พิมพ์หน้านี้ - Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 21-01-2019 01:34:10

หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 13
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 21-01-2019 01:34:10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ




อาจเพราะชีวิตผมไม่ค่อยมีเรื่องสนุกสักเท่าไหร่ ไม่ว่าโชคชะตาหรือใครต่อใครจึงมักเล่นตลกใส่ผมเสมอ
"ปล่อยผมสิ ผมไม่ใช่ขโมยนะ คุณกำลังเข้าใจผิด!!"
"ถ้าไม่ใช่แล้วนายเข้ามาทำอะไรที่บ้านฉัน!"
"ผม... ผม..."

ผมไม่มีที่อยู่



#ห้องลับบักจ่อย


นิยายเรื่องนี้เป็นรูปแบบ ชายxชาย สร้างขึ้นโดยจินตนาการของผู้แต่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ฝากติดตามนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยนะคะ ^/\^


สารบัญ

1 อยู่บ้านนาดีๆ ไม่ว่าดีจึงหนีหน้ามา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3936424#msg3936424)
2 แสงไฟสว่าง แต่หนทางยังมืดมน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3938054#msg3938054)
3 หากบ่เจอคนดี ป่านนี้สิเป็นจั่งได๋ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3943089#msg3943089)
4 เอ้ามามาสิ มาช่วยกันที ล่ะมาช่วยจับงู (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3944480#msg3944480)
5 จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3949017#msg3949017)
6 อยากให้เธอเคียงข้างอย่างนี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3953993#msg3953993)
7 อยากฟังคำซึ้งๆ ไม่ผ่านมือถือ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3954940#msg3954940)
8 ปวดใจดั่งไฟสุมทรวง ทะลวงอกฉัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3958898#msg3958898)
9 กลัว ฉันกลัวไปหมดทุกสิ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3959670#msg3959670)
10 คำว่ารักที่เธอเขียนลงใจฉัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3961434#msg3961434)
11 หาดทรายยังสวย รายล้อมทะเลด้วยรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3962130#msg3962130)
12 คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3962524#msg3962524)
13ตอบหน่อยได้ไหม ตอบฉันหน่อย ว่าเธอคิดถึงกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69449.msg3970502#msg3970502)
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 21-01-2019 01:46:55
1
อยู่บ้านนาดีๆ ไม่ว่าดีจึงหนีหน้ามา

รถทัวร์ชะลอตัวเตรียมจอดเข้าเทียบชานชาลาเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ผมใช้เวลาเดินทางในครั้งนี้เกือบๆ จะ 11ชั่วโมงด้วยความร้อนอบอ้าวจนแทบจะเป็นบ้า เบาะรถแคบๆ มันโคตรจะเบียดจนไม่อยากกระดิกตัว ยังไม่นับกับที่ผมต้องนั่งข้างผู้ชายร่างใหญ่ที่ช่วงไหล่เลยมาเกือบจะครึ่งเบาะผม จะคิดเงินส่วนต่างคืนได้ไหมนะ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมอยากจะลงจากรถเส็งเคร็งนี่เต็มที ถ้าไม่ติดว่าต้องประหยัดผมคงจะเลือกปรับอากาศชั้น 1ไปนานแล้ว ไม่มาทนกับความรู้สึกพะอืดพะอมที่ไม่รู้ว่าเพราะเวียนหัวจากอาการเมารถหรือเพราะกลิ่นเหงื่อจากพี่คนข้างๆ ถึงแม้ผมจะนั่งติดหน้าต่างแต่มันก็ช่วยได้แค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ

               ‘มอไซค์มั้ยน้อง’

               ‘ไปไหนครับๆ สามล้อมั้ยครับ’

            ‘แท็กซี่ครับ ไปไหนครับ มิเตอร์น้อง ไปมั้ย จะไปไหน’

            ใครเป็นใครบ้างก็ไม่รู้สาละวนรอบตัวผมไปหมด จากที่เวียนหัวอยู่แล้วตอนนี้โคตรจะสงสารร่างกายตัวเองจริงๆ “ไม่เป็นไรครับ ไม่ไปครับ ไม่ไปครับมีคนมารับครับ” ผมพูดประโยคนี้ไม่รู้กี่รอบกว่าจะเอาตัวรอดออกมาได้ จะมีใครมารับผมนะหรอ ไม่มีหรอก ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ผมจะไปรู้จักใครกัน แต่ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะญาติที่ต่างจังหวัดสอนมา เขาเตือนไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ แต่ที่แย่คือ มันวุ่นวายกว่าที่จินตนาการไว้เป็นร้อยเท่า

            ผมนั่งปรับตัวกับอากาศหายใจที่ใหม่บนเก้าอี้ตัวยาว สายตามองไปรอบๆ ก็พบเจอแต่ผู้คนมากมาย ไหนจะรถราเต็มไปหมด ‘ที่นี่สินะ ที่ต้องมาอยู่’  มันช่างต่างจากที่ที่ผมจากมาและแน่นอนว่ามันไม่โล่งจมูกเอาซะเลย

            สมุดเล่มเล็กล้วงออกมากางเพื่อดูว่าจะเอายังไงต่อ จุดที่อยู่ตอนนี้เขาเรียกมันว่าหมอชิต และมีนบุรีคือที่ที่ผมจะไป จดตามที่พี่ข้างบ้านบอกไว้คือผมต้องต่อรถเมล์สาย 96 แต่มันต้องไปขึ้นตรงไหนนี่สิ

            “ขอโทษนะครับ ป้ายรถเมล์ไปทางไหนครับ” ผมถามกับพี่ที่ใส่ชุดคล้ายทหารแต่เรียกอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ ดูแล้วน่าเชื่อถือที่สุด และเพื่อความปลอดภัยผมจะพยายามไม่คุยกับคนแปลกหน้าเด็ดขาด แม่บอกไว้ว่ามันอันตราย และคนกรุงก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ แถวบ้านผมเขาว่ากันอย่างนั้น

            “ออกไปแล้วเลี้ยวขวานะน้อง เดินตรงไปมองสูงๆ มันจะมีป้ายชี้บอกทางไปอู่รถเมล์อยู่” พี่คนนี้บอกผมพร้อมกับชี้ๆ มือให้ผมมองตาม

            ผมพยักหน้านิดหน่อยแล้วกล่าวขอบคุณด้วยมารยาทที่แม่พร่ำสอนมาดี ถึงแม้จะเพิ่งมาสอน แต่นั่นก็เพราะว่าแกห่วง เกิดผมไปโผงผางใส่ใคร ภัยจะมาถึงตัวเอา

            นึกถึงตอนที่ตัดสินใจมานั่นเป็นช่วงเวลาที่หดหู่ที่สุด ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมต้องเดินทาง แต่เพราะบ้านเราต้องเจอกับมรสุมครั้งใหญ่ น้ำท่วมฉับพลันทั้งๆ ที่จังหวัดของเราอยู่ทางตอนเหนือ การอยู่ที่สูงและมีภูเขาล้อมรอบมันไม่ได้ปลอดภัยกับที่นาของเราเลยแม้แต่น้อย ข้าวทุกเมล็ดจมหายอยู่ใต้ผืนน้ำและเมื่อมันลดลงภาพที่เราได้เห็นคือเศษซากปวกเปียกของรากรวงเน่าเละอยู่ใต้โคลนตม รายได้ที่พอจะเยียวยาเราได้ในแต่ละปีสูญสลายไปต่อหน้าต่อตานั่นทำให้เราไม่มีทางเลือกมากนัก หากจะหว่านกล้าขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่ฤดูกาลที่ควรทำ และเราไม่มีพันธุข้าวที่เพียงพอ แค่ต้องเอามาสีไว้ใช้กินอยู่ก็แทบไม่เหลือแล้วในสถานการณ์แบบนี้

            การกู้หนี้ยืมสินก้อนใหญ่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่บ้านเราจะทำ นั่นเพราะรู้ดีว่ากำลังในการหาเงินของเรามีมากน้อยแค่ไหน กินใช้เท่าที่มีก็สบายใจดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันไม่มีนี่สิ จะเอายังไงต่อ

            ผมตัดสินใจคุยกับแม่เพื่อจะเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ วุฒิม.6 อาจจะมีข้อจำกัดในด้านค่าแรงและเนื้องาน แต่ก็ดีกว่าไม่เริ่ม ผมพยายามปรึกษาทุกคนที่เคยมาที่นี่แล้วอุ้มเงินหอบทองกลับไป พวกเขาทำงานอะไรกินอยู่แบบไหนผมศึกษามาเป็นอย่างดี

            “ค่อยๆ เฮ็ดไปมันกะบ่เป็นหยังดอกลูก อย่าไปสา” (ค่อยๆ ทำไปก็ไม่เป็นไรนี่ลูก อย่าไปเลย) คำพูดของแม่ที่บอกผมและผมรู้ดีว่าท่านคงเป็นห่วง แต่การอยู่ตรงนี้มันไม่ค่อยจะมีประโยชน์แล้ว หาเงินทางเดียวใช้จ่ายตั้งกี่ปากท้อง ทำยังไงมันถึงจะพอ ไม่มีทาง

            “ไปบ่โดนดอกแม่ คั่นมันพอมีพอใซ้จ่อยกะเมือแล้ว อยู่บ่เฮิงดอก” (ไปไม่นานหรอกครับ ถ้าพอมีพอใช้เมื่อไหร่จ่อยจะรีบกลับ อยู่ไม่นานหรอก) ผมเองก็ไม่เคยห่างจากอ้อมอกแม่เหมือนกัน ถึงแม้ในใจจะกลัวกับการต้องฉายเดี่ยวในเมืองใหญ่ แต่ผมว่าผมอยู่ได้ และผมมักจะเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองเสมอ

            “ไปแล้วสิไปอยู่ไปกินจั่งได๋ บ่ฮู้จักไผ๋จักคน” (ไปแล้วจะอยู่จะกินยังไง ไม่มีใครที่รู้จักสักคน) แม่พยายามยื้ออย่างถึงที่สุดผมรู้ดีว่าท่านห่วงเรื่องอะไร “ถืกหลอกขึ้นมาเป็นหยังขึ้นมาไผ๋สิซ้อย” (ถูกหลอกหรือเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วย)

            “บ่มีไผ๋กล้าเฮ็ดหยังจ่อยดอก แม่อย่าคึดหลาย จ่อยสิโทรหาดุๆ ฮอดละสิบอก ได้งานกะสิโทรบอก บ่ต้องห่วงเด้อ” (ไม่มีใครกล้าทำอะไรจ่อยหรอก แม่อย่าคิดมาก จ่อยจะโทรมาหาบ่อยๆ ถึงแล้วจะบอก ได้งานแล้วจะรีบบอก ไม่ต้องห่วงนะ) ผมกอดแม่แน่นที่สุดเท่าที่เคยจำความได้ อ้อมกอดนี้คงอีกนานกว่าจะได้สัมผัสกันอีก ผมคงคิดถึงน่าดู

            “อันนี้เอาติดโตไปเด้อ แม่มีส่ำนี้ พอให้สร้างโตได้อยู่ดอก อย่างน้อยกะหาบ่อนอยู่บ่อนนอนซะก่อน” (อันนี้เอาติดตัวไว้ แม่มีแค่นี้ พอสร้างตัวได้อยู่หรอก อย่างน้อยก็หาที่อยูที่นอนไปก่อน) เงินจำนวนหนึ่งถูกเก็บในกระเป๋าผ้าลายไทยรูดซิปอย่างดีหย่อนลงในมือผม ผมรู้ดีว่าคงเป็นก้อนสุดท้ายที่แม่พยายามรวบรวมมา ดีไม่ดีอาจจะหยิบยืมนิดหน่อยจากญาติๆ ด้วย

            “เก็บไว้ให้เจ้าของอยู่บ่” (เก็บไว้ให้ตัวเองบ้างรึเปล่า) ผมถามกลับเมื่อน้ำหนักของเงินในกระเป๋าค่อนข้างเยอะพอสมควร “ให้มาเมิดแล้วแม่สิเอาหยังกิน”

            “แม่มี ผักในสวนที่มันบ่ได้เสียหายกะมี บ่ต้องห่วงดอก อยู่พิ้มีหยังกะปันกันอยู่แล้ว ข้าเจ้าบ่ให้แม่อึดอยากดอก” (แม่มี ผักในสวนก็ไม่ได้เสียหาย ไม่ต้องห่วงหรอก อยู่ที่นี่มีอะไรก็แบ่งปันกันอยู่แล้ว เขาไม่ปล่อยให้แม่อดตายหรอก) แม่บอกกับผมด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตาความพยายามไม่ให้ผมห่วงนั่นยิ่งทำให้ผมห่วง แต่ถ้าขืนให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ผมคงไม่ต้องไปไหน

            การร่ำลาครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวขึ้นรถมันไม่มากพอที่จะยืดเยื้อ มองจากหน้าต่างผมยังเห็นแม่และน้องสาวโบกมือหยอยๆ ให้แต่คงไม่กล้าตะโกนบ๊าย บายรบกวนคนอื่นๆ และภาพสุดท้ายก่อนที่รถจะโค้งออกจาก บขส.ไปทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะหาเงินกลับไปให้ได้มากที่สุด และเจ้าตัวเล็กจะต้องไม่หยุดการศึกษาแค่ม.6แบบผม

            รถเมล์สาย 96เคลื่อนออกจากอู่มาได้สักระยะ ค่าโดยสาร 9บาทถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าผ้าลายไทยก่อนจะหย่อนลงไปในเป้ตามเดิมและมันก็เหมือนกับที่พี่ข้างบ้านบอกผมอีกแล้ว ถัดมาไม่กี่ป้ายเท่านั้นแหละ คนอย่างกะหนอน ผมนั่งถอนใจมองออกไปนอกหน้าต่าง ความแออัดที่บ้านผมมันไม่เคยมี แต่อยู่ที่นี่แค่ไม่ถึงชั่วโมงยังทำให้ผมรู้สึกสูญเสียอิสระไปมากจนแทบอยากจะกลับบ้านไปซะเดี๋ยวนี้

            “นั่งนี่ก็ได้ครับ” ผมลุกขึ้นพูดเบาๆ ให้กับคุณยายที่เพิ่งก้าวขึ้นมา ยืนพิจารณาอยู่พักนึงก็เริ่มรู้สึกปลงอีก คุณยายผมขาวแทบจะไม่เหลือสีดำให้ขึ้นแซมแล้วแต่กลับต้องวิ่งตามรถที่จอดไม่เคยตรงเลยสักป้ายเท่าที่ผมสังเกต ไหนจะผู้คนที่เบียดเสียดขนาดนี้ เชื่อเลย คุณยายต้องช่ำชองมากกว่าผม

            ความรู้สึกที่มีคนยุกยิกอยู่ข้างตัวตลอดเวลามันทำให้ผมไม่ชอบ คนนี้ลงคนนั้นขึ้นทำให้เป้ที่อยู่ข้างหลังผมปัดซ้ายปัดขวาไปมาไม่หยุด รู้สึกเหมือนมันจะหลุดออกจากบ่าให้ได้ เหมือนมีใครวุ่นวายกับของในเป้อยู่ตลอด แล้วไอ้ที่ว่า ชิดในหน่อยค่า อย่ายืนขวางประตูค่า ก้าวค่ะก้าว เร็วหน่อยค่ะ นั่นมันจะอะไรนักหนา ชีวิตคนเรามันต้องเร่งรีบขนาดนั้นเลยรึไง ยังไม่นับน้ำเสียงที่ตะโกนโวยวายของคนขับนะ ปวดหู

            ผมก้าวลงเมื่อมาถึงตลาดแห่งหนึ่ง กระเป๋ารถเมล์บอกว่าสุดสายทำให้ผมมั่นใจว่านี่คือมีนบุรีแล้ว อาจเพราะเป็นช่วงบ่ายของวันที่ตลาดเลยยังเงียบๆ อยู่ ผมเห็นหลายร้านกำลังตั้งโต๊ะจัดวางเรียงของ และท้องของผมมันเริ่มประท้วงว่าหิว สอดส่ายสายตาไปมาหาร้านข้าวก็เจออยู่ที่หนึ่งน่าสนใจ ผมขยับเป้ให้เข้าที่เข้าทางใหม่แล้วเดินตรงไปที่ร้านนั้นเพื่อจัดการกับมื้อแรกของกทม.

            40,50,60,80,120 สาบานว่านี่คือค่าอาหารหนึ่งมื้อ คนที่นี่เขากินอยู่ไปได้ยังไงผมล่ะเสียดายแทนจริงๆ หรือมันจะมีที่ถูกกว่าแต่ว่ายังไม่เจอแหล่ง

            “ข้าวกะเพราหมูสับครับ” ผมเลือกที่จะสั่งอะไรง่ายๆ และแน่นอนว่าไม่เพิ่มไข่ดาวอยู่แล้ว เอาจริงๆ ผมยังไม่ได้นับเงินที่แม่ติดกระเป๋ามาให้ และคิดว่าคงจะต้องเอาออกมาคำนวณค่าใช้จ่ายให้ดีก่อน เพราะถ้าหากราคาค่าข้าวยังเท่านี้ วันหนึ่งก็ประมาณ 2มื้อ 1เดือนจะเท่าไหร่ งานก็ยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้สมัครเลยด้วยซ้ำพูดง่ายๆ แต่เรื่องที่นอนโชคดีที่ไม่น่าห่วง พี่ข้างบ้านที่เขาเคยมาอยู่บอกผมไว้หมดแล้ว แค่เดินไปสุดซอยข้างตลาดจะมีห้องพักเล็กๆ ราคาถูกสำหรับพวกคนงาน ถ้าห้องเปล่าก็ 1,500 ถ้ามีเฟอร์นิเจอร์ก็ 2,200 และผมก็คงเลือกอย่างหลังนั่นแหละ นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย จะหาซื้อเองก็คงหมดเยอะน่าดู แค่ราคาข้าวก็ท้อแล้ว อย่างน้อยมีเตียงมีที่นอนพัดลมเพดานก็ยังพอจ่ายไหว

            “เก็บเงินด้วยครับ” ผมตะโกนเรียกใครสักคนหลังจากจัดการกับเจ้ากะเพราจนอิ่ม พนักงานหน้าบอกบุญไม่รับยืนล้วงกระเป๋ารอหลังจากบอกจำนวนที่ผมต้องจ่าย

            ผมรูดซิปล้วงมือเข้าไปในช่องเดิมที่เคยใส่กระเป๋าเงินของแม่ไว้ในนั้นแล้วหยุดชะงักทันที ไม่ใช่แค่มือ แต่หัวใจของผมมันเหมือนจะหยุดเต้นไปด้วย

ไม่มี...

            กระเป๋าบนเก้าอี้ข้างตัวถูกอุ้มมาวางบนหน้าตักอย่างร้อนรนซิปทุกช่องถูกเปิดรื้อค้นไม่สนใจเสื้อผ้าตัวไหนจะล่วงออกจากกระเป๋า หรือแม้แต่สายตาของพนักงานที่ยืนรอรับเงินอยู่ข้างโต๊ะ

            “ก็เก็บไว้ช่องนี้นี่หว่า” ผมพยายามล้วงช้าๆ เพื่อกวาดหาว่าอาจจะไปหลบอยู่ซอกมุมไหน ทันทีที่สอดมือเข้าไปกลับพบว่ามีรอยอะไรที่ทำให้ผมแทบช็อค

            ลากยาวคล้ายรอยมีดมันไม่ใช่แค่กระเป๋าแต่เหมือนรอยนั้นมันได้กรีดหัวใจผมไปด้วย ผมรู้ได้ทันที ไอ้ที่ขยุกขยิกแถวๆเป้บนรถเมล์ตอนนั้นมันไม่ใช่แค่การเบียด

            “หาเจอมะคะ อย่าเล่มุกาเป๋าหานะ” พนักงานถามเรียกสติผมที่นิ่งไม่รับรู้อะไรให้กลับมาเผชิญกับเหตุการณ์ตรงหน้า เล่นมุขบ้าอะไร เรื่องแบบนี้ใครจะไปขำออก “เจ้ มีโคจาช้าด่า”

            ผมไม่ได้จะชักดาบ ไม่เคยมีนิสัยแบบนั้นติดตัวมาเลยด้วย แต่ตอนนี้ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างตาโต มันคงเลิ่กลั่กเต็มทีถ้าหากมีคนอื่นมองมา

            “ไงน้อง จะจ่ายไม่จ่าย ข้าวแค่สี่สิบอย่ามายึกยักเสียเวลา ไม่งั้นก็ไปหาตำรวจ” คนที่ถูกเรียกว่าเจ้มองมาทางผมแล้วตะโกนจนสุดเสียง ผู้คนทั้งร้านต่างหันมาสบตาที่หวาดกลัวของผมกันหมด

จะทำยังไงดี ผมจะทำยังไงดี...

            “คิดรวมกับผมก็ได้ครับ” เสียงแหลมๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ผมรีบหันกลับไปมอง เขาทำท่าเหมือนจะล้วงกระเป๋าจากด้านหลังแล้วถามพนักงานพูดไม่ชัดนั่นอีกที “เท่าไหร่ครับ ทั้งหมด”

            “เอ่อ มะ ไม่ต้องก็ได้ครับ” ผมพูดออกไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าถ้าเขาไม่จ่ายแล้วผมจะเอาไงต่อ

            “โดนกรีดกระเป๋ามานี่ แค่นี้ก็ซวยพอแล้ว” เขามองหน้าผมก่อนตอบออกมาอย่างรู้สถานการณ์ พระเจ้า เขาเป็นคนเดียวที่เห็นใจผม

            “มีเงินกลับบ้านรึเปล่าล่ะ เอาที่เราไปก่อนได้นะ” แบงก์สีแดงนั่นถูกนับอยู่ 2-3ใบก่อนจะยื่นให้ผม “พอมั้ย บ้านอยู่ไกลรึเปล่า”

            “มะ ไม่ไกลครับ ผมเดินกลับก็ได้” ผมเอามือลูบหัวแล้วโค้งลง 2-3ที

           “โชคร้ายหน่อยนะ จะไปไหนมาไหนก็ระวังด้วย”

            ไม่รู้ว่าเขาคนนี้เป็นใคร แต่ถ้าจะบอกว่ามีเทวดาคอยคุ้มครองผม ก็เห็นจะไม่ผิด รูปร่างสูง ผิวพรรณขาวดูแล้วน่าจะเป็นลูกผู้ดี แต่ถ้าใช่ ทำไมถึงมากินข้าวข้างทางแบบนี้ได้ล่ะ

           ผมอุ้มกระเป๋าเป้ไว้ข้างหน้าเพราะกลัวว่าจะโดนโจรมากรีดอีก โอเค มันอาจจะเหมือนวัวหายแล้วล้อมคอก แต่ความระแวงมันก็มีจนล้นหัวไปหมด ทั้งๆ ที่ในกระเป๋าก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ขโมยแล้ว

           เดินก้าวตามฉับๆ ข้างหลังผู้มีพระคุณไปจนถึงลานจอดรถข้างตลาด ในใจคิดว่าคงเป็นสีขาวที่หรูๆ คันนั้น มันเหมาะกับเขามากเลย แต่เปล่า จักรยานขนาดพอดีตัวที่เขาขึ้นคร่อมมันล้างจินตนาการของผมแทบไม่ทัน

          “ขอบคุณมากนะครับ” ผมกล่าวออกไปเมื่อเขาหันล้อรถมาทางนี้ “เมื่อกี้ในร้านยังไม่มีโอกาสได้บอก ขอบคุณคุณมากๆ เลยนะครับ”

           เขาส่งรอยยิ้มจริงใจมาให้ผมพร้อมโชว์ฟันจนน่าจะครบ 32 ทรงผมคล้ายๆ เห็ดนั่นถ้าผมตัดคงตลกไม่น้อย แต่มันกลับเข้ากับเขาเอามากๆ คนอะไรทำไมถึงดูดีได้ขนาดนี้กันนะ ชาติที่แล้วทำบุญด้วยดอกไม้หรือไง

          “เลิกเอาแต่จ้องหน้าเราได้แล้ว ขึ้นมาสิ บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวเราไปส่ง”

          “บ้าน...” นั่นสิ จากนี้ผมจะไปอยู่ที่ไหน เงินก้อนสุดท้ายที่แม่ให้ก็ไม่อยู่แล้ว

           ผมยืนมองที่เบาะท้ายของรถจักรยานแต่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ทำให้ตาผมชื้นๆ จนเลือกที่จะหลับมันลง

          “เป็นอะไรรึเปล่า” เขาถามผมเพราะคงเห็นว่านิ่งไป ผมทิ้งท้ายให้เขาแค่คำว่าบ้าน แต่ตอนนี้บ้านที่ผมมีมันอยู่ที่สกลนคร ถ้าต้องซ้อนท้ายไปถึงนั่นผมว่าเขาคงจะเหนื่อยน่าดู

          “เดินไปท้ายตลาดนี่เองครับ ไม่ต้องไปส่งผมหรอก แค่นี้ก็เกรงใจมากแล้วครับ” ผมฉีกยิ้มออกไปให้ดูธรรมชาติมากที่สุดในการโกหก คุณเขาไม่น่ามาเจอกับความแปดเปื้อนแบบนี้เลย อย่างคุณเขาน่าจะเจอคนดีๆ ที่จริงใจ ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะ

          “ก็ตามใจ” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็ถีบจักรยานผ่านหน้าผมไปเลย ผมลอบมองเส้นทางที่เขาไปแล้วไม่รู้ทำไมผมถึงได้เดินตามรอยล้อนั่น

 

[จิม]

          ผมกลับมาถึงบ้านก็นึกทบทวนกับเรื่องที่เพิ่งได้เจอมา ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องโชคร้าย ถ้าเราเดินอยู่ดีแล้วมีคนมาขโมยของ มันเป็นอะไรที่เราไม่ทันได้ระวังตัว ไม่แปลกที่ผมจะเห็นท่าทางที่นิ่งไปคล้ายกับจะร้องไห้ของผู้ชายคนนั้น ผมปั่นจักรยานหนีเขาออกมาเพราะคิดว่าไม่สมควรที่จะไล่เรียงต่อ พอถามถึงบ้านสีหน้าเขาก็เปลี่ยน คงเพราะยังไม่กล้ากลับบ้านกลัวว่าจะโดนแม่ดุแน่ๆ เลย

            “พี่แจ็คครับ” ผมเคาะประตูห้องพี่ชายแล้วส่งเสียงเรียก ไม่นานมันก็ถูกเปิดออกและต้อนรับให้ผมเข้าไปอย่างง่ายดาย

            “มีอะไร พี่กำลังยุ่ง” วันนี้พี่ของผมไม่ได้เข้าบริษัท แต่ก็ไม่วายหอบงานกลับมาทำที่บ้านอยู่ดี

            “เมื่อกี้ผมไปเจอผู้ชายคนนึง เขาโดนกรีดกระเป๋าแล้วเงินก็หายหมดเลย น่าสงสารนะครับ” ผมนั่งลงบนโซฟาแล้วเล่าให้พี่ฟัง “กว่าจะรู้ตัวคนร้ายก็หายไปไหนต่อไหนแล้ว”

           “นั่นแหละพี่ถึงบอกให้ระวังตัว” พี่ชายผมยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ “แล้วเราไปเจอเค้าได้ไง”

          “เค้ากินข้าวร้านเดียวกับผม กินเสร็จถึงรู้ว่าไม่มีตังค์แล้วกระเป๋าโดนกรีด”
 
          “แล้วเราก็จ่ายค่าข้าวให้เค้า พี่พูดถูกมั้ย”

         “ถูกครับ”

         “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปใจดีกับใครให้มันมาก” พี่แจ็ควางปากกาในมือลงก่อนจะเงยหน้ามองมาที่ผมด้วยสายตาดุๆ “นั่นก็อาจเป็นพวกมิจฉาชีพอีกรูปแบบนึงก็ได้ ทำไมไม่รู้จักฟังพี่บ้างเลย”

         “แต่เค้าโดนมาจริงๆ นะครับ”

         “รู้ได้ไง” พี่แจ็คเหมือนจะไม่รอให้ผมได้อธิบายเลย “มันอาจจะมาหลอกกินข้าวฟรีที่ร้านก็ได้ใครจะรู้ แกล้งกรีดกระเป๋าตัวเองไว้ก่อนแล้วอาศัยความขี้สงสารจากคนอย่างนาย ทริคง่ายๆ แค่นี้ทำไมยังมองไม่ออก”

          “พี่มองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้ว” ทำไมถึงเป็นใจร้ายขนาดนี้ก็ไม่รู้สิพี่ชายผมนี่นะ

         “ให้เงินเค้าไปอีกเท่าไหร่ล่ะ” เรื่องรู้ทันขอให้ไว้ใจพี่แจ็คได้เลย

         “ผมจะให้แต่เค้าไม่เอา” ผมบอกไปตามความจริง “เห็นมั้ย เค้าไม่ได้จะมาหาผลประโยชน์กับผมสักหน่อย”

         “ความใจดีของนาย สักวันจะนำภัยมาถึงตัว จำไว้แล้วอย่ามาหาว่าพี่ไม่เตือน”

         “แต่แม่บอกว่าถ้าเราตั้งใจทำดี ก็จะมีแต่เรื่องดีๆ ตามมา พี่น่ะ น่าจะเข้าวัดบ้าง จะได้เลิกมองโลกในแง่ร้ายสักที อยากฝึกนั่งสมาธิเมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกัน”

          ผมเดินยู่หน้าออกมาจากห้องสีดำมืดๆ นั่นไม่พูดอะไรต่อ คนบ้าอะไรแม้แต่บรรยากาศในห้องก็เทาไปหมด ไม่รู้จักหาแสงสว่างในชีวิตให้ตัวเองบ้างเลย ว่าแต่...

 

ป่านนี้เด็กนั่นจะกล้ากลับบ้านรึยังนะ

#ห้องลับบักจ่อย
TBC


Hello

เปิดตัวน้องจ่อยแล้ว เป็นยังไงกันบ้าง ฝากทุกคนร่วมเม้นท์ เป็นกำลังใจกับเรื่องใหม่ให้เราหน่อยน้าา สามารถติดแท็กในทวิตเตอร์ได้ ใช้ชื่อเรื่องเลย

ว่าแต่... น้องจะทำยังไงต่อไปดีนะ เงินก็ไม่มีสักบาท พี่คนไหนอยู่ใกล้มีนบุรีไปช่วยน้องหน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 25-01-2019 14:37:42
       ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมเดินอย่างอ่อนแรงมาจนสุดขอบถนน จักรยานคันนั้นผ่านตาผมไปไกลแล้วนั่นทำให้ผมไม่มีจุดหมายที่จะเดินต่อ ข้างหน้านั่นมันไม่ใช่แค่ช่องแคบๆ เหมือนทางลูกรังสีแดงๆ แถวบ้าน แต่มันเป็นถนนกว้างใหญ่มีรถวิ่งสวนกันเต็มไปหมด
       ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในห้างโลตัส จัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จเพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ผมจะได้เข้าอีกทีที่ไหน เมื่อไหร่

 Rrrrrrr
 
       สัมผัสได้ว่ามีอะไรสั่นอยู่ในกางเกง โชคดีที่สอดมันไว้ในกระเป๋าด้านหน้า มันถึงได้ยังอยู่อย่างปลอดภัย และมันคงเป็นของมีค่าชิ้นเดียวที่ยังเหลือ

       [ฮอดละบ่หำ แม่ถ่าอยู่เด้อ คือเงียบแท้] (ถึงรึยังลูก แม่รออยู่นะ ทำไมเงียบไปเลย)

 "ขอโทดเด้อแม่ จั๊กหยังเป็นหยังกะเลยบ่ทันได้โทรหา แต่ฮอดแล้วล่ะ แม่บ่ต้องห่วง" (ขอโทษนะแม่ วุ่นวายไปหมดก็เลยยังไม่ได้โทรบอก แต่ถึงแล้วแม่ไม่ต้องห่วงนะ)

       [ฮอดไส ฮอดที่พักน่ะบ่ ละมันเป็นแนวได๋ อยู่ได้อยู่บ่ลูก อยู่บ่ได้กะฟ้าวเมือเด้อ] (ถึงไหน ถึงที่พักหรอ แล้วเป็นยังไงอยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ไม่ได้ก็รีบกลับมาบ้านนะลูก)

"..... อยู่ได้จ้ะแม่ ห้องกว้าง นอนสามสี่คนกะเหลือ ของกินกะหลาย ยังบ่ได้กินคบอยู่กะสิให้เมือล่ะบ่ ฮ่าๆๆ" (อยู่ได้ครับแม่ ห้องกว้างนอนได้ตั้ง 3-4คน ของกินก็เยอะ ยังกินไม่หมดทุกอย่างก็จะให้กลับแล้วหรอ)

       [แซบส่ำแม่เฮ็ดอยู่บ้อ บ่แม่นเห็นแต่ของกินล่ะลืมฝีมือแม่เด้อ] (อร่อยเท่าแม่ทำรึเปล่า ไม่ใช่เห็นแก่ของอร่อยๆ แล้วลืมฝีมือแม่นะ)

"บ่ส่ำแม่เฮ็ดดอก ของแม่ฮั่นแซบที่สุดแล้ว ถ่อนี้ก่อนเด้อแม่ เฮ็ดหยังแล้วจั่งเว้ากันใหม่" (ไม่เท่าที่แม่ทำหรอก ฝีมือแม่อร่อยที่สุดแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ ทำอะไรให้เสร็จก่อนค่อยคุยกันใหม่)

       [พักผ่อนเด้อลูก ฟ้าวจัดฟ้าวหยังให้แล้วจั่งโทรหาแม่มื้อหน่ากะได้] (รีบจัดข้าวของทุกอย่างให้เสร็จแล้วพักผ่อนนะลูก ค่อยโทรหาแม่วันหน้าก็ได้)

"ครับ....คิดฮอดแม่กับน้องเด้อ" (ครับ....คิดถึงแม่กับน้องนะ)

...ติ้ด...

 
       ผมรีบกดวางสายไปเพราะมันกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าแม่รู้ว่ามาที่นี้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างท่านคงเป็นห่วงจนต้องหาทางมาหาผม ยิ่งฝืนคุยนานกว่านี้ท่านอาจจะจับน้ำเสียงผมก็ได้ว่ามันกำลังข่มไม่ให้สะอึกสะอื้นอยู่ เงินทองที่ให้ผมนั่นอาจจะเป็นส่วนที่แม่เก็บมาทั้งชีวิต อาจจะแบ่งไว้สำหรับค่าขนมน้องไปโรงเรียนนิดหน่อย ในขณะที่ผมไม่มีปัญญาแม้แต่จะรักษาไว้สักบาท
       เรื่องยอมอดให้ลูกอิ่มผมเพิ่งเข้าใจดีก็วันนี้ และเหมือนมันจะเตือนให้ผมนั่งท้อนั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ไม่ได้ ผมจะแพ้ตั้งแต่เพิ่งมาถึงไม่ได้

 
       ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟข้างถนนที่คอยส่อง กรุงเทพมหานครไม่มีดาวสักดวง ไม่เหมือนที่บ้านผมเลย พระจันทร์ก็เล็กนิดเดียว แถมตึกตรงนั้นยังบังอีกต่างหาก ผมอุตส่าห์แหงนคอมองเผื่อว่าเจ้าตัวเล็กที่บ้านจะกำลังมองดูอยู่เหมือนกัน
คิดถึงจังเลยน้า น้องสาวผมน่ะ

       ค่ำคืนที่นี่ก็ถือว่าไม่แย่ ยังพอมีลมโชยอ่อนๆ พี่ข้างบ้านผมเคยเล่าให้ฟังว่า กรุงเทพฯ ร้อนสุดๆ ซึ่งผมว่ามันก็จริง ขนาดผมดำนาแตกแดดทั้งวันยังไม่ทรมานเท่านี้เลย หรืออาจจะเพราะผมเดินไปร้องไห้ไปก็ไม่รู้นะ ร่างกายมันถึงได้เพลียจนแทบหมดแรง

       ผมนั่งลงตรงที่ที่มีแสงไฟส่องสว่าง ข้างๆ มีตู้ATMสีม่วงกับเขียวอยู่ติดกัน จะว่าไปยุงมันก็เยอะนิดหน่อย แต่ผมก็เดินไปไหนไม่ไหวแล้ว มันไม่มีจุดหมายปลายทาง และไม่รู้ซ้ำว่ามาไกลจากตลาดมีนบุรีมากแค่ไหน

       ผมไม่กล้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกเพราะกลัวแบตจะหมด ถ้าแม่โทรมาแล้วผมไม่สามารถรับสายได้จะยิ่งกังวลใหญ่

       นั่งถอนใจอยู่หน้า 7-11 แต่ก็ไม่ได้ขวางทางเข้าออกหรอกครับ ผมเลือกที่จะกอดกระเป๋าพิงตัวอยู่ข้างตู้กดเงินริมๆ สุดเพราะมันสบายกว่า สายตาของผมมันเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ ไม่ต่างจากร่างกาย เจ้าหมาสีมอมแมมนอนมองผมที่กำลังจะปิดตาลง ผมคงต้องทิ้งตัวเองไว้ที่นี่แล้วสิ
ฝากตัวด้วยนะ เจ้าถิ่น



       "น้องจิม เอาโจ๊กร้อนๆ ไปกินมั้ยลูก"

       "ขอบคุณนะครับป้าพร แต่วันนี้ผมทำข้าวต้มกุ้งเต็มหม้อเลย ไว้วันหน้านะครับ"

       "ดีจังเลยน้า เด็กสมัยนี้จะมีสักกี่คนตื่นแต่เช้าทำกับข้าวใส่บาตร ภูมิใจแทนคนเป็นพ่อเป็นแม่"
       ผมได้ยินเสียงแว่วๆ ก้องเข้ามาในหู ตาของผมมันยังลืมขึ้นได้ไม่เต็มที่ อาจเพราะแสงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้ามาตรงหน้า ยังรู้สึกชาๆ ที่ขาพอหลี่ตาดูถึงรู้ว่าเจ้าสีมอมแมมมันหนุนผมแทนหมอน
       ขยับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าอยู่หลายวินาทีสายตาผมก็โฟกัสไปที่รอยยิ้มมีเสน่ห์ แม้จะเป็นมุมข้างแต่ก็จำได้ขึ้นใจ เสื้อสีขาวกางเกงดำเหมือนเมื่อวานและจักรยานคันนั้น
คุณเทวดา...

       ผมรีบยกกระเป๋าปิดหน้าเมื่อเขากำลังจะหันกลับมาทางนี้ บทสนทนาที่ปลุกผมเป็นเสียงของแม่ค้ารถเข็นที่ไม่รู้มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ทำให้ผมรู้สึกอายขึ้นมาทันที
       ผมนั่งหลับอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืน มันไม่ค่อยมีคนเลยไม่กังวลเท่าไหร่ แต่ดูตอนนี้สิ ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด
นี่ผมเผลอกรนไปบ้างรึเปล่านะ

       เจ้าสีมอมแมมจ้องผมอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินไปทักทายบรรดาแม่ค้าที่มันคงคุ้นเคยดี มองลอดกระเป๋าไปเห็นหมูปิ้งกลิ่นหอมรูดออกจากไม้วางบนถาดเก่าๆ ผมว่ามันหมามันต้องกำลังเยาะเย้ยผมแน่ให้ตายสิ ผมบ่นกับมันว่าหิวอยู่เมื่อคืน
       "ไปก่อนนะครับ ต้องไปเรียนแล้ว" เสียงคุณเทวดาร่ำลาแม่ค้าหรือแม่ยกก็ไม่รู้ ดูท่าจะเอ็นดูอุ้มโอ๋ยิ่งกว่าพระเอกหมอลำแถวบ้านผม แล้วแซนวิชที่ถือจะเดินผ่านผมนั่นน่ะ เห็นนะว่าไม่ได้จ่ายตังค์
เอ๊ะ...
หะ...ให้ผมหรอ

       เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าเมื่อเห็นขนมปังตรงกลางมีหมูหยองกับครีมขาวๆ 2ห่อถูกเจ้าของคนใหม่เอามาวางไว้ข้างๆ ตัวผม เจ้าสีมอมแมมเหลือบตามาทำท่าจะแย่ง ผมจึงรีบทิ้งกระเป๋าแล้วคว้าเอาห่อแซนวิชทันที
       "นาย..." นิ้วชี้ขาวเรียวชี้มาที่หน้าผม นึกขึ้นได้จะคว้ากระเป๋ากลับมาบังไว้ที่เดิมก็ไม่ทัน ไม่น่าเลย ไม่น่าเห็นแก่ของกินเลย
เพราะเจ้าหมานี่แท้ๆ
       "เอ่อ... แหะๆ...หวัดดี" ตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ถูก ในใจยังรู้สึกขอบคุณอยู่มากกับค่าข้าวที่เขาออกเงินช่วยจ่าย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังโกหกเรื่องบ้านแล้วทีนี้จะทำยังไง
       "อย่าบอกนะว่าเรื่องโดนกรีดกระเป๋าทำให้นายไม่ยอมกลับบ้านน่ะ" คุณเทวดานั่งยองๆ ลงตรงหน้าผม เสียงแม่ค้าคนหนึ่งลอยมาเตือนเขาว่าอย่าเข้าใกล้คนจรจัด นั่นทำให้น้ำตาผมแทบจะไหลออกมาทันที "ทำไมมานั่งอยู่นี่ บ้านช่องมีทำไมไม่กลับ หรือว่าโดนไล่ออกมา"
       น้ำเสียงของคุณเทวดาไม่มีทีท่าแข็งกร้าวหรือกลัวคำเตือนจากแม่ค้าหนำซ้ำยังออกจะกังวลไปกับเรื่องของผมอีก
       "ผม..."
       "ทำไม มีอะไรก็ว่ามา ที่บ้านนายดุมากหรอหรือยังไง ให้เราไปช่วยพูดให้มั้ย"
       ผมสบตากับคุณเทวดาก่อนที่น้ำใสๆ จะค่อยๆ ไหลอาบแก้ม เขาเป็นใคร ทำไมถึงดีกับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบนี้
       "ผม... จริงๆ แล้วผม... ไม่มีบ้าน"

 
       นั่งซ้อนท้ายจักรยานมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ถ้าเทียบกับแถวๆ นี้มันก็ดูไม่ได้ใหญ่มาก ขนาดของพื้นที่ก็คงพอๆ กัน แต่ถ้าเทียบจากถิ่นที่ผมจากมา พวกเราเรียกมันว่า บ้านคนรวย
       ผมเล่าให้คุณจิมฟังทุกเรื่องราวทั้งเหตุผลที่เดินทางมากรุงเทพฯ และสถานการณ์ที่เกิดอย่างไม่โกหกแม้แต่ครึ่งคำ คุณจิมทักถามขึ้นมาบ้างบางจังหวะแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ยังส่งมือขาวนุ่มมายีหัวที่ไม่ได้สระของผมอย่างไม่รังเกียจ ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่ามันเหนียว
       "นายรออยู่นี่ก่อนนะ ห้ามไปไหนเด็ดขาด นั่งรออยู่ตรงนี้ เข้าใจมั้ย" คุณจิมดึงตัวผมมายัดไว้ข้างพุ่มไม้เหมือนต้องการจะซ่อนผมจากใครอยู่ คำพูดที่กำชับหนักแน่นทำให้ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ส่งสายตาโตๆ ให้รู้ว่าเข้าใจและจะไม่ทำให้ผิดหวังในตัวผม
"โอ๊ะๆๆๆ"


[จิม]


       "ทำไมเพิ่งมา จะออกไปใส่บาตรก็ต้องรู้จักเวลากลับด้วยสิ เดี๋ยวก็สายกันหมด" ทันทีที่เดินเข้าบ้านก็โดนแต่เช้า ถึงจะชินเพราะอยู่กับพี่มาทั้งชีวิตแต่ผมก็ได้แต่พูดว่าขอโทษด้วยท่าทีจ๋อยๆ ทั้งชีวิตเหมือนกัน
       "พี่แจ็คไปก่อนเลย ไลน์กลุ่มบอกว่าวันนี้อาจารย์ไม่เข้า จิมจะรอไปตอนบ่ายทีเดียว"
       "ถ้าไม่เข้าแล้วทำไมเพิ่งมาบอก ปกติเค้าก็ต้องรู้ตารางตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรอ" พี่แจ็ควางท่าเหมือนจะไม่เชื่อที่ผมพูด แถมยังโวยอาจารย์ซะยกใหญ่ "ไม่ใช่ขี้เกียจแล้วแอบโดดเรียนเองหรอกนะ ใกล้สอบแล้วอย่าทำตัวเถลไถลสิ"
       "จิมป่าวซะหน่อย หนังสือก็อ่านทุกวัน พี่แจ็คนั่นแหละ จะทำงานก็รีบไปทำสิ นัดประชุมกับลูกค้าไม่ใช่รึไง"
       "พี่รับผิดชอบงานของพี่ได้ ขึ้นไปเอากระเป๋าแล้วออกไปพร้อมกัน"
       "แต่พี่แจ็ค / ไม่มีแต่ ว่างแค่สองสามชั่วโมงก็ไปนั่งรอที่ห้องสมุด หาหนังสือที่มันเป็นประโยชน์กับการสอบของแกอ่านซะ"

       ผมคอตกเดินขึ้นบันไดไปแบบไม่เต็มใจนัก ถ้าไม่เชื่อเรื่องที่อาจารย์ไม่เข้าสอนก็ไม่แปลก เพราะผมโกหกจริงๆ แต่จะทำยังไงกับคนนั่งรออยู่หน้าบ้านล่ะ ป่านนี้ร้อนแย่แล้วมั้ง ขนมปังแค่ 2ชิ้นนั่นจะอิ่มรึเปล่า น้ำก็ไม่ได้ซื้อไว้ให้ ปกติผมไม่ได้เป็นคนเกเรเลยนะ แต่วันนี้มันมีเหตุผลที่ต้องทำนี่

       JIMMA: พี่บอมช่วยจิมหน่อยครับ

      JIMMA: เช้านี้ไม่มีคาบเรียนแต่พี่แจ็คบังคับจะให้จิมไปมหาลัยให้ได้เลย

      JIMMA: เมื่อคืนอ่านหนังสือดึกมาก จะได้พักทั้งทีแต่พี่แจ็คก็ไม่ยอม

      JIMMA: T___T

      จะBOMบ้านมึง: เดี๋ยวป๋าจัดการให้น้องรัก

 
       รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พี่บอมปกติก็เป็นหัวโจกเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นเรื่องขัดใจพี่แจ็คยิ่งงานถนัด
       "อย่าออกไปสายนะ สิบเอ็ดโมงให้ถึงมหาลัยล่ะ เดี๋ยวพี่จะโทรไปเช็ค"
ได้ผล...
       
       ไม่รู้พี่บอมใช้มุกอะไรแต่ผมเห็นรถพี่แจ็คเคลื่อนออกจากบ้านไปไกลแล้ว ถ้าไม่ได้หยุดที่หน้าประตูนานๆ นั่นแสดงว่าพี่แจ็คไม่ได้เจอจ่อย
       "เฮ้ย ทำไมตัวแดงงั้นอะ" ผมรีบออกมาหาจ่อยตามความตั้งใจเดิม แต่ภาพที่เห็นคือตุ่มผื่นแดงทั้งตัว มือก็ลูบเกาขยุกขยิกไม่หยุด
       "มดครับ ต้นไม้มันมีมด" เงยหน้าที่มีตัวเล็กๆ ไต่อยู่เต็มขึ้นมาตอบผม
       "แล้วทำไมไม่ออกมา รู้ว่ามีมดยังจะนั่งอยู่ทำไม"
       "ก็คุณจิมบอกให้อยู่ตรงนี้ห้ามไปไหน ผมก็เลย..." โธ่... ผมรีบดึงร่างผอมๆ ออกมาจากพุ่มไม้ ปัดเจ้าตัวที่วิ่งสวนกันไปมาบนตัวออก แต่นั่งทับรังมันขนาดนี้ทนอยู่ได้ยังไงนะ ก็รู้ว่าซื่อ เพราะดูจากที่ได้พูดคุยหรือแม้แต่ตอนที่ขี่จักรยานมาด้วยกัน พอบอกให้จับดีๆ ก็ยกแขนมาล็อกเอวผมเอาไว้แน่น แต่ขอเถอะ มันใช่เรื่องไหม
       "เข้ามาเร็ว เปลี่ยนชุดออกก่อน เผื่อมันอยู่ในผ้า" ผมหันไปบอกแต่คนที่พูดด้วยอยู่ตอนนี้กลับยืนมองบ้านผมตาโต เหมือนพยายามสำรวจไปรอบๆ ถ้าจะคิดว่าดูลาดเลามันก็คิดได้ แต่ถ้าใครมาเห็นปากที่อ้าหวอ ส่งเสียงอู้วหูว กับตาเท่าไข่ห่านก็คงคิดร้ายไม่ลง "ไม่คันแล้วรึไง"
       "คันครับ" คนบ้าอะไรลืมคันไปชั่วขณะ ผมยืนยิ้มให้กับท่าทีเหมือนเด็กมาทัศนะศึกษา สายตาก็มองไปเรื่อยอย่างตื่นตาตื่นใจ ขาก็ก้าวออกไปไม่มองทาง "บ้านผมมีแค่จากตรงนี้ ยาววววววไปถึงตรงนั้นแล้วก็นี่ แค่นี้เองครับ"
       เจ้าผอมนี่ชี้มือลากให้ผมเห็นภาพตามที่เขาอยากจะบอก แต่ว่าบ้านที่อยู่กันสามคน ไม่เล็กไปหน่อยหรอ บ้านหลังนี้ก็อยู่สามคน ดูใหญ่โตไปเลยแหะ แต่ไว้ก่อนเถอะ "ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ล้างหน้าล้างตาอาบน้ำจะได้มาทายา"
       "ครับ" ตอบแต่ไม่ใส่มองผมสักนิด ภาพที่แขวนอยู่บนพนังนั่นดูจะน่าสนใจมากกว่าสินะ
       "นั่นครอบครัวเราเอง รีบไปก่อนเดี๋ยวจะแนะนำให้ฟัง"
       "ครับ"

[จ่อย]


       ผมนั่งอยู่บนเบาะนิ่มๆ เนื้อตัวเกือบจะเปลือย เพราะคุณจิมยังไม่ยอมให้ใส่เสื้อผ้า มีเพียงผ้าห่มที่ยื่นมาเพราะแอร์มันเย็นจนสั่น แต่ก็คลุมได้ไม่เต็มตัว ยังต้องคอยเปิดทีละส่วนให้คุณจิมทายาหม่อง
       "กินยาแก้แพ้ผื่นคันด้วยดีกว่า มันเยอะจนน่ากลัว" คุณจิมหยิบแผงยามาแกะแต่ผมรีบแย่งมาไว้ในมือก่อน "อะ จะกินเองหรอ งั้นเดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้"
       "ไม่ครับๆ" ผมรีบปฏิเสธหน้าสั่น
       "ต้องกินด้วย"
       "ไม่ครับๆ"
       "นี่นายกินยายากใช่มั้ยเนี่ย" คุณจิมเหล่หางตามองผมอย่างรู้ทัน "เป็นเด็กรึไงฮะเรา"
       "ผมโตแล้ว" รีบเถียงสวนขึ้นอย่าทันที "แต่ยามันขม คนโตก็ขมได้นี่"
       คุณจิมยกมุมปากปัดหางตาไปทางอื่นก่อนจะหันมาหลอกล่อให้ผมยอมกิน ซึ่งบอกเลยว่ายาก ไม่มีทางเด็ดขาด
       "ถ้าไม่กิน เราจะคิดค่าแซนวิช ค่าน้ำดื่ม ค่าน้ำที่อาบไปด้วย แล้วถ้านายไม่จ่าย เราจะตามไปทวงกับแม่นายที่สกลนคร แล้วถ้าแม่นายยังไม่ยอมจ่า../พอแล้วครับๆ" ผมนั่งคอตกมองแผงยาเม็ดเล็กๆ ในมือ
       "ยอมกินตั้งแต่ค่าแซนวิชแล้ว"

 
       เพิ่งรู้เหตุผลที่คุณจิมพามาที่นี่ ตอนที่บอกให้ซ้อนท้ายมาด้วยผมก้าวขึ้นรถเพราะไม่อยากขัดผู้มีพระคุณ และผมเองก็ไม่มีที่ไป ต่อให้นั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิต และถ้าผมจะต้องถวายมันให้กับใครสักคน คนๆ นั้นก็คงเป็นเทวดาตรงหน้าผม
       "อร่อยล่ะสิ ถ้วยที่สามแล้วนะ" ผมหิว จะตอบออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้ เห็นรอยยิ้มจริงใจของผู้ให้ก็คงไม่กล้าพูดอะไรออกไปตรงๆ แต่ข้าวต้มนี่ก็อร่อยมากจริงๆ แม้เหตุผลที่กินเยอะจะเพราะหิวมากกว่าก็เถอะ
       "อร่อยมากเลยครับ คุณจิมทำเองจริงๆ หรอครับ"
       "เลิกเรียกเราว่าคุณได้แล้ว สิบแปดเท่ากันนี่ นายเกิดก่อนด้วยซ้ำ"
       "ได้ไงล่ะครับ คุณก็ต้องเป็นคุณสิ ไม่รู้แหละผมถนัดปากแล้ว" ผมยู่ปากติดจมูกใส่ไปทีนึง คุณจิมน่ะ เหมาะที่จะถูกเรียกว่าท่านด้วยซ้ำ หรือมันมีคำไหนที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกไหมนะ
       "เรียกเราว่าจิม แทนตัวเองว่าจ่อย หรือจะแทนว่าเราเหมือนเราก็ได้ ไม่ต้องลงท้ายว่าครับ"
       "ไม่ดะ../..หรือจะจ่ายค่าข้าวต้มสามถ้วยก็เลือกเอา"
       "เราว่าเราอิ่มแล้วล่ะ"


       ผมนั่งเกาตุ่มรอคุณ เอ้ย รอจิมอยู่ในครัว เขาบอกจะขึ้นไปหาของ ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร จิมน่ะเป็นคนดีมากๆ ก็จริง แต่ขี้ขู่ชะมัด รู้ว่าผมไม่มีเงินก็ยกแต่เรื่องนี้ขึ้นมา
       "ไปกัน" เสียงฝีเท้าวิ่งลงมาจากบันไดพุ่งเข้าครัวมาหาผม มือขาวๆ นั่นคว้าแขนที่กำลังเกาตุ่มอย่างเมามันส์ของผมให้เดินออกประตูหลังลัดเลาะมาจนสุดตัวบ้าน "ถือนี่มาด้วย"
       ผมหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงมาตามที่คุณ เอ้ย จิมสั่ง ให้ตายสิ ยังไม่ยอมชินปากสักทีเลย "เราจะทำอะไรกันหรอ" ผมถามเมื่อเห็นจิมออกแรงไขประตูลูกบิดฝืดๆ นั่น
       "เข้ามา" ก้าวตามไปแล้วต้องรีบหันหลังกลับ ฝุ่นผงคลุ้งกระจาย หยากไย่ห้อยเต็มไปหมดจนเราทั้งคู่แข่งกันจาม ใครหยุดก่อนแพ้ "อาาา แย่กว่าที่คิดแหะ"
       "ห้องอะไรหรอ ทำไมถึงปล่อยให้ร้างขนาดนี้" ผมรีบพูดให้จบเพราะต้องกลับไปจามต่อ
       "มันเป็นห้อ..หะ..หะ..ฮัดเช้ยยย โอย ห้องเก็บของ หลังๆ มาไม่ค่อยได้ใช้ เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้เก็บ ชิ้วว!!"
       "คุ..จิมกลับเข้าบ้านก่อนเถอะ ถ้าจะทำความสะอาดล่ะก็ เดี๋ยวผ..เรา ทำเอง อย่ามาอยู่แถวนี้เลย เสื้อจะเปื้อนหมด" ผมเห็นสภาพแล้วคิดว่า จิมคงอยากให้ผมทำความสะอาดเพื่อแลกกับค่าข้าวแน่ๆ ซึ่งก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากว่าจะมีอะไรที่พอจะตอบแทนได้ ผมก็พร้อมที่จะทำอย่างเต็มที่
       "ช่วยกันนี่แหละ ฮัดเช้ย!! ท่าจะเสร็จยาก รอนี่ก่อน เดี๋ยวเราไปเอาแมสปิดปากกับเครื่องดูดฝุ่นมาดีกว่า แบบนี้ไม่น่าไหว" ผมมองจิมเดินกลับเข้าประตูหลังบ้านไปอีกครั้งก่อนจะออกมาพร้อมเครื่องกลมๆ กับสายยางใหญ่ๆ ดูเหมือนจะไปเปลี่ยนชุดแบบใส่สบายๆ มาด้วย
       "รีบเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน"

 
       ผมกับเจ้าของบ้านทำความสะอาดกันอยู่พักใหญ่ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้จากเหนื่อยๆ กลายเป็นว่าเราสองคนเล่นสนุกไปกับข้าวของทุกอย่างที่จัดเก็บอยู่ในนี้
       จิมเล่าถึงของเล่น ตุ๊กตา รถแข่งที่อยู่ในกล่องทุกอย่างจนครบ ผมเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขนั่นก็นึกอิจฉาในใจ วัยเด็กของผม ของเล่นที่สนุกที่สุดคือขี้โคลนกับกองฟาง
       หลายอย่างถูกนำมากองไว้ที่นี่ บางอย่างมันดูมีค่าและน่าจะใช้งานได้อยู่แต่กลับถูกทิ้งให้จมกองฝุ่น ตู้นั่นก็ด้วย อยากยกไปให้แม่ใส่เสื้อผ้าที่พับอยู่ในตะกร้าจัง
       "คิดอะไรอยู่" จิมปลุกผมขึ้นมาจาภวังค์ แต่ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าแล้วยิ้มรับกลับไป "เลื่อนกองนี้ไปไว้มุมนู้นดีกว่า จะได้มีพื้นที่เยอะๆ"
       "จ้ะ" เราช่วยกันยกลังหนักๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลากเพราะหมดแรงไปเยอะ ห้องเก็บของตอนนี้ดูดีจนแทบจำสภาพก่อนหน้าไม่ได้ คิดว่ามันจะแคบๆ แต่พอมาจัดเป็นระเบียบจริงๆ กว้างกว่าห้องนอนผมที่บ้านอีก ขนาดเรานอนรวมกันสามคนนะ
       "เรียบร้อย" จิมปัดมืออยู่ 2-3ที "ไปเอากระเป๋านายมาสิ"
       "ฮะ? อ๋อ" ผมเดินออกจากห้องมาโดยไม่ลืมหยิบไม้กวาดติดมือไปเก็บด้วย
       
       ทะลุเข้าห้องครัวคว้าเอาเป้ขึ้นสะพาย แถมเกือบจะลืมโทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้อีก ดีนะแม่ไม่ได้โทรมาตอนกำลังยุ่งๆ
       "เราไปก่อนนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย ขอบคุณมากๆ ถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาตอบแทนจิมนะ" ผมโค้งหัวให้จิมอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ บุญคุณที่ช่วยเหลือผมน้ำทุกหยด ข้าวทุกเม็ด ผมอยากจะชดใช้ให้ร้อยเท่าพันเท่า
       "จะไปไหน?" จิมถามเมื่อผมส่งยิ้มสุดท้าย เอียงคอสงสัย สีหน้างงๆ คงเป็นห่วงว่าผมจะไปทางไหนต่อสินะ ช่างเป็นคนดีจริงๆ
       "คงเดินๆ หางานดูก่อน ถ้าโชคดีก็อาจจะเจอพวกงานรับจ้าง พี่ที่รู้จักเคยบอกว่าในตลาดชอบมีกระดาษเขียนติดไว้เยอะ" ผมบอกสิ่งที่รู้เพื่อให้จิมสบายใจ ไม่ต้องห่วงผมอีก
       "นายจะบ้ารึไง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ที่ให้ทำควา.."
ปิ๊น ปิ๊นน

       "นั่นไง!!!" จิมตาโตเท่าไข่เป็ด หันขวับออกไปทางประตูบ้าน คว้าแขนผมออกตัววิ่งแต่ก็เงอะงะอยู่ครู่นึง "เก็บมาให้หมดเลย เก็บหมดยัง ไม่ทันแล้วๆๆ ตายแน่ ตายแน่ๆ"
       "จิมเป็นไร ใจเย็นก่อน"
       "เย็นไม่ได้แล้วพี่แจ็คกลับมาแล้ว อะไรวะเพิ่งจะห้าโมงเอง มากลับเร็วอะไรวันนี้เนี่ย โอ้ยยย ทำไงดีๆ" จิมบ่นอะไรไม่รู้ฟังไม่ทัน รู้แค่ดึงมือผมเดินวนซ้ายที ขวาที จนผมเริ่มจะประสาทตาม
       "หยุดก่อนจิม มีคนมา ไปเปิดประตูก่อนดีมั้ย" ผมถามเพราะยังได้ยินเสียงแตรรถดังถี่อยู่นอกบ้าน คนกดเขาไม่คิดเกรงใจคนอื่นเลยหรือไง
       "เอากุญแจดอกนี้ไป เก็บไว้กับตัวนะ เข้าไปอยู่ในห้องเก็บของ ใครเคาะก็ห้ามเปิด ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมาเด็ดขาด อยู่แต่ข้างในนั้นเข้าใจมั้ย"
       คนตรงหน้าส่งสายตาจริงจังมาให้ผม เพื่อไม่ให้จิมสติแตกไปมากกว่านี้ผมจึงรับกุญแจแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องเก็บของอย่างรวดเร็ว ประตูลงกลอนล็อกไว้จนแน่น โชคดีมันไม่ได้มีฝุ่นเหมือนในตอนแรก ทำให้ผมหายใจสะดวกขึ้นเยอะ

[จิม]


       "ทำไมช้าจัง แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่โทรหาก็ไม่รับ อย่าบอกนะว่านายโดดเรียนทั้งวัน" เอาแล้วไง กลับมาก็ใส่กันไม่ยั้งเลย
       "จิมเลิกก่อนเวลาก็เลยรีบกลับมาอ่านหนังสือ แต่ยังไม่ทันได้อ่านหรอก กลับมาก็ทำความสะอาดบ้านก็เลยมอมแมมเลยเห็นมั้ยๆ" ผมอธิบายพร้อมดึงเสื้อที่มีแต่ฝุ่นมอมๆ เพื่อเปลี่ยนเรื่องที่วันนี้ผมหนีเรียน
       "ขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว วันนี้แม่กลับดึก พี่ซื้อกับข้าวมาให้แล้วอยู่ในรถ ฝากไปเอามาด้วย"
       "แล้วพี่แจ็คไม่กินกับจิมมหรอ"
       "พี่กินกับลูกค้ามาแล้วถึงได้สั่งกลับมาให้นี่แหละ"
       "งั้น...จิมเอาขึ้นไปกินข้างบนนะ จะเปิดฟังที่อาจารย์บรรยายด้วย" ผมแกล้งบอกไปเพื่อให้พี่ชายเลิกยุ่งกับผม ถ้าเป็นเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือ พี่แจ็คจะไม่ยอมให้ใครเข้าไปกวนผมเลย
       "อย่ากินบนที่นอนแล้วกัน"


[จ่อย]

       ผมนั่งกอดเข่าอยู่กลางห้องเพราะไม่รู้จะทำอะไร กลัวเผลอส่งเสียงดังออกไปแล้วจิมจะดุ หรืออาจจะเดือดร้อนเพราะผม เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงเข้มๆ ดังแว่วเข้ามา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก

       "เราเองๆ เปิดหน่อย" แนบหูติดประตูเพื่อหยั่งเสียง ก่อนจะโล่งใจค่อยๆ เปิดรับ
       "ปิดเร็วๆ" ไม่รู้ทำไมถึงทำลับๆ ล่อๆ ขนาดนั้น ผมมองตาไม่กระพริบ
       "นี่อะไรหรอจิม" ผมมองข้าวของที่จิมหอบมาจนเกือบจะท่วมหัว
       "ที่นอนปิกนิกไง แล้วนี่ก็ผ้าห่ม เอาผืนใหญ่ลงมาไม่ได้โทษทีนะ อันนี้หมอนเอาวางไว้นี่ก่อนก็ได้ กินข้าวก่อน" จิมจัดแจงทุกอย่างจนผมงงไปหมด เขาเอาของพวกนี้มาทำไม หรือว่าเป็นของเก่าที่ต้องเอามาเก็บ แต่มันก็ยังดูดีอยู่เลย คนกรุเทพฯ ใช้ของแค่ครั้งสองครั้งก็เรียกว่าเก่าแล้วสินะ
       "เมื่อกี้ใครหรอ"
       "กินก่อนๆ กินไปด้วยคุยไปด้วยก็ได้"
       กล่องโฟมใหญ่มากผมไม่เคยเห็นมาก่อน คิดว่าที่ใส่อาหารมันจะมีขนาดเดียวซะอีก แล้วที่อยู่ในนั้นมัน ผัดไทนี่นา ผมไม่ได้กินนานมากแล้ว จำได้ว่าคุณครูเคยเอามาให้เพราะซื้อมาแล้วกินไม่หมด ผมถือกลับบ้านน้องสาวกินไปยิ้มไปเลยล่ะ บอกว่ามันหวานๆ ดี
       "มองอะไรอยู่ได้ กินเร็วเข้า" จิมเลื่อนกล่องโฟมมาให้ผม ในปากก็เคี้ยวตุ้ยกับเส้นแบนๆ
       "กินเถอะ เดี๋ยวจิมไม่อิ่ม" มองดูแล้วคิดถึงยัยตัวเล็กจังแฮะ ยิ้มสดใสของจิมเวลากินของอร่อยๆ น่ะ เหมือนกันเลย
       "กินด้วยกัน เดี๋ยวก็หิวตายหรอก หมดนี่ก็ไม่มีอะไรให้กินแล้วนะบอกก่อน อีกทีก็นู่นเลย พรุ่งนี้เช้า"
       "ก็ได้" ยืนยันอีกครั้งว่าจิมใจดีที่สุดในโลก
       
       เสียงคุยจ้อยังก้องอยู่ในหูผม เรื่องเล่าของจิมเยอะมากจริงๆ จนผมชักสงสัยว่าเขาไม่เคยได้คุยกับใครหรือไงนะ แต่คนสดใสน่าจะเพื่อนเยอะสิ
       จิมเล่าให้ฟังถึงคนในครอบครัว เราสองคนสูญเสียคุณพ่อตั้งแต่เด็กเหมือนกัน พี่ชายที่ชื่อแจ็คจึงต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งก็คงคล้ายผมในตอนนี้ แม่ของจิมต้องเดินทางตลอดนานๆ จะอยู่บ้านที ส่วนพี่ชายวันๆ ก็มีแต่งาน ผมถึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงคุยกับผมเยอะแยะ คงเพราะเหงานี่เอง
       "ดุมากเลยหรอ พี่ชายจิมน่ะ" เขาดูสลดลงถ้าผมมองไม่ผิด
       "เข้มงวดกับเรามากเลย พอเราจะขวาก็บอกซ้าย ไม่เคยให้เราได้ทำตามใจตัวเองหรอก อยากคุยกับพี่แจ็คนะ เวลาที่ไปเจอเรื่องอะไรมาก็อยากจะเล่าให้ฟัง แต่ก็.."
       "เป็นงานที่หนักมากเลยหรอ" ผมพูดต่อเมื่อจิมนิ่งไป
       "เป็นงานด้านวงการบันเทิง รู้จักใช่มั้ย แต่ก็พ่วงอีเว้นท์ รับจัดงานนอกบ้าง" ผมพยักหน้าทั้งที่จริงก็ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ "พวกนี้ต้องเป๊ะ งานอื่นผิดพลาดยังกลับมาแก้ได้ แต่งานของพี่แจ็คถ้าไม่วางแผนดีๆ พลาดแล้วก็พลาดเลย เสียหายหลายแสนเลยล่ะ" ฟังดูก็คล้ายๆ จะเป็นเรื่องใหญ่
       "มิน่าล่ะ" เหมือนจะพอเข้าใจว่าทำไมพี่ชายของจิมถึงเป็นคนเข้มงวด
       "แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เรามีนายแล้ว เป็นเพื่อนกันนะจ่อย ต่อไปเราจะไม่เหงาแล้ว ต้องกินข้าวเย็นด้วยกันทุกวันนะ"
       "เอ่อ.." ผมเองก็พูดอะไรไม่ออก เราจะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง ถ้าเพื่อนมนุษย์ก็คงใช่ แต่นี่เดี๋ยวผมก็ต้องไปแล้ว แต่ไม่อยากจะขัดรอยยิ้มนี้เลย จะพูดยังไงดี
       "ปูที่นอนกัน"
       "ฮะ?"
       "ปูที่นอนไง แต่ตู้นั้นมีของเต็มไปหมดเลย นายเอาเสื้อผ้าไว้ในกระเป๋าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเราหากล่องใหญ่ๆ มาให้เก็บ เวลาจะอาบน้ำนายต้องระวังหน่อย ห้ามทิ้งอะไรไว้ในห้องน้ำเด็ดขาด ห้ามออกจากห้องก่อนแปดโมง ให้เสียงรถพี่แจ็คออกไปก่อนก็ได้ จะไปไหนก็กลับก่อนห้าโมงเย็น ทุกวันพฤหัสฯ ให้ออกไปแต่เช้ามืดแล้วกลับให้ดึกที่สุด ถ้าไม่มีที่ไปก็ต้องอยู่แต่ในห้องหิวแค่ไหนก็ห้ามออกมา แล้วก็.."
       "เดี๋ยวๆ จิม พูดอะไร" ผมเริ่มเข้าใจยากขึ้นมาทันที ถึงแม้จะมีหลายเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้ว
       "กฎการอยู่ร่วมกันไง" สองแขนเท้ากับพื้นยื่นหน้ามาจนใกล้ผมแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "อยู่ที่นี่ก็ต้องมีกฎ ไม่งั้นเราสองคนจะซวยกันทั้งคู่"

ทำไมผมรู้สึกถึงความซวยแล้ว...

#ห้องลับบักจ่อย

TBC

คุณจิมอาาาา ทำไมเป็นคนดีฟ้าประทานขนาดนี้ มดกัดเยอะๆ นี่เขาต้องทำยังไงอะ คิดได้แค่ทายาหม่อง 555 แต่น้องไม่ได้แพ้มดนะ แค่โดนกัดเยอะไปหน่อย แต่พี่แจ็คคะ ทะไมพี่ไม่อ่อนโยนกับน้องชายตัวเองเลย น้องจะเก็บกดเอาเด้อ เตือนไว้ก่อน ว่าแต่กับน้องยังดุขนาดนี้ ถ้ารู้เรื่องจ่อยเข้า... อ๊าาา ไม่อยากจะคิด!!!
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-01-2019 00:31:11
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 26-01-2019 03:22:59
มารอ
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
เริ่มหัวข้อโดย: mutyamania ที่ 26-01-2019 08:32:18
ใครเป็นพระเอก น่าจะไม่ใช่จิม
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 26-01-2019 08:48:58
รอนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 09-02-2019 01:43:32
3
หากบ่เจอคนดี ป่านนี้สิเป็นจั่งได๋

"ถือดีๆ อย่าให้หกล่ะ มีแรงปะเนี่ย"

"มีครับๆ อยู่ที่บ้านผมแบกกระสอบปุ๋ยทุกวัน"

ตลอดสองอาทิตย์ จิมพยายามทำให้มันง่ายที่สุด ผมได้แต่ขอบคุณเขาซ้ำๆ อยู่ในใจ แอบเอาข้าวปลาอาหารมานั่งกินกับผมที่ห้อง  ขนมก็ยังคงกองเต็มไม่มีที่จะเก็บ เราคุยกันด้วยเสียงสองหลบอยู่ในลำคอเพราะกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน และใครที่ว่าก็คือ คุณแจ็ค

ผมได้ยินเสียงหลายครั้งจนเริ่มแยกไม่ออกว่านั่นโทนปกติหรือกำลังดุใครอยู่ มันทุ้มเข้มซะจนน่ากลัว ถ้าไม่บอกว่าคนในรูปคือคนเดียวกัน จะจินตนาการว่าคุณเขาหน้ายักษ์ ร่างใหญ่ คล้ายๆ หมีในป่า แต่ความจริงก็ต้องยอมรับว่าเขาหน้าเหมือนพระเอกหนังฝรั่งเลยทีเดียว แนวๆ สืบสวนสายลับ ผมชอบนะ คมเข้มมาดแมน บึกๆ ล่ำๆ ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้าง

จิมไม่อนุญาตให้ผมออกไปหางานทำจนผมซึมไปพักใหญ่ อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้วบอกตามตรงผมห่วงค่าข้าวค่าขนมน้องเวลาไปโรงเรียนจะเหลืออยู่ไม่มาก

ยื่นข้อเสนอให้ผมใช้เงินค่าขนมของจิมส่งให้แม่ก่อน นั่นทำให้ผมโวยวายขึ้นมาทันที ใจดีกับผม ผมก็ขอบคุณมาก แต่จิมจะเก็บผมไว้เป็นเพื่อนเล่นแล้วคอยเลี้ยงดูเหมือนลูกแมวไม่ได้ 'จิมมีกฎเหล็กของจิม เราก็มีกฎเหล็กของบ้านเราเหมือนกัน เราจะไม่หยิบยืมเงินใครเด็ดขาด ต่อให้ต้องอดข้าวหรือนอนข้างถนน ก็ต้องทำงานแลกเงินมาให้ได้' ผมบอกกับจิมไปตรงๆ แบบนั้น

ทำให้ตอนนี้ผมยืนเป็นลูกมืออยู่ที่ร้านกาแฟ

 

"โต๊ะเจ็ดนะ จำได้รึเปล่าว่าอยู่ตรงไหน" ตะโกนไล่หลังจนผมสะดุ้ง

"จำได้คร้าบบบ เดินท่องจนขึ้นใจแล้ว"

ผู้ชายท่าทางภูมิฐานนั่งหันหน้าเข้ามุมกำแพง ผมเห็นเขามาที่นี่ทุกวันแต่ไม่เคยเดินไปบริการ วุ่นๆ อยู่กับการล้างแก้วเก็บกวาดนู่นนี่ หันมาอีกทีก็หายไปแล้ว

"ขออนุญาตเสิร์ฟกาแฟครับ" ยืนเงอะงะอยู่หน่อยนึงเพราะไม่รู้จะวางตรงไหน เอกสารกระจายเต็มไปหมด "ขออนุ...!”

"โทษที วางลงสิ อ่าว น้อง!!"

ผมวิ่งสุดชีวิตเข้าไปในห้องพนักงานปิดประตูแบบลนๆ

"พรวดพราดเข้ามาทำไม แล้วนั่นกาแฟใครทำไมไม่เอาไปเสิร์ฟ"

"กาแฟ..." ตาผมคงโตเท่าลูกฟุตบอล พอเห็นหน้าคุณเขาก็รีบวิ่งกลับเข้ามาเลย "พี่โยครับ คือ..."

“อย่าบอกนะว่าของพี่แจ็ค” ตาโตหันมาถลึงใส่ผมแล้วชี้ที่ถ้วยกาแฟ

“พี่โย...”

“เรียกอยู่นั่นแหละ เอามานี่เลยเดี๋ยวเย็นหมด” พี่โยแย่งแก้วกาแฟไปจากมือผม หันหลังเดินออกไปแต่ก็หันกลับมาพูดอีก “แล้วห้ามหนีไปไหนนะ โดนดีแน่”

ร้านนี้ดูจะคุ้นเคยกับจิมอย่างดี ที่สำคัญอยู่แค่หน้าหมู่บ้าน เยื้องๆ มาหน่อยแต่ก็ไม่ไกล พี่โยเป็นรุ่นน้องของคุณแจ็ค เท่ากับเป็นรุ่นพี่ของจิมสมัยเด็กๆ ค่อนข้างขี้จุกจิกตามประสาเจ้าของกิจการ เห็นผู้ชายหน้าหมวยๆ หวานๆ แบบนี้ พอหัวร้อนขึ้นมาทีผมนี่แทบอยากวิ่งกลับสกลฯ

“ห่ากินหัวมึงเอ้ย มาเฮ็ดหยังม่องนี้วะ” (ฉิบหายแล้ว มาทำอะไรที่นี่วะ) ผมทึ้งหัวสบถกับตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับคุณแจ็คตัวเป็นๆ เคยเห็นแต่ในรูป ได้ยินแค่เสียงก็ขนลุกท่วมตัวแล้ว

เริ่มทำอะไรไม่ถูก จะหนีไปได้ก็ไม่ได้พี่โยคาดโทษไว้อีก มือไม้ผมเริ่มสั่นไปหมด ถ้าคุณแจ็คโกรธที่ไม่ยอมเสิร์ฟกาแฟให้ล่ะ โธ่เอ้ยย

 

[แจ็ค]

 

          “เมื่อกี้ใคร พนักงานใหม่หรอ” ผมถามเจ้าของร้านรุ่นน้องที่โตมาด้วยกัน ขณะที่ยกกาแฟน่าจะแก้วเดิมมาวางบนโต๊ะ

“ใช่พี่” เขานั่งลงเก้าอี้ข้างๆ “จิมพามาฝากอาทิตย์ก่อน”

“ฮะ? จิมน่ะนะ” ผมไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดรึเปล่า เมื่อกี้คุ้นๆ เหมือนชื่อน้องชาย

“ครับ พี่ไม่รู้จักหรอ เห็นบอกว่าเพื่อนมาจากต่างจังหวัดกำลังหางานทำ คนเก่ามันออกไปเดือนก่อนผมก็เหนื่อยๆ เลยรับเอาไว้ เห็นเป็นเพื่อนจิมด้วยก็น่าจะไว้ใจได้” โยอธิบายยืดยาว “เด็กมันซื่อๆ น่ะพี่ อย่าไปถือสาเลย”

“อืม อบรมดีๆ หน่อยละกัน ถ้าเป็นลูกค้าคนอื่นเค้าจะไม่พอใจเอา” ผมเตือนน้องไปเพราะห่วงๆ ยึกยักจะเสิร์ฟก็ไม่เสิร์ฟ วิ่งหนีไปทั้งอย่างนั้นตกใจหมด “แต่ทำไมพี่ไม่คุ้นหน้าเลย”

“ผมก็งงอยู่ว่าจิมไปมีเพื่อนที่ต่างจังหวัดได้ไง แต่เห็นสนิทกันดีก็ไม่ได้ถาม”

“หรอ” เลิ่กคิ้วให้เจ้าโยนิดหน่อยก่อนที่มันจะลุกไปทำงานของตัวเอง ส่วนเรื่องเพื่อนเดี๋ยวค่อยกลับไปถามที่บ้าน เดี๋ยวนี้ทำอะไรไม่ค่อยมารายงานเลย ต้องปรามสักหน่อยแล้ว

 

[จ่อย]

 

[ก็ไม่แปลกนี่ พี่แจ็คเป็นลูกค้าประจำร้านนั้นอยู่แล้ว คิดว่าเจอบ่อยแล้วซะอีก]

            “กะ ก็เจอ แต่จิมก็น่าจะบอกก่อนสิ แล้วทีนี้จะทำยังไง เราตกใจวิ่งหนีออกมาเลย ต้องโดนคุณแจ็คดุแน่ แล้วถ้าคุณแจ็ครู้ว่าเรา...”

[นี่ ใจเย็น หายใจลึกๆ ทำตัวให้ปกติ พี่แจ็คก็แค่ลูกค้าคนนึง อีกอย่างนะ พี่แจ็คไม่ดุใครพร่ำเพรื่อหรอก ถ้าไม่ใช่เราอะ อ้อ ถ้าไม่ใช่ลูกน้องด้วย แล้วก็...ถ้าไม่ใช่เพื่อนๆ ที่คอยกวนประสาท หรือคนที่...”

            “จิม...แค่นั้นก็เยอะแล้ว”

[อ่าวหรอ ฮ่าๆๆ]

            “ใจคอไม่ดีเลย”

[เอางี้ เดินออกไปขอโทษ แล้วก็เอาเค้กไปให้บอกว่าเพื่อเป็นการไถ่โทษ เดี๋ยวเราไปจ่ายเอง]

            “เราไม่กล้าหรอก ถ้าคุณแจ็คเจอเราแล้วรู้เรื่องที่... เรื่องที่...”

[จ่อย พี่แจ็คไม่มีทางรู้หรอกอย่าคิดไปเอง ที่ตกใจจนหนีออกมานี่เพราะกลัวโดนจับได้ใช่มั้ย]

            “ก็...”

[จะจับได้เพราะนายมีพิรุจน์นั่นแหละ พี่แจ็คไม่ได้รู้จักนายสักหน่อย ถ้าไม่เห็นรูปที่บ้านนายเองก็ไม่รู้จักพี่แจ็คด้วยซ้ำ อย่าร้อนตัวไปหน่อยเลยน่า ทำตัวให้เป็นปกติ เข้าใจมั้ย ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ เราต้องเข้าเรียนแล้ว แค่นี้หวัดดีเจอกันที่บ้าน]

ติ้ด
          “เดี๋ยว เดี๋ยว!! เฮ้อ” พูดเองเออเองแล้วก็ตัดสายไปเฉยเลย แต่ก็ถูกของจิม เหมือนผมจะกลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง แต่มันก็ตกใจนี่

“ว่าไงไอ้ตัวแสบ อธิบายมาสิวิ่งหนีลูกค้าทำไม” พี่โยผลักประตูมายืนกอดอกมองผม ถามหาคำอธิบายอย่างคาดคั้น

“คือ...ผมก็ไม่รู้” นั่นแหละ ผมไม่รู้จะตอบอะไรนี่ ได้ก้มหน้าลงบนโต๊ะอย่างสำนึกผิด

“ออกไปขอโทษลูกค้าเดี๋ยวนี้เลย แล้วห้ามทำแบบนี้อีก”

“แต่พี่โย นั่นมันคุ...”

“ไม่งั้นพี่ไล่ออก” ผมดีดตัวขึ้นทันทีที่พี่โยพูดจบ ไล่ออก แปลว่าผมจะไม่ได้ทำงานที่นี่อีกหรอ แล้วก็จะไม่มีเงินส่งให้แม่กับน้องด้วย

“ไม่ได้นะครับ พี่ห้ามไล่ผมออกนะ”

พี่โยยักไหล่สะบัดคอไปทางประตูทำให้ผมมายืนเด๋อด๋าอยู่ตรงข้างหลังคุณแจ็ค “ขะ ขอโทษครับ” กำมือแน่นคิดถึงหน้าแม่กับน้องไว้

“อา...” คุณแจ็คหันหน้ามามองแล้วนิ่งไปพักนึงจนผมเริ่มเสียวสันหลัง “นั่งสิ”

“ครับ?”

“บอกให้นั่ง ยังไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่นนี่”

“คือ กฎของร้านเค้าห้ามนั่งกับลูกค้าครับ” เผื่อคุณแจ็คจะไม่รู้ แต่ผมน่ะ นั่งท่องจนจำได้ขึ้นใจเลย กฎเหล็กของจิมก็เหมือนกัน

“คนออกกฎเพิ่งลุกไปเมื่อกี้” มือหนาจับเก้าอี้เลื่อนมาข้างๆ ตัวเขาแล้วตบลง 2-3ที จนผมต้องนั่งลงตาม “เป็นเพื่อนจิมหรอ”

“ฮะ? เอ่อ ครับ” ห้ามหลุดๆๆๆ

“ไปรู้จักกันได้ยังไง นายมาจากต่างจังหวัดนี่” ซวยแล้ว จิมไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ให้ด้วย

“รู้...จัก เอ่อ...”

“อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่นแหละ”

“ที่โรงเรียนน่ะครับ เค้าให้เขียนจดหมายส่งถึงเพื่อนต่างโรงเรียน แล้วจิมเค้าจับได้ชื่อผม แฮะๆ” นี่ เป็นไงล่ะ ตอนประถมผมเคยทำ

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ”

“มีสิครับ ที่โรงเรียนคุณแจ็คไม่เคยทำหรอครับ”

“ฉันโตที่เมืองนอก แต่บางโรงเรียนก็มีมั้งนะเขียนให้กำลังใจผู้ป่วย ว่าแต่...รู้ชื่อฉันได้ยังไง” คุณแจ็คหันมาสบตาที่กำลังแปลงร่างเป็นไข่ห่านของผม หลุด หลุดแล้ววว

“คือ...” หันซ้ายหันขวาเห็นพี่โยเดินออกมาหน้าเค้าน์เตอร์ “พี่โยบอกครับ บอกให้มาขอโทษคุณแจ็ค” ส่งยิ้มตาหยีไปอีกหนึ่งที แม่บอกว่าเจอเรื่องอะไรให้ยิ้มไว้ก่อนเดี๋ยวมันจะดีเอง

“อะฮึ่ม” คุณแจ็คกระแอมออกมาแล้วเสหน้าไปทางอื่น ทำไมหรอ กาแฟติดคอรึไง แต่ก็ยังไม่ได้กินนี่นา “อา อื้ม”

อะไรของคุณเขานะ “ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ เดี๋ยวโดนไล่ออก” เห็นพี่โยกำลังจัดนั่นนี่ผมว่าควรไปช่วย หน้าที่การงานผมยังไม่มั่นคงเท่าไหร่ ผมต้องเต็มที่กับงานไว้ก่อน

“จะไปแล้วหรอ อ้อ อืม ไปสิ” ยกแขนกันผมที่กำลังจะลุกจากเก้าอี้ แต่ก็สะบัดมือปัดๆ ไล่ อะไรของเขาก็ไม่รู้ “เดี๋ยวๆ”

“ครับ? คุณแจ็คจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยครับ”

“เอ่อ...เปล่าๆ ไปได้แล้วไป”

เขาเด๋อๆ นะ ไม่เห็นเหมือนที่คิดไว้เลย คิดว่าจะตวาดเสียงดังโวยวายใส่แล้วสะอีก แต่ก็ดีสำหรับผม ดูไม่ต่างจากจิมเท่าไหร่ ผมว่าคุณเขาก็ไม่ได้แย่

 

เล่าทุกอย่างให้จิมฟังระหว่างที่เรากินข้าวกันอยู่ จิมพามานั่งกินในครัวเพราะรู้ว่าคุณแจ็คยังไม่กลับแน่นอน เป็นไม่กี่ครั้งที่เราสองคนหายใจหายคอกันได้อย่างสะดวก

จิมขำเรื่องจดหมายในวัยเรียนจนผมเริ่มอาย ตอนนั้นใครมันจะไปคิดอะไรออก คุณแจ็คยิ่งน่ากลัวๆ อยู่ด้วย หมายถึงก่อนหน้าที่ผมจะมีโอกาสได้รู้จักจริงๆ น่ะนะ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่แจ็คก็ไปที่ร้านอีก” จิมบอกผมแล้วจิ้มปอเปี๊ยะเข้าปาก “พี่แจ็คน่ะ ทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ ส่วนใหญ่เข้าแต่ช่วงเช้าประชุมมั่ง สั่งงานมั่ง บ่ายๆ ก็ออกนอกสถานที่ เสร็จเร็วหน่อยก็มานั่งร้านกาแฟ แต่จริงๆ ก็มาดักรอเรานั่นแหละ”

“ดักรอ? ทำไมต้องดักรอ” เอียงคอถาม เพราะหมู่บ้านกับร้านก็ไม่ได้ไกล

“ก็ทำฟอร์มว่าเลิกงานค่ำ แต่จริงๆ แค่อยากรู้ว่าเราจะกลับบ้านตรงเวลารึเปล่า”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”

“ถ้าเราเถลไถลจะได้หาเรื่องเราได้ไง” จิมเบ้ปาก ยัดปอเปี๊ยะด้วยท่าทีเบื่อๆ

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น ไม่มีพี่คนไหนคิดแบบนั้นหรอก เราว่าคุณแจ็คคงห่วงถึงต้องออกมารอต่างหาก” ผมพูดแล้วจิ้มปอเปี๊ยะดูบ้าง จิมกินแล้วดูน่าอร่อย “ร้านโดดเด่นจะตาย รถก็จอดอยู่ข้างหน้า ถ้าบอกว่าดักรอจับผิดจริงๆ ไปที่หลบๆ แอบๆ ไม่ดีกว่าหรอ นี่จิมลงรถตู้มาก็เห็นแล้ว”

“เห็นแล้วไง เห็นแล้วก็ปล่อยให้เราเดินกลับอยู่ดี นี่หรอห่วง”

“จิมเคยเข้าไปหาคุณแจ็คบ้างรึเปล่า หมายถึงเวลาเลิกเรียนแล้วเห็นคุณแจ็คที่ร้านน่ะ”

“เคยสิ” วางส้อมลงแล้วหันหน้าไปทางประตู “อย่ามากวนพี่ รีบกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วอ่านหนังสือในห้อง อย่าให้รู้ว่าแอบลงมาดูการ์ตูนล่ะ” จิมยกน้ำดื่มแล้วกระแทกลงบนโต๊ะจนผมสะดุ้ง “ห่วง... ฮึ”

 

ผมนั่งอยู่ในห้องมืดๆ เพราะไม่กล้าเปิดไฟ คุณแจ็คกลับมาแล้ว และจิมก็กลับไปอ่านหนังสือคนเดียวตามเดิม ผมรู้ว่าเขาใกล้สอบเลยไม่อยากกวนมาก ได้ยินว่ามหาวิทยาลัยเรียนหนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากเรียนนะ อยากใช้ชีวิตแบบนักศึกษา แม่ผมก็บอกให้เรียนต่อแต่ผมก็ไม่อยากให้แม่เหนื่อยมันใช้เงินค่อนข้างเยอะมากทีเดียว อีกหน่อยน้องผมก็จะจบม.6แล้วเหมือนกัน สู้ผมทำงานเก็บเงินให้น้องเรียนดีกว่า

นึกย้อนไปถึงคำพูดของจิม ดูเหมือนสองพี่น้องจะมีปัญหาที่เข้ากันไม่ติด ผมเป็นคนนอกก็ไม่ค่อยรู้อะไร แต่ทุกครั้งที่จิมมานั่งเล่นกับผมก็มักจะเผลอระบายเรื่องพวกนี้ออกมาเหมือนจะอึดอัดเต็มทน

 

[จิม]

 

            “เข้ามาทำไม ไหนบอกเวลาจิมอ่านหนังสือห้ามใครมายุ่ง” ผมพูดโดยไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่กล้าเปิดประตูเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก

“น้องอาจจะลืมว่าพี่เป็นคนสั่ง” ผมเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะเห็นผ่านหางตาแล้วว่าพี่แจ็คมานั่งอยู่บนเตียง “ทำไมไม่เปิดไฟที่โต๊ะ เสียสายตาหมด”

“มาแค่เรื่องนี้หรอ” ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆ คงเซ็งผมมากมั้ง

“พาเพื่อนไปฝากงานทำไมไม่บอกพี่”

“ก็มันไม่เกี่ยวกับพี่นี่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนจิมด้วย” ผมปิดหนังสือลงเพราะคงอ่านไม่รู้เรื่องแล้ว

“ทุกเรื่องของจิมเกี่ยวกับพี่ทั้งหมด จะต้องให้ย้ำกี่ครั้ง” พี่แจ็คเริ่มขึ้นเสียงเข้มกับผม “ถ้าคนที่น้องเอาไปฝากเกิดทำอะไรเสียหายขึ้นมาจะรับผิดชอบยังไง”

“พี่ก็คิดแต่แบบนี้ มองคนอื่นเลวร้ายไปหมด” ผมเริ่มขึ้นเสียงกลับไปบ้าง “ไม่มีใครเค้าทำอะไรแย่ๆ ไปซะหมดหรอก”

“แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไง แค่เพื่อนที่เขียนจดหมายหากันตอนเด็กๆ น่ะหรอ หัวนอนปลายเท้าก็ไม่รู้จัก ไหนจะต้องมาพึ่งเราให้ช่วยหางานอีก”

“แต่พี่ก็ได้เจอแล้วนี่ ดูไม่ออกเลยหรอว่าเค้าเป็นคนยังไง อ้อ ลืมไป ต่อให้ดีแค่ไหน ถ้าไม่ถูกใจพี่ก็เป็นคนเลวอยู่ดี”

“จิม!”

“พี่ออกไปได้แล้วจิมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ” ผมไล่พี่แจ็คแบบอ้อมๆ เพราะเหนื่อยจะพูดแต่คำเดิมๆ นิสัยมองโลกในแง่ร้าย ให้สวดมนต์ 10วันก็ไม่หายหรอก “จิมเชื่อใจเพื่อนของจิม แล้วพี่แจ็คก็ห้ามพาลใส่เค้าด้วย เค้าเป็นคนเดียวที่จิมคุยด้วยแล้วสบายใจ สบายใจมากกว่าคุยกับพี่ร้อยเท่า”

พี่แจ็คลุกออกจากห้องไปไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็แปลกใจที่มันง่ายดายขนาดนี้ซึ่งปกติมันไม่ใช่ แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันแรงไป คำพูดของผมน่ะ พี่แจ็คจะน้อยใจรึเปล่า

 

ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องทำงานก่อนจะตัดสินใจเคาะเบาๆ แล้วเปิดประตูก้าวเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต

“มีอะไรรึเปล่า” พี่แจ็คเงยหน้าขึ้นมาถามผม ดูจากที่ถอดเสื้อคลุม ผมว่าพี่เขาไม่ได้นั่งทำงานอยู่ตั้งแต่แรก

“แค่จะมาขอโทษ ที่พูดกับพี่ไปเมื่อกี้” ไม่ได้สบตากับพี่แจ็คไปตรงๆ เพราะรู้ผิดอยู่นิดหน่อย “แค่ไม่อยากให้พี่ไปคาดคั้นอะไรกับเพื่อนแบบที่ทำกับผม เค้ามีปัญหาชีวิตมากพออยู่แล้ว รายได้ร้านกาแฟก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร เลยกลัววะ...”

“พี่ไม่ยุ่งหรอก สบายใจได้”

“จะ...จริงนะ” ตะกุกตะกักโพล่งออกไปเพราะไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน “พี่พูดจริงหรอ”

“ถ้าให้ทำอยู่ที่นี่ก็ดี มันก็ไม่ได้ไกลจากสายตาพี่มาก แต่ถ้าขอมากกว่านี้พี่ก็ไม่ให้ แล้วทีหลังมีอะไรก็ให้บอก ไม่ใช่ตัดสินใจเองแบบนี้ เกรงใจโยมันบ้าง ถ้ามันต้องรับเพื่อนเราเข้าทำงานเพราะความเห็นใจของเรามันก็ไม่เหมาะ เค้าต้องเสียรายได้ร้านเพื่อจ่ายค่าจ้างเป็นหมื่น”

ผมก้มหน้างุดลงมากกว่าเดิม พี่แจ็คพูดไม่ผิดเลยสักคำ ผมไม่ทันคิดถึงข้อนี้เลย แค่เห็นว่าพี่เขาไม่มีคนช่วย แต่ไม่ได้ถามว่าเขาต้องการรึเปล่า อันที่จริงพี่โยก็ไม่ติดป้ายรับสมัครคนทำงาน

“ขอโทษครับ ต่อไปจิมจะรอบคอบกว่านี้”

“ดึกแล้ว กลับไปนอนซะ หนังสือมีเวลาว่างค่อยอ่าน”

“พี่แจ็คว่าเพื่อนผมเป็นคนยังไง” ผมถามสวนออกไปก่อนจะก้าวออกจากห้อง “วันนี้พี่ได้คุยกับเค้าแล้วนี่”

พี่แจ็คนิ่งไปพักนึงทำให้ผมลุ้นคำตอบจนแทบลืมหายใจ อย่างน้อยถ้าได้ฟังความเห็นของพี่แจ็คจะได้รู้ว่าควรให้จ่อยถอยห่างๆ เพื่อความปลอดภัยหรือทักทายพูดคุยได้ตามปกติ

“ก็...น่ารักดี”



#ห้องลับบักจ่อย

TBC

มาแว้ววว ไม่รู้ว่ามีใครรอไหมแต่ก็มาแล้ว 555 เขาเจอกันแล้วเด้อ ต่อไปก็คงจะเจอแบบรัวๆ นั่นแหละเนอะ ความลับในห้องลับจะแตกม้ายยย
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน3
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 09-02-2019 21:07:01
รอๆ จ้า สนุกๆ ลุ้นดี รอคอย บักจ่อย เด้อ ซ่าวมาๆ อยากา อ่าน ต่อ แล้ว อ้ายแจ็คเป็นพระเอก แม่น บ่  ข่อยเชียร์ บักจ่อย เต็มที่ ถถถ^^
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน3
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 10-02-2019 09:46:44
รอค่าาา จ่อยน่ารักซื่อๆดี พี่แจ๊คก็น่าจะซึนๆ สนุกมากๆเลยมาต่อเร็วๆน้า :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน3
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 13-02-2019 00:43:12
4
เอ้ามามาสิ มาช่วยกันที ล่ะมาช่วยจับงู

"นั่นเพื่อนไม่ใช่หรอ"
"ใช่ๆ สงสัยจะไปทำงาน"
ปิ๊น ปิ๊น ~~~

ผมสะดุ้งกับเสียงแตรรถถี่ๆ ดังอยู่ด้านหลัง ใจแทบจะหลุดไปที่ตาตุ่มเพราะกำลังเหม่อๆ คิดถึงแม่กับน้อง แถมวันนี้ยังง่วงๆ ต้องแอบออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ก็คุณแม่ของจิมน่ะสิ ท่านกลับมาถึงตั้งแต่เช้ามืด ผมอาศัยช่วงที่คุณแจ็คขับรถออกไปสนามบิน อาบน้ำแต่งตัวออกมาทันที ดีนะที่จิมโทรมาบอกไว้ก่อน
รถคันสีดำวาววับข้างหน้ามีตรากลมๆ สีฟ้าเล็กๆ แปะอยู่เทียบจอดข้างผม กระจกสีทึบเลื่อนลงจนเห็นหน้าคนขับนั่นทำให้ผมสะดุ้งอีกเฮือก ออกจะแรงกว่าตอนได้ยินเสียงแตร
ยืนนิ่งอยู่หลายวินาทีจนสายตาของผมเลื่อนไปเจอคนข้างๆ ที่คุ้นเคย จิมเหล่ตาไปที่คุณแจ็คสลับกับผมแล้วทำหน้ายิ้มกระตุกๆ เป็นสัญญาณ
ผมฉีกริมฝีปากเป็นเส้นตรงทันทีที่นึกออก ตายังคงมองไปที่จิมจนเขาต้องขมวดคิ้วขยับหัวยิกๆ ไปทางคุณแจ็ค
อ๋อ ให้ผมยิ้มให้คุณแจ็คใช่ไหม ได้!
"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ" เสียงทุ้มนั่นเอ่ยออกมาทำให้ผมรีบหุบปากเป็นเส้นตรงนั่นลงทันที "ขึ้นมาสิ"
"ครับ?"
"ขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่ง"
ผมขยับตัวไปที่ประตูข้างหลังคุณแจ็ค มองที่จับตรงประตูด้วยความมึนงง จำได้ว่ามันต้องงัดขึ้นนี่นา
ผมงัดที่จับประตูขึ้นด้านบนเบาๆ แต่มันไม่ยอมเปิดออก จะทำแรงกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะกลัวรถแพงๆ จะเป็นรอย แต่ให้ตายสิ ทำไมมันเปิดไม่ออกล่ะ
"ทำอะไรอยู่ เสียเวลา" คุณแจ็คส่งเสียงเข้มจนผมเริ่มสั่น
"มันเปิดไม่ออกครับ" พูดเบาๆ เพราะกลัวจะโดนว่าอีก เวลาของคุณแจ็คเป็นเงินเป็นทอง "ผมเดินไปเองดีกว่าครับ"
แกร๊ก ~
คุณแจ็คเปิดประตูเอาตัวดันผมออกให้พ้นทาง มือหนาของเขาจับที่ประตูหลังแล้วเปิดออกอย่างง่ายดาย
"มันยากตรงไหน?" ผมมองอย่างอึ้งๆ
"คือ...ผม...คิดว่ามันงัดขึ้นเหมือน...รถ...ไถใหญ่"
"รถไถใหญ่?"
"ครับ" ก้มหน้างุดเพราะรู้สึกว่าคิดผิดก้อนโต ผมทำอะไรน่าขายหน้าออกไปเนี่ย
"จับตรงนี้" คุณแจ็คคว้าเอวผมมายืนด้านหน้า ดึงมือผมไปจับที่เปิดประตูรถ "ดึงเข้าหาตัวเบาๆ แบบนี้" ผมเอียงคอหนีไปอีกข้างเพราะรู้สึกว่าเสียงมันใกล้หูเกินไป "ง่ายขึ้นมั้ย"
"งะ...ง่ายครับ อ๊ะ!" เอวที่ถูกรวบไว้อยู่แล้วถูกคุณแจ็คพาไปในทิศทางที่ต้องการอย่างง่ายดาย ผมว่าตัวเองก็ไม่ได้เบาขนาดนั้นนี่นา แต่ทำไมถึงลอยเข้ามาอยู่ในรถไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
"มีอะไรกันหรอ" จิมเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วหันมาถามผม
"ปะ...เปล่า"
"เด็กโง่ นึกว่าบีเอ็มเป็นรถไถใหญ่" คุณแจ็คตอบนิ่งๆ ก่อนจะออกรถ
"รถไถเนี่ยนะ ฮ่าๆๆ"
"ก็เราเคยขึ้นแต่รถอีแต๋นกับรถไถใหญ่นี่" นาทีนี้ผมแทบไม่อยากจะตอบโต้อะไรทั้ง มันอายๆ จะแทบอยากจะมุดเข้าไปในท่อไอเสีย แถมใจยังสั่นๆ อีก
"บ้านนอกเข้ากรุงหรอ"
"อย่าเรียกแบบนั้นสิพี่ คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ อย่ามาเหยียดเพื่อนจิมนะ"
"ฮึ่ม โอเค ไม่ยุ่ง ลงไปได้แล้ว" คุณแจ็คจอดรถผมมองออกไปนอกกระจกถึงรู้ว่าควรลง สีหน้าผมตอนนี้คงเหมือนเด็กตอนที่ครูบอกว่าหมดเวลาพัก ได้นั่งเบาะนุ่มๆ รถหรูๆ แปบเดียวเอง "เปิดเป็นรึเปล่า รึต้องให้สอนอีก"
"มะ...ไม่ต้องสอนครับ ผม...จะพยายามเปิดเอง" อยู่ๆ ใจมันก็แปลบขึ้นมาอีก นึกถึงภาพที่คุณแจ็คยืนซ้อนหลังแบบเมื่อกี้แล้วปั่นป่วนในท้อง สงสัยเพราะรังสีอำมหิตความน่ากลัวมันแผ่ออกมาแน่เลย
"ตอนเย็นเจอกันนะ" จิมขยิบตาให้ผมหนึ่งที ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ไม่ใช่เจอกันที่ร้าน แต่เจอกันที่ห้องลับของบ้านต่างหาก
"ประตูร้านน่ะ ผลักเข้าไปนะ ไม่ต้องงัด"
"คุณแจ็ค!" ผมยู่หน้าใส่แล้วออกตัววิ่งไปทันที ทำไมนะ ทำไมต้องล้อกันด้วย ก่อนวิ่งมาหางตาผมแอบเห็นคุณแจ็คยกยิ้มที่มุมปาก โธ่เอ้ย ไม่น่าไปทำเปิ่นใส่คุณเขาเลย

ตกบ่าย ผมเห็นร่างที่คุ้นเคยเดินเข้ามาที่ร้าน ในมือหอบหิ้วของมาพะลุงพะลังจนพี่โยต้องวิ่งไปรับอีกที
"ไปเก็บให้พี่หน่อย" พี่โยยื่นถุงสีน้ำตาลพวกนั้นมาให้ผม "ไว้สูงๆ นะ เดี๋ยวเผลอทำร่วง"
"ครับ" ผมก้มหน้างุดเมื่อต้องเดินผ่านคุณแจ็ค ความรู้สึกมันเป็นยังไงก็บอกไม่ถูก จะว่าอายเรื่องเมื่อเช้าอยู่ก็ได้ ไม่ค่อยกล้าสบตาคุณเขาเลย
"เอากาแฟไปให้พี่แจ็คด้วย"
"ผมหรอครับ?"
"ก็เออสิ ใช้ใครล่ะร้านมีกันอยู่สองคน หรือจะให้พี่ยกไปเองหะ"
"ครับ ให้พี่ยกไปเองก็ได้ครับ" ผมตอบรับทันทีเมื่อพี่โยเสนอตัว
"ฉัน! ประ! ชด!" ถลึงตาใส่ผมทำไมก็ไม่รู้ "อย่ามาเนียนซื่อตาใส ใช้ก็ให้รีบๆ หรืออยากโดนไล่ออก"
ผมรีบดีดตัวลุกไปหาถ้วยกาแฟทันที ก็เป็นคนถามเองว่าหรือจะพี่ยก ก็ให้ยกแล้วไงจะมาขู่ไล่ออกทำไมอีก บางทีผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์แปรปรวนของพี่เขา
"กาแฟดำครับ โอ๊ะ!" แย่ล่ะสิ ผมไม่กล้ามองหน้าคุณแจ็คทำให้ไม่ทันเห็นว่าคุณเขายื่นมือออกมาพอดี "ขอโทษครับๆ โดนตรงไหนมั้ย ร้อนมั้ยครับ" ผมวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะทันที มือก็พยายามสาละวนปัดตามเสื้อตามกางเกงไล่ไปตามต้นขาที่คิดว่าน่าจะเปียกจนคุณแจ็คคว้าไว้ถึงได้หยุด
"จะลูบอีกนานมั้ย เดี๋ยวงูก็ฉกหรอก"
"งู!? มีงูด้วยครับ พี่โย พี่!! ร้านเรามีงู้วว อู้วววว ~" ถูกมือคุณแจ็คปิดปากระหว่างตะโกนจนเสียงหลง แรงเหวี่ยงของแขนแกร่งกดผมจนเซไปบนเก้าอี้ แล้วไหนงู มีงูไม่ใช่หรอทำไมยังกล้านั่งอยู่อีก
แต่เดี๋ยวนะ...
"อย่าดิ้น แล้วก็หยุดแหกปาก" คุณแจ็คล็อกตัวผมไว้ต่อให้อยากดิ้นแค่ไหนก็คงขยับยาก
"แล้วงูล่ะครับ" ผมเอียงคอไปด้านหลังเพื่อพูดกับคุณเขา "อันตรายนะครับ ต้องไล่มันออกไปก่อน"
"ก็นั่งทับมันอยู่นี่ ไม่อันตรายหรอกถ้าไม่ขยับ"
"นั่งทับ?" ผมรู้สึกถึงแรงดิ้นหงึกๆ ดันอยู่ที่ก้น "คุณแจ็คครับ มันจะกัดนะครับ ตายได้เลยนะ!"
"บอกว่าอย่าขยับไง" คุณแจ็คกดตัวผมลงบนหน้าตัก ใช่ หน้าตัก ผมไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ "ถ้าขืนขยับมันงับก้นนายแน่"
"คะ... คุณแจ็ค" ผมกวาดตามองไปที่โต๊ะ "งูกับเอกสาร...อันไหน...น่ากลัวกว่ากันครับ"
"เฮ้ย!" คุณแจ็คผลักผมมาอีกด้านของอ้อมแขน สายตามองเอกสารที่กำลังเปียกน้ำดำๆ ของกาแฟขยายวงเปียกชื้นออกไปเรื่อยๆ "ฉิบหาย"
"ผมไปเอาผ้ามาเช็ดให้นะครับ" ทำท่าจะลุกจะโดนท่อนแขนกดไว้ตามเดิม
"อยากโดนงูกัดรึไง นั่งก่อน" ผมทิ้งก้นลงไปในท่าเดิมไม่กล้าขยับอีก ไม่เข้าใจทำไมคุณแจ็คชอบทำเรื่องเสี่ยงๆ งูทั้งตัวนั่งทับมันไว้ได้ยังไง คนกรุงเขาจัดการกับสัตว์มีพิษแบบนี้หรอ
"กระดาษเปียกหมดแล้วนะครับ งานคุณแจ็คจะไม่เสร็จนะ ผมว่าเรารีบจัดการสักทางเถอะครับ จะตีงูก่อนหรือเช็ดโต๊ะก่อนดี"
"มันเปียกไปแล้วนายจะทำอะไรได้" เออใช่ พูดอีกก็ถูกอีก "แต่ใจคอนายจะตีงูทั้งตัวได้ลงคอหรอ ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไง"
"งั้นก็ไล่มันไปสิครับ ถ้ากัดคนในร้านจะทำยังไง ไม่ตีก็ต้องเอาไปปล่อยไกลๆ"
"กำลังทำอยู่นี่ไง นายช่วยนั่งทับรอให้มันสงบก่อนจะได้จัดการง่าย ไม่ดีหรอ" โหว คุณแจ็คฉลาดสุดๆ
"แต่ผมรู้สึกเหมือนมันพยายามดันตลอดเลย มันจะยอมสงบง่ายๆ หรอครับ"
"ตัวมันใหญ่ก็งี้แหละ ขยับขึ้นนิดนึง อ๊าาา อย่างนั้นๆ ทับไว้นะฉันจะทำงานต่อ"
ผมนั่งทับงูอยู่บนตักคุณแจ็คอยู่หลายนาที พี่โยเรียกไปทำงานก็ถูกคุณแจ็คตวาดใส่ ได้ยินเสียง อืม~ อา~ ซี้ด~ เบาๆ คิดว่าคุณแจ็คคงเมื่อย แต่ผมก็ไม่กล้าลุก ถ้างูกัดผมก็กลัวอยู่หรอก แต่กลัวมันจะกัดคุณแจ็คด้วยอีกคน ไม่ได้ๆ คุณแจ็คเป็นลูกค้าแล้วยังเป็นพี่ชายของผู้มีพระคุณผมอีก ผมจะต้องปกป้องเขาให้ถึงที่สุด
นั่งอยู่ในอ้อมแขนดูคุณแจ็คพิมพ์คอมพิวเตอร์จนเพลินตาผมก็เริ่มสะลึมสะลือ ตัวหนังสือยุบยิบไปหมดมันน่าเบื่อจริงๆ จริงๆ จริงๆ จริง จริ...

[แจ็ค]

ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตอนที่เห็นโยกำลังเดินมาทางนี้ เจ้าเด็กบ้านนอกกำลังฝันดีอยู่บนตัวผมถ้าใครเสียงดังคงไม่ดีแน่ เรื่องเมื่อยไม่เท่าไหร่ยังพอทน แต่หน้าใสๆ ที่เอนซบหายใจรดต้นคออยู่นี่สิที่ทำให้ผมเสียสมาธิในการทำงาน หวังจะให้งูสงบ แต่เล่นมาซบแบบนี้บอกเลยว่ายาก
ผมละมือออกจากแป้นพิมพ์เพราะกลัวว่าถ้าขยับบ่อยๆ เจ้าตัวเล็กจะตื่น รู้สึกเหมือนเลี้ยงเจ้าจิมตอนเด็กๆ ไม่มีผิด
ต้องเบี่ยงตัวรวบขาให้ร่างน้อยๆ ตะแคงข้างเข้าหาผมจะได้ไม่ไหลตก เหมือนอีกคนจะรู้สึกตัวสอดแขนเล็กมาข้างหลังผมข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็โอบด้านหน้าเข้าประสานกันทำให้ผมโดนไอ้คนผอมนี่กอดซะแน่น เอาเข้าไปสิ ตั้งใจจะมานั่งทำงานรอเจ้าจิมเลิกแต่กลับต้องมานั่งอุ้มเด็กที่ไหนก็ไม่รู้
"ฮึ...อดหลับอดนอนมาจากไหนนะ" ผมมองหน้าเจ้าเด็กหลับปุ๋ยอยู่พักใหญ่ จนถูกเสียงของบางคนสะกิดให้ตื่นจะภวังค์
"จ่ายค่าแรงแทนผมด้วยนะ" โยมาเก็บแก้วกาแฟใบที่สองออกจากโต๊ะ "จ้างมาทำงานไม่ได้ให้มานอน"
"พูดมากน่า" ผมส่งเสียงออกไปให้เบาที่สุดแต่ก็ดังพอจะสนทนากับอีกฝ่าย
"ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่พี่ เพิ่งรู้จักเมื่อวานไม่ใช่หรอ ระวังเถอะ ถ้าจิมมาให้เข้าจะไม่พอใจ"
"ทำไมต้องไม่พอใจ" ผมเลิกคิ้วถาม
"กับน้องกับนุ่งเคยให้ความอบอุ่นขนาดนี้มั้ยล่ะ ถ้าผมไม่รู้จักพี่จะคิดว่าพาเด็กมานั่งจู๋จี๋แล้วนะ หรือว่าใช่?"
"ใช่บ้าอะไร มันเป็นอุบัติเหตุ" พยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดจนได้แต่โก่งคอเถียง
"อุบัติเหตุท่าไหนถึงได้นั่งกอดกันเป็นชั่วโมง ก้นมันติดขาพี่หรอ ใช้เรียกช่างมาแงะออกมั้ย หรือต้องใช้กรรไกรถ่าง"
"หุบปากแล้วกลับไปทำงานเลยไป" ผมรีบไล่เพราะเหนื่อยจะเถียง
"อย่าลืมจ่ายค่าตัวพนักงานผมล่ะ คูณสองด้วย ข้อหาเปลืองเนื้อเปลืองตัว" โยหันหลังให้ผมก่อนจะย้อนกลับมาพูดประโยคจี้ใจดำ "เด็กมันซื่อนะพี่ อย่าไปเล่ห์เหลี่ยมกับมันเยอะ เลยเถิดขึ้นมาจะรับผิดชอบไม่ไหว"
รับผิดชอบหรอ...
ผมไม่ได้จะทำอะไรเด็กนี่สักหน่อย

[จ่อย]

รู้สึกตัวขึ้นมาก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูสังกะสีหน้าร้านถูกดึงลง งัวเงียปรับสายตาอยู่พักนึงก็พบว่าสถานที่ที่ผมนอนอยู่คือคาเฟ่ของพี่โย นี่ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงมานอนอยู่บนโซฟาของร้านได้ล่ะ ถ้าลูกค้าเดินเข้ามาจะนั่งตรงไหน
"พี่โย" ผมปรับตัวลุกเดินไปที่เค้าน์เตอร์ "ขอโทษนะครับ"
"ขอโทษทำไม หาวมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ กลับบ้านไปได้แล้วร้านปิดแล้ว" พี่โยนับเงินในลิ้นชักเพื่อสรุปยอดของวันนี้ ก่อนจะละสายตาเงยหน้ามามองผม "จ่อย"
"ครับ?" ต้องโดนดุแน่ๆ
"กับพี่แจ็คน่ะ ดีกับพี่เค้าให้มากๆ นะ"
"ฮะ?" ผมงงกับคำพูดพี่โยที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย
"พี่แจ็คน่ะ ปกติจะเย็นชาเป็นที่สุด เข้มงวดแบบเพอร์เฟคชั่นนิสทั้งเรื่องงานแล้วก็ที่บ้าน"
"แบบนักเทนนิสหรอครับ" ผมได้ยินไม่ค่อยถนัด
"เพอร์เฟคชั่นนิส เออช่างเหอะ จะบอกว่าปกติพี่เค้าไม่ค่อยเสวนากับใคร ยิ่งเรื่องจะมาดูแลเอาใจใส่ยิ่งตัดไปได้เลย เพราะฉะนั้นนะ ถ้าพี่เค้าทำดีด้วยนายก็ต้องดีกับพี่เค้ามากๆ รู้มั้ย"
"แล้วทำไมคุณแจ็คต้องทำดีกับผมล่ะครับ" เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่พี่โยพูดสักเท่าไหร่
"คงเอ็นดูเรามั้ง" พี่โยก้มลงไปนับเงินต่อ "คิดซะว่าทำเพื่อจิมก็แล้วกัน ถ้าเราบอกว่าอยากตอบแทนที่จิมคอยช่วยเหลือล่ะก็นะ ทำตามที่พี่บอก"
"จิมจะโดนคุณแจ็คดุน้อยลงรึเปล่าครับ" ตรงนี้ที่ผมห่วงที่สุดเลยเพราะผมได้ยินผ่านกำแพงทุกวัน
"คิดว่านะ ไม่รู้จะคิดไปเองรึเปล่า แต่ถ้ามองไม่ผิดพี่ว่าเราน่าจะช่วยได้เยอะเลยล่ะ"
ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ไม่รู้หรอกว่าคุณแจ็คจะทำดีกับผมเหมือนที่พี่โยบอกไหม แต่ถึงอย่างนั้นผมว่าน่าจะเริ่มที่ตัวผมเองดีกว่า แม่บอกว่าถ้าเราทำดีกับใครก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา ถ้าผมทำตัวน่ารักกับคุณแจ็ค คุณแจ็คก็จะทำตัวน่ารักกับผม แล้วผมก็จะขอให้ทำตัวน่ารักกับจิม โป๊ะเช๊ะ!

Rrrr

"ฮัลโหลจิม"
[ระวังหน่อยนะ พี่แจ็คอยู่บ้านแล้ว แม่ก็อยู่ด้วย เฮ้อ ให้ตายสิ จะพูดจะคุยก็ต้องหลบๆ ไว้เราจะซื้อโทรศัพท์ให้ใหม่แล้วกันนะ]
"ทำไมต้องซื้อเราก็ถืออยู่นี่ไง"
[แต่เครื่องที่นายใช้มันเล่นไลน์ไม่ได้ เอาเถอะ ไว้หลังสอบเสร็จจะพาไปซื้อ ถ้าเราโทรไปอีกทีไม่ต้องรับนะ เป็นสัญญาณให้รีบวิ่งเข้าบ้านมาได้เลย โอเคมั้ย]
"โอเค"

ผมวางสายจิมแล้วเดินเล่นอยู่ในซอยบ้าน ถึงผมจะไม่เคยเล่นไลน์แต่ก็เคยเห็นจิมพิมพ์คุยกับเพื่อนบ่อยๆ มีหลายอย่างที่คนกรุงใช้แล้วผมเคยเห็นแค่ในทีวี พอได้มาอยู่ที่นี่เหมือนเปิดโลกใหม่ไปเยอะเหมือนกัน จนบางครั้งก็แอบคิด ถ้าเก็บเงินได้สักก้อนอยากจะส่งเจ้าตัวแสบที่บ้านมาเรียนที่นี่ เผื่อจะเก่งๆ เหมือนคุณจิมคุณแจ็ค เอาความรู้ที่ได้มาเปิดร้านเป็นของตัวเองแบบพี่โย
พี่โย...ตายแล้ว ผมลืมบอกพี่โยว่าที่ร้านมีงู!

[แจ็ค]

ผมโทรหาเลขาวุ่นวายให้ช่วยส่งไฟล์งานทั้งหมดมาใหม่ นั่งสั่งปริ้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะครบทุกฉบับ เรื่องของเรื่องก็เพราะเจ้าเด็กตัวแสบนั่นทำกาแฟหกเลอะงานไปหมด จะทำส่วนอื่นไปก่อนก็ไม่ได้เพราะมาหลับใส่บนตัวผมอีก คืนนี้กว่าจะได้นอนคงหลังเที่ยงคืน
ผมรู้ว่างานเอกสารมันน่าเบื่อแต่ก็ไม่คิดว่าแค่นั่งดูเฉยๆ จะถึงกับหลับได้ แถมยังหลับลึกซะด้วย อุ้มไปวางบนโซฟายังไม่รู้สึกตัวเลย ถ้าไม่ติดว่าถึงเวลาที่จิมกลับผมคงปล่อยให้นอนต่อบนตัวอีกสักหน่อย ผู้ชายอะไรตัวนุ่มนิ่มชะมัด ร่างผอมบางคิดว่าจะมีแต่กระดูก ผมแอบบีบแก้มเล่นไปตั้งหลายครั้งแต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หลับลึกเอง
“ยิ้มอะไรคนเดียวพี่” ผมสะดุ้งจนเอกสารหล่นออกจากมือ
“เข้ามาทำไมไม่เคาะก่อน”
“เคาะแล้วพี่ไม่ตอบ”
“ไม่ตอบก็ต้องรอให้อนุญาตก่อน”
“ทำไมอะ บ้านนี้ก็บ้านจิมเหมือนกัน ทำไมจิมจะเข้ามาไม่ได้ จิมเป็นน้องพี่นะ”
“แล้วไม่ต้องมีมารยาทรึไง”
เจ้าน้องชายหันหลังกลับไปที่ประตูก่อนจะยกกำปั้นทุบเพื่อประชดผม ผมเห็นเขาถอนหายใจเซ็งๆ ตั้งแต่ก่อนถึงประตูและนั่นทำให้ผมลอบถอนหายใจเหมือนกัน
“พอใจยัง”
“มาหาพี่มีธุระอะไร ถ้าจะมาเล่าเรื่องที่มหาลัยก็เอาเวลาไปอ่านหนังสือ คืนนี้พี่ไม่ว่าง”
“พี่ไม่เคยว่างให้เรื่องของจิมอยู่แล้วนี่”
“อย่ามาประชดพี่ตอนนี้จิม พี่กำลังปวดหัวกับเอกสาร”
“สอบเสร็จเพื่อนๆ นัดกันจะไปปีนเขา จิมเลยมาบอกไว้ก่อน”
“ไม่ให้ไปมันอันตรา...”
“แค่มาบอก ไม่ได้มาขอ”
ปัง!
   เฮ้อ...
   ไม่รู้เมื่อไหร่ที่จิมเริ่มก้าวร้าวใส่ผมแบบนี้ เขาเคยเป็นเด็กน่ารัก และทุกวันนี้ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวว่าเขาน่ารัก คนทั้งซอย ไม่สิ ทั้งหมู่บ้านทั้งตลาด ทุกคนแทบไม่มีใครไม่รักจิม แต่กับผมเหมือนเราห่างกันไปทุกวันทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน

[จ่อย]

   “นอนได้แล้ว” จิมสะบัดผ้าห่มแล้วแบ่งครึ่งนึงมาทางผม นี่ก็ดึกมากแต่เขาก็มาเคาะประตูจนผมใจสั่นไปหมด เพราะปกติมันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมา
“จะนอนกับเราจริงๆ หรอ ถ้าคุณแจ็คหาจิมมะ...”
“เลิกพูดชื่อนี้สักที ถ้าเค้าหาไม่เจอแปลว่าเราไม่อยากให้เจอ ไม่ต้องห่วงมากหรอก”
“ทะเลาะกันมาอีกใช่มะ” ผมตะแคงตัวนอนมองหน้าจิมบนหมอนใบเดียวกัน เพราะพื้นที่มีไม่มาก จริงๆ ไม่อยากให้จิมมาอุดอู้อยู่ในนี้ด้วย มันทั้งร้อนแถมเปิดไฟก็ไม่ได้
“อาทิตย์หน้าเราจะไปเที่ยวกับเพื่อน ไปด้วยกันนะ” จิมเอ่ยปากชวนผม ซึ่งเรื่องนี้ผมก็พอรู้มาบ้างอยู่แล้ว จิมเคยคุยว่ามีที่ๆ อยากไปแต่ยังตกลงกับเพื่อนไม่ได้ในตอนนั้น “เดี๋ยวเราลางานกับพี่โยให้”
“ไม่เอาหรอก เรากลัวได้เงินไม่ครบตามที่คำนวณไว้” ผมกลัวว่าถ้าหยุดงานจะโดนหักเงินไปด้วย “วันนี้เราก็แอบหลับเวลางาน ปล่อยพี่โยทำอยู่คนเดียว”
“ทำไมล่ะ ง่วงเพราะตื่นเช้าหรอ ขอโทษทีนะ เราก็เพิ่งนึกได้ว่าแม่จะกลับ”
“ไม่เป็นไรเลย แค่มีที่ให้เรานอนก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องขอโทษ เราไม่ได้ลำบากอะไร”
“จะไม่ไปด้วยจริงหรอ ถ้าต้องอยู่คนเดียวจะอยู่ยังไง เกิดโดนจับได้ขึ้นมาล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง เราจะระวังตัวอย่างดีเลย กฎเหล็กของจิมเราก็จำได้ขึ้นใจ ยิ่งวันพฤหัสฯก็จะยิ่งระวังสุดๆ”
“จำได้ทุกข้อแน่นะ”
“แน่สิ จิมเป็นคนติดไว้ที่ประตูเองนี่ ก่อนออกจากบ้านเราอ่านทุกวัน” ผมส่งยิ้มเพื่อให้จิมสบายใจ ไม่รู้เขาจะมองเห็นมันรึเปล่าเพราะมืดไปหมด
“วันพฤหัสฯพี่แจ็คจะชอบทำงานที่บ้านเพราะคนที่บริษัทไปที่สตูดิโอกันหมด เป็นไปได้ก็อาบน้ำไว้ตั้งแต่คืนวันพุธตอนเช้าจะได้ไม่ต้องอาบ ทนๆ เอาหน่อยแค่วันเดียว ทาแป้งเยอะๆ ขากลับก็ยิ่งต้องระวัง ตอนเช้ายังไม่เท่าไหร่พี่แจ็คตื่นสาย แต่ตอนเย็นนี่แหละที่น่าห่วง”
“หรือเราจะขอนอนที่ร้านพี่โยดี”
“ถ้าได้ก็ดีเลย แค่วันเดียว พยายามหาเหตุผลดีๆ เฮ้อ... ห่วงจังเลย เราว่าไปกับเราดีกว่านะ เรื่องเงินเดี๋ยวเราจะ...”
“หยุดเลย ให้เราทำงานหาเงินเองเราบอกแล้วไง”
“ก็ได้ๆ นอนได้แล้ว” จิมเอื้อมมือมาตบแปะๆ ที่หัวผม 2-3ที ก่อนที่เราจะหลับตาลงพร้อมกัน

“จิม จิม”
!!!
ตาทั้ง 2คู่ของเราโตจนแทบจะถลนออกมากองรวมกัน เสียงเข้มๆ ที่ตะโกนเรียกจิมนั่น....

“คุณแจ็ค/พี่แจ็ค”

#ห้องลับบักจ่อย
TBC
   
   
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-02-2019 03:24:39
ลุ้น​ๆ​
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 13-02-2019 15:34:14
มีคนหลอกเด็กค่าคุณตำรวจ
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 13-02-2019 15:54:36
เพิ่งได้อ่าน สนุกมากเลยจ้า น่าติดตาม จ่อยก็ซื่อน่ารัก จิมกับพี่แจ็คคงต้องทำความเข้าใจกันอีกเยอะเลย ไม่รู้ว่าความจะแตกหรือเปล่า

คนเขียนสู้ๆนะ อยากอ่านต่อแล้วววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 13-02-2019 17:14:22
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 13-02-2019 19:40:12
ตายแล้วจะรอดมั้ยจะ :katai1: พี่แจ๊คคือเอ็นดูน้องมาก มีการบีบแก้มให้ซบ ชอบน้องแล้วใช่มั้ย :-[ แล้วน้องซื่อมากน่ารักมากๆด้วย สนุกมากๆเลยมาต่อเร็วๆนะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 13-02-2019 21:24:22
ความจะแตกมั้ยเนี่ย

พี่แจ๊คคะ แอบแต๊ะอั๋งน้องอะ เอ็นดูน้องกันหมดแล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 13-02-2019 23:23:19
ชอบม๊ากกก  :katai4:
จิมนี่เด็กมีปัญหาใช่ไหม ถ้าจ่อยเป็นคนไม่ดีนี่คือพาอันตรายเข้าบ้านเลยนะ

แต่เอาเถอะ มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 26-02-2019 02:51:56
5
จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน
[/b]

 "จิม ออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าคิดว่าพี่ไม่ได้ยินเสียงนะ"

"ทำไงกะ...อื้ออ" ผมร้อนรนจนจิมต้องยกมือขึ้นมาปิดปากไว้ ฟังก็รู้ว่าคุณแจ็คยืนอยู่ไม่ไกลจากห้อง ถ้าจับได้จิมจะเป็นยังไงล่ะ ต้องซวยแน่ๆ

จิมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปาก ส่งสัญญาณให้ผมเงียบก่อนที่ตัวเขาจะค่อยๆ ลุกขึ้นสำรวจรอบห้อง "ไม่ต้องมาเรียก ผมไม่อยากคุยกับพี่" ยืนชิดหน้าต่างแล้วตะโกนออกไปทางหน้าห้อง ผมไม่เข้าใจว่าจิมพยายามทำอะไร อย่างนี้ใครก็รู้สิว่าจิมอยู่ในห้องนี้น่ะ

"อย่ามาทำตัวเป็นเด็กๆ นะจิม" คุณแจ็คตะโกนตอบ ผมเห็นจิมค่อยๆ ถอนกลอนหน้าต่างอย่างเบามือจนมันอ้าออก ขายาวปีนก้าวข้ามขอบนั้นไป ผมว่าจิมคงเกร็งน่าดูเพราะมันเงียบมากทั้งๆ ที่กระโดดหยองไปอยู่ข้างนอกแล้ว

จิมกวักมือให้ผมไปหา แล้วทำท่าเหมือนจะบอกให้ผมค่อยๆ ล็อคหน้าต่างเหมือนเดิม

"ใครกันแน่ทำตัวเป็นเด็ก เอะอะก็จะเอาให้ได้อย่างใจตัวเอง" ผมได้ยินเสียงจิมแว่วจากข้างนอก มันลอยไปพร้อมๆ กับจังหวะการเดิน "ชอบบังคับให้คนอื่นทำนั่นทำนี่ พี่แจ็คนั่นแหละไม่รู้จักโต"

"ออกมาทำอะไรข้างนอกดึกๆ แล้วเมื่อกี้คุยกับใคร" ผมเงี่ยหูแนบประตูฟัง

"ออกมาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนครับ ทำไม? หรือว่าไม่ได้อีก?"

"แต่พี่ได้ยินเสียงคนอื่นนอกจากเรานะ" คุณแจ็คคาดคั้นจนผมสั่นไปหมด

"ก็วิดีโอคอลไง ไม่ได้เอาหูฟังลงมา แล้วหูดีขนาดไหนจิมยืนอยู่หลังครัวแต่พี่อยู่หน้าห้องเก็บของยังได้ยิน อย่าจับผิดจิมนักดิ เป็นน้องนะไม่ใช่นักโทษ"

"เดี๋ยวนี้พูดจาไม่น่ารักเลยนะ เข้ามหาลัยแล้วเป็นแบบนี้หรอ อย่าติดเอานิสัยไม่ดีจากที่อื่นมาใช้ที่บ้าน"

"พี่ก็เลิกโทษแต่คนอื่นสักทีเถอะ จิมเป็นแบบนี้เพราะพี่นั่นแหละ จิมพูดไม่น่ารักแค่กับพี่คนเดียวรู้ไว้ด้วย"

"จิม! จะมากเกินไปแล้วนะ!"

ผมได้ยินเสียงคุณแจ็คตวาดจนแทบอยากจะเปิดประตูห้องไปช่วยห้าม แต่คิดอีกที ถ้าขืนออกไปตอนนี้มันจะต้องแย่กว่าเดิมแน่

"ทะเลาะอะไรกันลูกเสียงดังมาถึงข้างบน" เสียงแว่วๆ ของผู้หญิงคนนึงที่ผมฟังไม่ค่อยถนัด น่าจะดังมาจากชั้น 2

"ไม่มีอะไรครับแม่" เสียงคุณแจ็คไม่เกรี้ยวกราดเหมือนเดิมแล้ว อาจเพราะต้องเปลี่ยนอารมณ์เมื่อคุยกับผู้ให้กำเนิด "แม่พักเถอะครับ เดี๋ยวแจ็คกับน้องก็เข้านอนแล้ว"

"ค่อยๆ คุยกันนะ มีอะไรก็มาคุยในบ้าน เดี๋ยวจะรบกวนคนอื่นเค้า"

“ครับ/ครับ”

เสียงฝีเท้าของทั้งคู่ห่างไปจากหน้าห้องผมไกลแล้ว ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะคิดว่าจะเป็นเรื่อง สุดท้ายแล้วคืนนี้จิมก็ไม่ได้นอนกับผม ซึ่งก็ดี ห้องนี้ร้อนจะตายแถมยังมืดมากอีกด้วย ผมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ห้องอับ แต่ก็ยังช่วยได้น้อยมากอยู่ดี ว่าแต่...

ป่านนี้จิมกับคุณแจ็คจะเป็นยังไงบ้างนะ

 

“ใส่เสื้ออะไรของนาย” พี่โยมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายหน้าเบาๆ กับชุดทำงานวันนี้ “อย่าต้องให้สั่งทำชุดฟอร์มเลยนะ อยู่กันแค่สองคน”

“ขอโทษครับ มันแห้งไม่ทันจริงๆ” พอจะเข้าใจที่พี่โยส่ายหน้าแบบเอือมๆ เมื่อวานคุณแม่ของจิมอยู่บ้านทั้งวันทำให้ผมซักผ้าตากข้างนอกไม่ได้ ตามจริงเสื้อตัวนี้ผมใส่นอนเพราะสภาพมันย้วยไปหมดแล้วแถมสีก็ส้มสะท้อนแสงเพราะเป็นเสื้อแจกของผู้ใหญ่บ้านที่ให้มาตอนช่วงหาเสียง แต่วันนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ

“ไปเอาเสื้อคลุมพี่มาใส่ไป” คงเหลือทนกับสีแสบตานี่แล้วจริงๆ ผมอยากขอโทษพี่โยพันรอบที่สร้างความวุ่นวายให้ตลอด

“ใส่เสื้ออะไรของนาย” ผมสะดุ้งกับคำถามที่เหมือนกันเป๊ะของคนที่เพิ่งเข้าร้านมาใหม่ ให้ตายสิ มันคงแปลกสำหรับคนกรุงแน่เลย ใครๆ ก็ทักแบบเดียวกันหมด แถมสายตาที่มองก็ไม่ต่างกันด้วย

“เมื่อกี้ผมก็ถามด้วยคำถามเดียวกับพี่แหละ” พี่โยทิ้งท้ายก่อนจะไปประจำหน้าเค้าน์เตอร์ “ทำไมวันนี้มาแต่เช้าล่ะพี่ ไม่เข้าออฟฟิศหรอ”

“อืม วันนี้จิมเลิกเร็ว เข้าไปสอบวิชาเดียวก็เลยจะรอ” คุณแจ็คนั่งเก้าอี้ในร้าน ที่ต่างจากเดิมคือมันไม่ใช่ที่ประจำ แล้วยังไม่มีกระเป๋าใบใหญ่ๆ ที่ไว้ใส่พวกเอกสารด้วย “ไม่เอากาแฟนะ ขอเป็นช็อกโกแลตร้อนแทน”

“พี่นี่ก็น้า รักน้องห่วงน้องแต่ไมรู้จักแสดงออกเอาซะเลย” พี่โยพูดขณะที่ตักส่วนผสม “ทีกับ.../...ไอ้โย!”

พี่โยพูดไม่ทันจบก็โดนคุณแจ็คขัด แทนที่จะเคืองพี่โยกลับหัวเราะในลำคอแล้วเหล่สายตามาทางผมแทน

“รีบๆ ไปเอาเสื้อคลุมมาใส่ได้ปะ แสบตา” เสียงช้อนกระแทกโต๊ะทำให้ผมรีบดีดตัวลุก เสียงหัวเราะของคุณแจ็คดังลั่นจนผมต้องหันไปมองเพราะไม่เคยเห็น อย่างมากก็ยิ้มนิดๆ หน่อยๆ

“ใส่แบบนี้แหละ เรียกแขก” ยังคงกลั้วหัวเราะไม่หยุดอีก เชอะ “จะว่าไปไม่เคยเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านเลยนะ เคยเห็นแต่ในข่าว” คุณแจ็คอ่านตัวหนังสือข้างหลังเสื้อผมแล้วเริ่มถกประเด็นกับพี่โย

“แถวเรามันไม่ต้องมีนี่พี่”

ผมมองสลับระหว่างคุณแจ็คกับพี่โย พวกเขาบอกว่าไม่เคยเลือกผู้ใหญ่บ้านหรอ กรุงเทพฯไม่ต้องมีผู้ใหญ่บ้านหรือไง ผมคิดว่ามีทุกหมู่บ้านซะอีก

“นายใส่กางเกงตัวเดิมหรอ” คุณแจ็คจ้องที่ขาผมจนรู้สึกแป้ว จะมาความจำดีอะไรกับเรื่องนี้นะ ไม่เคยใส่ซ้ำกันรึไง กางเกงใครเขาซักกันบ่อยๆ

“ซกมกจริงๆ” พี่โยก็ยังมาเสริมอีก เฮ้อ ผมชักอายจนอยากจะวิ่งไปเอาผ้าออกมาตากแดดให้มันจบๆ จะได้ไม่เหม็นอับด้วย

“หน้าตาก็น่ารักหัดดูแลตัวเองบ้างสิ ไม่ใช่จะใส่อะไรก็ใส่ อย่างน้อยก็ให้มันสะอาดสะอ้านหน่อย” คุณแจ็คยกถ้วยช็อกโกแลตร้อนขึ้นจิบ

“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ แต่มันแห้งไม่ทันจริงๆ ไม่ได้อยากจะใส่แบบนี้ออกจากบ้านสักหน่อย”

“ทำไมแห้งไม่ทัน ฝนก็ไม่ตก” พี่โยถามพร้อมยกกาแฟของตัวเองขึ้นดื่มบนเก้าอี้ข้างๆ คุณแจ็ค

“ก็...ก็ผมมีเสื้อผ้าไม่กี่ตัวเลยต้องสลับกันซัก แต่ช่วงนี้มันซักไม่ทันก็เลย...”

“ไม่กี่ตัวนี่กี่ตัว” ผมหันไปสบตากับคุณแจ็ค ใจก็ไม่อยากจะตอบคำถามแบบนี้เลย แต่ในเมื่อคุณเขาถามก็ต้องตอบ

“มีกางเกงสามตัวกับเสื้อห้าตัวครับแล้วก็เสื้อแขนยาวอีกสองตัว” ผมก้มตอบไม่อยากสบตากับคุณเขาอีก ก็คุณแจ็คน่ะ มีเสื้อผ้าเยอะมากผมเคยเห็นจากตะกร้าที่ส่งให้ร้านซัก

“ทั้งบ้านมีแค่นี้หรอ”

“น้องมันมาจากต่างจังหวัดพี่ มาแค่กระเป๋าเป้ใบเดียวจะยัดได้แค่ไหนกัน”

“อ่า”

คุณแจ็คนิ่งเงียบไปพักใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องเสื้อผ้าต่อผมจึงถอยไปยืนเช็ดถูนั่นนี่ไปเรื่อย ในใจพลางคิดว่าพรุ่งนี้แล้วสิที่จิมจะไปเที่ยวและผมจะต้องระวังตัวอย่างดี ช่วงนี้ได้เจอคุณแจ็คบ่อยแต่ถ้าเป็นที่ร้านก็โชคดีไป กลัวก็แต่มันจะไม่ใช่แค่ที่ร้านน่ะสิ

            “จ๊ะเอ๋!” เหมือนมีอะไรแหลมๆ มาจิ้มที่เอวเล่นเอาสะดุ้งจนแก้วในมือเกือบล่วง ถ้าต้องซื้อใช้นี่ไม่มีปัญญาหรอกนะ

“จิม มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

            “เมื่อใครก็ไม่รู้ยืนเหม่อ คิดถึงเราล่ะสิ” ยิ้มสดใสนั่นทำให้ริมฝีปากของผมฉีกกว้างออกตามไปด้วย

“รู้ดีจัง คิดถึงจริงๆ นั่นแหละ”

“จริงปะ? เกือบจะดีใจแล้วนะถ้าไม่ตงิดตรงคำว่ารู้ดีเนี่ย เหมือนโดนหลอกด่าเลย”

“ไม่ได้หลอกด่า มันเป็นคำชื่นชม” ผมรีบวางแก้วในมือแล้วอธิบายก่อนที่จิมจะเข้าใจผิด “เป็นไงสอบวิชาสุดท้ายทำได้ดีเลยล่ะสิ”

“แน่นอน คนมันเก่ง ไปกันเถอะ”

“ไปไหน” จิมดึงเชือกที่ผูกเอวของผมออกจนผ้ากันเปื้อนหล่นไปกองที่พื้น

“เดี๋ยวพาไปเที่ยว” ยิ้มจนตาปิดก่อนจะลากผมออกมาเกือบถึงหน้าร้าน “พี่โยใจดีให้วันหยุดเพิ่มหนึ่งวัน ใช่มั้ยครับพี่โย”

“เหอะ พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง” พี่โยยกขาขึ้นไขว่ห้างส่ายหน้าเบาๆ “จะไปไหนก็รีบๆ ไปเลยเดี๋ยวเปลี่ยนใจ”

ผมมองหน้าพี่โยด้วยความไม่เข้าใจ พอกันทั้งพี่ทั้งน้องคืออะไร แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงโดนจิมลากออกมาในเวลางานด้วย

รู้ตัวอีกทีผมก็ถึงหน้าบ้านแล้ว

 

            “ลงสิ นี่บ้านเราเอง” ผมเห็นตาของจิมขยิบเหมือนฝุ่นจะเข้ารึเปล่า “นี่บ้านเราๆ บ้านของเรากับพี่แจ็ค ใช่มั้ยพี่แจ็ค”

            “อ้อ อ้อๆ นี่บ้านของจิมหรอ ใหญ่จัง” ผมฉีกยิ้มปากเป็นเส้นตรงเมื่อเข้าใจความหมายของสายตานั้น ผมไม่ค่อยทันเวลาจิมส่งซิกสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับความหัวไวของจิม เพราะถ้าผมเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยคงเป็นเรื่องแปลกสำหรับคุณแจ็ค ถึงแม้ว่าความจริงผมเดินจนครบทุกตารางเมตรแล้วก็ตาม

“รีบๆ เข้าล่ะอย่าชักช้า หิว” คุณแจ็คบอกจิม ทันใดนั้นร่างของผมก็แทบจะลอยเพราะถูกฉุดให้วิ่งตามขึ้นบันไดไป

“นี่มันอะไรกันจิม ทำไมจู่ๆ ถึง...”

“อย่าเพิ่งถามมากน่า เอานี่ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ตัวนี้น่าจะใส่ได้พอดีแล้วก็... กางเกงใส่ตัวนี้” ไม้แขวนเสื้อถูกเหวี่ยงลงที่นอนพร้อมกับเสื้อผ้าเข้าชุดถูกส่งมาให้ผม “ไปเร็วสิ อยากให้พี่แจ็ครอนานรึไง เดี๋ยวก็โดนกันหมดหรอก”

“ก็ได้ๆ จะรีบไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ”

 

[แจ็ค]

“โหววว” ผมยืนสังเกตอยู่พักใหญ่ก็ได้ยินแต่คำนี้ที่หลุดออกมาจากปากคนตัวเล็กตรงหน้า

“รีบๆ เดินเข้าสิ แบบนี้คนที่เดินข้างหลังจะหงุดหงิดเอาได้นะ” จิมดันหลังเจ้าตัวเล็ก และผมแอบเห็นว่าเขามีอาการเกร็งหน่อยๆ

“ใหญ่จังเลยจิม เหมือนเอาห้างบิ๊กซีกับโลตัสมาต่อกันแหนะ” เด็กทึ่มเอ้ย

“อย่าเดินไปไกลล่ะ อยู่ใกล้ๆ เรากับพี่แจ็คไว้จะได้ไม่หลง”

“อื้อ”

“จะพากันกินอะไรก็เลือกสิ” ผมบอกทั้งสองคนที่มัวแต่คุยชี้ไม้ชี้มือไปตามร้านต่างๆ ที่เดินผ่าน

“อยากกินอะไร”

“ก๋วยเตี๋ยว” เจ้าเด็กบ้านนอกตอบออกมาแบบไม่คิดสักเสี้ยววินาที

“มาถึงนี่ยังจะอยากกินก๋วยเตี๋ยวอีกหรอ นายนี่ไม่รู้จักเบื่อมั่งรึไง” เจ้าจิมได้พูดแทนใจผมไปหมดแล้ว

“ก็เราไม่รู้ว่าที่นี่มันอะไรกินบ้าง มีแต่ร้านดูแพงๆ ทั้งนั้นเลย ดูอย่างรูปที่แปะอยู่หน้าร้านนั่นสิ คืออะไรก็ไม่รู้ จานเบ้อเริ่มแต่ให้อาหารนิดเดียว ไม่อิ่มหรอก” ผมขำในใจกับคำพูดที่ตรงเกินไปจนกลัวว่าพนักงานหน้าร้านจะได้ยิน

“งั้นไปร้านที่เราชอบกินดีกว่า จุ่มๆ ลวกๆ ง่ายดี เนอะพี่แจ็คเนอะ”

“เอาสิ”

 

หลังจากที่เราจัดการกับชาบูกันเสร็จก็ออกมาเดินเล่นกันต่อ เจ้าตัวเล็กดูจะยังไม่หายเกร็งถึงแม้ว่าจิมจะพยายามช่วยในการปรับตัวหลายอย่าง ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่แปลกตาแต่ก็แน่ล่ะ มันไม่ใช่ห้างในแบบซุปเปอร์สโตร์ที่เด็กนี่เคยเข้า แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันน่าตื่นตาตรงไหน ดูจากสายตากลมเท่าไข่ห่านนั่น เห็นแล้วตลกชะมัด

“จิมขอแวะบีทูเอสแปบนะพี่” เจ้าจิมหันมาขออนุญาตผม ในมือคว้าแขนอีกคนให้เดิมตามไปด้วย จะทำตัวติดกันไปถึงไหน

“จะไปก็ไปแต่ไม่ต้องลากคนอื่นไปด้วยหรอก น้องสิงอยู่ในนี้ได้เป็นวันไม่กลัวเพื่อนจะเบื่อรึไง” ผมเห็นจิมทำท่าลังเลจะปล่อยไม่ปล่อยมือเล็กนั่น

“แต่ว่า...”

“ให้อยู่ในนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ลืมแล้วหรอว่าอยากพาเพื่อนมาที่นี่ทำไม” ผมเน้นย้ำให้จิมนึกถึงคำขอแรกที่พาเจ้าตัวเล็กมาด้วย

“งั้น จิมขอเข้าไปแปบเดียว แปบจริงๆ เดี๋ยวรีบออกมา นะๆ”

“เดี๋ยวเรารออยู่ตรงนี้ก็ได้ จิมเข้าไปเถอะ”

“จะรอข้างนอกหรอ” สายตาที่เหลือบมองมาน่ะ อย่าคิดว่าไม่เห็นนะจิม

“รีบไปเสียเวลา” ผมเลยดุเข้าให้ทีนึง

“ฝากด้วยนะครับ” จิมหันหลังไปแต่ก็ยังหันกลับมา “ห้ามดุห้ามตวาด ห้ามเสียงดังใส่เพื่อนจิมนะ” แล้วชี้หน้าผมด้วย เห็นพี่ชายอย่างผมเป็นคนแบบไหนกัน

“พี่จะหักคอเด็กนี่ซะ ถ้าเรายังไม่รีบไป”

“ไปแล้วๆ”

เจ้าจิมเดินเข้าร้านหนังสือไปโดยเหลียวกลับมามองเราเป็นระยะ ในที่สุดก็หลุดพ้นสายตาไปสักที ผมรู้ว่านี่เป็นสถานที่โปรดไม่กี่แห่งภายในห้างที่เจ้าจิมชอบมาขลุก เดินวนหาหนังสือใหม่ๆ ที่น่าสนใจบางครั้งนั่งอ่านจนลืมเวลากลับบ้านก็มี

“เราก็ไปกันเถอะ” ผมหันมาคุยกับคนตัวเล็กข้างๆ

“ไปไหนครับ ไม่รอจิมก่อนหรอ”

“เสียเวลาน่า” ผมบอก “พอเจอหนังสือน่าอ่านสักเล่มก็ลืมพวกเราแล้ว”

“แต่จะทิ้งจิมไว้คนเดียวได้ยังไงกันครับ ห้างนี้น่ะ ใหญ่มากๆ เลยนะ ไม่ได้หรอกๆ ผมจะยืนรอตรงนี้ เดี๋ยวจิมออกมาแล้วจะหลงทาง”

“หลงทาง?” ผมกลั้นหัวเราะในลำคอให้กับความขี้กังวล “คนเดียวที่จะหลงในห้างนี้ก็มีแต่นายนั่นแหละ”

“คะ... คุณแจ็คเดี๋ยว!”

ผมเดินทิ้งเจ้าตัวเล็กไว้ตรงนั้น อยากยืนรอก็รอไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใจอย่างที่ปากเก่ง เอาสิ ห่วงคนอื่นแต่ตัวเองขี้กลัว วิ่งตามผมแทบไม่ทันแล้ว

“ไม่รอต่อล่ะ”

“กะ...ก็ ก็จิมบอกว่าห้ามอยู่ห่างจิมกับคุณแจ็คนี่ครับ แล้ว... ก่อนเข้าไปจิมก็ฝากผมไว้กับคุณแจ็คแล้วด้วย”

“ฮึ...” ผมทำท่าจะเดินต่อ “ตามให้ทันแล้วกัน”

หมับ!

“ทันแน่ๆ ครับ ฮี่” ผมอึ้งไปนิดหน่อยแต่อาจจะมากอยู่เพราะตอนนี้กำลังหยุดชะงัก ไม่ใช่รอยยิ้มสดใสจนตาหยีที่ส่งมาให้ผมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ฝ่ามือนุ่มนิ่มของเขายังสอดเขามาในมือผมด้วย “แค่นี้ก็ไม่หลงแล้ว คุณแจ็คเดินต่อได้เลย”

“อะ...อื้ม อึ่ม” ผมกระแอมในลำคอเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อเฉยๆ หรอกนะ ปากนี่ก็คอยแต่จะยิ้มออกมาให้ได้เลย บ้าจริง ผมไม่ได้สั่งให้สมองมันทำตามอำเภอใจแบบนี้สักหน่อย ควบคุมยากจริง

“เราจะไปไหนกันหรอครับ ร้านนี้ก็มีหนังสือด้วย จิมจะเดินมาร้านนี้ด้วยมั้ยครับ”

“ก็ไม่แน่ ถ้าหาเราไม่เจอก็วนอยู่ร้านหนังสือแถวนี้แหละ เดี๋ยวเราค่อยเดินกลับมาหา”

“อ๋อ มากันบ่อยจนชินแล้วใช่มั้ยครับ” เด็กนี่พยักหน้าพูดเองเออเองอยู่คนเดียว “คุณแจ็คก็ดูจะตามใจรู้ใจจิมมากนี่ครับ แต่ทำไมต้องคอยดุคอยบังคับจิมด้วยล่ะ”

“หืม?” ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่ตอนนี้ยกมือเล็กขึ้นปิดปากแต่แววตากลมโตนั่นมันปิดไม่มิดหรอก “เอาอะไรมาพูด รู้ได้ไงว่าฉันเป็นอย่างนั้น”

“คือผม..คือ.. คือ”

“จิมเล่าอะไรให้นายฟังรึไง”

“ใช่ครับ ใช่ๆ ใช่เลย ฮ่าๆ” ผมว่าเด็กนี่ยิ้มเจื่อนๆ “แต่จิมไม่ได้ว่าคุณแจ็คนะครับ แค่เล่าว่าคุณแจ็คไม่ยอมให้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วแบบว่า..เอ่อ.. แต่อันนี้ผมไม่ได้ได้ยินเองนะ จิมเล่าจริงๆ แบบว่า...”

“แบบว่าอะไร” ผมมองถามอย่างคาดคั้น “พูดมาให้หมด”

“ห้ามดุ ห้ามตวาดผม” เจ้าเด็กหัวหมอเอาคำพูดของจิมมาย้ำ ถึงอย่างนั้นใบหน้าที่ก้มต่ำมองพื้นแบบสลดเพราะกลัวผมก็ทำให้อดสงสารไม่ได้

“ถ้าเล่าฉันจะไม่ดุ ฉันสัญญา” ผมเห็นรอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเรียวอีกครั้ง “ไหนพูดมาซิ”

“คืองี้ครับ จิมน่ะ แค่อยากไปเที่ยวเพราะเครียดจากการเรียนมานาน คุณแจ็คก็เห็นนี่ครับ เอาแต่อ่านหนังสือทุกวัน อีกอย่างนะ จิมดูเหงามากๆ เลยนะครับ เพราะคุณแม่ก็ไม่ค่อยอยู่ คุณแจ็คก็เอาแต่ทำงาน ทำไมไม่อนุญาตให้จิมได้ไปเที่ยวเล่นอิสระบ้างล่ะครับ มีวันว่างทั้งที พักสมองจะได้มีแรงกลับมาเอาใจใส่เรื่องเรียนต่อไงครับ ไม่ดีหรอ”

“แล้วไม่คิดว่าที่ฉันทำเพราะเป็นห่วงบ้างรึไง” คราวนี้ผมถามกลับ

“ผมรู้ครับ ผมเองก็มีน้องเหมือนกัน คนเป็นพี่ ยังไงก็ต้องห่วงต้องหวงน้องอยู่แล้ว” เด็กนี่เอือมมือมาจับมือของผมอีกข้าง “แต่เค้าก็มีอะไรให้เรียนรู้ด้วยตัวเองด้วยนี่ครับ ความสุขที่หาไม่ได้จากพี่ชายอย่างเราก็มีอีกเยอะนะคุณแจ็ค”

“...”

“ทางของเค้ามีเราคอยคุมอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หรอกครับ เค้าจะเดินไม่สะดวกนะ”

ผมคิดตามที่เจ้าตัวเล็กพูด มันไม่ใช่ประโยคที่เข้าใจยากอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากคนซื่อบื้อที่แม้แต่เปิดประตูรถยังไม่เป็นแบบนี้

“จะลองคิดดูแล้วกัน”

ผมปล่อยมืออีกข้างออกแล้วดึงมือที่จับกันอยู่ก่อนแล้วพาอีกคนเดินไปตามทางของห้าง น่าแปลกที่มันทำให้ผมสบายใจ ไม่เคยมีโมเม้นจะมาจับมือเดินกับใครนานแล้ว ตั้งแต่วันที่ฐานะหัวหน้าครอบครัวตกมาอยู่ที่ผม อาจเพราะเด็กนี่สดใสเกินกว่าที่จะมายืนข้างกันโดยเปล่าประโยชน์

“คุณแจ็คจะซื้อเสื้อผ้าหรอครับ” เด็กนี่ถามขึ้นเมื่อผมพาเดินเข้าช็อป

“ฉันไม่ได้ซื้อ นายซื้อ”

“ไม่ๆๆ” เขารีบสะบัดมือผมแล้ววิ่งออกไปยืนหน้าร้าน

“เข้ามาสิ” หน้าผมคงเหวออยู่หน่อยๆ นะคิดว่า พอดีตกใจกับพฤติกรรมของเด็กบ้านี่อยู่

“ผมจะซื้อได้ไงคุณแจ็ค” เขาวิ่งกลับเข้ามาแล้วเขย่งตัวขึ้นกระซิบที่หู “เงินเดือนยังไม่ออกเลย ถึงออกก็ไม่พอซื้อหรอกครับ” แล้ววิ่งออกจากร้านไปอีกที

ผมหลับตาเอือมๆ แล้วตามออกมาที่หน้าร้าน จะวิ่งเข้าวิ่งออกให้คนเขามองทำไมก็ไม่รู้ไอ้เด็กนี่

“เห็นนี่มั้ย” เปิดกระเป๋าแล้วหยิบบัตรเครดิตขึ้นมาหนึ่งใบยื่นให้คนตรงหน้า

“เอาเอทีเอ็มมาให้ผมทำไมครับ ไม่ได้ๆ เก็บไว้ เดี๋ยวหาย”

“นี่ไม่ใช่เอทีเอ็ม ดูนี่ เห็นตรงนี้มั้ย” ผมชี้ตรงแถบที่เซ็นชื่อไว้

“ครับ” เด็กนี่จ้องตามมือผมอย่างตั้งใจฟัง

“มันเป็นชื่อฉันเอง เค้าให้เขียนไว้ยืนยันตอนได้รับสิทธิ์

“สิทธิ์อะไรครับ”

“สิทธิ์ของห้างไง ฉันได้รับสิทธิ์ให้ซื้อของอะไรก็ได้ในห้าง แต่บัตรนี้มันใกล้หมดเขตแล้วนะ ถ้าไม่รีบใช้เสียดายแย่เลย” ผมขึงตาใส่เจ้าตัวเล็กให้ดูสมจริงสมจัง

“หมายถึงซื้ออะไรก็ได้ ทั้งหมดในห้างนี้เลยหรอครับ” เด็กนี่ตาโตเป็นไข่ห่าน “เป็นส่วนลดหรอครับ”

“ส่วนลดอะไรกัน” ขมวดคิ้วยุ่งๆ ใส่ “แค่เรายื่นบัตรนี้ก็ไม่ต้องควักเงินสักบาท”

“โห จริงหรอครับ”

“ก็จริงสิ แต่อย่าบอกใครเชียวนะ เดี๋ยวบัตรโดนขโมย เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจครับ” เขารับบัตรไปจากมือผม มองหน้าบัตรอย่างสงสัย “คุณแจ็คไปได้มาได้ยังไงครับ บัตรนี้น่ะดูยังไงก็เหมือนบัตรเอทีเอ็ม”

“ก็... อิชิตันไง ส่งรหัสใต้ฝา”

“อ๋อ ผมก็ส่ง” เขาตาโตมองผมอีกรอบ “แต่มันไม่มีแจกบัตรเอทีเอ็มนี่ครับ” จะสงสัยอะไรนักหนาวะ ผมสบถในใจ

“คืองี้ พอฉันได้รางวัลแล้วฉันก็บอกว่าไม่อยากได้ไอโฟน ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ซึ่งคนอื่นเค้าก็เปลี่ยนเป็นเงินใช่มั้ย แต่ตอนฉันได้เงินสดคุณตันหมด ก็เลยได้เป็นบัตรมาแทน เข้าใจยัง”

“โชคดีชะมัด” อ้าปากหวอมองผมอย่างตื่นเต้นในแววตา “ผมกินจนจะเป็นเบาหวานไม่เคยเฉียดเบอร์โทรผมเลยสักกะติ้ด มาม่าก็อีก ส่งชิงโชคหวังจะได้บ้านสักหลังก็ไม่ได้ ทำไมคุณแจ็คโชคดีอย่างนี้ล่ะครับ ต้องทำบุญมาเยอะแน่ๆ เลย วัดไหนบอกได้มั้ยครับ”

“ช่างเรื่องบาปบุญก่อนเถอะน่า เสียเวลามากละ เข้าไปดูเสื้อผ้า อยากได้ตัวไหนก็หยิบแล้วฉันจะใช้สิทธิ์ให้”

“จะดีหรอครับ เอาไปจ่ายค่าหนังสือให้จิมดีกว่ามั้ยครับ”

“หนังสือเล่มไม่กี่ร้อย จิมจ่ายได้อยู่แล้วน่า แล้วเรื่องนี้นะ ห้ามบอกจิมเด็ดขาด โอเค๊ รู้กันแค่สอคน ฉันกับนาย” ผมยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าอีกฝ่าย

“ก็ได้ครับ” เขาตอบอย่างลังเล แต่ก็เอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกับผม บ้าเอ้ย ไม่เคยต้องมายืนอธิบายอะไรเป็นตุเป็นตะแบบนี้เลย นี่ผมไม่ได้หลอกเด็กอยู่ใช่ไหมครับ เน๊าะ ไม่ใช่หรอก แค่เจ้าจิมขอให้พาเพื่อนมาด้วยแค่นั้นเอง แล้วดูการแต่งตัวที่ร้านกาแฟเมื่อเช้าสิ เสื้อผ้า 4-5ตัวที่เล่าให้ฟังนั่นถามจริงใครจะใช้ชีวิตด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นขนาดนั้นได้ แต่ลำพังจะซื้อให้เลยก็เห็นๆ อยู่ว่าคงไม่รับน้ำใจแน่

            “อยากซื้ออะไรอีกมั้ย” ผมถามเมื่อเราออกจากร้านรองเท้า พร้อมกระเป๋าเป้ใบใหม่สีชมพูอีกหนึ่งใบที่เจ้าตัวเล็กบอกว่าเห็นแล้วคิดถึงน้อง อ้อ เสื้อไหมพรมด้วย เห็นว่าที่ต่างจังหวัดหนาวมากเลยจะซื้อส่งไปให้แม่

รักครอบครัวจริงๆ เด็กคนนี้

            “ไม่แล้วครับ แต่คุณแจ็คครับ ให้ผมถือเองดีกว่า ใช้สิทธิ์คุณแจ็คแล้วยังให้คุณแจ็คถือของให้อีก ผมเกรงใจ”

“ถือไหวหรอ แค่ถุงเปล่าก็แขนหักแล้วมั้ง”

“ผมไม่ได้กระดูกพรุนนะ” ยังจะมาทำหน้ายู่ใส่อีก กี่รอบแล้วที่ผมเผลอยิ้มให้กับสีหน้าหลากหลายของเจ้าตัวเล็กนี่น่ะ

“ไม่ต้องถือแล้วเอามือมาจับฉันไว้ดีกว่า ไม่กลัวหลงแล้วรึไง” ผมรวบถุงมาไว้ที่แขนข้างเดียวแล้วยื่นมือไปให้

เจ้าตัวเล็กมองหน้าผมสลับกับมือก่อนจะตัดสินใจจับมันไว้แน่น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ดูจากรอยยิ้มนั่นคงไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก

“คุณแจ็คครับ”

“ว่า?”

“เราเหลือสิทธิ์อีกเท่าไหร่ พอซื้อไอโฟนรึเปล่า”

!!!?

(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 26-02-2019 02:53:11
[จ่อย]
[/b]
 

          ผมนั่งอยู่ในบ้านของสองพี่น้องที่ใจดีเกินกว่าที่ผมจะได้รับ จิมกำลังลงทะเบียนใส่รหัสอะไรก็ไม่รู้อยู่กับโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ผมได้มา เหมือนว่ายอดเงินในบัตรอิชิตันจะหมดแล้ว เพราะคุณแจ็คดูเหงื่อตกหน่อยๆ ตอนส่งบัตรให้พนักงานผมเห็นคุณเขาเอามือลูบหน้าลูบตาเลยบอกไปว่าไม่เอาก็ได้ แต่คุณแจ็คบอกว่าไม่เป็นไร แล้วยื่นถุงไอโฟนรุ่นใหม่เอี่ยมมาให้ผมแทน

ผมไม่ได้อยากจะใช้อะไรเกินตัวแบบนี้ แต่จิมชอบบ่นบ่อยๆ ว่าติดต่อผมยาก บอกว่ามือถือผมเป็นรุ่นที่ผลิตโดยผู้เฒ่าเต่า

ตอนได้เครื่องนี้มาจิมบอกว่าดีแล้ว เพราะถึงคุณแจ็คไม่ซื้อจิมก็จะซื้อให้ผมอยู่ดี ไม่เปลืองตังค์ เห็นว่างั้นนะ

“ที่เคยสอนไว้ลืมรึยัง” จิมปลุกผมออกจากความคิด

“จำได้” ผมรับมือถือมาจากเขา “แต่ถ้าเราพิมพ์ช้าอย่าว่าเรานะ”

“ไม่ว่าหรอก แต่ถ้าทักไปต้องรีบตอบทันทีเข้าใจมั้ย ห้ามอ่านอย่างเดียวนอกจากเราจะจบบทสนทนา”

“อื้ม” ผมพยักหน้า

“รีบกลับไปที่ห้องได้แล้วก่อนพี่แจ็คจะลงมา เดี๋ยวเราจะบอกให้ว่าจ่อยกลับบ้านไปแล้ว” จิมลดโทนเสียงลงเพื่อให้ได้ยินกันสองคน “หรืออยากขึ้นไปลาเอง”

“ได้หรอ” ผมถาม “เราอยากขอบคุณคุณแจ็คอีกครั้งน่ะ”

“งั้นก็รอก่อน เดี๋ยวเราถามก่อนว่าขึ้นไปได้มั้ย พี่แจ็คไม่ชอบให้ใครเข้าห้องทำงาน เราเองยังโดนดุเลย ไม่รู้หวงอะไรนักหนา”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามา”

ผมเดินช้าๆ เข้าไปในห้องทำงานอย่างหวาดๆ จิมเตือนก่อนขึ้นมาว่าคุณแจ็คหวงห้องทำงานไม่ชอบให้ใครเข้า บางครั้งจิมเคาะจนมือปูดยังเข้าไม่ได้เลยถ้าคุณแจ็คไม่อนุญาต ไม่รู้จะดุไปถึงไหน

“นั่งสิ” คุณแจ็คไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ แต่ยืนอยู่ที่โซฟาแล้วนั่งลงก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งตาม

            “ผมจะมาขอบคุณที่คุณแจ็คพาไปซื้อของครับ” ผมยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมตามที่ครูเคยสอน “แล้วก็ขอโทษที่ใช้สิทธิ์คุณแจ็คจนหมด”

“ใครบอกว่าหมด” สายตาคุณแจ็คคมจนผมไม่ค่อยกล้าสู้

“ก็... ไม่รู้ครับ แต่ผมใช้ไปเยอะมากเลย ทั้งเสื้อผ้ารองเท้า โทรศัพท์ ไหนจะของแม่กับน้องอีก” ก้มหน้าหงุดเพราะตอนที่ซื้อก็ซื้อไม่ลืมหูลืมตา มานั่งดูป้ายราคาเมื่อกี้มันเยอะมากเกินไปจริงๆ ทำงานทั้งชีวิตก็ไม่รู้จะมีปัญญาซื้อรึเปล่า แล้วเงินที่ได้มานั่นคุณแจ็คควรได้ใช้กับครอบครัวตัวเองจนผมรู้สึกผิด

“เอาโทรศัพท์มานี่ซิ จิมจัดการให้หมดรึยัง” ผมรีบยื่นให้ตามที่คุณแจ็คบอก “รหัสอะไร”

“เอ่อ...”

“จำไม่ได้หรอ”

“จิมบอกว่าห้ามบอกใครครับ ให้เก็บรหัสไว้เป็นความลับ”

“กลัวฉันจะขโมยโทรศัพท์นายรึไง ห้ามบอกใครเค้าหมายถึงคนนอก แต่ฉันเป็นคนซื้อ รีบบอกมาเร็วเข้า” น้ำเสียงเริ่มดุจนผมกลัวอีกแล้ว

“441141 ครับ”

“ง่ายจนไม่ต้องใช้สมองคิด” ปากผมเริ่มเบะขึ้นจนติดจมูก น่าจะกลับไปเลยตามที่จิมบอกแต่แรก

คุณแจ็คเข้าไปที่หน้าจอแล้วพิมพ์อะไรบางอย่างในมือถือที่ผมเองก็มองไม่เห็น กดนู่นกดนี่โดยที่ผมได้แต่นั่งมองเพราะไม่ค่อยรู้เรื่อง

“อะ” ผมรับโทรศัพท์คืน “แล้วไม่ต้องไปกดเปลี่ยนอะไรนะ”

“ครับ”

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” ก็เพราะคุณแจ็คนั่นแหละ เชอะ

“เปล่าครับ”

“ไม่พอใจอะไรฉันรึไง”

“เปล่าครับ”

“จะเปล่าอีกนานมั้ย”

“ไม่นานครับ”

“นายนี่! จะกวนประสาทฉันรึไงหะ” ผมสะดุ้งกับน้ำเสียงที่ดังขึ้น

“...”

“เฮ้อ” คุณแจ็คถอนหายใจจนผมได้ยินชัด “ขยับมานั่งนี่” บอกผมหรือบังคับผมกันแน่ก็ไม่รู้ พูดยังไม่ทันจบก็ลากดึงเข้าไปเองแล้ว “พูดซิ เป็นอะไร”

“เสียงดังครับ ผมไม่ชิน พี่โยก็เสียงดังแต่ไม่ได้เสียงดุเหมือนคุณแจ็ค เสียงคุณแจ็คเหมือนช้างร้องตอนโมโหเลย”

“... ช้าง...ช้างหรอ?”

“ครับ เคยเห็นมั้ย เวลามันตกมันเสียงจะดังน่ากลัวมากเลย เหมือนเลยครับ” ผมเล่าให้ฟังอย่างจริงจังตามที่เคยได้ยิน

“เออ เอาเหอะ ขอโทษละกัน”

“จิมคงได้ยินเสียงนี้บ่อยใช่มั้ยครับ”

“...”

“เค้าจะกลัวคุณแจ็คนะครับ ผมยังไม่กล้าใกล้เลย ถึงจิมจะเป็นน้อง แต่ให้น้องกลัวเราจะดีหรอครับ เค้าจะไม่กล้าเข้าหาเรานะ น้องสาวผมน่ะ ติดผมมากเลย มีปัญหาอะไรก็มาเล่าให้ฟังแม้แต่เรื่องที่ไม่กล้าบอกคนอื่น ผมว่าจิมเองก็มีหลายเรื่องที่อยากพูดคุยขอคำชี้แนะจากคุณแจ็คนะครับ อย่าดุนักสิ”

“สอนฉันสิ” ผมตกใจจนรีบเงยหน้าขึ้นมอง “คอยบอกฉันเวลาที่ฉันทำตัวไม่ดีกับจิม คอยห้ามเวลาฉันดุหรือใจร้ายกับจิม ได้รึเปล่า”

ผมสัมผัสได้ว่ามือหนากอบกุมมือผมไว้อยู่ มันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ผมก็เพิ่งสังเกต แต่สายตาของคุณแจ็คผมดูก็รู้ว่าเขาพูดจริง แต่ผมน่ะหรอ จะให้ผมนี่หรอไปห้ามคุณแจ็คน่ะ

“คุณแจ็คคือ..”

“พี่ชายที่แสนดีควรทำยังไง”

“คุณแจ็ค” ผมสบตากับระยะห่างที่ใกล้เข้ามาไม่ถึงคืบทำให้ผมมองหน้าคุณเขาได้ไม่ชัด “คุณแจ็คคือผมว่า..”

“พูดเบาแค่นี้พอมั้ย” เบามาก เบามากๆ แต่ทำไมผมได้ยินชัดขนาดนี้ “หรือต้องเบาอีก”

“พะ...พอครับ แต่ผมว่า...คุณแจ็คถอยออกไปหน่อยกะ...ก็จะดี”

“กลัวนายไม่ได้ยิน” ผมเห็นลางๆ ว่าคุณแจ็คกำลังยิ้ม แต่เพราะใกล้เกินไปมันเลยไม่ค่อยเต็มสายตา “หรือต้องพูดตรงนี้”

ผมเอียงคอแทบจะทันที คุณแจ็คเอียงหน้ามาพูดอยู่ข้างหูจนกลายเป็นกระซิบ คือผมก็กระซิบบ่อย ยิ่งเวลาอยู่ที่ห้องเก็บของกับจิมเราก็กระซิบกันเบาๆ เป็นประจำ แต่ทำไม... ผมว่า ผมรู้สึกแปลกๆ

“ขนลุกครับ อะ...ออกไปหน่อย” กลั้นใจยกมือขึ้นดันหน้าอกแน่นๆ ออกแต่คุณแจ็คกลับรวบมือผมไว้ด้วยมือข้างเดียว

“ก็ถึงบอกให้สอนฉันไง เห็นมั้ยว่าฉันทำไม่เป็น พูดเบาๆ ยังไม่ถูกใจนายเลย” จะจ้องหน้ากันทำไมขนาดนี้นะ ไม่เอาแล้วผมขอก้มหน้าลงเหมือนเดิมดีกว่า “แต่ถ้ามันรบกวนนายเกินไปก็ไม่เป็นไรก็ได้ ฉันก็จะเป็นของฉันแบบนี้แหละ”

           “ไม่ครับ ไม่” ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สูดหายใจจนเต็มปอด “ผมจะคอยเตือนคุณแจ็คเองครับ แต่คุณแจ็คก็ต้องพยายามด้วยนะครับ เป็นพี่ชายที่ดีน่ะ ไม่ยากหรอก” ผมพูดรวดเดียวจบ

           “ดี ออกไปได้แล้ว”

            “หะ !?”

           “ออกไปสิ หมดธุระแล้วนี่”

           “คะ...ครับ” ถึงจะงงหน่อยๆ แต่ผมก็ตกลงและยอมลุกออกจากข้างตัวคุณแจ็คแต่โดยดี

           “เดี๋ยว”

           “ครับ?”

            “ถ้าแม่นายได้เห็นเสื้อไหมพรมที่นายซื้อไปให้จะเป็นยังไง”

            “โห คงดีใจมากเลยล่ะครับ คงจะกอดผมแล้วยิ้มไม่หุบแน่”

           “อืมมมม แล้วน้องล่ะ กระเป๋าเป้นั่น คิดว่าจะชอบรึเปล่า”

           “แน่นอนครับ รายนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าเอาไปให้จริงๆ อะนะ คงกระโดดกอดแล้วจุ๊บๆ หน้าผมจนน้ำลายชุ่มแน่” เล่าไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงอาการแต่ละคน แค่คิดก็อยากเจอจะแย่

           “แล้วทุกอย่างที่ฉันซื้อให้นายไม่ดีใจเลยหรอ หรือว่าไม่ชอบไม่อยากได้”

           “อยากได้สิครับ ชอบมากด้วย คุณแจ็คให้ผมเลือกเองทุกอย่างเลยนี่นา ก็ต้องชอบมากๆ อยู่แล้วสิครับ” ผมรีบตอบออกไปจากใจ คุณแจ็คถามเหมือนจะน้อยใจอะไรบางอย่างเลย “ผมชอบมากจริงๆ นะครับ”

           “แต่ก็ไม่มากจนถึงขั้นกระโดดกอด จุ๊บๆ หน้าแล้วยิ้มไม่หุบ” ผมเห็นคุณแจ็คเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วพูดส่งมาให้ได้ยินแค่เสียงเจือความน้อยใจ

จุ๊บ
!!!


          ผมนั่งลงแล้วกอดเอวคุณแจ็คจากด้านหลัง จังหวะที่คุณเขาตกใจหันมาผมก็จุ๊บเข้าที่แก้มไปหนึ่งทีพร้อมส่งยิ้มหวานที่สุดในชีวิตให้ “ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมชอบมาก ชอบทุกอย่างที่ซื้อเลย ชอบคุณแจ็คด้วย”

            “ชอบ...อะไรด้วยนะ” คุณแจ็คขยับตัวหันหน้ามาทางผมตรงๆ หน้าตาสับสนที่ดูตลกแต่ก็นั่นแหละ ยังหล่อเหมือนเดิม

            “ชอบทุกอย่างเลยครับ ทั้งที่ได้ไปห้าง ได้ซื้อของ ได้เดินจับมือกับคุณแจ็คเพราะกลัวหลง ชอบชาบูด้วย แล้วก็ชอบคุณแจ็ค ชอบคุณแจ็คมากกว่าโทรศัพท์อีก” ผมยื่นหน้าคอตั้งยิ้มให้คุณแจ็คจนปากแทบจะฉีกถึงหู หวังว่ามันจะทำให้คุณแจ็คหายน้อยใจนะ

            “ห้ามพูดแบบนี้กับใครเข้าใจรึเปล่า”

            “ทำไมครับ มันเป็นคำไม่ดีหรอ ขอโทษนะครับ ขอโทษคุณแจ็คนะครับ”

            “เปล่า ฉันแค่อยากฟังคนเดียว”



#ห้องลับบักจ่อย

TBC



ไปแล้วววว พี่แจ็คเราไปแล้วครับโผ้มมม ความเข้มงวด ดุดัน กลายเป็นศูนย์เลนะฮะ ลู้โตนเด้ 555
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-02-2019 03:13:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 26-02-2019 03:51:49
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 26-02-2019 09:27:09
น้องจ่อยซื่อเกินไปแล้วลู้กกก
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 26-02-2019 09:45:41
อยากเลี้ยงต้อยก็ต้องเปย์ 55555555555555
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 26-02-2019 12:16:27
อยากเลี้ยงต้อยก็ต้องเปย์ 55555555555555

แม้ว่าพี่จะเหงื่อตกหน่อยๆ พี่ก็จะสู้ครับผม //พี่แจ็ค
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 26-02-2019 19:24:20
พี่แจ๊คพี่มันร้าย ใจไม่ดีเลยอ่ะ :-[ แถมยังสายเปย์อีกแอบวงวานพี่แจ๊คตอนน้องซื้อโทรศัพท์ ตอนน้องขอบคุณคือฟินมาก :pighaun: สนุกมากๆเลย มาต่อเร็วๆน้า :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 27-02-2019 00:02:53
หมดบัญชีชั้นให้เธออ /พี่แจ็คไม่ได้กล่าว 55555
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 05-03-2019 08:37:51
รออยู่นะคะ คิดถึงพี่แจ๊คกับน้องจ่อย
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 08-03-2019 20:52:26
 o13 :really2:
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน6
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 12-03-2019 07:24:18
6
อยากให้เธอเคียงข้างอย่างนี้

[แจ็ค]

   “มีเรื่องอะไรน่ายินดีลูก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ผมสะดุ้งจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงแม่ดังแทรกก่อนจะเดินตรงมาที่โต๊ะอาหาร
ผมนั่งดื่มกาแฟทานไข่ลวกฝีมือจิมอยู่คนเดียวเพราะน้องออกไปใส่บาตร แต่ที่แม่ทักว่าผมนั่งยิ้มคงเพราะกำลังนึกเรื่องเมื่อวานเพลินๆ อยู่
จะว่าไปผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเสียเงินเสียทองให้เด็กที่ไม่ใช่ลูกใช่หลานมากมายขนาดนี้ สินค้าในห้างก็รู้ๆ อยู่ว่าราคาไม่ใช่น้อยๆ หนักสุดคงเป็นไอโฟนเกือบ 35,000 โชคดีที่ว่าตอนนั้นผมถือบัตรไปจ่ายเองเลยใช้วิธีผ่อน 0% แต่ต้องมานั่งใช้หนี้อีก 6เดือน แต่จะว่าไปก็คุ้มนะ ไม่รู้สิ ทำไมผมไม่นึกเสียดายเลยแหะ จะว่าเพราะเด็กนั่นจำเป็นต้องใช้รึก็เปล่า เสื้อผ้าตามตลาดนัดผมกับเจ้าจิมก็ซื้อใส่กันบ่อยไปแต่ทำไมผมต้องมานั่งยกยิ้มกับการใช้จ่ายเกินตัวก็ไม่รู้สิ
หรือเพราะคำขอบคุณกับอ้อมกอดเล็กๆ นั่นนะ
“เอาอีกแล้ว มีเรื่องดีๆ อะไรเล่าให้แม่ฟังด้วยสิ” นี่ผมสะดุ้งเป็นรอบที่สอง
“ไม่มีอะไรครับแม่ ทานเถอะครับเดี๋ยวเย็นหมด” ผมเบี่ยงประเด็นไปที่อาหารเช้าแทน
“เมื่อคืนจิมมาบอกแม่เรื่องไปเที่ยวกับเพื่อน ฝากแจ็คดูด้วยนะลูกเผื่อน้องลืมเตรียมของสำคัญ” อา ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย
“แจ็คยังไม่ได้อนุญาตให้น้องไปเลยนะครับ”
“แจ็ค” แม่วางช้อนส้อมลงบนจานตามเดิม ซึ่งผมก็เดาได้ทันทีว่าท่านจะพูดอะไร “อย่าเคร่งกับน้องมากสิลูก อันไหนยอมได้ก็ปล่อยๆ น้องไปเถอะ แจ็คเองก็ยังเคยขอแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยลืมแล้วหรอ”
“แต่ที่น้องไปมันอันตรายนะแม่ ปีนเขาอะไรกัน ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง”
“ยังมองน้องเป็นเด็กอยู่ตลอดเลยนะเราน่ะ เหมือนพ่อไม่มีผิด”
“เพราะผมต้องทำหน้าที่แทนพ่อไงครับ”
“ถ้าพ่ออยู่พ่อไม่ใจดำกับจิมแบบนี้หรอก” จิมพูดแทรกเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวว่าเขามาถึงเมื่อไหร่ แต่คาดว่าไม่นานเพราะในมือยังมีตะกร้าขนมอยู่ คงใช้ความน่ารักอ้อนแม่ค้ามาได้เยอะแยะอีกตามเคย “พ่อจะต้องตามใจจิมทุกอย่าง”
“ถึงได้เอาแต่ใจอยู่นี่ไง” ผมสวนกลับไปบ้าง
“เอาล่ะพอๆ แจ็คห่วงแม่ก็รู้นะ แต่จิมเองก็ต้องพูดดีๆ กับพี่เค้าด้วยสิลูก”
“จะพูดดีหรือไม่ดีพี่แจ็คก็ไม่อนุญาตเหมือนเดิมนั่นแหละครับ จิมไปเก็บของก่อนนะ”
“ก็รู้ว่าไม่อนุญาตแล้วจะไปเก็บของทำไม จิม หยุดเดี๋ยวนี้นะ จิม!”
“แจ็ค” มือนุ่มของแม่คว้ามือผมไว้ก่นที่จะทันได้ลุกไปจัดการกับน้อง “เห็นมั้ยว่าน้องดื้อใหญ่แล้ว”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงครับผมถึงต้องกำราบบ้าง นับวันชักเอาใหญ่”
“เฮ้อ” เสียงแม่ถอนหายใจทำเอาผมรู้สึกแย่ไปด้วย “ไฟร้อนๆ แจ็คจะจัดการด้วยการพัดโหมให้มันลุกลามไปมากกว่าเดิมหรอลูก”
ผมหยุดฟังที่แม่พูดโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป
“มันมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้น้องยอมเชื่อฟัง อย่าให้ความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าแจ็คอยากเป็นหัวหน้าครอบครัวตามรอยพ่อแจ็คต้องใจเย็นให้มากกว่านี้ ถึงจะเป็นน้องชายแท้ๆ แต่แจ็คก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ ไม่อย่างนั้นแจ็คจะไม่มีวันได้ใจน้อง เข้าใจที่แม่พูดรึเปล่า”
ผมพยักหน้ารับแต่โดยดี ฟังที่แม่พูดก็ทำให้นึกถึงเมื่อก่อน เราสนิทกันมากและจิมก็มักจะเล่าทุกเรื่องให้ผมฟัง เราจะมานั่งเล่นที่ห้องทำงานของคุณพ่อแย่งกันพูดในเรื่องของตัวเองแล้วให้พ่อตัดสินว่าใครเจ๋งกว่า และพ่อก็จะมีทางออกที่ดีให้กับเราเสมอ จนวันนึงเมื่อท่านจากไประหว่างผมกับจิมก็ดูจะห่างเหินกันไปเรื่อยๆ จิมยังคงเล่าทุกอย่างให้ผมฟังเหมือนวัยเด็กแต่ผมต่างหากที่ไม่มีเวลาจะฟังเขาเลย กว่าจะรู้ตัวเราก็เหมือนอยู่คนละทาง ผมพยายามแล้วที่จะให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ผมไปนั่งรอเขากลับบ้านทุกวัน ไปส่งทุกเช้าเอาเวลาของตัวเองให้จิมเท่าที่ทำได้แต่มันก็ยังไม่เป็นผล จิมถอยห่างจากผมไปทุกวันต่อให้เรายังมีเรื่องให้ชวนหัว มีความชอบที่คล้ายกันแต่มันไม่เหมือนเดิมและผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไม
“คำว่าเป็นห่วงพูดอย่างเดียวมันไม่เห็นภาพหรอกนะลูก ต่อให้เราเป็นห่วงจากใจแต่ถ้าคนฟังเค้าสัมผัสไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์ เรื่องอื่นก็เหมือนกัน ปล่อยไว้แบบนี้จะยิ่งไปกันใหญ่นะ”
“แจ็คต้องทำยังไงครับแม่”
“ไม่ยากเลย อะไรที่เราไม่ชอบก็อย่าทำ” แม่ยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น “แจ็คเองก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับไม่ใช่หรอ”
“แต่แจ็ค...”
“แม่รู้ว่าแจ็คอยากปกป้องน้องไม่ว่าเรื่องไหนก็อยากให้เค้าเจอแต่สิ่งดีๆ แต่แจ็คก็ต้องแยกให้ออก ต่อให้คนทั้งโลกบอกว่าแจ็คเป็นคนเก่งดูแลงานดูแลครอบครัวได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่แจ็คอยากให้เค้ายอมรับก็คือน้องไม่ใช่หรอ แม่จะรอดูความสำเร็จของแจ็คนะ”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่ขอแยกตัวออกมาจนตอนนี้หยุดอยู่หน้าประตูห้อง ต้องทำใจเฮือกใหญ่กว่าจะก้าวข้ามผ่านบันไดแต่ละขั้นเพื่อมายืนตรงนี้ ทั้งๆ ที่ผมเดินมาส่องดูน้องทุกวัน
“จิม พี่เข้าไปได้มั้ย”
“ปกติก็แอบไขประตูเข้ามาเองอยู่แล้วนี่” ว่าแล้วเชียวว่าต้องเจอประโยคนี้ ถ้าเล่นหวยผมคงถูกไปหลายงวด แต่ผมก็เปิดเข้าไปนะ หน้าด้านไว้ก่อน
“เก็บของเสร็จรึยัง” จิมหันหน้าเหลือบมามองผมก่อนจะหันกลับไปหน้าคอมตามเดิม
“ยัง” เสียงกระแทกแป้นพิมพ์นั่นรู้เลยว่าเอาอารมณ์ไปทิ้งลงคีย์บอร์ด “ขี้เกียจรื้อออกเพราสุดท้ายก็ไม่ได้ไปอยู่ดี”
“เก็บซะสิ พี่จะได้ช่วยดูว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง”
“พูดอย่างกะจะให้ไป” หางตาเรียวตวัดมามองผม
“ก็จะให้ไปแล้วนี่ไง”
“พี่จะมาไม้ไหนอีก จิมไม่หลงกลง่ายๆ หรอกนะ”
"อยากไปมากเลยหรอ” ผมถามไปดีๆ และลุ้นอยู่หน่อยๆ ว่าคำตอบจะไม่ใช่การประชด
“รู้แล้วพี่จะถามทำไม” โอเค ผมคิดผิด
“ถ้าอยากไปพี่ก็จะให้ไป แต่รับปากกับพี่ก่อนว่าจะไม่เถลไถลออกนอกลู่นอกทาง เรื่องแอลกอฮอก็ด้วย ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ไว้ใจ แต่พี่ไม่อยากให้จิมเป็นอันตราย”
“เดี๋ยวพี่ก็.../...พี่ไม่ตามไปหรอก” ผมพูดสวนเพราะเดาว่าครั้งนี้น่าจะคิดถูก
“จิมจะแน่ใจได้ไง”
“พี่ติดงาน รับงานอื่นแทรกเข้ามาจากตารางงานเดิมคงยุ่งๆ ไปอีกสักสองอาทิตย์ แต่ถ้ารอได้...” ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดประโยคต่อไปดีรึเปล่า
“รออะไร”
“แต่ถ้ารอได้ก็รอไปพร้อมกัน หมายถึง... เดี๋ยวพี่จะพาไปเที่ยว ไปกันทั้งครอบครัว”
ผมเห็นสายตาของจิมมันไม่ได้ดูผิดหวังเหมือนเคย เขาคลี่ยิ้มเล็กๆ ผมว่าผมดูไม่ผิดนะ
“พี่จะพาผมไปเที่ยวหรอ”
“อื้ม”
“ไปกับแม่ด้วยหรอ” เขายังถามซ้ำ แต่ผมก็พยักหน้ารับไป “พี่จะไปได้จริงหรอ”
“จบงานนี้เมื่อไหร่พี่จะพาไป แต่โทษทีที่ไปรับงานด่วนเข้ามาพอดีมีเรื่องต้องใช้เงินนิดหน่อย”
“ไข้ขึ้นปะเนี่ย พี่อะนะมีเวลาพาผมไปเที่ยว เคยมีแพลนนี้ในหัวพี่ด้วยหรอ”
“ไม่อยากไปก็บอกได้นะ ถ้าอยากไปกับเพื่อนมากกว่าก็.../..ไปๆๆ” จิมแทรกขึ้นโดยที่ผมยังพูดไม่ทันจบ
“จิมก็ไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกัน”
“ทิ้งให้อยู่คนเดียว? ใคร? แม่หรอ?”
“อ่า...เปล่าๆ หมายถึงงงง เอ่อ...ช่างเถอะๆ แต่พี่รับปากแล้วห้ามเบี้ยวนะ ครั้งนี้จิมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“คำไหนก็ต้องคำนั้นสิ”
รอยยิ้มสดใสเผยให้ผมเห็นอีกครั้ง เอาจริงก็เห็นมันบ่อยแต่แค่ไม่ได้ถูกส่งมาให้ผมเหมือนครั้งนี้เท่านั้นเอง
ผมเอนตัวลงบนที่นอนโดยที่เจ้าของเตียงก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเอาแต่กดๆ จิ้มๆ ลงไปบนมือถือ ถ้าให้เดาคงกำลังปฏิเสธทริปกับเพื่อนอยู่
“พี่แจ็ค โอ้ย โทษๆ” นอนเกร็งตัวอยู่ครู่นึงเพราะเจ้าน้องบ้านี่กระโดดขึ้นมาทับ ทำอย่างกับตัวเองสามขวบ ปากบอกขอโทษแต่ตัวกลับไม่ยอมลุกออกไป “จิมชวนเพื่อนไปด้วยได้มั้ย”
“เพื่อนคนไหน ถ้าทั้งแก๊งไม่ไหวหรอกนะ ไม่อยากรับผิดชอบลูกคนอื่น”
“คนเดียวๆ”
“ใคร”
“คนที่ป๋าใจดีซื้อโทรศัพท์พร้อมเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้นั่นแหละ” จิมผงกหัวโดยที่ท่อนแขนทั้งสองยังเท้าตัวผมไว้ “คนนี้ดูแลไหวป่าว”
“ก็... ถ้าแค่คนเดียวก็ไหว” แต่ไม่บอกหรอกนะว่ากลับมาผมอาจจะต้องทำงานเพิ่มอีกเท่าตัว

[จ่อย]

วันนี้พี่โยปิดร้านเพื่อพาผมมาเปิดบัญชีใหม่ที่โลตัส เรานั่งกันอยู่ในธนาคารหลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จ
พี่โยบอกว่าผมควรมีบัญชีสาขาในกรุงเทพฯ เอาไว้ เวลาจะกดเงินไปใช้จ่ายอะไรจะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมต่างจังหวัด อีกอย่าง พรุ่งนี้เงินเดือนเดือนแรกของผมจะออกซึ่งพี่โยบอกก่อนแล้วว่าจะได้ไม่เต็มจำนวนเพราะผมเข้ามาเริ่มงานก็กลางเดือนแล้วจึงคิดให้เป็นรายวันแทน เดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่
“ใช้แอพเป็นแล้วใช่มั้ย เวลาจะโอนเงินไปให้แม่จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
“ครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวผมขอถามอีกทีนะพี่ กลัวทำเงินหาย” ผมตอบพี่โยที่นั่งสอนวิธีโอนเงินผ่านไอโฟนเครื่องใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน เอาจริงผมก็ยังไม่ถนัดมือ จิมบอกว่าต้องใช้เวลา เดี๋ยวก็ชินเอง
เราแยกย้ายกันหลังจากทำธุระกันเรียบร้อย พี่โยบอกจะไปหาซื้อของเข้าร้านแต่กลับไม่ยอมให้ผมไปช่วยเลยได้แต่เดินเตร่ไปตามถนนแบบไม่มีจุดหมาย ก็ผมยังกลับบ้านจิมไม่ได้นี่ วันนี้อยู่กันครบเลยด้วย
เมื่อหาที่เหมาะๆ ได้ผมก็ปักหลักลงเอาใต้ต้นไม้ดื้อๆ มันเป็นที่เดียวที่น่านั่งแล้วลมก็พัดเย็นกำลังดี
ผมล้วงเอามือถือเครื่องใหม่ขึ้นมากดเล่นอีกครั้ง คราวนี้ผมเลือกที่จะใช้มันโทรหาแม่เพราะเมื่อวานไม่ได้คุยกันเลย หลายวันที่ผ่านมาก็คุยได้แค่แปบเดียว
[อ้ายจ่อยยย] (พี่จ่อย)
   “คือได้ฮับ บ่มีเฮียนติ” (ทำไมรับสายได้ล่ะ ไม่มีเรียนหรอ)
[ปิ๊ดเทอมล่ะเด้อ คึดฮอดอ้ายจ่อยมื้อได๋สิเมือ] (ปิดเทอมแล้ว คิดถึงพี่จ่อยเมื่อไหร่จะกลับ)
   “มาบ่ทันฮอดเดือนสิไฮ่เมือละติ๊” (มาไม่ถึงเดือนจะให้กลับแล้วหรอ)
[กะนางคึดฮอด อีแม่บอกว่า ขายหมากโมเถื่อนี้คั่นได้เงินหลายสิขึ้นไปหาอ้ายจ่อย] (ก็หนูคิดถึง แม่บอกว่าขายแตงโมรอบนี้ถ้าได้เงินเยอะจะไปหาพี่จ่อย)
   “สิมาเฮ็ดหยัง เก็บเงินไว้โลด อ้ายเฮ็ดงานจั๊กหน่อยกะเมือแล้ว” (จะมาทำไมเก็บเงินไว้เถอะ พี่ทำงานอีกสักพักก็กลับแล้ว)
[นางอยากไปกุงเทบ นางอยากไปดีมเวอ] (หนูอยากไปกรุงเทพฯ อยากไป-ดรีมเวิลด์)
   “อยากมาเท่วติ๊ คั่นสั้นกะมา แต่สิมามื้อได๋กะบอกอ้ายก่อน อ้ายสิได้บอกเจ้านายเขา” (อยากมาเที่ยวหรอ ถ้าอย่างนั้นก็มา แต่จะมาเมื่อไหร่ก็บอกพี่ก่อนนะ พี่จะได้บอกเจ้านายไว้)
[อ้ายจ่อยฟ้าวกับมาเด้อ นางคึดฮอด นางย่าน อิแม่กะออกไปแต่เซ้านางบ่อยากนอนผู้เดียว] (พี่จ่อยรีบกลับมานะ หนูคิดถึง หนูกลัว แม่ออกไปแต่เช้าหนูไม่อยากนอนคนเดียว)
   “เก็บเงินได้หลายอ้ายสิฟ้าวเมือ อย่าดื้อกับแม่หลายเด้อ อันได๋บ่ได้ซ่อยกะอย่าไปกวนลาว เข้าใจอยู่บ่” (เก็บเงินได้เยอะแล้วพี่จะรีบกลับ อย่าดื้อกับแม่ให้มากนะ ถ้างานไหนไม่ได้ช่วยก็อย่าไปกวน เข้าใจรึเปล่า)
[ฮู้ล่ะจ้า] (รู้แล้วจ้า)
   “นี่นาย”
   “แค่นี้เด้อส่ะ คิดฮอดเด้อฝากบอกอิแม่พ้อม” (แค่นี้ก่อนนะ คิดถึงมากฝากบอกแม่ด้วย)
ติ้ด

“คุณแจ็คมาทำอะไรที่นี่ครับ” ผมเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าคุณแจ็คจอดรถเปิดกระจกตะโกนมาทางผม จึงรีบลุกขึ้นไปหา
“ฉันสิต้องถาม มานั่งทำอะไรแถวบ้านฉัน หรือว่าบ้านอยู่แถวนี้” ผมสะดุ้งตาโตพอมองไปรอบๆ ดีๆ นี่มันเยื้องหน้าบ้านคุณแจ็คมานิดเดียวเอง
“เปล่าครับคือว่า... คือผมมาหาจิมน่ะครับแต่จะคุยโทรศัพท์เลยนั่งตรงนี้ก่อน”
“หาจิมหรอ” คุณแจ็คมองกลับไปทางตัวบ้านผ่านกระจกรถ “เดี๋ยวค่อยไปได้มั้ย ขึ้นรถก่อนสิ”
“ไปไหนครับ?”
“ขึ้นมาเถอะน่าไม่หลอกไปฆ่าหรอก”
“แต่ผมต้อง...” จะบอกยังไงดีว่าผมต้องหาทางเข้าบ้านซึ่งโอกาสที่ดีที่สุดก็คือตอนที่คุณแจ็คออกไปข้างนอกนี่แหละ “ผมต้อง...”
“จะเอามั้ยเงินน่ะ” โหวผมว่าคุณแจ็คถามแปลก
“เอาสิครับ เงินใครจะมาอยากได้ล่ะ แต่ผมจะไปเอาจากไหน”
“ขึ้นรถ”
“ครับ?”
“อย่าให้พูดซ้ำ” ผมไม่ชอบคุณแจ็คน้ำเสียงนี้เลย นี่หละน้าจิมถึงไม่อยากคุยด้วย

ผมนั่งรถมากับคุณแจ็คตัวเกร็งไปหมด จะขยับแรงก็ไม่กล้ากลัวรถเป็นรอย ข้างในนี้แอร์เย็นฉ่ำมาก เบาะหนังก็นิ่มผมนี่แทบอยากจะหลับ คุณแจ็คขับเร็วนิดหน่อยแต่ไม่รู้สึกน่ากลัว อาจเพราะตอนขึ้นรถมาคุณเขาเอื้อมมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ อ้อใช่ ผมตัวเกร็งมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เวลาอยู่ใกล้คุณแจ็คมากๆ ใจผมมันจะสั่นๆ อย่างที่ผมเคยบอก เพราะรังสีน่ากลัวในตัวคุณแจ็คแน่ๆ
“ลงได้ละ”
“นี่ที่ทำงานคุณแจ็คหรอครับ” ผมโค้งตัวเงยหน้ามองสำนักงานแต่ก็คล้ายๆ บ้านผ่านกระจกหน้ารถ “เอ่อ ผมถอดเองได้ครับ”
“ถ้าทำพังจ่ายเองนะ” คุณแจ็คตะปบมือผมพร้อมคำขู่จนต้องยอมนั่งนิ่งๆ ให้มือหนาปลดสายที่คาดตัวออก แต่หน้าคุณแจ็คใกล้ไปจนผมไม่กล้าขยับเลย “กลัวหรอ”
“ปะ... เปล่าครับ” ผมหลับตาปี๋เพราะโดนจ้อง คือถ้าผมจ้องตอบต้องโดนดุแน่เลยสู้หลับๆ ตาไปดีกว่า
“ก็เห็นอยู่ว่ากลัว”
“ผม...ผมเปล่า ผมไม่ได้กลัว” ซะที่ไหนล่ะ
“ถ้าไม่ได้กลัวก็ลืมตาสิ” ก็บอกอยู่ว่าซะที่ไหนล่ะ อ้อลืม บอกตัวเองในใจนี่หน่า “ไม่ลืมแสดงว่ากลัว”
“ถ้ากลัวแล้ว...จะเป็นยังไงครับ”
“จะทำให้กลัวกว่าเดิม” อา ผมว่าผมแย่แน่ๆ เลยงานนี้ “แต่ถ้าลืมตาแสดงว่าไม่กลัว แล้วฉันจะไม่ทำให้กลัวอีก”
ผมควรเลือกอย่างที่สอง ถ้าสู้ใจกล้าซะตั้งแต่ตอนนี้อย่างน้อยคุณแจ็คก็บอกว่าจะไม่ทำให้กลัวอีก ผมจึงค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้น
“อ๊ะ” แต่ไม่ทันที่จะได้มองชัดก็รู้สึกเหมือนมีอะไรนิ่มๆ มากดเปลือกตาลง ผมพยายามหลี่ตาอีกข้างขึ้นมองคุณแจ็คก็ผละออกจากตัวผมไปนั่งที่คนขับแล้วบอกให้ผมลงรถ “เมื่อกี้อะไรอะครับ”
“อะไร๊ ไม่มีอะไร” ผมเห็นนะที่คุณแจ็คแอบยิ้มมุมปาก
“คุณแจ็คแกล้งอะไรผม” ลูบเปลือกตาแล้วมองไปที่กระจกข้างว่ามีอะไรติดรึเปล่า แต่ไม่มีแหะ “บอกมาเลยนะครับ”
“ก็แค่...” จุ๊บ “แค่นี้เอง” ผมอ้าปากหวอตาค้างทั้งๆ ที่โดนจุ๊บจนเกือบหลับตาไม่ทันไปเมื่อกี้ ใช่ ไอ้ที่นิ่มๆ กดเปลือกตาผมนั่นคือริมฝีปากของคุณแจ็ค ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลย เนี่ย บอกแล้วว่ารังสีความน่ากลัวของคุณแจ็คมันแผ่ออกมา ยิ่งตอนแกล้งผมยิ่งออกมาเยอะจนใจพองขนลุกไปหมด “จะไปได้ยัง ฉันสายมากแล้วนะ”
“คุณแจ็คแกล้งคนอื่นแล้วนั่งยิ้มแป้นแบบนี้ได้ยังไงกันครับ นิสัยไม่ดีนะครับ คุณแม่จะดุ อื้อ อย่า” ผมรีบใช้มือดันหน้าอกคุณไม่ให้เข้ามาใกล้อีก
“แกล้งเยอะๆ แม่จะได้ดุทีเดียวไง ฉันไม่อยากให้แม่เหนื่อยถ้าต้องดุหลายรอบ”
“ไม่เอาๆ พอแล้วคุณแจ็คเดี๋ยวตาบอด” ผมอาศัยจังหวะที่คนตัวใหญ่เงยหน้าหัวเราะเปิดประตูลงมารออยู่ข้างรถ แต่กว่าจะหลบมาได้ก็โดนกดเปลือกตาไปตั้งหลายทีจนน้ำลายเปียก คุณแจ็คแรงเยอะมากผมบอกเลย ผลักก็ไม่ออก
“ตามมาสิ เดี๋ยวฉันจะบอกว่าต้องทำอะไร”
ผมเดินตามคุณแจ็คไปจนถึงชั้นบนห้องริมสุด แต่กว่าจะผ่านมาแต่ละโต๊ะก็มีทั้งคนยกมือไหว้ผม และผมยกมือไหว้ตอบ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาไหว้ผมกันทำไม รู้แค่ว่าคุณแจ็คเป็นเจ้านายเพราะคนที่นี่เรียกคุณแจ็คว่า บอส
“ใครวะ” เห็นจะมีก็แต่คนนี้แหละที่ดูไม่เคารพคุณแจ็คเลย ผมได้ยินเขาสะกิดพี่อีกคนตอนเราเดินผ่านแล้วพูดว่า ‘ไอ้บอสมา’ ด้วย เดี๋ยวก็โดนหักเงินเดือนหรอกผมอยากเตือนเขาจัง
“เพื่อนจิม พามาช่วยงาน” ผมยกมือไหว้เพราะพี่เขาโตกว่า “นี่บอมเพื่อนฉันเอง เป็นเจ้าของร่วมกับฉันที่นี่” มิน่าล่ะ เกือบหน้าแตกแล้วเชียว
“ชื่ออะไรเรา” คุณบอมถามผมแต่ยังไม่ทันได้ตบคุณแจ็คก็สวนขึ้นก่อน
“นั่นสิ ฉันก็ยังไม่เคยได้ถามเลย ตกลงนายชื่ออะไร”
“มึงพาน้องมันมาถึงนี่โดยที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อเนี่ยนะ”
“เออ กูเจอหลายครั้งแล้วด้วย ถ้ามึงไม่ถามกูก็ไม่ได้ถามอะ” ผมยืนงงอยู่คนเดียวในพื้นที่เล็กๆ นี่คุณแจ็คไม่เคยรู้ชื่อผมเลยหรอเนี่ย
“อะ ตกลงชื่ออะไร แนะนำอย่างเป็นทางการซิ” คุณบอมหย่อนก้นบนโต๊ะทำงานของคุณแจ็คกอดอกมองผม คุณแจ็คเองก็พิงพนักเก้าอี้จ้องผมเช่นกัน
“ผมชื่อ...”
“อ่าว จำชื่อตัวเองไม่ได้หรอ จะค้างเพื่อ”
“ไม่ครับ คือผมมีสองชื่อเลยไม่รู้จะแนะนำชื่อไหนให้มันดูเป็นทางการ”
“สองชื่อ ชื่อจริงชื่อเล่น?” คุณแจ็คถาม
“ไม่ครับๆ ชื่อจริงชื่อ กันภพ ภูวพร คนส่วนใหญ่เรียกจ่อยครับ เรียกตามป้า”
“แล้วจริงๆ ชื่ออะไรถ้าไม่เรียกตามป้า”
“ชื่อเบิ้มครับ”
“โอเค กูเรียกตามป้า”
“ฮ่าๆๆ” คุณแจ็คหัวเราะจนแทบตกเก้าอี้ทันทีที่คุณบอมพูดจบ ผมเห็นคุณเขาเช็ดน้ำตาด้วยมันน่าตลกขนาดนั้นเลยหรอ นี่ผมซีเรียสนะ
“เชิญมึงออกไปได้แล้วไอ้บอม กูจะทำงานกับน้องเบิ้ม”
“ขอร้อง กระดากหูมาก” คุณบอมยกมือพนมขึ้นเหนือหัวก่อนพูด “อย่าให้โจได้ยินเรื่องนี้เชียว ขี้เกียจดูมันนั่งขำจนตีนแมวขึ้นหน้า
“ออกไปได้แล้วกูจะทำงาน” ถึงจะไล่แต่ผมก็เห็นคุณแจ็คหัวเราะเออออไปกับคุณบอมอยู่ดี เชอะ
“เป็นอะไร” คุณแจ็คถามเมื่อเห็นผมทิ้งตัวลงบนโซฟาแรงๆ
“ชื่อผมมันตลกมากหรอครับ”
“งอนหรอ?”
“ผมไม่ได้งอน แต่ผมชื่อเบิ้มมันผิดตรงไหน ตอนที่พ่อตั้งก็หวังให้ผมแข็งแรงตัวใหญ่เหมือนคุณแจ็คคุณบอมนั่นแหละ ใครจะรู้อนาคตว่ามันจะกะหร่องแบบนี้ล่ะครับ” ผมนั่งหน้าหงึก จะบอกว่าไม่งอนแต่อาการมันก็คืองอนนั่นแหละผมก็รู้ตัว
“ลุกมานี่ซิ” ผมยอมเดินไปหาแต่โดยดี แต่หน้ามันก็ยังหงึกอยู่แบบนี้แหละ ให้เปลี่ยนเลยคงไม่ได้หรอก “นั่งนี่”
“ผมจะนั่งตักคุณแจ็คได้ไงกันครับ”
“จะไม่เอาใช่มั้ยเงิน” ผมเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปนั่งตามพิกัดที่บอกแทบจะทันที “ตัวผอมๆ ก็ดีฉันจะได้ไม่เมื่อย ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่ให้นั่งหรอกนะ”
“แล้วทำไมต้องนั่งตักล่ะครับ เก้าอี้ก็มีตั้งสองสามตัว”
“จะได้สอนถนัดๆ ฉันขี้เกียจคอยลุกไปดูเวลานายทำ”
“คุณแจ็คจะให้ผมทำอะไรครับ ผมจบแค่มอหกเองนะ งานระดับคุณแจ็คผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”
“ทำได้สิ งานง่ายๆ เดี๋ยวจะบอก”

ผมนั่งเปิดแฟ้มเอกสารผ่านไปห้าแฟ้ม หน้าที่ที่คุณแจ็คบอกคือยกเอกสารตรงหน้ามาเปิดทีละแผ่น อ่านให้คุณแจ็คฟังแล้วให้คุณแจ็คเซ็น มันง่ายจนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่เปิดเองน่าจะเร็วกว่า แต่คุณแจ็คบอกในตอนแรกว่าปวดตาปวดข้อมือผมเลยพอเข้าใจได้
“หิวรึยัง”
“นิดหน่อยครับ” เอกสารแฟ้มสุดท้ายปิดลงผมรู้สึกเมื่อยก้นมาก มันไม่ได้สบายเท่าไหร่กับการนั่งแบบนี้นานๆ “คุณแจ็คไม่ปวดขาหรอครับที่ผมนั่งทับ”
“เพื่องานฉันอดทนได้” คุณแจ็คนี่สุดยอดจริงๆ จิมเคยบอกว่าคุณแจ็คอดทนทำทุกอย่างได้เพื่อครอบครัว เป็นแบบนี้นี่เองสินะ “ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ครับ” ผมลุกออกจากหน้าขาจนแขนข้างซ้ายของคุณแจ็คที่เกาะผมไว้ค่อยๆ คลายออกจากเอว แต่พอเดินไปถึงหน้าประตูคุณแจ็คก็ไม่ลุกตามมาสักทีจนผมต้องหันกลับมอง “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าๆ” โน้มตัวลงกับโต๊ะ ผมว่าเขาอาจจะปวดท้องหรือเป็นอะไรสักอย่าง “อย่าจับๆ ฉันไม่เป็นไร”
“แน่หรอครับ”
“แน่สิ แต่ว่า... คือฉันว่าเราสั่งอาหารให้เค้ามาส่งที่นี่ดีกว่า ขี้เกียจออกไป”

[แจ็ค]
   ผมยืดขาเหยียดตรงระหว่างที่จ่อยออกไปรอรับอาหารจะไลน์แมนที่หน้าสตูดิโอ จะให้บอกได้ไงว่าเหน็บกินเสียฟอร์มตายเลย แต่ถ้าผมต้องกลับไปรับน้ำหนักอีกครั้งในช่วงบ่ายคงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้
“น่าทานทั้งนั้นเลยนะครับ”
“ไว้ฉันมีเวลามากกว่านี้จะพาไปกินที่ร้านนะ” ผมเองก็อยากแก้ตัวที่สังขารไม่พร้อม
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกินอะไรก็ได้ว่าแต่ ปกติใครเป็นคนช่วยงานคุณแจ็คหรอครับ”
“ก็มีเลขา แล้วก็บอมคนที่นายเจอ มีโจอีกคนแต่ไม่ได้ถือหุ้นร่วมคอยช่วยบอมอีกที งงมั้ย”
“ไม่งงครับ แต่เลขาคือพี่สาวที่อยู่หน้าห้องน่ะหรอครับ”
“ใช่ ทำไมหรอ” ผมสังเกตว่าจ่อยเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่อาจจะไม่กล้าพูด
“ช่วยเหมือนที่ผมช่วยงานคุณแจ็ควันนี้หรอครับ”
“จะพูดอะไรกันแน่” ผมว่าผมรู้นะ แต่อยากฟังจากปากมากกว่า “เลขาฉันทำอะไรให้นายไม่พอใจรึไง”
“ไม่ครับไม่” จ่อยส่ายหน้ารัว “คือผมเห็นว่าพี่เค้าเป็นผู้หญิง แล้วถ้ามานั่งตักคุณแจ็คแบบนี้มันจะดูไม่ดีรึเปล่า คือหมายถึง..ผมเป็นผู้ชายมันก็ไม่เสียหาย”
“เค้าหนักไปฉันไม่ให้นั่งหรอก”
“แสดงว่าถ้าเค้าผอมก็นั่งได้หรอครับ” ผมอยากจับเจ้านี่มารัดให้แน่นแล้วหอมหัวจริงๆ เลยให้ตายสิ
“เห็นฉันไม่เป็นสุภาพบุรุษขนาดนั้นเลยหรอ อย่างที่นายบอก เค้าเป็นผู้หญิงจะให้มานั่งตักกันได้ไง”
“ถ้าเป็นผู้.../...ถึงเป็นผู้ชายก็นั่งไม่ได้ หนัก โอเค๊” ผมสวนไปซะจะได้จบๆ
“แต่ผมนั่งได้”
“ก็นายจ่อย”
“ถ้าคนอื่นจ่อยก็นั่งได้ใช่มั้ยครับ”
“นายนั่งได้เพราะนายคือจ่อย ถ้าคนอื่นไม่ใช่นายจ่อยก็นั่งไม่ได้ พอใจรึยัง ว่าแล้วก็ลุกมานั่งเลยดีกว่ามา พูดมากนัก”
จ่อยเลื่อนจานข้ามาฝั่งผมเดินอ้อมกลับมานั่งในตำแหน่งเดิมแล้วกินต่อไม่พูดไม่จาอะไร
“ขี้หวงเหมือนกันนะเรา ชอบนั่งตักมากหรอหะ?” จ่อยเบี่ยงตัวเองมาฝั่งซ้าย แล้วยื่นช้อนมาจ่อที่ปากผม
“กินข้าวครับ พูดเยอะเดี๋ยวก็เจ็บคอหรอก” ผมมองหน้าคนตัวเล็กบนตัก เห็นปากเยลลี่ที่ขยับเม้มเป็นเส้นตรงกับสายตาที่ไม่ค่อยกล้าประสานกับผมตรงๆ สักเท่าไหร่ แล้วอ้าปากงับช้อนที่ป้อนเข้ามา
“กินหวานขนาดนี้เลยหรอ”
“ผมไม่ได้ใส่น้ำตาลเลยนะ คุณแจ็คหวานหรอ”
“อืม หวาน หวานมาก จะเลี่ยนตายอยู่แล้วเนี่ย”
“น้ำครับ”
“ไม่เอาแล้ว กินเองเถอะ”
ผมยังนั่งมองเจ้าตัวเล็กที่เคี้ยวตุ้ยบนตักไม่วางตา พอปากว่างก็นั่งบ่นว่าผมไม่รู้จักคุณค่าของอาหารกินทิ้งกินขว้างไม่รู้จักเสียดายของ อยู่ที่บ้านนาไม่มีให้กินแบบนี้บลาๆๆๆ จนอยากจะหาอะไรอุดปากซะจริงๆ มือก็ไม่ว่างด้วยสิ เดี๋ยวเถอะ ถ้ายังไม่หยุดพูดนะ
แต่ก็ได้แค่คิดในใจเท่านั้นแหละ

(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน6
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 12-03-2019 07:25:18
[จ่อย]

“จะบอกได้รึยังว่าบ้านอยู่ไหน” ผมนั่งรถมากับคุณแจ็คด้วยอาการตัวเกร็งเหมือนเดิม ต่างตรงที่ครั้งนี้เกร็งเพราะถูกถามเรื่องที่อยู่ “เร็ว จะได้ไปส่งถูก”
“ไม่ต้องไปส่งผมหรอกครับ”
“อย่าให้ต้องพูดซ้ำหลายรอบ”
“ก็ฟังที่ผมพูดสิครับ คุณแจ็คก็ให้ผมพูดซ้ำหลายรอบเหมือนกันแหละ”
“เดี๋ยวนี้กล้าต่อปากต่อคำหรอ”
“ผมเปล่าสักหน่อยนะครับ ก็ผมต้องพูดซ้ำคำเดิมจริงๆ นี่”
“งั้นเลือก” คุณแจ็คพูดเหมือนจะยื่นข้อเสนอ “จะให้ฉันไปส่งหรือจะไปนอนบ้านฉัน”
โธ่เอ้ย นึกว่าอะไร ผมจะบอกคุณเขาไปดีไหมว่าไอ้สองข้อนั่นมันก็ที่เดียวกันนั่นแหละ
“ตอบมาเร็วเข้าจะถึงหมู่บ้านแล้ว”
“ไปบ้านคุณแจ็คก่อนก็ได้ครับ ผมยังไม่ได้ไปหาจิมเลยก็โดนคุณแจ็คพาไปทำงานด้วยซะก่อน” ไว้ค่อยให้จิมล่อคนในบ้านให้แล้วกันจะได้กลับห้อง
“ไปแล้วไม่ได้ออกมานะ คิดดีๆ
“จะขังผมไว้หรอครับ นิสัยไม่ดีนะครับ”
“ช่างสิ วันนี้ฉันโดนแม่ดุหลายเรื่องอยู่แล้ว” ผมเบื่อคนรู้ทัน
นั่งอยู่ห้องทำงานคุณแจ็คนานแล้วก็ยังไม่ได้เจอจิมสักที แอร์ก็หนาวมากจนต้องขดตัวอยู่บนโซฟา อย่าบอกนะว่าคุณจะขังไว้ที่นี่จริงๆ น่ะ
“อะ” คุณแจ็คยื่นผ้ามาให้ “ไปอาบน้ำ”
“ไม่เป็นไรครับ ค่อยกลับไปอาบที่บ้าน”
“ใครจะให้นายกลับ บนรถฉันพูดไม่เคลียร์หรอ”
“แต่คุณแจ็คครับ ผมแค่อยากมาหาจิมเอง” น้ำเสียงผมเล็กลงจนตัวเองก็รู้สึกได้ เห็นหน้าคุณแจ็คนิ่งไปนิดนึงก่อนจะพูดอะไรออกมาตะกุกตะกัก
“อะฮึ่ม ก็... ไปอาบน้ำก่อนค่อยไปเจอ” คุณแจ็คดูหน้าแดงๆ
“ให้ผมไปหาจิมนะ ผมจะได้รีบกลับบ้าน พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าด้วย นะๆๆๆ คุณแจ็คนะ” ไม่รู้ทำไมผมต้องพูดด้วยเสียงนี้แต่ก็ไม่สนใจหรอก ผมดึงมือคุณแจ็คมาบีบๆ เขย่าๆ แล้วเอาหน้าถูๆ เหมือนเวลาเจ้าตัวเล็กที่บ้านอยากให้ผมพาไปซื้อของเล่น เผื่อคุณแจ็คจะยอมใจดี
“เอ่อ.. อึ่มม” กระแอมเหมือนมีอะไรติดคอ แถมยังพูดตะกุกตะกักมาตั้งแต่เมื่อกี้ “งั้น... พรุ่งนี้ฉันจะไปหาที่ร้านนะ อะฮึ่ม... อย่ากลับบ้านดึกล่ะ ถ้าค่ำก็ให้จิมไปส่ง”
“ครับ” ผมอาศัยแรงที่มือของคุณแจ็คดึงตัวเองให้ลุกขึ้น ส่งจุ๊บที่แก้มไปอีกหนึ่งทีเพราะคุณแจ็คใจดีที่สุดในโลก แต่พอจะเดินไปที่ประตูมือคู่หนากลับไม่ยอมปล่อย “คุณแจ็คมีอะไรอีกรึเปล่าครับ ครั้งนี้ผมดีใจก็จุ๊บไปแล้วนะ”
“อื้ม” คุณแจ็คบีบมือผมแน่นก่อนจะคลายออกแล้วดึงเข้ากอดแทน “กลับบ้านดีๆ นะ ถึงแล้วไลน์บอกด้วย”
โธ่เอ๋ย นึกว่าเป็นอะไรที่แท้ก็ห่วง ทำอย่างกับผมเป็นเด็กต้องไปเข้าค่ายลูกเสือตัวคนเดียวไปได้
ผมยกแขนกอดคุณแจ็คแล้วลูบที่หลังเบาๆ “ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันแล้ว ห้ามร้องไห้งอแงด้วย คิคิ”
“ไม่อยากให้ร้องก็อย่าไปสิ นอนที่นี่ก็ได้” คุณแจ็คเกยคางไว้บนไหล่แล้วเอียงหน้าพูดข้างๆ หู มันเบาราวกับเสียงกระซิบ แหบพล่าเหมือนน้ำเสียงของหมาป่าที่ผมใช้เวลาเล่าหนูน้อยหมวกแดงให้น้องสาวฟัง และนั่นทำให้ผมใจเต้นแรงไม่มีเหตุผล “นะ อยู่กับฉัน”
“เอ่อ... ไว้ ไว้คราวหน้า..นะครับ” เอนตัวออกห่างจากเสียงกระซิบผมว่าน่าจะดีที่สุด
“พูดแล้วห้ามกลับคำนะ ลูกผู้ชายรึเปล่า”
“แน่นอนสิครับ สัญญาเลย” ผมยกนิ้วก้อยให้คุณแจ็คเกี่ยว
“แค่เกี่ยวก้อยเองหรอ เด็กไปรึเปล่า”
“งั้นก็...” ผมยกมือวางบนไหล่คุณแจ็ค ทิ้งน้ำหนักกดลงเพื่อดันตัวเขย่งขึ้นจรดริมฝีปากแตะที่หน้าผากคุณแจ็ค “สบายใจได้แล้วนะครับคุณผู้ใหญ่”
“นายทำให้ฉันเคยตัวนะจ่อย”
“เรื่องอะไรหรอครับ” ผมเอียงคอถามขณะที่กลับมายืนเต็มฝ่าเท้า
“ถ้าวันนึงเราไม่ได้จุ๊บกันฉันจะเรียกร้อง”

TBC
#ห้องลับบักจ่อย

อุแง้ มาช้าจากตอนที่แล้วไปหลายวันเลย ขอโทษด้วยนะค้า วุ่นๆ นิดนึง ฝากติดตามคอมเม้นท์ให้กำลังใจด้วยนะคะ ต้องการล้นๆ ฮี่ฮี่
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 12-03-2019 16:08:40
อ่อยกันไปมาวุ้ยยยย
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน7
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 14-03-2019 16:39:42
7
อยากฟังคำซึ้งๆ ไม่ผ่านมือถือ
[/b]

“ถ่อนี้ก่อนเด้อแม่ มีหยังกะฟ้าวโทมาเด้อ จ่อยกินเค่าก่อน”(แค่นี้ก่อนนะครับแม่ มีอะไรรีบโทรมาเลยนะ จ่อยกินข้าวก่อน)
ติ้ด

“อ้า อิ่มจังตังค์อยู่ครบ” จิมเอนตัวเอามือลูบพุงก่อนจะคว้าเอาแก้วน้ำอัดลมมาดื่มล้างปาก
“ขอโทษด้วยนะ ไม่ได้พาไปกินที่ดีๆ กว่านี้” ผมวางสายจากแม่แล้วหันมาสนใจคนตรงหน้าที่จัดการอาหารตามสั่งจนเกลี้ยง วันนี้เงินเดือนออก พี่โยโอนเข้าบัญชีให้แต่เช้าผมจึงถือโอกาสพาจิมมาเลี้ยงตอบแทน
“พูดแบบนี้เดี๋ยวป้าได้ยินเอาตะหลิวฟาดหรอก อาหารที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว”
“ก็เราหมายถึง...”
“อาหารดีๆ ไม่จำเป็นต้องหรูต้องแพงหรือร้านต้องโด่งดังหรอกนะ แค่รู้ว่าจ่อยอยากเลี้ยงเราก็ดีใจมากแล้ว อร่อยที่สุดที่เคยกินเลยล่ะ” จิมส่งยิ้มที่แสนสดใสมาให้ผม ไม่ว่าเมื่อไหร่รอยยิ้มของจิมก็ทำให้ผมเผลออ้าปากกว้างตามได้ตลอดเลย
“จิมอยากกินอะไรอีกมั้ย”
“ไม่เอาแล้วอิ่มแล้ว ว่าแต่ เมื่อกี้คุยกับแม่ว่ายังไงบ้างโอนเงินไปให้แล้วนี่ใช่มั้ย”
“โอนแล้ว แต่ไม่รู้จะพอรึเปล่า แม่ก็มีแต่บอกว่าพอๆ แต่ค่าใช้จ่ายที่โรงเรียนน้องก็เยอะจะตาย”
“ช่วงปิดเทอมคงไม่ต้องใช้อะไรมากมั้ง”
“แต่เราโอนไปแค่สามพันเองมันจะพอหรอ กว่าจะได้ส่งไปอีกก็ต้องรอเดือนหน้า เอ้อจิม วันหยุดหน้าเราจะไปดูหอเดิมที่พี่เคยบอก ไม่รู้จะว่างอยู่รึเปล่า”
   “ดูทำไม อย่าบอกนะว่าจะทิ้งเราไปอยู่ที่อื่นน่ะ ไม่ได้นะ!” จิมจ้องผมตาเขม็ง ริมฝีปากล่างดันขึ้นจนแทบจะแตะถึงปลายจมูก
“แต่จะให้เราอยู่บ้านจิมไปตลอดได้ยังไง ถ้าถูกจับได้จิมจะไม่แย่หรอ อีกอย่างนะ เราได้เงินเดือนมาแล้วด้วย”
“ได้ก็ได้มาแค่เท่าไหร่เอง ทำงานไม่ถึงเดือน พี่โยให้เท่าไหร่”
“หกพัน แต่พี่โยหักไปสี่ร้อยบอกว่าจะเอาไปทำประกันสังคมให้” ผมแจงรายละเอียดให้จิมฟัง
“แล้วโอนให้แม่ไปสามพันก็เหลือแค่สองพันกว่า ใช้ไม่กี่วันก็หมดแล้วเหอะ จะเอาเงินไหนไปวางมัดจำห้อง”
“มีเงินที่ได้จากคุณแจ็คเมื่อวานอีกพันนึง เรื่องกินเราไม่ห่วงหรอกเราประหยัดได้”
“มันไม่ได้เชื่อสิ ค่าห้องต้องมัดจำล่วงหน้าประกันอีก ไหนจะข้าวของเครื่องใช้เงินสามพันกว่าจะไปพออะไร หัดฟังกันซะบ้างสิ คนที่เค้าได้เยอะกว่านายยังไม่พอกินพอใช้เลย ที่นี่มันกรุงเทพฯ นะอย่าลืม” จิมบ่นเป็นจริงเป็นจังจนผมได้แต่นั่งงอตัวก้มหน้าคิดตาม
“แต่เราไม่อยากให้จิมเดือดร้อน”
“เราไม่ได้เดือดร้อนสักนิด ถ้าไม่มีจ่อยสิเราจะเดือดร้อน ใครจะกินข้าวเย็นกับเรา”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย”
“ไม่ใช่ที่ไหน ถ้าเราไม่มีเพื่อนเราก็จะเหงา จ่อยอยากให้เราเหงาตายใช่มั้ย ได้! งั้นก็ไปเลยทิ้งเราไว้ที่นี่แหละ จะโดนพี่แจ็คโขกสับยังไงก็ไม่ต้องมาสนใจ”
“จิมเดี๋ยว!” ผมรีบลุกตามไปคว้าแขนของจิมให้ทัน “โอเคๆ เรายังไม่ไปก็ได้ แต่เดือนหน้าถ้าได้เงินเดือนมาเราต้องไปจริงๆ นะ”
“เราไม่ได้อยากจะเอาแต่ใจนะ แต่ถ้าจ่อยไปแล้วลำบากก็อยู่กับเราไปก่อนเถอะ อดทนกันมาได้ตั้งนาน แค่เดือนเดียวจะเป็นไรไป”
“อืม” ผมส่งยิ้มเล็กๆ ให้จิม “กลับไปที่ร้านกันเถอะ ใกล้หมดเวลาพักแล้ว”
ผมเข้าใจความหวังดีของจิม ที่เขาพูดมาก็ถูกเงินแค่สามพันที่ติดตัวผมอยู่ตอนนี้ต้องใช้กินใช้อยู่ทั้งเดือน ถ้าให้เอาไปเช่าห้องด้วยมันก็รัดตัวเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นการจะหลบอยู่บ้านจิมมันก็เสี่ยง ช่วงนี้ทั้งคุณแม่และคุณแจ็คก็อยู่บ้านตลอดผมนี่ขนหัวลุกทุกทีเวลาที่มีเสียงดังแว่วมาใกล้ๆ แต่คงต้องอดทนต่อไปอย่างที่จิมบอก สักวันมันคงจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง หวังว่าอย่างนั้นนะ

[แจ็ค]
“ไปถึงไหนกันมา” ผมถามเมื่อเห็นจ่อยและจิมเดินเข้ามาในร้าน ก็ไม่ได้ต้องการจะรู้เท่าไหร่แต่ที่อยากรู้คือทำไมต้องจับมือกันเดินเข้ามามากกว่า เดินคนเดียวลมมันจะพัดปลิวไปรึไง
“พี่ไม่ไปทำงานทำการหรอทำไมมาอยู่นี่ได้ ไหนบอกว่ารับงานซ้อนไว้ไม่ใช่หรอ” จิมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าผม แต่เจ้าจ่อยหลังจากที่ยกมือขึ้นไหว้ก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง
“ให้ไอ้บอมไปดูแทน แล้วที่ถามทำไมไม่ตอบ พากันออกไปไหนมา”
“ไปกินข้าวร้านข้างๆ นี่แหละ ว่าแต่ ถ้าพี่ให้พี่บอมไปดูก็แสดงว่างแล้วดิ”
“ทำไม ถามแบบนี้มีอะไรรึเปล่า” จิมยื่นหน้ามาจนเกือบถึงผม รอยยิ้มแป้นแล้นนั่นไว้ใจไม่ค่อยได้เลย ผมรู้จักน้องตัวเองดี
“ก็เรื่องไปเที่ยวไง อย่าบอกนะว่าลืม” สีหน้าน้องชายหุบยิ้มแทบจะทันที “พี่จะเอายังไงกับจิมกันแน่เนี่ย!”
“เบาๆ หน่อย เกรงใจลูกค้าคนอื่นบ้าง”
“ก็พี่จะผิดสัญญากับจิม” เขาลดเสียงลงมาแต่ก็ยังไม่เลิกส่งสายตาอาฆาต
“บอกแล้วหรอว่าจะไม่พาไป ยังไม่ได้พูดสักคำ คิดเองโวยวายเองอยู่คนเดียว” ผมยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเลิกสนใจสีหน้าท่าทางของน้องไปแล้ว
“งั้นบอกมาเลยว่าพี่จะพาไปวันไหน ตอนไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ รถออกกี่โมง ถึงที่หมายกี่โมง” เจ้าเด็กนี่เอาแต่ใจจริงๆ
“จะไปไหนก็เลือกมาสิ มีเวลาให้แค่สามวัน แต่รอให้งานนี้เสร็จก่อน เพราะถึงจะให้ไอ้บอมช่วยดูแต่มันก็เป็นงานที่พี่รับมาเอง ยังไงก็ต้องอยู่รับผิดชอบก่อน บอกเพื่อนน้องรึยังล่ะ” ผมหันไปมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังง่วนอยู่กับการชงเครื่องดื่ม “จะไปด้วยรึเปล่า”
“จิมยังไม่ได้บอก แต่พี่แจ็คต้องขอลางานกับพี่โยให้จ่อยด้วยนะ แล้วก็...”
“แล้วก็อะไร” ผมละสายตาจากจ่อยอีกครั้งเพื่อมองหน้าน้อง “จะก่อเรื่องอะไรอีก”
“พี่แจ็คพาจ่อยไปที่สตูดิโอมาหรอ”
“แล้วทำไม”
“พี่ให้จ่อยไปทำอะไร งานของพี่จ่อยทำได้ด้วยหรอ ทีตอนจิมจะช่วยก็มีแต่บอกว่าอย่ายุ่งๆ”
“ที่ไม่ให้ยุ่งเพราะอยากให้เอาเวลาไปสนใจเรื่องเรียนของตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับงาน”
“แล้วมันยากมั้ย เหนื่อยมากรึเปล่า จิมเห็นพี่กลับบ้านมาก็เครียดอยู่บ่อยๆ”
“ห่วงด้วยหรอ” ผมมองหน้าน้องอย่างนึกแปลกใจ
“ไม่ได้ห่วงพี่หรอก ห่วงจ่อยต่างหาก ให้ไปทำงานกับคนบ้าอำนาจแบบพี่สุขภาพจิตต้องถูกบั่นทอนแน่” เด็กนี่มันวอนนัก
“ที่ถามนี่ต้องการอะไร หรือแค่จะแขวะพี่”
“ก็... ถ้างานมันไม่ยาก... พี่ให้ก็จ่อยไปทำงานที่บริษัทกับพี่ได้มั้ยล่ะ คือ... ที่บ้านจ่อยต้องใช้เงิน อีกเดี๋ยวน้องสาวก็จะเปิดเทอมแล้วค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่มอีก” จิมขยับตัวเอาแขนเท้าโต๊ะแสดงสีหน้าที่จริงจังขึ้น “ทำงานร้านกาแฟเล็กๆ ได้แค่วันละเท่าไหร่เอง ถ้าไปทำกับพี่จะได้เงินมากกว่ารึเปล่า”
“ถ้าเงินเดือนตามวุฒิมันก็ได้เกินกันไม่มากหรอก ถึงจะเป็นบริษัทพี่แต่ก็มีคนอื่นร่วมด้วยจะไปข้ามหน้าข้ามตาพวกเค้าได้ไง ก็ต้องให้ไปสมัครไปสัมภาษเหมือนคนอื่นๆ อยู่ดี ไม่ผ่านHR ทุกอย่างก็จบ”
“โถ่ พี่แจ็ค ช่วยหน่อยไม่ได้หรอ จ่อยเป็นคนขยันนะ ถึงจะซื่อๆ แต่สอนดีๆ จ่อยก็เข้าใจง่าย นะๆๆ หางานดีๆ ให้จ่อยทำหน่อย”
“เฮ้อ” วันๆ นึงผมต้องเจอคนขี้อ้อนกี่คน “ไว้จะดูให้ แต่ตอนนี้ให้ช่วยโยไปก่อน ปุบปับจะให้ออกร้านก็วุ่นวายกันพอดี”
“เนี่ย ใจดีก็เป็น” เจ้าจิมยิ้มทะเล้นให้ผม “พี่แจ็คน่ะ ช่วยได้อยู่แล้วแหละ จิมรู้”
“ชอบเค้าหรอ” ผมหลุดโพล่งถามออกไปก่อนจะคิดได้ว่าไม่น่าถาม
“ชอบใคร?” แต่เมื่อได้ถามออกไปแล้วก็อยากฟังคำตอบ
“จ่อยน่ะ เห็นตัวติดกันจัง แค่สนิทหรือว่าคิดไกลกว่านั้น”
จิมหันหน้าไปทางคนตัวเล็กหลังเครื่องชงกาแฟจังหวะเดียวกับที่หมอนั่นหันมาพอดี รอยยิ้มหวานๆ ที่ส่งถึงกันจากที่เห็นทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจในเซ้นส์ของตัวเอง และคำตอบของจิมก็ยิ่งช่วยเพิ่มความชัดเจน
“น่ารัก”

[จ่อย]
จิมบอกให้เตรียมตัวไว้จะพาผมไปเที่ยวที่สนุกๆ ทำให้ผมตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เสื้อผ้าทุกตัวถูกนำมากองรวมกันก่อนจะแยกว่าตัวไหนใส่แล้วเหมาะไม่เหมาะ แต่ก่อนหน้านี้พี่โยบอกว่าสไตล์การแต่งตัวของผมดีขึ้น ดูคล้ายคนเมืองเข้าไปทุกที ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเสื้อผ้าที่คุณแจ็คพาไปซื้อมันมีแต่ตัวสวยๆ อยู่แล้วมากกว่า
พูดถึงคุณแจ็ค หลังจากที่นั่งคุยอยู่กับจิมไม่นานหันมาอีกทีคุณเขาก็เดินออกจากร้านไปแล้ว ผมยังไม่ทันได้ทักทายเลย กะว่าลูกค้าซาจะเดินไปหาสักหน่อย เรื่องเงินพันนึงนั่นก็ยังไม่ได้ขอบคุณเลย ผมทำงานแค่นิดเดียวเองแต่คุณแจ็คจ่ายค่าแรงผมซะเยอะ คนบ้านนี้ใจดีจริงๆ
แกร็กๆ
   “หืม?” ผมรีบหันขวับไปที่ประตู ถ้าหูไม่ฝาดผมว่าผมได้ยินเสียงลูกบิด
“เอ้า ทำไมเปิดไม่ออก” คุณแจ็ค! “ลูกบิดเป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย พอไม่ได้ใช้นานเป็นแบบนี้ทุกที”
ผมรีบคว้าโทรศัพท์กดพิมพ์ข้อความแชทส่งถึงจิมทันที ในใจกระวนกระวายจนแทบอยู่ไม่สุข ได้แต่ภาวนาให้จิมรีบอ่านเร็วๆ แล้วลงมาช่วยผมก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปเพราะคุณแจ็คเริ่มเขย่าลูกบิดแรงขึ้นทุกที
จิม ได้โปรด...   
JIMMA: พี่แจ็คลงไปที่ห้องเก็บของหรอ
หนุ่มสกลคนหล่อ: เราจะทำไงดี
JIMMA: อยู่เงียบๆ นะ เดี๋ยวเราจัดการเอง
หนุ่มสกลคนหล่อ: อื้อ

ผมเงี่ยหูฟังอยู่ข้างกำแพงได้ยินเสียงเหมือนคุณแจ็คคุยโทรศัพท์แล้วเดินห่างออก คิดว่าน่าจะเป็นจิมที่หลอกล่อให้คุณแจ็คเลิกยุ่งกับห้องเก็บของ แต่ให้ตายสิแบบนี้ไม่ดีเลย ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ ผมต้องเป็นบ้าแน่ ลำพังแค่ต้องเข้า-ออกบ้านหลังนี้แบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ใครเห็นก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้วไหนจะคนในบ้าน เพื่อนบ้านอีก แต่ผมก็ยังไม่มีเงินมากพอที่จะออกไปใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ดี
ติ้ง ติ้ง
   ผมคว้าโทรศัพท์เครื่องใหม่มาดูเพราะคิดว่าคงเป็นจิมแน่นอนแต่ผมคิดผิด ข้อความไลน์ที่ส่งมาเป็นอีกชื่อหนึ่งที่วันนี้ผมยืนมองเขาอยู่ไกลๆ
   JACK: นอนรึยัง
หนุ่มสกลคนหล่อ: ยังครับคุณแจ็ค
   JACK: แล้วทำไมนอนดึก
หนุ่มสกลคนหล่อ: ผมเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปเที่ยวกับจิมอยู่ครับ
   JACK: ตั้งอาทิตย์หน้า ตื่นเต้นรึไง
หนุ่มสกลคนหล่อ: ครับ ตื่นเต้น
หนุ่มสกลคนหล่อ: ผมอยากเห็นทะเล
   JACK: งั้นหรอ
   JACK: ขอโทษนะที่พาไปได้แค่ใกล้ๆ
หนุ่มสกลคนหล่อ: ขอโทษทำไมกันครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: ผมสิต้องขอบคุณมากกว่า
หนุ่มสกลคนหล่อ: แค่รู้ว่าจะได้ไปก็ดีใจมากๆ เลยครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: จิมใจดีกับผมมากเลย
   JACK: แล้วฉันล่ะ
หนุ่มสกลคนหล่อ: คุณแจ็คทำไมครับ
   JACK: เปล่า
   JACK: ไปนอนเถอะ
หนุ่มสกลคนหล่อ: พรุ่งนี้คุณแจ็คจะไปที่ร้านรึเปล่าครับ
   JACK: ถามทำไม
หนุ่มสกลคนหล่อ: เปล่าครับ
   JACK: มีอะไรก็พูดมาสิ
หนุ่มสกลคนหล่อ: ไม่สำคัญหรอกครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: คุณแจ็คไปนอนเถอะครับ
   JACK: ไม่ได้เข้าไปหรอกนะ
หนุ่มสกลคนหล่อ: ครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: มะรืนล่ะครับ
   JACK: มีธุระอะไรกับฉันรึเปล่า
หนุ่มสกลคนหล่อ: ไม่ครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: ไม่มี
หนุ่มสกลคนหล่อ: ก็คงจะคิดถึงคุณแจ็คมากๆ เลย
หนุ่มสกลคนหล่อ: วันนี้ก็รีบกลับผมก็ไม่ได้คุยด้วย

หนุ่มสกลคนหล่อ: หลับแล้วหรอครับ
   JACK: ยัง
หนุ่มสกลคนหล่อ: อ่อครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: เห็นคุณแจ็คเงียบไป
   JACK: คิดถึงฉันหรอ
หนุ่มสกลคนหล่อ: ก็เจอกันทุกวันนี่ครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: พอไม่เจอก็จะคิดถึง
   JACK: แค่นั้นสินะ
หนุ่มสกลคนหล่อ: ทำไมหรอครับ
หนุ่มสกลคนหล่อ: มันไม่แค่นั้นนะ
   JACK: แล้วไง
หนุ่มสกลคนหล่อ: ก็วันนี้
หนุ่มสกลคนหล่อ: ผมยังไม่ได้จุ๊บคุณแจ็คเลย
หนุ่มสกลคนหล่อ: นึกว่าคุณแจ็คจะคิดถึงเหมือนกัน
   JACK: จ่อย
หนุ่มสกลคนหล่อ: ครับผม
   JACK: ไปนอน

   JACK: เงียบทำไม
หนุ่มสกลคนหล่อ: คุณแจ็คบอกให้นอน
   JACK: จุ๊บฉันแล้วหรอถึงนอนได้น่ะหะ
หนุ่มสกลคนหล่อ: วันนี้ไม่ได้แล้วล่ะครับ
   JACK: รับสายฉัน

   เช้านี้ผมรู้สึกง่วงเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะเมื่อคืนคุยกับคุณแจ็คดึกมาก ผมเพิ่งรู้ว่าไอโฟนมันดีแบบนี้ เราสามารถคุยกันแบบเห็นหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนจนคิดว่าอยากจะซื้อให้แม่ไว้สักเครื่อง เราจะได้เห็นหน้ากันทุกวัน
คุณแจ็คไล่ให้ไปนอนทุกครั้งที่ผมหาว แต่ก็เรียกหาทุกครั้งที่ผมเงียบไปนั่นแหละเหตุผลที่ผมงัวเงียอยู่ตอนนี้ ลำพังงานผมมันก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่าไหร่ยังพอนั่งพักได้แอบงีบสักหน่อย แต่คุณแจ็คนี่สิ ต้องไปประชุมทีมอะไรก็ไม่รู้คุณเขาบอกเมื่อคืน จะไหวรึเปล่านะ
“ตาแดงๆ นะจ่อย เมื่อคืนนอนดึกหรอ” พี่โยถามผมพร้อมยื่นถาดขนมเค้กมาให้
“ครับ แต่ผมไหวนะครับ สบายใจได้” ผมรีบสร้างความมั่นใจให้พี่โยทันที
“ถ้าไม่ไหวก็บอกแล้วกัน อย่าฝืน” คุณโยพูดอย่างห่วงๆ แต่ก็ไม่วายเตือนผมด้วยความหวังดี “ทีหลังก็เข้านอนให้มันเร็วๆ ร่างกายเราต้องพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่งั้นจะป่วยเอาได้”
“ครับ”
“แล้ววันนี้จิมไม่มาหาหรอ ตั้งแต่ปิดเทอมเห็นมาทุกวัน”
“พาคุณแม่ไปทำธุระครับ น่าจะไม่ได้เข้ามาเพราะเห็นบอกว่าไปไกล”
“ไปต่อวีซ่าแน่เลยเห็นเมื่อวานบอกอยู่” พี่โยยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผม “เอาไปติดหน้าประตูร้านให้หน่อย ชิดๆ ขอบหน่อยนะอย่าให้มันบังร้านมาก”
ผมรับกระดาษพร้อมเทปกาวสองหน้ามาถือไว้ในมือก่อนจะเล็งพื้นที่ระดับสายตาให้คนที่ผ่านไปผ่านมามองเห็นข้อความได้ง่าย

รับสมัครพนักงานชาย 1 ตำแหน่ง
อายุ 20-30ปี
มีประสบการณ์จะพิจารณาเป็นพิเศษ
สนใจติดต่อภายในร้าน
[/b]

   ผมอ่านข้อความแล้วรีบวิ่งไปหาพี่โยทันที รับพนักงานใหม่หรอ แล้วผมล่ะ หรือว่าพี่โยไม่พอใจที่ผมนอนดึก
“พี่โยครับ ทำไมพี่ถึง...” ผมยื่นกระดาษคืนให้พี่โย “ผมทำงานไม่ดีหรอพี่ หรือว่าผมทำผิดพลาดตรงไหน ถ้าเรื่องนอนดึกผมขอโทษนะครับ ต่อไปผมจะรีบเข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม หรือเรื่องที่ผมมัวแต่คุยกับจิมระหว่างทำงาน ต่อไปผมจะไม่ทำแล้วครับ แต่พี่โยอย่าไล่ผมออกเลยนะ”
“โวยวายอะไรรรรร” พี่โยลากเสียยาวใส่ผม “บอกให้เอาไปติดถือกลับมาทำไมอีก”
“พี่จะไล่ผมออกจริงๆ หรอครับ” ผมยืนหน้าสลด ตอนนี้แม้แต่หยดน้ำตาก็แทบจะไหลลงมาไม่อายลูกค้าในร้าน
“ไม่ได้จะไล่ แต่จะหาคนมาแทนไว้ก่อน”
“แทน? แทนทำไมครับ หรือว่าที่ผมจะไปเที่ยว งั้นผมไม่ไปก็ได้ครับ”
“โอ้ยยย นี่ไม่มีใครบอกอะไรนายเลยรึไงเนี่ย” พี่โยหันมาตวาดใส่ผมแต่ก็ไม่ได้เสียงดังมากเพราะลูกค้าเยอะ “พี่แจ็คเค้าหางานใหม่ให้นายแล้ว รายละเอียดก็ไปถามกันเอาเอง”
“แล้วร้านนี้ล่ะครับ”
“ร้านนี้ฉันก็ทำของฉันต่อไปสิ เดี๋ยวก็มีคนมาสมัครเองแหละ เด็กมหาลัยอยากทำพาร์ทไทม์เยอะแยะ”
“แต่พี่โยครับ จะไม่เป็นไรจริงๆ หรอ” ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เมื่อคืนที่คุยกับคุณแจ็คก็ไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้ จะให้ผมออกจากร้านจริงๆ หรอ
“ไปทำงานกับพี่แจ็คน่ะดีแล้ว เงินดีกว่าที่นี่เยอะ จะได้ส่งให้ที่บ้านได้เยอะขึ้นอีกไง ไม่ดีหรอ”
“แต่พี่โย...” ผมยังรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก งงก็งงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เหมือนนี่ไม่ใช่ชีวิตผมเลย ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรด้วยซ้ำ
“พี่แจ็คมาที่นี่เกือบทุกวันอยู่แล้ว นายเองก็อยู่แถวนี้ไม่ใช่หรอ ว่างๆ ก็แวะมาได้ตลอด ไม่ต้องมาทำหน้าผูกพันเป็นบ้านหลังที่สองขนาดนั้นหรอกน่า มีทางที่ดีก็ไปเถอะ เงินเยอะๆๆๆ ท่องไว้”
“จะดีหรอพี่” เอาเข้าจริงผมรู้สึกเหมือนกำลังจะทิ้งพี่โยยังไงก็ไม่รู้
“เชื่อเถอะน่า พี่รู้จักจิมกับพี่แจ็คดี เค้าพาเราไปในทางที่ดีกว่านี้ได้แน่ จ่อยก็บอกเองไม่ใช่หรอว่าพวกเค้าใจดีน่ะ แล้วจะกลัวอะไร”
“แล้วผมต้องไปเมื่อไหร่ครับ” เสียงผมเริ่มอ่อยๆ แผ่วเบาลงไปทุกที
“จนกว่าพี่จะได้พนักงานใหม่ ถึงตอนนั้นเราต้องอยู่ช่วยพี่สอนงานเค้าจนคล่องก่อน อีกสักพักใหญ่ๆ เลยล่ะ อย่าเพิ่งมาเศร้าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ไปรับลูกค้านู่นไป”
“คุยอะไรกันอยู่” เสียงหนึ่งขัดจังหวะของเราทั้งสองคนขึ้น
“คุณแจ็ค” ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาแต่เพราะสถานการณ์ก่อนหน้าทำให้หุบยิ้มกลับไปอีก “คุณแจ็คครับ พี่โยจะหาคนใหม่มาทำงานแทนผมแล้ว”
“ก็ดีแล้วนี่”
“แต่ผมไม่อยากโดนไล่ออกแบบนี้นี่ครับ”
“ใครไล่นายออกพูดให้มันดีๆ” พี่โยแหวใส่ผมพร้อมที่รองแก้วในมือยกขึ้นน่าจะเตรียมขว้างใส่
“ฉันบอกโยเองแหละ ทำไมล่ะ หรือว่าอยากอยู่ที่นี่”
“อยากครับ” คุณแจ็คดูหน้านิ่งๆ ไปแต่ผมก็ตอบไปตามความจริง “ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย อยู่ๆ พี่โยก็หาพนักงานใหม่อะไรกัน จะให้ผมไปทำงานกับคุณแจ็คก็บอกก่อนสิครับ เจอแบบนี้ผมทำตัวไม่ถูกนะ ตกใจมากๆ เลยด้วย”
คุณแจ็คดึงมือผมเข้าไปใกล้ แขนอีกข้างก็เท้าเคาน์เตอร์คร่อมไว้เหมือนตั้งใจจะคุยกับผมแค่สองคน
“ไม่อยากไปทำงานกับฉันหรอ” มือหนาของคุณแจ็คปัดผมที่ปรกหน้าผมออก “ได้เจอกันทุกวันไม่ดีรึไง”
“วันนี้คุณแจ็คก็บอกจะไม่มา” ผมก้มหน้าลงมองพื้น “โกหก”
“เมื่อคืนมีคนบอกว่าคิดถึงก็เลยจะมาดูให้เห็นกับตาสักหน่อยว่าคิดถึงจริงรึเปล่า”
“คิดถึงจริงครับ แต่อีกนิดนึงผมจะโกรธคุณแจ็คแทนแล้ว”
“มาโกรธฉันเรื่องอะไร”
“ก็คุณแจ็คมาทำให้ผมง่วง แล้วไหนจะเรื่องงานอีก รู้มั้ยครับตอนเห็นป้ายนี้ผมตกใจแค่ไหน คิดว่าจะโดนไล่ออกเพราะนอนน้อยทำงานไม่เต็มที่แล้วเนี่ย ใจหายหมด"
"โย” คุณแจ็คหันไปเรียกพี่โยที่กำลังเติมกาแฟใส่โหล “วันนี้ที่ร้านยุ่งมั้ย”
“วันพุธไม่เท่าไหร่หรอก มีไรปะพี่”
“ยืมตัวจ่อยวันนึงนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาคืน”
“อีกแล้วหรอ” พี่โยเน้นเสียงทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปพ้นๆ
“ไปไหนครับคุณแจ็ค ผมต้องทำงานนะ” คุณแจ็คดึงผมไปไม่สนใจป้ายที่จะทำให้ผมตกงานสักนิด
“ไปนอน”

ผมนั่งอยู่ในห้องกว้าง แม้ด้านนอกแสงแดดจ้าแต่ไม่สามารถทะลุม่านสีน้ำตาลทึบเข้ามาได้ คุณแจ็คเดินวนอยู่รอบตัวผมหยิบนั่นจับนี่วางเรียงจนทุกอย่างเป็นระเบียบ
“พาผมมาที่นี่ทำไมครับคุณแจ็ค” ผมถาม เพราะตั้งแต่เข้ามาก็ปล่อยให้ผมนั่งบนเตียงไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ
“มานอนไง” คุณแจ็คทิ้งตัวลงข้างผม “แล้วใส่ผ้ากันเปื้อนมาด้วยทำไมเนี่ย”
“คุณแจ็คดึงผมมาอย่าว่าแต่ผ้ากันเปื้อนเลยครับ ใบเสร็จโต๊ะสามผมยังไม่ได้เอาไปเสียบเลย” ผมชูกระดาษใบเล็กเพื่อยืนยันสิ่งที่พูด “แล้วจะมานอนอะไรตอนนี้ครับ นี่มันเวลาทำงาน คุณแจ็คไม่ต้องไปทำงานแล้วหรอ”
“ทำที่บ้านไง”
“เอาแต่ใจจังเลยครับ ถ้างั้นผมกลับไปนอนที่ห้องของผมนะ” ผมยันตัวลุกแต่ถูกคุณแจ็คกดลงให้นั่งตามเดิม
“ห้องนายอยู่ที่ไหน” ยะ...แย่แล้ว “ไปก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“เอ่อ... มะ...ไม่ต้องไปส่งก็ได้ครับ คือ... ผมกลับเองง่ายกว่า”
“ฉันไปหอนายไม่ได้หรอ หรือว่าพักอยู่กับใคร” คุณแจ็คดึงให้ผมหันไปเผชิญหน้า
“พัก...อยู่คนเดียวครับ แต่ผมไม่อยากรบกวนคุณแจ็คง ผมกลับเองได้”
“งั้นก็อยู่นี่แหละ”
“แต่นี่มันห้องนอนคุณแจ็คนะครับจะให้ผมนอนที่นี่ได้ยังไงครับ”
“นอนได้เพราะนายง่วง ดูสิเนี่ย ตาบวมหมดแล้ว” นิ้วโป้งหนาเกลี่ยที่ตาของผมอย่างแผ่วเบา “มองอะไร”
“คุณแจ็คเอาแต่ใจทุกอย่างเลย เหมือนที่จิมบอกไม่มีผิด ไม่เคยถามความต้องการของคนอื่น”
“โกรธฉันหรอ”
“รู้สึกเหมือนจิมเลยครับ”
“พักเรื่องจิมไว้ก่อนได้มั้ย” นิ้วเรียวบนหน้าผมเลื่อนมาแตะที่ริมฝีปาก “อย่าโกรธฉัน ฉันเอาแต่ใจก็เพื่อนาย”
ถึงเวลานี้ผมไม่ได้พูดอะไรตอบ ไม่ใช่เพราะนิ้วมือที่แตะห้ามแต่คงเพราะแววตาที่จ้องมองผมเวลาพูด และคำว่า ‘เพื่อนาย’ อยู่ๆ มันก็ทำให้ทุกอย่างรอบตัวผมหยุดนิ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีแรงกดเบาๆก็ทำให้ผมเอนลงบนหมอนอย่างง่ายดาย
“รู้มั้ยว่าวันนี้ฉันไม่อยากมาเจอนายเลย” คุณแจ็คลูบแก้มผมไปมาหลังจากที่จัดการกับผ้าห่มบนตัวผม “อยากให้นายคิดถึงฉันเหมือนเมื่อคืน”
“แล้วทำไมถึงมาได้ล่ะครับ คุณแจ็คงานเยอะจะตาย”
“นั่นสิ” เขาตอบแค่นั้นแล้วส่งยิ้มที่อบอุ่นให้ผม
ผมว่าผมควรหลับตา...
   “ถ้าไม่เจอก็จะคิดถึงจริงๆ นั่นแหละครับ” ผมหลับตาพูดออกไปเพราะระยะห่างที่ไม่ห่างทำให้ผมไม่กล้าที่จะโฟกัสคนตรงหน้า
   “แย่จัง” ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งจนได้
   “อะไรแย่ครับ”
   “ฉันอยากฟังนายบอกว่าคิดถึงต่อหน้า ฟังเสียงที่ออกมาจากปากนุ่มนิ่มนี่สักหน่อยถึงได้รีบมาเจอ” ผมไม่สามารถหลับตาได้อีกราวกับว่ามันถูกสะกด “พูดให้ชื่นใจสักนิดไม่ได้หรอ”
   ผมกำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะพูดออกไปตามที่คุณแจ็คเอ่ยปากขอแต่คุณรู้ไหม ผมไม่รู้จะทำยังไงก่อนระหว่างข่มใจให้นิ่งกับรังสีความน่ากลัวที่ทำให้ผมใจสั่นตลอดเวลาที่อยู่ใกล้คุณแจ็ค กับการขยับปากที่ห่างกันไม่ถึงคืบของราสองคน
   “ผม...คิดถึงคุณแจ็ค”
และนี่คงเป็นดั่งคำสั่งเสียสุดท้ายเพราะใจที่เต้นแรงทำให้ผมกำลังจะตาย

TBC
#ห้องลับบักจ่อย
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 7
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 14-03-2019 21:41:03
โอ้ยยคุณแจ็ค ใจดีใหญ่แล้ว
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน7
เริ่มหัวข้อโดย: mutyamania ที่ 17-03-2019 12:36:22
เอ็นดูเจ้าจ่อยน้อย น่ารัก
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 8
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 26-03-2019 00:54:08

8
ปวดใจดั่งไฟสุมทรวง ทะลวงอกฉัน

[แจ็ค]

   ผมนอนตะแคงเท้าแขนจ้องคนหลับอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เจ้าตัวเล็กตรงหน้าจะขยับตัวชิดเข้ามาเรื่อยๆ จนชนเข้ากับแผงอก เสียงพึมพำที่ได้ยินคือ หนาวแท้ เป็นสำเนียงแปลกๆ แต่มันก็ยังพอเข้าใจง่ายเพราะดูจากการขดตัวผมจึงดึงผ้าห่มปิดให้จนถึงแก้ม แม้ว่ามันจะบดบังสิ่งที่ดึงดูดสายตาแต่ผมก็เก็บรายละเอียดบนใบหน้าไว้หมดแล้ว ว่าเจ้าก้อนตัวนี้น่ารักแค่ไหน
“อุ่นขึ้นมั้ย” ถามไปอย่างนั้นแหละเผื่อจังหวะสะลึมสะลือจะรู้สึกตัวบ้าง
“ครับ” เขาได้ยินผมแถมยังปรือตางัวเงียขึ้นมามอง “ทำไมคุณแจ็คไม่นอน หรือว่าตื่นแล้ว งั้นผมตื่นด้วยดีกว่า กี่โมงแล้วครับ”
“นอนต่อเถอะ ฉันก็ยังไม่ได้นอนเหมือนกัน”
“รบกวนคุณแจ็ครึเปล่าครับ ผมกลับห้องดีกว่า”
ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไรแต่สอดแขนผ่านช่องว่างช่วงคอให้เขาหนุนแทนหมอนซึ่งเจ้าจ่อยก็ขยับตัวตามแต่โดยดี
“ให้เบาแอร์มั้ย” เผื่อว่าเจ้าตัวเล็กจะหลับสบายขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ อุ่นแล้ว”
เขาอาจจะอุ่นขึ้นหลังจากที่ผมห่มผ้าให้แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากจะมโนต่อเองว่า ที่อุ่นเพราะอ้อมกอดของผมต่างหาก ถึงแม้จ่อยจะไม่ได้พูดออกมาแต่การที่ผมนอนกอดแบบนี้มันก็ชวนคิดไม่ใช่หรอ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ผมไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มานานแล้ว คนล่าสุดที่นอนกอดคือจิมตอนที่เขาป่วยหนัก เพราะเจ้าน้องชายถ้าไม่สบายเมื่อไหร่จะอ้อนสุดฤทธิ์ อยู่ห่างแค่ 2นาทีก็ไม่ได้ ไปเข้าห้องน้ำก็ต้องให้ยืนเฝ้า แต่กับจ่อย ถ้าจะว่าเป็นเพราะเพื่อนของน้องชายก็น่าแปลกที่จะเอ็นดูเขาขนาดนี้ หรือเพราะความน่าเห็นใจกับเรื่องทางบ้านที่โยเล่าให้ฟังก็ไม่น่าเกี่ยว ผมรู้สึกเหมือนทำอะไร ไปไหน ก็จะนึกถึงเจ้าตัวเล็กนี่บ่อยครั้ง กินอะไรที่อร่อยก็อยากจะซื้อมาฝาก ไม่สิ อยากจะพาไปนั่งกินด้วยมากกว่า หรือจะว่าผมชอบเด็กนี่ แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อจ่อยก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่ก็อาจจะชอบ แต่คงชอบในรูปแบบอื่นมากกว่าก็เป็นได้
นอนลูบหัวน้องเบิ้มอยู่สักพักตัวผมเองก็เริ่มง่วงแต่แขนเล็กที่ดิ้นออกจากหน้าท้องมาก่ายอยู่ที่เอวทำให้ผมเกร็งตัว สงสัยชายเสื้อผมจะรั้งขึ้นทำให้สัมผัสกับมือเล็กเข้าเต็มๆ แถมเจ้านี่ยังลูบไล้มันไปมาอีก ยิ่งจ่อยขยับกอดเราก็ยิ่งชิดกันมากขึ้น จนคางผมแทบจะเกยหัวเขาอยู่แล้ว
“หลับอยู่ก็สบายเลยสิ” นึกแล้วก็หมั่นไส้ คนหลับจะไปรู้เรื่องอะไร แต่คนที่ตื่นอยู่รับรู้ทุกอย่างนี่ล่ะ “แสบนัก แบบนี้ใครจะไปหลับลง”
ผมกดจูบที่หน้าผากมนอย่างเผลอตัว อาจเพราะมันอยู่ระดับเดียวกันกับปากถึงได้ทำมันซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น กลิ่นกายหอมทำให้ผมสูดมันเข้าไปไม่หยุด รู้ตัวอีกทีผมก็ไล้จนจมูกเราแตะชิดกัน ถ้าจ่อยไม่ยกมือขึ้นปัดมันอาจจะไม่หยุดที่ข้างแก้มแบบนี้
“ทำบ้าอะไรไอ้แจ็ค” ผมต้องสบถออกมาเพื่อเตือนตัวก่อนจะตัดสินใจลุกออกไปโดยขยับให้เบาที่สุดเพื่อที่จะไปฟุ้งซ่านต่อที่อื่น

[จ่อย]

ผมมาทำงานด้วยร่างกายที่สดชื่นเกินกว่าเหตุ เพราะเมื่อวานเรียกได้ว่านอนนานกว่าที่มนุษย์ควรนอนเลย ที่นอนคุณแจ็คนุ่มมาก ผ้าห่มก็ผืนใหญ่อุ่นสบาย กว่าจะตื่นก็ปาไปสองทุ่ม นั่งตอบคำถามจิมอยู่ครึ่งชั่วโมงก็กลับมานอนที่ห้องต่อ ผมรู้สึกเหมือนฝันดีจนไม่อยากจะรีบตื่น ทั้งที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฝันอะไรแต่มันอบอุ่นหัวใจบอกไม่ถูก
จิมคะยั้นคะยอถามว่าทำไมผมถึงโผล่ไปเคาะห้องได้ ผมก็บอกไปว่าคุณแจ็คให้มาหาจิม ให้จิมพาไปส่งที่หอ แต่นั่นกลับทำให้จิมยิ่งสงสัยจนสุดท้ายก็บอกว่าจะไปถามกับคุณแจ็คเอง
“อยู่หน้าร้านไปก่อนนะ สิบโมงจะมีคนมาสัมภาษณ์งาน” พี่โยตะโกนบอกผม
“มีคนมาสมัครแล้วหรอครับ”
“ก็บอกแล้วว่าพวกนักศึกษาอยากหางานพาทไทม์ทำเยอะไป หล่อด้วย หล่อมากกกกก กอไก่แปดสิบแปดล้านตัว”
“หล่อกว่าคุณแจ็คอีกหรอครับ” ผมทึ่งกับน้ำเสียงลากยาวของพี่โย
“แหมนี่ ทั้งโลกมีอีตาแจ็คหล่ออยู่คนเดียวหรอหะ?”
“ก็ไม่รู้สิครับ แต่คุณแจ็คหล่อกว่าดาราในทีวีอีก ถ้ามีคนหล่อกว่าคุณแจ็คก็ต้องหล่อมากจริงๆ นะครับ” ผมพูดตามที่เห็น
“นี่หลงมากรู้ตัวปะเนี่ย” อยู่ดีๆ พี่โยก็แบะปากคว่ำใส่ผม “ถ้าลุงมันมาได้ยินนี่เขินดิ้นเลยมั้ง”
“ลุงพี่โยจะมาหรอครับ” วันนี้จะมีคนมาร้านเยอะจังแหะ
“เหนื่อยอะ เหนื่อยอธิบาย” พี่โยส่ายหน้าใส่ผม “ถูไปนะ”
พี่โยเดินหนีผมไปทั้งอย่างนั้น ท่าทีแบบนี้มีเฉพาะเวลาที่ผมพูดไม่รู้เรื่องข้อนี้ผมรู้ตัวดี ก็พี่โยนะชอบสรรหาแต่ศัพท์แปลกๆ มาพูดกับผม บางครั้งผมต้องจำแล้วไลน์ไปถามจิมถึงจะเข้าใจ แต่ตอนนี้ผมรอที่จะเจอกับพนักงานใหม่ไม่ไหวแล้ว อยากรู้ว่าหล่อมากๆ ของพี่โยหน้าตาจะเป็นยังไง

พี่โยเรียกคนใหม่เข้าไปสัมภาษณ์ด้านหลัง แอบได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นพักๆ ก็พี่โยน่ะ เสียงเบาๆ ซะที่ไหน ขนาดเดินออกมาแล้วยังขำกันไม่หยุด ไม่รู้มีเรื่องตลกอะไรกัน สัมภาษณ์งานผมคิดว่าจะซีเรียสซะอีก
เราทำความรู้จักอย่างเป็นกันเอง พี่เขาเป็นคนอารมณ์ดี น่ารัก มีมุกตลกกวนๆ อยู่ตลอดมิน่าถึงได้หัวเราะกันลั่น
"พรุ่งนี้เก้าโมงนะ ห้ามสาย" พี่โยย้ำกับพนักงานคนใหม่ "เผลอๆ แม๊กจะได้เป็นคนสอนงานจ่อยมากกว่าล่ะมั้ง"
"แต่ผมทำเป็นทุกอย่างแล้วนะครับ ทำมาก่อนด้วย" ผมหน้ายู่ใส่พี่โย ก็มาดูถูกความสามารถผมนี่
"พี่เคยทำร้านกาแฟที่อื่นมาก่อน แต่ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะเพราะแต่ละที่ก็มีสูตรกับเทคนิคไม่เหมือนกัน ยังไงก็ต้องพึ่งน้องจ่อยอยู่ดี” โอ้โหวรอยยิ้มของพี่เขาทำให้ผมรีบหลบหน้าไปทางอื่น อยู่ดีๆ ก็ใจสั่นขึ้นมารัวๆ หล่อมาก เข้าใจคำว่าหล่อของพี่โยแล้ว
ผมเห็นคุณแจ็คเดินเข้ามาที่ร้านแต่ตอนนั้นผมกำลังยื่นโทรศัพท์ให้พี่แม๊กอยู่เลยได้แต่ส่งยิ้มให้ไม่ได้ทักทายอะไรมาก มีแต่พี่โยที่เดินเข้าไปคุย หลังจากที่ร่ำลากันเสร็จจนพี่แม๊กเดินพ้นจาหน้าร้าน ผมถึงได้เริ่มชงกาแฟสำหรับคุณแจ็ค
“ให้เบอร์กันด้วยหรอ” เสียงทุ้มๆ เหมือนหงุดหงิดอะไรมา
“ให้ครับ ให้ไลน์ด้วย นี่ไง” ผมยื่นโทรศัพท์ให้เขาดู “คุณแจ็คงานเยอะมาหรอครับ ดูเหนื่อยๆ”
“นิดหน่อย” เขาตอบแบบห้วนๆ “เมื่อไหร่จะไปทำงานกับฉัน”
“ตอนนี้ยังไมได้หรอกครับ” ผมก้มหน้าตอบ “พี่โยบอกว่าต้องสอนงานพี่แม๊กก่อน ถ้าพี่แม๊กคล่องแล้วถึงจะไปได้”
“ก็มีประสบการณ์อยู่แล้วนี่ ใส่กาแฟ ใส่ไซรัปมันจะยากตรงไหน จดๆ ไว้ให้สิ้นเรื่อง”
“มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับคุณแจ็ค พี่แม๊กบอกว่าแต่ละที่ไม่เหมือนกัน แต่พี่แม๊กดูเก่งนะครับ ผมว่าสอนไม่นานหรอก ผมซะอีกที่เป็นตัวเด๋อๆ พี่แม๊กทั้งหล่อทั้งเก่ง” ผมคิดถึงใบหน้าตอนยิ้มแล้วแทบจะละลายจะเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
“หล่อตายล่ะ”
“หล่อนะครับ ตอนพี่โยบอกผมก็ไม่ค่อยเชื่อ ไม่คิดว่าจะมีใครหล่อ หน้าคมหุ่นล่ำยิ่งกว่าดาราในทีวีเหมือนคุณแจ็ค” ได้ยินเสียงกระแอมจนคิดว่าอาจจะสำลักกาแฟ แล้วที่แอบยิ้มๆ ผมก็ไม่รู้เหตุผล “แต่พอเจอตัวจริงแล้วโอ้โหววว หล่อมากครับ ขาวๆ ขาวกว่าคุณแจ็คอีกครับ ยิ่งตอนยิ้มนะ โอ้ยย ไม่อยากจะพูดครับ ผมแทบไม่กล้าสบตา หล่อกว่าเทวดาอีกมั้งครับ เหมือนไม่ใช่มนุษย์เลย ผมว่าคุณแจ็คมีคู่แข่งแล้วล่ะครับ ร่วงลงมาอยู่ที่สองแล้ว” ผมพูดด้วยท่าทางจริงจังที่สุดเพื่อให้คนฟังเชื่อ แต่คุณแจ็คกลับวางแก้วกาแฟกระแทกโต๊ะเสียงดังแล้วทำท่าจะลุกออกไปอย่างรีบๆ จนผมต้องตะโกนถาม “คุณแจ็คจะไปไหนครับ”
“ไปเกาหลี!”
อ่อ  สงสัยจะรีบจริงๆ

ผ่านมาหลายวันหลังจากที่มีพี่แม๊กเข้ามาอยู่ในร้าน ทุกอย่างดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แถมลูกค้าที่เป็นนักเรียน นักศึกษาก็เต็มไปหมด จนพี่โยตั้งฉายาว่า ตัวเรียกแขก
ผมเข้าใจดีเพราะความหล่อของพี่เขามันบาดใจจริงๆ และคิดว่าคุณแจ็คคงรับไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกับคนที่หน้าตาดีไม่แพ้กันก็เลยไม่เห็นคุณเขามาที่ร้าน ทำให้ผมได้แต่ชะเง้อคอมองเก้อ ไลน์ไปถามก็ไม่ยอมตอบข้อความผม แต่ว่าอ่านนะ ผิดกฎของจิมด้วยล่ะบอกก่อน ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบจิมโกรธตายเลย
หรือว่าอยู่ต่างประเทศเลยตอบไม่ได้นะ

ผมนั่งเก็บข้าวของและเสื้อผ้าบางชิ้นใส่ถุงกระสอบไว้ก่อนเพราะคงเหลือเวลาอีกไม่นานผมก็ต้องออกจากบ้านหลังนี้แล้ว ถ้าถึงวันที่ผมต้องไปทำงานกับคุณแจ็คก็คงได้เงินเดือนงวดสุดท้ายจากพี่โย และผมจะใช้เงินก้อนนั้นออกไปหาห้องพักของตัวเองสักที
การทำงานกับคุณแจ็คถ้าให้เดาคร่าวๆ เราคงต้องเดินทางไปพร้อมกันและกลับบ้านพร้อมกัน หลายครั้งมากที่คุณแจ็คมักจะถามว่าพักอยู่ไหนซึ่งผมเองก็ได้แต่อึกอัก เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้ปัญหานี้เกิดผมก็คงต้องออกไปจริงๆ และต้องใจแข็งกับความขี้อ้อนของจิมด้วย
จำได้ว่าตอนที่มาผมมีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียว แต่ดูตอนนี้สิ แค่เสื้อผ้าก็ยัดไม่พอแล้ว ความใจดีของจิมและคุณแจ็คทำให้ผมมีเหลือมากกว่าขาด กินอิ่ม นอนสบายซะจนจะเคยตัว ผมถึงได้รักข้าวของทุกชิ้น ทะนุถนอมและหวงแหนทุกอย่างที่มีแม้แต่จะซักจะรีดก็เบามือเพราะไม่อยากให้มันบอบช้ำ
เมื่อเก็บทุกอย่างเข้าที่เรียบร้อยจึงเดินเข้าไปในครัว ดูเหมือนถ้วยจานจิมจะล้างหมดแล้ว จริงๆ ก็บอกอยู่ว่าไม่ต้องทำเดี๋ยวผมจะทำเอง แต่เพราะจิมคงกลัวว่าจะถูกจับได้เลยไม่ค่อยอยากให้ผมอยู่ในนี้นานๆ
วันนี้บ้านเงียบเหมือนเดิม ทุกคนออกไปข้างนอกกันหมดผมไม่เห็นรถสักคันจึงได้เดินไปหยิบไม้กวาดและเครื่องดูดฝุ่น ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมเพื่อตอบแทนที่เขาให้ผมอาศัย อีกหน่อยถ้าผมไปจิมก็คงจะเหนื่อยคนเดียว ถ้าเป็นวันหยุดของผมแล้วไม่มีใครอยู่บ้านผมก็จะหาโอกาสทำแบบนี้ประจำและมีแค่จิมคนเดียวที่รู้ เพราะหลายครั้งเราก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ ยิ่งได้ยินคำที่คุณแม่ชมจิมว่าดูแลบ้านดี บ้านสะอาดผมก็ยิ้มตามไปด้วย แต่พอวันนี้ไม่มีจิมอยู่ผมจึงทำความสะอาดทุกห้องคนเดียว ปกติจะแบ่งกันทำ ผมทำชั้นล่าง จิมทำชั้นบน
ไล่จากส่วนต่างๆ ห้องจิมดูจะสะอาดเรียบร้อยที่สุดแล้ว ห้องพระก็ยังมีฝุ่นบ้าง แต่ห้องทำงานคุณแจ็คนี่ไม่ไหวจริงๆ เอกสารกองกระจัดระจายเยอะแยะไปหมด ทั้งแฟ้มทั้งกระดาษเอย เครื่องเขียนเอย มีกระทั่งเหรียญ 50สตางค์ กว่าจะเสร็จก็คงใช้เวลาอยู่พักใหญ่ที่จะเคลียร์ให้รกน้อยที่สุด
“ใครน่ะ” ผมสะดุ้งตัวโยนจนเผลอปัดรูปปั้นข้างๆ เสียงนี้... “จิมหรอ”
ยังไม่ทันได้ตอบคุณแจ็คก็เข้ามาประชิดตัวผม จากที่สั่นๆ อยู่แล้วยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่เมื่อถูกกระชากออกมาจากมุมผนังข้างๆ ตู้เหล็กที่กำลังเช็ดอยู่
“จ่อย...นี่นาย...” ผมหลับตาปี๋ไม่มีสมาธิจะมาหาคำแก้ตัว ยิ่งเห็นสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์ไม่ได้ของคุณแจ็คก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก “นายเข้ามาทำอะไรที่นี่ เข้ามาได้ยังไง” ผมยืนนิ่งหดคออยู่ตรงหน้าจนแขนที่ถูกจับอยู่ถูกดึงอย่างแรงอีกครั้ง “ฉันถาม!!”
“ผม...คือผม” น้ำเสียงสั่นพอๆ กับตัวตอนนี้ กลัวมาก ผมกลัวเสียงตะคอกของคุณแจ็ค กลัวแรงบีบที่มือจนน้ำตาแทบไหลต้องกำผ้าเช็ดฝุ่นในมือแน่นเพื่อสะกดกลั้น
“นายทำอะไรที่ตู้เซฟของฉัน” ผมถูกดึงให้หันมาเผชิญหน้ากับคุณแจ็คตรงๆ ผมไม่รู้ว่าอะไรคือตู้เซฟ แต่คุณแจ็คตอนนี้ดูจะโกรธผมมากจริงๆ “ฉันถามว่านายทำอะไรจ่อย นายคิดจะทำอะไร!!!”
“ผม..แค่จะทำ...ทำความสะอาด”
“ในเวลาที่เจ้าของบ้านไม่อยู่แบบนี้น่ะหรอ นายคิดว่าฉันจะเชื่อรึไงหะ!!!”
“แต่ผมมาทำความสะอาดจริงๆ นะครับ” ผมเงยหน้ามองเพื่ออธิบายให้อีกคนเข้าใจ แต่ดูเหมือนคุณแจ็คจะไม่พร้อมรับฟังอะไรเลย
“ใครสั่งให้นายทำแบบนี้จ่อย”
“มะ...ไม่มีครับ”
“ฉันถามว่าใครสั่ง!” น้ำตาผมเริ่มไหลแบบกลั้นไม่อยู่ ผมไม่เคยโดนคุณแจ็คตวาดใส่รุนแรงแบบนี้ ไม่มีคุณแจ็คที่ใจดีกับผมหลงเหลืออยู่เลย
“ฮีก...ก...ไม่มี...ฮึก...ไม่มีใครสั่ง ค...ครับ”
“ไม่ต้องบีบน้ำตาเลยนะ ฉันไม่สงสารหรือเห็นใจอะไรนายแน่ แล้วไอ้มุกทำความสะอาดคิดหรอว่าฉันจะเชื่อ หรือถ้าคิดจะใช้จิมเป็นข้ออ้างขอบอกไว้ก่อนว่านายคิดผิด เพราะต่อให้เป็นน้องชายแท้ๆ ถ้าฉันไม่อนุญาตใครก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในห้องนี้!”
“ผม...ฮึก...ผมเข้ามาทำความสะอาดจริงๆ” มือสั่นเทาของผมยกผ้าขี้ริ้วขึ้นให้คุณแจ็คดู “ผมแค่..”
“แล้วนายเข้ามาในบ้านนี้ได้ยังไง! จิมก็ไม่อยู่นายจะให้ฉันเชื่อหรอว่าแค่ทำความสะอาด แล้วถ้าฉันไม่เข้ามาเจอลายนิ้วมือบนตู้เซฟนั่นก็คงไม่เหลือแล้วสิ ฮึ... กล้ามากนะจ่อย กล้ามากที่คิดขโมยของในบ้านฉัน นายกล้าใช้ความไว้ใจของจิม ใช้ความสนิทที่ฉันให้มาทำร้ายพวกเราแบบนี้หรอ” ถ้าผมฟังไม่ผิด น้ำเสียงของคุณแจ็คก็สั่นพอๆ กับผม เขาคงผิดหวังในตัวผมมากดูจากที่กำลังเข้าใจแบบนั้นทำให้ผมเถียงอะไรไม่อออกเหมือกัน มันเจ็บนะ เจ็บ...มากๆ เลย
“ผม...ขอโทษครับ แต่ผม...”
“เก็บคำแก้ตัวของนายไปใช้กับตำรวจเถอะ”
“คุณแจ็ค...”
“อย่ามาเรียกชื่อฉัน”

TBC
#ห้องลับบักจ่อย
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 8
เริ่มหัวข้อโดย: mutyamania ที่ 26-03-2019 18:35:29
น้องงงงงง
สงสารอ่ะ
คุณแจ็คอย่าทำร้ายจิตใจน้องสิเว้ยยยยย
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 9
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 28-03-2019 22:11:55
9
กลัว ฉันกลัวไปหมดทุกสิ่ง

[จิม]

ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่แจ็คทำให้ต้องรีบพาแม่ออกจากห้างตรงมาที่โรงพักทันที ระหว่างทางก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟังทั้งหมดรวมถึงเรื่องที่แอบซ่อนจ่อยไว้ในบ้านเพื่อไม่ให้แม่ตกใจกับสถานการณ์ที่เกิด แต่เหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คิด
“กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ไงลูก ถ้าชักศึกเข้าบ้านจะทำยังไง” แม่ถามด้วยเสียงกังวล “ตายละ แล้วนี่ขโมยอะไรไปบ้าง ทำไมจิมเปิดบ้านให้โจรแบบนี้ล่ะลูก แล้วแม่จะวางใจได้ยังไง”
“จ่อยไม่ใช่โจรนะแม่” ผมเองก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือจ่อยจะไม่มีทางทำแบบนั้น “จิมว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิด”
“ไปถึงโรงพักแล้วจะเข้าใจผิดอะไรอีก พี่เค้าจับได้คาหนังคาเขา”
“จิมเชื่อว่าจ่อยมีเหตุผล พี่แจ็คนั่นแหละ ปกติฟังใครซะที่ไหน จ่อยอาจจะแค่เข้าไปทำความสะอาดเฉยๆ ก็ได้ เค้าอยู่บ้านเราเกือบสองเดือนนะครับ ถ้าจะขโมยจริงคงทำไปตั้งแต่สองวันแรกแล้ว”
“แม่ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ให้พี่เค้าเคลียร์กับตำรวจเองก็แล้วกัน เราก็ระวังตัวไว้เถอะ ทำอะไรไม่ปรึกษา รู้ทั้งรู้ว่าตาแจ็คเป็นคนยังไง”
“ก็เพราะรู้ว่าเป็นคนยังไงน่ะสิจิมถึงได้ไม่ปรึกษา เชอะ”

เมื่อถึงโรงพักผมรีบขออนุญาตเข้าไปในห้องสอบสวนทันที วินาทีที่เห็นร่างจ่อยกับกุญแจมือนั่นทำให้ผมแทบทรุด ใบหน้าที่เปื้อนด้วยน้ำตา จมูกและริมฝีปากบวมแดงจากการสะอื้นอย่างหนักจนผมอดสงสารไม่ได้
“จ่อย...”
“ฮึก...จิม” น้ำตานั่นเหมือนจะไหลออกมามากกว่าเดิม จ่อยไม่พูดอะไรเลยนอกจากเอ่ยชื่อผมแล้วส่ายหน้า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่แจ็ค” ผมถามต่อหน้าคุณตำรวจ
“เพื่อนน้องเข้าไปในห้องทำงานของพี่ แล้วอย่าได้คิดที่จะแก้ตัวแทนเพราะพี่จับได้คาตาว่ากำลังวุ่นอยู่กับตู้เซฟ”
“ขอคุยกับจ่อยตามลำพังได้มั้ยครับ” ผมหันไปขอกับทางตำรวจ
“ได้ครับ”
“ไม่ได้!”
“พี่แจ็ค!”
“นายมันหัวอ่อนจิม เรื่องเป็นมาขนาดนี้จะต้องคุยอะไรกันอีก”
“คุยอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่าตอบคำถามคนหัวแข็งอย่างพี่ไง” ผมสวนออกไปเพราะในใจยังเชื่อมั่นในตัวจ่อย ผมรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องนี้ไม่มีใครเชื่อในคำพูดเขา และไม่แม้แต่จะรับฟัง
“ถ้าอย่างนั้นผมว่า อยู่คุยด้วยกันทั้งหมดดีกว่าครับ ผมจะได้บันทึกสำนวนด้วย” คุณตำรวจเอ่ยขึ้นหลังจากที่ผมกับพี่ชายตวาดใส่กันเสียงดัง
“ดีครับ ผมก็อยากรู้ว่าต่อหน้าคนที่เค้าอ้างว่ามีพระคุณ เค้าจะแก้ตัวยังไง”
จ่อยยังคงก้มหน้าร้องไห้ไม่หยุด ผมแทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้น คงเพราะเขาต้องการข่มมันไว้
“เล่าให้เราฟังได้มั้ย นายไปยุ่งกับตู้เซฟพี่แจ็คจริงๆ หรอ”
จ่อยพยักหน้ารับ ทำให้ผมได้แต่ถอนใจออกมา
“ฮึ...” เสียงพ่นลมหายใจของพี่แจ็คทำให้ผมหันกลับไปมอง มันไม่ใช่เสียงของคนที่จ้องจะจับผิด แต่ผมรู้สึกได้ว่าพี่ชายผมกำลังผิดหวัง
“ทำแบบนั้นทำไม” ผมหันความสนใจมาที่จ่อยอีกครั้ง
“เราขึ้นไปทำความสะอาด ฮึก... เราเห็นว่าไม่มี...ฮึก...ไม่มีใครอยู่เราก็เลย ขึ้นไปทำ...ฮึก ทำข้างบนด้วย” จ่อยพยายามเล่า “เราก็ทำไล่มาตั้งแต่ห้องพระ จนถึง..ฮึก...ห้องทำงานคุณแจ็ค”
“แล้วก็พยายามเปิดตู้เซฟของเจ้าของบ้านเพราะเห็นว่าทางสะดวกใช่มั้ย” คุณตำรวจจดตามที่จ่อยให้การ แล้วยิงคำถามนี้ขึ้น
“เปล่านะครับ” จ่อยส่ายหน้าเป็นการใหญ่ “ผมแค่เช็ดบนชั้นวาง แล้วก็กำลังจะเช็ดตรงนั้น ยังไม่ทันได้แตะต้องด้วยซ้ำคุณแจ็คก็เข้ามาก่อน ผมแค่นั่งอยู่ข้างๆ มัน ไม่ได้ทำอะไรกับตู้เลยนะครับ” จ่อยให้การกับตำรวจก่อนจะหันมาทางพวกผม “จริงๆ นะจิม”
“พี่แจ็ค พี่เห็นว่าจ่อยกำลังงัดเซฟอยู่รึเปล่า”
“ก็...ก็เปล่า”
“แล้วพี่พาจ่อยมาส่งให้ตำรวจเนี่ยนะ! ทำไมไม่ถามจ่อยให้รู้เรื่อง”
“ถามแล้วแต่มันไม่ยอมพูด! แล้วจะให้พี่เชื่อได้ยังไงในเมื่อมันบุกรุกบ้านคนอื่น จะให้พี่ขอบคุณที่ไม่มีใครอยู่บ้านแล้วเด็กดีที่ไหนไม่รู้มาทำความสะอาดให้หรอ”
“เพราะพี่มันไม่เคยมองคนอื่นในแง่ดีไง!”
“จิม...” จ่อยเรียกผมแล้วส่ายหน้าเล็กๆ คงเพราะไม่อยากเห็นผมทะเลาะกับพี่ชาย
“ตอนนี้มีหนึ่งข้อหาที่ทางตำรวจได้ลงบันทึกไว้นะครับ คือบุกรุก ทางตำรวจจะขอไปเก็บหลักฐานเพิ่มเติ...”
“ไม่ต้องเก็บอะไรทั้งนั้นแหละครับ ไม่มีใครบุกรุกอะไรทั้งนั้น”
“จิม! คำพูดแค่นี้น้องก็เชื่อแล้วหรอ ต้องรอให้ยกของมีค่าออกไปก่อนรึไงน้องถึงจะตาสว่างน่ะหะ!”
“ถ้างั้นก็ให้คุณตำรวจจับจิมไปด้วยเลย!” ผมขึ้นเสียงโต้กลับ “จ่อยไม่ได้บุกรุก ไม่ได้งัดบ้าน ไม่ได้ลักลอบทำอะไรแบบที่พี่คิด จ่อยเดินเข้ามาเอง เดินเข้าบ้านของเราได้ง่ายๆ เพราะน้องเป็นคนเปิดประตูให้จ่อยเข้ามาเอง”
“จิมอย่า...”
“จ่อยพักอยู่ที่บ้านเรามานานแล้ว นอนอยู่ใต้หลังคาเดียวกันกับพี่มาเป็นเดือน เดินเข้าออกบ้านเราได้สบายๆ ทั้งตอนที่พี่อยู่และไม่อยู่รู้ไว้ด้วย”
“ว่าไงนะ...”
“ผมจิมากร ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าบ้านตามกฎหมาย แต่ก็เป็นลูกชายเจ้าของบ้านเหมือนกัน ผมมีสิทธิ์ถอนแจ้งความได้มั้ยครับ”
“เอ่อ... ตามหลักแล้วเจ้าทุกข์หรือผู้ที่เป็นคนแจ้งความเท่านั้นที่จะตัดสินใจไม่เอาความได้นะครับ ผมว่าคุณทั้งสองคนลองคุยหาข้อตกลงที่แน่นอนกันก่อนดีกว่านะ แล้วค่อยมาบอกผม”
“หมายความว่ายังไงจิม อธิบายมาให้รู้เรื่อง”
“ก็หมายความอย่างที่พูด จิมพาจ่อยเข้ามาอยู่ในบ้านตั้งแต่เดือนที่แล้ว” ผมไม่สนใจมองหน้าพี่ชายอีกเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอกับอะไร ตอนนี้จ่อยสภาพไม่ต่างจากผักเหี่ยวๆ ที่เปียกปอนไปด้วยน้ำ ผมรู้ว่าเขารู้สึกยังไงแต่ที่ผมทำไปก็เพราะพยายามช่วย
“ขอโทษ ฮึก.. ขอโทษนะครับ คุณแจ็ค อย่าโกรธจิมเลยนะครับ”

ผมพาจ่อยกลับบ้านเพราะว่าแม่ช่วยพูดพี่แจ็คถึงได้ยอม อย่างน้อยก็ไม่เสียเวลาคุณตำรวจส่วนเรื่องที่บ้านก็มาจัดการกันเองเพราะถึงยังไงก็ไม่มีอะไรถูกขโมยอยู่แล้ว
พี่แจ็คเดินตามเราทุกฝีก้าวจนถึงห้องเก็บของ ผมเหนื่อยจะทะเลาะและจ่อยเองก็ดูเพลียมากเลยไม่ได้สนใจที่จะเก็บซ่อนความลับอะไรไว้อีก ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้ก็ให้รู้กันไป
ประตูห้องเปิดออกผมพาจ่อยไปนอนพัก สายตาเหลือบเห็นกระเป๋ากระสอบใบใหญ่และข้าวของที่บางตาจึงได้เอ่ยถาม
“เก็บของจะไปไหน”
“หาทางหนีทีไล่ไง งัดเซฟได้คงกะจะย้ายของหนีเลยล่ะสิ” ผมทำหูทวนลมแล้วก้มมองหน้าจ่อยเพื่อรอคำตอบที่แท้จริง
“ตั้งใจว่าได้เงินเดือนจากที่ร้านก็จะรีบไปหาหอ เราไม่อยากรบกวนจิมนานเลยเก็บที่ไม่ค่อยได้ใช้ไว้ก่อน”
ผมเหลือบขึ้นมองหน้าคนเป็นพี่ก่อนจะตวัดหางตาใส่ ได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ แหละแต่ผมเลือกที่จะไม่ให้ค่า
“จะหนีเราไปไม่บอกไม่กล่าวเลยหรอ”
“เราเปล่านะ” จ่อยเอียงคอไปมองหน้าพี่แจ็คแล้วหันกลับมาพูดกับผม “เราต้องไปทำงานกับคุณแจ็คเลยกลัวว่าจะมีปัญหาตามมา เราไม่อยากให้จิมเดือดร้อน ไม่อยากโกหกเรื่องที่พักกับคุณแจ็คด้วย”
“แต่ก็โกหกมาตลอด ชิ” จ่อยทำท่าจะร้องไห้ผมจึงเอามือไปลูบหัวเพื่อปลอบว่าอย่าไปใส่ใจคนพรรค์นั้น
“นอนพักก่อน พรุ่งนี้เราจะพาไปหาหอ”
“แต่เรายังไม่ได้เงิน”
“ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เราจะไปเบิกกับพี่โยเอง ที่เหลือก็เป็นเงินเดือนของนายเอาไว้ส่งให้แม่ โอเคมั้ย”
“อื้ม”
“หลับซะ ไม่ต้องสนใจมลพิษทางสายตาหรอก”
“จิม...อย่าว่าคุ...”
“นอน”
“พี่ว่าเราต้องคุยกันนะจิม” เสียงแข็งของพี่แจ็คทำให้จ่อยสะดุ้งลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“จิมไม่มีอะไรจะพูดกับพี่”
“แต่พี่มี” แรงตวาดทำให้ผมรู้ว่าไม่ควรต่อปากต่อคำด้วยอีก “คิดว่าสิ่งที่เราทำมันถูกต้องแล้วรึไง พาใครก็ไม่รู้ ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่ในบ้าน ถ้าเป็นพวกสิบแปดมงกุฎมาหลอกให้น้องตายใจ ใช้ความน่าสงสารกับความใจดีของน้องแล้วจะทำยังไง ทำไมถึงไว้ใจคนง่ายแบบนี้พี่เตือนกี่ครั้งแล้ว”
“แล้วจ่อยเป็นคนแบบนั้นมั้ยล่ะ” ผมตวาดกลับอย่างไม่นึกกลัว จนจ่อยลุกขึ้นจากที่นอน “จ่อยที่พี่รู้จักเป็นคนแบบนั้นรึเปล่า”
“แล้วน้องกล้าไว้ใจได้ยังไง”
“พี่เองตอนที่เจอจ่อยครั้งแรกก็ไว้ใจไม่ใช่หรอ เอ็นดูถึงขนาดซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้ ซื้อโทรศัพท์เครื่องละเกือบครึ่งแสนทำไมไม่คิดว่าจ่อยจะมาปอกลอกพี่บ้างล่ะ ไอ้ที่รับงานมาทำเยอะๆ ก็ไม่ใช่เพราะต้องใช้หนี้บัตรรึไง หรือพี่จะเถียง” พี่แจ็คอึกอักไปพักนึง ส่วนผมเองก็ถูกจ่อยดึงแขนกระตุกๆ อยู่อย่างนั้นเพราะไม่อยากเห็นพวกเราทะเลาะกัน
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพาเข้าบ้านแบบนี้”
“พี่เองยังพาจ่อยไปนอนถึงในห้องได้เลย”
“จิม!!”
“ไม่พอใจอะไรก็ขึ้นเสียง เอะอะก็จะเอาให้ตัวเองถูกตลอดทั้งๆ ที่ก็ทำเหมือนๆ กันแต่ทำไมจิมต้องผิดอยู่คนเดียว”
“พี่ทำเพราะพี่รู้จักเค้าแล้ว เชื่อใจเพราะเค้าเป็นเพื่อนน้องเป็นลูกจ้างโย แต่จิมจะพาใครก็ไม่รู้มาอยู่ที่บ้านไม่ได้ อย่างน้อยน้องก็น่าจะบอกพี่ ขอความเห็นพี่ก่อน ไม่ใช่มาทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ ถ้าวันนึงคนที่จับได้ไม่ใช่พี่ แต่เป็นแม่ หรือคนข้างบ้านที่เจอว่ามีใครก็ไม่รู้มาเดินเข้าๆ ออกๆจะทำยังไง มันจะไม่ยิ่งเป็นเรืองใหญ่กว่านี้หรอ อยากช่วยเพื่อนก็บอกสิ เอาเหตุผลมาคุยกัน ลำบากแค่ไหนมีทางแก้ยังไงไม่ใช่คิดอะไรเป็นเด็กๆ แบบนี้ จ่อยไม่ใช่ลูกหมาที่น้องคิดจะเก็บมาเลี้ยงก็ขังกรงไว้ แล้วนี่ก็อีกคน เค้าให้อยู่ก็อยู่ ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่คิดจะคัดจะค้านบ้างรึไง ชอบหรอคอยย่องๆ เข้าบ้านคนอื่น สอดแนมว่าใครจะจับได้ไม่ได้ สนุกมากหรอ”
“ผมไม่ได้สนุกนะครับ” จ่อยตอบพี่แจ็คเสียงอ่อย “แต่คุณแจ็คอย่าดุจิมได้มั้ยครับ ผมผิดเอง ผมไม่อยากขัดใจจิมเพราะจิมมีพระคุณกับผม อีกอย่างผมเองก็กินง่ายนอนง่าย...”
“กินง่ายนอนง่ายไม่ได้หมายความว่าจะแอบมานอนบ้านคนอื่นได้นะ!”
“ก่อนที่จิมจะพาจ่อยมาที่นี่พี่รู้มั้ยว่าจ่อยอยู่ที่ไหน” ผมพูดเสียงเรียบเพื่อตัดความหงุดหงิดในตัวพี่แจ็ค และหวังว่าเขาจะฟังคนอื่นมากขึ้น “จ่อยนอนอยู่หน้าเซเว่น กอดกระเป๋าแน่นเพราะกลัวจะโดนคนมากรีดกระเป๋าอีก นั่งมองไอ้ขาวตาละห้อยเพราะมันได้กินอาหารดีๆ ขณะตัวเองไม่มีเงินสักบาท ถ้าจะบอกให้จิมปรึกษาพี่งั้นจิมขอถามกลับ พี่จะยอมช่วยจ่อยหรอ ในเมื่อวันที่จิมบอกพี่ พี่ยังโวยวายที่จิมออกค่าข้าวแค่สี่สิบบาทให้เค้า”
“ฮึก...พอแล้วจิม”
“จิมผิดที่ไว้ใจคนเกินเหตุ จิมก็ไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วไอ้คนหน้าเซเว่นนั่นมันจะนิสัยใจคอเป็นยังไง พี่พูดถูก จิมรู้สึกอย่างเดียวคือถูกชะตาถ้าไม่นับเรื่องความสงสาร แต่ตอนนี้พี่ก็รู้จักจ่อยแล้ว รู้แล้วว่าเค้าเป็นคนยังพี่จะยังไล่เค้าไปอยู่รึเปล่า จิมช่วยคนไร้บ้านทั้งโลกไม่ได้แต่จิมขอไว้คนนึงได้มั้ยพี่ ตอนนี้ไม่ใช่เพราะสงสารแต่เพราะเค้าเป็นเพื่อนจิม เพื่อนของจิม เพื่อนที่คอยรับฟังทุกเรื่องทุกอย่างแทนพี่ เพื่อนที่จิมสามารถปรับทุกข์ด้วยได้ เพื่อนที่กินข้าวกับจิมทุกเย็นเวลาที่พี่กับแม่ไม่อยู่ ให้เพื่อนคนนี้อยู่กับจิมได้มั้ย จิมจะไม่ขออะไรพี่อีกเลย อยากให้จิมทำอะไรจิมก็จะทำ ให้อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนจิมก็จะอ่าน แค่พี่ยอมอนุญาต แค่เรื่องเดียวก็พอ”
“จิม...ฮึก...” จ่อยเข้ามากอดจากผมด้านหลังตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ผมอยากจะหันไปปลอบแต่ก็ยังต้องฟังคำตอบจากปากพี่แจ็คอยู่ ตั้งแต่ผมมีพี่ชายที่ขี้บังคับ คอยบงการทุกเรื่องในชีวิตผม ผมก็ไม่เคยเอ่ยปากถึงความต้องการอะไรในใจอีกเลย เพราะผมรู้ดีและยอมรับกับทุกอย่างรอบตัวที่บีบจนเรากลายเป็นแบบนี้ พี่แจ็คเหนื่อยผมรู้ และความอึดอัดที่อยู่ในใจผมคิดว่าพี่แจ็คก็รับรู้มันได้เหมือนกัน
ไม่มีคำตอบอะไรหลังจากที่ผมรออยู่หลายนาที จ่อยก็ยังคงกอดผมเป็นลูกลิง ส่วนพี่แจ็คที่ยืนดูอยู่เงียบๆ ก็ก้าวออกจากห้องไปทิ้งท้ายไว้แค่สายตาที่ผมเดาเอาเองว่าอยากทำอะไรก็ทำ
“สบายใจได้แล้วนะ”
“ขอโทษนะจิม เพราะเราคนเดียว ฮึก..”
“บ้าหรอ เพราะเราต่างหาก”
“ไม่ๆ เพราะเรา”
“ไม่ก็ไม่ ไม่เถียงด้วยแล้ว” ผมผลักจ่อยลงไปนอนที่เดิม “ไม่ต้องหลบต้องซ่อนใครแล้วนะ ไม่ต้องนั่งอาบน้ำเพราะกลัวใครจะได้ยินเสียงฝักบัวด้วย”
“จิมรู้ด้วยหรอ” เจ้าจ่อยตาโตใส่ผม “แอบดูเราอาบน้ำหรอ”
“แอบที่ไหนกันเล่า แต่คนขี้กลัวอย่างนายถ้ายืนอาบเดี๋ยวใครมาได้ยินเสียงน้ำเราคิดไม่ถูกหรอ”
“กะ...ก็ถูก ตกใจหมดเลย”
“ดีแล้วล่ะ ไม่เปลืองทิชชู่”
“ทิชชู่ก็รู้หรอ?”
“ฮาๆๆ ใครน้า อาบน้ำเสร็จก็เอาทิชชู่ไปซับน้ำที่พื้น เนียนเก่งงง”
“จิมมมมมมม”
“ต่อไปไม่ต้องแล้ว อยากอาบเวลาไหนก็อาบ หิวเมื่อไหร่ก็ออกมากิน อยากเจอกันก็เดินมาหาได้สบายๆ เลย”
“แล้วคุณแจ็ค...”
“เดี๋ยวก็ยอมเองแหละ”
“แล้วถ้าไม่ล่ะ”
“ถ้าไม่หรอ อืม... ลองอ้อนดูมะ เราเคยนะ เวลางอแงใส่พี่แจ็คก็จะยอมๆ หน่อย”
“ก็จิมเป็นน้องชายนี่นา เราเป็นโจร โดนจับส่งตำรวจใส่กุญแจมือด้วย ฮึก...”
“ไม่เอาไม่ร้อง เราขอโทษ เราเอารถพี่แจ็คออกไปใช้แต่ไม่ได้บอกจ่อยก่อนว่าพี่แจ็คอยู่บ้าน ขอโทษนะ” ผมจับมือจ่อยไว้แน่นเพราะเห็นเขาเอามือลูบๆ ถูๆ ส่วนที่เคยโดนล็อกกุญแจ คงเป็นบ่วงในใจไปแล้วแน่ๆ คงจะฝังใจกับเรื่องนี้ไปอีกนาน
“เรากลัว...”
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นเชื่อสิ ช่วงนี้ก็อยู่ห่างๆ พี่แจ็คไว้ก่อน พยายามอย่าไปอยู่ใกล้ให้เค้าหงุดหงิดเข้าใจมั้ย”
“อื้ม”
“นอนได้แล้ว”
“จิมนอนกับเรา” จ่อยขยับหัวตบที่นอนแปะๆ บนที่ว่าง “อย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่กับเราก่อน เรากลัว”
“อื้ม จะอยู่นี่แหละ ไม่ไปไหนเลย หลับตาซะ” ผมเอนตัวลงเท้าแขนกับหมอนลูบหัวตบตูดจนคนตรงหน้าหลับไป
คิดว่าคงไม่มีอะไรที่ผมจะต้องเคลียร์อีก จ่อยเป็นคนแบบไหนเชื่อว่าพี่แจ็คก็น่าจะรู้ดี เขาเป็นคนไม่มีพิษมีภัยและเป็นคนที่จริงใจคนนึง พี่แจ็คดูคนเก่งกว่าผมมาก เชื่อว่าคงไม่คาใจอะไรกับจ่อยอีก

[จ่อย]

   ผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าจิมไม่อยู่แล้ว ทั้งที่หลับๆ ตื่นๆ แต่ผมก็ไม่มีกระจิตกระใจจะลุกขึ้นมาทำอะไรเลย วันนี้มันเลวร้ายกว่าทั้งชีวิตที่ผมเคยเจอ คิดว่านอนข้างถนนจะแย่ที่สุดแล้วแต่เปล่า มันทำให้ผมรู้ว่าเราคาดเดาอะไรในอนาคตไม่ได้ วันนี้ว่าร้าย พรุ่งนี้มันอาจจะร้ายกว่า
ตึ่ง ตึ่ง
   JIMMA_: ตื่นยัง
   JIMMA_: ล้างหน้าล้างตามากินข้าวเร็ว
หนุ่มสกลคนหล่อ : ตื่นแล้ว
หนุ่มสกลคนหล่อ : ไม่มีใครอยู่บ้านหรอ
หนุ่มสกลคนหล่อ : เรากินที่ห้องก็ได้
   JIMMA_: มาเถอะ
   JIMMA_: จะได้ทำความรู้จักกับทุกคน
   JIMMA_: ถึงจะรู้จักอยู่แล้วก็เถอะ
   สิ้นประโยคนี้ผมรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร จากนี้ไปผมคงต้องเผชิญหน้ากับคนในบ้านที่ไม่ใช่ในฐานะแขกผู้มาเยือนเหมือนที่คุณแจ็คเคยพามา แต่เป็นฐานะอะไรผมก็เริ่มไม่แน่ใจ

คุณแจ็คยังคงบึ้งตึงใส่ผมและประชดประชันทุกครั้งที่ผมตอบคำถามอะไรออกไปจนผมได้แต่ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ
คุณแม่ของจิมใจดีกับผมมาก ตักอาหารให้ผมทานหลายอย่างแล้วยังเอ่ยปากขอโทษแทนคุณแจ็คที่ทำเกินกว่าเหตุแต่ผมก็ปฏิเสธคำขอโทษนั้น ถึงจะไม่ได้ขโมยอะไรแต่ยังไงคนผิดก็คือผม
“ให้เพื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านมั้ยลูก นอนห้องเก็บของแม่ว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ก็ดีสิฮะ ให้นอนห้องเดียวกันกับจิมก็ได้”
“ไม่ได้!” คุณแจ็คขัดขึ้นเสียงดัง
“ทำไมล่ะ ห้องก็ห้องจิม จิมไม่มีสิทธิ์อนุญาตหรือไงW
“จิม ไม่เอาไม่เถียงคุณแจ็ค”
“น้องต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสำหรับเทอมหน้า แล้วไหนจะงานที่ต้องทำส่งอาจารย์อีก ถ้าอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”
“นั่นหรอเหตุผลของพี่น่ะ ยังไม่เปิดเทอมด้วยซ้ำคิดอะไรไปไกล”
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ”
“ผมนอนห้องเดิมก็ได้ครับ จะไม่ไปกวนจิมเลยคุณแจ็คทานต่อเถอะครับ ถ้าได้เงินเดือนจากพี่โยเมื่อไหร่ผมจะย้ายออกไปทันที”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ อีกแค่ไม่กี่อาทิตย์ ทนๆ เอาหน่อยแล้วกันนะ” คุณแม่จิมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย คิดว่าน่าจะเพราะลูกชายทะเลาะกัน ซึ่งแน่นอนว่าต้นเหตุมาจากผม
“เรามีห้องว่างอีกห้องนึงนี่ครับแม่ แค่เปลี่ยนหลอดไฟกับเตียงแทนอันเก่า ก็น่าจะอยู่ได้แล้วนะครับ” จิมพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางคุณแจ็ค “ช่วยกัน ทำความสะอาด นิดหน่อยก็พอ”
“ชิ” คุณแจ็ครวบช้อนแล้วลุกออกจากโต๊ะไปพร้อมทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจไว้อีก “อยากทำอะไรก็เชิญ”
“ผมทำแน่”
“จิมพอเถอะ เราขอ” ผมรีบดึงจิมให้หันกลับมาเพราะเห็นแล้วว่าเขาถลึงตาใส่พี่ชายอย่างไม่เกรงกลัว
“ที่เหลือจิมก็จัดการแล้วกันนะลูก แม่ไม่ว่า แต่อย่าดื้อดึงกับพี่เค้าให้มากนักยังไงเราก็เป็นน้อง”
“ครับ” ผมเห็นจิมหน้ายู่แต่ก็ตอบรับแต่โดยดี
“เราอยู่ห้องเก็บของตามเดิมก็ได้นะจิม” ผมพูดหลังจากที่คุณแม่ลุกไปแล้ว
“ได้ไงล่ะ ปวดหลังตายเลย เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าที่นอนมันแฟบขนาดนี้ เรานอนด้วยไม่ถึงชั่วโมงหลังแข็งจนต้องลุกออกมา ทนอยู่ไปได้ยังหะจ่อยทำไมไม่บอกเรา”
“เราอยู่ได้ ที่นี่สบายกว่าบ้านเราอีก”
“ไม่เอาอะไม่ให้อยู่” จิมเคลียร์จานบนโต๊ะเตรียมจะล้าง “เราจะรีบให้ช่างมาจัดการให้เร็วที่สุดนะ”
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะถึงพูดไปสุดท้ายก็ต้องตามใจจิมอยู่ดี เราช่วยกันล้างจานจนเสร็จก็มาดูทีวีที่ห้องนั่งเล่นกันต่อ เป็นครั้งแรกที่ผมเดินอยู่ในบ้านโดยไม่ต้องกลัว ทุกคนรู้ว่าผมพักที่ไหนและสามารถเดินกลับไปได้โดยไม่ต้องหลบซ่อน
“ง่วงแล้วอะ” จิมหาวประกอบคำพูดจนดูน่าเชื่อถือ
“แต่เราเพิ่งตื่นเอง” ผมก็ตอบออกไปตรงๆ ทั้งอย่างนั้น
“จะนั่งดูทีวีไปก่อนมั้ยล่ะ แต่เราไม่ไหวแล้วนะ วันนี้ก็วุ่นวายทั้งวันเลย”
“งั้นก็ช่วยกันปิดบ้านจิมจะได้ไปนอน เราไปเล่นเกมส์ในห้องก็ได้”
“เล่นเกมส์? เดี๋ยวหัดเล่นเกมส์กับเค้าเป็นด้วยหรอ” จิมทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“เป็นสิ พี่แม๊กสอน ตอนนี้ติดมากเลยแต่วันนี้ก็ไม่ได้เล่นทั้งวัน เพิ่งมาจับโทรศัพท์ตอนจิมไลน์มานั่นแหละ”
“ก็ดี จะได้คลายเครียด แต่ก็อย่าติดมากนะ เราไม่ชอบคนที่วันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่สนใจโทรศัพท์ จ่อยต้องสนใจเรามากกว่ารู้มั้ย”
“รู้แล้ว ถ้าอยู่กับจิมเราจะไม่เล่นโทรศัพท์สัญญาเลย”

นี่เป็นครั้งที่ผมกล้าเปิดไฟนับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ผมกลัวมาตลอดว่าความสว่างจะทำให้คนภายนอกสงสัย แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ทุกวันผมต้องเสียวสันหลังตลอดว่าเวลาได้ยินเสียงอะไรมาใกล้ หรือกังวลอยู่ตลอดว่าจะตื่นทันมั้ยเพราะไม่กล้าตั้งนาฬิกาปลุก มันทำให้ผมรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
สะดุ้งตัวโยนหลังจากที่ฝากสมาธิไว้ในเกมส์ แต่โอเค ผมบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัว เปิดได้ ไม่ต้องกลัว ทุกคนรู้หมดแล้ว ไม่ต้องกลัว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เอ่อ...” ต้องไม่ใช่จิมแน่ผมรู้สึกอย่างนั้น
“ทำอะไรอยู่เมื่อไหร่จะเปิด!” เสียงคุณแจ็คตวาดดังเข้ามาจนผมถอยครูดออกจากหน้าประตู
เสียงเคาะยังดังถี่พร้อมเสียงโวยวายที่เข้ามาเป็นระยะทำให้ผมตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก ผมไม่ชอบแบบนี้ ไม่ชอบคนดุ ไม่ชอบคนตะคอก ยิ่งเป็นคุณแจ็คผมยิ่งกลัว
“รู้นะว่าอยู่ในนั้น จะเปิดดีๆ หรือจะให้พังเข้าไป” ผมยืนพิงอยู่หน้าตู้เก็บของเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ถ้าเปิดให้เข้ามาคุณเขาจะมาต่อยผมมั้ย จะหิ้วผมโยนออกไปจากบ้านรึเปล่า
“ฮือ...จิม...”

(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 8
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 28-03-2019 22:13:27
[แจ็ค]


ผมรู้สึกคาใจเลยลงมาหาเจ้าตัวต้นเรื่องที่ห้องเก็บของ อยากถามและอยากฟังเขาตอบด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีจิมมาคอยปกป้อง แต่ไม่ว่าจะเคาะยังไงคนข้างในก็ไม่ยอมเปิด ทั้งๆ ที่ผมรู้ว่าเขาอยู่ในนั้น
ลูกบิดในมือถูกกระแทกแรงด้วยข้อมือผมเอง มันเจ็บร้าวไปหมดแต่ก็น่าโมโห กุญแจในมือผมมันไขไม่ได้ ต้องเป็นเพราะเจ้าจิมมาแอบเปลี่ยนไว้แน่ๆ ครั้งที่แล้วก็ทีนึง
ทนไม่ไหวจึงออกแรงยันเข้าไป 2-3ที แล้วก็ได้ผล ประตูเก่าๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานปกติก็ฝืดอยู่แล้วถึงจะเปลี่ยนลูกบิดใหม่แต่ยังไงบานไม้ก็อันเดิม กระแทกรอยทะลุของประตูโทรมๆ เอื้อมบิดปลดล็อคก็ทำให้ผมได้เข้ามาอยู่ด้านใน
“นั่งทำอะไรตรงนั้น” ภาพแรกที่ผมเห็นคือก้อนเล็กๆ นั่งขดตัวกอดเข่าอยู่ข้างซอกตู้ ทำไมผมต้องมาเห็นเจ้าเด็กนี่อยู่ข้างซอกตู้ทุกทีให้ตายสิ
“ฮืออ..ฮึก..”
“ร้องไห้หรอ ร้องไห้ทำไม” ผมแค่ยกมือแตะที่ไหล่เจ้าก้อนนี่ถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“อย่าทำผม อย่าทำอะไรผมเลยนะครับคุณแจ็ค ฮึก..ผมขอโทษ ฮึก”
ผมชักมือกลับแทบจะทันทีที่สิ้นเสียงจ่อย ร่างผอมขยับหนีการสัมผัสจากผมยกมือท่วมหัวเพื่อขอร้องไม่ให้เข้าไปใกล้
นี่มันอะไรกัน...
“จ่อย...” ผมรู้ตัวว่าน้ำเสียงแผ่วเบากว่าตอนแรกมาก ผมกลายเป็นคนน่ากลัวสำหรับเขาไปแล้วและมันทำให้ผมกลัวตัวเองเหมือนกัน “เงยหน้ามาคุยกับฉันก่อน”
“ฮึก....”
“ไม่ร้องๆ มานี่” ผมดึงตัวอีกคนเข้ามากอด ร่างเล็กดูจะแข็งขืนในตอนแรกแต่ก็ยอมให้ผมจับเพราะความสั่นกลัวไม่ใช่ความเต็มใจเหมือนทุกครั้ง “ไม่ร้องๆ คุยกันดีๆ”
“คุณแจ็ค ฮึก.. คุยไม่ดี”
“ดีแล้วๆ ถ้าคุยไม่ดีให้ตีเลยอะ โอเคมั้ย”
“ฮึก...ไม่โอเค” เจ้าตัวเล็กส่ายหน้าบนอกผม “ผมไม่ตีคุณแจ็ค”
“ตีได้ อนุญาต” มือก็ลูบหัวและกดจูบลงไปบนกลุ่มผมอีกทีให้เจ้าตัวเล็กเลิกสั่น “แต่ไม่ให้ร้องไห้แล้วนะ ร้องมาทั้งวันแล้วไม่เหนื่อยรึไง”
เหมือนจะได้ผลเพราะเจ้าจ่อยยกมือขึ้นปาดน้ำตาและสูดน้ำมูกฟอดใหญ่แถมยังซบหน้าลงบนอกผมถูคราบเปียกปอนกับเสื้ออีก ไอ้เด็กบ้านี่
“เลยลืมเลยว่าจะมาคุยเรื่องอะไร” ผมยกมือลูบแก้มนิ่มแล้วบีบปากบวมไปหนึ่งที
“มาดุผม” เสียงอู้อี้ตอบพร้อมเบะขึ้นอีกรอบ
“ห้ามร้องแล้วนะตกลงกันแล้ว”
“ฮึบ...ป๋มไม่ได้จะร้อง” มองหน้าที่พยายามกลั้นแล้วก็อดขำไม่ได้
“โอเค ไม่ร้องก็ไม่ร้อง แต่ทำไมห้องมันร้อนขนาดนี้เนี่ย”
“คุณแจ็คร้อนหรอครับ ออกไปอยู่ข้างนอกดีกว่าครับห้องนี้มันแคบแล้วก็อบอ้าวด้วย ไปครับ”
“นายอยู่เข้าไปได้ยังไงจ่อย พัดลมก็เล็กนิดเดียวแอร์ก็ไม่มี หน้าต่างก็ไม่เปิด”
“ผม...” เจ้าจ่อยไม่ตอบแต่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ไปแต่งตัวดีๆ ไป อาบน้ำรึยัง”
“อาบแล้วครับ แต่คุณแจ็คจะให้ผมแต่งตัวไปไหน ค...คุณแจ็คจะให้ผมออกไปอยู่ที่อื่น...หรอครับ”
“แล้วนายจะนอนยังไง ร้อนก็ร้อน”
“ผมอยู่ได้ แต่...ผมยังไปที่อื่นไม่ได้” เจ้าจ่อยยังทำหน้าหงอยเหมือนเดิม
“ไม่ได้จะพาไปไหนหรอกน่า แต่ถ้านายอยากอยู่ห้องนี้ต่อก็เชิญ ประตูห้องก็พังแล้วด้วย ใครจะเปิดเข้าเปิดออกก็ง่าย ดึกๆ มาไม่รู้จะมีใครมานั่งอยู่ข้างที่นอนรึเปล่า แต่นายเข้ากับคนแปลกหน้าง่ายอยู่แล้วนี่ งั้นก็อยู่คนเดียวไปนะ ฉันไปล่ะ”
ผมตั้งท่าจะลุกแต่โดนคว้าไว้ทั้งตัวจนเซ “จะชวนผมไปที่อื่นใช่มั้ยครับ พอดีเลยผมก็ยังไม่ค่อยง่วง แปบนะครับหาเสื้อคลุมก่อน” เฮ้อ ซื่อบื้อ หลอกง่ายแบบนี้นี่นะที่ผมคิดว่าเขาจะมาปล้นเซฟ เฮอะ...

เราเดินเล่นกันอยู่รอบๆ บ้านจนมาถึงม้านั่งที่ผมชอบออกมาสูดอากาศกลางดึกบ่อยๆ ห้องนั้นมันอุดอู้และผมก็อยากให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเลยลองใช้วิธีนี้ ซึ่งมันก็ดีนะ ผมเห็นจ่อยแหงนมองนั่นนี่ไปเรื่อยแถมนั่งคุยกับหอยทากอยู่หลายนาทีจนผมต้องลากตัวออกมาจากจินตนาการเด็ก
“หายกลัวฉันรึยัง” ผมถามหลังจากที่ดึงมือจ่อยมานั่งข้างๆ
“ผม...ไม่รู้ครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณแจ็คจะดุผมขึ้นมาอีกเมื่อไหร่”
“กลัวที่ฉันดุแค่นั้นหรอ”
“ผมไม่ชอบเวลามีคนมาตวาดใส่ครับ การตะโกนตะคอกมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย มีแต่โหมอารมณ์ปะทุขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นก็จะไม่ฟังใคร ไม่สนใจคนรอบข้างเพราะดับความโกรธในใจของตัวเองไม่ได้แล้ว”
“แต่นายก็ทำผิด”
“ครับ ผมผิด ผมรู้ตัวดี ผมไม่ควรเข้าไปวุ่นวายกับข้าวของในบ้าน แต่ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรไม่ดีเลยนะครับ”
“แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน ทำไมกับจิมนายถึงยอมพูดทุกอย่างแต่กับฉันนายเลือกที่จะปิดปากเงียบ”
“...”
“ตอบฉันมาสิ”
“...เพราะจิมเค้ารับฟังผม” เป็นผมที่เงียบกลับไปบ้าง “จิมฟังผมและพร้อมที่จะเชื่อ พร้อมที่จะให้ผมอธิบายและพิสูจน์ตัวเอง แต่คุณแจ็ค...”
“ฉันดูร้ายในสายตานายมากสินะ” ถึงตอนนี้ผมแทบไม่อยากจะพูดอะไรต่อ ผมคงทำให้จ่อยรู้สึกกับผมเหมือนที่น้องชายแท้ๆ รู้สึกไปแล้ว
“คุณแจ็คจะไม่เชื่อใจผมก็ไม่ผิดหรอกครับ ทั้งปิดบังโกหกหลายอย่างแต่ยังกล้าพูดคุยเข้าหาคุณแจ็คอย่างสนิทสนม ผมเองก็น่าไม่อายเหมือนกัน”
“โกรธฉันมั้ยจ่อย”
“ผมกลัวมากกว่าครับ กลัวไปหมดทุกอย่าง” อยู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็ทิ้งหัวลงบนไหล่ผม “กลัวว่าคุณแจ็คจะเกลียด กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอคุณแจ็คอีก คุณแจ็คจะไม่มาที่ร้านไม่ทักทาย ไม่มองหน้าผม เราจะไม่ได้พูดคุยกันดีๆ กลัวว่าผมต้องกลับบ้านไปพร้อมความรู้สึกเจ็บปวดกับทุกคนที่นี่ หรือไม่... ผมอาจจะอยู่ในคุกไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน”
“ขอโทษนะ” ผมส่งมือขึ้นลูบต้นแขนไปมาเบาๆ จ่อยขยับขึ้นเพื่อที่จะนั่งให้ถนัดโดยทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ผม “แต่ฉันก็กลัวไม่ต่างจากนายหรอก”
“ผมไม่ได้ตวาดใส่คุณแจ็คสักหน่อยจะกลัวอะไรครับ”
“ฉันไม่ได้กลัวที่นายดุ อย่างนายน่ะหรอจะไปตะคอกใส่ใครได้” ผมดีดหน้าผากเจ้าตัวซื่อบื้อไปหนึ่งที “ฉันกลัวว่าจะเสียความเชื่อมั่นในตัวนายไปต่างหาก กลัวว่าถ้านายทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง นายอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน หรือกลับพร้อมความรู้สึกที่เจ็บปวด แต่คนที่อยู่ก็คงรู้สึกไม่จากต่างนายหรอก”
“แต่คนแจ็คก็เลือกที่จะส่งผมให้ตำรวจ”
“เพราะฉันอยากให้เค้าช่วยยืนยันกับฉันว่านายไม่ผิด”
“คำพูดของผมมันไม่เพียงพอหรอครับคุณแจ็ค”
“ก็คงพอ” ผมโอบคนตัวเล็กมากอดไว้แน่น “แต่ฉันคงไม่พร้อมจะฟังเหมือนที่นายบอก นายพูดไม่ผิดสักนิด ถ้าฉันยืนหยัดที่จะเชื่อนายได้สักครึ่งนึงของจิมก็คงจะดี”
“ผมรักคุณแจ็คนะครับ ผมไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก ไม่มีทางทำให้จิมผิดหวังในตัวผมด้วย ผมกล้าสาบานเลย”
“อย่ามาบอกรักใครมั่วๆ แบบนี้สิ”
“ก็ผมรักคุณแจ็คจริงๆ นี่ครับ รักๆๆๆๆๆๆๆๆ ร๊ากกกกกกกก”
“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”

TBC
#ห้องลับบักจ่อย
[/b]
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 10
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 03-04-2019 20:03:05
 




10
คำว่ารักที่เธอเขียนลงใจฉัน...

[แจ็ค]   
คุณคิดไหมว่าทำไมผมถึงต้องเขินกับคำบอกรักของเด็กซื่อๆ คนนึง
ก็เพราะว่าเขาซื่อนะสิ มันถึงได้ดูจริงใจเหลือเกิน
ห้องนอนที่มืดสนิทผมกำลังกอดผู้ชายตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘คนพูดอาจไม่คิดอะไร แต่ฝังลึกในใจคนฟัง’ ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่ ใจของผมยังไม่เลิกสั่นและปากของผมยังไม่สามารถหยุดยิ้มได้แต่เจ้าตัวที่ทำให้ความรู้สึกของผมวุ่นวายขนาดนี้กำลังกรนอยู่ครอกๆ
นึกถึงบทสนทนาที่ทำให้เรามาอยู่บนเตียงแล้วยังแอบขำ
“คุณแจ็คไปนอนเป็นเพื่อนผมเลยครับ รับผิดชอบเลยด้วย”
“เรื่องอะไรฉันต้องไปนอนไอ้ห้องร้อนๆ นั่นด้วยล่ะ”
“ก็คุณแจ็คทำประตูพัง”
“ถ้านายเปิดแต่แรกมันก็ไม่พังหรอก”
“ไม่รู้แหละ สุดท้ายคนลงมือก็คือคุณแจ็คครับ มากับผมซะดีๆ”
“ถ้าต้องนอนห้องนาย ให้นายขึ้นไปนอนห้องฉันไม่ดีกว่าหรอ”
“เออ...ดีกว่าจริงด้วยครับ ไปสิผมง่วงแล้ว”
ไอ้เด็กบ๊องนี่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่
จากที่เร่งเคลียร์งานมาทั้งอาทิตย์คิดว่าคงถึงเวลาได้พาพวกตัวป่วนไปเที่ยวสักที ถึงรู้ว่าปลายทางที่จะไปคือทะเลแต่ผมก็อยากจะพาไปให้พ้นจากพัทยาหน่อย แม้เวลาจะมีไม่มากแต่ก็อยากจะพาไปที่หาดสวยๆ หรือไม่ก็ตามรีวิวจากนักท่องเที่ยว ผมคงต้องวางแผนใหม่ให้ดีกว่านี้
“คุณแจ็ค...Zzz”
“หืม? ละเมอ?” ผมก้มมองใบหน้าที่อยู่แนบอกแต่ผมเผ้าก็บังจนไม่เห็นอะไร
“งื้อออ งืมมม” คนหลับยกแขนเอาข้อมือมาถูๆ ดีดตัวจนต้องคว้าไว้แล้วจับแยกออก
“เป็นอะไร ฝันหรอ” ผมตบๆ ที่หน้าเบาๆ สะกิดให้อีกคนตื่น
“ฮืออ คุณแจ็ค บอกคุณตำรวจว่าผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้...Zzz”
“...” ผมทำให้ความบริสุทธิ์ของเด็กคนนึงแปดเปื้อนไปแล้วสิ การที่ต้องใส่กุญแจมือนั่งอยู่ในห้องสอบสวน คงกลายเป็นอดีตที่เลวร้ายของเด็กผู้ชายคนนี้ไปแล้ว “ขอโทษนะ” ผมกดจูบที่ข้อมือเล็กเบาๆ จับมันไว้ไม่อยากจะปล่อย เป็นความใจร้อนของผมเอง ข้อเสียที่หลายคนพยายามเตือนแต่ผมไม่เคยสนใจจนไม่รู้เลยว่าทำลายความรู้สึกของใครไปบ้าง อย่างน้อยก็น้องชายผมคนหนึ่งล่ะ
จ่อยสงบลงและคิดว่าคงหลับสนิทไปแล้ว ผมเองคิดอะไรเพลินๆ ก็ชักจะฝืนร่างกายไม่ไหวเหมือนกัน
 “ผันดีเจ้าเบิ้ม” ผมกดจูบที่หน้าผากอยู่นานนับนาทีก่อนจะผละออกแต่ที่น่าตกใจคือ...
“ฝันดีครับ” เขาแหงนหน้าขึ้นมาจุ๊บปลายคางผม!
“นายยังไม่หลับหรอ”
“คุณแจ็คอย่ากวนนนน...Zzz”
“อ่าว ผิดอีกกู”

[จ่อย]

   เป็นอีกครั้งที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มๆ ห้องของคุณแจ็คยังคงมืดสนิทเหมือนเดิมจนผมต้องคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา
ตีห้าสี่สิบเจ็ดนาทีผมยกแขนขึ้นสูงบิดขี้เกียจสลัดความง่วงเตรียมที่จะกลับไปยังห้องของตัวเอง แม้จะเสียดายความสบายภายใต้ผ้าห่มผืนหนาแต่อีกสักพักผมก็ต้องไปทำงานแล้ว
“โอ๊ะ! คุณแจ็ค?” ผมสะบัดผ้าห่มออกเตรียมจะลุกแต่ก็ถูกคุณแจ็คล็อกเข้าที่เอว
“จะไปไหน” เสียงงัวเงียกำลังถามผมพร้อมกับมือที่ไม่ค่อยมีแรงพยายามดึงตัวผมกลับไปที่เดิม
“ผมต้องไปทำงานแล้วครับ” ขยับตัวเข้าไปหาคุณแจ็คเพราะรู้ดีว่า เวลางัวเงียร่างกายจะไม่ค่อยมีแรงมากเท่าไหร่ “คุณแจ็คมีอะไรจะใช้ผมรึเปล่า”
“มี” เขาใช้ขาก่ายแล้วรวบตัวผมไว้ในผ้าห่มอีกครั้ง “นอนเป็นเพื่อนหน่อย”
“ไม่ได้ครับคุณแจ็ค ต้องไปทำงานแล้ว”
“ทำงานกี่โมง”
“เก้าโมงครับ”
“แล้วตอนนี้กี่โมง” คุณแจ็คหลี่ตาขึ้นควานหาโทรศัพท์ ผมเลยรีบตอบ
“จะหกโมงแล้วครับ”
“โห อีกตั้งสองสามชั่วโมง จะรีบไปไหน” อาใช่ ผมไม่จำเป็นต้องหลบๆ แอบๆ ก่อนใครจะตื่นมาเห็นแล้วนี่ “นอนก่อน เดี๋ยวนาฬิกาฉันก็ปลุกเองแหละ แค่หน้าปากซอยทำอย่างกับใช้เวลาเดินทางเยอะ”
จริงอย่างที่คุณแจ็คพูด ผมเดินจากบ้านไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ คงเพราะผมตื่นเวลานี้ทุกวันร่างกายมันเลยจำจนเป็นเรื่องปกติ
“อย่าขยับบ่อยนักสิ ฉันจะนอน”
“ก็ผมกลัวเบียดคุณแจ็คนี่ครับ” ที่นอนนี้ออกจะกว้าง ตอนผมนอนกับจิมที่ห้องเก็บของที่นอนแคบๆ ผมยังไม่เห็นจะตัวติดกันขนาดนี้เลย “เดี๋ยวผมถอยให้คุณแจ็คจะได้นอนสบายๆ”
“บอกให้นอนเป็นเพื่อนไง ถ้าแยกออกไปจะเรียกว่านอนเป็นเพื่อนหรอ”
“คุณแจ็คขี้กลัวหรอครับ”
“หะ? อ่า อื้ม นิดหน่อย” คุณเขาดูลังเลอึกอักเหมือนไม่กล้าตอบผมเลขยับเข้าไปใกล้
“โอ๋ ไม่ต้องกลัวนะครับ” ผมถือวิสาสะลูบที่ผมคุณแจ็คเบาๆ แล้วกดเข้ามาแนบอก “ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแจ็คเอง มีเจ้าที่เจ้าทางคอยเฝ้าไม่ต้องห่วงนะครับ”
สัมผัสได้ว่าคุณแจ็คตัวสั่น ไม่เห็นหน้าคุณเขาหรอกแต่คิดว่าคงเพราะกลัวจริงๆ สั่นจนไหล่ยกหน้าท้องกระเพื่อม ท่อนแขนก็กอดรัดไว้แทบหายใจไม่ออกจนผมต้องยกเจ้าที่เจ้าทางขึ้นมาปลอบให้คุณแจ็คสบายใจ
“อยู่ๆ กลัวอะไรขึ้นมาครับ นอนคนเดียวมาได้ตั้งนาน” คุณแจ็คเงยหน้าขึ้นมา ผมรู้สึกว่าหน้าแดงๆ ด้วย
“ไม่รู้สิ ฮ่าๆๆ” คุณหัวเราะลั่นแถมยังดันตัวผมออกไปนอนหงายเอามือกุมท้องแล้วเสียงไม่หยุด
“หลอกผมหรอ”
“ฉันไปหลอกอะไรนาย” เขาหันมาพูดกับผม ไอ้หน้าที่แดงๆ เพราะคงจะกลั้นขำนั่นมันน่าหงุดหงิดจริงๆ “อยู่ๆ นายก็ลากไปโอ๋เหมือนเด็ก ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักนิด”
“ก็คุณแจ็ค... เฮ้อ ไม่อยู่ด้วยแล้วครับ เชอะ โอ้ยคุณแจ็ค!” ผมฟึดฟัดจะลุกออกมาแต่โดนแรงเหวี่ยงทีเดียวก็ล้มหน้าคว่ำกับที่นอนตามเดิม “เล่นอะไรครับเนี่ย”
“อย่าเพิ่งโมโหสิ” เขาเอามาผ้าห่มมาคลุมตัวผมไว้ “นอนก่อน อีกตั้งหลายชั่วโมง ไม่แกล้งแล้วสัญญา”
“แน่ใจนะครับ”
“แน่สิ นอนๆ กอดกันๆ” คุณแจ็คขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง เอื้อมมือมากอดพร้อมกับตบที่หลังผมแปะๆ
“กอดได้แต่ห้ามจับเอวนะครับ จั๊กจี๋” ผมบอกคุณแจ็คก่อนจะชี้นิ้วย้ำอย่างจริงจังอีกครั้ง “ห้ามหมายความว่าไม่ให้ทำนะครับ ไม่ใช่ยิ่งรู้ยิ่งแกล้งนะ”
“รู้แล้ว ไม่แกล้งแล้วไง นอนเถอะ ง่วงจะตายแล้วเนี่ย” ผมเห็นคุณแจ็คหลับตาไปแล้วแต่ก็ลืมตามาถามผมใหม่ “หนาวมั้ย”
“กอดแน่นขนาดนี้คงหนาวหรอกครับ ร้อนกว่าห้องเก็บของอีก” นี่ผมพูดจากใจเลยนะ รู้สึกเหมือนในร่างกายมันร้อนๆ แปลกๆ ยิ่งเป็นคุณแจ็คที่มีรังสีความน่ากลัวทำให้ใจสั่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ก็ยิ่งเพิ่มความร้อนในตัวให้สูงปรี้ดขึ้นอีก “แต่จริงๆ เวลาอยู่ใกล้คุณแจ็คก็รู้สึกหน้าร้อนๆ ทุกทีเลยครับ เคยมีคนบอกคุณแจ็คมั้ย”
“นายรู้สึกแบบนั้นหรอ”
“ใช่ครับ ยิ่งใกล้มากๆ ก็ยิ่งร้อนมากๆ”
“บ่อยมั้ย”
“ทุกครั้งเลยมั้งครับ บางทีก็ไม่ได้สังเกตแต่คิดว่าน่าจะ”
“แล้วถ้าใกล้แบบนี้ล่ะ” มือหนาจับที่ปลายคางของผมให้แหงนเชิดขึ้น คุณแจ็คยกตัวเองขึ้นจากหมอนแล้วก้มหน้ามาจนจะถึงผม “รู้สึกยังไง”
“...”
“ตอบสิ” เขาก้มต่ำลงมาจนปลายจมูกเราชิดกัน นั่นทำให้ผมยิ่งไม่กล้าขยับปาก
“...”
“จะให้ฉันล้วงเอาคำตอบในปากนายมั้ย”
ผมเม้มปากแน่นไม่เปิดช่องว่างให้คุณแจ็คได้ทำอย่างนั้น จริงๆ ตอบออกไปก็จบแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงขยับโต้ตอบไม่ได้เลย
“ไว้ฉันจะรอฟังคำตอบนะ” ริมฝีปากเขากดจูบลงที่ปลายจมูกผมก่อนจะกลับไปนอนบนหมอนตามเดิม อ้อมกอดที่กระชับเราทั้งคู่อยู่ตอนนี้บอกเลยว่าผมอยากหนีออกไปให้ไกลที่สุดเพื่อที่คุณแจ็คจะได้ไม่ต้องรับรู้แรงสั่นสะเทือนของหัวใจที่กำลังเต้นแรง

จิมขี่จักรยานออกมาส่งผมที่ร้าน ตอนที่เขาเดินมาหาที่ห้องก็โวยวายใหญ่ ว่าทำไมประตูทะลุแบบนี้เล่นเอาช่วงเวลาอาหารเช้าเงียบกริบแบบกลืนข้าวกันไม่ลงเลยทีเดียว แต่มารู้ทีหลังว่าที่จิมเล่นใหญ่ขนาดนั้นเพราะจะได้หาเรื่องให้คุณแจ็คจ่ายค่าซ่อมไฟกับซื้อเตียงใหม่ชั้นบนให้ผม ซึ่งมันก็ได้ผล
มาถึงตอนนี้พี่แม๊กไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรจากผมอีก แถมยังชงเครื่องดื่มในร้านได้อร่อยกว่าทั้งที่สูตรเดียวกัน ผมว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ แต่พอไปถามพี่เขาก็บอกว่า ‘มันอยู่ที่หน้าตาไอ้น้อง’ ผมเลยไม่กล้าไปเถียงอะไรเขา
วันนี้คุณแจ็คมาที่ร้านพร้อมกับพี่บอม (เขาไม่ยอมให้ผมเรียกคุณ) ผมเห็นทั้งสองหน้าเครียดเลยไม่ได้เข้าไปรบกวน พอคุณแจ็คหันมาจังหวะเดียวกับที่ผมกำลังมองไปก็เลยได้แต่ผงกหัวแล้วยิ้มให้แค่นั้น
“ระวังไอ้ลุงนั่นไว้หน่อยก็ดีนะ” พี่แม๊กพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปเสิร์ฟกาแฟที่โต๊ะสอง ก็รู้นะว่าพี่เขาหมายถึงใคร เพราะทุกครั้งที่สองคนนี้เจอกันผมไม่เคยเห็นเขาญาติดีกันสักครั้ง บางทีก็ดูออกว่าเขาประชดประชันกันด้วยคำพูด แต่พอพี่โยบอกว่าอย่าไปสนใจ เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันจะเขม่นกันก็ไม่แปลก ผมถึงเริ่มคิดได้ว่า คุณแจ็คอาจจะงอนที่พี่แม๊กหล่อกว่า แต่ครั้งนี้มาบอกให้ผมระวังผมถึงได้สงสัย
“ทำไมต้องระวังคุณแจ็คด้วยล่ะครับ หรือว่าพี่รู้หรอ?”
“รู้อะไร”
“ก็คุณแจ็คไงครับ พี่รู้หรอว่าคุณเค้า...ทำกับผม...” ผมถามอย่างทึ่งๆ
“ทำอะไร!? อย่าบอกนะว่าหมอนั่นทำ...ทำนายไปแล้วน่ะ”
“พี่แม๊ก...” พี่เขารู้จริงด้วย
“นี่ บอกมาให้หมด” พี่แม๊กยังคงคาดคั้น
“ผม... ผมไม่อยากพูดถึงมันอีกครับ” ถึงตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าหงุด “ผมไม่อยากนึกถึงมันอีก”
“หนอยแนะไอ้หมอนี่! อย่าไปยอมนะ พี่จะไปจัดการมันเอง” พี่แม๊กเหวี่ยงขวดนมลงถังน้ำแข็ง ถกแขนเสื้อขึ้นอย่างกะพวกนักเลงหัวไม้ จนผมต้องดึงไว้แต่ก็นั่นแหละ ต้านแรงอะไรไม่อยู่เลย
“พี่แม๊กใจเย็นก่อน” ผมวิ่งตามหลังไปติดๆ จนถึงโต๊ะคุณแจ็ค
“นี่ลุง!” เสียงตบโต๊ะดังป้าบ! จนทุกคนสะดุ้ง “กล้าดียังไงทำกับจ่อยแบบนี้หะ เห็นเด็กมันไม่มีทางสู้เลยคิดจะทำยังไงกับมันก็ได้งั้นดิ๊”
“ฉันไปทำอะไร” คุณแจ็คยังคงนิ่ง แต่ผมล่ะเชื่อเขาเลย พี่แม๊กรู้ได้ไงทั้งที่ผมยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังด้วยซ้ำ “ออกไปได้แล้วอย่ามาเสียมารยาทแถวนี้”
“แม๊ก คนมองทั้งร้านแล้ว มีอะไรก็ค่อย ๆ คุย” พี่โยรีบวิ่งออกจากหลังร้านมาห้าม
“แต่ไอ้ลุงนี่มัน... มัน...”
“มันอะไร มีอะไรก็รีบพูด”
“มันอาปาจะเฮ้ เฮ้ จ่อยนะพี่”
ผมยืนงงกับศัพท์ใหม่ของพี่แม๊ก ตอนแรกก็คิดว่าคนอื่นจะเข้าใจ แต่พอเห็นสีหน้าของพี่โย แล้วก็ท่าเกาหัวของพี่บอมเลยคิดว่าไม่น่าใช่
“คือเหี้ยไรวะ มึงทำเหี้ยอะไรกับจ่อยนะ?” พี่บอมหันไปถามคุณแจ็ค ซึ่งรายนั้นก็ได้แต่ยักไหล่กลับมา ผมเลยต้องเป็นคนอธิบาย
“คืออย่างนี้ครับ” กลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “เมื่อวานผมแอบเข้าไปในห้องทำงานคุณแจ็คแล้วโดนจับได้เรื่องก็เลยถึงตำรวจเพราะคุณแจ็คเข้าใจว่าผมจะไปขโมยของ แล้ว...” ผมก้มหน้าเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องที่โดนสอบสวนโดยเฉพาะกุญแจมือนั่น
“หะ?” พี่แม๊กหันหน้ามาทางผม
“ครับ ตอนนั้นผมโดนคุณแจ็คตวาดใส่ใหญ่เลย แต่ทุกคนต้องไม่โกรธพี่แม๊กนะครับ พี่เค้าแค่บอกให้ผมระวังๆ คุณแจ็คไว้หน่อยแค่นั้นเอง”
“หะ?” พี่แม๊กยังคงร้องเสียงหลงรอบสอง “ที่เราบอกพี่ว่า...เค้าทำกับผม...หะ?”
“เลิกหะได้แล้ว!” เป็นพี่โยที่ตวาดใส่พี่แม๊กแทน “เค้าไม่ได้อาปาจะเฮ้ อะไรของแกหรอกกลับไปทำงาน”
“หะ?” พี่แม๊กถูกพี่โยลากแขนเสื้อกลับไปที่เค้าน์เตอร์โดยที่พี่เขายังไม่ทิ้งสีหน้าเดิมออกไป
“ประสาท” คุณแจ็คเหมือนจะกลั้นขำแต่ก็ส่ายหน้าเล็กๆ ให้กับท่าทีของพี่แม๊ก
“อาปาจะเฮ้ คืออะไรหรอครับ”
“มันก็คงหมายถึง เอ็งกับไอ้.../...บอม ทำงาน” กำลังจะได้คำตอบแท้ๆ แต่คุณแจ็คดันตัดบทเสียงแข็งใส่ซะอย่างนั้น
“ผมไม่กวนแล้วก็ได้ครับ”
“จะไปไหนนั่งก่อนสิ”
“ไม่ได้หรอกครับ กวนคุณแจ็คเปล่าๆ”
“ไม่อยากรู้แล้วหรอว่าที่ไอ้ขี้เหร่นั่นพูดหมายถึงอะไร”
“โห เรียกเค้าขี้เหร่ไม่ดูตัวเองเลยครับ พี่แม๊กหล่อกว่าคุณแจ็คตั้งสามร้อยเอ็มแอล”
“ไอ้เชี่ย กูเกลียดหน่วยวัด ฮ่าๆๆๆ”
“ผมไปทำจมูกบ้างดีมั้ยครับ” ผมถามคุณแจ็คไม่สนใจเสียงหัวเราะของพี่บอม
“ทำทำไม”
“ก็ผมอยากหล่อเหมือนพี่แม๊ก ถึงพี่แม๊กจะไม่ได้ทำอะไรกับหน้าเลยก็เถอะ วันก่อนมีพี่ที่คลินิกความงามให้โบชัวร์ผมมาด้วยครับ ลดราคาสุดๆ”
“ไม่ต้องเก็บเงินส่งที่บ้านแล้วรึไง” คุณแจ็ควางมือจากแป้นพิมพ์มาถามผม “รอให้รวยเงินเหลือๆ ก่อนค่อยไปทำ”
“แล้วคุณแจ็คอยากทำมั้ยครับ”
“ทำไมฉันต้องทำด้วย”
“จะได้หล่อๆ เหมือนพี่แม๊กไงครับ”
“เลิกเอาฉันไปเปรียบเทียบกับไอ้บ้านั่นสักทีเถอะน่า!”
ผมสะดุ้งสุดตัวกับน้ำเสียงและสีหน้าที่คุณแจ็คส่งมาให้ จากที่จะลุกออกไปอยู่แล้วทำให้ตอนนี้ผมเลือกจะเดินออกมาอย่างไม่ลังเลและสนใจใครอีก
ผมควรจะเชื่อพี่แม๊กแต่แรกว่าต้องระวังตัว...

[แจ็ค]

ผมเผลอไปทำให้เจ้าเด็กนั่นกลัวอีกแล้วสิ แต่มันก็น่าโมโหไม่ใช่หรอ คอยมาพูดกรอกหูว่าคนนั้นหล่อกว่าคนนี้ดูดีกว่าไปเพื่ออะไร พยายามหาคำอธิบายร้อยแปดเพื่อที่จะให้เขาเข้าใจว่าไม่มีใครชอบเรื่องแบบนี้ และไม่มีใครพอใจที่จะถูกบลูลี่ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือเรื่องอะไรก็ตาม จ่อยควรต้องรู้เรื่องนี้และไม่ไปพูดแบบนี้กับใครอีก แต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงให้เขาเข้าใจง่ายที่สุด อย่างน้อยก็รับฟังผมสักนิดก่อน
“เห็นจ่อยมั้ย” ผมถามน้องชายแต่สายตาก็สอดส่องเข้าไปในห้อง
“เห็น” จิมมองตามสายตาผม “แต่จ่อยไม่อยากเจอพี่ ไปทำอะไรให้เค้ากลัวอีกล่ะ”
“ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดพี่นะ” ผมโต้เสียงแข็ง
“บอกมาก่อนสิแล้วจิมจะเชื่อ”
“เฮ้อ” ผมชักเซ็งกับน้องชายแต่ก็จำเป็นต้องบอก “จ่อยเหยียดหน้าตาคนอื่น ถึงแม้จะไม่ได้เจตนาแบบนั้น แต่ก็พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด โชคดีที่คนๆ นั้นเป็นพี่ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะ”
จิมฟังที่ผมพูดแล้วก้มหน้าคิดตามก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูใส่ผม ไม่นานก็เป็นจ่อยที่เปิดประตูออกมาแทนด้วยสีหน้าหงอยๆ
“ห้ามดุเกินความจำเป็นนะ ไม่งั้นจิมจะไม่ให้เจอจ่อยอีกเลย”

หลังจากที่เจ้าจิมดันหลังส่งตัวนักโทษให้ผมพร้อมคำขู่ก็ปิดประตูห้องเงียบกริบ ส่วนผมกับเจ้าเด็กหน้าหงอยนั่งกันอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของผมกันทั้งคู่
“จะเงียบอีกนานมั้ย”
“ก็จิมบอกให้มาฟังคุณแจ็คพูด”
“รู้รึเปล่าว่าตัวเองทำอะไรผิด” จ่อยไม่ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้ารับ “รู้ด้วยหรอ”
“คุณแจ็คไม่ชอบที่พี่แม๊กหล่อกว่า” เขาตอบเสียงอ่อย แต่นั่นก็เป็นเหตุผลเล็กๆ ที่เขาคิดได้จริงๆ
“มันไม่ได้เกี่ยวที่จะชอบหรือไม่ชอบ แต่นายไม่ควรเอาความคิดเห็นส่วนตัวไปยัดเยียดให้คนอื่น แม๊กอาจจะหล่อมากในสายตานาย แต่สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น แล้วการที่นายยกคนๆ นึงขึ้นมาแล้วเอาอีกคนมาตั้งข้อเปรียบเทียบมันถูกแล้วหรอ ทำไมไม่นึกถึงใจคนอื่นบ้าง ถ้าสมมุตินายนั่งเพลินๆ ของนายอยู่ดีๆ แต่มีใครก็ไม่รู้มาบอกว่านายทำไมด้อยกว่าคนนั้นจัง ทำไมผอมกว่าคนนี้ ทำไมไม่หล่อไม่น่ารักเหมือนคนนู้น นายจะรู้สึกยังไง”
“...”
“อย่าไปพูดแบบนี้กับใครอีกเข้าใจมั้ย ถ้าอยากชื่นชมเค้าก็ไปบอกเค้าแค่คนเดียวอย่าดึงคนอื่นเข้าไปเปรียบ ความรู้สึกบางอย่างเก็บไว้ในใจบ้างก็ได้ นายไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมาทั้งหมด”
“ผมขอโทษครับ” มือเล็กๆ นั่นยกขึ้นไว้ผม ”ผมเห็นคุณแจ็คไม่ค่อยชอบคุยกับพี่แม๊ก แล้วเรียกพี่เค้าว่าไอ้ขี้เหร่อีก ก็เลยอยากจะช่วยให้คุณแจ็คหล่อกว่า”
“คิดว่าฉันอิจฉาเค้าหรอ”
“เปล่านะครับ...ครับ” เหมือนจะเถียงแต่สุดท้ายก็เลือกจะพูดความจริงออกมา
“ฉันเองก็ผิดที่ไปเรียกเค้าว่าไอ้ขี้เหร่ มันก็ไม่ควรเหมือนกันเพราะมันก็เหยียดไม่ต่างกับที่พยายามบอกนายตอนนี้ ฉันเองก็ต้องขอโทษ แต่ฉันไม่ได้อิจฉา ไม่เคยสนด้วยว่าใครจะหน้าตาเป็นยังไง”
“แต่คุณแจ็ค...”
“ฉันแค่หมั่นไส้ที่นายชอบไปให้ความสนใจกับนายนั่น”
“ผมหรอครับ”
“พอ เลิกคุยเรื่องนี้”
“อ่าว” เจ้าตัวเล็กมองตามผมที่ลุกออกไปเบาระดับแอร์ “ทำไมต้องหมั่นไส้พี่เค้าเพราะผมล่ะครับ”
“ไม่รู้ บอกให้เลิกคุยไง เอาแขนมานี่”
“จะตีผมหรอ” จ่อยเอาทั้งสองข้างไขว้หลังอย่างไว “ไม่เอา จิมให้มาฟังคุณแจ็คพูดเฉยๆ นะ ห้ามดุเกินความจำเป็นด้วย”
“เอามา” ผมเสียงแข็งใส่เขาอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังลังเล “ยื่นมือออกมาแล้วหลับตาด้วย”
“ไม่ได้จะตีผมแน่นะ”
“ไม่ตี”
“งั้นก็ได้ครับ”
เจ้าตัวเล็กยื่นแขนด้านขวาออกมา แต่นั่นก็ทำให้ผมชะงักไปนิด
“นาฬิกาใคร ปกติไม่ใส่นี่”
“ของจิมครับ” จ่อยยังคงหลับตาแล้วตอบ “จิมให้มาเมื่อกี้ บอกว่าให้ผมใส่ไว้จะได้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่เคยใส่กุญแจมืออีก”
“หรอ...” ผมเห็นสีหน้ายิ้มๆ อย่างดีใจ นั่นคงทำให้จ่อยลืมเรื่องร้ายๆ ได้บ้างแล้ว ซึ่งมันก็ดี “ลืมตาสิ”
“ไหนอะครับ” เมื่อลืมตามาพบกับความว่างเปล่าเด็กนี่ก็เหมือนจะเริ่มงอแงขึ้น “ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“แล้วจะให้มันมีอะไร”
“ก็ไม่รู้แหละ แต่ถ้ายื่นมาแล้วหลับตาก็แสดงว่าต้องมีอะไรให้สิครับ คุณแจ็คหลอกผมหรอ”
“ไม่ได้หลอก ไม่ได้บอกว่าจะให้อะไรนี่”
“โธ่ คุณแจ็ค ไม่สนุกเลย” เจ้าตัวเล็กกอดอกแล้วหันหน้าหนีผมไปอีกทาง “มันต้องมีขนมสิ อย่างน้อยๆ ก็ลูกอมสักเม็ดไม่ก็หมากฝรั่ง”
“เรียกให้มารับผิดแล้วยังต้องแจกขนมอีกหรอ”
“ไม่รู้ๆ ทีหลังถ้าไม่มีอะไรจะให้ก็ห้ามขอมือแล้วให้หลับตานะครับ ตื่นเต้นหมด”
“อยากได้มากหรอ”
“ก็ต้องอยากสิครับ ลุ้นจนตัวโก่ง” เจ้าหน้ามุ่ยหันกลับมาทางผมพร้อมกระฟัดกระเฟียดใส่ “แล้วนั่นกล่องอะไรครับ”
“กล่อง...”
“แน๊...ของผมใช่ม้า เอามาเลย เอามาดูเลยยยยยย”
“ไม่ได้ ไม่ใช่ของนาย”
“ก็เมื่อกี้มันยังไม่มีเลยนี่ครับ มันเพิ่งมาตอนผมหลับตาแน่ๆ” เขาชี้หน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตายจนผมต้องยอม
“งั้นก็ยื่นมือมาสิ” แขนขวาข้างเดิมแบมือออกแล้วหลับตาปี๋ “ขออีกข้าง”
“ก็ได้ครับ ให้สองข้างเลย”
เจ้าจ่อยนั่งตัวตรงยื่นแขนมาให้ผมพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเด็ก ผมสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและลุ้นตัวโก่งตามที่เขาเคยบอกแต่ผมไม่รู้ว่าของที่ผมจะให้มันน่าดีใจเท่ากับสิ่งที่เขาได้รับในความหมายเดียวกันรึเปล่า
สร้อยข้อมือเส้นนี้ผมตั้งใจซื้อเพราะอยากให้มีอะไรอยู่ที่ข้อมือเขา ทุกครั้งที่มองหรือแม้แต่ในความฝันเขาจะได้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องราวร้ายๆ ที่ผมยัดเยียดให้อีก แต่ผมคงช้าไป ช้ากว่าน้องชายที่ปลอบใจเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว
“สวยจังเลยครับ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นทำให้ผมเบาใจได้หน่อย ท่อนแขนยกขึ้นระดับสายตาสะบัดข้อมือไปมามองแล้วมองอีก ผมเดาได้ว่าเขาคงจะชอบ ก็ผมตั้งใจเลือกที่เหมาะกับเขาเลยนี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากคิดไปเอง
“ชอบมั้ย อ๊ะ”
“ชอบมากครับ” เจ้าจ่อยพุ่งเข้าหอมแก้มผมจนเผลอเสียงหลงในตอนท้าย “ชอบที่สุดเลยครับ ผมจะเก็บรักษาไว้อย่างดีเลย”
“แล้วนาฬิกาของจิมล่ะ”
“ก็ชอบมากๆๆๆๆๆ เลยครับ จิมกับคุณแจ็คใจดีที่สุดในจักรวาลลลลลล เลย” มือเล็กแผ่กว้างออกจนผมยอมเชื่อ
“แล้วจุ๊บจิมไปกี่ทีล่ะ” อย่าถามผมนะว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนี้ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“อา ไม่ได้จุ๊บเลยครับ แค่กอดๆ เฉยๆ” เจ้าตัวเล็กยู่หน้าใส่ผม “จิมไม่เคยขี้น้อยใจเรื่องนี้นี่นา ไม่เหมือนคุณแจ็ค”
“แสดงว่าถ้าจิมเรียกร้องนายก็จะทำหรอ”
“ก็ทำสิครับ ผมน่ะรักจิมที่สุดเลยน้า” จ่อยก้มมองที่มืออีกครั้งก่อนจะรีบสะบัดหน้าขึ้นมามองผม “อ้อ รักคุณแจ็คด้วยครับ รักเท่ากันเลย มั๊วะ”
เขายกตัวขึ้นหอมแก้มผมอีกครั้งและนั่นตอกย้ำให้ผมรู้ว่า ตัวเองก็ไม่ได้สำคัญไปมากกว่าใคร ทั้งจิมและผมคงจะเป็นคนๆ หนึ่งในชีวิตที่ดีกับเขาจนเจ้าจ่อยคนนี้ทุ่มใจให้ และในคำว่ารักนั้นผมไม่ควรหวั่นไหว...
“กลับไปนอนได้แล้ว”
“ผมขอนอนที่นี่ได้มั้ยครับ”
“ห้องใหม่ช่างยังทำไม่เสร็จหรอ ไหนจิมบอกว่าย้ายเรียบร้อยแล้ว”
“เสร็จแล้วครับ คุณแจ็คอยากไปดูมั้ย”
“ไม่ ฉันจะนอนแล้ว”
“งั้นให้ผมนอนกับคุณแจ็คนะครับ นะๆๆๆ น้า ให้กอดด้วยก็ได้อะ”
“จ่อย...”
“ก็ได้ครับ...ผมไปก็ได้...อ๊ะ”
“นอนกับฉัน ไม่ต้องไปไหน”

สุดท้ายผมก็ไม่ฟังเสียงเตือนจากหัวใจตัวเองอยู่ดี

TBC
#ห้องลับบักจ่อย
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 10
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-04-2019 20:37:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 10
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 05-04-2019 00:44:33
คุณแจ็คถึงปากร้ายแต่ใจโคตรป๋า เปย์น้องเก่งงง
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 11
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 05-04-2019 23:19:24

11
หาดทรายยังสวย รายล้อมทะเลด้วยรัก

“ทะเลก็มีชีวิต”
“ชีวีตตตตตตตต”
“ทะเล ก็มีหัวใจ”
“ฮั่วใจจจจจจจจ”
“ไปเที่ยวทะเลนม้ายย”
“กำลังปายยยย”
“ไปดำดูปะการางงงงง”
“ตือตื้อดื่อตื่อดื่อ ตี้อดื่—“
“โอย เงียบๆ แล้วรีบลากกระเป๋าลงมาเถอะ ข้างบ้านเค้าตื่นกันหมด”
คุณแจ็คหันมาทำท่ารำคาญใส่พวกผมสองคน แต่เราก็ไม่แคร์หรอก ยังแอบขำกันในจังหวะที่รอดพ้นสายตาแล้วร้องเพลงในทำนองกระซิบกระซาบกันอยู่ดี
เราขนข้าวของลงมากันจนครบ ตอนนี้ก็ตีสี่กว่าๆ ฟ้ายังไม่ทันสว่าง แต่พวกเรากลับสดชื่นยิ่งกว่าวันทั้งวันซะอีก ในที่สุดทะเลที่รอคอยก็กำลังจะอยู่ตรงหน้า ผมว่าผมตื่นเต้นมากแล้วที่จะได้เห็นมันเป็นครั้งแรก แต่จิมที่เห็นอยู่บ่อยๆ ก็ดูจะตื่นเต้นไม่แพ้ผมสักนิด
“ไม่ลืมอะไรกันใช่มั้ย” คุณแจ็คหันมาถามพวกเราก่อนจะล็อกประตูบ้าน
“ไม่ลืมครับ จิมลืมมั้ย”
“ถ้ารู้จะเรียกว่าลืมหรอ” ยังจะหันมาตอบกวนๆ ผมอีกเดี๋ยวคุณแจ็คก็ดุ
“อย่าทำเป็นเล่น ไม่ย้อนกลับมาแล้วนะ” นั่นไง
“ไม่ลืมๆ ลืมก็ช่างมัน”
จิมก้าวขึ้นรถ ผมเองก็ก้าวขึ้นประตูหลังตาม เราเปิดเพลงร้องกันไปตลอดทางแต่คุณแจ็คก็ไม่ว่าอะไร แถมยังช่วยหาเพลงให้อีก
จริงๆ พวกเราชวนพี่โยกับพี่แม๊กมาด้วยแต่ทั้งคู่ไม่ยอมมากัน เหตุผลก็เพราะไม่อยากปิดร้านนั่นแหละ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาคนเงียบๆ เลยกลัวว่าถ้ายิ่งปิดลูกค้าจะยิ่งหายกันหมด ซึ่งคุณแจ็คบอกว่า ก็ดี ผมรู้ความหมายหรอกนะ คำว่า ก็ดี น่ะ เพราะไม่อยากให้พี่แม๊กไปด้วยอยู่แล้วล่ะสิ สองคนนี้ไม่ยอมคุยกันดีๆ สักที ยิ่งพี่แม๊กไปโวยวายใส่คุณแจ็ควันนั้นก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ ถ้าคนนึงอยู่หน้าเค้าน์เตอร์อีกคนจะไม่ยอมเฉียดไปใกล้เลย ต้องเดินไปรับออเดอร์ให้ถึงโต๊ะ คนที่ปวดหัวที่สุดเห็นจะเป็นพี่โยนั่นแหละ แกบ่นบ่อยๆ ว่าเบื่อจนอยากจะไล่ออกจากร้านทั้งคู่
“แวะซื้ออะไรมั้ย เอาขนมรึเปล่า” คุณแจ็คมองกระจกหลังแล้วถามผม ส่วนจิมก็หลับไปเรียบร้อยแล้ว
“ขนมข้างหลังยังไม่หมดเลยครับ”
“อีกไกลเลยนะ จะนอนก่อนก็ได้”
“ผมนอนคุณแจ็คก็เหงาสิ ขับรถคนเดียวไม่มีเพื่อนคุยด้วยน้า”
“ก็เห็นนั่งเหม่ออย่างเดียว สนใจฉันซะที่ไหน”
“งอนอีกแล้วหรอครับ” ผมถาม เพราะเมื่อคืนก็เพิ่งจะงอนไปที
“ฉันงอนอะไรนาย อย่ามาใช้คำว่าอีกแล้วหรอ”
“ปากก็บอกว่าไม่งอนแต่ผมก็เห็นท่าทีคุณแจ็คงอนอยู่ดีนั่นแหละ ดูออกหรอกน่า ผมโดนน้องสาวงอนบ่อยๆ”
“ไม่รู้จักใส่ใจคนอื่นก็ต้องโดนงอนใส่เป็นธรรมดา ถ้าไม่อยากถูกงอนนายก็ต้องเอาใจเค้าให้มากกว่านี้ หมายถึง... น้องสาวนายน่ะ”
“โอเคครับ ผมจะเอาใจน้องสาวให้มากกว่านี้ เยอะๆๆๆ เลย ฮึ่บ”
“ทำอะไรของนาย”
“นอนไงครับ คุณแจ็คขับไปคนเดียวนะ”
“ก็ไปนอนพิงเบาะดีๆ สิ เดี๋ยวก็เมื่อยหรอก”
“ไม่เมื่อยหรอกครับ คุณแจ็คขับรถตั้งหลายชั่วโมงยังไม่เมื่อยเลย”
“บอกให้ไปนอนดีๆ เดี๋ยวถึงแล้วฉันปลุก”
“ก็ได้ครับ ขับระวังๆ ด้วยนะครับ ไม่ต้องรีบ”

[แจ็ค]

   เจ้าเด็กดื้อหลับไปได้ซักพักใหญ่ผมก็ตีโค้งเข้าใกล้จุดหมายเต็มที ระยะเวลานับตั้งแต่เราคุยกันก็เกือบสองชั่วโมงได้ ถ้าจะให้เขาหลับโดยที่ใช้สองแขนโอบรอบคอผมจากด้านหลังคงเมื่อยตัวกันพอดี แต่การยื่นหน้ามาหอมแก้มเพื่อบอกให้ผมขับระวังๆ นั่นก็อีก เหมือนเขาจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำแบบนี้ผมยิ่งไม่มีสมาธิเข้าไปใหญ่
ผมใช้คำว่าเพื่อนน้องชายกับจ่อยมาโดยตลอดแต่เวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกันมันกลับไม่มีสถานะอะไรเลย เรากอดกันหอมกันจนมันกลายเป็นเรื่องปกติ ใช่ครับ สำหรับจ่อยมันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่สำหรับผม มันไม่มีคำว่าชิน ไม่ง่ายดายขนาดนั้น ใจที่เคยสั่นยังไงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ผมได้แต่นั่งมองดูอยู่ห่างๆ ระหว่างจ่อยและจิม เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมันเป็นยังไง เวลาที่เขาสองคนเดินจับมือกัน หัวเราะซบไหล่ ผมรู้สึกจี้ดในใจทุกครั้ง ผมไม่รู้ว่าจิมจะใจสั่นเหมือนผมบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ว่าน้องชายผมเคยเรียกร้องอะไรจากจ่อยบ้างไหม แล้วถ้าใช่ล่ะ ถ้าใช่ผมจะเป็นยังไง ถ้าจิมหวั่นไหวขึ้นมาผมควรทำยังไงต่อ

ผมเลี้ยวเข้ารีสอร์ทตามที่จีพีเอสระบุ เด็กๆ ตื่นกันได้สักพักแล้วและยังคงร้องเพลงกันลั่นรถ ผมเองก็เลยตามเลยเพราะไหนๆ ก็ตั้งใจจะพาพวกเขามาสนุก ไอ้เสียงจิมคงไม่เท่าไหร่ แต่อีกคนนี่สิ อยากส่งไปหาครูอ้วนให้รู้แล้วรู้รอด
ผมเช่าบ้านสำหรับพักสี่คนแต่น่าเสียดายที่แม่มีงานด่วนซะก่อน อุตส่าห์ช่วยกันวางแผนมาแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ยังไงผมก็สัญญากับจิมไว้ไอ้ครั้นจะผิดคำพูดผมก็คงไม่ได้รับความไว้วางใจอะไรจากน้องชายอีก จากที่แทบไม่เหลืออยู่แล้ว
“เอาของไปเก็บจะได้ไปกินข้าวกัน” ผมบอกพวกเด็กๆ ที่เอาแต่วิ่งวนไปรอบบ้าน
“ผมเล่นอันนี้ได้มั้ยครับคุณแจ็ค” จ่อยวิ่งพรวดเข้ามาหาผมพร้อมชี้ไปที่สระว่ายน้ำ
“ได้ แต่เอาของไปเก็บในห้องก่อนฉันโทรไปจองโต๊ะร้านอาหารไว้แล้ว”
“ห้องผมอยู่ไหนครับ” จ่อยยกกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า
“อยากนอนห้องไหนก็เลือกเลย เหมือนกันหมดนั่นแหละ”
“อยากนอนห้องคุณแจ็ค”
เจ้าตัวเล็กวิ่งดุ๊กดิ๊กตามหลังผมมาจนสุดทาง ผมเลือกที่จะไม่ตอบไอ้ประโยคจั๊กจี๋หูนั่น เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้
“นอนห้องตรงข้ามไปแล้วกัน”
“ทำไมล่ะครับ ผมไม่อยากนอนแปลกที่คนเดียวนี่”
“เดี๋ยวจิมก็มาพูดประโยคนี้กับนาย”
“งั้นแปลว่าจิมจะมานอนกับผมหรอครับ เย้!”
ผมมองอาการดีใจของคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกลากทั้งข้าวของของตัวเองและของจิมมาไว้ในห้องเสร็จสรรพ
เขาไม่ได้อยากนอนกับผม เขาแค่ไม่อยากนอนคนเดียว...

   ผมนอนอ่านหนังสืออยู่บนเบาะริมขอบสระว่ายน้ำ พระอาทิตย์ทำท่าจะลับขอบฟ้า เจ้าสองแสบกำลังวิ่งขึ้นมาเนื้อตัวแดงเห็นแล้วแสบผิวแทนเลย แต่ดูจากสีหน้าและเสียงหัวเราะลั่นก็คงไม่ต้องห่วงอะไร
“พี่แจ็คไม่ลงไปเล่นกับพวกเรา สนุกจะตาย” จิมทิ้งตัวนั่งเบาะข้างๆ ยกน้ำขึ้นดื่ม “ฝรั่งเพี้ยบ สเป็คพี่ทั้งนั้น”
“รู้ได้ไงว่าพี่ชอบฝรั่ง”
“เห็นแฟนพี่แต่ละคนก็ฝรั่งทั้งนั้นนี่ อย่ามาปิดพวกเราน่า”
“แต่เซ็กซี่มากเลยนะครับ ยิ่งคนที่จิมชี้ให้ดูว่าคุณแจ็คชอบแบบนี้นะ โอ้โหว ผมล่ะอยากเห็นแฟนคุณแจ็คเลย”
“ไร้สาระน่า แล้วนี่ทากันแดดกันบ้างรึเปล่าเดี๋ยวหนังก็ลอกหมด”
“จิมทาแล้วแต่มันเอาไม่อยู่ ลงน้ำแปบเดียวก็หลุดหมด”
“แต่ข้างขวดเขาเขียนว่าควรทาทุกสองชั่วโมงนะ”
“ขี้เกียจ”
ตู้มมมมมม
เจ้าจิมกระโดดลงสระไม่สนใจแม้แต่ขวดครีมขณะที่เจ้าตัวเล็กอีกคนหัวเราะลั่นกับท่าตีลังกาของเพื่อนแล้วเตรียมตัวกระโดดลงตาม
“ว่ายน้ำเป็นรึเปล่า”
“เป็นครับ เล่นน้ำคลองบ่อย”
ตู้มมมมมม
   ผมวางหนังสือในมือลงนอนมองเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน คิดว่าเดี๋ยวพอกลับกรุงเทพฯ คงไม่พ้นมานั่งบนเรื่องตัวดำให้ฟัง
“คุณแจ็คก็ลงมาเล่นด้วยกันสิครับ” จ่อยตะโกนขึ้นมาจากกลางสระ
“ไม่ล่ะ ฉันเล่นไปรอบนึงแล้ว”
“เล่นอีกสิครับ เล่นกับพวกเราหน่อยมาด้วยกันทั้งที นะๆๆๆ”
“จ่อยอย่า เดี๋ยวหนังสือเปียก” ผมออกปากห้ามเพราะเจ้าตัวเล็กหวิดน้ำขึ้นมาด้านบนจนต้องเอาหนังสือหลบ
“คุณแจ็คก็ลงมาสิครับ มาเร็วๆ”
ผมเหนื่อยใจกับความขี้อ้อนของเจ้าตัวเล็กนี่ สุดท้ายก็ต้องถอดชุดคลุมพาดบนเบาะแล้วพุ่งตัวลงน้ำไป แต่ไม่ได้ตีลังกาท่าประหลาดเหมือนเจ้าพวกนี้หรอกนะ ผมลงไปแบบที่นักว่ายน้ำที่ดีควรทำต่างหาก
“ว้าว”
“มองอะไร” ผมลอยตัวใต้น้ำจนมาถึงตัวจ่อย แต่หลังจากโผล่ขึ้นมาสะบัดน้ำที่เกาะบนหน้าแล้วเสยผมขึ้นก็พบว่าเจ้าเด็กนี่กำลังจ้องอยู่
“คะ...โคตรเท่เลยครับ” สาบานว่าผมยังไม่เห็นหมอนี่กระพริบตา
“มากมั้ย” ผมก้าวเท้าไปชิดตัว ก้มลงให้เขาได้มองหน้าชัดๆ จ่อยเลือกที่จะเขยิบถอยหนี แต่ช้ากว่าแขนผมที่เล็งเอวเล็กๆ อยู่นานแล้ว “ยังไม่ตอบเลย”
“มาก..มากครับ”
“อยู่ในน้ำแบบนี้ หน้ายังร้อนอยู่รึเปล่า”
“...”
เขาไม่ยอมตอบคำถามผมแต่หันมองไปทางอื่น จิมยังคงเกาะขอบสระดูพระอาทิตย์ตกดินเป็นจังหวะที่ดีที่ผมจะขอคำตอบจากคนตรงหน้า
สองมือจับเข้าที่เอวทั้งสองข้างกดตัวจ่อยลงใต้น้ำอย่างรวดเร็ว แนบริมฝีปากกับแก้มนิ่มสลับซ้ายขวาแล้วดันตัวขึ้นมาหายใจเหนือน้ำอีกครั้ง
“อ๊า...คะ...คุณแจ็ค ผมตกใจหมดเลยเล่นอะไรอีกแล้วเนี่ย”
“ไม่ร้อนเนาะ” ผมส่งยิ้มตาหยีให้คนที่กำลังโวยวายใหญ่โต
“หนักกว่าเดิมอีกครับ ร้อนจะระเบิด” จ่อยหน้ามุ่ยใส่ผม “ไปเลยครับ ขึ้นไปเลย ผมไม่เล่นกับคุณแจ็คแล้ว ไม่อยู่ใกล้แล้วด้วย ไปเลย ไปนั่งคนเดียวข้างบนนู่น”
“สองคนทำอะไรกันน่ะ” จิมเรียกจนพวกเราชะงัก “พี่แจ็คไปดุอะไรจ่อยอีก เผลอไม่ได้เลยนะ”
“ใช่ เผลอไม่ได้เลย” จ่อยวาดแขนมาตีหน้าอกผมรัวๆ “นิสัยไม่ดีครับ นี่แน่ะ”
“นี่โกรธแล้วหรอ” ผมรวบข้อมือเล็กด้วยฝ่ามือข้างเดียว “ทำไมเหมือนชอบเลย”
“คุณแจ็ค! ห้ามมากวนประสาทผมนะครับ” จ่อยสะบัดข้อมือออกซึ่งผมก็ยอมปล่อยแต่โดยดี “เล่นอยู่ตรงนี้นะครับ เล่นคนเดียวไปเลย”

[จ่อย]

   ไม่รู้คุณแจ็คไปสั่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่แต่พอหลังจากอาบน้ำกันเสร็จก็เห็นบรรดาอาหารทะเลมาวางอยู่หน้าบ้านแล้ว
คุณแจ็คบอกว่าเตาไฟฟ้าก็มีแต่ไม่ได้อรรถรสเท่าเตาถ่านเลยต้องก่อไฟเพิ่ม ส่วนเตาที่พวกเราเอามาจากบ้านก็ใช้ย่างเห็ดและพวกสัตว์ทะเลตัวเล็กตัวน้อยแทน
“ให้ผมทำดีกว่ามั้ยครับ” ผมเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ในการก่อเตาถ่านของคุณแจ็คแล้วขวางหูขวางตาบอกไม่ถูก
“จิมล่ะ”
“คุยโทรศัพท์อยู่ครับ อ่อนั่นไง มาแล้ว”
“โหวว แบบที่คิดไว้เลยพี่แจ็ค” จิมส่องดูในตะกร้าแล้วร้องเสียงหลง ผมรู้ว่าจิมชอบแบบไหน เขาเคยสาธยายให้ฟังไม่รู้กี่รอบ คิดว่าพี่ชายแท้ๆ อย่างคุณแจ็คก็น่าจะรู้ใจอยู่แล้ว “อ้า อากาศก็ดี”
“อยากกินอะไรก็เอามาย่างสิ ใช้เตาไฟฟ้าไปก่อนก็ได้”
เราใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็พร้อมให้กินแบบสดๆ ย่างไปด้วยแกะกินไปด้วยมันเพลินดีเหมือนกัน คุณแจ็คอนุญาตให้พวกเราดื่มแอลกอฮอได้แต่ผมกับจิมก็ไม่มีใครแตะ จิมไม่ชอบดื่มผมเองก็เหมือนกันเลยมีแต่คุณแจ็คที่ต้องชนกับแก้วโค้กของพวกเรา
“แก้วนี้ขอยกให้กับพี่ชายที่แสนดีของพวกเรา อ้าวชน” จิมพูดอย่างเป็นทางการพร้อมลากเสียงยาวในตอนท้ายแต่สีหน้าของคุณแจ็คก็ยังเรียบเฉย
“ทีอย่างนี้แสนดีขึ้นมาเชียว”
“ชนๆ มาเถอะน่า อย่าทำให้เสียบรรยากาศสิ” จิมยกแก้วไปเบียดๆ ให้คุณแจ็คทำตามที่บอกซึ่งคุณแจ็คก็ยอมยกในที่สุดจนผมอดยิ้มตามกับสองพี่น้องคู่นี้ไม่ได้
ใช่ครับ มันทำให้ผมคิดถึงครอบครัว คิดว่าถ้าแม่และน้องได้มาเที่ยวแบบนี้บ้างคงมีความสุขไม่น้อย เจ้าตัวเล็กได้เห็นแต่ทะเลน้ำจืด เรียกง่ายๆ ก็แม่น้ำดีๆ นี่แหละ ยังไม่เคยเห็นทะเลกว้างใหญ่แบบนี้สักครั้ง และผมก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พามาไหม
“เป็นอะไรจ่อย ทำไมนั่งเหม่อ” จิมปลุกผมขึ้นจากห้วงของความคิดถึง
“เปล่าๆ กินต่อสิ” ผมคีบกุ้ง 2-3ตัวออกจากเตามาวางเรียงให้หายร้อน
“มีอะไรก็บอกได้นะ อยากได้อะไรเพิ่มรึเปล่า”
“ใช่ๆ บอกพี่แจ็คเลย ป๋าเลี้ยงๆ”
“เราไม่ได้จะเอาอะไร แค่อยู่ๆ ก็คิดถึงคนที่บ้านน่ะ”
ผมคิดผิดที่พูดประโยคนี้ ทุกคนนิ่งกันหมดจนได้ยินเสียงแมลงกลางคืน แม้แต่ส้อมในมือก็ถูกวางลงด้วย
“วีดิโคอลสิ แบบที่เราคุยกันบ่อยๆ ไง” จิมเสนอขึ้น
“ได้ไง แม่เราไม่ได้ใช้ไอโฟน” ผมส่ายหน้าตอบ
“ไม่ได้ใช้ไอโฟนก็คอลได้ แม่เล่นไลน์รึเปล่า หรือเฟชบุ๊คมีมั้ย” คุณแจ็คถามซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ใช้กดปุ่มเหมือนที่ผมเคยใช้เลยครับ ซื้อพร้อมกันตอนมันหนึ่งแถมหนึ่ง”
“อา...” จิมทำสีหน้าผิดหวัง
“แต่ก็ดีแล้ว เราไม่อยากให้เค้าเห็นว่าเราอยู่ที่นี่หรอก น้องต้องร้องไห้อยากตามมาแน่ๆ เลย เราไม่อยากให้เค้าเห็นสภาพนี้ เห็นว่าเรามาเที่ยวเล่นมีความสุขอยู่คนเดียว”
“อย่าคิดแบบนั้นสิ” คุณแจ็คขัดขึ้น “ถ้าคิดแบบนั้นนายก็จะต้องรู้สึกผิดไปตลอด รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวแต่มันไม่ใช่ มันก็แค่เป็นโอกาสนึงที่นายได้มา วันข้างหน้าก็อาจจะเป็นโอกาสของพวกเค้า"
“ใช่ๆ นายไม่ได้ทิ้งพวกเค้านี่นา ทุกวันนี้ทำงานเหนื่อยๆ ก็เพื่อพวกเค้าไม่ใช่หรอ เค้ารับรู้ได้น่า อย่าคิดมาก”
“อื้ม” ผมยิ้มรับให้กับคำปลอบโยนที่อบอุ่นของทั้งคู่ รู้สึกแย่นิดๆ ที่ทำให้บรรยากาศเปลี่ยน “เราจะขยันเก็บเงินเยอะๆ แล้วพาพวกเค้ามาเที่ยวที่นี่ให้ได้เลย”
“ต้องอย่างนี้สิ กินๆ”
ผ่านเวลาไปพักใหญ่เราสามคนช่วยกันเคลียร์เศษซากทุกอย่างจนหมดเหลือแค่รอแม่บ้านมาทำความสะอาดตอนเช้า จิมเองก็บอกว่าดีแล้ว มาเที่ยวแบบนี้อยากจะสลัดงานบ้านให้พ้นๆ ตัวเหมือนกัน
เมื่อเราทั้งสองที่พุงกลมจนเกือบระเบิดนั่งทิ้งตัวอยู่สักพักจิมก็ขอไประบายที่ห้องเหลือแค่คุณแจ็คที่ยังกระดกเบียร์อยู่ที่ราวระเบียง
“ไปเดินเล่นกันมั้ย”
“ตอนนี้หรอครับ มืดนะ” ผมหันมองรอบๆ ก็นึกไม่ออกว่ามันจะดียังไง
“ไม่มืดหรอก สบายดีเชื่อสิ”

สายลดพัดเย็นสบายจนเริ่มหนาว เราสองคนถอดรองเท้าไว้ต้นทางก่อนจะออกเดินให้คลื่นน้ำซัดสาด ผมไม่รู้ว่าไกลแค่ไหนรู้แค่ว่ามันสบายจนแทบจะลืมความเหนื่อยล้าทั้งหมด กว่าเราจะเอ่ยปากพูดคุยก็นานพอสมควร
“ชอบมั้ย”
“ครับ สบายจริงๆ ด้วย แต่ผมเคยเห็นแบบนี้แล้วนะครับ ในทีวี”
“เคยเห็นฉันในทีวีมั้ย”
“คุณแจ็คเคยออกทีวีด้วยหรอครับ โหว ดารานี่ มิน่าถึงหล่อ”
“ฮึ ฉันไม่ได้ไปในฐานะดารา แค่เป็นผู้ร่วมผลิตรายการนะ แต่ส่วนใหญ่จะออกแค่ชื่อนะ ไม่ได้เห็นหน้าหรอก”
“อ่าว แล้วแบบนั้นผมจะเห็นได้ไงล่ะครับ พูดไปเรื่อย”
“เอาใหญ่แล้วนะ ติดนิสัยจิมมารึไง”
“นิสัยอะไรครับ”
“พูดจาไม่น่ารัก ยอกย้อนบ่อยเห็นฉันเล่นด้วยหน่อยคิดจะปีนเกลียวหรอ”
“ขอโทษครับ” ผมเดินหน้าหงอยต่อแต่ก็ลากคุณแจ็คมาด้วยเพราะเราจับมือกันอยู่ตั้งแต่แรก
“ทำไมอยู่ๆ คุณแจ็คถึงกลายเป็นคนดุหรอครับ จิมบอกว่าเมื่อก่อนคุณไม่ใช่แบบนี้”
“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าอยู่ๆ ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คงเพราะโตขึ้นหรือไม่ก็มีอะไรให้ต้องเข้มงวดหลายอย่าง บางทีฉันก็ไม่ได้ดุ แต่คนฟังรู้สึกไปแบบนั้นเองมันก็ช่วยไม่ได้”
“หน้าไงครับ มันออกทางสีหน้า คุณแจ็คหล่อก็จริงหรอก แต่พอหน้าคมๆ เข้มๆ มันเลยเหมือนพวกผู้ร้ายสมัยก่อนครับ”
“ก็แล้วมันดีหรือไม่ดีไอ้ที่หล่อเนี่ย”
“มันก็ดีครับ ผมก็อยากหล่อ แต่ก็ไม่เห็นต้องเก๊กเพิ่มนี่ครับ คนหล่อทำยังไงมันก็หล่ออยู่แล้ว”
“หาว่าฉันขี้เก๊กหรอ”
“มันมีส่วนนี่ครับ คุณแจ็คอาจจะไม่รู้ตัวแต่แบบว่า ต้องนิ่งไว้นะเพื่อให้คนยำเกรง ต้องใช้หางตามองเพื่อให้คนหวาดหวั่น อะไรแบบนี้ครับ”
“ฉันเป็นแบบนั้นหรอ”
“ไม่สังเกตตัวเองหรอครับ น่าจะมีคนบอกมั่งสิ”
“หลอกด่าปะ ถามจริง”
“ผมเปล่า ผมชอบซะอีก”
“ไหนบอกไม่ชอบที่ฉันดุ”
“อันนั้นไม่มีใครเค้าชอบหรอกครับ แต่ที่ผมบอกว่าชอบคือชอบเวลาที่ผมอยู่ในห้องนอนกับคุณแจ็ค”
“...”
“คุณแจ็คยิ้มกับผมหัวเราะกับผม มองหน้าผมเต็มๆ ตา ชวนคุยสารพัดเรื่องอ้อนผมด้วยครับบางที”
“ฉันไปอ้อนนายเมื่อไหร่ คิดไปเองเหอะ”
“คิดไปเองก็ได้ครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ชอบอยู่ดี ช่วยเป็นแบบนั้นทุกเวลาไม่ได้หรอครับ”
ผมหยุดเดินเพื่อที่จะหันไปมองหน้าคนที่พูดด้วยชัดๆ ที่ตรงนี้มันไม่ได้มืดเหมือนตอนที่ผมมองมา แต่แสงจันทร์ที่กระทบผืนน้ำมันทำให้ผมเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน รวมถึงใบหน้าหล่อๆ ของคุณแจ็คด้วย
“ชอบฉันหรอ”
“ครับ ชอบเวลาที่คุณแจ็คเป็นแบบนั้น”
“ฉันหมายถึงนาย...ชอบฉันหรอ”
“มัน...ต่างกันตรงไหนหรอครับ” ต่าง ผมรู้แน่ๆ ว่ามันต่างไม่อย่างนั้นใจของผมมันจะเต้นแรงขนาดนี้ทำไม
“นายจะมาอยากเปลี่ยนฉันทำไม เพื่อนาย หรือเพื่อจิม”
“...”
“ถ้าเพื่อจิม ฉันว่าฉันดูแลน้องชายตัวเองได้ต่อให้ฉันไม่เปลี่ยน เค้าจะเข้าใจฉันแม้ในวันที่เค้าไม่อยากจะเข้าใจ แล้วนายล่ะ”
“ผม...”
“ช่วยชอบทุกอย่างที่ฉันเป็นไม่ได้หรอ”
“ไม่ได้หรอกครับ... ไม่มีใครยอมรับทุกอย่างในตัวใครได้หรอกครับ คนที่รับได้คือคนที่เลือกจะปิดตาให้กับเรื่องนั้นเท่านั้นแหละ”
“แล้วนา—“
“แต่ถ้าเป็นคนที่ผมรักผมจะพยายามให้เค้าแก้ ผมไม่อยากให้ใครมองเค้าไม่ดี ไม่อยากให้มีใครมาว่าเค้าเบื่อเค้าหรือเกลียดเค้า”
“...นายห้ามความรู้สึกของทุกคนที่มีต่อฉันไม่ได้หรอก”
“แต่..”
“แต่ฉันจะพยายามทำให้คนหมั่นไส้น้อยลง”
“คุณแจ็ค...”
ถึงตอนนี้ผมยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงรูหู ขาของผมแค่ก้าวเดียวก็ชิดตัวคุณแจ็คและผมใช้ร่างกายทุกส่วนแนบกับคุณเขาโดยไม่ลังเล
“นายเองก็นิสัยไม่ดีเหมือนกันนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองผ่านแสงจันทร์ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“อยากผมปรับตรงไหนหรอครับ”
“เลิกเล่นกับใจคนอื่นสักที”

TBC
#ห้องลับบักจ่อย
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 12
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 07-04-2019 02:11:33
12
คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว

               ผมตื่นเช้ามาด้วยสภาพที่ปวดเมื่อยล้าไปหมด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้วันที่สองของการเที่ยวทะเลตื่นเต้นน้อยลงเลย ที่อยากจะงอแงคือการที่จิมล็อคห้องแล้วไม่ยอมให้ผมเข้าไปนอนด้วยต่างหาก คุณแจ็คบอกว่าน่าจะเผลอหลับไปแล้ว เพราะเจ้านี่ปลุกยากผมล่ะเชื่อเขาเลย กล้าทิ้งผมไว้นอกห้องคนเดียวได้ยังไง

แต่คนที่น่าจะปวดเมื่อยตัวอีกคนน่าจะเป็นคนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ เมื่อคืนเราเดินกันไปไกลมาก ผมเองก็เพลินจนลืมไปว่าเพิ่งกินอิ่ม พอตอนจะกลับเลยจุกท้องแทบจะไม่อยากขยับ ต้องขี่หลังคุณแจ็คกลับมาจนถึงที่พัก

“ตื่นเช้าอีกแล้ว วันสบายๆ หัดตื่นสายซะบ้างสิ” มือผมถูกดึงให้ไปตามแรงจนต้องนอนกลับลงไปที่เดิม

“ผมอยากไปสูดอากาศข้างนอกนี่ครับ อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลด้วย”

“มันขึ้นรึยังล่ะ”

“น่าจะกำลังขึ้นครับฟ้าเทาๆ แล้ว”

“ไปสิ” คุณแจ็คขยับตัวขึ้นนั่งบิดขี้เกียจซ้ายขวา “ล้างหน้าแปบ”

 

เราออกมาจนถึงชายหาดจุดที่ยืนคุยกันเมื่อคืน ด้านข้างมีโขดหินเล็กๆ ให้คุณแจ็คนั่งรอระหว่างที่ผมยืนดูพระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นเหนือน้ำ

“หันหน้ามานี่หน่อย”

แชะ

          “แหนะ ถ่ายรูปผมทำไมครับ”

“เก็บไว้ให้นายเป็นที่ระลึกไง จะได้จำว่าครั้งหนึ่งเคยมายืนดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงนี้”

“ผมถ่ายให้คุณแจ็คบ้างเอามั้ยครับ”

“ดูตะวันของนายต่อไปเถอะ”

ผมไม่ได้คะยั้นคะยออะไร แต่ก็เดินมานั่งห้อยขาบนโขดหินข้างๆ กัน ตอนนี้ฟ้ากำลังจะเริ่มสว่างเต็มที่ผมคว้ามือหนาขึ้นมาเล็งให้อยู่ตรงกลางก้อนอาทิตย์ดวงใหญ่ แล้วกดถ่ายด้วยไอโฟนที่ได้มาฟรี

“จะได้จำว่าครั้งหนึ่งผมนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นกับคุณแจ็ค” ผมหันไปยิ้มให้กับคนข้างๆ ซึ่งเขาก็กำลังมองมาพอดี เราสบตากันสักพักจนปลายนิ้วหนาเอื้อมปัดเส้นผมกลางหน้าผาก ถึงได้รู้ตัวว่าคุณเขาโน้มตัวมาหาจนเกือบจะชิด

“สอนไม่จำเลยนะ”

“อะไรอีกล่ะครับ ตื่นเช้ามาก็บ่นเลยหรอ”

“ชิ” คุณแจ็คขยับมือออกจากการเกาะกุมของผมแล้วไปลูบแถวๆ หน้าอกตัวเอง ก่อนจะพึมพรำเบาๆ “เลิกสั่นสักทีเถอะ”

“อะไรนะครับ?”

“เพราะนายนั่นแหละ”

“ผมไปทำอะไรให้คุณแจ็คเล่า ก็นั่งอยู่เฉยๆ”

“นั่งเฉยๆ ก็อยู่เฉยๆ ไปสิ ทำไมต้องมา...เฮ่ยย”

“อย่าหงุดหงิดใส่ผมสิครับ”

“ก็นายมัน...จึ๊ แสบนัก”

“ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ว่าผมอยู่นั่นแหละ”

 

[แจ็ค]

          หัวใจผมแทบจะหลุดตอนที่เจ้าหมอนี่พูดประโยคนั้นออกมา โอเค มันก็แค่ประโยคที่ผมพูดออกมาก่อน แต่ทำไมต้องเอาไปต่อเติมแถมยังมาจับมือผมซะแน่นแล้วถ่ายรูปซะสวยอีก เมื่อคืนเพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าอย่าเล่นกับหัวใจคนอื่น แล้วดู ผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเล่นเอาใจผมเกือบวาย

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ยิ้มก่อน” ผมเบือนหนีไม่สนว่าเจ้าดื้อนี่จะพยายามแค่ไหน “ยิ้มๆๆๆ”

“พอเลย มานอน”

“แต่มันเช้าแล้วนะครับ ผมตื่นเต็มที่แล้วด้วย น่าจะเล่นน้ำทะเลต่อเลยจะกลับห้องมาอีกทำไมก็ไม่รู้” จ่อยยังคงนั่งอยู่บนเตียงไม่ยอมขยับ “ผมไปว่ายน้ำที่สระนะ”

“ไม่ได้ จะไปเล่นคนเดียวได้ไง”

“จิมไงครับ เดี๋ยวผมไปชวนจิมก็ได้”

“ป่านนี้ยังไม่ตื่นหรอก เคาะไปก็เจ็บมือเปล่า”

“แต่ผมไม่อยากนอนนี่ครับคุณแจ็ค น้าๆๆๆ ให้ผมไปทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องนอนได้มั้ย”

“มีนะ” ผมจ้องไปที่นัยน์ตากลมโตนั่น ผุดรอยยิ้มที่รอจังหวะมานานกับความต้องการของผมในตอนนี้ “ที่ทำอยู่บนเตียงแต่ไม่ต้องนอน”

“สนุกมั้ยครับ”

“สุดๆ ไปเลย อยากลองมั้ย” ผมแกล้งเอียงไปกระซิบที่ข้างหูจ่อยเบาๆ

“เอ่อ...ผมว่า...มัน...ฟังดูน่ากลัวจังเลยครับ คุณแจ็คจะแกล้งอะไรผมรึเปล่าเนี่ย”

“ไม่แกล้ง”

“อ๊ะ!”

“แต่ทำจริง”

ผมกดจมูกลงที่แก้มของจ่อยไปหนึ่งข้าง สังเกตท่าทีว่าเขาจะยอมให้ผมทำซ้ำกับอีกฝั่งที่เหลือไหม แต่การนั่งอยู่นิ่งๆ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นแป้งหอมๆ โดยไม่ต้องรอให้เจ้าตัวอนุญาตอีก

“คะ...คุณแจ็ค”

“หืม?”

“ผมใจเต้นอีกแล้ว...มัน”

“เหมือนกัน”

ผมคว้ามือเล็กขึ้นมาวางทาบไว้บนจุดที่จะยืนยันว่าคำพูดของผมไม่ได้โกหก

“คุณแจ็คถะ...ถอยออกไปหน่อยได้มั้ยครับ ผมร้อน...”

“ไม่ได้...ถอยไม่ได้”

ผมเอื้อมสัมผัสใบหน้าที่บอกว่าร้อน ลูบเบาๆ อยู่อย่างนั้นกับสายตาที่เราจ้องมองกันจนคนตรงหน้าผมเลือกที่จะยอมแพ้แล้วหลับมันลง

ระยะของความใกล้ชิดทำให้ผมบอกตัวเองว่าอย่าห้ามใจอะไรอีก จ่อยต้องรับผิดชอบที่เล่นกับหัวใจของผม รับผิดชอบที่เข้ามาทำให้ผมหวั่นไหวได้มากขนาดนี้ และต้องเรียนรู้ว่าไม่ง่ายเลยที่ข่มใจให้สงบลงท่ามกลางความน่ารักที่อยู่ในอ้อมกอด

ผมกดริมฝีปากผ่านทุกพื้นที่ใบหน้า ฝ่ามือลูบท้ายทอยเกลี่ยปลายนิ้วเบาๆ ที่ใบหู ถึงแม้ว่าเขาจะสะดุ้งนิดๆ แต่ก็เลือกที่จะขยำเสื้อของผมแน่นแทนการโวยวาย

“ทีนี้รู้รึยังว่าฉันรู้สึกยังไงเวลาโดนนายหอมแก้ม”

“...”

เจ้าตัวเล็กไม่ตอบแต่เม้มริมฝีปากแน่นจนผมอดไม่ไหวต้องกดจุ๊บไปที่รอยเส้นตรงนั้น

“คุณแจ็ค!” มือเล็กคลายจากเสื้อผมยกขึ้นปิดปากตัวเอง “ตรงนี้จุ๊บไม่ได้ครับ”

“ทำไม หวงไว้ให้ใคร”

“ก็ต้องหวงไว้ให้แฟนผมสิ” ผมชะงักกับคำตอบ “คนที่จะจุ๊บตรงนี้ได้ต้องคนที่รักกันเป็นคู่กันครับ เหมือนพระเอกกับนางเอกตอนจบ”

“แล้วพระเอกกับนางเอกเค้ารักกันหรอ”

“ตัวจริงๆ เค้ารักกันรึเปล่าก็ไม่รู้หรอกครับ แต่ในเรื่องเค้ารักกันแล้ว”

“นายก็รักฉันไม่ใช่หรอ พูดเองนะ” ผมชี้หน้าคาดโทษ

“ก็ใช่ ผมรักคุณแจ็ค แต่เราไม่ได้เป็นคู่กันนี่ คุณแจ็คต้องไปคู่กับสาวฝรั่ง แล้วคุณแจ็คก็ไม่ได้รักผมด้วยไม่เคยบอกสักครั้งด้วยซ้ำ เราก็ไม่ใช่พระเอกนางเอก เพราะฉะนั้นจุ๊บไม่ได้ครับ ห้าม”

“นั่นสินะ”

“เข้าใจแล้วใช่มั้ยครับ ห้ามกินปากผมนะ”

“ซ้อมไว้ก่อนก็ไม่ได้หรอ”

“จะซ้อมไปทำไมล่ะครับ”

“เผื่อวันนึงได้เป็นพระเอกไง ฉันหล่อจะตาย”

“คำนี้ไว้ให้คนอื่นพูดเถอะครับ พูดเองมันเหมือนหลงตัวเองยังไงก็ไม่รู้”

“ด่า?”

“ไม่ได้ด่า แค่เตือนๆ ไว้ครับ คุณแจ็คอะหล่อจริงๆ แต่ให้คนอื่นบอก คุณแจ็คไม่ต้องพูด อ๊ะ! บอกว่าอย่าจุ๊บปากผมไง อ๊ะ! คุณแจ็ค ห้ามจุ๊... อื้มมม”

ขอโทษนะ อดไม่ไหวจริงๆ คุณต้องมาเห็นแบบที่ผมกำลังจ้องมองอยู่ ทุกครั้งที่เจ้าตัวเล็กพูดจางุ้งงิ้งไปพร้อมกับสีหน้าท่าทางมันดูน่ารักไปหมดจริงๆ ยิ่งเยลลี่นุ่มนิ่มที่ขยับไปพร้อมกับหลอกด่าผมแบบพาซื่อนั่นทำให้ผมเลือกที่จะหยุดมันไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง

จ่อยยังคงดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนผม มันยากที่จะควบคุมจนต้องออกแรงยกให้ตัวเขามาชิดผมให้มากที่สุด อย่างน้อยสองขาก็ยังเหนี่ยวรั้งไว้ได้

มือเล็กตบที่บ่าผมเบาๆ เหมือนไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบีบมันแทน ผมยังคงดูดดุนความนุ่มนั้นไว้จนเจ้าตัวเริ่มถอยคอออกเพราะกำลังจะขาดอากาศหายใจ

“ฮ้า...อา...” แล้วผมก็โดนฟาดที่หน้าอกเข้าหนึ่งที

“อ้าปากสิ จะได้มีลมเข้า”

“พอเลยครับ ผมไม่คุยด้ว...อื้อ อื้มมมม”

ผมกดจูบลงที่เดิมอีกครั้ง ใช้ปลายนิ้วกดที่คางลงเบาๆ ให้เขาเผยอปาก จ่อยไม่ยอมว่าง่ายเหมือนเดิมจนผมต้องดันลิ้นช่วย ซึ่งมันก็ได้ผล เขายอมรับลิ้นของผมแต่โดยดี หรือจะเรียกว่ากลัวถึงต้องยอมก็ได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะออกแรงทำร้ายถึงจะบีบจะตีก็ทำเพียงครึ่งแรง

ผมจับมือเล็กสอดเข้ามาที่ใต้เสื้อให้มันวางไว้ที่หัวใจตรงนั้น ให้เขารับรู้ว่ามันกำลังเต้นแรงแค่ไหนกับการตอบสนองทางร่างกายของเราตอนนี้ ลิ้นและริมฝีปากของผมยังทำหน้าที่ไม่ขาด ได้แต่พยายามอ่อนโยนที่สุดเพื่อไม่ให้คนที่กลัวผมเป็นที่ตั้งต้องระแวงไปมากกว่าเดิม

จากที่ตัวเกร็งดีดดิ้นในตอนแรก ตอนนี้ทุกอย่างดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น จ่อยตอบรับลิ้นผมเป็นอย่างดีแม้จะเก้กังไปหน่อย ผมรู้ว่าเจ้าตัวเล็กพยายามเลียนแบบในสิ่งที่ผมทำตามสัญชาตญาณ มือเล็กของเขาเอื้อมจับที่ท้ายทอยแทรกปลากนิ้มขยำกลุ่มผม อีกมือที่อยู่ภายใต้เสื้อก็ลูบป่ายไปทั่วโดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันอันตรายแค่ไหน

ผมเลือกที่จะถอนริมฝีปากตัวเองออกมาอีกครั้งก่อนจะส่งมันกลับเข้าไปลิ้มรสความหวานอีกรอบ จ่อยเอียงปรับหาความถนัดด้วยตัวเองโดยที่ผมไม่ต้องควบคุมอะไรบนร่างกายเขาแล้ว แรงขยำตามเนื้อตัวหรือแม้แต่เสียงที่เล็ดรอดผ่านลำคอด้านในมันกระตุ้นให้ผมเต็มที่ในทุกการกระทำโดยไม่ต้องกลัวว่าคนตรงหน้าจะขัดขืน มันยังคงตั้งใจที่จะอ่อนโยนต่อเขาทุกอย่างแต่ไม่จำเป็นจะต้องห้ามหัวใจตัวเองใช่ไหม

“จำไว้ด้วยก็ได้นะ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยนั่งจูบกันที่นี่”

“...”

จ่อยไม่ยอมพูดอะไรแต่วางหัวซบไว้ที่ไหล่ผม เสียงลมหายใจหอบถี่ทำให้ผมต้องช่วยเอามือลูบเบาๆ ที่หลัง แขนที่โอบรอบคอผมตกลงมาข้างตัวทิ้งน้ำหนักให้ผมแบกรับมันอยู่ฝ่ายเดียว

“นายเป็นนางเอกของฉันแล้ว”

“ไม่ใช่สักหน่อย... ผมเป็นผู้ชายนะครับ”

“แล้วฉันไม่ใช่รึไง”

“นั่นแหละ เป็นพระเอกกับพระรอง ไม่มีเรื่องไหนเค้าจบแบบนี้หรอกครับ คุณแจ็คทำผิดกฎละครไทย”

“ละทำไงดี จูบก็จูบไปแล้ว”

“คุณแจ็คต้องเก็บให้เงียบเลยนะครับ” จ่อยยกหัวออกจากไหล่มาจ้องหน้าผม “ต่อไปถ้ามีแฟนคุณฝรั่งต้องห้ามหลุดปากบอกเค้านะครับ ผมจะปิดเป็นความลับช่วยให้ก็ได้”

“ฉันรักนาย”

“...!”

“นอกจากพระเอกนางเอก กับมีแฟนเป็นฝรั่ง ฉันต้องพูดคำนี้ใช่มั้ยถึงจะจูบนายได้” ผมจุ๊บที่ริมฝีปากนุ่มเบาๆ ไปอีกทีแต่จ่อยก็ไม่ได้เอียงหน้าหลบ

“พูดแค่เพราะจะจุ๊บปากผมหรอครับ” เจ้าตัวเล็กถอยลุกออกจากผม “คุณแจ็คควรจะพูดก่อนไม่ใช่หรอ ควรจะบอกว่ารักผมก่อนเหมือนที่ผมบอกมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรอ คุณแจ็คต้องพูดมันออกมาจากใจสิไม่ใช่มาพูดเพราะว่าหาเรื่องจุ๊บผมไปแล้ว”

“...”

“ถ้าเรามองหน้ากันไม่ติดอย่ามาว่ากันนะครับ”

“จ่อย...” ผมไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ ก่อนทำก็ไม่ได้คิดด้วย

“ผมไม่โทษคุณแจ็คหรอก คุณจะแก้ตัวไปทางไหนก็ได้ จะให้ผมเป็นนางเอก หรือให้ผมเก็บความลับช่วยผมก็ทำได้หมด”

“แล้วช่วยเชื่อคำว่ารักจากฉันไม่ได้หรอ” ผมได้แต่ลูบใบหน้าที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้นั่น “ทำไมถึงคิดว่าฉันพูดเพราะอยากจะหาข้ออ้าง”

“...”

“จิมเคยบอกว่ารักนายรึเปล่า” จ่อยหันหน้ากลับมาหาผมทันทีที่ได้ยินคำถาม “ถ้าเคยแปลว่าเค้าก็จูบนายได้รึไง”

“คุณแจ็ค...”

“ฉันไม่รู้ว่าที่นายบอกรักฉันนั่นมันรักแบบไหน นายบอกว่ารักฉันแล้วก็บอกว่ารักจิมต่อหน้าฉัน มันเหมือนกันรึเปล่า”

“ผมไม่เข้าใจที่คุณแจ็คพูด”

“นายบอกรักทุกคนที่ดีกับนาย แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ ฉันบอกรักได้แค่คนที่ฉันรักเค้าจริงๆ”

“รักของผมก็คือรักจริงๆ ครับ รักของผมมีแบบเดียว ถ้าผมรู้สึกว่ารักใครผมก็จะบอกเค้าไปเลยว่ารัก มันไม่ซับซ้อนเหมือนคนที่สมองเยอะๆ แบบคุณแจ็คหรอกครับ ผมคิดอะไรยากๆ แบบนั้นได้ที่ไหน”

“จ่อย...โธ่เว้ย...”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อจริงๆ เขาโกรธผมหรอที่ผมทำไปแบบนั้น หรือโกรธที่ผมไม่บอกรักไปตั้งแต่แรก โกรธที่ผมเป็นผู้ชายแล้วยกให้เขาเป็นนางเอก ไม่พอใจเรื่องไหนกันแน่

“ผมหิวข้าว”

“หะ?”

“หิวครับ คุยกับคุณแจ็คแล้วปวดหัว”

“แล้วเรื่องของเราล่ะ จะจบง่ายๆ งี้เลยหรอ”

“ทะเลาะกับตัวเองไปเถอะครับ ผมไม่อยู่เถียงด้วยหรอก อ้อ คุณแจ็คทำให้ปากผมเปื้อนน้ำลายไปหมด รับผมชอบด้วยครับ หาอะไรอร่อยๆ มาล้างปากผมเลย ผมไม่ลืมง่ายๆ เหมือนเรื่องที่โรงพักหรอกนะบอกก่อน หลายเรื่องแล้วนะคุณน่ะ ชอบทำให้ร่างกายผมมีแต่ความทรงจำเต็มไปหมด ผู้ใหญ่นิสัยไม่ดี”

“เอ้า?”

“ไปสิครับ ผมหิว”

 

[จ่อย]

 

            “โหว ไม่แพงไปหน่อยหรอพี่”

“อะฮึ่ม..ม สั่งๆ ไปเถอะน่า”

ผมนั่งฟังบทสนทนาของสองพี่น้องโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรแทรก คุณแจ็คพาเรามาที่ร้านอาหารทะเลน่าจะใหญ่ที่สุดในเกาะ นักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มไปหมดจากที่เห็น และราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ที่สำคัญวิวมันสวยสุดจะบรรยาย แต่เพื่อแลกกับการจุ๊บในส่วนที่ผมหวงแหนมาทั้งชีวิตแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ แน่นอนว่าผมต้องเกรงใจอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณแจ็คทำตัวเองจะไม่รับผิดชอบก็ดูจะไม่เป็นลูกผู้ชายใช่ไหมล่ะ

“โหว ทำไมมันตัวใหญ่จัง” เด็กเสิร์ฟยกจานกุ้งมาวางตรงหน้า เรียกว่าแบกมาเลยดีกว่าเพราะมันใหญ่มาก

“กุ้งมังกร ตอนสั่งไม่ได้อ่านรึไง” จิมหันมาตอบผมก่อนจะยกช้อนมาตักเนื้อกุ้งใส่จานให้

“เราไม่ได้อ่านอะไรเลย เห็นรูปแล้วก็ชี้ๆ”

“ชี้ถูกตัวซะด้วย” คุณแจ็คมองออกไปนอกทะเลแต่ปากก็เหมือนจะบ่น

“หักจากเงินเดือนผมไปก็ได้นะครับ แต่ขอเป็นหลังจากที่ผมย้ายหอนะ” ผมจิ้มกุ้งเข้าปากแล้วโอ้โหวพระเจ้า มันอร่อยมากก

“จะย้ายไปไหนไม่ให้ย้าย” จิมวางส้อมแล้วเสียงแข็งใส่ “คุยกันแล้วไงว่าจะอยู่ด้วยกัน ยังไงก็ต้องไปทำงานกับพี่แจ็คอยู่แล้วจะย้ายไปไหนอีก พี่แจ็คก็ช่วยพูดหน่อยสิ จ่อยดื้ออีกแล้วเห็นมั้ยเนี่ย”

คุณแจ็คทำหน้าอึกอัก ผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่แน่หรอก เขาอาจจะอยากปล่อยให้ผมไปพ้นๆ ก็ได้ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะต้องมานั่งรับผิดชอบชีวิตผม แค่อาหารมื้อนี้ก็มากเกินพอที่ผมจะเรียกร้องแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสิทธิ์กับเงินของครอบครัวเขาสักบาท

“กินเถอะ อยู่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ”

“แต่พี่”

“จ่อยไม่ไปไหนหรอกน่า รีบกินเข้าเถอะอยากไปดำน้ำไม่ใช่หรอ”

จริงๆ ผมก็อยากจะยิ้มออกมาหรอกนะ ไม่ใช่เพราะคำตอบของคุณแจ็คแต่เป็นมือที่เอื้อมมาจับผมไว้อยู่ใต้โต๊ะนี่ต่างหาก นิ้วทั้งห้าสอดเข้ามาทำให้ผมสัมผัสได้ว่าขนาดฝ่ามือของเรามันต่างกันเหลือกเกิน ขนาดตัวก็ด้วย หรือผมจะเป็นผู้หญิงนะ ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกสงสัยแบบนั้น

“ไม่เอามือแกะดีๆ ล่ะพี่ กระเด็นหมดละเนี่ย”

“พูดมากนัก! กินของตัวเองเข้าไป”

 

เรามาถึงอีกหาดหนึ่งซึ่งเป็นจุดดำน้ำตื้นดูปลาและปะการัง จิมใส่อุปกรณ์ทั้งหมดให้ผมพร้อมกำชับว่าอย่าว่ายไปไกลและห้ามแยกออกไปคนเดียว

เหล่าปลาเล็กปลาน้อยฝูงใหญ่ว่ายวนอยู่รอบตัวผม จิมเองก็มัวแต่ถ่ายรูปใต้น้ำไม่ห่วงว่ากล้องจะพัง ส่วนคุณแจ็คน่ะหรอ นู้น นั่งคุยอยู่กับชาวต่างชาติบนเรือ ยอมลงมากับพวกเราที่ไหน แล้วเจ้าอุปกรณ์ดำน้ำนี่ก็ทำให้หายใจลำบากอยู่เหมือนกัน รู้สึกเมื่อยปอดที่ต้องสูดอากาศเข้าออกบางทีก็เผลอดำลึกจนน้ำไหลลงคอเค็มไปอีก ผมเลยถอด ดึงท่อดึงแว่นออกแล้วว่ายน้ำจ๋อมแจ๋มไปที่เรือ

“ไม่เล่นแล้วหรอ” คุณแจ็คยื่นมาให้ผมระหว่างตะเกียกตะกายขึ้นบันได

“มันรัดครับ เมื่อยปากด้วย” วางอุปกรณ์ลงในตะกร้าให้คุณเจ้าหน้าที่เสร็จผมก็นั่งลงข้างๆ คุณแจ็ค

“กลับถึงบ้านจะงอแงอยากดูอีกไม่ได้แล้วนะ”

“ไม่งอแงครับ ผมดูจนจำหน้าน้องปลาได้หมดทุกตัวแล้ว”

“ฮึ ชอบมั้ยล่ะ มีอะไรที่อยากไปทำอีกรึเปล่า”

“แค่นี้ผมก็เต็มอิ่มมากแล้วครับ พลาดไปสักอย่างสองอย่างคงไม่เป็นไรหรอก” ผมยิ้มแล้วตอบคุณแจ็คไปตรงๆ ตั้งแต่พวกเรามาถึงที่นี่ผมกับจิมยังไม่หยุดเอาแต่ใจตัวเองกันเลย คุณแจ็คเองก็ไม่ห้ามไม่ว่า ตามใจจนจะหมดตัว

“หายโกรธฉันเรื่องเมื่อเช้ารึยัง”

“คะ...คุณแจ็ค” ผมเขยิบห่างออกเพื่อที่จะมองหน้าคุณเขาชัดๆ “โรคจิตหรอครับ ทำไมถึงชอบมาทำให้หน้าคนอื่นเค้าร้อนไปหมด ผมเล่นน้ำขึ้นมาเย็นสบายอยู่ดีๆ”

“เอ้า? ฉันก็ถามเพราะไม่อยากติดค้างอะไรในใจไง”

“ถ้าผมโกรธคุณแจ็คแล้วจะมานั่งคุยด้วยหรอครับ ผมอุตส่าห์เก็บมันไว้ลึกๆ แล้วคุณแจ็คยังจะไปควักมันออกมาพูดอีก”

“โอเค ฉันขอโทษ” คุณแจ็คยกสองแขนขึ้นท่ายอมแพ้ “ต่อไปฉันจะไม่พูดมันอีก”

“ดีครับ เก็บเป็นความลับ ชู่วว” ผมเอานิ้วชี้ขึ้นแตะที่ปากคุณแจ็ค “เรื่องนี้จะต้องเป็นความลับที่เราสองคนจะไม่พูดมันออกมาอีกเด็ดขาด”

“แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำมันอีกนะ” ปากนิ่มๆ ของคุณแจ็คงับที่นิ้วของผมเบาๆ สายตาเจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มร้ายๆ นั่นทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้าง แถมใจก็มาเต้นแรงจนจะระเบิด

“มะ..ไม่ได้สิครับ ห้าม ผมบอกเหตุผลไปแล้วไง”

“ฉันก็บอกรักนายไปแล้วไง”

“ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผมก็ไปจุ๊บจิมได้สิ ไปจุ๊บพี่โยได้สิ อ้อ พี่แม๊กอีก”

“หมอนั่นมันบอกรักนายตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“อย่ามาขึ้นเสียงดุใส่ผมนะ”

“ก็แล้วมันมาบอกรักนายเมื่อไหร่ เจอกันไม่กี่วันนายจะไปรักมันได้ยังไง มันทำอะไรให้นายบ้างหะ พูดมาให้หมดเลยนะเล่ามาเดี๋ยวนี้”

“อย่าเสียงดังเดี๋ยวน้องปลาตกใจ!”

“ก็รีบๆ พูดมาสิ”

“พี่เค้าไม่ได้มาบอกรักอะไรผมหรอก ผมแค่เปรียบเทียบเฉยๆ ว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ผมรักแล้วเค้าก็รักผม เราก็จุ๊บกันได้หมด มันไม่ใช่สักหน่อย”

“รู้ไว้ก็ดี ต่อไปห้ามไปบอกรักใครมั่วๆ อีก”

“แล้วจะมาสั่งผมทำไมก็ผมรักของผมอะ”

“ฉันบอกว่าห้ามก็ห้ามไงเล่า!”

“ไม่ฟังครับ คุณแจ็คไม่มีเหตุผล ห้ามมาชวนผมทะเลาะด้วย”

“จ่อย!”

“ก็หาเหตุผลดีๆ มาคุยกันสิครับ อยู่ๆ จะมาสั่งได้ไง ใจก็ใจผมทั้งนั้นคุณแจ็คไม่มีสิทธิ์ตรงนี้สักหน่อยนี่”

 

ผมกับคุณแจ็คไม่ได้คุยกันอีกจนเรากลับมาถึงที่พัก ระหว่างทางผมเห็นคุณเขายืนอยู่ท้ายเรือเอาแต่มองออกไปที่ทะเลไม่ยอมมาสนุกสนานกับพวกเราหรือแม้แต่คุณฝรั่งเพื่อนใหม่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผมรู้ตัวว่าดื้อที่เถียงคำไม่ตกฟากกับผู้ใหญ่ไปแบบั้น แต่คุณแจ็คก็ผิด นิสัยขี้บังคับที่ชอบใช้กับจิมตอนนี้ก็เอามาใช้กับผม คิดว่าจะพยายามเปลี่ยนแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็เหมือนเดิม

เราจัดการกับอาหารค่ำมื้อง่ายๆ ข้างรีสอร์ท ทุกคนแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวกันหมดเหลือแค่ผมที่ยังไม่รู้จะไปทางไหนดี จะกลับเข้าห้องเดิมที่ขนของไปไว้แต่แรก หรืออีกห้องที่ผมใช้พักผ่อนเมื่อคืน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“มาเอาแปรงสีฟันครับ”

               ประตูห้องเปิดออก ร่างหนาเนื้อตัวเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าเช็ดตัวที่อยู่ต่ำระหว่างเอวและอีกหนึ่งผืนเล็กที่ถูกขยี้อยู่บนเส้นผม คุณแจ็คเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ผมได้กลิ่นสบู่หอมลอยมาแตะจมูกแม้ไม่ได้ยืนใกล้

               “จะกลับไปนอนห้องนู้นหรอ” ผมอยู่ในห้องน้ำแต่ก็ได้ยินคำถามชัดเจน ประเด็นคือจะตอบอะไรออกไปในเมื่อตัวเองก็ยังไม่รู้

               “ผม...นอนที่ไหนก็ได้ครับ” ไม่รู้ว่าคุณเขาจะได้ยินไหม เพราะพูดออกไปเบาเหลือเกิน “อ๊ะ ค...คุณแจ็ค”

               “งั้นก็นอนที่นี่สิ” สัมผัสจากด้านหลังทำให้สะดุ้งจนเกือบจะลื่น ถ้าไม่ติดว่าสัมผัสนั้นคือการกางสองแขนเข้ากอดผมคงหน้าทิ่มไปพื้นแล้ว

               “มา...กอดผมทำไมครับ ตกใจหมด”

               “แม้แต่กอดก็ไม่ได้หรอ จะใช้เหตุผลอะไรมาห้ามฉันอีก” มือหนาค่อยๆ คลายลงพร้อมกับน้ำเสียงที่ทำให้ใจผมรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก ทำไมฟังดูคล้ายคนพูดจะเหนื่อยใจได้ขนาดนี้

               “คุณแจ็ค เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

               “เป็น” สายตาคมที่เคยแพรวพราวมาตลอด ตอนนี้มองผมอย่างเศร้าๆ

               “เหนื่อยหรอครับ ไปพักผ่อนก่อนมั้ย พรุ่งนี้คุณแจ็คต้องขับรถอีก หรือว่าจะไม่สบายครับ”

               “เป็นห่วงฉันด้วยหรอ”

               “เป็นห่วงสิครับ”

               “แล้วทำไมตอนนั้นพูดเหมือนไม่ได้แคร์จิตใจฉันเลย”

               “ผมขอโทษครับ แต่ผมพู..อืออ อื้มม”

               ผมถูกริมฝีปากหนาเข้าประกบจนมิดทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบ นอกจากเขาจะไม่ฟังคำขอของผมยังฝืนบังคับทำมันอย่างเอาแต่ใจ

               ช่วงตัวที่ถูกรวบไว้จนชิดทำให้ใบหน้าผมแหงนขึ้นเพื่อรองรับการจูบแบบไม่ทันตั้งตัว ผมพยายามแล้วที่จะถอยหนีแต่นั่นกลับทำให้จนมุมมากขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้แม้กระทั่งว่าต้องวางมือไว้ตรงไหน ระหว่างขอบอ่างล้างหน้ากับบนไหล่ของคนตัวสูง

               ผมเริ่มหายใจไม่ออกอีกครั้งจนนึกขึ้นได้ว่าต้องอ้าปากถึงจะช่วยให้มีลมเข้า คุณแจ็คยังไม่หยุดดูดดุนที่ริมฝีปากหนำซ้ำยังส่งลิ้นอุ่นๆ เข้ามาควานหาอะไรทั่วไปหมด ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยอมปล่อยมือที่เกร็งแล้วให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณแจ็คต้องการ

               “ฉันไม่สนเหตุผลของนายและจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนนกว่านายจะเข้าใจสักทีว่าทำไมฉันถึงต้องทำ”

               “แค่พูดออกมามันยากกว่ารึไงครับ”

               “ฉันพูดไปแล้ว ฉันบอกนายไปแล้ว”

               “ที่บอกว่ารักผมน่ะหรอครับ”

               “อย่าบอกว่านายจะวิ่งไปจูบจิมนะ”

               “ใครจะไปทำอย่างนั้นครับ เห็นผมเป็นคนยังไง”

               “น่ารัก” คุณแจ็คสวนขึ้นมาแทบจะทันที ผมเองก็นิ่งไปเหมือนกัน “ซื่อบื้อ เด๋อด๋าไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง รักก็บอกตรงๆ ไปแล้วยังไม่เข้าใจความหมายอีก ฉันจะทำยังไงกับนายดี”

               “ก็เลยต้องจูบผมอีกหรอ”

               “จะจูบไปจนกว่านายจะเข้าใจเอง”

               “ผมจะไปเข้าใจเองได้ยังไง”

               “ยิ่งดีใหญ่ ฉันคงได้จูบนายจนปากเจ่อ”


TBC

#ห้องลับบักจ่อย
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 12
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 15-04-2019 16:37:55
 :L1:
หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 13
เริ่มหัวข้อโดย: พิชา(ไรท์ขายหวย) ที่ 03-05-2019 17:35:05
13
ตอบหน่อยได้ไหมตอบฉันหน่อย ว่าเธอคิดถึงกัน


“จบมอหกเองหรอ”
“ครับ”
“จริงๆ ที่บริษัทเราก็ไม่มีนโยบายรับวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีหรอกนะ แต่คุณแจ็คบอกว่าจะให้เธอเป็นผู้ช่วยเวลาออกนอกสถานที่พี่ก็คงต้องจัดการไปตามนั้น”
“ครับ”
“ไปทดลองงานกับคุณโจแล้วกัน มีอะไรก็ช่วยหยิบช่วยจับไปก่อน มีประกันสังคมรึยัง”
“ทำแล้วแต่ยังไม่ได้บัตรครับ พี่ที่ทำงานเก่าทำให้เค้าบอกรอบัตรสามเดือน”
“โอเค พี่จะได้ยื่นเรื่องให้ชื่อมาอยู่ที่บริษัท เริ่มงานได้เมื่อไหร่”
“เริ่มวันนี้เลยก็ได้ครับ”
“ไม่ต้องรีบ ไว้เริ่มพรุ่งนี้แล้วกัน เข้างาน เก้าโมงเลิกหกโมงเย็น แต่ถ้าออกนอกสถานที่ปรับเวลาตามหน้างาน ออกต่างจังหวัดได้ใช่มั้ย”
“ถ้าไปกับบริษัทก็ไปได้ครับ”
“โอเค รายละเอียดงานไปคุยกับคุณโจเอานะ พรุ่งนี้ห้ามสายล่ะ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
ผมเดินออกมาจากห้องของฝ่ายบุคคลพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หลังจากที่นั่งเกร็งตอบคำถามอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง
ไม่รู้คุณแจ็คคิดยังไงของเขาถึงได้ไปคุยกับพี่โยพาผมออกมาทำงานที่บริษัททั้งที่เพิ่งจะกลางเดือนแท้ๆ ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าสิ้นเดือนถึงจะออก โชคยังดีที่มีพี่แม๊กพี่โยเลยยอมตามใจถึงแม้จะบ่นอุบอิบตามหลังมาให้ได้ยิน
“คุยเสร็จแล้วหรอ” คุณแจ็คถามเมื่อผมเดินกลับมาหาที่ห้องทำงานอีกครั้ง
“เสร็จแล้วครับ คุณเค้าให้ผมเริ่มงานพรุ่งนี้ ให้ไปทำงานกับคุณโจด้วย”
“เฮ้อ ยายคนนี้”
“มีอะไรหรอครับ” คุณแจ็คลากเสียงยาวเหมือนไม่ค่อยพอใจ จนผมต้องเอ่ยปากถาม
“เปล่า ไปทำกับโจก็ดี หมอนั่นใจดีอยู่แล้วไม่ต้องห่วงหรอก” คุณแจ็คเงยหน้าขึ้นมาตอบผม “แต่เดินทางบ่อยหน่อยนะ ไหวมั้ย”
“ไหวสิครับ แค่เดินทางเอง”
“ไม่ใช่แค่เดินทางน่ะสิ อาจจะต้องทำกลางแจ้งด้วยยกของแบกของนั่นนี่จะทำไหวหรอ”
“ได้สิครับ อยู่ที่สกลผมก็อยู่กลางทุ่งนาทั้งวัน แบกจอบแบกเสียบถางหญ้า ไถนา หนักกว่านี้อีกครับ”
“ฮึ่ม...” คุณแจ็คถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกวักมือเรียกผมให้เดินไปหาแถมยังดึงมือให้ลงไปนั่งบนตักอีก “คิดถูกหรือคิดผิดให้นายมาทำงานที่นี่ด้วยเนี่ย”
“คุณแจ็คกลัวผมจะทำให้เสียงานใช่มั้ยล่ะครับ ไม่ต้องห่วงเลยนะ ผมจะดูแลงานที่ต้องรับผิดชอบอย่างดี ไม่ให้ใครว่ามาถึงคุณแจ็คได้เลยครับ”
“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ฉันรู้ว่านายมีความรับผิดชอบพอ” คุณแจ็คบอกพร้อมกับลูบข้อมือผมตรงสร้อยเส้นเล็กที่เขาเป็นคนใส่ให้ “แต่อยากให้นายทำในออฟฟิศอยู่กับฉันมากกว่า”
“คงเพราะว่าผมวุฒิน้อยมั้งครับ แต่ถึงยังไงเงินเดือนก็เท่ากับปริญญาตรีเลยนะครับ เค้าให้ผมตั้งหมื่นห้าแหนะ มีโอทีด้วย เบี้ยขยันอีกถ้าผมมาทำงานแต่เช้าทุกวัน”
“ฮึ ปริญญาตรีบางคนยังได้ไม่เท่านายเลย”
“จริงหรอครับ”
“อื้ม บางที่ก็ได้ไม่ถึง แต่ก็เหนื่อยหน่อยนะ อดทนไว้ล่ะ”
“มาจุ๊บข้อมือผมทำไมล่ะคุณแจ็คนี่”
“ฉันจุ๊บสร้อยของฉันต่างหาก อย่ามามั่ว”
“แสดงว่าจากนี้ผมจะมีเงินส่งให้ที่บ้านเป็นหมื่นเลยหรอเนี่ย ดีจังเลยครับ” ผมขยับตัวบนตักเบี่ยงมาข้างๆ เพื่อที่จะมองหน้าคุณแจ็คถนัดๆ เวลาคุยกัน
“ได้หมื่นก็จะส่งหมื่นเลยหรอ ไม่เก็บไว้ใช้บ้างรึไง”
“ผมใช้ไม่เท่าไหร่หรอกครับที่บ้านมีทั้งแม่แล้วก็น้องไหนจะค่าขนมไปโรงเรียนน้องอีก”
“ถึงงั้นก็ส่งให้ทั้งหมดไม่ได้ นายต้องรู้จักเก็บเงินด้วย ถ้านายส่งให้เค้าทั้งหมด เกิดวันนึงทางนั้นฉุกเฉินขึ้นมาแล้วต้องใช้เงินเพิ่มนายจะหาจากไหนให้พวกเค้า”
ผมคิดตามที่คุณแจ็คพูดแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบ
“นายต้องเก็บไว้เผื่ออนาคตด้วย แบ่งเป็นส่วนๆ ส่งทางบ้านเท่าไหร่ ใช้จ่ายเองเท่าไหร่ ที่เหลือเป็นเงินเก็บสำหรับอนาคต เงินสำรองฉุกเฉิน ถึงจะเหลือเก็บไม่เยอะแต่ก็ต้องเก็บ”
“คุณแจ็คครับ...”
“หืม?”
“เรื่องหอน่ะครับ คือว่า.../ ไม่คุยเรื่องนี้” คุณแจ็คสวนขึ้นทั้งที่ยังพูดไม่จบ
“จิมไม่ยอมให้นายย้ายไปไหนหรอก”
“แต่คุณแจ็คก็ช่วยพูดได้นี่ครับ ผมเกรงใจ”
“ให้ฉันนี่นะช่วยพูด ลองได้ไปขัดใจดูสิ ฉันไม่โดนตัดออกจากกองมรดกเลยหรอ”
“โหว คุณแจ็คก็พูดไป ใครจะกล้าตัดพี่ชายออกจากกองมรดกล่ะครับ นะๆ คุณแจ็คช่วยพูดให้หน่อย”
“ทำไมถึงอยากจะไปนักล่ะ เบื่อหน้าฉัน?”
“เปล่านะครับ แต่ผมเกรงใจจริงๆ กินฟรีอยู่ฟรี มันรู้สึกไม่สะดวกใจครับ คุณแจ็คเข้าใจความรู้สึกผมใช่มั้ย”
“แล้วนายเข้าใจความรู้สึกฉันมั้ย หมายถึง... ที่ฉันต้องไปช่วยพูดกับจิมน่ะ”
“ก็เข้าใจครับ เฮ้อ”
“ไม่ชอบเตียงฉันหรอ ไหนบอกชอบเวลาอยู่ในห้องนอนกับฉันไง”
“ก็...ช..ชอบครับ แต่”
“ถ้าชอบก็ไม่ต้องมีแต่ อยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ ไม่มีใครว่าอะไรนายหรอก ไม่ต้องเกรงใจเกินเรื่อง ออกไปอยู่ข้างนอกค่าห้องค่าเดินทางค่ากินค่าอยู่ แล้วจะเอาเงินไหนมาเก็บ นี่พวกฉันช่วยนายประหยัดไปได้เยอะเลยนะ”
“ประหยัดผมแต่ไปเปลืองเงินคนอื่นแทนไงครับ ทำไมคุณแจ็คเข้าใจยากจัง จะไม่คุยด้วยแล้วนะ”
“เอ้า! แล้วจะมางอแงอะไรกับฉันล่ะ”
“ก็คุณแจ็คพูดไม่รู้เรื่อง”
“ใครกันแน่?” คุณแจ็คขยับขาเหมือนจะเมื่อยที่ผมนั่งทับตักอยู่นาน สุดท้ายก็ยกตัวผมขึ้นแล้วจับหันหน้าเข้าหากันให้ผมคร่อมตัวไว้แทน “เอาขาขึ้นมาไว้นี่”
“ไปนั่งคุยกันที่โซฟาดีๆ มั้ยครับ จะมาเบียดอะไรกันอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียว”
“แอร์มันหนาว”
“ห้องนอนคุณแจ็คหนาวกว่านี้อีกครับ”
“ถึงต้องให้นายมานอนด้วยไง จะย้ายไปไม่สงสารฉันหน่อยหรอ นอนหนาวคนเดียวเลยน้า”
“เบาแอร์สิครับ เปิดเหมือนอยู่โรงแช่แข็ง กลัวใครเน่าหรอ”
“ไปเอาคำพูดประชดประชันมาจากไหนหะ? ร้ายนักนะเดี๋ยวนี้”
“แล้วก็เลิกจุ๊บมือผมได้แล้วครับ สร้อยคุณแจ็คไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย”
“อ่าวหรอ” คุณแจ็คฉีกยิ้มจนตาหยี “สายตาไม่ดี เล็งไม่ถูก”
“ตกลงจะช่วยคุยให้ผมรึเปล่าครับ ไปนั่งเป็นเพื่อนก็ได้เดี๋ยวผมคุยเองคุณแจ็คค่อยรอเสริม” ผมวางมือไว้ที่พนักพิง เพราะไม่อยากพาดไว้บนตัวคนตรงหน้า
“ห้องที่จะไปอยู่ค่าเช่าเท่าไหร่”
“สองพันห้าครับ รวมตู้เตียงให้ด้วย”
“อยู่แถวไหน”
“ท้ายตลาดครับ”
“ปลอดภัยรึเปล่า มีระบบป้องกันมั้ย เปลี่ยวมั้ย เพื่อนร่วมหอเป็นยังไงไปดูมารึยัง ไม่ใช่มีแต่พวกสุมหัวกินเหล้าโวยวายเปิดเพลงเสียงดังๆ หรอกนะ”
“อันนั้นก็ไม่รู้ครับ แต่ถึงงั้นผมก็อยู่แต่ในห้องอยู่ดี ไม่ได้ลงมานั่งกินกับพวกเค้าสักหน่อย”
“ไม่ได้” คุณแจ็คเริ่มขึ้นเสียงดุ แถมยังคว้าตัวผมดันขึ้นมาจนเกือบชิดหน้าอก “ยังไงเรื่องความปลอดภัยก็ต้องมาก่อน นายอาจจะไม่ได้ไปมีเรื่องกับใคร แต่ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะไม่มาสร้างเรื่องให้นายนี่ ถ้าหาหอที่ดีไม่ได้ฉันก็ไม่อนุญาต แล้วเลิกคุยกันเรื่องนี้”
“คุณแจ็ค”
“ไม่ต้องมาเรียก ต่อให้อ้อนก็ไม่ช่วยเด็ดขาด”
จุ๊บ
“บะ...บอกว่าไม่ต้องมาอ้อนไง” คุณแจ็คโวยวายจริงจังหลังจากที่ผมก้มลงจุ๊บหน้าผากเหม่ง เวลานั่งบนตักก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ผมดูตัวสูงกว่าคุณแจ็ค
“ผมก็ไม่ได้อ้อน ถ้าคุณแจ็คบอกว่าไม่ช่วยผมจะทำอะไรได้ เอาเป็นว่าผมจะช่วยทำงานบ้านและงานที่บริษัทอย่างหนักเพื่อตอบแทนที่ช่วยเหลือผมแล้วกันนะครับ” ผมกดจุ๊บไปที่แก้มอีกสองข้างแล้วรอดูท่าทีจากคุณแจ็ค แต่ผมไม่ได้ทำเพราะหวังผลประโยชน์อะไรเลยนะ เชื่อสิ
“นายนี่มันร้ายขึ้นทุกวัน”
“แค่จุ๊บแก้มก็กลายเป็นผู้ร้ายแล้วหรอครับ ต่อไปผมไม่ทำแล้วก็ได้”
“จ่อย” คุณแจ็คกระตุกขาขึ้นทำให้ตัวผมโยกตามไปด้วย “เล่นลิ้นเก่งนักนะ”
“คุณแจ็คเก่งกว่าอีกครับ เรื่องเล่นลิ้นน่ะ”
“จ่อย! ไปหัดเอานิสัยพวกนี้มาจากไหน”
“จะไม่คุยให้จริงๆ หรอคร้าบบบ”
“ก็บอกให้ไปดูหอที่มันปลอดภัยมาก่อนไง เอาที่ปลอดภัยกว่าบ้านฉันแล้วค่อยมาคุยกัน”
“พูดแบบนี้ก็ให้ผมอยู่บ้านคุณแจ็คไปเถอะครับ ไม่มีที่ไหนปลอดภัยกว่าหรอก”
“เอาตามนั้นเลย” คุณแจ็คเอื้อมมือมาหยิกแก้มผมไปหนึ่งที
“ชิ”
ผมก้มหน้าลงไปบนไหล่กว้างเพราะคิดว่าขอยังไงก็คงไม่สำเร็จ ว่าไปตามความจริงหอพักราคาถูกแบบนั้นคงอยู่ใครอยู่มันแบบดูแลตัวเองมากกว่า อย่าว่าแต่ระบบรักษาความปลอดภัยเลย ยามสักคนจะมีรึเปล่าก็ไม่รู้
“คุณแจ็ค!” ผมตวาดขึ้นหลังจากรู้สึกหวิวๆ “คนอะไรมันจะจุ๊บได้ทั้งตัวขนาดนั้นครับ”
“จุ๊บคอเองไม่ได้จุ๊บทั้งตัวสักหน่อย” คุณแจ็คเถียง “ใครให้เอียงมาหาเองล่ะ
“ก็คุณแจ็คให้ผมนั่งอยู่บนนี้มันก็เมื่อยสิครับ”
“เมื่อยก็นอนลงมา มา”
“นอนลงไปคุณแจ็คก็จุ๊บคอผม” ยู่ปากใส่ไปหนึ่งทีให้คุณแจ็ครู้ตัวซะบ้าง
“แค่ดมดู ฉันว่ากลิ่นมันแปลกๆ ก็เลยช่วยเช็คให้ไง”
“เหม็นหรอครับ ผมทาแป้งแล้วนะ” ผมยกเต่าขึ้นมาดมแต่ก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร
“ไม่เหม็นๆ สงสัยเป็นกลิ่นอย่างอื่นแถวๆ นี้” คุณแจ็คยกยิ้มจนริมฝีปากตึง ผมไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้เลย รู้สึกมันมีเลศนัยยังไงไม่รู้
“ผมไปนั่งรอที่โซฟาดีกว่าครับคุณแจ็คจะได้ทำงานสักที”
“ไม่เอา นั่งนี่แหละ”
“มันขวางครับ เมื่อยด้วยเดี๋ยวจะทำงานไม่เสร็จเอานะครับ”
“ก็ได้ แต่ขอกำลังใจหน่อย”
“กำลังใจอะไรครับ”
“กำลังใจในการทำงานไง เดี๋ยวงานไม่เสร็จ” สีหน้าคุณแจ็คเปลี่ยนเข้ามาเป็นโหมดจริงจัง
“ทำยังไงครับ” ผมเอียงคอถามเพราะปกติจะใช้วิธีพูดมากกว่า
“อื่ม” นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากตัวเองและผมก็รู้ได้ทันที “ทำหน้าที่นางเอกก่อนเร็ว”
“เสียใจครับ บอกแล้วว่าจุ๊บได้แค่ที่ทะเล”
“ใจร้ายกับคนที่ตัวเองขอให้ช่วยได้ยังไง ลงไปเลย” คุณแจ็คดันตัวผมออกจากหน้าตัก สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดจนผมต้องขืนตัวไว้ “ลงไปสิ อึม...”
ผมประกบปากเข้าไปปิดคำพูดของคุณแจ็ค หลับตาปี๋เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าหงุดหงิดที่มองมาทางผมแต่ก็ต้องรีบปล่อยเพราะกลัวคุณแจ็คหายใจไม่ออก
“ไม่ทันตั้งตัวเลย”
“วันนั้นผมก็ไม่ได้ตั้งตัวเหมือนกันนั่นแหละ” ผมนึกไปถึงครั้งแรกที่โดนจูบแล้วพยายามลุกจากเก้าอี้คุณแจ็คเพื่อไปรอบนโซฟาแต่กลับถูกกดตัวลงตามเดิม
“คุณนางเอก” คุณแจ็คจับคางเพื่อให้หันหน้าไปทางเขา “ปากหวานกว่าคำพูดเยอะเลย หนุ่มสกลคนซื่อหายไปไหนแล้วครับ”
“คนหล่อต่างหาก” ผมแก้ชื่อที่คุณแจ็คเรียกให้ถูก
“คนสวย คนน่ารัก” ปลายนิ้วเขี่ยที่ริมฝีปากตุ่ยๆ ของผม “ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งน่ารักใครจะอยากให้ไปนั่งที่อื่นไกลๆ ล่ะหื้ม”
“ทำงานไปเลยคุณแจ็ค” ผมมุดลงซบอกคนตรงหน้าจนหลังโก่ง แววตาคุณแจ็คเป็นประกายจนไม่กล้าที่จะมองสู้กับสายตานั้น
“รู้รึเปล่าอาการแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร”
“กลัวครับ”
“เค้าไม่ได้เรียกกลัว”
“กลัว คุณแจ็คมีรังสีความน่ากลัวทำให้คนอื่นใจสั่น นิสัยไม่ดีครับ”
“เขยิบขึ้นมานั่งดีๆ เร็ว” คุณแจ็คยกตัวผมขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง”
“ไม่ต้องทำงานแล้วหรอครับ ให้ผมมากวนอยู่ได้” ยังก้มหน้ามุดอยู่เลยเพราะกลัวว่าเงยขึ้นไปใจมันจะสั่นอีก
“ไม่ทำแล้ว นั่งมองคนน่ารักมีความสุขกว่าตั้งเยอะ”
“งื้อออ” ผมถูหน้าไปกับเสื้อเชิ้ตซึ่งใจจริงอยากจะยัดตัวเองลงไปในกระเป๋าเสื้อเล็กๆ นั่นด้วยซ้ำ “เลิกปล่อยรังสีบ้าๆ นี่ได้แล้วคุณแจ็ค”
“เอ้า เขินเองก็มาโทษคนอื่น” คุณแจ็คกางอ้อมแขนกอดผมไว้แน่น “นั่งตักเวลาขยับบ่อยๆ มันอันตรายนะ”
“ผมไม่ตกหรอกครับ ไม่ต้องกอดแน่นขนาดนี้หรอก”
“ไม่ได้กลัวนายตก กลัวงูตื่น”
“มีงูหรอครับ!! ไหน?”
“บอกว่าอย่าขยับไง ไม่มีหรอกงูน่ะ เปรียบเทียบเฉยๆ”
“แล้วไปครับอย่าพูดให้ตกใจสิ ผมตีตายมาหลายตัวนะ”
“โหดจัง”
“ทำไมเดี๋ยวนี้ทำเป็นเล่นบ่อยจังครับ คุณแจ็คที่ขรึมๆ เข้มๆ บ้างาน เป็นแค่เวลาอยู่ต่อหน้าจิมหรอ”
“เป็นเวลาอยู่ต่อหน้าทุกคน แต่มุมนี้เป็นเวลาอยู่ต่อหน้านาย” มือของผมถูกจับมาจุ๊บอีกครั้ง “แค่นายคนเดียวเลยนะ” และแน่นอนว่าใจผมสั่นจนอยากควักออกให้รู้แล้วรู้รอด
“คำพูดคุณแจ็คน่ะ ฆ่าคนได้เลยรู้รึเปล่าล่ะครับ”
“ความน่ารักของนายก็ฆ่าฉันได้เหมือนกัน”
“คุณแจ็คคคคคคคค”

[แจ็ค]
ผมนอนมองเจ้าก้อนเล็กๆ ที่กำลังฝันดีอยู่บนเตียง ใจในพลางคิดไปว่า ทำยังไงนะให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะไปจากพวกผม ทำยังไงให้เด็กนี่เลิกเกรงใจพวกเราสักที แต่มันก็เข้าใจได้ ถ้าเป็นผมหรือจิมก็คงไม่กล้าไปรบกวนใครแบบนี้เหมือนกันแต่มันจะไม่มีวิธีเลยหรอ วิธีที่จ่อยจะยอมอยู่กับพวกเราแต่โดยดีน่ะ
ติ้ง ตึ้ง
JIMMA: พี่เห็นจ่อยมั้ย
JIMMA: ผมมาหาที่ห้องไม่เจอ
JACK: อยู่ห้องพี่
   JIMMA: แล้วจ่อยไปทำอะไรห้องพี่
JACK: มาคุยธุระแล้วก็หลับ
JACK: มีอะไรรึเปล่า
   JIMMA: จิมต้องถามมากกว่า
   JIMMA: ธุระอะไรต้องคุยกันดึกดื่น
JACK: แล้วน้องไปหาจ่อยทำไมดึกดื่น
   JIMMA: ก็จิมจะมานอนกับจ่อย
JACK: แต่จ่อยมานอนกับพี่
JACK: นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยคุย
และนี่ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ยังคาใจผมอยู่ ผมไม่รู้เลยว่าจิมรู้สึกกับเจ้าตัวเล็กนี้ยังไงกันแน่ บางครั้งเขาก็เหมือนเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายที่สนิทและตัวติดกัน แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ามันมีอะไรที่มากกว่านี้ไหม จ่อยเป็นคนซื่อเกินกว่าที่จะรู้ว่ารักคืออะไรด้วยซ้ำ สิ่งหนึ่งที่เขามีคือความจริงใจในความรู้สึกของตัวเองและนั่นก็ทำให้ผมท้อใช่ย่อย ไอ้คำว่ารักที่มีแค่แบบเดียวของเขามันจะใช้กับทุกคนได้อย่างไร
จิมก็อีก ผิดเองที่ผมทำให้น้องอยู่ห่างจนไม่สามารถพูดคุยกันทุกเรื่องเหมือนก่อน นานแล้วที่เขาไม่ได้มาเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ผมฟังทำให้ผมไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้น้องกำลังเผชิญกับอะไร แม้ว่าหลังกลับมาจากเที่ยวมันจะดีขึ้นหน่อย ตั้งแต่มีจ่อยเราทะเลาะกันน้อยลงไปเยอะ แต่เรื่องที่จะให้เขาเปิดใจคุยกับผมก็ยังยากอยู่ดี
“คุณแจ็คทำไมยังไม่ปิดไฟครับ” เจ้าตัวเล็กงัวเงียขึ้นมาถามผม
“แสบตาหรอ แปบนะ” ผมเอื้อมมือกระตุกสายที่หัวเตียงเพื่อปิดโคมไฟ “นอนต่อซะ”
“ยังไม่ง่วงหรอครับ ผมฝันไปตั้งสองเรื่องแล้วด้วย”
“นอนตั้งแต่สามทุ่มจะฝันเยอะก็ไม่แปลกหรอก”
“แต่มีคุณแจ็คทั้งสองเรื่องเลยนะ”
“ป่วนฉันทั้งตอนหลับตอนตื่นเลยหรอหื้ม” ผมยกมือลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบาๆ เพราะรู้ว่าถ้าตื่นมาพูดเยอะขนาดนี้คงหลับต่อไม่ได้ง่ายๆ แน่
“คุณแจ็คนั่นแหละมาป่วนผม ผมนอนของผมอยู่ดีๆ”
“โอเคฉันผิด นอนต่อได้แล้ว จะพยายามไม่ป่วนนายถ้าทำได้นะ”
“ผมเคยไปอยู่ในฝันคุณแจ็คบ้างมั้ยครับ”
“เคยสิ ถามทำไม”
“อยากรู้ว่าคิดถึงผมบ้างมั้ยครับ” เจ้าตัวเล็กใช้ปลายนิ้วแตะที่ปลายจมูกผม “เค้าบอกว่าถ้าเราคิดถึงเรื่องอะไรหรือคิดถึงใครมากๆ จะเก็บไปฝัน”
“ตกลงคิดถึงฉัน หรืออยากรู้ว่าฉันคิดถึงนายที่ถามเนี่ย” ผมคว้าเอานิ้วซนๆ มาคาบไว้ในปาก
“ทั้งอยากรู้ ทั้งอยากบอก ฝันดีครับ”
ถ้าผมมุดอกเจ้านี่เหมือนที่เวลาเขาเขินผมได้ ผมคงทำไปแล้ว เด็กบ้าอะไรตื่นมาเพื่อทำตัวน่ารักใส่แล้วนอนต่อ

[จิม]
ผมลดมือที่กำลังจะส่งสัญญาณเรียกคนในห้องลงก่อนจะพาตัวเองกลับมาอยู่ในที่ที่ควรอยู่ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่บทสนทนาที่ผมได้ยินมันไม่ได้มีไว้สำหรับแขกที่มาขออาศัยที่บ้านและแน่นอนว่าผมไม่เคยได้ฟังประโยคแบบนั้นจากปากจ่อยสักครั้งเลย
สองคนนี้ดูจะสนิทกันมากขึ้นทั้งที่พี่แจ็คเคยลากจ่อยส่งตำรวจ แต่เขาก็ไม่คิดจะถือโทษโกรธ สร้อยข้อมือที่จ่อยเอามาอวดยังคงใส่คู่กับนาฬิกาที่ผมตั้งใจเลือกทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังสำคัญ แต่ทำไมประโยคสั้นๆ ที่ได้ยินผ่านประตูถึงทำให้ผมหวั่นใจได้มากขนาดนี้ เขาสนิทกันขนาดไหน มีอะไรที่ผมยังไม่รู้รึเปล่านั่นทำให้ผมกังวลไปหมด ผมควรจะถามพวกเขาไหม หรือจะปล่อยมันไปดี

เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะชวนจ่อยไปใส่บาตรด้วยกัน ตั้งใจจะถามสิ่งที่คาใจจนแทบนอนไม่หลับแต่กว่าจ่อยจะลงมาก็เกือบสายแล้วยังเร่งเพราะจะไปทำงานวันแรกไม่ทันผมเลยทำอะไรไม่ได้มากนอกจากปั่นจักรยานไปเงียบๆ
“เมื่อคืนมีอะไรรึเปล่า” จ่อยถามทั้งที่ยังกอดเอวผม “เราเพิ่งมาเห็นไลน์เมื่อเช้า”
“ไม่มีอะไร แค่ไปหาแล้วไม่เจอ”
“อ่อ เรานอนอยู่ห้องคุณแจ็ค ขอโทษทีนะ”
“ไปนอนทุกวันเลยหรอ”
“ก็ไม่ทุกวัน วันนั้นก็นอนกับจิมไง”
“เมื่อคืนเราก็ว่าจะไปนอนด้วย เคาะตั้งนานก็ไม่เปิดพอเปิดดูก็ไม่เจอใคร” ผมบอกเสียงเรียบในใจก็หวังคำตอบที่มันมากกว่าคำว่านอนอยู่ที่ห้องนั้น “ทำไมไปนอนห้องพี่แจ็คได้ล่ะ”
“เราไปช่วยคุณแจ็คเรียงเอกสารที่ห้องทำงานแต่หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ คุณแจ็คคงพาไปนอนที่ห้อง”
“ปกติพี่แจ็คไม่ยอมให้ใครเข้าห้องทำงานเลยนะ ห้องนอนก็ด้วยแต่กับจ่อยทำไมถึงได้ใจดีจัง”
“ห้องทำงานก็ไม่ให้เราเข้าเหมือนกันแหละถ้าไม่มีเรื่องจะใช้จริงๆ ล่ะก็นะ แต่ห้องนอนคุณแจ็คก็ไม่เห็นว่าอะไร
“งั้นหรอ แสดงว่ายังหวงห้องทำงานอยู่ล่ะสิ”
“ในนั้นมีอะไรหรอทำไมถึงได้ไม่ยอมให้ใครเข้า”
“ก็มีไอ้เจ้าตัวปัญหาที่ทำให้นายไปนั่งหงอยอยู่ในห้องสอบสวนไงลืมแล้วหรอ”
“อา นั่นสิ” จ่อยปล่อยมือจากเอวผมก่อนจะก้าวขาข้ามเบาะหลังจากที่รถเบรค “ไปก่อนนะ สายแล้วเดี๋ยวคุณแจ็คบ่น”
“จ่อย จ่อย!” ผมส่งเสียงเรียกแต่ไม่ทันคนที่วิ่งไวจนแทบปลิวไปตามลม “คืนนี้จะรอที่ห้องนะ”
ประโยคที่ผมได้ยินแค่คนเดียว...
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 13
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-04-2020 00:03:58
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 13
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 27-04-2020 00:41:44
ตามทันแล้ว

รอตอนต่อไปนะ สนุกมาก