พิมพ์หน้านี้ - ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 11 23/02/2019

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: be-silent ที่ 18-01-2019 22:12:53

หัวข้อ: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 11 23/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 18-01-2019 22:12:53
อ้างถึง
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*********************************************************************

7REASONS เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ
ทางเดียวที่ผมจะรอด คือบอกเหตุผลของคนอยากตาย

‘มายด์’ ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะเจ็บปวดผิดหวังจากคนรักอย่าง 'วิน’

เมื่อจิตนึกคิดหลุดออกจากร่าง เขาได้พบกับ ‘ชาตะ’ ผู้คุมดวงจิตที่เสนอเงื่อนไขให้กลับไปมีชีวิตอีกครั้ง

มายด์ต้องบอกเหตุผลหนึ่งข้อที่ทำให้อยากตายภายในเจ็ดวัน แต่จะทำอย่างไรเมื่อเหตุผลของคนอยากตายไม่สมเหตุสมผลเสียที



เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ



BE SILENT



อย่าลืมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดผ่านทวิตเตอร์กันนะคะ

#เจ็ดเหตุผล



นิยายเรื่องอื่น ๆ ของ BE SILENT

[END] Who is he ? ❤ แฟนผม...คนไหน
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66603.0
[END] THAT CRAZY GUY★★★ไอ้บ้าแฟนผม
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67793.0
[END] The Faded Memory ▲ หมอกสีจาง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63162.0
[END] ◄◄◄ VILLAIN | ร้ายออกฤทธิ์ ►►►
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66336.0
Route เส้นทางการเดินรัก (Only at Fictionlog)
https://fictionlog.co/b/5b0e540e9c4f5f1b4d74e4a2
[END] ◢ ◣กลิ่นฝนฤดูหนาว◢ ◣
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68459.0

ฝากติดตามนักเขียน
ทวิตเตอร์ @BESILENT1993
เพจ https://www.facebook.com/besilentnovel/

หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 18-01-2019 22:15:21
บทนำ ผู้คุมดวงจิตระดับเมเนเจอร์


“มายด์...”

“มายด์ได้ยินมั้ย”

“ตื่นสิมายด์”

“อย่าหลับนะ”

“ได้โปรด ตื่นขึ้นมาได้มั้ยมายด์”


ใครเล่าจะไม่เคยเจอฝันร้ายยามหลับใหล ทุกครั้งที่เปลือกตาปิดสนิทและสมองพักการทำงาน ความเลวร้ายใต้จิตสำนึกมักจะย่างกายเข้ามาใกล้เสมอ ภาพดำมืด เสียงตัวเอง เสียงคนรอบตัว สัมผัสที่ไร้รู้สึก ความอึดอัดกระอักกระอ่วนวนเวียนอยู่ในสมองกระทั่งบีบรัดลงไปในขั้วใจ ปลุกความกลัว ความเกลียด ความรัก ความหลง ความรู้สึกของคุณเสียจนอยากจะหลุดพ้นไปเสียที

นั่นแหละฝันร้าย

เมื่อคุณรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในจินตนาการแสนอึดอัด คุณอาจจะพยายามหยิกตัวเองในความฝันนั่น หรือวิ่งไปเรื่อยจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในที่สุด อย่างมาก คุณก็แค่ถอนหายใจโล่งอกและทิ้งตัวหลับต่อ ครั้นถึงยามตื่นคุณจะพยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในฝัน ก่อนที่ความรู้สึกเหล่านั้นจะค่อยๆ จางหายไปโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ในที่สุดชีวิตแสนสุขของคุณจะกลับมาดีดังเดิม

แต่นี่ไม่ใช่ฝันร้าย

สำหรับการหลับใหลของใครบางคน ฝันร้ายของเขาไม่อาจหลีกหนีและตื่นขึ้นมาได้โดยง่าย เหตุเพราะมันเป็นการหลับลงอย่างมีเหตุผล และเป็นการทิ้งร่างกายไว้กับโลกใบนี้ด้วยความตั้งใจ ใครบางคนอาจจะอยากหลับลึกไปเรื่อยตามที่ใจต้องการ อยากทิ้งชีวิตแสนน่าเบื่อ และท่องเที่ยวไปในโลกแห่งความสุขที่ไม่เหงา ไม่ทรมาน ไม่ผิดหวัง ไม่เจ็บปวดใจ และไม่มีใครคนนั้นอยู่เคียงข้างกาย

ใครคนนี้อาจต้องทำความเข้าใจเสียใหม่

หากหัวใจคนเรายังเต้นในยามหลับฉันใด

การฆ่าตัวตายก็ไม่ใช่ทางออกของการหลีกหนีจิตสำนึกฉันนั้น

“ขณะนี้เวลา 23 นาฬิกา 40 นาที 45 วินาที วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 ไม่สิ 47 วินาทีแล้ว 48 49 50 โอเค ช่างมันเถอะ” เสียงหนึ่งแว่วเข้าหูชายหนุ่มที่กำลังหลับลึกและต่อสู้กับความมืดใต้ความคิดตน เปลือกตาที่ปิดสนิทย่นเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกถึงกลุ่มลมโอบล้อมทั้งยังพัดแรงคล้ายจะปลุกให้ตื่น ร่างกายเหยียดตรงไม่มีน้ำหนักถูกพัดไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างไร้แรงต้าน แม้สตินึกคิดจะพยายามบอกให้หลับต่อ แต่เสียงดีดนิ้วดังเป๊าะที่ข้างหูก็ทำให้ ‘มายด์’ เบิกตาโพลงขึ้นมาทันที

“เฮือก!” ลมหายใจหอบถี่ของชายหนุ่มดังขึ้นแข่งกับเสียงลมหวีดหวิว ดวงตาคู่กลมที่เคยเย่อหยิ่งสลดลงจนไม่เหลือเค้าเดิม กรอบหน้าเขาเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬแห่งความตกใจ หัวใจดวงเล็กๆ เต้นกลัวไม่เป็นระส่ำเมื่อภาพที่เห็นในสายตามีเสียงสีเทาคร้ามเข้มและกลุ่มลมสีน้ำเงินพัดเวียนไปมา

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ชื่อเล่นมายด์ เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2537 อายุ 24 ปี 11 เดือน 28 วัน มีชีวิตมาแล้วทั้งหมด 9,130 วัน...” เสียงชายปริศนาแสดงถึงความเบื่อหน่ายแบบเต็มขั้น เจ้าของเสียงรีบจ้อต่อไม่หยุดโดยไม่เว้นจังหวะให้มายด์ได้ทำความเข้าใจกับอะไรเลย

“นั่นใคร!” ร่างเล็กโพล่งออกไปอย่างขวัญเสีย เขายกมือขึ้นอุดหูหันมองซ้ายขวาอย่างคนนึกกลัว เสียงนั่นอยู่ใกล้ตัวจนเหมือนดังขึ้นในหู สิ่งที่เห็นไม่มีอะไรมากไปกว่าความมืดสีเทาและกลุ่มลมที่ปรากฏเป็นเกลียวสีน้ำเงิน มายด์พยายามดิ้นรนรั้งร่างกายที่กำลังไร้น้ำหนักให้กลับมาอยู่ใต้การควบคุมดังเดิม แต่แล้วน้ำเสียงทุ้มก้องเมื่อครู่กลับขึงขังขึ้นด้วยความโมโห ก่อนที่ร่างกายของมายด์จะถูกกระชากลงมากับพื้นดังอั้กใหญ่

“ฉันยังพูดไม่จบ อย่าพูดแทรกได้มั้ยเจ้ามนุษย์!”

“ใคร! ผมถามว่านั่นใคร!” แม้จะรู้สึกวูบคล้ายตกลงมาจากที่สูงแต่เขากลับไร้อาการเจ็บใดๆ นอกจากจุกแน่นที่บริเวณอก พื้นที่ตนสัมผัสก็เป็นเพียงความว่างเปล่าไม่ต่างอะไรกับกระจกกั้นอากาศ ร่างกายขาวเนียนใช้หน้ามือถดตัวไปด้านหลัง มายด์หันมองไปทั่วแต่ไม่อาจเห็นสิ่งได้นอกจากกลุ่มลมที่ติดตามดวงตาคู่กลมไปในทุกๆ ทิศ หัวใจที่อกซ้ายเต้นระรัว เขาทั้งหวาดกลัวและคิดกังวลไปต่างๆ นานา นี่กำลังฝันงั้นเหรอ แล้วทำไมความฝันของเขามันถึงได้ชัดเจนเหมือนจริงขนาดนี้

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ชื่อเล่นมายด์ เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2538 อายุ 24 ปี 11 เดือน 28 วัน มีชีวิตมาแล้วทั้งหมด 9,130 วัน… หลบหนีชีวิตด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด” เสียงทุ้มทวนคำพูดเดิมและพูดสิ่งที่ยังค้างต่อโดยไม่สนใจคำถามของมายด์ ลมล้อมร่างค่อยๆ ลอยห่างกายออกไปก่อนจะหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของมายด์ เขาจ้องมองสีน้ำเงินที่กำลังรวมตัวกันเป็นรูปด้วยอาการนิ่งงัน ไม่ใช่เพียงเพราะลมกลุ่มนั้นกำลังกลายเป็นมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ แต่อีกเหตุผลคือใจความของคำพูดที่เขาได้ยินเต็มรูหูต่างหาก

‘หลบหนีชีวิตด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด’

หลบหนีชีวิต

ยานอนหลับ

ใช่ เขาคือนายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ

และสิ่งสุดท้ายที่อยู่ในความทรงจำคือการตัดสินใจฆ่าตัวตาย

“อึก…” มายด์สะอึกขึ้นมาในลำคอเสียงดัง เขาถอยกราวรูดทันทีเมื่อเห็นเจ้าของเสียงอย่างเต็มรูปร่าง สายลมที่เคยตามติดตัวกลายเป็นชายแปลกหน้าที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มสด ดวงตาที่กำลังจ้องมองมาเป็นสีเทาหม่นคล้ายไม่มีชีวิตเข้มดุจนใจนึกกลัว ผิวขาวราวกระดาษทำให้เห็นเส้นเลือดสีครามแตกแขนงที่หลังมือชัดเจน

“ประทานโทษนะ ที่นายฆ่าตัวตายเนี่ย แค่ประชดชีวิตหรืออยากตายจริงๆ ซัดซะหมดขวด ไม่คิดเหลือเวลาให้คนวิ่งมาดูใจบ้างเหรอ ไม่เคยดูละครหลังข่าวใช่มั้ย เขาต้องกินน้อยๆ ทำหกเยอะๆ” ชายตรงหน้าพูดด้วยดวงหน้าเรียบเฉย ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นมาคล้ายจะทับถมการตัดสินใจของมายด์

“คุณเป็นยมทูตเหรอ...” มายด์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคู่กลมสลดลงมองร่างกายตัวเอง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวไม่แตกต่างอะไรกับภาพสุดท้ายที่จำได้ น้ำตาหยดแรกไหลลงมาอาบแก้มเมื่อคิดได้ว่าตนคงหมดลมหายใจเพราะอารมณ์ชั่ววูบไปแล้วจริง ๆ

“ใครจะเป็นพนักงานชั้นปฏิบัติการอย่างพวกไอ้ยมกันวะ ฟังนะ… ฉันชื่อชาตะ วันนี้มารับหน้าที่ดูแลดวงจิตที่อยากตายใจจะขาด โปรดอย่าเรียกยมทูต พอดีเป็นผู้คุมดวงจิตระดับเมเนเจอร์แล้ว… เดธ แอเรีย เมเนเจอร์” มายด์ไม่ได้สนใจการแนะนำตัวของใครทั้งนั้น เขาเอาแต่ถอยหนีโดยมี ‘ชาตะ’ เคลื่อนตัวเข้าใกล้ไม่ได้ห่าง จนท้ายที่สุดร่างกายผอมบางก็ถูกล็อกให้อยู่กับที่ด้วยเสียงดีดนิ้วเพียงครั้ง มายด์ได้แต่กรอกดวงตาไปมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด

“ตาย ตายไปแล้วจริงๆ งั้นเหรอมายด์… โอ๊ยยย อึก…” ทันทีที่ชาตะกระตุกยิ้มขึ้นความรู้สึกหนึ่งก็ตัดฉับเข้ามาตรงหน้าราวกับคนคิดสั้นได้ย้อนเวลา อาการรุนแรงลุกลามจากช่วงท้องจนถึงลำคอร้อนผ่าว ยานอนหลับเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้หลับดั่งใจหวัง ซ้ำยังสร้างความทรมานปวดแสบปวดร้อนจนอยากจะสำรอกอาเจียนออกมา

“มายด์ ทำไมทำแบบนี้ลูก ฮือออ ตื่นขึ้นมาคุยกับม้าเร็ว มายด์ มายด์อย่าทิ้งม้า ฮือออ” ภาพในดวงตามายด์ค่อยๆ ชัดขึ้น สิ่งแรกที่สะกดสายตาคือร่างกายนิ่งงันของตัวเอง ร่างกายเขาทอดตัวนอนอยู่กับเตียงไม่ต่างอะไรกับคนนอนหลับ ป๊ากับม้ากำลังโอบกอดร่างของลูกชายคนเดียวอย่างเขาไว้และร้องไห้ใจแทบขาด

“มายด์ มายด์ลูก มายด์ได้ยินป๊ามั้ย” สองมือที่ถูกตรึงแน่นพยายามจะเอื้อมคว้าไหล่ของบุพการี น้ำเสียงที่เคยสดใสพยายามจะสื่อสารว่าเขาได้ยินในทุกคำพูด แต่ไม่ว่ามายด์จะส่งเสียงออกไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาเลย

“ป่าป๊า หม่าม้า มายด์อยู่นี่ครับ มายด์อยู่นี่ไง”

“พอละ อย่าดูเยอะนักเลย ตอนตัดสินใจก็คิดไม่นานนี่ จริงมั้ย” คนที่อ้างว่าเป็นผู้คุมดวงจิตยกมือขึ้นมองเล็บตนคล้ายไม่ได้สนใจเสียงของมายด์ มนุษย์ไม่ได้ตายเร็วกันทุกคนหรอกนะ เพราะฉะนั้นนายโชคดีมากที่ไม่ต้องอยู่รอประเทศชาติเป็นประชาธิปไตย”

“ฮึก...” แม้อาการแสบร้อนในท้องจะหายไปและภาพในสายตากลับมามีเพียงสีเทาและชาตะดังเดิม แต่ภาพความสุขในชีวิตครั้งก่อนยังไหลผ่านความทรงจำของมายด์ไม่ได้หยุด ร่างกายที่ถูกตรึงติดให้อยู่กับที่สั่นเทาไม่ต่างอะไรกับลูกนกตื่นกลัวอันตราย

“เฮ้! ยิ้มหน่อยสิมายด์ สมใจนายแล้วนี่ เกิดมาทั้งทีได้ตายหนเดียวนะโว้ย ยิ้มเยอะๆ หน่อย”

“ผม… ฮึก… ผมยังไม่อยากตาย ฮือออ” ร่างกายของมายด์เป็นอิสระอีกครั้งเมื่อพูดจบ มายด์ทิ้งตัวราบไปกับพื้นและปล่อยความเสียใจไปกับความงี่เง่าของตัวเอง ร่างเล็กมองปลายเท้าของชาตะที่กำลังกลับคืนไปเป็นเพียงสายลมอีกครั้งด้วยสมองว่างเปล่าไร้ความคิด ยังมีอีกหลายอย่างในชีวิตที่เขายังไม่ได้ทำ มีอีกหลายอย่างที่จะเป็นอนาคตดีๆ แต่เขากลับทำลายทุกอย่างด้วยมือของตัวเอง ถ้ามีโอกาสย้อนกลับไปอีกครั้งแน่นอนว่าเขาจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้

ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพราะคนใจร้ายคนหนึ่ง

ไม่! มันไม่สมควรเลย!

“ยังไม่อยากตายเหรอ”

“ฮึก ฮืออออ”

“ฉันขอถามอีกทีว่าอยากตายมั้ย”

“ไม่… ผม… ผมไม่อยากตายแล้ว”

“จริงๆ ก็ยังพอมีโอกาสอยู่นะ”

“โอกาสเหรอ!” เสียงของชาตะทำให้มายด์ใจชื้นขึ้นมาทันที ดวงตาคู่กลมที่ตะบี้ตะบันร้องไห้ฉายแววสดใสคล้ายมีความหวัง มายด์ยันตัวขึ้นมองกลุ่มลมที่เคลื่อนที่ไปมาก่อนที่เสียงของชาตะจะดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ชื่อเล่นมายด์ เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2537 อายุ 24 ปี 11 เดือน 28 วัน มีชีวิตมาแล้วทั้งหมด 9,130 วัน… หลบหนีชีวิตด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด แต่ได้รับโปรโมชั่นพิเศษตามรหัส 702 นั่นคือโอกาสกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง โดยมีข้อกำหนดและขอบเขตงานคือ… นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ จะต้องแจ้งเหตุผลหนึ่งประการที่ทำให้อยากตายกับท่านชาตะผู้นี้ให้ได้ภายในเจ็ดวัน”





Talk

สวัสดีค่า ฤกษ์งามยามดีได้เปิดเรื่องใหม่ ฝากทุกคนติดตามด้วยนะคะ

ยินดีรับทุกคอมเมนต์และคำติชมเช่นเคยค่ะ

อย่าลืมพูดคุยร่วมกันที่ #เจ็ดเหตุผล นะคะ ขอบคุณมากเลยค่า



หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทนำ 18/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 18-01-2019 22:23:48
ชาตะแซะเก่ง กลายเป็นความเศร้าที่ไม่เศร้าไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทนำ 18/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 18-01-2019 23:01:26
บทที่ 1 เหตุผลที่ดีและถูกต้องที่สุดในเจ็ดวัน

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ชื่อเล่นมายด์ เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2537 อายุ 24 ปี 11 เดือน 28 วัน มีชีวิตมาแล้วทั้งหมด 9,130 วัน… หลบหนีชีวิตด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด แต่ได้รับโปรโมชั่นพิเศษตามรหัส 702 นั่นคือโอกาสกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง โดยมีข้อกำหนดและขอบเขตงานคือ… นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ จะต้องแจ้งเหตุผลหนึ่งประการที่ทำให้อยากตายกับท่านชาตะผู้นี้ให้ได้ภายในเจ็ดวัน”

ความฝันที่เลวร้ายที่สุด คือความจริงที่คุณอยากให้เป็นเพียงฝัน

มนพัทธ์ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน นาฬิกาที่ข้อมือซ้ายหยุดเดินไม่ต่างอะไรกับนาฬิกาชีวิตที่ถูกกดหยุดเอาไว้ชั่วคราว เนิ่นนานเหลือเกินที่เขาถูกชาตะพามาทิ้งไว้ในห้องพักผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล กายหยาบบนเตียงเต็มไปด้วยสายระโยงระยางและอุปกรณ์การแพทย์ ใบหน้าที่เคยดึงดูดผู้คนแทบจะดูไม่ได้ในเวลานี้ ขอบริมฝีปากแห้งผาก ขอบตาดำลึกจากการโก่งคออาเจียนหลายรอบ มายด์จำมันได้ดี ความรู้สึกทรมานยิ่งกว่าตายระหว่างที่ดิ้นทุรนทุรายก่อนหมดสติ

ดวงจิตอ่อนแรงถูกตรึงแน่นเอาไว้กับเก้าอี้ข้างเตียงด้วยอำนาจคำสั่ง มายด์ถูกบังคับให้มองร่างกายของตนเองมานานมากพอจนแน่ใจแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน การฆ่าตัวตาย ดวงจิตหลุดลอย ชาตะและเงื่อนไขการขอชีวิตคืนเป็นเรื่องจริง เขายังมีโอกาสกลับไปใช้ชีวิต ยังมีโอกาสกลับไปแก้ไขการตัดสินใจของตนเองอีกครั้ง

“ผมพร้อมจะบอกเหตุผลกับคุณแล้ว แต่คุณต้องรักษาสัญญา พาผมกลับไปเมื่อคุณได้คำตอบ” มายด์พูดขึ้นลอย ๆ หลังจากที่นิ่งเงียบมานานเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เขามองอัตราการเต้นหัวใจของตนเองบนจอแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเพดานสีขาว เขาไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ ไม่สนใจเวรกรรม ไม่ชอบร่วมกิจกรรมทางศาสนา ชีวิตหลังความตายเป็นเรื่องที่ไกลตัวและคิดมาตลอดว่าไม่มีจริง แต่ตอนนี้กลุ่มลมสีน้ำเงินที่วนเวียนอยู่รอบเตียงทำให้ได้รู้ว่าทุกอย่างล้วนมีอีกด้านของมัน

“แน่ใจใช่มั้ยว่ามีเหตุผลดีดีที่ทำให้อยากตายจริง ๆ”

“เฮือก!” จู่ ๆ ชาตะก็ปรากฏกายต่อหน้าโดยไม่บอกกล่าว มายด์สะดุ้งจนหัวใจไร้ชีวิตเต้นหอบถี่ ดวงตาคู่กลมมองเข้าไปในดวงตาสีเทาของอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าขึ้นลงทันที คงไม่มีใครคิดฆ่าตัวตายเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก การตัดสินใจของมายด์ย่อมมีเหตุที่จุกอยู่เต็มอก

“ว่าไง”

“ผมมี… ผมมีเหตุผล” มายด์เม้มริมฝีปากแน่นสนิท ชาตะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทั้งยังหรี่ดวงตามองคล้ายไม่เชื่อถือในคำพูดของมายด์สักเท่าไหร่ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นผู้คุมดวงจิตอย่างเขาก็ดีดนิ้วปลดปล่อยมายด์ให้เป็นอิสระ มายด์ลุกขึ้นยืนสุดความสูงก่อนจะหลับตาลงนิ่งเพื่อทบทวนหลายสิ่งในหัวของตนเอง

“ไหนลองว่ามาสิ” ชาตะยกมือขึ้นกอดอกรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อถึงจุดสุดท้ายของชีวิต คนเราย่อมมีเหตุผลนับร้อยข้อที่จะวิงวอนขออยู่ต่อ คงไม่ต้องสงสัยให้มากความว่าเหตุใดชาตะถึงได้ตั้งเงื่อนไขเช่นนี้กับมายด์ ‘เหตุผลที่ทำให้อยากตาย’ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนอยากมีชีวิตจะตอบคำถามข้อนี้ได้ถูกอกถูกใจผู้ดูแลวิญญาณจอมเรื่องมาก และที่สำคัญทุกโปรโมชั่นย่อมมีเงื่อนไขแฝงเสมอ

“ผม...” มายด์เกร็งไปทั้งตัวเมื่อถูกชาตะโค้งตัวลงมาจดจ้อง ดวงตาสีเทามีรอยเส้นเลือดสีน้ำเงินชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนในใจชายหนุ่มนึกประหวั่นกลัว

“อย่าลีลา”

“ผ...ผมน้อยใจพ่อแม่ ป๊ากับม้า...พวกเขาไม่เข้าใจผม!” มายด์ตวาดออกไปสุดเสียงเพราะสายตากดดันของชาตะนั้นน่ากลัวเหลือเกิน เมื่อได้ยินคำพูดของดวงจิตในกำมือ ชาตะจึงกะพริบตาเพียงครั้งเพื่อให้ดวงตาสีเทากลับไปเป็นดังเดิม อมนุษย์กึ่งเทพในชุดสูทปรบมือเป็นจังหวะช้า ๆ ก่อนจะหัวเราะร่วนออกมา

“ฮ...ฮ่า ๆ ๆ น้อยใจพ่อแม่ นายเนี่ยนะน้อยใจพ่อแม่ ฮ่า ๆ ๆ ...อย่าโกหก!”

“ผมไม่ได้โกหก”

“นายโกหกอยู่ ยอมรับซะก่อนที่จะหมดโอกาส”

“ผมไม่ได้โกหก! เหตุผลที่ผมฆ่าตัวตาย ผมย่อมรู้ดีที่สุด!”

“มนุษย์ปากไม่มีหูรูดช่างขลาดเขลานัก!” ชาตะกลับคืนสู่สถานะสายลมอีกครั้ง ลมแรงปะทะเข้ากลางอกของมายด์ในทันที ผู้คุมหอบเอาดวงจิตที่คิดโป้ปดให้เคลื่อนย้ายไปตามใจชอบ ร่างกายเบาหวิวไม่อาจควบคุมตัวเองได้เพราะตกอยู่ในอาการตื่นกลัว ภายในดวงตาของมายด์มืดสนิทจนกระทั่งวินาทีที่ลมกระชากรอบตัวหยุดลง เขาจึงได้เห็นว่าครานี้ชาตะถือวิสาสะพาเขามาที่ใด

“ที่มายด์ตัดสินใจแบบนี้ ให้รู้ไว้เลยว่ามันเป็นเพราะวิน เพราะวินคนที่เดียวที่ทำให้มายด์อยากตาย… จดหมายเขียนด้วยลายมือ เมื่อเวลา 21 นาฬิกา 32 นาที 9 วินาที วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 ลงชื่อ มายด์ มนพัทธ์ อ้อ ต้องให้บอกด้วยมั้ยว่าเขียนบนกระดาษเอสี่แปดสิบแกรม และใช้ปากกาหมึกเจลสีน้ำเงินที่ซื้อจากร้านนำเข้าของญี่ปุ่น” น้ำเสียงของชาตะนั้นยียวนชวนหัวร้อนขั้นขีดสุด ผู้คุมดวงจิตลอยหน้าลอยตาพูดขณะที่มายด์หน้าซีดเผือด ประการแรกที่ทำให้มายด์นิ่งงันคงเป็นคำพูดของชาตะที่เขาไม่มีทางเถียงได้

“ค...คุณรู้แล้วจะถามผมทำไม!”

“โธ่มายด์คนซื่อ… ที่รัก… นั่นไม่ใช่เหตุ แต่มันเป็นผลแล้วต่างหาก เพราะอะไรเหรอนายถึงตัดสินใจฆ่าตัวตายและเขียนจดหมายลาแบบนั้น”

“ผม...”

“ทำไม อายฉันรึไงถ้าจะบอกความจริงว่าฆ่าตัวตายเพราะเรื่องความรัก” และประการที่สองคงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ตรงหน้า ชาตะพาเขามายังที่นั่งหน้าห้องพักผู้ป่วยหนัก เข็มนาฬิกาหน้าห้องบอกเวลาราวตีสามกว่า ชาตะหายตัวผุบโผล่ไปนั่งข้างร่างชายคนหนึ่ง ชายคนที่มายด์จดจำได้ขึ้นใจ ชายคนที่กำลังถูกป๊าและม้าของเขายืนรุมล้อมด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงไม่ได้หยุด

“ฉันอุตส่าห์ไว้ใจให้แกดูแลมายด์ แล้วลูกชายฉันทำผิดตรงไหนน ทำไมแกถึงทำให้มายด์ต้องคิดสั้น ไม่รักมายด์ก็บอกกันดี มาทำแบบนี้ทำไม มาทำให้มายด์เสียใจทำไม! ทำแบบนี้กับลูกชายฉันทำไม!”

“บอกป๊าสิวินว่าทั้งสองคนมีปัญหาอะไรกัน ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้”

“ฉันเลี้ยงมายด์มายิ่งกว่าไข่ในหิน มดสักตัวยังไม่ยอมให้กัด เห็นมายด์รักแกนักหนาก็พยายามจะทำใจรักด้วย แต่แกตอบแทนฉันแบบนี้เหรอ ตอบสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น! ตอบฉันสิ!”

“อย่าเงียบอีกเลยวิน พูดกับป๊าเถอะ”

“ปล่อยให้มันเงียบไปเถอะป๊า คนแบบนี้อย่าให้เข้าใกล้ลูกเราอีกก็พอ”

“แต่ว่า...”

“ไอ้ชาติชั่ว!!”

“อึก...” มายด์สะอึกไปไม่น้อยเมื่อเห็นว่าฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยของแม่บังเกิดเกล้าฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของ ‘วิน’ เต็มแรง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายหันไปตามแรงกระทบและนิ่งงันอยู่แบบนั้น จดหมายลาที่มายด์เป็นคนเขียนถูกขยำรวมเป็นก้อนและโยนเข้าหาร่างกายกำยำ มายด์เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกจุกขึ้นมาเต็มอก คนที่กำลังเงยขึ้นมาช่างไร้รู้สึก ไร้การแสดงออกใด ๆ ที่สื่อถึงความเสียใจและร้อนใจ ตอนนี้… วินคงไม่รู้สึกอะไรเลยที่เขากำลังจะตาย หรือไม่แน่ ลึกลงไปในใจของวินอาจจะกำลังดีใจจนเนื้อเต้นที่ตนเองกำลังจะได้เป็นโสดอีกครั้ง

“โอ๊ะ ขอแก้ข่าวนิดนึงนะ หมอนี่ไม่ได้ชื่อชาติชั่ว เขาชื่อนายธาวิน ศิลานะ หรือวิน เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2537 อายุ 25 ปี 1 เดือนพอดีเด๊ะ อืม… เขาเป็นอะไรกับนายไม่ทราบ” เป็นครั้งแรกที่มายด์ตวัดสายจามองชาตะอย่างไม่นึกกลัว แน่นอนว่าชาตะคงจะมีคำตอบที่แน่ชัดอยู่แล้ว ที่กำลังถามเขามันก็เป็นแค่การตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บใจเล่น ถ้าตอนนี้เขายังเป็นคนและชาตะก็มีลมหายใจเหมือนกัน คงจะได้มีเรื่องชกต่อยกันสักยก

“คนรัก… ไม่สิ คนเคยรัก” มายด์มองร่างสูงที่นั่งหลุบตาต่ำด้วยหัวใจโกรธที่คับอก ป๊ากับม้าของเขาพากันเดินออกไปทิ้งไว้เพียงชายผู้เป็นที่มาของจดหมาย วินเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนไปทางหล่อเหลา แต่ผิวที่เคยขาวนั้นคล้ำแดงจากแดดเป็นผิวสองสีเมื่อตัดกับเสื้อผ้าที่นุ่งห่ม ใบหน้าที่ถูกปั้นแต่งมาอย่างดีก็เต็มไปด้วยรอยดำที่คงจะมาจากการไม่ดูแลตัวเอง ทว่าวินาทีนี้มายด์ไม่ได้สนใจองค์ประกอบเหล่านั้น เขาสนใจเพียงความนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายของวินที่ทำให้ตนยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

คิดผิดจริง ๆ ที่ฆ่าตัวตายเพราะคนแบบนี้

“แย่จังนะ คบกันมาสี่ตั้งปีกว่า เสียดายจังเลยนะวิน เป็นได้แค่คนเคยรักล่ะ นี่ถ้าตัวเองคบกับน้องชาช่า ตัวเองจะได้เป็นคนรักตลอดไปจนตายเลยนะรู้เปล่า เลือกวันตายได้ด้วยไม่อยากจะพูด” ชาตะเอียงหัวซบวินที่นั่งอยู่ข้างตัวพร้อมกับส่งสายตากวน ๆ มายังมายด์ที่ไม่มีอารมณ์ขบขันใด ๆ ในยามนี้ เสียดายจริง ๆ ที่ไม่ว่าวินหรือใครก็ไม่อาจเห็นการตอบโต้อันน่าปวดหัวของชาตะและดวงจิตในปกครอง

“คุณไม่รู้อะไร อย่าพูดได้มั้ย”

“เดี๋ยว ๆ ๆ ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย ยังแปลว่าฉันไม่รู้อะไรอีกเหรอ ว้าาา”

“ไม่รู้! คุณไม่รู้อะไรเลย!”

“แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่ารู้ ต้องอยู่ในเหตุการณ์สมัยที่นายเขาไปจีบเขาก่อนเลยมั้ยล่ะ”

“เขาเป็นเหตุผลของผม เขาทำให้ผมฆ่าตัวตาย คุณพอใจรึยัง!” มายด์กำมือแน่นระหว่างพูด ดวงตาคู่กลมมองแผ่นกระดาษที่วางอยู่กับพื้นอย่างสะท้อนใจ ถ้ามีสติสักนิด เขาคงไม่ต้องมายืนไร้ตัวตนอยู่ตรงนี้

“จริงรึเปล่าวิน รู้ตัวรึเปล่าว่าทำให้มายด์ฆ่าตัวตาย” ชาตะเกยคางบนไหล่ของวินและกะพริบตาถี่ เจ้าของดวงตาสีเทากระตุกยิ้มร้าย ๆ เมื่อเขาเห็นกลุ่มน้ำตาจาง ๆ ที่ขอบตาของชายหนุ่มใกล้ตัว ก่อนที่เขาจะพยายามเงยหน้ากักเก็บน้ำตาเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา พวกมนุษย์นี่ช่างน่ารำคาญนัก เรื่องไม่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกเนี่ยเก่งเป็นที่หนึ่ง

“คุณได้คำตอบแล้ว พาผมกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้!”

“ฉันบอกแล้วไงว่านั่นไม่ใช่คำตอบ”

“คุณยังต้องการอะไรอีก จะเอาคำตอบแบบไหน” ชาตะหายวับไปอีกครั้งก่อนที่จะปรากฏกายขึ้นข้างตัวมายด์

“คำตอบที่ถูกต้องคือทำไม… ไม่ใช่ใคร”

“แล้ว...”

“นายมีเวลาหาเหตุผลที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดในเจ็ดวัน เหตุผลนั้นนายจะต้องมั่นใจ และต้องพิสูจน์ได้ว่าจริงอย่างไม่มีข้อค้านใด และที่สำคัญในหนึ่งวันนายมีโอกาสตอบได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ฉันจะให้โอกาสโดยไม่นับคำตอบที่นายโกหกเมื่อกี้ เข้าใจมั้ย”

“ไม่เข้าใจ ข้อค้านคืออะไร ใครจะบอกผมได้ว่าค้านหรือไม่ค้าน”

“นี่ฉันต้องไปเปิดพจนานุกรมมาตอบนายรึเปล่า”

“แล้วถ้าคุณไม่แฟร์กับผมล่ะ”

“ตกลงจะเอายังไง จะยอมเข้าใจกติกาของฉัน หรือตาย ๆ ไปเลยดี”

“เข้าใจ… ผมเข้าใจแล้วก็ได้” มายด์มองวินด้วยความโกรธกรุ่นอกที่ไม่ต่างจากเดิม เหตุผลที่เกิดจากวิน เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาฆ่าตัวตาย เหตุผลที่เขาแน่ใจ มันไม่ได้ยากอะไร และแน่นอนว่ามายด์มั่นอกมั่นใจว่าเขาจะไม่ใช้เวลาถึงเจ็ดวัน

ความจริงที่ไม่มีข้อค้านใด

งั้นก็คงต้องใช้เหตุผลที่มั่นใจที่สุดสินะ

“หวังว่าในหัวของนายจะเหตุผลดี ๆ และหวังว่านายจะได้มีชีวิตต่อไป” ชาตะกดปลายนิ้วชี้ลงที่ขมับของมายด์ เส้นเลือดสีน้ำเงินไหลผ่านเรียวนิ้วของชาตะเข้าสู่ร่างของมายด์และไหลกลับไปยังร่างตนราวกับผูกพันธสัญญากันอย่างเป็นทางการ

“ผมตอบเลยได้มั้ย”

“หืม แน่ใจนะ ไม่กลัวว่าจะเสียวันแรกไปโดยเปล่าประโยชน์รึไง”

“ยิ่งกว่าแน่ใจ” มายด์ยิ้มบางเพราะยังไงซะเหตุผลข้อนี้จะต้องทำให้เขารอดตายได้แน่ ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะมั่นใจได้เท่านี้เพราะมันคือความจริงที่ตัวมายด์เองรู้ดีกว่าใคร

“ถ้างั้นว่ามา” ชาตะยืนกอดอกรอฟังและมองตามไปยังวินเช่นเดียวกับมายด์

“เราไม่ควรรู้จักกันตั้งแต่แรก ที่ผมเจ็บมากเพราะเขาไม่เคยอยากรู้จักผม มันคือต้นเหตุ ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด” สิ้นคำพูดของมายด์ ในใจของผู้คุมมีแต่ความกระหยิ่มยิ้มย่อง ประโยคยาวเหยียดนั่นไม่ได้กำกวมแต่อย่างใด เพราะตอนนี้มายด์กำลังพาชาตะกลับไปยังเรื่องราวดังคำกล่าว นิ้วที่สัมผัสขมับของมายด์เมื่อครู่ส่งผ่านความทรงจำดังกล่าวได้อย่างละเอียดยิบ ดวงตาโกรธจัดระคนเศร้าขึ้นมาเมื่อยามนึกถึงเรื่องราวที่ไม่เคยลืม

เหตุผลข้อแรกของคนอยากตายเริ่มต้นขึ้นแล้ว





“มายด์ ไอ้วินของมึงมาแล้ว”

“ไหนวะ”

“นู่นไง เดินหน้าไม่รับแขกมานู่น” มายด์ในวัยยี่สิบปีมีหน้าตาสดใสขึ้นทันทีเมื่อ ‘เจมส์’ เพื่อนสนิทชี้ไม้ชี้มือให้เขามองวินเพื่อนร่วมชั้นปีที่โดดเด่นเรื่องมนุษยสัมพันธ์แย่เป็นที่สุด วิน ธาวิน หนุ่มหล่อจอมหยิ่งจากเอกวิชาภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครนักนอกจากกลุ่มเพื่อนสนิท แตกต่างกันกับตัวเขา มายด์ มนพัทธ์ เอกการแสดง ผู้ชายเฟรนด์ลี่สายน่ารักที่ใคร ๆ ก็รู้จัก

“ไม่เจอกันตั้งนานแน่ะ” มายด์ยิ้มกว้างมองวินจากมุมของตน เขาชอบผู้ชายคนนี้ เรื่องรสนิยมทางเพศไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง เพราะตัวเขาเองก็มีผู้ชายเข้าหาไม่เว้นแต่ละวัน ทว่าหนึ่งเดียวในใจกลับเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดและแทบไม่เคยได้ทำความรู้จักกันอย่างวิน ร่างกายสูงกำยำผิวขาวเหลืองบวกกับหน้านิ่ง ๆ ยิ่งทำให้เขาหลงใหลชายคนนี้จนแทบคลั่ง

“กูถามจริงเหอะมายด์ จะมองมันแบบนี้ไปอีกนานป่ะ กูเห็นมึงกล้าพูดกล้าทำทุกอย่าง กับอีแค่เข้าหาไอ้วินเนี่ยทำไมทำไม่ได้วะ”

“ไม่รู้ดิ กูกลัวเสียเพื่อนมั้ง” มายด์พูดสั้น ๆ ระหว่างที่มองตามวินทุกฝีก้าว ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งม้าหินอ่อนใต้ตึกขณะไม่ไกลจากจุดที่มายด์และเจมส์นั่งเท่าไหร่นัก

“อย่างกับมึงเคยเป็นเพื่อนกับมัน”

“เออ ช่างกูเหอะน่า”

“กูพูดจริง ๆ นะมายด์ ถ้าวันนี้มึงไม่เข้าหามัน กูจะเดินไปบอกมันเองจริง ๆ ด้วย” เจมส์ดึงปึกกระดาษที่มายด์พยายามยกขึ้นมาปิดหน้า น่าเบื่อเหลือเกินที่ต้องทนเห็นเพื่อนสนิทมีอาการแบบนี้มาเป็นแรมปี

“เชี่ยเจมส์ ไรของมึงเนี่ย”

“มึงต้องรุกได้แล้ว ไม่งั้นก็เลิกชอบมันไป”

“ไม่ได้นะ กูชอบวิน และกูไม่มีทางเลิกชอบวินแน่” กลุ่มคนตรงนั้นยกมือขึ้นแปะกันคล้ายมีเรื่องน่าดีใจ แก้มของคนมองเริ่มแดงเถือกเมื่อเห็นรอยยิ้มแรกที่มุมปากของวิน อยากรู้จังว่าเพื่อนวินพูดด้วยประโยคแบบไหนและพูดถึงเรื่องใดกันอยู่ เขาถึงได้ยิ้มออกมาแบบนั้น

“แล้วยังไง จะแอบชอบมันต่อ ไร้สาระว่ะมายด์ คนอย่างมึงไม่น่ามาตกม้าตายกับเรื่องแบบนี้”

“มึงไม่เข้าใจกู” โดยปกติเขาไม่ใช่คนเขินอาย ออกจะเป็นคนพูดจาตรง ๆ ปากกล้าและมุทะลุด้วยซ้ำ แต่นิสัยปกตินั้นใช้ไม่ได้กับวิน ความรู้สึกตัวร้อนหน้าแดงทุกครั้งที่เจอทำให้ความเป็นมายด์แทบจะหายไปหมด

“เออ กูไม่เข้าใจมึงเลย คนจีบเป็นร้อย แม่งมองแต่ไอ้สากกะเบือนั่น” มายด์ไม่ได้สนใจคำพูดประชดประชันของเพื่อนอีก สิ่งเดียวที่เจ้าตัวสนใจก็คือวินคนนั้น ธาวินที่ไม่อาจละสายตาไปได้เสียที คงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าครั้งหนึ่งเขาจะได้เป็นรอยยิ้มของวินบ้าง แค่สักครั้งที่ทำให้วินยิ้มได้แบบนั้น แค่ครั้งเดียวก็ยังดี

“ขอเวลากูหน่อยน่า”

“จะเอาเวลาเยอะแค่ไหนล่ะ เห็นเขาว่ากันว่าน้องเหม่เหมดาวปีหนึ่งเข้าหาไอ้วินถี่ยิบเลยนะช่วงนี้”

“ห่ะ!” มายด์ร้องห่ะเสียงดังเมื่อคำพูดของเจมส์ไม่ต่างกับการเย้ยหยัน ผู้เป็นเพื่อนสนิทยักคิ้วรัวพลางบุ้ยปากให้เขามองไปยังดาวคณะวัยกระเตาะที่นั่งอยู่อีกมุม สายตาของเหม่เหมที่มองตรงไปยังวินไม่ต่างกับมายด์เลยสักนิด งานนี้แทบไม่ต้องสืบ เธอต้องมีเป้าหมายเดียวกับเขาแน่

“โอ๊ะ นี่เพื่อนกูไม่รู้เหรอเนี่ย” เจมส์แทบจะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของเพื่อนตัวเอง เขาเก็บรวมของบนโต๊ะลงกระเป๋าก่อนจะคว้าข้อมือมายด์ให้ลุกขึ้นยืนตามกัน

“ทำไมมึงไม่บอกกู”

“ก็นึกว่ารู้แล้ว”

“ถ้ากูรู้กูจะอยู่เฉยมั้ยล่ะ” มายด์หันมาหงุดหงิดใส่เพื่อน เขาคว้ากระเป๋าตัวเองขึ้นมาบ้างก่อนจะยัดข้าวของตนลงไปโดยไม่ละสายตาจากวินเลย ตอนนี้เพื่อนของวินอีกสามสี่คนเดินออกไปจากโต๊ะ ทิ้งไว้เพียงจอมหยิ่งที่ก้มมองโทรศัพท์ไม่สนใจใคร

“ช่างเถอะ มึงยังต้องใช้เวลารวบรวมความกล้านี่ งั้นเราไปเรียนกันดีกว่าเพื่อนรัก เดี๋ยวน้องเหม่เหมก็คงจะมาชวนไอ้วินคุย น้องคนนี้โคตรเด็ดเลยนะเว้ย เขาว่าตกผู้ชายได้แทบจะทั้งคณะอยู่แล้ว อีกไม่นานมึงอาจจะตกแชมป์มายด์คนฮอต” สิ้นคำพูดของตนเจมส์ก็ยิ้มสะใจขึ้นมา เขาได้ปลุกสัญชาตญาณตัวตนของมายด์ออกมาเรียบร้อย คนหัวร้อนใจเร็วด่วนได้ก้าวขาฉับ ๆ เข้าไปหาเป้าหมายโดยไม่ต้องรีรออีกต่อไป ความเขินอายถูกซ่อนเก็บเอาไว้ภายใต้ใบหน้ามุ่งมั่นจริงจัง คนอย่างมายด์น่ะ ถ้าถูกกระตุ้นแล้วล่ะก็ ถึงไหนถึงกัน

“ขอโทษนะ… วินปะ” ไม่น่าเชื่อว่ามายด์จะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามวินโดยไม่เคอะเขิน แต่นั่นมันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้นเพราะในใจเขามันเต้นโครมครามจนแทบคุมไว้ไม่อยู่ เจ้าของดวงตาคู่คมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ก่อนจะหันหน้ามองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าตนกำลังมีคู่สนทนาอยู่

“อือ”

“เพื่อนวินไปไหนหมดแล้วอะ” มายด์โยกตัวไปมาเพราะถึงจะดูมั่นอกมั่นใจกับคำพูดตนแต่ลึก ๆ ก็ยังประหม่าอยู่ดี แล้วดูสิ มีอย่างที่ไหนเปิดบทสนทนาด้วยการถามว่าเพื่อนเขาไปไหนเนี่ยนะ

“บนตึก”

“แล้ววินไม่มีเรียนเหรอ”

“ไม่”

“ตอบสั้นจัง” มายด์ส่งเสียงงุ้งงิ้งคล้ายน้อยอกน้อยใจที่คู่สนทนากำลังเมินเฉย วินที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองจอเหลือบมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มแต่เอาเรื่องตรงหน้าเพียงนิด

“มีอะไร” วินปิดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ เหลือบมองสองมือของมายด์ที่บิดรวมกันเป็นเกลียวอยู่บนโต๊ะ เขาเงยขึ้นพร้อมกับนั่งหลังตรงมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่นิ่งเฉย มายด์เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตีความเอาเองว่าวินคงเบื่อหน่ายเต็มทน ก็เกือบจะถอดใจแล้วล่ะ ถ้ามายด์ไม่มองผ่านไหล่ของวินไปแล้วพบกับใบหน้าของรุ่นน้องดาวคณะที่นั่งอยู่ไม่ไกล

“เปล่า คือ...”

“คือ...”

“เราชื่อมายด์นะ เอ่อ…”

“มายด์เอกการแสดง รู้จัก” ได้ยินเพียงเท่านั้นดวงตากลมโตของมายด์ก็เบิกขึ้นทันที ริมฝีปากที่มุ่ยเพราะเป็นกังวลอยู่เมื่อครู่ฉีกออกจนเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง ทว่าคู่สนทนาที่มายด์ตั้งใจเข้าหากลับทำเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ จนมายด์แทบจะใจเสียอีกครั้ง

“วินรู้จักเราด้วยเหรอ” มายด์พูดทั้งรอยยิ้ม และพยายามคุมเสียงของตนเองไม่ให้ดูดีใจจนเกินเหตุ

“แค่ชื่อทำไมจะไม่รู้ ใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินชื่อนาย”

“แล้วทำไมวินไม่ทักเราบ้างอ่ะ”

“รู้จักแค่ชื่อ ต้องทักเหรอ”

“เราก็รู้จักวินแค่ชื่อ เรายังมาทักเลย”

“เหรอ” คำว่าเหรอของวินมันช่างเย็นชาสิ้นดี มายด์พยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาแข็ง ๆ คู่นี้ แต่แล้ววินกลับส่ายหน้าและหันมองทางอื่นเหมือนคนรำคาญใจ แถมยังตอกย้ำด้วยการพ่นลมหายใจระลอกออกมา มายด์เริ่มขมวดคิ้วอารมณ์เสียเหมือนเด็กถูกขัดใจ ที่เขาไม่อยากจะเข้าหาวินก็เพราะรู้สึกเขินอายและกลัวอีกฝ่ายจะไม่โอเค แต่ก็ไม่คิดว่าจะแสดงท่าทีรังเกียจออกมาชัดเจนแบบนี้ ร่างเล็กพยายามสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด ตั้งสติของตนเอาไว้ให้มั่น ถ้าไม่ติดว่าลึกในใจแอบชอบคน ๆ นี้มานาน มายด์คงจะลุกขึ้นโวยวายไม่ไว้หน้าไปแล้ว

“แล้ววินจะไปไหนต่อ”

“กลับหอ”

“เอ่อ… เออ วินรู้เรื่องละครเวทีปลายปีรึยังอ่ะ วินไปทำด้วยกันมั้ย เราอยากได้คนเบื้องหลังอยู่พอดี” มายด์ตาลุกวาวขึ้นเมื่อตนหาเรื่องคุยขึ้นมาจนได้ แต่มันก็แค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้นล่ะ เพราะไม่ว่าบทสนทนาไหน ๆ ของเขามันก็แทบไม่มีประโยชน์

“ไม่ล่ะ เราไม่ชอบ”

“แล้ว...”

“ไม่มีเรียนรึไง” คำพูดนิ่ง ๆ ของวินทำให้มายด์หุบปากแทบไม่ทัน ความรู้สึกที่เหมือนโดนไล่กลาย ๆ ทำให้ร่างบางพยายามกดอารมณ์หงุดหงิดเอาไว้ในใจอีกครั้ง

“ขอโทษนะ นี่เรามากวนวินใช่ปะ”

“ก็ไม่นะ เฉย ๆ” ให้ตายเถอะ น้ำเสียงของร่างสูงมันไม่ได้ล้อเล่นหรือยียวนเลยแม้แต่น้อย มันคือความจริงใจหน้าตายที่ก่อกวนหัวใจของมายด์จนอารมณ์ตีกันไปหมด นี่สินะ วิน ธาวินจอมหยิ่งของคณะ ถึงจะทำให้รู้สึกเสียหน้าและโมโหได้มากขนาดนี้ แต่มันก็ยังเป็นเสน่ห์ที่ทำให้มายด์เลิกหลงไม่ได้อยู่ดี

“วิน ที่เราตั้งใจเข้ามาทักก็เพราะ...”

“กลับหอก่อนนะ” วินลุกขึ้นโดยไม่คิดจะสบตาคนที่กำลังรวบรวมความกล้าขั้นสุดท้าย แอบชอบมาเป็นปี ๆ แล้วคนอย่างมายด์จะมาตายน้ำตื้นในวันที่ตัดสินใจพุ่งชนได้ยังไงกัน

“วิน! เราชอบวิน! จีบได้ปะ!” มายด์พูดออกไปเต็มเสียง ชายที่กำลังลุกขึ้นยืนไม่ได้สะดุ้งสะเทือนหรือมีปฏิกิริยาใดตอบรับกลับมา มีเพียงการนิ่งงันไปชั่วครู่ชั่วคราวก่อนที่เขาจะยืนขึ้นสุดความสูงเท่านั้น เพราะส่วนสูงที่มากกว่าทำให้วินต้องมองต่ำเพื่อดูหน้าแดง ๆ ของมายด์ให้เต็มตา ชายร่างสูงยกยิ้มก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่งสนิทเพราะคำพูดสุดท้าย

“เหรอ”

“แม่งเอ๊ย! เหรอ ๆ ๆ พูดเป็นแค่นี้รึไง! ไม่ได้อยากรู้จักอะไรนักหนาหรอก ไอ้ก้อนหิน!” มายด์มองตามแผ่นหลังของวินที่กำลังเดินจากไป หน้าของเขามันชาจนแทบจะไปไม่เป็น ดวงตาคู่กลมหงุดหงิดทั้งยังตึงจนปวดหนึบ ริมฝีปากติดจะแดงถูกกัดย้ำด้วยแผงฟันของตนเองอยู่แบบนั้น คนอย่างมนพัทธ์ไม่เคยง้อใคร ชีวิตของเขาพร้อมสรรพ รูปร่าง หน้าตา ชื่อเสียง เงินทอง ความรู้ หรือแม้แต่การมีผู้คนรุมล้อม แล้วทำไมกันนะ ทำไมคนอย่างเขาจะต้องมาแคร์ มาสนใจผู้ชายที่ไม่คิดแม้แต่จะชายตาแล

ทำไมกันนะ

ทำไมตอนนั้นถึงคิดไม่ได้ว่าควรหยุดทุกอย่างเอาไว้ตรงนั้น

ทำไมถึงคิดไม่ได้ว่าวินไม่ได้อยากรู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย

ทำไมถึงคิดไม่ได้ว่าพวกเขาไม่ควรมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน





เหตุผลข้อที่ 1 เราไม่ควรรู้จักกัน คุณไม่อยากรู้จักผม ผมจึงอยากไปจากคุณ





Talk

มาแล้วค่าสำหรับบทที่ 1 คงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวอย่างเป็นทางการ สำหรับเรื่องเจ็ดเหตุผลจะเป็นเรื่องที่เล่าพาร์ทอดีตกับพาร์ทปัจจุบันไปพร้อมกัน โดยจะสลับกันเล่าผ่านตัววินและมายด์เพื่อให้ได้เห็นความคิดที่แตกต่างกันของทั้งสองคน เพราะงั้นเลือกทีมกันดี ๆ นะคะ เป็นความยากอีกเรื่องที่ต้องเสี่ยงกับตัวละครที่มีนิสัยเฉพาะตัว ฝากด้วยค่า ส่วนแตงเองขออยู่ทีมชาตะ รักนาง 5555555

อย่าลืมติดตาม มายด์จะได้กลับมามีชีวิตมั้ย เหตุผลอะไรกันแน่ที่ทำให้ฆ่าตัวตาย รอลุ้นไปพร้อมกันค่ะ

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกวิว และทุก ๆ คนเช่นเคยนะคะ อยู่เป็นกำลังใจกันไปจนจบเรื่องเลยนร้า
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 1 18/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-01-2019 01:29:36
 :z3: นั่นสินะ ควรจะหยุดตั้งแต่ต้นเลยมั้ย
มายด์จะได้ไม่ต้องเจ็บแบบนี้...ไม่ต้องมากินยาฆ่าตัวตายแบบนี้ แถมกินหมดกระปุกเสียด้วย ไม่เหลือให้คนอื่นได้กินต่อมั่งเลย..งกนะเรา !!
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 1 18/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 21-01-2019 21:34:08
บทที่ 2 คนปากแข็งเก็บความรู้สึกช่างน่าเบื่อ

เหตุผลข้อที่ 1 เราไม่ควรรู้จักกัน คุณไม่อยากรู้จักผม ผมจึงอยากไปจากคุณ



“การเข้าหาก่อนนี่เป็นเทคนิคที่ดีนะ เสียดายที่นายโดนเมินเฉยไปหน่อย แต่ยังไงซะฉันก็ขอชื่นชมด้วยใจจริง เก่งมาก… เหรอ” แปะ! แปะ! แปะ! ชาตะปรบมือเป็นจังหวะช้า ๆ เมื่อเห็นภาพในหัวของมายด์จนหมดสิ้น มายด์แทบจะล้มลงกับพื้นคล้ายกับโดนสูบแรงกำลัง เมื่อครู่ ความทรงจำของเขาย้อนกลับมาเป็นคำตอบราวกับเกิดเหตุขึ้นจริง ๆ ตรงหน้า รอยยิ้มค่อย ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าน่ารักแสนเย่อหยิ่ง มายด์ตวัดสายตามองชาตะเพื่อทวงข้อสัญญาในทันที คำตอบแรก คำตอบที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด คำตอบที่มายด์เลือกมาใช้เพราะแสนจะมั่นใจ ถ้าเขาไม่ต้องรู้จักกับวินตั้งแต่แรก วันนี้มันคงไม่เกิดขึ้น

“ได้คำตอบแล้ว พาผมกลับเข้าไป ผมต้องการชีวิตผมคืน” มายด์ทำท่าจะก้าวขากลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยหนักซึ่งมีร่างของเขานอนไม่ได้สติ แต่ทว่าสองขากลับแข็งทื่อไม่อาจเคลื่อนไหวเพราะการตวัดดวงตาเพียงครั้งของชาตะ มายด์สบถฟึดฟัดเสียงเบาและเริ่มหงุดหงิด

“อย่าใจร้อนสิมายด์”

“ทำไม คุณได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วนี่ คิดจะเล่นตุกติกรึไง! บ้าเอ๊ย!”

“หืม”

“เฮงซวย! รักษาสัญญาสิวะ!”

“ใครเฮงซวย”

“ยังมีหน้ามาถามผมอีกเหรอ!”

“นี่ฉันยังไม่ได้เตือนใช่มั้ย… ว่าอย่าขึ้นเสียงกับท่านชาตะ!” สิ้นเสียงเข้มของชาตะมายด์ก็เริ่มบิดตัวงอจนล้มลงไปกับพื้น ดวงตาคู่กลมมีน้ำใสเอ่อออกมาเมื่อความรู้สึกเมื่อหลายชั่วโมงก่อนย้อนกลับมาจนทำให้ร่างที่เป็นเพียงดวงจิตเจ็บปวดเหลือคณา ยาที่กินเข้าไปไม่ได้ทำให้ง่วงเบลอและหลับไปจนสิ้นชีวิตอย่างที่คาด กลับกันร่างกายที่พยายามปกป้องตนเองไม่ให้ตายนั้นเอาแต่ขับสารพิษออกมาจนรู้สึกเข็ดหลาบกับความทรมาน ความแสบร้อนภายในท้องไหลรวมขึ้นจุกที่คออย่างรวดเร็ว มายด์กดมือลงไปกับท้องและโก่งคออ้วกทั้งที่ไม่มีสิ่งใดหลุดออกมานอกจากกลุ่มควันสีน้ำเงินดำ

“อึก… ชา...ชาตะ”

“ทำไม”

“ย...ยอมแล้ว”

“ยอมอะไร”

“ไม่เอา… ไม่เอาแบบนี้” มายด์พยายามยกสองมือขึ้นพนมตรงหน้าเพราะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจนแทบทนไม่ไหว ความรู้สึกร้องขอว่าหากเจ็บปวดเจียนตายขนาดนี้ ก็ขอตายไปจริง ๆ เลยดีกว่า

“จำไว้อย่าใช้นิสัยมนุษย์กับฉัน” ชาตะขยิบตาเบา ๆ กลุ่มควันไหลออกจากริมฝีปากบางจนเหมือนสิ้น อาการของมายด์ค่อย ๆ ทุเลาลงก่อนจะหายเป็นปลิดทิ้ง

“ข...เข้าใจแล้ว”

“เข้าใจแล้วก็ดี จะได้คุยกันง่าย ๆ ชาตะคนนี้ไม่ได้ใจดีตลอดหรอกนะ แล้วแต่อารมณ์ ทรงผม และสภาพอากาศ” ชาตะยิ้มตาหยีคล้ายเป็นมิตร มายด์พยักหน้าเข้าใจอย่างจำยอม เพราะเขาคงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากอยู่ใต้อำนาจที่จะทำให้กลับไปมีชีวิต

“ผมขอโทษ… จะไม่… จะไม่ขึ้นเสียงใส่”

“โอเค งั้นเรามาว่ากันต่อ งานวันนี้ของฉันจะได้จบ ๆ อยากพักผ่อนจะแย่ ช่วงนี้เน็ตฟลิกซ์มีซีรีส์เข้าใหม่ด้วย ไม่อยากพลาด เห็นเขาว่าเรื่องนี้พระเอกตายตอนจบ นายดูรึยัง ถ้ายังจะได้ไม่สปอย” มายด์รูดปากแน่นสนิททั้งที่คิดบ่นอุบอิบอยู่ในใจ เป็นเทพ เป็นซาตาน เป็นผู้คุมวิญญาณประเภทไหนถึงได้พูดจาด้วยน้ำเสียงน่ากระทืบแบบนี้ แล้วจะไม่ให้เขาหัวร้อนใส่ได้ยังไง เหอะ อดทนเอาไว้มายด์ อีกไม่กี่นาทีเรื่องมันจะจบ นายจะกลับไปตื่นบนเตียงนั่น และนี่จะกลายเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น

“มายด์… บ่นอะไร ฉันได้ยินนะ”

“ผมขอโทษ! ไม่เอาแล้วนะ ไม่เอาแล้ว” ร่างเล็กพยายามยันตัวเองขึ้นจากพื้นระหว่างที่หอบระทวย สองมือปัดป่ายไปทั่วเพราะกลัวชาตะจะเล่นงานเอาอีก แต่อมนุษย์ในชุดสูทกลับทำเพียงกลอกตามองบนและขยิบตาซ้ายทีขวาทีเท่านั้น

“ก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นเหมือนกัน”

“ค...คุณคิดจะทำอะไรอีก” การขยิบตาของชาตะทำให้วิบากกรรมของมายด์ยังไม่จบสิ้น ลมกลุ่มใหญ่กระชากตัวเขาให้ไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าวินอย่างไม่มีทางเลือก มายด์นิ่งไปเมื่ออยู่ใกล้วินแค่คืบ แผงฟันสีขาวสบกันแน่นเมื่อเห็นใบหน้าทรุดโทรมใกล้ ๆ ยิ่งเห็นว่าวินนิ่งมากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวดและอยากจะโวยวายใส่คนตรงหน้าด้วยความโมโห ถ้าจะไร้รู้สึก ถ้าจะไม่ห่วงกันจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม จะมารับรู้ทำไมว่าเขาจะเป็นหรือตาย

“พิสูจน์”

“พิสูจน์อะไรอีก ผมบอกเหตุผลของผมกับคุณไปแล้ว”

“มายด์ต้องหัดใจเย็นบ้างใช่มั้ยครับวินนี่… อือหึ… ไม่เป็นไรนะชาช่าเข้าใจ” เพราะทั้งร่างถูกบังคับไม่ให้ขยับเขยื้อน มายด์จึงทำได้เพียงเหลือบหางตามองชาตะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ วิน ผู้คุมดวงจิตยิ้มปริ่มก่อนจะเอื้อมมือกอดคอและลูบชั้นผมของวินราวกับคิดจะปลอบใจ

“ชาตะ ผมขอร้อง ผมอยากกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง ได้โปรด” มายด์พยายามกดอารมณ์ตนให้ราบเรียบ เอ่ยกับชาตะด้วยความใจเย็น ทว่าท้ายที่สุดแล้วมายด์กลับโดนบังคับดวงตาให้จ้องตรงไปเบื้องหน้า และธาวินก็ค่อย ๆ เงยใบหน้าก้มงุดขึ้นมาราวกับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มายด์ได้แต่สั่งตัวเองให้หลีกหนีจนรู้สึกเกร็งไปทั่วทั้งกายจิต กระทั่งวินาทีนั้น วินาทีที่ทั้งคู่สบมองกัน ความดื้อรั้นของมายด์ก็อ่อนยวบลงทันที

“มาเถอะวิน… พิสูจน์ให้เห็น ๆ กันไปว่าเหตุผลที่มายด์พูดมามันจริงหรือจ้อจี้ ฮ่า ๆ ๆ” กลุ่มลมสีน้ำเงินพัดกรรโชกระหว่างที่วินและมายด์ยังสบมองกันนิ่ง เสียงหัวเราะของชาตะดังก้องสะท้อนทั่วบริเวณ คนยังมีชีวิตไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรจึงได้แต่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้า แต่ดวงจิตดวงเล็กกำลังสั่นไหวเพราะความกลัวที่ระรัวขึ้นมา ภาพในตาตัดไปตัดมาอยู่หลายครั้ง คล้ายกับว่าตอนนี้มายด์กำลังเห็นภาพที่วินเห็น จนกระทั่งภาพทั้งหมดในดวงเนตรถูกแทนที่ด้วยความทรงจำของใครอีกคน





“มึงดูคุณหนูมายด์มองไอ้วินดิ ถ้าจับกลืนลงท้องได้คงทำไปแล้ว”

“เออ กูนับวันรอมานานแล้วว่าเมื่อไหร่มันจะบุก หรือจะปล่อยให้เพื่อนเราตายด้านไปเฉย ๆ”

“หรือมึงจะรุกไปเลยไอ้วิน รู้สึกพิลึกฉิบหายเวลาเห็นไอ้คุณหนูมายด์ทำท่าเหนียม ๆ อาย ๆ แบบนั้น กูยังจำตอนปีหนึ่งได้ ตอนที่มันเข้าไปจีบรุ่นพี่ก่อน ระริกระรี้ฉิบหาย”

“พวกมึงไม่น่าไปพูดถึงเขาแบบนั้น” วินพูดขึ้นขณะทรุดตัวลงนั่งม้าหินอ่อนใต้ตึกขณะ หางตาเขาเหลือบมองมายด์และเพื่อนซึ่งนั่งอยู่เยื้อง ๆ กัน เมื่อครู่เป็นบทสนทนาที่เอ่ยถึงมายด์จากปาก เพิร์ธ หนุ่ม และเขม กลุ่มเพื่อนสนิทของเขา ใคร ๆ ก็เดาออกกันทั้งนั้นว่ามายด์จอมเหวี่ยงหมายตาจอมหยิ่งอย่างวินเอาไว้

“เอาเว้ย เดี๋ยวนี้มีปกป้องว่ะ” เพิร์ธทุ้งศอกใส่เอวของวินเต็มแรง

“กูเปล่าสักหน่อย”

“ถ้าเปล่าก็ดี กูรำคาญฉิบหาย คนนะเว้ยไม่ใช่ปลากัด มองกันไปกันมามันจะได้อะไรขึ้นมา มึงลองเข้าหามันไปเลยมั้ย จะได้จบ ๆ” เมื่อเพิร์ธพูดจบ ทุกคนก็เริ่มจับอากัปกิริยาของร่างสูงโดยไม่ได้นัดหมาย วินน่ะถึงจะไม่ค่อยแสดงออกแต่ก็จับพิรุธได้ไม่ยาก

“ไม่”

“ทำไมวะ” หนุ่มเหวเสียงออกมาอย่างเสียดาย

“ไม่ทำไม ไม่ก็คือไม่”

“น่าเสียดายนะเว้ย มายด์นี่ตัวท็อปชัด ๆ ใครก็จ้องจะแดก มีมึงนั่นแหละที่รู้ตัวว่ามันชอบแล้วเสือกนิ่ง แม่งอาจจะรอมึงทักก่อนอยู่ก็ได้” เพิร์ธย้ำอีกครั้ง ชายหนุ่มลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ได้สนใจอะไรทั้งที่ในใจอยากให้การยุยงของตัวเองสำเร็จผลเสียที ใช่ว่าวินเองจะไม่มีผู้หญิงหรือหนุ่มน้อยเข้าหา แต่ก็ไม่เคยมีใครอดทนความนิ่งของวินได้เกินสามวันสักคน ก็เห็นจะมีแต่มายด์ที่ลอบมองวินเหมือนคนเสพติดอยู่ไม่เลิก

“เขาเคยพูดเหรอว่าชอบกู”

“ก็ไม่เคย แต่พวกกูสามคนฟันธง ใช่มั้ยไอ้เขม ไอ้หนุ่ม” ชายทั้งสามพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกัน วินถอนหายใจเบา ๆ และยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทเช่นเดิม

“เหรอ”

“หรือมึงไม่ชอบมันแล้ว” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของเขมเรียกสายตาดุ ๆ จากคนหน้านิ่งได้ในที่สุด กลุ่มเพื่อนเหลือบมองกันอย่างพอใจ วินพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สนใจสายตาของมายด์ที่มองมา สองมือที่วางอยู่บนโต๊ะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอย่างคนไม่มั่นใจ ใช่… ก็คงเป็นแบบนั้น คำพูดของเขมนั้นตีความได้ไม่ยาก และคำตอบก็หาได้ไม่ยากเช่นกัน

“ไม่”

“ไม่คืออะไร ไม่ชอบเขา หรือไม่ได้เลิกชอบ” เขมย้อนถาม โดยมีหนุ่มคอยถามซ้ำเพื่อเร่งเอาคำตอบจากคนปากหนัก

“เออ เอาไง ถ้ามึงไม่ตอบ กูจะเปิดทางให้น้องเหมเหม่เข้าหามึงง่าย ๆ แล้วนะ” หนุ่มพยักพเยิดหน้าไปอีกมุมหนึ่งของโถงกว้างใต้ตัวตึก น้องเหมเหม่คนสวยที่เขาออกจะเสียดายหากวินพลาดไป แต่ช่วยไม่ได้ก็ไอ้เพื่อนเขาคนนี้มันเหมือนคนตายด้านทางความรู้สึก ใครเข้ามาหาก็ทำทีรำคาญไปเสียหมด แถมยังไปฝังใจกับใครคนหนึ่งเข้า นี่ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาทั้งสามต่างมีแฟนเป็นตัวเป็นตนคงจะใช้โอกาสนี้คว้าดาวคณะไปแล้ว แต่ในเมื่อความจริงมันไม่ใช่ จึงทำได้แค่เพียงเป็นไม้กันหมาให้วินเท่านั้น

“ไม่ได้ไม่ชอบ...” สิ้นน้ำเสียงแผ่วเบารอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดออกมาจากใบหน้าของวินอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ กลุ่มเพื่อนยกมือขึ้นแปะกันระรัว คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างธาวินคงเลิกชอบมายด์ไม่ได้ง่าย ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในสายตาของวินมีแค่มายด์วิ่งวนอยู่ในนั้น สายตาคมเข้มไร้ความรู้สึกไม่เคยทำให้คนถูกมองรู้ตัว

“งั้นลุย” หนุ่มเอื้อมตบไหล่ผู้เป็นเพื่อนทันที แต่วินกลับส่ายหน้า

“กูยังไม่พร้อมว่ะ”

“แล้วเมื่อไหร่มึงจะพร้อม มายด์มันมีทางเลือกเยอะนะโว้ย”

“เพราะแบบนี้ไง กูถึงยังไม่พร้อม”

“แล้วมึงไม่อยากทำความรู้จักกับมายด์จริง ๆ สักครั้งรึไง” เขมถาม

“อยากสิวะ กูอยากรู้จักมายด์จะแย่อยู่แล้ว” วินหันไปมองมายด์เต็ม ๆ ตา ตอนนี้กรอบหน้าน่ารักแต่เชิดหยิ่งหันไปคุยกับเพื่อนตนอย่างออกรสออกชาติ คิ้วเรียวเข้มขมวดเป็นปมก่อนจะคลายออกอยู่หลายครั้งคล้ายหงุดหงิด รอยยิ้มที่เคยฉายขึ้นสลดลงจนใบหน้าของเขากลับไปเรียบเฉยเช่นเดิม ด้วยนิสัยภายนอกที่ดูเหมือนเส้นขนานมันทำให้วินกังวลไปเสียหมด มายด์มีมนุษยสัมพันธ์ดีชอบเข้าสังคมซ้ำยังพูดเก่ง ระหว่างที่ตัวเขาเองชอบที่จะอยู่กับตัวเองและมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่สนิทใจเท่านั้น อีกอย่าง… คุณหนูมายด์ผู้สร้างภาพจำการขับสปอร์ตคาร์จะมาคู่ควรกับนักเรียนทุนอย่างเขาได้ยังไง

ใช่ว่าไม่เคยเห็นสายตาวาววับของมายด์ที่มองมา

แต่ที่ทำเป็นไม่สนเพราะวินเป็นห่วงหัวใจตัวเองและหัวใจใครอีกคนในวันข้างหน้าต่างหาก

“อยู่ดี ๆ นะมึง ระวังคุณหนูมายด์วิ่งมาหา”

“เหรอ”

“สัดวิน! เหรออยู่นั่น มึงช่วยดูใจความประโยคด้วย แม่งเอ๊ย” เพิร์ธสบถทิ้งท้ายก่อนที่เพื่อนทั้งสามจะพากันขึ้นไปส่งชิ้นงานบนตัวตึก พวกเขาทิ้งให้วินนั่งเพียงลำพังอยู่ที่เดิมเพราะรู้ว่าเจ้าตัวคงอยากจะอยู่มองหน้ามายด์จากมุมไกล ๆ ตรงนี้มากกว่า ระหว่างรอร่างสูงจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กนู่นนี่ไปเรื่อย กระทั่งเรียวนิ้วของเขาหยุดนิ่งที่รูปถ่ายในแกลลอรี่ รูปรวมในวันรับน้องคณะเมื่อครั้งอยู่ปีหนึ่ง มายด์จะรู้ตัวบ้างมั้ยว่า... คนที่มายด์กระโดดเกาะบ่าในวันนั้นจะใจสั่นมาจนถึงวันนี้…

วันที่มายด์ตัวเป็น ๆ เข้าใกล้ตัวเขาอีกครั้ง

“ขอโทษนะ… วินปะ” จู่ ๆ มายด์ในความคิดก็ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเขาอย่างที่ไม่ได้เตรียมใจตั้งรับมาก่อน วินกดออกจากรูปเมื่อครู่ เงยหน้าขึ้นจากจอและรีบหันหน้ามองซ้ายขวาเพราะกลัวว่าพวกเพื่อนของเขาจะไปเล่นแผลงอะไรเข้า

“อือ” วินแสร้งทำนิ่งเพื่อกลบอาการประหม่า เสียงตอบสั้น ๆ แบบที่ชาวบ้านนิยามว่าหยิ่งถูกงัดขึ้นมาใช้อีกครั้ง ดูดวงตามุ่งมั่นตั้งใจแต่เขินอายนั่นสิ มันทำให้เขาอยากยิ้มจะบ้าอยู่แล้ว แล้วแบบนี้เขาจะทำอะไรได้นอกจากก้มหน้าก้มตาก้มตาจิ้มหน้าจอว่าง ๆ บนเครื่องโทรศัพท์

“เพื่อนวินไปไหนหมดแล้วอะ”

“บนตึก”

“แล้ววินไม่มีเรียนเหรอ”

“ไม่”

“ตอบสั้นจัง” เมื่อเห็นว่ามายด์มีน้ำเสียงคล้ายน้อยอกน้อยใจที่เขาเมินเฉย วินจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบหางตามองคนตรงหน้า น่ารักชะมัด ใครกันนะที่บอกว่ามายด์หน้าเหวี่ยง ไม่เห็นจะจริงตรงไหน

“มีอะไร” วินรีบปิดล็อกหน้าจอโทรศัพท์เพราะกลัวว่ามายด์จะเสียความรู้สึกไปกันใหญ่ มือเล็ก ๆ ที่บิดรวมกันเป็นเกลียวอยู่บนโต๊ะยิ่งทำให้เขาใจสั่นแม้ว่าจะตีสีหน้านิ่งมากแค่ไหน ริมฝีปากมุ่ยและหน้าที่เริ่มบึ้งตึงของมายด์ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่เคยน่าเบื่อเลยสักนิด

“เปล่า คือ...” วินเอาแต่คิดว่าเขาควรทำตัวแบบไหน การผูกมิตรกับใครสักคนมันยากขนาดนี้เลยเหรอ ให้ตายเถอะธาวิน แค่จะยิ้มให้เขาตรง ๆ ยังทำไม่ได้เลย

“คือ...”

“เราชื่อมายด์นะ เอ่อ…”

“มายด์เอกการแสดง รู้จัก” ดวงตากลมโตของมายด์เบิกขึ้นด้วยความดีใจ ริมฝีปากที่มุ่ยเพราะเป็นกังวลอยู่เมื่อครู่ฉีกออกจนเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง วินกลั้นอารมณ์ตนเอาไว้แทบไว้อยู่ถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอออกมา

“วินรู้จักเราด้วยเหรอ” มายด์พูดทั้งรอยยิ้ม และพยายามคุมเสียงของตนเองไม่ให้ดูดีใจจนเกินเหตุ

“แค่ชื่อทำไมจะไม่รู้ ใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินชื่อนาย”

“แล้วทำไมวินไม่ทักเราบ้างอะ”

“รู้จักแค่ชื่อ ต้องทักเหรอ”

“เราก็รู้จักวินแค่ชื่อ เรายังมาทักเลย”

“เหรอ” มายด์กำลังจ้องเข้ามาในดวงตาเขา มันช่างชวนเขินเสียจนต้องเอียงหน้าหนีอีกฝ่ายและถอนหายใจโล่งอกออกมาในที่สุด หัวใจของวินเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เขากับมายด์แทบไม่มีอะไรเหมือนกัน จึงไม่รู้จะเริ่มต้นทำความรู้จักมายด์ด้วยวิธีไหน การวางหน้า การแสดงท่าทางทุกอย่างมันยากไปหมด ยากเสียจนทำได้เพียงตีสีหน้าไร้รู้สึกออกมา

“แล้ววินจะไปไหนต่อ”

“กลับหอ”

“เอ่อ… เออ วินรู้เรื่องละครเวทีปลายปีรึยังอะ วินไปทำด้วยกันมั้ย เราอยากได้คนเบื้องหลังอยู่พอดี”

“ไม่ล่ะ เราไม่ชอบ” วินตอบไปตามความเป็นจริงเพราะไม่คิดว่ามันจะตัดการเริ่มบทสนทนาของมายด์ และดูเหมือนว่าการเกร็งของวินจะยิ่งทำให้เรื่องเกินคาดไปกันใหญ่ ยิ่งพยายามนิ่งเฉย ยิ่งพยายามไม่สนใจ มายด์ก็ยิ่งรุกเข้าใส่เหมือนคนไม่ยอมแพ้เมื่อถูกขัดใจ

“แล้ว...”

“ไม่มีเรียนรึไง”

“ขอโทษนะ นี่เรามากวนวินใช่ปะ”

“ก็ไม่นะ เฉย ๆ”

“วิน ที่เราตั้งใจเข้ามาทักก็เพราะ...”

“กลับหอก่อนนะ” วินทำท่าลุกขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าตนแบกความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหว เขายังไม่อยากทำให้ทุกอย่างพังครืนลงไปตรงนี้ หากมายด์ไม่ได้ชอบเขาแบบที่เพื่อนตั้งข้อสังเกต หากเขาไม่สามารถควบคุมความรู้สึกภายในของตนเองได้ หากเป็นเช่นนั้น มันคงไม่ดีแน่

“วิน! เราชอบวิน! จีบได้ปะ!” เสียงใส ๆ ของมายด์เล่นเอาวินสะดุดกึก หัวใจเต้นรัวราวกับกลองชุด ร่างสูงนิ่งไปเพราะรู้สึกร้อนวูบไปทั่วร่าง วินผุดตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อสมองยืนยันแน่นอนแล้วว่าที่ได้ยินไม่ได้มีใจความผิดเพี้ยนไป

“เหรอ” คำพูดสิ้นคิดหลุดออกจากปากของวินเหมือนคนโง่ เขาไม่เคยถูกใครพูดคำว่าชอบตรง ๆ ต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน ยิ่งเป็นมายด์ยิ่งแล้วใหญ่ มายด์ที่เขาชอบ มายด์ที่เขาอยากได้อยากเป็นเจ้าของ มายด์ที่ทำให้เขาเกร็งจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

หนีสิไอ้วิน มีอย่างที่ไหนตอบรับความในใจด้วยคำว่าเหรอ

“แม่งเอ๊ย! เหรอ ๆ ๆ พูดเป็นแค่นี้รึไง! ไม่ได้อยากรู้จักอะไรนักหนาหรอก ไอ้ก้อนหิน!” เสียงไวไล่ตามหลังทำให้วินหลุดยิ้มออกมาเพียงลำพัง ช่วงขายาวก้าวต่อเนื่องทั้งที่อยากจะหันกลับไปมองมายด์ใจจะขาด ขอเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจสักหน่อยเถอะ ขอเวลาให้คนยิ้มไม่เก่งสักนิด

“ขอตั้งตัวก่อนนะ วินอยากรู้จักจะแย่อยู่แล้วมายด์”





หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 1 18/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 21-01-2019 21:35:51
หลายวันหลังจากนั้น การเข้าหาวินของมายด์เป็นเรื่องที่ถูกพูดต่อกันไปทั่ว ใครจะไปคิดว่าวันดีคืนดีคุณหนูมายด์จอมโวยวายในตำนานจะพยายามกระตุกหนวดเสือหินยิ้มยากโดยไม่เกรงกลัวฤทธิ์ความหน้านิ่ง คนบางกลุ่มออกตัวเชียร์คู่นี้อย่างออกนอกหน้า ขณะที่คนบางกลุ่มเอาแต่มองการเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นเรื่องพิลึก

มายด์รุกหนักขึ้นเหมือนคนไม่ยอมแพ้

ส่วนวิน… เขาก็มีวิธีรุกใส่ในแบบของเขา

“มาแล้ว โคตรตรงเวลา”

“ใจเขาได้ว่ะ จีบจริงตรงประเด็น ไม่เหมือนเพื่อนเรา”

“นั่นน่ะสิ คุณหนูมายด์ยอมกินข้าวโรงอาหารคณะมาสามวันติดแล้วนะครับ เอาไงดีครับคุณวิน” ธาวินหันมองตามคำพูดของเขม หนุ่ม และเพิร์ธ มายด์กำลังเดินแหวกฝูงผู้คนและชะเง้อหาเขาอยู่ที่ทางเข้าโรงอาหาร เสือยิ้มยากยกมุมปากขึ้นระหว่างที่คิดอะไร ๆ อยู่ในใจ

“ทำไมต้องเอาไง ก็ดีแล้วนี่ กินข้าวโรงอาหารมันไม่ดีตรงไหน” วินตักข้าวในจานเข้าปาก เคี้ยวเชื่องช้าเพราะแทบไม่มีสมาธิกับการกินเลย เขาไม่สามารถละสายตาไปจากมายด์ได้ ดวงหน้าเล็กเริ่มหงุดหงิดกับความร้อนและปริมาณผู้คน เท่าที่รู้และเท่าที่มายด์เข้ามาหาในทุก ๆ วันมันทำให้วินรู้ว่าถึงมายด์จะไม่ใช่คนติดหรูอะไรมากมายนัก แค่ยังยึดติดกับความเคยชินของตนเท่านั้น

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มึงจะไม่ทำอะไรจริงจังบ้างเลยเหรอ เกิดเขาท้อแท้แล้วเลิกจีบมึงขึ้นมา แห้วเลยนะเว้ย ไอ้ที่อ่อยเขามาทั้งหมด สูญเลยนะมึง” เพิร์ธว่า

“ไม่มีทาง ตบมือสองข้างจะไม่ดังได้ไง” วินตอบกลับอย่างมั่นใจและเรียกเสียงโห่ฮาจากเพื่อนได้ทั้งโต๊ะ แน่ล่ะ เพราะช่วงนับสัปดาห์ที่ผ่านมาวินมั่นใจมากแล้วว่าเขาจับทางของมายด์ได้ถูก เดาได้แล้วด้วยซ้ำว่ามายด์คิดแบบไหน เขินอายง่าย ๆ ได้ยังไง และเขาต้องทำอะไรถึงจะมัดใจคนชอบเอาชนะอย่างมายด์ไว้ได้อยู่

“จ้าาาา กูก็อุตส่าห์ห่วง กลัวว่าการจีบกลับแบบเบ๊าเบาของมึงมันจะเบาจนไม่ได้ผล” เพิร์ธย้ำอีกครั้งเพราะเป็นห่วง สีหน้าของชายหนุ่มแตกต่างจากเพื่อนอีกสองคน หนุ่มและเขมค่อนข้างมั่นใจว่ายังไงวินและมายด์ต้องได้พัฒนาไปอีกขั้นเป็นแน่ เพราะว่างานนี้ไม่รู้ว่าใครตกเป็นเหยื่อของใครกันแน่

“เขาขอไลน์ก็บอกว่าไม่เล่นไลน์ ทีนี้เลยได้ทั้งเบอร์ทั้งไลน์ บังเอิญเจอเขาก็เดินหนีจนนำทางไปถึงหอตัวเอง เขาอาสาไปส่งก็ปฏิเสธจนเขาทิ้งรถลงมาเดินด้วย เขาชวนคุยก็ปิดปากเงียบเอาแต่เก็บดีเทล เขาชวนไปดูหนังก็เล่นตัวว่าไม่ว่างแต่เสือกจับมือเขาเดินในห้างได้ทั้งวัน… มึงมันร้ายไอ้วิน”

“มึงลืมไปอันนึงเขม ร้อยวันพันปีเคยเฉียดไปโรงละครที่ไหน เมื่อวานครับ คุณวินโฉบไปให้คุณหนูมายด์เห็นถึงที่ พอเขายิ้มน่าร๊ากกกมาหาก็แอ๊บรำคาญ ร้ายเหี้ยๆ” วินถึงกับต้องหัวเราะหึหึในลำคอเมื่อสิ้นเสียงของเขมกับหนุ่ม ร่างสูงไม่ได้ร้ายอะไรอย่างที่โดนเพื่อนว่าหรอก แต่ที่มันออกมาในรูปแบบนี้เพราะความไม่มั่นใจที่มีอยู่ลึก ๆ ต่างหาก อีกอย่าง วินน่ะชอบมองหน้ามายด์ตอนที่เข้าใจไปเองว่ากุมชัยชนะเป็นที่สุด

“เหรอ ไร้สาระ” มือหนาคว้าแก้วน้ำของตนขึ้นดูดในรวดเดียว เขามองชาเย็นที่ค้างอยู่ก้นแก้วก่อนจะเหลือบมองเพิร์ธที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน เพิร์ธที่กำลังอินในเรื่องราวของเพื่อนเลิกคิ้วถามยังไม่เข้าใจ

“อะไรมึง มองกูทำไม”

“มึงไปนั่งเบียดฝั่งนู้นได้มั้ย” วินยื่นหน้าไปที่เก้าอี้อีกฝั่ง เพื่อนสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาวกว้างพอจะรองรับผู้ชายสามคน แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมพวกเขาจะต้องลำบากเบียดกันทำไม

“เพื่อ?”

“เก้าอี้มันเปียก มึงนั่งไม่ได้หรอก” วินยังคงแสดงสีหน้าเรียบสนิท ดวงตาคมเฉียบไม่แสดงออกทั้งที่เพิ่งกระทำการร้ายลึกลงไป เพื่อนทั้งสามตาลุกวาวเพราะความคิดที่อยู่ภายใต้ก้อนหินก้อนนี้ น้ำแข็งและของเหลวก้นแก้วถูกเทลงกับที่นั่งข้างตัว โชคดีมากที่เพิร์ธไหวตัวทันลุกขึ้นเสียก่อน จังหวะนั้นชายหนุ่มหันไปเห็นมายด์ที่กำลังเดินมาจึงเข้าใจทุกอย่างในทันที ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไม่มีใครเหมาะกับคุณหนูมายด์จอมเหวี่ยงได้เท่าไอ้หินแกรนิตเพื่อนเขาแล้วจริง ๆ

“โคตรเฉียบ” หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใช่คำชมสักเท่าไหร่

“พวกมึงห้ามลุกไปไหนเด็ดขาด โอเคนะ”

“มึงมันร้ายจริง ๆ ไอ้วิน ทำเป็นนิ่ง ไอ้สัด” เพิร์ธบ่นอุบอิบไม่กล้าเสียงดังเพราะเห็นมายด์เดินเข้ามาใกล้ทุกที เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเขมที่อุตส่าห์เบี่ยงตัวให้

“หวัดดี เขม หนุ่ม เพิร์ธ… สวัสดีตอนกลางวันครับวิน” ร่างเล็กเดินปั้นหน้าสดใสเข้ามาตามประสาคนมีมนุษยสัมพันธ์ ชายทั้งสามส่งรอยยิ้มให้แล้วได้แต่นั่งเงียบรอชมความบันเทิงของวันนี้

“มาทำไม” วินพูดขึ้นเหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย ร่างสูงมองคนที่เกือบจะยืนประชิดตัวแล้วรีบตักข้าวที่เหลือในจานเข้าปาก

“นี่มันตอนเที่ยงเราก็มากินข้าวสิ”

“เหรอ” มายด์กลอกตามองบนเมื่อได้ยินคำว่าเหรอไร้เยื่อใยรอบที่ร้อย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังชอบคำ ๆ นี้ที่หลุดออกมาจากปากวินอยู่ดี นี่แหละสิ่งที่ทำให้เขาอยากพยายาม มายด์อยากชนะ อยากชนะใจผู้ชายหยิ่งเย็นชาคนนี้ให้ได้สักครั้ง

“อืม… พอดีวันนี้เจมส์ลาอีกแล้ว เราขอนั่งด้...”

“ไม่เห็นเหรอว่าไม่มีที่ว่าง” วินดันจานข้าวออกไปให้ห่างตัว ชายหนุ่มกวาดตามองทั่วโต๊ะและเก้าอี้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตามายด์ ร่างเล็กเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่บุ้ยปาก ไอ้บ้าที่ไหนมันซุ่มซ่ามทำน้ำหกเต็มเก้าอี้แบบนั้นกันวะ

“งั้นไม่เป็นไร เราไปหาที่นั่งอื่นก็ได้”

“ดี” วินสังเกตทุกกิริยาของมายด์อยู่ไม่ห่าง ดวงตาคู่กลมปราดมองรอบ ๆ ด้วยความไวแสงและอารมณ์หงุดหงิด อาจารย์เลิกคลาสช้าก็ว่าแย่แล้ว นี่เขายังต้องผิดแผนเพราะกองน้ำเฮงซวยข้างตัววินอีกเหรอ

“แต่มันไม่ค่อยมีที่นั่งเลยแหะ...” มายด์เหลือบตามองเพื่อนสนิทของวินทีละคน แต่สามคนนั่นกลับเสหน้ามองไปคนละทางเหมือนรู้ทัน ใจเย็นไว้ จะเอ่ยปากเชิญเพื่อนวินให้ลุกออกจากโต๊ะไปได้ยังไง คีพลุคเอาไว้หน่อยมายด์

“ไม่มีก็ไปหาสิ โต๊ะหินอ่อนข้างนอก” ธาวินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะใช้มือเท้าลงไปกับขอบม้านั่ง ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนที่ยืนอยู่เหมือนไม่สนใจและไม่รู้สึกอะไรถ้ามายด์จะต้องออกไปนั่งร้อน ๆ ข้างโรงอาหารคนเดียว

“ไม่ อยากนั่งกับวิน” มายด์เบี่ยงตัวนั่งลงบนหน้าขาของวินหลังพูดจบ คนที่กลายร่างเป็นเก้าอี้ยิ่งแข็งเป็นหินมากกว่าเดิม วินเอนตัวออกเล็กน้อย จ้องคนที่กำลังยักคิ้วใส่เหมือนเหนื่อยอกเหนื่อยใจเหลือเกิน ผู้สังเกตการณ์อีกสามคนสะกิดกันยุกยิกเพราะไม่คิดว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเหยื่อโดยง่ายแบบนี้

“รู้จักกันดีแล้วรึไง มานั่งแบบนี้” น้ำเสียงเข้มดุพยายามปรามคนที่นั่งเบี่ยงอยู่บนตักและกำลังคล้องแขนเข้ากับต้นคอ สัมผัสใกล้ชิดเล่นเอาลมหายใจของวินแทบจะติดขัด ผิวของมายด์เนียนนิ่มน่าสัมผัสจนอยากจะฝังจมูกลงไปกับท้องแขนนั่น และที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นเรียวปากยกเชิดของผู้กำชัย มายด์จะรู้บ้างมั้ยว่างานนี้วินต่างหากที่เป็นผู้ชนะ

“แล้ววินอยากรู้จักเราบ้างปะล่ะ” ธาวินเชื่อเสมอว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เขาไม่เอ่ยตอบอะไรทั้งสิ้น มือหนาคว้ารวบเอวบ้างรั้งเข้าหาช่วงตัวที่แกร่งกว่าของตน กรอบหน้าคมคายพาดวางลงกับไหล่เล็กจนหัวใจของมายด์ดีดดิ้นระรัวไปหมด ดวงหน้าติดจะหวานขึ้นสีแดงก้มงุดลงกับตักตัวเอง ลำแขนของใครอีกคนที่โอบร่างเอาไว้ยิ่งทำให้ใจสั่นจนแทบทนไม่ไหว ส่วนคนที่กำลังแอบยิ้มย่องน่ะ ส่งสายตาปรามเพื่อนตนไม่ให้แซวแทบไม่ทัน

ถ้าใครจะเข้าใจว่าวินมีเล่ห์เหลี่ยมก็ห้ามไม่ได้ ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างตีความ วินแค่แสดงความเขินอายในรูปแบบของตนเท่านั้น ส่วนคนที่กำลังเคอะเขินมากกว่าอย่างมายด์ ถ้าจะเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้เย็นชาคงต้องลองคิดดูใหม่

คิดดู และมองลงไปให้ลึกลงไปในนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้น

คิดดู และลองไตร่ตรองเหตุผลของตนใหม่สักครั้ง หากยังไม่สายเกินไป





“คนปากแข็งเก็บความรู้สึกนี่มันช่างน่าเบื่อนะว่ามั้ย”

“อึก...” พรึ่บ! ร่างเบาหวิวของมายด์ปลิวตามแรงและแทบจะหงายหลังลงไปกับพื้น ร่างสูงของวินลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินผ่านตัวซึ่งเขาเป็นเพียงดวงจิตไปโดยไม่ได้รับรู้สิ่งใด เสียงหอบเหมือนจะขาดใจของมายด์ดังก้องในหูตนซ้ำวนไปมาราวกับความทรมานนี้จะคงอยู่กับเขาตลอดไป ชาตะหายตัววับวาบเข้ามายืนตรงหน้ามายด์ ผู้คุมดวงจิตจอมกวนลดระดับความสูงของตนลงมาจดจ้องเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ

เสี้ยวนาทีเมื่อครู่มันช่างยาวนานเหมือนผ่านมาเป็นเดือน ๆ ซ้ำร้าย สิ่งที่ชาตะใช้ในการพิสูจน์มันไม่ได้มีเพียงความทรงจำของวิน แต่มันรวมถึงความคิด ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสมองและหัวใจของร่างสูง ณ ขณะนั้น มันถูกถ่ายทอดในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง สิ่งที่วินเห็น สิ่งที่วินพูด สิ่งที่วินรู้สึก ราวกับมายด์ถูกยึดไว้กับร่างของใครอีกคน และมันช่างอึดอัด อึดอัดจนหอบเหนื่อยไปหมด

“ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่นายพูดนะมายด์”

“แต่...” มายด์พยายามจะเถียง เขาไม่เสียโอกาสของตัวเองไปเพียงเพราะคนปากแข็งใจร้ายคนหนึ่ง แต่ทว่าชาตะไม่อาจฟังคำอธิบายใดที่นอกเหนือไปจากกฎกติกา ดวงตาของเขาฉาบไปด้วยสีน้ำเงินก่อนที่ร่างกายจะสลายกลับไปอยู่ในสภาพคลื่นลมดังเดิม

เหลือเพียงแต่มายด์

เหลือเพียงแต่มายด์เท่านั้นที่ยังอยู่ในโลกซ้อนทับโดยไม่เหลือใคร





“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยที่จะต้องกล่าวว่า...เหตุผลข้อที่หนึ่ง ไม่สมเหตุสมผล”



Talk

สวัสดีค่า มาอัพตอนที่ 2 แล้วเนอะ พาร์ทนี้มาฟังความคิดในมุมของวินกันบ้าง เหตุผลข้อแรกจะผ่านไปไวหน่อยเพราะไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก ฝากคอมเมนต์ติชมด้วยนะคะ อย่าลืมบอกกันหน่อยว่าเดาเรื่องไปในทิศทางไหน อิอิ

ขอบคุณค่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 2 21/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-01-2019 22:36:32
หน้าหยิ่งๆ นิ่งๆ แบบนี้แต่โคตรเจ้าเล่ห์เลยวิน 5555
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 2 21/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 25-01-2019 21:32:55
บทที่ 3 ไม่พูดเยอะได้ไหม ขี้เกียจฟัง

“ผมไม่ผิด ผมไม่รู้ วินไม่เคยบอก”

“อ๋อ แบบนั้นเองสินะ”

“ชาตะ คุณได้ยินมั้ยว่าผมไม่ผิด เหตุผลของผมมันไม่ได้ผิด”

“ฉันก็ไม่ได้บอกว่ามันผิดนี่ มันไม่สมเหตุสมผล”

“แต่...”

“ไม่พูดเยอะได้มั้ย ขี้เกียจฟัง”

“แต่นี่มันชีวิตผมนะ! คุณบอกว่าจะให้โอกาสผม แล้วทำไมถึงไม่ฟังผมล่ะ!”

“นี่แค่วันแรกเองมายด์ นายมีเวลาอีกหกวันกับเหตุผลหกข้อที่เหลือ มันต้องมีสักข้อนั่นแหละที่ทำให้นายมีชีวิตอยู่ต่อไป เว้นเสียแต่ว่า… นายไม่เคยเข้าใจอะไรอย่างเป็นเหตุเป็นผลเลย ฮ่าๆ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะของอมนุษย์กึ่งเทพทำให้มายด์รู้สึกโกรธเคืองผู้ชายที่นั่งอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยหนักมากขึ้นไปอีก ดวงตากลมตวัดมองวินอย่างเอาเรื่อง เป็นเพราะวินนั่นแหละ เป็นเพราะวินที่ไม่เคยพูดเลยว่าแอบชอบเขามาก่อนหน้า เป็นเพราะวินที่ไม่เคยอธิบายอะไรให้เคลียร์สักอย่าง แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ตอนนี้ผลร้ายมันก็ตกอยู่กับมายด์คนเดียว แค่มายด์คนเดียวเท่านั้นที่กำลังทุกข์ทนกับการพยายามมีชีวิตอยู่

“ไม่มีทาง เหตุผลข้อที่สองของผมจะต้องได้ผล”

“มีคำตอบในหัวแล้วรึไง”

“ก็...” มายด์ชะงักไปเพราะเริ่มไม่แน่ใจ ขนาดคำตอบแรกที่เขามั่นใจที่สุดในชีวิตยังพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย คำตอบอื่นๆ ของเขาจึงต้องสั่นคลอนตามไปด้วย ดวงจิตที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองจ้องไปยังนัยน์ตาของชายผู้เย็นชาเพื่อหาคำตอบ

หวังว่าจะไม่มีอะไรมาหักล้างความมั่นใจ

หวังว่าคนน่าเบื่ออย่างวินจะไม่มีความลับมาโต้แย้งเหตุผลของมายด์ได้อีก

“ช่างเถอะมันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้”

“วันนี้เลยไม่ได้เหรอชาตะ ฟ้ายังไม่สว่างด้วยซ้ำ ผมต้องรอเวลานานขนาดนั้นเลยเหรอ” มายด์ส่งเสียงงอแง หันตัวมองตามกลุ่มลมสีน้ำเงินด้วยแววตาร้องขอ แต่กลุ่มลมนั้นกลับมีอาการฉุนเฉียวหมุนตัวเป็นเกลียวอย่างกับพายุ

“มนุษย์ใช้เวลารอการกำเนิดถึงเก้าเดือน นายตัดสินใจฆ่าตัวตายไม่ถึงเก้านาที ต้องให้ฉันพูดต่อมั้ยมายด์ว่าทำไมนายถึงสมควรรอ” ชาตะส่งเสียงเข้มในหัวของมายด์ คนที่ตั้งใจจะงอแงและโวยวายสลดลงอย่างไม่มีทางเลือก มายด์จำบทลงโทษของชาตะได้ดี ความรู้สึกที่เจ็บปวดเพราะฆ่าตัวตายซ้ำๆ ช่างทรมานเกินความอดทน

“ผม...”

“ช่างเถอะ นายมีหน้าที่รอก็จงรอต่อไป ส่วนฉันก็จะไปหาอะไรทำแก้เบื่อ อยู่ดีๆ ล่ะ เป็นแค่ดวงจิตระดับฝึกหัดอย่าซ่า อย่าโวยวาย ไม่ต้องกลั้นหายใจตาย เพราะยังไงนายก็ยังตายไม่ได้อยู่ดี”

“คุณจะไปไหน”

“เกิดเป็นชาตะก็ต้องทำงานเป็นกะนะครับคุณหนูมายด์ ใครเขาจะควงเวรยี่สิบสี่ชั่วโมงกัน ทำแบบนั้นร่างกายก็พังยับเยินหมดหล่อกันพอดี เสียชื่อเมเนเจอร์หมด” สิ้นเสียงในหัว กลุ่มลมซึ่งเป็นตัวแทนของชาตะก็ค่อยๆ ลอยออกไปห่างตัว มายด์เห็นแบบนั้นจึงรีบไล่คว้าลมไม่มีตัวตนเอาไว้ แต่ทว่าลมสีน้ำเงินกลับค่อยๆ จางลง จางลง และจางลง

ได้ยังไงล่ะ อยู่ๆ ชาตะจะมาทิ้งเขาไว้แบบนี้ได้ยังไง

“ชาตะ! แล้วผมล่ะ!” มายด์จ้องมองกลุ่มลมเล็กๆ ที่เหลือเท่ากำปั้น เขาตะโกนออกไปเมื่อจู่ๆ ขาของตนก็ก้าวต่อไปอีกไม่ได้ ความรู้สึกมันไม่เหมือนทุกครั้งที่ชาตะล็อกตัวเอาไว้ให้อยู่กับที่ แต่มันเหมือนมีบางอย่างรั้งเอาไว้ไม่ให้เดินไปไกลมากกว่าตรงนี้

“เอ้า!”

“เอ้าอะไร!”

“ก่อนฆ่าตัวตายพันผูกจิตไว้กับใคร ก็อยู่กับคนนั้นไปสิ”

“อะไรนะ...”

“ตอนเป็นมนุษย์ล่ะเก่งจัง พอเป็นดวงจิตทำเป็นโง่ไปได้ ตอนออกจากร่างลืมชวนสมองออกมาเที่ยวด้วยกันเหรอ”

“ชาตะ… ผมไม่เข้าใจ”

“ชาตะผมไม่เข้าใจ บลาๆ ๆ” เสียงของผู้ดูแลดวงจิตงุ้งงิ้งล้อเลียนจนมายด์แทบจะควันออกหู แม้ไม่เห็นตัวแต่ก็พอเดาออกว่าคนพูดทำหน้าตาแบบไหน มือเล็กกำแน่นเพื่อเก็บความหงุดหงิด แน่นอน… ถ้าตอนนี้มายด์เป็นคนและชาตะก็เป็นคน เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายพูดจาแบบนี้ใส่แน่

“อย่ากวนกันได้มั้ย คุณไม่ให้ผมขึ้นเสียงใส่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะกวนใส่ผมทำไม”

“แหม่ เล่นนิดเล่นหน่อยไม่ได้เลยนะ งั้นฉันไปดีกว่า ไม่อยากอยู่กวนคุณหนูมายด์หรอก บาย”

“ชาตะ ผมบอกว่าผมไม่เข้าใจที่คุณพูดไง”

“ถ้าได้คำตอบเมื่อเข้าวันใหม่ แค่เรียกชื่อฉัน” ลมสีน้ำเงินหายวับไปกับตา มายด์ไม่ได้คำตอบใดมากไปกว่าเดิม แถมยังต้องขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ร่างบางสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งและพยายามจะก้าวออกไปจากตรงนั้น แต่ทว่าช่วงเท้ายิ่งถูกรั้งแรงขึ้นและแน่นขึ้น ความสงสัยทำให้มายด์ค่อยๆ ก้มลงมองเท้าเปล่าเปลือยของตนเอง ดวงตากลมโตขึ้นเมื่อเห็นเส้นเชือกสีน้ำเงินเข้มพันผูกเอาไว้ที่ข้อเท้าอย่างแน่นหนา และเมื่อมองตามเส้นเชือกนั่นไปจนสุดปลาย ดวงตาของมายด์ก็ต้องสั่นไหวกับข้อเท้าของใครอีกคนที่ถูกมัดแน่นเอาไว้เช่นกัน

“วิน...” เมื่อเจ้าของดวงจิตรู้ตัว พันธนาการสีน้ำเงินจึงค่อยๆ โปร่งแสงและเลือนหายไปในที่สุด ดวงจิตผู้สับสนพยายามถอยตัวหนีตามใจสั่ง และทุกครั้งที่ขาของเขาพยายามออกห่างจากวินเกินระยะสามจุดเจ็ดเมตร เชือกสีน้ำเงินเส้นเดิมก็ฉายชัดขึ้นมาและจางลงไปอีกครั้ง

“ก่อนตายพันผูกจิตไว้กับใคร ก็อยู่กับคนนั้นไปสิ”

มายด์วูบโหวงไปไม่น้อยเมื่อต้องยอมรับว่าในระบบความคิดก่อนสิ้นสติมีเพียงแค่วินเท่านั้น วินที่นั่งนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร วินที่ทอดสายตามองไปด้านหน้าเหมือนคนไม่มีจุดหมายในชีวิต วินที่เขารู้สึกโกรธ วินที่เพิ่งทำให้โอกาสแรกของการกลับมามีชีวิตพังไม่เป็นท่า

วิน ธาวิน คนที่แข็งเป็นหินคนนั้น





………………….

‘ดวงจิตแม่งไร้ประโยชน์ชะมัด ไม่เห็นมีอิทธิฤทธิ์เหมือนในละครทีวี’

หากมีโอกาสได้กลับไปมีชีวิตอีกครั้ง นี่คงเป็นประโยคแรกๆ ที่มายด์คิดจะพูดออกมาให้มนุษย์โลกได้รับรู้ ดวงจิต วิญญาณ หรือผีในอุดมคติของคนทุกคนย่อมเต็มไปด้วยพลังอำนาจลี้ลับ แล้วดูตัวเขาตอนนี้สิ ไร้ประโยชน์ชะมัด แค่อยากจะเดินไปนู่นไปนี่ยังไม่ได้ ต้องนั่งอยู่เฉยๆ บนเก้าอี้เพราะใครอีกคนนั่งนิ่งไม่ยอมไปไหน

‘นี่คนทุกคนได้โอกาสแบบนี้รึเปล่า’

‘แล้ววิญญาณคนอื่นไปไหนกันหมด นี่โรงพยาบาลนะเว้ย จะไม่เจอเพื่อนผีบ้างเลยเหรอ’

‘หรือว่าเรายังไม่ใช่ผี นั่นสิ เรายังไม่ตายนี่นา’

‘ลองหยิกตัวเองดูอีกทีมั้ยมายด์ เผื่อจะเป็นฝันซ้อนฝัน’

‘แล้วถ้าตายขึ้นมาจริงๆ จะยังรับรู้แบบตอนนี้รึเปล่า’

‘จริงๆ แล้วเบื้องหลังความตายมันมีอะไรอยู่กันแน่’

‘ไม่… ไม่อยากตาย’

คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวมายด์เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันตรงข้ามกับสิ่งที่เขาเคยเข้าใจ และผิดกับเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาแทบทุกอย่าง เขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องบาปกรรม ไม่ศรัทธาโลกแห่งความตายที่สร้างความเชื่อให้คนนับล้าน และแน่นอนว่าไม่เคยมีศาสดาคนใดสอนให้เตรียมตัวรับมือกับผู้ดูแลวิญญาณพิลึกอย่างชาตะ

มายด์นั่งเหงาอยู่ปลายสุดด้านซ้ายของแนวเก้าอี้ยาว ระหว่างนั้นวินเองจับจองเก้าอี้ตัวที่หนึ่งนับจากฝั่งขวามาตั้งแรก จากที่บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท เวลาผ่านไปจนเริ่มเต็มไปด้วยญาติคนป่วยเดินขวักไขว่ ตอนนี้ฟ้าด้านนอกคงสว่างเต็มที่แล้ว มายด์มองมือและเท้าของตัวเองซ้ำๆ ปรายตามองด้านข้างของวินบ้างเป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งความรู้สึกของมายด์ก็ฉุนกึกขึ้นมาอย่างคนไม่พอใจ จนถึงวินาทีนี้วินก็ยังนั่งอยู่ท่าเดิม ไม่คิดปริปากพูดหรือทำอะไรให้มันมากไปกว่าการนั่งค้อมหลังอยู่เฉยๆ น่าเสียดายที่มายด์ไม่ได้เห็นจังหวะการกะพริบตาเชื่องช้าใกล้จะขาดใจเต็มที

“ญาติเยี่ยมได้แล้วนะคะ” เสียงพยาบาลสาวเรียกความสนใจจากมายด์ได้แต่ไม่อาจทะลุเข้าไปในโสตประสาทของวิน มายด์มองไปที่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยหนักแล้วรีบคลี่ยิ้มออกมาทันที บานประตูที่ปิดสนิทมาทั้งคืนเปิดต้อนรับญาติสนิทให้เข้าเยี่ยมได้ในเช้าวันนี้ ผู้เป็นบิดามารดาของเขารีบปรี่เข้าไปทันทีที่มาถึงโรงพยาบาลตามเวลาเยี่ยม

“ป๊าครับ หม่าม้าครับ มายด์อยู่นี่” มายด์วิ่งตามหญิงชายกลางคนอย่างไม่คิดชีวิต ร่างบางทะลุผ่านบานประตูที่กำลังจะปิดลงเข้าไปได้แค่ระยะหนึ่ง มายด์เข้าไปไม่ได้ไกลกว่านี้ ตราบใดที่วินไม่คิดจะขยับเขยื้อนตัวระยะการเคลื่อนที่ของมายด์ก็คงมีได้เท่านี้

“คุณคะ… คุณ” พยาบาลสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมเมื่อเห็นว่าวินนั่งนิ่งไม่ไหวติง เธอใช้ปลายมือสะกิดเบาๆ ที่ต้นแขน และครั้งนี้มันได้ผล ชายหนุ่มเลิ่กลั่กหลังตรงขึ้นมาเมื่อสติที่หลุดลอยไปกลับคืนมาอีกครั้ง

“ค...ครับ”

“ญาติเข้าเยี่ยมได้แล้วนะคะ ดิฉันเห็นคุณนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คงจะเป็นห่วงคนไข้มาก” พยาบาลสาวยิ้มละมุนเมื่อพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดออกไปจนหมด เธอเห็นร่างสูงนั่งอยู่ตั้งแต่กลางดึก จนกระทั่งในเช้าวันนี้ก็ยังคงเห็นนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ร้องขอสิ่งใด จริงอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยหนักไม่อนุญาตให้ญาติอยู่เฝ้า แต่ชายคนนี้ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องนั่งรอหลังคดหลังแข็งมันทั้งคืน

“ขอบคุณครับ” วินพยักหน้ารับและดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ดวงหน้าของเขามีความตื่นกลัวอยู่ไม่น้อย วินผลักประตูเข้าไปทันที ก่อนที่เขาจะรวบมือของตัวเองมากุมกันไว้เพราะมันสั่นจนไม่อาจควบคุมได้ ดวงตาคู่คมมองผ่านห้องกระจกใสที่มีเตียงว่างเปล่าทีละห้อง จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดนิ่งที่ห้องมุมซ้ายสุดใกล้ห้องพักแพทย์ประจำ

มายด์ที่ชะเง้อคอมองหาเตียงของตนอย่างอยู่ไม่สุขได้โอกาสสมใจอยากเมื่อวินเริ่มขยับเขยื้อนตัวเสียบ้าง ดวงจิตเดินทะลุผ่านผนังห้องกระจกเข้าไปยังเตียงของนายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าใกล้ร่างตัวเอง เชือกสีน้ำเงินก็เข้มตึงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวินหยุดก้าวเดินขึ้นมาดื้อๆ ดวงตากลมตวัดมองอย่างไม่พอใจแต่ไม่ได้บ่นคำใดออกมา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่มายด์ไม่พูดไม่บ่นเป็นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน หรือเพราะไม่อยากพูดกับอีกฝ่ายกันแน่

“เราต้องคุยกับหมอนะคุณ...ฮือ ต้องช่วยลูกให้ได้ โธ่ มายด์ของม้า”

“ไม่เป็นไร ลูกเราจะไม่เป็นอะไร” มายด์อยากโผเข้าใกล้สองร่างที่กำลังร้องไห้ปลอบกันปิ่มจะขาดใจ แต่วินกลับรั้งเอาไว้ไม่ให้เขาได้ทำอย่างที่คาดหวัง ร่างสูงที่เฝ้ามองอยู่ในระยะไกลมีโอกาสได้เห็นเพียงปลายเท้าใต้ผ้าห่มและปลายมือนิ่งสนิทของมายด์เท่านั้น ใบหน้าประหวั่นใจเริ่มนิ่งลงจนเหมือนไร้รู้สึก วินยกมือขึ้นกุมอกซ้าย กรอบหน้าเข้มย่นคิ้วส่ายซ้ายขวาไปมาราวกับตั้งใจปฏิเสธบางเรื่องในความคิดตน

“ไม่เข้าไปเหรอคะ หรือไม่ใช่เตียงนั้น” พยาบาลคนเดิมเอ่ยถามขณะที่เธอเก็บข้าวของเตรียมออกเวร วินพยักหน้ารับ เขาลดระดับมือลงมาและปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุด

“ใช่ครับ”

“งั้นถ้าจะเข้าเยี่ยมเดินไปสวมชุดปลอดเชื้อตรงเคาน์เตอร์ก่อนนะคะ”

“ครับ… เอ่อ...”

“คะ”

“เปล่าครับ”

“งั้นดิฉันขอตัวนะคะ” คำถามสั้นๆ ง่ายๆ ของวินหายวูบไปกันความคิด เมื่อครู่สายตาหม่าม้าของมายด์มองมายังเขาไม่ผิดแน่ สายตาโกรธเคืองและไม่มีวันให้อภัยยิงเข้ามาใจกลางความรู้สึกจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำถามที่คาใจที่สุดออกไป จนถึงตอนนี้ วินาทีนี้ มันคงสมควรแล้วที่คนอย่างเขาต้องทุรนทุรายกับความเจ็บปวดในหัวใจเพียงลำพัง

‘มายด์เป็นยังไง เขาเป็นยังไงบ้าง’

“เป็นอะไรนักหนาวะวิน! แค่ฝืนใจเข้าไปเยี่ยมกันยังทำไม่ได้เลยเหรอ!”

ธาวินสาวเท้าออกจากห้องผู้ป่วยหนักและลากดวงจิตของมายด์ให้ตามติดมาด้วยโดยไม่รู้ตัว คนจะตายที่ปิดปากเงียบล้มวืดไปกับพื้นหลายครั้งเพราะก้าวตามขายาวไม่ทัน มายด์เริ่มอดรนทนไม่ไหวสบถเสียงกระฟัดกระเฟียดออกมาแม้รู้ว่าไม่มีใครได้ยิน เขาอยากอยู่กับพ่อกับแม่มากกว่านี้ อยากพินิจร่างกายตัวเองใกล้ๆ โดยละเอียด อยากฟังเสียงหมอบอกเล่าอาการของตนสักครั้ง ไม่ใช่โดนคนไร้หัวใจลากไปซ้ายทีขวาทีแบบนี้

จะทำให้เจ็บปวดไปถึงไหน จะทรมานกันไปถึงไหน

“วิน! ธาวิน! เกลียดกันขนาดนี้เลยรึไง เกลียดกันนักใช่มั้ยวิน”

“ขอโทษนะมึง กูไม่ได้รับสายใครเลย” เมื่อเดินจนถึงลานจอดรถ ร่างสูงล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดเครื่องและตัดสินใจโทรหาสายที่ไม่ได้รับเบอร์ล่าสุด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เขาไม่ได้ยินคำบริภาษด่าทอจากมายด์เลยสักนิด แต่คงเป็นโชคดีกระมังที่มีแค่มายด์เท่านั้นที่รู้ว่าน้ำเสียงสั่นใกล้ปล่อยโฮเหล่านี้มันเจอปนไปด้วยความเจ็บปวดระดับไหน

“เชี่ย พวกกูเป็นห่วงกันจะตายอยู่แล้ว มายด์เป็นไงบ้าง” น้ำเสียงของเพิร์ธดูจะโล่งอกโล่งใจไม่น้อยที่เพื่อนสนิทของเขาโทรกลับมายืนยันว่ายังอยู่ดี

“มึงรู้กันได้ไง”

“แม่มายด์โพสต์เฟซแท็กด่ามึงขนาดนั้น ใครไม่รู้ก็บ้าแล้ว”

“เหรอ”

“แล้วมายด์เป็นไง ปลอดภัยรึเปล่า”

“กูไม่รู้ มึงหาคำตอบให้กูทีสิ” วินตอบไปตามความจริง ร่างสูงปลดล็อกรถซีดานสีดำและทรุดตัวลงไปนั่งที่ฝั่งคนขับ ลมหายใจบางๆ ถูกเป่าออกมาจากปากไล่อาการอึดอัดทั้งหมดที่มีอยู่ในอก

“อะไรของมึงวะวิน”

“กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรเลย” แม้น้ำเสียงจะนิ่งเรียบแต่เพื่อนสนิทกลับรู้ดีว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน ผิดกันกลับอีกคนที่จำใจเข้ามานั่งในรถก่อนจะถูกลากไปตามท้องถนน มายด์ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าวินจะมือนวดหัวคิ้วตนแบบนั้นทำไม ในเมื่อไม่คิดอาลัยอาวรณ์กัน ในเมื่อไม่คิดแม้แต่จะอยู่ดูอาการ แล้วทำไม ทำไมจะต้องทำท่าทางเหมือนเจอเรื่องหนักหนาแบบนี้ หึ คงเครียดที่ตัวเขายังไม่ได้ตายสมใจสินะ

“ไอ้วิน มึงอยู่ไหน ให้กูไปหามั้ย”

“โรงบาลว่ะ กำลังจะกลับบ้าน” วินกดเปิดลำโพงและวางเครื่องโทรศัพท์ไว้บนตัก รถสี่ล้อเคลื่อนออกไปโดยมีตุ๊กตาหน้ารถที่แสดงท่าทียิ่งกว่าบอกบุญไม่รับ

“มึงโอเคใช่มั้ย”

“ไม่โอเคก็ต้องโอเค กูต้องกลับไปเคลียร์หลายๆ อย่าง”

“จะเคลียร์อะไรอีก! วิน! มายด์จะตามอยู่รอมร่อ วินจะกลับไปบ้านเหรอ! อะไรๆ ก็น่าสนใจมากกว่ามายด์ใช่มั้ยวะ!” มายด์ตะโกนขึ้นมาสุดเสียงแสดงสีหน้าขึ้งโกรธถึงขีดสุด มือเล็กทุบตีไปที่ต้นแขนของวินไม่ได้หยุด แรงเหวี่ยงแรงทุบต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าวินไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือระคายผิว มีเพียงแค่มายด์เองที่รู้สึกด้านชาที่มือจนกระทั่งเริ่มมีน้ำใสเอ่อออกมาที่ขอบตา

ต้องอีกสักกี่ครั้ง

อีกกี่ครั้งที่จะได้เห็นคนอย่างวินรู้สึกเจ็บปวดบ้าง

“มึงมีอะไรให้กูช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไร กูว่ากูยังไหว”

“เรื่องมายด์มันหนักมาก กูเป็นห่วงมึงนะวิน”

“ไอ้เพิร์ธ… กู”

“ถ้าไม่ไหวอย่าแบกไว้คนเดียว แค่บอกกู เล่าให้กูฟังได้ ไม่ต้องบอกกูก็ได้ว่าทำไม แค่พูดว่าตอนนี้มึงเป็นยังไงก็พอ” วินนิ่งไปเมื่อได้ยินคำของเพิร์ธ การจราจรให้เมืองหลวงไม่ได้ทำให้ร่างสูงตื่นตัวขึ้น ความเร็วสม่ำเสมอค่อยๆ ลดลงเมื่อวินเผลอคิดถึงความเศร้าในใจตนเองจนเหม่อลอย

“มายด์...” มือที่ฟาดลงที่ช่วงแขนของวินชะงักลง ร่างบางหยุดนิ่งรอฟังใจความบางอย่างหลังจากที่ได้ยินโทนเสียงเศร้าสร้อยเอ่ยถึงชื่อตน มายด์ชะเง้อมองดวงตาคมคู่นั้น แต่มันก็ยังเหมือนเดิม ดวงตาของวินนิ่งสนิทไม่แสดงสิ่งใดออกมาทั้งนั้น

“ว่าไง มึงแค่ต้องพูดวิน… หัดพูดซะบ้าง เพื่อนเขามีไว้ปรับทุกข์ มึงรู้ใช่มั้ย”

“มายด์เป็นแบบนี้… ที่มายด์เป็นแบบนี้ก็เพราะกู”

“ขอบคุณ ที่อุตส่าห์รู้ตัว” สิ้นเสียงน้อยใจมายด์ก็พาตัวเองไปนั่งอุดหูที่เบาะหลังเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีก ในฐานะดวงจิตไร้ความสามารถ หากขอพรได้สักประการ มายด์ก็คงจะขอให้ตนเองหายไปจากตรงนี้ ออกไปให้ไกลจากคนที่ตอกย้ำให้รู้ว่าเขาตัดสินใจผิดพลาด เพื่ออะไรกันมายด์ ฆ่าตัวตายสังเวยชีวิตให้กับคนแบบนี้เพื่ออะไรกัน

ใช้เวลาไม่นานนักรถสี่ประตูก็เข้าจอดเทียบหน้าทาวน์โฮมแห่งหนึ่ง ร่างสูงดับเครื่องยนต์และก้าวลงจากรถเชื่องช้าเหมือนคนใช้สมองอยู่ตลอดเวลา ขายาวก้าววนไปที่หน้ารถช่วงซุ้มล้อฝั่งซ้าย วินชำเลืองมองรอยยุบกว้างบริเวณหน้ารถและรอยแตกที่กันชนแล้วหัวเราะหึหึขึ้นมาในลำคอ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งดวงจิตที่มองตามสายตาคู่คมอย่างไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่ก่อนออกจากโรงพยาบาลมายด์ไม่ได้สังเกตรถคันนี้นัก แต่เขาพลาดอะไรไปตอนไหนถึงไม่รู้ว่าวินขับมันไปชนจนเกิดรอยยุบน่ากลัว

“เหอะ ด่าแต่คนอื่นขับรถเร็ว” มายด์ก่นคำออกมาขณะยืนกอดอกมองวิน ไม่อยากจะคิดย้อนกลับไปเท่าไหร่หรอก ทว่าวินาทีนี้มายด์อดนึกถึงไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่รู้จักกันมา วินดุด่าเขาเรื่องใช้ความเร็วบนท้องถนนนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มายด์ต้องหงุดหงิดเพราะมีคนแบบวินคอยกำกับดูแลในเรื่องไม่เป็นเรื่อง นี่ถ้าตัวเขายังมีชีวิตอยู่ดี ป่านนี้คงจะได้โอกาสถากถางกลับไปจนสาแก่ใจ

“แล้วทำไม...” มายด์กำลังจะพูดถึงวินในมุมของตัวเองอีกครั้งเมื่อหันไปมองบ้านที่เคยเป็นที่ของคนสองคน ทาวน์โฮมหลังมุมสุดในซอยถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ประตูรั้วเรื่อยไปจนถึงประตูตัวบ้าน ไฟส่องสว่างยังคงทำงานอยู่ครบทุกดวงเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด ใช่...เหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด

ความเงียบของสองโลกเกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อวินเดินผ่านรถหรูในซองจอดเข้ามาในบ้านตน ร่างสูงเดินปิดสวิตช์ไฟที่ไม่มีประโยชน์เป็นลำดับแรก คงยังพอมีโชคล่ะมั้ง บ้านทั้งหลังที่เป็นน้ำพักน้ำแรงถึงไม่ได้มีอะไรหาย และคงสภาพเช่นเดิมไม่ต่างอะไรกันตอนที่ก้าวขาออกไป

เศษแก้วเศษจานแตกเกลื่อนเต็มพื้นและคงกลับไปเป็นเช่นเดิมไม่ได้

ข้าวของระเนระนาดทั่วบ้านเหมือนเพิ่งผ่านสนามอารมณ์ของใคร

ทุกอย่าง พังเหมือนเดิมไม่มีผิด ทุกอย่าง พังลงไปหมดแล้ว

วินสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เขาใช้สองมือกอบเศษแก้วไปทิ้งโดยมีมายด์เดินตามอยู่ไม่ห่าง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มือหน้าหยิบจับแก้วแตกคมกริบอย่างไม่คิดกลัวว่าตนจะได้แผล ดวงตาคู่กลมเสมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ แต่ยิ่งมองความเป็นไปในบ้านหลังเล็กหัวใจของมายด์ก็ยิ่งหน่วงหนึบขึ้นมา โซฟาผ้านั่นเขาเป็นคนเลือกแม้วินจะยืนยันว่ามันไม่เข้ากับชุดเคาน์เตอร์บิวท์อิน ผ้าม่านสีเทาเข้มอย่างที่วินชอบช่างขัดกับตุ๊กตาปูนปั้นสีสันสดใสนอกบานกระจก ครัวที่วินอยากมีแต่เขาไม่เคยสนใจมันยังไร้ประโยชน์อยู่เช่นเดิม บ้านของเราแทบไม่มีอะไรเป็นไปในทิศทางเดียวกันเลย

ทุกอย่างมันเคยมีคำนั้น

ครั้งหนึ่งนั้น… เคยมีคำว่าเรา

เพราะไม่มีทางเลือกมายด์จึงทำได้เพียงทิ้งระยะห่างจนแทบสุดปลายเชือก วินก้าวยาวกระฉับกระเฉงเก็บกวาดตัวบ้านให้พออยู่อาศัยได้อีกครั้ง ข้าวของระเกะระกะบนพื้นถูกรวบไปกองเอาไว้บนโต๊ะกินข้าวอย่างไม่ได้จัดเรียง เมื่อพื้นที่โดยรวมที่ชั้นล่างเรียบร้อยวินจึงตัดสินใจก้าวขาขึ้นชั้นสองทันที

บ้านทั้งหลังยังคงเต็มไปด้วยความเงียบ วินมองบานประตูห้องนอนที่ถูกงัดลูกบิดจนพังแล้วกำมือแน่นจนเล็บจิกลึกเข้าไปในหน้ามือ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าออกอยู่แบบนั้น เขาทำมันซ้ำๆ พร้อมกับนับจังหวะในหัวเพื่อไม่ให้ความรู้สึกทำร้ายใจตนเกินไป เมื่อคิดว่าสามารถแบกทุกอย่างเอาไว้ได้มากพอวินจึงพ่นลมหายใจอึดอัดครั้งสุดท้าย และสาวเท้าเข้าห้องไป

เจ้าตัวคว้ารีโมทปิดเครื่องปรับอากาศที่ทำงานมาทั้งคืน คว้าถังขยะใบเล็กติดมือไปก่อนจะก้มลงเก็บเม็ดยาบนพื้นลงถังทีละเม็ดๆ ดวงหน้าคมยังคงรักษามาตรฐานไม่แสดงอารมณ์ ทว่ามือของวินกลับสั่นเทาจนน่าใจหาย เจ้าตัวทอดมองพื้นไม้ลามิเนตที่มีรอยอาเจียนเปรอะทั่วบริเวณและเดินไปคว้าเสื้อยืดในตะกร้ามาเช็ดพื้นอย่างไม่รังเกียจ

“บอกแล้วใช่มั้ยมายด์ พื้นแบบนี้มันบวมน้ำ” เจ้าของชื่อที่ยืนหันหลังให้วินตั้งแต่ต้นหันขวับทันที มายด์มองแผ่นหลังของคนที่นั่งบนหน้าขาเช็ดพื้นไม้สังเคราะห์ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย นัยน์ตาหงุดหงิดระคนไปด้วยความเศร้าใจจนต้องเบนหน้าหนี

“แล้วยังไง ทุกอย่างมันก็มีวันเสียรึเปล่า”

“คงต้องรื้อทิ้ง”

“เหรอ เหรอ เหรอ”

“เสียดายเหมือนกัน”

“จะเสียดายมันทำไม ขายทิ้งไปทั้งบ้านเลยก็ยังได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขายทิ้งไปเลย!”

“คงต้องเป็นวิน”

“ทำไม วินทำไม!” มายด์เฝ้าเถียงวินไม่ได้หยุด ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายแค่พูดกับตัวเองเท่านั้น มายด์พยายามพาตัวเองหนีออกมาจากวินจนเชือกปรากฏขึ้นมาให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า สองมือเล็กพยายามยกขึ้นอุดหูตนเพราะไม่อยากได้ยินสุ่มเสียงของอีกฝ่าย

“จะคอยให้วินตามรับผิดชอบตลอดไปไม่ได้หรอกนะมายด์… ไม่ได้หรอก...” แต่จนแล้วจนรอดมายด์ก็ยังต้องพบเจอกับสิ่งที่กรีดลึกลงไปในจิตใจ โดยเฉพาะคำพูดที่ชวนคิด และรูปถ่ายบนผ้าแคนวาสที่ถูกตัวเขาเองกรีดยับไม่มีชิ้นดี รูปถ่ายที่วินกำลังหยิบติดมือขึ้นมา รูปถ่ายที่จะไม่มีวันกลับไปดีดังเดิม

รูปถ่ายรูปแรก

รูปถ่ายที่มายด์เคยคิดว่ามันสำคัญจนต้องพิมพ์ติดห้องเอาไว้ระลึกถึงเสมอ

รูปถ่ายที่ทำให้มายด์ในตอนนี้เข้าใจดีแล้วว่าที่ผ่านมามันเป็นเพียงความรับผิดชอบของใครอีกคน

“ขอให้เวลาเดินเร็วๆ ทีเถอะ เหตุผลข้อที่สองของผมพร้อมแล้วชาตะ”



Talk

สวัสดีเช่นเคยค่า ตอนที่ 3 มาแล้ววววว อันที่จริงพล็อตเรื่องนี้ไม่ซับซ้อนมากนัก อาจจะออกแนวเล่าไปเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการเล่าอีกแบบ ไม่ได้ตื่นเต้นและไม่ได้เป็นเรื่องเดายากขนาดนั้นนน เพียงแต่จะค่อย ๆ เล่าตามบริบทเรื่อง อันนี้ก็แล้วแต่คนอ่านจะมองตัวเรื่องเนอะ ไม่อยากชี้นำ อยากให้มีความสุขกับการอ่านเยอะ ๆ 5555 

อย่าลืมเป็นกำลังใจให้กันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

ไปเจอกันได้ที่ทวิตเตอร์ #เจ็ดเหตุผล เด้อ 
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 3 25/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-01-2019 23:53:04
มายด์เป็นลูกคุณหนูที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองนะ :katai5:

รอตอนต่อไป  :hao7:
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 3 25/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 27-01-2019 22:07:31
บทที่ 4 ถ้าใจเราได้จะทำอะไรก็ได้

คนเราทุกคนต้องเคยมีความคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ไม่คุ้มค่านัก เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงถูกใช้ประโยชน์ไปกับการดูแลกลไกร่างกายซะส่วนใหญ่ มันจะดีสักแค่ไหนถ้าคุณเดินได้ทั้งวันโดยไม่เหนื่อย ไม่โหยหิว ไม่ต้องการน้ำ ไม่ต้องพักผ่อน ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รับรู้ร้อนหนาว และไม่ต้องไยดีอะไรหากร่างกายของคุณนั้นจะพังลงไป

แต่เชื่อเถอะ ใครบางคนพิสูจน์แล้วว่าชีวิตใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติย่อมดีกว่า

คงจะดีหากตอนนี้มายด์ยังเหนื่อย ยังหิว ยังกระหาย ยังอยากพักผ่อน ยังเจ็บปวดเหมื่อยกาย และยังรับรู้ความเป็นไปของสภาพอากาศ เวลานับสิบชั่วโมงผ่านไปขณะที่ดวงจิตไร้กายหยาบจมอยู่กับความเงียบในใจตัวเอง ร่างบางนั่งคุดคู้อยู่กับพื้นเย็นมานานพอๆ กับการที่วินเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยหนัก

ชายหนุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่ดีนั่งบ้างเดินบ้างตั้งแต่กลับมาถึงที่โรงพยาบาล วินใช้เวลาอยู่ที่บ้านราวสองชั่วโมง เขาเก็บกวาดดูแลมันให้เข้าที่เข้าทางขึ้น จัดการอาบน้ำแต่งตัว คว้าของจำเป็นและเสื้อผ้าอีกสองสามชุดใส่กระเป๋า รถคันเดิมเคลื่อนตัวกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ชายผู้นี้ไม่ได้ทำให้จิตนึกคิดของมายด์รู้สึกดีขึ้น วินไม่ได้เข้าไปใกล้ตัวมายด์มากกว่าบานกระจกกั้น อันที่จริงร่างสูงเอาแต่เดินไปเดินมาและทรุดตัวนั่งอยู่ด้านนอกเท่านั้น

ไม่มีใครรู้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉย

ไม่มีใครรู้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ภายใต้อกซ้ายที่เขากุมมันเอาไว้ตลอดเวลา

มายด์รู้ว่าวินเป็นคนน่าเบื่อ ทำอะไรซ้ำๆ ไม่มีเหตุผลหน้าตาย และมักทำให้เขาอ่านไม่ออกอยู่เสมอ แต่ทว่าตอนนี้มายด์กลับไม่เข้าใจวินเลยสักนิด หากไม่สนใจกัน ไม่รักกัน ไม่ใส่ใจกัน วินจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม จะก้มมองพื้น ก้มมองเท้า มองมือตัวเองไปทำไม อยากทรมานร่างกายเพื่อให้ได้รับความสนใจจากคนอื่น หรืออยากจะลดความผิดที่ตราอยู่บนหน้าตนเอง

เพราะอะไร มายด์ต้องทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่คนเดียวแบบนี้เพราะอะไร

เพื่ออะไร มายด์ต้องจมอยู่กับคนใจร้ายน่ารังเกียจแบบนี้ไปเพื่ออะไร

“ฉันไม่อยากกลับเลยคุณ รู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้”

“อยู่ที่นี่ก็เข้าเยี่ยมลูกไม่ได้ ไว้เรามาแต่เช้าแต่กว่านะ” วินหันมองตามเสียงที่ดังขึ้นไม่ไกลจากตัว ขณะที่มายด์แทบจะลุกพรวดพราดเข้าไปหาพ่อกับแม่ตนอย่างคนรู้สึกผิดและรู้สึกโหยหาความรักบริสุทธิ์ ผู้เป็นสามีลูบแผ่นหลังของภรรยาทั้งที่ดวงตาตนโรยลงเพราะความเหนื่อยล้าเช่นกัน ครอบครัวที่มีลูกชายเพียงคนเดียวสั่นคลอนไปไม่น้อยในเวลานี้ ผู้นำครอบครัวจึงต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อประคองทุกอย่างไว้ก่อนจะพังลงไปมากกว่าเดิม

“ป๊า ม้า เป็นไงบ้าง มายด์ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องเหนื่อยกันแบบนี้ ไม่ต้องห่วงนะครับ มายด์จะกลับไปหาป๊า มายด์จะกลับไปกอดม้านะ” มายด์เอื้อมมือลูบใบหน้ามารดาของตนแม้จะรู้ว่าทุกอย่างว่างเปล่า อ้อมกอดที่เขาพยายามสร้างความอบอุ่นให้คนทั้งสองวูบหายไป เสียงเรียกของเขา สัมผัสของเขา ทุกอย่างมันว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวตน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเรียกความสนใจมายังตัวเขาได้

“เอ่อ… ป… ป๊าครับ” ผิดกันกับความพยายามอันน้อยนิดของวิน เพียงแค่ดวงตาแข็งนิ่งและน้ำเสียงเบาหวิวก็เรียกความสนใจจากคนทั้งคู่ได้ทันที

“คุณไปรอผมที่โถงชั้นหนึ่งก่อนนะ เดี๋ยวผมตามไป” ‘สุธี’ ชายผู้เป็นสามีปรายตามองวินก่อนจะหันมาใช้ท่าทางเชิงออกคำสั่งกับภรรยาตน

“แต่ว่า...” ‘มานิตย์’ แสดงท่าทีอิดออดและใช้สายตาเคืองใจมองไปยังวิน ความรู้สึกของร่างสูงวูบหล่นคล้ายถูกดึงลงจากที่สูง ครั้งหนึ่งคนทั้งคู่เคยมองเขาด้วยความรัก ความไว้อกและไว้ใจ แต่ตอนนี้ สายตาเช่นนั้น ความรู้สึกเช่นนั้นมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว

“เดี๋ยวผมตามไป แค่ครู่เดียว” หม่าม้าของมายด์เดินออกไปตามความต้องการของป๊าได้สำเร็จ วินลุกขึ้นสุดความสูงเมื่อเห็นว่าตนได้รับความสนใจ ช่วงศีรษะของเขาก้มโค้งลงแสดงความนอบน้อมที่ควรจะมีให้ญาติผู้ใหญ่ ดวงตาเหนื่อยล้าของสุธีลอบมองใบหน้าที่อ่านไม่ออกของวินแล้วก็ได้แต่กำหมัดแน่น แต่นั่นคงเป็นความโมโหที่เทียบไม่ได้กับแรงทุบตีที่มายด์พยายามกระทำต่อร่างกายของวิน

“จะยุ่งกับป๊ามายด์ทำไม อย่ามายุ่งกับป๊านะ จะไปไหนก็ไปเลยวิน!”

แน่นอน วินไม่ได้เจ็บ มีแต่มายด์ มีแต่มายด์ที่เจ็บปวด

“ป๊าครับ… ม… มายด์เป็นไงบ้าง” ลำคอของคนถามแห้งผาก เสียงของวินกระตุกเป็นช่วงๆ คล้ายกับคนไม่พร้อมยอมรับความเป็นจริงใดๆ ตาคมพยายามแข็งสู้และสบกลับไปยังคู่สนทนา

“ใช่… ใช่สิ! มายด์เป็นยังไงบ้างครับป๊า!” ไม่ใช่เพียงแค่วินเท่านั้นที่ต้องการคำตอบ คำถามนี้ทำให้มายด์คลี่ดวงตายิ้มเพื่อรอฟังเรื่องที่คาใจมาทั้งวัน นอกจากดวงจิตที่ล่องลอยรอตอบคำถามในวันใหม่ มายด์ก็ไม่ได้รู้ความเป็นไปของร่างกายตนเลย

“ลูกชายฉันนอนเป็นตายเท่ากันจะเข้าสองวัน เพิ่งคิดได้ว่าต้องถามเหรอ” คำพูดของสุธีกรีดลึกลงไปในใจพังๆ ของมายด์ได้ดีนัก ร่างบางเคลื่อนตัวมายืนข้างพ่อตนและมองวินด้วยสายตาแค้นเคืองไม่ต่างกัน ทว่าสองพ่อลูกไม่ได้รู้เลยว่า คนเย็นชาแสร้งไร้รู้สึกอย่างวินไม่ได้แข็งแกร่งดั่งหิน

“ผมขอโทษครับ” มือหนาพนมลงระดับคาง วินก้มศีรษะไหว้พร้อมกับปิดเปลือกตาลงอย่างคนรู้สึกผิด

“ขอโทษเหรอ หึ คิดว่าคำขอโทษจะทำให้มายด์ตื่นขึ้นมาได้มั้ยล่ะ ถ้าคิดว่าได้ ก็ขอโทษมาอีก พูดมาอีก!” ไม่ใช่เพราะถูกปัดสองมือออก แต่คำพูดธรรมดากลับทำให้เขาเซจนแทบล้ม ดวงตาคมเหลือบมองบานประตูที่นั่งเฝ้ามาทั้งวัน บานประตูห้องพักผู้ป่วยหนักที่ทำให้เขาไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาดไร้ความรับผิดชอบคนหนึ่ง

“ผม...”

“ป๊าไม่เข้าใจแกเลยวิน มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ หลายปีที่ผ่านมา ป๊าไว้ใจวินทุกอย่าง ทำไมวินถึงปล่อยให้มายด์เป็นแบบนี้ หือ ตอบป๊าสิวินว่าทำไมถึงทำให้มายด์ต้องเสียใจ ทำไมถึงต้องทำร้ายมายด์!” แม้น้ำเสียงของสุธีจะอ่อนลงกว่าคืนที่ผ่านมา แต่ทุกประโยค ทุกคำพูดยังคงเต็มไปด้วยความโกรธแสนเจ็บปวดเช่นเดิม ใช่ว่าที่สุธีจะไม่รู้ว่าแฟนลูกชายเป็นคนแบบไหน แต่เพราะว่ารู้ไงล่ะ เพราะสุธีรู้ และคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าการเก็บงำคำพูดของวินจะต้องทำให้ชีวิตคู่มีปัญหา

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้...”

“แล้วตกลงมันเรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงทะเลาะกันรุนแรงนัก” คนเป็นพ่อนึกถึงจดหมายลาที่คนเป็นลูกเขียนไว้ด้วยลายมือ อีกใจหนึ่งมันก็คิดย้อนไปถึงเรื่องราวครั้งก่อนที่ลูกชายพาคนตรงหน้าเข้ามาหาและบอกว่าเป็นแฟน สุธีไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของมายด์ แววตารักใคร่หลงใหล แววตาที่มายด์ไม่เคยมอบให้ใครนอกจากวินคนนี้ เช่นกัน… แววตาเสียใจและเจ็บปวดใจที่มายด์มีตอนนี้ เขาเองก็ไม่เคยมอบให้ใคร

“มายด์แค่เข้าใจผิด...” วินผ่อนเสียงและเงียบลงในที่สุด เขาเม้มริมฝีปากราวกับรอฟังคำพูดมากมายที่พรั่งพรูมาจากมายด์แม้ไม่มีวันได้ยิน

“ไม่ได้เข้าใจผิด! ยังจะโทษมายด์อีกเหรอวิน ป๊า! ป๊าฟังมายด์นะ! มายด์ไม่ได้เข้าเข้าใจผิด!”

“เข้าใจผิดเรื่องอะไร”

“...”

“ถ้าจะพูดแค่นี้ และไม่คิดจะทำอะไรให้มันดีขึ้นก็กลับบ้านไปเถอะ อย่ามาเสียเวลานั่งอยู่ตรงนี้เลย” สุธีโบกไม้โบกมือไล่พร้อมกับการถอนหายใจออกมา เขาไม่อยากโมโห ไม่อยากลงไม้ลงมือ ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนที่ไม่รับฟังเหตุผลอะไร แต่ใครบ้างล่ะ ใครบ้างที่จะอดทนกับคนที่เป็นต้นเหตุให้ลูกชายมีอาการปางตายได้เช่นนี้

“ผมขอรอมายด์ตรงนี้ได้มั้ยครับ” คำร้องขอของวินทำให้คำเป็นพ่อที่กำลังจะสาวเท้าหนีหยุดเดินกลางคัน

“ไม่มีประโยชน์ ถ้าวินยังเป็นแบบนี้ ต่อให้อยู่รอหรือไม่ไยดีลูกชายฉันมันก็ไม่มีประโยชน์ กลับไปเถอะ จะไปไหนก็ไป ก่อนที่เราจะต้องโกรธต้องเกลียดกันไปมากกว่านี้” สุธีส่ายหน้าเบา ทั้งยังยกยิ้มที่ริมฝีปาก เขาเห็นวินทิ้งตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนจนกระทั่งจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่รอมร่อ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงทำตัวเหมือนคนหมดแรงทั้งที่ในเวลานี้ควรจะเข้มแข็งวิ่งเต้นทำทุกอย่างเพื่อให้มายด์ปลอดภัย จนบางทีสุธีก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้เคยรู้สึกลึกซึ้งกับลูกตนจริงๆ บ้างรึเปล่า

“ผมแค่กลัวครับป๊า… ผมกลัว ผมรู้ว่าผมผิด แต่ผมมืดแปดด้านไปหมดแล้ว” มายด์เกือบจะเอ่ยคำพูดไร้ผลออกมาสมทบผู้เป็นพ่อ หากในวินาทีนั้นไม่มีหยดน้ำใสเอ่อออกมาจากดวงตาของวินเสียก่อน สุธีเก็บความคิดของตนเมื่อครู่เอาไว้ในที่ลึกสุดใจ วินยกหลังมือขึ้นเก็บน้ำตาเอาไว้ และตีหน้านิ่งต่อไปทันที ระหว่างนั้นมายด์ชาไปทั้งตัว ดวงจิตไร้พลังวูบดับไปมาหลายครั้งจนร่างบางเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน

“เศร้าเป็นกับเขาด้วยเหรอวิน… หรือว่าคิดจะหลอกป๊ามายด์” ตลอดเวลาที่ผ่านมามายด์ไม่เคยเห็นน้ำตาของคนคนนี้เลย จะเป็นแผลลึก จะดีใจ จะผิดหวัง จะทะเลาะกันสักกี่ครั้ง มายด์ก็ไม่เคย ไม่เคยได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าน้ำตาจากวินเลยสักครั้ง

“พรุ่งนี้เช้าหมอจะย้ายมายด์ไปห้องพิเศษ ฉันอาจจะมาสายหน่อย อยากให้ม้าเขาได้พักผ่อน”

“ค...ครับป๊า”

“อาการมายด์ยังทรงตัวหลังล้างท้อง หมอก็บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงยังไม่ฟื้น อาจจะด้วยฤทธิ์ยานอนหลับที่กินเข้าไป หรือไม่มายด์ก็ไม่อยากฟื้นขึ้นมาเอง ถ้าอยากจะอยู่รอให้ลำบากก็อยู่ไป” สุธีเสตามองไปรอบๆ ระหว่างพูด โดยที่ไม่รู้เลยว่าในใจของคนเป็นลูกอ่อนยวบไปแค่ไหนเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใช่ว่าตัวมายด์ไม่อยากฟื้น แต่หนทางกลับไปมีชีวิตมันไม่ง่ายดายเช่นที่เคยคิดนัก สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือภาวนาให้คำตอบที่อยู่ในใจของมายด์ เป็นคำตอบที่ถูกใจผู้ดูแลวิญญาณสีน้ำเงินเสียที

“ขอบคุณนะครับป๊า”

“แต่ถ้าจะอยู่เพราะอยากรับผิดชอบที่ทำให้มายด์ต้องเป็นแบบนี้… ไม่ต้องอยู่” ทันทีที่พูดจบ ชายกลางคนก็ตัดสินใจเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ดวงตาของวินในเสี้ยววินาทีที่มีรอยน้ำตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าที่คงไม่มีใครเข้าใจ แต่ที่เข้าใจยากยิ่งกว่าคงจะเป็นการที่พ่อคนหนึ่งพยายามกดความโกรธเอาไว้ภายใน

เขาคิดแล้วว่ารู้จักตัวตนของวินดีพอ

และเขาคิดแล้วว่ารู้จักลูกชายตนมาทั้งชีวิต

“ไม่ต้องมารับผิดชอบกันหรอกวิน พอแล้ว พอสักที” เสียงของมายด์เบาลงเมื่อเขาต้องทรุดลงกับพื้นเพื่อกอดตัวเองอีกครั้ง ดวงตาคู่กลมมองไปยังวินด้วยความรู้สึกนานาประการ เจ้าของดวงหน้านิ่งคว้าชิ้นขนมปังในกระเป๋าขึ้นมาละเลียดกินอีกครั้ง ขนมปังชิ้นเล็กๆ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตเขาร่วมกับกาแฟมาตั้งแต่เช้า แปลกดีเหมือนกันที่มายด์มองภาพตรงหน้าแล้วเอาแต่นึกถึงน้ำตาหยดเดียวหยดนั้น

ที่ร้องไห้เป็นเพราะรู้สึก

หรือว่าร้องไห้เพราะไม่อยากรู้สึก



....................................



หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 3 25/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 27-01-2019 22:07:49

“ชาตะ… ชาตะ… ชาตะ...” มายด์เดินวนไปมารอบตัววินนับตั้งแต่เข็มนาฬิกาวนรอบมาที่ยี่สิบสามนาฬิกาสี่สิบนาที ช่วงเวลาแห่งการอดทนรอคอยกำลังจะจบลงเมื่อเขาได้เอ่ยเหตุผลข้อที่สองตามเงื่อนไขกับชาตะ หลายต่อหลายครั้งที่ร่างบางเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาที่ข้อมือร่างสูง ยิ่งเวลางวดเข้าใกล้วันใหม่ มายด์ก็ยิ่งร้อนใจเพราะกลัวชาตะจะหายไปและไม่กลับมาคืนชีวิตเขาตามสัญญา

“ชาตะ มาสักทีสิ” เหลือเวลาอีกไม่เกินนาทีเท่านั้นหากเครื่องบอกเวลาของวินไม่ได้ผิดไป มายด์มองเข็มนาฬิกาสลับกับเจ้าของข้อมือที่เพิ่งจะเผลอหลับไปได้ไม่นาน ขอร้องเถอะวิน ขอร้องเถอะชาตะ ใครก็ได้ช่วยทำให้ความหวังครั้งที่สองเป็นจริงเสียที

“ชาตะ!” เสียงใสตะโกนเมื่อถึงเที่ยงคืนตามกำหนด ทว่ามันกลับดังก้องสะท้อนกลับมาเสียจนมายด์ต้องยกมืออุดหูตัวเอง เสียเวลากลั้นเสียงสะท้อนอยู่ไม่ถึงนาทีดีนัก ลมระลอกใหญ่ก็พัดผ่านรอบกายจนดวงจิตบางเบาแทบจะปลิว อากาศเคลื่อนที่มาจากทุกทิศ ก่อนจะหลอมรวมกันเป็นกลุ่มก้อนสีครามสด มายด์ยิ้มออกมาจนสุดริมฝีปากเมื่อเห็นว่าลมสีน้ำเงินกำลังรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ดูท่าว่าเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกจะส่งเสียงหงุดหงิดล่วงหน้าเพราะไม่พอใจเท่าไหร่

“เออ”

“ชาตะ!”

“รู้แล้ว เรียกอยู่ได้”

“ชาตะ! คุณมาแล้ว”

“เออ! บอกว่าเออไง!” มายด์กะพริบตาปริบๆ เพราะปรับอารมณ์ไม่ทันเมื่อเห็นชาตะปรากฏกายเต็มรูปร่าง วันใหม่วันนี้ชาตะไม่ได้อยู่ในชุดสูทเรียบหรูเช่นคืนที่ผ่านมา กลับกัน เจ้าของตำแหน่งเดธแอเรียเมเนเจอร์นั้นอยู่ในชุดนอนลายทางแขนยาวขายาวสีฟ้าพาสเทล แถมแปะมาส์กรูปเอลซ่าบนใบหน้าจนโดยรวมชวนอึ้งไปหมด

“ทำไมคุณ...” มายด์มองชาตะตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่านผู้คุมดวงจิตมัดจุก ใส่รองเท้าแตะช้างดาวงั้นเหรอ แล้วไอ้ท่ายืนมองหน้าเล็บตัวเองนั่นมัน...

“อย่าชวนคุยเยอะสิวะ หน้ายับหมด” ชาตะพยายามส่งเสียงออกมาโดยไม่ขยับใบหน้ามากนัก เขากดสายตาลงกับพื้น พาตัวเองเดินไปนั่งข้างวินในตำแหน่งเดิมๆ สองมือยกลูบแผ่นมาส์กให้เข้าไปกับใบหน้า ถ้ามายด์รอดกลับไปจริงๆ แล้วบอกเล่าเรื่องราวของชาตะออกมาเป็นตัวหนังสือคงจะขายดีพิลึก

“งั้น… ผมพร้อมแล้ว”

“พร้อม พร้อมอะไร?”

“เหตุผลข้อที่สอง เหตุผลข้อที่สองของผม”

“เรียกแทบตายเรื่องแค่เนี้ย เสียดายเวลารีแลกซ์ของฉันจริงๆ ขอนอนก่อนนะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน” ชาตะหันไปมองวินแล้วยกแขนขึ้นมากอดอกเลียนแบบ เขาพิงศีรษะไปด้านหลังในลักษณะไม่ต่างกัน ซ้ำยังทำท่าหลับตาคล้ายจะพาตัวเองหลับลง

“เดี๋ยวสิชาตะ คุณจะหลับไม่ได้นะ” มายด์ถลาเข้าไปหาชาตะทันที สองมือเกือบจะถึงตัวชาตะถ้าไม่เห็นว่าชาตะยกหน้ามือด้วยท่าปางห้ามญาติเสียก่อน

“หยุด ขอบคุณมาก พร็อพไม่ครบ ยังหลับไม่ได้” สิ้นคำพูดของชาตะตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ก็ผุดขึ้นข้างตัวผู้คุมดวงจิตทันที มายด์อ้าปากค้างมองภาพชาตะลูบหัวเจ้าหมีอย่างนึกหงุดหงิดในใจ อะไรกันนักหนา โลกมีคน...ไม่สิ ตัวอะไรสักอย่างที่เหมือนชาตะไว้เพื่ออะไรกัน เอาไว้กวนตีนคนที่เครียดจนแทบจะบ้าอย่างเขางั้นเหรอ

“ชาตะ คุณห้ามหลับ คุณต้องฟังเหตุผลจากผมก่อน” มายด์พยายามใช้เสียงเรียกชาตะเอาไว้ คนร่างเล็กไม่กล้าเข้าไปใกล้ตัวเพราะกลัวว่าชาตะจะโมโหและทำให้ตนเจ็บปวดอีก คนฟังได้ยินแบบนั้นจึงเหลือบนัยน์ตาสีเทาขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะยกมุมปากขึ้นกระตุกยิ้มร้ายกาจ

“แน่ใจแล้วเหรอ”

“แน่ใจสิ ยิ่งกว่าแน่ใจอีก”

“มีเวลาเหลืออีกตั้งเป็นวัน พลาดแล้วพลาดเลยนะ ไม่เข็ด?” ชาตะหรี่ดวงตามองมายด์อย่างไม่เชื่อสายตา แน่นอน… เป้าหมายของเขาคือทำให้มายด์ไขว้เขวไม่แน่ใจ แต่หากถามว่าวินาทีนี้มันทำให้มายด์คลายความมั่นใจลงไปได้บ้างมั้ย คำตอบก็คงไม่… ไม่มีทางที่มายด์จะไม่มั่นใจในเหตุผลข้อที่สอง

“ผมแน่ใจ”

“ไหนลองว่ามาสิ”

“ที่วินคบกับผมมันก็แค่เรื่องผิดพลาด มันเป็นแค่ความรับผิดชอบของเขา ผมจึงต้องทุกข์ทนมาถึงห้าปี ทุกอย่างมันสะสมจนผมต้องตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง… นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมอยากตาย” แปลกดีที่มายด์ไม่ได้สนใจคู่สนทนาระหว่างพูด เขาหันไปมองวินด้วยความรู้สึกเสียใจทั้งหมดที่มี หากย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดได้ มายด์จะไม่ดีใจเลยสักนิดที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นขึ้น ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยคำว่ารับผิดชอบของใครอีกคน

“ยังไง ไหนเล่าสิ” ชาตะดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวมายด์ก็หายวับเข้ามานั่งข้างตัว มายด์เริ่มไม่รู้สึกอะไรเมื่อดวงจิตถูกโยกย้ายไปมา เขาได้เพียงแต่ถอนหายใจเมื่อต้องคิดไปถึงเรื่องราวที่เคยสุขใจในตอนนั้น ไม่รู้สิ ไม่รู้ทำไมในตอนนี้แค่นึกถึงมายด์ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วกออกมา

เพราะรู้สึกเกลียดตัวเอง

เพราะรู้สึกเกลียดอีกคน

หรือเพราะรู้สึกเกลียดความรู้สึกที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย

“ผมต้องพูดเหรอ”

“มันเป็นเรื่องของนายกับเขานี่” ชาตะวาดแขนอ้อมร่างของวินและมายด์เข้าหาตัวพร้อมกัน ผู้ดูแลดวงจิตโอบหนึ่งดวงจิตผู้คิดหนัก และหนึ่งมนุษย์ผู้หลับใหลเอาไว้ ช่างเป็นภาพที่น่าดูชมเสียจริง

“คุณไม่ดึงความจำผมไปล่ะ เหมือนครั้งที่แล้ว” มายด์เอ่ยถาม และชาตะก็ตอบกลับมาด้วยคำง่ายๆ

“ขี้เกียจ”

“ผม...”

“แค่พูดถึงยังไม่ได้เลยเหรอ”

“ได้… ผมพูดได้” ร่างเล็กล่อกแล่กอยู่ไม่น้อย ใช่ว่าเขาจะจำรายละเอียดที่เกิดขึ้นตอนนั้นไม่ได้ แต่เรื่องราวมันทำให้ตัวเขากลัวการเสียใจขึ้นมา แต่ถ้าสุดท้ายความจริงน่าปวดใจจะทำให้กลับไปมีชีวิตอีกครั้ง มายด์คงไม่มีทางเลือกอื่นใด

“ไหน เรื่องมันเป็นยังไง” ชาตะหันมองคนในวงแขนด้านซ้าย เขาเห็นดวงตาเลื่อนลอยของมายด์แล้วก็ยิ่งนึกสนุก ไอสีน้ำเงินกระจายฟุ้งรอบกายโดยที่ดวงจิตในการควบคุมแทบไม่รู้ตัว ความคิด ความทรงจำ ความรู้สึกทั้งหมดของมายด์อยู่กับชาตะทั้งหมดตั้งแต่ต้น ตอนนี้เขาแค่เพียงต้องการหาวิธีตอกย้ำให้มายด์มั่นใจในเหตุผลของตนเท่านั้น

“วันนั้นผมกับวินบังเอิญเจอกันที่ร้านเหล้า… เราเมาด้วยกันทั้งคู่ ผมเห็นวินแล้วเกิดสติหลุดที่จีบยังไงก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้ตัววินมาสักที ผมกินเหล้าไม่ยั้งปาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไปบ้าง มันกึ่งหลับกึ่งตื่น เหมือนฝันไปว่าวินหันมาสนใจผม รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในบนเตียงในห้องวิน” มายด์หลับตาลงครู่หนึ่งหลังพูดจบ น้ำเสียงใสหม่นหมองและเต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวเอง

“ก็คือได้เสียเป็นเมียผัวกันงี้ โห พล็อตซ้ำเว่อร์ ไม่รู้เหรอว่ามุขนี้คนเขาเล่นกันไปหมดโลกแล้ว” มายด์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธน้ำเสียงกวนโอ๊ยของชาตะ เขาเลือกที่จะเล่าต่อไปให้ถึงจุดสำคัญของเหตุผล

“วินบอกว่าจะรับผิดชอบผม… เขาขอคบผมเป็นแฟน ผมตอบตกลงไปโดยไม่ต้องคิด ไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่ามันมีคำว่ารับผิดชอบซ่อนอยู่… เรื่องของผมกับวินที่มันเลยเถิดมาขนาดนี้ก็เพราะความผิดพลาด วินแค่พลาดมีอะไรกับผมจนผูกมัดตัวเอง…” สิ้นเสียงความอัดอั้นในเหตุผลข้อที่สองความเงียบก็ปกคลุมทั่วบริเวณ หมอกหนาเคลื่อนซ้อนทับจนบรรยากาศหน้าห้องพักคนไข้เปลี่ยนเป็นสีครามเข้ม ลมพัดเฉื่อยฉิวจนดวงจิตรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็น มายด์มองไม่เห็นอะไรอีกนอกจากเก้าอี้ตัวยาว ตนเอง ชาตะ และใครอีกคนที่ยังคงหลับตาไม่รู้เรื่องราว

“มายด์”

“ฮะ...”

“ร...เรามีอะไรกันแล้ว”

“ไอ้หิน ไอ้บ้า! ใครสอนให้พูดแบบนี้วะ”

“เหรอ”

“วิน! ไม่มีคำอื่นนอกจากคำว่าเหรอรึไง”

“เราไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา”

“ช่างเหอะ เรา… เราจะกลับบ้านแล้ว”

“เดี๋ยวมายด์”

“อะไรอีก”

“เราต้องรับผิดชอบ”

“วินหมายถึงอะไร”

“เราขอคบมายด์ได้มั้ย เป็นแฟนกัน”

“ไหนวินลองพูดชัดๆ อีกทีสิ”

“เราขอให้มายด์คบกับเราได้มั้ย”

น่าเสียดายจังนะวิน

เสียดายจังที่วันนั้นมายด์ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของวินไป

“เข้าใจว่าเขาขอคบเพราะรับผิดชอบที่มีอะไรกันงั้นสิ” ชาตะดึงสองแขนกลับมากอดตุ๊กตาหมีบนตัก มายด์พยักหน้ายอมรับในความคิดตน อันที่จริงในช่วงสองสามปีแรกมายด์ไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้หรอก แต่ยิ่งนานวันเข้า เวลาได้ยินคำว่ารับผิดชอบมันก็เหมือนมีก้อนอิฐหนักๆ กดทับลงมาตอกย้ำให้รู้ว่าเลิกมองข้ามมันไปเสียที และแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่มายด์มั่นใจว่าเกิดขึ้นจริง มันจึงกลายเป็นเหตุผลข้อที่สองในที่สุด

“ใช่”

“นี่วินลืมไปรึเปล่าว่านายเป็นผู้ชาย ไม่มีอะไรเสียหาย มีแต่ฟิน”

“แต่ว่า...”

“ตอนนายตื่นนี่มีประโยคนี้มั้ยอะ… ไม่นะ นายทำอะไรฉัน ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ... ออ ลุกเดินแล้วล้มรึเปล่า หรือเป็นไข้”

“ชาตะ!”

“แล้วหลังจากนั้นมีอะไรกันอีกกี่ครั้ง วินขอนายคบทุกครั้งเลยรึเปล่า”

“อะไรของคุณชาตะ! คุณต้องการจะพูดอะไรกันผม!”

“เปล่านี่ แค่ตั้งสมมติฐาน” ชาตะลอยหน้าลอยตายกตุ๊กตาหมีขึ้นหอมฟอดใหญ่ มายด์มีสีหน้าเครียดขึ้นเมื่อได้ยินชาตะตั้งสมมติฐานตลกร้ายเช่นนั้น ใช่ว่าความมั่นใจจะลดน้อยลง แต่เขากลัวว่าชาตะจะหาช่องโหว่เล่นตุกติกต่างหาก

“งั้นเราก็พิสูจน์เหตุผลข้อนี้เสียที ผมอยากกลับไปแล้ว”

“ยังพิสูจน์ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ!” มายด์ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเหวอๆ ดวงตาคู่กลมแทบจะเอ่อไปด้วยน้ำตาเมื่อได้ยินชาตะเอ่ยออกมาเช่นนั้น

“วิธีพิสูจน์คือต้องสบตาหรือประสานความคิดกับที่มาของเหตุผล… แล้วไม่เห็นเหรอ ว่าเหตุผลของนายหลับอยู่” ชาตะยกนิ้วโป้งชี้ไปยังไหล่ของตน วินที่พิงศีรษะไว้กับกำแพงเบื้องหลังเอียงคอซบมาทางฝั่งขวาโดยไม่รู้ตัว สองแขนที่กอดอกเอาไว้คลายลงเมื่อเข้าสู่ห้วงนิทราในจุดที่ลึกที่สุด ร่างสูงกำลังพักผ่อนร่างกายที่ถูกใช้งานลากยาวมามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงในท่าทางที่ไม่ได้สบายนัก

“ปลุกเขาขึ้นมา!” มายด์ทำท่าจะลุกขึ้นจากที่นั่ง ทว่าชาตะกลับใช้สายลมตรึงตัวของมายด์ไว้ที่เดิม

“จะใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอมายด์ วินเพิ่งหลับไปไม่ใช่รึไงกัน”

“แล้วยังไงล่ะ คุณก็แค่ปลุกเขาขึ้นมา ปล่อยลมพัด เข้าสิง หรืออะไรก็ได้”

“ฉันปลุกได้หมดแหละ ควักลูกตาออกมาให้นายจ้องยังทำได้เลย”

“งั้นก็ทำเลยสิชาตะ”

“แน่ใจนะว่าอยากให้ฉันทำแบบนั้น”

“แน่...” ชาตะใช้แรงลมปัดกระเป๋าสะพายใบเล็กของวินตกลงพื้นก่อนที่มายด์จะยืนยันออกไป แม้เสียงกระทบโครมใหญ่จะดังขึ้นแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าชายร่างสูงจะตื่นขึ้น มายด์มองสิ่งของที่โผล่ของมาจากปากกระเป๋าแล้วรู้สึกจุกไปหมด ดวงจิตที่พยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมค่อยๆ สงบลง กระดาษแผ่นนั้น กระดาษที่เขาเขียนข้อความสุดท้ายถึงวิน

‘ที่มายด์ตัดสินใจแบบนี้ ให้รู้ไว้เลยว่ามันเป็นเพราะวิน เพราะวินคนที่เดียวที่ทำให้มายด์อยากตาย’

“ขนาดอดหลับอดนอนยังต้องใช้ความพยายามที่จะหลับแทบตาย อยากให้ฉันปลุกเขาขึ้นมาจริงๆ เหรอ… พ่อแม่นายยังพากันกลับไปนอนที่บ้าน นี่นายเผลอไปทำอะไรให้เขาต้องรับผิดชอบอีกรึเปล่าถึงต้องนั่งหลังแข็งอยู่ตรงนี้”

“มันเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับผม”

“เหรอ” ชาตะใช้น้ำเสียงเช่นเดียวกันกับที่วินเคยใช้ มายด์หันมาก้มมองตักตัวเองเหมือนคนหมดแรง หัวใจของเขาอ่อนยวบลงไปเหมือนคนไม่มีหลัก เรื่องราวมันเอียงไปซ้ายทีโอนไปขวาทีจนรู้สึกเหนื่อยล้าไปหมด

“นี่ได้กินข้าวบ้างรึยังวิน… หรือแค่อยู่เฝ้าคนกินยานอนหลับจนหลับไม่ตื่นก็อิ่มใจแล้ว ได้กลับไปที่บ้านบ้างรึยัง มีอะไรเปลี่ยนไปมั้ย… เอ๊ะ… รอยอ้วกที่พื้นทำพื้นบวมรึเปล่า บอกแล้วใช่มั้ยมายด์ว่าไม่ให้เลือกพื้นแบบนี้” ชาตะพยายามย้ำสิ่งที่มายด์รู้ดีที่สุด รอยยิ้มละมุนละไมของท่านผู้คุมช่างขาดความจริงใจที่ไปในโทนเดียวกัน

“พอแล้วชาตะ! พอ!” เพราะรู้แล้วว่าชาตะจะต้องต้อนหน้าต้อนหลังจนไม่มีทางเลือกแน่ มายด์จึงต้องยอมพร้อมกับปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา รอมาแล้วทั้งวัน ถ้ารออีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วตื่นขึ้นมาในร่างกายอุ่นๆ มันก็คงคุ้มค่าที่จะรอ

“ว่าง่ายๆ ก็ดี เราจะได้อยู่กันได้”

“ผมเบื่อ จะให้ผมรอไปถึงเมื่อไหร่”

“เบื่อก็หาไรทำไปสิ”

“คุณจะให้ผมทำอะไรได้ แค่แรงจะเป่ากระดาษให้ปลิวผมยังไม่มีเลย”

“อุ๊บ ลืมไป นายมันเป็นพวกฝึกหัดไร้น้ำยา… งั้น นายก็...” ชาตะยกมือขวาแตะที่ริมฝีปากอย่างน่าหมั่นไส้ ดวงตาสีเทากะพริบปริบๆ ก่อนจะเสนอไอเดียที่ดีที่สุดให้กับมายด์

“ก็อะไร อย่าพูดเชียวนะว่าจะให้ผมนั่งสมาธิรอ”

“โนเวย์ ฉันเป็นพวกนอกรีตไม่เคร่งศาสนา”

“แล้วยังไงล่ะ คุณมีอะไรให้ผมทำมากกว่านั่งนับนิ้วเท้าตัวเองวนไปวนมารึไง”

“ไม่มีอะไรทำงั้นก็หลับไปสิ”

“ตลก ไม่รู้สึกง่วงสักนิด”

“นายหลับได้ถ้าใจอยากจะพักผ่อนหรืออยากหลบหลีกเวลา ฉันยังดูเน็ตฟลิกซ์แบบไม่ต้องจ่ายรายเดือนได้เลย ถ้าใจเราได้จะทำอะไรก็ได้”

“นี่มันตรรกะบ้าบออะไรของคุณ”

“ไม่เชื่อก็ลองดูสิ” ชาตะขยิบตาพร้อมส่งเสียงเต๊าะลิ้นเป็นลำดับสุดท้าย คราวนี้ผู้คุมดวงจิตปล่อยให้มายด์อยู่กับตัวเองนิ่งๆ ระหว่างที่ตัวเองลองก้มนับนิ้วเท้าซ้ำไปซ้ำมาเพื่อทดสอบว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน ไม่นานนักดวงจิตจอมดื้อก็ปิดเปลือกตาลงแนบสนิท ชาตะเห็นแบบนั้นจึงตบปากหาววอดและสลายร่างกลับสู่สถานะคลื่นลมทันที

“เอ๊ะ… แบบนี้ก็ประสานความคิดเพื่อพิสูจน์เหตุผลของนายได้น่ะสิมายด์ การรับผิดชอบของวินจะน่าสนุกสักแค่ไหนกันนร้าาาา” ชาตะยิ้มร้ายขณะที่เขากำลังมองมนุษย์และดวงจิตบนเก้าอี้ กลุ่มลมสีน้ำเงินเคลื่อนย้ายมายด์เข้าใกล้วินจนประชิดตัว ผู้มีอำนาจควบคุมปล่อยให้การหลับใหลพาทั้งคู่เอนซบพิงกันเพื่อหาความอบอุ่นที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่

สองสัมผัสในโลกคู่ขนานรีรันเหตุการณ์ในวันเก่าชัดเจนในความคิดของมายด์ และภาพที่มายด์กำลังจะรับรู้เป็นส่วนลึกที่อยู่ในใจของวินไม่มีผิดเพี้ยน การพิสูจน์เหตุผลข้อที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว





เหตุผลข้อที่ 2 ที่คุณมีผมมันก็แค่เรื่องผิดพลาด แค่ความรับผิดชอบ ผมจึงต้องทุกข์ทน





Talk 

สวัสดีค่า ตอนที่ 4 มาแล้ว รีบอัพให้ก่อนเพราะวีคหน้างานประจำค่อนข้างยุ่ง

อย่าลืมให้กำลังใจ วิน มายด์ และชาตะกันนะคะ

ขอบคุณทุกวิว ทุกคอมเมนต์มาก ๆ ค่ะ ขอบคุณทุกคนมากเลยยยย :)
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 4 ถ้าใจเราได้จะทำอะไรก็ได้ 27/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 28-01-2019 18:37:46
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 4 ถ้าใจเราได้จะทำอะไรก็ได้ 27/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 28-01-2019 23:26:56
ยิ่งอ่าน ยิ่งสงสารวิน  :ling3: :ling3:

คนไม่พูด ทำอะไรก็ผิดงั้นเหรอ :sad11:
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 4 ถ้าใจเราได้จะทำอะไรก็ได้ 27/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 01-02-2019 22:20:47
บทที่ 5 ขอแสดงความเสียใจด้วย

เหตุผลข้อที่ 2 ที่คุณมีผมมันก็แค่เรื่องผิดพลาด แค่ความรับผิดชอบ ผมจึงต้องทุกข์ทน





“เจมส์ สั่งเหล้าเพิ่มให้กูขวดนึง”

“พอแล้วมั้ง”

“ไม่ กูไม่พอ”

“เออ งั้นมึงก็กินเข้าไปอีกมายด์ ย้อมใจเข้าไปอีก วินของมึงแม่งมองตาขวางแล้ว”

“ไม่เกี่ยวอะไรกับวิน กูเหนื่อย กูอยากหยุดแล้ว”

“แน่ใจ?”

“เออ แน่ใจ” อันที่จริงมายด์ควรจะใช้คำว่าไม่แน่ใจมากกว่า เขาไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าตอนนี้สิ่งที่คิด สิ่งที่ตัดสินใจอยู่มันถูกต้องหรือไม่ กว่าสามเดือนที่เขาเฝ้าเทียวไล้เทียวขื่อวินตลอดเช้าเย็น แต่แล้วมันแทบไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากกว่าเดิมเลย พอมาถึงวันนี้ วันที่เขาตั้งใจจะตัดขาดและไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคนใจแข็งอย่างวินอีก วินก็ดันเข้ามาเกะกะในสายตา หนีมากินเหล้าย้อมใจทั้งที ก็ยังต้องเจอวินนั่งอยู่อีกโต๊ะเยื้องกันไปไม่ไกล

ทำไมวะ เกลียดอะไรแล้วต้องได้อย่างนั้นเหรอ

งั้นแกล้งเกลียดไปเลยได้มั้ย แกล้งทำเป็นไม่สนใจไปเลยได้ปะ

ไอ้วินหิน ไอ้แข็งทื่อ ไอ้คนไม่มีความรู้สึก!

“น่าเสียดาย มึงก็รู้ว่าปกติวินเข้าร้านเหล้าที่ไหน น่าจะถือโอกาสนี้เข้าไปคุยด้วย”

“เรื่องของเขา”

“ไม่เกี่ยวกับมึงว่างั้น”

“อือ ไม่เกี่ยว” มายด์ไม่รู้หรอกว่าปกติวินดื่มบ้างมั้ยหรือดื่มหนักแค่ไหน แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้ย่างกายเข้าสถานบันเทิงที่มีปริมาณผู้คนมากมายเช่นนี้มาก่อน ฉะนั้นก็คงถูกแล้วถ้าเจมส์จะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลก มายด์เหลือบตาไปมองทีไรก็เห็นอีกฝ่ายซดเอาซดเอาเหมือนคนติดเหล้า และต่อให้มายด์มองนานแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าวินจะมองกลับมา

“ชอบเขามาเป็นปีๆ เข้าไปจีบสามเดือน ไม่มีประโยชน์เลยเนอะ”

“เออ ไม่มีประโยชน์เลยสัด! ไร้หัวใจฉิบหาย!” แก๊ก! มายด์กระแทกแก้วเปล่าลงกับโต๊ะจนเสียงดังแทรกเพลงกระหึ่มขึ้นมา เจมส์พยายามดึงแก้วคืนจากมือเพื่อน แต่มายด์กลับขืนมันเอาไว้และส่งภาษามือสั่งเหล้าเพิ่มจากเด็กเสิร์ฟด้วยตัวเอง

“แล้วสามสี่วันที่มึงหายไป วินไม่ติดต่อมาบ้างเลยเหรอ”

“กูไม่รู้ กูบล็อกเบอร์แม่งไปแล้ว”

“เอ้าไอ้นี่”

“ก็กูอยากตัดขาด”

“กูพูดจริงๆ นะมายด์… ถ้าอยากตัดมึงตัดให้ขาดเหอะว่ะ ที่กูพยายามยุยงมึงอยู่เนี่ยเพราะแค่ตามใจมึงและอยากเห็นมึงมีความสุข แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ถอยตัวออกมาน่ะดีแล้ว มึงกับวินไม่มีอะไรเข้ากันสักอย่าง กูเดาไว้เลยว่าไปไม่รอด”

“อย่าพูดมากดิวะเจมส์ มึงไม่เป็นกู มึงไม่เข้าใจหรอก”

“เออ ใครจะไปเข้าใจมึงสองตัววะแม่ง” เจมส์ส่ายหัวระอา เขายกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยครั้งราวกับรอเวลา ระหว่างนั้นก็ลอบมองเพื่อนตนสลับกับชายร่างสูงกับกลุ่มเพื่อนอีกโต๊ะ ตลกดีที่ทุกครั้งที่วินมองมาคุณหนูมายด์จอมแสบก็เอาแต่จ้องแก้วเหล้า และทุกครั้งที่มายด์มองกลับไปวินก็จะเสตามองไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ

“จริงเนอะ… กูเหนื่อยแล้ว กูมีตัวเลือกตั้งเยอะ ทำไมต้องไปรอวินวะ”

“อันนี้กูพูดไปตั้งนานแล้ว มึงเพิ่งรู้ตัวรึไง จะเอาคนไหนล่ะ โต๊ะไหนดี หึหึ” เจมส์หัวเราะเย็นๆ เพราะโต๊ะของพวกเขาหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่รุมมองรอบทิศตั้งแต่มาถึง แน่นอนว่าคนอย่างเขาไม่ใช่ไทป์ที่คนพวกนี้สนใจแน่ๆ ฉะนั้นเป้าสายตาก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณหนูมายด์เจ้าประจำที่จัดองค์ทรงเครื่องตัวเองมาเต็มยศ เสื้อเชิ้ตสีอ่อนเปิดลึกไปถึงกลางอก เส้นผมสีดำสนิทถูกเซตให้ดูไม่เป็นทรงจนขับกรอบหน้าเชิดหยิ่งให้เรียกแขกเพิ่มมากขึ้นไปอีก

“ไม่รู้ดิ ใครก็ได้มั้งคืนนี้”

“ตลกแล้วมายด์”

“กูล้อเล่น” มายด์โคลงศีรษะพลางยิ้มเบาเชิงว่าล้อเล่นทั้งที่ในใจก็แอบอยากประชดชีวิตดั่งปากพูด มือเล็กเอื้อมคว้าสุราขวดใหม่จากเด็กเสิร์ฟทันที เมื่อเจมส์เห็นว่าคงห้ามปรามอะไรไม่ได้จึงได้แต่ส่ายหัวและคว้าเงินตนจ่ายให้เด็กเสิร์ฟไป

“ความรักทำให้คนเราอาการหนักได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”

“ใครรักใคร” มายด์ตวัดเสียงใส่เจมส์ขณะรินเหล้าลงแก้วไม่ยั้ง

“ไม่รู้สิ กูแค่พูดลอย ๆ” เจมส์ส่ายหน้าปฏิเสธ ดึงขวดมาเทลงแก้วตัวเองบ้างก่อนจะเจือด้วยโซดาให้รสชาติอ่อนลง

“เงียบไปเลยเจมส์”

“เออ เดี๋ยวกูก็เงียบสมใจมึงแล้ว หมดแก้วนี้กูจะขอตัวไปก่อน”

“เฮ้ย! ได้ไงวะ กูยังกินอยู่เลย มึงจะไปไหน”

“กูมีธุระ”

“ธุระอะไร ใครให้มามีธุระตอนนี้วะ กูยังอยู่นี่ มึงจะไปได้ไง ใจหมาสัด!” มายด์ใช้หน้ามือดันอกเพื่อนตนด้วยน้ำหนักที่มาจากฤทธิ์สุรา ร่างบางไม่ได้รู้เลยว่าสายตาของตัวเองในตอนนี้มันหยาดเยิ้มชวนมองแค่ไหน

“ไม่งั้นมึงก็ต้องให้กูไปส่งบ้าน ไม่ต้องกินต่อแล้ว”

“ไม่เอา กลับไปตอนนี้ป๊ากูด่าบ้านแตก”

“แล้วมึงจะเอายังไง”

“ช่างหัวกู”

“เอ้า”

“เออ กูจะอยู่กินก่อน มึงไปเลย แม่งไม่มีอะไรเหี้ยมากไปกว่านี้แล้วล่ะ” มายด์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาดื่มบ่อยและมันไม่เคยเป็นปัญหาเลยสักครั้ง แต่มายด์คงลืมไปว่าในทุกๆ ครั้งเขาไม่เคยปล่อยให้ตนเองรับเอาแอลกอฮอล์เข้าไปมากเกินกว่าปกติเช่นนี้ ด้านเจมส์เองแม้จะกังวลเล็กๆ กับการทิ้งเพื่อน แต่เหตุจำเป็นก็ทำให้เขาต้องตัดสินใจอย่างไม่มีทางเลือก

คงไม่มีอะไรเหี้ยมากไปกว่านี้แล้วล่ะ

.

.

“โห เอาแล้วเว้ย คุณหนูมายด์ในตำนาน”

“ขนาดนี้เลยเหรอวะ กูเพิ่งเคยเห็น”

“ปกติก็ไม่ขนาดนี้นะ สงสัยวันนี้เป็นวันพิเศษมั้ง”

“มายด์มาเบอร์นี้แล้ว ยังนิ่งอยู่ได้อีกนะครับเพื่อนวิน” เพิร์ธและเขมตะโกนคุยกันข้ามหัววินไม่ได้หยุด วันศุกร์ธรรมดาของพวกเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ไลน์เข้ากรุปว่าเจอมายด์ที่ร้านเหล้า หลังจากนั้นไม่ถึงสิบห้านาทีเพื่อนผู้ไม่ชอบร่วมวงสังสรรค์ในสถานบันเทิงอย่างวินก็ถ่อสารร่างมาทันที ไม่อยากจะพูดหรอกนะว่าวินเพื่อนของพวกเขาน่ะร้อนใจยิ่งกว่าอะไรดี

“มึงก็ว่าไปนั่นไอ้เขม ไอ้วินมันจะไปสนใจอะไร มายด์หายไปตั้งสามสี่วันมันยังไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย”

“เออ นั่นสิวะ มายด์ยกธงขาวไปแล้วนี่หว่า เพื่อนเราก็ต้องสบายใจสิเนอะ” วินยังคงนิ่งเงียบ ตอบสนองต่อคำพูดของเพื่อนด้วยการยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจดริมฝีปากเท่านั้น ถึงเขาจะไม่ชอบมาเที่ยวในที่แบบนี้แต่สำหรับเรื่องการดื่มหนักมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่แปลกน่ะ คงจะเป็นสายตาคู่คมที่เฝ้ามองมายด์อยู่เป็นระยะมากกว่า ร่างบางที่กำลังลุกขึ้นเต้นอยู่ในที่ของตัวเองช่างดึงดูดให้ปลายหางตากระตุกรัวราวกับใกล้พบเจอลางร้าย

“เอายังไงดีไอ้วิน”

“เออ เอาไง”

“ไม่เห็นต้องเอายังไง” วินตอบเพียงเท่านั้นเมื่อเพิร์ธและเขมย้ำประโยคเดิมๆ ที่พูดมาตั้งแต่ต้นชั่วโมงก่อน นับตั้งแต่เจมส์เพื่อนสนิทของมายด์ลุกออกจากโต๊ะไปมายด์ก็มีเพื่อนคุยเป็นชายหนุ่มท่าทางดูดีไม่ได้ขาด คนแล้วคนเล่าที่เข้ามาชนแก้วแล้วก็เดินจากไปเพราะมายด์แสดงสีหน้าไม่เป็นมิตร แต่สำหรับชายวัยทำงานคนล่าสุดดูท่าจะติดใจจริตการเต้นของมายด์ถึงได้ปักหลักนั่งมองทรวดทรงได้รูปไม่คิดลุกไปไหน

“แต่มายด์ของมึงกำลังเต้นยั่วเขาอยู่”

“มายด์โดนเคลมแน่ กูพูดแค่นี้” เพิร์ธและเขมหันไปขยิบตาใส่กันเมื่อเห็นว่าวินบีบแก้วใสในมือจนแทบแตก แม้ว่าใบหน้าของไอ้หินแกรนิตนี่จะยังนิ่ง แต่อาการทางกายและดวงตาคมปลาบมันก็ชัดเจนแล้วว่าวินไม่มีทางอดทนไปได้นานมากกว่านี้แน่ การทำตัวเหมือนมายด์เป็นของตายในช่วงที่ผ่านมากำลังจะถูกเอาคืนด้วยวิธีที่เจ็บแสบ พวกเขาอยากให้มายด์ได้รับรู้เหลือเกินว่าช่วงสามสี่วันที่มายด์หายไปและบล็อกช่องทางการสื่อสารทุกอย่าง เพื่อนของเขาทุรนทุรายจนแสดงอาการหงุดหงิดออกมามากแค่ไหน หากมันเป็นการเรียกร้องความสนใจวิธีหนึ่ง ก็คงต้องบอกว่าวิธีนี้มันได้ผลชะงัดนัก

เตรียมตัวนับถอยหลังเถอะ

ให้เวลาตีหน้านิ่งอีกไม่เกินห้านาที

“พวกมึงหุบปากไปได้มั้ย” วินตาขวางเมื่อฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าควบคุมตัวมายด์มากขึ้นอีกระดับ เจ้าตัวปล่อยให้คนแปลกหน้าเต้นคลอเคลียเต้นซ้อนตามจังหวะเพลงอยู่ที่แผ่นหลัง ชายวัยทำงานเฝ้าสูดกลิ่นกายของมายด์ไม่ได้ห่างไปจากต้นคอระหง มือไม้ของเอาเคลื่อนประคองไปตามทิศทางของเอวเล็กด้วยท่าทางเจนจัด แต่ถ้าหากมีใครสังเกตเช่นวินสักนิด คงจะเห็นว่ามายด์พยายามปัดมือกาวให้ออกห่างหลายต่อหลายครั้ง

ห้า

สี่

สาม

สอง

หนึ่ง

เกม

“อ้าว จะไปไหนวะไอ้วิน”

“มึงอย่าไปทักดิ” เขมตะครุบปากเพิร์ธเอาไว้เมื่อเห็นวินวางแก้วกระแทกลงกับโต๊ะ ร่างสูงผุดตัวลุกจากที่นั่งเดินดุ่มๆ ไปยังโต๊ะเยื้องกันที่เด่นชัดในสายตาราวกับมีแสงไฟส่องตรงลงมา คนแรกที่เขาเลือกจะทักทายคือชายแปลกหน้าที่เริ่มกระทำการสุ่มเสี่ยงกับ ‘มายด์ของเขา’ มากจนเกินไป

“ขอโทษนะครับ”

“อะไรวะ!”

“ผมพูดว่า… ขอโทษนะครับ” วินส่งเสียงนิ่งเรียบออกไปพร้อมกับใบหน้าที่นิ่งสนิทไม่แพ้กัน นี่คงจะเป็นข้อดีจากนิสัยของเขากระมัง ชายคนนั้นถึงหันมามองหน้านิ่งๆ ของคนเด็กกว่าแล้วรู้สึกขนลุกซู่จนต้องลดเลเวลความหนักแน่นของคำพูดลงแบบนี้

“คุณกับผมรู้จักกันเหรอ”

“เปล่าครับ”

“งั้นก็อย่ายุ่ง” ชายคนเดิมทำท่าจะหันไปล้อมหน้าล้อมหลังมายด์เช่นเดิม วินมองคนที่หลับหูหลับตาเต้นเพราะไม่มีสติแล้วก็ยิ่งนึกโมโหในใจ

“ไม่ยุ่งไม่ได้ กลับไป นี่ไม่ใช่โต๊ะคุณ”

“เอ๊ะไอ้นี่! อยากมีเรื่องรึไงวะ” วินไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการถูกตะโกนใส่หน้าเสียงดัง เพื่อนของวินที่ดูรูปการอยู่เสียอีกที่รีบเดินเข้ามาสมทบจนวินต้องยกมือห้าม

“คนที่คุณยุ่งอยู่...”

“ทำไม? นี่เมียกู” ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวทำให้วินยกมุมปากยิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างสูงมองตามมือมารที่โอบรอบเอวของมายด์จากด้านหลังแล้วสบฟันกรามแน่น สติทุกอย่างแทบจะขาดผึ่งเมื่อมายด์ถูกดึงเข้าหาตัวคนไม่รู้จักจนแทบจะเซล้ม

“เหรอ”

“เออสิวะ”

“อือออ ปล่อยยยย”

“เขาบอกให้ปล่อย”

“แต่กูไม่ปล่อย”

“งั้นผมคงต้องเรียกตำรวจ” ชายคนเดิมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่ต่างกัน เพิร์ธและเขมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้ว่าเพื่อนตนจะมาไม้ไหน คนรักสงบอย่างวิน ธาวินจะจัดการหาทางลงให้กับเรื่องนี้ได้ยังไง

“ทำไม กูอยู่กับเมีย มันผิดกฎหมายข้อไหนไม่ทราบ”

“คนที่คุณพยายามจะกอด… อายุยังไม่ถึงสิบแปดปี อันที่จริงแค่เกือบสิบหก” เขมและเพิร์ธกลั้นขำแทบตายเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นอึ้งไปเมื่อเจอสกิลการตีหน้านิ่งเล่าความเท็จของวิน ไม่รู้จะขอบคุณอะไรดีระหว่างหน้านิ่งๆ ที่ทำให้ทุกเรื่องดูจริงจังของวิน หรือหน้าที่จะดูให้เด็กกว่าวัยก็ย่อมได้ของมายด์

“สถานบันเทิงเขาจำกัดอายุผู้เข้าใช้บริการ ใครเชื่อมึงก็โง่แล้ว”

“แล้วแต่นะครับ ผมแล้วแต่คุณเลย”

“แล้วแต่กูก็หลีกไป ไม่อยากมีปัญหา”

“ผมก็ไม่อยากให้คุณต้องมีปัญหาเหมือนกัน ปล่อยเขา” ชายคนนั้นดูลังเลไม่น้อยเมื่อเห็นว่าวินยังคงคอนเซ็ปต์หน้านิ่งอย่างจริงจัง เขาค่อยๆ คลายแขนออกจากตัวของมายด์ที่ยังดิ้นไม่หยุด วินอาศัยจังหวะนั้นคว้าข้อมือของเล็กไว้จนมั่นและลากอีกฝ่ายให้เดินตามไปทันที ส่วนตัวการที่ทำให้วินตบะแตกก็ถูกเขมและเพิร์ธขวางเอาไว้ไม่ให้ตามคนทั้งคู่ไปได้

“โอ้ยยยย! อะไรวะเนี่ย ปล่อยนะโว้ย!”

“หยุดดิ้น” วินหันไปพูดเพียงเท่านั้นขณะที่พยายามแทรกตัวผ่านฝูงชนออกจากสถานบันเทิง มายด์ขยี้ตาตนอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังมองไม่ชัดเสียทีว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างท่าทางอบอุ่นเป็นใคร

“ใครเนี่ย บอกให้ปล่อยไง” มายด์ออกแรงดิ้นมากขึ้นมาหลุดออกมาจากตัวร้าน แสงไฟภายนอกที่มีมากกว่าทำให้วินได้เห็นใบหน้าแดงเถือกเพราะฤทธิ์เหล้าชัดเต็มตา จากที่จับมือมายด์ไว้เพียงข้างเดียวจึงต้องใช้พลังล็อกข้อมือเล็กๆ เอาไว้ทั้งสองข้าง

“จะดิ้นทำไม หรืออยากอยู่กับผู้ชายคนนั้น” วินมีท่าทางหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด เขาดึงมายด์เข้าหาตัวและกดสายตาดุๆ ลงไปทันที ดวงตาคู่กลมเพ่งมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ใช่… ตอนนี้มายด์เมามาก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเมามากถึงขั้นมองใบหน้าของคนผิดไป คนตรงหน้าคือวินไม่ผิดแน่ แต่มันไม่ใช่วินที่เขารู้จัก ไม่ใช่วินหน้านิ่ง แต่เป็นวินที่มีสีหน้าเข้มดุคล้ายกำลังรู้สึกโมโหโกรธาสุดขีด

“ว...วินเหรอ”

“ไม่ใช่มั้ง”

“ปล่อย ปล่อยเราเดี๋ยวนี้” มายด์บิดข้อมืออย่างไม่กลัวเจ็บและเป็นอิสระในที่สุด วินปล่อยให้ร่างบางเดินโซซัดโซเซหนีได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาเข้าประชิดตัวมายด์อีกครั้งและใช้วงแขนโอบเอวบางเพื่อลากตัวมายด์ให้เดินไปในทิศทางที่ต้องการ

“มายด์อย่าดิ้น”

“ปล่อย จะมายุ่งกับเราทำไม”

“ไม่อยากให้เรายุ่ง?”

“เออ”

“เหรอ” สิ้นคำว่าเหรอดูเหมือนว่าบรรยากาศวุ่นวายรอบตัวคนทั้งคู่จะนิ่งสนิท มายด์เงียบไปเพราะเขาเกลียดคำนี้ยิ่งกว่าอะไร ส่วนวินก็ได้แต่ถอนหายใจและพยายามทบทวนกับตัวเองว่าทำอะไรอยู่

“ปล่อยได้มั้ยวิน เราจะกลับเข้าไปข้างใน” วินส่ายหน้าปฏิเสธ มือหนาอีกข้างยกขึ้นเกลี่ยริมฝีปากนุ่มนิ่มด้วยปลายนิ้วโป้ง มายด์มองตามเรียวมือของวินด้วยหัวใจตื่นตระหนก ไม่ทันไรริมฝีปากของเขาก็ถูกฉวยไปด้วยรสจูบที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ ความหอมหวานติดขมปะแล่มอย่างรสเหล้า วิธีการจูบของวินไม่ได้รุนแรงแต่แทบจะดึงจิตวิญญาณของมายด์จนร่างกายระทวยหมดแรง

วินตัดสินใจแน่ชัดแล้วว่าเขาจะไม่ปล่อยมายด์ไป

ไม่ว่าตอนนี้หรือว่าตอนไหน

วิน ธาวินจะไม่ยอมให้มายด์ มนพัทธ์หายไปจากชีวิตอีก

“หุบปากซะคุณหนูมายด์… คุณต้องไปกับผม” แต่สำหรับตอนนี้วินคงต้องพาคนที่เมาจนหน้าแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยก็ควรพาไปส่งบ้านก่อนที่จะโดนคนแปลกหน้าทำมากกว่าจ้อง เมื่อคิดได้แบบนั้น มือหนาจึงต้องควานหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกงมายด์ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่มายด์นิ่งงันไปเพราะรสจูบไม่คาดคิด และไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ที่เป็นเรื่องของทิศทางได้อีก

คงไม่มีเรื่องไหนเหี้ยมากไปกว่านี้แล้วล่ะมายด์

.
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 4 ถ้าใจเราได้จะทำอะไรก็ได้ 27/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 01-02-2019 22:21:04

กว่าวินจะจอดซูเปอร์คาร์ของมายด์เข้าซองแคบๆ ใต้หอได้ก็แทบแย่ เมื่ออีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่องทางเลือกสุดท้ายก็คือพากลับมาด้วยกัน อันที่จริงวินไม่อยากพาอีกฝ่ายมาที่ห้องพักเล็กๆ ของตน เพราะนอกจากเครื่องปรับอากาศมันก็ไม่มีเครื่องใช้อื่นใดที่จะทำให้คุณหนูมายด์ของเขาสะดวกสบาย อันที่จริง เตียงที่มายด์ทิ้งตัวนอนอยู่ตอนนี้อาจจะแข็งที่สุดในชีวิตเจ้าตัวก็ได้

เรื่องฐานะและครอบครัวคงเป็นอีกประเด็นที่วินไม่เคยสบายใจ

มายด์คือ ‘คุณหนูมายด์’ สมฉายา วินเคยได้ยินว่าที่บ้านมายด์ประกอบธุรกิจส่งออกผลไม้อบแห้งรายได้ปีละหลายร้อยล้าน ลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ที่มีลูกตอนอายุมากจึงถูกประคบประหงมด้วยปริมาณเงินทั้งหมดที่มี ผิดกันกับเขา ‘ไอ้วิน’ ที่ไม่มีสมบัติพัสถานใดนอกจากเงินที่ผู้เป็นป้าให้ไว้พอใช้จ่ายเป็นเดือนไป ส่วนพ่อแม่... วินสูญเสียพวกเขาไปตั้งแต่ช่วงประถม แน่นอนว่าถ้าจุดตั้งต้นในชีวิตของมายด์คือหนึ่ง ชีวิตของวินคงจะเท่ากับศูนย์

“จะไปไหนเล่า! ใครสั่งให้ไปวะ!”

“มายด์ มายด์ครับ” มือเล็กเกี่ยวรั้งต้นคอของวินไม่เลิก ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเตียงต้องฝืนหลังให้ตั้งตรงเพราะยังไม่ได้เริ่มเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มายด์รู้สึกดีขึ้นตามที่ตั้งใจ วินมองดวงหน้างอแงสีเลือดฝาดแล้วก็ได้แต่นึกขำ คนอะไรโวยวายเก่งแม้กระทั่งตอนเมา

“อืออออ ป๊าาา มายด์บอกไม่ให้ไปไงงง!”

“ยังไม่ทันไรเลย ให้เป็นป๊าแล้วเหรอ ตั้งสติก่อนมายด์” วินใช้หน้ามือตบเบาๆ เข้าที่แก้มคนเมาหวังเรียกสติ เสียดายจริงๆ ที่ไม่มีใครได้เห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของพ่อหินแกรนิตประจำคณะ แม้กระทั่งคนที่ทำให้เขาดึงมุมปากขึ้นมาได้ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นความสดใสนั่น

“อะไรเนี่ยยยยย” วินเริ่มแตะผืนผ้าชุบน้ำลงไปที่ข้างกรอบหน้า มายด์สะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะยกมือไม้ปัดซ้ายขวาไม่ได้หยุด ปัดทีก็โดนแขนแกร่งของวินขวางเอาไว้ที นอนฟาดงวงฟาดงาแบบนี้เกิดพลาดท่าไปโดนขอบเตียงจนเจ็บตัวเข้าจะทำยังไง

“เช็ดตัว”

“ไม่เช็ด ไม่เช็ด ไม่เช็ด”

“ไม่ได้”

“ได้ดิวะ! ยุ่งเหี้ยอะไรเนี่ย!” ร่างบางโพล่งออกไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนค่อยๆ คลี่ดวงตาขึ้นมาด้วยความรำคาญ เพราะยังเมามากจึงมองไม่ชัดนักว่าเป็นใครที่นั่งอยู่ข้างตัว มายด์มองเจ้าของมือที่ไล้ผ้าไปทั่วช่วงคอของตน มองนิ่งอยู่แบบนั้นกระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัวและจ้องกลับมาด้วยสายตาคมเฉียบ

“เหรอ…” ความคุ้นเคยในรูปแบบของน้ำเสียงและคำพูดทำให้มายด์แน่ใจทันทีในวินาทีนั้น แม้แอลกอฮอล์จะลดทอนสติสัมปชัญญะลงแต่หัวใจไม่ได้ถูกลดความสามารถลงเลย มายด์ที่ดื้อดึงค่อยๆ สงบลงและปล่อยให้วินเช็ดร่างกายตนในส่วนที่อยู่นอกเสื้อผ้า

“ทำไมเรามาอยู่นี่” ดวงหน้าคมเข้มเหลือเพียงความนิ่งสนิทให้มายด์ได้เห็น มายด์มองไปรอบตัวและพบว่ามันไม่ใช่ที่ที่เขาคุ้นเคยสักเท่าไหร่ แต่คงคาดเดาได้ไม่ยากว่าจะมีใครเป็นเจ้าของสถานที่

“มีสติแล้วก็ดี บอกทางกลับบ้านมา วินจะไปส่ง”

“...” คนถูกถามเลือกที่จะเงียบเมื่อได้ยินแบบนั้น อารมณ์คนเมาที่ถูกปลุกปั่นง่ายเริ่มทำให้ในหัวของมายด์นอยด์ไปเสียหมด ไม่ทันไรก็จะไล่กันไปซะแล้ว จะทุ่มเทเป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดไปมันก็ไม่มีความหมายไม่มีประโยชน์อะไรกับคนอย่างวินอยู่ดีนั่นแหละ

“มายด์”

“ฮึก… ไอ้คนใจร้าย ฮืออออ” จู่ๆ มายด์ก็บ่อน้ำตาแตกร้องไห้เสียงดังขึ้นมาจนวินแทบจะทำอะไรไม่ถูก เขาที่ไม่เคยเรียนรู้วิธีการเอาใจคนเมารีบวางผ้าในมือลง ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตามายด์อย่างเงอะงะ

“ชู่ววว เป็นอะไร มายด์ร้องไห้ทำไม” สุดท้ายแล้วเมื่อทางเลือกไม่มีเหลือวินจึงช้อนแขนทั้งสองข้างเข้าไปรวบตัวมายด์ขึ้นมากอด ร่างบางถูกยกขึ้นมาจากพื้นเตียงและจำใจฝังใบหน้าลงกับบ่าของคนตัวโตกว่า วินลูบแผ่นหลังเปียกเหงื่อเพราะร้อนจากภายในขึ้นลงไปมาซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเสียงร้องไห้โวยวายจะหยุดลง

“ฮึก วิน… วิน… วินมาให้เจออีกทำไมอะ ฮืออออ”

“ไม่อยากเจอวินแล้วเหรอ”

“เออ! ไอ้วินบ้า มาทำไมก็ไม่รู้ ฮือออ มาทำไมก็ไม่รู้!”

“ตกลงวินผิดเหรอ”

“ผิดสิวะ! จีบก็ไม่ติด ไอ้วิน! ไอ้คนรักใครไม่เป็น”

“ใครบอกมายด์ว่ามายด์จีบวินไม่ติดครับ” วินตั้งใจลดระดับเสียงลงและกระซิบลงที่ข้างใบหูมายด์ คนฟังที่สมองไม่พร้อมตีความก้มหน้างุดไถปลายจมูกเข้าไปที่ช่วงคอของร่างสูงอย่างไม่ตั้งใจ และเพราะตัววินเองก็มีแอลกอฮอล์อยู่ในร่างไม่น้อยเขาจึงรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาในกายจนเผลอกอดมายด์เข้ามาแนบอกแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“อือ… วิน”

“ขอโทษ” วินค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกเมื่อมายด์เริ่มแสดงอาการอึดอัด เขาปล่อยให้คนที่ยังสะอึกสะอื้นนั่งโอนเอนได้ไม่นานก็ต้องเอื้อมแขนเข้าประคองแผ่นหลังไว้

“ใจร้ายว่ะ”

“แล้ววินต้องทำยังไงถึงจะไม่ใจร้าย”

“รักมายด์”

“หืม”

“ฮึก...รักแล้วรับผิดชอบด้วย”

“อีกทีสิ”

“รับผิดชอบด้วยการรักมายด์ เข้าใจปะ!” มายด์ยื่นใบหน้าทั้งคราบน้ำตาเข้าระดมจูบที่ริมฝีปากหนาของวิน ลิ้นเล็กรุกล้ำตวัดชิมรสซ้ายขวาอย่างคนรีบร้อน ลีลาการจูบที่ไม่ได้เก่งนักแต่กล้าหาญทำให้วินต้องตั้งหลักรับมืออยู่พักใหญ่ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายโถมตัวเข้าใส่มากจนเกินไปวินจึงต้องใช้มือข้างหนึ่งล็อกต้นคอระหงเอาไว้ และทิ้งน้ำหนักของตนเข้าควบคุมตัวของมายด์แทน

“พอก่อน ม...มายด์”

“อึก...” วินไม่รู้ว่ามายด์ที่หยุดร้องไห้นั้นมีสติครบถ้วนดีแล้วรึยัง เขามองข้อแขนขาวสะดุดตาที่อีกฝ่ายยกขึ้นเช็ดริมฝีปากตนแล้วจึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ท่าทาง สายตา สัดส่วน ทุกสิ่งที่เป็นมายด์กำลังยั่วยวนเขาจนแทบควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ วินกำลังประหวั่นในใจว่าความเมาจะทำให้ทุกอย่างเลยเถิดเร็วกว่ากำหนด

“อยากกลับมั้ย เดี๋ยวเราไปส่ง” วินแข็งใจพูดไปแบบนั้นเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้ตัวดีหรือไม่กับจูบเมื่อครู่ และคำตอบของมายด์ก็คือการส่ายหน้าเบาๆ และก้มมองตัวเองเหมือนคนที่ขาดความมั่นใจ

“วิน...”

“ครับ”

“เคยอยากได้เราบ้างมั้ย”

“มายด์ถามอะไร”

“วินเคยอยากให้มายด์เป็นของวินบ้างมั้ย” สาบานได้ว่าถ้ามายด์ยังรู้ตัวเขาจะไม่พูดประโยคสุ่มเสี่ยงและดูน่าเกลียดเช่นนี้ออกมา น้ำตาใสไหลออกมาจากดวงตาคู่กลมอีกครั้งเพราะความรู้สึกและเหตุผลรวมไปถึงตัวกวนอย่างแอลกอฮอล์ตีรวนในหัวจนมั่วไปหมด มายด์ขาดความยั้งคิดโดยสมบูรณ์ มือเล็กค่อยๆ ปล่อยกระดุมเชิ้ตตัวเองและดึงมันออกจากสองแขนอยากทุลักทุเล วินมองทุกอย่างนิ่งๆ เขาจะทำยังไงดี…

จะทำยังไงดีถ้าตีความคำเชื้อเชิญของมายด์ผิดไป

จะทำยังไงดีถ้าเขาก้าวข้ามความกังวลของตัวเองอย่างกู่ไม่กลับ

จะทำยังไงดีถ้าความสัมพันธ์นับจากวินาทีนี้ต่างไปจากเดิม

“มายด์...วินอยากให้มายด์เป็นของวินใจจะขาดอยู่แล้ว” อาจจะเป็นข้ออ้างที่ดูขี้ขลาดหากวินจะกล่าวว่าตัวเขาเองก็ขาดสติเพราะถูกลดทอนภาคความคิดไปด้วยฝีมือเครื่องดื่มมึนเมา ริมฝีปากหนาเข้าครอบครองริมฝีปากสีแดงสดของมายด์อีกครั้ง ครานี้มันช่างหนักหน่วงรุนแรงเพราะฤทธิ์ของความรู้สึกที่กำลังแผดเผาเกินควบคุม มายด์ล้มตึงไปกับเตียงระหว่างที่ตอบรับจูบกลับไปจนแทบจะขาดอากาศหายใจ

“อึก...วิน...หา...หายใจไม่ทัน”

“ทนอีกนิดนะครับคนเก่ง” วินลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหาเครื่องป้องกันที่พกติดห้องไว้ตามประสาชายหนุ่ม เขาเปลื้องผ้าของตนออกจนหมดสิ้น ก่อนจะกลับมาดึงอาภรณ์ทุกชิ้นที่ยังเหลือติดกายบางที่เขาหมายตาหมายใจมานาน มายด์น่ามองกว่าเคย ไม่สิ มายด์น่ะ… น่ากินกว่าที่คิด

“อือ…” วินบดจูบซ้ำไปอีกครั้งโดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะช้ำ ครั้งนี้เขาทิ้งร่างทั้งร่างลงมาทาบทับตัวมายด์ให้ไร้หนทางเปลี่ยนใจ วินาทีนี้ต่อให้ใครคนใดคนหนึ่งคิดจะดิ้น มันก็จะเป็นการดิ้นเพื่อปลุกเร้ากำหนัดไปโดยปริยาย

“เราเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะมายด์” ครั้นเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ซอกคอขาว กลิ่นของมายด์ละมุนกรุ่นรวมกับกลิ่นน้ำหอมและกลิ่นสุรา มันช่างรุนแรงจนวินต้องสูดเข้าไปเต็มปอดราวกับเติมเชื้อเพลิง เขาลงปากฝังรอยตีตราเป็นเจ้าของทั่วกายขาว รอยรักถูกดูดดึงจนขึ้นสีกุหลาบ เสียงพอใจของมายด์อื้ออึงอยู่ในลำคอจนวินไม่อาจหยุด

“ไม่… อึก มายด์เป็นของวิน” สิ้นคำยืนยัน สองมือสองคู่ก็เริ่มประโลมกายกันและกันอย่างหนักหน่วงเพื่อปลุกเร้าให้ทุกสัดส่วนความเป็นชาย เมื่อเรียวมือของวินสัมผัสลงมายด์ก็จะกระทำการเช่นเดียวกันบ้าง กลิ่นอายกระหายรักคละคลุ้งเพราะต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าใส่จนไม่มีใครเสียเปรียบในแง่กามอารมณ์

คนรุกใส่ฉลาดปลุกเร้าใช้ริมฝีปากลากไล้ไปทั่วผิวเนียนอย่างช่ำชองไม่เว้นแม้แต่ช่วงหว่างขา มายด์ส่งเสียงหอบกระเส่าเพราะถูกเย้าจากช่องทางรับเข้ามาพร้อมกัน เสียงร้องดังสลับเสียงหัวเราะคิกคักจากความสุขสม ท้ายที่สุดสองคนก็ผสานร่างกายและความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว แม้วินไม่ได้ออมแรงแต่กลับทะนุถนอม ด้านมายด์เองก็ไม่ได้ขอให้อีกฝ่ายสงวนความต้องการในเบื้องลึกเอาไว้แม้แต่น้อย เมื่อความต้องการพุ่งพรวดและทุกอย่างพร้อมสรรพช่วงเวลาพิเศษจึงดำเนินต่อไปตลอดเวลาค่ำคืนที่ยังเหลือ

“จำไว้นะมายด์… วินไม่ได้มีมายด์เพราะวินเมา… เรื่องคืนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราพลาดไป” เสียงกระซิบจากวินมันคงจะเบามากไป คนที่หลับใหลเพราะอ่อนเพลียจึงไม่ได้ใจความและไม่เคยได้จดจำเอาไว้ แต่จะโทษฟ้าโทษดินมันก็คงไม่ถูกนัก ทั้งสองควรจะหันมาโทษตัวเองที่ไม่เคยได้ยินเสียงของกันและกัน แม้จะตระกองกอดกันไว้จนเสียงหัวใจชัดเจนก้องหูก็ตามที





“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยที่จะต้องกล่าวว่า...เหตุผลข้อที่สอง ไม่สมเหตุสมผล”



Talk

สวัสดีค่า มาอัพแล้วเน้อ ฝากคอมเมนต์ติชมด้วยนะคะ เห็นหลายคนเริ่มสงสารวินแล้ว นั่นสิเนอะ ทำไมคนไม่พูดถึงต้องเป็นคนผิด เป็นกำลังใจให้วินและมายด์ต่อไปด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ | บทที่ 5 ขอแสดงความเสียใจด้วย01/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 03-02-2019 20:40:36
บทที่ 6 พยายามเข้าหน่อยดวงจิตฝึกหัด

“มายด์”

“ฮะ...”

“ร...เรามีอะไรกันแล้ว”

“ไอ้หิน ไอ้บ้า! ใครสอนให้พูดแบบนี้วะ”

“เหรอ”

“วิน! ไม่มีคำอื่นนอกจากคำว่าเหรอรึไง”

“เราไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา”

“ช่างเหอะ เรา… เราจะกลับบ้านแล้ว”

“เดี๋ยวมายด์”

“อะไรอีก”

“เราต้องรับผิดชอบ”

“วินหมายถึงอะไร”

“เราขอคบมายด์ได้มั้ย เป็นแฟนกัน”

“ไหนวินลองพูดชัดๆ อีกทีสิ”

“เราขอให้มายด์คบกับเราได้มั้ย”






“เฮือก!” ดวงจิตหลับสนิทเพราะตกอยู่ในห้วงความทรงจำถูกกระชากให้ตื่นเมื่อท้องฟ้าเริ่มส่องแสงแดดกล้า ร่างเบาหวิวถูกกระตุกวูบจากที่มั่นและลากไปตามพื้นเย็นขณะที่ยังตั้งสติไม่ได้ มายด์พยายามตะเกียกตะกายหยัดยืนแต่มันช่างยากเย็นเพราะปลายอีกฝั่งของเชือกสีน้ำเงินกำลังลากเขาไปไม่หยุด

“พยายามเข้าหน่อยดวงจิตฝึกหัด จะปล่อยให้เขาลากไปถึงประตูเมืองเชียงใหม่เลยมั้ยล่ะ”

“ชาตะ!” มายด์มองหาชาตะทันทีเมื่อได้ยินเสียงผู้คุมดวงจิตก้องอยู่ในหู ครั้นมองตรงไปตรงๆ ในทิศทางที่ถูกลาก มายด์ก็พบว่าวินกำลังสาวเท้าเร็วตามรถเข็นคนไข้โดยมีชาตะคอยกระตุกเส้นเชือกสีน้ำเงินอยู่บนบ่า ไม่ผิดหรอก! ผู้คุมจอมกวนนั่งอยู่บนบ่าของวินไม่ต่างกับเจ้ากรรมนายเวร

“สวัสดีเช้าครับคุณหนูมายด์ ผมชาตะเอง”

“แล้ว… เหตุผลข้อที่สอง” เมื่อรู้ตัวว่าถูกชาตะแกล้งด้วยการเพิ่มความเร็วในการกระตุกเชือกมากขึ้นเรื่อยๆ มายด์จึงปล่อยร่างกายให้นอนหมดแรงและไถลไปตามพื้น ไหนๆ ก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้วจะเดือดร้อนไปทำไมกัน เรื่องที่ควรจะเอามาคิดให้เดือดเนื้อร้อนใจน่ะควรเป็นเรื่องที่ติดอยู่ที่ปลายสมองตอนนี้ต่างหาก สิ่งที่มายด์รับรู้ก่อนจะตื่น ภาพจากความทรงจำของตัวเองผสมรวมกับความทรงจำของวิน และโทนเสียงสมเพชเวทนาไม่ต่างกับเยาะเย้ยจากชาตะ

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยที่จะต้องกล่าวว่า...เหตุผลข้อที่สอง ไม่สมเหตุสมผล”

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยที่จะต้องกล่าวว่า...เหตุผลข้อที่สอง ไม่สมเหตุสมผล” ชาตะพูดประโยคเดิมออกมาอีกครั้งซึ่งมันประสานไปกับเสียงในหัวของมายด์ได้อย่างพอดิบพอดี การเดินของวินหยุดลง มายด์จึงได้โอกาสหยัดตัวขึ้นยืน ร่างบางไร้การทรงตัวไปซ้ายทีขวาทีเหมือนคนเสียศูนย์ เขาเห็นเพียงแต่ร่างกายตนนอนนิ่งอยู่บนเตียงนั่นและวินก็ยืนเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง

“วันนี้ไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าห้องแล้วนะคะ”

“ครับ”

“คนไข้จะต้องดีใจมากแน่ๆ เลย ถ้ารู้ว่าคุณอยู่เฝ้าแทบทั้งวันทั้งคืนแบบนี้”

“บางที… เขาอาจจะไม่ดีใจก็ได้” เสียงสนทนาระหว่างวินและพยาบาลผู้ดูแลไม่ได้ทะลุเข้าโสตประสาทมายด์แม้แต่น้อย ดวงจิตที่ผิดหวังเป็นครั้งที่สองจมอยู่กับความคิดซับซ้อนที่ถูกซ้อนทับด้วยความจริงอีกด้าน มายด์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ความรับผิดชอบของวินในวันนั้นมันมีที่มาจากตัวเขาเอง เพราะตัวเองเองที่พูดจาไม่น่าให้อภัยแบบนั้นออกไป

“ฮึก...รักแล้วรับผิดชอบด้วย”

“รับผิดชอบด้วยการรักมายด์ เข้าใจปะ!”

“จำไว้นะมายด์… วินไม่ได้มีมายด์เพราะวินเมา… เรื่องคืนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราพลาดไป”

ไม่ยุติธรรม

ไม่มีอะไรยุติกับมายด์เลยสักนิด

เตียงคนไข้ถูกบุรุษพยาบาลเข็นนำไปจนถึงห้องผู้ป่วยวีไอพี มายด์เดินตามแรงเชือกไปไม่ต่างอะไรกับการถูกชักจูง คนร่างเล็กปิดปากเงียบมองร่างกายตัวเองถูกยกหามด้วยสีหน้าหมดหวัง มายด์จุกอกไปหมด เหตุผลเจ็ดข้อถูกใช้ไปแล้วสอง ฟังดูอาจจะเหมือนว่าเขายังเหลือโอกาสอีกมาก แต่สำหรับความอึดอัดความทรมานที่เกิดขึ้นมาพร้อมสถานะดวงจิต มันเหมือนชีวิตของเขากำลังถูกลดทอนเวลาลงทุกที

“จะไม่ถาม ไม่โวยวายอะไรหน่อยเหรอ ไม่สนุกเลยอะ”

“...”

“พูดอะไรหน่อยสิมายด์ โวยวายสักนิดก็ยังดีนะ” ชาตะยังไม่ละความพยายาม ลมสีน้ำเงินเคลื่อนรอบดวงจิตของมายด์รวดเร็วไม่ต่างกับลมพายุ ทว่าเสียงถอนลมหายใจเพียงครั้งเดียวจากร่างเล็กกลับทำให้คลื่นลมสงบลง ผู้คุมดวงจิตในชุดนอนหยุดยืนที่ข้างตัวมายด์พร้อมกับตบบ่าปลอบด้วยสีหน้าที่ไม่ได้จริงใจเลยสักนิด

“จะให้ผมโวยวายอะไร โวยวายไปคุณก็ไม่รับฟัง”

“อุ๊บ! ฉันเคยทำแบบนั้นเหรอ จำได้ว่าไม่เคยนะ หรือว่าเคยทำตอนเมาเลยจำไม่ได้ โอ๊ะ ทำไมขี้ลืมแบบนี้นะชาตะ สงสัยต้องกินน้ำมันตับปลาเสริมความจำ” ชาตะใช้ปลายนิ้วชี้แตะปากตัวเองซ้ำๆ และทำท่าคิดตามเหมือนคนที่จบหลักสูตรกระแหนะกระแหนมาแบบเต็มขั้น มายด์ยังคงมีความคิดเดิม ถ้าชาตะเป็นมนุษย์ คนแบบนี้ไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอยู่จนถึงวันเกษียณ

“ถึงมันจะไม่ใช่ความคิดผิดผม เหตุผลของผมมันก็ไม่ดีพอจะถูกใจคุณอยู่ดี จริงมั้ยล่ะ”

“แหม ทำเป็นน้อยอกน้อยใจไปได้ นายไม่รู้หรือหลงลืมไปก็ไม่ได้แปลว่านายผิดเสียหน่อย ก็แค่เหตุผลของนายมัน...”

“ไม่สมเหตุสมผล”

“เยส แดท อิทส์”

“ผมถามจริงๆ เถอะชาตะ กับคนอื่นคุณให้โจทย์ยากขนาดนี้รึเปล่า” ดวงจิตเอ่ยอย่างปลงตกขณะเดินตามแรงกระตุกที่ข้อเท้า วินเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ร่างกายทรุดโทรมผิดหูผิดตา มายด์มองตัวเองชัดๆ ไล่ตั้งแต่ปลายนิ้วยันปลายเส้นผม ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากที่เคยทะนุถนอมตนมาตลอดชีวิต ในยามนี้ การรักษาและกลไกปกป้องตัวเองของร่างกายทำให้คุณหนูมายด์แทบไม่เหลือความเป็นคนเดิม แม้อุปกรณ์จะระโยงระยางน้อยลงกว่าวันแรก แต่รอยคล้ำรอบใบหน้าและริมฝีปากแห้งผากกลับทำให้ร่างกายของมายด์ถอยห่างออกจากการนอนหลับเฉยๆ มากขึ้นทุกที

“ก็แล้วแต่เคสนะ แต่เคสนายมันน่าหมั่นไส้ โจทย์ก็เลยต้องท้าทายหน่อย แต่จะเรียกว่ายากไม่ได้หรอกมั้ง คนฆ่าตัวตายก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้อยากตายอยู่แล้วนี่ จริงมั้ยจ๊ะ”

“แล้วแต่คุณจะคิดเถอะ” มายด์บอกปัดเพราะสติของเขามันมาจมอยู่ที่ร่างกายตนหมดแล้ว พยาบาลจัดแจงตรวจเช็กทุกอย่างให้อยู่ในสภาพปกติโดยมีวินยืนมองอยู่ไม่ห่าง ชายหนุ่มที่นั่งหลังแข็งมาสองคืนติดกำชายเสื้อตัวเองอย่างคนวิตก ดวงตาคมไหวเป็นระลอกเมื่อมองผ่านสุดสัดส่วนร่างกายที่ตัวเขาเคยจับจองเป็นเจ้าของ

“วันนี้พ่อแม่คนไข้ไม่มาเหรอคะ”

“เดี๋ยวคงมาครับ ท่านแจ้งไว้แล้วว่าจะเข้ามาสาย ๆ” วินอธิบายไปตามที่รู้ เขาถอยห่างออกจากเตียงเล็กน้อยเพื่อให้พยาบาลทำงานได้สะดวกขึ้น

“ประเดี๋ยวจะต้องเช็ดตัวให้คนไข้ คุณสะดวกทำหรือให้ดิฉันช่วยดีคะ”

“ผมทำได้ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าจะถูกต้องมั้ย”

“งั้นเราช่วยกันเนอะ” พยาบาลสาวส่งรอยยิ้มสดใสเพราะหวังให้ชายที่ยืนมองเตียงรู้สึกดีขึ้นบ้าง วินเดินไปล้างไม้ล้างมือตามคำแนะนำก่อนจะคว้าผ้าชุดน้ำบิดหมาดมาเช็ดเบาที่ช่วงใบหน้าและลำคอของมายด์ ร่างสูงเบามืออย่างถึงที่สุด ผิวเนียนละเอียดไม่ได้ผ่องขึ้นแต่ก็พอจะลดความแห้งบนเนื้อผิวลงไปได้บ้าง

“อุ้ย เหมือนเรื่องคืนนั้นเลยอะ เช็ดตัวแล้วก็… โอ้ววว ที่รักจ๋าาา ได้โปรดอย่าหยุด” ชาตะยกคอเสื้อตนขึ้นเช็ดเลือดสีน้ำเงินที่ไหลผ่านโพรงจมูกออกมาเป็นทาง คงไม่ต้องคาดเดาให้มากความว่ามีเรื่องทะลึ่งอะไรอยู่ในหัวผู้คุมดวงจิตระดับผู้จัดการพื้นที่

“ชาตะ!” มายด์มองไปยังผู้คุมแล้วรู้สึกตึงไปทั้งหน้า เขาคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากส่งสายตาห้ามปรามร้องขอให้เลิกกวนอารมณ์เสียที

“นี่ฉันอยากจะขอบคุณนายมากเลยนะ ปกติเน็ตที่บ้านฉันแม่งบล็อกพอร์นฮับ สไลด์หนอนแบบเหี่ยวแห้งมาตั้งนาน”

“ผมขอร้องล่ะ ขอร้องแบบดีๆ คุณจะลงโทษผมแบบที่เคยทำอีกก็ได้ แต่หยุดกวนใจผมสักห้านาทีได้มั้ยครับ ท่านชาตะ!”

“โห… ตัวจริงว่ะ” ชาตะเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง สูดหยดเลือดที่ไหลลงมากลับเข้าไปในจมูกคมสันเช่นเดิม มายด์ถอนหายใจโล่งอกแต่ไม่ได้โล่งใจนัก แต่ช่างเถอะ เพราะอย่างน้อยชาตะก็ไม่ได้หายไปและไม่ได้พูดมากจนน่ารำคาญเหมือนเดิม

“ตอนนี้มายด์รับอาหารทางสายเหรอครับ” ขณะที่มือขวากำผ้าเคลื่อนผ่านช่วงคอบ่าของมายด์อย่างเบามือ สายตาของวินก็จดจ้องอยู่ที่ท่อสายยางที่เชื่อมลึกเข้าไปในโพรงจมูก โดยรอบจมูกของมายด์แห้งกรังและแดงจากการมีสิ่งแปลกปลอม วินได้แต่มองจนรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งใจ

“คนไข้ยังทานอะไรไม่ได้หรอกค่ะ นั่นท่อสวนที่ใช้สำหรับล้างท้องค่ะ เพราะคนไข้ไม่ฟื้นขึ้นมาอาเจียนด้วยตัวเอง เราจึงต้องทิ้งเอาไว้แบบนี้ก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าจะให้ยาและสวนพิษออกมาจนหมด” มือซ้ายที่ไม่ได้ใช้งานของวินสั่นชาจนเจ้าตัวต้องกำเอาไว้แน่น ใบหน้าของคนดูแลแทบจะซีดเผือดยิ่งกว่าคนป่วย วินทิ้งผืนผ้าลงกับชามสเตนเลสและหยุดยืนนิ่งอยู่พักใหญ่

“ผม… ผมฝากด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ” พยาบาลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รับคำเพราะคิดว่าวินอาจไม่มีกำลังแรงใจมากพอที่จะทำต่อ ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมความรู้สึกพะอืดพะอมจุกขึ้นมาถึงลำคอ มายด์ขยับตัวตามวินแค่พอให้เชือกตึงเท่านั้น เขาไม่ก้าวผ่านกำแพงห้องเข้าไปเคียงข้างคนที่ต้องการอยู่คนเดียวในเวลานี้ วินมองสภาพย่ำแย่ของตัวเองในกระจกก่อนจะโก่งคออ้วกออกมาจนดวงจิตและผู้คุมด้านนอกได้ยินชัดเจน อันที่จริงมันก็เป็นฝีมือชาตะที่เพิ่มระดับเสียงของวินให้ดังขึ้นในความคิดมายด์

“ไม่เข้าไปดูหน่อยเหรอ ท้องรึเปล่า” ชาตะชะโงกครึ่งลำตัวผ่านกำแพงไปก่อนจะเด้งตัวกลับมาสบตากับมายด์ด้วยท่าทางที่พยายามจริงจังสุดขีด

“เขารังเกียจผม รังเกียจร่างกายของผมที่เป็นแบบนั้น”

“ทำไมถึงคิดงั้น”

“คุณไม่เห็นรึไง”

“โอ๊ยตาย นี่ยังไม่เข็ดเรื่องคิดไปเองอีกเหรอ นี่รู้รึยังว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ไม่ได้หมุนรอบตัวนาย”

“คุณว่าไงนะ”

“เปล่าสักหน่อย” ชาตะยกมือตัวเองขึ้นมามองเล็บแบบที่เคยทำบ่อยๆ มายด์หันหลังให้ห้องน้ำห้องนั้นและชะเง้อมองเตียงตัวเองที่ตั้งอยู่อีกมุมห้อง รังเกียจกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ มันจะเกินไปแล้วมั้งวิน จะทำร้ายจิตใจกันมากเกินไปแล้ว

“เจ็บมั้ยมายด์… มายด์เจ็บมากรึเปล่า วินขอ... วินขอโทษ” แต่แล้วเสียงแว่วผุบๆ โผล่ๆ ที่มาจากการควบคุมของชาตะก็ทำให้มายด์หันขวับทันที แต่มันคงไม่ทันเสียแล้ว ร่างสูงไม่ได้เอ่ยความในใจใดออกมาอีก เสียงอ้วกในห้องน้ำห้องเล็กเงียบไป เหลือเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของดวงจิตที่ถูกชาตะปั่นจนหัวหมุน มายด์หันขวับตวัดสายตาใส่ชาตะทันที

“อ้าว มองไมอ่ะ ฟังเสียงดังนานๆ หูตึงนะ ไม่เคยได้ยินเหรอ”

“แล้วแต่คุณเถอะ”

“นายไม่เถียงเท่ากับไม่สนุก งั้นฉันไปดีกว่า มีนัดไปกินหมูย่างที่เกาหลีกับพวกลูกน้องยม ร้านนี้จองคิวยากมากเลยนะ ได้ข่าวว่าใช้หมูแม่ลูกอ่อนมีสามีแบบสามพี ถ้านายได้ตายจริงๆ เมื่อไหร่จะพาไปเลี้ยงสักมื้อ” ชาตะสะบัดปลายแขนปลายมือจนเริ่มกลายเป็นเพียงลมสีน้ำเงินอีกครั้ง มายด์เห็นแบบนั้นจึงร้องทักและไม่ได้ร้องห้าม เพราะยังไงซะเขาก็เคยถูกชาตะทิ้งไว้ลำพังครั้งหนึ่งแล้ว

“เดี๋ยว! แล้วคุณจะกลับมาตอนไหน”

“วันใหม่จ้า ออ เหตุผลข้อที่สามน่ะ คิดดีๆ ล่ะ อย่ารีบร้อนวู่วาม ใช้เวลาให้คุ้ม แล้วเจอกันมนพัทธ์เพื่อนยาก” มายด์ปล่อยให้ชาตะจางหายไปกับอากาศ เมื่อในโลกดวงจิตมีเพียงแค่ตัวเขาและเชือกพันธนาการสีน้ำเงิน วังวนความอึดอัดทรมานใจจึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง

.

วินไม่เคยสำนึกผิด

วินไม่เคยเสียใจ

วินไม่เคยมีความรู้สึก

ความคิดสามประการวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงของมายด์ไม่รู้จบ ความเบื่อหน่ายเมื่อเวลาเวียนเปลี่ยนไปในวันนี้ไม่รุนแรงเท่าเมื่อวานที่ผ่านมา หลังจากป๊าและม้าเดินทางมาถึงวินก็ไม่เข้าไปในห้องพักของมายด์อีกเลย ร่างสูงเอาแต่เดินวนเวียนและนั่งแกร่วอยู่ด้านนอกทั้งที่ในห้องพิเศษวีไอพีมีที่มากพอให้นั่งนอนสบายๆ แต่อย่างน้อยเชือกที่ขามันก็ยาวมากพอที่จะทำให้มายด์เข้าไปมองใบหน้าพ่อแม่ตนได้บ้าง อีกอย่างวันนี้ก็มีหลายคนที่รู้จักเขาแวะเวียนมาเยี่ยม และทำให้รู้ว่านอกจากคนใจร้ายอย่างวิน มายด์ก็ยังมีความสำคัญต่อคนอื่นๆ อยู่บ้าง

“แล้วนี่มึงกินข้าวเย็นแล้วรึยัง กูไปซื้ออะไรให้กินเอามั้ย” เพิร์ธเพื่อนสนิทคนหนึ่งของวินเอ่ยถามหลังจากเดินเข้าไปเยี่ยมคนคุ้นเคยอย่างมายด์ในห้อง คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะรู้ตัวและเปลี่ยนมาพยักหน้าแทน

“...”

“แบบนี้ทุกทีเลยนะมึง ตกลงคือไม่ยอมกินอะไรทั้งนั้น”

“กูกินกาแฟกับขนมปังไปบ้างแล้ว ไม่หิว” วินนั่งพิงพนักมองตรงไปเบื้องหน้าด้วยอาการใจลอย

“เออ จะคอยดูว่ามึงกับมายด์ใครจะตายก่อนกัน”

“เพิร์ธ!” วินส่งเสียงสบถเข้มเพราะไม่พอใจในคำพูดของเพื่อน เพิร์ธสลดสีหน้าลงขอโทษขอโพยกับความปากไวที่ยั้งไว้ไม่ทัน เขาลืมไปได้ยังไงว่าที่เพื่อนตนเป็นอยู่ตอนนี้ก็เพราะอ่อนไหวกับเรื่องความเป็นความตายของคนที่นอนอยู่บนเตียง

“กูขอโทษ ไม่ทันคิด”

“ช่างเหอะ”

“แล้วเรื่องงานมึง...” เพิร์ธเปลี่ยนเรื่องและสอบถามด้วยความเป็นห่วง พวกเขาอยู่บริษัทในเครือเดียวกันและมีโอกาสได้พบเจอกันบ้างเวลาทำงาน

“กูขอพี่เหน่งลาพักผ่อนสองวันว่ะ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะงานกำลังจะปิดกล้องพอดี” วินอธิบายกับเพิร์ธไปตามความเป็นจริง ตอนนี้เขาทำงานกำกับศิลป์ตามแต่โปรเจคที่ได้รับมอบหมาย และคงเป็นโชคดีในโชคร้ายล่ะมั้งที่งานล่าสุดกำลังจะปิดกล้องในอีกไม่กี่วัน และงานในส่วนของเขาก็แทบไม่หลงเหลือให้เครียดและกวนใจ

“จริงๆ กูเป็นห่วงมึงเลยแอบไปถามพี่เหน่งมาแล้วแหละ” เพิร์ธสารภาพไปตามตรงว่าเขาได้สอบถามหัวหน้างานของวินมาบ้าง วินพยักหน้าอย่างเข้าใจและไม่ติดใจอะไรที่เพื่อนข้ามหน้าข้ามตาแบบนั้น

“เหรอ”

“เขาบอกว่าหลังปิดกล้องเรื่องนี้ มึงขอพักงานตัวเองเป็นเดือน ทำไมวะ เพราะมายด์เหรอ” ดวงตาของวินกระตุกไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพื่อนถามเช่นนั้น เขาส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ ก่อนที่วินจะเลี่ยงการสบตาคู่สนทนาราวกับไม่ต้องการให้คำตอบ

“กูขอลาตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องมายด์”

“กูรู้ พี่เหน่งบอกกูหมด แต่มึงไม่ใช่คนขี้เกียจ ป่วยแค่ไหนก็ยังไปทำงาน เรื่องเที่ยวยิ่งแล้วใหญ่ มึงหวงเงินอย่างกับอะไร มึงจะลาไปไหน”

“...”

“เงียบ ไม่ตอบ สมกับเป็นไอ้หินเพื่อนกูจริงๆ” เพิร์ธส่ายหัวระอาแต่ทว่าในอกนั้นเข้าใจความเป็นวินจนหมดสิ้น แต่ไหนแต่ไรที่วินชอบเก็บปัญหา เก็บอารมณ์ราวกับตนเองเข้มแข็งนักหนา

“ขอโทษนะเพิร์ธ กูไม่อยากให้ใครต่อใครต้องมีเรื่องคิดเพราะกู”

“นึกว่าเรื่องมายด์จะเป็นบทเรียนให้มึงแล้วเสียอีก ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะอ่านภาษากายหรืออ่านใจมึงออก… ช่างเถอะ พูดไปก็เท่านั้น”

“อือ ก็เท่านั้น กูทำร้ายมายด์ไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” ดวงจิตของมายด์ที่นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่ต้นยิ้มเยาะทั้งนัยน์ตาเศร้า น้ำใสเอ่อขึ้นมารอบหน่วยดวงตาอย่างไม่อาจกั้น คำพูดที่เหมือนไม่ได้เจอปนความรู้สึกผิดของวินกดลึกลงไปด้านในจนจุกไปหมด

ที่ผ่านมามันแก้ไขอะไรไม่ได้เลยวิน

วินกลับไปแก้ไขในเรื่องที่ทำให้มายด์เจ็บเจียนตายไม่ได้อีกแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานเพิร์ธก็ขอตัวกลับไป วินและมายด์ต่างแยกกันมองพื้นมองเพดานเช่นเดิม แปลกอยู่อย่างที่ค่ำคืนนี้มายด์ไม่ได้กระวนกระวายใจอยากเรียกหาชาตะ อันที่จริงเวลามันเดินเร็วจนเกินไปด้วยซ้ำ ณ เวลานี้… มายด์ไม่มีคำตอบในหัว ไม่มีเค้าลางของเหตุผลข้อที่สามทั้งที่มีลิสต์ให้เลือกมากมาย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมายด์กำลังหวาดกลัวเหตุผลของตน มายด์ไม่แน่ใจเลยว่าจะมีความลับเบื้องหลังเหตุผลเหล่านั้นอีกหรือไม่

“คุณแคนเซิลการเดินทางทุกอย่างเลยนะ ช่วงนี้ผมคงไปไหนไม่ได้ ลูกชายผมกำลังป่วยหนัก...” เสียงของป๊าสุธีที่เดินออกมาจากห้องทำให้วินเงยหน้าขึ้นจากพื้น เขาลอบมองชายสูงอายุแล้วหันมาขมวดคิ้วเหมือนกำลังมีเรื่องชั่งใจ กระทั่งเป้าหมายของเขาวางสายโทรศัพท์วินจึงตัดสินใจลุกขึ้นและสาวเท้าเข้าไปขวางก่อนที่คนเป็นพ่อจะกลับเข้าไปดูแลลูกชายเช่นเดิม

“ป๊าครับ”

“มีอะไร” แม้น้ำเสียงพ่อของมายด์จะไม่ได้เย็นชาแต่มันก็ทำให้ความกล้าของวินลดลงไปมากกว่าครึ่ง

“คืนนี้ป๊ากับม้าจะอยู่เฝ้ามายด์หรือเปล่าครับ” วินถามออกไปตรงๆ มายด์ที่เดินตามมาหันมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจนัก

“เปล่า เดี๋ยวสักพักก็กลับ กลัวม้าจะความดันขึ้น คงต้องกลับไปนอนที่บ้าน ทำไม”

“คือ...” แววตาของวินระคนไปด้วยอารมณ์เป็นห่วง สิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขาคือตัวมายด์ที่นอนแน่นิ่งจนเข้าวันที่สาม ตอนอยู่ห้องพักผู้ป่วยหนักยังถือว่าใกล้หูใกล้ตาหมอ แต่สำหรับห้องพักพิเศษมันทำให้วินรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

“ไม่ต้องหรอก วินกลับไปบ้านเถอะ ป๊าจ้างพยาบาลพิเศษไว้แล้ว” น้ำเสียงของป๊าที่พูดคุยกับวินอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด วินพยักหน้าเข้าใจแต่ไม่ได้วางใจและคงจะไม่ปฏิบัติตาม

“ผมขอเฝ้ามายด์เองได้มั้ยครับ”

“ไม่ได้!” เสียงแข็งที่ตะเบ็งตอบไม่ใช่เสียงจากคู่สนทนา วินาทีนั้นมายด์หันขวับก่อนใครเมื่อได้ยินเสียงของมารดาที่มายด์ถอดนิสัยออกมาทุกกระเบียดนิ้ว หญิงผู้รักลูกชายสุดหัวใจเดินเข้ามาแทรกกลางด้วยท่าทางขึงขังและไม่สนใจความเงียบรอบตัวที่มีอยู่เดิม ดวงตากลมเชิดหยิ่งละม้ายคล้ายคลึงกับมายด์ไม่มีผิดเพี้ยน วินยกมือขึ้นไหว้เธอตรงๆ เมื่อต้องประเชิญหน้ากันอีกครั้ง

“คุณนิตย์ ออกมาทำไม”

“ถ้าไม่ออกมาฉันจะรู้มั้ยว่าคุณแอบคุยกับมันอีก แค่มานั่งใช้อากาศแถวนี้ฉันก็รังเกียจมากพอแล้ว ชั้นต่ำ!”

“คุณนิตย์ที่นี่โรงพยาบาลนะ เบาเสียงหน่อยสิ”

“ไม่ค่ะ”

“ตั้งสติก่อนสิคุณ”

“คุณคะ นี่มันคนที่ทำร้ายลูกเราจนต้องเป็นแบบนั้น ที่มายด์นอนไม่ได้สติไม่รู้เป็นรู้ตายก็เพราะใคร ฉันไม่ไล่มันไปตั้งแต่วันแรกก็นับว่าบุญแค่ไหนแล้ว คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิด ฉันคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนแบบนี้ต้องทำให้ลูกเสียใจ!” เสียงสะบัดเต็มไปด้วยความหยาบโลนอย่างที่ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากหญิงผู้ดี มายด์นิ่งไปเมื่อเห็นแม่ตนสติหลุดเช่นนั้น ส่วนคนที่นิ่งยิ่งกว่าก็คงจะเป็นวินผู้ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับนอกจากก้มหน้ารับกรรม จริงๆ แล้วนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วินเลือกที่จะอยู่ให้ห่างจากมายด์มากที่สุด เขาชั้นต่ำอย่างที่หม่าม้าพูด และเขาทำให้มายด์ต้องเป็นแบบนี้ตามที่หม่าม้าคิดทุกอย่าง

“ถึงวินจะเกี่ยวแต่วินไม่ได้ทำ! ลูกเราฆ่าตัวตายเองเข้าใจมั้ยคุณ!” ถึงคราวคนเป็นสามีตวาดกลับไปเรียกสติบ้าง มานิตย์นิ่งลงแต่ก็ยังมองวินด้วยความไม่พอใจ

“ผมขอโทษครับป๊า ผมขอโทษครับม้า ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง”

“รู้ตัวก็ดี”

ปั๊ก!! การยอมรับในชะตากรรมไม่ได้ทำให้คนโมโหพอใจ มือเล็กสะบัดตบเข้าที่กลางแก้มของวินจนหน้าหัน ก่อนที่เธอจะฉวยเครื่องโทรศัพท์ในมือสามีเขวี้ยงกระแทกเข้าที่หางคิ้วของวิน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแม้กระทั่งสุธีเองก็ห้ามปรามเอาไว้ไม่ทัน ขณะเดียวกันนั้นมายด์ก็ได้แต่ยกสองมือขึ้นอุดปากอมพะนำความรู้สึกเอาไว้ เพราะต่อให้เขาส่งเสียงร้องห้ามหรือแม้แต่เสียงยุยงก็ไม่มีได้ยินอยู่ดี

“คุณมานิตย์! เราต้องกลับไปคุยกันที่บ้าน”

“ไม่ค่ะ ฉันจะนอนเฝ้าลูก”

“คุณสติแตกแบบนี้แล้วจะเฝ้ามายด์ได้ยังไง เข้าไปเก็บของ” สุธีใช้สายตาออกคำสั่งก่อนจะหันมาเห็นรอยแผลและเลือดสีเข้มที่หางคิ้วของวิน ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ร้องโอดโอยเลยสักนิดทั้งที่น่าจะเจ็บพอตัว เสาหลักของบ้านส่ายหัวเพลียใจและพยายามลากภรรยาตนเองกลับเข้าไปด้านใน ทว่าความวุ่นวายไม่ได้จบง่ายดายเพียงเท่านั้น วินทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นก้มมองปลายเท้าของคนอายุมากกว่าทั้งสองจนทั้งคู่ต้องถอยตัวหนี

“วินคิดจะทำอะไร...” มายด์พึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ดวงตากลมเต็มไปด้วยความอ่อนไหวตั้งแต่วินาทีที่วินไม่ปริปากแม้จะถูกกระทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นความเข้มแข็งของคนคนนี้ แต่สิ่งที่ผู้เป็นแม่ของตนทำลงไปเมื่อครู่ มันไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ตัวมายด์เองเคยทำกับวินเมื่อนานมาแล้ว

ใช่… มายด์ก็แค่สะท้อนใจ

ไม่… มายด์ก็แค่นึกถึงวันเก่าๆ ที่ไม่น่าจดจำนัก

“ผมขอร้องนะครับป๊าม้า… ผมขออยู่เฝ้ามายด์จนกว่ามายด์จะฟื้นได้มั้ย ผม… ผม… ผมทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมช่วยมายด์ไม่ได้เลย ผมขอโทษ แต่ขอให้ผมได้อยู่เฝ้ามายด์นะครับ” คงจะเป็นไม่กี่ครั้งที่คนอย่างวินใช้คำพูดยาวเหยียด สองมือพนมเข้าที่กลางอกอย่างคนหมดหนทาง เลือดสีแดงสดไหลผ่านหางคิ้วยาวมากระทั่งถึงปลายคาง ทว่าสายตามุ่งมั่นจริงใจที่เงยขึ้นมองผู้มีพระคุณสองคนตรงหน้าไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย

“มันมีประโยชน์อะไรวิน ตอบฉันสิว่ามันมีประโยชน์อะไร”

“ครับ มันไม่มีประโยชน์ ไม่มีเลย”

“แล้ว...”

“คุณนิตย์ ขอผมคุยเอง” สุธีดันภรรยาตัวเองไปด้านหลัง เขามองวินด้วยสายตาที่เคยมองเมื่อคืนที่ผ่านมา ลึกๆ แล้วแม้จะโกรธแต่คงจะเกลียดวินได้ไม่ลง ผู้ชายคนนี้ทำให้ตัวเขาทึ่งหลายต่อหลายครั้ง เติบโตมาคนเดียวแต่มีความรับผิดชอบดีเลิศ อายุยังไม่มากแต่พยายามก่อร่างสร้างตัวซื้อรถซื้อบ้านด้วยเงินของตัวเอง และหลายต่อหลายครั้งที่ลูกชายคนเดียวของเขาแผลงฤทธิ์ ผู้ชายคนนี้ก็มักจะมีวิธีจัดการจนอยู่หมัด และวิธีที่วินกำลังร้องขออยู่ตอนนี้ก็ทำให้สุธีทึ่งไปเช่นกัน

“ผมขอร้องนะครับป๊า ผมทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ ผมแค่เป็นห่วง ผมแค่อยากอยู่กับมายด์” ชายหนุ่มก้มกราบแนบพื้นอย่างไม่อาย สองสามีภรรยาถอยตัวหนีไม่ทันและมองหน้ากันอึ้งๆ แม้วินจะไม่ได้ร้องไห้แต่น้ำเสียงติดขัดของเขากลับเต็มไปด้วยอณูความสะอึกสะอื้น สุธีย่อตัวลงไปตบไหล่ของวินแรงๆ เพื่อเรียกสติ ชายหนุ่มเงยขึ้นมาสบตา ทว่าดวงตาของเขากลับเลื่อนลอยเหมือนกับควบคุมตัวเองไม่อยู่

“วิน… ทำแบบนี้เพื่ออะไร ป๊าถามแค่นี้ วินจะทำไปเพื่ออะไร”

“เพราะผมรักมายด์ครับป๊า เพราะผมรักมายด์” สิ้นเสียงตัวเองวินก็หลับตาลงเพื่อกลั้นหยดน้ำตาเอาไว้ เส้นหัวใจที่อกซ้ายเต้นระรัวสลับแผ่วเบาไม่เป็นจังหวะใกล้จะขาดห้วงเต็มที ในอกของวินมันจุกแน่นเหมือนมีใครมาเดินย่ำซ้ำๆ ให้รู้ว่าเวลาไม่อาจหวนคืน

ไม่ต่างกัน

ดวงจิตที่ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่อายก็ใกล้จะขาดห้วงทางความรู้สึก มายด์ส่ายหน้าปฏิเสธในสิ่งที่ได้ยินเพราะเรื่องที่ฝังในหัวมันค้านกับความรู้สึกไปหมด ไม่มีทาง คำว่ารักของวินมันไม่ใช่ความจริง และเรื่องนี้มันจะกลายเป็นเหตุผลข้อที่สามอย่างไม่ต้องคาดเดา





เหตุผลข้อที่ 3 คุณไม่รักผม ผมไม่รักคุณ เราไม่ได้รักกันเช่นก่อน ผมจึงผิดหวังในความรัก





Talk 

ฝากคอมเมนต์ติชมด้วยนะคะ ยิ่งมากตอนก็ยิ่งเห็นตัวตนของตัวละครชัดขึ้นและหวังว่าทุกคนจะค่อย ๆ เข้าใจตัวละครมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 6 พยายามเข้าหน่อยดวงจิตฝึกหัด 03/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-02-2019 17:43:19
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 6 พยายามเข้าหน่อยดวงจิตฝึกหัด 03/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 07-02-2019 21:54:57
บทที่ 7 ในเมื่อพอจะรู้ตัวเองดี

เหตุผลข้อที่ 3 คุณไม่รักผม ผมไม่รักคุณ เราไม่ได้รักกันเช่นก่อน ผมจึงผิดหวังในความรัก





ไม่รู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่วินได้รับอนุญาตให้อยู่เฝ้ามายด์แลกกับหนึ่งแผลติดตัว รอยปริแตกที่หางคิ้วถูกดูแลด้วยเทปปิดฝีมือพยาบาล สุธีบังคับให้วินไปดูแลตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนมายด์ในคืนนี้ ด้านมานิตย์เองก็เริ่มอ่อนลงเมื่อเห็นว่าวินไม่มีท่าทางอิดออด และไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้จะโดนพายุอารมณ์ลูกใหญ่โถมเข้าใส่

ในภาวะยากเย็นการควบคุมอารมณ์เป็นเรื่องลำบาก

และการลดอคติที่เพิ่มพูนขึ้นมาก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน

หลังจากคนเป็นพ่อแม่จำใจจากไปห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ พยาบาลที่ถูกว่าจ้างมาเป็นพิเศษปลีกตัวออกไปที่ห้องพักตนและแจ้งว่าจะเข้ามาตรวจเช็กเป็นระยะ หนึ่งชีวิต หนึ่งร่างกาย และหนึ่งดวงจิตอาศัยอยู่ร่วมกันโดยมีเสียงอุปกรณ์การแพทย์ดังสลับกับเสียงลมหายใจ

วินไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ริมฝีปากหนาปิดนิ่ง ร่างกายแทบไม่ขยับเขยื้อน เขาเก็บทุกความรู้สึกมากมายเอาไว้ภายในใจจนบรรยากาศอึมครึมเกินกว่าจะกลับมาสดใส สิ่งเดียวที่ชายร่างสูงทำคือนั่งนิ่งๆ ข้างเตียง คนหมดอาลัยตายอยากเฝ้ามองเรียวมือขาวซีดของมายด์ราวกับจะสะกดให้มันกระดุกกระดิกขึ้นมาอย่างในละครทีวี แต่เปล่าเลย ไม่มีเรื่องราวปาฏิหาริย์เช่นนั้นเกิดขึ้น ร่างกายของมายด์ยังคงนอนนิ่งไม่ต่างจากผักเช่นเดิม

อันที่จริงใช่ว่าโลกนี้ไม่มีปาฏิหาริย์

แต่การมีอยู่ของสิ่งอัศจรรย์ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผล

มายด์นั่งกอดตัวเองอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ใบหน้าเล็กก้มลงติดเข่า สองแขนดึงรั้งกันไว้ไม่ให้หลุดจากความเปลี่ยวใจของตน แสงไฟสลัวยิ่งทำให้คำตอบในใจมัวซัวไม่แน่ชัด ถึงแม้ว่ามายด์จะตั้งธงเอาไว้และคงไม่กลับลำทรยศความคิดตัวเอง แต่ทว่าการใคร่ครวญกลับปั่นป่วนไม่เข้ารูปเข้ารอยเสียที

อีกไม่กี่นาทีเข็มนาฬิกาจะหมุนวนเข้าวันใหม่ อยากรู้จริงๆ ว่าใครกำหนดให้การเริ่มต้นนับวันคืนอยู่ในช่วงเวลามืดมนไร้หนทางเช่นนี้ น่าตลกดี วันใหม่แท้ๆ แต่ท้องฟ้ากลับมืดสนิทไม่มีทางหลีกหนี กว่าจะกลับมาสดใสก็ผ่านไปหนึ่งส่วนสี่ของวัน ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

“โอกาสครั้งที่สามแล้วนะมายด์…” มายด์พูดกับตัวเองและถอนลมหายใจทิ้งระลอกใหญ่ เขาหันมองนาฬิกาติดผนังที่ปลายเตียงคนป่วย อีกไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น โอกาสในการกลับไปมีชีวิตครั้งที่สามกำลังจะมาถึง ถ้าถามว่ามายด์ปวดใจกับคำตอบที่มีบ้างหรือไม่ มันคงเป็นคำว่าใช่ มายด์ปวดใจและทรมานใจที่จะต้องพูดมันออกไป แต่คงไม่มีเหตุผลใดจะหนักแน่นสมเหตุสมผลจนทำให้อยากตายได้เท่าความจริงประการนี้อีกแล้ว

“วันนี้ฉันจะไม่พลาดให้นายตะโกนหาเหมือนเรียกหมาอีก” มายด์กระตุกยิ้มเบาทันทีเมื่อเสียงของชาตะดังขึ้นในหัว ม่านพัดพลิ้วทั้งที่หน้าต่างห้องไม่ได้เปิด ลมหมอกสีน้ำเงินลอยต่ำไปทั่วทั้งก่อนที่กายของชาตะจะปรากฏชัดเจนให้เห็นตรงหน้า มายด์เงยหน้าขึ้นจากเข่าตน ผู้คุมดวงจิตนั่งขัดสมาธิในชุดสูทเรียบร้อย ทั้งยังยิ้มแป้นแล้นพร้อมหมวกปาร์ตี้สีแดงสดบนหัว ช่างเถอะ คงไม่มีอะไรเกี่ยวกับชาตะที่ทำให้มายด์เพลียใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“สวัสดี”

“สวัสดีจ้า ห้องเงียบจังเนอะ เป็นใบ้กันเหรอ”

“แล้วคุณเคยเห็นวินพูดมั้ยล่ะ ส่วนผม ผมไม่สะดวกที่จะคุยคนเดียว” ชาตะชะโงกหน้าขึ้นมองวินตามที่มายด์พูด เขาพยักหน้างึกงักเหมือนเข้าใจ ไม่หรอก ชาตะที่รู้ดีอยู่แล้วแสร้งทำเป็นเข้าใจเท่านั้น

“น่าสงสาร ถามจริง วินของนายทำไมถึงชอบทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จานัก ตอนเด็กๆ พูดมากแล้วโดนเก็บตังค์เหรอ น่าเบื่อตายชัก”

“แล้วทำไมคุณถึงพูดมากนัก”

“อ้าว”

“ผมขอโทษ” มายด์รีบเอ่ยขอโทษขอโพยเพราะยังจำความเจ็บปวดที่ชาตะเคยมอบให้ได้ดี ด้านชาตะเองก็ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร ยกมือยกไม้ขึ้นขยับหมวกอย่างอารมณ์ดี

“ดี ถือว่านายเรียนรู้ว่าเวลาไหนควรขอโทษบ้าง” ชาตะค่อยๆ ขยับตัวไปนั่งข้างมายด์เพื่อทอดสายตาไปในทิศเดียวกัน ทิศทางที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากผืนม่านและกำแพง มายด์คลายแขนที่กอดรัดตัวเองลงเล็กน้อย เขาทิ้งคางวางไว้กับท่อนแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเรื่องราวที่เคยจำได้ขึ้นมา

“ผมเคยถามวินแบบที่คุณถาม ถามเขาว่าทำไมถึงไม่ค่อยพูด ทำไมไม่ชอบแสดงอารมณ์”

“แล้วคำตอบล่ะ” ชาตะเหลือบมองมายด์และพยายามยกขาขึ้นมากอดไว้และวางคางในท่าเดียวกัน แต่เพราะขาแข้งที่ยาวและช่วงตัวสูงโปร่ง มันจึงกลายเป็นการเลียนแบบที่บิดเบี้ยวและดูอุบาทว์ตานัก

“เชื่อมั้ยว่าผมไม่ได้คำตอบจากวิน แต่สุดท้ายผมก็ซักไซ้จนเขาต้องยอมเล่า”

“ไม่เชื่ออะ นายไม่ได้ซักไซ้ วิธีแบบนั้นแถวบ้านฉันเรียกว่าประชดแดกดันและเอะอะโวยวาย”

“หึ” มายด์ถอนหายใจผะแผ่ว ผินใบหน้าไปซ้ายทีขวาทีอย่างคนไม่แน่ใจ ที่ชาตะพูดแปลว่าเขารู้จริงหรือเป็นเพราะแค่คาดเดากันนะ ที่เขาทำวันนั้นเรียกว่าประชดและโวยวายงั้นเหรอ

“วินจะพูดหรือไม่พูด! ถ้าวินไม่พูดเราเลิกกัน!”

“มายด์จะประชดขอเลิกทุกครั้งที่เราทะเลาะกันไม่ได้”

“แต่วินจะเงียบทุกครั้งไม่ได้เหมือนกัน ถ้าวินไม่ยอมเล่า มายด์จะถือว่าเราเดินทางมาไกลที่สุดแค่นี้ ทำไมวะ! แค่พูดว่ามีปมอะไรนักหนายังไม่ได้เลยเหรอ! ประสาท! ถ้าไม่เล่าไม่ไว้ใจใครก็อยู่คนเดียวไป! ง่ายดี จบ!”


ประชด

แดกดัน

เอะอะ

โวยวาย

คงงั้นสินะ

“อะๆ งั้นจะเชื่อให้ก็ได้ ไหนว่ามาสิ” มายด์ถอนหายใจก่อนจะยอมพูดออกมา แม้จะสัญญากับใครอีกคนไว้ว่าจะไม่ปริปากเอ่ยถึงเรื่องน่าสะท้อนใจ แต่ ณ วินาทีนี้เขาคงต้องพูดเพื่อระบายความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ด้านในบ้าง

“ครอบครัววินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนที่เขายังเด็ก พ่อกับแม่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ วินบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนน้องสาวอาการสาหัส...” มายด์ทิ้งเสียงลงเล็กน้อย ความรู้สึกประหลาดแล่นเข้ามาในกายเมื่อต้องเล่าเรื่องของวิน ...เรื่องที่วินไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้แต่เพื่อนสนิท

“แล้วไงต่อ”

“ทุกคนรอบตัวบอกให้วินต่อสู้กับโชคร้ายนั่น อย่าร้องไห้ให้น้องเห็น ให้วินเก็บอารมณ์เอาไว้ เดี๋ยวพ่อแม่ที่จากไปรู้เข้าจะไม่สบายใจ อีกอย่างน้องวินจะอาการดีขึ้นถ้าวินเข้มแข็ง แต่วินบอกกับผมว่าเขาทำไม่ได้ วินร้องไห้ใส่น้องแบบไม่มีกลั้น พูดทุกอย่าง แสดงความรู้สึกทุกประการของตัวเอง สุดท้ายอาการของน้องสาววินก็แย่ลง...”

“เธอเสียชีวิต แล้ววินก็ไม่อยากแสดงอารมณ์แสดงความรู้สึกของตัวเองอีกเลย น่าเสียดายที่เด็กชายผู้เคยสดใสกลายเป็นคนเงียบ ๆ … ตอนนั้นน่าจะมีใครบอกวินสักหน่อยนะ ว่าเขาไม่ได้ทำให้น้องสาวตาย พวกผู้ใหญ่ไม่มีคุณภาพ วิชาจิตวิทยาพื้นฐานไม่เคยเรียนกันรึไง” ชาตะเป็นคนต่อเรื่องราวจนจบ เขายิ้มเย็นขึ้นมาเมื่อเห็นมายด์เบิกตาด้วยท่าทางหงุดหงิด คนร่างสูงหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อไม่รู้ว่าตนจะต้องเสียชั้นเชิงให้ชาตะอีกกี่หน

“คุณรู้อยู่แล้วนี่”

“นายก็รู้อยู่แล้ว”

“ก็ใช่ไง”

“แล้วทำไมถึงทำเป็นเหมือนไม่เข้าใจวินเลยล่ะ”

“ก็ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้”

“แต่เวลานี้นายรู้อยู่เต็มอก เจ้ามนุษย์เอ๋ย… รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเงียบและไม่ค่อยพูดเพราะอะไร แต่ก็ยังเอาใจตนเองเป็นที่ตั้ง นี่สินะ คุณหนูมายด์ตัวจริง” มายด์รู้สึกชาไปทั้งตัว คำพูดของชาตะตอกเข้ามากลางอกจนไม่มีสิทธิ์เถียง นั่นสินะ อันที่จริงมายด์ควรจะเป็นคนที่เข้าใจความนิ่งเงียบของวินมากที่สุด

“เข้าใจแล้วยังไง… ผมต้องทำใจที่วินไม่ยอมพูด ไม่ยอมแสดงอารมณ์งั้นเหรอ”

“เปลี่ยนเขาไม่ได้ ทำใจไม่ได้ แล้วทำไมถึงไม่เลิกรากันไป”

“ผม...”

“ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดหาคำอธิบายหรอก บางทีวินยังแอบหงุดหงิดที่นายชอบโวยวายทั้งที่รู้ว่านายเป็นคนแบบนี้เลย จริงมั้ย”

“หึ นั่นสินะ”

“แต่เคสนายนี่ต้องโทษแม่นะ ตามใจจนนึกว่าเลี้ยงลูกเทพ”

“ชาตะ!” มายด์เองเสียงปรามชาตะเมื่อบทสนทนาเริ่มลามไปถึงผู้เป็นแม่ของตน แต่ชาตะสนใจที่ไหนล่ะ รายนั้นฉีกยิ้มกว้าง ยกข้อมือตนที่ไม่มีนาฬิกาขึ้นมองและพึมพำนับถอยหลังราวกับรอเวลา

“อีกสามสิบวิ… ยี่สิบเก้าแล้ว… ยี่สิบแปด… ยี่สิบเจ็ด...”

“ไหนคุณบอกผมว่าไม่ต้องรีบ”

“ฉันก็ไม่ได้รีบนี่ เคานต์ดาวน์” ชาตะล้วงมือเข้าไปใต้สูทสีน้ำเงินของตน ก่อนจะคว้าพลุกระดาษติดมือออกมา มายด์มองอย่างไม่เข้าใจแต่ไม่รู้จะสงสัยมากไปกว่านี้ทำไม

“เคานต์ดาวน์ทำไม”

“แล้วนี่มีเหตุผลข้อที่สามแล้วรึยัง”

“มีแล้ว… ผมต้องพูดเลยเหรอ”

“แล้วแต่สิ ชีวิตนาย นายเป็นคนตัดสิน… บิงโก! เที่ยงคืน” ชาตะเงยหน้าขึ้นจากข้อมือ เขาเอียงคอมองดวงจิตในการดูแลด้วยท่าทางที่ดูสดใสกว่าปกติ มายด์สบมองดวงตาสีเทาด้วยใจความอันว่างเปล่า เขามีคำตอบแต่กลับไม่มีใจที่จะตอบ มายด์สูดลมหายใจเข้าร่างกายสมมติก่อนจะเอ่ยปากด้วยเสียงเรียบนิ่ง

“วินไม่ได้รักผม ผมไม่รักวิน เราไม่ได้รักกันอีกแล้ว ความสัมพันธ์ที่ผูกมัดเราไว้มันน่าอึดอัด ผมผิดหวัง ผมท้อแท้ ผมเสียใจ ผมจึงอยากตาย ผมอยากหลีกหนีมันไป”

ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง! ชาตะดึงปลายเชือกพลุกระดาษในมือราวกับอยู่ในงานเฉลิมฉลอง ชิ้นกระดาษมันเงาสีแดงลอยขึ้นตามแรงลมก่อนจะฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง ชาตะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นราวกับเด็กๆ ผู้คุมดวงจิตกระโดดข้ามเตียงไปมาอยู่หลายหน ทั้งยังกระชากแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้นจากการกอดตัวเองเสียที มายด์เลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจและเกือบจะตีความไปเองว่ามันคือสัญญาณที่ดี คำตอบของเขาอาจจะถูกต้อง แต่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ความคิดนั้นคงอยู่ เสียงของใครอีกคนดังก้องขึ้นในห้องเงียบเชียบ ความเป็นจริงน่าเศร้าทำให้มายด์ไม่รู้จะเรียกมันว่าวันแห่งความสุขดีหรือไม่

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู...” วินขึ้นต้นเพลงอวยพรยอดฮิตด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบติดสั่นจนไม่รู้ว่าจะเรียกการร้องเพลงได้หรือไม่ ใบหน้าเศร้าจ้องเข้าไปที่เปลือกปิดสนิทของร่างบนเตียง มายด์ยืนมองภาพนั้นไม่ขยับกายไปไหนอีก นั่นสินะ วันเกิด… แปลกจริงๆ คนติดปาร์ตี้อย่างเขาลืมวันเกิดตัวเองไปได้ยังไง

สุขสันต์วันเกิดในปีที่ไม่มีแม้แต่แรงจะยืนนะมายด์

“สุขสันต์วันเกิดนะมายด์…” ประโยคที่สองสั่นเครือกว่าเดิมหลายเท่านัก มือหนาเคลื่อนเข้าไปใกล้มือของมายด์อย่างเก้กัง ดวงตาของวิน ดวงตาที่เคยแข็งเป็นหิน มันกำลังเอ่อไปด้วยหยดน้ำใสที่เจ้าของพยายามกักเก็บเอาไว้

“อยากให้วินร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์รึเปล่า” น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้เนิ่นนานทวีความรุนแรงขึ้นจนแทบจะยั้งเอาไว้ไม่อยู่ คำพูดของวินขาดห้วงไปนับนาที กระทั่งมือสั่นเย็นวางทาบทับกับเมื่อเล็กของคนบนเตียง

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู … แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู... แฮปปี้เบิร์ดเดย์… อึก แฮปปี้เบิร์ดเดย์” เสียงของวินเริ่มกระตุกอย่างที่คนฟังไม่ได้คาดคิดมาก่อน ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดที่จะไหลออกจากดวงตาคู่คม แต่สิ่งที่ได้ยินกับหูนั้นไม่ต่างอะไรกับการสะอึกสะอื้น มายด์ยกมือที่กำลังรู้สึกอบอุ่นขึ้นมามองอย่างไม่เข้าใจนัก มือข้างที่ถูกจับเอาไว้แน่น มือข้างเดียวกันกับร่างบนเตียง มือที่อบอุ่น การเกาะกุมที่ให้ความปลอดภัย ทุกอย่างส่งผ่านมายังดวงจิตโดยไม่ต้องร้องขอ แต่ทำไมกันนะ ทำไมมันถึงเป็นความอบอุ่นที่ทรมานเหลือเกิน

เพราะเสียงคล้ายสะอื้นที่ทำให้เจ็บปวด

หรือเพราะน้ำตาตกในที่ทำให้เสียใจ

“อึก...แฮป… อึก” ท่อนสุดท้ายของเพลงจมหายไปกับอาการสะอื้นไม่เป็นผู้เป็นคน วินบีบมือของมายด์แน่นจนดวงจิตรู้สึกเจ็บร้าวไปหมด มายด์ใจเต้นไม่เป็นระส่ำเมื่อได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น วินไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยดูอ่อนแอ ไม่เคยปล่อยตัวเองให้ดูเหมือนคนไร้สติ ไม่เคยหน้าแดงก่ำเพราะความเสียใจ ไม่… วินที่มายด์เคยรู้จัก เคยสัมผัส ไม่เคยแสดงตัวตนเช่นนี้เลย

“แฮป…. แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู… ยู… ฮึก มีความสุข… มีความสุขมากๆ นะมายด์” บทเพลงแสนเศร้าจบลงในที่สุด ริมฝีปากสั่นเทาสัมผัสลงที่หลังมือของมายด์แผ่วเบาด้วยหัวใจปริ่มรัก มือขาวซีดไม่ได้อบอุ่นและมีเพียงความหนาวเย็นน่าสะเทือนใจ วินาทีนั้นดวงจิตที่ทำใจแข็งอ่อนยวบทรุดลงไปกับพื้น มายด์หันกลับมากอดตัวเองเอาไว้อีกครั้ง

“โชคร้ายจังนะ ปีก่อนๆ วินไม่มีเวลา… ไม่เคยมีเวลาให้มายด์ในวันเกิดเลย”

“จะพูดขึ้นมาทำไม! หยุดพูดไปเลยนะวิน!” ดวงจิตที่นั่งหันหลังให้ยกมือขึ้นอุดหูทั้งที่รู้ว่าอย่างไรก็ต้องได้ยิน แผ่นกระดาษมันเงาที่ยังปลิวอยู่ทั่วห้องเปลี่ยนสภาพเป็นฝุ่นผงเถ้าถ่านสีดำสนิท ชาตะยืนไขว้ขากอดอกมองความเป็นไปแสนหฤหรรษ์โดยไม่คิดปริปากพูดสิ่งใสออกมา

“ของขวัญวันเกิด… วินไม่มีอะไรให้เลย”

“เหอะ คนอย่างวินมันก็เป็นแบบนี้เสมอนั่นแหละ”

“แต่วินตั้งใจจะพามายด์ไปดูหนังนะ มายด์อยากไปเที่ยวที่ไหน อึก วินจะพามายด์ไปหมดเลย”

“พูดตอนนี้มันก็พูดได้หมดแหละ วินเคยสนใจมายด์ที่ไหน เที่ยวเหรอ...ฝันไปมั้ง”

“มายด์... มายด์ครับ”

“พอเถอะวิน พอ!”

“อึก… รีบตื่นขึ้นมานะ”

“ก็เพราะวินนั่นแหละมายด์ถึงไม่ได้ตื่นสักที!”

“วินขอโทษ… วินขอโทษนะ”

“จะขอโทษทำไมวิน จะขอโทษทำไม!”

“วินขอโทษ… ฮึก วินไม่ควรพูด วินไม่ควรร้อง… วินไม่ควรร้องไห้ วินต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ วินต้องเข้มแข็งให้มายด์เห็น แต่มายด์ ฮึก… วินไม่ไหวแล้วมายด์” มายด์ผินใบหน้าไปมองเจ้าของประโยคดังกล่าว ชายร่างสูงกำลังตะบี้ตะบันเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาราวกับมันเป็นเรื่องผิดบาปหนักหนา เขื่อนน้ำตาแตกสลายจนวินไม่อาจยั้งมันไว้ได้อยู่ เสียงสะอึกครวญถี่จนกลายเป็นฟูมฟายพูดคำใดไม่ได้ศัพท์ มายด์ดึงใบหน้าตนกลับมาเพื่อมองหาความว่างเปล่า

“วิน...”

“วินใจจะขาดอยู่แล้ว ฮึก วินใจจะขาดอยู่แล้วมายด์ ฮืออออ”

“...”

“กลับมานะคนดี”

“...”

“อย่าหนีไปเพราะวินร้องไห้ อย่าทิ้งชีวิตของตัวเองไปนะมายด์”

“...”

“วินไม่พูดแล้ว วินจะไม่พูดอีกแล้ว… อย่า… อย่าทิ้งวิน”

“...”

“ฮึก… กลับมานะ วินไม่อยู่กวนใจมายด์อีกแล้วก็ได้ อย่าหนีไปอีกเลย… อย่าทำแบบนี้… อย่าทำกับวินแบบนี้...”

“ใครทำใครก่อนกันแน่วิน… ใครกันแน่”

“เกลียด… ก...เกลียดกันขนาดนี้เลยเหรอ… เกลียดวินจน… จนไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยเหรอ” ห้องเงียบเฉียบกลายเป็นสนามอารมณ์เศร้าอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด มายด์กดมือลงไปที่หูตน ทว่าเสียงของวินกลับดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงทุ้มที่ยังสั่นขาดห้วงและเบาคล้ายกับคนพูดหายใจไม่ทัน วินตกอยู่ในอาการของคนหอบเหนื่อย มือข้างหนึ่งยกขึ้นจิกแน่นลงที่อกซ้ายตน เรียวนิ้วแข็งแรงขยุ้มผ่านชั้นผ้าลงไปยังเนื้อหนังของตัวเองอย่างไม่รู้เจ็บ ศีรษะของเขาตกลงที่ขอบเตียงเมื่อลมหายใจเพิ่มจำนวนความถี่จนเอื้อนเอ่ยได้ยากเย็น

“ก็วินไม่ใช่เหรอที่เกลียดมายด์” สิ้นคำตัดพ้อของมายด์ก็แทบไม่มีประโยคใดดังออกจากปากของวินอีก มายด์ปาดน้ำตาอยู่แบบนั้นเพราะอารมณ์มันไม่จบไม่สิ้นเสียที ความรู้สึกอึดอัดเมื่อคิดถึงเรื่องเก่าๆ ทำให้ร่างเล็กอยากจะกรีดร้องโวยวายแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดตัวเองเอาไว้ ร่างกายตัวเองที่กอดเท่าไหร่ก็ไม่มีความรู้สึก ต่างกับกับมือข้างนี้ มือข้างที่วินจับเขาเอาไว้ มันทั้งอบอุ่นและหนาวเย็นในเวลาเดียวกัน

“รู้มั้ย… ว่าวินรักมายด์ที่สุด”

“ไม่… วินไม่ได้รักมายด์”

“ฮึก ไม่รักกันแล้วเหรอมายด์ เราไม่รักกันแล้วเหรอ”

“อึก ฮือออออ” เสียงร่ำไห้ชะงักเป็นห้วงจากทั้งคู่ทวีความรุนแรงจนผู้คุมดวงจิตต้องยกมือขึ้นปิดหูตนบ้าง แม้ว่ามายด์จะไม่พูดสิ่งใดออกมาอีกแต่เสียงร้องไห้วังเวงใจน่าสงสารคงจะแทนคำตอบที่วินอยากได้ทั้งหมด ร่างเล็กรู้สึกเหมือนตกลงมาจากที่สูงซ้ำๆ คล้ายถูกวินลากขึ้นไปและผลักลงมาจนกระอักกับความรู้สึก

ไม่รักกันจะบอกว่ารักทำไม

ไม่รักกันจะประดิษฐ์คำให้สวยหรูไปทำไม

ถ้าไม่รักกัน… จะมาร้องไห้กับความว่างเปล่าตรงนี้ทำไม

วินสะอื้นฮักกระทั่งเผลอหลับไปเพราะร่างกายต้องการพักผ่อน หมดแล้วความเข้มแข็งดั่งหินที่เคยมี กำแพงของคนเย็นชาแตกหักและคงไม่อาจกลับไปเป็นดังเดิมได้อีก ความรักของเขา หัวใจของเขา ทุกอย่างมันคือมายด์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ทุกครั้งที่พยายามปีนขึ้นไป วินจะบอกกับตัวเองเสมอว่าให้เตรียมใจ บนที่สูงมันทั้งหนาว ทั้งน่ากลัว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะบอกให้ตนเตรียมใจกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้

แน่นอน… คงไม่มีคำโกหกใดเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เราจมอยู่กับตัวเอง

รัก

ใช่

รักที่สุด

ชาตะยอมยืนเฉยมองห้วงอารมณ์หน่วงหนึบกระทั่งเวลาผ่านไปนับชั่วโมง บรรยากาศภายในห้องกลับสู่ความเงียบอย่างที่ควรจะเป็นอีกครั้ง วินหลับใหล มายด์สงบลง หมอกควันลอยคลุ้งจางหายไปกับอากาศ ชายในชุดสีน้ำเงินหายตัววับวาบมานั่งเคียงข้างมายด์ มือซีดขาวตบลงที่บ่าของร่างเล็กคล้ายปลอบใจ ทว่าสัมผัสของชาตะกลับยะเยือกเย็นและไม่ได้ทำให้มายด์รู้สึกดีขึ้นเลย

“เรื่องมันเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ ใจสู้หรือเปล่า ไหวมั้ยบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อนะ” มายด์นิ่งเฉยกับภาษาคาราโอเกะของชาตะ เจ้าตัวหันไปสบตากับคนตั้งกฎอย่างไม่มีความหวังใดหลงเหลือ เจ้าของเส้นเลือดสีน้ำเงินกะพริบตาปริบๆ

“เหตุผลข้อที่สาม ผมไม่มีหวังแล้วใช่มั้ยชาตะ”

“แล้วทำไมถึงเลือกเหตุผลนี้ล่ะ ในเมื่อพอจะรู้ตัวเองดี” ชาตะเอื้อมมือลูบหัวมายด์ด้วยอารมณ์สงสารเอ็นดู ดวงจิตหมดหนทางซบลงกับไหล่ของชาตะและปิดเปลือกตาลงนิ่ง ถ้าตอนนี้มีใครสักคนให้พักความรู้สึกก็คงดี แต่โชคร้ายนะ ที่ตอนนี้มายด์ไม่เหลือใครเลย การตัดสินใจชั่ววูบพรากทุกอย่างไปจากเขาจนหมดสิ้น

“ผมฆ่าตัวตายเพราะความรัก ผมคิดว่ามันจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุด”

“ความรัก มันไม่ได้มีแค่รักหรือไม่รักหรอกมายด์ มันมีองค์ประกอบอย่างอื่นอีกเยอะ ต่างคนต่างวาระ ดูแจ็คกับโรสสิ รักกันยี่สิบสี่ชั่วโมง สุดท้ายก็ได้เป็นแค่ชู้รักเรือร่ม”

“นั่นสินะ”

“ถ้างั้น เราคงไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์เหตุผลข้อนี้แล้วใช่มั้ย” มายด์ไม่ได้แปลกใจที่ชาตะถามขึ้นมา เจ้าตัวตั้งคอตรงพยักหน้าขึ้นลงยกมือปิดหน้าดั่งคนพ่ายแพ้

“ผมเข้าใจแล้ว”

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยที่จะต้องกล่าวว่า…”

“เหตุผลข้อที่สาม ไม่สมเหตุสมผล… ผมรักวิน และเรารักกัน”





Talk

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ผู้เขียนตั้งใจนำเสนอไม่ใช่การเริ่มต้น และการมีอยู่ของชาตะก็ไม่ใช่เพียงการให้โอกาสกับมายด์ การคิดหาเหตุผลของคนใกล้ตายอาจทำให้เจ้าตัวหรือคนรอบตัวคิดอะไร ๆ ได้หลายอย่าง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่นิยายรักสีชมพู หากในท้ายที่สุดผู้อ่านจะรู้สึกเกลียด รัก สงสาร หรือรู้สึกอย่างไรกับตัวละครก็ตาม นั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนดีใจที่สุด ฝากติดตามทั้งคู่และเหตุผลทั้งเจ็ดข้อด้วยนะคะ

ปล.ขอบคุณทุกคอมเมนต์มาก ๆ เลยค่ะ แค่เห็นว่ามีคนตามอ่านอยู่ก็ดีใจแล้ว :)



หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 7 ในเมื่อพอจะรู้ตัวเองดี 07/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-02-2019 02:53:46
เอาน้ำตาเราไปสองตอนแล้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ แต่พอเดาได้ แล้วก็เหตุผลที่ถูกต้องเราก็น่าจะเดาออก รึเปล่าไม่รู้ ไม่บอก กลัวแหกค่ะ 55555555555

ปล, รักวิน
ปล. 2 หมันไส้คุณชาตะ 55555555
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 7 ในเมื่อพอจะรู้ตัวเองดี 07/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 12-02-2019 07:39:03
อ่านรวดเดียว 7 ตอนเลย
สงสารวินมากๆเลย *กอด*
ยิ่งตอนล่าสุดที่ร้อง HBD นี่ร้องไห้เลย T^T
จากที่อ่านมายด์แบบเอาแต่ใจ โลกหมุนรอบตัวเองสุดๆเลย ไม่ได้อย่างใจโวยวายตลอด
อยากรู้เหตุผลมากๆเลยอะไรทำให้มายด์ทำแบบนี้ เดี่ยวกับวินหรือเปล่า
หรือจะเกี่ยวกับที่วินทำเรื่องลางานไว้เดือนนึงหรอก?
คงไม่ใช่ว่าจะประชดอีกหรอกนะ ?

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 7 ในเมื่อพอจะรู้ตัวเองดี 07/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 12-02-2019 23:30:45
​บทที่ 8 ชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน​

“กินข้าวเยอะกว่านี้หน่อยเหอะ ถือว่าพวกกูขอ”

“มึงดูโทรมมากรู้ตัวรึเปล่าวิน”

“ตอนไอ้เพิร์ธโทรไปเล่ากูก็คิดว่าจะไม่หนักขนาดนี้ นี่อะไรวะ แม่ง...”

“บ่นอะไรกัน กูก็กินอยู่” เพิร์ธ หนุ่ม และเขม สามหนุ่มวัยทำงานพยายามเคี่ยวเข็ญเพื่อนสนิทให้ตักข้าวเข้าปาก แม้วินจะทำตามอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่ได้ดูเอร็ดอร่อยกับมื้อบ่ายที่แคนทีนของโรงพยาบาล ข้าวราดแกงธรรมดาไร้รสชาติเมื่อเข้าไปอยู่ในปากของคนที่ไม่อยากจะกระทำสิ่งใดแม้แต่การเคี้ยวกลืน อาหารมื้อแรกของวันผ่านลำคอไปอย่างยากลำบาก ลำคอของวินแห้งผากจนต้องยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเป็นระยะ ไม่น่าเชื่อว่าแค่สามสี่วันร่างกายที่เคยสมบูรณ์จะดูซูบผอมจนเห็นได้ชัด รอยคล้ำตามจุดอ่อนโยนบนใบหน้าสะท้อนอกสะท้อนใจผู้มองจนต้องถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน

“เออ กูก็แค่พูด” เขมส่ายหน้าบางก่อนจะหันไปสบตากับเพิร์ธ กว่าที่เขาและหนุ่มจะปลีกตัวมาหาวินได้ก็ปาเข้าไปวันที่สี่เสียแล้ว ยังโชคดีที่เพิร์ธแวะเวียนเข้ามาและโทรศัพท์ไปเล่าให้ฟังอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้น ภาพของวินที่เห็นอยู่ตำตาก็นับว่าแย่กว่าที่คิดมากทีเดียว

“เออ เสื้อผ้าที่มึงฝากให้เอามา กูวางไว้ที่โซฟาในห้องมายด์นะ”

“อือ” วินพยักหน้ารับคำของเพิร์ธขณะพยายามกลืนข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก

“นี่หลังจากวันนั้นมึงได้กลับบ้านบ้างรึเปล่า”

“ไม่ได้กลับ”

“กินนอนอยู่นี่เลยว่างั้น” หนุ่มเสริมก่อนจะดันแก้วน้ำให้เปล่าให้เพื่อน วินรับแก้วมาดูดน้ำเข้าไปอึกใหญ่ แต่จู่ๆ เขากลับวางแก้วลงและทุบเข้าไปที่กลางอกตนคล้ายคนที่จุกแน่นเพราะสำลัก

“แค่ก! อึก”

“เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ” เพื่อนทั้งสามตระหนกขึ้นมาไม่น้อยเมื่อเห็นวินนิ่วหน้าอึดอัดอย่างกับหายใจไม่ออก เขมที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูบแผ่นหลังกว้างขึ้นลงอย่างเป็นกังวล

“ไม่ๆ กูโอเค” วินยกมือขึ้นโบกเบาๆ เชิงว่าตนยังปกติดี เขาวางมือนิ่งแผ่นอกซ้ายทั้งยังพยายามสูดลมหายใจแรงๆ เข้าออกให้เป็นจังหวะ สีหน้าที่พยายามปกติของวินทำได้แค่พยายามเท่านั้น หัวคิ้วของเขาขมวดเป็นปมและคลายออกเป็นระยะ

“ไหนกูดูดิ” เพิร์ธเห็นแบบนั้นก็เกิดนึกสงสัยขึ้นมา ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปวางมือตนแทนที่มือเจ้าของร่าง วินทำท่าไม่อนุญาต แต่เขาไม่อาจสู้แรงแข็งขืนของเพิร์ธ

“ไม่มีอะไร”

“หัวใจมึงเต้นแรงมากไอ้วิน ขึ้นไปหาหมอมั้ย”

“จะหาหมอทำไม กูแค่เหนื่อย”

“เหนื่อยก็เหี้ยแล้ว แค่นั่งกินข้าว ไปขอให้พยาบาลเช็กหน่อยก็ยังดี” หนุ่มเสนอเมื่อเห็นว่าเพิร์ธมีสีหน้ากังวลมากกว่าเจ้าตัวที่อ้างว่าเหนื่อยเสียอีก และแน่นอน คนอย่างวินจะต้องปฏิเสธและยืนยันว่าตนไม่เป็นอะไร

“ไม่ คงเพราะกูกินกาแฟเยอะ” วินปัดมือของเพิร์ธออกและลุกจากเก้าอี้ทันที เพราะเป็นเพื่อนกันมานานคนทั้งสามจึงรู้ว่าไม่ควรเซ้าซี้กับวิน ทั้งหมดเดินตามวินออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าเบื้องลึกของสมองจะยังมีความสงสัยอยู่ก็ตาม

และแน่นอน

ยังมีอีกหนึ่งความสงสัยผูกติดอยู่กับวิน

‘เป็นอะไรนักหนาวิน เหนื่อยเหรอ เครียดเหรอ หรือรู้สึกผิด ถ้ามันท้อแท้ย่ำแย่นัก ปล่อยมายด์ไว้ตรงนี้เถอะ อย่ามายุ่งอีกเลย อย่าเอาชีวิตเรามาผูกกันไว้ อย่าทำให้เรื่องมันยากไปกว่าเดิม’

“หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที ใช่เธอหรือนี่ ที่คอยตลอดมา ควบคุมไม่อยู่ รู้เลยว่าตัวสั่น แค่เจอไม่นาน ถูกใจฉันเหลือเกิน เจอกันแล้ว อย่าผ่านเลยได้ไหม...” มายด์ไม่ปริปากเอ่ยคำพูดหรือคำสงสัยใดที่อยู่ในใจ แม้ว่าชาตะจะหยิบนำเหตุการณ์จริงมากลั่นเป็นบทเพลงที่ไม่ยึดติดกับท่วงทำนอง คงเป็นเวรเป็นกรรมของคนเปลี่ยนใจไม่อยากตายอย่างเขาจริงๆ นั่นแหละ ที่ต้องแบกความอึดอัดทั้งมวลเอาไว้กับตัว และรวมถึงการแบบร่างสีน้ำเงินเอาไว้บนบ่า

“ผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ ขณะนี้เวลา 13.45 น. วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 โปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายชีวิตเดินทางมาถึงวันที่สี่ แต่นายมนพัทธ์ผู้มีสิทธิยังไม่ประสงค์จะใช้โปรโมชั่น ขอบคุณครับ”

“คุณจะกดดันผมทำไม”

“เปล่ากดดัน แจ้งเตือนเฉย ๆ”

“วันนี้ผมจะไม่รีบร้อน”

“แน่ล่ะ ผ่านมาครึ่งทางแล้วเนอะ โอกาสน้อยลงทุกที”

“หรือคุณจะขยายเวลาให้ผมล่ะ”

“ไม่มีทาง”

“งั้นคุณช่วยอยู่เงียบๆ นั่งนิ่งๆ ได้มั้ย ผมหนัก ในข้อตกลงไม่ได้บอกว่าผมต้องแบกคุณไปมา” มายด์เงยหน้าขึ้นมองชาตะที่นั่งขี่คอเขาในสภาพเจ้ากรรมนายเวร ผู้คุมดวงจิตที่อ้างว่าบ้านไฟดับอยู่กวนอารมณ์มายด์ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา หนนี้ชาตะคุมโทนน้ำเงินด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบธรรมดา ออ ก็ไม่ธรรมดาหรอกถ้านับหมวกฟางใบโตบนหัวด้วย

วันเวลาผ่านไปมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแต่มายด์ก็ยังไม่เอ่ยตอบเหตุผลข้อที่สี่เสียที แน่ล่ะนะ เขาไม่อยากด่วนตัดสินใจจนพลาดอีกครั้ง เหตุผลประการต่อไปนั้นช่างรางเลือนในความรู้สึก ปัญหาที่เกิดกับเขาและวินมันเหมือนเรื่องราวสะสมจนถึงจุดที่ยอมรับไม่ไหว อีกอย่าง… จากความไม่สมเหตุสมผลที่ชาตะพิสูจน์ให้เห็นกับตา ทำให้บางเรื่องที่เคยแน่ใจแทบไม่เหลือความมั่นใจใดๆ ในเวลานี้

“เงื่อนไขโปรโมชั่นเป็นไปตามที่ท่านชาตะกำหนด และท่านชาตะขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า… อย่าบ่น ถ้าบ่นเดี๋ยวลดวันนะ ตัวฉันเบายิ่งกว่านุ่น” มายด์ส่ายหัวเบาเพราะไม่อยากเถียง ก็จริงแหละที่ชาตะบอกว่าตนตัวเบามากกว่าปุยนุ่น สถานะดวงจิตและอมนุษย์กึ่งเทพเป็นเหมือนภาวะไร้น้ำหนัก มายด์แค่รู้สึกรำคาญความเวิ่นเว้อไม่รู้จบของชาตะเท่านั้น

“วินถึงจะไม่ค่อยพูดแต่มีคนล้อมหน้าล้อมหลังตั้งเยอะ แล้วนายล่ะ นอนนิ่งมาตั้งหลายวัน นอกจากโพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจ มีเพื่อนสนิทคนไหนมาเยี่ยมบ้าง” มายด์มองวินที่มีเพื่อนสนิทเดินกอดคออยู่เบื้องหน้าตามที่ชาตะพูด มันคงเป็นตลกร้ายล่ะมั้ง คนมนุษยสัมพันธ์ดีและรักการเข้าสังคมแบบเขามีคนรู้จักมากมาย แต่กลับไม่มีสักคนที่จะขวนขวายหาทางมาเยี่ยมคนใกล้ตาย

“พูดแบบนี้ก็แปลว่ารู้อยู่แล้ว อย่ามาหลอกถาม”

“เลิกขึ้นเสียงใส่แล้วหันมาเสียงแข็งแทนสินะ สงสัยอยากถูกลงโทษ อาการปวดแสบปวดร้อนในท้อง อ้วกจนแทบจะหมดลมมันเป็นยังไงนร้าาาาา” ชาตะบ่นพึมพำยกมือขึ้นขยับหมวกตนราวกับหลอดนีออนในโรงพยาบาลมันจะส่องแสงรุนแรงหนักหนา มายด์ถอนลมหายใจเพราะลึกๆ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับคนที่เขาไม่มีทางชนะ

“แล้วแต่คุณเลย”

“จากเสียงแข็งเปลี่ยนเป็นเสียงปลงตก โถ่ๆ ๆ น่าสงสาร”

“ประทานโทษ คุณจะกวนผมอีกนานมั้ยชาตะ ถ้ายังอีกนาน อยากรู้อะไรถามผมมาเลย ผมจะตอบให้หมด”

“อุ๊บส์” ชาตะยกมือปิดปากพร้อมกับกรีดปลายนิ้วชี้ออก จริตจะก้านเกินมนุษย์ผู้ชายทำให้เลเวลความกวนตีนเพิ่มมากขึ้นไปอีก

“ว่าไงล่ะ คุณจะถาม หรือจะลงโทษผมที่ขัดใจคุณ”

“ถามได้จริงดิ”

“...”

“นี่ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องไหนของนายเลยนะ พูดจริงนะเนี่ย ว่าแต่… เพื่อนสนิทนายที่ชื่อเจมส์ หายไปไหนแล้วล่ะ” พูดจบชาตะก็ก้มหน้าลงมามองปฏิกิริยาของมายด์ทันที ดวงตากลมกระตุกวูบลงเล็กน้อยเมื่อต้องพูดถึงอดีตเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนับปี พวกเขาคุยกันครั้งล่าสุดก็คงจะเป็นตอนที่มายด์ส่งข้อความแสดงความคิดถึงแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา

“เจมส์...”

“ตอบเถอะน่า”

“ไม่รู้สิ… อยู่ดีๆ เจมส์ก็ย้ายไปเรียนต่อโดยไม่บอกผม”

“ไปเรียนต่อถึงอังกฤษแต่ไม่บอกเพื่อนสนิทเนี่ยนะ แย่จังเลยเนอะ” มายด์ยิ้มกับตัวเองเบาๆ กับข้อมูลที่ชาตะเสริมเข้ามา จะว่าไปการเล่าเรื่องของเราให้คนที่รู้เรื่องเราดีอยู่แล้วมันก็ไม่แย่สักเท่าไหร่หรอกมั้ง เผลอๆ มายด์น่าจะได้ความจริงที่สมเหตุสมผลกว่าจากชาตะด้วยซ้ำ

“จริงๆ เจมส์คงโกรธผมด้วยเรื่องก่อนหน้านั้น… มันก็สมควรแล้วแหละที่เจมส์จะลืมผมไป”

“ความสัมพันธ์ตั้งแต่มัธยมขาดสะบั้นลงเมื่อนายเลือกวิน ไม่ใช่เจมส์… เพื่อนสนิทกับคนรัก ต่อให้เลือกยากก็ต้องเลือก นายคิดแบบนั้นเหมือนกันใช่มั้ยมายด์” มือหนาของชาตะวางลงกลางกระหม่อมของมายด์ เส้นเลือดสีน้ำเงินเรืองแสงสีฟ้าอมครามขึ้นมาก่อนที่ดวงตาของมายด์จะสว่างวาบและปรากฏภาพเหตุการณ์สั้นๆ ในความทรงจำ

.

“จะไปไหน”

“งานวันเกิดเจมส์”

“ที่ไหน”

“บ้านเจมส์ไง”

“เจมส์ชวนเหรอ ชวนตั้งแต่วันไหน”

“ตั้งแต่วีคก่อนแล้ว”

“แล้วช่วงนี้ได้คุยกับเจมส์รึเปล่า”

“ก็ไม่… วินถามอะไรเนี่ย”

“ห้ามไป” มือหนาคว้าเข้าที่ต้นแขนของคนที่กำลังก้มใส่รองเท้า มายด์สะบัดมือของวินออกก่อนจะมองใบหน้าเข้มดุจริงจังอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมมายด์ถึงจะไปไม่ได้”

“ดึกแล้ว” วินเหลือบมองความมืดภายนอก ข้ออ้างข้างๆ คูๆ ถูกหยิบมาใช้ และยิ่งทำให้คนฟังไม่พอใจ

“จะบ้าเหรอวิน เจมส์เป็นเพื่อนสนิทมายด์นะ”

“เหรอ”

“เหอะ! เมื่อไหร่วินจะเลิกพูดไอ้คำเฮงซวยนี่สักทีวะ! ไม่ต้องมายุ่งเลย มายด์จะไป!” มายด์สวมรองเท้าทับส้นในทันที ร่างบางเดินกระแทกไหล่วินออกมาจากกรอบประตูบ้านอย่างคนหัวเสีย จะหาว่าเขางี่เง่าน่ะคงใช่ แต่คนที่งี่เง่ากว่าคงจะวินที่เดินมารั้งเขาเป็นครั้งที่สองมากกว่า

“วีคนี้มายด์ออกไปเที่ยวมาแล้วนะ ไหนสัญญากันว่าจะไม่เที่ยวเยอะแล้วไง”

“แต่นี่มายด์ไม่ได้ไปเที่ยว มายด์ไปงานวันเกิดเพื่อน” มายด์พยายามรักษาระดับน้ำเสียงตนให้อยู่ในระดับปกติ ส่วนวินน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก จะดีร้ายยังไงน้ำเสียงแข็งทื่อก็มีค่าเท่าเดิม

“ยังไงมันก็ต้องมีเหล้าเบียร์ ยิ่งเป็นงานที่บ้านได้กินเต็มที่แบบนี้ ถ้าเมาคุมสติไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง”

“แต่มายด์มีเจมส์ ไม่เป็นไรหรอก”

“ก็เพราะมีเจมส์นั่นแหละ!”

“ทำไมล่ะ เจมส์ทำไม!”

“มัน...”

“ปกติวินก็ไม่เคยสนใจมายด์ปะ! จะยุ่งทำไม ปล่อยมายด์เดี๋ยวนี้เลย รีบไปจะได้รีบกลับ” มายด์พยายามแกะมือวินให้หลุดไปจากต้นแขน แต่ยิ่งพยายาม วินก็ยิ่งออกแรงฝังนิ้วลงมาจนรู้สึกเจ็บ

“ถ้ามายด์จะไปก็เก็บข้าวของออกไปเลย” คำขาดที่มาจากปากร่างสูงนิ่งสนิทราวกับเจ้าตัวคิดแบบนั้นจริงๆ คนฟังหัวใจวูบโหวงมองคนรักด้วยหัวอกหัวใจที่เบาหวิวไปเสียหมด

“วิน...”

“วินไม่ให้ไป แล้วต่อจากนี้ห้ามไปเที่ยวกับเจมส์อีก ไม่ติดต่อกันเลยก็ยิ่งดี”

“ทำไมวินไม่มีเหตุผล บ้าปะวะ ตัวเองไม่เที่ยวไม่ชอบไปไหนแล้วทำไมต้องห้ามไม่ให้คนอื่นไปวะ แฟนหรือเจ้าชีวิตฮะ วินเป็นแฟนหรือเจ้าของชีวิตมายด์กันแน่! คอยแต่จะห้ามนู่นห้ามนี่ น่าเบื่อ น่ารำคาญ!”

“มายด์”

“โชคร้ายฉิบหายที่มาเอาคนอย่างวินเป็นแฟน!”

“วินมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เออ คนอย่างวินอยู่คนเดียวไปนั่นแหละดีแล้ว!”

“เหรอ”

“เหรอ… เหรอ! เออ!” มายด์ลอยหน้าลอยตาพูดคำติดปากของวินอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนที่สีหน้าของมายด์จะสลดลงเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าพูดจากระแทกภูมิหลังของวินเข้าให้ แต่วินาทีนั้นความโกรธที่มีมันสุมไฟร้อนได้มากกว่า จึงไม่มีความรู้สึกใดเย็นลงได้อีก

“คงจริงที่วินอยู่คนเดียวได้ ส่วนมายด์… จะอยู่กับวินหรืออยู่คนเดียว… เลือกเอา” แรงมือค่อยๆ คลายออกจากแขน ผิวขาวปรากฏร่องรอยแดงจากการบีบรัดชัดเจนไม่ต่างกับรอยในหัวใจคนทั้งคู่ วินเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน เขานั่งทิ้งสติอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ขณะที่มายด์กระทืบเท้าปึงปังขึ้นไปที่ชั้นสอง เสียงปิดประตูดังโครมเกือบจะทำให้แทบทั้งบ้านคลอนสั่น แต่ที่สั่นคลอนยิ่งกว่าก็คงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่คิดจะหันหน้าคุยกัน

.

“สุดท้ายก็เลือกวินทั้งที่บอกว่าเขาน่าเบื่อและน่ารำคาญ”

“ผมไม่มีทางเลือก”

“ย้อนแย้งเนอะ”

“ผมทิ้งวินไปไม่ได้”

“เพราะสงสาร?”

“ไม่รู้สิ”

“ออ ลืมไป เพราะรักต่างหาก” มายด์นิ่งเฉยกับคำของชาตะ ร่างบางมองแผ่นหลังกว้างของวินด้วยความรู้สึกนานัปการ มายด์ไม่เคยเข้าใจคำของวินในวันนั้น ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ วินถึงมีอคติกับเจมส์ขึ้นมา หลังจากผิดนัดครั้งนั้นเจมส์ก็ค่อยๆ หายไปจากชีวิต ไม่ติดต่อ ไม่พูดคุย ไม่ขอคำปรึกษา ไม่ให้กำลังใจ และไม่เหลือเพื่อนสนิทให้มายด์ได้พูดคุยได้อย่างสบายใจอีกเลย ถ้าย้อนเวลากลับไปในตอนนั้น มายด์จะไม่ยอมให้ความงี่เง่าทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนลงเลย

“เฮ้ย!” ดวงจิตที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เกือบจะล้มลงไปกลิ้งกับพื้น มายด์กางสองแขนออกเพื่อตั้งหลักให้ตัวเองก่อนจะโดนคนที่สับขาไวลากไปเหมือนครั้งก่อน มายด์เงยหน้าขึ้นมองคนบนบ่าเลิ่กลั่ก ทว่าท่านชาตะคนนั้นได้วับวาบลงไปวุ่นวายอยู่กับเส้นเชือกสีน้ำเงินที่ผูกคนสองคนเอาไว้

“ไม่มีสติเลย มนุษย์ต้องใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทนะ ไม่รู้เหรอ”

“นั่นคุณจะทำอะไร”

“เห็นอยู่แล้วยังจะถามอีก” เชือกเส้นหนาถูกผูกเป็นปมเพื่อร่นระยะห่าง มายด์เข้ามาใกล้วินและกลุ่มเพื่อนมากขึ้นจนแทบจะได้ยินทุกบทสนทนาที่พยายามหลีกเลี่ยง

“ที่ผมเดินห่างๆ เพราะผมไม่อยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”

“แต่ฉันอยากรู้ ฉันชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน” ชาตะเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับมนุษย์ตรงหน้า ผู้คุมร่างสูงวาดแขนคล้องขอของเขมก่อนจะชะโงกหน้ามองคนเหล่านั้นราวกับจะพูดคุยด้วยรู้เรื่อง

“คำสุภาพของเสือกสินะ” มายด์บ่นค่อยๆ กับตัวเอง ชาตะหันมากะพริบดวงตาสีเทาให้รู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็ได้ยิน และไม่มีเรื่องไหนในเขตพื้นที่นี้ที่ผู้รอบรู้อย่างเขาจะไม่ใส่ใจ

“วิน มายด์เป็นแบบนี้ ไอ้เจมส์มันติดต่อมาบ้างรึเปล่า” แต่แล้วประโยคคำถามของเขมก็ทำให้ประเด็นเรื่องความใส่ใจเป็นอันตกไป ชาตะเอี้ยวทั้งตัวไปเบื้องหลังเพื่อขยิบหูขยิบตาใส่มายด์เมื่อมีสิ่งน่าสนใจ มายด์ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกใคร่รู้ขึ้นมาในทันที

“โอ๊ะ พอดีเลยมายด์ ฟังสิๆ อดีตเพื่อนสนิทนายกำลังจะถูกนินทาแหละ... ตายแล้ว เรื่องมันพอดิบพอดีอะไรขนาดนี้เนี่ย บังเอิญจังเลยที่คนพูดนี้พูดถึงเจมส์” มายด์ไม่ได้ตอบอะไรทั้งที่ในใจอยากจะรู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ร่างบางสาวเท้าเข้าใกล้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว และหารู้ไม่ว่าชาตะกำลังเผยรอยยิ้มร้ายกาจเมื่อเจอเรื่องถูกอกถูกใจเหลือเกิน

ปรบมือข้างเดียวไม่ดังฉันใด

ความบังเอิญก็ไม่มีจริงฉันนั้น

“ไม่ว่ะ”

“แต่กูว่ามันรู้ แม่มายด์โพสต์ด่ามึงลั่นเฟซขนาดนั้น แค่มันไม่ติดต่อมาเอง” เพิร์ธเสริมคำพูดของวิน คนทั้งกลุ่มหยุดยืนที่ทางแยกไปอาคารจอดรถ ชาตะอาศัยจังหวะนั้นดึงมายด์เข้ามาประชิดตัว และคล้องแขนอีกฝ่ายเอาไว้ไม่เปิดโอกาสให้ขยับเขยื้อนไปไหน

“ใจดำฉิบหาย” เขมว่า แต่วินกลับส่ายหน้าเบาอย่างไม่อาจทราบเหตุผล อาจเพราะไม่เห็นด้วย หรืออาจเพราะร่างสูงเอือมระอาเกินกว่าจะพูดถึงเพื่อนของมายด์คนนี้

“มึงไปว่ามันใจดำก็ไม่ถูกไอ้เขม เจอไอ้วินเล่นไปซะขนาดนั้นกล้าติดต่อมาก็บ้าแล้ว” สิ้นเสียงของหนุ่มคิ้วของมายด์ก็ขมวดเป็นปม ทำไมจู่ๆ สีหน้าของวินก็เปลี่ยนไปคล้ายคนมีชนักติดหลัง ดวงตาคมกลอกไปมาซ้ายขวาราวกับไร้ซึ่งความมั่นใจ

“กูไม่อยากให้คนอื่นรู้” เมื่อได้ยินวินพูดเช่นนี้เส้นความอยากรู้ของมายด์ก็ยิ่งวิ่งทะลุกราฟ ร่างบางดึงแขนออกจากชาตะอย่างง่ายดาย ก่อนจะเดินทะลุร่างเขมเข้าไปยืนกลางวงสนทนาอย่างคนอยากรู้

“อย่าบอกกูนะ ว่ามายด์ยังไม่รู้เรื่องที่มึงจัดการไอ้เจมส์จนมันต้องหนีหายไปแบบนั้น” วินพยักหน้ารับคำพูดของเขม เสียงถอนหลายใจของเพื่อนอีกสามคนยิ่งกดดันให้ร่างสูงรู้สึกผิดขึ้นมา ทว่าในเวลานี้กลับมีอีกความรู้สึกที่สำคัญกว่า ดวงตาของมายด์ไหวระริก มือเล็กกำแน่นเมื่อเริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังฟังเรื่องใดอยู่

“เปล่า มายด์ไม่รู้”

นั่นสินะ… จัดการเจมส์งั้นเหรอ ถ้ารู้ก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกดีพิลึก และถ้ามายด์พอจะรู้อะไรบ้างคงจะไม่ปล่อยให้เพื่อนสนิทหายไปเฉยๆ แบบนั้น

“แล้วมึงเล่าอะไรไปบ้าง”

“มายด์ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้อะไรเลย” มายด์กัดริมฝีปากตัวเองเหมือนคนโกรธจัด หัวคิ้วเคลื่อนมาชนกันด้วยความเครียด ทั้งยังมองหน้านิ่งของวินตาไม่กะพริบ มายด์อยากรู้ อยากรู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น อยากรู้ว่าคนตรงหน้ามีจิตใจอยู่ในร่างกายบ้างหรือไม่

“ทำไมมึงไม่เล่าวะ นี่เท่ากับมายด์ไม่รู้เลยว่ามึงทำอะไรไปบ้าง”

“นั่นดิ กูว่ามายด์สมควรจะรู้” เขมและหนุ่มเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ด้านเพิร์ธเองก็ได้แต่ตบที่บ่าวินเบาๆ เพื่อแสดงความเข้าใจ

“ไม่อยากให้มายด์เสียความรู้สึก”

“แล้วคิดว่าตอนนี้มายด์รู้สึกดีนักเหรอ!” ดวงจิตผู้ตกอยู่ในอารามโมโหตวาดลั่นจนท่านผู้คุมต้องยกมืออุดหู มายด์ขึ้งโกรธจนหน้าสั่นตัวสั่น คนที่ยังไม่หมดข้อสงสัยใช้อารมณ์รุนแรงควบคุมตัวเองในที่สุด มือเล็กทุบตีลงกลางอกวินซ้ำๆ หวังร้ายให้รู้สึกเจ็บปวดเสียที ทว่าวินกลับไม่แสดงท่าทีรวดร้าวใดๆ และทำเพียงยกมือกุมอกซ้ายของตนไว้เท่านั้น

คนเจ็บปวดคือคนที่ทำร้ายคนอื่นจนหมดแรง

คนเจ็บปวดคือคนที่นำเรื่องราวเพียงเสี้ยวเดียวมาสานต่อในใจจนจบ

เป็นเพราะวิน เป็นฝีมือวินที่ทำให้เพื่อนคนเดียวของมายด์หายไป

“ทำไมหยุดแล้วล่ะมายด์”

“พอ พอแล้ว”

“อืม ถ้านายคิดว่าพอ มันก็คงพอแหละ” ชาตะเอ่ยถามขึ้นทั้งยังชี้นิ้วไปยังปมเชือก ปมแน่นสว่างวาบก่อนจะคลายออกให้มายด์ได้ระยะในการถอยห่างจากวินเช่นเดิม ชายร่างสูงโบกมือลากับเพื่อนสนิทและเดินกลับไปยังตัวอาคารที่วนเวียนอยู่มาหลายวัน มายด์มองแผ่นหลังกว้างด้วยรอยยิ้มระคนน้ำตา

ขอบคุณนะวิน

ขอบคุณที่เป็นคำตอบของกันเสมอมา

“ชาตะ”

“จ๋าจ๊ะ”

“เหตุผลข้อที่สี่ วินไม่เคยนึกถึงใจผม เห็นแก่ตัว เขาไม่เคยคิดจะใส่ใจผมเลย… ไม่เคยเลย”

“เอาจริงดิ แน่ใจแล้วถูกมั้ย ใช้สมองแล้วเนอะ”

“ผมแน่ใจ”

“น้อมรับเหตุผลตามความต้องการครับ” ชาตะถอดหมวกฟางออกจากศีรษะ โค้งตัวคำนับตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ แสงและควันสีน้ำเงินเทาผสานกันออกมาจากหมวกใบนั้น มันพุ่งเข้าพัดวนรอบตัวมายด์ไม่ต่างจากลมพายุ ความทรงจำของมายด์กำลังย้อนกลับไปยังอดีตเมื่อไม่นานอีกครั้ง





เหตุผลข้อที่ 4 เขาไม่เคยนึกถึงใจผม ไม่ใส่ใจกัน รักเรามีแต่ความเห็นแก่ตัว



Talk

ฝากคอมเมนต์หรือทวิตติดแท็ก #เจ็ดเหตุผล ด้วยนะคะ เจอกันอีกครั้งวันวาเลนไทน์ค่า :)
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 8 ชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน 12/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 13-02-2019 12:33:01
‪เจมส์คิดเกินเพื่อนแน่ๆวินถึงห้ามไม่ให้มายด์ไป
แต่ว่าวินจัดการยังไงนะเจมส์ถึงหายไปเลย
กลัวสุดตอนนี้กลัววินจะตายก่อน ไม่ก็วันที่มายด์ฟื้นคือวินเครียดจนตายไปแล้ว T^T
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 8 ชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน 12/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-02-2019 19:59:41
คิดว่าที่ไม่อยากให้มายด์เสียความรู้สึกก็เพราะเจมส์ทำอะไรไม่ดีสักอย่างแน่เลย อย่าแหกเราเลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 8 ชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน 12/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: pinknocchio ที่ 14-02-2019 00:56:20
เอาตรงๆตอนนี้เราเกลียดมายด์มาก มายด์บอกว่ารักวินนักหนาแต่ขอโทษนะ เราไม่เห็นความรักของมายด์ที่มีให้วินเลยเราเห็นแต่มายด์ที่โวยวาย เอาแต่ใจ ใช้แต่อารมณ์ชั่ววูบ มายด์รู้ทั้งรู้ว่าวินมีปมอะไรตอนเด็ก แต่มายด์ก็ยังเอาเรื่องปมของวินมาย้ำ มาขยี้ มาเหยียบย่ำความรู้สึกของวิน ตั้งแต่ตายมา เราเห็นมายด์โทษทุกอย่าง โทษทุกอย่างยกเว้นตัวมายด์เอง โทษว่าวินผิด โทษว่าวินไม่รัก แต่เราว่าคนที่ไม่มีรักให้คือมายด์มากกว่า ไม่รู้ว่าเหตุผลอื่นๆจะเป็นยังไง แต่เราว่าสำหรับเราคือ มายด์ไม่เคยรับฟังและไม่เคยพยายามเข้าใจวิน เอาเรื่องไปคิดเองเป็นตุเป็นตะ ตัดสินใจแค่เพียงชั่ววูบลงไปแล้วสุดท้ายก็มาโยนความผิดให้คนอื่น  อยากให้มายด์ตั้งสตินะ หันมามองตัวเองบ้างว่าทำอะไรลงไปบ้าง ยอมรับว้าตัวเองทำผิดบ้างก็ได้ ไม่เสียหายอะไรนี่?  ส่วนเรื่องเจมส์เราว่าเจมส์คงทำอะไรผิดสักอย่างวินถึงพยายามห้ามแหละมั้ง

คือเอาตรงๆมันก็ต้องปรับกันทั้งคู่แหละ วินควรแสดงความรู้สึกออกมาให้มากขึ้น(แต่มีปมอันนี้เข้าใจได้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้) แต่เราแค่ผิดหวังในตัวมายด์มากๆว่า มายด์รู้ว่าวินมีปมอะไร แต่มายด์ไม่พยายามเข้าใจวินเลย เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วแบบนี้ขีวิตคู่จะไปกันรอดได้ยังไง มายด์ต้องรู้จักลงให้บ้างนะ

ปกติทีมนายเอกแต่เรื่องนี้นายเอกไม่ผ่านแบบติดลบพันคะแนน โกรธมาก
 :fire: :fire:

ขอบคุณคนแต่งค่ะ แต่งได้ดีมาก เราชอบนะ สื่อถึงอารมณ์วินได้ดีเลย และทำให้เราอยากตบดึงสติมายด์ 5555
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 8 ชอบใส่ใจเรื่องของทุกคน 12/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 14-02-2019 20:50:11
บทที่ 9 รักเขาแต่ก็ฆ่าตัวตายเพราะเขา


“วิน”

“ครับ”

“งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

“ยังครับ มายด์มีอะไรรึเปล่า”

“มี” ร่างเล็กส่ายหน้าเบาขัดกับคำตอบ มายด์ในชุดนักศึกษาทิ้งตัวนอนอยู่กับเตียง มือเล็กคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเวลาเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้ การรอคอยมันน่าเบื่อชะมัด โดยเฉพาะการรอคอยที่ไม่รู้ว่าปลายทางมีจริงหรือไม่

การรอคอยจากแฟนจอมมึนอย่างวิน

“มายด์หิวเหรอ หรือยังไง” คำถามของวินไม่อาจได้คำตอบจากคนที่จมอยู่กับความหงุดหงิด มายด์หงายตัวมองเพดานห้องอย่างคนเบื่อหน่าย ปีกว่าแล้วที่เขาคบกับวิน ความสัมพันธ์หนักแน่นดำเนินมาเรื่อยๆ คนทั้งคู่รักกันเพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในทุกความรักย่อมมีปัญหาของมัน

มายด์และวินย้ายออกมาอยู่ด้วยกันที่คอนโดแห่งหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่หอพักเล็กๆ ที่วินเคยอยู่ ร่างสูงเล็งเห็นแล้วว่าที่อยู่เดิมไม่เหมาะกับมายด์สักเท่าไหร่ และมายด์เองก็ปฏิเสธที่นั่นเพราะคงจะอยู่จริงๆ ไม่ได้ อีกอย่างป๊ากับม้าของมายด์คงจะไม่สบายใจหากวินดูแลลูกชายคนเดียวของท่านได้ไม่ดี

การเจอกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงทำให้ต่างคนต่างเรียนรู้และพยายามปรับตัวเข้าหากัน วินพูดมากขึ้นเมื่ออยู่กับคนที่เขารัก มายด์เองก็พยายามลดความใจร้อนลงแม้จะยังทำได้ไม่มาก ทว่าการปรับตัวเหล่านั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของชีวิต เบื้องลึกของมนุษย์ยังคงถูกเก็บเอาไว้ภายในเพราะกลัวว่าจะทำให้ความสัมพันธ์พังลง คนสองคนไม่ได้รู้เลยว่า สิ่งที่เก็บเอาไว้ไม่ต่างอะไรกับอาวุธร้ายที่หวนทำลายตนในภายหลัง

การเงียบของวิน

และการพูดโดยไม่หยุดฟังของมายด์

“วินลืมแล้วใช่มั้ยว่าวันนี้เรานัดกันไว้” วินถอยเก้าอี้ออกจากจอคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินเสียงน้อยอกน้อยใจ ตาคมมองคนรักที่นอนนิ่งด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก ทว่าสิ่งที่วินตัดสินใจทำกลับเป็นการหันมาสนใจงานที่เดธไลน์คืบคลานมาถึง ชีวิตนักศึกษาที่ต้องทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ยิ่งย้ายห้องค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมากขึ้น เงินที่ป้าให้อยู่ทุกๆ เดือนจึงพอแค่ค่ากินค่าใช่เท่านั้น

“ไม่ลืม”

“ไม่ลืมได้ไงนี่มันจะสองทุ่มแล้ว งานวินสำคัญมากเลยสินะ”

“วินเร่ง” วินตอบเพียงเท่านั้นเพราะเขากำลังโฟกัสกับรูปภาพบนจอ คราวนี้คนบนเตียงไม่พอใจผุดตัวนั่งขึ้นมามองคนรักตนจากเบื้องหลัง มายด์ปล่อยลมหายใจอึดอัดกระฟัดกระเฟียด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วินเอางานมาอ้างในการผิดนัด และมายด์จะไม่หัวเสียมากขนาดนี้หากนี่ไม่ใช่นัดดินเนอร์มื้อสำคัญในวันเกิด

เปล่าหรอก มันไม่ใช่วันเกิดมายด์

แต่มันเป็นวันเกิดวินต่างหาก

“แต่เรานัดกันไว้แล้ว มายด์จองร้านไปแล้วด้วย” เสียงบ่นอุบอิบยิ่งทำให้คนหน้าจอพยายามเอาหูทวนลม วินไม่ได้อยากผิดนัด แต่เพราะเหตุจำเป็นเร่งด่วนทำให้เขาต้องรับผิดชอบเนื้องานในมือ ซึ่งนั่นหมายถึงเงินจำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะทำให้มีใช้ไปทั้งเดือน แต่มันคงแย่หน่อยที่มายด์ไม่ได้คิดถึงความรับผิดชอบต่องานใดๆ เช่นเขา เรื่องที่ใหญ่กว่าในหัวร่างเล็กคงหนีไม่พ้นการดูแลกันและกันที่วินขาดตกบกพร่องไป

“เลื่อนวันได้มั้ย”

“มันจะเลื่อนได้ยังไง”

“งั้นมายด์โทรไปแคนเซิลได้เลย วินคงไม่ไป”

“วิน!” ห้วงอารมณ์ของมายด์รุนแรงยิ่งกว่าฉุนเฉียว มือเล็กกระชากไหล่วินจนอีกฝ่ายต้องไถเก้าอี้ออกมาตามแรงมือ ใบหน้าของมายด์เดือดจัด ระหว่างที่วินไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา

“ไม่ว่างจริงๆ เข้าใจมั้ย”

“ไม่เข้าใจ วินสละเวลาให้มายด์สักสองชั่วโมงไม่ได้รึไง”

“วินทำงานพลาด วินก็ต้องแก้ส่ง”

“แต่นี่มันวันเกิดวินนะ”

“ช่างมันเถอะ”

“ช่างมันเหรอ วินพูดว่าช่างมันเหรอ! รู้มั้ยมายด์ต้องเตรียมอะไรบ้างสำหรับวันนี้!” มายด์กำสองมือของตนเองแน่น ระหว่างที่วินหลุบตาต่ำไม่สบมอง คนแบบวินมันน่าโมโหมั้ยล่ะ วันเกิดตัวเองแท้ๆ นัดกันไว้ดิบดีแต่กลับมาเทโครมโดยที่มายด์แทบไม่ได้ตั้งตัว คิดแล้วน้ำตามันก็เอ่อออกมาเสียดื้อๆ ร้านอาหาร อาหารมื้อโปรด และเซอร์ไพรส์ที่มายด์เตรียมเอาไว้ วินปฏิเสธมันราวกับวันสำคัญไม่มีค่าอะไรเลย

“ไว้วันหลัง”

“แล้วทำไมไม่บอกกันก่อน นั่งเงียบอยู่ทำไมตั้งนาน!”

“มายด์ไม่ถาม”

“เรื่องแบบนี้ต้องรอให้มายด์ถามเหรอวิน”

“...”

“หันมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยวิน” มายด์กระชากตัววินให้หันมามองอีกหน คราวนี้ร่างสูงยอมจ้องดวงตากลมโตที่มีกลุ่มน้ำตาเอ่อไหล สายตาของวินเปลี่ยนไปคล้ายกับเขาเองก็มีคำพูดอยู่เต็มอก แต่ทว่า… ไม่ว่าอย่างไร ความรู้สึกของเขาก็รวดเร็วไม่เท่าความรู้สึกของมายด์อยู่ดี

“มายด์คือ...”

“วันเกิดวิน วินยังทำแบบนี้ วันเกิดมายด์ วินคงลืมไปเลยสินะ”

“มันไม่ใช่แบบนั้น”

“มายด์จองร้าน สั่งอาหารที่วินชอบ เตรียมเซอร์ไพรส์ให้วิน รู้มั้ยว่ามายด์คิดเยอะแค่ไหนเพราะกลัวว่ามันไม่ถูกใจวิน!” น้ำเสียงโวยวายสั่นเทาจนวินทนนั่งอยู่ไม่ได้ เขาลุกขึ้นและสาวเท้าเข้าหาอีกฝ่าย ทว่ามายด์กลับผลักเจ้าของอกแกร่งออกให้ห่างตัว ทั้งยังถอยเท้าหนีจนวินต้องเป็นฝ่ายหยุดนิ่งในที่สุด

“...”

“สุดท้ายมายด์ก็ไม่ได้รู้ว่าวินชอบหรือไม่ชอบ”

“...”

“ไม่สิ มายด์ไม่เคยรู้เลยว่าวินชอบหรือไม่ชอบอะไร มายด์แทบไม่รู้จักวินเลยด้วยซ้ำมั้ง”

“...”

“เงียบ… มายด์ได้รับแต่ความเงียบเสมอแหละเนอะ เรื่องธรรมดา” น้ำตาของมายด์ไหลอาบทั่วกรอบหน้า คนเสียใจพยายามคุมตัวเองไม่ให้สะอึกสะอื้น และไม่คิดที่จะปิดบังความรู้สึกใดๆ ของตนเอง มือเล็กบีบกันแน่นตามความรู้สึก วินพยายามจะเอื้อมมือคว้าแต่ได้เพียงลมติดมือไปเท่านั้น

“ขอโทษ”

“กี่ครั้งแล้ววะที่เป็นแบบนี้! กี่ครั้งแล้ววิน ฮึก”

“ฟังวินนะ งานมันด่วนจริงๆ ถ้าวินทิ้งมันไป วินอาจจะไม่มีงานอีกเลยก็ได้”

“แล้วถ้าไม่มีมายด์ วินจะโอเคกว่าใช่มั้ย” คนพูดก้าวขาอาดๆ ไปยังกระเป๋าสะพายของตนที่วางอยู่บนเตียง เพราะตกอยู่ในอารมณ์โกรธจัด การเปิดซิบกระเป๋าธรรมดาจึงยากเย็นจนฟึดฟัดหัวเสีย เมื่อได้สิ่งที่ต้องการไว้ในมือ มายด์จึงหันมาเผชิญหน้ากับวินอีกครั้ง

“มันคนละเรื่องกัน”

“มันเป็นเรื่องเดียวกัน!”

“ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”

“เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกไงวิน”

“มายด์...”

“ของขวัญวันเกิด ถูกใจมั้ย เซอร์ไพรส์แบบนี้วินน่าจะชอบ” กล่องห่อกระดาษสีเรียบในมือมายด์ถูกขว้างกระแทกลงกับพื้น ก่อนที่มันจะถูกคว้าขึ้นมาและทุ่มซ้ำลงไปอีกครั้ง

“ฟังวินก่อนได้มั้ย” วินมองกล่องแตกยับและสิ่งของที่กระเด็นออกมากลางพื้นแล้วถอนหายใจเหนื่อยล้าออกมา เลนส์กล้องราคาแพงที่เขาเคยอยากได้และคงไม่มีวันตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง หากไม่เกินไปจากสิ่งที่คิด มายด์คงตั้งใจซื้อในวันเกิดเขา และมันควรจะเป็นของขวัญที่ทำให้ประทับใจที่สุด หากไม่เกิดเรื่องที่วุ่นวายกับความรู้สึกขึ้นเสียก่อน

“มายด์ฟังอยู่ ฟังอยู่นี่ไง!”

“...”

“พูดสิ”

“...”

“วินพูดสิ มายด์รอฟังอยู่นะ”

“...”

“วินจะอยู่ทำงานอีกกี่วันกี่ปีก็ได้ แต่ช่วยพูดให้มายด์รู้สึกดีขึ้นบ้างได้มั้ย”

“...”

“หึ พอมายด์ฟังวินก็เงียบ แล้วจะให้ฟังอะไรวะ จะให้ฟังอะไร!” หมัดเล็กทุบลงไปกลางอก วินคว้ามือเกร็งแน่นของมายด์ไว้ก่อนจะเกาะกุมมันด้วยความนุ่มนวลทั้งหมดที่มี สีหน้าวินเต็มไปด้วยความอ่อนไหวในเวลานี้ สายตา เรียวปาก ทุกสัดส่วนบนใบหน้าคมพยายามแสดงถึงความอึดอัดใจ

“เข้าใจวินหน่อย”

“เข้าใจว่าอะไร เข้าใจว่าวินเป็นคนแบบนี้เหรอ ถ้างั้นมายด์เข้าใจดี แต่วินต้องเข้าใจด้วยนะว่าตอนนี้เราคบกันอยู่… อย่าเอาข้ออ้างฝังใจของตัวเองมาทำนิสัยเหี้ยๆ ใส่คนอื่น ถ้าวินอยากเงียบอยากอยู่ในโลกของวิน… วินก็ไม่ต้องลากมายด์เข้าไปในนั้น” มายด์บิดข้อมือแรงจนตนเป็นอิสระ กระเป๋าใบเดิมกับเมื่อครู่ถูกคาดเข้ากลางลำตัว ปลายนิ้วปาดน้ำตาอาบแก้มแรงจนเนื้อผิวแดงไปหมด วินยืนมองตามทุกการกระทำทว่านิ่งงันไม่ต่างอะไรกับก้อนหินไร้รู้สึก จนกระทั่งเขาเห็นอีกฝ่ายเดินไปสวมรองเท้าหน้าบานประตู

“จะไปไหน”

“ไปหาใครก็ได้ที่พร้อมจะอ้าปากพูดกับมายด์”

“แต่ว่า...”

ปั้ง!! เสียงปิดประตูปังใหญ่กระแทกหน้าคนที่ยังอยู่ในห้อง มายด์ไม่เคยได้รู้ว่าความรู้สึกและความคิดของวินในตอนนั้นเป็นเช่นไร ค่ำคืนสีเทาไม่ได้มีใครก้าวขาตามออกมา ไม่มีใครโทรหา ไม่มีใครแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใย มายด์ใช้ความเสียใจไปกับการดื่มเหล้า เล่าเรื่องทุกข์ให้เพื่อนสนิทอย่างเจมส์ฟังซ้ำๆ ลึกภายในของคนคนหนึ่งกำลังเกิดรอยร้าว และเขาอาจวิ่งหนีความสัมพันธ์อึดอัดใจได้ในทันที แต่น่าเสียดาย เสียดายที่ความรักทำให้มายด์ที่เดินออกไปต้องย้อนกลับมาอยู่ดี

เพราะรักจึงยอม

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ยอม

.

เกือบตีสามที่มายด์กลับมาถึงคอนโด บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องกลับมาตายรังทั้งที่ออกไปด้วยอารมณ์โมโห ร่างเล็กเดินเอื่อยหลังออกจากลิฟต์ สุราพาอารมณ์เดือดดาลหายไปทิ้งไว้เพียงความหนักหน่วงใจในเบื้องลึก สองขาก้าวช้ากระทั่งเดินมาถึงหน้าห้องตน ไม่สิ ห้องของเขาสองคน

แกร๊ก! มายด์ไม่ได้เคาะประตูเรียกหรือส่งสัญญาณให้คนในห้องได้รู้ก่อน เขาแตะคีย์การ์ดเปิดประตูอย่างที่คนมีสติคนหนึ่งพึงกระทำ แม้จะดื่มมาบ้างแต่มันไม่ได้มากมายกระทั่งเมาเรื้อน คนร่างเล็กก้มถอดรองเท้าตัวเองออกก่อนจะเขวี้ยงกระเป๋าลงไปกับพื้นข้างๆ กัน

“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอสั้นๆ ดังออกมาจากปากของมายด์ เขาทิ้งตัวนั่งลงไปกับโซฟาอย่างคนไร้แรง สายตาน้อยอกน้อยใจมองไปยังแผ่นหลังของวินที่นั่งอยู่กับเก้าอี้ตัวเดิม ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ทักทาย ไม่คิดแม้แต่จะหันมองกันด้วยซ้ำ ผู้ชายคนนั้นยังคงหลังขดหลังแข็งหน้าจอ และปล่อยให้เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานแข่งกับเสียงลมหายใจของมายด์

สุดท้ายเรื่องมันก็กลับมาอีหรอบเดิม

มายด์กำลังถูกโกรธ และมายด์คงต้องเป็นฝ่ายเริ่มพูดเช่นทุกครั้ง

ปล่อยให้มายด์นั่งคิดทบทวนทุกอย่างอยู่ได้ไม่นานนัก วินก็ปิดเครื่องคอมพ์และหันมาเผชิญหน้ากับคนที่ออกไปเที่ยวแทบจะค่อนคืน ใบหน้าของมายด์ติดสีแดงและเปียกเหงื่อจนเส้นผมไม่คืนทรง เสื้อเชิ้ตเปียกเป็นคราบที่คาดว่ามาจากแก้วสุรา ไม่มีเสียงใดหลุดออกจากปากร่างสูงทั้งสิ้น วินถอนหายใจออกมาก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำไป

ในเมื่อวินเลือกที่จะเงียบ มายด์จึงพยายามอดกลั้นเก็บคำพูดของตนไว้เช่นกัน เรื่องคืนนี้มันเป็นความผิดของเขางั้นเหรอ เป็นเพราะเขาโวยวาย เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจวิน หรือเป็นเพราะเขาใจร้อน ตลกสิ้นดีที่สุดท้ายแล้วคนโกรธกลับถูกโกรธเสียเอง

ตลอดเวลาที่คบกันมาแม้จะทะเลาะกันไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งมักเป็นปัญหาเดิมๆ ที่แก้ไม่ตก มีเหมือนกันนะที่มายด์อยากจะบอกเลิกวินและหันหลังให้ความรักอันน่าเบื่อ แต่แล้วทุกครั้งที่คิดแบบนั้น ความสุขเพียงเล็กน้อยที่ได้จากวินมักเรียกร้องให้อยู่ต่อทุกที

“ไปอาบน้ำ” เสียงเข้มนิ่งทำให้มายด์หลุดจากภวังค์ความคิดตัวเอง มายด์เหลือบมองวินที่เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วยิ่งจุกอกกว่าเดิม ครั้งแรกที่วินเป็นฝ่ายเอ่ยพูดก่อน ช่างน่าประทับใจจริงๆ คำพูดของวินไม่เฉียดเข้าใกล้เรื่องที่คาใจเลยสักนิด

“วิน...”

“เหม็นกลิ่นเหล้า” มายด์แทบจะร้องไห้ซ้ำเติมตัวเองอีกครั้งเมื่อวินเพิกเฉยต่อเสียงอ่อนของเขา ร่างสูงเดินผ่านหน้าโซฟาไปโดยไม่คิดแม้แต่จะหันมองคนที่กัดริมฝีปากจนแทบได้เลือด วินซุกตัวลงไปกับเตียง พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เหมือนมายด์ทำเรื่องผิดพลาดนักหนา เมื่อเป็นเช่นนี้อารมณ์ใจเสียจึงปะทุขึ้นมาเต็มอก มายด์ลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำ และจัดการตัวเองโดยใช้เวลาไม่นาน

มายด์ไม่ชอบให้ใครออกสั่ง

ไม่ชอบทำตามคำสั่งใคร

แต่วินคือข้อยกเว้น

มายด์ออกจากห้องน้ำมาก็ทรุดตัวนั่งอยู่ข้างเตียง ดวงตาแดงก่ำทอดมองตรงๆ ไปยังผนังอีกฝั่ง เมื่อครู่เขาร้องไห้แทบจะมากกว่าสายน้ำที่ไหลผ่านตัวเสียอีก ยิ่งมีฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ในตัวอารมณ์ยิ่งอ่อนไหวมากขึ้นจนเกือบควบคุมไม่อยู่

บางทีก็คิดเหมือนกันนะ ถ้ามายด์ตายจากไป วินจะยังเฉยได้รึเปล่า

มายด์เอี้ยวตัวไปเบื้องหลังอยู่หลายครั้ง คนที่นอนหันหลังให้คือผู้ชายคนที่รักมากที่สุด วินไม่ใช่แฟนคนแรก แต่เป็นคนแรกที่ทำให้มายด์ยอมลดความเป็นตัวเองลงบ้าง กลับกัน มายด์คิดว่าวินแทบไม่ปรับปรุงหรือทำสิ่งใดเพื่อเขาเลย จะเรียกคนนี้ว่าเป็นคนเย็นชาก็คงไม่ถูกนัก เพราะวินอยู่เหนือคำว่าเพิกเฉยใดๆ วินไม่เคยยินดียินร้าย ไม่เคยหึงหวง ไม่เคยตามห่วงหรือตามดูแลมายด์ในแบบที่ควรจะเป็น มันช่างโง่เง่าสิ้นดีที่มายด์จมอยู่กับความรักแบบนี้ทั้งที่มีทางเลือกมากมาย

“มายด์ผิดมากเลยเหรอ” เสียงสั่นทำให้คนที่แสร้งนอนหลับตาลืมตาขึ้นมามองผนังบ้าง วินขยับศีรษะบนหมอนเล็กน้อยให้คนชวนคุยรู้ว่าเขายังไม่หลับ ก่อนที่จะเอ่ยตอบประโยคคำถามด้วยคำถาม

“ทำไมไม่นอน เมามาไม่ใช่เหรอ”

“ถ้ามายด์ทำอะไรผิด… ฮึก… มายด์ขอโทษ” มายด์ละล่ำละลักอย่างคนสิ้นสติ มือเล็กขยำผ้าปูเตียงไว้ในมือจนเกิดรอยตามแรง วินถอนหายใจก่อนจะยันตัวเองขึ้นมานั่งพิงกับหัวเตียง

“จะร้องทำไม”

“มายด์ยอมแล้ว วินอย่าโกรธมายด์ได้มั้ย ฮืออออ”

“หยุดร้อง” ยิ่งเสียงของวินเข้มขึ้น เสียงร้องไห้ของมายด์ก็ยิ่งดังขึ้นตามกัน จอมโวยวายร้องไห้อย่างไม่อาย ทั้งปล่อยให้ตัวสั่นเทาจนน่าสงสาร มายด์ห่อตัวอย่างกับคนเรียกร้องหาสัมผัส แต่ทว่าไม่มีสัมผัสใดจากคนที่เขาพยายามสะอื้นอ้อนวอน

“เรา… เลิกกัน… ฮึก… เราเลิก… กันไปเลยมั้ยวิน เลิกกันเลยมั้ย” มายด์พูดกระอึกกระอักอย่างไม่มีสติ มายด์ไม่ได้หันไปมองจึงไม่อาจรู้ว่าวินแสดงสีหน้าหรือท่าทางเช่นใดอยู่

“ชวนเลิกอีกแล้วเหรอ”

“ฮือออออ มายด์ไม่เลิกนะ อึก มายด์… มายด์ไม่เลิก” คนที่กลับกลอกไปมาตามความรู้สึกที่ไม่นิ่งของตัวเองช่างน่าสมเพชนัก ใจของมายด์เบาหวิวไปหมดเพราะไม่เคยเผื่อใจรับการจากลาเอาไว้เลย ทุกครั้งที่เขาเอ่ยแบบนี้ ทุกครั้งที่ประชดประชันชวนให้เลิกกัน วินไม่เคยร้องห้าม ไม่เคยคิดแม้แต่จะรั้งเขาไว้ด้วยคำพูด มีแต่มายด์เท่านั้นที่พยายามรั้งตัวเองเอาไว้

“มานี่” สัมผัสเย็นวูบที่ข้อศอกยิ่งทำให้มายด์ร้องไห้หนัก วินออกแรงดึงมือที่จับศอกของมายด์ไว้เล็กน้อย เมื่อสัมผัสที่ต้องการมาถึง มายด์ก็โผเข้ากอดวินทันที ใบหน้าเปียกชื้นกดซุกลงไปในอกอบอุ่น เสียงร้องไห้ค่อยๆ เบาลงเมื่อมือหนาลูบลงที่กลางกระหม่อม วินปลอบมายด์เหมือนอย่างเคย การกระทำที่แสนธรรมดาช่างหนักแน่นจนใจอ่อนยวบมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง

“มายด์ขอโทษ มายด์ผิดเอง มายด์ขอโทษ ฮือออออ”

อาจจะเพราะความเป็นวิน

เพราะมายด์ขลาดเขลา

หรือเป็นเพราะคำว่ารัก คำรักที่ผูกมายด์ไว้กับหัวใจด้านชาของวิน

“มายด์… หยุดร้อง วินรักมายด์นะ”

.

ครั้งแล้วครั้งเล่า

คนที่พูดยังคงเรียกร้อง

คนที่เงียบยังคงเก็บงำทุกสิ่ง

สุดท้ายเรื่องก็วนกลับไปเป็นเช่นเดิม

สุดท้ายมายด์ก็ยอมวินอยู่ดี

.

“น่าสงสาร มีแฟนแบบนี้นั่งคุยกับเสาหินน่าจะดีกว่า ทำไมโง่”

“ผมไม่ได้โง่”

“ผมไม่ได้โง่... แต่ผมรักวิน จ้าาาา รักเขาแต่ก็ฆ่าตัวตายเพราะเขา ฉลาดหลักแหลมสมกับจบปริญญาตรีมากๆ เสียดายค่าหน่วยกิต” คนถูกกระแนะกระแหนไม่เอ่ยคำใดขึ้นมาโต้เถียง สายลมสีน้ำเงินเริ่มหวนคืนสู่ตัวชาตะอีกครั้ง ร่างกายของมายด์ที่ถูกลมหอบพร้อมความทรงจำหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่างแผ่วเบาราวสภาวะไร้น้ำหนัก เมื่อตั้งสติได้มายด์ก็พบว่าวินเดินกลับมาที่ห้องพักคนไข้เช่นเดิม ดวงจิตปรายตามองร่างตัวเองบนเตียงอย่างมีความหวัง รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาข้างริมฝีปากก่อนที่น้ำตาหยดใสจะไหลลงมาซ้ำจนได้รสเค็มปะแล่ม

ทำไมไม่เคยเห็นใจกัน

เห็นแก่ตัว

คิดจะใส่ใจ คิดจะนึกถึงใจกันบ้างมั้ยวิน

“อย่าเพิ่งร้องไห้ เอาไว้ร้องทีเดียวตอนพิสูจน์เหตุผลดีกว่า นายน่าจะต้องระลึกชาติจนตาแฉะ”

“...”

“เลิกเงียบเลียนแบบอดีตคนรักของนายแล้วช่วยเลือกๆ มาได้มั้ยว่าจะเอาตัวอย่างเหตุการณ์ไหนมาพิสูจน์เหตุผลข้อนี้ เอาตอนไหนดี น้อยใจวันวาเลนไทน์ เลือกของไม่ถูกใจ หรือเรื่องที่เขาไม่ยอมไปเที่ยวต่างประเทศด้วย” ชาตะปัดมือจากขวาไปซ้ายเพื่อเลื่อนภาพท่ามกลางกลุ่มหมอกตรงหน้า มายด์มองช่วงเวลาในชีวิตที่เปลี่ยนผ่านไม่ต่างกับหน้าจอแท็บเล็ต ริมฝีปากเล็กปิดแน่นเหมือนคนไม่ต้องการพูดสิ่งใดให้สะเทือนใจตนอีก

“...”

“ขออภัยค่ะ ไม่สามารถติดต่อหมายเลขที่ท่านเรียกได้ในขณะนี้ ตู้ดดดด ขออภัยค่ะ กรุณาฝากข้อความหลังเสียงสัญญาณ ตู้ดดดด ตู้ดดดด”

“เจมส์...” มายด์เอ่ยทำลายความเงียบในที่สุด คำคำเดียวทำให้ชาตะที่สวมบทบาทระบบอัตโนมัติหยุดท่าทางดัดจริตเกินชาย น้ำเสียงเลียนแบบผู้หญิงนิ่งเรียบขึ้น มุมปากเขายกสูงเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้

“เจมส์ไหน เจมส์คาเมรอน เจมส์จิ เจมส์มาร์ หรือเจมส์ไม่มา”

“ผมอยากรู้เรื่องเพื่อนสนิทผม เรื่องวินกับเจมส์… มันพอจะพิสูจน์เหตุผลข้อนี้ได้มั้ย”

“โห เล่นประเด็นใหญ่ โกงกันปะเนี่ย”

“เจมส์เป็นเพื่อนคนเดียวของผม ถ้าวินทำให้เจมส์โกรธผมจนหายไปอย่างที่เพื่อนเขาพูด ยังไงเหตุผลข้อนี้ของผมมันก็ต้องสมเหตุสมผล เพราะเขาไม่ได้คิดถึงใจผมเลย”

“ฉันต้องทวนให้นายฟังมั้ย ก่อนหน้านี้วินเพิ่งพูดว่า… ไม่อยากให้มายด์เสียความรู้สึก” ชาตะเลียนเสียงและสีหน้าของวินเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ทิศทางการตัดสินใจของมายด์เปลี่ยนไป

“ผมจำได้ แต่ถ้าวินนึกถึงใจผมจริง ผมคงไม่เป็นไอ้โง่มาจนถึงตอนนี้”

“แล้วแต่ เหตุผลมันเป็นของนาย”

“ขอบคุณ”

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นความฉลาดแทนได้มั้ย ชาช่าปวดหัว” ชาตะสะบัดนิ้วชี้ลายสายลมเป็นเส้นตรงยาวพันรอบตัววิน ชายร่างสูงดึงผืนผ้าห่มขึ้นปกคลุมร่างกายแน่นิ่งทั้งที่มันไม่เคยเคลื่อนหล่นจากตัวมายด์ไปไหน วินจดจ้องเปลือกตาปิดสนิทจนสายใยสีน้ำเงินเชื่อมทั้งคู่เข้าด้วยกันอีกครั้ง ดวงจิตหลุดลอยเดินทางสู่ความทรงจำของวินแทบจะทันที

โอกาสการมีชีวิตต่อครั้งที่สี่ของมายด์มาถึงแล้ว

แต่น่าเสียดาย

น่าเสียดายที่มายด์ไม่เคยได้ยินเสียงของวินเลย

“ตื่นขึ้นมาโวยวาย เร็วๆ นะมายด์”



Talk

เอาความหวานมาเสิร์ฟในวันวาเลนไทน์ 

ขอบคุณทุกวิว ทุกคอมเมนต์เลยค่า หวังว่าจะทนกันไปได้จนจบเรื่อง 5555555

เป็นเรื่องที่ค่อนข้างกังวลกับคาแรคเตอร์ตัวละครแบบนี้ แต่คงถอยทัพไม่ได้ล้าววววววว

อยู่เป็นกำลังใจให้วินและมายด์?กันไปเรื่อย ๆ นะคะ

ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 9 14/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 14-02-2019 21:18:31
มายด์ไม่เคยฟังวิน และวินก็ไม่ชอบพูด เฮ้อออ แล้วจะเข้าใจกันไหม
แต่เอาจริงๆยืนยันคำเดิมว่ามายด์นั่นแหละเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ
รอตอนต่อไปนะคะ อยากรู้ว่าวินทำอะไรเจมส์
เรื่องนี้บายนายเอก ขออยู่ทีมพระเอกค่าาาา รักวิน <3 *กอด*
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 9 14/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-02-2019 22:34:11
มายด์ไม่ต้องหาเหตุผลมากมายเราว่าสุดท้ายเหตุผลทั้งหมดคงเป็นเพราะมายด์รักวินมากแล้วก็อยากให้วินเป็นแบบที่ตัวเองต้องการงี้รึเปล่า เผลอๆคือหน้าแหกแน่ๆ 555555555555
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 9 14/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 15-02-2019 20:59:36
เหตุผลสุดท้ายของมายด์คือเพราะเรารักกันมั้ยอะ สงสารวินจะแย่แล้ว กลัววินจะตายก่อนมายด์อีก ชอบความกวนของชาตะ เครียดแทนมายด์เลย
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 9 14/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 16-02-2019 20:43:29
บทที่ 10 เหตุผลมันเป็นของนาย

คุณเคยเข้าไปอยู่ในความคิดของใครหรือไม่ เคยรึเปล่าที่สติ หัวใจ การนึกคิดของตัวคุณถูกแทนที่ด้วยชีวิตของใครอีกคน นี่เป็นเรื่องยากลำบากที่มายด์ต้องพบเจอในยามนี้ ทุกภาพ ทุกเสียง ทุกมุมมองของวินไม่ต่างอะไรกับด้านมืดที่กักขังและกดทับความรู้สึกของมายด์เอาไว้

อึดอัด หวาดผวา หลีกหนีไม่ได้

ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางไหน

จะสมเหตุสมผล ไม่สมเหตุสมผล

เจ้าของเหตุผลก็ต้องเจ็บปวดทุรนใจอยู่ดี





เหตุผลข้อที่ 4 เขาไม่เคยนึกถึงใจผม ไม่ใส่ใจกัน รักเรามีแต่ความเห็นแก่ตัว

.

“เอาบะหมี่น้ำสองถุงครับ ถุงนึงพิเศษหมูแดง ไม่หอมผักชี ไม่ใส่กระเทียมเจียว”

“ใส่อะไรไม่ใส่อะไรนะ”

“พิเศษหมูแดง ไม่หอมผักชี ไม่ใส่กระเทียมเจียวครับ”

“อะๆ นั่งลงก่อน เดี๋ยวถึงคิวแล้วจะถามอีกที”

“ครับ” ป้าเจ้าของร้านบะหมี่รถเข็นพยักหน้ารับและไม่เอ่ยถามหาเหตุผลต่อ เธอชินเสียแล้วกับการไร้มนุษยสัมพันธ์ของชายหนุ่มคนนี้ หนุ่มหน้าตานิ่งขรึมที่มาสั่งบะหมี่แล้วก็ไป ชีวิตเด็กรุ่นใหม่กับงานหามรุ่งหามค่ำช่างเป็นภาพที่สะท้อนสังคมในทุกวันนี้นัก โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งสั่งบะหมี่สองถุงเมื่อครู่

วินทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้พลาสติกระหว่างรออาหารที่สั่ง มือคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาเปิดเช็กหน้าแชทของมายด์ที่หายเงียบไปตั้งแต่ช่วงค่ำ ประโยคสุดท้ายใจความว่ามายด์กำลังจะอาบน้ำเพื่อออกไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท ร่างสูงถอนหายใจและไม่คิดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีก

วินจะไม่แชทไปถามไถ่ เพราะรู้ว่ามายด์ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวาย

วินจะไม่โทรไปตาม เพราะกลัวว่ามายด์จะรำคาญ

“พิเศษหมู ไม่ผักโรย ไม่เทียมนะ”

“ใช่ครับ”

“ได้แล้วจ้า แปดสิบห้าบาท”

“นี่ครับ”

“ซื้อรถใหม่เหรอ ป้ายแดงมาเชียว”

“ครับ เพิ่งได้มา”

“คันสองประตูที่เท่ๆ ไปไหนแล้วล่ะ”

“คันนั้นไม่ใช่ของผม” วินรับเงินทอนและหันหลังเดินออกมาทันที เขาเปิดประตูขึ้นรถญี่ปุ่นป้ายแดงที่มาจากน้ำพักน้ำแรงโดยไม่ได้แสดงความภูมิใจใดๆ ออกมา วินทำงานเต็มเวลามาได้สองปีกว่า งานเบื้องหลังในวงการแม้จะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเจ้าของธุรกิจ แต่ช่องทางที่มีและคอนเนคชั่นเก่าสมัยทำพาร์ทไทม์ก็ทำให้วินพอกินพอใช้และเหลือเก็บสร้างเนื้อสร้างตัวได้บ้าง

นอกจากรถคันใหม่ราคาครึ่งล้าน วินยังมีหนี้ก้อนโตเป็นบ้านหลังเล็กที่ต้องผ่อนเกือบสามสิบปี เพราะคอนโดที่เคยเช่าอยู่กับมายด์มีรายจ่ายต่อเดือนสูงพอที่จะผ่อนบ้านได้อย่างสบายๆ ไอ้ครั้นจะซื้อคอนโดมันก็ไม่มีพื้นที่ใช้สอยอื่น ลงทุนกับชีวิตทั้งที่เขาก็อยากจะมองภาพในระยะยาว คงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าเขาและมายด์ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในที่ที่จะทำให้คำว่าครอบครัวชัดเจนขึ้นมา

วินจอดรถชิดฟุตปาธริมรั้วบ้าน ที่ไม่ถอยเข้าจอดเพราะโดยปกติมันจะมีรถยุโรปราคาหลายล้านยึดพื้นที่อยู่ เขาเดินเข้าตัวบ้านที่เพิ่งเข้าอยู่อาศัยได้ไม่นาน ราวสิบเดือนก่อนวินตัดสินใจดาวน์ทาวน์โฮมหลังนี้ด้วยเงินโบนัส แม้จะได้รับการคัดค้านจากครอบครัวมายด์ว่ามันเล็กเกินไป แต่วินยังคงยืนยันจะเลือกบ้านที่ตัวเขาผ่อนไหว

นอกจากรถหรูที่มายด์บังคับให้ขับก่อนหน้า เขาจะไม่ยอมรับตัวเงินหรือของมีค่าใดๆ จากมายด์อีก แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดี แต่ความหวังดีเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่วินต้องการนัก คนเรามีต้นทุนชีวิตต่างกัน ต้นทุนด้านเงินทองของมายด์อาจมีมาก แต่สำหรับวิน ต้นทุนที่ดีที่สุดคือตัวเขาเอง เขาอยากทำทุกอย่าง อยากสร้างอนาคตที่มีมายด์ด้วยสองมือของตน

บ้านที่มืดสนิทสว่างขึ้นเมื่อวินไขเข้ามาพร้อมเปิดสวิตช์ไฟ เขาวางถุงบะหมี่ลงกลางโต๊ะอาหาร สายตากวาดไปรอบๆ และหยุดลงที่นาฬิกาบอกเวลาบนผนัง ออกไปทำงานตอนตีห้าและกลับมาถึงบ้านราวห้าทุ่ม น่าเสียดายเหมือนกันที่งานทำให้สูญเวลาหลายๆ อย่างในชีวิตไป

เวลาเที่ยวเล่น

เวลาสุขสันต์ของวัยรุ่น

เวลาพักผ่อน

หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่ควรจะมีให้กับมายด์

ชายร่างสูงถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นและเดินไปที่ซิงค์ล้างจานก่อนเป็นลำดับแรก คนเพิ่งมาถึงเริ่มล้างจานทั้งที่ยังไม่ได้พัก คราบสกปรกแห้งเกรอะกรังเพราะมันถูกทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน สิ่งต่อไปที่หยิบจับคือการกรอกน้ำลงเหยือกเข้าตู้เย็น ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นชั้นสองและเดินลงมาพร้อมตะกร้าผ้าใบใหญ่

วินแยกประเภทเสื้อผ้าก่อนจะยัดมันเข้าเครื่องไป ระบบเริ่มทำงานหมุนเป็นวงรอบย้อนไปย้อนมา คนหนุ่มชายตาไปทางซ้ายก่อนจะรวบเสื้อผ้าที่ตากน้ำค้างบนราวเข้ามาผึ่งกับโซฟาในบ้าน ใบหน้านิ่งเฉยไม่ได้ดูหงุดหงิดแม้ว่าเสื้อผ้าตรงหน้าจะถูกเพิกเฉยมาถึงสามวัน กลิ่นที่ควรจะหอมอ่อนกลับอับชื้นจนเขาต้องตัดสินใจปลดออกจากไม้แขวนและรอการซักใหม่อีกครั้ง

เสียงเครื่องดูดฝุ่นดังสู้กับเสียงเครื่องซักผ้าในบ้านเงียบเชียบ วินเหลือบมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นระยะ เมื่อปิดเครื่องดูดฝุ่นย้ายตำแหน่งปลั๊กก็พยายามเงี่ยหูฟังเสียงนอกตัวบ้าน วันนี้มายด์ขับรถออกไปเที่ยวจึงไม่ควรจะอยู่ดื่มดึกจนเมาหนัก ไอ้จะตามไปดูห่างๆ เหมือนทุกทีก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปสนุกอยู่ที่ร้านเดิมรึเปล่า ถึงจะเป็นกังวลใจแต่คงทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวจะสร้างความเบื่อหน่ายให้ใครอีกคน

วินเป็นแบบนี้มาตลอด

กลัวถูกรำคาญ

กลัวถูกมองว่าวุ่นวายจุกจิก

กลัวว่าตนเองจะแสดงความรู้สึกมากไป

วินได้แต่ปรับลมหายใจเข้าออกเพื่อรักษาระดับอารมณ์เมื่อรู้ว่าตนทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ ความคิดในหัววุ่นวายวนเวียนอยู่กับเรื่องเก่าที่ยังหวนกลับมาให้ทบทวนอยู่เสมอ เคยมีครั้งหนึ่งสมัยยังเรียน มายด์และเขาทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ไม่ควรทะเลาะ เซอร์ไพรส์วันเกิดถูกทดแทนด้วยการที่มายด์กระแทกประตูออกจากห้อง ลองคิดดูสิว่าวินจะนิ่งได้นานแค่ไหนเมื่อเห็นคนที่รักฉุนเฉียวราวกับจะไม่กลับมาอีก เขากดอารมณ์เอาไว้ไม่ถึงชั่วโมง และต่อสายหาเพื่อนสนิทมายด์อย่างเจมส์ทันที

“มายด์อยู่กับเจมส์รึเปล่า”

“อยู่ ทำไม ติดงานไม่ใช่เหรอ จะถามหามายด์ทำไม”

“อยู่ไหน”

“มายด์คงไม่อยากให้ฉันบอก และไม่อยากรู้ว่านายโทรมา”

“เหรอ”

ในตอนนั้นเจมส์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดนอกจากบอกว่ามายด์อยู่กับตน วินที่ไม่ชอบพูดคุยไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด เขาพรวดพราดออกจากห้องและไปตามร้านที่คิดว่ามายด์น่าจะไป เสียงเพลงที่แทรกเข้ามายืนยันว่ามายด์คงจะอยู่สถานบันเทิงสักแห่ง

กระทั่งร้านสุดท้ายที่พอจะนึกถึง วินมองมายด์ของเขาจากมุมไกลๆ เลือกโต๊ะในความมืดเฝ้ามองทุกอิริยาบถที่มายด์แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารู้สึกอย่างไร ตลกสิ้นดี ที่ท้ายที่สุดวินก็ต้องรีบกลับมารอที่ห้องก่อนที่มายด์จะรู้ตัว

เพราะมายด์เป็นแบบนี้เสมอ เขาจึงรู้ว่ามายด์จะกลับมา

เพราะมายด์ไม่ชอบให้ใครเถียง เขาจึงเลือกที่จะเงียบ

เพราะมายด์เป็นคนที่รัก เขาจึงกอดความรักของเขาไว้แทนคำขอโทษ

คนหนึ่งร้องหาคำพูดและการกระทำ

คนหนึ่งพยายามกระทำให้มุมเล็กๆ แม้รู้ว่ามันจะไม่ส่งเสียงใด

งานบ้านง่ายๆ ที่วินทำอยู่เป็นประจำถูกจัดการด้วยเวลาไม่นานเพราะเคยชิน เขาทรุดตัวลงข้างโต๊ะกินข้าวในเวลาเที่ยงคืนตรง มือหนาแกะห่อบะหมี่ทั้งสองออกพร้อมกัน ชิ้นหมูจากถุงที่มีต้นหอมผักชีถูกโยกไปอยู่ในอีกถุงมากกว่าครึ่ง ก่อนที่เขาจะมัดหนังยางถุงที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์เอาไว้ตามเดิม วินเทบะหมี่พร้อมซุปลงชามและเริ่มกินด้วยท่าทางที่ไม่ได้เอร็ดอร่อยนัก ไม่มีบทสนทนาใดภายในบ้าน มีเพียงตัวเขาและสายตาที่กำลังมองไปยังกรอบรูปทั้งสามบนผนัง

รูปแรก ครอบครัวของมายด์ ป๊า ม้า และลูกชายคนเดียวในวัยเด็ก ภาพถ่ายที่ดูก็รู้ว่าออกมาจากสตูดิโอชั้นดี ครอบครัวนักธุรกิจอยู่ในชุดภูมิฐานและใบหน้าเปี่ยมสุข

รูปสอง รูปของเขากับมายด์ในวันรับปริญญา อีกฝ่ายยิ้มสุดริมฝีปากและพยายามฉีกยิ้มเขาด้วยนิ้วทั้งสิบ มายด์หารู้ไม่ว่าในดวงตาของวินมันยิ้มยิ่งกว่ายิ้มเสียอีก คนที่เขาโอบกอดเอาไว้ด้วยสองแขนเป็นมากกว่ารอยยิ้ม มากกว่าอารมณ์ และมากกว่าความรู้สึก

รูปสาม คู่หญิงชายและลูกน้อยทั้งสอง ภาพถ่ายบริเวณม้าหินอ่อนหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยความสุข เด็กชายตัวเล็กอุ้มน้องสาวแรกคลอดของเขาเอาไว้ในตัก ครอบครัวที่กำลังตระกองกอดกันเป็นความทรงจำฝังใจที่ดีที่สุด

ไม่อยากพูดว่าคิดยังไง

ไม่อยากแสดงออกว่ารู้สึกแบบไหน

ไม่อยากเสียใครไปอีก

ไม่อยากรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวสักนิดเลย

Rrrrrr เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้วินต้องพาตัวเองกลับออกมาจากภวังค์ของรูปภาพทั้งสาม คิ้วเรียวขมวดเป็นปมเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อของเพื่อนสนิทอย่างเขมปรากฏขึ้นบนหน้าจอ วินรับสายอย่างไม่ต้องคิดมากนัก เวลาดึกดื่นเช่นนี้หากเขมโทรมาคงต้องมีเรื่องสำคัญแน่

“เชี่ยวิน มึงอยู่ไหน” เสียงของเขมดังแข่งเสียงเพลงกระหึ่มจนวินเกือบฟังไม่ได้ศัพท์ เพียงแค่ประโยคแรก วินก็เป็นฝ่ายได้คำตอบก่อนเสียแล้วว่าเขมอยู่ที่ไหน

“บ้าน”

“มึงฟังกูนะ”

“ฟังอยู่”

“กูมาแดกเหล้ากับไอ้หนุ่ม”

“แล้ว?”

“กูเจอมายด์...”

“มายด์เหรอ...”

“เออ คุณหนูมายด์ของมึงนั่นแหละ เมาไม่เหลือสภาพแล้วตอนนี้”

“มึงอยู่ร้านไหน” วินลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ร่างสูงคว้ากุญแจรถกุญแจบ้านเตรียมตัวที่จะออกไปยังปลายทางที่ยังไม่ได้คำตอบ ทว่าประโยคถัดมาของเขมกลับทำให้วินต้องหยุดสาวเท้าเพื่อฟังใจความให้ชัด

“ร้านเดิมที่เคยกินกันนั่นแหละ มึงรีบมาเลย ไอ้เจมส์แม่งเปิดตูดไปแล้ว แล้วตอนนี้มีใครไม่รู้พยายามจะล้อมหน้าล้อมหลังมายด์อยู่”

“อะไรนะ”

“มึงต้องมาเดี๋ยวนี้ โอเคมั้ยเพื่อน”

“กูรู้”

“รู้ก็มาเร็วๆ เดี๋ยวกูดูเชิงให้ แต่ถ้ามายด์ของมึงเล่นด้วยกูคงช่วยอะไรไม่ได้”

“เขม” วินเอ่ยชื่อผู้เป็นเพื่อนเสียงเข้ม จากที่หยุดยืนเขารีบสาวเท้าไวขึ้นเมื่อได้ยินประโยคกวนใจ เรื่องจริงประการหนึ่งที่วินรู้ ถึงมายด์จะมีคนคอยเข้าหามากมาย แต่มายด์ของเขาไม่มีทางทำเช่นคำของเขมแน่

“เออ”

“ฝากดูให้กูด้วย สิบห้านาที” วินวางสายโทรศัพท์โดยไม่รอฟังคำตอบรับจากเขม เขาพุ่งตัวออกจากบ้านโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะปิดประตู เท้าขวาเหยียบคันเร่งบึ่งรถออกไปด้วยความเร็ว ความรู้สึกเป็นห่วงบดบังความโกรธที่อยู่ลึกๆ ไปจนหมดสิ้น ไม่มีการแสดงอารมณ์ใดผ่านใบหน้านิ่งเฉย มีเพียงการกระทำรีบร้อนทุรนทุรายใจ คนไม่มีความรู้สึกงั้นเหรอ… เขาคงเป็นคนเช่นนั้นล่ะมั้ง

ไม่รู้สึก ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจอะไรเลย

วินไม่ให้ค่ากับสิ่งใดเลย นอกจากมายด์

.

“มึงอยู่ไหนแล้ววิน!”

“ถึงแล้ว”

“เร็วเลยมึง มันหิ้วมายด์ไปไหนแล้วไม่รู้”

“กูสั่งให้มึงดู”

“เออ! กูก็ดู ดูจนไอ้หนุ่มแม่งโดนต่อยหน้าเขียวมาเนี่ย กูเดินตามให้อยู่ ไวเลยมึง น่าจะออกข้างร้าน” คำพูดของเขมผ่านสายโทรศัพท์เติมไฟร้อนรนเป็นกังวลเสียจนวินต้องหักเลี้ยวเข้าจอดอย่างไม่กลัวอันตราย รถฝั่งตรงข้ามเบรกจนตัวรถตวัดเมื่อร่างสูงหักเลี้ยวโดยไม่ให้สัญญาณ วินาทีนี้วินหาได้สนใจอุบัติเหตุที่เกือบจะเกิดขึ้น เขาจอดรถและดับเครื่องยนต์ทันทีเมื่อเลี้ยวเข้าอาณาเขตสถานบันเทิงชื่อดัง

ดวงตาคู่คมกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะไปสะดุดสายตาที่รถคู่ใจของมายด์ มันยังคงจอดนิ่งและดูเหมือนไม่มีใครนั่งอยู่ในนั้น วินรีบสาวเท้าไปที่ทางออกร้านอีกฝั่ง ระหว่างนั้นเขาก็สอบถามกับเพื่อนที่อยู่ในสายโทรศัพท์ไปด้วย

“พวกมึงอยู่ไหน”

“กูแยกกัน ไอ้หนุ่มไปดูในห้องน้ำ กูกำลังจะเดินไปทางประหน้า”

“กูไปประตูข้าง”

“เออ กูช่วยเต็มที่ กูว่ารอบนี้ดูท่าไม่ดีเลย มายด์ดูแปลกๆ ไอ้เจมส์ก็ทิ้งเพื่อนไปได้ หมามาก” ยิ่งเขมพยายามอธิบายวินก็ยิ่งสาวเท้าเร็วขึ้น ถึงเขากับมายด์จะคบกันมาได้หลายปีและอยู่ในสายตาของกลุ่มเพื่อนตลอด แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเขมจะไม่สนิท และไม่ค่อยไยดีอะไรมายด์นัก แต่ครั้งนี้วินกลับสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่ควรจะเกิด นั่นแปลว่า… มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นจริงๆ แน่

“ทำไมไอ้หนุ่มโดนต่อย” วินถามขณะกวาดสายตามองไปยังแนวลานจอดรถ ประตูทางออกด้านข้างห่างจากตรงนี้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น สิ่งแรกที่วินต้องทำคือการเจอตัวมายด์ให้ได้เสียก่อน

“ก็พอเห็นแม่งเข้าไปยุ่งกับมายด์นั่นแหละ พวกกูก็เลยเข้าไปพูดดีๆ แต่มันสวนหมัดกลับมา กูก็มัวแต่ดูไอ้หนุ่ม เงยหน้ามาอีกทีหายทั้งมายด์ทั้งมัน” วินาทีหนึ่งระหว่างฟังคำตอบวินสบตากับการ์ดของร้านเพราะอาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ

“มายด์ไม่ได้สติเลยเหรอ”

“แค่แรงมองหน้าพวกกูยังไม่มีเลยมั้ง”

“ทำไมถึงดื่มเยอะขนาดนั้น”

“กูจะไปรู้เมียมึงเหรอ” วินไม่ได้ตอบโต้อะไรอีก ชายหนุ่มกดวางสายทันทีเมื่อเห็นคนคุ้นเคยในกรอบสายตา มือของเขากำเครื่องโทรศัพท์แน่นดั่งคนเดือดดาล วินรีบสาวเท้าเข้าไปคนสองคนที่ข้างรถเมอร์เซเดสเบนซ์ คนที่ถูกกอดช่วงเอวอยู่เป็นมายด์ไม่ผิดแน่

เป็นเรื่องยากเหมือนกันที่คนไม่แสดงความรู้สึกจะต้องเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ภายใน แม้ว่าการแสดงอารมณ์ของวินจะไม่ทำงาน แต่ใบหน้าของเขากับสั่นเทาอย่างคนเก็บกด มายด์ถูกอีกฝ่ายพิงร่างเอาไว้กับข้างตัวรถ ลำแขนใหญ่พยายามโอบล้อมไม่ให้คนเมาดิ้นหนีไปไหน วินมองใบหน้าแดงเถือกไร้สติของมายด์ไม่วางตา มือเล็กดันพยายามดันอกของใครอีกคนออกให้ห่างแต่มันไม่ได้ผล จนกระทั่ง…

“อย่ายุ่งกับเขา” วินพูดเสียงนิ่งหลังกระชากไหล่ของชายที่ตัวเท่ากันออกมาจากตัวมายด์ เมื่อไร้การกักขังใด มายด์ที่แทบไม่มีสติก็โซเซออกมาเล็กน้อยกระทั่งทรุดลงไปกับพื้น วินมองตามอย่างนึกเป็นห่วง ทว่าสิ่งที่วินสนใจมากกว่าในยามนี้ก็คือคนที่ถือวิสาสะจับมือถือแขนคนของเขา

“นี่มึง! ยุ่งเหี้ยไรเนี่ย” ชายคนนั้นสบถเสียงใส่วินอย่างหัวเสีย แต่พอเห็นหน้านิ่งของวินเขากลับขมวดคิ้วเหมือนครุ่นคิดบางเรื่องที่ไม่แน่ใจ แต่นั่นเป็นเพียงนาทีสั้นๆ เท่านั้น หมัดหลุนพุ่งเข้ากลางสันกรามของวินโดยที่เป้านิ่งไม่คิดหลบ วินหน้าหันตามแรงและไม่ได้แสดงท่าทางเจ็บปวดใดๆ ทั้งที่ร้าวไปทั่วบริเวณ

“ผมแค่จะพาคนของผมกลับ”

“ตลก ไหนคนของมึง”

“...” วินไม่ได้ตอบ เขาทำเพียงหันมองมายด์ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ในตอนนี้

“มีแฟนเป็นเด็กขายเหรอวะ หึ คืนนี้กูจ่ายแล้ว โอเคนะไอ้หน้าจืด!”

“เด็กขาย?” เสียงเข้มไม่ได้เต็มไปด้วยคำถาม วินไม่ได้หวั่นไหวกับคำพูดและไม่ได้คิดว่ามายด์มีพฤติกรรมเช่นนั้น สังคม เงินทอง ทุกสิ่งรอบตัวมายด์ไม่ได้เปิดโอกาสให้มายด์ทำเรื่องสิ้นคิดสักนิด

“สามหมื่น กูจ่ายแล้ว!”

“แฟนผมกับเงินสามหมื่นเนี่ยนะ” วินไม่ใช่คนเลือดร้อน ไม่ชอบมีเรื่องกับใครเพราะไม่ชอบสุงสิงกับผู้คนตั้งแต่แรก ไอ้ครั้นจะให้แสดงกิริยาโมโหพลุ่งพล่านยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่ชอบที่จะปล่อยตัวเองให้สติแตก แต่สำหรับครั้งนี้การควบคุมอารมณ์คงจะเป็นเรื่องยาก ยิ่งคิดวินก็ยิ่งอยากเอามืออุดปากคนตรงหน้า

ไม่หรอก ไม่ใช่แค่คิด

ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ! ทั้งสองมือสองขารุมกระหน่ำไปยังคนที่เขาโมโหอย่างไม่คิดชีวิต หมัดสะเปะสะปะที่เคยทำร้ายพุ่งเข้าที่ข้างแก้มของวินอีกครั้ง แต่เพราะสติยังดีกว่าวินจึงไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้สวนกลับมาได้อีก เมื่อเริ่มไร้ทางสู้ ชายคนนั้นจึงยอมหยุดนิ่งส่งเสียงขอความช่วยเหลือเพราะกลัวว่าวินจะไม่ยอมไว้ชีวิต

“ช่วยด้วย! แค่กๆ ช่วยด้วย!” วินหยุดยืนนิ่งทันที มือสองข้างของเขาทั้งเจ็บชาทั้งสั่นเกร็งเพราะเพิ่งทำเรื่องที่ไม่เคยทำ จังหวะนั้นการ์ดของร้านที่ได้ยินเสียงรีบเข้ามาดูสถานการณ์ทันที วินไม่ได้ถูกรวบตัวเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ถอยหนีและกวักมือเรียกคนช่วยเหลือให้เข้าไปหาตน

“เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย!”

“ถามเขาดู” วินพูดแค่นั้นเพราะสายตาของเขามันจดจ้องอยู่กับเครื่องโทรศัพท์ของชายคนนั้น มันหล่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อจนที่มุมมีรอยร้าวเล็กๆ ที่สำคัญคือสายเรียกเข้าที่โทรเข้ามาอย่างได้จังหวะกำลังเรียกความสนใจจากวินด้วยรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนนั้น

‘เจมส์’

“ไอ้วิน! เป็นไงวะเนี่ย”

“เฮ้ยมายด์!” เมื่อแน่ชัดว่าเสียงโหวกเหวกขอความช่วยเหลือเกี่ยวข้องกับเพื่อนตนแน่ เขมจึงวิ่งเข้ามาดูช่วงใบหน้าวินที่มีรอยแดงแต้มอยู่ หนุ่มเองก็นั่งยองลงดูมายด์ที่เหมือนจะหลับจนไม่รู้เรื่อง สองเพื่อนสนิทมองหน้ากันเองเลิ่กลั่ก ระหว่างที่คนต้นเรื่องแทบไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ

“ฝากพวกมึงเคลียร์ที” วินพูดสั้นๆ ก่อนก้มหยิบเครื่องโทรศัพท์และกดรับสายโดยไม่ขอคำอนุญาตจากใคร เมื่อเครื่องมือสื่อสารแนบหูเขาก็ได้แต่ตั้งใจฟัง และไม่เอ่ยออกมาขัดสำเนียงการพูดที่เขาคุ้นหูและมั่นใจว่าเป็นใคร

“พี่ฟ้งครับ เจมส์ลืมบอกว่าให้หาทางปิดเครื่องมายด์มันด้วยนะครับ ...เอ่อ พอดีวินแฟนมันอาจจะโทรมาตาม แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ แค่อาจจะเท่านั้น รายนั้นไม่ค่อยสนใจเพื่อนผมหรอก พี่ฟ้งจัดการตามใจได้เลย”

“...”

“ยาที่ผมใส่ไปน่าจะพอให้ไม่ได้สติทั้งคืน ยังไงรบกวนถนอมมันหน่อยนะครับพี่ เผลอๆ มันอาจจะรีบเลิกกับแฟนมาอยู่กับพี่ก็ได้ แต่ถ้าพี่ฟ้งไม่ถูกใจ เสร็จเรื่องแล้วก็เอามันไปทิ้งไว้ที่รถตัวเองนั่นแหละ คนแบบมายด์ไม่มีทางปริปากแน่นอน”

“...”

“ขอบคุณสำหรับค่าขนมนะครับพี่”

“เจมส์” เสียงเย็นของวินคงจะทำให้ปลายสายนิ่งไปไม่มากก็น้อย รังสีความน่ากลัวทำให้ทุกคนรอบตัวลอบกลืนน้ำลายเป็นการใหญ่ หนุ่มและเขมที่กำลังประคองร่างมายด์เอาไว้มองใบหน้าโกรธจัดของวินด้วยความประหม่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่วินปล่อยอารมณ์ของตัวเองออกมาจนสุดตัว นั่นแปลว่าครั้งนี้คงมีเรื่องที่ทำให้เส้นกั้นโทสะของวินขาดผึ่ง

“พ..พี่ฟ้ง”

“จำได้ใช่มั้ยว่านี่เสียงใคร”

มีต่อ

หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 9 14/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 16-02-2019 20:43:47
.

“พวกมึงอย่าบอกใครนะ บอกไอ้เพิร์ธได้แค่คนเดียว แต่กับคนอื่นไม่ได้ กับมายด์ก็ห้าม”

“มึงจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอวะ แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ก็ยังดี”

“ไม่ เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“เจอหน้าไอ้เจมส์เมื่อกี้กูน่าจะตะบันหน้ามันไปซะ”

“อย่า”

“กูไม่เข้าใจมึงเลยวิน”

“มายด์จะเสียใจ” เหตุผลลึกซึ้งของวินช่างขัดใจคนถามอย่างเขมเป็นที่สุด เขาทิ้งตัวลงไปกับโซฟาอย่างคนฟัดเฟียดหัวเสีย แม้แต่หนุ่มที่นั่งเงียบอยู่ก็ยังถอนหายใจอย่างไม่พอใจและไม่เข้าใจ วินไม่อาจทำตามใจตนหรือตามใจเพื่อนได้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับมายด์ เรื่องที่เจมส์พยายามทำมันจะส่งกระทบไปในหลายทาง แน่นอน... ว่ามันไม่ใช่ในทางที่ดีแน่

มายด์จะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าเพื่อนสนิททำกับตนเช่นนั้น

มายด์จะเป็นยังไงถ้าเรื่องนี้ถึงหูตำรวจเข้าจริง ๆ

มายด์จะพังทลายแค่ไหนถ้าชีวิตเกือบเปลี่ยนทิศเพราะเพื่อนที่ไว้ใจ

“คลิปที่มึงให้กูอัดอยู่นี่แล้ว เผื่อว่าไอ้เจมส์มันตุกติก มึงจะได้เอาความจริงไปบอกมายด์” หนุ่มวางโทรศัพท์ตนลงกลางโต๊ะหน้าโซฟา วินพยักหน้ารับทั้งที่ยังไม่เบาใจเลยแม้แต่น้อย

“ยังไงมายด์ก็ห้ามรู้”

“มึงจะพระเอกเกินไปแล้วไอ้วิน มายด์ยังไม่โดนสักหน่อย บอกให้มันรู้ไว้สิวะว่ามีเพื่อนเหี้ย” เขมพูดความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ เขาไม่เข้าใจเพื่อนตัวเองเท่าไหร่นัก ไม่เข้าใจวิธีการปกป้องคนรักด้วยการไม่พูด แต่เขาจะทำอะไรได้ในเมื่อมันเป็นชีวิตและการตัดสินใจของวิน ไม่ใช่เรื่องของเขา

“กูว่ากูรู้จักมายด์ดี มายด์มีเพื่อนสนิทแค่คนเดียว สู้ให้ไอ้เจมส์หายไปเฉยๆ มายด์ยังจะเสียใจน้อยกว่า”

ราวสองชั่วโมงก่อนวินอุ้มมายด์ขึ้นรถกลับมาที่บ้าน และวานให้เขมกับหนุ่มขับรถของมายด์ตามมาส่ง ไม่นานนักคนต้นเรื่องอย่างเจมส์ก็เดินทางมาจนถึงหน้าซอย วินตัดสินใจนัดเจมส์มาคุยที่นี่เพราะคิดแล้วว่าไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตจนกระทบกับมายด์ เขาเดินออกมาเคลียร์โดยมีหนุ่มเป็นพยานคนสำคัญ ส่วนเขมถูกทิ้งให้ดูมายด์อยู่ที่บ้านอย่างไม่เต็มใจ

ภาพทุกภาพตรงนั้นถูกหนุ่มบันทึกเอาไว้ทั้งหมด เจมส์ร้องไห้อ้อนวอนวินทั้งน้ำตา รายนั้นพยายามขอโทษขอโพยและขอร้องไม่ให้วินเอาเรื่อง เป็นความจริงที่เจมส์มอมยามายด์และรับเงินจากคนรู้จัก แน่นอนว่าเจมส์ไม่ได้ขัดสนเงินทอง จำนวนเงินเล็กน้อยแค่สามหมื่นบาทจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ

เหตุผลที่ทำให้เขายอมแลกความผูกพันของเพื่อนสนิทก็เป็นเพราะความรู้สึกสะสม เจมส์เล่าว่าถูกมายด์กดให้ต่ำกว่าด้วยคำพูดหลายครั้ง ทั้งยังเป็นที่รองรับอารมณ์จนความรักเพื่อนที่มีเริ่มหมดไป การตัดสินใจด้วยความคิดชั่ววูบจึงมีเหตุผลเพียงคำว่าหมั่นไส้

อีกอย่างเจมส์เบื่อเหลือเกินที่ต้องรองรับปัญหาความรักของเพื่อนอย่างหมาตัวหนึ่ง

ทะเลาะกันก็มา พอคิดได้แล้วก็ไป

เจมส์คิดเอาเองว่าคงจะดีกว่าถ้ามายด์ได้คนที่รวยอู้ฟู่แบบนั้นดูแล

ใช่ ก็แค่คิดเอาเอง คิดเอาเองเพื่อให้ความผิดลดลง

“ถ้าไม่อยากมีเรื่องขึ้นโรงพัก ไม่อยากเป็นข่าวดังในหน้าอินเทอร์เน็ต ออกไปให้ห่างมายด์ซะ อย่ามายุ่งกับมายด์อีก เรามีหลักฐานทุกอย่างนะเจมส์ แม้แต่เรื่องที่คุยกันเมื่อกี้ อีกอย่างเราก็รู้ด้วยว่าบ้านนายพอจะมีหน้ามีตา มันจะเป็นยังไงถ้าพวกเขารู้ว่านายตกอับจนต้องขายเพื่อนกินแบบนี้ อย่าติดต่อมายด์ หายไปจากชีวิตมายด์ซะ!”

วินไม่ได้ต่อยเจมส์ยับให้หายแค้น เขาใช้คำพูดเดิมซ้ำไปซ้ำมาเพราะรู้ว่าพื้นฐานนิสัยของเจมส์อยู่บ้าง เพื่อนของมายด์คนนี้ห่วงหน้าตาทางสังคมและติดมูลค่าของเงิน เจมส์คงทนอยู่ไม่ได้หากถูกคนอื่นมองไม่ดี ทางที่ดีที่สุดคือใช้คลิปคำสารภาพของเจมส์มัดตัวไว้อย่างคำขู่ ‘ห้ามเจอมายด์อีก’ นั่นคือใจความของข้อสรุปทั้งหมด

ถึงเจมส์จะยืนยันว่าไม่เคยทำเรื่องเลวแบบนี้มาก่อน แต่คนตัดสินใจจบเรื่องนี้ไม่รู้หรอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจมส์ทำกับคนอื่นรึเปล่า หรือเคยเกิดเรื่องเช่นนี้กับมายด์มาแล้วหรือไม่ สิ่งเดียวที่วินสนใจคือต่อจากวันนี้มายด์จะต้องปลอดภัย มายด์จะไม่ได้เจอกับคนใจร้ายแบบนั้นอีก ต่อให้สุดท้ายเขาจะเป็นฝ่ายโดนเกลียดเสียเอง มันก็เป็นสิ่งที่ต้องยอมแลก สิ่งเดียวที่วินควรจะนึกถึงคือจิตใจของมายด์

เขาจะพยายามเท่าที่ขีดจำกัดของคนคนหนึ่งจะทำได้

นึกถึงจิตใจของมายด์

เห็นแก่ความสุขของมายด์

ใส่ใจความรู้สึกของมายด์

“มึงขึ้นไปดูมายด์เหอะ พวกกูอยู่กันได้”

“ขอบคุณนะเขม มึงด้วยหนุ่ม”

“เออ เพื่อนกัน” หนุ่มว่าก่อนจะเขมจะตบบ่าวินเชิงให้กำลังใจ เพราะดึกมากแล้วชายหนุ่มทั้งสองจึงทิ้งตัวนอนที่โซฟาชั้นล่างของบ้าน วินเดินขึ้นไปใช้เวลาอยู่ในห้องนอนไม่น้อย ก่อนจะลงมาปิดไฟดวงใหญ่ให้เหลือเพียงไฟสลัวสีส้มที่เพื่อนของเขาจะนอนหลับได้สบาย เขาเดินขึ้นชั้นสองอีกครั้งพร้อมชามบะหมี่อุ่นร้อนในมือ

“หิว”

“รู้” วินตอบคนบนเตียงสั้นๆ เขาวางชามบะหมี่ลงกับโต๊ะข้างเตียง คว้าข้อมือคนที่นอนจมอยู่กับเตียงให้ลุกขึ้นมาพร้อมท่าทางสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีมั้ยที่มายด์ตื่นขึ้นมาอ้วกและตกอยู่ในอาการเวียนหัวจนนอนไม่หลับ

“บะหมี่อีกแล้ว ร้านตรงเซเว่นใช่มั้ยเนี่ย บอกแล้วว่าร้านนี้สกปรก”

“แต่มายด์เคยบอกว่าอร่อย”

“อร่อยแล้วต้องกินบ่อยๆ รึไงเล่า”

“ไม่ชอบเหรอ?”

“ชอบ แฟนใครไม่รู้ น่ารักที่สุด” มายด์เอียงหัวซบบ่าวินทั้งที่ตาจะปิด มือหนาของวินลูบเบาๆ เข้าที่แก้มเย็น ร่างเล็กถูกวินเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะชุดเก่าเปรอะไปด้วยรอยอ้วก อันที่จริงตอนนี้เนื้อตัวของวินก็ยังมีกลิ่นเปรี้ยวจากของเสียที่ว่าอยู่ไม่น้อย

“หลังตรง” วินดึงร่างมายด์ให้พิงไปกับหัวเตียงไม่ต่างอะไรกับพ่อดูแลลูก เจ้าตัวนั่งลงข้างเตียง คนบะหมี่ในชามระหว่างที่มองใบหน้าแดงก่ำของคนรักไม่วางตา

“หน้าไปโดนไรมา”

“ลื่นล้มในกองถ่าย” มายด์ทำท่าจะแตะรอยแผลแดงช้ำบนใบหน้าวิน แต่ร่างสูงกลับเอียงหลบไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้สัมผัสมัน

“ทำไมเซ่อซ่า ไม่ดูแลตัวเองเลย”

“นิดหน่อย”

“คราวหลังไม่ได้นะรู้มั้ย วินเป็นอะไรขึ้นมามายด์จะอยู่ยังไง”

“รู้แล้ว มายด์กินก่อนเถอะ” วินรีบตัดบทเพราะไม่อยากลากยาวในปัญหาข้อนี้ หากมายด์สงสัยมากกว่านี้เรื่องมันจะไปกันใหญ่

“หอมผักชีไม่เอา กระเทียมไม่เอา”

“ดูก่อน มีที่ไหน” วินยื่นชามเข้าใกล้ๆ ระดับสายตาของมายด์ คนเมาพยักหน้ายิ้มหวานอย่างพอใจ

“ข้อดีของร้านนี้ คือยังรู้ใจเหมือนเดิม”

“ความจำแกดีมั้ง” วินตักเส้นบะหมี่ใส่ช้อน พร้อมกับหมูแดงซีดๆ ชิ้นใหญ่

“เอาหมูแดง”

“นี่ไงหมูแดง” ช้อนถูกยื่นติดริมฝีปากก่อนที่มายด์จะอ้าปากรับมันเข้าไปเคี้ยวอย่างมีความสุข

“ชอบร้านนี้ให้หมูแดงเยอะ”

“กินจนจะเป็นหมู” คนที่กำลังเคี้ยวหมูแดงชิ้นใหญ่บุ้ยหน้าหงุดหงิดใส่คนป้อน

“วิน”

“หืม”

“นี่ยังโกรธอยู่นะ”

“โกรธอะไร”

“วินหนีเที่ยว”

“ไม่ดีเหรอ หนีเที่ยวเลยได้รับมายด์กลับบ้านไง”

“ไม่ดี ขี้โกง ทีมายด์ยังบอกเลย”

“คราวหลังบอกทุกชั่วโมงเลยได้มั้ย”

“ไม่รำคาญเหรอ ไม่เห็นวินโทรตาม นึกว่ารำคาญแล้วก็ไม่อยากรู้”

“ไม่ครับ อยากให้มายด์บอก”

“วิน”

“ครับ”

“หมูแดง”

พ่อหินแกรนิตไร้รู้สึกส่ายหน้าเบาอย่างเอือมระอา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่ข้างริมฝีปากของวินไม่ได้หยุด ใครจะว่ายังไงก็ช่าง จะว่ามายด์เป็นจอมโวยวาย เป็นคนเรื่องมาก เป็นคนเอาแต่ใจ เป็นคนไม่น่าคบ เป็นคุณหนูมายด์ในตำนาน แต่สำหรับวิน...

มายด์คือมายด์

คนที่เขารัก

คนที่เขาใส่ใจ

คนที่ทำให้เขาอยากอยู่ด้วยแบบนี้

คนที่เขาคิดว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด

ทุกข้อเสีย ทุกข้อดี ทุกความเป็นมายด์คือสิ่งที่วินยอมรับ และยอมรักคนคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข





แต่อย่างว่า คนเรามักมองทุกเรื่องราวในมุมของตนเองทั้งนั้น

มายด์มีมุมของมายด์

วินมีมุมของวิน

พวกเขาไม่เคยคิดสนใจมุมมองของกันและกันเลย



Talk

ขอเสียงทีมมายด์หน่อยจ้า อ้าววว เงียบเฉย 5555555555

ตอนนี้วินน่าจะเรียกแม่ยกได้เยอะขึ้น กว่าจะมาถึงตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะประคองเรื่องผ่านตัวมายด์ มีหลายครั้งที่เกิดคำถามกับคู่ของคนรอบตัวว่าทนคบกันมาได้ยังไง นิยายเรื่องนี้เกิดจากแนวคิดเช่นนั้น สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไงอยากให้ทุกคนสู้และอยู่ดูชีวิตของวินและมายด์ไปจนจบนะคะ

ขอคอมเมนต์ด่าทอมายด์และคนเขียนหน่อยนะคะ 55555 รออ่านอยู่เด้อ จุ๊บๆ

ขอบคุณทุกคนค่า
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 10 16/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 21:07:29
ในความคิดวินคือความรู้สึกของมายด์ต้องมาก่อนเสมอ เรื่องเจมส์ถ้าไม่ได้เพื่อนวินคงแย่
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 10 16/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 17-02-2019 00:47:40
แต่เราเข้าใจมายด์นะ เขิาเกิดมาแบบนั้น ถูกหล่อหลอมมาแบบนั้น แล้วคนเราาไม่บอกก็ไม่รู้ บางคนอาจจะบอกว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่จริงๆแล้วคำพูดมันก็สำคัญเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 10 16/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 17-02-2019 10:44:20
คนนึงควรฟังให้มากขึ้น อีกคนควรพูดและแสดงออกให้มากขึ้น
เค้ารักกัน รักกันมากเกินไปจนทำร้ายกันเองอะ T^T
แต่ก็รักวินมากกว่ามายด์อยู่ดี 5555
ห้ามให้วินตายน้าาาา :hao5:
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 10 16/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: be-silent ที่ 23-02-2019 21:59:52
บทที่ 11 ทางเลือกในชีวิตเป็นของนาย

“ฉันตัดสินเหตุผลข้อที่สี่ไม่ได้”

“อะไรนะ”

“วินไม่ผิด ส่วนนาย… ฉันจะตีเหตุผลว่าไม่ผิดให้ก็ได้”

“แล้วคุณจะทำยังไง”

“เป่ายิงชุบแล้วกัน แฟร์ดี….ไค! ไบ! โบ!” สิ้นคำพูดคิดเองเออเอง ชาตะก็ชูสองมือขึ้นตรงหน้า มือซ้ายกำแน่น มือขวากำแน่นยิ่งกว่า เขาโยกมือทั้งสองข้างขึ้นลงพร้อมกันอยู่หลายครั้ง กระทั่งมือข้างหนึ่งหยุดที่ท่ากำเช่นเดิม ส่วนมืออีกข้างมันถูกแบออกจนครบห้านิ้ว

“มาถึงขั้นนี้แล้วผมก็คงต้องว่าแฟร์” มายด์อยากจะหัวเราะให้กับท่าทางจริงจังอย่างไร้สาระของชาตะ เป่ายิงฉุบกับตัวเองเพื่อตัดสินชะตาชีวิตของคนอื่น เท่าเทียมกันพิลึก

“เอาซ้ายหรือขวา”

“ให้ผมเลือกเหรอ”

“แน่นอน ทางเลือกในชีวิตเป็นของนาย” เจ้าของดวงตากลมมองมือซ้ายของชาตะอย่างใคร่ครวญคิด เส้นเลือดสีน้ำเงินเข้มที่วิ่งอยู่ทั่วหน้ามือซีดพุ่งเข้าสายตามายด์ราวกับเรียกร้องความสนใจ คนไม่มีหนทางจึงตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร เป็นธรรมดาที่คนเราจะเลือกหนทางชนะอย่างเข้าข้างตัวเอง

“งั้นผมเลือกข้างซ้าย”

“ทำไมเลือกซ้าย นี่มันข้างชนะ”

“ผมก็ต้องเลือกข้างที่ชนะสิ”

“สงสัยฉันลืมบอกกติกา คนที่ยอมแพ้ต่างหากที่ชนะ” มายด์กลอกตามองบนเพราะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางชนะผู้เหนือกว่า สุดท้ายคนที่คุมเกมทุกอย่างก็เป็นชาตะอยู่ดี

“คุณแพ้แล้วทำไมไม่ยอมรับความจริง”

“แล้วนายยอมรับความจริงบ้างรึเปล่าล่ะ… ถามใจตัวเองดูว่ากำลังแพ้อยู่รึเปล่า” ชาตะยกคิ้วดึงริมฝีปากอย่างเป็นต่อ เรียวขายาวที่นั่งไขว่ห้างกระดิกรัวจนรองเท้าหนังขัดมันน่าหมั่นไส้ มายด์มองผู้คุมดวงจิตบนโซฟาแล้วจึงหลับตาลงรับชะตากรรมของตน จริงอย่างชาตะว่า… ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้หรือยอมรับความจริงกับเรื่องใด คนอย่างมายด์ย่อมมีชัยชนะอยู่เหนือทุกคน

“ผมยอม” แม้จะหลับตาอยู่แต่มายด์กลับได้ยินเสียงหายใจของคนข้างตัวชัดเจนจนต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในกรอบสายตาของเขามีเพียงแค่ชายร่างสูงที่มีสีหน้าท่าทางไม่แตกต่างอะไรกับคนที่มายด์รู้จักในครั้งก่อน วินยังเป็นคนเดิม คนเดิมที่ทำให้มายด์ต้องยอมให้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ยอมอะไร”

“ยอมแพ้ ยอมรับความจริง… เหตุผลของผมมันใช้ไม่ได้” วินพยายามบีบนวดร่างกายบนเตียงอย่างทะนุถนอม สี่คืนสี่วันที่ร่างกายของมายด์แน่นิ่ง และร่างกายของใครอีกคนแทบจะทรุดลงไปตามกัน แปลกดีเหมือนกันนะ แปลกดีที่สมองของมายด์โล่งไปหมด เขาไม่อยากคิดอะไรและอยากทำเพียงเฝ้ามองการกระทำของวินอยู่แบบนี้

“พูดเองนะ ฉันไม่ได้ชี้นำอะไรเลยนะเนี่ย ไม่เลยจริ๊ง!” ชาตะเสียงสูงใส่ เพียงแค่เขาใช้นิ้วชี้หมุนวนไปมาบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนเป็นความเศร้าสีน้ำเงินชวนสลดหดหู่ มายด์มองดวงตาของวินเอาไว้คล้ายร้องขอให้บอกทุกๆ เรื่องที่อยู่ในความคิดออกมาเสียที แต่แล้วสิ่งที่มายด์ได้กลับมานั้นมีเพียงความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ใต้นัยน์เนตรสีดำเข้ม

สิ่งที่มายด์ต้องการ มายด์พูดออกไปหมดแล้ว

มีแต่วิน มีแต่วินเท่านั้นที่ไม่เคยพูดอะไรออกมาเลย

“รีบตัดสินเถอะชาตะ” ดวงจิตผู้ได้รับโอกาสรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายเหตุผลข้อที่สี่สมควรจะมีจุดจบเช่นไร ต่อให้ผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ และสูญเสียโอกาสกลับไปมีชีวิตอีกหน มายด์จะไม่เสียใจ ไม่แปลกใจ และไม่คัดค้านอะไรเลย มุมมองของวินมันลบล้างข้อค้านในใจของเขาทั้งหมด

ช่างเถอะมายด์

กับเหตุผลข้อนี้

ไม่เป็นไรหรอก

“นายมนพัทธ์ หิรัญสรายุ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยที่จะต้องกล่าวว่า… เหตุผลข้อที่สี่ ไม่สมเหตุสมผล” ลมแรงพัดขึ้นทันทีเมื่อสิ้นเสียงยุติการพิสูจน์เหตุผลข้อที่สี่ สายลมสีเข้มโอบล้อมร่างกายของชาตะก่อนที่เขาจะค่อยๆ จางหายไปพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอโดยไม่ร่ำลา มายด์ไม่ได้ร้องเรียก ไม่ได้ซักถาม เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรชาตะจะต้องกลับมา แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลย คือคำตอบข้อต่อไปที่จะช่วยต่อชีวิตตนต่างหาก เหตุผลทั้งสี่ข้อที่ผ่านมาทำให้มายด์ไม่มีความมั่นใจใดๆ หลงเหลือ ผ่านมาเกินขึ้นทางแต่ความหวังในเบื้องลึกของเขาช่างริบหรี่นัก

คงจริงอย่างชาตะว่า

คนเรามีเหตุผลนับร้อยข้อที่จะขออยู่ต่อ

แต่เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้อยากตายนั้นมันยาก

ยากเหลือเกิน

เมื่อชาตะจากไปและคลื่นลมสงบ มายด์จึงทิ้งตัวนั่งทับร่างกายของตนไว้ เขาเฝ้ามองทุกการกระทำของวินไม่ได้ห่าง เฝ้าคิดไปต่างๆ นานาว่าที่ผ่านมาวินทำเรื่องชวนยิ้มลับหลังเขามาตั้งกี่ครั้ง ขี้โกงชะมัด ทำไมไม่บอกกันบ้างเลย เห็นเขาเป็นตัวอะไรถึงได้เอาแต่นิ่งใส่และทำเป็นไม่สนใจได้ตลอด แล้วตอนนี้มายด์ต้องรู้สึกยังไงกับวินเหรอ ดีใจ เสียใจ หรือว่าโกรธที่ทำให้ไม่ได้กลับมามีชีวิตเสียที

“กูว่ากูรู้จักมายด์ดี มายด์มีเพื่อนสนิทแค่คนเดียว สู้ให้ไอ้เจมส์หายไปเฉยๆ มายด์ยังจะเสียใจน้อยกว่า”

ใช่วินเดาถูก และเขารู้จักมายด์ดีจริงๆ เรื่องที่คิดไม่ถึงมีส่วนทำให้มายด์สงบนิ่งลงและยอมรับชะตากรรมอย่างง่ายดาย ตลอดเวลาที่เจมส์หายไป มายด์ไม่เคยรู้สึกเหมือนเดียวดายเช่นนี้ มันทั้งเจ็บใจ เสียใจ และจุกอยู่ในอก มายด์ไม่ได้เสียเพียงเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เคยเล่าทุกเรื่องสุขทุกข์ แต่เขาเสียความเชื่อมั่นอีกหลายประการในชีวิต ถ้ากลับไปไม่รู้อะไรเหมือนเดิม ตอนนี้คงจะเสียใจน้อยกว่า

ยังไงก็ขอขอบคุณแล้วกันนะวิน

ที่ผ่านมามายด์รู้สึกดีกว่าตอนนี้มากจริง ๆ

“เพื่อนกลับกันหมดแล้วเหรอวิน” ไม่ใช่เพียงวินเท่านั้นที่หันไปมองหน้าประตู มายด์เองก็ผินไปมองต้นเสียงคุ้นเคยทันที ป๊าของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใบโตในมือ วินรีบละจากการบีบนวดร่างกายมายด์เดินเข้าไปช่วยคนสูงอายุกว่าถือข้าวของ ก่อนที่จะกดใบหน้าลงเมื่อสบตากับผู้เป็นแม่ของมายด์ตรง ๆ

“กลับกันแล้วครับ”

“แล้วเรากินอะไรรึยัง” ประโยคคำถามไม่ได้มาจากคนเป็นพ่อ แต่เป็นมานิตย์ที่มีท่าทางอ่อนลงต่อวิน หลายวันมานี้คนเป็นสามีเฝ้าบอกว่าควรตั้งสติ คนที่จะตัดสินวินได้มีเพียงแค่มายด์ลูกชายของเธอเท่านั้น อีกอย่างวินเองก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นหลายต่อครั้ง แม้ในใจมันจะยังโกรธเคือง แต่ก็หลีกหนีความจริงประการสำคัญไปไม่ได้เช่นกัน

คนเป็นพ่อเป็นแม่ทรมานใจเพราะลูกสุดที่รักเช่นใด

อาการทุกข์ทนของวินก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย

“เรียบร้อยแล้วครับม้า”

“ม้าเขาให้คนที่บ้านทำข้าวต้มปลามาเผื่อ วินเก็บไว้กินเย็นนี้แล้วกัน”

“ขอบคุณมากนะครับ” คำพูดของป๊าทำให้วินหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก เขายกมือไหว้ขอบคุณอย่างที่คนคนหนึ่งควรกระทำ มันไม่ใช่เพียงเรื่องอาหารในกล่องเท่านั้น แต่มันรวมถึงตลอดเวลาที่ผ่านมา

ครอบครัวของมายด์ปฏิบัติกับเขาดั่งสมาชิกคนหนึ่งมาตลอด ที่ผ่านมาถึงวินจะทำอะไรขัดใจคนมีอายุมากกว่าไปบ้าง ทั้งเรื่องความเหมาะสม เรื่องเงิน เรื่องบ้าน เรื่องงาน แต่พวกท่านก็พยายามทำดีกับเขา จนกระทั่งรอยร้าวครั้งสำคัญเมื่อคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ วินเข้าใจและอยากจะขอบคุณที่ให้โอกาสคนอย่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

ทั้งที่เขาไม่มีอะไรเทียบเท่ากับมายด์เลย

ทั้งที่เขาไม่สมควรจะอยู่เคียงข้างมายด์ด้วยซ้ำ

“เป็นไงบ้างลูก ไม่อยากตื่นมาคุยกับม้าเลยเหรอ ตื่นสายเกินไปแล้วนะครับคนเก่ง” คนเป็นแม่ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของลูกพร้อมรอยยิ้มระคนเศร้า เธอกวาดสายตามองตัวลูกชายแล้วจุกไปทั้งอก น้ำตาใสรื้นขึ้นมาจนคนเป็นสามีต้องเข้าไปโอบกอดเธอไว้จากด้านหลัง เพราะอ่อนไหวแบบนี้สุธีจึงไม่อยากให้ภรรยาอยู่เฝ้าลูกทั้งวันทั้งคืน เดี๋ยวจะกลายว่าป่วยซ้ำป่วยซ้อนไปกันใหญ่

“ลูกเราเก่งจะตาย คงพยายามหาทางตื่นอยู่ ใช่มั้ยมายด์” คนทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าลูกชายตนกำลังพยักหน้าหงึกหงักตอบคำถามอยู่ วินวางข้าวของที่รับมาลงกับโต๊ะกลางและเดินวนไปนั่งที่โซฟา มายด์เดินเข้าใกล้บุพการีจนเชือกที่ขาขึงขึ้นพร้อมสีน้ำเงินแจ่มชัด

“มายด์พยายามอยู่ครับป๊าม้า มายด์พยายามอยู่...” เสียงของมายด์ค่อยเบาลงเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าไม่มีใครได้ยินเสียงของเขา คนเคยพูดทุกสิ่งกำลังจมดิ่งลงไปในภาวะที่อึดอัดเกินทน น่าสงสัยเหมือนกันนะว่าวินทนเงียบมาได้ยังไงตลอดชีวิต

“วิน”

“ครับป๊า”

“เราไปคุยกับข้างนอกสักหน่อยมั้ย”

“ครับ” วินดันตัวเองขึ้นจากโซฟา แต่คงเพราะเขาลุกขึ้นยืนเร็วไปหน่อยจึงรู้สึกจุกขึ้นมาในอกจนตัวแทบเซ เขาลากมือลงมาตามแนวกระดูกหน้าอกและตบแรงลงไปบริเวณลิ้นปี่เพียงครั้ง ก่อนจะเดินตามหลังสุธีออกไปก้าวต่อก้าว

“ช่วงนี้งานวินเป็นไงบ้าง” บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นระหว่างทางเดิน คนอายุเยอะกว่าทอดน่องเดินช้าจนวินต้องทิ้งระยะขาตามไปด้วย ส่วนดวงจิตของมายด์ก็ต้องติดตามรับรู้ทั้งที่ควรจะเป็นการพูดคุยของคนสองคน

“งานที่รับไว้หมดคิวพอดีครับป๊า ผมก็เลยขอพักหยุดงานก่อน” วินตอบไปตามความจริง คนฟังพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้หันมาสบตาคู่สนทนา

“แล้วคิดจะกลับไปทำงานเมื่อไหร่”

“ผมคงรอให้มายด์หายเป็นปกติก่อนครับ” สุธีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเดินต่อไปกระทั่งหยุดที่จุดชมวิวเมืองของโรงพยาบาล

“อืม แล้วถ้ามันต้องใช้เวลาล่ะ”

“ป๊าหมายถึง...” วินก้าวไปหยุดยืนข้างชายสูงวัย เขาทอดสายตามองความวุ่นวายของสังคมเมืองเบื้องล่างเพื่อขจัดความคิดวุ่นวายสับสนของตน การเกริ่นบทสนทนาเช่นนี้ไม่ดีกับใจของเขาสักเท่าไหร่นัก

“วินจะไม่มีปัญหาเรื่องเงินใช่มั้ย ต้องผ่อนทั้งบ้านทั้งรถไม่ใช่เหรอ” สุธีถามด้วยความเป็นห่วงอย่างสัตย์จริง รถราคาถูกและบ้านหลังนั้นวินไม่ยอมรับเงินของสุธีสักแดง ทั้งที่มูลค่าของมันรวมกันยังไม่เท่ากระเป๋าใบเดียวที่ภรรยาของเขาถือเข้างานสังคมด้วยซ้ำไป

“ตอนนี้ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาครับ”

“อยากให้ป๊าช่วยมั้ย”

“ไม่ครับ”

“ถ้างั้น… ป๊าอยากให้วินกลับไปใช้ชีวิต กลับไปนอนที่บ้าน กลับไปทำงาน” สุธีหันมองวินด้วยสายตาหนักแน่น ทว่าวินกลับมีสายตาที่หนักแน่นยิ่งกว่า

“ผมอยากอยู่”

“หึ ติดนิสัยเอาแต่ใจมาจากเจ้ามายด์แล้วรึไง” คนเป็นพ่อแค่นหัวเราะอย่างไม่รื่นหูนัก ใบหน้าเหี่ยวย่นเรียบนิ่งและถอนหายใจระลอกใหญ่ออกมา

“ป๊ามีอะไรมากกว่านี้ใช่มั้ยครับ”

“ป๊าแวะคุยกับหมอมาแล้วนะ หมอยืนยันว่าการรักษามายด์ทำได้แค่ประคองแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนด ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้”

“แล้ว...” วินอึกอักเหมือนคนพูดอะไรไม่ถูก เขามองแผ่นหลังของสุธีคล้ายรอฟังประโยคถัดไปด้วยอารมณ์พรั่นกลัว

“ป๊าคุยกับม้าว่าถ้าเกินสัปดาห์นี้มายด์ยังไม่ดีขึ้นจะย้ายโรงพยาบาล ลองดูกันอีกสักตั้ง แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ … เราอาจต้องปล่อยมายด์ไป” สิ้นคำของผู้เป็นพ่อซึ่งมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจวินก็ไม่พูดคำใดออกมาอีก เขาพยักหน้ารับทั้งที่ดวงตาคมสั่นระริก หัวใจของเขาชาดิกจนปวดร้าวไปถึงไหล่ซ้าย วินทิ้งตัวพิงไปกับกำแพงเหมือนคนกำลังจะหมดแรง สองขาสองมือพยายามยันตัวเองเอาไว้ทั้งที่ภาพในดวงตาเริ่มพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา

“ผมขอโทษ” วินก้มหน้าพูดเสียงสั่น สุธียกมือตบไหล่วินเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ส่วนคนต้นเหตุอย่างมายด์นั้นตกอยู่ในความเงียบเพียงลำพัง ไม่มีคำพูดใจเอื้อนเอ่ยออกมาทั้งที่มีเรื่องราวมากมายอยู่ในหัว การฆ่าตัวตายไม่ใช่เพียงทำร้ายตัวเอง แต่มันกำลังทำร้ายทุกคนรอบตัวจนคนตัดสินใจมีความผิดมากขึ้นเป็นทวีคูณ

“ฟังป๊านะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วินต้องเดินไปข้างหน้า ป๊าจะไม่สนใจว่าที่ผ่านมาระหว่างวินกับมายด์มันเกิดอะไรขึ้น ป๊าไม่ถามอีกแล้วว่าเพราะเหตุผลอะไรมายด์ถึงต้องตัดสินใจแบบนั้น เราทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างลืมมันไปเถอะ”

“ทำไม...”

“วันนี้วินคืนลูกชายให้ป๊าได้เลย ป๊ามารับมายด์คืนแล้ว วินไม่ต้องรู้สึกผิด คืนมายด์ให้ป๊านะวิน” วินส่ายหน้าแรงและกำมือแน่น กลุ่มน้ำตาถูกจิตใต้สำนึกกักเก็บเอาไว้เพียงภายใน เขาเงยมองคนร้องขอด้วยใบหน้าหมดอาลัยในชีวิต ริมฝีปากหนาถูกแผงฟันกัดแน่นจนช่วงปากบิดเบี้ยว ที่น่าสมเพชเวทนาที่สุดคงจะเป็นดวงตาเลื่อนลอยกลอกไปมาอย่างคนไม่มีจุดหมาย

“มายด์ไม่ใช่สิ่งของ” คำพูดเทิ้มมันสะเทือนอารมณ์คนทั้งสองและหนึ่งดวงจิต คนเป็นพ่ออ้าแขนรวบตัววินเข้าไปกอดอย่างที่ไม่เคยทำ วินทิ้งตัวพิงไปกับคนที่เขาเรียกตามมายด์ว่าป๊าอย่างไม่นึกอาย ระหว่างที่มายด์กำลังรู้สึกเหมือนโดนลงโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นว่าชะตากรรมความเจ็บปวดของทุกคนมีเขาเป็นผู้กำหนด แล้วตัวต้นเหตุอย่างเขาจะรู้สึกอย่างไรได้ นอกเสียจากรับความทรมานจากทุกคนเข้ามาสุมเอาไว้ในอก

“ป๊ารู้ว่ามายด์ไม่ใช่สิ่งของ”

“ผมไม่ให้… ผมไม่คืน… มายด์เป็นของผม ผมอยากดูแลมายด์”

“ป๊าพยายามทำเพื่อมายด์นะ มายด์คงไม่อยากให้วินเหนื่อยอยู่แบบนี้”

“ผมอยากเหนื่อย ป๊าจะพามายด์ไปรักษาที่ไหนก็ได้ หรือถ้าป๊ากับม้าไม่ไหว ช่วยปล่อยมายด์ไว้กับผม… แต่ผมไม่คืนให้ ผมไม่มีทางคืนมายด์ให้ป๊า” คนโตกว่าลูบศีรษะปลอบวินทั้งที่ตนต้องแหงนหน้าเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

“อย่าทำให้ป๊าลำบากใจเลย ตัดกันให้ขาดเถอะนะวิน”

“ไม่ ผมไม่ให้”

“...”

“ชีวิตผมจะพังแค่ไหนก็ได้ บ้านถูกยึด รถไม่มีขับ ผมรับได้ แต่ผม… ผมไม่มีมายด์ไม่ได้”

“วิน ชีวิตทุกคนย่อมมีวันเปลี่ยนแปลงนะ”

“ป๊าอย่าพูดแบบนี้กับผม ผมไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง ผมไม่พร้อมที่จะเสียใครไปอีกแล้ว… ไม่”

“...”

“ผมเป็นคนผิด ผมดูแลมายด์ไม่ดี เป็นผมเองที่เลว ผมทำให้มายด์ต้องเป็นแบบนี้... แต่ผมไม่คืนมายด์ให้ป๊า”

“ป๊าไม่ได้พูดให้วินโทษตัวเองนะ”

“ขอร้องล่ะครับ... ให้ผมมีสิทธิ์ได้รับผิดชอบมายด์บ้างก็ยังดี”

“วินไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ป๊าไม่อยากให้วินต้องมาพะวงเรื่องมายด์อีก ใช้ชีวิตต่อไปเหมือนตอนที่วินไม่มีมายด์ อย่ากังวล อย่าโทษตัวเอง ป๊าไม่รู้ว่ามายด์จะฟื้นหรือเราจะรั้งมายด์ไว้ได้สุดสายป่านสักแค่ไหน อาจจะพรุ่งนี้ วันมะรืน หรือต้นชั่วโมงหน้า ...แต่วันนี้วินต้องคืนมายด์ให้ป๊า คืนอิสระให้ตัวเองเถอะนะ”

“มายด์… วินไม่คืน” วินผละตัวออกจากอ้อมกอดที่ไม่เชิงว่าอบอุ่น เขาอ้าปากงับลมดั่งคนพยายามควบคุมลมหายใจตนเอง ใบหน้าคมซีดเผือดขาดสีเลือด สุธีขมวดคิ้วมองวินอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น เขาคว้าช่วงแขนของคนหนุ่มเอาไว้แทบจะทันทีเมื่อเห็นว่าวินเริ่มยืนไม่ตรง

“วิน! วิน!” เสียงเรียกไม่อาจเข้าสู่โสตประสาทของเจ้าของชื่อได้อีก ร่างกายซีกซ้ายชาวาบจนไม่อาจควบคุมการทรงตัว วินทรุดฮวบลงกับพื้นเพราะคนอายุมากกว่าไม่มีแรงพอที่จะรั้งเอาไว้ ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีเมื่อสุธีเริ่มโหวกเหวกเรียกหาความช่วยเหลือ ดวงตาของวินไม่ได้ปิดลงในทันทีทั้งที่ร่างกายวูบล้มราวกับไฟกระชาก เขาทอดสายตามองออกไปในทิศทางหนึ่งจนกระทั่งมีลมวูบใหญ่กระแทกเข้าหน้า สติสัมปชัญญะที่ถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัดถูกสั่งให้พักผ่อนโดยที่เจ้าของร่างไม่ได้เต็มใจ

“วิน… คิดจะแกล้งให้มายด์ใจเสียรึไง” แม้ในโลกความเป็นจริงจะดูยุ่งเหยิงเพราะร่างกายหนึ่ง แต่ในโลกเดียวดายของมายด์ทุกสิ่งกลับหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เมื่อครู่ดวงตาคู่นั้นสบมองตัวเขาราวกับมองเห็นกัน สายตาอ้อนวอนร้องขอซึมลึกเข้าไปในจิตใจพังๆ หัวใจของมายด์เต้นระส่ำอย่างคนหวาดกลัว บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม แต่มายด์อยากให้วินทิ้งเขาไว้ตรงนี้เหลือเกิน อยากให้วินกลับไปและไม่ต้องหันมองเขาอีกเลย

.

เวลาของมายด์ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อร่างกายของวินปกป้องตัวเองด้วยการชัทดาวน์อย่างไม่ฟังคำสั่ง ร่างสูงทอดตัวนอนในท่าทางที่ถูกพยาบาลจัดไว้ ชายหนุ่มหลับสนิทหลังตื่นขึ้นมาเอ่ยความประสงค์ของตนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เขาไม่ต้องการตรวจอะไรเพิ่มเติมนอกจากรักษาอาการอ่อนเพลียตามสภาพ และไม่ว่าหมอจะเอ่ยเตือนเรื่องความเหนื่อยล้าของร่างกายสักแค่ไหน วินก็ยังยืนยันที่จะนอนพักบนเตียงคนไข้แค่ช่วงเวลารอน้ำเกลือหมดขวดเท่านั้น

หลับสนิทในรอบหลายวัน

แต่นั่นไม่ใช่เพราะใจต้องการ

เขาหลับด้วยฤทธิ์ยา

เขาหลับเพราะถูกร่างกายสั่งให้พัก

มายด์นั่งอยู่กับพื้นด้านล่างเตียงให้ยามานานพอๆ กับที่วินพัก ในสมองของเขาคิดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย วินเป็นคนแข็งแรง ทำงานหามรุ่งหามค่ำก็ไม่เคยปริปากบ่น ตั้งแต่คบกันมานอกจากไข้หวัดหรืออาหารเป็นพิษเล็กๆ น้อยๆ วินก็ไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยอื่นใดแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงระยะหลังเท่านั้นที่มายด์เห็นวินกินยาบำรุงก่อนนอนบ่อยๆ

“เขาเป็นยังไงบ้างครับคุณพยาบาล...เอ่อ นายธาวินน่ะ” ป๊าของมายด์ชะโงกหน้าผ่านช่องกระจกเข้ามาโดยมีภรรยายืนอยู่เคียงข้าง พยาบาลสาวใหญ่ละงานในมือและรีบเดินไปตอบคำถามคนทั้งคู่ตามหน้าที่ ขณะเดียวกันมายด์ก็ขยับเดินเข้ามารอฟังเท่าที่ระยะพันธนาการจะทำได้

“ตอนนี้หลับเพราะยาที่คุณหมอให้ค่ะ ถ้าตื่นแล้วไม่มีอาการแทรกซ้อน คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

“อืม ขอบคุณครับ”

“เป็นญาติคนไข้ใช่มั้ยคะ”

“ไม่เชิงหรอก” คนเป็นแม่ตอบคำถามนี้ด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม สุธีเห็นภรรยาพูดได้ไม่เต็มปากก็แตะศอกปรามก่อนจะหันไปตอบพยาบาลด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่า

“พอดีเขาเป็นคนรักลูกชายผมน่ะครับ มีอะไรรึเปล่า”

“อยากจะให้ช่วยเกลี้ยกล่อมคนไข้หน่อยน่ะค่ะ วันนี้คุณหมอค่อนข้างกังวลในอาการ สละเวลามาตรวจสุขภาพสักครั้งก็ยังดี”

“ครับ” สุธีรับคำและหันมองภรรยาคล้ายมีความรู้สึกบางประการเหมือนกัน ขณะเดียวกันนั้นดวงตาของมายด์ก็สลดลงหลังรับฟังสิ่งที่ออกมาจากปากหญิงชุดขาว มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงตอนที่วินยืนกรานกับหมอว่าจะไม่ตรวจและไม่เข้าเป็นผู้ป่วยในอย่างเด็ดขาด

“ความดันต่ำมาก ชีพจรค่อนข้างเร็วแต่เบา อาการคุณน่าเป็นห่วงมากนะ จะไม่ให้ผมตรวจมากกว่านี้จริงๆ เหรอ”

“ผมไม่เป็นไร ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วครับ”

“นอนพักดูอาการสักคืนดีมั้ย”

“ผมขอนอนพักแค่รอน้ำเกลือขวดนี้หมดครับ”

“คุณธาวิน การล้มทั้งยืนของคุณมันไม่ใช่เรื่องดี ผมว่าคุณควรจะซีเรียสกับเรื่องนี้ ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรไปขึ้นมามันจะไม่ทันการ”

“ผมไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ ถ้าผมตายแล้วใครจะดูแลแฟนผม… หึหึ”


มายด์รู้ว่ารอยยิ้มของวินในวินาทีนั้นมันไม่ใช่เรื่องขบขัน เสียงหัวเราะหึหึในลำคอ และยิ้มเศร้าบนใบหน้าคนที่ไม่เคยยิ้มมันเป็นเรื่องเลวร้ายที่ตัวเขาเองไม่อาจคาดเดา ถ้ายังมีปากที่ออกเสียงได้ ป่านนี้เขาคงจะบ่นวินจนหูชาที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งหมอ แต่ในเมื่อทำเช่นนั้นไม่ได้มายด์จึงได้แต่รับรู้และเก็บความคิดทุกอย่างเอาไว้กับตัว

นี่ไม่ใช่มายด์คนเดิมเลย

เป็นอะไรไปมายด์

เป็นห่วงวินงั้นเหรอ

เป็นห่วงเป็นกังวลเพราะคนที่ทำให้ฆ่าตัวตายงั้นสินะ

“มาล้มตึงเป็นภาระให้เราจนได้ เหอะ”

“คุณนิตย์ จะให้ผมปรามคุณอีกกี่ครั้ง”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ แค่รู้สึกว่าวินไม่สมควรมาอ่อนแอในเวลาแบบนี้ เราเป็นพ่อเป็นแม่ยังต้องเข้มแข็งเพื่อรอมายด์กลับมา แต่นี่อะไร...”

“แล้วลูกเราเป็นภาระของเขามานานเท่าไหร่แล้ว” นี่ประโยคสุดท้ายที่มายด์ได้ยินหลังผู้ให้กำเนิดเดินคล้อยหลังไป ตัวของเขาเบาหวิวจนลอยขึ้นอย่างไร้น้ำหนักเมื่อได้ยินประโยคเสียดแทงใจเช่นนั้น ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อวินทวีคูณเสียจนความโกรธหายไปจากสมอง มีแค่ความรู้สึกย่ำแย่ที่มีให้ตนเองจนอยากจะกรีดร้องระบายความอึดอัดออกมา

แต่มายด์ทำไม่ได้

การแสดงออกไม่ใช่หนทางที่จะทำได้เช่นเดิม

“มายด์เป็นภาระของวินเสมอเลยใช่มั้ย เหนื่อยมากมั้ยวิน” ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างวินบนพื้นเตียงที่ยังว่าง ดวงจิตผู้เจ็บปวดตะแคงมองใบหน้าหลับสนิทของคนที่รู้สึกรักอยู่เต็มอก หยดน้ำตาไหลออกมาเมื่อมายด์หวนนึกถึงภาพความคิดในมุมมองของคนที่ไม่เคยได้พูดออกมา

สิ่งที่วินคิด

สิ่งที่วินทำ

และสิ่งที่ตัวมายด์นั้นมองข้ามไป

“ถ้าวินไม่คืนมายด์ให้ป๊า งั้นมายด์ขอคืนทุกอย่างให้วินได้มั้ย”



Talk

มาแย้วจ้า มาช้าแต่มาชัวร์ 5555555555555 มีใครถือเปลือกทุเรียนมาดักตีหัวเราแถวนี้มั้ย 55555555 

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ทุกวิวมาล่วงหน้า ณ ที่นี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 11 23/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: jin_kazu ที่ 24-02-2019 09:50:17
‪ต่างคนต่างขาดกันไม่ได้ จนสงสัยเลยว่าอะไรทำไมมายด์ถึงตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป‬
อ่านตอนนี้แล้วเศร้า ฮือออ วินห้ามตายนะ ~ T^T
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 11 23/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-02-2019 10:00:08
เป็นห่วงสุขภาพวินอะ อย่าเป็นอะไรไปอีกคนเลยนะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 11 23/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 26-02-2019 23:31:29
มายด์อย่าเพิ่งถอดใจนะ
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 11 23/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-11-2019 19:45:29
 :pig4:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: ◢7REASONS◣ เจ็ดเหตุผลของผมคือคุณ |บทที่ 11 23/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 21-11-2019 20:00:14
 :sad4: