า นางนาคพยายามเอาร่างตนเองบังไว้ กล่าวกับเอราวัตและคืนฉายว่า

“จะฆ่า ก็ฆ่าข้า ....แต่ปล่อยลูกข้าไว้”

“อะไรนะ....เด็กทารกเป็นลูกของเจ้า” หอกที่ค้างไว้ในมือหมายสังหารลดลงทันใด นางนาคในร่างมนุษย์หันมาเผชิญหน้านั่งอยู่บนเตียงนอนของคชา ดรุณีแน่งน้อยนางนั้น กล่าวขึ้นทั้งน้ำตา

 “เอาชีวิตข้าไป แต่อย่าทำอะไรลูกของข้า”

นางนาคผู้นี้ใยเอาลูกมาไว้ที่นี่ เอราวัตใช้เทวฤทธิ์อ่านใจทันที แล้วภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นครั้งอดีตของนางนาคผลุดขึ้น ภาพเหล่านั้นเหมือนภาพพยนต์ ที่ฉายไปเรื่อยๆจวบจนจบเหตุการณ์ “เจ้ากับพี่คชาเป็นสามี ภรรยากัน”

“ใช่....ข้ามีสัมพันธ์กับชายผู้นั้น และเด็กทารกนี้ก็เป็นลูกของเขา ข้าไม่สามารถคลอดในภพของข้าได้จึงขึ้นมาคลอดที่นี่ พอดีพวกท่านเข้ามา ข้าจำเป็นต้องจู่โจม”

ดรุณีแน่งน้อยนางนั้นกล่าวขึ้น แขนทั้งสองข้างยังโอบอุ้มทารกน้อยไว้แนบอก นางผู้นี้มีรัศมีไม่เรืองรอง เฉกเช่นสีทันดร ความงามนั้นเทียบไม่ได้กับพระนางมุจลินทร์ที่เคยพบเมื่อครั้งไปทะเล นางคงไม่ได้มาจากวรรณะที่สูงเป็นแน่แท้ เครื่องแต่งกายก็เป็นเพียงผ้าแถบเคียนอก นุ่งผ้ายกจีบหน้านางเพียงเท่านั้น ดูเผินๆคล้ายนางมนุษย์ในสมัยโบราณเสียมากกว่า นางเริ่มลุกลงจากเตียงทรุดกายลงนั่งกับพื้น กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

“ท่านเป็นเทวะ โปรดเมตตาข้าด้วย ....อย่าสังหารลูกข้าเลย หากท่านต้องการชีวิต โปรดเอาของข้าไป” เสียงสะอื้นร่ำไห้ดังลั่น คืนฉายกับเอราวัตหันมามองหน้ากัน และแล้วสาเหตุที่ทำให้พี่คชาเพ้อก็มาทรุดกายลงตรงหน้า จะสังหารนางก็ดูจะเป็นการโหดร้าย เพราะนางมีบุตรแถมบุตรคนนั้นก็ยังเป็นลูกของพี่คชาด้วย

“เจ้ารู้ไหม ว่าสิ่งที่เจ้าทำกับพี่คชามันผิด”

“ข้ารู้ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว จะทำสิ่งใดได้ คชาคือดวงใจของข้า โปรดอย่าพรากเราพ่อ แม่ ลูกให้จากกันเลย” นางนาคมิเหลือเค้าแห่งความดุร้าย ใบหน้านองไปด้วยน้ำตาอาบแก้มสะอื้นหอบจนตัวโยน ทารกน้อยก็ยังคงร้องไห้จ้า เหมือนจะรู้ว่า อาจจะต้องถูกพรากจากอกแม่

“เอาไงดีฉาย ....นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะ” เอราวัตหันมาปรึกษาคืนฉาย แล้วเขาก็ได้คำตอบว่า “ลองคุยกับน้องดื้อดู เผื่อน้องดื้อจะมีทางช่วย”

กระแสจิตถูกส่งมายังสีทันดร เพียงชั่วแวบแห่งความคิด สีทันดรก็เสด็จมาปรากฏพระวรกายอยู่กลางห้องพร้อมด้วยอัสดง ทรงกลดและคันฉัตร

“มีอะไรเหรอ พี่ฉาย พี่เอราวัต พวกเรากำลังจะดูหนังกันอยู่เลย แล้วนี่มาดักซุ่มดูด้วยกัน คงมีอะไรคืบหน้าแล้วสิ” สีทันดรตรัสมายิ้มๆ เพราะทรงกลดกับคันฉัตรถ่ายทอดเรื่องราวให้ตนกับอัสดงฟังหมดแล้ว

“ได้เสียยิ่งกว่าได้อีก....นี่ไง เจ้าช่วยนางหน่อยเถิด”

สีทันดรปรายพระเนตรไปมองทันใด ครั้นพอทอดทอดพระเนตรเห็น ก็ขมวดพระขนง เพราะทรงรู้ว่านางผู้นี้คือใคร นางนาคเองเมื่อรู้ว่าใครเสด็จมา ก็คุดคู้กายแทบจะแนบติดอยู่กับพื้น ตัวสั่นเกรงพระราชอาญา ‘ทูลกระหม่อมเล็ก’ ที่ทั้งบาดาลเรียกขานหรือ ‘พระราชนัดดาสีทันดร’ เสด็จมาที่นี่แล้ว ชีวิตตนคงดับสูญเป็นแน่ ถึงแม้จะมิใช่เจ้าแห่งนาคาอย่างพญาอนันตนาคราชพระผู้ทรงเป็นสมเด็จพระอัยกา แต่ทูลกระหม่อมเล็กผู้นี้ ก็เป็นที่เกรงไปทั่ว เพราะรู้กันดีว่า ‘ทรงร้าย’ เพียงใด
 
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ใครใช้ให้เจ้าขึ้นมา” พระสุรเสียงที่ดังจนเกือบตวาด ยิ่งทำให้นางนาคตัวสั่นยิ่งขึ้น เอราวัตรีบบอกให้ใจเย็นๆ แล้วช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาให้แทน ครั้นพอเรื่องราวจบ พระสุรเสียงใสเสนาะ คราวนี้ไม่เกือบตวาด กลายเป็นตวาดลั่น

“เจ้าทำอะไรลงไป เจ้ารู้กฎแห่งทิพยภพหรือไม่”

“ฝ่าพระบาท ...หม่อมฉันทราบดีเพคะ แต่หม่อมฉันห้ามใจไม่อยู่”

“เราอยากจะฆ่าเจ้านัก กฎแห่งทิพยภพและบาดาลห้ามไว้แล้วว่า ห้ามนาคทั้งหลายเกี่ยวข้องมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมนุษย์ นี่เจ้ากล้าฝืนแถมยังมีลูกกันอีก แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกับลูกของเจ้า อย่าบอกเรานะว่าจะเอาลูกลงไปข้างล่าง” ข้างล่างที่ทรงหมายถึงคงไม่แคล้วบาดาล

“หามิได้เพคะ หม่อมฉันคงเอาไว้ที่นี่ ....ที่ผ่านมาก็ผิดมากพออยู่แล้ว ที่หม่อมฉันขึ้นมาจนมาเจอคชาก็เพราะหม่อมฉันมิอยากถูกถวายตัวเป็นพระสนม ในทูลกระหม่อมใหญ่ พระสมุทรสงครามรณรักษ์เพคะ”

“เจ้าว่าอะไรนะ”

สีทันดรพอได้สดับฟัง พระชงฆ์แทบทรุด นางนาคผู้นี้มีเกณฑ์ที่จะต้องถวายตัวให้พระเชษฐาพระองค์ใหญ่ เอาแล้วเรื่องวุ่นๆมันก็ยิ่งวุ่นเข้าอีตรงนี้ ‘พี่ชายใหญ่’ นั้นทรงดุเสียยิ่ง หนทางที่จะรอดคงไม่มี เห็นทีคงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

“เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น หากพี่ชายเรารู้” สิ้นรับสั่งนางนาคสะอื้นร่ำไห้หนักยิ่งขึ้น แทบจะคลานมากอดข้อพระกร อ้อนวอนทูลขอพระเมตตา

“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ช่วยหม่อมฉันด้วยเถิด”

“เราไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้าอย่างไรน่ะสิ ตอนนี้กฎก็ต้องเป็นกฎ เราคงต้องกราบทูล พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เจ้าก็รู้ นาคเมื่อมีลูกกับมนุษย์ กฎแห่งบาดาลบ่งบอกไว้ชัดแล้วว่า พ่อ แม่ ลูก จะต้องถูกแยกจากกัน เจ้าคงต้องกลับไปรับโทษ ส่วน สามีและบุตรเจ้าสุดแล้วแต่พระเมตตา”

“ช่วยหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”

อาการของนางนาคขณะนี้ปานจะขาดใจ เสียงร่ำไห้ทำให้เทวะน้อยทุกคนเห็นใจสงสาร อัสดงเดินเข้ามาบีบพระหัตถ์ กล่าวเบาๆว่า “ไอ้ดื้อของอัสสะ ช่วยนางหน่อยไม่ดีเหรอ หากเป็นเจ้าต้องถูกแยกจากเราไปบ้าง เจ้าจะทนได้ไหม เห็นแก่อัสสะสักครั้งหนึ่งเกิด”

พระอารมณ์กริ้วปังเริ่มลดทอน ทรงคิดได้ หากเป็นตนบ้างเล่า หากต้องโดนแยก วันนั้น ตนอาจไม่ต่างอะไรกับนางนาคตนนี้ สีทันดรทรงนิ่งชั่วครู่ ถอนพระทัยออกเฮือกใหญ่ ทรงหันไปมองเทวะน้อยทุกคนก็พบว่าสายตาทุกคู่วิงวอนร้องขอ

“เอาล่ะเราจะลองดู หากเกิดเรื่อง เราจะลองรับหน้าดูให้ ตอนนี้เจ้าพาลูกเจ้ามาหลบอยู่ที่นี่ก่อน ....แต่เราไม่รับปาก ว่าเราจะช่วยเจ้าได้แค่ไหนกัน”

“แค่ทรงช่วยก็เป็นพระกรุณายิ่งนักเพคะ หม่อมฉันจะไม่มีวันลืมพระเมตตา” นางนาคกราบพระบาทเทวนาคาพระองค์น้อย แล้วสลายร่างหายวับไปพร้อมๆกับบุตร สีทันดรทรงถอนหายใจมาอีกเฮือก ตรัสอย่างเหนื่อยอ่อนพระทัยยิ่ง 

“พี่เอราวัตเตรียมรับศึกแห่งพี่ชายเราเถิด ป่านนี้คงจะทรงทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณแล้วมั้งว่าเกิดอะไรขึ้น คงจะเสด็จมาที่นี่ภายในไม่ช้า”

“ครับน้องดื้อ แต่พี่ว่า น่าจะเจรจาตกลงกันได้ แต่ทำไมกฎแห่งบาดาลมันช่างโหดร้ายนัก”

“เทวะนาคาอย่างเรา บทจะไม่มีเหตุผล ก็ไม่มีเหตุผล หรือบางทีอยากจะมี ก็หามาได้หลายร้อยล้านแปด กฎก็คือกฎเพื่อป้องกันความยุ่งยากในภายหลัง นาคเมื่อมีลูกกับมนุษย์จะถือเพศตามบิดา หากบิดาเป็นมนุษย์ มารดาเป็นนาค บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นมนุษย์แต่มีเชื้อนาค หากบิดาเป็นนาคที่ไม่ใช่เทวนาคา บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นฟองไข่ก่อน แล้วค่อยแตกเป็นมนุษย์ มนุษย์เชื้อนาคพวกนี้ มีฤทธิ์ตามสมควร สวรรค์และบาดาล มิอยากให้เกิดความยุ่งเหยิง จึงจำต้องแยกออก ยิ่งถ้าบิดาเป็นเทวนาคาด้วยแล้ว บุตรที่เป็นมนุษย์กึ่งนาคนั้น จะมีกฤษดาภินิหารมากทีเดียว พวกพี่ๆลองคิดดู หากพวกนี้ใช้ฤทธิ์ โลกมนุษย์มิเกิดความแตกตื่นวุ่นวายเหรอ ที่จู่ๆ มนุษย์พวกนี้ก็แปลงร่างเป็นงูใหญ่ คายพิษไปทั่ว”

“มันก็จริง แสดงว่า สมัยก่อนเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้วสิ”

“อืม .....ก็พระร่วงไง พวกเจ้าคงเคยได้ยิน มารดาท่านเป็นนาค พ่อเป็นมนุษย์ ท่านเป็นกษัตริย์กรุงละโว้ ส่วนอีกคนหนึ่งก็พระปทุมสุริยวงศ์กษัตริย์เขมร ท่านนี้มีฤทธิ์เพราะบิดาเป็นเทวนาคา แต่โชคยังดีที่ทารกน้อยเมื่อกี้มีมารดาเป็นแค่นางนาคที่ไม่ใช่เทวะนาคา นางเป็นเพียงนาคในสกุลกัณหาโคตมะพวกกายสีดำ  ทารกผู้นั้นคงมีฤทธิ์ไม่มากมายอะไรนัก มิฉะนั้นสวรรค์คงจะเข้ามายุ่งด้วย คงจะเป็นเรื่องใหญ่โตทีเดียว เรื่องนี้คงจะเป็นธุระทางฝ่ายบาดาลเพียงเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ยุ่งเพราะนางต้องเกณฑ์ถวายตัวเป็นพระสนม แต่นางกลับมาสมสู่กับมนุษย์ เป็นการหักพระพักตร์ทำให้พี่เราเสื่อมพระเกียรติ พี่เราคงไม่ยอม”

“ถ้าพี่ชายเจ้ามา เราจะบอกให้ไปหานางนาคาตนอื่นแทนเสีย นาคมีตั้งหลายตน อย่ามาติดใจอะไรกับตนเดียว”

“ไม่ได้หรอกอัสสะ นางนาคีผู้ที่ต้องเกณฑ์ถวายตัวนั้นถูกกำหนดชะตาไว้ตั้งแต่เกิดแล้ว พวกนางจะมาจากนาคชนชั้นปกครอง หรือพูดง่ายๆ ก็พวกเสนาบดีหรืออำมาตย์นั่นแหละ เปลี่ยนแปลงมิได้ พี่ชายเราคือผู้ที่จะปกครองบาดาลต่อไปในอนาคต จำต้องรวมอำนาจแห่งนาคาสี่สายสกุลใหญ่ๆไว้ในอุ้งหัตถ์ ทั้งพวกนาคาวิรูปักษ์ หมู่นาคาเอราปถะ สกุลนาคาฉัพยาปุต และท้ายสุด สกุลนาคากัณหาโคตมะ ทั้งสี่เหล่านี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดีแห่งสายสกุลจึงต้องส่งนางนาคีมาสู่โอรสพระองค์ใหญ่ผู้ซึ่งจะครองบาดาล สกุลของเราสืบมาแต่พระกัศยปเทพบิดร จึงยิ่งใหญ่เหนือสี่สายสกุล ”

“แล้วน้องดื้อมีพระสนมกับเขาบ้างหรือยัง” คันฉัตรถามมายิ้มๆ ตรงกับใจของอัสดงกับทรงกลดยิ่งนัก สีทันดรนั้นหล่อ นางนาคที่ไหนเห็นก็คงอยากถวายตัวมาแทบทั้งสิ้น

“พี่ฉัตร เรากำลังพูดเป็นการเป็นงานอยู่นะ พาเล่นมาเสียนี่ เรายังไม่มีหรอก” คำตอบของสีทันดร สร้างความโล่งใจให้กับพระอาทิตย์และพระจันทร์ เหอะไอ้ดื้อ ถึงเจ้าจะมีเราก็ไม่ยอม เราจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีเมีย เจ้าต้องมีเราเท่านั้นเคียงคู่

“เจ้าสองคนจะยิ้มอะไรนักหนา นี่กำลังน่าสิ่วหน้าขวานนะ”  คราวนี้สีทันดรทรงหันมาไล่เลียงเอากับอัสดงและทรงกลดที่ยืนยิ้มแฉ่งด้วยความโล่งใจ เอราวัตอ่านความรู้สึกนั้นได้จึงกล่าวแทนมาว่า

 “มีคนสองคนเขาโล่งใจน่ะน้องดื้อ ที่น้องดื้อยังไม่มีว่าที่เมีย เพราะมันสองคนนั้น หมายมั่นปั้นมืออยากจะเป็นสามีน้องดื้อให้ได้”

“ไอ้พระพุธปากพล่อยเดี๋ยวเหอะมึง” อัสดงอยากจะเข้าไปเตะเอราวัตสักที อุตส่าห์คิดไว้ในใจแท้ๆเสือกพูดออกมาได้ ส่วนทรงกลดด้วยความที่ยืนอยู่ใกล้ๆ จึงซัดเข้าให้เสียหนึ่งที

“ไอ้ปากไม่มีหูรูด ชอบพูดเรื่องในใจคนอื่นดีนัก ที่เรื่องของมึงกับไอ้ฉายที่อยู่ในใจทำไมมึงไม่พูดไปบ้าง”

“ไอ้กลด ไอ้บ้านายรู้อะไรบอกมานะ อย่ามาปรักปรำ”

“เอาละๆ มันจะคิดอะไรก็ปล่อยมันไว้ก่อน แต่บอกไว้ก่อนนะโว้ย คนอย่างฉันน่ะขี้เกียจรอ ปล่อยให้รอนานๆ เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือน แต่เรื่องนั้นช่างก่อน ตอนนี้พวกมึงอย่าเพิ่งเล่นกันเลย อย่างที่น้องดื้อบอก เรามาเตรียมรับมือพี่ชายน้องดื้อดีกว่า” คืนฉายพูดปนยิ้ม จงใจหันหน้าไปทางพระพุธ กล่าวกระทบโดยเฉพาะ ทรงกลดกับคันฉัตรผู้ที่รู้เรื่องดีก็พลอยร้องวี้ดวิ้วกล่าวแซว .... เห็นไหม ทรงกลดก็รู้ ไอ้พระพุธมันก็คิดเหมือนเราคิดไว้ในใจ ในที่สุดเราก็ไม่ได้รู้สึกกับมันไปฝ่ายเดียว

“ไอ้ฉาย ไอ้เวรตะไล พูดอะไรของมึง”

“พอทีเล่นกันอยู่ได้ ไปกั้นเขตอาคมกันได้แล้ว” สีทันดรตะโกนลั่น แล้วเสด็จนำเทวะน้อยทั้งหลายออกไปนอกชาน พอเดินผ่านอัสดงกับทรงกลดก็ซัดให้เบาๆแก่ผู้ที่อยากเป็นสามีตนมาคนละที

“คิดบ้าๆ ทะลึ่ง”

สีทันดรเมื่อเสด็จออกมาแล้วก็เตรียมร่ายพระเวทสร้างม่านอาคมมิให้ผู้ใดที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาได้อีก แต่แล้วสายพระเนตรฟ้าครามใส ก็จับจ้องสิ่งผิดปกติได้ เมื่อทอดพระเนตรออกไปกลางม่านน้ำฝนที่หนาหนัก สายฟ้าแลบแปลบปลาบฟาดลงกลางลำน้ำ แสงที่สว่างจ้าทำให้ทรงเห็นว่า ใจกลางลำน้ำโขงบัดนี้นั้น มีสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ยาวผลุดขึ้นมาจนเต็ม

“พวกทหารราชองครักษ์”

ฉับพลันก็บังเกิดรัศมีสีเขียวสว่างจ้า ร้อนแรงกว่าของเจ้านาคาตาสวยพวยพุ่งโผนทะยานขึ้นมาจากผืนน้ำมายังนอกชานที่ทรงประทับยืนอยู่

“ไม่ทันแล้ว พี่ชายเสด็จ”

รัศมีเขียวนวลร้อนแรง พอสลายก็กลายเป็นหนุ่มน้อยอายุอานามมากกว่าสีทันดรไม่กี่ปี วงพักตร์น่ามองประพิมพ์ประพายละม้ายเจ้านาคน้อย ร่างนั้นประทับยืนไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหลัง สีทันดรทรุดกายหมอบราบกราบลงทันที

“ทูลหม่อมพี่ชายใหญ่”

โอรสาแห่งผู้ครองบาดาลและผู้เป็นพระราชนัดดาพระองค์ใหญ่ ในร่างมนุษย์หนุ่มน้อยอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบ กางพระหัตถ์ออกกว้างทันทีเมื่อเห็นว่าผู้ที่หมอบราบเป็นผู้ใด สุรเสียงห้าวดังกังวานขัดกับพระลักษณะยิ่งนัก กล่าวขึ้นดังถ้วนทั่ว

“สีทันดรน้องพี่ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  เจ้าสมควรจะอยู่ช่วย เหล่าเทวะอวตารมิใช่หรือ ไยเจ้ามาเล่นซนอยู่ที่นี่”

สีทันดรโผเข้าสวมกอดพี่ชายที่ทรงเปิดอ้อมพระพาหารอรับอยู่แล้ว พร้อมกับกราบทูลขึ้น “หม่อมฉันมากับพวกเทวะอวตารพะยะค่ะ มาเยี่ยมบ้านของท่านพระพุธ”

สิ้นคำกราบทูลเทวะน้อยทั้งห้าก็ออกมายืนอยู่นอกชาน ทั้งหมดเตรียมทรุดกายลงบังคม แต่พระเชษฐาแห่งเจ้านาคาน้อยทรงตรัสห้ามไว้  “อย่าเลย ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ศักดิ์เราเสมอกันน้องชายเราคงไม่ก่อเรื่องให้พวกท่านรำคาญใจนะ”

“ไม่เลย สีทันดรช่วยได้มาก ถึงแม้จะซนไปบ้างตามประสา”

“งั้นก็ดี ...เรามาที่นี่ เพื่อมาธุระ ตามหานาคีนางหนึ่ง พวกท่านเห็นหรือไม่” สุรเสียงห้าวหาญเข้าประเด็นโดยเร็วมิรอช้า น้ำเสียงนั้นคาดคั้นมากกว่าจะสอบถาม พวกเทวะนาคา หยิ่งอย่างนี้กันหมดทุกตนหรือไง อัสดงได้สดับฟังก็ไม่พอใจลึกๆ หากแต่ก็ยอมให้เพราะเป็นพี่ชายของยอดดวงใจตน

“เราเห็นแต่เทวะนาคาที่ท่านกำลังกอดอยู่ตอนนี้เท่านั้น ตนอื่นไม่เห็น” อัสดงไม่ได้พูดโกหก เพราะสายตาของเขาตอนนี้นั้นเห็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ พระเนตรฟ้าครามหากไม่งามเท่าสีทันดรจับจ้องมายังคนกล่าวตอบ ดุจจะเข้าไปในห้วงจิตใจ ค้นหาความจริง อัสดงเองก็มิได้สะทกสะท้านดวงตาสีอำพันจ้องตอบโดยไม่ลดละ เอราวัตกับทรงกลดเคยกล่าวไว้ว่า หากมีเรื่องกับเทวนาคาจะลำบาก ....แต่เขาไม่กลัวเลยสักนิด

“ร่างอวตารแห่งพระสุริยาทิตย์ พะยะค่ะ พี่ชาย เขาชื่ออัสสะ เอ๊ย อัสดง”

“เทวะที่ทำให้พวกเราลงมาอยู่บาดาลนี่เอง นึกว่าใคร เราชื่อ ทยุติธร รั้งตำแหน่งพระสมุทรสงครามรณรักษ์ ยินดีที่ได้พบที่นี่”

“เราก็ยินดีเช่นกัน” อัสดงซ่อนความไม่พอใจไว้ในสีหน้า พี่น้องคู่นี้เป็นอะไร ชอบกล่าวโทษเขาเรื่องที่ทำให้ต้องลงไปอยู่ที่บาดาล กะอีแค่เรื่องทายสีม้า พวกนี้ก็ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ตัวเองทำตัวทั้งนั้น ทำไมไม่มองความผิดตนเองบ้าง ช่างเหอะอดทนไว้ก่อน เขาเป็นพี่ชายไอ้ดื้อนี่

สีทันดรทรงจับได้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดจึงรีบเปลี่ยนเรื่องแนะนำเทวะน้อยแต่ละคนให้พี่ชายรู้จักจนทั่ว แล้วตรัสถามว่า

“เดือนก่อนหม่อมฉันได้พบมุจลินทร์ เห็นว่าทรงเสด็จพร้อมทูลหม่อมพ่อไปเข้าเฝ้าพระมหาศิวะไม่ใช่หรือ”

“ใช่พี่ไปมา ....ทรงมีเทวะโองการชี้ชัดมาแล้วว่าให้ทางบาดาลเตรียมกำลังหนุนไว้เสมอ หากอสูรบุก” ทยุติธรเมื่อทรงกล่าวกับน้องชายเสร็จก็หันมากล่าวต่อกับพวกอัสดงว่า “พวกท่านต้องรีบรวมตัวให้ครบได้แล้ว อย่าชักช้า”

“แต่พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปตามคนที่เหลือได้อย่างไร” ทรงกลดกล่าวขึ้น คันฉัตรกล่าวเสริมมาว่า “และเราก็ยังไม่รู้ว่าการใดที่เราต้องทำและคนที่เหลือเป็นใครกันบ้าง แต่เราก็คงเดาได้ไม่ยากว่าอีกสามคนที่เหลือเป็นใคร”

“มันก็จริงของพวกท่าน ในเทวะโองการเท่าที่เราทราบ มันก็เหมือนที่พวกท่านเล่ามา”

“แล้วสมเด็จแม่เป็นอย่างไรบ้างพะยพค่ะ” สีทันดรพยายามชวนพี่ชายคุยหันเหเปลี่ยนเรื่องเบนความสนใจ แล้วส่งกระแสจิตให้เอราวัตรีบถอยฉากออกไป พานางนาคไปซ่อนไว้เสียที่อื่นก่อน ด้วยความที่ทยุติธรทรงรักน้องชายและเอ็นดูเสียยิ่งนักจึงทรงคุยเพลิน ทำให้ไม่ทรงเห็นว่าเอราวัตถอยฉากหลบออกไปเงียบๆ เรื่องราวหลายหลายเรื่องทางบาดาลถูกทูลถามเพื่อถ่วงเวลา

“แม่บ่นคิดถึงเจ้า พี่ว่า ทูลหม่อมปู่วาสุกีทรงทำเกินไป ที่ลงโทษเจ้า พี่เลยไปกราบทูล ทูลหม่อมย่ามนสา ให้ทรงช่วย ท่านก็ทรงพาไปกราบทูล ทูลหม่อมปู่อนันตฯ ให้ แต่ ทูลหม่อมปู่พระองค์ใหญ่ กลับทรงเห็นด้วยกับทูลหม่อมปู่วาสุกีมาเสียนี่ ตอนนี้พี่รอให้สมเด็จทวดเลิกทรงฌาน จะได้ช่วยเจ้าคืนบาดาลไง เจ้ายังเด็กไม่เหมาะกับศึกสงครามหรอก” พระหัตถ์แข็งแรงลูบพระเศียรและพระเกศาพระอนุชามาอย่างเอ็นดู ก่อนจะประทานจุมพิตบนเรือนพระเกศาพระอนุชาอย่างที่ทรงกระทำอย่างเนืองๆ ทรงหวังช่วยให้น้องคืนบาดาล

“แต่หม่อมฉันช่วยได้นะ หม่อมฉันอยากมีส่วนร่วม อย่ากราบทูลให้ทรงวุ่นกันเลย หม่อมฉันขออยู่จนศึกจบ นี่ศึกยังไม่ทันบังเกิดเลย”สีทันดรตกพระทัย หากพี่ชายกราบทูลสำเร็จ ตนมิต้องคืนบาดาลหรอกเหรอ หลายๆอย่างตอนนี้เปลี่ยนไปหมดแล้วแม้แต่พระทัยก็เถอะ ตอนนี้อยากอยู่ที่นี่เสียมากกว่า ดวงพระเนตรฟ้าครามใสเริ่มมีน้ำคลอหน่วย หันมามองดวงตาสีอำพันของอัสดงโดยพลัน  หากต้องกลับจริงๆ คนที่เคยร้องเพลงให้ฟัง คงจะขาดใจดังคำร้องที่ก้องติดพระโสต... ‘หากเราจากกัน .....พี่ก็คงขาดใจ’

อัสดงเองอยากจะลุกขึ้น คัดค้านเฉกเช่นเดียวกับทรงกลด แต่ทรงกลดกลับใจเย็นกว่ารีบฉุดแขนอัสดงไว้ กระซิบว่า “ใจเย็นๆก่อนอัสดง อย่าผลีผลามปล่อยให้น้องดื้อชวนคุยไปก่อน อย่าเพิ่งขัด หากเรารบกับพี่ชายสีทันดรตอนนี้เราอาจแพ้ นายไม่เห็นเหรอ ทหารนาคมาเป็นกองร้อยรออยู่เบื้องหลัง เยอะกว่าคราวที่แล้วตอนบุกบ้านฉันเสียอีกนะ”

อัสดงจำยอมนิ่งเฉย แต่ก็ยังมีทีท่าไม่ค่อยพอใจ ลองดูสิใครมาพรากสีทันดรไป เขาจะจัดการให้น่าดูแม้แต่พี่ชายสีทันดรก็เหอะ ....ทยุติธรเห็นสีหน้าอัสดงกับทรงกลดไม่ค่อยจะพอใจนัก แถมยังจับจ้องมายังแต่สีทันดร จึงทรงหันมามองพระอนุชาก็ทรงพบว่าพระอนุชามีอาการไม่แผกแตกต่างกัน ฤาว่า พระอนุชาเกิดติดใจอะไรเสียให้เข้าแล้ว แล้วหนึ่งในสองเทวะนี่ พระอนุชาสนใจผู้ใด แต่ที่แน่ๆ สองเทวะนั้น สนใจพระอนุชาตนแน่นอน 

“อะไรกันสีทันดร  เจ้าเป็นอะไรไป ไหนว่าเจ้าอยากกลับ”

“แต่...ตอนนี้อยากช่วย”

“เจ้าจะไปช่วยอะไรได้ ดีแต่ก่อเรื่องวุ่นอย่างที่เคยทำ เอาล่ะพี่เสียเวลามามากพอแล้ว ขอพี่ตรวจที่นี่ดูสักหน่อย ทหารมันมารายงานว่า เห็นนางมาที่นี่”

“นางผู้ใดกัน” สีทันดรพยายามฉุดข้อพระกรพระเชษฐาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล “ก็นางที่จะมาเป็นพระสนมไง ทหารเห็นว่านางขึ้นมาที่นี่ แล้วทำไมเจ้าต้องลุกลี้ลุกลนด้วย”

“ปะ เปล่าพะยะค่ะ ทำไมนางถึงขึ้นมาล่ะ แต่หม่อมฉันอยู่ที่นี่ไม่เห็นมีวี่แววนาคสักตนขึ้นมาเลยหากขึ้นมาน้องย่อมรู้”

“เจ้ามัวแต่ซน จะไปรู้อะไร ปล่อยพี่ก่อน” ทยุติธรสั่งให้ทหารองครักษ์บริวารตรวจค้นให้ทั่ว แต่ไม่ทรงลืมที่จะขออนุญาตเทวะน้อยก่อน “เราขอรบกวนหน่อย หวังว่าคงไม่ขัด”

คำพูดที่ควรจะกลายเป็นคำขอร้อง กลับกลายเป็นคำสั่งกลายๆ สร้างความไม่พอใจอีกครั้ง นาคบริวาร ขึ้นมาจากน้ำเสาะหาถ้วนทั่วบริเวณบ้าน ส่วนทยุติธรเสด็จเข้าข้างในค้นหาด้วยพระองค์เอง

“พี่ชาย เดี๋ยวหม่อมฉันช่วยหา ประทับรออยู่ด้านนอกเหอะ ” สีทันดรรีบเสด็จมากางกั้นประตู ทำให้ผู้เป็นพระเชษฐาเริ่มสงสัย พี่เอราวัตอยู่ไหนกันกลับมาเร็วๆสิ

“อะไรกันนี่สีทันดร เจ้ากำลังมีพิรุธ จงหลบพี่ พี่จะเข้าไปดูด้านใน”

อัสดง ทรงกลด คืนฉายและคันฉัตรเตรียมรับมือ หากเอราวัตซ่อนนางนาคไว้ไม่ทัน ศึกกับเทวะนาคาคงไม่แคล้วเกิดขึ้น แต่แล้วก็เหมือนโชคช่วย เอราวัตเร้นกายกลับมาได้ทันท่วงที ส่งกระแสจิตถ้วนทั่ว

“เรียบร้อยพาไปไว้ที่ปลอดภัยแล้ว”

เมื่อนั้นแหละสีทันดรจึงหลบฉาก ถอยออกมายืนรวมกลุ่มกับพวกอัสดง ปล่อยพระเชษฐาเข้าไปตรวจดูข้างใน เวลาผ่านไปสักพัก ทยุติธรก็เสด็จกลับออกมา สีพระพักตร์ไม่ค่อยจะสบพระอารมณ์นัก ทรงกล่าวลอยๆขึ้น “ไม่มี เลิกค้นหาได้แล้ว เตรียมกลับบาดาล”

สีทันดรลอบถอนพระทัยด้วยความโล่งอก นึกว่าจะเกิดศึกมาเสียแล้ว พี่ชายยามทรงฤทธิ์น่ากลัวเป็นที่ยิ่ง พวกอัสดงไม่มีทางรู้หรอก “หม่อมฉันทูลแล้วว่าไม่มี”

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 09-07-2019 17:45:21
“เหอะ สีทันดร อย่าให้พี่รู้แล้วกันว่าเจ้าซ่อนหรือปิดบังอะไรพี่ไว้ ต่อให้เจ้าเป็นน้องพี่ พี่ก็จะลงโทษเจ้า ส่วนเรื่องของเจ้า รอไว้ให้พี่เสร็จธุระเรื่องนี้เสียก่อน เราคงจะต้องคุยกันยาว” ทยุติธร สะบัดพระพักตร์พรึ่ด ลอบมองอัสดงกับสีทันดร แถมยังเลยมายังทรงกลดด้วย ทั้งสามไยจะไม่รู้ ว่าทยุติธรทรงหมายถึงอะไร....เมื่อตรัสเสร็จก็ทรงสลายกลายเป็นแสงรัศมีเขียวทองเจิดจ้าลอยละลิ่วพุ่งลงแม่น้ำโขง เหล่านาคบริวาร ทรุดกายลงกราบลาสีทันดร แล้วพุ่งลงน้ำตามเจ้านายลงไปทันที

ทว่าทยุติธรคงยังมิทรงวางพระทัยนักจึงลอบสั่งให้กำลังส่วนหนึ่งแอบเร้นกายจับตาดู “พวกเจ้าจงจับตาดูสีทันดร และเทวะพวกนี้ไว้ เราเชื่อว่า พวกนี้ต้องรู้เรื่อง หากได้อะไรที่เป็นประโยชน์รีบมาบอกเรา”

“พะยะค่ะ”

เมื่อลับตาทยุติธรและเหล่านาคบริวารแล้ว คืนฉายก็กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายน้องดื้อท่าทางร้ายกาจน่าดู นายคงจะเจอศึกหนักแล้วล่ะ อัสดง ทรงกลด”

อัสดงกับทรงกลดยักไหล่อย่างไม่ยี่หระมาเกือบจะพร้อมกัน ไม่กลัวหรอก หากจะต้องมีเรื่องมันก็คุ้มค่านัก สีทันดรเองก็เริ่มจะไม่สบายพระทัยนัก

“ทรงเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ เวลาโกรธจะทรงฤทธิ์มาก พี่ชายเคยจัดการพญาครุฑด้วยอุ้งหัตถ์เปล่าๆมาแล้ว...ว่าแต่พี่เอราวัต พานางไปหลบไว้ที่ไหน”

“ที่ห้องพระ ซ่อนไว้พร้อมกับพี่คชา พวกเรารีบไปดูกันเหอะ” เอราวัตกล่าวจบก็เดินนำมุ่งสู่ตัวเรือนใหญ่ทันที เรื่องช่วยพี่คชาคงไม่ใช่เรื่องแค่แก้อาคมธรรมดาเสียแล้ว ‘ศึกกับเทวะนาคา’ อาจจะต้องเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาจะทำให้อย่างดีที่สุด เกิดศึกคงไม่ใช่เรื่องดี พ่อ แม่ ยายกับป้าและพี่คชาเป็นมนุษย์ หากเกิดอะไรขึ้นจะทานทนไหวหรือ น้องดื้อ เห็นทีพวกเราต้องพึ่งเจ้าจริงๆเสียแล้ว

ภายในห้องพระขณะนี้หลายๆคนกำลังนั่งภาวนาอยู่ในใจ ขออย่าให้เหตุการณ์ร้ายๆใดๆเกิดขึ้น คุณยายนั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าอย่างสำรวมอยู่บนพรมผืนสี่เหลี่ยม เพราะเบื้องหน้าคือเหล่าเทวะและเจ้านาคาพระองค์น้อย ส่วนตรงมุมห้องร่างของคชายังคงนอนหลับสงบเงียบ ข้างๆกันนั้นคือนางนาคีสกุลกัณหาโคตมะนั่งหมอบราบถัดไปจากทารกน้อยที่กำลังร้องอ้อแอ้

คราแรกที่คุณยายทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ตกใจแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ หากแต่ด้วย ศีลและสมาธิ ทำให้ดำรงอยู่ได้ หลายเรื่องหลายราวที่เกิดขึ้น ล้วนแปลกและพิสดาร หากเกิดมาแล้วมิช้าคงถึงจุดจบตามวัฏจักร แต่จะจบอย่างไรเล่า มันก็สุดเกินจะคาดคะเน

“เราจะทำอย่างไรต่อไปดี” เอราวัตเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หลายๆคนยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรต่อไป

“นางกับลูกคงอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะจะทำให้คุณยายกับคนในบ้านเดือดร้อน” สีทันดรตรัสมาแล้วชายพระเนตรไปยังนางนาค แล้วทรงตรัสต่อ “เจ้ารู้ใช่ไหม ว่าเจ้าทำอะไรลงไป การที่เจ้าทำเช่นนี้ ยังจะส่งผลร้ายต่อสกุลนาคากัณหาโคตมะของเจ้าและครอบครัวของชายอันเป็นที่รัก .....ที่จริงเราควรส่งเจ้าไปให้พี่ชายเรา แต่เราเห็นแก่ลูกของเจ้าที่ยังแบเบาะ หากถูกกำจัดทั้งหมด มันก็จะดูเป็นการโหดร้ายเกินไป”

“หม่อมฉันซาบซึ้งในพระเมตตายิ่งนัก หากรอดจากอาญาคราวนี้ สกุลกัณหาโคตมะ จะขออยู่ใต้อุ้งหัตถ์และเป็นข้ารองพระบาทของฝ่าพระบาทตลอดไป”

“นี่เจ้ายังคิดว่าเจ้าจะรอดจากอาญาอีกหรือเราช่วยเจ้าได้แค่ถ่วงเวลาและอาจจะช่วยทูลให้ไม่ต้องถึงกำจัด แต่อย่าได้คิดว่าเจ้าจะรอดจากการถูกทัณฑ์ เจ้าเคยคิดไหมว่าเจ้าทำให้มนุษย์ที่นี่เขาเดือดร้อน” พระสุรเสียงที่กริ้วปังทำให้นางนาคาตัวสั่นจากเดิมที่เคยหมอบแทบจะติดพื้น ยิ่งหมอบจนแทบจะแทรกลงไปในพื้นกระดาน ฝ่ายเหล่าอณูแห่งเทวะ ที่ได้เห็นสีทันดรในบทบาทเจ้าผู้ปกครองก็ยอมรับว่าต่างกับยามปกติสิ้นเชิง ....ศักติ เดชะและอำนาจ สีทันดรทรงพรักพร้อมสมกับเป็นเทวนาคาชั้นลูกท่านหลานเธอจริงๆ

“ใจเย็นๆก่อนน้องดื้อ ยังไงเด็กมันก็เป็นหลานพี่ พี่มั่นใจว่าคนที่บ้านพี่ยินดีเดือดร้อน น้องดื้ออย่าไปโกรธนางเลย” เอราวัตกล่าวขึ้นเพื่อให้พระทัยของสีทันดรเย็นลง “แต่ก็พี่เห็นด้วยกับน้องดื้อนะ ว่านางจะหลบอยู่ที่นี่ไม่ได้ เราคงต้องหาที่ใดสักที่พานางไปซ่อน”

“แต่เราจะซ่อนได้สักเท่าไร ไอ้พระพุธนายไม่เห็นเหรอ ว่าไอ้ขี้เก๊กนั่น มันยกทัพนาคมากี่กองร้อยดูท่าทางมันคงฉลาดเฉลียว ป่านนี้มันคงสั่งให้สมุนมันซุ่มดูอยู่รอบๆบ้านแล้ว ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวเมื่อใด คงมีอันได้เกิดเรื่อง” อัสดงยังคงโมโหไม่หาย จากพี่ชายของคนรัก กลายเป็น ‘ไอ้ขี้เก๊ก’ มาเสียนี่

“นี่อัสสะ น้อยๆหน่อย ยังไงเขาก็เป็นพี่ชายเรานะ” สีทันดรซัดไปหนึ่งตุบแต่อัสดงก็ไม่สะทกสะท้านแถมยังเถียงมาอย่างหน้าตาเฉย

“ อัสสะไม่สน พี่ชายเจ้า อยากมาทำท่าทางไม่พอใจเราก่อนทำไม”

“พี่ชายเราไปทำเจ้าตอนไหน”

“ก็ตอนที่เรามองเจ้า ตอนที่เจ้าคุยกับพี่แล้วพี่เจ้าจะให้เจ้ากลับบาดาล” คราวนี้เสียงเขาอ่อยลงมานิดหนึ่ง แล้วเจ้าตัวก็เอื้อมมือไปกุมพระหัตถ์บีบจนแน่น “เราขอสู้ตาย หากใครจะมาพาเจ้ากลับไป”

“โธ่อัสสะ มาพูดเรื่องนี้ทำไมตอนนี้ ....เราควรสนใจเรื่องนางนาคกับทารกน้อยและจะรับมือพี่ชายเรายังไงดีกว่า” เจ้านาคน้อยถึงกับถอนพระทัย เจ้าพระอาทิตย์นี่ มาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นเราอายรู้ไหม แถมยังพูดมาไม่ถูกกาลเทศะอีกด้วย

แน่นอนสายตาหลายๆคู่ซ่อนยิ้มมายังวรองค์ที่ประทับนั่งเคียงคู่ บรรยากาศแห่งความตึงเครียดถูกเจือมาด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะคุณยายชื่นชมเด็กหนุ่มทั้งสองคู่นี้ยิ่งนัก คนหนึ่งนั้นหรือหล่อเหลาสมกับเป็นเทวะแห่งแสงสว่าง ส่วนอีกองค์นั้นเล่า ก็งามเกินเทวะบุตร จะผิดไหมหากจะว่า ‘สมกันจริงๆ’ ยกเว้นแต่ทรงกลดเท่านั้นแหละที่เบือนหน้าไปอีกทาง ระยะหลังเขาแทบจะไม่มีโอกาสเข้าใกล้สีทันดรเลย เพราะอัสดงเป็นก้างชิ้นใหญ่ แต่ตอนนี้จำต้องร่วมมือกันต้านพี่ชายของสีทันดรไว้ เสร็จศึกค่อยว่ากัน

“เอาน่าไอ้พระอาทิตย์ นายใจเย็นๆก่อน  ฉันเองก็คงไม่ยอมให้ใครมาพาน้องดื้อกลับไปหรอกน่า ในความคิดฉัน ฉันว่าเราไม่ลองเปิดอกเจรจากับพี่ชายน้องดื้อดีกว่าไม่ดีหรือ เผื่อเขาจะเข้าใจและรับฟังเหตุที่เกิดขึ้น และเลี่ยงการรบได้” ด้วยอุปนิสัยที่ลอมชอม ประนีประนอม ทรงกลดมักเลือกการเจรจามากกว่าการใช้กำลังมาอยู่เสมอ หากใช้เหตุผล การเจรจาน่าจะสำเร็จ และเผื่อโชคดี พี่ชายน้องดื้ออาจจะเอ็นดูมาบ้างก็ได้

“เหอะคงจะสำเร็จหรอกไอ้กลด รบเป็นรบ ฉันไม่กลัว ดีซะอีก เทวะนาคาบางตน จะได้เห็นว่าฉันก็แน่เหมือนกัน ไม่ได้ยอมให้ใครมาข่มเอาง่ายๆ” อัสดงไม่ลดละ ไฟก็คือไฟวันยังค่ำ ไฉนเลยจะเย็นฉ่ำเหมือนแสงจันทร์ การเจรจาดูจะเป็นสิ่งน่ารำคาญ ยิ่งการเจรจานั้น อาจทำให้ตนดูด้อยค่าในสายตาของพี่ชายเจ้ายอดดวงใจด้วยแล้ว ใช้กำลังตัดสินน่าจะดีกว่า

 “พี่ชายเราดุและบางทีก็เอาแต่พระทัย แถมยังทรงหยิ่งในพระเกียรติยิ่งนัก เราว่าท่าทางคงจะยากนะพี่กลด ลองดูทางอื่นไม่ดีกว่าหรือ”

สีทันดรตรัสมาอย่างเข้าพระทัยพี่ชายตนเองดี เพราะตั้งแต่เล็กแต่น้อย พี่ชายตนเอาพระทัยตนเป็นที่ยิ่ง ด้วยความที่เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เป็นราชนัดดาองค์โต ใครๆก็ดูเหมือนจะเกรงพระทัย จวบจนตนเองประสูติมานั่นแหละ พี่ชายจึงยอมลดลาลงบ้าง เพราะทรงเห่อ น้องชาย เสียยิ่งนัก อะไรที่ทรงต้องการ พี่ชายจะทรงหามาให้ แถมบางทียังพาไปเที่ยวในยังสถานที่ที่ไม่เคยมีใครกล้าพาไป จนบางครั้งสมเด็จแม่ต้องทรงเอ็ดมาอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทรงลดละความร้ายกาจ ทรงยอมให้แค่ไม่กี่พระองค์เท่านั้น สีทันดรทรงรู้ยิ่งกว่ารู้ ว่าพี่ชาย ทรงเป็นนักรบแค่ไหน ฤทธานุภาพ มิเป็นสองรองใคร และทรงโปรดที่จะใช้กำลังตัดสินมากกว่าการเจรจา เฉกเช่น อัสดง

“แล้วพี่ชายน้องดื้อกลัวหรือเกรงใครบ้างไหม” คืนฉายถามขึ้น แล้วกล่าวต่อว่า “ถ้ามีก็ให้คนคนนั้นออกหน้าช่วยเจรจา คาดว่าพี่ชายเจ้าคงฟัง”

“พี่ชายเราเกรงสมเด็จทวด กลัวทูลหม่อมปู่ แต่เท่าที่มุจลินทร์บอกเราคราวก่อน ท่านทรงฌานอยู่ ทูลหม่อมปู่ก็เสด็จขึ้นเฝ้า”

“งั้นลองให้คนอื่นๆ ที่เป็นที่เคารพทั้งสามโลกมาลองพูดให้ดูสิ อย่างมหาเทพหรือมหาเทวี พระองค์ใด พระองค์หนึ่ง”  ทรงกลดเสนอขึ้น แต่ก็มีเสียงทักท้วงว่า

“ท่านคงจะทรงยอมหรอก ดีไม่ดี โทษอาจจะยิ่งหนักขึ้น หากความทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณ เรื่องนี้เป็นเรื่องของทางบาดาลอย่าให้โลกสวรรค์เข้ามาเกี่ยวเนื่องเลย”

ระหว่างที่เทวะน้อยๆกำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น คุณยายที่นั่งฟังอยู่นาน เห็นว่า หนทางนั้นตีบตันเหลือแสน ก็เลยจุดธูปจุดเทียนกราบหน้าพระประธาน ขอบารมีพระพุทธคุณช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ช่วยหาหนทางรอด ฉับพลันก็บังเกิดรัศมีสีทองเรืองรอง สว่างไสวจากพระพุทธรูปองค์นั้น ยามที่รังสีแห่งความเมตตาเฉิดฉาย สิ่งที่แว่บเข้ามาในพระทัยของสีทันดรคือ บารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่แล้ว ทำไมไม่ให้พระช่วยเล่า พี่ชายที่ไม่เคยฟังใคร เห็นทีคงจะปฏิเสธไม่ได้ หากมีบุตรแห่งพระตถาคตผู้ถึงขั้นอริยสงฆ์ออกหน้า และ ณ ที่นี้ ก็มีลูกศิษย์แห่งพระอริยสงฆ์นั่งอยู่ พระเนตรฟ้าครามใสเริ่มเปล่งประกายทันทีที่ทรงนึกหาทางรอดได้ โอษฐ์สีงามสดแย้มยิ้มเริ่มสดใส

“อัสสะ เจ้าคิดถึงหลวงตาเจ้าไหม ...เห็นทีพวกเราคงต้องให้เจ้าพาไปกราบนมัสการท่านแล้วล่ะ”

เทวะน้อยทั้งหลายคิดได้โดยพลัน นี่ไงล่ะ ผู้ที่พี่ชายจอมขี้เก๊ก อาจต้องเกรง ‘หลวงตาของอัสดง’ พระอริยสงฆ์นักปฏิบัติผู้ซึ่งเป็นที่เคารพของเทวดาทั้งหลาย ไยก่อนหน้านี้คิดกันไม่ออกนะ ทางรอดเริ่มเห็นอยู่รำไร เหลือแต่อัสดงจะพูดให้หลวงตาช่วยได้ไหมเท่านั้น

“อัสดง พวกเราคงต้องเพิ่งนายแล้วนะ ให้หลวงตานายช่วยเจรจาให้ พี่ชายของน้องดื้อคงฟัง การปะทะกันยามนี้ หลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยง ทัพนาคขึ้นมากันเยอะอย่างที่เราเห็น นายคงไม่อยากให้มนุษย์ที่นี่โดนลูกหลง นายเชื่อฉันสักครั้งเหอะ อย่าเพิ่งให้เรื่องส่วนตัวมามีบทบาทต่อเรื่องส่วนรวมเลย” ทรงกลดตบไหล่สหายปลอบเบาๆ อัสดงเองเมื่อหันไปมองรอบๆ ก็รู้ได้โดยพลันว่าสายตาทุกคู่ เลือกการเจรจา เอาเถิดพวกนายจะเจรจากันเรื่องนางนาคกับลูกฉันไม่ว่า แต่ถ้าหากมีอะไรพาดพิงมาถึงไอ้ดื้อและทำให้ไอ้ดื้อต้องกลับบาดาล ยามนั้นฉันจะรบ และใครก็ห้ามขวาง

“ตกลง แต่ถ้าไม่ได้ผล พวกนายก็เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”

ดึกสงัดแล้ว คุณยายขอตัวไปเข้าห้องนอนพักผ่อน เทวะน้อยทั้งหลาย จึงแยกย้ายกันไปเข้าห้องพักบ้าง ก่อนไปสีทันดรได้กำชับนักกำชับหนาให้ นางนาคซ่อนลูกไว้อยู่แต่ในห้อง และเร้นกายอย่าให้ใครเห็น เอราวัตเมื่อส่งเพื่อนๆเข้าห้องพักเสร็จในฐานะเจ้าบ้าน เขาก็มานั่งรับลมยามดึกอยู่คนเดียว อยู่ตรงริมบันไดนอกชาน บรรยากาศหลังฝนตกหนักช่างเย็นยะเยียบเสียนี่ เสียงจักจั่นตอนหัวค่ำบัดนี้ถูกแทนที่มาด้วยเสียงกบร้องดังอยู่ถ้วนทั่ว สายตาของเขามองฝ่าออกไปในความมืดมิด ในหัวมีหลากหลายความคิดที่สับสนวุ่นวาย คุณยายเคยสอนให้หยิบมาคิดเป็นเรื่องๆ แล้วทำไมเรื่องที่หยิบมาคิดเรื่องแรก ต้องเป็นเรื่อง ของ ‘ใครบางคน’ ด้วยก็ไม่รู้ แทนที่จะเป็นเรื่องศึกที่อาจจะเกิดขึ้นกับเทวนาคา

“นายคิดอะไรของนายไอ้ฉาย” เอราวัตเปรยกับตนเองเบาๆ แล้วขนแขนก็เริ่มลุกซู่ เพราะสายลมเย็นฉ่ำพัดพาเอาหยาดฝนที่ยังคงเกาะพราวตามต้นไม้มากระทบผิวกาย แต่ที่ทำให้เขาต้องสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาก็คือเสียงของคนคุ้นเคยที่งอนและตามไปง้อเมื่อตอนหัวค่ำ คนที่พูดถึงอยู่เมื่อครู่นี้เอง

“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียววะไอ้พระพุธ” แปลกนะที่เสียงเสียงหนึ่งจะมีอานุภาพทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นได้อย่างที่ไม่เคยเป็น วัตถุเย็นๆจากกระป๋องเครื่องดื่มอลูมิเนียมบางชนิดถูกแนบมากับแก้มของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อน แล้วคนถือมาก็หยิบยื่นส่งให้พร้อมนั่งลงข้างๆ

“เอา กินเบียร์แก้หนาวซะไอ้เวร นั่งตากน้ำค้างเดี๋ยวก็เป็นหวัด”

“ขอบใจ....ยังไม่นอนอีกหรือมึง ไอ้ฉาย” เอราวัตรับกระป๋องเบียร์มา แล้วเปิดขึ้นยกดื่ม รสเบียร์ช่างนุ่มลิ้น เมื่อผ่านลงคอไปทำให้ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นมาบ้าง แถมตอนนี้ยังร้อนไปถึงหัวใจด้วย ลมเย็นๆ ยังพาพัดเอากลิ่นหอมของคนที่นั่งอยู่ต้นลม เขาจึงจำเป็นต้องนั่งสูดจนเต็มปอด...... ‘แปลกทำไมหมู่นี้ไอ้ฉายมันตัวหอมผิดปกติ’

“มึงเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมเหรอไอ้ฉาย”

“พูดไม่เพราะ กูๆ มึงๆอยู่ได้ ฉันนอนไม่หลับน่ะ มีเรื่องให้คิด เออแล้วนายรู้ได้ไงว่าเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอม แสดงว่าแอบดมอยู่บ่อยๆล่ะสิท่า” คืนฉายหันมามองหน้าเอราวัตแล้วก็ยิ้มๆ จนเจ้าตัวต้องหลบหน้าหลบตาหันไปมองทางอื่น ใบหน้าที่เคยขาวใส ทำไมบัดนี้แดงแป๊ดยิ่งกว่าลูกตำลึง หรือจะเป็นเพราะฤทธิ์เบียร์

“ไอ้บ้า กูไม่ได้แอบดมนะ ก็มึงนั่งอยู่ต้นลม ลมพัดมากูก็เลยได้กลิ่น ก็เท่านั้น” เอราวัตแก้ตัวไปได้ แต่คืนฉายก็ไม่เชื่อ เหอะ แอบดมก็บอกว่าแอบดม ทำไมต้องโกหก ....นายมันโกหกไม่เก่งอย่างที่เคยพูดจริงๆด้วย

“ไม่ดมก็ไม่ได้ดม ไม่เห็นต้องหน้าแดงด้วยเลย แล้วนั่งคิดอะไรเนี่ยอยู่คนเดียว” คืนฉายทำหน้าทะเล้นใส่ ไอ้พระพุธนี่ เวลาเขินดูเงอะๆงะๆพิกล

“ก็เรื่องพี่คชากับเมียและก็ลูกไง เห็นแล้วก็ทำใจไม่ได้หากทั้งสามต้องถูกทัณฑ์” นั่นแน่ เอราวัตโกหกมาอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 09-07-2019 17:49:37
“เราต้องยอมรับนะ ว่าทางนางนาคผิด พวกเราคงช่วยให้นางพ้นโทษไม่ได้หรอก แต่คงช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาอย่างที่น้องดื้อบอกได้แค่นั้น”

“แล้วมึงไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ที่เห็นคนที่เขารักกันต้องถูกพราก มึงพูดอย่างกับมึงไม่มีหัวใจ”

“มีสิ กำลังเต้นอยู่นี่ไง ไม่เชื่อนายลองจับ” คืนฉายไม่พูดเปล่า จับมือของเอราวัตมาแนบเพื่อให้รู้ว่าหัวใจของตนเต้นจริง เอราวัตทำหน้าไม่ถูก เพราะนอกจากจะเจอหัวใจที่เต้นแรงแล้ว เขายังเจอสายตาสีน้ำตาลหวานซึ้งเป็นประกายรออยู่ก่อน ไอร้อนๆจากฤทธิ์เบียร์เริ่มผ่านออกจากโพรงจมูก กระทบใบหน้าที่ห่างเพียงแค่คืบ

“เห็นไหมว่าฉันก็มีหัวใจ”

“ใช่และมึงก็คงมีหลายดวง” เอราวัตดึงมือออกพยายามหันหน้าไปทางอื่น ตำหนิตัวเองทันที ไม่น่าไปพูดอย่างนั้นเลย พูดไปเช่นนั้นมันเหมือนกับว่าเราหึงมัน อย่างนั้นแหละ อย่าเลย อย่ามองมัน ความหวั่นไหวเกิดขึ้นมาอีกแล้ว และครั้งนี้ก็หนักหนากว่าที่เคยเป็น

“บอกไปแล้วไง ว่าเมื่อก่อนอาจใช่ แต่ตอนนี้ มีดวงเดียว” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงปนความยียวนจางหาย กลายเป็นความจริงจัง

“กูไม่เชื่อ”

“ฉันคงมีกรรมเนอะ ที่ลักษณะดูเหมือนคนเจ้าชู้ปลิ้นปล้อน พูดอะไรไปก็ไม่มีใครเขาเชื่อ” คืนฉายถอนหายใจ บ่นกับตัวเองแต่จงใจให้คนข้างๆได้ยิน ‘ฉันน้อยใจ’ นายจะรู้บ้างไหม

“ฉายขอฉันพูดตรงๆนะ นายทำแบบนี้นายคิดอะไรหรือเปล่า นายมาเล่นแบบนี้ นายกำลังทำให้ผู้ชายแท้ๆคนหนึ่งไขว้เขว ผู้ชายอย่างฉันชอบผู้หญิง นายกำลังทำให้ฉันคิดในสิ่งที่ไม่ควรจะคิด” กูและมึงจางหายไปอีกครา เอราวัตตัดสินใจพูดตรงๆ เพราะทนไม่ไหวกับการโดนหยอด เพราะโดนทีไร เขาก็เริ่มเอนเอียงไปทีละน้อย

“แล้วมันผิดตรงไหน นายดูอย่างไอ้อัสดง ไอ้กลด กับน้องดื้อสิ ยังสามคนอีรุงตุงนัง ชอบกันก็แสดงออกกันอย่างซึ่งๆหน้าเลย”

“แต่นายไม่ได้ชอบฉัน นายไม่ได้คิดจริงๆ นายแกล้งเล่นเสียมากกว่า และบทบาทที่เราเล่นและแสดงวันนี้ มันก็เป็นเพียงแค่รักหลอกๆ ที่เราสองคนสร้างขึ้นมากันเท่านั้น”

“หากไม่ได้คิด คงไม่ตามออกมาคุยเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องเป็นราวอย่างนี้หรอก จำที่เราคุยค้างไว้ที่เรือนริมน้ำได้ไหมที่ฉันบอกว่า...”

“นายพูดว่า นายไม่ได้ดีพร้อมเหมือนใครๆ แต่นายก็จะพยายามและพร้อมจะทำให้ดีขึ้นไป เพื่อใครสักคน ฉันกำลังจะหาโอกาสถามนายอยู่พอดีว่านายหมายถึงใคร ”

“นายไม่รู้จริงๆเหรอ พระพุธ” คืนฉายถามกลับ จ้องเอราวัตอยู่อย่างนั้น

ด้วยความที่ถูกยกย่องให้เป็นเทวะแห่งความรักและโลกีย์สุข เหตุแห่งรัศมีสีชมพูปริศนาในกาย ถูกค้นหาและเจอคำตอบตอบจนได้ ภาพเหตุการณ์ต่างๆถูกทบทวนอยู่ในสมอง เพื่อจะให้คนที่เขาอ่านใจออกรู้ว่าตนหมายถึงใคร จากแวบแรกที่ได้เจอกันตรงท้ายสวนของบ้านทรงกลดจวบจนกระทั่งรู้ว่าเขาคือหนึ่งในกลุ่มเทวะที่ต้องมาปราบมาร ความสัมพันธ์แรกเริ่มกำเนิดจากมิตรภาพ แล้วนำไปสู่ความสนิท จนแกล้งกันแรงๆ ตรงท่าน้ำในวันนั้น และยังนำไปสู่ความชิดชอบ จนต้องแกล้งเอามาเป็นแฟนครั้นไปเที่ยวทะเล เรื่อยมาจนกลายเป็นความสิเน่หาเมื่อยามเย็น ถึงกับต้องงอนและถูกตามง้อ และจูบกันในที่สุด จนบัดนี้ เขาปฏิเสธความรู้สึกพิเศษอีกต่อไปไม่ได้แล้ว

เอราวัตเมื่ออ่านความคิดนั้นได้ก็ถึงกับนิ่งงัน อาการวาบแห่งหัวใจกำเริบหนัก ‘คืนฉายคิดอย่างนั้นจริงๆด้วย แล้วเราจะทำอย่างไร หวั่นไหวและสับสนไปหมดแล้ว’ ทางเลือกมีอยู่สองทางจะตอบรับหรือปฏิเสธ ลังเลสุดเหลือคณา
 
สายลมยามดึก พัดมาอีกแล้ว คราวนี้คนตรงหน้าดันกลับร้องเพลงเมื่อตอนเย็นมาเสียเอง คืนฉายเป็นคนที่เสียงมีเสน่ห์ฟังทีไรก็กินใจทุกที ยิ่งคราวนี้แล้วต้องเรียกว่าซ่านลงไปถึงในใจมากกว่า

ใจเจ้าเอ๋ย....มิเคยจะเจอเนื้อคู่
ฤาลมจะรู้ จึงพัดพามากับสายลม
มิทันได้ทัก มิทันได้เชยชิดชม
แล้วสายลมโชย ให้เจ้าเลือนลับตา

“ฉาย นี่นาย ...ไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม”

ไม่บ่อยครั้งนักที่คนช่างพูดและพูดจาได้ฉะฉานอย่างเอราวัตจะพูดจาตะกุกตะกัก คำพูดดูเหมือนตีบตันอยู่แค่คอหอย มือที่ถือกระป๋องเบียร์อ่อนแรงลง จนกระป๋องเบียร์นั้นหล่นลงพื้น  และยิ่งพูดไม่ออกยิ่งขึ้นเมื่อคืนฉายหยุดร้องเพลงแล้วถามกลับมาว่า

“แล้วนายล่ะ คิดอย่างไร เอราวัต นายลองคิดทบทวนดีๆ หากเราไม่มีใจให้กัน ทำไมวันนี้เราสองคนถึงจูบกันโดยไม่ยอมปล่อย”

คืนฉายยังคงจ้องมองหน้าเอราวัตอยู่ภายใต้แสงสลัวๆของเงาจันทร์ยามค่ำคืน ท้องฟ้าบัดนี้สว่างไสวแล้ว ดาวหลายล้านดวงเป็นประกาย โดยเฉพาะดาวพระศุกร์เริ่มทอแสงเจิดจ้าเป็นยิ่งกว่าดาราดวงใดๆสมชื่อ ‘คืนฉาย’ สายลมระเรื่อยพลิ้วไหวปลิวสะบัดพัดพาเอากลีบดอกราตรีกระจาย ปลิวลอยตามแรงลม ดุจทั้งสอง นั่งอยู่ท่ามกลางทุ่งอุทยานดอกไม้สะคราญ ประดุจภาพฝัน แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ความฝันนั้นก็คือลมหายใจอ่อนๆที่ต่างก็กระทบผิวหน้าซึ่งกันและกัน หากชิดกันอีกนิดเดียว ริมฝีปากคงไม่แคล้วประกบลงสนิทแน่นแน่ๆ คืนฉายใช้ฝ่ามืออ่อนนุ่มเริ่มกุมมือของเอราวัตไว้ เอราวัตขณะนี้ทำอะไรไม่ถูกแล้ว จากเหตุผลที่คืนฉายยกมา มันก็คือเรื่องจริง และจูบๆนั้นเขาก็เป็นคนเริ่มเองมาเสียด้วย  หากตอนนี้เป็นความฝัน เขาก็คง ไม่อยากตื่นอีกแล้ว

“ฉะ ฉัน ตอบ มะ ไม่ ถะๆ ถูก ฉาย ฉันบอกความรู้สึกตัวเองตอนนี้ไม่ถูกจริงๆ” เอราวัตมิได้โกหก แต่เขาตอบไม่ถูกจริงๆ ที่จู่ๆมีผู้ชายด้วยกันมาสารภาพความรู้สึกตรงหน้า แถมคนๆนั้นก็ยังเป็นเพื่อน ที่ผ่านมาเขายอมรับว่าในกลุ่มสนิทใจกับคืนฉายมากที่สุด มีระยะหลังเนี่ยแหละที่คำว่าสิเน่หาเริ่มเข้ามามีบทบาทแต่เขาก็ยังไม่มั่นใจในคนตรงหน้านัก

“ขอฉันคิดดูก่อน แล้วค่อยให้คำตอบได้ไหม ฉาย”

“ตามสบาย นายจะให้คำตอบเมื่อไรก็ได้ ฉันจะรอ”

คืนฉายนับว่ามีหัวใจลูกผู้ชายเพราะมิเร่งรัดเอาคำตอบ เขาตั้งใจเปิดโอกาสให้เอราวัตได้คิดและไตร่ตรองจนทั่ว ตัวเขาเองนั้น อาจจะไม่ดีพร้อมอย่างที่เคยบอก ที่ผ่านมาเขาทำตัวเองทั้งนั้น มันก็สมแล้วที่เอราวัตจะไม่มั่นใจในตัวเขา

“ขอบใจ ฉาย.....แล้วฉันจะให้คำตอบนาย”

เอราวัตกุมมือคืนฉายตอบ ทำให้รัศมีสีเขียวรอบกายพุ่งปราดผ่านฝ่ามือที่กุมมือของเขาไว้อยู่ก่อนแล้วมากระทบกันเข้ากับรัศมีสีฟ้าที่ไหลวนอยู่ทั่ว รัศมีทั้งสองเข้ากันได้ และสอดประสานได้เป็นอย่างดี ทั้งสองรับรู้ หากเอราวัตต้องใช้เวลา และคืนฉายก็ไม่ขัด

“ดึกแล้ว....ฉันไปนอนก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์”

เอราวัตพูดจบก็หายวับกลายเป็นลำแสงเขียวจ้าออกไปจากตรงนั้น คืนฉายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ลังเลว่าจะตามไปคุยต่อในห้องดีหรือไม่ ....แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเท่านี้สำหรับคืนนี้ก็เพียงพอแล้ว ปล่อยให้เอราวัตอยู่คนเดียวเพื่อที่จะได้คิดให้คำตอบเอากับเขาได้ ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง พอหันไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็คือเจ้าพระจันทร์กับเจ้าพระเสาร์นั่นเอง

“แหมๆ ไอ้ฉาย....มึงนี่ไม่เบาเลยนะเล่นเอาไอ้พระพุธเขินเข้าห้องไปแล้ว” คันฉัตรหรือเจ้าพระเสาร์เดินตามลงมานั่งกอดคอเจ้าพระศุกร์อยู่ตรงเชิงบันได คว้าเบียร์ในมือมาจากคืนฉายแล้วกระดกพรวด

“มา....ขอแดกบ้าง”

“เก่งเหมือนกันนี่หว่า นึกว่าพวกกูต้องช่วย” ทรงกลดทรุดกายลงนั่งข้างๆ แย่งกระป๋องเบียร์จากคันฉัตรไปดื่มต่ออีกที
 
“ไอ้ห่า พวกมึงนิสัยไม่ดี มาแอบฟังคนเขาคุยกัน ท่าจะเห็นหมดแล้วสิ”

“เออเห็นหมดแล้ว แต่กูไม่ได้แอบฟังนะ พวกกูมาช่วย ให้รักหลอกๆ ของพวกมึงเป็นของจริง แต่มึงก็หวานใช้ได้นี่หว่า”
 
“มึงหมายความว่ายังไงไอ้กลด”

“เฮ้ออ ขี้เกียจอธิบาย ไหนไอ้ฉัตรลองบอกไอ้ฉายมันไปซิ”

“นี่ไอ้คุณพระศุกร์ ที่มึงเห็นท้องฟ้าตอนนี้สว่างไสวนะ ก็เพราะไอ้กลดมันขอให้เฮียข้างบนน่ะ เขาเปิดฟ้าขับราชรถให้มาอยู่ตรงนี้ มึงจึงเห็นพระจันทร์ดวงเบ้อเร่อ พร้อมกับดาวไง แล้วลมที่พัดเอากลีบดอกไม้ลอยมาน่ะ กูเสกลมขึ้นมาเอง แล้วให้ไอ้รักไอ้ยม มันนั่งโปรยดอกไม้อยู่บนหลังคานู่น เหมือนกับตอนหัวค่ำที่มึงงอนกันจนต้องไปตามง้อกันแล้วจูบกันนั่นแหละ”

เฮียที่คันฉัตรหมายถึงก็คงไม่แคล้วคือจันทรเทพ ผู้เป็นองค์ประธานยามราตรี ต้นกำเนิดแห่งทรงกลดนั่นเอง

คืนฉายถึงบางอ้อทันที แหงนหน้ามองไปบนหลังคา ก็เห็นเจ้ารักเจ้ายม สมุนของคันฉัตร นั่งแกว่งเท้าไปมาอยู่บนหลังคา เจ้าเด็กน้อยหัวจุกทั้งสองต่างผลัดกันจาม เพราะแพ้เกสรดอกไม้ ต่างร้องโอดครวญ “ไม่เอาอีกแล้วนะพี่ฉัตร ชอบใช้ให้รักกับยมทำอะไรแบบนี้จัง”

“งั้นเมื่อตอนเย็นคนที่ร้องเพลงมาตามลมก็คือมึงสองคน”

“เออน่ะสิ .....มัวแต่งอนกัน รำคาญเลยช่วย”

คืนฉายยิ้มกว้างกอดคอเพื่อนทั้งสองไว้ด้วยแขนคนละข้าง แหมไอ้สองคนนี่ใช้ได้ มันต้องอย่างนี้สิไอ้เพื่อนรัก “มึงว่าคำตอบจะเป็นยังไง”

“กูไม่รู้ แต่ถ้ากูเป็นไอ้พระพุธ กูก็คงเซย์ เยส เอาล่ะไอ้ห่า มึงทำดีที่สุดแล้ว ไปนอนเหอะ” ทรงกลดกล่าวตอบแล้วดึงมือคืนฉายลุกขึ้น ตามมาด้วยคันฉัตร มุ่งหน้าเข้าสู่ห้องพัก คันฉัตรยังคงพูดต่อมาว่า “ช่วงนี้มึงก็ทำคะแนนให้ดีๆล่ะ”

“ไอ้ฉาย แล้วมึงอย่าลืมที่กูช่วยมึงนะ หากถึงคราวกู มึงต้องช่วยกูเรื่องน้องดื้อด้วย คราวที่แล้วตอนไปทะเล มึงรับปากว่าจะช่วยแต่มึงก็ไม่ช่วยจนไอ้อัสดงมันนำหน้ากูไปหมดแล้ว”

“เออๆๆ ไม่ต้องมาทวงบุญคุณหรอกน่า ไอ้กลด กูรู้แล้ว ว่าน้องดื้อคือยอดดวงใจ มึงอยากได้ใจจะขาด แต่ถ้ามึงโดนไอ้อัสดงมันกระทืบอย่าพาดพิงมาถึงกูก็แล้วกัน”

“เออ ตกลง”

จากนั้นเทพน้อยทั้งสามก็ต่างแยกกันเข้าห้องไปพักผ่อน คืนฉายเมื่อเข้าห้องมาได้ก็ทิ้งตัวลงบนฟูกหนานุ่ม บรรยากาศรอบข้างขณะนี้มืดสนิท เหลือเพียงแต่แสงจันทร์สลัวๆ เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ คืนฉายก็ยังนอนไม่หลับ เขายังคงภาวนาให้คำตอบที่เอราวัตสัญญาว่าจะบอกเป็นไปในทางที่ดี เพราะหัวใจคงเป็นสุข เสียงเปาะแปะ เปาะแปะ ของหยาดน้ำฝนเริ่มกระทบหลังคาบ้านดังมาอีกคำรบ อากาศเริ่มหนาวเย็นเป็นทวีคูณ เขาซุกตัวอยู่ในผ้านวมหนานุ่ม เวลานี้หากได้กอดใครสักคนก็คงจะดีไม่น้อย ดึกสงัดอย่างนี้ แถมฝนยังตก  เหงาหัวใจเป็นที่สุด ฝนทำไมถึงมาตกเอาตอนนี้ พระพิรุณเทพ ช่างไม่เข้าใจเขาเสียเลย สายฝนเริ่มเทหนักและสาดเข้ามาในห้อง คืนฉายจำต้องลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง หยาดน้ำฝนเย็นยะเยียบลอยมากระทบแขน จะว่าไปความรักก็เปรียบได้ดั่งกับสายฝน ถึงแม้จะมีร่มกำบัง แต่บทฝนจะสาดก็หาทางสาดได้อยู่ดี ถึงแม้ใครบางคนอย่างเช่นเขาจะเคยพยายามหลีกหนีไปก็ตาม ท้ายสุดก็โดนสาดจนเปียกชุ่มจนได้ 

“เอราวัต ฉันจะรอคำตอบจากนาย คนเดียวเท่านั้น”

ความรัก....คือสายฝนพรำ
ความรัก....คงเย็นฉ่ำดั่งสายฝน
ความรัก...เกิดขึ้นได้กับทุกคน
ความรัก....เหมือนกับฝน ใครไม่เคยเปียก คงไม่มี


******************
แล้วเจอกันบทที่๑๒ นะคะ
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอบคุณ คุณblanchard คุณmaemix และคุณanterosz ที่ช่วยเมนต์ และติดตามเสมอมา  :bye2:  :กอด1:

อ้างอิง * สุนทรภู่
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 09-07-2019 19:32:29
หวานๆกันไปอีกคู่  รออีก3คนที่เหลือ
แต่ตอนนี้คงต้องช่วยกันแก้เรื่องของพี่ชายน้องดื้อก่อน
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: tahhhtah ที่ 09-07-2019 22:52:46
เห็นตั้งแต่อัพตอนแรกๆแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้มาเม้นท์(เพราะเพิ่งสมัครเล้าสดๆร้อนๆเมื่อกี้5555) ดีใจมากๆที่เรื่องนี้มาต่อ ตอนนั้นจำได้ว่าชอบเรื่องนี้มากๆ อินไปพักนึงเลย ระหว่างรอภาคสองเราก็ไปหานิยายแนวๆนี้มาอ่านแต่ก็ไม่ถูกจริตเท่า ด้วยความที่ทิ้งระยะไปค่อนข้างนานตอนนี้เลยลืมเรื่องไปบ้างแล้ว เดี๋ยวคงต้องหาเวลามาอ่านทวนแล้วแหละ เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ :mew3: :katai4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 10-07-2019 08:28:53
ขอประกาศตัวเป็น fc พี่ชายใหญ่     :m3:

ลืมนางนาคไม่รักดีพรรค์นั้นเถิด หม่อมฉันพร้อมถวายตัวมังคะ    :give2:


ส่วนคู่ของ ฉาย-วัต นั้น…    :m2:

เพลง ‘ลมเอย’ คือดีอะ!

:m4:    ต้องขอขอบคุณพี่ฉัตร พี่กลด ที่ร่วมสร้างบรรยากาศสีกุหลาบด้วย     



สำหรับยายเกด…   “โฉกกฬี”  แม่ย้อยไม่ได้กล่าว    :laugh3:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๑ รักหลอกๆ อย่าบอกใคร อัพ ๐๙ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 15-07-2019 15:50:08
ขอบพระคุณ คุณmaemix คุณtahhhtah และก็คุณblanchard มากๆนะคะ วันนี้ขอมาตอบเมนต์สักหน่อยค่ะ


@คุณmaemix ใช่แล้วค่ะ เรื่องพี่ชายทยุติธรนี่สำคัญนักเชียว พวกอัสดงต้องเหนื่อยกันเลยทีเดียวค่ะ     :mew3:


@คุณtahhhtah ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับกำลังใจ จะทยอยลงให้เรื่อยๆนะคะ ดีใจที่ยังไม่ทิ้งกันค่ะ  :กอด1:  :pig2:


@คุณblanchard ทยุติธรมีแฟนคลับแล้ว อิอิ ดีใจจัง  เดี๋ยวจะกราบทูลทยุติธรให้นะคะ
ปล. รักแม่ย้อย ถึงจะไม่ได้กล่าว แต่อินเนอร์แม่ย้อย ที่สุดในสามโลกเลยค่ะ  :jul3:

Love Love แล้วจะรีบมาต่อตอนต่อไปให้นะคะ จุ๊บ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-07-2019 16:19:01
บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก

เอราวัตเมื่อเข้าห้องนอนมาได้ ก็ยังคงนอนกระสับกระส่าย อาการนอนไม่หลับเช่นนี้ นานๆจะเกิดขึ้นเสียที และหากเกิดขึ้นเมื่อใดนั่นก็หมายถึงว่า เขามีเรื่องที่ต้องคิดมากเป็นพิเศษก็เหมือนๆกับคนทั่วไปนั่นแหละ เพราะโดยปกติแล้ว ตัวเขาเองแทบจะไม่เคยมีเรื่องที่ต้องคิดเท่าไรนัก และยามนี้เรื่องที่คิดอยู่นั้น คงมิใช่เรื่องอื่นไกลอันใด มันคือเรื่องของคำตอบที่ต้องหาให้คืนฉายนั่นเอง

“เราไม่ได้รังเกียจความรักระหว่างชายกับชาย ไม่ได้รังเกียจคืนฉาย เราแค่ยังไม่มั่นใจและสับสนตัวเองเท่านั้นว่าเราชอบผู้ชายด้วยกันจริงหรือ”

อณูน้อยเปรยกับตัวเอง ตนไม่เคยชิงชังในความรักระหว่างชายกับชาย และยังเคยบอกอัสดงกับทรงกลดไปด้วยว่า ‘สมัยนี้ชายชอบชาย’ ไม่ใช่เรื่องแปลก หากแต่เมื่อเกิดขึ้นกับตัวเขา ยากนักที่จะยอมรับ มันเข้าข่ายดีแต่พูด ที่ผ่านมาเขาเคยมีสาวๆ คบไว้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยๆ และได้สุขสมกันเป็นบางครั้ง แต่สาวๆพวกนั้นก็มิได้ทำให้ต้องใจเลยสักนิด เทียบไม่ได้เลยกับรอยจูบเมื่อตอนเย็น จูบนั้นแม้ ‘ตั้งใจ’ จะทำเพื่อตบตาเกด แต่ไปๆมาๆ กลายเป็น ‘พร้อมใจ’ กันทำไปได้ยังไงไม่รู้ และตอนนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ติดใจ’ เสียจริงๆ

เอราวัตยังคิดทบทวนไปมาอีกหลายตลบ จวบจนกระทั่งสมองเริ่มล้าม่านตาเริ่มหนาหนัก อีกทั้งบรรยากาศยามนี้ยังหนาวเย็นไปด้วยสายฝนที่ซัดกระหน่ำ ร่างกายเริ่มอ่อนแรงรวดเร็ว หลับเสียดีกว่าเผื่อพรุ่งนี้จะคิดอะไรออก และในสภาวะแห่งการครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง เขามั่นใจว่าเขาได้เห็น รัศมีสีเขียวสีเดียวกับของเขา พุ่งผ่านทะลุบานหน้าต่างมายังใจกลางห้อง รัศมีสีนั้นสว่างไสวและเริ่มจับเป็นตัวคน รัศมีอันเคยคุ้น พอสลายก็จำได้ทันทีว่า เป็นใคร

“ท่านพระพุธ”

เอราวัตพยายามยันกายขึ้นมาบังคม แต่ร่างกายก็เสมือนถูกตรึงเอาไว้อยู่บนเตียงหนานุ่ม บุรุษเลิศลักษณ์ผู้นั้นเริ่มแย้มเยื้อนตอบ รัศมีเขียวสดเจือทองสดใสอยู่ทั่วรอบกรอบโครงร่าง ใบหน้าดุจหล่อมาจากพิมพ์เดียวกับเขา แต่ถ้าจะพูดให้ถูกเขาเองต่างหากที่ถอดแบบมาจากบุรุษผุ้นั้น ร่างกายสูงใหญ่งามสง่าในพัสตราสีเขียวครึ่งท่อน แผงอกแข็งแรงถูกพาดทับด้วยภูษาสีขาวพลิ้วไหวปลิวสะบัด ร่างแห่งเทวะมักงามพร้อมเช่นนี้เสมอเมื่ออยู่ในสภาวะเทวะเต็มขั้น

“ไง...เอราวัต ถึงกับคิดไม่ตกเชียวหรือ แค่อณูแห่งพระศุกร์มาบอกรัก” สุรเสียงใสดังกังวานตรัสถาม แม้องค์พระพุธผู้เป็นต้นกำเนิดจะงามสง่าเท่าใด หากก็ยังแฝงไปด้วยลักษณะขี้เล่นเช่นเดียวกับเอราวัต

เอราวัตเริ่มอึกอักกล่าวตอบแทบไม่ถูก เพราะรู้สึกแปลกที่ตัวเองต้องมาคุยกับตัวเองเสมือนคุยกันผ่านหน้ากระจก พระพุธยังกล่าวต่อมาอีกว่า “ เหอะ มันก็แปลกจริงๆอย่างที่เจ้ากำลังคิดแหละ เจ้าก็เปรียบได้ดั่งเรา เราก็เปรียบได้ดั่งเจ้า มันไม่บ่อยครั้งหรอกนะที่ต้นกำเนิดจะมาคุยกับอณูของตนที่แบ่งภาคลงมา เพราะเทวะเมื่อแบ่งภาคลงมาแล้วก็ต้องเข้าฌาน แต่วันนี้เราแอบลงมา เพราะเป็นห่วงและรู้ว่าอณูแห่งเรากำลังมีปัญหา”

“พะยะค่ะ .....ทรงทราบหมดแล้วนี่ แต่กระหม่อมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะตอบรับหรือปฏิเสธ”

“แล้วระหว่างตอบรับกับปฏิเสธ อันไหนเจ้ามีความสุขมากกว่ากัน คิดดูให้ดีๆ เจ้าถูกแบ่งลงมาเพื่อปราบอสูรเป็นเทวโองการที่เลี่ยงไม่ได้ เจ้ามีโอกาสมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ และชีวิตมนุษย์ก็สั้นนัก อีกทั้งเมื่อเสร็จศึกก็ยังไม่ทรงมีเทวโองการลงมาว่าจะให้ทำอย่างไร เรียกเจ้าคืนขึ้นมารวมอยู่กับเราหรือก็ยังไม่ชี้ชัด เราว่าสู้เจ้าทำตามใจ....ตนเองดีกว่า ลองทบทวนเหตุผลดูอีกครั้งก่อนจะให้คำตอบเขา นิสัยพระศุกร์ท่านน่ะก็เหมือนกับอณูท่านนั่นแหละ ถึงแม้จะทรงร้ายไปบ้าง ขี้เบื่อและรักสนุก หากแต่เมื่อยกย่องใครขึ้นมาแล้ว เขาผู้นั้นก็ควรจะดีใจ ที่เทพแห่งความรักยอมหยุดที่ตน”

“หมายความว่า กระหม่อมควรตอบรับ”

“สิทธิ์อยู่กับเจ้า...เราไม่มีอำนาจตัดสิน ได้แค่ชี้นำเท่านั้น จำไว้พระศุกร์ท่านไม่ชอบคอยใครนานๆ” สิ้นพระดำรัสแห่งพระพุธ รัศมีสีเขียวก็สว่างวาบพลันสลายพุ่งคืนสู่ท้องฟ้า เอราวัตสะดุ้งเฮือกขึ้นมา นั่งอยู่บนเตียง ครานี้ร่างกายเริ่มขยับได้เป็นปกติ เขานั่งทบทวนบนเตียงอยู่ชั่วครู่

“เมื่อกี้พระพุธเสด็จ ....เทพผู้เป็นต้นกำเนิด เสด็จจริงหรือว่าเราฝัน จะอย่างไรก็แล้วแต่ ท่านคงเสด็จมาให้คำตอบเราเรื่องคืนฉายโดยเฉพาะ....ฉายเห็นทีเราคงจะเลี่ยงกันไม่พ้นแล้ว ว่าแต่เสด็จมาด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ ยังไม่ได้ทูลถามเลยว่าเรื่องนางนาคกับพี่คชาจะทำอย่างไร โธ่เอ๊ย”

ภายในห้องนอนที่ถูกจัดเป็นห้องบรรทมของสีทันดร ขณะนี้เจ้าของห้องยังคงเดินวนเวียนไปมารอบๆร่างของอัสดงที่นั่งทำสมาธิเพื่อติดต่อหลวงตาอยู่ อัสดงนั่งอยู่เป็นนานสองนานแล้ว จนเขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่นั่นแหละแสดงถึงการทำสมาธินั้นสิ้นสุด สุรเสียงใสกล่าวถามโดยพลัน

“เป็นไงบ้างอัสสะ ติดต่อพระคุณเจ้าได้ไหม”

“ติดต่อไม่ได้เลย วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรไม่สามารถเข้าสมาธิได้ลึก” อัสดงบิดกายไล่ความเมื่อยขบ ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายมีรอยกังวลใจ “สงสัยอัสสะกังวลเรื่องเจ้ามากไป”

“กังวลใจเรื่องเรา เรื่องอะไร อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พี่ชายเราจะพาเรากลับบาดาล”

“แล้วจะเรื่องอะไรซะอีก ....อัสสะยังไม่อยากจะขาดใจตอนนี้” อัสดงคว้าวรองค์ที่ประทับนั่งข้างๆเข้ามากอดใบหน้าซบอยู่ตรงซอกพระศอ

“โธ่ ....อัสสะอย่ากังวลไปเลย ถึงพี่ชายเราจะบังคับให้เรากลับ แต่เราก็จะไม่กลับ พี่ชายถึงจะทรงร้ายทรงดุอย่างไร แต่ก็ทรงตามใจเราตลอด อย่าเพิ่งคิดมากเลย”

“แต่พี่ชายเจ้าไม่ชอบหน้าเรา อัสสะดูก็รู้”

“ก็ช่างพี่ชายเราสิ ....พี่ชายเราไม่ชอบก็ส่วนพี่ชาย แต่ไม่ใช่เรา”

“พูดอย่างนี้หมายความว่าหลงรักอัสสะแล้วใช่ไหม ฮะฮ่า”

อัสดงยิ้มออกมาได้ทันที หอมแก้มเจ้านาคาน้อยไปฟอดใหญ่ สีทันดรพอรู้ว่าเผลอโอษฐ์ตรัสอะไรออกไปก็พระพักตร์แดงระเรื่อ หันมาสะบัดพระวรกายออกด้วยความเขิน

“อัสสะบ้า ... ไม่พูดด้วยแล้ว นอนดีกว่า” สีทันดรเสด็จขึ้นเตียงทันที ทีท่าเขินอายยังคงมีอยู่ อัสดงนะอัสดง ที่ยอมให้กอดให้จูบที่ผ่านมาเนี่ยยังไม่ได้หมายความว่าตนมีใจให้อีกหรือไง   ส่วนอัสดงก็มิรอช้ากระโดดขึ้นเตียงเข้ามานอนข้างๆทันที วงแขนแข็งแรงโอบกอดเจ้านาคาน้อยไว้มั่น

“นอนด้วยคนนะคืนนี้”

“ไม่เอา เจ้าไปนอนห้องของเจ้าสิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”สีทันดรดันอัสดงออกแต่ก็ไม่เป็นผลพระวรกายถูกเขาโถมทับมาทั้งตัว คืนนี้อัสดง เกเรมาอีกแล้ว

“ช่างมันสิ มันก็รู้ว่ากันหมดแล้ว จะต้องอายอะไร อัสสะขี้เกียจไปนอนเบียดกับไอ้ฉายมัน ....นะๆ ขออัสสะนอนด้วยคนนะ สัญญาว่าจะนอนเฉยๆ นะครับคนดี ไล่อัสสะไปไม่สงสารอัสสะเหรอ ที่ต้องนอนหนาว ไม่มีใครให้กอด ดีไม่ดี เผลอไปกอดไอ้ฉายเข้า เดี๋ยวมันก็ลวนลามอัสสะมาเท่านั้นเอง”

เอาอีกแล้วไงอัสดงนี่ เวลาอ้อนก็อ้อนเก่งใช่เล่นพูดเพราะมาเสียด้วย แถมยังมาทำตาหวานซึ้งใส่อีก เหอะใครว่าผู้ชายไม่มีมารยา ไม่จริง ดูอัสดงเป็นตัวอย่าง เจ้าเล่ห์ที่สุด ....แต่ก็เพราะความที่อัสดงเป็นอย่างนี้นี่แหละ ถึงได้ตรึงพระทัยเสียยิ่งนัก

“เฮ้อ ก็ได้ ....แต่สัญญาแล้วนะว่าจะนอนอย่างเดียว ห้าม.....” สีทันดรแกล้งถอนพระทัย ปากก็ตรัสไปแสร้งเหนื่อยใจ แต่ในพระทัยกับพระวรกายดันซุกองค์เข้าไปในอ้อมแขนเขาเสียแล้ว แล้วที่บอกว่าห้ามอย่างว่านั้น หากอัสสะจะทำก็คงจะขัดขืนมิได้ ....แต่โชคดีที่ผู้ชายคนนี้มิเอาเปรียบ ฤาอยากจะให้เขาเอาเปรียบจริงๆซะแล้ว

“น่ารักที่สุด แฟนใครก็ไม่รู้”  หากเป็นเมื่อก่อนคำว่าแฟนคงทำให้ฉงนพระทัยว่าคืออะไร แต่เดี๋ยวนี้ตอนนี้ทรงเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะนลกุพรสหายสนิทขยายความให้เมื่อตอนอยู่หิมพานต์

“เราไม่ใช่แฟนเจ้าสักหน่อย ....เจ้ายังไม่เคยบอกเราชัดๆ ว่าเจ้ารักเรา”

“ไอ้ดื้อคนดี หากเจ้าอยากจะฟังคำว่ารัก อัสสะจะบอกเจ้าทั้งคืนก็ยังได้ แต่มันจะมีความหมายอะไร ถ้ามันเป็นแค่ลมปากมิได้กล่าวมาจากใจจริงแท้ๆ อัสสะอยากให้เจ้าดูการกระทำของอัสสะมากกว่า”

อัสดงพูดจบก็ประกบริมฝีปากลงไปบนริมโอษฐ์ที่คล้ายว่าจะเผยอรอรับอยู่แล้ว ไออุ่นๆจากร่างกายถูกถ่ายทอดซึ่งกันและกันผ่านริมฝีปากทั้งสอง โคมไฟกลางห้องถูกดับลงแล้วเหลือเพียงแต่แสงสว่างของฟ้าแลบแปลบปลาบที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง หนึ่งเทวะและหนึ่งนาคาต่างก็อยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกัน ใจจริงของอัสดงอยากจะเผด็จศึกมาเสียแล้ว เพราะตอนนี้เขาพร้อมไปเสียทุกส่วน แต่เนื่องจากสัญญาไว้ จึงได้แค่เพียงจูบ สีทันดรเองใช่ว่าจะไม่รู้เพราะบางส่วนที่ดันนูนแข็งแกร่งจากกลางลำตัวของอัสดงมันบ่งชี้ว่าเขาต้องการ

“อัสสะ คงไม่โกรธเรานะ ที่เรายัง เอ่อ....ไม่พร้อม”

“ไม่หรอก ...อัสสะรอได้”

“เราสัญญาว่าเราจะยอมอัสสะเพียงผู้เดียว” พระเศียรน้อยๆ เลื่อนมาประทับบนต้นแขนของอัสดงเพื่อให้เขาได้กอดได้แนบชิดยิ่งขึ้น คืนนี้อัสดงมีหมอนข้างที่หอมเสียยิ่งกว่าหอมไว้ในอ้อมอกแล้ว หากเป็นไปได้เขาอยากหยุดเวลาไว้เท่านี้ตรงนี้เสียเหลือเกิน ช่วงเวลาที่ยอดดวงใจไม่ดื้อแถมยังน่ารักจนถึงขีดสุด

“ขอบคุณครับ อัสสะก็สัญญาว่าอัสสะจะมีเจ้าแต่เพียงผู้เดียว....เออนี่เจ้าอยากฟังนิทานก่อนนอนไหม”

“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมจะต้องมาฟังนิทานก่อนนอน ชอบเห็นว่าเราเป็นเด็ก อย่างกับพี่ชายไม่มีผิด”

“พี่ชายเจ้าก็ชอบเล่านิทานให้เจ้าฟังเหรอ” เอ๊ะ แปลก ไอ้ขี้แอคนั่น มันอ่อนโยนกับเขาก็เป็น เล่านิทานให้น้องฟังด้วย

“พี่ชายทรงมีเรื่องสนุกๆเล่าให้เราฟังเยอะ ตอนเรายังเด็กกว่านี้ ทรงเสด็จมาเล่นกับเราทุกวันพอทรงโตขึ้นมาหน่อยทรงห่างหายไปบ้าง พี่ชายเราเห็นอย่างนั้นเหอะ ภายนอกอาจจะดูเย็นชาแต่ภายในพระทัยทรงอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษนะ เราจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเราเด็กๆ พี่ชายเราพาเราขี่คอไปเที่ยวหิมพานต์ครั้งแรก และครั้งนั้นเองพี่ชายเรามีเรื่องกับหลานชายพญาเวนไตย  จนถึงขั้น ยังไงดีล่ะ ...ใช้กำลัง” สีทันดรทรงหยุดนิดหนึ่งเพื่อหาคำที่เหมาะสม

“เรียกว่าต่อยแหละง่ายๆ ภาษามนุษย์” อัสดงแก้มาให้

“เออนั่นแหละ เหตุก็เพราะว่า หลานชายพญาเวนไตยรังแกพวกกินรี”

“เหอะเป็นสุภาพบุรุษเหมือนกันนะนี่”

“นั่นแหละ ต่อยกันใหญ่เลย จนมหาอุมาเทวีที่ประทับอยู่แถวนั้นพอดี เสด็จมาห้ามถึงได้เลิกรากัน แล้วก็ทรงตัดสินให้พี่ชายเราถูกแถมยังทรงชื่นชมในความเป็นสุภาพบุรุษด้วย พี่ชายเราให้เหตุผลแก่มหาเทวีว่า สุภาพบุรุษพึงให้ความช่วยเหลือแก่สุภาพสตรี นับแต่นั้นมาพี่ชายเราก็เลยกลายเป็นตัวโปรด”

“เหอะ แล้วสุภาพบุรุษที่ไหนถึงรังแกสุภาพสตรี มาตามจับเอาเขากลับไปทำเมีย”

“เจ้าไม่เข้าใจหรอกอัสสะ เหตุที่พี่ชายเราทำเช่นนั้น ก็เพราะว่า การจัดระบบการปกครองของบาดาลนั้นเราจำต้องรวมอำนาจของนาคาสี่สายสกุลใหญ่ๆเอาไว้ หากรวมไม่ได้ บาดาลคงปั่นป่วน และนางนาคที่หนีมา นางทำให้สกุลของนางถูกตราหน้าว่าไม่จงรักภักดี ถือว่าเป็นกบฏกลายๆ”

“เหอะไม่ยุติธรรม ...ความจงรักภักดีไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยวิธีนี้ แต่เอาเหอะ มันเป็นเรื่องทางบาดาลเราจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่เราก็จะยึดวิธีเดียวกับที่พี่ชายเจ้าทำ คือ สุภาพบุรุษพึงให้ความช่วยเหลือแก่สุภาพสตรี เราจะช่วยนางนาคผู้นั้น”

“แล้วมันคุ้มกันเหรออัสสะ” สีทันดรส่ายพระพักตร์ อัสสะนี่ก็รั้นพอๆกับพี่ชาย รั้นกับรั้นมาเจอกัน มิน่าถึงได้ดูไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไรนัก หนักใจเหลือเกินโน่นก็พี่ นี่ก็คนรัก หากมีเรื่องกันจะเข้าข้างใครดี

“คุ้มสิ อัสสะจะได้แสดงให้เห็นว่า คนอย่างอัสสะก็มีดีเหมือนกัน พี่ชายเจ้าจะได้เลิกวางตนข่มคนอื่นเสียที”

“อัสสะ พี่ชายเราไม่ใช่คนแบบนั้น เราเชื่อว่าหากอัสสะยอมเจรจาคุยกับพี่ชายดีๆ เราคาดว่าเรื่องคงจะไม่บานปลาย พรุ่งนี้เราลองติดต่อหลวงตาใหม่ ให้หลวงตาช่วยพูดให้แล้วส่งนางนาคคืนไปเสีย”

“แล้วเด็กหลานไอ้พระพุธล่ะ อย่าบอกนะว่าเด็กไร้เดียงสาจะต้องโทษด้วย”

“มันก็แล้วแต่พระเมตตาของทูลหม่อมปู่ พี่ชายคงให้ทูลหม่อมปู่ทรงตัดสิน”

“อัสสะบอกไว้ก่อนนะว่าถ้าผลการตัดสินออกมาไม่ยุติธรรม อัสสะรบแน่ และถ้าพี่ชายเจ้าพาลจะพาเจ้ากลับบาดาล อัสสะจะบุกบาดาลเอาให้พินาศกันไปข้างหนึ่งเลย”

คำพูดและน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจังของอัสดงทำให้สีทันดรเริ่มหวั่นพระทัย อัสดงคงทำตามที่พูดแน่ๆ และหากอัสสะพลาดพลั้งแพ้พี่ชายมาจะทำอย่างไร สาธุอย่าให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเลย

“เอาละ..เราอย่าคุยเรื่องที่ไม่สบายใจกันต่ออีกเลย ไว้ค่อยปรึกษาคุยกับไอ้พวกนั้นพร้อมๆหน้ากันวันพรุ่งนี้ดีกว่า นอนเสียเถิดคนดี”

“แล้วจะไม่เล่านิทานให้ฟังแล้วเหรอ” พระเนตรฟ้าครามใสแป๋วจับจ้องมาที่อัสดง พระสุรเสียงตรัสอ้อนมาบ้าง ดุจเยาว์ชันษายามรบเร้าต้องการสิ่งใด

“อ้าวไหนบอกว่าไม่ใช่เด็กแล้ว จะฟังทำไม อีกอย่างอัสสะขี้เกียจเล่าแล้วด้วย  ให้อัสสะร้องเพลงกล่ออมให้ฟังก่อนนอนดีกว่านะ”

“ก็ได้ หากไม่เพราะอย่างคราวที่แล้วล่ะ น่าดู”

สิ้นรับสั่งอัสดงก็ขยับลูกคอมาเสียหนึ่งทีแล้วก็เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำร้องหวานซึ้งดังว่า

ล่องลอยเอ๋ย ...เจ้าล่องลอยเอ๋ย....จากบาดาล
นามสีทันดร ตระการ.....มาสู่อกพี่เอย
กลิ่นเจ้าจอมขวัญ ปักใจพี่มั่น ตรึงหมาย
กี่ชาติกี่ภพ ไม่มีคลอนคลาย
รักเจ้าไม่หน่ายไม่คลายจากกัน

แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า ขอเทพเทวาเป็นพยาน
วันดีศรีสุข สองเราสมัครสมาน
พี่ขอรักเจ้านานนาน จวบจนรักนั้น นิรันดร์กาลเอย*

น้ำเสียงของอัสดงดุจมีมนตราสะกดทำให้เจ้านาคาน้อยนอนแน่นิ่งหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขน เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งจนยกลืมขึ้นแทบไม่ไหว พระหทัยตอนนี้ล่องลอยไปตามเสียงเพลงที่จากดังอยู่ข้างๆหูเมื่อแรกเริ่ม กลายเป็นดังอยู่ไกลแสนไกล แต่ก็ยังพอที่จะได้สดับรับฟังเอาบทสุดท้าย ที่ทำให้คืนนี้ทรงบรรทมได้พร้อมรอยยิ้ม

“พี่ขอรักเจ้านานนาน จวบจนรักนั้น นิรันดร์กาลเอย............สีทันดรจ๋า เรารักเจ้า รักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

ถ้อยคำที่สีทันดรอยากได้ยินถูกกล่าวออกมาแล้วในท้ายที่สุด แต่สีทันดรดันบรรทมอยู่ในห้วงนิทราไปเสียก่อน อัสดงเมื่อกล่าวออกมาก็ได้แต่นอนยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อเห็นว่าคนที่ก่ายกอดอยู่ในอ้อมแขนหลับ จึงหลับตาลงบ้าง สีทันดรยอดรัก ขอให้พรุ่งนี้ยังมีเราและเราอย่าให้ใครมาพรากเจ้ากลับบาดาลไปเลย เจ้าดื้อ เจ้าตัวร้ายของเรา

เช้าแล้วสายฝนยังคงไม่ซาเม็ด ยังตกหนักอยู่อย่างนั้น ทำให้บรรยากาศเช้านี้ขมุกขมัวแต่เย็นฉ่ำไปด้วยน้ำฝน เอราวัตเมื่อลุกขึ้นมาจากเตียงได้ก็รีบทำภารกิจส่วนตัว แล้วไปหยุดยืนรออยู่หน้าห้องของคืนฉาย หวังจะมาปลุกเพราะเจ้าตัวรู้ดีว่าคืนฉายนี้นอนขี้เซาเสียยิ่งกระไร  เขาเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พอดีกับจังหวะที่คันฉัตรเดินมาเห็นเข้า เอราวัตนั้นยังไม่รู้ความจริงว่าเพื่อนๆรู้กันหมดแล้วถึงเรื่องเมื่อคืน เขาจึงร้อนตัวกลัวว่าเพื่อนจะสงสัย จึงแสร้งกลบเกลื่อนทักเจ้าพระเสาร์แก้เก้อ

“อ้าว ไอ้ฉัตรมึงตื่นเช้าเหมือนกันนี่”

“เช้าห่าอะไร นี่จะแปดโมงแล้ว แล้วนี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ หรือว่าจะมาหาแฟน” คันฉัตรทำหน้าทะเล้นอย่างรู้ทันใส่เอราวัต ที่ยืนทำหน้าทำตามิถูกเพราะถูกจับได้ว่ามาทำอะไร

“ปะ เปล่า ก็แค่เดินมาดูว่าไอ้ฉายตื่นหรือยัง มันยิ่งนอนขี้เซาอยู่”

“เป็นห่วงกันจริง.....ไอ้ฉายมันตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว โน่นมันไปช่วยแม่มึงทำกับข้าวอยู่ในครัวกับไอ้กลดนู่น”

“อ้าวเหรอ มึงพูดจริงอ่ะ” มิน่าล่ะฝนฟ้าถึงได้ตกห่าใหญ่คนขี้เซาดันตื่นแต่เช้าแถมยังมาช่วยแม่ทำกับข้าวอีก

“กูจะไปโกหกทำไม ....ไม่เชื่อมึงก็ไปดูสิ แม่มึงปลื้มใหญ่สงสัยจะได้ลูกเขยหรือลูกสะใภ้ก็ไม่รู้” คันฉัตรตอบมาแล้วก็หัวเราะลั่น เพราะคุณแม่ของเอราวัตนั้นดูท่าจะปลื้มคืนฉายอยู่ไม่น้อยที่ขยันขันแข็งตื่นมาช่วยทำนั่นทำนี่แต่เช้า

“นี่กูจะมาปลุกไอ้อัสดงมันนี่เหมือนกัน ไม่รู้ตื่นหรือยัง เป็นพระอาทิตย์แท้ๆ เสือกนอนขี้เซา แทนที่จะตื่นมาฉายแสงแต่เช้ามืด”

ว่าแล้วทั้งสองก็เปิดประตูเข้าไปในห้องแต่ก็พบความว่างเปล่า บนเตียงไม่มีอัสดง “อ้าวแล้วอัสดงมันไปนอนที่ไหนกันนี่ มึงจัดห้องให้มันนอนกับไอ้ฉายไม่ใช่เหรอ”

“เออ ....นั่นสิ หรือว่ามันตื่นแล้ว”

“แต่กูยังไม่เห็นมันตั้งแต่เช้าเลย”

ทั้งสองต่างกำลังสงสัยว่าอัสดงไปนอนอยู่ไหน พอออกมาจากห้องนอนเท่านั้นแหละ ประตูห้องตรงข้ามที่ถูกจัดไว้เป็นห้องของสีทันดรก็เปิดออกและคนที่ก้าวออกมาคนแรกก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล อัสดงที่กำลังตามหาอยู่นั่นเอง ตามมาด้วยเจ้านาคาน้อย สีทันดรทำพระพักตร์ไม่ถูก อัสดงก็ได้แต่ยิ้มแก้เขิน

“ตายห่าเพื่อนๆเห็นหมดแล้ว”

“ฮั่นแน่!!!! ไอ้อัสดง ร้ายนักนะมึง แอบดอดมานอนในห้องนี้นี่เอง ท่าทางคงจะจัดหนักเลยสิท่าเล่นเอาตื่นสาย”

คันฉัตรกับเอราวัตช่วยกันกล่าวแซวทันทีที่เห็น อัสดงเดินออกมาจากห้องนอนของสีทันดร สภาพของเขาพึ่งตื่นก็จริงแต่บริเวณเป้ากางเกงนอนของเพื่อนชายนี้สิ ดูท่าจะตื่นมาตั้งนานแล้ว  สีทันดรด้วยความเขินจึงเลี่ยงออกไป บอกว่าจะไปห้องพระไปดูนางนาคกับลูก ก่อนไปทรงถองอัสดงเบาๆมาหนึ่งทีตรัสด้วยสุรเสียงเขินอาย

 “เห็นไหม ...เราบอกแล้วเดี๋ยวใครมาเห็น ทีนี้เข้าใจผิดกันหมดเลย”

เมื่อสีทันดรเสด็จลับตาไปแล้ว เอราวัตก็ยิงคำถามเป็นคนแรก “กี่ยกวะ”

“ไอ้บ้านอนกันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร”

“กูไม่เชื่อ.....อย่าเลยมึง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มึงปล่อยให้หลุดไปได้ไง  เขาน่าฟัดน่ากอดขนาดนั้น ไอ้ฟายเอ๊ย เป็นกูหน่อยไม่ได้” คันฉัตรกล่าวมาอย่างเสียดายแทนเพื่อน “กูจะจัดให้หายดื้อไปเลย”

“ไอ้ทะลึ่งกูจะทำก็ต่อเมื่อเขาพร้อม ไม่ใช่พวกมึงนี่ เอะอะ อะไรเป็นเรื่องอย่างว่าไปหมด แล้วนี่ไอ้ฉายกับไอ้กลดไปไหน”

“โน่นอยู่ในครัวนู่น นี่ถ้าไอ้กลดมันมาเห็น มันคงน้ำตาตกเป็นเผาเต่า”

คันฉัตรนึกเห็นใจเจ้าพระจันทร์ แต่เรื่องหัวใจใช่ว่าบังคับจะให้รักกันง่ายๆ ไม่ใช่แบบเอราวัตกับคืนฉาย ที่ช่วยจนเกือบจะสำเร็จแล้ว นั่นเพราะทั้งสองมีใจให้กันเป็นทุนเดิม แต่สำหรับสีทันดรจะช่วยให้มารักทรงกลดแล้วสมหวังกันคงยาก เพราะดูสายพระเนตรก็รู้ว่า มีแต่เจ้าพระอาทิตย์รูปงามนี่เท่านั้น

“มึงก็อย่าไปบอกไอ้กลดมันสิไอ้พระเสาร์ เห็นใจมัน ....แล้วนี่เมื่อคืนเห็นว่าจะนั่งสมาธิติดต่อหลวงตา เป็นไงได้เรื่องไหม?” เอราวัตถามขึ้นมองเพื่อนชายอย่างยิ้มๆ “หรือว่านายจะมัวแต่ขายขนมจีบ”

“ติดต่อไม่ได้เลยวะ เช้านี้ว่าจะลองใหม่...เดี๋ยวพวกเรามาคุยเป็นการเป็นงานกันดีกว่าว่าจะเอาไงกันต่อไปดี จะได้หมดเรื่องวุ่นๆเรื่องนี้เสียที ขอฉันอาบน้ำอาบท่าก่อน”

“เออ...เดี๋ยวเจอกันที่โต๊ะกินข้าวแล้วกัน ตามมาเร็วๆล่ะ อย่ามัวแต่ชักว่าว เอ๊ยชักช้าอยู่” คันฉัตรกล่าวปนหัวเราะเพราะเขากับเอราวัตสังเกตเห็นแล้วว่าอัสดงนั้นตื่นมาด้วยอาการพร้อมรบเพียงใด เอราวัตกล่าวเสริมมาอีกว่า

“เอาออกบ้างเสียก็ดีนะ ไอ้อัสดง ....ค้างๆคาๆไว้ ไม่ดีนะ ออกมาเดี๋ยวเป็นแบบเขื่อนแตกไม่รู้นะโว้ย”

“ไอ้ห่า กูไม่ใช่มึงกับไอ้ฉายนี่ ที่จะช่วยผลัดกันเอาออก อย่าคิดนะว่ากูไม่รู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงศาลาท่าน้ำบ้านไอ้กลด มีคนรายงานกูหมดแล้ว” อัสดงกัดพระพุธทิ้งท้ายเล่นเอาเจ้าพระพุธสะดุ้ง คันฉัตรได้ฟังก็ได้แต่หัวเราะกิ๊วก๊าวหันมาแซวพระพุธแทน

“มึงไปทำกันตอนไหนวะ....ทำไมกูไม่รู้ไม่เห็น มิน่าเล่า...ถึงได้แกล้งเป็นแฟนกันโคตรเหมือน ที่แท้ก็มีอะไรกันแล้วนี่เอง”

“บ้าเหรอ...อัสดงมันพูดไปอย่างนั้นแหละ มึงก็ไปเชื่อมัน ไปเหอะ ไปในครัว ดูเผื่อมีอะไรให้ช่วยบ้าง” เอราวัตทำหน้าทำตาไม่ถูก รีบตัดบทก่อนจะถูกแซวไปมากกว่านี้ แล้วจึงดันหลังพาคันฉัตรออกไปมุ่งหน้าสู่ห้องครัวให้เร็วที่สุด คันฉัตรเองนั้นก็ยังไม่วายถามเรื่องนั้นมาอีกระลอก

“ของใครใหญ่กว่ากันวะ มึงหรือไอ้ฉาย”

“ไอ้บ้า!!! ไม่รู้โว้ย รู้แต่ว่าแข็งจนพอฟาดหัวฟาดปากมึงแตกแล้วกัน หากยังไม่หยุดแซว ไอ้เวร”

ครั้นเมื่อเอราวัตกับคันฉัตรเมื่อเดินมาถึงห้องครัวก็พบว่าอาหารเช้าถูกเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย แม่ของเอราวัตพอเห็นหน้าเจ้าลูกชายตัวดีโผล่หน้าเข้ามาก็เรียกใช้ทันที

“อ้าวตาหนู มาก็ดีแล้ว ช่วยฉายกับกลดยกอาหารเช้าไปหน่อยสิลูก”

“โห แม่ทำไมเช้านี้ทำตั้งหลายอย่าง ของโปรดทั้งนั้นเลย” ของโปรดที่เอราวัตว่าคืออาหารฝรั่งหรือที่เรียกกันว่าเบรคฟาสท์ ทั้งแฮมทั้งเบคอนและไส้กรอกถูกอบและย่างรมควันมาอย่างดี แถมยังมีมันฝรั่งบด ไข่ดาว โถกาแฟเตรียมพร้อมและยังมีสิ่งที่เขาประหลาดใจไม่คิดว่าแม่จะทำให้เขาทานได้ เพราะหน้าตาอย่างกับถอดแบบมาจากเมนูร้านอาหารชั้นนำในกรุงเทพ นั่นก็คือสปาเกตตี้ครีมซอสเห็ดอีกโถเบ้อเร่อ

“แม่ครับ น่ากินมาก ของโปรดผมเลยนะเนี่ย แม่ไปเอาสูตรมาจากไหนเหมือนร้านในกรุงเทพเลย”

“โฮ๊ยยย ลำพังแม่จะไปทำอะไรได้ ...โน่น ฉายนู่น เขาอุตส่าห์ทำให้เห็นว่าหนูชอบ ตาหนูก็รู้ว่าแม่ไม่ถนัดอาหารฝรั่งแม่ทำเป็นแต่อาหารไทย เช้านี่ แม่ดูแต่ของเช้าให้คุณยายกับคุณพ่ออย่างเดียว นอกนั้นฉายกับกลดทำให้หมด”

“จริงเหรอแม่ ไอ้กลดน่ะพอเชื่อเพราะเคยชิมฝีมือ แต่ไอ้ฉายเนี่ยนะ มันจะทำเป็น”

เอราวัตทำหน้าแปลกใจเพราะไม่เชื่อว่าคนอย่างคืนฉายจะทำได้ ตอนอยู่ที่บ้านของทรงกลด คืนฉายเคยทำอะไรให้กินเสียที่ไหน แถมยังนอนตื่นสายเป็นประจำ แต่วันนี้ดันตื่นเช้า สงสัยคงจะกระวนกระวาย อยากเอาคำตอบ

“อ้าวเฮ้ย ดูถูกกันนี่หว่า ....งั้นอย่ากินมันเลย เอามานี่” จู่ๆเจ้าพ่อครัวนามว่าคืนฉายก็เดินออกมาจากหลังครัวแย่งโถสปาเกตตี้ไปจากมือของเอราวัตแล้วทำเดินหน้าตาเฉยเหมือจะยกเททิ้ง “ไอ้บ้าอุตส่าห์ทำให้ ยังจะมาดูถูกกันอีก”

“กูพูดเล่น เอามานี่ไอ้ห่า ทำเป็นน้อยใจไปได้” เอราวัตแย่งโถเจ้ากรรมคืนไปจากมือของคืนฉาย คนอะไรว่านิดว่าหน่อยทำเป็นน้อยใจ เหอะไม่สนใจหรอก แต่ด้วยความน่ากินและกลิ่นหอมฟุ้งมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วหยิบบางส่วนเข้ามาใส่ปาก

“ก็ใช้ได้ ดีกว่ากินมาม่า”

“เอ๊ะ ตาหนูนี่อย่ามาใช้นิ้วหยิบกินอย่างนี้ ไปไป๊ ยกไปกินข้างนอกนู่น” คุณแม่ตีแขนลูกชายทันทีที่เห็นว่าทำกริยาไม่งาม แถมยังพูดไม่เพราะด้วย

“แล้วพูดกับเพื่อนน่ะพูดกับเขาให้เพราะๆหน่อย กูๆมึงๆไปเอามาจากไหน ดูอย่างฉายสิเขาพูดออกจะเพราะ”

สงสัยคืนฉายคงจะแอบดอดมาทำคะแนนไว้ เพราะแม่เขาขณะนี้ดูจะชื่นชมคืนฉายมาเสียหมด เอราวัตคงกลายเป็นหมาหัวเน่า แม่คงจะมีลูกชายคนใหม่อีกคน แต่ลูกชายคนใหม่คนนี้ อยากเป็นแค่ลูกชายเท่านั้นเองเหรอ 
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-07-2019 16:19:57
“ไม่เป็นไรครับแม่ ปกติฉายก็พูดอย่างนี้กันอยู่แล้วฉายว่าอย่าไปว่าเอราวัตเลยครับ ฉายยกอาหารไปข้างนอกตั้งโต๊ะทานของเช้ากันเลยดีกว่านะครับ” คืนฉายแกล้งทำเป็นไม่สนใจเอราวัตอีก แอบใช้อำนาจปิดบังความคิดไว้ แกล้งตีสีหน้าเศร้าละม้ายว่าน้อยใจ ที่เอราวัตพูดไปอย่างนั้น เอราวัตเห็นคืนฉายทำสีหน้าเศร้า ก็หลงกลคิดว่า คืนฉาย น้อยใจจริงๆ

“ดูดู๊ ฉายเขาดีอย่างนี้ ยังไปพูดให้เขาเสียน้ำใจอีก ไปขอโทษเขาเลย ตาหนู”

แม่สั่งให้เอราวัตตามไปขอโทษคืนฉาย เอราวัตก็มัวแต่ลังเลเพราะเขาเขิน แม่ไม่รู้ว่าทั้งสองมีอะไรตกลงกันไว้เมื่อคืน แต่ท่าทางของทรงกลดกับคันฉัตร ดูเหมือนว่าจะรู้แล้ว เพราะไอ้เพื่อนทั้งสองแอบลอบยักคิ้วมาให้เขาและยิ้มอย่างแปลกๆ เอราวัตยังลังเล จนแม่สั่งมาอีกทีนั่นแหละ เขาจำต้องยอมเดินไปขอโทษ

ทรงกลดกับคันฉัตร ตอนแรกว่าจะช่วยยกอาหารเช้าออกไป แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจ จึงยัดจานไส้กรอกกับโถกาแฟใส่มือเอราวัต แล้วบอกให้ช่วยยกไปแทนที อ้างว่าจะช่วยแม่เก็บล้างอีกนิดเดี๋ยวจะตามออกไป ใจจริงทั้งสองอยากปล่อยให้คืนฉายอยู่ลำพังกับเอราวัตมากกว่า

“อ้าวเฮ้ย ถือไปด้วย จะได้ไม่ต้องเดินเสียเที่ยว”

“แหม...วันนี้เป็นไร แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นงอน” เมื่ออยู่ลำพังสองต่อสอง เอราวัตไม่เขินอายใครอีกแล้ว เปิดศักราชถามคนที่เดินนำหน้ามาทันที

“ใครงอน นายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” คืนฉายแกล้งก้มหน้า ไม่สบหันมาแม้แต่จะสบตาเอราวัต ซึ่งก็ได้ผลเอราวัตรีบเดินมาสกัดหน้า หยุดยืนขวางไว้

“ก็นี่แหละเรียกว่างอน ....แล้ววันนี้ทำไมตื่นมาแต่เช้า ปกติเห็นตื่นสายนี่ มิน่าฝนเลยตกห่าใหญ่ไม่ยอมหยุด”

“ก็นอนไม่ค่อยจะหลับ เมื่อคืนมันหนาว และอีกอย่าง ฉันอยากจะทำตัวให้ดีพร้อมขึ้นไปเพื่อใครสักคน เผื่อคำตอบที่เขาจะให้มันจะได้เป็นไปในทางที่ดี” คราวนี้คืนฉายเงยหน้าขึ้นมาสบตาเอราวัต ประกายตาที่เจิดจ้า แสดงให้เห็นว่ามิได้โกหก น้ำเสียงเรื่อยไม่ได้ดูเร่งรัดอยากได้คำตอบ แต่แค่อยากอ้อนเพียงให้เอราวัตเห็นใจ

“ ไอ้บ้า....ขอโทษแล้วกัน ไปตั้งโต๊ะกันเหอะ”

เอราวัตหน้าแดงแต่เช้า หันหน้ากลับเดินนำไปโต๊ะอาหาร คราวนี้เอราวัตต้องก้มหน้าลงบ้างเขาไม่ได้แกล้งเพราะเขาเขินมาจริงๆ ใช่สิ สัญญาว่าจะให้คำตอบเขา และคำตอบนั้นก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ตอนไหนล่ะจะมีเวลาเหมาะๆ ที่จะบอก แต่ก่อนจะบอกต้องมีอะไรตกลงกันนิดหน่อย แต่คงจะมิใช่ตอนเช้านี้

“แค่นี้ ทำไมต้องเขิน ยังไม่ได้จีบอะไรสักหน่อย” แล้วคืนฉายก็เป็นฝ่ายเดินมาสกัดหน้าบ้าง

“ไม่ได้เขินนะ แค่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่”

“ถ้านายคิดเรื่องจะเอาคำตอบ ขอบอกไว้ก่อนว่าฉายไม่ได้เร่งรัดเอาแต่อย่างใดเลย ฉายแค่บอกว่าฉายอยากทำตัวดีๆเพื่อใครคนหนึ่ง...และหวังว่าผลนั้นจะส่งผลให้คำตอบฟังออกมาแล้วชื่นใจ” คืนฉายไม่กล่าวอะไรต่อไปอีกเดินนำหน้าไปจัดตั้งเตรียมโต๊ะอาหารเช้า ซึ่งมีเด็กๆคนรับใช้ในบ้านคอยช่วยไว้อยู่แล้ว เอราวัตจึงหมดโอกาสที่จะอยู่กับคืนฉายเพียงลำพังสองต่อสองแถมอัสดงกับสีทันดรเริ่มออกมาสมทบแล้วด้วย

ไม่นานนักอาหารเช้าก็ตั้งเต็มโต๊ะ เทพน้อยทั้งห้าต่างก็กินกันไปคุยกันไปสนุกสนาน เพลินกับอาหารทุกจาน  ไม่มีเรื่องศึกปนอยู่ในบทสนทนาเพราะแม่นั่งอยู่แถวๆนั้นด้วย ทุกคนชมคืนฉายกับทรงกลดที่ทำได้ออกมาอร่อยฝีมือเทียมร้านอาหารในกรุงเทพ โดยเฉพาะเอราวัต ที่ตอนแรกปากบอกว่าแค่ใช้ได้ ดีกว่ากินมาม่า ไปๆมาๆ โถสปาเกตตี้ทั้งโถเขาแทบจะซัดเกลี้ยงอยู่คนเดียวเล่นเอาคนทำนั่งยิ้มอิ่มคำชมจนแก้มแทบปริแถมยังอิ่มใจมาอีกด้วย   ส่วนสีทันดรได้แค่มอง แล้วก็ยิ้มๆ ไม่เสวยเลยสักนิด ทั้งห้ารู้ว่าเป็นเพราะสีทันดร ‘อิ่มทิพย์’ เพียงแค่ใช้พระดัชนีแตะแก้วนมเท่านั้นก็ทรงเพียงพอแล้ว หากแต่แม่สิเห็นเข้าก็แปลกใจ

“ทำไมไม่ทานล่ะลูกสีทันดร”

“อิ่มแล้วครับ”

สีทันดรตรัสตอบ มิได้โกหกแต่อย่างใด เพราะทรงอิ่มจริงๆ แต่ไม่ได้บอกต่อมาด้วยแค่นั้นเองว่าอิ่มแบบไหน แล้วก็เสด็จลุกออกจากวงอาหารเช้ามาประทับข้างๆ นั่งคุยต่อกับแม่ของเอราวัตไปเรื่อยๆ

“แล้วนี่พ่อไปไหนล่ะครับยาย ผมไม่เห็นเลยตั้งแต่เช้า” จู่ๆเอราวัตก็ถามขึ้น

“พ่อเข้าไปหาท่านนายอำเภอน่ะลูก เห็นว่ามีชาวบ้านเขามาปรึกษาเรื่องจะจัดพิธีบวงสรวงพญานาค”

“บวงสรวงพญานาค พระองค์ไหนกัน?” สีทันดรทรงถามขึ้นโดยพลัน

“เอ แม่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเขาหรอก รู้แต่ว่า ระยะหลังมานี่ มีคนเห็นรอยพญานาคขึ้นมาแถวๆหมู่บ้านเราบ่อย ชาวบ้านเลยมาไหว้วานให้คุณพ่อไปช่วยขออนุญาตท่านนายอำเภอจะบวงสรวงจัดงาน นี่เมื่อเช้าก็มีคนเห็นอยู่เต็มท้ายสวนแถวบ้านเราด้วยนะ แม่ขี้เกียจลงไปดู เลยไม่รู้ว่ารอยเป็นยังไง เห็นนังเด็กที่มันไปดูมันบอกว่าเป็นรอยเลื้อยเหมือนงูใหญ่อยู่หลายรอยเลยทีเดียว”

เทวะน้อยๆหยุดกินอาหารเช้าทันที หันมาฟังอย่างตั้งใจ ถ้าเป็นรอยของนางนาคที่ขึ้นมาหาพี่คชาก็คงไม่น่ากังวล แต่ถ้าเป็นรอยอื่นๆ ของตนอื่นๆสิน่าหวั่นใจเป็นที่สุด และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นั่นก็หมายความว่าพี่ชายของสีทันดร วางกำลังรอบบ้านกั้นไว้หมดแล้ว อัสดงเริ่มขมวดคิ้วกล่าวอย่างช้าๆมาว่า “กินเสร็จแล้ว พวกเราลงไปดูรอยพญานาคที่ว่ากัน หากว่าใช่อย่างที่พวกเราคิด คงต้องรีบคุยกันซะที ”

“อิ่มพอดี อีกอย่างร้อนใจด้วย พวกเราลงไปดูกันเลยดีกว่า”

แล้วเอราวัตก็กางร่มเดินนำเพื่อนๆลงไปยังท้ายสวน พอไปถึงก็พบว่ามีชาวบ้านหลายๆคนยืนตากฝนดูกันอยู่เต็ม ฝนที่ตกหนักมาแทบทั้งคืนจวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมหยุด แม้จะชำระให้รอยพวกนั้นหายไปบ้าง แต่ยังพอมองเห็นชัดว่าเป็นรอยเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดนี้เอง รอยเหล่านั้นเป็นรอยเลื้อของงูใหญ่หลายสิบรอย และดูเหมือนจะเลื้อยเป็นวงกลม หรือไม่ก็ขดตัวเป็นวงกลมล้อมบ้านของเขาไว้ สีทันดรทรงกล่าวทันทีที่ทอดพระเนตรเห็น

“ไม่ผิดหรอกเป็นรอยนาคบริวารราชองครักษ์ ของพี่ชายเรา พวกนั้นขดตัวล้อมบ้านพี่เอราวัตไว้ คาดว่าพี่ชายทรงให้พวกทหารมือดีมาซุ่มดูอยู่เป็นแน่แล้ว”

“นั่นก็หมายความว่า เราถูกล้อม” ทรงกลดกล่าวขึ้น “เหอะ เรากั้นม่านอาคมไว้ ไม่ให้พวกนาคเข้ามา กลายเป็นว่าพวกเรากลับเป็นฝ่ายโดนล้อมมาเสียนี่ พวกเราถูกกักบริเวณไม่ให้เคลื่อนไหวออกไปไหนเสียแล้ว”

“ให้มันได้อย่างนี้สิพับผ่า ฝ่าวงพวกมันออกไปรบแม่งเลยดีไหมอัสดง” คันฉัตรสบถมาอย่างหัวเสีย เจ็บใจที่เสียรู้

“ใจเย็นๆก่อนพระเสาร์ เดี๋ยวเราขึ้นไปประชุมกัน ว่าจะเอายังไง อย่าผลีผลาม ฉันอยากจะติดต่อหลวงตาให้ได้ก่อนด้วย พวกเราขึ้นไปกันเหอะ ดูไปก็ทำให้หวั่นใจกันเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์”

อัสดงหันหลังกลับเดินนำเพื่อนๆขึ้นบ้าน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เพราะชายชรานามว่ามหายกเดินมาจากอีกฟากของสวนพร้อมกับลูกสมุน มหายกมองพวกอัสดงและเอราวัตอย่างเคียดแค้นที่ตนถูกหักหน้าและถูกถีบตกน้ำไปเมื่อวาน แต่เรื่องนั้นขอฝากไว้ก่อน ตอนนี้มีเรื่องสำคัญรออยู่

“ไอ้มหาเวรนั่นมันมาทำอะไร สงสัยยังไม่เข็ดเมื่อวาน” คืนฉายพูดเปรยขึ้นมา สงสัยในทีท่าชอบกลของมหายก

ส่วนมหายกเมื่อมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ให้ลูกศิษย์ตั้งโต๊ะพิธีใต้ร่มไม้ใหญ่หลีกจากสายฝน เทวะน้อยทั้งหลายหยุดยืนดู เสียงซุบซิบของชาวบ้านดังเข้าหูมาว่า “มหายกจะเรียกพญานาคมาปราบ”

“คอยดูเหอะ กูจะเรียกพญานาค จับมาโชว์งานวัดให้ดู”

เมื่อโต๊ะพิธีตั้งเสร็จ เสียงมนตราเป็นภาษาเขมรเก่าแก่ ก็ดังขึ้น น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ที่ลมฝนกลับยิ่งโหมกระหน่ำ ฟ้าแลบ ฟ้าร้องดังลั่นครั่นครื้นยิ่งกว่าเดิม สมุนของมหายกทำหน้าที่เป็นโฆษกอวดอ้างสรรพคุณของอาจารย์ตนดังลั่นแข่งกับเสียงฝน

 “อาจารย์กำลังเรียกพญานาค เดี๋ยวพวกเอ็งจะได้เห็นตัวเป็นๆ ไม่ได้เห็นแค่รอยอย่างนี้”

ทรงกลดด้วยความที่เป็นคนละเอียดรอบคอบ รีบจูงข้อพระหัตถ์ให้สีทันดรเลี่ยงออกไปจากตรงนั้น เพราะมิฉะนั้นแล้ว มนตราเรียกพญานาคที่เจ้ามหายกใช้ คงจะดึงสีทันดร ออกไปกลางวงล้อมแทนที่จะเป็นนาคตนอื่น และเผยให้เห็นว่า สีทันดรเป็นพญานาคมิใช่มนุษย์

“พวกเราพาน้องดื้อออกไปก่อนดีกว่า ก่อนที่มนตราจะทำอะไรน้องดื้อ”

เทพน้อยทั้งหมดเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงรวมกลุ่มกันบังสีทันดรไว้ แต่เจ้าตัวนั่นแหละกลับตรัสออกมาเองว่า

“ไม่ต้องกังวลกับเรา มนตราชั้นต่ำไม่สามารถเรียกเรามาพบได้หรอก คนที่จะเรียกเราได้ถ้าไม่ใช่เทวะชั้นสูงก็มีแต่พระอริยสงฆ์เกินขั้นพระอนาคามีไปเท่านั้น ตบะและเดชะของมนุษย์เฒ่านี่ยังไม่ถึงขั้นเรียกเรา เหอะในเมื่อมันอยากเจอพญานาคนั้น เราก็จะสงเคราะห์ให้ และขอสั่งสอนมันสักหน่อย รำคาญตามันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คิดว่าตัวมีอาคมแก่กล้านักหรือไง เดี๋ยวได้มอดไหม้เป็นจุณ ”

สีทันดรทรงยิ้มอยู่ริมโอษฐ์อย่างเยือกเย็น หลับพระเนตรเพ่งกระแสจิตไปยังโต๊ะพิธี ฉับพลัน โต๊ะพิธีนั่นก็เกิดสั่นไหวระรัว อีกทั้งร่างของมหายกก็เกิดอาการสั่นเทิ้มพั่บๆ และแล้วในวินาทีที่ทุกคนกำลังประหลาดใจนั้นเอง สายฟ้าก็ฟาดลงมากลางโต๊ะพิธี เสียงระเบิดดังสนั่นลั่น ไฟลุกท่วม  ร่างของมาหยก มีอันกระเด็นไปชนโคนต้นไม้ใหญ่ ดังพลั่ก  ลูกประคำที่ใช้ถือบริกรรมในมือขาดกระจาย บรรดาลูกสมุนต่างรีบวิ่งหนีแตกฮือ คนที่ใจกล้าหน่อย ตั้งใจรีบเข้าไปพยุงร่างของอาจารย์ให้ลุกขึ้นแต่ก็ต้องถอยหนี เพราะบางสิ่งคล้ายขดเชือกยาวๆ ตกลงมาจากกิ่งไม้เบื้องบนนับสิบ สมุนของมหายกอุทานลั่น

“กองทัพงูจงอาง” คราวนี้สมุนมหายก เผ่นหนีกันป่าราบไปหมดเหลือแต่มหายกที่นอนแน่นจุกอกจะลุกขึ้นก็ลุกขึ้นไม่ได้เสมือนว่าร่างกายทุกส่วนถูกตรึงอยู่กับที่

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็แตกฮือเช่นกัน ได้แต่ถอยไปดูอยู่ห่างๆ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงกับงูจงอางนับสิบที่เลื้อยยั้วเยี้ยชูคอแผ่พังพานอยู่รอบตัวมหายก มหายกเองก็กำลังขวัญเสีย ตัวสั่นเพราะภาพที่ตนเห็นไม่ใช่งูจงอางอย่างที่คนอื่นเห็น แต่เป็นพญานาคนับสิบแผ่พังพานหราอยู่รอบตัว เสียงขู่ฟ่อดังระงม ภายใต้เสียงขู่นั้น สอดแทรกไปด้วยเสียงดังกังวานทรงอำนาจมาอย่างยิ่ง

“เจ้ามนุษย์โสโครกชั้นต่ำ บังอาจหาญกล้าลบหลู่เผ่าพันธุ์แห่งเรา แต่ในเมื่อเจ้าอยากเห็น เราก็จะให้เจ้าเห็น เจ้าจะได้รู้ว่า พญานาคนั้นมีฤทธีและพิษเยี่ยมยอดเพียงใด”

สิ้นสุรเสียงดังกังวาน งูจงอางที่ตัวใหญ่ที่สุด ก็ชูคอสูงกว่าตัวใดๆ แล้วทำท่าเหมือนว่าพุ่งฉกลงมา มหายกจะตะเกียกตะกายหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร้องลั่นให้คนช่วยมาอย่างเสียงหลงไม่เหลือเค้ามหาผู้ทำตัวเหมือนทรงอาคมแก่กล้า คมเขี้ยวขาวพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ไอพิษร้อนผ่าวกำจาย มหายกร้องอย่างสุดเสียงดังลั่นอีกครั้งพร้อมสติที่ดับวูบลงไปทันที

เสียงฟ้าร้องครืนดังลั่น พร้อมๆกับเสียงกรี๊ดลั่นจากชาวบ้านสาวๆที่ดูเหตุการณ์อย่างเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้ ต่างปิดหูปิดตา ละจากภาพน่าหวาดเสียว ครั้นพอเสียงเงียบลงจึงค่อยๆเปิดตากันออก และพบว่า ทัพงูจงอางนับสิบอันตรธานหายไปหมดแล้ว เหลื่อแต่ร่างมหายกที่นอนแน่นิ่ง ชาวบ้านบางคนที่ได้สติแล้วรีบวิ่งไปประคองร่างขึ้นมาช่วยดูกันว่า มหายกถูกฉกหรือเปล่า

“โชคดีไม่โดนฉก  แต่รีบพาพ่อมหาไปไปหาหมอกันเหอะ”

สีทันดรลืมพระเนตร เมื่อจัดการกับมหายกเสร็จ แล้วทรงพระสรวลมาอย่างพอพระทัย “สมน้ำหน้า ต้องโดนแบบนี้แหละจะได้เข็ด”

เอราวัตกับพวกรู้สึกชอบใจไปด้วย สะใจนักที่ไอ้มหาแก่โดนน้องดื้อเล่นงานซะน่วม แต่แล้วสีทันดรก็เหมือนฉุกพระทัยคิดอะไรได้ขึ้นมาฉับพลัน ใบหน้าแย้มยิ้ม เปลี่ยนเป็นขมวดพระขนงรวดเร็ว

“แย่แล้ว มนตราเมื่อกี้เรียกและทำอะไรเราไม่ได้ก็จริง แต่พวกเจ้าอย่าลืมว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีเราเป็นนาคอยู่แค่คนเดียว และนาคตนนั้น ไม่ใช่เทวนาคา อาคมเมื่อกี้คงจะ....”

ยังไม่ทันจะสิ้นพระดำรัสดี กลางลำน้ำโขงขณะนี้ปรากฏร่างใหญ่ยาวแก่สายของทุกๆคนจนถ้วนทั่ว ท่ามกลางห่าฝนพายุพัด ร่างนั้นชูคอสูงแผ่พังพาน เกล็ดดำเป็นเงาละเลื่อมดั่งสีนิล สะกดแก่สายตามนุษย์ทุกคนที่เหลือทำให้ยืนตะลึงจับจ้อง

“พญานาค!!”

“นางนาค!!!....แย่แล้วพวกเราลืมไปเสียได้ ว่านางนาคอยู่ข้างบนนี้ด้วย ฉิบหายแล้ว รีบพานางหลบไปเร็ว ก่อนที่พี่ชายของน้องดื้อจะเห็น”

เอราวัตรีบกล่าวขึ้นโผนทะยานออกไปเป็นคนแรก หอกวิเศษอาวุธแห่งเทวะกระชับมั่นเตรียมพร้อมอยู่ในมือ  ทรงกลดใช้อำนาจจิตบังคับให้พวกมนุษย์แยกย้ายออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เอราวัตก็ไปไม่ทันเสียแล้ว เพราะบัดนี้กลางลำน้ำ ราชองครักษ์แห่งทยุติธร โผล่หัวลอยเต็มลำน้ำไปหมด นางนาคพยายามจะว่ายวนหนี แต่ก็ถูกล้อมเอาไว้

เอราวัตจึงซัดหอกอาวุธประจำกาย ฟาดลงไปกลางลำน้ำ ส่งผลให้นาคาบริวารแตกฮือ คืนฉายเห็นท่าว่าเอราวัตคงรับมือกลางลำน้ำคนเดียวไม่ไหว จึงโผนทะยานลงไปช่วย ด้วยความเป็นห่วงเป็นพิเศษ รัศมีสีฟ้าจากฝ่ามือ เริ่มซัดใส่เพื่อแหวกช่องให้เอราวัตเข้าไปโดยสะดวก เมื่อถึงตัวนางนาค เอราวัตจึงยื่นปลายหอกลงไป นางนาคแห่งสกุลกัณหาโคตมะจึงจำแลงกายกลายเป็นนางจงอางเลื้อยพันปลายหอกไว้เพื่อที่เอราวัต จะดึงขึ้นมาได้สะดวก ด้วยความที่เอราวัตมัวแต่ลดอาวุธเพื่อดึงนางนาคขึ้นมา จึงเผลอเปิดช่องโหว่ ทำให้พลังอันอัดแน่น สีเขียวสุกจ้า จากพื้นน้ำ พุ่งเข้ามากระแทกร่างจนกระเด็นแต่มือเขายังกระชับอาวุธไว้มั่น โชคดีที่ดึงนางนาคมาได้ แต่เขาก็ยังเสียหลักซวนเซ และแล้วพลังปริศนาก็พุ่งเข้ามาอีกลูก คืนฉายรีบทิ้งศัตรูที่โรมรันตรงหน้าเข้ามาใช้พลังสกัดกั้นไว้ แต่ด้วยพลังนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยเดชะยิ่งนัก จึงทำให้ทั้งสองกระเด็นลอยขึ้นมาบนฝั่ง เอราวัตนั้นมิเป็นอะไรมาก แต่คืนฉายนี้สิ เลือดอาบไปทั่วแขน
 
“ฉาย!!! เจ็บไหม  โธ่ ฉายมาขวางไว้ทำไม เจ็บตัวเลยเห็นไหม”

เอราวัตประคองร่างของคืนฉายมาแนบอก เจ้าพระศุกร์บาดเจ็บจากการเอาร่างขวางไว้แทนที่จะเป็นเขา จู่ๆน้ำตาแห่งความซึ้งใจก็ไหลอาบแก้ม สีทันดรรีบเสด็จเข้ามาดูแล้วตรัสสั่งให้นางนาคที่ยังพันอยู่ปลายหอกให้ไปหลบอยู่ในห้องพระ แล้วจึงทรงช่วยรักษาคืนฉายก่อนที่อาการจะกำเริบหนัก

สายฟ้าแลบแปลบปลาบท่ามกลางการโรมรันของสามเทวะที่เหลือ คันฉัตรยิงธนูออกไปดุจห่าฝนเพื่อสกัดมิให้ บรรดานาคเลื้อยขึ้นตามขึ้นมาบนฝั่ง ทรงกลดเองก็ตวัดดาบราวจักรผัน ซัดไปทางใดนาคบริวารก็มีอันแตกพ่าย แล้วรัศมีอันเจิดจ้าสีเขียวเจือทองสว่างไสวยิ่งท่ามกลางบรรยากาศที่อึมครึม ก็พุ่งทะยานขึ้นมา บางส่วนแห่งรัศมีนั้น ซัดเข้าใส่คันฉัตรกับทรงกลด จนต้องเซถลา แล้วพุ่งหน้ามาสู่บนฝั่ง อัสดงรอจังหวะนี้นานแล้ว จึงโผนทะยานขึ้นไปกลายเป็นรัศมีสีแดงเจิดจ้าไม่แพ้กัน สกัดกั้นไว้ เสียงปะทะกันแห่งพลังงานทั้งสองดังลั่นยิ่งกว่าฟ้าคำราม รัศมีทั้งสองกระเด็นออกไปคนละฟาก พอสลายก็ยืนหยัดกลายเป็นหนึ่งเทวะน้อย อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ และอีกหนึ่งผู้เป็นเทวนาคาพระเชษฐาแห่งสีทันดร เจ้านาคน้อยตะโกนลั่น

“ทูลหม่อมพี่ชาย!!” สีทันดรรีบเสด็จลอยขึ้นไปกั้นขวางทั้งสองไว้ เพื่อมิให้ปะทะกัน เวลานี้ในพระทัยสับสน จะทรงทำอย่างไรดี โน่นก็พี่ นี่ก็ผู้ที่เป็นที่รัก

“สีทันดร เจ้าโป้ปดพี่ รวมกลุ่มกับพวกเทวะแอบซ่อนนางไว้ เจ้าทำให้พี่ผิดหวัง” ทยุติธรกล่าวด้วยพระสุรเสียงสั่น ผิดหวังที่พระอนุชาพระองค์น้อย แอบซ่อนนางนาคาไว้ “เจ้าเห็นคนอื่นดีกว่าพี่หรือไร”

“พวกเราทำสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก เจ้าจะบังคับให้คนที่ไม่เต็มใจมาแต่งงานกับเจ้านั้นหรือ นางนาคีผู้นั้นมาขอให้เราช่วยและพวกเราก็จะช่วย เพราะเรา เป็นสุภาพบุรุษย่อมพึงให้ความช่วยเหลือแก่สุภาพสตรี” อัสดงกล่าวแทรกขึ้นทำให้ทยุติธรทรงบังเกิดโทสะ ที่ถ้อยคำของตนที่เคยพูดไว้เมื่อยามเยาว์ชันษา ถูกอัสดงนำมาใช้ยอกย้อน พระเนตรฟ้าครามแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้า แล้วพระหัตถ์แห่งทยุติธรก็โบกสะบัดซัดพลังเข้าใส่ สีทันดรมิอยากให้พี่ชายรบรากับอัสดง จึงใช้พลังตนขวางกั้น แต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้ เพิ่มพระโทสะและความรุนแรงเข้าไปอีก

“สีทันดร เจ้าบังอาจนัก”

“พี่ชายฟังหม่อมฉันก่อน”

พระเชษฐามิทรงฟังอันใดแล้ว อำนาจและเดชะถึงขีดสุด พลังของสีทันดรมิอาจขวางกั้นต่อไปได้ ด้วยแรงซัดกลับมหาศาล พลังนั้นซัดเข้าสู่พระวรกายของเจ้านาคาพระองค์น้อย ทำให้พระวรกายกระเด็นตกลงมาจากเบื้องบนกระแทกพื้นเบื้องล่างดังสนั่น

“ไอ้ดื้อ!!!”

อัสดงตะโกนลั่นลอยลงมาหายังเจ้านาคน้อยที่พยายามยันพระวรกายลุกขึ้นมา แรงซัดอัดแน่นขนาดนี้หากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงสิ้นชีพ แต่สีทันดรทรงเป็นเทวนาคา จึงแค่เจ็บ แต่ก็แทบจะลุกไม่ขึ้น อัสดงจึงประคองร่างไว้นั้นแนบอก กอดแนบแน่น ทยุติธรพอได้พระสติ  ก็รีบเสด็จลงมาดูพระอนุชา ตกพระทัยในสิ่งที่ทรงทำลงไป สุรเสียงเสียพระทัยยิ่ง

“สีทันดร เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า พี่ขอโทษ”

ทยุติธรทรงพยายามดึงพระวรกายของสีทันดรออกมาจากอ้อมอกของอัสดงแต่ก็ถูกอัสดงปัดออก พระอนุชาอันเป็นที่รักยิ่ง มิเคยจะยอมให้ใครมารังแก กลับถูกองค์เองทำร้าย พระทัยแทบสลาย พระพักตร์งามดังรูปสลักสลดลง ขอบพระเนตรรื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำใสๆ เพราะพระอนุชาขณะนี้ทรงมีพระโลหิตไหลออกมาจากพระโอษฐ์สีแดงระเรื่อ

“พี่ไม่ได้ตั้งใจ... พี่ขอโทษ”

“เจ้าเป็นพี่ประสาอะไร ทำน้องตนเองได้ลงคอ” อัสดงโอบอุ้มสีทันดร ลอยละลิ่วออกมารวมกลุ่มกับสี่เทวะน้อยที่ต่างก็ตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ นาคบริวารหยุดพุ่งรบหมอบราบอยู่ทางเบื้องหลังเจ้านายที่กำลังคุกพระชงฆ์บนพื้นดิน แล้วทยุติธรก็ทรงยืนหยัดขึ้น ชี้พระหัตถ์มายังอัสดงแล้วตรัสว่า

“คืนน้องชายมาให้เราก่อน เรื่องนางนาคค่อยว่ากัน”

เวลานี้ยามนี้พระอนุชาพระองค์น้อยทรงสำคัญที่สุด ยิ่งกว่าเรื่องอื่นใด พระอนุชาผู้ทรงเสมือนเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่สมเด็จแม่ประทานให้ครั้นยามทรงพระเยาว์ ด้วยเพราะทรงอยากมีน้องกับเขาบ้าง แต่สมเด็จแม่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีให้สักที มีแต่น้องที่เกิดจากลูกพระสนม จึงทรงเล่นด้วยได้อย่างไม่สนิทใจเพราะต้องไว้องค์ รอนานๆเข้าก็ทรงเหงา

จนวันหนึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ วันนั้นเองสมเด็จแม่ทรงตรัสว่า จะทรงมีน้องให้แล้ว เพราะมหาลักษมีเทวีทรงพระเมตตาประทานพรและบุตรให้ วันนั้นทรงดีใจเป็นที่สุด คุยอวดอ้างไปทั่วบาดาล หาของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิงเตรียมไว้ให้น้องที่จะประสูติมา เพราะทรงคิดว่า เมื่อมหาลักษมีประทานพร น้องที่เกิดมาก็น่าจะเป็นพระขนิษฐา แต่การณ์กลับผิดคาด สมเด็จแม่ทรงมีพระโอรส แต่มิได้ทรงเสียพระทัย กลับปลื้มและดีพระทัยอย่างถึงขีดสุด น้องชายประสูติมาแล้วงามยิ่งนัก ดุจมหาลักษมีในภาคเทวนาคา ทรงจำได้ว่า ทรงเสด็จขึ้นไปจนเกือบถึงยอดเขาพระสุเมรุ  ตะโกนลั่น

“เรามีน้องแล้ว น้องเราหล่อด้วย”

นับจากนั้นเป็นต้นมา ทรงดูแลน้องชายมาอย่างดียิ่ง น้องชายก็ติดพระองค์แจ พระอุปนิสัยที่เคยเอาแต่พระทัยพระองค์เองเริ่มเลือนหาย เพราะทรงยอมให้พระอนุชาเสียสิ้น และยามที่น้องน้อยกล่าวชมตนทีไร ก็ทำให้ดีพระทัยยิ่งกว่าใครคนอื่นมาสรรเสริญ .....“พี่ชายเก่งจัง”

 ถึงที่ผ่านมาจะทรงดุน้องบ้าง เพราะดื้อและซนเหลือขนาด แต่ก็ไม่เคยลงโทษน้องรุนแรงเช่นนี้ หากน้องเป็นอะไรไป ตนจะไปสู้พระพักตร์สมเด็จแม่ได้อย่างไร  เพราะเคยถวายสัญญาไว้ว่า ‘หม่อมฉันจะดูแลสีทันดรอย่างดีที่สุด มิให้ใครมารังแก’  แต่นี่องค์เองกลับทำเสียเอง ด้วยเพราะโทสะแท้ๆ

“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรพะยะค่ะ พี่ชายทรงฟังสักนิด” สีทันดรพยายามฝืนกำลังทรงกายขึ้น หากแต่อัสดงก็ยังไม่ยอมปล่อย เกรงว่าจะล้มลง “เรื่องนางนาคหม่อมฉันอธิบายได้”

ทยุติธรเริ่มโล่งพระทัย ที่น้องชายลุกขึ้นมาได้ ตั้งใจเสด็จเข้ามาหา แต่แล้วก็ทรงถูกอัสดงสกัดกั้น ทำให้พระโทสะเริ่มกำเนิดขึ้นอีกครา

“สีทันดร กลับมาหาพี่นี่ ไปเล่าให้พี่ฟังที่บาดาลบ้านของเรา เรื่องทูลหม่อมปู่พี่จัดการเอง”  ทยุติธรทรงผลักอกอัสดงออก ฉุดข้อพระกรอนุชากลับมาพลัน แล้วตรัสสั่งให้บริเวณที่เหลือไปค้นตัวนางนาคให้พบ “จับนางนาคีกัณหาโคตมะกลับไปด้วย จะได้สิ้นเรื่อง”

สีทันดรได้สดับดังนั้น จึงทรงแข็งพระทัยสะบัดข้อพระกรออก วิ่งกลับมาหาอัสดง แล้วฟาดพระหัตถ์ซัดนาคบริวารที่กำลังไปทำหน้าที่ค้นหานางนาคตามรับสั่งกระเด็นไปไกล ทรงทูลตอบพี่ชายมาว่า

“ หม่อมฉันไม่กลับ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่ กับอัสดง”

“นี่เจ้า บังอาจนักสีทันดร” สุรเสียงโมโหดังลั่น “พวกเจ้า ไปจับทูลกระหม่อมเล็กกลับมา แล้วแบ่งกำลังค้นหานางนาคให้ทั่ว”

ทยุติธรหรือทูลกระหม่อมใหญ่ของบรรดานาคา ตรัสสั่งมาอีกครั้ง ทำให้กองกำลังที่หมอบราบเริ่มเคลื่อนไหว นี่แค่ทัพส่วนน้อยที่พี่ชายยกมา หากแค่นี้ก็แทบจะรับมือกันไม่ไหว เทวะทั้งห้าเตรียมพร้อม หากทยุติธรและนาคบริวารล้ำเส้นมาอีกเดียว สีทันดรกำลังทำพระองค์ไม่ถูกจะทำอย่างไร ไม่อยากให้รบกัน ในภาวะว้าวุ่นพระทัยนั้นเอง เสียงของมุจลินทร์ก็ดังขึ้นในพระโสต 

“สมุทรมณีเพคะ รีบนำมาใช้ก่อนจะสายเกินการณ์”

สีทันดร พนมหัตถ์ระหว่างพระอุระทันใด แล้วก็บังเกิดอัญมณีอันสุกใสลอยอยู่กลางพระอุระนั้น สมุทรมณีถูกนำมาใช้และลอยขึ้นสูงส่องแสงสว่างจ้า พี่ชายต่อให้ทรงฤทธีเพียงใด ก็มิอาจต่อกรได้แล้ว

“สมุทรมณี ...สีทันดรเจ้าเอามาได้ไง” ทยุติธรจำต้องใช้พระหัตถ์บังแสงสว่างจ้านั้นไว้ สมุทรมณี คือมณีที่รวมอำนาจแห่งบาดาลไว้ หากยามส่องแสง อำนาจจะถึงขีดสุดและไม่มีเทวะนาคาพระองค์ใดกล้าฝ่าฝืนและล่วงเกินผู้ครอบครอง

“ถอยก่อน ...กลับบาดาล”

สมุทรมณียังคงส่องแสงจ้าอยู่สักพักครั้นพอสงบลง ทยุติธรก็ไม่ได้ประทับอยู่แล้ว คาดว่าทรงเสด็จกลับไปพร้อมทัพนาคา สีทันดรทอดถอนพระทัย กล่าวขึ้น

“ครั้งนี้ พวกเราได้สมุทรมณีช่วย แต่เรามั่นใจว่า หากพี่ชายเสด็จกลับมาคราวหน้า สมุทรมณีคงขวางไว้ไม่อยู่ อัสสะ เจ้าหาทางรับมือกันให้พร้อมเหอะ ดูท่าพี่ชายคงจะไม่ยอมเจรจาแน่แล้ว”

เมื่อการปะทะย่อยระหว่างทัพนาคากับห้าเทวะน้อยเสร็จสิ้น โดยฝ่ายนาคามีอันต้องล่าถอยไปด้วยเหตุอำนาจแห่งสมุทรมณี สีทันดรก็ถูกอัสดงประคองพระวรกายที่บอบช้ำจากการที่ถูกพระเชษฐาแท้ๆซัดพลังเข้าใส่ขึ้นยังบนตัวบ้าน อัสดงค่อยๆประคองพระวรกายมาอย่างเบามือ กลัวว่าพระวรกายที่งามเกินกว่ารูปสลักใดๆจะแตกสลาย ครั้นถึงห้องพระบรรทม อัสดงจึงค่อยๆอุ้มยอดดวงใจแล้วบรรจงวางลงบนฟูกหนานุ่มอย่างระมัดระวัง

“นอนพักก่อน เจ้าเจ็บมากนักไอ้ดื้อ”

“เราไม่เป็นไรมากหรอก โชคดีที่มีสมุทรมณี ไม่งั้นเราคงแย่”

ข้างๆพระที่ขณะนี้ นางนาคากับลูกน้อยหมอบเฝ้าอยู่ด้วย นางสะอื้นร่ำไห้ ทูลขออภัยโทษที่ทำให้เกิดเรื่อง และทำให้หลายๆคนบาดเจ็บ สีทันดรทรงทราบดีว่าเป็นเพราะอาคมนางนาคจึงออกไป มิได้ถือโกรธเป็นพระอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

“ช่างเถอะ เราไม่เป็นไรมาก ต่อนี้ไป เจ้ากับลูก ระวังตัวให้ดี นี่พี่ชายเรายังไม่ทรงทราบว่าเจ้ากำเนิดลูก มิฉะนั้น เหตุการณ์เมื่อสักครู่คงรุนแรงกว่านี้”

“หม่อมฉันซาบซึ้งในพระกรุณายิ่งนัก หม่อมฉันขอสาบานว่าจะเกิดเป็นข้ารองพระบาททุกชาติทุกภพ และสายสกุลนาคากัณหาโคตมะทั้งผอง จะศิโรราบให้ใต้ฝ่าพระบาทแต่เพียงพระองค์เดียว”

“เราขอบใจในความจงรักภักดีของเจ้า...เจ้าพาลูกกลับไปยังห้องพระเถิด ที่นั่นคงจะปลอดภัยที่สุด”

“เพคะ”

นางนาคารับคำแล้วถวายบังคมลาพาลูกน้อยสลายหายวับไป เมื่อสีทันดรทรงตรัสเสร็จก็ทรงพระกรรสะมาอย่างรุนแรง พระโลหิตไหลออกมาอีกคำรบ อัสดงจึงต้องวุ่นหาผ้ามาซับพระโลหิตที่เริ่มไหลออกจากริมโอษฐ์คู่งาม

“ไอ้ดื้อของอัสสะ ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วไง”

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-07-2019 16:20:41
อัสดงตะโกนลั่น เช็ดคราบเลือดออกจากพระพักตร์ แล้วลูบพระเกศาของยอดดวงใจ น้ำตาใสๆ ของลูกผู้ชายเริ่มปริ่มอยู่ที่ริมดวงตาสีอำพัน น้อยครั้งนักที่เด็กผู้ชายอย่างเขาจะร้องไห้ แต่ครั้งนี้ กลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อสุดที่รักบาดเจ็บเหตุเพราะมาขวางการโจมตีเอาไว้ สีทันดรเจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ

“อัสสะ เราไม่เป็นอะไรมากแล้ว เลือดมันคงค้างอยู่น่ะ ขอเราเข้าฌานรักษาตัวสักพักก็คงหาย” สีทันดรทรงยกพระหัตถ์น้อยๆขึ้นลูบหน้าอัสดงมาบ้าง พระดัชนีที่เรียวงามสวยดุจลำเทียนขี้ผึ้งเช็ดหยาดน้ำตาของอัสดงมาอย่างเบามือ

“หากเจ้าเป็นอะไรไป พี่ชายเจ้าต้องรับผิดชอบ อัสสะจะบุกบาดาล แล้วลากตัวพี่ชายเจ้าขึ้นมา พี่อะไรใจร้าย ทำน้องได้ลงคอ” อัสดงประกาศกร้าว แล้วจับพระหัตถ์น้อยๆนั้นมาจูบ โดยไม่สนใจสายตาของสหายที่ตามเข้ามายืนเฝ้าพระอาการด้วย ความรักและความสิเน่หาที่มีให้แก่กันมิจำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว

ทรงกลดเมื่อเห็นภาพนั้นก็ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาอยากจะเข้าไปนั่งข้างๆคอยเฝ้าอาการเช่นอัสดง แต่ก็เจ็บแปลบที่หัวใจ เพราะประโยคหนึ่งในสนามรบเมื่อครู่ที่เจ้านาคน้อยพูดออกมา ยังคงก้องอยู่ในหูและทำให้เขาไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปหา

“หม่อมฉัน ไม่กลับ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่กับอัสดง” ทำไมนะ ทำไม เจ้านาคน้อย ไม่พูดว่า “อยากอยู่ที่นี่กับทรงกลด”

คันฉัตรที่ยืนอยู่ข้างๆ เข้าใจและเห็นใจเพื่อนดี จึงค่อยๆสะกิดให้ทรงกลดหลบออกไปข้างนอกเสียดีกว่า “ถ้าเห็นแล้วเจ็บก็อย่าไปดู ไปข้างนอกกันเหอะ น้องดื้อไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

ทรงกลดไม่พูดอะไรตอบ เดินคอตกตามออกไป เขาเองน้ำตาก็เริ่มคลอหน่วย เสียใจที่ไม่ได้ปกป้องและช้ำใจที่น้องดื้อ อยากอยู่กับอัสดง แต่ก่อนไปเขาพยายามฝืนปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือกล่าวกับเพื่อนๆว่า “ฉันสังหรณ์ใจว่า ไม่พ้นคืนนี้หรอกพี่น้องดื้อต้องกลับมา รีบหาทางรับมือกันเถอะ”

“ตกลง เดี๋ยวฉันตามออกไป” อัสดงกล่าวตอบ ในใจแค้นพี่ชายสีทันดรนัก หากได้ปะทะกันอีกที คราวนี้จะให้รู้ฤทธิ์แห่งสุริยเทพดูบ้าง

เอราวัตกับคืนฉาย เมื่อเห็นทรงกลดกับคันฉัตรออกไป จึงตามออกไปบ้าง ก่อนไปก็เข้ามาหาเจ้านาคน้อย บีบพระหัตถ์ให้กำลังใจเบาๆ เอราวัตเองนั้นก็ประคองคืนฉายไว้ตลอดเพราะคืนฉายเองก็บาดเจ็บเช่นกัน แขนข้างที่บาดเจ็บนั้นเลือดหยุดไหลไปแล้ว แต่เอราวัตยังไม่วางใจ จึงพาคืนฉายออกมาแล้วพาไปรักษาที่ห้อง พอลับตาเพื่อนๆ คืนฉายที่ดูเหมือนว่าไม่เป็นอะไรมากนักในตอนแรก ก็เริ่มสวมบทอ้อน งอแงเอากับพระพุธทันที

“โอ๊ยยยย ฉายเจ็บจังเลย”

“ไหนๆ ขอดูสิ” เอราวัตก้มดูบาดแผลให้คืนฉาย แผลที่มองเผินๆเหมือนว่าไม่ใหญ่นัก หากแต่ลึกพอควร เจ้าพระพุธลูบแผลนั้นเบาๆแล้วกล่าวต่อ “ ฉาย นายไม่น่าเข้ามารับแทนเลย นายเจ็บตัวเลยเห็นไหม แล้วนี่โดนพิษนาคหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ไม่โดนหรอก ถ้าโดนคงแย่กว่านี้”

“อย่าวางใจไป คราวก่อนฉันโดนพิษรามสูร ก็อย่างนี้แหละแรกๆก็ไม่เจ็บมาก แต่ที่ไหนได้ พอตกค่ำเท่านั้นแหละพิษกำเริบเลย ต้องเดือดร้อนอัสดงกับน้องดื้อไปหายาแก้พิษให้ที่หิมพานต์นู่น” เอราวัตพูดพลางก็ใช้สำลีผสมแอลกอฮอล์เช็ดคราบเลือดที่เกรอะกรังอยู่ แต่คงจะหนักมือไปนิด ทำให้คนแกล้งสำออยร้องออกมาจริงๆ

“โอ๊ย ฉายเจ็บนะ เบาๆหน่อยสิไอ้เวรนี่”

“นี่แน่ะ พูดไม่เพราะ ไหนบอกไม่ชอบให้ฉันพูดว่ากูมึง แต่นายดันเสือกมาด่าฉันว่าไอ้เวร ...เจ็บตัวก็ดีแล้ว สมน้ำหน้า เสือกมารับแทนทำไมก็ไม่รู้” เอราวัตด้วยความหมั่นไส้จึงจงใจราดยาใส่แผลสดที่แสบแสนจะแสบลงไปตรงกลางแผลแทนที่จะใช้สำลีซับเบาๆ ส่งผลให้เจ้าพระศุกร์ขี้อ้อนร้องลั่น ถึงแม้จะเป็นร่างแบ่งภาคแห่งเทวะแต่เขาก็เจ็บเป็นนะ

“ใจร้าย ..ฉายเป็นห่วง กลัวว่านายจะเจ็บตัว” คืนฉายทำหน้ามุ่ย ใส่ให้กับหมอจำเป็นที่ทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกเจ็บมาด้วย แต่แล้วพอเอราวัตกล่าวตอบ ก็ทำให้เขาหายหน้าตูมทันใด

“เลยเข้ามาขวางแทนงั้นสิ ...แล้วนายไม่คิดบ้างหรือไงว่า การที่นายบาดเจ็บ ฉันจะไม่ห่วง”

คำว่ากูและมึงเริ่มห่างหาย แทนที่มาด้วยคำว่าฉันและนาย สายตาของเอราวัต เริ่มบ่งบอกถึงความรู้สึกถึงคำว่าห่วงได้อย่างดีเยี่ยม  คืนฉายจับสัมผัสนั้นได้ แย้มยิ้มทันใด “หมายความว่า นายก็ห่วงฉันเหรอ พระพุธ....ไชโย”

“เป็นบ้าอะไรอีก ไอ้เวร กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน มาทำเป็นดีใจไปได้ ขอสักทีเหอะ” เจ้าพระพุธน้อยด้วยความหมั่นไส้จึงต่อยลงไปที่ต้นแขนของเจ้าพระศุกร์ อุตส่าห์พูดชัดๆไปแล้ว ทำไมต้องให้พูดซ้ำสองด้วยนะ

“โอ๊ยยยยยย ฉายเจ็บนะโว้ย เดี๋ยวเหอะ”

“จะทำไม ...ช่างนายสิ แผลแค่นี้ไม่ถึงตายหรอก ไกลหัวใจตั้งเยอะ”

“ใช่มันไกลหัวใจ .... แต่ฉายอยากให้ใกล้หัวใจมากกว่า”

คืนฉายพูดจบก็ตวัดวงแขนคว้าตัวเอราวัตที่นั่งข้างๆเข้ามากอดทันใด สายลมอ่อนละมุนพัดพาเอาความเย็นจากหยาดน้ำฝนทะลุผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างกระทบผิวกาย แต่สายลมนั้นมิได้ทำให้ขนลุกชูชันใดๆทั้งสิ้น มิเท่ากับลมหายใจอ่อนๆจากคืนฉายที่รินรดซอกคอของเอราวัตอยู่ในขณะนี้ ดวงตาที่เจิดจ้าเป็นประกายดั่งดาวพระศุกร์สว่างจ้าสมชื่อคืนฉาย จับจ้องเอาแต่ใบหน้าขาวเกลี้ยงสะอาดตาของเจ้าพระพุธ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกขัดเขิน จึงพยายามไม่มอง มิสบตา เบือนหน้าไปอีกทาง กลิ่นกายหอมกรุ่นกำจาย จากคนกอดถูกคนโดนกอดสูดเอาเข้าไปจนเต็มปอด หัวใจลูกผู้ชายเต้นระรัวมาอีกคำรบ เมื่อยามบ่าย หัวใจกระตุกวาบตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะคืนฉายบาดเจ็บ แต่ยามนี้อาการกระตุกวาบนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป และมันคงถึงเวลาแล้วที่จะเผยความรู้สึกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นคำตอบที่เขาคนนี้รอคอย

“ฉาย ฉันได้คำตอบให้นายแล้ว” เอราวัตสลัดความเขินอาย รวบรวมความกล้าประสานสายตาสุกใสคู่งามของเจ้าพระศุกร์จอมอ้อน แล้วกล่าวต่อว่า “ฉะ.... ฉัน เอ่อ คือ...”

ประโยคที่ตั้งใจเตรียมไว้พูด ดันติดอยู่แค่ลำคอ แต่สายลมอ่อนๆ ก็ยังคงทำงาน คราวนี้เริ่มพัดพาเอาเพลงที่เคยได้ยินเมื่อวานมาอีกแล้ว เพียงโสตจับสำเนียงเสียงเพลงนั้นได้ คำพูดที่ค้างคาแค่ลำคอก็พรั่งพรู

“ฉาย”

“ครับ...ฉายฟังอยู่ และกำลังทรมานเพราะรอคำตอบ”

“ฉันก็รักนายว่ะ”

เพียงคำพูดประโยคเดียวเท่านี้เอง ก็ทำให้คืนฉายร้องลั่นไชโย ลืมเจ็บแผลไปชั่วขณะ

“ ฉายดีใจที่สุดเลย” คืนฉายไม่พูดเปล่าพร้อมกับกอดเอราวัตแน่นกว่าเดิมเสียงใสๆก้องกังวานอยู่ที่ริมหูของเอราวัตว่า “ถ้ารู้ว่าเจ็บ แล้วได้รับรักตอบ รู้งี้ ฉายยอมเจ็บตั้งนานแล้ว”

“อย่าเพิ่งดีใจไปฉาย ฉันมีข้อแม้ ก่อนที่เราจะคบกัน”

“ข้อแม้อะไร ฉายยอมได้ทั้งนั้น”

“คือ เนื่องจากนายเป็นคนขี้เบื่อ ดูอย่างกรณีของหนึ่งที่นายทำกับเขาสิ ....มันเป็นบทเรียนทำให้ฉันต้องระวัง ....ฉะนั้นก่อนที่เราจะคบกัน ฉันอยากให้นายบอกฉันมาตรงๆ หากวันใดนายเบื่อฉันขึ้นมา และอย่าโกหกฉันเป็นพอ ได้ไหมฉาย”

คืนฉายยิ้มกว้าง ทันทีที่ได้ฟัง ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันใด แล้วน้ำเสียงดังกังวานที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งแห่งหัวใจ ก็เปล่งออกมาดังฟังชัดว่า

“ ฉายตกลงและฉายจะไม่มีวันทำอย่างนั้นกับนายแน่นอน จะไม่มีวันทิ้งเอราวัตไปไหน เพราะฉายตั้งใจแล้วว่า ถึงแม้ฉายจะไม่ได้ดีพร้อมเหมือนใครๆ แต่ฉายก็พร้อมจะทำให้ดีขึ้นไปเพื่อเอราวัตคนเดียว....เชื่อฉายเถอะนะ ”

“ขอบใจฉาย ฉันเชื่อนาย” เอราวัตไม่ลังเลอันใดแล้วกอดตอบคืนฉายทันที รัศมีสีเขียวประจำกายของพระพุธเริ่มเจือระเรื่อด้วยสีชมพูสว่างใส ไม่แพ้รัศมีสีฟ้าประจำกายของพระศุกร์ที่เริ่มไหลวนมาบรรจบ

รัศมีทั้งสองเข้ากันได้ และเริ่มสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว !!!

“เอราวัต จงฟังไว้ ฉันจะมีแค่นายคนเดียวเท่านั้น”

“ฉาย ต่อไป ฉันก็จะมีแค่นายคนเดียวเช่นกัน”

ทั้งสองยังอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกัน คืนฉายส่งกระแสจิตพุ่งวาบผ่านเข้ากลางใจของเอราวัต เปิดใจออกทุกซอกทุกมุม ให้เอราวัตได้เห็น และบัดนี้เจ้าพระพุธน้อย ก็มั่นใจแล้วและรู้ดีว่าคืนฉายจริงใจเพียงไร วันหนึ่งข้างหน้าแม้หลายๆสรรพสิ่งจะแปรเปลี่ยน หากแต่คำมั่นและสัญญาจากคืนฉายนั้น จะเป็นนิจนิรันดร์

“ฉายจะไม่ทิ้งเอราวัตไปไหนแน่นอน”

รักกลางสนามรบอุบัติแล้วอีกหนึ่งคู่ รักนี้ไม่มีคำว่าเพศมาขวางกั้น มีแต่ความบริสุทธิ์ใจให้กันเท่านั้น ใยเสน่หาตรึงพระพุธกับพระศุกร์ไว้มั่น ยากที่จะแยกจากกันแล้ว ริมฝีปากทั้งสอง ที่เคยอยู่ห่างเพียงแค่คืบบัดนี้บรรจบสนิทแน่น พร้อมๆกับเสียงหัวเราะอย่างดีใจของใครสองคนที่ดังอยู่แว่วๆ หนึ่งในสองเสียงนั้น เอราวัตเคยคุ้นดี เพราะเมื่อคืนก็เพิ่งจะได้เฝ้า นั่นก็คือองค์พระพุธ ส่วนอีกเสียงหนึ่งนั้นเล่า ก็ดังไพเราะจับใจ ซึ่งตนไม่เคยคุ้น แต่ถ้าจะให้เดา ก็คงเป็นใครอื่นไกลไปไม่ได้ นอกเสียจากองค์พระศุกร์ เทพทั้งสองต่างก็ยินดีในรักครั้งนี้ ....ขอจงโปรดอวยพรให้รักเรายั่งยืนด้วยเทอญ

เวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดก็มิทราบ จู่ๆจูบที่หวานเสียยิ่งกว่าหวานก็มีเหตุให้ต้องแยกจากกัน เพราะถูกแทรกมาด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังอยู่หน้าห้องพร้อมๆกับน้ำเสียงร้อนรนของผู้เป็นมารดาของเอราวัต ทั้งสองจึงรีบแยกจากกันทันที

“ตาหนู อยู่ในห้องไหมลูก”

“ครับแม่...มีอะไรเหรอ” เอราวัตรีบไปเปิดประตูให้แม่ พร้อมกับคืนฉายที่เริ่มสำรวมกริยาให้เรียบร้อย

“อ้าว ฉายไปโดนอะไรมาน่ะลูก” คุณแม่กล่าวขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาในห้องและเห็นบาดแผลที่ต้นแขนของคืนฉาย

“อ๋อ อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับแม่ ไม่เป็นไรมากหรอกครับ”

“ไหน ขอแม่ดูหน่อยดีกว่า” คุณแม่เข้ามาดูจนใกล้ พอเห็นว่าแผลถูกทำความสะอาดแล้วใส่ยาเรียบร้อยก็เบาใจแต่ก็ไม่วายย้ำให้ไปหาผ้าปิดแผลเสีย เมื่อจัดการกับแผลของคืนฉายเสร็จ คุณแม่ก็กล่าวกับเอราวัตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนว่า

“ตาหนูดูโทรศัพท์ให้แม่หน่อย แม่ โทรหาพ่อ โทรอย่างไรก็ไม่ติด เป็นเพราะฝนตกหนักหรือเปล่า”

“ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวนะครับ ...พ่อติดประชุมอยู่กับนายอำเภอหรือเปล่าแม่”

“แม่โทรไปที่อำเภอแล้ว เขาบอกว่าพ่อกลับมาตั้งนานแล้วนี่นา นี่ป่านนี้ทำไมยังไม่ถึงบ้าน ฝนก็ยิ่งตกหนักอยู่ด้วย ไปติดฝนเสียที่ไหนก็ไม่รู้ ปกติก็รับสายแม่ทุกที แต่คราวนี้เหมือนปิดเครื่อง แม่ติดต่อไปเป็นสิบๆรอบแล้ว เป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้”

“โธ่ แม่ครับพ่อคงวุ่นๆน่ะ ...อ่ะเพื่อความสบายใจเดี๋ยวผมลองโทรให้” เอราวัตเดินไปหยิบมือถือที่วางอยู่หัวเตียงแล้วโทรหาพ่อ...สัญญาณน่ะมี แต่ไม่มีคนรับสาย เสียงสัญญาณสายว่างยังคงดังอยู่เรื่อยๆ แล้วจู่ๆก็เหมือนมีเสียงพูดเบาๆ แทรกมาตามเสียงสัญญาณนั้น ครั้นพอจะจับความให้ถนัด เสียงนั้นก็มีอันตรธานหายไปแล้ว

“เอ๊ะ....”เอราวัตเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล คืนฉายจับสังเกตได้จึงส่งกระแสจิตถามโดยพลัน แทนที่จะพูดออกมา

“มีอะไร เอราวัต”

“ฉันเหมือนได้ยินคนคุยกัน ทั้งๆที่พ่อฉันยังไม่ได้รับสาย เป็นไปไม่ได้ที่สัญญาณโทรศัพท์จะพันกัน โดยยังไม่รับสายฉันสังหรณ์ใจแปลกๆแล้วสิ” แต่เอราวัตมิอยากให้แม่ตื่นตระหนกจึงบอกออกมาเป็นคำพูดคนละอย่างกับที่บอกคืนฉายทางกระแสจิต

“ปกติดีนี่ครับแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพ่อคงโทรกลับมา แล้วผมจะรีบไปบอก”

“แต่แม่ร้อนใจ....งั้นแม่ขอไปโทรหาตามบ้านเพื่อนพ่อดีกว่า เผื่อจะอยู่ที่นั่น” คุณแม่พูดจบก็ออกไปจากห้อง เมื่อลับตาแม่แล้วเอราวัตก็รีบบอกกับคืนฉายว่า

“ ฉันว่ากลิ่นไม่ดีแล้วล่ะ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อฉันแน่ๆ ฉาย..นายไหวไหม ฉันจะชวนนายออกไปช่วยตามพ่อฉันสักหน่อย”

“ไหวสิ ทำไมจะไม่ไหว กำลังจะชวนนายออกไปตามอยู่พอดีเลย เรารีบไปกันเหอะ อย่าชักช้าเลย ” อารมณ์วาบหวามเลือนรางชั่วขณะ คราวนี้เรื่องพ่อของเอราวัต สำคัญกว่า

เท่านั้นแหละ เทพน้อยทั้งสองก็กลายเป็นรัศมีสีเขียวกับสีฟ้าเจิดจ้า พุ่งออกทางบานหน้าต่างฝ่าห่าพายุฝน เทวฤทธิ์ได้สำแดงออกมาแล้ว รัศมีทั้งสองลอยขึ้นกลางนภาฟ้าหม่น ดุจแสงวัชระเจิดจ้า วิ่งแลบแปลบปลาบ นี่คือการเดินทางของผู้ที่มีสภาวะทิพย์ในตัว ....เทวะยามเสด็จมักเป็นเฉกนี้นี่เอง

สีทันดรทรงตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นระยะเวลาเกือบพลบค่ำแล้ว พระอาการบาดเจ็บทุเลาลงมาก จึงพอทรงขยับพระวรกายประทับนั่งได้ แล้วก็ทรงทอดพระเนตรเห็นว่า อัสสะ ยังอยู่ข้างๆกายไม่ไปไหนเลย

“ค่อยๆลุกไอ้ดื้อ”

“เราไม่เป็นไรแล้ว อัสสะ ...เราว่า เจ้าควรรีบหาทางรับมือพี่ชายเราได้แล้วนะ แล้วไหนล่ะ พวกเจ้าว่าจะคุยกัน นี่คุยกันไปหรือยัง”

“ยังเลย ...อัสสะยังคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น  ตอนนี้อัสสะห่วงแต่เจ้า” สีหน้าและแววตาแสดงถึงความห่วงออกมาอย่างสุดซึ้ง สีทันดรคนดี เจ้ารู้ไหมหากเจ้าเจ็บ เราเจ็บยิ่งกว่า

“โธ่ อัสสะ อย่าให้เราต้องมาเป็นตัวถ่วงเลย เจ้ารีบหาทางติดต่อพระคุณเจ้าเหอะ ถามท่านว่าจะทำอย่างไรดี พี่ชายคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรง คงจะเกรงใจพระอริยสงฆ์บ้าง อย่างน้อยท่านมาช่วยก็ยังดี แม้การเจรจาอาจไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์”

“งั้นอัสสะ จะลองติดต่อดูอีกทีแล้วกัน ถ้ายังส่งกระแสจิตออกไปไม่ได้ อัสสะคงต้องฝ่าทัพนาคของพี่ชายเจ้าออกไป”

“ดีแล้วอัสสะ ลองงทางแรกดูก่อน เราเองก็จะติดต่อขอกำลังยักษ์จากนลมาช่วย กองกำลังของนลคงพอสกัดกั้น กองกำลังพี่ชายได้ ไม่มากก็น้อย อย่าชักช้ากันอีกเลย เราเสียเวลากันมากแล้ว”

สีทันดรตรัสจบ ก็ทรงนั่งขัดสมาธิเพชร ประสิทธิ ประสาทเทวฤทธิ์ ติดต่อนลกุพรสหายสนิท โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณหนึ่งในท้าวจตุโลกบาล ส่วนอัสดงก็รีบเข้าสมาธิเช่นกันเพื่อติดต่อหลวงตา กระแสพลังและกระแสจิตของทั้งสองกล้าแข็งยิ่ง และเพียงชั่วระยะเวลาเข็มตก การติดต่อไปยังปลายทางก็สัมฤทธิ์ผล

“นล....เรามีเรื่องให้นลช่วยอีกแล้ว”

พระวรกายดุจภาพโปร่งใสบางเบา ลอยเคลื่อนมายังห้องบรรทมของสหายยักษ์เขี้ยวแก้วนาม นลกุพร ....เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพระแท่น วรกายด้านบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างทรงด้วยภูษาแดงดุจทับทิมรับกับสังวาลสีโกเมน ที่คาดลงจากอังสะด้านขวาพาดลงมาบั้นเอวด้านซ้าย ใบหน้าที่งามคมสัน ดุจครุ่นคิดอะไรสักอย่าง หากพอรู้ว่าสหายมาเยือน นลกุพรก็ผลุดลุกทันใด

“อ้าว สีทันดร ไปไง มาไง....แล้วมีอะไรอีกล่ะ บอกไว้ก่อนนะ ถ้าจะชวนเราไปเล่นซนที่ไหนอีก เราไม่ไปและไม่มีอารมณ์ด้วย” เจ้ายักษ์นลรีบดักคอสหาย  เพราะสีทันดร มาหาทีไร มักจะมีเรื่องวุ่นๆตามมาทุกครั้ง อย่างครั้งล่าสุดก็ที่หิมพานต์

“นลอ่ะ ....เราไม่ได้ชวนไปเล่นที่ไหน เรามีเรื่องให้นลช่วยต่างหาก เรามีเวลาไม่มาก”

“ไปก่อเรื่อง อะไรไว้อีก .....”

“เปล่าซะหน่อย คือเราอยากขอกำลังของนลไปช่วยเรานิดหนึ่ง พอดีพวกเทวะอวตาร ...มีเรื่องกับพี่ชายเรานิดหน่อย คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้” ว่าแล้วสีทันดรก็ทรงชี้แจงแถลงไขถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อครบถ้วนกระบวนความแล้ว นลกุพรก็ถึงกับตกพระทัย

“สีทันดร!!! ไม่นิดแล้วมั้งนี่ ...พี่ชายทยุติธรหากทรงทราบว่า นางนาคี มีลูกกับมนุษย์ ไม่แคล้วคงโมโห ถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง มหาสมุทรคงปั่นป่วน แค่อย่างที่เจ้าเล่าวันนี้ นลก็พอจะเห็นภาพแล้วว่ารุนแรงเพียงใด เจ้าก็รู้นี่ ว่าพี่ชายเจ้าทรงฤทธียิ่งนัก ในหมู่เทวะรุ่นชันษาเดียวกัน มีใครเทียบเทียมได้ที่ไหน” 

“รู้สิ เราเลยมาขอให้นลช่วยไง”

“ไม่มีทาง ทำไมเจ้าไม่ไปหาคนที่มีศักติและอำนาจเทียบเทียมมาสู้ล่ะ” ว่าแล้วไง สีทันดรมาทีไร ก็นำเรื่องยุ่งๆมาให้ดังคาด มิน่าล่ะวันนี้ตาขวากระตุกมาโดยตลอด

“นลอ่ะไม่เห็นใจเราเลย ...แล้วเราจะไปหาใครที่ไหนมาช่วย ตอนนี้อัสดงเองก็กำลังขอให้พระคุณเจ้ามาช่วยอยู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านจะมาหรือเปล่า...นะๆ นลช่วยหน่อย”

สีทันดรพยายามใช้ลูกอ้อนกับสหาย เขย่าแขนรบเร้า นลกุพรเองก็พยายามใจแข็ง เพราะหากตนยื่นมือเข้าไปช่วยพระบิดาย่อมทรงทราบ และหากพระบิดาทรงทราบเรื่องของบาดาลก็จะกลายเป็นธุระของทางสวรรค์ซึ่งสวรรค์เองก็มีบทลงโทษรุนแรงไปไม่น้อยกว่ากัน

“ทำไมเจ้าไม่ลอง ไปหาพวกเทวปักษี ให้มาช่วยต้านทัพพี่ชายเจ้าล่ะ เช่นพี่วายุภัค”

ทันที่ที่พระนามวายุภัคหลุดออกมาจากโอษฐ์สหาย สีทันดรก็ทรงเบ้พระพักตร์ทันใด วายุภัค ราชนัดดาแห่งพญาเวนไตย ผู้เป็นเทวปักษีหรือพญาครุฑเผ่าพันธุ์ที่เป็นอริกันมาช้านาน ตนชิงชังยิ่งนัก ควรฤาจะไปขอความช่วยเหลือ และการไปขอความช่วยเหลือนั้นเป็นการเปิดช่องให้พวกครุฑมีโอกาสมาทำร้ายเผ่าพันธุ์ตน

“ไม่มีวันนล...เราจะไม่ลดตัวเราลงไป ขอความช่วยเหลือจากพวกนั้น ...ก็ได้ถ้านลไม่อยากจะช่วยก็ไม่เป็นไร เราไปหาคนอื่นก็ได้ เราขอโทษที่มารบกวน” สีทันดรหันพระพักตร์พรึ่ด น้อยพระทัยที่สหายไม่ยอมช่วย ตั้งใจจะเสด็จกลับ หากแต่นลกุพรรีบคว้าข้อพระกรไว้ กล่าวมาโดยเร็ว

“โธ่...สีทันดร ไม่ใช่เราไม่อยากช่วย คือตอนนี้ นลเองก็มีเรื่องไม่สบายอยู่ ก็เรื่องมุจลินทร์นั่นแหละ นลเลยไม่รู้ว่านลจะช่วยได้หรือเปล่า” นลกุพรรีบง้อพระสหายด้วยการดึงมากอด แล้วกล่าวต่อว่า “ระยะหลังมานี่ มุจลินทร์ไม่ยอมพบหน้านลเลย นลไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยนะ นลขอโทษที่บอกปัดเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่นลไม่มีกำลังใจจะทำอะไรจริงๆ”

“ไม่เป็นไรนล เราเข้าใจ ....นลไม่มีกำลังใจจะทำอะไรก็ช่างเหอะ ไว้ถ้าเราเจอมุจลินทร์เราจะถามให้แล้วกันนะ ว่าเป็นอะไรถึงไม่ยอมพบหน้านล ....เราไปก่อนแหละ ขอบใจนะนล” สีทันดรสะบัดพระวรกายออก น้อยใจที่ครั้งนี้สหายสนิทไม่ยอมช่วย พระวรกายค่อยสลายหายเป็นอากาศธาตุนลกุพรพยายามไขว่คว้าไว้แต่ไม่เป็นผล

“เดี๋ยว....สีทันดร เดี๋ยวก่อน โธ่เอ๊ย งอนไปซะแล้ว”

นลกุพรทิ้งวรองค์ลงกับพระแท่นหนานุ่มอีกครั้ง นี่เขาใจร้ายและเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าที่ไม่ยอมช่วยสหาย ทุกครั้ง ทุกครา เขาไม่เคยปฏิเสธสีทันดร เขาก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน ว่าทำไมชอบพอกับสหายพระองค์นี้ยิ่งนัก นลกุพรมั่นใจว่าสีทันดรเป็นสหายรัก ตนไม่ได้รักสหายเช่นคู่รัก ตนกับสีทันดรเล่นกันมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก โดนทำโทษก็โดนด้วยกัน แต่แล้ววันนี้สมควรแล้วฤาที่จะปฏิเสธให้ความช่วยเหลือสหายที่รักมากที่สุด..... ยิ่งมองพระพักตร์ของสหายตอนจากไป ก็ดูเศร้าหม่นหมอง

“เอาก็เอาวะ....เฮ้อ ช่วยก็ช่วย” นลกุพรผลุดลุกขึ้นทันใด เขี้ยวแก้วใสเปล่งประกายวาววับ ตรัสบอกแก่มหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ข้างนอกด้วยเสียงกังวานก้อง

“ เฮ้ย...ไปบอกให้ราชองค์รักษ์ จัดกำลังมาหนึ่งกอง แล้วตามไปสมทบกับเราที่เชิงเขาพระสุเมรุ ทางด้านตะวันตก....และอย่าให้พ่อเรารู้เป็นเด็ดขาด”

ทางด้านรัศมีเขียวนวลสว่างจ้าและรัศมีสีฟ้าสุกใส เพลานี้กลับพุ่งทะยานลงมาจากฟากฟ้าเข้าสู่ห้องนอน แล้วรัศมีทั้งสองก็สลายกลายเป็นเอราวัตกับคืนฉาย ทั้งสองบัดนี้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม โดยเฉพาะเอราวัต เพราะการออกไปตามหาพ่อไม่ประสบผลสำเร็จ

“พ่อไปไหน ทำไมหาไม่เจอนี่ก็ค่ำแล้ว”

และแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เอราวัตรีบไปเปิดประตูห้องก็พบว่า เด็กในบ้านยืนรออย่างลุกลี้ลุกลน กล่าวอย่างละล่ำละลั่กเป็นภาษาท้องถิ่นที่แปลได้ประมาณว่า “แย่แล้วค่ะคุณหนู คุณผู้ชายหายตัวไป เหลือแต่เรือจอดไว้ริมตลิ่งท้ายหมู่บ้าน คุณผู้หญิงพอทราบข่าวก็เป็นลมไปแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้อยู่กับคุณท่าน”

“แม่!!” เอราวัตรีบวิ่งออกไปดูคุณแม่ทันที คืนฉายวิ่งตามมาติดๆ และก็พบว่าคุณแม่นอนเป็นลมหมดสติอยู่บนตั่งนอกชาน ข้างๆคุณยายกำลังเอายาดมให้ดมอยู่ “แม่ๆๆ แม่ครับ แม่เป็นอะไร”

“ตาหนูเอ๊ย แม่เขาเป็นลม เพราะว่า....เอ่อพ่อหนูหายไป” คุณยายเองก็กังวลไม่แพ้กันหากแต่พยายามข่มเสียงให้เป็นปกติไม่ให้หลานชายใจเสีย “ยายกลัวว่า จะตกน้ำตกท่าไป น้ำยิ่งเชี่ยวๆ ไหลแรงอยู่ด้วยช่วงนี้”

“ไม่หรอกครับยาย พ่อว่ายน้ำแข็งออก ผมว่าคงแวะไปที่ไหนสักที่ แล้วนี่หากันทั่วแล้วหรือครับ ....เฮ้ย ไปช่วยกันหาดูอีกทีสิ”

เอราวัตพยายามปลอบใจยายและตนเอง แต่ในใจก็ไม่วายคิดเช่นนั้น เขาจึงตะโกนสั่งคนงานผู้ชายที่ยืนออดูกันตรงบันไดบ้านช่วยออกตามหาพ่ออีกครั้ง เสียงเอะอะโวยวายนี้ดังไปทั่ว ทำให้ทรงกลดกับคันฉัตรออกมาดู พอทราบเรื่องก็เป็นห่วงและช่วยกันปลอบใจเอราวัตที่กำลังกระวนกระวาย

“ใจเย็นๆก่อนไอ้พระพุธ...เดี๋ยวฉันกับไอ้ฉัตรจะช่วยกันหาอีกสองแรง”

“ฉันรู้สึกสังหรณ์แปลกๆว่ะไอ้กลด ....เมื่อกี้จึงชวนฉายออกไปตามหาก็ไม่เจอ” พระพุธเดินไปเดินมาสีหน้ากังวลยิ่ง “ฉันกลัวว่า พ่อฉันจะ....”

“มีใครเป็นอะไรหรือ”

อัสดงกับสีทันดรเมื่อกลับมาจากการส่งกระแสจิตไปขอความช่วยเหลือได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเช่นกันจึงรีบออกมาจากห้องโดยยังไม่ทันได้คุยถึงผลการติดต่อใดๆต่อกันทั้งสิ้น ครั้นพอทราบความ ก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีเช่นกัน

“กลิ่นแปลกๆ แล้วล่ะเอราวัต....ตามที่ได้ฟังพ่อนายคงไม่ตกน้ำตกท่าไปเองหรอก ฉันเดาว่า พ่อนายอาจจะโดนจับตัวไป และยิ่งหายไปตรงริมน้ำด้วยแล้ว คาดว่าคนที่จับไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คงไม่พ้นเอ่อ...”อัสดงด้วยความเกรงใจยอดดวงใจยังมิกล้าปรักปรำ แต่สีทันดรก็กล่าวต่อท้ายมาให้ทันทีว่า

“พี่ชายเรา....พระราชนัดดาทยุติธร พระสมุทรสงครามรณรักษ์”

ทุกคนหันขวับมายังสีทันดรทันใด สีทันดรเองทรงกำพระหัตถ์แน่นเม้มริมโอษฐ์จนแทบจะกลายเป็นเส้นเดียวกัน พระเนตรฟ้าครามที่เคยสุกใสกลายเป็นสีทอง ยามทรงโทสะจนถึงขีดสุด หากเป็นอย่างที่ทรงคิด พี่ชายก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษอย่างที่เคยทรงยกย่องแล้ว

“เราจะรับผิดชอบเอง ....เราจะกลับบาดาล ลงไปดูว่าเป็นจริงอย่างที่คิดหรือเปล่า พวกเจ้ารออยู่ที่นี่”

สีทันดรมิรอช้าร่ายพระเวทคืนสู่บาดาล ไม่สนพระทัยเทวะน้อยทั้งห้าที่ร้องห้าม หากพี่ชายทำการอันน่าละอายจับมนุษย์ไป ตนผู้เป็นอนุชาก็ควรจะมีส่วนต้องรับผิดชอบ อย่าให้ใครมาตราหน้าว่าพวกนาคาขี้โกง ดังกรณีทายสีม้า

แต่แล้วสีทันดรก็ต้องทรงหยุดชะงัก เพราะรัศมีเขียวทองสดใสพุ่งทะยานจากลำน้ำโขงขึ้นมาสกัดกั้นไว้ ครั้นพอสลายก็กลายเป็นร่างงามระหงของมุจลินทร์ในเครื่องทรงนางกษัตริย์แห่งบาดาลที่ประทับยืนขวางกั้นทางเสด็จ

“ช้าก่อนเพคะ....หากเสด็จกลับไป คงไม่ได้เสด็จกลับมาแน่”

“มุจลินทร์!!”

“ทูลกระหม่อมใหญ่ ทรงรอดักฝ่าบาทอยู่ที่บาดาลหากเสด็จกลับไป ทรงไม่ปล่อยกลับมาแน่ ยิ่งตอนนี้สมเด็จทวดกับสมเด็จแม่ของฝ่าบาททรงฌานอยู่ จอมนาคาทั้งสองพร้อมพระบิดาก็เสด็จขึ้นเฝ้า อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในอุ้งหัตถ์ ฝ่าบาททรงทานทูลกระหม่อมใหญ่ ไม่ไหวหรอก เชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ”

“เราจะกลับไป กลับไปดูให้รู้ว่า พี่ชายเราไม่ได้เล่นสกปรกอย่างที่เราคิด”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-07-2019 16:22:44
“ทูลกระหม่อมใหญ่ ทรงจับบิดาของท่านพระพุธไปจริงๆเพคะ แต่ไม่ได้ทรงทำร้ายอะไร ทรงกันเอาไว้เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน ระหว่างนางนาคีสกุลกัณหากับบิดาของท่านพระพุธ หม่อมฉันเห็นว่าไม่ถูกต้องเลยรีบมาทูลให้ทรงทราบ”

สิ้นพระดำรัสแห่งเทวนาคี สายอสุนีก็ฟาดลงตรงใจกลางน้ำดังลั่น พร้อมสุรเสียงห้าวดังกังวาน ดังฝ่าทะลุห่าม่านน้ำฝน ทุกผู้ทุกคนได้ยินกันถ้วนทั่ว

“มุจลินทร์ เจ้าจงกลับมาบัดเดี๋ยวนี้”

สุรเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เพียงได้สดับฟังก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร “ทยุติธร” ทรงไม่ยอมราพระหัตถ์และการกระทำครั้งนี้ก็ทรงทำเกินไปแล้ว สีทันดรโผนทะยานขึ้นฟ้าทันใด ประกาศกร้าว 

“พี่ชาย....เชิญเสด็จมาสนทนากับหม่อมฉันหน่อย”

“ไอ้ดื้อ ระวัง.... อย่าออกไป” อัสดงตะโกนก้องตามหลัง แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว!!

เจ้านาคน้อยขณะนี้ประทับลอยอยู่กลางฟ้าท่ามกลางห่าพายุฝน รัศมีรอบพระวรกายที่เคยเขียวนวลสว่างไสวเจือด้วยสีทองบัดนี้มีสีแดงแห่งโทสะเจือปน พี่ชายทรงกระทำการที่น่าละอายยิ่งนัก เมื่อสิ้นพระดำรัส รัศมีเขียวทองสว่างจ้าก็พวยพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำ สลายกลายเป็นพระเชษฐาที่ประทับยืนตรงหน้า พระพักตร์เหมือนมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่สายพระเนตร กราดเกรี้ยวดุดัน

อัสดงกับทรงกลดและอีกสามเทวะน้อยที่เหลือรีบเหิรลอยขึ้นมายืนเคียงคู่เจ้านาคาน้อย คอยป้องกันเผื่อว่าพี่ชายของเจ้านาคดื้อนี่ จะจับตัวน้องชายกลับไป

“เจ้ามีอะไรจะคุยกับพี่.....เจ้ายังจำได้อีกเหรอว่าพี่คือพี่ชายเจ้า สีทันดร”  พระสุรเสียงเย็นชา ตรัสออกมาแฝงไว้ด้วยแววน้อยพระทัย ที่พระอนุชาทรงเข้าข้างพวกเทวะน้อย และยังสกัดกั้นตนด้วยสมุทรมณี

“หม่อมฉันจำได้สิ ว่าพี่ชายเป็นพี่ ถึงได้เชิญเสด็จขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่อง ทรงรู้ไว้เถิดว่า หากพี่ชายไม่ใช่พี่ของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เชิญเสด็จมาคุยให้เสียเวลาหรอก ป่านนี้หม่อมฉันบุกบาดาลไปแล้ว” สีทันดรทรงโต้ตอบมาด้วยพระสุรเสียงเย็นชาไม่แพ้กัน หากแต่กราดเกรี้ยวกว่า

“เจ้าเปลี่ยนไป เจ้าไม่เคยพูดอย่างนี้กับพี่ สีทันดร เป็นเพราะเจ้าคบกับเทพพวกนี้ใช่ไหมนิสัยเจ้าเลยเสีย เห็นทีพี่ต้องพาเจ้ากลับไปอบรมบ่มนิสัยเสียใหม่แล้ว” ทยุติธรทรงวาดดัชนีชี้กราดมายังกลุ่มเทวะน้อยที่ลอยกลางฟ้าอยู่รายรอบพระอนุชา

“พี่ชายต่างหาก ทรงเปลี่ยนไป ทำไมถึงได้ทรงทำอะไรเยี่ยงนี้ ทรงรู้หรือไม่ว่าการที่ทรงจับมนุษย์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไป มันไม่ใช่วิสัยของนักรบและสุภาพบุรุษอย่างที่ทรงเคยเป็น”

“เหอะ.....พวกเจ้าบังคับพี่เองโดยพี่ไม่มีทางเลือก เอาล่ะ ไหนๆก็อยู่กันครบ ...” ทยุติธรทรงหยุดเว้นวรรคตรัสไว้นิดหนึ่ง พระเนตรชิงชังดุดันมองเทวะน้อยทั้งห้าแล้วตรัสต่อว่า

“ เราจะให้เวลาเจ้าจนถึงเที่ยงคืน คืนนี้จงส่งมอบนางนาคีกลับมาให้เรา แล้วเราจะส่งมนุษย์ผู้นั้นคืนกลับมาเป็นการแลกเปลี่ยน ส่วนเจ้าสีทันดร เจ้าเองก็ต้องกลับบาดาล...หากเจ้าไม่กลับ พี่คงต้องรุนแรงกับเจ้าแล้ว”

“ทรงทำเกินไป ทรงไม่ใช่สุภาพบุรุษ ทรงเอาแต่พระทัยและไม่ฟังคนอื่น หากทรงฟังสักนิด ป่านนี้พี่ชายคงได้นางนาคีคืนไปแล้ว พวกเราพยายามอธิบายแต่พี่ชายเองนั่นแหละโจมตีพวกเราก่อน แล้วก็อ้างว่าทรงไม่มีทางเลือก ทั้งๆที่พวกเราพยายามเจรจา  และอีกอย่างหม่อมฉันจะไม่กลับบาดาลไปกับพี่ชาย อย่ามาบังคับหม่อมฉัน หากทรงทำให้หม่อมฉันไม่มีทางเลือกบ้าง หม่อมฉันจะทูลฟ้องพระมหาลักษมีเทวี”

‘พระมหาลักษมีเทวี’ คือพระมหาเทวีแห่งองค์พระมหาวิษณุ พระนางทรงเป็นที่เคารพสักการะแห่งสามโลก ทรงเป็นหนึ่งในสามมหาเทวีผู้ทรงศักติสูงสุด ผู้ทรงถูกยกย่องว่าเป็นเทวีแห่งศรีและสิริ หรือความงาม ส่วนอีกสองพระองค์ได้แก่ พระมหาอุมาเทวี ผู้ทรงศักติแห่งศักดิ์และอำนาจ มหาเทวีในพระมหาศิวะ ส่วนพระองค์สุดท้ายคือพระมหาสรัสวดีเทวี มหาเทวีผู้ทรงศักติแห่งความรู้และปัญญา มหาเทวีในพระมหาพรหมา พระมหาเทวีทั้งสามคือศักติสูงสุดในตรีมูรติ สามโลกน้อมสักการะ ทยุติธรไยจะไม่ทรงทราบว่าพระอนุชาประสูติมาจากพรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระมหาลักษมี จึงมีสิริคล้ายพระนางและเป็นตัวโปรด หากเมื่อพระอนุชายกพระมหาเทวีมาอ้าง ตนก็จำต้องอ้างบ้างเหมือนกัน

“ก็เอาสิ สีทันดร ...พี่ก็จะไปทูลฟ้องพระมหาอุมาเทวีว่าเจ้าคบคิด โป้ปดพี่ แถมยังช่วยเหลือนางนาคาที่กระทำผิด ทำให้บาดาลวุ่นวายดูสิว่าใครจะมีความผิดมากกว่ากัน”

พระนามมหาอุมาเทวีถูกทรงยกนำมาอ้างเช่นกัน เพราะทยุติธรเองก็ทรงเป็นตัวโปรดแห่งมหาอุมาเทวี การที่ทรงอ้างมาเช่นนี้แสดงว่าทรงมั่นพระทัยอย่างเต็มเปี่ยมว่าพระมหาเทวีจะทรงเข้าข้างตนเป็นแน่ .....เชษฐาและอนุชา คู่นี้ทรงดื้อไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอก

“เจ้าอย่าเอาพระมหาอุมาเทวีมาอ้าง เจ้าจับมนุษย์ไปเป็นตัวประกัน คิดหรือว่าพระมหาเทวีจะทรงเข้าข้างเจ้า” อัสดงที่ยืนเฉยอยู่กล่าวขึ้นมาบ้าง ทยุติธรทรงโต้ตอบทันใด

“เราจะสนทนากับน้องชายเราเจ้าไม่เกี่ยว จงอยู่เฉยๆ”

“ต่อยปากสักทีดีไหมวะ อัสดง” โดยปกติทรงกลดจะเป็นคนที่นุ่มนวล อ่อนโยนหากแต่ครานี้บอกกับอัสดงให้ใช้กำลังแสดงว่าเขาเองก็ทนไม่ไหวไม่พอใจพี่ชายของน้องดื้อมาเช่นกัน

“พวกเราจะไม่อยู่เฉยๆ ....เจ้าจับพ่อเราไป เอาพ่อเราคืนมา” เอราวัตตะโกนตอบด้วยความโมโหเช่นกัน ขยับกายหมายจะเข้าประชิดตัวทยุติธร คืนฉายกับคันฉัตรรีบสกัดกั้นไว้ “อย่าเอราวัต เฉยก่อน เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไอ้เจ้านี่”

“อยากได้พ่อคืน ก็เอานางนาคีมาแลกเปลี่ยนสิ เราจะรอจนถึงเที่ยงคืนเท่านั้น มิฉะนั้นเราจะไม่รับรองความปลอดภัยของบิดาเจ้าพระพุธ”

“เจ้ามันเลวนัก นี่นะเหรอ....คนที่จะปกครองบาดาลต่อไปในอนาคต” คันฉัตรตะโกนด่าออกไปแต่ทยุติธรก็มิได้สะทกสะท้านหนำซ้ำยังยกพระอังสะอย่างไม่ยี่หระและอนาทรร้อนใจในคำบริภาษ

คืนฉายเห็นกริยานั้น ก็สุดจะสะกดกลั้น จึงซัดพลังเข้าใส่ทันทีทั้งๆที่ตนเองเพิ่งห้ามเอราวัตไว้ แต่ทยุติธรก็ทรงสกัดกั้นไว้ด้วยเพียงฝ่ามือแล้วสะบัดพลังนั้นคืนกลับ พระเสาร์เองก็ไม่พอใจ จึงเรียกธนูวิเศษคู่กายออกมาเหนี่ยวคันศรออกไปกลายเป็นธนูเพลิงพุ่งเข้าสวนพลังที่ซัดกลับมานั้นจนเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งฟ้าผ่า ส่วนเอราวัตก็ไม่ปล่อยให้ขาดตอน พุ่งหอกสวนเข้าไป หากทยุติธรก็ทรงหลบไปได้ทันแล้วสะบัดพระหัตถ์กลายเป็นรัศมีสีทองพุ่งพลังสวนเข้าใส่  ทรงกลดเกรงเพื่อนจะเพี่ยงพล้ำจึงลอยเข้ามารับหน้าแล้วฟาดพลังนั้นจนแตกสลายด้วยดาบ แลคมดาบนี้เองยังใช้ตัดม่านอากาศและสายพายุฝนขาดเป็นช่องเข้าใส่โอรสาแห่งบาดาลอีกด้วย

ทยุติธรทรงยิ้มริมโอษฐ์น้อยๆ มิยี่หระ ดีดพระดัชนีกั้นไว้ด้วยม่านอาคม การปะทะกันครั้งนี้ ก่อกำเนิดแสงสว่างวูบวาบอยู่กลางท้องฟ้า สายตามนุษย์เห็นได้เพียงแสงแลบแปลบปลาบ นึกว่าฟ้าร้อง ฟ้าแลบตามธรรมชาติแค่นั้น

อัสดงมิรอช้า เมื่อเห็นผองเพื่อนโรมรัน จึงรีบช่วยสหายทันใด หงายฝ่ามือขึ้น และแล้วก็บังเกิดเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงยิ่ง พวยพุ่งขึ้นท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เปลวไฟนั้นหมุนวนเร็วยิ่ง แล้วรวมตัวกันเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่ อัสดงซัดจักรเข้าไป เพียงจักรเพลิงกระทบม่านอาคม ทยุติธรที่ทรงกล้าแกร่งก็เริ่มซวนเซ ม่านอาคมที่กั้นไว้เริ่มจะสลาย

“ไอ้พระอาทิตย์นี่ ฤทธิ์ร้ายไม่ใช่เล่น สมดั่งคำร่ำลือ นี่ขนาดมันเป็นแค่ร่างแบ่งภาคนะนี่”

ตั้งแต่ไหนแต่ไรทยุติธรทรงหมายมั่นพระทัยว่าวันหนึ่งจะได้ลองฤทธีกับพระสุริยาทิตย์ หากแต่ก่อนนั้นด้วยความที่ยังทรงเยาว์ชันษา ทรงทำได้เพียงแค่มองรัศมีร้อนแรงสว่างจ้า ประทับบนราชรถเทียมม้าอุจไฉยศรพอยู่กลางนภากาศ เข้าใกล้มิได้แล้ววันนี้ก็มาถึง ร่างแบ่งภาคของพระสุริยาทิตย์มายืนอยู่ตรงหน้า จึงทรงมิรอช้าพนมหัตถ์กลางระหว่างพระอุระ เรียกจักราวิเศษที่พระมหาอุมาเทวีประทานให้ไว้ ‘จักร’ ที่ทรงอำนาจแห่งมหาเทวี หมุนคว้างรอบรอบพระวรกาย อันมีนามว่า ‘จักรแห่งมหาทรุคา’ ที่ทรงฤทธีหมุนวนคว้าง จากซ้ายไปขวา ซึ่งจะลอยสวนทางกับจักราแห่งมหาวิษณุที่จะหมุนวนจากขวาไปซ้าย จักรอันทรงฤทธิ์นั้นลอยเข้าปะทะกับจักรเพลิงแห่งพระสุริยาทิตย์ทันใด อาวุธอันทรงอำนาจทั้งสองโรมรันกันแล้ว ทำให้บรรยากาศรอบด้านเลวร้ายลงมากกว่าเดิม พายุพัดกระหน่ำจนต้นไม้ใหญ่ๆเอนลู่ น้ำในลำน้าโขงลอยท่วมท้นขึ้นทันตา

สีทันดรขณะนี้ว้าวุ่นพระทัยนัก เพราะสิ่งที่มิอยากให้ทรงเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ นั่นคือการรบราระหว่างพี่ชายและชายอันเป็นที่รัก ใจหนึ่งก็ห่วงพี่ถึงแม้จะไม่พอพระทัยที่พี่ชายกระทำการอันไม่เหมาะสม แต่อีกใจก็ทรงห่วงอัสสะ ชายผู้ครอบครองหัวใจ ในพระทัยทรงตั้งปณิธานไว้แล้วว่าวันหนึ่งหากมีโอกาสจะพาอัสสะไปเฝ้าพี่ชาย และอยากให้เข้ากันได้ ทรงอยากให้พี่ชายโปรดอัสดงเพราะนิสัยคล้ายๆกัน แต่การณ์กลับผิดคาด พี่ชายดันไม่โปรด และทั้งสองก็รบรากันแล้ว

“พี่ชายพอได้แล้ว......อัสสะหยุดเถิด โลกมนุษย์ปั่นป่วนหมดแล้ว”

สุรเสียงร้องห้ามมิสามารถหยุดการโรมรันได้ จักรทั้งสองยังประหัตประหารซึ่งกันและกัน แต่จักรแห่งพระสุริยาทิตย์ฤาจะสามารถต่อกรกับศาสตราวุธแห่งพระมหาเทวีได้ และแล้วจักรเพลิงก็ถึงการสลาย ทำให้อัสดงกระเด็นลอยละลิ่ว สีทันดรรีบโผนทะยานเข้าไปรับร่างอัสดงไว้ ทยุติธรหมายพระทัยจะซ้ำ แต่สีทันดรก็สกัดไว้ด้วยสมุทรมณี ครานี้ทยุติธร กระเด็นออกไปบ้าง ครั้นพอตั้งตัวได้ ก็ตรัสกับพระอนุชากราดเกรี้ยวยิ่ง

“เจ้าเห็นมันดีกว่าพี่ใช่ไหมสีทันดร นี่เจ้ารักมันใช่ไหม”

“พะย่ะค่ะ ...หม่อมฉันรักอัสดง ทรงเข้าพระทัยได้ถูกต้อง และหม่อมฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายอัสดง”

สรุเสียงก้องดังกังวานใสที่ตรัสออกมานั้นประดุจยาชั้นดีที่สามารถรักษาอัสดงให้ฟื้นกำลังได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นประหนึ่งฟ้าฟาดยามที่พระเชษฐาได้ยิน ส่วนทรงกลดนั้นพอได้ยินเข้าเขาก็เสมือนโดนสายฟ้าสายเดียวกันนั้นฟาดลงตรงกลางหัวใจแล้ว อาวุธที่ถืออยู่ในมือแทบตกลง แต่ศึกเพิ่งเริ่ม .....เทวะต้องเข็มแข็ง ยืนหยัดให้ได้จนกว่าศึกจะจบ แม้ว่าศึกจบแล้ว หัวใจจะสูญสลายก็ตาม

“หากเจ้าไม่ใช่น้องพี่ พี่จะฆ่าเจ้าให้ตายเสียคามือ เจ้ารักชายกับชายด้วยกันมันผิด”

“แล้วสิ่งที่พี่ชายทรงกระทำมันถูกต้องแล้วหรือไร” สีทันดรใช้อำนาจแห่งสมุทรมณีซัดเข้าใส่พี่ชายทันทีที่พี่ชายตนซัดจักรเข้ามาอีกคำรบเพราะต่างฝ่ายต่างก็ระงับพระโทสะไม่อยู่ “หม่อมฉันขอประทานอภัย ที่ต้องล่วงเกินพี่ชาย”

“เหอะ พี่จะดูสิว่าเจ้าจะทานพี่ไว้ได้สักเท่าไร”

อัสดงเสมือนได้น้ำทิพย์ชโลมจิตใจ หากไม่ได้อยู่ในกลางศึกเขาคงโผเข้ากอดแล้วอุ้มเจ้านาคน้อยมานอนแนบตักแล้วระดมจูบให้หนำใจ แต่ยามนี้การรบรายังติดพัน จึงได้แค่เพียงโอบบั้นพระองค์ไว้ และเขาก็เกรงว่าที่รักตัวน้อยจะทานกำลังไม่ไหวถึงแม้จะรู้ว่าสมุทรมณีมีอำนาจเพียงใด จึงส่งพลังไปช่วย ส่วนเทพน้อยทั้งสี่เห็นการไม่สู้ดีจึงรวมกำลังกันซัดพลังเข้าไปสมทบ แต่แล้วจักรแห่งมหาทรุคาก็ตัดพลังงานแห่งเทวะกระจาย ทั้งหกลอยตกลงมายังพื้นเบื้องล่าง จักรแห่งมหาเทวีลอยคว้างพุ่งตรงเข้าใส่ แต่ก่อนจักรจะถึงตัว พลังงานบางอย่างก็เข้ามาขวางกั้น หยุดจักรานั้นไว้  พลังงานนั้นเริ่มรวมกลายเป็นร่างที่เคยคุ้น ร่างนั้นสูงใหญ่ ในภูษาทรงสีแดงโกเมน เขี้ยวแก้วใสพราวระยับ ในมือถือตรีศูล สกัดจักรไว้ด้วยสุดกำลัง

“นลกุพร!!!”

เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วมาช่วยแล้ว พร้อมกับทัพยักษ์องครักษ์หนึ่งกองกำลัง นลกุพรสะบัดตรีศูลในมือทันใด ทำให้จักรลอยกระเด็นคืนกลับมายังเจ้าของ แม้จะสกัดจักราคืนไปได้แต่ตนเองก็ร้าวไปทั้งพระวรกาย ถ้าหากทยุติธรซัดคืนมาอีกที ทรงรับไว้ไม่ได้แน่

“นล.....เจ้าอย่ามายุ่ง” ทยุติธรตรัสบอกแก่เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว

“หม่อมฉันไม่ยุ่งไม่ได้.....เพราะสีทันดรเป็นสหายรักของหม่อมฉัน”

“งั้นเจ้าจะว่าพี่รุนแรงกับเจ้าไม่ได้นะ” ทยุติธรเงื้อพระหัตถ์ หมายซัดจักรเข้าโจมตีนลกุพรสหายแห่งพระอนุชา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นยังบริเวณพื้นเบื้องล่าง พอทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงลดจักรลงทันใด

“พอเถิดเพคะ ...หม่อมฉันอยู่นี่แล้ว ทรงพาหม่อมฉันไปเถิด แล้วยุติการต่อสู้และคืนบิดาของท่านพระพุธมาเสียที” 

นางนาคีนั่นเอง แต่นางไม่ได้มาคนเดียว ในอ้อมอกของนางโอบอุ้มลูกตัวน้อยไว้ด้วย ทยุติธรเพ่งมองดูก็ทราบด้วยญาณวิเศษทันที ว่าความเป็นมาแห่งทารกน้อยนี่มาได้อย่างไรกัน พระขนงเริ่มขมวดจนแทบชิดติดกัน เลือดในกายาวิ่งพล่านขึ้นสู่พระพักตร์ พระเนตรฟ้าครากลายเป็นสีแดงเพลิง ตรงกลางมีจุดสีทองส่องประกายวาบ แสดงว่า พระโทสะดำเนินมาจนถึงขีดสุดแล้ว และตั้งแต่ประสูติมาสีทันดรก็เพิ่งเห็นพระอาการโมโหรุนแรงของพี่ชายก็คราวนี้นี่เอง

“เจ้าทำให้เราขายหน้า สมสู่กับมนุษย์จนเกิดมนุษย์กึ่งนาค อันเป็นเสนียดแก่บาดาล....เจ้าอย่าอยู่เลย”

ทยุติธรทรงโทสะพิโรธหนักเงื้อพระหัตถ์สุดแรงเกิดหมายสังหารนางนาคีกับลูกให้สิ้นชีพ จักราแห่งมหาทุรคาลอยวนคว้างแล้วพุ่งด้วยความเร็วสูง เกินกว่าที่ใครจะช่วยได้ทัน นางนาคคิดว่าตนไม่รอดแน่ จึงกอดลูกน้อยแน่นแล้วหันกายตนบังลูกไว้ และฉับพลันในวินาทีนั้นเองรัศมีสีทองแดงก็พุ่งปราดเป็นลำลงมาจากฟากฟ้า รัศมีนั้นแรงกล้ายิ่ง ภายในปรากฏเป็นเงาทับซ้อนของเทวบุตรรูปงาม ใบหน้าหล่อเหลาละม้ายคล้ายพระพุธหากแต่ที่แตกต่างกันก็คือสีผิวที่คล้ำหากแต่นวลเนียนสว่างไสวดุจพระเสาร์ ตรงมุมปากมีเขี้ยวขาวเป็นเงาระยับ ร่างกายท่อนบนพันไว้ด้วยภูษาทรงสีดำ คาดทับด้วยสังวาลจากนิล หากแต่ช่วงล่างนั้นสิ แทนที่จะเป็นขากลับกลายเป็นหางนาคมาเสียนี่ เทวะพระองค์นี้มีพระวรกายแปลกยิ่งนัก หากแต่พวกอัสดงเคยคุ้นดี จึงตะโกนลั่น

“ ราหู”

ร่างทับซ้อนนั้นรีบพุ่งลงมาด้วยความเร็ว สกัดกั้นจักรานั้นไว้ แล้วซัดคืนกลับไป รัศมีสีทองแดงสว่างจ้าอีกครั้ง แล้วร่างของทารกน้อยที่กำลังอ้อแอ้ก็ล่องลอยออกจากอกนางนาคา แล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิดรัศมีสีทองแดงเข้ารวมร่างกับทารกน้อย จากร่างกายเดิมที่ยังแบเบาะ บัดนี้ยืดขยายกลับกลายเป็นหนุ่มน้อยหน้ามน อายุรุ่นราวคราเดียวกับเทวะน้อยทั้งห้าอย่างน่าอัศจรรย์

หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่รอช้า ซัดพลังเข้าใสทยุติธรที่ทรงเผลอยืนชะงักงันด้วยความอัศจรรย์ใจกระเด็นไปไกล แล้วหันมาโอบกอดนางนาคผู้เป็นมารดาพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่มปนสั่นเครือมาว่า

“ แม่จ๋า แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม แม่หลบไปก่อนนะจ๊ะ”

นางนาคีเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ทารกน้อยที่เพิ่งโอบอุ้มบัดนี้เติบใหญ่ขึ้นทันตาด้วยเพราะรัศมีสีทองแดงนั้น เมื่อนางตั้งสติได้ว่าเด็กหนุ่มที่กำลังกอดอยู่คือลูกชาย จึงกล่าวตอบด้วยเสียงสั่นเครือไม่แพ้กัน

“แม่ไม่เป็นไร ....ลูกแม่ระวังตัวด้วย”

นางเข้าใจดีว่าลูกชายตนไม่ใช่มนุษย์กึ่งนาคธรรมดา รัศมีที่พุ่งลงมารวมกับร่างลูกน้อยนั้นเป็นรัศมีแห่งเทวะ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้เพราะองค์ทยุติธรทรงฤทธีมาก แต่ก็ต้องจำเร้นกายหลบ เมื่อลูกชายกล่าวเตือนมาอีกครั้ง “หลบไปก่อนเถิดแม่”

พระพุธกับพระศุกร์เมื่อรู้ว่าใครแบ่งภาคลงมาจากฟากฟ้า จึงโผนทะยานเข้ามาหา เขาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล ที่แท้ก็สหายเก่านั่นเอง “ราหู นายเองเหรอ”

“ใช่ฉันเอง ฉันได้รับเทวโองการเหมือนพวกนายนั่นแหละ ให้ลงมาปราบอสูรและตอนนี้ฉันก็พร้อมแล้ว ฉันว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย เตรียมรับมือไอ้พญานาคนั่นดีกว่าโน่น มันกลับมานู่นแล้ว”

คราวนี้ทยุติธรมิได้เสด็จกลับมาพระองค์เดียว หากเบื้องหลังคือกองทัพราชองครักษ์ที่ยกมาเต็มอัตราศึก อัสดง ทรงกลดและคันฉัตรต่างก็ช่วยกันซัดอาวุธเข้าสกัดกั้น ทำให้กองกำลังบางส่วนแตกกระจัดกระจาย ทยุติธรทรงสะบัดจักราในมือหมายยังร่างของอัสดง แต่เจ้าพระอาทิตย์รูปงามด้วยความที่ได้กำลังใจจากเจ้านาคาน้อยมาเต็มเปี่ยม ทำให้กำลังและความว่องไวฟื้นคืนมาอย่างรวดเร็ว และยังสามารถขว้างจักรเพลิงเข้าไปต่อกรได้อีกคำรบ....นี่แหละหนอที่เขาเรียกกันว่า อานุภาพแห่งความรัก เพียงแค่ ประโยคที่ว่า “หม่อมฉันรักอัสดง” ก็สามารถก่อกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าพลังใดๆ

ทางด้านเอราวัตกับคืนฉายก็เข้าสู่สนามรบช่วยสหายรับมือเช่นกัน ทั้งสองหันหลังชนกันเผชิญหน้ากับทัพนาคาที่ดาหน้ากันเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย บรรดานาคเริ่มกระจายเป็นวงล้อม ล้อมเขาทั้งคู่เอาไว้ แต่ก็ไม่มีนาคาตนใดสามารถเข้าประชิดตัวและทำอันตรายใดๆได้ ส่วนนลกุพรเองนั้น ก็ขยับอาวุธในหัตถ์มั่น ชูสูงขึ้นฟ้า แล้วชี้ปลายตรีศูลไปข้างหน้า ตะโกนสั่งทัพยักษ์ด้วยสุรสียงฮึกเหิม ดังยิ่งกว่าฟ้าผ่า

“บุก...โว้ย”

ในส่วนของพระจันทร์กับพระเสาร์ก็ถูกพวกนาครายล้อมไว้เช่นกัน สังหารเท่าไรก็ไม่หมดตัวใหม่ก็ดาหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ทันทีที่ทัพยักษ์ของนลกุพรเข้ามาช่วยหนุน ทั้งสองเทวะน้อยก็ตีฝ่าออกมาได้ คันฉัตรจึงได้โอกาสเหนี่ยวคันศรขึ้นฟ้า ยิงธนูออกจากแล่ง ด้วยอำนาจแห่งธนูวิเศษ ธนูทุกดอกที่ยิงออกไปนั้นก็กลับกลายเป็นพญาครุฑช่วยเข้าจิกตีเหล่าทหารนาค ...คาถาบทนี้อัสดงเคยถ่ายทอดให้กับเขาและไม่คิดว่าจะได้ใช้ ครั้นพอได้ใช้เขาก็ทำได้ดีไม่แพ้อัสดง และยังได้ผลเกินคาด เพราะตอนนี้นั้น ทัพนาคเริ่มแตกฮือ

ทยุติธรเห็นเหล่าทหารหาญของตนเริ่มเสียท่า จึงเบนเป้าหมายจากอัสดงมาทำลายพวกครุฑเหล่านั้นเสียก่อน ครุฑหลายๆตัวแตกสลายกลายเป็นผุยผง ในระหว่างที่ทรงวุ่นอยู่กับการทำลายครุฑ เทวะที่เพิ่งแบ่งภาคมาใหม่หรือในนามราหูที่พวกเทวะน้อยๆเรียก ก็สบโอกาสช่วยอัสดง ซัดพลังเข้าโจมตี

“คิดจะฆ่าฉันกับแม่เหรอ ....มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก” เจ้าราหูตะโกนลั่น แล้วหันมายักคิ้วให้อัสดงกล่าวว่า “สุริยาทิตย์ เรามารวมกำลังกันเหอะ”

และแล้วอำนาจแห่งพระสุริยาทิตย์ก็เปล่งประกายเป็นรัศมีสีแดงเจิดจ้า ประสานกับรัศมีสีทองแดงของพระราหู พุ่งเข้าซัดใส่พระวรกายแห่งจอมทัพทยุติธร นลกุพรเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ จึงบอกบรรดาเทวะน้อยที่เหลือว่า

“พวกท่านรีบไปรวมพลังกับอัสดงเร็ว ทางนี้เราจัดการเอง”

ทรงกลด คันฉัตร คืนฉายและเอราวัต เมื่อได้ยินนลกุพรร้องบอก ต่างก็ช่วยกันซัดพลังของตนสอดประสานมาทันใด พลังทั้งสี่พุ่งตรงมารวมกับสองรัศมีที่รออยู่ก่อนแล้ว แล้วรัศมีทั้งหกแสงก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวคือสีขาวสว่างจ้าวาววับ องค์ทยุติธร หันพระวรกายมารับไว้ได้ทันท่วงที สีทันดรทอดพระเนตรเห็นพระเชษฐาเสียท่า จึงโผนทะยานจะเข้าไปช่วยเหลือ เพราะอย่างไรเสีย ทยุติธรก็คือพระเชษฐาที่ร่วมสายพระโลหิตที่มีอยู่พระองค์เดียว แม้เมื่อสักครู่พี่ชายจะทำให้ไม่สบพระทัย แต่ก่อนที่จะทรงทะยานเข้าไปถึง มุจลินทร์ก็เหิรลอยเข้ามาฉุดข้อพระกรไว้

“อย่าเพคะ ...อย่าเสด็จเข้าไป ปล่อยให้ ทูลกระหม่อมใหญ่ทรงได้รับบทเรียนบ้างเถิด”

จากสถานการณ์ที่เหล่านาคาได้เปรียบ กลับพลิกผลันกลายเป็นพ่าย ทยุติธรทรงเริ่มทานอำนาจเทวะทั้งหกไม่ไหวแล้ว

“พวกเจ้าขี้โกง ....”

พระชงฆ์ที่เคยแข็งแรงอ่อนยวบทันใด แล้วพลังที่เคยต้านไว้ ก็ซัดเข้าสู่พระวรกาย เสียงปะทะแห่งพลังงานดังลั่นสนั่น พระเกศายาวสะบัดพลิ้วปลิวไสวด้วยแรงซัด รัดเกล้ารูปนาคาไขว้เศียรกระเด็นลอยละลิ่ว ทยุติธรทรงพ่ายแล้ว

“พี่ชาย!!!!”

แม้จะเคยโกรธแสนโกรธเพียงใด แต่ยามนี้พี่ชายทรงบาดเจ็บ ทรงลืมเรื่องข้อวิวาทบาดหมางไปชั่วขณะ โผนทะยานเข้าสู่พระวรกายที่กำลังล้มลง มุจลินทร์สกัดสีทันดรไว้ไม่อยู่แล้ว

“พี่ชายทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

สีทันดรเมื่อเสด็จมาถึงก็ทรงประคองพระวรกายของพระเชษฐาไว้ในอ้อมพระพาหา ทยุติธรทรงพระกรรสะออกมาเป็นพระโลหิตเฉกเช่นเดียวกับที่ซัดพลังใส่พระอนุชาเมื่อตอนช่วงบ่าย แต่ด้วยชาตินักรบ เจ็บแค่นี้ไม่ถึงตาย หากยังมีพระชนม์ชีพ จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด เทวะจำต้องเกรงและหวาดหวั่นในพระราชอำนาจ

“พี่ไม่เป็นไร”

ทยุติธรทรงยืนนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งพระทัยหมายเรียกจักราแห่งมหาทุรคามาใช้ เนื่องจากทรงอ่อนพระกำลังยิ่งนัก จึงมิสามารถทำได้ พระเนตรฟ้าครามจึงแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง ความคั่งแค้นเจ็บพระทัยแน่นพระอุระ รัศมีรอบพระวรกายสว่างวาบแล้วทรงแปรเปลี่ยนพระวรกายองค์เอง คืนสภาพสู่นาคาห้าเศียร ทหารองค์รักษ์ที่เหลือต่างก็คืนร่างตามนายทันใด

อสุนีบาตเริ่มฟาดผ่าลงมาติดๆกันอีกคำรบ ประกายแสงฟ้าฟาดนั้นยามกระทบกับเกล็ดสีทองก่อเกิดเป็นเงาละเลื่อมดุจฟ้าแลบ เศียรทั้งห้า ต่างเริ่มขยับซัดส่ายไปโดยรอบ และแล้วหนึ่งเศียรในทั้งห้าก็ดำดิ่งลงไปใต้น้ำ พอผลุดขึ้นมาอีกครั้ง เศียรนั้นก็พาเอาร่างบิดาของพระพุธขึ้นมาด้วย

“พ่อ!!!!!!!!”

เอราวัตเริ่มคุมสมาธิไว้ไม่อยู่ พ่อเขาอยู่นั่นเอง เจ้าพระพุธทะยานขึ้นฟ้าทันทีหมายชิงร่างบิดาคืนมา แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเศียรที่อยู่ด้านตรงกลาง พ่นเปลวอัคคีออกมา เหล่าเทวะน้อยทั้งหลายแตกกระจาย หลบหลีก ยามปกติทยุติธรก็ทรงฤทธีมากอยู่แล้ว กว่าจะโค่นได้ต้องรวมกำลังกัน แล้วนี่คืนสู่ร่างนาคราชซึ่งฤทธีและอำนาจจะเต็มเปี่ยมจนถึงขีดสุด เหล่าเทวะน้อยเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า หากรวมกำลังกันอีกครั้งจะรับมือได้ไหม

เปลวอัคคียังคงพวยพุ่ง และอีกสี่เศียรที่เหลือก็ประสานกันพ่นเพลิงออกมาเช่นกัน ประกายเพลิงร้อนแรงเริ่มลุกลามไปโดยรอบ แม้สายฝนที่กำลังโหมกระหน่ำก็มิทำให้ เปลวเพลิงนั้นดับมอดลงแต่อย่างใด แถมยังเริ่มลามไปยังตัวบริเวณบ้านที่อยู่ใกล้ สีทันดรและมุจลินทร์ได้พระสติก่อนใครรีบเหิรลอยกลับไปคืนร่างสู่สภาวะนาคา ช่วยกันพ่นน้ำเข้าสกัดกั้น

คุณยายที่อยู่บนบ้านได้เห็นภาพการศึกครั้งนี้มาโดยตลอด ในใจหวั่นกลัวยิ่งนัก เพราะได้เห็นทั้งนาค ทั้งยักษ์และทั้งครุฑ แต่เนื่องด้วยการปฏิบัติธรรมมาช้านานจึงข่มอาการหวาดผวาได้อย่างรวดเร็ว อีกนิดหนึ่งเปลวเพลิงก็จะลามเลียมาถึงตัวบ้านแล้ว คุณยายยังคงสำรวมจิตตั้งใจไม่ให้หวาดหวั่นอีกต่อไป มือทั้งสองข้างเริ่มพนมระหว่างอก สวดบูชาพระพุทธคุณ ขออำนาจพุทธบารมีคุ้มครอง

เทวะน้อยทั้งหก เริ่มรวมกำลังโจมตีทยุติธรอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เป็นผล เกล็ดสีทองประดุจเกราะเพชรชั้นดีที่กางกั้นพลังเทวะทั้งหกไว้แถมยังซัดคืนกลับมาจนทั้งหกกระเด็นตกลงมาจากฟากฟ้า ทยุติธรอ้าพระโอษฐ์กว้างแล้วพ่นเปลวอัคคีลงมายังร่างทั้งหก แต่ก่อนที่เปลวไฟอันร้อนแรงจะถึงตัว ก็พลันบังเกิดเสียงสวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ดังมาจากรอบสารทิศ น้ำเสียงที่สวดนั้นดังฟังชัด น้ำเสียงที่กอปรไปด้วยเมตตา สามารถสกัดเปลวเพลิงทั้งมวลเอาไว้ได้ แล้วบริเวณรอบด้าน ก็พลันบังเกิดรัศมีสีขาวสว่างจ้าราวกับกลางวัน สายฝนและเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำกลับสงบลงด้วยปาฏิหาริย์ของการมาถึงแห่งสภาวะทิพย์นั้นทันที

“นันโทปะนันทะ ภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง  ปุตเตนะเถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคลานิ”

“พระจอมมุนีทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระ พระพุทธชิโนรส นิรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาคราช อันมีนามว่านันโทปะนันทะ ผู้มีความหลงผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีให้ฤทธิ์ที่เหนือกว่าพระเถระ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ผู้ได้สดับฟังด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลด้วยเทอญ”

“หลวงตา!!”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-07-2019 16:23:52
อัสดงตะโกนก้องด้วยความดีใจ รีบเหิรลอยไปหาสีทันดรที่ทรงคืนร่างเป็นมนุษย์มาก่อนใคร จูงข้อพระกรเจ้านาคาน้อยมาประทับนั่งลงราบกับพื้นด้านหลังรัศมีสีขาวนั้น

“หลวงตามาช่วยหลานแล้ว”

 ครั้นพอแสงรัศมีสีขาวจ้าพลันสลาย ก็กลายเป็นพระภิกษุในจีวรสีกลักเปล่งประกายสีทองงดงามระเรื่อ ดุจจีวรนั้นทอมาจากเส้นใยทองคำ ใบหน้าของพระคุณเจ้า สงบ เยือกเย็นแม้ ยืนอยู่ท่ามกลางสนามยุทธการระหว่างทัพนาคาและกองกำลังเทวะ ทุกผู้ทุกนามยุติการพุ่งรบ แล้วทรุดกายหมอบราบกราบลงกับพื้นดิน นาคาทั้งหลายคืนร่างสู่รูปกายของมนุษย์ เว้นแต่องค์ทยุติธร ที่ยังทรงอยู่ในร่างนาคาห้าเศียร แผ่พังพานประจันหน้ากับพระคุณเจ้า สีทันดรทรงร้องเตือนพี่ชายเกรงว่าจะทำอะไรเลวร้ายลงไปอีก 

“พี่ชาย ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ อย่ากระทำการล่วงเกินท่าน รีบคืนร่างเสียเถิด”

“ลงมาคุยกันดีๆเถิดโยม โมโหไปก็รังแต่จะทำให้สภาวะทิพย์ของโยมหม่นหมอง” 

หลวงตากล่าวขึ้นยามที่ทยุติธรเลื้อยเข้ามาใกล้ แม้พระอนุชาจะมิทรงเตือน ทยุติธรก็ทรงทราบดีว่า พระคุณเจ้ารูปนี้คือพระอริยสงฆ์ หากทรงล่วงเกินแม้แต่นิดเดียว จะเป็นบาปมหันต์ จึงทรงลดพังพานยอบกายแล้วสลายคืนสู่ร่างหนุ่มน้อยเยาว์ชันษา ข้างๆกันนั้นร่างของบิดาแห่งพระพุธนอนสงบ  ทยุติธรทรงถวายนมัสการกราบลงกับพื้นเฉกเช่นทุกคน

“นมัสการพระคุณเจ้า”

“โสกาวิรัตตจิตโต โย โสภมาโน สเทวเก  โลกสัตเต ปโมเจนโต โสภวัณนัง นมามิหัง พระองค์ผู้ซึ่งมีพระหฤทัยที่ไม่มีความโศก พระองค์ทรงงดงามในมนุษย์กับเทวโลก พระองค์ทรงปลดเปลื้องสัตว์ให้พ้นความโศก พระองค์ทรงมีพระวรรณะงดงามข้าขอนมัสการ!!”

สิ้นพระคถาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระโทสะและอารมณ์โมโหขุ่นมัวขององค์ทยุติธร ก็มลายหายไปสิ้น พระคาถานั้นหลวงตาใช้เตือนพระสติทยุติธรโดยเฉพาะ และก็ทรงเข้าพระทัยในทันใด  ความโศกเศร้าโศกาอาดู คับแค้น ชิงชังรังแต่จะทำให้มัวหมองอีกทั้งโทสะและโมหะ จึงมิควรให้อารมณ์เหล่านั้นฉุดรั้งสภาวะทิพย์ให้ตกต่ำลง คำสอนแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระอริยสงฆ์อัญเชิญมา คือความจริง ที่ทรงเถียงไม่ขึ้น และเริ่มน้อมรับอย่างไม่มีข้อกังขา ทยุติธรจึงก้มลงกราบหลวงตาอีกครั้ง เปล่งพระสุรเสียงสรรเสริญ

“สาธุ”

“แท้จริงแล้วเรื่องทางโลกมิใช่เรื่องของอาตมา แต่...ถ้าหากเป็นการเกี่ยวข้องกับการทำร้ายชีวิตให้ดับสูญ อาตมาขอบิณฑบาตโยมสักชีวิต สองชีวิตจะได้ไหม” ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติขั้นสูงหลวงตาทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วว่าเหตุใดเกิดขึ้น จึงมิต้องเท้าความกันอีก

ทยุติธรยังไม่ทันได้กล่าวตอบ ฉับพลันบังเกิดรัศมีสีเขียวปนทองหลายลำแสง ทะยานขึ้นมาจากท้องน้ำ บรรยากาศรอบข้างที่ดูมืดมัวในตอนแรกก็พลันสว่างจ้าอีกคำรบด้วยรัศมีเหล่านั้น แต่ก็มิสู้รัศมีแห่งหลวงตาของอัสดงผู้ซึ่งบรรลุธรรมแล้ว

รัศมีหลายสีเหล่านั้น เมื่อขึ้นมาถึง ก็สลายกลายเป็นร่างของมนุษย์ ทั้งหญิงและชาย เครื่องทรงบ่งบอกถึงวรรณะ ว่ามิใช่ชนชั้นนาคาธรรมดา จอมเทวะนาคาและนางพญาเทวนาคีต่างก็ขึ้นมาพร้อมเฝ้าพระอริยสงฆ์ถ้วนทั่ว ทั้งหมดก้มกราบลงกับพื้นโดยพร้อมเพียง

“นมัสการพระคุณเจ้า”

“เจริญพร เถิดมหาบพิตร มหาเทวี”

สีทันดรเมื่อเห็นว่าใครมาบ้าง ก็รีบคลานเข่า เข้าไปหาบรรดาผู้ที่ประทับนั่งอยู่หน้าสุด  ได้แก่ สมเด็จทวด ทูลหม่อมปู่ทั้งสองพระองค์ ทูลหม่อมพ่อ และสมเด็จแม่ อันเสด็จขึ้นมาครบหมด สีทันดรก้มลงกราบถวายบังคมแทบพระเพลาของทุกพระองค์ แล้วไปประทับนั่งข้างๆของสตรีทั้งสองที่งามเกินกว่านางอัปสรใดๆในโลกหล้า พระองค์หนึ่งนั้นคือ พระนางกัทรุ พระชายาในพระกัศยปเทพบิดร พระผู้เป็นมารดาแห่งจอมนาคา อีกพระองค์คือพระสมุทรเทวี สมเด็จพระมารดาแห่งพระองค์

อัสดง เอราวัต คืนฉาย ทรงกลด คันฉัตรและราหู ครั้นเมื่อเห็นว่าใครเสด็จตามขึ้นมาอยู่ ณ ที่นั้นบ้างต่างก็ตกตะลึงแต่ก็ไม่ลืมที่จะถวายบังคม โดยศักดิ์แห่งเทวะร่างเดิมแห่งตนควรเพียงแค่ยกมือไหว้ระหว่างอก แต่ยามนี้อยู่ในร่างแบ่งภาคจึงควรแสดงความเคารพให้นาคกษัตริย์ และจอมนาคเทวะทุกพระองค์ก็รับบังคมและยกหัตถ์ระหว่างพระอุระรับบังคมตอบ ส่วนนลกุพรก็สบโอกาสลอยเข้าไปหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆกับมุจลินทร์

“นี่ครอบครัวน้องดื้อ ยกโขยงกันมาทำไม” ทรงกลดกล่าวขึ้นเพราะจำพญาวาสุกีได้ที่ประทับนั่งแถวหน้าสุดได้ หากแต่อีกพระองค์ที่ประพิมพ์ประพายคล้ายกันยังไม่เคยเห็น แต่ถ้าจะให้เดาก็คงไม่ยาก พระองค์นั้นคงเป็นพญาอนันตนาคราช บัลลังก์แห่งพระมหาวิษณุเจ้าเป็นแน่แท้

 “สีทันดรเกิดอะไรขึ้นลูก....เจ้าไปก่อเรื่องอะไรกับพระคุณเจ้าหรือเปล่า” สมเด็จพระมารดาตรัสถามพระโอรสองค์น้อยที่เลื่อนมาประทับอยู่ข้างพระเพลาทันใด เพราะทรงรู้ดีว่า พระโอรสถนัดนักในการก่อเรื่องวุ่นๆ

“หม่อมฉันเปล่า ...นู่นพี่ชายนู่น ทรงถามเองเหอะ หม่อมฉันหมดแรงแล้ว”

สีทันดรได้ที ถือโอกาสเอาคืนพี่ชายแกล้งทำพระพักตร์ละห้อยหมดแรง แต่สมเด็จพระราชมารดา คงจะมิทรงว่าอะไรพี่ชายมากมายเป็นแน่แท้ จึงทรงคลานไปหาสมเด็จทวด ที่กำลังประทานสายพระเนตรอันทรงอำนาจมายังหลานชายคนโตอยู่ก่อนแล้ว สายพระเนตรนี้เพียงแค่จ้องก็ทำให้ทยุติธรชาวาบไปทั้งองค์ แล้วพระหัตถ์ขาวนวลของพระนางเพียงแตะที่พระวรกายของสีทันดร ก็ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดถ้วนทั่ว

“ทยุติธร เจ้าทำอะไรลงไป ทำไมถึงทำรุนแรงกับน้อง โถ...สีทันดรหลานทวด เจ็บมากไหม”

พระนางกัทรุทรงรักหลานพระองค์น้อยยิ่ง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา สมเด็จทวดทรงเข้าข้างพระราชปนัดดาพระองค์น้อยมาทุกครั้ง แม้จะทรงรู้ว่าสีทันดรทรงทำผิด จะทรงเอ็ดแค่เล็กน้อยและก็จะทรงทำลืมๆความผิดนั้นไปเสีย และเมื่อทรงรู้ว่า ทยุติธรรังแกน้องจึงทรงชำระความ ทยุติธรทรงเริ่มร้อนๆหนาวๆ มาแล้ว เพราะทรงเกรงสมเด็จทวดยิ่งนัก

หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าหลวงตาทยุติธรคงโดนหนัก พระนางกัทรุหันไปตรัสกับพญาอนันตนาคราชถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พญาอนันตนาคราชพอทรงทราบความก็ตรัสเรียกทยุติธรทันที

“มาหาปู่หน่อยสิ”

ทยุติธรคลานเข่าเข้าไป พระพักตร์ที่งามงดของเทวนาคาชันษาวัยยี่สิบ เริ่มซีด แล้วทรงกล่าวปลอบใจตนเองมาว่า “เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องกลัว”

“รู้ใช่ไหม ทำอะไรลงไป”

“พะย่ะค่ะ แต่หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”

“พอกัน ดื้อและก็หยิ่งยโสเหมือนกันหมดทั้งพี่ทั้งน้อง นี่เจ้าเลี้ยงลูกยังไง ...สมุทรรักษ์ สมุทรเทวี” คราวนี้ทูลหม่อมปู่พระองค์ใหญ่ ทรงหันไปไล่เบี้ยเอากับพระบิดาและพระมารดา แล้วพญาวาสุกีนาคราชก็ตรัสเสริมมาว่า

“คราวที่แล้ว ไอ้ตัวน้องก่อเรื่อง คราวนี้มาไอ้ตัวพี่อีก ....หม่อมฉันละอายแก่พวกเทพอวตารเหลือเกิน” แล้วพญาวาสุกีก็หันมากล่าวกับพวกอัสดงด้วยสุรเสียงเหนื่อยอ่อน “ข้าขอโทษด้วยนะ ข้ามันผิดเองเลี้ยงหลานตามใจจนเคยตัว”

“เอ๊ะ มาลงอะไรกับหม่อมฉัน หลานไม่เกี่ยวนะ คราวนี้ ทูลหม่อมพี่ชายล้วนๆ”

“เดี๋ยวเหอะ สีทันดร” ทยุติธรทรงหันไปปรามพระอนุชาทันควัน

“หุบปากแหละทั้งสองคน เกรงใจพระคุณเจ้าบ้าง ...”

พญาอนันตนาคราช ทรงหลับพระเนตร เพื่อตรวจดูเรื่องราวและความเป็นไปทั้งหมด ครั้นพอได้ความแจ่มแจ้ง ก็ทรงตรัสขึ้น “เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ครั้นปล่อยไว้นานก็จะยิ่งบานปลาย ข้าพเจ้า ขออาราธนาพระคุณเจ้าช่วยตัดสินทีเถิด ว่าจะทำอย่างไรดี”

พญาอนันตนาคราช ตรัสจบ ก็ทรงถอนพระราชหฤทัย ที่ลูกหลานและบริวารชอบก่อเรื่องยุ่งๆ จนไม่ค่อยอยากจะเกี่ยวข้องแล้ว

“มหาบพิตรตัดสินเถิด อาตมาเพียงแค่ขอบิณฑบาตว่าการลงโทษนั้นอย่าให้ถึงกับชีวิตเลย หยุดรบรากันอาตมาก็พอใจแล้ว เทวะเมื่อมารบกันเองจะขายหน้าแก่พวกมารเปล่าๆ ”

“ถ้าตามกฎของบาดาล หากนาคตนใด มีลูกกับมนุษย์ สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกจะต้องถูกแยกจากกัน โดยนาคต้องกลับไปถูกจองจำอยู่ในบาดาล ส่วนมนุษย์ก็จะถูกล้างความทรงจำทิ้งเสีย แต่เด็กที่เกิดมา....เอ่อ.... เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาอย่างเช่นในอดีตกาล เราต้องกำจัด”

นางนาคาที่หลบอยู่บริเวณครั้นได้ยิน ก็ปรากฏกายออกมาข้างราหู โผเข้ากอดลูกชายแน่น พูดจาละล่ำลั่ก ขึ้นมาว่า “ หม่อมฉันยินดีรับโทษเป็นสองเท่า ขออย่าประหารลูกของหม่อมฉันเลย”

นางสะอื้นร่ำไห้จนหอบตัวโยน ราหูเองก็กอดแม่แน่น กล่าวปลอบทันใด “แม่จ๋าใจเย็นๆก่อน ..ลูกเชื่อว่า เทวะนาคาพวกนี้คงไม่ใจร้ายกับเราสองแม่ลูกนัก”

ทรงกลดและบรรดาเทพน้อยที่เหลือต่างแอบให้สัญญาณกันเตรียมพร้อมหากการตัดสินออกมาไม่ยุติธรรม การรบจะเกิดขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ก็จะเป็นไปเพื่อการรักษาชีวิตของสหายที่เพิ่งแบ่งภาคลงมา ส่วนมุจลินทร์เห็นนางนาคาร้องไห้ก็บังเกิดความสงสารเห็นใจจึงรีบเข้ามาปลอบ

“เจ้าอย่าเพิ่งฟูมฟาย ยังมิได้ทรงตัดสิน”

จอมนาคาทั้งสองเองก็ลำบากใจยิ่ง เพราะนานแล้ว มิเคยมีผู้ใดฝ่าฝืนกฎ และการตัดสินในแต่ละครั้งก็ไม่หนักใจเท่าครั้งนี้ แต่ถ้าหากไม่ทำก็ไม่ได้ ....กฏจะไม่เป็นกฏ

“สมเด็จทวด สมเด็จแม่ ช่วยนางด้วยเถอะ หม่อมฉันสงสาร นางทำไปเพราะรัก มิได้จงใจทำให้พี่ชายเสียพระพักตร์ และอีกอย่างนางก็เป็นผู้ให้กำเนิดแก่พระราหู เทวะผู้นี้แบ่งภาคลงมาตามพระบัญชา หากพวกเราทำอะไรรุนแรงจะฝ่าฝืนเทวะโองการนะพะย่ะค่ะ” สีทันดรรีบทูลให้พระนางกัทรุกับพระมารดาทรงช่วย และด้วยความที่เป็นตัวโปรด การกราบทูลนั้นก็ได้ผล

“อนันตะ วาสุกี แม่ว่า.....เราอย่าถึงขั้นฆ่าแกงกันเลย ไหนๆนางนาคี มันก็อยู่นี่แล้ว และนางก็ยินดีรับโทษ อีกอย่างพระราหูท่านก็เสด็จมารวมร่างแล้วด้วย ” พระนางกัทรุตรัสขึ้นกับจอมนาคาราชโอรสทั้งสอง ทูลหม่อมพ่อของสีทันดรกับพระมารดา ก็ช่วยสนับสนุนแต่ทยุติธรมิทรงเห็นด้วยเท่าไรนัก

“แล้วผู้ที่ทำผิดกฎจะไม่ต้องรับโทษอันใดเลยหรือพระเจ้าค่ะ” ทยุติธรแม้จะสงบลง แต่ก็ไม่วายทูลขัดขึ้น

“ทยุติธรพอทีเถิด” พระบิดาทรงติงพระโอรสมาทันใด “พระคุณเจ้าอุตส่าห์ขอบิณฑบาต เจ้ายังเพิกเฉยกระนั้นหรือ”

“แต่ลูกมีเหตุผล” ทยุติธรทรงแย้งมา แต่ก็ต้องเงียบเพราะสมเด็จทวดทรงดุด้วยสายพระเนตรเป็นการเตือนให้หยุดพูดเสีย ทยุติธรทรงพึมพำกับองค์เอง “ไหนว่าทรงฌาน ไหนว่าเสด็จเฝ้าพระมหาเทพ แล้วนี่เสด็จกันมาหมดได้ไง วุ่นจริง”

“ก็เสร็จแล้วเลยออกมา และก็เลยรู้ว่าเจ้าบังอาจเพียงใดทยุติธร” แม้จะทรงพึมพำเบาเท่าไรสมเด็จทวดก็ทรงได้ยิน

หลวงตาเห็นว่าจอมนาคาทั้งสองยังคงลังเล จึงกล่าวสำทับขึ้น “ มหาบพิตรทั้งสอง พระราหูท่านเสด็จลงมาแล้วและอีกอย่างท่านก็ใช้ร่างทารกนาคเป็นร่างจุติ ซึ่งจะช่วยทำประโยชน์ให้กับสวรรค์ได้ นั่นก็คือการปราบอสูร ดั่งเทวะทั้งห้า พระราหูท่านเป็นครึ่งยักษ์ครึ่งนาค และเด็กคนนี้ ก็มีเชื้อนาคอยู่ในตัว ฉะนั้นหากมหาบพิตรทำลายร่างนี้ไป พระราหูท่านก็ต้องหาร่างใหม่ และกว่าท่านจะจุติได้ ก็จำเป็นต้องใช้ร่างของผู้มีเชื้อนาค ซึ่งมันก็จะกลับมายังจุดเดิม ปัญหาเดิม อาตมาอยากให้ทรงถี่ถ้วน คิดให้ดี”

เสียงของหลวงตาดุจเสียงสวรรค์ ทำให้หลายๆคนโล่งพระทัยและโล่งอก โดยเฉพาะนางนาคา ลูกตนมีทางรอดแล้ว ส่วนพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีก็ทรงยิ้มได้โดยพลัน เพราะทั้งสองพระองค์ก็ได้รับเทวะโองการจากมหาศิวะและมหาวิษณุ ให้ช่วยเหลือเหล่าเทวะอวตารด้วย ทางออกมีมาให้แล้ว โดยมิต้องทรงทบทวนอื่นใดทั้งสิ้น จอมนาคาทั้งสอง ตรัสมาแทบจะพร้อมกัน

 “เรื่องเด็กเอาตามพระคุณเจ้าว่าเถิด ให้พระราหูท่านใช้เป็นร่าง เพื่อการปราบมาร....ส่วนนางนาคาข้าพเจ้าต้องขอพาตัวไปเก็บไว้ที่บาดาลมอบให้ฝ่ายในควบคุมภายใต้พระบัญชาแห่งสมเด็จแม่ นางจะอยู่กับมนุษย์ไม่ได้ และมนุษย์ผู้เป็นสามีต้องถูกลบความทรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อเป็นการแยกพ่อแม่ลูกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่”

เสียงไชโย โห่ร้องดังลั่น มาจากกลุ่มเทวะน้อย นางนาคาก้มกราบบังคมจอมนาคเทวะทั้งสองพระองค์ทันใด ขอบพระทัยที่ยังทรงเมตตาไว้ชีวิตตนกับลูก แม้ตนจำต้องกลับไปรับโทษ ราหูเองก็กราบลงอีกครั้งแล้วประคองแม่มากอดไว้แน่น “แม่...เราสองคนรอดแล้ว”

“อาตมาเพียงแค่ขอบิณฑบาตชีวิตน้อยๆนี้ไว้ ส่วนเรื่องอื่นเป็นการตัดสินใจของมหาบพิตรเถิด มหาบพิตรทั้งสองตัดสินพระทัยได้ถูกต้องเจริญพร้อมด้วยพระเมตตา อาตมาขอถวายพระพรให้ทรงพระเจริญ”  หลวงตากล่าวจบก็พนมมือสวดสรรเสริญถวายพระพร จอมนาคาทั้งสองพร้อมด้วยพระมารดา และทูลหม่อมพ่อกับสมเด็จแม่ของเจ้านาคน้อยพนมหัตถ์รับพรนั้น

“มหากรุณาณิโก นาโถ  หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรต์วา ปาระมีสัพพา ปัตโตสัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุเต ชะยะมังคะลัง”

“พระพุทธองค์ ทรงเป็นที่พึ่งของเหล่าสรรพสัตว์ ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาที่ทรงทำบารมีให้เต็มเปี่ยม ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงบรรลุแล้วซึ่งพระญาณเครื่องตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ด้วยการกล่าวสัจจะวาจานี้ ของชัยมงคลจงบังเกิดแก่ มหาบพิตรและมหาเทวีทั้งหลายด้วยเทอญ”

“สาธุ”  พอสิ้นเสียงหลวงตา จอมนาคาทั้งหลายต่างก็แซ่สร้องสรรเสริญรับพร รัศมีสีขาวเจิดจ้าจับทั่วพระวรกายทุกพระองค์ แสดงให้เห็นว่า บารมีแห่งพระพุทธองค์ ทรงเข้าถึงพระทัยแล้ว 

“ข้าพเจ้าทั้งหลาย ในนามนาคเทวะแห่งบาดาล ขอกราบนมัสการ และจะตั้งมั่นในพระธรรมคำสอน ดำรงอยู่ในศีลในธรรมและจะปกป้องพระพุทธศาสนาสืบไป ข้าพเจ้าขอกราบอำลา” พญาอนันตนาคราชทรงเป็นตัวแทนกล่าวขึ้น แล้วทรงนำคณะก้มลงกราบพระคุณเจ้า ส่วนพญาวาสุกีเมื่อกราบเสร็จก็ทรงหันไปสั่งความนาคบริวารทั้งหลาย

“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว และไปรอข้าอยู่ที่ท้องพระโรง เจ้าด้วยทยุติธร จงไปรอปู่ที่นั่น เรามีเรื่องต้องคุยกันใหม่”

“พะยะค่ะ”

ทยุติธรทรงมิพอพระทัยเท่าไรนักในคำตัดสิน แต่ก็ทรงทำอะไรมิได้แล้ว นางนาคีรับโทษ มนุษย์ผู้ชายจะถูกลบความทรงจำ ส่วนทารกนาคจำต้องปล่อยไว้ให้เป็นร่างพระราหู พระอารมณ์ขุ่นมัวเริ่มขึ้นมาอีกระลอกแต่ก็จำต้องเสด็จกลับตามพระบัญชา และเมื่อทรงลงกับใครไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้า ผู้ใหญ่และพระอริยสงฆ์ จึงทรงหันมาทางพระอนุชา มาลงเอากับสีทันดร

“เหอะในเมื่อพี่กลับ เจ้าก็ต้องกลับด้วย”  พระหัตถ์แข็งแรงจึงฉุดข้อพระกรพระอนุชาพระองค์น้อยมาด้วยทันใด “กลับบาดาล สีทันดร ”

สีทันดรตกพระทัยแข็งขืนร้องลั่น “หม่อมฉันไม่กลับ พี่ชายปล่อยหม่อมฉัน.....”

“พี่บอกให้กลับบ้าน อย่าดื้อกับพี่....” ทยุติธรทรงเอ็ดน้อง โอบพระวรกายพระอนุชาไว้มั่น สีทันดรพยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล แล้วหันไปสั่งความกับราชองครักษ์ “ไปคุมตัวนางนาคีกลับไปรับโทษ”

ราชองครักษ์สามถึงสี่ตนเดินเข้ามายังกลุ่มเทวะน้อย หมายใจจะจับนางนาคาแต่ก็ต้องชะงักด้วยสุรเสียงใสดุจระฆังเงินอันเฉียบขาดสกัดกั้นไว้

 “อย่าแตะต้องตัวนางเป็นอันขาด เราจะพานางกลับไปเอง”

“จะดีหรือพะยะค่ะ พระธิดามุจลินทร์ กระหม่อมได้รับคำสั่งมาจาก...” กลุ่มราชองครักษ์ยังคงลังเล มุจลินทร์จึงกล่าวด้วยพระสุรเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ได้ยินเราพูดหรือไง นางเป็นฝ่ายใน ซึ่งเราช่วยกำกับดูแลอยู่ เจ้ายังกล้าบังอาจแตะต้องบริวารของเราอีกหรือ ใจคอจะโหดร้ายกันเกินไปแล้ว ไม่ให้แม่กับลูกเขาร่ำลากันเลยหรือไร”

แม้มุจลินทร์จะทรงกล่าวกับบรรดาทหารองครักษ์ แต่พระเนตรก็จับจ้องไปยังผู้ทรงสั่งการ จงใจกระทบเต็มที่ พอทยุติธรทรงได้ยินชัด สะบัดพระพักตร์พรึ่ด  แล้วทรงกล่าวว่า

“ก็ได้ เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าดูแลนางนาค และเจ้าเองก็อย่าลืมหน้าที่ที่เจ้าต้องกระทำเช่นกันมุจลินทร์....พวกเจ้าถอยมา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระนางมุจลินทร์ ตามที่พระนางปรารถนา”

“หม่อมฉันไม่ลืมหรอกเพคะ หากทรงเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับหน้าที่นั้น” มุจลินทร์ก็สะบัดพระพักตร์เช่นกัน นลกุพรที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกสะดุดพระทัยในคำพูด ฤาหน้าที่นั้น เป็นเหตุให้มุจลินทร์ หลบหน้าหลบตาตน แต่การซักถามนางตอนนี้คงไม่เหมาะ

ส่วนอัสดงหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันใด นั่นไง ไอ้ขี้เก็ก มันจะพาไอ้ดื้อกลับไปด้วยแน่แล้ว เขาจึงรีบพุ่งปราดจะเข้ามาขัดขวาง พร้อมๆกับสีทันดรเองก็ร้องดังลั่นกว่าเดิม

“สมเด็จทวด ช่วยหม่อมฉันด้วย พี่ชายรังแกหม่อมฉันอีกแล้ว”

“อะไรกันอีกทยุติธร ไปทำอะไรน้อง” พระนางกัทรุทรงหันขวับ คราวนี้เสด็จเข้ามาใกล้ “ไปจับน้องไว้ทำไม”

“หลานจะพาน้องกลับ”

“แต่ปู่สั่งไว้แล้ว ให้สีทันดร อยู่ช่วยเทวะอวตาร เจ้ากล้าขัดขืนคำสั่งปู่เหรอ” พญาวาสุกี ทรงกล่าวขึ้นกับพระราชนัดดาองค์โต คำสั่งหรือพระบรมราชโองการ ฤามีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน “ปล่อยน้องบัดเดี๋ยวนี้”

เท่านั้นแหละ ทยุติธรจึงทรงจำต้องปล่อยข้อพระกร พระอนุชา สีทันดรเมื่อหลุดมาได้ก็รีบวิ่งออกมา แต่แทนที่จะไปหลบหลังพระนางกัทรุกับทรงเสด็จเข้าไปหาอัสดงเกาะแขนเขาแน่น อัสดงรีบโอบพระวรกายที่เข้ามาหาไว้ในอ้อมแขน ลองดูสิ ลองใครเข้ามาพรากสีทันดรออกไปจากอ้อมอกดูสิ

“เกือบไปแล้ว ไอ้ดื้อ ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครพาเจ้าไปจากอัสสะได้”

พระนางกัทรุ และสมเด็จพระสมุทรเทวี  ทอดพระเนตรเห็นภาพนั้น ต่างก็ทรงหันมามองพระพักตร์กันโดยไม่ได้นัดหมาย ส่วนสมเด็จพระราชบิดา ทูลหม่อมปู่ทั้งสองก็ขมวดพระขนง ฉุกพระทัย ฉงนฉงาย ว่าสีทันดร เป็นแค่สหายของพระสุริยาทิตย์แน่หรือ คราวนี้เป็นทีของทยุติธรบ้างแล้ว  องค์ทยุติธรจึงทรงรีบกล่าวขึ้นทันใด

“ทรงเข้าพระทัยกันแล้วใช่ไหม ว่าทำไม หม่อมฉันจะพาสีทันดรกลับ”

ก่อนที่จะมีพระองค์ใดเปลี่ยนพระทัย ตรัสสั่งให้พาสีทันดรกลับ สุรเสียงใสดังกังวานเลิศ ก็ตรัสผ่านเข้าทุกพระโสต พระสุรเสียงนั้นแม้จะอ่อนหวานหากทว่าก็แฝงไว้ด้วยอำนาจ และไม่มีผู้ใดกล้าขัด แม้แต่พญาอนันตนาคราช

“ สีทันดรเกิดจากพรและอำนาจแห่งเรา อย่าได้กระทำการอันใดขัดกับชะตาที่เรากำหนดไว้ พระสุริยาทิตย์จะเป็นผู้ดูแลสีทันดรต่อไป.... ฤาจะมีผู้ใด มิเห็นด้วยกับคำเรา”

“มหาลักษมีเทวี!!”

ทุกพระองค์ทราบโดยทันทีว่า ผู้ที่ตรัสเมื่อสักครู่เป็นใคร และก็ไม่มีพระองค์กล้าทูลแย้ง จำต้องถอนพระราชหฤทัย ที่พระราชนัดดาพระองค์น้อยและพระโอรสพระองค์เล็ก อาจจะต้องมีผู้ปกครองหัวใจ เป็นผู้ชายด้วยกัน

“ ทรงลิขิตไว้แล้ว พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ ....ฤาเจ้าจะกล้าฝืน ทยุติธร”

พระบิดาทรงตรัสถาม ทยุติธรเองก็นิ่งงัน ทูลตอบอะไรไม่ออก ในตอนแรก พระเสาวนีย์แห่งพระมหาเทวีชัดแจ้ง และศักดิ์สิทธิ์ดุจพระบรมราชโองการแห่งพระมหาวิษณุเจ้า แต่ทยุติธรยังมิทรงลดลาจึงทูลตอบพระราชบิดามาว่า “สักวัน หม่อมฉันจะพาสีทันดรกลับมาให้จงได้พะยะค่ะ หม่อมฉันถวายสัญญา”

แล้วขบวนเสด็จกลับก็เตรียมพร้อม เอราวัตกับคืนฉายพาบิดาออกมาจากวงล้อมนาคทั้งปวง พญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีต่างกล่าวขอโทษที่ทยุติธรหลานชายล่วงเกินไปถึงบิดา เอราวัตเห็นว่าบิดาตนไม่เป็นอะไรเพียงแค่ถูกสะกดไว้ให้หลับ และเรื่องราวก็จบลงด้วยดี จึงไม่เอาความใดๆทั้งสิ้น

ส่วนนางนาคีเมื่อถึงเวลาจะกลับบาดาลก็ร่ำไห้กอดลูกชายแนบแน่นเป็นครั้งสุดท้าย “ลูกแม่ แม่ต้องกลับไปยังภพภูมิเดิมของแม่ แม่ลาก่อน รักษาตัวให้ดี และขอให้ปราบอสูรสำเร็จ หากมีวาสนาเราสองคนแม่ลูกคงได้พบกันอีก .....แม่ฝากลาพ่อด้วย พ่ออยู่ในห้องพระบนบ้าน ดูแลพ่อให้ดี แม่ต้องไปแล้ว”

“แม่จ๋า....ลูกสัญญาว่า วันหนึ่งข้างหน้า เราพ่อแม่ลูกจะต้องอยู่ด้วยกัน” ราหูกล่าวตอบด้วยน้ำตาลูกผู้ชายนองหน้า แม้จะเพิ่งจุติลงมารวมร่างแต่สายสัมพันธ์ระหว่างมารดากับบุตรก็แน่นแฟ้นเกินกว่าสิ่งใด แม่ยอมตาย ยอมรับโทษทั้งมวล  เพื่อปกป้องเขาไว้ ความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ชาตินี้ก็ทดแทนไม่หมด

“แม่ลาก่อน” นางนาคากล่าวจบก็แข็งใจออกจากอ้อมกอดลูก หักใจหันหลังเข้าร่วมขบวน มุจลินทร์เสด็จขนาบข้างแล้วทรงกระซิบว่า

“รอให้เรื่องเงียบ เราจะพาเจ้ามาหาลูก...ไม่ต้องกังวล”

“ขอบพระทัยเพคะพระธิดา”

แต่ก่อนที่มุจลินทร์จะเสด็จกลับ นลกุพรก็รีบวิ่งมาดักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “มุจลินทร์ อย่าเพิ่งกลับได้ไหม อยู่คุยกับนลก่อน”

“นล.....ไว้เราค่อยคุยกันนะ เราต้องกลับแล้ว”

“อะไรกัน....นลไม่เข้าใจ ทำไมหมู่นี้ไม่มาหานลที่หิมพาต์เลย”

มุจลินทร์จะกล่าวตอบแต่พระเนตรฟ้าครามคู่หนึ่งก็ทรงหันมาจับจ้องไว้ พระเนตรคู่นั้นเสมือนเตือนถึงหน้าที่ ที่มุจลินทร์ต้องกลับไปกระทำ และก็ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องกลับซะที แล้วสุรเสียงห้าวหาญก็ตรัสแทรกขึ้น “กลับได้แล้ว มุจลินทร์ อย่าลืมสิ่งที่สัญญากับเราไว้”

มุจลินทร์จึงสะบัดข้อพระกรออกจากนลพานางนาคเข้ามารวมกลุ่ม และตรัสกับทยุติธรเพียงได้ยินกันสองต่อสองว่า “ทรงพอพระทัยแล้วใช่ไหมเพคะ”

“หึ ...เราก็แค่เตือน ว่าผู้ที่จะรับตำแห่งเอกอัครชายาแห่งเรา ควรจะรู้ว่าสิ่งใดเหมาะสม สิ่งใดไม่เหมาะสม”

“หม่อมฉันทราบดี มิต้องทรงย้ำ”

สีทันดรเมื่อเห็นว่าทุกพระองค์จะเสด็จกลับก็ถวายบังคมลา ทยุติธรแกล้งมองไม่เห็นน้องน้อยถวายบังคมในตอนแรก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง พระอนุชาที่รักยิ่ง

“ดูแลตัวเองดีๆ สีทันดร” แล้วก็ทรงกลั้นใจ หันมากล่าวกับอัสดงอย่างไม่มีทางเลี่ยง “.ส่วนเจ้าสุริยาทิตย์ หากน้องชายเราเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายเล็บ เราเอาเจ้าตายแน่”

“พี่ชายไม่ต้องห่วง หม่อมขอฉันทูลลา”

สิ้นพระดำรัส ขบวนเสด็จทั้งมวลก็กลายเป็นแสงสว่างจ้าหายวับไปจากบริเวณนั้น วงศ์วานของสีทันดรกลับไปหมดแล้ว ทุกคนถอนหายใจได้อย่างเต็มที่ ราหุรีบเช็ดน้ำตาที่ยังค้างคา กล่าวกับหลวงตาว่า

“หลานขอนมัสการพระคุณเจ้าผู้เมตตา ชีวิตของหลานเป็นหนี้บุญคุณของพระคุณเจ้าเหลือเกิน หากปราศจากพระคุณเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่ได้ร่วมปราบอสูรแน่”

“ลุกขึ้นเถิดราหู....ตาขออวยพรให้เจ้าปราบอสูรสำเร็จ จำไว้ เทวะกำเนิดมาเพราะหน้าที่อันพึงปฏิบัติ ขอชยะจงบังเกิดแก่เทวะทุกพระองค์”

“สาธุ”

“ตาไปก่อนแหละอัสดง ขอให้เจ้าแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง” หลวงตากล่าวกับอัสดงก่อนจะลาจาก อัสดงรีบกวักมือเรียกเจ้านาคน้อย เข้ามากราบอำลา หลวงตาด้วยความเอ็นดูทั้งคู่และรู้ได้ด้วยญาณวิเศษว่า อัสดงอยากจะพาสีทันดรไปกราบนมัสการเป็นการส่วนตัว จึงลูบศีรษะ แล้วพูดต่อด้วยเมตตา “ตาไม่ว่าหรอก ถ้าจะพาไปเที่ยวที่วัด ต่อไปเจ้าจะได้ไม่ต้องไปในฝันกันอีก”

สีทันดรพระพักตร์แดงทันใด เขินที่หลวงตารู้เรื่องตอนที่ตนแอบไปเข้าฝันอัสดง อัสดงเองก็ยิ้มจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ หลวงตากล่าวจบก็กลายเป็นรัศมีขาวนวลสว่างจ้าวาบวับลับหาย บรรยากาศรอบด้านที่เคยสว่างไสว มืดมนลงดังเดิมคืนสู่สภาวะธรรมชาติ ส่วนนลกุพร เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยก็ลากลับไปพร้อมกับทัพยักษ์ราชองครักษ์ ก่อนไปอัสดงแนะนำให้รู้จักกับสหายเทวะทั้งหลาย และกล่าวขอบใจนลยกใหญ่ ก่อนกลับนลกุพรบอกกับสีทันดรว่า

“มุจลินทร์ ต้องมีอะไรแอบแฝงนลแน่ๆ สีทันดร เจ้าลองถามนางให้หน่อยได้ไหม นลไม่สบายใจเลย”

“ได้สินล...เราขอบใจนลมากนะวันนี้ นึกว่านลจะไม่มาซะแล้ว”

“ต้องมาสิ....เจ้าเป็นเพื่อนรักของนลนี่.....นลไปก่อนนะ อย่าลืมล่ะสีทันดร” นลกุพรกอดสีทันดรอำลา แล้วโบกมือให้พวกอัสดง ก่อนจะเสด็จกลับขึ้นสู่ฟ้าพร้อมกับกองทัพยักษ์ เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ทั้งหมดจึงช่วยกันพาบิดาของเอราวัตขึ้นไปยังบนตัวบ้าน คุณยายที่นั่งสวดมนต์อยู่ ยุติการสวดทันใด ดีใจนักที่หลานชายกับเพื่อนๆ ไม่เป็นอะไรและที่สำคัญ พาลูกเขยกลับมาได้

“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง ตาหนู พาพ่อมานอนข้างๆแม่นี่”

คุณยายบอกให้เอราวัตที่พยุงร่างคุณพ่อมากับคืนฉาย พาร่างนั้นมาวางไว้บนตั่งเท้าสิงห์ เอราวัตรีบร่ายพระเวทรักษาให้พ่อฟื้นและลบความทรงจำเรื่องที่พ่อถูกจับลงไปใต้บาดาล และความทรงจำจากเรื่องวุ่นๆของวันนี้ออกจากแม่ ครั้นพอพ่อกับแม่ฟื้นขึ้นมาทั้งสองก็จำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้อีก พอจะพูดขึ้นมาก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาทำให้ลืมเสีย ส่วนคุณยายมิจำเป็นเพราะเอราวัตมั่นใจว่าคุณยายคงไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังแน่ๆ แล้วทั้งหมดก็พากันไปยังห้องพระ เพราะเอราวัตต้องลบความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนางนาคและลูกออกจากตัวคชาตามที่ตกลงกันไว้ ก่อนจะกระทำการนั้น เอราวัตจำต้องคุยกับราหู

“มีอะไรจะพูดกับพ่อนายไหม ก่อนที่พ่อนายจะจำอะไรเกี่ยวกับนายและแม่นายไม่ได้อีก”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-07-2019 16:26:58
“ไม่มี....นายลบเหอะพระพุธ ฉันไม่อยากให้พ่อมีห่วงอันใดอีก หากพูดคุยกัน ก็จะทำให้ความทรงจำที่ผูกพันลบยากยิ่งขึ้น ร่างกายมนุษย์จะทนทานต่อพระเวทนายไม่ได้ นายก็รู้”

“งั้น ตกลงตามที่นายว่า”

เอราวัตร่ายพระเวทลบความทรงจำมาให้คชา พระเวทนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง คชาจากที่นอนหลับมาโดยตลอดก็กลับฟื้นตื่นขึ้นมา กลายเป็นคชาคนเดิม ไม่เหลือรอยอาการเหม่อและเพ้อใดๆทั้งสิ้น การลบความทรงจำครั้งนี้แม้จะดูว่าโหดร้ายต่อความรู้สึกมนุษย์ แต่กฎแห่งทิพยภพจำต้องรักษา มิฉะนั้นเหตุการณ์วุ่นวายจะตามมามิหยุดหย่อน ราหูแข็งใจจำจาก จากพ่อและแม่ ด้วยเพราะหน้าที่แห่งเทวะที่พึงกระทำและกฎที่ตราไว้เพื่อรักษาสมดุล

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เทวะน้อยทั้งหลายต่างก็มานั่งจับเข่าคุยกัน ถึงเทวะอีกสององค์ที่จะมารวมตัว “ฉันว่าก็คงไม่แคล้ว ไอ้พระอังคารกับไอ้พระพฤหัส ไม่รู้ว่าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ป่านนี้ยังไม่โผล่ออกมาอีก”

“เห็นด้วยกับไอ้ฉัตรว่ะ ....นี่พวกเราก็รวมกันได้หกแล้วเหลืออีกสอง แล้วเมื่อไรจะมีเทวโองการลงมาก็ไม่รู้” ทรงกลดแสดงความคิดเห็นทอดถอนด้วยความหนักใจ หนทางข้างหน้าในการปราบอสูรทำไมยังไม่ชัดแจ้งเสียที

“อย่าเพิ่งกังวลไปเลย จันทรเทพ ก่อนฉันลงมามหาศิวะทรงเรียกฉันไปพบ ทรงตรัสว่า อีกสององค์ที่เหลือจะตามมาสมทบเร็วๆนี้ อย่าร้อนใจ” ราหูกล่าวขึ้น

“เรียกฉันว่าทรงกลดดีกว่า อย่าเรียกชื่อเดิมเลย ตอนนี้พวกเราอยู่ในร่างมนุษย์แบ่งภาคมาแล้วเรียกชื่อมนุษย์ดีกว่า” ทรงกลดพูดจบเทวะน้อยก็กล่าวชื่อของตนให้ราหูฟัง ราหูก็ยินดีจะเรียกชื่อมนุษย์ของเพื่อนๆส่วนตนยินดีจะใช้ชื่อเดิม

“เออ แล้วทำไมนายไม่ลงมาเกิดวะ มารวมร่างทำไม” คืนฉายถามขึ้น

“ก็เพราะ ฉันเป็นเทพครึ่งยักษ์ครึ่งนาคน่ะสิ จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ก็ต้องรอเกิดจากครรภ์ของนาคที่มีเชื้อมนุษย์ ซึ่งหายาก กว่าจะหาได้ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้ลงมาเสียแล้ว”

“แต่ฉันว่าดีไปอีกแบบนะโว้ย ลงมาปุ๊บก็ใหญ่ปั๊บ ไม่ต้องรอตั้งแต่เป็นเด็กเหมือนพวกฉัน” คันฉัตรกล่าวสองแง่สองง่าม เรียกเสียงหัวเราะได้ทั่ว “ลองตรวจสอบดูหรือยัง ไม่ใช่ว่าโตแต่ตัว ส่วนไอ้นั่นยังขนาดเท่าเด็กทารกอยู่”

สีทันดรที่ประทับฟังอยู่ด้วย ทรงพระพักตร์แดงทุกครายามที่เทวะน้อยๆพวกนี้พูดจาสับปะดี้สีปะดน เสด็จลุกออกจากวงสนทนาเข้าสู่ห้องพระบรรทมทันที “ลามก ไม่มีใครเกิน ฟังแล้วระคายหู”

“ไปไหนน้องดื้อ....มาอยู่ช่วยเป็นพยานก่อนว่าพี่ราหูเขาใหญ่ขึ้นทุกส่วนจริงหรือเปล่า” คืนฉายฉุดพระหัตถ์ไว้ ให้ประทับนั่งลงที่เดิม  เสียงหัวเราะของบรรดาเทวะน้อยดังลั่น แต่สีทันดรมิขำด้วย

“พี่ฉายลามก พี่เอราวัตพาไปสั่งสอนเลย ไม่คุยด้วยแล้ว...เราง่วง และก็เหนื่อยมาก เชิญพวกพี่ๆคุยตามอัธยาศัยเหอะ ใครจะอึดและถึกเหมือนพวกพี่ๆล่ะ ใช้ฤทธิ์กันมาทั้งวันไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง” สีทันดร มิยอมร่วมวงสนทนาด้วยอีกแล้ว เสด็จกลับเข้าห้องตามตั้งพระทัย ทรงกลดสบโอกาสตั้งใจจะลุกตามไป แต่ความไวนั้นแพ้อัสดง ที่สลายหายวับ ออกจากวงสนทนาไปแล้ว

“โธ่ โว้ย.....” ทรงกลดสบถออกมาอย่างคั่งแค้น ไม่ได้ดั่งใจ โมโหตนเอง ยิ่งนัก คันฉัตรที่นั่งอยู่ข้างๆจึงปลอบใจมาด้วยความเห็นใจ

“เอาน่ามึง..... ใจเย็นๆ”

“ไม่เย็นแม่งแล้ว .....กูมีอะไรดีสู้อัสดงไม่ได้วะ” ว่าแล้ว วงสนทนาก็แตก ทรงกลดเดินปึงปังออกไปบ้าง เล่นเอาเอราวัต คืนฉาย คันฉัตรและราหู ตกตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่เคยเห็นทรงกลดที่อ่อนโยน เป็นอย่างนี้มาก่อน

“เฮ้ยไอ้กลด กลับมาก่อน”

“ปล่อยมันไปก่อนเหอะเอราวัต ฉายว่า ให้มันอยู่คนเดียวสักพักเดี๋ยวมันคงดีขึ้น” คืนฉายห้ามเอราวัตไว้ไม่ให้ออกไปตาม ราหูรู้สึกงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น จนทั้งสามต้องอธิบายให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พอทราบความทั้งหมด ราหูเองก็ถอนใจ

“ เฮ้อ ไอ้พระจันทร์นี่แต่ไหนแต่ไร ชอบไปรักคนมีเจ้าของแล้ว ดูอย่างกรณีเมียไอ้พระพฤหัส ก็ดันไปแย่งเขามาจนได้ จน เอ่อ....”

“ฉันไม่ใช่ลูกชู้ที่เกิดกับไอ้พระจันทร์และเมียไอ้พระพฤหัสนะ ฉันเกิดจากฤทธิ์แห่งพระมหาเทพที่สร้างฉันมาจากช้างตำนานนั้นนายพับเก็บใส่กระเป๋าไปได้เลยไอ้ราหู” เอราวัตชิงพูดขึ้นมาทันที เพราะทราบว่าราหูคิดอะไร

“แหม แค่ล้อเล่นไอ้บ้า ทำมามีโมโห....แต่ก็อย่างว่าแหละ น้องเขาน่ารักซะขนาดนั้น เป็นฉัน ฉันก็ห้ามใจไม่อยู่”

“คิดน่ะคิดได้ .....แต่ถ้าจะเอาจริงๆ มึงฝ่าถึงสี่ตีนเลยนะโว้ย แถมพี่ชายเขาก็แม่ง เป็นนาคแท้ๆ เสือกดุอย่างกับเสือ มึงก็เห็นแล้วนี่” คันฉัตรบอกให้ราหูฟัง เพราะตัวเขาเองก็เคยโดนเตือนเช่นนี้มาก่อนตอนรวมกลุ่มใหม่ๆเฉกเช่นคืนฉาย

“เห็นใจไอ้กลด....สาธุ ขอให้มันเจอคนใหม่เหอะ มันจะได้ตัดใจเสียที”

สีทันดรเมื่อเข้าห้องพระบรรทมมาได้ ก็สลัดฉลองพระองค์ตามแบบของมนุษย์ออกเพื่อเตรียมสรง พระวรกายที่เคยมีเสื้อผ้ากางกั้นบัดนี้เปล่าเปลือย พระฉวีที่งามงดเกินเทวบุตร ถูกแสงจันทร์สีเงินที่ทะลุบานหน้าต่างเข้ามาโลมเลียทุกตารางนิ้ว สีทันดรเองเพิ่งสังเกตองค์ในบานพระฉายบานใหญ่ว่าองค์เองก็เริ่มเข้าสู่สภาวะหนุ่มและเจริญชันษาขึ้นกับเขาแล้วเหมือนกัน ไรขนอ่อนๆสีทอง ขับพระฉวีให้ดูเด่น ทรงเช็ดพระพักตร์ช้าๆไล่สิ่งสกปรกออกแล้วเตรียมเสด็จเข้าห้องสรง ซึ่งมีถังไม้ถังใหญ่ จัดไว้เป็นอ่างสำหรับลงไปสรงโดยเฉพาะ สีทันดรด้วยความที่ทรงเหนื่อยอ่อนมาทั้งวัน จึงเสด็จลงไปในถังไม้ใหญ่ทันที พระเศียรพึงขอบถังด้านหนึ่งไว้ ปล่อยพระวรกายแช่ไว้เต็มองค์

“สบายจัง ได้อาบน้ำเสียที” ทรงตรัสขึ้นกับองค์เอง แล้วจู่ๆก็ต้องสะดุ้งขึ้นสุดองค์ เพราะวงแขนแข็งแรงจากใครบางคน ตวัดบั้นองค์เอาไว้ แล้วเจ้าของแขนแข็งแรงนั้น ก็โผล่ขึ้นมาจากอีกด้านของถังไม้ พระวรกายถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของเขาคนนั้นทันใด ร่างนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเปล่าเปลือยเช่นกัน แผงอกกว้างที่เริ่มอยู่ในวัยหนุ่มน้อยกำยำทาบทับ ร่างทั้งสองแนบชิดสนิทแน่น และอวัยวะบางส่วนของเขาคนนั้นก็เริ่มดันอยู่บริเวณบั้นพระองค์

“อัสสะ เข้ามาได้ยังไง ปล่อยเราก่อนนะ เราอาบน้ำอยู่”

“รู้แล้ว....เลยมาขออาบด้วยไง” อัสดงคงไม่อยากอาบน้ำด้วยอย่างเดียวเป็นแน่ เพราะคางสากๆที่เริ่มมีไรหนวดปลายเล็ก และริมฝีปากที่ร้อนผ่าวของเขาเริ่มซุกไซ้ไปทั่ว ตั้งแต่ซอกหูเรื่อยลงมาจนถึงซอกคอและและไหล่ที่งามกลมกลึงก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากคู่งามที่เผยอขึ้นด้วยความรัญจวนใจ

สีทันดร.....งามไปทุกส่วน ดุจรูปสลัก และอัสดงก็พร้อมแล้วที่จะเชยชมรูปสลักอันไร้ตำหนินั้น

ผิวละเอียดดั่งผิวมะปรางสุก
กลิ่นประดุจสุคนธชาติอันหอมหวาน
ยามได้ยลแย้มยวนชวนชื่นบาน
เสน่ห์ซ่านสุดซึ้งตรึงหทัย

อันใครอื่นหมื่นแสนที่เคยเห็น
ก็หาจับใจเป็นเช่นนี้ไม่
ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ
จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว**

“เป็นของอัสสะเถิดนะ..... คนดี”

*********************************
แล้วพบกันตอนต่อไปค่ะ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ยังติดตามและให้กำลังใจเสมอมา  :pig4:  :man1:

อ้างอิง * เพลงลาวม่านแก้ว
** สุนทรภู่
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 16-07-2019 20:05:00
    ช่าง...ตัดตอนได้ดีเหลือเกิ้นนนนนนน น้องดื้อจะตอบพี่อัสดงว่าอะไร :jul1:
   สนุกมาก ทำให้ได้แง่คิดหลายๆอย่างด้วยนะ   
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 20-07-2019 00:02:39
น้องดื้อ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 20-07-2019 16:59:49
สนุกมาก รอน้องดื้อกับพี่อัสสะอยู่ค่ะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 25-07-2019 16:52:26
5555อัสสดงใจร้อนสมกับเป็นอณูแห่ง พระสุริยยเทพจริงๆ จริงๆอ่านจบไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังสนุกอยู่ดี รอตอนต่อไปค่ะ :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 01-08-2019 07:34:55
สนุกมากครับ อ่านซ้ำๆสามสี่รอบละ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่๑๒ โน่นก็พี่ นี่ก็ที่รัก อัพ ๑๖ ก.ค. ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 31-08-2019 19:28:02
รออยู่นะจ๊ะ   :mew2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 03-10-2019 11:12:10
บทที่ ๑๓  จันทรคราส (ครึ่งแรก)


จันทร์เอ๋ยเคยสว่าง ...... ไยจางแสง
ฤาจันทร์แกล้ง เย้าว่าเราอก หมองไหม้
ฤาลมเจ้าเอ๋ย เคยโชยชื่น....รื่นหัวใจ
เป็นอะไรจึงสงัดไม่พัดเลย

ดาวเอ๋ยดาว.....พราวพร่างไกล เห็นไหวระยิบ
ดาวกระพริบ ต่างเยาะเรา ฤาดาวเอ๋ย
จักจั่น สนั่นเพรียก.....เรียกคู่เชย
ราวจะเย้ย ว่าเราไม่........... “มีใครปอง”

“เรามีดีอะไร สู้ไอ้พระอาทิตย์มันไม่ได้” อณูน้อยแห่งจันทรเทพเปรยกับตนเอง หลังจากอัดควันบุหรี่แน่น โพยพ่นออกมาอย่างช้าๆ ควันสีขาวลอยอวลไปตามลม เบื้องบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ต้นกำเนิดแห่งเขาสีนวลกระจ่างใส กลับซีด ประดุจหัวใจเขายามนี้

‘เจ้านาคน้อย’ หรือน้องดื้อที่เคยเรียก คือเหตุแห่งอารมณ์ขุ่นมัวทั้งปวง ยามที่ได้ประสบพบพักตร์ครั้งแรก หัวใจเขาก็บอกกับตนเองไว้แล้วว่า ‘คนนี้แหละใช่’ พระเนตรฟ้าครามใส ทีท่าดื้อรั้น ทำให้หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ยามนั้น อัสดงทำเจ้านาคน้อยร้องไห้และเขาเองก็คือผู้เช็ดน้ำตา แต่ใยเจ้านาคน้อยมิเห็นคุณค่า เขาเองเป็นถึงอณูแห่งจันทรเทพ เทวะผู้ทรงเป็นประธานยามราตรี ศักดิ์และศรี เทียมเท่าพระสุริยาทิตย์ หรือเขาจะรุกหน้าช้าไป รู้อย่างงี้จัดการเสียตั้งนานก็ดี

ขนตาหนางามงอนราวอิสตรี เริ่มมีหยาดน้ำใสๆ เกาะพราว แลยามกระพริบคราใด หยาดน้ำตานั้นก็หล่นลงกระทบแขน พระสุรเสียงที่กังวานก้องยังคงดังสลับซ้ำไปมาในโสต ‘หม่อมฉันรักอัสดง’ อีกซ้ำทีท่าที่โผเข้าหากัน ทำให้หัวใจแตกเป็นเสี่ยง .....สงครามหัวใจ เขาแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น

อณูแห่งจันทรเทพเริ่มรู้ หากแต่ไม่ยอมรับ

“มานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวตรงนี้แล้วจะได้อะไร ไอ้น้องชาย”

เสียงนุ่มเสนาะดังขึ้นทางด้านหลังพร้อมๆกับบุรุษผู้หนึ่ง ผู้มีรัศมีเหลืองนวลรายล้อมรอบกรอบโครงร่าง ใบหน้าดุจหล่อมาจากพิมพ์เดียวกันกับทรงกลดที่นั่งอยู่ก่อน ลักษณะท่วงท่าดุจฝาแฝด หากแต่บุรุษผู้นั้นอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรณ์ งามพร้อม ต่างกับทรงกลดที่คงอยู่ในสภาวะมนุษย์วัยสิบแปดต้นๆ

ทรงกลดหันขวับแล้วกราบลงกับพื้นทันใด “จันทรเทพ”

“ทรงกลด เจ้าน้องชาย เจ้าผู้เป็นอณูแห่งเรา เจ้าจะยอมแพ้เอาง่ายๆแค่นี้กระนั้นหรือ อณูแห่งจันทรเทพนั้นต้องไม่อ่อนแอ”

“แต่หม่อมฉันคงสู้อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไม่ได้  และอีกอย่าง น้องดื้อก็บอกมาแล้วว่ารักมัน”

“เจ้าเลยยอมแพ้.....เหอะ ไม่มีสิ่งใดที่เราปรารถนา แล้วจะไม่ได้ อณูของเราก็ต้องคิดอย่างนั้นเช่นกัน” แน่นอนแหละ ทรงมีชายาตั้งหลายนางและหนึ่งในนั้นก็ทรงไปแย่งมาจากพระพฤหัส และก็แย่งสำเร็จเสียด้วย

“แล้วจะให้หม่อมฉันทำยังไง ไอ้พระอาทิตย์มันหล่อแถมน้องดื้อก็มีใจ” ทรงกลดทูลถามพลางเช็ดน้ำตาให้เหือดหาย  ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในหน้าตาของตน เพราะเขาเองนั้นที่ผ่านมาใครได้เห็นก็ต้องมองเหลียวหลังทุกคน ไม่เว้นแม้แต่สาวน้อยใหญ่หรือกระทั่งผู้ชายด้วยกัน เขามั่นใจว่าเพียงแค่เขาขยิบตาให้ คนพวกนั้น ก็พร้อมจะเดินตามมาเป็นแม่นมั่น แต่ที่ทำให้ท้อแท้คือน้องดื้อ ‘มีใจให้อัสดง’ นั่นเอง

“เราเองก็หล่อไม่แพ้ใคร....เทพธิดาหลายนางต่างเสนอตัวเข้ามาเป็นชายาไม่เว้นวัน เจ้าถอดแบบเรามาทั้งดุ้น ทำไมไม่มั่นใจในตนเอง ...เอาละเรามานี่ก็เพื่อจะช่วยทำให้เจ้าสมหวัง เห็นอณูของเราเศร้า เราก็ไม่อยากดูดาย”

ทรงกลดแปรเปลี่ยนจากสีหน้าเศร้า แช่มชื่นได้โดยพลัน “จริงหรือพะยะค่ะ”

“หลอกเล่นมั้ง.....เอ๊าเจ้าเอาสิ่งนี้ไปมอบให้เจ้านาคน้อยของเจ้า รับรอง ต่อไปจะเป็นทีของเจ้าบ้าง”

จันทรเทพทรงแบพระหัตถ์แล้วก็บังเกิดประกายระยิบระยับดุจแสงดาว พราวพร่าง รัศมีพร่างพรายนั้นครั้นพอสลายก็กลายเป็นมาลัยดอกมะลิที่ดูเผินๆ เหมือมะลิธรรมดา หากแต่พอพิจารณาให้ชัดทุกดอกที่นำมาร้อยเรียง ประดับประดาด้วยประกายเพชร สอดแซมด้วยกลีบกุหลาบสีแดงเจือชมพูด้วยรัตนชาติเป็นลวดลายงดงามยิ่ง ส่วนปลายเป็นอุบะดอกรัก พลิ้วไสว ซ่อนความนัยได้แยบยล ว่า ‘รักเจ้า’

“มาลัยจากดอกไม้สวรรค์ รีบเอาไปให้เขาไป๊ เดี๋ยวจะไม่ทันการ ไปตอนนี้แหละ”

ทรงกลดรับพวงมาลัยที่หอมกรุ่นนั้นมาแล้วกราบลงเพื่อขอบพระทัย ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมา จันทรเทพก็ไม่อยู่เสียแล้ว เขาไม่รอช้ารีบมุ่งหน้าไปห้องพระบรรทมทันที ก่อนจะไม่ทันการอย่างที่ทรงตรัส ในใจพลันสงสัย ฤาอัสดง จะเผด็จศึกน้องดื้อเป็นแน่แท้ ถึงได้ให้รีบไปนัก........ไม่มีทาง ตนจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้นแน่นอน

ภายในห้องพระบรรทม เจ้านาคน้อยยังคงตกอยู่ในอ้อมกอดของอัสดงแนบแน่น ร่างกายของทั้งสองยังคงแช่อยู่ในถังน้ำใบใหญ่ อัสดงยังระดมจูบไปทั่วทุกสัดส่วนของพระวรกายที่โผล่พ้นน้ำ เท่าที่จะมีพื้นที่ให้จูบได้ สีทันดรนั้น สั่นสะท้านไปทั่วเสียงกระซิบหวานแผ่วเบาพร้อมๆกับลมหายใจกระเส่าเร่าร้อนผ่านเข้าพระกรรณอีกครา

“เป็นของอัสสะเถิดนะ..... คนดี”

สีทันดรหลับพระเนตรพริ้ม นี่คงจะถึงวาระแล้วใช่ไหม ที่จะยอม ตกเป็นของอัสดง หลังจากที่เขาเพียรขอมาหลายครั้งหลายครา ในพระทัยกำลังว้าวุ่น เพราะอนุสติเริ่มสอดแทรกเข้ามาว่า “อย่าเพิ่งเลย ไม่งาม” แต่อัสดงก็ไม่รอคำตอบ ใช้วงแขนแข็งแรงโอบอุ้มพระวรกายขึ้นมาจากถังไม้ที่ลงไปแช่กันอยู่ ถึงเจ้าจะไม่พร้อม แต่เรานั้น พร้อมแล้ว “ไอ้ดื้อของพี่ ไปที่เตียงกันดีกว่า”

สีทันดรเสมือนถูกมนตร์สวาทสะกด ถูกเขาอุ้มขึ้นจากน้ำ พระวรกายเปล่าเปลือยเริ่มสั่นสะท้าน จากลมเย็นๆที่ผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่าง แต่ก็ไม่เท่าสายลมสวาท ที่พัดโชยอบอวลในห้องพระบรรทม พระเนตรฟ้าครามที่หลับพริ้มเริ่มเผยอขึ้น ทำให้ทรงทอดพระเนตรเห็นว่า พระวรกายถูกหนุ่มน้อยรูปงามนามอัสดงตรึงแน่นไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว ตัวอัสดงเองก็เปล่าเปลือยเช่นกัน และเขาคนนี้นั้นก็พร้อมรบเสียแล้วด้วย ....อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ ตนเองคงจะโดนอาวุธแห่งสุริยเทพ ซัดเข้าใส่เป็นแน่แท้

อาวุธที่คาดว่าจะร้ายแรงยิ่งกว่าคมจักรที่เขาเคยใช้ แม้จะไม่ทำให้พระวรกายขาดเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็แข็งแกร่งและน่าจะทำให้เจ็บได้พอดู

ทันทีที่พระปฤษฎางค์ สัมผัสเตียงขาวสะอาด พระสติก็ฟื้นคืนมาในบัดดล พระกรน้อยรีบยันอกกำยำไว้ ก่อนจะทาบทับลงมา “เดี๋ยวก่อน อัสสะ......อย่าเพิ่งเลย เรากลัว”

“กลัวอะไร....”

“ก็เรายังไม่เคย”

“อัสสะก็ยังไม่เคยเหมือนกัน.....เจ้าเป็นคนแรก และจะเป็นคนเดียว” อัสดงกล่าวตอบแล้วทาบทับลงมา พระกรน้อยฤาจะทานแรงนั้นไหว อัสดงเริ่มดำเนินการรบตามยุทธสวาทวิธีที่คืนฉายเคยถ่ายทอด เจ้านาคน้อยทรงบิดพระวรกายเร่า พยายามดันร่างชายผู้ที่เป็นที่รักออกอีกครั้ง

“อัสสะ อย่าเพิ่งเลยนะ เรายังไม่พร้อมจริงๆ” สุรเสียงน้อยๆทรงวิงวอน

“สีทันดร ไม่รักอัสสะแล้วหรือ” ยามที่อัสดงจะอ้อนทีไร จะไม่เรียกยอดรักว่าไอ้ดื้อ แต่จะกล่าวพระนามสีทันดรได้หวานเสียยิ่งกว่าหวาน “ไหนวันนี้ใครบอกว่ารักอัสสะ”

“แต่อัสสะก็ไม่เคยบอกว่ารักเรา ....แล้วอัสสะมาทำอย่างนี้ เราก็มัวหมอง” ทีท่าที่เคยซุกซนจางหาย พระสุรเสียงเขินอาย อัสดงหัวเราะน้อยๆในทีท่านั้น ‘ไอ้ดื้อ’ ของเขาเวลาเขินอาย ทำอย่างกับตนเองเป็นดรุณี

“ก็กำลังจะบอกคืนนี้ นี่ไง ถ้าอัสสะไม่รักใคร อัสสะจะไม่มาตอแยและมาทำแบบนี้หรอก สีทันดรจ๋า.....เจ้ารู้ไหมว่า วันแรกที่เราเจอกัน ในห้องนอนที่บ้านไอ้กลด อัสสะจำได้ว่าวันนั้น เจ้ามาแอบดู และอัสสะก็แกล้งหลับ” อัสดงหยุดรบชั่วขณะเบี่ยงตัวนอนข้างๆ แต่ก็ยังกอดสีทันดรไม่ยอมปล่อย

“คนเจ้าเล่ห์” สีทันดรทรงจำได้เพราะวันนั้น ทรงโดนจูบแรกจากเขาคนนี้

“ทันที่ที่อัสสะลืมตาขึ้น มันก็ยังเหมือนว่าอัสสะอยู่ในฝัน ที่มีใครก็ไม่รู้ตาฟ้าๆ มาชะโงกหน้ามอง เลยห้ามใจไม่อยู่เผลอใจไปกอดเข้า ....ความรู้สึกของอัสสะตอนนั้นบอกว่าใช่เลย เจ้านี่แหละคือคนที่อัสสะรอคอย และก็ยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นตอนที่เราขี่อุจไฉยศรพไปหิมพานต์ด้วยกัน”

“อัสสะฉวยโอกาส” สีทันดรทรงจำได้อีกเพราะโดนเขากอดตลอดทาง ทั้งขาไปและขากลับ

“อยากบอกว่ารักเสียตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่กลัวจะเร็วไป หากวันนี้อัสสะพร้อมแล้ว ที่จะบอกคนดีของอัสสะว่า อัสสะรักเจ้าอย่างที่สุด รักยิ่งกว่าชีวิตของอัสสะเอง ”

“อัสสะพูดเพื่อที่จะให้เรายอมเป็นของอัสสะใช่ไหม”

“ไม่ใช่ ....สีทันดรเจ้ารู้ไหมว่า ชื่อเจ้าพยางค์ท้าย มันพ้องเสียงกับคำภาษาอังกฤษที่เรียกว่าดอว์น แปลว่ารุ่งอรุณ และในทุกๆรุ่งอรุณนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อถูกฉายแสงด้วยพระอาทิตย์ แค่ภาษาก็พ้องกันแล้ว ใยอัสสะจะไม่คู่กับเจ้าและรักเจ้าจริง หากเจ้ายังไม่มั่นใจ อัสสะขอสาบานต่อมหาลักษมีเทวี เลยก็ได้ว่า อัสสะจะรักและดูแลเจ้าให้อย่างดีที่สุด ให้สมกับเป็นรุ่งอรุณเดียวในชีวิตของอัสสะ ด้วยเกียรติยศแห่งสุริยาทิตย์”

“ขี้ตู่ โมเม ไม่มีใครเกิน”

สีทันดรแม้จะไม่ทรงรู้ว่าภาษาอังกฤษที่อัสสะยกมากล่าวอ้างเป็นอย่างไร แต่ทิพยอำนาจก็ทำให้ทรงรู้ได้โดยพลันว่าเขาคนนี้พูดจริง ความรู้สึกบางอย่างวาบวับจับพระหทัยทันที พระอารมณ์โหยหา ต้องการผลุดขึ้นมาเป็นลำดับ พระเศียรน้อยๆจึงซบเข้าไปบนต้นแขน กอดอัสดงแนบแน่น แล้วพระหัตถ์น้อยพลันเลื่อนลงมาสัมผัสอาวุธชนิดแปลกที่ไม่มีปลายแหลม พระหัตถ์นั้นสั่นพร่ายามแตะต้อง เพราะมิทรงเคย ครั้นพอได้สัมผัส ก็ทรงเริ่มกำเอาไว้ในอุ้งหัตถ์แน่น และสัญญาณนี้เองอัสดงจึงรู้ว่าสีทันดรทรงพร้อมแล้ว อัสดงไม่รอช้า ดำเนินการบต่อและพร้อมจัดการเจ้านาคน้อยด้วยอาวุธที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แม้จะใช้อาวุธชนิดนี้แสดงฤทธิ์เป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยซ้อมด้วยมือมานาน แต่ครั้งนี้ได้ใช้จริงๆ แล้วเขาก็จะพยายามบรรจงใช้ให้ได้อย่างดีเยี่ยม  ให้สมกับที่รอคอยมาช้านาน

“รอก่อน สีทันดรอย่าเพิ่งเป็นของมัน” ทรงกลดแทบจะเหิรลอยมาสู่หน้าห้องพระบรรทม ‘มาลัยจากดอกไม้สวรรค์’ จำต้องยื่นให้ถึงหัตถ์ดั่งบัญชา พอมาถึงก็เห็นบานพระทวารถูกปิดสนิทแน่น ครั้นพอจะเอื้อมมือไปเคาะเรียกเจ้าของห้อง ก็พลันบังเกิดแรงซัดประหลาดจนเขาเซถลา

“ไอ้อัสดง มันกั้นม่านอาคมไว้ในห้องนี้”

อัสดงไม่ใช่คนโง่ เขาเตรียมพร้อมไว้แล้วก่อนเข้ามากั้นม่านอาคมไว้ กันผู้มารบกวน และก็เป็นดังคาด ผู้มารบกวนยืนหน้าแดงด้วยความโมโห ที่เสียรู้และมาช้า ทรงกลดหรือผู้มารบกวนในขณะนี้จึงใช้อำนาจแห่งจันทรเทพสลายม่านอาคมนั้น ปากก็ตะโกนเรียกเจ้าของห้อง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงอึงอลสวาทซ่านได้ยินโดยทิพยจักษุ เร่งเร้าให้ใจตนเองเร่าร้อนดั่งโดนไฟเผาไหม้ ด้วยจิตที่แรงกล้าม่านอาคมม่านแรกถูกทำลาย หากแต่ยังมีม่านที่สอง คือจักรเพลิงกางกั้นประตูไว้ และเขาก็ไม่สามารถทลายลงไปได้ เงาทับซ้อนบางเงา ทาบทับลงกับร่างของเขาแล้วพลันอำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้น รัศมีสีนวลหากรุนแรงเริ่มขยายวงกว้างซัดสู้จักรเพลิงหน้าประตู เปลวไฟเริ่มพลันสลาย แต่จู่ๆ ก็กลับจ้าขึ้นมาใหม่พร้อมกับดวงหน้าที่ถอดแบบมาจากอัสดง อยู่ตรงวงกลางจักร ใบหน้านั้นดุจหล่อมาจากเทวรูปชั้นดี หากแต่กราดเกรี้ยว

 “จันทรเทพ เจ้ามันขี้โกง เจ้าคิดจะใช้มายาทำเสน่ห์ด้วยมาลัยสวรรค์ แย่งคู่ของอณูแห่งเราเหรอ”

“เจ้ามันก็เจ้าเล่ห์ สุริยาทิตย์ แอบไปขอพรพระมหาลักษมีเทวีไว้ เหอะเราไม่มีทางยอมให้อณูเราเจ็บปวดเราจะทำทุกทางให้อณูเราสมหวัง” ทรงกลดมั่นใจว่าเขาไม่ได้กล่าวตอบ หากแต่เสียงเจรจาที่กล่าวโต้ตอบนั้น มันดังมาจากกลางอก ฤาจะเป็นเงาทับซ้อนที่เข้ามาทับทาบเจรจาตอบ  ‘สุริยเทพและจันทรเทพ’ ได้เผชิญหน้ากันแล้ว

“หากเจ้ากล้าฝ่าเข้ามาก็ลองดู” ดวงหน้ากลางจักรเพลิงกล่าวขู่ ทรงกลดบังคับร่างตนเองมิได้ อีกแล้ว เทวฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ซัดเข้าใส่อีกคำรบพร้อมๆกับเปลวเพลิงหน้าบานประตูที่ต่างก็โต้ตอบซัดกระหน่ำ

เพียงแค่บานประตูไม้กั้น “การรบ” แบ่งเป็นสองแบบ หน้าบานประตูคือการรบพุ่งหมายเอาชนะเป็นการรบจริงๆ หากแต่หลังบานประตู คือการรบด้วย ยุทธสวาท ที่อัสดงเพิ่งลงสนามครั้งแรก และเขาก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม  สัญชาติญาณบ่งบอกว่าต้องรบอย่างไร ตำราพิชัยสงครามหรือถ้าจะให้ถูก ‘พิชัยสวาท’ ที่คืนฉายเคยปาถกถาให้ฟังอยู่บ่อยๆถูกพลิกแพลงดัดแปลง จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม

“ ว่าพลางอุ้มองค์เจ้านาคไว้     
ขึ้นไว้เหนือตักสะพักห่ม

อิงแอบแนบชิดเชยพักตร์
แรกรักร่วมห้องสองสม 
กรสอดกอดเกี่ยวเกลียวกลม
ประคองเคียงบรรทมประทับกาย

อัศจรรย์บันดาลไหวหวาด
อัสนีกัมปนาทคะนองสาย
เปรี้ยงเปรี้ยง เสียงสนั่นลั่นแลบพราย 
พระพิรุณโปรยปรายอายละออง


ผกาแก้วโกสุมปทุมมาลย์ 
ก็เบ่งบานรับแสงสูรย์ส่อง
แมลงภู่ผึ้งภุมรินทอง 
ร่อนร้องเชยรสเจ้านาคี...”

พระหัตถ์น้อยจับแผ่นหลังเปล่าเปลือยของอัสดงไว้มั่น ยามที่อัสดงกระตุกร่างทั้งร่างเป็นครั้งสุดท้าย เสียงร้องสอดประสานดังทะลุประตูไม้  ริมฝีปากของอัสดงไล่เลื่อนลงมาบดขยี้อยู่บนริมโอษฐ์แดงสดก่อนจะซบหน้าลงไปบนซอกพระศอ เสียงกระซิบแหบพร่า ไล่ลอดเข้าสู่พระกรรณ

“ถ้าแม้นได้ร่วมรักสักอึดใจ   จะตายไปก็ไม่คิดสักนิดเดียว”

“ถึงกับยอมตายเลยเหรอ”

สีทันดรเองก็กระซิบตอบ พระพักตร์งามซบลงกับซอกคอของอัสดงเช่นกัน แล้วอัสดงก็พลิกกายที่โทรมไปด้วยเหงื่อลงนอนข้างๆจับพระวรกายสีทันดรขึ้นมาอยู่บนด้านบน เขายิ้มมุมปากจนเห็นเขี้ยว หน้าแดงจนถึงใบหูกล่าวกับเจ้านาคน้อยด้วยประโยคที่คนฟังก็ต้องเขินอายจนแทบจะม้วนลงไปกับเตียง “สีทันดรยอดรัก ลองขี่ม้า แบบขี่อุจไฉยศรพดูไหม ....ขออีกครั้งนึงนะ คนดี!!!”

“บ้า!!”

แม้จะทรงกล่าวบอกปัดไปอย่างนั้น แต่การรบภายในห้องเริ่มต้นอีกครั้งมาจนได้ หากภายนอกขณะนี้นั้น ยามที่เสียงสอดประสานดังขึ้นถึงขีดสุด จันทรเทพก็กระเด็นผงะออกมา คราวนี้เองเป็นเสียงของทรงกลดร้องลั่น

“ไม่จริง ....น้องดื้อต้องไม่เป็นของอัสดง”

เงาทับซ้อนกระเด็นออกเช่นกัน มาลัยสวรรค์พลันสลายและเหี่ยวเฉา แถมยังถูกเปลวเพลิงเผาจนมอดไหม้ จัทรเทพเสด็จกลับทันใด แต่ก่อนไป ก็กล่าวกับทรงกลดว่า “ไอ้น้องชาย เราจะหาทางช่วยเจ้าให้สมหวังเอง....”

“เราจะคอยดูจันทรเทพ ว่าเจ้าจะช่วยอณูเจ้าอย่างไร แต่บอกไว้ก่อนหากเจ้าเล่นไม่ซื่ออีก เราก็จะช่วยอณูของเราแบบนี้เช่นกัน” พระสุริยาทิตย์ทรงกล่าวขึ้นแล้วเสด็จกลับไปเฉกพระจันทรเทพ บริเวณหน้าประตูห้องจึงเหลือแต่ทรงกลดที่ค่อยๆยันกายอันปวดร้าวขึ้นมา ขนตาหนาๆเป็นแพราวอิสตรีกระพริบหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็เจือไปด้วยหยาดน้ำตาที่เริ่มพรั่งพรู

“สักวันเจ้าจะต้องมาอยู่ในห้องกับพี่บ้าง สีทันดร!!”

บรรยากาศยามเช้าหลังเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้น ช่างสดใสเสมือนฟ้าหลังฝนและฝนที่เคยโหมกระหน่ำก็ซาลงแล้วจริงๆ ณ ยามนี้ฟ้าจึงสว่างสดใส สุริยเทพจึงสามารถทอแสงประกาย มายังพื้นพิภพ ขับไล่ความมืดมนและบรรยากาศที่ขมุกขมัวได้อย่างหมดสิ้น เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้ว โผผินบินตามกิ่งไม้และคาคบไม้ใหญ่ดุจเสียงดนตรีเสนาะที่เข้ามาปลุกพระบรรทมเจ้านาคาน้อย ทันทีที่ลืมพระเนตรฟ้าครามใสขึ้นก็พบว่าข้างๆพระวรกายว่างเปล่า ไออุ่นๆจากคนที่กอดตนแน่นเมื่อคืนจางห่างหายไปจากฟูกที่แสนนิ่ม แสดงว่าเขาคนนั้นลุกไปนานเสียแล้ว

สีทันดรรีบเช็ดพระพักตร์ชำระพระวรกาย แล้วเสด็จออกสู่ด้านนอก มุ่งตรงมายังนอกชานตามหาเจ้าของพระวรกายและพระทัยแห่งตน และก็เป็นดั่งทรงคาด คนที่ลุกมาเสียแต่เช้านั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่กับผองเพื่อน รอยยิ้มสดใสจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มแสดงว่าวันนี้เขาคนนั้นอารมณ์ดี แน่ล่ะจะไม่ดีได้อย่างไรเล่า เพราะสิ่งที่เขาเคยมุ่งมาดปรารถนาอยากจะได้ เขาก็ได้ไปจนครบ มิน่าละ พระอาทิตย์วันนี้ช่างสดใสและทอแสงได้อบอุ่นยิ่งนัก และจะเป็นไปได้ไหม ที่พระอาทิตย์จะทอแสงอบอุ่นไปอย่างนี้ทุกวัน

“ตื่นแล้วเหรอ...มานั่งด้วยกันสิ” อัสดงหรือเจ้าบ่าวหมาดๆร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่ายอดดวงใจเสด็จมาแต่ไกล แล้วลุกขึ้นเดินเข้ามารับ มือใหญ่ๆของเขารีบกุมพระหัตถ์น้อยแน่น ผองเพื่อนที่เห็นต่างก็อมยิ้มในที ร้องแซวลั่น เสมือนรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น กระแสจิตหลากหลายกระแสถูกส่งหากันทันใด รวดเร็วยิ่งกว่าคลื่นระบบโทรศัพท์มือถือเสียอีก
 
“มึงว่ากี่ยก” คืนฉายเป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนาลับๆ หรือถ้าจะเรียกให้ตรงกับภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ จะเรียกว่าแชทก็ได้

“กูว่าหลายอยู่ อัสดงมันคงจัดหนัก เล่นเอาน้องดื้อตื่นสายเลย”

คันฉัตรโต้ตอบได้รวดเร็วยิ่งกว่าใช้นิ้วจิ้มลงบนโทรศัพท์แบบหน้าจอสัมผัส พร้อมๆกับส่งภาพในจินตนาการมาให้ ชัดเจนยิ่งกว่าอัพโหลดขึ้นบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เล่นเอาเอราวัต คืนฉายและราหูที่รับกระแสจิตพร้อมภาพนั้นได้ต่างก็พากันหัวเราะร่วน

สีทันดรที่เดินมาถึงเห็นพวกเทพน้อยๆต่างพากันหัวเราะก็สะดุดพระทัย ‘ไอ้เทพบ้าพวกนี้หัวเราะอะไรกัน’  แต่ตนก็ยังสงวนท่าทีไว้ ฤาเทพทะลึ่งพวกนี้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเมื่อคืน อัสดงเองก็เหมือนรู้นัยแห่งการหัวเราะซ่อนยิ้มนั้น ก็ได้แต่กล่าวแก้เขินไปว่า

“พวกมึงอย่าปากหมา เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวโดนเตะ”

“คร้าบบบบบบบบ ผมกลัวแล้วครับพี่อัสดง บอกแล้ว.....นานๆใช้ทีก็เขื่อนแตกแบบนี้แหละ” เอราวัตรับคำพร้อมๆกับแสดงหน้าตาทะเล้น สีทันดรด้วยความหมั่นไส้ จึงซัดไปเสียหนึ่งที แล้วรีบเปลี่ยนบทสนทนาไปอีกเรื่องเสีย

“ทำไมไม่มีใครไปปลุกเราเลย....เห็นไหมเราเลยตื่นสาย”

“ก็อยากให้นอนพัก...เห็นเมื่อคืนบ่นว่าเหนื่อย” อัสดงตอบแทนเพื่อนๆ เพราะรู้ดีว่า ยอดรักของเขานั้นบ่นว่าเหนื่อยเมื่อเขาขอต่อเป็นครั้งที่สาม แต่เขานั้นไม่เหนื่อยเลยสักนิดเดียวทั้งๆที่เขาเป็นผู้เผด็จศึก แล้วเจ้าคืนฉายตัวดี ก็ถามทะลุกลางปล้องมาว่า

“แล้วทำอะไรกันถึงได้เหนื่อย เมื่อคืนนายไม่ได้กลับมานอนที่ห้องนี่ใช่ไหมอัสดง หรือว่าพี่อัสสะของน้องดื้อชวนทำอะไรที่พิสดาร ไหนลองเล่าให้พวกพี่ฟังสิ”

สีทันดรพระพักตร์แดงแป๊ดยิ่งกว่าลูกตำลึงตอบอะไรไม่ถูก เพราะทรงรู้นัยแห่งคำถาม และเมื่อคว้าเบาะรองนั่งได้ก็ขว้างใส่เจ้าพระศุกร์จอมทะเล้น “พี่ฉายลามกอีกแล้ว....ไม่คุยด้วยแล้ว ไปหาคุณยายของพี่ดีกว่า”

สีทันดรวิ่งออกไปด้วยความเขิน เทพพวกนี้ต้องรู้แล้วแน่ๆเลย ว่าเมื่อคืนตนได้ตกเป็นของอัสดงอย่างสมบูรณ์แบบ อัสดงเองก็เริ่มเขินเหมือนกัน เพราะตนก็ถูกเพื่อนๆแซวแต่เช้า ทันทีที่เจอหน้า พวกนั้นต่างก็ถามกันเซ็งแซ่ และก็เริ่มแซวอีกระลอกเมื่อสีทันดรออกมาจากห้องบรรทม แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่เล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟังแม้จะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม ปล่อยให้พวกนั้นคาดเดาและสงสัยและแซวไปอย่างนี้แหละดีแล้ว พอมันเหนื่อยก็หยุดเห่ากันไปเอง

“แหมๆ  น้องดื้อกลับมาคุยกันก่อน....แค่นี้ก็ต้องเขินกันด้วย”

“มึงพอได้แล้วไอ้ห่าฉาย.....ถ้ามึงไม่หยุดเดี๋ยวกูจะประเคนส้นตีนให้ เมียกูเขาเขินหมดแล้ว” อัสดงหลุดปากออกไปโดยไม่ตั้งใจ เรียกเสียงวี้ดวิ้วดังลั่นได้จากเพื่อนๆทั้งกลุ่ม 

“ฮั่นแน่ ยอมรับออกมาแล้ว ไอ้พระอาทิตย์ปากแข็ง ..... ไหนๆลองสาธยายสิว่า เป็นไงบ้าง”

“ไอ้บ้า กูไม่เล่าหรอก ใครเขาเล่ากัน ....แล้วถ้ากูลองถามว่า มึงสองคนกี่ยกเมื่อคืน มึงจะตอบกูไหม ไอ้ห่าฉาย ไอ้เวรพระพุธ” คราวนี้ความสนใจของทั้งกลุ่ม เบนมาอยู่ที่พระพุธกับพระศุกร์ อัสดงก็แค่ถามเบี่ยงประเด็นไปเท่านั้นเอง แต่เมื่อคืนเอราวัตกับคืนฉายดันทำกันจริงๆ และคนจอมทะเล้นอย่างพระศุกร์มีเหรอจะเขิน จึงตอบด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “สองยก”

“ไอ้บ้ายกเดียว....เอ๊ะ แล้วอีกยก นายไปได้กับใคร” เอราวัตหันขวับทันที เอาแล้วงานเข้าคืนฉายเข้าแล้วไง คืนฉายยิ้มแหะๆ ตอบอ้อมๆแอ้ม แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ดังลั่น

“เปล่านะ ....พอดีฉายนับยกที่ใช้มือผลัดกันด้วยอ่ะ”

เสียงหัวเราะยังคงดังลั่นไล่หลัง สีทันดรยังทรงนึกว่าตนเป็นหัวข้อบทสนทนา จึงทรงวิ่งหลุนๆ โดยมิได้มองทางแล้วจึงทรงชนเข้ากับใครบางคน ที่เดินสวนมาพอดี คนๆนั้นก็เลยถือโอกาสกอดพระวรกายนั้นแน่นให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน

“วิ่งหนีอะไรมาครับน้องดื้อ หรือโดนไอ้อัสดงมันแกล้งเอา”

“เอ๊ยยย ขอโทษทีพี่กลด เราไม่ทันมอง” สีทันดรรีบเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดนั้นทันทีที่เห็นว่าใครกำลังกอดตนอยู่ แต่ทรงกลดมีหรือจะยอมให้โอกาสงามๆที่เหยื่อวิ่งเข้ามาหาอ้อมกอดหลุดรอด

ในที่สุด เจ้า......ก็วิ่งมาสู่อ้อมกอดของพี่แล้ว สีทันดร!!!

ภายใต้ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี ดวงตาสีน้ำผึ้งอ่อน จ้องมองพระเนตรฟ้าครามระยับ จากวันแรกที่พบกันจนถึงวันนี้ พระเนตรฟ้าครามคู่นั้นมิเคยทอแสงเจิดจ้าลดลงเลย แถมยังกลับงามยิ่งขึ้นทุกๆทีที่ได้จ้อง และเมื่อหลับตาลงครั้งใด พระเนตรฟ้าครามนั้นก็ติดตามิมีเลือน

ดวงตา...ดุจดวงดารา
กระจ่างเจิดจ้าสุกใส
สุบินพบแต่ครั้งใด
ฝังแน่นตรึงหทัย......ไม่มีเลือน

ยิ่งโดยเฉพาะเช้านี้ ....ความโหยหาเริ่มจับหัวใจตนอีกครั้ง เพราะทรงกลดรู้ดีว่า พระเนตรที่สดใสยามเช้านี้นั้น สืบเนื่องมาจากเหตุผลใด ....และเหตุนั้นมันก็ทำให้เขาหัวใจแทบสลายตลอดทั้งคืน

 “พี่กลดมาทำอะไรตรงนี้” สีทันดรตรัสถามพร้อมๆกับเบี่ยงพระวรกายออกอีกครา แต่ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุดเพราะทรงกลดรัดแน่นเสียเหลือเกิน “ปล่อยเราพี่กลด...เดี๋ยวใครมาเห็น”

“พี่กำลังจะเดินไปหาไอ้พวกนั้น เจ้ากลัวอัสดงมาเห็นล่ะสิ พี่ขอถามหน่อย ทำไม เจ้าไม่ให้โอกาสพี่ได้พิสูจน์ความจริงใจที่พี่มีให้กับเจ้าบ้าง นานแล้วนะที่น้องดื้อพยายามหลบพี่ ไม่ให้พี่ได้กอด ...พี่จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พี่กอดเจ้าคือตอนที่ไปเฝ้าดักเวตาลที่บ้านไอ้พระศุกร์”

“พี่กลดก็รู้เหตุผลนี่....ว่าเราไม่ได้คิดกับพี่อย่างนั้น ปล่อยเรา”

“ไม่ปล่อย....และพี่ก็ไม่สนใจเหตุผลว่าเจ้าจะคิดกับพี่อย่างไร พี่รู้แต่ว่าพี่รักเจ้า รักตั้งแต่แรกเห็น สีทันดรเจ้าได้ยินไหม” ทรงกลดพูดจบก็ไม่ฟังสิ่งใดๆทั้งสิ้น ประกบริมฝีปากลงบนริมโอษฐ์คู่งามที่กำลังจะตรัสร้องห้ามทันใด สีทันดรดิ้นสุดแรงเกิด แต่พละกำลังฤาจะสู้อณูแห่งจันทรเทพผู้ทรงเป็นประธานยามราตรีได้

รสจูบที่ต่างกัน ความรู้สึกที่ก่อกำเนิดก็ต่างกัน จูบรสนี้นั้นมิได้ทำให้ทรงวาบหวามเลยสักนิด ต่างกับรสจูบของอัสดงลิบลับ จูบของทรงกลดแผ่วเบานุ่มนวลอ่อนหวานก็จริง แต่พระทัยของตนถูกครอบงำด้วยจูบที่ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงของอัสดงเมื่อคืนเสียมากกว่า หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่จะเจออัสดงและตกเป็นของเขา สีทันดรคงจะหลงเคลิบเคลิ้ม .....แต่ยามนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นแน่นอน
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 03-10-2019 11:14:48
สีทันดรทรงรวบรวมพละกำลังอีกครั้ง และคราวนี้ก็สะบัดพระวรกายออกจากอ้อมกอดของทรงกลดได้ ทางเดียวที่จะรอดจากการโดนรังแกของจันทรเทพคือมุ่งหน้ากลับไปหาอัสดง .....

ว่าแล้วจึงทรงวิ่งกลับไปทางเดิม ทรงกลดไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปอีกแล้วรีบเหิรลอยไปสกัดด้านหน้า แต่แล้วพลังงานลึกลับบางอย่างก็พวยพุ่งลงมาจากด้านบนกระแทกหน้าอกเขาเต็มๆ ส่งผลให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพลอยละลิ่วกระแทกผนังดังสนั่นลั่นบ้าน

“โอ้ยยยยยยยยย”

“พี่กลด เป็นอะไร” สีทันดรร้องลั่น เปลี่ยนพระทัยจากความตั้งใจเดิม ที่จะหนีจากเขาคนนี้ กลับเบนพระพักตร์มุ่งหน้าเข้าไปหาร่างที่นอนสลบแน่นิ่งของทรงกลดทันทีที่ร่างของทรงกลดเริ่มไถลลงมากองอยู่กับพื้น เจ้านาคน้อยค่อยๆประคองร่างนั้นขึ้นมา ร้องเรียกเทวะน้อยที่เหลือลั่นบ้าน

“พี่กลดโดนลอบทำร้าย ช่วยด้วย”

สิ้นพระสุรเสียง เทวะที่เหลือทั้งห้าก็รีบวิ่งมาจากนอกชาน พอเห็นร่างของทรงกลดที่นอนหมดสติอยู่ก็รีบเข้ามาดูและช่วยกันประคองร่างนั้นขึ้นพร้อมกับถามเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสีทันดร เจ้านาคน้อยจึงรีบเล่าละล่ำละลั่กถึงพลังงานแปลกปลอมที่พุ่งเข้าซัดร่างทรงกลดจนแน่นิ่ง แต่มิได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเพราะกลัวอัสดงจะเข้าใจผิดที่ตนถูกทรงกลดรังแก

“พาไอ้กลดเข้าไปในห้องก่อนเร็ว”

อัสดงรีบสั่งความทันทีที่ทราบเรื่องราว แล้วช่วยคืนฉายกับเอราวัตพยุงร่างของทรงกลดที่หมดสติเข้าไปในห้อง สีทันดรรีบตามเข้าไปด้วย ส่วนคันฉัตรกับราหู ต่างก็ช่วยกันตรวจด้วยญาณวิเศษว่าใครทำร้ายสหายของพวกตน แต่ตรวจอย่างไรก็ไม่เจอ ทั้งสองจึงช่วยกันกั้นเขตอาคมขึ้นมาอีกครั้ง

“เมื่อคืนหลังจากเสร็จศึก พวกเราประมาทเองที่ลืมกั้นม่านอาคมอีกครั้ง”

“ใครกันวะที่กล้ามาทำร้ายไอ้พระจันทร์” ราหูถามขึ้น และกำหมัดไว้แน่น ใครกันที่กล้ามาเหยียบจมูกพวกตนถึงที่นี่

“กูไม่รู้ รู้แต่ว่า เล่นซัดเอาไอ้กลดสลบเหมือดได้....คาดว่ามันคงมีฤทธิ์พอตัวทีเดียว ไปเหอะรีบเข้าไปดูไอ้กลดกัน” คันฉัตรพูดจบก็พยักเพยิดชวนราหูเข้าไปดูอาการเพื่อนในห้อง ก่อนเข้าไปทั้งสองก็พยามยามช่วยกันมองรอบๆอีกครั้งแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

“ไอ้พวกลอบกัด แน่จริงมึงออกมา” ราหูกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะตามคันฉัตรเข้าไปด้านใน ในใจต่างก็นึกถึงว่าใคร ใครกันที่พลังแรงกล้าถึงขนาดนี้ ....หรือจะเป็นทยุติธร ที่ยังไม่ยอมเลิกรา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ถูกเฝ้ามองจากยอดไม้สูงอย่างเงียบๆ  เทวะน้อยทั้งหลายต่างก็สังเกตไม่เห็นว่าบนยอดไม้นั้น มีใครซุ่มดูอยู่ กิ่งไม้ใหญ่ที่หนาแน่นอุดมไปด้วยกิ่งก้านสาขาและใบเป็นพุ่มเป็นที่กำบังชั้นดี ที่ “คนสองคน” จะหลบอยู่ได้โดยไม่มีใครเห็น ทั้งสองนั้นเพียงแค่แตะอยู่ที่ปลายกิ่งเล็กๆ ซึ่งคนธรรมดามิสามารถทำได้ แล้วหนึ่งในสองของผู้ซุ่มดูก็กล่าวกับอีกคนที่ลอยอยู่ด้วยกันข้างๆว่า

“ฝีมือไม่เห็นจะเท่าไรเลยว่ะ....โดนซัดทีเดียวก็หมอบแล้ว ฉันว่าเราเสียเวลาเปล่านะ ธรรม์”

“อย่าเพิ่งประมาทไป น้ำเชี่ยว ไอ้คนนั้นมันโดนทีเผลอ หากปะทะกันตรงๆ ฉันว่า ทำอะไรมันไม่ได้หรอก เราไปกันก่อนเหอะ ก่อนที่พวกนั้นจะเห็น” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ธรรม์ กล่าวกับสหายที่มีนามว่า น้ำเชี่ยว ที่ลอยซุ่มดูอยู่ข้างๆด้วยกัน แต่เจ้าคนนั้นกลับลอยนิ่งเฉยอยู่กับที่ ตอบกลับสหายด้วยสายตาซุกซนปนความเอาแต่ใจ มาว่า

“อย่าเพิ่งไปเลย ....ไม่เห็นเหรอ ว่ามีคนน่ารักอยู่ข้างล่างด้วยคนนึง ขอแอบมองเขาอีกสักหน่อยไม่ได้เหรอ”

“ตามใจ อีกแป๊บเดียวเท่านั้นนะ....แต่ระวัง....เทวะนาคาองค์นั้น น่ามองก็จริง แต่คงไม่ว่างสำหรับนายหรอกน้ำเชี่ยว” คนพูดปรับความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นให้เป็นปกติก่อนกล่าวเตือนด้วยสีหน้ายิ้มยาก เพราะรู้ดีว่า สหายที่มาแอบซุ่มดูอยู่ด้วยกัน เกิดอาการ ‘ถูกใจ’ เพียงไร  เมื่อเห็นเทวะนาคาพระองค์น้อยวิ่งมาตามเฉลียงบ้านและมีทีท่าตกตะลึงตาค้างเพียงใด

“รู้แล้วน่า ....ขอแค่มองก็พอ”

“ให้มันจริงเถอะ”

ภายในห้องนอนของทรงกลด เอราวัตกับคืนฉาย ต่างก็ช่วยถ่ายพลังรักษาให้กับสหาย จนทรงกลดค่อยมีอาการดีขึ้น แต่ก็ไม่วายสำลักเอาเลือดที่คั่งค้างอยู่กลางอกออกมา ทรงกลดเมื่อสำลักออกมาหมดแล้วแถมยังได้รับการถ่ายพลัง สติจึงฟื้นกลับคืน อัสดงจึงรีบถามโดยทันที

“ใครทำร้ายนายวะไอ้กลด”

“ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าวูบเดียวพลังนั้นก็กระแทกฉันเต็มๆ”

“พี่ชายน้องดื้อหรือเปล่า” เอราวัตกล่าวขึ้นซึ่งตรงกับข้อสงสัยของราหูกับคันฉัตร

“ไม่ใช่พี่เราหรอก.....พลังงานของพี่เราจะร้อนกว่านี้ แต่นี่พลังงานนั้นเย็นยะเยือก” สีทันดรรีบแก้ต่างให้พระเชษฐา เพราะตนทราบดีว่าพลังของพระเชษฐาไม่มีทางจะเย็นขนาดนี้

“แล้วใครกัน....หรือจะเป็นพวกมาร นี่พวกมันตั้งใจจะไม่ให้พวกเราอยู่อย่างสงบๆเลยบ้างหรือไง”  คืนฉายกล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย

“หากเป็นพวกมาร พวกเราคงต้องระวังตัว พวกมันคงจะจับกระแสพลังพวกเราเมื่อคืนตอนสู้กับทัพนาคได้ ต่อไปนี้เราคงจะประมาทไม่ได้ เห็นที พวกเราต้องกลับกรุงเทพแล้วล่ะ ฉันไม่อยากให้คนที่บ้านนี่เดือดร้อน”

“จริงอย่างที่อัสดงว่า พวกเรากลับไปที่บ้านไอ้กลดกันเหอะ ที่นั่นเราจะได้สู้กันอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง อีกอย่างฉันไม่อยากให้คุณแม่กับคุณยายโดนลูกหลง”

“งั้นพรุ่งนี้เช้าเราเดินทางกลับกันเลย .....นายไหวนะทรงกลด”

อัสดงตัดสินใจกำหนดวันเดินทางกลับ แต่ก็ไม่วายห่วงเจ้าพระจันทร์ ถึงแม้มันจะเป็นศัตรูหัวใจ แต่อย่างไรมันก็คือเพื่อนคนหนึ่ง ส่วนสีทันดร ก็ได้แต่คิดในใจว่า หากอัสดงรู้ว่า ทรงกลดล่วงเกินตนอย่างไร อัสดงจะห่วงใยทรงกลดอีกไหม .....ฤาตนจะบอกอัสดงถึงเรื่องราวทั้งหมดดี แต่อีกใจนึงก็เกิดความลังเล เพราะไม่อยากให้เกิดความแตกร้าว และก็ทรงไม่แน่พระทัยองค์เองว่า ฤาเป็นเพราะเห็นใจทรงกลดกันแน่ แต่ทางที่ดี ต่อไปนี้อยู่ให้ไกลทรงกลดเป็นดีที่สุด

เมื่อทั้งกลุ่มตกลงกันได้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเดินทางกลับ จึงแยกย้ายกันไปเตรียมเก็บข้าวของสัมภาระ และปล่อยให้ทรงกลดเข้าฌานรักษาตัว เมื่อทั้งหมดออกจากห้องไปแล้ว รัศมีสีนวลสว่างจ้าก็ปรากฏกายอยู่กึ่งกลางห้อง แล้วสลายกลายเป็นบุรุษที่ทรงกลดคุ้นเคยยิ่ง “จันทรเทพ” แอบเสด็จลงมาอีกแล้ว

“จะรีบรักษาตัวทำไม ....ทำไมไม่ทำให้เขาเห็นใจ อุตส่าห์ช่วยสร้างสถานการณ์ให้แล้วนะเจ้าน้องชาย”

“นี่หมายความว่า เมื่อกี้ทรงซัดพลังใส่หม่อมฉัน” ทรงกลดประติดประต่อเรื่องได้โดยพลัน ที่แท้พลังงานที่ทำร้ายตนก็มาจากจุดกำเนิดแห่งตนนั่นเอง “ทรงทำเช่นนี้ทำไม”

“ก็เออน่ะสิ เราทำเพื่อทดสอบว่าเจ้านาคน้อยพอมีใจให้เจ้าไหม แถมเขาจะได้เห็นใจเจ้าไง  และผลออกมาก็น่าภูมิใจ เสียดายที่เจ้าไม่ได้เห็นกับตา ว่าเจ้านาคน้อยของเจ้า รีบโผเข้ามาหาเจ้าด้วยความเป็นห่วงเชียวแหละ”

“อย่ามาทรงหลอกหม่อมฉันเลย เมื่อคืนก็หลอกให้หม่อมฉันไปทำเสน่ห์น้องเขาทีหนึ่งแล้ว หม่อมฉันไม่ชอบ หม่อมฉันอยากสู้อย่างลูกผู้ชาย” ถึงแม้จะหมายปองและต้องการสีทันดรขนาดไหน ทรงกลดก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับวิธีที่จันทรเทพหลอกตนเมื่อคืน มาลัยสวรรค์พวงนั้น ตนไม่รู้มาก่อนว่า จันทรเทพทรงซ่อนอุบายไว้ นึกเพียงว่าสีทันดรคงชอบมาลัยและจะสร้างความนิยมชมชอบได้ แต่การณ์ก็กลับผิดพลาดไปเสียสิ้น

“แล้วเจ้าแน่ใจเหรอว่าจะชนะ....เอาเหอะทรงกลด ในเมื่อเจ้าอยากสู้แบบนั้นเราก็จะไม่ขัด แต่จงจำคำเราไว้เถิดว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยมายา จงใช้ความเห็นใจ สงสารที่เขามีให้เจ้า ให้เกิดประโยชน์สูงสุด....ชัยชนะแห่งความรัก มิจำเป็นต้องมาด้วยวิธีที่ขาวสะอาดเสมอไป เราไปล่ะ...” สิ้นพระสุรเสียง พระวรกายแห่งจันทรเทพก็หายวับเพียงแค่ทรงกลดกระพริบตา หากแต่พระดำรัสยังคงกึกก้องอยู่ในโสตประสาท ....ความลังเลเริ่มบังเกิด หรือเขาจะลองทำตามวิถีแห่งจันทรเทพดู “ความสงสาร เห็นใจ หรือเราควรใช้ประโยชน์”

แต่ทรงกลดจะรู้ไหม ความสุขใจจะมีหรือเล่า หากได้เพียงแค่ตัว มิได้หัวใจมาครอบครอง

ด้านเอราวัตเมื่อเก็บสัมภาระเสร็จแล้ว ก็พาคืนฉาย ไปหาคุณแม่กับคุณยาย บอกว่าจะกลับกรุงเทพวันพรุ่งนี้ คุณยายนั้นไม่ขัด เพราะรู้ดีว่าหลานชายมีหน้าที่และภาระสิ่งใดรออยู่ แต่คุณแม่นั้นสิอยากให้อยู่ต่ออีกสักสองคืน เอราวัตนั้น ใจก็อยากอยู่นานๆ แต่เนื่องด้วยทรงกลดถูกลอบทำร้าย ทำให้เขาและพวกจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ มิฉะนั้นคุณแม่ คุณยาย และอีกหลายๆคนในบ้านอาจจะเป็นอันตราย แต่เอราวัตกับคืนฉายจะรู้ไหมนะว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอุบายเรียกความสงสาร จากเทวะนาม จันทรเทพเท่านั้น
 
“อยู่อีกสักหน่อยไม่ได้เหรอตาหนู”

“ไม่ได้หรอกครับ ธุระที่นู่นเยอะ กลับพรุ่งนี้ดีกว่า”

“เฮ้องั้นก็ตามใจ มาคราวนี้แม่ยังไม่หายคิดถึงเลย” คุณแม่คงรู้ว่าพูดอย่างไรลูกชายตัวดีก็ไม่ยอมอยู่จึงไม่ทัดทานอะไรอีก แต่กล่าวต่อมาว่า “ไหนๆคืนนี้ก็อยู่ ลองพาฉายกับเพื่อนๆไปเที่ยวงานวัดเปิดหูเปิดตาดีไหม พอดีที่วัดเขาจัดงานปิดทองเฉลิมพระอุโบสถใหม่ งานใหญ่โตเชียว เผื่อจะชอบงานวัดบ้านนอกบ้าง” ยามที่คุณแม่เอ่ยชื่อคืนฉาย เอราวัตแอบอมยิ้ม นึกในใจ แม่จ๋าตอนนี้ไอ้ฉายไม่ได้เป็นแค่เพื่อนแล้วนะ

คืนฉายก็เสมือนจะรู้ได้แต่ยิ้มกว้าง แต่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาก็ทำตัวได้เรียบร้อยน่าเอ็นดู กล่าวประจบคุณแม่มาบ้าง จนเอราวัตเริ่มหมั่นไส้ไอ้คุณแฟนมานิดๆ “ ฉายชอบงานวัด เพราะชอบดูวิถีชาวบ้านครับ แล้วคุณแม่ไม่ไปด้วยกันล่ะครับ”

“ไปกันเถอะ...แม่ติดละครทีวี อยู่ดูละครที่บ้านดีกว่า เอาล่ะมีอะไรไปทำก็ไปทำเหอะ แม่จะของีบสักเดี๋ยว”

“งั้นผมกับฉายขอตัวก่อนนะครับแม่ จะลองไปชวนไอ้พวกนั้นด้วย”

“จ้า ตามสบาย”

เมื่อลาคุณแม่กับคุณยายเสร็จ เอราวัตกับคืนฉายก็มาชวนเพื่อนๆที่เหลือไปเที่ยวงานวัด คันฉัตรกับราหูตกลงรับปากจะไปด้วยทันที แต่อัสดงที่กำลังเก็บของลงเป้ก็แย้งมาว่า

“จะดีเหรอ ....วันนี้ไอ้กลดเพิ่งถูกลอบทำร้าย ไม่อยากให้พวกนายประมาท เราอย่ามัวเที่ยวเล่นกันอยู่เลย รีบหาวิธีตามหาอีกสองคนที่เหลือได้แล้ว”

มันก็จริงอย่างที่อัสดงว่า วันนี้ทรงกลดจู่ๆก็ถูกซัดจนสลบ และคนที่ทำเช่นนั้นได้ก็ต้องจัดว่าเป็นมือหนึ่ง การออกไปเที่ยวอาจทำให้เป็นเป้าสายตา ควรจะตั้งตัวหาวิธีรับมือดีกว่า เทวะนั้นดำรงอยู่ได้ด้วยเพราะหน้าที่ และหน้าที่นั้นก็เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษย์ การกำจัดมารเป็นสิ่งที่พึงกระทำเป็นอันดับแรก มิใช่สาละวนเที่ยวสนุกไปวันๆ

“ฉันมาคิดดูอีกที ก็จริงอย่างที่ไอ้พระอาทิตย์ว่า ...อย่าเพิ่งประมาทออกไปเที่ยวเล่นกันเลย หน้าที่ควรจะมาก่อน” ราหูแม้จะอยากเปิดหูเปิดตา แต่พอได้ฟังอัสดงพูด มันก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ทันที พร้อมๆกับคันฉัตรที่เริ่มคล้อยตามมาอีกคน เหลือแต่คืนฉาย ที่ตอนแรกก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย แต่ท้ายที่สุดก็ยอมตามมติกลุ่ม ส่วนเอราวัตนั้นเขาเที่ยวงานวัดจนเบื่อ จนขี้เกียจจะไป ดีแล้วไม่ไปก็ดีจะได้พักผ่อน ทรงกลดนั้นก็ไม่ต้องพูดถึง ป่านนี้รักษาตัวเสร็จหรือยังก็ไม่รู้

ผลสรุป ก็คือ....งดเที่ยวงานวัดเพื่อความไม่ประมาท แต่ใครบางคนที่เสด็จผ่านมานั้นน่ะสิ ตอนแรกก็ตั้งใจจะเสด็จเลยผ่านไป แต่แล้วก็กลับมีไอรัศมีบางอย่างลอยเข้ามากระทบเบื้องพระปฤษฎางค์ ไอนั้นซึมซาบลงอย่างรวดเร็ว แล้วก็เหมือนกับพระทัยถูกบังคับให้ทรงหยุดดำเนินเพื่อประทับฟัง พระกรรณเริ่มแนบอยู่กับบานประตู  แล้วก็ทรงได้ยินเสียงของอัสดงดังลอดผ่านบานประตูแจ่มแจ้ง

“อย่าให้ไอ้ดื้อรู้เด็ดขาด เรื่องงานวัด...ไม่งั้นคงหาเรื่อง อยากออกไปเที่ยวอีก พวกนายอย่าเผลอไปชวนเชียวล่ะ” อัสดงกล่าวขึ้นเพราะรู้ว่าคนรักของตนนั้น ดื้อและซนขนาดไหน หากรู้ว่ามีงานการฉลองมหรสพ สุดที่รักของตนไม่มีทางพลาด ต้องหาทางไปเที่ยวเล่นแน่นอน ทางที่ดี ปิดไว้แหละ เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว

“เหอะ...คิดว่าจะห้ามเราได้เหรอ”

ใครจะคิดว่าจอมดื้อของคณะทรงยืนฟังอยู่จนครบถ้วนกระบวนความและเมื่อคำว่างานวัดผ่านเข้าพระโสตเต็มๆ ความกระหายใคร่รู้ก็บังเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งอัสสะไม่อยากให้รู้ ตนก็จำต้องรู้และไปดูให้เห็น ....งานวัดคืออะไร พระเนตรฟ้าครามฉายแววซุกซนอีกครา แล้วจึงรีบเสด็จเข้าห้องพระบรรทม ตรัสเรียกมหาดเล็กจำเป็นมาทันที

“รัก ยม อยู่ไหน มาหาเราหน่อยสิ” สิ้นพระสุรเสียง เจ้าโอปาติกะ หัวจุกตัวน้อยสองตน ก็ปรากฏกายยืนเท้าเอวยิ้มแฉ่ง แล้วทรุดกายนั่งคุกเข่าหมอบราบกับพื้น “เมื่อคืน หายไปไหนมา ไม่เห็นช่วยออกไปทำศึก”

“โถ....พี่ดื้อ จะให้รักกับยม ไปสู้กับนาคทั้งกองทัพได้อย่างไร ดีไม่ดี โดนบริวารพี่ดื้อฆ่าตายอีกรอบ”

“ไม่ต้องมาพูดดีเลย...ช่างเหอะเรื่องนั้น ที่เรียกมาเนี่ย เรามีเรื่องอยากจะถามหน่อย”

“เรื่องอะไรหรือพะยะค่ะ” เจ้ายมเดาะคำราชาศัพท์พ่วงท้าย ทูลถามขึ้นทันควัน

“เราอยากรู้ว่า งานวัด คืออะไร ทำไมมนุษย์ จะต้องไปเที่ยวงานวัด”

“อู๊ยยยย ไปเสด็จประทับอยู่ที่ไหนมา งานวัดก็จัดที่วัดสิพะยะค่ะ เป็นงานมหรสพ หรืองานสมโภชน์ หรืองานทำบุญอะไรก็แล้วแต่ มีร้านค้าขายของ มีหนังกลางแปลง มียี่เก โอ๊ยยยยยย สารพัด ว่าแต่จะทรงตรัสทูลถามทำไม” เจ้ารักเห็นเจ้ายมเพื่อนซี้ใช้ราชาศัพท์จึงนำมาใช้บ้าง แต่ก็ใช้มั่วจนสีทันดรทรงรำคาญจึงบอกให้พูดธรรมดาๆ แล้วทรงถามเจ้ามหาดเล็กจำเป็นทั้งสองอย่างทีเล่นทีจริงว่า

“แล้วถ้าเราอยากไป เจ้าสองคน จะพาเราไปได้ไหม”

“ไม่ด๊ายยยยยยยย นะพะยะค่ะ พี่ดื้อ วันนี้พี่พระจันทร์ถูกทำร้าย เมื่อกี้พี่พระอาทิตย์ เพิ่งห้ามไม่ให้ใครออกไปไหน แถมพี่ฉัตรกับพี่ราหูก็กั้นเขตอาคมป้องกันไว้อันตรายไว้แล้ว คาดว่าเหตุการณ์คงไม่ปกติจริงๆ อย่าเด็จไปไหนเลย” คราวนี้เจ้ารักทูลขัดขึ้นมาใช้ราชาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง

“แต่เราอยากไป ...พวกนั้นตื่นตูมเกินกว่าเหตุ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อย นะ เราไปกันแป๊บเดียว”

“ยมว่า ถ้าพี่ดื้ออยากไป ลองไปขอพี่พระอาทิตย์ดูดีกว่า”

“ถ้าขอเราก็อดไปน่ะสิ เขายิ่งไม่อยากให้เรารู้เรื่องนี้อยู่ เจ้ายมนี่ ...เหอะน่า มีอะไรเกิดขึ้น เรารับผิดชอบเอง พวกเราจะได้ถือโอกาสออกไปตรวจตรารอบๆด้วยไง”

“จะดีเหรอพี่ดื้อ หากพี่ฉัตรรู้.....รักกับยมคงโดนตี และหากเกิดอะไรขึ้นกับพี่ดื้อ พี่พระอาทิตย์กระทืบรักกับยมตายคาบาทาแน่เลย” เจ้ารักเริ่มลังเล เที่ยวก็อยากเที่ยว กลัวโดนทำโทษก็กลัว

“ระหว่างพี่ฉัตรนายเจ้ากับเราเจ้ากลัวใคร.... บอกแล้วไง เรารับผิดชอบเอง ไม่มีใครทำอะไรเราได้หรอกน่า .....ตกลงตามนี้ หลังกินข้าวเย็น พวกเราไปกันทันที ห้ามบิดพลิ้วและก็ห้ามปากสว่าง รู้ไหม”

“แต่จะดีเหรอพะยะค่ะ พี่ดื้อ”

“ไม่มีแต่...ไปได้แล้ว”

“พะยะค่ะ” เจ้ารักกับเจ้ายม ประสานเสียงรับคำ เพราะเลี่ยงไม่ได้ กลัวโดนทำโทษน่ะกลัว แต่กลัวพี่ดื้อเจ้าลูกพี่แสนซนมากกว่า เวรกรรมของเจ้าแท้ๆรักยมเอ๊ย

มื้อเย็นวันนี้ แม้จะมีอาหารหลากหลายถูกตั้ง แต่สีทันดรก็ทรงเสวยเพียงแค่นมเช่นเคย แล้วก็ตรัสขึ้นกับพวกอัสดงว่า “ อิ่มแล้ว ขอเข้าห้องก่อนนะ จะเข้าฌาน เฝ้าสมเด็จแม่ อย่าเพิ่งเรียกล่ะ”

นั่นก็หมายความว่า ห้ามใครรบกวน อัสดงด้วยความที่ยังคุยติดพันอยู่กับเพื่อนๆ จึงไม่ได้ใสใจในทีท่ากระตือรือร้นผิดปกติของสุดที่รักเลยสักนิด สีทันดรจึงสบโอกาส เข้าห้องบรรทมปิดประตูลงอาคมแน่น ร้องเรียกรักยมอีกครั้ง

“เราพร้อมแล้วรักยม”

เจ้ารักยมปรากฏกายตรงหน้า แล้วกล่าวกับลูกพี่จอมดื้อว่า “ทางสะดวกพอดีเลยพะยะค่ะ รีบไปกันเหอะ”

และแล้วสีทันดรกับอีกสองมหาดเล็ก ก็โผนทะยานออกทางบานหน้าต่าง เหิรลอยละลิ่ว ลัดออกไปทางสวนหลังบ้าน มุ่งหน้าสู่วัดประจำหมู่บ้านทันที

ทางด้านทรงกลดซึ่งยังคงนั่งขัดสมาธิเข้าฌานรักษาตัวจวบจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ ครั้นพอจะถอนออกจากฌานเสียงของเทวะต้นกำเนิดก็ผ่านแว่บเข้ามากลางสมองทันที

“ไอ้น้องชาย เราจัดฉากไว้ให้แล้ว รีบไปยังงานวัดเถอะ เจ้าจะได้ใช้ความสามารถตนอย่างที่เจ้าต้องการจนสมใจ แล้วอย่าปล่อยให้หลุดมือไปล่ะ”

“ขอบพระทัย” ทรงกลดลืมตาขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ รัศมีสีเหลืองนวลสว่างวาบเจิดจ้าขึ้นกลางอกแล้วครอบคลุมร่างของเขาถ้วนทั่ว รัศมีนั้นสว่างจ้าขึ้นจนถึงขีดสุดแล้วพุ่งทะยานแหวกม่านหน้าต่างด้วยความเร็วสูง ไปยังทิศทางเดียวกันกับรัศมีสีเขียวเจือทอง ณ ยังจุดหมายปลายทางที่เจ้านาคน้อยนำหน้าไปก่อนแล้ว นั่นคือ งานวัดประจำหมู่บ้านนั่นเอง
 
สีทันดรเมื่อเหิรลอยจวนใกล้จะถึง จึงเสด็จลงจากฟากฟ้า มาเดินดินเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาเพื่อไม่ให้ใครแตกตื่น แสงไฟหลากสีสันของหลอดไฟนีออนจากงานวัดที่อยากทรงทอดพระเนตร อยู่ข้างหน้าไม่ไกลแล้ว เสียงปี่พาทย์มโหรี แบบงานวัดตามต่างจังหวัด ลอยกระทบเข้าพระโสต เพลงนั้นไพเราะ อีกทั้งท่วงทำนองเนื้อร้องที่ฟังแล้วดูหวานหยดย้อย ราวกับเหมือนมีมนต์สะกด เชิญเสด็จให้เข้าไปทอดทัศนา แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดสายลมปริศนา หมุนวนลอยคว้างขวางทางเสด็จ เจ้านาคน้อยด้วยความที่ตกอยู่ในภวังค์ มิทันได้ระวังองค์ ก็ถูก สายลมนั้นซัดเข้าใส่พระวรกายหอบเหิรลอยละลิ่ว เจ้ารัก เจ้ายม ที่เหิรลอยตามมาด้านหลัง เห็นลูกพี่จอมดื้อถุกลอบโจมตีก็รีบพุ่งเข้าไปช่วยสกัดกั้นแต่ก็ถูกซัดกระเด็นออกมา

“ซวยแล้วรัก...ยังไม่ทันจะเหยียบเท้าเข้างานเลย เกิดเรื่องซะได้ ทำไงดี”

“จะทำยังไง ก็รีบไปดึงพี่ดื้อกลับมาสิเร็วเข้ายม”

โอปาติกะน้อยทั้งสองเหิรลอยขึ้นไปช่วยดึงพระวรกายของเจ้าลูกพี่จอมดื้ออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ สายลมซัดรุนแรงจนเจ้ารักกับเจ้ายมร่วงลงมากระแทกพื้น เสียงดังสนั่นลั่น แรงซัดนั้นทำให้ร่างน้อยๆของเจ้ามหาดเล็กหัวจุกทั้งสองกระแทกพื้นดินจนเป็นหลุมขนาดใหญ่แล้วจมหายลงไปกับพื้นพสุธา

“รัก ยม”

สีทันดรเมื่อได้พระสติว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงทรงพยายายามเหิรลอยออกมาจากม่านวายุนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล แถมสายลมยังบีบรัดแนบแน่นพระวรกาย คราวนี้ทรงกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ แรงบีบรัดนั้นรัดแน่นก็จริงอยู่ แต่กลับมิได้รัดแบบทำร้าย กลับกลายเป็นรัดแบบกอดด้วยวงแขนเสียมากกว่า ภายใต้เสียงหวีดหวิวของสายลมปริศนาที่รุนแรง ก็ปรากฏเสียงเสียงหนึ่งเป็นเสียงบุรุษ อ่อนเยาว์ สอดแทรกมาตามสายลมพุ่งผ่านเข้าสู่พระกรรณ
 
“ เหอะ ...เด็กดื้อ แอบหนีเที่ยว”

“ใครกันบังอาจนัก ปล่อยเรา”

“ไม่ปล่อย ....ปล่อยไปเจ้าก็ต้องโดนคนอื่นกอดอยู่ดี จงรู้ไว้ซะว่ามีคนดักรอเจ้าอยู่ที่งานวัด สู้ให้เรากอดเจ้าแล้วพาเจ้ากลับไปส่งบ้านดีกว่า”

สายลมเจ้าชู้เริ่มรัดแน่นขึ้นอีก ครานี้สีทันดรทรงรู้สึกได้ว่า ใต้สายลมมีวงแขนที่แข็งแรงกอดรัดพระวรกายแน่น แถมสายลมบางส่วนยังโลมเลียโลดไล่อยู่บริเวณพระปรางทั้งสอง ....เพียงสัมผัสนั้นกระทบ ก็ทรงรู้สึกถึงริมฝีปากร้อนผ่าวคลอเคลียไล่ลงไปจนถึงพระศอ แทนที่จะเป็นสายลมปกติ 

“ปล่อยนะ....เจ้าพวกมารต่ำช้า”

สีทันดรสะบัดพระวรกายเต็มที่หลุดออกจากสายลมที่รัดบั้นพระองค์ไว้ พระเนตรฟ้าครามกลายเป็นสีทองสุกจ้าทันใด พระโทสะดำเนินมาจนถึงขีดสุด ยามถูกใครศัตรูปริศนารังแก ความซุกซนจางหาย พระหัตถ์น้อยโบกสะบัดซัดพลังเข้าสู่สายลมเจ้าชู้ทันใด เสียงกระทบแห่งพลังงานดังลั่น สายลมนั้นเซถลากระเด็นไปไกลแล้วหมุนวน เหิรลอยกลับเข้ามาใหม่ ม่านวายุที่เปี่ยมไปด้วยฤทธียังไม่ลดละ หวังคลอคลอแนบชิดติดพระวรกายอีกครั้ง

รัดเกล้าสีทองที่ทรงคาดไว้กลางนลาฏถูกถอดออกแปรเปลี่ยนเป็นแส้เพลิงจึงฟาดซัดเข้าไปเต็มที่ เจ้าลมพายุเบี่ยงตัวออกไปได้ทัน สีทันดร เหิรลอยไปสกัดทางด้านหน้า หมายพระทัยจัดการให้หายแค้น ที่มันบังอาจทำกริยาหยาบช้า ครานี้ทรงใช้แส้เพลิงฟาดลงไปบนพื้นดิน แรงฟาดมหาศาลผสานกับอิทธิฤทธิ์แห่งเทวะนาคาก่อให้เกิดรอยแยกสั่นสะเทือน สะเก็ดดินก้อนใหญ่ๆลอยละลิ่วขึ้นกลางฟ้า แล้วสีทันดรก็ซัดสะเก็ดดินเหล่านั้นเข้าไปกลางสายลมประดั่งห่าธนูนับร้อย 

แต่ก่อนที่ก้อนดินหนักๆหลายๆก้อนจะลอยถึงตัว พลังบางอย่างที่เจิดจ้าราวกับสายอสุนีบาตเริ่มซัดสาดตอบกลับ อสุนีบาตเหล่านั้นระเบิดก้อนดินที่พุ่งมาแตกเป็นเสี่ยงๆ สีทันดรเมื่อเห็นว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล จึงใช้แส้เพลิงหมุนคว้างเป็นวงกลมแล้วโบกสะบัดโดยรอบก่อให้เกิดม่านพระเพลิงโหมกระหน่ำสกัดกั้นสายฟ้า เทวฤทธิ์ยังคงสำแดงเดช ม่านพระเพลิงที่ทรงสร้างขึ้นเริ่มขยายวงกว้างสกัดหน้าสกัดหลังรอบๆม่านวายุดักทางหนีทีไล่ของมันทั้งหมด

“ตายอยู่ในกองเพลิงนั่นแหละ”

นี่ยังน้อยไปสำหรับการกระทำที่จาบจ้วง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่ยังไม่ตกเป็นของใคร คงจะแค่สั่งสอนให้หลาบจำ แต่ ณ บัดนี้ ทรงมีเจ้าของแล้ว ควร ฤา ที่จะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาแทะโลม แล้วเปลวพระเพลิงก็เริ่มบีบรัดล้อมสายลมทั้งหมดไว้แล้วห่อหุ้มเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่ สีทันดรทรงแย้มริมโอษฐ์อย่างสาแก่พระทัย

“ใครที่ล่วงเกินเรา มันต้องถูกเผาเป็นจุณ”

ภายใต้สายพระเพลิงนั้น สายลมเริ่มสลายกลายเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ซึ่งกำลังร่ายพระเวทอย่างเต็มที่กั้นม่านอาคมมิให้เปลวพระเพลิงเข้ามากระทบ พระเพลิงแห่งเทวะนาคา ร้อน รุนแรง เจือไปด้วยไอพิษ หากปล่อยไว้อย่างนี้ คาดว่าไม่นานม่านอาคมเขาคงสลาย

“ฤทธิ์เยอะนักนะ แค่กอดนิด จูบหน่อยก็ทำเป็นมีโมโห”

 เด็กหนุ่มคนนั้น จึงใช้มนตราขั้นสูงกำกับสร้างพลังทำลายกำแพงเพลิงไปทุกด้าน แล้วด้านหนึ่ง ก็เหมือนจะมีช่องโหว่ พลังของเขาจึงทะลวงออกมาได้ แล้วพลิกผันครอบคลุมม่านพระเพลิงไว้แทน พระเพลิงอันร้อนแรงถึงการสลาย พร้อมกับพลังงานที่พวยพุ่งเป็นก้อนใหญ่มุ่งเข้าสู่พระวรกายเจ้านาคาน้อยด้วยความเร็วสูง เสียงหนุ่มน้อย สอดแทรกมาตามความเร็วนั้น ยิ้มเยาะ ล้อเลียน

“ถึงกับจะเผากันให้ตายเลยเหรอ แค่ขโมยจูบนิดเดียวเอง”

แต่ก่อนที่พลังนั้นจะถึงพระวรกาย รัศมีสีเหลืองนวล ก็พุ่งปราดมาสกัดหน้า ซัดพลังลึกลับกระเด็นกระแทกต้นไม้ใหญ่หลายๆต้นจนล้มระเนระนาด สีทันดร แม้จะตั้งพระทัยว่าจะทรงอยู่ให้ไกล จากคนคนนี้ แต่พอยามนี้เขามาปรากฏกาย ก็กลับทำให้อุ่นพระทัยขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

“พี่กลด ตามมาได้ไง”

รัศมีเหลืองนวลรวมกันกลายเป็นร่างทรงกลด ในมือบัดนี้ถือดาบยาว แล้วทรงกลดก็เงื้อดาบหมายซ้ำลงไปตรงที่ พลังงานลึกลับนั้นตกลงไป ไม่ปล่อยให้มันตั้งตัว เขารวมพลังและเทวฤทธิ์จนถึงขีดสุดหมายสังหาร เหตุไม่ใช่เพราะ มาปะทะกับน้องดื้อ แต่เหตุที่จะสังหารนั้นมาจากการที่มันทำให้แผนที่จันทรเทพวางไว้ให้แตก

“เสือกกะโหลกไม่เข้าเรื่อง จะสำเร็จอยู่แล้วเชียว”

พลังแห่งอณูของเทวะประธานยามราตรี รุนแรงกว่าอาวุธสงครามใดๆ พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ภายใต้เงามืดยามรัตติกาล ทำให้เห็นเงาบางเงา โผพุ่งเข้ามา ดึงร่างบางร่างขึ้นมาจากโคนต้นไม้ แล้วเงามืดๆเงานั้น ก็ตวัดมือซัดพลังสกัดกั้น ยามพลังงานทั้งสองพุ่งชน ก่อให้เกิดเสียงดังกัมปนาทสนั่นไหว เกิดหมอกควันกำจายโดยรอบ  ต่างฝ่ายต่างเซถลา ครั้นพอควันระเบิดจางลง ....ศัตรูปริศนาก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 03-10-2019 11:20:40
“พี่กลด เป็นอย่างไรบ้าง” สีทันดรรีบลอยเข้ามาพยุงทรงกลด เพราะทรงเห็นว่าร่างของทรงกลดเริ่มซวนเซ “บาดเจ็บอยู่นี่นา แล้วพี่ออกมาได้ไง พี่ต้องรักษาตัว”

“แล้วน้องดื้อ ออกมาข้างนอกทำไม พี่เป็นห่วงเลยออกมาตาม...โอ๊ย”

ดาบยาวที่เคยถือไว้มั่นร่วงหล่นลงจากมือ ทรงกลดรู้สึกเจ็บนิดๆที่กลางหน้าอก แต่เขาก็สามารถตีสีหน้าแสดงอาการ เจ็บเกินกว่าเหตุได้อย่างดียิ่ง เรียกคะแนนสงสาร ซึ่งก็ได้ผล สีทันดรมิทรงรู้ทันในอุบายนั้น พยุงเขาไว้แนบพระวรกาย ตรัสขึ้นทันที

“กลับบ้านพี่เอราวัตกันก่อน พี่กลดเจ็บมาก เดี๋ยวเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน.....เราจะช่วยรักษาพี่เอง”

 แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองก็โอบอุ้มทรงกลดเหิรลอยกลับไปยังบ้าน ความตั้งพระทัยที่จะแอบเสด็จไปเที่ยวงานวัดหายไปอย่างปลิดทิ้ง สีทันดรทรงลืมไปแล้วว่าจะต้องอยู่ให้ห่างจากอณูน้อยแห่งจันทรเทพ ....เรื่องนั้นลืมไปก่อน บัดนี้อาการบาดเจ็บของทรงกลดสำคัญกว่า

ทรงกลดซ่อนยิ้มที่มุมปาก เหอะ....ทีนี้ก็เป็นทีของเขาแล้วสินะ ขอบพระทัยจันทรเทพที่ทรงสร้างสถานการณ์ให้ ต่ตามที่ตกลงไว้ จันทรเทพเพียงใช้อุบายหลอกให้สีทันดรไปงานวัดเท่านั้นนี่นา ที่เหลือเขาจะต้องใช้ความสามารถจีบเองล้วนๆ แล้วไอ้ศัตรูลึกลับนั้นมันเป็นใคร หรือว่าจะเป็นคนของจันทรเทพส่งมา ....แต่ยังไงก็ต้องขอบใจมัน ที่ช่วยให้แผนเรียกคะแนนความสงสาร เกิดขึ้นโดยที่ไม่ต้องดำเนินการใดๆเลยสักนิดเดียว

เมื่อสีทันดรพาทรงกลดลอยลับหายไปแล้ว ร่างสองร่างก็ปรากฏอยู่เหนือยอดไม้สูง คนหนึ่งนั้นหน้าตางามดุจหล่อมาจากเทวรูปสัมฤทธิ์ ใส่เพียงกางเกงขาสามส่วนเปลือยท่อนบน เผยแผงอกกำยำหนาแน่นรับลมเย็นๆเหนือยอดไม้ ไรผมยาวที่มวยมุ่นเหนือกลางศรีษะปลิวสะบัด เขาคนนั้นกล่าวขึ้นกับอีกคนที่ลอยอยู่ด้วยกันว่า

“เป็นไงล่ะ น้ำเชี่ยว ฉันบอกนายแล้ว ว่าไอ้คนนั้นมันไม่ธรรมดา”

“แล้วไง ธรรม์ ฉันไม่เห็นกลัว นายมาขัดจังหวะทำไม ฉันจะได้ออกแรงยืดเส้นยืดสายสักหน่อย” ผู้ที่ถูกเรียกว่าน้ำเชี่ยวกล่าวตอบ มือข้างขวากุมแขนซ้ายที่บาดเจ็บเล็กน้อย จากการปะทะเมื่อครู่ แล้วเลื่อนมือมาลูบริมฝีปากตน ใบหน้าที่ถูกคัดสรรจากส่วนประกอบที่สมบูรณ์แบบ ทำให้โครงหน้านั้น คือส่วนผสมที่ลงตัว เริ่มมีประกายสดใส ผมตัดสั้นจนเรียกได้ว่าสกินเฮดรับกับลักษณะโดยรวมของร่างกายที่สูงกำยำไม่แพ้คนข้างๆ แผงอกงามเปล่าเปลือยรับลมเช่นกัน

“เหอะ ถ้าไม่เข้ามา นายก็เสร็จไอ้คนนั้นมันแล้ว อย่ามาอวดเก่งเลยน้ำเชี่ยว แล้วมันคุ้มกันไหม กับการไปกอดไปจูบน้องเขาน่ะ”

“คุ้มสิธรรม์ อยากจะบอกว่า น้องเขาตัวหอมจะตาย คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก” น้ำเชี่ยวตอบได้โดยไม่ต้องคิด กลิ่นพระวรกายที่หอมกรุ่นยังคงหอมติดจมูกยามนึกถึง แต่นายน้ำเชี่ยวจะรู้หรือไม่ว่า การกระทำของเขาเมื่อครู่และการพูดถึงเทวะนาคาพระองค์น้อยมันเริ่มสร้างความเจ็บแปลบในหัวใจให้กับผู้ที่มีนามว่าธรรม์ยิ่งนัก ยิ่งตอนที่เขาเห็นอาการตกตะลึงตาค้างของน้ำเชี่ยวเมื่อตอนกลางวัน ยามเห็นเทวะนาคาพระองค์น้อยเสด็จ อาการวาบในใจเจ็บจี๊ดดั่งโดนเข็มเล่มน้อยสะกิดก็เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

“อย่างที่ฉันบอก ฉันว่า น้องเขาไม่ว่างสำหรับนายหรอกน้ำเชี่ยว อย่างน้อย ไอ้คนเมื่อครู่มันก็เป็นคู่แข่งของนายแล้ว ...และมันก็ร้ายไม่ใช่เล่น นายจงระวังตัวให้ดี หากคิดจะสานต่อ ฉันขอเตือน”

ธรรม์ข่มอารมณ์ความรู้สึกได้ดีเยี่ยม สีหน้ามิแสดงอาการใดๆ ความรู้สึกที่มีให้กับสหายข้างๆมันเกินคำว่าเพื่อน แต่ไฉนเลยจะต้องให้เขามารับรู้ หากรู้แล้ว ความสัมพันธ์อาจแปรเปลี่ยน จนบางที ความเป็นเพื่อนอาจคลอนแคลนและไม่เหมือนเดิม

“เรากลับที่พักกันเถอะ ฉันอยากอาบน้ำ และพรุ่งนี้เราก็ต้องตื่นแต่เช้า ตามพวกนั้นเข้ากรุงเทพเช่นกัน”

แล้วน้ำเชี่ยวกับธรรม์ก็สลายกลายเป็นรัศมีเจิดจ้า พวยพุ่งออกไปจากยอดไม้สูง ความมืดสนิทแผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบอีกครั้ง มิหลงเหลือรัศมีสว่างสีใดอีกทั้งสิ้น

ดวงดารากลางทองฟ้า ทอแสงระยิบระยับพราว รอบๆพระจันทร์ข้างขึ้นที่เริ่มจะเต็มดวงขึ้นทุกที แสงจันทร์สีนวลทอแสงสาดส่องออดอ้อนหยอกล้อหมู่ดาวอยู่อย่างนั้น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับทรงกลดที่กำลัง ‘อ้อน’ อยู่ ณ ขณะนี้

จันทร์เจ้าเอ๋ย....ใยเจ้าเล่ห์แสนกลนัก
ฤาเพราะรัก เจ้าทำได้ทุกสิ่งสรรค์
เจ้าหลงเงา รักน้องน้อย ของดวงตะวัน
เจ้าเพียงฝัน และใฝ่หา มิได้ครอง!!!!
 
รัศมีสีเขียวเจือทองห่อหุ้มรัศมีเหลืองนวลระเรื่อพุ่งปราดทะลุความมืดมิดแห่งรัตติกาลผ่านเข้าสู่นอกชานที่อัสดงและบรรดาเทวะน้อยทั้งหลายนั่งล้อมวงสนทนากันอยู่ โชคดีที่คุณแม่ของเอราวัตไม่อยู่ ณ ที่นั้นแล้ว มิฉะนั้นคงตกใจไม่น้อยกับการเสด็จมาถึงของเจ้านาคาน้อย

“พี่กลดบาดเจ็บ เร็วเข้าช่วยหน่อย” ทันที่ที่รัศมีเรืองรองจางหาย พระวรกายก็ปรากฏขึ้น ร่างของทรงกลดถูกประคองให้นั่งลงยังพื้นไม้สักที่ถูกขัดจนเงาระยับ อัสดงกับพวกหยุดสนทนาทันใดและกรูเข้ามาดูอาการแห่งอณูน้อยจันทรเทพ

“เกิดอะไรขึ้น ไอ้กลดเป็นอะไร ทำไมมันถึงโดนทำร้ายอีก เมื่อหัวค่ำมันยังรักษาตัวอยู่ในห้องไม่ใช่หรือ”

“เดี๋ยวค่อยตอบ ช่วยดูอาการพี่กลดก่อนเถอะ” พระทัยแห่งเจ้าน้อยเริ่มทรงเป็นห่วง ทรงกลดบาดเจ็บเพราะเข้ามาช่วยตน พระสุรเสียงจึงกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน แต่ก็ยังทรงมิกล้าสบตาดวงตาสีอำพันของอัสดงที่กำลังจ้องเขม็งมา

เอราวัตกับคืนฉายมิรอช้า พาทรงกลดเข้าห้องเพื่อรักษาตามคำขอ ทรงกลดยังคงสวมบทบาทคนเจ็บได้อย่างยอดเยี่ยม ในใจหวังว่าสีทันดรคงเสด็จตามเข้ามาด้วย แต่ก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง อัสดงกลับฉุดข้อพระกรแล้วลากสีทันดรไปอีกทางเสียนี่ ทรงกลดได้แต่นึกเจ็บใจ อะไรที่คาดการณ์ไว้ กลับผิดแผนไปเสียหมด ครั้นจะโวยวายอะไรก็มิได้เพราะกำลังแสดงบทบาทคนเจ็บอยู่ เดี๋ยวพวกนี้จะจับได้ว่า เจ็บไม่จริง จึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” อัสดงกล่าวมาอย่างเรียบๆ น้ำเสียงมิได้แสดงอาการโมโหหรือไม่พอใจอะไรทั้งสิ้น ทีท่าที่นิ่งเฉยทำให้สีทันดรทรงเย็นวาบทั่วพระวรกาย อัสสะเวลาโกรธน่ากลัวเหมือนกัน มิยักโวยวาย น่ากลัวประดุจเขาพระสุเมรุที่ยามอากาศจับตัวจนเป็นน้ำแข็ง นิ่งเงียบไม่ไหวติง .....อีกไม่ช้า ภูเขาน้ำแข็งลูกนี้คงปะทุขึ้นมาแน่ๆ หากทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

“ เดี๋ยวก่อนได้ไหม อัสสะ ขอไปดูอาการพี่กลดก่อน เขาบาดเจ็บ” สีทันดรทรงบ่ายเบี่ยง หาทางเลี่ยงเพราะมิอยากถูกอัสสะซักไซ้ไล่เลียงมาตอนนี้

“ไอ้พระพุธกับไอ้พระศุกร์มันดูแลแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ....มานี่ เดี๋ยวนี้” อัสดงลากพระวรกายน้อยๆหลุนๆ ตามติดเข้าไปในห้องส่วนตัว เอาแล้วไง ภูเขาน้ำแข็งเริ่มทลายลงมาแล้ว แต่ก่อนจะเข้าไป เจ้าพระอาทิตย์รูปงามที่แปรเปลี่ยนรัศมีเป็นเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาสั่งความให้คันฉัตรกับราหูช่วยตรวจดูม่านอาคมอีกครั้งและหาร่องรอยของศัตรู

“นายสองคนช่วยตรวจดูอีกที ...เดี๋ยวฉันมา”

“ได้เลยเพื่อน” คันฉัตรกับราหูรับคำ ต่างนึกในใจว่า “ไอ้ดื้อ ไม่รอดแน่...เห็นที ไอ้อัสดง มันคงจัดชุดใหญ่ให้เป็นแน่แท้ เล่นเอามันโกรธจนเงียบขนาดนี้”

แล้วทันทีที่ประตูห้องปิด ภูเขาน้ำแข็งก็เริ่มปะทุตามที่ทรงคาดเดา .....กลายเป็นผู้พิพากษา ชำระความทันใด “เกิดอะไรขึ้น ไหนเล่ามาสิ”

จำเลยตาฟ้าครามเริ่มพระพักตร์เสีย ก้มหน้าก้มตา มิกล้าสบตาของผู้พิพากษายามทรงถูกสอบสวน แต่ก็ทรงฝืนตอบด้วยพระสุรเสียงอ่อยๆว่า “เรา...ผิดเอง แอบออกไปข้างนอกกับรักยม แค่แถวๆนี้เอง ไม่คิดว่าจะมีศัตรูซ่อนอยู่ เลยเกิดเรื่อง”

“แถวๆนี้ น่ะไปถึงไหน ไปกับไอ้กลดใช่ไหม” อัสดงไม่อยากระแวง แต่ก็อดไม่ได้จริงๆนี่นาที่จะคิดเช่นนั้น

“ไม่ใช่นะ...เราไปของเรากับรักยม พี่กลดตามไปได้ไงเราก็ไม่รู้ เราแค่ชวนรักกับยม ไปเดินเล่นงานวัด ไม่เชื่อลองถามรักยมดูสิ”

“อะไรนะ ออกไปจนถึงงานวัด” อัสดงเริ่มขึ้นเสียง แล้วเดินหน้าเข้ามาหา จนพระวรกายน้อยๆต้องเดินหนีถอยหลังจนพระปฤษฎางค์ชิดติดผนัง ทางหนีคงไม่มีแล้ว “ไหน ไอ้รัก ไอ้ยม อยู่ไหน ออกมาสิ”

สิ้นเสียงของอัสดง เจ้ารัก เจ้ายม ก็ปรากฏกายออกมา ทั้งเนื้อทั้งตัวมอมแมมเต็มไปด้วยดินโคลน ก็แน่ล่ะเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองถูกศัตรูลึกลับซัดเสียจมดินนี่ “เรื่องจริงครับพี่พระอาทิตย์ เราไปกันสามคน พอดีพี่ดื้อโดนลอบทำร้าย เราสองคนก็ถูกซัดเสียจมดิน จะรีบมาบอก ตอนนั้นก็ยังลุกไม่ขึ้น ”

อัสดงหันมามองเจ้ารักยม ก็เห็นได้ว่า มันไม่มีพิรุธใดๆทั้งสิ้น แถมสภาพของมันยังบ่งชัดว่าถูกซัดเสียน่วม จึงสั่งให้มันออกไปได้ เรื่องศัตรูคลายได้แล้วไปเปราะนึง แล้วเรื่องไอ้พระจันทร์ล่ะ มันน่าสงสัย ไอ้นั่นมันออกไปช่วยได้ทันได้อย่างไร มันควรจะอยู่รักษาตัวในห้องไม่ใช่หรือ เรื่องนี้จะปล่อยให้ค้างคามิได้อีกต่อไป

“เพราะความดื้อ ความซนของเจ้าแท้ๆ เลยเกิดเรื่อง ทีหลังอย่าหนีไปไหนอีก อยากไปไหนให้บอกอัสสะ แต่อัสสะก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกเจ้าเสียแต่ต้นว่าคืนนี้ห้ามออกไปไหน เอาล่ะ เรื่องหนีเที่ยวเก็บไว้ก่อน ทีนี้เรื่องไอ้กลด มันออกไปช่วยเจ้าได้ยังไง ตอบให้ดีๆนะ”

อัสดงประชิดตัวจนเจ้านาคน้อยยอดดวงใจไม่มีทางหนี แถมแขนของเขาก็ยังกางกั้น ปิดทาง ...สีทันดร หมดโอกาสหนีการถูกซักฟอกเสียแล้ว คนบ้านี่ เวลาโกรธน่ากลัวจัง น้ำเสียงเรียบๆ เหมือนน้ำในบึงสงบที่ไม่รู้ว่าซ่อนอะไรอยู่ข้างใต้ ทำให้ทรงหวาดหวั่น เล่าความจริงไปเสียเถิด ....แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งหมด หากเขารู้หมดว่าทรงถูกใครที่ไหนไม่รู้ลวนลามมาด้วย มีหวังบ้านพี่พระพุธคงแตก....

“ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ไง เขาแค่มาช่วยเราไว้ได้ทัน เราว่าเจ้าไปถามเจ้าตัวเองดีกว่า ...แต่คนที่ลอบทำร้ายเรานั่น ฤทธิ์ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะ ปานประหนึ่งเทวะเลยทีเดียว เราเองก็เห็นไม่ชัด รู้แต่ว่า มีสองพลังงานอยู่ ณ ตรงนั้น”

พระเนตรฟ้าครามใสแป๋วเริ่มกล้าที่จะจ้องกลับดวงตาสีอำพัน ทรงหาวิธีเปลี่ยนเรื่องด้วยไหวพริบ แต่อัสดงนั้นหรือจะหลงกล แต่ในเมื่อจับพิรุธอันใดมิได้และไม่อยากระแวงคนรัก จึงเลิกซักไซ้ไล่เลียง ...เดี๋ยวไปถามไอ้กลดก็รู้  ไอ้ดื้อคงไม่น่าห่วง ...ส่วนไอ้พระจันทร์นี่สิ ไม่ไว้ใจมันเลยสักนิด ....ความระแวงหายไปแล้วก็จริง แต่ความขุ่นมัวยังคับแน่นในอก อัสดงจึงหันหลังกลับ ปล่อยจำเลยให้เป็นอิสระ ผลการพิพากษาครานี้ แม้ศาลจะจำยอมตัดสินให้จำเลย “บริสุทธิ์” ทุกข้อกล่าวหา แต่อย่างไรซะ ก็ต้องมีทัณฑ์บนนิดๆหน่อยๆ เด็กดื้อจะได้หลาบจำ

สีทันดรทรงรู้ยิ่งกว่ารู้ว่าเจ้าพระอาทิตย์ยอดดวงใจ ยังมิสบอารมณ์เท่าใดนัก ว่าแล้วจึงทรงใช้ลูกอ้อนที่มีทั้งหมด โผกอดเจ้าพระอาทิตย์จากทางด้านหลังพระพักตร์งามงดแนบชิดติดแผ่นหลังกว้าง อาการอ้อนแบบนี้มิเคยทรงทำกับผู้ใดมาก่อนนอกจากทูลหม่อมพี่ชาย บัดนี้มีอัสดงเพิ่มเข้ามาอีกคน.....และจะไม่มีใครอื่น ที่จะทรงยอมทำเช่นนี้

‘เรื่องนี้เราผิด ง้อเขาหน่อย...ผู้ชายคนนี้นี่ก็แปลกเวลางอน ก็ดูดีไปอีกแบบ’ สีทันดรทรงเปรยในพระทัยเช่นนั้น แล้วจึงตรัสกับคนขี้งอนว่า

“อัสสะ...เรื่องนี้เราผิดเอง อัสสะอย่าโกรธเรานะ เราขอโทษ จะทำโทษเราอย่างไรก็ได้ แต่อย่านิ่งแบบนี้เลย เราใจไม่ดี”

“เจ้าใจไม่ดี ...แต่อัสสะนี้สิ ใจหาย หากเจ้าโชคไม่ดีอย่างวันนี้ เจ้าเป็นอะไรขึ้นมา อัสสะคงขาดใจ” อัสดงหันหน้ากลับมาอีกครั้งเชยคางเจ้ายอดดวงใจขึ้นมา ดวงตาสีอำพันสอดประสานพระเนตรฟ้าคราม ที่ฉายแววแห่งการสำนึกผิด เขาประทับจูบลงไปกลางนลาฏเกลี้ยงเกลาอย่างแผ่วเบา แล้วกล่าวต่อขึ้นว่า “อย่าทำอีก สัญญาได้ไหม”

“เราสัญญา” สีทันดรทรงซบพระพักตร์กับแผงอกกว้าง อกอุ่นนี้ซบลงทีไรก็ทำให้ชื่นพระทัยทุกครา ดั่งที่ทรงเคยรู้สึกและจะไม่มีทางแปรเปลี่ยนเป็นอื่น

 “เราคงจะไม่โดนทำโทษใช่ไหม” พระสุรเสียงยังคงหวั่นๆ ตรัสถามงุบงิบ เพราะอาการนิ่งไม่ไหวติงของอัสดงนั้น มิเคยพบ มิเคยเห็น เคยแต่ได้ยินว่าถ้าเขาคนนี้โกรธ เพลิงแห่งสุริยเทพจะปรากฏและเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว แต่ครั้งนี้แปลกและดูน่ากลัวยิ่งนัก สู้เจ้าโวยวายออกโขนเหมือนเดิมยังจะดีกว่า

“ใครบอกว่าจะไม่โดนล่ะ ....ทำผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ฉะนั้นโทษก็ต้องหนักตามไปด้วย”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง อัสดงก็ใช้แขนขว้างขวาตวัดข้อพระบาทแล้วโอบอุ้มพระวรกายน้อยๆเข้าสู่อ้อมอก เขาไม่รอช้าที่จะมุ่งหน้าไปยังเตียงขาวสะอาดตา แล้วบรรจงวางวรองค์นักโทษน้อยลงบนนั้น สีทันดรทรงรู้ได้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น ‘เอาอีกแล้ว อัสสะเริ่มเกเรมาอีกแล้ว’

“อย่าบอกนะว่า โทษเราคือแบบนี้”

“แล้วจะให้แบบไหน ตีเจ้าเหรอ อัสสะขี้เกียจไปหาไม้เรียว สู้ใช้ไม้ที่อัสสะมีอยู่แล้วดีกว่า อย่าขัดขืน มิฉะนั้นโทษจะหนักเป็นสองเท่า”

สีทันดรทรงรู้ยิ่งกว่ารู้ว่า ‘ไม้ ที่เขามีอยู่แล้ว’ คืออะไร อาการโมโหของผู้พิพากษาจางหายกลายเป็นอารมณ์เจ้าชู้เข้ามาแทนที่ สีทันดรหลีกหนีไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวโทษจะหนักเป็นสองเท่า ถึงจะไม่โดนตีจนขึ้นแนว.....แต่ไม้ที่เขาจะใช้หวด ก็น่าจะทำให้สะดุ้งสุดพระวรกายเฉกเช่นเมื่อคืน

“คนเกเร...ชอบฉวยโอกาสไม่มีใครเกิน”

สีทันดรตรัสได้แค่นั้น ก็ทรงยอมรับโทษานุโทษที่เจ้าพระอาทิตย์รูปงามกำลังจะมอบให้ ถ้าดื้อแล้วโดนอย่างนี้ ต่อไปจะไม่ดื้ออีกแล้ว ....ฤาจะดื้อให้หนักข้อยิ่งกว่าเดิมดี สีทันดรจะรู้องค์เองไหมว่า ทรงเริ่ม ‘ติดพระทัย’ วิธีการทำโทษอย่างถอนองค์ไม่ขึ้น

ร่างกายกำยำของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดนามน้ำเชี่ยว บัดนี้ยืนตระหง่านภายใต้ฝักบัวที่เปิดน้ำซัดสาดจนแรงสุด สายน้ำอุ่นๆเริ่มชำระชะล้างสิ่งสกปรกคราบไคลที่สะสมมาทั้งวัน ถึงแม้จะชำระร่างกายอย่างไร แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวไม่อยากล้างออก นั่นก็คือกลิ่นพระวรกายที่หอมเสียยิ่งกว่าหอม กลิ่นนั้นติดกายตรึงใจ มาจนถึงวินาทีนี้

แรกเริ่มเดิมทีของวันนี้ เขาตั้งใจเพียงแค่จะหยอกล้อเล่นๆ ....แต่ก็ห้ามใจไม่อยู่ จึงเผลอกอดแถมจูบไปเสียหลายฟอด น้องนาคน้อยตนนั้นงามเกินกว่าจะเป็นเทวบุตร เวลาขัดขืนแถมพยศดูน่ารัก อันพระเนตรฟ้าครามใส ยิ่งจ้องมองก็งามเกินกว่าดาราดวงใดๆ

ละอองน้ำกระจายกว้างเม็ดใหญ่ๆ ยังคงซัดสาดร่างเปล่าเปลือยอยู่อย่างนั้น จับทั่วทุกตารางนิ้ว ไหลลัดเลาะไปตามส่วนโค้งมนของมัดกล้ามและแผงอกสมส่วนได้รูป ป่าทึบรกชัฏกลางร่างกายเปียกปอนจนเอนลู่ทำให้บางสิ่งดูเด่นชัดขึ้น และเริ่มยืดขยายเพราะเจ้าตัวใช้มือขัดถูไปตามความยาวนั้น ซึ่งถ้าจะวัดจากโคนถึงปลายที่เริ่มชูชัน ก็นับได้ว่าเป็นส่วนที่งามไร้ตำหนิ กลิ่นพระวรกายหอมกรุ่นยังติดตัวระเรื่อ ยามสูดเข้าปอดส่งผลให้ส่วนนั้นเหยียดตรง ผงาด ท่ามกลางสายน้ำจากฝักบัว

“เจ้านาคน้อย...เจ้ามาอยู่กับพวกนั้นได้อย่างไรกัน เราไม่ใช่มารต่ำช้าอย่างที่เจ้ากล่าวหาซะหน่อย เห็นที...เราคงต้องรีบแสดงตัวซะแล้ว เพื่อที่เราจะใกล้ชิดเจ้าได้มากกว่านี้”

น้ำเชี่ยวคิดคำนึงพร่ำบ่นอยู่กับตัวเองเบาๆ มิทันสังเกตว่า ใครบางคนเข้ามายืนอยู่ภายใต้ฝักบัวเดียวกัน และใครคนนั้นก็ทำลายภวังค์ฝันของเขาจนหมดสิ้น “ยังไม่ถึงเวลาน้ำเชี่ยว....รออีกนิด”

เขาคนนั้น คือ ธรรม์นั่นเอง!!

น้ำเชี่ยวหยุดกิจกรรมที่ทำค้างไว้ทันใด เพราะเจ้าเพื่อนสนิทแทรกตัวเข้ามาอาบน้ำภายใต้ฝักบัวเดียวกัน ปกติเขาทั้งสองก็เปลือยกายอาบน้ำด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่วันนี้ น้ำเชี่ยวดันมีกิจกรรมพิเศษและก็ไม่คิดว่าธรรม์จะเข้ามา เขาจึงรู้สึกเขินเพื่อนยิ่งนักแต่ธรรม์ก็บอกมาว่า “ไม่ต้องอายหรอก เรื่องธรรมชาติน่า น้ำเชี่ยว ถ้านายเขิน เดี๋ยวฉันทำเป็นเพื่อนก็ได้”

“ไอ้บ้าธรรม์ ...ฉันไม่ชอบเล่นว่าวหมู่”น้ำเชี่ยวเอี้ยวตัวหลบ เปลี่ยนเอามือมาปิดส่วนนั้นของเขากันไม่ให้สหายเห็น แต่ปิดอย่างไร ก็ยังมีส่วนปลายแข็งตรงยื่นโผล่พ้นฝ่ามือมา

“จะปล่อยให้ค้างไว้ทำไม....เพื่อนกันไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันก็ออกบ่อย” ธรรม์กล่าวยิ้มๆ ปากพูดไปอย่างนั้น ในใจกลับรู้สึกไปอีกทาง แรกเริ่มเดิมทีที่เจอน้ำเชี่ยว ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร ....พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกพิเศษเริ่มจากความห่วงใยก็ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ...จนกลายเป็นใยสิเน่หาอันบางเบา และเขาเองก็เพิ่งสัมผัสได้ แต่จะไม่มีทางให้น้ำเชี่ยวรู้ “มาให้ฉันช่วยนายเถอะ นายกำลังต้องการฉันรู้”

ร่างกายสูงสง่าเริ่มเปียกปอนไปด้วยน้ำจากฝักบัว ผมยาวที่เคยมัดเป็นมุ่นมวยอยู่กลางศรีษะ เริ่มคลาย ไรผมเปียกชุ่มเริ่มคลอเคลียปกหน้า ร่างกายเปล่าเปลือยเดินเข้าหาสหายเจ้าของผมทรงสกินเฮด เจ้าตัวนั้นยังคงเอามือปิดบังส่วนกลางร่างกายอยู่ แต่อวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกนั้น ยิ่งปิดยิ่งบังก็กลับยิ่งแข็ง ธรรม์ได้แต่หัวเราะหึๆในอาการของสหาย “เหอะน่า .....ดีกว่าชักเอง ฉันทำให้ดีกว่า”

เหมือนกับทั้งชีวิตของธรรม์รอคอยวาระนี้มานานแล้ว โอกาสที่จะได้ช่วยน้ำเชี่ยวให้คลายเหงา ปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างออก น้ำเชี่ยวเองเริ่มจะทานอารมณ์ตัวเองวาบหวามไม่ไหว หัวใจเต้นระส่ำ ในเมื่อเขาได้มายืนอยู่ปลายเชิงผาแห่งความหฤหรรษ์แล้ว ใยจะไม่ลองกระโดดลงไปดูสักครั้ง ....ดีกว่าถอยหลังกลับทางเดิม เลือดในกายเริ่มพุ่งขึ้นสูบฉีดทั่วใบหน้า แล้วเสียงตะกุกตะกักของน้ำเชี่ยว ก็กล่าวออกมาว่า

“ละ ลอง ดูก็ได้ แต่แค่ชักนะ”

เท่านั้นแหละ มือใหญ่ๆของธรรม์ก็เลื่อนมากุมอยู่เหนือป่าทึบกลางลำตัวของน้ำเชี่ยว น้ำเชี่ยวปลดมือตัวเองออกไปแล้ว ปล่อยให้ธรรม์ทำงานได้อย่างเต็มที่ ธรรม์เบี่ยงตัวมากอดน้ำเชี่ยวจากทางด้านหลัง แผงอกกำยำสัมผัสกับแผ่นหลังแข็งแรง มือที่ค่อยๆขยับเข้าขยับออกทำให้น้ำเชี่ยวหลับตาพริ้ม มันดีกว่าชักเองจริงๆด้วย ส่วนปลายสีชมพูสดเริ่มเสียวซ่าน ลมหายใจอ่อนๆของธรรม์เริ่มกระทบบริเวณติ่งหู มือของน้ำเชี่ยวจับต้นขาธรรม์ไว้แน่น อาการเสียวซ่านเริ่มเพิ่มขึ้นมาเป็นระยะ  แล้วมือของน้ำเชี่ยวนั้น ก็คว้าหมับเอาเข้ากับส่วนกลางของธรรม์ที่เริ่มจะแข็งไม่แพ้กัน เขาไม่อยากเอารัดเอาเปรียบใคร ......ธรรม์เองพอโดนเข้าก็คุมอารมณ์ตนไม่อยู่เช่นกัน อารมณ์วาบหวามของทั้งสองที่ใช้มือผลัดกันช่วย ถ้าเรียกอย่างภาษาชาวบ้านก็คงถึงขั้นกระเจิดกระเจิงแล้ว

ด้วยความที่ธรรม์กอดอยู่ทางด้านหลังจึงทำให้น้ำเชี่ยวช่วยได้ไม่ถนัด ทั้งสองจึงลงนอนแผ่หลากลางห้องน้ำ ครานี้ต่างคนต่างทำงานได้ถนัดยิ่งขึ้น ในชั่วแวบแห่งความคิดของธรรม์ หากเขาจะช่วยน้ำเชี่ยวให้เสียวซ่านยิ่งกว่าเดิม จะดีไหม ในเมื่อลมสวาทก็พัดแรงจนถึงขีดสุด...เอาล่ะไม่ลองไม่รู้

แล้วธรรม์ก็ตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำให้ใคร นั่นคือครอบปากลงไปจนมิดโคน จมูกแทบจะชิดติดกับป่าทึบสีดำ น้ำเชี่ยวปรือตาขึ้นทันใด เพราะรู้สึกถึงอาการอุ่นๆที่ปลายอวัยวะนั้นตลอดทั้งลำ คราครั้งแรกเพียงตกลงกันว่าจะใช้มือช่วย แต่ตอนนี้มันกระเจิดกระเจิงจนควบคุมไม่อยู่แล้ว มิควรจะขัดขืนใดๆทั้งสิ้น ธรรม์ก็มิอยากจะเชื่ออานุภาพของการทำงานด้วยปากตนว่าจะเรียกเสียงครวญครางได้ดังลั่น เจ้าน้ำเชี่ยวเกร็งไปทั้งตัว มือจิกมุ่นผมยาวของธรรม์กระจาย กล้ามเนื้อเริ่มเกร็งทุกสัดส่วนจนถึงปลายเท้า กระแทกหน้าท้องแข็งแรงแบนราบ เด้งกระทบใบหน้าธรรม์อย่างไม่หยุดยั้ง จนสัมผัสได้กับผนังลำคอที่ตอดอย่างเป็นจังหวะถี่ยิบ......พิศสวาทดำเนินมาจนถึงขีดสุด แล้วน้ำเชี่ยวก็ปล่อยสิ่งที่คั่งค้างออกมาด้วยความเร็วสูง แรงยิ่งกว่าน้ำทะลักคนกั้นน้ำใดๆ

“สะ สะ.... สุดยอด”

ธรรม์รู้สึกได้ถึงสายน้ำหลายระลอกที่พุงกระทบผนังลำคอและไหลนองจนเต็มปาก เสียงกระเส่าของน้ำเชี่ยวยังไม่จางหาย

“นายช่วยฉันแบบนี้ทำไม ธรรม์”

“เราเพื่อนกัน เพื่อนาย ฉันทำได้ทุกอย่าง เราอาบน้ำต่อกันเถอะแล้วจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้เราสองคนต้องตื่นแต่เช้าตามพวกนั้นเข้ากรุงเทพ ...วันนี้เราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว” ธรรม์ล้างปากด้วยน้ำจากฝักบัว ก่อนกล่าวตอบน้ำเชี่ยว และอาบน้ำต่อ

น้ำเชี่ยวเริ่มรู้สึกถึงทีท่าแปลกๆของธรรม์แต่ก็ยังเก็บอาการและความรู้สึกไว้ ทำไมธรรม์ถึงได้ช่วยตนแบบนี้ “ขอบใจ...แต่นายยังไม่เสร็จเลยนี่”

“ไม่ต้องหรอกน้ำเชี่ยว แค่ช่วยนายได้ระบาย ฉันก็พอใจแล้ว”

คำตอบของธรรม์เล่นเอาน้ำเชี่ยวฉงนฉงายเข้าไปใหญ่ เพราะอะไรกัน น้ำเชี่ยวสลัดความคิดวุ่นวายออก แล้วจึงลุกขึ้นมาอาบน้ำให้เสร็จในใจเริ่มคิดไปเรื่อย สักวันต้องหาคำตอบเอาจากธรรม์ให้ได้ ว่าที่ทำแบบนี้นั้น .....ธรรม์ทำเพื่ออะไร นายคิดว่าฉันเป็นเพื่อนนายจริงหรือ อย่าบอกนะว่ามันมีมากกว่านั้น ธรรม์!!


หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 03-10-2019 11:23:09
เมื่อสีทันดรโดนอัสดงลงโทษจนหนำใจแล้ว เจ้าพระอาทิตย์รูปงามก็กลับกลายเป็นคนเดิม ดวงตาเจ้าเล่ห์ซุกซนสีอำพันยังคงหยอกล้อพระเนตรฟ้าครามสวย ยามเดินออกมาจากห้องพระบรรทม คราวนี้อัสดงตามประกบแจ เพราะกลัวว่า เจ้านักโทษหัวใจจะเสด็จหนีไปเที่ยวที่ไหนอีก

ราหูกับคันฉัตรกลับมาจากการสำรวจร่องรอยของศัตรูแล้วแต่ทั้งสองก็คว้าน้ำเหลว เพราะศัตรูหาทิ้งร่องรอยอันใดไว้ไม่ นอกจากร่องรอยแห่งการสู้รบที่มาจากพลังของทรงกลดและสีทันดร

“เหลวว่ะ....หารอยอะไรไม่ได้เลย นอกจากรอยแส้ของน้องดื้อ และก็รอยดาบของไอ้กลด”

“ช่างมันเหอะราหู ฉันเชื่อว่าพวกมันต้องกลับมาอีกแน่ๆ เราเตรียมรับมือพวกมันให้ดีแล้วกัน ตอนนี้เข้าไปดูอาการไอ้กลดกันเถอะ” อัสดงกล่าตอบราหูและพยักเพยิดชวนกันเข้าไปเยี่ยมอณูน้อยแห่งพระจันทร์จอมมารยา

เอราวัตและคืนฉาย ถ่ายพลังให้ทรงกลดเสร็จสิ้นพอดีเมื่อสหายเทวะเข้ามาเยี่ยม ทรงกลดซึ่งจริงๆก็แค่เจ็บเล็กน้อย ครั้นพอได้พลังจากพระพุธและพระศุกร์ก็ทำให้ เจ้าตัวรัศมีเรืองรองยิ่งขึ้น

“มันไม่เป็นอะไรมากแล้ว แค่มันใช้พลังมากไปทั้งๆที่ยังไม่หายดี” คืนฉายรายงานผลการรักษาให้เพื่อนๆทราบ ทำให้ทุกคนโล่งใจ

“แล้วนายไปช่วยไอ้ดื้อไว้ได้อย่างไร” อัสดงไม่รอช้ารีบยิงคำถามที่ค้างคาใจมาทันที

“ฉันเห็น น้องดื้อ ออกไปกับไอ้รักไอ้ยม เลยเป็นห่วงแอบตามไป” ทรงกลดไม่แสดงสีหน้าพิรุธใดๆทั้งสิ้น แอบบริกรรมมนตราบังความคิดในใจมิให้เอราวัตจับได้ในความจริงที่ว่า จันทรเทพคือผู้ทรงสร้างสถานการณ์ดลใจให้น้องดื้อหนีเที่ยวเพื่อที่จะไปเจอกับเขาที่งานวัด

“แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน” อัสดงถามเสียงเข้ม

“แล้วทำไมจะต้องบอกนาย” ทรงกลดตอบกลับด้วยเสียงนิ่งๆ มิเหลือเค้าความอ่อนโยน อัสดงได้ฟังก็กำหมัดแน่น อยากจะต่อยปากไอ้พระจันทร์มันสักที แต่ในเมื่อมันไปช่วยสีทันดรจากศัตรู จะยอมให้มันสักครั้ง

“ทีหลังก็หัดดูแลแฟนนายดีๆหน่อยไอ้พระอาทิตย์ เนี่ยเห็นไหม ไอ้กลดมันเจ็บตัวเลย” คันฉัตรหันมากล่าวกับอัสดงแล้วขยี้พระเศียรเจ้านาคาน้อยกึ่งระอากึ่งเอ็นดู “ทั้งดื้อทั้งซนเลยนะเรา  ไงพี่อัสดงทำโทษไปกี่ที”

“พี่ฉัตรอ่ะ ...ผมเรายุ่งหมดแล้ว” สีทันดรตีมือคันฉัตรไปหนึ่งที แล้วเสด็จเข้าประชิดเตียง ถามอาการทรงกลด ซึ่งทำให้คนแกล้งเจ็บหัวใจพองโตคับฟ้า “ พี่กลดเป็นอย่างไรบ้าง ....เพราะเราพี่เลยเจ็บตัว เราขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับ เพื่อน้องดื้อ แม้ชีวิตพี่ก็สละให้ได้” น้ำเสียงอ่อนโยนกลับคืนมาหาทรงกลดอีกครั้งยามกล่าวตอบเจ้านาคาน้อย เพียงพระหัตถ์น้อยกุมมือเขาไว้ เขาก็รู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ท่าทางพี่กลดของเจ้าคงจะหายจริง ถึงได้พูดจาน้ำเน่า มานี่ มาหาอัสสะ” อัสดงฉุดข้อพระกรเจ้านาคาน้อยออกมาทันใด ทรงกลดก็ไวไม่แพ้กันฉุดข้อพระกรอีกข้างไว้มั่น ต่างคนนต่างดึงเจ้านาคา มาแนบออกตน “เราเจ็บนะ”

“เฮ้ยยยยย พอๆ เดี๋ยวน้องดื้อเจ็บตัวกันพอดี มึงสองคนทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้” เอราวัตเข้ามาห้ามทัพ แล้วแย่งน้องดื้อออกมาจากพระอาทิตย์กับพระจันทร์ มาฝากไว้กับคืนฉาย คันฉัตรและราหู “เสน่ห์แรงจริงจิ๊งงงงง เจ้านี่”

“แทนที่จะคุยกันเรื่องศัตรู กับมาหึงบ้าหึงบออะไรกันอีก นายสองคนนี่ไม่ไหวเลย” คันฉัตรส่ายหน้าถอนหายใจ อัสดง ทรงกลดจึงยุติข้อพิพาทกันไว้ชั่วคราว

“นายเห็นไหมว่าศัตรูเป็นใคร” ราหูถามขึ้น

“ไม่เห็น รู้แต่ว่ามันมากันสองคน ที่สำคัญพลังมันพอๆกับพวกเราทีเดียว”

“งั้นก็คงจะได้สนุกกันอีกแล้ว ....ขอให้มันโผล่หัวมาอีกเหอะจะซัดให้น่วมเลย” ราหูกล่าวมาอย่างเข็ดเขี้ยวเคี้ยวพัน คันฉัตรร้องเตือนทันทีว่า

“นายนี่ยังประมาทเหมือนเดิมเลยนะราหู นายลองคิดดูสิ หากมันเล่นเอาไอ้กลดบาดเจ็บถึงสองครั้งสองครา นายว่ามันธรรมดาไหม”

“จริงอย่างที่ไอ้ฉัตรว่า ....ดีแล้วที่พวกเรากลับกรุงเทพกันพรุ่งนี้ ฉันไม่อยากให้คนที่บ้านเอราวัตเดือดร้อน นายเดินทางไหวนะกลด” คืนฉายกล่าวเสริมคันฉัตรและหันมาถามทรงกลดด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบทันใดว่า “สบายมาก”

“งั้นก็ดี อย่าไปตายห่าเสียกลางทางก็แล้วกัน” อัสดงกล่าวแทรกขึ้นมา เล่นทำเอาคนที่ถูกพาดพิงถึงอย่างทรงกลดแทบจะลุกขึ้นมาต่อยปาก สีทันดรด้วยความรำคาญจึงซัดอัสดงไปเสียหนึ่งที

“อัสสะ พี่กลดเขาอุตส่าห์ช่วยเราไว้ ยังไปว่าเขาอีก”

“เรื่องของมันสิ....ว่าแต่พวกเรา แยกย้ายกันไปพักผ่อนเหอะ ก่อนนอนอย่าลืมตรวจตราเขตอาคมกันอีกครั้งแล้วกัน” อัสดงกล่าวมาอีกครั้งแค่นั้น ก็จูงข้อพระกรไอ้ดื้อออกมาจากห้องพักของทรงกลด ก่อนออกไป เขาก็ต้องหันขวับเพราะทรงกลดส่งกระแสจิตมาถึงเขาโดยตรงว่า “อย่าให้ถึงทีกูบ้างแล้วกันไอ้พระอาทิตย์”

และอัสดงก็โต้ตอบได้อย่างทันควันว่า “กูจะรอดูวันนั้นของมึงไอ้พระจันทร์”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 03-10-2019 11:29:03
ดึกสงัดแล้ว อณูแห่งเทวะน้อยทั้งหลายต่างก็เข้าห้องพักผ่อนไปกันหมด แต่ทรงกลดยังหลับตาไม่ลง ด้วยเพราะอารมณ์หงุดหงิดขุ่นมัวที่แผนการที่จันทรเทพวางไว้ให้ ‘ล่ม’ ไม่มีชิ้นดี บรรยากาศภายนอกขณะนี้ช่างเงียบเหงาวังเวงยิ่งนัก ทรงกลดลุกจากเตียงขึ้นมายืนเกาะขอบริมหน้าต่างเหม่อมองออกไปในความมืดมิด พระจันทร์จุดกำเนิดแห่งเขาคืนนี้ทอแสงซีดหากแต่ไม่อีกกี่วัน จะถึงจันทร์เต็มดวง ยามนั้นแสงจันทร์จะทอประกายจ้า และอำนาจแห่งเขาจะถึงขีดสุด คาดว่ายามนั้นใครก็คงมาขวางเขาไม่ได้ โดยเฉพาะ สุริยเทพ

ลมหนาวยามดึกเริ่มพัดกรูโชยชาย ใบไม้แห้งๆ หล่นลงกระทบหลังคายามลมพัดทำให้ดังแกรกกราก บรรยากาศยามดึกอันเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ เขาเหงายิ่งนัก

“น้องดื้อ หากถึงวันของพี่เมื่อไร พี่จะไม่มีทางปล่อยเจ้าให้หลุดจากอกพี่เป็นอันขาด”

“มายืนคร่ำครวญอย่างนี้ มันจะไปได้เรื่องอะไรไอ้น้องชาย”

ทรงกลดหันขวับแล้วทรุดกายลงบังคมทันที่ที่เห็นว่าใครเสด็จมา “จันทรเทพ”เสด็จลงมาอีกแล้ว “ทรงเข้ามาได้อย่างไร พวกนั้นมันกั้นอาคมไว้ แต่เสด็จมาก็ดีแล้ว ทรงช่วยหม่อมฉันด้วย”

“เหอะม่านอาคมเด็กๆจะขวางเราได้งั้นเหรอ แล้วไง อยากสู้อย่างวิถีลูกผู้ชายแล้วมันสำเร็จไหม” จันทรเทพทรงถามขึ้นอย่างไม่รอและไม่ต้องการคำตอบ แล้วทรงกล่าวต่อไปว่า “นี่เห็นว่าเจ้าเป็นอณูแห่งเราหรอก เราเลยช่วย....เอาล่ะ ในเมื่อลองมาหลายวิธีแล้วไม่ได้ผล เห็นทีจะต้องใช้วิธีรวบหัวรวบหาง....เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม และไปรอเราอยู่นอกชาน”

“จะทรงทำอะไร หากจะทำเสน่ห์อีก หม่อมฉันไม่ต้องการ หม่อมฉันอยากให้น้องดื้อรักหม่อมฉันอย่างใจจริง” ทรงกลดทูลขึ้นทันควันและยังคงยืนกรานที่จะใช้วิธีอย่างลูกผู้ชาย

“เจ้านี่มันไม่ได้ดั่งใจเราซะเลย เฮ้อ....เอาเหอะ เราไม่ทำเสน่ห์เจ้านาคน้อยนั่นหรอก เราแค่จะพาเจ้านาคน้อยให้ไปอยู่กับเจ้าสองต่อสอง และตอนนั้นเจ้าก็ใช้ความสามารถของเจ้าเองตามใจเจ้าปรารถนาแล้วกัน ไปได้แล้ว”

ทรงกลดยังแคลงใจกับแผนการแผนใหม่ของจันทรเทพ แต่เขาก็ไม่กล้าทูลถามใดๆอีกทั้งสิ้น เดี๋ยวกริ้วขึ้นมาอาจจะไม่ทรงช่วย เขาจึงรีบออกไปรอด้านนอกตรงนอกชานตามรับสั่ง

แล้วรัศมีเหลืองนวลที่แรงกล้ายิ่งกว่าของทรงกลดก็เปล่งประกายวาบกำจายไปทั่วสารทิศ ภายใต้รัศมีเหลืองนวลนั้นเจือไปด้วยมนต์สะกดที่ใครโดนเข้าก็ต้องอยู่ในสภาวะหลับใหลไม่ได้สติ แสงนวลกำจายนั้นสว่างวาบไปทั่วทุกห้อง เข้าจับร่างแห่งเทวะน้อยๆ ทั่วทุกคนไม่เว้นแม้แต่อัสดงที่กำลังนอนกอดเจ้านาคน้อยอย่างเป็นสุข แต่แสงนวลนั้น ยามกระทบพระวรกายกลับมิทำให้บรรทมสนิทเช่นคนอื่นๆ กลับทำให้สีทันดรเสด็จลุกขึ้นจากพระที่ เดินออกมาจากห้องพระบรรทมด้วยพระเนตรฟ้าครามที่เหม่อลอย อัสดงยังคงสลบไสลเพราะต้องมนตรา มิรู้ว่า หัวใจ ของเขาเสด็จออกไปจากอ้อมอกแล้ว และกำลังจะเสด็จเข้าสู่อุ้งหัตถ์แห่งจันทรเทพ

สีทันดรทรงดำเนินมาเรื่อยๆจนถึงนอกชาน ที่ทรงกลดยืนรออยู่ ทรงกลดร้องทักแต่เหมือนเจ้านาคาน้อยมิได้ยินเสียงอันใด“น้องดื้อ เจ้ามาหาพี่แล้ว”

เขารีบเดินเข้าไปหาเจ้านาคน้อยทันใด และแล้วพระวรกายหอมกรุ่นก็ทรุดฮวบลงในอ้อมแขนที่เขากางรอรับไว้อย่างพอดิบพอดี

“เจ้าเป็นอะไรไปนี่....น้องดื้อ”

“น้องดื้อของเจ้าไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็ฟื้น ที่นี้ก็เหลือแต่ความสามารถของเจ้าล้วนๆแล้วนะทรงกลด ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะ อีกไม่เท่าไรมนตราก็จะเสื่อมแล้ว รีบไปก่อนสุริยเทพจะรู้ตัว”

“ไปไหนพะยะค่ะ”

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้ อย่าเพิ่งถาม”

สิ้นรับสั่ง จันทรเทพก็ทรงสลายกลายเป็นสีเหลืองนวลพุ่งปราดออกไปด้านนอกขึ้นประทับเหนือราชรถเทียมม้าสีเศวต ทรงกลดยังละล้าละหลัง สองจิตสองใจจะทำอย่างไรดี จันทรเทพทนรำคาญไม่ไหว กลัวจะไม่ทันการ เพราะมนตราภายใต้รัศมีเหลืองนวลนั้นเริ่มจางลงทีละน้อยทีละน้อย จึงทรงสะบัดหัตถ์จนบังเกิดหมอกควันหนาพัดพาเอาร่างของทรงกลดกับสีทันดรลอยละลิ่วลงมากองอยู่บนราชอาสน์สีทองหนานุ่มบนราชรถ

“ไป”

 ราชรถเทียมม้าสวรรค์โผนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันใด สีทันดรยังคงตกอยู่ในภวังค์มนตรา แนบชิดในอ้อมอกของทรงกลด แต่จันทรเทพหาได้รู้ไม่ว่า การลักพาตัวเจ้านาคน้อยกำลังตกอยู่ในสายตาของใครบางคนที่ลอยหลบอยู่เหนือกิ่งไม้ใหญ่

“เฮ้ยยยยยยยยย  นั่นมันจันทรเทพนี่นา แล้วจะพาน้องพญานาคไปไหน หรือว่า....”

น้ำเชี่ยวนั่นเอง เขาแอบธรรม์ออกมาจากที่พักเพื่อมาดูดวงเนตรฟ้าครามที่ตรึงใจ หลังจากพยายามข่มตาหลับอยู่หลายครั้งหลายคราก็ไม่เป็นผล เขามาซุ่มดูอยู่นานแล้ว เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่จันทรเทพเสด็จมาจวบจนพาตัวเจ้านาคาน้อยขึ้นราชรถ เขาตัดสินใจไวกว่าความคิดรีบโผนทะยานออกจากที่ซ่อน พุ่งปราดลอยขวางทางเสด็จแห่งจันทรเทพ ราชรถเทียมม้าหยุดกลางนภากาศทันใด

“จะเสด็จไหนพระเจ้าค่ะ เท่าที่หม่อมฉันรู้ ตามกฎสวรรค์ พระองค์ต้องทรงฌานอยู่มิใช่เหรอ เพราะทรงแบ่งอณูลงมาแล้ว”

“ไม่ใช่กิจของเจ้า จงถอยออกไปเสีย อย่ามาขวางทางเรา อย่าคิดนะว่า เราจะเกรงใจต้นกำเนิดแห่งเจ้า” จัทรเทพตวัดดัชนีชี้กราดมายังร่างของน้ำเชี่ยวที่ขวางทางเสด็จ พระสุรเสียงดังก้องกังวาน ทรงอำนาจแห่งเทวะประธานยามราตรี มิได้ทำให้น้ำเชี่ยวหวาดกลัวเลยสักนิด

“ไม่พะย่ะค่ะ ทรงตอบหม่อมฉันก่อน ว่าจะพาน้องพญานาคนี่ไปไหน ดูท่าน้องเขาจะไม่ได้สติ ทรงเล่นสกปรกอะไรอีก” น้ำเชี่ยวไม่ลดละ ทูลถามด้วยทีท่าองอาจเกินวัยหนุ่มน้อยอายุสิบแปด รัศมีสีชมพูเริ่มเปล่งประกายออกจากตัวเขา ทรงกลดที่นั่งอยู่ข้างหลังพอเห็นก็รู้ได้ทันใดว่าคนที่มาขวางไว้คือใคร....... “ไอ้พระอังคาร!!”

“โอหัง เจ้ามันก็แค่อณูแห่งพระอังคาร อย่าบังอาจกล่าววาจาสามหาวกับเรา เห็นทีวันนี้ต้องสั่งสอนให้เจ้าหายยโสเสียบ้าง”

จันทรเทพกระทืบบาท พระโทสะเริ่มจับสูงสุด แล้วเทวะผู้ทรงเป็นองค์ประธานแห่งรัตติกาล ก็ตวัดหัตถ์ซัดพลังสีเหลืองทองลูกใหญ่เข้าใส่ร่างของน้ำเชี่ยว เจ้าน้ำเชี่ยวตั้งรับไว้ได้ทันท่วงที แล้วดันพลังนั้นออกด้วยรัศมีสีชมพูเจือแดงแรงกล้า ตั้งใจจะซัดกลับ แต่เขาเป็นเพียงแค่อณูแห่งเทวะ มีหรือจะสามารถต่อกรกับเทวะชั้นผู้ใหญ่ ....เปรียบได้ดั่งกับหิ่งห้อยตัวน้อยเปล่งแสงแข่งกับแสงจันทรา

พลังแห่งจันทรเทพ รุนแรงยิ่งขึ้น น้ำเชี่ยวเริ่มทานอำนาจนั้นไม่ไหว เซถลา หมุนคว้างกลางอากาศ แต่ก่อนที่เขาจะเสียที รัศมีสีส้มเจือทองก็พุ่งปราดพาร่างเขาหลบออกไปจากวิถีพลังงานแห่งจันทรเทพ ทำให้พลังนั้น พุ่งเข้าชนยอดไม้ใหญ่แทนที่จะเป็นร่างของน้ำเชี่ยว

“ธรรม์ นายมาได้ไง”

“ก็แอบย่องตามนายมานั่นแหละ...ไม่เข้าเรื่องเลยนายนี่”

เสียงระเบิดกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่น มนตราที่สะกดเหล่าเทวะน้อยทั้งหลายบนบ้านพลันสลายทันใด อัสดงสะดุ้งตื่นทันที สิ่งแรกที่ทำคือรีบมองเจ้านาคน้อยที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วเขาก็พบแต่ความว่างเปล่า ใจเขาหายวาบลงไปกองอยู่ปลายเท้า “ไอ้ดื้อเจ้าอยู่ไหน บรรลัยแล้ว”

เท่านั้นแหละอัสดงจึงรีบวิ่งออกมาด้านนอก จนออกมาเจอเอราวัต คืนฉาย คันฉัตรและราหูที่ต่างก็เปิดประตูห้องออกมาดูเสียงระเบิดพร้อมๆกัน ต่างคนต่างถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันไม่รู้...รู้แต่ว่าสีทันดรหายไป” อัสดงกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน

“อะไรนะ.....น้องดื้อหายไป เป็นไปได้ยังไง”

ก่อนที่เอราวัตจะซักไซ้ไล่เลียงสิ่งใดเพิ่มเติม คืนฉายก็บอกกับทุกคนให้แหงนดูกลางท้องฟ้าและภาพที่ปรากฏแก่สายตา ของพวกเขาก็คือ กลุ่มรัศมีสีเหลืองนวลกำลังไล่ซัดสาดรัศมีสีส้มกับรัศมีสีชมพูไปรอบๆ เหตุนี้เองคงเป็นเหตุแห่งเสียงระเบิดกัมปนาท เทวะน้อยมิต้องกล่าวสิ่งใดแก่กันอีกทั้งสิ้น ทั้งห้าเหิรลอยละลิ่วขึ้นไปกลางฟ้าทันใด จันทรเทพที่ประทับภายใต้รัศมีเหลืองนวล ทรงแย้มมุมโอษฐ์อย่างเยือกเย็น แล้วตวัดดาบที่เหน็บไว้ข้างราชรถยามออกศึก ซัดกลุ่มพลังเทวะที่ลอยเข้ามาเป็นวงกว้าง เทวะน้อยทั้งห้าแตกกระจายแยกไปคนละทิศ เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้นอีกคำรบ พร้อมๆกับรัศมีสีชมพูร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเพราะหลบคมดาบแห่งจันทรเทพไม่ทัน

“น้ำเชี่ยว!!!”

ธรรม์ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงระเบิด แล้วเหิรลอยเข้ามารับร่างของน้ำเชี่ยวไว้ จันทรเทพตวัดดาบมาอีกครั้ง หมายยังร่างของรัศมีสีชมพูและสีส้ม รัศมีและพลังจากร่างทั้งสองที่กำจายออกสามารถบ่งบอกที่มาและจุดกำเนิดแห่งตนได้ดี สวรรค์คือจุดกำเนิดและเป็นขุมพลังเดียวกับอณูเทวะทั้งห้า อัสดงที่จับกระแสนั้นได้ก่อนใครตะโกนลั่นฟ้า

“เฮ้ยยยยยย ระวัง”

เขารีบเหิรลอยมาสกัดกั้นคมดาบด้วยจักรเพลิง ทำให้น้ำเชี่ยวกับธรรม์รอดพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด และทันทีที่จักรเพลิงกระทบเข้ากับคมดาบแห่งจันทรเทพ เสียงดังลั่นดั่งอสุนีบาตก็กระจายไปทั่ว แรงระเบิดกระจายเป็นวงกว้าง เหล่าพลังงานเทวะที่อยู่บนฟ้าต่างก็เซถลาไปตามๆกัน แม้กระทั่งราชรถแห่งจันทรเทพ อาชาสวรรค์ร้องพยศลั่นฟ้า รถทรงเริ่มโงนเงน แต่จันทรเทพก็บังคับไว้ได้ ในชั่ววินาทีที่ราชรถซัดส่าย อัสดงก็เห็นพระวรกายแห่งเจ้านาคาน้อยยอดดวงใจ บรรทมนิ่งอยู่ที่ราชอาสน์ด้านหลัง ร่างนั้นถูกรัดไว้ด้วยอ้อมแขนของทรงกลด อัสดงตะโกนก้องสุดเสียงลั่นฟ้า

“ไอ้ดื้อ!!”

จันทรเทพที่ใช้โอกาสช่วงที่ตั้งตัวได้เร็วกว่าใคร ทรงพนมหัตถ์ระหว่างพระอุระ แล้วพลังอันแรงกล้าก็พวยพุ่งกลายเป็นแสงจันทราสุกไสว เทพน้อยทั้งหลายที่ยังเสียหลักตั้งตัวไม่ได้ ถูกแสงรัศมีจันทร์ซัดเข้าอีกครั้ง แล้วก็ร่วงหล่นลงจากฟ้าลงมาปะทะกับพื้นดิน ....อัสดงพยามยามเหิรลอยฝ่าแสงจันทร์ไปอีกครั้ง ปากก็ตะโกนเรียกพระนามเจ้านาคาน้อยลั่น

“สีทันดร!!!!”

ก่อนที่แสงจันทร์สว่างจ้าจะจางหาย เจ้าของพระนามที่อัสดงร้องเรียกก็ลืมพระเนตรฟ้าครามขึ้น ริมโอษฐ์คล้ายจะเผยอเปล่งสุรเสียง “อัสสะ....ช่วยเราด้วย”

เพียงเท่านั้น รัศมีจันทร์ก็จางห่างหาย .....พร้อมราชรถแห่งจันทรเทพ และพระวรกายแห่งสีทันดร

*******************
รบกวนติดตามต่อในครึ่งหลังนะคะ   :กอด1: ขอบพระคุณท่านผู้อ่านและทุกความเห็น ที่เป็นกำลังใจให้เสมอมา  :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 09-10-2019 11:30:49
รออยุ่นะ  กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 11-10-2019 12:48:56
 :L1:คขอบคุณนะคะที่กลับมาลงให้อ่านชอบทุกเรื่องมากภาษาสวยเนื้อเรื่องน่าติดตามอัศดงก็ปากร้ายหยิ่งทรนงน้องดื้อก็น่ารักทั้งแสบซนสงสารทรงกลดพระจันทร์รอคู่ตัวเองนะพระพุทเกือบตายสะแล้วนนทกรก็ดีตัวละครที่ออกมาแต่ละคนสวยงามมากอ่านแล้วตื่นตาตื่นใจมาก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 14-10-2019 20:58:17
 :L2: :katai2-1: :mc4: สนุกมากจริงๆค่ะยังไม่ทันรบกับทัพอสูรเลยแหละ มารบกันเองซะแล้ววัยรุ่นอารมณ์ร้อนจริงๆเสด็จพี่ทยุทติธร พอพระทัยร้อนเราอณูของเทพก็ใจร้อนยิ่งอักสะนี่กลัวเจ้าดื้อจะโดนแยกบาดาลสินะ ไม่ต้องห่วงพระมหาเทวีทรงถือข้างอุกนะเจ้าดื้ออยู่แล้วไม่มีใครเคยจพระเสาวนีย์ได้หรอก เสร็จสิ้ศึกนาคาเคลียร์กันลงตัวกันมาเจอศึกรักตรงจันทรเทพนิสัยไม่ดีทำให้เกิดเรื่องอีกแล้วเข้าข้างแอบดูของตนเองในทางที่ผิดจริงๆมาลักพาสีทันดรของอัศดงไปได้ยังไงพระสุริยาทิตยาคยลงมาช่วยอนำหนูอักสะด้วยเราอณูแห่งเทพลงมาครบทุกองแล้วจะได้รอรับเทวราชโองการเตรียมปราบอสูรสักที รอตอนต่อไปนะคะขอบคุณมากๆเลยค่ะนักเขียนที่น่ารักสู้สู้
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ครึ่งแรก) ๐๓ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 14-10-2019 21:04:07
 :L2: :katai2-1: :mc4: สนุกมากจริงๆค่ะยังไม่ทันรบกับทัพอสูรเลยแหละ มารบกันเองซะแล้ววัยรุ่นอารมณ์ร้อนจริงๆเสด็จพี่ทยุทติธร พอพระทัยร้อนเหล่นอณูของเทพก็ใจร้อนยิ่งอักสะนี่กลัวเจ้าดื้อจะโดนแยกกลับบาดาลสินะ ไม่ต้องห่วงพระมหาเทวีทรงถือข้างอักสะนะเจ้าดื้ออยู่แล้วไม่มีใครกล้าขัดพระเสาวนีย์ได้หรอก เสร็จสิ้ศึกนาคาเคลียร์กันลงตัวกันมาเจอศึกรักตรงจันทรเทพนิสัยไม่ดีทำให้เกิดเรื่องอีกแล้วเข้าข้างอนูทรงกลดขององค์เองในทางที่ผิดจริงๆมาลักพาสีทันดรของอัศดงไปได้ยังไงพระสุริยาทิตย์ลงมาช่วยอนูอักสะด้วยเราอณูแห่งเทพลงมาครบทุกองแล้วจะได้รอรับเทวราชโองการเตรียมปราบอสูรสักที รอตอนต่อไปนะคะขอบคุณมากๆเลยค่ะนักเขียนที่น่ารักสู้สู้
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-10-2019 12:42:50
บทที่ ๑๓  จันทรคราส (ที่เหลือ)


“ไม่จริง..............สีทันดร” อัสดงเอื้อมแขนจนสุดปลายแต่ก็ไขว่คว้าได้แต่เพียงอากาศว่างเปล่า

ประกายเพลิงลุกโหมไหม้ร้อนแรงรอบๆตัวของเขาที่ลอยอยู่กลางฟ้า โทสะดำเนินมาจนถึงขีดสุด สหายเทวะที่อยู่ด้านล่างมิกล้าลอยฝ่าเปลวเพลิงนั้นเข้ามา จวบจนสักพัก...เปลวเพลิงสว่างจ้าลูกใหญ่จึงสงบลง อัสดงลงมายืนบนพื้นดินแล้ว ดวงตาสีอำพันเจ้าเล่ห์เลือนหาย  กลับกลายเป็นแดงจ้าด้วยเปลวเพิง 

“เพราะเราประมาทแท้ๆทีเดียว อัสสะผิดเอง อัสสะผิดเอง”

“ใจเย็นๆก่อนอัสดง....อย่าเพิ่งโวยวาย ค่อยๆคิดหาทางตามน้องดื้อกันเหอะ” เอราวัตเข้ามากอดไหล่ปลอบอัสดงที่กำลังโทษตัวเอง

“ใครกันที่บังอาจเหยียบจมูกพวกเราถึงที่นี่.....จะว่าไปรัศมีเหมือนกับไอ้กลด แต่รุนแรงกว่า เออแล้วนี่ไอ้กลดไปไหน” คืนฉายเหลียวมองหารอบๆ พึ่งนึกได้ว่าทรงกลดหายไป

“เหอะเพื่อนพวกนายจะหายไปไหนได้...ถ้าไม่ใช่หายไปกับจันทรเทพ”

น้ำเชี่ยวยันกายขึ้นจากอ้อมแขนของธรรม์ ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เขาเป็นจุดเดียว คงถึงเวลาแล้วสินะที่เขาคงจะต้องแสดงตัวตนเสียที แม้ธรรม์จะบอกว่ายังไม่ควรก็เหอะ

“จันทรเทพและเพื่อนของนายอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ฉันแอบเห็นตั้งแต่ตอนเสด็จมา จนทรงกำกับมนตราให้พวกนายหลับแล้วสะกดเอาเจ้าน้องพญานาคออกมา ฉันพยายายามขวางให้แล้ว แต่ช่วยไม่ได้”

“แล้วนายเป็นใคร......หรือว่านายคือ” คืนฉายถามขึ้นเป็นแรก แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะรัศมีสีชมพูจากร่างกายของคนพูดเริ่มกระจายออกจากร่าง พร้อมกับรัศมีสีส้มเจือทองของคนอีกคนที่เริ่มยืนตระหง่านเหยียดตรง

“เขาสองคน คือสหายที่พวกเรากำลังตามหาไง ....พระอังคารกับพระพฤหัส” อัสดงกล่าวตอบแทนน้ำเชี่ยว เรียกเสียงฮือฮาได้จากอีกสี่เทวะน้อยที่เหลือ

“ไอ้พระอังคาร ไอ้พระพฤหัส”

“ใช่พวกฉันเอง....อย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย พาน้ำเชี่ยว ไปรักษาแผลก่อนเหอะ ถ้าจะฉกรรณ์อยู่” ธรรม์รีบกล่าวขึ้นก่อนที่สหายเทวะจะซักถามอะไรไปมากกว่านี้ คันฉัตรรีบเข้ามาดูแผลของน้ำเชี่ยว แล้วก็กวักมือเรียกเอราวัตให้เข้ามาใกล้ๆ ช่วยกันพยุงไปรักษา

“พาไอ้พระอังคาร ไปที่เรือนริมน้ำก่อนเหอะ หากขึ้นข้างบน เดี๋ยวบนบ้านฉันจะแตกตื่น”

“ขอบใจ” น้ำเชี่ยวกล่าวตอบสหายที่เพิ่งเจอกันอีกครั้ง แล้วยอมให้เอราวัต กับคันฉัตรพากันเดินไปยังเรือนริมน้ำตามพร้อมด้วยธรรม์ คืนฉายและราหู ส่วนอัสดงยังยืนรั้งท้าย เงยหน้ามองพระจันทร์กลางท้องฟ้า กำหมัดแน่น

“จันทรเทพ ไอ้กลด.....หากเป็นอย่างพระอังคารพูดจริง ฉันไม่ปล่อยไว้แน่” เปลวไฟรอบๆกายแม้จะสงบลงแล้ว หากก็ยังมีไอประทุอยู่รอบๆ “ไอ้ดื้อ รออัสสะก่อนนะ อัสสะจะไปพาเจ้ากลับมาอยู่ในอ้อมอกของอัสสะเอง แม้หนทางมันจะอันตรายก็ตาม”


รัศมีสีฟ้าเจือทองระเรื่อที่ทอดออกมาจากฝ่ามือของคืนฉายสิ้นสุดลงแสดงถึงการถ่ายเทพลังรักษานั้นเสร็จสิ้นพร้อมๆกับรายบาดแผลจากคมดาบแห่งจันทรเทพบนต้นแขนของอณูแห่งพระอังคารนามน้ำเชี่ยวเริ่มสมานจนปิดสนิท แล้วการสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น

“เป็นไงมาไง ถึงได้มาโผล่หัวเอาป่านนี้” คืนฉายถามคนไข้ที่กำลังขยับแขนไปมา

“ตั้งใจว่าจะมาปรากฏตัวนานแล้ว แต่จับกระแสพลังเทวะพวกนายยากเหลือเกิน ฉันกับธรรม์เจอกันก่อนหน้านี้นานแล้ว จนเมื่อคืนเนี่ยแหละจับกระแสพลังที่รุนแรงของพวกนายได้เลยรีบรุดมา แต่ก็ยังอยากดูทีท่าพวกนายก่อนว่าใช่เทวะแน่จริงหรือไม่ และพร้อมไหมที่จะร่วมปราบมารด้วยกัน” น้ำเชี่ยวกล่าวตอบพร้อมพยักเพยิดไปทางธรรม์ผู้เป็นอณูแห่งพระพฤหัสบดี

“ฉันเองแหละห้ามน้ำเชี่ยวไว้....เออ แล้วเมื่อคืนนายรบกับใคร” ธรรม์ที่นิ่งเงียบอยู่นานกล่าวขึ้นมาบ้าง

“พวกนาค...พี่ชายน้องดื้อ”

“ใครกัน น้องดื้อ.....หรือว่า” น้ำเชี่ยวขมวดคิ้วถามมาอย่างสงสัย แล้วก็ได้คำตอบมาทันท่วงทีว่า

“ก็เจ้านาคน้อยแฟนอัสดงมันไง.......เออ ลืมบอกไปว่า ไอ้พระอาทิตย์มันชื่ออัสดง ไอ้พระจันทร์มันชื่อทรงกลด พระศุกร์ชื่อคืนฉาย และนี่ก็ไอ้พระเสาร์หรือคันฉัตร ที่ยืนข้างๆกันนั่น ราหูมันใช้ชื่อเดิม ส่วนฉันเอราวัต แล้วนายใช้ชื่ออะไรกัน” เอราวัตทำหน้าที่ฑูตสันถวไมตรีแนะนำสหายที่เหลือ ......เทวะน้อยต่างพยักหน้าทักทาย

“ฉันชื่อน้ำเชี่ยว อณูแห่งพระอังคารส่วนไอ้ผมยาวเหมือนพราหมณ์นั่นคืออณูแห่งพระพฤหัสเรียกมันว่าธรรม์”

น้ำเชี่ยวกล่าวแนะนำตัวแทนเพื่อนยิ้มตอบรับ ความลังเลที่ว่าสหายใหม่บนมนุษย์โลกพวกนี้ จะช่วยปราบมารได้แน่หรือจางหายเพราะเมื่อกี้ได้เห็นพลังของแต่ละคน จึงรู้แจ้งได้ว่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ ไอ้พระอาทิตย์ ฤทธีรุนแรงประดุจต้นกำเนิดแห่งมันทีเดียว และที่สำคัญ พระอาทิตย์ได้คว้าคนที่เขาถูกใจไปเรียบร้อย......แล้วเขาจะไปสู้อะไรได้เนี่ยสงสัยแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง เรื่องวุ่นวายต่างๆมันจะได้จบลงเสียที....แล้วนายแน่ใจเหรอว่าน้องดื้อถูกไอ้พระจันทร์พาตัวไป” ราหูกับคันฉัตรถามแทบจะพร้อมกัน ทั้งสองไม่อยากจะเชื่อว่าทรงกลดจะทำอย่างนั้นลงไปได้

“ไม่ใช่ไอ้พระจันทร์....จันทรเทพต่างหากที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ฉันแอบซุ่มดูจนได้เห็น จันทรเทพทรงร้อยเล่ห์มานานแล้ว ไม่งั้น ไอ้พฤหัสคงไม่เสียเมียตอนอยู่บนสวรรค์จริงไหม”

ธรรม์ได้ยินน้ำเชี่ยวพูดก็นิ่งเฉยสักพัก ....ความเจ็บช้ำใจครั้งถูกแย่งเมียบนสวรรค์ติดตัวมาแต่ก็ไม่มาก....เพราะตอนนี้หัวใจฝักใฝ่รักสหายชายด้วยกัน และคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนที่ตัดผมสกินเฮด นั่งอยู่ตรงหน้านั่นเอง “การจะรบกับจันทรเทพ...เราต้องรอบคอบ เท่าที่ดู น้องดื้อของพวกนายคงไม่เป็นอันตราย เพราะไอ้พระจันทร์มันถูกใจน้องเขาอยู่ใช่ไหม”

“มันรักเลยแหละ.....แต่นิสัยมันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่อยู่บนสวรรค์แล้ว ชอบไปรักคนมีเจ้าของ และคราวนี้ดันไปเหยียบจมูกใครไม่เหยียบ ดันเป็นของไอ้อัสดง คาดว่าไอ้พระจันทร์คงเหลือแต่ตอ”

คันฉัตรตบไหล่อัสดงเบาๆ แต่ก็ต้องชักมือกลับเพราะรุ้สึกถึงกระแสพลังรุนแรงเหมือนเปลวเพลิงเผาไหม้ ที่ปลายมือยามสัมผัส พลังแห่งสุริยะเทพรุนแรงอย่างนี้นี่เอง สงสัยไอ้กลดคงตายคาตีนไอ้อัสดงแน่ๆ

“หากไอ้กลดแตะต้องและทำอะไรไอ้ดื้อแม้แต่นิดเดียว กูกระกระทืบมันจมดินแน่” อัสดงขบกรามแน่น เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ทำอันตรายน่ะคงไม่ แต่เขากลัวว่า มันจะทำอย่างอื่นสิ ไม่แน่ และหากมันทำให้ยอดดวงใจมีราคี โทษสถาณเดียวของมันคือ “ตาย”

“ใจเย็นๆก่อน อัสดง ยังไงไอ้กลดก็เป็นเพื่อนเรา ลองเจรจาดีๆกับมันก่อน ลำพังไอ้กลดคงไม่กล้า ฉันว่าจันทรเทพนั่นแหละ ตัวร้ายของแท้ นายจำที่ไอ้กลดเคยบอกเราสองคนตอนเล่นน้ำที่เจอกันวันแรกได้ไหม มันบอกว่าคืนไหนที่พระจันทร์เต็มดวงและทรงกลด คืนนั้นพลังมันจะถึงขีดสุด และสภาวะอารมณ์มันอาจไม่เหมือนเดิม ฉันว่าต้นกำเนิดมันล่ะสำคัญ” เอราวัตยับยั้งเตือนสติอัสดงไว้ คืนฉายกับคันฉัตรรีบสนับสนุน

“เห็นได้กับที่พระพุธว่า เรามาวางแผนกันเถอะว่าจะช่วยน้องดื้ออย่างไร.....ธรรม์นายเป็นครุเทพ เก่งกาจรอบคอบ นายช่วยวางแผนสิ” คืนฉายพูดเพื่อขอความเห็น มากกว่าจะตั้งใจแดกดัน

พระพฤหัสบดี เทวะผู้เป็นครุแห่งเทวดา ทำหน้าครุ่นคิดยามถูกพระศุกร์เทวะผู้เป็นครุแห่งอสูรกระตุ้น  ยามอยู่บนสวรรค์ทั้งสองไม่ค่อยจะลงรอยกันนักเพราะบรรดาลูกศิษย์ตนนั้นไม่ถูกกัน แต่ยามนี้ทั้งสองต้องมาร่วมมือกัน ปราบอสูร ธรรม์จึงไม่คิดอะไรมาก แล้วเขาก็กล่าวมาอย่างช้าๆว่า

“ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า จันทรเทพพาสองคนนั่นไปไว้ไหน หนทางสยบจันทรเทพคงต้องมี และเราต้องพาเจ้านาคน้อยออกมาก่อน ก่อนพระจันทร์จะเต็มดวงวันพรุ่งนี้และเราจะกำราบพระจันทร์ยาก อย่างที่พระพุธบอก”

“ฉันจะเข้าฌานถามหลวงตา.....พวกนายเตรียมตัวไว้ แล้วเราจะไปชิงสีทันดรด้วยกัน” อัสดงกล่าวขึ้นเสียงเข้ม และเตรียมนั่งขัดสมาธิเข้าฌาน  สหายทั้งหลายตอบรับด้วยความเต็มใจ พระอาทิตย์ถูกลักพายอดดวงใจไป และพวกเขาก็เต็มใจช่วย แม้ยามอยู่บนสวรรค์อาจหมั่นไส้พระเอกคนนี้บ้าง แต่ยามนี้ ....ความเป็นเพื่อนและผู้นำกลุ่มของอัสดงฉายชัดและทุกๆคนก็ยอมรับเขาในใจให้เป็นผู้นำมาตั้งแต่แรก.....แม้จะไม่ได้เอ่ยปากกันออกมาก็ตาม โดยเฉพาะพระอังคารที่เคยทระนงตนว่าหล่อและเก่งนักเก่งหนา พอเจออัสดงวันนี้.....บทพระรองจำต้องรับมา แสดง อย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ได้เลย........อัสดง”

จู่ๆ แสงรัศมีเจือทองก็พุ่งจับลิบลับตรงขอบฟ้า แสดงถึงเวลาการเริ่มต้นของวันใหม่ ขบวนแห่งสุริยเทพเสด็จดังเฉกเช่นเคย แต่แล้วแสงสีทองสว่างจ้านั้น แทนที่จะพุ่งขึ้นฟ้า กับพุ่งปราดมายังนอกชานของเรือนริมน้ำ แล้วรัศมีกายที่เจิดจ้าสว่างไสวสีทอง ที่เทวะน้อยทุกคนต้องเอามือปิดตา ก็มาหยุดลง ณ ที่นี้ครั้นพอสลายก็กลายเป็นร่างงามสง่า ถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกันกับอัสดง หรือถ้าจะจับอัสดงแต่งตัวเหมือนกันก็ต้องเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องฝาแฝด.....สุริยเทพเสด็จมาโปรดแล้ว และข้างๆกันนั้นก็มีสตรีนางหนึ่งที่งามยิ่งกว่านางอับสรใดๆ วงพักตร์กระจ่างใส อ่อนเยาว์แห่งเทวะนารีพระองค์นี้ งามจับตา หากเป็นนางมนุษย์ก็คงเดาชันษาไม่ถูก

“อย่าไปกวนหลวงตาท่านเลยอัสดง.....เราจะมาช่วยเจ้าเอง ในเมื่อจันทรเทพฝืนกฎได้ เราก็จะฝืนกฎช่วยเจ้าบ้าง”

“พระสุริยเทพ” อณูน้อยทั้งหมดกล่าวพร้อมกันแล้วทรุดกายลงบังคม เทวะผู้เป็นประธานยามกลางวัน

“พระอุษาเทวี ขนิษฐาแห่งเรา เธอจะเสด็จนำพวกเจ้า ไปยังสถานที่ที่จันทรเทพพาสีทันดรไปซ่อน พวกเจ้าเตรียมรับมือจันทรเทพให้ดี ถึงแม้วันพรุ่งนี้พระจันทร์จะเต็มดวง แต่เราว่าอณูแห่งพระพฤหัสคงหาหนทางแก้ไขให้ได้ อำนาจจันทรเทพแม้จะรุนแรง หากแต่บังไว้...มันก็ย่อมได้ เอาล่ะเราคงบอกอะไรเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะนี่อาจเป็นบททดสอบอีกข้อหนึ่งที่สวรรค์ลิขิตมา แต่เจ้าไม่ต้องกลัว อัสดง เราจะอยู่กับเจ้าช่วยสั่งสอนจันทรเทพเอง”

“ขอบพระทัย พะยะค่ะ”

แล้วร่างแห่งสุริยะเทพ ก็พุ่งปราดหายวับเข้าไปกลางหว่างอกของอัสดง อณูหน้าคมเซถลาเล็กน้อย แล้วฉับพลันรัศมีรอบกายก็สว่างวาบจนเทวะน้อยคนอื่นๆต้องปิดตาอีกครั้ง รัศมีแดงเพลิงเจือทองสว่างจ้ายิ่ง อัสดงทรงฤทธีดุจเทวะต้นกำเนิดแล้ว เหอะต่อให้อีกกี่จันทรเทพ.....ก็ไม่หวั่น คงถึงคราวแล้วสินะที่จันทรเทพ ต้องถูกสั่งสอน

“เราพร้อมแล้ว....พระนางอุษาเทวี เชิญนำเสด็จได้เลย”

“เพคะพี่ชาย”

สุรเสียงใสกังวานปานระฆังแก้ว มีดำรัสตรัสตอบ พักตร์ตราที่งดงามแย้มยิ้มถ้วนทั่ว ความสดใสแช่มชื่นของเทวีแห่งอุษาสางบังเกิดในจิตใจของเทวะน้อยๆ เกินครึ่งหนึ่งของหัวใจ เทวะน้อยทั้งหลายบอกตนเองว่า “งามพอๆกับน้องดื้อ”  แต่งามใดนั้นเล่าจะเทียบเทียมวงพักตร์แห่งเจ้านาคาตาฟ้า ที่หลายๆคนไม่รู้ว่า สีทันดรทรงกำเนิดมาได้อย่างไร อยากรู้นักหากเอาสีทันดรมาประทับยืนเทียบเคียงกับพระอุษาเทวี เทวนาคาหรือเทวนารี พระองค์ใดจะกินขาด

“เราสู้สีทันดรของพวกเจ้าไม่ได้หรอก อย่าคิดให้วุ่นวายเลย....ตามเรามาเถอะ ช้าจะไม่ทันการ”

เสียงสรวลใสเสนาะวาบวับจับใจ ยามที่รู้ถึงความในจิตใจของบรรดาเทวะหนุ่มน้อย แล้วพระวรกายงามระหงก็กลายเป็นแสงเจิดจ้าโชตินาการพวยพุ่งขึ้นฟ้า อัสดงเหิรทะยานตามไปเป็นคนแรก แล้วรัศมีทั้งหกที่เหลือก็เหิรทะยานตามมาติดๆ.....เทวะน้อยมิรู้ว่า พระอุษาเทวีจะเสด็จนำไปสู่แห่งหนใด แต่ทั้งหลายเตรียมพร้อมที่จะช่วยอัสดงตามหัวใจคืนกลับมา

“รอก่อน.........ไอ้ดื้อ อัสสะกำลังจะไปช่วยเจ้าแล้ว ที่รักของเรา”


พระเนตรคู่งามฟ้าครามใสแห่งห้วงทะเลลึกได้ลืมขึ้นแล้ว ทันทีที่รู้สึกองค์ สีทันดรก็ทรงพบว่า พระวรกายประทับนอนอยู่บนเกสรบัวขนาดใหญ่ กลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอมของบัวนั้น หลอมรวมกับกลิ่นพระวรกาย ตลบอบอวลไปทั่ว พระวายุพัดพากลิ่นนั้นโชยกำจาย...นกน้อย รูปร่างหน้าตาแปลกๆ โผผินบินว่อน ผีเสื้อตัวน้อยขยับปีกสีทองดั่งตีให้บางทองคำ รอบๆแท่นที่ประทับ

“นี่เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

เจ้านาคน้อยสำรวจองค์ถ้วนทั่ว พระสติกลับมาพลัน ยามทอดพระเนตรทัศนียภาพรอบๆพระวรกาย “สวรรค์นี่ ชั้นไหนกันอัสสะอยู่ไหน....เรามาที่นี่ได้อย่างไร”

พระวรกายเหิรลอยละลิ่วออกมาจากแท่นบรรทมกลางเกสรบัวขนาดใหญ่ ยามพระบาทแตะลงพื้นหญ้าเขียวขจี เสียงอ่อนนุ่มของใครคนหนึ่งก็ทำให้ทรงเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์ เมื่อคนยังนอนอยู่ในอ้อมอกแห่งสุริยเทพ ครั้นพอตื่นไยมาประสบกับอณูแห่งพระจันทร์....

“ตื่นแล้วเหรอครับน้องดื้อ....เอ้ากินเสียก่อนจะได้หายเพลีย” ทรงกลดเดินเข้ามาใกล้ ยื่นกระบอกไม้ไฝ่ลำสีทองมายังพระหัตถ์ ภายในบรรจุน้ำผึ้งสวรรค์ที่หอมชวนลิ้มลองมาเต็มเปี่ยม

“เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพี่กลด.....แล้วคนอื่นๆหายไปไหน อัสสะอยู่ไหน” น้ำผึ้งสวรรค์กลายเป็นของไร้ค่าไปทันที เพราะเจ้านาคาน้อยร้องเรียกหาแต่อัสดง

“สวนปารุสกวัณ หนึ่งในสี่มหาอุทยานสววรค์ชั้นดาวดึงส์ พี่พาเจ้ามาเปลี่ยนบรรยากาศ....สวยไหม”ทรงกลดยังคงตอบด้วยทีท่ายิ้มระเรื่อ พยายามยื่นกระบอกน้ำผึ้งให้ แต่สีทันดรยังไม่ทรงยอมรับ แถมยังสะบัดพระวรกายออก

“ไม่...เราจะไปหาอัสสะ ...อัสสะอยู่ไหน” หากเป็นคงจะดีใจลิงโลด แต่คราวนี้ คนที่พามา ไม่น่าไว้วางพระทัยเลยสักนิดเดียว สุรเสียงใสจึงเริ่มแข็งกร้าว ถึงแม้จะเห็นใจทรงกลดที่บาดเจ็บเพราะช่วยตนตอนหนีเที่ยว แต่เขาก็ไม่ใช่อัสดง

“ทำไม อยู่กับพี่มันไม่ดีตรงไหน  ทำไมเจ้าต้องเรียกหาแต่อัสดง” ทรงกลดไม่สนใจอันใดแล้ว เขาดึงเจ้านาคาพระองค์น้อยเข้ามาสู่อ้อมอกโดยพลัน เป็นผลให้เจ้าตัวแข็งขืนสะบัดออกอีกคราแต่ก็ไม่เป็นผล แขนแข็งแรงนั้นรัดจนแน่นขยับพระวรกายไปไหนไม่ได้อีก แล้วใบหน้าหล่อเหล่าหวานซึ้งของจันทรเทพน้อยก็ซบลงตรงซอกพระศอ สีทันดรทรงเลี่ยงไม่ได้แล้ว

“พี่มีอะไรดีสู้อัสดงมันไม่ได้”

“ปล่อยนะพี่กลด ไหนว่าบาดเจ็บ ปล่อยเรา!! หยุดกริยาจาบจ้วงล่วงเกินหยาบช้ากับเราเสียที”

“ใช่พี่บาดเจ็บและก็เจ็บที่หัวใจ และพี่ล่วงเกินหยาบช้ากับเจ้าตรงไหน พี่ก็แค่จูบหากพี่จะทำแบบนั้น พี่ทำเจ้าไปนานแล้วทั้งๆที่พี่มีโอกาส อย่างเช่นเมื่อกี้”

ใช่สิ หากเขาจะทำก็ทำได้ อย่างเมื่อครู่ แต่ด้วยความที่รักและต้องใจเสียยิ่งนัก เขาจึงไม่ทำ เพราะจะทำก็ต้องให้สีทันดรยินยอมพร้อมใจ แต่คาดว่าคงไม่มีทาง แม้จันทรเทพจะทรงยุมาเท่าใดก็เหอะ

“จัดการเลยสิ ...จะมัวรอช้าทำไม ไม่มีใครเห็นหรอก”

“ไม่พะยะค่ะ .....หม่อมฉันเป็นลูกผู้ชายพอ และหม่อมฉันจะไม่มีวันทำแบบนั้นเป็นอันขาด”

“ตามใจ....จำไว้ เจ้าปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไปเอง แล้วเราจะไม่ช่วยเจ้าอีก”

เห็นไหมสีทันดร เราล่วงเกินเจ้าตรงไหน เกียรติยศของเจ้ายังดำรงไว้อย่างครบถ้วน แค่จูบจะกระไรนักหนา หากเป็นคนอื่น มันคงทำเจ้าไปแล้ว

สีทันดรไม่ทรงสดับรับฟัง จึงเปล่งประกายรัศมีสีเขียวนวลสว่างจ้า แล้วพระวรกายที่ทรงกลดกอดอยู่ก็กลับกลายเป็นนาคาสีขาวเจิดจรัส ทรงกลดตกใจรีบปล่อยโดยพลัน แล้วลำตัวแห่งเจ้านาคน้อยก็สะบัดปลายหายเข้ากระทบร่างเขาโดยแรงจนกระเด็นไปไกล สีทันดรหลุดออกจากอ้อมอกของคนเกเรอย่างทรงกลดแล้ว บัดนี้ทรงชูคอสูงแผ่พังพาน ชะโงกง้ำเหนือร่างเขาที่กำลังยันกายขึ้นมา หากทรงฉกลงไป เขาคนนี้คงไม่แคล้วสิ้นชีวา

“เอาเลยสิ สีทันดร เจ้าฆ่าพี่ให้ตายเลย เจ้าฆ่าผู้ชายที่รักเจ้าได้ลงคอก็เอาเลย ฆ่าเลย!!”

ทรงกลดตะโกนก้อง แอ่นอกเป็นเป้าการโจมตีหรา ทำให้พระเนตรฟ้าครามใสที่แปรเปลี่ยนเป็นสีทองกลับคืนมาเป็นฟ้าครามใสดังเดิม พังพานที่แผ่กว้างหมายเตรียมเล่นงานลดลงจนเป็นปกติ ยามเห็นน้ำตาใสๆของลูกผู้ชายที่เริ่มคลอหน่วย แล้วเจ้านาคาสีขาวเจิดจรัสก็คืนสภาพพระวรกายในร่างมนุษย์ดังเดิม

“ฆ่าพี่เลยสิ ฆ่าเลย พี่จะไม่สู้ ไม่โต้ตอบเจ้าเลยสักนิดเดียว ฉกลงมาตรงหัวใจพี่.... เจ้ากล้าฆ่าคนที่รักเจ้าอย่างสุดหัวใจได้ลงคอก็เอา”

“พี่กลด.....พอทีเถิด เลิกทำแบบนี้ แล้วเรามาคุยกันดีๆ” สีทันดรเริ่มพระทัยเย็นลง ยามทอดพระเนตรเห็นน้ำตาลูกผู้ชาย เขาคนนี้ทำไปเพียงเพราะรักและภายใต้ทีท่าที่อ่อนนุ่มของเขาก็แฝงไปไว้ด้วยความรั้นยากที่จะเอาลง ลักษณะรั้นแบบนี้คล้ายพี่ชายยิ่งนัก “ของแข็งต้องรัดรึงด้วยใยไหม” ยามที่พระมารดาเคยตรัสกับตน เมื่อกล่าวถึงทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร

“พี่ชายลูกเขารั้นและดื้อ.....สงสัยแม่ต้องหาชายาให้เสียที จะได้เย็นลง ของแข็งต้องรัดรึงด้วยใยไหม จำไว้นะลูกสีทันดร หากลูกเจอใครประเภทนี้ ...ลูกต้องใช้สติและความใจเย็นเข้าสู้ และลูกจะชนะ”

กลยุทธ์ที่สมเด็จประทานให้ เคยทรงนำมาใช้กับอัสดงและก็ได้ผล....ครานี้จำต้องใช้กับทรงกลด อย่างไม่มีทางเลี่ยง

“เรารู้ว่าพี่รักเรา.....แต่พี่กลดต้องเข้าใจว่า เรานั้นมีหัวใจมอบให้กับอัสดงไปแล้ว หากเราให้โอกาสพี่เรามิกลายเป็นคนสองใจเหรอ หรือพี่กลดอยากให้เราเป็นคนแบบนั้น เป็นคนสองใจที่ไม่มีคุณค่าและศักติอันใดเหลืออยู่เลย”

“แล้วทำไม เจ้าไม่รักพี่คนเดียว พี่เองก็เจอเจ้าพร้อมๆกับอัสดง แต่เจ้าไม่เคยให้โอกาสพี่พิสูจน์ตัวเอง” ทรงกลดจำได้ วันแรกที่ได้เจอ ได้สัมผัสพระวรกาย ดวงเนตรฟ้าครามยามมองและสบตากันตรึงใจเสียยิ่งนัก

เจ้าชะม้ายชายมาสบหลบเนตรพี่
ท่วงทีที่ทำยังจำได้
ยิ่งแสนเสน่หาอาลัย
เร่าร้อนหฤทัยเกรียมตรม

จะผ่อนผันฉันใดนะอกเอ๋ย
จะได้เชยชวนชิดสนิทสนม
แต่ระลึกตรึกตราเป็นอารมณ์
ยากบรรทมหลับไปกับไสยาฯ *

“พี่กลด เรารักอัสสะแบบคนรัก แต่เรารักพี่อย่างพี่ชาย ให้เราได้รักพี่แบบนั้นเถอะนะ ”

“เจ้าพูดแบบนี้ ตัดไมตรีของพี่อย่างไม่มีเยื่อใย สู้เจ้าฆ่าพี่ให้ตายเสียดีกว่า แล้วอกของพี่มันไม่ทำให้เจ้าอบอุ่นบ้างเลยหรือ เห็นทีพี่ต้องพิสูจน์ให้เจ้าเห็นเสียแล้ว”

ทรงกลดยังคงดื้อ....แย้งมาอีกครั้ง แม้เขาจะรู้ว่าอย่างไรเสียสีทันดรก็ไม่ยอมใจอ่อน แล้วสิ่งที่ไม่อยากทำ ก็จำเป็นต้องทำ พระวรกายสีทันดรถูกรัศมีสีเหลืองนวลตวัดไว้โดยรอบองค์ เจ้านาคน้อยถูกเขาตรึงแน่นมาอีกครั้งแล้วทรงกลดก็ถาโถมทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว พระโอษฐ์สีแดงสด ร้องลั่นแต่ก็เงียบลงอยู่ในพระศอเพราะริมฝีปากของเขาบดขยี้ลงมาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน พระกรทั้งสองจะผลักไสก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะถูกแขนแข็งแรงกดไว้กับพื้นหญ้าแน่น ซอกพระศอและพระพักตร์เต็มไปด้วยรอยจุมพิต แล้วพระวรกายที่แข็งขืนในตอนแรกก็พลันสงบลง และสุรเสียงที่ร้องห้ามก็กลับกลายเป็นเสียงสะอื้น คนขืนใจจำต้องเงยหน้ามองแล้วก็ต้องใจหายวาบเพราะพบว่า คนที่เขากำลังใช้กำลังรุกล้ำอยู่นั้น พระพักตร์ที่งามงดนองไปด้วยพระอัสสุชล ทำให้ทรงกลดชะงักงันทันใด สติกลับคืนมาสู่เขาอีกครั้ง

“หยุดทำไมล่ะ พี่กลด เอาเลยสิ ทำต่อสิ ยังไม่หนำใจพี่ไม่ใช่เหรอ จำไว้....พี่จะได้แต่ตัวเราเท่านั้น พี่จะไม่ได้หัวใจและเราก็จะชิงชังพี่ตลอดกาล” สุรเสียงปนสะอื้นประชดประชันดังขึ้นหลังจากที่เขาทำกริยาต่ำช้าด้วยความหน้ามืด เด็กหนุ่มพอรู้สึกตัวก็เบี่ยงกายออก ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี บัดนี้ก็เจือไปด้วยหยาดน้ำใสๆด้วยเพราะสำนึกผิดเช่นกัน

“เราทำอะไรลงไป....สีทันดรพี่ขอโทษ”

ความสำนึกผิดเริ่มจับเข้าหัวใจ  ได้ตัวแต่ไม่ได้หัวใจ เขาก็ไม่ต้องการ เสียใจนักที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้เจ้านาคน้อยใจอ่อนด้วยวิถีแห่งลูกผู้ชาย กลับกลายเป็นวิถีของคนเถื่อนอย่างที่ไม่เคยเป็น สีทันดรในเมื่อเจ้ารักและเลือกอัสดง พี่ก็จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่พี่ละอายใจเหลือเกินพี่คงจะมีหน้าไปสู้เจ้าและไอ้พวกนั้นไม่ได้อีกแล้ว พี่ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่

ฉับพลันไวเท่าความคิด ดาบเล่มยาวปรากฏขึ้นในมือของทรงกลด อารมณ์ชั่ววูบคิดปลิดชีพตัวเอง สีทันดรตกพระทัยร้องห้ามทันที “อย่าพี่กลด...........พี่อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

“ลาก่อน....สีทันดร พี่ขอโทษ” คมดาบจ่ออยู่เพียงแค่คอหอย แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการ รัศมีสีชมพูจ้าสว่างไสวยิ่งกว่าสีกุหลาบใดๆก็กำจาย ทำให้ปลายดาบกระเด็นหลุดจากมือ และภายในรัศมีนั้น ปรากฏพระวรกายแห่งมหาเทวีผู้งามงดประทับอยู่บนดอกบัวเบ่งบานสีชมพูอ่อนงามกระจ่าง....... “มหาลักษมีเทวี” เสด็จมาทันท่วงที

 “อณูน้อยแห่งจันทรเทพ ความผิดหวังจากความรัก ทำให้เจ้าถึงกลับคิดปลิดชีพตนเองเชียวหรือ อีกทั้งเจ้าหาญกล้าทำในสิ่งที่ร้ายกาจ เจ้าทำให้ความไว้วางพระทัยแห่งพระมหาวิษณุคลอนแคลน การลักพาตัวเป็นสิ่งที่เทวะชั้นสูงไม่พึงกระทำ เจ้ากำลังขาดสติ”

“ข้าแต่พระมหาเทวี.....หม่อมฉันเสียใจ ที่ทำไปเพียงเพราะรัก มิได้มีเจตนาร้ายอันใด ทำไปเพราะอยากใช้วิถีแห่งลูกผู้ชายพิสูจน์ความตั้งใจจริง”

“แล้วนี่มันวิถีลูกผู้ชายตรงไหน เจ้าทำเยี่ยงโจรคนเถื่อน เจ้าจงรู้ไว้ด้วยว่า สีทันดรเกิดจากพรอันวิเศษแห่งเรา และอณูของเราก็อยู่ในตัวสีทันดร .....สีทันดรถูกมอบให้กับพระสุริยาทิตย์เป็นผู้ดูแลแล้ว เจ้ายังจะกล้าฝืนคำเราอีกเหรอ”

“พระแม่เจ้า”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-10-2019 12:47:28
ทรงกลดหน้าเสียทันใด น้ำตายังนองหน้า สติที่เริ่มกลับคืนมาทำให้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าพระพักตร์ของสีทันดร ถอดแบบมาทั้งหมดจากมหาเทวี ถึงว่าทำไมสีทันดรงามเกินเทวบุตรและแม้แต่เทวธิดายังต้องอาย

“น้องดื้อเกิดจากพระแม่เจ้า” แล้วทำไมต้องทรงประทานให้กับไอ้พระอาทิตย์ด้วย “หม่อมฉันไม่ยอม ทรงลำเอียง”

“เราไม่ได้ลำเอียง ยังจะดื้ออีก ชะตาของทั้งสองถูกผูกไว้ด้วยกัน เจ้าฝ่าฝืนไม่ได้หรอกและจงเลิกล้มความคิดที่จะปลิดชีพตนเองซะ เจ้าเป็นอณูแห่งเทวะ ภารกิจที่ลงมาปราบอสูรมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ”

“พะยะค่ะ แต่หม่อมฉันอายที่จะอยู่” ทรงกลดเริ่มเย็นลง พอนิ่งก็คิดได้ ว่าตนเกิดมาด้วยหน้าที่สำคัญเพียงไร แต่ก็ยังไม่วายทูลขึ้นมาว่า

“แล้วทำไมอัสดงถึงมีความรักได้ แล้วทำไมหม่อมฉันไม่มี”

“เจ้ามี....แต่ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า ...เจ้าจงคิดให้ดีว่าเจ้ารักหรือหลงสีทันดรกันแน่ ฟังนะอณูน้อยแห่งจันทรเทพ....ความรักนั้น ที่แท้จริงไม่ใช่สีแดงย่อมมีสีดำดั่งสีนิล เหมือนดั่งสีพระศอพระมหาศิวะ เมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดเพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่ และเพราะด้วยความขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกเอาสีนิล คือ ความขมขื่นไว้ ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่นๆ คือมุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว”**

พระดำรัสแห่งพระมหาเทวีประหนึ่งคถามหาศักดิ์สิทธิ์ทำให้ทรงกลดนิ่งงัน เขาเถียงอะไรไม่ออก จริงสินะ ...หากเรารักและมุ่งแต่จะเอาชนะใจสีทันดร โดยไม่คำนึงถึงว่าสีทันดรรักใครอยู่แล้วเต็มหัวใจ และแย่งมา.....มันคือความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ จริงดั่งที่พระมหาเทวีทรงตรัส ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดเพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่....และสีทันดร จะดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ ด้วยเพียงรักจากอัสดงเท่านั้น .......ที่ผ่านมาเขาคงเห็นแก่ตัวมากสินะ ที่มุ่งหน้าดันทุรังพยายามชนะใจ.....

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเข้าใจแล้วพะยะค่ะ ว่าหม่อมฉันควรรักสีทันดรในสถานะใด ขอบพระทัยพระเมตตาที่ทรงเสด็จมาเตือนสติก่อนที่หม่อมฉันจะทำอะไรวู่วามไปมากกว่านี้ ในเมื่อสีทันดรจะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเพียงเพราะรักจากอัสดง ชีวิตของหม่อมฉันก็จะดำรงอยู่ได้ด้วยเพราะหัวใจรักที่มีให้กับสีทันดรเช่นกัน แม้ขณะนี้ วันนี้ มันยังคงเป็นรักแบบสิเน่หา แต่หม่อมฉันจะพยายามทำให้วันหนึ่งข้างหน้าแปรเปลี่ยนเป็นรัก แบบพี่ชายที่มีให้กับน้องชายให้จงได้ เพียงแต่ขอเวลาทำใจเท่านั้น”

ทรงกลดกราบทูลขึ้นทั้งน้ำตา เขาเข้าใจแล้วว่า ควรจะวางตัวเองไว้ในสถานะใด ที่จะให้สีทันดรสุขพระทัย เขายอมระทมทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ....เพื่อสีทันดร พระองค์เดียวเท่านั้น

“อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่า วิถีแห่งลูกผู้ชาย...ที่นี้ เจ้าก็พาสีทันดรกลับไปได้แล้วนะ และหวังว่าเจ้าคงจะรู้หน้าที่ว่าเจ้าควรพาสีทันดรไปส่งให้ถึงมือผู้ใด”

“พะยะค่ะ .....หม่อมฉันจะพาสีทันดรคืนสู่อัสดง แล้วจันทรเทพล่ะพะยะค่ะ หม่อมฉันไม่แน่ใจว่า จะทรงเข้าพระทัยอย่างหม่อมฉันเข้าใจหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาทรงวางแผนมาให้ตั้งแต่ต้น คาดว่าคงจะไม่ยอมราพระหัตถ์”

“จันทรเทพ กำลังจะได้รับบทเรียนจากสุริยะเทพ ดี!! ถูกสั่งสอนเสียบ้าง จะได้ไม่เหลิง จะได้เข็ดหลาบเสียที ที่จริงเราจะจัดการให้เลยก็ย่อมได้ แต่เราไม่อยากก้าวก่าย เดี๋ยวจะหาว่าเราเลือกที่รักมักที่ชังกันอีก  เอาล่ะ...อัสดงกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่แล้ว เจ้ารีบตามไปสมทบกับอัสดงเถิด และจงสารภาพผิดอย่างลูกผู้ชาย เราคาดว่า อัสดงคงฟัง เอาล่ะ...เราไปล่ะ”

สิ้นรับสั่ง รัศมีสีชมพูสว่างไสวก็พลันจางหาย ทรงกลดทรุดกายกราบลงพร้อมกับสีทันดร แล้วสิ่งที่ทรงกลดไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกหน เพราะพระหัตถ์น้อยจากคนข้างๆก็เลื่อนมากุมมือเขาไว้แน่น

“พี่กลด.....ขอบใจมากนะ เราเข้าใจว่าสิ่งที่พี่ทำเป็นเพราะอะไร เราจะไม่ถือโกรธพี่ .....เพราะพี่คือพี่ชายของเราตลอดไป เราขอสัญญา” พระอัสสุชลแห้งเหือดไปแล้ว รอยแย้มพระโอษฐ์คลี่คลายกระจ่าง ทรงกลดเริ่มรับรู้และยอมรับ ....สุขใจที่ได้ดูแลแม้จะในสถานะพี่ชาย มันก็มีความสุขได้เหมือนกัน ....แม้ตอนนี้ยังไม่ชิน แต่วันหน้า เขาต้องทำให้ได้

“เจ้าไม่โกรธพี่เหรอครับ น้องดื้อ”

“เราให้อภัยพี่หมดแล้ว พี่กลด พี่ชายที่แสนดี”

“ขอบคุณครับ พี่จะพยายามเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าให้ได้ พี่สัญญา” ทรงกลดโผเข้ากอดสีทันดรทันใด....แต่มิได้กอดแบบจาบจ้วงเช่นเคย หน้าที่และสถานะใหม่ ความรู้สึกแบบใหม่ในอ้อมกอดต้องดำรงให้ได้ สีทันดรรับรู้แล้วว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จึงยอมปล่อยให้กอด วันนี้ทรงพี่ชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ...และก็ทรงยินดียิ่งนัก

ทรงกลดคลายอ้อมกอดนั้นแล้ว รีบรุดฉุดข้อพระกร เจ้านาคน้อยขึ้นมา กล่าวว่า “เราไปกันได้แล้ว พี่จะพาเจ้าไปหาไอ้อัสดงเอง”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกไอ้น้องชาย!!!”

สิ้นเสียงดังกังวานนั้น พลังสีเหลืองนวลรุนแรงกล้า ก็พุ่งเข้าซัดทรงกลดทันที ทำให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพ กระเด็นไปไกลกระทบกับต้นไม้ใหญ่เอนละลู่ กลีบดอกไม้สวรรค์ร่วงพรูลงกระจาย เลือดแดงสดใสไหลออกจากปาก

“พี่กลด!!!”

“เจ้าทำให้เราเสียแรงเปล่า.....เจ้าทำให้เราขายหน้า ที่เป็นอณูแห่งเรา เจ้าคิดยอมแพ้ง่ายๆ นี่คือบทลงโทษของเจ้า”

“จันทรเทพ ท่านทรงทำเกินไปแล้ว” สีทันดรเหิรลอยละลิ่ว เข้าไปยังร่างทรงกลด ค่อยๆประคองร่าง พี่ชายคนใหม่ขึ้นมา ดัชนีที่งามดั่งลำเทียนขี้ผึ้งชี้กราด สุรเสียงตวาดก้อง มายังร่างของเทวะหนุ่ม ที่ถอดแบบทั้งรูปร่างหน้าตาของพี่กลดมากันอย่างกับแกะ

“เขาเป็นอณูของท่าน ท่านกล้าทำเขาได้ลงคอ ท่านไม่สมควรเป็นเทวะ”

“ก็เพราะมันเป็นอณูของเราน่ะสิ เราถึงทำกับมันอย่างนี้......เจ้านาคน้อยถอยไป”

“งั้นหม่อมฉันคงต้องล่วงเกินพระราชอำนาจ” แล้วตาฟ้าคู่งามก็เปล่งประกายเป็นสีทอง จุดสีแดงดุจทับทิมกลางพระเนตรเริ่มเจิดจ้า พระโทสะแห่งเทวะนาคาเริ่มจับ พร้อมๆกับ นาคบาศ ที่ทรงเรียกมาใช้ เตรียมพร้อมรับมือ

“เราจะดูสิว่า หลานชายพญาวาสุกี จะมีฤทธีสักเท่าไร”

จันทรเทพพนมหัตถ์กลางหว่างอก เรียกดาบวิเศษเล่มยาวออกมาใช้ และฟาดลงไปทันที่ที่ทรงตรัสจบ นาคบาศในอุ้งหัตถ์น้อยแปรเปลี่ยนเป็นแส้เพลิงโบกสะบัดรับคมดาบไว้ อุทยานสวรรค์ปารุสกวัณ กำลังจะกลายเป็นสนามรบ ของหนึ่งเทวะชั้นผู้ใหญ่และหนึ่งนาคาพระองค์น้อยแล้ว


รัศมีสีชมพูอมทองสว่างกระจ่างฟ้า บัดนี้พระวรกายทรงพัสตราภรณ์สีส้มค่อนไปทางทองหยุดอยู่ปลายเส้นเขตแบ่งแดนสวรรค์และมนุษย์พิภพ พระนางอุษาเทวี ประทับยืนท่านกลางเมฆาฟ้าคราม แย้มพระโอษฐ์งามตรัสกับเหล่าเทวะน้อยๆด้วยพระสุรเสียงสรวลใส เสมือนการเสด็จนำทางนั้นเป็นเรื่องสนุก

“ถึงเส้นเขตแดนสวรรค์แล้ว ที่จริงกายหยาบของมนุษย์เข้าไปไม่ได้ พวกเจ้าต้องเข้าไปด้วยกายทิพย์ แต่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉินพอดี กฎแค่นี้น่าจะลดๆหย่อนๆกันได้  คงจะไม่น่ามีปัญหา เพราะเราพอเคยคุ้นและพอเจรจากับท้าวสักกะเทวราชมาบ้าง”

“นี่จันทรเทพพาสองคนนั่นมายันนี่เลยเหรอ ....แล้วทรงกลดเข้าไปได้ยังไง มันอยู่ในกายหยาบของร่างมนุษย์นี่”

“อำนาจแห่งต้นกำเนิดไงเล่าศนิเทพ ท่านจันทรเทพคงช่วยแอบพาเข้ามา คาดว่าท้าวสักกะยังไม่ทรงทราบ” พระนางอุษาเทวีทรงกล่าวตอบคันฉัตร เรียกเขาด้วยชื่อเดิมยามอยู่บนสวรรค์ “เอาล่ะ อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบๆตามหลังเรามา อย่าแตกแถวกันล่ะพวกหนุ่ม”

แล้วรัศมีแห่งพระนางอุษาเทวีก็เปล่งประกายวาบ เริ่มจับทั่วเส้นแบ่งเขตแดนนั้น และทะลวงจนเป็นช่องโหว่ “เหอะ ในเมื่อจันทรเทพ ทำได้ เราก็ทำได้ ใครว่าเทวนารี ดีแต่แต่งตัวสวยๆงามๆ เก็บดอกไม้ร้อยมาลัย ดูฝีมือเราซะก่อน”

เทวีแห่งอุษาสางกล่าวเปรยกับองค์เองแล้วเสด็จนำเข้าสู่ด้านใน อณูน้อยทั้งหลายรีบตามเสด็จเข้ามา และทันทีที่ราหูผู้อยู่รั้งท้ายขบวน เข้ามาถึง ก็บังเกิดสุรเสียงดังตวาดลั่น พร้อมกับรัศมีเขียวเจิดจ้าปรากฏตรงหน้าครั้นพอสลายก็กลายเป็ยบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ประทับเหนือราชอาสน์แห่งพญาคชสารสามเศียร นาม “พระเอราวัณ”

“พวกเจ้าบังอาจนัก กล้าเข้ามาในสวรรค์ทั้งๆกายหยาบ เจ้าคิดว่าดาวดึงส์เป็นสถานที่ที่พวกเจ้าจะเข้ามาเดินเล่นได้โดยพละการงั้นฤา จงกลับออกไปซะ”

ธรรม์และเอราวัต ก้าวออกมานอกรัศมีแห่งพระนางอุษาเทวี หมายใจจะเจรจา เพราะถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากรบพุ่ง หักพระพักตร์องค์อัมรินทร์หรือท้าวสักกะเทวราช จอมเทพผู้ปกครองดาวดึงส์แห่งนี้ พระนางอุษาเทวีทรงรู้ในความคิดแห่งเทวะน้อยๆ และมิทรงกลัวองค์อัมรินทร์แต่อย่างใด รอยแย้มสรวลจึงเบ่งบานเต็มที่

“เราจัดการเองดีกว่า พวกเจ้าจงฉวยโอกาสช่วงที่เราเจรจากับท้าวสักกะเทวราช ไปตามเจ้านาคน้อยที่มหาอุทยานปารุสกวัน จงมุ่งตรงไปทางด้านซ้ายของเรา ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง”

“ไหนว่าทรงคุ้นเคยไง”

“ก็นี่แหละ คุ้นเคยในแบบของเรา”

แล้วเทวีผู้ครองความสดชื่นอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ก็กรีดหัตถ์ตวัดดัชนีขยับข้อพระบาท เสียงกระพรวนจากกำไลข้อพระบาทดังกรุ๋งกริ๋ง ผสานกับท่วงทำนองร่าเริงจากเพลงพิณที่แว่วลอยมารายรอบสารทิศ บังเกิดเป็นทิพย์ดุริยางค์เสนาะทรวง พระนางได้ทรงร่ายรำแล้ว ท่วงท่า ลีลาอ่อนช้อย งดงามอันเป็นที่เลื่องลือทุกสวรรค์ชั้นฟ้า ตราตรึงองค์สักกะเทวราชแน่นิ่ง แม้พระเอราวัณเองก็ทรงย่อเข่าคู้กายลดงาลงแทบพื้นเมฆา ทอดเนตร “นาฏลีลา” อย่างลืมองค์

“อุษาเทวี เจ้าทรงงามเหลือเกิน งามยิ่งกว่ามเหสีของเรายิ่งนัก”

“หม่อมฉันอยากจะรู้นักว่า หากพระมเหสีทรงได้สดับรับฟังสิ่งที่ตรัส ....จะทรงว่ากระไร” องค์อัมรันทร์ทรงติดกับวิธีการเจรจาแห่งพระอุษาแล้ว นี่แหละหนาที่เขาว่ากันว่า

 “อันชายชาญหาญแกร่งสักเท่าไร   ย่อมขาดใจด้วยกลเล่ห์เสน่ห์นาง”

พระนางอุษาเทวี เมื่อทรงเห็นว่าได้ที่ ก็ทรงเอื้อนเอ่ยมธุรสวาจา ทูลขอในสิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทูลขอ แต่หากฟังจากพระสุรเสียงควรจะเรียกว่าพระเสาวณีย์หรือคำสั่งน่าจะเหมาะสมกว่า “ขอให้ทรงเปิดทางและอนุญาตให้อณูเหล่านี้ เข้าดาวดึงส์ได้โดยเสรี”

และมีฤาที่ท้าวสักกะเทวราชที่ต้องมนตราวิเศษจากท่าร่ายรำจะทรงปฏิเสธ “เราอนุญาต”

เท่านั้นแหละ รัศมีทั้งเจ็ดนำโดยอัสดงก็พวยพุ่งออกไปก่อนใครด้วยใจร้อนรน มุ่งหน้าไปทางด้านซ้ายตามรับสั่ง ตามมาด้วยรัศมีทั้งหกที่เหลือของสหายติดๆกันไป เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พระนางอุษาเทวีก็เสด็จกลับคืนสู่ทิพยสถานเพราะภารกิจได้ทรงนำทางและกระทำเสร็จสิ้นแล้ว ทรงทิ้งองค์อัมรินทร์ให้พระเนตรเหม่อลอยพร้อมเทพบริวารตรงชายแดนเขตสววรค์นั่นเอง


“เปรี้ยง!!”

เสียงกัมปนาทดังสนั่นลั่นไปทั่วมหาอุทยานปารุสกวันด้วยเหตุแห่งแส้เพลิงนาคบาศที่สีทันดรทรงใช้เป็นอาวุธฟาดฟันลงไปหมายวรกายแห่งจันทรเทพ แต่เทวะผู้ทรงเป็นประธานยามราตรีก็หลบหลีกไปได้ ปลายแส้หนักหน่วงร้อนแรงจึงฟาดลงไปกับพื้นดิน สะเทือนไปทั่ว

“เก่งนี่ ..นับว่าไม่เสียแรงที่เป็นหลานจอมนาคา แต่น่าเสียดาย จิตเจ้ายังไม่นิ่งพอ”

จันทรเทพทรงวิจารณ์ฝีพระหัตถ์ในการโจมตีแล้วฟาดคมดาบก่อบังเกิดรัศมีจันทร์เหลืองนวลทว่าคมกริบ แหวกอากาศลงมาดังเฟี้ยว สีทันดรทรงตวัดพระกรมั่น ควงแส้เป็นวงกลม ตั้งรับไว้ แล้วซัดจนพลังนั้นหักเห พุ่งเข้าตัดต้นไม้ใหญ่แทนที่จะเป็นพระวรกาย

เสียงโครมดังสนั่น พร้อมกับกาลอวสานของต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น ปลายแส้ยังคงทำงานไม่หยุดหย่อน พุ่งเข้าซัดไม่ลดละ รัศมีเทวะนาคาสีเขียวเริ่มเจือสีแดงเพลิงด้วยโทสะ จันทรเทพเองก็จำต้องทรงกั้นไว้ด้วยดาบ หมุนคว้างราวจักรผัน ปลายแส้ที่พุ่งเข้าชนในแต่ละครั้งนั้น กลายเป็นปลายคมเขี้ยวแห่งนาคราช แส้เพลิงประดุจมีชีวิตเลื้อยทะลวงติดตามจันทรเทพไปทั่ว จันทรเทพเห็นว่าหากปล่อยไว้อาจพลาดท่าจึงปล่อยพลังสวนกลับไปทำให้ปลายแส้หักเห และด้วยความไวที่เป็นต่อ จัดเจนในสนามรบ อีกทั้งตบะและเดชะก็ทรงมีมากกว่า จันทรเทพจึงปราดเข้ามาด้วยความรวดเร็วประชิดพระวรกายเจ้านาคาน้อย และยังทรงกระชากแส้หลุดออกจากพระหัตถ์ แล้วพระวรกายก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมอกของเทวะต้นกำเนิดแห่งทรงกลดทันใด

“เจ้านี่มันงาม สมดั่งคำร่ำลือ อีกทั้งฤทธิ์ก็ร้าย ไม่แปลกใจเลย ที่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์และอณูเนรคุณของเรา หลงเจ้าหัวปักหัวปำ”

สีทันดรพยายามสลัดองค์ออกแต่ก็ทรงทำไม่ได้เพราะจันทรเทพทรงกอดไว้แน่น แถมปลายพระนาสิกยังเริ่มจรดลงมาบนพระเกศางามดำขลับ “เคยแต่จูบผู้หญิง วันนี้ขอจูบผู้ชายอย่างเจ้าดูสักหน่อย เราอยากรู้นักว่า กลิ่นแก้มเจ้าจะหอมสู้ชายาของเราได้หรือเปล่า”

“ปล่อยเราจันทรเทพ ท่านมันต่ำช้านัก ....ไอ้ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”

และก่อนที่จันทรเทพจะได้เชยชมพระปรางใส ทรงกลดที่พยายามยันกายขึ้นมาได้ ก็รีบซัดพลังเข้าใส่เทวะต้นกำเนิด จันทรเทพที่ไม่ระวังองค์จึงหลบไม่พ้นและโดนพลังของอณูตนซัดเข้าสู่ต้นพระพาหาซีกซ้ายเต็มๆ แรงกระแทกทำให้เทวะชั้นผู้ใหญ่ กระเด็นลอยละลิ่ว สีทันดรจึงหลุดรอดออกมาจากอ้อมแขนนั้น และโผนทะยานเข้ามาหาทรงกลด ตามคำร้องเรียก

“มาหลบหลังพี่เร็ว น้องดื้อ”

“พี่กลด ระวังตัวด้วย”

ทรงกลดเช็ดเลือดที่ค้างคาอยู่ตรงมุมปากออกหมดสิ้น เรียกดาบวิเศษที่เป็นอาวุธประจำกายออกมาตั้งพร้อมไว้มั่น เตรียมรับมือจันทรเทพที่ตั้งองค์ได้อย่างรวดเร็ว

“ไอ้อณูเนรคุณ กล้าลบหลู่เทวะต้นกำเนิด เรารึอุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าสมหวังแต่เจ้ากลับทำอย่างนี้กับเรา เราจะฆ่าเจ้าซะบัดเดี๋ยวนี้ เราอายเหลือเกินที่มีอณูอย่างเจ้า”

“หม่อมฉันก็อายพะยะค่ะ ที่มีพระองค์ทรงเป็นเทวะต้นกำเนิด เทวะที่ทำองค์ไม่สมกับเป็นเทวะชั้นผู้ใหญ่”

“เราสัญญา ว่าเจ้าจะเหลือแค่ภัสมธุลี”

มิทันจะสิ้นเสียง คมดาบแห่งพระจันทร์เทวบุตรก็ฟาดซัดลงมา ทรงกลดที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วตั้งรับไว้ได้ทัน บัดนี้ต้นกำเนิดและอณูต่างโรมรันกันอย่างไม่ลดละ เพราะหากใครพลาดย่อมหมายถึงชีวิต บรรยากาศรอบค้างที่เคยสว่างไสวไปด้วยแสงทิพยาเริ่มมัวหมองกว่าเดิม เพราะทั้งคู่แปรเปลี่ยนให้อึมครึมขมุกขมัวสมบูรณ์แบบ รัศมีเหลืองนวลต่างผลัดกันกระทบโลดไล่ไปโดยรอบ ดุจดวงจันทราสองดวงที่ลอยปะทะกันท่ามกลางนภาฟ้ามืด

รัศมีที่กระจายส่ายซัด ก่อบังเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทเป็นวงกว้าง สีทันดรจำต้องใช้สมุทรมณีกั้นเอาไว้มิให้กระทบพระวรกาย แต่มีฤาที่อณูน้อยจะทานฤทธิ์อำนาจที่กล้าแกร่งจากต้นกำเนิดได้ตลอด เขาจึงพลาดท่าถูกซัดตกลงมาอีกครั้ง และจันทรเทพก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ทรงเงื้อคมดาบสุดแรงเกิด และฟาดลงมาหมายสังหารอณูแห่งตน

“นี่คือโทษฐานที่เจ้าเนรคุณต่อเรา อย่ามีชีวิตอยู่เลย”

“พี่กลด ระวัง!!” สีทันดรตะโกนลั่นเต็มที่แห่งพระสุรเสียง ทรงนึกว่าจะต้องเสียพี่ชายคนใหม่เป็นแน่แท้ แต่การณ์ก็กลับผิดคาดอย่างน่าดีใจ เพราะจักรเพลิงขนาดใหญ่ร้อนแรง พุ่งเข้ามาสกัดกั้นไว้ และจะเป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่ทรงคำนึงหาตลอดวลา   

“ อัสสะ!!”

จักรเพลิงกระทบเข้ากับคมดาบ ก่อให้เกิดแรงระเบิดมหาศาล อาวุธแห่งเทวะปะทะกัน และการปะทะนั้นก็ไม่ธรรมดาเพราะเป็นการปะทะกันระหว่างเทวะประธานยามกลางวันและเทวะประธานยามกลางคืน น้อยครั้งที่พระอาทิตย์และพระจันทร์จะโคจรมาพบกัน และหากพบกันเมื่อใด มีเหรอที่การปะทะจำทำเพียงแค่ ธรรมดา

“สุริยาทิตย์” จันทรเทพขบกรามแน่น เพราะทรงรู้ด้วยทิพญาณว่า ใครประทับในร่างอัสดงขณะนี้

รัศมีสีแดงเพลิงสว่างจ้านั้นเริ่มสลายเป็นร่างของอัสดงยามที่เท้าเหยียบลงพื้น พร้อมๆกับอ้อมแขนที่เปิดกว้างรอรับวรองค์ที่เหิรลอยเข้ามาสู่อ้อมอกนั้น “ไอ้ดื้อ...ของอัสสะ”

“อัสสะ มาช่วยเราแล้ว”

“เจ้าไม่เป็นไรนะคนดี” พระสุริยาทิตย์เหมือนจะเสด็จออกจากร่างไปชั่วขณะ ปล่อยให้อัสดงจูบลงไปบนพระเกศาดำขลับเป็นการรับขวัญ

“ยอดรักของอัสสะ โชคดี ที่เจ้าไม่เป็นอะไร...หลบไปก่อนนะ ทางนี้อัสสะจะจัดการเอง”

แล้วเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือของอัสดง กลายเป็นดาบยาวยิ่งไม่แพ้จันทรเทพ เสียงประทุของเประกายเพลิงตรงปลายดาบลั่นเปรี๊ยะ ทันทีที่ดาบกวัดแกว่งออกไป ก็กลายเป็นสายพระเพลิงรุนแรง จันทรเทพเองก็ไม่น้อยหน้า ฟาดปลายดาบรัศมีจันทร์ลงมา กลายเป็นกระแสดาราระยิบระยับนับพันเข้ามาสกัดกั้นไว้ พลังอันรุนแรงทั้งสองปะทะกันอีกครั้งและครั้งนี้ดูจะรุนแรงกว่าครั้งใดๆ แล้วจันทรเทพเองก็ขยับดาบในหัตถ์มั่น ใช้เทวะอำนาจอันมหาศาลผ่าม่านเปลวเพลิงกระจายไปทั่ว สะเก็ดเพลิงพวยพุ่งไปโดยรอบ ทรงกลดที่บาดเจ็บพยายามหลบเลี่ยง แต่ก็นับว่าโชคดี ที่รัศมีสีเขียวและสีฟ้าครามซึ่งเป็นของเอราวัตและคืนฉาย เหิรลอยมาพาเขาออกไปได้ทัน

“เป็นไงบ้างวะไอ้กลด”

“เจ็บนิดหน่อย ขอบใจมากที่ช่วย”

“อย่าพูดอะไรมากเลย รีบไปช่วยอัสดงรับมือกันเหอะ ....เฮ้ยไอ้ฉัตรทางนี้” คืนฉายตะโกนขึ้นฟ้าร้องเรียกรัศมีสีม่วงที่เหิรลอยรวมกลุ่มกับรัศมีสีทองแดง และสีชมพูกับสีส้ม รัศมีทั้งสี่เข้ามารวมกลุ่มทันใด และทั้งหมดก็พร้อมแล้ว พลังและอาวุธกระชับมั่น พร้อมช่วยอัสดงโรมรันจันทรเทพ

“พี่เอาวัต พี่ฉาย พี่ฉัตร พี่ราหู อย่ารอช้าอยู่เลย รีบเข้าไปช่วยอัสดงรับมือเถิด”สีทันดรตะโกนพร้อมทะยานลอยเข้ามาหา แส้ที่ตกอยู่บัดนี้กลับมากระชับมั่นในพระหัตถ์ ทรงพร้อมที่จะโรมรันอีกครั้งแล้ว

“น้องดื้อไม่เป็นไรใช่ไหม”

“เราไม่เป็นไร แต่พี่กลดสิแย่...และอัสดงก็กำลังจะแย่ตาม เราสังเกตว่า ทำไมยิ่งปะทะกัน พลังของจันทรเทพยิ่งเพิ่มขึ้นมิทรงลดลาด้วยความเหนื่อยอ่อนเลย”

“ก็เพราะวันนี้เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงน่ะสิ อำนาจของต้นกำเนิดพี่ท่านจะสูงสุด แม้พระสุริยาทิตย์ที่รวมร่างกับอัสดงก็อาจจะทานอำนาจนั้นไว้ไม่อยู่ ไปช่วยอัสดงกันเหอะก่อนจะสาย” ทรงกลดเองก็รู้ว่า พระสุริยาทิตย์ขณะนี้ประทับอยู่ในร่างของอัสดง แม้เขาจะพ่ายแพ้ในเรื่องความรักแก่สหาย แต่คำว่าเพื่อนและมิตรภาพมิได้จางห่างหายไปตามความพ่ายแพ้นั้น

คันฉัตรเป็นคนแรกที่ไม่รีรอ เหนี่ยวสายธนูสุดแรงเกิด แล้วลูกธนูวิเศษลงเทวอาคมก็พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว ธนูแห่งศนิเทพหรือพระเสาร์ แตกออกจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ และขยายจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นห่าธนูนับร้อยอยู่กลางอากาศ พุ่งเข้าหาจันทรเทพ แต่รัศมีเหลืองนวลนั้นก็ทรงลอยหลบไปได้

“ไอ้ศนิเทพ เดี๋ยวได้เจอดี”

ห่าธนูยังลอยตามมาติดๆ จันทรเทพลัดเลี้ยวไปทางใด ห่าธนูก็ตามไปทางนั้น หนำซ้ำอัสดงยังเปลี่ยนดาบเล่มยาวในมือกลายเป็นจักรเพลิง เข้ามาสมทบแต่จันทรเทพก็มิได้เกรง ทรงยิ้มริมโอษฐ์อย่างเยือกเย็น ซัดพลังต้านไว้พลาง หลบหลีกพลาง เอราวัตซัดหอกวิเศษคู่กายเคียงคู่ประสานกับพลังของคืนฉาย อีกทั้งดาบของทรงกลดตามไปสมทบ พร้อมๆกับราหูและสหายใหม่นามน้ำเชี่ยวที่เหิรลอยขึ้นไปสกัดกั้นโรมรันอยู่ทางด้านหน้า ดาบสองมือจากพระอังคารและพลังของราหูทำให้จันทรเทพเริ่มไม่มีทางถอย แต่ยิ่งสู้อำนาจพระจันทร์ก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นกล้าแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วราหูกับน้ำเชี่ยวก็ถูกซัดตกลงมา แต่ทั้งสองก็ไม่ยอมแพ้ ส่งพลังขึ้นไปสกัดกั้นอีกครั้ง

จันทรเทพทรงลอยอยู่กลางฟ้าสูงสุด ทรงนิ่งไม่ไหวติง พลังวิเศษแห่งเทวะน้อยทั้งหลายที่รายรอบเริ่มพุ่งเข้ามาหาอีกครั้งด้วยความเร็วสูง รอบสารทิศ แม้จะทรงเป็นเทวะชั้นผู้ใหญ่ แต่หากโดนพลังมหาศาลเหล่านี้ซัด ก็คงไม่แคล้วต้องบาดเจ็บจนแทบจุติ ....แต่มีหรือที่เทวะเจ้าเล่ห์จะยอมเจ็บตัว

ธรรม์ผู้เป็นอณูแห่งพระพฤหัสที่ยืนอยู่ด้านล่าง กำลังจะซัดพลังขึ้นไปช่วยสมทบ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าทำไมจันทรเทพที่ลอยอยู่กลางฟ้า มิทรงกลัวอาสัญ ยืนเป็นเป้านิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วจึงชะลอการซัดพลัง ฉับพลันก็นึกบางสิ่งได้ รีบตะโกนลั่น

“เฮ้ย พวกนายถอยพลังคืนก่อนเร็ว”

แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินการณ์แล้ว จันทรเทพทรงพนมหัตถ์ระหว่างอก แล้วกลางพระอุระก็บังเกิดเป็นแสงรัศมีนวลอย่างที่ไม่เคยบังเกิดมาก่อน พร้อมทั้งรัศมีสีรุ้งทรงกลดกำจายรอบพระเศียร จันทรเทพทรงอำนาจจนถึงขีดสุดแล้ว

ทันทีที่พลังงานแห่งเทวะน้อยๆเข้ามาถึง พลังงานและอาวุธวิเศษต่างๆเหล่านั้นถูกดูดกลืนเข้าไปทันใด แล้วรัศมีเหลืองนวลจ้าก็ระเบิดออก พลังที่ใช้โจมตีจันทรเทพทั้งหลายแหล่ ถูกซัดคืนกลับมาเป็นร้อยเท่าทวีคูณ อณูน้อยนั้น กว่าจะรู้ตัวว่าติดกับที่วางไว้ ก็สิ้นหนทางแก้ไขเสียแล้ว

“เฮ้ย หลบเร็ว” อัสดงลอยละลิ่วหลบจักรเพลิงของตน แต่ด้วยแรงซัดที่คืนกลับมามหาศาลและพลังอันรุนแรงจันทรเทพ พระสุริยาทิตย์ที่ประทับอยู่ในร่าง จึงกระเด็นออกไป มิสามารถเสด็จกลับเข้ามาช่วยเหลืออันใดได้อีก 

“อัสสะ ระวัง”

สีทันดรที่ห่วงอัสดงมากกว่าองค์เอง จึงเหิรลอยเข้าไปขวาง มิทรงกลัวว่าพระวรกายจะขาดเป็นเสี่ยงๆ ทรงทานอำนาจจักรเพลิงไว้ด้วยสมุทรมณี จักรเพลิงจึงหยุดอยู่แค่นั้น แต่ไม่ลดละที่จะทลายม่านอำนาจแห่งมณีจากบาดาลที่เริ่มแผ่ขยายอำนาจปกป้องอณูน้อยทุกคนเป็นวงกว้าง เทวะน้อยที่รอดจากการโจมตีลอยเข้ามารวมกลุ่มโดยพร้อมเพียง รายล้อมสีทันดรไว้

ธรรม์เห็นว่าหากปล่อยไว้เป็นอย่างนี้ น้องพญานาคคงจะแย่ เขาจึงเป็นคนแรกที่ทรุดลงนั่งสมาธิ ถ่ายพลังเข้าสู่พระวรกายช่วยต้านพลังที่ซัดกลับมานั้น อัสดง ทรงกลด และผองเพื่อนที่เหลือรีบทำตามและรัศมีทั้งแปด ก็หลอมรวมกับอำนาจแห่งสมุทรมณี เป็นม่านพลังใหญ่ยักษ์ กางกั้นไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะทานเพียงได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

“อะไรกันนี่ ขนาดพวกเรารวมพลังกันแล้วยังต้านไม่อยู่ อำนาจแห่งจันทรเทพ รุนแรงกว่าพี่ชายน้องดื้ออีก”

“คืนนี้จะทรงอำนาจสูงสุด หากเป็นยามปกติพระสุริยาทิตย์พระองค์เดียวก็น่าจะทรงพอต้านทานไว้ได้” ทรงกลดกล่าวชี้แจงเพื่อความกระจ่าง

“เสียดายที่พระสุริยาทิตย์ ท่านไม่สามารถประทับอยู่ในร่างฉันได้อีก ไม่งั้นเราคงมีทางตอบโต้ ฉันไม่คิดเลยว่าจันทรเทพจะเล่นไม้นี้ เหอะ ในเมื่อเราชนะด้วยกำลังไม่ได้ เห็นทีเราต้องใช้ปัญญา ถึงเวลานายแล้วนะ ไอ้พระพฤหัส” อัสดงเบือนหน้ามาทางธรรม์พร้อมๆกับทุกสายตา ยามเทวาสุรสงคราม พระพฤหัสผู้เป็นคุรุแห่งทวยเทพทั้งหลาย ทรงเป็นกุนซือหรือคลังปัญญาเคลื่อนที่ทุกครั้ง แลครั้งนี้ ก็ถึงคราวที่จะต้องใช้ปัญญานั้นแล้ว

ธรรม์จึงหลับตาลงอีกครั้ง แล้วเสียงหนึ่งที่ดังเบาๆในตอนแรก ก็ดังขึ้น ดังขึ้น เสียงแห่งเทวะต้นกำเนิด แม้จะเสด็จมาช่วยไม่ได้ แต่กระแสจิตนั้นผูกพันถึงกัน

 “พระจันทร์มีอำนาจถึงขีดสุดได้ ก็ย่อมมีวันที่อำนาจนั้นลดลงจนต่ำสุด ลองคิดดูสิ หากพระจันทร์ดับลง พระจันทร์จะมีอำนาจอันใดอีก จะส่องแสงอีกได้ฤา ...ลองนึกดูว่า ใครสามารถบังแสงจันทร์ได้ พิธีกวนเกีษยรสมุทรเจ้าลืมแล้วหรือไร”

และแล้ว ภาพต่างๆราวกับภาพยนตร์ก็บังเกิดขึ้น พระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เพื่อกวนน้ำอมฤตที่ยังผลให้ผู้ที่ดื่มกินเป็นอมตะตลอดกาล โดยการร่วมมือของเทวอสูรและเทวดาทั้งหลาย โดยใช้เขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง องค์พญาอนันตนาคราชทรงทอดองค์พันรอบเขาพระสุเมรุไว้เพื่อเป็นเชือก พิธีครั้งนี้เกิดสิ่งวิเศษมากมาย แม้กระทั่งมหาลักษมีเทวี และเมื่อจวบจนได้น้ำอมฤต เทวอสูรก็หมดแรงที่จะแย่งชิง เพราะต่างโดนพิษแห่งพญาอนันตนาคราชยามออกแรงกวน เพราะเทวอสูรเหล่านั้นอยู่ทางด้านพระเศียรด้วยกลอุบายอันแยบยลแห่งพระมหาวิษณุ ทรงต้องการเพียงหลอกใช้พวกอสูรเท่านั้น เพราะน้ำอมฤตสงวนไว้เฉพาะเทวดา แต่แล้วก็มีเทวบุตรครึ่งยักษ์พระองค์หนึ่งแอบจำแลงกายเข้ามาดื่มน้ำอมฤต แล้วจันทรเทพก็ทรงเห็น จึงทูลฟ้องพระมหาวิษณุทันใด จักราวุธอันทรงพลังจึงถูกส่งมาบั่นกายเทวะหนุ่มน้อยพระองค์นั้น แต่ด้วยความที่ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว เทวะหนุ่มน้อยจึงไม่ตาย แลรวมร่างกับนาคจนครึ่งบนเป็นยักษ์ครึ่งล่างเป็นนาค รูปกายพิสดาร และก็คั่งแค้นคนที่ทูลฟ้องยิ่ง เจอเมื่อไหร่ เป็นต้องบังรัศมีมันไว้ ให้สมแค้น ....เทวะหนุ่มน้อยนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล.....ที่แท้ก็คือผู้ที่ครองรัศมีสีทองแดงและอณูของเทวะพระองค์นั้นก็นั่งขัดสมาธิตรงหน้า.......“ราหูนั่นเอง”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-10-2019 12:53:10
ธรรม์ลืมตาขึ้นมาทันใด ตะโกนลั่น “รู้วิธีแล้ว” แล้วเขาก็พูดกับสหายละล่ำละลั่กต่อมาว่า

“ราหู ต้นกำเนิดนาย แก้แค้นอย่างไรกับจันทรเทพที่ไปทูลฟ้องมหาวิษณุ เรื่องนายแอบดื่มน้ำอมฤต”

“ท่านก็ทรงกลืนไว้น่ะสิ....อย่าบอกนะว่า นายจะให้ฉัน...”

“เออ วิธีนั้นแหละ”

“แต่พลังฉันไม่เท่าพระราหูท่านนะ คงบังและฝ่าแสงรัศมีจันทร์นั้นไม่ไหว”

“ไม่ต้องห่วง ฉันพานายขึ้นไปเอง” อัสดงกล่าวขึ้น แล้วเบือนหน้าไปทางพระอังคารน้อย ตัวแทนของเทวะแห่งสงครามที่มีความทนทานเป็นเลิศ “น้ำเชี่ยว นายนับว่าแข็งแกร่ง ช่วยฉันพาราหูฝ่าเข้าไปสู่กลางรัศมีจันทรเทพหน่อย “

“ได้เลย....หัวหน้า”

แม้จะไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ น้ำเชี่ยวก็เรียกอัสดงว่าหัวหน้าได้มาอย่างเต็มใจ เพราะยามเมื่ออยู่บนสวรรค์ครั้งเทวาสุรสงคราม พระสุริยาทิตย์ท่านทรงเป็นจอมทัพ แม้แม่ทัพอย่างเขาจะเคยแย่งชิงตำแหน่งมากี่ครั้งก็ไม่มีทางโค่นจอมทัพพระองค์นี้ลงได้ และจอมทัพก็ไม่เคยถือโกรธแถมยังถ่ายทอดวิธีการรบจนตนได้ขึ้นชื่อว่า เทวะแห่งสงครามได้อย่างเต็มภาคภูมิ

แล้วทั้งอัสดงกับน้ำเชี่ยวก็พาร่างของราหูโผนทะยานขึ้นฟ้า ฝ่ารัศมีจันทราแรงกล้าเหลืองนวลเข้าไปยังใจกลาง รัศมีสีทองแดงของราหูเริ่มทำงานอีกครั้ง พยายามมุ่งสู่ร่างของจันทรเทพ แต่ก็ยังเข้าไม่ถึง อัสดงกับน้ำเชี่ยวพาเข้าไปได้ครึ่งทางก็ต้องกระเด็นกระดอนลงมา แต่แล้วรัศมีสีทองแดงเจิดจ้าอีกลูกหนึ่งก็พุ่งลงมาจากขอบฟ้ารวมกับร่างของราหู ทำให้รัศมีสีทองแดงของอณูน้อยสุกใสยิ่งกว่าครั้งใดๆ พุ่งเข้าชนใจกลางแห่งจันทรเทพทันที

“เราจะช่วยเจ้าเอง ไอ้น้องชาย หมั่นไส้มันมานานแล้ว”

“พระราหูท่านเสด็จมาช่วยแล้ว”

พลังงานสีทองแดงเจิดจ้า เมื่อพุ่งเข้าใจกลางแห่งความสว่าง คราแรกก็ประดุจดั่งหิ่งห้อยโบยบินเข้าสู่แสงไฟ แต่แล้วหิ่งห้อยน้อยก็เปล่งประกายวาบจากจุดเล็กๆ ขยายวงกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว รัศมีสีทองแดงจับเต็มพระวรกายแห่งจันทรเทพแล้ว รัศมีเหลืองนวลพลันสลาย พร้อมๆกับม่านพลังรุนแรงที่ซัดคืนกลับมาสู่องค์จันทรเทพเอง สุรเสียงสุดท้ายแห่งเทวะประธานยามราตรีดังลั่น ก่อนพระสติจะดับวูบ

“พวกเจ้าเล่นขี้โกง.....ท่านราหู ท่านเอาเปรียบเรา”

แล้วร่างแห่งเทวะร้อยเล่ห์ แสนงามสง่าก็ถึงคราวอับแสง  รัศมีพระวรกายเริ่มซีด ส่องแสงเพียงแค่เจือระเรื่อ จันทรเทพทรงพ่ายแล้ว พลังแห่งอณูน้อยทั้งหลายที่รอท่าพร้อมทั้งอำนาจแห่งสมุทรมณี ได้โอกาสพุ่งเข้าซัดใส่พระวรกายกระเด็นไปกระเด็นมากลางฟ้าหลายตลบดาบคู่พระหัตถ์หักสะบั้น แล้วเทวบุตรรูปงามก็ร่วงหล่นลงมาอยู่ตรงแทบเท้าของผู้ที่ถูกลักพายอดดวงใจไป จนต้องตามกลับมาเอาคืน

เทวะชั้นผู้ใหญ่ทรงปราชัยแก่อณูน้อยๆ รู้ถึงไหน อายถึงนั่น

“ฉันเคยพูดไว้แล้วว่า หากใครมายุ่งกับไอ้ดื้อของฉัน ฉันจะกระทืบมันให้จมดิน ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วสิ”

อัสดงเงื้อเท้าสุดแรงเกิดหมายยังพระพักตร์ของจันทรเทพ แต่ก่อนที่ปลายเท้าจะสัมผัสให้สมแค้น ทรงกลดก็ถลาเข้ามาห้าม ในใจเขาถึงแม้จะไม่พอใจเทวะต้นกำเนิด แต่อย่างไรเสียการที่จันทรเทพโดนเหยียบพระพักตร์ถือเป็นการถือเป็นการลบหลู่พระเกียรติยศ และอณูอย่างเขามิควรนิ่งดูดาย

“พอก่อนเถิดอัสดง แค่นี้จันทรเทพ ท่านก็ทรงได้รับบทเรียนแสนสาหัสแล้ว”

“ถอยไป ไอ้กลด ...นายเองก็โดนเล่นงานน่วมขนาดนี้ นายยังจะปกป้องเทพองค์นี้อีกเหรอ”

“เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะฉันผิดเอง” ทรงกลดทอดเสียงสำนึกผิด “เป็นเพราะฉันรักน้องดื้อ แต่ความรักของฉันมันเป็นรักข้างเดียว เพราะทั้งหัวใจของสีทันดรมีให้นายเพียงเท่านั้น ที่จันทรเทพท่านทำไป เพราะอยากช่วยฉัน จึงเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตและเกินเลย ทุกอย่างมันผิดเพราะฉัน นายกระทืบฉันเหอะ ถ้ามันจะทำให้นายหายแค้น”

“ไอ้กลด!!” อัสดงที่ยกเท้าอยู่ลดเท้าลงทันใด พร้อมๆกับถอนหายใจมาเฮือกใหญ่ สายตาวิงวอนขอร้องอีกทั้งน้ำเสียงสำนึกผิดจากทรงกลดทำให้เขานิ่งอยู่กับที่

“ทุกอย่างมันเริ่มจากฉัน นายกระทืบฉันแทนเหอะ”

“ทรงกลด ....ไอ้น้องชาย” จันทรเทพทรงรู้สึกตัวแล้ว ค่อยๆปรือพระเนตรขึ้น ถ้อยคำที่ทรงกลดกล่าวทุกคำ พระโสตสดับไว้ได้โดยตลอด พระโทสะที่รุนแรง ชิงชัง ยามที่อณูน้อยไม่ได้ดังใจ มลายหาย และคำว่า เนรคุณที่ใช้ด่าก็ไม่เหลือเช่นกัน

 “ขอบใจ น้องชาย เราภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”

อัสดงเบือนหน้าไปอีกทาง แค้นแสนแค้น ที่จันทรเทพกับทรงกลดลักพายอดดวงใจไป ดีนะที่เขามาช่วยไว้ได้ทัน แล้วหากเขาไม่โชคดีอย่างวันนี้ล่ะ หากไอ้ดื้อถูกรังแก ใครจะรับผิดชอบ คำขอโทษแค่นี้จะเพียงพอเหรอ

“นายคิดว่า คำขอโทษแค่นี้ มันจะเพียงพอหรือ”

“ก็ได้อัสดง ถ้านายอยากให้จันทรเทพสยบอยู่แทบเท้านาย ...ฉันผู้เป็นอณูของท่านจะทำเอง”

แม้จันทรเทพจะทรงร้ายไปบ้างหากเมื่อเห็นอณูน้อยเตรียมก้มกราบขอโทษอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ในความผิดที่ตนก่อขึ้น ก็ละอายพระทัย อณูน้อยของตนไม่เนรคุณอย่างที่ทรงกล่าวหาเลยสักนิด น้ำใจที่ยิ่งใหญ่ยอมเสียเกียรติแทนตน น่าสรรเสริญ แล้วจึงทรงยันองค์ขึ้นมา แม้รัศมีกายจะไม่เรืองรองดังเดิม ก็พอที่จะใช้อำนาจหยุดยั้งไว้ได้ พร้อมตรัสร้องห้าม

“อย่าไอ้น้องชาย”

“พอเถิดอัสสะ แค่นี้ก็ทรงได้รับบทเรียนพอแล้ว ถึงอย่างไรจันทรเทพท่านก็เป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ ศักติแลเดชะท่านก็เทียบเคียงพระสุริยทิตย์ แม้จะมิได้ประสูติแด่พระกัศยปเทพบิดร ....อย่าทำให้ท่านเสื่อมพระเกียรติไปมากกว่านี้เลย” สีทันดร ทรงร้องห้ามบ้างหลังจากที่ทรงยืนนิ่งอยู่นาน

“ไอ้ดื้อ เจ้าจะให้อภัยง่ายๆแค่นี้น่ะหรือ”

“ถือโกรธไปก็จะทำให้จิตใจมัวหมองเปล่าๆ พี่กลดก็สำนึกผิดแล้ว และเขาก็สัญญาว่าจะเป็นพี่ชายที่ดีของเรา อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรเรามากด้วย เจ้ากับพี่กลดเป็นเพื่อนกันนะ” พระสุรเสียงใสตรัสวิงวอนพอดีกับที่เอราวัตเสริมมาว่า

“ยังไงไอ้กลดมันก็เพื่อนเรานะอัสดง ตอนอยู่บนสวรรค์ครั้งเทวาสุรสงคราม ที่เรารบกับอสูร นายจำได้ไหม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นายพลาดท่าโดนศรของพญาพลี ใครเล่าที่ช่วยรักษานาย และพานายฝ่าวงล้อมพวกอสูร และดึงศรออกจากร่างให้ โดยไม่คิดคิดถึงชีวิต ถ้าไม่ใช่จันทรเทพ เพื่อนจอมร้ายของเรา”

“พวกเรารู้ ว่าจันทรเทพน่ะ ทรงเป็นอย่างไร แต่ก็ทรงเป็นอย่างนี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ต่อให้นายเหยียบหน้าท่านหรือให้ไอ้กลดกราบเท้า มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ดูอย่างพระพฤหัสสิ โดนแย่งเมียทั้งคนยังไม่เดือดร้อนเลย” คืนฉายกล่าวเสริมเตือนสติ แต่ก็ไม่วายแขวะ ครุเทพตามแบบฉบับครุแห่งอสูรที่เคยทำเมื่ออยู่บนสวรรค์

“เดี๋ยวนายจะโดนเตะ ไอ้พระศุกร์ ใครว่าไม่เดือดร้อน แต่ฉันทำอะไรไม่ได้โว้ย”

“ไอ้ฉายมันพูดถูกนะอัสดง” คันฉัตรเสริมมาอีกคน อัสดงได้ฟังเพื่อนๆและไอ้ดื้อของเขากล่าวเตือนสติ จึงถอนใจมาอีกเฮือกใหญ่ และตัดสินใจ ยุติเรื่องวุ่นวายทั้งปวงด้วยการให้อภัย

“ก็ได้ ครั้งนี้เราจะเลิกแล้วต่อกัน แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีก”  เสียงไชโยโห่ร้องดังลั่น จากบรรดาเทวะน้อยๆ อัสดงค่อยๆฉุดทรงกลดขึ้นมาพร้อมกับจันทรเทพ มิตรภาพผสานกันอีกครั้ง

“มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก เพราะต่อไปสถานะที่ฉันจะดำรงอยู่คือพี่ชายคนหนึ่งของน้องดื้อเท่านั้น ถึงแม้ช่วงแรกๆมันจะเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันก็จะทำมันให้ได้”

อัสดงกระชับมือแน่น ตอบรับไมตรี แม้พลังงานแห่งเทวะจะกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เทวะก็จำเป็นต้องรวมอยู่ด้วยกัน และจะทำลายเฉพาะมารเท่านั้น รัศมีสีแดงและรัศมีสีเหลืองนวลจากปลายฝ่ามือทั้งสองสอดประสานสว่างจ้าแสดงถึงสัมพันธภาพกลับคืน น้ำเชี่ยวถึงแม้จะเพิ่งมารวมกลุ่มแต่พวกเขาคือเพื่อนเก่าครั้งบนสวรรค์ ก็อดตื้นตันน้ำใจไม่ได้ เข้ามกอดไหล่ทั้งสองไว้

“พวกนายสุดยอดเลย”

แล้วรัศมีสีชมพูก็ไหลรวมมาบรรจบ เอราวัต คืนฉาย คันฉัตร ธรรม์และราหู ต่างก็กรูกันมาเข้าประสานพลัง รัศมีทั้งแปดจึงสว่างจ้าสุกใสยิ่ง พวยพุ่งขึ้นฟ้าสู่สวรรค์แทบทุกชั้น เสียงสวดสรรเสริญระคนยินดีจากเทวะน้อยใหญ่ทุกพระองค์ สอดประสานกับทิพยทำนองด้วยมโหรีแตรสังข์เสนาะยิ่งกว่าดนตรีใดๆ จันทรเทพที่สำนึกได้ ทรงร่วมอำนวยอวยพรแล้วเสด็จกลับสู่ทิพยวิมาน ดอกไม้สวรรค์กลีบสีทองจากเหล่านางอัปสรโปรยปราย ทัศนียภาพรอบๆสวนปารุสกวันกลับคืนดังเดิม แล้วสายพระวายุก็พัดเอากลิ่นหอมที่หอมเสียยิ่งกว่าหอมลอยมาตามกระแส สอดแทรกด้วยสุรเสียงไพเราะชื่นทรวง

“อณูแห่งเทวะทั้งแปด รวมตัวกันครบแล้ว เราขอให้ ชยะและคำสำเร็จจงบังเกิดขึ้นแด่พวกเจ้า นับแต่นี้ไปจงเตรียมพร้อมให้ดี อีกมินาน พระมหาวิษณุจะบรรทมตื่น พระมหาศิวะจะทรงถอยฌาน เสด็จออก ณ เทวสภาพร้อมกับพระมหาอุมาเทวีและเรา ยามนั้นจะมีเทวราชโองการ”

“พะยะค่ะ” อณูน้อยทั้งแปดคุกเข่าอยู่แทบพื้นดิน มิต้องบอกก็รู้ ว่าผู้ที่ตรัสคือพระมหาเทวีพระองค์ใด

“ทรงกลด เราภูมิใจในตัวเจ้าที่เจ้าคิดได้และกตัญญูต่อเทวะต้นกำเนิด น้ำใจของเจ้าครั้งนี้ เราจะมอบพรให้เจ้าข้อหนึ่ง เจ้าจะขออะไรก็ได้ แม้ในด้านความรัก”

“เป็นพระมหากรุณา...หากจะทรงประทานให้ หม่อมฉันขอให้คนที่หม่อมฉันรักสุดหัวใจ มีความสุขกับคนที่เขาเลือกพะยะค่ะ”

“เป็นการขอที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เราให้ตามคำขอและน้ำใจของเจ้าจะไม่มีวันลืมเลือน”

แล้วพระสุรเสียงดั่งระฆังแก้วก็จางห่างหาย สีทันดรเข้ามาจับมือทรงกลดแน่น พร้อมกับอัสดง “ขอบใจนะพี่กลด พี่จะเป็นพี่ชายที่เรารักมากที่สุดคนหนึ่ง”

อัสดงกอดคอเพื่อนแน่นแทนคำพูด เสียงปรบมือดังลั่นจากกลุ่มเทวะน้อยที่เหลือ แล้วเสียงไชโยก็ดังอีกครั้ง

“เยี่ยมว่ะไอ้กลด ฉันนับถือนายจริงๆ” คันฉัตรกล่าวมาจากใจและชวนทุกคนกลับเพราะลุกล้ำดาวดึงส์มานานแล้ว และไม่รู้ว่าพระอินทร์ท่านคลายจากมนต์สะกดของพระอุษาหรือยัง ดีไม่ดีหากรู้องค์เร็วเดี๋ยวจะเหนื่อยกันอีก “กลับเหอะ โคตรเหนื่อยเลย อยากนอนจะแย่แล้ว”

“พวกนายกลับไปก่อนได้ไหม ฉันจะพาไอ้ดื้อไปทำธุระแป๊บนึง” อัสดงกล่าวขึ้นแล้วพระเนตรฟ้าครามใสของสีทันดรก็เบิกกว้าง เพราะเพิ่งรู้ว่า “ทรงมีธุระ” กับเขาด้วย

“นายยังไม่ได้ขออนุญาตพี่ชายแฟนเลยนะ” ทรงกลดต่อยไหล่อัสดงเบาๆแกมหยอก หากเป็นเมื่อก่อน คงขัดขวาง

“ก็ได้ไอ้ห่า ....กูจะพาน้องดื้อของมึง เสด็จประพาสอุทยาน พอใจหรือยัง”

เสียงหัวเราะของทรงกลดแทนคำตอบว่าอนุญาต ผสานเสียงร้องแซววี๊ดวิ้วจากเพื่อนๆ อัสดงรีบจูงข้อพระกรน้อยเหิรลอยขึ้นฟ้าทันใด น้ำเชี่ยวเองก็ได้แต่มองตามปริบๆ ถูกใจน้องพญานาคน่ะถูกใจ แต่ตัวอย่างของไอ้พระจันทร์ก็มีให้เห็น ถอนตัวแต่ตอนนี้ดีกว่า ส่วนทรงกลด แม้ขณะนี้ยังเจ็บแปลบอยู่บ้าง แต่เขาจะต้องดำรงอยู่ให้ได้ ดอกไม้สวรรค์สีชมพูและแดงปนทอง หล่นลงมากระทบที่หลังมือ เขาว่ากันว่าเป็นสีแห่งความรัก  แต่ทว่าพระดำรัสในเรื่องความรัก ของมหาลักษมีเทวี ท่านตรัสว่าไม่ใช่

“ความรักนั้น ที่แท้จริงไม่ใช่สีแดงย่อมมีสีดำดั่งสีนิล เหมือนดั่งสีพระศอพระมหาศิวะ เมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดเพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่ และเพราะด้วยความขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกเอาสีนิล คือ ความขมขื่นไว้ ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่นๆ คือมุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว”

และพระชนม์ชีพของสีทันดร ก็จะดำรงอยู่ได้ ด้วยรักจากอัสดงเท่านั้น แม้วันนี้ยังทรมานเพราะยังตัดสายใจไม่ขาด แต่วันหน้าเขาจะยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง


รัศมีสีแดงเพลิงค่อยๆลดความสว่างไสวลงแล้ว มิเจิดจ้าเท่ายามพระสุริยาทิตย์ประทับอยู่ในร่าง ภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่น วงแขนแข็งแรงยังคงกระชับมั่น ตระกองกอดวรองค์ที่หอมกรุ่นยิ่งกว่ามวลบุปผาชาติใดๆของเจ้าเทวะนาคาจอมดื้อพระองค์น้อย ทันทีที่ปลายเท้าของอัสดงแตะลงกับพื้นพระเนตรฟ้าครามใสก็ลืมขึ้นมาเหมือนจะทรงรู้ว่า ถึงจุดหมายปลายทางที่เขาคนนี้จะพามาแล้ว

ทัศนียภาพรอบด้านคุ้นตายิ่งนัก ร่มไม้ใหญ่คราครึ้มหลายต้นตั้งตระหง่านแผ่ปกคลุมให้ความร่มรื่นกางกั้นแสงสุริยาร้อนแรง จึงเหลือเพียงแสงเล็กๆรำไรลอดผ่อนกิ่งก้านสาขาน้อยใหญ่ ก่อบังเกิดเป็นแสงตกกระทบประกายรุ้งพราวกับม่านน้ำตกที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้า

สายน้ำทอประกายระยับซัดซู่ซ่า สอดประสานกับเสียงของเหล่าบรรดาวิหคสวรรค์ ประดุจดั่งทิพยทำนองขับขานต้อนรับการเสด็จเยือน ของหนึ่งอณูเทวะรูปงามและรูปสลักชั้นเลิศของเทวะนาคาจากโลกบาดาล

“หิมพานต์นี่นา”

จากสวนปารุสกวันที่นับว่างามตาอยู่แล้ว บัดนี้สีทันดรทรงประทับยืนเคียงคู่อัสสะ ท่ามกลางดินแดนแห่งทิพยภพที่งามตาไม่แพ้อุทยานสวรรค์ ฝ่ามือแข็งแรงเริ่มกุมพระหัตถ์น้อยไว้มั่น รัศมีสีแดงเจือชมพูถ่ายทอดสอดประสาน หิมพานต์นี่น่ะหรือ ที่เขาจะพามาทำธุระ

“ยอดขวัญคืนกลับมาแล้ว และถึงเวลารับขวัญให้สมใจเสียที”

“อัสสะเคยตั้งใจไว้แล้วว่าวันหนึ่ง อัสสะจะกลับมาที่นี่พร้อมกับไอ้ดื้อตัวน้อย โดยไม่มีภารกิจใดต้องกระทำ และวันนี้ก็สบโอกาสอัสสะจึงไม่อยากให้มันหลุดลอยไป”

อัสดงยังคงกุมพระหัตถ์น้อยไว้มั่นราวเกรงว่าใครจะมาลักพาเจ้ายอดดวงใจไปอีก ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่บนชะง่อนหินริมน้ำตก ดอกไม้สวรรค์นานาพันธุ์ที่รายรอบระหว่างทางถูกเขาเด็ดมาเสียเต็มมือ แล้วบรรจงเสียบแวมพระเกศาที่ดำขลับเป็นเงา ทำให้คนที่น่ามองอยู่แล้วกลับน่ามองยิ่งขึ้น สนิทใจที่จะคว้ามากอด มากกว่าทรงรัดเกล้ารูปนาคาสีทองไขว้เศียร สีทันดรเองก็ทรงรู้ ถอดรัดเกล้าออกทันที ณ ตอนนี้คงไม่มีสิ่งใด มีค่าเกินกว่า ปวงดอกไม้ที่อัสสะ นำมาเสียบแซมให้แล้ว

เก็บดอกไม้ประทานให้น้องน้อย
ที่สูงค่อยเอื้อมปลิดลงมาได้
กระดังงาแก้วยี่สุ่นกรุ่นละไม
มาเสียบแซมเกศาให้เจ้าแก้วตา ***

ทั้งสองทรุดกายนั่งลงบนโขดหินแต่อัสดงก็มีวิธีที่จะให้ไอ้ดื้อตัวน้อยนั่งลงบนตักตนแทนที่จะเป็นพื้นเห็นมันเรียบ วงแขนแข็งแรงทำงานอีกครั้ง พร้อมๆกับคางสากมนจากไรหนวดของวัยหนุ่มที่กำลังโลดไล่คลอเคลียอยู่บนพระศอสีเศวต

“เดี๋ยวใครมาเห็นน่า อัสสะพอได้แล้ว” พระโอษฐ์เริ่มไม่ตรงกับพระทัยอีกแล้วทั้งๆที่เป็นฝ่ายตรัสห้าม แต่พระวรกายยังคงประทับนิ่งในอ้อมกอดของเขา

“นึกว่าจะตามไม่เจอเสียแล้ว ขอกอดให้หายห่วงหน่อย แล้วนี่มีริ้วรอยโดนรังแกตรงไหนบ้าง”

“ไม่มีหรอกแต่ก็เกือบไป หากพระมหาลักษมีไม่เสด็จมาเตือนสติ” ว่าแล้วสีทันดรก็ทรงทบทวนเหตุการณ์ให้อัสดงฟัง อัสดงได้ฟังก็เริ่มขบกรามแน่น แต่เมื่อกี้ก็ได้ให้อภัยทรงกลดไปหมดแล้ว จึงระงับความโมโหได้อย่างรวดเร็ว

“เหอะพี่ชายเจ้าแต่ละคนมันร้ายนัก ไหนจะทยุติธร ไหนจะไอ้กลด”

“แต่สองคนนั่นรวมกัน ก็ไม่ทำให้เราปวดหัวเท่ากับอัสสะคนเดียว” พระสุรเสียงใส ตรัสเหน็บอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ ทำให้เจ้าตัวขมวดคิ้วยุ่งถามกลับมาทันควัน

“เราทำให้เจ้าปวดหัวตรงไหน”

“ก็ตรงที่อัสสะเป็นแบบนี้ไง ....แต่”

“แต่อะไรพูดดีๆนะ ไม่งั้นโดนทำโทษแน่”

“แต่ เราก็รักไง”

พระสุรเสียงใสกล่าวขึ้นเบาๆ แต่สำหรับอัสดงนั้น ดังลั่นสะท้อนไปมาทั่วทั้งหิมพานต์และในหัวใจ พระพักตร์ขาวกระจ่างใสเหนียมอาย เลือดฝาดวิ่งพล่านซ่านขึ้นพระปรางที่น่าประทับรอยจูบกลายเป็นสีแดง อัสดงหัวเราะลั่นมันช่างถูกใจเขาเสียยิ่งนัก เขาโอบพระวรกายแน่นขึ้น ก่อนจะขบที่ติ่งพระกรรณเบาๆ ส่งเสียงกระซิบซ่านส่งผ่านว่า

“อัสสะก็รักเจ้า คนเดียว และจะตลอดไป”

ดวงตะวันนั้นเจิดจ้ากลางฟ้าขาว
ดาราพราวรายล้อมจันทร์สว่างไสว
เหมือนใจพี่จะมีเจ้าตลอดไป
ตราบสิ้นใจแนบสนิทนิจนิรันดร์

และแล้วเสียงกระซิบที่ชื่นทรงก็ทำให้พระทัยเต้นรัวได้อีกครา “ให้รางวัลอัสสะบ้างสิ วันนี้อัสสะอุตส่าห์ยอมแลกชีวิตเข้าไปช่วย นะๆทีเดียวก็ได้ตรงนี้แหละ”

สีทันดรที่พระพักตร์แดงอยู่แล้วก็แดงยิ่งขึ้นไปอีกน้ำเสียงรบเร้าออดอ้อนของอัสดง ฟังแล้วน่าดูดุจเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ เขาคนนี้ยามอยู่กับเพื่อนอาจจะดูวางท่าไปบ้าง แต่ยามเมื่ออยู่กับองค์เองตามลำพังเมื่อไร คนวางท่าก็กลายเป็นเด็กขี้อ้อนทุกครั้งและอ้อนเก่งเสียด้วย แต่รางวัลที่อัสดงขอทีเดียว มันคืออะไรกันนะ หรือเขาจะขอแบบนั้น ณ ตรงนี้

ระหว่างที่ทรงเขินทำอะไรไม่ถูก เจ้าอัสสะจอมอ้อนก็ทำให้โล่งพระทัยได้ เพราะรางวัลที่เขาขอไม่ใช่อย่างที่ทรงคิด เพราะอัสดงกำลังทำแก้มป่องจนลอยลักยิ้มห่างหาย ...เฮ้อรางวัลแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย พระโอษฐ์สีแดงสดจึงประกบลงไปอย่างไม่รอช้า พอได้สัมผัสเท่านั้น จากนายอัสสะขี้อ้อน ก็กลายร่างเป็นนายอัสสะเกเร ที่เบี่ยงตัวโถมทับขึ้นมาทันควัน

“อัสสะ ไหนจะขอทีเดียวไง...”

“ทีเดียวนั้นเจ้าให้อัสสะ ...และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่อัสสะจะให้ไอ้ดื้อบ้าง จำตอนที่เจ้าแอบไปเข้าฝันเราได้ไหม ตอนนั้นเป็นที่น้ำตกเหมือนกัน แต่ยังไม่สำเร็จ” รอยลักยิ้มพร้อมเขี้ยวเล็กๆเผยให้เห็น คนเกเรเริ่มเจ้าชู้เต็มขั้น สีทันดรเริ่มหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว จะตรัสห้ามก็เหมือนว่าจะช้าเกินไป

“อัสสะ เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ไม่มีหรอกน่า”

แต่เหมือนราวกับมีใครมากลั่นแกล้ง ทำให้อัสดงมิถึงฝั่งฝันริมน้ำตกสักที เพราะจู่ๆก็มีสิ่งหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้ากระแทกพื้นน้ำตกดังสนั่น วงน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้าง เหล่ามัจฉาต่างกระโจนหนี ละอองน้ำซ่านกระเซ็นโดนคนทั้งสองจนเปียกทั่ว

“โธ่โว้ย ...ใครมากระโดดน้ำตรงนี้วะ”

อัสดงยันกายขึ้นอย่างหัวเสีย หมายจะเอาเรื่องไอ้คนที่มาขัดจังหวะ แต่พอมองลงไปจากความโมโหก็ต้องกลายเป็นความตกใจ เพราะร่างที่ลอยแน่นิ่งในน้ำ นั้นคือคนที่เขาและไอ้ดื้อรู้จักเป็นอย่างดี

“นลกุพร!!”

***************************

รบกวนติดตามต่อบทที่ ๑๔ นะคะ ขอบพระคุณทุกๆความเห็น และท่านผู้อ่าน ที่เป็นแรงใจเสมอมา

อ้างอิง
*อิเหนา บทพระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่๒
**กามนิต วาสิฏฐี -   เสฐียรโกเศศ นาคะประทีป
*** ใยเสน่หา – ทมยันตี
 
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 16-10-2019 13:21:11
ผ่านไปได้ด้วยดีกับบททดสอบนี้
ปล.ติดตามตลอดนะจ๊ะ เป็นกำลังใจให้  :L2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 16-10-2019 22:48:01
 :katai3: :really2: เกือบไปแล้วจันทรเทพพลังจันทรคราสนี่แรงกล้ามากจริงๆเราอนุรวมตัวกันยังเอาไม่อยู่ดีนะพี่พระราหูเสด็จลงมาบอกกับอาหนูของท่านจึงกราบจันทร์พรเทพได้ทรงกลดน่าสงสารที่สุดแต่ไม่ต้องเสียใจเดี๋ยวก็จะได้พบรักแท้แล้วสนุกมากจริงๆต่อสู้โรมรันกันถือเป็นบททดสอบอีกหนึ่งเรื่อง ในที่สุดเรื่องราวต่างๆก็จบลงด้วยดีมิตรภาพของความเป็นเพื่อนกับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อิจฉาอัสสะกับเจ้าดื้อจังเลย พากันไปสวีทหวานที่ป่าหิมพานต์แล้วเกิดอะไรขึ้นกับนนกุพรต้องรู้เรื่องของมุจลินท์แล้วแน่ๆเลยถึงได้เสียใจหนักขนาดนี้ อ่านเพลินสนุกมากอ่านกี่รอบกี่รอบก็ยังประทับใจขอบคุณนักเขียนเป็นกำลังใจให้สู้ๆนะคะรีบมาอัพต่อนะคะ :pigha2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 20-10-2019 13:09:54
สนุกมากๆครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 22-10-2019 22:27:21
อ่านกี่รอบก็ยังสนุกและน่าติดตามเหมือนเดิม รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 24-10-2019 22:23:46
คือดจีย์อะ!!    :m1:


เนื้อเรื่อง…สนุก

ภาษา…ดี

แอ๊คชั่น…เลิศ

ดราม่า…พีค


คำสอนของพระแม่เดิ้นมาก เรื่องความรักเปรียบดั่งสีพระศอองค์พระอิศวร    o13


พญานาคในพิธีกวนเกษียรสมุทรนี่คือ “พญาวาสุกรี” มิใช่ดอกหรือฮะ?    :confuse:



รอติดตามตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 08-11-2019 12:27:22
@ คุณmaemix คุณOooy คุณBaII คุณsugarcane_aoi และ คุณblanchard  ขอบพระคุณมากๆนะคะ ที่ยังติดตามเสมอมา จะรีบนำมาลงต่อ ที่เหลือให้เร็วๆนี้ค่ะ นี่ก็ใกล้จะจบภาค๑ ที่เอามารีรันแล้ว บทที่๑๔คือบทสุดท้ายที่จบภาคนี้เมื่อหลายปีก่อน ส่วนภาค๒จะเริ่มลงให้ในบทที่๑๕ เป็นต้นไปนะคะ ภาค๒นี้คือของใหม่ที่ยังไม่ได้ลงที่ไหนและติดค้างทุกๆท่านไว้ค่ะ (ค้างไว้หลายปีทีเดียว  :hao5: ขออภัยด้วยนะคะ) รบกวนติดตามต่อนะคะ Have a great weekend ค่ะ

@คุณblanchard หลายตำนานว่าเป็นพญาวาสุกรีค่ะ (ส่วนใหญ่) บ้างก็มีพญาอนันตนาคราชบ้าง Artemis เลยขอเอามาผสมๆกันไปค่ะ  :กอด1:  :mew1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-11-2019 22:52:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๓ จันทรคราส (ที่เหลือ) ๑๖ ตุลา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 24-11-2019 23:05:09

อยากอ่านตอนที่ 14 แล้วอ้าาาาาา    :serius2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:35:15
บทที่ ๑๔  เทวราชโองการ (ส่วนที่๑)

ยอดเอยเจ้ายอดรัก
พี่เฝ้าทักเจ้ากลับเงียบควรไฉน
ใจของพี่คิดถึงเจ้าอยู่ร่ำไป
เจ้ากลับไกลจรใจพี่มิร่ำลา


บทกวีอันเคยคุ้น เป็นลำนำขับกล่อมยังก้องอยู่ในพระโสตของนลกุพรที่ค่อยๆปรือพระเนตรขึ้นช้าๆ ความมึนงงยังจับอยู่เต็มพระเศียร ม่านพระเนตรหนาหนักกว่าจะเปิดขึ้นเต็มที่ก็จำต้องใช้ระยะเวลาสักพัก เพียงจับภาพรอบๆพระวรกายได้ เจ้าเทวอสุราหนุ่มน้อยผู้ทรงเขี้ยวแก้วก็ต้องประหลาดพระทัย  เพราะรายรอบด้านมิใช่ห้องพระบรรทม

“ที่นี่..ที่ไหนกัน”

“ตื่นแล้วหรือ นล” สุรเสียงใส ดังขึ้นพร้อมๆกับบานประตูไม้ถูกเปิดออก สีทันดรรีบเข้ามาประชิดเตียงที่สหายสนิทกำลังยันกายลุกขึ้นมา

“ทำไมถึงกินเหล้า จนเมาหนักร่วงลงมาที่หิมพานต์”
 
“นะ นลน่ะหรือเมา” นลกุพรทรงย้อนถามเบาๆ แล้วค่อยๆทบทวนความจำ ตนจำได้ว่าตนนั้นนั่งเสวยน้ำจันอยู่องค์เดียวภายในห้องบรรทม แล้วไฉนถึงได้ร่วงลงไปยังหิมพานต์

“แล้วทำไมนลมาอยู่ที่นี่ละสีทันดร แล้วที่นี่ที่ไหน”

“ที่นี่บ้านพี่พระพุธไง พวกเรากำลังจะเดินทางกลับกันพอดี แต่เรากับอัสดงดันพานลมาพัก เนี่ยกำลังรออยู่ว่าเมื่อไหร่นลจะฟื้น แล้วทำไมถึงได้กินเหล้าจนไม่ได้สติขนาดนั้น นลยังไม่ได้บอกเราเลย รู้ไหมนลถึงกับร่วงลงมาจากฟ้าเชียวล่ะ โชคดีนะที่เรากับอัสดงไปเจอ”

สีทันดรอมยิ้มกล่าวตอบ ถ้าจะพูดให้ถูกที่จริงแล้วตนไม่ได้ไปเจอหรอกแต่นลกุพรดันร่วงลงมาพอดิบพอดีระหว่างที่อัสดงกำลังจะเผด็จศึก อัสดงแม้จะหัวเสียอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยลงไปพยุงร่างของนลขึ้นมาจากน้ำ แล้วพากันมายังบ้านของเอราวัต

นลกุพรค่อยๆทบทวนความจำอีกครั้ง แล้วอัสสุชลก็เริ่มหลั่งริน น้ำตาลูกผู้ชายโอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ ไหลอาบปราง พร้อมทั้งโผกอดสหายไว้มั่น กล่าวขึ้นด้วยสุรเสียงสั่นเครือ

“มุจลินทร์....มุจลินทร์ไม่ได้รักเรา สีทันดร เจ้าได้ยินไหม”

เสียงสะอื้นร่ำไห้ ของนลกุพรดังออกไปถึงข้างนอก จนอัสดงกับสหายที่นั่งคุยกันอยู่รีบเข้ามาดู ก็เห็นเจ้ายักษ์หนุ่มเขี้ยวแก้วซบหน้าอยู่ในอ้อมพระพาหาของสีทันดร

“นลเป็นอะไร ไอ้ดื้อ”

“นลหยุดร้องไห้ก่อน แล้วเล่าให้ฟังชัดๆ” สีทันดรมิได้กล่าวตอบอัสดง เพราะยังมิทรงรู้ แล้วทรงปลอบสหายสนิทต่อมาว่า

 “นลเคยบอกเราเองไม่ใช่เหรอว่า เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แล้วทำไมนลทำเสียเอง ....แล้วทำไมถึงคิดว่ามุจลินทร์ไม่รักนลล่ะ”

“นลคุยกับมุจลินทร์หลังจากเสร็จศึกนางบาทบริจาริกา สีทันดรเจ้าจำได้ไหม ที่วันนั้นนลบอกว่า มุจลินทร์มีทีท่าแปลกๆ ให้เจ้าช่วยไปถามความ แต่เจ้าก็ยังเงียบ นลเลยลงไปที่บาดาลในอีกสองวันตต่อมาและก็ได้คุยกับมุจลินทร์” นลกุพรหยุดเว้นวรรคชั่วครู่ พยายามเช็ดคราบน้ำตาและรอยสะอื้น “และนลก็ได้คำตอบว่าทำไมมุจลินทร์ถึงเปลี่ยนไป”

“เราว่า มุจลินทร์ก็ยังปกตินะนล นลคิดมากหรือเปล่า”

“เหอะ สีทันดร เจ้าไม่สังเกตเลยบ้างหรือ ว่าในขบวนเสด็จกลับ มุจลินทร์เดินเคียงคู่ไปกับใคร และการที่มุจลินทร์แอบขึ้นมาช่วยเจ้า ทำไมมุจลินทร์ไม่ได้รับโทษานุโทษ”

สีทันดรทรงลำดับความจำ มันก็จริงอย่างที่นลพูด มุจลินทร์ขึ้นมาช่วยในระหว่างการศึก แถมทูลหม่อมพี่ชายก็ไม่ได้ทรงลงพระอาญาแต่อย่างใด ....และตอนขบวนเสด็จ เสด็จกลับ มุจลินทร์ประทับยืนเคียงคู่ กับทูลหม่อมพี่ชายใหญ่....ฤาว่า

“มุจลินทร์กับทูลหม่อมพี่ชายจะ...”

“ถูกแล้วสีทันดร มุจลินทร์จะเข้าพิธีอภิเษกกับพี่ชายเจ้า จะรั้งตำแหน่งพระอัครชายา ขึ้นเป็นว่าที่ พระสมุทรเทวีองค์ต่อไปไงล่ะ”

“อะไรนะนล”

สีทันดรใช่ว่าไม่ทรงเชื่อ แต่ไม่อยากทรงเชื่อมากกว่า อย่างทูลหม่อมพี่ชายเนี่ยนะจะอภิเษกกับมุจลินทร์ ทูลหม่อมพี่ชายทรงเป็นนักรบเต็มองค์ วันๆก็อยู่แต่กับทหารราชองค์รักษ์ ฝึกอาคมและศาสตราวุธ ส่วนมุจลินทร์ก็ประทับอยู่แต่ฝ่ายใน งามพร้อมด้วยจริยาวัตร หรือมันจะเป็นอย่างที่สมเด็จแม่ทรงเคยกล่าวอยู่บ่อยๆ ‘ของแข็งต้องรัดรึงไว้ด้วยใยไหม เห็นทีจำต้องหาชายาให้’  แต่เท่าที่จำได้ พี่ชายใหญ่ก็ทูลตอบแทบทุกครั้งเหมือนเดิมว่า

“หม่อมฉันจะหาเอง สมเด็จแม่จะหานางบาทบริจาริกามากี่ตนก็ได้ ....แต่ตำแหน่งเอกอัครชายา หม่อมฉันจะหาเอง”

“แล้วหาได้หรือยังล่ะลูก ทยุติธร”

“คิดว่าเจอแล้วพะยะค่ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่หรอก”

ท่วงท่าและสายพระเนตรของทูลหม่อมพี่ชายที่ทูลตอบสมเด็จแม่ สีทันดรยังทรงจำได้ดี พี่ชายทรงอมยิ้ม มิทำองค์เอาจริงเอาจังเกินชันษาเฉกเช่นเคย ทรงกลายเป็นหนุ่มน้อยๆ อ่อนโยนที่น้อยคนนักจะเห็น และหลายๆครั้งที่พี่ชายใหญ่เสด็จเข้ามาคุยกับตนแต่มิได้คุยเรื่องตนเท่าไรนัก

“วันนี้ไปซนที่ไหนมาอีก...สีทันดรน้องรัก”

“ไปหิมพานต์กับมุจลินทร์มา ไปนั่งดูมุจลินทร์ร้อยดอกไม้พะยะค่ะ นี่ไงสวยไหม” สีทันดรทรงตรัสตอบแล้วชูพวงมาลัยที่งามยิ่งบรรจงร้อยเรียงด้วยอุ้งหัตถ์แห่งเทวนาคีมุจลินทร์

“เป็นผู้ชาย....ทำไมไปนั่งดูผู้หญิงร้อยดอกไม้ ไม่ได้เรื่องเลย เสียเวลาเปล่าๆ วันหลังไปดูพี่ฝึกอาวุธดีกว่า จะชวนมุจลินทร์ไปด้วยก็ได้นะ พี่ไม่ห้าม” ประโยคหลังทรงทอดเสียงกลายเป็นอ่อนโยนตรัสมาอย่างยิ้มๆ แล้วรับพวงมาลัยนั้นไปทอดพระเนตร

“อืมสวยดี...แต่พี่เป็นผู้ชาย เป็นนักรบ พี่ไม่ค่อยถูกกับมาลัยดอกไม้นี่สักเท่าไร”

ทยุติธรตรัสว่าไม่ถูกกับดอกไม้ แต่ไฉนไยไม่ยอมคืนพวงมาลาพวงนั้นแด่พระอนุชา

“มุจลินทร์คงไม่อยากดูหรอกการรบราฆ่าฟัน เขาไปหิมพานต์น่าจะโปรดกว่า อีกอย่างเขาจะได้เจอนลด้วย”

“ทำไมจะไม่โปรด ต้องโปรดสิ...แล้วนลน่ะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพามุจลินทร์ไปหา หากสมเด็จทวดรู้มันจะไม่งาม ดีไม่ดีเจ้าจะโดนลงโทษด้วยโทษฐานเป็นพ่อสื่อ”

หลังจากวันนั้นการเสด็จหิมพานต์ก็จำต้องงด เพราะมีคำสั่งลึกลับจากเบื้องบน สั่งห้ามเด็ดขาด และวันหนึ่งเมื่อตนพามุจลินทร์ไปดูทหารองค์รักษ์ซ้อมรบ คนที่กุลีกุจอแสดงฝีมืออย่างเต็มที่นั้นก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก ทูลหม่อมพี่ชายใหญ่ขององค์เอง

“ฝีมือพี่พอเข้าขั้นไหม” สุรเสียงตรัสถามพระอนุชา แต่พระอนุชาพระองค์น้อยมิทันได้สังเกต ว่าสายพระเนตรพระเชษฐาทรงมองใคร

“พี่ชายเก่งจัง...หม่อมฉันอยากเก่งอย่างพี่ชายบ้าง”

“อยากเก่งก็ต้องฝึก เลิกเที่ยวเล่นเป็นเด็กๆได้แล้ว .....ไว้พี่จะสอนให้ มุจลินทร์เจ้าก็ด้วยนะ ถ้าเจ้าอยากฝึก เรายินดีเป็นครูสอนให้เจ้าสองคน สนใจไหม”

“หม่อมฉันมิถนัดในการรบราฆ่าฟันเพคะ” มุจลินทร์เหมือนจะทรงรู้ว่าคำสั่งลึกลับห้ามมิให้เสด็จหิมพานต์นั้นมาจากใคร จึงเบือนพระพักตร์หนีไมตรีจากคนตรัสถาม

“ทำไมจะไม่ถนัด ....ต้องถนัดสิ แต่อืม เผื่อวันหนึ่งข้างหน้าเจ้าอาจจะ....เอ่อ”

“อาจจะอะไรเพคะ ทำไมไม่ตรัสให้จบ”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

เหตุการณ์ต่างๆถูกทบทวนอีกหลายเหตุการณ์และสีทันดรก็เพิ่งตระหนักว่า สิ่งที่ทูลหม่อมพี่ชายทรงกระทำมีเหตุและนัยอันใดซ่อนอยู่ ตอนนี้ทรงรู้และมั่นพระทัยแล้วว่า คนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ของพี่ชายนั้นคือใคร พี่ชายคงถูกพระทัยมุจลินทร์มานานนักหนา แต่ทำมาเป็นปากแข็ง และวิธีการจีบก็ชอบทำองค์เป็นนักรบ สั่งโน่นสั่งนี่ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ แล้วใครเล่าจะโปรดตอบ ....โดยเฉพาะมุจลินทร์กัญญา

“แล้วมุจลินทร์ ยอมอภิเษกด้วยเหรอนล ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ” สีทันดรทรงถามสหายต่อ

“เป็นการที่รู้กันภายในก่อน พอดีวันที่นลไปคุยกับมุจลินทร์ เขาประทับอยู่ด้วยกันพอดี” เท่านั้นแหละนลกุพรก็กรรแสงมาอีกคำรบ สีทันดรจำต้องช่วยปลอบยกใหญ่ อัสดงได้ฟังก็เห็นใจ จึงช่วยปลอบบ้าง

“นล...อย่าเพิ่งเสียใจไป ใจเย็นๆก่อน”

“เราไม่เย็นแล้วอัสดง เราไม่มีหน้าไปสู้ใคร เรารักมุจลินทร์แต่ทำไมมุจลินทร์ทำกับเราอย่างนี้ เราจะไปหามุจลินทร์ไปคุยกันให้รู้เรื่องอีกรอบ” ว่าแล้วนลกุพรก็สลัดองค์เตรียมลุกขึ้น แต่สีทันดรก็ยึดองค์สหายไว้มั่น

“นล ฟังเรา!! นลพักก่อนเถิดนะ พักที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวเราจะลงไปหามุจลินทร์ ถามเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่าง เผื่อบางทีเราจะช่วยได้”

“เจ้าพูดไปก็เท่านั้น สีทันดร เจ้าจะช่วยอะไรได้” นลกุพรยังแข็งขืน สะบัดวรกายอาละวาดพยายามลุกจากเตียง สีทันดรจึงขอกำลังจากเทวะน้อยมาช่วยยึด

“อัสดงช่วยเราหน่อยเร็ว แรงนลเยอะเหลือเกิน”

เท่านั้นแหละอัสดงก็ช่วยเข้ามายึดนลไว้ แต่ด้วยความที่นลกุพรเป็นโอรสาแห่งท่านท้าวเวสสุวัณ เจ้าแห่งอสุรา กำลังวังชาจึงมากกว่าผู้ใดเพียงแค่อัสดงกับเจ้านาคน้อยหรือจะเอาอยู่

“เฮ้ย ไอ้ฉัตร ไอ้น้ำเชี่ยว เข้ามาช่วยฉันหน่อยเร็ว”

อัสดงร้องเรียกคันฉัตรกับน้ำเชี่ยวที่ยืนอยู่ใกล้สุด สองคนนั่นรีบเข้ามาช่วยยึดโดยไม่รอช้า น้ำเชี่ยวที่ว่าแรงเยอะยังร้องลั่น  “แรงมันเยอะจริงโว้ยไอ้ยักษ์นี่”

“ไอ้กลด นายช่วยทำให้ไอ้ยักษ์นี่สงบทีเหอะ”

คันฉัตรร้องบอกทรงกลดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ปลายเตียง ทรงกลดยืนฟังอยู่นานแล้วก็รู้สึกเห็นใจนลกุพรอย่างบอกไม่ถูก เพราะเพิ่งอกหักมาเหมือนๆกัน แต่เขาเลิกแล้วที่จะดื้อรั้น ส่วนไอ้ยักษ์เขี้ยวแก้วนี้ยังรั้นอยู่ ....เห็นทีจำต้องช่วย แล้วทรงกลดก็ร่ายพระเวทเปล่งรัศมีเหลืองนวลจากปลายมือ เข้าแตะอังสะของนลกุพรไว้ พร้อมทั้งกล่าวว่า

“ใจเย็นๆก่อน นอนพักซะหน่อย ตื่นมาจะได้ดีขึ้น ไปหาเขาตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดี เชื่อฉันเหอะ ฉันเคยเป็นแบบนายมาก่อน” ทันทีที่รัศมีเหลืองนวลวาบวับเข้าสู่วรกายนลกุพรก็มีอันสงบลง พระเนตรที่เบิกกว้างก็มีอันปรือปิดสนิทแน่น บรรทมแน่นิ่งกับพระที่ดังเดิม

“เฮ้ออออ แรงมันเยอะจริงๆ” น้ำเชี่ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เห็นทีเราต้องฝากนลไว้กับพวกพี่ๆสักพัก เราจะกลับบาดาล ไปถามมุจลินทร์ให้รู้เรื่อง”

“เจ้าจะไปยังไงไอ้ดื้อ....แล้วพวกเราก็กำลังจะเดินทางกลับกรุงเทพกันอยู่แล้วนะ ใกล้วันที่จะมีเทวราชโองการแล้วด้วย เจ้าจะมาทันเหรอ แล้วอีกอย่างอัสสะก็กลัวว่าเจ้าจะโดนกักตัวไว้” อัสดงกล่าวถามยอดดวงใจด้วยความเป็นห่วง

“ทันถมถืด อีกตั้งเดือนหนึ่งกว่าจะถึงวันเพ็ญ เราไม่ได้ใช้พาหนะแบบมนุษย์ไปนะ เราไปด้วยฤทธิ์ อัสสะอย่าลืมสิ แล้วเรื่องกักตัวคงไม่มีหรอก พี่ชายทรงยอมแพ้ไปแล้วนี่ เราจะได้ไปเยี่ยมบ้านเราด้วย หากอัสสะจะเดินทางกันก็ไปก่อนได้เลย เราตามไปถูก”

“แต่อัสสะเป็นห่วง งั้นอัสสะไปด้วย”

“อัสสะจะไปต้องไปด้วยกายทิพย์ มิฉะนั้นเข้าบาดาลไม่ได้ และหากอัสสะไป พวกพี่ๆเขาก็จะเดินทางไม่ได้เพราะต้องเฝ้ากายหยาบของอัสสะ เราไปคนเดียวสะดวกกว่า”

“จริงอย่างที่น้องดื้อว่านะอัสดง ให้น้องดื้อไปคนเดียวเหอะ พวกเราจะได้เดินทาง ให้น้องดื้อตามไปทีหลังไปเจอกันที่บ้านไอ้กลดก็ได้ น้องดื้อคงไปถูกนี่ ไม่งั้นคงไม่ตามไปแอบดูพี่อัสสะรูปหล่อนอนหลับอยู่ในห้องหรอก ใช่ไหม” เอราวัตกล่าวแซวติดตลกเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมาได้

“แหม พี่เอราวัต เรื่องมันนานนมมาแล้ว ยังจะมารื้อฟื้น”

“เฮ้ย แต่ฉันมีข้อเสนอว่ะ ...อีกหนึ่งเดือนข้างหน้ากว่าจะมีเทวราชโองการ ฉันว่า เราอย่าเพิ่งกลับบ้านไอ้กลดกันเลย พวกเราลองไปหาที่เงียบๆ ฝึกอาวุธกันดีกว่า พวกเราจะได้ถือโอกาสนี้ปรับสภาวะทิพย์ให้สูงขึ้นด้วย เพราะเวลาพระมหาเทพและมหาเทวีเสด็จพร้อมๆกัน พลังและรัศมีของแต่ละพระองค์จะรุนแรงนัก พวกเราอาจทานไม่ไหว”

ธรรม์ที่เงียบอยู่นานเสนอขึ้น หลายๆคนคิดตามและก็เห็นด้วย การที่มหาเทพและมหาเทวีเสด็จเทวะทุกพระองค์จำต้องปรับพลังงานรับการเสด็จทุกครั้งมิฉะนั้นจะเข้าเฝ้าไม่ได้ จะมีบางทีเท่านั้นแหละ ที่มหาเทพและมหาเทวีปรับพลังงานองค์เองให้ลดลงเพื่อที่เทพชั้นผู้น้อยจะได้เข้าเฝ้า แต่ก็ทรงทำไม่บ่อยนัก

“เห็นด้วยกับไอ้ธรรม์ แล้วเราจะไปที่ไหนดี” คืนฉายรีบกล่าวสนับสนุน

“ฉันมีอยู่ที่หนึ่ง ที่นั่นค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีคนรบกวน ก่อนฉันมารวมกลุ่ม ฉันไปซุ่มฝึกอาคมที่นั่น แถมบรรยากาศก็ดี ปกคลุมด้วยทะเลหมอก พวกนายต้องชอบ ถือว่าเป็นโอกาสพักผ่อนครั้งสุดท้ายไปด้วยในตัว”

“แล้วมันที่ไหนล่ะวะ”

“ก็จะบอกอยู่นี่ไงไอ้ราหู....นายนี่ขัดฉันเสียจริง ไอ้เวรนี่” คันฉัตรหันไปด่าสหายแล้วกล่าวต่อว่า “ เมืองปาย แม่ฮ่องสอน พวกนายว่าไง”

แทบจะทุกคนยกมือสนับสนุน อัสดงทีแรกก็ไม่เห็นด้วย เพราะอยู่ที่บ้านทรงกลดก็ฝึกกันได้ แต่เสียงส่วนใหญ่มีมติเป็นเอกฉันท์เขาจำต้องยอมรับมตินั้น แต่สีทันดรล่ะ จะตามไปถูกเหรอ

“แล้วไอ้ดื้อล่ะ จะตามไปยังไง หากเราไปที่นั่น”

“อัสสะไม่ต้องห่วงเรา เรามีสมุทรมณี พวกอัสสะอยู่ที่ไหนเราตามไปถูกแน่นอน อัสสะไปกับเพื่อนๆเหอะ ตอนนี้เราห่วงนล นลเป็นสหายสนิทของเรา นลเป็นอย่างนี้เราไม่ค่อยสบายใจเลย ถ้าอัสสะเดินทางไป ช่วยดูแลนลให้หน่อยได้ไหม”

“นลก็เป็นเพื่อนอัสสะเหมือนกันนะ เจ้าไม่ต้องห่วง ที่นี่อยู่กันหลายคน แต่เจ้าจะไปคนเดียวจริงๆหรือ”

“อืม ...แค่กลับบ้านไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้ากังวลนัก เราเอา รักกับยมไปด้วย ให้มันคอยอยู่ที่หน้าบาดาล เผื่อมีอะไรเราได้ส่งข่าวทัน อัสสะจะได้ไม่ต้องห่วง ดีไหม พี่ฉัตรคงไม่ว่าอะไรนะ”

“เอาไปเถอะน้องดื้อ...พาไอ้รักไอ้ยมมันไปด้วยแหละดี ให้มันเป็นม้าเร็วคอยส่งข่าวให้ก็ได้”

“งั้นเจ้าก็อย่ามัวแต่พากันเล่นซน เถลไถลล่ะ รีบไปรีบกลับเข้าใจไหม หากกลับมาช้า อัสสะบุกบาดาลจริงๆด้วย” อัสดงรู้นิสัยยอดรักดี ที่ชอบทำเรื่องไม่ยุ่งให้กลายเป็นยุ่งมหายุ่ง แถมยังซนเหลือขนาด กล่าวดักคอไว้แบบนี้แหละดีแล้ว

“เรารู้แล้วน่า...อัสสะนี่ก็” สีทันทันดรย่นพระนาสิกใส่ที่รักรูปงาม หมั่นไส้ยิ่งนักที่เขารู้ทันไปเสียหมด แล้วตรัสเรียกโอปาติกะหัวจุกสองตนที่ทำหน้าที่หมาดเล็กทันใด “รัก ยม ไปกับเราหน่อย”

สิ้นพระดำรัส เจ้าผีเด็กสองตนก็มาคุกเข่าอยู่แทบเบื้องบาท น้อมรับพระบัญชาจากเจ้านายจอมซน ครั้นเมื่อเข้าใจกันแล้วทั้งสามจึงเตรียมเดินทาง ก่อนเสด็จไปอัสดงย้ำนักย้ำหนาให้รีบไปรีบกลับ ส่วนทรงกลดพี่ชายคนใหม่ ก็ย้ำเช่นกันให้ระมัดระวังองค์ และรับปากว่าจะช่วยดูแลนลกุพรให้

“พี่จะช่วยดูแลนลกุพรสหายเจ้าให้...ระวังตัวด้วยล่ะ”

“ขอบใจมากพี่กลด”

“ดูแลตัวเองด้วยน้องดื้อ พวกพี่ๆจะรอเล่นกับน้องดื้อนะจ๊ะ” น้ำเชี่ยวถือโอกาสแอบจับมือถือแขน ยักคิ้วหลิ่วตาหยอกล้อ แต่พอเห็นสายตาพิฆาตของอัสดงก็ต้องล่าถอย แถมยังโดนพี่ชายคนใหม่อย่างทรงกลด กล่าวคาดโทษ

“เดี๋ยวมึงโดนกระทืบ ไอ้พระอังคาร”

“แค่หยอกเล่นน่า”

“ไหมล่ะ บอกแล้ว” ธรรม์ยิ้มๆอย่างสะใจ น้ำเชี่ยวเอ๊ย เดี๋ยวก็โดนดีจนได้

“ตามมาเร็วๆนะ ไอ้ดื้อ อย่าลืมที่อัสสะบอก”

“อัสสะพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง รู้แล้วน่า ไปกันได้แล้วรักยม”

แล้วรัศมีเขียวนวลเจือทองประจำองค์เทวะนาคาจอมดื้อก็พลันสว่างวาบ พระวรกายที่งามดั่งรูปสลักก็สลายกลายเป็นแสงโชตินาการ พวยพุ่งลงสู่ลำน้ำโขงที่ทอดยาวดำทะมึน ตามติดด้วยโอปาติกะน้อยทั้งสอง

‘นล รอก่อนนะ เราจะไปถามความให้รู้เรื่อง เผื่อบางที มันอาจจะเป็นการเข้าใจกันผิด’

สีทันดรตรัสปลอบใจองค์เองไปอย่างนั้น....แต่ในพระทัยนั้นสิ ทรงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ที่นลเล่าเป็นเรื่องจริง แล้วจะทำอย่างไรดี จะช่วยนลอย่างไรดี อีกครั้งแล้วหรือ ที่อาจต้องเผชิญหน้ากับทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร ที่ทรงรั้นยิ่งกว่าองค์เอง

ภายในนิมิตอันตระการ ทัศนียภาพแห่งหิมพานต์นั้นปรากฏ นลกุพรรู้ว่าองค์เองกำลังเด็ดปวงดอกไม้หลากสีนานาพรรณรายรอบอโนดาตมาเสียเต็มกำมือ แล้วดำเนินตามโขดหินระเกะระกะ มายังพระวรกายแน่งน้อยแห่งเทวนาคีมุจลินทร์ที่ประทับนั่งกรองมาลัยอยู่เหนือโขดหินพื้นราบมันระยับ

“นลเก็บมาเพิ่มให้”

“แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนล ไม่ต้องเก็บเพิ่มอีกแล้ว” มุจลินทร์ทรงลดเข็มยาวในพระหัตถ์หลังจากที่พิจารณาดูว่า มาลัยนั้นเสร็จไปกว่าครึ่งและดอกไม้ที่นลเก็บมาเพิ่มนั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะร้อยถวายท้าวเวสสุวัณ

“เอ๊ะ....ทำไมดอกไม้มันช้ำอย่างนี้ล่ะนล นลเด็ดยังไร”

“หา....ช้ำเหรอ นลว่านลเด็ดเบามือแล้วนา”

“เบาที่ไหนกันนล....ช้ำไปหมดแทบทุกดอก ร้อยถวายไปก็ไม่สวย เดี๋ยวเราไปเก็บเองดีกว่า”

“เฮ้อ ช้ำจริงๆด้วย แต่นลเป็นยักษ์เป็นนักรบนี่นา แรงนลก็เยอะเป็นธรรมดา ....งั้นเดี๋ยวนลไปเด็ดให้ใหม่ก็ได้นะ คราวนี้จะเด็ดให้เบามากว่าเดิม... ว่าแต่ระยะหลังนี้ไม่ค่อยขึ้นมาหานลเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า”

จู่ๆพระเนตรสุกใสสกาวเริ่มมีรอยรื้นแห่งพระอัสสุชลคลอทั่ว เพราะการเสด็จมาในพระสุบินของนลกุพรครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน แต่นลกุพรมิทันสังเกตเห็น มุจลินทร์ยังทรงนิ่งไปชั่วครู่สะกดกลั้นเสียงสั่นเครือก่อนจะตรัสตอบ

“นล....พอดีช่วงนี้เราได้รับหน้าที่จากสมเด็จฯ ให้ช่วยดูแลฝ่ายในน่ะ สมเด็จฯ ทรงฌานพร้อมกับสมเด็จพระพันปีกัทรุ เลยไม่ค่อยมีเวลา ทูลหม่อมพ่อกับทูลหม่อมปู่เสด็จฯขึ้นเฝ้ามหาเทพหมดทุกพระองค์ บาดาลเลยว่างผู้ปกครอง ทูลกระหม่อมใหญ่เลยทรงกำกับดูแลบาดาลแทน ส่วนทูลกระหม่อมเล็กสีทันดร ก็ประทับกับเหล่าเทวอวตารข้างบน แต่ทูลกระหม่อมใหญ่ มิทรงถนัดกำกับฝ่ายใน สมเด็จฯ จึงมีพระเสาวณีย์ลงมา ”

“อ้าวเหรอ....ถ้างั้นนลก็โล่งอก นึกว่ามุจลินทร์ปันใจให้ใครอื่นไปซะแล้ว รู้ไหมว่านลฝันร้ายมาหลายคืนแล้ว ว่ามีคนแย่งเจ้าไป”

“นลมั่นใจในตัวเราแล้วหรือ”

“นลมั่นใจ ตั้งแต่เห็นเจ้าครั้งแรก ว่าคู่ชีวิตของนลจะเป็นใรไปไม่ได้นอกเสียจากมุจลินทร์ นลยังจำได้ดีเลยนะ วันนั้น วันที่สีทันดรพาเจ้ามาเที่ยวที่หิมพานต์”

“นล...ฟังเรานะ บางครั้งความเหมาะสม มันก็ต้องมาก่อนความรัก นลเป็นเทวอสุรา ประทับอยู่บนสวรรค์สังกัดพระมหาศิวะและพระมหาอุมาเทวี เราเป็นเทวนาคีอยู่ในบาดาล ภายใต้การกำกับดูแลแห่งพระมหาวิษณุและพระมหาลักษมีเทวี เทวนาคีอย่างเราคงมิอาจอยู่บนสวรรค์ได้ เฉกเช่นเดียวกับเทวอสุราอย่างนล ก็ลงมาอยู่ที่บาดาลไม่ได้เช่นกัน พระมหาเทพทั้งสองคงไม่โปรด”

“ไม่เห็นจะยากเลยมุจลินทร์ ....นลจะให้พ่อนลไปทูลขอพระมหาอุมาเทวีให้ เพื่อให้ทรงมีพระอนุญาต หากพระมหาเทวีทรงอนุญาตเมื่อใด พระมหาศิวะก็มิทรงขัด ท่านทรงเกรงพระทัยพระมหาเทวีนัก”

“นล พูดง่ายแต่ทำยาก” มุจลินทร์ทรงหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง สะกดกลั้นความสะอื้นอีกคำรบ “นลพูดเพราะนลยังอยู่ในวัยหนุ่ม ...หากนานเข้านลจะเข้าใจเอง เทวะทุกพระองค์ดำรงอยู่ได้ด้วยหน้าที่ นลมีหน้าที่ช่วยพระบิดาดูแลสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ชายาของนลควรเป็นเทวธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนเราเกิดแต่บาดาลหน้าที่ของเราคือปกปักรักษาความดำรงอยู่ของพิภพบาดาลด้วยชีวิต เราคงรักกันฉันสหายได้ ....แต่มิใช่เช่นคู่รัก ความรักของเราจะเป็นเส้นคู่ขนานที่ไม่มีทางบรรจบ  ด้วยเพราะหน้าที่เราจำต้อง....” ประโยคที่มุจลินทร์เตรียมพูดต่อไป จ่อติดอยู่แค่พระศอ ความอัดอั้นตันพระทัย ยังมิได้ถูกถ่ายทอด เพราะทรงกลัวว่า นลกุพรจะทรงรับความจริงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้

“ไม่!! มันต้องมีวันบรรจบ”นลกุพรยันวรกายลุกขึ้นมา พยายามดึงมุจลินทร์มากอดไว้ในอ้อมพระพาหา หากองค์เทวนาคี ก็กระเถิบหนีเสีย

“ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ให้เรากอด เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าทำอย่างนี้ นลเสียใจเจ้ารู้ไหม เจ้าพูดอย่างกับว่าเจ้า ไม่ได้รักนล นลไม่สนหรอกนะไอ้ความเหมาะสมบ้าๆอะไรนั่น ลองดูสิ ลองใครมาขัดขวางความรักของนล นลจะจัดการให้ดู”

นลกุพรประกาศกร้าวลั่นหิมพานต์ แต่ก่อนที่จะกล่าวอะไรต่อนั้น สุรเสียงก้องดังกังวานได้สอดแทรกเข้ามาพร้อมกับรัศมีสีเขียวเจือทองเจิดจ้า ที่สลายรวมเป็นร่างงามสง่าของเทวนาคาหนุ่มน้อยชันษาไม่เกินยี่สิบ

“เจ้าจะจัดการอย่างไรนลกุพร เจ้าคิดเหรอ ว่าเจ้าสามารถฝ่าฝืนกฎแห่งทิพยภพได้”

“ทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร!!”

“เจ้าจงรู้ไว้นล ....เทวะทุกพระองค์เปรียบได้ดั่งกับพลังงาน ที่พระมหาเทพทรงกำหนดให้ดูแลในส่วนต่างๆ พลังงานของเจ้าถูกกำหนดให้ดูแลสวรรค์ชั้นมหาจตุราชิกา พลังงานของมุจลินทร์จำต้องดูแลบาดาลเฉกเดียวกับพี่ หากมุจลินทร์ไปอยู่บนสวรรค์กับเจ้า พลังงานของทางบาลจะมีช่องโหว่ และพวกมารจะถือโอกาสเข้ามาได้ เหมือนกับพลังงานบนสวรรค์ก็จะไม่สมดุล มีรอยรั่วเช่นกัน เมื่อพลังงานไม่สมดุลทุกอย่างก็จะแย่ เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”

นลกุพรทรงกล่าวตอบอะไรไม่ถูก สิ่งที่พี่ชายทยุติธรทรงตรัสมาเป็นความจริงทุกประการ ดั่งที่พระบิดาองค์เองต้องพยายามอุดรอยรั่วแห่งสวรรค์และดูแลทั่วทิศเหนือ เพราะทรงดำรงตำแหน่งท้าวจตุโลกบาล ที่อีกสามทิศที่เหลือก็มีเทวะทรงกำกับดูแลเช่นกัน ทั้งท้าวธตรฐ ที่ดูแลทิศตะวันออก ทิศใต้คือท้าววิรูฬหก ตะวันตกคือท้าววิรูปักข์ ทั้งสี่พระองค์พยายามอย่างยิ่งที่จะให้พลังงานทุกพลังงานสมดุล แล้วตน.....จะมาฝ่าฝืนกระนั้นหรือ นลกุพรก็ทรงตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ทรงรู้เสียยิ่งกว่ารู้หากแต่ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง

มุจลินทร์ทรงเบือนพระพักตร์ไปอีกทาง ยามที่รู้ว่าใครเสด็จเข้ามาแทรก นี่จะไม่ปล่อยให้มีเวลาส่วนตัวกันบ้างเลยหรือไร แล้วก็จำต้องหันพระพักตร์กลับมาเผชิญผู้ที่ประทับยืนตรงหน้า แวบแรกทรงคิดว่าเขาผู้นี้จะไม่พอพระทัย แต่ก็ผิดคาด พระพักตร์ของทยุติธรนั้นเรียบเฉย มิแสดงอาการใดๆ ยกเว้นสายพระเนตรเท่านั้น ที่บอกเป็นนัยๆว่า ทำไมแอบมาและควรถึงเวลาเสด็จกลับได้แล้ว

มุจลินทร์จึงค่อยๆ ถอยองค์ออกห่างนลกุพรมาเกินช่วงแขน ทรงรู้ดีว่าเป็นการมิเหมาะสม ก่อนที่องค์ทยุติธรจะทรงมิพอพระทัย

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:39:03
“นล....เรื่องระหว่างเรากับนล มันคงเป็นเพียงภาพฝัน ที่ผ่านมาวาสนาเราอาจจะต้องกันแค่ชั่วขณะ เรายอมรับว่าเรามีความประทับใจให้กับนลอย่างที่สุด แต่ถ้าจะถึงขั้นว่ารักแล้ว เราคงตอบได้อย่างไม่มั่นใจนัก ที่จริงวันนี้ เรามหานลเพียงเพื่อ มาอำลา เราคงจะได้เจอกันสองต่อสองเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเราจำต้องกลับไปทำหน้าที่ แห่งเทวนาคีของเรา และนลก็มีหน้าที่ของนลต้องกระทำเช่นกัน”

“เดี๋ยว มุจลินทร์ เจ้าพูดอะไร ...”

พระดำรัสสุดท้ายของมุจลินทร์มีเพียงแค่นั้น พระหัตถ์น้อยกุมพระหัตถ์แข็งแรงแน่น ก่อนจะถูกแยกออกด้วยพระหัตถ์แห่งเทวะนาคาที่แข็งแรงกว่า ภาพสุดท้ายในนิมิต นลกุพรทอดพระเนตรเห็นทั้งคู่ ประทับยืนเคียงข้าง รัศมีแห่งความสมดุลสอดประสาน นี่ใช่ไหม ที่เรียกว่าเหมาะสม รัศมีเขียวนวลเจิดจ้าสว่างไสว ก่อนจะจะดับวูบลง พร้อมๆกับพระสติที่กลับคืนมา

“ไม่จริง!!! มุจลินทร์เจ้าอย่าเพิ่งไป” นลกุพรตะโกนดังลั่นพร้อมลุกพรวดขึ้นมา ทำให้คนที่ยืนเฝ้า เอนพิงขอบหน้าต่างรีบหันกลับมาดู

“นลกุพร เป็นอะไร” ทรงกลดเข้ามาประชิดเตียง ถามด้วยความห่วง

“ฝะ ฝันหรือนี่..” นลกุพรเอ่ยกับองค์เองเบาๆ แล้วหันไปพูดกับทรงกลดว่า “เรา ฝันร้าย แล้วสีทันดรไปไหนเสียล่ะจันทรเทพ”

“น้องดื้อไปบาดาล ฝากนายไว้กับฉัน สั่งไว้ไม่ให้เจ้าตามไป ให้อยู่กับพวกเรา และพรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปฝึกอาคมกันทางภาคเหนือ นายไปกับพวกเราด้วยแล้วกัน เผื่อบางที มันอาจทำให้นายลืมความทุกข์ได้”

นลกุพรทรงแน่นิ่ง ความฝันที่เกิดขึ้นเสมือนเป็นภาพกลับมาตอกย้ำ คล้ายวันที่มุจลินทร์ทรงบอกลาที่บาดาล วันนั้นเขาเจ็บเหลือเกินจะเจ็บความเหมาะสมบ้าบออะไรนั่น มันฆ่าเขาทั้งเป็น และตื่นมาคราวนี้ ก็ยังมิจางห่างหาย “ขอเหล้าหน่อย ได้ไหม จันทรเทพ”

“แต่......นายเพิ่งสร่างเมา”

“ถือว่าเราขอเถอะนะ เราไม่เคยขออะไรเจ้าเลย เราอยากเมาอยากลืมความทุกข์ จากการเสียคนที่เรารัก”

“ฉันก็เพิ่งเสียคนที่ฉันรักให้ไอ้อัสดง แต่ฉันก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องกินเหล้าให้เมา”

“ก็นั่นมันเจ้า...แต่นี่มันเรา”

“เหอะ...ยักษ์ก็ยังเป็นยักษ์อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าเทวอสุราหรือยักษ์ชั้นต่ำ ขี้เมาหยำเป หลงแต่น้ำเมาจนโดนเทวดาหลอกให้กินเหล้า จนแพ้และไม่ได้น้ำอมฤตครั้งกวนเกษียรสมุทรก็ยังไม่เข็ดหลาบ ถึงได้โดนเทวดาดูถูกมาจนทุกวันนี้”

“นี่เจ้ากล้าว่าเราหรือจันทรเทพ” นลกุพรผลุดลุกขึ้นลงมายืนกำหมัดแน่น จ้องหน้าทรงกลดอย่างเอาเรื่อง เขี้ยวแก้วใส โผล่พ้นออกมา อยู่ริมโอษฐ์ แต่อณูน้อยแห่งจันทรเทพอย่างทรงกลดมิได้เกรงกลับยืนประจันหน้า อยู่อย่างนั้น เพียงขนตาที่หนาเป็นแพราวอิสตรีของทรงกลดกระพริบ โทสะของนลกุพรก็มลายหายลงฉับพลัน ทำไม ถึงโกรธมันไม่ลง

“ก็จริงไหมล่ะ...กินเหล้าแล้วมันช่วยอะไรนายได้บ้าง นลกุพร”

“ก็ลืมความทุกข์ไง” นลกุพรตอบด้วยอารมณ์ที่เป็นปกติแล้ว

“มีอีกหลายวิธี ที่ทำให้ลืมความทุกข์...ฉันเองก็อกหักเหมือนนาย ฉันจึงเข้าใจ ความเสียใจเจ็บใจ ส่งผลให้วู่วามได้เหมือนกัน ฉันว่าระหว่างนี้ นายไปกับฉัน ไปซ้อมอาวุธกันดีไหม” รัศมีสีเหลืองนวลเริ่มกำจาย อบอวลไปทั่วห้อง อำนาจที่ยามนี้โอนอ่อนผ่อนปรน ส่งให้หฤทัยที่รุ่มร้อนดั่งเปลวเพลิงเริ่มสงบลง นลกุพรก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมได้สงบลงเร็วยิ่งนัก

“แต่เราไม่มีกะจิตกะใจ จะทำอะไรทั้งนั้นจันทรเทพ”

“ไปดูกันก่อน ฉันมั่นใจว่านายต้องจับอาวุธลงซ้อมมือด้วยแน่ๆ ยิ่งคู่ต่อไปจะเป็นคู่ไอ้ฉัตรปะทะกับไอ้น้ำเชี่ยว คู่นี้ฤทธิ์แรงด้วยกันทั้งคู่ น่าดู พระเสาร์กับพระอังคารประลองฝีมือกันทั้งที เราไม่ควรพลาด นายจะได้ช่วยดูช่วยติ วิธีการรบและฝีมือของเราด้วย ดีไหม”

ทรงกลดนับว่าเป็นคนที่มีจิตวิทยาสูงชักจูงได้ดีเยี่ยม ไม่เสียแรงที่เป็นอณูแห่งจันทรเทพ  เขารู้ว่า ลักษณะอย่างนลกุพรน่าจะโปรดการรบเพียงใด น้ำเสียงที่สนุกฟังดูแล้วชวนให้อยากไปเห็นการซ้อมรบ ทำให้นลกุพรคล้อยตามได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“จริงเหรอ...อยากเห็นคู่นี้ ปะทะฝีมือกันนานแล้ว คงสนุกแน่ ไปดูกันเหอะจันทรเทพ”

“งั้นนายอาบน้ำให้หายเหม็นเหล้าก่อนดีไหมนลกุพร ...จะได้สดชื่น น้ำที่นี่พวกเราผสมน้ำจากอโนดาตไว้ด้วยนายคงชอบ แล้วฉันจะไปหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ จะได้แต่งตัวดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาหน่อย นายสูงพอๆกับฉันคงใส่ของฉันได้ แต่อาจจะแน่นไปนิดนึงนะ เพราะฉันไม่ล่ำเท่านาย แต่แก้ขัดไปก่อน” ทรงกลดวิจารณ์เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วมาอย่างเสร็จสรรพด้วยวิธีการปรายตารวดเดียว

“ขอบใจเจ้ามาก ....จันทรเทพ”

“อ้อ...ลืมบอกไป เรียกฉันว่า ทรงกลดดีกว่า อย่าเรียกฉันจันทรเทพเลย”

“ได้สิ ทรงกลด”

นลกุพรรับคำแล้วเตรียมตัวชำระร่างกายเดินเข้าไปหลังพรึงไม้แกะสลัก ซึ่งมีถังไม้ใสน้ำใบใหญ่ไว้ให้ลงไปแช่ ทรงกลดจึงเดินออกไป จัดการหาเสื้อผ้าให้ตามที่บอก สภาพจิตใจของนลขณะนี้เริ่มดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ที่จู่ๆกระแสพลังที่เย็นยะเยียบเข้ามาดับเพลิงในใจตนได้ อำนาจแห่งจันทรเทพ นุ่มนวล อ่อนโยน ผ่อนปรนอย่างนี้นี่เอง  ไม่น่าแปลกใจเลยที่เทพธิดาหลายนางจึงพยายามเสนอตัวเข้าไปเป็นชายา 

“ทรงกลดอำนาจของเจ้า ทำให้เราสบายใจขึ้นจริงๆ”

ภายในคูหาศิลาทิพย์ ยามนี้สว่างไสวไปด้วย รัศมีเขียวนวลเจือทองสองรัศมีที่พุ่งเข้ามาจากเบื้องบน การเสด็จกลับแห่งทิพยะภาวะนั้นได้ถึงจุดหมายปลายทางโดยดุษฎี แล้วรัศมีเขียวนวลหนึ่งในสองอันมิสว่างจ้าเท่าอีกรัศมี ก็สลายกลายเป็นพระวรกายแห่งเทวนาคีโฉมสะคราญ พระวรกายนั้นเตรียมเลี่ยงหนี แต่ไม่เร็วไปกว่าพระหัตถ์แข็งแรงที่ฉุดรั้งไว้ อันมาจากรัศมีสว่างจ้าซึ่งเดินทางกลับมาด้วยกัน

“เดี๋ยวคุยกันก่อน”

“ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ” ยิ่งมุจลินทร์แข็งขืนเท่าใด ทยุติธรก็ทรงยึดมั่นไว้เท่านั้น

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก มันไม่งาม หากพระพันปีทรงรู้เข้า เจ้าจะต้องโทษ และอีกอย่างเราไม่อยากเสียหน้า อย่างคราวนางบาทบริจาริกา จะทำอะไรก็ให้คำนึงถึงอิสริยยศที่นำหน้าเจ้าอยู่ด้วย”

“เหอะ....หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่แห่งเชื้อสายเทวนาคาบริสุทธิ์ หม่อมฉันก็ไม่มีวันยินดี ในตำแหน่งเอกอัครชายาของฝ่าบาท ทรงรู้ไว้เถอะ และก็ทรงปล่อยหม่อมฉันได้แล้ว”

“ไม่ปล่อย.....ทำไม เราแค่จับแค่ข้อมือ ทีไอ้นล มันเคยกอดเจ้าทั้งตัว เจ้ายังไม่เห็นว่าอะไรมันสักคำเห็นทีคงต้องแสดงให้เจ้ารู้ถึงความแตกต่างบ้างแล้วมุจลินทร์” ทยุติธรทรงอาศัยพละกำลังแลเดชะที่เหนือกว่าดึงวรองค์แน่งน้อยเข้าสู่อ้อมพระพาหา แล้วทาบทับพระวรกายบางลงไปบนพระยี่ภู่ฉับพลัน

“จะทรงทำอะไร...ปล่อยหม่อมฉันนะ นลกุพรไม่เคยล่วงเกินหม่อมฉัน”

“เหรอ เราคงเชื่อเจ้าหรอก เราจะแสดงให้เจ้ารู้ว่า เทวนาคาดีกว่าเทวอสุราอย่างไร”

ทยุติธรประกบโอษฐ์ลงไปบนริมโอษฐ์แดงสดที่พยายามสะบัดหนี แต่มุจลินทร์หรือจะมีแรงขัดขืน พระปรางและพระศอถูกระดมจูบทั่ว ทยุติธรมิยอมทำองค์เป็นนักรบและสุภาพบุรุษเช่นเคย ขณะนี้ทรงกลับกลายเป็นนักรัก ด้วยเพราะอารมณ์วู่วาม ทำให้ทรงลืมความต้องการของหัวใจลึกๆ ที่ทรงมีมาช้านาน ความต้องการที่จะได้รับรักตอบจากเทวนาคีผู้ทรงโฉมสะคราญ หากทรงทำเช่นนี้มุจลินทร์จะรับรักตอบหรือไร ทั้งที่เคยทรงตั้งพระทัยว่า คืนวันอภิเษกจะเชยชมให้สมใจ ....แต่ไฉนทรงทำเยี่ยงนี้

“ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ อีกไม่นาน หม่อมฉันก็ต้องเป็นของฝ่าบาท ถึงเวลานั้นจะทรงทำอย่างไรก็เชิญ” มุจลินทร์ทูลตอบปนกรรแสง ทยุติธรจึงได้พระสติชะงักงัน ยุติการเป็นนักรัก เบี่ยงพระวรกายออกทันใด

“มุจลินทร์ เราขอโทษ เราทำเจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พระหัตถ์แข็งแรงพยายามช่วยเช็ดพระอัสสุชลแต่มุจลินทร์ก็บ่ายเบี่ยง “เจ้าคงเกลียดเรามากสินะมุจลินทร์”

“หม่อมฉันมิได้เกลียด ฝ่าบาท เท่าๆกับที่หม่อมฉันยังมิได้รัก”

“แล้วเจ้ายอมตกลง อภิเษกกับเราทำไม”

“อย่างที่ทรงตรัสไงเพคะ....ความเหมาะสมและความสมดุลแห่งพลังงานเทวนาคา เทวะอย่างพวกเราดำรงได้ก็เพราะหน้าที่ หากหม่อมฉันเป็นเพียงแค่นางนาคา หม่อมฉันคงเลือกความรัก แต่หม่อมฉันเป็นเทวะนาคีและหม่อมฉันก็จำต้องปฏิบัติหน้าที่แห่งขัตติยนารีให้ดีที่สุด”

“เจ้ามิได้รักเราเลยใช่ไหม มุจลินทร์”

“แล้วฝ่าบาทรักหม่อมฉันไหมล่ะเพคะ  ทรงยอมรับความจริงมาเถอะว่า ฝ่าบาทก็ทรงถูกบังคับให้แต่งกับหม่อมฉันเช่นกัน”

“ไม่จริง”

ทยุติธรทรงตะโกนลั่นคูหา ด้วยเดชะแห่งโอรสาของพญานาคราชผู้เป็นใหญ่ ฤทธีจึงมีมาก ผนังแก้วกรุเพชรทุกด้านจึงสั่นสะเทือน ความอิ่มเอิบพระทัยนับแต่วันที่มุจลินทร์ตอบรับการอภิเษกสะดุดชะงักลง วันนั้นยังทรงจำได้ดี ถึงความสุขใจยามที่ได้เข้าเฝ้าทูลขอต่อสมเด็จแม่และสมเด็จทวด

“ต๊าย ใครกันนี่....ลูกชายใครกัน มาหมอบเฝ้า”

“โธ่ สมเด็จแม่....หม่อมฉันเอง ทยุติธร ลูกชายคนโตไง” น้อยครั้งที่ทยุติธรจะทรงทำเสียงออดอ้อนสมเด็จพระมารดา แถมยังทรงคลานเข่าเข้าไปประทับนอนหนุนพระเพลา

“อุ๊ย...แม่ลืมไปว่ามีลูกชายอีกหนึ่งคน นึกว่ามีแต่สีทันดร รายนั้นถึงแม้จะซนแต่ก็มาหาแม่ไม่เคยขาด....แล้วหายไปไหนมาเนี่ยตั้งสามเดือน ไม่เห็นหน้าค่าตา มา...ขอแม่หอมที” พระสมุทรเทวี กอดพระโอรสองค์โตแน่นประทับจูบที่ปรางซ้ายปรางขวา จนเจ้าตัวโอดครวญ

“แหม แค่สามเดือนเอง ...หม่อมฉันก็ไปซ้อมรบมาพะยะค่ะ ไปกับพวกราชองครักษ์ แล้วก็เลิกหอมหม่อมฉันแบบนี้ซะที อายเขา หม่อมฉันโตแล้ว”

“ตั้งสามเดือนนะลูก ไม่ใช่แค่สามเดือน”

“เหอะ มาอ้อนแม่ อย่างนี้ จะมาขออะไรแม่เขาล่ะสิ” พระนางกัทรุที่ประทับเหนือพระแท่นสูงทอดพระเนตรลงมามองพระปนัดดาองค์โต ทยุติธรย่นพระพักตร์ราวเด็กๆคลานเข่าไปหมอบแทบพระเพลาบ้าง

“โถ สมเด็จทวดล่ะก็ หม่อมฉันคิดถึง ทั้งสองพระองค์แหละเลยมาเฝ้า”

พระนางกัทรุหรือสมเด็จพระพันปีที่แม้แต่พญาอนันตนาคราชยังทรงเกรง แม้จะทรงดุ แต่พอเจอบทอ้อนของพระราชปนัดดาก็ทำให้ทรงดุไม่ลง

“ไหนว่าโตแล้ว มาอ้อนทวด อ้อนแม่เขาอย่างนี้จะเอาอะไร”

ทยุติธรทรงยันกายขึ้นมาแล้วอมยิ้มอยู่ริมพระโอษฐ์ พระพักตร์ขาวใสบัดนี้แดงระเรื่อ “หม่อมฉันจะมาทูล....เอ่อทูลขอให้จัดงานอภิเษกให้พะยะค่ะ”

“อะไรนะ...” สมเด็จทวดกับสมเด็จแม่ทรงอุทานขึ้นพร้อมกัน “ ใครที่ไหน ทำให้ลูกแม่ถูกใจ จนมาขอให้จัดงานอภิเษก เทวนาคีจากสายสกุลใด ทำไมแม่ไม่รู้เรื่องมาก่อน ”

พระสมุทรเทวีทรงแปลกพระทัยนักที่จู่ๆลูกชายองค์โตที่วันๆฝึกแต่การรบก็เข้ามาขอให้จัดงานอภิเษก ลูกชายที่มีทีท่าว่า สนแต่อาวุธ มิเคยมีข่าวกับอิสตรีใดๆ

“ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่หรอก สมเด็จแม่เคยจำได้ใช่ไหมพะยะค่ะว่า ตำแหน่งเอกอัครมเหสีหม่อมฉันจะขอเลือกเอง และหม่อมฉันก็เจอนางผู้นั้นแล้ว นางเป็นเทวนาคี ทรงนามว่า มุจลินทร์กัญญา”

“มุจลินทร์ น่ะเหรอ!!”

หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน มุจลินทร์ก็ถูกเรียกขึ้นเฝ้า พระสมุทรเทวีทรงโล่งพระทัยยิ่งนักที่ทยุติธรเลือกมุจลินทร์ ยิ่งสมเด็จพระพันปีกัทรุนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะทรงหมายพระเนตรมุจลินทร์ไว้ให้ทยุติธรนานแล้วซึ่งตรงกับพระทัยพอดิบพอดี

วันนั้นก่อนจะขึ้นเฝ้านั้นมุจลินทร์ก็ทรงเห็นว่า ใครบางคนที่ชอบทำตนวางท่า กำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าที่ประทับ ครั้นพอเขาสบเนตรมาเห็น ดวงหน้าจึงละไมขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ยังทรงทำไม่รู้ไม่ชี้

“มาเฝ้าสมเด็จแม่เหรอ”

“เพคะ”

“รีบเข้าไปเถิด ทรงรอนานแล้ว” ทยุติธรตรัสตอบ แต่ที่ว่าทรงรอนั้นใครรอกันแน่ สมเด็จพระมารดาหรือว่าองค์เอง

พอมุจลินทร์เสด็จกลับออกมา ทรงพบว่า คนที่พบตอนก่อนเข้าเฝ้ามิทรงไปไหนยังประทับอยู่ที่เดิม ครั้นเมื่อเขาพระองค์นั้นเห็นว่าเสด็จออกมาก็รีบเสด็จเข้ามาหา ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงละล่ำละลั่ก

“สมเด็จแม่ว่ายังไงบ้าง แล้วเจ้าตกลงไหม”

“ก็ไม่ทรงว่าอะไรนี่เพคะ ...ทรงถามสารทุกข์สุขดิบเฉยๆ เห็นว่าหม่อมฉันไม่ได้ขึ้นเฝ้านาน”

มุจลินทร์ทำไมจะไม่ทรงรู้ว่าทยุติธรทรงรอคำตอบเรื่องอะไร แต่มิทรงอยากบอก คนอะไร จะขอเขาแต่งงานก็ไม่มาขอมาคุยกับองค์เองก่อน เล่นไปทูลขอต่อผู้ใหญ่เลยซะได้  มิเคยได้มาถามความสมัครใจเลยสักนิด แต่ด้วยความเหมาะสมและการดำรงอยู่แห่งเทวนาคามุจลินทร์จำต้องตอบรับ แม้ตอนทูลตอบพระทัยอาจจะแหลกสลายไปแล้วก็ตาม

“คงไม่ได้ถามสารทุกข์สุขดิบหรอก แหวนที่เจ้าใส่ตรงนิ้วนางข้างซ้าย เป็นแหวนที่ทูลหม่อมพ่อประทานให้สมเด็จแม่ในวันหมั้น ตอนเข้าไปเจ้าไม่ได้ใส่แหวนนี่ และแหวนนี้ก็จะมอบให้แด่พระอัครชายาในโอรสองค์โตของสายสกุลเราเท่านั้น อย่าคิดว่าเรารู้ไม่ทันเจ้า และเราก็ขอขอบใจที่เจ้ารับไมตรีและข้อเสนอจากเรา มุจลินทร์”

ทยุติธรทรงกล่าวมาอย่างรู้ทัน ทีท่าที่ทรงยิ้มน้อยๆวางท่า ทำให้มุจลินทร์รู้สึกขัดพระทัย แล้วทยุติธรก็ทรงพระดำเนินจากไป ในพระทัยนั้นอยากจะทรงไชโยโห่ร้องให้ดังไปทั่วสามโลก อยากดึงนางเข้ามากอดให้หายคิดถึงแต่ก็มิทรงกล้ากระทำ แม้จะเจอศัตรูยิ่งใหญ่กว่านี้ก็ไม่เคยกลัว แต่ไฉนกับทรงกลัวที่จะเอ่ยคำว่ารักออกไป หากทรงย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นจะทรงสารภาพความในใจที่มีทั้งหมด ต่อหน้านาง ....แต่วันนี้นางก็ยังคงเข้าใจผิด และมิควรที่จะปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไป ถึงเวลาแล้วมุจลินทร์ที่เราจะบอกว่ารักเจ้า

“มุจลินทร์ เจ้าฟังเรา เจ้าอาจพูดถูกที่เจ้ายังไม่ได้รักเรา แต่เจ้ากำลังเข้าใจผิดที่เรา...”

“พระธิดาเพคะ อุ๊ยย” นางนาคีข้าหลวง คลานเข่าเข้ามามิได้ดูตาม้าตาเรือพอเห็นว่าใครประทับอยู่บ้างก็พลันหน้าเสียถอยกรูดๆ เกรงอาญา มุจลินทร์ได้จังหวะ รีบขยับพระวรกายออก เป็นอิสระ

“ไม่เป็นไร มีอะไรเจ้าว่ามา”

“ทูลกระหม่อมเล็กเสด็จเพค่ะ ประทับรอที่อุทยาน มีรับสั่งให้เชิญเสด็จไปเฝ้าเพค่ะ”

“เราจะไปเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วมุจลินทร์ก็รีบเสด็จออกไปพลันพร้อมนางข้าหลวง ทิ้งทยุติธรที่กำลังจะกล่าวความในใจให้ค้างลง ประทับอยู่องค์เดียวเพียงเบื้องหลัง

“สีทันดร....เจ้าคงรู้เรื่องและคงมาช่วยเพื่อนเจ้าสินะ เรื่องนางนางคาพี่เสียหน้าได้ แต่ครั้งนี้พี่จะไม่ยอมเสียหัวใจของพี่ให้ใครเด็ดขาด”

ทางด้านนลกุพรที่สรงน้ำชำระพระวรกายเสร็จเรียบร้อย และทรงสวมฉลององค์แบบมนุษย์ที่ทรงกลดจัดมาให้ สลัดคราเทวอสุราทิ้ง บัดนี้ได้เดินเคียงคู่ออกมากับทรงกลดผู้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงดูแลได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งสองมุ่งตรงไปยังสนามซ้อมรบริมลำน้ำโขง เสื้อลายสกรีนและกางเกงยีนส์ขาเดฟทำให้เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วดูแปลกตา ใครเห็นก็ต้องนึกว่าเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาแถวๆสยาม ผมที่สั้นจนเกือบจะกลายเป็นสกินเฮด เหมือนของคันฉัตรกับน้ำเชี่ยวรับกับใบหน้ามนคมสัน พระนาสิกโด่งงามรับกับริมโอษฐ์หยักได้รูป เขี้ยวแก้วใสถูกซ่อนไว้ด้วยฤทธี แม้กระทั่งทรงกลดก็ยังอดชมในใจไม่ได้

‘ไอ้ยักษ์นี่แต่งตัวแบบนี้ดูหล่อเหมือนกันแฮะ หล่อคล้ายๆอัสดง แต่ไอ้อัสดงมันเหล่อแบบเจ้าชาย ส่วนไอ้นี่มันหล่อแบบทหาร แบบนักรบโดยแท้’

นลกุพรเองมิได้รู้สึกแปลกเท่าใดนัก เพราะเวลาหนีพ่อมาเที่ยวเมืองมนุษย์ ทรงแต่งฉลององค์แบบนี้มาเสียชินแล้ว ไม่เหมือนกับสีทันดร ที่ชอบแอบกลับไปสวมฉลององค์ตามแบบฉบับเทวะนาคา

เมื่อทั้งสองเดินมาถึง ทุกสายตาก็หันมามอง อัสดงรีบเดินเข้ามาทักอย่างดีใจ “ไงนล....ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

“ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่อัสดง....สีทันดรส่งข่าวมาบ้างไหม”

“ไม่มีเลย ....คงอีกสักพักแหละมั้ง มา ไปนั่งดูกันตรงนู้นเถิด ไอ้ฉัตรกับไอ้น้ำเชี่ยวกำลังจะประลองกันพอดี”

อัสดงกอดคอเพื่อนรักของยอดดวงใจพากันเดินไปยังกลุ่มเทวะน้อยที่เหลือ ทรงกลดเดินตามมาขนาบข้าง อัสดงจึงหันไปกล่าวขอบใจว่า “ขอบใจนะไอ้กลด ที่ช่วยดูแลนล”

“ไม่เป็นไรไอ้เวร น้องดื้อฝากไว้ ต้องดูให้ดีหน่อย”

“งั้นนาย....คงต้องได้ดูดีกว่าเดิมแน่ ไอ้กลด” อัสดงอมยิ้ม พาทั้งสองเข้ามายังกลุ่ม เอราวัตที่นั่งอยู่ก็เอ่ยปากชม เล่นเอาคืนฉายตาเขียวปั๊ด

“นล....นายแต่งชุดนี้ เท่ห์ไม่เบาเลยนี่นา หล่อว่ะ  เสื้อผ้าไอ้กลดใช่ไหม สงสัยอัสดงมีคู่แข่งแล้ว”

“ชมผู้ชายอื่นต่อหน้าเหรอ ฉายยังนั่งอยู่ตรงนี้นะ” คืนฉายนอกจากตาจะเขียวแล้วยังกระทุ้งศอกใส่พระพุธที่รักที่ชมผู้ชายคนอื่นจนออกนอกหน้า เรียกเสียงหัวเราะได้ทั่ว แต่นลกุพรเองก็แค่ยิ้มๆเท่านั้น

“หึงบ้าหึงบออะไรอีกฉาย ก็แค่ชม ทีเมื่อกี้ไปเดินตลาดกัน ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ กะทงกะเทย มองฉาย ยังไม่ว่าอะไรเลยนะ” เอราวัตซัดเจ้าพระศุกร์ไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ที่หึงอะไรไม่เข้าเรื่อง ทั้งสองยังเถียงกันไปเถียงกันมาจนธรรม์รำคาญเลยห้ามทัพ

“มึงสองคน เงียบได้แล้ว ....น้ำเชี่ยว กับฉัตร มันจะเสียสมาธิหมด โน่นมันมากันโน่นแล้ว”

แล้วรัศมีสีชมพูกับสีม่วงก็พุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วสูงจากคนละฟากของลำน้ำโขง รัศมีทั้งสองเข้าโรมรันกันอย่างไม่รอช้า ทุกเสียงเงียบกริบ ทุกสายตาจ้องมองตาไม่กระพริบ เพราะจะได้ช่วยกันดูและช่วยวิจารณ์ว่าใครอ่อนใครด้อยตรงไหน บางจังหวะคันฉัตรเป็นฝ่ายได้เปรียบและบางจังหวะ น้ำเชี่ยวก็แทบจะซัดคันฉัตรตกลงมา การซ้อมรบที่ดูเสมือนจริงทำให้นลกุพรลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ กล่าวกระซิบบอกอัสดงกับทรงกลดว่า

“พระอังคารแรงเยอะมหาศาลแต่ไม่ไวเท่าพระเสาร์ พระเสาร์แม้จะไม่ ดุดันร้ายกาจเท่าพระอังคารแต่พลังที่แฝงไว้ สามารถฆ่ายักษ์ให้ตายเพียงแค่ตวัดปลายดาบ”

และสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น รัศมีสีชมพูและสีม่วงปะทะกันกลางอากาศอีกครั้ง แต่แทนที่จะกระเด็นไปคนละทาง รัศมีทั้งสองกลับพุ่งมายังทิศที่นลกุพรนั่งอยู่ อัสดง ทรงกลด และสหายที่เหลือ เหิรลอยหลบไปได้ด้วยความว่องไว แต่นลกุพรยังนิ่งเฉย ครั้นพอรัศมีทั้งสองลอยเข้ามาใกล้ เทวฤทธิ์แห่งเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วก็สำแดงเดช กระโจนพุ่งเข้าหารัศมีทั้งสองนั้นเสียเอง พร้อมกับดาบยาวแข็งแรงในพระหัตถ์ซ้าย และพระหัตถ์ขวาก็บังเกิดเป็นตรีศูล

พระหัตถ์ทั้งสองข้างราวกับทรงแยกประสาทได้ เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ประดุจดั่งจักรผัน นลกุพรทรงถนัดทั้งสองข้าง ข้างขวารับมือน้ำเชี่ยว ด้านซ้ายรับมือ คันฉัตร และที่สำคัญไม่มีช่องโหว่เลยสักนิด จนน้ำเชี่ยวกับคันฉัตรยังต้องเอ่ยปากชม

“ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายท้าวเวสสุวัณ มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะปกครองยักษ์ ภูตผี และทิศเหนือของสวรรค์แลโลกมนุษย์ได้”

ที่จริงพระอังคารกับพระเสาร์แอบนัดกันไว้แล้วว่าจะช่วยให้นลได้ระบายความทุกข์ออกทางการรบและก็เป็นดั่งคาด นลกุพรได้ทรงระบายสิ่งที่อัดอั้นตันพระทัยออกทางคมอาวุธ ก่อให้เกิดอสุนีบาตกัมปนาท สะเทือนเลื่อนลั่น แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมกับพลุสีทองแดงจากราหูเป็นสัญญาณว่า การประลองฝีมือนั้นสิ้นสุดลงแล้ว

รัศมีทั้งสามที่ลอยอยู่กลางฟ้า ขณะนี้ลดความสว่างลงมาจนเหลือเพียงกายมนุษย์ปกติ ทรงกลดแทบจะวิ่งเข้าไปหาเป็นคนแรก

“เฮ้ย เก่งว่ะนล นายทำได้ไง แยกประสาทใช้แขนสองข้างได้พร้อมๆกัน และทำได้ดี ไม่มีช่องโหว่เลยด้วย”

“ฉันฝึกเอา....เคยเห็นพี่วายุภัค...เอ่อพวกเจ้าคงไม่รู้จักหรอก เขาทำได้ก็เลยลองทำบ้าง แต่ก็ฝึกอยู่นานทีเดียว”

“นลจะว่าอะไรไหม ถ้าพวกเราจะให้นลสอนให้บ้าง” อัสดงถามขึ้นตรงกับใจของทุกๆคน

“ไม่หรอก เรายินดีอัสดง ....แต่คนที่จะฝึกได้ จิตต้องนิ่งจักราในร่างกายเปิดจนถึงจักรที่สี่เป็นอย่างน้อย ใช้โยคะศาสตร์เข้าช่วย”

นลกุพรอธิบายไปรวดเดียว เทวะน้อยทั้งหลายแม้จะเป็นเทวะที่มาจากเทวะชั้นสูง หากสัญญาคือการจำได้หมายรู้ นั้นยังมากันไม่ครบถ้วน เรียกกันง่ายๆตามภาษามนุษย์ว่า ข้อมูลยังอัพโหลดไม่ครบ จะมีก็แต่ทรงกลดคนเดียวละมัง ที่พอจะเข้าใจเพราะเขาเองไปเรียนวิชา อาคมและศาตราวุธกับพราหมณ์ที่อินเดีย และที่นั่น เขาก็ได้รู้จักโยคะศาสตร์จากคุรุชี

“โยคะศาสตร์ พูดง่ายๆ ก็คือศาสตร์ของพวกโยคีแหละ แต่ความหมายมันลึกซึ้งกว่านั้น ถ้าพวกนายฝึกได้ระดับหนึ่ง นายจะแยกใช้งานประสาทด้านซ้ายและด้านขวาได้ตามอำเภอใจ  พวกนายลองคิดดูหากเราตกอยู่ในวงล้อมของพวกมาร และเรารบได้เพียงแค่มือเดียวมันคงแย่ สู้เราใช้ทั้งสองข้างตีให้พวกมารมันแตกฮือไม่ดีกว่าหรือ อีกอย่างถ้าเราทำได้ ช่องโหว่เราจะไม่มี จริงไหม”

“ทรงกลดบอกได้ถูกต้องแล้ว” นลกุพรกล่าวสนับสนุน คราวนี้เขาเรียกทรงกลดว่าทรงกลดมิใช่จันทรเทพเช่นเคย “ถ้าเราแยกได้ เราจะเคลื่อนไหวได้อย่างไม่มีช่องโหว่”

“พวกนายอาจจะยังไม่เข้าใจ แล้วฉันจะอธิบายให้พวกนายฟังอย่างละเอียดอีกที ฉันว่าพวกนายคงต้องเรียนโยคะศาสตร์ก่อน ถึงจะฝึกกลยุทธ์ของนลได้”

“แล้วนายรู้ได้ไงวะไอ้กลด” ราหูช่างสงสัยถามขึ้น

“เพราะฉันไปเรียนวิชากับพราหมณ์ที่อินเดียตั้งแต่เด็กก่อนกลับมารวมกลุ่มกับพวกนายไงราหู นายอาจจะยังไม่รู้”

“ถูกต้องแล้ว ไอ้ราหู ไอ้กลดมันไปเรียนที่อินเดียมา” อัสดงหันไปสำทับให้แล้วกล่าวต่อหน้าทุกคนว่า “ ถ้างั้นนลจะเป็นคนสอนเรื่องการใช้อาวุธจากทั้งสองมือ ....ส่วนไอ้กลดจะสอนโยคะศาสตร์ให้พวกเราเพื่อที่เราจะแยกประสาทและฝึกกับนลได้ง่ายขึ้น....คงต้องรบกวนนายทั้งสองคนแล้วนะ นล ..ไอ้กลด นายสองคนคงต้องทำงานประสานกัน อาจจะหนักหน่อยเพราะลูกศิษย์แต่ละคนเฮี้ยวน่าดู”

“ได้สิ...อัสดง” นลกุพรกับทรงกลดรับคำพร้อมๆกัน และก็มิทันได้สังเกตว่ามีใครแอบอมยิ้มอยู่บ้าง ....โดยเฉพาะอัสดง

“เฮ้ย วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน หิวข้าวแล้วโว้ย”

“เออดี หิวเหมือนกัน แล้วคืนนี้พวกเราเลี้ยงฉลองกันหน่อยไหม ยังไม่ได้เลี้ยงฉลองที่มารวมตัวกันครบเลย” น้ำเชี่ยวเสนอขึ้นหลายๆคนเห็นด้วย แต่คันฉัตรกลับเสนอมาว่า

“ไว้ไปกินกันที่ปายดีกว่า ฉลองกันที่นั่น รับรองพวกนายต้องติดใจ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางแต่เช้ากันนี่ อดเปรี้ยวไว้กินหวานน่า ไอ้เวร”

“เออ โอเคอย่างนั้นก็ได้ ตามที่มึงว่า ไอ้ฉัตร งั้นคืนนี้พวกเราก็ไปลาคุณยาย คุณแม่ไอ้พระพุธเสียเลยแล้วกันพรุ่งนี้จะได้ออกแต่เช้า”

“โอเค ตามนั้น”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:41:08
แสงแดดยามบ่ายทอประกายจ้าแต่ก็มิได้ทำให้ทะเลหมอกจากลงแต่อย่างใด บรรยากาศความหนาวเย็นยังจับทั่วอยู่แทบทุกอณูทำให้ภายในรถตู้โดยสารที่ถูกเหมาคันโดยเทวะน้อยๆจำต้องลดอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศในรถลง หนทางไต่ตามทิวเขาคดเคี้ยวลดเลี้ยว บางแห่งทั้งสูงทั้งชันและมีโค้งอัตรายอยู่หลายโค้ง แต่ทว่ายิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งหนาว  เทวะน้อยๆ ต่างก็ชื่นชมทัศนียภาพรายรอบด้าน โดยเฉพาะคืนฉายกับเอราวัต ตกลงกันไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาเหิรเล่นทะเลหมอกตามยอดเขา  อัสดงก็มัวแต่คิดถึงสีทันดร หากไอ้ดื้อของเขานั่งรถมาด้วยคงจะมีคนให้กอดหายหนาว เว้นแต่นลกุพรที่นั่งนิ่งเงียบ จนทรงกลดที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงต้องชวนคุย

“เป็นไงนล ไม่สนุกเหรอ วิวสวยดีนะ อาจจะสู้สวรรค์ไม่ได้ แต่ก็งามในแบบฉบับที่โลกมนุษย์พึงมี”

“สวย....เห็นแล้วคิดถึงมุจลินทร์ นลกับมุจลินทร์เคยเหิรลอยรอบๆเขาพระสุเมรุยามจับด้วยน้ำแข็ง นลยังจำได้ดี ...แล้วต่อไปข้างหน้านี้ ใครจะเหาะเป็นเพื่อนนล”

“อย่าเพิ่งเสียใจไปนล....พรุ่งนี้ เรามาเหาะแข่งกันไหม ใครทำให้หมอกแตกเป็นช่องได้คนนั้นชนะเอาป่าว”

“ขอบใจนะ ทรงกลด...แต่เราไม่รู้ว่า เราจะมีแรงลุกขึ้นอีกหรือเปล่าน่ะสิ”

“ต้องมีสินล ต้องมี ....เราเองก็เจ็บปางตาย เรายังลุกขึ้นได้เลย จำไว้นะนล นลต้องลุกขึ้นสู้มาให้ได้” แล้วรัศมีเหลืองนวลก็ทำงานมาอีกคำรบ นลกุพรที่กำลังท้อแท้ กลับชุ่มชื่นขึ้นถนัดตา ฤาพลังงานจากจันทรเทพ จะใช้เป็นโอสถรักษาบาดแผลทางหัวใจได้ชะงัดนัก....

เพียงรถตู้โดยสารเข้าจอดเทียบท่า คืนฉายกับเอราวัตก็รีบโผลงมาตะโกนเรียกเพื่อนลั่น “เฮ้ย....ลงมาเร็ว เมืองเขาสะอาดดีว่ะ อากาศก็สดชื่น ชื่นใจ๊ ชื่นใจ”

ที่ว่าชื่นใจของคืนฉายคือการโอบไหล่เอราวัตมั่น เจ้าพระพุธน้อยยังมิเคยชินต่อการแสดงความรักต่อหน้าสาธารณะชน จึงด่าไปด้วยความเขิน “ฉาย เล่นอะไร...ไอ้บ้าเอ๊ยยย อายเขาไหม”

“อายทำไม....อย่าลืมนะ คืนนี้....ฉายจะทำแฮตทริกให้ดู”

“มะเหงกแน่ะ สองรอบก็จะไม่ไหวแล้ว ยังจะมาทำแฮตทริก นี่แน่ะลามกดีนัก” เอราวัตหมั่นไส้แฟนสุดประมาณ จึงตั้งใจซัดไปเสียหนึ่งที ...แต่เจ้าแฟนตัวดีอณูน้อยแห่งพระศุกร์ก็ดันหลบได้ แต่ก็ไม่ทันระวัง เอนไปชนคันฉัตรที่เดินตามมาข้างหลังจนเซถลา ไปชนนักท่องเที่ยวแบกแพ็ค ที่เดินอยู่บริเวณนั้นพอดี

“มึงสองคนผัวเมียเล่นห่าอะไรกันวะ เดี๋ยวกูจะกระทืบให้ เห็นไหม ชนคนอื่นเขาด้วย”

คันฉัตรเอ็ดตะโรด่าเอราวัตกับคืนฉายต่อด้วยการหันไปกล่าวขอโทษนักท่องเที่ยวคนนั้น แต่แล้วทั้งสามก็ต้องตกตะลึง เพราะนักท่องเที่ยวที่หันมา เป็นคนที่ทั้งสามเคยเจอมาแล้ว และเหตุแห่งการนำมาสู่การพัวพันรู้จักกันครั้งนั้น ก็สืบเนื่องมาจากการเล่นกันแล้วไปชน ....เขาจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก คนที่คืนฉายเคยตัดไมตรี และคันฉัตรเป็นคนให้นิยามรักในแบบฉบับที่เหมาะกับตัวเขาไว้นั่นเอง

 “ตระการตา!!”

“ฉะ ฉายยย กับแฟน และคุณ....คันฉัตรใช่ไหม”

ตระการตายืนตะลึงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก เคยคิดว่าที่ผ่านมามีบุญที่ได้เจอ แต่วาสนาไซร้ไยไม่เกื้อหนุน แต่วันนี้ วาสนากลับมาเข้าข้างเขาแล้ว แต่ก่อนที่จะกล่าวอะไรกันต่อ อณูเทวะน้อยทั้งสามก็ต้องตะลึงอีกคำรบ เพราะมองเห็นในสิ่งที่คนธรรมดาไม่มีทางเห็นนอกเสียจากสายตาแห่งเทวะ และภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ เหนือหัวของตระการตานั้น มีคมจักรที่หมุนวนจากขวาไปซ้าย และทั้งสามก็เคยคุ้นกับคมจักรคมนี้ดี

“จักราแห่งมหาวิษณุ มหาศาสตราวุธแห่งองค์พระนารายณ์ !! ”

ภายในวนอุทยานใต้น้ำอันตระการตา ระลอกน้ำจับแสงระยิบระยับเลื่อมพราย  จากหมู่พระมหาปราสาทของนครบาดาลหรือปตาล เหล่ามัจฉานานาพรรณแหวกว่ายต่างวิหค โผเข้าสู่ชะงอกหินต่างๆแทนคาคบไม้ บนพระแท่นศิลาหินอ่อนสีขาวพิสุทธิ์ วรองค์ทั้งสองประทับนั่งนิ่ง และเริ่มไหวตามแรงยวบในบางครั้งดุจดั่งพื้นทรายขาวละเอียด สีทันดรมิทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขัดจังหวะใดๆทั้งสิ้น ทรงรอให้มุจลินทร์ตรัสจนจบ

“ทั้งหมดคือเหตุผล ที่หม่อมฉันรับการอภิเษกเพคะ”

“แต่มันไม่ยุติธรรมสำหรับนลเลยนะมุจลินทร์ นลรักเจ้ามาก”

“บางครั้ง หน้าที่และความรับผิดชอบก็ต้องมาก่อนความรักเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงลูกพระสนมเอก ที่ผ่านมาก็นับว่าได้รับพระเมตตาจากสมเด็จฯเป็นอันมาก และถึงคราวที่หม่อมฉันจะได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณ อีกทั้งการอภิเษกครั้งนี้ จะได้เป็นการรวมกำลังที่สำคัญ จากสายสกุลวิรูปักข์ ซึ่งเป็นสายสกุลเสด็จแม่หม่อมฉัน เพื่อความสมดุลและความยิ่งใหญ่ อุดรอยโหว่ของบาดาลเพคะ”

สีทันดรทรงนิ่งอึ้งตรัสอะไรต่อไม่ถูก ทุกอย่างที่มุจลินทร์ทูลถวายคือคามจริงที่องค์เองก็รู้ดี แล้วจะเป็นไปได้ไหม ที่หน้าที่กับความรักจะดำเนินไปพร้อมๆกัน

“มันต้องมีทางอื่นสิ มุจลินทร์”

“ไม่มีหรอกเพคะ ทุกอย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว และหม่อมฉันก็ยินดีทำเพื่อบาดาลของเรา หากบาดาลอ่อนแอ สวรรค์และโลกมนุษย์ก็จะปั่นป่วนไปด้วย หม่อมฉันเป็นเพียงอิสตรี จะไปอออกรบเยี่ยงบุรุษก็คงทำมิได้ แต่จะให้นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่วิสัยเทวนาคี เพราะฉะนั้นการที่หม่อมฉันอภิเษก ถือว่าเป็นการได้สนองพระคุณและทำประโยชน์ให้บ้านเกิดเมืองนอนเพคะ” พระวรกายงามระหงตั้งตรง พระพักตร์แห่งเทวนาคีมุ่งมั่น หนทางนี้เป็นหนทางที่ทรงเลือกเอง ทั้งๆที่พระสมุทรเททวีมิได้ทรงบังคับแต่ประการใด ด้วยเลือดขัตติยนารีที่เปี่ยมพระวรกาย มุจลินทร์ทรงเลือกเองแล้ว

“มุจลินทร์ เราละอายใจแก่เจ้าเหลือเกิน ที่เราเกิดใต้เศวตฉัตร แต่ไม่ได้ทำประโยชน์สิ่งใดเลย มัวแต่สาละวนเล่นซนไปวันๆ”

“อย่าได้ทรงคิดอย่างนั้นเพคะ การที่ทูลหม่อมได้เข้าร่วมศึกกับเทวะอวตาร ถือว่าเป็นตัวแทนแห่งบาดาลและได้ทำประโยชน์แล้วเพคะ แต่ทูลหม่อมทรงโชคดีเหนือใครๆ ที่หน้าที่ที่ทรงได้รับ สามารถดำเนินไปพร้อมๆกับหัวใจ อณูแห่งพระสุริยาทิตย์คงจะไม่ทำให้ทูลหม่อมทรงผิดหวัง ”

“เจ้ารู้ฤา” สีทันดรพระเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สงสัยทั้งบาดาลรู้กันหมดแล้วว่า อัสดงมีความหมายพิเศษลึกซึ้งเพียงไร

“รู้สิเพคะ มองปราดเดียวก็รู้ หม่อมฉันล่ะ อิจฉาทูลหม่อมนัก” มุจลินทรืเริ่มแย้มสรวลออกมาได้บ้าง แล้วทรงกล่าวต่อด้วยสุรเสียงเรียบนิ่งหากทว่ามาจากใจจริง “ หม่อมฉันขอให้ทูลหม่อมเล็กของหม่อมฉัน ทรงมีความสุขในเส้นทางหัวใจตลอดไปเพคะ อย่าได้ทุกข์เหมือนหม่อมฉันเลย”

“เราขอบใจเจ้ามากนะ จะว่าไปเจ้าก็เปรียบเสมือนพี่สาวเรา นับแต่เด็กจนโตในบาดาลนี้ ในบรรดาพี่น้องพ่อเดียวกัน นอกจากทูลหม่อมพี่ชายก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เรารัก ถึงแม้ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่เราก็อยากให้เจ้าลองตรองดูอีกครั้ง เราพร้อมจะช่วย”

“หม่อมฉันขอยืนยันคำตอบเดิมเพคะ”

“เราไม่อยากให้เจ้าทำร้ายตัวเอง แต่เอาเหอะถ้าเป็นทางที่เจ้าเลือกแล้ว เราก็คงทำอะไรต่อไปไม่ได้ เราขออวยพรให้เจ้าครองชีวิตคู่กับทูลหม่อมพี่ชายอย่างผาสุก เป็นที่พึ่งแห่งนาคาและนาคีทั้งหลาย ทูลหม่อมพี่ชายทรงโชคดีที่สุดแล้วที่ได้เจ้าเป็นนางแก้วคู่บัลลังก์ มุจลินทร์กัญญา พระสมุทรเทวีพระองค์ต่อไป พี่สาวสุดที่รักของเรา”

“ทูลหม่อมแก้วพระองค์น้อย”

มุจลินทร์ ตั้งพระทัยจะกราบลงด้วยศักติตนด้อยกว่าสีทันดร แต่เจ้านาคาพระองค์น้อยกลับโผเข้ากอด ดั่งอนุชาตัวน้อยๆ อยู่ในอ้อมอกภคินี ทั้งสองพระองค์ต่างสวมกอดกันแน่น ทรงมีหน้าที่ที่ต้องกระทำเหมือนกัน หน้าที่แห่งขัตติยวงศ์บาดาล ที่ไม่มีผู้ใดกระทำแทนกันได้ สีทันดรทรงโชคดีที่ได้ทำพร้อมหัวใจ แต่มิเกิดกับมุจลินทร์

ในพระทัยของสีทันดรขณะนี้ ประกอบขึ้นด้วยหลากหลายความรู้สึก ความรู้สึกแรกคือ ดีพระทัยที่ทูลหม่อมพี่ชายได้อภิเษกกับมุจลินทร์ ความรู้สึกที่สองทรงเสียพระทัยแทนนลที่มิทรงทำอะไรได้ทั้งๆที่ตกโอษฐ์ไปว่าจะช่วย ทรงละอายพระทัยนัก แล้วจะทรงบอกกับนลอย่างไรดี ฤาควรจะพามุจลินทร์ไปพบนลเป็นครั้งสุดท้าย

“มุจลินทร์ อยากไปหานลไหม ตอนนี้นลอยู่กับพวกอัสสะข้างบน สภาพแย่มาก ไปดูนลหน่อยเหอะนะ”

“โธ่นล!” มุจลินทร์ตกพระทัยยิ่ง แทบจะรับคำทันใด แต่ด้วยความที่ใครบางคนเคยห้าม จึงเกิดความลังเล ทอดพระสุรเสียงต่ำลง เกรงว่าเขาพระองค์นั้นจะเสียพระพักตร์ “ จะดีฤาเพคะ หากสมเด็จรู้หม่อมฉันคงต้องทัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทูลหม่อมพี่ชายของฝ่าบาท คงไม่ทรงโปรด”

“สมเด็จแม่ทรงมีเหตุผลเจ้าไม่ต้องกลัว สำหรับทูลหม่อมพี่ชายน่ะเดี๋ยวเราพูดให้เอง ทรงร้ายไปอย่างนั้นแหละ จริงๆแล้วทรงน่ารักอ่อนโยนจะตายไป แม้พระทัยร้อนไปบ้าง” สีทันดรเองเริ่มไม่แน่พระทัย ว่าที่ตรัสเมื่อครู่ว่าจะช่วยให้มุจลินทร์ไปหานล หรือตรัสสนับสนุนพี่ชายกันแน่ แต่ที่ตรัสไปนั้น เพื่อปลอบใจมุจลินทร์และองค์เอง เพราะทรงรู้ว่า พระเชษฐาทรงรั้นเพียงใด

“แน่ฤาเพคะ นี่ขนาดอ่อนโยนนะ ยังทรงทำร้ายทูลหม่อมจนเจ็บ”

“ก็ทรงไม่ได้ตั้งพระทัย เอาเหอะ เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวเราจะไปข้างบนกัน ทูลหม่อมพี่ชาย เราจัดการเอง”
 
สีทันดรกับมุจลินทร์ มิทรงรู้ว่า ถ้อยรับสั่งทั้งหมดมีผู้ใดทรงแอบฟังอยู่ พระพักตร์หล่อเหลาที่ชอบบึ้งเฉยชาทำเกินชันษาเริ่มคลี่คลาย จริงๆแล้วก็มิอยากทำองค์เสียมารยาท หากแต่เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับพระทัย จะมิทรงยอม เลยจำต้องมาฟัง

“แล้วเราจะให้ไปดีไหม”

ทยุติธรทรงถามองค์เองไปอย่างนั้น ทั้งๆที่ในพระทัยทรงมีคำตอบอยู่แล้ว “ก็ได้มุจลินทร์ หากครั้งนี้มันจะเป็นการอำลาครั้งสุดท้ายระหว่างเจ้ากับนล”

ทางด้านคันฉัตร คืนฉาย เอราวัต ที่อุทานมาพร้อมๆกัน ต้องขยี้ตาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่า ภาพที่เห็นมิใช่ตาฝาด ตระการตามีจักราแห่งมหาวิษณุอยู่เหนือหัวได้อย่างไร

“เป็นอะไรกันเหรอ อะไรคือจักราแห่งมหาวิษณุ”

“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” คันฉัตรได้สติก่อนใครเพื่อน กล่าวตอบ จักราก็ยังไม่หาย พอดีกับที่อัสดงและสหายที่เหลือตามมาสมทบ ทั้งหมดจึงได้เห็นภาพนั้นกระแสจิตถูกส่งหากันทันใด

“เขาเป็นอณูแห่งพระมหาวิษณุเหรอ ...เป็นไปไม่ได้ ในเทวโองการมิได้ทรงบอกว่าจะอวตารลงมา”

“ไม่ใช่หรอก”

“แล้วทำไมมีจักราแห่งพระองค์ท่านลอยอยู่ล่ะ”

“นายลองดูดีๆ สิฉัตร ว่าเขาห้อยอะไรอยู่ที่คอ”

ธรรม์ที่นับว่าละเอียดถี่ถ้วนและช่างสังเกต บุ้ยปากให้สหายทั้งหมด ดูที่คอของตระการตา เชือกร่มเส้นยาวห้อยบางสิ่งอยู่และสิ่งนั้นก็เริ่มทอแสงระยิบล้อแสงตะวัน ตระการตาเมื่อเห็นสายตาทุกคู่จ้องมองมาที่ตน ก็สงสัยและบังเกิดความเขินยิ่ง และความรู้สึกแปลกๆก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ยามได้เจอเขากลุ่มนี้ตรงหน้า ความรู้สึกที่จะเรียกว่ากลัวก็ไม่ใช่ ควรจะเรียกว่ายำเกรงเสียมากกว่า ราวกับว่าสายตาทุกคู่มีอำนาจเหนือมนุษย์ยังไงยังงั้น

“ตามีอะไรแปลกประหลาดไปเหรอ” เจ้าตัวหน้าแดงหันไปถามคืนฉาย

“ เอ่อ ตาห้อยอะไรอยู่น่ะ สวยดี”

“ อ๋อ ..พอดีก่อนมานี่ ตาแวะเชียงใหม่ไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพมาน่ะ ได้เจอพระรูปหนึ่ง ท่านก็เลยให้มา แถมยังบอกอีกว่า ฝากไว้หน่อย เดี๋ยวจะมีคนมารับคืนที่ปาย ตาเองก็งง แต่ก็ไม่รู้ว่ารับมาได้ไง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แถมพระรูปนั้นยังรู้อีกว่าตาจะมาที่นี่”

อณูน้อยทั้งแปดแลหนึ่งยักษ์เขี้ยวแก้ว ต่างก็มองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย คมจักรแห่งมหาวิษณุบัดนี้สลายไปแล้ว พระรูปนั้นเป็นใคร แล้วมีศาตราวุธที่สำคัญของมหาเทวะได้อย่างไร ที่สำคัญ ฝากมาให้ใครกัน

“เออ ฉายมานี่ได้อย่างไร ตาดีใจมากๆเลยนะเหมือนฝันเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอฉายอีก ฉายสบายดีนะ”

คืนฉายกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ก็ต้องเงียบเพราะเสียงของคนข้างๆ ดันกล่าวตอบแทนมาเสียว่า “ ฉายกับเราสบายดี เราสองคนกับเพื่อนๆมาเที่ยวพักผ่อนกันน่ะตา”

เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าพระพุธน้อยยังคว้ามือคืนฉายมาจับไว้มั่น เหมือนกับเป็นสัญญาณย้ำให้รู้ว่า ‘ฉายมีเจ้าของแล้ว’ เอราวัตจากคนที่ไม่เคยชินกับการแสดงความรักต่อหน้าสาธารณะชน และแทบจะไม่ออดอ้อนให้ใครเห็น เริ่มงอแงเอากับคืนฉาย เพื่อกันเจ้าพระศุกร์เจ้าเสน่ห์ออกจากวงสนทนาที่มีตระการตาอยู่อย่างไม่สนใจใคร

“ฉาย ... หิวน้ำ ไปซื้อน้ำกันหน่อย”

อัสดง ทรงกลด และคันฉัตร ที่รู้เรื่องดีเพราะไปทะเลด้วยกันก็อดยิ้มไม่ได้ จากรักหลอกๆกลายเป็นรักกันจริงๆ  ‘ไอ้พระพุธมันหึง’ตระการเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ จึงได้แต่ยิ้มแหยๆ

“ว่าแต่ตาเถอะ มากับใคร”

“มาคนเดียวครับคุณคันฉัตร พอดีว่างๆ เหงาๆ เลยมาพักผ่อน ไม่คิดจะเจอพวกคุณที่นี่” ความรู้สึกเหงาถูกส่งผ่านออกจากแววตาเศร้าๆและน้ำเสียงได้อย่างเต็มที่ คันฉัตรจับความรู้สึกนั้นได้ และรู้ว่าภาพคืนฉายยังคงมีเหลืออยู่ในใจของตระการตา

“เรียกฉัตร เฉยๆดีกว่า ...เอางี้ตาเพิ่งมาถึงใช่ไหม คาดว่าคงไม่มีที่พัก มาพักกับพวกเราไหมล่ะจะได้ไม่เหงา อยู่คนเดียวไม่ดีหรอก จะได้ไม่ต้องคิดมากไง” ไมตรีที่คันฉัตรทอดมาให้ ทำเอาอัสดงกับทรงกลดแอบอมยิ้ม เอาละเว้ย...คราวนี้ ไอ้ฉายปวดหัวแน่ อยากรู้นักว่าไอ้พระพุธจะทำอย่างไรหากมันรู้

“จะดีเหรอ ...ฉายกับแฟนจะไม่ว่าอะไรเหรอ ตาว่า ตาไปอยู่คนเดียวดีกว่า ตาเกรงใจ”

“ก็ช่างไอ้ฉายกับแฟนมันสิ เราเป็นคนชวน ไม่ใช่ไอ้ฉายสักหน่อย ไปอยู่คนเดียวมันอันตราย เอาน่า เรารับผิดชอบเอง” คันฉัตรกล่าวตัดบทมัดมือชก มิถามความเห็นจากเพื่อนๆ ธรรม์ที่ยืนฟังรีบส่งกระแสจิตเตือนว่าตระการตามิควรมาพักด้วย เพราะจะทำให้การฝึกอาคมนั้นลำบาก แต่เจ้าพระเสาร์ก็ยังหนักแน่นยืนยันว่า

“ เอาน่า ฉันรับผิดชอบเอง”

“ให้มันจริงเหอะ ระวังไอ้พระพุธมันอาละวาดบ้านแตกก็แล้วกัน แต่ก็ดีแล้ว เอาเขามาอยู่ด้วย พวกเราจะได้รู้ว่า จักราแห่งมหาวิษณุเป็นของใคร และไอ้คนที่จะมารับไปนั้นมันจะใช้ทำอะไร ถ้าเป็นเทวะพวกเราจะได้ชวนออกศึกเสียเลย นายคอยดูตระการตาให้ดีเถิดไอ้ฉัตร ฉันว่ามันมีอะไรแปลกๆ ทำไมสวรรค์ ต้องฝากศาตราวุธที่สำคัญไว้กับเขา”

อัสดงกล่าวเสริมแล้วอนุญาตแทนกลุ่ม ส่วนเจ้าพระพุธพอกลับเข้ามาทราบเรื่องก็มีความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจเหตุผลจึงยอมแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก ‘คืนฉาย’ เสน่ห์แรงไว้ใจได้เสียที่ไหน แต่ในเมื่อคันฉัตรรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ จึงพอเบาใจลงบ้าง ส่วนคืนฉายเห็นเอราวัตวันนี้ งอแงกอดแขนเขาแน่นไม่ยอมปล่อยก็ยิ้มแก้มปริ

“ทำไม วันนี้ อ้อนจัง ...หรือเปลี่ยนใจจะให้ฉายทำแฮตทริก”

“จะกี่ครั้งก็ไม่ว่า ...แต่ตอนกลางคืนอย่าให้รู้เชียว ว่าแอบออกนอกห้องไปหาใคร ไม่งั้นฉันเอานายตาย”

คืนฉายแทบสำลักน้ำ ใครที่เอราวัตว่าคงไม่แคล้วตระการตา “หึงฉายใช่มะ”

“ เออ แล้วฉายก็ต้องทำตัวดีๆด้วย รู้ไหม”

“คร๊าบ ฉายรู้แล้วครับ ฉายไม่นอกลู่นอกทางหรอกน่า ยกเว้น...”

“ยกเว้นอะไร” เอราวัตถามเสียงเขียว

“ยกเว้น เขามาหาฉายเอง”

เท่านั้นแหละ กำปั้นหนักๆก็วัดไปที่ไหล่เจ้าพระศุกร์ดังพลั่ก ตามมาด้วยอีกหลายๆหมัด เจ้าตัวต้องวิ่งหนี หลบหลีกเป็นพัลวัน เพื่อนๆที่เห็นต่างก็ส่ายหน้า ว่าไอ้คู่นี้ตีกันอีกแล้ว

“เบื่อไอ้ผัวเมียคู่นี้จัง ...เฮ้ยไปกันเหอะ ไปที่พักกันเสียที ปะตาไม่ต้องคิดมาก เราจะคอยเป็นเพื่อนตาเอง”

“งั้นตาต้องรบกวน ฉัตรด้วยละกัน”

สายลมเย็นยะเยียบ พัดพาเอากลิ่นหอมแปลกๆจากคนตรงหน้า กลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นเดียวกันกับกระดาษที่บันทึกนิยามรักที่เขามอบให้ นับจนวินาทีนี้ กลิ่นนั้นก็ยังมิจางห่างหายไปไหนเลย อุ่นใจทุกครั้งยามสูดดม ‘คันฉัตร’ ชื่อนี้จำได้ และถูกฝังลงในหัวใจ อย่างเงียบเชียบ ค่อยมาแทนที่ ‘คืนฉาย’ มาโดยที่ตนเองไม่รู้ตัวมาก่อนเลย รอยยิ้มอ่อนๆคลี่คลาย ตอบรับในไมตรี เท้าทั้งสองข้างก้าวเดินตามกลุ่มเพื่อนใหม่ ที่เขารู้สึกว่า  ไม่ธรรมดา ทั้งหน้าตาและอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ ....ขอให้ชีวิตที่เมืองปายได้พบความสุขบ้าง แม้เล็กน้อยก็ยังดี

ทหารราชองครักษ์หน้าบานพระทวารแตกออกเป็นช่องทันทีที่เห็นว่าใครเสด็จเข้ามาพร้อมกับทรุดกายราบกราบถวายบังคม

“ทูลหม่อมพี่ชายประทับอยู่ไหม เราจะขอเข้าเฝ้าสักหน่อย”

“พี่อยู่นี่สีทันดร”

พระสุรเสียงห้าวดังขึ้นจากทางด้านหลัง สีทันดรทรุดกายลงถวายบังคม แล้วพระหัตถ์แข็งแรง ก็ประคองพระอนุชาขึ้น ทรงโอบกอดไว้ในอ้อมพระพาหาทอดสุรเสียงอ่อนลงกว่าเดิม

“ไปคุยกันข้างใน”

เมื่อเสด็จเข้ามาถึง ทยุติธรก็ทรงประทับบนพระแท่นลูบพระเกศาดำดำมันขลับของอนุชามาอย่างเอ็นดู แม้ไม่กี่วันที่ผ่านมาสีทันดรจะทำให้ไม่สบพระอารมณ์ก็ตาม 

“เปลี่ยนใจจะกลับมาอยู่บาดาลกับพี่แล้วใช่ไหม” ทยุติธรไยไม่ทรงรู้ว่าพระอนุชา เสด็จมาหาด้วยเหตุอันใด แต่ทรงแสร้งถามไปอย่างนั้น

“เปล่าพะยะค่ะ หม่อมฉันทราบเรื่องมุจลินทร์มาจากนล ...เลยลงมาหา”

“เจ้าเลยจะพามุจลินทร์หนีไปหานลใช่ไหม”

“มิได้พะยะค่ะ หม่อมฉันเพียงแค่ อยากจะมาคุยกับมุจลินทร์ แทนนลให้รู้เรื่อง และตอนนี้ก็เข้าใจกันดีแล้ว ทรงสบายพระทัยเถิด อีกประเดี๋ยวก็ว่าจะกลับ นี่หม่อมฉันก็ต้องแอบทูลหม่อมปู่เข้ามาแทบแย่ เลยแวะมาเข้าเฝ้าแสดงความยินดี”

“สีทันดรเจ้าไม่สบายหรือเปล่า ฤาพี่ฟังเจ้าผิดไป” ทยุติธรรู้สึกแปลกพระทัย ยกหลังพระหัตถ์แตะพระนลาฏน้องน้อย ที่คอยสร้างแต่เรื่องวุ่นๆ ไฉนวันนี้ไยไม่ก่อเรื่องอีก

“โธ่ หม่อมฉันโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆอย่างเมื่อก่อนจะได้ก่อเรื่อง หม่อมฉันซึ้งใน น้ำใจและปณิธานของมุจลินทร์ สมแล้วที่ทรงเลือกเป็นนางแก้วคู่พระบารมี”

“สีทันดร ฟังพี่..พี่เองก็มิอยากบังคับจิตใจนางนักหรอก พี่เสียใจที่ไม่ได้ไปคุยกับนางให้รู้เรื่อง ผลีผลามไปทูลสมเด็จแม่จนนางเข้าใจผิดคิดว่าทำไปเพราะความเหมาะสม แท้ที่จริงพี่รักนางมาก รักมานานแล้วแต่ไม่กล้าบอก หากพี่กล้าสักนิด มันคงไม่เป็นแบบนี้”

พระเนตรฟ้าครามใส เฉกเดียวกับพระอนุชาหรุบต่ำลง พระสุรเสียงห้าวดังกังวานผ่อนลงอย่างไม่เคยเป็น ยามที่ประทับอยู่ด้วยกันลำพังสองพี่น้อง ทยุติธร มักอ่อนโยนลงเสมอ แลรัศมีสีเขียวเจือทองก็เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นทุกครั้ง

“ทรงรู้สึกอย่างนั้น ทำไม ไม่ทรงบอกนางเล่า”

“ก็อย่างที่บอกพี่ไม่กล้า”

“เฮ้อ ...ผู้ชายส่วนมาก มักขลาดในเรื่องที่ไม่ควรขลาด ทำไมตอนรบไม่ขลาดเช่นนี้บ้าง” สีทันดรทรงย่นพระพักตร์ใสพระเชษฐา แล้วทรงยึดพระเพลาแทนเขนยประทับนอนเช่นทุกครั้ง ความไม่พอพระทัยครั้งนางบาทบริจาริกาเริ่มจางหาย และพระเชษฐาก็กลับคืนมาเป็นพระเชษฐาองค์เดิมแล้ว

“พี่ไม่ใช่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ของเจ้านี่  ... แล้วลงมานี่พวกนั้นมันไม่ว่าเอาหรือไง ไม่กลัวว่าพี่จะกักตัวไว้เหรอ”

“พี่ชายไม่ทำหรอก เพราะขณะนี้ ทรงมีเรื่องให้ต้องทำสำคัญกว่า...เอาล่ะ หม่อมฉันเข้าเรื่องดีกว่า นอกจากจะมาแสดงความยินดีแล้ว หม่อมฉันจะมาทูลขอพระอนุญาต พามุจลินทร์ไปหานลเป็นครั้งสุดท้าย พี่ชายคงไม่ขัดนะพะยะค่ะ”

แม้คำตอบจะมีอยู่แล้วในพระทัย หากทยุติธรยังมิตกพระโอษฐ์รับคำ “ถ้าพี่ไม่อนุญาตล่ะ เจ้าจะพานางหนีไปไหม”

“ไม่หรอกพะยะค่ะ เพราะหม่อมฉันทราบดีว่าพี่ชายคงให้ไป พี่ชายทรงเป็นสุภาพบุรุษ และมีน้ำพระทัยกว้างขวาง การไปบอกลาแค่นี้คงไม่ขัดข้อง แลยังจะทำให้ มุจลินทร์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยด้วย”

ทยุติธรทรงแย้มสรวลน้อยๆ สีทันดรเข้าใจทูลยิ่งนัก ที่ผ่านมาพระอนุชาทูลขอสิ่งใดก็ไม่เคยขัด เพราะเป็นน้องรักพระองค์เดียว “ได้สิพี่อนุญาต...แต่มีข้อแม้ว่าพี่จะต้องไปด้วย”

“ไชโย พี่ชายทรงน่ารักที่สุดในโลกเลย” สีทันดรด้วยความที่ดีพระทัยกอดพระเชษฐาแน่นแล้วก็ฉุกพระทัยคิดอะไรบางอย่างมาได้ “เอ๊ะ ทำไมทรงให้ไปง่ายจัง ว่าแต่หากพี่ชายเสด็จไปด้วย มุจลินทร์กับนลจะคุยกันสะดวกฤา”

“พี่อยากให้มุจลินทร์เข้าใจพี่และมองพี่ในแง่ดีบ้างก็เท่านั้น พี่สัญญาว่าพี่จะให้เขาทั้งสองล่ำลากันอย่างลำพังเป็นครั้งสุดท้าย พี่จะอยู่เฉยๆ ที่พี่ไปไม่ใช่เพราะพี่ไม่ไว้ใจเจ้า พี่ไม่ไว้ใจเทพพวกนั้นต่างหาก”

“โธ่ อัสสะไม่ใช่คนแบบนั้น”

“นี่พี่จะแตะต้องสุริยาทิตย์ของเจ้าไม่ได้เลยใช่ไหม ออกรับแทนมันตลอด”

“พี่ชายล่ะก็ ทรงเปิดพระทัยหน่อยสิ ลองสนทนาดีๆกับพวกอัสสะดู    พวกเขาน่ะก็อยากจะทูลขอคำแนะนำในด้านการรบอยู่นะพะยะค่ะ โดยเฉพาะอัสดงยังชมเลยว่าพี่ชายเก่ง” สิ่งที่เจ้านาคาตาสวยปรารถนามากที่สุด คือให้พี่ชายโปรดอัสดง การทูลปดเล็กๆน้อยๆย่อมทำได้ เพราะความจริงอัสดงมักบอกเสมอว่า....... “ พี่ชายเจ้ามันขี้แอ๊ค วางท่า”

“อย่ามาพูดให้พี่ใจอ่อน ยังไงพี่ก็ไม่เห็นด้วยที่อณูพระสุริยาทิตย์จะมาดูแลเจ้า นี่เป็นเพราะพระเสาวณีย์แห่งพระมหาลักษมีเทวีหรอกพี่ถึงยอมอยู่เฉยๆ เอาล่ะ จะพามุจลินทร์ขึ้นไปก็ขึ้นไป และไปรอพี่ตรงอุทยานด้านนอกให้ลับตาสมเด็จทวดกับทูลหม่อมปู่หน่อย พี่ขอสั่งความทหารนิดหนึ่ง แล้วจะตามไปสมทบ”

“พะยะค่ะ” เมื่อพระอนุญาตประทานลงมาเป็นมั่นเป็นเหมาะ สีทันดรก็ทรงยันพระวรกายผลุดขึ้นจากพระเพลา เสด็จปรู๊ดปานวายุ แต่ยังไม่ทันไรก็มีเสียงของพี่ชายรั้งไว้

“ทำเป็นดีใจ จนรีบวิ่งเชียว ...เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า”

“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ” เจ้านาคน้อยนึกได้ หันพระวรกายกลับมาคุกพระชงฆ์ลง แล้วถวายจูบที่พระปรางซ้ายขวา ยามที่พระเชษฐาประทานสิ่งใดให้ทุกครั้ง “หม่อมฉันรักพี่ชายที่สุดในโลกเลย”

“เวลานี้คงไม่ใช่แล้วมั้ง เพราะพี่คงเป็นรองอัสดง” ทยุติธรประทานจูบตอบที่พระนลาฏ ยามนี้ทรงอ่อนโยนยิ่งนัก

พระเนตรฟ้าครามใสฉายแววเขินอาย ทูลหม่อมพี่ชายทรงรู้ไปเสียทุกอย่าง ทรงคืนกลับมา น่ารักอ่อนโยนอย่างที่ทรงเคยเป็นแล้ว น่าเสียดายที่พระอารมณ์แบบนี้น้อยคนนักที่จะได้เห็น โดยเฉพาะ มุจลินทร์

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:43:03
อณูแห่งเทวะน้อยทั้งหลายเมื่อเข้าที่พักได้ ต่างก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว โดยนัดกันว่าจะเจอกันตอนหกโมงเย็น เพื่อเดินเที่ยวรอบเมือง และซื้อของมาเลี้ยงสังสรรค์ตามที่ตั้งใจไว้ ที่พักแห่งนี้ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก สามารถเดินมาได้ แต่ถึงจะไกลแค่ไหน มีฤาจะเป็นอุปสรรค เพียงแค่พวกเขาเหิรลอยยังไม่ทันถึงอึดใจด้วยซ้ำก็สามารถไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ กระท่อมเล็กๆที่อยู่ริมน้ำถูกเทวะน้อยเหมาหมดทั้งห้าหลัง เพราะทิวทัศน์ดีและสวยงามกว่าส่วนอื่นๆ หลังแรกจับจองโดยอัสดงที่เจ้าตัวตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของไอ้ดื้อ หลังที่สองเป็นของทรงกลดกับนลกุพรซึ่งเจ้าพระจันทร์ทำหน้าที่พี่เลี้ยงได้ดีเยี่ยมไม่ขาดตกบกพร่อง หลังที่สามเป็นของคู่รักจอมเซี้ยวคืนฉายกับเอราวัต หลังที่สี่เป็นของน้ำเชี่ยวกับธรรม์ ส่วนหลังที่ห้าหลังสุดท้ายเป็นของคันฉัตรกับราหู ที่นี้ก็เหลือแต่ตระการตา ที่ไม่รู้ว่าจะแทรกลงไปตรงไหน

“พักกับอัสดงก่อนก็ได้นี่” ราหูเสนอ “น้องดื้อไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร ... น่าอัสดงดีกว่านายนอนคนเดียว ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ พญานาคไม่อยู่ ฉะนั้นเทวะรูปหล่อจงร่าเริง”

“แนะนำดีนักนะมึง เดี๋ยวโดนเตะ” อัสดงเสียงเขียวเข้าให้

“อะไรเหรอ พญานาคอะไร”

“ไม่มีอะไรหรอกตา ราหูมันเพ้อเจ้อ” คันฉัตรขมวดคิ้วใส่เพื่อนตัวแสบที่พูดอะไรไม่ดูเลยว่ามีคนธรรมดาอยู่ด้วย “ว่าไงอัสดงสะดวกไหม”

ระหว่างที่อัสดงกำลังคิดถึงความเหมาะสมอยู่ เอราวัตที่ยืนอยู่ด้วยก็กลัวว่าตระการตาจะโดนแหมะมาแปะลงที่ตรงบ้านเขากับคืนฉาย จึงพูดมาว่า

“ ฉายไปเหอะ ไปจัดของให้เข้าที่กัน”

แล้วเอราวัตก็จูงมือคืนฉายออกจากวงสนทนามาอีกครั้ง เล่นเอาทุกคนตาค้าง ไอ้พระพุธนี่ วันนี้มันเป็นอะไรของมัน

“เอางี้ดีกว่าไอ้ฉัตร ให้ไอ้ราหูมานอนกับฉันก่อน ส่วนนายก็นอนกับตระการตา  หากไอ้ดื้อกลับมา ค่อยให้ไอ้ราหูย้ายกลับไปนอนบ้านนายแล้วค่อยใส่เตียงเสริมเอา ดีไหม”

“เอาอย่างที่นายว่าแล้วกันอัสดง...ตาล่ะ นอนกับฉัตรโอเคไหม” คันฉัตรเกรงว่าตระการตาจะไม่สะดวกใจ เพราะตนไม่ใช่คืนฉายจึงถามออกไป แต่ที่ไหนได้ การชวนนอนด้วยกันของคันฉัตรนั้นมันทำให้แก้มเขามีเลือดขึ้นมาหล่อเลี้ยงสูบฉีดบริเวณใบหน้าได้ทันตา

“ขอบคุณนะฉัตร ...งั้นตารบกวนด้วยแล้วกัน”

“ไม่เป็นไร”

ตระการตา เดินตามหลังคันฉัตรต้อยๆ ในชั่วแวบแห่งความรู้สึก เขาจับสัมผัสได้อีกครั้งว่า ในตัวคันฉัตรมีอะไรบางอย่างน่ายำเกรงหากสิ่งที่น่ายำเกรงนั้น เขาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก รู้แต่ว่าภายใต้ความรู้สึกนี้ มีความอบอุ่นซ่อนอยู่ลึกๆ และความอบอุ่นนี้นั้นก็ลอบมาให้ได้สัมผัสอยู่เนืองๆ

เวลาผ่านไปสักพัก ทางด้านคืนฉายที่เข้าบ้านพักมาก่อนก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ฉีดน้ำหอมเสียหอมฟุ้ง จนคนใกล้ตัวและใกล้หัวใจอย่างเอราวัต อดแขวะไม่ได้

“นี่ฉาย ฉีดน้ำหอมเสียฟุ้งเชียว แล้วทำไมวันนี้แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ จะแต่งไปให้ใครดูหรือเปล่าวะ”

“โธ่เอ๊ย ฉายจะไปให้ใครดู ถ้าไม่ใช่เอราวัต ...หึงอีกแล้ว ว่าแต่นายนี่เวลาหึงก็น่าดูเหมือนกันนะ  ฉายล่ะดีใจที่เอราวัตหึงฉาย”คืนฉายหันมากอดเอราวัตจากทางด้านหลังใบหน้าขาวกระจ่างใสเริ่มซุกลงตรงซอกคอของเจ้าพระพุธน้อย

“จะไม่ให้หึงได้ไง รักมากนี่โว้ย เลยหึงมาก ตระการตาเล่นโผล่มาอย่างนี้ แถมยังมองฉายด้วย” เอราวัตมิเสียเวลาประดิษฐ์คำพูดอันใดอีก รู้สึกอย่างไรก็โพล่งออกมาอย่างนั้น เล่นเอาคนฟังยิ้มจนแก้มปริ    

“ชื่นใจฉายที่ซู๊ดดดด เหอะน่า เขามองก็ช่างเขาสิ เดี๋ยวเขาก็เลิกมอง”

“ทำไมเขาถึงจะเลิกมองล่ะ”

“ไอ้ฉัตรคือคำตอบ เดี๋ยวถ้าเอราวัตเจอมัน ลองอ่านความคิดมันดูสิ แล้วจะรู้ ที่นี้เราสองคนก็มีงานต้องทำหนักขึ้น นอกจากปราบอสูรแล้ว เรายังต้องทำหน้าที่แทนพระกามเทพด้วย”

“จริงเหรอ” เอราวัตยิ้มได้โดยทันที อารมณ์ขุ่นมัวจางหายรวดเร็ว จึงปล่อยตัวลงในอ้อมกอดของคืนฉายมาขึ้นกว่าเดิม “ถึงทีเราบ้างแล้วฉาย ไอ้ฉัตรมันเคยช่วยเรา คราวนี้เราต้องช่วยมันบ้าง”

“ไม่ใช่ไอ้ฉัตรคนเดียวนะ ..ยังมีไอ้กลดด้วย คู่นี้อัสดงมันสั่งมา”

“อ๋อได้สิ” เอราวัตรับคำ เข้าใจทุกอย่างดี โดยที่คืนฉายมิต้องบอกอะไรเพิ่มเติม ทั้งสิ้นว่าคู่ที่จะจับให้กับทรงกลดนั้นคือใคร “รับรองคู่นี้จะสมนาคุณให้หนักเลย”

“แล้วจะไม่สมนาคุณอะไรให้ฉายบ้างเลยเหรอ ก่อนไปกินข้าวก็ได้นะ นิดนึงก็ยังดี”

“ก็คืนนี้ไง รับปากไว้แล้วไม่ลืมหรอกไอ้บ้า” แม้จะเคยกันมาหลายครั้ง เอราวัตก็ยังไม่วายเขิน ยามคืนฉายขออย่างว่า

“วันนี้พระพุธของฉาย งอแงแต่ก็น่ารักที่สุด”

“วันนี้พระศุกร์ของเอราวัต ก็หล่อที่สุดเช่นกัน อย่าลืมนะทำตัวดีๆไม่งั้นคืนนี้อด”

“คร๊าบ ไปเหอะ ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวพวกนั้นรอ” คืนฉายปล่อยเจ้าพระพุธออกจากอ้อมกอด แล้วจูงมือตั้งใจพาออกไปนอกห้อง แต่เจ้าพระพุธกลับดึงเขาเข้ามากอดไว้เองเสียนี่

“ขอโทษนะ ที่เอราวัต ทำตัวงี่เง่างอแง”

“ช่างมันเหอะ แล้วก็แล้วไปน่า อย่ารื้อฟื้นเลย ถึงเอราวัตจะงอแง แต่ทำไปก็เพราะรักฉาย ....น่าร้าก น่ารักไปอีกแบบ”

“ทำเป็นพูดดีไป จำได้ไหม ว่าหากไม่ต้องการฉันวันไหนให้บอก”

“เคยบอกแล้วไง ว่าจะไม่มีวันนั้น”

คืนฉายประกบปากลงทันที ไม่รอให้พรุพุธพูดสิ่งใดต่อ ริมฝีปากทั้งสองปิดสนิทแน่น มิยอมแยกจากกัน ดั่งหัวใจทั้งสองที่ถูกพันธนาการด้วยไยแห่งเสน่หา ยากจะมีสิ่งใดตัดขาดแน่นอน

บรรยากาศยามเย็น หนาวเสียยิ่งกว่าหนาว อณูน้อยทั้งแปด หนึ่งยักษ์และหนึ่งมนุษย์จัดการกับมื้อเย็นอย่างง่ายๆ แล้วพากันเดินซื้อเครื่องดื่มประเภทเหล้าไปเลี่ยงฉลองตามที่ตั้งใจไว้ น้ำเชี่ยวออกตัวเป็นพ่องานในครั้งนี้ ด้วยความที่เปรี้ยวปากมาเสียนาน โดยมีธรรม์กับราหูคอยช่วยถือ ส่วนอัสดง ทรงกลดและนลกุพร แยกไปสำรวจวัดบนภูเขาเพื่อจะใช้ฝึกอาคม คืนฉายกับเอราวัตเกี่ยวก้อยกันกระหนุงกระหนิง อยู่บริเวณถนนคนเดิน เฉกเช่นคันฉัตรและตระการตา ที่เดินย่อยดูนั่นดูนี่อย่างสบายใจ

เสียงระฆังใบใหญ่ดังเหง่งหง่าง เพียงริมโอษฐ์หยักได้รูปเป่าลมออกมาเพียงเบาๆ ก็ทำลายความเงียบสงัดยามสนธยามหมดสิ้น พระเนตรกว้างเคยซุกซนสดใส บัดนี้เหม่อลอย ทอดส่ายไปทั่วสารทิสจากยอดผาสูง ความมืดมิดค่อยๆโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็วเงียบเชียบ พระสุริยาทิตย์เสด็จกลับไปแล้ว แลขบวนเสด็จแห่ง จันทรเทพก็เสด็จเข้ามาแทนที่ เฉกเดียวกับที่อัสดงที่มาได้แป๊บเดียว ก็ขอตัวกลับลงไปก่อน ทิ้งอณูน้อยจันทรเทพฉายแสงแทนตน ยังเบื้องหลังของนลกุพร

“นลเรากลับลงไปกันเหอะ เริ่มมืดแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นจะรอ”

“อีกสักพักได้ไหมกลด”

“ตามใจสินล แต่อย่านานนัก ฉันเข้าใจนะว่ามันทำใจยาก ฉันเองก็รักสีทันดรมากไม่ต่างกับอัสดง พอผิดหวังก็เจ็บหนัก เราสองคนอกหักพร้อมๆกันนี่”

ทรงกลดถือวิสาสะกอดคอสหายใหม่ ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี กระพริบวิบวับ นลกุพรหันมาสบเข้าพอดี เพียงมองจากด้านข้างความรู้สึกชั่วแวบ เงาทับซ้อนบางเงาทำให้ทอดพระเนตรมองคล้ายเทพธิดาสะคราญโฉมแทรกอยู่ พอกระพริบเนตรบ้าง ภาพนั้นก็มลายหายไป เหลือแต่วงหน้ากระจ่างใส หวานซึ้ง และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘น่ามอง’ แม้จะเป็นผู้ชายด้วยกัน

“มองอะไรเหรอนล”

“ปะป่าว ไม่มีอะไร แค่ตาฝาดนิดหน่อย แปลกใจเห็นหน้าเจ้า เหมือนเป็นผู้หญิงน่ะกลด”

ทรงกลดหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากแดงสด แย้มกลีบระเรื่อ นลกุพรแอบคิดไปไม่ด่า หากอณูแห่งจันทรเทพเป็นอิสตรี ก็คงไม่แคล้วประทับรอยจูบลงไป

“ มันไม่แปลกหรอก ที่นายจะเห็นอย่างนั้น เพราะต้นกำเนิดของฉันถูกพระมหาเทพสร้างมาจากเทวธิดางามเลิศสิบห้านาง”

“เออใช่ เราลืมไป” 

นลกุพรหรุบพระเนตรต่ำลง มิกล้าทอดพระเนตรใบหน้าของทรงกลดอีก รัศมีเหลืองนวลอบอุ่นเริ่มแผ่กระจายวาบ พร้อมกลิ่นหอมที่หอมเสียยิ่งกว่ามะลิหอมใดๆ โชยชายเข้าพระนาสิก พระทัยแห่งโอรสาท้าวเวสสุวัณเริ่มเต้นแรง ทรงรู้สึกเหมือนกับว่าพระทัยที่เคยแตกเป็นเสี่ยงค่อยๆถูกสมานให้กลับคืน ด้วยกลิ่นหอมนั้น นี่น่ะฤา มนต์เสน่ห์แห่งจันทรเทพ มันวาบวับจับใจอย่างนี้นี่เอง เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ทรงสะบัดพระเศียรขับไล่ความคิดว้าวุ่น แต่ความวาบพระทัยก็มิจางหาย กลับพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด เพราะใบหน้าของคนที่ทำหน้าทีพี่เลี้ยงอยู่ข้างๆ ครานี้กลายเป็นวงพักตร์งามเลิศที่ทรงคุ้นเคยแห่งเทวนาคี

“มุจลินทร์!!”

โดยมิต้องรอให้สมองสั่งการ ริมโอษฐ์ หยักได้รูปโผไปประกบกับริมฝีปากแดงสดนั้นพร้อมกับวงแขนแข็งแรงที่กอดพี่เลี้ยงหัวใจแนบแน่น ทรงกลดไม่ทันได้ร้องห้าม คำพูดติดอยู่แค่ลำคอ จะเบี่ยงตัวออกก็มิได้ เพราะแรงรัดของนลมากเหลือเกิน

“นะ นล ...นลจะทำอะไร”

“สำเร็จ!!”

เสียงดีดนิ้วดังเผาะ ด้วยความชอบใจ ดังขึ้นในพุ่มไม้ข้างๆ พร้อมๆกับเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าพระศุกร์กับพระพุธ ประสานเสียง อัสดงที่กลับไปตอนแรก บัดนี้ยืนบัญชาการอยู่เบื้องหลัง

“เยี่ยมไปเลย ไอ้ฉาย”

“งานถนัดน่ะ....อุตส่าห์ไปตามฉันสองคนมา นึกว่าจะให้ทำอะไร เมื่อกี้ยังคุยกับเอราวัตเลย ว่าคู่นี้จะสมนาคุณให้หนัก”

“แต่มันจะไปเร็วไปหน่อยเหรอ อัสดง...ให้มันจูบกันเลย”

“ไม่หรอกไอ้พระพุธ จำไม่ได้เหรอ ตอนฉันเจอไอ้ดื้อ วันแรกก็จูบกันแบบนี้แหละ” อัสดงยิ้มชอบใจ เมื่อนึกถึงอดีตของตน แล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเจ้าเล่ห์ซุกซนว่า “ไอ้ฉาย..นายช่วยเพิ่มดีกรี ความร้อนแรงให้อีกนิดได้ไหม”

“ซำบาย...ลูกพี่”

แล้วริมโอษฐ์ของนลกุพร ก็ขยี้หนักขึ้น เขี้ยวแก้วใสห่าหายชั่วครู่เพื่อจะได้ทำงานสะดวก ทรงกลดทีแรกก็พยามกันตัวเองออกแต่พระวรกายหนาหนักของเจ้าเทวอสุรา กลับรัดแน่นกว่าเดิมและอำนาจอะไรบางอย่างกลับตรึงเขาไว้กับที่ รัศมีเหลืองนวลสว่างไสวสมนามทรงกลดกระจ่างจ้าอย่างไม่เคยเป็น เริ่มหยอกล้อรัศมีสีแดงโกเมน ก่อเกิดประกายสีชมพูกุหลาบอ่อนหวานอยู่ตรงกลาง

ลมหายใจร้อนผ่าวระเรื่อยลิ่ว
แล่นผ่านพลิ้วบนใบหน้าอันแสนหวาน
จูบของเราจะประทับไว้เนิ่นนาน
เป็นสัญญาณแรกเริ่มรักนิรันดร์

เวลาแม้จะผ่านไปได้เพียงแค่นิดเดียว หากทว่าในความรู้สึกของทั้งสองมันช่างเนิ่นนานนัก  ริมโอษฐ์ที่หยักได้รูปยังคงตราตรึงประทับแน่นบนริมฝีปากแดงสด จากแรกเริ่มที่ทรงกลดขัดขืน ตอนนี้เขากลับปล่อยให้นลกุพรดำเนินอารมณ์วาบหามต่อไปไม่หยุดยั้ง เมื่อครู่พยายามผลักดันพระวรกายหนาออก บัดนี้แขนทั้งสองข้างกลับตกระเรี่ยเคลียร่างแล้วยกขึ้นมาลูบไล้แผ่นหลังกว้างอย่างถ้วนทั่ว จะว่าไปทรงกลดก็เปรียบเสมือนเชื้อไฟที่กำลังจะมอดไหม้ ครั้นพอได้น้ำมันชั้นดีอย่างนลกุพรเข้ามาราดลง ไฟสิเน่หาในตัวจึงกลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

นลกุพรเจ้ากล้าจุดไฟ ...เจ้าต้องดับด้วยตัวเจ้าเอง

รัศมีสีแดงโกเมนที่กำลังสอดประสานกับรัศมีสีเหลืองนวลลุกจ้าขึ้นมาจนถึงขีดสุดเช่นกัน อารมณ์ของเทวะมักแสดงออกทางรัศมีเสมอ รอบๆกายทั้งสองที่กำลังกอดกันกลมนั้น รัศมีสีฟ้าเจือขาวสว่างตา กำลังบังคับให้รัสมีทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว อัสดงยังคงยิ้มอย่างชอบใจ และเมื่อเห็นว่าหนำใจแล้ว จึงบอกว่า “ไอ้ฉาย นายคลายมนตร์เหอะ”

และแล้วรัศมีฟ้าครามใสก็จางหาย ดวงเนตรที่กว้างค่อยๆปรือขึ้นมาสบดวงตาสีน้ำตาล เงาทับซ้อนที่เคยปรากฏเป็นวงพักตร์ของมุจลินทร์ ค่อยๆจางลงที่ละน้อย ทีละน้อย จนไม่เหลือเค้าแม้แต่นิดเดียว พระสติค่อยๆกลับคืนมาครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่ออวัยวะบางส่วนจากแกนกลางของร่างกายจากคนที่โดนกอดเริ่มดันนูนแข็งสู้กับส่วนของพระองค์เอง

“เฮ้ย!!”

ร่างของทรงกลดถูกดันออกพลัน และเจ้าอณูน้อยก็ได้สติ ขาทั้งสองข้างที่เคยโดนอำนาจลึกลับตรึงไว้ เริ่มขยับได้ และถอยออกมาเช่นกัน

“นล”

ดวงหน้าใสแดงแปร๊ด กล่าวอะไรต่อไม่ถูก นลกุพรก็ตกใจในอารมณ์ชั่ววูบที่ทำลงไป ทั้งสองต่างยืนนิ่ง จวบจนระฆังใบใหญ่ ดังกังวานขึ้นเองนั่นแหละ จึงพูดออกมาพร้อมกัน

“ขอโทษนะ”

“เราเห็นเจ้าเป็นมุจลินทร์ เราสาบานได้”

“ช่างมันเหอะนล ฉันไม่ว่าอะไรหรอกที่นายตาฝาด แต่อย่าให้มันบ่อยแล้วกัน เพราะฉันไม่สามารถรับรองได้ว่า อารมณ์เมื่อสักครู่มันจะหยุดได้เหมือนครั้งนี้หรือเปล่า”

“เจ้าโกรธเราใช่ไหม ทรงกลด”

“เปล่าเลย ...ฉันจะโกรธนายทำไม เพราะฉันเองก็เป็นคนสานต่อ แม้จะรู้ว่านายเห็นฉันเป็นมุจลินทร์” เสียงของทรงกลดทอดออกมานิ่งๆ ยากที่จะจับความรู้สึกว่า ‘น้อยใจ’  แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นสดใสดังเดิม

“ไปกันเถอะ อย่าไปพูดถึงมันเลย ป่านนี้พวกนั้นรอแย่แล้ว”

รัศมีสีเหลืองนวลกลายเป็นแสงโชตินาการทันทีที่กล่าวจบ ตามมาด้วยรัศมีสีแดงโกเมนที่พุ่งตามหลังมาติดๆ ในพระทัยของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ทรงเสียพระทัยที่ทำเกินเลย เทวบุตรอย่างองคืเองมิเคยพิสมัยในบุรุษเพศด้วยกัน แม้ที่ผ่านมาจะทรงเจอผู้ที่ทรงความงามพร้อมเกินเทวบุตรอย่างสีทันดร แต่ก็แค่เอ็นดู รักใคร่ฉันสหาย มิเคยเกิดอารมณ์วาบหวามอย่างเมื่อครู่ แต่สิ่งที่ทรงปฏิเสธไม่ได้คือจูบเมื่อสักครู่นั้น ...ร้อนแรงสะกิดพระทัยให้ซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็น

ทางด้านบริเวณถนนคนเดิน หนึ่งอณูเทวะน้อยและหนึ่งมนุษย์ ยังคงเดินทอดน่องดูนั้นดูนี่ไปเรื่อย เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ สายตาทุกคู่ จับจ้องอยู่ที่เขาทั้งสอง ตระการตาน่ามองอย่างมนุษย์ธรรมดา มองเพียงชั่วแวบก็เพียงพอ หากคันฉัตรนั้นน่ะสิ ทุกสายตายังคงจ้องและมิสามารถละไปจากเขาได้เลย แม้แต่ตระการตาเองก็เถอะ

“เขามองฉัตรกันใหญ่เลย ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย”

“ฉัตรมีอะไรแปลกไปเหรอ เขาถึงได้มอง...แต่ก็ช่าง มองได้มองไป ที่สำคัญ ตามองกับเขาด้วยหรือเปล่า”

แปลกนะที่คำถามธรรมดาๆ กลับสร้างรอยยิ้มเล็กได้ที่มุมปากของตระการตาได้อย่างไม่น่าเชื่อ “ ไม่มองแล้วจะเห็นเหรอ..ตาว่าไม่แปลกหรอก พวกเขามองเพราะเขาชมว่า ฉัตรหล่อ หล่อกว่าพวกดาราหลายๆคน”

“ขนาดนั้นเชียว..แล้วตาล่ะ ตาว่าฉัตรหล่อไหม”เจ้าพระเสาร์หยุดเว้นวรรคชั่วครู่ แล้วกลั้นใจถามต่อไปว่า “ฉัตรหล่อสู้ไอ้ฉายมันได้ไหม”

คำถามนั้นเล่นเอาคนฟังนิ่งอึ้งตอบอะไรไม่ถูก ร่างสูงโปร่งเริ่มประชิดเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นอายหอมแปลกๆ เขาคนนี้ถึงแม้จะคล้ำกว่าคืนฉายแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหล่อ น่ามอง ผมสั้นทรงสกินเฮดของเขาช่างรับกับใบหน้า ที่ได้รูป เป็นส่วนผสมที่ลงตัวยากจะหาใครเหมือน จะผิดไหมหากจะให้นิยามความน่ามองของเขาว่า............... “ดาร์ก ทอล แอนด์ แฮนด์ซั่ม”

และด้วยความสูงของเขานี่เอง ทำให้ศีรษะของตระการตา อยู่เสมอแค่ระดับอก เจ้าตัวอดคิดไปไม่ได้ว่า หากซบหัวลงไป ไออุ่นจากอกกว้างคงให้ความสุขได้ไม่มากก็น้อย และหากเขาคนนี้ก้มศีรษะลงมา ริมฝีปากของเขาคงจะจรดอยู่กึ่งกลางหน้าผากนั้นพอดี

“วัดกันไม่ได้หรอก มันหล่อคนละแบบน่ะ” ตระการตาพยายามหาทางตอบเลี่ยงไปทางอื่น แต่คันฉัตรก็ยังไม่วาย ก้มหน้าลงมาค้นหาเอาคำตอบ

“มันแบบไหนล่ะ ที่ว่าคนละแบบ ลองอธิบายมาสิ”

“ฉายเขาหล่อ น่ามอง ขี้เล่น อยู่ใกล้ทำให้หัวใจเต้นแรง แต่สำหรับฉัตรจะหล่อแบบนิ่งๆ และจะหล่อมากเวลายิ้ม อยู่ใกล้ ทำให้ใจอบอุ่นรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย” ตระการตาตอบอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงเพราะกลัวว่าคนฟังจะไม่ถูกใจ ที่ต้องมานั่งวิจารณ์ความหล่อของผู้ชายสองคน

“แล้วระหว่าง คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง กับคนที่ทำให้ใจอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัย ตาจะเลือกแบบไหน”

คันฉัตรเบี่ยงตัวขึ้นมายืนประจันหน้า ดวงตาหวานซึ้งเป็นประกายทอดมองลงมา ทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงใบหน้าของตระการตาได้อย่างเต็มที่ และเขาก็มิกล้าสู้สายตาคู่นั้น สายตาที่เหมือนมีมนต์สะกดดั่งพญาราชสีห์ ตรึงเนื้อทรายตัวน้อยๆให้แน่นิ่งอยู่กับที่  ทางที่ดีควรหรุบตาลงเสีย

ด้วยความที่คนแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น หรือเป็นเพราะความบังเอิญบวกกับโชคชะตา ร่างของตระการตาถูกชนจากด้านหลังโผเข้าสู่อ้อมอกกว้างที่เหมือนจะกางรอรับพอดี คันฉัตรคล้ายจะรับรู้ความในใจที่ตระการตาคิดไว้ จึงก้มหน้าลงมาอีก ห่างจากหน้าผากของตระการตาเพียงแค่คืบ อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียว ระยะทางเพียงแค่ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารด ระหว่างริมฝีปากกับหน้าผากก็จะบรรจบกัน

“ยังไม่ต้องตอบก็ได้ตา  บางทีอาจต้องใช้เวลาคิด”

คนตัวสูงพูดเพียงแค่นั้น ก็หันกลับไปเดินนำหน้า พร้อมเอื้อมมือมาจับมือของตระการตา ให้เดินกันต่อไป แรกสัมผัสเหมือนมีประจุไฟฟ้าพิสดารวิ่งผ่าน ทำให้สะดุ้ง หากพอชินมันก็ทำให้อุ่นใจได้อย่างคาดไม่ถึง แต่เขาคนนี้จะมาทำดีกับตนทำไม ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังจีบ ....อาจจะเป็นเพราะเขาสงสาร ที่คืนฉายไม่เคยมองมา

อย่าหลอกใจ หลอกกัน เหมือนว่ารัก
อย่าชวนชัก ซ่อนซึ้ง สิเน่หา
อย่าสร้างฝัน ให้ฉันเพ้อ ทุกเวลา
อย่ามองมา เพียงเพราะว่า สงสารกัน

ตระการตาจึงดึงมือกลับแต่ไฉนคันฉัตรกลับฉุดเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย เขาหันมาบอกบางประโยคจนตระการตาหน้าแดงระเรื่อ

“ สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในมือฉัตร ย่อมไม่มีวันหลุดมือ”

ทั้งสองยังคงเดินเล่นกันอีกสักพัก มือที่จับมือตระการตาไว้ก็ยังไม่ยอมปล่อย เดินนำดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย จนกลิ่นกำยานหอมฟุ้งจากร้านขายวัตถุโบราณตรงหัวโค้งถนนหยุดให้คนถูกจูงอยู่กับที่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ตระการตาสนใจ เพราะยืนสูดดมจนเต็มปอด แล้วก็ได้คำตอบว่า กลิ่นกำยานที่หอมแสนหอมนั้น เหมือนกับกลิ่นกายของใคร

“กลิ่นน้ำหอมของฉัตร เหมือนกลิ่นกำยาน นึกตั้งนานว่าเหมือนอะไร”

ตระการตามองเข้าไปในร้าน ก็พบว่ามีวัตถุโบราณอยู่หลากหลายชนิด แต่สิ่งที่สะดุดที่สุด คือบรรดาเทวรูปในลักษณะหรือปางต่างๆ ที่ประดิษฐาน อยู่ในตู้ไม้สักลายรดน้ำ จัดแบ่งเป็นช่องชั้น เรียกว่าพระวิมาน งดงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“สนใจเหรอตา”

“อืม..เทวรูปสวยดี”

“แล้วรู้จักเหรอ ว่าพระองค์ไหนเป็นพระองค์ไหน”

“คิดจะลองภูมิเหรอ ได้สิ” ตระการตาหันมาเอียงคอยักคิ้วให้คนถาม แล้วกล่าวต่อให้สมภูมิ “ที่เห็นอยู่องค์แรกชั้นบนสุดทางด้านซ้าย คือ พระพรหม องค์กลางคือพระอิศวร และองค์ขวาคือพระนารายณ์”

“เก่งนี่ งั้นขออีกคำถามนึงจะได้รู้ว่าเก่งจริงไหม สัญลักษณ์ ที่อยู่ตรงฝ่าพระหัตถ์ของแต่ละพระองค์ล่ะคืออะไร”

“โธ่อันนี้ใครๆก็รู้..อ่านว่า โอมไง”

คันฉัตรปรบมือให้ พร้อมถามต่ออีกข้อหนึ่งว่า “แล้วโอม มาจากอะไร”

“ไหนว่าถามอีกข้อเดียวไง ฉัตรขี้โกง ไม่ตอบแล้ว ข้อนี้ตาไม่รู้” ครานี้ตระการตาจนมุม ขมวดคิ้วเบ้หน้าใส่ คันฉัตรมองภาพนั้นก็ต้องหัวเราะระคนเอ็นดู เพราะมันช่างไร้เดียงสาเสียจริง

“บอกให้ก็ได้ โอม มาจากภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า อะ อุ มะ อ่านออกเสียงสนธิคำรวมกันจึงเรียกว่า โอม” คันฉัตรหยุดเว้นวรรคชั่วครู่เพื่อให้คนฟังตามทัน แล้วกล่าวต่อไปว่า

“ อะ นั้นเป็นตัวแทนของพระมหาศิวะหรือพระอิศวร ผู้ทรงทำลายล้างความชั่ว อุ มาจากพระมหาวิษณุหรือพระนารายณ์ที่ตาเรียก เป็นผู้ทรงรักษา ส่วน มะ หมายถึงพระมหาพรหม ผู้ทรงสร้าง ดังนั้น โอม จึงเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เพราะรวมมหาเทวะสามพระองค์เข้าด้วยกัน ซึ่งเราเรียกกันว่า ตรีมูรติ”

คันฉัตรยกมือขึ้นพนมจรดหน้าผากยามกล่าวพระนามพระมหาเทพ   ตระการตา มองด้วยสายตาทึ่ง เขาไม่คิดว่าคันฉัตรจะรู้ และไม่รู้เปล่า ยังถ่ายทอดออกมาได้น่าฟัง เข้าใจง่าย

“เห็นเทวรูปอีกสามองค์ที่อยู่อีกซีกไหม นั่นคือมหาเทวีทั้งสามพระองค์ หรือศักติ หรือที่เรารู้กันว่า มเหสี รู้ไหมพระองค์ไหนคู่พระองค์ไหน”

“รู้สิ พระศิวะคู่พระอุมา พระนารายณ์คู่พระลักษมี พระพรหมคู่พระสรัสวดี” ตระการตามั่นใจว่าคราวนี้ตอบได้ ตอบถูก แต่ก็ต้องจนมุมอีกครั้งเมื่อคนตัวสูงรูปหล่อถามต่อมา “แล้วรู้ไหมล่ะ ทั้งสามพระองค์ ทรงอำนาจเยี่ยงไร”

“ไม่รู้..”

“พระมหาอุมาเทวี ทรงศักดิ์แลอำนาจเหนือสามโลก พระมหาลักษมีเทวี ทรงสิริหรือศรีความความงามเลิศสมบูรณ์ ส่วนพระมหาสรัสวดีเทวี ทรงปัญญาและความรู้ในทุกสรรพสิ่ง และมนุษย์จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ก็ต้องประกอบด้วยสิ่งสำคัญสามสิ่งนี้ คือ ศักดิ์ ศรี และปัญญา  เราจึงน้อมเคารพมหาเทวีทั้งสามดุจดั่งพระมหาเทพ เรียกทั้งสามพระองค์ว่า ตรีศักติ”

อำนาจแลรัศมีบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากตัวคันฉัตร ตระการตาสัมผัสได้ เกิดความรู้สึกยำเกรงลึกๆ เขาคนนี้ รู้ และรู้จริงความรู้ที่เขาถ่ายทอดมีค่ายิ่ง เขาไปร่ำเรียนที่ไหนมา “ เข้าใจแล้ว ฉัตรเก่งจัง เรียนเทววิทยาหรือโบราณคดีมาเหรอ”

คันฉัตรยากจะตอบว่าเรียนมาจากไหน หากจะบอกไปตรงๆว่า ได้เข้าเฝ้าแทบทุกพระองค์เสียจนนับครั้งไม่ถ้วน คนฟังก็คงจะช็อก จึงเลี่ยงๆไปว่า

“เห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ ก็เลยรู้น่ะ”

“ยกนิ้วให้เลย” แล้วสายตาของตระการตา ก็มองเรื่องลงมาจนถึงชั้นกลางซึ่งมีเทวรูปกลุ่มหนึ่ง แปดองค์ตั้งเรียงรายอยู่ และคนช่างสงสัยก็ถามทันใด “เทวรูปพวกนี้ ทำไมไม่เคยเห็น”

“เทวดาอัฐเคราะห์ไง นี่ พระอาทิตย์ทรงราชรถเทียมม้าอุจไฉยศรพ พระจันทร์ทรงราชรถม้าขาว พระอังคารทรงกระบือ และนี่ก็พระพุธทรงพญาคชสาร ตาคงไม่ชอบท่านนักหรอก พระพุธเนี่ย”

“ทำไมถึงจะไม่ชอบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตา”

“เกี่ยวสิ เพราะพระพุธเป็นแฟนกับพระศุกร์”

“ยิ่งไม่เกี่ยวใหญ่ ฉัตรไม่เอาน่า อย่าล้อเล่น เล่าต่อสิกำลังเพลินและองค์ที่เหลือล่ะ”

“พูดจริง ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ .. ส่วนองค์อื่นก็ไล่ไปตามวันแหละ จนถึงองค์สุดท้ายพระราหูปางนี้ทรงครุฑ ทั้งแปดพระองค์คอยปกปักรักษามวลมนุษย์ให้พ้นภัย”

“รู้อีกแล้ว รู้ได้ไง”

“แล้วทำไม ไม่รู้ล่ะ” คันฉัตรถามกลับ แกมหยอกและถามทิ้งท้ายด้วยหัวใจตุ้มๆต่อมๆว่า “ถ้าต้องเลือกหนึ่งในแปดองค์ ตาจะเลือกองค์ไหน”

“ทำไมต้องเลือก”

“เหอะน่า ให้เลือกก็เลือกเหอะ ถูกใจองค์ไหนเร็ว”

“งั้น..” ตระการตาลังเลมองเข้าไปจนชิด แล้วก็ชี้ไปที่เทวรูปองค์หนึ่งซึ่งทรงโคอสุภราช ที่คนปั้นบรรจงสรรค์ขึ้นมาอย่างงดงาม ทันทีที่นิ้วชี้ไป คันฉัตรมีอันต้องหน้าเสีย หันหลังกลับตั้งใจเดินออกจากร้าน เพราะที่ตระการตาชี้ไปคือ........ “พระศุกร์”

“ถูกใจองค์นี้ตอนแรก แต่ถ้าจะให้เลือกจริงๆ ตาเลือกองค์นี้ดีกว่า” คันฉัตรหยุดชะงัก หันกลับมาดูแล้วหัวใจก็ต้องพองโตคับฟ้า เพราะเทวรูปที่ตระการตาเลือกนั้นคือ เทวบุตรรูปงามประทับเหนือพยัคฆราช พระหัตถ์ทรงศร

“องค์นี้ พระเสาร์ใช่ไหม”

“ ใช่แล้วตา พระเสาร์ ตาเลือกพระเสาร์” คันฉัตรยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาด บีบมือตระการตาแน่น

“อืม ในความรู้สึกบอกว่า หากเลือกท่าน ท่านจะปกป้องได้ ... เอ ตาว่า ทำไมใบหน้าท่านดูคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ” ตระการตาคิดอยู่ชั่วครู่ ประกอบกับใบหน้าคมเข้มจนบาดใจ จ้องมองอยู่แถวๆนั้น ทำให้มองกลับไปกลับมา ระหว่างหน้าเขากับเทวรูป แล้วก็ต้องอุทานออกมาได้โดยพลัน

“นึกออกแล้วเหมือนฉัตรเลย เป็นไปได้ไง”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็ฉัตรไปเป็นแบบมาน่ะสิ กลับบ้านพักกันเหอะ ฉัตรอยากกินเหล้าเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆแล้ว”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:45:14
ทางด้านน้ำเชี่ยว ธรรม์ และราหู เมื่อซื้อของเสร็จแล้ว ต่างก็มุ่งหน้าเดินกลับบ้านพัก ด้วยความที่ถือของกันพะรุงพะรังเต็มมือ แถมคนก็ยังเยอะและเจ้าน้ำเชี่ยวก็ดันเปรี้ยวปาก เลยแวะซื้อเบียร์สดรินใส่แก้วดื่มแก้หนาว แล้วเจ้าราหูที่เดินอยู่ข้างหลังก็ไม่ทันระวัง สะดุดขาตัวเองไปกระแทกหลังเจ้าน้ำเชี่ยว ทำให้อณูน้อยแห่งพระอังคารถลาไปชนคนที่เดินสวนมา เบียร์สดที่เต็มแก้ว จิบไปได้นิดเดียว กระฉอกเลอะหน้าคนคนนั้นทั่ว แถมแรงมหาศาลจากฝ่าเท้าของน้ำเชี่ยวยังเหยียบเข้าไปจนเต็มตีน ร่างของน้ำเชี่ยวก็ถูกผลักออกทันใด เจ้าคนนั้นรีบเช็ดหน้าเช็ดตา ตะโกนลั่น

“เฮ้ยยย อะไรกันนี่”

“เฮ้ย..ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ พอดี ไอ้คนข้างหลังมาชนน่ะ” น้ำเชี่ยว กล่าวขอโทษ เพราะเขาเป็นฝ่ายผิด อีกอย่างก็ไม่อยากมีเรื่องกับพวกมนุษย์ เดี๋ยวใครรู้จะหาว่ารังแกมนุษย์เสียเปล่า 

“พวกเรายินดี จ่ายค่าเสียหายให้ถ้าคุณต้องการ แต่พวกเราไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ” ธรรม์กล่าวเสริม แต่ไอ้เจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น ดันมิยอมหายโกรธกลับตะเบ็งขึ้นด้วยโทสะยิ่งกว่าเดิม ผลักอกธรรม์ ออก

“ ไม่เอา....เพื่อนเจ้าต้องกราบเท้าเรา ที่บังอาจลบหลู่”

“มึงเป็นใครมาจากไหนวะ พวกกูบอกแล้วไง ว่าไม่ได้ตั้งใจ มึงจะเอาเหี้ยอะไรอีก ไสหัวไปซะ กูไม่อยากรังแกพวกมึง” ราหูทนไม่ไหวที่ให้ไอ้คนบ้านนอกที่เป็นใครจากไหนไม่รู้มาพูดจาสามหาวใส่พวกตน จึงเดินออกหน้าตะโกนลั่นออกไปบ้าง เสียงโวยวายนี้เองเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามอง เสียงเพลงและวงดนตรีต่างๆ ต่างหยุดบรรเลงคอยดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ นักท่องเที่ยวแตกฮือออกเป็นวงกว้าง........“สงสัยจะได้ดูมวยวัด”

“พูดอย่างงี้เหรอ”

แล้วกำปั้นหนัก ก็พุ่งเข้ามาสู่ใบหน้าของราหู เจ้าอณูน้อยก็หลบไปด้วยความไว ปล่อยหมัดสวนออกไป เจ้านักเลงบ้านนอกไม่ทันระวังจึงถูกต่อยคืนที่ท้อง เสียงพลั่กดังสนั่น ใครที่ได้ยิน ได้เห็น ก็ต้องคิดว่าไอ้นี่ไส้แตกตายแน่แล้ว เพราะหมัดที่ปล่อยไปทั้งหนักและทั้งกระทบท้องรุนแรง แต่ ...ไอ้เจ้าคนนั้นกลับแค่เซถลาเข้าไปในฝูงชนที่ยืนมุงดู แล้วกระเด้งตัวกลับขึ้นมา อย่างว่องไว รอยฟกช้ำไม่มี มีเพียงเลือดกระอักติดมุมปากเล็กน้อย

เมื่อทรงตัวได้ มันผิวปาก เป็นทำนองสูงต่ำแปลกๆ คล้ายเสียงกราดเกรี้ยวของนกใหญ่ พอสิ้นเสียง ก็มีชายฉกรรณ์ โผล่ออกมาจากฝูงชนห้าคน พวกนั้นหยุดยืนล้อมคนที่เรียกมันเอาไว้ เสมือนบ่าวคอยรอคำสั่งจากนาย

“พวกเจ้าจะมากราบเท้า ขอโทษเราไหม เราจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ”

“มึงนั่นแหละ ควรเข้ามากราบตีนกู มึงไม่รู้หรอก ว่ามึงบังอาจเพียงไหน” น้ำเชี่ยว เดินมายืนอยู่กลางวงพร้อมกับราหู ทั้งสองต่างเริ่มรับรู้ว่า ไอ้คนข้างหน้านี้มันคงไม่ธรรมดาแน่ คงมีดีอะไรสักอย่างเพราะโดนหมัดของราหูแล้วไม่เป็นไร  แม้ธรรม์มิต้องเตือน

น้ำเชี่ยวยังไม่ทันจะพูดจบด้วยซ้ำไอ้พวกนั้นก็กรูกันเข้ามา คนที่ยืนรายล้อมดูแตกออกเป็นวงกว้างขึ้นไปอีก เพราะกลัวโดนลูกหลง แต่ด้วยความเร็วปานพายุของน้ำเชี่ยวและราหู คนที่มองจึงจับภาพพวกเขาไม่ทัน สายตาของมนุษย์มิสามารถมองได้ แต่ไม่ใช่กับพวกศัตรูบ้านนอกประหลาดพวกนี้

“มันไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว ไอ้ราหู ใช้เทวฤทธิ์เหอะ ไม่ต้องยั้งมือแม่งแล้ว”

“อย่าเพิ่ง ล่อมันไว้ ให้มันแสดงตัวออกมาก่อน”

ธรรม์ที่เพิ่งกระโจนเข้ามาช่วย ส่งกระแสจิตบอกทั้งสอง ไอ้เจ้าหัวหน้าที่โดนเบียร์สาด นั้นก็ใช่ย่อย รวดเร็วปานประหนึ่งพายุเช่นกัน ความชุลมุนจึงบังเกิดยกใหญ่ กลายเป็นม่านควันหนาทึบยิ่งกว่าไอหมอก และภายในใจกลางวงก็บังเกิดเสียงดังสนั่น บุรุษฉกรรณ์ลูกน้องไอ้นักเลงบ้านนอก ถูกเหวี่ยงออกมาคนเล่าคนเล่าสลบเหมือดคาพื้นถนน จากหกต่อสาม บัดนี้เหลือเพียงแค่หนึ่งต่อสาม

“เกิดอะไรขึ้น”

คันฉัตรที่พาตระการตาเดินมาถึงจุดชุลมุน กล่าวขึ้นเพราะเห็นกลุ่มควันหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นทาง คนหลายๆคนซบลงกับพื้นถนน เขาจึงรีบใช้กระแสจิตจับดู และก็รู้ได้โดยทันทีว่า ตรงใจกลางกลุ่มควันนั้นเกิดอะไรขึ้น

“ไอ้น้ำเชี่ยว ไอ้ธรรม์ ไอ้ราหู มึงหยุดก่อน มนุษย์กำลังเดือดร้อน หยุดสู้กับศัตรูแล้วกั้นเขตอาคมซะก่อนสิวะ”

“หยุดไม่ทันแล้วไอ้ฉัตร ตอนแรกกูนึกว่ามันเป็นมนุษย์ธรรมดา เลยไม่ได้กั้น แต่นี่มันไม่ใช่ กำลังล่อให้มันสำแดงตัวอยู่ เข้ามาช่วยพวกกูก่อนเดี๋ยวเล่ารายละเอียดให้ฟัง” ราหูกล่าวตอบ คันฉัตรถึงกับส่ายหน้า เพราะมนุษย์ที่อยู่รายรอบ เริ่มสำลักม่านควันหนาหนักนั้น คันฉัตรพยายามจูงมือตระการตาเลี่ยงเข้ามาในบาร์เหล้าข้างทาง แล้วสั่งว่า

“ตานั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ อย่าไปไหน และปิดตาไว้ อย่าให้ควันเข้าตา”

“ฉัตรจะไปไหน”

คันฉัตรไม่กล่าวตอบสิ่งใดทั้งสิ้น ภารกิจสำคัญตอนนี้คือหยุดการโรมรันให้ได้ มิฉะนั้นมนุษย์รอบด้านจะแย่กว่าเดิม ครั้นจะกระโจนเข้าไปกลางวงเดี๋ยวจะเผลอไปร่วมศึกด้วย แล้วฉับพลัน ในความเลือนรางแห่งไอหมอกและม่านควันนั้นเอง เขาก็เห็นแซ็กโซโฟนวางอยู่ จึงนึกได้ว่า นี่ไง สิ่งที่จะใช้หยุดพวกนี้ได้ชะงัด 

ทันใดนั้น ฝ่ามือแข็งแรง ก็หงายขึ้นกลายเป็นแซ็กโซโฟนคู่ใจเมื่อครั้งใช้ปราบนางผีเสื้อสมุทร แล้วเสียงดนตรีจากเครื่องเป่าทองเหลืองก็ดังกังวานขึ้น เพียงสามถึงสี่ห้องแรกเท่านั้น ผู้คนบริเวณถนนคนเดินและเหล่าไทยมุง กระเหรี่ยงมุงทั้งหลาย ก็ค่อยๆหายสำลักควัน  แล้วม่านตาก็เริ่มหนาหนักตาปรือลงทีละน้อยทีละน้อย จนปิดสนิทแน่น ถนนคนเดินและทั้งตัวเมืองเล็กๆ เริ่มหยุดชะงักอยู่กับที่ ส่วนน้ำเชี่ยว ธรรม์ ราหูและไอ้นักเลงบ้านนอกที่อยู่ใจกลางวง กำลังแลกหมัดกันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงดนตรี หมัดแต่ละหมัดและเท้าแต่ละข้าง ก็ช้าลง ช้าลง อารมณ์โมโหค่อยๆมลายหาย อณูน้อยแห่งพระเสาร์ ใช้แซ็กแทนปี่ กลายเป็นพระอภัยเป่าแซ็กอีกคำรบ

ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช      จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน      ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา

ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ      อันลัทธิดนตรีนี้หนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์      จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง *

แล้วความรุนแรงทั้งมวลก็ยุติลง หมอกควันจางหาย เหลือแต่ร่างหลายๆร่างหลับสนิทแน่นิ่ง อณูน้อยทั้งสามสงบลงได้อย่างรวดเร็ว เหิรลอยมาอยู่ด้านหลังคันฉัตร ส่วนไอ้นักเลงบ้านนอกปริศนา กำลังพยายามเอามือปิดหูแต่ดูเหมือนว่า เสียงแซ็กโซโฟนที่ใช้ต่างแทนเสียงปี่ก็ยังสอดแทรกเข้ามาได้ ครั้นหันไปดูลูกน้องก็แน่นิ่งกันหมด  ก่อนจะมีอันสลบเป็นไป เจ้าอันธพาล ก็กระทืบเท้า สลัดหัวโดยแรงวาดแขนขึ้นด้วยความเร็วเสมอระดับหัวไหล่ พลันอัศจรรย์ก็บังเกิด เสียงร้องดังกังวานก้อง ถูกเปล่งออกมาพร้อมกับปีกสีเศวต กระพืออยู่ด้านหลัง กางเต็มที่ โผนทะยานขึ้นสู่เวหาที่มืดมน แล้วเริ่มฉายรัศมีดุจดาวฤกษ์ สายลมรุนแรงภายใต้การโบกสะบัดปีกแต่ละครั้งทำให้เทวะน้อยทั้งสี่ต้องใช้พลังสกัดกั้น เสียงแซ็กโซโฟนจำต้องหยุดลง ยาม ‘ครุฑสีหนาท’ สำแดงเดช

จากเด็กหนุ่มนักเลงบ้านนอกที่ถูกเบียร์สาดหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ คืนร่างสู่สภาวะเทวปักษี เจ้าแห่งเวหา พักตรางามหากทว่ากราดเกรี้ยว ริมโอษฐ์หยักคล้ายเป็นจะงอย วรกายกำยำ ห่มเพียงภูษาหยักรั้งจีบหน้า เพียงท่อนล่าง ท่อนบนเปล่าเปลือย ศิราภรณ์ที่คาดเศียรบ่งบอกถึงศักติ และเดชะดั่งเทวะ

“พญาครุฑ พวกเทวปักษี”

แล้วปีกสีเศวตก็เหยียดยาวขีดสุด ละอองทองจากการกระพือทำให้สมุนที่สลบไหลพื้นคืนสติ กลายร่างโผนทะยานบินอยู่หลังนาย ตบะและเดชะของพวกมันมิเทียมเท่า แรงลมจากปีกของพวกมัน มิครณามือเทพน้อยทั้งสี่หรอก ยกเว้นนายมัน ที่ปีกเริ่มลู่แนบพระวรกาย พุ่งลงมาทันที และทันใดนั้น ก็บังเกิดรัศมีสีเขียวเจือทองแรงกล้า พุ่งออกมาจากอีกฟากฟ้า การปะทะกันดังสนั่นลั่นยิ่งกว่าเสียงใดๆ ครั้นพอรัศมีสลาย ก็กลายเป็นพระวรกายงามดั่งรูปสลัก เทวนาคาที่พระอารมณ์กราดเกรี้ยวพอกัน เสด็จมาขวางการโจมตีนั้นไว้

“วายุภัค ไม่เจอกันหลายปี เจ้าก็ยังเป็นอันธพาลเหมือนเดิม”

“เหอะ นึกว่าใคร ที่แท้เจ้านั่นเอง ทยุติธร เจ้ามันก็ยังชอบแส่เรื่องชาวบ้านเหมือนเดิม”

ที่ว่าแส่เรื่องชาวบ้านดังที่วายุภัคว่า คือการที่ทยุติธรเคยทรงแส่ครั้งเยาว์ชันษา ยามที่ตนทรงรังแกนางกินรีเป็นเหตุให้ปะทะกัน ครั้งนั้นยุติด้วยมหาอุมาเทวีเสด็จมาทรงห้ามและทรงเข้าข้างทยุติธรทุกกรณี

เบื้องหลังทยุติธรในขณะนี้ มีอีกสองรัศมีที่เพิ่งมาถึง หนึ่งในนั้นคือสีทันดรประทับยังเบื้องขวา ส่วนอีกหนึ่งคือมุจลินทร์กัญญาประทับยืนยังเบื้องซ้าย ส่วนเจ้ารักกับเจ้ายมที่กลับมาด้วย ปรากฏกายขึ้นข้างๆคันฉัตรที่ยืนตะลึงอยู่

“พี่ฉัตร รัก ยม มาแล้วครับ”

“มาก็ดีแล้วไอ้รัก ไอ้ยม จงเข้าไปยังร้านเหล้าตรงนู้น แล้วพาตระการตา หลบไปให้พ้นจากบริเวณนี้ก่อนเร็ว”

“ตระการตา” เจ้ารักทวนคำ ใช้ความคิดพยายามนึกว่าตระการตาคือใคร เจ้ายมที่ความจำดีกว่า ก็บอกมาให้อย่างยิ้มๆ “เด็กพี่ฉัตรเขาไง ไปเหอะรัก ยมจำได้”

เจ้ารักเจ้ายมไม่รอช้า หายวับไปทำตามคำสั่งของคันฉัตรทันที ส่วนคันฉัตรก็ไม่พูดอะไรมากหันไปบอกน้ำเชี่ยวเพียงว่า “นี่ไง พี่ชายน้องดื้อ”

แล้วทั้งหมดก็เหิรทะยานไปยืนอยู่กับเจ้านาคน้อย ทักขึ้นมาอย่างดีใจ  “น้องดื้อ นึกว่าจะไปนานกลับมาเร็วเหมือนกันนี่”

“รีบไปรีบกลับน่ะพี่ฉัตร ..แล้วอัสสะล่ะไปไหน”

“แหม มาถึงก็ถามหาพี่อัสสะเชียว ทำไมไม่ถามว่าพี่น้ำเชี่ยว นอนหลับสบายดีไหมบ้างล่ะ” น้ำเชี่ยวกล่าวแซวขึ้น ซ้ำยังหลอกเจ้านาคน้อยว่า “ป่านนี้ ไปจีบสาวที่ไหนอยู่ก็ไม่รู้”

“จริงเหรอ” พระสุรเสียงใสขึ้นสูงโดยพลัน

“ไอ้น้ำเชี่ยว ไอ้ห่า กำลังน่าสิ่วน่าขวาน เล่นไม่รู้เรื่อง” คันฉัตรหันมาปรามเจ้าพระอังคาร แล้วหันมาแก้แทนให้ว่า “ อัสดงไปกับนลและก็ทรงกลด พี่กำลังจะเรียกมานี่ เผื่อจะได้ช่วยจัดการกับพวกครุฑ”

“ไม่ต้องเรียกมาหรอก นกขี้เรื้อนพวกนี้เราสามคนเอาอยู่ ปล่อยให้เป็นเรื่องเทวนาคาเถอะ ..เห็นรักกับยมบอกว่าคืนนี้พวกพี่จะดื่มสุรากันนี่ เราจะได้ถือโอกาสนี้ หากับแกล้มเป็นเนื้อนกให้พวกพี่ด้วย”

คันฉัตรได้แต่ยืนนิ่ง มองตากับพวกน้ำเชี่ยวปริบๆ หวังว่า สีทันดรคงไม่ฆ่าครุฑพวกนี้แล้วเอาเนื้อมาให้กินหรอกนะ แต่ก็ไม่แน่เพราะแส้เพลิงในพระหัตถ์เริ่มกระชับมั่น ทีท่าซุกซนเริ่มจางหาย เจ้านาคน้อยเปลี่ยนพระลักษณะขึ้นมาจริงจัง พระเนตรฟ้าครามเริ่มเจือด้วยสีทอง ศักติแห่งเทวนาคากำจาย ทำให้อณูน้อยทั้งสี่ขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“น้องดื้อคงเอาจริง เทวนาคามักงามที่สุดและก็ร้าย น่าหวาดหวั่นที่สุดเช่นกัน”

สีทันดรนั้นคงเอาตัวรอดได้แน่เพราะเคยเห็นฝีมือกันมาแล้ว ส่วนมุจลินทร์ที่งามพร้อมล่ะ อ้อนแอ้นอรชร จะทานอำนาจครุฑไหวเหรอ ดีไม่ดี ถูกครุฑจับกินเสียเปล่าๆ และเหมือนมุจลินทร์จะทรงรู้ความคิดของคันฉัตร จึงตรัสว่า

“อณูแห่งศนิเทพ ท่านไม่ต้องกังวลกับเราหรอก แม้เราจะเป็นเพียงอิสตรี เราก็ไม่หวั่นพรั่นพรึงนกขี้เรื้อนพวกนี้ พวกมันจับเทวนาคาเป็นภักษาหารไม่ได้ พวกท่านหลบไปก่อน ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเรารับช่วงต่อดีกว่า ครุฑต้องเจอกับนาคเท่านั้น”

“แต่พวกเรากำลังมีเรื่องกับพวกมันอยู่นะ ไม่ได้มีเรื่องกับพวกเจ้า ให้พวกเราจัดการเองเถอะ” น้ำเชี่ยวกล่าวแทรกบทสนทนาขึ้นหมายใจจะจัดการให้จบ

“ ถึงไม่มีเรื่อง ...พวกเราก็กำลังหาเรื่องไง นานๆจะเจอตัวเด็ดๆ ลงมาจากฟากฟ้าเสียที”

“เจ้าอย่ากำแหงหาญอวดดีไปนัก” วายุภัคแม้จะทรงลอยอยู่ไกลออกไปก็ยังทรงได้ยิน เปล่งสุรเสียงก้องกังวานปราม สีทันดรและมุจลินทร์ แม้จะไม่พอพระทัยเท่าไรนัก หากพอได้ทอดพระเนตรชัดๆ ก็ยังทรงอดชื่นชมในความงามพร้อมของทั้งสองไม่ได้  แล้วจึงทอดสุรเสียงอ่อนลงกว่าเดิมว่า 

“นึกว่าใคร เจ้าเองฤา สีทันดร ไม่เจอกันตั้งนาน งามกว่าเทพธิดา พี่ว่าเจ้า ไม่ควรเกิดเป็นเทวนาคาเลย ควรจะเกิดเป็นเทวนาคีดีกว่า”

“เรื่องของหม่อมฉัน ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฝ่าบาท และถ้าเป็นไปได้อย่าแทนองค์เองว่าพี่ เพราะหม่อมฉันไม่เคยนับญาติกับพวกนกสกปรก”

“ระวังคำพูดหน่อยสีทันดร เราเองก็ไม่อยากจะนับญาติกับเจ้านักหรอก แต่สมเด็จทวดวินตา กับสมเด็จทวดกัทรุทรงเป็นพี่น้องกัน เราจึงจำต้องเกี่ยวดองกันอย่างเลี่ยงไม่ได้” วายุภัคขึ้นเสียงกร้าวแล้วหันมาทางทยุติธรที่ประทับลอยประจันหน้าอยู่

“หัดสั่งสอนน้องชายเสียบ้างนะทยุติธร ถ้าสอนไม่เป็น ส่งมาให้เราที่ฉิมพลี เราจะจัดการสอนให้เช้ายันเย็นเลย เจ้าว่าพวกเราสกปรก พวกเจ้าเองนั่นแหละสกปรก เล่นขี้โกง กะอีแค่ทายสีม้าก็ทายไม่ถูก ทั้งสวรรค์ ใครๆ ก็รู้ถึงความชั่วร้ายของพวกเจ้า สมแล้วที่โดนไล่ลงไปอยู่บาดาล”

กรณีทายสีม้าครั้งเก่าก่อนถูกยกมาอีกครั้ง ครั้งนั้นนาคาเป็นฝ่ายผิด ทุกพระองค์รู้ดี แต่ใครเล่าที่เล่นไม่ซื่อก่อน ความจริงนี้สมควรถูกตีแผ่ให้สวรรค์ได้รับรู้

“ใครกันแน่ที่ชั่วร้ายก่อน ใครกันที่ไปทูลขอให้โอรสของตน มีพละอำนาจและเดชะเหนือกว่าโอรสของพระพันปีกัทรุ ถ้าไม่ใช่ สมเด็จพระพันปีวินตา ทวดของฝ่าบาท” มุจลินทร์ตรัสขึ้น ชี้พระดัชนีเรียวงามไปยังเทวปักษีหนุ่ม ข้อพิพาทระหว่างเทวปักษีและเทวนาคาถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

เริ่มต้นด้วย จากความเป็นพี่น้อง พระนางกัทรุและพระนางวินตา ธิดาแรกรุ่นในพระทักษะ ถูกส่งไปถวายเป็นพระชายารุ่นเล็กของพระกัศยปเทพบิดร ด้วยจริยวัตรอันงดงาม พระกัศยปเทพบิดร ทรงโปรดพระนางเธอทั้งสองยิ่งนัก จึงประทานพรให้คนละข้อ ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็ทูลขอพระโอรสอย่างไม่ต้องสงสัย โดยพระนางกัทรุทูลขอให้มีพระโอรสสองพระองค์ มีมหิทธานุภาพเกรียงไกร ได้ปกครองหนึ่งในสามโลก พระกัศยปทรงประทานพรนั้นให้ ส่วนพระนางวินตาเห็นไม่เข้าที บังเกิดจิตริษยาเพียงชั่วแวบ จึงทูลขอให้พระโอรสของตนมีเดชะและเทวฤทธิ์เหนือโอรสของพระนางกัทรุ พระกัศยปเทพบิดรทรงเห็นในจิตริษยานั้น ก็บังเกิดความผิดหวังแต่ในเมื่อทรงตกปากรับคำไปแล้วจึงต้องประทานพร แต่ก็สาปส่งท้ายไปว่า

“ในเมื่อเจ้ามีจิตคิดไม่ซื่อ เราขอสาปให้เจ้า ตกเป็นทาสของกัทรุเจ็ดวัน จนกว่า โอรสเจ้าจะมาไถ่ตัวเจ้าคืน”

นี่แหละ คือความจริงที่ฝ่ายไหนทรงร้ายก่อน !!

“บังอาจนัก นางเทวนาคีตนนี้ อย่าคิดว่าเจ้าเป็นสตรี แล้วเราจะละเว้นเจ้า จงกราบขอโทษเรา และสมเด็จทวดเราบัดเดี๋ยวนี้”

“หม่อมฉันกราบไม่ลง โดยเฉพาะ ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากนางมนุษย์มากสามีนาม...กากี”

“เจ้ากล้าด่าแม่เรา”

วายุภัคทรงโกรธจนพระวรกายสั่น พระพักตร์แดงซ่านเสมือนโดนตบด้วยหัตถ์อย่างแรง  ปมด้อยที่พระองค์มีเชื้อสายนางมนุษย์ ถูกหยิบยกขึ้นมาตีแผ่ พระโทสะระงับไม่อยู่ เรื่องนี้ถูกปิดไว้เป็นความลับเนิ่นนาน เป็นเรื่องที่รู้กันเฉพาะในหมู่เทพชั้นผู้ใหญ่ เหตุไฉนนางล่วงรู้ ความลับที่พระบิดาสดายุ ทรงลอบไปพานางมนุษย์กากีขึ้นมายังฉิมพลี การกระทำครั้งนั้น พญาเวนไตยเจ้าแห่งเทวปักษีกริ้วหนักเพราะมหาศิวะเรียกเฝ้า พญาเวนไตยทรงออกรับแทนโอรสทั้งหมดเพื่อ ไม่ให้โดนลงอาญา จนใครๆหลายคนคิดว่าผู้ที่ลักพานางกากีคือพญาเวนไตย และก็มีเหตุให้กริ้วจนฉิมพลีสะเทือนอีกคำรบคือนางกากีแอบคบชู้กับคนธรรพ์นาฏกุเวร จึงเนรเทศนางไปเสีย ทิ้งไว้แต่เทวปักษีพระองค์น้อย คือวายุภัค

ปีกสีเศวตทั้งสองกระพือสุดแรงเกิด ปีกที่กล่าวกันว่า กวักบินได้ทีละหลายร้อยโยชน์ กระพือสุดแรง สำแดงเดชแรงลมมหาศาล กลายเป็นรัศมีสีแดงพุ่งตรงมายังมุจลินทร์ ทยุติธรมิรอช้า ยื่นพระกรเข้าไปสกัด สะบัดปลายพระหัตถ์บังเกิดเป็นม่านน้ำกระจายวงกว้าง เข้าขวางแรงวายุ และถูกซัดกลับทันใดด้วยความรวดเร็ว วายุภัคหรุบปีกบังพระวรกาย ไว้ทันแต่บริวารทั้งหลาย ถูกซัดกลับกระเด็นร้องโอดครวญลั่น

“นางเทวนาคี เจ้าเป็นใคร เจ้ากล้าลบหลู่เรา ทวดเรา แม่เรา”

“หม่อมฉันมุจลินทร์กัญญา ราชธิดาในพระสมุทรรักษ์ เกิดแด่พระสนมเอกสายสกุลวิรูปักข์ เป็นหลานตาท้าววิรูปักข์ ท้าวจตุโลกบาลทิศตะวันตก ผู้ที่จะขึ้นเป็นเอกอัครชายาในทูลกระหม่อมทยุติธร และก้าวสู่ตำแหน่งพระสมุทรเทวีในอนาคตเพคะ”

สุรเสียงใสดุจระฆังแก้ว กังวานเสนาะและแฝงไปด้วยความหาญกล้าเกินอิสตรี ทยุติธรทรงยิ้มริมโอษฐ์ทันทีที่ได้สดับ ความพอพระทัยฉายวาบออกทางสายพระเนตร และพระเนตรก็ได้ประสานกันชั่วแวบ เพียงแค่นั้นทยุติธรก็ทรงบังเกิดความสุขพระทัยอย่างบอกไม่ถูก

“ เราเลือกไม่ผิดคนแล้ว มันต้องอย่างนี้สิ ว่าที่ชายาเรา”

“อ๋อ นึกว่าใคร เจ้าตาถึงมาก ทยุติธร ว่าที่ชายาของเจ้า ทั้งงามทั้งกล้า แต่น่าเสียดาย ที่เราพอทราบมาว่า นางเคยเป็นคนรักของนลกุพร เราคาดว่า นลกุพรคงไม่ปล่อยนางให้ผุดผ่องเท่าไรนักหรอก”

“บังอาจนัก วายุภัค อย่าคิดว่าอิสตรีคนอื่นจะเหมือนกับแม่เจ้าเสียหมด”

เท่านั้น แหละ วายุภัคหรุบปีกแล้วสะบัดออกสำแดงครุฑสีหนาท บังเกิดเป็นวายุโหมกระหน่ำ ที่ภายในเต็มไปด้วยดาบนับร้อยนับพันเล่ม พุ่งเข้ามาหมายปลิดพระชนม์ชีพ ม่านน้ำใสที่ทยุติธรใช้กางกั้น เริ่มกระจายออกกลายเป็นห่าธนูจำนวนมหาศาล พุ่งเข้าปะทะ ดาบและธนูดรมรันอยู่กลางฟ้า ก่อบังเกิดเสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว น่าพรั่นพรึง ด้วยศักติและเดชะที่เท่าเทียมกัน ต่างฝ่ายต่างมิหักกันลงได้ แม้นาคมักจะแพ้ แต่ทยุติธรเป็นจอมนาค เป็นเทวนาคาเป็นหลานปู่ของพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีย่อมมีเดชะดั่งจอมนาคาทั้งสอง วายุภัคก็เช่นกันทรงเป็นหลานปู่ของพญาเวนไตย มีฤาเดชะจะมิเทียมเทียบจอมเทวปักษีแลฤาจะเพลี่ยงพล้ำแก่ทยุติธร

จากการที่ทั้งสองพระองค์ใช้เทวฤทธิ์เข้าปะทะกัน เมื่อเห็นว่ายังทรงทำอะไรกันไม่ได้ วายุภัคจึงเรียกดาบเข้ามาอยู่ในพระหัตถ์กระชับมั่นพุ่งเข้าหา ทยุติธรดึงสายน้ำเข้ามาเช่นกันกลายเป็นดาบสีสุกใสควงเป็นจักรผันเข้าฟาดฟัน ทั้งสองผลัดกันรุกและตั้งรับด้วยความว่องไว เทวะน้อยทั้งสี่ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง ยามได้ดู “ยอดนักรบ” โรมรัน องค์หนึ่งคือขุนพลสวรรค์ อีกองค์หนึ่งคือขุนพลแห่งบาดาล

ครุฑบริวารเห็นเจ้านายเข้ารบ จึงพุ่งตรงเข้ามาบ้าง เบนหน้ามาทางมุจลินทร์สองตน  ไอ้พวกนกหัวขี่เลื่อยพวกนี้ มันเห็นเพียงแต่ว่าเป็นอิสตรี คงไม่มีพิษสง จึงกางเล็บออกหมายขย้ำ แต่มันกำลังคิดผิดเสียแล้ว

มุจลินทร์ประทับยืนรออย่างสงบ พระเนตรส่องประกายวาบ ครั้นพอครุฑสองตนเข้ามาในระยะอันใกล้ ไม่เกินสองช่วงแขน จึงทรงสะบัดปลายพระเกศา ก่อเกิดรัศมีสีเขียวเจิดจ้า  เบื้องพระปฤษฎางค์ กลายเป็นอสรพิษนับร้อยนับพัน แผ่แม่เบี้ยอ้าปากจนเห็นคมเขี้ยวขาวพุ่งเข้าสวนทันที บริวารของวายุภัคจะหลบเลี่ยงก็ไม่ทันเสียแล้ว ถึงจะมีปีกบินก็ถูกพระนางตบด้วยเทวฤทธิ์จนตกลงมา เสมือนถูกหางนาคาฟาด ร่างของมันถูกคมเขี้ยวฝังลงไปแนบแน่น เสียงร้องโอดครวญโหยหวนดังลั่น แล้วอสรพิษนับร้อยนับพันก็กลายเป็นนาคาตัวใหญ่ รัดรอบกายมันไว้ ขดหางม้วนทั่วเป็นวงกลม ปีกกว้างสีน้ำตาลโทรมไปด้วยเลือดมิสามรถกระพือได้อีกต่อไป วงรัด ยังคงรัดแน่นขึ้นและซ้อนหนาขึ้นเรื่อยๆ  ทั่วทั้งตัว บัดนี้เหลือเพียงหัวกับปลายเท้า ที่โผล่พ้นออกมา เสียงกร๊อบดังสนั่น เสียงร้อง อ๊าก สุดท้ายออกจากปากดังลั่น ได้ยินแทบทุกคน เป็นสัญลักษณ์ว่ากระดูกทุกชิ้นมันทั้งสองตนถูกป่นเป็นภัสมธุลี

ครุฑที่มักทระนงตนว่าอย่างไรก็ชนะนาคอยู่วันยังค่ำสิ้นชื่อมานับพันนับหมื่น หากปล่อยให้นาครัดตัว และครุฑก็มักประมาทอยู่เสมอ และมักจะเลินเล่อเมื่อเห็นว่าเป็น นาคี!!

บริวารอีกสามตนที่เหลือ เห็นสหายถูกกำจัดลงในพริบตา จึงพุ่งเข้ามา หมายชำระแค้น สีทันดรจึงสะบัดแส้ในพระหัตถ์ ตวัดฟาดเข้าไป ปลายแส้จากแรกเริ่ม ก็เป็นแค่ประกายไฟ หากยามพุ่งออกไป กลับกลายเป็นนาคเพลิงที่อ้าปากแสยะคมเขี้ยวขาว พวกครุฑบินแตกออกเป็นช่องหลบหลีกพัลวัน เจ้านาคน้อยเหิรทะยานขึ้นไปกลางเวหา เข้าสกัดด้วยปลายแส้ที่พุ่งฉกด้วยความเร็วสูง ครุฑทั้งสามตัดสินใจบินรวมกลุ่มแล้วดาหน้าเข้มา พร้อมๆกัน

สีทันดรมิทรงยี่หระอะไร ตวัดข้อพระกรสวนเข้าโจมตี แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์สามต่อหนึ่ง ก็มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำ หนำซ้ำยังทรงได้เปรียบ  ทรงสบโอกาสหลายครั้งที่จะสังหาร แต่ยังมิทรงทำ ใช้แส้เพลิงนาคบาศสร้างความเจ็บปวดให้พวกมันไปเรื่อยๆ  ทรมานมันเล่นๆ ทยุติธรที่ยังรบติดพันกับวายุภัคเหลือบพระเนตรมาเห็น จึงทรงส่งกระแสจิตบอกพระอนุชาจอมซนว่า

“ อย่ามัวแต่เล่น สังหารมันเสียให้สิ้นซาก”

“แหม กำลังสนุก”

เมื่อมีพระราชบัณฑูรลงมา สีทันดรจึงควงพระหัตถ์ตวัดปลายแส้ ไปยังลำคอของครุฑตัวหนึ่ง แล้วทรงจับมันฟาดกับพื้นดินเสียงดังสนั่น เลือดแดงสดทะลักออกจากปากครุฑเคราะห์ร้าย ปลายแส้ถูกคลายด้วยความรวดเร็วไม่ให้มันตั้งตัวติด กระหน่ำฟาดลงมาเป็นครั้งสุดท้าย เสียงดังแหวกอากาศดังเฟี้ยวๆเหมือนเสียงขู่ฟ่อของพญาอสรพิษ เมื่อกระทบกับตัวมันเสียงตูมก็ดังสนั่นผสานเสียงร้องสุดท้าย  จากนั้น ทั้งหัว ปีก อก แขน ขา  แยกออกเป็นห้าส่วนพอดิบพอดี

“อาหารจานแรกของพวกพี่ฉัตรแกล้มสุราวันนี้คือ นกสับ”

อีกสองตัวที่บินอยู่กลางฟ้า เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อกร รีบโผนทะยานบินหนี แต่สีทันดรไม่เปิดโอกาสให้มันหลุดรอด จึงฟาดไปด้วยเทวฤทธิ์ตบจนร่วงลงมาทั้งสองตน แล้วมัดขาหนึ่งในนั้นฟาดสูงไปบนอากาศ จากนั้นดึงกลับลงมาด้วยความแรงยิ่งกว่าแรง เสียบร่างของมันเข้ากับยอดไม้โกร๋น ต้นหนึ่งกลางลำตัวพอดิบพอดี มันยังไม่สิ้นชีพในตอนแรก พยายามกระพือปีกสั่นพร่าบินออก เจ้านาคน้อย หันมาทางอณูน้อยทั้งสี่ที่ตะลึงงัน ตรัสว่า

“ อาหารแกล้มสุราจานที่สองคือ นกย่าง”

สิ้นพระดำรัสเท่านั้น เปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำ ทั่วแกนไม้ ร่างครุฑตนนั้นไม่ต่างอะไร กับนกหรือไก่ที่ถูกเสียบไม้ย่าง อณูน้อยมองด้วยความสยดสยอง น้องดื้อที่น่ารัก ไฉนกลายเป็นร้ายกาจ พวกตนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างครุฑกับนาคใครร้ายกาจกว่ากัน

ด้วยเสียงระเบิดกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่น อีกทั้งคันฉัตรส่งกระแสจิตเข้ามา ทำให้อัสดง ทรงกลด นลกุพร เอราวัตและคืนฉาย รีบเหิรลอยมาสมทบยังที่เกิดเหตุ และอัสดงก็มาทันได้เห็นภาพยอดดวงใจตาฟ้า สังหารครุฑตนที่สองพอดี ขนอ่อนตรงต้นคอลุกเกรียว ราหูรีบเข้ามายืนกระซิบบอกว่า

“อัสดง ที่ฉันแนะนำนาย ให้นอกใจเวลาแฟนไม่อยู่ นายลืมไปซะเถอะนะ ฉันไม่อยากเห็นนายโดนสับและโดนย่าง”

“ฉันก็ว่างั้นแหละว่ะ ไอ้ราหู”

“ส่วนจานสุดท้าย พี่ฉัตรอยากกินอะไรแกล้มสุรา” สีทันดรทรงถามขึ้นอย่างไม่ต้องการคำตอบ เหิรทะยานกระทืบบาทไปบนใบหน้า เจ้าครุฑบริวารตัวสุดท้ายที่ตะลีตะลานเหลือกเสือกกายหนี  แล้วเลื่อนมาเหยียบอยู่กลางหลังของมัน พระหัตถ์ทั้งสองจับปีกมันไว้มั่น แล้วกระชากออก เสียงแควกดังสนั่น ครุฑตัวนั้นร้องโหยหวนโอดครวญ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ สีทันดรทำเหมือนกับทรงเป็นเด็กน้อยเด็ดปีกผีเสื้อเล่นซะอย่างนั้น

“จานสุดท้าย เราจะตั้งชื่อว่าอะไรดีนะ...” สีทันดรทรงหันมาทางกลุ่มอณูน้อย แล้วก็ทรงหยุดชะงักทันที โยนปีกครุฑทิ้ง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  “ อัสสะ ...มาตั้งแต่เมื่อไร”

สุรเสียงที่ทักมานั้นใสก็จริง แต่อัสดงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เพราะรู้สึกขนลุกซู่เพิ่งเห็นนาคาจัดการเอาคืนครุฑ

“ไอ้ดื้อ อัสสะว่า เจ้าตวัดปลายแส้ฟาดมันตรงที่สำคัญมันก็ตายแล้ว เจ้าไปทรมานมันทำไม” อัสดงดึงเจ้านาคาตาฟ้าออกมา แล้วกล่าวต่อไปว่า “เจ้าชนะแต่ไม่ควรทารุณมัน”

“อัสสะ ไม่รู้หรอก ครุฑเวลาจับนาคได้ พวกมันทำอย่างไร พวกมัน ฟาดนาคลงกับพื้น แล้วจิกลงกินมันสมองของนาคทั้งเป็น แล้วพวกมันไม่โหดหรือไร เราว่าแค่นี้น้อยไปเสียด้วยซ้ำ”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:46:58
ทางด้านวายุภัคที่กำลังปะทะกับทยุติธร เห็นบริวารตนถูกทำร้าย จนวายวอดหมด ก็เจ็บใจ บริวารพวกนี้เป็นองครักษ์ที่ล้วนกล้าแข็ง เหตุไฉนพ่ายไม่เป็นท่า พระโทสะดำเนินถึงขีดสุด  แล้วพระหัตถ์ช้าย ก็เรียกดาบมาอีกเล่ม เข้าควงประจันหน้ากับ ทยุติธร

จากคราแรกที่ผลัดกันได้เปรียบเสียเปรียบ ในเวลานี้ วายุภัคกลับทรงกล้าแกร่งขึ้นทันตา หัตถ์ทั้งสองข้างโหมฟันกระหน่ำอย่างไม่ยั้ง และที่สำคัญไม่มีช่องโหว่ ทยุติธรเริ่มถอยร่น เทวะน้อยๆ ชื่นชมในฝีมือทั้งคู่ น้ำเชี่ยว ธรรม์ ราหู และคันฉัตร แม้จะมีเรื่องกับวายุภัคก็ยังอดชื่นชมไม่ได้

“มันใช้สองมือสู้ โดยไม่มีช่องโหว่ เยี่ยมจริงๆ”

“คนนี้ใช่ไหมวายุภัคที่นลบอก”

ทรงกลดถามนลขึ้น แต่นลมิสนใจ ถลันกายเข้าไปหามุจลินทร์ อิสตรีผู้เดียวในพระทัย เสียงก้องกังวานเรียกพระนามลั่น “มุจลินทร์”

เสียงเรียกนั้นไม่ทำให้แต่มุจลินทร์ทรงหัน แต่ทยุติธรที่ถอยร่นกลับทรงหันมาด้วย และก็ทำให้ทรงรบอย่างไม่ถนัดนัก ยามเห็นเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วเข้าไปโอบกอดว่าที่พระอัครชายา พระทัยทยุติธรเริ่มสั่น จิตขาดสมาธิ แล้วคมดาบแห่งวายุภัคก็ฟาดลงมา ในชั่วแวบ ทรงคิดว่าพระเศียรจะถูกบั่นเสียแล้ว แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป สุรเสียงใสพร้อมพระวรกายงามระหง ก็สลัดออกจากอกของนลกุพร ตะโกนก้องเรียกพระสติ

“ ทูลหม่อมระวัง....ใช้จักรแห่งมหาทุรคาสิเพคะ”

ทยุติธรใช้เดชะเบี่ยงตัวหลบคมดาบได้อย่างหวุดหวิด แล้วเรียกจักราแห่งมหาทุรคามาใช้ คมจักรที่หมุนจากซ้ายไปขวา อันมหาอุมาเทวีประทานให้ พุ่งเข้าซัดวายุภัคอย่างรวดเร็ว เทวปักษีหนุ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทรงทำได้อย่างมากเพียงแค่ใช้ดาบทั้งสองกั้นไว้เท่านั้น

ภาพชุลมุนในไอหมอกควันแม้ตระการตา จะเห็นไม่ถนัด เพราะเลือนรางเต็มที แต่ก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงาดำๆ เงาใหญ่ๆ หลายเงา บินฉวัดเฉวียนน่าสะพรึงกลัว จากนั้นตามด้วยเสียงนกใหญ่ร้องโอดครวญชวนขนลุก ตามด้วยแสงสว่างแวบวาบแลบแปลบปลาบและเสียงครั่นครืนประหนึ่งฟ้าทลาย หนุ่มน้อยทรุดตัวปิดหู แต่มิได้ปิดตาตามคำสั่งของคันฉัตร เขาซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะเหล้าตัวสั่นราวลูกนก และก็ต้องตกใจขึ้นสุดตัว เมื่อมีมือเล็กๆเย็นๆ มาจับไหล่ พร้อมยื่นหน้าขาวๆ ยิ้มแป้น ห้อยลงมาจากบนโต๊ะประจันหน้า

“จะเอ๋...พี่ตระการตาหรือเปล่า”

“เฮ้ย...” ตระการตาร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ ผงะหนี และก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง ที่อีกหัวหนึ่งโผล่มาจากโต๊ะอีกด้าน ยิ้มแฉ่งเช่นกัน

“จะเอ๋ จะหนีไปไหน” เจ้ายมลอยหน้าลอยตา แล้วพูดกับสหายอีกฟากโต๊ะว่า “คนนี้แหละ พี่ตระการตา ยมจำได้ คนที่พี่ฉัตรให้พาหนี”

ตระการตา ค่อยๆสงบสติอารมณ์ ระงับความตกใจ ถามออกไปยามได้ยินชื่อของคันฉัตร “น้องรู้จักฉัตรด้วยเหรอ แล้วฉัตรไปไหน แล้วน้องมาได้ยังไง”

“โอ๊ย เรื่องมันยาว ...เอาน่าอย่าเพิ่งถาม ไปก่อนดีกว่าเดี๋ยวโดนลูกหลง อยากรู้อะไรถามพี่ฉัตรเอา”

ว่าแล้วเจ้ารักเจ้ายม ก็ช่วยกันลากตระการตาหลุนๆ ออกจากที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่วายุภัค ใช้พละกำลังและเดชะทั้งหมดสลัดจักรแห่งมหาทุรคาออก คมจักรลอยกลางฟ้าหมุนคว้าง แล้วดันหักเหไปทางร้านเหล้าที่เจ้าโอปาติกะน้อยพากันออกมา ในช่วงวินาทีแห่งชีวิต ทุกสายตาหันมามองเป็นจุดเดียว เทวะน้อยทั้งแปดตะโกนลั่นให้หลบไป แต่ดูเหมือนเสียงนั้นจะไร้ผล หัวใจของหลายๆคนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โดยเฉพาะคันฉัตรที่รู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยกำลังจะโดนลูกหลงแล้ว และเกินอำนาจที่ตนจะหยุดยั้งได้ทัน

“ย้มมมม เราตายรอบสองแน่ ซวยแล้ว”

เจ้ารัก เจ้ายม ปิดตาแน่น เตรียมตัวตายรอบสอง ตระการตาก็ได้แต่ยืนตะลึง มองดวงไฟสว่างจ้าลูกใหญ่ ที่ลอยเข้ามาหา สายตาของมนุษย์จับภาพอย่างมากก็ได้แค่นั้น มิเห็นเป็นคมจักรอย่างใด ภาพสุดท้ายที่เห็นคือแสงสว่างวาบดวงนั้นเข้าชนลำตัว แล้วลำแสงอะไรบางอย่างก็พุ่งออกไปหา จากนั้นทุกอย่างก็ดับสนิท ความมืดมิดครอบคลุมตระการตาทรุดฮวบลงทันใด

แล้วปาฏิหาริย์ ก็บังเกิด เมื่อแสงที่พุ่งออกมาจากตัวตระการตา กลายเป็นคมจักรสีทองอร่าม หมุนวนจากขวาไปซ้าย สวนทางกับจักราแห่งมหาเทวี จักราที่เทวะน้อยขนานาม ว่า จักราแห่งมหาวิษณุสำแดงเดช หมุนคว้าง สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ศาสตราวุธทั้งสอง มิได้เข้าห้ำหั่นกัน กลับลอยประกบกันสนิทแน่น เสมือนจักราทั้งสอง ต่างรอคอยเรียกหาซึ่งกันและกันอยู่แล้ว

สายลมประหลาดโหมกระหน่ำ ครานี้มิได้มาจากปีกของวายุภัค หากแต่ว่า มาจากจักรทั้งสอง ระยะเวลานั้นจะผ่านไปเท่าใดไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้ทุกสายตายังมิยอมละสายตาไปไหน ต่างตกอยู่ในภวังค์ เสียงอสุนีบาตดังเป็นระยะๆ กึกก้อง ในฉับพลันวายุภัคก็ได้สติก่อนใคร ความคิดแรกที่แวบเข้าในพระเศียรคือ “การครอบครอง” อาวุธที่สำคัญแห่งมหาเทวะและมหาเวี จนลืมเรื่องรบและเรื่องบาดหมางที่ดำเนินอยู่ ไวเท่าความคิดนั้นเอง เทวปักษีหนุ่มน้อย เหิรทะยานเข้าไปยังจักรทั้งสอง พยายามใช้ฤทธานุภาพที่มีทั้งหมด ไขว่คว้ามาอยู่ในพระหัตถ์ และหากได้ทรงครอบครอง คาดว่า แม้แต่พญาอนันตนาคราช คงต้องศิโรราบให้

แต่วายุภัคนั้นหรือ จะเหมาะสม จักรานั้นกลับลอยขึ้นเหนือเศียร และครอบลงมายังพระวรกายด้วยความรวดเร็ว ความเจ็บปวดเหลือจะกล่าวบังเกิด ผิวพระวรกายมอดไหม้ และมิมีผู้ใดสามารถห้ามเพลิงนี้ได้  วายุภัคร่วงลงทันใด ปีกสีเศวตสว่างไสว หุบแนบกายมอดไหม้ ปานประหนึ่งลูกไฟ ตกจากฟากฟ้า

“วายุภัค”

นลกุพรเหิรทะยานเข้ามาเป็นคนแรกยังร่างของวายุภัคที่ร่วงลงมา เทวฤทธิ์ถูกใช้ประคองพระวรกายที่โหมกระหน่ำไปด้วยเปลวเพลิงแห่งมหาศาสตราวุธ แม้จะไม่สนิทกันเท่าไร เทวปักษีพระองค์นี้ก็นับได้ว่าพอรู้จักมักคุ้น หากนิ่งดูดาย ความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพญาเวนไตยคงคลอนแคลน ดังนั้นเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว จึงทรงหันไปยังผู้ทรงฤทธีที่สุด แม้เขาพระองค์นั้นจะเป็นศัตรูหัวใจ
 
“พี่ชายทยุติธร โปรดทรงเมตตาดับเพลิงนี้ทีเถอะ วายุภัคจะแย่แล้ว ขืนปล่อยไว้ อาจถึงการจุติ”

สุรเสียงแห่งความเจ็บปวดของวายุภัคยังคงดังก้อง เทวนาคาหนุ่มแม้จะเบือนพระพักตร์หนีทอดพระเนตรไปทางอื่นเสีย แต่แล้วก็ทรงอดมิได้ ที่จะหันกลับมา แม้ความรู้สึกแรกจะทรงสาแก่พระทัย ต่เมื่อคิดทบทวน วายุภัคคือศัตรูที่รบพุ่งกันมาตลอดและยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะ ควรฤาที่จะปล่อยให้ดับสูญ วายุภัคต้องพ่ายด้วยฤทธีตนแลสยบแทบเบื้องบาทตนเท่านั้น

“สีทันดร เอาสมุทรมณีมาให้พี่หน่อย”

“อย่าตรัสนะว่า จะเอาไปช่วยวายุภัค เขาเป็นศัตรูเรานะพะยะค่ะพี่ชาย ถ้าเป็นอย่างที่หม่อมฉันคิด หม่อมฉันไม่ให้”

“วายุภัคต้องพ่ายด้วยฤทธีของพี่ ไม่ใช่คนอื่น” พระสุรเสียงแห่งโอรสาองค์โตกร้าว คงเป็นไม่กี่ครั้งในพระชนม์ชีพ กระมัง ที่ทรงขึ้นเสียงใส่พระอนุชา “เอาสมุทรมณีมา เร็วเข้า”

สีทันดรมิทรงตรัสอะไรตอบอีก จำพระทัยยื่นสมุทรมณีไปให้ พระเนตรจ้องพระเชษฐาอย่างไม่เข้าพระทัย หากพระเนตรงามของอิสตรีผู้เดียวในที่นี้เหมือนจะทรงเข้าพระทัยได้ดีกว่า ความชื่นชมแม้จะถูกแอบซ่อน แต่ก็ไม่วายฉายออกมาทางพระเนตรและสุรเสียงใสดั่งระฆังเงิน

“ทูลหม่อมพี่ชายของฝ่าบาท ทรงเป็นสุภาพบุรุษและมีหัวใจของนักรบเต็มองค์”

“เราไม่เข้าใจเลยมุจลินทร์ ทำไมพี่ชายทรงทำเยี่ยงนี้”

“เพราะพระอุปนิสัย ที่ชอบเอาชนะและต้องการให้ศัตรูมาสยบอยู่แทบเบื้องบาทด้วยฤทธีพระองค์ไงเพคะ วายุภัคจัดว่าเป็นเทวะในรุ่นชันษาเดียวกันกับทูลกระหม่อมใหญ่ เทวฤทธิ์ต่างไม่ด้อยไปกว่ากัน เคยสู้กันมาหลายครั้งตั้งแต่เยาว์ชันษา และยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ทูลกระหม่อมใหญ่เลยปล่อยให้วายุภัคสิ้นชีพไม่ได้”

มหาศาสตราวุธยังคงลอยตระหง่าน ฉาดฉายรัศมีเพลิงไปทั่ว จักราทั้งคู่หมุนคว้างด้วยความเร็วสูง จนเกิดประกายไฟและเริ่มตกลงมายังพื้นดิน ความโกลาหลจากการสกัดกั้นเพลิงของเหล่าเทวะน้อยบังเกิด ทุกคนต่างใช้พลังสกัดกั้นสุดกำลังก่อนที่ถนนคนเดินจะกลายเป็นทะเลเพลิง

อัสดงเห็นว่ายังครอบคลุมไม่ทั่วจึงร้องตะโกน ให้ ธรรม์ ราหู คืนฉายและเอราวัต แบ่งกำลังไปประจำทั้งสี่ทิศ ประสานม่านพลังกันเป็นตาข่ายอาคมขนาดใหญ่กั้นถนนไว้ ส่วน น้ำเชี่ยว กับคันฉัตร ให้มารวมกำลังกับตนเตรียมขึ้นไปแยกจักราทั้งสอง

ทยุติธรเมื่อทรงใช้สมุทรมณีดับเพลิงจากกายวายุภัคเสร็จ ก็ทรงปราดเข้ามา หมายพระทัยจะช่วย แต่อัสดงก็บอกไปว่า “เรื่องของเทวปักษีกับเทวะนาคาจบแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของเทวะที่จะจัดการกับมหาศาสตราวุธแห่งสวรรค์นี้เอง”

“แต่จักรมหาทรุคา เราเป็นผู้ซัดออกไปเราต้องรับผิดชอบ”

ทยุติธรไม่สนพระทัยใดๆทั้งสิ้น โอม อ่านพระเวทเรียกจักรกลับคืน แต่อาวุธที่พระมหาเทวีประทานให้ ไม่มีวี่แววจะกลับมา จึงตัดสินพระทัยซัดสมุทรมณีเข้าไปหมายแยกจักรทั้งสอง แต่ก็ไม่เป็นผล หนำซ้ำยังเพิ่มมหิธานุภาพให้เพิ่มขึ้น เพราะสมุทรมณีนอกจากไม่ลอยคืนกลับมาแล้ว ยังดันไปรวมเข้าเป็นประกายสุกจ้าอยู่ตรงกลาง ม่านพลังรุนแรงซัดกลับ ทยุติธรกระแทกพื้นดังสนั่น ดีที่ตบะและเดชะยังเข็มแข็งจึงไม่ทรงเป็นอะไรมาก ......ม่านตาข่ายทั้งสี่ทิศแทบจะทานอำนาจไม่ไหวแล้ว

“อัสดง จะทำอะไรก็ทำ พวกฉันสี่คนจะไม่ไหวแล้วนะ”

“หม่อมฉันบอกแล้ว ว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของเทวะ บทบาทของเทวนาคา ควรใช้น้ำหรืออาคมสกัดเพลิงไว้ดีกว่า เชื่อพวกหม่อมฉันสักครั้ง” อัสดงแม้จะหงุดหงิดกับเจ้าพี่ชายของสุดที่รักที่รั้นพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง แต่จำต้องสะกดอาการนี้ไว้ แล้วเขาก็หันไปบอกกับนลกุพรว่า

“ นลกับกลด ปล่อยเทวปักษีตนนั้นไว้ก่อน ไปเสริมกำลังกับพวกราหูเร็ว น้ำเชี่ยวนายก็ด้วย... ส่วนนาย ไอ้ฉัตร ยังไม่ต้องเป็นห่วงตระการตามากนัก เขาแค่สลบ ให้ไอ้รักยมดูแล พวกนายทั้งสี่คนไปเสริมอีกสี่ทิศเป็นแปดทิศ  ”

จู่ๆรอบๆกายของอัสดงขณะนี้ เริ่มมีรัศมีแดงเพลิงเจิดจ้าอย่างไม่เคยเป็น อะไรบางอย่างที่มีอำนาจบงการให้เขาออกคำสั่งกับสหาย และสหายทุกคนก็รับรู้ได้ ปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วไม่มีข้อโต้แย้ง แม้แต่ทยุติธรผู้ทรงเคยชินกับการออกคำสั่ง กลับทรงปฏิบัติตามทันทีที่แห็นรัศมีประหลาดจากกายอัสดงอย่างไม่เข้าพระทัยเหมือนกัน  ว่าแล้วก็ทรงคืนร่างสู่สภาวะนาคา พร้อมกับสีทันดรและมุจลินทร์พ่นน้ำดับเพลิง ทั่วถนนคนเดิน

อัสดงเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามต้องการ จึงสงบจิตลง เริ่มผสานพลังเข้ากับอำนาจแปลกๆที่พุ่งพล่านอยู่ในตัว อำนาจที่พุ่งลงมาจากศรีษะลงมาจรดฝ่าเท้าวิ่งวนผ่านทั่วกายสลับไปสลับมา แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ร่างของอัสดงก็กลายเป็นจักรเพลิงขนาดใหญ่ พุ่งเข้าหา มหาศาสตรวุธนั้นทันที

ขนาดเทวนาคามหิทธานุภาพสูงยังถูกซัดกระเด็น เทวปักษีฤทธีเกรียงไกรเหนือน่านฟ้ายังร่วงหล่น  แล้วอัสดงเป็นเพียงแค่อณูจะทานฤทธีมหาจักรานั้นไหวฤา!!

“อัสสะ อย่าปะทะ ระวัง!!” สีทันดรในสภาวะนาคาสีขาวเจิดจรัสส่งกระแสจิตก้อง แล้วกระแสจิตจากจักรเพลิงก็ส่งผ่านกลับมา

“อย่ากังวล สีทันดรยอดรัก...อัสสะไม่เป็นอะไรหรอก”

แล้วกระแสลมก็โหมกระหน่ำ อสุนีบาตพุ่งปราดจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย ม่านและตาข่ายอาคมจากเทวะทั้งแปดทิศแผ่ขยายกางกั้นเหนือเมืองๆเล็กๆแห่งนี้ ทยุติธรหยุดพ่นน้ำ คืนสู่สภาวะเทวนาคาสูงสุด แผ่ขยายพังพานจากเศียรทั้งห้า เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่เทียมขุนเขา เลื้อยรอบเป็นปราการขนาดยักษ์กั้นเมืองปายไว้ พังพานทั้งห้า ประหนึ่งเกราะกันเพลิงอีกชั้น ใต้ม่านอาคม

เสียงระเบิดดังกัมปนาทกึกก้อง เมื่อจักรเพลิงเข้ากระทบกับมหาศาสตราวุธ แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น  แสงโชตินาการกำจายวาบสว่างไสวดุจกลางวัน แล้วเปลวเพลิงทั้งหมด ก็มลายหายลงอย่างอัศจรรย์ กลายเป็นแสงระยับ ประดุจดารานับร้อยนับพัน จักรากลางฟ้าสงบลงส่องแสงเพียงอีกวาบเดียวก็สลาย กลายเป็นร่างของอัสดง ลอยลงมาอย่างช้าๆ รัศมีแดงเพลิงยังคงมีทั่วตัวแต่ครั้งนี้เจิดจ้าและงดงามยิ่งกว่าคราใดๆ ใบหน้าคมคายหล่อเหลาเกินกว่า จินตนาการของช่างฝีมือใดๆแย้มยิ้ม จนเห็นไรฟันขาวสะอาด ผิวสีหม้อใหม่ งามวับจับตา ร่างกายกำยำนั้นเมื่อแตะลงถึงพื้น ก็ผายมือข้างหนึ่งออก เปลวเพลิงกลุ่มน้อยพวยพุ่งบิดเป็นเกลียว เกลียวหนึ่งหมุนจากซ้ายไปขวา อีกเกลียวหมุนจากขวาไปซ้าย และตรงกลางคืออัญมณีดวงเล็กๆ เปลวเกลียวเพลิงทั้งสองหมุนวนเป็นจักรอีกครั้งขนาดใหญ่เกินฝ่ามือนิดเดียว และใจกลางก็เป็นสมุทรมณี

มหาศาสตราวุธมิทำอะไรอัสดง แต่กลับมาอยู่ในมือของอัสดง ฤาอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์จะเป็นผู้ถือครอง!!

เสียงสังวัธยายมนตราดังกระหึ่มกึกก้องจากทั่วสารทิศประสานเสียงทิพยดนตรี เป็นท่วงทำนองสูงต่ำ ที่อณูน้อยได้ยินต้องรีบคุกเข่าแทบพื้น และเทวนาคาทั้งสามคืนสู่สภาวะวรกายมนุษย์ หมอบราบกราบลงโดยพลัน

“โอม ชยันตี มงคลกาลี ภัทรันกาลี กปาลินี ทุรคา กัษมา สวาธาตรี สวะสุธา นะโมสะตุเต โอม อัมเพ อัมวิเก อัมพา ลิเกส มานัยติ ศัสจนัส สัตยสวัส สวภิ กัมกาเม บิลวาสินี ทุรคาเย นมัส โอม”

“พระมหาอุมาเทวีเสด็จ”

ตรงกลางแห่งแสงโชตินาการนั้นเอง บังเกิดเป็นรัศมีขาวสว่างไสวยิ่งกว่ารัศมีขาวใดๆ สมพระนาม อุมา หรือแสงสว่าง มหาเทวีทรงเสด็จมาในภาคแสงสว่างแห่งความเมตตา พลังเทวะของพระนางเย็นฉ่ำ มิได้เสด็จมาในภาคมหาทุรคา หรือมหากาลี ที่พลังจะร้อนจนไม่มีใครเข้าพระพักตร์ติด ทุกคนลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นแสงสว่างขาวใส เพราะถ้าเป็นรัศมีแดง หรือดำ เมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมัน 

พระมหาเทวีทรงยิ้มที่ริมพระโอษฐ์เล็กน้อย พระพักตร์ระยับไปด้วยดาวฤกษ์ ทอดพระเนตรลงมา “ พวกเจ้านี่มันชอบก่อเรื่องจริงๆ ด้วย อย่างที่พระมหาลักษมีเทวีท่านทรงว่าไว้ไม่มีผิด แล้วรบกันเนี่ย บ้านเมืองมนุษย์ได้รับความเดือดร้อน จะทำอย่างไร”

ไม่มีผู้ใดกล้าทูลตอบ ทุกคนนั่งเงียบ พระมหาอุมาเทวีจึงทรงโบกพระหัตถ์เพียงครั้งเดียว ทุกอย่างก็คืนสู่สภาพปกติ  แล้วทยุติธรที่นับว่าพระชนม์มากที่สุดก็ทูลมาว่า “หม่อมฉัน ผิดเองที่รบกับวายุภัค พะยะค่ะ แล้วใช้จักรที่พระแม่เจ้าประทานให้ สู้กับวายุภัค และไม่คิดว่า จะมีจักราแห่งมหาวิษณุรวมอยู่ ณ ที่นี้ด้วย”

“ เราตั้งใจกับมหาวิษณุแล้วว่า วันมีเทวราชโองการ เราจะมอบศาสตราวุธให้กับผู้ที่เป็นจอมทัพปราบอสูร แต่พวกเจ้าก็ดันก่อเรื่องจนได้ ช่างเหอะ ก็ดีไปอย่าง พระสุริยาทิตย์จะได้ซ้อมจนคล่องมือ และก็หมายความว่า อณูแห่งพระสุริยาทิตย์จะเป็นจอมทัพในครั้งนี้”

สิ้นพระเสาวนีย์ เสียงปรบมือระคนยินดีจากกลุ่มเทวะน้อยๆด้านหลัง ดังขึ้นพร้อมเสียงไชโย อณูทั้งเจ็ด เหิรลอยเข้ามารวมกลุ่มห้อมล้อมอัสดงไว้ กอดคอแน่น แต่แรงกอดจากเพื่อนหรือเล่า จะสุขใจเท่าแรงกอดและกลิ่นวรกายที่หอมจากเทวะนาคา

สีทันดรเหิรลอยละลิ่วเข้ามาโดยบังคับองค์เองไม่อยู่ มาประทับนั่งเคียงคู่อัสดงที่รออยู่แล้ว และทั้งหมดหมอบราบกราบพระมหาเทวีอีกครั้ง   “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ พะยะค่ะ”

“ หน้าบานเชียวนะสีทันดร เจ้าไม่ได้ครองจักรสักหน่อย” พระมหาอุมาเทวีตรัสขึ้นระคนเอ็นดู ทรงอดมิได้ยามเห็นพักตราเจ้านาคน้อย

“อัสสะครองก็เหมือนหม่อมฉันครองแหละพะยะค่ะ แถมสมุทรมณีของหม่อมฉันยังไปรวมด้วย หม่อมฉันก็ต้องมีส่วนยินดี” สีทันดรทูลตอบเสียงใสเพราะเป็นมหาอุมาเทวีที่ทรงพระทัยดียิ่ง หาใช่มหาทุรคา

“มหาลักษมีเทวี ท่านทรงเปรยกับเราว่า สงสัยจะให้พรผิดกับสมุทรเทวีแม่ของเจ้า กลายเป็นเด็กซนอย่างเจ้ามาเสียได้ ช่างพูด ช่างเจรจาเหมือนเดิม....เอาล่ะ เข้าเรื่องก่อน อัสดง วันมีเทวราชโองการ เราจะลงมาหาพวกเจ้าอีกครั้ง วันนั้นพวกเจ้าจะกระจ่าง ว่าทำไม พระมหาเทพจึงให้เจ้าอวตารกันลงมา และผู้ที่อยู่เบื้องหลังมารคือใคร วันนี้เรายังไม่สามารถบอกอะไรเจ้าได้ เราต้องรอมหาศิวะถอยฌาน และมหาวิษณุบรรทมตื่น” พระมหาเทวีทรงตรัสกับอัสดง แล้วหันมาทางทยุติธรผู้เป็นตัวโปรดตรัสว่า

“ทยุติธร...จักราของเรา จำต้องให้ผู้ที่จะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า เจ้าคงไม่ว่าอะไรนะ”

“พะยะค่ะ หม่อมฉันเข้าพระทัย”

“ดีแล้ว...แล้วเราจะหาศาสตราวุธให้ใหม่ถือเป็นของขวัญวันอภิเษก บอกกัทรุกับสมุทรเทวีด้วยว่า ให้มาหาเราด้วย เราจะจัดงานให้”

  “ขอบพระทัยพะยะค่ะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” ทยุติธรก้มลงกราบและโดยมิต้องบอกมุจลินทร์ก็ถวายกราบแนบพื้นด้วย นลกุพรเห็นภาพนั้น พระทัยก็เริ่มแยกเป็นเสี่ยง อัสสุชลเริ่มรินรด หากแต่พยายามกลั้นไว้ให้ถึงที่สุด ทรงกลดที่นั่งข้างๆ แอบกระซิบ

“ ไอ้ฉัตรเคยบอกฉันว่า ถ้ามองแล้วเจ็บก็อย่าไปมอง”

“มันอดไม่ได้ มันจำเป็นต้องมอง เพราะมุจลินทร์คือรักแรกของเรา และไม่มีใครทำให้เราลืมนางได้”

ดวงตาสีน้ำตาลของทรงกลดหันมามองหน้านลกุพรเพียงชั่วแวบ ในใจของเขาความคิดเริ่มสับสน หากความคิดหนึ่งที่เด่นชัดและอยากจะแปรเป็นคำพูดถ่ายทอดให้นลกุพรทราบคือ “ นายแน่ใจเหรอ ว่าจะไม่มีใครทำให้นายลืมมุจลินทร์”

พระมหาเทวีไยจะไม่ทรงล่วงรู้ความคิด แต่ทรงทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามพระมหาพรหมท่านลิขิต ซึ่งไม่ควรก้าวก่าย หน้าที่ควบคุมความสมดุลแห่งพลังงานเทวะตลอดจนปกครองทั้งสามโลกต่างหาก คือสิ่งที่ต้องสนพระทัย นี่แหละ คือสิ่งที่ยากที่สุดของเทวะ คือ อุเบกขา วางองค์เฉย

“เราไปก่อน จงจัดการที่เหลือให้เรียบร้อย....และหากวายุภัคฟื้นเมื่อไร ให้กลับไปฉิมพลี แล้วมาหาเราพร้อมกับพญาเวนไตย” สิ้นพระเสาวณีย์ แสงโชตินาการสว่างจ้าก็เริ่มสลายหายไปเป็นลำดับพร้อมๆกับพระวรกาย แต่ก่อนที่จะเสด็จไป คันฉัตรก็รีบส่งกระแสจิตทูลขอพรขึ้นเป็นการส่วนตัว

“ขอพระแม่เจ้าทรงโปรด อย่าให้ตระการตาเป็นอะไรเลย”

“มนุษย์ผู้นั้นไม่เป็นอะไรหรอกอณูน้อยแห่งศนิเทพ เมื่อเขาฟื้นเขาจะเป็นปกติดีทุกอย่าง สวรรค์จะไม่ให้เขาเป็นอะไร เพราะ เราต้องใช้ประโยชน์และมีหน้าที่ให้เขาทำ”

คันฉัตรมิทูลตอบสิ่งใดต่อไปอีก แม้อยากจะทูลถามว่า หน้าที่อะไรที่มนุษย์พึงจะรับใช้สวรรค์ได้ แค่ทรงคุ้มครองตระการตา ก็เพียงพอแล้ว

เมื่อพระมหาอุมาเทวีเสด็จกลับ คราวนี้อาการแสดงความดีใจอย่างลิงโลดขีดสุดหรือทโมน ก็สำแดงออกเก็บไว้ไม่อยู่ อณูน้อยทั้งเจ็ดต่างกรูกันเข้ามาหา“หัวหน้า” หรือ “จอมทัพ” หมาดๆ โยนขึ้นฟ้า ไชโยโห่ร้องดังลั่น มหาศาสตราวุธ คือของฝั่งเทวะ  โชคดีที่ไม่ตกไปอยู่ในมือใครอื่น

“ที่แท้จักราแห่งมหาวิษณุก็เป็นของไอ้อัสดงนี่เอง” น้ำเชี่ยวกล่าวขึ้นอย่างดีใจ คืนฉายเสริมมาว่า “ต่อไปเรียกมันว่า ลูกพี่ หรือ ท่านหัวหน้า หรือว่าเป็นท่านแม่ทัพดีวะ”

“เรียก กู อัสดง เหมือนเดิมแหละดีแล้ว” เสียงเฮสนั่นจากเหล่าเทวะน้อยดังมาอย่างชอบใจ ส่วนทยุติธรที่ทอดพระเนตรเห็นมิสามารถตรัสอะไรออกอีก เพราะศาสตราวุธที่มหาเทวีประทานให้ จะทรงเรียกคืนไปเมื่อไรก็ได้ เพื่อให้ผู้ที่เหมาะสมและใช้ประโยชน์ได้มากกว่าตามพระเสาวณีย์

“ฉันสัญญา ว่าฉันจะใช้อำนาจจักรแห่งมหาเทวะและมหาเทวีอีกทั้งสมุทรมณีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อความผาสุข ของสวรรค์ มนุษย์และบาดาล โอม..” อัสดงทะยานตัวขึ้นจากการโยน เหิรลอยนั่งขัดสมาธิกลางฟ้า พนมมือกลางระหว่างอก แล้วเสียงโอมก็ดังกระหึ่มจากอณูน้อยทั้งหลาย อัสดงลอยอยู่สักพักและก็กลับลงมายืน คว้าพระวรกายของสีทันดรที่ยืนยิ้มพระพักตร์ชื่นบานเข้ามากอดแนบอกโดยมิอายสายตาใครและมิเกรงพระเชษฐาของเจ้านาคน้อยแต่อย่างใด

“อัสสะเก่งไหม..คืนนี้ต้องให้รางวัลอัสสะด้วยนะ” เจ้าพระอาทิตย์น้อยแอบกระซิบ

“จะมาเอารางวัลอะไร ไม่ได้บอกว่าจะให้สักหน่อย ขี้ตู่”

“ถ้าไม่ให้เห็นทีต้องปล้ำ ไม่คิดถึงอัสสะบ้างหรือไง เมื่อคืนก็ปล่อยให้อัสสะนอนคนเดียว”

ก่อนที่สีทันดรจะตรัสตอบทยุติธรก็เบี่ยงพระวรกายขึ้นมาดึงข้อพระกรพระอนุชาออกจากอ้อมอกอัสดงพลัน “ให้มันน้อยๆหน่อยสีทันดร ทำอะไรเกรงใจพี่บ้าง พี่ยังยืนอยู่ตรงนี้ อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก เจ้าก็เหมือนกันสุริยาทิตย์ แทนที่จะช่วยกันจัดการพื้นที่ให้เรียบร้อยดังเดิมกลับมากอดกันอยู่ได้ ไม่ได้เรื่อง”

“โธ่พี่ชาย” สีทันดรทรงครางอ่อยๆ ส่วนอัสดงหุบยิ้มถอยไปยืนรวมกับกลุ่มทรงกลด ราหูแอบกระซิบบ้าง “ ต่อยแม่งเลย”

“มันก็จริงอย่างที่ไอ้ขี้แอ็คว่า ช่างแม่งเหอะ อย่านักเลงนักเลยมึง ยังไงเขาก็พี่แฟนกู เอาวะช่วยกันเก็บพื้นที่ให้เรียบร้อย”
จากเมื่อสักครู่ทยุติธรต้องฟังอัสดง หากตอนนี้อัสดงต้องเกรงใจและฟังทยุติธร....เฮ้อ ไอ้ขี้แอ็คนี่ มันจะขึ้นมาด้วยทำไม เห็นทีชีวิตคู่คงอยู่ไม่สุขแน่

“อย่ามัวแต่เสียเวลาคุยกันอยู่เลย รีบจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย โดยเฉพาะซากครุฑ น้องดื้อเล่นซะจำสภาพพวกมันไม่ได้ แล้วไอ้นักเลงบ้านนอกนั่น มันตายห่าหรือยัง” น้ำเชี่ยวกล่าวขึ้น ขนอ่อนบริเวณท้ายทอยยังลุกซู่เพราะภาพของสีทันดรตอนสังหารครุฑยังติดตา

“ ยังมีชีวิตอยู่” ทรงกลดสังเกตจากรัศมีรอบกายของวายุภัค  แม้จะอ่อนแรงลงแต่ยังมิได้ดับ เขาถามความคิดเห็นเพื่อนๆต่อมาว่า “เราจะทำยังไงกับเขาดี”

“ช่วยรักษาวายุภัคได้ไหม” นลกุพรตอบแทนทุกคน แต่ก้มีเสียงค้านขึ้นมาแทบจะพร้อมกันของน้ำเชี่ยวกับราหู

“มันไม่ใช่เรื่องของเทวะอย่างเราเลยนะนล อีกอย่างไอ้บ้านนอกนี่ก็มาหาเรื่องพวกเราก่อน”

“หากช่วยมัน มันก็จะมาหาเรื่องพวกเราอีก”

หลายเสียงเริ่มสนับสนุนคามคิดของน้ำเชี่ยวกับราหูจนนลกุพรพระพักตร์เสีย ครั้นจะขอให้สีทันดรช่วยก็แทบจะไม่มีหวัง เจ้าสหายรักคงปฏิเสธ แล้วที่พึ่งสุดท้าย เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วหันไปรอบๆ จึงพบสายตาคู่หนึ่งที่งามราวกับอิสตรี ขนตาหนาปลายงอนกระพริบวิบวับมองตรงมาอยู่ก่อนแล้ว นี่ไงล่ะที่พึ่งสุดท้าย

“ กลดช่วยเราหน่อย ช่วยพูดกับอณูทั้งหลายช่วยรักษาวายุภัคเถิด หากพวกเราปล่อยเขาเป็นอะไรไป ฉิมพลีคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ พวกเจ้าคงต้องรับศึกเทวปักษีอีกด้านนอกจากอสูรและมาร”

นลกุพรถลันเข้ามาพลันอ้อนให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพช่วย ซึ่งทรงกลดเองก็ไม่ค่อยอยากจะช่วยเท่าไร เพราะจากเท่าที่ฟังน้ำเชี่ยวเล่า ครุฑพวกนี้อันธพาลนัก แต่ความรู้สึกประหลาดจากพระหัตถ์ของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วที่กำลังกำแขนตนแน่น กลับพุ่งพล่านบังคับจังหวะการเต้นของหัวใจผิดเพี้ยนไปจากเดิม

“ฉันว่า เราช่วยเจ้าครุฑนี่เถอะ บางทีเราอาจจะหาประโยชน์ได้จากเขา เช่นเป็นกองกำลังทางอากาศยามออกศึก หรือให้เขาช่วยนลถ่ายทอดวิธีการรบแบบสองมือให้ก็ได้นี่”

“ฉันเห็นด้วยกับไอ้กลด” อัสดงหันมาสนับสนุนทันที “ เราต้องการกำลัง จำต้องผูกมิตร ฉะนั้นไม่ควรมีศึกหลายด้าน เอาเป็นว่า พวกเราจะช่วย ส่วนเรื่องการเจรจาให้ไอ้พระพุธรับหน้าที่พิธีทางการทูตไปแล้วกัน”

“ได้สิ อัสดง” เอราวัตรับคำแล้วหันไปทางคืนฉายแฟนสุดที่รัก “งั้นเรื่องการรักษาคงต้องมอบให้ฉาย”

“คนที่เหลือ รีบเคลียร์พื้นที่ด่วน”
“ขอบใจทุกคนมาก” นลกุพรแทบจะกระโดดจนตัวลอย เผลอเลื่อนมือมากุมมือทรงกลดแน่น ครั้นพอรู้สึกองค์จึงรีบปล่อย และตรัสบางสิ่งออกมาโดยไม่ตั้งพระทัย

“งั้นเราฝากวายุภัคด้วยนะกลด เดี๋ยวเรามา เราขอไปหามุจลินทร์” 

เจ้ายักษ์นลผละไปด้วยความรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเพียงประเดียวสั้นๆ ทำให้หัวใจของทรงกลดที่พองโตอย่างไม่มีสาเหตุกลับแฟบลงอย่างทันตา ดุจคำพูดและการกระทำนั้นเป็นเข็มปลายแหลมเล่มน้อยสะกิดหัวใจ อณูน้อยพูดอะไรต่อไม่ออก ความรู้สึกเจ็บแปลบประหลาดๆ ห่างหายไปไม่ถึงอาทิตย์ ไยมันกลับมาอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:48:35
เสียงสังวัธยาย สัญชีวณีมนตราจากคืนฉายสิ้นสุดลง พร้อมๆกับอสุนีบาตก้อคำรามขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย พระวรกายที่เกรียมไปด้วยเพลิงจักร ก็กลับฟื้นคืนสภาพดังเดิม ปีกสีเศวตเริ่มขยับอย่างช้าๆ แล้วกระพือขึ้นด้วยความรวดเร็ว จนพระวารกายยืนหยัดได้ดังเดิม เดชะและศักติคืนสู่วายุภัคเรียบร้อยแล้ว

“ขอบใจมาก อณูน้อยแห่งคุรุอสูร เจ้ารักษาเรา หากมีสิ่งใดที่เราและฉิมพลีตอบแทนเจ้าได้ขอให้บอกมาเถิด” ทีท่าทระนงตนเริ่มจางหาย วายุภัคทรงกลับกลายเป็นเทวปักษีที่พระอารมณ์ปกติ ด้วยรัศมีเหลืองนวลจากทรงกลด

“ท่านควรขอบใจทุกคน”

วายุภัคทรงหันพระพักตร์ไปขอบใจตามคำบอกแม้กระทั่งพวกน้ำเชี่ยวที่มีเรื่องกัน “เราขออภัย”

น้ำเชี่ยว ราหู ธรรม์และคันฉัตรเพียงพยักหน้ารับ เอราวัตผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินวิธีทางการทูตจึงกล่าวว่า

“ให้มันยุติลงแค่นี้เถิด เราคือเทวะด้วยกัน จำต้องผสานกำลังต้านอสูรและมารไว้ เราควรพึ่งพาซึ่งกันและกัน และหากเป็นไปได้ เราก็อยากให้ท่านช่วย ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีฤทธีเกรียงไกรผู้หนึ่ง เราอยากให้ท่านช่วยถ่ายทอดวิธีการรบด้วยสองมือให้พวกเรา”

“ได้สิเรายินดี แต่เราคาดว่านลกุพรคงบอกพวกท่านแล้ว ว่าผู้ที่จะฝึกได้ ต้องเปิดจักราในร่างกายตนให้ได้อย่างน้อยจักรที่สี่ขึ้นไป โดยใช้โยคะสมาธิ”

“ข้อนั้นพวกเราทราบ และอณูแห่งจันทรเทพจะเป็นผู้ถ่ายทอด”

“ถ้าเป็นดังนั้น เราตกลง แต่เราขอให้ความเห็นว่า ผู้ที่จะถ่ายทอดโยคะศาสตร์ได้ดีนั้น ควรเป็นเทวนาคา ไม่ใช่ว่าเราจะดูถูกจันทรเทพว่าไม่สามารถ แต่เทวะนาคาคือผู้ที่รับศาสตร์นี้มาเผยแพร่จากมหาศิวะเทพโดยตรง และในเวลานี้ก็คงไม่มีใครเชี่ยวชาญเกินทยุติธร” 

ทุกสายตาหันขวับไปทางเทวนาคาหนุ่มรูปงามที่เพิ่งราพระหัตถ์จากการใช้อาคมเก็บกวาดสนามรบ  ถ้อยความที่สนทนาถูกส่งผ่านเข้าสู่กรรณด้วยฤทธี  โดยมิต้องทรงลังเลและพระมหาเทวีเคยมีพระเสาวณีย์ให้บาดาลช่วยการศึกอยู่แล้ว ทยุติธรจึงทรงตอบตกลงทันใด

 “เราตกลง”

“งั้นเจ้าก็ถ่ายทอด ให้พวกอณูน้อยก่อน แล้วเราจะมาต่อส่วนของเราให้ เราต้องกลับฉิมพลี เห็นว่ามหาอุมาเทวีทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า”

“ใช่ ไปพร้อมกับปู่เจ้า พญาเวนไตย”

วายุภัคพยักพักตร์รับ พยายามข่มอาการหวาดกลัว ยามพระมหาอุมาเทวีทรงเรียกให้เข้าเฝ้า ตอนเรียกอาจอยู่ในภาคมหาอุมา หากตอนเข้าเฝ้า ถ้าเสด็จออกเป็นมหาทุรคาใครจะรับผิดชอบ แต่เอาเหอะ ทูลหม่อมปู่เวนไตยเสด็จด้วยน่าจะไม่มีอะไรมาก วายุภัครีบปรับพระพักตร์ให้เป็นปกติแล้วเจ้าเทวะปักษีหนุ่มน้อยก็หันมากล่าวกับทยุติธรว่า

“ ขอบใจที่ช่วยดับไฟ เรารู้เจ้าช่วยเราเพราะอะไร”

“รู้ก็ดีแล้วรีบกลับไปรักษาตัว แล้วเราจะรอประลองฝีมือกับเจ้าอีก หมดธุระเจ้าที่นี่แล้ว”

“เหอะ ไม่ต้องมาไล่ เราไปแน่...เสร็จศึกเมื่อไร ฉิมพลีกับบาดาลคงได้ประลองกันอย่างเป็นจริงเป็นจังซะที”

“เราจะรอวันนั้น”

อณูน้อยทั้งหลายยิ้มขึ้นพร้อมกัน วันนี้แม้จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นแต่ก็มีเรื่องที่น่ายินดีตามมา ประการแรกก็คงไม่พ้นที่อัสดงได้เป็นจอมทัพและได้มหาจักรามาครอบครอง ประการที่สอง คือการได้อาจารย์ใหม่เป็นยอดนักรบทั้งคู่ องค์หนึ่งมาจากบาดาล อีกองค์มาจากฉิมพลี และด้วยความเป็นศัตรูระหว่างทั้งสอง คาดว่าคงแสดงฝีมือเต็มที่ในการถ่ายทอดสรรพวิทยาให้ เพื่อจะได้รู้กันว่า ใครเก่งกว่าใคร และผลพลอยได้ทั้งมวลก็จะตกอยู่กับอณูน้อยทั้งปวงนั่นเอง

และก่อนเสด็จกลับ วายุภัคก็ทรงอดไม่ได้ ที่จะมองซากบริวารของตนที่ถูกจัดการอย่างสยดสยอง บริวารพวกนี้นับว่าคัดมาแต่พวกฝีมือดี หากพอเจอพวกเทวนาคา กลับถูกสังหารอย่างหมดท่า น่าเสียดายยิ่งนัก เอราวัตที่อ่านความคิดออกทราบทันทีว่าวายุภัคทรงต้องการสิ่งใด

“ถ้าท่านต้องการให้พวกเราชุบชีวิตบริวารด้วยก็ได้ แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า สัญชีวณีมนตราของพระศุกร์นั้น ทำให้ฟื้นได้ก็จริง แต่จะไม่เป็นอมตะเหมือนชุบด้วยน้ำอมฤต”

“ข้อนั้นเราทราบดี รบกวนท่านด้วย ท่านพระพุธ ท่านพระศุกร์”

“ฉายจ๋า จัดการให้เขาหน่อย”

คืนฉายรับคำแวจัดการให้ตามคำขอ ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกแยกออกจากกันกลับมารวมดังเดิม ชีวิตครุฑบริวารกลับคืนมาแล้ว หากวายุภัคยังคงทรงทอดพระเนตรนิ่ง มิอยากเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของสีทันดรกับมุจลินทร์

“ฝีมือไม่เลวเลย สีทันดร มิเสียแรงที่เป็นน้องของทยุติธรและเจ้ามุจลินทร์ว่าที่อัครชายา”

“แค่นี่ยังน้อยไป หากเป็นฝ่าบาท หม่อมฉันสัญญาว่า จะแยกให้ละเอียด และประณีตกว่านี้” สีทันดรที่ได้ยินรับสั่งหันพระพักตร์ทูลตอบทันควัน

“เหอะสีทันดร พี่ชายเจ้ายังทำอะไรเราไม่ได้ นับประสาอะไรกับเจ้า ระวังเทวนาคาที่ทระนงตนถูกเราจับมานักต่อนักแล้ว” วายุภัคโต้กลับ พระสุรเสียงทอดอ่อนสรวลเยาะในที น่าแปลกที่มิทรงกริ้ว

“ทรงลืมไปแล้วละมังว่าหม่อมฉัน มิได้อยู่ในเผ่าพันธุ์ที่จะทรงจับเป็นภักษาหาร และทรงรู้ไว้ด้วยว่า ครุฑชั้นต่ำที่ชอบทระนงตนหม่อมฉันลากลงบาดาล ให้เป็นเหยื่อมัจฉาบริวารมานักต่อนักเช่นกัน”

วายุภัคทรงสรวลลั่น ริมโอษฐ์ที่เคยเป็นจะงอย คืนเสภาพเหยียดกว้าง กลับสู่รูปกระจับยิ้มระเรื่อ พร้อมจ้องพระเนตรฟ้าครามใส ที่ฉายแววชิงชังเด่นชัดเฉพาะพระองค์ สีทันดรเจ้ามันร้ายและอวดดีอย่างนี้นี่เอง ค้านกับลักษณะที่งามดุจพระมหาลักษมี ถึงว่า ทยุติธรถึงได้หวงน้องนัก คงมีสักวันที่เราจะได้จับเจ้าสั่งสอนด้วยตัวของเราเอง

“เรารู้ว่านาคอย่างเจ้าจับกินไม่ได้ พวกเจ้าบอกเราหลายรอบแล้ว และเราก็ไม่คิดจะจับกินแต่อย่างใด ถึงแม้จะอดอยาก เพราะเกรงว่าหากกินไปเราอาจสอดท้อง เพราะพิษสงมันเยอะ ภาษามนุษย์เขาเรียกว่า อาหารเป็นพิษ”

“นี่ เจ้า”

“พอทีสีทันดร ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียง”  ทยุติธรดึงพระอนุชาพระองค์น้อยออกมา เพราะทรงเริ่มจับสัมผัสบางอย่างจากสายพระเนตรของวายุภัคได้ กระแสจิตถูกส่งถึงกันทันใด

“อย่ายุ่งกับน้องชายเรา”

“ก็น้องชายเจ้ามันน่ายุ่งนี่” วายุภัคตรัสตอบทางกระแสจิต พักตราเจ้าเล่ห์ชวดให้คิดว่ามีสิ่งใดแอบแฝงทิ้งท้าย ก่อนสะบัดปีกทะยานขึ้นสู่เวหา พร้อมครุฑบริวาร “แล้วเราจะกลับมา”

สายลมกรรโชกแรงวูบ แล้วร่างเทวปักษีก็อันตรธานหายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ มนุษย์ที่สลบไศลเริ่มได้สติ

“รีบกลับบ้านกันเถอะ มนุษย์รู้สึกตัวกันแล้ว” คันฉัตรที่ประคองร่างของตระการตา บอกกับทุกคนแล้วเหิรลอยไปเป็นคนแรก ตามด้วยอณูน้อยที่เหลือ ยกเว้นทรงกลดที่ยังรีไรอๆข้างนลกุพร เพราะหน้าที่พี่เลี้ยง จำต้องดำเนินต่อจะปล่อยให้ขาดตกบกพร่องมิได้

“กลด เจ้าไปก่อน เดียวเราตามกลับไป เราอยากอยู่กับมุจลินทร์ลำพัง”

นลกุพรมิได้ไล่ แต่ทรงกลดก็รู้สึกถึงความนัย ความน้อยใจมันห้ามกันไม่ได้ รัศมีเหลืองนวลจึงกำจายวาบ หายไปในพริบตา ส่วนทยุติธรเห็นนลกุพรยังประทับอยู่ ก็ทรงทราบโดยทันทีว่า ต้องการอะไร จึงตรัสขึ้น

“นี่คงเป็นครั้งสุดท้าย ที่เจ้าจะได้ใกล้ชิดมุจลินทร์ พี่ไม่ว่าหากเจ้าจะใช้เวลาร่ำลากันสองต่อสอง”

มุจลินทร์กับนลกุพร แทบไม่เชื่อพระโสตว่าสิ่งที่ได้สดับจะมาจากโอษฐ์ของทยุติธร “จงไปคุยกัน เราจะไปรอที่บ้านพักของอณูแห่งเทวะ”

ทยุติธรตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ พระเนตรหันไปสบกับพระเนตรมุจลินทร์ คำขอบพระทัยจากถูกส่งผ่านพร้อมหยาดอัสสุชล ภาพลักษณ์ที่เคยติดลบของ “ผู้ชายเอาแต่ใจ” ถูกเพิ่มคะแนนบวกให้โดยที่ไม่รู้องค์เอง

“สีทันดรเราไปกันเถอะ”

แล้วรัศมีเขียวเจือทองก็พลันสลาย เหลือแต่พระวรกายเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วและเทวะนาคีสะคราญโฉม สุรเสียงใสกล่าวขึ้นทันทีที่อยู่ลำพัง เป็นประโยคแรกวันนี้ที่ตรัสกับหนุ่มน้อยที่ประทับยืนตรงหน้า 

“เราคงต้องคุยเป็นจริงเป็นจังกันซะทีนะนล”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-11-2019 12:53:14
วงเหล้าถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการฉลองที่รวมตัวกันครบและฉลองตำแหน่งใหม่ให้กับอัสดง เสียงหัวเราเฮฮาดังลั่นทำลายความเงียบยามค่ำคืน อัสดงชนแก้วกับสหายทั่ว ยิ้มด้วยความสดใส อณูน้อยทุกคนอยู่ในอารมณ์เป็นสุขและผ่อนคลายยกเว้นแต่บางคนเท่านั้น 

“เป็นอะไรอีกวะ ไอ้กลด”

“เปล่า มีอะไรเหรอฉาย”

“แล้วทำไมมึงนั่งเงียบ อย่าบอกนะว่ายังตัดใจจากน้องดื้อไม่ขาด” เอราวัตเสริมขึ้นมาทันใด

“นี่ไอ้พระพุธ เรื่องนั้นน่ะเลิกคิดไปนานแล้ว เหอะน่า ช่างกูเหอะ แค่กูไม่รู้จะพูดอะไรตอนนี้ มึงสองคนผัวเมียเลิกถามกูเสียที”

“งั้นก็ตามใจมึง เหอะ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง ” คืนฉายตัดบทแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจร้องเพลงต่อแต่ในใจแอบใช้เทวฤทธิ์ติดต่อเอราวัต “พระพุธจ๋า ฉายว่า เราจัดการให้ไอ้กลดมันได้ฟีทเจอริ่งเลยไหม เห็นใจมันน่ะ ไม่รู้ว่าจะทนมนสิเน่หาได้เท่าไร “

“อย่าเพิ่งเลยฉาย มันเร็วไป เอาน่า รอก่อน รอดูท่าไอ้ยักษ์นลอีกที”

ส่วนอีกคน ที่อยู่ในข้อยกเว้นก็คือคันฉัตร ที่มัวแต่เดินไปเดินมาระหว่างบ้านพักกับวงเหล้า เพราะห่วงตระการตาที่ยังไม่ฟื้น จนคู่รักทั้งสองอดรำคาญไม่ได้

“ไอ้นี่ก็อีกคน จะเดินหาส้นตีนอะไรนักหนา ตระการตายังไม่ฟื้นหรอก ถ้าฟื้นเดี๋ยวไอ้รักไอ้ยมก็คงมาบอกเองแหละ”

“กูเป็นห่วงเขานี่ ไม่ใช่มึงนี่ไอ้ฉาย หว่านเสน่ห์เขาไว้แล้วก็ไม่รับผิดชอบ”

“ฉายมันเปล่าทำนะโว้ย ตอนนั้นแค่มันคุมพลังไม่อยู่ มึงก็รู้ ....เอาน่าอย่าเสือกเดินไปเดินมาเลย ไปเอาแซคมานั่งเป่านี่ เผื่อเด็กมึงได้ยินจะตื่น” เอราวัตออกรับแทน เพราะรู้กันดีอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร

“แตะต้องห่าอะไรไม่ได้เลย แฟนมึงนี่ไอ้พระพุธ ออกรับแทนหมดดดดด” คันฉัตรถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะนั่งลง แต่โดยดี ในใจยังกังวลว่าเมื่อไรตระการตาจะฟื้น แม้พระมหาอุมาเทวีจะทรงบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี “เขายังไม่ใช่เด็กกู”

“อ้าวแล้วที่มึงหายไปกันมาสองต่อสองเนี่ย ไม่ได้จีบกันเลยเหรอ” ราหูถามขึ้นบ้างเรียกความสนใจจากทุกคนมาเป็นตาเดียว ทุกคนต่างก็รู้ว่า คันฉัตรไม่เคยสนใจใคร และเอาใจใครเป็นพิเศษ ยกเว้นวันนี้ที่ใบหน้าคมคายยิ้มจนแก้มปริ  เมื่อเจอมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ท่ารถ และยังหุบยิ้มไม่หยุดเมือเขาคนนั้นมาพักที่บ้าน

“ก็มีบ้าง แต่เขายังตัดใจจากไอ้ฉายไม่ได้”

“แต่กูไม่เคยให้ความหวังอะไรเขาเลยนะ ....กูรักพระพุธของกูคนเดียว” สิ้นเสียงคืนฉายก็ปรากฏเสียงโห่ของเพื่อนๆดังลั่น เพราะประโยคเมื่อกี้ทั้งน้ำเน่าและเลี่ยน เว้นแต่เอราวัตที่ยิ้มจนหน้าแดงเป็นลูกตำลึง

“กูแค่พูดให้ฟัง” คันฉัตรถอนหายใจอีกเฮือก แม้ผลการลองใจเลือกเทวรูปวันนี้ตระการตาจะเลือกพระเสาร์แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ตระการตาจะตกลงปลงใจ หากมีการสารภาพรัก ธรรม์ที่นั่งถัดไปเห็นใจ จึงกอดไหล่พูดให้กำลัง

“มึงอย่าคิดไปเองไอ้ฉัตร ว่าเขายังตัดใจไม่ได้ รอเขาฟื้นมาแล้วหาโอกาสเหมาะๆ ลองบอกเขาดู”

“เหอะ ไอ้ธรรม์ ทำมาเป็นแนะนำคนอื่น เทพฤาษีอย่างมึงเคยรู้จักความรักเหรอ เคยรักใครหรือเปล่า ขนาดโดนพระจันทร์แย่งเมียยังไม่ไปตามเอาคืน”  ราหูจอมพลั้งปาก พูดออกมาทันใด เจ้าอณูน้อยแห่งคุรุเทพ จึงโต้ตอบรวดเร็วด้วยความลืมตัว

“ทำไมกูจะไม่เคยรักวะ”

“แล้วนายรักใครล่ะ ธรรม์”

ธรรม์เมื่อได้ยินคำถามนี้ ก็วาบไปทั้งตัว เพราะคนที่ถามคือเจ้าน้ำเชี่ยว ที่กำลังจ้องมองมาทางเขาเขม็ง เหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้นมิได้ถูกพูดถึงอันใดกันอีกและธรรม์คิดไปว่า น้ำเชี่ยวคงจะลืมและไม่ติดค้างสิ่งใดในหัวใจอีกต่อไป เสร็จแล้วก็คงเสร็จไป แต่ผิดคาด เพราะสายตาของน้ำเชี่ยวกำลังเป็นประกาย .. ‘นี่เขาคิดไปเองเหมือนกัน’ ดีแต่แนะนำคนอื่น ทำไมเราทำไม่ได้

“มีแล้วกันน่า ช่างกูเหอะ” 

ธรรม์มิเคยอึกอักแต่ยามนี้เขากำลังป็น จากเรื่องของคันฉัตรกลายเป็นเรื่องตนได้ไงไม่รู้ น้ำเชี่ยวเหมือนจะจับอาการผิดปกตินั้นได้ ก็ไม่ลดละที่จะเอาคำตอบ เหตุการณ์ในห้องน้ำ วันนั้นถูกทบทวนพร้อมกันโดยพลัน และทั้งสองก็ดันลืมคำนึงไปว่า เอราวัตผู้อ่านความคิดออกกำลังนั่งอยู่ ณ ที่นี้ด้วย

เพียงชั่วแวบ เอราวัตก็ต้องทำตาโต เผลออุทานยกมือทาบอก “คุณพระคุณเจ้า!! อกกูจะแตก ภาพคมชัดยิ่งกว่าหนังเอ็กซ์ที่เราเล่นเองกับฉายอีก”

เท่านั้นแหละ ความก็ถูกถ่ายทอดไปยังเจ้าพระศุกร์ คู่รักจอมเซี้ยว ต่างแอบลอบชำเลืองมองเจ้าพระอังคารและพระพฤหัส ทั้งสองรู้กันโดยไม่ต้องบอกว่า มีงานต้องทำเพิ่มแล้ว

แล้วธรรม์ที่นิ่งอึ้งก็ต้องหน้าแดงจนถึงขีดสุด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผลุดซึมขึ้นเต็มตรงตามไรผม เรื่อยลงมาหน้าผาก เพราะจู่ๆเจ้าพระพุธตัวแสบ ที่เก็บความลับอะไรไม่ค่อยอยู่ ดันท่องกลอนทำลายความเงียบขึ้นมา ซึ่งตรงกับสถานการณ์ขณะนี้พอดี และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

แอบซบอกสนิทแนบยามเขาหลับ
แอบมองตาพราวระยับอันสดใส
แอบซ่อนรักลึกซึ้งตรึงหทัย
แอบซ่อนใจหวังเชยชู้......รู้คนเดียว

“ไอ้พระพุธมันรู้” ธรรม์ผลุดลุกขึ้นโดยพลัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของเพื่อนกับบทกลอนที่เอราวัตยกมา ความรู้สึกที่ไม่อยากให้ใครรู้ยิ่งซ่อนก็ยิ่งถูกขุดคุ้ย ยิ่งกลบเกลื่อนก็ยิ่งฉายพิรุธ

“ไปไหน ธรรม์ นายยังไม่ได้ให้คำตอบฉันเลย นายรักใคร”

“เหอะน่า...ตอนนี้เมาแล้ว  ตอบอะไรคงไม่รู้เรื่อง ขอตัวไปนอนก่อน”

น้ำเชี่ยวตั้งใจจะลุกตาม แต่ราหูผู้ที่ไม่เคยประสีประสา ดันดึงมือให้นั่งต่อ แม้คืนฉายจะขยิบตาให้ปล่อยไปก็ตาม น้ำเชี่ยวจึงได้แต่มองธรรม์เดินจากกลับบ้านพักไปเงียบๆจนลับตา

“เดี๋ยวเรา คงต้องมีเรื่องคุยกับเขาบ้างแล้วล่ะธรรม์”
ทางด้านทยุติธร ที่เสด็จมาถึงก็ยังไว้องค์มิไปสังสรรค์กับบรรดาอณูน้อยแต่อย่างใด ยังคงประทับนั่งห้อยพระบาทเหนือสะพานไม้ยาวโดยมีพระอนุชาจอมดื้อประทับเคียงข้าง

“พี่ชาย ทำไมไม่ไปนั่งคุยกับพวกอัสดงล่ะพะยะค่ะ มานั่งรอมุจลินทร์ตรงนี้เหงาแย่”

“อยากจะลงไปหาเขาล่ะสิ ...จะไปก็ไปเหอะพี่ไม่ว่า แต่อย่าทำอะไรให้มันเกินงามเจ้าเป็นผู้ชาย” ทยุติธรไยจะไม่ทรงทราบว่าหากพระอนุชาอยู่ใกล้อัสดง อัสดงจะทำอะไรบ้าง จึงตรัสดักคอไว้อย่างนี้ดีแล้ว

ยังไม่ทันจะสิ้นพระดำรัส สีดันดรก็หายวับไปเสียแล้วและเพียงกระพริบพระเนตร พระวรกายของพระอนุชาก็ไปปรากฏตรงวงเหล้า และเป็นดังคาด ไอ้เจ้าพระสุริยาทิตย์ตัวแสบรีบเข้ามาคลอเคลีย หากเป็นเมื่อก่อนเห็นทีต้องเข้าไปห้ามแต่ยามนี้เล่า ทรงมีเรื่องที่ต้องกังวลในพระทัยอยู่ ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากมุจลินทร์

“สองคนนั่นคุยอะไรกันอยู่นะ ทำไมนานจริง”

ในพระทัย อยากจะไปแอบฟัง แต่ด้วยความไว้พระทัยและต้องการวัดพระทัย นางอันเป็นที่รัก จึงทรงรออยู่เงียบๆสงบๆ แต่นั่นมันก็เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น หากภายใน รุ่มร้อนดั่งทะเลเพลิง พระเนตรฟ้าครามมองทะลุไปในความมืด ริมโอษฐ์หยักงามได้รูปสีแดงสด เริ่มขยับแล้วระบายความในพระทัยเบาๆองค์เดียว ถ้อยความที่พร้อมจะถ่ายทอด ทุกถ้อยคำร้อยเรียงอยู่นานตั้งแต่เยาว์ชันษา แต่ไยมิทรงกล้าตรัสกับนาง

“มุจลินทร์ หัวใจของเราจะมีแต่ความจงรักและภักดี อย่างมิมีใครเทียมเท่า นับตั้งแต่วันแรกที่เจอ หัวใจของเราได้วางไว้แทบเบื้องบาทจากครั้งเยาว์วัย ตราบจนกระทั่งวันนี้”

แล้วจู่ๆเสียงห้าวดังกังวาน ก็ดังขึ้นจากทางเบื้องพระปฤษฎางค์ ทำลายภวังค์และความเงียบหมดสิ้น รัศมีสีแดงจ้าฉายสุกใสกำจายวาบ ไม่ต้องผินพระพักตร์ก็รู้ว่าเป็นใคร “ขอกระหม่อมนั่งด้วยนะพะยะค่ะ”

“อณูแห่งพระสุริยาทิตย์”

อัสดงมิรอคำตอบ ทรุดกายนั่งถัดไปเล็กน้อย พร้อมกับยื่นแก้วเหล้าที่ถือมาด้วยถวายแด่เทวนาคาหนุ่ม “ลองเสวยหน่อยไหม พะยะค่ะ”

“ขอบใจ”

ทยุติธรทรงรับไมตรีที่ยื่นผ่านแก้วเหล้า ทีท่าไว้องค์ยังคงมีอยู่ เพราะยังทรงไม่หายแค้นอัสดงครั้งคราวศึกนางบาทบริจาริกาเท่าไร และอีกอย่างยังทรงไม่พอพระทัยเรื่องที่อัสดงมาข้องแวะกับพระอนุชา

“รสชาติแปลก” ทยุติธรทรงดมเพียงเท่านั้นก็ทรงรับรู้ถึงรส ทรงมีวิธีเสพเยี่ยงพระอนุชา “แต่อย่างไรก็สู้น้ำโสมครั้งกวนเกษียรสมุทรไม่ได้ หากพวกเจ้าชอบที่บาดาลมีเก็บไว้เยอะ จะได้ให้ทหารเอามาให้”

“ขอบพระทัย...ว่าแต่ทำไมมาประทับอยู่องค์เดียว รังเกียจพวกกระหม่อมนักหรือ”

“เราไม่พอใจพวกเจ้าครั้งศึกนางนาคีกัณหาโคตมะ มิได้รังเกียจ และเราไม่ชอบที่เจ้าวอแวกับสีทันดร”

“กระหม่อมรักสีทันดรด้วยใจจริง เหตุไฉนไม่พอพระทัย”

“เรามีน้องชายคนเดียว และเราไม่อยากให้น้องชายเรารักผู้ชายด้วยกัน หากเจ้ามีน้องชายแล้วน้องชายเจ้าเป็นอย่างนี้ เจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน สุริยาทิตย์”

“เรียกกระหม่อมว่าอัสดงดีกว่า กระหม่อมก็จะเอาหน้าไว้ที่เดิมนั่นแหละ ไม่เห็นจะต้องอายอะไร ความรักไม้ควรปกปิด รักใครชอบใครก็ควรแสดงออก อย่างกระหม่อมรักสีทันดร จึงอยากแสดงออกมาให้สามโลกรับรู้ แม้จะมีใครไม่เห็นชอบ แต่มันก็เป็นความสุขใจอย่างล้นเหลือ ที่ได้แสดงให้คนที่เรารักเห็นว่าเรารักเขามากเพียงใด กระหม่อมว่าเราอย่าเพิ่งคุยเรื่องกระหม่อมกับสีทันดรเลย เรื่องของฝ่าบาทเองเหอะ ได้ทรงเคยแสดงออกไปว่ารักบ้างหรือยัง ถ้ายังควรจะทำซะ อย่าหาว่ายุ่งเรื่องส่วนพระองค์เลย หากปล่อยไว้ คงไม่มีผู้หญิงที่ไหน จะเข้าพระทัยฝ่าบาทหรอก”

“อย่าบังอาจแนะนำเรา เรารู้ว่าต้องทำอย่างไร อัสดง”

“กระหม่อมมิได้บังอาจแนะนำ แค่ทูลให้ทรงทราบเฉยๆ หากทรงรักแต่ทรงนิ่งเงียบ คงไม่มีใครมารักฝ่าบาทตอบหรอก” อัสดงพยายามทำใจเย็น อันที่จริงเขาไม่อยากเข้ามานั่งคุยด้วยซ้ำหากแต่ไอ้ดื้อยอดดวงใจนั้นขอมา

“อัสสะ เป็นโอกาสดีแล้ว ไปนั่งคุยกับพี่ชายเราสิ จะได้ปรับความเข้าใจกัน”

“แล้วทำไมพี่ชายเจ้าถึงไม่เข้ามาคุยกับพวกเราเองล่ะ นั่งแอ็คท่าอยู่ได้”

“ทรงเป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสาเลย ตอนนี้ทรงมีเรื่องไม่สบายพระทัยแหละ นะๆ อัสสะไปคุยเป็นเพื่อนพี่ชายหน่อย เราอยากให้พี่ชายกับอัสสะเข้ากันได้ เราไม่อยากกังวลใจเรื่องโน่นก็พี่ นี่ก็อัสสะอีก ทำเพื่อเราสักครั้งได้ไหม”

“เฮ้อ...ก็ได้” นั่นแหละอัสดงจึงมานั่งคุยเป็นเพื่อนเจ้าเทวนาคาขี้แอ็คตามคำขอของสุดที่รักตาสวย “พวกเทวนาคานี่ ยุ่งจริงเล๊ย พับผ่าสิ”

“ลองอีกแก้วหนึ่งไหมพะยะค่ะ กระหม่อมเอามาสองแก้ว” อัสดงยื่นแก้วที่สองให้ ทยุติธรรับมาดมเช่นเคย และทรงเริ่มรู้สึกว่า สุรามนุษย์ก็ทำให้พระวรกายและพระพักตร์ร้อนวาบขึ้นได้เช่นกัน

“เราไม่รู้ว่าเราควรจะใช้วิธีการใดอัสดง มุจลินทร์ถึงจะเข้าใจเรา เราเอาใจผู้หญิงและเอาใจใครไม่เป็น” ทยุติธรเริ่มตรัสขึ้นด้วยพระพักตร์ที่ผ่อนคลายกว่าเดิม อาการไว้พระองค์เริ่มเลือนหายพร้อมกับความรู้สึกไม่พอพระทัยอณูน้อยที่อยู่ข้างๆ การได้ระบายความอัดอั้นพระทัยกับใครคนหนึ่งคงเป็นวิธีการผ่อนคลายที่ดีที่สุด ที่ผ่านมาทรงเก่งไปแทบทุกเรื่อง หากเรื่องรักและการจีบ การเอาใจผู้หญิงแล้ว ทรงรู้องค์เองดีว่า ‘ทรงสอบตก’ ควรแล้วที่จะมีที่ปรึกษา

“แล้วเจ้าล่ะ เข้าหาสีทันดรอย่างไร เรามั่นใจว่า วิธีของเจ้าคงไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะสามารถปราบพยศสีทันดรลงได้เล่าให้ฟังหน่อย เผื่อเราอาจใช้วิธีเดียวกับเจ้าบ้าง”

อัสดงหัวเราะร่วน ทูลถามขึ้นทันควัน “ทรงแน่พระทัยนะพะยพค่ะว่า จะใช้วิธีเดียวกันกับกระหม่อม ขอทูลให้ทราบไว้ก่อนเลยว่า เสี่ยงต่อการถูกตบเป็นอย่างสูง”

“แล้วมันวิธีใดกันล่ะ ไหนลองเล่าสิ” ทยุติธรขมวดพระขนง ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ง่ายๆพะยะค่ะ ไม่มีอะไรมาก แค่ใจกล้าหน้าด้าน ก่อนเป็นอันดับแรก ที่สำคัญอย่ารุนแรง จากนั้นค่อย.....” ว่าแล้วอัสดงก็ปาฐกถาวิธีการที่ตนใช้จีบสีทันดรมาอย่างหมดเปลือก ไม่อาย แม้จะบอกกับผู้เป็นพี่ชายของสุดที่รัก ทยุติธรพอได้ฟัง พระพักตร์ที่แดงอยู่แล้วเพราะฤทธิ์สุราก็กลับแดงซ่านยิ่งขึ้น วิธีนี้นี่เองหรือที่อัสดงใช้ มิน่า...สีทันดรถึงได้ติดแจไม่ยอมห่างและไม่ยอมกลับบาดาล แล้วถ้าองค์เองทรงทำบ้างล่ะ มุจลินทร์จะใจอ่อนแล้วติดใจบ้างไหม ทรงสงสัยยิ่งนัก

ทางด้านอีกฟากของลำน้ำปายที่ทอดยาว ในความมืดมิดมีเพียงแต่แสงจันทร์สีซีดเท่านั้นที่สาดส่อง ดาราที่เคยพราวระยับสดใสนับร้อยนับพันหายไปไหนเสียก้ไม่รู้ ฤาดวงดาวเหล่านั้นจะทราบว่าหัวใจของใครบางคนกำลังแตกสลายจึงแอบลับเหลี่ยมเมฆทะมึนไปหลบมุมร้องไห้กับเขาบ้าง

รัศมีสีแดงโกเมนจากพระวรกายของนลกุพรเริ่มสั่นพร่าไหวเป็นระลอกยามที่สดับถ้อยคำจากมุจลินทร์จบลง ท่ามกลางความเงียบยิ่งกว่าเงียบ จนทิพยโสตได้ยินเสียงน้ำค้างกระทบยอดหญ้าดังกระหึ่มราวพายุฝน จนพระโสตเริ่มอื้ออึง หยาดน้ำค้างที่หนักเริ่มกระทบพระพักตร์ และไหลมาบรรจบกับพระอัสสุชลที่เพิ่งกลายเป็นผลึกแก้วใส ส่องแสงวิบวับล้อแสงจันทร์

“ นลเรามีบุญที่ได้เจอกัน แต่วาสนาเราไม่เกื้อหนุน เราทั้งสองต่างมีหน้าที่ที่ต้องกระทำ” พระวรกายงามระหงประทับนั่งเหนือโขดหินระเกะระกะ พระพักตร์ที่งามเหยียบสามโลกเสร้าหมองลงเช่นกัน นลกุพรขยับพระวรกายหมายพระทัยจะเข้าไปกอด แต่มุจลินทร์ทรงห้ามไว้ 

“อย่านล เราจะทำเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว เรากำลังจะรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ และเราไม่อยากให้พระเกียรติยศของทูลหม่อมชายมัวหมอง หากใครมาเห็นเราสองคนกอดกัน เรามาวันนี้เพียงเพื่อมาอำลา”

“ไม่!! เราจะไม่ยอมให้เจ้าไปไหนมุจลินทร์ เราจะหนีไปด้วยกัน ไปอยู่ด้วยกัน เราไม่สนใจหน้าที่บ้าบออะไรนั่น”

“อย่าเขลานักเลยนล เจ้าคิดหรือว่าหากเราหนี เราจะหนีพ้น ...พระมหาอุมาเทวีทรงทราบเรื่องการอภิเษกแล้ว นลคิดว่านลจะรอดเงื้อมพระหัตถ์เหรอ ฟังนะนล เทวะทั้งหลายดำรงไว้ด้วยหน้าที่ และเราก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะเอาประโยชน์สุขส่วนตน”

“มุจลินทร์ เจ้าก็เอาแต่อ้างพระมหาเทวี อ้างหน้าที่ร้อยแปด เจ้าบอกเรามาตรงๆดีกว่าว่าเจ้าหมดรักเราแล้ว และเจ้าก็รักทูลหม่อมพี่ชายทยุติธรเป็นทุนเดิม เราไม่เชื่อว่าเจ้าจะทำไปเพราะหน้าที่ เพราะเจ้าจะไม่มีวันทนได้ หากจำใจ”

มุจลินทร์ถึงกับวาบในพระทัย ประโยคที่นลกุพรตรัสมาเมื่อสักครู่แม้จะสิ้นสุดลงไป แต่ก็ยังดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาในพระโสต “จริงฤาอย่างที่นลกล่าวหา” เราทำไปเพราะหน้าที่ ฤาว่าเรามีใจให้เป็นทุนเดิม ไม่จริง! มันเป็นเพียงเพราะหน้าที่ต่างหาก ว่าแล้วจึงทรงสูดลมหายพระทัยเข้าลึกๆ ค่อยๆผ่อนออกยาวๆ เพื่อระงับความสับสน ข่มพระทัยตรัสตอบนลกุพรว่า

“นล ไม่ว่ามนุษย์หรือเทวะ ต้องทนต่อสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็นอยู่เสมอ แต่การทนนั้น มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละชีวิตและหน้าที่ ฉะนั้นถ้าเราจำต้องทนแล้ว เราควรทำใจให้ร่าเริงไว้ เพื่อจะได้เป็นผลดีต่อจิตใจและหน้าที่ที่เราต้องกระทำ นลเองก็มีหน้าที่ เราเองก็มีหน้าที่ เรามั่นใจว่า เราทนได้ และนลก็ต้องทนให้ได้เช่นกัน”

น่าแปลกใจยิ่งนักที่นลกุพรทรงนิ่งเงียบ มิโวยวายฟูมฟายอย่างที่เคยเป็น หากแต่พระชงฆ์ค่อยๆทรุดลงกับพื้นโดยไม่รู้องค์ รัศมีสีเขียวสดใสจากพระวรกายของมุจลินทร์เริ่มมีสีทองเจือระเรื่อ เฉกทยุติธรและสีทันดร มิต้องให้ใครบอกนลกุพรก็ทรงรู้ได้ทันทีว่า สวรรค์และบาดาล เห็นด้วยกับการอภิเษกครั้งนี้ ทุกอย่างคงเกินพระกำลังและสติปัญญาที่จะหยุดยั้ง จะดื้อรั้นยื้อยุดต่อไปพระทัยก็จะยิ่งป่นเป็นภัสมธุลี ทุกอย่างมันมาไกลเกินจะขัดขวาง อีกทั้งพระมหาอุมาเทวีก็ทรงออกหน้าเห็นชอบ วันนี้คงถึงกาลสิ้นสุดของรักแรกในพระชนม์ชีพ ที่กลายเป็นสีดำ ...นำสู่การอำลา

“มันไม่มีทางอื่นเลยใช่ไหม สรุปว่าเจ้าคงต้องไป”

“ฤาจะมีทางอื่นใด ที่ผ่านมาเรื่องระหว่างเราให้คิดเสมือนว่ามันเป็นภาพฝัน ที่บัดนี้เราสองคนได้ตื่นขึ้นมาและรับรู้ได้ว่ามันสูญสลายไปหมดแล้ว แต่นลจงรับรู้ไว้ว่า แม้ภาพฝันจะสลายแต่หัวใจของเราจะมีเจ้าเป็นสหายไม่เสื่อมคลาย หัวใจรักของเราจะเป็นดั่งปิยมิตร จะมิมีวันคลอนแคลนไปตามกาลเวลา”

“มุจลินทร์!!”

 “เราจะไม่มีวันลืมนลเราสัญญา ลาก่อน” มุจลินทร์สะกดพระทัยทิ้งนลกุพรไว้เบื้องหลัง ร้องไห้เสียตรงนี้ให้พอและต้องหยุดให้ได้ก่อนเสด็จกลับไป น้ำตาที่มีให้กับชายคนหนึ่ง มิควรให้ชายอีกผู้หนึ่งได้เห็นเพราะมันจะไม่เป็นการยุติธรรมสำหรับเขาพระองค์นั้น ที่ต้องเสียเวลามาเช็ดน้ำตา ศักติและขัตติยนารีต้องถึงพร้อม แม้พระทัยดวงน้อยอาจจะต้องแตกเป็นเสี่ยง แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองจึงกำจายวาบเป็นครั้งสุดท้าย พุ่งปราดฝ่าความมืดไปด้วยความรวดเร็ว เหลือไว้เพียงกลิ่นพระวรกายที่หอมกรุ่น รายรอบเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วเพียงเท่านั้น

“ลาก่อน นลกุพร”

***********************
รบกวนติดตามต่อใน บทที่๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ นะคะ
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอมา :mew1:

อ้างอิง * พระอภัยมณี - สุนทรภู่

Artemis ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-11-2019 19:12:43
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 26-11-2019 17:20:19
 :m25: จริงๆสนุกมากทั้งรบทั้งรักแต่ละคุ่กว่าจะเข้าใจและจับคู่ลงเอยได้ทั้งมนตราและจากดวงใจผสมกันไปภาษาสวยงามมากอภินิหารย์มาเพียบไม่อยากจะคิดถ้าตอนรบกับมารและอสูรจะยิ่งใหญ่เพียงไหนอ่านกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลยค่ะรอลุ้นไปกับนลทรงกลดน้ำเชี่ยวธรรม์คันฉัตรตระการตาเสด็จพี่ทยุติธรจะเอาวิธีจีบเจ้าดื้อไปใช้กับมุจลินท์บ้างก็ได้นะถ้าไม่กลัวถูกตบ555รอตอนต่อไปนะคะขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-11-2019 14:01:42
สนุกมาก  สมกับการรอคอย
ค่อยๆอ่าน จะอินหนักมาก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 01-12-2019 02:14:09
 :m3:    พี่ชายใหญ่ญญญญญญญญญ.…

ทำไมทรงพระเท่เบอร์นั้น!?

ความทรงมาด ความปากแข็ง คือดจีย์…    :m1:



ตอนแรกว่าจะเป็น แอนตี้-แฟน มุจลินทร์กัญญา

แต่พอเห็นนางสะบัดบ๊อบใส่วายุภัคกับพวก… มันเลิศแม่!


ว่าบาป วายุภัคก็แอบแซบนะ ชั้นชอบผู้ชายกักขฬะ    :o8:


นน-กลด คือบั่บ ไอ้ต้าววววววว….   :give2:



รอตอนต่อไปนะครับ    o1
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๑ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 07-12-2019 12:36:37
รอๆ ตอนต่อไปน้าาาาาาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2019 17:07:51
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒

ทันที่ที่รัศมีสีเขียวเจือทองกลับมาถึง ทยุติธรที่ทรงนั่งรออยู่แล้วก็รีบประทับยืนขึ้นทันใด ครั้นพอรัศมีสลาย มุจลินทร์ก็ประทับยืนตรงเบื้องพระพักตร์ อัสสุชลถูกเช็ดออกจนหมดสิ้น อัสดงจึงตั้งใจถอยฉากออกมาพลัน ทิ้งให้ทั้งคู่ประทับอยู่ลำพังสองพระองค์

“อย่าลืมนะพะยะค่ะ ตามที่กระหม่อมบอก”

“ได้ผลแน่นะอัสดง”

จากที่เคยไม่ชอบหน้าสุดที่รักของพระอนุชา บัดนี้ ทุกอย่างแปรเปลี่ยนรวดเร็ว ด้วยเพราะคำแนะนำบางอย่างที่อัสดงทูลถวาย อัสดงเองก็ไม่รู้สึกหมั่นไส้เจ้าพี่ชายของสุดที่รักมาแต่อย่างใดอีก กลับเห็นใจมาเสียด้วยซ้ำ

“แน่สิพะยะค่ะ อย่าทรงรุนแรง ต้องทำอย่างนุ่มนวลเท่านั้น จำไว้” 

เมื่อทั้งสองประทับอยู่กันลำพัง ต่างฝ่ายต่างก็ยังเงียบงัน หากเป็นเมื่อก่อนทยุติธรคงชิงตรัสก่อนและคงจะตรัสด้วยความเอาแต่พระทัยว่า ‘หายไปไหนมา ทำไมคุยกันนาน’ หากตอนนี้ทรงเปลี่ยนรับสั่งใหม่หมดสิ้น

“ เรียบร้อยแล้วใช่ไหม ถ้ายังไม่เรียบร้อย เรายินดีรอ”

“เรียบร้อยแล้วเพคะ กลับบาดาลกันเถิด มานานแล้ว เดี๋ยวพระพันปีจะทรงเรียกหา”

มธุรสวาจาที่ผ่านเข้าพระกรรณจากเทวนาคาหนุ่มทำให้เทวนาคีสะคราญโฉมเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงกังวานใสตอบไปเช่นกัน คะแนนความดีที่ผู้ชายเอาแต่ใจ ถูกบวกให้อีกหนึ่งอย่างเงียบๆ

ในพระทัยของทยุติธร เริ่มอดใจไม่ไหว อยากจะดึงนางเข้ามากอดแล้วระดมจูบให้ทั่ว  เห็นที วันนี้ต้องตัดสินใจทำอย่างที่อัสดงแนะนำแล้ว

“ได้สิ งั้นเรา บอกสีทันดรก่อน”  ทยุติธรส่งกระแสจิตเรียกพระอนุชาพลัน เพียงชั่วแวบสีทันดรก็มาประทับยืนหน้าพระพักตร์

“พี่กับมุจลินทร์จะกลับแล้ว อยู่ที่นี่ดีๆล่ะ อย่าซน อย่าดื้อ อีกสามวันพี่จะมาใหม่ จะมาสอนโยคะศาสตร์ให้บอกพวกอัสดงเตรียมตัวให้พร้อม”

“พะยะค่ะ...ว่าแต่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม พี่ชาย ..มุจลินทร์”

“เรียบร้อยแล้วเพคะ หากมีโอกาสหม่อมฉันจะขึ้นมาเฝ้า”

“ทำไมต้องรอโอกาส อยากขึ้นมาหาสีทันดรเมื่อไรก็บอก เราไม่ห้าม แต่ถ้าเราว่างเราจะพาเจ้ามาเอง เรายินดี”

สีทันดรเห็นทีท่าพระเชษฐาก็ต้องอมยิ้ม พี่ชายทรงเงอะๆงะๆกับเขาก็เป็นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าอัสสะมาคุยยังไง แต่ผลที่ออกมาก็ดูน่าพอใจ “ตรัสแค่นี้ ทำไมต้องทรงเขินด้วยพะยะค่ะ แต่ไม่ต้องทรงห่วง มุจลินทร์เขามียาแก้เขิน”

“สีทันดร เดี๋ยวเหอะ” ทยุติธรอยากจะดึงพระอนุชาเข้ามา แล้วประทานมะเหงกให้สักที แต่ก็คว้าวรองค์ไว้ไม่ทัน ส่วนมุจลินทร์ก็ได้แต่ทูลเบาๆ

“ทูลหม่อมเล็ก”

“ไปดีกว่า เสด็จกลับดีๆล่ะ ....อ้อพี่ชาย หากอัสสะทูลอะไรห่ามๆก็อย่าไปทรงเชื่อมากนักนะพะยะค่ะ หากทรงบ้าจี้ทำตาม ถูกมุจลินทร์ตบมาไม่รู้ด้วย”

“สีทันดร!!!”

เจ้านาคน้อยหายวับไปด้วยความว่องไว ทยุติธรถึงกับส่ายพระพักตร์ในความร้ายกาจของพระอนุชา ที่รู้ไปเสียทุกเรื่อง แล้วทยุติธรก็ปรับพระพักตร์แทบไม่ทันเมื่อได้ยินคำถามว่า

“ทรงนินทาอะไรหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ”

“ปะ เปล่านี่ สีทันดรก็พูดไปอย่างนั้น อย่าไปสนในเลยกลับกันเหอะ”

มุจลินทร์มิอยากจะทรงเชื่ออะไรนักแต่ก็มิตรัสอะไรต่อ แล้วทั้งสองก็สลายกลายเป็นรัศมีสีเขียวเจือทองแรงกล้า โผนทะยานคู่ขนานฝ่าความมืดมิดเคียงคู่ไปด้วยกันทันที

ฝ่ายนลกุพรยังคงประทับนั่งที่ริมน้ำอยู่ที่เดิม มิยอมเคลื่อนย้ายไปไหน พระอัสสุชลยังแห้งเหือด ไปแล้ว สายพระเนตรทอดมองออกไปในความมืดมิด ครั้นเห็นรัศมีสีเขียวเจือทองลอยเคียงคู่ขนานกันไปลิบๆ จึงทรงลุกขึ้น ตั้งพระทัยเตรียมกลับบ้าง ‘ทรงรอให้เขาทั้งสอง’ กลับไปกันก่อน เพราะไม่อยากเห็นภาพบาดพระเนตร ...ครั้นพอประทับยืนเต็มองค์ และเอี้ยวพระปฤษฎางค์ ก็ทรงพบว่า มีพี่เลี้ยงคนเดิมมารอรับอยู่แล้ว

“ทรงกลด เจ้ามาเมื่อไร ทำไม เราไม่รู้สึกตัว”

“เพิ่งมาถึง ฉันเห็นนายอยู่ในภวังค์ เลยยังไม่อยากเรียก ว่าแต่นายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม นล”

“ทุกอย่างมันจบแล้วกลด มุจลินทร์มาบอกลาเรา เราไม่เหลือใครอีกแล้ว” นลกุพรที่สามารถสะกดพระอัสสุชลได้กลับปล่อยโฮมาอีกคำรบ โผเข้าหาทรงกลดทันที รัศมีเหลืองนวลจึงกำจายวาบช่วยผ่อนคลายพระหทัยที่บีบคั้นโดยพลัน

“ไม่จริงนล นายขาดมุจลินทร์ไป นายก็ยังเหลือเพื่อนๆดูแลนายอีกตั้งหลายคน ไม่ว่าจะเป็นน้องดื้อ หรืออัสดง และโดยเฉพาะ....ฉัน ที่ยินดีดูแลนาย นลกุพร” ทรงกลดใช้น้ำเสียงเย็นระเรื่ออย่างที่ใช้ประจำ หากทว่าท้ายประโยคเมื่อครู่ไยเผลอสอดความรู้สึกพิเศษซ่อนไปด้วย และเจ้ายักษ์ก็ยังไม่รู้ตัว

“ เรากลับบ้านพักกันเถอะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่นายจะร้องไห้ ฉะนั้นจงร้องมาเสียให้พอ พรุ่งนี้อย่าให้ใครเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของนายมาอีกเป็นอันขาด”

สิ้นคำของทรงกลด รัศมีเหลืองนวลก็กำจายชักนำรัศมีสีแดงโกเมนเหิรทะยานสู่บ้านพักริมน้ำ นลกุพรพยายามกลั้นน้ำตาอีกครั้ง และสติค่อยกลับคืน จนได้ทบทวนคำพูดของทรงกลดเมื่อครู่ ที่ตนเริ่มไม่แจ่มชัดและมิเข้าพระทัยความนัยนัก

‘ที่ว่ายินดีดูแลนั้น ..เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน ทรงกลด’

รัศมีสีเขียวเจือทองพุ่งเป็นแสงโชตินาการเจิดจ้าที่เคยคู่ขนาน เริ่มตีวงแคบเข้ามาคลอเคลียใกล้ชิดรัศมีสีเขียวของเทวนาคีที่อยู่ภายในอีกชั้นซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่ทางกลับบาดาล ทยุติธรทรงจ้องพระเนตรมองพระวรกายงามระหงที่กำลังเหิรลอย พระหทัยเริ่มเต้นแรง......เอาล่ะ ถึงเวลาทำตามสิ่งที่พระทัยปรารถนาแล้ว

ทุกอย่างรวดเร็วดุจพายุพัด ก่อนที่รัศมีแห่งมุจลินทร์กัญญาจะพุ่งลงไปยังลำน้ำ ทยุติธรกลับทรงใช้อำนาจบังคับทิศทางให้อีกฝ่ายหนึ่งหันเห จากการที่คลอเคลียธรรมดากลายเป็นตระกองกอดทันใด

“ไปเที่ยวกันไหม เรายังไม่อยากกลับบาดาล”
 
“จะพาหม่อมฉันไปไหน ”

ฤทธิ์สุราที่เสวย เริ่มสำแดงผล วิธีการของอัสดงที่ทูลถวายถูกนำมาใช้ทันใด จากเมื่อครู่ทรงเป็นนักรบยามปะทะกับวายุภัค ทรงเป็นสุภาพบุรุษยามประทานอนุญาตให้ไปกับนล ยามนี้ทรงกลายเป็นนักรักที่เปี่ยมไปด้วยสิเน่หาท่วมท้นได้อย่างไรกัน ทยุติธรผู้สดับแต่ทฤษฎี หากมิได้เคยลองปฏิบัติ ทรงลืมไปแล้วถึงคำว่า......... ‘นุ่มนวล’

 แล้วรัศมีสองรัศมีกลายเป็นสีเขียวเดียวกันเจิดจ้ายิ่งกว่าของนาคาใดๆ ภายในคือวงแขนแข็งแรงที่โอบกอดพระวรกายงามระหงแน่น ประตูลงสู่บาดาลถูกหมางเมิน มุจลินทร์พยายามขัดขืนแต่ไฉนเลยจะสู้ เดชะจากคนสวมกอด

“ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันจะกลับบาดาล”

“บอกแล้วไงจะพาไปเที่ยว ทำไมต้องปล่อย นานๆเราจะมีโอกาสอย่างนี้เสียที เราปล่อยเราก็โง่แหละ” พระอุปนิสัยยามตรัสที่ชอบทรงตั้งคำถาม ทำให้คนฟังไม่สบพระทัยทุกครั้ง ที่ห่างหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง

ริมโอษฐ์แดงสีสดเริ่มโลดไล่คลอเคลีย บริเวณพระปรางและพระศอของมุจลินทร์ ซึ่งพยายามหลบเลี่ยงแต่มีฤาจะสู้แรงทยุติธรได้

“เหอะน่า จะพาไปเที่ยว ก่อนกลับบ้านของเรา”

ครานี้ทรงทอดเสียงอ่อนลง และด้วยเทวฤทธิ์หนทางจะพาไปเที่ยวนั้น กลับใช้เวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ แล้วทั้งสองพระองค์ก็เสด็จถึง ณ ภายใต้ร่มสาละใหญ่ริมอโนดาต ทยุติธรยังทรงรัดมุจลินทร์ไว้มั่น และพระนางก็ยังคงขัดขืน ถึงเวลาที่ความในใจที่มีต้องถูกถ่ายทอด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป การอภิเษกนั้นเป็นไปเพราะรักชักนำ มิใช่เพราะหน้าที่

“เมื่อเจ้าคุยกับนลแล้ว ถึงเวลาที่เราจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวบ้าง”

แต่วิธีคุยของเทวนาคาหนุ่มน้อยแทนที่จะทรงคุยอย่างปกติ กลับทรงใช้วิธีคุยวิธีเดียวกับอัสดงเวลาคุยกับสีทันดรมาเสียนี่ พระวรกายของมุจลินทร์ถูกดันเข้ากับโคนต้นสาละใหญ่ พระโอษฐ์ปิดสนิทแน่นลงไปทันใด

มุจลินทร์เมื่อทรงถูกทำเช่นนี้ เทวฤทธิ์ก็คล้ายจะเลือนหาย สิ่งที่ทรงทำได้เป็นการป้องกันจากการโดนรังแกตามสัญชาติญาณของอิตถีเพศทั่วไปกระทำคือ ใช้ปลายพระนขาทั้งหยิกทั้งข่วน บริเวณต้นพระพาหา แต่คนที่กำลังรังแกกลับมิทรงสะทกสะท้านอันใด ทรงดำเนินบทนักรักต่อไปไม่หยุดยั้ง จวบจนมุจลินทร์ทรงหยุดเอง และประทับแน่นิ่ง พระอัสสุชลไหลพราก คะแนนความดีที่บวกให้ทั้งหมดเหลือศูนย์

“จูบแค่นี้ทำไมต้องร้องไห้ เพราะเป็นเรา ไม่ใช่ไอ้นลใช่ไหม”

เอาอีกแล้วทยุติธรทรงตรัสแบบนี้อีกแล้ว ผู้หญิงที่ไหนเล่าจะอยากคุยด้วย มุจลินทร์มิทรงตอบอันใด สะอื้นหนัก พระเกียรติยศโดนย่ำยี  ทยุติธรเริ่มทรงพะวักพะวน ทำไรมิถูก ในพระทัยเริ่มบริภาษด่าพระอาจารย์ผู้ถวายบทเรียนการเจรจาให้

'ไอ้อัสดง ไหนว่าได้ผลไง'

“ทรงเป็นบ้าอะไรเพคะ”

แม้พระอนุชาจอมดื้อจะทรงเตือนมาแล้ว ให้คุยกันดีๆ อย่าใช้วิธีห่ามๆแบบอัสดงแต่กลับมิทรงเชื่อ ด้วยความที่ทรงโปรดการรบคลุกคลีอยู่แต่กับทหารราชองครักษ์ตั้งแต่เยาว์ชันษา จึงมิทรงรู้ว่า ‘ความนุ่มนวล’ ที่ทรงลืมไปนั้นต้องทำอย่างไร 

“ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นเมียยักษ์นัก งั้นเราจะพาเจ้าคืนบาดาล ไปเข้าเฝ้าสมเด็จแม่ด้วยกัน ให้ยกเลิกงานอภิเษกทั้งหมด แล้วเอาเจ้าไปส่งยังวิมานท้าวเวสสุวัณในฐานะพระสุณิสา พอใจหรือยัง”

มุจลินทร์สุดจะสะกดกลั้น จึงดันพระวรกายทยุติธรออกสุดพละกำลัง แล้วสะบัดปลายพระหัตถ์กระทบพระพักตร์ดังสนั่นแรงตบทำให้แสบๆคันๆและชาที่ผิวพระพักตร์จริง แต่ไยกลับมีอำนาจทำให้ซ่าลงไปยังขั้วพระทัย หากเป็นสตรีอื่นคงมิแคล้วโดนลงพระอาญาหนัก แต่นี่เป็นมุจลินทร์ โทษของพระนางสถานเดียวคือ จูบที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม

แม้นปลายนิ้วเจ้าสะบัดโดนหน้าพี่    แต่ใจนี้หาชาตามหน้าไม่
กลับซาบซ่านคันระยับที่หัวใจ   จงตบพี่ให้สมใจเถิดแก้วตา

พระโอษฐ์แห่งเทวนาคาหนุ่มน้อยประทับลงแน่นสนิทอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดพระวรกายเพราะทรงรู้สึกได้ถึงรอยคมที่กรีดลงบนต้นพระพาหา พระหัตถ์รีบปล่อยพระวรกายแน่งน้อยพลัน แล้วรีบนำมาห้ามพระโลหิตพร้อมกับเบี่ยงพระวรกายออกทันที

“โอ๊ย”

กริชที่เสกขึ้นด้วยเทวฤทธิ์ ตกลงจากหัตถ์ที่งามดั่งเทียนขี้ผึ้ง พระสติกลับคืน ริมโอษฐ์สั่นพร่า ยามเห็นทยุติธรทรุดลง “ฝ่าบาท”

มุจลินทร์ถลันเข้ามาดูบาดแผลที่ฝากไว้แทนแรงตบ ทยุติธรเริ่มมีรอยรื้นแห่งพระอัสสุชล พระสุรเสียงสั่นพร่ามิแพ้กัน อยากจะจับความได้ว่า ‘น้อยพระทัย’ หรือ ‘เสียพระทัย’

“เจ้าคงเกลียดเรามากเลยสินะมุจลินทร์”

“อย่าเพิ่งตรัสอะไร ขอหม่อมฉันดูบาดแผลหน่อย”

“ไม่ต้องแผลแค่นี้ไม่ทำให้เราถึงตายหรอก แต่สิ่งที่จะฆ่าให้เราถึงตายก็คือใจของเจ้ามุจลินทร์”

“ทรงเลิกตรัสแบบนี้เสียที” มุจลินทร์มิสนพระทัยว่าเขาพระองค์นี้ จะตรัสพ้ออย่างไรสิ่งสำคัญคือเข้าไปช่วยดูบาดแผล แต่คนเจ็บก็ยังมิยอมหยุด หนำซ้ำยังหยิบกริชที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมายื่นส่งให้

“เอาสิ รอช้าอยู่ทำไม ฆ่าเราให้ตายเสียตรงนี้ เจ้าจะได้หมดพันธะเจ้าจะได้หมดพันธะที่จะต้องแต่งงานกับเรา แทงเราตรงกลางหัวใจนี่แล้วเจ้าจะได้เห็นว่า หัวใจของเรามิได้มีคำว่าหน้าที่ และความเหมาะสมอย่างที่เจ้าเข้าใจ มันมีแต่คำว่ารักเท่านั้น” ทยุติธรทรงหยุดเว้นวรรคเพื่อกลืนพระเขฬะ แล้วทรงกล่าวต่อด้วยพระสุรเสียงที่จับได้แล้วว่าน้อยพระทัย

“เราอุตส่าห์ตั้งใจพาเจ้ามาที่นี่ เพื่อมาคุย มาบอกความในใจทั้งหมด ความในใจ ของเราที่มีเต็มหัวใจว่า เราจะมีแต่ความจงรักและภักดี อย่างมิมีใครเทียมเท่า นับตั้งแต่วันแรกที่เจอ หัวใจของเราได้วางไว้แทบเบื้องบาทของเจ้าจากครั้งเยาว์วัย ตราบจนกระทั่งวันนี้”

“ฝ่าบาท”

“เราก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีหญิงสาวสุดที่รักคนหนึ่งสุดหัวใจ รักโดยไม่มีหน้าที่และฐานันดรศักดิ์ใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ณ ที่นี้เราเป็นเพียงแค่ทยุติธร มิใช่เทวนาคาและโอรสาองค์โต ทยุติธรผู้มีใจรักมั่นคง ทยุติธรผู้ขาดเขลา ไม่กล้าที่จะบอกและสารภาพว่ารักเจ้ามานานแล้วมุจลินทร์”

จากที่ไม่กล้าบอก ทยุติธรกลับบอกมาเสียหมดหัวใจ เป็นเพราะความเจ็บหรือความน้อยพระทัยที่ทำให้ทรงกล้าก็มิทราบได้

“ทำไมถึงไม่ทรงกล้าล่ะเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าเรื่องอื่นทรงกล้าไปเสียแทบทุกเรื่อง” มุจลินทร์ตรัสตอบและถือโอกาสเข้ามาดูบาดแผลโดยยังมิยอมสบพระพักตร์ด้วย โชคดีที่บาดแผลไม่ลึกมาก พระโลหิตถูกห้ามด้วยทันท่วงที สไบหอมกรุ่นถูกนำมาใช้ต่างผ้าพันแผล  เหลือแต่พระภูษาเคียนพระอุระที่งามราวปทุมสวรรค์

“ยกเว้นเรื่องของหัวใจ เพราะเรากลัวว่าคำตอบที่ได้ มันอาจทำให้เราใจสลาย เราอาจจะเอาแต่ใจตัวเอง และเอาใจใครโดยเฉพาะผู้หญิงไม่เป็น แต่เราสาบานได้ว่า สิ่งที่เราทำกับเจ้าทั้งหมดนั้น มันคือความต้องการของหัวใจเราอย่างที่จริง”

จากพระโทสะชิงชังจนใช้เทวฤทธิ์ทำร้าย กลับมีอาการวาบพระทัยแผ่ซ่าน รัศมีสีชมพูกุหลาบกระจายเป็นวงกว้างจากชายที่คุกพระชงฆ์อยู่ตรงหน้า เสียงทิพยดนตรีเสนาะดังแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่งผ่านเข้าพระโสต แต่จะมีความหมายอันใดเท่ากับสุรเสียงก้องกังวานของทยุติธรในเวลานี้ มุจลินทร์เริ่มปฏิเสธองค์เองไม่ได้แล้วว่า พระหทัยก็สั่นไหวระรัวเช่นกัน ...แล้วจู่ๆ ภาพของนลกุพรก็ปรากฏ ทำให้ทรงคำนึงได้ว่า ตรัสบอกกับนลกุพรว่าอย่างไร 

ในความคิดอันสับสนนั้น การแผ่กำจายของรัศมีสีกุหลาบยังคงเพิ่มขึ้น ความคิดอีกกระแสแทรกเข้ามาทำลายภาพของนลกุพรกระจัดกระจาย ‘เขารักเรา มิได้ทำด้วยหน้าที่อย่างที่เราเข้าใจ’ มุจลินทร์ไม่แน่พระทัยว่าทรงรู้สึกอย่างไรกันแน่ หากที่ทรงอยากรู้คือ สิ่งที่ทยุติธรบอกจะทรงมั่นใจได้เพียงไรว่าเขาตรัสจริง

แม้นชายใดใจประสงค์มาหลงรัก
ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น
อันความรักของชายนั้นหลายชั้น
เขาว่ารักรักนั้นประการใด

จงพินิศพิศดูให้รู้แน่
อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล
เปรียบเสมือนปริศนาอย่าไว้ใจ
มันมักใหญ่เพลงขุมเป็นหลุมพลาง*

“หม่อมฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าทุกอย่างที่ตรัสเป็นความจริง” มุจลินทร์เปรยกับองค์เองในพระทัย พระเนตรคู่งามหลบหลีกพระเนตรฟ้าครามแรงกล้า ความรู้สึกวาบที่หทัยแผ่ซ่านเป็นระยะเรื่อยขึ้นสู่พระพักตร์จนเป็นสีแดงระเรื่อ รัศมีสีชมพูกุหลาบเข้มข้นเจือฟ้าครามขาบน้ำเงินสดใสตลบอบอวล เทวะทุกพระองค์ย่อมรู้ดี รัศมีจะแสดงความรู้สึก ปกปิดมิได้ หากสีกุหลาบบ่งบอกถึงความรักสิเน่หา แล้วสีฟ้าครามขาบน้ำเงินสดใสเล่าจะแสดงถึงอะไร ถ้าไม่ใช่ ‘ความหนักแน่นมั่นคง’

มุจลินทร์ไม่ใช่ไม่ทรงทราบ...แต่บัดนี้เวลานี้ นลกุพรยังเป็นภาพที่ติดในพระทัยยากจะลืมเลือน

ทยุติธรเองเหมือนจะทรงทราบความในพระทัย ‘ที่แท้ เจ้าก็ไม่มั่นใจนี่เอง’ วงแขนแข็งแรงที่เคยปล่อย จึงเริ่มทำงานนุ่มนวลกว่าเดิม อาการเจ็บแปลบที่ต้นพระพาหามลายหาย ทยุติธรอาศัยช่วงที่มุจลินทร์นิ่งงันโอบบั้นพระองค์เข้ามาช้าๆ จนพระวรกายงามระหงปานรูปสลักแนบชิดติดพระอุระ พระนลาฏถูกคลอเคลียด้วยริมโอษฐ์แดงสดยิ่งกว่ากลีบกุหลาบใดๆ

มุจลินทร์ทำองค์ไม่ถูกแต่ไม่ขัดขืนอีกต่อไป พระกรคู่งามทั้งสองข้าง โอบตอบพระปฤษฎางค์เทวนาคาหนุ่ม รอยแย้มสรวลกว้างผลุดขึ้นทันใด มุจลินทร์ทรงทราบแล้วว่าคนเอาแต่ใจพระองค์นี้ตรัสจริงหากอารมณ์ซับซ้อนยากแก่การเข้าใจตามธรรมชาติของอิตถีเพศทำให้ต้องทรงทูลถามย้ำ

“ทุกอย่างคือความจริง ฤาทรงหลอกเล่น หม่อมฉันจะแน่ใจได้อย่างไร”

“เราไม่เคยสาบาน เพราะศักดิ์แห่งโอรสาและราชนัดดาแห่งบาดาลย่อมเหนือคำพูดใดๆ ทว่าวันนี้ มุจลินทร์กัญญาจงสดับไว้ ทยุติธรขอสาบานว่าทั้งชีวิตจะมีแต่มุจลินทร์พระองค์เดียว”

ไม่มี ‘เจ้า’ ไม่มี ‘เรา’ ไม่มี ‘หม่อมฉัน’ ไม่มี ‘ฝ่าบาท’ สรรพนามทั้งมวลถูกแทนมาด้วยพระนามโดยไม่เกี่ยวข้องกับอิสริยยศ ณ เวลานี้ จะมีเพียง ‘ทยุติธรและมุจลินทร์’ ความประภัสสรแห่งหฤทัยฉายชัดแล้วและมุจลินทร์ก็หมดสิ้นข้อกังขา

“แม้วันนี้มุจลินทร์จะมิได้เอ่ยว่ารักตอบ หากทรงประทานเวลา มุจลินทร์ขอสาบานว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมีแต่ทยุติธรเพียงพระองค์เดียวและจะดำรงศักตินางแก้วคู่พระทัยมิให้มัวหมอง ให้สมพระนามทยุติธรที่แปลว่าผู้ทรงไว้ด้วยความยิ่งใหญ่เรืองรอง ทยุติธรจะรอได้ไหม”

“ต่อให้รอจนพระศรีอารย์เสด็จ ทยุติธรก็จะรอ”

“ขอบพระทัยเพคะ ทรงรู้ไว้เถิดว่า หัวใจทั้งสี่ห้องของหม่อมฉัน บัดนี้เกือบครึ่งหนึ่งเริ่มเป็นของทยุติธรแล้ว”

“ยอดรัก จงจำไว้ว่า เพียงแค่เกือบครึ่งหนึ่งทยุติธรก็ยินดี แต่อยากให้มุจลินทร์รู้ไว้ว่า ทยุติธรมีมุจลินทร์ในหัวใจทั้งสี่ห้องนานแล้ว” สุรเสียงเอาแต่พระทัยเลือนหาย ความอ่อนโยนที่มิมีผู้ใดเคยเห็น นอกจะพระมารดาและพระอนุชา กลับมีนางอันเป็นที่รักเพิ่มเข้ามา ริมโอษฐ์ประทับกลางนลาฏอีกครั้งแผ่วเบาดุจปุยนุ่น ....นี่แหละวิธีที่อัสดงพร่ำบอก และทยุติธรก็เพิ่งทรงทำได้ เพิ่งเข้าพระทัย

“มุจลินทร์จะไม่ขอจำ เพราะจำย่อมมีวันลืม หากจะบอกทยุติธรว่ามุจลินทร์รู้ เพราะรู้แล้วจะไม่มีวันลืม ทยุติธรจะฉายฉานเรืองรองในใจตลอดไป...เพียงแค่...รอเท่านั้น”

รัศมีทิพยาสอดประสานทิพยทำนองก้องกังวานทั่วอโนดาต พระพายพัดโบกตฤณชาติงามหลากสีลอยอวล ทิพยภพที่งามอยู่แล้วกลับงามยิ่งขึ้นไปอีกด้วยเพราะรักพิศุทธิ์อุบัติ ความสมดุลแห่งพลังทางบาดาลเติมเต็มไร้ช่องโหว่ ทวยเทพน้อยใหญ่ประนมกรยินดีน้อมสักการะ

“ไชโย ทรงพระเจริญ”

หากเป็นมนุษย์ชายธรรมดาหรืออย่างวัยรุ่นสมัยนี้ ทยุติธรคงชูพระหัตถ์กำแน่นแล้วคงร้อง ‘เยส’ ออกมาดังๆ ทว่าทรงกลับกอดมุจลินทร์แน่นกว่าเดิมและมุจลินทร์ก็ทรงปล่อยพระองค์อยู่ในอ้อมกอดนั้น รอยแย้มโอษฐ์กว้างอย่างไม่เคยทรงเป็น  วันนี้ต่างองค์ต่างทรงรู้พระทัยกันแล้ว .....รอเพียงแค่เวลาเท่านั้น ที่สี่ห้องพระทัยจะมีแต่ทยุติธร
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2019 17:10:29
วงเหล้ากว่าจะเลิกได้ก็ปาไปเกือบหลังเที่ยงคืน อณูน้อยทั้งหลายต่างสังสรรค์กันเต็มที่โดยเฉพาะเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วนลกุพรที่กระดกแล้วกระดกอีก จนคนที่จัดว่าคอแข็งอย่างน้ำเชี่ยวยังอึ้ง

“มันนึกว่าเป็นน้ำเปล่าหรือไงวะ บอกไว้ก่อนนะโว้ย ถ้าเมาเหมือนหมา กลับบ้านพักไม่ได้ มึงพยุงไปเองคนเดียวแล้วกันไอ้กลด”

และก็เป็นจริงอย่างที่น้ำเชี่ยวบอก เพราะทรงกลดต้องแบกร่างหนักอึ้งมาคนเดียว ในเมื่อรับปากว่าจะดูแลแล้วก็ต้องดูแลให้ถึงที่สุด โชคยังดีที่นลกุพรยังพอมีสติหลงเหลือบ้าง จึงพอที่จะโซซัดโซเซกลับมากันได้แต่ทุลักทุเลพอสมควร

“นอนซะนล นายเมามากแล้ว” วรกายหนาหนักถูกประคองลงบนเตียง แต่ด้วยความที่แรงนลนั้นมหาศาลการทิ้งตัวลงอย่างรวดเร็ววงแขนกำยำที่กอดคอทรงกลดจึงดึงเขาร่วงลงมาด้วย

“เฮ้ย”

อย่างมิทันได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น ทรงกลดร้องได้เพียงแค่นั้น และก็ร้องไม่ออก เพราะเมื่อตนร่วงลงมาทับพระอุระกว้าง เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วก็ดันเบี่ยงวรองค์ก่ายทับทันที ฤทธิ์เหล้า....สามารถทำให้อารมณ์สิเน่หาบังเกิด กับเจ้ายักษ์นี่หรือไร ฤานลจะแค่เมาเฉยๆ

“นลเราหายใจไม่ออก อย่าทับฉันสิวะ ลุกก่อนนล” ทรงกลดทั้งร้องทั้งดันแต่ก็ไม่เป็นผล นลกุพรทั้งทับทั้งก่ายใช้ร่างของทรงกลดต่างหมอนข้าง คงไม่ใช่แค่เมาอย่างเดียวแล้วล่ะ

“หอมดอกมะลิ ...ทรงกลด เจ้าหอมเหมือนดอกมะลิ” สุรเสียงอ้อแอ้ตรัสไม่ได้ศัพท์เท่าไรนัก

ถ้าตรัสอย่างเดียวก็ไม่เท่าไรนักหรอก แต่ลมหายใจร้อนผ่าวที่เจือด้วยกลิ่นเหล้านี้สิ ทำให้ทรงกลดร้อนไปจนถึงปลายเท้า บรรยากาศที่หนาวเหน็บคุกรุ่นด้วยไอร้อนบางอย่างฉับพลัน อณูน้อยแห่งจันทรเทพเริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะนลกุพรไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น ปลายพระนาสิก ซบอยู่ตรงซอกคอ แถมริมโอษฐ์ยังประกบลงมาอีกด้วย เหลือแต่ยังไม่ได้ซุกไซ้คลอเคลียเท่านั้น ตามธรรมชาติความร้อนเร่า ควรจะหลอมละลายทุกสิ่ง แต่บัดนี้ไม่ใช่ ไอร้อนนั้นกลับทำให้อะไรบางอย่างแข็งตัวอย่างรวดเร็ว พอๆกับคนที่กำลังกอดก็มีความรู้สึกเดียวกัน เพราะแขนของเจ้าอณูน้อยที่กำลังถูกเจ้ายักษ์รัดแน่น เริ่มสัมผัสได้ถึงความแข็งแรงของอวัยวะกลางลำตัวเจ้ายักษ์น้อยเช่นกัน

แม้เทวะเองหากยังไม่ใช้พรหมชั้นสูง ความต้องการในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็มีเสมอเหมือนมนุษย์ปุถุชน หากจะลดน้อยลง แต่สำหรับเขาไม่ใช่ เชื้อไฟสวาทที่เคยเกือบจะมอดที่สวนปารุสกวัณ ยังคงมีอยู่ และบัดนี้ก็ถูกกระพือให้สว่างวาบ ด้วยแรงร้อนผ่าวแห่งลมหายพระทัย แลรุ่งโรจน์จนถึงขีดสุดเมื่อเขาพระองค์นั้นเห็นตนเป็นตน ตรัสเรียกชื่อ ‘ทรงกลด’ มิใช่ ‘มุจลินทร์’

จะทำอย่างไรดีเล่า ทางเลือกมีอยู่ให้สองทาง จะปล่อยให้เป็น อย่างนี้ต่อไป....หรือจะหายตัวออกมาจากอ้อมกอด เพื่อยุติเพราะการจะ ‘มีอะไรนั้น’ ควรมิใช่เหตุแห่งสุราเป็นตัวชักนำ ลมหายใจเฮือกใหญ่จึงถูกทอดถอน ก่อนที่ร่างแห่งอณูน้อยจะกลายเป็นรัศมีเหลืองนวลพุ่งออกมาสว่างวาบอยู่ปลายเตียง

“หักใจเสียดีกว่า หน้าที่ผู้ดูแล ไม่ควรเกินเลยกว่านี้”

อาการหายใจโล่งบังเกิดเมื่อไม่ได้ถูกกอดรัด แต่ไยดันมีอาการเจ็บจี๊ดที่หัวใจดั่งถูกเข็มเล่มน้อยสะกิดบังเกิดด้วย ฤาเพราะเมื่อหลุดออกมา นลกุพรก็นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น มิไขว่คว้า ใฝ่หาหมอนข้างที่มี ‘หัวใจ’ อีกต่อไป

“หลับให้สบายนะนล พรุ่งนี้เช้าเจอกัน”

น้ำเสียงนุ่ม เย็น ทว่าเจือรอยโศกกล่าวขึ้น พร้อมกับขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีที่ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ได้เห็นก็ต้องชื่นชมทุกคนกระพริบช้าๆ ไอรื้นบางอย่างเริ่มเจือระเรื่อแต่ก็ถูกสกัดไว้ได้ทัน ผ้านวมผืนหนาเพียงผืนเดียวที่ถูกจัดไว้ ถูกคลี่คลุมทับพระวรกายสหายเขี้ยวแก้ว สหายที่เขารับปากน้องดื้อว่าจะช่วยดูแลอย่างดี และเริ่มปฏิเสธใจตนเองไม่ได้แล้วว่า สหายใหม่คนนี้นั้น เริ่มเข้ามามีบทบาททางหัวใจ นับตั้งแต่ ‘จูบแรก’ ได้อุบัติ แม้ครั้งนั้นเขาจะเห็นตนเป็นคนอื่นก็ตาม

ภายใต้แสงสลัวจากโคมไฟหน้าบ้านพักผสานแสงจันทร์สีนวลทอสอดส่องทะลุม่านฉลุลูกไม้ขาวพลิ้วไหวต้องแรงลมเย็นยะเยียบยามดึก ค่อยๆปลุกคนที่สลบไสลตั้งแต่หัวค่ำลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ครั้นพอม่านตาเคยเชยกับแสง เจ้าตัวก็มองเห็นใครบางคนฟุบหลับอยู่ข้างเตียง แสงตกกระทบสีเหลืองผสมส้มอ่อนไล่ริ้วเป็นเงาทำให้สีผิวของเขาคนนั้นงามวับจับตา

“ฉัตร....ทำไมมานอนตรงนี้ หรือเขาเฝ้าเราโดยตลอด”

ความทรงจำเริ่มถูกทบทวน ตนจำได้ว่า ภาพครั้งสุดท้ายที่ปรากฏแก่สายตา คือแสงสว่างจ้าวิ่งเข้ามาหาตน พร้อมๆกับแสงอะไรบางอย่างพุ่งออกจากร่างกาย หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ มืดสนิท ตระการตารู้สึกว่า ตนอยู่ในที่ใดสักที่ที่อึดอัดลักษณะคล้ายเป็นอุโมงค์ดำกว้างใหญ่ ฤานี่คือ ความรู้สึกของผู้มรณากาลที่กำลังจะก้าวดิ่งลงสู่อเวจี ทุกอย่างเคว้งคว้าง จิตใจเริ่มมัวหมองเขาคงตายแล้วใช่ไหม ร่างบางเบาในขณะนั้นยังคงล่องลอยไปไร้จุดหมายจวบจนพบกับแสงสว่างสลัวๆปลายอุโมงค์ ทว่าเสียงใครบางคนที่คุ้นหูกลับดังขึ้นพร้อมๆกับแสงสว่างจุดเล็กๆระยิบระยับอีกด้านหนึ่งที่แหวกความมืดมิดเข้ามา แสงนั้นสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมเป็นงามพร้อม คราแรกคิดว่าคงเป็นยมทูต แต่ดวงหน้าที่ยิ้มทอดละไมนั้น ไม่ใช่ กลับเป็นดวงหน้าที่ตนเคยคุ้น ซึ่งจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก ‘คันฉัตร’

“อย่าไปทางนั้น ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”

“ฉัตร นี่ตาอยู่ที่ไหน ตาตายแล้วใช่ไหม”

“เราไม่ใช่คันฉัตร และคันฉัตรก็ไม่ใช่เรา หากจะพูดให้ถูก คันฉัตรมาจากส่วนหนึ่งของเรามากกว่า”

“ตาไม่เข้าใจ ฉัตรพูดอะไร”

บุรุษที่ถูกเรียกว่าคันฉัตรไม่กล่าวตอบอันใดอีก สะบัดมือเพียงน้อย ตระการตาก็รู้สึกว่าร่างของตนเบาหวิวลอยละล่องขึ้นมานั่งอยู่บนพรมหนานุ่มขนละเอียดสีทอง หากมองชัดๆ ก็ต้องตกใจ เพราะเส้นขนที่คิดว่าเป็นพรม แท้จริงคือเขานั่งอยู่บนหลังเสือโคร่งตัวใหญ่ ที่ขนงามยิ่งกว่าเสือตัวใดๆ คนที่บอกว่าไม่ใช่คันฉัตรนั่งซ้อนอยู่ทางด้านหลัง ดวงหน้ายังยิ้มระเรื่อ และเป็นวิธียิ้มแบบเดียวกับคันฉัตร แล้วทำไมยังถึงบอกว่าไม่ใช่คันฉัตรอีก

“นี่มันฉัตรชัดๆ”

“นึกดูดีๆ....ไปกันเถิด คันฉัตร รอเจ้าอยู่นานแล้ว เราจะพาเจ้าไปส่ง หน้าที่ของเจ้ายังมีต้องทำและต้องช่วยคันฉัตรอีกเยอะ”

แล้วภาพทุกอย่างก็พร่ามัว อุโมงค์สีดำบิดเบี้ยวคืนรูปสู่แสงสว่างโชตินาการ ร่างของเขาคนนั้นงามขึ้นอย่างไม่ต้องหันไปมองก็รู้ จริงอย่างที่เขาว่า เขาคงไม่ใช่คันฉัตร ถึงคันฉัตรจะหล่อและเสมือนมีอำนาจพิเศษในตัว แต่ก็ไม่ได้หล่อแบบเอื้อมไม่ถึงอย่างเขาคนนี้ อีกอย่างคันฉัตรคงไม่มีทางนั่งบนหลังเสือ.....เขาไม่ใช่เทวรูปนี่ เอ....หรือว่าเขา จะเป็น...

“นึกออกแล้วใช่ไหม กลับไปได้แล้ว อย่าให้อณูเราเป็นห่วง”

“พระเสาร์!! ท่านคือพระเสาร์”

แสงสว่าง สว่างจ้าขึ้นอีกคำรบแล้วทุกอย่างก็สลาย นั่นแหละตนจึงได้รู้สึกตัว “นี่เราฝันไป ...ทำไมมันเหมือนจริง”

ตระการตาค่อยๆลุกจากเตียงหนานุ่มช้าๆ เดินออกมาหน้าบ้านพัก ทำเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวจะรบกวนคันฉัตร ลมยามดึกที่ใกล้จะถึงเวลาเช้ามืดเย็นยะเยียบยิ่งกว่าความเย็นใดๆ ถ้อยคำในความฝันถูกทบทวนซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ

“เป็นไปไม่ได้ เราคงฝันเลอะเทอะ”

หากแต่อำนาจพิเศษบางอย่างที่ตนเองก็รู้สึกได้ ยามอยู่ใกล้ จึงไม่สามารถให้คิดเป็นอย่างอื่น “เขาไม่ใช่คันฉัตร และคันฉัตรก็ไม่ใช่เขา แล้วทำไมจึงเหมือนกันยิ่งนัก”

“เคยได้ยินคำว่าอวตารหรือแบ่งภาคไหม”

เสียงก้องกังวานทำให้ตระการตาที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งเฮือก กลิ่นหอมประหลาดที่เคยบอกว่าเหมือนกำยานจากคนที่ตัวสูงกว่าลอยมาเตะจมูกทันที่ที่หันหน้ามาพบ

“ทำไมแอบออกมาเงียบๆล่ะตา ทำไมตื่นแล้วไม่ปลุก”

“ฉะ ฉัตร” คราวนี้คงเป็นคันฉัตรจริงๆ ไม่ใช่คนที่เหมือนคันฉัตรอย่างในฝัน “ ตื่นตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็เมื่อกี้ แอบออกมาเงียบๆแบบนี้ มาหาไอ้ฉายเหรอ ฉัตรอุตส่าห์เป็นห่วงกลับออกมาหาคนอื่นเสียนี่” คันฉัตรรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าตระการตาคิดอะไรอยู่ แต่การแอบออกมาทำให้อารมณ์หรือตะกอนบางอย่างในหัวใจพวยพุ่งจนอดพูดออกไปไม่ได้

“มะ..ไม่ใช่นะ จะไปหาเขาทำไม ตาออกมาเดินเล่น”  ตระการตาแย้งขึ้นรวดเร็วจนลิ้นพันระรัว ทำไมหนอจึงกลัวว่าคันฉัตรจะเข้าใจผิดด้วยก็ไม่รู้

“เดินเล่นตอนตีสามครึ่งเนี่ยนะตา”

“ก็ตาตื่นแล้วนอนต่อไม่หลับ แถมยังฝันแปลกๆ” ดวงตากลมใส ไม่มีแววพิรุธใดๆ ทำให้คนตัวเตี้ยกว่า น่ามอง ดูไร้มารยา สมชื่อ ตระการตา

“ฝันถึงฉัตรไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่ ถ้าฝันถึงฉายสิแปลก”

คำถามนี้เล่นเอาตระการตาแปลกใจ คันฉัตรรู้ได้ไงว่าตนฝันถึงใคร และในความแปลกใจก็มีความไม่พอใจอยู่นิดๆ ที่เขาคนนี้ชอบพาวกไปหาคืนฉาย ใบหน้าที่เคยยิ้มจึงตูมลง ดวงตากลมแป๋วเริ่มฉายแววไม่สบอารมณ์ และคันฉัตรก็รู้ว่าตูมลงเพราะอะไร

“อย่าทำร้ายตาด้วยคำพูดอย่างนี้อีกนะฉัตร ตาลืมฉายได้เกือบหมดแล้วเชียว อย่าพาฉายเข้ามาอีก” ตระการตาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง คันฉัตรที่เผลอปากไป รู้สึกผิด อยากเอามือตบปากตัวเองสักร้อยทีพันที โทษฐานที่ปากเสีย แต่ตอนนี้คนที่มือใหญ่อย่างเขาทำได้มากที่สุดแค่เพียงเข้ามากุมมือที่เล็กกว่าแนบแน่น

“ฉัตรขอโทษ....ฉัตรจะไม่พูดถึงไอ้ฉายอีก”

 “ช่างเถอะ แล้วฉัตรรู้ได้อย่างไร ว่าตาฝันถึงใคร แล้วอวตารกับแบ่งภาคมันคืออะไร”

“จะตอบคำถามไหนดีก่อนล่ะ เอาล่ะ ไหนๆก็ตื่นด้วยกันแล้ว เราสองคน ไปเดินเล่นกันริมน้ำตรงนู้นดีไหม”

“เดินเล่นตอนตีสามครึ่งเนี่ยนะฉัตร” เอาล่ะ คราวนี้ตระการตาย้อนมาให้บ้าง

“เหอะน่า ฉัตรรู้ว่าตาอยากรู้และกำลังสงสัยอะไรในตัวฉัตร จะได้ถือโอกาสตอบคำถามของตาด้วย”

คันฉัตรไม่รอคำตอบเพียงวูบเดียวเขาพาตระการตามาถึงริมน้ำดังใจหมาย สร้างความประหลาดใจให้ตระการตาอย่างล้นเหลือ

“ฉะ...ฉัตรทำได้อย่างไร”

การเหิรลอย และการย่นระยะทาง เป็นเพียงแค่ความสามารถเล็กๆ ตระการตายังประหลาดใจเสียยกใหญ่ นี่ถ้าหากรู้ว่า เขาสามารถทำได้มากกว่านี้ คงมิตกใจ จนล้มพับไปเหรอ

“อย่าเพิ่งสงสัยเรื่องนี้เลย ตาสงสัยเรื่องที่ฉัตรหน้าเหมือนเทวรูปพระเสาร์ไม่ใช่เหรอ”

“ชะ ใช่”

“งั้นฉัตรขอถามตาหน่อยว่า น้ำระเหยขึ้นไปแล้วตกลงมาเป็นฝนใช่ไหม”

ตระการตาขมวดคิ้วกับคำถามทันที.... เอ๊ะ ฉัตรถามอะไร นี่มันคำถามวิชาวิทยาศาสตร์ที่เด็กประถมสี่ก็ตอบได้ “ใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ตาอยากรู้”

“เกี่ยวสิไม่งั้นคงไม่ถาม เพราะฉัตรกำลังจะถามต่อไปว่า ฝนที่ตกลงมาเป็นน้ำหยดเดียวกับที่ระเหยไปหรือเปล่า”

“ไม่ใช่สักหน่อย น้ำในที่ต่างๆจะระเหยไปรวมกันเป็นเมฆ จากเมฆถึงลงมาเป็นฝน” ตระการตารีบแย้งทันใด

“ตาคงเข้าใจแล้วนะ ว่าน้ำฝนแต่ละหยด เป็นน้ำระเหยจากที่ต่างๆไปรวมกัน และตารู้ใช่ไหมว่าเมฆมีหลายระดับ”

“ก็ใช่อีก ตายังไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับที่ตาอยากรู้เลยนะ”

ตระการตาเริ่มกระเง้ากระงอดกับเขาก็เป็น ดึงมือตนออกจากการกุมของคันฉัตร แต่มีหรือที่นายคันฉัตรจะยอมปล่อย ดังคำที่เขาเคยบอก ‘สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในมือฉัตร ย่อมไม่มีวันหลุดมือ’ หนำซ้ำเวลานี้ คันฉัตรเริ่มทำอย่างที่ไม่เคยทำ คือโอบตระการตาไว้เสียแน่น และมีฤาที่ตระการตาจะขัดขืน หน้าแดงแน่ล่ะอย่างหนึ่งและใจก็เต้นแรงด้วย อำนาจบางอย่างในตัวคันฉัตรทำให้เขาไม่มีทางปฏิเสธได้ จำต้องปล่อยให้มันดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น

“เกี่ยวละตอนนี้ เพราะจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ จะเป็นพลังงานเบาโปร่ง เสมือนเมฆบางๆที่ลอยอยู่ในชั้นสูง จิตวิญญาณเหล่านั้นมนุษย์เรียกหรือบัญญัติให้เป็นเทวะหรือเทวดา กลุ่มก้อนของเทวะจึงประกอบด้วยอณูมากมาย อณูแต่ละอณูจึงไม่ใช่เทวะแต่มาจากเทวะ ฉัตรก็เหมือนน้ำฝนหยดเดียวจากก้อนเมฆ นี่คือความหมายของอณูแห่งเทวะ มิใช่เทวะ หรือตาจะนึกถึงก้อนดินหุ้มทองไว้ก็ได้ นั่นคือ ฉัตร ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมที่พระเสาร์ท่านว่า ฉัตรไม่ใช่ท่าน ท่านไม่ใช่ฉัตร”

ตระการตาเข้าใจ คำว่า ‘อวตาร’  ได้อย่างแจ่มแจ้งทันทีที่คันฉัตรพูดจบ เสมือนมีภาพบางภาพปรากฏให้เห็นของการกำเนิดและการแบ่งลงมา นี่ไงคือสิ่งที่เขาสงสัย และบัดนี้ก็ได้กระจ่างแล้ว ถึงว่า ทำไมคันฉัตรหน้าตาละม้ายเทวรูป ที่ว่าไปเป็นแบบของเขามานั้น รู้ได้ชัดเลยว่า ไปเป็นแบบมาจริงๆ มิน่าล่ะ พวกเขากลุ่มนี้ถึงมีอำนาจน่ายำเกรงแปลกๆ ครั้งแรกสุด ตั้งแต่เห็นกระโดดลงเรือ เพราะดูเหมือน ‘เหาะ’ ลงกันมาเสียมากกว่า อีกทั้ง เหตุการณ์ที่คืนฉาย ช่วยตนไว้จากคลื่นยักษ์ และยิ่งเหตุการณ์ในตอนหัวค่ำวันนี้ แม้ภาพจะเลือนราง แต่มันก็ตอกย้ำความรู้สึกว่า คันฉัตรกับพวกไม่ใช่คนธรรมดาดังที่สงสัย

หากจะถามว่ากลัวไหม ....ตอบได้ทันทีว่าไม่กลัว แต่ยำเกรงในเทวราชอำนาจเสียมากกว่า ทุกอย่างเปรียบดั่งความฝัน ที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง

“ฉะ ฉัตร คือ อณูแบ่งภาคมาจากพระเสาร์” ตระการตาพยายามเบี่ยงตัวออก เพราะรู้สึกถึงการไม่บังควรแล้ว ความรู้สึกด้อยค่า คิดว่าตนต่ำศักดิ์ วาบจับเข้าหัวใจแทนอารมณ์เขิน มิควรให้ผู้ที่มีกำเนิดสูงกว่ามากอดมนุษย์อย่างตนที่มั่นใจว่ามีกำเนิดปกติ

“ปล่อยตาเถอะฉัตร ...ตาเป็นแค่มนุษย์ ตาควรสักการะฉัตร”

“ฉัตรก็เป็นมนุษย์ หากแต่มีเกินมนุษย์ มิจำเป็นต้องสักการะฉัตร หากอยากสักการะ ไปสักการะเทวรูปพระเสาร์ท่านนู่น แต่ถ้าอยากจะสักการะฉัตร จะทำจริงๆ ก็ได้ ....แต่วิธีจะค่อนข้างแปลกหน่อย”

แล้ววิธีการสักการะ ก็ถูกถ่ายทอดเป็นเสียงกระซิบข้างหู เล่นเอาตระการตาหน้าแดงอีกครั้ง น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่คันฉัตรจะใช้น้ำเสียง ยียวน ทำหน้าทำตาทะเล้น แถมยังหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ

“เหอะ ฉัตรบ้า...ลามกเหมือนกันนะ งั้นไม่สักการะแล้ว” เสียงน้อยๆ สั่นระรัวกล่าวตอบก่อนเฉไฉเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่อง “มาเล่าให้ตาฟังนี่ ไม่กลัวตาเปิดเผยความลับเหรอ”

“กลัวทำไม เพราะตาเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำเช่นกัน สวรรค์ได้กำหนดไว้ให้ตาแล้ว มิฉะนั้น มนุษย์อย่างตา คงไม่ได้มาเจอกับพวกฉัตรหรอก การที่เทวะอวตารลงมา นั่นย่อมแปลว่ามีหน้าที่ที่ต้องกระทำ ตาลองนึกดู ว่าทำไม ตาต้องมาที่นี่ ทำไมตาต้องเจอกับพระที่ดอยสุเทพ แล้วทำไมจี้ที่คอของตาหายไป ”

ตระการตาเพิ่งรู้สึกว่า คอตัวเองโล่งๆ ใช่แล้ว “จี้รูปจักร” หายไป “แล้วหายไปตั้งแต่เมื่อไร”

“เจ้าของเขามารับไปแล้วน่ะสิ เอาน่าไว้จะเล่าให้ฟังวันหลัง วันนี้รู้เพียงเฉพาะของฉัตรก่อน ส่วนคนอื่นๆถ้าอยากรู้ ไปถามเจ้าตัวเขาเอง”

“คนอื่นๆ ก็คงเป็นเทพทั้งหมด ตาเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม”

“ใช่แล้วตา ทีแรกเราตั้งใจจะปิดตาไว้ แต่ตอนที่ตาสลบ ฉัตรปรึกษากับอัสดงว่าควรจะต้องเล่าให้ตาฟัง และอัสดงก็อนุญาต เพราะตาก็มีหน้าที่ ที่มหาเทวีกำหนดไว้ซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไร พอแค่นี้ก่อนเถิด ค่อยๆรู้ไป รู้มากกว่านี้ร่างกายจะรับไว้ไม่ไหว เกือบตีสี่ครึ่งแล้ว ไปนอนต่อกันเหอะ ยังพอมีเวลาอีกตั้งนานกว่าจะเช้า เผื่อตาจะเปลี่ยนใจ มาสักการะ”

รอยลักยิ้มข้างแก้มปรากฏ ดวงตาอณูน้อย ส่อแววเจ้าเล่ห์ ก่อนรัศมีสีม่วงจะกำจายวาบ ตระการตารู้สึกถึงความอบอุ่น อย่างที่ไม่เคยได้รับ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เพียงชั่วแวบ ตนก็รู้สึกว่ากลับมานอนอยู่บนเตียงหนานุ่มโดยมีวงแขนของอณูน้อยรูปงามแห่งพระเสาร์ตระกองกอด ‘วีธีสักการะบูชา’ ถูกทบทวน เล่นเอาหน้าแดงไม่หาย  เพราะมันแปลกจริงดังที่เขาว่า ไม่จำเป็นต้องมีดอกไม้ ธูปเทียน ไม่จำเป็นต้องไหว้ เพียงแค่ใช้ ‘ตัวกับใจ’ เท่านั้น  แล้วเจ้าอณูน้อยก็เอ่ยทำลายความเงียบมาอย่างทีเล่นทีจริงว่า

“จะไม่ยอมบูชาจริงๆเหรอ”

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย จะบูชาอย่างนั้นได้อย่างไร” เจ้ามนุษย์ตาแป๋วตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก หากเขาบังคับล่ะจะทำอย่างไร

“ก็ลองบูชาสิ จะได้เป็นอะไรกันไง ฉัตรอยากรู้ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นไอ้ฉายขอ ตาคงยอมใช่ไหม” ด้วยฤทธิ์สุราที่ยังคาค้างอยู่กระมัง ทำให้คันฉัตร กล้าขอในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดกล้าทำกับคนที่ยังไม่ได้เอ่ยปากว่าจะคบกัน

“ไหนบอกว่าจะไม่พูดถึงฉายไง ฉัตร”

“มันอดไม่ได้ตา ฉัตรอยากรู้จึงต้องถาม”

“แล้วใครเขาขอตรงๆ ถามตรงๆกันอย่างนี้บ้างล่ะ”

“ฉัตรนี่ไง ตาจะบอกฉัตรตรงๆได้ไหมล่ะ ฉัตรไม่อยากรักใครข้างเดียวซึ่งมันเหนื่อยเปล่า”

จากที่ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าคันฉัตรมีใจให้ หลอกตัวเองเพียงแต่ว่าเขาสงสาร  คำตอบกลับปรากฏอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความหมายนั้นครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ในตัวของมันเอง ความรู้สึกวาบจากหัวใจจุดเดียวแผ่ขยายไปทั่วร่าง วิ่งซ่านผ่านขึ้นใบหน้า จนรู้สึกถึงคำว่าร้อนผ่าว นึกๆแล้วก็น่าขัน โชคชะตาช่างเล่นตลก คราแรกชอบเพื่อนของเขา กลับกลายมาเป็นเขาเสียนี่ หากจะให้พูดจริงๆ ก็อยากจะบอกว่า ความรู้สึกที่มีให้ฉาย มันเริ่มจางลงตั้งแต่คันฉัตร ให้นิยามรักแก่เขาแล้ว มีเพียงบางแวบเท่านั้นแหละ ที่ภาพของคืนฉายเข้ามาวนเวียน อย่างเช่นตอนที่เจอกันวันนี้ ในเมื่อเขากล้าบอก กล้าพูด ไฉนเราจะไม่พูดไปบ้าง

 “ฉัตรจะไม่มีวันเหนื่อยเปล่า ตาสัญญา”

เพียงเท่านั้น ตระการตาก็รู้สึกได้ว่า ในความเลือนรางสลัวๆ ใบหน้างามคมคายที่ลอยอยู่ห่างเพียงแค่คืบ อีกทั้ง สายตาอันมีมนต์สะกดที่กำลังจ้องมองและรอฟังคำตอบ ฉายแววยินดีอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่เรืองโรจน์วาบดุจดาวฤกษ์แฝงแววเชื้อเชิญปนท้าท้าย มิควรที่จะปล่อยให้เขามองอย่างอย่างนั้นและปล่อยให้ลมหายใจรินรดใบหน้าอีกต่อไป แทนคำพูดทั้งมวล ริมฝีปากอิ่มฉ่ำเสียยิ่งกว่าฉ่ำจึงประกบลงไปบนริมฝีปากของอณูน้อยเสียเอง

ณ บัดนี้ เวลานี้ มันคงไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ หากจะยอมบูชาเขาตามที่เขาขอ เพราะ ‘ใจ’ ได้บูชาเขาไปบ้างแล้ว หากแต่ ‘ตัว’ เล่ายังไม่ได้บูชาอันใดเลย เขาดีกับเราและกล้าถึงขนาดนี้ ไฉนไยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ในสิ่งที่เขาขอเป็นการตอบแทน

เขาว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ และคันฉัตรก็กำลังส่งรอยยิ้มผ่านดวงตาของเขา ริมฝีปากต่างฝ่ายต่างประกบสนิทแน่น บดขยี้กันจนแทบจะเป็นเส้นเดียว วงแขนแข็งแรงของอณูน้อยนอกจากจะกอดรัดแล้วยังลูบไล้ลงไปบนแผ่นหลังของตระการตาถ้วนทั่ว รู้สึกถึงความละเอียดของผิว ที่ยากจะหาในตัวผู้ชาย หากไม่เอาไปเทียบกับสีทันดร ผิวของตระการตาก็จัดว่าเป็นไหมเนื้อดี แต่ถ้านำมาเทียบเคียงกันเมื่อไร ผ้าไหมที่โลมไล้อยู่นี้จะดูด้อยค่าทันที แต่เขาก็สุขใจ

และไม่ต่างอะไรกับมือน้อยๆ ที่ว่องไวไม่แพ้กัน สำรวจไปทั่วเรือนร่างแข็งแกร่งเกินเด็กชายวัยสิบแปด นอกจากแผงอกกำยำที่ได้สัมผัส บริเวณท้องน้อยแบนราบก็ถูกละเลียดและไล่ลงไปลึกพอที่ปลายนิ้วจะรู้สึกว่า พบกับแนวป่าทึบที่ทอดไล่เป็นทางยาวอ่อนนุ่มตั้งแต่สะดือลงไป จวบจนพบกับท่อนซุงใหญ่แข็งแรง ที่บริเวณยอดของลำต้นฉ่ำเยิ้มไปด้วยยางหอมหวาน นิ้วมือน้อยๆ เขี่ยเล่นอยู่อย่างนั้น

ยิ่งเขี่ย ยางก็ยิ่งเยิ้ม!! ยิ่งเขี่ย ยิ่งบังเกิด เสียงสั่นพร่า !!  “ไม่ลองชิมดูล่ะตา”

ใครว่าตระการตาไม่ประสีประสา ....คันฉัตรยืนยันได้คนหนึ่งล่ะว่าไม่จริง!! ภายใต้อาการที่เรียกว่าแบ๊วๆเนี่ยแหละ อย่าคาดหวังว่าจะเจอกริยาสั่นเทิ้ม ตัวสั่นมือสั่นเป็นลูกนก  ทุกอย่างตรงกันข้าม ตระการตารู้งาน ทำเป็น และก็ทำได้ดี ซึ่งมันถูกใจเขาเสียยิ่งนัก

เพียงคันฉัตรยันกายขึ้นมาอยู่ในท่าที่ถนัด กางเกงยีนส์ขาเดฟที่ไม่ได้ตั้งใจจะใส่นอน ก็ถูกรูดลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือแต่เพียงปราการสีขาวด่านสุดท้ายที่ตระการตาแสนรู้งานกำลังจะก้มลงใช้ปากถอดให้ คันฉัตรจูบที่หน้าผากเบาๆ แล้วใช้มือช่วยประคองศรีษะของตระการตาอยู่ในระดับที่เหมาะสม แล้วในความคิดเพียงแวบหนึ่ง แวบหนึ่งเท่านั้น ภาพของคืนฉายดันเผลอหลุดเข้ามาในห้วงคำนึง ตระการตาคิดเพียงแค่ว่า........... “ หากเป็นฉาย คงไม่มีทางอ่อนโยนแบบฉัตรแน่ๆ”

เพียงเท่านั้น เท่านั้นเอง คันฉัตรสะบัดตัวออกพลัน ตระการตาหยุดชะงักทันใด

เกิดอะไรขึ้น ฉัตร”

“อย่าเพิ่งดีกว่าตา หากในห้วงคำนึงของตา ยังเอาฉายมาเปรียบเทียบกับฉัตร เราอย่าเพิ่งมีอะไรลึกซึ้งดีกว่า ฉัตรขอโทษที่จุดไฟขึ้น และยอมรับผิดที่เลิกเสียกลางคัน หากวันใดตาไม่เหลือไอ้ฉายในจิตใจแม้กระทั่งขนาดเท่าหัวไม้ขีด เมื่อไร วันนั้นเราค่อยมีอะไรกัน”

ตระการตาตัวชาวาบ ไม่ตกใจที่ฉัตรล่วงรู้ แต่เสียใจที่มิควรเลย มิควรจริงๆ ที่จะดึงฉายเข้ามา ทั้งๆที่ตนเป็นคนห้ามเขาไม่ให้พูดถึงเอง “ตา ขอโทษ ตาขอโทษจริงๆ”

“ช่างมันเหอะ ตา นอนกันเถิด พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า”

คันฉัตรเปลี่ยนกางเกงจากยีนส์ขาเดฟเป็นกางเกงนอนแล้วเอนกายลงที่เดิม แต่ก็ไม่ลืมที่จะดึงตระการตาเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง ทำเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ตระการตารู้ซึ้งแล้วว่า ผู้ชายอย่างคันฉัตร หยิ่งและรักศักดิ์ศรีของตนมากเพียงไร ไม่ชอบที่ใครจะนำเขาไปเปรียบเทียบกับใครอีกคน หัวใจของผู้ชายคนนี้เป็น ‘นักเลงมีระดับ’ ควรแล้วหรือ ที่จะเอาคนอื่นมาไว้ในห้วงคำนึงยามที่อยู่กับเขา

“ฉัตร ตาสัญญา ว่าต่อไป ตาจะไม่มีฉายในห้วงคำนึงอีกแล้ว”

“มันต้องอย่างนี้สิที่รักของฉัตร มิเสียแรงที่ชอบตั้งแต่แรกเห็น” ริมฝีปากของคันฉัตรประทับลงกลางหน้าผากของตระการตาอย่างช้าๆ ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า “นอนเสียคนดี พรุ่งนี้เช้าเราจะเริ่มต้นกัน”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2019 17:12:09
ในขณะที่บ้านของคันฉัตรเริ่มจะหลับลงอีกครั้ง บ้านของทรงกลดก็ปรากฏรัศมีสีแดงโกเมนระเรื่อ ซึ่งจะเป็นของใครไม่ไม่ได้นอกเสียจากนลกุพร ที่กำลังบิดกายสะบัดพระเศียรไล่ความมึนงง ‘น้ำตาลูกผู้ชาย’ เหือดหายไปแล้ว ดั่งคำสั่งของพี่เลี้ยง แล้วพี่เลี้ยงนามว่าทรงกลดบัดนี้ไปนอนอยู่ไหนเสียเล่าทำไมบนเตียงไม่มี

ภายใต้แสงสลัวเลือนราง ร่างสูงโปร่งที่ยามกระทบแสงจันทร์ก่อเกิดรัศมีสีเหลืองนวลจางๆ ทำให้เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วทอดพระเนตรเห็นร่างที่กำลังคุดคู้ห่อกายหลบความหนาวเย็นอยู่บนชุดโซฟา จึงรีบเสด็จเข้ามาใกล้ หมายพระทัยจะปลุกให้ตื่นพาไปนอนบนเตียง

“ทำไมทรงกลดมานอนอยู่ตรงนี้ เตียงก็มีนี่นา หรือว่าเมา ก็ไม่นี่ เราเองต่างหากที่เมา”

“ดูๆไป เวลาเจ้านอนหลับ เจ้าเหมือนเด็กนะทรงกลด ไม่เหมือนตอนตื่นชอบทำหน้าทำตาเศร้าๆ เทพอะไร นอนหลับ ปากจู๋ๆ แดงๆ” นลกุพรที่เพิ่งสร่างเมา ก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรใบหน้าของทรงกลดที่กำลังหลับจนชิด ชิดจนรู้สึกถึงลมหายใจของทรงกลด ความน่ามองสำแดงชัด

“จันทรเทพ เทวบุรุษที่สร้างมาจากเทวธิดาสิบห้านาง ขนาดหลับเสน่ห์ยังกำจาย หล่อนะ มิน่าถึงมีชายาตั้งยี่สิบเจ็ดนาง”

นลกุพรยังนั่งจ้องใบหน้าที่หลับใหลอย่างไม่วางพระเนตร โดยเฉพาะริมฝีปากสีแดงสดแม้ในความมืดนั้นก็เห็นชัด ตนจำได้ดีถึงความนุ่มนิ่มดุจกำมะหยี่ ฉ่ำดั่งลูกตาลหวานยามที่ได้สัมผัสแลก็ยากจะถอดถอนออก และเริ่มอดไม่ได้ที่จะสัมผัสอีกครั้ง ว่าแล้วจึงใช้ปลายดัชนีแตะลงไปเบาๆ

“ปากเจ้ายามเหมือนอิสตรี มันแดงเองหรือเจ้าใช้ชาดทา”

เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วไม่หยุดอยู่แค่นั้น เสมือนได้พระทัย จึงเลื่อนปลายพระดัชนีเรื่อยขึ้นไปยังเปลือกตาที่ปิดสนิทขนตาที่หนาเป็นแพยามกระพริบและทอดมองมาครั้งใด โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณก็ทรงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พระทหัยวาบตามจังหวะกระพริบทุกครั้ง กลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอมของมะลิโชยชาย แล้วคำพูดบางคำก็เผลอหลุดออกมา โดยที่ไม่รู้สึกองค์

“หอมจัง เจ้าหอมเหมือนมะลิ ทำไมเจ้า ไม่เป็นเทวธิดานะทรงกลด เราจะได้.......”

พร้อมๆกันนั้นดั่งเหมือนมีมนต์สะกด พระพักตร์ที่เพียงแค่จ้องก้มต่ำลงทันใด ริมฝีปากที่แดงสดเหมือนทาชาดคือจุดหมาย นลกุพรคุมองค์เองไม่อยู่อีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้ประทับรอยจูบดั่งพระทัยหมาย เจ้ายักษ์นลก็ต้องหยุดชะงักโดยพลัน เพราะจู่ๆเปลือกตาและขนตาที่งามงอนก็กระพริบขึ้น พระพักตร์รีบเบี่ยงออกรวดเร็ว

“นล...จะทำอะไร”  ทรงกลดร้องถามออกไปทันที ดวงตาสีน้ำตาลกลมใสสว่างวาบแม้ในความมืด การก้มหน้ามาจนชิดหน้าตนนั้น ทำไมจะไม่รู้ ว่านลจะทำอะไร และในใจอยากจะพูดต่อไปว่า ‘อย่านะนล อย่าจุดเชื้อไฟอีกหน’

“เฮ้ยยยยย  กลดจู่ๆก็ตื่นๆ เราตกใจหมดเลย”

“นล นายยังไม่ได้บอกฉันเลย นายจะทำอะไร”

“เอ่อ....คือเราเห็นหน้าเจ้า เปลี่ยนไปเป็นหน้านางฟ้าอีกแล้วเลยก้มลงมาดู” ปกตินลจะไม่ค่อยมุสานัก แต่ความเขินทำให้จำต้องปดกลบเกลื่อน แต่ก็ทำได้ไม่ได้พอ

“นายแน่ใจนะนล”

“จริงสิโธ่ แล้วทำไมมานอนตรงนี้ เตียงก็มี” เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วถือโอกาสเบี่ยงประเด็นสนทนา

“ก็นายนอนเสียเต็มเตียง” ทรงกลดมิอยากบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ เหตุผลที่หนีการก่ายกอด จนสัมผัสได้ถึงการผงาดตัวของกันและกัน ...นี่เขาทำถูกแล้วใช่ไหม ที่ไม่ฉวยโอกาส ‘มีอะไร’ ตอนนั้น

“แล้วทำไมเจ้าไม่ปลุกล่ะ”

“นายเมา ปลุกแล้วนายไม่ตื่น”

“อ้าว เหรอ....งั้นเราขอโทษ” นลกุพรพระพักตร์เสียสำนึกผิด แล้วทอดเสียงกล่าวต่อมาว่า “ขบวนแห่งพระสุริยาทิตย์ยังไม่เสด็จ เจ้าจะนอนต่ออีกนิดก็ได้นะ มานอนที่เตียงเถิด จะได้สบายหน่อย”

“ขอบใจนล” ทรงกลดนั้นว่าง่ายเสมอ ที่ผ่านมาดื้อก็เพียงแค่ไม่กี่เรื่อง เช่น ‘เรื่องน้องดื้อ’ ว่าแล้วก็ยันกายเดินกลับมายังเตียงนอนในที่ของตน ผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียวถูกนลหยิบยื่นให้

“แล้วนลไม่นอนต่อเหรอ”

“ไม่แล้ว เรานอนมาพอแล้ว และถึงเวลา ตื่น เสียที”

“นล....เก่ง ทำใจได้เร็ว”

“ก็เจ้าบอกเราเองไม่ใช่เหรอ เช้านี้อย่าให้ใครเห็นน้ำตาลูกผู้ชายอีก ขอบใจสำหรับทุกสิ่งในสองสามวันที่ผ่านมา”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรับปากน้องดื้อไว้ ฉันต้องทำให้ดีที่สุด”

“งั้นที่เจ้าบอกกับเราว่า ยินดีดูแล ....มันก็เป็นสิ่งที่เจ้ารับปากสีทันดร เป็นหน้าที่ที่เจ้าต้องกระทำหรือ” สุรเสียงราบเรียบของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วเสมือนมีอำนาจสะกดให้ทรงกลดตัวแข็งเป็นหิน แถมพระพักตร์ยังจ้องมองนิ่งๆ  แต่แปลกนัก เพราะในความนิ่งนั้นดันบังคับให้เลือดในกายพลุ่งพล่าน วิ่งวนแล่นขึ้นสู่ใบหน้า

“นะ..นล! นายถามทำไม”

“อยากรู้เลยถาม ยังไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไร นอนต่อเหอะ เราก็จะเข้าฌานทูลบอกทูลหม่อมพ่อเสียหน่อยว่าอยู่นี่ หายมาหลายวันแล้วเดี๋ยวที่บ้านจะวุ่นวาย” สิ้นคำ นลกุพรก็ทรุดกายนั่งขัดสมาธิเพชร จิตดิ่งลงสู่ฌานระดับสูงรวดเร็ว พระวรกายแปรสภาพแข็งดุจศิลาหินอ่อน ทิ้งให้ทรงกลดงุนงัน กับคำถามและคำตอบอยู่อย่างนั้น

“เหอะ นลกุพร มันจะมีประโยชน์อันใด ถ้าเราบอกไป ที่ผ่านมา นายก็เผลอตัวทุกครั้ง ไม้ได้จงใจกับฉันเลยสักนิด บอกไป นายก็คงจะนิ่งเหมือนตอนนอน ไม่มีทางไขว่คว้า ใฝ่หาหมอนข้างอย่างฉันที่นายลืมไปแล้วว่า..... มีหัวใจ ”

เช้าแล้ว อณูน้อยทุกคนตื่นมาด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใส แม้บางคนจะมีอะไรซ่อนไว้ในใจ แต่ด้วยความงามของธรรมชาติ มันก็สามารถทำให้สงบและทุเลาลงได้... คันฉัตรเดินจูงมือออกมาจากบ้านพักพร้อมตระการตา เพื่อนๆที่ได้เห็นต่างปรบมือเกรียวกราว เพราะภาพนั้นแทนคำพูดได้เป็นหลายร้อยล้านคำ กระแสจิตหรือโทรจิต ส่งบอกกันถ้วนทั่ว ‘การอวตาร’ ได้ถูกอธิบาย ให้แก่คนที่มีหน้าที่ ดังมหาเทวีรับสั่ง อณูน้อยทุกคนเข้าใจ แต่คันฉัตร ก็ขยักเรื่องส่วนตัวระหว่างเขากับตระการตาไว้ ....ให้เพื่อนๆรู้เพียงแต่ว่าคบกัน

“ยินดีด้วยนะครับ ตา....ตาโชคดีที่สุดที่ เอ่อ...คบกับไอ้ฉัตร” คืนฉายแทบจะเข้ามาเป็นคนแรกที่แสดงความยินดีกระมัง เขายิ้มอย่างจริงใจโดยไม่มีอะไรแอบแฝงจับมือแสดงความยินดี คันฉัตรเองก็รู้ แต่แกล้งกระแอมเป็นการเตือน

“ไอ้เชี่ย ฉาย มึงปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวตาไขว้เขวอีก”

และโดยที่ตระการตาไม่คาดคิด เอราวัต ที่ตนเคยคิดว่าไม่ค่อยชอบหน้าตน ก็กลับยิ้มเสียแก้มปริ แถมยังเข้ามากอดไหล่ตนแน่น ‘ยินดีด้วยนะตา’ คำพูดมีเท่านั้น แต่ในใจถ้าใครอ่านความคิดเอราวัตออกก็ต้องหัวเราะ เพราะเจ้าพระพุธน้อย ถอนหายใจมาอย่างโล่งอก........ “ หมดเสี้ยนหนาม หมดหอกข้างแคร่แล้วกู”

ตระการตาเริ่มทำตัวไม่ถูก รู้สึกตนเองด้อยค่าอีกครั้งยามยืนอยู่ท่ามกลางอณูน้อยทั้งหลาย คันฉัตรเริ่มแนะนำว่าใครเป็นใคร และก็ได้รู้ว่า ทำไมฉัตรถึงได้บอกว่าตนอาจจะไม่ชอบพระพุธนัก ที่แท้ ‘อณูแห่งพระศุกร์เป็นคู่รักกับอณูแห่งพุธ’ และเขาก็เคยหลงอณูแห่งพระศุกร์ อย่างคืนฉายมาหัวปักหัวปำ

“ทำตัวตามสบายเหอะ ตระการตา ยังไงพวกเราก็เป็นแค่มนุษย์ ไม่ใช่เทวะเต็มขั้น” ธรรม์บอกให้อย่างยิ้มๆ เพราะเห็นอาการเคอะๆเขินๆ ของที่รักพระเสาร์

“มันยังไม่ชินน่ะ....ฉัตรบอกว่า อยู่ใกล้ๆ พวกนายให้ระวังความคิด ยังทำไม่ได้เลย”

“ใช่..โดยเฉพาะถ้าใกล้เอราวัต ต้องระวัง ขานี้เขารู้และก็ชอบป่าวประกาศ เรียกว่าปากสว่างน่ะ พูดง่ายๆ” ธรรม์ยังแค้นเอราวัติเมื่อคืนที่เกือบทำให้ความลับแห่งหัวใจแตก จึงแขวะมาเสียทีหนึ่ง เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

“เดี๋ยวไอ้เทพฤาษี จะโดน” เอราวัตขู่ขึ้น ฝ่ายคันฉัตรก็ให้กำลังใจที่รักต่อ

“เอาน่าตา ค่อยๆฝึก ค่อยๆเรียนรู้ไป แต่มีบางคนนะ ที่ตาจะเห็นเขาหรือไม่ ขึ้นอยู่ว่าเขาอยากให้เห็นหรือเปล่า”

“ยังไงเหรอฉัตร”

“ก็นอกจากพวกเราแล้ว ยังมี พญานาค ยักษ์ และอีกไม่กี่วัน จะมีครุฑตามมา พวกนี้ต้องระวังให้มาก อยู่ในสภาวะทิพย์เต็มขั้น หากตาอยู่ใกล้ต้องระวัง ร่างกายตาอาจจะทนรัศมีพวกเขาไม่ได้นอกเสียจากเขาจะปรับลงมา”

“อะไรนะ จะ จริงเหรอ”

“ไม่ต้องห่วงศนิเทพ เราไม่ทำอันตรายแฟนเจ้าหรอก” นลกุพรปรากฏกายขึ้น ตบไหล่คันฉัตรเบาๆ เล่นเอาตระการตาแทบผงะ เมื่อได้เห็นการปรากฏของสภาวะทิพย์ตรงหน้า

“เรานลกุพร โอรสาท้าวเวสสุวัณ เทวอสุรา หรือที่พวกมนุษย์ เรียกเราว่ายักษ์ไง”

ตระการตาแทบไม่อยากเชื่อสายตา เพราะคนที่ปรากฏตรงหน้า เป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา คมคาย มิมีเค้าว่าเป็นยักษ์เลยสักนิด แถมยังแต่งตัวแบบวัยรุ่นแถวสยามอีกด้วย

“นลเขาลดสภาวะทิพย์มาเป็นมนุษย์น่ะ ตาเลยมองเห็นเขา” คันฉัตรกระซิบบอก

“เป็นยักษ์ ทำไม ไม่เห็นมีเขี้ยว”

“อยากเห็นเหรอ” สิ้นคำเท่านั้น เขี้ยวแก้วโง้งใสสว่างวาบก็ผลุดออกจากริมฝีปากของนลกุพร ใบหน้าที่คมคายน่ามองกลายเป็นถมึงทึง ตระการตาผงะหงาย ซุกกายหลังคันฉัตรตัวสั่นเทิ้ม

“นี่ไงสิ่งที่เจ้าอยากเห็น เจ้าก็ได้เห็น จิตเจ้าคิดว่ายักษ์เป็นเช่นไร เจ้าก็จะได้เห็นเช่นนั้น เห็นที ศนิเทพต้องให้แฟนท่าน ฝึกจิต ฝึกสมาธิแล้วล่ะ ดีนะที่เป็นเรา หากเป็นสีทันดรล่ะก็ เอ่อ........ไม่อยากพูดเลย”

“นินทาอะไรเราอีก นล” สุรเสียงแว๊ด ดังมาก่อนองค์เสมอ ตระการตาจำได้น้องผู้ชายรูปหล่อผมยาวที่เจอที่ทะเลคนนี้ ชื่อสีทันดรหรอกเหรอ อย่าบอกนะว่าเป็นยักษ์กับเขาด้วย

“จะบ้าเหรอ เราไม่ใช่ยักษ์”

“ได้ยินด้วยเหรอ” ตระการตาพึมพำ แต่สีทันดรก็สวนทันควัน

“ได้ยินสิ ไม่งั้นจะตอบได้เหรอ เหอะพวกมนุษย์อย่างเจ้า น่ารำคาญ ช่างสงสัย ช่างซัก ช่างถาม นี่ถ้าไม่ติดว่า เรามีภารกิจในโลกมนุษย์และอัสสะร้องขอ ต่อให้เจ้าถือศีลบำเพ็ญเพียรทั้งชาติ เจ้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเรา ถ้าเราไม่อยากให้เห็น บอกไว้ก่อน เราไม่ใจดีเหมือนนล”

ตระการตา อ้าปากค้างเพราะโดนเข้าเป็นชุด ตอนอยู่ที่ทะเลก็ไม่เคยได้คุยกัน เพราะน้องเขาเชิดหน้า หยิ่งไว้ตัวเสียเหลือเกิน พอได้คุย ก็ต้องอึ้ง หน้าพลันเสียจนคันฉัตรต้องปลอบ “ น้องดื้อก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสา”

“ไอ้ดื้อ ทำไมไปพูดกับเขาอย่างนั้น เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวโดนทำโทษ” อัสดงที่เงียบอยู่นานปรามแฟนตัวน้อยขึ้น “อย่าไปถือสามนุษย์เลย มหาเทวีทรงมีพระเสาวนีย์ให้เขาทำหน้าที่บางประการ เจ้าอย่ามีอารมณ์นักเลย”

“เห็นแก่พี่เหอะน้องดื้อ....” คันฉัตรเดินเข้ามาอ้อน เจ้านาคน้อยถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ก่อนจะตรัสตอบ

“ก็ได้ เห็นแก่พี่ฉัตรนะเนี่ย” ว่าแล้วก็เสด็จเข้าไปหามนุษย์น้อยที่ยืนหน้าเสีย “เราชื่อสีทันดร มาจากบาดาล ไม่ใช่ยักษ์อย่างที่เจ้าเข้าใจ ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก น้องสีทันดร เอ่อ น้องสีทันดร ชื่อเล่น ชื่อดื้อเหรอ ....ทำไมชื่อแปลกจัง”

ด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ของมนุษย์ จิตทุกคนจับได้ว่าไม่มีมารยาใดแอบแฝง เสียงหัวเราะก็พลันดังขึ้นพร้อมกัน ตระการตามิรู้ ว่าคำว่า “ดื้อ” เป็นแค่สมญานาม ที่ทุกคนพร้อมใจกันทูลถวาย

“จะไม่เมตตามนุษย์ ก็อีตรงนี้แหละ ฮึ ” สีทันดรสะบัดพระพักตร์พรึ่ด แล้วก็หันไปแว๊ดเอากับคนที่ยืนข้างๆ “ หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ อัสสะ นลกับพี่กลดก็ด้วย”

อีกนานกว่าเสียงหัวเราะจะสงบ ตระการตาก็ยังทำหน้าเหรอหรา จนคันฉัตรต้องอธิบายความ ถึงที่มาที่ไป และก็รู้ได้ว่า สีทันดรเป็นใครมาจากบาดาล ความตื่นเต้นระคนนตกใจจนขนลุกซู่ เหมือนประจันหน้ากับพญาอสรพิษไม่ผิดแน่แล้ว โชคดีที่น้องเขายังอยู่ในร่างนี้ .....หากเป็นร่างแบบที่เห็นตามบันไดวัดคงวิ่งป่าราบ

“อยากเห็นแบบนั้นเหรอ”   

“อย่าน้องดื้อ ตระการตาจะตกใจเปล่าๆ แถมเขาจะทนพิษเจ้าไม่ได้ด้วย เอาล่ะๆ มากันครบแล้ว ไปกินข้าวเช้ากันเหอะ” คันฉัตรกล่าวตัดบทเดินจูงมือตระการตาพาทุกคนไปยังห้องอาหาร ซึ่งไม่มีใครอื่นใดปะปน แทบจะเรียกว่า รีสอร์ทแห่งนี้อณูน้อยเหมาไว้หมดเลยก็ได้

ครั้นพอเสร็จมื้ออาหารเช้า คืนฉายกับเอราวัต ก็จูงมือกระหนุงกระหนิง ขอแยกไปเที่ยวกันสองต่อสอง เฉกเช่นคู่รักใหม่อย่างคันฉัตรและตระการตา สีทันดรทรงนึกว่าอัสดงจะพาไปเที่ยวอย่างคู่อื่นๆบ้าง แต่ก็ต้องพระพักตร์ตูม เพราะอัสดง จะอยู่ซ้อมอาวุธบนยอดเขากับทรงกลด น้ำเชี่ยว ธรรม์ ราหู และนลกุพร แม้จะไม่ค่อยพอพระทัยเท่าไรนัก แต่ก็สะกดอาการไว้ได้ เทวะจำต้องดำรงด้วยหน้าที่ และหน้าที่ของอัสดงสำคัญยิ่ง จะให้เขามาเที่ยวเล่นได้อย่างไร

ในระหว่างที่อัสดงนั่งคุยวิธีการใช้จักรกับนลและอณูน้อยที่เหลือเพื่อเตรียมไปบนยอดเขา จะด้วยความที่คุยเพลินหรือติดพัน เลยมิได้สังเกตถึงอาการผิดปกติทางสีพระพักตร์ที่แสดงออกมา.... เจ้านาคน้อยตาสวยทนประทับนั่งเฉยๆสักพัก จึงเสด็จเลี่ยงออกมาประทับยืนเงียบๆ และก็ไม่มีวี่แววว่าอัสดงจะรู้สึกตัวและตามออกมา และก็ทรงอดไม่ได้ที่จะเปรยออกมาด้วยพระทัยหงุดหงิด

“เห็นอาวุธ ดีกว่าเราหรือไง คนบ้า”

แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองก็โผนทะยานเหิรลอยออกไป ขึ้นสู่ยอดเขาที่มีพยับหมอกขาวสะอาดตา ตั้งพระทัยจะเหาะเหิรระบายความน้อยพระทัย แต่ก็ต้องทรงหยุดชะงัก เพราะแรงลมกรรโชกวูบจนพระเกศาดำขลับปลิวไสว วรองค์ที่งามขึ้นเรื่อยๆราวรูปสลักจำต้องประทับหยุดยืนกลางฟ้า ด้วยเหตุแห่งรัศมีสีแดงที่มาขวางทางเสด็จไว้ แว่บแรกทรงคิดว่าเป็นอัสสะ แต่มิใช่ กลับเป็นใครอีกพระองค์ที่ทรงชิงชังยิ่งหนา แต่เขาพระองค์นั้นกลับมิอนาทรร้อนใจในความชิงชัง

“พี่แอบดูเจ้าอยู่ตั้งนาน สีทันดร”

“วายุภัค!!”

“เจ้าจะไปไหน”

วายุภัคทรงตรัสถาม รอยแย้มสำรวลเต็มพระพักตร์ละมุน ประทับยืนขวางหน้าทางเสด็จไว้เช่นนั้น รัศมีสีแดงรอบพระวรกายแปรเปลี่ยนเป็นสีดาวฤกษ์ พระอุระกว้างเปล่าเปลือยพาดไว้แค่ผ้าสีเศวตพลิ้วสะบัด ท่อนล่างภูษาทรงคาดทับสนับเพลาจับจีบหยักรั้งงามสมศักติเทวปักษี ปีกกว้างหุบแนบวรองค์

“เรื่องของหม่อมฉัน ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องรู้ หลีกไป”

“ก็บอกพี่มาก่อนสิ ว่าจะไปไหน ท้องฟ้าคืออาณาเขตที่พี่ดูแลอยู่ และเจ้าก็กำลังลุกล้ำ ฉะนั้น พี่จำเป็นต้องรู้ ”

พระเนตรฟ้าครามใสของเจ้านาคาน้อยเริ่มเจือระเรื่อด้วยเพลิงโทสะแห่งความชิงชังในเทวปักษีเผ่าพันธุ์คู่อริ พอสดับทบทวนมันก็จริงอย่างที่เขาว่า มหาสมุทรแลท้องน้ำทั้งปวงคืออาณาเขตของตน หากแต่ท้องฟ้าและห้วงนภากาศคืออาณาเขตของเขา และก็เสด็จเข้ามาเอง

“งั้นหม่อมฉัน จะกลับ หวังว่าคงจะมีสักวันที่ฝ่าบาท เสด็จหลงไปในอาณาเขตหม่อมฉันบ้าง วันนั้นจะต้อนรับให้สมพระเกียรติยศเลยทีเดียว”

สิ้นพระดำรัส สีทันดรก็เหิรทะยานออกมาเลี่ยงเทวปักษีมาเสียให้พ้น ...ที่เลี่ยง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะทรงรู้ดีว่า หากปะทะกันจริงๆ ฝีพระหัตถ์แลเดชะยังมิสามารถเทียบเคียงวายุภัคได้ ...วายุภัคมิใช่ครุฑบริวารชั้นเลว ที่ทรงสังหารเมื่อคืน

วายุภัคทรงพระสรวลอย่างแจ่มใส ประทับนิ่ง ทอดพระเนตรดู ‘เทวนาคา’ พระองค์น้อยเหิรลอยกลับไปด้วยความรวดเร็วแต่แล้วรัศมีแห่งเทวนาคาก็ต้องสะท้อนกลับมากลางพยับหมอก ที่ทรงประทับรออยู่

“เหอะ...เจ้าคิดเหรอ ว่าเข้ามาในอาณาเขตพี่แล้ว จะออกไปได้ง่ายๆ”

“หม่อมฉันจะกลับ เปิดทางเดี๋ยวนี้”

“พี่ก็ไม่ได้ขวางทางเจ้าไว้นี่” วายุภัคทรงกล่าวตอบ พระพักตร์เลิศลักษณ์แกล้งทำไขสือ หากแท้จริงแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์

“แต่ฝ่าบาท ทรงปิดทาง”

สุรเสียงกราดเกรี้ยวตะโกนก้อง ที่ว่าปิดทางคือการที่สีทันดรทรงพุ่งเข้าปะทะ กับม่านอากาศหนุ่นเหนียว ฝ่าออกไปไม่ได้ และผู้ที่จะทำได้ ก็คงไม่ใช่ใครอื่นไกล ถ้าไม่ใช่ ‘เทวปักษี’ เจ้าของอาณาเขต

“เปิดทางเดี๋ยวนี้ ....หากไม่เปิดหม่อมฉันจำเป็นต้องสู้”

“ทั้งๆที่รู้ว่าสู้พี่ไม่ได้เนี่ยนะ เอาสิ ลองดู ถ้าคิดว่าเก่งนัก ก็ลองทำลายม่านอาคมพี่ดู”

สีทันดรกำพระหัตถ์แน่น หากยังทรงมีสมุทรมณี ต่อให้สิบวายุภัค ก็คงฝ่าออกไปได้โดยง่าย แต่บัดนี้สมุทรมณีหลอมรวมกับจักรามหาเทวะอยู่ที่อัสดง จะเรียกมาใช้งานก็ไม่ได้ ดังนั้น จำต้องฝ่าด้วยฤทธีแห่งพระองค์เอง ว่าแล้ว จึงทรงพนมหัตถ์ระหว่างพระอุระ เทวฤทธิ์ประสิทธิ์โดยพลัน บังเกิดเป็นละอองสีแดงทับทิมเม็ดเล็กๆนับร้อยนับพัน ระยับทั่ว แล้วจากจุดแดงๆเล็กๆนั้นก็ยืดยาวเป็นเส้นสีแดงพวยพุ่งออกไปเป็นนาคราชตัวน้อย เข้าปะทะ ม่านอาคมที่วายุภัคใช้ปิดทางเสด็จไว้

“ทำลายม่านอาคมให้สิ้น กาลอัคคี” พระสุรเสียงที่เคยใสกลับแข็งกร้าว พระเนตรแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงที่มีจุดทองสว่างจ้าภายใน พระโทสะดำเนินถึงขีดสุด

“โอ้ โห ถึงขนาดใช้ นาคกาลอัคคี ทำลายม่านอาคมของพี่เชียวเหรอ” วายุภัค มิทรงทุกข์ร้อนในความชิงชังและโทสะนั้น กลับยักพระอังสะอย่างยียวน สายพระเนตรที่คมวาวเกเรเจ้าเล่ห์แห่งเผ่าพันธุ์ บัดนี้ ฉายแววสนุก ที่ได้ ‘กักตัว’ ใครบางคนไว้ ความสุขพระทัยเล็กๆได้บังเกิด ยามได้ ‘ตอแย’

“สิตามัน!! จงขวางกาลอัคคีไว้”

แสงระยิบดั่งดาวฤกษ์จากฝั่งเทวปักษี กำจายวาบทันที่ที่สิ้นรับสั่งแล้วถลาออกไปกลายเป็น ‘สิตามัน’ หรือครุฑาสีขาวตัวน้อยนับร้อยนับพัน เข้าโรมรันกับ ‘นาคกาลอัคคี’ จากฝั่งเทวนาคา กาลอัคคีมีจำนวนเท่าไร สิตามันก็บังเกิดตามจำนวนนั้น

เทวอาคมจากเทวนาคา ต่อ เทวอาคมจากเทวปักษี ปะทะกันควรจะรุนแรง แต่ทำไมจากฝั่งเทวปักษีกลับมีกลิ่นอายความเอ็นดูเจือปน !!!

แม้จะมีความเอ็นดูจากเจ้าของสิตามัน แต่ด้วยศักติแลเดชะของสีทันดร ที่มิสามารถหักวายุภัคลงได้ กาลอัคคีก็ถูกสิตามันทำลายลงอย่างรวดเร็วในท้ายที่สุดพร้อมกับสายลมกรรโชกวูบใหญ่ที่ดึงพระวรกายงามเข้าไปสู่อ้อมพระพาหา แรงดึงดูดนั้นมหาศาลรุนแรง เจ้านาคน้อยทรงทราบทันทีว่าเฉกนี้เอง นาคบริวารจึงหลบไม่ค่อยจะพ้นจากกรงเล็บครุฑเท่าไรนัก แลเพียงวูบเดียว ก็ทรงรู้สึกได้ว่า วงแขนแข็งแรงพร้อมปีกใหญ่สีเศวตโอบรอบพระวรกายอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงไปทางไหนได้

“ปล่อย หม่อมฉันเดี๋ยวนี้ ฝ่าบาทมิสามารถจับหม่อมฉันเป็นภักษาหาร”

“เรื่องอะไร พี่จะปล่อย พี่รู้ว่ากินเจ้าไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้คิดจะกิน เจ้าเข้ามาในอาณาเขตของพี่ แล้วพี่ก็เปิดโอกาสให้เจ้ากลับออกไปแล้ว แต่เจ้ากลับออกไปไม่ได้เองต่างหาก เพราะฉะนั้น....พี่ก็เลยคิดว่าเจ้าอยากอยู่ที่นี่กับพี่”

“ อย่ามานับญาติกับหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีญาติเป็นนกขี้เรื้อน บอกไปไม่รู้กี่ครั้ง หม่อมฉันสัญญาว่าหากหลุดไปได้ ฝ่าบาทจะถูกแยกเป็นชิ้นๆ ยิ่งกว่าไอ้ครุฑสกปรกตัวเมื่อคืน”

สายพระเนตรฉายแววชิงชังจนถึงขีดสุด แต่วายุภัคกลับไม่สะทกสะท้านกลับผสานสายตาคมวาวลงมาจ้อง พระเนตรฟ้าครามที่ชิงชังคู่นี้เอง ที่เมื่อคืนได้เห็นก็ติดตาและพอกลับมาฉิมพลีก็ยากที่จะบรรทม จึงเรียกหาราชปุโรหิตคนสนิท มาช่วยไขบางสิ่งที่อยากรู้ให้กระจ่าง

“ดูให้เราหน่อย ว่าทำไม สีทันดร ถึงพระพักตร์ละม้ายและงามดุจพระมหาลักษมีเทวี”

“ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรอกฤา ว่าเทวนาคาพระองค์นั้น ทรงประสูติมาจากพรของพระมหาลักษมีเทวี”

“เรารู้.....แต่ทำไม เหมือนกันยิ่งนัก ถ้าเกิดจากพรก็น่าจะแค่คล้ายๆ แต่นี่ไม่ใช่ ถอดแบบพระแม่เจ้ามาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และอีกอย่างทำไมต้องทรงประทานพรไปทางฝั่งนาคาด้วย เรามั่นใจว่าต้องมีอะไรแอบแฝง ถึงอยากให้เจ้าช่วยตรวจดู”

“กระหม่อมเกรงว่า จะไม่ใช่เรื่องของทางเรา เทวนาคาพระองค์นั้นจะเป็นอย่างไร ประสูติจากไหน ทำไมต้องสนพระทัย”

“เราบอกให้เจ้าดูก็ดู อย่าบังอาจมาแนะนำเรา ท่านราชปุโรหิต” วายุภัคเริ่มกริ้วปัง

“พระเจ้าข้า” ราชปุโรหิตรับคำอย่างจำใจ ตรวจให้ตามรับสั่ง แล้วจู่ๆร่างที่หลับตาตรวจให้ก็ต้องพบกับแสงสว่างจ้า พร้อมพระสุรเสียงใสทว่ากราดเกรี้ยวทรงอำนาจ

“มันไม่ใช่กิจของเจ้า ครุฑปุโรหิต....อย่าแส่ไม่เข้าเรื่อง”

“พระมหาลักษมีเทวี ข้าพระพุทธเจ้ามิบังอาจ โปรด.......”

ครุฑปุโรหิตกราบทูลได้เพียงเท่านั้น แล้วร่างก็ถูกแสงสว่างจ้าแห่งพระมหาเทวีซัดกระเด็นจนสิ้นสติ นั่นแสดงว่าราชครูปุโรหิตมิสามารถดูได้ตามรับสั่ง แถมยังถูกซัดซะกระเด็นจนกระอักเลือด ยิ่งเพิ่มความสงสัยในเรื่องนี้เป็นทวีคูณ แต่นั่นก็ไม่เท่าทีท่าหยิ่งทระนง ไว้องค์อวดดี จนต้องแอบเสด็จมาดักดูอีกครั้งในตอนเช้า

“อวดดี จนแล้วจนรอดก็ยังอวดดี ถูกจับอย่างนี้ยังหยิ่งทระนง ปากกล้า เหอะ ทยุติธร ไม่เคยสั่งเคยสอนหรือไง พี่ว่า พี่พาเจ้าไปอบรมบ่มนิสัยเสียใหม่ที่ฉิมพลีดีกว่า”

วายุภัคยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้ จนริมโอษฐ์ที่เคยเป็นจะงอย ซึ่งบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นรูปกระจับอยู่ห่างริมโอษฐ์แดงสดเพียงแค่คืบ กลิ่นดอกบัวหอมกรุ่นเจือด้วยกลิ่นท้องทะเลลึกสดใสถูกสูดเข้าเต็มพระปัปผาสะ

“หอมอย่างนี้ งามอย่างนี้ ใครจะกินเจ้าลง สีทันดร”

“อย่าเลวทรามนัก วายุภัค ปล่อยเรา”

เจ้านาคน้อยยังคงดิ้นพยายามสลัดพระวรกายให้หลุดรอดจากพระพาหา แต่มีฤาจะหลุด วายุภัคมิได้จิกตามธรรมชาติของครุฑ แต่กำลังจะใช้ริมโอษฐ์ทำอย่างอื่นตามธรรมชาติดั่งที่ชายทั้งโลกพึงกระทำยามเจอคนที่..... ‘ถูกพระทัย’

นี่คงเป็นเหตุผลสมควรแล้วใช่ไหมที่หมายพระทัยจะแยกเทวปักษีเกเรเป็นส่วนๆ ด้วยพระหัตถ์องค์เอง

แต่ก่อนที่ริมโอษฐ์รูปกระจับจะทำอะไรเกินเลย ครุฑบริวารสีน้ำตาล สองสามตนก็ปรากฏกายออกจากชะง่อนเขาสูง ทรุดกายหมอบราบกราบลงกลางฟ้า กราบทูลรวดเร็ว

“ สมเด็จพญาเวนไตย ให้มาทูลเชิญฝ่าพระบาทไปเข้าเฝ้าพะยะค่ะ เพราะถึงเวลาที่ต้องขึ้นเฝ้าพระมหาอุมาเทวีตามพระราชเสาวนีย์”

วายุภัคชะงักงันทันใด จังหวะนี้เอง สีทันดรจึงสลัดพระวรกายออกได้โดยง่าย คืนสภาวะสู่นาคาสีขาวเจิดจรัส อ้าพระโอษฐ์ฝังคมเขี้ยวลงไปบนต้นพระพาหาอย่างรวดเร็ว วายุภัคแม้จะทรงฤทธี มหิทธานุภาพสูง แต่มีฤาจะทนได้ วงแขนแข็งแรงและปีกสีเศวตกางออก เทวฤทธิ์ถูกใช้สกัดพิษร้ายแรงดั่งอสุนีบาตพลัน 

“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย จับทูลกระหม่อมสีทันดรไว้ เร็ว”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2019 17:13:47
ครุฑบริวารที่หมอบราบมีหรือจะกล้าทำตามรับสั่ง แตกฮือ กระพือปีกหนี เพราะมิสามารถทนไอพิษที่กำจายรุนแรงโดยรอบ และไม่มีครุฑบริวารหน้าไหนกล้าขวางทางเสด็จ ม่านอาคมของวายุภัคที่ใช้กักไว้ คราวนี้ถูกทำลาย ได้โดยง่าย สิตามัน หลายร้อยตัว พยายามขวางไว้ แต่ก็ถูกเพลิงจากพระโอษฐ์ เผาเป็นจุณ เพียงกระพริบตา

“สีทันดรกลับมาก่อน พี่แค่ล้อเล่น มาคุยกันก่อน”

หากเป็นครุฑหรือเทวดาองค์อื่นที่ไม่ใช่ระดับสูง โดนพิษของเทวนาคาคงไม่แคล้วจุติ แต่วายุภัคทรงศักติเทวปักษีชั้นลูกท่านหลานเธอเหมือนทยุติธรและสีทันดร มีฤาจะไม่รู้วิธีกำจัดพิษ จึงฟื้นกำลังรวดเร็ว คืนสู่สภาวะเทวปักษีเต็มขั้นบินตาม ทว่าสุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นกลางฟ้า สะกดพระวรกายอยู่กับที่ วายุภัคจำต้องหยุดทรุดหมอบถวายบังคม

“วายุภัค อย่ายุ่งกับเทวนาคาน้อยพระองค์นั้น จงกลับมาหาปู่ที่ฉิมพลี บัดเดี๋ยวนี้”

พญาเวนไตยทรงเรียกหาเองเช่นนี้อีกครั้ง หลังจากให้ทหารมาตาม แสดงว่า กริ้วเต็มที่และทรงรอชำระความอยู่ ก็คงไม่พ้นเรื่องที่ทรงก่อ จนพระมหาอุมาเทวีเรียกเฝ้า เหอะ!! แล้วใครจะกล้าขัดรับสั่ง

“พะยะค่ะ”

วายุภัคจำต้องเสด็จกลับทันที สายพระเนตรยังคงมองนาคาสีขาวเจิดจรัสที่งามยิ่งกว่านาคาใดๆทั้งมวลที่เคยพบเคยเห็นอย่างสุดแสนเสียดาย “เหอะ สีทันดร หนีได้หนีไป ยังไงเราก็เลี่ยงกันไม่พ้นแน่นอน”

สีทันดรเมื่อเสด็จหลบหลีกจากเจ้าเทวปักษีเกเร มาถึงบ้านพัก ก็คืนพระวรกายสู่สภาวะมนุษย์ วงพักตร์ขาวใสเคยกระจ่างบัดนี้ระเรื่อด้วยเลือดฝาดสีแดง โกรธน่ะใช่ แต่โกรธตอนไหน ตอนโดนกักตัวหรือตอนโดนเขากอด

“ครุฑสารเลว วันนึงเราจะฆ่าเจ้าด้วยมือเราเอง” พระวรกายที่เหนื่อยหอบและพระสุรเสียงที่สั่นพร่าเริ่มคืนสู่สภาพปกติ ก่อนที่ใครจะเห็น เรื่องนี้ต้องบอกอัสสะ ให้อัสสะจัดการ

“เอ๊ะ....แล้วนี่ไปไหนกันหมด”

สีทันดรเสด็จเข้าไปยังที่ทานอาหารเมื่อตอนเช้าหมายพระทัยว่าจะเจออัสสะกับพวกนั่งอยู่แต่ก็ผิดคาด ที่นี่ว่างเปล่าเหลือแค่พนักงานและคนทำความสะอาดเท่านั้น จึงเสด็จกลับมาประทับนั่งยังบ้านพักของตน 

“ไปไหน ของเขานะ รัก ยม มาหาเราหน่อย”

“อยู่นี่แล้วพะยะค่ะ พี่ดื้อ” เจ้าผีเด็กหัวจุกหมอบราบปลายพระบาท แล้วคลานเข่าเข้ามานวดเฟ้นอย่างเอาพระทัย

“อัสสะไปไหน เจ้าสองคนรู้ไหม”

“ขึ้นไปฝึกอาวุธบนเขาแล้วพะยะค่ะ พี่ดื้อ” เจ้ายมทูลตอบเสียงใส

“แล้วสั่งความอะไรถึงเราบ้างหรือเปล่า” สีทันดรคาดว่า อัสสะคงจะฝากถ้อยคำอะไรไว้ อย่างน้อย บอกให้รอที่นี่ สั่งว่าอย่าดื้อ อย่าซนก็ยังดี แต่คำตอบก็ทำให้พระพักตร์เสีย

“ไม่มีนี่พะยะค่ะ พอพี่พระอาทิตย์ กินข้าวเช้าเสร็จนั่งคุยกับพวกพี่น้ำเชี่ยวสักพักก็ไปบนเขากันทั้งกลุ่มเลย”

“แล้วเขาไม่ถามหาเราเลยเหรอ รัก”

“ไม่นี่พะยะค่ะ จะให้กระหม่อมสองคนไปตามกลับมาไหม”

“ไม่ต้องหรอก” พระพักตร์งามจากโกรธวายุภัค เปลี่ยนเป็นน้อยพระทัยกับอัสสะ ยามมีภัยเมื่อครู่คิดถึงแต่เขา กลับมาก็หวังจะซบอก แต่พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแผงอกกว้างรอรับพระพักตร์เฉกเคย

“ปล่อยให้เขาฝึกอาวุธ อาคมต่อไปเหอะ เราไม่มีอะไรสำคัญนักหรอก” 

“พี่อัสดง คงจะลืมกระมังพะยะค่ะ” สิ้นเสียงเจ้ายม เจ้ารักที่จับสังเกตจากสายพระเนตรที่เจือด้วยรอยรื้นใสๆได้ก่อน ก็เขกหัวสหายมาหนึ่งที่

“ไอ้ยม ไปทูลอย่างนั้นได้อย่างไร”

“ช่างเหอะรัก ยมมันพูดถูก ใช่...อัสสะคงจะลืม” คำว่าลืมคำเดียวสั้นๆ กลับทำให้วาบในพระอุระ หากเขากลับมาแล้วไม่เจอเราบ้าง อยากรู้นักว่าจะรู้สึกอย่างไร ว่าแล้วสีทันดรจึงพยายามปรับพระสุรเสียงให้สดใส มิให้ใครจับพระอารมณ์ได้อีก

“รัก ยม เราไปเดินเล่นกันบ้างเหอะ มืดๆค่อยกลับกัน”

“ควรจะบอกพี่อัสดงให้ทราบก่อนนะพะยะค่ะ เดี๋ยวพี่อัสดงกลับมาไม่เจอ จะเป็นเรื่องใหญ่” 

“ช่างเขาสิ....ไม่ต้องบอกอะไรทั้งสิ้น เราออกรับเองหากมีปัญหา ถ้าเขาถาม เราจะบอกเขาแค่ว่า เราลืม” เจ้านาคน้อยฝืนยิ้ม แล้วกล่าวต่อว่า

“เราไปกันได้แล้ว”

“พะยะค่ะ”

แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองระเรื่อก็กำจายวาบ เหิรทะยานเพียงแค่เหนือยอดไม้สูง มิขึ้นสูงเสียดฟ้าเทียมยอดเขาดั่งเคย เพราะเกรง ว่าจะเจอ นกขี้เรื้อนต่ำช้า ดักอยู่อีก ส่วนเจ้ารัก เจ้ายม ก็เหิรทะยานตามเสด็จลูกพี่ตาสวยโดยมิขัดอันใดอีก

คืนฉายกับเอราวัตที่แยกมาเที่ยวกันสองต่อสอง เจอกับคันฉัตรและตระการตาโดยบังเอิญที่หมู่บ้านสันติชนซึ่งเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้ดูวิถีชีวิตของชาวยูนานและสถาปัตยกรรมจีนแบบชนบท ทั้งสี่ถือโอกาสทานอาหารกลางวันด้วยกัน และเดินย่อยถ่ายรูปกันไปทั่ว เอราวัตสิ้นความกินแหนงแคลงใจในตัวตระการตาแล้วจึงมีทีท่าที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม และตัวคันฉัตรเองก็ไม่ได้มีความกังวลว่าตระการตาจะหลงเสน่ห์คืนฉายอีก

เมื่อรักแล้วก็ต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน มิควรให้ตะกอนความระแวงบั่นทอนหัวใจรักอันพิศุทธิ์

แต่บัดนี้เล่าใครบางคนกำลังมีความน้อยพระทัย และประทับนั่งอยู่กลางเก๋งจีน มีมหาดเล็กเป็นหนุ่มน้อยสองหน่อหมอบเฝ้าไม่ห่างพระวรกาย

“นั่นน้องดื้อนี่ ทำไมมานั่งอยู่กับใครอีกสองคนน่ะ” เอราวัตเห็นเป็นคนแรก และชี้ให้ที่เหลือดู

“เออใช่ นั่นสิมานั่งอยู่กับใคร หรือว่าน้องดื้อมีกิ๊ก แล้วอัสดงมันทำห่าอะไรอยู่ ปล่อยให้แฟนตัวเอง มาอยู่กับผู้ชายคนอื่นลำพังได้ไง”

“จะใครที่ไหน นายลองดูดีๆสิไอ้ฉาย นั่นมันไอ้รัก ไอ้ยม ไอ้สองคนนี่เวลามันไปไหนๆ หรือฉันใช้ให้ไปทำอะไร มันชอบแปลงกายเป็นร่างมนุษย์แบบนี้แหละ พวกนายอาจจะเคยชินกับร่างเด็กหัวจุกมากกว่า” คันฉัตรไขความกระจ่างให้เพื่อน พร้อมจูงมือตระการตาก้าวเดินนำหน้าไปหาคนที่กำลังนั่งเหงา

“เดี๋ยวฉัตร รักกับยม ที่ฉัตรบอก คือเด็กหัวจุกสองคนที่พาตาออกมาจากร้านเหล้าใช่ไหม  สองคนนั่น ไม่ใช่คนใช่ไหม” ตระการตาเริ่มทบทวนความจำและเริ่มขนลุกเกรียว ชื่อรักยมที่เคยได้ยิน มันเป็นชื่อของผีที่อยู่ในขวดไม่ใช่เหรอ

“ใช่แล้วตา รักยม เป็นโอปาติกะชนิดหนึ่ง ลูกน้องฉัตรเอง ไม่ต้องกลัวมันหรอก ไปกันเถอะ”

ทั้งสี่เดินมาจนถึงเก๋งจีน แต่คนที่กำลังนั่งเหม่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะผินพระพักตร์มาหา จนเจ้ารักยม ร้องทักขึ้นนั่นแหละ สีทันดรถึงได้รู้สึกองค์ “อ้าวพวกพี่ๆมาได้ยังไงกัน”

“พวกพี่ต่างหาก ต้องถามน้องดื้อ ว่าทำไมมานั่งเหม่ออยู่ที่นี่” คันฉัตรเดินเข้ามาเป็นคนแรก โอบพระอังสะด้วยความเอ็นดู

“เราไม่ได้เหม่อซะหน่อย แค่คิดอะไรเพลินๆ พอดีว่างๆ ก็เลยชวนรักยมมาเดินเล่น”

“แล้วพี่อัสสะของน้องดื้อไปไหนเสียล่ะ ปล่อยแฟนน่ารักๆ ให้อยู่คนเดียวได้ไง” คืนฉายเดินเข้ามาหาบ้างขยี้พระเกศาด้วยความเอ็นดูเช่นกัน หากเป็นยามปกติ สีทันดรคงยิ้มอย่างแจ่มใส แต่ตอนนี้ตะกอนความน้อยพระทัยทำให้รอยแย้มสรวลขุ่นมัว แลรัศมีรอบพระวรกายที่สามอณูเทวะน้อยมองเห็น ก็ไม่สดใสเช่นเคยเท่าไรนัก

“ไอ้อัสดงไอ้ห่า สนใจแต่อาวุธ ไม่สนใจแฟน” เจ้าพระพุธน้อยผู้ที่รู้และอ่านความในพระทัยออกเผลอโพล่งออกมา ยิ่งทำให้พระพักตร์ที่ตูมอยู่แล้วยิ่งเสีย คืนฉายซัดเจ้าแฟนตัวดีไปเสียหนึ่งที

“เอราวัต พูดอย่างนั้นได้ไง”

“อย่าไปสนใจปากไอ้เอราวัตเลย พี่ว่าน้องดื้อไปเดินเที่ยวกับพวกพี่ๆดีกว่าไหม” คันฉัตรพยายามหาทนทางให้เจ้านาคน้อยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะตอนนี้ดูเหมือนจะทรงสงบเงียบเป็นคนละคนกับเมื่อเช้า

“พวกพี่ๆ ไปกันเหอะ เราไม่เป็นไรหรอก เราไม่อยากเป็นส่วนเกิน พวกพี่ๆจะได้คุยกันโดยสะดวก ไม่ต้องห่วง เรามีรักมียมเป็นเพื่อน” สีทันดรพยายามปรับสีพระพักตร์และท่าทางให้สดใสคงเดิมมากที่สุด แต่อณูน้อยทั้งสามแม้แต่ตระการตาที่เป็นคนธรรมดาก็จับได้ว่า............... ‘ทรงทำเพียงเพื่อตบตาเท่านั้น’

“แต่พวกพี่ๆ ไม่ได้คิดอย่างนั้น”

“อย่าเป็นห่วงอะไรเรานักเลย เราบอกว่าเราไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ เราว่าน่าสนุกออกที่นานๆจะได้เที่ยวลำพังโดยไม่มีผู้คุมซะที” สุรเสียงใสยังคงดำเนินเพื่อกลบเกลื่อน “ เราว่าเราจะไปนมัสการพระธาตุซะหน่อย ตอนขึ้นเขามา เห็นรัศมีสุกใสแว่บๆ พวกพี่ไปเที่ยวกันต่อเถิด ไม่ต้องห่วงเรา”

สิ้นพระดำรัส เจ้านาคน้อยก็สลายหายวับเป็นรัศมีเขียวเจือทองรวดเร็ว ทำเอาตระการตาที่ยังไม่เคยชินตาค้าง และก็ต้องตกใจจนตัวสั่นหลบไปอยู่หลังคันฉัตร เมื่อคันฉัตรสั่งให้เจ้ารักเจ้ายมรีบติดตาม เพราะเจ้าสองตนนั่นไม่รับคำอย่างเดียว ยังแกล้งทำตาโตขนาดลูกมะพร้าวใส่ตระการตาก่อนจะสลายหายวับไป

“ผะ ผี หลอกกลางวัน”

“เดี๋ยวเหอะ ไอ้รัก ไอ้ยม รีบตามลูกพี่จอมดื้อไปได้แล้ว ไอ้เวรตะไลเอ๊ย”

พลบค่ำแล้วอณูน้อยทุกคนกลับมารวมตัวเรียบร้อย และนั่งทานมื้อเย็นคุยกันอย่างสนุกสนาน อัสดงเล่าถึงการฝึกอาวุธของตนว่าก้าวหน้าไปเพียงไร ‘จักราแห่งมหาเทวะ’ อาวุธชิ้นใหม่มาพร้อมกับหน้าที่จอมทัพ ทำให้ทุกลมหายใจเข้าออกตอนนี้นั้น มีแต่ฝึกกับฝึก จนลืมนึกถึงหัวใจ พอเห็นคืนฉายตักกับข้าวให้เอราวัตเท่านั้นแหละ จึงนึกขึ้นได้ ว่ายังมีหัวใจอยู่

“เอ๊ะ.....ไอ้ดื้อไปไหน ใครเห็นไอ้ดื้อบ้าง ไอ้กลดนายเห็นหรือเปล่า”

“นายจะมาถามทำไม ฉันก็ไปฝึกอาวุธกับนายตลอด จะเห็นไหมล่ะ”

“หายเงียบไปอย่างนี้ เราล่ะกลัวนัก ...เพราะเวลาสีทันดรโผล่กลับมาทีไรชอบมีเรื่องทุกที” นลกุพรตรัสอย่างติดตลก เพราะทรงรู้พระอุปนิสัยสหายดี เรียกเสียงหัวเราะได้บ้าง “เดี๋ยวก็กลับมา เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก อัสดง”

“แต่นี่จะ สองทุ่มแล้วนา น่าจะมาได้แล้ว”

“คงเล่นซนอยู่แถวๆนี้แหละ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แฟนนายไม่มีใครทำอะไรได้หรอก ดูอย่างเมื่อคืนสิ ขนาดครุฑ น้องเขายังเล่นเอาซะกินนกกินไก่ไม่ลงเลย” ราหูพูดแล้วก็ขนลุกซู่ อัสดงจึงคลายความกังวลใจลงไปบ้าง เพราะประจักษ์จริงถึงฝีพระหัตถ์แฟนตัวน้อย

“เดี๋ยวก็กลับน่า กินเหล้ากันต่อเหอะคืนนี้ เหล้ายังเหลือ”

น้ำเชี่ยวตบไหล่อัสดงปลอบใจให้คลายกังวล แอบอมยิ้มนึกในใจ ถึงครั้งที่สีทันดรโดนมนตราของจันทรเทพแล้วหนีเที่ยว จนตนไปพบแล้วแอบแปลงตัวเป็นลมหอบหอมแก้มสีทันดรมาเสียหลายฟอด ความลับนี้มีเขากับธรรม์รู้เพียงเท่านั้น และก็ไม่มีใครจะสืบสาวราวเรื่องต่อเพราะความผิดครั้งนั้นทั้งมวลตกไปอยู่กับจันทรเทพแล้ว

เขายอมรับว่าเคยถูกใจสีทันดรยิ่ง ภาพที่วิ่งมาตามระเบียง งามอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็ต้องถอดใจ เก็บความรู้สึกนั้นและยอมยกธงขาวรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเพราะรู้ดีว่าตนไม่เหมาะสม และไม่มีทางสู้อัสดงได้ ....แล้วใครล่ะ ใคร จะมาเป็นคู่ของเขา

“ไอ้น้ำเชี่ยว ยิ้มส้นตีนอะไรวะ แทนที่มึงจะช่วยกันแนะนำให้ไอ้อัสดงไปดูแฟนกลับชวนมันกินเหล้า มึงนี่ไม่ไหวเลย” คืนฉายหันมาด่าน้ำเชี่ยว นานๆจะพูดจะจาเข้าท่าเป็นการเป็นงานกับเขาบ้างเหมือนกัน

“นายควรไปดูน้องดื้อหน่อยนะอัสดง วันนี้พวกฉันเจอน้องดื้อไปกับไอ้รักไอ้ยมที่หมู่บ้านสันติชน ดูท่าทางน้องเขาเหงาๆพิกล ชวนไปเที่ยวด้วยก็ไม่ยอมไป ดันอยากไปเที่ยวลำพัง เห็นว่าจะไปไหว้พระธาตุ”

“อ้าว ไอ้ห่า แล้วทำไมเพิ่งมาบอกวะ ทำไมพวกมึงไม่ตามไปด้วย”

“ไอ้เวรนี่ แฟนมึงนะโว้ย พวกกูชวนแล้วน้องเขาไม่ไป แล้วพวกกูจะทำยังไง มึงต่างหากควรสนใจเขาหน่อย ไม่ใช่มาถึงก็เอาแต่พร่ำเรื่องจักร เรื่องอาคม” คันฉัตรแก้แทนคืนฉาย โมโหอัสดงนิดๆ

อัสดงได้ฟัง ได้โดนเพื่อนด่าก็เพิ่งจะคิดได้กระมัง จึงยิ้มแหยๆ “เออๆๆ งั้นเดี๋ยวกูมา ไปตามหาไอ้ดื้อก่อน”

“แล้วนายรู้เหรอ ว่าอยู่ไหน”

“เออ นั่นสิ ไม่รู้ว่ะ” อัสดงหน้าหดเหลือสองนิ้ว ใช่สิ จะไปตามที่ไหน จับด้วยกระแสจิตก็ติดต่อไม่ได้

“ก็เรียกไอ้รัก ไอ้ยมมาถามสิ ไอ้เบื๊อกเอ๊ย” เอราวัตรำคาญ จึงด่ามาให้ แล้วเรียกรักยมมาถามความให้เจ้าหัวหน้า  เจ้าผีเด็กรีบปรากฏกายคราวนี้อยู่ในร่างเด็กหัวจุกดังเดิม “ลูกพี่จอมดื้อ เจ้าไปไหน”

“อ้าว พี่ดื้อ ยังไม่เสด็จกลับมาหรอกหรือ”

“อะไรนะ ไอ้รัก ไอ้ยม นี่เราสั่งให้เจ้าตามไป เจ้าไม่ได้ตามหรอกหรือ”

“ตามครับพี่ฉัตร แต่รักกับยม เข้าไปในอาณาเขตพระธาตุไม่ได้ พี่ดื้อก็เลยให้รักกับยมกลับมาก่อน”

“แล้วเจ้าก็เชื่อ.....เห็นทีเราต้องทำโทษเจ้าบ้างเสียแล้วรักยม”

คันฉัตรเสกหวายขึ้นมาทันที เจ้ารักเจ้ายมเห็นเข้าก็เบะปากยังไม่ทันจะโดนตีก็ร้องไห้ลั่นซะแล้ว ส่วนอัสดงก็เริ่มนั่งไม่ติด ลุกขึ้นเตรียมออกตามด้วยความกระวนกระวาย แต่ก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายไปมากกว่านี้ รัศมีสีเขียวเจือทองก็สว่างวาบ พร้อมพระสุรเสียงที่มาก่อนองค์เสมอ

“อย่าตีรักยมนะพี่ฉัตร ...เราอยู่นี่ พวกเจ้าจะวุ่นวายตามหาเราทำไม เราแค่ไปเที่ยว ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย”

เจ้ารักเจ้ายมหยุดร้องไห้หายวับมาหลบอยู่เบื้องหลังพระปฤษฏางค์ หลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะหมดห่วงเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้าย แล้วเจ้าพระอาทิตย์รูปงามก็ถลาเข้ามาหาทันใด

“ไปไหนมา ทำไมไม่บอก รู้ไหมอัสสะเป็นห่วงแทบแย่”

“เราลืม” นี่ไงคำพูดสั้นๆที่เตรียมไว้ ดูสิจะรู้สึกยังไร

“อะไรนะ ลืม....อัสสะสั่งแล้วตั้งไม่รู้กี่หนว่าจะไปไหนมาไหนให้บอกอัสสะ เจ้าลืมได้อย่างไร” อัสดงขมวดคิ้วหน้ายุ่งพลันเพราะคำตอบที่ได้ฟังแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

เจ้านาคน้อยเองก็เริ่มที่จะไม่สบอารมณ์เช่นกัน เหอะ คนบ้า ทีตัวเองไปฝึกอาวุธ โดยไม่สนใจเราสักนิดเรายังไม่ขึ้นเสียงกราดเกรี้ยวเอากับเจ้าเลย มันจะมากไปแล้ว แต่ก่อนที่จะโต้ตอบด้วยพระอารมณ์ รัศมีเหลืองนวลจากทรงกลดก็กำจายวาบทำให้อารมณ์ขุ่นมัว  จางลงรวดเร็ว คำพูดที่ตั้งพระทัยเตรียมซัดกลับจึงเหลือเพียงแค่ว่า

“เราขอโทษ พอใจหรือยัง”

“เอาน่า ใจเย็นๆกันก่อน” นลกุพรรีบเสด็จเข้ามาระหว่างกลาง เพราะเกรงว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆจะบานปลาย แล้วหันมาทางสหายสนิทตัวน้อยโอบด้วยอ้อมพระพาหาอย่างเอาพระทัย ตรัสเตือนพระสติปนสอนมาว่า “ อัสดงเขาเป็นห่วงเจ้านะสีทันดร เจ้าก็ไม่น่าดื้อ น่าซนอย่างนี้เลย เจ้าโตแล้วนะ จะเรียกร้องความสนใจเป็นแบบเด็กๆไม่ได้”

“เราไม่ได้เรียกร้องความสนใจนะนล เอาเป็นว่า ถ้าทุกคนเห็นว่าเราผิด ที่ไปไหนไม่บอก เราก็จะยอมรับผิด พอใจกันหรือยัง” สิ้นรับสั่งพระบาทหนักๆก็กระแทกปึงปังเสด็จจากไป อัสดงไม่รอช้าเดินตามมาทันที ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไอ้นิสัยดื้อเอาแต่ใจแบบนี้หายไปนานแล้ว ทำไม วันนี้กลับมาอีก

“กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนไอ้ดื้อ อย่าเดินหนีอัสสะแบบนี้”

สีทันดรไม่สนพระทัยใครๆทั้งนั้น เดินไปกลางสนามหญ้า ที่มีกระถางบัวหลวงกระถางใหญ่ตั้งไว้ แล้วทรงย่อพระวรกายเสด็จหายเข้าประทับ ณ ใจกลางเกสรดอกบัว กลีบบัวสีชมพูแกมแดงบัดนี้กลายเป็นปราการกั้นไม่ให้ใครบางคนตามลงมา เทวฤทธิ์ประสิทธิ์ขึ้นอีกชั้น พร้อมเส้นรัศมีสีแดง พวยพุ่งพันไว้ปานประหนึ่งสายสิญจน์ นาคกาลอัคคี อันเกิดจากพิษร้อนแรง เป็นกำแพงกั้นชั้นนอกสุด ยากที่จะทำลาย ถ้าไม่ใช่อาคม ครุฑสิตามัน จากผู้ทรงศักดิ์สูงกว่า

“ออกมาคุยกันดีๆ เดี๋ยวนี้นะไอ้ดื้อ”

“เราไม่มีอะไรจะคุยกับอัสสะ เราขอโทษไปแล้ว เลิกพูดเรื่องนี้เสียที คืนนี้เราจะนอนที่นี่ อัสสะนอนกอดจักรของอัสสะไปเหอะ”

“โธ่....ไอ้ดื้อ!!”

“ไง....งานเข้าแล้วมึงไอ้พระอาทิตย์ กูบอกแล้ว ว่าฝึกอาวุธน่ะ ว่างๆเว้นๆบ้างก็ได้ ใส่ใจแฟนมึงหน่อย แต่เอาเหอะ ง้อๆน้องเขาหน่อย เดี๋ยวก็หาย” คืนฉายที่ตามลงมาด้วยตบไหล่ กล่าวให้กำลังใจปนด่านิดๆ

“ที่ผ่านมากูไม่ใส่ใจตรงไหนไอ้ฉาย......เหอะ ถ้าไม่มีเหตุผลแบบนี้ ไม่ง้งไม่ง้อแล้วโว้ย”

อัสดงเดินปึงปังออกไปบ้าง คว้าขวดเหล้าที่น้ำเชี่ยวถือติดมือมากระดกพรวด แล้วเสียงใสๆเอาแต่ใจก็แทรกลอยมาตามลม อัสดงได้ยินก็แทบจะลงไปแหวกกลีบบัวแล้วคว้าตัวมาตีก้นให้หายโมโห

“เราก็ไม่อยากให้เจ้ามาง้อหรอก...........ไอ้ไฟนรก”

เพื่อนๆที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างตะลึง แต่ก็ไม่มีใครรำคาญหรือสะใจที่ทั้งคู่ไม่เข้าใจกัน สีทันดรนั้นถือว่าเป็นไข่แดงที่เหล่าอณูต่างนิยมชมชอบ เปรียบเสมือนน้องรัก ที่ไม่อยากให้ใครมารังแก แม้น้องคนนี้จะดื้อและเอาแต่ใจอย่างถึงที่สุด ส่วนอัสดงนั้นแม้จะเป็นเพื่อนก็อยู่ในฐานะหัวหน้า และเมื่อผู้นำกลุ่มมีปัญหา ก็พร้อมจะช่วยอย่างสุดความสามารถ

“เอาน่า อัสดง ปล่อยน้องดื้อสักพักก่อน เดี๋ยวช่วยพูดให้” ทรงกลดกอดคออดีตคู่แข่ง ช่วยปลอบใจ

“ขอบใจไอ้กลด....แต่ใครรู้บ้าง ว่าสรุปแล้ว ไอ้ดื้อโมโหกู โกรธกูเรื่องอะไร”

แล้วทุกสายตาก็หันมามองอัสดงเป็นจุดเดียว ทำหน้าฉงนอย่างไม่เชื่อหู ว่าจะเป็นคำพูดของเจ้าพระอาทิตย์น้อย จากนั้นพร้อมใจกันประสานเสียง

“นี่มึงไม่รู้จริงๆ หรือมึงฝึกอาวุธจนโง่วะ ไอ้ฟายเอ๊ย!!”

ดึกสงัดแล้ว วงเหล้าก็ยังไม่เลิก แต่คืนนี้อาจจะไม่เฮฮาเท่าคืนแรก เพราะอัสดงกับสีทันดรดันมีเรื่องไม่เข้าใจกัน และบัดนี้อัสดงก็เข้าใจหมดสิ้นแล้ว ว่าเจ้านาคายอดรัก ทรงงอนด้วยเหตุอันใด เจ้าพระอาทิตย์น้อยจึงถือแก้วเหล้าไปนั่งเฝ้าหน้ากระถางบัวอยู่คนเดียว

หากเป็นเมื่อก่อนทรงกลดคงสะใจ และสบโอกาสที่จะเสียบเข้าระหว่างกลาง ทว่าตอนนี้ เขาเห็นใจมากกว่า อัสดงอาจจะผิดที่สนใจแต่อาวุธใหม่ ...แต่ มันก็เป็นหน้าที่ ที่เขาต้องสนใจมิใช่หรือ เทวะดำรงด้วยหน้าที่ นี่ถ้าอัสดงสนใจแต่เรื่องรักอย่างเดียว สวรรค์ก็คงตำหนิ คิดๆไปก็น่าเห็นใจ

ทรงกลดถอนหายใจแทนสหายเฮือกใหญ่ กระดกเหล้าเข้าปากแก้วสุดท้าย แล้วเดินไปให้กำลังใจอัสดงอีกครั้งก่อนจะเดินกลับบ้านพัก ฤทธิ์สุรา ทำให้อณูน้อยแห่งจันทรเทพมึนงงบ้าง แต่ก็ไม่กระไรนัก อาบน้ำเย็นๆก็คงจะหาย และเมื่อถึงบ้านเจ้าอณูน้อยจึงไม่รอช้าที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า พาร่างกายที่ครองด้วยพิษสุราไปอยู่ภายใต้ฝักบัวที่น้ำเย็นยะเยียบ ด้วยความที่เป็นอณูร่างกายจึงทนทานได้เกินมนุษย์

แสงจันทร์ต้นกำเนิดสาดส่อง กระทบผิวขาวนวลที่ระเรื่อด้วยกรอบรัศมีเหลืองอ่อนกลางห้องอาบน้ำแบเอาท์ดอร์ ที่แยกเป็นส่วนตัวติดกับห้องนอนของบ้านพักแต่ละหลัง ด้วยความสว่างของรัศมีในตัว โคมไฟจึงไม่จำเป็นต้องเปิด ละอองน้ำเม็ดใหญ่เริ่มแตกเป็นฝอยยามกระทบร่างสูงโปร่งได้สัดส่วน ไหลวนไปตามความโค้งมนของมวลกล้ามเนื้อและร่องท้องน้อยที่แบนราบแต่ด้านข้างเป็นวีเชพ เป็นร่องน้ำพาไปสู่ป่าทึบสีน้ำตาล ทรงกลดยังคงปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์ฝัน ผ่านสายน้ำที่ช่วยขับไล่ฤทธิ์สุราและความเหนื่อยอ่อนที่สะสมมาทั้งวัน แต่แล้วอารมณ์นั้นก็ต้องชะงักงัน ตรึงร่างเขาให้อยู่กับที่เพราะสุรเสียงของใครบางคนที่ดังกังวาน ดังขึ้นกลบเสียงซู่ซ่าของน้ำทั้งมวล และจะเป็นของใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เจ้ายักษ์ที่มีรัศมีสีแดงโกเมน

“กลับมาทำไมไม่บอก ถ้าเราเมาใครจะพยุงเรากลับ” นลกุพรตรัสจบก็ก้าวฉับๆลงมา ในห้องอาบน้ำ โดยมิสนพระทัยว่าพี่เลี้ยงที่แสนดีจะมีเสื้อผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกายหรือไม่ เพราะองค์เองนั้น ก็เตรียมพร้อมที่จะลงสรงยามดึกเช่นกัน

“นะ....นล มาได้ไง กินเหล้าอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“เมื่อกี้น่ะใช่ ...แต่กลัวเมาแล้วไม่มีใครพยุงกลับ เพราะคนพยุงหนีมาอาบน้ำ” นลกุพรหยุดเว้นวรรคตรัสชั่วครู่ แทรกพระวรกายเข้ามากลางสายฝักบัว แล้วตรัสว่า “ อาบน้ำด้วยคนนะกลด ไม่ต้องอายหรอก ผู้ชายด้วยกัน”

นลกุพรมิทรงสนพระทัยที่จะรอคำตอบ ทรงปล่อยให้พระวรกายอยู่ใต้สายน้ำจากฝักบัว พระฉวีสีหม้อใหม่คลับคล้ายอัสดงงามสะท้อนก่อประกายระยิบจากรัศมีสีแดงโกแมน พระวรกายเปล่าเปลือย สะกดให้อณูน้อยจ้องมองอย่างตาค้าง ร่างนิรมิตในรูปกายแห่งเทวอสุราหนุ่มน้อย ไม่ต่างอะไรกับประติมากรรมรูปสลักชั้นเลิศ มัดกล้ามงามสมส่วนต้นพระพาหา แนบชิดต้นแขนนวลลออ ด้วยความที่ฝักบัวมีอยู่เพียงแค่ฝักเดียว แลละอองน้ำก็มิได้กว้างนักทั้งสองจำต้องเบียดกายแนบชิด ชิดจนที่เรียกว่า หากเบี่ยงตัว อกกำยำนั้นก็จะแนบแผ่นหลังกว้าง หน้าท้องแข็งแรงแบนราบก็จะทาบเข้าสนิทติดพอดีกับบั้นท้าย

กลิ่นสบู่เหลวจากน้ำหอมสมัยใหม่ลอยกำจาย หากหอมไม่เท่ากลิ่นบางกลิ่น ที่นลกุพรทรงสูดแล้วสูดอีก “กลิ่นมะลิ” จากอณูน้อยข้างๆ ทำให้เผลอหลุดโอษฐ์ด้วยถ้อยคำเดิมอีกครั้ง ทำลายความเงียบ จนทรงกลดได้ยินชัด ตื่นจากภวังค์

“ตัวเจ้าหอม แม้จะไม่เท่าสีทันดรกับมุจลินทร์...แต่ก็หอมกว่าใครหลายๆคน”

นลกุพรทรงยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้ ทว่าทรงกลดผงะกายถอยออกจนชิดติดข้างฝา ลมหายพระทัยระรัวกระชั้นกระทบใบหน้าแฝงไว้ด้วยความร้อนผ่าวจากฤทธิ์สุรา ขับไล่ความเย็นจากสายน้ำหมดสิ้น

“จะทำอะไรนล” ทรงกลดไม่แน่ใจว่านั่นคือเสียงตนเองแน่หรือ ทำไมมันสั่นระรัวเช่นนั้น

“ก็กลิ่นมันหอม เลยขอดมใกล้ๆ” เทวอสุราหนุ่มน้อย เผลอองค์ด้วยความเคลิ้ม ดำเนินดันอีกร่างถอยกรูดไปชิดมุม พระพาหาทั้งสองข้าง กางคร่อมยันผนัง ทรงกลดไม่มีทางหนีไปไหน จำต้องยืนประจันหน้า ดวงตาสีน้ำตาลตื่นตระหนกยามผสานกับดวงเนตรเริงโรจน์ดั่งดาวฤกษ์

ทรงกลดมิเคยกลัวกับการระเริงเล่นสวาทสิเน่หา เขาเคยไขว่คว้ารังแกสีทันดรด้วยรสจูบที่ร้อนแรง ฤาเขาจะรู้อนาคตกระมังว่า เขากำลังจะถูกรังแกโดยเจ้ายักษาหน้ามนนาม...นลกุพร “ไม่เล่นแบบนี้นะนล อย่า...ฉันขอร้อง”

“ไม่ได้เล่น แต่ขอดมจริงๆ ดมใกล้ๆ”

“แต่มันใกล้เกินไป ใกล้จน...” ทรงกลดไม่กล้ากล่าวต่อไปว่า ใกล้จน ไฟในหัวใจ ที่กำลังจะดับมอดลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง และหากมันกำจายวาบขึ้นมาอีก ....เจ้าต้องรับผิดชอบดับไฟนั้นด้วยตัวเจ้าเอง....นลกุพร

อย่าสุมไฟกระพือพัดซัดสวาท
อย่าหมายมาดราดน้ำมันสิเน่หา
อย่าสะกดด้วยดวงเนตรดุจดารา
อย่าคิดว่ามันดับง่าย....ดั่งตะเกียง
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2019 17:15:25
 “ใกล้จนอะไร แล้วทำไมใจเจ้าเต้นระรัวอย่างกับกลองศึก เจ้ากำลังคิดอะไรหรือเปล่าบอกเรามา” นลกุพรนำหัตถ์ข้างขวาทาบลงไปตรงอกด้านซ้ายของทรงกลด แรงทาบนั้นหนักหน่วงคล้ายๆกับผลัก ไอร้อนจากฝ่าพระหัตถ์ถ่ายทอดพร้อมรัศมีแดงโกเมนซึมซ่านผ่านผิวหนัง รัศมีเหลืองนวลที่เป็นกรอบโครงร่างของทรงกลด วิ่งพล่านเข้ามาสอดประสานพลัน

รัศมีทั้งสองเข้ากันได้ และเข้ากันได้ดีเสียด้วย!!

ก่อนที่ทรงกลดจะหัวใจวาย จู่ๆนลกุพร  ก็หยุดพระพักตร์ไว้แค่นั้น คำถามที่ถามเมื่อกี้ว่าคิดอะไร ทรงได้คำตอบแล้ว เพราะรัศมีทั้งสองที่กำลังเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ แทนทุกอย่างได้เป็นอย่างดี จนประหลาดพระทัย และต้องเปรยกับองค์เองเงียบๆ ในหทัยนั้น

“เรามิเคยพิสมัยต้องการสังวาสกับชายด้วยกัน กับสีทันดรที่ว่างามเลิศเกินเทวบุตรทั้งปวง ก็เป็นแค่สหายรัก ยามกอดให้ความรู้สึกแบบพี่กอดน้อง แต่ทำไมกับอณูน้อยแห่งจันทรเทพจึงให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ...ทำไมยามนี้เราต้องการ ฤาจะเป็นเพราะเจ้าถูกสร้างมาจากเทวธิดาที่งามเลิศ ฤาเพราะตาสีน้ำตาลอมโศกและรอยจุมพิตเมื่อวานนั้น”
 
“นล ปล่อยเราดีกว่า เราอาบเสร็จพอดี”

“ยังไม่ปล่อย เพราะเจ้ายังไม่ตอบคำถามเรา และอีกอย่างเจ้าก็ยังล้างสบู่ไม่หมด” นลกุพรทรงดึงอณูน้อยออกมากลางฝักบัว ทรงกลดต้องจำยอมให้หัตถ์แข็งแรงลูบไล้ ไปทั่วร่างท่อนบน ช่วยชำระคราบและฟองสบู่ออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยสัมผัสนั้นทำให้เขาขนลุกชัน อกผายที่เลยวัยแตกพานมาไม่กี่ปีเริ่มสู้มือที่ลูบไล้ไล่ฟองไปมา แล้วอณูน้อยก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะคราบสบู่ที่ติดอยู่ตรงซอกหู ถูกนลกุพรเช็ดออกด้วยลมจากปาก

“นลทำอย่างนี้ทำไม อย่าเล่นแบบนี้อีกนะ”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เล่น มาๆ มาอาบต่อยังอาบไม่เสร็จ”

“พอแล้วฉันอาบเองได้” แม้ปากของพี่เลี้ยงจำเป็นจะบอกไปว่าอาบเองได้ แต่ขาสองข้าง...ไฉนไม่ยอมก้าวออกไป

“รู้ว่าอาบเองได้ แต่ให้เราช่วยอาบให้ดีกว่า ขัดหลังให้ก็ยังดี เราขัดเก่งนะ ขนาดพี่วรรณกวียังติดใจ”

“ใครกันวรรณกวี” ทรงกลดหลุดปากถามทันที คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ถึงขนาดขัดหลังให้กัน คงต้องสนิทกันเป็นพิเศษ แล้ววรรณกวีเป็นเทวบุตรหรือเทวธิดา

“เสียงกับใบหน้าของเจ้าที่เจ้าถามเรา อย่างกับเจ้าหึงเรางั้นแหละกลด”

สุรเสียงของนลกุพรตรัสมาคล้ายๆจะเย้ายั่ว พระหัตถ์ยังคงช่วยขัดหลังให้อีกฝ่าย ด้วยความเคยชินและทรงลงมาเที่ยวโลกมนุษย์บ่อยๆกว่าใคร นลกุพรจึงทรงทราบวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกๆส่วน แม้การชำระร่างกาย หากผมเปียกก็จำต้องสระ และก็ทรงรู้อีกนั่นแหละว่าขวดไหนคือแชมพู จึงหยิบมาละเลงหัวอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าอณูน้อยก็ยินยอมโดยดี แม้จะจะกล่าวสวนตอบไปว่า

“ไม่ได้หึงนะนล แค่อยากรู้”

เหอะ....อณูน้อยแห่งจันทรเทพ แล้วตอนที่เจ้าเห็นนลกุพรวิ่งไปหามุจลินทร์จนลืมสนใจคำพูดเจ้า อย่าบอกนะว่าไม่ได้หึงและน้อยใจ

“โกหก....เทวดาถ้าโกหกรัศมีจะเปลี่ยนเป็นสีเทา และของเจ้ากำลังเป็นเช่นนั้น”

ทรงกลดหน้าแดงจนตอบอะไรไม่ถูก ชาวาบไปทั่วร่างที่ถูกเขาจับได้ ใช่สิ เพราะรัศมี กำลังเปลี่ยนเป็นสีเทาดังเขาว่า “ก็ได้ฉันโกหก แต่ฉันมั่นใจว่าฉันไม่ได้หึง”

“หลอกตัวเอง” นลกุพรตอกกลับแล้วใช้ฤทธิ์ปรับฝักบัวให้ละอองน้ำทั้งหมดมารดตรงศีรษะของทรงกลด จนฟองแชมพูถูกชะล้างไหลลงมาบนลำตัว นลกุพรจึงปรับละอองน้ำให้กว้างดังเดิม คราวนี้หัตถ์แข็งแรงเริ่มไล่ต่ำลงมาเหนือท้องน้อย

ละอองน้ำปรับวงกว้างได้ ด้วยฤทธี แต่ทำไมทั้งสองยังพอใจและพอพระทัยที่จะยืนเบียดกัน

“ไม่ได้หลอกตัวเองนะโว้ย” ทรงกลดหันมาประจันหน้า ก็พบว่าเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วยืนยักคิ้วให้อย่างยียวน ใบหน้าขาวๆที่กระจ่างใส ยังแดงอมชมพู ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้เหมือนกันว่าโกรธหรืออาย

“แน่ะ คนอย่างเจ้า โมโหเป็นกับเขาด้วยเหมือนกันเหรอ” นลที่เพิ่งหายเศร้า เริ่มตรัสมากกว่าปกติ เริ่มทรงสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับพี่เลี้ยงจำเป็นที่สีทันดรฝากฝังไว้ รอยยิ้มให้กำลังใจที่เย็นระเรื่อๆ ปากแดงสดดั่งทาชาดที่เห็นอยู่บ่อยๆ เวลาโมโหก็น่าดูไปอีกแบบ

“ก็นายใส่ร้าย”

“ขี้เกียจเถียงแล้ว สรุปไม่อยากรู้ใช่ไหม ว่าพี่วรรณกวีคือใคร”

“ก็แล้วใครล่ะนล นายก็บอกมาเสียที”

“พี่วรรณกวีคือพี่ชายเราเอง ทูลหม่อมพ่อของเรา มีแม่เราเป็นมเหสี อ่ะ อยากรู้อีกล่ะสิว่าแม่เราชื่ออะไร” นลกุพรเหมือนจะรู้ใจอีกฝ่ายจึงแกล้งถามขึ้นแล้วกล่าวต่อไปว่า “ พ่อเรามีแม่เราคนเดียว ไม่เหมือนจันทรเทพต้นกำเนิดเจ้า หลายใจ มีหลายชายา แม่เราเป็นเอกอัครมเหสี ชื่อพระนางจารวี เรามีพี่น้องสามคน พี่วรรณกวีเป็นโอรสองค์โต เราเป็นคนกลาง ส่วนน้องคนสุดท้องเราเป็นผู้หญิงชื่อมีนากษี สบายใจหรือยัง”

 “ถามนิดเดียว เล่ามาเสียหมดวงศ์” ทรงกลดกล่าวเหน็บยักษ์ช่างเล่า นึกในใจว่า นลคงไม่รู้ การที่ใครเล่าถึงคนในครอบครัวให้อีกฝ่ายฟัง ธรรมเนียมมนุษย์จะถือว่า เปิดรับคนฟังให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ....ทรงกลดมิอยากเข้าข้างตนเอง

“เอ๊าก็อยากรู้นี่ ....พี่วรรณกวีนะ ชอบใช้ให้เราขัดหลังให้ และบางทีมาใช้เราตอนขี้เกียจ เราเลยแกล้งซะนิดหน่อย” เท่าทีทรงกลดฟังพระสุรเสียง คาดว่าคงไม่นิดหน่อย แล้วสายพระเนตรของเจ้าเทวอสุราน้อยก็แอบฉายแววซุกซนและเจ้าเล่ห์ โดยที่ทรงกลดมิทันจับสังเกต

“แกล้งยังไงที่ว่านิดหน่อย”

“ก็แบบนี้ไงล่ะ” แล้วพระหัตถ์แข็งแรงก็คว้าหมับเอาพระจันทร์น้อยบีบให้เสียหนึ่งที ทรงกลดสะดุ้งเฮือกเพราะมิทันได้ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็โดนเขาจับเล่นเสียแน่นแล้ว

นลกุพรอาจแกล้งจับของพี่ชายเล่น แกล้งให้เจ็บ....แต่ไม่มีทางส่งสายพระเนตรคมวาวเจ้าเล่ห์มาแบบนี้เด็ดขาด
ไฟสวาทที่เกือบจะดับมอดริบหรี่ เริ่มสว่างขึ้น .....แต่ยังไม่ถึงขีดสุดที่เรียกว่าสว่างจ้า จนนลกุพรต้องรับผิดชอบ

“ไอ้บ้านล เล่นอะไรวะ พอแล้ว ขอบใจที่ช่วยขัดหลังและอาบน้ำให้” ทรงกลดแกะมือออกท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่นของอีกฝ่าย ตั้งใจจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแต่นลกุพรอีกนั่นแหละ ที่ฉุดข้อมือไว้

“อย่าขี้โกง ทรงกลด ....เจ้ายังไม่ได้อาบให้เราเป็นการตอบแทน”

“แต่ฉันไม่ได้บอกเลยนะ ว่าจะช่วยนายอาบน้ำ” ทรงกลดเถียงคล้ายจะไม่ทำ แต่ทำไมกลับวางผ้าเช็ดตัวไว้ที่เดิม อาการปากไม่ตรงกับใจ ไฉนบังเกิด

“ไหนว่าเจ้า จะยินดีดูแลเราไง .....ฤาคำที่เจ้ากล่าว มันแค่การกล่าวเล่นเพื่อปลอบใจเรา ให้เราหายร้องไห้ เรารึอุตส่าห์ไม่มีน้ำตาลูกผู้ชายให้ใครเห็นดั่งเรารับปาก แต่เจ้ากลับลืมสัญญา”  ประโยคที่ดูเหมือนตัดพ้อ หลุดโอษฐ์ออกไปรวดเร็ว นลกุพรแน่ชัดในพระทัยองค์เองแล้ว ว่ายามนี้ทรงต้องการคนดูแล และคนๆนั้นก็คงไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เป็นพี่เลี้ยงที่แสนดีตลอดสามสี่วันที่ผ่านมา

ทรงกลดเถียงไม่ขึ้น นิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะยิ้มระเรื่อตามลักษณะนิสัย ยิ้มที่เจือรอยโศกเย็นๆ แบบนี้เอง ที่พระเนตรของนลกุพรเริ่มชิน  และ ณ เวลานี้เริ่ม.......ต้องการ

“ก็ได้ ถ้านายอยากให้ฉันดูแล”

สายตาทั้งคู่สอดประสาน โดยมิมีทีท่าที่จะหลบหลีกอีกต่อไป ฟองสบู่ถูกละเลงทั่วพระวรกายดั่งสัมฤทธิ์ มือแข็งแรงทว่าขาวนวลเริ่มขัด เริ่มถูคืนกลับไปบ้าง

นลกุพรแข็งแรง และก็เริ่มจะแข็งไปทุกส่วน และแข็งถึงที่สุด เมื่อทรงกลดสัมผัสตั้งแต่บั้นพระองค์ลงมา นลกุพรรู้องค์ทุกขณะและก็รู้ถึงความแข็งแรงของทรงกลดเช่นกัน

“นล ฉันว่าเราสองคน หยุดเล่น ....หยุดทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้เถิด” หากความรู้สึกลังเลดันเกิดชั่วแวบ ทำให้ทรงกลดหยุดเสียกลางคัน

“หยุดทำไมกลด....เจ้ากำลังต้องการในสิ่งเดียวกับเรา เรารู้” พระสุรเสียงกังวาน เริ่มทรงสั่นพร่าบ้าง ใบหน้าคมเริ่มลอยห่างประชิดใบหน้าหวานเพียงแค่คืบ

“แต่นล...ชอบผู้หญิง นลไม่ได้มีจิตพิศวาสกับชายด้วยกัน เราก็รู้”

“ใช่ทรงกลด......ความชอบกับความต้องการ บางครั้งก็ต้องแยกกันให้ออก มนุษย์มักมีความชอบ ความรัก แล้วจึงต้องการ แต่สำหรับเรา นลกุพร โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ ความต้องการ จะมาก่อนความรักความชอบเสมอ” นลกุพรดันพระวรกายจนแนบชิด อกกำยำต่ออกกำยำแนบชิดสนิทจนมิมีรอยช่องโหว่

“นลพูดไปเพราะนลกำลังเมา”

“เจ้าเองก็กำลังเมาทรงกลด” นลกุพรสวนขึ้น พร้อมยกพระดัชนีสัมผัสเปลือกตาที่มีขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นเบาจนแทบจะเรียกได้ว่า เบากว่า.....ตอนเด็ดดอกไม้ให้มุจลินทร์

“นลยังไม่ลืมมุจลินทร์”

“เจ้าก็ยังไม่ลืมสีทันดร”

บางครั้งความแตกต่างก็มีความเหมือนสอดแทรก คนหนึ่งรักอิสตรี  อีกคนหนึ่งรักบุรุษ นี่คือความต่าง ทว่าความเหมือนนั้นคือ ความผิดหวัง ที่โคจรมาพบกันจนกลายเป็นความต้องการ

“นลกุพร นายกำลังจะจุดไฟ ไฟที่นายไม่มีทางดับได้”

“หากเราไม่มั่นใจว่าเราดับได้ ......เราจะจุดทำไม”
 
ประโยคสุดท้ายที่ตรัส เปรียบประดุจน้ำมันชั้นดีที่ราดลงกองเพลิงสวาทที่เริ่มสว่าง ให้สว่างจ้า  ริมโอษฐ์งามประชิดติดริมฝีปากแดงสด ริมฝีปากที่ตกโอษฐ์ไปเมื่อตอนเช้ามืดว่า ปากจู๋ๆ กลับถูกบดและขยี้จนเป็นเส้นตรง ก่อนจะโลมไปทั่วส่วนอื่นบนใบหน้าซึ่งกันและกัน สุรเสียงสั่นพร่าที่ตรัสเรียก มิได้เรียกชื่อผิด พระเนตรวาบดั่งดาวฤกษ์มิได้มองทรงกลดเป็นเทวธิดาหรือมุจลินทร์อีกแล้ว
 
เพราะนลเห็นเจ้าวิไล สุดหักใจรักรัญจวน!!

หนึ่งเทวอสุราน้อยหน้ามนและอีกหนึ่งอณูน้อยแห่งจันทรเทพ  ยืนกอดรัดเกี่ยวกระหวัด ภายใต้สายฝักบัวที่น้ำเย็นยะเยียบซัดซู่ซ่าปานประหนึ่งม่านน้ำตก รัศมีเหลืองนวลกับสีแดงโกเมนสอดประสาน กลายเป็นสีกุหลาบชมพูอ่อนหวานไล่สีอ่อนแก่งามตระการ จนกลายเป็นกลีบกุหลาบจริงๆโปรยปรายรายรอบตัว

แล้วทั้งสองก็ล้มทาบลงใช้กลีบกุหลาบต่างพรม นอนสนิทชิดแนบกับพื้นที่เจิ่งไปด้วยน้ำ ทรงกลดที่ถูกจุดจนติด เบี่ยงตัวขึ้นมาทาบทับด้านบน ใช้ริมฝีปากแดงสด นุ่มดุจกำมะหยี่ หวานฉ่ำดั่งน้ำผึ้ง ขบเบาๆตั้งแต่ริมฝีปากของนลกุพร ไล่เลื่อยลงมาจนถึงแผงอกกว้าง นลกุพรมิทรงสามารถกลั้นสุรเสียงที่ภาษามนุษย์เรียกกระเส่า แลทรงเริ่มรู้สึกถึงความกระสันเกินจะกลั้นยามถูกขบเบาๆ บริเวณนาภีเรื่อยลงไปจนถึงท้องน้อย

“โอ”

“บอกแล้วอย่าจุดไฟ........ครางอย่างนี้น่ะหรือ จะดับลงได้”

ทรงกลดยิ่งขบ นลยิ่งร้อง ....ยิ่งเม้ม นลยิ่งคราง ยิ่งตวัดลิ้น นลยิ่งบิดกายเร่า

ขนตาหนาปรือขึ้นเป็นระยะ ทอดมองดูเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วแอ่นกายเร่าอย่างสะใจ ก่อนจะดำเนินการละเลงปากละลิ้นลงไปทั่วซอกขาด้านใน และจงใจละเว้นส่วนนั้นไว้ แกล้งให้ยักษ์ทรมาน “จะดูสิ จะแก้คืนอย่างไร”

แต่ก็ดูเหมือนว่าทรงกลดจะไม่จริงจังในการแกล้งเท่าไรนัก เพราะมือของเขาใช่ว่าจะปล่อยทิ้งให้เปล่าประโยชน์อยู่เสียเมื่อไร มือข้างหนึ่งจึงกำส่วนที่แข็งแรงที่สุดของนลรูดขึ้นรูดลงไปด้วย

มือที่ว่าใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะกำมิด ส่วนหัวสีชมพูจึงเลยออกมาเกือบคืบ ทรงกลดง้างให้ตั้งแล้วดีดลงกับท้องน้อย จนท่อนลำที่แข็งยิ่งกว่าเสาหินตีสนั่นกับหน้าท้องแบนราบดังเผี๊ยะๆ

“เจ้าแกล้งทรมานเรา”

แล้วนลกุพรก็มิทรงยอมทนนอนเฉยๆ ใช้ซอกขาแข็งแรงบีบหน้าหวานเยิ้มของทรงกลดไว้ เบี่ยงวรกายขึ้นคร่อมทับหน้า เป็นจังหวะและองศามุมพอดิบพอดีที่นลจะยัดท่อนลำนั้นผ่านทะลุริมฝีปากที่นุ่มเสียยิ่งกว่านุ่ม ทรงกลดแทบสำลักและหายใจไม่ออกเพราะถูกแก้เผ็ดเอาคืนอย่างทันท่วงที ความอึดอัดภายในปากถูกผ่อนคลายยามที่นลขยับหน้าท้องเข้าออก จนมีโอกาสหายใจกับเขาบ้าง

ทรงกลดเริ่มตั้งสติและใช้ลิ้นให้เป็นประโยชน์อีกครั้ง ลิ้นสากๆจึงเริ่มห่อรัดตวัดส่วนหัวและท่อนลำที่เข้าปากมาอย่างรวดเร็ว แถมยังใช้มือสามารถสอดมาเล่นกับลูกตุ้มทั้งสองข้างและคลึงเคล้าไปมาอยู่อย่างนั้น และมันก็ได้ผลนลกุพรแอ่นกายเร่าอีกครั้ง

นลไม่ใช่เทวะชั้นพรหม......สัมผัสทั้งห้ายังคงมี และมีประสิทธิภาพเกินมนุษย์เสียด้วย

แต่จู่ๆทรงกลดก็ต้องเผลอครางจนแทบสำลัก เพราะนลเองก็เอื้อมมือมาคลึงเคล้า อาวุธและพระจันทร์ลูกน้อยทั้งสองลูกจนหัวสีชมพูของเขา เริ่มเยิ้มไปด้วยน้ำใสๆ ที่คืนฉายเคยเดาะภาษาอังกฤษให้ฟังว่า ‘พรีคัม’ และตนก็รู้สึกว่าลิ้นของเขาสัมผัสของเหลวชนิดนี้ในปากได้เช่นกัน

จะว่าหวานก็สุดแสนจะหอมหวาน     
แม้น้ำผึ้งอ้อยตาลฤาเทียบได้
จะกลืนกินทุกหยาดทุกหยดไว้
ภมรไซร้อย่ามาดหมายแย่งลิ้มลอง

นลกุพรถอนท้องน้อยออก หัตถ์แข็งแรงดึงข้อมือทรงกลดให้ลุกขึ้น เพียงกระพริบตา ทรงกลดก็รู้สึกว่าตนมานอนคว่ำหน้าอยู่บนฟูกสีขาวกลางห้อง ต้นขาและปราการด้านหลังถูกแหวกออกรวดเร็ว และถูกยกให้โด่งขึ้น รองด้านล่างไว้ด้วยหมอนที่ใช้หนุนนอน

“นล....ฉันไม่เคยโดนแบบนี้ ปกติฉันทำคนอื่น”

“ ไม่เคยก็เคยซะ....เราก็ไม่เคยทำแบบนี้กับผู้ชายเหมือนกัน แต่มันก็มีทางนี้ที่จะเข้าทางเดียวไม่ใช่เหรอ”

“ใช่แต่ฉันกลัว ....กลัวเจ็บ” ทรงกลดเคยทำกับคนอื่น แต่มิเคยโดนคนอื่นกระทำ หากเป็นทหารก็ต้องเรียกว่าประจำอยู่สังกัดหมู่ “ทะลวงฟัน” ความรู้สึกกลัวแวบวับเข้าจับใจทันใด  ร่างทั้งร่างสั่นพร่า อาการนี้และอารมณ์นี้ใช่ไหม ที่สีทันดรเคยหวาดกลัวตนจนกันแสงไห้ที่สวนปารุสกวัณ นี่เขาคงหนีไม่พ้นผลกรรมนั้น.....กรรมที่รังแกน้องดื้อและคนอื่นๆไว้คงจะหนัก สวรรค์ถึงได้ส่งยักษ์ มาเอาคืน

“กลัวทำไม ในเมื่อเรากำลังจะดับไฟให้เจ้า”

นลกุพรไม่ตรัสอะไรอีก สอดใส่ท่อนลำประจำกายทะลวงผ่านประตูที่ปิดสนิดแน่น นลมิเคย และมิรู้ ว่าต้องมีการนำทางนำร่องให้ช่องฉ่ำก่อนดันเข้าไป  เพียงแค่ส่วนหัวกระทบผนังประตูเข้าไปสำรวจได้นิดเดียว อณูน้อยแห่งจันทรเทพก็ร้องลั่น

“โอ๊ยยยยยยย  ฉันเจ็บ นลฉันเจ็บ”

“เบาๆสิกลด เดี๋ยวพวกนั้นก็แห่มาดูหรอก”

เท่านั้นแหละทรงกลดจึงพยายามกัดฟันเก็บเสียง แต่ก็ยังไม่ไหวจึงใช้อำนาจที่ยังไม่ถูกอารมณ์หวามครอบจนหมดเรียกผ้าเช็ดตัวมากัดไว้กันเสียงเล็ดรอดหลุดออกไป... ใจจริงอยากลุกขึ้นมาปฏิเสธ แต่อำนาจอะไรบางอย่างมิสามารถให้เขาทำเช่นนั้นได้ หรือเดชะและศักติแห่งนลกุพร ทำให้ใจและกายเขายอมศิโรราบอย่างที่ไม่เคยยอมให้ใคร

เสมือนเทวะสร้างอวัยวะมนุษย์บางส่วนขึ้นมาให้ซับซ้อนพิสดารทำได้หลายหน้าที่ ปราการด้านหลังปราการนั้น นอกจากจะขับออกยังสามรถรับบางสิ่งเพิ่มเติมเข้ามาได้ เมื่อส่วนหัวเข้าไปได้เพียงนิด มีฤา ส่วนลำตัวจะไม่มุดตามมา แม้ความจุกเสียดจะพุ่งปราดขึ้นจากท้องน้อยแล่นขึ้นสู่อก ความแน่นอึดอัดยังมีอยู่เต็มที่ หากพอนลกุพรขยับบั้นองค์ จากช้าๆจนกลายเป็นถี่ยิบ จากถี่ยิบก็ลดความเร็ว และเร่งระรัวขึ้นใหม่ สลับไปสลับมาเช่นนี้  ทุกๆอาการก็เสมือนว่าจางหายลงไปในพริบตา

เสียงหฤหรรษ์แห่งเนื้อกระทบเนื้อเคล้าคลอเสียงครวญที่พยายามสะกดไว้ แต่สะกดอย่างไรก็ไม่อยู่ ท่วงท่าและลีลาของนลกุพรเกินธรรมดา จากคว่ำหน้าเปลี่ยนเป็นนอนหงาย และท่าที่ผ่อนคลายก่อกำเนิดความอิ่มเอมให้กับทรงกลดมากที่สุดจนมีเสียงครางมากกว่าครั้งใดๆ ก็คือยามที่นลยกขาอณูน้อยมาพาดบ่าไว้ และระรัวตอกเสาลงไปอย่างถี่ยิบ

ทางด้านนลกุพรเองที่ได้สัมผัสลงไปถึงก้นบึ้งแห่งความลึกล้ำ ก็รู้สึกถึงความฉ่ำตลอดหัวจรดโคน อาการตอดหรือบีบรัดเกร็งแน่น ถูกผ่อนปรนโดนการเว้นจังหวะ และบดขยี้ริมโอษฐ์ลงไปบนปากอณูน้อยจนลิ้นต่อลิ้นสัมผัส แม้จะเว้นจังหวะแต่ก็มิได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะยุติ เพราะบั้นองค์ยังขยับอยู่เรื่อยๆ แถมยังสนุกเมื่อกระแทกทางขวาทรงกลดก็ร้องอีกเสียงหนึ่ง ยามกระแทกซ้ายก็ร้องอีกเสียงหนึ่ง และเมื่อกระแทกตรงๆ เสียงร้องก็เหมือนจะดังเสนาะทรวงกว่าการเลาะเลี้ยว

หนำซ้ำ นลยังไม่ยอมราหัตถ์จากการกุมท่อนลำของทรงกลด รูดเข้ารูดออก เป็นการช่วยอีกฝ่ายผ่อนปรนความเจ็บได้อย่างแยบยล ทรงกลดแอ่นตัวเด้งรับตามจังหวะการชัก และขยับบั้นท้ายสอดประสานการกระแทก ช่วงจังหวะนี้และเวลานี้จะผ่านไปนานเท่าไรมิมีใครทราบ รู้แต่เพียงว่า เริ่มตั้งแต่ทั้งคู่เข้ามาอาบน้ำ จันทรเทพทรงประทับกลางนภมณฑลพอดี หากเวลานี้ ทรงเสด็จคล้อยไปแล้ว

“นล นายกำลังจะฆ่าฉัน ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว”

บั้นพระองค์ที่กระแทกอย่างระรัว และมือที่ช่วยกันทำงานอย่างเป็นระวิง ทำให้ทรงกลดแอ่นตัวขึ้นเป็นเฮือกสุดท้าย แลรู้สึกถึงสายน้ำสีขาวพุ่งเป็นสาย ดุจสายนทีที่เกษียรสมุทร พุ่งปรี๊ดขึ้นสูงกระจายกว้างดั่งดอกไม้ไฟและร่วงหล่นดั่งห่าฝนเต็มอก บางหยาดหยดทะยานขึ้นไปเปรอะเปื้อนเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ซึ่งไม่มีทีท่าที่จะยอมเช็ด สายตาละมุนส่งยิ้มหวานออกมา พร้อมสุรเสียงสั่น

“เสร็จแล้วใช่ไหม....ถึงทีเราบ้างแหละ โอ” แล้วพระวรกายสูงใหญ่กำยำที่ทาบทับก็กระเด้งขึ้นสุดตัว ทรงกลดรู้สึกถึงการกระตุกของท่อนลำที่แข็งแกร่งอยู่หลายที ก่อนจะสงบราบคาบ สายน้ำพุ่งแรงกระแสอุ่นๆมากกว่าสิบสายถูกฉีดเข้าสู่ภายใน จนร้อนผ่าวไปหมด เพียงเท่านั้น ใบหน้างามคมสันก็ฟุบลง จูบอันแสนหวานถูกส่งท้ายไฟสวาทที่สงบลงราบคาบ

หากนี่ถือเป็นการสอบ นลกุพรก็ถือว่าสอบผ่าน

“เห็นหรือยังกลด เราสามารถดับไฟให้เจ้าได้” รอยแย้มสรวลดีพระทัย ฉายชัด ดั่งยามชำนะศึก

“มันแค่ดับไปชั่วขณะ ไฟในตัวฉันมันถูกจุดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่จะลุกโหมตลอดที่ฉันมีลมหายใจ”

“เราก็ไม่มีปัญหา ที่จะดับให้เจ้าต่อไปนี่....แล้วเป็นไง ฝีมือเรา” นลถามขึ้นด้วยสุรเสียงสั่นพร่าเพราะความเหนื่อย

“นายก็ทำได้ดี  แต่นายเสร็จได้ด้วยเหรอ นายอยู่ในสภาวะทิพย์”

“เรายังอยู่แค่ฉกามาพจร....ทุกอย่างยังเหมือนมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องเมื่อกี้” นลกุพรตรัสขึ้นยิ้มยียวน ก่อนจะทอดเสียงกล่าวต่อมาว่า “ขอบใจนะกลด...ขอบใจจริงๆ ความต้องการคืนนี้หากไม่ถูกระบาย เราคงแย่ ”

“ไม่เป็นไรนล” สายตาจากเมื่อครู่ที่มีความสุข บัดนี้เจือด้วยรอยโศก เพียงเพราะคำพูดที่ตีความได้ว่า “เขาใช้ตนเป็นเครื่องระบาย” สมน้ำหน้าตัวเองนัก

ชอกช้ำรำพัน ....เสียพรหมจรรย์  นับวันหมองไหม้ระกำ!!!

“ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น เจ้าน้อยใจเหรอกลด ที่เราพูดอย่างนั้น” นลกุพรตกพระทัย เชยหน้าทรงกลด ลูบไล้แผ่วเบา เหอะ...นลกุพรเป็นใครบ้างจะไม่น้อยใจ เมื่อได้ยินเจ้าพูดอย่างนั้น

“ปะ เปล่า ฉันมีสิทธิ์น้อยใจด้วยเหรอ ฉันก็สมัครใจยอมนายเองนี่” ถ้อยคำที่เจียมตัว ทำให้นลกุพรระบายลมหายพระทัยเฮือกใหญ่  วงแขนแข็งแรงสอดไปข้างใต้ ช้อนไหล่ทรงกลดเข้ามาไว้ในอ้อมพระพาหา ทรงกลดขยับตัวออก ไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องระบายอย่างเมื่อกี้ ทว่าก็หลบไม่พ้นเทวอสุราที่แรงเยอะกว่าอยู่ดี

“เจ้าโกหกไม่เก่งอีกแล้ว ฟังเรานะ ที่เราพูดอย่างนั้น เพราะเราคงแย่จริงๆ หากไม่ถูกระบาย เราสาบานได้ว่า ผู้ที่เรานึกถึงคนแรก คือเจ้า ทรงกลด  เพราะเจ้าได้เคยบอกไว้ว่าจะดูแลเรา รัศมีของเราสองคนมันเข้ากันได้ และเข้ากันได้ดีเสียด้วย และเราก็เพิ่งมั่นใจเมื่อครู่ ว่าคำว่าดูแลของเจ้า มันครอบคลุมถึงสิ่งใดบ้าง”

“ไม่จริง นล...นลคงยังไม่หายเมา นลรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

“เจ้าเป็นอณูแห่งเทวะ ไยไม่เชื่อรัศมีและรู้ใจของตนเอง” นลกุพรยันพระวรกายขึ้นประทับกึ่งนั่งกึ่งนอน และไม่วายที่จะโอบไหล่ทรงกลดแน่น สุรเสียงดังทว่าอ่อนโยนยิ่งนัก เอื้อนเอ่ย และทรงกลดก็สดับได้ชัดทุกคำ  “เวลานี้เรามีสติพร้อม และเราก็อยากมีคนดูแลอย่างเจ้า เจ้าล่ะจะดูแลเราได้ดั่งที่เคยบอกไว้ไหม”

“มันไม่เร็วไปเหรอนล”  ทรงกลดถามมาอย่างนี้ทำให้นลกุพรสรวลขึ้นได้ เพราะไม่ได้มีความหมายเชิงปฏิเสธ

“งั้นเราสองคนจะทดลอง ดูแลซึ่งกันและกันก่อนก็ได้ หากเจ้าว่ายังเร็วไป เราเคยมีแต่อิสตรีดูแล และนางก็ทำให้เราเจ็บ เราอยากลองดูว่า หากเรามีคนดูแลเป็นบุรุษด้วยกันบ้าง มันจะดีกว่าไหม”

“หากฉันไม่ตกลง” ทรงกลดถามหยั่งเสียงเพียงเท่านั้น แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับมีรอยรื้นแห่งความยินดี ที่จะบอกเขาพระองค์นี้ว่า ‘ตกลง’ แต่เขาพระองค์นี้ ก็ทรงรู้ทันไปเสียทุกอย่าง ไหนน้องดื้อเคยบอกว่า นลกุพรทึ่ม...ท่าทางจะทรงแกล้งทึ่มเสียละมัง 

“เจ้าตกลงแหละเรารู้ ฟังไว้นะทรงกลด เราอาจจะไม่ได้หวือหวาอย่างพระพุธกับพระศุกร์ อาจจะไม่น่ารักเท่าคู่ของพระเสาร์กับมนุษย์น้อย และอาจจะไม่ร้อนแรงเท่าสุริยาทิตย์กับสีทันดร หากตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้น เราสองคนจะดูแลกันในแบบฉบับของเราตกลงไหม”

ทรงกลดไม่คิดไม่ฝัน ว่าวันของตนจะมาอย่างรวดเร็ว วันที่ตนมีความสุขทางหัวใจเหมือนคนอื่นๆ แม้มาเยือนพร้อมกลับบทบาทที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่นั่นมันก็ไม่สำคัญ เท่ากับความสุขใจ ที่จะได้ใช้ใจดูแลพระทัยใครสักคนสักที ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพริบวิบวับแลเริ่มพัดพาเอาหทัยของนลกุพรมาด้วย 

“ตกลง....ฉันตกลง”

น้ำเสียงอ่อนนุ่มเย็นชื่นใจกล่าวตอบ สิ้นความกังขาในบทบาทหน้าที่ ที่จะดูแลกันทั้งสองฝ่าย นลกุพรกระชับอ้อมพระพาหามั่นพร้อมกอดอณูน้อยแน่นกว่าเดิม ทรงกลดมิขัดขืนอันใดเพราะมั่นใจในอุ้งหัตถ์แห่งนลกุพรแล้ว

การเริ่มต้นบางสิ่ง....มิจำเป็น จะต้องเกิดจากความรักความชอบก่อนเสมอไป
หากความต้องการอันแรงกล้านั้นเล่า นำพาไปสู่ความรักลึกซึ้งได้โดยไม่ยาก

สุรเสียงใสดั่งระฆังแก้วก้องสะท้อนกังวานผสานทิพยทำนองอ่อนหวาน ผ่านเข้าสู่โสตของนลกุพรกับทรงกลดที่ยังนอนเปลือยเปล่า ทั้งสองรีบนำผ้าห่มมาคลุมร่างไว้ เพราะรู้ดีถึงความไม่บังควร แม้พระมหาเทวีแห่งสิริจะเสด็จมาแค่สุรเสียง

“ทรงกลด...เจ้าเคยขอพร ให้คนที่เจ้ารักสุดหัวใจ มีความสุขกับคนที่เขาเลือก เรารู้สึกชื่นชมเจ้านัก เพราะเป็นการขอที่ประเสริฐที่สุด หากวันนั้นเจ้าจะขอให้อัสดงเลิกกับสีทันดร หรือขอพรให้พรที่อัสดงเคยได้รับเป็นโมฆะก็ย่อมได้ แต่เจ้าไม่ทำ .....นลกุพร โอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ คือของขวัญอันวิเศษยิ่งกว่าพรของเราที่จะมอบให้เป็นการตอบแทนน้ำใจ นลกุพรจะดูแลเจ้าและให้เจ้าดูแล จากนี้เป็นต้นไป”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2019 17:16:54
“พระแม่เจ้า มหาลักษมีเทวี...มันจะไม่เป็นการบังคับฝืนใจนลกุพรเหรอพะยะค่ะ”

“เราสมัครใจให้เจ้าดูแล...ทรงกลด” สุรเสียงนลกุพรดังก้องหนักแน่น แทนคำตอบแห่งพระมหาเทวี

“เจ้าได้ยินชัดแล้วนะทรงกลด หากเราไม่ให้เจ้าวันนี้ อณูแห่งพระสุริยทิตย์ กับพวกก็หาทางจับคู่จัดฉากให้เจ้าสองคนอยู่ดี แต่พวกนั้นชักช้าน่ารำคาญมัวแต่ใส่ใจเรื่องความรักของตัว มิช่วยเจ้าซะที เราเลยออกหน้าเสียเอง” พระมหาเทวีตรัสเหน็บ อัสดงกับพวกคืนฉาย ก่อนจะตรัสเป็นกระแสสุดท้าย

“จงบอกพวกเจ้าทุกๆคน เตรียมตัวให้พร้อม ใกล้จะถึงเพ็ญหน้า วันมีเทวราชโองการแล้ว”

“พะยะค่ะ”

ทรงกลดกับนลกุพร รับพระเสาวณีย์พระมหาเทวีพร้อมกัน เมื่อทราบได้ว่า เสด็จกลับไปแล้ว ทรงกลดกับนลจึงนอนอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกันอีกครั้ง ทั้งคู่มิมีคำพูดใด เจรจากันอีก แต่เพียงมองตาทั้งคู่ก็เข้าใจกันดีแล้วว่า

แม้จะตัดสินใจตกลงดูแลกัน แม้คำว่ารักยังไม่ออกจากปาก ก็ไม่เป็นไร

ความรัก ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า ‘รัก’  เสมอไป และไม่ควรจะมีการแลกเปลี่ยน ร้องขอ หรือต่อรองใดๆ หากเพียงแค่ ‘ตกลงกัน’ เมื่อรักแล้ว ก็จะรักให้เป็น จึงจะได้ชื่อว่ารักที่แท้จริง

เช้าแล้ว เจ้าของดวงตาสีอำพันที่ฉายแววอิดโรย นั่งจิบกาแฟอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ริมน้ำพร้อมกับอณูน้อยคนอื่นๆยกเว้นทรงกลด  บรรยากาศในขณะนี้ ไอหมอกหนายังแผ่ขยายปกคลุมไปทั่ว อากาศแบบนี้น่าซุกตัวต่อไปในผ้าห่มนวมผืนใหญ่ๆ หรือได้นอนกอดใครสักคนคลายหนาว คงจะมีความสุขที่สุด ... แต่เมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอนและไม่มีใครให้กอด เพราะนั่งเฝ้า ใครบางคนที่เคยกอดอยู่ริมกระถางบัว แต่ใครคนนั้น ก็ไม่มีทีท่าว่าจะแหวกกลีบบัวออกมาหา

คนใจร้อนอย่างเขา อดทนรอได้นาน เสียเมื่อไร......จนน้ำค้างเม็ดใหญ่พรมหนาหนัก ความอดทนจึงสิ้นสุด

“จะออกมาคุยกันดีๆ ไหมไอ้ดื้อ ความอดทนของอัสสะมีจำกัด”

แม้จะไม่เข้าใจในพระอารมณ์ หากน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกว่า “ไอ้ดื้อ” และแทนตัวเองว่า “อัสสะ” ก็ยังหวานอยู่ดี ทว่าความเงียบ คือคำตอบที่ได้ กลีบบัวสีชมพูมิไหวติง เหล้าที่เต็มแก้ว ที่เพื่อนๆทยอยเดินมาเติมให้แล้วเติมให้อีก  ถูกกระดกรวดเดียวจนหมด ฤทธิ์สุราช่วยกระพืออารมณ์ขุ่นมัวอยู่แล้วให้คุกรุ่นยิ่งขึ้น จนพลั้งปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

“ถ้าอยากจะอยู่ในนั้น ก็อยู่ไป  อัสสะจะไม่เสียเวลา กับความเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ ของเจ้าอีก เราจะคุยกันก็ต่อเมื่อ เจ้ามีภาวะเป็นผู้ใหญ่และเหตุผลพอ”

เท่านั้นแหละ ร่างงามกำยำดั่งรูปสลักชั้นเลิศ จึงกระแทกเท้าเดินปึงปังออกไปบ้าง และเสียงนี้เองก็ทำให้พระทัยของคนตาสวยที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนกลางเกสรดอกบัว เต้นรุนแรงด้วยความโมโห

“ถ้าอยากคุย แล้วทำไม เจ้าไม่ทำลายกาลอัคคีเข้ามา ไอ้ไฟนรก” นานแล้วที่ไม่ได้ตรัสเรียกอัสสะว่าอย่างนี้ พระกรน้อยๆทุบลงกับเกสรบัวอย่างขัดใจ “มีจักรก็ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ แค่เอาออกมา ฉายแค่รัศมี กาลอัคคีก็พินาศแล้ว ทำไมเจ้าทึ่มอย่างนี้....ไอ้บ้าเอ๊ย”

เจ้านาคน้อยตรัสกับองค์เองอย่างไม่สบพระทัย จากความงอนน้อยๆ กลายเป็นกริ้วเล็กๆ รอให้เขาเข้ามาง้อ ....แต่เขาคนนั้นก็ช่างตามไม่ทันพระทัยเอาเสียเลย ตอนนี้จึงกริ้วเสียยิ่งกว่ากริ้ว

“อย่าหวัง ว่าเราจะแหวกกลีบบัวออกไปหาเจ้า”

แต่ก็ทรงทำไม่ได้ตามรับสั่ง พออรุณสายฉายฉาน กลีบบัวก็ขยายออก พร้อมกับรัศมีสีเขียวเจือทองที่ลอยละล่องลงมาอยู่เหนือริมฝั่ง ไกลจากเจ้าของดวงตาสีอำพันไม่เกินร้อยเมตร ตาทั้งคู่สอดประสาน คนที่นั่งอยู่ก่อน ฉายแววยินดีขึ้นทันใด ผลุดลุกวางแก้วกาแฟรวดเร็ว เตรียมปรี่เข้าไปหา แต่เจ้าของพระเนตรฟ้าคราม ก็สะบัดพระพักตร์พรึ่ด ค้อนมาเสียหนึ่งขวับ ก่อนเสด็จกระแทกพระบาทออกไป

“ตามไปสิอัสดง ท่าทางแบบนี้ เข้าไปง้อหวานๆด้วยการประกบปากเบาๆ เดี๋ยวก็หายงอน” คืนฉายผู้เป็นอณูแห่งคุรุอสูรรีบยุทันใด แต่ก็มีเสียงขัดขึ้นจากอณูแห่งพระพฤหัสผู้เป็นคุรุแห่งเทวะ

“ฉันว่าเข้าไปคุยดีๆด้วยเหตุผลน่าจะดีกว่านะ ตอนนี้น้องดื้อยังไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อวานนายเอาแต่ฝึกอาวุธ นายจะทำเหมือนละครน้ำเน่าไม่ได้”

ทั้งสองไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ทว่าการแบ่งภาคลงมามาปราบมารครั้งนี้จำต้องสมานสามัคคีกันชั่วขณะ แต่ชั่วขณะที่ว่าคงต้องเอาไว้ก่อน เพราะคืนฉายที่ได้ยินวางแก้วกาแฟตั้งท่าจะเอาเรื่องจนเอราวัตสุดที่รัก ต้องเข้ามาแยก “ฉายไม่เอา...”

“ก็ไม่ได้จะเอา ...แค่จะต่อยปาก”

“เอ๊ะ ฉายนี่ยังไงนะ” เอราวัตขึ้นเสียงเขียว คืนฉายจึงสงบลงบ้าง แล้วเจ้าอณูน้อยแห่งพระพุธจึงหันไปพูดกับอัสดงว่า “ตามไปเร็วๆเหอะอัสดง ชักช้าเดี๋ยวมันจะบานปลาย นายก็รู้ฤทธิ์แฟนนายดีนี่”

อัสดงเตรียมสาวเท้าก้าวตาม ป้องปาก เป่าลม ตรวจสอบลมหายใจ ว่าหอมไหม เผื่อต้องใช้ริมฝีปากประกบง้อ แต่แล้ว ‘ไอ้ไฟทึ่ม’ เหมือนจะนึกอะไรได้ จึงหยุดนั่งลงอยู่กับที่ แสร้งทำเหมือนไม่เห็นว่าใครบางคนมาประทับยืนแล้วเดินหนี เสียงเข้มๆด้วยทิฐิจึงกล่าวตอบเพื่อนๆว่า 

“เรื่องนี้ฉันไม่ผิด ไอ้ดื้อต่างหาก ต้องเข้ามาคุยกับฉันก่อน”

“อ้าว เฮ้ย ไอ้พระอาทิตย์”

เมื่อไม่มีวี่แววว่าใครบางคนจะตามมา ความโมโหจึงเพิ่มขึ้นมาอีก อุตส่าห์เสด็จมาไกลถึงแนวป่า หมายพระทัย ที่ใครบางคนจะเดินตามมาง้อ แต่ก็ผิดคาด

“โอ๊ย.....ไอ้บ้า ทำไมไม่เดินตามมาล่ะ” สุรเสียงใสตรัสลั่น ก่อนประทับนั่งเหนือโขดหิน ที่สะบัดหน้าหนี ค้อนให้หนึ่งขวับก็เพื่อให้รู้ว่ายังงอนอยู่และที่เดินเลี่ยงหนีมานี่ก็เพื่อให้มาง้อกันอย่างลำพังสองต่อสอง ทำไม....ไอ้ทึ่มนี่ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย

“ดีล่ะ......ไม่ง้อ ก็อย่าง้อ ไม่พูดก็อย่าพูด แล้วเจ้าจะเสียใจ ไอ้บ้าอัสสะ”

เจ้านาคน้อยทรงบ่นอย่างหัวเสียและในช่วงที่พระอารมณ์ขุ่นมัวนี้เองจึงมิสามารถทรงจับได้ว่า มีดวงเนตรคมวาวเกเรคู่หนึ่งจากฉิมพลีจับจ้องอยู่เหนือยอดไม้สูง เจ้าของดวงเนตรคู่นั้นเริ่มคลี่รอยแย้มสรวลมาเต็มพักตร์ ในพระทัยเริ่มคิดหา ‘อุบาย’

“คงจะเป็นโอกาสของพี่แล้วสินะ ...ถ้าเจ้าอยากให้ใครเดินตามนัก พี่นี่แหละจะเดินตามเจ้าเองสีทันดร”

อาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ ถูกตักใส่จานมาเต็มโต๊ะ อณูน้อยต่างกินกันไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน ภาพของตระการตาที่คอยหั่นไส้กรอกวางไว้ในจานให้คันฉัตร และคันฉัตรคอยรินกาแฟให้ ทำให้อัสดงรู้สึกเหงาๆ หากไอ้ดื้อไม่งอนและนั่งอยู่ในที่นี้ รับรองว่า ไอ้ดื้อของเขาจะน่ารักและเด่นที่สุด ซึ่งเป็นความภูมิใจ ยามพาไปไหนมาไหนและใครได้เห็น

“สมกันจัง” ประโยคนี้ได้ยินทีไรก็ภูมิใจ ใครเล่าจะหาแฟนเป็นผู้ชายงามเลิศได้เท่าเขา

แก้วนมทรงสูงถูกซ่อนด้วยฤทธี....ก่อนคนซ่อนจะบัญชามากับรักยมว่า “เอาไปให้เจ้านายจอมดื้อของเจ้าด้วย”

“ทำไม พี่พระอาทิตย์ไม่เอาไปให้เองล่ะครับ”

“ไม่ว่าง.....เดี๋ยวต้องไปฝึกอาวุธบนเขาตรงด้านตะวันตกที่เป็นชะง่อนหินเยอะๆ” ที่จริงอัสดงมิจำเป็นจะต้องอธิบายให้มากความกับเจ้าโอปาติกะ หากแต่ต้องการฝากสานส์ไปให้ใครบางคนต่างหาก จึงสาธยายมาเสียละเอียด เผื่อจะได้ตามมาถูก

“คร๊าบ งั้นเดี๋ยวยมบอกพี่ดื้อให้นะครับ ว่าพี่อัสดงฝากนมมาให้”

“ไม่ต้อง บอกไปว่าเป็นของเจ้าสองคน”

หากบอกว่าเป็นเขาก็เท่ากับว่าเสียฟอร์ม เรื่องอะไรจะต้องง้อก่อน เรื่องอะไรจะต้องให้รู้ว่าห่วงแสนห่วง เหงาแสนเหงา.....ท่องไว้เราไม่ผิด เจ้าเองต่างหากที่ไม่มีเหตุผล

ทางด้าน นลกุพรกับทรงกลด กลายเป็นหัวข้อการสนทนาทันทีที่เดินมาถึง เอราวัตเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกพิเศษจึงเดินเข้ามาจนใกล้ทำจมูกสูดดมฟุดๆฟิดๆ จนทรงกลดต้องยันหน้าออกไปด้วยความหมั่นไส้กึ่งระอา ในความมีสาระ(แน) ของเจ้าเพื่อนช่างพูด

“ดมห่าอะไรวะ กูอาบน้ำแล้วนะโว้ย” ใช่สิอาบน้ำและท่าจะอาบกันนานเสียด้วย

“มีกลิ่นผิดปกติ มีอะไรปิดบังหรือเปล่า” เอราวัตหยุดดมชั่วครู่ แล้วกวักมือเรียกแฟนจอมเฮี้ยว “ฉายจ๋า...มาช่วยดมหน่อยเร็ว”

คืนฉายรีบวางจานไส้กรอกถลันเข้ามาตามคำเรียก แต่ทรงกลดก็ยันหน้าออกไปอีกคน “พอๆเลย มึงสองคนผัวเมียอย่าให้มันล้นให้มากนัก เดี๋ยวจะโดนกระทืบทั้งคู่ กูรู้นะโว้ย ว่ามึงวางแผนจะทำอะไรกับกู แต่ไม่ต้องแล้ว กูขอบใจในความหวังดี”

คู่รักจอมเซี้ยวแกล้งทำหน้าเหรอหรายามถูกจับได้ นลกุพรก็ได้เพียงแต่ยิ้ม ยักคิ้วให้กับเหล่าอณูน้อย ก่อนจะกอดคอเจ้าสหายหน้าตูมนามพระอาทิตย์ “เป็นไงวะอัสดง....สีทันดรยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”

แทนที่อัสดงจะกล่าวตอบ กลับมีเสียงยียวน กวนแสนกวนจากเจ้าเอราวัตช่างพูด(ทุกเรื่อง)ว่า “งอนเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงติดต่อได้รวดเร็วมากขยายตัวเป็นวงกว้างในแนวราบ ผู้ป่วยจะมีอาการหน้างอและบางรายที่อาการหนักจะมีอาการหน้าดำแทรกซ้อน หูแข็งฟังอะไรขัดหูขัดใจไปหมด ตาขวางน้ำลายไหลเล็กน้อยพองาม ยังไม่พบหลักฐานว่า โรคชนิดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผู้ใดเอาโรคนี้มาปล่อยไว้ โรคนี้ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูง บางรายอาจถึงขั้นชักดิ้นชักงอ ลงไปกลิ้งกับพื้น”

“มีวิธีรักษาไหมจ๊ะที่รัก เผื่อที่รักของพี่ฉายงอน พี่ฉายจะได้รักษาถูก” คืนฉายแกล้งโอบไหล่เอราวัต ทำท่าพะเน้าพะนอ ใครๆได้เห็นก็แทบจะปล่อยก๊าก เพราะรู้ดีว่าสองผัวเมียคู่นี้ จงใจกระทบใคร ธรรม์ที่นับว่ายิ้มยากยังต้องแอบหลบมุมหัวเราะข้างเสา เพราะกลัวว่าหากหัวเราะดังๆ จะถูกอัสดงเตะ

“ยังไม่พบวัคซีนหรือยารักษาให้หายขาดมีแต่วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือควรสังเกตอาการผู้ป่วยว่าอยู่ในระดับไหน ถ้างอนน้อยๆให้ควรรีบง้อ ผู้พบเห็นทั่วไปควรเอาใจใส่ต่อผู้ป่วยโรคนี้ หากเป็นในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายได้โดยง่าย แต่ถ้าอาการหนัก ผู้ง้อควรได้รับการฝึกสอนและชำนาญต่อการง้อเป็นพิเศษ หลังจากได้รับการรักษาผู้ป่วยที่หายแล้วยังสามารถมีอาการกำเริบได้ทุกเวลา ผู้ใกล้ชิดต้องให้ความรัก ความเข้าใจ หากลดน้อยลงเมื่อไร อาการงอนจะกำเริบทันที”

“โรคนี้ น่ากลัวจัง แต่โชคดีนะ ที่ยังไม่มีใครในกลุ่มเราเป็น” คืนฉายแกล้งพูดใกล้ๆอัสดง ซึ่งยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“โรคนี้มักพบในกลุ่มคนที่มีความน่ารัก อย่างเช่นใครดีล่ะ....น้องดื้อไง  สำหรับผู้ที่ไม่น่ารัก โรคนี้จะเรียกว่า น่าเบื่อ น่ารำคาญควรปล่อยไปตามยถากรรม......โอ๊ยยยยย”

แล้วเสียงร้องลั่นของคู่รักทะเล้นก็ดังขึ้น เพราะอัสดงลุกขึ้นประเคนส้นเท้าหนักๆให้ดังพลั่ก สองผัวเมียหน้าคะมำหัวแทบทิ่ม คราวนี้เสียงหัวเราะไม่มีใครกั้นไว้แล้ว เฮฮาดังลั่น แต่ก็ต้องเงียบโดยฉับพลันทันใดเพราะสายตาพิฆาตเริ่มมองรายรอบ

“แดกกันให้เร็วๆ.........แล้วไปเจอกูบนยอดเขา เพื่อฝึกสมาธิ อย่าชักช้า วันนี้ห้ามใครเที่ยวเด็ดขาด!!”

ทางฝ่ายสีทันดรเมื่อทรงรับแก้วนมที่เจ้ารักยมนำมาทูลฯถวาย ก็ยกขึ้นดมเช่นเคยเพียงเท่านั้นก็ทรงอิ่ม สีทันดรทรงเสพรสแบบเทวะขนานแท้ ต่างจากนลกุพร แก้วนมที่มีปริมาณเต็มแก้วจึงถูกส่งคืนพร้อมพระดำรัสตอบขอบใจ

“ขอบใจนะ รัก ยม ที่อุตส่าห์นึกถึงเรา”

“พี่พระอาทิตย์สั่งให้นำมาถวายต่างหาก”

“แล้วทำไมเขาไม่เอามาให้เอง” สิ้นพระดำรัส แก้วนมก็ถูกเขวี้ยงใส่ก่อนหินข้างๆแตกกระจาย น้ำนมสีขาวประหนึ่งผิวพระวรกายกระจายไหลนองและซึมซับลงพื้นดิน เหอะ...หากรู้ว่าเป็นของคนงี่เง่า จะมิทรงเสียเวลาเสวยเลยสักนิด

“พอดี พี่พระอาทิตย์รีบไปฝึกสมาธิกับพวกพี่ๆอณูพะยะค่ะ เลยฝากรักกับยมมา”

“งั้นเจ้าสองคนก็ไปบอกพี่พระอาทิตย์ของเจ้าว่า ถ้าลมหายใจเข้าออกมีแต่ฝึกกับฝึก ก็ไม่ต้องมาห่วงเราให้เสียเวลา”

ดูเถอะคนอะไร จะง้อสักนิดก็ไม่มี กะอีแค่เดินตามมา พูดเพียงแค่ว่า “อัสสะขอโทษ” แค่นี้ทำไม่ได้หรือไง หรือเพียงแค่กอดอย่างที่เคยทำ เราก็พร้อมจะยอมอภัย เจ็บใจนักเราไม่เคยถูกใครละเลยจนถึงขนาดนี้ “เราจะไปเดินเล่นสักพัก ไม่ต้องตามมา”

พระพักตร์งาม หวาน ที่มองเท่าไรก็ไม่รู้จักเบื่อยังคงคว่ำเป็นม้าหมากรุกตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงบัดนี้ พระหัตถ์กำแน่น ริมโอษฐ์บางแดงสด เม้มจนเป็นเส้นเดียว ก่อนจะสลายกลายเป็นรัศมีเขียวเจือทอง พวยพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

“ตามไปเร็วรัก”

“จะตามไปทำไม...ยมไม่ได้ยินรับสั่งเหรอว่าไม่ต้องตาม”

“เดี๋ยวพี่พระอาทิตย์ถาม เราสองคนก็ซวยทั้งขึ้นทั้งร่องอีก ไปเหอะเร็ว”

เย็นย่ำค่ำแล้ว สีทันดรยังคงเดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย พัสตราภรณ์สีเขียวอ่อนก้านมะลิแบบยุวกษัตริย์ แปรเปลี่ยนเป็นแบบมนุษย์ธรรมดา ยามเสด็จยังถนนคนเดินที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับร้อย เจ้ารักเจ้ายมตามเสด็จด้านหลัง อยู่ในชุดมนุษย์ธรรมดาเช่นกัน มันสองคนวันนี้ได้แต่เดินตาม ตาม แล้วก็เดินตาม มิกล้าชวนคุยใดๆทั้งสิ้นเพราะรู้ดีว่า เจ้าลูกพี่จอมดื้อพระอารมณ์ไม่ทรงปกติ

ด้วยความที่คนแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น เจ้านาคน้อยที่ทำองค์เฉกมนุษย์ จึงต้องดำเนินฝ่าฝูงชนไปอย่างยากลำบาก และการเดินฝ่าไปนั้น ก็เรียกร้องให้สายตาทุกคู่หยุดจ้องมองในพระลักษณะที่จัดได้ว่า มองได้จนไม่รู้เบื่อ และต้องเหลียวมองจนเดินลับสายตา

“น่ารักจัง จะมองว่าสวยก็สวยมาก จะมองว่าหล่อก็หล่อบาดใจ เป็นดาราหรือเปล่า”

“มีแฟนหรือยัง เข้าไปจีบดีไหม” หรือบางเสียงบางกลุ่มถึงขนาดจะเข้ามาขอ เบอร์โทร แต่หารู้ไม่ว่าสีทันดรไม่มีโทรศัพท์ ทรงมีแต่โทรจิต “เข้าไปขอเบอร์สิ”

เสียงซุบซิบที่ทรงได้สดับด้วยทิพยโสตนั้น หากเป็นยามปกติ คงสร้างรอยแย้มสรวลได้บ้าง หากยามนี้พระพักตร์เชิดตั้งตรงฉายแววเอาเรื่องหากใครเข้ามาวอแว มนุษย์พวกนั้นได้แต่กล้าๆกลัวๆ แต่มีคนหนึ่งนั้นเล่าที่กล้าพาตัวเองแทรกเข้ามาเดินจนใกล้ และร่างสูงกำยำของหนุ่มน้อยราวยี่สิบต้นๆที่เข้ามานั้น ก็น่ามองไม่แพ้กัน

“ว้าย ตาย หล่อจัง....เขามาด้วยกันหรอกเหรอ” ใครๆที่ได้เห็นเจ้าคนนี้เดินตามอยู่ด้านหลังต่างก็คิดเช่นนั้น แต่คนน่ามองที่เดินนำหน้า ไม่ยักรู้ว่ามีคนเดินตาม

เขาคนนั้นใส่เสื้อกล้ามตามแบบวัยรุ่นชายที่นิยมโชว์กล้าม แขนแข็งแรงมีผ้าพันแผลรัดไว้ เจ้ารักเจ้ายม ที่จับสังเกตได้ รีบสาวเท้าเข้ามาหมายเดินแทรกกลางกันลูกพี่ออกจากการถูกเดินตาม แต่เจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองก็มีอันต้องลอยละลิ่วภายในพริบตา เพราะเจ้าคนเดินตามใช้มือที่ไขว้หลังกันอยู่นั้นแอบซัดอาคมใส่กระแทกอกมันสองคนเต็มๆ

“โอ๊ย”

ด้วยเสียงร้องนี้เอง สีทันดรทรงหันกลับมาทันที และก็ทรงพบว่า พระพักตร์อยู่เสมอเพียงอกกำยำของใครบางคน แผงอกที่ไม่เคยคุ้นในเสื้อกล้ามสีดำขับสีผิวของคนปริศนาที่เดิมตามให้น่ามอง จนจำต้องแหงนพระพักตร์ขึ้นไปทอดเนตร แล้วก็ต้องทรงผงะ

“วะ.... วายุภัค”

“สงสัยจะเป็นบุพเพสันนิวาส เราสองคนเจอกันอีกแล้วนะสีทันดร”

แน่ฤา ที่ว่าเป็นบุพเพสันนิวาส บุพเพประเภทไหนกันเล่าที่ทรงใช้ให้ครุฑบริวารคอยแอบตามเงียบๆ ครั้นพอพ้นจากรัศมีเขตอาคมของพวกอณูน้อยนั่นแหละ ไอ้พวกบริวารนั้นจึงรีบไปกราบทูลยังยอดไม้สูงที่ทรงประทับอยู่ “ทางสะดวกแล้วพะยะค่ะ ทูลกระหม่อมสีทันดร ทรงประทับลำพังอยู่กับเพียงโอปาติกะเท่านั้น”

“ขอบใจ” เท่านั้นแหละ วายุภัคจึงเหิรลอยเสด็จมายัง ถนนคนเดิน ที่บัดนี้มีเทวนาคาพระเนตรฟ้าครามทรงแอบมาดำเนินอยู่

“หลีกไป” สีทันดรถอยพระวรกายออก แต่ด้วยความที่คนแน่นนักจึงถอยไม่ได้หนำซ้ำพระวรกายยังถูกดันกลับเข้าไปเสียแทบจะแนบชิดติดกับอก “รัก ยม อยู่ไหน... มานี่เดี๋ยวนี้”

“เจ้าผีเด็กมันกลับไปแล้ว ตอนนี้เจ้าอยู่กับพี่เพียงลำพัง” วายุภัคแอบเอาพระดัชนีไขว้กันไว้ มิได้ทรงโกหกแต่อย่างใด เพียงแค่ตรัสไม่หมดเท่านั้น ว่าโอปาติกะสองตนถูกซัดให้กลับ มิได้กลับไปเอง

“งั้นหม่อมฉันจะกลับ”

“งั้นพี่จะไปส่ง” วายุภัคตรัสขึ้นทันควัน

“แต่หม่อมฉันกลับเองได้  ถอยไป ที่นี่เป็นสถานที่สาธารณะไม่ใช่อาณาเขตของฝ่าบาท ฉะนั้นจะมาขวางทางหม่อมฉันอย่างเมื่อวานไม่ได้ หากยังทรงทำ คราวนี้จะไม่มีแค่รอยเขี้ยว” พระเนตรฟ้าครามจากที่ไม่สบพระอารมณ์อยู่แล้วเริ่มกร้าว ทอดมองอย่างชิงชัง รอยคมเขี้ยวที่ฝากฝังไว้บนต้นพระพาหาสร้างความสาพระทัยนัก

“เจ้าบอกพี่เองนะว่าที่นี่เป็นที่สาธารณะ  ฉะนั้นพี่จะยืนตรงไหนก็ได้ หากเจ้าพาลอยากจะกัดพี่อีก พี่ก็ไม่ห้าม แต่พี่ขอจิกเจ้าคืนเบาๆ ทบต้นจากเมื่อวาน...ได้ไหม ” วายุภัคสรวลระเรื่อ

เมื่อวาน....ยังทรงจำได้ ....ที่เขาพระองค์นี้จะจิก แต่วิธีการจิกก็ทำให้พระพักตร์ระเรื่อ เพราะทรงเกือบโดนจิกด้วยริมโอษฐ์หยักงาม ผิดวิสัยครุฑสามัญที่ใช้จะงอยปากแหลมคม

สีทันดรพยายามกลั้นพระโทสะ เทวปักษีตนนี้ พยายามยั่วให้โมโห หากทรงหลงกล จะทรงถูกรังแกเป็นแบบเมื่อวานทางที่ดีเลี่ยงเสียดีกว่า เจ้านาคน้อยจึงไม่ตรัสตอบใดๆทั้งสิ้น สะบัดพระพักตร์พรึ่ด เป็นฝ่ายออกมาเสียให้พ้นทาง แต่มีฤาที่วายุภัคจะไม่ตาม

“จะตามหม่อมฉันมาอีกทำไม”

“พี่ก็เดินของพี่ มิได้ตามสักหน่อย”

“ทรงต้องการอะไร หากจะทรงต้องการปะทะฝีมือ หม่อมฉันยอมรับก็ได้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ขอยอมแพ้ จะได้พอพระทัยและเลิกเดินตามหม่อมฉันเสียที”

“ทำไมถึงเห็นพี่เป็นคนเกเรชอบท้าตีท้าต่อยเช่นนั้น ทยุติธรกับบรรพบุรุษเจ้าคงเป่าหูให้ครอบครัวพี่เสียหายไม่มีดี”

ครอบครัวที่วายุภัคทรงตรัสคงไม่แคล้ววงศ์วานเทวปักษีที่ฉิมพลี ความเป็นศัตรูนั้นถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เจอกันทีไรมักมีเรื่อง ....แต่ไฉนสองวันมานี่ วายุภัคทำองค์แปลกๆ ซึ่งเจ้านาคน้อยก็ทรงจับสังเกตและรู้สึกองค์ได้

สีทันดรเจ้าจะรู้องค์ไหม เพราะกลิ่นเจ้าที่หอมแสนหอม เนตรงามดั่งท้องทะเลลึกที่เทวปักษีมิมีทางได้ลงไปแหวกว่าย และพักตราที่ถอดแบบมาจากพระมหาลักษมีเทวีที่ทรงงามที่สุดในสามโลก .....ทำให้พี่ต้องร่อนลงมาจากฉิมพลี

“ไม่ต้องมีใครเป่าหู หม่อมฉันก็รู้ ว่าพวกฉิมพลีเลวทรามแค่ไหน” พระสุรเสียงที่กราดเกรี้ยวนั้นเอง เรียกความสนใจจากมนุษย์ให้หันมามอง

“แล้วพวกบาดาล ดีพร้อมนักหรือไง เห็นทีพี่ต้องจับเจ้าสั่งสอนเสียใหม่” วายุภัคขึ้นพระสุรเสียงมาบ้าง โดนด่าจนกริ้วน่ะใช่ แต่ไยมีอาการคันยิบๆที่พระทัยและอาการก็กำเริบหนักขึ้นจนควบคุมไม่ได้

สีทันดรเห็นว่าวายุภัคทรงเอาเรื่องแน่ แต่วายุภัคก็ไม่ได้โจมตีดังคาด แค่ประชิดกายจับต้นพระพาหาแน่น เจ้านาคาตาสวยสะบัดออกด้วยความรวดเร็ว  หากปะทะกันตอนนี้ ที่นี่ มนุษย์จะลำบาก เลี่ยงไปเสียให้พ้นๆ ในพระทัยหมายเรียกให้อัสสะมาช่วย...แต่อีกแว่บก็ทรงหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะทรงคิดว่า ‘เขาคงไม่สนใจ’  จึงใช้เทวฤทธิ์องค์เอง แทรกหลบลัดเลาะไปตามกลุ่มคนด้วยความรวดเร็ว เพียงชั่วแวบเท่านั้น ก็สามารถพาพระวรกายออกมาพ้นจากบริเวณถนนคนเดิน ประทับยืนเหนือริมฝั่งแม่น้ำปาย

“พวกครุฑชั่วช้า อันธพาล รอให้เราโตว่านี้อีกหน่อยเหอะ เราจะเด็ดปีกเจ้าให้ดู”

“ อย่าเหมารวมว่าครุฑจะชั่วช้าไปเสียทั้งหมด ทำไม.... เจ้าถึงเห็นว่าพี่เกเร เป็นอันธพาล”

สีทันดรหันขวับทันใดโดยมิรู้ว่า เจ้าเทวะปักษีมาปรากฏวรกายประทับอยู่เบื้องปฤษฎางค์อย่างรวดเร็วและยื่นพักตร์เข้ามาใกล้ และในวินาทีที่หันไป พระปรางกระจ่างใสก็สัมผัสกับริมโอษฐ์หยักงาม อย่างไม่ทันตั้งตัว และตั้งพระทัย

ระเรื่อยรินกลิ่นกรุ่นจากพวงแก้ม ....โฉมแฉล้มฉ่ำหทัยเป็นนักหนา

วายุภัคมิได้ลวนลาม แค่เอาพระพักตร์เข้ามาใกล้ แต่องค์เองต่างหากเล่า ที่เข้าไปหา ริมโอษฐ์เทวปักษีเสียเอง

แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วแวบ วายุภัคก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุขพระทัยเหลือคณา โดยมิทรงรอให้สมองสั่งการ พระทัยจึงใช้กำกับ อ้อมพระพาหาให้ทำงานกอดรัดวรองค์ปานรูปสลักด้วยความรวดเร็ว  คราวนี้วายุภัคทรงจิก ....และจิกไม่ยอมปล่อย ทั้งพระปราง ริมโอษฐ์และซอกพระศอเศวตถูกจิกถ้วนทั่ว คราวนี้วายุภัคไม่พลาด ใช้ครุฑสีหนาทกำกับมิให้เจ้านาคน้อยคืนร่างสู่สภาวะนาคาอย่างเมื่อวาน แถมยังกั้นมิให้กระแสจิตถูกส่งออกไปขอความช่วยเหลือ

“ถึงเวลาพี่ต้องจับเจ้าสั่งสอน....โทษทีนะทยุติธร น้องชายเจ้ามันน่ายุ่งจริงๆ”

พระวรกายเล็กๆ จึงไม่มีทางเลี่ยงหนีไปไหนได้ จะร้องก็ร้องไม่ออก เพราะพระโอษฐ์ถูกปิดสนิทแน่น แล้วปีกสีเศวตก็กางออกกว้าง ปีกที่กล่าวกันว่ากวักทีบินได้ทีละโยชน์ กระพือขึ้น พาเทวนาคาน้อยขึ้นสู่ยอดไม้สูง เสมือนยามครุฑจับนาคที่เวลาจะจิกกินก็จะพาบินขึ้นฟ้า จิกกินบนยอดไม้เหมือนกัน....แต่วายุภัคมิทรงจิกกินแบบนั้น

“พญาเวนไตยเสด็จ”

เสียงก้องตะโกนขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบได้ วายุภัคตกพระทัยยุติการกระทำจาบจ้วงทันที แล้วทรงรู้สึกว่า พระวรกายถูกซัดด้วยพลังงานอะไรบางอย่าง แม้จะไม่ระคายผิวและทำให้บาดเจ็บ ทว่าก็ทำให้ซวนเซ แลพลังนั้นก็รวมตัวกันดึงพระวรกายเจ้านาคน้อยที่ยังทรงตะลึงออกมาและหายวับไปด้วยความรวดเร็ว

“โธ่โว้ย” วายุภัค ร้องลั่นฟ้าด้วยความขัดพระทัย ที่เสียรู้ ทรงนิ่งสักพัก ก่อนจะตรัสเรียกราชครูปุโรหิตคนสนิทพร้อมบริวาร “พวกเจ้าจงไปทูล ทูลหม่อมปู่ว่า เราตัดสินใจแล้วว่า เราจะร่วมรบกับพวกอณูเทวะทั้งแปด ให้เตรียมกองกำลังให้พร้อม”

“พะยะค่ะ แต่ฝ่าบาททรงแน่พระทัยแล้วเหรอว่า ทรงอยากรบจริงๆ หรือทรงมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง” ราชครูกล้าทูลถามขึ้น เพราะรู้พระอุปนิสัยดี

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” วายุภัคขมวดขนงตรัสถามด้วยสุรเสียงกร้าว

“อย่าหาว่าหม่อมฉันบังอาจ ...ทรงเลิกสนพระทัยเสียเถิดกับเทวนาคาพระองค์นั้น สิ่งที่ฝ่าพระบาททรงทำมันเกินคำว่าสั่งสอน.....แลอีกอย่าง ถึงแม้พระลักษณะจะเหมือนพระมหาลักษมีเทวี แต่ก็ทรงเพศเทวบุตร ที่สำคัญที่สุด ทรงเป็นเทวนาคาศัตรูเรา”

“บังอาจ!!” วายุภัคทรงตวาดก้อง แล้วทรงกล่าวต่อว่า “ แล้วยังไงราชครู เป็นเพศเทวบุตรกับศัตรูแล้วมีปัญหาตรงไหน ....อย่าให้เราได้ยินเรื่องนี้อีก และหากใครแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เราจะตัดหัวมันเสียบประจานหน้าฉิมพลี ...ไปได้แล้ว”

วายุภัคขบกรามกำพระหัตถ์แน่นกล่าวคาดโทษกับราชครูและบริวารยามถูกเตือนพระสติ .....ใช่ การร่วมรบ เรามีวัตถุประสงค์แอบแฝง และมันผิดด้วยหรือ หากเราจะทำเพื่อแลกกับการได้ใกล้ชิด “หัวใจ” ของเรา
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2019 17:28:11
เสียงโครมดังสนั่น พร้อมๆกับกระถางบัวกลางสนามหญ้าของบ้านพักแตกกระจาย อณูน้อยทั้งหลายที่นั่งคุยกันอยู่เรื่องผลการฝึกวันนี้ ต่างก็รีบรุดมาดูทันใด และก็พบว่า กลางเศษกระเบื้องและกอบัวที่ยับเยินนั้น มีเจ้าลูกพี่จอมดื้อที่กำลังถ่ายพลังให้เจ้ารักเจ้ายมอยู่

เจ้ารักเจ้ายม ใช้อำนาจเกินตัวเข้าสกัดวายุภัคและชิงตัวตนออกมา ด้วยเดชะและศักติของวายุภัค ทำให้พลังของเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองเกือบสลาย โชคดีที่ไม่โดนเทวปักษีซัดซ้ำเมื่อกี้ ไม่งั้นดวงวิญญาณมันคงแหลกเหลว “ดีขึ้นไหม...รักยม เราเป็นต้นเหตุ เราขอโทษ”

“อย่าตรัสอย่างนั้น พะยะค่ะ หากพี่ดื้อโดนรังแกไปมากกว่านี้ รักยมคงรู้สึกผิดที่ถวายงานปกป้องไม่ได้”

“โธ่....รัก ยม” สีทันดรทรงตรัสอะไรไม่ออกอีก ซึ้งในน้ำใจเจ้ามหาดเล็กจำเป็น ดูเถอะ รักยมเป็นแค่โอปาติกะ ซ้ำยังไม่ใช่บริวารโดยตรง ยังมีจิตห่วงตนถึงขนาดนี้ แล้วคนที่เคยพร่ำบอกว่าตนคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาล่ะหายไปอยู่เสียที่ไหน คนที่ทูลบอกพระมหาลักษมีเทวีว่า จะดูแลตนด้วยชีวิตทั้งชีวิต บัดนี้ทำอะไรอยู่

“น้องดื้อ ไอ้รัก ไอ้ยม ไปทำอะไรกันมา ไหงสภาพถึงเป็นแบบนี้” คันฉัตรที่วิ่งมาคนแรก เห็นสีทันดรกำลังถ่ายทอดพลังทิพย์ให้กับรักยมอยู่ ก็ตกใจถามขึ้นอย่างระรัว

“เกิดอะไรขึ้นครับน้องดื้อ ทำไมรักยมถึงบาดเจ็บ”

ทรงกลดถามมาอีกคน แต่สีทันดรก็ยังไม่ตอบอะไรรอจนการถ่ายพลังเสร็จ จึงเตรียมตอบ แต่ใครบางคน ที่ทรงคาดว่าจะวิ่งเข้ามาหาโอบกอดด้วยความเป็นห่วง กลับฉุดข้อพระกรขึ้นเสียโดยแรง พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เป็นประโยคแรกที่พูดกันในวันนี้

“ไปไหนมา ไปทำอะไรมาอีก คงก่อเรื่องอีกแล้วใช่ไหม บอกมาเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นไอ้รักไอ้ยมมันคงไม่สะบักสะบอมขนาดนี้ อัสสะตามใจเจ้ามามาก วันนี้อัสสะคงต้องทำโทษเจ้าจริงๆจังๆซะที”

น้ำเสียงห้วนๆ ชวนให้หฤทัยช้ำชอก หลุดจากวายุภัคมาได้ก็หมายพระทัยจะให้ปลอบ หมายจะซบอก บอกว่าถูกคนอื่นเขารังแก แต่กลับมาเจอแบบนี้ นี่หรือคนรักเขาทำกัน ....สีทันดรรู้สึกเจ็บที่พระอุระเหลือเกินจะเจ็บ ไหนจะพระเกียรติยศที่โดนวายุภัคย่ำยี ไหนจะถ้อยคำที่หลังไหลร้ายกาจจากปากของเขาคนนี้

นลกุพรเห็นท่าไม่ดี และเห็นสีพระพักตร์ของสหายที่เคยดื้อรั้นเอาแต่พระทัยเริ่มสลด ทรงเห็นรอยรื้นใสๆตรงขอบพระเนตรฟ้าคราม ซึ่งหากสีทันดรปกติ อัสดงคงไม่แคล้วโดนแว๊ดกลับ มันต้องมีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้น “อัสดง ใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวเราถามให้”

“สีทันดรจ๋า บอกนลนะ ว่าไปทำอะไรมา อย่าเงียบแบบนี้เลยนะคนดีของนล” นลกุพรทรงดึงข้อพระกรออกมาจากมืออัสดงแล้วโอบพระวรกายไว้แน่นอย่างที่เคยทำ

“นล....ทำไมไปโอ๋อย่างนั้น เด็กดื้อก็ต้องโดนทำโทษ”

อัสดงดึงพระวรกายกลับ ลากหลุนๆ ไปด้วยความโมโห เหอะ...เด็กดื้ออุตส่าห์รออยู่บนเขาทั้งวัน เจ้าก็ไม่ขึ้นมา กลับมาหวังจะเห็นหน้าให้ชื่นใจคลายเหนื่อย เจ้าก็ไม่อยู่ หนำซ้ำกลับมาเสียมืดค่ำ แถมทีท่าก็ยังเหมือนว่าไปก่อเรื่องมาอีก

“สร้างแต่เรื่อง ไม่มีจบสิ้น ทำไมไม่ทำตัวน่ารัก ว่าง่ายเหมือนแฟนคนอื่นเขาบ้าง ดูตระการตาสิ เขาเป็นมนุษย์เขายังไม่งอแง ไอ้ฉัตรให้รอที่นี่ก็รอ ไอ้ฉัตรให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีปริปากบ่นสักคำ เราทั้งเหนื่อย ทั้งหนักใจ ไม่รู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะตายกลางสนามรบหรือไม่ หวังเพียงแค่มีใครสักคนคอยดูแล แต่กลับมาหวังกอดให้ชื่นใจก็ไม่เห็นแม้แต่เงา”

“เฮ้ยยยย ไอ้อัสดง อย่าเอาฉันกับแฟนเข้าไปเกี่ยวสิวะ” คันฉัตรเห็นท่าไม่ดีรีบพาตระการตาออกไปจากที่เกิดเหตุ เพราะกลัวจะโดนลูกหลงหากระเบิดจากเทวะนาคาลง

สิ้นคำจากอัสดงเท่านั้น พระเนตรฟ้าครามก็ฉายวาบขึ้นทันใด พอกันทีสิ้นสุดความอดทนแล้ว ทำไมต้องเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

รักยมที่ยังฟื้นกำลังยังไม่เต็มที่ เห็นสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ พยายามยันกายเข้ามาไกล่เกลี่ย เมื่อเห็นลูกพี่โดนฉุดไปอย่างนั้น 

“พี่พระอาทิตย์ฟังก่อนครับ คือพี่ดื้อ...ทรง..”

“ไม่ต้องบอกเขา รักยม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา ปล่อยให้เขาเข้าใจไปแบบนี้แหละ”

แล้วสีทันดรก็แข็งขืนสะบัดข้อพระกรสุดแรงเกิด จนหลุดจากมือของเจ้าพระอาทิตย์ ผลักเจ้าพระอาทิตย์สุดแรงเกิดด้วยฤทธีจนกระเด็นไปติดต้นไม้ใหญ่ แล้วตวัดพระหัตถ์ตบกลางฟ้า ยามเจ้าพระอาทิตย์ลุกขึ้นมา จนหน้าหันเซถลาไปอีกรอบ ก่อนจะตรัสขึ้นทั้งพระอัสสุชลที่รินหลั่งเป็นสาย

“เราก็เป็นของเราอย่างนี้ เราก็ดื้อของเราอย่างนี้ มาตั้งนานนม แล้วตัวเจ้าล่ะคิดว่าดีนักหรือไง เจ้ามันก็ใจร้อน เอาแต่ใจเหมือนกัน จะถามเราดีๆสักนิดไหม ว่าเราเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มาถึงก็กราดเกรี้ยวขึ้นเสียง ในเมื่อเจ้ากล้าเปรียบเทียบเรากับคนอื่น เราก็จะเปรียบเทียบบ้าง เจ้าเองก็สู้ พี่กลดกับนลไม่ได้ที่ถามเราดีๆ เป็นห่วงเรา” สีทันดรหยุดเว้นวรรคเพื่อกลั้นสะอื้น พระกรน้อยๆ พยายยามเช็ดพระอัสสุชล แต่เช็ดเท่าไรก็เช็ดไม่หมด เสียงสะอื้นที่กลั้นก็ยังไม่ยอมหยุด จึงพยายามฝืนตรัสต่อมาว่า

“เราไม่เคยถูกละเลย เราเคยมีคนดูแล ขนาดทูลหม่อมพี่ชายเรา ที่ลมหายพระทัยเข้าออกมีแต่ฝึกศาสตารวุธ ยังเสด็จมาหา มาคุยกับเราตลอด ไม่เคยที่จะทอดทิ้ง และปล่อยให้เราถูกรังแกเช่นวันนี้ เรากลับมาก็เพื่อหวังว่าจะมีอ้อมกอดของเจ้ารอรับ ลูบผมกอดเราเช่นเคย แต่เจ้ากลับกระชากเราขึ้นจากพื้น......เจ้าเป็นใคร ไอ้ไฟบ้า ถึงกล้าทำอย่างนี้กับเรา เราน้อยใจ เจ้ารู้ไหม ”

ต่างฝ่าย ต่างมีเหตุผลส่วนตัวถ้าไม่คุยกัน ปรับความเข้าใจกันแต่แรกก็จะไม่มีทางเข้าใจ เสมือนภูเขาไฟที่รอเวลาปะทุ และหากปะทุขึ้นมาเมื่อใด ก็รุนแรง ไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของอัสดงและสีทันดร

หากแต่ตอนนี้อัสดงตะลึงงัน มิคิดว่าจะโดนตอกกลับเป็นชุด แลประโยคที่ว่าโดนรังแกทำให้ได้สติรีบถามด้วยหัวใจและน้ำเสียงสั่นพร่าไม่แพ้กัน

“ใคร ใคร รังแกเจ้า”

สีทันดรมิตรัสตอบเสด็จเข้าไปใกล้ กำพระหัตถ์ทุบลงไปบนอกเจ้าพระอาทิตย์รูปงามอย่างไม่มียั้ง เสียงร้องสะอื้นร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นเสียพระทัยอย่างไม่เคยเป็น ดังลั่นและดังกว่าคราวที่เจอกันครั้งแรกที่บ้านทรงกลด พระเนตรฟ้าครามเริ่มช้ำ ผิวน้ำที่เคยไหลเรื่อยสงบของลำน้ำปายเริ่มเกิดระลอกหมุนวน ปลาน้อยใหญ่ต่างแย่งกันกระโดดขึ้นมาดู เหมือนจะช่วยเข้ามาปลอบพระทัยและรู้ว่าเจ้านาคากำลังโศกาอาดูร

อณูน้อยทุกคนต่างก็ตื่นตะลึงไม่แพ้อัสดง รัศมีสีเขียวเจือทองเริ่มสั่นไหว ตรงขอบปลายแซมไว้ด้วยสีดำ ....สีแห่งความโศกเศร้ามัวหมอง ทรงกลดกับนลกุพรพี่ชายและสหายที่แสนดีขยับกายเข้าหมายปลอบ แต่สีทันดรก็สะบัดออก เวลานี้ใครก็เข้าพระพักตร์ไม่ติด

“ในเมื่อเจ้าเห็นว่าเราสร้างแต่เรื่อง ทำตัวไม่น่ารัก เหมือนคนอื่นๆ เราก็จะไป เจ้าจะได้ไม่ต้องทนรำคาญเราอีก” สิ้นพระสุรเสียง รัศมีสีเขียวเจือทองก็สว่างวาบพวยพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว อัสดงหมายจะใช้วงแขนกอดรัด อย่างที่เคยทำก็ช้าไปเสียแล้ว

“ไอ้ดื้อ.....เดี๋ยวก่อน อัสสะขอโทษ”

อัสดงตะโกนลั่น ก่อนจะรีบสลายกลายเป็นรัศมีสีแดงเพลิงแรงกล้าตามไปติดๆ ทว่ารัศมีสีเขียวเจือทองนั้นกลับซัดแส้เพลิงฟาดลงมากลางอกจนเขาร่วงลงมาจากฟ้า ก่อนจะสลายหายวับไปในพริบตา
 
คำขอโทษ...ของเจ้า มันไม่ช้าไปหรอกฤา อณูแห่งพระสุริยาทิตย์

“พี่พระอาทิตย์ใจร้าย”

เจ้ารักเจ้ายม กล่าวขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะสลายหายวับตามลูกพี่จอมดื้อของมันไป ทิ้งไว้แต่เหล่าอณูน้อยทั้งหลายที่ยืนทำตัวไม่ถูกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คืนฉายกับเอราวัต เข้ามาประคองอัสดงที่ร่วงลงมากับพื้น ในจังหวะเดียวกับที่ทรงกลดปราดเข้ามาขย้ำคอเสื้ออัสดง แล้วเหวี่ยงหมัดหนักๆลงไปบนใบหน้าของเจ้าพระอาทิตย์รูปงาม ดังพลั่ก ก่อนตะโกนลั่น

“กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหม ว่าให้ดูแลน้องดื้อให้ดีๆ กูสู้อุตส่าห์ทำใจยอมยุติบทบาท ปล่อยดวงใจของกูให้มึงเอาไปดูแล เพราะกูมั่นใจว่ามึงจะดูแลอย่างดี แต่ทำไมมึงกลับทำกับน้องดื้ออย่างนี้” ทรงกลดเงื้อหมัดอีกระลอก ตั้งใจซัดให้อีกเสียทีแต่นลกุพรก็เข้ามาห้ามไว้

“พอได้แล้วกลด....แค่นี้อัสดงก็ย่ำแย่พอแล้ว”

“ช่างเหอะนล ...เรื่องนี้ฉันผิดเอง นายจะต่อยฉันอีกกี่ทีก็ได้นะไอ้กลด” อัสดงกล่าวตอบพร้อมกับเช็ดเลือดที่ค้างคาอยู่ที่มุมปาก ทรงกลดถลันกายจะเข้ามาอีก ราหูกับน้ำเชี่ยว รีบเข้ามาช่วยขวาง

“ไอ้ห่า....เพื่อนกันนะโว้ย” ราหูยันอกทรงกลดไว้ก่อนจะหันไปบอกนลกุพรกับน้ำเชี่ยวว่า “พาไอ้กลดแยกไปก่อน”

แต่ทรงกลดก็ไม่ยอมไปขัดขืนจะพยายามปรี่เข้ามาให้ได้ ทรงกลดพี่ชายที่แสนดีกลายเป็นพระจันทร์ที่กำลังทอแสงแห่งความกราดเกรี้ยวเฉกครั้งก่อนเกิดเหตุจันทรคราส ตะโกนลั่นไม่หยุด

“นายทำน้องดื้อเสียใจ....ไหนว่าจะดูแลอย่างดีไงวะ”

“แล้วจะให้กูทำอย่างไร  มีใครเข้าใจความรู้สึกกูบ้าง กูเป็นอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ แบ่งภาคลงมาครั้งนี้ก็เพื่อปราบมารปราบอสูรเป็นหลัก ไม่ได้ลงมาเป็นนักรัก หน้าที่สำคัญของกูก็ควรเอาเวลามาใส่ใจเรื่องศึกต่างหาก กูก็อายุสิบแปดและเป็นอณูแห่งเทวะเหมือนๆกับพวกมึง แต่ความรับผิดชอบกูมีมากกว่า กูต้องนำทัพ หากกูทำได้ไม่ดีสวรรค์กับโลกมนุษย์ก็จะฉิบหาย”  อัสดงสวนกลับมาบ้างทำให้อณูแห่งจันทรเทพและทุกคนในบริเวณนั้นยืนฟังนิ่งและพอเริ่มเข้าใจในเหตุผล

“แต่นายก็ควรจะแบ่งเวลาให้ถูก” ทรงกลดเริ่มอารมณ์เย็นลงบ้าง หากก็ยังไม่วายกล่าวแย้ง

“ไอ้ดื้อ คือทุกสิ่ง ทุกอย่างในชีวิตของกู เป็นยอดดวงใจ กูเองก็อยากจะอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืน แต่เทวะต้องดำรงไว้ด้วยหน้าที่ ใช่ว่ากูจะไม่เสียใจ และก็ขอบอกไว้เลยว่าเสียใจมากที่สุดที่คนที่กูรักไม่เข้าใจกูเลยสักนิด เอาแต่งอน หากพวกมึงลองมาสลับหน้าที่กับกูพวกมึงก็จะรู้ ว่าความเหนื่อยยากมันอยู่ตรงไหน มีใครจะเข้าใจกูบ้างไหม”

อณูน้อยทั้งหมดและนลกุพรได้ฟังก็เงียบกริบ เริ่มเข้าใจในเหตุผล ทรงกลดไม่มีอะไรโต้แย้งมาอีกยอมจำนนเข้ามาขอโทษที่เผลออารมณ์ต่อยหน้า แล้วสุรเสียงดังกังวานก็ดังขึ้นพร้อมๆกับรัศมีสีเขียวเจือทอง สว่างวาบสลายกลายเป็นวรองค์งามสง่าของทยุติธร

“เราเข้าใจเจ้าอัสดง ถึงแม้เราจะมิเคยเห็นด้วย ในความรักของเจ้าที่มีต่อน้องชายเรา  แต่เจ้าทำถูกต้องแล้ว น้องเราเองก็มีส่วนผิด”

“ฝ่าบาท”

ทยุติธรทรงดำเนินเข้ามาตบไหล่แล้วกอดคออัสดงเสมอเป็นสหายคนหนึ่งไม่เหลือเค้าทีท่าไว้องค์เฉกเคย “ปล่อยสีทันดรไปสักพักก่อน เดี๋ยวเราช่วยพูดให้ พวกเราไปหาที่นั่งคุยกันก่อนเหอะ เราขึ้นมานี่ก็เพื่อจะขึ้นมาช่วยถ่ายทอดโยคะสมาธิให้ตามสัญญา เจ้าจะได้ใช้ฝึกให้เป็นประโยชน์ต่อไป ทำใจให้สบายก่อน และอีกอย่าง เราจะช่วยนำทัพจากบาดาลเข้าร่วมรบ ทูลหม่อมปู่อนันตฯ ให้สิทธิขาดเราแล้ว”

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ แต่ตอนนี้กระหม่อมอยากออกตามไอ้ดื้อ อยากจะรีบไปปรับความเข้าใจ ไม่รู้สึกอยากจะทำอะไรทั้งนั้น รู้สึกเป็นห่วงกลัวจะโดนใครรังแกอย่างวันนี้อีก” อัสดงทูลตอบมิอายที่จะบอกว่ารักและห่วงน้องชายต่อหน้าพี่ชายที่ทรงหวงน้องอย่างยิ่ง

ทยุติธรขมวดพระขนงโดยพลันหลับเนตรนิ่ง ชั่วแวบแล้วก็ทรงลืมขึ้นด้วยความรวดเร็ว ตรัสลั่น “วายุภัคบังอาจนัก....อัสดงรีบตามมาเร็ว”

สิ้นรับสั่งและทันทีที่พระนามวายุภัคหลุดออกมา ทยุติธรก็ทรงพุ่งปราดเป็นรัศมีสีเขียวไปพร้อมกับรัศมีสีแดงเจิดจ้าของอัสดงและเหล่าอณูน้อยที่เหิรทะยานตามมาติดๆ อัสดงรู้ดีว่าวายุภัคคือใครและเข้าใจได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้เรื่องบาดหมางระหว่างเทวะกับเทวปักษีจะจบแล้ว หากเรื่องระหว่างเทวนาคาและเทวปักษีมิเคยจบสิ้น....และไอ้ดื้อก็เสด็จไปเพียงลำพังกับเจ้ารักเจ้ายมที่ยังสะบักสะบอม....มีฤาจะทานอำนาจวายุภัคไหว

“วายุภัค เจ้านี่เองหรอกเหรอ...เหอะอุตส่าห์ช่วยรักษาและสานไมตรี ไม่คิดเลยว่าพวกครุฑจะคบไม่ได้” อัสดงรำพึงกับตนเอง ขบกรามแน่น ก่อนจะส่งกระแสจิตทูลบอกทยุติธรว่า

“หากวายุภัคทำร้ายสีทันดรแม้แต่ปลายเล็บ กระหม่อมถวายสัญญาว่า ฉิมพลีจะพินาศด้วยมือกระหม่อมเอง”

อัสดงจะรู้ไหมว่า....วายุภัคมิได้ทรงทำร้ายสีทันดรอย่างครุฑทั่วไป หากแต่วายุภัคทรงทำร้ายด้วยวิธีที่ไม่เคยมีครุฑตนไหนหาญกล้ากระทำมาก่อนนับเป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียว และหากได้รู้ว่าวายุภัคทรงทำอย่างไร วิมานฉิมพลี....จะเพียงพอสำหรับการเผาฤา

“รอก่อนนะสีทันดรยอดรัก....อัสสะกำลังจะไปหาเจ้าแล้ว”

**********************************
รบกวนติดตามต่อในบทที่๑๔ ส่วนที่๓ นะคะ

ขอบคุณ คุณAkuaPink คุณOooy คุณmaemix คุณblanchard คุณLadySaiKim นะคะที่ชื่นชอบและร่วมแสดงความเห็นและเป็นกำลังใจให้กันตลอด  :กอด1:
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่ติดตามกันเสมอมา Merry X'Mas ค่ะ

อ้างอิง * สุภาษิตสอนหญิง สุนทรภู่
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-12-2019 20:36:14
 :hao5:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 28-12-2019 10:33:48
สนุกมากๆครับ รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 28-12-2019 19:39:36
 :impress2: :katai2-1: นนกุพรกับทรงกลดเขาได้กันแล้ว คู่อื่นเขาหวานชื่นแต่คู่อักสะกับเจ้าดื้อกับมีปัญหาเพราะวายุพัคเข้ามาแทรก สงสารน้องดื้อเหมือนกันนะแต่ก็เข้าใจอัสสะ ยังไม่ทันจะรบกับอสูรเลยกลับมารบกันเองซะแล้ว วายุพัคก็ดื้อด้านรู้ว่าจะดื้อเป็นของใครยังกำแหงต้องโดนสั่งสอนซะบ้าง รอตอนต่อไปนะคะเรื่องราวกำลังเข้มข้นเป็นกำลังใจและจะรอติดตามค่ะ รอเรื่องน้องมอสด้วยนะคะกำลังสนุก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๓ วันที่ ๑๖ มกรา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-01-2020 15:44:47
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๓

ท่ามกลางความมืดสนิท ของป่าบนยอดเขาสูงที่เคยมีเสียงร้องระงมของบรรดาสรรพสัตว์หากินกลางคืน  ทว่าบัดนี้เสียงเหล่านั้นถูกกลบจนหมดสิ้นด้วยเสียงกันแสงสะอื้นร่ำไห้ดังลั่น จากวรองค์ที่กำลังประทับนั่งเหนือโขดหินชันพระชานุและซบพระพักตร์ลงไป

บรรดารุกขเทวาและเหล่านางไม้ ต่างออกมาเมียงๆมองๆ แต่ก็ไม่มีหน้าไหนกล้าเข้ามาปลอบเพราะรู้ฤทธิ์ของเทวนาคาน้อยพระองค์นี้ดี ว่าทรงร้ายเพียงใด หากเสนอหน้าเข้าไปกันตอนนี้ มีหวังเกรียมเป็นตอตะโก จึงได้แต่หลบๆซ่อนๆแอบดู แต่ก็ยังไม่วายมีพระสุรเสียงกริ้วแหวออกมา

“มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนร้องไห้หรือไง ไปเสียให้พ้นๆ”

เท่านั้นแหละเหล่าผู้ที่แอบดูจึงกระเจิดกระเจิงแตกฮือหนีเข้าต้นไม้ไปคนละทิศละทาง ทว่ายังเหลือสองรัศมีที่กล้าเข้ามาใกล้ๆ แนบชิดติดปลายพระบาท

“พี่ดื้อ อย่าทรงกันแสงเลยนะพะยะค่ะ”

“พี่พระอาทิตย์ใจร้าย พี่ดื้อไม่ต้องสนใจ”
 
สีทันดรทรงเงยพระพักตร์ขึ้น พอทอดพระเนตรเห็นว่าเป็นใครก็เปิดอ้อมพระพาหาโผเข้าโอบเจ้ารักเจ้ายมไว้แน่น “อัสสะเขาไม่รักเราแล้วใช่ไหม รัก ยม ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้กับเรา”

“โธ่พี่ดื้ออย่าร้องไห้สิ เดี๋ยวรักก็ร้องไห้ตามหรอก” เจ้ารักยังพูดไม่ทันจบ เจ้ายมก็ดันร้องไห้นำหน้ามาเสียแล้ว และเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองก็ผสานเสียงร้องไห้กันลั่นขึ้นมาทันใด เพราะสงสารลูกพี่ของมันจับใจ

“โอ๋ๆ....พี่ดื้ออย่าร้องนะ อย่าร้อง”

เสียงนั้นยังคงดังลั่นไปทั่วแนวป่า และดังขึ้นไปยังเหนือยอดไม้สูง ทำให้พระพักตร์บางพระพักตร์ที่แอบทอดพระเนตรดูอยู่นานที่สลดอยู่แล้วกับสลดลงไปอีก...อยากจะเสด็จลงไปปลอบและโอบกอดยิ่งนัก แต่ก็กลัวว่า คนที่กันแสงอยู่จะกันแสงหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม  และยิ่งเห็นความไม่ได้เรื่องของเจ้ามหาดเล็กจำเป็นทั้งสอง ที่แทนจะช่วยกันปลอบนาย ดันมาช่วยประสานเสียงร้องไห้ ก็ทำให้พระขนงขมวดด้วยความไม่สบพระอารมณ์จนต้องตัดสินพระทัยเสด็จลงมา

“โถ.....เจ้าคงเกลียดพี่มาก พี่แค่กอดแค่จูบเจ้าก็มาร้องไห้ลั่นอยู่นี่”

วายุภัคเอ๋ย.....จะเข้าใจไหมหนอว่าเจ้าเข้าใจผิดถนัดแล้ว

เทวปักษีหนุ่มน้อยบัดนี้กลับมาทรงภูษาสีเศวตตามแบบฉบับเทวะ เสด็จเข้ามาจนเกือบประชิดโขดหินที่สีทันดรประทับอยู่ เจ้ารัก เจ้ายม เห็นว่ารัศมีวาบดุจดาวฤกษ์นั้นเข้ามาใกล้และรู้ว่าเป็นใครก็หยุดร้องไห้ เอากายของมันทั้งสองกำบังพระวรกายลูกพี่มันไว้ทันที

“อย่าเข้ามานะพะยะค่ะ ....ถึงพวกเราจะเป็นผีชั้นต่ำ แต่เราก็จะสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องพี่ดื้อ”

“เจ้าจะสู้ทั้งๆที่รู้ว่า เราเพียงแค่สะบัดมือ วิญญาณเจ้าสองคนก็แตกสลายแล้วกระนั้นฤา เจ้าโอปาติกะ”

“พะยะค่ะ....” เจ้ารัก เจ้ายม ทูลตอบพร้อมกับหงายฝ่ามือเตรียมซัดพลังที่มีอยู่อันน้อยนิดของพวกมันใส่ หากวายุภัคล้ำเส้นเข้ามาอีกนิดเดียว

“น้ำใจของเจ้าน่านับถือนัก เจ้าโอปาติกะ กล้าหาญ ไม่กลัววิญญาณสลาย...เอ๊า เอาพลังเจ้าคืนไป  แถมเรายังเพิ่มให้ด้วย ต่อไปจะได้เลื่อนขั้นจากมหาดเล็กเป็นองครักษ์ จะได้ดูแลถวายงานรับใช้เบื้องยุคลบาทเจ้านายเจ้าได้” วายุภัคทรงสรวล มิกริ้วเจ้าโอปาติกะทั้งสองแถมยังทรงชื่นชมในความกล้าหาญของมัน ซึ่งถูกพระทัยนัก จนเพิ่มฤทธีให้ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้รักยมยิ่งนัก

“วายุภัค ทรงต้องการอะไรอีก ตอนนี้หม่อมฉัน ไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง มาทางไหน จงเสด็จกลับไปทางนั้น แล้วเรื่องวันนี้หม่อมฉันจะมิเอาเรื่อง” สีทันดรเงยพระพักตร์ขึ้นตรัส เมื่อรู้ว่าใครเสด็จมา ทรงเตรียมพร้อมเข้าโรมรันหากเขาพระองค์นี้ จะรังแกตนอย่างที่ทรงทำ...แม้พระทัยจะไม่พร้อมรบ

“ทำไมถึงมองพี่ด้วยสายตาชิงชังอย่างนั้น ดูสิ ร้องไห้จนตาสวยๆของเจ้าบวมไปหมดแล้ว” วายุภัคทรงตรัสอย่างอ่อนโยน ถือวิสาสะประทับนั่งยังโขดหินใกล้ๆ พร้อมกับยื่น ผ้าซับพระพักตร์ส่วนพระองค์ประทาน “ เช็ดน้ำตาเสียเถิด พี่ขอโทษ ที่วันนี้ พี่เผลอล่วงเกินเจ้า หากมันทำให้เจ้าเสียใจ”

“หามิได้ หม่อมฉันไม่ได้ร้องไห้ด้วยเรื่องนั้น อย่าสำคัญองค์ผิด” สีทันดรทรงกล่าวตอบพร้อมกับปัดพระหัตถ์แข็งแรงที่ถือผ้าซับพระพักตร์เบนออก จนคนที่ยื่นให้พระพักตร์เสียยิ่งกว่าเดิม

“แล้วเจ้าร้องไห้ด้วยเหตุอันใด บอกพี่ได้ไหม” วายุภัคมิได้ทรงแสแสร้ง สุรเสียงเครือเจือความเป็นห่วงสุดซึ้งตรัสถามทันใด

“ไม่ใช่เรื่องของฝ่าบาท หม่อมฉันอยากอยู่คนเดียว ออกไปให้พ้น”

แม้จะโดนตวาดไล่ วายุภัคก็ยังไม่เสด็จจากไป และมิถือโกรธ ซึ่งหากเป็นผู้อื่นกระทำกับตนเช่นนี้ โทษอย่างเดียวของมันคือต้องฑัณฑ์ ....เว้นแต่สีทันดรองค์เดียวเท่านั้น และพระทัยก็ประจักษ์แน่ชัดแล้ว ทว่าเวลานี้ หาใช่เวลาสำรวจความรู้สึกในพระทัย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำ คือทำให้เจ้านาคน้อยพระองค์นี้หยุดกันแสงต่างหาก เจ้านาคน้อยที่งามแสนงามจับใจ ได้เห็นเพียงสองครั้งก็ทำให้ประทับไม่เป็นสุข อีกทั้งกลิ่นกายที่หอมเสียยิ่งกว่าหอม กอดแล้วติดตัว....จนต้องร่อนลงมาจากฉิมพลีมาดมใกล้ๆด้วยนาสิกแลสัมผัสด้วยริมโอษฐ์อีกครั้ง

“เราจะทำอย่างไรดี ให้เจ้าหยุดร้องไห้” วายุภัคทรงเปรยกับองค์เอง ในพระชนม์ชีพแทบจะมิเคยต้องทรงปลอบใคร ญาณวิเศษที่เคยใช้ทรงใช้แต่ในการศึก การปกครอง มิเคยต้องใช้หาวิธีซับน้ำตา วายุภัคยังทรงคิดไปเรื่อยๆ จวบจนรอยแย้มสรวลใสปรากฏและมิเหลือเค้าเจ้าเล่ห์แต่อย่างใด

ฉับพลันไวเท่าความคิด ดวงแก้วสุกใสส่องประกายรัศมีสีรุ้งก็บังเกิดกลางพระหัตถ์ แล้วลอยละลิ่วลงมาแตกกระจายหน้าพื้นดิน สีทันดรเบนพระพักตร์มาดูก็ทรงพบว่า แสงสว่างจากดวงแก้วที่แตกกระจัดกระจายนั้น กลายเป็นเทวบุตรและนางอัปสรตัวน้อยนับสิบขนาดเท่าตุ๊กตา กำลังเริงระบำรำฟ้อน ด้วยทีท่าอันสดใส สอดประสานกับทิพยดุริยางค์ จากเหล่าคนธรรพ์ขนาดเดียวกันที่บรรเลงเป็นมโหรีวงใหญ่ 

ระบำจากเหล่าตุ๊กตานี้ แสดงถวายหน้าที่ประทับโดยเฉพาะ....ด้วยอุ้งหัตถ์แห่งวายุภัค

ท่วงทำนองอันวิเศษ และท่วงท่างดงามรื่นเริง ทำให้พระอัสสุชลเริ่มเหือดแห้ง อารมณ์คับแค้นพระทัยเริ่มผ่อนคลาย จนเผลอทอดพระเนตรระบำนั้น จนสีทันดรเผลอตกโอษฐ์

“น่ารักจัง”

“ตอนพี่เด็กๆ เวลางอแง พ่อพี่ชอบเสกให้ดู เจ้าชอบไหม”

“ชอบสิ”

“ถ้าชอบ เดี๋ยวพี่เสกให้ดูอีก แต่เจ้าต้องหยุดร้องไห้ และก็พักผ่อนเสียที บรรทมสักตื่นดวงเนตรของเจ้าจะได้หายช้ำ” วายุภัครับสั่งอย่างพระอารมณ์ดี แล้วคณะเทพตุ๊กตา ก็ค่อยๆรางเลือนจางหาย จนเหลือเพียงหมอกควันพร้อมๆกับพระเนตรบอบช้ำฟ้าครามที่ค่อยๆปรือปิดลงจนทรงฟุบกับก้อนหินนั้นตามรับสั่งแห่งเทวปักษี

“ฝ่าพระบาททรงทำอะไรพี่ดื้อ พะยะค่ะ” เจ้ารักเห็นลูกพี่บรรทมแน่นิ่งเขย่าพระวรกายยังไงก็ไม่ตื่น รีบถามขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ

“เจ้านายเจ้าร้องไห้เสียตาบวม เราอยากให้พักผ่อน”

“ทรงพระแอบร่ายมนต์” เจ้ายมกล่าวขึ้นมาบ้างแต่รู้ว่าใช้ราชาศัพท์ผิดจึงแก้เสียใหม่ “ทรงแอบร่ายมนต์”

“ถ้าไม่ทำ ลูกพี่เจ้าจะหยุดร้องไห้และได้พักผ่อนเหรอ ลำพังเจ้าสองคนจะทำอะไรได้ เราดูอยู่นานแล้ว” วายุภัคเสด็จลุกจากโขดหิน มายังโขดหินที่สีทันดรประทับนอนอยู่ และรับสั่งกับเจ้าโอปาติกะว่า “ ถอยไปได้แล้ว เราจะดูแลสีทันดรเอง”

“อย่าแตะต้องพระวรกายพี่ดื้อนะพะยะค่ะ” เจ้ารักเจ้ายมที่กำลังวังชาและฤทธาเพิ่ม ตั้งท่าเอาเรื่อง

“เก็บกำลังเอาไว้สู้กับพวกอสูรเหอะ หลีกไป” วายุภัคทรงตวาดด้วยครุฑสีหนาทตัดความรำคาญ เจ้ารักยม โดนสุรเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเดชะกำราบก็ตัวสั่นเป็นลูกนก ...แล้ววรองค์ที่งามเกินกว่ารูปสลักใดๆในสามโลกก็ตกอยู่ในอ้อมพระพาหาอีกครั้ง

ทันทีที่ได้โอบอุ้ม กลิ่นพระวรกายหอมกรุ่นก็กำจาย ส่งผลให้แว่บแรกในความคิด....นึกถึงพระแท่นบรรทมกับพระเขนยที่สุดแสนจะนุ่มในตำหนักส่วนพระองค์ที่ฉิมพลีเป็นจุดหมาย หวังจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน ทว่าหากทรงนำเสด็จไป...ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่า ขืนใจให้เสด็จ ทูลหม่อมปู่ย่อมทรงกริ้ว เพราะทรงสั่งห้ามนักห้ามหนา

“ปู่ไม่ว่า.....หากเจ้าจะสนใจใคร แต่ขออย่างเดียว อย่ายุ่งกับเจ้านาคาน้อยสีทันดร”

“ทำไมพะยะค่ะ ทำไมหลานจะยุ่งไม่ได้”

“เพราะปู่ไม่อยากเห็นเจ้าโดนพระมหาลักษมีเทวีท่านกริ้ว พระแม่เจ้าทรงพระทัยดีเสมอ หากกริ้วผู้ใดเข้า ผู้นั้นจะหาความสุขในชีวิตต่อไปอีกไม่ได้เลย จงอย่ากระทำการอันใดที่ฝืนกับพระเสาวนีย์   แม้แต่พระมหาวิษณุพระสวามีก็ทรงช่วยเจ้าไม่ได้หากเจ้าลุกล้ำพระราชอำนาจแห่งพระแม่เจ้า”

ด้วยเหตุผลประการฉะนี้แหละ จึงทำให้มิทรงกล้า และตัดสินพระทัยได้ว่าจะพาไปส่งคืน

“เจ้าโอปาติกะ จงนำทางเราไป เราจะพาเจ้านายเจ้าไปส่ง”

เจ้ารักยมได้ยินรับสั่งก็ยังรีๆรอๆ จนวายุภัคตรัสย้ำ นั่นแหละ ถึงได้เตรียมนำเสด็จ แต่แล้วดันมีรัศมีสีเขียวเจือทอง พร้อมกับรัศมีสีแดงเพลิง ลอยลงมาจากฟากฟ้าขวางกั้นทางเสด็จนั้นเสียนี่ ตามมาด้วยเหล่าอณูน้อยที่เตรียมพร้อมหากจำเป็นต้องรบกับครุฑ

“เจ้าทำอะไรน้องเรา วายุภัค เราบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายุ่งกับน้องเรา ปล่อยสีทันดรบัดเดี๋ยวนี้” ทยุติธรตรัสขึ้นร้อนรน พระทัยวาบตกลงไปอยู่ที่ข้อพระบาท

“ปล่อยไอ้ดื้อเดี๋ยวนี้...ไม่งั้นกระหม่อมไม่เกรงใจ” อัสดงทูลด้วยเสียงกร้าว แต่วายุภัคมิทรงสะทกสะท้านกลับตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงยียวน

“เจ้าสองคนพูดเบาๆหน่อยได้ไหม สีทันดรหลับอยู่ เราเพิ่งจะกล่อมให้หลับไปได้เมื่อกี้ หากตื่นขึ้นมาร้องไห้อีก รับผิดชอบกันเองแล้วกัน”

“เราไม่เชื่อ”

“เหอะ....ทยุติธร ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ถามเจ้าโอปาติกะสองตนนี้ดู” วายุภัคทรงเบนพักตร์ไปยังรักยม ซึ่งมันทั้งสองก็ทูลความจริงว่าวายุภัคทรงกล่อมให้หลับจริงๆและจะพาไปส่ง ทยุติธรจึงโล่งพระทัย รับสั่งตอบไปว่า

“ ถ้างั้นก็ขอบใจ ....แต่หมดหน้าที่เจ้าแล้ว จงส่งสีทันดรคืนมาให้กับเรา”

วายุภัคยักพระอังสะ แต่ก็ส่งสีทันดรคืนไปให้กับทยุติธรโดยดี ทยุติธรเมื่อรับพระวรกายพระอนุชามาก็ตรัสฝากกับอัสดง ก่อนจะประกาศเป็นเชิงเตือนหมายจะให้เข้าไปในพระทัยของเจ้าเทวปักษี

“สีทันดรคือเกียรติยศสูงสุดแห่งบาดาลและผองเหล่าเทวนาคาที่พระมหาลักษมีเทวีทรงพระเมตตาประทานให้ เป็นความภูมิใจอันยิ่งใหญ่หาใดเหมือน และหากวันใดที่ใครหน้าไหนชั่วช้ากล้าล่วงเกินเกียรติยศอันสูงสุดนี้ วันนั้นโลกบาดาลจะนำน้ำจากมหาสมุทรทั้งมวลโผนทะยานขึ้นจนถึงยอดพระสุเมรุ”

วายุภัคขบกรามแน่น กำหัตถ์ พยายามระงับพระโทสะ การที่เหล่านาคาจะนำน้ำท่วมถึงยอดพระสุเมรุ มิใช่เป็นเพียงแค่คำขู่ ทว่าทางฝั่งบาดาลนั้นทำได้จริง และเมื่อน้ำท่วมถึงยอดพระสุเมรุเมื่อไหร่ เมื่อนั้นฉิมพลีก็จะไม่มีเหลือ เหล่าเทวปักษีต่อให้มีปีกก็จะไม่มีทางรอดแม้แต่องค์เอง ยกเว้น ทูลหม่อมปู่ ทูลหม่อมลุง ทูลหม่อมพ่อ เท่านั้น บาดาลทรงอำนาจ มานาน เป็นหนึ่งในสามโลก ที่มหาเทวะยังต้องให้เกียรติ....และจะคุ้มกันไหม หากทุกอย่างพังพินาศ เพียงเพื่อแลกกับดวงหทัยของตน

“เรารู้ดี....ไม่ต้องมาขู่ เราแค่เป็นห่วงน้องเจ้า หาได้ล่วงเกิน”

“สีทันดรไม่เป็นอะไรแล้ว อณูแห่งพระสุริยาทิตย์จะคอยดูแล เชิญกลับไปที่ฉิมพลีได้”

“อย่าหมายบังอาจมาสั่งเราทยุติธร เราจะไม่กลับฉิมพลีอีกแล้ว พระมหาอุมาเทวีมีรับสั่ง ให้เรานำทัพจากฉิมพลีเข้าร่วมกับเหล่าอณูนอกจากการถ่ายทอดยุทธวิธีรบ เราจะกลับได้ก็ต่อเมื่อ สิ้นศึก หรือไม่ก็ สิ้นใจ”

คำว่า สิ้นศึก ความหมายย่อมชัดแจ้ง ทว่าคำว่า สิ้นใจ ของวายุภัคนี่สิ ทรงหมายถึงอะไร  หากหมายถึงสิ้นพระชนม์ ชีพหยุด จนต้องจุติ .....ไยมีรอยโศกปรากฏที่ดวงเนตร

“อะไรนะ!!”

ทุกเสียงกล่าวขึ้นพร้อมกัน อย่างไม่เชื่อหู ....ความจริงก็ควรจะน่าดีใจ อย่างที่อัสดงเคยปรารถนาอยากได้กองกำลังครุฑเข้าร่วมดั่งที่เคยหมายให้เอราวัตเจรจา หากทว่าเวลานี้ ไยทั้งหมดรู้สึกดีใจระคนหนักใจโดยไม่มีสาเหตุ ....สังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าแม่ทัพจากฉิมพลีพระองค์นี้ น่าจะนำความยุ่งยากมาให้เสียมากกว่า

ทัพครุฑจากฉิมพลี กับ ทัพนาคจากบาดาล จะอยู่ด้วยกันได้ฤา น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่เหล่าอณูน้อยต้องแก้ ....และความหนักใจทั้งหมดก็คงไม่พ้นตกอยู่กับอัสดง

อรุณรุ่งขบวนเสด็จแห่งพระสุริยาทิตย์เสด็จผ่านพ้นขอบฟ้ากว้างเรื่อยขึ้นสู่นภมณฑลไล่ความขมุกขมัวอันธกาลให้จางหาย พร้อมๆกับพระเนตรฟ้าครามใสที่ลืมขึ้นมา เต็มเปี่ยมไปด้วยความแปลกพระทัย ทรงจำได้ว่าหนีคนใจร้ายไปนั่งร้องไห้อยู่กลางป่ากับรักยมจนเจอวายุภัค และได้ดูระบำตุ๊กตา จากนั้นก็ทรงไม่ได้พระสติ ตื่นมาอีกทีไฉนมาอยู่ที่นี่ได้

“รัก ยม อยู่ไหน เรากลับมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

สิ้นพระสุรเสียง แทนที่จะเป็นรักยมปรากฏกาย กลับกลายเป็นไอ้ไฟบรรลัยกัลป์มาเสียนี่

“ตื่นแล้วเหรอ” อัสดงทักเสียงใส ทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะนั่งลงข้างๆพระวรกาย หากอยู่ด้วยกันสองต่อสองยามปกติ สีทันดรคงเลื่อนมาประทับนอนบนตักหรือบางทีก็ผลัดกันนอนหนุน หากแต่ตอนนี้ ความไม่เข้าพระทัย ทำให้หมางเมิน

สีทันดรทรงสะบัดหน้าพรึ่ดไปอีกทาง เบี่ยงพระวรกายหนี แต่ความไวก็แพ้อัสดงที่โอบกอดเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ปล่อยนะ”

“ไม่ปล่อย....อัสสะอยากบอกว่า อัสสะขอโทษ”

“มันไม่ช้าไปหน่อยเหรออัสดง”

“ยังโกรธอัสสะอยู่เหรอ....ถึงได้เรียกอัสสะว่า อัสดง” ดวงตาสีอำพันหวานซึ้ง ฉายแววสำนึกผิดเต็มที่ ทว่าพระเนตรฟ้าครามมิยอมชายตาแล ทำให้อัสดงรู้สึกเจ็บแปลบยิ่งนัก ที่ “อัสสะ” กลายเป็นแค่ “อัสดง” มาเสียแล้ว

เหอะ คนบ้า.....ไหนว่าเราสร้างแต่เรื่องไม่มีจบสิ้น ทำตัวไม่น่ารัก สู้ตระการตาไม่ได้ ยังจะมายุ่งกับเราอีกทำไม

“โกรธ โกรธมาก....ออกไปนะ ออกไป” พระสุรเสียงกริ้วปังดังออกไปถึงข้างนอก อณูน้อยคนอื่นๆที่กำลังนั่งทานกาแฟและอาหารเช้าสะดุ้งกันเป็นแถว แสดงความคิดเห็นกันเซ็งแซ่

“กูว่าไอ้อัสดง มันต้องตายห่า แบบพวกครุฑพวกนั้นแน่เลย”

“กูว่ามันรอด....แต่อาจจะเดี้ยง”

“พอทีมึงสองคนไอ้ราหู ไอ้น้ำเชี่ยว แช่งเพื่อนอยู่ได้ อุตส่าห์กล่อมให้มันไปง้อแฟนมันได้ทั้งทีแทนทีจะช่วยให้กำลังใจ มึงนี่ยังไงกัน” ที่ว่ากล่อมของคันฉัตร คือต้องนั่งพูดกันเป็นวรรคเป็นเวรเกือบทั้งคืนกว่าอัสดงจะยอมมาง้อ ถึงแม้เมื่อคืน จะเป็นฝ่ายอุ้มสีทันดรมานอนที่เตียง และยอมรับว่าผิด แต่ก็ยังไม่ยอมง้อ แถมยังจะไปนอนเบียดที่บ้านน้ำเชี่ยวกับธรรม์และราหูด้วยเหตุผลที่ว่า

“เค้าตื่นมา คงไม่อยากเจอหน้ากู”

“มึงก็เสือกคิดเสียอย่างนี้ ถึงได้ไม่เข้าใจกัน ไหนมึงบอกว่าน้องดื้อ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมึงไง เลิกงี่เง่าและยอมไปนั่งคุกเข่าง้อเขาได้แล้ว ไป๊”

หนำซ้ำทยุติธรที่ตอนนี้กลายเป็นพี่แฟนที่ดีได้อย่างไม่น่าเชื่อยังทรงให้กำลังใจด้วย นั่นแหละอัสดงถึงยอมมา “สีทันดรง้อง่าย....เวลางอนเรา เราพาไปเที่ยวแป๊บเดียวก็หาย”

“แล้วถ้าไม่หายล่ะพะยะค่ะ”

“เดี๋ยวเราช่วยหาวิธีให้ใหม่ ลองไปง้อตามวิธีเจ้าก่อน” ทยุติธรทรงทำหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนตรัสตอบ มิทำตัวเกินชันษาเฉกเคย ที่ทรงเต็มพระทัยช่วยจนลืมไปว่าเคยจะขัดขวางความรักของพระอนุชา เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาอัสดงเป็นที่ปรึกษาด้านความรักให้จนชนะใจมุจลินทร์ ....ยามนี้อัสดงมีปัญหา ถึงคราวที่ต้องทรงช่วยเป็นการตอบแทน

ฉับพลันเสียง โครม ก็ดังสนั่น อณูน้อยทุกคนวางอาหารในมือทันใด โผนทะยานลอยละลิ่วมายังหน้าบ้านพักของอัสดง ทยุติธรรีบปรากฏพระวรกายขึ้น สะบัดพระหัตถ์จนประตูเปิดออก แล้วทั้งหมดก็ต้องหลบกันพัลวัน เพระสีทันดรเล่นคืนร่างสู่สภาวะนาคา สะบัดอัสดงจนกระเด็นติดผนังก่อนจะเหิรลอยพุ่งออกนอกประตู

“หยุดแผลงฤทธิ์เดี๋ยวนี้นะสีทันดร” ทยุติธรที่ตั้งองค์ได้ ตรัสเรียกพระอนุชาเสียงเข้ม “คืนร่างสู่สภาวะทิพย์แล้วลงมาคุยกันดีๆ”

สีทันดรเมื่อทรงเห็นว่าใครประทับอยู่ด้วยก็รีบคืนสู่สภาวะทิพย์ตามรับสั่ง โผเข้าหาพระเชษฐาพลัน หมายจะทูลฟ้อง หากทว่า ทยุติธรชิงตรัสมาเสียก่อน “ ไม่ต้องฟ้องอะไรพี่ทั้งนั้น ....พี่เห็นด้วยกับอัสดง มานี่เราต้องคุยกันซะหน่อย”

“พี่ชาย!!”

แล้วทยุติธรก็ลากพระกรพระอนุชาหลุนๆ ไปนั่งเทศนาเสียยกใหญ่ ริมลำน้ำลำพังสองพี่น้อง สุรเสียงของสีทันดรดังลั่นมาถึงบ้านพัก แสดงว่ากับพระเชษฐาก็ไม่ทรงเว้น นลกุพรกับทรงกลดจึงได้โอกาสรีบเข้าไปช่วยแงะอัสดงออกจากข้างฝาพอลากออกมาได้อณูน้อยที่เหลือก็ถามกันลั่น

“เป็นไงบ้างวะ เจ็บเท่าโดนตบเมื่อคืนไหม”

“มึงลองโดนเองสิไอ้ฉาย” อัสดงตอบอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก นี่น่ะหรือง้อง่ายของทยุติธร

“กูบอกแล้วว่าให้รีบง้อเสียแต่เนิ่นๆ ไอ้โรคงอนเนี่ย เป็นแล้วหายยากมักลุกลาม มัวแต่ทิฐิส้นตีนอยู่นั่นแหละ แล้วเป็นไง”

“เดี๋ยวมึงสองคนผัวเมียจะโดนตีน ไอ้พระพุธ ไอ้พระศุกร์ ตอกย้ำกูอยู่นั่นแหละ ไป๊” 

ทางด้านสีทันดรที่ถูกทยุติธรซักไซร้ถึงเรื่องเมื่อคืนก็ยังทรงยืนกรานว่าตนไม่ผิดในเรื่องนี้ อัสดงต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ทยุติธรจึงต้องเสียงเข้มอีกครั้ง “พี่รู้ว่าเจ้าน้อยใจ แต่ถ้าเจ้ามัวแต่จะให้อัสดงมานั่งห่วง มานั่งเอาใจเจ้า มากกว่าฝึกอาวุธ อาคม พี่ว่าคงไม่เหมาะ เจ้าอย่าลืมนะว่าหน้าที่ของอัสดงสำคัญกว่าคนอื่นๆ หากผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว มันหมายถึงอนาคตของทั้งสามโลก”

“หม่อมฉันก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้เขามาอยู่กับหม่อมฉันทั้งวัน แค่แบ่งเวลาให้เป็นบ้าง ไปไหนมาไหนบอกหม่อมฉัน สนใจหม่อมฉันบ้างก็เท่านั้น นี่อะไร มาถึงไม่ถามสักคำ แถมยังมาแว๊ดๆใส่”

“แต่เท่าที่พี่ฟัง.....มันไม่ใช่แค่ “บ้าง” มัน “มาก” ต่างหาก เจ้าเองก็โตแล้ว ชันษาถ้านับการเจริญเติบโตของร่างกายเทียบแบบมนุษย์ก็ปาเข้าไปสิบหก ควรจะเลิกเอาแต่ใจตัวเองซะที ที่เขากราดเกรี้ยวเอากับเจ้า ก็เพราะเจ้ามันดื้อ  หากเจ้ารักอัสดงอย่างที่เจ้าเคยบอกพี่ครั้งก่อนจริง เจ้าก็ต้องเข้าใจเขาและอย่าทำให้เขาห่วงหน้าพะวงหลัง ควรจะให้กำลังใจเขา ทำให้เขาชื่นใจ จริงๆแล้วพี่ไม่ควรมาสอนเจ้าเรื่องนี้ เพราะใจจริงพี่ไม่ได้สนับสนุนความรักในแบบเจ้า แต่พี่ขัดโองการแห่งมหาเทวีไม่ได้ พี่อยากบอกเจ้าว่า ถ้าเจ้ารักที่จะเป็นยอดดวงใจของนักรบ จงดูสมเด็จแม่ และมุจลินทร์เป็นตัวอย่าง”

“หม่อมฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นน้องแท้ๆของพี่ชาย ระหว่างหม่อมฉันกับอัสดง”

“เอาละ งั้นพี่จะไปฆ่าอัสดงให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้ โทษฐานที่ทำให้น้องพี่เสียใจ ดีไหม” ทยุติธรเสกดาบยาวในพระหัตถ์ขึ้นทันใด แกล้งมุ่งหน้าลุกไปทางกลุ่มอณูน้อย

“อย่านะพะยะค่ะ ...อย่าทำอะไรอัสสะ” สีทันดรพระพักตร์เสีย ตรัสลั่น รีบขวางไว้ทันที

“ก็ไหนโกรธเขาอยู่ มาห่วงอะไรเขา”

“ก็ได้ๆ สรุปว่าหม่อมฉันผิดใช่ไหม ผิดหมดฝ่ายเดียวเลยใช่ไหม”

“เฮ้อ ไม่รู้ .....โตแล้วคิดเอาเองก็แล้วกัน” ทยุติธรถอนพระปับผาสะเฮือกใหญ่ จนแล้วจนรอดพระอนุชาก็ยังไม่เข้าพระทัยจึงเสด็จลุกพรวด แต่แล้วก็เหมือทรงนึกอะไรได้ จึงหันกับมาตรัสว่า “ อ้อ...เดี๋ยวพี่จะพาอัสดงกับพวกอณูไปฝึกโยคะสมาธิเปิดพลังจักราในร่างบนยอดเขา เพื่อเตรียมฝึกยุทธวิธีขั้นสูง จะกลับก็คงจะเย็น และจะเป็นอย่างนี้ทุกวัน พี่เลยบอกเจ้าไว้ก่อน เดี๋ยวพี่จะถูกหาว่าไปไหนมาไหนไม่บอกไม่สนใจ ถ้าอยากไปก็ตามมาล่ะ แล้วอีกอย่าง ระวังวายุภัคไว้ให้ดี เพราะเทวปักษีจะร่วมศึกครั้งนี้ด้วย หากเจอก็เรียกพี่หรือไม่ก็เลี่ยงซะ เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่ห่วง”

“พี่ชาย!!”

ทยุติธรเสด็จจากไปเข้ารวมกลุ่มกับอณูน้อยที่ยืนคอยตรงกลางสนาม แล้วเสด็จเหิรทะยานนำละลิ่ว ทิ้งพระอนุชากระทืบพระบาทด้วยความกราดเกรี้ยวที่โดนทูลหม่อมพี่ชายย้อนเข้าให้อย่างจัง

สถานที่ฝึกของเหล่าอณูน้อยเป็นลานดินโล่งกว้างกลางป่าเหนือยอดเขาเทียมฟ้า คราครึ้มไปด้วยไอหมอกกำจาย รายล้อมด้วยไม้ใหญ่เป็นปราการกางกั้นเผื่อว่ามารจะมากวน บรรดาเหล่ารุกขเทวาและนางไม้ต่างกำลังช่วยจัดการให้สถานที่ให้สะอาด  พอเห็นขบวนเสด็จที่นำโดยทยุติธร เสด็จมาถึง ต่างก็ทิ้งงานในมือหมอบราบกราบแทบบาท

“ขอบใจมาก....ที่ช่วยจัดการสถานที่ให้เสียจนน่าฝึก ฝากขอบใจท่านเจ้าเขาด้วย พวกเจ้าไปได้แล้ว”

“พระเจ้าค่ะ”

เมื่อรุกขเทวาและนางไม้ไปหมด ทยุติธรก็ทรงเริ่มบทบาทหน้าที่พระอาจารย์ทันที โดยตรัสสั่งให้อณูน้อยทั้งแปดนั่งล้อมกันเหนือโขดหินมันราบที่เนรมิตรจัดเป็นวงกลม ส่วนองค์เองประทับนั่งอยู่ใจกลาง มีรับสั่งให้นลกุพรเป็นผู้ช่วยสอน ซึ่งนลก็มิได้ขัด ความกินแหนงแคลงใจเรื่องมุจลินทร์ได้จางหายไปแล้ว เพราะนลมีผู้ดูแลใหม่ ....และผู้ดูแลก็ทำให้นลแย้มสรวลได้ทั้งวัน

“การจะฝึกศาสตราวุธและเทวฤทธิ์ขั้นสูงนั้น ไม่ว่าจะเป็นในแนวทางที่เจ้าจะได้ฝึกกับวายุภัคหรือกับเรา จำต้องมีการควบคุมพลังงานในร่างกาย วิธีการควบคุมเราเรียกว่าโยคะ ผู้ควบคุมโยคะเรียกโยคี อย่างที่พวกเจ้ารู้ๆกันว่าพลังงานในธรรมชาติมีสองส่วน คือร้อนกับเย็น พลังร้อนจะเป็นขั้วบวก พลังเย็นจะเป็นขั้วลบ พลังทั้งสองนอกจากจะต้องสมดุลกันแล้วยังโคจรหมุนเวียน และการโคจรนี้เองก่อให้เกิดชีวิต ขั้วลบของพลังงานในร่างกายจะอยู่ตรงปลายกระดูกสันหลังในปรัชญาโยคะเรียกว่า มูลธารหรือบัลลังก์แห่งพระนางกุณฑาลิณี ....ภาษามนุษย์ เรียกว่า...เอ่อ”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๓ วันที่ ๑๖ มกรา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-01-2020 15:47:39
ทยุติธรทรงหยุดเว้นวรรค เพื่อกำลังนึกถึงศัพท์ที่มนุษย์ใช้เรียก ซึ่งนลก็ช่วยตอบมาให้ว่า  “ก้นกบ พะยะค่ะ”

“ใช่ ก้นกบ ขอบใจมากนล” ทยุติธรทรงหันไปขอบใจแล้วตรัสต่อว่า “ส่วนขั้วบวกจะอยู่ตรงกลางกระหม่อมเรียกสหัสราระหรือวิมานพระวิษณุ ในฐานะที่พวกเจ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ และเคยศึกษาวิชาที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพลังงานใดจะวิ่งไปหาพลังงานใด”

“พลังงานขั้วลบจะวิ่งไปหาขั้วบวกเสมอพะยะค่ะ” ธรรม์ทูลตอบ

“ถูกต้อง....และการที่จะให้พลังงานในร่างเคลื่อนที่ โคจรได้สมบูรณ์ เราจึงต้องใช้โยคะ เข้ามาช่วยและดึงพลังปราณจากจักรวาลมาใช้ เพื่อเพิ่มเทวฤทธิ์”

“แล้วปราณ...นี่ใช่อากาศที่เราสูดเข้าไปไหมพะยะค่ะ” ราหูทูลถามขึ้นบ้าง ลืมความบาดหมางครั้งทยุติธรจะสังหารตนกับแม่แทบหมดสิ้น

“ปราณอยู่ในอากาศ แต่มิใช่อากาศ อยู่ในน้ำหากมิใช่น้ำ ปราณคือพลังที่แทรกซึมอยู่ในทุกๆส่วน ทั้งในตัวมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง....ทางโยคะจึงใช้การควบคุมที่เรียกว่า ปราณยาม คือการจัดระเบียบปราณ ฉะนั้น เจ้าจึงเห็น ฤาษีและโยคีที่เป็นมนุษย์ธรรมดากลายเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ทรงใช้วิธีนี้มาก่อน ก่อนจะทรงใช้พุทธสมาธิ”

“อ๋อ” เสียงร้องอ๋อดังขึ้นจากอณูน้อยทุกคน ทำให้ทยุติธรพระพักตร์ละมุน แสดงว่าอณูน้อยทุกคนเข้าใจสิ่งที่ทรงอธิบาย

“พวกเจ้า...ส่วนใหญ่ใช้วิธีพุทธสมาธิเข้าฌาน หลายๆคนที่เราทราบถูกส่งไปฝึกวิชากับพระอริยสงฆ์ เช่นอัสดง  ยกเว้นอณูแห่งจันทรเทพที่มีอาจารย์เป็นพราหมณ์  สิ่งที่เราสอนวันนี้อาจจะยาก แต่ถ้าหากพวกเจ้าทำได้ เทวฤทธิ์พวกเจ้าจะเพิ่มมหิทธานุภาพเกินเท่าตัว .....เทวะทุกพระองค์จะใช้วิธีนี้ เพิ่มเทวฤทธิ์ แต่ถ้าหากจะใช้ชำระกิเลศจะใช้พุทธสมาธิ”

“แล้ววิธีการเป็นอย่างไรพะยะค่ะ” น้ำเชี่ยวใจร้อนรีบทูลถามเข้าเรื่อง เพราะอยากเพิ่มฤทธีให้ตน

“เราต้องใช้ปราณยามเปิดพลังกุณฑาลิณีผ่านตำแหน่งจักราทั้งเจ็ดในร่างกายของพวกเจ้าน่ะสิ พูดอย่างนี้เจ้าอาจจะยังไม่เห็นภาพ เราจะใช้ร่างกายนลเป็นตัวอย่างให้ดูแล้วกัน”

“พะยะค่ะ” นลกุพรทรงรับคำทันทีแม้ทยุติธรจะยังไม่ได้ตรัสให้ทำอะไร แต่นลกุพรก็ทรงทราบว่ามีพระประสงค์สิ่งใด จึงประทับนั่งขัดสมาธิเพชรหลับเนตรนิ่ง แล้วพระวรกายที่ทรงสมาธิก็ลอยเหนือขึ้นเสมอระดับสายตาอณูน้อยทุกคน

ทยุติธรประทับยืนเหยียบอากาศขึ้นไปลอยอยู่ใกล้ๆ วางพระหัตถ์เหนือพระเศียรของเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้ว ฉับพลันวรกายของนลก็บังเกิดเป็นแสงโปร่งใส  พร้อมกับจุดสีชมพูดอกบัวหลวงขนาดย่อมเท่ากำปั้นทั้งหมดเจ็ดจุด ประจำอยู่ตามตำแหน่งต่างๆของร่างกาย และตรงไขสันหลัง มีช่องเล็กๆอยู่สามช่อง แบ่งเป็นทางซ้ายหนึ่ง ทางขวาหนึ่ง และตรงกลางหนึ่งซึ่งทะลุผ่านจุดสีชมพูทั้งเจ็ด

“เส้นพลังปราณในร่างกายคนเรามีอยู่ทั้งหมด เจ็ดหมื่นสองพันเส้น” ทยุติธรเพียงแค่ตรัส ร่างกายของนลก็บังเกิดเส้นระยิบระยับทั่วพระวรกายเหลือคณานับ “เมื่อสูดปราณจากการหายใจเข้า และการขับปราณเสียจากการหายใจออกอย่างสม่ำเสมอพลังปราณจะเดินทางเข้าสู่ช่องสามช่องที่เจ้าเห็น ทางช้ายเรียกว่า จันทรนาฑี เป็นพลังเย็น ทางขวา เรียกว่าสุริยนาฑีเป็นพลังร้อน เจ้าจะเห็นว่า เมื่อนลหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอพลังร้อนและเย็นจะโคจรได้อย่างสมดุลและไหลผ่านช่องตรงกลาง เรียกว่าทางเดินแห่งกุณฑาลิณี ดึงพลังงานขั้วลบขึ้นไปหาบวก ผ่านจุดปัทมะหรือจักราทั้งเจ็ด ที่เจ้าเห็นเป็นสีชมพูบัวหลวง”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” อัสดงเหิรลอยมาดูจนใกล้ ตามด้วยอณูน้อยคนอื่นที่เริ่มลอยรายล้อมทั่ว

“จักรแรกอยู่ปลายก้นกบ เรียกว่า มูลธาร เป็นดอกบัว สี่กลีบ” ทยุติธรตรัสจบ ดอกบัวในจุดแรกก็บานเป็นสี่กลีบตามรับสั่งแล้วแปรเปลี่ยนสีเป็นดอกบัวแดง “ จักราที่สองอยู่เหนืออวัยวะเพศ เรียกสวาธิษฐาน ดอกบัวหกกลีบ ส่วนจักราที่สาม เรียกว่า มณีปุระ ดอกบัวสิบกลีบ ผู้ที่ฝึกพุทธสมาธิจนเห็นจุดกึ่งกลางลำตัวเป็นแสงสว่าง ก็คือจักราอันเดียวกันนี้แหละ”

“แล้วจักราต่อไปที่อยู่กลางทรวงอกล่ะพะยะค่ะ”

“จักรานี้เรียกว่า อนาหะตะ ดอกบัวสิบสองกลีบ จักรานี้มีฤทธิ์อำนาจด้านความรัก ...พวกเจ้าดูสิ ของนลบานแฉ่งรวดเร็วเชียว แสดงว่าความรักสมบูรณ์ บานพอๆกับจักราที่สองตรงต่อมเพศเลย ...เจ้าว่าไหมจันทรเทพ”

ทยุติธรไม่ถือองค์แถมยังตรัสเล่นหัวทำให้บรรยากาศการเรียนที่เริ่มตึงเครียดผ่อนคลายขึ้นด้วยเสียงหัวเราะลั่น ทรงกลดเองก็หน้าแดงแป๊ดยิ่งกว่าลูกตำลึง จึงเบี่ยงประเด็นทูลถามแก้เขิน “ แล้วจักราที่ห้า ตรงกระเดือกล่ะพะยะค่ะ”

“วิสุทธะ ดอกบัวสิบหกกลีบ ซึ่งของนลบานถึงแค่จุดนี้ ส่วนกลางหน้าผากเป็นจักราที่หกเรียก อาชญะ คือดวงเนตรที่สาม ดอกบัวสองกลีบ  เทวะขั้นสูงและมหาเทพและมหาเทวี ท่านใช้พลังงานจากจุดนี้แทบทั้งนั้น ส่วนจักราสุดท้ายคือกลางกระหม่อม สหัสราระ ดอกบัวพันกลีบ หากเจ้าผ่านจุดนี้ อำนาจเจ้าจะไม่มีที่สิ้นสุดแต่นั่นก็หมายความว่ากายเนื้อของมนุษย์จะทานทนไม่ได้ จงใช้ผ่านเวลาที่จะขึ้นไปรวมกับต้นกำเนิดของเจ้า  เพราะฉะนั้น แรกเริ่มที่เจ้าตั้งใจจะเปิดให้ถึงแค่จักราที่สี่ เราเห็นว่ามันน้อยไป พวกเจ้าต้องขึ้นมาให้ได้ถึงจักราที่หก นี่คือจุดมุ่งหมายในการสอนของเรา และเป็นภารกิจของพวกเจ้าที่ต้องกระทำให้ลุล่วง.....แยกย้ายกันฝึกได้แล้วเดี๋ยวเราจะไปเดินดูทีละคน”

“พะยะค่ะ”

สีทันดรเดินไปเดินมาทั่วบริเวณบ้านพัก โดยมีเจ้ารัก เจ้ายม หมอบเฝ้าอยู่ข้างๆ ในพระทัยก็นึกถึงพระดำรัสของทูลหม่อมพี่ชายที่ตรัสเมื่อเช้า พระอารมณ์ ขุ่นมัวน้อยพระทัย เริ่มจางเพียงทรงเริ่มใช้พระสติจับ  แต่เรื่องอะไรที่จะยอมอ่อนข้อให้ก่อน ไอ้คนบ้านั่นทำตนร้องไห้ถึงสองครั้งสองครา  ในระหว่างที่ทรงคิดอะไรเพลินๆ สายพระเนตรก็เห็นตระการตาเดินถือของพะรุงพะรังเข้ามา  จึงเสด็จเข้าไปหา

“ตระการตาไปไหนมา”

“เฮ้ยยย  น้องดื้อตกใจหมดเลยพะยะค่ะ มาเงียบๆ”

ตระการตาสะดุ้งพรวดตะโกนลั่น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกเฮือกใหญ่ เพราะเจ้ารักยมดันปรากฏกายห้อยหัวลงมาจากต้นไม้แลบลิ้นทักทาย

“จ๊ะเอ๋....พี่ตระการตา ไปไหนมาจ๊ะ”

“ผะ ผี.....” ตระการตาแม้จะรู้ว่ารักยมเป็นอะไรแต่ก็อดกลัวไม่ได้ แถมมาแบบไม่ปกติ ทิ้งของลองกับพื้นวิ่งหนี เจ้ารักกับเจ้ายมก็ดันหายตัวไปดักสกัดหน้าสกัดหลัง แกล้งเล่นอยู่อย่างนั้น จนสีทันดรต้องเอ็ด

“พอที รัก ยม เดี๋ยวตระการตาก็หัวใจวายตายกันเท่านั้น เลิกเล่นได้แล้ว” สีทันดรช่วยหยิบของที่ตกเดินเข้าไปหาตระการตา ตรัสปลอบ “ อย่าไปถือสารักยมมันเลย....มันล้นๆ เกินๆ ขี้เล่นอย่างนี้แหละ แล้วนี่ไปไหนมา”

“ไปซื้อของมาน่ะ...แต่รักกับยมทำเอากลัวทุกทีเลย เอ๊ะ แล้วนี่อารมณ์ดีแล้วเหรอ”

“เอ๊ะแล้วเห็นเราเป็นคนอย่างไรกัน ใครจะอารมณ์เสียกราดเกรี้ยวได้ตลอด แล้วไปซื้ออะไรมา เยอะไปหมด”

“ซื้อขนมปังกับแฮมมาทำแซนด์วิชให้ฉัตร กลับมาเหนื่อยๆจะได้กิน และก็ซื้อเสื้อกันหนาวให้ด้วย อากาศเริ่มเย็นลงทุกทีใกล้จะติดลบ เห็นฉัตรไม่มีเสื้อกันหนาว กลัวจะไม่สบาย” ตระการตาทูลตอบพร้อมกับรอยยิ้มระเรื่อ รู้สึกสุขใจที่ได้ทำอะไรให้คันฉัตร

“พี่ฉัตรเขาไม่ต้องใช้ หรอกเสื้อกันหนาว เขาใช้เตโชกสิณดับความเย็น”

“เตโชกสิณคืออะไรเหรอ”

“ช่างถามอีกแล้ว....มนุษย์นี่น่าเบื่อ น่ารำคาญ” 

ตระการตาไม่โกรธเพราะรู้แล้วว่าสีทันดรทรงแหวไปอย่างนั้น แล้วก็ได้คำอธิบายทันใจ “เตโชกสิณหรือกสิณไฟก็คือการเพ่งไฟจนเกิดอิทธิอำนาจ เอาพลังงานความร้อนมาใช้ ของง่ายๆ ถ้าอยากเรียนเดี๋ยวจะสอนให้”

“จริงๆนะ”

“อืม.....ถ้าอารมณ์ดีๆ จะแถมอาโปกสิณหรือกสิณน้ำให้ด้วย ว่าแต่ พี่ฉัตรไปฝึกวิชาทิ้งให้เจ้ารออยู่อย่างนี้ เจ้าไม่เบื่อเหรอ ”

“เบื่อทำไม....ก็เข้าใจนี่ว่าฉัตรเขามีหน้าที่ มีภารกิจที่สำคัญ เขาไม่ได้นอกใจพี่ไปหาคนอื่นซะหน่อย พี่อยู่นี่ก็ดีแล้วตามไปจะไปเกะกะเขาเปล่าๆ อยู่สิดี ได้ทำนู่นทำนี่ มีเวลาเตรียมขนมให้ฉัตร ฉัตรกลับมาจะได้กิน มีเวลาส่งเสื้อผ้าฉัตรไปซัก ฉัตรจะได้มีเสื้อผ้าสะอาดๆหอมๆใส่ ฉัตรกลับมาจะได้ชื่นใจ”

สีทันดรได้ฟังก็พระพักตร์ชาวาบ มนุษย์ผู้นี้มิได้แสแสร้งแกล้งกล่าว เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มนุษย์ยังมีความคิด ความอ่านมากกว่าองค์เองอีกเหรอ เข้าใจในคนรัก....สมแล้วที่อัสสะเอาความดีของมนุษย์คนนี้มาเปรียบเทียบ แต่นิสัยส่วนองค์ไม่ใช่คนอย่างตระการตาจะให้ลอกเลียนเหมือนกันหมดทุกอย่างก็คงจะไม่ได้ หากอัสสะรักจริงก็ต้องรักที่ตนเป็นตนและยอมรับนิสัยของตนให้ได้ .....แต่เอาเหอะ ถ้าพี่ชายและใครหลายๆคนเห็นว่าเราควรปรับเราก็จะลองดู

“เห็นว่าจะทำอาหารนี่ มีอะไรจะให้เราช่วยไหม”

ตระการตารู้ได้ทันทีว่าสีทันดรต้องการหาเพื่อนคุยคลายเหงาซึ่งตนก็ยินดี จึงตกปากตกลง “เอาสิ....จะได้เสร็จเร็วๆ”

“ถ้าอย่างนั้นเราทำเยอะๆ จะได้เผื่อคนอื่นๆด้วยดีไหม” สีทันดรทรงกล่าวว่าเผื่อคนอื่นๆ แต่ตระการตารู้ดีว่าหมายถึงใครก็ได้แต่อมยิ้มในอาการเล่นตัวของเจ้านาคาน้อย ก่อนกล่าวตอบว่า

“ก็ได้....งั้นเราไปซื้อของเพิ่มกัน”

แล้วมินานแซนด์วิชตะกร้าใหญ่ก็ถูกรักยมช่วยกันยกเอามาให้ยังสนามฝึก ซึ่งอณูน้อยต่างก็ปรี่กันเข้ามาด้วยความหิว ในตะกร้าใหญ่นั้น มีสามตะกร้าเล็กซึ่งแยกออกไว้เป็นพิเศษเจ้ารักเจ้ายมรีบแจกแจงแถลงไขทันใดว่าเป็นของใครบ้าง

“อันนี้เป็นของพี่ฉัตร พี่ตระการตาฝากมาโดยเฉพาะ” เจ้ารักกล่าวขึ้นส่งให้คันฉัตรที่เข้ามารับพร้อมรอยยิ้มจนแก้มปริ แถมยังจูบตะกร้าต่างแก้มตระการตาเสียฟอดใหญ่ เพื่อนๆที่ได้เห็นก็โห่ลั่น

“พวกมึงอิจฉากูล่ะสิ...แน่จริงหาแฟนให้ได้แบบกู”

“แหม นึกๆไปก็เสียดาย....รู้งี้จีบตระการตาเสียก็ดี ใครจะนึกว่าเพียบพร้อม ทำแซนด์วิชอร่อยอีกต่างหาก” คืนฉายกล่าวขึ้นทั้งๆที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆเต็มปาก แต่ก็แทบสำลักเพราะหมัดหนักๆจากเอราวัตทุบเข้าให้กลางหลัง “โอ๊ยยยยยยยยย”

“แล้วมาจีบกูทำไม ไอ้ห่าฉาย มานี่เลย” เอราวัตขึ้นกูขึ้นมึงทันทีแถมยังซัดไปอีกเสียหลายตุบ คืนฉายก็ได้แต่ร้องลั่นวิ่งหนี เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ ทว่ายกเว้นอัสดงที่นั่งทำหน้าละห้อย ...เพราะยังไม่วายคิดวนเวียนถึงเรื่องตนกับสีทันดร

“เราน่าจะจี๋จ๋าน่ารักเหมือนคู่อื่นๆบ้างนะไอ้ดื้อ หากเพียงเจ้าหายโกรธ อัสสะสัญญา อัสสะจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

ส่วนอีกสองตะกร้าที่เหลือ เจ้ายมก็คลานเข่าเอาเข้าไปถวายทยุติธร ทูลรายงานขึ้นว่า “พี่ดื้อสีทันดร ฝากมาถวายพะยะค่ะ”

“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าโอปาติกะ แล้วเอามาให้เรานี่ทั้งสองตะกร้าเลยเหรอ”

“เปล่าพะยะค่ะ อีกตะกร้าเป็นของพี่พระอาทิตย์”

“จริงเหรอ” อัสดงเหิรลอยมารับทันใด ใบหน้าละห้อยอยู่ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง กอดตะกร้าแน่นปานว่ากอดคนที่ฝากมา แสดงว่าสีทันดรเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว จากนั้นจึงถามเจ้ายมว่า  “แล้วลูกพี่ขี้งอนของเจ้า...สั่งความอะไรถึงเราหรือเปล่า”

“สั่งครับ” เจ้ายมรีบบอก “พี่ดื้อ สั่งว่า ไม่ให้บอกว่าเป็นของพี่ดื้อฝากมา”

เจ้ารักที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเข้าก็ตบกบาลสหายทันใด “ไอ้ยม...ไอ้ฟายยยยยยยยเอ๊ย .เดี๋ยวก็โดนพี่ดื้อฆ่าหรอก พี่ดื้อสั่งไว้อย่างไร”

“เอ๊า....พี่ดื้อสั่งไว้ว่าไม่ให้บอกพี่อัสดง ว่าเป็นของพี่ดื้อทรงฝากมา แล้วยมพูดผิดตรงไหน” เจ้ายมพูดขึ้นมาอย่างซื่อๆ เจ้ารักก็ได้แต่ส่ายหน้า “งั้นก็ตามใจยมเห๊อะ ซื่อได้โล่ห์เลยนะเนี่ย ....เฮ้อ”

นลกุพรทรงเห็นอัสดงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบแซนด์วิชมาดมอยู่อย่างนั้นไม่กินซะที ด้วยความหมั่นไส้จึงอดที่จะแซวไม่ได้ว่า
“แหม....หายเศร้าเลยนะ อย่างนี้มีหวังแล้วสิ เชื่อเหอะไม่พ้นคืนนี้หรอก ไปง้อๆ อีกรอบเดี๋ยวสีทันดรก็หายโกรธแล้ว”

 “สาธุ....ให้มันจริงเหอะว่ะนล จักรที่สี่ในร่างกายจะได้เปิดอย่างสมบูรณ์เสียที”

ที่อัสดงกล่าวอย่างนี้ก็เพราะว่า มีเขาเพียงคนเดียวที่จักราที่สี่หรืออนาหะตะ ที่ควบคุมพลังงานความรักในร่าง ยังเบ่งบานไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นๆ ดอกบัวสิบสองกลีบจึงแค่แย้มๆและยังไม่เปลี่ยนสีเหมือนของนลกับกลดที่กลายเป็นสีเขียวและแย้มบานเต็มที่

อัสดงคืออณูแห่งพระสุริยาทิตย์และเป็นผู้นำทัพ หากจักราที่สี่นี้เปิดไม่สมบูรณ์ จักราที่ห้าและที่หก อย่าหมายว่าจะเปิด และเทวฤทธิ์ก็จะหยุดอยู่แค่นั้น ....จอมทัพและผู้ครองจักรแห่งมหาเทวะและมหาเทวี จะมีฤทธิ์เพียงเท่านี้ได้อย่างไร

เมื่อเสร็จสิ้นมื้อกลางวัน วายุภัคก็เสด็จมาถึงสนามฝึกมารับช่วงต่อในการสอนอาวุธ แม้วายุภัคจะไม่ถูกกับทยุติธร แต่ก็อดชื่นชมในฝีมือการสอนไม่ได้ของทยุติธรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวตรงๆ ได้แต่กล่าวกับอณูน้อยว่า “พวกเจ้าได้ครูดี”

วายุภัคเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้เรื่อง เพราะทรงสอนให้อณูน้อยเอาพลังที่ทยุติธรช่วยเปิดจักราให้มาใช้ ทยุติธรเองก็ยังทรงเผลอตกโอษฐ์กับอัสดง “หากฉิมพลี มีนักรบอย่างวายุภัคเพิ่มมาอีก บาดาลเห็นทีจะเหนื่อย”

“กระหม่อมเห็นด้วย....และมีความเห็นว่า วายุภัคไม่น่าจะคบได้ ไม่ใช่เพราะต้องการทูลเอาใจ แต่กระหม่อมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”

“เราเข้าใจอัสดง...และเรากำลังจะเตือนเจ้าอยู่พอดีว่าอย่าไว้ใจวายุภัคนัก โดยเฉพาะเรื่องสีทันดร เราสังหรณ์ว่า วายุภัคมีอะไรซ่อนอยู่”

“กระหม่อมทราบตั้งแต่เห็นวายุภัคอุ้มสีทันดรเมื่อคืนแล้ว แต่วายุภัคจะไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นอีก”

“อย่าประมาทไป”

“พะยะค่ะ กระหม่อมจะไม่ประมาท แต่จะขอใช้ประโยชน์จากวายุภัค ไหนๆ ก็ลงมาจากฉิมพลีแล้ว ว่าแต่วันนี้กระหม่อมมีเรื่องอยากจะทูลขอพระเมตตาสักหน่อย”

“หือ..เรื่องอะไร.” ทยุติธรเบนพระพักตร์มาที่อัสดงพลัน กระแสจิตถูกส่งถึงกันทันใด แล้วรอยแย้มสรวลจากเทวนาคาชันษาประมาณยี่สิบกับอณูน้อยวัยสิบแปดก็เกิดขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย....

เย็นย่ำค่ำแล้ว ทยุติธรและเหล่าอณูน้อยกลับมายังบ้านพัก สีทันดรที่นั่งเล่นอยู่กับตระการตา ผลุดลุกขึ้นไปรับทันทีที่เห็นว่าเหิรลอยเข้ามา ตระการตายิ้มกว้างเสียยิ่งกว่ากว้าง เพราะคันฉัตรมีของฝากเป็นลูกกระต่ายป่าน่ารักขนฟูสองตัวมาให้ตระการตาเลี้ยงแก้เหงายามอยู่ที่นี่ สีทันดรทอดพระเนตรเห็นก็อดถอนพระทัยไม่ได้ ที่ตนไม่มีของฝากอะไรกับใครเขาเลย แถมเขาคนนั้นก็ดันหายหัวไปไหน ทำไมไม่กลับมาพร้อมกัน

“ไปไหนของเขานะ” สีทันดรทรงทำเป็นเพียงเมียงๆมองๆ แต่ไม่ได้ตรัสถามใคร เปรยกับองค์เองเท่านั้น กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเริ่มจะใจอ่อน ทว่านลกุพรดันรู้ทัน ตะโกนถามลั่น

“มองหาอัสดงเหรอ.....นู่นยังอยู่บนเขานู่น โดนทูลหม่อมพี่ชายกริ้ว รับสั่งทำโทษหนักเชียว”

“เปล่าซะหน่อย แค่นับจำนวนคนเล่นๆ” สีทันดรแม้จะตกพระทัยที่นลรู้ แต่ก็ยังทรงแกล้งไม่สนใจ ทำเป็นเดินจากไป ฝ่าวงอณูน้อยที่ตามอย่างยิ้มๆ ทว่าพอลับตาพวกอณูเท่านั้นแหละ ก็รีบเสด็จฉับๆไปเอาเรื่องกับทูลหม่อมพี่ชายทันที

“ทำไมจะต้องลงโทษกันถึงเย็นย่ำค่ำมืดด้วย เขาเป็นมนุษย์ ยังไม่ได้กินข้าวกินปลาเขาจะทนได้ไหมพะยะค่ะ”

“ไหนว่าโกรธเขา เกลียดเขา แล้วนี่มาห่วงเขาทำไม”  ทยุติธรมิทรงเดือดร้อนในพระสุรเสียงกริ้วปังของพระอนุชา แถมยังทรงตรัสอย่างไม่รู้ไม่ชี้ นั่งทอดพระอารมณ์ริมน้ำอย่างสบายพระทัย

“เปล่า....หม่อมฉันไม่ได้ห่วง แค่สงสัย... ว่าแต่ อัสสะทำอะไรผิด” หากอัสดงได้ยินคงจะดีใจ เพราะอัสดงได้กลับมาเป็นอัสสะแล้ว

“ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมาย แค่ไม่ตั้งใจฝึก มัวแต่นั่งเหม่อลอยคิดอะไรไร้สาระ พี่เลยลงโทษ ให้ฝึกปราณยามะ กลางนาคกาลอัคคี”

“พระทัยร้าย...แล้วเขาจะทนได้ไหม หากร่างเขาสลายมา น่าดู” สีทันดรสะบัดพระพักตร์ใส่พระเชษฐา เสด็จปึงปังออกมา พระทัยเริ่มร้อนรน ที่ว่าอัสสะคิดเหม่อลอยไร้สาระนั้นอัสสะคิดเรื่องใด จนไม่ตั้งใจฝึกและถูกทำโทษ แต่ยังโกรธเขาอยู่นี่จะไปสนใจทำไม ว่าแล้วก็หักพระทัยเข้าไปประทับยังในกลางดอกบัวที่เหลืออยู่อีกกระถาง สีทันดรจะทรงรู้ไหมว่าทุกกริยาอาการมีหลายๆสายตา เฝ้ามองอยู่

“จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่อยากจะสนใจ” สีทันดรกึ่งนั่งกึ่งนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมากลางเกสรดอกบัว ยังรำพึงกับองค์เองเช่นนั้น ใช่ในพระทัยยังคงยอมรับว่าโกรธ น้อยใจ แต่ความเป็นห่วง มันเป็นคนละเรื่องกัน  “ไม่ได้การ ไปแอบดูเสียหน่อย”

เมื่อทรงหาเหตุผลเข้าข้างตนเองให้สบายพระทัยได้แล้ว เทวฤทธิ์จึงประสิทธิ์ขึ้นด้วยความรวดเร็ว รัศมีสีเขียวเจือทองเจิดจ้าโผนทะยานขึ้นจากดอกบัว ลอยสู่เหนือยอดไม้มุ่งหน้าไปยังทิศทางของสถานที่ฝึกบนหุบเขา  บรรยากาศมืดมิดรอบข้างถูกแหวกออกเป็นช่องด้วยรัศมีอันสุกใสนั้น พร้อมๆกับรอยยิ้มของทุกๆใบหน้าที่ค่อยๆโผล่ออกมาจากบ้านพักของตนในแต่ละหลัง เสียงตะโกนลั่นอย่างดีใจถูกตะโกนส่งผ่าน ซึ่งกันและกัน

“ได้ผลโว้ย....น้องดื้อไปแล้ว รีบส่งกระแสจิตบอกอัสดงเร็ว”

สถานที่ฝึกบัดนี้เงียบเชียบไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตแถมมืดมิดยิ่งนัก ทว่ารัศมีสีเขียวเจือทองที่เพิ่งมาถึงก็ทำให้สว่างได้ขึ้นอย่างถนัดตา

เหอะสีทันดร ไหนว่าจะทรงมาแอบดู แต่เสด็จมาอย่างโจ่งแจ้งเหมือนตอนบุกบ้านทรงกลดอีกแล้ว

“ไปอยู่ไหน ของเขานะ” สีทันดรทรงชะเง้อชะเง้อแลหา แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่จะทรงมาแอบดูและนาคกาลอัคคี จึงตรัสเรียกรุกขเทวาที่ประจำอยู่แถบนั้นมาถาม “ เห็นอัสสะไหม”

“ใครหรือพะยะค่ะ”

“ก็อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไง”

“ไม่เห็นนี่พะยะค่ะ”

“จะไม่เห็นได้ยังไง...ก็พี่ชายเราบอกว่าถูกทำโทษอยู่ที่นี่ พวกเจ้าเป็นรุกขเทวาประสาอะไร ท่าทางคงจะอยู่สุขสบายกันนักถึงได้ละเลยหน้าที่ ไม่คอยสอดส่องดูแลความเป็นไปในป่า เห็นทีต้องให้เร่ร่อน ” สีทันดรกริ้วปังกระทืบพระบาท จนรุกขเทวาตัวลีบกันเป็นแถวๆ ท้ายสุดก็เหมือนว่าจะระงับพระโทสะได้ จึงไล่ๆไปให้พ้นเสีย

“ไป ไป๊ ไปให้หมด ไม่ได้เรื่องเลยพวกเจ้า”

เมื่อบรรดารุกขเทวาไปกันหมดแล้ว สีทันดรจึงทรงหาเองรอบๆ เรื่อยเข้ามาถึงใจกลางลานฝึก แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว พระปับผาสะจึงถูกถอนมาเสียเฮือกใหญ่ “ไปไหนของเขานะ....ชักเป็นห่วงแล้วสิ คอยดูนะทูลหม่อมพี่ชายต้องรับผิดชอบ”

แล้วรัศมีสีเขียวเจือทองก็กำจายวาบ เตรียมเสด็จกลับ พวยพุ่งออกไปจากลานฝึก แต่ก็บังเกิดเปลวเพลิงสีแดงร้อนแรงขวางทางเสด็จไว้ฉับพลัน แล้วเปลวเพลิงเหล่านั้น แตกตัวกระจายออกไปรอบๆ รวดเร็ว จนลานฝึกสว่างไสวไปทั่ว

ดอกกล้วยไม้ป่าหลากสีสรร ถูกโปรยปรายจากด้านบนด้วยมือลึกลับ ราวกับหยาดฝนที่ไหลลงมาซัดซู่สู่วรองค์ที่ประทับลอยทำอะไรมิถูก สายลมวูบใหญ่วูบหนึ่งพัดมากระทบ จนรู้สึกว่าร่างทั้งร่างซวนเซตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง ซึ่งเคยคุ้นอบอุ่นและโหยหา เพียงติ่งพระกรรณโดนขบเบาๆเท่านั้น พระวรกายที่กึ่งจะแข็งขืนครึ่งจะโอนอ่อน ก็ยวบยาบลงทันใด

สีทันดรเพิ่งรู้องค์ ว่าทรงหลงอุบายติดกับเอาเข้าให้เสียแล้ว และกับดักนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าอัสดง

“อัสสะ.....ปล่อยนะ คนเจ้าเล่ห์”

สุรเสียงน้อยๆสั่นพร่ากึ่งกริ้วกึ่งเขินอายดังขึ้น แม้จะตรัสว่าให้เขาปล่อย แต่เจ้านาคน้อยก็รู้องค์ดีว่าพระหทัยที่หดหู่เริ่มพองโตคับฟ้ามาอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษนะครับ.....ให้อภัยอัสสะเถิดนะไอ้ดื้อคนดี ยอดรักของพี่” อัสดงบรรจงละเลียดริมฝีปากลงไปที่พระปรางขวาทันที แล้วเงยหน้ามากล่าวต่อด้วยเสียงกังวานหวานซึ้งว่า “ จูบแรก เป็นการขอโทษที่ทำให้ไอ้ดื้อน้อยใจและเป็นของขวัญที่อัสดงได้คืนมาเป็นอัสสะ ดั่งที่เจ้าเรียกเมื่อกี้”

“ส่วนจูบที่สองนี้.....” อัสดงหยุดกล่าวชั่วครู่บรรจงจูบลงไปตรงพระปรางซ้าย “จูบนี้ใช้ขอโทษไอ้ดื้อสำหรับความงี่เง่าของอัสสะ”

“เราไม่รับการขอโทษอะไรทั้งนั้น ปล่อยนะ ไม่งั้นเราจะเรียกพี่ชาย” สีทันดรพยายามแข็งขืนแต่ใครดูก็รู้ว่าทรงแกล้งทำไปเป็นพิธีอย่างนั้น....ลองสิ ลองอัสดงซื่อบื้อปล่อยไปจริงๆ มีหวังเรื่องใหญ่กว่าเดิม

“เรียกก็เรียกไปสิ...แต่ขอให้จูบให้เสร็จก่อน” แล้วอัสดงก็เบี่ยงกายมาอยู่ด้านหน้าถวายจูบลงไปตรงที่กลางนลาฏเกลี้ยงเกลาก่อนจะเรื่อยลงมาตรงพระเนตรฟ้าครามทั้งสอง “จูบนี้ใช้ไถ่โทษที่ทำให้ไอ้ดื้อร้องไห้”

มิรู้ว่าอัสดงใช้มนตราอันใดหรือเปล่า เพราะเพียงจูบนี้ประทับลงไปพระกรน้อยๆ จากที่ทำเป็นดันร่างอัสดงออกก็กลับกลายเป็นกอดเขามาเสียแน่น พระพักตร์ซบลงตรงอกกำยำของเจ้าอณูน้อยนักรบที่กำลังกลายเป็นนักรัก อัสดงจำต้องเชยพระพักตร์ขึ้น ก่อนจะประทับจูบที่สี่ ที่หวานที่สุดลงไปบนพระโอษฐ์แดงสดที่เสมือนว่าเผยอรอรับอยู่แล้ว

“จูบนี้ใช้ขอโทษไอ้ดื้อสำหรับทุกสิ่ง...ที่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยได้ยังไงหมด”

รัศมีสีเขียวเจือทองอันเป็นรัศมีประจำพระองค์เทวนาคาน้อย ไหลพันเกี่ยวกระหวัดกับรัศมีสีแดงเพลิงของอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ทันใด ก่อเกิดประกายสว่างจ้าเป็นรัศมีสีชมพู จักราที่สี่ของอัสดงเปิดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ สัญลักษณ์ดอกบัวสิบสองกลีบเบ่งบานเต็มที่

วรองค์ที่งามปานรูปสลักถูกร่างกายที่งามเลิศดั่งรูปสัมฤทธิ์ตระกองกอดกลางฟ้าก่อนจะลงมาทาบทับเหนือพื้นดินที่บัดนี้มีกล้วยป่าโปรยทั่วดั่งพรม อัสดงถอนริมฝีปากที่ฉ่ำหวานออกช้าๆ ก่อนจะโลดไล่ลงไปตามซอกพระศอสีเศวต ลมหายใจร้อนผ่าวดั่งไอเพลิงคลอเคลียทั่วพระกรรณ ทำให้สีทันดรรู้สึกประหนึ่งว่ามิทรงเหลือฤทธีอันใดทั้งนั้น

“ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ...จูบที่เหลือเหล่านี้ ใช้ถามไอ้ดื้อว่า ควรค่าที่จะอภัยให้อัสสะได้หรือยัง”
หัวข้อ: Re:อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๓ วันที่ ๑๖ มกรา ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-01-2020 15:53:01
พระกรน้อยยกขึ้นลูบไล้อยู่บนใบหน้าคมคายหล่อเหลาดั่งรูปสลักชั้นเลิศและหล่อที่สุดในพระทัยของเจ้านาคาน้อย ดวงเนตรฟ้าครามดั่งน้ำทะเลสอดพระสานกับดวงตาสีอำพันหวานซึ้งก่อนพระสุรเสียงใสแฝงแววเขินอายก่อนจะตรัสมาว่า

“คนบ้า....เราหายโกรธเจ้า ตั้งแต่จูบแรกแล้ว”

ทันทีที่ตรัสออกไป พระวรกายก็ถูกรัดแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น พระพักตร์งามละมุนกระจ่างใสเกินเทวบุตร ซุกลงกับแผงอกกว้างของอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ นี่ใช่ไหมที่เรียกกันว่าเขินอาย และเวลานี้ก็มิได้ทรงเขินอายธรรมดา ทว่าทรงอายม้วน

อัสดงที่เพิ่งได้รับอนุญาตหวนคืนกลับมาเป็นอัสสะในพระทัย ยิ้มเสียจนเห็นรอยลักยิ้มข้างแก้ม ประโยคที่ยอดดวงใจตรัสมาเมื่อสักครู่ไฉนจะไม่ได้ยิน หากแต่เสแสร้งเสมือนมิได้ผ่านเข้าหู

“พูดว่าอะไรนะครับ...อัสสะไม่ได้ยิน”

“ทำไมจะไม่ได้ยิน อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง อัสสะหูหนวกไปแล้วหรือไง” พระสุรเสียงใส แย้งทันควัน

“ก็ได้ยินไม่ชัด พูดให้ฟังอีกที ให้พี่อัสสะชื่นใจเถิดน่า...นะครับ” ดวงตาสีอำพันฉายแววออดอ้อน น้ำเสียงของเจ้าพระอาทิตย์น้อยแปรเปลี่ยนเป็นออเซาะราวกับตนเป็นเด็ก

“เราบอกว่า เราหายโกรธตั้งแต่จูบแรกแล้ว”

“ชื่นใจและดีใจยิ่งกว่าได้จักรมหาเทวะ ...แต่อัสสะจะเชื่อได้อย่างไร ว่าเจ้าจะหายโกรธจริงๆ พิสูจน์ให้อัสสะดูหน่อยสิ” อัสดงทำหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วพูดต่อมาว่า

“ จูบอัสสะคืนบ้างสิ อัสสะจะได้รู้ว่าเจ้าหายโกรธจริงๆ”

“คนบ้า”

สีทันดรทรงตรัสไปอย่างนั้น แต่ครั้นพอตรัสจบก็ประกบริมโอษฐ์แดงสดลงไปทันใด

“เชื่อแล้วใช่ไหม”

สุรเสียงใสแฝงแววเขินอายตรัสถามอย่างมิต้องการคำตอบแล้วตรัสต่อไปว่า “เราเองก็ต้องขอโทษด้วยนะที่เราเอาแต่ใจ เราถูกตามใจเสียเคย  เราไม่เคยรักใครมากเท่านี้ เราก็แค่อยากให้คนที่เรารักที่สุด เอาใจใส่ดูแลเราก็เท่านั้นเองจึงทำตัวงี่เง่า อัสสะไม่โกรธเราใช่ไหม” 

“ถ้าจะบอกว่าอัสสะไม่โกรธเลยก็ไม่ได้ อัสสะทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ที่คนที่อัสสะรักมากที่สุดในชีวิตไม่เข้าใจอัสสะเลยสักนิด อัสสะกลับมาเหนื่อยๆก็หวังเพียงแต่ได้เห็นหน้าเจ้า หวังเพียงอยากกอด อยากให้เจ้าจูบแก้มปลอบขวัญให้ชื่นใจ แต่เจ้าก็ไปไหนไม่รู้ แถมยังงอนอีก แต่อัสสะก็รู้ตัวว่าอัสสะผิดมหันต์ที่ละเลย แบ่งเวลาไม่เป็น สนใจแต่อาวุธมากเกินควร แต่อัสสะมีเหตุผลนะ”

“เราเข้าใจเหตุผลของอัสสะแล้ว เราถึงได้บอกว่า เราเองก็งี่เง่าเอาแต่ใจ” 

“อัสสะเองก็งี่เง่าเอาแต่ใจ ด้วยเพราะความที่ไม่เคยรักใคร ครั้นพอมีความรัก และได้รักอย่างสุดหัวใจ หากก็ยังไม่รู้วิธีดูแล จึงโง่ในเรื่องนัก แต่เจ้าไม่ต้องกลัวนะ มันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ความไม่เข้าใจของเราครั้งนี้ ให้ถือว่าเป็นบทเรียนของเราทั้งคู่แล้วกัน” อัสดงเว้นวรรคชั่วครู่แล้วทอดเสียงพูดต่อมาว่า

 “เรื่องงี่เง่า มันผ่านไปแล้วยอดรัก อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย แต่ต่อไปมีอะไรขอให้เราคุยกันตรงๆ ให้สัญญาได้ไหม”

“เราให้สัญญา” สีทันดรเลื่อนพระหัตถ์มาลูบใบหน้าของเจ้าพระอาทิตย์ และจูบลงไปกลางหน้าผากเขาบ้าง “เราจะเรียนรู้ไปด้วยกันนะอัสสะ”

“สีทันดรยอดรัก อัสสะดีใจที่สุดที่มีเจ้าเคียงข้างในวันนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า เจ้านาคน้อยจอมดื้อจะน่ารักได้อย่างสุดหัวใจ สมแล้วที่รักตั้งแต่แรกเห็น อัสสะสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี เอาใจใส่ให้มากกว่าเดิม และจะไม่ยอมให้วายุภัคมันมารังแกเจ้าอีก”

“อัสสะรู้แล้วใช่ไหมว่าเขารังแกอะไรเรา”

“รู้แล้ว...ถึงได้อยากจะเผาฉิมพลีให้มันวอดวาย วายุภัคมันต้องชดใช้ ไว้รอเสร็จศึก เราค่อยคิดบัญชีกับมันทีหลัง” อัสดงขบกรามแน่นยามนึกถึงว่าสีทันดรโดนวายุภัครังแก แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เปลี่ยนสีหน้า กลับมาหวานซึ้งดังเดิม

 “เรากลับที่พักกันเถอะ....อัสสะหิวแล้ว”

สีทันดรพยักพระพักตร์รับ โดยมิโต้แย้ง ยามนี้อัสสะจะบอกว่าอะไรก็ทรงยอมทำตามทั้งนั้น จะมิดื้ออีกเป็นอันขาด แล้วหนึ่งนาคาตาสวยกับหนึ่งอณูน้อยก็โผทยานขึ้นสู่ฟากฟ้ากลายเป็นรัศมีสีเขียวเจือทองกับแดงเพลิงเจิดจ้า พุ่งผ่านแหวกความมืดมิด รัศมีทั้งสองยังคงเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อ ยามกระทบซึ่งกันและกัน ก่อบังเกิด รัศมีงามเป็นชมพูกุหลาบสีเดียว

รัศมีของเทวะ จะแสดงความรู้สึกเสมอ
และรัศมีที่แสดงความรู้สึกในครั้งนี้นั้น.....ก็เป็นสีชมพูยิ่งกว่าครั้งใดๆ

การเดินทางของทิพยภาวะนั้นใช้เวลาเพียงแค่ชั่วแวบ และทันที่ที่พุ่งปราดลงมาถึงสนามหญ้าหน้าที่พัก เสียงหัวเราะคิกคักระคนยินดีก็ดังกำจาย รายรอบออกมาจากบ้านพักแทบทุกหลัง

“นี่รู้กันหมดเลยใช่ไหม” สีทันดรทรงสะบัดพระพักตร์ค้อนลมค้อนแล้งไปตามบ้านพักหลังต่างๆ ด้วยทรงมั่นใจแล้วว่า พี่อัสสะพระอาทิตย์เกเร ชอบทำงานกันเป็นหมู่คณะ  “เจ้าเล่ห์ตั้งแต่แม่ทัพยันขุนศึก นี่ถ้ามีพวกทหารเลว ก็คงไม่แคล้วร่วมด้วย”

“พวกมันหวังดี...อย่าไปว่าพวกมันเลย มันเห็นใจแม่ทัพ กลัวจะขาดใจตายกลางสนามรบน่ะ ถ้าออกไปรบทั้งอย่างนี้”

“เหอะ ร้ายนัก ... ใครเป็นคนวางแผน” เจ้านาคน้อยตรัสถามยิ้มๆ ถึงแม้จะทรงเสียรู้ แต่มิได้ทรงกริ้วอันใดแล้ว

“อัสสะกับพี่ชายเจ้า....ตอนแรกตั้งใจวางแผนกันว่าให้อัสสะบาดเจ็บแล้วล่อให้เจ้าไปดู แต่ธรรม์มันแย้งว่าใกล้จะรบแล้วมันเป็นลางไม่ดี เดี๋ยวเป็นจริง เลยใช้วิธีนี้กันแทน”

“พี่ชายเราเนี่ยนะ” สีทันดรตรัสถามเสียงสูง เพราะมิอยากจะทรงเชื่อ

“ใช่พี่ชายเจ้านั่นแหละตัวดี”

“ทรงเจ้าเล่ห์ดีนัก ฝากไว้ก่อน” สีทันดรค้อนขวับอีกทีไปยังริมน้ำปายเพราะทรงรู้ดีว่า ทูลหม่อมพี่ชายกำลังประทับอยู่ตรงนั้นหากแต่บังพระวรกายไว้มิให้เห็น และก็ทรงรู้ว่าทรงแอบดูอยู่เช่นกัน

“ถ้าไม่ทำอย่างนี้....เจ้าจะออกมาหาอัสสะเหรอ”

“อัสสะก็ด้วย” สีทันดรทรงซัดไปเสียหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะทรงจูงมือแข็งแรงพาอัสดงไปยังที่ทานอาหาร

“อัสสะหิวไปกินข้าวเหอะ ไม่ใช่ว่าไปถึงไม่มีอะไรให้อัสสะกินนะ พวกพี่ๆพวกนั้นยิ่งกินจุอยู่ด้วย”

“ไปไหน...ใครบอกว่าอัสสะหิวข้าว” อัสดงดึงมือกลับแล้วโอบพระวรกายเจ้านาคน้อยแน่น

“อ้าว ก็เมื่อกี้บอกเราว่าหิว”

“ใช่.....แต่ไม่ได้บอกว่าหิวข้าวสักหน่อย อัสสะหิวเจ้าต่างหาก” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มมีมาทันใดและพอสิ้นเสียงเท่านั้น เสียงโห่ก็ดังมาจากทั่วสารทิศ แถมยังมีเสียงพูดสอดแทรกอันเคยคุ้น

“แหวะ....น้ำเน่าฉิบหาย แม่ทัพพวกเรา เลี่ยนที่สุด เสี่ยวได้โล่ห์”
 
ถ้าประสาทหูของอัสดงกับสีทันดรสดับฟังไม่ผิด เสียงนั้นคงไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกเสียจากเจ้าพระศุกร์จอมเซี้ยว และยังมีอีกเสียงสอดแทรกลอยตามลม ซึ่งไม่แคล้วเป็นเจ้าพระพุธ

“หมดเรื่องเสียที ไอ้โรคงอนห่าเหวเนี่ย ดีนะที่ฉายไม่เป็น”

“จะเป็นคืนนี้แหละ ถ้าเอราวัต ไม่ยอม”

“บ้า มาขออะไรตอนนี้ฉาย.....แล้วทำไมต้องพูดสียงดังด้วย เดี๋ยวมันรู้ว่าเราสองคนแอบดู”

แล้วเสียงต่อล้อต่อเถียงก็ลอยมาอีกเนืองๆจนอัสดง ต้องสะบัดมือเป็นลูกไฟขนาดย่อมพุ่งเข้ากระทบบ้านพักของสองอณูน้อย บังเกิดเป็นเสียงโครมดังลั่น พร้อมกับเสียงร้อง โอ๊ย จากนั้นทุกสรรพสำเนียงก็เงียบโดยดุษฎี

บรรยากาศยามสายที่ลานฝึกวันนี้ช่างน่าอภิมย์ ทยุติธรเริ่มทรงเป็นกันเองกับเหล่าอณูน้อยมากขึ้น และเหล่าอณูน้อยก็เปลี่ยนเป็นนับถือทยุติธรเป็นอาจารย์ด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะอัสดงที่ออกอาการนอกหน้ากว่าใคร แลทยุติธรเองก็โปรดกลับยิ่งนัก ถึงขนาดกับให้อัสดงเรียกองค์เองว่าพี่ชายอย่างที่สีทันดรทรงกระทำ ....สีทันดรถึงกับกระโดดตัวลอยยามได้ยิน

“หม่อมฉันรักพี่ชายที่สุดในโลกเลย” สีทันดรถวายจูบที่พระปรางเสียฟอดใหญ่

“ทีหลังมีอะไรก็ค่อยๆคุยกันดีๆนะ ....อัสดงเจ้าอาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะน้องชายของพี่มันดื้อ แต่พี่มั่นใจว่าเจ้าเอาอยู่ ต่อไปพี่ฝากน้องพี่ด้วยแล้วกัน”

“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”

“เจ้าเรียกเราว่า อะไรนะ” ทยุติธรจ้องหน้าอัสดง ตรัสถามย้ำ

“เอ่อ....พี่ชาย กระหม่อมจะดูแลสีทันดรให้ดีที่สุด พี่ชายไม่ต้องทรงห่วง กระหม่อมขอขอบพระทัยพี่ชายที่ทรงเมตตา”อัสดงยิ้มกว้างขึ้นทันใด ยกมือกราบลงบนพระอุระ ดีใจที่เอาชนะพระทัยของทยุติธรได้

“ต่อไปเราก็เป็นคนกันเองแล้วนะ” ทยุติธรโอบพระอนุชาทั้งสองแน่น ทอดพระสุรเสียงตรัสว่า “ เอาล่ะ อัสดงน้องพี่ ไปฝึกซ้อมได้แล้ว เป็นน้องพี่ห้ามขี้เกียจ”

“พะยะค่ะพี่ชาย” อัสดงรับคำ ลุกขึ้นเตรียมไปฝึกซ้อม สีทันดรจะตามไปด้วยหากแต่ทยุติธรดันตรัสรั้งไว้

“สีทันดร....อย่าไปกวนอัสดงนัก ตอนนี้เป็นเวลาฝึก พี่ว่าเจ้า ไปสอนมนุษย์คนนั้น ทำสมาธิให้ถอดกายทิพย์ให้ได้ดีกว่า เพราะอณูแห่งศนิเทพเคยบอกพี่ว่า พระมหาอุมาเทวีจะมีพระเสาวณีย์โปรดให้มนุษย์ผู้นั้นมีภารกิจกระทำงานบางอย่าง เขาจำเป็นต้องขึ้นเฝ้ากับพวกเรา ณ เทวสภา”

“จะให้หม่อมฉันเนี่ยนะไปเป็นครูสอนมนุษย์ หม่อมฉันทำไม่ได้หรอก หม่อมฉันไปดูอัสสะฝึกดีกว่า” สีทันดรทรงหันไปทอดพระเนตรดูมนุษย์คนนั้นตามที่พี่ชายตรัส จึงรู้ว่าเป็นใคร

“ทำได้สิ ไอ้ดื้อ....เชื่อพี่ชายเหอะ ดูอัสสะฝึกไม่สนุกหรอก สู้เจ้าสอนตระการดีกว่าสนุกกว่าเยอะ หากเจ้าไม่สอนใครจะสอน ไอ้ฉัตรมันก็ต้องฝึก มันคงไม่มีเวลาสอนแฟนมัน” อัสดงกล่าวเสริมทยุติธร เริ่มเรียกว่าพี่ชายคล่องปาก แต่สีทันดรก็ยังไม่วายลังเล

“อีกไม่กี่วัน ก็จะถึงคืนเพ็ญ เราเกรงว่าจะไม่ทัน เพราะมนุษย์ธรรมดา ยากนักที่จะถอดกายทิพย์ได้ บางคนฝึกสมาธิมาจนตลอดชีวิตก็ยังทำไม่ได้เลยนะ ยิ่งไม่มีพื้นฐานอย่างตระการตาแล้ว คงจะยาก ถ้าบุญบารมีแต่อดีตชาติไม่มีเกื้อหนุน คงจะหมดหวัง”

“อย่างที่เจ้าพูดมันก็ถูก....งั้นอัสดงน้องพี่ เจ้าไปตามมนุษย์ผู้นั้นกับศนิเทพมาหน่อยสิ”

“พะยะค่ะ พี่ชาย”

อัสดงเหิรลอยละลิ่ว กลับเข้ามารวมกลุ่มอีกครั้ง นลกุพรถามทันใด “มีอะไรหรือเปล่า”

“พี่ชายทยุติธร ทรงเรียกตระการตาขึ้นเฝ้า”

“อะไรนะ...เรียกทำไมวะ มีอะไรเกี่ยวกับตาเหรอ” คันฉัตรที่นั่งฉอเลาะกับตระการตาผลุดลุกขึ้นพลัน กุมมือตระการตาแน่น ตระการตาเองก็ทำสีหน้างุนงง เพราะมิรู้ว่าใครคือทยุติธร

“ไม่มีอะไรหรอก...ไปเถอะไอ้ฉัตรรีบไปเฝ้า แล้วนายก็รีบตามมาฝึก”

คันฉัตรรับคำแล้วจูงข้อมือตระการตาไปตรงแท่นหินเรียบประหนึ่งบัลลังก์กลางลานฝึก ซึ่งสายตาของมนุษย์อย่างตระการตา จับภาพได้แต่สีทันดรที่ประทับนั่งอยู่เพียงขอบหินนั้น หากแต่คนชื่อทยุติธรไม่เห็นมีวี่แวว

“คุกเข่านะครับตา แล้วกราบลงตรงแท่นหิน ที่น้องดื้อนั่ง พี่ชายน้องดื้อเรียกตามาเฝ้า ไม่ต้องกลัวฉัตรอยู่ตรงนี้”

“พี่ชายน้องดื้อ ใช่คนที่อัสดงเรียกว่า พี่ชายทยุติธรใช่ไหม ถ้างั้นก็เป็นพญานาคล่ะสิ แล้วทำไมตามองไม่เห็นเหมือนเห็นน้องสีทันดรล่ะ”

“โอ๊ยยยยยย พี่ตระการตา จะให้เราบอกกี่ครั้ง ว่าที่เห็นเราเพราะเรายอมให้เห็น” สีทันดรถอนพระปับผาสะเฮือกใหญ่ แล้วตรัสต่อมาว่า “ ตั้งใจดีๆ พี่ชายเรากำลังลดสภาวะทิพย์ลงเพื่อให้เจ้าเห็น”

สิ้นพระสุรเสียงแสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นกลางลานหิน ค่อยๆรวมเป็นร่างมนุษย์หนุ่มน้อยวัยยี่สิบเศษๆปรากฏแก่สายตาของตระการตา แว่บแรกที่เห็นก็อดชื่นชมในใจไม่ได้ “หล่อจัง หล่อกว่าดาราอีก”

“เราทยุติธร ...และขอบใจที่เจ้าชมว่าเราหล่อกว่าดาว”

คันฉัตรหัวเราะก๊าก ไม่โกรธที่ตระการตาชมคนอื่นว่าหล่อ เพราะมีเรื่องน่าหัวเราะมาแทนที่ ด้วยลืมบอกให้ตระการตา ระวังความคิดและขันที่ทยุติธรมิทรงรู้จักดารา “ระวังความคิดหน่อยตา”

“ไม่เป็นไรศนิเทพ.....ที่เราเรียกมานี่ ก็อยากดูลักษณะของมนุษย์ผู้นี้ให้ชัดๆว่า พอจะมีหวังถอดกายทิพย์ทันก่อนจะถึงคืนเพ็ญไหม อย่างที่เจ้ารู้ศนิเทพ เขาต้องขึ้นเฝ้ายังเทวสภากับพวกเราด้วย เพราะมหาเทวีจะมีพระเสาวนีย์โดยตรงกับเขามิใช่หรือ”

“ใช่แล้วกระหม่อม ....กระหม่อมเองก็มัวแต่ยุ่งๆ เลยลืมเรื่องนี้มาเสียสนิท”

“ไม่เป็นไร เรายังพอมีเวลา” ทยุติธรตรัสขึ้นกับคันฉัตร แล้วหันไปตรัสกับตระการตาว่า “ไหนลองยื่นมือเจ้ามาหน่อยสิ ไม่ต้องกลัวเรา เราจะไม่กลายร่างเป็นงูมีหงอนตามบันไดโบสถ์อย่างที่เจ้ากำลังคิด”

ตระการตาหัวเราะแหะๆ เพราะดันเผลอคิดอีกแล้วแม้คันฉัตรจะได้กล่าวเตือนไปเมื่อสักครู่ และด้วยความที่เริ่มกลัวในพระลักษณะอันทรงอำนาจจึงลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปจนคันฉัตรต้องบอกว่าไม่ต้องกลัว นั่นแหละจึงได้ยื่นเข้าไป ครั้นพอยื่นไปแล้วพระหัตถ์แข็งแรงก็กำมือไว้แน่น ความรู้สึกที่บังเกิดตอนนี้ เสมือนเอามือแช่ไปในกลุ่มก้อนน้ำแข็งอันเย็นเฉียบจนแทบอยากจะดึงออก

“เย็นจัง....ตะ ตาหนาว”

ทยุติธรทรงจับไว้ อีกเพียงครู่ก็ตรัสกับพระอนุชาและคันฉัตรว่า “พอมีหวัง เขาสะสมบุญมามากอยู่ และพระมหาเทวีก็จะทรงช่วยให้การฝึกของเขาลุล่วง.... เราเลยมีดำริจะให้สีทันดรสอนมนุษย์ผู้นี้ฝึกสมาธิและถอดกายทิพย์ เพื่อที่เขาจะได้ขึ้นเฝ้ายังเทวสภาพร้อมกับพวกเรา เจ้ามีอะไรจะขัดข้องไหม”

“ไม่มีพะยะค่ะ ....แต่จะทันเหรอ”

“ทัน...ยังไงก็ต้องทัน สีทันดรจะดูแลอย่างใกล้ชิด”

“ถ้างั้นพี่ต้องฝากน้องดื้อด้วย” คันฉัตรหันมากล่าวกับสีทันดร แล้วหันไปบอกคนรักว่า “ตาจำที่ฉัตรบอกว่า พระมหาอุมาเทวีมีภารกิจที่จะให้ตาทำได้ไหม บัดนี้ถึงเวลาที่ตาต้องฝึกสมาธิถอดกายทิพย์เพื่อรับพระเสาวนีย์แล้ว ตารู้ใช่ไหมว่ากายทิพย์คืออะไร”

“รู้สิ เคยอ่านหนังสือเจอ จำได้ว่ามีแต่พระอริยสงฆ์กับคนฝึกสมาธิขั้นสูงเท่านั้นทำได้ แล้วตาต้องฝึกกี่วันจะสำเร็จ ตาจะทำได้เหรอ”

“พี่ตระการตาต้องทำได้ เราจะคอยดูแล คอยสอนอย่างสุดความสามารถ” สีทันดรตรัสขึ้นอย่างยิ้มๆ ให้กำลังแทนคันฉัตร เห็นใจตระการตาด้วยเพราะตาแป๋วๆ ใสซื่อ ทำให้พระทัยอ่อน จึงตกโอษฐ์จะสอนให้ “พี่ฉัตรไปฝึกกับอัสสะเถอะ เราจะพาพี่ตระการตาไปฝึกบ้าง”

“พี่ฝากด้วยแล้วกัน...เจอกันตอนพักนะตา”

คันฉัตรกล่าวอำลาแล้วโผนทะยานออกไปรวมกลุ่มกับพวกอัสดงทันใด แล้วสีทันดรก็ฉุดแขนตระการตาขึ้น ตะโกนเรียกเจ้ามหาดเล็กลั่น

“รัก ยม....มาช่วยเราหาที่ฝึกให้พี่ตระการตาหน่อยเร็ว”

“พะยะค่ะพี่ดื้อ.....เสด็จตามมาทางนี้เลย”  เจ้ารัก เจ้ายม โผล่หัวพรวดมาจากพื้นดินแล้วพุ่งปราดขึ้นฟ้าตีกรรเชียงแหวกว่ายไปในอากาศนำหน้าไป เสียงหัวเราะสดใสของเจ้าโอปาติกะน้อยดังลั่น เสมือนรู้ว่าลูกพี่จะพาไปหาเรื่องสนุกให้เล่นอีก

ตระการตาที่กำลังตกใจ เมื่อเห็นรักยมโผล่พรวดขึ้นมา ก็ต้องตกใจขึ้นไปใหญ่ เพราะตัวของเขากำลังลอยละลิ่ว ปลิวสบัดไปพร้อมกับสีทันดรที่เหิรทะยานออกไปรวดเร็ว ทยุติธรกับเหล่าอณูน้อยเห็นเข้าต่างก็ส่ายหน้า นึกขึ้นในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“จะได้เรื่องไหมนี่ คิดผิดหรือคิดถูกที่ให้สีทันดรสอน หวังว่าคงจะไม่มีเรื่องปวดหัวตามมานะ สาธุ ”

*******************************

รบกวนติดตามต่อในบทที่๑๔ ส่วนที่ ๔ ค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามกันเสมอมา  :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 17-01-2020 00:53:59
กำลังสนุกเลย รออ่านตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๒ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 18-01-2020 16:46:07
ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ดีใจกับคู่อัสสะสีทันดร โตขึ้นแล้วน้องดื้อ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔ วันที่ ๐๗กุมภา๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 07-02-2020 12:42:21
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔

รัศมีสีเขียวเจือทองสว่างวาบ ครั้นพอสลายกลายเป็นพระวรกายงามดั่งรูปสลักประทับยืนตั้งวรองค์ตระการตระหง่านมั่นคง ข้างๆกันนั้น คือตระการตา มนุษย์เพียงผู้เดียว ที่กำลังปล่อยเข่าอ่อนๆทรุดฮวบลงกับพื้น ท่ามกลางสุรเสียงสรวลใส ของพระอาจารย์จอมดื้อแลมหาดเล็กหัวจุกทั้งสอง

“ถึงกับเข่าอ่อนเลยเหรอพี่ตระการตา เราไม่ได้เหาะมาเร็วกันสักหน่อย แค่มาเรื่อยๆ มนุษย์นี่รำคาญจริง นิดก็กลัวหน่อยก็กลัว”  สีทันดรทรงโน้มพระองค์ลงมาตรัสถาม เสมือนการเหาะเหินเดินอากาศเป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องเคยชิน แล้วจึงเบือนพระพักตร์ไปตรัสกับเจ้ารักเจ้ายมว่า

“จะฝึกกันที่นี่หรือ”

“พะยะค่ะ พี่ดื้อ ที่บริเวณนี้เหมาะที่สุดแล้ว เงียบดี”

ที่ว่าเงียบของเจ้าโอปาติกะน้อย คือเงียบจริงๆ ไม่มีแม้แต่เสียงหรีดหริ่งเรไร และวิหคขับขาน คงไว้แต่เพียงเสียงลำธารเสนาะโสตยามไหลผ่านซัดเซาะแก่งหินน้อยใหญ่ ที่ทอดยาวเบื้องหน้า พระเนตรฟ้าครามใสเปล่งประกาย ฉายชัดว่าถูกพระทัย

“เก่งมาก เจ้าสองคนเข้าใจเลือก ทีนี้เราค่อยมีอารมณ์จะสอนหน่อย ดีแล้วลำธารจะให้กระแสความเย็นแก่พี่ตระการตา การฝึกจะง่ายและรวดเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว”

ตระการตาไยจะจับกระแสเย็นนั้นมิได้ ด้วยสภาพอากาศที่เมืองปายยามนี้ก็นับว่าเย็นอยู่แล้ว ยิ่งมายืนใกล้กับลำธารที่ใสดังกระจก ยิ่งทำให้ความหนาวเย็นจับกายทบเท่าทวีคูณ อาการมือเย็น ตีนเย็นจากการถูกพาเหาะครั้งแรก ยังมิจางห่างหาย หากความสวยงามทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าได้ลงไปแหวกว่าย คงจะมีความสุขไม่ใช่น้อย หัวใจมนุษย์อย่างเขา พลันวาบไปถึง อณูน้อยคมเข้มผู้ครองหัวใจทั้งสี่ห้อง ภาพในห้วงคำนึงตอนนี้ จึงมีแต่ตนกับคันฉัตรเปลือยเปล่า คลอเคลีย ในห้วงกระแสธาร

 “อยากลงไปเล่นน้ำกับฉัตรจัง ไว้ว่างๆ ชวนฉัตรมาดีกว่า”

“หมั่นไส้....ให้มาฝึกถอดกายทิพย์ ดันคิดถึงผู้ชาย”  สุรเสียงใสๆ แกมรำคาญนิดๆ ดังขึ้น เพราะทรงรู้ว่า ตระการตา คิดถึงสิ่งใด สภาวทิพย์ที่เหนือกว่าทำให้เห็นภาพที่ตระการคิดอย่างแจ่มชัด จนพระพักตร์ลออใส เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง

ที่แดง....แดงเพราะเขิน ด้วยตระการตา ดันไม่คิดถึงการ “ว่ายน้ำเล่น” กันอย่างเดียว
หากมีบางท่า บางกริยา....ที่ตระการตาสร้างจินตนาการ วาบหวาม ให้การแหวกว่ายในกระแสลำธาร....ล้ำลึก

ลึกจนกระทั่ง พระหฤทัยสั่นสะท้าน ด้วยเพราะเสียงคราง ที่สอดแทรกในภวังค์สวาท  และที่สำคัญภาพนั้น....ก็กำลังเป็นภาพเดียวกันกับขององค์เอง ที่ทรงเผลอคำนึงถึงอัสดงเช่นกัน

 ‘บ้าจริง ว่าแต่เขา เราก็เป็นเอง’ สีทันดรเปรยในพระทัย ก่อนจะสะบัดพระพักตร์กลบเกลื่อน แกล้งทำพระพักตร์ดุ สุรเสียงเสนาะเริ่มเข้มขึ้น“อยากว่ายน้ำนักเหรอ งั้นก็ลงไปว่ายเสียซะเลยสิ”

สิ้นพระดำรัส พระกรน้อยซึ่งเคยวางเหนือไหล่ ก็กลับผลักร่างของตระการตาลอยละลิ่ว ตกลงไปกลางลำธาร แรงที่ทรงใช้ หากเป็นเทวะด้วยกันคงไม่ครณามือ ทว่าสำหรับมนุษย์อย่างตระการตา นับว่า มหาศาล

ตระการตาที่ยังมัวคิดถึงแต่ภาพวาบหวามระหว่างตนกับคันฉัตรเลยมิได้ตั้งตัว ครั้นพอรู้สึกตัวอีกที เสียงตูมบังเกิดดังสนั่น วงน้ำกระเพื่อมกระจายเป็นวงกว้าง  ร่างทั้งร่างบัดนี้ลอยแช่อยู่ในน้ำเสียแล้ว ความเย็นทำให้ภวังค์ฝันพลันสลาย ร่างกายถูกความเย็นยะเยือก กัดกร่อนเข้าทุกอณูผิวหนัง

“โอ๊ย น้องสีทันดรเล่นอะไร พี่เปียกหมดแล้ว หนาวเป็นบ้า”

“ไม่ได้เล่น เอาจริง” เจ้านาคน้อยตรัสตอบ พร้อมๆกับเสียงปรบมือหัวเราะชอบใจของเจ้ารัก เจ้ายม พระสุรเสียงแสร้งดุยิ่งกว่าเคย ยามทอดพระเนตรเห็นสัญชาตญาณ เอาตัวรอดของมนุษย์ที่กำลังพยายามแหวกว่ายตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง “อย่าขึ้นมาเป็นเด็ดขาด อยู่ในน้ำนั่นแหละ”

“อะไรนะ ....โธ่ พี่หนาว พี่ไม่ใช่พญานาคอย่างน้องสีทันดร นี่” ตระการตาทูลตอบปากคอสั่นตัวสั่นพั่บๆ เสียงฟันกระทบกันจนได้ยินชัด มนุษย์น้อยเริ่มว่ายมาจนใกล้ฝั่ง หากก็มีเหตุให้กระเด็นไปอีกครั้ง เพียงพระหัตถ์จากวรองค์บนฝั่งสะบัดเบาๆ

“โอ๊ย”

“ไม่ได้ยินเราสั่งหรือไง ว่าอย่าขึ้นมา” สีทันดรตรัสพร้อมกับสะบัดพระหัตถ์อีกหน ตระการตาก็ลอยไปไกลยิ่งกว่าเดิม “รักยม เจ้าสองคนลงไปยึดร่างเขาไว้ อย่าให้เขาขึ้นมาเป็นเด็ดขาด”

“พะยะค่ะ” เจ้าผีเด็ก รับคำพร้อมกัน หากแต่ก็ไม่วายแย้ง จากคราแรกเห็นตระการตาโดนซัดตกน้ำเป็นเรื่องน่าขบขัน ทว่าอาการสั่นเทิ้มแลตื่นตระหนก กลับทำให้ความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นน่าเห็นใจ

“พี่ตระการตาเป็นมนุษย์จะทนความหนาวเย็นนี้ได้หรือ พะยะค่ะ”

“ทนไม่ได้ก็ต้องทน ....ถ้าทนไม่ไหวก็ตายอยู่ในน้ำนั่นแหละ บทเรียนแรกวันนี้ เขาต้องฝึกเตโชกสิณกับอาโปกสิณ และต้องสำเร็จ กสิณทั้งสองกองจะทำให้การถอดกายทิพย์ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำให้เขาพอมีฤทธีเกินมนุษย์ เผื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัวจากอสูรและมาร อย่าเสียเวลากันอีกเลย ไปจัดการได้แล้ว พระมหาอุมาเทวี มีพระเสาวนีย์ จะใช้งานเขา คงไม่ปล่อยให้เขาเป็นอะไรหรอก”

เจ้าโอปาติกะหัวจุกทั้งสอง แม้จะยังรีรอ แต่ในท้ายที่สุด จึงปฏิบัติตามพระกระแสรับสั่งทันใด เหิรทะยานลงไปฉุดแขน ฉุดขา ตรึงตระการตาไว้กับก้อนหินกลางน้ำ ความหนาวเย็นในขณะนี้ ดุจคมมีดกรีดเนื้อหนังขาดวิ่น อุณหภูมิความร้อนของเลือดตามธรรมชาติในร่างเริ่มต่อต้านความเย็นรายรอบ ส่งผลให้ควันสีขาวเริ่มพุ่งเป็นไอออกจากปากที่กำลังตะโกนร้องเรียกให้คันฉัตรช่วย

“ฉัตร...ช่วยตาด้วย ตาไม่ฝึกแล้ว ตาหนาว ตากำลังจะตาย”

“เงียบซะที หยุดร้อง หยุดแหกปาก เราอุตส่าห์ตั้งใจสอนให้ อย่ามาทำใจเสาะให้เราเห็น จงสวดกายตรีมันตราบูชาพระมหาเทวีตรีศักติตามเรา”

พระดำรัสเฉียบขาดตวาดลั่น ตระการตายุติการร้องเรียงอณูน้อยแห่งศนิเทพฉับพลัน ม่านตาใสเริ่มมีรอยรื้นคลอหน่วย หากพระเนตรสีครามน้ำทะเลกับพุ่งมาประสานกลับไม่ยินดียินร้าย พระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจแรงกล้า สะกดตราตรึงให้ร่างกายทั่วทั้งร่างชาดิก ความรู้สึกในขณะนี้ ไม่เหลือแม้แต่แรงที่จะใช้ขัดขืน หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นช้าลง พร้อมๆกับปากเริ่มอยู่นอกเหนือการควบคุมของสมอง...เปล่งเสียงท่องมันตราที่ไม่เคยคุ้น ตามพระบัญชา

“โอม ศรี คเณสา ยะนะมะฮา ด้วยบารมีแห่งองค์พระมหาพิฆเนศวร เทวะแห่งชยะความสำเร็จ โปรดจงขจัดอุปสรรคและโปรดประทานพร ข้าฯขอนมัสการ”  สีทันดรทรงกล่าวนำ พนมหัตถ์ระหว่างพระอุระ รัศมีจากพระวรกายกลายเป็นสีทอง สว่างอร่ามทั่วทั้งบริเวณ

เดชะก่อกำเนิดฉายชัด....ศักติแห่งพระหลานเธอในพญาอนันตนาคราชและพญาวาสุกีนาคราช สำแดงจนมนุษย์น้อยแม้แต่มหาดเล็กหัวจุกทั้งสองยังยั่นเยง...ยำเกรง

“โอม บูบูวา สะวะฮา  ตัตสะวิทู วาเรนยัม
บาโกดีวา สะยา ดีมาฮี  ดีโย โยนะ ปราโชดายาท”

“โอม ด้วยบารมีแห่งพระมหาอุมาเทวี พระมหาเทวีผู้ทรงศักดิ์ พระมหาลักษมีเทวี พระมหาเทวีผู้ทรงศรี และพระมหาสรัสวดีเทวี พระมหาเทวีผู้ทรงปัญญา ขอได้โปรดประทานศักดิ์ ศรี และปัญญา ทั้งชยะและแสงสว่าง ข้าฯขอน้อมนมัสการ”

“มันตราศักดิ์สิทธิ์บทนี้ เจ้าสามารถใช้สังวัธยายได้ทุกครั้ง ยามอ่อนล้า หรืออ่อนแรง และก่อนการฝึก เพื่อขอพระพร พระมหาเทวีทั้งสามพระองค์ อีกทั้งยังทำให้จิตเจ้าสงบลงได้อย่างรวดเร็ว ดีกว่าท่องมันตราบทอื่นๆ ที่มนุษย์ทั่วไปใช้กัน  จงจารจำไว้ให้ดี เราจะช่วยบรรจุให้ไว้ในสมองของเจ้า” สีทันดรทรงชี้พระดัชนีทันทีที่ตรัสจบ ลำแสงสีทองยิ่งกว่าดาวฤกษ์สุกใสพวยพุ่ง เข้าสู่กึ่งกลางหน้าผากที่ยังดำรงสีซีดแห่งความหนาวเย็น

ตระการตามิรู้ตัวเองว่าท่องตามทันได้อย่างไร หากแต่รู้ว่า เมื่อท่องจบม่านลำธารรายรอบตัว ที่คมกริบดั่งมีด เสมือนจะลดทอนความรุนแรง แต่ก็ไม่เสียทั้งหมด มันตราที่สีทันดรทรงถ่ายทอดให้ ทรงอำนาจเหลือคณา ลำแสงสีทองที่เข้ามากระทบทำให้ตรงกลางหน้าผากรู้สึกถึงกระแสพลังงานวิ่งปราดขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น และตอนนี้ก็มั่นใจแล้วว่า

อีกมากไม่เคยรู้จะได้รู้ อีกมากไม่เคยดูจะได้เห็น

สีทันดรแม้จะทรงร้าย ทรงเกรี้ยวกราด หากในพระทัยคือความกรุณา ที่พร้อมจะถ่ายทอดสรรพความรู้ให้จนหมดสิ้น ขึ้นอยู่กับว่า ตนจะรับกระแสนั้นได้มากน้อยเพียงใด

“เราจะตั้งใจฝึก ให้สมกับที่น้องสีทันดรตั้งใจสอน จะไม่ทำให้ฉัตรและทุกๆคนผิดหวัง”

“ดีมากพี่ตระการตา เอาล่ะ ทีนี้ต่อไป จงมองลูกไฟ ลูกนี้ให้ดี มองเข้าไปที่ตรงกลาง มองจนรู้ได้ถึงความร้อนที่จับขึ้นทั่วใบหน้า จนน้ำตาเจ้าเกือบไหล เมื่อนั้นจงหลับตาลง แล้วเจ้าจะมองเห็นลูกไฟที่ติดตา ลอยสว่างอยู่ภายใน พระมหาเทวีทั้งสามพระองค์ ทรงประทานพร และความช่วยเหลือให้แก่พี่แล้ว”  ลูกไฟที่เจ้านาคน้อยว่า คือลูกไฟขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือพระหัตถ์ลออ เดชานุภาพยังคงจับทั่วทุกกระแสแห่งรับสั่ง

ตระการตาทำตามรับสั่งทันที ตาทั้งสองของเขาเริ่มจ้อง และจ้องจนน้ำตาเกือบไหล ครั้นพอหลับตา ก็น่าแปลกใจ ที่พบว่าลูกไฟลูกนั้นลอยอยู่ท่ามกลางห้วงคำนึงที่มืดมิด”

“นี่เรียกว่า อุคหนิมิต เป็นภาพนิมิตที่ติดตา ยังมิใช่ภาพนิมิตที่เกิดจากจิตเป็นสมาธิที่จะเรียกกันว่า ปฏิภาคนิมิต ซึ่งภาพจะแน่นิ่ง แจ่มชัดไม่ไหวติง หากจะเคลื่อนไหวได้ด้วยอำนาจจิตที่มั่นคงเท่านั้น....กสิณกองแรกที่เราจะเรียนกันคือเตโชกสิณหรือกสิณไฟ จงใช้จิตของพี่จับ ไปที่ลูกไฟนั้นได้แล้ว”

เจ้ามนุษย์น้อยแม้หลับตา หากก็รู้ได้ว่า สีทันดรยังประทับอยู่ และพระสุรเสียงเริ่มโอนอ่อนผ่อนลง เป็นเสนาะโสตดั่งเคย ในความมืดมิดนั้นลูกไฟที่มองเห็นทีแรกเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ครั้นพอเขาคิดว่า ทำไมมันเล็ก ลูกไฟลูกนั้นก็กลับใหญ่โต จนแทบผงะหงาย อีกทั้งความหนาวเย็นยังคงเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำร้าย ทำให้กายสั่น

“คุมสติให้ดี....ใช้จิตจับที่ดวงไฟ บังคับให้อยู่ในขนาดที่พอดี เราต้องควบคุมมัน มิใช่มันควบคุมเรา ใช้กายตรีมันตราแห่งพระแม่เจ้าเข้าช่วยกำกับให้จิตใจสงบมองเข้าไปตรงกลางให้ได้ ...และลองบังคับอีกครั้ง ด้วยใจที่ว่างและปล่อยวาง”

ตระการตาลองทำตาม หากก็ไม่วายบริภาษพระอาจารย์ว่าพระทัยร้าย ดวงไฟหรือลูกไฟ ทำอย่างไรก็ไม่เล็กหรือใหญ่ตามใจปรารถนา แถมยังวูบวาบวิ่งไปวิ่งมาทั่ว จนตนเองเริ่มรำคาญ ครั้นพอใช้มันตรากำกับ ท่องทบทวนไปหลายหน จิตจึงเริ่มสงบนิ่ง นิ่งเสียจนคิดว่า “ ช่างมัน จะวิ่งก็ช่างมัน ไม่สนใจแล้ว”

เพียงคิดได้ดังนี้ ดวงไฟที่กำลังวิ่งวนไปรอบๆก็หยุดลงแน่นิ่ง นี่ใช่ไหม ที่สีทันดร บอกให้ปล่อยวาง ...เสียงร้องอ๋อดังขึ้นกลางสมอง ตระการตาเริ่มรู้และเข้าใจในวิธีการบังคับแล้ว คราวนี้คิดว่าเล็ก ลูกไฟก็เล็กตาม คิดว่าใหญ่มันก็ใหญ่ตาม คิดแปรเปลี่ยนเป็นรูปอะไร มันก็เป็นไปตามรูปนั้นๆ

“อย่างนี้นี่เอง”

“จับจิตได้แล้วใช่ไหม ปฏิภาคนิมิตบังเกิดแล้ว...ดวงไฟก็คือตัวแทนแห่งจิตของพี่ ...ที่นี้ พี่ลองใช้จิตจับความร้อนของมัน จับอย่างปล่อยวาง ให้รู้ว่าร้อนเท่านั้น...อย่าให้ถึงร้อนกับเผาผลาญ”

ตระการการทำตามขั้นตอนต่อไปตามรับสั่ง จิตเริ่มใช้จับความร้อนแทน และความร้อนจากลูกไฟนั้นก็เริ่มจับไปทุกๆอณูและความหนาวเย็นที่กัดกร่อน เริ่มห่างหายทีละน้อยทีละน้อย จนเขามั่นใจว่าต่อให้แก้ผ้าแช่กลางลำธารอีกเป็นชั่วโมงก็อยู่ได้ ....นี่ใช่ไหม เตโชกสิณ ที่น้องดื้อเคยตรัสว่า คันฉัตรใช้ดับความหนาวเย็น

“ใช่แล้ว” สรุเสียงใสยังคอยกำกับอยู่ทุกขณะจิต “ระวังอย่าเหลิงไป และอย่าให้ร้อนกว่านี้ มิฉะนั้น ร่างพี่จะไหม้เป็นจุณ เอาล่ะ ตอนนี้ลองนึกถึงความหนาวเย็นของน้ำ ที่อยู่ในลำธารรอบๆตัวพี่ มันเคยเย็นอย่างไรให้รู้สึกอย่างนั้น เร็วเข้า ระวังอย่าให้หนาวจัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง”

ความชำนาญที่เริ่มเพิ่มขึ้น ทำให้จิตจับรับความเย็นได้รวดเร็ว กระแสเย็นของน้ำเริ่ม รู้สึกตามปลายนิ้ว จากนั้นค่อยซึมซาบอาบไปทั่วร่าง เข้ามาแทนที่ความร้อนได้ทันท่วงที

“เอาล่ะ ทีนี้จงใช้ความเย็นของน้ำดับลูกไฟลูกนั้นซะ โดยคิดว่า น้ำกำลังม้วนตัวใช้กระแสและความเย็นดับไฟ”

ตระการตาคิดตามรับสั่ง แล้วม่านน้ำรายรอบตัวก็แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ดับลูกไฟลูกนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

“พี่ตระการตา เก่งมาก ไม่เสียแรงที่พระมหาอุมาเทวีทรงเลือก ตอนนี้พี่สำเร็จขั้นแรกแล้ว เราจะพักกันแค่นี้ คืนนี้เราค่อยมาฝึกกันใหม่ พี่ไปได้เร็วมากอย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึง อาจจะเพราะบุญเก่าเกื้อหนุน เอาล่ะ ทีนี้ค่อยๆถอนจิตออกช้าๆ ตัดความรู้สึกร้อนเย็นออกให้หมด ใช้จิตจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกแทน สำคัญอย่าเพิ่งใจร้อนผลีผลามลืมตา มิฉะนั้นจะอันตราย”

ตระการตาไม่รู้หรอกว่าถอนจิตคืออะไร หากแต่คำว่า “ไม่คิด” ความร้อนกับความเย็นก็มลายหาย และเสมือนร่างทั้งร่างพุ่งออกจากอุโมงค์มืด จวบจนแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทะแยงม่านตาที่ปิดสนิทนั่นแหละ มนุษย์น้อยจึงได้ลืมตา และพบว่าแทนที่ตนจะแช่อยู่ในน้ำ กลับขึ้นมานอนแผ่หราบนริมฝั่ง โดยมีสีทันดรประทับนั่งเท้าคางแย้มสรวลใสอยู่ข้างๆ และเจ้ารักเจ้ายมนั่งปรบมือให้ด้วยความชื่นชม

“พี่มานอนตรงนี้ได้ไง พี่ควรอยู่ในน้ำนี่”

“ขี้เกียจตอบแล้ว ฝึกไปอีกหน่อยก็จะรู้เอง จะแช่น้ำหรือจะนอนบนฝั่งมันจะสำคัญอันใด สิ่งสำคัญคือพี่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนรู้เมื่อกี้ได้อย่างไรต่างหาก พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหว อย่าลืมคืนนี้ เราจะฝึกกันใหม่ ไปกันเถอะ เราอยากจะไปหาอัสสะ เอ๊ย พี่ชายเราจะแย่แล้ว”

“แหม น้องสีทันดร ก็คิดถึงแต่ผู้ชาย แล้วมาว่าแต่พี่” ตระการตาย้อนเข้าให้อย่างยิ้มๆ ทีนี้สีทันดรแหวไม่ออก เพราะทรงขว้างอสรพิษไม่พ้นพระศอ

“โอ๊ย พี่ดื้อทรงคิดถึงอยู่ทุกขณะจิตแหละพี่ตระการตา พี่อัสดงเขาหล่อออกซะขนาดนั้น”

ตระการตาไยจะไม่เห็นด้วยว่าในกลุ่ม อัสดงนั้นหล่อที่สุด หล่อจนบางทีตนก็แอบชำเลือง แต่หล่อยังไง ก็ไม่เท่าคันฉัตร ...ที่ตนยกยอเข้าข้างจนสุดหัวใจ

“สู่รู้” สีทันดรกำพระหัตถ์ประทานมะเหงกกลางกบาลของเจ้ายม แล้วพาลต่อมาที่ตระการตา “เอ๊ะพี่ตระการตานี่ หัวเราะตามไอ้รัก ไอ้ยมทำไม ....ย้อนดีนัก เดี๋ยวปล่อยให้กลับเองเสียเลย”

“แซวเล่นน่า เอาเป็นว่าเราสองคนคิดถึงพวกนั้นกันทั้งคู่ เนอะ.....ไปกันเถอะ เพราะฉัตรคงกำลังรอกินข้าวแล้วป่านนี้”

“พี่ตระการตา บ้า...เดี๋ยวเราจะบอกพี่ฉัตรว่าพี่ตานึกถึงเรื่องอะไรตอนฝึก อยากแหย่เราดีนัก”

“อย่านะ  พี่อายเขา” ตระการตาท่าจะอายจริง และรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่า สีทันดรคงจะบอกกับทุกๆคนแน่ๆ โดยเฉพาะคันฉัตร “ อย่าพูดไปนะครับ เดี๋ยวฉัตรจะหาว่าพี่ลามก”

“ไม่พูดก็ได้ ...แต่อยากจะบอกไว้ว่า ถึงเราไม่พูดพี่ฉัตรเขาก็รู้ว่าพี่คิดอะไร ฉะนั้นต่อไป พี่ต้องระวังจิตตนเองให้ดี ยิ่งอีกไม่กี่วันพี่ต้องขึ้นเฝ้ายังเทวะสภา ที่นั่นพี่ต้องระวังให้หนัก”

“พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เจอฉัตรกับพวกน้องดื้อจะเป็นความจริง อย่างกับมันเป็นความฝันซะงั้นแหละ”

“จะว่าฝันก็ฝัน จะว่าจริงก็จริง โลกนี้ จริงๆเท็จๆ เท็จๆจริงๆ สลับกันไปทั้งนั้น ”  สีทันดรตรัสตอบยิ้มๆ แล้วประทับยืนฉุดข้อมือตระการตายืนขึ้น เตรียมพากันกลับ แต่ต้องชะงักงัน เพราะมีบางสิ่งทำให้เปลี่ยนพระทัยกะทันหัน

“เอ...เราว่า อยู่ตรงนี้กันอีกสักพักดีกว่า ว่าแต่พี่ตระการตาอยากเล่นอะไรสนุกๆไหม”

“เล่นอะไรล่ะครับ อย่าบอกพี่นะว่า จะชวนพี่เล่นน้ำ”

“จะให้ลองใช้วิชาที่เรียนมาเมื่อครู่ต่างหาก” พระสุรเสียงที่จัดว่าซุกซน ชวนให้มนุษย์น้อยเริ่มนึกสนุกไปด้วย ทั้งๆที่ก่อนมา คันฉัตรสุดที่รัก แอบกระซิบนักกระซิบหนาว่า “ ถ้าน้องดื้อชวนเล่นอะไรแผลงๆ อย่าทำเด็ดขาด”

“เอาสิ ทำไงล่ะ”

“ใช้ความร้อนของเตโชกสิณบันดาลให้เกิดไฟเหนือยอดไม้ ยอดที่เราชี้ไปยอดนั้นเร็วเข้า ใช้จิตคิดถึงความร้อนและเปลวไฟที่พวยพุ่ง เอาให้เป็นกองเพลิงใหญ่ๆเลยนะ เอาให้ลุกพรึ่บเลย”

“เฮ้ย พี่จะทำได้เหรอ”

“สบายอยู่แล้ว มหาเทวีทั้งสามพระองค์ทรงประทานพรให้แล้วนี่” เจ้านาคน้อยคล้ายจะประทานกำลังใจ หากแต่ใครจะรู้ว่า ทีท่าแย้มสรวลใส ซ่อนอะไรไว้อยู่ พระเนตรฟ้าครามสีน้ำทะเล แฝงไว้ด้วยพระลักษณะเจ้าเล่ห์ เจ้ารัก เจ้ายมที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบอ้าปากจะร้องห้าม แต่ก็ถูกขัดขึ้น

“เฉยๆ ไว้”

ตระการตาเริ่มท่องมันตราในใจ ดวงตากลมแป๋ว เริ่มแน่นิ่งเพ่งไปตรงยอดไม้ ตามที่สีทันดรบอก กลางหน้าผากของเขาขณะนี้เสมือนมีพลังงานความร้อนแฝงไว้ และรู้สึกว่า พลังนั้นพุ่งเป็นเปลวเพลิงออกไปทันที ที่สีทันดรยกพระหัตถ์แตะหลัง
“อยากสอดรู้ แอบดูดีนัก ต้องโดนแบบนี้”

คำว่าเพลิงโหมกระหน่ำยังคงน้อยไปที่จะใช้บรรยายภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของตระการตา มนุษย์น้อยอย่างเขาได้แต่ตะลึงงัน ไม่คิดว่าวิชาที่เรียน จะได้ผลทันใจ ทำให้ตนเป็นผู้วิเศษภายในชั่วพริบตา สีทันดรทรงพระสรวลลั่น แสดงว่าถูกพระทัย เจ้ารัก เจ้ายมเอง ก็เผลอปรบมือ ไชโยโห่ร้องตามเจ้านายจอมซน

ท่ามกลางเปลวเพลิงที่พวยพุ่ง ร่างบางร่าง กลับเหิรละลิ่วออกมา ตวัดไม้เท้าที่อยู่ในมือจ้าละหวั่น ทิพยอำนาจ ดับกองอัคคีราบคาบ และไม้เท้านั้น ก็ชี้มาที่พระพักตร์ ตวาดด่าลั่นขโมงโฉงเฉง

“ ไอ้สีทันดร ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน จะเผาข้าเลยเรอะ มาให้ข้าแพ่นกบาลซะดีๆ มันบาปนะโว้ย เอ็งรู้ไหม”

ร่างนั้น นุ่งหุ่มผ้าที่คาดว่าเคยขาว หากแต่ความที่คงใช้มานาน สีเศวตภูษาจึงลาหาย แถมยังขาดกะรุ่งกะริ่ง แต่มิได้ขาดด้วยเปลวเพลิง สิ่งที่ขาวอย่างเดียวในตอนนี้คือผมและเคราที่กำลังปลิวสยายตามแรงลม สีทันดรจากที่ทรงสำราญพระอารมณ์ ต้องอ้าพระโอษฐ์ค้างทันใด เจ้ารัก เจ้ายม ก็เช่นกัน

“ซวย...แล้ว พี่ดื้อ จะ จะ ทำยังไงดี เจอตัวเด็ดด้วย”

“หนีสิวะ ...จะยืนอยู่ทำไม” สีทันดรคว้าแขนตระการตาเหิรลอยละลิ่ว รักกับยม ตามมาติดๆ หนึ่งนาคา และสองมหาดเล็ก ต่างพาตระการตาหลบหลีก ไม้เท้าที่พุ่งมาจากชายชราแต่งกายประหลาดพัลวัน แล้วจึงพร้อมใจกัน พุ่งปราดลับหาย โกยแน่บ พร้อมเสียงด่าขรมระงมไปทั่วแนวป่าไล่หลัง

“หลงตา ...หลานไม่ได้ตั้งใจ หลานนึกว่าเป็นไอ้ครุฑเกเร วายุภัค”

“เอ็งจะไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง เอ็งแกล้งใช้ร่างไอ้มนุษย์นั่นเป็นสื่อกลาง ส่งกสิณไฟมาเผาข้า อย่านึกว่าข้าไม่รู้ ไอ้นาคอันธพาล ไอ้เวรตะไล ”

“พี่ชาย ช่วยหม่อมฉันด้วย หลงตารังแกเด็ก” สีทันดรเหิรลอยละลิ่วเต็มเหยียด เป็นครั้งแรกในพระชนม์ชีพ หลังจากที่ทรงก่อเรื่อง ครานี้ทรงหนีพลางตะโกนพลาง “หลงตา” มิใช่ “หลวงตา” ก็เหิรตามมาไม่หยุดยั้ง เสียงด่ายังคงลั่นแนวป่าที่เงียบสงบ

“เอ็งพูดดีๆนะ ใครรังแกเอ็ง ไอ้ฉิบหาย”

“ก็หลงตานั่นแหละ จะมีใคร ไม่งั้นจะเหาะจีวรปลิวตามหลานมาทำไม....อัสสะช่วยเราด้วย มหาฤาษี รังแกเด็ก”

สุรเสียงที่ดังลั่น พร้อมแสงโชตินาการ ที่ไล่เรียงกันมา ทำให้ทุกคนและทุกพระองค์ที่อยู่บริเวณลานฝึกต้องแหงนหน้าขึ้นมามอง แล้วก็ต้องพร้อมใจกันถอนหายใจอย่างหน่ายอารมณ์ พูดแทบจะพร้อมกันอีกครั้งว่า 

“เห็นไหมล่ะ ก่อเรื่องจนได้ ผิดคำพูดเสียที่ไหน น้องดื้อนะน้องดื้อ”

ทันทีที่พระบาททั้งสอง เหยียบลงบนพื้นดิน เจ้านาคาตาสวยก็ปล่อยพระหัตถ์ตระการตา ถลาพระวรกาย ถลันไปทรงใช้พระพระปฤษฎางค์ของทูลหม่อมพี่ชายและแผ่นหลังหนากว้างของอัสดงเป็นที่กำบัง

ชายอันเป็นที่รักทั้งสอง จะช่วยเหลือให้ทรงรอดพ้นไม้เท้าของหลงตาได้แน่หรือ สีทันดรไม่ทรงแน่พระทัย หากแต่ยังดีกว่าไม่มีคนช่วยเจรจา ผู้ร่วมอุดมการณ์ที่เหลือทั้งสามเองต่างก็กลับไปหายังผู้ที่จะปกป้องคุ้มครองได้เช่นกัน “คันฉัตร” อณูน้อยแห่งศนิเทพ จึงเป็นที่พึ่งสุดท้าย ของตระการตาแลเจ้าโอปาติกะหัวจุกทั้งสอง

ณ เวลานี้ สีทันดรทรงตรัสได้แต่เพียงว่า “ตัวใครตัวมัน”
ทั้งสามที่เหลือไยจะไม่รู้ดี และต่างฝ่ายต่างหาทางเอาตัวรอดเช่นกัน

“ไปก่อเรื่องอะไรมาอีก” ทยุติธรทรงตรัสอย่างเหนื่อยหน่ายพระราชหฤทัย และเป็นที่แน่นอนว่า ไยพระอนุชาจะมิทรงแย้ง

“หม่อมฉันเปล่านะ แค่ให้พี่ตระการตา ลองกสิณไฟที่ฝึกเท่านั้น จริงๆนะ พะยะค่ะ...แต่....” พระสุรเสียงใสทูลตอบ พระพักตร์งามเริ่มย่นลงเล็กน้อยเมื่อคำตอบที่ทูลถวาย ทูลหม่อมพี่ชายทำพระพักตร์มิทรงเชื่อ เฉกเช่นชายผู้เป็นที่รักอีกคน

“แต่อะไร ไอ้ดื้อ....บอกอัสสะมา ไปก่อเรื่องอะไรมาอีก” อัสดงยังคงมีบทเรียนจากคราวที่แล้ว จึงใช้ระดับเสียงดังพอสมควรถามขึ้นอย่างระมัดระวัง ไม่กระแทก กระชากกระชั้น เกรงสุดที่รักตาสวยจะแว้ดใส่ และคราวนี้สีทันดรก็ไม่ทำเช่นนั้น กลับกอดเอวอัสดงแน่น อย่างออดอ้อน วอนให้ช่วย

“เปล่านะ...เราไม่ได้ก่อเรื่อง ใครจะไปรู้ว่าหลงตาจะแอบอยู่ ตรงนั้น ช่วยเราด้วยนะ อัสสะจะปล่อยให้เราโดนรังแกเหรอ” สีทันดรตรัสเสมือนไม่ทรงรู้

เจ้านาคน้อยจะมิทรงทราบเลยเหรอ ว่ารัศมีของ “ผู้ทรงศีล” กับ “เทวปักษี” นั้นแผกแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ทรงทำไป เพียงอยากจะให้ ท่านผู้แอบดูเผยตัว แต่เรื่องอะไรจะทรงออกหน้า

ตระการตา....จึงเป็นเครื่องมือชั้นดีและท่านผู้แอบดูผู้นั้น ดันรู้ทันและตามมาทันเสียนี่
ที่สำคัญดันเป็นมหาฤาษีชั้นผู้ใหญ่ระดับตำนานเสียด้วย

“ซวยของแท้และแน่นอนเลยละพี่ดื้อ” เจ้ารัก เจ้ายม ประสานเสียงให้กำลังใจลูกพี่มันดีแท้ “พวกเราโดนสาปแหงๆ”

“ทำไมเจ้าสองคน ไม่รู้จักห้ามเราล่ะ ไอ้รัก ไอ้ยม เจ้าก็รู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจนี่เนอะ”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔ วันที่ ๐๗กุมภา๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 07-02-2020 12:44:38
“เอ็งอย่ามาโกหก...มาให้ข้าแพ่นกบาลซะดีๆ ปู่เอ็ง พ่อเอ็ง รวมถึงพี่เอ็ง ต่างก็เป็นสานุศิษย์ข้า พวกมันเคยกล้าทำอย่างนี้กับข้าเสียที่ไหน” หลงตาที่สีทันดรตรัสเรียกปรากฏกายเบื้องหน้าพระพักตร์ หนวดเคราและผมขาวปลิวไสว ยกเว้นแต่ผ้าคากรองที่นุ่งห่ม ขมุกขมัวกะรุ่งกะริ่ง ไม้เท้าที่จะใช้แพ่นกบาล เงื้อหราเหย็งๆ

“และเรียกข้าให้มันถูกๆ หลวงตา ไม่ใช่หลงตา หลวงตาแปลว่า ยกย่องเคารพนับถือข้าให้เป็นตา ไม่ใช่ หลงตา ที่หลงมาเป็นตาของเอ็ง”

“หลวงตา” ทยุติธรคุกพระชงฆ์ลงทันใด คลานเข่าหมอบราบกราบลงกับพื้น และเมื่อทยุติธรกราบลงเสียคนเดียว อณูน้อยที่เหลือมีหรือจะไม่ทำตาม  “หลานดีใจนัก นี่ตั้งใจว่า หากเสร็จภารกิจ จะไปกราบนมัสการพอดี”

“เอ็งจะแต่งเมียล่ะสิ ...ข้ารู้แล้ว พ่อกับแม่เอ็งมาบอกข้าตั้งแต่เมื่อวานซืน เดี๋ยวว่างๆ คุยเรื่องนี้กัน แต่ตอนนี้ขอข้าฟาดกบาลน้องชายเอ็งหน่อย ไอ้นาคพ่อแม่ปู่ย่าตายายพี่ชายมันไม่สั่งสอน” หลงตาหรือหลวงตายังคงแผดเสียงลั่น ดังสนั่นไปทั่วแนวป่า ด่ามาเกือบทั้งโคตร หากใบหน้าเคียดขึ้งเริ่มคลายลง ยามได้เจรจากับทยุติธรผู้ทรงเป็นศิษย์โปรด

“อ้าว ไหงมาลงที่หลาน ว่าแต่ สีทันดรไปก่อเรื่องอะไรเหรอหลวงตา”

“ถามมันดูเองสิวะ ชิชะ มันถือว่ามันเป็นตัวโปรดของพระแม่เจ้ามหาลักษมีเทวี ถึงได้ก่อเรื่อง...มันมีจิตไม่ซื่อคิดจะแกล้งเผาผู้ทรงศีลอย่างข้า”

“หลานไม่รู้นี่ว่าหลวงตาไปแอบอยู่ตรงนั้น หลานจะให้ตระการตาเขาลองกสิณ หลวงตานั่นแหละมีจิตไม่ซื่อ ไปแอบอยู่ตรงนั้นทำไม” สีทันดรแม้จะทรงเกรงว่าไม้เท้าของหลงตาจะฟาดพระเศียร หากก็ยังไม่วายเถียง 

“แน๊ ไอ้เวรนี่ ใส่ร้ายข้า แถมยังเผาข้า มันบาปนะไอ้สีทันดร ไอ้ฉิบหาย ข้าไม่ได้แอบดู ข้าแค่ไปดู” มหาฤาษีที่มีอารมณ์โมโหอยู่ปลายจมูก แทบจะเขวี้ยงไม้เท้าใส่เจ้านาคจอมดื้อพลัน

“ หลวงตาพูดไม่เพราะ เป็นฤาษี ดันมีโมหะ ” สีทันดรแม้จะเกรง ทว่ายังทรงสนุกที่ได้เถียงพระศอเป็นเอ็น “แหม มันก็เหมือนกันแหละ หลงตาก็ยอมรับมาซะเถอะว่า หลงตาไปแอบดูอยู่ตรงนั้น....เป็นมหาฤาษี โกหกไม่ได้นะหลวงตา เดี๋ยวโดนลดขั้นไม่รู้ด้วยนา”

“ทยุติธร...ดู๊ ดูน้องเอ็ง เถียงข้าคำไม่ตกฟาก เอ็งอบรมสั่งสอนน้องเอ็งยังไงห๊า พวกเอ็งนี่ก็แปลก นาคทั้งมหาสมุทร ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำปกครองกันได้ แต่เอาไอ้สีทันดรไม่อยู่ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวข้าก็สาปเสียหรอก”

“บาปนะหลวงตา ขี้โมโหอยู่ปลายจมูกอย่างนี้สิเล่า ถึงติดแหง็ก ...อยู่กับที่ ไม่ได้ไปไหนกับเขาเสียที รุ่นเดียวกับหลวงตา เขาไปถึงไหน ถึงไหน หมดแล้วนะ ”

“ข้าพอใจที่จะอยู่อย่างนี้ต่างหากโว้ย ถ้าข้าจะทำ ข้าก็ทำได้”

ทยุติธรและทุกๆคน อดที่จะยิ้มเบาๆกันไม่ได้ สีทันดรเข้าใจเถียงและเถียงได้ดี อดคิดไม่ได้ว่า ยิ่งหลวงตาโมโห ยิ่งสนุก ทว่าด้วยความที่ทยุติธรทรงเป็นผู้ใหญ่ ชันษามากที่สุดในเวลานี้ จำต้องเล่นบทดุห้ามปราม

“พอทีสีทันดร หยุดดื้อ หยุดพูด แล้วกราบขอขมาหลวงตาได้แล้ว” ทยุติธรแสร้งทำพระสุรเสียงเข้มขึ้น ดึงพระกรน้อยๆที่กอดรัดเอวอัสดงแน่นออกมา ดันพระวรกายออกมานั่งด้านหน้า

“พี่ชาย เดี๋ยวหม่อมฉันโดนฟาดกบาล ...อัสสะจ๋า ช่วยเราด้วย” สีทันดรร้องลั่น และอัสดงก็ปราดเข้ามาแต่ไม่ได้ปราดเข้ามาช่วยสีทันดร กลับเข้ามาช่วยทยุติธร พาพระวรกายของจอมดื้ออยู่ใต้ไม้เท้าพอดิบพอดี “อัสสะใจร้าย จะยอมเห็นเราโดนรังแกเหรอ”

“โดนซะบ้าง ดื้อนัก” อัสดงเองก็เสียงเข้มไม่แพ้กัน ฟังจากที่ต่างฝ่ายต่างเล่า จากวีรกรรมที่ผ่านๆมา เขาก็ลงความเห็นได้ทันทีว่า สุดที่รักคงจะไปก่อเรื่องจริง “กราบขอโทษท่านมหาฤาษีเดี๋ยวนี้ไอ้ดื้อ”

“ กราบก็ได้ แต่อย่าฟาดกบาลหลานนะ....หลานกลัวหัวแตก”

“ฟาดเลยหลวงตา จะได้หายดื้อ หายซน” นลกุพรตะโกนลั่น สะพระทัยเล็กๆ ที่สีทันดรสหายรัก จะโดนทำโทษเสียที ส่วนทรงกลดพี่ชายที่แสนดี ก็นั่งอมยิ้ม หัวเราะที่เห็นอดีตคนเคยหลงรักนั่งทำพระพักตร์ไม่ถูก อณูน้อยที่เหลือเองก็ปรบมือเชียร์หลวงตาลั่น เพราะนานๆจะเห็นสีทันดรหมดท่าเสียที

“เอาเลยหลวงตา”

“เดี๋ยวเหอะ นล อย่าให้ถึงทีเราบ้างนะ พวกพี่ๆ นี่ก็ด้วยเหมือนกัน ทำเป็นหัวเราะเราดีนัก  ”

ตระการตาตอนนี้นั้น อยู่เฉยเสียยิ่งกว่าเฉย เพราะเกรงจะโดนลูกหลง แต่ก็คาดว่าคงไม่พ้น เพราะมหาฤาษีเองก็เมียงๆมองๆมา  แว่บแรกเมื่อเห็น หลงตา ที่น้องสีทันดรตรัสเรียก ความรู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยเห็นชายชราผู้นี้ทีไหนก็บังเกิด .... “หลวงตา ทำไมคุ้นๆหน้าจัง”

“เอ็งจำข้าได้หรือยังล่ะ”

ตระการตาเสมือนได้ยินเสียงของหลวงตาคุยกับเขา อยู่เพียงผู้เดียว เสียงนั้นดังอยู่กลางสมอง และภาพหลวงตาที่เห็น ก็กลายร่างเป็นพระภิกษุชรารูปหนึ่ง...รูปเดียวกับที่เคยเห็นที่ดอยสุเทพ และพระภิกษุรูปนี้แหละ ที่ให้จี้เป็นรูปจักรเขามา แถมยังบอกว่า

“ฝากไว้หน่อย เดี๋ยวจะมีคนมารับคืนที่ปาย”

“ละ หลวงตา คือพระรูปนั้น” ตระการตาครางแทบไม่เป็นภาษา สมองประมวลคำตอบให้ทันใด หากเป็นเมื่อก่อน คำถามมากมายคงเกิดขึ้นในหัว ทว่าบัดนี้ ตนเริ่มรู้แล้วพยายามวาง

“เก่งมาก เริ่มบังคับจิตได้” เสียงกังวาน สอดแทรกขึ้นกลางหัวอีกเสียง และคงไม่แคล้วเป็นคันฉัตรอมยิ้มจับมือที่นั่งอยู่ข้างๆ

จี้รูปจักร แท้จริงนั้นคือมหาศาสตราวุธแห่งมหาเทวะ ที่หลวงตา ฝากอัญเชิญมา ดังที่ฉัตรเคยอธิบายให้ฟังคร่าวๆ และความสงสัยก็บังเกิดกับตัวอีกครั้ง ว่าทำไมต้องเป็นเขา

“จำข้าได้แล้วสิ”เสียงของหลวงตายังดังก้องอยู่ในหัว และยังดังต่อมาว่า “ นั่นแค่ภารกิจแรก ที่เจ้าได้กระทำ หากแต่ภารกิจต่อไปเจ้าต้องขึ้นไปรับพระราชเสาวณีย์เอาเอง ...ไอ้พวกนี้มันถึงเคี่ยวเข็ญให้เจ้าฝึกถอดกายทิพย์ แต่ดันให้ใครสอนไม่สอน ดันให้ไอ้สีทันดร ไม่รู้หรือไง ว่ามันเป็นตัวยุ่ง แถมยังสาระแนไปสอนกสิณมาเสียก่อนนี่ ไม่รู้มันคิดอะไร ข้าถึงต้องมาดู”

ตระการตาไม่แน่ใจว่า ตนได้ยินคนเดียวหรือเปล่า เพราะทุกๆคนตอนนี้นั้นพยักหน้ารับกันหมด และความสงสัยก็คลาย เพราะสีทันดรตรัสออกมา ทำให้รู้ว่า ทุกคนได้ยินทั่วถึงกัน

“หลานมีเหตุผลของหลาน เขาเรียกหลักสูตรเร่งรัด ถ้าหลงตา เอ๊ย หลวงตา คิดว่าสอนได้สอนดีก็เอาไปสอนเองเสียสิ” สีทันดรลอยพระพักตร์พูด และยิ่งพูดก็ยิ่งยั่วโมโห มหาฤาษีจนเต้นเร่าๆ

“ลูกศิษย์ของหลวงตาแต่ละองค์ดีๆทั้งนั้น ไม่เอาแต่ใจ ก็อันธพาลเกกมะเหรกเกเร”

สีทันดรไยไม่ทรงรู้ว่าลูกศิษย์ของมหาฤาษีนั้นมีใครบ้าง หากแต่ทรงลืม ว่าลูกศิษย์ของหลงตาประทับอยู่ ณ ที่นี้หนึ่งพระองค์ และพระองค์นั้นก็สำแดงพระสุรเสียงเข้มทันใด

 “เจ้าด่าพี่ประชดหลวงตาเหรอสีทันดร เดี๋ยวเหอะ กราบขอโทษหลวงตาได้แล้ว”

“เอ่อ....หม่อมฉันหมายถึงวายุภัคพวกเทวปักษีต่างหาก”

สีทันดรทรงเสด็จเลี่ยงไปได้ในน้ำขุ่นๆ มหาฤาษีผู้นี้ ทรงฤทธีและเป็นที่เกรงพระทัยและเป็นพระอาจารย์ของเทวะชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์ รวมถึงทูลหม่อมปู่ทั้งสอง แลพญาเวนไตย เมื่อมีรุ่นปู่ ก็ต้องตามมาเป็นรุ่นพ่อ และท้ายที่สุดก็เป็นรุ่นลูก คือทยุติธรจากฝั่งเทวนาคา และวายุภัคจากฝั่งเทวปักษี

 “ดีใจ ที่เจ้าเห็นว่าพี่ดีกับเขาเสียที”

รัศมีสุกใสดุจดาวฤกษ์ส่องประกายกระจ่างสว่างวาบขึ้นทันใด และรัศมีนี้เอง ทำให้ดวงตาสีอำพันของอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ฉายแววเคียดขึ้ง ชิงชัง จนแทบผลุดลุกขึ้นมาซัดกำปั้นใส่ ด้วยเพราะแค้นใจที่เจ้านาคายอดหฤทัยถูกรังแก นับว่ายังดีที่ทยุติธรทรงยับยั้งไว้ มิฉะนั้น สนามฝึก คงกลายเป็นสนามรบของจริง

ครั้นเมื่อรัศมีสลาย พระวรกายสมชายชาตรี ทรงภูษาเศวตหยักรั้งตามแบบเทวปักษี ก็คุกพระชงฆ์ลงเบื้องหน้ามหาฤาษีหมอบกราบ แทบจะเคียงคู่กับสีทันดรที่ประทับนั่งอยู่ก่อน เจ้านาคาตาสวย เบือนพระพักตร์ ถอยพระวรกาย กลับไปหาอัสดงทันใด

“เราด่าประชด....ที่อื่นก็มีเยอะแยะไม่นั่ง”

“พี่ไม่นั่งตักเจ้าก็บุญโขแล้วสีทันดร เอ.....แต่ถ้าจะให้ถูกจับเจ้านั่งตักดีกว่า รับรองพี่เหนือชั้นกว่าสุริยาทิตย์ของเจ้าเป็นไหนๆ”

“หยาบช้า!!”

เมื่อถูกเหน็บทางจิตจากเทวนาคา ทางฝั่งเทวปักษีไยจะไม่โต้ตอบกลับไป บทสนทนาคงจะดำเนินไม่หยุดยั้ง หากมหาฤาษีไม่ขัดขึ้นเสียก่อน

“นึกว่าใคร ลูกไอ้ช่างยุนี่เอง ไม่เห็นหน้าค่าตาหลายปี” น้ำเสียงของหลวงตาที่มีให้ นับว่าเอ็นดูวายุภัคพอควร หากมิเทียมเท่าทยุติธร

“พ่อหลานชื่อสดายุ” สุรเสียงกังวานตรัสตอบหลวงตาได้ยินกันถ้วนทั่ว

“แต่ข้าเรียกมันว่าไอ้ช่างยุ ตอนมันมาเรียนกับข้า มันยุให้คนนู้นคนนี้ตีกันไปหมด แล้วนี่เอ็งไปทำอะไรไอ้สีทันดร มันถึงได้คิดว่าข้าเป็นเอ็งถึงกับจะเผาข้าให้วายวอด ข้าละเบื่อพวกเอ็งจริงๆ ตั้งแต่รุ่นปู่ ยันรุ่นหลาน ไอ้ครุฑ ไอ้นาคเนี่ย”

“แค่รักดอก จึงหยอกน้องเล่นน่ะหลวงตา แต่น้องสีทันดรเขาโกรธจริง”

สีทันดรตั้งพระทัยจะอ้าพระโอษฐ์ตอบแต่ก็ต้องชะงักเพราะสุดที่รักออกหน้ามาแทน ขัดขึ้น ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนทยุติธรสรวลน้อยๆที่มุมพระโอษฐ์อย่างสาแก่พระทัย ทว่าวายุภัคทรงหันขวับพระพักตร์ตึง ดวงเนตรคมปานวัชระเคียดขึ้ง

“งั้นก็ทรงระวังพระองค์และฉิมพลีไว้ให้ดี เพราะการที่ทรงหยอกเล่นมากๆ พระสุริยาทิตย์อาจจะเสด็จขึ้นกลางฉิมพลีก็ได้ ท่านสดายุคงจะไม่ต้องบินไปจิกท่านอีก ”

วายุภัคทรงรู้ยิ่งกว่ารู้ เมื่อยามพระบิดาสดายุทรงเยาว์ชันษา ทรงกระทำการอาจหาญเกินพระกำลังเพียงใด และการนั้น ก็ทำให้องค์พระบิดา และทูลกระหม่อมลุงแทบสิ้นพระชนม์และจุติลงจากสวรรค์

พระสุริยาทิตย์ที่พญาเวนไตยยังต้องทรงเกรง.... ทว่ามิได้บังเกิดกับพระโอรสพระองค์เล็ก

มณีสีแดงดั่งทับทิม ที่ลอยเด่นอยู่กลางนภากาศเหนือเทือกเขาอัสสกัณณะ ฉายรัศมีงามร้อนแรง เจิดจ้า ชวนให้พระบิดาเสด็จเข้าไปใกล้ ปีกสีแดงปลายขนสีทองจึงกระพือกว้างกางทั่วทั้งนภมณฑล โผนทะยานจนลืมศักติแห่งตน หมายพระทัยครอบครองมณีดวงใหญ่ดวงนั้น ...หากมันก็เป็นได้แค่ในความคิด เพียงแค่ปลายรัศมีร้อนแรงสะบัดใส่พระวรกายเพื่อสั่งสอน พระบิดาถึงกับกระเด็นร่วง อีกทั้งเปลิวอัคคีร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวใดๆ ยังตามพุ่งเข้าซัด พระสัมปาตีในขณะนั้น ด้วยความที่ห่วงพระสดายุอนุชาทรงกางปีกกว้างป้องกัน ทว่าเดชะมีฤา เทียมเท่า ทั้งสองพระองค์ร่วงลงสู่ ยอดเขาเหมติรัน

โอรสาแห่งพญาเวนไตยผู้เกรียงไกร...พ่าย อับอายขายพระพักตร์ ทั่วทั้งสวรรค์!!!
ทูลกระหม่อมลุงพระอาการหนัก ขนที่ปีกร่วงลงหมดทั้งองค์

แค่รัศมีแห่งพระสุริยาทิตย์ ทูลหม่อมลุงกับพระบิดา ยังมิสามารถต่อกรได้ นับประสาอะไร ถ้าเสด็จขึ้นที่ฉิมพลีเต็มพระองค์ กาลนั้น......  ฉิมพลี คงไม่แคล้วอวสาน

ไหนจะพระเพลิงจากพระสุริยาทิตย์   ไหนจะทยุติธรที่เคยขู่ ว่าจะนำน้ำจากบาดาลมาท่วม หาก แตะต้อง “สีทันดร”

วายุภัค จะทรงมหิทธานุภาพ ต้านทานได้ไหวฤา

“อย่าบังอาจนัก อณูน้อย” ครุฑสีหนาทถูกสำแดง ลั่นแนวป่า มิเกรงใจมหาฤาษีผู้เป็นอาจารย์ สุรเสียงกัมปนาทกึกก้อง พระอารมณ์เริ่มคุมไว้ไม่อยู่ “อย่าเอาต้นกำเนิดเจ้ามาขู่เรา”

“เราไม่ได้ขู่ แต่เราเอาจริง” อัสดงโต้ตอบด้วยเสียงดังกังวานไม่แผกกัน แขนแข็งแรงโอบพระวรกายสีทันดรแน่นอย่างไม่อายสายตาใคร และเป็นการตอกย้ำให้วายุภัคทรงรู้องค์ “ระวังองค์ให้ดี ถ้าทรงล้ำเส้นมาอีกนิดเดียว”

“หยุดเสียทีทั้งสองตัว ข้าปวดหัว” มหาฤาษีปรามขึ้น แล้วยกไม้เท้าชี้ไปที่พระพักตร์เจ้าเทวปักษี กล่าวเตือนด้วยเสียงเอาจริงเอาจัง ว่า “  ไอ้วายุภัค เอ็งอย่าล่วงเกินพระราชอำนาจของพระมหาเทวีเชียวนา ข้าเตือนไว้ก่อน ไม่มีใครช่วยเอ็งได้”

อัสดงกับวายุภัคเงียบลง โดยเฉพาะวายุภัค ที่ทรงเงียบเสียยิ่งกว่าเงียบ เพราะผู้ใหญ่ เตือนมาสองคนแล้ว ทั้งพญาเวนไตยและมหาฤาษี พระอาจารย์

“ส่วนเอ็ง ไอ้อณูน้อย ของไอ้ดวงไฟ ....เอ็งอย่าใจร้อนนัก เพราะความใจร้อนของเอ็งนี่แหละ มันถึงทำให้หลายๆพระองค์วุ่นกันไปหมด”

“อย่าบอกนะว่าหลวงตา ยุ่งกับเขาด้วย ถึงว่า....”

“ถึงว่าอะไร เอ็งพูดให้จบ ไอ้สีทันดร”

“เพราะยุ่งกับทางโลก เลยอยู่แค่ขอบพาน ยังไม่ถึงนิพพาน เหมือนพระนารทที่ทรงยุ่งไปทั่ว”

“เอ็งฟังน้องเอ็งนะ ไอ้ทยุติธร ฟังมันพูดเข้า ลามปามข้ายังไม่พอ ยังลามไปถึงพระนารทท่าน” มหาฤาษีเริ่มหายโมโห คลายหน้าเคียดขึ้งลงกับสีทันดร และภายใต้ทีท่านั้น ทุกคนรับรู้ได้ว่า ท่านปากร้ายแต่ใจดี

“เหอะ เมื่อกี้เอ็งว่าข้าสอนลูกศิษย์ข้าไม่ดี เอ็งเอาไอ้มนุษย์นั่นมาให้ข้าสอนไหมล่ะ รับรองพรุ่งนี้มันถอดกายทิพย์ได้ เร็วกว่าหลักสูตรเร่งรัดของเอ็งเป็นร้อยเท่าพันเท่า ”

“หลวงตาจะทำได้เหรอ....อย่าคุยไปเชียวนา หากทำไม่ได้ ขายหน้าไปทั่วสวรรค์ คราวนี้ถูกปลดจริงๆนะ” พระสุรเสียงใสยานคาง จงใจยั่ว

“สีทันดร ทำไมพูดอย่างนั้นกับหลวงตา ท่านเป็นอาจารย์พี่นะ เจ้านี่ชักจะไม่รู้ที่ต่ำที่สูงใหญ่แล้ว” ทยุติธรทรงเอ็ดพระอนุชาจริงจังแล้ว แต่หลวงตากลับไม่ถือสา แถมร้องท้าเหย็งๆราวกับอายุรุ่นราวคราวเดียวเท่ากับสีทันดร จะว่าไปทั้งมหาฤาษีและเจ้านาคน้อย ก็พอกัน
 
“ทุด...ไอ้นี่ ถ้าข้าทำได้ล่ะ”

“ทำได้ก็ดีไงหลวงตา แสดงว่าหลวงตาสมเป็นมหาครุจริงๆ เก่งกาจ แต่ถ้าทำไม่ได้ นี่สิ.....หุ หลานไม่อยากจะคิด” สีทันดรทรงเอียงพระพักตร์อมยิ้ม ความคิดบางความคิดแล่นปราดในพระทัย และมีหรือที่มหาฤาษีจะไม่รู้

“แล้วเอ็งเสือกคิดทำไม เหอะ จะให้ข้ากลับไปเป็นฤาษีตามโคนต้นไม้เหรอ.... งั้นคอยดู ข้าจะพิสูจน์ให้เอ็งเห็น ไอ้นาคเวร” หลวงตาสะบัดหน้าพรึ่ด ควงไม้เท้า ชี้ไปที่ตระการตาว่า

“คืนนี้มาหาข้าที่นี่ตอนเที่ยงคืน ข้าจะสอนแทนไอ้สีทันดรเอง”

“ครับ” ตระการตากราบลงโดยไม่มีใครต้องบอก ความยินดีจับทั่วใบหน้าหลายๆคน โดยเฉพาะคันฉัตร ยามคนรักได้ครูดีที่มีแต่ศิษยาสานุศิษย์เป็นระดับเทวะชั้นสูงเท่านั้น...ซึ่งก็รวมถึงต้นกำเนิดแห่งเขา

“คืนนี้หลานพามาเอง”

“เออดี ไอ้อณูน้อยศนิเทพ” หลวงตากล่าวพร้อมพยักหน้าก่อนสลายกลายเป็นรัศมีเจิดจ้า สีทันดรอมยิ้ม และไม่ทรงลืมที่จะกราบลงที่พื้น แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นมากล่าวลั่น “ หลงตาจ๋า หลานกราบนมัสการขออภัยด้วยนะจ๊ะ”

“กองไว้ตรงนั้นแหละ  อย่าลืมเรียกข้าให้มันถูกๆ หลวงตา ไม่ใช่หลงตา หากคราวหน้าเอ็งเผลอเรียกอีก ข้าฟาดกบาลเอ็งแน่ๆ... ข้าไปก่อนล่ะ”

ทยุติธรและวายุภัคนำกราบลงพร้อมอณูที่เหลือ เมื่อหลวงตาไปแล้ว ทยุติธรก็คว้าข้อพระกรพระอนุชาที่เตรียมจะเสด็จปรู๊ดไปกับอัสดง แล้วตรัสอย่างรู้ทันในพระอุปนิสัยมาว่า

“เจ้าใช้อุบายหาทางเลี่ยง ที่จะไม่สอนมนุษย์ผู้นั้นใช่ไหม จะได้ใช้เวลาไปเที่ยวเล่น”
 
“หม่อนฉันเปล่านะ ท่านอยากสอนเองต่างหาก คงเปรี้ยวปาก อยากถ่ายทอดมานาน หม่อมฉันเลยสนอง”

ถ้าเป็นคนอื่นทูลตอบ ทยุติธรคงทรงเชื่อ แต่สำหรับพระอนุชาพระเนตรฟ้าคราม ยากนักที่จะปักพระทัย “อย่าคิดว่าพี่รู้ไม่ทัน”

“โอ๊ย พี่ชาย อย่าเพิ่งมาสนพระทัยอะไรหม่อมฉันเลย นู่น สนพระทัยคนมาหาดีกว่า”

สิ้นรับสั่ง รัศมีสีเขียวเจือทองก็สว่างวาบเบื้องพระพักตร์ ครั้นพอจางลง พระวรกายแน่งน้อยของเทวนาคีสะคราญโฉม ก็ปรากฏลงตรงเบื้องบาท ทยุติธรพระพักตร์ชื่นบาน และเลิกสนพระทัยพระอนุชาทันที

“มุจลินทร์”

“หม่อมฉันแอบพระพันปีขึ้นมาเพคะ เป็นห่วงเห็นทูลหม่อมหายไปหลายวัน”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ไปหาที่เงียบๆ คุยกันเถิด คิดถึงเจ้าจะแย่อยู่แล้ว”

ระยะหลัง ทยุติธรทรงเริ่มหวานเป็นกับเขาเหมือนกัน และมิทรงรอช้า อ้อมพระพาหาเปิดกว้าง พอๆกับพระโอษฐ์รับร่างระหงมาตระกองกอดแน่น ก่อนรัศมีสีเขียวเจือทองที่ขอบปลายเป็นชมพูอ่อนหวานดั่งสีกุหลาบ สว่างใสพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว

หลายๆสายตามองด้วยความชื่นชม ในความเหมาะสม  หากแต่ดวงเนตรดุจดาราคู่หนึ่ง ยามได้ยล รอยรื้นน้อยๆของพระอัสสุชลกลับคลอหน่วย นลกุพรเทวอสุราโอรสาแห่งท้าวเวสสุวัณ จำต้องเบือนพระพักตร์มองไปอีกทาง และเสด็จวับลับหายสลายเป็นรัศมีสีแดงโกเมนทะยานออกไปในแนวป่าทางเดียวกันนั้น มิบอกกล่าวผู้ที่ยืนหยัดอยู่ข้างๆแต่อย่างใด

“คงจะตามไปหากันล่ะสิ ไหนว่าทำใจได้แล้วไง” ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรีกระพริบวิบวับ ดวงตาสีน้ำตาล มองตามรัศมีสีแดงโกเมน ปลายรัศมีสีนวลของตนเองเริ่มสั่นพร่า เท้าทั้งสองข้างพาหลีกเร้น ไปนั่งหลบมุมอย่างเดียวดาย

“วิธีดูแลซึ่งกันและกันในแบบฉบับของนาย...มันก็แปลกดีนะนล”

ทรงกลดมั่นใจ ว่าไม่น้อยใจ หรืองอน...เฉกสีทันดร
หากในเวลานี้ เขาอยากอยู่คนเดียวบ้าง....เท่านั้น จริงๆ

เมื่อขบวนแห่งพระสุริยาทิตย์ เสด็จลับหายขอบฟ้า จึงเป็นสัญญาณว่าเวลาการฝึกของวันนี้สิ้นสุด วายุภัคเสด็จกลับไปตามทาง แม้จะไม่ค่อยพอพระทัยจอมทัพอณูน้อยนัก หากก็ทรงแยกเรื่องส่วนพระองค์กับภารกิจออก ความยินดีที่ได้ถ่ายทอดจึงจับทั่วและอณูน้อยทุกคนก็ก้าวหน้า จนไม่มีอะไรจะสอนแลถ่ายทอดแล้ว

“ที่เหลือ คือการซ้อมอย่างเดียว เราจะอยู่เหนือยอดไม้สูงบนเขา ถ้ามีอะไรข้องใจไปถามเราได้ตลอด”

“ขอบพระทัย ถ้าพวกเราไม่ได้ฝ่าบาท คงแย่” เอราวัต จำต้องรับหน้าที่ พิธีทางการฑูต เพราะรู้ดีว่าจอมทัพนามอัสดง คงไม่อยากจะเจรจาด้วยเทวปักษีเท่าไร

“อีกไม่กี่วัน เราจะขึ้นเฝ้าที่เทวสภาแล้ว ฝ่าบาทจะเสด็จหรือเปล่า”

“ไปสิอณูน้อย เราจะไปพร้อมกับพวกเจ้า เพราะเราก็ต้องรับราชโองการ อย่างเป็นทางการเหมือนกัน ทัพของเราจะไม่ได้อยู่ภายใต้การบัญชาการของสุริยาทิตย์ ทัพของเราจะเป็นอิสระ ภายใต้การควบคุมของเราเท่านั้น”

“ทรงเปลี่ยนพระทัย ไหนเคยตรัสว่า จะร่วมรบ มีราชโองการลับมาถึงฝ่าบาทเหรอยังไง ถึงได้ตรัสอย่างนี้” ธรรม์ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยฑูต ถามขึ้น อณูน้อยคุรุแห่งเทวะ ได้ฟังดำรัสของวายุภัคเมื่อครู่ ก็ไม่ค่อยจะพอใจแทนอัสดงนัก

“ใช่เราบอกว่าจะร่วมรบ แต่ไม่ได้บอกว่าจะฟังคำสั่งอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ เราจะทูลขอพระอนุญาตพระมหาวิษณุ”

วายุภัคตอบพระพักตร์เฉยชา ไม่ยินดียินร้าย และอาการนี้แหละที่ทำให้คนสุขุมอย่างธรรม์ยังแทบจะทนไม่ไหว ปราดเข้าไปกระชากสั่งสอน โชคดีที่เอราวัตยืนอยู่ด้วยจึงยั้งไว้ทัน และออกหน้ามาเสียเอง

“ เรื่องนั้นแล้วค่อยว่ากัน แต่อยากจะทูลให้ทราบไว้ข้อหนึ่งว่า จักราแห่งมหาวิษณุและจักราแห่งมหาทรุคา อยู่ในมือ อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ และจักราทั้งสองนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ซัดฝ่าบาทจนร่วง ขนาดพวกเราเองได้เห็นยังไม่กล้าหือกับอัสดง ลำพังพระมหาวิษณุอาจจะทรงรับฟัง หากมหาอุมาเทวี คงจะไม่ และยิ่งถ้าเสด็จมาในภาคมหาทุรคา อย่าได้ทรงหวัง ....ขอทูลลา”

เอราวัตกับธรรม์ เดินจากมา ไม่สนใจอันใดอีก แล้วความทั้งหมด ก็ถูกถ่ายทอดให้กับอัสดงฟังกลางโต๊ะอาหารยามค่ำ

“พวกครุฑนี่มันคบไม่ได้จริงๆ นี่ยังไม่ทันไร มันกล้าแข็งข้อ” น้ำเชี่ยวเป็นเดือดเป็นร้อนแทนจอมทัพที่นั่งถอนหายใจอย่างไม่ค่อยสบายอารมณ์

“กูว่า ไปกระทืบแม่งเลยดีกว่า เอาให้สลบคาตีน สั่งสอนให้รู้เสียมั่งว่าอย่ายุ่งกับอณูแห่งเทพชั้นผู้ใหญ่อย่างเรา” ราหูเสนอขึ้นมาบ้าง และก็คงมีแต่น้ำเชี่ยวเท่านั้นที่เห็นดีเห็นงาม

“ ดีเหมือนกันนะอัสดง ท้าดวลแม่งเลย เอาให้มันรู้กันไปว่าเทวะอย่างเราเหนือกว่ามัน”

“มึงสองคนนี่แนะนำแต่ละอย่างดีๆทั้งนั้น มึงสองคนอย่าชวนอัสดงมันเสียคน เป็นนักเลงตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก” คันฉัตรท้วงขึ้น แล้วกล่าวต่อมาว่า “ วายุภัคคงต้องถูกกำราบลงแน่ หากมันยังอวดดี”

“เราควรดูท่าทีมันก่อน มันอาจจะไม่มีอะไรเหมือน พี่น้องดื้อก็ได้”

“อย่าเพิ่งมั่นใจไปฉาย แววตาของวายุภัคมันมีอะไรซ่อนอยู่ เดาว่า มันคงรู้ว่าฉันอ่านใจออก มันจึงใช้เทวฤทธิ์ปิดกั้นเอาไว้” เอราวัตท้วงแฟนสุดที่รัก และคืนฉายก็เริ่มเห็นด้วย คล้อยตาม

“ชักหนักใจแทนเสียแล้วสิ”

“คงต้องดูทีท่า อย่างที่นายว่า..ไอ้ฉาย ฉันเองก็มีบางเรื่องที่จะสะสางกับมัน”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔ วันที่ ๐๗กุมภา๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 07-02-2020 12:48:46
“เรื่องน้องดื้อใช่ไหม... นี่ละหนา ที่เขาว่า มีแฟนหน้าตาดี ก็เป็นทุกข์ เหมือนอย่างที่พระพุธเป็น” คืนฉายพูดขึ้นยิ้มๆ เอราวัตนั้นหมั่นไส้แฟนตัวเองสุดจะบรรยาย ได้แต่ทำหน้าระอา

 “ ไอ้ครุฑนั่นคงไม่หยุดแค่นั้น ....ดูอย่างตอนไอ้กลดสิ กว่าจะลงตัวได้ เล่นเอาต้องบุกกันไปถึงดาวดึงส์ทีเดียว”

หากเป็นเวลาปกติ ทรงกลดคงด่าคืนฉายเข้าให้ ที่ขุดเรื่องเก่าๆมาพูด ทว่าเวลานี้ ได้เพียงแค่ยิ้มชืดๆ “เป็นไรหรือเปล่าวะ ไอ้กลด เงียบเชียว แล้วนี่นลไปไหน”

“ไม่รู้ว่ะ สงสัยจะไปแถวๆนี้แหละ ช่างเหอะ”

“ฉันเห็น เหาะไปทางเดียวกับพระธิดามุจลินทร์ ไม่แน่ใจว่า ตามกันไปหรือเปล่า ” ราหูพูดโพล่งขึ้น จนน้ำเชี่ยวที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้พอจะรู้บ้างว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูดต้องตบกบาลปราม

“ทีหลังรู้เหี้ยอะไรก็ไม่ต้องพูดหมด เก็บๆไว้เสียบ้าง ทำเป็นไอ้พระพุธไปได้”

“อ้าว....ไอ้น้ำเชี่ยว วกมาหากูทำซากอะไร”

ทรงกลด ไม่พูดจาอันใดต่ออีก บอกอัสดงกับทุกๆคนเพียงว่าขอตัวไปพักผ่อน ลุกพรวดไปทันใด พอคล้อยหลังเสียงจอกแจกจอแจก็หยุดลงพลัน และอณูน้อยแห่งพระศุกร์ เทวะแห่งโลกิยสุข กล่าวขึ้นทำลายความเงียบนั้น

“โรคงอน น้อยใจ ส้นตีนนี่กลับมาอีกแล้ว ....คราวนี้มาจับไอ้พระจันทร์ได้ เดี๋ยวกูไปดูมันซะหน่อย”

คืนฉายด้วยความเป็นห่วงสหาย จึงตามไปดู แต่ดูได้แค่อยู่ห่างๆ เพราะทรงกลด ดันกั้นปริมณฑลเขตอาคมชั้นสูงเพื่อมิให้ใครรบกวน

ที่จริงอาคมบทนี้ เขาจะทำลาย ก็ทำได้โดยง่าย
หากแต่ดวงตาเศร้าๆที่เหม่อมองออกไป....ทำให้เขาต้องจำยอม ปล่อยเพื่อนอยู่คนเดียวตามปรารถนาลำพัง

“ไอ้นลนะ ไอ้นล จับไอ้กลดมันกด แล้วก็มาทำอย่างนี้ ไอ้เวรเอ๊ย ”

“ด่าอะไรเราคืนฉาย”

เสียงกังวานยิ่งกว่าเสียงระฆังดังขึ้นจากทางด้านหลัง คืนฉายเกือบสะดุ้งด้วยความตกใจ ที่จู่ๆนลกุพรมาปรากฏวรองค์โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง

“ห่าเอ๊ย มาเงียบๆ แล้วนั่นอุ้มอะไรมา... แต่ช่างเหอะ ไปดูคนเงียบๆ คนนั้น นั่นดีกว่า” คืนฉายบุ้ยปากไปทางริมน้ำปาย มุมที่ทรงกลดนั่งกอดเข่าเจาจุกอยู่คนเดียว

“อ้าว....กลดเป็นอะไร” นลกุพรทรงถามขึ้นอย่างไม่วายสงสัย

“โรคงอน น้อยใจไง นายไปทำอะไรไว้ล่ะ ไปคุยกันเองแล้วกัน” คืนฉายตอบกลับ แล้วเดินจากมา ทิ้งนลกุพรที่ประทับยืนทบทวนว่า ได้ทรงทำอะไรให้ทรงกลดอยู่ในอาการที่เรียกว่า...........งอน

คืนฉายเดินกลับมาตามทาง มุ่งหน้ากลับบ้านพักแทนที่จะเดินไปยังห้องอาหาร บ้าน...ยังคงดับไฟสนิทแสดงว่าเอราวัตยังไม่กลับมา เพียงขาทั้งสองข้างย่างขึ้นบนบ้านเท่านั้น  สายตาของเขาก็จับร่าง บางร่างได้แว่บๆ ทันที 

ร่างนั้นพยายามจะหลบหนีเข้าต้นไม้ใหญ่หลังบ้านพัก ....แต่มีหรือจะไวเกินกว่าฤทธีที่อณูแห่งพระศุกร์ใช้สกัด

“รุกขเทวา....เจ้ากล้าบังอาจ เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” คืนฉายใช้สายตาสำรวจรุกขเทวาที่หมอบตรงหน้ารวดเร็ว คราแรกตั้งใจจะซัดซ้ำ แต่แล้วก็ทำไม่ลง  เพราะรุกขเทวาตนนั้น กายเป็นชาย  แต่ใจดันเป็นรุกขเทวีมาเสียนี่

 “รุกขเทวามีเป็นตุ๊ดด้วยเหรอวะ”

“ปะ เปล่าเพคะ....เอ๊ยพะยะค่ะ” เจ้ารุกขเทวี กล่าวตอบแม้จะกลัวโดนลงโทษหากทีท่ากระตุ้งกระติ้งเกินหญิงยังคงมีให้เห็น ในแววตาหวาดๆ ยังไม่วายกล้าที่จะส่งสายตาหวานทอดสะพาน

“แล้วเจ้า เข้ามาบ้านพักเราทำไม”

“ก็แหม.....คือหม่อมฉัน เอ๊ยกระหม่อม เอ่อ...” นังรุกขเทวี เริ่มกล่าวตะกุกตะกัก มือไม้สั่น ไม่รู้ว่ากลัวยามถูกจับได้ หรือว่าสั่นสู้เป็นปกติยามอยู่ต่อหน้าเทวะผู้ชาย แต่ที่แน่ๆในใจตอนนี้ นางกำลังเปรยกับตนเองลั่น

“โอ๊ยยยยยยยย ท่านหล่อจังค่ะ ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งหล่อ เห็นแล้วอยากมีผัว ได้สักที คงซี๊ดปากยันเช้า”

“ขอบใจ....ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับเรา บอกมาว่า เข้ามาทำไม”

แม้จะเป็นอณู ทว่าวาระจิตของคืนฉายนั้นสูงกว่า จึงรู้ว่า นังนี่ ต้องการอะไร นังรุกขเทวีตนนี้ท่าทางจะกร้านสวาท ถึงได้คิดอะไรสัปดี้สีปะดน ตนจึงแสร้งทำเสียงดุ และก็ได้ผล นังรุกขเทวาลักเพศ ถอยกรูดไปติดชิดระเบียง

“เจ้าบังอาจนัก เราซัดให้ร่างเจ้าสลายดีไหม”

อณูน้อยแห่งพระศุกร์อดที่จะแอบอมยิ้มไม่ได้ .....เสน่ห์ของเขานับวันยิ่งร้ายแรง
กระทั่งอยู่เฉยๆแล้ว....ก็ยังมีทั้งคนและรุกขเทวาตามมาหาเอง

“ว้าย กลัวแล้วค่ะ อย่าทำอะไรหม่อมฉันเลย....ก็แค่มาดูเผื่อมีอะไรให้รับใช้ ได้นวดถวายบ้างก็ยังดี”  ไม่รู้ว่านังรุกขเทวีตนนั้นกลัวจริงหรือเปล่า เพราะจากทีท่าที่ถอยหนี กลับแสล๋นแล่นกายคลานเข่าเข้ามากอดขา ...ออดอ้อนวอนขอให้รอด หรือจะออเซาะฉอเลาะขออย่างอื่นกันแน่

“เจ้านวดเป็นเหรอ” คืนฉายคลายหน้าดุพลัน ด้วยนิสัยเดิมที่เจ้าชู้ ชอบหว่านเสน่ห์ยังคงมีติดตัวบ้าง แม้จะไม่ได้คิดอะไรกับนังรุกขเทวี หากมีคนมาเสนอนวดให้ฟรีใครเล่าจะไม่เอา เอราวัตคงไม่ว่าอะไรหรอก ก็เขาเมื่อยนี่

คืนฉายคิดว่าเอราวัตไม่ว่าอะไร....แต่เขาคิดไปเพียงคนเดียว

 “ไหนเจ้าลองนวดดูสิ”

ว่าแล้ว เจ้าอณูน้อยจอมเจ้าชู้เสน่ห์ร้าย จึงนั่งเหยียดกายเหนือม้านั่งริมระเบียงทดลองให้นังรุกขเทวีมันถวายงานนวดดั่งใจมันปรารถนา และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นังเทพโคนต้นไม้ลักเพศนั่น จะยินดี ปรีดาเพียงใด

“บุญมือของกูจริง จิ๊ง”

ที่ว่าเป็นบุญมือนั้น คาดว่าคงจะจริง เพราะนังนี่นวดเอาแต่โคนต้นขา และด้วยน้ำหนักมือที่จัดว่าเหนือชั้น แถมความเหนื่อยที่สะสม ทำให้คืนฉายผ่อนคลายจนอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น และก็กำลังรู้ดีว่า มือนังนั่น มันเริ่มบีบสูงมาเรื่อยๆ แลกดย้ำไล่ลมซ้ำเฉพาะตรงขาหนีบ แล้วอาการบีบก็ไม่กลายเป็นบีบอีกต่อไป กลับแปรเปลี่ยนเป็นคลึงเคล้า กระเซ้ายั่วแหย่ จนพระศุกร์ที่ไม่น้อย เริ่มพองตัวดันนูนผงาดกลางเป้าตามธรรมชาติ

แต่ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ตอนนี้นังคนนวด มันมองจนตาค้าง มือที่ใช้คลึงเคล้า เริ่มเลื่อนมาลูบเบาๆ อยู่กลางเป้า ใจของนังเทพโคนต้นไม้ ที่ไม่มีวันสลัดราคะออก อยากจะควักส่วนนั้นออกมา ครอบปากลงไปจนมิดลำ

คืนฉายทำไมจะไม่รู้ ว่านังรุกขเทวี เลิกนวดแล้ว หากยังปล่อยให้มันลูบเล่น เพราะเห็นว่าไม่เสียหาย ไหนๆมันก็อยากรับใช้ ยอมให้มันแต๊ะอั๋งพอเป็นกระษัยสักทีสองที ให้มันชื่นใจ คิดซะว่าเป็นค่านวดแล้วกัน

ทว่านังรุกขเทวีกลับสาระแนไม่หยุด มือสั่นพร่าของมันเริ่มรูดซิปลง คิ้วที่กันซะโก่งเกินชายเลิกขึ้น ด้วยเพราะตระหนกที่เห็นขนาดแม้เพียงรำไร และเลื่อนหน้าอ้าปากมาจนใกล้ จนแทบจะซุกลงไปฟอนฟัด แต่มันก็ไม่ไวไปกว่า มือแข็งแรงที่ยื่นมาจากด้านหลังกระชากหัวมันออกมาโดยแรง แล้วเหวี่ยงออกไปไกลด้วยฤทธี

“มาทางไหน มึงกลับไปทางนั้น”  เอราวัตมาจากไหนไม่รู้ตะโกนลั่น ก่อนจะยกส้นเท้าหนักๆถีบเจ้าคุณแฟนตัวดีด้วยความแรงยิ่งกว่าแรง

“ตื่นเดี๋ยวนี้ ไอ้ฉาย....หนอยบอกจะมาดูไอ้กลด กับเสือกมานอนให้ นังนั่นมันนวดไข่เล่นเสียนี่ มีอะไรจะแก้ตัวไหม”

“พระพุธ....จ๋า ฉายผิดไปแล้ว แต่ก็แค่นวดคลายเส้น” คืนฉายสะดุ้งพรวด ลุกขึ้นยืนรูดซิปคืนดังเดิม “ฉายผล็อยหลับ อีนังนั่นมันมือไว”

“แล้วทำไมมึงปล่อยให้ทำ หา.......อยากคลายเส้นเหรอ มานี่ ฉันคลายให้เอง รับรองหอกด้ามนี้จะคลายได้ทุกเส้นเอ็นแน่นอน ไอ้ฉาย”

“เฮ้ย จะฆ่ากันเลยเหรอ.........ไอ้ที่รักบ้า”

“เออสิวะ”

หอกด้ามยาวอาวุธคู่กายปรากฏขึ้นกลางมือเอราวัตทันใด ตอนนี้คืนฉายจะทำอะไรได้ นอกเสียจากหนีกับหนีเท่านั้น รัศมีฟ้าครามใสจึงวิ่งวนไปรอบๆ เหนือรีสอร์ท ตามติดด้วยรัศมีสีเขียวที่ไล่ล่าไม่หยุดยั้ง พร้อมเสียงร้องลั่น กร่นด่าสลับกันของคู่รักจอมเซี้ยวทั้งสอง....จนหลายๆคน ต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรกันขึ้น

นลกุพร ใช้ฤทธีทำลายม่านอาคมเข้ามา ที่จริง ทรงกลดควรจะรู้ตัว แต่เขายังนิ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่ารู้ หากยังไม่อยากหันไปมอง แม้นลกุพรทรงพระดำเนินมาจนใกล้ และน้ำหนักในการเหยียบย่างแต่ละครั้งมิใช่เบา อณูน้อยแห่งพระจันทรเศขร ยังไม่มีทีท่าจะหันกลับมา

จวบจนรู้สึกถึงลิ้นสากๆ คลอเคลียอยู่ที่แก้มและใบหู จนขนอ่อนตรงต้นคอลุกกรูชูชัน พระจันทร์ทรงกลดจึงหันมาหาเจ้าของลิ้น และพบกับดวงตาวาวสองคู่จ้องตอบเป็นประกาย แทนที่จะเป็นสายเนตรแห่งนลกุพร

ทีท่าไร้เดียงสานั้นชวนมอง ขนบนใบหน้าของสายตาทั้งสองนั้นสีเหลืองอ่อน และยังนุ่มมือยามได้สัมผัส หากเริ่มมีริ้วดำจางๆ ตามพ่อและแม่ มองเผินๆ นึกว่าลูกแมว แต่จะเรียกว่าลูกแมวก็ได้เพราะมันฉายแววขี้เล่นเลียหน้าทรงกลดจนลืมอารมณ์ซับซ้อนบางประการที่เป็นอยู่เสียสิ้น

“เรา....ไปเดินเล่นมา พอดีเจอเลยเอามาฝาก ท่านเจ้าเขาบอกว่า แม่มันโดนฆ่า มันเป็นกำพร้า น่ารักไหม เจ้าลูกแมวคู่นี้”

นลกุพรตรัสเรียกว่าลูกแมว....หากทรงกลดเปลี่ยใจเรียกตามจริงว่า “ลูกเสือโคร่ง” ใบหน้าที่เคยตูมๆ คลี่คลายลงเป็นแย้มยิ้มรวดเร็ว ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี กระพิบวิบวับ ฉายประกายยินดีต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

“น่ารักจังนล....”

“ลูกแมวหรือนล ที่ว่าน่ารัก”

“ลูกเสือต่างหากว่ะ....น่าสงสารด้วย เป็นกำพร้า” ทรงกลดรับลูกเสือคู่นั้นมากอดแน่น รัศมีโอนอ่อนผ่อนปรนแห่งจันทรเทพ ทำให้ลูกเสือตัวน้อยทั้งคู่ รู้ถึงกระแสเมตตาที่เต็มเปี่ยม และรับรู้ด้วยสัญชาติญาณพิเศษ ว่าเจ้านายของมันนั้นคือใคร เสียงร้องอ้อแอ้ของมันทั้งสองจึงเต็มไปด้วยความประจบประแจง

“ฉันจะเลี้ยงมันเอง หากมันโตค่อยใช้มนต์บังตา เอาไว้เฝ้าบ้าน ดีไหมนล”

“เจ้าจะเอาลูกเสือเนี่ยนะ ไปเฝ้าบ้าน ไปเลี้ยงที่บ้าน” นลกุพรทรงถามขึ้นเสียงสูง

“อ้าว เมื่อกี้ นลยังเรียกว่าเป็นลูกแมวเลย ลูกแมวก็เลี้ยงที่บ้านได้สิ” ทรงกลดกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาเล่นกับลูกเสือ เรียกว่าลูกพ่อๆ ดังลั่น จนนลกุพรพระพักตร์ตูมมาเสียเอง

“เปลี่ยนใจ เอามันไปคืนท่านเจ้าเขาดีกว่า”

“เฮ้ย....ทำไมล่ะนล ไม่ยอมหรอกนะโว้ย นายให้ฉันแล้ว”

“ก็เจ้ามัวสนใจแต่มันสองตัว ไม่สนใจเราเลย” เขี้ยวแก้วใสเริ่มโผล่พ้นริมโอษฐ์หยักงาม ยามไม่สบพระอารมณ์ พระพักตร์คมคายเริ่มงอง้ำเป็นม้าหมากรุกกับเขาบ้าง

“โธ่นล ...ก็ไอ้สองตัวมันน่ารักนี่หว่า ว่าแต่นายเอง ไม่สนใจเราเหมือนกัน ไปไหนก็ไม่บอก จู่ๆก็ลอยไป ว่าแต่ตามมุจลินทร์ไปใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ พี่ชายทยุติธรได้กระทืบเอานะสิ จะตามเขาไปทำไม  ตอนนั้นแค่อยากไปนั่งเงียบๆ ยอมรับว่ายังเจ็บบ้าง แต่ไม่มากแล้ว พอไปนั่งเพลินๆได้สักพักไอ้สองตัวนี่ก็ดันคลานต้วมเตี้ยม อ้อแอ้ออกมากวนใจ เลยนึกได้ว่า เอามาให้เจ้ากับเราช่วยกันเลี้ยงดีกว่า”

“อ้าว....เป็นงั้นหรอกเหรอ” ทรงกลดยิ้มแหยๆ เริ่มละอายที่แอบเผลอคิดมากไปเอง

“เมื่อกี้เจอคืนฉาย....เขาว่าเจ้างอนเรา อย่าบอกนะว่าเรื่องนั้น”

“ ไอ้ฉายมันก็ปากเสียเหมือนแฟนมัน ไปเชื่ออะไร”  ทรงกลดบ่ายเบี่ยง แต่เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้ฉายปากเสียกับแฟน ก็เหิรลอยไล่กวดกันข้ามหัวเกือบชนเขากับนลอย่างหวุดหวิด จนต้องร้องด่าตามหลัง

“มึงสองตัว เล่นส้นตีนอะไรกัน หัดดูตาม้าตาเรือบ้างนะโว้ย ไอ้ห่า ลูกกูตกใจหมด” ทรงกลดด่าจบก็โอ๋เจ้าลูกเสือทั้งสองที่กำลังพองขนยามตกใจ “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวนะลูกพ่อ”

“กูไม่ได้เล่น กูจะเอาเลือดหัวไอ้ฉายออก เสือกเจ้าชู้นัก” เอราวัตส่งกระแสจิตตอบกลับมา ก่อนไล่คืนฉายหายไปตามแนวราวป่าทะมึน

เมื่อทุกอย่างสงบ นลกุพรจึงเบียดพระวรกายเข้ามานั่งใกล้กว่าเดิม พระกรแข็งแรงใช้โอบไหล่ทรงกลดไว้มั่น  “เราสองคน จงดูคู่สีทันดรเป็นบทเรียน มีอะไรเราพูดกันตรงๆ.... เราไม่ลืมหรอก สัญญาที่จะดูแลซึ่งกันและกัน ที่ให้ไว้กับเจ้า”

“แค่นั้นไม่พอหรอกนล ตอนนี้นลต้องสัญญาว่าจะช่วยกันดูแลเจ้าสองตัวนี้ด้วย ....ตกลงไหม”

“สัญญาก็ได้ แต่บอกไว้ก่อน เราไม่ทำงานให้ใครเปล่าๆนะกลด”

“ไม่ได้บอกนี่หว่า ว่าจะให้ทำฟรี.....รู้หรอกต้องการอะไร ไปเหอะ เจ้าสองตัวนี่ มันคงหิวแล้ว” ทรงกลดกล่าวตอบ ใบหน้าขาวกระจ่างถูกเลือดในร่างขับเป็นสีแดงระเรื่อ เฉกเดียวกับนล เพราะต่างฝ่ายต่างรู้สภาวะจิตซึ่งกันและกัน ว่าคิดอะไร และต้องการอะไร

“ไปเข้าบ้านกัน ลูกพ่อ”

เจ้าลูกเสือตัวน้อยครางตอบรับ มันไม่รู้ภาษาหรอก หากแต่มันรับได้ด้วยกระแสจิตที่ทรงกลดส่งมา.... นลกุพรเองแม้จะเป็นเทวอสุรา แต่ก็เป็นฝ่ายดี เจ้าลูกเสือจึงรู้ว่าพระรัศมี มิมีอันตราย หนึ่งในสองตัวจึงพยายามเข้าหาออดอ้อนบ้าง จนเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วต้องเอามาโอบอุ้มแนบพระอุระไว้เสียหนึ่ง เสด็จเคียงคู่เดินเข้าบ้านพักไปกับทรงกลด ด้วยพระทัยที่สุขล้นไม่แพ้กัน ความทรงจำใต้ฝักบัว และคำสัญญาทั้งสองยังจำได้และต่างฝ่าย ต่างผลัดกันท่องให้ฟังทบทวนอีกครั้ง

“ความรัก ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า รัก เสมอไป และไม่ควรจะมีการแลกเปลี่ยน ร้องขอ หรือต่อรองใดๆ หากเพียงแค่ ตกลงกัน เมื่อรักแล้ว ก็จะรักให้เป็น จึงจะได้ชื่อว่ารักที่แท้จริง”

***********************
รบกวนติดตามต่อใน บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ นะคะ  :-[
ขอบพระคุณที่ติดตามเสมอมา  :pig4:

Artemis ๐๗ กุมภา ๖๓
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๓ วันที่ ๑๖ มกรา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 07-02-2020 23:45:45
กำลังสนุกเลย อยากอ่านต่อแล้วครับ :)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๓ วันที่ ๑๖ มกรา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 08-02-2020 00:06:57
สนุกมากครับ อ่านซ้ำสองรอบแล้ว
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔ วันที่ ๐๗ กุมภา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 27-02-2020 08:55:01
ชอบการต่อล้อต่อเถียงของหลงตากับสีทันดร     :m20:

นุ้งดื้อน่าโดนจับมาตีก้นมั่กมาก     :laugh3:



นุ้งดื้อสอนตระการตาได้ดีนะ อ่านแล้วรู้สึกชื่นชม



 ไหน ๆ พี่ชายใหญ่ก็โดนมุจลินทร์คาบไปแ_กแล้ว นี่ขอกรี๊ดวายุภัคแทนได้มะ!?

 :m3:   คนอัลไลกร๊าวใจยิ่งนัก กักขฬะ หยาบคาย  โอ๊ยยยย… แซบบบบบ


ฮารุกขเทวีอะ คือตกลงนาง “เสียบ” ชิมะ?    :laugh:


อยากรู้จังว่ากลดจะตั้งชื่อลูกแมวน้อยทั้งสองว่าอะไร

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔ วันที่ ๐๗ กุมภา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-02-2020 08:22:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔ วันที่ ๐๗ กุมภา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 29-02-2020 12:37:47
วายุภัคนี่ดื้อจริงๆหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆเจ้าลูกเสือสองตัวน่ารักจังแต่ละคุ่ก็พ่อแง่แม่งอนบางคุ่ก็น่ารักกระหนุงหนิงรอตอนต่อไปนะคะขอบ๊งเบ๊งนักเขียนมากเลยคิดถึง :katai2-1: :impress3: :impress3: :L3:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๔ วันที่ ๐๗ กุมภา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: nantakorn0732 ที่ 07-03-2020 12:31:23
รอมาต่อนะ นิยายกำลังสนุก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-04-2020 09:50:42
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕

บรรยากาศยามเช้าวันนี้ช่างน่าสดใส ยิ่งใกล้วันเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการเท่าไร เหล่าอณูน้อยยิ่งตื่นเต้นดีใจอย่างไม่เคยเป็น ทุกอย่างพรักพร้อมทันตามกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนที่ได้รับการถ่ายทอดจากยอดขุนพลแห่งบาดาลและฟากฝั่งฉิมพลี หรือแม้กระทั่ง ตระการตา มนุษย์ธรรมดา ที่สามารถถอดกายทิพย์ได้โดยการถ่ายทอดจากมหาฤาษีขี้โมโห

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์เช่นนี้ ....บรรยากาศยามเช้าไยจะไม่น่าอภิรมย์ สมดั่งคำกล่าว
ทุกคนชื่นชมยินดี....หากมีบาง ‘พระองค์’ เท่านั้น ที่ทรงไม่พอพระทัย

“หลงตาขี้โกง แอบใช้ตบะบารมีช่วยเจ้าน่ะสิ” สีทันดรทรงค้อนขวับเพราะทรงแพ้แลลงกับใครไม่ได้ พระสุรเสียงใส จึงตวัดปลายนิดๆ “เหอะ เราจะทำแบบนั้นเราก็ทำได้ แต่เจ้าจะมีความภาคภูมิใจอันใด ตระการตา”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จำได้ว่านั่งสมาธิอยู่เฉยๆ หลวงตาท่านก็พูดไปพูดมาจนพี่เคลิ้ม รู้สึกตัวอีกที ก็เห็นตัวเองวิ่งตามแสงสว่าง พอตามทัน พี่ก็ออกมายืนหน้าร่างตัวเองแล้ว” ตระการตาทูลตอบไปด้วยความซื่อมากกว่าจะช่วยแก้ต่างให้หลงตา

การฝึกส่วนตัวเมื่อคืน เขาจำได้ ....คันฉัตรพาเขาไปส่งยังลานฝึกตามกำหนดเวลาที่หลวงตาบอก เมื่อไปถึงก็พบว่าหลวงตานั่งรออยู่ก่อนแล้ว การฝึกนั้นค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทว่าไม่เนิบนาบ ต่างกับวิธีการของน้องสีทันดรโดยสิ้นเชิง มหาฤาษีหรือหลวงตาในยามนั้น ผิดกับยามที่เจอเมื่อตอนกลางวันเป็นคนละคน ไม่ขี้โมโหแถมยังใจดี ให้เขานั่งหลับตาเล่านู่นเล่านี่ จนเพลินคล้ายตกในภวังค์ แล้วบอกให้เขาวิ่งตามแสงสว่างกลางสมองนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว..และเมื่อรู้ กายทิพย์ของเขาก็ปรากฏอยู่หน้ากายหยาบเรียบร้อย

“นั่นแหละ เขาเรียกว่าใช้ฤทธิ์ช่วย ขี้โกง!!”  เจ้านาคาตาสวยยังคงไม่วายแย้ง

“ไอ้ดื้อ เดี๋ยวหลงตาของเจ้าก็ได้ยินหรอก อัสสะช่วยอะไรไม่ได้นา” อัสดงปรามที่รักพระเนตรฟ้าคราม หากแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะคำว่าเดี๋ยวได้ยิน กลายเป็น ได้ยินครบถ้วนกระบวนความ และบังเกิดเป็นเสียงดังก้องกังวานมาจากทุกสารทิศ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร และเจ้าตัวก็คงแอบอยู่แถวๆนี้

“เอ็งว่าใครขี้โกงไอ้สีทันดร ไอ้นาคพ่อแม่ไม่สั่งสอน”

“โห หลงตา ด่าถึงพ่อเล่นถึงแม่ แหม...พูดเบาๆแท้ๆ สมกับเป็นมหาฤาษีที่หูดีได้ยินไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล รู้ไปหมดว่าใครเขาคุยอะไรกัน”

“เดี๋ยวข้าก็แพ่นกบาลซะหรอก เอ็งจะด่าว่าข้าเสือกเหรอ” เสียงหลวงตายังคงลั่นๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปรากฏตัว

“เปล่านะหลวงตา ...อย่ามาใส่ความหลาน แค่บอกว่าหลวงตาหูดี”

 “เขาเรียกว่าทิพยโสตโว้ย แต่เอาเหอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี เพราะข้ามีวิธีให้ไอ้มนุษย์นี่มันถอดกายทิพย์ได้ ข้าจะยกให้เอ็งสักวัน ข้าไปเฝ้าพระนารทท่านดีกว่า ข้าขึ้เกียจทะเลาะกับเอ็ง”

อัสดงกับอณูน้อยแทบทุกคน ถอนหายใจออกมาได้เพราะฝ่ายหนึ่งยอมเลิกราอ่อนข้อ จะได้ไม่ต้องแสบแก้วหู ทว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นยังคงพึมพำไม่หยุดหย่อน

“จะไปเข้าเฝ้า หรือจะไปให้ท่านช่วยกระจายข่าวให้กันแน่ ว่าตัวเองเก่ง สามารถสอนมนุษย์ธรรมดาถอดกายทิพย์ได้เพียงข้ามคืน”

พระนารทนั้นทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้สื่อข่าวสวรรค์ เสด็จทางไหน ประทับที่ใด ‘ข่าว’ ทุกประเภทย่อมรับเข้ามาและแพร่กระจายถ่ายออกไปในเวลาเดียวกัน... ฉะนั้นการไปเฝ้า มิใช่เฝ้าทูลถามสารทุกข์สุขดิบ หากแต่คงไปเฝ้าฝากข่าวถึงผลงานมากกว่า

“เสือกรู้ดีนัก นี่แนะ”  หลวงตาส่งเสียงทิ้งท้ายก่อนจะเงียบหายไป เหลือไว้แต่พระสุรเสียงร้องลั่น พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกมากุมกลางพระเศียรแน่น

“โอ๊ยยยยยยยยย หลานเจ็บนะหลวงตา... อัสสะช่วยดูให้หน่อย หัวเราแตกไหม”

มิต้องสงสัย ว่าสีทันดรจะทรงโดนอะไรฟาดกลางพระเศียร อัสดงแม้จะเข้ามาช่วยดู หากแต่ก็สะใจที่สุดที่รักโดนเสียมั่ง ยิ่งนลกุพรนั้นปรบหัตถ์ดังลั่นด้วยความชอบใจ ตรัสออกนอกหน้า สรวลก้องดังกว่าใคร

“สมน้ำหน้า!! สะใจนักเด็กดื้อโดนตีกบาล”

“ไอ้บ้านล....พี่กลดเอ็ดนลบ้างสิ”

“จะได้หายดื้อเสียที...ดีแล้ว” ทรงกลดเสริมขึ้นมายิ้มๆ มิเข้าข้างสีทันดร ที่งอนตุ๊บป่องไปแล้ว เจ้าอณูแห่งจันทรเทพพูดไปก็ป้อนนมเจ้าลูกเสือสองตัวไปอย่างน่าเอ็นดู จนคันฉัตรเห็นเข้าเลยต้องเปรยขึ้นดักคอไว้ว่า

“ป้อนให้อิ่มนะไอ้กลด ถ้าลูกมึงเสือกหิว มาตะปบกระต่ายน้อยลูกกู ...เป็นเรื่องแน่”

“ไอ้ห่าฉัตร ตัวมันนิดเดียว ยังตะปบไม่ได้หรอกน่า” ทรงกลดแก้ต่างพร้อมกับยกเจ้าลูกเสือมาฟัดด้วยความเอ็นดู น้ำเชี่ยวกับราหูนึกสนุกก็เข้ามาเล่นด้วย และขอพาไปฟัดกันกลางสนาม

“เบาๆ นะโว้ยพวกมึง ลูกชายกูยังเล็ก” ทรงกลดแม้จะหวงลูกชายลายจางๆ หากก็ยอมปล่อย

“เออ กูรู้แล้วน่า” น้ำเชี่ยวลิงโลดรับคำ ตระกองกอดลูกชายของทรงกลดแน่น แล้วแบ่งให้ราหูอุ้มไว้หนึ่งตัว ก่อนจะวิ่งออกไป ทิ้งสายตาของใครบางคนมองตามไว้แต่เพียงเบื้องหลัง

“โอเค ไหมวะธรรม์”

คืนฉายถามขึ้น ด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้นัยแห่งสายตาเศร้าสร้อยนั้นเป็นอย่างดี ทว่าเจ้าของกลับไม่กล้าที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง จึงเปลี่ยนเรื่องตอบไปอีกทาง

“ไม่เป็นไรหรอก ช่างเหอะ...ว่าแต่ หน้ามึงไปโดนส้นตีนอะไรมาวะไอ้ฉาย หรือว่าโดนตีนเสือตะปบ”

“อ๋อ มันไม่ได้โดนตีนเสือหรอก มันโดนตีนกูเอง” พระพุธน้อยเดินมาจากทางไหนไม่รู้  แทรกกลางบทสนทนาได้อย่างพอดิบพอดี “เจ้าชู้นัก ต้องโดนอย่างนี้....ถ้านายจะมีแฟนเลือกดีๆนะธรรม์ อย่าเอาเจ้าชู้แบบไอ้ฉาย”

“ฉายไม่ได้เจ้าชู้ ... ฉายก็อยู่ของฉายเฉยๆ ฉายเปล่านะ เขามาเอง ”

คืนฉายพูดไปแต่ไม่รู้หรอกว่า ‘เขา’ ที่ว่า หรือนางรุกขเทวาลักเพศบัดนี้จะมีสภาพเป็นเยี่ยงไร หากคืนฉายเดินไปดูหลังตลาดถนนคนเดินสักนิด จะเห็นว่า ต้นไม้ประจำตัวของนังนี่ ได้ถูกย้ายด้วยฤทธี ไปประดิษฐานอยู่ข้างซ่องโสเภณีเรียบร้อย และคนที่ขุดรากถอนโคนก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล นอกเสียจาก เจ้าพระพุธนี่เอง

“ยุ่งกับฉายของกูเหรอ...ไปเป็นกะหรี่อยู่ข้างซ่องเสียเหอะมึง”

นั่นคือบทลงโทษเล็กๆน้อยๆ สำหรับนังรุกขเทวี...และคาดว่ามันคงจะจำไปจนกว่าจะหมดบุญ!!!

“ยังจะมาแก้ตัว เอาอีกสักทีดีไหม” เอราวัตบอกว่าเอาอีกสักทีตั้งท่าเงื้อกำปั้นหรา แต่ท้ายสุดก็เปลี่ยนใจหยิบยามาทาแก้ฟกช้ำให้ กลายเป็นภาพงามน่ารักภาพหนึ่ง ในหลายๆภาพยามเช้าตามความรู้สึกของธรรม์

เริ่มจากภาพอัสดงแหวกพระเกศาจับเจ้านาคน้อยนั่งตัก ใช้ลมปากเป่าไล่ความเจ็บบนพระเศียรให้สุดที่รัก ที่ยังทรงครางอู้ด้วยความเจ็บจากการโดนฟาดกลางพระเศียรหรือกบาล อีกทั้งทรงกลดกับนลกุพรก็นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง ช่วยกันคิดชื่อให้กับลูกชายทั้งสอง ทางด้านเอราวัตกับคืนฉายแม้จะกระเง้ากระงอด หากบทออดบทอ้อนของเจ้าพระศุกร์ ก็ทำให้หัวใจเหงาๆของเขาเริ่มสั่น ส่วนคันฉัตรกับตระการตาก็แยกไปนั่งคุยลำพังสองต่อสองป้อนอาหารกระต่ายป่าอยู่ตรงริมระเบียง  หากนั่นไม่สำคัญเท่าภาพของน้ำเชี่ยวกับราหูที่กำลังฟัดกับลูกเสือทั้งสองกลางสนาม

ภาพน้ำเชี่ยวกำลังหัวเราะอย่างสดใส แลราหูก็ร่าเริงวิ่งไล่
ภาพนี้นั้น “น่าเอ็นดู” ทว่าทำให้ธรรม์ ต้องเบือนสายตาหนี...และรู้ดีว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร

“อย่าบอกเลย บอกไปจะเสียเพื่อนตอนนี้เปล่าๆ หากมีชีวิตรอด ไว้ค่อยบอกตอนสิ้นศึก หรือไม่ก็บอกก่อนตาย เพราะถ้ามันไม่ใช่ จะได้ไม่ต้องทรมานจากความเฉยชา”

ธรรม์ปลีกตัวเดินออกไปเงียบๆ คิดเองเออเอง ตามประสา โดยที่ไม่มีใครสนใจ เพราะต่างฝ่ายต่างก็อยู่กับคู่ของตัวเอง ตั้งใจกลับไปนั่งสมาธิลำพังตามวิสัยสันโดษ ‘เทพฤาษี ครุแห่งเทวะ’ ตามต้นกำเนิด ผู้ไม่ชำนาญในด้านความรัก แต่เขาไม่รู้หรอก ว่าตอนนี้มีสายตาบางคู่หยุดยืนมองอยู่กลางสนาม ผละความสนใจกับลูกเสือ ก้าวเท้าจะเดินตามมา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก

“เฮ้ย ไอ้น้ำเชี่ยวจะไปไหน...เล่นกันต่อเหอะ ไอ้สองตัวนี่กำลังน่ารักเลย”

น้ำเชี่ยวควรจะปฏิเสธราหูและเดินตามไป หากก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น วิสัยของต้นกำเนิด ‘เทวะแห่งสงคราม’ นั้นเป็นนักรบเต็มพระองค์ ชอบที่จะพูดอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่ต้องงอนต้องง้อ รักก็บอกว่ารัก ชอบก็บอกว่าชอบ การกระทำหลายๆอย่างของธรรม์มันจึงสร้างความอึดอัดใจแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

“นายคิดอะไรกับฉันกันแน่วะไว้ธรรม์ มีอะไรก็บอกฉันมาสิวะ อมพะนำอยู่ได้”

“นายว่าอะไรนะไอ้น้ำเชี่ยว” ราหูได้ยินน้ำเชี่ยวพึมพำ ฟังไม่ชัดจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ปะ เปล่าไม่มีอะไรหรอก...เล่นกับลูกไอ้กลดต่อเหอะ”

น้ำเชี่ยวตัดบทราหูไปเช่นนั้น...พยายามจะมิสนใจสหายที่เดินลับตาไปคนเดียวโดดๆ เขามิรู้หรอกว่า ยิ่งพยายามจะไม่สนใจเท่าไร ยิ่งทำให้หัวใจนักรบ แอบเผลอลอยตามไป อย่างฉุดรั้งไว้ไม่อยู่อีกแล้ว

ในที่สุดวันสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง คืนวันพระจันทร์เพ็ญ วันเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการ... ลานฝึกถูกใช้ตั้งเป็นปรัมพิธีตกแต่งตั้งแต่เช้า จวบจนพลบค่ำ ด้วยฝีมือนางไม้ทั้งป่า  คบเพลิงเริ่มจุดสว่างไสวไปทั่ว กลิ่นกำยานหอมฟุ้งโชยกำจายตรลบอบอวล

เหล่าอณูน้อยอาบน้ำและชำระร่างกายให้สะอาดเป็นพิเศษด้วยน้ำจากสระอโนดาตที่เหล่ามหาดเล็กของทยุติธรอาสาไปนำมาให้ พระธิดามุจลินทร์เสด็จขึ้นมาอีกครั้งพร้อมบรรดานางข้าหลวงช่วยปรุงทิพยสุคนธ์ในน้ำสำหรับสรงสนาน เป็นกลิ่นหอมที่หอมเสียยิ่งกว่าหอม ความพิถีพิถันและประณีตจำต้องมีให้ครบถ้วน เพราะการเข้าเฝ้าครั้งนี้มิได้เข้าเฝ้าเทพชั้นผู้ใหญ่ธรรมดา หากแต่เป็น มหาเทวะแลมหาเทวีผู้กุมอำนาจสูงสุด

เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวา ต่างก็ช่วยกั้นม่านอาคมตั้งมณฑลพิธี มิให้ใครมารบกวน เจ้ารัก เจ้ายม เกณฑ์บรรดาผีป่า เป็นหน่วยลาดตระเวนคอยตรวจดูสิ่งผิดปกติหรือพวกมารที่ไม่ได้รับเชิญเป็นรัศมีโดยรอบทั้งแปดทิศ กองราชองครักษ์ทัพยักษ์ในนลกุพรยืนตระหง่านเป็นวงล้อมกำแพงด้านนอก  นาคบริวาร ทหารมหาดเล็กแลทหารรักษาพระองค์ในทยุติธรเลื้อยพันเกี่ยวกระหวัดเป็นปราการทะมึนด้านใน ส่วนบนห้วงนภากาศคือครุฑบริวาร ทหารคนสนิทในวายุภัคที่คอยโฉบ ฉวัดเฉวียนมิให้ภัยใดๆมาบีฑาแลทำลายพิธีศักดิ์สิทธิ์

เทวะ...เทวนาคา เทวปักษี และเทวอสุรา ต่างเข้าใจในหน้าที่ อีกทั้งพร้อมใจกันร่วมมือ
แม้เรื่องส่วนพระองค์ของเจ้าผู้นำ ยังคงมีความบาดหมาง หากเทวะจำต้องดำรงไว้ด้วยหน้าที่

หน้าที่....ที่ต้องร่วมกันปกป้องโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นภพกลางที่สำคัญที่สุด

สีทันดรและมุจลินทร์ ช่วยกันร่ายมันตรากางกั้นม่านอาคมสูงสุดอีกชั้น แลช่วยกันเนรมิต แท่นดอกบัวบานเป็นอาสนะสำหรับเหล่าอณูน้อย ตระการตาที่ยืนทอดทัศนาภาพทั้งหมดถึงกับขนลุกซู่ โชคดีที่จิตมีสมาธิเริ่มเข้าขั้น จึงไม่หวาดหวั่นมากเท่าเฉกเคย ยามเห็น ผี..เทวดา นาคา ครุฑ ท้ายสุดก็คือยักษ์

“พิธีใหญ่เลยเหรอน้องสีทันดร”

“ใช่...เข้าเฝ้ามหาเทพนี่นะ ก็ต้องใหญ่แบบนี้แหละ ปรัมพิธีนับว่าสำคัญ ต้องใช้ป้องกันมิให้พวกมารมันฉวยโอกาสเข้ามาทำลายกายหยาบ ในระหว่างกายทิพย์ขึ้นเฝ้ายังเทวสภา” สีทันดรทรงร่ายพระเวทเสร็จพอดี ผินพระพักตร์มากล่าวตอบด้วยสุรเสียงอ่อนโยน แสดงว่าวันนี้พระอารมณ์แจ่มใสเป็นพิเศษ

“พิธีใหญ่แบบนี้ พี่ชักกังวลแล้วสิ กลัวจะทำเสียเรื่อง หลวงตาก็ไม่มา จะถอดกายทิพย์ได้กับเขาไหมนี่ แล้วทำไมฉัตรยังไม่ออกมาอีก ” ตระการตาเริ่มรู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็น สีทันดรเข้าพระทัยในความรู้สึก จึงตรัสปลอบด้วยมธุรสวาจาน่าฟังประทานกำลังใจว่า

“ไม่ต้องกลัว....ถึงหลวงตาไม่มา เจ้าก็ทำได้น่า มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ที่เราว่าไปวันนั้น อย่าไปคิดอะไรมากเลย”

“แต่พี่กลัวทำไม่ได้จริงๆนะ ตอนนี้อยากเจอฉัตร อยากคุยกับฉัตรก่อนขึ้นเฝ้า ไม่เห็นหน้าตั้งแต่บ่าย”
 
“เดี๋ยวก็ได้เจอ เราว่า พี่เตรียมเข้าฌานบนแท่นหินนั่นได้แล้ว...เพราะพี่อาจต้องใช้เวลาถอดกายทิพย์นานกว่าคนอื่น หลงตาท่านแอบใช้ฤทธิ์ช่วยพี่ คราวที่แล้วพี่จึงกระทำได้โดยง่าย” เจ้านาคน้อยเว้นวรรคตรัสชั่วครู่แล้วทรงกล่าวต่อว่า

“แต่ไม่ต้องกลัว หลวงตาท่านคงไม่ทิ้งหรอก..... เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลยทำตามที่เราบอกเถอะ”

“ครับ...น้องสีทันดร”

ตระการตาคลายความกังวลลงไปบ้างรับคำอย่างว่าง่าย ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิเข้าฌานตามรับสั่งทันใด ปฏิบัติและกำหนดลมหายใจตามที่มหาฤาษีสอน สีทันดรทรงเข้าพระทัยดี แต่ก็ไม่วายแอบระบายลมหายพระทัย เพราะทรงตรัสปลอบไปอย่างนั้น ว่าหลวงตาไม่ทิ้ง หากความจริงมหาฤาษีอาจจะไม่มาก็ได้ ทีนี้พิธีคงเสีย  แต่แล้วจู่ๆพระโอษฐ์แดงสด ก็แย้มระเรื่อขึ้น

“ดู๊ ดูเอาเถิด...มุจลินทร์ ดูมหาฤาษีใจดำ มาถึงตั้งนานก็ยังไม่ยอมปรากฏตัวคอยดูแลลูกศิษย์”

คราวนี้สีทันดรหันไปตรัสกับมุจลินทร์ลอยๆ จนมุจลินทร์สรวลคิก แล้วทั้งสองก็คุกพระชงฆ์ลงก้มกราบไปข้างๆแท่นหินด้วยกันทั้งคู่

“เอ็งนี่มันปากเสียนะไอ้สีทันดร เดี๋ยวก็โดนข้าฟาดกบาลอีกรอบหรอก ข้าเพิ่งจะมาถึงต่างหาก ไม่ใช่มาตั้งนาน” เสียงเอ็ดแหวๆดังขึ้นพร้อมร่างของมหาฤาษีที่ปรากฏขึ้นข้างหน้า คราวนี้หลวงตามาในมาดใหม่ นุ่งห่มผ้าคากรองขาวพิศุทธิ์ระยิบระยับ

“หลานล้อเล่น...นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

“ข้าต้องมาสิ ...พระคุณเจ้า พระอาจารย์ของไอ้อัสดงท่านไม่ว่าง ก็ต้องเดือดร้อนข้านำพาพวกเอ็งขึ้นเฝ้า”

“ทำไมท่านถึงไม่ว่าง”

“ไม่ใช่เรื่องของข้าที่ข้าจะต้องพูด เอ็งมีอะไรก็ไปทำกันเถอะ อ้อ...เรียกไอ้ทยุติธรกับไอ้วายุภัคมาหาข้าด้วย” หลวงตาตัดบทโบกไม้โบกมือไล่ ก่อนทั้งสองจะไป น้ำเสียงของหลวงตา ก็แปรเปลี่ยนเป็นสดใส บอกกับมุจลินทร์โดยเฉพาะว่า

“นังหนู เอ็งจะเป็นพระสมุทรเทวี องค์ต่อไปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เอ็งตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เษกกับไอ้เจ้าทยุติธร เอ็งจะมีลูกชายคนแรกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ประหนึ่งพญาอนันตนาคราช ปู่ของพวกเอ็ง”

“สาธุ เจ้าค่ะหลวงตา” มุจลินทร์ตื้นตันพระทัยก้มลงกราบกับพื้นอีกครั้งก่อนจะคลานเข่ารับอาสาไปตามทยุติธรมาหาหลวงตา นั่นก็หมายความว่าสีทันดรต้องเสด็จไปหาวายุภัค อีกฟากของปรัมพิธี

“ไม่อยากจะเสวนาด้วยเลย”

“ไอ้ฉิบหาย ข้าใช้แค่นี้ทำบ่น” เสียงหลวงตาด่าแว่วๆ ลอยมาตามลม และมีหรือที่สีทันดรจะไม่สวนกลับ

“บ่นสิ...หลวงตาเรียกเขามาทางจิตก็สิ้นเรื่อง”

“ข้าขี้เกียจ”

“หลานก็ขี้เกียจ แถมยังเกลียดเขา”

สิ้นคำว่าเกลียดสีทันดรก็เสด็จมาถึงกลุ่มเทวปักษี ที่ยืนรอเข้าร่วมพิธี ครุฑพวกนั้น พอเห็นว่าใครเสด็จมาก็รีบแตกหนีออกเป็นช่อง เพราะทราบถึงกิตติศัพท์และความร้ายกาจ อีกทั้งรู้ดีว่าไม่ใช่คู่ต่อกร แถมเจ้านายยังทรงต้องพระทัย

“นายพวกเจ้าอยู่ไหม”

“คิดถึงพี่หรือจ๊ะ ถึงได้มาหา มาให้พี่หอมอีกสักฟอดเถอะ สุริยาทิตย์ไม่รู้หรอก” วายุภัคยันพระองค์ลุกขึ้นมาด้วยพระพักตร์ชื่นบาน สุรเสียงใสดังกังวานตรัสหยอกล้อโดยไม่มีทีท่าว่าจะทรงเขินอาย แถมยังเสด็จเข้ามาใกล้

“ต่ำช้าไม่เลิก...หลวงตาให้มาตาม นั่งรออยู่ตรงกลางปรัมพิธี” สีทันดรตรัสจบก็สะบัดพระพักตร์พรึ่ดเสด็จออกมา ทว่าวายุภัครีบเข้ามาสกัดหน้า หมายพระทัยจะคว้าข้อพระกรไว้ หากแต่ทรงกระทำไม่ได้ เพราะจักรเพลิง บังเกิดขึ้นรอบพระวรกายเจ้านาคาน้อย ลุกโชนเป็นประกายไฟเจิดจ้า ร้อนแรงฤทธี

จักรเพลิง...ที่เทวะชั้นผู้น้อยดูก็รู้ว่าเป็นของใคร
จักรเพลิง...ที่เสกครอบพระวรกายงามยิ่งกว่ารูปสลักนี้ไว้  แสดงว่าเจ้าของหวงนักหวงหนา

อัสดงทำถึงขนาดนี้ วายุภัคจะทรงหาญกล้า ท้าทายอีกฤา

“ไอ้สุริยาทิตย์...ฝากไว้ก่อน รอให้สิ้นศึกก่อนเถอะ”

วายุภัคเสด็จปึงปังจากไป สีทันดรเองก็สาแก่พระทัยยิ่งนัก ครุฑบริวารเทวปักษีรายรอบตัวสั่นกันเป็นแถว ยามเห็นฤทธี ครั้นพอผินพระพักตร์ แสงสีเขียววาบก็ปรากฏขึ้นตรงพื้นดินหน้าพระพักตร์ เมื่อสลายก็กลายเป็นร่างของกองราชองครักษ์ในพระองค์กำลังหมอบราบกราบลงแทบบาท พระสุรเสียงใสจึงกังวานก้องด้วยความดีพระทัยอย่างที่สุด

“นาเคนทร์...เจ้าพ้นคำสาปของทูลหม่อมปู่วาสุกีแล้ว เราดีใจที่สุด”

“พะยะค่ะ ทูลกระหม่อม...เกล้ากระหม่อมพ้นคำสาป เพราะพระมหาวิษณุทรงบรรทมตื่นแล้ว” ราชองครักษ์นาเคนทร์กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าดีใจเช่นกันที่พ้นคำสาปและได้กลับมาถวายงานรับใช้เบื้องยุคลบาท

“วันนั้นกระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยโทษด้วย ที่ชิงพระองค์คืนบาดาลไม่ได้ แต่นับจากนี้ไป ทั้งกระหม่อมและทหารราชองครักษ์ขอถวายชีพ เพื่อทูลหม่อมเล็กพระองค์เดียว”

“ขอบใจมากนาเคนทร์ เราซึ้งในน้ำใจเจ้านัก เราต่างหากที่ควรขอโทษพวกเจ้า ทำให้ต้องถูกทูลหม่อมปู่สาปเป็นงูดิน เราซนเองที่ไปบุกบ้านของพี่กลด แต่ถ้าเราไม่บุก เราคงไม่ได้เจออัสสะ....แต่อย่าไปพูดถึงอีกเลย ดีกว่า” เจ้านาคน้อยทรงหยุดตรัส อมรอยแย้มสรวลไว้ พระพักตร์ลออเริ่มแดงซ่าน เพราะวันที่ตัดสินพระทัยแอบเข้าบ้านทรงกลดไม่ใช่หรอกหรือ ที่ทำให้พบกับรอยจุมพิต รอยแรกในพระชนม์ชีพ  จูบที่แม้จะเกิดขึ้นมานานแสนนาน หากยังหนาวสั่นสะท้านมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะนึกถึงมาอีกกี่ครั้งกี่หน

“เอาล่ะ นาเคนทร์ พวกเจ้ามาก็ดี ในระหว่างที่พวกเราขึ้นเฝ้า เราจะให้เจ้าเฝ้ากายหยาบของอณูน้อยทั้งหมดไว้ให้ดี อย่าให้มีภัยใดมากล้ำกราย  เราสร้างเขตอาคมปริมณฑลไว้ชั้นหนึ่งแล้ว พวกเจ้าจงเฝ้าไว้อีกชั้น โดยเฉพาะ กายของอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วน ไม่งั้นเราเอาเรื่องพวกเจ้าแน่” สีทันดรทรงรับสั่งชัดถ้อยชัดคำ และหมายความตามนั้นทุกประการ แม้จะทรงรู้สึกเขินที่แอบลำเอียง ทว่ายังแสร้งฝืนพระพักตร์เป็นปกติได้

“อ้าวไหนทูลหม่อมเคยรับสั่งว่า เกลียดเขา ไฉนยามนี้ถึงให้พวกเกล้ากระหม่อมเฝ้า”

“เออน่า...อย่าถามให้มากความเลย ไปทำตามเราสั่งได้แล้ว” สีทันดรทรงตัดบท ทำพระพักตร์ไม่ถูกเพราะไม่รู้จะอธิบายต่อราชองครักษ์อย่างไร

“พระเจ้าข้า”

เมื่อได้ฤกษ์เวลาอันเหมาะสม จันทรเทพทรงรถม้าสีเศวตประทับลอยกลางฟ้า อณูน้อยก็มาพร้อมกันยังลานฝึกหรือบัดนี้เป็นมณฑลพิธี และเปลี่ยนมานุ่งภูษาสีเศวต ตามแบบฉบับเทวะ ที่มุจลินทร์นำขึ้นมาจากบาดาล เข้านั่งประจำอาสน์ดอกบัวที่สีทันดรกับมุจลินทร์เนรมิตขึ้น ครั้นทุกคนพร้อม หลวงตาก็เหยียบอากาศเหิรลอยขึ้นมาตรงใจกลางวง เหนือหัวมนุษย์น้อยตระการตา พร้อมกับทยุติธรที่เสด็จมาประทับเบื้องขวา วายุภัคประทับยังเบื้องซ้าย ส่วนนลกุพร สีทันดร และมุจลินทร์ ประทับนั่งลดหลั่นกันเบื้องปฤษฎางค์ทยุติธร ร่วมกันร่ายพระเวทเปิดฟ้า บูชามหาเทพแลมหาเทวี 

มหาฤาษีกล่าวมันตรา ‘โอม’ ดังก้องสะท้านไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล ทุกพระองค์และทุกคนน้อมจิตนำรวมสู่กระแสมันตรานั้น แล้วอัฐรังสีก็พลันบังเกิด ตรงกลางหน้าผากของอณูน้อยทุกคน กลายเป็นรัศมีประจำตัวพวยพุ่งออกมารวดเร็ว กายทิพย์ของเหล่าอณูน้อย ถอดออกจากกายหยาบเรียบร้อย ดอกบัวที่บานอยู่หุบกลีบตูมแน่นป้องกันร่างกายไร้จิตไว้ทันใด

อณูแห่งเทวะ บัดนี้ งามพร้อมเฉกเทวะต้นกำเนิด รัศมีประจำตัวสุกใสเลื่อมพราย เหิรลอยอยู่กลางฟ้า รอมนุษย์นามตระการตา ถอดจิตตามออกมาเดินทางพร้อมกัน และทุกคนก็ไม่ผิดหวัง คาดว่ามหาฤาษีคงจะใช้ฤทธีแอบช่วย เพราะเพียงครู่ กายทิพย์ของตระการตาก็ลอยละลิ่วออกมา แลรัศมีสีม่วงจากฟากฟ้า ก็เหิรลอยลงมารับ

“เก่งมากตระการตา”

“ฉะ ฉัตร เหรอนี่....ฉัตรจริงๆใช่ไหม ทะ ทำไม หล่ออย่างนี้” ตระการตากล่าวขึ้นเพราะคันฉัตรจากเดิมที่ว่าหล่ออยู่แล้วยามนี้ ยิ่งหล่อขึ้นกว่าเดิม

“กายทิพย์จะงามกว่ากายหยาบเสมอจำไว้ ...ยิ่งกายทิพย์ของอณูแห่งเทวะอย่างเรา จะงามเกือบเสมอเทวะต้นกำเนิดเลยทีเดียว เดี๋ยวตาก็จะได้เห็นท่าน....อย่าลืมระวังจิตไว้ให้ดี”

คำว่า ‘อย่างเรา’ ของคันฉัตร คงมิได้หมายถึง เขาคนเดียวอีกแล้ว
หากแต่ คือพวกเขาทั้งหมด ...ที่งามพร้อมตามแบบฉบับเทวะต้นกำเนิด

งามนั้นมิใช่งามธรรมดา....ทว่างามจับตาราวหล่อมาจากพิมพ์เดียวกัน

คันฉัตรไม่พูดอะไรต่อ พาตระการตาเข้ามาฝากมหาฤาษีให้ช่วยควบคุมจิตให้ แล้วลอยกลับไปรวมกลุ่ม ส่วนอัสดงเจ้าหัวหน้า ก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เจ้านาคายอดดวงใจ เหิรลงมาจูงข้อพระกรสีทันดรขึ้นมาประทับยืนเคียงคู่

“วันนี้นั่งเฝ้าข้างๆอัสสะนะ ผู้ใหญ่หลายๆพระองค์จะได้รู้เสียที  ว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์รูปหล่อคนนี้ มีใครเป็นยอดดวงใจ”

“ไม่เอา เราเขิน ไม่จำเป็นต้องนั่งใกล้ เพียงแค่ท่านจับวาระจิตของเจ้า ท่านก็รู้แล้ว” พระสุรเสียงใส ตรัสตอบเพียงเฉพาะได้ยินกันสองต่อสอง

“เขินทำไม เป็นแฟนพระอาทิตย์ไม่ดีตรงไหน หรืออยากจะไปนั่งข้างไอ้วายุภัค” อัสดงกระเซ้า ใช้นิ้วจี้บั้นพระองค์

“เหอะ พูดเล่นไป ....ถ้าไปนั่งจริงๆ จะน้ำตาตก” สีทันดรด้วยความหมั่นไส้สุดประมาณจึงหยิกแก้มเจ้าอัสสะตัวดี โดยมิสนพระทัยว่าจะมีหลายๆสายตามอง “เรามีที่นั่งบนเทวะสภาแล้ว”

“ที่ไหน....ไอ้ดื้อ”

“เดี๋ยวอัสสะก็รู้”

สิ้นพระสุรเสียง อัสดงกับสีทันดรก็สลายกลายเป็นรัศมีสุกจ้ายิ่งกว่าคราใดๆ รอให้ มหาฤาษี เหิรทะยานนำหน้า และในพริบตานั้น ทุกพระองค์ ทุกคน ก็โผนทะยานตามหลังมาทันที พวยพุ่งขึ้นฟ้ามุ่งหน้ายังมหาเทวสภา ณ ดาวดึงส์

แสงโชตินาการเจิดจ้าหลากสีเหล่านั้น เดินทางรวดเร็วในความเวิ้งว้างของห้วงนภากาศ  เพียงสักครู่ทั้งหมดก็รู้สึกถึงกระแสอวล บรรยากาศโดยรอบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นละเอียดขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งการก้าวเข้าสู่ทิพยภพ

ทิพยภพหรือสวรรค์...มนุษย์มักคิดว่าอยู่บนฟ้าสูงๆ หากแท้จริง ควรพูดให้ถูกว่า เป็นภพชั้นสูง มิสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และเข้าไปได้ด้วยกายเนื้อ

ที่สำคัญสงวนไว้...เฉพาะผู้มีบุญเท่านั้น
ภพภูมิยิ่งสูง ...บุญยิ่งต้องมีมาก

ตระการตาเริ่มเข้าใจ ความจริงก็ต่อเมื่อเดินทาง ภพที่เหลื่อมซ้อนและรอยต่อระหว่างภพเป็นอย่างนี้นี่เอง

“เข้าเขตตาวติงสาภูมิแล้ว”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-04-2020 09:52:27
เสียงของมหาฤาษีดังขึ้นทางจิตให้ทุกพระองค์และทุกคนทราบ ว่าถึง ‘ตาวติงสา’ หรือ ‘ดาวดึงส์’ และทั้งหมดก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร ระดับความสูงที่ใช้เหิรลอย จึงลดระดับลงละเลียดพื้นเสมอตฤณชาติ การลดระดับนี้ เทวทุกพระองค์ย่อมรู้ดี ว่ามิใช่ถวายความเคารพแด่ท้าวสักกะเทวราชพระผู้ทรงเป็นองค์ประธาน หากแต่ถวายแด่ ‘พระเกศจุฬามณีเจดีย์’ อันเป็นที่ประดิษฐาน พระเกศโมลีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาหลังจากถวายพระเพลิงพระพุทธสรีรังคาร

ด้วยเหตุนี้ เทวะทุกพระองค์ จึงถวายความเคารพสูงสุด มิก้าวล่วงลอยข้ามแต่อย่างใด

ความละเอียดของตาวติงสา นั้นงามเกินบรรยาย ในสายตาของเหล่าอณูน้อยนั้นย่อมคุ้นเคยในความงาม หากตระการตาเพิ่งเห็นครั้งแรก แลอาจจะเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ได้ขึ้นมาเห็น บทกลอนชมความงามของดาวดึงส์ที่เคยเรียน มิสามารถเทียบได้กับความงามที่ปรากฏแก่สายตาเขาเลยสักนิด

ชั่วระยะเวลาไม่นาน จากที่ลอยละเลียดเสมอยอดไม้ ทั้งหมด ก็ลอยขึ้นมายืนหยัดมั่นคงบนขั้นบันใดกว้างใหญ่ เหนือศีรษะขึ้นไป คือความเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา คงไว้แต่ดาราประดับประดา นับร้อยนับพัน เสาหินอ่อนต้นใหญ่ๆรายเรียงหลายพันหลายหมื่นต้นตลอดด้านข้าง เหนือยกพื้นขึ้นไปคือบังลังอาสน์ที่ว่างเปล่ารายเรียง ตรงใจกลางคือลานเฝ้า ประหนึ่งท้องพระโรง บนแท่นเบื้องหน้ากว้างใหญ่ทอดยาวไกลออกไป คือบัลลังก์ที่ประทับ

“สุธรรมาเทวสภา”  เสียงมหาฤาษีบอกกล่าว  พร้อมๆกับที่ทรุดกายลงนั่ง ฉับพลันอาสนะหนานุ่มก็บังเกิดรองรับ

“ เดิมเคยใช้เป็นศาลาฟังธรรมของเหล่าเทวะ บางทีท่านท้าวสักกะท่านก็ทรงเทศน์เสียเอง แต่วันนี้พิเศษใช้เป็นที่เข้าเฝ้า เพราะพวกเจ้า สภาวะทิพย์ยังไม่ละเอียดพอที่จะขึ้นเฝ้าพระมหาศิวะยังไกรลาสหรือพระมหาวิษณุกลางเกษียรสมุทร จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ที่นี่แทน แลทั้งสี่พระองค์จะทรงลดสภาวะทิพย์เสด็จลงมา นี่ก็จวนเวลาเสด็จแล้ว เตรียมพร้อมกันเถอะ”

“ครับ หลวงตา”

อณูน้อยทุกคนรับคำ หย่อนกายลงนั่งรอเฝ้า และก็เป็นเฉกมหาฤาษี ที่มีอาสน์มารองรับ ยกเว้นตระการตาที่ไม่มีมารอง เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา และเข้าใจตนเองดีว่า ศักดิ์และบารมียังไม่เทียมเท่า หะแรกคันฉัตรจะดึงขึ้นมานั่งด้วย ทว่ามหาฤาษีปรามไว้ด้วยสายตา

ตระการตาเข้าใจแล้วถึงคำว่า ‘ศักติ’ และมิได้น้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด
แค่มีโอกาสได้ขึ้นมายังเทวสภา...เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว

ยิ่งใกล้เวลาเสด็จเท่าไร รัศมีแปลกๆหลากหลายก็ปรากฏเต็มขึ้นทั้งศาลา กระจายกันหยุดนิ่งเหนืออาสน์ที่รายเรียงโดยรอบว่างเปล่า อณูน้อยยกมือขึ้นพนมกลางอกถวายบังคมด้วยความเคารพทันใด เมื่อ ท้าวสักกะเทวราช ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ เสด็จมาถึง นอกจากนี้ยังมี พระสมุทรรักษ์ พระบิดาในทยุติธร สีทันดรและมุจลินทร์ อีกทั้งพระสัมปาตีผู้เป็นพระปิตุลาแลพระสดายุผู้เป็นพระบิดาของเทวปักษีเกเรวายุภัค และที่ขาดมิได้คือ ต้นกำเนิดของเหล่าอณูน้อยที่ก็เสด็จมาถึงครบทุกพระองค์   

นลกุพรรีบคลานเข่าหมอบราบกราบท้าวเวสสุวัณ พระบิดา แลขึ้นประทับยังอาสน์ที่ลดหลั่นต่ำลงมาเบื้องข้าง เช่นเดียวกับทยุติธร มุจลินทร์ และวายุภัค   ต่างฝ่ายต่างเลื่อนพระองค์ขึ้นไปประทับเคียงคู่ ข้างอาสน์ของพระราชบิดาทั้งสิ้น เว้นแต่สีทันดรที่ยังทรงประทับยืน ดูนั่นดูนี่หลังจากถวายความเคารพเสร็จ

เทพชั้นผู้ใหญ่รีบลงจากอาสน์ กราบลงกับพื้นต่อหน้ามหาฤาษีด้วยความเคารพยิ่ง เพราะมหาฤาษีขี้โมโห เป็นพระอาจารย์ของหลายๆพระองค์ และเป็นมหาฤาษีระดับตำนาน ของแท้แน่จริง และมหาฤาษีก็ได้ที ‘ฟ้อง’ บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ที่ประทับรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าว่า

“พวกเอ็งมาก็ดีแล้ว .... มีไอ้เด็กปากเสียบางตัว มันด่าข้าว่า สอนลูกศิษย์ไม่ได้เรื่อง สอนกี่คนกี่คน ไม่เกเรก็เป็นอันธพาล พวกเอ็งเป็นอย่างนั้น อย่างที่มันว่าหรือเปล่าวะ”

“เปล่านี่ขอรับ หลวงตา” ท้าวสักกะตรัสตอบขึ้น เทพชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างมองพระพักตร์กันอย่างฉงน จนท้ายสุดพระสมุทรรักษ์ก็ทูลถาม

“เด็กคนนี้มันกล้าว่าหลวงตา อาจารย์ของพวกเรา มันเป็นใครฤาหลวงตา คาดว่าพ่อแม่มันคงไม่อบรมสั่งสอน”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ พ่อมันคงไม่สั่งไม่สอน” หลงตาค้อนพระสมุทรรักษ์ให้ขวับ เน้นคำว่าพ่อเป็นพิเศษ หากพระสมุทรรักษ์ก็ยังมิทรงรู้พระองค์ว่าไอ้เด็กคนนั้นคือโอรสาที่กำลังประทับยืนทำพระพักตร์ไม่ถูก

“หากเป็นลูกเป็นหลาน จะเฆี่ยนให้หลังลาย ฟาดให้ตายกับเขาพระสุเมรุ”

“แสบนักนะ หลงตาเอาคืนกันแบบนี้เลยเหรอ” สีทันดรทรงขมุบขมิบพระโอษฐ์ ท่ามกลางหลายๆพระสุรเสียงของเทวะชั้นผู้ใหญ่ที่เริ่มเซ็งแซ่

“ไอ้เด็กฉิบหายนั่นมันเป็นใคร กล้าว่าพวกเราเป็นอันธพาล”

อัสดงและเหล่าอณูน้อย อีกทั้งทยุติธร นลกุพรและวายุภัค แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เพราะมหาฤาษี เล่นเอาคืนแบบไม่ให้สีทันดรตั้งพระองค์  แต่ก่อนที่ ‘บรรดาลูกศิษย์’ จะรู้ว่า ‘เด็กปากเสียพ่อแม่ไม่สั่งสอน’ เป็นใครนั้น เสียงมโหรีทิพย์ดุริยางค์ประโคมแตรสังข์เสนาะก็ดังขึ้น ทั่วทั้งสุธรรมเทวสภา พร้อมรัศมีเจิดจ้าพรรณราย หาใดเทียม โดยมิต้องบอก เทวทุกพระองค์หมอบราบกราบลงกับพื้น เสียงมันตราโอม ประสานกันกระหึ่มขึ้นโดยมิได้นัดหมาย สุรเสียงแซ่ซ้อง ประกาศก้องกังวาน

“มหาเทวะ แลมหาเทวี เสด็จแล้ว”

รัศมีสว่างเจิดจ้า แตกแยกออกเป็นสี่รัศมี เข้าประทับเหนือพระแท่นสูง มิช้านนาน เงาเลือนรางของมหาบุรุษงามสง่าแลศุภนารีเลิศสิริลักษณ์ ก็แจ่มชัดเรืองรองกลางรัศมีนั้น

พระผู้ทรงจันทรเศขรแลพระผู้ทรงจักรประทับเคียงคู่กัน
มหาเทวีทั้งสองประทับขนาบข้างพระราชสวามี

เบื้องพระปฤษฎางค์เงาของผู้ติดตามชัดขึ้น พญาวาสุกีผู้ดำรงองค์เป็นสังวาลย์และพระนนทิราชพาหนะในพระมหาศิวะ อีกทั้ง พญาอนันตนาคราชราชบัลลังก์และพญาเวนไตยราชพาหนะในพระมหาวิษณุประทับนั่งเหนืออาสน์ หากหน้าพระแท่นเบื้องพระพักตร์พระมหาลักษมีเทวี สงวนไว้ที่หนึ่ง สำหรับตัวโปรด และตัวโปรดก็คลานเข่าเสด็จขึ้นไปหมอบเฝ้าตรงที่นั้น

“นี่ไงล่ะอัสสะ ที่นั่งของเรา” กระแสจิตพุ่งปราดส่งมาถึงอัสดง ซึ่งคนรับก็ไม่รอช้าที่จะสวนกลับไป จนคนส่งมาก่อนอายม้วน

“ที่นั่งของเจ้า ต้องอยู่บนตักเราเท่านั้น ถึงจะถูกต้อง”

“อัสสะ บ้า”

ด้วยสิริล้ำเลิศ ประหนึ่งถอดแบบมาจากพระมหาเทวี หลายๆสายตาจึงมองด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะอัสดง แลดวงเนตรแห่งวายุภัค

“วายุภัค อย่าให้มันออกนอกหน้านัก” พระสดายุทรงปรามพระโอรสทันควัน ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็น

“ก็แค่มอง....น้องสีทันดร ไม่ได้บุบสลายสักหน่อย พะยะค่ะ” วายุภัคทรงเถียง พระอุปนิสัยดื้อรั้น มิเว้นแต่กับพระบิดา จนพระสัมปาตีผู้มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาต้องชายเนตรหันมาปรามแทนเสีย นั่นแหละวายุภัคจึงได้เก็บพระอาการ

ทางด้านพระสุริยาทิตย์ต้นกำเนิดแห่งอัสดงก็ทรงกระซิบกระซาบ บอกกับพระจันทรเทพว่า “เอาน่าจันทรเทพ ยังไงอณูของท่านก็สมหวัง แม้จะไม่ใช่กับเจ้านาคน้อย”

“เรารู้แล้วน่าสุริยาทิตย์ ท่านไม่ต้องตอกย้ำ!!!”

“นมัสการพระคุณเจ้า” มหาศิวะทรงแย้มสรวลตรัสขึ้น ทรงพนมหัตถ์เหนือพระอุระเป็นการถวายนมัสการเท่านั้น แล้วเบือนพระเนตรมองถ้วนทั่ว สงบเสียงทุกเสียงได้อย่างราบคาบ  “และขอบใจที่มากันครบ”

“ถวายพระพร พระมหาบพิธเจ้า และพระมหาเทวี”

“เราคงจะใช้เวลาคุยกันไม่นาน เพราะเวลาบนสวรรค์กับโลกมนุษย์ต่างกัน กายหยาบของพวกอณูน้อยจะทนไม่ไหว และเหตุที่เราให้พวกเจ้าขึ้นมาก็เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน อีกทั้งบัญชาของเรา เมื่อต้องการให้ผู้ใดทำอะไร ผู้นั้นต้องรับคำสั่งจากเราเท่านั้น” พระมหาวิษณุทรงตรัสขึ้นบ้าง ตวัดพระเนตรมองปราดมายังกลุ่มอณูน้อยเช่นกัน

“เจ้าคงสงสัยว่า ทำไม มารและอสูรจึงกลับมาอีกใช่ไหม แล้วทำไมต้องเป็นพวกเจ้า”

“พะยะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเป็นพวกกระหม่อม เคยทูลถามพระสุริยาทิตย์กับหลวงตาที่วัดป่าท่านก็ไม่ได้บอก”

“เราสั่งไว้เองแหละ อัสดง” มหาอุมาเทวีประทานคำตอบแทน “ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลา ตบะและเดชะพวกเจ้ายังไม่พร้อมจะรับเรื่อง บัดนี้สมควรแก่เวลาแล้ว”

“เนื่องจากเรา...เคยอวตารลงไปปราบพวกมารหลายหน ช่วยโลกมนุษย์ให้พ้นภัยหลายครา อย่างที่พวกเจ้ารู้ แม้ร่างของมารพวกนั้นจะสูญสลายหากดวงจิตของพวกมันยังดำรงอยู่และหนีออกจากที่คุมขัง โดยการนำของดวงจิตพญาพลี อสูรที่เราเคยปราบตอนอวตารเป็นพราหม์เตี้ย อสูรตนนี้ ฤทธิ์มากนักและเป็นศิษย์เอกของท่านพระศุกร์” พระมหาวิษณุเจ้าทรงเริ่มต้นขยายความ

“พะยะค่ะ....แต่มันทรยศเกล้ากระหม่อม” พระศุกรเทพ ต้นกำเนิดของคืนฉายกล่าวขึ้น พระพักตร์งามสง่าดุจยังเยาว์ชันษาผู้เป็นครุแห่งอสูรเคียดขึ้งขึ้นทันใด ยามนึกถึงเรื่องนี้ “มันสมควรแล้ว”

“เมื่อจิตมันหนีออกมา มันก็รวมตัวกับบรรดาอสูรหยาบช้าทั้งหลาย ก่อกำเนิดเป็นจิตมารขนาดใหญ่”

“นั่นก็รวมถึง มหิษาสูรที่เราเคยปราบในภาคทุรคา และทารุณสูรในภาคกาลี” มหาอุมาเทวีทรงเสริมและตรัสต่อมาว่า “จิตของมารที่รวมกันขนาดใหญ่นี้ คงไม่ต้องบอกพวกเจ้านะว่ามันจะร้ายกาจเพียงใด หากลงไปยังโลกมนุษย์ ”

“โลกมนุษย์จะปั่นป่วน และถึงจุดสิ้นสุดของกลียุค นั่นก็หมายถึงสิ้นโลก”

“ใช่แล้วอัสดง อสูรมันหลบหลีกญาณของเรามานานแล้ว หลอกล่อให้เราพุ่งความสนใจไปที่พญาปรนิมมิตวัตสวัตตี หากแท้จริง มันลงไปกบดานอยู่ที่นั่น และมันก็กำลังหาร่างที่มันสามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ แถมทัพอสูรที่ยังจงรักภักดี ยังตามไปรวมตัวและเริ่มสร้างความเดือดร้อน” พระมหาศิวะทรงตรัสยาวเหยียดเว้นวรรคเพียงครู่ ทอดพระสุรเสียงกล่าวต่อทันใด

“พวกมัน จงใจ ยั่วให้เราลงไป หรือไม่ก็ มหาอุมาเทวีให้เสด็จออกในภาคมหาทุรคาหรือมหากาลี ลงไปปราบ และถ้าหากเราหรือมหาเทวีลงไป นั่นก็หมายความว่า โลกมนุษย์จะแตกดับ ด้วยพลังสะท้อนแห่งอำนาจของเรา  ยิ่งถ้าหากปล่อยไว้ พลังอสูรและมารจะกล้าแข็ง ครอบงำมนุษย์ให้จิตใจหยาบช้า ควบคุมธาตุทั้งสี่ให้แปรปรวน เร่งพุทธทำนายให้เร็วขึ้น ศาสนาพุทธที่ควรจะยืนยาวถึงห้าพันปีมนุษย์จะสิ้นสุดเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง น้ำจะท่วมโลก พระอาทิตย์จะขึ้นครบทั้งแปดดวง ตามมาด้วยสวรรค์ล่มสลาย ซึ่งเราจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้”

“พระมหาศิวะ พระเชษฐาเรา ทรงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เราเองก็อยากจะลงไปจัดการ แต่ติดที่ อวตารสุดท้ายของเราจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกลียุคมาถึงจริงๆเท่านั้น หากเราลงไป ทุกอย่างย่อมแปรปรวนเช่นกัน มหาพรหมา พระผู้สร้างท่านย่อมพิโรธ เราจึงมองไม่เห็นผู้ใดเหมาะสมนอกจากต้นกำเนิดของเจ้าทั้งแปด และต้นกำเนิดของเจ้าก็ยินดี และนั่นคือเหตุที่พวกเจ้าต้องแบ่งภาคลงมา”

“ด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดพระเจ้าข้า” ต้นกำเนิดทั้งแปดพระองค์ทรงขานรับพระดำรัสพระผู้ทรงจักร ด้วยพระพักตร์แย้มยิ้ม แสดงถึงความเต็มใจอย่างแท้จริง มิได้เสด็จด้วยการบังคับ

“ดังนั้นหน้าที่ของพวกเจ้า ก็คือทำลายทัพอสูรและกำจัดจิตมารดวงนั้นซะ หามันให้เจอ ก่อนที่มันจะกล้าแข็งมากกว่านี้ ท้าวสักกะเทวราชจะมอบกองกำลังทัพเทวะให้แก่พวกเจ้า โดยมีอัสดง ผู้ถือครองมหาศาสตราวุธเป็นแม่ทัพใหญ่ ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่จะคอยประทานความช่วยเหลือผ่านทางทัพเทวอสุราของนลกุพร ทัพจากบาดาลโดยการนำของทยุติธรและทัพจากฉิมพลีของวายุภัคจะเป็นกำลังเสริม หากต้องมีมหายุทธการ” พระมหาศิวะทรงจัดแบ่งกองกำลังให้เสร็จสรรพ และเทวะทุกพระองค์ก็น้อมรับ แม้จะมีบางพระองค์เท่านั้นที่แอบทรงกำพระหัตถ์แน่น ด้วยหักพระทัยอยู่ใต้บัญชาอัสดงไม่ได้

“ข้าแต่พระมหาเทพ...กระหม่อมยังสงสัย ว่าทำไมต้องแบ่งภาคลงมา ทั้งๆที่ต้นกำเนิดของพวกกระหม่อม จะเสด็จลงมาเลยก็ได้” เอราวัตกราบทูลถามขึ้นซึ่งตรงกับใจของใครหลายๆคนนัก

“เหตุที่ต้องแบ่งภาค เพราะการรบนั้น อยู่ที่ภพมนุษย์น่ะสิ น้องชาย” พระพุธพนมหัตถ์บังคมทูลขอประทานอนุญาตอธิบายแทน “ภพมนุษย์คือภพกลาง เทวะสามารถลงไปสร้างความดีความชอบได้จนเกิดเป็นบุญ บารมี และจะได้บุญมากเมื่ออยู่ในร่างมนุษย์เป็นการเสพปรีติที่ดีที่สุด แลให้พลังมหาศาลมากที่สุด”

“ท่านพระพุธท่านตรัสได้ถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราและต้นกำเนิดพวกเจ้าจึงลงมา ” พระสุริยาทิตย์ตรัสขึ้นบ้าง และกำลังจะตรัสต่อ หากก็ถูกพระมหาลักษมีเทวีทรงขัดขึ้น

“และท่านก็รีบลงมาเกิน จนเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะเรา ”

เสียงสรวลจากหลายๆพระองค์ดังลั่น อณูน้อยทั้งแปดทำหน้าทำตาเหรอหรา จนมหาฤาษีต้องช่วยขยายความ  “ก็ไอ้พระสุริยาทิตย์ มันใจร้อน รีบลงมา ผิดฤกษ์ผิดยาม ปากบอกว่าจะลง ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เสือกนำขบวน พระจันทรเทพ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัส พระศุกร์ พระเสาร์ แบ่งภาคลงมาเลยไม่ดูฤกษ์ดูยามที่ข้าหาให้ แล้วเป็นไง ท้ายสุดก็ต้องมีคู่เป็นผู้ชาย แถมข้ายังต้องเหนื่อย ดีนะที่พระราหูมันตามมาทีหลัง พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วสินะ ว่าทำไม ถึงมีคู่เป็นผู้ชาย.....พวกเจ้าต้องโทษพระสุริยาทิตย์เท่านั้น”

อณูน้อยร้องอ๋อแทบจะพร้อมกัน ...ตระหนักและเห็นความสำคัญของฤกษ์กำเนิดแล้ว ฤกษ์ที่เป็นจุดกำเนิด สามารถใช้บอกวิถีชีวิตได้ทั้งชีวิต ฉะนั้น หากเทวะจะเสด็จลงมาเกิดเพื่อสร้างบุญหรือปฏิบัติภารกิจตามราชโองการ ฤกษ์ทุกอย่างต้องวางไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้ ‘ลัคนา’ อยู่ในตำแหน่งดาวและราศีที่ทรงคุณ

ทว่าอณูน้อยไม่มีใครเสียใจกันเลยสักนิด แม้จะลงมากันผิดฤกษ์ หากในความผิดนั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ได้พบกับ ‘หัวใจ’

“ท่านมหาฤาษี จะโทษเราฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก จันทรเทพ กับพระอังคาร เป็นคนชวนให้เราลงมาเลยต่างหาก”

“อ้าวท่านสุริยาทิตย์ ท่านต่างหาก ที่บอกว่า ไปเลย” จันทรเทพแย้งขึ้น จนมหาลักษมีเทวี ต้องตรัสห้าม

“หยุดซะที ...เอาเป็นว่าใครผิดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเราต้องเข้ามาวุ่นด้วย”

“ไฉน มหาเทวีของพี่จึงวุ่นไปกับพวกเขา” มหาวิษณุทรงหันมาตรัสกับพระมเหสีด้วยสุรเสียงอ่อนหวาน เกรงพระทัย ด้วยความที่ทรงเข้าฌานปิดข่ายพระญานบางส่วนไว้เลยไม่ทรงทราบ

“เพราะพระสุริยาทิตย์ เคยขอพร หม่อมฉันไว้ว่า ถ้าต้องแบ่งภาคเมื่อใด ขอคู่ที่งามเลิศในสามโลก เฉกเช่นหม่อมฉัน”

“เลยประทานสีทันดรให้ ใช่ไหมเพคะ ทรงพระสติปัญญาล้ำเลิศนัก” พระมหาอุมาเทวีทรงถามขึ้นยิ้มๆ ทรงรู้ถึงความนัยที่ลึกลงไปอีกบางประการ ซึ่งพระมหาลักษมีมิได้ตรัสออกมา และไม่มีผู้ใดรู้วาระจิตของพระนาง นอกจากมหาเทพและมหาเทวีด้วยกัน

“ขอบพระทัยเพคะ อะไรที่หม่อมฉันช่วยได้หม่อมฉันก็ยินดี แม้จะนิดๆ หน่อยๆ”

“น้องหญิงมิได้ทรงช่วยเพียงแค่นิดๆหน่อยๆ ดังรับสั่ง หากแต่ทรงช่วยได้มาก พี่ขอขอบพระทัย” พระมหาศิวะ ตรัสต่อมหาลักษมีเทวีด้วยความชื่นชมโสมนัส ด้วยทรงรู้ความนัยเช่นกัน จึงทรงยอพระเกียรติต่อหน้าพระพักตร์พระผู้ทรงจักรว่า

“น้องชายพี่ ทรงมี มหาเทวีเลิศพร้อม สมแล้ว....เหมาะสมแล้ว”

“ด้วยความที่แบ่งภาคผิดฤกษ์ คู่ก็จำต้องจัดตามฤกษ์กำเนิดที่ผิดมาตั้งแต่ต้น เพื่อความสมดุล... พอดีวันนั้นพระสมุทรเทวีมาทูลขอลูก หม่อมฉันก็เลยให้สีทันดรไป โดยแบ่งอณูของหม่อมฉันไปบางส่วน มิใช่ให้แค่พรอย่างเดียว เพราะทางฝั่งบาดาล ก็คุ้นกับหม่อมฉันมานาน”

เหตุผลในพระมหาเทวี...น่าจะกระจ่างเพียงพอแล้ว ทว่าความบังเอิญ มิค่อยจะเกิดขึ้นบนสวรรค์ การแบ่งอณูของมหาเทวีจึงมีจุดประสงค์มากกว่าจะเป็นการให้พรประทานบุตร หรือให้คู่พระสุริยาทิตย์

การปกครองหรือการรบ จำต้องมีการรวมอำนาจ มายังแม่ทัพ
แลอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เท่าอำนาจจากบาดาล....หนึ่งในสามโลก

‘สีทันดร’ จึงถูกผูกเข้ากับชาตาชีวิตของอณูน้อย ‘อัสดง’ จากสวรรค์ อย่างแยบยล!!!

 “ถึงว่า สีทันดรเลยถอดแบบน้องมาไม่มีผิดเพี้ยน”

“เกรงอยู่เหมือนกันว่าทางบาดาลจะต่อว่าหม่อมฉัน ที่โอรสจะต้อง....มีคู่ตามเพศเดียวกัน”

“หามิได้พะยะค่ะ พระมหาเทวี” พระสมุทรรักษ์รีบกราบทูลขึ้น และกล่าวแทนเทวนาคาทั้งมวลว่า “ การที่สีทันดรกำเนิด แม้จะอุบัติมาเพื่อวัตถุประสงค์จำเพาะ หากนั่น ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของเหล่าเทวนาคาแล้วที่ทรงพระกรุณา และบาดาลก็ยินดีสนองคุณพระมหาเทวีในครั้งนี้”

“ขอบใจท่านมาก พระสมุทรรักษ์ ท่านทั้งสองด้วย ท่านพญาอนันตนาคราช ท่านพญาวาสุกี ”

“พระเจ้าข้า” จอมนาคาทั้งสองรับคำด้วยความเต็มพระทัย

สีทันดรได้ยินดังนั้น ก็แทบจะผลุดลุกเสด็จเข้าไปถวายจูบที่พระปรางซ้ายขวา ทูลหม่อมพ่อและทูลหม่อมปู่ทั้งสอง และเกือบเหิรลอยไปหาอัสดง หากแต่มหาลักษมีเทวีทรงปรามไว้ทางจิต

“หน้าบานเชียวนะสีทันดร.... เก็บอาการ หน่อยสิ เราขายหน้าพอดี”
 
เมื่อทรงปรามเจ้าจอมดื้อเสร็จ มหาลักษมีเทวี ก็ทรงกล่าวต่อด้วยสุรเสียงเฉียบขาด อย่างไม่เคยเป็น จนบางพระองค์ ทางฝั่งเทวปักษี ต้องก้มพระพักตร์นิ่ง พระทัยสั่นสะท้าน

“แม้ทางบาดาลและสวรรค์จะเห็นชอบ หากแต่ก็มีบางคนจะคิดแยก ซึ่งเราก็ขอเตือนไว้ก่อน ว่าถ้าเราโกรธขึ้นมา เราก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามหาทุรคาหรือมหากาลี”

“มหาเทวีเพคะ หม่อมฉันว่าเรื่องกริ้ว เรื่องโกรธให้เป็นหน้าที่หม่อมฉันดีกว่า หม่อมฉันถนัดนัก” พระมหาอุมาเทวีสรวลใส หากแต่ในกระแสสรวลคือความเฉียบขาด ที่หลายๆพระองค์ได้ยิน ยังต้องทรงขยาด

“พวกเจ้าคงได้ยินกันแล้วนะ หากใคร ทำให้เรื่องนี้มันยุ่งเหยิง โดยไม่จำเป็น พวกเจ้าทั้งหลายคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.... ใช่ไหม วายุภัค”

“เกล้ากระหม่อม ทราบดี พะยะค่ะ” วายุภัคพระพักตร์ชาวาบ ยามถูกกระทบ ทว่าสายพระเนตรที่หรุบต่ำ กลับมิยอมอ่อนข้อศิโรราบ

มหาเทวีไยจะมิทรงรู้.....หากวายุภัคจะลองดี ก็คงจะได้เห็นดีกัน

วายุภัคดื้อยิ่งกว่าทรงกลดหลายเท่านัก
อัสดงเองก็จับกระแสนั้นได้.....เตือนตัวเองต้องระวังอย่างถึงที่สุด

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเข้าใจตรงกันที่นี้ก็มาถึงภารกิจของมนุษย์น้อย ตระการตา ไหนออกมาข้างหน้าสิ”

 ตระการตาจากเดิมที่ตัวสั่นหมอบราบกราบลงกับพื้น ยามมหาเทพเสด็จมาถึง ฟังแต่พระสุรเสียงที่คล้ายจะดังขึ้นจากกลางสมอง มิกล้าเงยหน้าขึ้นมาดูกลับยิ่งตัวสั่นขึ้นไปอีก ครั้นพอมีรับสั่งเรียกหาอีกครั้งมหาฤาษีก็ช่วยดันออกมา

“เงยหน้ารับพระเสาวนีย์ สิวะไอ้เวร”

“ครับหลวงตา” ตระการตารับคำเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตกตะลึง เพราะภาพมหาเทพและมหาเทวี มิได้เป็นไปตามจินตนาการเลยสักนิด

พระมหาศิวะควรจะมีพระวรกายสีเทา พระศอสีดำ นุ่งห่มหนังเสือ ส่วนพระนารายณ์ก็น่าจะพระวรกายสีดำตามกลียุคที่เคยร่ำเรียน ควรมีสี่กร ทว่ากลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะมหาเทพทั้งสองพระองค์ กลับอยู่ในร่างมหาบุรุษเลิศลักษณา พระฉวีผ่อง ประทับนั่งท่ามหาราชลีลา งามเกินบรรยาย

“ มีทำไมตั้งสี่แขน เกะกะ...นั่นเป็นภาพตามจินตนาการที่มนุษย์อยากให้เราเป็น ส่วนใหญ่ชอบวาดให้เราเป็นชาวอารยันกันหมด มนุษย์มักยึดติดอยู่ในรูป หากแท้จริงพวกเราหามีรูปไม่ แต่ถ้าเจ้าอยากเห็นเราในภาพนั้นก็ได้ เราจะให้เจ้าเห็น แต่อย่าไปทูลขอพระมหาอุมาเทวีท่านล่ะ ว่าอยากเห็นท่านในภาคทุรคาหรือกาลี เดี๋ยวจะยุ่ง เราเองยังต้องไปหลบยังขอบจักรวาล” สิ้นพระดำรัสพระมหาศิวะ เสียงสรวลจากคณาเทพก็ดังกระหึ่ม 

“ระวังความคิดเอ็งหน่อย ไอ้ตระการตา” หลวงตารีบส่งกระแสจิตเตือน

“ช่าง เถอะพระคุณเจ้า เป็นธรรมดาของมนุษย์ ...ค่อยๆฝากพระคุณเจ้าช่วยอบรมและสอนเรื่องนี้ เอาล่ะ ทีนี้เจ้าฟังให้ดี เหตุที่เราต้องการพบเจ้า เพราะเรามีหน้าที่ให้เจ้าทำ....เจ้าถูกเลือกให้เป็นโอษฐ์แห่งเรา”

“โอษฐ์แห่งมหาอุมาเทวี!!”

“ใช่...โอษฐ์แห่งเรา เจ้าต้องรับและถ่ายทอดคำสั่งหรือคำสอนของเรา ไปยังมวลมนุษย์ นี่คือเหตุผลที่เจ้าต้องฝึกสมาธิ เพื่อติดต่อกับเราและรับพลัง”

“หมายความว่า...เป็นร่างทรง”

“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่ามิใช่ ก็มิใช่....ร่างทรงคือผู้ที่ยอมให้เทวะใช้งานผ่านร่างของตน ซึ่งจะเป็นเทวะที่ภูมิธรรมยังไม่สูง และโดยส่วนมากพวกร่างทรง มักจะเป็นภูตผีที่เข้ามาฉวยโอกาสและบังอาจแอบอ้างพระนามหลายๆพระองค์ โดยเฉพาะเรา พระมหาศิวะ พระมหาวิษณุ และพระมหาลักษมี สักวันเราจะล้างให้สิ้นซาก” พระสุรเสียงกึกก้องทั่วทั้งสุธรรมเทวสภา แสดงให้รู้ว่าพระมหาอุมาเทวีมิสบพระทัยในเรื่องนี้นัก

ตระการตาสั่นสะท้านตัวลีบ แทบจะชิดติดพื้นเทวสภา พระมหาอุมาเทวี ที่ประทับเบื้องหน้า ทรงความงามล้ำเลิศ ทว่าภายในความงามนั้นคือกระแสแห่งพระราชอำนาจหาผู้ใดเทียมในสามโลก ถ้อยรับสั่งที่ว่า จะล้างให้สิ้นซาก ทำให้ขนลุกซู่ ใจกระหวัดถึงข้างๆอพาร์ทเมนต์ที่เขาอยู่ มีหลาย ‘ตำหนัก’ จัดตั้งเรียงราย ทั้ง เจ้าแม่ปารวตีกาลีทุรคา ตำหนักพ่อศิวะปู่นารายณ์ และที่หนักที่สุดก็คงจะเป็น ตำหนักเจ้าแม่ศักติมหาเมตตา ที่หาญกล้ารวมมหาเทวีทั้งสามพระองค์ หากพระมหาเทวีจะทรงล้าง เห็นทีจะต้องเชิญเสด็จไปล้างที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก

  “เราไปแน่...จำไว้ผู้ที่เป็นโอษฐ์แห่งเทวะนั้นจะมีศักดิ์สูงกว่า เปรียบเสมือน ตัวแทนแห่งเรา และเป็นผู้ถูกเลือกโดยเฉพาะ โอษฐ์แห่งเทวะจะมีได้เฉพาะพระตรีมูรติหรือพระตรีศักติเท่านั้น และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ในกาลที่ผ่านมา มีมนุษย์ได้รับหน้าที่นี้จริงไม่กี่คน และคนผู้นั้นจะมีศักดิ์สูงเทียมกษัตริย์ทีเดียว”

“แล้วผม เอ๊ย..ข้าพระพุทธเจ้า จะต้องทำอย่างไร ติดต่อกับพระแม่เจ้าอย่างไร” ตระการตาแม้จะตะกุกตะกัก ทว่าในใจคือความเคารพยิ่ง
 
“ลองนึกถึงเครื่องรับสัญญาณสิ มนุษย์มีอุปกรณ์ที่เรียกว่าโทรทัศน์ใช่ไหม โทรทัศน์จะทำงานได้ได้ต้องใช้กระแสไฟฟ้า นั่นก็คือการเชื่อมต่อและการเชื่อมต่อของเรากับเจ้าก็คือ จิตสมาธิ ส่วนภาพและเสียงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเจ้ากด...มนุษย์เรียกว่าอะไรนะ”

“สวิตซ์พะยะค่ะ”  คันฉัตรทูลถวายคำตอบมาให้

“ขอบใจมากอณูแห่งศนิเทพ....ใช่กดสวิตซ์ และสถานีใหญ่ส่งมา เราก็เปรียบดังนั้น สถานีปลายทางเช่นเจ้าต้องปรับคลื่นให้ตรงกับเรา....โทรทัศน์ฉายภาพได้อย่างไร การติดต่อระหว่างเรากับเจ้าก็ทำหน้าที่คล้ายๆกัน ต่างกับพวกร่างทรง พวกนั้นมันเปรียบเสมือนเก้าอี้ที่ว่างที่ใครจะเข้าไปนั่งใช้งานก็ได้ พวกผีมันจึงชอบนัก..... เข้าใจแล้วใช่ไหม”

“เข้าใจแล้ว พะยะค่ะ” ตระการตาคิดตามรับสั่งชั่วครู่และก็ยิ้มออกได้โดยพลัน พระมหาอุมาเทวีทรงเปรียบเปรยได้เข้าใจง่าย ยกสิ่งรอบตัวที่เขาคุ้นเคยเป็นตัวอย่าง น่าฟังแท้ แถมยังมีพระเมตตายิ่งนัก ไหนคันฉัตรเคยว่า มหาอุมาเทวีทรงดุ คงจะไม่จริงละมัง

 “เรามีดุบ้างเป็นบางเวลา และคาดว่า ทุกพระองค์ที่นี่ ไม่อยากให้เราดุนัก”

ด้วยสภาวะจิตที่เหนือกว่า พระมหาอุมาเทวีทรงดักจิตที่ต่ำกว่าได้อยู่เสมอ ทรงกล่าวตอบยิ้มๆที่ริมโอษฐ์เบือนพระพักตร์ไปทางพระมหาศิวะเจ้า ที่ประทับนั่งฟังด้วยรอยแย้มสรวลละไม

“เมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ก็จงฟังให้ดี....หน้าที่แรกที่เจ้าต้องทำในฐานะโอษฐ์แห่งเราคือ นำพาให้มนุษย์หันมาสวดมนต์”

“ผม เอ๊ย ข้าพระพุทธเจ้า...เอ่อ”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-04-2020 09:58:12
“พูดธรรมดาเถอะ เราดูการนอบน้อมของเจ้าทางจิต มิใช่ภาษาที่เจ้าใช้”

“ผมสวดไม่เป็น....สวดได้แค่ อิติปิโสเท่านั้น”

“เงยหน้าขึ้นมาสิ เราจะบรรจุไว้ให้เจ้าเอง” สิ้นรับสั่ง พระมหาอุมาเทวี ก็ทรงกรีดหัตถ์ ตวัดดัชนี บังเกิดเป็นดวงแก้วสีทองพุ่งปราดเข้าสู่ใจกลางหน้าผากของตระการตาที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี

มนุษย์น้อยรู้สึกถึงพลังงานที่กำลังวิ่งแล่นอยู่กลางสมอง เสียงสังวัธยายมนตราดังก้อง แลบัดนี้เขาก็รู้แล้วว่าต้องนำมนุษย์สวดบทใดบ้าง...และหนึ่งในนั้นคือ บทสวดพระปริตร ให้พ้นภัยจากกลียุค

“จำไว้บทสังวัธยายมนตราขององค์สมเด็จพระศาสดา คือขุมพลังที่จะขจัดปัดเป่าโภยภัยให้มนุษย์รอดพ้นวิกฤตได้อีกทาง ...ไม่ว่าจะเป็นรัตนสูตร ขันธปริตร โมรปริตร ธชัคคสูตร และอาฏานาฏิยปริตร จงน้อมนำจิตสวดให้ดี เทวะจึงจะรับกระแสจิตตั้งมั่นจากการสวดมนต์นั้น จนมีกำลังต่อกรกับมาร ยิ่งคนสวดมาก เทวะยิ่งแข็งแกร่ง นี่คือหน้าที่แรกที่เจ้าต้องกระทำ...ตระการตา โอษฐ์แห่งเรา”

“ครับ...พระแม่เจ้า”

“จงทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด อย่าให้พระมหาเทวีผิดหวัง” พระมหาศิวะทรงกล่าวเสริม และทรงกล่าวต่อด้วยพระสุรเสียงกึกก้องไม่แพ้มหาเทวีว่า

“เป็นอันว่าพวกเจ้า เข้าใจ ในเหตุ ที่มา และภารกิจของพวกเจ้าแล้วใช่ไหม ใครมีอะไรขัดข้องหรือไม่”

“พวกกระหม่อมไม่มี และยินดีสนองเทวราชโองการ  พะยะค่ะ” อัสดงพนมมือกลางอกเป็นตัวแทนกล่าวขึ้นแทนสหาย แล้วนำก้มลงถวายบังคมโดยพร้อมเพียง

การเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการควรจะเสร็จสิ้นเพียงเท่านี้ หากไม่มีคนขัดขึ้น

“ขอเดชะ...กระหม่อม ไม่ขอนำทัพภายใต้การบัญชาของอณูแห่งพระสุริยาทิตย์พะยะค่ะ”

“วายุภัค!” เสียงตวาดดังกึกก้องทั่วทั้งเทวสภา หากมิใช่มาจากพระมหาเทพหรือพระมหาเทวี พระองค์ใด ทว่ามาจากพญาเวนไตยที่ประทับอยู่เบื้องพระปฤษฏางค์

เสียงอึงอลไม่พอพระทัยจากบรรดาคณาเทพเริ่มดังขึ้น จนพญาเวนไตยต้องประทับยืนเสด็จรวดเร็วมากระชากพระนัดดาลงจากอาสน์ ดันวรองค์ลงมายังพื้นเทวสภา

“เจ้าอวดดีอย่างไร ทุกพระองค์ต่างน้อมรับเทวบัญชา แต่เจ้ากลับมีปัญหา”

“หลานไม่ได้มีปัญหา แต่ทำใจไหว้สา อยู่ใต้อาณัติบัญชาจากอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไม่ได้เท่านั้น อณูน้อยผู้นี้มีความสามารถอะไร แค่เขาได้ครองมหาศาสตราวุธของพระแม่เจ้ากับพระมหาเทพเท่านั้นเอง ” วายุภัคยังคงทูลตอบอวดดีสุรเสียงกร้าว

“หม่อมฉัน มิได้ปฏิเสธว่าจะมิร่วมศึก แต่หม่อมฉันขอพระเมตตา ประทานอนุญาตให้หม่อมฉันนำทัพของฉิมพลีโดยอิสระ จะเข้าช่วยเหลือตีขนาบก็ต่อเมื่อเห็นสมควร ไพร่พลของฉิมพลี มิควรเสียโดยเปล่าประโยชน์”

“บังอาจนัก เจ้ากล้าลบหลู่อณูของเรา ไอ้ครุฑน้อย อย่ากำแหงหาญอวดดีไปนัก อย่าลืมว่าลุงกับพ่อเจ้าเกือบสิ้นพระนามด้วยฤทธีแห่งเรา” พระสุริยาทิตย์กริ้วแสนจะกริ้ว ประทับยืนขึ้นบ้าง เหิรลอยลงมาประทับยืนข้างๆอณูแห่งตน เป็นจังหวะเดียวกับที่อัสดงยืนขึ้นหมายจะเอาเรื่องวายุภัคอยู่พอดี หากแต่ทรงกลดกับคันฉัตรช่วยรั้งเอาไว้

“ใจเย็นๆก่อน อัสดง”

“ช้าก่อน....การที่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ได้ครอบครองจักรของเราและของมหาเทวี ยังไม่ได้หมายความว่าเขามีความสามารถคู่ควรอีกเหรอวายุภัค...และเจ้าเองใช่หรือไม่ ที่กำแหงหาญคว้าจักราทั้งสองไว้ และเจ้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ได้ทยุติธรและสัญญชีวนีมนตราของท่านพระศุกร์ช่วย” พระมหาวิษณุขมวดพระขนง เริ่มไม่สบพระทัยวายุภัค หากด้วยความที่เกรงพระทัย พญาเวนไตยผู้ทรงเป็นทั้งสหายแลราชพาหนะ จึงยั้งพระโอษฐ์มิตรัสสาปลงโทษวายุภัคหน้าเทวสภา

“ถ้าในเมื่อเจ้าอวดดีนัก เราก็จะให้เจ้าตามคำขอ เราจะดูสิว่า เจ้าจะนำทัพของเจ้าเทียมเท่าอัสดงอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ได้หรือไม่”

“หม่อมฉันมั่นใจ พะยะค่ะ”

“ถ้าทำไม่ได้ล่ะ”

“หม่อมฉันขอรับอาญาทัพ ตามกฎมณเฑียรสวรรค์สูงสุด พะยะค่ะ”

“จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี วายุภัค”

“ที่จริง เวลานี้ควรเป็นเวลาแห่งการสมัครสามัคคีของเหล่าเทวะ มิใช่การชิงดีชิงเด่น เอาเถอะ ในเมื่อทางด้านฉิมพลีเขาอยากตั้งกองทัพอิสระก็ปล่อยเขา เราหวังว่าทางบาดาล คงจะไม่ขอแยกตัวบ้างหรอกนะ” พระมหาอุมาเทวีเองก็มิทรงสบพระอารมณ์นัก ทีท่าตวัดชายพระเนตร ทำให้พญาเวนไตยแลเหล่าเทวปักษี เริ่มปริวิตก

“ด้วยความสัตย์จริง ทีแรกกระหม่อมก็ตั้งใจจะแยกทัพ ทว่าอย่างที่พระแม่เจ้าตรัส เพลานี้คือเพลาที่ต้องสมัครสมานสามัคคี อีกทั้ง อัสดงก็เปรียบเสมือนน้องชายของกระหม่อม ทัพบาดาลจึงไม่มีข้อขัดข้อง ที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่อัสดงกับอณูน้อยทั้งหมดพะยะค่ะ” ทยุติธรลงจากอาสน์ ดำเนินมากลางเทวสภาประกาศก้อง อัสดงตั้งใจก้มลงกราบบาทด้วยความทราบซึ้งในน้ำพระทัย หากแต่ทยุติธรรั้งไว้

“พระสุริยาทิตย์ท่านศักดิ์สูงกว่าพี่มาก เดี๋ยวท่านไม่พอพระทัย”

“ไม่เป็นไร ทยุติธร ให้อณูน้อย เจ้าน้องชายเรากราบเจ้าเถอะ น้ำใจเจ้าประเสริฐนัก” พระสุริยาทิตย์ พระอารมณ์เริ่มสงบ เห็นชอบด้วยที่อัสดงจะบังคมทยุติธรเป็นการขอบพระทัย
 
มิต้องบอกก็รู้ว่าบัดนี้...สายพระเนตรแห่ง มหาเทวะ และ มหาเทวี จะทรงชื่นชมเพียงไร
ยิ่งโปรดทางบาดาล ....ทางฉิมพลี ยิ่งทำพระพักตร์ไม่ถูก

บาดาลโอนอ่อนยอมร่วม.....วิธีการผูกของมหาลักษมีเทวี ยอดเยี่ยม สัมฤทธิ์ผล

“ทยุติธร เราไม่เคยผิดหวังในตัวเจ้าเลยสักครั้ง” มหาอุมาเทวีตรัสขึ้น ทยุติธรจากที่ทรงเป็นตัวโปรดอยู่แล้ว กลับยิ่งเป็นตัวโปรดขึ้นไปอีก มหาฤาษีเองก็ยิ้มแป้น ปรบมือชื่นชม พร่ำปากไม่หยุดว่า

“ทยุติธรศิษย์รักของข้า....ไม่เสียแรงที่ข้าสอน ข้าสั่ง”

สีทันดรไม่รอช้าแล้ว ตั้งพระทัยจะวิ่งปรู๊ดเสด็จลงมากอดเอวทูลหม่อมพี่ชาย หากแต่พระมหาลักษมีปรามไว้อีกครา “เจ้าไปดีใจอะไรกับเขาด้วยสีทันดร กลับมานั่งที่เดิมตรงนี้ สงวนกริยาไว้บ้าง”

“ก็พี่ชายหม่อมฉัน เป็นสุภาพบุรุษนี่นาพะยะค่ะ ใครๆก็ชื่นชม หม่อมฉันก็เลยดีใจเป็นธรรมดา”

“เหอะ สีทันดร เราเพิ่งจะบอกว่าเจ้าเป็นบางส่วนของอณูเรา ไยเราจะไม่รู้จิตใจของเจ้า ...เจ้าดีใจที่มีคนช่วยอัสสะของเจ้าต่างหาก ไม่ได้ดีใจไปกับพี่ชายเจ้าหรอก” พระมหาลักษมีทรงขัดขึ้น แล้วรับสั่งให้กลับมานั่งที่เดิม ส่วนพระมหาอุมาเทวี พระอารมณ์เริ่มแจ่มใส ยามทอดพระเนตรเห็นทีท่าของสีทันดร

“หม่อมฉันว่า ตอนแบ่งอณูและประทานพร มหาเทวีต้องทรงนึกถึงเด็กซนๆแน่เลย” พระดำรัสแรกทำให้ยิ้มได้ ทว่าประโยคต่อมาทำให้สีทันดรเริ่มร้อนๆหนาวๆ “หม่อมฉันว่า เอาไปช่วยกันอบรมที่ไกรลาส หรือเกษียรสมุทรดีไหมเพคะ”

“ดีเหมือนกันนะเพคะ....จะได้เลิกดื้อเลิกซน เอ หรือว่า จะส่งไปฝึกกับมหาสรัสวดีเทวีท่านดี”

“ไม่ดีหรอกพะยะค่ะ หม่อมฉันเกรงว่าจะทำให้ทรงวุ่นวายมากกว่า” สีทันดรทูลขัดขึ้นเสียงหลง และในชั่วแวบก็หาทางเปลี่ยนเรื่องเบนความสนพระทัยได้รวดเร็ว

 “ว่าแต่เมื่อกี้ ทรงบอกว่าหม่อมฉันมีอณูบางส่วนของพระแม่เจ้าใช่ไหมพะยะค่ะ งั้นก็แสดงว่า เท่ากับหม่อมฉันเป็นบุตรพระแม่เจ้า พระแม่เจ้าย่อมเป็นมารดา และถ้ามีตาแก่ตามโคนต้นไม้มาด่าว่า หม่อมฉันพ่อแม่ไม่สั่งสอน ก็เท่ากับด่าพระแม่เจ้าใช่ไหมพะยะค่ะ”

คนด่าจากที่ดีใจกับทยุติธรครั้นพอได้ยินคำกราบทูลก็ตาเหลือก กำไม้เท้าแน่น ขยับผ้าคากรองอย่างไม่เป็นสุข เสียงหัวเราะเริ่มสอดแทรกมาแทนความตึงเครียดที่วายุภัคทรงสร้างขึ้น และคราวนี้ เทวหลายพระองค์ก็รู้ทันที ว่าใครคือ ‘ตาแก่โคนต้นไม้’ กับ ‘เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน’

“ไอ้ฉิบหาย เอาข้าคืนอย่างนี้เลยเหรอ ไอ้สีทันดร”

สีทันดรลอยพระพักตร์ไปมา มหาฤาษียิ่งเต้นเร่าๆ ต่อหน้าพระมหาเทพและมหาเทวี มหาฤาษีจะกระทำกระไรได้ จะด่าก็ด่าไม่ถนัด มหาฤาษีตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว...และเป็นที่รู้กันโดยดุษฎีว่า ยกนี้ใครแพ้

“ฝากไว้ก่อนเหอะเอ็ง”

“เอาล่ะสีทันดร....เลิกแหย่พระคุณเจ้าท่านเสียที มันบาป” มหาลักษมีอดที่จะสรวลใสในความแก่นไม่ได้ จากนั้นจึงหันมาตรัสต่อกับเทวะและอณูทั้งมวลว่า

“จงตั้งใจทำให้ดีที่สุด”

“พระเจ้าข้า”

“ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว เราขออวยพรให้ชยะและความสำเร็จบังเกิดแด่เทวะทั้งมวล โอม” พระมหาวิษณุทรงกล่าวประทานพรทิ้งท้าย จากนั้นพระวรกายของทั้งพระมหาเทพและมหาเทวีก็เปล่งประกายระยิบระยับ พุ่งปราดกลายเป็นแสงโชตินาการเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงใดๆ ออกจากสุธรรมเทวสภา 

“ขอถวายพระพรลา”

สุรเสียงประสานกันโดยมิได้นัดหมาย เทวะผู้เป็นประธานเสด็จกลับไปหมดแล้ว ตามด้วยเทวะชั้นผู้ใหญ่ คือท้าวสักกะเทวราชและท้าวจตุโลกกบาลทั้งสี่ อีกทั้งพญาเทวปักษี และพญาเทวนาคา เหลือแต่ เทวะต้นกำเนิดที่เพิ่งสบโอกาสเข้ามาสวมกอดอณูน้อยของแต่ละพระองค์

“พวกเราภูมิใจในตัวพวกเจ้ามาก ....พวกเจ้าไม่ต้องกลัวว่าพวกเราจะทอดทิ้ง เราจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเจ้าตลอด เพียงพวกเจ้านึกถึงเรา ผู้เป็นเสมือนพ่อและพี่ชายเท่านั้น” พระสุริยาทิตย์ทรงรัดอัสดงด้วยอ้อมพระพาหาแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น เป็นสัญญาณให้รู้ว่าพี่ชายห่วงและรักน้องนัก

“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พะยะค่ะ กระหม่อมสัญญา ว่าจะสู้ให้ถึงที่สุด”

“ขอบใจเจ้ามาก....อัสดง ลูกชายและน้องชายเรา”

“พวกเจ้าพร้อมสู้หรือยัง” พระอังคารที่ประทับยืนข้างๆ ทรงกอดคออณูน้อยน้ำเชี่ยวแน่นเช่นกัน กล่าวถามขึ้น สอดประสานกับพระเสาร์ที่ทรงชกไหล่คันฉัตรเป็นการทักทายเบาๆตามประสาพี่ทักน้อง หรือเพื่อนทักเพื่อน และทรงตะโกนก้องว่า

“ถ้าพร้อมแล้ว ตอบรับดังๆ ให้พวกเราได้ยินให้ชื่นใจหน่อย”

“พร้อมแล้วพะยะค่ะ”

“ไม่ได้ยิน ท่านว่าไหม ท่านพระพุธ” พระศุกร์ทรงขยี้หัวคืนฉายด้วยความเอ็นดูแล้วทรงหันไปถาม พระพุธที่ทรงกอดเอราวัตแน่น

“ใช่ไม่ได้ยิน...ใช้จิตจับก็ไม่ได้ยิน” พระพุธทรงตรัสพร้อมรอยลักยิ้ม

“พูดอีกทีให้พวกเราชื่นใจหน่อย ว่าพวกเราจะไม่เหนื่อยเปล่าที่แบ่งพวกเจ้าลงมา” จันทรเทพเองก็เล่นกับเขาด้วยบีบต้นแขนทรงกลดแน่น เฉกพระพฤหัสบดี และพระราหูกอดคออณูเดินไปทั่ว

“พูดเบาอย่างนี้ เราจะมั่นใจได้อย่างไร เนอะพระราหู”

“เป็นดังท่านว่า พระพฤหัส ท่านครุเทพ”

ว่าแล้วอณูน้อยก็ลอบยักคิ้วให้แก่กัน พร้อมใจกันผสานเสียงลั่นสุธรรมเทวสภา “พวกเราทั้งแปดพร้อมแล้วพะยะค่ะ แม้นตัวจะตายในสนามรบ พวกเราจะสู้ ให้สมพระเกียรติยศแห่งต้นกำเนิดเรา”

“เยี่ยมมาก...น้องรัก จำไว้พวกเราจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”

พระสุริยาทิตย์ทรงกล่าวปิดท้าย ก่อนจะสลายกลายเป็นรัศมีสีแดงเพลิงเจือทองสว่างจ้าพุ่งวับลับออกจากเทวสภา ตามมาด้วยรัศมีสีเหลืองนวลแลอีกหลายๆรัศมีแห่งเทวต้นกำเนิดของอณูน้อยทั้งแปด อัสดงแลสหายก้มบังคมอำลา แลทั้งแปดก็ประสานมือกัน แล้วชูขึ้นฟ้าประกาศก้อง 

“พวกเรา....สู้!!”

นลกุพรที่มิได้เสด็จกลับตามพระบิดา ทรงพระดำเนินเข้ามาโอบทุกคนไว้มั่น พร้อมสุรเสียงตื้นตันยินดีด้วยเป็นล้นพ้นกับความสามัคคีและมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเหล่าอณู “เราซึ้งในความกล้าหาญและความสามัคคีของพวกเจ้า เราจะขอรบเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเจ้าเช่นกัน สหายมนุษย์ของเรา”

เสียงไชโยโห่ร้องดังประสานเสียงด้วยความฮึกเหิม ตระการตาถูกพาเข้ามาร่วมวงกับเขาด้วย ทางด้านมหาฤาษีก็ลูบหัวให้พรแถมยังรับปากว่าจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ สีทันดรนั้นก็ทรงยิ้มกว้าง หากแต่ยังประทับนั่งอยู่หน้าพระแท่นจนอัสดงต้องเดินเข้ามาหา ฉุดข้อพระกรดึงบั้นพระองค์มาโอบไว้แนบแน่น แล้วกล่าวถามสุดที่รักตาฟ้า ด้วยน้ำเสียงกังวานหวานซึ้ง ดวงตาสีอำพันเปล่งประกายระยับวับพราว

“สีทันดร.... ไอ้ดื้อของอัสสะ เจ้าล่ะพร้อมหรือยัง”

พระเนตรฟ้าครามใส เปล่งประกายกายเจิดจ้า แสดงให้รู้ว่าคำตอบที่กำลังจะตอบมา มันคือความจริงจากพระหฤทัย “อัสสะจงรู้ไว้เถิดว่า เราพร้อมที่จะอยู่ข้างๆอัสสะทุกเวลา ตั้งแต่วันที่เราบุกไปหาอัสสะที่บ้านพี่กลดแล้ว เราจะสู้ไปพร้อมกับเจ้าจนกว่าเราจะขาดใจ หรือไม่ก็ใจขาด”

“จะไม่มีทั้งสองอย่าง ไม่ว่าขาดใจหรือใจขาดดั่งเจ้าว่า ยอดรัก ”

ริมฝีปากหยักงามบรรจงจูบลงไปตรงพระนลาฏเกลี้ยงเกลา แทนคำพูดอีกหลายร้อยล้านคำ อัสดงขณะนี้รู้สึกฮึกเหิม สุขใจเหลือจะกล่าว ที่รายรอบข้างเขาพรั่งพร้อมไปด้วยปิยมิตรที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่และหัวใจสุดสิเน่หาจากบาดาลที่จะมีไว้กอดนอน หากศึกครั้งนี้เขาจะต้องตาย เขาก็มิเสียดายซึ่งแก่ชีวิต 

“กลับไปที่มณฑลพิธี และนับจากนี้ พวกเราคือเพื่อนตาย”

“ครับ....ท่านแม่ทัพอัสดง” น้ำเชี่ยวนำทีมรับคำกล่าวนำขึ้น หากเจ้าแม่ทัพกลับแย้งทันควัน

“ไม่เอา...เรียกกูใหม่ เรียกกูเหมือนเดิมว่า ไอ้อัสดง”

“เออก็ได้วะ ไอ้ห่าอัสดง ไอ้เวรนี่เรียกดีๆไม่ชอบ”

น้ำเชี่ยวจึงถอนหายใจ พูดใหม่ ซ้ำยังด่าท่านแม่ทัพ เรียกเสียงหัวเราะได้ไม่หยุดหย่อน ก่อนรัศมีสีแดงเพลิงสว่างจ้าพุ่งทะยานขึ้นฟ้าเป็นลำเกี่ยวกระหวัดต่างตระกองกอดรัศมีสีเขียวเจือทองของเจ้านาคาน้อยปราดออกไปเป็นคู่แรก นลกุพรมิทรงรอช้ายื่นพระหัตถ์เกี่ยวนิ้วก้อยทรงกลดเหิรทะยานออกมาเป็นคู่ที่สอง คืนฉายกับเอราวัต ยิ้มหวานให้แก่กัน สลายร่างเป็นรัศมีสีเขียวแลฟ้าคราม ตามมาติดๆ คันฉัตรเองก็โอบเอวตระการตาแน่นลอยละลิ่วตามมาเช่นกัน ส่วนธรรม์ตั้งใจจะเหิรออกไปบ้างหากแต่ก็มีมือแข็งแรงยื้อยุดฉุดข้อมือเขาไว้

“รอฉันด้วยสิ”

น้ำเชี่ยวกล่าวพร้อมบีบข้อมือธรรม์แน่น ทว่าในความแน่น เจือไว้ซึ่งประจุไฟฟ้าที่วิ่งปราดรวดเร็วเข้าสู่กลางหัวใจ ทิฐิที่ต่างฝ่ายต่างมี แทนที่ด้วยรอยยิ้มใสๆ บนใบหน้าอย่างไม่เคยเป็น และที่สำคัญ ทั้งสองต่างยิ้มให้กันและกันอย่างเปิดเผย

“ได้สิน้ำเชี่ยว ฉันพร้อมที่จะไปกับนายเสมอ”

เทวฤทธิ์ประสิทธิ์ขึ้นโดยพลัน รัศมีสีส้มแลสีชมพูเจือทองสว่างจ้าพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งราหูอยู่เบื้องหลังพร้อมมหาฤาษีขี้โมโหที่เปลี่ยนจากอารมณ์ดีๆ กลับมาด่าลั่น

“อ้าว เฮ้ย รอกูด้วยไอ้น้ำเชี่ยว ไอ้ธรรม์” ราหูร้องลั่นตามหลังแล้วจึงแหวกม่านอากาศเหิรออกไปเป็นรัศมีสีทองแดงด้วยความเร็วสูง หนีเสียงด่าขรมที่กำลังดังระงมไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล

“ไอ้พวกฉิบหาย...เสร็จธุระล่ะทิ้งข้า....รอข้าด้วยสิโว้ย”

“หลวงตาด่าอยู่นั่นแหละ ตามมาเร็วเข้า”

เสียงดังครั่นครื้น ลั่นฟ้า ผสานสายอสุนีบาตแล่บแปลบปลาบ  มนุษย์อาจจะคิดว่านั่นคือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ หากแต่มนุษย์น้อยคน ที่จะรู้ว่า บางที ก็อาจจะเป็นเสียงสรวลลั่น หรือเสียงสนั่นของเทวะลั่นกลองศึก แลบางทีแสงสว่างวาบนั้น อาจเป็นการเดินทางของเทวะลอยผ่านเหนือน่านนภมณฑล

มนุษย์จะรู้อะไร....แม้กระทั่งว่าบัดนี้ ปลายกลียุคเลื่อนเข้ามากระชั้นขึ้น เทวะหลายๆพระองค์ ทรงงานหนักเพียงไร

สงครามระหว่างเทวะกับมารกำลังจะอุบัติ แลสงครามครั้งนี้ก็มีโลกมนุษย์ภพกลางเป็นเดิมพัน
หากโลกมนุษย์สิ้น มีฤา ที่สวรรค์และบาดาลจะไม่สะเทือน

พุทธทำนาย จำต้องเป็นไปตามพุทธทำนาย ทุกพระองค์จึงทรงรักษาไว้อย่างสุดพระกำลัง
คำว่า ‘คงอยู่’ หรือ ‘แตกดับ’ คงได้ขับขาน ....ในไม่ช้า

บัดดลสรรพสำเนียงกระหึ่มก้อง
ทั่วท้องนภากาศสว่างไสว
เทวะเสด็จล่วงห้วงสวรรค์สุลาลัย
สำแดงฤทธิ์อันเกรียงไกรล้างหมู่มาร

**************************

จบรีรันภาคที่๑แล้วนะคะ ตั้งแต่บทที่๑๕เป็นต้นไป คือภาคที่๒ ตอนใหม่ค่ะ รบกวนติดตามต่อนะคะ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ทุกคอมเม้นที่เป็นแรงใจ และสนับสนุนเสมอมาค่ะ

รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ  :กอด1:  :3123:  :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 07-04-2020 08:58:13
กำลังเข้มข้น สนุกมากครับ
รอภาค 2
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 12-04-2020 00:06:56
ขอบคุณมากนะคะที่มาอัพต่อสนุกมากทั้งภาษาเนื้อเรื่องคำบรรยายเห็นภาพชัดเจนมากเลยอ่านแล้วขนลุกตอนกล่าวถึงมหาเทพแต่ละพระองค์เลยค่ะวายุภัคนี่ไม่สำนึกจริงๆช่างกล้ามากสีทันดรน่ารักตอนเอาคืนหลวงตา555รอภาคตีอนะคะต้องสนุกเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยแน่นอน///ไวรัสโควิดร้ายแรงมากดูแลสุขภาพดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: yestermemo ที่ 14-04-2020 21:31:36
คิดถึงเรื่องนี้มากเลย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: K.Pupoom ที่ 15-04-2020 23:47:19
เห้ยยยย  กลับมาแล้ว
ดีใจมาก
ชอบเรื่องนี้ สุดๆ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 01-05-2020 16:26:38
ย่องมาหาเหล่าเทวะของอัศวินดาราอีกรอบ ตอกย้ำความสนุก เพื่อรออ่านภาค2ต่อไป มาต่อเร็วๆนะจ๊ะ รออยู่ตั้งแต่ของเก่าจนมาถึงฉบับปรับปรุงจบอีกรอบ...ด่วนๆ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 04-05-2020 11:32:28
สิ้นเดือนมาต่อให้นะคะ
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านมากๆ ที่ยังติดตามค่ะ :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 04-05-2020 12:06:06
ยังรออ่านเสมอครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 04-05-2020 18:31:35
ตั้งตารอสิ้นเดือนเลยครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 05-05-2020 13:04:55
สนุกมาก ๆ

รอภาค 2 นะครับคุณ Artemis
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 10-05-2020 10:11:05
สิ้นเดือนมาต่อให้นะคะ
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านมากๆ ที่ยังติดตามค่ะ :กอด1: :pig4:
นับวันรอเลยจ้า ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 10-05-2020 16:40:46
ิดถึงค่ะสิ้นเดือนแล้วรอนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๑(ฉบับปรับปรุง) บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ วันที่ ๐๖ เมษา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Aphrodite ที่ 10-05-2020 22:52:18
แค่ชื่อเรื่อง ก็ทำให้อยากอ่านแล้ว   แวะมาให้กำลังใจนักเชียนก่อนว่าเพราะชื่อเรื่อง แบบชอบแนวแฟนตาซี  ขอตามไปอ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ อัพ ๑๒ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 12-05-2020 15:19:18
อัศวินดารา๒ บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑


รัศมีโชตินาการสีหลากหลายของเหล่าอณูน้อย เมื่อออกจากสุธรรมเทวสภาแล้วก็มุ่งหน้ากลับมายังปรัมพิธีกลางป่า ครั้นพอถึงรัศมีสีต่างๆก็รวมเข้ากับกายหยาบที่สีทันดรและมุจลินทร์ทรงป้องกันด้วยเทวอาคมและซ่อนไว้อยู่ภายในดอกบัวนิรมิต เมื่อร่างและจิตรวมกันเรียบร้อยก็ทยอยออกมาจากดอกบัว

“โอ๊ยยยย เมื่อยขบไปหมด...พวกเราจากโลกมนุษย์กันไปกี่วันวะนี่” คืนฉายเป็นต้นเสียงถามขึ้นลอยๆ แล้วบรรดานาคาองครักษ์ของสีทันดรที่เฝ้ากายหยาบชั้นนอกไว้ก็ตอบมาให้

“หนึ่งวันพอดีขอรับ ท่านอณูน้อย”

“เวลาต่างกันขนาดนี้เลยเหรอ อยู่บนดาวดึงส์แป๊บเดียวแท้ๆ”

“มหาเทพเลยทรงใช้เวลาไม่นานไง ก็อย่างที่ท่านตรัสแหละว่าถ้าไปนานกายหยาบเราจะทนไม่ไหว” ทรงกลดกล่าวแทนนาคองครักษ์ เดินเข้ามาพร้อมกับนลกุพร น้ำเชี่ยว ธรรม์ และราหู มายืนรวกลุ่มกับคืนฉายที่มีเอราวัตยืนอยู่ข้างๆ กำลังมองไปรอบๆใช้สายตานับจำนวนเพื่อนๆ ที่ยืนอยู่กันรายเรียง

“ว่าแต่นี่กลับมาครบทุกคนกันหรือยัง ไม่ใช่ว่าใครแอบแวะหนีเที่ยวบนดาวดึงส์นะโว้ย”

“ครบแล้วไอ้ห่าพระพุธ ขาดก็แต่พี่ชายน้องดื้อกับแฟน และก็วายุภัคที่แยกกลับไปบาดาลกับฉิมพลีแล้ว  ภาระเพียบแบบนี้ ใครจะเที่ยวลง ใช่ไหมไอ้แม่ทัพอัสดง” น้ำเชี่ยวตอบมาให้ แล้วเบือนหน้าไปหาเจ้าแม่ทัพ ที่รวมร่างเสร็จก็เริ่มที่จะไปวอแวอยู่กับเจ้านาคน้อยเฉกเดิม

“เออน่ะสิ กูจะพาพวกมึงตายห่ากันกลางสนามรบหรือเปล่าก็ไม่รู้” อัสดงยิ้มกว้างด้วยปรีติจนเห็นไรฟันอันมีเขี้ยวเสน่ห์เล็กๆ “ว่าแต่ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม ท่านนาเคนทร์”

“เรียบร้อยดีขอรับ ท่านอณูพระสุริยาทิตย์”

“เรียกเราว่าอัสดงเถอะ”

“ขอรับท่านอัสดง”

นาเคนทร์คำนับรับคำแล้วลอบมองอัสดง ที่ยามนี้ดูผาดๆก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามอันแผ่กำจายไปรายรอบ จากเดิมอณูน้อยคนนี้ก็มีความน่าเกรงขามมากกว่าอณูน้อยทุกคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามนี้กลับเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นไปอีก แถมรัศมีก็ร้อนแรงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว คาดว่าน่าจะได้รับหน้าที่สำคัญกว่าใครมาแน่แท้ เดชะจับเต็มขนาดนี้ คงมีแค่สายตาของเขาละมัง ที่โอนอ่อนผ่อนปรนให้กับทูลกระหม่อมเล็กสีทันดรแต่เพียงพระองค์เดียว

สายตาคู่เดิมคู่นี้แหละ ที่สำแดงมาให้เห็นว่า ...ใครพรากทูลกระหม่อมเล็กไป โทษของมันคือตาย
วันนั้น ยังจำได้ดี ครั้นทัพองครักษ์บุกชิงพระองค์คืนบาดาลที่บ้านอณูน้อยแห่งจันทรเทพ ...นาคาแตกพ่ายไม่มีเหลือ

นี่คงไม่ต้องตีความอะไรให้มากมายสินะว่าเจ้านายตน ทรงมีความสำคัญกับอณูน้อยผู้นี้เพียงไร เจ้านายตนก็เช่นกัน สายพระเนตรที่มีให้กับอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ คือความสิเน่หาที่ทรงปิดไว้ไม่มิดแล้ว ผิดกับวันที่โดนจับเป็นองค์ประกันนัก.. แน่แล้วเชียว ทูลกระหม่อมเล็ก ทรงมีผู้ปกครองพระทัยกับเขาแล้ว อณูน้อยผู้นี้สมเสียยิ่งกว่าเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นในด้านฝีมือและรูปลักษณ์ เห็นควรต้องยอมรับเป็นนายตนด้วยอย่างมิมีข้อกังขาให้เคลือบแคลง ฉะนี้แล้วความนอบน้อมจึงสำแดงให้กับอัสดงโดยมิต้องฝืนใจแต่อย่างใด

“เจ้าแน่ใจนะนาเคนทร์ เทวะผู้ใหญ่หลายๆพระองค์พูดกันให้เซ็งแซ่ว่า พวกมารมันรู้ตัวแล้ว เราว่ามันไม่น่าพลาดโอกาสนี้ที่จะเข้ามาโจมตี พวกเรา เราว่าเจ้าควรลองตรวจสอบให้แน่ดูทีฤา” สีทันดรทรงถามย้ำขึ้นให้แน่พระทัย ด้วยพระสุรเสียงจริงจัง ผิดกับแต่ก่อน ก่อนที่จะขึ้นเฝ้ายังมหาเทวสภา

“พระยะค่ะทูลกระหม่อม ฤาทูลกระหม่อมจะทรงถามเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองตนนี่ก็ได้” ราชองครักษ์กราบทูลตอบ แล้วหันหน้า ไปหาเจ้ารักเจ้ายม ที่วันนี้เดาะมาใส่เสื้อเกราะอ่อนนักรบดูขึงขังผิดหูผิดตา

“ไม่มีวี่แววพวกมารเลยพะยะค่ะพี่ดื้อ รักกับยมและพวกผีป่า ช่วยกันตรวจตราหมดแล้วบริเวรป่าฟากนี้”

“แล้วฟากโน้นล่ะ ไอ้รัก ไอ้ยม” อณูแห่งศนิเทพผละออกจากตระการตา เดินเข้ามาร่วมบทสนทนาพร้อมมหาฤาษี ขมวดคิ้วถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะฟากนี้ของไอ้รักไอ้ยมมัน มันน่าจะไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วคำตอบก็มีมาให้น่าชื่นใจนัก

“ไม่ได้ไปครับพี่ฉัตร”

“อ้าวไอ้ห่า เดี๋ยวก็เตะให้ไปเกิดใหม่เลยนี่”

“ช่างมันเถอะพี่ฉัตร ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว  แยกย้ายไปพักผ่อนกันเถอะ” สีทันดรทรงออกรับแทนเจ้ามหาดเล็กจำเป็น มหาฤาษีเองก็เช่นกัน

“เอ็งอย่าไปว่าอะไรมันนักเลยไอ้ศนิเทพ พลังมันก็เท่านี้ มันทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว แต่เอ จะว่าไปไอ้ผีเด็กสองตัวนี่ หน่วยก้านมันดีนะ นี่เอ็งคงไม่ได้แกะมันมาจากไม้รักไม้ยมตายพรายแล้วกำกับอาคมอย่างเดียวล่ะสิ”

ตระการตาที่เดินตามมาด้วยฟังแล้วก็สงสัยว่าไม้ตายพรายคืออะไร แล้วคำตอบก็มีมาให้จากคันฉัตรโดยมิต้องร้องขอ “ไม้รักไม้ยมตายพราย คือต้นรัก ต้นมะยม ที่ยืนต้นตายเอง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วเอามาแกะเป็นรูปเด็กสองคน เจ้ารักจะตัวสีขาว เจ้ายมจะตัวสีดำ จากนั้นก็เอามาปลุกเสก จนมันมีฤทธิ์มีชีวิตขึ้นมา”

“แล้วเอ็งก็เลยไปเอาวิญญาณเด็กอายุสิบสี่จากวัดร้างมาใส่ให้มันใช่ไหม” หลวงตามหาฤาษีถามต่อ คันฉัตรจึงตอบมหาฤาษีคร่าวๆ ถึงที่มาที่ไปของเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสอง


“ใช่ครับหลวงตา หลานดึงเอาวิญญาณเด็กชายอายุสิบสี่จากวัดร้างแถวอยุธยามาด้วย ไอ้รักไอ้ยม ครั้งยังมีชีวิตมันเป็นบุตรแฝดของขุนศึกฝั่งไทยที่โดนทัพพม่าฆ่าตายทั้งครอบครัวตอนตีฝ่าวงล้อมออกมา วิญญาณมันตอนแรกมันยังถือดาบถือหอกอยู่เลย หลานเห็นว่าหน่วยก้านมันดีและก็สงสารไม่อยากให้มันอยู่ที่วัดร้างนั้น เลยเอามันมาทำงานด้วยกัน”

“เออ ถึงว่าสิ มันกล้าหาญผิดผีตัวอื่นๆ ลูกขุนศึกขุนพลนี่เอง ข้าว่าเอามันมารับใช้ข้าดีกว่าไหม ดีกว่าให้มันไปตามแต่ไอ้สีทันดร ที่มัวแต่หาเรื่องเที่ยวเรื่องเล่นเรื่องซนกันไปวันๆ แล้วข้าจะสอนวิชาเพิ่มฤทธิ์พวกมันให้จะได้ช่วยกำราบพวกอสูรพวกมาร พลังที่ไอ้วายุภัคมันให้มาพอซะที่ไหน เอ็งว่าไง”

มหาฤาษีเสนอมาอย่างนี้ คันฉัตรและเหล่าอณูน้อยทั้งหลายจึงเห็นพ้องต้องกันอย่างมิต้องสงสัย อย่างน้อยก็มีกำลังเพิ่มมาอีกสอง และก็เป็นโชคดีของไอ้รักไอ้ยมนักแล้วที่ได้มหาฤาษีเป็นครู เจ้ารักเจ้ายมเองก็ยิ้มแป้นดีใจนักดีใจหนา ทว่าหากก็มีบางพระองค์ซึ่งก็กลับมาเป็นพระองค์เดิมเพียงชั่วลมพัดนี่แหละ ที่ทรงตีลูกขัดมาขัดคอเป็นสุรเสียงใสทันควัน

“ดู๊ ดูเอาเถิด ที่แท้ก็จะหาเด็กรับใช้ไว้คอยปรนนิบัติพัดวี เป็นผู้ทรงศีลเนี่ย เขาให้ละความสะดวกสบาย แล้วบำเพ็ญเพียร จะได้บรรลุเหมือนกับคนอื่นๆเขา ติดความสบายไปวันๆอย่างนี้สิเล่า ถึงได้....”

“ถึงได้อะไร ไอ้นาคปากเสีย  เอ็งพูดมาให้จบ จะค้างไว้หาไอ้สมุทรรักษ์พ่อเอ็งเหรอ” มหาฤาษีก็ใช่ย่อยเฉกกัน เพียงลมพัดก็ลดอายุนับหมื่นนับพันปีลงมาเถียงกับสีทันดร ชี้ไม้เท้ามาด่าเหย็งๆ 

“ก็บอกไปแล้วไงว่า ถึงได้อยู่แค่ขอบพาน ยังไม่ถึงนิพพาน”

“ข้าก็บอกไปแล้วเหมือนกันโว้ยว่าถ้าข้าจะทำ ข้าก็ทำได้”

“แล้วทำไมไม่ทำล่ะจ๊ะหลงตา”

“ก็มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับข้ารู้ไว้ด้วย ไอ้นาคเวรตะไล” มหาฤาษีลดไม้เท้าลง แล้วยกมือเท้าสะเอวค้อนขวับราวกับเด็กๆไปยังสีทันดร แล้วเบนสายตาไปรายรอบปรัมพิธีที่ทุกผู้ทุกคนกำลังซ่อนยิ้ม แล้วเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับสีทันดร จนทุกคนโดยเฉพาะอัสดงที่ได้ฟังแล้วต้องหุบยิ้มว่า

“เวลาสำหรับข้ายังไม่มาถึงหรอกไอ้สีทันดรเอ๋ย  หากแต่เร็วๆนี้ ไม่เกินสามราตรีนี่ เอ็งรู้ไว้เถิดว่าจะมีพระอริยสงฆ์บรรลุอรหันต์ เข้าสู่พระนิพพาน พวกมารมันต้องเข้ามาขัดขวาง ถ้ามารมันทำสำเร็จพุทธทำนายจะเปลี่ยน ข้าจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้”

“พระอริยสงฆ์ที่ไหนกันจ๊ะหลงตา เท่าที่หลานทราบ ณ ปัจจุบันสมัยนี้ ก็มีแค่....” สีทันดรเองฟังแล้วก็พระทัยวาบ กลับมาเป็นการเป็นงานอีกครั้ง หันไปมองหน้าชายอันเป็นที่รัก ก็เห็นว่าเขาผู้นั้นขึมลงในทันที จึงตรัสมาได้แค่นั้น แต่แล้วอัสดงก็เติมต่อให้ครบถ้วนกระบวนความ ด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะแหบพร่าขับออกมาได้ยากยิ่ง

“หลวงตาที่วัดป่า อาจารย์ของเราเอง ท่านถึงไม่ว่างพาพวกเราขึ้นเฝ้าไงล่ะ”

 “ใช่แล้ว ท่านกำลังบำเพ็ญ แต่เอ็งอย่าเสียใจอาลัยท่านไปเลยไอ้อัสดง การที่ท่านบรรลุแล้วเลือกเข้าพระนิพพานเลย มันเป็นผลดีแก่เหล่าเทวดา เพราะจะสร้างสิริและปรีติ อีกทั้งขวัญกำลังใจให้แก่เทวะทั้งผองว่าพระศาสนาที่คอยปกป้องมีเนื้อนาบุญบังเกิด” หลวงตามหาฤาษีทอดเสียงนุ่มมายังอัสดงเป็นการปลอบ แล้วหันไปกล่าวกับทุกคนว่า 

 “ภารกิจสำคัญอันแรกของพวกเอ็งมาถึงแล้ว ปกป้องพระอริยะให้บรรลุพระอรหันต์  พวกมารมันมาแน่ พวกเอ็งเตรียมตัวกันให้ดี”

“ขอรับหลวงตา” อัสดงฝืนเสียงหนักแน่นรับคำ แล้วกล่าวกับสหายอณูทั้งหลายในฐานะผู้นำปิดท้ายว่า “เอาล่ะ พวกเรา กลับไปพักผ่อนกันก่อน เที่ยงคืนเราจะมีประชุมกัน ตามนั้น”

“ครับ ไอ้แม่ทัพ”

ทุกคนรับคำแล้วทั้งหมดก็พากันทะยานขึ้นฟ้ามุ่งหน้าออกจากปรัมพิธีกลับสู่รีสอร์ทริมแม่น้ำปาย หาได้ทราบไม่ว่า ณ อีกฟากป่าของที่ตั้งปรัมพิธีที่รักยมไปไม่ถึง บัดนี้มีกลุ่มก้อนรัศมีสีดำมืด ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละกลุ่มสองกลุ่มจนนับได้เกือบสิบอยู่กลางลานป่าภูเขาด้านหลัง กลุ่มก้อนรัศมีเหล่านี้หาได้มีความเรืองรองดุจเทวะอันใดไม่ จึงแฝงกายไปในความมืดมิดได้อย่างกลมกลืนนัก

“ทำไมพวกเราไม่บุกซะตอนนี้” เสียงบาดหูกล่าวขึ้น พร้อมๆกับรัศมีสีดำที่สลายกลายเป็นสตรีนางหนึ่ง หน้าตาเรียบตึง เคียดขึ้ง อันมีเขี้ยวเล็กๆออกมาจากมุมปากทั้งสองข้าง เมื่อสิ้นเสียงนางอสุรีผู้นี้นั้น ก็มีเสียงแหบห้าวตามมาสนับสนุนอีกหลายเสียง แต่ก็มีเสียงกังวานจากหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่งวัยประมาณสิบแปดขัดไว้ อันรอบกายของเขามีรัศมีสีดำไม่ต่างกัน

“จอมอสูรบัญชาแค่ให้พวกเรามาดู มิได้บัญชาให้โจมตี หรือท่านอาสำมะนักขากล้าขัดคำสั่ง”

“เหอะ...อินทรชิต เจ้าก็อ้างแต่จอมอสูร ข้าว่าเจ้าขี้ขลาดซะมากกว่า น่าขายหน้านัก นี่น่ะหรือผู้ที่เคยรบชนะพระอินทร์”

“ข้าว่าท่านหุบปากซะเถอะท่านอาสำมะนักขา อย่าพูดจาอะไรที่แสดงความโง่ออกมา ท่านไม่เห็นหรือไงว่าทั้งทัพยักษ์ ทัพนาค และทัพครุฑ ยืนล้อมเป็นปราการอยู่เต็มซะขนาดนั้น การที่เราจะฝ่าเข้าไป มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไพร่พลของเราเพิ่งฟื้นพละกำลัง หาได้แข็งแรงเหมือนแต่เก่าก่อน ทั้งข้าและท่านเองก็เพิ่งจะรู้ตัวตื่นจากการหลับไหลในร่างมนุษย์ วันนี้เรามาแค่สืบข่าวของพวกอณูเทวะ และเราก็ได้ทราบแล้วว่าพวกมันขึ้นเฝ้ายังเทวสภา มีกองกำลังใดบ้างสนับสนุน ข้าเห็นว่าเราควรกลับ ไม่ควรทำเกินเลยคำสั่งท่านจอมอสูร เพราะท่านมีงานสำคัญเรื่องพระอริยสงฆ์ให้เราทำกันต่อ” เจ้าหนุ่มน้อยผู้มีนามว่าอินทรชิตเตือนสติสตรีสาวผู้มีศักดิ์เป็นอาด้วยน้ำเสียงทรงพลัง อาสาวที่ได้ฟังถึงกับชะงักงันไปเพียงครู่ก่อนจะสำแดงทีท่าพร้อมน้ำเสียงไม่พอใจออกมา

“อย่าบังอาจมาเตือนข้าอินทรชิต”

 “จนแล้วจนรอดจนหนีกลับมาเกิดใหม่ในร่างมนุษย์ ท่านก็ยังคงเป็นท่านเฉกเดิม ความใจร้อนและวู่วามของท่าน เคยทำให้พวกเราสิ้นวงศ์มาแล้ว”

“ที่สิ้นวงศ์ก็เพราะพ่อเจ้าเองที่หลงพระนางสีดา อวตารแห่งพระแม่เจ้ามหาลักษมีเทวี หาใช่ข้าไม่”

“ก็ถ้าท่านดูให้ดี และไม่มาบอกและเป่าหูพ่อข้า ...พ่อข้าก็คงไม่ลักพาพระนางมา และคงไม่ทำสงครามกับองค์อวตารของพระมหาวิษณุหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดมาจากตัณหาและราคะของท่านที่หลงรูปองค์อวตารทั้งนั้น เหอะ ข้าพูดกับท่านก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ ข้าว่า ข้ากลับไปรายงานท่านจอมอสูรก่อนล่ะ ข้าจะได้ไปจัดการเรื่องพระอริยสงฆ์ต่อ ถ้าท่านอยากจะอยู่ตรงนี้ต่อไป หรืออยากจะบุกเข้าไปก็ตามใจ ข้าถือว่าข้าบอกข้าเตือนท่านแล้ว ”

เจ้าหนุ่มน้อยอินทรชิตผู้มีเขี้ยวงอกจากมุมปากมิต่างอะไรกับผู้เป็นอา พูดจบก็สลายร่างเป็นรัศมีสีดำมืดอีกครา พุ่งปราดละเลียดพื้นไปตามแนวป่ามืดสนิท ตามมาด้วยรัศมีที่เห็นด้วยอีกหลายรัศมี คงเหลือแต่ผู้สตรีวัยประมาณยี่สิบที่ถูกเรียกว่าสำมะนักขา ผู้ที่ยังยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นครั้งอดีต ก่อนจะสลายร่างแล้วพุ่งแยกไปอีกทาง ทิ้งไว้แต่น้ำเสียงดุดันเกินสตรีที่ยังดังลั่นไล่หลังไปตามแนวป่าเท่านั้น

“เหอะ อินทรชิต เจ้าเอาข่าวแค่นั้นไปบอกท่านจอมอสูรใครก็ทำได้ ข้านี่แหละจะไปเอาข่าวมากกว่านี้มาแจ้งแก่ท่านจอมอสูร เพื่อที่จะตบหน้าเจ้าให้ได้อายให้ดู เจ้าจะได้เลิกหลบหลู่ข้าซะที”

อัสดงและสีทันดรเมื่อกลับมาถึงรีสอร์ทริมแม่น้ำปาย ก็แยกเข้าบ้านพัก เฉกอณูคนอื่นๆ และเมื่อเข้ามาถึงอัสดงยังคงพาสีหน้าหม่นแสงไปจัดการธุระส่วนตัวชำระร่างกายจนเสร็จสิ้น ครั้นพอออกมาจากห้องน้ำก็มองนาฬิกาเห็นว่าอีกนานกว่าจะเที่ยงคืน จึงพาร่างเปล่าเปลือยที่แห้งเองอย่างรวดเร็วเพียงแค่เปล่งรัศมีสีแดงเพลิงประจำตัวเบาๆ มานั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงปลายเตียงสีขาวหนานุ่ม มิอายสายพระเนตรสีฟ้าครามที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ก่อนที่เห็นแล้วก็ตกพระทัย

“ชีเปลือย!! ไอ้ไฟบ้า”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ มานี่” อัสดงพูดจบก็ใช้วงแขนคว้าวรองค์งามงดมาแนบตัก กอดแน่นไว้เต็มรัก แล้วเกยคางวางไว้บนไหล่เจ้านาคน้อยเบาๆ เคล้าคลอไปเรื่อยจนถึงซอกพระศอลออเศวตอย่างที่ชอบกระทำ 

“ไอ้ดื้อจ๋า อัสสะขอพลังหน่อย”

“อยากได้พลัง ก็ไปใส่เสื้อผ้าแล้วเข้าฌานเอาสิ มาขออะไรจากเรา”

“เจ้าก็รู้ว่าพลังที่เราต้องการ มันหาไม่ได้จากการเข้าฌาน แต่มันมาจากปากเจ้าต่างหาก” แล้วเจ้าคนพูดก็ทำแก้มป่องๆ ตาละห้อย ชะรอยจะยังคงกังวลเรื่องพระอาจารย์หลวงตาวัดป่า จนคนที่นั่งอยู่บนตักเห็นแล้วก็สงสารเห็นอดเห็นใจมิได้ จึงเต็มพระทัยด้วยพระพักตร์แดงๆถ่ายพลังไปให้เสียหนึ่งฟอด หากก็คงยังมิหนำใจกระมัง

เจ้านาคน้อยเอ๋ย เจ้าลืมไปแล้วหรือไร ว่ายอดรักเจ้าลูกไฟดวงใหญ่ของเจ้า ...มันเจ้าเล่ห์เกเรเพียงใด
หอมแค่หนึ่งฟอดมันจะไปเพียงพอกระไรกัน!!

“และก็..ตัวของเจ้าด้วย”

ว่าแล้ววงหน้าที่หม่นแสงเรียกคะแนนสงสารก็กลับฉายฉานได้ดังเดิม ตามมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เกเร พร้อมวงแขนแข็งแรงที่รัดบั้นพระองค์อยู่ก็คลายออก แล้วใช้มือเลื่อนมาปลดสนับเพลาด้วยความรวดเร็ว ด้วยความที่มิได้ระวังพระองค์เช่นเคยจึงมิยากเย็นเลยสำหรับอัสดงที่จะจับดึงออกมา แล้วขว้างทิ้งไปข้างเตียงอย่างง่ายดาย

“อย่านะ ไม่เอานะอัสสะ เอากางเกงเราคืนมา เดี๋ยวก็ไปประชุมไม่ทันกันพอดี” สีทันดรทรงพยายามขอคืน แต่อัสดงก็ส่งคืนมาเพียงลูกอ้อน อ้อนมาอย่างกับเด็กน้อยตอแยจะเอาของเล่น และต้องเอาให้ได้

“ถมถืดน่าไอ้ดื้อ...นะๆ ขออัสสะเถอะ อยากให้อัสสะขาดใจตายก่อนจะได้ออกรบหรือไง นะไอ้ดื้อจ๋า ยอมเถอะนะคนดี แล้วพรุ่งนี้ไอ้ดื้ออยากได้อะไร อยากไปเที่ยวไหน พี่อัสสะจะหามาให้ จะพาไปหมด ”

“ไม่เอาเดี๋ยวเราท้อง” สีทันดรคงไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบ่ายเบี่ยงละมัง จึงตอบไปอย่างนั้น ผลคือโดนจูบฟอดใหญ่แทนมะเหงกลูกเบ้อเร่อเขกมากลางพระเกศาหนานุ่มเป็นมันขลับ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะกังวานด้วยความเอ็นดู

“เป็นเทวนาคา ไม่ใช่เทวนาคีท้องได้ด้วยเหรอ แต่เอ..ถ้าเกิดเจ้าเป็นเทวนาคี เจ้าอยากมีลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงกับอัสสะกันล่ะ”

“ถ้ามีได้เหรอ เราอยากมีลูกชายกับอัสสะ รู้ไหม เมื่อวานที่ขึ้นเฝ้า หลงตามหาฤาษีบอกกับมุจลินทร์ว่า นางกับทูลหม่อมพี่ชายทยุติธรจะมีลูกชายคนแรกด้วยกันที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่แพ้ทูลหม่อมปู่อนันตนาคราช เราได้ยินแถมก็ยังแอบดันเผลอคิดเล่นๆว่า ถ้าเรามีลูกกับเจ้า ลูกเราจะเป็นอย่างไร”

“ก็คงหล่อและเก่งเหมือนพ่อ แต่ดื้อ แสนซน และพิษร้ายเหมือนแม่”

“ก็คงจะจริงเนอะ แต่คงไม่หรอกอัสสะ เพราะถ้าเราเป็นเทวนาคี ลูกที่เกิดจากเราจะถือเพศตามบิดาเสมอ อัสสะเป็นแค่อณูแห่งเทวะ เป็นมนุษย์กึ่งเทพ หาใช่เทวะเต็มตัว ลูกของเราก็จะเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่มีเศษเสี้ยวเทวดาและเศษเสี้ยวนาคาเท่านั้น หาได้มีเดชะมากเท่าเราทั้งสองไม่ แถมลูกของเราก็ต้องถูก...”

สีทันดรตรัสยังไม่ทันจบ อัสดงก็แทรกขึ้นทันทีด้วยเสียง และแสร้งเอาปลายหอกด้ามมนด้ามเดิมอันแข็งแกร่งยิ่ง พยายามวนเวียนแทรกเข้ามาทักทายบริเวณท้ายบั้นพระองค์เปล่าเปลือย แล้ววกกลับมาเข้าเรื่องเดิมจนได้

“อัสสะไม่เชื่อที่เจ้าพูดหรอก อัสสะว่าเราลองมาทำลูกกันไหม จะได้รู้ว่าจริงหรือไม่”

“ โอ๊ยไม่เอา เราเหนื่อย  อัสสะไม่เหนื่อยหรือไง” สีทันดรรีบปฏิเสธ อะไรๆที่พูดค้างไว้ไม่จบ อันเป็นเรื่องสำคัญดันลืมเสียหมดสิ้น

“เหนื่อยสิ เหนื่อยมาก ยิ่งรู้ว่าหลวงตาจะไม่อยู่แล้ว ยิ่งหมดแรง ใจมันโหวงๆพิกล” อัสดงยุติทีท่าเจ้าชู้ลงทันใด แล้วจับเจ้านาคน้อยหันหน้าเข้าหามิยอมให้หลุดจากตักด้วยความช่ำชอง สีทันดรที่หันหน้ามาแล้วก็เห็นสายตาสีอำพันที่ชอบฉายแววเกเรเจ้าเล่ห์ จู่ๆหม่นแสงลงอีกครั้ง จึงเข้าใจในถ้อยคำและความรู้สึกของอัสดงเป็นอย่างดี

“อัสสะควรจะดีใจนะที่หลวงตาท่านจะบรรลุอรหันตผล”

“ดีใจน่ะ ดีใจ แต่ทำไมท่านถึงเลือกเข้านิพพานเลย ท่านคงสังขาร อยู่สั่งสอนมนุษย์ไม่ดีกว่าหรือ”

“ก็อย่างที่หลงตามหาฤาษีบอกไง เพื่อขวัญและกำลังใจของเทวดา อีกอย่างเราเห็นว่า มนุษย์สมัยนี้ถูกครอบงำด้วยมิฉาทิฐิเสียเป็นส่วนใหญ่ เข้าถึงพระธรรมได้ยาก บางทีนะเราก็คิดว่าสอนไปก็เท่านั้น กิเลสของมนุษย์หนาขึ้นทุกวันยากจะขัดเกลา คงเป็นการดีแล้วล่ะที่ท่านจะเลือกนิพพานเลยในช่วงเวลาที่สงครามกำลังจะเกิดนี่ สร้างปรีติให้เทวดาเพื่อที่จะมีกำลังปกป้องพิภพมนุษย์จากมารทั้งผอง อัสสะก็รู้ดีนี่ว่า พลังของเทวดามาจากปรีติและบุญทั้งนั้น อัสสะควรจะกังวลกับการรับมือพวกมารดีกว่านะ”

“มันก็จริงของเจ้านะไอ้ดื้อ...แต่อัสสะยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณท่านเลย”

“การที่อัสสะออกรบ เป็นแม่ทัพนำศึกปราบมารและอสูรครั้งนี้ก็ถือว่าได้แทนคุณท่านแล้ว จงใช้สรรพวิทยาที่ท่านถ่ายทอดให้กำราบพวกมารให้สิ้นซาก ให้ลือเลื่องไปทั้งสามโลกจนทุกคนสรรเสริญว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์เก่งกาจได้เพราะใครสอน นี่ก็เป็นการแทนคุณอย่างหนึ่ง เชื่อเรานะ”

สุรเสียงใสทอดมาพร้อมเหตุผลน่าฟัง คนฟังก็เริ่มเห็นด้วย เคลิ้มคล้อยตามอย่างไม่มีข้อกังขา พยักหน้าตอบรับเข้าใจ ฉะนี้ พระหัตถ์น้อยๆจึงยกมาลูบหน้าตระการดุจรูปสลักของชายอันเป็นที่รัก ก่อนจะประทานจูบประทับไว้กลางหน้าผาก พร้อมวรองค์ที่ค่อยๆ เลี่ยงลุกออกมาช้าๆจากตักอัสดงอย่างแผ่วเบา แต่ทว่าถึงจะเบาอย่างไร ก็ไม่ไวไปกว่าเจ้าของตักที่ดันรู้ตัวพอดิบพอดี

“อย่าเนียนไอ้ดื้อ จะหนีไปไหนมานี่เลย ”

และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายจากอัสดง ก่อนจะใช้ริมฝีปากปากสะกดเจ้าอสรพิษแสนกลลงไปบนพื้นเตียง คงมิต้องบอกหรอกนะว่า นอกจากปากแล้ว อัสดงจะใช้อะไรกำราบอีก หากมิใช่ทวนด้ามแกร่งด้ามเดิมที่เจ้านาคน้อยคุ้นเคยในมหาฤทธีเป็นอย่างดีนั่นเอง และเพราะความคุ้นเคยนี่แหละ ทำให้บังเกิดเสียงตับๆโครมๆโรมรันกับด้ามทวนเคยคุ้นไปยังบ้านพักข้างๆด้านขวา ที่เป็นของคู่รักจอมเซี้ยวเอราวัตกับคืนฉาย ที่ต่างฝ่ายต่างนั่งเท้าคางฟังจนจั๊กกะจี้หัวใจ และอดใจไม่ไหวจนต้องทำตาม ผิดกับอีกบ้านด้านซ้ายที่เป็นของน้ำเชี่ยวกับธรรม์และราหู ที่บ่นกันระงม

“ไอ้อัสดงเอาอีกแล้ว จักกะจี้โว้ย ไปกินเหล้าบ้านไอ้กลดดีกว่า” ราหูบ่นเสร็จก็เดินปึงปังออกจากห้องไป เหลือไว้แค่น้ำเชี่ยวกับธรรม์ที่ถึงแม้จะบ่น หากก็ลอบสบตามองหน้ากันเนืองๆ จนหน้าเริ่มแดงกันทั้งคู่ จนน้ำเชี่ยวต้องพูดแก้เขินท่ามกลางเสียงโครมคราม แต่ครั้นพอพูดมาแล้วก็กลับทำให้ต่างฝ่ายต่างเขินกันเขินหนักขึ้นมาอีก

“เมื่อไหร่ เราสองคนจะคุยเรื่องของเราล่ะ ธรรม์”

“เรื่องอะไรหรือน้ำเชี่ยว” อณูน้อยแห่งพระพฤหัสครุเทพ ซ่อนความขรึมไว้ไม่อยู่แล้ว

“ก็เรื่องที่นายรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่”

“นายเป็นอณูแห่งเทพนักรบ ทำไมนายไม่ลองบุกเข้ามาในใจฉันดูเล่าน้ำเชี่ยว กำแพงหัวใจของฉันสำหรับนาย มันไม่ได้แข็งแรงอะไรเลย”

ธรรม์ยิ้มกว้างแล้วรีบลุกหนีวงแขนแข็งแรงของเจ้าพระอังคารที่ตั้งท่าจะคว้าตัวเขาไว้ เจ้าเทพแห่งสงครามจึงคว้าได้แต่ลมและรอยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผยอันไม่เคยมีมาก่อนของธรรม์ที่เริ่มมีให้ต่อเนื่องตั้งแต่กุมมือกันลงจากเทวสภา คนหนีได้ยักคิ้วอย่างท้าทาย แล้วสลายวับลับหายตามราหูไป เหลือแต่คนไขว่คว้านั่งคาดโทษไปมาอยู่คนเดียว

“เดี๋ยวเหอะไอ้ธรรม์ ท้าทายดีนัก สักวันฉันจะบุกจนกำแพงของนายทั้งป่นทั้งปี้เลยคอยดู”

ด้านราหูเมื่ออกมาจากบ้านได้ ก็มุ่งหน้าไปบ้านทรงกลดกับนลกุพร แต่ก็เข้าไปไม่ได้เพราะทรงกลดดันร่ายม่านอาคมไว้ บังเกิดเป็นตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘อย่ารบกวน’ จึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าไปบ้านคันฉัตรกับตระการตา แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเข้าไม่ได้อีกครา เพราะเจอม่านอาคมหนากว่าใหญ่กว่าด้วยถ้อยคำเดียวกัน ที่หนักไปกว่านั้นมีทั้งดอกจันและขีดเส้นใต้ เน้นความหมายมาพร้อมเพียง จนต้องตะโกนสุดเสียง แต่อนิจจา หาได้มีใครออกมาดูราหูสักนิดเดียว

“รู้งี้กูแบ่งภาคมาพร้อมพวกมึงก็ดี ไม่น่าตามลงมาทีหลังเลย ไม่งั้นป่านนี้ กูมีคู่ไปแล้ว .....เหงาโว้ย”

ราหูกว่าจะรู้ก็สายไปแล้ว หวังแต่เพียงว่า คงยังไม่สายเกินไปหรอกนะ ที่จะมีมหาเทพ มหาเทวี องค์ใดก็ได้เมตตา ประทานคู่มาให้บ้างอย่างที่เพื่อนๆมีกันเท่านั้นก็พอ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ อัพ ๑๒ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 12-05-2020 15:22:42
เที่ยงคืนแล้ว อณูน้อยทุกคนก็มารวมตัวกันดังนัดหมาย เลือกเอาศาลารีสอร์ทริมน้ำปายเป็นสถานที่ประชุม เมื่อทุกคนพรักพร้อม อัสดงก็ตั้งจิตเชิญมหาฤาษีมาเป็นประธาน หากก็คงมิไวเท่าสีทันดรที่มิต้องตั้งจิตเชิญอะไรให้เสียเวลา

“มาถึงก่อนใครเพื่อน แต่ก็เล่นตัวไม่ยอมปรากฏตัวออกมาเนอะ ว่าไหมนล” สีทันดรหันไปพยักเพยิดกับนลกุพร ที่ประทับยืนกอดไหล่ตนอยู่ข้างๆ

“เอ้า ทุกคนเตรียมอุดหู” และเพียงสิ้นเสียงนลกุพร เสียงลั่นๆก็ตามมาดังว่าพร้อมตัวจริงๆ

“ใครว่าข้าเล่นตัว ข้ามาถึงก่อน ข้าก็เข้าฌานข้ามั่งสิโว้ย ไม่รู้ก็หุบปากไป ไอ้นาคพ่อแม่...”

“ไม่สั่งสอน ..ด่าคำอื่นบ้างเหอะหลงตา หลานเบื่อแล้วคำนี้” สีทันดรทรงบ่นกระปอดกระแปด แล้วเลื่อนเบาะหนานุ่มถวายเป็นอาสนะ จากนั้นจึงประเคนน้ำชาร้อนๆให้

“ขอบใจ ทำดีกับเขาก็เป็นนี่” มหาฤาษีค้อนอีกขวับ แต่ก็ค้อนไปอย่างนั้นแหละ เพราะรู้ดีว่า ไอ้เจ้าเทวนาคาคู่ปรับนี่ ลึกๆแล้วมันเคารพตนเพียงใด จึงยกชาขึ้นมาจิบ และวิธีการจิบก็เฉกเดียวกับสีทันดร คือใช้จมูกสูดดมสัมผัสรสตามแบบฉบับเทวะเท่านั้น

“อืมมมม ชาหอมดี รสดี โล่งคอ”

“รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  เป็นสิ่งที่ผู้ทรงศีลควรละนะจ๊ะ หลงตา”

ครานี้มหาฤาษีไม่โกรธ แถมยังหัวเราะออกมาลั่นไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อ มองไปรายรอบยังผู้เข้าร่วมประชุม แล้วก็ถามคันฉัตรขึ้นว่า

“แล้วนี่เอ็งไม่พา ไอ้ตระการตามันไม่มาประชุมด้วยเหรอ ไอ้ศนิเทพ”

“หลานเห็นว่าเรื่องที่จะคุยกัน ไม่น่าจะเกี่ยวกับตระการตา จึงให้รออยู่ที่บ้านพักครับ”

“ให้ไอ้รักไอ้ยมมันไปตามมาร่วมประชุมเถอะ ไหนๆมันก็เป็นโอษฐ์แห่งพระมหาอุมาเทวีแล้ว มันควรจะต้องรับรู้”

“แต่พระแม่เจ้าก็ตรัสแค่ว่า ให้ตระการตานำพามนุษย์สวดมนต์”

“นั่นมันภารกิจแรกต่างหากล่ะพี่ฉัตร พี่ไม่ได้ยินพระแม่เจ้าตรัสหรือไร” สีทันดรทรงแทรกมาให้ แล้วหันไปหามหาฤาษี “ หลานว่ามหาเทวี ทรงไม่ใช้งานพี่ตระการตาแค่นี้หรอก ทรงมีโอษฐ์ทั้งที หลานว่าอีกไม่นานคงลงประทับ เพื่อเลี่ยงพลังสะท้อนจากอำนาจพระองค์เอง ที่จะลงมาโลกมนุษย์โดยตรง”

“เอ็งเข้าใจได้ถูกต้องแล้วไอ้สีทันดร”

มหาฤาษีระบายลมหายใจเมื่อพูดถึงตรงนี้ คงมีแต่สีทันดรและนลกุพร ที่เข้าใจในลมหายใจของมหาฤาษีที่ระบายออกมา แต่ทั้งสองก็มิได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ส่งกระแสจิตถึงกันและส่งไปหามหาฤาษีที่แม้แต่เอราวัตอณูแห่งพระพุธผู้มีอำนาจพิเศษล่วงรู้จิตใจก็มิสามารถจับได้ ทั้งสามคุยอะไรกันมิมีใครรู้ และแล้วคันฉัตรก็เรียกรักยมให้ไปตามตระการตามาจากบ้านพักตามคำสั่งหลวงตามหาฤาษี ในระหว่างที่รอนี่เองมหาฤาษีก็เอ่ยถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งขึ้นว่า

“พวกเอ็งโชคดีแล้ว ที่ศึกครั้งนี้ เอ็งมีโอษฐ์แห่งพระแม่เจ้ามหาอุมาเทวีร่วมด้วย พระแม่เจ้าท่านทรงศักดิ์และอำนาจเหนือสามโลก และพวกเอ็งก็ยังมีอณูแห่งพระแม่เจ้ามหาลักษมีคือไอ้สีทันดร พระแม่เจ้าจะประทานสิริและชยะคือความสำเร็จให้แก่พวกเจ้าในทุกๆศึก พวกเอ็งขาดก็แต่ปัญญาจากพระแม่เจ้ามหาสรัสวดีเทวี”

“จริงด้วยครับหลวงตา” คืนฉายกับธรรม์ผู้เป็นครุหรือครูของอสูรและเทวะขานรับมาแทบๆจะพร้อมกัน แล้วคืนฉายก็ถามในสิ่งที่ทุกๆคนสงสัย “เราขาดก็แต่ตัวแทนแห่งปัญญา ว่าแต่ทำไมท่านไม่เสด็จมาประทานพรที่เทวสภาด้วยครับหลวงตา”

“เอ๊ะ หรือว่าพระแม่เจ้าประทับที่พรหมโลกทรงฌานพร้อมมหาพรหมเทพ พระผู้สร้าง” ธรรม์ตอบข้อสันนิษฐานมาให้แต่ก็มิใช่ซะทีเดียว

“อำนาจและสิริความงามเลิศนั้นสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมตัวมนุษย์ เว้นแต่ปัญญาและความรู้เท่านั้นที่ต้องเสาะแสวงหาเองด้วยความเพียร เพราะฉะนี้พระแม่เจ้าจึงไม่เสด็จ ถ้าพวกเอ็งอยากได้ปัญญามาโต้ตอบเล่ห์เหลี่ยมอสูรแล้วละก็ จงหาทางเข้าเฝ้าพระแม่เจ้ามหาสรัสวดีซะ”

“ขึ้นไปยังพรหมโลกเลยหรือหลวงตา เดชะและตบะของพวกหลานคงขึ้นไม่ถึง” ธรรม์แย้งมาอ่อยๆ น้ำเชี่ยวที่สนใจฟังอยู่ก็เสนอมาให้

“ก็ให้น้องดื้อไปทูลเชิญท่านมาไง น้องดื้อเป็นตัวโปรดเป็นอณูแห่งมหาลักษมีเทวี ...มหาสรัสวดียังไงก็ต้องเสด็จ”

“โอ๊ยยย พี่น้ำเชี่ยวนี่ก็ สมแล้วเป็นอณูแห่งพระอังคาร ถ้าเรามุทะลุไปอัญเชิญเสด็จมานั้น นอกจากท่านจะไม่เสด็จมาแล้ว ท่านคงกริ้วจนเอาพิณฟาดหัวเราแตก พี่รู้ไหมพระแม่เจ้าท่านน่ะเคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติมาก ทำอะไรต้องทำให้ถูกต้องตามพิธีการ มีอยู่ครั้งหนึ่งเรากำลังเฝ้าพระมหาอุมาเทวีกับพระมหาลักษมีอยู่ พระมหาสรัสวดีเสด็จมาเยี่ยมทั้งสองพระองค์พอดี ท่านเห็นเราฝึกมนตราโดยมิกราบบูชาพระมหาพิฆเนศวรตามธรรมเนียมก่อน ท่านบ่นเราซะยกใหญ่” สีทันดรตอบน้ำเชี่ยว ย่นพระนาสิกด้วยทรงขยาดในเหตุการณ์ครั้งนั้น แล้วเสียงใสก็กล่าวต่อพร้อมทั้งแนะนำมาให้

“แต่ท่านก็ใจดีนะ ท่านบ่นเสร็จแล้วก็ประทานมนตรามาให้เราตั้งหลายบท เราว่าพี่ทำตามขั้นตอนเถอะจะเป็นผลดีสำหรับพวกพี่ๆมากกว่า หลงตาท่านพูดถูกแล้ว ปัญญาและความรู้จะไม่มาหาเราเอง เราต้องขวนขวาย”

“และพวกเอ็งก็ไม่ต้องขึ้นไปถึงพรหมโลก เอาแต่เฉพาะเอ็งสองคน ไอ้อณูครุอสูรกับไอ้อณูครุเทพ ที่เอ็งจะต้องเข้าฌานบูชาพระแม่เจ้าจนท่านพอพระทัยให้เฝ้านั่นแหละ ตั้งใจทำให้ดีนะ ปัญญาจะอยู่กับฝั่งเทวะหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพวกเอ็งสองคน”

“ครับหลวงตา”

คืนฉายกับธรรม์รับคำมาพร้อมๆกันอย่างเต็มใจที่จะต้องทำงานสำคัญร่วมกัน แม้ต้นกำเนิดจะไม่ถูกกันอย่างไรก็ตาม เขาทั้งสองก็ไม่สนใจแล้ว เพราะในปัจจุบันนี้ต่างปฏิญาณกันไว้แล้วว่าทุกคนคือเพื่อนตาย ครั้นพอทั้งสองรับคำเสร็จ ตระการตาก็มาถึงพร้อมรักยมพอดี อัสดงจึงเปิดประชุม โดยมีมหาฤาษีนั่งเป็นประธานเช่นเดิม

โดยเรื่องแรกก็คือเรื่องเลือกรองแม่ทัพ ที่อัสดงให้เหตุผลมาว่า จำเป็นในกรณีที่ตนเกิดเพลี่ยงพล้ำจะได้มีผู้นำศึกต่อไปได้ ทุกเสียงเห็นพ้อง ลงความเห็นไปที่น้ำเชี่ยวผู้เป็นอณูแห่งเทพสงคราม น้ำเชี่ยวไม่ปฏิเสธแต่เขาก็เสนอมาว่าอยากให้มีรองแม่ทัพอีกคนเป็นซ้ายขวา จึงเสนอทรงกลดผู้เป็นอณูแห่งจันทรเศขรกับคันฉัตรผู้เป็นอณูแห่งศนิเทพมาให้เลือก แล้วมหาฤาษีก็ตัดสินสรุปมาให้ว่า

“งั้นรองแม่ทัพก็มีสามคนไปเลย ไอ้อณูพระเสาร์มันดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่มีความเป็นผู้นำสูง ให้มันเป็นรองแม่ทัพใหญ่ ส่วนไอ้อณูพระอังคารมันดุดันคุมหน่วยทะลวงฟันให้มันเป็นรองแม่ทัพฝ่ายขวาบัญชาทัพหน้า ส่วนไอ้อณูจันทรเทพให้มันเป็นรองแม่ทัพฝ่ายซ้าย ตามศักดิ์ของเทวประธานยามค่ำคืน”

ทุกคนเห็นด้วยกับมหาฤาษีไม่มีข้อโต้แย้ง เมื่อเลือกรองแม่ทัพลงตัวแล้ว อัสดงก็เริ่มถกแผนตั้งรับมารเพื่อจะปกป้องพระอรหันต์ที่กำลังจะบังเกิด โดยเสนอให้แบ่งกำลังเป็นสองฝ่ายนั่นคือฝ่ายแรกจะเป็นฝ่ายของทรงกลดที่จะย้ายฐานที่มั่น เข้าไปตั้งค่ายยังป่าลึกค่อนไปทางด้านเหนือจนเลยพรมแดนไทย เพื่อกันมิให้มนุษย์ธรรมดาพบเห็น และทรงกลดจะต้องคอยดูร่างของธรรม์กับคืนฉายในระหว่างเข้าฌานติดต่อมหาสรัสวดีเทวี กองกำลังด้านนี้จะมีราหูกับเอราวัตช่วยอีกสองแรง

ส่วนกองกำลังสำคัญอีกกองที่จะมุ่งหน้าไปอารักขาหลวงตาวัดป่านั้นจะนำโดยอัสดง อันมีน้ำเชี่ยว คันฉัตร และนลกุพร เข้าร่วม ส่วนสีทันดรนั้นมิได้อยู่กองกำลังฝ่ายใด และก็น่าแปลกเสียจริงเชียวที่ครั้งนี้ไม่โวยวายงอแงรบเร้าจะตามไปด้วย กลับสมัครใจขอประทับอยู่กับมหาฤาษีที่จะตามทรงกลดไปยังฐานทัพใหม่ พร้อมขอตระการตาไว้อยู่กับตัว

“เจ้าดูแปลกๆไปนะไอ้ดื้อ เจ้าไม่สบายไปหรือเปล่า” อัสดงเอาหลังมืออังหน้าผากสุดที่รัก มิเชื่อหูมิเชื่อตาที่เห็น “นี่วางแผนจะไปเล่นซนอะไรอีกหรือเปล่านี่ อัสสะล่ะหวั่นใจจริงๆ”

“เปล่านะอัสสะ ไม่เชื่อก็ลองถามนลกับหลงตามหาฤาษีดูสิ”

“ไม่หรอกอัสดง สีทันดรคงคิดได้น่ะว่าเราเข้าสู่การศึกจริงๆแล้ว เลยเลิกซน” นลเสริมมาให้ และก็น่าแปลกสำหรับอัสดงและอณูน้อยทุกคนเหลือเกินที่ครั้งนี้นลกุพรทรงยืนข้างสีทันดร แต่ก็ต้องหักใจเลิกคิดเมื่อมหาฤาษีสำทับมา

“ให้มันอยู่กับข้าน่ะดีแล้ว ...พวกเอ็งนี่ก็แปลก พอมันไม่ร้องตามก็อยากจะให้มันร้องตาม พอมันร้องตามก็ไม่ให้มันไป ข้าล่ะเอาใจไม่ถูก เอาล่ะดึกแล้วเลิกประชุมกันได้แล้ว ข้าจะกลับอาศรมข้าล่ะ”

มหาฤาษีตัดบทมาอย่างนี้จึงไม่มีใครคุยอะไรกันต่อ แล้วมหาฤาษีก็สลายร่างหายวับไป แต่ก่อนจะไปก็พยักหน้าให้สีทันดรกับนลกุพรที่เดินช้าๆรั้งท้ายตามกลุ่มอณูน้อยที่เดินทยอยออกจาศาลาพร้อมตระการตาที่เดินอยู่ตรงกลางกลับสู่บ้านพัก เมื่อห่างจนได้ระยะสองสหายก็คุยแก่กันว่า

“จะได้ผลแน่นะ สีทันดร”

“คงจะได้ผลแหละนล อีกอย่างหลงตาก็รับปากแล้วจะช่วย ตระการตาต้องทำได้ ...นลอยู่ทางนั้น เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”

สีทันดรตรัสตอบอย่างแผ่วเบา สุรเสียงเจือความไม่มั่นพระทัยเท่าไหร่ แล้วหันไปมองแนวป่าดำมืดริมแม่น้ำรายรอบ มองแวบๆทรงเห็นไม่มีอะไร จึงกวาดพระเนตรกลับมา และในครั้งกลับมานี่แหละ พระขนงงามเริ่มขมวดเป็นปม แต่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว พร้อมรอยแย้มสรวลกำจาย บอกกับสหายเทวอสุรานลกุพรได้อย่างมั่นพระทัยแล้วว่า

“สำเร็จแน่นอนนล เรามั่นใจแล้ว”

นลกุพรฟังแล้วขยับโอษฐ์จะถามต่อ ทว่าสีทันดรก็ขยิบพระเนตรไว้ให้หยุดเสีย  นลกุพรก็ไวพอที่จะรู้อะไรเป็นอะไร จึงรีบพากันเดินไปรวมกลุ่มกับเหล่าอณูน้อยด้านหน้า ละทิ้งแนวป่ามืดครึ้มไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ที่บัดนี้ความมืดมิดกำลังรวมตัวเป็นร่างของสำมะนักขายักษีในร่างมนุษย์ ที่ยืนแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอย่างพอใจ

“แค่อาคมบังตาตื้นๆ อณูน้อยพวกนี้ก็ยังไม่รู้ตัวว่าเราอยู่ตรงนี้ เจ้ายักษ์ เจ้านาคนั่นก็เช่นกัน ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย แบ่งกองกำลังกันไปก็เท่านั้น ยังไง้ ยังไงอ่อนหัดอย่างนี้ก็ตายอยู่วันยังค่ำ” สำมะนักขาพูดจบก็หัวเราะลั่น แล้วหันไปหาเงาสตรีผู้ติดตามหนึ่งเงาด้านหลังว่า

“แต่มันอ่อนหัดอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ข้าจะได้แฝงเข้าไปโดยง่าย เจ้าเห็นมนุษย์แท้ๆคนเดียวที่เดินอยู่ตรงกลางกลุ่มอณูนั่นไหม หาทางล่อมันออกมาให้อยู่คนเดียว แล้วข้านี่แหละจะเป็นมันให้ดู”

แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งแนวป่า ก่อนเจ้าของเสียงจะสลายกลลายเป็นความมืดสีดำจากไป นางยักษ์ในร่างมนุษย์ผู้นี้ยังคงแสยะยิ้มกว้างกลางฟ้ามืด หารู้ไม่ว่า มียิ้มที่กว้างกว่าจากเจ้าของรัศมีสีเขียวเจือทองที่กำลังทอดมองมันจากด้านล่างอย่างพึงใจ

“จะตายวันตายพรุ่งยังมิรู้ตัว เอาเถิด หัวเราะไปยิ้มไปเสียให้พอ เดี๋ยวก็จะหัวเราะไม่ออกแล้ว นังยักษ์โง่เอ๊ยยยย”

***********************************

รบกวนติดตามต่อในบทที๑๕ ส่วนที่๒ นะคะ

มาเร็วก่อนกำหนดอีกแล้วค่ะ เนื่องด้วยอาทิตย์หน้า ต้องกลับเข้าออฟฟิศบ้างแล้ว เลยรีบทยอยลงให้ ไม่งั้นเกรงจะไม่ทันสิ้นเดือน บทนี้ยาวหน่อยนะคะ แต่คงไม่เท่าบทที่แล้ว  :o8:  :-[

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามและส่งกำลังใจผ่านคอมเม้นมาให้มากๆนะคะ  อยู่กันไปนานๆนะคะกับอัศวินดารา รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ... แล้วพบกันค่ะ  :bye2:  :pig4:  :man1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ อัพ ๑๒ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 13-05-2020 10:13:40
สนุกมากครับ รอติดตามตอนต่อไป

ตอนแรกคิดว่าที่สีทันดรไม่ไปเพราะกำลังจะมีน้องซันซะอีก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา๒ บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ วันที่ ๑๒ พ.ค. ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 13-05-2020 12:25:30
อ่านทวนบทนี้ 2 รอบเลย สนุกขึ้นๆเรื่อยๆ ขอบคุณที่มาต่อครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ อัพ ๑๒ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 14-05-2020 14:35:51
นางสำมะนักขาหรือจะมาสู้ไอ้ดื้อของอัสสะ ดีใจที่มาต่ออย่างเร็วไว เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว รออ่านความสนุกตอนต่อไปค่ะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ อัพ ๑๒ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 14-05-2020 23:40:21
ใครหนอจะเป็น ตัวแทนแห่งปัญญา ที่องค์พระแม่มหาสรัสวตีจะทรงประทานให้?

แล้วตัวแทนผู้นั้น ใช่จะมาเป็นคู่ของนุ้งราหูผู้โดดเดี่ยวหรือเปล่า?


อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอร้า
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ อัพ ๑๒ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 16-05-2020 10:11:44
 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑ อัพ ๑๒ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-05-2020 14:09:54
ขอบพระคุณ คุณanterosz คุณBaII คุณsugarcane_aoi คุณblanchard คุณLadySaiKim มากๆนะคะ
:pig4:  :กอด1:   :-[
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-05-2020 14:13:37
อัศวินดารา๒ บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒

ฝ่ายฟากกลุ่มรัศมีสีดำมืด ที่แยกจากนางสำมะนักขา มาได้หลายชั่วพักใหญ่แล้วนั้น บัดนี้ต่างกระจายรายล้อมกันเป็นวงกว้างเหนือโขดหินระเกะระกะ ณ พื้นล่างของหุบเหว อันมนุษย์ยากจะลงมาถึงและไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ กลุ่มรัศมีเหล่านั้นเริ่มสลายกลายเป็นมนุษย์ชายหญิงในวัยไล่เลี่ยกัน ถ้วนทุกใบหน้า เคียดขึ้ง เขี้ยวโง้งขาววับระยับออกจากมุมปาก หากก็มิมีวงหน้าใดที่แม้จะมีเขี้ยว แต่ก็น่ามองได้มิมีเบื่อเท่ากับหนุ่มน้อยอสุรานามว่าอินทรชิตที่กระโดดลงจากโขดหิน โค้งคำนับไปยังลานเรียบเบื้องหน้า ที่กำลังมีพลังงานสีดำลูกกลมใหญ่หมุนวนไปมา

พลังงานกลุ่มก้อนนี้มีขนาดเท่ากับดวงอาทิตย์ที่เห็นด้วยตาเปล่าอยู่บนฟ้า
นี่คือจิตมารที่รวมกันแล้วแผ่รัศมีแห่งความคับแค้นด้วยมิจฉาทิฐิไปทั่ว

อสุรากึ่งมนุษย์อย่างอินทรชิตแม้จะเป็นฝ่ายมืด หากก็สัมผัสได้ถึงความอึดอัดอันอัดแน่น เปี่ยมไปด้วยโศกาอาดูร
หากก็พอทุเลาลงได้เมื่อจิตมารหรี่แสงลง .... พร้อมให้เข้าเฝ้า ถวายรายงาน

“ท่านจอมอสูร”

“เป็นอย่างไรบ้างอินทรชิต” เสียงแหบห้าวถามขึ้นจากจิตมารนั้น ดังก้องสั่นสะท้านไปทั่วบริเวณหุบเหวด้านล่าง ร่างอสูรกึ่งมนุษย์ทุกร่างทรุดเข่าลงคำนับพร้อมกันทันใด

“พวกอณูเทวะ กลับจากขึ้นเฝ้ายังเทวสภาแล้ว พวกนั้นมีทัพเทวดา ทัพนาค ทัพครุฑ และทัพยักษ์เป็นกองกำลังพระเจ้าข้า”

“แล้วทัพของเรา รวมกำลังไปถึงไหน พอจะบุกวัดป่า ขัดขวางมิให้พระอรหันต์นิพพานได้หรือไม่”

“ได้พะยะค่ะ ถ้าไม่รวมพวกข้าที่หนีมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนนี้เรามีอสูรที่ภักดีฟื้นกำลังขึ้นมาได้แล้ว ห้าหมื่นตน แต่ข้าเกรงว่าจะไม่พอ พวกเทวะมีกำลังมากกว่า แต่เดชะยังไม่อาจทราบได้ เพราะนานแล้วที่ไม่ได้ปะทะกัน”

“งั้นเจ้าก็ไปปะทะเสียให้พอใจ ไปตอนนี้เลย ข้าจะให้ธิดาพญามารทั้งสามไปกับเจ้าด้วย” สิ้นคำจอมอสูร ก็บังเกิดเปลวเพลิงรัศมีสีดำด้านหน้าอินทรชิตสามกอง พอสลายก็กลายเป็นดรุณีสามนางในวัยกำดัด อ้อนแอ้นอรชร ยวนยั่วไปทุกสัดทุกส่วน อินทรชิตเห็นแล้วก็เบาใจขึ้น รู้เลยว่าจะวางกลศึกอย่างไรให้ได้ชัยชำนะ

ตัณหา ราคะ อรดี สามนางนี้มิใช่ฤา ... ที่ผู้ทรงศีล ทิ้งศีลศิโรราบมาให้นางนักต่อนัก
สามนางผู้นี้แหละ ที่จะสกัดกั้นพระอรหันต์มิให้บังเกิด โดยมิต้องเสียไพร่พลมากมายอันใดเลย

“ธิดาพญามารทั้งสามจะช่วยให้งานง่ายขึ้น ข้าจะยอมให้มีพระอรหันต์จนเทวะแข็งแกร่งขึ้นไม่ได้ ข้าจะเข้าฌานปลุกทัพอสูรขึ้นมาอีก”

“พระเจ้าข้า...แล้วเรื่องหาร่างให้ท่านจอมอสูร ไม่ทราบว่า ท่านทรงบัญชาให้ใครจัดการหรือยัง” อินทรชิตน้อมรับสั่งจอมมาร แล้วทูลถามไปยังเรื่องสำคัญอีกเรื่องดังกล่าว

“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ข้าให้วิรุญมุข หลานของเจ้าไปจัดการแล้ว ...แล้วนี่สำมะนักขาไม่กลับมากับเจ้าด้วยฤา”

“ไม่ทราบเกล้าพระเจ้าข้า” อินทรชิตทูลตามจริง

“เหอะ ...อย่าก่อเรื่องจนข้าเสียแผนแล้วกัน ข้าไม่เอามันไว้แน่ ...เจ้าไปได้แล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดี”

จิตอสูรแห่งจอมมารตรัสจบก็หมุนวนคว้างรวดเร็ว แล้วสลายลงวับไปยังพื้นด้านล่าง เป็นการสิ้นเสร็จการเข้าเฝ้าถวายรายงานของหมู่มาร แล้วอินทรชิตก็เหิรทะยานขึ้นฟ้า พร้อมสามธิดาพญามารที่กรีดร้องอย่างเริงร่า ตามมาด้วยผู้ติดตามชุดเดิม มุ่งหน้ากรีฑาไปยังวัดป่าที่จะกลายเป็นสนามยุทธการระหว่างมารและเทพเป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีอีกมิช้า

เช้าวันรุ่งขึ้น อณูน้อยทั้งหมดก็เก็บกระเป๋า เช็คเอาท์ออกจากรีสอร์ทไม่รอรี แบ่งกลุ่มดำเนินการตามแผนที่วางไว้และยืนย้ำความสำคัญของแต่ละฝ่ายกันอีกรอบยังใจกลางปรัมพิธีที่เดิม ที่มีมหาฤาษีรออยู่ก่อนแล้วเช่นเคย

เมื่อย้ำความและนัดแนะกันเสร็จสิ้นต่างฝ่ายก็ต่างพร้อมออกเดินทาง โดยที่ฝ่ายทรงกลดจะเดินเท้าเยี่ยงคนธรรมดาเพื่อศึกษาภูมิประเทศและชัยภูมิฐานที่ตั้งทัพใหม่ให้อย่างถ่องแท้ให้ละเอียดกว่าที่ใช้จิตสำรวจเมื่อคืน พวกเขาจะแฝงตัวไปอย่างนักท่องเที่ยวสะพายเป้เดินป่า ส่วนฝ่ายอัสดงจะเรียกพาหนะแห่งต้นกำเนิดมาใช้อันได้แก่ม้าอุจไฉยศรพของพระสุริยาทิตย์ พญากระบือแห่งพระอังคาร และพญาพยัคฆราชแห่งพระเสาร์ เพื่อความรวดเร็วในการเดินทางท่องฟ้าไปวัดป่า ส่วนนลกุพรนั้น สภาวะทิพย์จับเต็มอยู่แล้วหาใช่ร่างแบ่งภาคหรืออณูเทวะไม่ จึงไม่มีปัญหาในการเหิรลอยท่องนภาในระยะทางไกลๆ

“อย่าดื้อ อย่าซน เชื่อฟังหลวงตามหาฤาษีด้วย เสร็จธุระแล้วอัสสะจะรีบตามไปสมทบ” อัสดงสั่งความสีทันดรที่ลดสภาวะทิพย์ ลงมาในร่างมนุษย์ธรรมดา ซ่อนความเรืองรองแห่งรัศมีเทวนาคาอย่างที่กระทำบ่อยๆ

“รู้แล้วน่า ไม่ต้องห่วงเราหรอก อัสสะเดินทางได้แล้ว”

“นี่ไอ้ดื้อ เจ้าบอกให้เราออกเดินทางกี่รอบแล้วเนี่ย ตอนแรกเราก็เลิกสงสัยไปแล้วนะว่าเจ้ามีอะไรซ่อนอยู่ แต่เจ้าก็กลับทำให้เราสงสัยขึ้นมาอีก ตกลงมีอะไรที่อัสสะไม่รู้หรือเปล่า” อัสดงถามอย่างเอาเรื่อง แต่สีทันดรก็ทรงไถลไปได้

“อัสสะคิดมากไปได้ เราแค่กลัวจะไม่ทันการเท่านั้น”

สีทันดรในภูษาทรงเสื้อยืดกางเกงยีนส์ทำพระพักตร์ปกติ ทว่าอัสดงมิสามารถทำหน้าและวางใจให้เป็นปกติได้ เพราะจู่ๆ แสงสว่างวาบดุจดาวฤกษ์บังเกิดขึ้นตรงใจกลางลาน พอสลายก็กลายเป็นวายุภัคที่ลดสภาวะทิพย์เฉกสีทันดร แต่งตัวในแบบฉบับหนุ่มน้อยยี่สิบกว่าๆในเชิ้ตแขนสั้นพอดีตัวกับยีนส์ขาเดฟสะพายเป้เดินทางทะมัดทะแมงให้ดูกลมกลืน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันนี้มันน่ามองอยู่เหมือนกัน น่ามองขนาดที่ว่าตระการตากับเอราวัตเผลอจ้อง จนคันฉัตรกับคืนฉายต้องลากแขนออกมาจากวง วายุภัคไยจะมิทรงรู้ว่าหลากหลายสายตามอง เจ้าตัวจึงหันไปกราบมหาฤาษีด้วยยิ้มสดใสแล้วพูดว่า

“หลานไปด้วยคนนะจ๊ะหลวงตา จะได้ช่วยดูฐานทัพใหม่ด้วยว่าเหมาะสมตรงตามตำราหรือไม่”

เหตุผลของวายุภัคเข้าที มหาฤาษีจึงไม่ปฏิเสธละมัง อัสดงคิดเช่นนั้นและก็แทบจะลงจากหลังอุจไฉยศรพ เพราะเริ่มห่วงหน้าพะวงหลัง แต่ยังไม่อยากคิดไปไกลขนาดที่ว่า เหมือนมีใครส่งข่าวให้วายุภัคตามมา มันถึงได้เลือกข้างว่าจะร่วมฝ่ายใดได้ถูกต้อง คิดไกลแค่นี้คงไม่ผิดที่จะคิดได้ แต่ถ้าไกลไปกว่านี้ ว่ามีใครสองคนนัดแนะกัน มันก็คงจะไกลเกินไป

สีทันดร...นี่ใช่ไหมที่เจ้ารีบไล่เราไป ใจอยากคิดเช่นนั้น แต่ก็พยายามหักใจไว้ไม่ให้คิดและก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะคิดเช่นนั้นด้วย เพราะพระเนตรฟ้าครามยังฉายแววชิงชังมายังวายุภัคเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน แต่เอาเถิดมนตรามหาจักรที่เสกครอบเจ้าไว้จะเป็นตัวบอกได้อย่างดี หากเจ้ายังชิงชัง จักรเพลิงก็จะปรากฏยามวายุภัคเข้าใกล้ แต่ถ้าหากความชิงชังโรยลาลงเมื่อใด จักรเพลิงจะมิปรากฏแม้แต่เงา

“ฉันจะคอยดูไว้ให้ ไม่ต้องห่วงไอ้อัสดง” ทรงกลดรู้ใจเพื่อนเป็นอย่างดี ตบไหล่เบาๆ กระซิบบอก

“ขอบใจไอ้กลด ฝากไอ้ดื้อด้วย” อัสดงพูดจบก็ขึ้นม้า เตรียมโผนทะยานนำขบวน และก่อนไปก็บอกกับยอดดวงใจว่า “ถ้าเจ้าเลิกดื้อ เลิกซน อัสสะจะดีใจมาก แต่อัสสะก็จะเสียใจมากเช่นกัน ถ้าเจ้าเลิกคิดถึงอัสสะ”

สีทันดรฟังแล้วก็งงหน่อยๆว่าอัสดงต้องการสื่ออะไร ถึงได้พูดจาแปลกๆ แต่ก็ไม่ทันถามได้ถามเพราะได้เวลาเดินทางพอดี แล้วอัสดงก็ควบอุจไฉยศรพนำขึ้นฟ้าภายใต้รัศมีสีแดงเจือทอง ตามมาด้วย น้ำเชี่ยวกับคันฉัตร นลกุพรกับทัพนาคราชองครักษ์ในสีทันดร ทั้งหมดเหิรทะยาน และพุ่งปราดออกไปด้วยความรวดเร็ว ครั้นเมื่อขบวนอัสดงลับตา ขบวนทรงกลดก็เริ่มออกเดินทางตามแบบอย่างมนุษย์ธรรมดาทันทีเช่นกัน

“พวกเรา พร้อมแล้วใช่ไหม ถ้าพร้อมแล้วเดินทางกันเถอะ”

ทรงกลดเดินนำหน้า ตามมาด้วย คืนฉายกับเอราวัต  จากนั้นจึงเป็นสีทันดรที่เกี่ยวแขนเอาตระการตามาเดินข้างตัว ตามด้วยธรรม์กับราหูและปิดท้ายด้วยวายุภัค ส่วนมหาฤาษีมิได้ลงมาเดินกับเขาหรอก ได้แต่นั่งสบายนอนสบายมีรักยมคอยนวดให้อยู่บนไหล่ของวายุภัค โดยจำแลงกายให้เหลือขนาดเท่านิ้วก้อยเอกเขนกไปมา

“เอ็งอย่าทำข้าตกเชียวนะโว้ย ไอ้วายุภัค”

“ไม่หรอกจ้ะหลวงตา จะจำวัดหรือเข้าฌานก็ตามสบายเลย”

ด้วยเสียงวายุภัคแว่วๆอยู่ทางด้านหลัง สีทันดรได้ยินแต่ก็ไม่หันไปมอง ได้แต่พูดกับตระการตาที่เดินอยู่ข้างๆว่า “ไม่รู้ใครคาบข่าวไปบอก สาระแนนัก ไอ้พวกนกมีหู รู้ด้วยว่าพวกเราจะไปไหน”

“ข้าเองแหละ จะด่าว่าข้าเสือกละสิ” แน่นอนว่าแม้จะพูดเบาแสนเบาเพียงไร หลงตามหาฤาษีก็ได้ยิน “ข้ามีเรื่องต้องใช้งานมัน ข้าก็ต้องเรียกมันมา หรือเอ็งจะมีปัญหากับข้า ไอ้สีทันดร”

“โฮ้ยยยยยย ใครเขาจะไปกล้ามี ใหญ่คับฟ้าไปทั้งสวรรค์อย่างนี้ อยากทำอะไรก็ทำ เชิญตามสบายเถอะ ท่านพระคุณเจ้า”

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ฝ่ายเดินเท้าไม่เงียบเหงา มหาฤาษีกับสีทันดรโต้คารมตอบกันไปมาไม่หยุด บางครั้งบางคราอณูน้อยก็เข้ามาร่วมการตอบโต้นั้นด้วย ทำให้เกิดความครึกครื้น จนวายุภัคที่วันนี้อารมณ์ดีกว่าปกติอยู่แล้วยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก หัวเราะออกมาเสียงใสลั่นๆ จนสีทันดรหันไปมอง

“มันจะอารมณ์ดีอะไรนักหนา”

ก็เพราะหันไปมองนี่แหละ ทำให้วายุภัคที่เดินรั้งท้าย รีบแซงหน้าธรรม์กับราหูขึ้นมา แต่มิได้มาเดินคู่กับสีทันดรหรอกนะ ตระการตาต่างหากที่วายุภัคไปเดินเคียงข้างด้วย

“ไง เจ้ามนุษย์น้อย โอษฐ์แห่งมหาเทวี อณูแห่งศนิเทพเป็นไงบ้างล่ะ”

วายุภัคที่คงรู้อะไรๆดีอยู่แล้วถามขึ้น เจตนาคงถามว่าดูแลดีไหมนั่นแหละ แต่เพราะความที่สมองไวของตระการตา คำตอบบางคำจึงผลุดขึ้นกลางหัวก่อนจะบังคับปากให้แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แต่ก็ไม่ทันเพราะวายุภัคดันจับความคิดได้ แถมยังออกเสียงมาให้เสียเอง และถามขึ้นไปรอบๆด้วยความฉงน จนบังเกิดเสียงหัวเราะจากบรรดาอณูน้อยดังลั่น

“แซ่บ....แซ่บมาก หือ แซ่บคือะไร เราว่าเราศึกษาภาษาสมัยใหม่ของมนุษย์มามากพอแล้วนา แต่เรายังไม่เคยได้ยินคำนี้ เราน่ะตั้งใจถามเจ้าแค่ว่าอณูแห่งศนิเทพเป็นไง หมายถึงดูแลเจ้าดีไหม ทำไมเจ้าตอบเราว่า แซ่บ แซ่บมาก ในความคิดของเจ้า”

ตระการหน้าแดงแทบแทรกแผ่นดินหนี คืนฉายที่หัวเราะลั่นจนตัวงอจึงแก้แทนมาให้ว่า แซ่บหมายถึง ‘ดี’ และแซ่บมากก็คือ ‘ดีเยี่ยม’ นั่นแหละวายุภัคจึงได้คลายสงสัยลง แต่เหล่าอณูน้อยยังไม่สิ้นเสียงหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง จนสีทันดรเองก็งงว่ามีอะไรให้ขำนักหนา กับอีแค่ภาษามนุษย์ที่แปลว่าดีกับดีเยี่ยมนี่

“มีอะไรน่าตลกขบขันกันนักเชียว”

“นั่นสิ พี่ก็เริ่มจะงงแล้วเนี่ย”

ประโยคแรกที่มีให้แก่กันของวันนี้เกิดขึ้น และก็ตามเคยว่าคนฟังย่อมเบือนพระพักตร์หนี ส่วนคนตรัสก็มิได้ถือสาตามตอแยเฉกเคย แถมยังมิเข้าใกล้ด้วย เพราะรู้ว่าถ้าเข้าไปจักรเพลิงจะบังเกิดกันไว้ทันที วายุภัคจึงพระพักตร์ม้าน เลี่ยงกลับไปดำเนินปิดท้ายดังเดิม สีทันดรเองเมื่อเบือนพระพักตร์หนีแล้ว ก็ฉุดตระการตาขึ้นไปเดินคู่กับทรงกลดด้านหน้าสุด มิสนใจดวงเนตรพราวระยับแห่งเทวปักษีที่ส่งมาให้จากด้านหลังสักนิดเดียว และก็เป็นเวลาอีกกว่าหลายชั่วโมงทีเดียวเชียวที่คณะของทรงกลดเดินเข้าป่าลึกไปเรื่อยๆ ลึกเสียจนขนาดที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ ใหญ่ขนาดที่ว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างตระการตาไม่เคยพบเคยเห็น แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มบังแสงแดดจนเกือบมิด อากาศที่เคยสูดได้คล่องปอด คล้ายจะเลือนหายไปกว่าครึ่ง หากนั่นก็มิได้เป็นอุปสรรคสำหรับใครหลายๆคน เว้นแต่ตระการตา

“ไหวไหมตา” คืนฉายถามขึ้นด้วยความห่วงใย เอราวัตเองก็เช่นกัน ยามนี้ทิ้งความระแวงที่ตระการตาจะมาเป็นเสี้ยนหนามหัวใจหมดสิ้น จึงเข้ามาประคองเจ้าโอษฐ์แห่งมหาเทวี

“พักสักหน่อยไหมตระการตา”

“ไม่เป็นไรครับ เรายังทนไหว” ตระการตาฝืนเสียงตอบ

“แน่นะ ตระการตา ถ้าไม่ไหวบอกเรา ขี่หลังเราไป” ราหูรีบเดินมาข้างหน้าด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน เพราะคันฉัตรฝากฝังตระการตากับเขาไว้ “ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย”

“ขอบคุณครับราหู แต่เรายังไหว”

แล้วตระการตาก็ก้าวเดินต่อ เพราะมานะเกิดขึ้นในใจให้ฮึกเหิม ในเมื่อพระแม่เจ้าเลือกตนมาแล้ว ตนก็จะไม่ทำให้พระแม่เจ้าผิดหวัง จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและไม่เป็นภาระใคร อย่างที่หลากหลายสายตาเป็นห่วงกังวลแม้กระทั่งคันฉัตรสุดที่รักเอง ตนทราบดีว่าไม่มีใครปรามาสให้เสียกำลังใจก็จริง แต่ก็จะขอพิสูจน์ตัวเองให้ดูว่าตนแกร่งพอที่จะเป็นโอษฐ์แห่งพระมหาเทวี

เอราวัตไยจะมิรู้ว่าตระการตากำลังคิดอะไร เมื่อรู้แล้วก็รู้สึกชื่นชมนัก นอกจากคนผู้นี้จะปรับตัวและรับสถานภาพ อีกทั้งตัดความตระหนกอันเป็นธรรมดาของมนุษย์ยามรู้เรื่องเทวะได้ดีแล้ว เอราวัตยังนิยมมานะอุตสาหะและใจนักสู้ของตระการตาอีกด้วย ฉะนี้รอยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผยสำแดงถึงความชื่นใจจึงทอดมาให้เป็นกำลังใจมากกว่าเดิม และก็มิใช่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ส่งยิ้มให้ หากแต่เป็นอณูแห่งเทวะทุกๆคนที่เอราวัตส่งความคิดของตระการตาไปให้ได้รับรู้

ทรงกลดเมื่อเห็นว่าตระการยังไหวจึงเดินนำต่อไปอีกเรื่อยๆ ข้ามเนินเขาลูกเตี้ยๆไปอีกสองเนิน ด้วยความที่เป็นอณูแห่งเทวะนี่เอง เหนื่อยจึงไม่เป็นปัญหาเลย ...เฉกเดียวกับวายุภัคและสีทันดร ที่เหงื่อสักหยดก็ไม่มีให้เห็น คงเหลือแต่ตระการตาแหละที่ฝืนขาเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว

“พี่ตระการตาไม่ไหวแล้วล่ะพี่กลด พักก่อน” สีทันดันตรัสขึ้น พร้อมพยุงตระการตาที่กำลังจะทรุดลงฮวบไว้ได้ทัน

“อีกนิดเดียว ก็จะถึงที่พักแรมแล้วน้องดื้อ ทนอีกนิดจะได้พักยาวทีเดียว”

ทรงกลดในฐานะผู้นำ หะแรกก็เริ่มลังเลว่าจะพักดีหรือไม่แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินต่อ แล้วบอกให้ราหูแบกตระการตาขึ้นหลัง เจ้าตัวยังมีทิฐิมานะเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน จนหลวงตาต้องพูดเตือนสติ ส่งเสียงแกมดุมาจากบ่าวายุภัคดังลั่น

“เก็บทิฐิมานะของเอ็งเอาไว้ใช้ในยามอื่นเถิดนะไอ้ตระการตา เป็นอะไรไปตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่วางไว้จะพินาศหมด”

นั่นแหละตระการตาถึงยอม และหลังจากนั้นมินาน ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ทรงกลดก็พาทุกคนเดินถึงที่พักแรมโดยดุษฎี

ทางฝั่งฟากอัสดง เมื่อพาทัพเดินทางทะยานฟ้าถึงวัดป่าเรียบร้อย ก็เห็นว่าวัดป่าที่เคยสงบห่างไกลผู้คนยามนี้ คราคร่ำไปด้วยกองกำลังเทวะจากสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ยืนล้อมเป็นปราการรอบวัดอยู่ก่อนแล้ว ครั้นลงจากอุจไฉยศรพได้ เทวะบริวารทหารหาญเหล่านั้นก็โค้งคำนับให้พลัน อัสดง คันฉัตร และน้ำเชี่ยวก็คำนับตอบกลับไปเช่นกัน ที่จริงมิจำเป็นต้องกระทำก็ได้ แต่เนื่องด้วยยังอยู่ในร่างอณู การให้เกียรติเทวะไม่ว่าจะอยู่ชั้นไหน เป็นความนอบน้อมที่ทำให้เทวะบริวารพึงใจแลสร้างความนิยมชมชอบได้อย่างรวดเร็ว

“ท่านอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์มาถึงแล้ว ไชโย” เสียงขุนพลสววรค์จตุมหาราช ดังขึ้นกระหึ่มก้องไปทั่ว ระคนด้วยเสียงร้องไชโยที่รับกันไปเป็นทอดๆ “พระอังคาร พระเสาร์ พระองค์ชายนลกุพรก็มา พวกเราชนะแน่”

“พวกเราจะสู้เคียงข้างพวกท่านไม่ต่างอะไรกับสหายคนหนึ่ง ขอให้พวกท่านรับรู้ไว้เถิด”
 
อัสดงพูดจบก็สะบัดเปลวอัคคีในฝ่ามือขึ้นฟ้า กลายเป็นจักรามหาศาตราวุธอันยิ่งใหญ่ฉายฉาน แล้วเสียงไชโยโห่ร้องอีกระลอกก็กระหึ่มอีกครา นี่ถ้ามีชาวบ้านหรือมนุษย์ธรรมดาอยู่แถวนี้ เสียงไชโยสรวลสันต์อันกึกก้องของเทวะนั้น หูของชาวบ้านก็จะบอกแค่ว่าเป็นเสียงฟ้าลั่น ส่วนสายตาจะเห็นเพียงแค่วัดป่าวันนี้ดูสว่างไสวกว่าทุกวันและสว่างอยู่จุดเดียว ทั้งๆที่ขอบฟ้าไกลกำลังอึมครึม

มนุษย์มิเคยรับรู้เลยว่าเทวะแฝงมาในธรรมชาติบ่อยครั้ง
และในแทบทุกครั้งที่แฝงมา ไยจะมิใช่มาปกป้องภพมนุษย์ ภพกลางที่สำคัญที่สุด

มนุษย์ควรตื่นและรู้คุณเทวะได้แล้ว!!!

เมื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้บรรดาเทวะทหารหาญเรียบร้อย อัสดงก็พาผู้ติดตามทั้งหมดเดินไปกลางลานวัดกว้างที่มีอรุณและศิษย์ผู้น้องอีกสองคนรอรับอยู่ ซึ่งทุกคนก็อยู่ในชุดเกราะพร้อมรบ และรู้แล้วว่า ศิษย์พี่คนโตนั้น รั้งตำแหน่งใด

“ท่านแม่ทัพ” อรุณคุกเข่าลงพร้อมศิษย์น้องคนอื่นๆ แล้วอัสดงก็ประคองขึ้นมา

“สำหรับพวกนายทั้งสาม พี่อยากเป็นแค่พี่อัสดงเสมอ” อัสดงพูดพลางลูบหัวศิษย์น้องทุกคนพลาง โดยเฉพาะอรุณผู้เป็นอณูแห่งเทวะผู้ทำหน้าที่สารถีขับราชรถม้าอุจไฉยศรพให้พระสุริยาทิตย์ ฉะนี้จึงเอ็นดูเป็นพิเศษ

“ไงอรุณน้องพี่ อีกไม่นานก็จะได้ฆ่าอสูรสมใจนายแล้วสินะ”

“ครับ ผมจะฆ่ามันให้หมด” อรุณบอกศิษย์ผู้พี่ด้วยน้ำเสียงห้าวหาญเกินวัยสิบสอง “และพวกผมก็ดีใจที่จะได้ร่วมรบกับพี่ซะที”

“พี่ก็ดีใจที่เราศิษย์พี่ศิษย์น้องจะได้สำแดงวิชาที่หลวงตาสอนเรามา”

พออัสดงพูดถึงหลวงตา ศิษย์น้องทุกคนก็ตาแดงๆ แล้วโผเข้ากอดเอวอัสดงแน่นทันที อัสดงรับรู้ว่าน้องๆเสียใจที่ต่อไปจะไม่มีหลวงตาแล้ว ด้วยฐานันดรแห่งศิษย์คนโต จึงพูดกับน้องๆที่รู้เรื่องกันดีแล้ว ด้วยเสียงกังวานกึ่งปลอบกึ่งสอนว่า

“การที่หลวงตาท่านเลือกเข้าสู่กระแสนิพพานเลย มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยง่ายและพระอรหันต์ส่วนใหญ่มักไม่ทำ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลทั้งนั้น ถึงหลวงตาจะไม่อยู่ แต่ยังมีพี่อยู่ พี่จะพาพวกนายไปอยู่กับพี่ ..เอาล่ะ หยุดร้องไห้ แล้วพาพี่ไปกราบหลวงตา”

อรุณหักใจได้เป็นคนแรก เช็ดน้ำตาแล้วพาอัสดงกับบรรดาผู้ติดตาม มุ่งหน้าไปยังกุฏิหลังน้อยหลังวัด ครั้นพอถึงอัสดงก็ต้องดีใจจนยิ้มกว้าง เพราะหน้ากุฏิหลวงตาคือทยุติธรในชุดเกราะที่ประทับยืนรอพร้อมเหล่าราชองครักษ์

“ทูลหม่อมพี่ชาย” อัสดงนำผู้ติดตามหมอบราบกราบพระบาท  ทยุติธรก็เฉกเคย ทรงยิ้มกว้างแล้วรีบประคองอัสดงขึ้นมา

“น้องชาย....พี่มาช่วยเจ้าอีกแรง ”

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ แล้วนี่ทรงทราบได้อย่างไร”

“หลวงตามหาฤาษีท่านบอกพี่เมื่อคืน พี่รู้ก็เลยรีบมา รีบเข้าไปลาอาจารย์เจ้าด้านโน้นกันเถิด เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”

สิ้นรับสั่งทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังลานกว้างที่บัดนี้หลวงตาพระอาจารย์กำลังนั่งสมาธิสงบนิ่งภายใต้ต้นสาละใหญ่ตรงใจกลาง รัศมีสีขาวส่องสว่างเปล่งประกายเจิดจ้า มีภิกษุแปดรูปนั่งรายล้อมเป็นวงกลมประจำแปดทิศเป็นปราการ เทวฤทธิ์บอกให้รู้ว่าไม่เกินเย็นพรุ่งนี้หรอกคงถึงเวลาที่หลวงตาจะสิ้นชาติสิ้นภพทั้งปวงแล้ว ความอาลัยเริ่มบังเกิดอย่างช่วยไม่ได้อีกครา ทั้งๆที่เพิ่งสอนบรรดาน้องๆไปหยกๆ ครานี้มาจับตัวเองเสียนี่ พอกราบพื้นแต่ละทีน้ำตาลูกผู้ชายชาตินักรบก็เริ่มไหลติดพื้นไม่หยุด และไหลแรงที่สุดยามที่หลวงตาส่งกระแสเสียงเคยคุ้นโดยมิได้ขยับปากดังกังวานไปทั่ว อย่างที่ชอบถามเขาเสมอมาตั้งแต่เด็กๆว่า

“เจ้ากลับมาแล้วฤาอัสดง”

“ครับหลวงตา หลานมาแล้ว” อัสดงฝืนเสียงสะอื้น รับกรวยดอกไม้ธูปเทียนแพจากอรุณมาวางไว้ด้านหน้าเพื่อกราบลาหลวงตา

“อย่าเสียใจไปเลย ไม่ว่าจะมนุษย์หรือเทวะต่างก็มีหน้าที่กันทั้งนั้น ตาเองกำลังทำภารกิจสุดท้ายในภพมนุษย์ให้บรรลุอันเป็นภพเป็นชาติสุดท้ายของตา  แต่เจ้าเองยังมีกิจอีกมากมายรออยู่ เราต่างทำให้ดีที่สุด”

“ครับหลวงตา” อัสดงได้แต่รับคำ ใจอยากเหนี่ยวรั้ง แต่รู้ดีว่าไม่เป็นการบังควรด้วยประการทั้งปวง

“จงเป็นเทวะที่ดีนะหลานเอ๋ย จงยึดมั่นในคำสอนพระศาสดา”

“ครับหลวงตา”

อัสดงแทรกกายเข้าไปกราบชิดติดปลายจีวรสีกลัก แล้วกระแสเสียงจากหลวงตาก็สิ้นลง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นร่างที่ขัดสมาธิดูเหมือนจะนิ่งดำดิ่งในมหาฌานขั้นสูงลึกไปอีกขั้น หลวงตาพร้อมละทุกอย่างสิ้นเชิงแล้ว  อัสดงกราบอำลาครั้งสุดท้ายและในครั้งนี้ พอเงยหน้ายกมือขึ้นมาปลายจีวรราวคืบเศษของหลวงตาก็หลุดขาดติดมือขึ้นมาเองอย่างอัศจจรย์  อัสดงรีบพันผูกไว้ที่ข้อมือแล้วเลี่ยงให้ผู้ติดตามที่เหลือเข้ามากราบนมัสการใกล้ๆ ทั้งทยุติธร คันฉัตร น้ำเชี่ยวและอีกทั้งนลกุพร ทั้งหมดกราบอย่างเคารพอย่างที่สุด โดยเฉพาะทยุติธรกับนลกุพรที่ปรีติจับจนอัสสุชลไหล ตรัสออกมาพร้อมกันให้ได้ยินกันทั่วว่า

“พระอรหันต์ใกล้บังเกิดแล้ว เป็นบุญของเราแล้ว” สิ้นสุรเสียงทั้งสอง รัศมีสีเขียวเจือทองแห่งเทวนาคาและสีแดงโกเมนจากเทวอสุราก็กำจายวาบด้วยปรีติ และปรีติจากรัศมีนี่เองที่บอกให้อัสดงและทุกๆคนในที่นี้ทราบว่า เทวฤทธิ์ของทั้งสองเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว

เมื่อกราบนมัสการเสร็จสิ้น ทั้งหมดก็รวมตัวกันยังศาลาข้างวัดเพื่อคุยกันถึงยุทธวิธีตั้งรับมาร ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า ทัพหน้าจะเป็นของนาคาราชองครักษ์ในทยุติธรและสีทันดรที่จะตั้งรับอยู่ตรงธารน้ำตกรายรอบวัด ทัพใหญ่จะเป็นของเทวทหารชั้นจตุมหาราชิกา

ส่วนอัสดง คันฉัตร น้ำเชี่ยว นลกุพรและทยุติธร จะกระจายกำลังกันบัญชาทัพทั้งสอง เพื่อป้องกันส่วนที่สำคัญที่สุดคือบริเวณต้นสาละที่หลวงตาเข้าฌานอยู่ ซึ่งมีพระภิกษุแปดรูปนั่งสังวัธยายมหามนต์บูชาพระมหาศาสดารายล้อมเป็นปราการชั้นสุดท้าย

ครั้นทุกอย่างลงตัวเห็นพ้องกัน ทยุติธรจึงชวนทุกคนเหิรลอยขึ้นฟ้าตรวจตรารอบบริเวณวัดป่าที่ชัยภูมิเป็นวงกลมรายล้อมด้วยธารน้ำตกอีกรอบ แล้วทุกคนก็เห็นด้วยเนตรแห่งเทวะว่าความมืดดำอันชะรอยเป็นทัพมารเริ่มจับกันเป็นแนวกว้างยังขอบฟ้าไกล และกำลังคืบคลานเข้ามาทีละน้อย ทีละน้อย คงไม่เกินเย็นพรุ่งนี้หรอกคงได้โรมรัน

“เตรียมพักผ่อนเอาแรงกันเถอะ” ทยุติธรตรัสขึ้น นำทุกคนลงจากฟากฟ้า ประทับยืนด้านล่าง “ทีแรกเรานึกว่าพวกมันจะเอาทัพใหญ่มาซะอีก นี่แสดงว่าจิตพญามารมิได้มาบัญชาทัพเอง มันคงให้ลูกน้องมันมา และมันก็คงคิดว่ามันมีหนทางหรืออุบายชนะพวกเราได้โดยง่ายสินะ”

“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพะยะค่ะ พี่ชาย”

“นี่มันจะประมาทเราเกินไปแล้ว” อณูแห่งพระอังคารโพล่งขึ้น แล้วคันฉัตรก็เตือนไว้

“มันประมาทเราก็ช่างมันเถอะไอ้น้ำเชี่ยว ที่สำคัญเราอย่าประมาทมันก็พอ”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-05-2020 14:15:26
แล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน คงเหลือแต่อัสดงที่นั่งลงตรงกลางศาลา ใช้สายตาสีอำพันเหม่อมองลงไปยังลำธาร ทยุติธรที่กำลังจะเสด็จออกไปเห็นเข้าพอดี จึงยั้งพระบาทกลับมาทรุดนั่งลงข้างๆ แล้วกอดไหล่เจ้าอณูน้อยแม่ทัพ ตรัสขึ้นด้วยความห่วงใยว่า

“เป็นอะไรไปน้องพี่ นี่คงไม่ได้กังวลเรื่องพระอารย์เจ้ากับการศึกแค่นั้นใช่ไหม”

“พะยะค่ะ”

“ถ้าจะให้พี่เดา ก็เรื่องสีทันดร”

“ทำไมทรงเดาถูก ไม่ได้ทรงใช้เทวฤทธิ์สักหน่อย” อัสดงถามขึ้นอย่างแปลกใจ ส่วนทยุติธรก็ทิ้งมาดนักรบ ไม่ไว้ท่าทำองค์เกินชันษาเฉกเคย กลายมาเป็นพี่ชายธรรมดาๆ ที่ผลัดกันปรึกษาปัญหาหัวใจกับน้องชาย และก็เข้าใจหัวอกหัวใจน้องชายต่างสายเลือดยิ่ง

“ผู้ชายเราน่ะ ไม่ว่าจะเป็น เทวดา ครุฑ ยักษ์ นาค หรือมนุษย์ เวลาเศร้ามันก็มีแค่ไม่กี่เรื่องหรอก มันเดาง่ายจะตายเจ้าน้องชาย แล้วนี่ทะเลาะกันอีกหรือไง”

“เปล่าพะยะค่ะ”

“อ้าว ถ้าไม่ได้ทะเลาะ ทำไมจิตเจ้าดูวุ่นวายขนาดนั้น แต่เอ พี่เพิ่งนึกได้ว่าทำไมจอมยุ่งอย่างสีทันดรไม่มาด้วย”

“กระหม่อมก็แปลกใจมาก คราวนี้ไม่ดื้อร้องตาม จะอยู่กับหลวงตามหาฤาษี ที่สำคัญเมื่อเช้าวายุภัคตามมาสมทบร่วมขบวนด้วย กระหม่อมไม่อยากคิดไกล แต่ก็เริ่มอดไม่ได้ที่จะคิดไกล” แล้วอัสดงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เรื่องแบ่งกันทำงานเป็นสองกลุ่ม จนถึงวายุภัคลงมาสมทบกับฝ่ายทรงกลดเมื่อเช้า จนถึงความรู้สึกที่เริ่มกังวล  ทยุติธรเองฟังแล้วก็ตกพระทัยในทีแรกเรื่องวายุภัค แต่แล้วก็นึกขึ้นได้

“มหาฤาษีอาจารย์พี่ ท่านคงเรียกมาน่ะ พี่จำได้ว่าเมื่อคืนท่านคุยกับพี่เสร็จ ท่านว่าจะไปฉิมพลีต่อ”

“เมื่อคืนเนี่ยนะพะยะค่ะ ประชุมเสร็จเห็นว่าจะกลับอาศรม ไหงไปแจ้งข่าวพี่ชาย กับไอ้นกเจ้าเล่ห์นั่นได้”

“นี่แหละอาจารย์พี่ พี่ว่าบางทีสีทันดรก็เถียงถูกนะ” ทยุติธรทรงหลุดหัวเราะออกมา ยามนึกถึงพระอนุชาเวลาทะเลาะกับมหาฤาษี แล้วปลอบอัสดงให้คลายกังวลต่อว่า “ เอาน่าเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องสีทันดรไปหรอก สหายอณูน้อยของเจ้าก็อยู่ที่นั่นตั้งห้าคน มหาฤาษีก็อยู่ วายุภัคทำอะไรมิได้หรอก ชะตาของสีทันดรน่ะเกิดมาเพื่อเจ้าคนเดียว ลืมแล้วหรือไร”

“พะยะค่ะ พี่ชาย” อัสดงเองก็เริ่มยิ้มออกมาได้ “ว่าแต่เราสองคนนี่ก็แปลกนะพะยะค่ะ คราวที่แล้วกระหม่อมเป็นที่ปรึกษาพระทัยเรื่องพระธิดามุจลินทร์ คราวนี้พี่ชายมาเป็นที่ปรึกษาให้กระหม่อมซะงั้น”

“ถึงได้เป็นพี่กันน้องกันได้ไงอัสดง เอาเถอะ เราสองคนมันไม่เก่งเรื่องความรักกันทั้งคู่ ก็ผลัดกันไปอย่างนี้แหละ ...เจ้าไปพักผ่อนเถอะ เลิกกังวลได้แล้ว พี่เองก็จะพักเอาแรงสักหน่อย พี่ไปก่อนล่ะ”

แล้วทยุติธรก็เสด็จจากไป เหลือเพียงอัสดง ที่เริ่มนั่งนับดาวคลายคิดถึงเจ้านาคาตาฟ้า ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วสิหนาที่ไม่ได้กอดเจ้าในยามค่ำคืนแทนหมอนข้าง เจ้าจะรู้ไหมว่าคืนนี้พี่อ้างว้างเหลือเกินสีทันดร ยิ่งพรุ่งนี้พี่จะออกรบแล้ว หวังเพียงกอดเจ้าให้สาใจ เผื่อตายจะได้ไม่เสียใจว่าสุดท้ายพี่ไม่ได้กอดอำลา 

ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งนับดาวให้หวังคลาย ก็ดันกลายเป็นเพิ่มเติมถาโถม จนทนไม่ไหว จึงเดินไปกลางลานวัด เพ่งกองกสิณไฟ ส่งภาพและเสียงไปประหนึ่งวีดีโอคอลสมัยใหม่ที่เอราวัตเคยใช้ในทันที

และก็นับว่าเป็นโชคดียิ่งนัก ที่การติดต่อไปยังปลายทางสัมฤทธิ์ผล ราหูกำลังก่อไฟอยู่กลางลานที่พักพอดี พอเอาเปลวไฟจ่อกับฟืนที่หามาได้เท่านั้นแหละ ไฟก็ลุกพรึ่บกลายเป็นร่างอัสดงคมชัดยิ่งกว่าสามมิติจนราหูตกใจผงะล้มก้นจ้ำเบ้า

“ตกใจอะไรนักหนาวะ ไอ้ราหู”

“ไอ้อัสดง ไอ้ห่า โผล่พรวดมากลางกองไฟแบบนี้ จะไม่ให้ตกใจได้ไงเล่า”

“ตอนแรกจะส่งกระแสจิตมา แต่กลัวจะไม่ถึงเพราะไกลเกิน เลยใช้วิธีเพ่งกสิณส่งจิตผ่านไฟมา แล้วนี่ไปไหนกันหมด”

“ไอ้กลด ไอ้ฉาย ไอ้ธรรม์ ไอ้เอราวัต ไปอาบน้ำ” ราหูพูดยังไม่ทันจบด้วยซ้ำ อัสดงก็รีบถามถึงหัวใจ

“แล้วไอ้ดื้อล่ะ”

“ว่าแล้ว ไม่ได้มาเพื่อถามเรื่องการเรื่องงานหรือเรื่องเพื่อนหรอก ตั้งใจมาถามหาเมียโดยเฉพาะ...รอแป๊บนะเดี๋ยวเรียกมาให้ นั่งคุยอยู่กับหลวงตาอยู่โน่น ไม่รู้คุยเรื่องอะไรกันหน้าเครียดเชียว”

ราหูพูดจบก็วิ่งไปตามสีทันดรยังชะง่อนผา มิได้เหิรฟ้าทะยานไปเพราะเห็นว่าระยะทางมิไกล และในระหว่างที่วิ่งไปนี่เอง ใครบางคนก็เดินมากลางลานพร้อมรอยยิ้มให้อัสดงในร่างจำลองกลางกองเพลิงอย่างยียวน เจ้าของร่างนั้นมิยิ้มให้เปล่า  กลับยักคิ้วให้ แล้วสยายปีกสีเศวต พูดปิดท้ายก่อนจะใช้ปีกพัดไฟให้ดับพรึ่บว่า

“โทษทีนะ ภาษามนุษย์ เขาเรียกสัญญาณไม่ดี”

“วายุภัค!!”

อัสดงส่งเสียงมาได้แค่นั้น แล้วทั้งภาพและเสียงก็สลายหายไป และวายุภัคก็ไวพอที่เร้นกายขึ้นฟ้ายามที่สีทันดรมาถึง จึงได้พบแต่ความว่างเปล่าและควันไฟเท่านั้นเอง

“อ้าวไปไหนแล้วล่ะ” สีทันดรทรงทอดพระเนตรกองไฟที่เหลือแต่ควัน ไร้เงาอัสดง “แล้วไฟดับได้ยังไงพี่ราหู”

“นั่นสิดับได้ไง เมื่อกี้ยังลุกพรึ่บ เอ๊ะหรือว่ามันจะงอน เพราะรอนาน”

“นานอะไรเราวิ่งมาแป๊บเดียวเอง รู้งี้หายตัวมาก็ดี แต่ช่างมันเถอะดับก็ก่อใหม่”

ว่าแล้วเจ้านาคน้อยก็อ้าพระโอษฐ์ พ่นเพลิงไปยังกองฟืน ก่อกำเนิดกองอัคคีขึ้นมาอีกครา และโดยมิต้องให้เสียเวลา สีทันดรทรงใช้วิธีเดียวกันในการติดต่อกลับไปยังปลายทาง เฉกอัสดงที่กำลังรวมสมาธิติดต่อกลับมาอีกครั้ง ทว่าทั้งสองหารู้ไม่ว่าเหนือยอดไม้สูงยามนี้ เทวปักษีเกเรกำลังร่ายพระเวทส่งไปกลางฟ้าตัดสัญญาณทั้งมวล

“ทำไมติดต่อกลับไปไม่ได้วะ” อัสดงโมโห เตะกองเพลิงกระจัดกระจาย “อย่าให้เจอหน้านะ ไอ้วายุภัค”

เจ้าอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์เดินปึงปังจากไป แค้นวายุภัคนักหนาที่พัดไฟให้ดับเมื่อครู่ ส่วนสีทันดรที่ยืนอยู่กับราหูยังอีกฟากฟ้า เมื่อเห็นว่าติดต่อกลับไปยังไรไม่เป็นผล จึงเดินเลี่ยงออกมาไปประทับนั่งตรงปลายชะง่อนผาถัดออกไปอีกด้านพระองค์เดียว

“เจ้าไฟบ้า เมื่อเช้าก็พูดจาแปลกๆ เมื่อกี้จะรอเราหน่อยก็ไม่ได้ อุตส่าห์รีบวิ่งมาแท้ๆ”

พระพักตร์เมื่อครู่ ยามที่พี่ราหูมาบอกว่าอัสดงติดต่อมานั้นบานเหลือแสน ยามนี้กลับตูมสนิท ระบายลมหายใจอย่างไรก็ไม่ห่างหาย เพราะจู่ๆ ก็ดันคิดถึงเจ้าลูกไฟเกเรขึ้นมาอย่างจับใจ จนมิอยากจะเชื่อองค์เองว่าจะคิดถึงเขาได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่เพิ่งจากกันเมื่อเช้า

นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องทำภารกิจสำคัญให้หลงตา ป่านนี้ก็คงได้อยู่ที่วัดป่าด้วยกันแล้ว นี่ใช่ไหมที่เขาว่ากันว่าจะรู้ว่ารักกันแค่ไหนก็ต่อเมื่อห่างไกลกัน ที่จริงตนก็อยากจะตามไปด้วยหรอก แต่ภารกิจสำคัญของหลงตาที่ว่า ทำให้ต้องหักใจอยู่ และมันจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตระการตาผู้เดียว

“หลานกลัวว่าพี่ตระการตาจะไม่ไหว หลงตาก็รู้ว่าร่างกายเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา การกระตุ้นให้เสด็จมาคืออันตราย”

“แล้วยามนี้เรามีทางเลือกอื่นใดไอ้สีทันดร ขวัญและกำลังใจของเทวะคือสิ่งสำคัญ ศึกแรกนี้เราต้องชนะ พระอรหันต์ต้องบังเกิด”

“หลานเข้าใจ และหลานก็มั่นใจว่าต้องสำเร็จ แต่ถ้าสำเร็จแล้วก็ห่วงพี่ตระการตานัก อย่างที่หลานบอกแหละ”

“ข้าก็ห่วง และข้าก็เป็นห่วงเอ็งเหมือนกันนะไอ้สีทันดร แต่ก็มีแต่เอ็งเท่านั้นที่ทำได้ จงใช้ความเป็นอณูแห่งพระมหาลักษมีเทวีของเอ็งให้เกิดประโยชน์”

“จ้ะหลงตา หลานจะทำให้ดีที่สุด”

บทสนทนากับหลงตาเมื่อครู่ สีทันดรยังทรงจำได้ดี ถึงแม้จะมั่นพระทัยว่าต้องสำเร็จ หากก็หนักพระทัยเอาการ ภารกิจลับนี้อณูน้อยไม่มีใครล่วงรู้ หลงตาบอกเพียงตนกับนลกุพรเท่านั้นในวันประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมา แน่นอนว่าถ้าเหล่าอณูน้อยรู้พวกนั้นย่อมไม่ยอม แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอย่างที่หลวงตาบอกจริงๆ หวังแต่เพียงว่าอณูน้อยจะไม่โกรธตอนรู้ความจริง โดยเฉพาะอัสสะกับพี่ฉัตร

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลมหายใจก็ระบายออกมาอีกระลอก พร้อมสายตาที่เหม่อมองไปบนฟากฟ้าอันมืดมิดสนิทแล้ว และถึงแม้ตาจะมองฟ้าอยู่หากก็ทรงรู้ว่ามีคนแอบดู หะแรกก็คิดจะจัดการให้สิ้นซาก แต่ก็จำต้องหักพระทัยไว้เพื่อการใหญ่ ส่วนคนแอบดูที่อยู่ในเงามืดข้างป่านั้นมันก็ยังมิรู้อะไรเฉกเดิมได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่อง ย่องหลบไปในเงามืดมิด ผิดกับคนที่ไม่ได้แอบดู แต่ตามมาดูอย่างเปิดเผย ที่หรุบปีก ร่อนลงมาประทับลงด้านข้างโดยมิได้เชื้อเชิญ

วายุภัคทรงรู้ว่ามีสิทธิ์ประทับได้แค่ข้างๆ หาได้ใกล้กว่านี้ไม่ เพราะจักรเพลิงที่อัสดงเสกครอบไว้บังเกิดขึ้นทันใด

“นั่งคิดถึงใครอยู่จ๊ะสีทันดร” สุรเสียงหวานกังวานใสในร่างมนุษย์ธรรมดาทักมาเป็นประโยคที่สองของวัน มิสนใจจักรเพลิงร้อนแรงที่กำลังหมุนคว้าง และก็เฉกเคยที่สุรเสียงเคียดขึ้งก็ตอบโต้ไปโดยตลอดเสมอมา

“ไม่ใช่ฝ่าบาทก็แล้วกัน”

“นี่เจ้าจะเรียกเราว่า พี่วายุภัค บ้างไม่ได้หรือไร”

“บอกแล้วว่าเราไม่นับญาติ”   

“สีทันดรนี่เราสองคนจะญาติดี คุยกันดีๆบ้างมิได้เลยหรือ พี่ว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับพี่เลยที่เจ้ามาเกลียดชังพี่ เพียงเพราะผู้ใหญ่ของพวกเราไม่ชอบกัน” จู่ๆสุรเสียงละห้อยปนทอดถอนจากฝั่งเทวปักษีก็ลำดับมาเช่นนั้น หากก็ยังมิทำให้พระวรกายงามงดของเทวนาคาหันมาชายพระเนตรมอง ได้เท่ากับประโยคปิดท้าย

“พี่เป็นห่วงเจ้านะสีทันดร ศึกระหว่างเทวะกับอสูรครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก และพี่ก็ยิ่งห่วงเจ้ามากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร”

“นี่เจ้ารู้ฤา” สีทันดรหันขวับกลับมามองเทวปักษีทันใด

“ถ้าไม่รู้พี่คงไม่มา เจ้าคิดหรือว่าเทวปักษีอย่างพี่จะยอมลงมาเดินดิน เดินป่าเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาเพื่อช่วยดูชัยภูมิตั้งฐานทัพแค่นั้น พี่ลงมาปกป้องหัวใจทั้งดวงของพี่มิให้อยู่ในอันตรายต่างหาก และนี่ก็คือเหตุสำคัญเหตุเดียวที่พี่ร่วมรบในครั้งนี้”

วายุภัคมิตรัสเปล่ากลับสำแดงความในพระทัยมาจนหมดสิ้นผ่านสายพระเนตรวาววับระยับดุจดาวฤกษ์ สายพระเนตรคู่นี้กำลังวิงวอน ให้พระเนตรฟ้าครามน้ำทะเลลึกทรงเข้าพระทัยและรับรู้ และมีหรือที่สีทันดรจะมิทรงทราบ ทรงรู้ดีเลยแหละว่าที่ผ่านมาวายุภัคทรงมาตอแยกับองค์เองด้วยเหตุใด และแน่พระทัยยิ่งขึ้นเมื่อถูกเขารังแกด้วยริมโอษฐ์เหนือลำน้ำปายในครั้งนั้น

“พี่รู้ว่าหัวใจทั้งดวงของเจ้ามอบให้ไอ้อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไปแล้ว แต่พี่ก็อยากให้เจ้ารู้ว่าหัวใจทั้งดวงของพี่ก็ได้มอบให้เจ้าไปหมดสิ้นแล้วเช่นกัน หัวใจของพี่พร้อมแล้วตั้งแต่แรกเห็น พร้อมที่จะวางไว้ในอุ้งหัตถ์และแทบบาทของเจ้า สีทันดร”

สีทันดรทรงสดับแล้วก็วาบในพระหฤทัยนัก และก็มั่นพระทัยว่ามิใช่เขิน มิคาดคิดเลยว่าในเพลานี้จะมีใครมาสารภาพรักตรงหน้า แต่ก็อย่างที่เขาบอกหัวใจทั้งดวงของตนมอบให้อัสดงไปแล้ว และก็ไม่มีเหลือเผื่อแผ่ให้ใคร คงมีแค่ความเห็นใจเท่านั้นที่จะมอบให้ได้เป็นที่สุด

“เราทราบดีวายุภัค ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับเรา แต่เจ้าก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”

“พี่ยอมตายสีทันดร ยอมตายจากโทษานุโทษแห่งมหาเทวี เพียงเพื่อจะได้รับรักตอบและเชยชมเจ้าเท่านั้น พี่ยอมแลกทุกสิ่ง แม้จะชั่วระยะเวลาน้อยนิดพี่ก็สุขใจอย่างที่สุดแล้ว ”

“ถ้าเจ้ารักเราจริง เจ้าก็จะตายด้วยเหตุนี้ไม่ได้ เจ้าต้องรักษาตัวไว้ เพื่ออยู่ประลองกับพี่ชายเรา อยู่ทะเลาะกับพวกเทวนาคาอย่างเราต่อไปนานๆจะได้ไหมวายุภัค เราอยากเห็นอย่างนั้น”

เพราะความจริงในทุกๆพระดำรัสของวายุภัคตรัสออกมาอย่างนั้น ตายของวายุภัคคือเรื่องเล็ก หาได้สำคัญเท่าได้รับรักตอบไม่ เป็นอีกชั่วแวบที่บังเกิดความสงสารเห็นพระทัย และไม่อยากเห็นเขาสิ้นชีพจุติไป จึงทูลยื้อไว้ ด้วยความห่วงใยอย่างไม่เคยมี ด้วยเหตุที่ตรัสฉะนี้และด้วยความรู้สึกที่แปรเปลี่ยนอันบังเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วในชั่วแวบนี่เอง ความชิงชังจึงถอยเคลื่อน มนตรามหาจักรจึงเลือนลดฤทธีลง จักรเพลิงที่กำลังครอบพระวรกายสูญสลายไปในพริบตา

สีทันดรรู้พระองค์ดี ... แลไม่ทรงกลัวแล้วว่า วายุภัคจะกระทำจาบจ้วงอย่างที่ทรงทำ
ทว่ายามนี้ทรงเกรงมากกว่า ที่วายุภัคจะมิทำในสิ่งที่ทรงขอ

“จะทำให้เราได้ไหม วายุภัค”   

“พี่จะพยายาม” สุรเสียงกังวานของวายุภัคกลั้นสะอื้นมาซะแล้ว “เจ้าเองพรุ่งนี้ ก็ต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าเป็นอะไรไป อยู่ต่อให้พี่รักตลอดไปจะได้ไหม”

“แม้จะรู้ว่ารักเราได้ข้างเดียวน่ะหรือ เอาเถอะ เราสัญญาว่าเราจะไม่เป็นอะไร”

“พี่ไม่เชื่อ” วายุภัคตรัสจบ ก็เอามือลูบแขนตนเองหนึ่งครั้ง พอหงายฝ่ามือมา ก็บังเกิดเป็นขนปักษาจากปีกสีเศวตยาวสองคืบขนหนึ่ง เจ้าของขนนั้น ถือวิสาสะเอื้อมฝ่ามือหนา ฉุดข้อพระกรวางไว้ในฝ่ามือบางกว่า แล้วตรัสว่า

“ให้พี่ดูแลเจ้าดีกว่า หากเจ้าตกอยู่ในอันตรายและต้องการความช่วยเหลือเมื่อใด จงเอาขนปักษาเส้นนี้ออกมา จูบเบาๆแล้วเรียกชื่อพี่ ต่อให้พี่อยู่ไกลถึงฉิมพลี พี่ก็จะลงมาปกป้องเจ้าทันที”

แล้วเทวปักษีหนุ่มน้อยก็โผนทะยานลอยลับกลับขึ้นยอดไม้สูงทันใด เหลือแต่สีทันดรที่ทำพระพักตร์และพระทัยอีกทั้งตรัสอะไรต่อมิถูกอยู่องค์เดียว

รุ่งขึ้นของวันถัดมา ทรงกลดพาคณะออกเดินทางแต่เช้า เพื่อเดินทางไปยังชัยภูมิฐานทัพใหม่ให้เร็วที่สุด ทุกผู้ทุกคนยังเดินกันตามลำดับเดิมเหมือนเมื่อวานที่ผ่านมา แต่ที่ต่างออกไปคือหาได้มีเสียงทะเลาะลั่นๆระหว่างมหาฤาษีกับสีทันดรไม่ ทั้งสองวันนี้เงียบสงบผิดปกติ พอๆกับวายุภัคที่เดินรั้งท้ายไม่พูดไม่จา

อณูแห่งจันทรเทพพาเดินไปเรื่อยๆตลอดหลายชั่วโมงช่วงเช้า พร้อมทั้งจดบันทึกรายละเอียดของภูมิทัศน์ไปเรื่อยๆเช่นกัน มีบางจังหวะหยุดยืนปรึกษากับเหล่าอณูที่เหลือหากก็มินาน จนมาถึงลานป่าโล่งกว้างที่ได้เวลาพักเที่ยงพอดี

“พักกันที่นี่ก่อนนะ” 

ทรงกลดกล่าวขึ้น แล้วทุกคนก็เหวี่ยงเป้สะพายหลังลง ต่างคนต่างพิงไว้ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นเพื่อพักพิง คงมีแต่สีทันดรที่ยังยืนอยู่มองไปรอบๆ จนสายตามาหยุดที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ทว่าก็แค่แว่บเดียว ก่อนจะเบนไปหาตระการตา ที่นั่งทรุดอย่างหมดแรงถัดออกไป

‘ได้เวลาแล้วหลงตา’ กระแสจิตของสีทันดรส่งถึงมหาฤาษีพลัน มหาฤาษีที่นั่งบนไหล่วายุภัค ก็ส่งกระแสจิตกลับมา

‘ระวังตัวด้วยไอ้สีทันดร’

‘จ้ะ หลงตา’

เจ้านาคน้อยรับคำ แล้วเดินไปหาตระการตา ฉุดข้อมือขึ้น แล้วชวนว่า “พี่ตระการตา ไปหาที่นั่งเล่นกันเถอะ เราได้ยินเสียงคลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะมีน้ำตกอยู่แถวนี้ พี่จะได้ล้างหน้าล้างตาด้วยดีไหม”

ตระการตาฟังแล้วก็ยังลังเลในทีแรก เพราะคันฉัตรสั่งไว้เป็นสิบๆรอบก่อนออกเดินทางเมื่อวานไว้ว่า “ถ้าน้องดื้อชวนไปเล่นซนอะไรที่ไหนอย่าไปเชียวนะตา”

แต่ครั้นพอถูกคะยั้นคะยอด้วยเสียงสดใสมาอีกรอบ ตระการตาจึงปฏิเสธไม่ลง ว่าแล้วก็พากันไปขอทรงกลด ...ทรงกลดเองก็ใจดีเหลือแสน ยอมอนุญาตแต่ก็จะขอตามไปด้วย สีทันดรจึงบอกไปว่าจะไปอาบน้ำกันและคงเขินหากมีใครมานั่งดู ด้วยความที่รักและเอ็นดูสีทันดรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แลวันนี้สีทันดรก็เงียบไม่ค่อยพูดค่อยจามาตั้งแต่เช้า อีกทั้งเหตุผลก็ฟังเข้าท่าและอยากจะเอาใจ นั่นแหละทรงกลดจึงปล่อยให้ไปตามลำพังกันสองคน

“รีบไปรีบกลับนะน้องดื้อ”

“จ้ะพี่กลด จะรีบไป” สีทันดรยิ้มกว้างรับคำ บอกจะรีบไป แต่มิได้หมายถึงจะรีบกลับ ว่าแล้วก็โอบเอวตระการตาพาพุ่งปราดเป็นรัศมีสีเขียวเจือทองเหนือยอดไม้สูงออกไปทันที

“จะไปก่อเรื่องอะไรอีกไหมวะเนี่ยไอ้กลด” คืนฉายถามขึ้นด้วยความกังวล แต่แล้วก็ต้องเงียบ เมื่อมหาฤาษีตอบมาแทนทรงกลดว่า

“ไม่มีอะไรหรอก ไอ้อณูครุอสูร แต่ถ้ามีข้าเชื่อว่า ไอ้สีทันดรมันเอาตัวรอดได้ พวกเอ็งอย่าไปกังวลอะไรให้มากนักเลย”

วายุภัคเองที่ได้ยินก็อยากจะหักใจคิดเช่นนั้น หากมิหันไปเห็นเงายักษีเลือนรางสองเงา พุ่งปราดไปทางแนวป่าแนวเดียวกับสีทันดร วายุภัครีบขยับพระวรกายลุกขึ้น แต่แล้วเสียงจุ๊ๆ จากปากมหาฤาษีก็ห้ามตนไว้อีกคน วายุภัคจำต้องประทับนั่งลงดังเดิม ด้วยพระทัยกังวลว้าวุ่นอย่างมิเคยทรงเป็น และมิเคยมีให้ใครมาก่อนเลยในชีวิต

เฉกเดียวกับอัสดงที่ยามนี้ยืนอยู่เหนือยอดไม้สูง สายตาจับไปยังทัพมารดำทะมึนที่อีกมินานจะประชิดติดวัดป่าแล้ว ใจของเขายามนี้ว้าวุ่นกังวลใจเป็นที่ยิ่ง เพราะจู่ๆก็เกิดห่วงถึงคะนึงหาสีทันดรอย่างมิเคยเป็นมาก่อน เป็นหนักยิ่งกว่าเมื่อคืนเสียอีก ใจอยากจะขี่อุจไฉยศรพกลับไปกอดก่อนออกรบนัก อยากจะกลับไปดูเหลือเกินว่ายามนี้ไอ้ดื้อยอดดวงใจเป็นอย่างไร

“เอาน่าเดี๋ยวก็ได้กลับไปกอดน้องดื้อแล้ว” คันฉัตรปรากฏกายกำจายรัศมีสีม่วงเจือทองวาบขึ้นจากด้านหลัง ตบไหล่เพื่อนเบาๆ เป็นการปลอบ รู้ดีว่าเพื่อนกังวลเรื่องอะไร เพราะเขาเองก็กังวลเรื่องเดียวกัน

“แล้วนายไม่คิดถึงหรือเป็นห่วงตระการตาบ้างเลยหรือวะ”

“กังวลสิวะ แปลกมากจู่ๆก็เกิดเป็นห่วง เกิดคิดถึงอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ก็ต้องห้ามไว้ เตรียมระบายออกโดยการล้างพวกมาร ตอนนี้หน้าที่ของเราคือออกรบนะโว้ย ไอ้พระอาทิตย์ ทำใจให้สบายซะ ใส่เกราะนี่และลงไปบัญชาการด้านล่างได้แล้ว”

คันฉัตรเรียกสติอัสดงคืนมาได้ แล้วยื่นเกราะทองวาววะวับให้เพื่อนสวมใส่ แล้วทั้งสองก็เหิรลอยลงจากยอดไม้ เดินมาหน้าหมู่เทวทหารหาญ พร้อมแล้วกับการระบายความคิดถึงหนักหน่วงทั้งหมดทั้งมวล เอาไปลงกับพวกมารประหัตประหารให้สิ้นซากสาแก่ใจ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 16-05-2020 14:18:25
ด้านสีทันดรที่พาตระการตาเหิรลอยมาได้สักครู่ ก็พบน้ำตกขนาดใหญ่สวยใสดังคาด  เมื่อพากันลงมายังพื้นเบื้องล่างแล้ว ทั้งสองต่างพร้อมใจกันกระโจนลงไปแหวกว่ายอย่างสนุกสนาน ตระการตาแทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ดำผุดดำว่ายอยู่เป็นนานสองนาน แถมยังโดนสีทันดรแกล้ง แปลงคืนเป็นนาคาสีขาวเจิดจรัสพ่นน้ำใสใส่อยู่เนืองๆ จนสุดท้ายคงเบื่อที่จะเล่นกันแล้ว จึงมานั่งคุยกันบนโขดหินพื้นเรียบยังใจกลางธารน้ำตก

“ไม่นึกไม่ฝันนะเนี่ยว่าจะได้มาเล่นน้ำกับพญานาค”

“ไม่นึกไม่ฝันเช่นกันว่าจะได้มาเล่นน้ำกับโอษฐ์แห่งมหาเทวี พี่รู้ไหม ตำแหน่งสำคัญนี้ไม่มีมานานเกือบพันปีแล้ว โดยเฉพาะโอษฐ์แห่งมหาอุมาเทวี”

“ทำไมต้องโดยเฉพาะเจาะจงเป็นโอษฐ์แห่งมหาอุมาเทวีด้วยล่ะ” ตระการตาถามขึ้นด้วยความสงสัย ส่วนสีทันดรวันนี้ก็ตอบอย่างพระทัยดี มิรำคาญเฉกแต่เก่าก่อน พระเนตรฟ้าครามสุกใสเป็นประกาย ยามอธิบาย

“ก็เพราะโอษฐ์แห่งมหาอุมาเทวี ไม่ได้มีแค่มหาอุมาเทวีจะทรงใช้งานน่ะสิ พี่เคยได้ยินถึงพระนามมหาทุรคา และมหากาลีบ้างไหม”

“เคยสิ พี่เคยได้ยินว่า ท่านก็เป็นพระองค์เดียวกันแหละ แต่แบ่งภาคมาปราบอสูรใช่ไหม อ้อ เคยอ่านเจอด้วย มีหลายตำนานเชียวจำไม่หวาดไม่ไหว”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี อย่าไปจำตำนานเลยปวดหัววุ่นวายไปเปล่าๆ จำง่ายๆดีกว่าว่า มหาอุมาเทวีก็เปรียบเสมือนน้ำในน้ำตกนี่แหละเย็นใส สะอาด แต่ถ้าหากเราเอาน้ำไปต้ม น้ำย่อมร้อน นั่นคือมหาทุรคา” สีทันดรตรัสถึงตรงนี้ พื้นน้ำเบื้องล่างที่ใสเย็นฉ่ำ ก็บังเกิดความร้อน จนตระการตาชักขาขึ้น แล้วพระเนตรสุกใสก็ส่งประกายระยับขึ้นไปอีก เมื่อน้ำที่แค่ร้อนกลายเป็นเดือดปุดๆ ตระการตาเองเห็นแล้ว ฟังแล้วก็นึกชื่นชมอยู่ในใจว่าน้องดื้อผู้นี้ เป็นอีกพระองค์ที่อธิบายได้เห็นภาพเข้าใจง่ายเป็นที่สุด

“แต่ถ้าเราต้มน้ำไปนานๆ จนน้ำเดือดอย่างนี้ล่ะก็ คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าใคร”

“มหากาลี!!!”

“ใช่มหากาลี” เจ้านาคน้อย เน้นหนักสุรเสียงยามเอ่ยพระนามนี้เป็นพิเศษ เปลี่ยนท่วงทำนองเป็นจริงจัง “สามพระองค์ก็คือน้ำที่ระดับความร้อนแตกต่างกันจำแค่นั้นจะได้ไม่งง ผู้ที่รับหน้าที่เป็นโอษฐ์ของท่านต้องรับสามระดับพลังนี้ให้ได้ และการที่มหาเทวีทรงใช้งานผ่านผู้ที่เป็นโอษฐ์นั้นก็เพื่อเลี่ยงและลดพลังงานสะท้อนมหาศาลจากพระองค์เองที่ทำให้โลกมนุษย์พินาศได้อันเกิดจากการสด็จโดยตรง”

“ครับน้องดื้อ พี่เข้าใจแล้ว อันที่จริงเรื่องนี้ ฉัตรเขาก็เกริ่นๆกับพี่เมื่อคืนก่อนเหมือนกัน และพี่ก็กลัวเหลือเกินว่าพี่จะทำให้ทุกคนผิดหวังเพราะพี่ไม่คู่ควร”

“อย่าคิดเช่นนั้น เรามั่นใจว่าพี่ทำได้ มหาเทวีเลือกพี่แล้วนี่ ” สีทันดรตรัสพลางบีบมือตระการตาพลางให้กำลังใจ แล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มที่ริมโอษฐ์ แล้วถามขึ้นว่า “มหาเทวีทรงติดต่อพี่มาบ้างหรือยังหลังจากขึ้นเฝ้า”

“ยังเลยน้องดื้อ ก็อย่างที่น้องดื้อและทุกๆคนได้ยินบนเทวสภานั่นแหละ ท่านให้พี่นำพามนุษย์สวดมนต์ ท่านสั่งแค่นั้น และท่านก็ไม่ติดต่อมาเลย ท่านอาจจะให้พี่ทำสิ่งนี้สิ่งเดียวก็เป็นได้”

“เราว่าไม่น่าจะใช่นะ เพราะพระแม่เจ้าก็บอกให้พี่ฝึกสมาธิเพื่อติดต่อท่านรับพลัง แล้วพี่ทำไมไม่ลองติดต่อท่านเองก่อนล่ะ มัวแต่รอให้ท่านติดต่อมาบางทีอาจจะไม่ทันการ หรือบางทีท่านอาจจะรอพี่ติดต่อท่านอยู่ก็ได้ ท่านก็บอกพี่แล้วนี่ถึงวิธีที่ท่านบอกว่าภาษามนุษย์เรียกว่าเปิดสวิตซ์” สีทันดรทรงคิดสิ่งใดในพระทัยตระการตาย่อมไม่รู้ แต่ฟังดู มันก็สมเหตุสมผลเข้าท่าน่าลองดีเหมือนกัน

“ว่าแต่ พี่ฉัตรสอนพี่ สวดมันตราอัญเชิญเสด็จมหาเทวีหรือยัง”

“ยังเลย”

“งั้นเราสอนให้ เอาไหม ... วิธีนี้เร็วดี”

“เอาสิ ตอนนี้เลยนะ”

“ได้สิ ตั้งจิตให้เป็นสมาธินะ แล้วว่ามันตราตามเรา”

สีทันดรเปลี่ยนสุรเสียงใสเป็นจริงจังขึ้นกว่าเดิมอีกระดับ แล้วขยับยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิพนมมือขึ้นตรงกลางระหว่างอกเตรียมถ่ายทอดมหามนตราอัญเชิญเสด็จ ตระการตาก็ทำเฉกเดียวกัน แล้วอัศจรรย์ก็พลันบังเกิด เมื่อลูกแก้วสีทองลอยออกมาจากกระพุ่มหัตถ์ดั่งดอกบัวตูมของสีทันดรเข้าสู่กลางหน้าผากของตระการตา พร้อมเสียงสังวัธยายมนตราด้วยทำนองสูงต่ำสลับกันไปมา ที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาทของมนุษย์น้อยจนต้องเปล่งเสียงตามออกมาว่า

“โอม ชยันตี มงคลกาลี ภัทรันกาลี กปาลินี ทุรคา กัษมา สวาธาตรี สวะสุธา นะโมสะตุเต
โอม อัมเพ อัมวิเก อัมพา ลิเกส มานัยติ ศัสจนัส สัตยสวัส สวภิ กัมกาเม บิลวาสินี ทุรคาเย นมัส โอม”

เมื่อสิ้นสุดวรรคสุดท้าย เสียงครืนๆของฟ้าลั่นก็ดังขึ้นไปทั่วแผ่นฟ้าบริเวณนั้น น้ำใสรายรอบพวยพุ่งขึ้นด้านบนประหนึ่งน้ำพุกว่าชั่วพักก่อนจะสงบลง อีกทั้งบังเกิดละอองสีทองระยับลอยรอบตัวตระการตาก่อนจะซึมทราบเข้าไปในร่าง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าตัวคงตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บัดนี้เดี๋ยวนี้ หลังจากลงมาจากเทวสภานี่จึงดูชินตาไปเสียสิ้น

ตระการตามิรู้หรอกว่าอาการชินแบบนี้คืออาการที่เริ่มคุมจิตได้แล้ว แต่ที่รู้เสียยิ่งกว่ารู้คือมิต้องเดือดร้อนให้สีทันดรทวนมนตราซ้ำอันใดอีกเลย นอกจากนี้ยังรู้สึกได้อีกว่า ภายในกายตนนั้นกำลังมีกลุ่มก้อนพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่ด้านในคล้ายกำลังจะปะทุออกมาให้จงได้

“เก่งนี่ รอบเดียวก็จำได้”

“ก็น้องดื้อบรรจุไว้ให้พี่นี่นา อย่ามายอกันเลย”

“แหมมม ดันรู้อีก...ว่าแต่สวดแล้วเป็นไง”

“ตอนนี้พี่รู้สึกร้อนๆ เหมือนมีพลังอะไรสักอย่างกำลังวิ่งอยู่ทั่วตัว เหมือนมันกำลังจะหาทองออกมาให้ได้”

“ฝืนไว้ก่อนนะพี่ อย่าเพิ่งให้ออกมา จงเอาจิตพี่ไปกำกับพลังนั้นไว้ตรงกลางหน้าผากให้ได้ กักไว้ตรงนั้นก่อน หากจำเป็นถึงคราวต้องปล่อย ให้ปล่อยพลังออกมาทางหน้าผากทางเดียว”

“พี่จะพยายายามนะ ว่าแต่ตอนนี้พี่ร้อนเหลือเกิน”

ตระการตารับคำเสียงเริ่มสั่น และเริ่มร้อนจนทนไม่ไหว จนต้องกระโดดลงไปในน้ำ แล้วก็นึกได้ว่า สีทันดรเคยสอนกสิณน้ำหรืออาโปกสิณให้ใช้ดับความร้อน ว่าแล้วจึงเจริญกสิณกองนั้นใช้ความเย็นของน้ำไล่ความร้อนทั่วตัวให้ขึ้นมาอัดอยู่ตรงหน้าผากอย่างเดียว ก่อนจะดับให้สลายด้วยความเย็นเฉกเดิม

“เก่งมากพี่ตระการตา ไม่เสียแรงที่เราสอนเลยสักนิดเดียว ทีนี้พี่ก็รู้แล้วนะว่าอัญเชิญพลังกับดับพลังทำอย่างไร”

สีทันดรดีพระทัย ปรบพระหัตถ์กระโดดจนตัวลอย แต่แล้วอาการดีใจเรื่องตระการตาก็ต้องยุติลง เมื่อสายพระเนตรหันไปเห็นกวางทองตัวหนึ่ง เดินตาแป๋วลงมากินน้ำ เจ้ากวางทองตัวนั้น คล้ายจะมองๆเมียงๆมาที่สีทันดรและตระการตา เหมือนจะอยากเข้าหาหรือเชิญชวนให้มาเล่นด้วยหรืออย่างไรก็มิทราบ ด้วยความที่มันน่ามองสีทองไปทั้งตัว สีทันดรจึงเดินเข้าไปหามัน และมันก็เหมือนจะแสนรู้ ทำเป็นถอยพลางเล่นพลาง ทีละนิดๆ พอสีทันดรตั้งท่าจะกระโจนคว้าเท่านั้นแหละ มันก็วิ่งปรู๊ดออกไปด้วยความรวดเร็วราวกับทะยานเหาะ พอๆกับสีทันดรที่พรุ่งปราดออกไปเช่นกัน และนั่นก็ทำให้ตระการตาอยู่คนเดียว

“อ้าวน้องดื้อจะไปไหน ” ตระการตาตะโกนถาม หากก็มิทันที่จะได้คำตอบ แล้วพอคล้อยหลังสีทันดรที่หายลับตามกวางทองเข้าไปในแนวป่าเท่านั้น บรรยากาศรอบข้างน้ำตกก็ครึ้มลงทันที

แล้วเสียงหัวเราะลั่นๆของสตรีก็บังเกิดก้องไปทั่ว รอบๆตัวตระการตา มินานรัศมีสีดำก็ปรากฏขึ้นมา พอสลายก็กลายเป็นร่างของสตรีสาววัยยี่สิบกว่าๆ หน้าตาเรียบตึง เคียดขึ้ง เขี้ยวโง้งแหลมบ่งบอกให้รู้ชาติพันธ์

“นางยักษ์”

“ใช่ ไอ้มนุษย์น้อย ...ข้าคือยักษ์ และเจ้าก็รู้ใช่ไหมว่ายักษ์กินอะไร”

ตระการตาที่อยู่ในน้ำค่อยๆถอยกรูดตามสัญชาติญาณจนไม่มีทางถอย โชคดีอยู่อย่าง ที่ตอนนี้มิตระหนกเหมือนเมื่อก่อน แต่ถึงแม้จะมิตระหนกหากก็มิรู้จะเอาตัวรอดอย่างไร เพราะยังไม่มีใครสอนให้โรมรัน นี่ถ้าฉัตรอยู่ละแวกนี้ ก็คงจะร้องเรียกแล้ว

“คิดจะเรียกคนมาช่วยเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก ไอ้มนุษย์หน้าโง่ กว่าจะอยู่คนเดียวได้ เล่นเอาข้ารอซะนาน มาเป็นอาหารให้ข้า สำมะนักขาซะดีๆ แล้วข้าจะกลายเป็นเจ้าให้เอง มานี่”

นางสำมะนักขาตวาดในเสียงสุดท้าย แล้วสะบัดมือซัดพลังรัศมีสีดำลูกใหญ่ไปยังใจกลางน้ำที่ตระการตายืนอยู่ แรงระเบิดนั้นก่อเกิดเสียงกัมปนาท พร้อมร่างของตระการตาที่กระเด็นขึ้นมาจนร่างทั้งร่างกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ เลือดสีแดงสดทะลักออกจากปาก ระคนเสียงหัวเราะอย่างสะใจ แล้วอุ้งมือที่แข็งราวคีมเกินสตรีก็คว้าคอตะการตาไว้ บีบแน่นชูขึ้นฟ้า

“ชะ ช่วย ด้วย”  ตระการจตายังพอขับเสียงได้กระท่อนกระแท่น “ คะ ใครก็ได้ ช่วยด้วย ” 

“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก”

“นะ น้องดื้อ ช่วยพี่ด้วย”

“เหอะ ไอ้นาคน้อยแสนโง่นั่น มันมาช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ป่านนี้มันตามกวางทองบริวารของข้าไปถึงไหนต่อถึงไหนก็มิรู้ ฮะฮ่าๆ”

สำมะนักขาหัวเราะดังลั่นอย่างสะใจอีกครา แต่โบราณว่าไว้ว่าหัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอ นางยักษีมันมิรู้หรอกว่า กวางทองสมุนของมันนั้นชะตากรรมเป็นเช่นไรในตอนนี้

นางยักษ์มันคิดว่าสีทันดรโง่จนหลงกล แต่คนโง่ที่ไหน ที่แสร้งวิ่งตามไปอย่างนั้น แล้วเหิรลอยขึ้นไปหลบอยู่บนต้นไม้ เจ้ากวางจำแลงที่เห็นว่าคนไล่ในทีแรกไม่ตามมาก็เกิดเขลา เหิรกลับมาดู และกว่าจะรู้ว่าถูกซ้อนกล พระหัตถ์แห่งเทวนาคาก็เหิรลอยลงมาพร้อมตัวคว้าคอมันขึ้น แล้วใช้พระหัตถ์อีกข้างค่อยๆดึงขามันทีละขาออกจากตัว บังเกิดเสียงร้องโหยหวนลั่นไปทั่วแนวป่า ก่อนที่ร่างจำแลงจะแปลงคืนเป็นนางอสุรีตาเหลือกถลน หมดทางดิ้นรนหนี แล้วสีทันดรก็ออกแรงเพิ่มบีบคอมันอีกที คราวนี้คอมันขาดกระเด็นคามือ

“กลับไปนรกซะเถิด นางยักษ์ชั่ว คิดว่าข้าตามกลอุบายตื้นๆพวกเจ้าไม่ทันหรือไง กวางทองที่ไหนจะมาอยู่ในโลกมนุษย์ โง่ซะจริงเชียว”

แล้วเทวฤทธิ์ก็ประสิทธิ์โดยพลัน สีทันดรทะยานขึ้นฟ้ากลายเป็นรัศมีสีทองพุ่งปราดกลับมาด้วยความรวดเร็ว แต่มิได้กลับมาสกัดนางสำมะนักขา แต่กลับมายืนดูอยู่หลังโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง แม้จะเห็นว่าตระการตากำลังกระอักเลือด ถูกนางยักษ์บีบคอจนเท้าถีบอากาศไปมาเรียกได้ว่าจนมุม หากก็ยังมิทรงช่วย ทว่ากลับส่งแค่กระแสเสียงไปยังกลางสมองของตระการตาว่า

“พี่ตระการตา สำรวมจิต สวดมนตราอัญเชิญเสด็จที่เราถ่ายทอดเมื่อกี้เร็วเข้า แล้วปล่อยออกมาตรงกลางหน้าผากเร็ว”

ตระการตาที่กำลังทุรนทุรายภายใต้น้ำมือนางสำมะนักขาได้ยินดังนั้นก็พลันได้สติ สำรวมจิตตั้งใจมั่นหลับตาลง ลำดับมหามนตราที่กำลังวิ่งวนอยู่ในหัว แล้วเปล่งเสียงตัวเองออกมากลางสมองเป็นการสวดในใจที่นางยักษ์ไม่ได้ยิน หากแต่ดังกระหึ่มไปทั่วร่างตน แล้วพอคำว่า ‘โอม ชยันตี มงคลกาลี’ ลำดับขึ้น พลังงานความร้อนที่ห่างหายดับลงเมื่อครู่ก็หวลกลับมาซัดซ่านไปทั่วร่างทั้งร่าง คราวนี้ไม่ฝืนอะไรอีกต่อไปแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อะไรจะระเบิดก็ให้มันระเบิดออกมา และที่สำคัญพลังเหล่านั้น ก็ถูกดันมาอยู่กลางหน้าผากเรียบร้อย ครั้นพอคำว่า ‘ทุรคาเย นมัส โอม’ อันเป็นวรรคสุดท้ายสิ้นลง ตระการตาก็รู้สึกว่า พลังงานกลางหน้าผาก ระเบิดตูมออกมา แล้วสติสัมปชัญญะของสภาวะมนุษย์ก็สิ้นลงทันที

ด้วยแรงระเบิดแห่งพลังงาน ทำให้นางสำมะนักขากระเด็นกระดอนไปกระแทกกับหน้าผาน้ำตกอย่างรุนแรงจนเลือดกระอัก แขนที่ใช้บีบคอตระการตาไว้ ขาดสลายเลือดพวยพุ่งเป็นภัสมธุลี นางยักษีกรีดร้องโหยหวนพยุงกายขึ้นมา แล้วก็ต้องตาเหลือกโพลน เมื่อร่างมนุษย์ธรรมดาตรงหน้า ยืนตระหง่านคล้ายจะขยายใหญ่ขึ้น เบื้องหลังคือเงาแห่งเทวสตรีสยายพระเกศาเหนือกายสีดำเปล่งรัศมีสีแดงเข้มเจิดจ้าไปทั้งแนวป่า ที่ถึงแม้จะเป็นแค่เงา หากก็เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนเป็นที่สุด

เทวสตรีพระองค์นั้นเยื้องย่างก้าวบาทแต่ละทีแผ่นดินแผ่นฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นครืนๆ พระพักตร์ถมึงทึงเกรี้ยวกราดเป็นที่ยิ่ง พระเนตรดุดันทรงอำนาจ พระโอษฐ์แสยะมีเลือดติดถ้วนทั่ว รอบพระศอคือสังวาลย์หัวกระโหลก ที่อสูรชั้นต่ำก็รู้ว่าเทวสตรีพระองค์ใดใช้ทรง

สำมะนักขายักษีรู้ดีเสียยิ่งกว่ารู้ เทวสตรีพระองค์นี้ทรงมหามหิทธานุภาพอย่างที่สุด หนึ่งในจิตของจอมอสูรก็พ่ายพระนางมาแล้ว!!!

“นางยักษ์ชั้นต่ำ บังอาจหนีมาเกิด เหิมเกริมทำร้ายโอษฐ์แห่งข้า”

“พะ...พระแม่เจ้ามหากาลี ขะ..ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่รู้มาก่อน อภัยให้ข้าด้วย”

นางสำมะนักขากว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมทุกอย่างดูง่ายดายก็สายไปเสียแล้ว นี่แหละหนาที่เขาว่าความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย จึงได้แต่ปากสั่น คอสั่น มิอาจหาญต่อกร ถอยกรูดๆ แทบจะคลานหนีสิ้นศักดิ์ศรีแห่งยักษ์ทระนง แต่เทวสตรีมหากาลีพระองค์นี้ ก็ย่างพระบาทผ่านร่างตระการตาไปสกัดกั้นทุกทิศทาง แม้นางยักษีจะกลายคืนเป็นรัศมีมืดสำดำโผนทะยาน แต่ก็ถูกตบด้วยเทวฤทธิ์ลงร่วงลงมากองอยู่กับพื้นเสียงดังสนั่น เท่านั้นยังไม่พอ มหากาลียังกระทืบพระบาทลงไปกลางอกนางดังพลั่ก เสียงกร็อบของกระดูกแตกร้าวดังลั่น พร้อมเลือดสีแดงคาวคลุ้งไหลออกจากทวารทั้งแปดทันที

“พระ พระ แม่ จะ เจ้า”

และนี่ก็เป็นถ้อยคำสุดท้ายของนางสำมะนักขายักษีที่หนีมาเกิดเป็นมนุษย์ พระแม่เจ้ามิทรงปล่อยให้มันพูดคำใดอีกต่อไป เอื้อมหัตถ์จิกหัวมันไว้แล้วกระชากออกจากตัวดังแควก นางสำมะนักขาสิ้นใจลงอย่างน่าสยดสยอง นี่คงจะเป็นภาพที่ติดตาสีทันดรไปอีกชั่วกาล และนี่ก็เป็นเหตุให้ทุกผู้ทุกนามทั้งเทวะแลอสูรเกรงพระแม่เจ้านัก พระแม่เจ้ามิเคยปราณีในการประหัตประหารเลย ทรงเป็นอีกภาคของมหาอุมาเทวีที่พระลักษณะและพระอุปนิสัยต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ฉะนี้ เทวะทุกพระองค์ที่ทำผิดจึงกลัวนักเวลาพระแม่เจ้ามหาอุมาเทวีเรียกเฝ้า เพราะตอนเรียกอาจจะอยู่ในภาคมหาอุมาเทวี แต่ตอนเข้าเฝ้าอาจจะเสด็จออกในภาคมหากาลีมาลงทัณฑ์ก็ได้

ด้วยเสียงสนั่นครั่นครืนกึกก้องโกลาหลไปทั้งป่า อีกทั้งพลังแห่งรัศมีอันรุนแรง ทำให้อณูน้อยทั้งห้าที่เอนกายพิงต้นไม้อยู่กระเด้งตัวผลุดลุกกันขึ้นมาทันใด เทวฤทธิ์ที่มีอยู่ มิต้องบอกแก่กันก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตะโกนลั่นออกไปอย่างตกใจพร้อมๆกันว่า

“ตระการตา น้องดื้อ ฉิบหายแล้ว!!!”

“สีทันดรของพี่”

วายุภัคก็ตะโกนลั่นเฉกกัน สยายปีกสีเศวตโดยพลัน เตรียมโผนทะยานออกไปด้วยพระทัยร้อนรนพร้อมอณูน้อย แต่ทั้งหมดก็ต้องชะงัก เพราะมหาฤาษี ใช้ไม้เท้าฟาดพลังสกัด ยับยั้งไว้ด้วยฤทธี

“พวกเอ็งอย่าเพิ่งเข้าไปตอนนี้ไอ้อณูน้อย เดี๋ยวเสียเรื่อง ส่วนเอ็งไอ้วายุภัคเตรียมตัวให้ดี รอให้ไอ้สีทันดรมันเรียกแล้วเอ็งค่อยไป อีกเดี๋ยวมันต้องพึ่งเดชะของเอ็ง”

ทางด้านสีทันดรก็ยังยั่นย่อพระวรกายมิหาย ทั้งๆที่ควรจะดีใจในภารกิจอัญเชิญมหาเทวีมาประทับร่างตระการตาจนสัมฤทธิ์ผล แผนนี้นี่เองที่ลอบวางกับหลวงตามาหฤาษีและนลกุพร หากก็ยังมีอีกภารกิจต่อมาคือต้องนำเสด็จไปสู่สนามยุทธการยังวัดป่าให้จงได้ อันเริ่มไม่มั่นพระทัยแล้วว่าจะกราบทูลให้นำเสด็จได้หรือไม่ แล้วสีทันดรก็ต้องสะดุ้งออกมาสุดพระวรกาย เมื่อมหาเทวีตวาดเรียกลั่น

“ออกมาบัดเดี๋ยวนี้ สีทันดร”

สิ้นรับสั่งจากสุรเสียงดังราวฟ้าผ่า ยังมิทันจะก้าวออกมา โขดหินใหญ่ที่หลบอยู่ก็ระเบิดออก แตกเป็นเสี่ยงๆ สีทันดรถึงกับกระเด็นขึ้นฟ้าลงมากระแทกพื้นดังลั่น พอเงยพระพักตร์พยุงกายขึ้นมา มหากาลีเทวีในร่างตระการตาก็มาประทับยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

“รู้ไหมบังอาจแค่ไหน ที่กล้าอัญเชิญข้ามายังโอษฐ์แห่งข้าโดยพละการ”

“หม่อมฉันทราบดีพะยะค่ะ”

“รู้ดีแต่ก็ยังทำ”

มหากาลีตระการตาตรัสจบ ก็กระทืบพระบาทลงพื้นอีกที คราวนี้สีทันดรกระเด็นไปติดต้นไม้ เลือดแดงสดทะลักออกมานิดหน่อยอยู่มุมปาก นี่แสดงว่ามหาเทวีทรงปราณีอยู่บ้าง ถึงจะกำลังกริ้วหากก็มิมาก นี่แหละที่หลงตากับวายุภัคเป็นห่วงว่าจะรับหน้ามหากาลีได้ไหม มหากาลีมิค่อยสดับรับฟังอันใดเพราะพระรัศมีเจือไว้ด้วยเพลิงแห่งโทสะ ตนอาจจะโดนมหาเทวีประหารก่อนจะได้กราบทูล แต่หลงตาก็แนะมาแล้วนี่ว่าให้ใช้อะไรให้เป็นประโยชน์ ว่าแล้วจึงหลับพระเนตรบูชามหาลักษมีเทวี และด้วยความที่เป็นอณูแห่งพระแม่เจ้า จิตจึงติดถึงกันง่ายดายและรวดเร็วเป็นที่ยิ่ง

และในฉับพลันที่เงาแห่งมหากาลีเทวีในร่างตระการตา เอื้อมหัตถ์หมายมาคว้าพระศอ แสงสว่างสีชมพูกลีบบัวสว่างไสวระเรื่อเจือทองก็ผลุดออกจากกลางพระนลาฏเข้าจับเต็มพระวรกาย ครั้นพอสลายมหากาลีก็ทรงชะงักงัน เพราะร่างทั้งร่างของสีทันดรกลายเป็นพระมหาลักษมีเทวีนั่นเอง

“น้องหญิงมหาลักษมีเทวี”

“พระพี่นางมหากาลี ฟังน้องสักนิดเถิดเพคะ”

“ตรัสมาเถิดน้องหญิง ทั้งสวรรค์นอกจากมหาเทวีด้วยกัน ก็ไม่มีใครพูดได้น่าฟังอีกแล้ว”


***********************************

รบกวนติดตามต่อในบทที๑๕ ส่วนที่๓ นะคะ

 :pig4: ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามและส่งกำลังใจผ่านคอมเม้นมาให้มากๆนะคะ  แล้วพบกันค่ะ :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 16-05-2020 16:08:02
เข้มข้นและลุ้นมากค่ะ สนุกจนต้องอ่านอีกรอบ สีทันดรชอบทำให้เป็นห่วงตลอด แต่ยังดีที่มีหลวงตาคอยช่วยหวังว่าอัสสะจะเจ้าใจ ขอให้ตระการตาปลอดภัย ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อไวทันใจคนอ่าน รออ่านความสนุกตอนต่อไปค่ะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 16-05-2020 16:24:03
โอ๊ยยยย กำลังมัน โดนตัด! 555

ขอบคุณที่มาต่อให้อย่างรวดเร็วครับ

ตั้งหน้าตั้งตารอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 16-05-2020 21:43:05
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 16-05-2020 22:26:05
พระแม่ลักษมีเจ้าขาช่วยลูกดื้อด้วยเจ้าค่ะ    :sad4:


ตอนพระแม่มหากาลีเสด็จ เพลงนี้ขึ้นเลย    “จะให้โกรธใช่ไหม ถ้าเธอต้องการ…”

ชอบความเปรียบเปรยสามภาคของมหาอุมาเทวีดั่งอุณหภูมิของน้ำ ชัดเจนและเข้าใจง่าย    :teach:


สนุกมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 16-05-2020 23:18:22
เข้มข้นมากครับ กำลังสนุกเลย ให้กำลังใจนักเขียนครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 18-05-2020 12:07:16
ขอบคุณมากค่ะมาต่อแล้วสนุกสมการรอคอยจริงๆแต่ละคุ่น่ารักมากหลวงตาจะละสังขารแล้วพวกมารเริ่มเคลื่อนไหวสงครามกำลังจะเกิดแต่ยักษ์หรือจะสุ้เทพได้รอตอนต่อไปนะคะ รักษาสุขภาพด้วย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๒ อัพ ๑๖ พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 18-05-2020 15:28:54
โอ้ยสนุกมากยิ่งอ่านยิ่งสนุกยิ่งพระแม่กาลีเสด็จด้วยน่ากลัวมากดีนะพระมหาเทวัลักศมีเสด็จมาช่วยน้องดื้อศึกนี้ใหญหลวงยิ่งนักเศร้ามากตอนอัสดงกับทยุติธรกับอณูน้ยทั้งหลายไปเฝ้าหลวงตาจะเป็นพระอรหันต์น้ำตาใหลตามส่วนหลงตากัยน้องดื้อนี่คุ่กัดกันจริงๆ555รอตอนต่อไปนะคะสนุกมาก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-05-2020 14:34:21
อัศวินดารา๒ บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน)

ในขณะที่มหาลักษมีเทวีในร่างสีทันดรกำลังทรงเจรจากับมหากาลีเทวีในร่างตระการตานั้น ทางฝ่ายอณูน้อยทั้งห้าและวายุภัคก็กระวนกระวายเป็นที่ยิ่ง แต่หามีใครเทียมเจ้าเทวปักษี ที่ร้อนรุ่มเดินไปเดินมาได้อีกแล้ว พระทัยอยากจะฝืนคำสั่งมหาฤาษีพระอาจารย์ รีบไปดูเสียตอนนี้ด้วยเป็นห่วงเทวนาคาพระองค์น้อยเป็นที่ยิ่ง หากแต่ก็จำต้องหักไว้ฝืนพระทัยทำตามคำสั่ง

ด้วยทรงทราบจากมหาฤาษีแค่คร่าวๆว่า จะมีการเร่งรัดอัญเชิญมหากาลีเทวีมาสู่ร่างโอษฐ์โดยสีทันดร แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ตัดสินพระทัยในฉับพลัน แทบจะร่อนตามมหาฤาษีจากฉิมพลีลงมาทันทีที่ได้ทรงสดับเมื่อคืนก่อน เพราะทรงรู้ดีว่าอันตรายจะเกิดขึ้นมากเพียงไรกับผู้ที่หาญกล้าอัญเชิญเสด็จโดยพละการ ด้วยพระอุปนิสัยของมหากาลีที่มิทรงฟังใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่ล่วงพระราชอำนาจเร่งรัดให้เสด็จย่อมมีอันตราย สีทันดรก็องค์น้อยแค่นี้จะทานไหวฤา

“ข้าจะให้ไอ้สีทันดรมันสอนไอ้มนุษย์ตระการตาโอษฐ์แห่งมหาอุมาเทวี อัญเชิญเสด็จมหากาลีมาประทับ ข้าต้องขอแรงเอ็งมาช่วยอีกแรง เอ็งจะช่วยพวกข้าได้หรือไม่ ไอ้วายุภัค”

ถ้อยคำที่มหาฤาษีบอกยังทรงจำได้ ถึงได้รีบตัดสินพระทัยตอบรับโดยมิลังเล นี่คือสิ่งที่ทรงทราบ แต่ก็ยังมิรู้ว่ามหาฤาษีจะให้ช่วยอย่างไร ต้องพึ่งเดชะตนอย่างไร มันจะดีกว่าไหม หากพระอาจารย์ยอมให้ไปหาสีทันดรในตอนนี้ ตอนที่อาจจะสกัดสิ่งที่เกรงไว้ได้ทันท่วงที ดีกว่าอยู่ที่นี่รอให้ร้องเรียกมาเอง เพราะเหตุฉะนี้ จึงดำเนินเดินไปมากลัดกลุ้มมากกว่าทุกๆคน

หากสีทันดรเป็นอะไรไป ตนคือคนหนึ่งที่มั่นใจว่า พระทัยองค์เองจะแหลกสลายลงในพริบตาแน่นอน

“พวกเอ็งหยุดเดินไปเดินมากันซะทีเถอะข้าปวดหัว โดยเฉพาะเอ็งไอ้วายุภัค” มหาฤาษีพูดขึ้นทำลายภวังค์คิด วายุภัคตอบสวนทันควัน

“ถ้าอยากให้หลานหยุดเดิน ก็ให้หลานรีบไปดูสีทันดรเถิด หลานเป็นห่วงน้องสีทันดร”

“ใช่หลวงตาให้พวกผมรีบไปดูเถอะ แล้วนี่หลวงตาจะไม่เล่าอะไรให้พวกผมฟังเลยหรือ” ทรงกลดเสริมขึ้น เริ่มที่จะร้อนรนพอๆกับวายุภัค เหมือนกับเหล่าอณูน้อยที่เหลือ

“เดี๋ยวข้าค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ถ้าพวกเอ็งไปตอนนี้ข้าบอกก็แล้วไงเดี๋ยวเสียเรื่อง ข้าเชื่อว่าไอ้สีทันดรมันเอาตัวรอดได้ เอ็งอย่าลืมว่าไอ้สีทันดรเป็นอณูของใคร เอ็งเตรียมตัวเถิดไอ้วายุภัค อีกเดี๋ยวจะมีรับสั่งเรียกหา แล้วข้าก็จะไม่ขวางเอ็งเลยสักนิดเดียว”

แล้วหลวงตามหาฤาษีก็ไม่พูดอะไรต่อ ทิ้งให้วายุภัคและเหล่าอณูเทวะปะติดปะต่อเรื่องเอาเองด้วยความกระวนกระวายมากกว่าเดิม หารู้ไม่ว่าทางฝั่งฟากสีทันดรยามนี้ หาได้มีสิ่งใดน่ากังวลอย่างที่กริ่งเกรงกันเลย

“น้องต้องขอประทานอภัยเพคะ ที่สีทันดรอณูจอมซนของน้อง สอนมนุษย์ผู้เป็นโอษฐ์ อัญเชิญเสด็จพระพี่นางมาโดยพละการ” มหาลักษมีเทวีในร่างสีทันดรตรัสขึ้น ด้วยความที่เป็นมหาเทวีด้วยกัน มหากาลีย่อมทรงเกรงพระทัย และทรงรับฟัง พระสุรเสียงยามตรัสตอบจึงมิก้องประหนึ่งฟ้าผ่าดั่งทีแรก

“เจ้านาคน้อยอณูของน้องหญิงมันเหิมเกริม มันบังอาจ พี่อยากจะสั่งสอนมันสักหน่อย มันควรอัญเชิญเสด็จน้องหญิงมหาอุมาเทวีมาก่อน ตามด้วยมหาทุรคาแล้วถึงจะเป็นพี่ มันทำอย่างนี้จะเกิดอันตรายต่อร่างกายของโอษฐ์แห่งพี่นัก น้องหญิงก็ทรงรู้ว่า จู่ๆถ้าร่างกายมนุษย์ได้รับพลังรุนแรงเลย โดยมิได้มีการปรับพลังทีละน้อยแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละนิดจะเป็นอย่างไร ร่างกายเขาจะมิขาดใจตายหรอกฤา”

“สีทันดรทราบดีเพคะ และน้องเองก็ทราบดีว่า พระพี่นางย่อมทรงมีพระเมตตาและคงมิปล่อยให้โอษฐ์ขององค์เองเป็นอะไร”

มหาลักษมีเทวีทรงยิ้มกว้าง พระพักตร์งามงดเหนือสามโลก ซ่อนนัยซุกซนประหนึ่งดรุณีน้อย ที่ทรงรู้ทันและตามทันพระอารมณ์ของมหากาลีเทวี แลเพราะทรงรู้ทัน อีกทั้งยังตามพระอารมณ์ทันนี่เอง พระกรเรียวเสลา อันสลักได้งามเหนือรูปสลักใดๆทั้งมวล จึงเกี่ยวพระกรพระมหาเทวีผู้ทรงอารมณ์ฉุนเฉียวไว้ ประหนึ่งขนิษฐาองค์น้อยที่กำลังอ้อนพระภคินี ส่งประกายมหารัศมีสีชมพูเจือทองสาดส่องไปทั่วพระวรกายเทวสตรีที่ทรงนับถือประดุจพระพี่นาง

“อย่าโกรธน้องเลยนะเพคะ”

“น้องหญิงยิ้มอย่างนี้ พี่ล่ะใจอ่อนโกรธเจ้าไม่ลงซะที พี่อยากจะรู้จริงๆว่าทั้งสวรรค์จะมีใครโกรธเจ้าลงบ้าง พี่ว่าผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในสามโลก หาใช่มหาเทพทั้งสามพระองค์ไม่ แต่เป็นน้องหญิงนั่นแหละที่ใช้ความน่ารัก อ่อนหวาน และความงามจนสามารถสั่นคลอนแลสยบไปได้ทุกภาคทุกส่วน แม้กระทั่งโทสะของพี่ เอาล่ะ ไม่โกรธก็ไม่โกรธ” มหากาลีเทวีคลายพระพักตร์กราดเกรี้ยว ตรัสพลางสรวลใสพลาง เพราะรู้พระองค์ว่าทรงถูกสยบลงกับเขาบ้างแล้ว  และรู้อีกว่ามิได้ทรงเยินยอเกินจริงแต่อย่างใด

สิริและความงามเลิศแห่งมหาลักษมีเทวีมิใช่หรอกฤา ที่ทำให้ทั้งสามโลกน่าอยู่
เมื่อสิริและความงามเลิศบังเกิดแล้ว ความรัก ไยจะมิตามมา ...และความรักตัวเดียวกันนี้นี่เอง ที่สยบทุกสิ่งให้โอนอ่อนได้ในพริบตา

อย่างนี้แล้วมหาลักษมีเทวีจะมิยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลกได้อย่างไร!!!

“แต่ที่สีทันดรทำไป เพราะมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องอัญเชิญเสด็จมาก่อนในวันนี้เพคะ”

“เอ้า มีความจำเป็นอันใดก็ว่ามาเถิดน้องหญิง”

“พระอริยสงฆ์ ผู้อาจารย์ของอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ มีเกณฑ์จะเข้าสู่อรหันตผลในวันนี้ และทัพมารก็กำลังเข้าขวาง อณูน้อยและกองกำลังเทวะได้เตรียมการตั้งรับยังวัดป่าแล้ว ครั้งนี้คือการปะทะกันครั้งแรก เทวะต้องชนะเพคะ และพระอรหันต์ก็ต้องบังเกิดให้ได้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับฝ่ายเรา น้องจึงเห็นพ้องกับท่านมหาฤาษีและสีทันดรว่าหากพระพี่นางเสด็จไปช่วย สิ่งที่เทวะหวังไว้ย่อมสัมฤทธิ์ผลแน่นอน”

มหากาลีเทวีได้สดับรับฟังดังนั้น ก็ทิ้งโทสะทั้งมวลมากกว่าเดิมที่ทรงทิ้ง หลับพระเนตรนิ่งชั่วพัก ครั้นลืมพระเนตรขึ้นมาอีกที โทสะที่ทรงทิ้งไปก็หวลคืนมาแค่ชั่วลมพัดผ่าน ทรงกำพระหัตถ์แน่น กระทืบบาทลงดินลั่นครั่นครืน พร้อมสุรเสียงก้อง

“ไอ้พวกมารเหิมเกริม บังอาจนัก เราอย่าเสียเวลาเลย ไปที่วัดป่ากันเถอะ”

“ช้าก่อนเพคะ พระพี่นาง ... ระยะทางจากที่นี่ไปวัดป่ามิใช่ใกล้ๆ ลำพังหม่อมฉันกับพระพี่นางเองคงมิใช่ปัญหา แต่ร่างมนุษย์ของโอษฐ์พระพี่นาง ยามสิ้นสุดการประทับจะเหนื่อยอ่อนจนทนไม่ไหว ถ้าเราเหิรลอยในระยะทางไกลๆ และอีกอย่าง พระพี่นางก็ทรงทราบดีใช่ไหมเพคะ ว่าการประทับในร่างโอษฐ์มีระยะเวลาจำกัด เพราะฉะนี้ เราจึงให้เทวะอัฐเคราะห์ทั้งแปดแบ่งภาคลงมาปราบอสูร แทนที่พวกเราจะใช้ร่างผู้ที่เป็นโอษฐ์”

“ขอบพระทัยเจ้ามากที่เตือนพี่ ข้อนี้พี่เกือบลืมไปเลย....แล้วน้องหญิงมีทางใด”

มหาลักษมีเทวีมิทรงตอบในทีแรก แต่ทรงแบพระหัตถ์ขึ้นมา แล้วจึงปรากฎรัศมีสีดาวฤกษ์แวบวาบอยู่ตรงใจกลาง ครั้นพอสลายก็บังเกิดเป็นขนเทวปักษียาวราวสองคืบหนึ่งเส้น มหากาลีทรงเห็นดังนั้นก็เข้าพระทัยได้ในทันทีว่ามหาเทวีแห่งศรีทรงสื่ออะไร

“หลานชายของพญาเวนไตยหรอกฤา ที่จะนำเราไป”

“เพคะ วายุภัคจะนำพวกเราไป”

มหาเทวีแห่งสิริทรงรับคำพร้อมรอยแย้มสรวลงามงดถวายไปอีกครา ก่อนจะทรงคืนร่างกลับสู่สีทันดร ที่กำลังจรดริมโอษฐ์ จูบเบาๆลงไปบนขนแห่งเทวปักษีเส้นนั้น แล้วพระสุรเสียงใสก็ตรัสขึ้นต่อหน้าพระพักตร์มหากาลีว่า

“วายุภัค เจ้าอยู่ไหน มาช่วยเราด้วยเถิด”

สิ้นพระดำรัสก็กำเนิดเกิดลำแสงสว่างวาบสีเศวตพรุ่งตรงขึ้นฟ้าทันใด และลำแสงนี้นี่เองก็ทำให้การรอคอยอันเสมือนยาวนานในความรู้สึกของวายุภัคสิ้นสุดลง ปีกสีเศวตที่กวักบินแต่ละทีได้ทีละโยชน์ก็กระพือออกไปยังลำแสงนั้นทันที เพียงชั่วระยะเวลาเข็มตกลงพื้นเท่านั้น วายุภัคก็มาถึงยังลานน้ำตก สิ่งแรกที่ทรงทำคือรีบถลันเข้าไปหาสีทันดร หากก็มิลืมที่จะหมอบราบกราบกรานผู้ที่ประทับยืนอยู่เบื้องหน้าเพลานี้ที่ทรงทราบดีว่าเป็นใคร

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม สีทันดร” วายุภัคทรงถามละล่ำละลักด้วยความเป็นห่วง และก็โล่งใจนักที่สีทันดรปลอดภัย โล่งใจถึงขนาดที่น้ำตาลูกผู้ชายรินหลั่งไหลออกมาด้วยความดีใจ

“เราไม่เป็นไร ...อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เราต้องการให้เจ้าช่วย มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะนำเสด็จมหากาลีเทวีสู่สมรภูมิรบที่วัดป่าได้ทันเวลา”

และแล้ววายุภัคก็เข้าใจในทันทีที่หลวงตาบอกว่าต้องการใช้เดชะของตนช่วยในเรื่องใด สีทันดรตรัสถูกมีแต่ตนเท่านั้นที่กระพือปีกเดินทางแต่ละทีได้ราวโยชน์หรือบางทีเกินเสียด้วยซ้ำ ฉะนี้จึงมิตรัสอันใดให้มากความ จึงรีบคืนองค์เองสู่สภาวะทิพย์เทวปักษีเต็มขั้น ขยายพระวรกายสูงใหญ่เทียมยอดไม้ กระพือปีกสีเศวตกว้างมหึมา เปล่งครุฑาสีหนาท ทอดหัตถ์ใหญ่กว้างลงมา ยังเบื้องหน้ามหาเทวี

“เชิญเสด็จขึ้นมาประทับบนมือเกล้ากระหม่อมเถิดพระเจ้าข้า เกล้ากระหม่อมจะนำเสด็จยังสมรภูมิเอง”

“ดีมากเจ้าครุฑน้อย ...รีบพาเราไปบัดเดี๋ยวนี้”

มหาเทวียิ้มอย่างพอพระทัยเสด็จขึ้นสู่อุ้งหัตถ์วายุภัคพร้อมสีทันดร ก่อนครุฑสีหนาทจะสำแดงกังวานก้องป่ามาอีกครั้ง แล้วปีกกว้างสีเศวตก็กระพือขึ้นสู่นภมณฑลมุ่งหน้าสู่สมรภูมิวัดป่ามิรอรี

“นั่นวายุภัคจะบินไปไหนนี่” ทรงกลดที่รออยู่ยังที่พัก ถามขึ้นทันทีที่เห็นรัศมีของวายุภัคทะยานออกไปบนฟ้ากว้างจากพื้นด้านล่าง 

“ไปสมรภูมิวัดป่าน่ะสิ”

“อะไรนะหลวงตา” ทุกๆเสียงถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน แล้วหลวงตามหาฤาษีก็ตอบขยายความมาให้

“ไม่ต้องตระหนกไป เอาล่ะ ข้าจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ”

แล้วมหาฤาษีก็เล่าเรื่องราวทั้งหมด ให้ทรงกลดและทุกๆคนที่เหลือฟัง ซึ่งพอทราบความกันแล้ว ก็ร่ำร้องจะตามกันไปให้ได้ มหาฤาษีจึงจำต้องปรามให้ตระหนักถึงหน้าที่ที่ต่างฝ่ายต่องรับผิดชอบกันมาอีกครา อณูน้อยทั้งห้าจึงคิดได้และสงบลง จำต้องดำเนินตามแผนงานที่วางไว้ต่อไป

คงผิดกับนลกุพรยามนี้ที่วัดป่า ที่ทราบแผนการของมหาฤาษีดีตั้งแต่ต้น ซึ่งหะแรกก็มิทรงกังวลอะไรมากนัก แต่พอครั้นเวลากระชั้นจะต้องโรมรันกันขึ้นมาเรื่อยๆ กลับทรงอยู่ไม่เป็นสุขกระวนกระวาย ด้วยเกรงว่าอันตรายจะเกิดกับสีทันดรสหายรักหนึ่ง และอีกหนึ่งจึงเกรงว่าจะไม่สำเร็จ แลถ้ามิสำเร็จ ขวัญและกำลังใจของเหล่าเทวะย่อมเลือนหาย ศึกครั้งแรกครั้งนี้ยังไงต้องทำให้ชำนะให้จงได้ เพราะอย่างนี้จึงทรงแหงนหน้ามองฟ้าตลอดเวลา รอสหายรักนำเสด็จมหาเทวีมาดังที่นัดหมายไว้ จนทยุติธรเห็นเข้าจึงต้องตรัสถาม

“พี่เห็นเจ้ามองฟ้าอยู่เป็นนานสองนานแล้วนะนล มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีพะยะค่ะ” นลกุพรรีบทูลตอบ

“ถ้าไม่มีก็รีบไปรวมกลุ่มกับอัสดง อีกเดี๋ยวเราจะตรวจพลกันเป็นครั้งสุดท้าย พวกมารมันเริ่มมาประชิดยังแนวป่าแล้ว”

ทยุติธรตรัสจบก็เสด็จนำ แต่แล้วนลกุพรก็ทูลถามบางสิ่ง ที่ทำให้ทรงชะงักงัน “ พี่ชายพะยะค่ะ พี่ชายว่า พื้นดินที่บริเวณวัดป่าแห่งนี้ จะทานทนอำนาจสะท้อนจากเทวะได้มากน้อยเพียงใดพะยะค่ะ”

“ก็ถ้าไม่ใช่มหากาลีเสด็จมารบเอง ก็ไม่มีปัญหา” ทยุติธรหันมาตอบ แล้วขมวดพระขนงทันทีที่เห็นพระพักตร์นลกุพรเริ่มถอดสี ที่กำลังถามต่อมาด้วยเสียงอ่อยๆ

“แล้วถ้าเสด็จผ่านร่างของมนุษย์นน้อยตระการตาล่ะพะยะค่ะ”

“นี่อย่าบอกพี่นะว่าเจ้ากำลังจะ......” ทยุติธรฟังแล้ว พระพักตร์ก็เริ่มถอดสีบ้างในฉับพลันทันที เริ่มทรงคาดการณ์ไปต่างๆนาๆ แต่แล้วพระทัยก็แทบร่วงลงไปอยู่ที่ข้อพระบาท เมื่อนลกุพรทรงตัดสินพระทัยบอกต่อให้ครบความที่ทรงตรัสค้าง

“สีทันดรจะอัญเชิญเสด็จมหากาลีเทวีในร่างมนุษย์น้อยตระการตามาที่นี่พะยะค่ะ”

“อะไรนะ!! ทำไมเพิ่งมาบอกพี่ตอนนี้”

ทยุติธรตรัสได้แค่นั้น ก็นิ่งงันตรัสอะไรต่อมิถูก เพราะทรงรู้ดีว่าการที่มหาเทวีเสด็จมามันไม่ได้มีแค่ผลดีอย่างเดียว ผลเสียที่ไม่มีใครคาดถึงอันนอกจากพลังสะท้อนแล้ว อาจมีผลเสียอีกข้อบังเกิดตามมาจนยับยั้งไว้ไม่ทันอีกด้วย แม้จะเสด็จมาในร่างโอษฐ์ก็ตาม

ทูลหม่อมปู่อนันตนาคราชเคยทรงเล่าประทานไว้ว่า เมื่อครั้งมหากาลีทรงมีชัยชำนะเหนือทารุณสูร ทรงลืมพระองค์จนตั้งท่าจะกระทืบพระบาทลงพื้นพิภพ ดีที่มหาศิวะเจ้าเสด็จลงมาเอาพระอุระรับไว้ มิฉะนั้นโลกมนุษย์คงสูญสลายด้วยแรงกระทืบพระบาทไปแล้ว

นี่แหละคือผลเสียอีกข้อที่ไม่มีใครคาดถึง ...จะแก้ไขและยับยั้งตอนนี้ก็คงไม่ทัน
หวังอย่างเดียว....อย่าได้เกิดเหตุการณ์เฉกนั้นซ้ำรอยเลย

และแล้วเสียงกลองศึกทั้งของเทพและมารก็ดังระรัวขึ้นพร้อมกัน ทำให้ทยุติธรและนลกุพรทิ้งเรื่องที่คุยกันค้างคาไว้ทันใด มิทันได้สบโอกาสส่งความบอกอะไรกับอัสดง รีบเหิรลอยไปรวมกับคันฉัตรและน้ำเชี่ยวยังกองหน้าของเทวทหารชั้นจตุมหาราชิกา ที่กำลังมีอัสดงในชุดเกราะแม่ทัพสีทองวาววะวับ อยู่บนหลังม้าอุจไฉยศรพขี่ทะยานตรวจพลไปทั่วกองหน้ายาวเหยียด ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องก้องกึกฮึกเหิมดังสนั่น

ในมือของอัสดงยามนี้ คือดาบเพลิงเล่มยาวที่ชูขึ้นฟ้า ประกายไฟร้อนแรงเจิดจ้า ราวกับมาจากต้นกำเนิด พร้อมแล้วที่จะนำมาใช้โรมรัน กับฝ่ายมารที่คืบคลานเป็นแนวทะมึนดำมืด มาหยุดยืนรั้งทัพไว้ตรงแนวป่าห่างไปไม่ไกลเกินสองกิโลเมตร พวกมารมาถึงแล้ว เสียงกลองศึก เสียงไชโยโห่ร้องของพวกมันก็อึกทึกอึงอลดังกระหึ่มไม่แพ้ฝั่งเทวะ แล้วรัศมีสีดำลูกใหญ่ลูกหนึ่ง ก็ทะยานออกมาจากแนวทะมึนมืดเหยียดยาว มาลอยวนตรวจพลอยู่แนวหน้า ก่อนจะหยุดอยู่ตรงกลาง ลอยคว้างหมุนวนคืนร่างสู่สภาวะมนุษย์ในเกราะทองประจันหน้ากับอัสดงที่รออยู่ก่อนแล้ว

เจ้าของร่างนั้น นั่งอยู่บนคอช้างปีศาจสามหัว ราวกับลอกเลียนมาจากช้างทรงของเทวะ ในมือถือดาบยาวไม่แพ้กับอังสดงคาดว่ามันน่าจะเป็นแม่ทัพมาร เบื้องหน้าและด้านหลังคือหมู่รัศมีสีดำมืดที่กำลังพุ่งทยอยออกมารายรอบเป็นขุนพลในร่างมนุษย์ชายหญิง ใบหน้าของทุกผู้ถมึงทึงเขี้ยวโง้งในลักษณะยักษาและยักษี ด้วยเทวฤทธิ์ของเทวะทุกคนรู้ดีว่าพวกมันนี้หลุดจากที่คุมขัง หนีมาเกิดเป็นมนุษย์รวมเป็นกองกำลังมาร

เทวะแบ่งภาคลงมาเป็นมนุษย์ได้ฉันใด มารก็หนีมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ฉันนั้นนั่นเอง

อณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ เพ่งมองเจ้าแม่ทัพก็เห็นว่า อายุอานามไล่เลี่ยกัน นี่มันคงมาเกิดพร้อมๆเขา หน้ามันและท่าทางออกไปทางเจ้าสำอาง ถ้าตัดเขี้ยวและรัศมีสีดำออกไปมันก็เหมือนกับวัยรุ่นธรรมดาๆ มันคงแฝงตัวมานานและแฝงได้อย่างยอดเยี่ยม อีกไม่นานก็คงจะได้รู้ว่าฝีมือมันจะค้านกับลักษณะภายนอกหรือไม่ 

ทางฝ่ายมารเองโดยเฉพาะเจ้าแม่ทัพก็พินิจพิเคราะห์อยู่ที่อัสดงเช่นกัน ยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ทันทีที่เห็นว่า เทวะชาญฉลาดในการเลือกเทพลงมาโรมรันกับตน เดชะน่าหวั่นกำจายรอบผสานในรัศมีสีแดงเพลิงเจือทอง ดูก็รู้ว่าต้นกำเนิดเป็นใคร อณูน้อยผู้นี้ถอดแบบมาทุกกระเบียด ดูห้าวหาญได้อย่างน่าประทับใจ แต่น่าเสียดายที่อาจจะต้องตายด้วยน้ำมือพวกมารไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรืออาจจะเป็นวันนี้ก็ได้

“ข้าชื่ออินทรชิต เจ้าเป็นใคร ถึงบังอาจนำทัพเทวะ มาสกัดทัพข้า”

เจ้าแม่ทัพฝ่ายมารรู้ดีอยู่แล้ว ว่าแม่ทัพฝ่ายเทวะเป็นใคร แต่ก็อยากจะโอภาปราศรัยตามธรรมเนียม จึงส่งกระแสเสียงมาจากระยะทางไกลให้ได้ยินกันถ้วนทั่ว ก่อนจะสั่งการให้ทัพหน้าเข้าโรมรัน อัสดงเองก็เช่นกัน ระยะทางห่างแค่สองกิโลเมตรนี่ หาใช่อุปสรรคในการส่งความกังวานหาญกล้าในน้ำเสียงไปท้าทายตอบโต้

“ข้าชื่ออัสดง อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ เจ้านั่นแหละบังอาจ รู้ไหมว่าการขัดขวางมิให้บังเกิดพระอรหันต์ มันยิ่งจะทำให้พวกเจ้าดำดิ่งสู่นรกภูมิขุมลึกลงไปอีก”

“ข้าไม่กลัวหรอกนรก ต่อให้ลึกกว่านี้ ข้าก็หาทางขึ้นมาได้กันอยู่ดี ระวังเถอะ ข้าจะส่งอณูเทวะอย่างเจ้าลงไปนรกดูบ้าง และข้าก็อยากรู้นักเชียวว่า เจ้าจะช่ำชองในการหาวิธีกลับขึ้นมาอย่างพวกข้าหรือไม่”

อินทรชิตพูดจบก็หัวเราะลั่น ส่งกระแสเสียงมาเย้ยหยันอีกระลอก แต่แล้วจู่ๆ เจ้ามารหนุ่มก็มีอันต้องยุติเสียงหัวเราะตัวเองลงในฉับพลัน ชะงักงันแทบจะทันที เมื่อจิตของตนจับได้ด้วยฤทธีว่า หนึ่งในพรรคพวกที่หนีมาจากนรก สูญสลายไปแล้ว เฉกเดียวกับมารด้านหลังและรายล้อมที่ก็จับได้เหมือนกัน เริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่ต่อกันลั่น

“สำมะนักขาสิ้นชีพแล้ว...เป็นไปได้ยังไง”

“ทำไมง่ายดายอย่างนี้ ...ฝีมือผู้ใดกัน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทัพมารฮึกเหิมย่อมระส่ำ เพราะสำมะนักขาคืออสุรีผู้หนึ่งที่จัดว่าฝีมือดี การที่ถูกกำจัดโดยง่ายดายเช่นนี้ ผู้ที่สังหารย่อมเกินคำว่าธรรมดา อินทรชิตเองก็เริ่มประหวาดหวั่น หากก็มิยอมที่จะให้ใครในทัพเสียขวัญจึงจำต้องตวาดกำราบลง

“ เงียบ!! ถ้าไม่อยากตายอย่างสำมะนักขา ก็จงหุบปากเสีย นางจะตายอย่างไรก็ช่าง ใครจะฆ่านางก็ช่าง ตีทัพเทวะให้แตกและสกัดพระอรหันต์คือสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ ข้าว่าเรามาล้างแค้นให้ท่านอาสำมะนักขากันดีกว่า พร้อมกันหรือยัง ”

“พวกเราพร้อมแล้ว”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-05-2020 14:35:42
“ดีมาก งั้นเข้าประจำทัพกันได้แล้ว” อินทรชิตสั่งความรวดเร็วบนหลังช้าง ดังทั่วไปทั้งทัพ “ พันธุรัตน์ สันธมาลา อากาศตไล เร่งประจำทัพหน้าเตรียมเข้าโจมตี ส่วนท่านอาทูษณ์ ท่านอาขร และท่านอาตรีเศียรอยู่กับข้าที่ทัพใหญ่ตามนี้”

สิ้นคำอินทรชิตเหล่าขุนพลหมู่มารทั้งหญิงชายก็แยกย้ายเข้าประจำตามคำสั่ง อินทรชิตเมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อย ก็หันไปสั่งความเพิ่มเติมด้านหลัง เริ่มดำเนินการตามแผนที่วางไว้ทันที

“ตัณหา ราคะ อรดี ถึงคราวที่เจ้าทั้งสามผู้เป็นธิดาพญามาร จะสำแดงฤทธิ์เดชอีกครั้งแล้ว”

“ไว้ใจพวกข้าเถิด อินทรชิต”

สิ้นเสียงนางตัณหา ก็บังเกิดเสียงประโคมมโหรีอันเสนาะเพราะพริ้งดังไปทั่วแนวป่าที่หมู่ทัพมารยึดไว้ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องฟ้าลั่นครืนๆผิดประประหลาดธรรมชาติ บรรยากาศยามบ่ายมัวลงในฉับพลัน แล้วเสียงดนตรีก็ลอยมาตามแรงลมถึงยังทัพเทวะพร้อมสามร่างอรชรอ้อนแอ้นยวนยั่วไปทุกสัดทุกส่วนแห่งสามดรุณีธิดาพญามาร

ทุกผู้ทุกนามในทัพเทวะยามนี้ เห็นภาพนางทั้งสามนั้น แม้จะเตรียมตั้งรับเป็นอย่างดี หากก็แทบลืมที่จะหายใจ บรรดาอาวุธที่ถือพร้อมไว้อยู่ในมือต่างร่วงหล่น เทวะบางตนเผลอร่ายรำสอดประสานคลอเคลียยามได้ยลความงามของนางมาร

มนต์สะกดแห่งการร่ายรำจับตาของนางปีศาจ ทำให้พวกนางลอยผ่านทัพนาคาเข้ามาประชิดทัพใหญ่ได้โดยง่าย อีกทั้งมหามนต์แห่งกลิ่นหอมจรุงใจ ก็สะกดไปที่อัสดง ทยุติธร คันฉัตร น้ำเชี่ยวและนลกุพร ให้บังเกิดความกำหนัดจนตกภวังค์ เห็นภาพตัวเองกำลังเริงร่าเล่นสวาทกับพวกนางอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระตุ้นเกิดความเร่าร้อนไปทั่วกายชายจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ปล่อยให้พวกนางลอยผ่านทัพใหญ่เข้าไปยังด้านใน จนถึงใต้ต้นสาละอันเป็นส่วนสำคัญที่สุดแล้ว

นี่ถ้านางมารทั้งสามมันถือดาบมาปาดคอ ทุกคนคงสิ้นชีพไม่มีเหลือ
ใครจะคิดว่าความกำหนัดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่นางมารสร้างขึ้น จะมีฤทธีเกินคาดถึงขนาดนี้

คงจะจริงอย่างที่จอมมารและอินทรชิตคิดว่า ธิดาพญามารจะช่วยให้งานสำเร็จลุล่วงลงอย่างง่ายดาย บรรดามารจึงกระหยิ่มยิ้มย่องฮึกเหิมขึ้นไปอีกครา แต่ทว่ามันก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นเสียทีเดียว เพราะที่ต้นสาละดันมีพระภิกษุแปดรูปหลากวัยรายล้อมพระอริยเป็นวงกลมทั้งแปดทิศ ภิกษุทั้งแปดรูปนั้น กำลังข่มจิตข่มตาตัดภาพร่ายรำยั่วยวนโลกีย์ตรงหน้า พนมมือขึ้นมา สังวัธยายมนตราศักดิ์สิทธิ์พุทธชัยมงคลคาถาขึ้นมาพร้อมกัน

“พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลังอุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ”

ด้วยเดชะแห่งมหามนตราสรรเสริญองค์บรมศาสดา ก็บังเกิดเป็นตาข่ายเพชรแวววับจับเป็นปราการครอบลงตรงต้นสาละไว้ นางมารทั้งสามมิทันระวัง จึงโดนอำนาจตาข่ายซัดจนกระเด็นกระดอนกรีดร้องก้องโหยหวน มนตรายวนยั่วที่สะกดเทวะไว้พลันสลาย อัสดงและทุกๆคนตื่นขึ้นจากภวังค์ทันที และกว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร อินทรชิตแม่ทัพมาร ก็ชูดาบขึ้นฟ้า สั่งทัพหน้าเข้าโจมตีในฉับพลัน

“พันธุรัตน์ สันธมาลา อากาศตไล บุก!!!”

นางอสุรีในร่างมนุษย์ทั้งสาม นำทัพหน้าบุกเข้ามาไม่รอช้า ทัพนาคาที่ตั้งรับอยู่ริมธารกว่าจะได้สติตั้งรับก็เกือบสาย ยังดีที่นาเคนทร์และหัวหน้าราชองครักษ์ของทยุติธรแข็งแกร่งจึงมิกระจัดกระจายแตกพ่ายอย่างที่มารอยากจะให้เป็น ขุนพลนาคาทั้งสองต่างนำกองกำลังฟาดฟันกับมารเหนือลำธารด่านหน้าไม่หยุดยั้ง นางอสุรีทั้งสามเองก็เก่งกล้าเกินสตรีใช้ฤทธีฟันฟาดนาคองครักษ์มิย่นย่อ ดาบต่อดาบ หอกต่อหอก ต่างพุ่งเข้าใส่กันในทุกๆเสี้ยววินาที ทหารนาคาหลายตนถูกสังหารไปในทุกๆคมดาบและปลายหอกที่แกว่งไกว ราชองครักษ์ทั้งสองเห็นท่าไม่ดี ปล่อยไว้อย่างนี้ทัพหน้าแตกพ่ายแน่ จึงโผนทะยาน บุกเข้ามาประชิดตัวบรรดานางยักษ์ที่อยู่ยังใจกลางหมายสังหารตัดกำลังให้สิ้น ทว่าด้วยกำลังและฤทธีที่เป็นรองจึงมิอาจหักลงได้

อรุณและศิษย์น้องอีกสองคนนามว่าคงคาและวายุที่ได้สติแล้วอยู่ด้านข้าง เห็นราชองครักษ์มีกำลังด้อยกว่าจึงรีบเหยียบม่านอากาศเหิรลอยเข้าไปช่วย ศิษย์น้องทั้งสามของอัสดงนี้ ยังเป็นเด็กอยู่ก็จริง แต่ก็สามารถใช้สรรพวิทยาที่หลวงตาถ่ายทอดมาได้อย่างยอดเยี่ยม ดาบในมือของทั้งสามควงกันเป็นจักรผัน บังเกิดเป็นรัศมีร้อนแรง พุ่งกระจายเป็นลูกไฟ มิต่างอะไรกับปืนกล ไปยังนางยักษ์และบริวารรายรอบ เกิดระเบิดตูมตาม จนต้องกันด้วยม่านอาคมพลางถอยร่นพลาง ทหารนาคหลายตนที่เริ่มตั้งหลักได้ รีบคืนร่างเป็นนาคา พ่นลูกเพลิงสอดประสาน ใส่ทหารมารราวกับปืนใหญ่ที่ตกลงที่ใดเหล่ามารก็กระเด็นกระจายล้มตายลงระเนระนาดไปถ้วนทั่ว

อินทรชิตเห็นสถานการณ์พลิกผันจึงชูดาบขึ้นฟ้า สั่งทัพใหญ่บุกตามเข้ามาสมทบทันใด “ท่านอาทูษณ์ ท่านอาขร และท่านอาตรีเศียร โจมตี”

แล้วกลองศึกของมารก็ดังกระหึ่มอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดครึ้มที่จับตัวมากขึ้นกว่าเดิมอีก ทัพใหญ่ของมารบุกเข้ามาเสริมทัพหน้าที่กำลังถอยร่นได้อย่างทันท่วงที อัสดงที่กำลังเจ็บใจเพราะเสียท่าธิดาพญามารจึงกำมือกระชับดาบเพลิงแน่น ชูขึ้นฟ้าฟาดประกายไฟไปด้านหน้าตะโกนดังลั่นด้วยสีหนาท ผสานเสียงร้องของม้าอุจไฉยศรพและเสียงคำรามของพญาพยัคฆราชที่มีคันฉัตรอยู่บนหลัง เรียกพลังสร้างความฮึกเหิมให้เข้าโรมรันมาทันที

“กองกำลังเทวะ...บุก!!!”

เพียงสิ้นคำสั่ง ทั้งสองกองกำลังระหว่างเทวะกับมารก็เข้าประจันรบพุ่งกันโกลาหล น้ำเชี่ยวแทบจะเป็นคนแรกที่เหิรลอยกระโดดเข้าไปใจกลางทัพมาร ใช้ดาบฟาดพุ่งปราดกลายเป็นสายฟ้าสาดไปเป็นวงกว้าง ก่อกำเนิดเสียงระเบิดกัมปนาทสังหารมารตายเป็นเบือ ด้านนลกุพรและทยุติธรรีบโผนตามมา พร้อมดาบในพระหัตถ์ ตัดคอหมู่มารมิพลาดเป้าไปเลยสักตน แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันเข้าโจมตีสกัดขุนพลมารที่พุ่งตรงเข้ามาเป็นรัศมีสีดำอย่างรวดเร็ว

ทยุติธรมิรอช้าฟาดสายพระเพลิงจากฝ่ามือเข้ากลางลำรัศมี จนตกลงมาเสียงดังพลั่ก แต่ยังมิทันจะเข้าซ้ำ เจ้ารัศมีสีดำนั้นก็สลายคืนร่างกลายเป็นยักษ์ใหญ่ ฟาดกระบองสวนมาจนต้องหลีกหลบพัลวัน ในแต่ละทีที่ยักษ์ร้ายฟาดมานั้น หมายถึงพระชนม์ชีพทั้งสิ้น เพราะยามที่กระบองฟาดพลาดลงพื้นดิน เสียงตูมก็ดังสนั่นในทุกครั้ง เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ที่ใช้ฝังพระวรกายหากพลาดท่าได้สบาย

“เหอะ พญาทูษณ์ คิดหรือว่าแค่นี้นจะสังหารเราได้” ทยุติธรทรงขบกราบแน่น รู้นามศัตรูด้วยฤทธี แล้วบัญชาเรียกนาคาราชองครักษ์มาตนหนึ่ง ให้จำแลงกายเป็นนาคสามเศียรสูงใหญ่เทียมยักษ์ แล้วเสด็จขึ้นประทับเหนือเศียรที่อยู่ตรงกลางเข้าต่อกร

“ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกไอ้พวกงูดินหน้าละอ่อน”

เทวนาคาหนุ่มมิสนใจในคำสบประมาทตวัดดาบเข้าฟาดฟัน พญาทูษณ์ยักษาตั้งรับด้วยกระบอง ตอบโต้คืนไปด้วยเดชะ หวังโค่นทยุติธรเป็นองค์แรกสร้างกำลังใจให้หมู่มารให้จงได้ ด้วยคิดว่าหน้าอ่อนอย่างนี้ฤทธีไม่น่ามาก แต่จนแล้วจนรอดก็สังหารเทวนาคาหน้าอ่อนมิได้สักที เพราะนอกจากทยุติธรยังหลบหลีกด้วยความว่องไวเช่นเดิมแล้ว ดาบในพระหัตถ์ก็เชือดเฉือนคืนมารวดเร็วมิต่างอะไรกับพายุกระหน่ำอีกทั้งยังกลับเสียทีให้กับนาคาสามเศียรพาหนะทรง จนโดนรัดแน่นล้มตึงสะเทือนทั่วสมรภูมิ

ทยุติธรมิทรงปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย จึงเหิรทะยานลงมาจากเศียรนาคบริวาร หมายตวัดดาบสังหารเข้าที่ลำคอ หากก็มิทันได้เป็นดังหวังพญาทูษณ์รวมกำลังทั้งหมดที่มี ผงกตัวขึ้นมาอ้าปาก งับทยุติธรทั้งองค์กลืนลงคอไปในทันที

“ฮะ ฮ่า อร่อยจังไอ้พวกงูดินนี่ ถึงว่าสิ พญาครุฑถึงชอบกิน”

“ทูลหม่อมพี่ชายทยุติธร!!!”

อัสดงที่ยังบัญชาทัพอยู่กับที่ เห็นภาพนั้นพอดีก็ตะโกนลั่น เตรียมควบอุจไฉยศรพเข้าไปสังหารพญาทูษณ์ที่กลืนทยุติธรลงไปให้หายแค้น แต่แล้วก็ต้องหยุดลงภายในเสี้ยววินาที เพราะพญาทูษณ์จู่ๆก็ดิ้นพล่านทุรนทุราย ล้มตึงลงไปอีกครา ปากเริ่มอ้า ตาเริ่มถลน และปูดขึ้น ปูดขึ้น จนสุดท้ายตาข้างซ้ายก็ระเบิดตูมเลือดสาด พร้อมทยุติธรที่เหิรลอยออกมาด้วยรอยแย้มสรวลเย้ยหยันให้บ้างอย่างมีชัย

“ไอ้ยักษ์สารเลวต่ำช้า ไม่รู้หรือไงว่าเทวนาคาอย่างข้า หาใช่ภักษาหารผู้ใดไม่”

เทวนาคาหนุ่มน้อยตรัสจบ ก็โผนทะยานแทงดาบพุ่งลงไปยังตาด้านขวาพญาทูษณ์อีกข้างจนระเบิดเลือดทะลัก แล้วทรงตัดความรำคาญจากเสียงโหยหวนของมันด้วยการแทงดาบเข้าไปที่กลางลำคอจนขาดกระจายในดาบเดียว

“พญาทูษณ์สิ้นแล้ว”

เสียงของทหารมารส่งถึงกันดังลั่น ไม่แพ้เสียงไชโยโห่ร้องของทหารเทวะด้วยสาแก่ใจที่ขุนพลมารสิ้นไปแล้วหนึ่ง นลกุพรทรงเห็นและได้ยินดังนั้นจึงมิอยากให้เสียงดีใจกึกก้องของเทวะขาดตอน จึงกระโจนเข้าหาพญาขรที่กำลังยืนตะลึง ทว่าก็คงมิได้ง่ายดายดังที่นลกุพรทรงคิดนัก เพราะพญาขรดันรู้ตัวทัน หันมารับคมดาบในพระหัตถ์ของนลกุพรทันท่วงที แถมยังซัดด้วยเดชะคืนกลับไป จนทำให้เทวอสุราหนุ่มน้อยตีลังกาหมุนคว้างกลางอากาศ

พญาขรมิปล่อยให้การรบราขาดตอนเช่นกัน จึงจำแลงกายจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสี่ เข้าล้อมนลกุพรและดาหน้าเข้ามาพร้อมกันทั้งสี่ทิศ นลกุพรที่เริ่มตั้งหลักได้ จึงเรียกตรีศูลอาวุธประจำกายขึ้นมายังมือด้านซ้ายส่วนมือด้านขวาก็กระชับดาบแน่นใช้ยุทธวิธีการรบด้วยสองมือเข้าตอบโต้

“ชิชะ ไอ้ยักษ์หนุ่ม ฝีมือไม่เบา” หนึ่งในร่างพญาขรกล่าวขึ้นยามเข้าประชิดตัวนลกุพร

“ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี ไอ้ยักษ์กบฏ”

สิ้นคำของนลกุพร พญาขรทั้งสี่ต่างก็ซัดพลังเข้าใส่ไม่หยุดยั้ง นลกุพรใช้ศาตราวุธทั้งสองมือปัดออกเป็นพัลวัน พญาขรเห็นว่าถ้าปล่อยไว้อย่างนี้คงยากที่จะเอาชนะได้ จึงจำแลงกายเพิ่มจากสี่เป็นแปด คราวนี้นลกุพรย่อมเจอศึกหนัก เพราะถึงจะรบได้อย่างสบายด้วยสองมือก็จริงแต่ก็หาใช่ว่า จะฝ่าศัตรูที่มีฤทธิ์มากแถมยังจำแลงกายมาถึงเปดตนได้ ฉะนี้จึงตกอยู่ในวงล้อมอย่างช่วยมิได้ แถมยังทรงพลาดท่าโดนพลังของมันจากหนึ่งตนในแปดซัดใส่เข้ากลางอกเต็มๆ

เมื่อหนึ่งลูกได้ช่องโหว่ซัดเข้ามา ลูกที่สองที่สามที่สี่ย่อมใช้ช่องโหว่เดียวกันตามมาติดๆ จนทรุดลงกับพื้นแน่นิ่ง พญาขรทั้งแปดจึงสบโอกาสซัดพลังเข้ามาพร้อมกันทีเดียวเพื่อปิดฉากนลกุพร

“ตายซะเถอะไอ้ยักษ์กุมาร”

แล้วเสียงตูมก็ดังกัมปนาท พร้อมฝุ่นควันฟุ้งตรลบ การโจมตีของพญาขรหาได้ธรรมดาเลยสักนิด ลำพังพญาขรตนเดียวก็นับว่ามีฤทธิ์แรงอยู่แล้ว นี่มาถึงแปดตน พระวรกายของนลกุพรจะมิพินาศเชียวหรือ พญาขรจึงเริ่มหัวเราะร่าอย่างสะใจ แต่พอฝุ่นควันจางลงเท่านั้นก็ต้องหยุดหัวเราะทันใด เพราะก้นบึ้งแห่งหลุมใหญ่หาได้มีร่างนลกุพรนอนสิ้นใจเลยสักนิดเดียว

“มันหนีไปไหน มันหนีไปได้อย่างไร”

พญาขรทั้งแปดส่งเสียงถึงกันลั่น แต่ยังมิทันจะได้ค้นหา พื้นดินที่เหยียบอยู่ก็ปริแตกออกมาพร้อมๆกัน ตามด้วยดาบยาวแปดเล่ม ที่ผ่าขึ้นฟ้าจากด้านล่างด้วยหัตถ์แห่งนลกุพรแปดองค์ที่พุ่งทะยานขึ้นมาจากพื้นดินในวินาทีเดียวกัน พญาขรหลบมิทัน และกว่าจะรู้ตัวคมดาบทั้งแปดจึงผ่ากลางแยกร่างออกเป็นสองซีกจนเลือดพุ่งสาดขึ้นฟ้า ขาดใจตายมาทันที

“คิดว่าแยกร่างเป็นคนเดียวหรือไงวะไอ้ยักษ์กบฏ” นลกุพรทั้งแปดตรัสมาพร้อมกัน ก่อนจะรวมร่างคืนดังเดิมเป็นร่างเดียว และแล้วเสียงไชโยโห่ร้องจากฝั่งเทวะก็ดังต่อเนื่องสมพระทัย

ด้านอินทรชิตเห็นขุนพลทั้งสองแพ้พ่ายจนถึงแก่ความตายก็โกรธจัด ขับช้างปีศาจสามหัวพุ่งปราดเข้ามาสู่สนามยุทธการ อัสดงที่รอท่าอยู่ก่อนแล้ว จึงขับอุจไฉยศรพพุ่งปราดเข้าไปหา ก่อกำเนิดพลังงานกระทบกันดังลั่น ต่างฝ่ายต่างถอยกันไปคนละหลายก้าว แต่อัสดงก็ตั้งตัวได้ทันก่อน ฟาดดาบเพลิงมากลางอากาศ อินทรชิตที่ยังซวนเซ ตั้งรับไม่ทันเห็นจวนตัวจึงทะยานหลบลี้เป็นรัศมีสีดำขึ้นฟ้า คมดาบเพลิงจึงผ่าเข้าเอากึ่งกลางแสกหน้าของช้างปีศาจขาดกลางเป็นสองซีกจนขาดใจตายมิต่างอะไรกับพญาขร

ด้านคันฉัตรเห็นอินทรชิตเหิรทะยานเป็นรัศมีสีดำขึ้นฟ้า จึงประสิทธิ์เทวฤทธิ์เหิรลอยเป็นรัศมีสีม่วงเจือทองขึ้นไปสกัดพุ่งเข้าปะทะชน อินทรชิตรู้ดีว่ามีเทวะตามมาจึงหยุดกลางฟ้าหันหน้าเข้าหาพุ่งปราดสวนลงไป เสียงตูมของพลังงานปะทะกันดังสนั่นครั่นครืนอีกครา ครั้นพอเสียงสงบรัศมีจางลง หนึ่งอณูน้อยแห่งเทวะกับหนึ่งแม่ทัพมารต่างก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นหน้าซึ่งกันและกันชัดเจน

“ระ รณพักตร์”

“ฉะ ฉัตร ...เป็นไปได้ยังไง”

เรียกกันอย่างนี้มีหรือจะมิเคยรู้จักกัน แต่ก่อนที่ความทรงจำของต่างฝ่ายจะถูกทบทวน อัสดงก็พุ่งปราดขึ้นมาซัดอินทรชิตหรือที่คันฉัตรเรียกว่ารณพักตร์ผู้ยังตกตะลึงจนกระเด็นกระดอนร่วงลงจากฟ้า แต่ด้วยฤทธีของอินทรชิตจึงหมุนตัวดีดขึ้นมาเลี่ยงการกระแทกพื้นได้อย่างว่องไว แต่คงมิไวเท่าอัสดง ที่ตามลงมาใช้ดาบฟาดพลิกแพลงกระบวนดาบไม่หยุดยั้ง อินทรชิตทำได้อย่างมากก็แค่ตั้งรับหาได้สบโอกาสที่จะตีโต้กลับไป

แล้วคันฉัตรที่ยังยืนเคว้งกลางฟ้าทำอะไรมิถูกก็ต้องทิ้งภวังค์ทั้งมวล เมื่อน้ำเชี่ยวส่งกระแสจิตขอกำลังเสริม คันฉัตรจึงหักใจโผไปหาน้ำเชี่ยวยังแนวหน้า ที่กำลังสาละวนนำทัพเทวะตีฝ่าทัพอสูรพัลวัน คันฉัตรเมื่อลงมาถึงก็เรียกคันศรพิฆาตอาวุธคู่กายขึ้นมาไว้ในมือ แล้วยิงขึ้นฟ้าในฉับพลัน ลูกศรนั้นเมื่ออยู่กลางฟ้าแล้ว ก็กลายเป็นสายอสุนีบาต ฟาดลงมายังทัพมารหลากหลายสายจนทัพมารถอยร่น บรรดาขุนพลยักษ์ที่เหลือจึงรวมกำลังกันสร้างม่านอาคมกั้นไว้

นางสันธมาลาหนึ่งในขุนพลอสุรีทัพหน้า รู้ดีว่าปล่อยไว้อย่างนี้มีแต่พ่ายกับพ่าย จึงหลบฉากจำแลงกายหายวับไปรวมกับธิดาพญามารที่กำลังร่ายรำหลอกล่อเหล่าบรรดาภิกษุผู้กำลังเจริญพุทธชัยมงคลคาถาเป็นปราการตาข่ายเพชรรายรอบต้นสาละ  นางอสุรีรีบใช้จิตสำรวจก็เห็นว่าด้านหนึ่งความหนาแน่นของตาข่ายเบาบางที่สุด และก็เป็นด้านที่ภิกษุหนุ่มพรรษาน้อยที่สุดนั่งจำเริญพุทธมนต์อยู่ ด้วยประการฉะนี้จึงกลั้นใจซัดพลังยื่นมือเข้าไปทำลายตาข่ายทางด้านนั้น โดยมิสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน

แน่นอนว่าพลังของตาข่ายศักดิ์สิทธิ์ด้านนี้จะเบาบางกว่าด้านอื่น แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้นางอย่างเหลือแสนจนแขนไหม้เกรียมขาดกระเด็น หากก็คงสมใจนางแล้วเพราะม่านตาข่ายเกิดช่องโหว่ขึ้นมา ธิดาพญามารทั้งสามหัวเราะลั่น อาศัยช่องโหว่นั้นแทรกเข้าไปยังใจกลาง ยืนรายล้อมร่างหลวงตาที่กำลังสถิตอยู่ในมหาฌานขั้นสูงสุด

“จัดการพระอริยสงฆ์บัดเดี๋ยวนี้”

นางสันธมาลาฝืนความเจ็บปวดอย่างที่สุด บัญาชาธิดาพญามารขึ้น แล้วใช้พลังที่เหลือ ซัดพระภิกษุที่รายล้อมหลวงตาล้มฟุบลงแน่นิ่ง ทุกผู้ทุกนามทางฝั่งเทวะต่างรามือจากการรบพุ่งพัลวันทันใด หัวใจทุกดวงตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ธิดาพญามารหาญกล้า เตรียมย่างเท้าขึ้นนอาสนะของหลวงตาอย่างมิเกรงกลัว

อัสดงมิสนใจอินทรชิตแล้ว พุ่งปราดทะยานไปทางต้นสาละด้วยความรวดเร็ว หากแต่ก็ยังมิไวไปกว่า ศิษย์น้องนามว่าคงคากับวายุ ที่อยู่ใกล้ลานต้นสาละที่สุด  ทั้งสองเหิรลอยมาเต็มเหยียดพร้อมกัน ใจดวงน้อยห่วงหาแต่หลวงตาว่าจะเสียมหาฌานจึงมิทันระวังตัวว่า หอกด้ามหนึ่งพุ่งตามมาด้วยความเร็วเหนือกว่าจากมือของอินทรชิตที่หมายสกัดกั้น และหอกนั้นก็พุ่งเข้ากลางหลังทะลุอกเสียบคาร่างศิษย์น้องทั้งสองของอัสดงปักมิดติดกำแพง

“คงคา วายุ น้องพี่”

อัสดงตะโกนลั่นแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพญาตรีเศียรนำมารหลายตนโผนทะยานรวมกลุ่มขึ้นมาขัดขวางเขามิให้เข้าไป ทำให้เขาต้องเสียเวลาสกัดกั้น ต้องทนเห็นศิษย์น้องทั้งสองแดดิ้นสิ้นใจคาด้ามหอก น้ำตาลูกผู้ชายและพี่ชายจึงไหลลงมาอาบแก้มกลางศึกอย่างช่วยมิได้ พร้อมโทสะที่ระเบิดออกมาจนรัศมีกลายเป็นเปลวเพลิง มารบริวารมิรู้ชะตากรรมตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงพากันจู่โจมเข้าไปไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งกลางฟ้ากันมาได้แค่สองก้าว อัสดงก็ฟาดสายพระเพลิงตัดคอพวกมันขาดกระเด็นพร้อมกันทุกตนเพียงสะบัดมือครั้งเดียว

พญาตรีเศียรเห็นบริวารคอขาดสลายไปในพริบตา แต่ก็หาได้เกรงกลัวไม่ กลับซัดพลังลูกใหญ่สลับกันไปมาจากฝ่ามือทั้งสองข้างใส่อัสดงระรัว ส่วนอัสดงก็เดินกลางฟ้าพุ่งตรงเข้ามา มิหลบหลีกอันใด ปล่อยให้พลังลูกใหญ่เข้าปะทะร่างไปมา ทว่าด้วยเดชะและฝีมือที่สั่งสมมา พลังแห่งพญาตรีเศียรกลับกลายเป็นแค่สะเก็ดไฟเล็กๆยามเข้ากระทบร่างเขาเท่านั้น มิได้ทำให้สะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด พญาตรีเศียรหน้าเริ่มซีด จะถอยหนีก็เสียศักดิ์ศรี จึงรวมพลังทั้งหมดซัดไปอีกลูก แต่อนิจจาอัสดงกลับปัดทิ้งกระเด็นกระดอนไปไกลด้วยหลังมือเพียงเบาๆ จนเดินเข้ามาประชิดตัว

และนี่ก็ทำให้พญาตรีเศียรรู้แล้วว่า ชะตาตนถึงฆาต และก็เป็นดังคาด อัสดงฟาดฝ่ามือลงกลางหัวพญายักษ์ขุนพล แล้วเหิรลอยเอาขาชี้ฟ้า มือยังยันอยู่กลางหัวขุนพลยักษ์อยู่อย่างนั้น ปล่อยมหาเพลิงแห่งพระสุริยาทิตย์ลงมา ให้เผาผลาญมอดไหม้พญาตรีเศียรทั้งเป็นกลางฟ้าจนสิ้นชีวาในบัดดล

ด้วยเสียงร้องโหยหวนก่อนจะขาดใจตายของพญาตรีเศียร เรียกกองกำลังของเทวะทุกผู้ที่ยังตะลึงงันให้ได้สติ หันกลับมาพุ่งรบด้วยโทสะแห่งการจากไปของศิษย์พระอริยะ ขวัญและกำลังใจยามนี้แม้จะพอคืนกลับมาจากการตายของขุนพลยักษ์ก็จริง หากก็ยังมิมากพอ ยิ่งเห็นธิดามารทั้งสามกำลังหัวเราะเย้ยหยันร่ายรำและกำลังจะสัมผัสหลวงตาให้สิ้นฌานก็ยิ่งตระหนก จากที่ควรจะได้เปรียบกลายเป็นเสียเปรียบถอยร่นไม่เป็นท่า

ด้านทยุติธร คันฉัตร น้ำเชี่ยว นลกุพร และอรุณศิษย์น้องที่เหลือผู้เดียว ครั้นจะปลีกตัวไปช่วยหลวงตายังต้นสาละในยามนี้ก็ทำได้ยาก อัสดงเองก็ถูกอินทรชิตเหิรเข้ามาสกัดกั้นอีกครั้งจำเป็นต้องสู้รบติดพัน เป็นจังหวะเดียวกันที่ธิดาพญามารทั้งสามกำลังจะจาบจ้วงแทรกเข้าสกัดฌานหลวงตา ทุกคนสิ้นหวังแล้วกับการปกป้องพระอริยะ แต่แล้วในวินาทีที่ใจเริ่มพ่ายนั้น แสงสว่างวาบดุจดาวฤกษ์ก็พุ่งปราดลงมาจากฟากฟ้าทำลายความมืดมัวแตกออกเป็นทาง แล้วร่างในรัศมีสีแดงพระเพลิงก็แยกตัวจากรัศมีสีดาวฤกษ์นั้น เหิรลอยลงมาประทับยืนอยู่กับพื้นจนแผ่นดินไหวสะเทือนเลื่อนลั่น ฟ้าที่คำรามอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งคำรามหนักขึ้นไปอีก พอรัศมีสลาย กำลังใจจากฝั่งเทวะก็กลับคืนมาทันทีที่เห็นว่าเป็นใครเสด็จมา แม้จะประทับมาในร่างโอษฐ์ก็ตาม

“มหากาลีเสด็จ!!!!”

“ตะ ตระการตา” คันฉัตรเห็นชัดว่ามหาเทวีประทับในร่างใคร ส่วนอัสดงแม่ทัพก็งงงันเป็นที่ยิ่ง จึงส่งกระแสจิตไปยังบรรดาขุนพลฝั่งเทวะ

“ตระการตาอัญเชิญมหากาลีมาประทับได้อย่างไร”

“ไว้ลองถามคนรักตัวดีของเจ้า น้องชายตัวแสบของพี่เถอะอัสดง ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรเลย”
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-05-2020 14:40:20
ทยุติธรทรงตอบและตัดบทมา แล้วถ้วนทุกคนก็เห็นชัดเจนว่า มหากาลีในร่างตระการตากระโดดไปยังต้นสาละ ใช้พระหัตถ์ขวาตบธิดาพญามารทั้งสามนางก่อนที่จะกระทำการจาบจ้วงจนกระเด็นไปติดกำแพงวัด พระนางมิปล่อยให้นางมารลุกขึ้นมาได้ พระบาททั้งสองข้างจึงเตะซ้ำเข้าไปที่ชายโครงของแต่ละนางจนยุบถึงขั้นกระอักเลือด หัตถ์ทั้งสองข้างยามนี้คงมิพอแล้วที่จะจิกหัวมันทั้งสามขึ้นมาพร้อมกัน ฉะนี้พระนางจึงคืนสภาวะแห่งมหากาลีเต็มขั้น พระกรทั้งสองข้างกลายเป็นสิบกรในทันที

พระกรข้างขวามิรอช้าจิกหัวนางตัณหาขึ้นมา แล้วรุมทึ้งฉีกร่างนางเป็นชิ้นๆจนร่างสลายขาดใจตาย เฉกเดียวกับพระกรซ้ายที่จัดการนางราคะด้วยวิธีเดียวกันจนสูญสลายตามตามกันไปติดๆ นางอรดีพยายามแทรกพื้นดินหนี พระนางก็ขยายพระหัตถ์ให้ใหญ่โตควักดินขึ้นมาทั้งกระบิ แล้วบีบขยี้จนร่างนางอรดีไม่เหลือซาก คงมีแต่ชิ้นส่วนเล็กๆเหลือไว้ให้สยดสยองแก่สายตาทุกผู้

นางอสุรีสันธมาลา เห็นแล้วทิ้งความหาญกล้าสิ้น นางก็รู้ดีเฉกเดียวกับนางสำมะนักขานั่นแหละว่าตนเองต่อให้ตายและเกิดเป็นอสูรอีกกี่ร้อยชาติพันชาติก็หาได้มีฤทธีพอที่จะเข้าต่อกรไม่ นางจึงหมอบคลานลนลานมาแทบพระบาท ปากสั่นคอสั่น เตรียมขออภัยโทษไว้ชีวิต

“หม่อมฉัน.....”

ยักษีสันธมาลาพูดได้แค่คำว่า ‘หม่อมฉัน’ เท่านั้น แล้วนางก็พูดอันใดไม่ได้อีก เพราะหัวนางที่กำลังก้มกราบ ถูกพระนางกระทืบจนแหลกเหลวเลือดกระจายตายคาพระบาทอย่างมิทรงไยดี

แล้วสุรเสียงดังก้องปานอสุนีบาตก็ร้องขึ้นมาเรียกขวัญของเทวะอีกระลอก มหากาลีมิทรงหยุดแค่นั้น ทรงขยายร่างใหญ่โตจนสูงล้นเทียมต้นสาละ แล้ววิ่งตึงๆจนแผ่นดินลั่นไปยังหมู่มาร อินทรชิตที่เห็นฤทธีและทุกการสังหารที่ประทานแก่นางมารทั้งสี่ รู้แล้วว่ามหากาลีมิใช่แค่เรื่องเล่าลือ มิต้องสงสัยอีกแล้วว่าสำมะนักขาผู้เป็นอาสิ้นลงอย่างง่ายดายเพราะใคร ยอมรับกับตัวเองเลยว่ากลัวแทบขาดใจ จึงยุติการรบพุ่งกับอัสดงในฉับพลัน ตะโกนบัญชาทัพมารด้วยเสียงสั่นพร่าอันดังลั่นไปทั่วว่า

“พวกเรา ถอยทัพ!!! บัดเดี๋ยวนี้”

คงเป็นโชคดีของอินทรชิตแล้วที่ตัดสินใจเช่นนั้น และก็เป็นโชคดีอีกประการที่มิได้อยู่ในวงรัศมีสังหาร เพราะมิฉะนั้นคงแหลกเหลวแดดิ้นเป็นภัสมธุลีอย่างที่ทัพมารบางส่วนกำลังเป็น อินทรชิตเหิรหนีเต็มเหยียด แต่ก็คงมิไวไปกว่าอัสดงที่หยิบหอกด้ามหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งคืนไปหาอินทรชิตอย่างที่ทำกับศิษย์น้องของตน หอกด้ามนั้นแม่นยำราวกับจับวาง เสียบเข้ากลางหลังทะลุอก จนอินทรชิตกระอักเลือด ลอยรวนซวนเซ 

แต่ด้วยความที่ฤทธีของมารมากกว่าผู้ใด จึงมิทำให้สิ้นชีพขาดใจ ยังพอสามารถจำแลงกายหายวับไปได้ มิสนใจหมู่มารบริวารที่เหลือยังด้านหลังที่กำลังโดนเทวะตีคืนถอยร่นไม่เป็นท่า เฉกพญายักษ์หัวหน้ากองตนหนึ่งที่จนมุมจนถูกมหาเทวีซัดด้วยเทวฤทธิ์จนกระเด็นขึ้นฟ้า พอลอยตกลงมาน้ำเชี่ยวก็สวนดาบเสียบเข้าหน้าตายคาดาบพอดิบพอดี

ผิดกับนางพันธุรัตน์ และนางอากาศตไล ที่ใช้ความไวในการเอาตัวรอด รีบเหิรลอยหนีมหากาลีเทวีจวนเจียนจะถึงแนวป่าได้อยู่แล้ว แต่การณ์ก็มิเป็นดังนางทั้งสองคาด เพราะรัศมีสีดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่นำเสด็จมหาเทวีเข้ามาขวางไว้ แล้วรัศมีสีนั้นก็สลายกลายเป็นวายุภัคในสภาวะเทวปักษีร่างใหญ่โตเต็มขั้น นางยักษ์ทั้งสองจึงซัดพลังเข้าใส่ แต่แล้วพลังนั้นก็พลันสูญสลายลงไปในพริบตา เพราะกลางฝ่ามือของวายุภัคยามนี้มีเทวสตรีอีกพระองค์งามเหยียบสามโลกประทับยืนอยู่ ซึ่งนางยักษีทั้งสองก็รู้ดีว่าเป็นใคร

“มหาลักษมีเทวี”

“ไม่ต้องกลัวพันธุรัตน์ พระนางไม่ใช่มหาเทวีผู้เจนการสงคราม คงมิมีฤทธีเท่าไหร่หรอก ฝ่าเข้าไปพร้อมๆกัน เร็วเข้า รีบโจมตี ก่อนที่มหากาลีจะตามมาทัน”

มหาลักษมีเทวีที่หวนคืนมาประทับร่างสีทันดรก่อนจะถึงวัดป่าทรงพระสรวลด้วยเสียงใสขึ้นมาทันทีที่นางยักษ์ทั้งสองตนพูดจบ พระหัตถ์บางยกมาปิดโอษฐ์ให้เสียงดังแค่พอประมาณ ทรงให้ค่าเพียงเล็กน้อยแค่นั้นกับนางอสุรีหนีมาเกิดที่ไม่ประมาณตน และประเมินพระนางต่ำไป

พระนางยังคงประทับยืนอย่างสงบนิ่ง รอให้นางยักษ์พุ่งเข้ามาหา และการรอคอยของพระนางก็สิ้นสุดลง เมื่อนางอากาศตไลเงื้อดาบเหิรลอยเข้ามาเป็นตนแรก พระนางยิ้มที่ริมโอษฐ์อย่างเยือกเย็น ยกพระกรขวาชูนิ้วชี้ขึ้นมาก็บังเกิดเป็นมหาจักราสีทองคมกริบหมุนวนรอบรวดเร็ว แล้วจึงทรงซัดจักรนั้นพุ่งสวนเข้าแสกหน้านางอากาศตไล ผ่ากลางจนร่างกายแยกเป็นสองซีกไม่ต่างอะไรกับพญาขร ร่วงลงมาจากฟากฟ้า ขาดใจตายไปอีกตน

“จำไว้นางอสุรี พระมหาวิษณุเทพ สวามีของเรา ทรงมีอาวุธอะไร ทรงชำนาญช่ำชองอาวุธอันใด เราก็มีและชำนาญช่ำชองเช่นนั้น”

นางพันธุรัตน์ ได้เห็นได้ยินดังนั้น แถมเสียงคมจักรที่บาดเข้าเนื้อนางอากาศตไลยังดังก้องสยดสยองอยู่ในหู จากที่เห็นพ้องคล้อยตามเข้าโจมตี ก็เปลี่ยนใจรีบเหิรหนีกลับไปอีกทางด้วยความรวดเร็ว แต่เดชะของนางมีหรือจะสู้ความเร็วปีกของวายุภัคได้ วายุภัคจึงบินไปสกัดหน้าสกัดหลังทุกทิศทางตามพระสุรเสียงใสของมหาลักษมีเทวีจะมีพระเสาวนีย์มา

แต่แล้วองค์นารายินี มหาเทวีแห่งศรีก็ทรงยุติเสียงสรวลใสบัญชานั้นเสียเอง และพูดกับองค์เองขึ้นมาว่า “อยากจะมีส่วนร่วมบ้างเหรอสีทันดร ..ก็ได้ เราไปก็ได้ เก็บกวาดให้เรียบร้อยแทนเราก็แล้วกัน”

สิ้นรับสั่ง มหารัศมีสีชมพูกุหลาบเข้มก็พลันสลายไปพร้อมๆกับพระวรกายมหาเทวี รัศมีสีเขียวเจือทองกำจายวาบกำเนิดเกิดมาแทนที่ พอเลือนหายก็กลายเป็นสีทันดรดังเดิม ที่ยามนี้ทรงสนุกสนานเป็นที่ยิ่งกับการนั่งอยู่บนฝ่ามือของวายุภัคดักนางยักษ์ไปมา มิรู้พระองค์เลยว่าสายตาสีอำพันของใครบางคนกำลังแหงนมองอยู่จากด้านล่างด้วยความขัดใจและมิพอใจอย่างที่สุดเป็นนานสองนานแล้ว

สีทันดรยังทรงสนุกอยู่อีกกว่าชั่วพัก จนมหากาลีตรัสก้องมาถามว่าจะเล่นอีกนานไหมนั่นแหละ จึงทรงหยุด ยุติการเล่นสนุกทั้งมวลขยับแส้เพลิง เหิรลอยจากพระหัตถ์วายุภัค ฟาดลงไปกลางหลังของนางพันธุรัตน์จนเลือดสาด นางยักษิณีตนสุดท้ายกรีดร้องกลางฟ้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะรวมกำลังทั้งหมดหันมาตอบโต้ ห้ำหั่นกันบนฟ้า นางยักษ์ฟาดรัศมีสีดำต่างอาวุธไปมาไม่หยุดยั้ง สีทันดรเองก็ควงพระกรตั้งรับแข็งขันตีคืนกลับไปได้ทุกกระบวนรบ จวบจนกระบวนสุดท้ายที่นางฟาดพลาดท่าซะเอง นางจึงถูกแส้เพลิงรัดคอหายใจไม่ออกอ้าปากดิ้นทุรนทุราย และถูกลากลงจากฟ้ามากองอยู่ตรงหน้าแทบเท้าอรุณศิษย์ผู้น้องของอัสดงที่เหลือเพียงคนเดียว

“เรายกให้เจ้า สังหารนางล้างแค้นแทนเพื่อนเจ้าเถอะ ถึงนางจะไม่ได้สังหารเพื่อนเจ้า แต่นางก็เป็นพวกมาร”

สีทันดรตรัสจบก็เหวี่ยงนางพันธุรัตน์ไปฟาดเข้ากับกำแพงดังพลั่กจนนางกระอักเลือด ก่อนจะร่วงลงมานอนกองอยู่ข้างๆร่างของคงคากับวายุ ซึ่งสีทันดรทรงรู้ดีจากญาณของมหาลักษมีว่าเกิดอะไรขึ้น อรุณเองก็รู้ดีเช่นกันว่าต้องทำอย่างไร

ว่าแล้วอรุณก็เดินไปดึงหอกที่เสียบร่างเพื่อนออกมา ไม่พูดไม่จาอันใด เสียบหอกเข้าปากนางพันธุรัตน์ที่อ้าพะงาบพะงาบจนทะลุท้ายทอย สิ้นชีพขาดใจเป็นขุนพลยักษีตนสุดท้ายที่เกือบจะปิดท้ายสมรภูมิ หากก็ยังมิท้ายที่สุดเสียทีเดียว เพราะมหากาลีเทวี ยังทรงเพลินกับการไล่ล่าทัพมารจนแตกกระเจิงจวบจนหมดสิ้น แต่พระบาททั้งสองข้างยังวิ่งตึงตังๆ จนแผ่นดินไหวเลื่อนลั่นท่ามกลางเสียงโห่ร้องกึกก้องอย่างมีชัยของเหล่าเทวทหารที่มิได้รู้อะไรเลยว่าจะมีสิ่งใดตามมา ทยุติธรผู้ทรงทราบดีจึงหันมามองหน้านลกุพรในทันที แล้วหันไปบอกกับอัสดงและบรรดาอณูน้อยรวมถึงวายุภัคที่ถอยกลับมารวมตัวกันว่า

“สิ่งที่พี่กลัวกำลังจะเกิด เร่งยับยั้งมหากาลีเทวีเถิด ก่อนที่จะมิมีวัดป่าให้เห็นอีกต่อไป”

ทยุติธรตรัสยังมิทันจบ มหากาลีเทวีในร่างตระการตาก็กระทืบบาทด้วยความดีพระทัยในชัยชำนะอีกระลอก จนทุกคนรู้สึกได้ว่าแผ่นดินบริเวณวัดป่าทั้งมวลไม่ได้ไหวแค่อย่างเดียวแต่กลับทรุดลงไปด้วย ทุกผู้ทุกคนเข้าใจที่ทยุติธรตรัสแล้ว จึงรีบเหิรลอยไปยับยั้งพระบาทที่กำลังจะกระทืบลงมาเป็นคำรบสอง คงเว้นแต่ทยุติธรที่ทรงคืนร่างสู่สภาวะนาคาแทรกกายลงพื้นปฐพี นิมิตกายให้ใหญ่โต ขดเป็นวงหนุนแผ่นดินบริเวณวัดป่าทั้งหมดไว้สุดเดชะและพระกำลังที่มี

แล้วแรงสั่นสะเทือนก็เลื่อนลั่นมาอีกระลอก มิต้องบอกทยุติธรก็ทรงรู้ว่าการกราบทูลยับยั้งมิสำเร็จ นี่นับว่ายังดีที่มหาเทวีเสด็จมาประทับในร่างโอษฐ์ ถ้าเป็นองค์เต็มเสด็จมาจริงๆ ป่านนี้ไม่ใช่แค่บริเวณวัดป่านี่หรอก หากแต่เป็นพิภพมนุษย์ทั้งภพคงแหลกสลาย คิดๆแล้วก็ทรงเคืองพระอนุชายิ่งนัก ที่คิดและตัดสินใจทำอะไร ไม่ปรึกษากันก่อนเลย กลับขึ้นไปได้เมื่อไหร่ คงต้องให้อัสดงจัดการทำโทษจริงจัง

ทางด้านอัสดง วายุภัค นลกุพร คันฉัตรและน้ำเชี่ยว นอกจากจะกราบทูลมิสำเร็จแล้ว ยังถูกมหาเทวีใช้เท้าเตะเพราะทรงรำคาญจนลอยละลิ่วไปไกล คงมีแต่คันฉัตรเท่านั้น ที่ยึดต้นไทรไว้ได้ และเริ่มคิดสารพัดวิธีที่จะยับยั้ง จนสุดท้ายในวินาทีสำคัญ คันฉัตรก็คิดออก ใช้แรงที่มีทั้งหมด โหนต้นไทรเหวี่ยงกายเหิรลอยกลับมานอนอยู่เหนือพื้นดินใต้พระบาท ดึงอำนาจสูงสุดจากพระเสาร์ต้นกำเนิด เนรมิตกายให้ใหญ่โตจนพอที่จะรองรับแรงกระแทกจากพระบาทที่กำลังจะเหยียบย่างกระทืบลงเป็นครั้งที่สาม แล้วตะโกนเรียกสติเจ้าโอษฐ์แห่งมหาเทวียอดดวงใจลั่น

“ตระการตา พอได้แล้ว”

เพียงสิ้นเสียงของคันฉัตร พระบาทของมหากาลีในร่างตระการตาก็ถอยแรงฤทธีพลัน หากก็ยังมิวายกระทืบลงมากลางอกของคันฉัตรจนสนั่นลั่นไปถึงทยุติธรด้านล่าง คันฉัตรเองก็แทบสำลักออกมาเป็นเลือด ยังดีที่มหาเทวีทรงผ่อนแรง และยังดีที่ชายพระเนตรลงมามองแล้วว่าพระบาทเหยียบอยู่บนอกใคร

“คันฉัตร!!”

เสียงที่ตรัสมาคราวนี้ หาใช่สุรเสียงแห่งมหากาลีเทวีอีกต่อไปไม่ แต่เป็นเสียงของตระการตาที่ลำดับออกมาอย่างตกใจระคนเขินอายในกริยาที่ทำอยู่ ด้วยเหตุฉะนี้จึงเผลอแลบลิ้นออกมาแก้ขัดเขิน มิต่างอะไรกับมหากาลีเทวีตอนรู้พระองค์ยามเหยียบย่างอยู่บนพระอุระของมหาศิวะเจ้าเลยสักนิดเดียว

แล้วจู่ๆ เสียงระฆังก็ดังเหง่งหง่าง คล้ายจะเป็นสัญญาณว่าสมรภูมิรบจบลงแล้ว มหาเทวีในร่างตระการตาจึงคืนพระสติลดกายลงมาขนาดเท่ามนุษย์ดังเดิม เฉกเดียวกับคันฉัตรที่คืนอำนาจสูงสุดไปสู่พระเสาร์ ลงมาเป็นคันฉัตรคนเดิมที่ยังกุมอกยันกายตนเองลุกขึ้นมา เป็นขณะเดียวกับที่อัสดง น้ำเชี่ยว นลกุพรและวายุภัคเหิรลอยกลับมาเช่นกัน และทั้งหมดก็ทราบโดยทันทีว่า วัดป่ารอดจากฝ่าพระบาทของมหาเทวีด้วยไหวพริบของคันฉัตรแท้ๆ

“เก่งมากไอ้ฉัตร ไม่คิดเลยว่านายจะใช้วิธีเสี่ยงตายวิธีนี้ วัดป่ารอดจากพระบาทได้ก็เพราะนาย”

“ก็ลองให้น้องดื้อเป็นมหากาลีดูสิ รับรองนายก็ยอมเสี่ยงตายใช้วิธีนี้เหมือนกันอัสดง”

“แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ อาจจะมีคนอยากเสือก เสี่ยงตายแทนฉันก็ได้”

อัสดงพูดจบก็ปรายตาไปทางด้านข้าง ซึ่งทางนั้นวายุภัคยืนอยู่ เจ้าเทวปักษีจะมิรู้องค์ก็ทรงโง่เกินไปแล้ว จึงรีบเดินเข้ามาหมายจะเอาเรื่อง แต่ก่อนที่จะได้ปะทะกันอันใดนั้น เสียงระฆังก็ดังมาอีกคำรบ พร้อมรัศมีสีขาวสว่างจ้าจากร่างของหลวงตาใต้ต้นสาละ เสียงระฆังรอบนี้บ่งบอกถึงสัญญาณว่าอีกมินานจะได้เวลาที่พระอรหันต์บังเกิด ทุกพระองค์และทุกคนทราบดีด้วยเทวฤทธิ์ จึงรีบเดินตามมหากาลีไปที่ต้นสาละ ซึ่งมีสีทันดรกับอรุณนั่งพนมมือพับเพียบรออยู่ท่ามกลางบรรดานางไม้และรุกขเทวาในชุดขาว ที่ช่วยกันเก็บกวาดซากมารจนสะอาด แล้วนั่งต่อกันเป็นทิวแถว ส่วนบรรดาพระภิกษุแปดรูปที่ได้สีทันดรแก้ไขให้ฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็กลับเข้าประจำทิศทั้งแปด รายล้อมกันรอบต้นสาละเป็นวงกลมเหมือนในทีแรก

แล้วมหากาลีเทวีก็เสด็จมาประทับด้านหน้าสุด ตามด้วยเหล่าอณูน้อย นลกุพร และวายุภัค อีกทั้งทยุติธรที่เสด็จคืนขึ้นมาจากพื้นดิน พร้อมทั้งเทวทหารหาญและกองราชองครักษ์นาคาทั้งมวลที่พร้อมใจกันวางอาวุธ น้อมจิตพนมมือหลับตาบูชาพระอรหันต์ที่กำลังจะบังเกิดด้านหน้าโดยพร้อมเพียง

เมื่อทุกอย่างทุกคนสงบนิ่ง มหากาลีเทวีจึงทรงพนมหัตถ์ขึ้น แล้วร่างของพระนางที่ซ้อนอยู่ในร่างตระการตา ก็แยกออกเป็นสามร่างทับซ้อนสามระดับพลังงานอย่างที่สีทันดรกล่าว ไปยังด้านขวา ด้านซ้าย และตรงกลางดังเดิม

ด้านขวาคือมหากาลีเทวี ด้านซ้ายคือมหาทุรคาเทวี ....ส่วนตรงกลางคือมหาอุมาเทวี ที่กำลังทรงส่งพระสุรเสียงใสแฝงไปในตระการตาทุกๆสำเนียงกล่าวนำทุกคนสรรเสริญพระพุทธคุณดังก้องไปทั่วบริเวณ

“อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ”

เมื่อบทสรรเสริญพระพุทธคุณสิ้นลง พระนางจึงทรงจำเริญพระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จนถึงวรรคสุดท้ายที่ว่า “อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ” ร่างสงบนิ่งภายใต้จีวรสีกลักของหลวงตา ก็สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าคราใดๆ แล้วแสงสว่างทั้งมวลก็พุ่งปราดขึ้นฟ้า จนฟ้ามืดสว่างจ้าในฉับพลัน และนั่นก็ทำให้ทุกพระองค์และทุกคนทราบดีเลยว่า

พระอรหันต์ได้บังเกิด และได้เข้านิพพานอย่างที่ท่านตั้งใจแล้วนั่นเอง

“สาธุ”

ทุกเสียงเปล่งขึ้นอย่างปรีติโดยพร้อมเพียงกัน สีทันดรนั้นปรีติจับหนักถึงกับน้ำตาไหล และก็เฉกเดียวกับทูลหม่อมพี่ชายและนลกุพรนั่นแหละ ที่ปรีติตัวเดียวกันเพิ่มเทวฤทธิ์ให้พัฒนาไปอีกขั้น วายุภัคเองก็อยู่ในพระอาการเดียวกันและเทวฤทธิ์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน พวกเทวทหารหาญและนาคาองครักษ์ก็ได้รับอานิสงค์แห่งปรีตินี้ไปด้วยทุกตนถ้วนหน้าจนอิ่มเอมใจ

มหาเทวีทั้งสามเองก็ทรงได้รับปรีติเช่นเดียวกัน พระนางสงบนิ่งมิตรัสอะไรอีกแล้ว กำจายเป็นรัศมีสว่างวาบกว่าคราใดๆเสด็จขึ้นฟ้าคืนร่างตระการตาให้คันฉัตรพร้อมสติสัมปชัญญะมาดังเดิม

“เรามาอยู่นี่ได้ไง จำได้ว่าเล่นน้ำตกอยู่แล้วน้องสีทันดรก็เหิรลอยออกไปตามกวาง เราอยู่คนเดียวแล้วเจอนางยักษ์ แล้วหลังจากนั้นเราก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย อ้อ เมื่อกี้เหมือนจะรู้สึกว่ากระทืบอกของฉัตรด้วย”

สีทันดรที่ประทับอยู่ไม่ไกล รู้สึกโล่งพระทัยนักหนาที่ร่างกายของตระการตามิได้รับผลกระทบจากพลังงานมหาศาลรุนแรงของมหากาลีเทวียามประทับร่างอย่างที่ทรงเกรง อย่างนี้ก็คงตัดเรื่องพี่ฉัตรจะโกรธขึ้งไปได้หนึ่งเรื่อง แต่ก็ยังมีอีกคนนึงที่กำลังทรงหวั่นพระทัยนักหนา และเจ้าคนๆนั้นเมื่อสั่งความจัดการธุระเรื่องสังขารของหลวงตาและร่างไร้ลมหายใจของศิษย์ผู้น้องเสร็จก็รีบเดินเข้ามา ฉุดข้อพระกรหลุนๆ หน้านิ่งไม่พูดไม่จา รีบพาเดินออกไปจากลานต้นสาละ จนมาถึงหน้ากุฎิที่พักที่เขาเคยอยู่ ก่อนจะเปิดประตูและลากเข้าไปคุยข้างใน

เจ้านาคน้อยทรงคิดว่า เขาคนนี้ เจ้าอณูผู้เป็นเจ้าของสายตาสีอำพันที่เป็นผู้ปกครองพระทัยตนนี่ คงจะเริ่มต้นชำระความตามเรื่องที่เขาคงรู้ว่าตนสร้างขึ้นแน่แล้ว และเขาก็คงโกรธหนักจนเงียบลงผิดวิสัย ในพระทัยจึงรีบหาคำตอบหาคำอธิบายทันที แต่แล้วคำถามแรกที่มีมาหลังจากที่เขายืนสะกดตนด้วยสายตากว่าชั่วพัก ดันกลับเป็นคำถามที่มิได้ทรงคาดทรงคิดและเตรียมคำตอบเอาไว้เลยสักนิดเดียว

“มนตรามหาจักรที่อัสสะเสกครอบร่างเจ้าจากไอ้วายุภัคไว้ ทำไมถึงเสื่อมลง ตอบมา”

คนถามมีหรือจะมิรู้คำตอบ ส่วนคนที่จะต้องตอบก็หรุบพระเนตรฟ้าครามต่ำลงทันใด ใครจะคิดว่าอัสดงจะถามคำถามนี้ ทั้งๆที่เรื่องที่ทรงก่อขึ้นเป็นเรื่องสำคัญกว่าอันควรจะถาม แต่ก็มิถาม ดันมาถามเรื่องนี้แทนเสียนี่

เจ้านาคน้อยเอ๋ย เจ้าจะรู้ไหมว่า สำหรับอัสดงแล้ว เรื่องนี้แหละ คือเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่กว่าเรื่องอื่นใดไหนๆทั้งสิ้นทั้งปวง!!!


***********************************

รบกวนติดตามต่อในบทที่๑๖ นะคะ

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามและส่งกำลังใจผ่านคอมเม้นมาให้มากๆนะคะ ทั้งคุณsugarcane_aoi
คุณanterosz คุณLadySaiKim  คุณblanchard  คุณBaII  และก็คุณOooy รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ แล้วพบกันค่ะ

PS.@คุณanterosz คนเขียนมิได้ตั้งใจจริงๆน๊า 5555
@คุณblanchard   ขอบอกว่า คิดถึงเพลงเดียวกันเลยค่ะ อิอิ
@คุณsugarcane_aoi คุณLadySaiKim  คุณBaII  คุณOooy ดีใจมากๆค่ะที่ชื่นชอบ ขอบพระคุณนะคะ

 :pig4: :กอด1: :mew1:

๒๓/๐๕/๖๓ แวะมาแก้คำผิดค่ะ ขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้พิมพ์ผิดเยอะเลย  :hao5:

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 22-05-2020 20:36:33
สนุกมากครับ สนุกสุดๆ ขอบคุณที่มาต่ออย่างรวดเร็วครับ

สงสารคงคากับวายุ แต่ก็คงจะได้กลับไปรวมร่างกับต้นกำเนิดของตน

รอตอนต่อไปครับ รอฟังคำตอบของสีทันดรว่าจะตอบอัสดงว่าไง 555

แต่จริงๆสีทันดรควรถามอัสดงมากกว่าว่าไปหลงนางมารทั้ง 3 ได้ไง จัดการอัสดงเลยสีทันดร
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 22-05-2020 23:22:35
ตอนหลวงตาบรรลุอรหัตต์ น้ำตาไหลเลยอะ อย่างนี้ถือว่าปรีติจับได้ไหม?    :impress:


โอ๊ยยยยยยยยยย…. มันสนุกมว๊ากกกฮ่ะ    นึกว่า The Battle of the Hornburg!!     :m11:


ชอบความสวยประหารของแม่ลักษมีมาก  บั่บสวย ๆ อะ    :m13:


ตอนคันฉัตรมานอนรองรับพระบาทแม่กาลี แล้วเตือนสติตระการตา คือดีมากเลย ทำไมคิดได้   


รณพักตร์ คืออะไรยังไง? เหลามาเลยลวกเพ่ฉัตร!!


EP นี้ เฮียวายุภัคคือหล่อเลย


ขอบคุณนะครับ สนุกมากจริง ๆ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-05-2020 06:29:16
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 23-05-2020 13:24:11
ผมอ่านตอนนี้แล้วน้ำตาไหลเลย ปลื้มมากๆครับ
สนุกสุดๆ ลุ้นจนตัวโก่งเลย อ่านทีละบรรทัดเลย
ตอนที่ทยุติธร โดนกินนี่น้ำตาไหลเลย แจ่สุดท้านก็แฮปปี้
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 23-05-2020 16:35:53
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 23-05-2020 20:24:30
สนุกตอนอ่านแล้วเราจินตนาการภาพตามเป็นฉากๆเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์และได้ปรีติกับพระอรหันต์ด้วยนี่แหละค่ะเข้มข้นมาก แต่ว่าไอ้ดื้อจะตอบอัสสะว่าอย่างไรนะ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ มาต่อเร็วๆนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 23-05-2020 20:33:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๓ (จบตอน) อัพ ๒๒พ.ค.๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 23-05-2020 23:25:42
ขอบคุณมากค่ะมี๊อ๋อยดีใจจังมาต่อไวมากสนุกที่สุดแต่องค์มหากาลีนี่น่ากลัวสุดๆไปเลยสงสารคงคาวายุแต่อินทรชิตกับคันฉัตรนี่ยังไงสงสัยสงสัยตอนอ่านถึงหลวงตาได้นิพพานเป็นพระอรหันต์นี่ขอบอกขนลุกเลยค่ะเขียนได้ลึกซึ้งเรียบเรียงภาษาสวยไม่เคยผิดหวังสักครั้งมองเห็นเป็นฉากๆตามเหมือนได้ดูหนังเลยส่วนเจ้าดื้องานเข้าจะตอบอัศดงอย่างไรตอบดีๆนะลมเพ็ชหึงมันรุนแรงมากเลยจ้าขอบคุณนะคะรักษาสุขภาพด้วยนะคะรอตอนต่อไปและรอมอสกับเรนด้วยค่ะคิดถึงซันพ่อแม่ฤิทธิ์แรงขนาดนี้ลูกไม่ร้ายได้ไงนะ555
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 07-06-2020 21:54:40
อัศวินดารา๒ บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑)


ทางด้านทรงกลดและอณูทั้งสี่ที่เหลือ หลังจากได้ฟังความจากมหาฤาษีแล้ว ก็ได้เห็นภาพสนามยุทธการที่วัดป่าจากปลายไม้เท้าของหลวงตามหาฤาษีที่ชี้เป็นลำแสงส่องเป็นภาพขึ้นฟ้า อันมิต่างอะไรกับกล้องฉายหนัง ถ้วนทุกคนที่ได้ดู ก็แทบจะนั่งไม่ติด คุมตัวเองแทบไม่อยู่ ยิ่งตอนที่เห็นศิษย์น้องของอัสดงถูกสังหาร แล้วธิดาพญามารกำลังจะจาบจ้วงหลวงตาพระคุณเจ้า ยิ่งแทบอยากจะเหิรลอยไปสมทบในทันใด อดนึกเสียดายอยู่ครามครันมิได้ ที่ศึกครั้งนี้หาได้มีโอกาสเข้าร่วม แล้วทั้งหมดก็ต้องระย่นระย่อกายเมื่อเห็นมหากาลีเทวีในร่างตระการตา ประทานทุกๆการสังหารแก่เหล่ามาร ภาพทุกภาพมันติดตา ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้ชายก็ยังอดประหวั่นพรั่นพรึงมิได้ ซากมารแต่ละตนดูน่าสยดสยองยิ่ง ชักไม่แน่ใจแล้วว่า นี่เป็นฝีมือของเทวะแน่หรือ หากก็บรรเทาได้ด้วยปรีติ ยามหลวงตาพระอาจารย์ของอัสดงบรรลุอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน

“สาธุ สาธุ สาธุ” ทรงกลดเป็นต้นเสียงกล่าวนำทุกๆคน น้ำตาแห่งปรีติรินไหล และนำกราบลงพื้น “เป็นบุญของเทวะแล้วที่พระอรหันต์บังเกิด”

“ใช่เป็นบุญของเทวะแล้ว แต่นี่ถ้าหากไม่ได้ มหากาลีเทวีเสด็จมา มันอาจจะเป็นหนังอีกม้วน” ธรรม์กล่าวเสริม เฉกเดียวกับเอราวัต

“ไอ้ธรรม์พูดถูก ว่าแต่สงสารศิษย์น้องของไอ้อัสดงว่ะ ยังเด็กอยู่แท้ๆ” อณูแห่งพระพุธทอดน้ำเสียงเศร้า แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหันไปหาคืนฉายสุดที่รัก “ฉายจ๋า ฉายใช้สัญญชีวนีมนตรา ชุบชีวิตให้ไอ้เจ้าเด็กสองคนนั่นได้ไหม ถ้าได้จะได้รีบแจ้งอัสดงแล้วไปวัดป่ากัน”

“ไม่ได้หรอกครับคุณแฟน นายลืมไปแล้วหรือไงว่าสัญญชีวนีมนตราของฉายนั้น จะใช้ชุบชีวิตได้สำหรับผู้ที่ยังไม่หมดอายุขัย แต่เผอิญมีเหตุให้สิ้นชีพไปก่อน ฉายตรวจดูแล้วศิษย์น้องของไอ้พระอาทิตย์มันสิ้นอายุขัยวันนี้พอดี”

“แล้วถ้าเราใช้น้ำอมฤต ครั้งกวนเกษียรสมุทรล่ะ” ราหูเสนอเข้าท่า แต่มหาฤาษีก็รีบขัดขึ้นทันควัน ลดไม้เท้าหยุดฉายภาพ แล้วมาชี้หน้าราหูแทน

“อย่าเชียวนะโว้ยไอ้ราหู ถ้าเอ็งคิดจะขโมยน้ำอมฤตอีกรอบ  เอ็งหยุดความคิดนั้นเลย เอ็งไม่เข็ดหรือไงที่ต้นกำเนิดเอ็งต้องเป็นครึ่งยักษ์ครึ่งนาคก็เพราะไปขโมยน้ำอมฤต”

“จริงด้วยครับหลวงตา ผมลืม”

ราหูยิ้มแหะๆ ไยจะมิรู้เรื่องราวของพระราหูต้นกำเนิด ยามแปลงเป็นเทวดา มาขโมยดื่มน้ำอมฤต จนพระจันทร์จับได้แล้วไปทูลฟ้องพระมหาวิษณุ จนถูกลงทัณฑ์ด้วยคมจักรบั่นร่างเป็นสองท่อน ต้องไปต่อท่อนบนกับหางนาคแทน ด้วยเหตุนี้จึงมีวรกายผิดประหลาดกว่าเทวะองค์ใดๆ ทำให้ชิงชังจันทรเทพจอมฟ้องยิ่งนัก... แล้วอณูของคนทูลฟ้องที่ฟังอยู่ก็ตัดบทเสนอขึ้นว่า

“ถ้างั้นเราก็คงต้องปล่อยไปตามลิขิต ฝืนไปเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง ฉันว่าเรารีบติดต่อไปทางวัดป่ากันเถิด อยากรู้ด้วยว่ามีใครบาดเจ็บอะไรบ้างหรือเปล่า”

“ก็ดีเหมือนกันนะไอ้กลด คุยกันเสร็จจะได้รีบเดินทางกันต่อ แล้วทางฝั่งนู้นมีใครเอามือถือไปบ้าง”

“น่าจะเป็นตระการตานะ เห็นแว่บๆว่าหยิบใส่กระเป๋ากางเกงก่อนไปเล่นน้ำตกกับน้องดื้อ อณูอย่างพวกเราไม่มีใครใช้โทรศัพท์สักคน นอกจากนายและก็ไอ้ฉาย” ทรงกลดตอบมาให้

“งั้นลองติดต่อดู”

เอราวัตพูดจบก็หยิบไอโฟนไร้สัญญาณขึ้นมา นี่ถ้ามีคนธรรมดาอยู่ด้วยคงคิดว่าเขาจะเดินหาสัญญาณแล้วกดเบอร์แล้วโทร.ออกเป็นแน่แท้ แต่สำหรับอณูแห่งพระพุธผู้นี้แล้ว คงไม่ต้องรอสัญญาณจากเครือข่ายใดๆ กลับใช้แค่มือสะบัดผ่านหน้าจอทัชสกรีน ก็บังเกิดแสงวูบวาบ ดึงภาพและเสียงทางฝ่ายตนส่งไปยังมือถือของตระการตา ที่ปลายทางวัดป่าตามต้องการสมใจ

ฝ่ายตระการตาที่สติคืนมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ได้ยินเสียงและแรงสั่นจากมือถือในกระเป๋ากางเกงตน อันเป็นเสียงแปลกประหลาดแก่เทวดาทุกผู้จนหันมามองกันเป็นตาเดียว  พอหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นว่าโทรศัพท์ที่เปียกน้ำของตนนั้นนอกจากสั่นมาพร้อมเสียงแล้วยังส่องแสงวูบวาบ คันฉัตรที่อยู่ใกล้ๆ จึงบอกให้กดรับ และพอรับสายเท่านั้น แสงวูบวาบก็พุ่งออกมาจากหน้าจอ ฉายเป็นภาพกลางอากาศ อันเป็นร่างโปร่งใสของเอราวัตและพรรคพวก คมชัดเกินสามมิติ เฉกเดียวกับฝั่งที่ติดต่อมา ร่างของตระการตากับคันฉัตรก็ลอยออกมาจากหน้าจอในลักษณะเดียวกัน  ทั้งสองฝ่ายเจรจาถามความกันทันที น้ำเชี่ยวกับนลกุพรก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย คงขาดแต่อัสดงเท่านั้น

“สุดยอดไปเลยเพื่อนเรา ดูภาพทางนี้เป็นห่วงแทบแย่ แต่พวกนายเก่งมากๆ” ทรงกลดกล่าวชม ยิ้มแป้นให้นลกุพรเป็นพิเศษ จนถูกเพื่อนๆแซวไปทั่ววง แล้วถามขึ้นแก้เขิน “อ้าวแล้วไอ้แม่ทัพมันหายหัวไปไหนวะ”

“กูเห็นลากน้องดื้อเข้ากุฏิหลังวัดไป หน้าตาแม่งเอาเรื่องทีเดียว สงสัยคราวนี้น้องดื้อโดนแน่ๆ”

คันฉัตรเห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น และก็น่าจะคาดการณ์ถูกเสียด้วย เพราะทั้งน้ำเสียงและสายตาของอัสดงในกุฏิยามนี้ มันเอาเรื่องจริงๆ ทั้งเร่งรัด ทั้งต้อน จนสีทันดรจนมุม ส่วนเจ้านาคน้อยเองก็ยังคงหลบเลี่ยงหรุบพระเนตรฟ้าครามลงอยู่อย่างเดิม จนอัสดงต้องถามย้ำเสียงเข้มมาอีกครา

“ทำไม...ตอบอัสสะมา”

“อย่าดุนักสิ คืออันที่จริงเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ” สุรเสียงใสตอบมาอ่อยๆ มิค่อยเต็มเสียงนัก แน่ฤาที่สีทันดรจะมิทรงรู้ ความชิงชังที่หายไป ไยจะมิใช่คำตอบ แต่ถ้าหากตอบไปตามจริง มีหวังวัดป่ากลายเป็นทะเลเพลิง

“เจ้าไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ จะตอบเราดีๆหรือไม่ ไอ้ดื้อ”

“ก็ได้ๆ ตอบก็ได้ คือเราเห็นว่าเขาไม่ได้จาบจ้วงรังแกเราเหมือนอย่างแต่เก่าก่อน อีกอย่างเราก็ต้องอาศัยเดชะของเขานำเสด็จมหาเทวีมาที่วัดป่า เราเลยคิดว่าเขาไม่มีพิษมีภัย มนตรามหาจักรเลยเสื่อมกระมัง อย่าโกรธเราเลยนะอัสสะ”

สีทันดรทรงเลือกที่จะบอกคร่าวๆ มิทรงลงลึกถึงความรู้สึกที่เริ่มมีในแง่ดีมาบ้าง ซึ่งมิได้เกินเลยทางใจกับเทวปักษีพระองค์นั้น เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงออดอ้อนกอดแขนเจ้าลูกไฟดวงใหญ่แน่น อันที่จริงบอกแค่นี้ก็ดีแล้วเชียว ยังพอทำใจให้ฟังขึ้นในความรู้สึกของอัสดงที่รู้เหตุผลดีอยู่แล้วบ้าง เจ้านาคน้อยหาควรต่อมาอีกไม่ แถมต่อมาดันมิต่อเปล่า คิดยังไงก็มิรู้ กลับดันไปใช้คำสมัยใหม่ ทั้งๆที่ปกติก็มิเคยใช้ ที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อวานตอนเดินเท้าอีกด้วย

แล้วคำๆเดียวนี้นี่เอง ก็ทำให้เรื่องที่ใหญ่สำหรับอัสดงอยู่แล้ว ...กลายเป็นมโหฬารเกินความจำเป็นในพริบตา

“เราแค่เห็นว่าเขาแซ่บ ก็แค่นั้น”

“อะไรนะ...แซ่บงั้นเหรอ”

อัสดงตะโกนลั่นกลั้นอารมณ์ไม่ไหวแล้ว กัดฟันกรอดๆขบกรามแน่น สะบัดแขนออกทันที แน่นอนคำว่า ‘แซ่บ’ มันไม่ใช่ ‘ก็แค่นั้น’สำหรับเขา คำว่าแซ่บที่สีทันดรกล่าว มันทับถมเพิ่มน้ำหนักให้ความไม่พอใจในเรื่องความชิงชังที่ห่างหาย  อันสร้างโทสะให้กรุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งโหมกระพือเพิ่มขึ้นไปอีก โกรธจนชนิดที่ว่าไม่เคยโกรธ ถึงขนาดที่ร่างทั้งร่างกลายเป็นไฟลุกท่วมไปทั้งตัว นี่หละคงเป็นต้นตำรับของคำว่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่แท้ สีทันดรเห็นเข้าก็ตกพระทัยพระพักตร์เหวอ เพราะเพิ่งจะได้เห็นอัสดงโกรธตนขนาดนี้เป็นครั้งแรก

“ใช่แซ่บ ทำไมอัสสะต้องโกรธเราขนาดนี้ด้วยล่ะ”

“นี่เจ้า!!! เจ้ายังไม่รู้เหรอว่าพูดอะไรออกมาไอ้ดื้อ เจ้าพูดมาได้ไงว่ามันแซ่บ .... โธ่โว้ย”

เจ้าดวงไฟลูกใหญ่โมโหจนพูดอะไรต่อไม่ออกอีกแล้ว สองเรื่องรวมกันเป็นโกรธเดียว ทำให้ต้องสะบัดหน้าพรึ่ด หักใจหันหลังระบายอารมณ์กระทืบเท้าถีบประตูปึงปังเดินออกจากกุฏิทั้งๆที่ไฟยังลุกโชนท่วมตัว สีทันดรที่ยังทรงมิรู้อะไรก็ได้แต่งุนงงเหมือนเดิม

“เป็นบ้าเป็นบออะไรอีกล่ะ เรื่องที่ควรจะโมโหกลับไม่โมโห เราจะไม่ว่าเจ้าสักคำเลย ถ้าเจ้าจะโมโหเราเรื่องอัญเชิญเสด็จมหากาลี แต่นี่ดันมาโมโหเรื่องคำว่าแซ่บเนี่ยนะ มีเหตุมีผลหน่อยสิ ไอ้ไฟบรรลัยกัลป์ ”

สีทันดรตะโกนไล่หลังอัสดง อัสดงก็มิสนใจจะต่อปากต่อคำ เดินกลับออกไปตามทาง ทิ้งเพลิงโทสะลูกย่อมๆ หลายลูกกระจายทั่วลานหน้ากุฏิ ประกายเพลิงเหล่านี้ ดับด้วยฤทธิ์นั้นแสนง่าย แต่เพลิงที่โหมกระหน่ำอยู่ทั่วตัวเขานั้น จะดับลงอย่างไร ยังมิทรงรู้เลย

“เราก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา ก็พี่ฉายบอกว่า แซ่บแปลว่าดี แซ่บมากแปลว่าดีเยี่ยม เราแค่เห็นว่าเขาดีเราผิดตรงไหน โมโหอะไรไม่เข้าเรื่อง หรือว่าเขาไม่พอใจที่เราไปชมผู้ชายคนอื่น เฮ้อ...จะง้อยังไงล่ะเนี่ย  ”

เจ้านาคาตาสวยเปรยกับองค์เอง ระบายพระปับผาสะ เดินตามออกมาถึงกลางลานต้นสาละ ก็เห็นว่าไอ้ลูกไฟขี้โมโห เตะกองไฟรายรอบลานระเนระนาด จนบรรดาเทวทหารบางส่วนที่ยังไม่กลับขึ้นฟ้าและทหารนาคาราชองครักษ์แตกฮือ ไม่สนใจเพื่อนๆที่กำลังยืนใช้เทวฤทิ์ติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ แยกไปลำพังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับยังศาลาริมธารข้างวัดคนเดียว อรุณศิษย์ผู้น้องเห็นเข้าก็ยังมิกล้าเข้าหา บรรดาฝ่ายอณูเทวะเห็นหัวหน้าตนเป็นดังนั้นก็เลิกติดต่อกัน แล้วหันไปหาสีทันดรที่เดินตามมา

“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าน้องดื้อ” คันฉัตรถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง 

“ไม่ได้ทะเลาะหรอกพี่ฉัตร แต่เพื่อนพี่มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ช่างเถอะ” สีทันดรตรัสจบก็ระบายลมหายพระทัยยาวๆอีกระลอก ยังมิเล่ารายละเอียดให้คันฉัตรฟัง เริ่มเหนื่อยพระหฤทัยที่เริ่มตามอารมณ์ชายอันเป็นที่รักไม่ทัน

“รอให้เขาอารมณ์ดีกว่านี้ก่อน เราจัดการเอง เราไปดูพวกทหารเราก่อนดีกว่า”

แล้วสีทันดรก็แยกไปหาบรรดาราชองครักษ์ส่วนพระองค์กับของทูลกระหม่อมพี่ชาย ยังข้างวัดด้านหน้า ไถ่ถามอาการ ประทานพลังการรักษาแก่ทหารนาคาตนที่บาดเจ็บ มิสนใจอันใดกับลูกไฟในศาลาอีก จนเวลาล่วงเลยไปค่อนชั่วโมง เพลิงที่ลุกโชนทั่วร่างอัสดงก็ซาลง แสดงให้รู้ว่าโทสะลดลงไปหลายระดับแล้ว ทว่าก็ยังไร้วี่แววที่สีทันดรจะเดินมาหา คงมีแต่คันฉัตรที่กล้ากว่าใครเดินเข้ามายังศาลาริมธาร

“ไงวะไอ้แม่ทัพ กูพอจะนั่งคุยด้วยได้ไหมวะ” คันฉัตรพูดพลางเอามือกุมอกพลาง เพราะยังเจ็บที่โดนมหาเทวีกระทืบอยู่มิหาย มิรอให้อัสดงอนุญาต ทรุดนั่งลงข้างๆ เปิดบทสนทนาต่อ “เมื่อกี้พวกทางโน้นติดต่อมา เลยได้คุยกับไอ้ฉาย ไอ้ฉายบอกว่า ศิษย์น้องสองคนของมึงชะตาขาดวันนี้พอดี เลยใช้สัญญชีวนีมนตราชุบชีวิตไม่ได้”

“อืม รู้นานแล้ว” อัสดงตอบรับสั้นๆ เสมือนว่ายังไม่มีอารมณ์จะคุยเรื่องการเรื่องงานสักเท่าไหร่นัก ยิ่งคันฉัตรพูดต่อ ก็ยิ่งฟังแค่เผินๆ

“เออนี่ พรุ่งนี้เช้าพวกมันจะเดินทางต่อ  มันบอกว่าไม่เกินเที่ยงก็ถึงชัยภูมิฐานทัพใหม่ของพวกเราแล้ว”

“อืมก็ดี”

“เอ่อ กูว่า พรุ่งนี้ กูจะออกแกะรอยพวกมาร มึงจะว่าอะไรไหม เผื่อจะได้เบาะแสว่าพวกมันมีฐานทัพอยู่ที่ใด” คันฉัตรพูดซะยาว แต่อัสดงก็ตอบมาให้แค่สั้นๆ

“ตามใจ”

“เฮ้อออ”  พระเสาร์น้อยถอนหายใจมาบ้าง รู้แล้วว่าเรื่องงานเรื่องการศึก หาได้ทำให้อัสดงดีขึ้นไม่ ยามนี้มันคงต้องการที่ปรึกษาทางใจ ยอมแพ้ยุติเรื่องงาน มาคุยเรื่องหัวใจกับเพื่อนรักที่สนิทกว่าใครในกลุ่ม ที่คาดว่าน่าจะง้างปากเพื่อนได้เป็นอย่างดี แล้วคันฉัตรก็ไม่ผิดหวังเลยสักนิด

 “ไงวะ ทะเลาะอะไรกันอีก”
   
 “ไม่ได้ทะเลาะ แค่โมโหนิดหน่อยว่ะ ไอ้ดื้อแม่ง” 

“ไม่นิดละมังไอ้ห่า หน้าบูดเป็นตูดลิงอย่างนี้ แล้วมึงโมโหเรื่องอะไรวะ อย่าบอกกูนะเรื่องอัญเชิญเสด็จ ถ้าเรื่องนั้นน่ะ มึงคงต้องโมโหตั้งแต่มหาลักษมีเทวีเลยนะโว้ย พวกไอ้กลดเล่าให้กูฟังหมดแล้ว”

“เรื่องนั้นก็โมโหโว้ย แต่คงไม่เท่าเรื่องไอ้ดื้อมันเลิกเกลียดไอ้วายุภัค” อัสดงกำหมัดแน่น แล้วก็ยอมพูดยาวๆได้ซะที “มึงก็รู้ใช่ไหมว่า กูเสกมนตรามหาจักรครอบร่างไอ้ดื้อกันจากไอ้วายุภัคเอาไว้ แต่วันนี้พวกมึงก็เห็นนี่นาว่าไม่มีจักรเพลิงครอบร่างไอ้ดื้อตอนไอ้นกนั่นเข้าใกล้อีกแล้ว ไอ้วายุภัคเอาไอ้ดื้อนั่งบนมือได้อย่างสบาย อีกหน่อยก็คงจะจับนั่งตัก มนตราเสื่อมลงเพราะใจไอ้ดื้อเปลี่ยนไป”

“ไอ้ห่าคิดมากไปหรือเปล่าวะไอ้อัสดง ไปกันใหญ่แล้ว อาจจะเพราะพระมหาลักษมี มาประทับร่างน้องดื้อก็ได้”

“ไม่ใช่หรอก เมื่อกี้กูคุยกับไอ้ดื้อแล้ว ไอ้ดื้อบอกว่า ไม่ได้คิดว่าไอ้วายุภัคมีพิษมีภัย ไอ้ดื้อคงรู้สึกดีๆกับมัน ไอ้ฉัตร มึงรู้ไหมไอ้ดื้อยังบอกอีกว่า ไอ้วายุภัคแซ่บ”

“ห๊า” คันฉัตรมิได้แสร้งว่ามิเชื่อหู แต่มิอยากเชื่อจริงๆว่าสีทันดรจะพูดอย่างนั้น  “เฮ้ย กูว่าปกติน้องดื้อก็ไม่ใช้คำสมัยใหม่นี่นา คงไปจำใครเขามาน่ะ ใจเย็นๆก่อนนะไอ้อัสดง  เดี๋ยวกูถามแฟนกูให้ว่าก่อนมานี่ มีอะไรกันหรือเปล่า”

อณูน้อยแห่งศนิเทพนับว่าถี่ถ้วนกว่าลูกไฟร้อนๆอย่างอัสดงนัก ช่างสังเกตสังกาจนรู้ว่าใครเป็นยังไง และก็ช่างเข้าใจหาตัวช่วยคลี่คลายเรื่องให้เพื่อนได้ดีนัก เพราะคำว่าแซ่บที่เป็นปัญหานี้ไม่ใช่หรอกเหรอ ที่มาจากห้วงคำนึงของแฟนตัวเองที่ใช้ตอบวายุภัคว่าตนเป็นอย่างไร

“จะยังไงก็แล้วแต่ กูก็ไม่พอใจอยู่ดี”

“เอาน่ามึงไอ้พระอาทิตย์ แต่เอ  หรือว่าน้องดื้อจะจำมาจากไอ้ฉาย ไอ้ห่าฉายมันยิ่งทะเล้นทะลึ่งอยู่ด้วย” คันฉัตรยิ่งพูด ก็ยิ่งถูกโดยมิรู้ตัว ...แฟนตัวเองกับคืนฉายเนี่ยแหละ รู้ดีที่สุดแล้ว

“ช่างแม่งเหอะ ...แต่กูถามหน่อย ถ้าแฟนมึงมาบอกว่าผู้ชายคนอื่นแซ่บ และก็เลิกเกลียดไอ้ผู้ชายคนนั้น มึงจะทำยังไงวะ”

“ไม่ยากเลยโว้ย ก็แค่ทำตัวเองให้แซ่บกว่าก็เท่านั้น เลิกคิดมากได้แล้ว ไอ้แม่ทัพ”

คันฉัตรทั้งขำทั้งเข้าใจและเห็นใจเพื่อนที่กำลังเป็นบ้าเป็นบอเพราะความรักคนนี้นัก ไอ้อัสดงนี่มันเก่งไปซะทุกอย่าง มันด้อยอยู่อย่างเดียวก็เรื่องรักนี่แหละ ใครจะคิดว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ ที่ลอกเลียนนิสัยหยิ่งทระนงองอาจมาจากต้นกำเนิด จะมาอ่อนข้อศิโรราบ กลายเป็นแค่ไฟจากแสงตะเกียงให้กับเทวนาคาตาฟ้าครามได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อนทุ่มไปหมดทั้งใจ ไม่เหลือเผื่อใจกันไว้เผื่อเจ็บสักห้องเดียว

แต่จะว่าไป เรื่องของหัวใจนี่ มันพิสดารล้ำลึกนัก จับเข้าที่ใครก็เป็นบ้าเป็นบอทั้งนั้น เขาเองใช่ว่าไม่เคยเป็น แถมยังดันเป็นหนักกว่าอัสดงเสียด้วยซ้ำ ที่จริงเรื่องนี้มันนานมาแล้ว นานก่อนที่จะเจอตระการตา ทว่ากลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมากลางสมรภูมิ

‘รณพักตร์’ ชื่อบางชื่อลอยคว้างอยู่กลางห้วงคำนึง เจ้าของชื่อที่วันนี้หวนกลับมาเจอกันในฐานะศัตรู ขณะนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็มิรู้ ถึงได้ขออัสดงไปแกะรอยดู เผื่อจะได้เจอซากอดีตของหัวใจ

“เป็นอะไรวะไอ้เวร จู่ๆ มาเหม่ออะไรตอนนี้ กูต่างหากนี่ที่ต้องเหม่อ อย่าบอกกูนะว่าตระการตาเมียมึงก็ชมไอ้วายุภัคว่าแซ่บ” เสียงของอัสดง ทำลายภวังค์ทั้งหมดทั้งมวลของคันฉัตรขึ้น จนเจ้าตัวหันมายิ้มแก้เก้อ

“ไอ้บ้า ตระการตาไม่มีทางพูดอย่างนั้นหรอก แต่เออว่ะ กูเหม่อได้ไงก็ไม่รู้  ช่างแม่งเหอะ กลับไปรวมกลุ่มกับไอ้น้ำเชี่ยว และก็ไอ้ยักษ์นลกันเถอะ”

คันฉัตรพูดจบก็เดินกอดคออัสดงออกจากศาลา พอเดินมาถึงกลางลานต้นสาละ ก็เห็นสีทันดรประทับยืนคุยกับรุกขเทวา นางไม้ อีกทั้งกองราชองครักษ์นาคา อัสดงยังคงงอนอยู่ละมังจึงเดินเลี่ยงไม่เข้าไปหา แต่คันฉัตรก็ดันหลังมา ผลักไปข้างหน้าให้เข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะรัศมีสีดาวฤกษ์ปรากฏขึ้น ข้างๆพระวรกายสีทันดร

รัศมีสีอัปรีย์นี่ ...มันช่างน่ารำคาญ เกะกะ ลูกตาเสียเหลือเกิน

รัศมีสีนั้นพอสลายกลายเป็นวายุภัค คงมิน่าขัดใจเท่าเจ้าของรัศมีสีเขียวเจือทองแห่งเทวนาคาที่เริ่มมีสีชมพูกุหลาบจับเต็มขอบระเรื่อ รัศมีของเทวะบ่งบอกอารมณ์เจ้าของได้เสมอ สีชมพูหวานจับเข้าที่วรองค์สีทันดรอย่างนี้ มีหรือจะมิใช่ความรัก

อัสดงคงไม่ได้ตีความไปเอง เพราะเจ้านาคน้อยยอดดวงใจ กำลังส่งยิ้มใสๆให้วายุภัค เขาเห็น เห็นเต็มสองตา และยังเห็นอีกว่า สีทันดรกำลังรับกระบอกไม้ไผ่กระบอกหนึ่งจากนางไม้แล้วยื่นส่งให้ไอ้เทวปักษีที่ยกมาดื่มแล้วยิ้มกว้างทันใด เมื่อเป็นซะอย่างนี้ คงไม่ต้องตีความอันใดให้มากความอีกต่อไป

“อย่างนี้แล้ว มึงจะยังให้กูไม่คิดมากอีกได้ไหมวะ ไอ้ฉัตร”

อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ทิ้งภาพระรื่นเต็มสองตาไว้กลางลาน เดินไปหาน้ำเชี่ยว นลกุพรและตระการตา ที่ยืนคุยกันอยู่หน้ากุฏิหลวงตา คันฉัตรกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาติดๆ ไม่รู้จะช่วยอธิบายอย่างไร ในเมื่อภาพมันฟ้องชัดซะขนาดนี้ นี่ถ้าตนเป็นอัสดงก็คงคิดอย่างเดียวกันแน่นอน แต่ก่อนที่ภาพกลางลานจะดำเนินไปให้อัสดงเจ็บใจต่อ ทยุติธรก็ปรากฏกายขึ้น ฉุดข้อพระกรพระอนุชาออกมา แล้วลากหลุนๆ มาสมทบกับพวกอัสดงหน้ากุฏิทันที

“ไปญาติดีกับมันตั้งแต่เมื่อไร” ทยุติธรตรัสเสียงเข้มกับสีทันดรต่อหน้าทุกๆคน “แล้วไปยิ้มให้มันทำไม”

“ก็เขาช่วยงานหม่อมฉัน หม่อมฉันก็แค่ยิ้มขอบใจ แล้วก็แค่เอาน้ำเกสรดอกไม้ป่าจากนางไม้ให้เขาดื่ม เพราะเขา....” สีทันดรตรัสยังไม่ทันจบ ก็ต้องหยุดลง เพราะทูลหม่อมพี่ชาย ที่ยามนี้สีทันดรทรงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เป็นพี่ชายแท้ๆของใคร ขัดขึ้นสุรเสียงดัง

“ไม่ต้องมาอธิบายให้พี่ฟัง...แต่จงอธิบายให้อัสดงฟังซะ”

เทวนาคาพระเชษฐาตรัสจบ ก็พยักพระพักตร์ เสด็จจากไป พี่ชายนี่ก็น่าจะเป็นอีกพระองค์ที่โมโหโกรธาไม่เข้าเรื่อง เรื่องที่ควรจะใส่พระทัยโมโหกลับไม่ แต่กลับมากริ้วปังเอากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วทุกคนที่ยืนอยู่ก็รู้งานดี เดินตามกันออกมาเป็นพรวน ทิ้งอังสดงหน้าตาเศร้าสลดไว้กับสีทันดรสองต่อสอง ความเงียบจับนานเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่าในที่สุดอัสดงก็ทนไม่ไหว โพล่งขึ้นก่อนเป็นคนแรก ด้วยคำถามจากน้ำเสียงเย็นชาขัดแย้งกับใจที่ร้อนรนอยู่ข้างใน

“ทำไมอัสสะไม่ได้ดื่มน้ำเกสรดอกไม้ แต่ไอ้วายุภัคได้ดื่ม”

“ก็เรากำลังจะเอาไปให้อัสสะพอดี แต่เผอิญวายุภัคเขามาพอดี นางไม้ก็เลยส่งให้เราให้เอาให้เขา” สีทันดรมิได้ทรงโป้ปด แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

“เจ้าไม่มีเหตุผลที่ดีกว่านี้อีกแล้วเหรอไอ้ดื้อ” อัสดงพยายามฝืนเสียง ขับมาให้เรียบๆ ไม่อยากให้เหมือนคราวก่อนที่เคยระเบิดอารมณ์ใส่จนเป็นเรื่องเป็นราวกันมาคราหนึ่ง  เจ้าลูกไฟทนนิ่งไปสักพัก แล้วกล่าวขึ้นต่อมาว่า

“ไม่เป็นไร ยังไม่มีดีกว่านี้ก็ไม่เป็นไร อัสสะว่าเจ้าคงต้องใช้เวลาหาเหตุผลนานกว่าปกติ คืนนี้เราต่างคนต่างนอนดีกว่านะ เจ้าก็นอนในกุฏิเราไปนั่นแหละ นอนคนเดียว เผื่อเจ้าจะคิดอะไรออก พรุ่งนี้เช้าก็มาบอกอัสสะแล้วกันว่าเจ้าจะเอายังไง จะเลือกใครก็บอกมา”

“โธ่ อัสสะ ไปกันใหญ่แล้ว”

สีทันดรถอนพระทัยตรัสขึ้นทันใด มิควรเล้ย มิควรเลย ที่ทรงทอดเวลาเนิ่นนาน เพียงให้เขาคลายอารมณ์ร้อนเพื่อที่จะปรับความเข้าใจ รู้อย่างนี้ไปคุยกับเขาเสียตั้งแต่ทีแรกก็สิ้นเรื่อง จะได้หายบ้าหายบอ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือตั้งใจจะโอบกอดอัสดงที่ตากำลังแดงเอ่อล้นด้วยน้ำใสๆไว้ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว อัสดงดันสลายกลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งขึ้นฟ้ามืดไปในก่อนจะได้กอด เจ้านาคน้อยไม่รอช้าตั้งท่าจะเหิรตาม ทว่าก็ต้องหยุดเสีย เพราะพระสุรเสียงใสที่ยามนี้แฝงความเฉียบขาด แห่งมหาลักษมีเทวี ขัดขึ้นดังก้องให้ได้ยินเพียงองค์เดียว สุรเสียงในท่วงทำนองนี้ นานๆจะมีมาสักที และเมื่อมีมาก็แสดงว่าทรงเอาจริง

“สีทันดรกลับไปเข้าฌานบัดเดี๋ยวนี้”

“ทำไมล่ะพะยะค่ะ พระแม่เจ้า อัสสะกำลังงอนและเข้าใจหม่อมฉันผิด หม่อมฉันจะรีบตามไปอธิบาย” สีทันดรทูลตอบ อย่างกับกำลังทูลขอพระมารดาให้ประทานอนุญาตอย่างไรอย่างนั้น

 “ถ้าอัสดงเขาจะงอนและเข้าใจผิดโดยไม่มีเหตุผลอย่างนี้ เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับชายอื่นหมื่นแสนล้านอันมีอยู่ดาษดื่นทั้งสามโลก เจ้าหาควรสนใจไปไย  เจ้าควรสนใจหน้าที่ของเจ้าดีกว่า หน้าที่แห่งอณูของเรา เรามิได้แบ่งอณูมาเพื่อให้แค่เล่นซนและมีคู่หรอกนะ เจ้าต้องเตรียมตัวได้แล้ว ลืมไปแล้วฤาไร ใกล้จะถึงวันแล้วหนา สีทันดร”

มหาเทวีทรงอดเอ็นดูอณูขององค์เองมิได้สักครา จึงผ่อนปรนพระสุรเสียงลง ประหนึ่งพระมารดาเฉกเคย สีทันดรฟังแล้วก็เบาพระทัย ทรงนิ่งคิดเพียงครู่ แล้วก็ทรงนึกขึ้นได้ แต่ก็ยังมิวายอ้อนพระแม่ต้นกำเนิดอยู่ดี “จริงด้วยพะยะค่ะ ทำไมมาถึงเร็วจัง เหมือนเพิ่งจัดที่บาดาลไปไม่นานนี้เอง แต่ตอนนี้หม่อมฉันอยากไปหาอัสสะ ขอไปคุยกับเขาก่อนได้ไหมพะยะค่ะ”

“ไม่ได้ เราตามใจเจ้ามามาก คราวนี้เจ้าต้องตามใจเราบ้าง วันนี้เราช่วยเจ้าทำงานได้สำเร็จ พิธีในปีนี้ก็เจ้าก็ต้องช่วยเราทำให้สำเร็จเช่นกัน ห้ามโกง ห้ามบิดพลิ้ว ห้ามมีเล่ห์เหลี่ยมกลลวง หรือแกล้งป่วยสารพัดอาการเหมือนปีก่อนๆเด็ดขาด ” มหาลักษมีเทวีทรงดักทางสีทันดรเสียสิ้น อาจจะเพราะทรงเข็ดหรือไม่ก็ทรงระอากับเจ้าอณูตัวแสบ ที่หาสารพันข้ออ้างเลี่ยงงานมาทุกปี โดนดักมาอย่างนี้ ทรงรู้ทางไปหมดอย่างนี้ สีทันดรจึงทำพระพักตร์แทบไม่ถูก

“พิธีในปีนี้จะเป็นครั้งสำคัญนะสีทันดร เพราะเหล่าเทวะจะจัดบนภพมนุษย์”

“ห๊า บนภพมนุษย์”

“ใช่บนภพมนุษย์ กลางฐานทัพที่ใหม่ของอณูน้อย”

“ทำไมต้องที่นั่นล่ะพะยะค่ะ ทำไมไม่จัดที่บาดาลเหมือนเดิม อีกอย่างมนุษย์ก็จัดกันเองอยู่แล้วทุกปี”

“แล้วตอนนี้เจ้าอยู่ในภพมนุษย์หรือบาดาลล่ะสีทันดร อีกอย่างมันก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับงานที่เจ้าทำวันนี้แหละ มนุษย์ก็จัดของมนุษย์ไป เทวะก็จัดของเทวะ....เจ้ากลับไปเข้าฌานได้แล้ว รัศมีของเราเริ่มจับตัวเจ้ามากขึ้นทุกที และนับแต่นี้ไปเจ้าต้องเข้าฌานปรับพลังทุกคืนจนกว่าเสร็จพิธี”

“พะยะค่ะ พระแม่เจ้า”

แม้จะยังไม่เข้าพระทัยเท่าไหร่ว่าทำไมเทวะต้องจัดที่ภพมนุษย์ ทว่าเจ้านาคน้อยก็ยอมรับพระเสาวนีย์ในที่สุด พระพักตร์เริ่มมุ่ย แต่ความสว่างเรืองรองของรัศมีมิได้ลดถอยลงเลยสักนิดเดียว ดูเหมือนจะสว่างขึ้นเสียด้วยซ้ำ สีเขียวเจือทองที่มีสีชมพูแซมอยู่ตรงขอบ เมื่อกี้สีชมพูยังแค่เล็กๆ แต่ตอนนี้เริ่มกินเนื้อที่เข้ามาอีกคืบข่มสีเขียวไปอีกหน่อย สีทันดรก็เพิ่งสังเกตเห็น ถ้าพระแม่เจ้ามิบอกก็คงมิได้เฉลียวมามองหรอก แล้วจึงถอนพระทัยมาอีกรอบ ซึ่งไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวัน

และในขณะที่จำใจเดินไปยังกุฏิของอัสดงนั้น ทยุติธรที่ยืนมองเหตุการณ์น้องชายที่รักทั้งสองคุยกันอยู่ตั้งแต่ต้น ก็เหิรลอยมาดักหน้าไว้ หะแรกก็ตั้งใจจะเอ็ดพระอนุชาว่าทำไมไม่ตามอัสดงไป แต่พอเห็นรัศมีรอบพระวรกายน้อง ก็ลืมเรื่องขัดใจในวันนี้กับน้องสิ้น เปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนพระทัยมายิ้มกว้างภายในเสี้ยววินาที

“เมื่อกี้ที่ไม่ตามไป เจ้าคงคุยกับมหาลักษมีเทวีอยู่ล่ะสิ”

“พะยะค่ะ”

“ครบปีอีกแล้วเหรอนี่ มาขอพี่หอมที เดี๋ยวอีกหน่อยพี่ก็จะกอดเจ้าไม่ได้ หอมเจ้าไม่ได้แล้ว ทำให้ดีที่สุดนะน้องน้อยจอมซนของพี่” ทยุติธรทรงดึงน้องเข้ามากอด แถมยังประทานจูบไปที่พระนลาฏแลข้างพระปราง พระสุรเสียงผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ

“โธ่พี่ชาย หม่อมฉันเบื่อ ไม่อยากทำเลย”

“ไม่ได้” ทยุติธรทรงปฏิเสธทันควันเหมือนมหาเทวีไม่มีผิด สุรเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ยังมิคลายกอดที่มีให้พระอนุชา “ มีใครทำแทนเจ้าได้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งบนสวรรค์เขารู้กันไปทั่วแล้วว่าเจ้าเป็นอณูพระแม่เจ้า มิใช่เกิดแต่จากพรอย่างเดียว ”

“พระแม่เจ้าไม่น่าตรัสกลางเทวสภาเลย ให้เข้าใจว่าเกิดจากแค่พรก็ดีแล้ว ขนาดปีก่อนๆยังไม่รู้ว่าเป็นอณู ยังวุ่นวายกับหม่อมฉันเสียแทบแย่ ปีนี้รู้แล้วว่าเป็นอณู ไม่รู้จะยังไง” เจ้านาคน้อยบ่นกับพี่ชายกระปอดกระแปด 

“ว่าแต่ตอนนี้หม่อมฉันอยากตามอัสสะเหลือเกิน  แต่พระแม่เจ้าให้หม่อมฉันเริ่มเข้าฌานปรับพลัง”

“พระแม่เจ้าทรงตรัสถูกต้องแล้ว เจ้าต้องเข้าฌาน เรื่องอัสดงพักไว้ก่อน เดี๋ยวพี่กลับขึ้นมาจากบาดาลพี่ช่วยคุยให้ พี่จะรีบไปแจ้งข่าวสมเด็จแม่กับสมเด็จทวดก่อน พี่จะไปแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวพี่จะพามุจลินทร์ขึ้นมาช่วยเจ้าด้วยอีกแรง ไปเข้าฌานได้แล้ว เจ้าตัววุ่นวายแห่งบาดาล”
   
“พะยะค่ะ”   

พอพระอนุชารับคำ ทยุติธรก็ประทานจูบไปที่กลางเศียรน้องอีกฟอด แล้วเดินไปส่งน้องถึงหน้ากุฏิที่พักเก่าของอัสดง พอส่งน้องเสร็จ ทยุติธรก็อำลาอณูน้อยพากองราชองครักษ์ส่วนตัวและของน้องกลับบาดาล ทิ้งคันฉัตร น้ำเชี่ยว นลกุพร และตระการตา ให้ยืนกังขากันว่า ทำไมสีทันดรถึงไม่เหิรลอยตามอัสดงไป แล้วไยต้องกลับเข้ากุฏิทั้งๆที่เรื่องยังค้างๆคาๆเช่นนี้กัน
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 07-06-2020 22:00:58
เช้าวันรุ่งขึ้น เช้านี้ที่วัดป่า บรรยากาศผิดกับเมื่อวานลิบลับ ท้องฟ้าแจ่มใสสว่างวับสวยงาม มิหลงเหลือร่องรอยเมฆครึ้มอึมครึมแต่อย่างใด กลิ่นควัน ไฟสงครามห่างหาย กลายเป็นกลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอมกำจายไปทั่วทั้งวัด ทุกผู้ ทุกตน ได้แต่ชะเง้อชะแง้แลหาว่าต้นตอของกลิ่นมาจากที่ใด

“กลิ่นอะไรหอมจัง หอมมาก” คันฉัตรที่กำลังจะเตรียมออกแกะรอยมารพูดขึ้น ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนและผองเทวทหารที่ยังเหลือบางส่วนรอร่วมงานปลงสังขารของหลวงตากับร่างของคงคาและวายุ

“นั่นสิ หอมมาก หอมเหมือนกลิ่นดอกบัว” น้ำเชี่ยวกล่าวเสริม นลกุพรฟังแล้วก็สะดุดพระทัย ใช้พระนาสิกจับกลิ่นให้ชัดขึ้น

“ไม่ใช่ดอกบัวอย่างเดียวนะน้ำเชี่ยว เราว่ามีกลิ่นสดชื่นของห้วงทะเลปนอยู่ด้วย ...เอ๊ะ หรือว่า”

นลกุพรตรัสยังไม่ทันจบ ประตูกุฏิห้องพักของอัสดงก็เปิดออกมา และนั่นก็ทำให้ถ้วนทุกคนรู้กันแล้วว่า กลิ่นหอมพิศุทธิ์นี้นั้นมีที่มาจากใคร

เจ้าของกลิ่นเช้านี้ พระพักตร์อิ่มเอิบสว่างใสนัก จากเดิมที่ทำให้ตะลึงยามได้เห็นกันอยู่แล้ว ยิ่งทำให้มองได้มิวางตาขึ้นไปอีก  สีทันดรทรงงามขึ้นไปอีกขั้น หอมขึ้นไปอีกระดับเพียงชั่วข้ามคืน ฤานี่จะเป็นเพราะอานิสงค์แห่งปรีติที่จับองค์ตอนพระอรหันต์บังเกิด แต่ก็คงไม่น่าจะใช่ เพราะรัศมีแห่งปรีติจะสีขาว หาใช่สีชมพูกุหลาบอย่างที่กำลังข่มรัศมีเทวนาคาขณะนี้ไม่

เพียงสีทันดรเดินมากลางลาน ทุกผู้ทุกคน ก็ทิ้งทุกอย่างมาห้อมล้อมทันที เฉกเดียวกับวายุภัคที่ร่อนลงมาจากยอดไม้สูง แหวกวงล้อมเข้ามาจนชิดกว่าใครทั้งมวล

“เจ้าไปทำอะไรมา ทำไมเจ้างามขึ้น หอมขึ้นเช่นนี้ สีทันดรของ...”   

“ของอัสดงพะยะค่ะ พี่ชายวายุภัค” นลกุพรทรงได้พระสติก่อนใคร และก็ทรงเตือนพระสติวายุภัคที่ยังมิทรงหายตะลึงตะลาน ก่อนจะหันไปหาเจ้าของกลิ่น เพ่งพินิจพิเคราะห์พระพักตร์สหายรัก สูดกลิ่นพระวรกายหอมจนชุ่มปอด แล้วก็แทบกระโดดจนตัวลอย กอดสีทันดรแน่น นลกุพรเป็นอีกพระองค์แล้วที่รู้เรื่องรู้ราวในพระลักษณะสหายที่เปลี่ยนไป

“เจ้านี่มันไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนเลยนะสีทันดร ...ภาษามนุษย์สมัยใหม่ เรียกว่า ‘งานเข้า’ ตลอด ปีนี้ทำให้ดีที่สุดนะ สหายรักจอมดื้อของนล”

“นลนี่ล่ะก็ เหมือนทูลหม่อมพี่ชายเราไม่มีผิด แทนที่จะถามเราว่าเหนื่อยไหม เบื่อไหม ไม่ถามสักคำ  บอกแต่ให้เราทำให้ดีที่สุด ว่าแต่กำลังอยากคุยด้วยอยู่พอดีเลย ไปคุยกับเราทางนู้นหน่อยนะ”

“ได้สิ แต่ถ้าปีนี้เจ้าจะให้เราหาอุบายช่วยเลี่ยงอีกละก็ เราไม่ช่วยหรอก” นลกุพรทรงรีบดักทาง

“โอ้ยยย ไม่ใช่หรอกนล ปีนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว มหาลักษมีทรงรู้ทาง ดักไว้หมด เราจะคุยเรื่องอื่น”

สีทันดรตรัสจบก็ฉุดข้อพระกรสหายรัก ฝ่าวงล้อมไปนั่งคุยกันสองต่อสองข้างกำแพงวัดทันใด ไม่สนใจสายตาหลายๆคู่ที่ยังตกตะลึงในความงามของตนอยู่มิหาย ซึ่งก็มิเว้นแม้แต่คันฉัตร ที่เกือบเผลอจะเดินตาม จนตระการตาต้องกระแอมเรียกสติในลำคอ

“ฮะเ แฮ่ม”

“เอ่อ... ฉัตรลืมตัวไปหน่อย”

คันฉัตรยอมรับตรงๆ หน้าแดง เขินอายปิดไม่มิด เขาเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่เคยตะลึงยามเห็นสีทันดรครั้งแรก คราวปราบนางผีเสื้อสมุทร แต่คราวนั้นเขาก็หักใจเสีย เพราะอัสดงกับทรงกลด ส่งสายตาพิฆาตเตือนมาว่าอย่ายุ่ง นั่นแหละจึงยอมปล่อย แล้วไปจีบตระการตาแทน คราวนั้นก็ว่างามเหยียบสามโลกแล้ว มาวันนี้สามโลกก็คงไม่พอให้แฟนเพื่อนเหยียบกระมัง

“ฉัตรขอโทษนะ ที่เผลอมองน้องดื้อ”

“ไม่เป็นไรหรอก ตาแซวเล่นน่ะ ..งั้นวันก่อนที่ตาแอบบมองวายุภัค เราหายกันนะ”

คันฉัตรฟังแล้วก็หัวเราะลั่น ขยี้หัวตระการตาอย่างเอ็นดู “ หายก็หาย...งั้นฉัตรรีบไปแกะรอยพวกมารก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมาให้ทันปลงสังขารหลวงตากับเผาคงคาและวายุในวันพรุ่งนี้ ถ้าอัสดงกลับมาฝากบอกด้วยนะ”

“ได้สิ ฉัตรไปเถอะ ไม่ต้องห่วง ตาอยู่ได้”

“ครับที่รัก”

ถ้าไม่อยู่ในวัด คันฉัตรก็คงจูบอำลาที่รักของเขาไปแล้ว ที่รักที่เป็นถึงโอษฐ์แห่งมหาอุมาเทวีคนนี้ ไม่เคยงี่เง่า หรือเรื่องมาก กระเง้ากระงอดเอาแต่ใจ หรือไม่มีเหตุผล จนทำให้รำคาญใจเลยสักครั้ง ตนบอกให้ทำอะไรก็ทำ ไม่บ่นไม่พูดมากสักนิดเลย

ฉะนี้จึงทำได้แค่กอดแน่นๆอำลา ฝากความอบอุ่นทิ้งไว้ให้ แล้วโผนทะยานกลายเป็นรัศมีสีม่วงเจือทองขึ้นฟ้ากว้าง พุ่งปราดไปยังแนวป่าแนวเดียวกับที่มารแตกพ่ายไป ที่จริงแนวป่าที่ทัพมารหนีเข้าไป มันเป็นแนวกว้าง เลือกเจาะตามตรงไหนก็ได้ แต่เจ้าอณูน้อยแห่งศนิเทพมีร่องรอยที่จะตามในใจอยู่แล้ว เมื่อเป็นฉะนี้ จึงไม่ลังเลหายวับไปตรงจุดเดียวกันกับเจ้าของรอยที่โดนหอกปักอกนั่นเอง

ทางด้านสีทันดรเมื่อแยกมาคุยกับนลกุพรลำพังได้ ก็เริ่มลำดับความตามที่อยากคุย อยากถาม พอเสร็จสิ้น นลกุพรก็ตะโกนเสียงลั่น จนสีทันดรเอามืออุดปากไว้แทบไม่ทัน

“ฉิบหาย!! เจ้าไปพูดว่าแซ่บได้ยังไง”

“เบาๆสินล  ก็เราบอกแล้วไง ว่าเราจำมาจากตระการตาที่บอกวายุภัคว่าพี่ฉัตรแซ่บ แถมพี่ฉายก็แปลมาให้อีกว่า แซ่บแปลว่าดี แซ่บมากแปลว่าดีเยี่ยม แต่พอเราเอาไปพูดกับอัสดง บอกว่าวายุภัคแซ่บ เขาก็โกรธเราเป็นฟืนเป็นไฟ”

“โธ่เอ๊ยยยย สีทันดรนะสีทันดร เชื่อใครไม่เชื่อ ไปเชื่ออณูแห่งพระศุกร์อย่างคืนฉาย จนเข้าใจผิดเป็นเรื่องเป็นราว เอาเถอะ เราจะบอกให้ก็ได้ว่าแซ่บน่ะ ภาษามนุษย์สมัยใหม่ เขาใช้ในความหมายไหนกันบ้าง” นลกุพรส่ายพระพักตร์ เลือกไม่ถูกระหว่างจะเห็นใจอัสดงหรือสีทันดรดี แล้วด้วยความที่ลงมาภพมนุษย์บ่อยและเชี่ยวชาญภาษาสมัยใหม่เกินกว่าใคร จึงอธิบายมาให้ และพออธิบายขยายความจบเท่านั้น สีทันดรก็ตบพระอุระตรัสมาลั่น

“ถึงว่าสิ อัสสะถึงโกรธเรา เกลียดภาษาสมัยใหม่พวกนี้เสียจริงเชียว”

“แล้วใครใช้ให้เจ้าไปเลือกจำมาล่ะ เจ้าอย่ามามัวพูดกับเราอยู่เลย ไปอธิบายอัสดงเขาดีกว่า” นลกุพรเขกพระเศียรเพื่อนมาหนึ่งทีในความไม่รู้ประสีประสาช่างจำไม่เลือก แล้วกล่าวมาต่ออีกว่า “ นี่ก็ไม่รู้ว่าอัสดงมันไปไหน หายไปตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับมาเลย”

“นั่นสิ เราจะตามตั้งแต่เมื่อคืน พระแม่เจ้าก็ไม่ให้เราตาม งั้นเราเรียกเขาทางจิตก่อนดีกว่านะ”    

“ลองโกรธลองงอนขนาดนี้ ต่อให้เรียกแทบตายเขาก็ไม่ตอบเจ้าหรอก เจ้าต้องไปหาเขาสิ มัวแต่ให้ผู้ชายเขามาง้ออยู่ฝ่ายเดียวมันใช้ได้ที่ไหน ” เทวอสุราหน้ามนตรัสแล้วก็เขกหัวเพื่อนรักไปอีกรอบ คงลืมไปละมังว่าสีทันดรก็เป็นผู้ชาย แล้วนลก็ทรงกวักพระหัตถ์ เรียกอรุณศิษย์น้องของอัสดงที่อยู่แถวๆนั้นเข้ามา ถามให้ว่า

“ศิษย์พี่เจ้าไปไหนอรุณ”

อรุณคงยังมิหายตะลึงที่เห็นสีทันดรในยามเช้านี้ละมัง จึงยืนนิ่งตกอยู่ในภวังค์หน้าพระพักตร์สีทันดร จนนลกุพรต้องตรัสเสียงดังขึ้นเรียกสติ

“เฮ้ย อรุณ ...ไอ้อัสดงศิษย์พี่เจ้าไปไหน มัวแต่มองอยู่นั่นแหละ ไอ้นาคดื้อเนี่ยเป็นแฟนศิษย์พี่เจ้านะโว้ย”

“ก็แค่มองน่าพี่นล แต่พี่อัสดงนี่ตาถึงเนอะ”  ความงามของสีทันดร คงทำให้อรุณลืมความโศกเศร้าที่เสียหลวงตาและเสียเพื่อนไปได้ชั่วขณะ จึงทำให้ยิ้มได้ พูดได้ สดใส ใกล้เคียงเหมือนอย่างที่เคยเป็น

“ขอบใจ แต่จะตอบได้หรือยังว่าไอ้ไฟบ้าศิษย์พี่เจ้าอยู่ที่ไหน ”

“กำลังจะบอกนี่ไงครับพี่พญานาคแสนสวย ..แต่ผมว่าผมพาเดินไปดีกว่า พี่อัสดงน่ะ มีที่ไปไม่กี่ที่หรอก”

ว่าแล้วอรุณก็ยักคิ้วเดินนำ ทำท่าทำทางอย่างกับเป็นหนุ่มน้อยกรุ้มกริ่ม สีทันดรกับนลกุพรอดสรวลใสในทีท่านั้นมิได้ เดินตามเจ้าศิษย์น้องที่รู้ดีว่าศิษย์พี่ตนอยู่หนใด ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ศิษย์พี่คนโตผู้นี้มีที่ไปแค่ไม่กี่ที่ แต่ก็มีที่เดียวที่ชอบไปประจำไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ เดินไปหาเถอะยังไงก็เจอ

ฟากฝั่งอัสดงที่หายไปทั้งคืนนั้น ยามนี้กำลังเปลื้องเกราะทองของแม่ทัพแล้วเสกเก็บไว้  ถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงสวมใส่ ทิ้งไว้บนโขดหินเรียบข้างตัว แล้วลงไปแช่ธารน้ำตกเย็นใส อันอยู่ไม่ไกลจากวัดป่า น้ำตกแห่งนี้เคยจับไอ้ดื้อมารังแกแล้ว ตอนมันแอบเข้ามาในฝัน ในวันที่เจอกันครั้งแรก นี่ถ้ายังดีๆกัน ไม่มีเรื่องวายุภัค ก็คงพามันมาทบทวนความฝัน แล้วจัดการประหารมันด้วยจูบจนหนำใจ โทษฐานที่อัญเชิญมหาเทวีมาโดยมิบอกมิกล่าว แต่ตอนนี้คงได้แต่เพียงหวังลมๆแล้งๆ ตะวันเริ่มสายแล้วยังไม่มีวี่แววไอ้ดื้อมาเลย
   
“ไอ้ดื้อ...ไอ้แฟนบ้า ไอ้พญานาคใจร้าย” อัสดงพึมพำไม่หยุด ปล่อยห้วงคำนึงให้ดำเนินต่อเนื่องมาจากเมื่อคืนที่มีถึงสีทันดรผู้เดียว พยายามใช้ความเย็นของน้ำนี้ช่วยดับร้อน แต่ก็ดูเสมือนว่าไฟร้อนในอกในกายนี้ มิได้ดับลงไปสักเท่าไหร่เลย

 “ ทำไมเจ้าไม่ตามมานะ เจ้าจะปล่อยให้เราเป็นบ้าเป็นบอเพราะเจ้าอย่างนี้ไม่ได้”

เจ้าลูกไฟดวงใหญ่ยังพูดคนเดียวไม่เลิก สายตาสีอำพันจับจ้องมองแต่สายน้ำใส มิทันได้สังเกตว่า ข้างๆลำธารขณะนี้มีหญิงสาวชาวป่าเชื้อกระเหรี่ยงในวัยกำดัดที่มีเพียงผ้าถุงเคียนอกเดินลงมา จ้องเขาตาเป็นมัน

“อ้าว อักสะโดง” เสียงหญิงสาวทักขึ้นทำลายภวังค์ จนอัสดงหันมามอง

“สุดใจ”

“ช่าย สุจายเอง มองเป็นนางม้ายหรือไง”

สำเนียงเสียงกระเหรี่ยงบ้านป่าจากหญิงสาวกล่าวตอบ เจ้าตัวพาผิวขาวๆเดินกระมิดกระเมี้ยนลงมาถึงกลางลำธารจนใกล้กับอัสดงที่แช่อยู่ก่อน แม่สุดใจคนนี้เป็นสาวกระเหรี่ยงธรรมดาๆนี่แหละ อาศัยอยู่หมู่บ้านเล็กๆไม่กี่หลัง พ่อเป็นพราน มาช่วยงานหลวงตาบ่อยๆ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ และก็ชอบส่งสายตามาให้อัสดงตั้งแต่เด็กๆเช่นกัน บ่อยครั้งเหลือเกินที่ชอบมาดักรออาบน้ำที่ลำธารพร้อมอัสดง ส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มจนเขารำคาญ หนีไปแช่ตรงอื่นก็ตั้งหลายครั้ง แต่สุดใจก็ตามไปถูก พอๆกับพวกนางไม้ นางฟ้าชั้นผู้น้อยและนางกินรีนักที่ชอบตามมาแช่ ส่งเสียงกระซี้กระซิก เรียกร้องความสนใจ จนต้องเดือดร้อนอรุณมาคอยกันท่าอยู่เนืองๆ

“เมื่อวานนี้ เกิดอะไรขึ้นที่วัดเหรอ สุจายได้ยินเสียงด้าง ดาง ” แม่สุดใจพูดพลางก็ยืนขึ้นอวดทรวดทรงขยับผ้าถุงเปียกน้ำแนบตัวพลาง แต่มิได้ขยับให้กระชับแน่นหรอกนะ แม่กระเหรี่ยงป่า ใจกล้าดั่งสาวเมืองนี่ดันขยับให้มันหลวมๆ จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่แทน

“อยากจะออกปายดู แต่พ่อก็ห้ามไว้”

“ออกมาดูก็ไม่เห็นอะไรหรอก” อัสดงตอบอย่างเสียมิได้ มิอยากจะบอกไปว่า ตามนุษย์นั้นน่ะหรือจะมองเห็น

“แล้วอักสะโดงหายไปไหนมา ไม่เห็นหน้าตั้งนาน รู้ไหมว่าสุจาย คิดถึง”

และแล้วแม่สุจายที่น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นแม่ ‘จายถึง’แทน ก็เดินลุยน้ำตกครึ่งตัว อวดเรือนร่างอวบอิ่มผ้าถุงแนบไปตามความโค้งความเว้า จนเห็นทุกโคกทุกเนินชัดเจน แม่นั่นขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนอัสดงเขยิบถอยห่างทันใด แล้วก็ต้องตกใจ เพราะแม่นี่มันเดินอีท่าไหนไม่ทราบ ดันเหยียบหินพลิกจนล้มคว่ำหน้าคะมำพุ่งมาหาเขา พุ่งมาก็มิพุ่งเปล่า ดันโผมากอดเขาแน่น โถมมาทั้งตัว ผ้าถุงที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ในทีแรก ตอนนี้ลอยไปกับน้ำอย่างง่ายดาย เหลือเพียงร่างกายเปล่าเปลือยขาวจั๊วะ เบียดชิดสนิทแน่นอยู่กับอกกว้างของอณูน้อยวัยสิบแปด อย่างมิทันตั้งตัว

“สุดใจ ออกไป ปล่อยเรา”

อัสดงพยายามผลักออก แต่ด้วยความที่แม่กระเหรี่ยงจายถึงมันเปลือยอยู่ มือเจ้ากรรมที่ใช้ผลัก ดันโดนตรงไหนไม่โดน ดันไปสัมผัสโดนเอาเข้าตรงกลางเต้าอันเต็มไม้เต็มมือ จนปล่อยแทบไม่ทัน นังสุจายถึงกับหลับตาพริ้มอ้าปากค้าง ทำเป็นอุทานเอียงอายร้องว้ายดูดัดจริตพอเป็นพิธี แถมมือไม้นังนี่ก็ว่องไวเกินหญิง คว้าหมับเอาเข้าที่เป้ากางเกงของอัสดง ลูบไล้เคล้าคลึงอยู่ภายนอกไปมา

“ เฮ้ยยย ทำอะไรสุดใจ”

“หย่ายจัง ในที่สุ สุจายก็ด้ายอักสะโดง”

“ได้บ้าอะไรกันเล่า”

อักสะโดงของอีนังสุจายไม่คาดคิดเลยว่า นังกระเหรี่ยงป่าจะใจกล้าหน้าด้านขนาดนี้ นี่ถ้าเขาเป็นผู้ชายคนอื่น เกิดมาต่ำกว่านี้อีกหน่อย มิได้เป็นอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ เขาก็คงถอดกางเกงแล้วเสียบนังนี่ให้หายคันจนสมใจไปแล้ว และคงจะจับมันเสียบไปตั้งแต่มันแตกเนื้อสาวแล้วด้วย อันที่จริงถ้าเขาออกแรงอีกนิดก็สลัดได้ไม่ยาก แต่นั่นหมายความว่านังสุดใจมันจะช้ำในตายด้วยแรงผลักแค่แม้จะเบาๆของเขา แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ใครมาเห็นเข้าก็จะเข้าใจผิดเป็นแน่แท้

“จะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยเรา เดี๋ยวใครมาเห็น”

อณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ตะคอกขึ้นในที่สุด แต่อนิจจาวันนี้ไม่น่าจะใช่วันแห่งพระอาทิตย์ เพราะเพียงสิ้นคำว่าเดี๋ยวใครมาเห็น มันก็กลายเป็นไม่เดี๋ยวอีกต่อไป เพราะพระเนตรฟ้าครามที่รอคอยมาทั้งคืน มาตอนไหนไม่มา ดันมาตอนนี้ มายืนนิ่งกำหมัดแน่น พร้อมรัศมีเรืองรอง มองภาพอัปรีย์บัดสีข้างหน้า โกรธจนเม้มริมโอษฐ์แน่นเป็นเส้นเดียว ใครหนอ ใครกันช่างลิขิตช่วงเวลาระยำได้พอเหมาะพอเจาะพอดิบพอดี

“อุต๊ะ พี่นล วัวนม”

“อุต๊ะ อรุณ หอยกับหมี”

เสียงนลกุพรกับอรุณ อุทานขึ้นพร้อมกัน อัสดงรีบหันมา พอเห็นว่ามาใครมาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว บีบแขนนังสุดใจจนมันร้องลั่น ยั้งแรงอย่างที่สุด แล้วเหวี่ยงมันจนร่างเปลือยทั้งร่างลอยถลาขึ้นไปบนฝั่ง กระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่จนสลบไสล แล้วรีบเหิรลอยจากน้ำขึ้นมา เข้าหาสีทันดร เตรียมอธิบาย

“ไอ้ดื้อฟังอัสสะก่อน อัสสะอธิบายเรื่องนี้ได้นะ เอ่อ คือ ว่าคือ”

“ ช่างมันเถอะอัสสะ อย่าเพิ่งอธิบายอะไรตอนนี้เลย เราว่าเจ้าคงต้องใช้เวลาหาเหตุผลนานกว่าปกติ เราว่าเราสองคน ต่างคนต่างอยู่กันสักพักดีกว่านะ เจ้าก็อยู่ที่วัดป่ารอปลงสังขารหลวงตาไปก่อนนั่นแหละ นอนคนเดียว เผื่อเจ้าจะคิดอะไรออก เราจะรออยู่ที่ฐานทัพใหม่ เจ้าเสร็จธุระทางนี้ก็ค่อยกลับไปบอกเราแล้วกันว่าเจ้าจะเอายังไง จะเลือกใครก็บอกมา”

สีทันดรทรงย้อนถ้อยคำของอัสดงที่พูดไว้เมื่อคืนมาแทบทุกกระเบียด ทรงกลั้นพระโทสะ ใช้พระสุรเสียงเรียบๆ แล้วสะบัดพระพักตร์หันหลังหนี แต่มีหรืออัสดงจะยอม

“โธ่ ไอ้ดื้อ ไปกันใหญ่แล้ว”

อณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์มิพูดเปล่า คว้าข้อพระกรไว้แน่น แต่แล้วรัศมีสีชมพูก็เจิดจ้าขึ้นมาจากพระวรกาย จนองค์เองก็ตกใจ และรัศมีนั้นก็ซัดอัสดงจนกระเด็นตกไปกลางลำธาร

“โอ๊ยยยย”

“อัสสะ” สีทันดรหันกลับมาดู เกือบจะเหิรลงไปช่วยดึงขึ้นมาแล้วทีเดียว แต่ดันนึกอะไรได้ จึงเปลี่ยนพระทัยแล้วตรัสว่า

“วายุภัคเขาเสกมนตราสิตามันครอบเราไว้ แทนมนตรามหาจักรของเจ้าน่ะ เราไปก่อนดีกว่านะ เจ้าจะได้ทำอะไรที่ยังค้างๆคาๆกับนางมนุษย์ให้เสร็จ”

คนพูด พูดจบก็พุ่งปราดเป็นรัศมีสีชมพูที่ข่มสีเขียวทองพระจำพระองค์มาเกินครึ่ง มุ่งหน้าขึ้นวัดป่าหายไปในพริบตา ทิ้งให้คนฟังที่ฟังแล้วก็หน้าชา ใจร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ข้อเท้าจนเข่าทรุดลงกับพื้นน้ำตก จนนลกุพรกับอรุณต้องช่วยกันประคองขึ้นมา

ครั้นพอขึ้นมาได้ อัสดงก็นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่สักพัก พอได้เห็นวายุภัคในร่างเทวปักษีเต็มขั้นบินทะยานขึ้นฟ้าจากตรงวัดป่า เจ้าลูกไฟก็ผลุดลุกขึ้นทันใด เพราะตรงกลางฝ่ามือของเจ้าเทวปักษีขณะนี้นั้น มีรัศมีสีชมพูสีเดิมเหมือนขามายังสมรภูมิประทับอยู่ รัศมีที่ซัดตนเมื่อครู่จนกระเด็นกระดอน

“อัสดงตามเร็วสิ เดี๋ยวก็เข้าใจผิดกันไปใหญ่ นั่นสีทันดรกำลังไปกับวายุภัคแล้ว”

“ไม่ตามแล้วนล บางทีสีทันดรอาจจะพูดถูกก็ได้ ต่างคนต่างอยู่กันสักพัก เผื่อจะคิดอะไรออก”

“เจ้ากำลังเข้าใจผิดกัน ฟังเรา คือเรื่องมันเป็น....”

“พอเถอะนล เราไม่อยากฟัง หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว  เราว่าเราขึ้นข้างบนก่อนดีกว่า หายไปทั้งคืน มีงานค้างหลายอย่างต้องทำ ..อรุณพี่ ฝากจัดการเอาสุดใจไปส่งบ้านด้วย” อัสดงตัดบท เดินคอตกกลับวัดป่าอย่างช้าๆ ทิ้งสายตาของเพื่อนและศิษย์น้อง ที่มองตามด้วยความเห็นใจไว้ด้านหลัง

ใครจะคิดว่าแม่ทัพที่ชนะศึกรบเมื่อวาน... วันนี้กลับแพ้พ่ายเสียยับเยินยามทำศึกหัวใจ
ฤาเป็นเพราะไม่เชี่ยวชาญในกลศึก ฤาเป็นเพราะไม่ชำนาญในสมรภูมินั้น

ฤาสุดท้าย ควรถอยทัพจากศึกที่ไม่ช่ำชอง เสียที!!!

***********************************

รบกวนติดตามต่อในบทที่๑๖ ส่วนที่๒ นะคะ มาดูกันว่าจะเข้าใจกันได้อย่างไร แล้วงานที่พระแม่เจ้ามหาลักษมีให้สีทันดรทำคืออะไร

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามและส่งกำลังใจผ่านคอมเม้นมาให้มากๆนะคะ ทั้งคุณanterosz คุณblanchard  คุณBaII คุณsugarcane_aoi  และก็คุณOooy อ่านเพลินเลยค่ะ อ่านแล้วดีใจหายเหนื่อย มีแรงเขียนต่อไปได้อีกเยอะ และก็ดีใจมากๆ ที่ทุกท่านชอบ ขอบพระคุณอีกครั้งจากใจค่ะ  :pig4:  :กอด1:  :mew3:

และก็ขอขอบคุณ emoji จากคุณ คุณAkuaPink คุณLadySaiKim  และคุณpsychological ด้วยนะคะ  :pig4:

ส่วนที่๑ นี้ มาสั้นหน่อยนะคะ ขอดราม่านิสเดียว นิสเดียวจริงๆ  :impress3:  ...บทที่๑๖นี้เป็นอีกหนึ่งบท ที่เขียนพล็อตแล้วชอบมาก ว่าแต่ชื่อบทที่๑๖นี่ ลิเก๊ ลิเก เนอะ อยากจะเปลี่ยน แต่คิดไม่ออก 555  :jul3: และต้องขออภัยไว้ด้วยนะคะ ที่ช่วงนี้มีคำผิดเยอะ และบางทีก็มาช้าไปบ้าง แต่รับรองว่าไม่ทิ้งกันแน่นอน รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ แล้วพบกันค่ะ  :man1:  :กอด1:   :bye2:

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 07-06-2020 22:40:25
 :angry2:   อีสุจาย!!  นี่เมิงเป   กะหรี่   หรือว่าเปกะเหรี่ยง!?     


นุ้งดื้อก็ใสซื่อซะ ดันไปจำคำตาฉายมาใช้   :try2:


อยากรู้จริง ๆ ว่าพิธีอะไรกันหนาที่คราวนี้จะจัดบนภพมนุษย์
พี่ชายใหญ่ก็บอกว่าต่อไปจะกอดน้องหอมน้องไม่ได้แล้ว        :confuse:


รอบทที่ ๑๖ ส่วนที่ ๒ นะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 08-06-2020 00:33:30
โอ๊ยยย วุ่นวายกันไปหมดแล้ว เพราะวายุภัคสุดแซ่บเลย

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 09-06-2020 06:56:09
นังสุดใจคงเจ็บมากๆ แต่ก็น่าสงสารนาง 55
รอมุจลินทร์มาตอนหน้าครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 09-06-2020 16:14:38
โอ้ย นังสุจาย ทำเสียเรื่องซะได้ แต่ยังไงก็สงสารอัสสะอยู่ดี เข้าใจผิดทั้งขึ้นทั้งร่อง เฮ้อ ...รอติดตามความสนุก เข้มข้นตอนต่อไปค่ะ อยากรู้ว่าน้องดื้อมีภารกิจสำคัญอะไรรออยู่ :pig4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 11-06-2020 15:39:25
 :L3: :ling1:งือดราม่าสะงั้นต่างคนต่างเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วสถาณการณ์พาไปจริงๆศึกนอกกำลังร้อนแรงศึกในก็มาอีกคันฉัตรเคยรักกับรณภัครยักษ์น้อยสินะพระแม่ลัศมีให้เจ้าดื้อทำอะไรนะขอบคุณนะคะสนุกจริงๆรอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 26-06-2020 18:56:53
แวะมาแจ้งข่าวว่าจะมาช้าหน่อยนะคะ ประมาณปลายเดือนหน้า ขออภัยด้วยค่ะ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านมากๆค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 26-06-2020 20:12:30
เรื่องนี้ก็จะนับวันรอเหมือนกันครับ :)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 28-06-2020 21:37:50
แวะมาแจ้งข่าวว่าจะมาช้าหน่อยนะคะ ประมาณปลายเดือนหน้า ขออภัยด้วยค่ะ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านมากๆค่ะ  :กอด1:
ตั้งตารอค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 29-06-2020 19:50:48
รอค่ะรักษาสุขภาพนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 02-07-2020 07:01:18
รอด้วยคนครับ รักษาสุขภาพนะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 06-07-2020 03:37:30
 
แว่บมารอจ้า    :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 27-07-2020 23:14:49
เข้ามารอครับ :)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 29-07-2020 18:59:44
มาช้านิดหนึ่งนะคะ ขอภัยด้วยนะคะคุณanterosz
เสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบลงเลยค่ะ แล้วเจอกันนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 08-08-2020 18:07:20
ยังรอนะคร้าบ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 12-08-2020 02:52:44
+1ครับ สนุกมากมายยยยย. มาต่ออีกนะครับ เป็นFC ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว ตั้งแต่เรียนยันทำงานแล้ว
มาต่ออีกนะครับ^^
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 18-08-2020 22:04:47
คิดถึง...
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 23-08-2020 12:17:46
ซับน้ำตารอเมื่อไหร่น้องดื้อกับอัสสะจะมา :hao5:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 04-09-2020 13:16:49
มารอทุกวันนะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 16-09-2020 09:42:40
ยังรออยู่ครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 30-09-2020 10:09:48
คิดถึงมากมายรอคอยเมอนักเขียนจ๋าสบายดีนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 18-10-2020 17:42:52
อยากให้นักเขียนอัพเดต ข่าวคราวหน่อยครับ
ผมนักอ่านยังรอเสมอครับ
คิดถึงอัสสะ กับน้องดื้อ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 18-10-2020 18:58:56
Artemis จ้าสบายดีอยู่ไหมค่ะ ใจจะขาดรอนๆเพราะคิดถึงน้องดื้อกับอัสสะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 18-10-2020 19:00:34
มารอด้วยคนครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-10-2020 09:38:17
ขออภัยท่านผู้อ่านด้วยนะคะ ที่ยังไม่ได้ลงตอนใหม่เสียที
เนื่องจากตอนนี้ คนเขียน ติดภาระจากงานประจำ หลังจากบริษัทกลับมาเปิดทำงานอีกครั้ง หมดช่วง work from home

ช่วงนี้จะค่อนข้างหาเวลาเขียนยากนิดหนึ่งนะคะ เพราะเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เลยทำให้ความรับผิดชอบมากกว่าเดิมและอยากทำให้ดีที่สุด แต่ขอสัญญาว่า ยังไงเรื่องนี้ ก็ต้องหาเวลาเขียนจนจบและนำมาลงให้ได้อ่านกันแน่นอนค่ะ เดือนหน้าเลยตั้งใจขอลาพักร้อน หาที่เงียบๆ เพื่อเขียนที่ค้างไว้ต่อทั้งอัศวินดาราและเรื่องของมอสกับเรนค่ะ

ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ยังติดตามและสนับสนุนเสมอมา รักเสมอค่ะ  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :pig4:

หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 22-10-2020 13:13:52
ยินดีกับตำแหน่งใหม่ด้วยนะครับ

รออ่านตอนใหม่อยู่ครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 23-10-2020 21:06:08
 ดีใจด้วยนะครับคุณ Artemis กับความก้าวหน้าในการงาน    :mc3:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 24-10-2020 00:20:31
ยินดีด้วยนะครับบบบ ขอให้เจริญในหน้าที่การงานนะครับบง
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 26-10-2020 12:03:59
ยินดีกับนักเขียนด้วยนะครับ
ยังไงก็จะติดตามและเป็นกำลังใจให้ครับผม
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 26-10-2020 17:31:31
ขออภัยท่านผู้อ่านด้วยนะคะ ที่ยังไม่ได้ลงตอนใหม่เสียที
เนื่องจากตอนนี้ คนเขียน ติดภาระจากงานประจำ หลังจากบริษัทกลับมาเปิดทำงานอีกครั้ง หมดช่วง work from home

ช่วงนี้จะค่อนข้างหาเวลาเขียนยากนิดหนึ่งนะคะ เพราะเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เลยทำให้ความรับผิดชอบมากกว่าเดิมและอยากทำให้ดีที่สุด แต่ขอสัญญาว่า ยังไงเรื่องนี้ ก็ต้องหาเวลาเขียนจนจบและนำมาลงให้ได้อ่านกันแน่นอนค่ะ เดือนหน้าเลยตั้งใจขอลาพักร้อน หาที่เงียบๆ เพื่อเขียนที่ค้างไว้ต่อทั้งอัศวินดาราและเรื่องของมอสกับเรนค่ะ

ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ยังติดตามและสนับสนุนเสมอมา รักเสมอค่ะ  :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:  :pig4:
ตั้งตารอทั้ง2เรื่องเช่นกัน ยินดีด้วยค่ะกับตำแหน่งใหม่ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-10-2020 15:38:34
รวดเดียวจบแบบจุกๆ ยังไงก็รีบมาค่ออีกนะครับ

เป็นกำลังใจให้น้าา ^^

#รอ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 23-11-2020 09:24:08
ยังรอเรื่องนี้ด้วย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 06-12-2020 15:08:57
เป็นกำลังใจให้นะคะและยังเฝ้ารอทุกเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: yestermemo ที่ 20-12-2020 15:45:17
 :mc4: :mc4: สู้ๆค๊าบ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 01-01-2021 09:31:01
สวัสดีปีใหม่ครับคุณ Artemis

ยังรออยู่นะครับ :)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 04-01-2021 19:09:00
เร็วๆนี้แน่นอนค่ะคุณ Anterosz อดใจรออีกนิดนะคะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-01-2021 23:32:01
มารอด้วยยยจ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๑) อัพ ๐๗ มิถุนา ๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 12-01-2021 11:06:36
เร็วๆนี้แน่นอนค่ะคุณ Anterosz อดใจรออีกนิดนะคะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ
เข้ามารอเลยค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-02-2021 13:15:40
บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่ ๒)

ฟากฝ่ายอณูแห่งจันทรเทพ ก็ได้ออกเดินทางจากจุดพักแรมแต่เช้า และได้นำคณะที่เหลือ มาถึงยังชัยภูมิใหม่ได้ทันเวลาก่อนเที่ยงตามกำหนดพอดิบพอดี ชัยภูมิแห่งใหม่นี้ ถูกต้องตามตำรับตำราพิชัยสงคราม มีปราการธรรมชาติเป็นทิวเขาและต้นไม้ใหญ่ รายล้อมไปด้วยลำธารรายรอบเป็นขอบเป็นเขต ที่สำคัญมันอยู่ในป่าลึก เลยเข้าไปในอาณาเขตประเทศเพื่อนบ้านที่มนุษย์น้อยคนจะย่างกรายเข้ามา

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์ขนานามมาว่า ป่าอาถรรพ์ แต่แท้จริงแล้วมันมิได้อาถรรพ์เลยสักนิด ควรกล่าวว่าศักดิ์สิทธิ์น่าจะถูกต้องกว่า เพราะเทวะแลพระภิกษุที่ภูมิธรรมชั้นสูงมักจะมาบำเพ็ญเพียรภวานาจนบรรลุ ทำให้เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวา อีกทั้งนางไม้ทั้งหลาย จึงเข้มงวดและทุ่มสรรพกำลังที่มี ปกป้องผืนป่าแห่งนี้มิให้ใครมารบกวน  แต่เพลานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรและผู้ปกป้องทั้งหมดย่อมรู้ดีว่า คณะของทรงกลดต้องการอะไร จึงย้ายไปที่แห่งใหม่ และพร้อมใจยกให้เป็นชัยภูมิฐานทัพ อีกทั้งยังมารอต้อนรับเป็นทิวแถว

“นมัสการขอรับพระคุณเจ้า” ท่านเจ้าป่าในร่างหนุ่มฉกรรณ์นุ่งขาวห่มขาวก้าวขาลงจากหลังพญาเสือโคร่ง กล่าวนมัสการมหาฤาษี และนำเหล่าบริวารก้มกราบลงกับพื้น

“เป็นอย่างไร ไอ้เจ้าป่า พวกเอ็งสบายกันดีฤา” มหาฤาษียิ้มแย้มกล่าวตอบ

“สบายดีขอรับท่านมหาฤาษี”

“เออก็ดี แต่อย่าติดสบายกันนักล่ะ กิเลสจะจับ”

 “ขอรับ...แล้วนี่จะให้พวกเราช่วยอะไรได้บ้าง จะให้ช่วยสร้างฐานทัพไหมขอรับ”

“ขอบใจ แต่พวกเอ็งไม่ต้องทำอะไรหรอก ข้าเรียกไอ้พระวิสุกรรมลูกศิษย์ข้ามาจัดการให้แล้ว ไอ้นี่มันเก่ง มันได้ข้าสอนข้าสั่ง สร้างอะไรก็สวยงาม มันจัดการแป๊บเดียวก็เรียบร้อย พวกเอ็งมีอะไรทำก็ไปทำกันเถอะ”

นี่ถ้าสีทันดรประทับอยู่ด้วยคงตีลูกขัดเข้าให้ที่หลงตาที่เคารพสามารถวกยกชายผ้าคากรองมาชมตนเองได้ซื่อๆ มหาฤาษีก็มิพูดเปล่า ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ประกอบการปราศัยพาที

“ขอรับหลวงตา” เจ้าป่ารับคำลุกขึ้น แล้วหันไปคุยกับเหล่าอณูน้อย “แล้วท่านอณูน้อยล่ะ มีอะไรให้พวกข้าช่วยไหม”

“ยังไม่มีหรอกครับท่านเจ้าป่า” ทรงกลดตอบแทนเพื่อนทุกคน

“งั้นถ้ามีก็แจ้งพวกข้าได้ตลอด เอ...หรือพวกท่าน จะให้นางไม้เหล่านี้มาคอยรับใช้ดีไหม” สิ้นเสียงเจ้าป่า เสียงใสของกลุ่มดรุณีงามงดด้านหลังในภัสตราภรณ์พิลาศเกินนางไม้จากป่าอื่นๆก็สรวลใสเป็นที่ชอบใจ แต่ที่ไม่ค่อยชอบใจคืออณูแห่งพระพุธ เพราะคืนฉายกำลังยืนอมยิ้มให้บรรดานางไม้เหล่านั้น

“ไม่ต้องหรอก ขอบใจท่านมาก ท่านไปเถอะ” เอราวัตตัดบท ก่อนจะทุบเข้ากลางหลังคืนฉายเสียงดังพลั่ก สำลักยิ้มที่อมไว้ไม่ทันตั้งตัว

“โอ๊ยยยย...มาทุบฉายทำไม”

“อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย รู้นะเมื่อกี้ทำอะไร”

เอราวัตทำเสียงเข้ม เริ่มอ้าปากจะร่ายยาวต่อหน้าทุกคนในคณะและบรรดาเจ้าของพื้นที่เดิม แต่แล้วก็ต้องยุติเสีย เพราะตรงเส้นขอบฟ้า ปรากฏรัศมีวาบดุจดาวฤกษ์ส่องแสงมาแต่ไกล ถึงแม้จะเป็นกลางวันก็เห็นได้ชัด ทว่ารัศมีนั้นก็หาได้เรืองรองงามจับตาเท่ากับรัศมีสีชมพู ที่ดูเหมือนจะอยู่ใจกลาง และทุกคนก็รู้ว่าเป็นของพระองค์ใด

“อ้าวนั่น วายุภัค นำเสด็จมหาลักษมีเทวีกลับมาแล้ว”

สิ้นเสียงของธรรม์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล รัศมีทั้งสองนั้น ก็พุ่งปราดด้วยความเร็วสูงมายังใจกลางกลุ่ม อณูน้อยทุกคนคำนับน้อมนบ เจ้าป่าเจ้าเขา รุกขเทวาและนางไม้ ทรุดกายหมอบราบกนาบกรานถวายความเคารพสูงสุด คงมีแต่มหาฤาษีเท่านั้นที่ยังยืนยิ้มแฉ่งกว่าเดิมเพียงรูปเดียว

“ถวายพระพร พระแม่เจ้ามหาลักษมีเทวี” ทุกเสียงกล่าวพร้อมเพรียง ครั้นพอรัศมีสลาย ทันทีที่เงยหน้ามาเห็นข้อพระบาทกระพรวนนาคราชเรื่อยขึ้นไปถึงพระพักตร์เอี่ยมลออก็ต้องตะลึงงัน

ที่ตะลึง คงมิใช่เพราะถวายพระพรเก้อ หากแต่เป็นเพราะมหาเทวีแห่งศรีไฉนอยู่ในฉลองพระองค์ของสีทันดร
เอ....ฤานี่หาใช่พระแม่เจ้า ทว่าเป็นเจ้านาคน้อยจอมดื้อของพี่ๆอณูทุกคน

อย่างที่รู้ สีทันดรเรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบมาจากพระแม่เจ้า ยามนี้หาได้ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับแม้สักกระเบียด พระพักตร์ที่งามอยู่แล้ว ก็งามยิ่งขึ้นทบเท่าทวีคูณ กลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอมสดชื่นกำจาย ยิ่งกอปรกับรัศมีสีชมพูกลีบบัวอ่อนหวานเจือทองระยิบระยับแล้ว ทั้งสามโลกมีเพียงพระองค์เดียวย่อมมิผิดองค์ สีชมพูของเทพองค์ใดก็มิเทียบเท่า ...แล้วไฉนสีทันดรถึงได้ครอบครองรัศมีแห่งมหาเทวียามนี้ได้ เป็นไปได้ไหมที่พระแม่เจ้ายังประทับอยู่

“นะ น้องดื้อ ทำไมเจ้า...”

แต่ก่อนที่คำถามจะออกมาครบถ้วนจากพี่ๆอณู มหาฤาษีที่มองปราดเดียวก็ทิ้งว่าใครคือคู่ปรับ ทั้งขัดและแทรกขึ้นมาทันที “ ขอถวายพระพรพระแม่เจ้า ข้าฯนึกว่าจะเสด็จกลับมาพร้อมอัสดง”

“พระแม่เจ้าอะไรกันหลงตา หลานเอง” สุรเสียงใสแย้งขึ้น ขัดกับพระลักษณะที่ทรงขรึมลงอันหลายคนสังเกตได้

“แหมมม อีกไม่กี่เพลาก็เป็นพระแม่เจ้าแล้ว” มหาฤาษีลอบค้อนตามอุปนิสัย คำตอบและท่าทีน้อมนบของหลวงตาที่เปลี่ยนไปยังทำให้ทุกคนงุนงง ยิ่งประโยคต่อไปยิ่งงงกันใหญ่ “ ปีนี้คงจัดที่นี่สินะ”

“ใช่จ้ะหลงตา จัดที่นี่ มีพระเสาวณีย์มาเช่นนั้น”

“ดีๆ ดีเลย เป็นวาสนาแก่เทวะชั้นผู้น้อยแล้ว” หลวงตามหาฤาษีที่คงรู้อะไรต่อมิอะไรอยู่แล้ว แทบจะทิ้งไม้เท้าปรบมือลั่น แล้วหันไปบอกกับคณะของเจ้าป่าและทุกคนเสียดังลั่นว่า

“พวกเอ็งเตรียมตัวกันให้ดี อีกสามราตรีนับจากวันนี้ เทวะจะจัดมหาพิธีทีปวลีขึ้นที่นี่ ที่ฐานทัพใหม่แห่งนี้ เอ็งจงเตรียมตัวกันให้พร้อม วาสนาของพวกเอ็งมาถึงแล้ว”

สิ้นเสียงมหาฤาษี เสียงปรบมือไชโย ก็กระหึ่มอลอึงมาจากคณะท่านเจ้าป่า เพราะพอรู้กันดีว่า ‘ทีปวลี’ คืออะไร ถ้าเป็นอย่างที่มหาฤาษีบอก ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เหล่าเทวะจะจัดมหาพิธีนี้ขึ้นในภพมนุษย์ หาใช่มนุษย์จัดถวายตามเทวาลัยหรือบ้านเรือนอันเป็นปกติ และก็ปกติของเทวะนี่แหละที่มักจะจัดถวายยังบาดาลหรือบางทีก็ที่มหานทีสีทันดรซึ่งก็มีแต่เทวะบนสวรรค์ชาวบาดาลที่ได้เข้าร่วม ชั้นที่อยู่บนโลกมนุษย์มิสามารถเข้าถึง ฉะนี้แล้วไยจะไม่ยินดี

“แล้วพิธีทีปวลีมันคืออะไรกันล่ะครับหลวงตา พวกผมอยากรู้” ราหูถามขึ้นตามที่ตนเองและพรรคพวกกำลังสงสัย ซึ่งก็ไม่น่าแปลก เพราะการแบ่งภาคมาเกิด ตัวรู้มันย่อมเลือนหายเป็นธรรมดา

“ก็พิธีบูชามหาลักษมีเทวีน่ะสิวะไอ้ราหู ไอ้เวรนี่ถามแปลก นี่พวกเอ็งคงจะลืมกันแล้วล่ะสิ”

หลวงตาตอบมาแค่นี้ วายุภัคที่ประทับยืนด้านหลังก็ตบหัตถ์แย้มสรวลยิ้มกว้างรู้ได้โดยพลัน แลคงมีอีกคนที่รู้ว่าพิธีนี้คืออะไรก็คือทรงกลดเพราะไปฝึกวิชากับพราหมณ์ที่อินเดียตั้งแต่เด็ก ความงุนงงยังคงจับอยู่ที่อณูทั้งสี่ที่ยังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้ จนทรงกลดต้องช่วยบอกให้จนเสียงร้องอ๋อดังขึ้น แล้วทั้งหมดก็รู้แล้วว่า ทีปวลีคืออะไร แต่ที่ยังไม่รู้ คือมันเกี่ยวข้องตรงไหนกับสีทันดร ทำไมมหาฤาษี ถึงเรียกน้องดื้อเป็นพระแม่เจ้า ข้อหลังๆนี่ ทรงกลดเองก็คงไม่รู้ ก็คงจะเว้นแต่เทวปักษีอย่างวายุภัคอีกแหละที่รู้ ทว่าหาได้เคยเข้าร่วมพิธีไม่

“ข่าวลือมันเป็นจริงสินะ ถึงว่าสิ สีทันดรถึงงามขึ้นเพียงข้ามคืน... เราลืมเรื่องนี้ไปได้ไงกัน อยากย้อนเวลากลับไปนัก ถ้ารู้ว่าเจ้าจะงามขนาดนี้ พี่จะไปร่วมพิธีตั้งแต่แรก” วายุภัคตรัสกับองค์เองเบาๆ ลืมพระองค์ตามที่พระทัยนึก “รู้ไหมว่าเมื่อกี้พี่เกือบพาเจ้าไปฉิมพลี”

คงเพราะลืมพระองค์นี่แหละมัง พระหัตถ์หนาจึงหมายคว้าข้อพระกรเรียวเสลาด้านหน้าไว้ แต่ก็ยังมิได้ทันจะคว้า แค่เอื้อมมา รัศมีสีชมพูอ่อนหวานกลับแรงกล้าสว่างวาบ ซัดวายุภัคเสียงดังเปรี้ยงประหนึ่งอสุนีบาตฟาดวรองค์เทวปักษีจนกระเด็นกระดอนออกไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้างดังสนั่นลั่นป่า ท่ามกลางอาการตกตะลึงของทุกคน

วายุภัคถูกฟาดจนกระเด็นเหมือนกับอัสดงที่ธารน้ำตกไม่มีผิดเพี้ยน

“โอ๊ยยยยยย”

“วายุภัค!!!” สีทันดรตกพระทัย หันมาดู แล้วเหิรลอยมาพร้อมๆกับบรรดาอณูน้อยหมายจะเข้ามาช่วยพยุง  “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“มะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องพยุงพี่ พี่ลุกขึ้นเองได้” วายุภัคมิได้โกรธ แต่หมายความตามนั้นจริงๆ “นี่พี่คงจะแตะต้องตัวเจ้าอีกไม่ได้แล้วสินะ”

“ใช่...จนกว่าจะหมดพิธี” หลวงตาเหิรตามมาสมทบแล้วตอบแทน วายุภัคก็ทรงถาม

“แล้วทำไมเมื่อกี้ หลานถึงพาสีทันดรกลับมาได้”

“ก็มีพระประสงค์จะใช้งานนี่โว้ย”

“วาสนาหลานมีแค่นิดเดียวจริงๆ ฤานี่” เจ้าเทวปักษีตรัสจบก็บ้วนพระโลหิตที่กระอักออกมาจากแรงกระแทกทิ้ง ก่อนจะพยุงกายขึ้นมา บ่นพึมพำคงพระลักษณะหนุ่มน้อยเกเรยามหงุดหงิดอีกครา

“หมดจากมนตรามหาจักร ก็มาเจอมหารัศมีแห่งมหาเทวีเจ้าอีก ฮึ่ย”

นี่ถ้าอัสดงมาได้ยินที่วายุภัคตรัส ก็คงรู้แล้วว่า....อะไรเป็นอะไร
วายุภัคมิทรงรู้เรื่องและมิได้ทรงใช้มนตราสิตามันเสกครอบสีทันดรไว้แต่อย่างใดเลยน่ะสิ

อัสดงเข้าใจผิด ....เพราะสีทันดรตั้งพระทัยให้เป็นเช่นนั้นแท้ๆ

“แล้วมันใช่คู่ของเอ็งไหมล่ะ คิดดีๆนาไอ้วายุภัค เอ็งอย่ารั้นไม่เข้าเรื่อง” หลวงตาเอ็ดศิษย์เข้าให้ แล้วหันไปสั่งความสีทันดร ตามด้วยดักคอกับทุกคนที่ยังคงงุนงงไม่หายว่า

“พระแม่เจ้า เสด็จไปประทับใต้ร่มไม้ด้านโน้นก่อนเถอะ เดี๋ยวพระวิสุกรรมมา ข้าฯจะให้เนรมิตที่ประทับให้ พระแม่เจ้าจะได้เข้าฌานปรับพลัง ส่วนพวกเอ็งก็อย่าเพิ่งไปกวนพระแม่เจ้าล่ะ ข้ารู้หรอกว่าตัวสงสัยมันจับเต็มพวกเอ็งไปหมด”

“งั้นหลวงตาก็เล่าให้ฟังซะทีสิจ๊ะ มัวแต่เก็บไว้รูปเดียวแบบนี้ สองหนแล้วนา” คืนฉายคงทนไม่ไหว จึงพูดขึ้น

“ก็มันไม่ใช่เรื่องของข้านี่ มันเรื่องส่วนพระองค์ รอท่านสะดวกท่านก็เล่าให้ฟังเองแหละ ข้าว่าพวกเอ็งตามข้าไปดูว่าพื้นที่ตรงไหนจะใช้ทำอะไรดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”

“ก็ได้ครับ”

ทุกคนรับคำจำยอมแยกย้าย รวมถึงคณะเจ้าของพื้นที่เดิม ...สีทันดรเองก็ทรงรับคำอย่างว่าง่าย ไม่โต้ ไม่แย้งเหมือนแต่เก่าก่อน พาพระพักตร์แลพระวรกายผุดผาดผ่องใส หากพระอารมณ์คงมิใสเท่าไรนัก เสด็จไปยังใต้ร่มไม้ที่มหาฤาษีชี้บอก ทุกสายตามองตามรู้สึกได้

“น้องดื้อเป็นอะไร เอ๊ะ หรือท่านวายุภัค ...” คืนฉายโพล่งขึ้น วายุภัคก็ทรงตอบทันควัน

“เราไม่รู้เรื่อง เจ้าอย่ามาใส่ความเรา” เทวปักษีหนุ่มน้อยทรงออกตัว “เราเองก็อยากรู้เหมือนกัน เมื่อเช้าก็ยังดีๆอยู่ พอสายๆก็หายไปกับไอ้เจ้านลพักหนึ่ง พอกลับมาก็ตาแดงๆ มาขอให้เราพากลับ เราพยายามถามก็ไม่ตอบนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง เราว่าทางที่ดีถามไอ้เจ้านลกันดีกว่า”

แล้วทุกคนก็เห็นพ้องอย่างมิต้องสงสัย แลมินานหลังจากคุยกับมหาฤาษีเสร็จและพระวิสุกรรมลงมาจนนิรมิตฐานทัพใหม่ ก็เลี่ยงกันหลบมุมใช้กระแสจิตติดต่อนลกุพร แม้จะค่อนข้างยากเพราะระยะทางไกล แต่ก็หาใช่อุปสรรคสักนิดเดียว ...มินานนลกุพรก็สนองให้ครบถ้วนกระบวนความตามเรื่องที่เกิดตรงริมธารและคืนก่อนหน้ามิขาดตกไปสักเหตุการณ์ เฉกเดียวกับเหตุการณ์ทางฝั่งทรงกลดเช่นกัน

“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เข้าใจผิดกันไปใหญ่ทั้งคู่” นลกุพรทรงปิดประโยค ทรงกลดก็อดที่จะเขกกบาลเจ้าพระศุกร์มิได้

“โอ๊ยเจ็บนะไอ้กลด”

“เพราะนายเลยไอ้ฉาย ไปบอกน้องดื้ออย่างนั้น”

“ใครจะคิดว่าน้องดื้อจะเชื่อ แล้วเอาไปใช้” คืนฉายเถียง

“ทีหลังก็คิดก่อนสิวะ”

“แหมไอ้กลด ทีงี้และมาด่ากู ทีตอนกูพูด ได้แต่หัวเราะลั่น”

“เอาละๆ อย่าเพิ่งเถียงกัน” เอราวัตตัดบทแทรกขึ้น ก่อนจะเยิ่นเย้อ “แล้วนี่ไอ้แม่ทัพ มันรู้เรื่องหรือยังนล”

“มันไม่ยอมฟังอะไรเลย”

“เฮ้อออ ไอ้อัสดงนะไอ้อัสดง” เจ้าอณูแห่งพระพุธถึงกับถอนหายใจ ทรงกลดก็เปรยต่อ “นี่มันก็คงไม่รู้สินะว่าอีกสามวันข้างหน้า เหล่าเทวะจะจัดมหาพิธีทีปวลีขึ้นที่ฐานทัพใหม่ของพวกเรา”

“เออใช่ ไอ้กลดพูดถึงเรื่องนี้พอดี” คืนฉายเหมือนนึกอะไรได้ “ นลนายรู้ไหม พิธีนี้เกี่ยวอะไรกับน้องดื้อ ถามหลวงตาก็เล่นตัวอยู่นั่นแหละ”

“อ้าวนี่พวกเจ้า ยังไม่รู้เหรอ...แล้วพี่ชายวายุภัคล่ะ ทรงรู้ยังพะยะค่ะ หลังจากที่โดนซัดซะกระเด็น” นลกุพรทรงส่งกระแสจิตถามปนขำต่อไปยังวายุภัค ที่กำลังทำพระพักตร์ไม่ถูกยามทรงทราบเรื่องขุ่นข้องหมองใจระหว่างสีทันดรกับอัสดง

ลึกๆก็ดีใจ...เพราะโอกาสที่จะได้ทรงทำคะแนนมาถึง
หากอีกใจก็คงมิโปรดเท่าไรนัก ....ที่ดวงพระหฤทัยศรีแห่งบาดาลกำลังเศร้า

แต่เหนืออื่นใดทั้งมวล...น้อยใจต่างหากเล่าที่กำลังทรงรู้สึก
สีทันดรทรงใช้ตนเป็นเพียงเครื่องมือ ในเรื่องมนตราสิตามัน เพียงเพื่อให้อัสดงเจ็บใจแค่นั้น

เจ้านาคน้อย เจ้าเห็นพี่มีค่าแค่นี้เองฤา!!!

“พี่ชายวายุภัค ทรงรู้หรือยังพะยะค่ะ” นลกุพรทรงถามซ้ำ วายุภัคจึงสลัดภวังค์คิด

“พี่พอรู้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกหรือเปล่า ได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เพราะพี่มิเคยร่วมพิธีนี้เลย เลยไม่เคยเห็นด้วยตา แต่พอได้เห็นวันนี้ โดนซัดจนกระเด็นนี่ พี่ก็มั่นใจแล้วว่ามันเป็นจริง ทางที่ดีเจ้าเล่าให้พี่กับพวกอณูน้อยฟังเถอะนล”

“ก็ได้พะยะค่ะ คืองี้ ...” นลกุพรกำลังจะทรงเล่าตามคำขอ แต่แล้วก็ทรงถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเข้มจากด้านหลัง และคนขัดทางปลายทางก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล

“ทำอะไรอยู่นล”

“อ้าวอัสดง” เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วทรงหันไปตามเสียง พอเห็นว่าเป็นใคร ก็รีบส่งกระแสจิตชุดสุดท้ายบอกไปยังต้นทางว่า “แค่นี้ก่อนนะ ไอ้แม่ทัพมา เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”

“คุยกับใครวะ” อัสดงถามต่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ สีหน้าสีตา ยังถือว่าไม่ดีขึ้นจากริมธารน้ำตกเท่าไร

“คุยกับกลดน่ะ...แล้วเจ้ามีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า”

“ไม่มีหรอก แค่จะบอกว่า พี่ชายทยุติธรกลับขึ้นมาจากบาดาลแล้ว ทรงเรียกหานายน่ะ จะทรงปรึกษาเรื่องกองกำลังเวรยามที่ฐานทัพใหม่”

“อ้าวเหรอ แล้วทำไมไม่เรียกเราทางจิตล่ะ จะได้ไม่ต้องเดินมา”

“ก็นายใช้กระแสจิตอยู่นี่ ติดต่อมานายไม่ตอบกลับ เราเลยอาสาเดินมาตาม”

 “เออ จริงแฮะ ลืมสนิทเลย ก็ว่าอยู่ว่า ใครกันนะเรียกมา ที่แท้แฟนใหม่ของแฟนเก่าเรา” นลสรวลใสระเรื่อ คงลืมแผลในพระทัยที่ผ่านมาหมดแล้ว “ ว่าแต่ประทับอยู่ไหนล่ะ”

“ใต้ต้นสาละ”

อัสดงพูดจบ ก็หันหลังกลับเดินนำ กลับไปนิ่งเงียบ นลที่เดินตามมา จับอารมณ์และเข้าใจได้ เลยทรงเป็นฝ่ายชวนคุย มิทรงปล่อยให้ความเงียบจับนานนัก

“เมื่อกี้กลดบอกว่า หลวงตาให้พระวิสุกรรมมาสร้างฐานทัพใหม่ให้พวกเรา นี่คงใกล้จะเสร็จแล้วมั้ง พรุ่งนี้พวกเรากลับไปคงได้เห็น”

“อืม” อัสดงขานรับแค่สั้นๆ

“กลดบอกอีกว่า พวกเจ้าป่าเจ้าเขามารอรับกันใหญ่ แถมยังอาสาช่วยงาน”

คราวนี้อัสดงแค่พยักหน้ารับ นลทรงเหลือบมอง ก็ทรงรู้ว่า อัสดงฟังเรื่องนี้แค่ผ่านๆ เพราะทั้งห้วงคำนึงของเขานั้น ยามนี้คงมีอยู่แค่เรื่องเดียว

“สีทันดรกลับไปถึงแล้วนะ” ประโยคนี้อัสดงเงี่ยหูฟังทันใด “พี่ชายวายุภัค พาส่งถึงที่เรียบร้อย”

“ถึงฉิมพลี หรือ ฐานทัพใหม่กันล่ะ”

“โธ่โว้ยย เจ้านี่มันน่าเขกกระโหลกจริงๆเลย อัสดง” นลเริ่มทรงรำคาญ “ จะบอกอะไรให้ ถ้าพี่วายุภัคทรงทำอย่างนั้น ป่านนี้คงโดนมหารัศมีของพระแม่เจ้าซัดจนหมอบแล้ว เมื่อกี้ก็โดนไปหนหนึ่ง เหมือนที่เจ้าโดนที่ลำธารเมื่อตอนสายแหละ”

“หมายความว่ายังไง” อัสดงหยุดเดิน ถามน้ำเสียงจริงจัง ในที่สุดนลก็ดึงความสนใจอัสดงกลับมาได้แล้ว

“นับจากวันนี้ไปอีกห้าราตรีข้างหน้า จะไม่มีบุรุษใด แตะเนื้อต้องตัวสีทันดรได้ แม้กระทั่งพี่ชายทยุติธร”

“ไม่จริง...เมื่อตอนสายไอ้ดื้อยังนั่งบนฝ่ามือไอ้นกทุเรศนั่นกลับไปได้สบาย มันไม่เป็นอะไรสักนิด เจ้าอย่ามาแก้ตัวให้เพื่อนรักเจ้าเลย ไอ้ดื้อก็บอกเองว่าวายุภัคใช้มนตราสิตามันเสกครอบมันไว้” อัสดงถียงกลับ ทำท่าจะเดินจาก นลกุพรถึงกับทอดถอนพระหฤทัย จนที่สุดต้องยอมขึ้นพระสุรเสียงสะกดอัสดงให้ยอมฟังซะที

“อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ เจ้าจงฟังเรา เรื่องที่เรากล่าวเป็นเรื่องจริง เหตุที่สีทันดรนั่งบนฝ่ามือวายุภัคกลับไปฐานทัพได้นั้น เพราะพระมหาลักษมี จะทรงใช้งาน และเมื่อถึงที่ วายุภัคก็จะแตะเนื้อต้องตัวสีทันดรไม่ได้อีก ถึงได้ถูกซัดจนกระเด็นเหมือนกับเจ้าที่ริมธาร เราเองหรือพี่ชายทยุติธร คาดว่าตอนนี้ก็จะแตะตัวสีทันดรไม่ได้อีกแล้ว แม้กระทั่งพระอัยกาและพระบิดา มันไม่มีหรอกมนตราสิตามันอะไรที่สีทันดรบอกเจ้า เราพูดถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เชื่อเรา เจ้าก็ไปทูลถามพี่ชายทยุติธรดูแล้วกัน”

แล้วนลกุพรก็เสด็จปึงปังแซงหน้าจากไป ทิ้งเจ้าพระอาทิตย์หม่นแสงไว้เพียงเบื้องหลัง ให้ยืนขบยืนคิดเงียบๆต่อไปเพียงผู้เดียว
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-02-2021 13:16:51
รัศมีสีม่วงของเจ้าอณูแห่งศนิเทพยามนี้ เริ่มที่จะหรี่แสงลง หลังจากเหิรลอยอยู่เหนือยอดไม้ในป่าลึกมากว่าชั่วพัก ลดระดับลงมาเหิรเหนือยอดหญ้า เพราะสายตาเริ่มสังเกตเห็นรอยเลือดสีดำคล้ำ ของคนที่ตนตามรอย

‘รณพักตร์’ ชื่อนี้ยังอยู่ในห้วงคำนึงมิสร่าง อีกมินานนี้หรอกคงตามจนเจอ
ที่จริงก็ตามมานานแล้วนะ ...ทว่าก็มิได้ตามจริงๆจังๆ

ยิ่งได้คบกับตระการตา ... ‘รณพักตร์’ ก็เลือนหายแทบจะไร้รอย
จวบจนเมื่อวาน ในสนามยุทธการ....อดีตพุ่งปราดกลับมาอีกครั้ง ประหนึ่งลูกธนูเสียบเข้ากลางใจ

“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะรณ รอฉัตรก่อน” คันฉัตรมิอยากเชื่อหูที่ได้ยินว่าปากตนจะพูดได้เช่นนั้น นี่ถ้าไอ้แม่ทัพมันมาได้ยิน ตนคงตกที่นั่งลำบาก

“รณเป็นศัตรู ท่องไว้คันฉัตร เราต้องฆ่าเขา”

อณูแห่งศนิเทพ บอกตัวเองเช่นนั้น รู้ตัวเองว่าฝืนใจ อดีตมันจบไปแล้วอย่าได้รื้อฟื้น แต่รอยเลือดบนพื้นยิ่งชัดเท่าไหร่ มันก็ยิ่งโหมกระหน่ำทบเท่าทวีคูณ จวบจนถาโถมมาระลอกสุดท้ายนั่นคือความทรงจำกับไอ้ศัตรูตามปากทั้งมวล และความทรงจำนั่นมันก็มาพร้อมกับร่างที่โชกไปด้วยเลือดนอนคว่ำหน้าหายใจรวยระรินเหนือโขดหินริมธาร หอกด้ามยาวจากฝีมืออัสดงยังคงปักอยู่กลางหลัง ดูเผินๆก็รู้ว่าร่วงมาจากฟากฟ้า

แต่ก่อนที่คันฉัตรจะพุ่งปราดเข้าไป รัศมีสีดำกลุ่มหนึ่ง ก็พุ่งปราดจากยอดไม้ลงมา พอสลายก็กลายเป็นทหารมารน่าจะเป็นชั้นนายกองสี่ถึงห้าตน คันฉัตรคิดว่าเจ้าพวกนั้นคงจะมาช่วยนายมันให้หลีกลี้หนีหาย จึงเตรียมโรมรันหมายสังหารสิ้น หากก็ไม่เป็นดังคิด เพราะแทนที่เจ้าพวกนั้นจะเงื้อดาบแล้วพุ่งมาทางตน มันกลับเงื้อดาบ และหมายเอาเข้าที่คอของคนที่เมื่อวานเป็นผู้บังคับบัญชาของมันเอง!!

คันฉัตรมิรอช้า โผนทะยานฟาดดาบเข้าไปแทรกทันท่วงที แถมยังตวัดดาบตนบั่นเข้าเอาที่คอพวกมันแทนที่ในดาบเดียวจนหัวขาดกระเด็นรอบวง หากก็ยังเหลืออีกตนหนึ่ง ที่แค่ยืนคุมเชิงมิได้เงื้อดาบในแต่แรก และมันก็เริ่มลนลานเพราะรู้ดีว่าฝีมือมันคงสู้เด็กหนุ่มข้างหน้าผู้เป็นอณูเทวะมิได้ มันจึงพยายามจะเหาะหนี แต่แล้วคันฉัตรก็กลับฟาดมันร่วงด้วยเทวฤทธิ์ กระแทกทพื้นหินดังอั่ก เหยียบอกมันไว้ ถามแค่สั้นๆ

“ใครส่งเจ้ามา”

นายกองมารตนนั้น ยังมิตอบในทีแรก คันฉัตรจึงกระทืบมันจนเลือดกระอักอีกที มันถึงได้ยอมปริปาก

“แม่ทัพใหม่ ท่านสหัสสเดชะ”

“แล้วทำไมถึงต้องฆ่าเขา ตอบมา” คันฉัตรแทบจะคำราม

“จอมอสูรกับท่านแม่ทัพเห็นว่าหมดประโยชน์”

“มารก็เป็นอย่างนี้เสมอ” คันฉัตรขบกรามแน่น “เจ้าเองก็หมดประโยชน์แล้วเช่นกัน”

และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายของเขาที่มีให้กับมัน เพราะถึงจะพูดจะถามอะไรต่อไป มันก็คงไม่มีทางได้ยินอีกแล้ว เพราะหัวไอ้เจ้านายกองตนนั้น มันขาดกระเด็นด้วยคมดาบของคันฉัตรไปกองรวมอยู่กับพรรคพวกเป็นที่เรียบร้อย

เมื่อจัดการนายกองมารสิ้น อณูแห่งพระเสาร์ก็หันกลับไปยังคนที่เป็นจุดมุ่งหมายเดิมแต่แรก รัศมีมารจากคนบาดเจ็บอ่อนลงๆทุกที คันฉัตรมิรีรอ รีบใช้เทวฤทธิ์ ดึงหอกออกจากกลางหลังรณพักตร์ ครั้นพอดึงแล้ว ประคองร่างขึ้นมาได้กลับรอรี ด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป

‘สังหาร’ ตามสิ่งที่ควรทำ หรือ ‘รักษา’ ตามสิ่งที่หัวใจกำลังเรียกร้อง
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจยากที่สุดในชีวิต

“ฆ่าเราเถอะ” เสียงห้าวหาญเมื่อวาน ยามนี้แหบพร่าแผ่วเบา เสมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ตัดสินใจมาให้ นี่แสดงว่าเจ้าคนเจ็บมันคงรู้ตัวตลอดว่าเกิดอะไรขึ้น “ฉัตร...ฆ่ารณเถอะ”

คันฉัตรเงื้อดาบ หมายเสียบซ้ำรอย แต่แล้วก็ต้องกลับชะงัก เมื่อมือเปื้อนเลือดของรณพักตร์ ยกมาสัมผัสผิวหน้าเขาอย่างแผ่วเบา ตาที่ปรือขึ้นได้เล็กน้อยหากก็พอเห็นภาพ หลับลงอีกครั้ง พร้อมน้ำตาใสๆ ไหลเป็นทาง มาพร้อมประโยคแผ่วเบาอีกประโยค ที่คันฉัตรฟังแล้วหัวใจสั่นพร่า

“คิดถึงเหลือเกิน”

และเพียงเท่านี้ คันฉัตรก็ตัดสินใจได้ในเสี้ยววินาที “ไม่รณ ...ไม่มีทาง ฉัตรจะรักษา รณเอง”

รณพักตร์หรืออีกนามอินทรชิตสดับเสียงได้ ก็ฝืนกาย ใช้แรงสุดท้ายที่ยังพอมี แต่คงมิได้ใช้ผลักออก ตรงกันข้ามกลับใช้กอดรัดคันฉัตรแน่น ก่อนจะทิ้งทั้งตัวลงไปในอ้อมอกกว้าง ซึ่งตัวและใจเจ้าของมิได้ขัดขืนเลยแม้แต่สักนิดเดียว

กลับมาสู่อ้อมอกที่เคยคุ้น
กอดละมุนกรุ่นกลิ่นคะนึงหา
กลับมาสู่คนที่เคยคุ้นตา
กลับมาหาระลึกฝันวันคุ้นเคย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-02-2021 13:20:03
เลยค่ำมาได้สักพักแล้ว สีทันดรจึงถอยฌานลืมพระเนตรขึ้น ลุกจากที่ประทับใต้โคนต้นไม้ มองไปรอบๆก็เห็นชัยภูมิฐานทัพใหม่ มีปราการแข็งแกร่งล้อมไว้ คบเพลิงจุดสว่างไสว กระโจมที่พักน้อยใหญ่ เรียงละลาน ใจกลางคือพลับพลา ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นที่ประชุม มองไกลๆก็เห็นว่าทุกคนกำลังนั่งรวมกันอยู่ในนั้น

“สร้างค่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะ” เจ้านาคน้อยตรัสกับองค์เอง ก่อนจะพุ่งปราดเป็นรัศมีสีชมพูเข้าพลับพลา

“เฮ้ยยยย น้องดื้อ” คืนฉายทักขึ้นเป็นคนแรก ทันทีที่พระบาท ประทับยืนบนพื้น “ ทำไม น้องดื้อถึงได้...”

“เป็นอิสตรี” สีทันดรสรวลนิดหน่อย ไยจะมิทรงรู้ว่าถ้วนทั้งองค์ เป็นเทวนาคีสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้านาคน้อยของพี่ๆ ยามนี้เป็นศุภนารีเลิศลักษณ์สะกดทุกคนจนตะลึงตะลาน จะขัดตาแต่ก็เพียงนิดเดียวคือยังอยู่ในภูษาทรงตามแบบบุรุษเพศ

“พระมหาลักษมีเทวี ในภาคเทวนาคี!!”

วายุภัคสรุปคำจำกัดความของสีทันดรมาให้ ทุกคนเห็นพ้อง และเกือบเผลอกายถวายบังคม แล้วมหาฤาษีก็เชิญสีทันดรประทับยังอาสน์ที่ว่าง ก่อนจะเอาไม้เท้าเขกหัวเหล่าอณูที่ยังอ้าปากค้างเรียกสติกลับมา

“มัวแต่ตะลึงกันอยู่นั่นแหละ ประชุมต่อได้แล้วโว้ย ไอ้พวกเวร”

“คะ ครับหลวงตา” ทรงกลดรับคำ หากก็ยังมิยอมเบือนสายตามาจากสีทันดร แล้วทวนความก่อนเจ้านาคน้อยมาถึงให้ “ เมื่อกี้พวกกระหม่อม เอ้ย พวกพี่กำลังคุยถึงเรื่อง เข้าเฝ้ามหาสรัสวดีเทวี”

“เราจะถามอยู่พอดีเลยพี่กลด” สีทันดรตรัสตอบ ทรงแจ่มใสพอๆกับพระสุรเสียงกว่าตอนมาถึงเมื่อตอนกลางวันมาก ก่อนจะหันไปหา อณูแห่งพระพฤหัสกับอณูแห่งพระศุกร์ผู้รับผิดชอบงานนี้

“เป็นอย่างไรบ้างพี่ธรรม์ พี่ฉาย”

“ยังไม่สำเร็จเลยน้องดื้อ” ทั้งสองแทบจะตอบพร้อมกัน อาการตะลึงห่างหายกลายเป็นกลัดกลุ้มมาแทนที่

“ข้าล่ะห่วงเรื่องนี้” หลวงตาเองก็เสริมขึ้น

“หลานก็กังวลครับหลวงตา” ธรรม์ยอมรับออกมาตรงๆ “หลานกับไอ้ฉาย พยายามกันทั้งคืน กระแสฌานแห่งพระนางไม่เปิดเลย”

“แล้วอย่างนี้เราจะอัญเชิญปัญญามาอยู่กับเราได้ไหมครับหลวงตา” ทรงกลดในฐานะรองแม่ทัพก็กังวลมิแผกจากคนอื่น

“มันต้องได้สิวะ ไม่งั้นพวกเอ็งแย่แน่ ” หลวงตาเริ่มจริงจัง

“พวกพี่ทำอะไร ผิดขั้น ผิดตอนหรือเปล่า” สีทันดรสงสัย พระลักษณะดูจริงจังพอๆกับหลวงตา เพลานี้ดูเหมือนจะทิ้งเรื่องของอัสดงสิ้น ที่จริงก็ทรงทิ้งมาได้สักพักตั้งแต่มหารัศมีแห่งมหาเทวีต้นกำเนิดจับเต็มพระองค์ตอนเข้าฌาน

“ไม่นาน้องดื้อ พวกพี่ก็เข้าฌานกันตามปกติ”

“แล้วพี่ธรรม์ได้บูชาพระมหาพิฆเนศวรก่อนเข้าฌานหรือเปล่าล่ะ พี่ลืมแล้วหรือไงที่เราเคยบอกว่า มหาสรัสวดีท่านเคร่งครัดในธรรมเนียมพิธีมาก จำได้ไหมว่าเราเคยโดนท่านเอ็ดตอนฝึกมนตราโดยไม่บูชามหาพิฆเนศวรก่อน”

“เออใช่น้องดื้อพี่สองคนลืมเสียสนิทเลย” สองอณูหนุ่มน้อย แทบจะตบเข่าดังฉาด

“ถึงว่าสิ ...งั้นคืนนี้พี่ลองใหม่ ลองบูชามหาพิฆเนศวรท่านก่อนตามธรรมเนียม ถ้าไม่ได้ผลอย่างไรค่อยว่ากัน เราว่าต้องได้ผลบ้างแหละ เพราะพวกเราได้ให้อณูของครุเทวะและครุอสูรผู้มีปัญญาเข้าเฝ้าท่านทั้งที”

“ข้าฯ ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

“แล้วถ้าไม่ได้ผลล่ะน้องดื้อ” เอราวัตถามขึ้นบ้าง

“ก็คงมีอีกวิธี” สีทันดรทรงครุ่นคิดสักพัก แล้วตรัสว่า “พี่ก็เข้าเฝ้ามหาพิฆเนศวรในพิธีทีปวลีซะเลยสิ ขอให้ท่านช่วย พิธีนี้ยังไงท่านก็ต้องเสด็จมาเป็นประธาน”

“แล้วถ้าท่านไม่ช่วยล่ะน้องดื้อ”

“ท่านต้องช่วย เพราะเราจะช่วยออกหน้าอีกคน ตอนนั้นท่านคงเกรงพระทัยมหาลักษมีเทวีต้นกำเนิดแห่งเรา”สีทันดรกับมหาฤาษียิ้มออกมาได้แล้ว ทำให้เหล่าอณูเริ่มมีความหวัง

“ขอบคุณครับน้องดื้อ” ทรงกลดกล่าวอย่างโล่งใจ และแล้วก็ถือโอกาสวกเข้าเรื่องที่ทุกคนสงสัย “ว่าแต่เรื่องพิธีทีปวลีนี่ น้องดื้อจะต้องคืนร่างเป็นมหาเทวีหรือ เท่าที่พี่สังเกต น้องดื้อตอนนี้คือมหาเทวี ไม่ผิดเลย”

“จะผิดได้ยังไง เราคืนสู่มหาเทวีทุกประการ ทั้งเพศ ทั้งพลัง อย่างที่พี่ๆพอรู้กัน พิธีทีปวลีถือเป็นพิธีบูชามหาลักษมีในทางหนึ่ง เหล่าเทวะและมนุษย์จะบูชาพระนางด้วยไฟหรือแสงตะเกียง โดยเฉพาะมนุษย์จะถือเป็นพิธีที่ขับไล่ความมืดมิดในค่ำคืนอมาวสีหรือเดือนดับ ซึ่งจะเป็นคืนที่มืดที่สุดของปี จึงพร้อมใจกันบูชามหาลักษมี อัญเชิญพระแม่เจ้ามาสถิตในบ้านเรือน ขอสิริและความรุ่งเรือง ขับไล่ความมืดมนให้หมดไป”

“แล้วทำไมน้องดื้อต้องคืนสู่มหาเทวีทุกประการด้วยล่ะ” ราหูที่เงียบและฟังอยู่นานถามต่อ

“ก็เพราะในพิธีนี้ จะไม่ใช่แค่เสด็จลงมาประทับยังร่างเราธรรมดาเหมือนอย่างเมื่อวานที่สมรภูมิ แต่จะเป็นการรวมที่สมบูรณ์แบบ หนึ่งปีจะมีครั้งเดียว พิธีนี้จึงสำคัญต่อเราและพระแม่เจ้ามาก เพราะทั้งเราและพระแม่เจ้าจะต้องเข้าฌานปรับพลังซึ่งกันและกัน”

“จำเป็นด้วยหรือที่ต้องรวมกัน ทำไมพระแม่เจ้าไม่เสด็จเอง” อณูหนุ่มน้อย แทบจะผสานเสียง ถามด้วยความสงสัย คงมีแต่วายุภัคที่ประทับนิ่ง สดับฟัง

“ตอนเรายังเด็กๆ ก็ไม่ได้รวมหรอก แต่เราจะกลายเป็นอิสตรี เป็นเทวนาคี พูดง่ายๆก็เป็นพระแม่เจ้านั่นแหละตลอดพิธีทั้งห้าราตรี ตอนแรกที่บาลตกใจกันใหญ่ โดยเฉพาะทูลหม่อมพี่ชายทยุติธรทั้งตกพระทัยทั้งดีพระทัย เพราะอยากมีน้องสาวอยู่แล้ว” เจ้านาคน้อยพูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสรวลใสหน่อยๆ ยามนึกถึงพี่ชายตอนนั้น ยิ่งนึกถึงตอนที่พี่ชายถูกมหารัศมีสีชมพูซัด ยิ่งต้องกลั้นขำ  ก่อนจะกล่าวต่อ

“ทีนี้พอทูลหม่อมปู่วาสุกีทรงทราบเรื่องก็เลยจับเราเป็นตัวแทนพระแม่เจ้า จัดพิธีทีปวลีที่บาดาลซะเลย เป็นการถวายการบูชาในส่วนของบาดาล เพื่อที่เหล่านาคานาคีที่ไปไม่ถึงเกษียรสมุทรจะได้เข้าร่วมได้ พอจัดปีหนึ่งก็เริ่มมีปีต่อๆมา จนเทวะที่ยังไม่มีบารมีมากพอที่จะไปถึงที่ประทับยังเกษียรสมุทร ทราบเรื่องเลยมาทูลขอเข้าร่วม ทูลหม่อมปู่ก็ใจดีอนุญาต ทีนี้ข่าวก็เริ่มแพร่กระจาย ก็เพราะพระนารทสหายรักหลงตานั่นแหละ เอาไปบอกคนนู้นคนนี้ ความเลยทราบถึงพระเนตรพระกรรณ” สีทันดรทรงค้อนหลวงตาขวับ หลวงตาเองก็หัวเราะชอบใจ เพราะรู้ดีว่าพระนารทสหายสนิทชอบกระจายข่าวเพียงไร แล้วสีทันดรก็ทรงเล่าต่อ

“พระแม่เจ้าพอทราบเหตุผลก็เลยโปรดให้จัดที่เดียวคือบาดาลหรือบางทีก็ที่มหานทีสีทันดร แล้วท่านจะเสด็จลงมารวมร่างกับเรา เพื่อให้ทุกชั้นฟ้าได้เข้าถึงน่ะ วันนั้นบาดาลจะต้อนรับทุกชั้นฟ้าเป็นกรณีพิเศษ แต่ก็มีบางปีนะ ที่ไม่ได้จัด เพราะเราไม่สบาย ปีนั้นก็ต้องไปจัดที่เกษียรสมุทรแทน”

“พี่ว่าน่าจะหลายปีเลยแหละ” วายุภัคทรงไม่ฟังเฉยๆแล้ว ทรงขัดขึ้นอย่างกับคนรู้ทัน และมันก็ใช่

“ก็มันเหนื่อยนี่ ใครไม่เป็นเราไม่รู้หรอก ต้องนั่งให้พรคนนั้นคนนี้ เบื่อจะตาย นึกๆแล้วก็เหนื่อย รู้ไหมเสร็จพิธีทีไร เรานะต้องนอนพักเป็นวันๆยิ่งปีนี้จัดที่นี่ และก็คงจะจัดกันใหญ่โตแหละ คงมากันเยอะเพราะใครก็มาได้ และยิ่งรู้กันแล้วว่าเราเป็นอณู เป็นการรวมที่สมบูรณ์ที่สุดที่เคยมีมา ยิ่งยกโขยงกันมาใหญ่เชื่อเถอะ ยิ่งปีนี้เทวะจะจัดที่ภพมนุษย์นี่ เมื่อวานเราก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องจัดที่นี่ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว”

“เพราะอะไรล่ะน้องดื้อ” คืนฉายถามขึ้น

“เพื่อขวัญและกำลังใจให้เหล่าเทวะยังไงล่ะ”

“ภาษามนุษย์เรียกอัดฉีด จำไปใช้ได้นะน้องดื้อ” คืนฉายยังมิวายสอนภาษามนุษย์สมัยใหม่ ทำเอาเจ้านาคน้อยถึงกับประทานค้อน เรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน

“อีกแล้วพี่ฉายนี่ก็ เรายังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องเก่าเลยนะ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวจะให้พี่เอราวัตจัดการ”

“เอาละๆ ไว้พี่จัดการให้ ว่าแต่ทำไมพระแม่เจ้าไม่ไปรวมกับอณูคนอื่นแทนเจ้าล่ะ”

“ไม่มีอณูคนไหนจะเหมือนและกลายเป็นพระแม่เจ้าได้เท่าเรา เว้นแต่พระนางสีดา เพราะนั่นคือร่างอวตาร และก็ไม่มีอณูคนไหนอีกแล้วในเพลานี้ และสุดท้ายเราเกิดในคืนสำคัญของพิธีทีปวลีนี้ที่มหานทีสีทันดร เหตุผลพอไหมพี่ๆ”

แล้วรอยยิ้มกว้างแสดงความกระจ่างจากเหล่าอณูก็มีมาแทนคำตอบว่าพอเสียยิ่งกว่าพอ ทุกคนรู้และเข้าใจแล้วว่าพิธีทีปวลีคืออะไร ทำไมสีทันดรถึงกลายเป็นพระแม่เจ้า นี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลที่สีทันดรทรงครองมหารัศมีสีชมพูอันซัดวายุภัคกับอัสดงจนกระเด็นตามที่ทุกคนเห็นและรับฟังมา

“เอาเป็นว่า คงหมดเรื่องสงสัยของพี่ๆแล้วสินะ ใครมีอะไรจะถามเราอีกไหม”

ทุกคนส่ายหน้า บอกให้รู้ว่าไม่มี เว้นแต่เจ้าเทวปักษีวายุภัค ที่ประทับยืนขึ้นจากอาสน์ เสด็จมากลางพลับพลา ทรุดพระชงฆ์ลง เบื้องหน้าสีทันดร แล้วตรัสขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“พี่ไม่มีอะไรจะถามอีก แต่มีเรื่องอยากจะขอ”

“จะขออะไร”สีทันดรถามทันควัน

“พี่จะขอถวายตัวพี่เป็นบัลลังก์ที่ประทับ ตลอดมหาพิธี เพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าเทวปักษี เจ้าจะให้พี่ได้หรือไม่”

สีทันดรทรงนิ่งอึ้ง มิใช่เพราะมิพอใจ หากแต่ทรงคิดไม่ตก เพราะปีที่ผ่านๆมา เหล่าเทพชั้นผู้ใหญ่ มักเวียนกันถวายบัลลังก์ที่ประทับ เพื่อเป็นเกียรติและสิริแก่ตนเอง พูดง่ายก็คงอยากสร้างผลงาน อยากได้หน้า ให้มหาเทวีโปรด และก็มีอยู่หลายปี ที่ทูลกระหม่อมปู่กับพี่ชายทรงสลับกันเป็นบัลลังก์เสียเองตัดรำคาญบรรดาเทพที่ทะเลาะกัน เว้นก็แต่เหล่าเทวะปักษี ที่ยังมิเคยถวายอะไรเลย นี่คงเป็นครั้งแรกสินะ ที่พระมหาเทวีจะทรงบัลลังก์ครุฑเทียบเท่ามหาวิษณุพระราชสวามี ...มันจะสมควรไหมที่จะให้เป็นเช่นนั้น ฤาถ้าปฏิเสธไปจะเป็นการดูถูกน้ำใจของเหล่าเทวปักษีหรือไม่ และที่สำคัญที่สุด ปีนี้ก็ทรงอยากประทับบนที่เดียวนั่นคือ... ราชรถเทียมม้าอุจไฉศรพแห่งพระสุริยาทิตย์

“ทำไมเจ้าคิดนานจัง สีทันดร” วายุภัคทรงเร่งรัด สีทันดรก็ทรงถามกลับ

“งั้นเราขอถาม แต่ก่อนฝั่งเทวปักษีไม่เคยเสนอตัว ไม่เคยมาร่วมพิธีมีแต่ปู่ของเจ้าที่มา แล้วไยปีนี้ถึงอาสา”

“ก็เพราะพี่ตัดสินใจแล้วว่า นับจากนี้ไป เทวปักษีอย่างพี่ จะจงรักและภักดียอมสยบให้แทบบาทเจ้าแต่เพียงเท่านั้น สีทันดร”

สีทันดรได้ฟังเยี่ยงนี้ก็มิรู้จะตอบอย่างไร ฤาวายุภัคมีเล่ห์เหลี่ยมอันใดซ่อนไว้ ทว่าสายตากับสีหน้าเขามิได้เป็นเช่นนั้น ครั้นจะปฏิเสธก็เกิดปัญหากับเทวปักษีแน่ๆ ถ้าตอบรับฝั่งเทวนาคาก็ไม่น่าจะโปรด อีกทั้งบัลลังก์ที่หมายตาก็มีอยู่แล้ว หากแต่เขาผู้นั้นยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉะนี้จะทำเยี่ยงไร

จู่ๆในระหว่างที่ครุ่นคิด สุรเสียงใสดุจระฆังแก้ว ซึ่งรู้ดีกันว่าเป็นใคร ก็ตรัสแทรก ตัดสินพระทัยมาให้ ได้ยินไปถ้วนทุกคน แลสะท้อนไปถึงสวรรค์ทุกชั้น จวบจนถึงฉิมพลีแลลงไปถึงบาดาล

“พิธีทีปวลีปีนี้ วายุภัคโอรสาแห่งพญาสดายุ เทวปักษี จะเป็นบัลลังก์ให้เรา ด้วยความภักดี และด้วยเกียรติยศที่มอบให้เรานี้ เราขอให้วงศ์วานเทวปักษี ถึงพร้อมด้วยเดชะ สิริ และชยะ เป็นการตอบแทน โอม”

เท่านั้น และเพียงเท่านั้น เสียงแซ่สร้องสรรเสริญ จากเทวปักษีที่อยู่ทุกสารทิศ ก็ดังกระหึ่มขึ้น ทุกพระองค์ ทุกตนทรุดเข่า พนมหัตถ์เหนือเศียร กล่าวคำบูชามหาลักษมีเทวีโดยพร้อมเพรียง  สีทันดรจะทำกระไรได้ นอกเสียจาก ....

“ขอบพระทัย”

เมื่อต้นกำเนิดตัดสินพระทัยมาแทนอย่างนี้ นั่นย่อมมีเหตุมีผลที่ซ่อนไว้ คงมิได้ทรงทำตามพระทัย แล้วเหตุผลมันคืออะไร ขนาดอณูแท้ๆอย่างองค์เองยังไม่กระจ่าง แล้วอย่างนี้ทูลหม่อมพี่ชายกับอัสดงจะเข้าใจได้ฤา

***********************************

รบกวนติดตามต่อในบทที่๑๖ ส่วนที่๓ นะคะ ขออภัยเป็นอย่างสูงเลย ที่ไม่ได้ลงนาน เนื่องจากเรื่องงานตามที่เคยแจ้งไว้ แถมครั้งนี้ก็ยังมาน้อย ยังไงต้องขออภัยอีกครั้งค่ะ จะพยายามหาเวลาทยอยเขียนทยอยลงให้บ่อยกว่าเดิมค่ะ

 :pig4: ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามและส่งกำลังใจผ่านคอมเม้นมาให้มากๆนะคะ อิ่มใจมากที่ยังไม่ทิ้งคนเขียนไร้วินัยคนนี้ ช่วงนี้ก็อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ คิดถึงทุกท่านเสมอค่ะ  :mew3:  :กอด1:

Artemis ๒๒๐๒๖๔
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 22-02-2021 14:19:54
ดีใจมากมายที่ได้อ่านต่อเสียที คิดถึงจะแย่ หวังว่าอัสดงคงเข้าใจน้องดื้อนะเพราะมันคือหน้าที่ รออ่านส่วนที่3ต่อค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 23-02-2021 14:23:19
มาแล้ว มาแล้ว
กำลังสนุกเข้มข้นเลย รอตอนต่อไปอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 26-02-2021 10:17:44
ดีใจจุงที่ได้อ่าน    :impress3:


  :impress:    รออ่านส่วนที่ ๓ นะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-02-2021 11:43:13
รอเลยยยย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 11-03-2021 19:35:26
 :L1:ขอบคุณมากค่ะในที่สุด ในที่สุดนักเขียนก็กลับมาอัพต่อให้แล้วรอมานานมากเลยสมกับที่รอคอยสนุกจริงๆอัสสะอย่าน้อยใจสีทันดรเลยนะเพราะเป็นบัญชาของพระแม่ส่วนคันฉัตรเกิดรักสามเศร้ากับรณพักร์และตระการหรือไม่นะประธานและก่อนหน้ารอต่อไปรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 12-03-2021 11:36:11
 :sad4: :m15: :monkeysad:นักเขียนจ๋า me after youโดนลบไปแล้วหรือคะไม่มาแต่งต่อแล้วหรือคะเสียดายมากเลยรอตลอดมา
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 17-03-2021 18:26:18
สนุกมากๆครับ ยังคงรออ่านเสมอครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 18-03-2021 09:00:04
@Artemis ค่ะ Me after you หายไปไหนแล้ว คิดถึงมอสกับเรน คิดถึงมูนกับเต้ย ซัน สกาย สตาร์ และผองเพื่อน ว่าจะเข้าไปอ่านซ้ำ แต่หาไม่เจอแล้ว..เสียใจจัง :mew4:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-03-2021 09:52:28
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 18-03-2021 15:58:35
เรื่องของน้องซันหายไปไหนแล้วอะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 23-04-2021 10:11:25
รอตอนต่อไปอยู่นะครับ :)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 02-05-2021 18:50:49
ดีใจจังเลยกลับมาให้อ่านอีกแล้วอินทรชิต จะต้องมีปัญหารักสามเส้ากับตระการและคืนฉัตรแน่เลย ส่วนสีทันดรอัสดงจะน้อยใจไหมเพราะคำสั่งพ่อแม่ให้วายุภัคเป็นฐานเสวตนั่งตลอดพิธีเฝ้ารอตอนต่อไปนะคะ รักษาสุขภาพเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: yoyothaka ที่ 12-05-2021 12:27:18
ดีใจมากเลยค่ะที่ได้อ่านต่อ..ขอบคุณนักเขียนด้วยนะคะที่กลับมาเขียนต่อให้ได้อ่านกัน อยากถามถึงเรื่องของ มอส-เรน(Me after you) รู้สึกว่าจะถูกลบไปแล้วไม่ทราบว่าจะสามารถตามอ่านต่อที่ไหนได้บ้างคะ..ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 26-05-2021 23:59:16
รอ ร๊อ รอ อยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 08-06-2021 23:07:18
คิดถึงมากมายสบายดีไหมคุณนักเขียนคิดถึงน้องเรนมอสซันสกายสตาร์น้องนาคพี่อัสดง
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: ommelom ที่ 15-07-2021 18:47:41
สวัสดีค่ะ เราอ่านอัศวินดารามาหลายยยยปีมากแล้ว และยังคิดถึงอยู่ตลอด น่าจะตั้งแต่ปี 60 หรือก่อนหน้านั้น ระหว่างที่ปิดไปเราก็ยังตามหาอยู่ทุกปี อยากอ่านอีกรอบเพราะจำได้ว่ามีภาค 2 และเราก็ยังรอเพราะไม่รู้จะติดตามทางไหนอีก ปีนี้หาเจอแล้ว อยากบอกว่าดีใจมากกกกก

เป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนเสมอนะคะทั้งเรื่องงานและเรื่องนิยาย เราชอบเรื่องนี้มาก อัศจรรย์ใจทุกครั้งที่ได้อ่านปมเนื้อเรื่องต่างๆ ทุกอย่างมีเหตุมีผลของมัน แต่ละฉากอธิบายได้เห็นภาพชัดเลย เรานับถือมากจริงๆค่ะ

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆนะคะ วันไหนที่รู้สึกไม่ดี อยากให้รู้ว่าเราขอให้คุณคนเขียนมีความสุขนะคะ เรารอเสมอไม่ว่าจะนานแค่ไหนค่ะ

ปล. หวังว่าอัสดงกับน้องดื้อจะเข้าใจกันได้เร็วๆน้า พี่ลุ้น
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 16-07-2021 07:42:35
ยังรอน้องดื้อ กับอัสดงเสมอนะครับ และให้กำลังใจนักเขียนด้วยขอให้ปลอดภัยจากโควิดครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 16-07-2021 13:02:05
ยังคงรออยู่เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 02-08-2021 11:39:55
ฮือๆ หายหน้าหายตานานไปแล้วน้าน้องดื้อพี่อัสดง เมื่อไหร่จะมาซักที คิดถึงมากมาย :mew6:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Oooy ที่ 10-08-2021 23:39:46
คิดถึงนักเขียนสบายดีนะคะยังรออยู่นะคะขอให้สุขภาพแข็งแรงปลอดภัยจากโควิดนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 15-08-2021 20:01:47
อ่านวนไปวนมาหลายรอบ เพื่อรอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 20-08-2021 09:32:48
ขออภัยเป็นอย่างสูงนะคะ ที่ยังไม่ได้ลงให้สักที ช่วงนี้งานรุมเร้า ทั้งนี้จะรีบมาอัพเดททันทีที่clear งานได้นะคะ

ส่วนเรื่องของ Me after you นั้น ที่เอาออกไปตอนแรก เพราะไม่ค่อยมีคนอ่าน  แต่ก็คิดได้อีกว่า ควรจะปรับปรุงใหม่ดีกว่า ถ้าเขียนต่อจากของเดิม มันจะเศร้าเกินไป เรียบร้อยเมื่อไหร่ คิดว่าจะส่งทางเมลหรือไม่ก็ เปิดเพจให้อ่านกันค่ะ

ขอแอบบอกว่าความตั้งใจเดิมนั้น คือ จะเริ่มต้นด้วยเรื่องของ เต้ยกับมูน ต่อด้วยมอสกับเรน และจะจบที่ ซันกับ.... ถ้ายคนเขียนยังรอดในทุกๆซีซั่นนะคะ

ท้ายสุดขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามเสมอมา ขอให้ทุกท่านและคนที่ท่านรักปลอดภัยนะคะ เราต้องเจอกันค่ะ

Miss you as always,

Artemis
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: yoyothaka ที่ 04-09-2021 17:27:56
ตั้งใจรอเหมือนเดิมนะคะ..ยินดีกับทุกซี่ซั่นเลยค่ะนักเขียนที่รัก
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 25-11-2021 18:44:17
ยังรอเสมอค่ะ แต่เอามอสกับเรนกลับมาเถอะค่ะกำลังสนุกเลยค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 10-01-2022 09:51:15
รอมาเกือบ 1 ปี ก็ยังรออยู่นะครับ

สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังครับ :)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 21-02-2022 17:30:37
ยังรออยู่เสมอนะครับ ขอให้นักเขียนและแฟนๆน้องดื้อ มีสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากโควิดครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 25-02-2022 08:40:03
1ปีเต็มๆกับการรอคอยอัสดงกับน้องดื้อ และผองเพื่อนเทวะ แต่ก็ยังเต็มใจรอต่อไปจนกว่าจะแวะมาเจอกัน อยากบอกว่า คิดถึงงงงงงงงงง :ling1: :hao5:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: yestermemo ที่ 22-03-2022 19:53:01
คิดถึงงงง :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 05-06-2022 23:16:36
คิดถึงนะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: bamkung ที่ 19-06-2022 20:20:02
อยากอ่านต่อจัง  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Sunisa_kwnoon ที่ 27-11-2022 18:57:31
ยังรอนักเขียนกลับมาอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: wisky ที่ 12-02-2023 08:01:30
สวัสดีค่ะคุณนักเขียน  เราเป็นแฟนคลับที่ตามอ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่คุณลงครั้งแรกจนจบภาค1และรอคอยคุณมาต่อภาค2 เรายังคงรออยู่เสมอนะคะ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 27-02-2023 14:10:55
2 ปีแล้ว มารบุกแล้วววว

เหล่าอัศวินรีบกลับมาช่วยปราบมารได้แล้ววว
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Jaymezc ที่ 03-10-2023 05:23:42
หวังว่านักเขียนจะกลับมาต่อในสักวันหนึ่งนะครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 22-10-2023 18:15:55
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอื่นต้องบอกว่าวันนี้เข้ามาถึงกับน้ำตาซึม ปกติแล้วจะไม่ค่อยได้log inเท่าไร พอlog in เข้ามาเห็นกระทู้และข้อความแล้ว พอเข้าไปอ่านเท่านั้นแหละมันทำให้เราคิดได้ว่า แรงบันดาลใจที่หายไปนั้นมันอยู่ที่ใด

ขอบพระคุณมากๆนะคะที่ยังรอคอยและติดตาม ขออภัยด้วยนะคะที่หายไปนานมาก สัญญาว่าจะจับปากกาขึ้นมาให้ได้อีกครั้งและจะลุกขึ้นเดินกลับมาเข้าเล้าอยู่กับท่านผู้อ่านไปนานๆค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Nareekarnpin ที่ 01-11-2023 00:19:07
รอคุณนักเขียนเสมอนะคะ ทั้งเรื่องนี้แล้วก็เรื่องอื่นๆด้วยค่ะ ถ้ายังไงทิ้งชื่อเพจไว้ให้ติดตามได้มั้ยคะ :mew2:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: jajomjun ที่ 04-11-2023 01:45:51
 :ling2: เเล้วจะรอนะคะ เข้ามาส่องทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Sunisa_kwnoon ที่ 21-11-2023 18:18:42
 :mc4: :mc4:ดีใจมากที่คุณนักเขียนกลับมา
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 03-01-2024 10:05:06
ยังรออยู่ครับ กลับมาเร็วๆนะ :)
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 25-12-2024 08:10:36
สวัสดีค่ะ

หลังจากที่ไม่ได้เข้าบอร์ดมานาน เนื่องด้วยหลากหลายปัญหาชีวิต และภาระหน้าที่การงาน
วันนี้จะมาแจ้งข่าวว่า เรามีช่องทางการติดตามแล้วนะคะ สามารถดูได้ในprofile

ท้ายสุดขออภัยเป็นอย่างสูงที่ห่างหายไปนาน ขออภัยที่ทำให้รอ Merry X'Mas ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Jaymezc ที่ 23-01-2025 01:45:37
ติดตามได้ช่องทางไหน หาไม่เจอจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: yestermemo ที่ 09-02-2025 12:43:23
หาช่องทางติดตามไม่เจอค่ะ T^T
หัวข้อ: Re: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 24-03-2025 16:25:05
กดตรงลูกโลกตรงprofileด้านซ้ายได้เลยค่ะ  :กอด1: :3123: :L2: