พิมพ์หน้านี้ - << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: มากมายด์ ที่ 29-12-2018 21:04:58

หัวข้อ: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 29-12-2018 21:04:58
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




(https://uppic.cc/d/Kbrs)


วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมกลับมาจากที่ทำงาน วันที่แสนเหนื่อยก็อยากจะพักผ่อน
ไม่ทันเอนตัวลงนอนก็พบว่า แมวของผมหายไป!!
.
เจ้าอ้วนตัวสีส้มที่ชอบนอนกลิ้งอยู่ที่มุมห้องหายไป!!

     _____________________________


วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมก็ทำขนมอัดคลิปเตรียมลงเว็บเฉกเช่นที่ทำทุกสัปดาห์
ไม่ทันจะอัดคลิปเสร็จก็พบว่า แมวมาจากไหนไม่รู้!!
.
เจ้าอ้วนตัวสีส้มเดินวนเวียนอยู่แถวมือผมราวกับมันได้กลิ่นหอมหวานบางอย่าง!!







 **จะพยายามอัพวันเว้นวันค่ะ**
พูดคุยกันได้ในทวิต

    #แมวอยู่กับผม   
                   



<< ย้ำอีกครั้ง นิยายเรื่องนี้เป็น ชายรักชาย นะคะ ^^>>
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
 ชื่อ สถานที่ และเหตุการณ์เป็นเรื่องสมมติ
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า? >>
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 29-12-2018 21:06:44
บทนำ


         
                   ชายหนุ่มเช็คกล้องเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อตรวจเช็คแน่ใจว่ากล้องเริ่มทำงานของมันแล้ว ก่อนจะหันมาหยิบอุปกรณ์เครื่องครัวรวมทั้งวัตถุดิบต่างๆ และเริ่มลงมือทำอาหาร

             ปกติเขาจะถ่ายคลิปทำอาหารง่ายๆ แล้วอัพโหลดลงยููทูปทุกวันอาทิตย์และพฤหัส วันอื่นเๆ เขาจะทำเค้กส่งตามร้านกาแฟที่เขาเอาไปฝากขาย รวมถึงทำเค้กตามออเดอร์ที่มีคนสั่งมาผ่านไอจี เขาเปิดไอจีขายขนมเค้กตามสั่งมาได้ปีกว่าแล้ว รายได้ก็ถือว่าดีระดับนึงพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โชคดีที่ที่บ้านเขาฐานะปานกลางเลยไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอะไรมากนัก หากไม่ใช้ฟุ่มเฟือย   
                               
             เมื่อทำไปสักพักก็นำแป้งเค้กเข้าเตาอบ เอาเข้าไปได้ไม่ถึงสิบนาทีดี จู่ๆ มีแมวอ้วนตัวสีส้มโดดขึ้นมาบนโต๊ะ บังหน้ากล้องพอดี

             แมว?? มาจากไหน?? ชายหนุ่มได้แต่คิดแล้วสงสัย ก่อนจะหันไปพูดกับเจ้าแมว

             “ไง เจ้าแมวอ้วน มาจากไหนน่ะเรา”

             “….”

             แมวอ้วนได้แต่ชายตามองนิดๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางไม่สนใจชายหนุ่มที่ชวนคุย

             “เอ่อ...ยังไงคุณแมวช่วยหลบไปหน่อยได้ไหมครับ มันบังกล้องน่ะ” ไม่ว่าเปล่าชายหนุ่มชี้มือไปยังหล้องที่อยู่ด้านหลังเจ้าแมวตัวนั้น เจ้าแมวหหันไปมองชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปมองกล้องตามมือที่ชี้ แต่แล้วก็ล้มตัวลงนอน ไม่สนใจสิ่งใดๆ

             พูดเพราะด้วยก็แล้ว ยังจะไม่ขยับอีก ...ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แล้วเดินเข้าไปหวังจะอุ้มแมวตัวดังกล่าวออกจากบริเวณหน้ากล้อง

             เจ้าแมวหันมามองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาตน แต่ก็ได้แต่นอนนิ่งเฉยๆ ปล่อยให้ชายหนุ่มยกตัวเองขึ้นมา แถมยังคลอเคลียกับมือของชายหนุ่มเมื่อเขาปล่อยตัวแล้วอีกด้วย

            น่าแปลก...ตามนิสัยแมวไม่น่าจะยอมให้เขาอุ้มง่ายๆ แถมนี่ยังมาคลอเคลียมือเขาอีก...

             ชายหนุ่มไม่สนใจ น้องแมวแล้วหันกลับมาทำสิ่งที่ค้างไว้ต่อ นั่นคือทำครีมที่จะใช้ทำเค้ก

             เขาหยิบไข่ขึ้นมาก่อนจะตอกไข่ด้วยมือเดียว

            เสียงตอกไข่เรียกให้เจ้าตัวอ้วนสีส้มที่นอนอยู่บนโต๊ะไม่ห่างนั้นหันมามองทันทีด้วยความสนใจ จากที่นอนอยู่ด้วยความสบายใจก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อย่างกับหวังจะได้เห็นได้ชัดขึ้นว่ามนุษย์กำลังทำอะไรอยู่

            ชายหนุ่มที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหาร เลยไม่ทันสังเกตุว่าน้องแมวตัวดังกล่าวเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งจมูกแมวลงมาฟุดฟิดๆ ใกล้ๆ มือเขานั่นแหละเขาถึงรู้ตัว

             “นี่!! มันยังไม่เสร็จนะ ยังกินไม่ได้นะ!!” เข้าดุอย่างไม่จริงจังนักพลางยกชามที่ผสมออกให้ห่างแมวยิ่งขึ้น แล้วหันไปอุ้มเจ้าแมวไปวางทีเดิม

             ไม่ถึงห้านาที เจ้าแมวก็คงเดินกลับไปป้วนเปี้ยนแถวมือเขาต่อ เขาได้แต่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะปล่อยมันไป ปล่อยให้มันเดินป้วนเปี้ยนไปนั่นแหละ ส่วนเขาก็ทำได้แค่มุ่งหน้าทำอาหารต่อ โดยคอยหลบเจ้าแมวซุกซนเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ขนแมวลงไปในอาหาร

             ผ่านไปไม่นานเค้กก็อบเสร็จเขาถึงเริ่มลงมือแต่งหน้าเค้ก เจ้าแมวตัวนั้นก็ยังสนใจเขามองเขาไม่วางตา จนกระทั่งแต่งหน้าเค้กเสร็จ เขาก็หันไปพูดกับกล้องก่อนจะปิดกล้องเจ้าแมวก็เดินมาที่กล้องทันทีอย่างกับรู้จังหวะ

             เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นเรียกความสนใจจากชายหนุ่ม เขาจึงรีบเดินไปเปิดประตูทันทีไม่ให้อีกฝ่ายต้องรอนาน ก่อนจะพบชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก้มหน้าก้มตาพูดขึ้นว่า

             “ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า?”
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า? >>
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 29-12-2018 21:33:55
บทที่ 1 : แมวของผม...ติดกับเข้าซะแล้ว






                เมื่อผมกลับมาถึงห้องผมก็พบเจ้าแมวสีขาวนอนกลิ้งอยู่บนเตียง

                “เจ้าไข่ขาว เจ้าไข่แดงไปไหนหรอ”
     
                “เมี๊ยว~” ไข่ขาวตอบรับเล็กน้อยก่อนจะหันไปนอนต่ออย่างไม่สนใจอะไร

                 ผมได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเจ้าเหมียวที่นอนสบายอยู่บนเตียงผม ก่อนจะออกเดินตามหาเจ้าเหมียวอีกตัวตามห้องต่างๆ แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าจะไปหาตามห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น หรือตามซอกตู้ต่างๆ ผมก็ยังหาเจ้าแมวอ้วนตัวส้มไม่เจอ

                  “หายไปไหนของเขานะ” ผมได้แต่บ่นออกมาเล็กน้อยก่อนจะะหันไปเห็นประตูกระจกของระเบียงเปิดอยู่ ผมรีบเดินไปยังบริเวณนั้นในใจคิดว่าต้องเจอเจ้าตัวซนนอนกลิ้งอยู่แถวต้นกัญชาแมวแน่ๆ แต่แล้วผมก็ผิดหวังเพราะบริเวณนั้นไม่มีแมวอยู่สักตัว....

             อ่า....เจ้าอ้วนไปไหนกันแน่เนี่ย?? ผมเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ซะแล้ว ปกติเจ้าสองตัวนี้ถึงจะซุกซนแค่ไหนผมก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีตามหาเจอ แต่ครั้งนี้ผมหามาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว หาทุกที่ในห้องนี้แล้วก็ยังไม่เจอเจ้าไข่แดงแมวอ้วนสีส้มของผม

             “ไม่ตลกแล้วนะ เจ้าไข่แดง อยู่ไหน? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่เล่นแล้วนะ”

             “….”

             แม้ผมจะตะโกนเรียกตามหา แต่ก็ยังคงได้รับความเงียบเป็นคำตอบ
   

             “เจ้าไข่แดง!! อยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ!! ถ้าไม่ออกมาวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นนะ!!”

             “เมี๊ยว~” เสียงแมวร้องทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาทันที จึงรีบหันไปมองต้นเสียง แต่กลับพบกับเจ้าแมวสีขาวตัวเดิมไม่ใช่เจ้าแมวที่ตาม ใจของผมก็วูบหายไปอีกครั้ง หายไปไหนของเขานะ?

             ไม่นานนักผมก็ได้กลิ่นหอมลอยมาจากระเบียง มันเป็นกลิ่นของเนย เป็นกลิ่นที่หอมมากๆ ทันใดนั้นเองผมก็เดาได้ว่าเจ้าแมวอ้วนของผมนั้นน่าจะไปอยู่ที่ไหน

             “เจ้าแมวตะกละเอ๊ย!!”

             ผมอุ้มแมวสีขาวที่เดินป้วนเปี้ยนไปมาในห้องก่อนจะใส่รองเท้าเดินออกไปยังห้องที่ส่งกลิ่นหอมนั้น ผมไม่กล้าปล่อยเจ้าไข่ขาวให้นอนอยู่ห้องคนเดียว กลัวว่ามันจะหายไปแบบเจ้าไข่แดงอีก ถึงแม้มันจะเป็นแมวที่ชอบอยู่เฉยๆ ต่างกับเจ้าแมวอ้วนที่ชอบซุกซนก็เถอะ แต่วินาทีนี้ผมไม่สนใจแล้ว ผมไม่อยากเหนื่อยออกตามหาอีกถ้ามันจะหายไปอีกตัว

             ผมเดินมายังห้องที่อยู่ทางซ้ายมือของผมซึ่งเป็นห้องเจ้าของกลิ่นหอมนั่น ก่อนจะลงมือกดกริ่งห้องด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็อุ้มเจ้าไข่ขาวไว้

             กดไปอยู่สองสามครั้ง ผมกลับมาอุ้มเจ้าไข่ขาวด้วยสองมือเหมือนเดิม เพียงไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออก ผมรีบถามด้วยความรวดเร็วโดยยังไม่ได้เงยหน้ามองเจ้าของห้อง

             “ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า?”

             “ครับ?”

             “อ่า...แมวของผมน่ะครับ หน้าตาคล้ายๆ ตัวนี้ แต่ขนเป็นสีส้ม ส่วนขนตรงท้อง จมูก กับขา เป็นสีขาว” ผมพูดพลางยื่นเจ้าไข่ขาวไปให้คนตรงหน้าดูใกล้ๆ

             ตอนนั้นเองที่ผมเห็นคนตรงหน้าอย่างเต็มๆ ตา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมายิ้มให้กับเจ้าไข่ขาวพอดี

             น่ารัก....คือคำเดียวที่ลอยขึ้นมาในหัวของผมตอนนี้ รอยยิ้มของคนตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกหน้าขึ้นสีเล็กน้อย...ผมจะเขินทำไมก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่เขายิ้มให้กับแมวของผม ไม่ใช่ผมสักหน่อย

             “แมวของคุณอยู่ในห้องผมครับ”

             “คะ..ครับ?”

             เสียงของอีกฝ่ายเรียกสติของผมให้หลุดออกจากภวังค์

             “แมวสีส้มของคุณน่ะอยู่ในห้องของผม”

             “อ่า...ครับ ขอบคุณครับ”

             “…..”

             “…..”

             แล้วก็เดิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเรา...

             “เออคุณจะเข้ามาในห้องก่อนไหมครับ” เขาพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเราสองคน ผมรีบตอบรับทันที

             “ครับ ขออนุญาตนะครับ”

             เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ผมหันไปมองรอบๆ รูปแบบห้องนั้นไม่ต่างจากห้องผมเลย เพียงแต่งเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ของเขาเป็นไม้สีอ่อน โทนห้องไปในแนวสีขาวเทาอ่อน ต่างกับของผมที่จะไปในโทนสีเทาเข้มไม่ก็ดำ เดินไปไม่กี่ก้าวผมก็เห็นเจ้าแมวอ้วนของผมนอนอยู่บนโต๊ะบริเวณห้องครัว ดวงตาไม่ได้มองผมที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องแม้แต่น้อย แต่สายตาของมันกลับจ้องเค้กปอนด์ที่วางอยู่ไม่ห่างจากตัวมัน

             “เจ้าอ้วน!!” ผมตะโกนเสียงดังขึ้นนิดหนึ่งก่อนเจ้าตัวถูกเรียกจะหันมาหาผมด้วยความสงสัย ละสายตาจากเค้กที่อยู่ข้างตัวด้วยท่าทางหงุดหงิด ราวกับว่าผมไปขัดจังหวะความสุขของมัน

             “เอ่อ...แมวของผมไม่ได้มาสร้างความเดือนร้อนให้คุณ หรือสร้างความเสียหายใช่ไหมครับ” ผมหันไปถามเจ้าของห้องที่กำลังเดินเข้ามาในห้องตามหลังผม

             เขายกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วหันไปหาเจ้าตัวอ้วนที่นอนอยู่ตรงนั้น

             “ไม่เลยครับ มันแค่เดินไปเดินมาแต่ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร”

             พูดแล้วก็ยังไม่หยุดยิ้ม แถมยังทำสายตาอ่อนโยนให้กับเจ้าแมวที่นอนอยู่ด้วย  ทำเอาผมหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง อยากบอกคนตรงหน้าเหลือเกิน อย่ายิ้มได้ไหม รอยยิ้มของเขาพลังทำลายล้างยิ่งกว่าที่คิดนะ!! เขารู้ตัวบ้างไหมเนี่ย?!

             “ยังไงผมก็ขอโทษด้วยนะครับ ที่แมวของผมมารบกวน...ผมไม่รู้เลยว่ามาที่นี่ได้ยังไง” ผมพยายามก้มหน้าหลบสายตาของคนตรงหน้า ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังหน้าแดงขนาดไหน

             “นั่นสิ ผมก็แอบสงสัยอยู่ว่ามันมาจากไหน?”

             “เมี๊ยว?!”

             ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อเสียงร้องจากเจ้าตัวเจ้าปัญหาก็ดังขึ้น เหมือนมันพยายามจะเรียกร้องความสนใจ ก่อนที่มันจะหันไปทางเค้กก้อนโตอีกครั้ง อ่า....มันคงไม่ได้เรียกร้องความสนใจหรอก คงอยากถามว่าเค้กก้อนนี้กินได้รึเปล่าต่างหาก!! แต่เมื่อเห็นเค้กผมก็นึกได้ทันทีว่าเจ้าแมวอ้วนตัวนี้มาห้องนี้ได้ยังไง

             “ผมนึกออกแล้วครับ ผมเดาว่าเจ้าอ้วนต้องมาจากทางระเบียงแน่เลย เพราะระเบียงห้องผมเปิดอยู่ มันคงได้กลิ่นเค้กของคุณเลยตามกลิ่นมา”

             “อ่า...น่าจะใช่แฮะ เพราะผมก็ไม่ได้ปิดประตูระเบียง”

              ด้วยความที่ห้องของพวกเราอยู่ชึ้นหก จึงแทบไม่ต้องกลัวเรื่องแมลงต่างๆ จะเข้ามา เพราะห้องเราอยู่สูงเกินกว่าแมลงจะบินเข้ามาในห้อง หลายครั้งผมก็เผลอเปิดระเบียงทิ้งไว้ อีกทั้งจากระเบียงห้องของพวกเรามีระยะทางที่เป็นช่องว่างประมาณหนึ่งเมตร มีกำแพงกั้นไม่ให้เห็นห้องข้างๆ แต่ตรงปลายระเบียงก็มีพื้นที่เล็กๆ กว้างไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตรที่ไม่มีกำแพงกั้นซึ่งเป็นระยะที่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากแมวจะกระโดดมายังระเบียงห้องตรงข้างๆ
     
                  “ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลเจ้าแมวอ้วนไว้”

             “ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดพลางยิ้มขึ้นอีกครั้ง ยิ้มอีกแล้ว!! ทำไมคนตรงหน้าผมนี่ช่างยิ้มง่ายเหลือเกิน!!

             ผมเดินเข้าไปอุ้มเจ้าแมวส้มตัวอ้วน แต่พอจับจัวมันยกขึ้นเล็กน้อยมันก็ส่งเสียงประท้วงทันที

             “อะไรหืม? เจ้าอ้วน!! จะโวนวายอะไร? กลับห้องเราได้แล้ว”

             ผมยกเจ้าแมวอ้วนด้วยมือข้างที่ว่าง ส่วนอีข้างก็ยังคงกอดเจ้าไข่ขาวอยู่ และเพราะผมพยายามอุ้มเจ้าไข่แดงด้วยมือข้างเดียวมันจึงดิ้นหลุดไปอย่างง่ายดาย

             “ไม่เอาน่า เจ้าอ้วนกลับบ้านได้แล้ว!!”

             ผมพยายามอุ้มมันอีกครั้ง แต่มันก็หลบหนี แถมเดินวนเวียนไปมารอบๆ เค้ก พลางใช้จมูกดมฟุดฟิดอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะร้องเสียงดังอย่างเอาแต่ใจขึ้นอีกครั้ง

              “เมี๊ยว!!”

              ไม่ต้องสงสัยเลย มันคงประท้วงจะกินเค้กชิ้นนี้แน่ๆ

              “ไม่ได้!! กินไม่ได้ นี่มันเค้กของคุณเขานายจะไปกินได้ไง!”
 
              ผมดุเจ้าแมวงี่เง่าอีกครั้ง และพยายามอุ้มมันอีกครั้งเช่นกัน แต่มันก็ยังคงไม่ยอมให้ผมจับมันได้ง่ายๆ

              “ถ้ายังไม่ฟังกันอีกวันนี้ไม่ต้องกินข้าว!!”

             ผมยื่นคำขาดเป็นมาตรการสุดท้าย อีกฝ่ายได้ยินก็ถึงกับหยุดวิ่งไปมา แล้วยอมให้ผมจับโดยง่ายแต่ยังมิวายส่งเสียงร้องเป็นการประท้วงเบาๆ

             “จริงๆ ให้มันกินก็ได้นะครับ” เสียงเจ้าของห้องดังขึ้น หลังจากยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้ามาสักพัก

             “เหมียว~” เจ้าแมวตะกละรีบส่งเสียงอ้อนขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกอนุญาตให้มันกินเค้กก้อนโตได้

             “เฮ้ย! ไม่ต้องก็ได้ครับ เจ้าแมวนี่มันตะกละอย่าไปให้มันกินเลย โอ๊ย!!” พูดยังไม่ทันจบคำ เจ้าแมวส้มก็งับมือผมเข้าทันที

                  “เด็กดื้อ!! กัดกันแบบนี้วันนี้อดไปเลยข้าวเย็น” ผมพูดโดยหันไปทำตาดุๆ ใส่มันหนึ่งทีก่อนจะหันไปคุยกับเจ้าของห้อง “ยังไงผมกลับก่อนดีกว่าครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ช่วยดูแลเจ้าแมวของผม”

             “จริงๆ เอาเค้กไปกินได้นะครับ ผมไม่รู้จะเอาไปให้ใครอยู่ดี จะกินคนเดียวก็กินไม่หมด คือผมทำเพราะจะเอามาอัดคลิปเฉยๆ น่ะครับ”

             ผมหันไปมองที่เค้กก้อนโต ก่อนจะพบว่าบริเวณนั้นมีกล้องตั้งอยู่จริงๆ ด้วย

              “แต่ว่า...”

             ยังไม่ทันจบประโยคเสียงท้องผมก็ดังขึ้นเล็กน้อย ทำเอาผมหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง ท้องบ้า!! มาดังอะไรตอนนี้...แต่จะให้ทำไงได้ พอทำงานเสร็จผมก็รีบตรงกลับมาที่ห้อง แถมพอมาถึงห้องเจ้าแมวตัวดีก็ดันหายไปอีก มัวแต่เอาเดินหามันจนไม่เป็นอันได้กินอะไรเลย

             อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงท้องผมร้อง ก่อนจะเดินไปยังในครัว แล้วออกมาพร้อมกับจานใบหนึ่ง เขาค่อยๆ ตัดเค้กออกมาเป็นส่วนๆ แล้วหยิบเค้กใส่จานทั้งหมดสามชิ้น

             “นี่ครับ ขอโทษนะครับพอดีกล่องผมหมด ยังไงก็เอาใส่จานไปแทน”

             “อ่า...ครับ ขอบคุณมากนะครับ” เจ้าห้องเค้กส่งมาให้ขนาดนี้แล้วยังไงผมก็คงต้องรับแหละ จะปฏิเสธก็ดูจะเสียน้ำใจเกินไป

             พอจะหันไปรับเค้กก็พบว่า...อ่ามือผมเต็มไปด้วยเจ้าอ้วนสองตัว...แล้วผมจะถือจานตรงหน้ายังไง?

             “อ่ะ...เอ่อ.....”

             คนตรงหน้ายิ้มอีกครั้ง ยิ้มอีกแล้ว!! ทำไมเขาชอบยิ้มจังเลยนะ

             ผมทำท่าจะอุ้มเจ้าไข่ขาวลง แต่แล้วมันก็ร้องเสียงประท้วงขึ้นทันที ผมเพิ่งนึกได้ว่ามันไม่ชอบอยู่แปลกที พอเห็นผมทำท่าจะปล่อยมันเลยรีบร้องประท้วงขึ้นมาทันทีแบบนี้ ผมหันไปที่เจ้าตัวอ้วนอีกตัว เจ้าตัวนี้ก็ช่างซนดูสายตาของมันที่จับจ้องมองเค้กอย่างไม่วางตาถ้าผมปล่อยมันออกตอนนี้มันต้องรีบวิ่งเข้าไปจู่โจมก้อนเค้กแน่นอนเพราะฉะนั้นปล่อยเจ้าตะกละตัวนี้ไม่ได้ครับ!

             อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นถ้าทีเงอะงะของผม รอยยิ้มนั่นยิ่งทำให้ผมหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งอาย ทั้งเขินเลยโว้ยยยยยย

             “เดี๋ยวผมถือจานไปให้นะครับ” อีกฝ่ายเสนอทางออกอย่างยิ้มแย้ม ผมได้แต่พยักหน้ารับพร้อมพูดขอบคุณอีกครั้ง

             _______________


             ผมเดินถือเค้กเข้าไปในห้องของเจ้าของแมวทั้งสองตัว เมื่อวางเค้กเสร็จเรียบร้อยผมก็ยิ้มให้เขาอีกครั้ง

             “ทานให้อร่อยนะครับ แล้วก็ไปแล้วนะเจ้าเหมียว วันหลังแวะมาได้อีกนะ” ผมพูดแล้วยิ้มให้เจ้าแมวก่อนจะลูกหัวทั้งสองตัว เจ้าตัวส้มดูจะยินยอมพร้อมใจให้ผมลูบมัน คงเพราะผมทำเค้กให้มันกินแน่ๆ ในขณะที่เจ้าตัวขาวพยายามหลบมือผม แต่ผมก็หาจังหวะลูบหัวมันได้อยู่ดี

              ผมเดินไปถึงหน้าประตูก่อนจะยิ้มอีกครั้งแล้วหันไปพูดกับเจ้าของห้อง

              “จานนั่นน่ะ กินเสร็จแล้วอย่าลืมเอามาคืนนะครับ”

             พูดจบผมก็รีบเดินออกมาจากห้องแต่ไม่วายหันไปมองเจ้าของห้องอีกครั้ง อีกฝ่ายก็หน้าแดงขึ้นตามคาด มือที่กอดแมวไว้ก็กอดแน่นกว่าเดิมราวกับว่าการทำอย่างนั้นจะช่วยให้อาการเขินลดลงได้

             น่ารัก....ตั้งแต่เจ้าของแมวเดินเข้ามาในห้องทุกครั้งที่อีกฝ่ายหน้าขึ้นสีทำไมเขาจะไม่สังเกตุเห็นกันเหล่า เขาเห็นตลอดไม่ว่าจะตอนที่เขาคนนั้นพยายามก้มหน้าก้มตาหลบไม่ให้ผมเห็นว่าหน้ากำลังแดงแค่ไหน แต่เขาคงไม่รู้ตัวว่าเขาไม่ได้แดงแค่หน้าแต่หูก็แดงไปด้วย เห็นแล้วรู้สึกเป็นปฏิกิริยาที่น่ารักดี มองแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้

             จริงๆ ผมโกหกคำโตกับอีกฝ่าย ผมทำเค้กขายนะ มีหรอที่ในครัวจะไม่มีกล่องใส่เค้กน่ะ จริงๆ ในครัวผมมีกล่องเต็มไปหมดตั้งแต่ขนาดเล็กไปยันขนาดเค้กสามปอนด์ แต่ก็นะเพราะปฏิกิริยาของเจ้าของแมวนั่นแหละทำให้ผมอยากเจอเขาอีก ถ้าให้แค่เค้กใส่กล่องไป วันหน้าผมคงไม่กล้าหาเรื่องคุยกับเขา หรือเราอาจจะแทบไม่ได้เจอกันเลยก็ได้ ก็ขนาดผมอยู่คอนโดนี่มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ยังเพิ่งเคยพบห้องข้างๆ เป็นครั้งแรกเอง ดังนั้นผมให้เค้กใส่จานเขาไปเพราะยังไงเขาก็ต้องเอาจานมาคืน แล้วผมก็จะได้มีเรื่องคุยกับเขาอีก

             ผมยิ้มอีกครั้งเมื่อคิดถึงคนที่เข้ามาในห้องเมื่อสักครู่...น่าสนใจจริงๆ

             _______________

                  (ต่อ)
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า? >>
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 29-12-2018 21:35:07


                  ____________________
                 
                  (ต่อ)





             หลังจากวันนั้นที่แมวของผมไปป้วนเปี้ยนห้องข้างๆ ผมก็พยายามตรวจเช็คประตูระเบียงให้เรียบร้อยทุกครั้งก่อนออกไปทำงาน ผ่านมาสัปดาห์นึงแล้ว ผมก็ยังคงไม่กล้าเอาจานไปคืนห้องข้างๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขา มันรู้สึกเขินไปหมด ยิ่งเวลาเห็นเขายิ้มผมก็ยิ่งเขิน มันอาการเดียวกับเวลาเราเจอดาราศิลปินที่เราคลั่งไคล้มายืนยิ้มอยู่ต่อหน้า เป็นใครใครก็เขินจริงไหมล่ะ?

             แต่อย่างไรก็ตาม ดูท่าเจ้าแมวอ้วนตัวส้มของผมจะตกหลุมรักชายหนุ่มห้องข้างๆ ซะแล้วล่ะ หลายครั้งเมื่อผมเปิดประตูระเบียงมันก็พยายามจะกระโจนไปห้องข้างๆ ทันที จนหลังๆ เวลาผมจะเปิดประตูระเบียงผมต้องจับเจ้าไข่แดงใส่กรงขังไว้ก่อน ผมไม่อยากให้เจ้าแมวอ้วนไปรบกวนเขาอีกแล้ว

             “เอาจริงๆ นะ แกนะหลงรักคนนั้นหรือหลงรักเค้กกันแน่ หึ?!” ผมหันไปพูดกับเจ้าไข่แดงแต่มันก็คงได้แต่มองผมก่อนจะหันไปตะกุยประตูระเบียง ตะกุยไปก็ไม่ได้อะไรหรอกเฮ้ย! นั่นประตูกระจกนะ!

             ผมได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความโง่ของแมวตรงหน้า ก่อนจะหันไปตรวจตราความเรียบร้อยในห้องอีกครั้ง ล็อกประตูระเบียงเรียบร้อย เทอาหารกับน้ำไว้เรียบร้อย ปิดไฟเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยผมจึงเดินออกจากห้องไป ไม่ลืมที่จะหันมากำชับกับเจ้าแมวทั้งสองตัว

             “เฝ้าห้องดีๆ ล่ะ อย่าไปเล่นซน อย่าทำห้องเลอะเทอะนะเข้าใจไหม”

             “เมี๊ยว~” เจ้าไข่ขาวส่งเสียงกลับมาราวกับพูดว่ารู้แล้วน่ามนุษย์ ในขณะที่เจ้าไข่แดงไม่แม้จะหันมาสนใจผมเลยด้วยซ้ำ มันยังคงเอามือป้อมๆ ตะกุยประตูระเบียงไม่เลิก

             ผมเดินมาเรื่อยๆ เมื่อมาถึงลิฟท์ระหว่างรอลิฟท์ขึ้นมาผมก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังห้องตรงข้างๆ ห้องของผม

             ติ๊ง~

             เสียงลิฟท์ทำให้ผมกลับไปมองยังที่มาของเสียงแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก

             “อ่ะ...เอ่อ....”

             เจ้าของห้องที่ผมแอบมองเมื่อกี้ยืนอยู่ตรงหน้าผม!! ยืนหล่อตัวเป็นๆ เลย!!

             “อ้าว! สวัสดีครับ! เป็นไงครับเค้กวันนั้นอร่อยไหมครับ?” คนตรงหน้าถามด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม

             ยิ้มอีกแล้ว ผมเริ่มสงสัยแล้วนะทำไมคนตรงหน้าเขาช่างยิ้มเจิดจ้า ยิ้มได้ตลอดเวลาขนาดนี้ ไม่เมื่อยหน้าบ้างรึไง?

             “อร่อยมากครับ โดยเฉพาะเจ้าอ้วนนั่นกินหมดเกลี้ยงเลยแถมยังมาแย่งผมกินอีก”

             เมื่อได้ยินดังนั้นคนในลิฟท์ก็ยกยิ้มขึ้นกว้างกว่าเดิม ทำเอาผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้าอีกครั้ง เดาได้เลยว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ

             เขาก้าวออกมาจากลิฟท์แล้วผมก็นึกขึ้นได้

             “ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่เอาจานไปคืนสักที”

             “ไม่เป็นไรหรอกครับที่ห้องผมจานเยอะ ไว้วันไหนว่างๆ ค่อยเอามาคืนแล้วมานั่งเล่นที่ห้องผมก็ได้ครับ” พูดพลางยกยิ้มอีกแล้ว แต่ทำไมรอบนี้เขารู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายดูเจ้าเล่ห์อย่างแปลกๆ แล้วตะกี้ผมฟังผิดรึเปล่า? อีกฝ่ายพูดใช่ไหมว่าให้มานั่งเล่นที่ห้องเขาน่ะ?

             “เอ่อ ตะกี้หมายความว่าไงหรอครับ?” ผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะไม่แน่ใจว่าจะกี้ที่ตัวเองได้ยินนั้น แปลความหมายถูกรึเปล่า

             “ก็ไว้คุณมีเวลาว่างค่อยเอามาคืนก็ได้ครับ จะได้มานั่งเล่นห้องผมด้วยน่ะ” ได้ยินดังนั้นผมยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก ใจผมนี่คิดอกุศลแล้วนะ! อะไรคือการช่วนไปนั่งเล่นที่ห้อง จะชวนไปดูเน็ตฟลิกซ์งั้นหรอ!!

             “คือคุณจะได้พาเจ้าแมวสองตัวมาด้วยไง ผมชอบแมวนะ แต่ไม่กล้าเลี้ยงเอง”

             “อะ...อ่อ ครับ ได้ครับ” รู้สึกตัวเองหน้าแตกดังเพล้งทันทีที่คิดอะไรแบบนั้น

             “ผมไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่า ไปก่อนนะครับ แล้วอย่าลืม แวะเอาจานมาคืนผมด้วยล่ะ” อีกฝ่ายยังคงรอยยิ้มไว้ขณะพูด แถมยังเน้นย้ำว่าให้เอาจานมาคืนอีกด้วย ผมได้แต่ตอบรับแล้วรีบเข้าไปในลิฟท์ก่อนจะกดปุ่มอย่างรัวๆ หวังให้ประตูลิฟท์ปิดเร็วขึ้นสักวินาทีก็ดี เพราะตอนนี้ผมเขินจนหน้าแดงไม่ไหวแล้ว!!

             _______________
 

             ผมเห็นปฏิกริยาของคนที่เพิ่งลงจากลิฟท์ไปนั่นยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้น ก็นะอีกฝ่ายหน้าแดงซะขนาดนั้น ยิ่งเห็นเขาหน้าแดงผมก็ยิ่งอยากแกล้งให้หน้าเล็กๆ นั่นหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก น่าสนใจดี

             จริงๆ เรื่องที่ผมว่า ‘ไว้วันไหนว่างๆ ค่อยเอามาคืนแล้วมานั่งเล่นที่ห้องผมก็ได้’ นี่ผมหวังอย่างนั้นจริงๆ นะ ไม่ได้หวังจะเล่นกับเจ้าแมวสองตัวนั้นหรอกแต่อยาก ‘เล่นเจ้าของแมว’ ต่างหาก~ แต่เพราะเห็นเจ้าตัวดูจะหน้าแดงทำอะไรไม่ถูกขนาดนั้น ผมก็เลยคิดว่าแกล้งน้อยลงหน่อยดีกว่า เดี๋ยวแมวตื่นหนีไปซะก่อน เลยยกเรื่องแมวขึ้นมาอ้างก็แค่นั้น ของอย่างนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปสินะ~

             _______________
 

             วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่หนักหนาสาหัส....ผมเป็นช่างภาพครับ งานหลักๆ ของผมคือถ่ายภาพในสตู และถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยว ผมเป็นนักเขียนประจำอยู่คอลัมน์หนึ่งในนิตสารท่องเที่ยวชื่อดัง โดยผมจะส่งงานให้กับทางนิตยสารเดือนละหนึ่งครั้ง เวลาที่เหลือผมก็รับจ๊อบถ่ายภาพพรีเวดดิ้งในสตู ซึ่งส่วนมากผมรับถ่ายแค่วันละหนึ่งคู่เท่านั้น เพราะกว่าจะแต่งหน้า ทำผม และกว่าจะดึงอารมณ์เจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไม่เกรงก็แทบหมดเวลาแล้ว แต่วันนี้ดันเกิดข้อผิดพลาด ฝ่ายรับงานดันลงตารางซ้อนกัน เมื่อเคลียร์กันแล้วคู่นึงยอมถ่ายช่วงเช้า อีกคู่ยอมถ่ายช่วงเย็น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนวันได้ ทำให้วันนี้ผมต้องทำงานเหนื่อยกว่าทุกวันเป็นสองเท่า...ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลยถ้าผมเหนื่อย....

             “โอเคครับ เรียบร้อยครับ ขอบคุณมาก”

             ผมบอกฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว ก่อนจะหันไปดูเวลาแล้วพบว่าเกือบสามทุ่มแล้ว ผมรีบเก็บของให้เสร็จรอพนักงานออกไปหมดแล้วถึงจะล็อกห้องสตูดิโอถ่ายภาพ แต่แล้วผมก็รู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ...แย่แล้ว...หรือควรจะนอนค้างที่นี่ดี?

             เมื่อคิดได้ดังนั้นผมรีบไขประตูเปิดหวังว่าจะใช้ห้องสตูดิโอแทนห้องนอนแต่แล้วก็นึกได้ว่าผมเทอาหารและน้ำไว้ให้เจ้าสองตัวสำหรับกลางวันเท่านั้น....ถ้าผมไม่กลับห้องวันนี้มีหวังเจ้าสองตัวนั่นต้องหิวตายแน่ๆ

             เอาวะ!! กลับก็กลับ น่าจะทันแหละน่า

             ผมรีบโบกเรียกวินมอเตอร์ไซด์ที่ผ่านมาแถวนั้นพอดี ซึ่งปกติผมจะนั่งรถเมล์กลับจากที่ทำงาน แต่วันนี้หากนั่งรถเมล์กลับผมเกรงว่ากว่าจะถึงคอนโดคงไม่ทันการแน่ๆ

             ตึกๆ ตึกๆ

             ระหว่างทางเสียงหัวใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงคอนโดผมรีบถอดหมวกก่อนจะส่งแบงค์ห้าร้อยให้แล้วรีบวิ่งเข้าไปในคอนโดทันทีโดยไม่คิดจะรับแม้กระทั่งเงินทอนถึงแม้มันจะเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าโดยสารจริงๆ อยู่หลายเท่าก็ตาม

             อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงห้องแล้ว

             ตึกๆ ตึกๆ

             เสียงหัวใจผมเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม มันเร็วจนผมเริ่มหายใจไม่ทัน เริ่มหอบขึ้นเล็กน้อย เหงื่อต่างๆ เริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้า มือเริ่มเย็นและเต็มไปด้วยเหงื่อจนเปียกชชื้น ผมรีบกดลิฟท์ไปยังชั้นหก แต่ ณ เวลานี้ ลิฟท์ก็ช่างดูช้าเหลือเกินในความรู้สึกผม

             เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ผมรีบก้าวออกไปหวังว่าจะเข้าห้องได้ทันเวลา แต่ร่างกายกลับไปตอบสนองตามความคิดเสียเลย ใจอยากจะรีบวิ่งเข้าไปในห้อง แต่ขากลับก้าวไม่ออก เดินได้เพียงก้าวสั่นๆ อย่างช้าๆ

             “อึก!!”

             ความรู้สึกแน่นหน้าอกเริ่มประทุขึ้นมาเป็นระลอก ผมได้แต่เอามือยันพนังช่วยประคองเดินไปข้างหน้า

             อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น

             ในที่สุดผมก็เดินมาถึงหน้าห้องตัวเอง ผมหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงข้างซ้ายจังหวะนั้นเองที่ผมรู้สึกหน้ามืดก่อนทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำ และผมไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป....

             ______________


             ตึง!!

             เสียงอะไรบางอย่างหล่นดังขึ้นบริเวณหน้าห้องของผม เรียกความสนใจของผมออกจากโทรทัศน์ที่ผมดูอยู่ ผมส่องไปที่ตาแมวตรงประตูก็ไม่เห็นอะไร จึงตัดสินใจเปิดประตูออก

             ผมหันไปทางซ้ายก็ไม่เห็นอะไร แต่เมื่อหันไปทางขวา ผมก็พบเสื้อผ้าอยู่กองนึง...

             เสื้อผ้า? ทำไมมาวางกองอยู่ตรงนี้?

             ผมเดินไปกดกริ่งห้องข้างๆ เพราะเดาว่าเจ้าของห้องน่าจะเป็นเจ้าของเสื้อผ้ากองนี้

             “…….”

             เงียบไร้การตอบรับ

             “คุณครับ? ได้ยินไหมครับ? เสื้อผ้าหน้าห้องนั่นของคุณรึเปล่าครับ?”

             “…….”

             ก็ยังคงเงียบไร้การตอบรับ...หรือว่าจะยังไม่กลับห้องกันนะ แต่ว่า...แล้วเสื้อผ้ากองนี้มันคืออะไรกันล่ะ?

             ผมเพ่งมองดูกองเสื้อผ้านั้นอีกครั้งก็จำได้ว่านั่นเป็นเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่เจ้าของห้องใส่เมื่อเช้า แถมกระเป๋าสะพายข้างที่เจ้าตัวสะดายไปเมื่อเช้าก็ยังวางอยู่ตรงนี้ด้วย

             “เมี๊ยว~ เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวในห้องร้องดังโหวกแหวกมาจากในห้อง น้ำเสียงของทั้งสองตัวดูตื่นตกใจกว่าปกติ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนในห้อง?

             ผมรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทั้งที ความจริงเสียงเมื่อกี้อาจจะไม่ใช่เสียงของหล่น แต่ถ้าเป็นเสียงของคนในห้องล้มลงล่ะ? ถ้าเกิดเขาบาดเจ็บขึ้นมาล่ะ? หรือว่าผมควรไปแจ้งนิติคอนโดให้ขึ้นมาเปิดห้องให้ดี ผมเริ่มเป็นห่วงคนข้างในขึ้นมาซะแล้ว

             “เมี๊ยว~เมี๊ยว!!”

             เสียงแมวร้องดังขึ้นอีกครั้ง ช่วยเร่งการตัดสินใจของผม จังหวะที่ผมจะหันกลับไปยังลิฟท์นั้นเองผมก็เห็นกุญแจห้องตกอยู่แถวกองเสื้อผ้านั้น

             โชคดีล่ะ!! ผมรีบหยิบกุญแจที่ตกอยู่ก่อนจะไขประตูห้องทันที โชคดีที่กุญแจนั้นเป็นกุญแจห้องจริงๆ เมื่อเข้ามาในห้องผมรีบวิ่งเข้าไปทันที ไม่ทันเห็นเจ้าแมวสองตัวที่วิ่งตรงดิ่งออกมาที่กองเสื้อผ้า

             ผมเปิดประตูห้องน้ำ ห้องนอน ระเบียง เดินดูตามห้องครัวก็ไม่พบใครอยู่ในห้อง ตอนเข้ามาในห้องไฟก็ไม่ได้เปิดอยู่ หรือว่าเจ้าของห้องจะยังไม่กลับ?

             “เมี๊ยว! เมี๊ยว~ เมี๊ยว!!” เสียงแมวเอะอะโวยวายหน้าห้องทำเอาผมต้องละสายตาจากในห้องไปมองเจ้าแมวทั้งสามตัวนั่น

             หืม? สามตัว? ทำไมมีแมวอยู่สามตัว?

             เมื่อผมหันไปมองเจ้าแมวตัวส้มกับตัวขาวกำลังเลีย คลอเคลียแมวตัวหนึ่งที่นอนอยู่ มันเป็นแมวขนสีเทาหรือที่เรียกกันว่าสีสวาด เจ้าตัวขาวพยายามเอาหัวดุนเจ้าตัวสีเทา เหมือนพยายามประคองให้เจ้าตัวสีเทาลุก ในขณะที่เจ้าตัวส้มก็พยายามเลียและส่งเสียงเรียกเจ้าตัวสีเทา แต่เจ้าตัวสีเทาก็ยังคงนอนนิ่ง

             ผมเดินเข้าไปใกล้เจ้าสามตัวนั้นมาขึ้น นั่งยองๆ ลงมองพวกมัน เห็นเจ้าแมวสีเทานอนกองปนอยู่กับเสื้อผ้า คงเพราะงี้เขาเลยไม่ทันสังเกตุเห็นเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่เพราะเสื้อผ้าที่กองอยู่นั้นก็เป็นสีเทากับสีดำซึ่งดูผ่านๆ ก็กลืนกับขนแมวมากๆ

             ทั้งสองตัวที่ไม่ได้สลบอยู่หันมามองผม เจ้าตัวอ้วนสีส้มหันมากัดที่ชายกางเกงผมก่อนจะออกแรงดึงน้อยๆ มาที่เจ้าแมวสีเทา

             “หืม? หมายความว่าไง?”

             ผมหันไปพูดกับมัน เจ้าตัวขาวก็ส่งเสียงร้องขึ้นพลางหันหน้ามาทางผมที ทางเจ้าแมวสีเทาที เจ้าตัวส้มก็ยังดึงผมไปทางเจ้าแมวสีเทาไม่หยุด

             ผมเห็นท่าทางอย่างนั้นก็เริ่มเดาได้

             “อยากให้ช่วยเจ้าตัวเล็กนี่หรอ”

             “เมี๊ยวๆ!” ทั้งสองร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น โอเค ผมคงเดาถูกสินะ ดังนั้นผมจึงค่อยๆ อุ้มเจ้าแมวตัวที่สลบอยู่ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็หอบหิ้วเสื้อผ้าที่กองอยู่และไม่มือที่จะหยิบกระเป๋าขึ้นด้วย

             เมื่อหันไปทางห้อง ก็พบว่าที่ห้องยังคงปิดไฟมืดอยู่ เขาจึงก้มลงมองเจ้าแมวสองตัว

             “นี่ เจ้านายพวกแกไม่อยู่ห้องหรอ?” ผมถามขึ้นหวังว่าจะได้รับคำตอบจากทั้งสองตัว แต่แมวก็ยังคงเป็นแมว มันคงไม่สามารถพูดตอบโต้กับผมได้ มันพูดได้แค่ เหมียว~ เมี๊ยว~ ซึ่งผมขอเดาไปเองละกันว่าใช่

             “งั้นพวกแกตามมานี่ละกัน มาอยู่ที่ห้องผมก่อน รอจนกว่าเขาจะกลับมานะ”

             “เมี๊ยว!”

             “เมี๊ยว~”

             ทั้งสองตัวตอบรับ ผมเห็นดังนั้นจึงเปิดประตูด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะมือข้างนึงก็อุ้มแมวที่สลบอยู่ในขณะที่อีกข้างก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและกระเป๋า แต่เมื่อเปิดประตูได้ ก็รีบหันไปพยักหน้าให้เจ้าแมวสองตัวเดินเข้่ามา ซึ่งทั้งสองก็ตามเข้ามาอย่างว่าง่าย เจ้าแมวสีขาวทีอาทิตย์ก่อนทำท่ากลัวห้องเขาอยู่เลยวันนี้กลับยอมเดินเข้ามาอย่างดีๆ ไม่ส่งเสียงร้องหวาดกลัวใดๆ นั่นทำให้เขายิ้มออกเล็กน้อย

             เมื่อเข้ามาในห้องผมเอาแมววางไว้บนโซฟา ก่อนจะวางเสื้อผ้าและกระเป๋าไว้บนโต๊ะไม่ห่างกัน เมื่อวางเสื้อผ้าก็พบว่ามันไม่ได้มีแค่เสื้อและกางเกง แต่มันยังมีชุดชั้นใน?!! ทำไมชุดที่เจ้าของห้องข้างๆ ใส่เมื่อเช้ามันดันตกอยู่ที่หน้าห้อง ‘ทุกชิ้น’ แบบนี้ล่ะ?!!





___________________
หมายเหตุ ชวนไปดูเน็ตฟลิกต์ มาจากคำว่า “watch Netflix and chill” ซึ่งเป็นสำนวนที่ถ้าแปลตรงๆ ก็คือชวนไปดูเน็ตฟลิกต์และพักผ่อน แต่ความหมายโดยนัยคือ การชวนเข้าห้องไปมีอะไรกัน ไป xxx กัน~

ปล. เรื่องจริงไม่ควรให้น้องแมวทานเค้กนะคะ ^^ อาจจะไม่ได้มีอันตรายมากกับน้อง
แมวเปนสัตว์กืนเนื้อต้องการโปรตีนไม่ได้ต้องการคาร์โบไฮเดรตมาก แป้งไม่จำเป็นสำหรับแมว น้องกินเยอะก็อ้วนไม่ดีต่อสุขภาพของน้องน้าาาาาาาาาาาาาาาาาา ^W^)//
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า? >>
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 30-12-2018 12:29:21
โอ๊ะ เป็นแมวสินะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า? >>
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 30-12-2018 20:24:22
น่ารักจังเลยผู้ชายทำขนมกับแมวสีเทา :katai2-1: ขำไข่แดงน้องน่าบีบมาก และชื่อแมวก็ตั้งได้น่ารักมากเลย :-[ มาต่อเร็วๆน้า เป็นกลจให้ไรท์ สู้ๆนะคะ สนุกมากๆๆๆ :L2:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า? >> บทที่ 2 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 30-12-2018 21:51:02

บทที่ 2 แมวของผม...ไม่กลัวฟ้าร้อง






             ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันไปมองรอบตัว โอเค...แน่ชัดแล้วว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในห้องแต่ห้องนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ใช่ห้องที่ไม่คุ้นเคย การตกแต่งห้อง เครื่องของใช้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ บ่งบอกว่ามันเป็นห้องที่ผมเคยเข้ามาแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน

              หันมองดูรอบตัวอีกครั้งผมก็รู้สึกได้ว่ามุมมองสายตาของผมเปลี่ยนไป...ซึ่งแน่ชัดอีกว่า ตอนนี้ผมคงกลายเป็นแมว...

             “คุณพายคะ” เสียงจากด้านล่างเรียกให้ผมก้มลงไป เมื่อผมก้มลงไปมองก็พบกับเจ้าแมวขนสีขาวมองขึ้นมาอยู่

             เมื่อมันเห็นผมมองจ้องหน้า มันก็กระโดดขึ้นมาบนโซฟาทันที ทำให้สายตาตอนนี้เราอยู่ในระดับเดียวกัน

             “คุณพายรู้สึกดีขึ้นรึยังคะ?” แมวตรงหน้าถามผมขึ้น พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้

                “อือ ดีขึ้นแล้วล่ะ”

             เพราะกลายเป็นแมว ผมจึงฟังภาษาแมวรู้เรื่อง ร่างกายผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่จำความได้ เมื่อผมเหนื่อยจนเกินไป ร่างกายก็จะกลายเป็นแมว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ทุกครั้งที่กลายเป็นแมวเมื่อกลับเป็นร่างมนุษย์ผมก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที ราวกับว่าร่างกายแมวของผมเป็นที่ชาร์ตพลังงานอย่างนั้นแหละ แต่มันก็มีเรื่องน่ากังวลใจอยู่แม้ตอนจะกลายร่างผมพอจะเดาได้ว่าจะกลายร่างเมื่อไหร่แต่บางครั้งก็ผิดพลาด อย่างครั้งนี้ที่ผมกะเวลาพลาดทำให้กลายร่างทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเข้าห้องดี นอกจากนี้เมื่อกลายเป็นแมวแล้วก็ไม่มีสัญญาณอะไรบอกเลยว่าผมจะกลับเป็นมนุษย์เมื่อไหร่ บางครั้งผมก็อยู่ในร่างแมวทั้งวัน บางครั้งก็แค่หนึ่งชั่วโมง บางทีก็แค่สิบนาที ...ไม่รู้ว่ารอบนี้ผมจะอยู่ในร่างนี้อีกนานแค่ไหน ทางทีดีผมว่าผมคงต้องรีบหาทางกลับห้องก่อนที่จะกลับร่างเดิม

             “แล้วเจ้าไข่แดงล่ะ?” ผมถามอีกฝ่ายกลับเมื่อไม่หันเจ้าแมวอีกตัวอยู่แถวนี้

             เมื่อได้ยินดังนั้นอีกฝ่ายบุ้ยหน้าไปขวาเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยความหน่ายใจ “เจ้านั่นโดนมนุษย์หลอกล่อด้วยอาหารนั่งอย่างสบายใจอยู่ตรงแถวครัวค่ะ”

             ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกระโดดขึ้นไปยังบริเวณพนักพิงโซฟา เพราะจากจุดที่ผมนอนอยู่เมื่อกี้มันมีพนักพิงกั้นทำให้ไม่สามารถมองไปยังห้องครัวได้

             เมื่อผมกระโดดขึ้นมา ผมก็เห็นเจ้าของห้องกำลังหันหลังนั่งยองๆ กับพื้น มือขยุกขยิกอยู่ด้านหน้าทำบางอย่างอยู่ ข้างๆ กันนั้นมีเจ้าแมวตะกละของผมคอยมองตามมือคู่นั้นอย่างไม่วางตา

             “เจ้าแมวอ้วน!!” ผมส่งเสียงเรียกเจ้าตัวอ้วนสีส้มที่นั่งกลมอยู่ตรงนั้น แต่เพราะเสียงที่ดังเกินไปทำให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำบางอย่างหันมามองตามเสียงด้วย แม้เขาจะได้ยินเพียงคำว่า เมี๊ยว ซึ่งเป็นเสียงร้องของแมวก็ตาม

             “อ้าว ตื่นแล้วหรอเจ้าตัวเล็ก”

             ตอนนั้นเองที่ผมเห็นชัดว่ามือที่ดูทำอะไรบางอย่างอยู่เมื่อกี้นั้นคือกำลังแกะก้างปลาทูอยู่นี่เอง

             “ตื่นแล้วขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือ” ผมพูดออกไปอย่างเคยตัวลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองเป็นแมวอยู่ เสียงที่อีกฝ่ายได้ยินก็ยังคงเป็นเสียงแมวร้องเหมียว~

             “บ่นอะไรห้ะ? เจ้าตัวเล็ก” เขายิ้มก่อนจะเดินไปล้างมือ แล้วเอามือนั้นมาลูบหัวผมเล็กน้อย

             ผมได้แต่ก้มหน้ามองเท้ามังคุดของตัวเอง โชคดีที่ตอนนี้กลายเป็นแมว เพราะถ้าเป็นมนุษย์ผมคงหน้าแดงมากแน่ๆ เลย

             ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าเขินอยู่นั่นเอง จู่ๆ ร่างกายผมก็ตัวลอยขึ้นมา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าคนช่างยิ้มกำลังอุ้มผมอยู่ แน่นอนผมขัดขืนทันที

             “ปล่อยผมนะ!! ปล่อยผมเซ่!!” แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ยังคงได้ยินแค่ว่า “เมี๊ยว! เมี๊ยว!”

             “ไม่เอาไม่ดื้อครับ ไม่ดิ้นสิครับ”

             เขายกตัวผมขึ้นมาให้หน้าอยู่ตรงระดับสายตาของเขา พลางทำหน้าดุเล็กน้อยก่อนจะจับแขนขวาซ้ายโยกไปมาเล็กน้อย แล้วก้มหน้าฟัดลงกับพุงผมอย่างหมั่นเขี้ยว

             เหี้ย…..!!!

             เขินสิครับ ใครเจองี้ก็เขินไหม เจอคนที่เพิ่งรู้จักมาเอาหน้าถูไถกับท้องงี้ โอ๊ย ตายเถอะ ตายไปเลย!!! ถ้าแมวหน้าแดงได้ ผมเชื่อว่าตอนนี้ผมคงไม่แดงแค่หน้าแต่แดงไปทั้งตัวแล้วแน่ๆ นี่มันยิ่งกว่าความเขิน ยิ่งกว่าอายแล้วววววววว แต่ยังไม่ทันที่สติผมจะกลับคืนมาดีพอที่จะดีดดิ้นหนีจากมือที่อุ้มตัวเองอยู่ อีกฝ่ายก็เอาหน้าออกจากพุงของผม

             “ไปครับ ไปกินข้าวกัน” เขาเดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงที่เจ้าแมวอ้วนตัวส้มนั่งมองปลาทูอยู่ จึงปล่อยผมลงข้างๆ มัน

             “แล้วเจ้าตัวขาวหายไปไหนเนี่ย?” ร่างสูงเดินวนไปมารอบห้องแล้วก็พบเจ้าตัวขาวนอนอยู่บนโซฟา จึงเดินเขาไปอุ้มมันมาวางรวมกับอีกทั้งสองตัวที่ยืนอยู่หน้าปลาทู แล้วลงนั่งแกะปลาทูให้เจ้าแมวทั้งหลายต่อ

             เพียงไม่นานปลาทูทั้งสามตัวก็ถูกแกะพร้อมให้เจ้าแมวน้อยทั้งสาม เจ้าของห้องแบ่งใส่จานไว้สำหรับแมวสามตัว เลยทำให้ผมไม่ต้องกินรวมจานเดียวกับเจ้าไข่ขาวและไข่แดง แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าไข่ขาวก็ยังดูจะเกรงใจผมมันเลยยังไม่กิน รอให้ผมกินก่อน ต่างจากเจ้าอ้วนไข่แดงที่ทันที่ที่เขาวางจานตรงหน้ามันมันก็รีบปรี่เข้าไปกินทันที

             ผมกินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มซะแล้ว หันไปมองนาฬิกาตั้งแต่ฟื้นมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วสินะ...ไม่ได้การณ์ล่ะ มัวแต่ไร้สาระ ต้องรีบหาทางกลับห้อง

             ผมหันไปมองทางประตู ...ทางประตูก็ไม่ได้เพราะนอกจากประตูห้องนี้จะปิดอยู่ซึ่งมือแมวๆ ก็ไม่มีทางเปิดได้ ห้องของผมก็คงปิดอยู่เหมือนกัน...

              “เป็นอะไรไปหรอครับคุณพาย” เสียงเจ้าไข่แดงที่ละจานจากปลาทูหันมาเห็นผมมองล่อกแล่กไปมาเลยถามขึ้น นั่นทำให้ผมคิดได้ ทางระเบียงไงล่ะ!! คราวก่อนเจ้าแมวอ้วนนี่ก็แอบเข้ามาห้องนี้ทางระเบียง

              แต่จังหวะที่ผมวิ่งไปทางระเบียงนั้นร่างกายผมก็ลอยขึ้นอีกครั้ง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าฝีมือใคร! แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมแพ้หรอกนะ

              “ไข่แดง! ไข่ขาว! ถ่วงเวลาให้ที!!

              ไข่ขาวรีบทำตามคำสั่งเจ้านายทันที แต่เจ้าไข่แดงยังคงง่วนกับอาหารตรงหน้า ไม่คิดจะเดินมาชวนจนเจ้าไข่ขาวต้องไปกัดหูเบาๆ แล้วลากให้มันเดินตามมา

             เมื่อทั้งสองวิ่งมาถึงร่างสูง ไข่ขาวก็กระโดดกัดแขนเขาทันที ส่งผลให้ฝ่ายที่โดนกัดตกใจจนเผลอปล่อยมือออกจากตัวผม

             “เฮ้ยๆ ไข่ขาวใจเย็นๆ อย่าทำร้ายคนอื่นสิ!”

             “แต่คุณพายคะ?!”

             “ช่างมันๆ ยังไงก็อย่ารุนแรงอีกนะ” ไข่ขาวพยายามจะแย้งแต่ผมพูดขัดขึ้นก่อน ผมไม่มีเวลาจะมาห่วงร่างสูงมากนัก เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนตัวเองจะกลับร่างเดิม ดังนั้นนี่เป็นโอกาสผมจึงใช้จังหวะนี้กระโดดหนีไปทางระเบียง โชคดีที่ระเบียงนี่เปิดไว้นิดหน่อย พอให้ตัวผมลอดผ่านไปได้พอดี

             เมื่อออกมาตรงระเบียง ผมหันกลับไปมอง เห็นเจ้าสองตัวกระโดดไปมาป่วนเจ้าของห้องอยู่ แต่ดูท่าจะไม่ได้ทำรุนแรงอีกแล้วผมก็รู้สึกอุ่นใจ แต่อย่างไรก็ตามแมวของผมก็ทำให้เขาบาดเจ็บ ไว้กลับเป็นคนเมื่อไหร่เดี๋ยวผมค่อยมาดูแผลเขาอีกทีละกัน

              ผมหันกลับไปที่ระเบียงอีกที และพบบริเวณที่พอจะกระโดดไปยังห้องตัวเองได้ อาศัยความตัวเล็ก และความปราดเปรียวของแมว ในที่สุดผมก็ข้ามมายังระเบียงห้องตัวเองได้อย่างง่ายดาย ปัญหาตอนนี้เหลือเพียงว่าผมจะเข้าห้องตัวเองยังไงนี่แหละ ตอนเช้าก่อนออกจากห้องผมก็ล็อกห้องไว้อย่างแน่นหนาเพราะกะจะกันไม่ให้เจ้าแมวอ้วนแอบหนีมาเล่นห้องนี้อีก ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นอุปสรรคของผมไปซะงั้น

              ผมเดินป้วนเปี้ยนอยู่ที่ระเบียงตัวเองไปมาสักพักก็รู้สึกหัวใจกระตุกวูบ

              หรือว่า?!!

              “อึก!!”

             เพียงชั่ววูบร่างกายผมก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น แล้วสุดท้ายร่างกายผมก็กลับเป็นมนุษย์...ดีล่ะ อย่างน้อยก็ตัวใหญ่ขึ้น มีแขนมีขา สะดวกกว่าตอนเป็นแมวละกันล่ะ

             แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี...เพราะตะกี้เป็นแมวพอกลับเป็นคนแน่นอนว่าตอนนี้ผมเปลือย...เปลือยแบบไร้ซึ่งอะไรปิดบังทั้งสิ้น...อ่า...ต้องรีบเข้าห้องซะแล้ว ถ้ามีคนมาเห็นเข้านี่ต้องอับอายยันลูกบวชแน่ๆ

              หันซ้ายหันขวาก็ไม่รู้จะทำไง กุญแจระเบียงก็อยู่ในห้อง ตอนนั้นเองที่สายตาผมหันไปเห็นกระถางต้นกัญชาแมวผมก็นึกอะไรบางอย่างออก

               ขอโทษนะไข่ขาวไข่แดง เดี๋ยวผมซื้อใช้คืนนะ

               เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็หยิบกระถางต้นนั้นขึ้นมาก่อนจะทุ่มกระถางไปยังกระจกประตูระเบียง

               เพล้ง!

              เสียงดังจากระเบียงเรียกความสนใจจากคนที่กำลังวุ่นอยู่กับแมวทั้งสองให้รีบออกไปดู เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเข้าไปในห้องได้พอดี ผมรีบตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอนก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ทันติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อยเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น

             “คร้าบบบบ~” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครมากดกริ่ง

             “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?!” อีกฝ่ายรีบพูดขึ้นอย่างร้อนลนทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป

             “เอ่อ...ไม่เป็นอะไรครับ”

             “จริงๆ นะครับ? ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?” ไม่ว่าเปล่าเข้ายื่นมือมาจับไหล่ผมก่อนจะจับหันซ้ายหันขวา มองสำรวจตัวผม

             “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ว่าแต่คุณเถอะแขนที่โดนแมวกัดน่ะ เจ็บมากไหมครับ”

             “ผมไม่เป็นไรครับ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นครับ ผมได้ยินเสียงเหมือนกระจกแตก แล้วนี่คุณกลับมาที่ห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” อาจจะเป็นเพราะเขามัวแต่เป็นห่วงผมเลยไม่สังเกตุว่าผมรู้ได้ยังไงว่าเขาโดนแมวกัด

             “ผมเพิ่งกลับมาครับ คือพอดีซุ่มซ่ามไปหน่อยเลยทำกระจกแตกเล็กน้อยครับ” ผมตอบเขาทุกคำถามที่ได้รับมาเมื่อสักครู่ พออีกฝ่ายได้ยินคำตอบที่หน้าพอใจก็เหมือนจะได้สติขึ้นมา ก่อนจะยิ้มขึ้นเล็กน้อย

             ยิ้มอีกแล้ว....

             “เสื้อน่ะครับ...ใส่ให้เรียบร้อยหน่อยไหมครับ?”

             เหี้ย!!! ลืม!!!

              เพราะมันแต่รีบร้อนออกมาเปิดประตูนั่นแหละเลยลืมว่าตัวเองยังติดกระดุมไม่เรียบร้อย ผมรีบรวมเสื้อปิดทันที ก่อนจะหันหลังแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เหี้ยๆ โอ๊ยยยยยย บ้าบอ นี่มันจะน่าอายเกินไปแล้ว!!

              ผมหันไปมองกระจก แล้วพบว่าหน้าตัวเองขึ้นสีแดงไปทั้งหน้าลามไปถึงหู แดงอย่างกับลูกมะเขือเทศ หวังว่าเมื่อกี้เขาคงไม่ได้สังเกตนะ

               ผมแต่งตัวให้เรียบร้อย พลางส่องกระจกอีกครั้ง ใบหน้าที่แดงเมื่อกี้ก็ดูจะแดงน้อยลงแล้ว จึงค่อยๆ โผล่หน้าออกไปหาแขกเมื่อสักครู่ เขายังคงยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าห้อง

              “เอ่อ...แผลที่แขนน่ะครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้นะครับ”

              “หืม?”
 
              “แผลที่แขนน่ะครับ เลือดมันยังไหลอยู่เลย”

              “อ่อ ครับ”

               ผมเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะค่อยๆ พาเขามานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น แล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมานั่งลงทำแผลให้คนตรงหน้า

                “….”

                      “….”

              เงียบ....ผมก้มหน้าก้มตาทำแผล เขาก็ก้มหน้าก้มตามองผม....มันจะเงียบเกินไปแล้ว

             “แมวทั้งสองตัวของคุณอยู่ที่ห้องผมนะ”

             “ครับ ผมรู้แล้ว”

             “หืม? รู้? รู้ได้ไงครับ?”

             ฉิบหายล่ะ! ลืมไปเลย จะบอกได้ไงว่าเมื่อกี้ผมก็อยู่ในห้องด้วยน่ะ

             “หรือว่าได้ยินเสียงครับ?” อีกฝ่ายเหมือนเปิดทางสว่างให้ผมแถได้ผมก็รีบแถทันที

             “ครับ เมื่อกี้ตอนเดินผ่านห้องผมได้ยินเสียงน่ะ กะว่าจะไปรับเจ้าสองตัวพอดี แต่ดันซุ่มซ่ามทำกระจกประตูระเบียงแตกซะก่อนน่ะครับ”

              “อ่อ...ครับ”

              “….”

             “แล้วตะกี้คุณไปไหนมาหรอครับ?”

          
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า? >> บทที่ 2 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 30-12-2018 21:51:35




  “อ่า….” เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะตอบอะไร จะให้พูดได้ไงวว่าตะกี้กลายร่างเป็นแมวน่ะครับ ในระหว่างที่ผมกำลังคิดหาข้ออ้างขึ้นมานั้น อีกฝ่ายก็รีบพูดขึ้นมาทันที

             “ถ้าลำบากใจ ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องบอกผมหรอก”

             ผมเงยหน้าไปมองผู้พูดทันที เพราะกลัวเขาจะเข้าใจผมผิดหรือโกรธผม แต่ผมกลับเห็นรอยยิ้มที่ส่งกลับมาให้

             “ไม่โกรธผมใช่ไหมครับ...”

              “โกรธ? โกรธอะไรครับ”

             “ก็...ที่ผมไม่ยอมบอก แถมยังทำให้คุณวุ่นวาย แมวผมก็ยังมากัดคุณอีก”

             “คิดมากน่ะครับ เรื่องแค่นี้เอง คนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่พูดไม่ได้สักสองสามเรื่องแหละ ถ้าคุณไม่อยากพูดผมก็ไม่อยากฟัง ผมรู้มันคงเป็นเรื่องสำคัญกับความรู้สึกคุณ ผมก็ไม่อยากก้าวก่าย ส่วนเรื่องแมว เราก็คนกันเอง แค่นี้ช่วยได้ก็ให้ผมช่วยเถอะครับ”

             ผมได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกดีกับคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก เขารู้ว่าผมไม่สบายใจที่จะพูด เขาก็ไม่ถามย้ำให้ผมรู้สึกแย่ แถมยังพยายามเข้าใจความรู้สึกของผมอีก

             “ขอบคุณครับ...ขอบคุณจริงๆ” ผมไม่มีคำใดจะเอ่ยนอกไปจากสองคำนี้จริงๆ

             “เรื่องแค่นี้สบายมากครับ ผมเต็มใจช่วย” อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ พลางยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ทำเอาผมตกใจไปเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมรับสัมผัสนั้นไม่หลบนี้ไปไหน แค่มือที่ลูบหัวผมเบาๆ กลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก...

             “เสร็จแล้วครับ” ผมบอกอีกฝ่าย เดินเอาอุปกรณ์ทำแผลต่างๆ ไปเก็บไว้ที่เดิม

             “ขอบคุณครับ”

             “……”

             “……”

             แล้วห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นคนเริ่มเปิดสนทนาอีกครั้ง

             “จริงสิ!! ตะกี้ผมเจอแมวตัวเล็กสีเทาอยู่กับแมวสองตัวของคุณด้วยครับ แต่แว่บเดียวมันก็กระโดดมาที่ระเบียงห้องคุณแล้ว เจ้าตัวนั้นก็แมวของคุณหรอครับ”

             ฉิบหายx2 ผมยังไม่ได้เตรียมข้ออ้างอะไรไว้เลยแต่ก็โดนโจมตีด้วยคำถามอีกระลอก

             “เอ่อ...ครับ เจ้าตัวนั้นแมวของผมเองแหละ ผมเพิ่งรับมาเลี้ยง ผมก็ตกใจหมดว่าทำไมมันมาโผล่ที่ระเบียงที่แท้มันไปอยู่ห้องคุณนั่นเอง” โชคดีที่มีสกิลแถติดตัว

             “น่ารักดีนะครับ” จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาทำเอาใจผมกระตุกวูบขึ้นมา

             “เอ่อ...ครับ”

             “แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนหรอครับ?”

             “อ่อ…มันหลับอยู่ในห้องน่ะครับ” ผมแถไปอีกครั้ง

             “หรอครับ งั้นก็ค่อยโล่งใจหน่อย ว่าแต่คุณไปรับเจ้าแมวสองตัวนั่นไหมครับ หรือจะให้ผมเอามาให้ดี?”

             “อ๋อ เดี๋ยวผมไปอุ้มกลับมาเองครับ แค่นี้ก็รับกวนคุณมากไปแล้ว”

             “บอกแล้วไงครับว่าไม่ได้รบกวนเลย” เขายิ้มราวกับจะเป็นการเน้นย้ำคำพูดที่ว่าไม่ได้รบกวนอะไรเลย

             เปรี้ยง!

             เสียงฟ้าผ่าดังเรียกความสนใจให้ผมหันออกไปมองนอกหน้าต่าง มัวแต่สนใจคนตรงหน้าจนไม่ทันสังเกตเลยว่าฝนตกตั้งแต่เมื่อไหร่

             เปรี้ยง!

             เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมทันสังเกตเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งตัวเล็กน้อย
 
             ครึก! ครื้น!

             คราวนี้เป็นเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาแทนเสียงฟ้าผ่า และคนตรงหน้าผมก็สะดุ้งอีกครั้ง

             “คุณกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าหรอครับ?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะจากปฏิกริยาคนตรงหน้าดูจะชัดเจนมากว่าผมคิดถูก

             “อ่า...จะเรียกว่ากลัวก็ไม่เชิงครับ ผมแค่ไม่ชอบแล้วก็ตกใจง่ายกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็แค่นั้น พอดีเคยมีเรื่องไม่ดีฝังใจนิดหน่อย” อีกฝ่ายหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงมีเรื่องฝังใจจนไม่อยากพูดถึงมัน ซึ่งถ้าเขาไม่อยากเล่าผมก็จะไม่ก้าวก่ายอย่างที่เขาทำกับผม

             “งั้นเราไปที่ห้องคุณกันเถอะครับ เจ้าแมวสองตัวนั่นคงรอผมจนรากงอกแล้ว” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นแล้วลากคนตรงหน้าให้ลุกขึ้นเดิน อีกฝ่ายดูตัวสั่นนิดๆ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงท้อง้าสั่นไหว แต่ก็คงลุกเดินตามผมมาอย่างว่าง่าย



             เมื่อเปืดประตูเข้าไปเจ้าสองตัวนั้นก็รีบปรี่เข้ามาหาผมทันที ส่วนเจ้าของห้องค่อยๆ ประคองร่างตัวเองไปนั่งที่โซฟา ตัวยังคงสั่นไม่หยุด

             ผมอุ้มเจ้าสองตัวขึ้นมา ก่อนที่เสียงฟ้าจะดังขึ้นมาอีกครั้ง

              เปรี้ยง!

              คราวนี้ร่างสูงเจ้าของห้องสะดุ้งแรงขึ้น ผมที่กำลังจะบอกลาอีกฝ่ายเห็นแล้วก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาทันที

             “ผมขออยู่ต่ออีกสักแป๊ปได้ไหม”

             “ครับ?” พอผมพูดไปอย่างนั้นอีกฝ่ายก็รีบหันหน้ามามองผม ดวงตามีประกายแห่งความดีใจอยู่ในนั้น

             “คือ พอดีเจ้าอ้วนนี่ดูท่าจะติดคุณซะแล้ว มันดูยังไม่อยากกลับห้อง ยังไงผมขอนั่งอยู่ในห้องคุณอีกสักพักได้ไหมครับ” ผมยกเจ้าอ้วนตัวส้มมาเป็นข้ออ้างขึ้นมา เจ้าแมวเหมือนรู้ตัวว่ากำลังพูดถึงตัวเองเลยส่งเสียงร้องเล็กน้อย

             “เหมียว~”

             “ถ้างั้นก็เชิญครับ เดี๋ยวผมไปหยิบคุกกี้มาให้นะครับ พอดีเมื่อวันนี้ผมอบไว้หลายชิ้น” ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในครัว สักพักก็ออกมาพร้อมกับจานในมือที่มีคุกกี้หลายชิ้น เขาวางจานลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงบนโซฟา ผมเห็นดังนั้นเลยนั่งลงที่โซฟาด้านข้าง ก่อนจะปล่อยมือจากเจ้าแมวทั้งสองตัว เมื่อปล่อยมือออก เจ้าไข่แดงก็ตรงไปที่โต๊ะที่วางคุกกี้อยู่ทันที ต่างกับเจ้าไข่ขาวที่เดินมาขดตัวนอนอยู่บนตักผม

             เจ้าไข่แดงเดินรอบๆ จานนั้น พลางเอาจมุกดมฟุดฟิดเล็กน้อย เจ้าของเห็นดังนั้นจึงยิ้มขึ้นได้ แล้วหยิคุกกี้มาบิเล็กน้อยแล้วส่งให้เจ้าแมวอ้วน

              เปรี้ยง!

              เสียงฟ้าทำให้มือถือคุกกี้สะดุ้งเล็กน้อย เจ้าตัวอ้วนสังเหตเห็นปฏิกริยาคนตกหน้าดูตกใจกลัวเล็กน้อย จึงเดินเข้าไปหา แล้วล้มตัวนอนลงบนตักของเขา

              “เมี๊ยว~”

              ผมเห็นท่าทางเจ้าแมวอ้วนรู้เลยว่ามันคงอยากปลอใจอีกฝ่าย ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัวสินะ

              “มันคงอยากขอบคุณคุณแหละครับยังไงก็ลองลูบหัวมันดู เวลาผมลูบหัวเจ้าสองตัวนี้ผมมักจะรู้สึกสงบขึ้นอย่างบอกไม่ถูก” ผมพูดพลางยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ “อ๊ะ แต่ถ้าคุณรู้สึกหนักก็อุ้มมันออกไปหรือส่งมาให้ผมได้นะครับ เจ้าอ้วนนั้นก็หนักหลายกิโลอยู่เหมือนกัน”

              “ฮ่าๆ ไม่หนักหรอกครับ” เขายิ้มขึ้นอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบเจ้าตัวส้ม เมื่อได้รับฝ่ามืออุ่นๆ จากมนุษย์ เจ้าไข่แดงก็ครางออกมาเพื่อบ่งบอกความรู้สึกชอบ และพออกพอใจ คนลูบก็ดูสีหน้าสบายใจขึ้น

              “ว่าแต่ คุณทำขนมบ่อยจังนะครับ” ผมหันมองคุกกี้ในมือเล็กน้อย จำได้ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาก็เพิ่งทำเค้กไปเองนี่น่า

              “มันธ์ครับ” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นซึ่งดูจะไม่เกี่ยวกับบทสนทนาเมื่อกี้เลย

              “ครับ?”

             “ชื่อผมน่ะครับ มันธ์ เห็นคุณเรียกผมว่า คุณๆ เลยนึกได้ว่าเรายังไม่รู้จักกันเลยเน๊อะ” รอยยิ้มกว้างยังคงอยู่บนใบหน้าอีกฝ่าย

             จริงสินะ เขาก็เคยคุยกับคนตรงหน้าหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยรู้ชื่ออีกฝ่ายเลย

             “ผมชื่อพายครับ” ผมรีบบอกชื่อผมไปเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

             “ชื่อชวนน่ากินจังนะครับ” รอยยิ้มถูกยกกว้างขึ้น เพิ่มเติมคือสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ขึ้นเช่นกัน เพราะสายตาแบบนั้นแหละเลยเรียกสีแดงขึ้นหน้าผมอีกครั้ง สายตาอย่างนั้นคืออะไร ทำไมดูมีอะไรมากกว่าการชมว่าชื่อผมมันดู ‘น่ากิน’

             “เอ่อ...ชื่อมันธ์นี่ก็แปลกจังนะครับ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องพูดไปจากเรื่องชื่อตัวเอง โชคดีที่อีกฝ่ายยอมเปลี่ยนเรื่องจากชื่อผมไปชื่อเขาแทน ไม่งั้นผมคงทนสายตานี้ต่อไปไม่ไหวแน่ๆ

             “จริงๆ พ่ออยากให้ผมชื่อธันวาครับ เป็นเดือนเกิดพอดี แต่แม่บอกว่าชื่อมันโหล เถียงกันไป เถียงกันมาเลยให้ชื่อว่า Month ที่แปลว่าเดือน ถือว่าเป็นคนละครึ่งทาง อยากให้ลูกชื่อเดือนเกิด ก็ชื่อเดือนไปเลย”

             “ก็ดีนะครับ ชื่อแปลกไม่เหมือนใครดี”

             “ครับ อ่า...ส่วนเรื่องที่คุณพายพูดไว้เมื่อกี้ คือผมเป็นยูทูปเบอร์ ปกติผมจะอัพคลิปลงยูทูปทุกวันจันทร์กับพฤหัส แต่ถ่ายคลิปจริงๆ ทุกวันอาทิตย์กับวันพุธน่ะครับ แถมวันนี้วันอาทิตย์ คราวก่อนที่เราเจอกันก็วันอาทิตย์ ไปแปลกใจที่คุณจะรู้สึกว่าผมทำขนมบ่อย”

             “หรอครับ ก็ว่าคุณมันธ์ทำอร่อยมากจริงๆ เลยครับ”

             “ถ้าไม่รังเกียจ ไว้คราวหน้าผมทำอีกแล้วจะเอาไปให้นะครับ”

              “เฮ้ย!! ไม่เป็นไรครับ เกรงใจ”

              “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เพราะยังไงกินคนเดียวผมก็กินไม่หมดแถมน้ำหนักจะขึ้นเอา มีคุณพายมาช่วยกินอย่างนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ”

              “อ่า....ถ้าไม่รบกวนก็ขอบคุณมากครับ เอาจริงๆ เจ้าสองตัวนี้ก็ดูจะติดใจฝีมือคุณมันธ์แล้วด้วย” ผมพูดไปพลางเอามือลูบหัวเจ้าตัวขาวที่หลับอยู่บนตักของตัวเอง

              “จริงๆ เรียกผมว่ามันธ์เฉยๆ ก็ได้นะครับ เราน่าจะอายุพอๆ กัน ไม่ต้องทางการขนาดนั้นก็ได้”

               “แต่ว่า...”

              “นะครับ ผมเองก็จะเรียกแค่ชื่อคุณเฉยๆ”

              “เอ่อ...แต่ว่า...” จะดีหรอที่ทำตัวสนิทสนมกันเร็วขนาดนี้

              “นะครับ พาย” เขาพูดด้วยเสียงเบาราวกระซิบแต่ผมกลับได้ยินเต็มชัดสองรูหู แค่เรียกชื่อเฉยๆ กลับทำผมใจกระตุกวูบซะงั้น

               “เอ่อ...”

                “มันธ์ครับ พาย” สายตาจริงจังหันมาจ้องผมตรงๆ น้ำเสียงที่ดูเล่นๆ เมื่อกี้ก็จริงจังขึ้นมา

                “…อะ…เอ่อ…”

               “ว่าไงครับ พาย” อีกฝ่ายอุ้มแมวตัวส้มที่อยู่บนตัก เอาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอื้อมตัวเขยิบมาใกล้ผมมากขึ้น สายตายังไม่ละจากใบหน้าผม

               “จะเรียกดีๆ ไหมครับ” มือใหญ่ยกขึ้นมาสัมผัสหน้าผมเบาๆ นิ้วเรียวยาวลูบไปมาตรงริมฝีปากของผม

               “อะ...เอ่อ...” ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว หัวใจจะหยุดเต้นอยู่แล้วววววว

               ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่ออีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้...ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

               “ครับๆ เรียกแล้วครับ!! มันธ์ครับ มันธ์!! หยุดก่อนนน!!” ผมรีบผลักหน้าอีกฝ่ายก่อนที่ตัวเองจะผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ตะกี้หน้าเราห่างกันไม่ถึงสิบเซนฯ ด้วยซ้ำ!! มั่นใจมากว่าตอนนี้หน้าผมต้องเห่อแดงไปหมด

               “เห็นไหมเรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” อีกฝ่ายยิ้ม กลับไปนั่งที่ตัวเองแล้วอุ้มเจ้าไข่แดงมานั่งตักเหมือนเดิมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

               “อ่ะ กินแต่คุกกี้คงจะหิวน้ำนะครับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้ละกัน” ว่าแล้วเขาก็อุ้มเจ้าแมวออกอีกครั้งก่อนจะเดินไปที่ครัว ไม่นานก็กลับมาพร้อมน้ำสองแก้ว แล้วยื่นแก้วหนึ่งมาให้ผม ผมรับมาอย่างว่าง่าย ในใจยังตกใจเหตุการณ์เมื่อกี้อยู่เลย

               “พูดเรื่องผมมาเยอะแล้ว มาคุยเรื่องคุณพายบ้างดีกว่า”

               “ครับ?”

               “คุณพายมีแฟนรึยังครับ?”

               “แค่กๆ” ผมสำลักน้ำทันทีที่ได้ยินคำถาม ใครจะไปคิดว่าจะโดนคำถามนั้นจู่โจม เจ้าของคำถามเห็นแบบนั้นเลยเอื้อมไปหยิบทิชชู่ส่งให้ผม ผมก็รับมาอย่างว่าง่ายเช่นเดิม

               “สรุปว่าไงครับ มีแฟนรึยังครับ” เขายิ้มขึ้นเล็กน้อย

               “ยะ...ยังครับ”

               ได้ยินคำตอบอย่างนั้นอีกฝ่ายก็พึมพัมอยู่สองสามคำจนผมแทบไ่ได้ยิน แต่แว่วๆ ว่า ‘ก็ดีสิ’ รึเปล่านะ...?

               “แล้วพายทำอะไรอยู่หรอครับ เพิ่งเรียนจบใช่ไหม ช่วงนี้ผมว่าเศรษฐกิจมันแย่มากๆ งานก็หายาก เด็กจบไหมนี่ดูท่าจะลำบากน่าดู” ไก้ยินอย่างนั้นผมถึงกับเอ๋อไปสักครู่

               “เอ่อ...ผมยี่สิบเจ็ดแล้วนะ นี่มันธ์คิดว่าผมอายุเท่าไหร่กันเนี่ย?!”

              “หืม? จริงหรอครับ อ้าวงี้ผมก็หน้าแตกเลย พายหน้าเด็กมากเลยนะรู้ตัวรึเปล่าครับ ผมเข้าใจว่าพายอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ไม่ต่างจากผมซะอีก อย่างนี้ผมต้องเรียกพายว่าพี่แล้วสิ”

               “เฮ้ย ไม่ต้องหรอกๆ ผมไม่ถือ เรียกเหมือนเดิมนั่นแหละ” อีกอย่างจริงๆ ผมว่ามันธ์นี่นิสัยดูโตกว่าผมซะอีก

               “เอางั้นหรอครับ”

                “ครับ ผมไม่ถือหรอก มันธ์เรียกผมว่าพายเหมือนเดิมก็ได้” ผมยิ้มไปนิดเพื่อตอกย้ำว่าตัวเองพูดจริง และไม่โกรธถ้าอีกฝ่ายไม่เรียกผมว่าพี่

               มันธ์ยิ้มกลับนิดๆ พลางส่งสายตาแบบเดิมมาให้ผม สายตาที่ผมว่ามันดูเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้ เป็นสายตาที่ชวนให้ผมใจกระตุกวูบ พลางหน้าขึ้นสีขึ้นมาเล็กน้อย

              “อย่างนี้พายก็ไม่ได้ว่างงานใช่ไหมครับ?” เมื่อพูดขึ้นสายตานั้นก็หายไปกลับมาเป็นสายตาสดใสยิ้มแย้มแบบเดิม

              “อ่าครับ ตอนนี้เป็นนักเขียนกับช่างภาพครับ”

              “โห้...สุดยอดจังครับ เป็นนักเขียนกับช่างภาพอะไรหรอครับ?”

              “ผมเป็นช่างภาพพรีเวดดิ้งน่ะ ส่วนงานเขียนผมเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยวพร้อมรูปประกอบ มีคอลัมน์ประจำอยู่ในนิตสาร”

               “อย่างนี้พายก็ต้องเคยไปท่องเที่ยวมาหลายที่แล้วสิ”

              “ก็ไม่เยอะมากหรอก ปกติก็ออกทริปแค่เดินละครั้งเอง”

                 “แค่นั้นก็สุดยอดแล้วครับ ผมนี่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย วันๆ ก็อยู่แต่ในครัว”

              เปรี้ยง!!

              เสียงฟ้าผ่าดังลั่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา มันธ์ที่ดูสีหน้าสบายใจขึ้นเหมือนจะลืมเรื่องฝนตกข้างนอกไปแล้ว กลับมาหน้าซีดอีกครั้ง ผมเห็นอย่างนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย อีกฝ่ายเห็นอย่างนั้นเลยหันมามองผมอย่างงงๆ

              “มีคนเคยบอกผมว่า เวลาเรากลัวอะไร หรือเวลารู้สึกแย่ ให้จับมือกันไว้ เราจะได้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้”

             มันธ์ก้มลงมองมือผมอีกครั้งก่อนจะเงยหน้ามามองผม ก่อนจะเอามือของตัวเองออกไปแล้วพลิกกลับมาจับมือผมพลางบีบเบาๆ “ขอบคุณครับ”

              ผมยิ้มให้กับท่าทางเหมือนเด็กน้อยนั้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายสบายใจ ผมก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนสายตาจะค่อยๆ เลื่อนลอยขึ้นรู้ตัวอีกทีภาพตรงหน้าก็วูบเป็นสีดำไปเสียแล้ว

               _________________________
   

               ผมบีบมือเล็กๆ นั่นอยู่สองสามครั้ง เมื่อหันไปมองเจ้าของมือก็พบว่า พายหลับไปแล้ว หลับไปพร้อมๆ กับเจ้าแมวสองตัวที่เหลือ

               ผมขยับตัวเล็กน้อยเจ้าแมวส้มก็รู้สึกตัวทันที มันงัวเงียนิดหน่อย แล้วกระโดดไปยังที่ว่างบนโซฟาก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างไม่สนใจผมอีก

               “พาย...พายครับ” ผมส่งเสียงพลางสะกิดปลุกแต่อีกฝ่ายแต่เขาก็เพียงแต่ส่งเสียงงืมงัมกลับมาแถมยังปัดมือผมออกอย่างรำคาญ

               ดูท่าว่าคนตรงหน้าจะไม่ตื่นง่ายๆ แต่จะปล่อยให้นอนตรงนี้ พรุ่งนี้ตื่นเช้ามามีหวังต้องปวดตัวแน่ๆ ...ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ผมช้อนตัวอีกฝ่ายก่อนจะอุ้มขึ้นมา ความจริงพายตัวเตี้ยกว่าผมแค่ไม่กี่เซน แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะตัวเบาหวิวขนาดนี้ แถมยังหลับลึกเหลือเกิน ขนาดผมอุ้มขึ้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว

               ผมเดินเข้ามาในห้องนอน แล้ววางอีกฝ่ายลง คนบนเตียงเหมือนรู้ตัวว่าตัวเองอยู่บนเตียงแล้ว ก็ขยับตัวนิดหน่อยให้สบายแล้วหลับต่ออย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมค่อยๆ หยิบผ้าห่มขึ้นห่มให้

              ตอนแรกผมกะว่าจะพาเขากลับห้องนั่นแหละ แต่จนแล้วจนรอดก็หากุญแจห้องของอีกฝ่ายไม่เจอ เลยต้องพาเขามาไว้ที่ห้องตัวเองอย่างนี้

              เมื่อจัดผ้าห่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมหันไปมองพายอย่างชัดๆ อีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบหน้าเขาเบาๆ อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือผมเลยเอาหน้าคลอเคลียกับมือผมไปมา...

               นิสัยอย่างกับแมว....พายจะรู้ตัวไหม ว่าเขาน่ะไว้ใจคนอื่นง่ายเกินไป ไม่รู้จักระวังตัวเลย....กับผมที่แทบไม่รู้จักแต่กลับไว้ใจ ไม่มีกำแพงใดๆ ขนาดเมื่อกี้เป็นใครก็ต้องดูออกว่าผมทำท่าจะจูบเขา แต่ตอนนี้เขาก็ยังมานอนหลับได้อย่างสบายใจเฉิบไม่คิดจะกลัวผมเลยสักนิด....จะว่าน่ารักก็น่ารัก แต่มันก็แอบอดเป็นห่วงไม่ได้...คนอย่างนี้รอดมาได้ไงนะตั้งยี่สิบเจ็ดปี....

               คิดถึงเรื่องในวันนี้ผมก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายยังโสด และยอมให้เขาเรียกแค่ ‘พาย’ ไม่ใช่ ‘พี่พาย’ ก็นะ...พายคงไม่รู้ว่าผมก็ไม่อยากเรียกเขาว่าพี่หรอก เพราะผมอยากให้เขาเป็น ‘มากกว่าพี่’ ยังไงล่ะ


หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 2 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 31-12-2018 15:34:00
น่าร๊ากกกก ชอบการแปลงเป็นแมวได้ด้วยแบบไม่ต้องพึ่งคำสาปใดใด
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 2 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 01-01-2019 07:28:06
 :hao6:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 2 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 01-01-2019 21:03:21

บทที่ 3 : แมวของผม...บาดเจ็บเล็กน้อย






             ผมตื่นขึ้นมาพบว่าไม่ได้อยู่ในห้องตัวเอง นั่นสิ...เมื่อคืนผมเผลอหลับไปนี่น่า....หันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอเจ้าของห้องอยู่เลย เมื่อมองไปที่นาฬิกา เข็มสั้นชี้เลขหกในขณะที่เข็มยาวชี้เลขสอง...หกโมงเช้าแล้ว โชคดีที่วันนี้ไม่มีคิวถ่ายรูป ผมเลยว่างทั้งวัน 

             ใจอยากจะนอนต่อแต่ก็เกรงใจเจ้าของห้อง ฝืนตัวลุกขึ้นมา พอเดินออกไปนอกห้องก็เห็นเจ้าของห้องนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ไม่ห่างกันนั้นมีแมวสองตัวของผมเดินป้วนเปี้ยนวนไปมา

             “มันธ์ครับ...มันธ์” ผมสะกิดตัวคนที่นอนอยู่เล็กน้อย หวังให้เขาตื่นไปนอนที่เตียงดีๆ นอนอย่างนี้ทั้งคืนคงปวดหลังแย่

             “อืม…” อีกฝ่ายส่งเสียงในคอเล็กน้อย พลางขยับตัว แล้วก็นิ่งไปเช่นเดิม

             “มันธ์ครับ ตื่นไปนอนที่เตียงก่อนครับ”

               “อืม….~”

             คราวนี้มันธ์ขยับตัวเล็กน้อย ยื่นมือมาดึงผม ผมที่ไม่ทันตั้งตัวเลยเซล้มไปทับเขาอย่างจัง

             เหี้ย!!

             ตอนนี้หน้าของอีกฝ่ายห่างจากหน้าผมแค่คืบ แต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวแถมยังกอดผมแน่นขึ้นราวกับผมเป็นหมอนข้างใบโต

             นิ่งสิครับ....ผมไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวเลยที่เดียว ไม่นานนักเจ้าแมวสีขาวก็กระโดดขึ้นมาบนพนักพิงโซฟา ผมหันไปมองพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือ โชคดีที่อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจที่มต้องการจะสื่อ มันเลยกระโดดลงมาบนตัวผม ก่อนจะฝังเขี้ยวลงไปบนมือที่กอดผมอยู่ทันที

             “โอ๊ย!!”

             “โอ๊ย!!”

             เพราะลุกขึ้นมาอย่างปุ๊ปปั๊ป ทำให้ผมไม่ทันตั้งตัว หัวของพวกเราเลยเขกกันไปหนึ่งที ผมลุกขึ้นนั่งลูบหัวที่โขกกันไปเมื่อกี้เล็กน้อย อีกฝ่ายก็ทำไม่ต่างกัน แรงที่โขกกันเมื่อกี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลย ส่วนเจ้าตัวก่อเรื่องนั่นกระโดดไปที่โซฟาอีกตัวแล้ว

             “ตะกี้มันอะไรกันหรอครับ?” คนเพิ่งตื่นดูจะยังไม่ได้สติเต็มร้อย หันมาถามด้วยความงุนงง เมื่อเห็นเลือดที่แขนตัวเองก็ยิ่งเกิดความสงสัย

              “อ่า...ขอโทษครับ พอดีแมวผมมันกัดมันธ์อีกแล้ว” ผมเลือกตอบไม่หมด เรื่องน่าอายที่ว่าถูกกอดก็พยายามทำลืมๆ ไป แม้ใบหน้าผมตอนนี้จะยังแดงอยู่นิดหน่อยก็เถอะ

             “แมวของพายเนี่ย ดูท่าจะเกลียดผมนะเนี่ย แค่สองวันนี้ผมก็โดนกันไปสองรอบแล้ว” เขาพูดยิ้มๆ ดูไม่ได้โกรธอะไรเจ้าไข่ขาว

             “ขอโทษครับ” ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอโทษ จริงๆ เจ้าไข่ขาวไม่ได้เกลียดมันธ์หรอก มันทำเพราะผมสั่งต่างหาก แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะกัดเขา ผมแค่ให้มันช่วยผมเองนะ!!

              “ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่พายหิวรึยังครับ?”

             “ไม่หรอกครับ ยังเช้าอยู่เลย ปกติผมไม่กินข้าวเช้าน่ะ”

              โครก~

              เสียงท้องร้องดังขึ้น ขัดกับคำพูดผมเมื่อสักครู่ รู้สึกเขินขึ้นมานิดๆ ในขณะที่อีกฝ่ายได้ยินเสียงท้องร้องของผมเขาก็ยิ้มกว้างขึ้น

             “งั้นพายไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้กิน”

             “เฮ้ย ไม่เป็นไรครับ”

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็จะทำอะไรกินอยู่ดี เพิ่มอีหนึ่งคนไม่ลำบากหรอกครับ” เข้ายิ้มอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น จังหวะนั้นเองที่ผมเห็นแผลเล็กๆ บนแขนเขา ผมรีบคว้ามือล้างสูงไว้ทันที

             “เอ่อ...แผลที่แขนน่ะ ทำแผลก่อนดีกว่าไหมครับ?”

               “พายจะทำให้ผมหรอครับ?” ผมหันไปมองหน้าคนพูด จึงสบกับสายตาเจ้าเล่ห์ที่ส่งมาให้ สายตาอย่างนั้นมันคืออะไร?! ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างแปลกๆ

             “เอ่อ...แผลนิดเดียวเอง มันธ์คงทำแผลเองได้แหละครับ เอ่อ...ยังไงผมขอกลับห้องไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่ายังไงเดี๋ยวผมมานะครับ” รีบพูดรีบลุกรีบวิ่งกลับห้องเลยครับ ณ จุดนี้

             เพราะรีบออกมาจากห้องนั้นเลยไม่ทันได้ยินประโยคของเจ้าของห้องที่พูดขึ้นมาเบาๆ สีหน้าดูมีความสุขที่ได้แกล้งอีกฝ่าย แต่ก็ยังมีแมวสองตัวที่วนเวียนอยู่แถวนั้นได้ยินเป็นพยาน

              “ว้า~ แมวตื่นตกใจหนีกลับห้องไปซะแล้ว~”





              พอจะเข้าห้อง ห้องก็ล็อก....ผมค้นกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อก็แล้ว แต่ก็ไม่เจอเลย สงสัยลืมอยู่ในห้องแน่ๆ เมื่อวานน่าจะรีบจนไม่ทันได้หยิบกุญแจออกมา โชคดีที่ที่คอนโดที่นี่นอกจากมีระบบกุญแจแล้วยังมีระบบรหัสผ่าน ผมกรอกรหัสผ่านที่เป็นเลขสี่ตัวเข้าไป ไม่นานประตูก็เปิดออก

             เมื่อเข้าไปในห้องก็ต้องช็อคกับสภาพห้องที่เห็น ลืมไปเลยว่าเมื่อคืนทุบกระจกระเบียงเข้ามาในห้อง สภาพห้องตอนนี้คือบริเวณแถวระเบียงเต็มไปด้วยน้ำ กระดาษกระจัดกระจายเต็มห้องไปหมด น่าจะเพราะลมเพราะฝนที่สาดเข้ามาจากทางประตูระเบียงที่ไร้กระจกนั่น ไหนจะเศษซากกระจกอีก

             เฮ้อ.....

             ได้แต่ถอนหายใจนิดๆ แล้วลงมือเก็บห้อง โชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย ยกเว้นประตูกระจกนั่นน่ะนะ

             ใช้เวลาไม่นาน ก็เก็บห้องได้เรียบร้อย แต่เหงื่อก็ออกเยอะมาก เห็นทีแค่ล้างหน้าล้างตาคงไม่ไหว ตอนนี้ผมอยากจะอาบน้ำมากๆ เพราะเหนียวตัวเหลือเกิน จริงๆ ก็แอบเกรงใจห้องข้างๆ ว่าจะรอเขานานรึเปล่า แต่พอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งโดนกอด ทั้งสายตานั่นอีก เอาเป็นว่าอาบน้ำด้วยเลยละกัน อย่างน้อยก็ช่วยถ่วงเวลาได้อีกนิด เอาจริงๆ ผมเขินจนไม่อยากไปเจอหน้าคนที่อยู่ห้องข้างๆ แล้ว แต่เมื่อกี้ปากเจ้ากรรมดันไปพูดมาได้ว่าเดี๋ยวจะกลับไป อย่างนี้ไม่ไปก็น่าเกลียดเกิน แถมผมยังมีเจ้าแมวสองตัวเป็นตัวประกันอยู่ที่ห้องนั้นด้วย

             อาบน้ำเสร็จ มองเวลาก็เห็นว่าเกือบแปดโมงแล้ว...เฮ้อ....คงหาเรื่องถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วแหละ...ว่าแล้วก็ได้แต่เดินก้มหน้าไปยังห้องข้างๆ อยู่กับคนๆ นั้นเขารู้สึกเสียการควบคุมจริงๆ!!
   



              กดกริ่งไม่กี่ครั้ง ประตูห้องตรงหน้าก็เปิดออก อีกฝ่ายก็อยู่ในชุดใหม่เหมือนผม แสดงว่าเขาก็คงอาบน้ำแล้วเหมือนกันสินะ

              “นึกว่าพายจะไม่มาซะแล้ว” มันธ์ยิ้มตอนรับผมก่อนจะเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้ผมเดินเข้ามาในห้อง

              “แฮะๆ…” ไม่รู้จะพูดอะไรตอบไป ก็นะ ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะมาหรอก....

              พอเข้ามาในห้อง กลิ่นอาหารก็ปะทะเข้ามาทันที เมื่อเดินมาเรื่อยๆ จนถึงครัวก็เห็นเจ้าแมวทั้งสองตัวก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่

             “ผมทำข้าวต้มน่ะ พายทานได้ใช่ไหมครับ”

             “ครับ”

             แต่แล้วก็เหมือนเจ้าของห้องก็ดูจะชะงักไปเมื่อหันมาเห็นหน้าผมชัดๆ สายตาที่มองผมอยู่ขมวดคิ้วขึ้นนิดๆ

             “อะไรหรอครับ?” หรือว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่? เขาเลยมองผมขนาดนั้น

             “พายรู้ตัวไหมครับ ว่าหัวพายโนขึ้นมานิดๆ”

             “ห้ะ?” ได้ยินดังนั้นผมเลยรีบจับมือที่หน้าผากตัวเอง แล้วค้นพบว่าหัวผมโนขึ้นมานิดนึงจริงด้วย ตะกี้ตอนอาบน้ำไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยแฮะ ส่งสัยหัวโนเพราะโขกกันเมื่อกี้แน่ๆ

             “มานั่งนี่ก่อนครับ” เขาว่าพลางดึงมือผมนิดๆ ให้ไปนั่งที่โซฟา พอนั่งปุ๊ป เขาก็ลุกขึ้นไปที่ตู้ยา แล้วเดินต่อไปที่ห้องครัว

             “โชคดีนะครับที่ผมยังมีดินสอพองเหลืออยู่” เขาพูดแล้วก้มหน้าก้มตาทำบางอย่าง ผมมองดูจากโซฟา เห็นเขาหั่นอะไรสักอย่างก่อนจะบีบลงในชาม แล้วก็เอามือบดๆ ลงในชาม จากนั้นก็ถือชามนั่นเดินมาหาผม

             “มันคืออะไรหรอครับ?” ผมรีบถามขึ้นทันทีที่เห็นของที่อยู่ในชามนั่น มันดูเป็นครีมสีขาวๆ มีกลิ่นเปรี้ยวๆ ของมะนาวลอยมา

             “ดินสอพองผสมมะนาวน่ะครับ”

             “ดินสอพองผสมมะนาว?”

             “ครับ ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นซนหัวโนอยู่บ่อยๆ แม่ก็จะเอาดินสอพองผสมมะนาวมาพอกไว้ตรงที่ผมหัวโนนะครับ ทำแบบนี้วันสองวันตรงที่โนก็จะยุบไป แต่ของพายดูจะโนไม่เยอะ ทาทิ้งไว้แค่วันเดียวก็น่าจะหาย”

             ว่าแล้วเขาก็เอามือจิ้มดินสอพองดังกล่าว ยื่นหน้าเข้ามาแล้วค่อยๆ ทาที่หน้าผากผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็ลุกออกไป

             ผมเอามือสัมผัสหน้าผากตัวเองดูก็สัมผัสได้ถึงความเฉอะแฉะของดินสอพอง

             “อย่าเอามือไปจับสิครับ” มันธ์รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นผมทำแบบนั้น ตะกี้เข้าลุกเอาชามไปเก็บนั่นเอง

             “แต่ว่า...”

             “พอกเอาไว้อย่างนั้นแหละครับ อย่าไปโดนมันนะ” เขาส่งสายตาจริงจังมาให้ผม ทำให้ผมไม่กล้าขัดขืน

             “ก็ได้ครับ”

             เมื่อได้ยินดังนั้น อีกฝ่ายก็ดูจะพอใจเป็นอย่างมากเลยยิ้มหน้าระรืนให้ผม

             “มากินข้าวกันเถอะครับ ผมทำเสร็จสักพักแล้ว แต่เห็นพายยังไม่มาสักทีเลยไปอาบน้ำ ยังไงเดี๋ยวผมขออุ่นข้าวต้มสักแป๊ปนึงนะครับ พายไปนั่งรอก่อนที่โต๊ะก็ได้” เขาพูดแล้วชี้ไปที่โต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าครัว

             “อ่าครับ”

              ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะที่มันธ์ชี้เมื่อกี้ ระหว่างรอก็นั่งมองหลังของเจ้าของห้องก้มหน้าก้มตาทำอาหารอย่างอารมณ์ดี ผมแอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่เขาอุส่าต์ทำอาหารเผื่อผม แถมรอกินข้าวพร้อมผม เขาเลยต้องเสียเวลามาอุ่นอาหารอีกรอบ

             “ผมขอโทษนะครับที่มาช้า พอดีเก็บห้องนิดหน่อย”

             “เก็บห้อง?” มันธ์ละสายตาจากหมอแล้วหันหลังมามองผม

             “อ่า...ก็เมื่อคืนที่ประตูระเบียงห้องผมแตกไงครับ แล้วฝนมันก็ตก น้ำเลยสาดเข้ามาในห้อง ห้องก็เละเทะนิดหน่อย”

             “จริงด้วยสิครับ ผมลืมไปเลย”

             สักพักเขาก็ปิดเตาแก๊ส ตักอาหารในหม้อใส่ชาม แล้วเดินเอามาให้ผม แล้วก็กลับไปตักของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามผม

             “กินสิครับ อร่อยนะ” มันธ์พูดขึ้นเมื่อเห็นผมไม่ยอมลงมือกินสักที

              “อ่า...ครับ”

             ผมตักอาหารเข้าปากคำแรกสัมผัสได้กับคำว่า...อร่อย...อร่อยจริงๆ ไม่ใช่อีกฝ่ายคุยโวเลย

             “ว่าแต่เจ้าตัวเล็กสีเทาไปไหนหรอครับ”

             ฉิบหาย....ลืมเรื่องนั้นไปเลย....

              “อ่า....เจ้าของมารับกลับไปแล้วน่ะครับ” ผมรีบโกหกไปอย่างรวดเร็ว

              “หืม? เจ้าของมารับ?”

             “ครับ เมื่อเช้าน่ะครับ พอกลับไปถึงห้อง เจ้าของเขาก็โทรมาพอดี แล้วเขาก็รีบมารับกลับไปน่ะครับ” ผมรีบโกหกต่อไปเป็นเรื่องเป็นราวอย่างรวดเร็ว

             “แต่เมื่อวานพายบอกว่า พายเป็นเจ้าของเจ้าตัวเล็กไม่ใช่หรอ”

             ฉิบหาย....ลืม.....!!

             “อ่า...คือ....”

             “คือ?”

             “คือจริงๆ ผมก็เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งน่ะครับ”

             “เจ้าของครึ่งหนึ่ง?”

             ผมรีบคิดเรื่องโกหกอย่างรวดเร็ว พลางคิดถึงเพื่อนสนิทสมัยเด็ก ขอยืมมันมาอ้างหน่อยแล้วกัน

              “คือผมกับเพื่อนไปเจอแมวตัวนี้ป้วนเปี้ยนอยู่แถวคอนโด ด้วยความสงสารเลยเก็บมาเลี้ยง ตกลงกันว่าจะผลัดกันดูแล เพราะเพื่อนกับผมก็ทำงานยุ่ง เลยผลัดกันดูแลเมื่ออีกฝ่ายมีเวลาว่างอะไรแบบนี้ แต่โดยหลักเจ้าตัวเล็กจะอยู่กับเพื่อนผมน่ะครับ”

              “อ่อ...อย่างนี้นี่เอง”

              คนฟังยอมเชื่อไม่ติดใจถามอะไรอีก



   
          
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 2 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 01-01-2019 21:03:59
   





                  ไม่นานนักผมกับมันธ์ก็กินเสร็จ ผมจึงหยิบชามทั้งของตนและของเขาเดินไปล้างที่ครัว

              “เดี๋ยวผมล้างเองครับ พายวางเอาไว้เลย”

              “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมล้างเอง แค่นี้เอง”

              “แต่ว่า....”

              “ให้ผมล้างเถอะครับ มันธ์ก็ทำอาหารให้ผมแล้วแถมยังเลี้ยงพวกแมวผมอีก อย่างน้อยก็ให้ผมทำอะไรตอบแทนหน่อยเถอะ” ผมเถียงมันธ์อย่างจริงจัง จนอีกฝ่ายยอมให้ผมทำตามใจ พอปรายตามองก็เห็นอีกฝ่ายเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะที่กินข้าวเมื่อสักครู่

              พอล้างจานเสร็จผมเลยอุ้มเจ้าแมวสองตัว แล้วเดินเข้าไปหาเจ้าของห้อง กะว่าจะขอบคุณอีกฝ่ายแล้วขอตัวกลับห้อง แต่พอเดินเข้าไปใกล้เข้าก็หันมาถามขึ้น

              “พายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ?”

              “ครับ?” ผมงงๆ อยู่นิดหน่อย ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงถามขึ้นมา

              “คือเมื่อวานที่คุยกันน่ะครับ ผมจำได้ว่าพายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ”

              “ครับ ก็ใช่”

                  “อ่า....งั้นพายพอจะใช้โปรแกรมนี้เป็นไหมครับ?” เขาว่าพลางชี้มือมาที่จอคอมพ์

              ผมยื่นหน้าเข้าไปมองที่จอตามที่พายชี้ให้ดูก็พบว่ามันเป็นโปรแกรมตัดต่อโปรแกรมหนึ่ง จริงอยู่ที่ผมเป็นช่างภาพ โปรแกรมส่วนใหญ่ที่เคยใช้ก็เป็นพวก Photoshop ไม่ก็ Lightroom แม้จะไม่ค่อยถนัดพวกโปรแกรมตัดต่อแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยใช้

              “มันเป็นอะไรหรอครับ?” ผมถามอย่างสงสัยเพราะจากที่มองก็ยังไม่เห็นปัญหาอะไร

              “คือตะกี้ผม Import คลิปเข้ามา พอดึงมาตัดต่อมันก็ไม่ได้อ่ะครับ พยายามทำมาหลายนาทีแล้วแต่ไม่ได้สักที”

              “หรอครับ งั้นขอผมลองหน่อยนะ”

              ผมนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ของอีกฝ่าย ปล่อยเจ้าสองตัวให้ไปวิ่งเล่นในห้องนี้ แล้วหันโน้ตบุ๊คมาตรงหน้าตัวเอง พอลองกดอิมพอร์ตคลิปที่มันธ์บอกว่าจะใช้ตัดต่อ มันก็เออเร่อ...เอ? เพราะอะไรกันหว่า? หรือว่าไฟล์ต้นฉบับที่อยู่ในคอมพ์จะเสียหายพอจะดึงมาตัดต่อมันเลยใช้ไม่ได้ แม้จะอิมพอร์ตเข้ามาแล้วก็เถอะ ยังไงก็ลองเช็คที่ไฟล์ต้นฉบับก่อนดีกว่า

               “คลิปนี้อยู่ในโฟลเดอร์ไหนหรอครับ”

               “อยู่ในนี้ครับ” มันธ์เอื้อมมือมาเลื่อนเม้าส์คลิกสองสามทีเข้าไปที่โฟลเดอร์

               “เอ...อยู่ไหนหว่า?” เขาพึมพำกับตัว คิ้วก็เริ่มขมวดเข้าเรื่อยๆ “แป๊ปนึงนะครับ”

               มันธ์ยกคอมพ์กลับไปอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วพยายามคลิกนั่นนี่อยู่สองสามที คิ้วก็ยิ่งขมวดขึ้นเรื่อยๆ

               “เป็นอะไรไปหรอครับ?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

              “คือผมหาคลิปไม่เจอน่ะครับ”

              “หืม? หมายความว่ายังไง?”

              “คือทุกครั้งผมจะเอาคลิปลงในโฟลเดอร์นี้นะครับ มันก็ไม่น่าจะหายไปไหน”

              “แปลกจัง” จริงๆ คลิปก็ไม่น่าจะหายไปนะ ถ้ามันธ์ยืนยันว่าเอาคลิปไว้ในโฟลเดอร์นี้จริงๆ

              “มันจะเกี่ยวกับที่ผมสแกนไวรัสหรือเปล่าครับ?” จู่ๆ มันธ์ก็ถามขึ้นมา

               “ก็เป็นไปได้ครับ อาจจะเพราะไฟล์มันมีไวรัสพอสแกนไวรัสไฟล์มันเลยหายไป อย่างนี้ก็ไม่ยากแล้วครับยังไงมันธ์ก็เอาเมมมาแล้วลากไฟล์ลงคอมพ์ใหม่ดู ส่วนที่โปรแกรมมันดึงคลิปไม่ได้ก็น่าจะเพราะไฟล์ต้นฉบับในคอมพ์มันไม่มีอยู่ มันเลยเหมือนไม่มีข้อมูล เลยดึงมาตัดต่อไม่ได้” ผมอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

               “งั้นก็แย่แล้วล่ะครับ”

               “ทำไมหหรอ?”

               “คือผมเห็นว่าผมดึงคลิปลงในคอมพ์แล้วผมก็เลยลบคลิปในเมมกล้องไปแล้วน่ะครับ”

               “งั้นก็แย่จริงๆ นั่นแหละ แล้วคลิปนี้มันคืออะไรหรอมันธ์ถ่ายใหม่ได้ไหม”

               “เป็นคลิปที่ผมทำคุกกี้เมื่อวานน่ะครับ ผมต้องอัพมันวันนี้”

               “จะทำใหม่ก็ดูจะลำบากนะ ถ้างั้นเลื่อนไปลงคลิปวันอื่นแทนได้ไหม?” ผมพยายามเสนอทางออกอื่นให้กับอีกฝ่าย

              “ผมก็อยากทำอย่างนั้นนะ แต่ไม่ได้น่ะครับ พอดีคลิปนี้มีสปอนเซอร์สนับสนุน ผมตกลงกับเขาว่าจะอัพคลิปวันนี้น่ะครับ”

              “งั้น มันธ์จะทำยังไงครับ จะทำใหม่หรอ?”

              “คงต้องอย่างนั้นแหละครับ”

              “จะทำทันใช่ไหมครับ มันธ์ตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปกี่โมงหรอครับ” ผมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเช้ามาก แต่กว่าอีกฝ่ายทำคุกกี้ กว่าจะตัดต่อคลิป ถ้าต้องลงคลิปตอนเย็นๆ หรือตอนค่ำก็น่าจะทัน    

              “ผมตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปตอนบ่ายสองน่ะครับ คือถ้าแค่ถ่ายคลิปช่วงทำคุกกี้ก็น่าจะทัน แต่อาจจะตัดต่อไม่ทัน”

              มันธ์ทำหน้าเครียดขึ้นมานิดหน่อย ผมเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะช่วย

              “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยได้ก็บอกนะครับ”

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมทำเองไม่อยากให้พายลำบาก”

              “ไม่ลำบากอะไรหรอก วันนี้ผมว่างด้วย”

              “งั้นหรอครับ...งั้นพายช่วยผมทำคุกกี้ได้ไหมครับ?”

              “เฮ้ย ผมช่วยได้ทุกอย่างนะ แต่กับอาหารนี่ผมทำไม่เป็นเลย” ผมรีบบอกปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ช่วยผสมนั่นผสมนี่ เดี๋ยวผมคอยบอกเองครับ”

              “แต่ว่า...”

              “นะครับ ทำสองคนน่าจะเร็วกว่าทำคนเดียวแน่ๆ” มันธ์ทำสายตาเป็นประกาย ราวกับจะออดอ้อนผมขึ้นมา

              “ครับ ก็ได้ แต่มันธ์ต้องบอกผมเป๊ะๆ เลยนะ เพราะผมทำไม่เป็นจริงๆ” รีบย้ำอีกฝ่ายให้ชัดๆ เพราะผมทำอาหารไม่เป็นเลยจริงๆ ไม่อยากเป็นตัวถ่วงอีกฝ่าย

              “ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

              มันธ์ยิ้มให้ผมแล้วเดินไปที่ครัว ก้มหน้าก้มตัวมองหาอะไรสักอย่าง แล้วหันมาพูดกับผม

              “คือว่า พายครับ คือผมลืมไปว่าแป้งที่ใช้มันหมดไปแล้ว”

              “อ้าว!! แล้วอย่างนี้จะทำยังไงล่ะครับ?” ผมหันไปมองเวลา ตอนนี้ก็เพิ่งเก้าโมงกว่าเองห้างต่างๆ ก็ยังไม่เปิด แล้วอย่างนี้จะไปซื้อแป้งที่ไหน

              “คงต้องออกไปซื้อแหละครับ”

              “ซื้อ? ซื้อที่ไหนหรอ ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงกว่าเองนะครับ ห้างก็ยังไม่เปิด”

              “ไม่เป็นไรครับ ผมมีร้านอุปกรณ์เบเกอรี่เจ้าประจำอยู่ห่างไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ขับรถไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง”

              “อ่อครับ งั้นมันธ์จะไปเลยใช่ไหมครับ”

                   “ครับ พายไปด้วยกันนะครับ”

              “ห้ะ? จะให้ผมไปด้วยทำไม??”

              “ไปช่วยกันหา ไปช่วยกันถือไงครับ”

              “มันธ์ขาดแค่แป้งไม่ใช่หรอ แป้งไม่กี่ถุงก็ไม่น่าหนักนะครับ”

              “เผื่อซื้ออย่างอื่นด้วยไง นะครับ ไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

              “….”

              “นะครับ”

              “เออ ก็ได้ ไปก็ไป” เจออีกฝ่ายทำสายตาออดอ้อนใส่ก็ยากจะปฏิเสธ

              “งั้นเอารถผมไปนะครับ”

              ผมพยักหน้าเบาๆ อีกฝ่ายเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มระรื่นขึ้นมา ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถ ระหว่างนั้นผมเลยหันไปหาเจ้าแมวทั้งสองตัวก่อนจะพูดกับพวกมัน

              “เดี๋ยวมานะ แกสองตัวอยู่ที่ห้องนี้ก่อนนะ อย่าหนีไปไหนล่ะ”

              “เมี๊ยว! /เมี๊ยว~” ทั้งสองตัวรับคำพร้อมกัน ไข่ขาวส่งเสียงมาอย่างหนักแน่นราวกับบอกว่าจะเฝ้าเจ้าตัวน้องอย่างดีไม่ให้หนีไปเล่นที่ไหน ในขณะที่ไข่แดงที่เป็นเจ้าตัวน้องกลับส่งเสียงส่งๆ ไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย เพราะมันกำลังล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจอยู่บนหมอนของโซฟา

              “ผมล็อกระเบียงนะครับ” ผมหันไปถามเจ้าของห้องก่อน เมื่อเห็นเขาพยักหน้าก็ก้มหน้าล็อกระเบียง เป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าแมวทั้งสองตัวหนีออกไปทางระเบียง กับเจ้าไข่ขาวอ่ะผมพอไว้ใจ แต่กับเจ้าไข่แดงนี่เดาใจยากจริง มันชอบซุกซนไปนั่นไปนี่ ผมก็แอบกลัวอยู่ว่าสักวันมันจะเผลอผลัดตกระเบียงลงไปไหม...

              “จริงด้วย...พายครับ จะล้างหน้าก่อนไหมครับ?” ก่อนออกจากห้องมันธ์ก็หันมาถามผม

               ล้างหน้า? ล้างทำไม? ก็เพิ่งอาบน้ำไป หน้าไม่ได้เลอะอะไรสักหน่อย หรือว่าหน้าผมมันเกินไป? พอเห็นผมทำหน้าสงสัยอีกฝ่ายก็เลยตอบข้อสงสัยให้ผมฟัง

              “คือดินสอพองที่หน้าผากน่ะครับ”

              ผมรีบเอามือแตะที่หน้าผากทันทีด้วยความอายแต่เพราะกดแรงไปหน่อยมันเลยปวดขึ้นมา จนเผลอส่งเสียงร้องไปนิดหน่อย

               “โอ๊ย!”

               “เจ็บไหมล่ะครับนั่น?” มันธ์พูดยิ้มๆ ราวกับเห็นท่าทางของผมเป็นเรื่องสนุก

               “ก็เจ็บสิ ถามมาได้ ยังไงผมขอยืมห้องน้ำแป๊ปนะครับ” ไม่ทันให้เจ้าของห้องอนุญาตผมก็ตรงเจ้าไปในห้องน้ำแล้ว   




   

              ผมมองที่กระจกห้องน้ำ หน้าของผมแดงขึ้นมานิดหน่อยไม่มากเท่าครั้งก่อนๆ สงสัยเริ่มมีภูมิต้านทานแล้วมั้ง หน้าเลยไม่ค่อยแดงมาก

              สายตาผมเริ่มไล่ไปมองยังหน้าผาก ดินสอพองที่แห้งเกาะติดอยู่บนหน้าผาก มือค่อยๆ ยกมือขึ้นสัมผัสดินสอพองนั้นอย่างเผลอเรอ ในหัวก็คิดถึงคนที่ทามันให้...

              ตอนนั้นหน้าเราอยู่ใกล้กันมากๆ ใกล้กันเหมือนเมื่อคืนที่มันธ์ทำท่าเหมือนจะจูบผมตอนที่ผมไม่ยอมเรียกชื่อ....

               บ้าไปแล้ว!! คิดอะไรบ้าๆ เขาทั้งสองคนเป็นผู้ชายนะ ถึงอีกฝ่ายจะดูมาล้อเล่นกับผมราวกับว่าสนใจในตัวผมยังไง แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันธ์เป็นผู้ชายแท้ๆ ยังไงเขาก็คงล้อผมเล่น สนุกๆ คงไม่ได้คิดจะจู่โจมผมจริงๆ หรอก

              ผมสะบัดหัวสองสามครั้ง ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ก่อนจะลงมือล้างหน้า เพียงล้างน้ำแค่สองสามครั้งดินสอพองบนหน้าผากก็ออกไปหมด

              เมื่อออกจากห้องน้ำก็เห็นอีกฝ่ายใส่รองเท้าเรียบร้อย ผมจึงรีบตามออกไป

              “เดี๋ยวกลับมาก้พอกดินสอพองไว้อีกรอบนะครับ”

              “ห้ะ?”

              “ก็ตะกี้เพิ่งพอกไว้ยังไม่ถึงชั่วโมงเลยมั้งครับ ยังไงก็กลับมาพอกไว้อีกรอบเถอะ”

              “แต่ว่า...”

              “นะครับ หัวที่โนจะได้ยุบเร็วๆ ไงครับ” มันธ์ยกมือขึ้นมาลูกหน้าผากบริเวณที่ผมหัวโนอย่างเบามือ มองด้วยสายตาที่ผมก็บอกไม่ถูก ผมได้แต่พยักหน้ายอมทำตามเขาโดยไม่บ่นอะไร แล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

              “ว่าแต่ มันธ์ไม่เป็นอะไรเลยหรอครับ?” ผมหันไปถาม เพราะอีกฝ่ายก็เป็นคนโขกหัวผมนะ ความแรงที่โขกมามันก็แรงในระดับนึง ถ้าผมหัวโนเขาก็น่าจะหัวโนด้วยสิ!!

              ผมยื่นมือไปเปิดผมหน้าม้าที่บังหน้าผากเขาทันทีที่คิดได้ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม แล้วก็จริงด้วย อีกฝ่ายก็หัวโนนิดๆ ไม่ต่างจากของเขาเลย

              “นั่นไง! ว่าแล้วเชียว แล้วมันธ์ก็ปล่อยให้ผมพอกดินสอพองอยู่คนเดียวเนี่ยนะ?”

              “ของผมมันนิดเดียวเอง ไม่ต้องพอกหรอกเดี๋ยวก็ยุบ”

              ใช่ซะที่ไหนล่ะ?!! ตะกี้ที่เขาเห็นหน้าผากของตัวเองในกระจก เทียบกับของอีกฝ่ายชัดๆ แล้ว มองดีๆ ของามันธ์ดูจะหัวโนมากกว่าผมเสียอีก

              “ผมว่าของมันธ์ โนกว่าของผมอีกนะ!! เพราะงั้นถ้ามันธ์จะบังคับให้ผมพอกดินสอพองอีก มันธ์ก็ต้องพอกด้วย”

              “แต่่ว่า...”

              “ถ้ามันธ์ไม่พอก ผมก็ไม่พอกด้วย” ผมยื่นคำขาดให้อีกฝ่าย เรื่องอะไรผมจะยอมอายคนเดียวล่ะ จริงอยู่ที่การพอกดินสอพองมันก็ไม่ได้ดูแย่อะไร แต่พอผมพอกไว้แต่อีกฝ่ายไม่ได้พอก แล้วมองดูหน้าผากผมด้วยสายตาเอ็นดูแบบเด็กๆ นั่นมันก็ทำผมอายอยู่เหมือนกัน

               “เฮ้อ...ครับ พอกก็พอก” อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงหน่ายๆ นิดหน่อย แต่แค่แว่บเดียวก็หันมายิ้มให้ผมเช่นเดิม




   
               เพราะการจราจลของกรุงเทพทำให้กว่าพวกเราจะไปถึงร้านก็สิบโมงกว่าแล้ว เมื่อเข้าไปในร้านผมก็ต้องตกใจเล็กน้อย ผมไม่เคยเข้าร้านแบบนี้เลย ไม่คิดว่ามันจะมีของเยอะแยะขนาดนี้ นอกจากพวกวัตถุดิบเบเกอรี่แล้ว ที่นี่ยังมีขนม อุปกรณ์เครื่องใช้ ทั้งของเบเกอร์รี่และเครื่องดื่ม เต็มไปหมด

                มันธ์เดินเข้าไปที่โซนแป้งก่อนเป็นที่แรก ดูไม่นานเข้าก็หยิบแป้งลงใส่ตะกร้ามาสามถุง

               “ได้ครบแล้วใช่ไหม?” ผมหันไปถาม

              “ยังครับ...ผมว่าจะซื้อพวกของตกแต่งหน้าคุกกี้ด้วย”

               “อ่อ มันอยู่ตรงไหนหรอ?”

               “พายชอบกินคุกกี้อะไรครับ” มันธ์หันมาถามผมโดยไม่สนใจคำถามของผมเลย

               “ว่าไงครับ? พายชอบคุกกี้อะไร?” เขาถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นผมไม่ตอบ

                “อ่า...ผมกินคุกกี้อะไรก็ได้ครับ ไม่ได้มีแบบที่ชอบเป็นพิเศษ”

                “จริงหรอครับ?” อีกฝ่ายทำหน้าสงสัย

               “จริงๆ ครับ”

              “ไม่มีเลยจริงๆ หรอ สักแบบ แบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ” อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมเชื่อผม แล้วถามย้ำอีกครั้ง พอได้ยินอย่างนั้น ผมเลยมาลองนึกๆ ดูอีกที

               “ถ้าจะว่าแบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ ก็มีอยู่ครับ”

                “นั่นแหละครับๆ แบบไหนหรอครับ”

              “ก็แบบที่มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์อยู่ข้างบนน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือคุกกี้อะไร”

              “เม็ดมะม่วงหิมพานต์งั้นหรอ...โอเคครับ” ว่าแล้วเขาก้เดินตรงดิ่งไปยังโซนที่อยู่ข้างๆ กัน ก่อนจะหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ขึ้นมาแพ็คหนึ่ง ผมมองอย่างสงสัย

              “อย่าบอกนะครับว่าจะทำคุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์น่ะ?” ผมถามขึ้นเพราะจำได้ว่าที่เมื่อคืนกินมันเป็นคุกกี้ที่มีชอกโกแลตชิพนี่ ไม่ใช่เม็ดมะม่วง ถ้าจะทำใหม่ก็น่าจะทำแบบเดิมไม่ใช่หรอ

              “ครับ ก็พายชอบนี่” เขาพูดด้วยรอยยิ้มหันมามองผม ในมือก็เอาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ใส่ลงตะกร้า

              “เฮ้ย! แล้วเกี่ยวอะไรกับความชอบของผม? ทำไมมันธ์ไม่ทำแบบเดิมล่ะ?”

              “ก็จะทำขนมทั้งที ก็ต้องทำให้ถูกปากคนกินสิครับ” คราวนี้รอยยิ้มสดใสมาพร้อมกับสายตาที่ราวกับคิดเรื่องสนุกได้ ทำเอาผมหน้าขึ้นสีอีกครั้ง ผมเลยรีบเดินหนีคนตรงหน้าไปอีกทางทันที ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมหน้าแดงอีกแล้ว ....แล้วใครบอกกันว่าผมจะเป็นคนกิน!!







__________________________________
สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีนะคะ ยังไงปีนี้ก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 2 [30/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 01-01-2019 21:05:08




บทที่ 3.5 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว





             วันนี้ผมตื่นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟา ...จริงสินะ เมื่อคืนผมสละเตียงใหม่กับเพื่อนบ้าน ห้องข้างๆ นี่น่า

             ผมหันมองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงพนังพบว่าตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงจากห้องนอน ผมรีบแกล้งหลับต่อทันทีเพื่อรอดูปฏิกริยาของอีกคน

             “มันธ์ครับ...มันธ์” เสียงเรียกผมดังขึ้น มีแรงสะกิดเล็กน้อยที่ไหล่

             “อืม…” ผมแกล้งส่งเสียงงัวเงีย พลางขยับตัวเล็กน้อย

             “มันธ์ครับ ตื่นไปนอนที่เตียงก่อนครับ” อีกฝ่ายยังคงไม่ละความพยายามที่จะปลุกผม

             “อืม….~”

             งั้นขอแกล้งสักนิดละกัน ผมขยับตัวยื่นมือไปหาอีกฝ่ายแล้วดึงลงมาในอ้อมกอด เมื่อคืนผมก็ได้อุ้มพายแล้วก็คิดแหละว่าอีกฝ่ายตัวเล็กกว่าที่คิด แต่พอได้กอดก็รู้สึกว่าจริงๆ ก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้น ก็ยังคงมีรูปร่างแบบผู้ชาย กล้ามเนื้อไม่เยอะมาก ตัวก็นุ่มนิ่มนิดหน่อย

             น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมแกล้งหลับอยู่ เลยไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายทำใบหน้าแบบไหม แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคนหน้าแดงมากแน่ๆ คิดภาพพายกำลังหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะกอดคนในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก

             พายนอนตัวแข็งไม่ยอมขยับไปไหน ผมลอบยิ้มมุมปากขึ้นนิดๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้ แล้วจู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่ขาดคิดขึ้นเมื่อผมรู้สึกเหมือนโดนตัวอะไรกัดที่แขน!!   

             ผมเด้งตัวลุกขึ้นอัตโนมัติหัวเลยไปโขกกับคนที่อยู่ในอ้อมกอดเข้าอย่างจัง

             “โอ๊ย!!”

             “โอ๊ย!!”

            ผมกุมหัวที่โขกกันเมื่อกี้ เจ็บชะมัด!

            “ตะกี้มันอะไรกันหรอครับ?” ผมถามขึ้นอย่างงุนงง เมื่อกี้อะไรกัดแขนผมน่ะ?! แต่แล้วหันไปมองก็พบแมวสีขาวกระโดดไปไม่ไกลจากโซฟานัก...ผมโดนกัดอีกแล้วสินะ เจ้าแมวตัวนี้มันเกลียดอะไรผมรึเปล่าเนี่ย?

             “อ่า...ขอโทษครับ พอดีแมวผมมันกัดมันธ์อีกแล้ว”

             “แมวของพายเนี่ย ดูท่าจะเกลียดผมนะเนี่ย แค่สองวันนี้ผมก็โดนกันไปสองรอบแล้ว” ผมยิ้มขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าแดงๆ ของพาย โดนกัดก็คุ้มแหละงานนี้

             “ขอโทษครับ”

             “ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่พายหิวรึยังครับ?” ช่างมันจริงๆ โดนกัดนิดกัดหน่อยช่างมัน ถือว่าเป็นกรรมที่ผมดันไปแกล้งเจ้าของมันละกัน

             “ไม่หรอกครับ ยังเช้าอยู่เลย ปกติผมไม่กินข้าวเช้าน่ะ”

             โครก~

              เสียงท้องร้องดังขึ้น ขัดกับคำพูดของคนตรงหน้า ผมยิ้มออกมานิดๆ เนี่ย...คนปากไม่ตรงกับใจ~

                   “งั้นพายไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้กิน”

              “เฮ้ย ไม่เป็นไรครับ”

               “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็จะทำอะไรกินอยู่ดี เพิ่มอีหนึ่งคนไม่ลำบากหรอกครับ” ว่าแล้วผมก็ลุกเพื่อที่จะเดินไปยังห้องครัว แต่จังหวะนั้นมือผมกลับโดนพายรั้งไว้ซะก่อน

              “เอ่อ...แผลที่แขนน่ะ ทำแผลก่อนดีกว่าไหมครับ?” พายทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยผม นั่นแหละทำให้อดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาอีกครั้ง

             “พายจะทำให้ผมหรอครับ?”ผมถามขึ้นอย่างจริงจัง ส่งสายตาที่สื่อว่าอยากให้พายทำ ‘มากกว่าทำแผล’

             “เอ่อ...แผลนิดเดียวเอง มันธ์คงทำแผลเองได้แหละครับ เอ่อ...ยังไงผมขอกลับห้องไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่ายังไงเดี๋ยวผมมานะครับ”

             เดาว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกได้ถึงอันตรายจากสายตาของผมเลยรีบกุลีกุจอเดินออกจากห้องไป ผมยกยิ้มขึ้นมุมปากอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นท่าทางนั้น

             “ว้า~ แมวตื่นตกใจหนีกลับห้องไปซะแล้ว~”





             พอพายออกไปจากห้อง ผมก็เข้าไปดูที่ครัว ในตู้เย็นยังพอมีเนื้อหมูอยู่บ้าง แล้วก็มีข้าวอยู่นิดหน่อย งั้นทำข้าวต้มน่าจะง่ายสุดแหละนะ

              “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวส้มเรียกร้องความสนใจให้ผมหันไปมอง

              “หืม? มีอะไรหรอเจ้าเหมียว?”

              “เมี๊ยว~” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวอ้วนเดินเข้ามาเอาหัวถูไถ คลอเคลียกับขาผม ราวกับจะอ้อนผมอย่างนั้น “จะอ้อนเอาอะไรหรือไง?”

              “เมี๊ยว~” พูดให้ตายอย่างไร อีกฝ่ายก็ตอบได้แค่เมี๊ยวนั่นแหละ

              ผมส่ายหัวเล็กน้อยอย่างจนปัญญา แล้วหันไปเริ่มทำอาหาร เจ้าแมวส้มกระโดดขึ้นไปหลังตู้เย็น แล้วก้มลงมาดูผม หรือว่าที่มันร้องเมื่อกี้เพราะหิว?

              “หิวหรอ?”

               “เมี๊ยว!!” มันร้องเสียงดังขึ้นราวกับจะพูดว่า ‘ถูกแล้วล่ะเจ้ามนุษย์!!’

               “ครับๆ เดี๋ยวทำของเจ้านายแกเสร็จแล้วจะทำให้นะ” ผมยิ้มพลางลูบหัวมันเล็กน้อย แล้วหันไปทำอาหารต่อ แต่ก็ไม่ลืมที่จะล้างมืออีกครั้งนะ

               ไม่ถึงยี่สิบนาทีผมก็ทำข้าวต้มเสร็จ ก่อนจะหยิบปลาทูในตู้เย็นออกมาทอดให้เจ้าแมวทั้งสองตัว โชคดีที่ยังมีปลาทูเหลือติดตู้เย็น เมื่อวันก่อนแม่เขาเพิ่งมาเยี่ยมที่บ้านเลยเอาปลาทูของโปรดผมมาให้อยู่หลายตัว ไว้กินไปได้อีกหลายวัน

              ทอดเสร็จก็หยิบจานกระดาษมาวางแล้วแกะปลาทูให้พวกมัน พวกมันเดินมากินทันทีอย่างไม่อิดออด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัวขาว สงสัยจะหิวจริงๆ

              ผมหันไปมองเวลาก็พบว่าเกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้ว อีกฝ่ายหายไปเกือบชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่กลับมาหรือจะกลัวผมจนไม่มาแล้วกันนะ? ผมควรจะรอเขาดีไหม? แต่เขาก็พูดแล้วว่าจะมา...งั้นระหว่างรอถ้าผมไปอาบน้ำสักแป๊ปคงจะไม่เป็นไรนะ?




   

              ไม่นานหนักพวกเราก็กินข้าวเสร็จ ยังไม่ทันที่ผมจะหยิบจาน คนตรงหน้าก็คว้าจานไปซะแล้ว

              “เดี๋ยวผมล้างเองครับ พายวางเอาไว้เลย”

              “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมล้างเอง แค่นี้เอง”

              “แต่ว่า....”

              “ให้ผมล้างเถอะครับ มันธ์ก็ทำอาหารให้ผมแล้วแถมยังเลี้ยงพวกแมวผมอีก อย่างน้อยก็ให้ผมทำอะไรตอบแทนหน่อยเถอะ”

               เห็นอีกฝ่ายเถียงอย่างเป็นจริงเป็นจังแบบนั้น ผมได้แต่พยักหน้านิดหน่อยแล้วปล่อยให้เขาล้างจานไป ระหว่างนั้นผมก็เดินไปหยิบโน้ตบุ๊คในห้อง หวังจะเอามาตัดต่อคลิปที่ถ่ายไว้เมื่อวาน

              ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่หันหลังให้ผม กำลังตั้งใจล้างจานอยู่

              ถ้าล้างจานเสร็จเขาก็คงหนีกลับห้อง แล้วเราก็คงจะแทบไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ เหมือนอย่างที่เจอกันครั้งแรก ขนาดเอาจานให้เขาไปหวังจะให้เขาเอามาคืนจะได้หาเรื่องคุยกันอีก จนป่านนี้พายก็ยังไม่เอาจานมาคืนผมเลย...พูดตรงๆ ผมยังอยากอยู่กับคนๆ นี้อีกสักพัก

              แล้วผมก็นึกอะไรดีๆ ออก ก่อนจะจัดการลบคลิปที่ตัวเองกะจะนั่งตัดต่อเมื่อกี้ทิ้งไปซะ พออีกฝ่ายล้างจานเสร็จผมก็เงยหน้าขึ้นมาทำถามแผน กดลบคลิปที่เพิ่งลงทันที

               “พายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ?”

               “ครับ?” พายดูจะงงๆ เล็กน้อย ผมเลยย้ำไปอีกครั้ง

               “คือเมื่อวานที่คุยกันน่ะครับ ผมจำได้ว่าพายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ”

               “ครับ ก็ใช่”

               “อ่า....งั้นพายพอจะใช้โปรแกรมนี้เป็นไหมครับ?” ผมชี้ไปที่จอคอมพ์เขายื่นหน้าเข้าไปมองที่จอตามที่ผมชี้
   
               "มันเป็นอะไรหรอครับ?” เขาถามขึ้นอย่างงงๆ อีกครั้ง ผมก็รีบโกหกคำโตไปทันที

               “คือตะกี้ผม Import คลิปเข้ามา พอดึงมาตัดต่อมันก็ไม่ได้อ่ะครับ พยายามทำมาหลายนาทีแล้วแต่ไม่ได้สักที”

              “หรอครับ งั้นขอผมลองหน่อยนะ”

              เขานั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ของผม มือปล่อยเจ้าสองตัวให้ไปวิ่งเล่น แล้วหันโน้ตบุ๊คมาตรงหน้าตัวเอง กดนั่นนี่สักสองสามครั้งจึงหันมาถามผม

              “คลิปนี้อยู่ในโฟลเดอร์ไหนหรอครับ”

              “อยู่ในนี้ครับ” ผมเอื้อมมือมาเลื่อนเม้าส์คลิกสองสามทีเข้าไปที่โฟลเดอร์

              “เอ...อยู่ไหนหว่า?” ผมแกล้งพึมพำทำท่าทางหาคลิปที่ว่าแล้วค่อยๆ ขมวดคิ้วทำหน้าเครียดขึ้น“แป๊ปนึงนะครับ”

              ผมยกโน้ตบุ๊คกลับมาตรงหน้าตัวเอง แกล้งทำหน้าเครียดทำเป็นหาคลิปอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีหรอก ก็ผมเพิ่งลบมันไปเองกับมือเมื่อกี้นี่น่า

              “เป็นอะไรไปหรอครับ?” พายถามขึ้น

              “คือผมหาคลิปไม่เจอน่ะครับ”

             “หืม? หมายความว่ายังไง?”

             “คือทุกครั้งผมจะเอาคลิปลงในโฟลเดอร์นี้นะครับ มันก็ไม่น่าจะหายไปไหน”

             “แปลกจัง” พายบ่นขึ้นเล็กน้อย ผมเลยรีบยกข้ออ้างที่คิดไว้ขึ้นมาพูดทันที

             “มันจะเกี่ยวกับที่ผมสแกนไวรัสหรือเปล่าครับ?”

             “ก็เป็นไปได้ครับ อาจจะเพราะไฟล์มันมีไวรัสพอสแกนไวรัสบางทีไฟล์มันก็เสียหรือหายไป อย่างนี้ก็ไม่ยากแล้วครับยังไงมันธ์ก็เอาเมมมาแล้วลากไฟล์ลงคอมพ์ใหม่ดู ส่วนที่โปรแกรมมันดึงคลิปไม่ได้ก็น่าจะเพราะไฟล์ต้นฉบับในคอมพ์มันไม่มีอยู่ มันเลยเหมือนไม่มีข้อมูล เลยดึงมาตัดต่อไม่ได้”

             นั่นไง เข้าเป้าเป๊ะ อีกฝ่ายตกหลุมผมเต็มๆ

             “งั้นก็แย่แล้วล่ะครับ”

             “ทำไมหรอ?”

             “คือผมเห็นว่าผมดึงคลิปลงในคอมพ์แล้วผมก็เลยลบคลิปในเมมกล้องไปแล้วน่ะครับ”

             “งั้นก็แย่จริงๆ นั่นแหละ แล้วคลิปนี้มันคืออะไรหรอมันธ์ถ่ายใหม่ได้ไหม”

             “เป็นคลิปที่ผมทำคุกกี้เมื่อวานน่ะครับ ผมต้องอัพมันวันนี้”

              “จะทำใหม่ก็ดูจะลำบากนะ ถ้างั้นเลื่อนไปลงคลิปวันอื่นแทนได้ไหม?”

              “ผมก็อยากทำอย่างนั้นนะ แต่ไม่ได้น่ะครับ พอดีคลิปนี้มีสปอนเซอร์สนับสนุน ผมตกลงกับเขาว่าจะอัพคลิปวันนี้น่ะครับ” เรื่องคลิปนี้เป็นของสปอนเซอร์น่ะเป็นเรื่องจริง สปอนเซอร์รอบนี้เป็นแป้งยี่ห้อหนึ่ง ผมตกลงกับเขาไว้ว่าจะลงคลิปภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งความจริงถ้าไม่ลงวันนี้ก็เลื่อนไปลงวันพฤหัสก็ได้ แต่ใครจะไปบอกให้อีกฝ่ายรู้กันล่ะ

              “งั้น มันธ์จะทำยังไงครับ จะทำใหม่หรอ?”

              “คงต้องอย่างนั้นแหละครับ” ผมทำเสียงสลดเล็กน้อยหวังให้อีกฝ่ายสงสาร

              “จะทำทันใช่ไหมครับ มันธ์ตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปกี่โมงหรอครับ”

              “ผมตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปตอนบ่ายสองน่ะครับ คือถ้าแค่ถ่ายคลิปช่วงทำคุกกี้ก็น่าจะทัน แต่อาจจะตัดต่อไม่ทัน”  บ่ายสองผมว่าผมกะเวลานี้กำลังดีนะ เพราะกว่าจะทำคุกกี้เสร็จ กว่าจะตัดต่อ น่าจะเป็นเวลาทีจวนเจียนจะไม่ทันอยู่ ทำแกล้งทำหน้าเครียดกว่าเดิมขึ้นเล็กน้อย

              “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยได้ก็บอกนะครับ”

              โป๊ะเช๊ะ!! พายตกหลุมผมเต็มๆ

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมทำเองไม่อยากให้พายลำบาก” ผมพูดแกล้งทำเป็นเกรงใจเล็กน้อย

              “ไม่ลำบากอะไรหรอก วันนี้ผมว่างด้วย”

              “งั้นหรอครับ...งั้นพายช่วยผมทำคุกกี้ได้ไหมครับ?” ผมรีบหย่อนเบ็ดลงไปทันที แต่กลับได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด

             “เฮ้ย ผมช่วยได้ทุกอย่างนะ แต่กับอาหารนี่ผมทำไม่เป็นเลย”

              ได้ยินดังนั้นผมเลยรีบตอบกลับไป จริงๆ ผมก็ไม่ได้หวังจะให้พายมาช่วยอะไรมากมายหนักหรอก แค่อยากให้อยู่ด้วยกันก็แค่นั้น

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ช่วยผสมนั่นผสมนี่ เดี๋ยวผมคอยบอกเองครับ”

             “แต่ว่า...”

             “นะครับ ทำสองคนน่าจะเร็วกว่าทำคนเดียวแน่ๆ” ผมส่งสายตาออดอ้อนคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อย จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมตกลง แต่ก็ยังไม่วายจะเน้นย้ำว่าทำอาหารไม่เป็น

             “ครับ ก็ได้ แต่มันธ์ต้องบอกผมเป๊ะๆ เลยนะ เพราะผมทำไม่เป็นจริงๆ”

             “ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

             แค่นี้ก็พอแล้ว ผมยิ้มขึ้นนิดก่อนจะรีบหันกับไปที่ครัว เพราะกลัวตัวเองจะเก็บสีหน้าไม่มิดว่าดีใจมากแค่ไหน ผมก้มลงหาวัตถุดิบที่จะใช้ทำคุกกี้ในวันนี้ แล้วก็นึกขึ้นได้ เมื่อคืนพายกินคุกกี้ไปแค่ชิ้นเดียวเอง หรือว่าเขาจะไม่ชอบคุกกี้ชอคโกแลตชิพกันนะ? งั้นผมควรทำอย่างอื่นดีไหมนะ? แต่จะถามตรงๆ อีกฝ่ายก็ไม่บอกแน่ๆ 

              แล้วผมก็คิดเรื่องบางอย่างออกทันที เลยรีบแอบเอาแป้งที่างอยู่ในตู้ ดันมันเข้าไปลึกๆ แล้วเอาแก้วมาบังๆ ถุงแป้งเหล่านั้น ก่อนจะหันไปหาพาย

              “คือว่า พายครับ คือผมลืมไปว่าแป้งที่ใช้มันหมดไปแล้ว”

             “อ้าว!! แล้วอย่างนี้จะทำยังไงล่ะครับ?”

             “คงต้องออกไปซื้อแหละครับ”

             “ซื้อ? ซื้อที่ไหนหรอ ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงกว่าเองนะครับ ห้างก็ยังไม่เปิด”

             “ไม่เป็นไรครับ ผมมีร้านอุปกรณ์เบเกอรี่เจ้าประจำอยู่ห่างไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ขับรถไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง”

              “อ่อครับ งั้นมันธ์จะไปเลยใช่ไหมครับ”

              “ครับ พายไปด้วยกันนะครับ” ผมเอ่ยชวนพายขึ้น ผมกะว่าพอไปถึงที่ร้านผมจะค่อยๆ เรียบๆ เคียงๆ ถามอีกฝ่ายได้ อาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จะทำคุกกี้อะไรแล้วถามอีกฝ่ายก็ได้ เดี๋ยวค่อยคิดวิธีถามอีกที แต่ตอนนี้คงต้องหลอกล่อให้อีกฝ่ายไปทีร้านกับผมให้ได้ซะก่อน

              “ห้ะ? จะให้ผมไปด้วยทำไม??”

              “ไปช่วยกันหา ไปช่วยกันถือไงครับ”

             “มันธ์ขาดแค่แป้งไม่ใช่หรอ แป้งไม่กี่ถุงก็ไม่น่าหนักนะครับ”

             “เผื่อซื้ออย่างอื่นด้วยไง นะครับ ไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

             “….”

             “นะครับ”ผมส่งสายตาอ้อนไปอีกครั้ง จนอีกฝ่ายยอม

             “เออ ก็ได้ ไปก็ไป”

             “งั้นเอารถผมไปนะครับ” ผมยิ้มหน้าระรื่นเดินไปเอากุญแจรถในห้องนอนทันที




   
              เมื่อถึงร้าน พอผมหยิบแป้งลงตะกร้าแล้ว พายก็ดูกระตือรือร้นที่จะหลับบ้านเหลือเกิน

              “ได้ครบแล้วใช่ไหม?” เขาถามขึ้น

              “ยังครับ...ผมว่าจะซื้อพวกของตกแต่งหน้าคุกกี้ด้วย” และเป็นจุดประสงค์หลักที่ผมพาเขามาที่นี่ด้วย

              “อ่อ มันอยู่ตรงไหนหรอ?”

              “พายชอบกินคุกกี้อะไรครับ” ผมถามขึ้นทันที แต่เขาก็ยังไม่ยอมตอบ หรือถามตรงๆ แบบนี้ไม่เวิร์คกันนะ...แต่ว่าลองถามย้ำดูอีกครั้งละกัน

              “ว่าไงครับ? พายชอบคุกกี้อะไร?”

              “อ่า...ผมกินคุกกี้อะไรก็ได้ครับ ไม่ได้มีแบบที่ชอบเป็นพิเศษ”

              เขาบอกว่าไม่ชอบแบบไหนเป็นพิเศษ ผมไม่เชื่อหรอก อย่างคุกกี้ชอคโกแลตชิพเมื่อวานเขายังดูไม่ค่อยชอบเลย ถ้ามีแบบไม่ชอบก็ต้องมีแบบที่ชอบด้วยสิ!!

              “จริงหรอครับ?”

              “จริงๆ ครับ”

              “ไม่มีเลยจริงๆ หรอ สักแบบ แบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ” ผมถามย้ำไปอีกครั้ง หวังว่าจะได้คำตอบที่คาดหวัง

              “ถ้าจะว่าแบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ ก็มีอยู่ครับ”

              “นั่นแหละครับๆ แบบไหนหรอครับ”

              “ก็แบบที่มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์อยู่ข้างบนน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือคุกกี้อะไร”

              “เม็ดมะม่วงหิมพานต์งั้นหรอ...โอเคครับ” ในที่สุดผมก็ได้คำตอบที่ต้องการ ...เอ...จำได้ว่าเม็ดมะม่วงเหมือนจะอยู่โซนที่อยู่ข้างๆ พอเดินเข้าไปในโซนผมก็เห็นสิ่งที่ต้องการเลยตรงดิ่งเข้าไปหยิบมาแพ็คหนึ่ง

              “อย่าบอกนะครับว่าจะทำคุกกี้เม็ดมะม่วงน่ะ?” พายถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

                 “ครับ ก็พายชอบนี่” ผมตอบไปตามตรง มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วก็เอาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ใส่ลงตะกร้า

             “เฮ้ย! แล้วเกี่ยวอะไรกับความชอบของผม? ทำไมมันธ์ไม่ทำแบบเดิมล่ะ?” อีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของผม

              “ก็จะทำขนมทั้งที ก็ต้องทำให้ถูกปากคนกินสิครับ” อยากทำขนมให้ถูกปากผู้ทานก็ต้องทำขนมที่ผู้ทานชอบกินจริงไหมล่ะครับ?






_______________________________
ปีใหมีนี้เอาไปสองตอนเลยค่ะ ก่อนจะหายไปสักแปปเจอกันอีกทีวันที่ 3 นะคะ >___< (ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แฮะๆ)
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 3-3.5 [01/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 01-01-2019 22:25:08
สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณผู้แต่ง :)
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 3-3.5 [01/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 02-01-2019 08:01:42
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 3-3.5 [01/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-01-2019 08:03:31
 :L2: :pig4:
น่ารัก

สวัสดีปีใหม่
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 3-3.5 [01/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 02-01-2019 10:24:01
น่ารักทั้งคนและแมว

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 3-3.5 [01/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 03-01-2019 18:15:56


บทที่ 4 : แมวของผม...ทำอาหาร





             พอมาถึงที่ห้องมันธ์ก็เอาวัตถุดิบทั้งหลายที่ซื้อจากร้านวางไว้ที่ครัว แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอนสักพัก ก่อนจะออกมาพร้อมกับกล้องและขาตั้งกล้อง ผมเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยทันที

             “มันธ์ไปเตรียมวัตถุดิบเถอะครับ เดี๋ยวผมตั้งกล้องให้” อะไรช่วยได้ก็ช่วย

             “ขอบคุณครับ” เขาส่งอุปกรณ์ทั้งหลายมาให้ผม ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในครัว

             เจ้าแมวทั้งสองตัวเห็นผมก้มหน้าก้มตาต่อขาตั้งกล้อง มันก็เดินเขามาดูด้วยความสนใจใคร่รู้ พอเซ็ทกล้องเรียบร้อยเจ้าของห้องก็เดินมาทางผมก่อนจะยื่นชามมาให้

             “อะไรหรอครับ?” ผมถามขึ้นมองดูของที่อยู่ในชามนั่นก็พบว่ามันคือ...ดินสอพอง

             “พายจะทาเองหรือให้ผมทาให้ครับ?” เขาถามขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

             ได้ยินอย่างนั้นผมเลยรีบรับชามนั้นมาทันที แล้วเดินไปส่องกระจกที่ห้องน้ำ ทาดินสอพองตรงบริเวณที่หัวโนบางๆ พอออกจากห้องน้ำก็เห็นอีกฝ่ายเท้าแขนนั่งมองมาทางผมด้วยรอยยิ้มแป้นแล้น

             “อะไรกันครับ?” ผมถามขึ้น ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ

             “เปล่าครับ”

             ยัง...ยังไม่หยุดยิ้มอีก....ผมมองเลยริมฝีปากของอีกฝ่ายขึ้นไปยังหน้าผาก นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็หัวโนเหมือนกันนี่น่า ผมเดินไปนั่งข้างๆ มันธ์ หันหน้าไปมองอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็มองผมกลับอย่างงงๆ  ผมเลยหันไปจิ้มดินสอพองในชามแล้วยื่นมือไปทางเขา

             “อะไรกันครับ?”

             “ก็ที่ตกลงไว้ไง ถ้าให้ผมพอกดินสอพองอย่างนี้ มันธ์ก็ต้องทำด้วย”

             “เดี๋ยวผมทาเองก็ได้ครับ”

             “ไม่ครับ ยื่นหน้ามา เดี๋ยวผมทาให้” ก็เมื่อเช้ามันธ์ทาให้ผม เล่นทาซะหนาเลย ปล่อยให้ผมอายอยู่คนเดียว ทีนี้ถึงตาผมเอาคืนบ้างล่ะ 

             ตอนแรกนึกว่าอีกฝ่ายจะอิดออดไม่ยอม แต่ที่ไหนได้ มันธ์กลับยื่นหน้ามาให้ผมอย่างเต็มใจ เล่นเอาผมที่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าราวกับว่าผมเป็นคนถูกแกล้งแทนซะงั้น

             ด้วยความหมั่นไส้ มือที่ทาหน้าผากเขาอยู่เลยกดหนักๆ ไปหนึ่งที

             “โอ๊ย! แกล้งกันหรอครับ”

             “เออ หมั่นไส้” ผมตอบกลับอย่างไม่แคร์ มันธ์หัวเราะขึ้นมานิดๆ

             “เสร็จหรือยังครับ?” เขาเหล่ตาขึ้นมองมือที่หน้าผาก

             “เสร็จแล้วๆ” ผมกดหนักๆ ไปอีกครั้ง

             “ขี้แกล้ง”

             เกิดเสียงบ่นเล็กน้อยจากอีกฝ่าย ผมได้แต่หยักไหล่อย่างไม่สนใจ มันธ์ลุกเดินไปที่ครัว มือก็หยิบชามใส่ดินสอพองติดไปด้วย

             “พายออกกล้องได้ไหมครับ?”

             จู่ๆ มันธ์ก็ถามขึ้น

             “ออกกล้อง? หมายถึงอะไรครับ?”

             “คือ เดี๋ยวผมจะถ่ายคลิป แล้วให้พายช่วยทำครับ มันอาจจะมีบางช่วงที่อาจจะถ่ายติดหน้าพายน่ะครับ”

             “อ๋อ...ได้ครับ ไม่มีปัญหา” จริงๆ ผมชอบอยู่หลังกล้องมากกว่า แต่มองจากเวลาตอนนี้แล้ว ถ้าผมมาเรื่องมากตอนนี้ กว่าจะถ่ายคลิปเสร็จคงไม่ทันการณ์แน่ๆ

             “ครับ งั้นเดี๋ยวผมบอกสคลิปคร่าวๆ ก่อนนะครับ”

             แล้วมันธ์ก็เริ่มอธิบายขั้นตอนต่างๆ รวมถึงมุมกล้องที่เขาคิดว่าจะถ่าย มันธ์บอกว่าจะแค่ตั้งกล้องเฉยๆ ซึ่งก็ดูสะดวกดี ส่วนผมต้องคอยช่วยหยิบนั่นนี่ แล้วก็ผสมส่วนผสมต่างๆ ฟังแล้วก็ดูไม่ยากเท่าไหร่

             พอมันธ์เอาวัตถุดิบออกมาจัดเตรียมเจ้าอ้วนตัวส้มก็รีบกระโดดขึ้นไปตรงเคาน์เตอร์ครัวที่วางของเหล่านั้นทันที ราวกับมันรู้ว่ากำลังจะมีอาหาร

             “อะไรหึ? เจ้าอ้วน” มันธ์ลูบหัวเจ้าแมวส้มไปมา

             “มันคงรู้ว่าพวกเรากำลังจะทำขนมมั้งครับ”

             “ฮ่าๆ เก่งมากเจ้าอ้วน” เขายังคงลูบหัวเจ้าตัวส้มไปมาไม่หยุด “ผมเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วครับ พายพร้อมไหมครับ”

             ถามเป็นจริงเป็นจังอย่างกับจะชวนผมไปออกรบอย่างนั้นแหละ

             “พร้อมครับ”

             “โอเค”

             พอกล้องเริ่ม เขาก็เริ่มจากอธิบายวัตถุดิบต่างๆ ผมได้แต่ยืนเงอะงะอยู่ข้างๆ เขา

             “พายครับ เดี๋ยวพายเอาตะกร้อตีส่วนผสมให้หน่อยนะครับ”

             ผมทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนเขาก็หันไปวุ่นกับเตา สักพักเขาก็หันกลับมาหยิบชามที่ผมกำลังกวนส่วนผสมอยู่ มันธ์ตักส่วนผสมลงอะไรสักอย่างที่มีลักษณะเป็นถุงพลาสติกแบบกรวยตรงปลายมีหัวพลาสติก โดยแบ่งใส่เป็นสองอัน ก่อนจะยื่นมาให้ผม

             “อะไรครับ?”

             “ก็พายช่วยผมบีบคุกกี้ใส่ถาดหน่อยได้ไหมครับ”

             “บีบคุกกี้?”

             “ครับ เดี๋ยวผมทำให้ดูก่อน”

              มันธ์ก้มหน้า ลงมือบีบเนื้อครีมออกมาจนได้ขนาดไม่ใหญ่มาก ผมก้มหน้าลงไปมองตามมือของมันธ์ ระหว่างบีบไปเขาก็พูดไปด้วย “พายแค่บีบไปเบาๆ ให้ได้ขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางสองนิ้วนะครับ แล้วก็บีบแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนหมด”

             “อ่าโอเค”

             มันธ์หันมามองหน้าผม ผมหยิบที่บีบนั่นขึ้นมาก่อนจะตั้งใจบีบ บีบเสร็จหนึ่งชิ้นผมก็หันไปมองมันธ์ที่กำลังมองผมอยู่พอดี

             “แบบนี้ใช่ไหม?”

             “ครับ แบบนั้นแหละ” มันธ์ยิ้มให้ผมแล้วหันกลับไปทำของตัวเอง ผมเห็นอีกฝ่ายโอเค ก็เลยลงมือทำต่อ

             ใครว่าทำขนมไม่ยาก ผมนี่ขอเถียงเลย ผมตั้งใจกับการบีบคุกกี้ตรงหน้ามากๆ แต่ตั้งใจแค่ไหนมันก็ไม่เท่ากันสักที ผมพยายามทำให้มันชิ้นเท่ากันนะ แต่บางทีมันก็ใหญ่เกิน บางทีก็เล็กเกิน แต่เห็นมันธ์ไม่ว่าอะไร ผมก็คงทำไม่แย่ล่ะมั้ง?

             ไม่กี่นาทีมันธ์ก็ทำเสร็จ ในขณะที่ที่บีบของผมยังเหลือเนื้อแป้งอีกเกือบครึ่งเลย

             “เป็นไงบ้างครับพาย”

             “ยากอ่ะ”

             “ครั้งแรกก็งี้แหละครับ เดี๋ยวพายมาทำอันนี้ดีกว่าเดี๋ยวทีเหลือผมทำเอง”

             “หืม? ให้ทำอะไรหรอ”

             “พายไปหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ตรงเตามาให้หน่อยนะครับ แล้วก็เอาเม็ดมะม่วงเหล่านั้นมาวางบนคุกกี้ ชิ้นละสองถึงสามเม็ดครับ”

              “อ่า...โอเค”

             ผมส่งที่บีบคุกกี้ให้กับมันธ์ หันซ้ายหันขวาเล็กน้อย ก็เห็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์แล้วค่อยๆ บรรจงวางมันลงบนคุกกี้ ก่อนจะหันไปถามคนข้างๆ “แบบนี้ได้ไหม”

              เขาหันมายิ้มนิดๆ “ครับ แบบนั้นแหละครับ จริงๆ พายอยากวางแบบไหนก็แล้วแต่เลยนะครับ”

              “เอางั้นหรอ”

              “ครับ อยากใส่น้อยเยอะยังไงแล้วแต่พายเลย”

              “เหมียว~” เสียงแมวดังขึ้นพร้อมกับร่างอ้วนๆ เดินอุ้ยอ้ายมาทางมันธ์ เจ้าไข่แดงก้มลงดมคุกกี้ในถาดไปมา

             “ไม่เอาครับ ยังกินไม่ได้ครับ” มันธ์ดุเล็กน้อย

             เจ้าแมวหยุดดมคุกกี้ แล้วหันไปมองหน้ามันธ์

              “เหมียว!” บ่นเสร็จก็เดินมาหาผม

               “ไม่เอา เจ้าอ้วน ไปเล่นที่อื่นก่อน” ผมดุมัน มันเลยมองหน้าผมกลับด้วยสายตาเบื่อๆ ก่อนจะกระโดดไปที่เก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก และนั่งมองดูพวกผมอย่างสายตาสงสัยใคร่อยากรู้ เจ้าไข่ขาวเห็นน้องตัวเองมานั่งเล่นตรงนี้ มันก็เลยกระโดดตามมานั่งด้วย

              มันธ์เอื้อมมือมาหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากชามที่อยู่ข้างๆ ผม ตอนนั้นเองผมเลยเห็นว่าอีกฝ่ายบีบคุกกี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ผมเพิ่งวางเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงในคุกกี้ได้ไม่ถึงสิบชิ้นเลย...ทำเร็วเว่อร์ นี่สินะมืออาชีพ

              “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวดังขึ้นอีกครั้ง เรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง

                  “อะไรไอ้อ้วน บ่นอะไรอีก”

              “เมี๊ยว~?”

              “เฮ้อ เจ้าตะกละเอ๊ย!” ผมบ่นงืมงัมใส่เจ้าแมว

              “พายฟังมันออกด้วยหรอครับ?”

               “เปล่าหรอกครับ ไม่ได้ฟังออก แค่พอจะเดาได้น่ะ” ผมตอบตามความจริง ก็ปกติผมก็ฟังพวกมันไม่ออกหรอก ยกเว้นเวลาผมกลายเป็นแมว แต่ด้วยความที่อยู่กับเจ้าพวกนี้มาเกือบปี ก็เลยพอจะเดานิสัยมันได้บ้าง อย่างตอนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าไข่แดงต้องกำลังถามผมแน่ๆ ว่าเมื่อไหร่พวกมันจะได้กิน

              “แล้วมันพูดว่าอะไรหรอ?”

               “มันบ่นน่ะครับว่าเมื่อไหร่พวกมันจะได้กิน”

              “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง....อีกแป๊ปนะครับ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” ประโยคหลังมันธ์หันไปพูดกับเจ้าแมวทั้งสองตัว

              ไม่นานนักมันธ์ก็หยิบคุกกี้ทั้งสองถาดเข้าเตาอบ ระหว่างรอคุกกี้อบเสร็จผมเลยเดินไปนั่งโต๊ะกินข้าว ส่วนมันธ์ก็เดินไปปิดกล้อง

              ผมหันมองเวลาก็พบว่าตอนนี้เที่ยงแล้ว กว่าคุกกี้จะอบเสร็จก็น่าจะไม่เกินเที่ยงครึ่ง ถ้ารวมเวลาตัดต่อคลิปยังไงก็น่าจะเสร็จทัน

               “ตอนนี้ก็เหลือแค่รอคุกกี้อบเสร็จ แล้วก็ถ่ายตอนเสร็จแล้วแค่นั้นครับ ขอบคุณนะครับที่ช่วย เพราะพายแท้ๆ มันเลยเสร็จทันเวลา”

              “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง”

              “นี่ก็เที่ยงแล้ว งั้นระหว่างรอคุกกี้เสร็จเดี๋ยวผมทำอะไรให้กินนะครับ”

              ยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธอีกฝ่ายก็ลุกไปที่ตู้เย็นซะแล้ว เขามองที่ตู้เย็นไปมาสักพักแล้วหันมาพูดกับผม

              “ในตู้เย็นผมเหลือแค่ไข่กับปลาทู ถ้าผมทำไข่น้ำกับปลาทูทอด พายกินได้ไหมครับ?”

              “จริงๆ มันธ์ไม่ต้องทำก็ได้นะครับ”

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือว่าตอบแทนไงที่ช่วยผมทำคุกกี้”

             “แต่เมื่อเช้ามันธ์ก็เพิ่งทำข้าวต้มให้ผมเองนะ เรื่องช่วยทำคุกกี้ก็ตอบแทนที่เลี้ยงข้าวเช้าแล้ว ยังจะมาเลี้ยงข้าวกลางวันอะไรอีก”

             “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ยังไงผมก็ต้องทำของตัวเองไง เพิ่มอีกสักคนก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

             “แน่ะ...พูดเหมือนเมื่อเช้าอีกแล้ว”

             “ก็จริงนี่ครับ”

             “โอเค ก็ได้ งั้นกลางวันนี้ขอฝากท้องไว้ด้วยละกันครับ” ผมยอมคนตรงหน้าเพราะเถียงไปก็ดูจะไม่ชนะอีกฝ่ายแน่ๆ

             “ว่าแต่พายกินไข่น้ำกับปลาทูทอดได้ไหมครับ”

             “แค่ไข่น้ำก็พอแล้ว” ผมตอบกลับ กว่าจะทอดปลาทู กว่าจะทำไข่น้ำ ผมกลัวว่ามันจะเสียเวลาอีกฝ่ายเกินไป เพราะเขายังเหลือถ่ายคลิปช่วงสุดท้ายอีก แถมยังไม่ได้ตัดต่อเลยด้วย

              “เอางั้นหรอครับ”

             “อืม แค่ไข่น้ำก็พอ หรือว่ามันธ์อยากกินปลาทู ถ้ามันธ์อยากกินปลาทูผมกินด้วยก็ได้นะ เอาที่มันธ์สะดวก”

             “ผมกินที่พายอยากกินนั่นแหละครับ” เขาพูดแล้วก็หันไปวุ่นวายกับในครัว ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นเดินไปเดินมาในครัว ไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าโดนอีกฝ่ายตามใจอีกแล้ว





             ไม่ถึงสิบห้านาทีไข่น้ำก็มาวางข้างหน้าผมพร้อมทาน มันธ์ตักข้าวมาสองจานแล้วส่งให้ผม ผมรับมาพร้อมพูดขอบคุณเบาๆ

             คำแรกที่ผมตักไข่น้ำเข้าปาก....อร่อย...คนตรงหน้าผมนี่ทำอะไรก็อร่อยหรือไงกันนะ

             “อร่อยไหมครับ?” มันธ์หันมาถามผม

             “อร่อยมากครับ นี่มันธ์ทำอาหารมานานหรือยังครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะถามคนตรงหน้า

             “เอาจริงๆ ผมเริ่มทำมาตั้งแต่จำความได้แล้วแหละครับ ผมชอบเข้าครัวไปช่วยแม่ทำบ่อยๆ พอขึ้นมหาลัยเลยเลือกเรียนทางนี้โดยตรง”

             “อ่อ อย่างนี้นี่เอง ก็ว่ามันธ์ทำอร่อยจริงๆ แหละครับ สมกับที่ทำมาตั้งแต่เด็ก”

              “อ่า....ขอบคุณครับ” มันธ์หน้าขึ้นสีนิดๆ ซึ่งเป็นภาพหายากก็ว่าได้ ทุกทีมีแต่ผมที่หน้าแดงไปฝ่ายเดียวเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงก็คราวนี้แหละ “แน่ะ~ ชมนิดเดียวถึงกับเขินเลยหรอครับ”

               ได้ทีผมก็รีบแซวอีกฝ่ายทันที

              “ก็มีคนมาชมตรงๆ อย่างนี้ ผมก็เขินสิครับ” นั่น...ไม่ปฏิเสธด้วย

              กิ๊ง~!

             จู่ๆ เสียงเตาอบดังขึ้นขัดบทสนทนาของพวกเรา

             “สงสัยคุกกี้อบเสร็จแล้วน่ะครับ”

             “งั้นเราจะถ่ายคลิปต่อเลยไหมครับ?”

             “เดี๋ยวกินข้าวให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ”

             “อ่า...โอเค” ได้ยินดังนั้นผมเลยรีบกิน จะได้รีบไปถ่ายวิดิโอต่อ จะได้ไม่เสียเวลา




    
             ไม่นานนักพวกเราก็กินเสร็จผมเลยหยิบจานไปเก็บเช่นเดิม
 
             “พายวางไว้ก็ได้ครับเดี๋ยวผมล้างเอง” มันธ์ก็ยังคงพูดคำเดิมๆ

             “เดี๋ยวผมล้างเองครับ มันธ์ไปถ่ายคลิปต่อเถอะ”

             โชคดีที่คราวนี้ผมมีข้ออ้าง เลยไม่ต้องเสียเวลาต่อปากต่อคำกับมันธ์ มันธ์ยอมว่าง่ายหันไปเปิดกล้อง จังหวะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น

             “ขอโทษครับ เสียงมือถือผมเอง”

             ผมรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว พอเห็นเบอร์ที่โทรมาก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ แต่ก็ยอมกดรับ

             “มีเรื่องไร?”

             [แหม เพื่อนโทรมาแค่นี้ทำเสียงเขียวใส่เชียว]

             “ก็ปกติมึงโทรมาก็ไม่เคยมีเรื่องดีๆ เลยนี่หว่า” ผมพูดกลับไปพลางเดินไปทางระเบียงเพื่อไม่ให้รบกวนอีฝ่ายที่กำลังจะอัดคลิป “สรุปมีอะไร?”

             [เพื่อนรักกกกกกกก Help me~]

             “อะไรอีก?”

              [เอาน่า มึงมาหากูก่อน กูต้องการความช่วยเหลือด่วน!!]

              “อะไรของมึงเนี่ย?”

             [เออน่ามาก่อน กูรออยู่ที่โรงพยาบาลนี้นะ รีบมาล่ะมึง ด่วนๆ ตอนนี้เลย] มันบอกชื่อโรงพยาบาลมา ด้วยน้ำเสียงร้อนลนขึ้นเล็กน้อย

             “เดี๋ยวก่อน มึงบอกมาก่อนว่าเรื่องอะไร แล้วทำไมมึงไปอยู่โรงพยาบาล?”

             [เออมาก่อนน่า เดี๋ยวมึงก็รู้เอง รีบมานะ]
 
             “เดี๋ยวมึง...!!”

             ยังไม่ทันที่ผมจะได้แย้งอะไรมัน มันก็ชิงวางสายไปซะแล้ว สรุปนี่มันเป็นอะไรเนี่ย? แล้วทำไมไปอยู่ที่โรงพยาบาล?

              ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง ก็เห็นอีกฝ่ายเดินมาปิดกล้องพอดี

              “เอ่อ ผมต้องกลับแล้วล่ะครับ”

              “อ้าว! ไม่อยู่ทานคุกกี้กันก่อนหรอครับ?” มันธ์ถามขึ้นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

              “คือตะกี้เพื่อนผมโทรมาตามให้ไปหาด่วนน่ะครับ” ผมตอบอีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรนัก

              “งั้นหรอครับ” มันธ์ทำน้ำเสียงดูหดหู่ลงนิดๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงมองเห็นเขาเหมือนหมาตัวโตกำลังนั่งหงอยหูลู่ซะงั้น

              “มันธ์ตัดต่อคลิปเองได้ใช่ไหมครับ?” ผมถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าเอง

               “ครับ ทำได้ครับ ไม่ยากหรอก ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะครับ”

              “อ่า...ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ”

              อยากพูดอะไรกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ผมเลยได้แต่พูดไปแค่นั้น...พอเดินไปถึงหน้าประตูเจ้าแมวตัวขาวก็เดินตามผมมา แต่ตัวอ้วนตัวส้มกลับอยู่ไหนก็ไม่รู้

             “เจ้าอ้วน?” ผมตะโกนขึ้นนิด หันมองซ้ายมองขวา ก็ยังไม่ไม่เห็นมัน เลยเรียกขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “เจ้าอ้วนอยู่ไหน?”

              “เจ้าอ้วนอยู่ในครัวครับ” เสียงตอบรับกลับมาเป็นเสียงเจ้าของห้อง ไม่ใช่เสียงเจ้าแมวของผม

              ผมเลยรีบเดินกลับไปที่ครัว เจ้าไข่แดงกำลังนั่งดมคุกกี้อยู่ในครัวนั่นเอง

              “เจ้าอ้วนกลับห้องได้แล้ว”

             “เมี๊ยว!!”

             มันรีบส่งเสียงกลับทันที ราวกับจะประท้วงว่าจะไม่กลับ จะอยู่กินคุกกี้
 
              “ไม่ต้องมาดื้อ กลับห้องเราได้แล้ว!!”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยวววว!!” มันร้องโวยวายขึ้นทันทีที่ผมจับตัวมันอุ้ม แถมไม่ใช่แค่ร้องด้วย มันดิ้นไปมาอีกต่างหาก!! เจ้าอ้วน!! เจ้าตะกละ!!

              “จริงๆ ให้พวกมันอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ”

              “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าไข่แดงดังขึ้นทันที อยากบอกว่าเห็นด้วยกับอีกฝ่ายสินะ

              “ไม่เอาหรอก รบกวนมันธ์เปล่าๆ”

              เจ้าตัวอ้วนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาอาฆาตเล็กน้อย

              “ไม่รบกวนหรอก ผมอยู่คนเดียว มีเจ้าแมวสองตัวเป็นเพื่อนเล่นก็สนุกดีครับ”

              “เอางั้นหรอครับ?” ผมถามขึ้นย้ำอีกทีด้วยความเกรงใจ

              “ครับ เอางี้แหละ”

               “อ่า...งั้นก็ขอบคุณครับ เดี๋ยวถ้ากลับมาจากธุระ แล้วผมจะมารับนะครับ”

               “ครับ” มันธ์ยิ้มให้ผมนิดๆ แล้วรับเจ้าตัวอ้วนสีส้มไปอุ้ม พอเจ้าไข่แดงอยู่ในอ้อมกอดคนตัวสูงก็รีบคลอเคลียใส่ทันที นี่สรุปใครเป็นเจ้าของกันเนี่ย?

               “ดูแลน้องดีๆ ด้วยนะ อย่าให้น้องเล่นซนล่ะ” ผมก้มลงพูดพลางลูบหัวเจ้าไข่ขาวสองสามครั้ง

               “เออพายครับ!” จู่ๆ เจ้าของห้องก็เรียกผมไว้ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง

               “?”

               “หน้าผากน่ะครับ อย่าลืมล้างล่ะ”

               “รู้แล้วน่า!!” ผมรีบหันหลังเดินกลับห้องทันที หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นว่าผมหน้าแดงอีกแล้ว เอาจริงๆ ถ้ามันธ์ไม่บอก ผมก็คงลืมไปเลยว่าที่หน้าผากผมยังคงมีดินสอพองพอกไว้อยู่

               เมื่อก้าวเข้าไปในห้องตัวเอง ผมก็รีบเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าก่อนเลย แล้วจึงเดินไปหยิบกระเป๋ามือถือของใช้จำเป็นสองสามอย่าง ก่อนจะรีบออกไปยังโรงพยาบาลที่อีกฝ่ายนัดไว้





              “ไอ้พายเพื่อนรักกกกกกกก”

              เสียงเพื่อนผมดังมาแต่ไกลทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัว ผมได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่มัน

              “สรุปเรียกกูมาทำไม แล้วนี่มึงเป็นอะไรเนี่ย?” ผมถามขึ้นเพราะตอนนี้มันอยู่ในชุดผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง แต่ดูจากสีหน้าท่าทางมันแล้วก็ไม่เห็นจะดูเจ็บป่วยอะไร

             “พอดีกูเพิ่งผ่าตัดไส้ติ่งอ่ะ แล้วมันมีงานต้องส่งให้บอสด่วน กูเลยจะให้มึงเอาไปให้บอสกูหน่อย” มันว่าพลางโบกซองสีน้ำตาลในมือไปมาสองสามที

             “แค่เนี้ย? แล้วทำไมมึงไม่ให้บอสมาเอา หรือให้ไลน์แมนไปส่งวะ?”

             “ก็กูอยากเจอมึงด้วยไง”

             “แค่เนี้ย?”

             “เออแค่นี้แหละ ช่วงนี้กูไม่ได้เจอมึงเลย ก็คิดถึงอ่ะ แล้วเรื่องนั้นเป็นไงบ้าง” ประโยคหลังมันถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ‘เรื่องนั้น’ ของมันก็ไม่พ้นเรื่อง ‘แมวๆ’ ของผม

             ผมกับไอ้คนที่นอนบนเตียง หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า ‘นิว’ มันเป็นเพื่อนกับผมมาตั้งแต่สมัยจำความได้ และเป็นหนึ่งในคนที่รู้ว่าผมกลายเป็นแมวได้ด้วย

             “ก็สบายดี ส่วนเรื่องนั้นก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ช่วงนี้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแมวบ่อยนักหรอก เพราะกูก็พยายามไม่ให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป”

             “ก็ดีแล้ว ยังไงช่วงที่เป็นแมวมึงก็ระวังๆ หน่อย เกิดเป็นแมวในที่แปลกๆ ขึ้นมาล่ะจะเป็นเรื่อง”

             “เออ รู้แล้วน่า”

             “พาย นี่กูจริงจังนะ จนถึงทุกวันนี้มึงก็ยังหาสาเหตุหรือวิธีรักษาไม่ได้อีกหรอ”

             “ก็อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ กูก็พยายามหาข้อมูลแล้วแต่ก็ไม่ได้อะไรเลย กูไม่รู้ว่าทำไมกูถึงเป็นแบบนี้ กูไม่รู้เลย ไม่รู้จริงๆ” ใช่ว่าผมไม่อยากหายจากอาการประหลาดนี่นะ ผมอยากหาย ผมอยากรู้ว่าผมเป็นเพราะอะไร แต่ผมพยายามเสิร์ชเน็ต เข้าห้องสมุด อ่านนิยาย ลองทุกอย่างแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นอะไรกันแน่

             “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจทำให้มึงรู้สึกแย่”

             “เออกูรู้ ช่างมันเถอะ” ผมบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ ก็รู้แหละว่ามันเป็นห่วงผม

             “กูเป็นห่วงมึงจริงๆ นะ ถ้าวันไหนจู่ๆ มึงกลายเป็นแมวขึ้นมาในที่ๆ ไม่รู้จัก หรือในที่แปลกๆ ขึ้นมางี้ มึงจะทำไง หรือถ้าจู่ๆ มีคนไม่ดีมารู้เรื่องของมึง แล้วทำไม่ดีกับมึงล่ะ”

             “กูรู้ กูดูแลตัวเองได้น่า”

             “ได้จริง?”

             “เออ ได้!!” ถ้าไม่รวมถึงเหตุการ์เมื่อคืนที่ผมดันกลายร่างหน้าห้องตัวเองอ่ะนะ... “สรุปมึงเรียกกูมาแค่นี้?”

             “จริงๆ นอกจากเรื่องที่กูจะฝากให้มึงเอาเอกสารไปให้บอสกูแล้ว กูมีเรื่องอยากจะคุยด้วยแหละ อาทิตย์หน้าเดี๋ยวมึงจะไปออกทริปช่ะ?”

             “อือ เดี๋ยวกูเอาแมวไปฝากมึงเหมือนเดิม ฝากดูแลมันด้วย ไอ้ไข่แดงก็ไม่ต้องข้าวให้มันเยอะมาก มันเริ่มจะอ้วนเกินไปแล้ว”

             ทุกเดือนผมจะมีออกทริปไปถ่ายรูปเขียนคอลัมน์นิตยสาร ปกติก็จะไปสี่วัน แต่บางครั้งก็ไปนานหนึ่งอาทิตย์ แล้วแต่สถานที่ที่ไป

             “นั่นแหละประเด็น”

             “ประเด็น?”

             “คืออาทิตย์หน้ากูต้องไปดูงานที่ญี่ปุ่นกับบอสอ่ะ ไม่อยู่สองอาทิตย์ เพราะฉะนั้นกูคงดูแลแมวให้มึงไม่ได้แล้ว”

              “อ้าว...จริงดิ”

              “เออ กูเลยรีบบอกมึงเนี่ย มึงจะได้หาคนมาดูแลเจ้าสองตัวนั้นได้ทัน”

              “เออ ยังไงก็ขอบใจมาก เดี๋ยวกูลองดูอีกทีว่าจะฝากใครได้บ้าง ถ้าไม่ได้จริงก็คงเอาพวกมันไปด้วย”

              “เฮ้ย จะไม่ลำบากหรอ?”

             “ก็ลำบากแหละ แต่จะทิ้งพวกมันอยู่ห้องเฉยๆ สองตัวทั้งอาทิตย์กูก็แอบเป็นห่วงว่ะ ยิ่งช่วงนี้เจ้าไข่แดงชอบซนหนีไปนั่นไปนี่”

              “เออ ถ้ามึงหาไม่ได้จริงๆ ยังไงบอกกูได้นะ เดี๋ยวกูช่วยหาอีกแรง กูก็เป็นห่วงพวกมันเหมือนกัน”

              “ขอบใจมากมึง”

              “สรุปที่เรียกมามีแค่นี้?” ผมถามย้ำมันอีกครั้ง

              “มึงนี่ก็เพื่อนบาดเจ็บ ไม่เป็นห่วงเลยเร๊อะ เอาแต่ถามอยู่นั่นแหละว่าเรียกมาแค่นี้ เรียกมาแค่นี้”

               “มึงพูดมากขนาดนี้กูคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วมั้ง แล้วนี่ทำไมมึงไม่กินข้าว?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อหันไปเห็นอาหารของโรงพยาบาลวางอยู่ไม่ไกล

             “ก็มันไม่อร่อยอ่ะ กูอยากกินพิซซ่า สั่งมากินกันไหม? กูโทรถามน้ำแล้ว วันนี้มึงไม่มีงาน มึงก็อยู่กับกูหน่อยนะ กูเหงาปากไม่มีเพื่อนคุย สั่งพิซซ่ามากินด้วยเดี๋ยวกูเลี้ยงเองเลย” ไอ้นิวนี่ก็จริงๆ ถึงกับโทรหาหนึ่งในทีมงานของผมเพื่อเช็คตารางงานเลยทีเดียว

             “คนป่วยไม่ควรกินอาหารอื่นนอกจากอาหารของโรงพยาบาลนะครับ” เสียงนุ่มเข้มดังขึ้นมาจากทางประตู เรียกเอาคนป่วยและผมหันไปมองผู้มาใหม่

             “บอส!!”

             “คุณธาริณสวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ผู้มาใหม่ทันที

             ผมกับนิวด้วยความที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมาจนถึงปัจจุบัน เลยพอจะรู้จักคนรอบตัวของกันและกันอยู่บ้าง อย่างคุณธาริณหรือบอสของมันเนี่ย ผมก็เคยเจอกันอยู่สองสามครั้ง เวลาไปหาไอ้นิวที่คอนโด

              “สวัสดีครับพาย มานานหรือยังครับ?”

             “สักพักแล้วครับ แล้วคุณธาริณมาเยี่ยมไอ้นิวหรือมาเอางานหรอครับ?”

             “ทั้งคู่เลยครับ เอาจริงผมก็เพิ่งรู้นี่แหละครับว่านิวเข้าโรงพยาบาลเลยเพิ่งมา”

             “บอสรู้ได้ไงเนี่ย?” คนป่วยบนเตียงโวยวายขึ้นมานิด

             “ผมควรจะรู้เป็นคนแรกมากกว่านะครับ นิว” น้ำเสียงเข้มขึ้นหันไปมองคนถามพลางขมวดคิ้วนิดๆ เล่นเอาคนบนเตียงสะดุ้งไปเล็กน้อย

             บรรยากาศภายในห้องเริ่มมาคุขึ้น เป็นสัญญาณว่าผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่แล้วแหละ...

             “นิว ถ้าบอสมึงมาแล้วกูกลับแล้วนะ”

             “เดี๋ยวสิมึง ไอ้เหี้ย! อย่าเพิ่งทิ้งกู”

             ผมรีบเดินออกมาทันที ไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อน ได้ยินเสียงมันไล่หลังมานิดหน่อย พร้อมกับเสียงเข้มของคนเป็นบอส “นิวครับ เด็กดีห้ามดื้อต้องกินข้าวนะครับ”

             อ่า....รีบกลับคอนโดไปหาเจ้าแมวทั้งสองดีกว่า~






____________________________________
มาแล้วค่ะ ชอบไม่ชอบ คิดเห็นกันยังไงก็บอกกันได้นะคะ อย่าลืมนะคะ ทวิต #แมวอยู่กับผม
ฝากแชร์ ฝากเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยน้าาาาา >___<
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 4 [03/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 03-01-2019 22:15:26
บอสกับนิวนี่มีซัมติงกันแน่นวลลลลล
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 4 [03/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-01-2019 23:35:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 4 [03/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 04-01-2019 08:30:22
อิอิ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 4 [03/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 04-01-2019 09:06:15
น่ารักกก มันธ์อ่อยเก่งเวอร์ :-[ นิวกับบอสนี้ยังไงกันน้า :hao7: ไข่ขาวเหมือนแม่ที่หวงลูกเลยกัดมันธ์2ครั้งแล้ว เจ้าไข่แดงก็สนใจแต่ของกิน อยากบีบทั้งสองตัวเลย มาต่อเร็วน้า รอๆสนุกมากๆ o13
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 5 [04/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 04-01-2019 10:12:22


บทที่ 5 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว...เมา





             [ฮัลโหล ไอ้มันธ์แกอยู่ไหน]

             เสียงเพื่อนผมดังขึ้นมาจากปลายสาย

             “อยู่คอนโด”

             [วันนี้ว่างป่ะ?]

             “ก็ว่าง” ผมว่าพลางนึกถึงหน้าคนที่เพิ่งพาแมวกลับห้องไป วันนี้คงไม่ได้เจอพายอีกแล้ว เพราะงั้นก็ว่าง...

             [เออ งั้นเดี๋ยวคืนนี้มาเจอกันที่ผับเดิมนะมึง]

             “หืม? วันนี้วันจันทร์นะ พวกมึงจะดริ๊งกันตั้งแต่ต้นสัปดาห์เลยหรอ?”

             [เออ ก็ไอ้พลอยมันกลับมาไทยแล้วไง เนี่ยมันก็นั่งอยู่ข้างๆ กูเนี่ย เฮ้ยไอ้พลอยมาทักไอ้มันธ์ดิ๊!!] เสียงมันเอะอะโวยวายอยู่สักพัก เสียงผู้หญิงก็แทรกเข้ามาในโทรศัพท์ [งายยยยย ไอ้มันธ์เพื่อนรักกกกก มาเจอกันหน่อยเร็ววววว กูรออยู่ กูคิดถึงมึงมากเลย]

             เสียงในโทรศัพท์ที่ดังแทรกเข้ามาทำเอาผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

             “พลอย? ทำไมกลับมาไม่บอกกันก่อน กูได้ไปรับที่สนามบิน”

             [กูเคยบอกมึงแล้ว แต่มึงลืม อีเพื่อนเวร]

             “อ้าว...เออกูขอโทษ” มานึกๆ ดูมันเคยบอกผมแล้วจริงๆ ด้วย แต่มันบอกตั้งแต่เดือนที่แล้ว ใครจะไปจำได้ “เอองั้นเดี๋ยวกูไป เจอกันกี่โมง?”

             [สามทุ่ม ผับเดิม]

             “เออได้ ดีล”





              ผมมาถึงผับชื่อดังย่านทองหล่อ โทรหาเจ้าพวกนั้นมันก็บอกว่ามาถึงแล้วให้เข้าไปได้เลย พอผมก้าวเข้าไป หันซ้ายหันขวาเล็กน้อยก็เห็นเจ้าพวกนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมห้อง

             “ไง พวกมึง” ผมทักพวกมันไปก่อน พวกนั้นก็โบกมือทักผมตอบ ผมนั่งลงข้างๆ ผู้หญิงคนเดียวในโต๊ะ “ไง พลอย กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

             “เพิ่งมาถึงไทยเมื่อวาน มึงเป็นไงบ้าง”

             “ก็เรื่อยๆ ยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่งเหมือนเดิม”

             “ไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง แต่เป็นคนดังมีคนติดตามกว่าห้าล้านคน” เสียงไอ้ต้าเพื่อนผู้ชายที่นั่งตรงข้ามผมพูดขึ้น

             “หมายความว่าไง?” พลอยถามขึ้น

             “ก็ไอ้มันธ์อ่ะ เดี๋ยวนี้มันถ่ายคลิปทำอาหารอัพลงยูทูป คนติดตามเป็นล้าน ไม่สิต้องบอกว่าห้าล้าน ไม่รู้ติดตามเพราะหน้าตามันหรือเพราะฝีมือกันแน่” เสียงจากคนที่นั่งข้างผมอีกด้านดังขึ้น ...ไอ้กันต์แซะผมเบาๆ

             “กูว่าก็ทั้งสองอย่างแหละ ฝีมือไอ้มันธ์ก็ดีจริงๆ หน้ามันก็หล่อกว่าพวกมึงเยอะ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนนี่กูจับทำผัวไปแล้ว” พลอยพูดขึ้นมาพลางหัวเราะเยาะเบาๆ

             “เป็นสาวเป็นนางอย่าพูดคำว่าผัว มันดูไม่ดี” ผมหันไปติพลอย และเอามือโยกหัวมันไปทีนึง

              “ค่ะๆ คุณพ่อ~ว่าแต่กูอยากเห็นคลิปจังเลย”

              “ได้เดี๋ยวกูเสิร์ชแปป กูสับตะไคร้ช่องมันไว้อยู่”

              “Subscribe ไหมล่ะ ไอ้ต้า” ผมแย้งมันไป

              “เออนั่นแหละๆ นี่ไงพลอย...อ้าว! ไอ้มันธ์วันนี้มึงเพิ่งอัพคลิปหรอ?” ประโยคหลังต้าหันมาถามผม

              “อือ เพิ่งถ่ายเมื่อเช้า”

              พวกมันไม่ฟังผมเสียแล้ว แต่หันไปมุงก้มดูจอมือถือไอ้ต้าที่พลอยถืออยู่ ด้วยความที่เสียงในผับดังมาก ผมเลยไม่ได้ยินเสียงคลิปที่พวกมันเปิดกัน ไม่ถึงสิบนาทีพวกมันก็หันมามองหน้าผม

             “อะไร?” ทำไมมองผมแปลกๆ แบบนั้น

             “เดี๋ยวนะ...” พลอยพูด

             “??” ผมทำหน้าสงสัยใส่พวกมัน

             “คนนี้ใคร?” พลอยว่า แล้วหันโทรศัพท์ในมือมาให้ผมดู ผมก้มลงมองนิดๆ แล้วก็รู้ว่าพวกมันหมายถึงใคร

             “พาย”

               “พาย?”

             “อือ พาย”

             ไอ้กันต์ที่นั่งข้างๆ ผมเอื้อมมือมาตบหัวผมทีนึง “ไอ้เหี้ยมันธ์ มึงก็บอกมาสิวะว่าพายเขาคือใคร มัวแต่อมพะนำอยู่นั่นแหละ”

             “เออก็...เขาชื่อพาย เป็นพี่ที่อยู่ห้องข้างๆ กู”

             “แค่นั้น?” พลอยถามเสียงสูง ดวงตาเป็นประกายราวกับว่าพบเรื่องสนุก

             “เออ แค่นั้น”

             “จริงอ่ะ กูไม่เชื่อว่ะ มองในจอมือถือเล็กๆ กูก็มองออกนะว่าสายตาที่มึงมองเขาน่ะ มันไม่ใช่แค่นั้นแน่ๆ แค่พี่ข้างห้องจริงดิ?” ต้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

             “นั่นดิ พวกกูรู้จักมึงมาเกือบสิบปีแล้วนะเว้ยมันธ์ ถึงกูจะไม่ได้อยู่ไทยมาหลายปีแต่กูก็มองมึงออกนะ มันไม่แค่นั้นแน่ๆ” พลอยหันมาคะยั้นคะยอกับผมอีกคน

             “สรุปว่าไง แค่พี่หรือคิดมากกว่าพี่?” กันต์เข้ามาสมทบ

             “เออ!! บอกก็ได้ เขาอ่ะคิดกับกูแค่คนข้างห้อง แต่กูอ่ะคิดเกินกว่านั้น จบ”

             “ไม่ยังไม่จบ เล่ามาก่อน อะไรยังไง” พลอยไม่ยอมจบง่ายๆ

             “ใช่ ทำไมมึงไม่เคยเล่าให้พวกกูฟัง กับพลอยกูยังเข้าใจนะ แต่กับพวกกูที่เจอมึงบ่อยๆ ทำไมไม่เคยรู้เลย” ต้าโวยวายขึ้นมา มีไอ้กันต์พยักหน้ารับเป็นลูกคู่

             “…” ผมเงียบ ไม่พูดอะไร หันไปมองเพื่อนทั้งสามคน ที่ตอนนี้มีแต่สายตาอยากรู้อยากเห็นส่งมาให้

             “…” พอผมเงียบ พวกมันก็เงียบ สายตายังจ้องผมไม่หยุด ราวกับจะใช้ความเงียบและสายตากดดันผม

             “เออ เล่าก็ได้”

             “ก็แค่เนี่ย? มัวแต่อมพะนำอยู่นั่นแหละ มาค่ะ!! กูพร้อมฟังแล้ว” พลอยทำหน้าดีใจราวกับผู้ชนะเล็กน้อย มันหันมามองหน้าผมตั้งใจฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

             “ก็คือกูเพิ่งรู้จักพี่เขาเมื่ออาทิตย์ก่อน พอดีแมวของเขาหลุดเข้ามาในห้องกู...” แล้วผมก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาให้พวกมันฟัง พวกมันก็รับฟังอย่างเงียบๆ มีพยักหน้าบ้างเป็นครั้งคราว จนผมเล่าจบต้าก็ถามขึ้น

             “สรุป เอาจริงๆ มึงก็เพิ่งเจอพี่เขาเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วได้คุยกันจริงๆ จังๆ อีกทีคือเมื่อวานกับวันนี้?”

             “เออ”

             “แล้วมึงก็ชอบเขา?” คราวนี้เป็นกันต์ที่ถามผม

             “เออ”

             “ง่ายจังวะ” พลอยด่าผมกลับมา

             “อ้าว...ไอ้พลอย”

             “ก็จริงนี่หว่า มึงเพิ่งเจอเขา เพิ่งเคยคุยกับเขาไม่กี่ครั้งเองนะ ทำไมถึงตัดสินใจง่ายจังว่าชอบเขา ยังไม่รวมประเด็นที่ว่าเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนมึงอีกนะ”

             “พลอย กูถามจริงๆ คนเราจำเป็นต้องมีเหตุผลมากมายในการตกหลุมรักใครสักคนหรอวะ ความรักมันเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล แค่มันเกิดถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน มันก็คือใช่ไหมวะ?” ผมตอบกลับไปอย่างจริงจัง จนพลอยได้แต่เงียบ ผมหวังว่ามันคงกำลังคิดทบทวนในสิ่งที่ผมพูด

             “คนนี้มึงจริงจัง?” กันต์ถามขึ้นมา

             “เออกูจริงจัง กูก็ไม่รู้ทำไม แต่ความรู้สึกกู พายคือคนที่ใช่”

              “พอๆ เลิกๆ เลิกรุมไอ้มันธ์มันได้แล้ว วันนี้เรามาฉลองกันนะ อย่างนี้ก็ถือโอกาสฉลองที่ไอ้มันธ์มันมีความรักไปด้วยเลย เพราะฉะนั้น ไอ้มันธ์มึงเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเลย” ไอ้ต้าชวนทุกคนเปลี่ยนเรื่องซึ่งผมต้องขอบคุณมันมาก เพราะมันทำให้บรรยากาศในโต๊ะดีขึ้นทันตา

             “เออได้เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

             “เชี้ยยยยยย ใจมึงได้ว่ะ” และก็เป็นเสียงไอ้ต้าเช่นเดิม

              พวกมันเริ่มส่งเหล้ามาให้ผม ดื่มกันไปได้สักพัก คนข้างๆ ก็สะกิดเรียกผม

             “มึงไม่โกรธกูใช่ป่ะที่กูถามมึงแบบนั้น” พลอยถามขึ้น

             “มึงไม่ต้องคิดมาก กูเข้าใจที่มึงจะสงสัยความรู้สึกกู ทุกอย่างมันก็ดูเร็วไปจริงๆ นั่นแหละ”

             “อือ กูขอโทษจริงๆ ถ้ามึงจริงจังกับคนนี้กูก็ยินดีด้วย กูไม่เคยเห็นมึงจริงจังกับใครมาก่อนเลย”

             “กูก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน...เออแล้วมึงกับสตีฟอะไรนั่นล่ะเป็นยังไงบ้าง” ผมถามถึงความรักของอีกฝ่าย

             “เลิกกันแล้ว เพิ่งเลิกก่อนกูกลับไทยไม่กี่วันเอง”

             “อ้าวเฮ้ย! ทำไมล่ะ? กูเห็นมึงรักเขาจะตาย”

             “ไม่รู้ว่ะ เหมือนมันต่างคนต่างอิ่มทางความรู้สึก ก็เลยเลิกกัน แต่ก็เลิกกันด้วยดีนะ กูก็ยังคุยกับเขาแบบเพื่อนอยู่”

             “มึงโอเคไหมเนี่ย?”

             “โอเคดิมึง บอกแล้วเลิกกันด้วยดี”

             “เออถ้างั้นก็ดีแล้ว”

             “มาๆ ชนแก้วๆ” ไอ้ต้ายื่นแก้วเข้ามากลางวง

             “โบราณมากมึง” พลอยหันไม่ด่าเพื่อนรักครั้งนึง แต่ก็ยอมยกแก้วขึ้นมา

              “ฉลองการกลับมาของเพื่อนรักและฉลองเพื่อนรักจะมีแฟนเว้ย เอ้าชน!!” พวกเราทำหน้าหน่ายๆ ใส่มันไปนิดแต่ก็ยอมยกแก้วชนตามที่มันต้องการ

              ดื่มไปสักพัก ไอ้พลอยกับไอ้ต้าก็ออกไปเต้น เหลือผมกับกันต์นั่งเฝ้าโต๊ะ

             “อ่ะมึง” กันต์ชงเหล้าแล้วส่งมาให้ผม ก่อนจะพูดขึ้น​ “หมดแก้ว”

             ว่าแล้วมันก็ดื่มเข้าไปรวดเดียวหมด ซึ่งมีหรอผมจะยอม ผมรีบกระดกเหล้าในแก้วนั้นหมดรวดเดียวตามมันไป

             พอหมดแก้ว กันต์ก็หันไปชงเหล้า แล้วส่งมาให้ผมอีก “คราวนี้ใครหมดที่หลังต้องโดนเบิ้ลสองช็อต”

             “เออจัดไป”

             “พร้อมนะ หนึ่ง! สอง! สาม!”

             พอกันต์พูดจบปุ๊ปผมก็รีบกระดกแก้วนั่นทันที แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ไอ้กันต์ดันดื่มหมดก่อนผมเพียงเสี้ยววินาที มันหันหน้ามายักคิ้วให้ผมอย่างผู้ชนะ แล้วหันไปชงเหล้าก่อนจะยื่นมาให้ผมอีกครั้ง “รางวัลสำหรับคนแพ้”

               ผมรับมาก่อนจะกระดกรวดเดียว จากนั้นภาพตรงหน้าผมก็เหลือแต่ความมืดมิด

             _________________________


              “เฮ้ยไอ้กันต์ ไอ้มันธ์น็อคไปแล้วหรอวะ?” ต้าถามขึ้นทันทีที่กลับมาที่โต๊ะแล้วเห็นสภาพเพื่อนหัวฟุบลงกับโต๊ะไปแล้ว

             “นี่ยังไม่ทันชั่วโมงเลยนะ หรือว่ามึงมอมเหล้ามัน?” พลอยหันไปถามกันต์ด้วยเช่นกัน

             “เออ กูมอมเหล้ามันเองอ่ะ ไอ้นี่ก็รู้ว่าตัวเองคออ่อนแต่ก็ทำเป็นใจสู้คอแข็งอยู่นั่นแหละ”

             “แล้วมึงมอมเหล้ามันทำไมเนี่ย? งั้นมึงมอมเหล้ามันมึงก็ต้องรับผิดชอบไปส่งมันนะเว้ย กูไม่ช่วยด้วยขี้เกียจแบกมัน”

             “ส่วนกูเป็นผู้หญิง กูไม่เกี่ยว”

             “แหม มึงนี่รีบอ้างสิทธิเพศแม่เลยนะ”

             “พวกมึงไม่ต้องเกี่ยงกัน กูมีแผนอยู่แล้วน่า” ว่าแล้วกันต์ก็ค้นตัวคนที่สลบอยู่ พอเจอสิ่งที่ต้องการก็รีบกดปลดล็อกและกดเข้ารายชื่อทันที โชคดีนะที่ไอ้มันธ์ไม่เคยเปลี่ยนรหัสมือถือ

             “มึงเอามือถือมันมาทำอะไรวะ” ไอ้ต้าก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าเพื่อนตรงหน้าจะทำอะไรกันแน่

             “กูก็จะเป็นเพื่อนที่ดีเป็นพ่อสื่อให้มันไงล่ะ”

             “หืม?” ต้ายังคงทำหน้าสงสัยอยู่ในขณะที่หญิงเดียวในกลุ่มดูเหมือนจะเขาใจการกระทำของเพื่อนขึ้นมา

             “มึงจะโทรไปให้พี่พายมารับไอ้มันธ์สินะ”

             “เยส! ฉลาดมากเพื่อนรัก” กันต์หันไปวิ๋งตาใส่พลอยทีนึง ก่อนจะก้มลงดูโทรศัพท์มือถือเพื่อนเหมือนเดิม “เหี้ย...ไม่มีว่ะ”

             “ไหนเอามาดิ๊” พลอยแย่งโทรศัพท์มันธ์ไปก่อนจะค้นเอง “เออว่ะ...ไม่มีจริงด้วย”

             “เฮ้ยไอ้มันธ์! เบอร์พายอยู่ไหน?” กันต์หันไปเค้นเอาความจริงจากเจ้าของโทรศัพท์มือถือ

             เจ้าของก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสไตล์คนเมา “ไม่มีโว้ยยยยย! ไม่เคยขอ!!”

             ได้ยินดังนั้นทั้งสามคนรีบหันมามองคนที่ฟุบอยู่กับโต๊ะก่อนจะพร้อมใจกันพูดว่า

             “โถ่!! ไอ้อ่อน!!!”

             “เออกูอ่อน แต่กูก็หล่อ” คนเมายังไม่วายเถียงกลับมาเรียกสีหน้าระเอือมระอาให้เพื่อนร่วมโต๊ะ

             “แล้วทีนี้จะเอาไง?” ต้าหันมามองสองคนที่เหลือ

             “…”

             “…”

             ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ไม่มีใครตอบคำถามของต้า มีแต่เสียงคนเมาพึมพำออกมาท่ามกลางความเงียบนั้น

             “ไม่เอา~ ไม่กินแล้ว~ อิ่มแล้วครับพายยยย~”

             ทั้งสามได้แต่หันไปมองสภาพอันน่าสมเพชของเพื่อน

             “มึงๆ กูนึกออกแล้ว” จู่ๆ หญิงแกร่งคนเดียวของกลุ่มก็พูดขึ้นมา

             “มันธ์ๆ” พลอยสะกิดเรียกเจ้าของชื่อ อีกฝ่ายได้ยินชื่อตัวเองก็ได้แต่งืมงัมออกมา

             “อะรายยย~”

             “พี่พายเขาอยู่ห้องไหน?”

             “ก็ข้างห้องกูงายยย~”

             “เลขห้องอะไร?”

             “หกศูนย์สี่~”

              พอได้ยินคำตอบที่พึงพอใจ พลอยก็ปล่อยให้มันธ์นอนต่อไป มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หันไปหาเพื่อนอีกสองคนที่ยังคงงงว่า เธอทำอะไรอยู่

             “เดี๋ยวพวกมึงฟังกูนะ...”

             _________________________


             เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่า ผมที่กำลังนั่งแต่งรูปอยู่เลยลุกขึ้นไปที่ประตู

              “ใครมากดกริ่งดึกๆ ดื่นๆ กันนะ?”

              ผมส่องตาแมวประตูดูก็พบผู้หญิงคนหนึ่งพยุงผู้ชายร่างสูงที่ฟุบหน้าลงกับพื้น ยืนอยู่หน้าห้องผม

              “ใครกันนะ? หรือจะกดกริ่งผิดห้อง?” ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหันหลังเดินกลับไป แต่แล้วกริ่งก็ดังขึ้นรัวๆ อีกสองสามครั้ง จนสุดท้ายผมต้องยอมเปิดประตู

              “เอ่อ...พี่พายใช่ไหมคะ?” ผู้หญิงคนนั้นทักผมขึ้นก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร

              เธอเป็นผู้หญิงสวย เตี้ยกว่าผมไม่มาก เดาว่าเธอน่าจะสูงร้อยเจ็ดสิบ รูปร่างเพรียวการแต่งตัวดี ชุดรัดรูปแต่กลับไม่ดูโป๊เกินไป ตรงกันข้ามกลับทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูเซ็กซี่มากขึ้นด้วยซ้ำ

             “ครับ” ผมตอบกลับอีกฝ่ายไป

             “คือ หนูชื่อพลอยนะคะ เป็นเพื่อนกับมันธ์”

             “ครับ...แล้ว?” ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเพื่อนมันธ์มาเคาะห้องผมทำไมดึกๆ ดื่นๆ ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าร่างสูงที่ผู้หญิงตรงหน้าแบกอยู่ก็คือเพื่อนข้างห้องของผมนี่เอง ผมรีบเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้นประคองมันธ์อีกแรง

             “ขอบคุณค่ะ” เธอหันมาขอบคุณผมเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อ “คือ พวกพลอยไปสังสรรค์กันน่ะค่ะ แล้วมันธ์มันเมาหลับไม่รู้เรื่องเลย พลอยเลยมาส่ง ทีนี้พอจะเข้าห้องมันพลอยก็หากุญแจมันไม่เจอ รหัสผ่านมันก็ไม่รู้”

              “อ่าครับ...แล้ว?”

              “คือพลอยได้ยินมันพูดถึงพี่พายน่ะค่ะ ว่าช่วงนี้สนิทกัน พลอยเลยกะว่าจะมาฝากมันไว้ที่ห้องพี่ได้ไหมคะ?”

              “….” อ่า…ผมจะทำยังไงดีนะ....

              “คือรบกวนเกินไปจริงๆ สินะคะ ขอโทษด้วยค่ะ แต่พลอยไม่มีทางเลือกจริงๆ จะพามันไปบ้านก็กลัวพ่อแม่เข้าใจผิดคิดว่าพาผู้ชายเข้าบ้าน แต่จะทิ้งมันไว้หน้าห้องก็กลัวจะโดนด่าหาว่าทิ้งเพื่อน คือพลอยก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” พลอยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ผมเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสารเธอขึ้นมานิดๆ

             จริงๆ มันธ์ก็ช่วยดูแลแมวผมทั้งเมื่อวานกับวันนี้ แถมผมยังเคยไปรบกวนยึดเตียงนอนมันธ์ด้วย ถ้าคืนนี้ผมจะดูแลมันธ์บ้างก็ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เพื่อนบ้านควรดูแลกันใช่ไหมนะ?

              “ครับ ให้มันธ์มาอยู่ห้องพี่ก่อนก็ได้ครับ”

              “จริงนะคะพี่พาย?!”

               “ครับ ยังไงพวกเราพยุงมันธ์ไปวางไว้ที่เตียงพี่ก่อนละกัน”

             แล้วพวกเราสามคนก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องอย่างทุลักทุเล เจ้าแมวสองตัวที่วิ่งเล่นอยู่ในห้องก็หันมามองด้วยความสงสัยใคร่รู้

              พอวางมันธ์ลงบนเตียงเรียบร้อย พลอยก็หันมาพูดกับผม

              “ขอบคุณมากนะคะพี่พายที่ช่วยพลอย ยังไงพลอยฝากเพื่อนพลอยด้วยนะคะ”

              “ได้ครับ แค่นี้เอง ผมก็รบกวนมันธ์อยู่บ่อยๆ”

              “ค่ะ งั้นเดี๋ยวพลอยกลับแล้วนะคะ ไม่รบกวนพี่พายแล้วค่ะ”

              “อ่าครับ...เดี๋ยวพี่เดินไปส่งนะ”

              ผมเปิดประตูให้หญิงสาว พอเธอเดินออกไปยังไม่ทันที่ผมจะได้ปิดประตูเธอก็หันมามองผม

              “คือพี่พายคะ”

              “ครับ?”

                “มันธ์มันเมาแล้วหลับลึก พี่ไม่ต้องกลัวมันอ้วกหรือทำเลอะเทอะนะคะ”

              “ครับ”

              “แล้วก็มันเป็นพวกเมาแล้วหลับลึกมากกกกกกกกกก พี่จะทำอะไรกับมันมันก็ไม่รู้ตัวหรอกค่ะ”

              “ครับ?” ทำไมประโยคนี้มันฟังดูแปลกๆ

              “พลอยไม่รบกวนพี่แล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

              “ครับ กลับดีๆ นะครับ” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนปิดประตูห้องไป แล้วเดินกลับมาสนใจคนที่นอนอยู่บนเตียง

               ร่างสูงนอนนิ่งเงียบ ไม่ขยับเขยื้อนตัวสักนิด ใบหน้าแดงเห่อไปถึงคอบ่งบอกว่าคนที่นอนอยู่ดื่มแอลกอฮอล์ไปเยอะแค่ไหน ผมเดินเข้าไปจัดท่าทางให้ร่างสูงนอนสบายขึ้น ก่อนจะห่มผ้าให้เขา ส่วนตัวเองก็เดินออกมาที่ห้องทำงาน เพื่อมานั่งทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ

             _________________________


             เพราะพายรีบปิดประตูห้องเลยไม่ทันได้เห็นว่าฝ่ายที่มารบกวนยามดึกนั้น ใบหน้ายกยิ้มแค่ไหน สายตานั้นเป็นประกายเต็มไปด้วยความสนุก

             พลอยกดลิฟท์เดินลงมาข้างล่าง เดินออกจากคอนโด ไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ห่างจากคอนโดนัก

             “เป็นไงบ้างพลอย?” ต้ารีบถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวก้าวขาเข้ามาในรถ

             “เรียบร้อย พี่พายเชื่อสนิทใจ รับเจ้าลูกหมามันธ์เข้าไปนอนในห้องเรียบร้อย!”

             “เริ่ด!!”

             “แล้วกุญแจห้องไอ้มันธ์จะเอาไง?” เสียงกันต์ที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับหันมาถาม

              “ก็เอาไว้ที่มึงก่อนละกัน”

              “เออได้”

              หญิงสาวคนเดียวในรถยิ้มขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องสนุกๆ เมื่อครู่ พี่พายตัวจริงน่ารักกว่าในคลิปเยอะ แถมดูจะไม่ทันคนเอาซะเลย โดนพวกเขาหลอกเอาง่ายๆ จริงๆ พวกเขาน่ะมีกุญแจห้องมันธ์ แต่อีกฝ่ายก็เชื่อซะสนิทใจเลยว่าเธอน่ะไม่มีกุญแจ ทั้งๆ ที่การจะเข้าคอนโดนี้จากชั้นล่างต้องใช้คีย์การ์ด ถ้ามีคีย์การ์ดก็ย่อมต้องมีกุญแจ แต่พี่พายก็ดูจะลืมความจริงข้อนี้ไปเลย กลับยอมรับพากมันธ์เข้าไปในหเ้องอย่างง่ายดาย งานนี้มันธ์คงต้องขอบคุณพวกเขาไปอีกนานที่ทำให้มันได้นอนบนเตียงของคนที่ชอบ!! ช่วยขนาดนี้แล้วถ้ามันยังไม่ได้อะไรกลับมาก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว~!!







_________________________________
อย่าลืมนะคะมาหวีดกันได้ที่แท็ก #แมวอยู่กับผม ในทวิตเตอร์
ถ้าชอบอย่าลืมคอมเม้น กดไลค์ กดแชร์ ให้กำลังใจกันหน่อยน้าาาา >__<
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 5 [04/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-01-2019 15:30:01
+1
ขยันลงด้วย อ่านเพลินเลย

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 5 [04/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 05-01-2019 07:02:55
ติดตามต่อค่ะ
กำลังสนุกเชียว

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 5 [04/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 05-01-2019 07:37:38
มีแผนๆๆๆ :-[
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 5 [04/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 05-01-2019 09:50:51
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง 5555

เพราะน้องเหมียวจะต้องซน แน่ ๆ ฮื้อ อยากฟัดไข่แดง ส่วนไข่ขาว นั่งสวย ๆ ยื่นหนมแมวให้ แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 5 [04/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-01-2019 11:28:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 6 [05/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 05-01-2019 18:57:40
บทที่ 6 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว...กับแมวหลงทาง




           เสียงเพลงดังลั่นปลุกผมตื่น ผมงัวเงียขึ้นมาเล็กน้อย มือยื่นไปทางโต๊ะข้างหัวเตียง หวังจะปิดเจ้าที่มาของเสียงที่กำลังรบกวนการนอนของผม แต่แล้วมือของผมก็ปัดไปโดนอะไรสักอย่างจนมันตกลงมาจากโต๊ะแต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก ในที่สุดผมก็พบมือถือเจ้าที่มาของเสียงนั้น ผมรีบกดปิดทันที ก่อนจะลุกขึ้นมาพยายามเรียกสติตัวเองแต่ก็ง่วงและปวดหัวเกินกว่าจะมีสติครบถ้วน

           เมื่อมองไปรอบๆ ห้องก็ได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย...นี่มันที่ไหน? ผมก้มหน้ามองมือถือที่ส่งเสียงปลุกเมื่อครู่ แล้วก็พบว่าโทรศัพท์มือถือในมือผมนี่...ไม่ใช่ของผมนี่น่า....ถึงมันจะรุ่นเดียวกันแต่มันก็คนละสี

           ผมกดปุ่มโฮม หน้าจอมือถือก็สว่างขึ้นมา รูปพักหน้าจอเป็นรูปแมวสองตัวที่มีขนสีขาวกับสีส้ม...แมวสองตัวนี้นี่มันของพายนี่...หรือว่าผมอยู่ในห้องพาย?!

           ผมรีบลงจากเตียง ตอนนั้นเองที่ผมเหยียบอะไรบางอย่างที่ผมปัดมันตกจากโต๊ะเมื่อกี้ ผมก้มลงมองแล้วหยิบมันขึ้นมาดู มันเป็นผ้าเก่าๆ ยาวเป็นเส้น สีน้ำเงินซีด ขนาดใหญ่เกินกว่าจะเป็นกำไลข้อมือแต่ก็เล็กกว่าสร้อย ผมมองมันแล้วขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง ดูคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก....แต่ด้วยความง่วงมีมากกว่าความสงสัย ผมเลยเก็บมันขึ้นมาวางไว้ที่เดิม แล้วเลิกสนใจกับผ้านั่น

           “มันธ์ตื่นแล้วใช่ไหมครับ?” เสียงนอกห้องตะโกนเข้ามา เสียงนั่นเป็นการยืนยันว่าที่ผมคิดนั้นถูกจริงด้วย ผมอยู่ในห้องของพายจริงๆ

           “ครับ ตื่นแล้ว” ผมเดินออกไปนอกห้อง ทันเห็นพายกำลังเทอะไรบางอย่างลงชามอยู่พอดี “อะไรหรอครับ?”

           “โจ๊กน่ะครับ ผมไปซื้อมาเมื่อกี้ มากินก่อนครับ”

           ผมเดินเบลอๆ ไปนั่งลงตรงโต๊ะกินข้าว พายวางชามลงตรงหน้าผม ส่วนผมก็ยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้อีกฝ่าย

           “มือถือพายครับ”

           “ครับ...ขอโทษนะครับที่ตั้งปลุกไว้ ตื่นเพราะเสียงปลุกใช่ไหมครับ?”

           ผมพยักหน้าเล็กๆ

           “พอดีผมกลัวมันธ์ไม่ตื่นน่ะครับ เลยตั้งปลุกไว้”

           “อ่า...ครับ” ผมอยากถามคนตรงหน้านิดๆ ว่าจะตั้งปลุกทำไม แต่ก้รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะพูด

           “โกรธผมหรอ?”

           “เปล่าครับไม่ได้โกรธ”

           “…”

           “ขอโทษครับพอดีผมยังมึนๆ แฮงค์ๆ อยู่น่ะ พายอย่าสนใจผมเลย แล้วก็ขอบคุณนะครับสำหรับโจ๊ก” ผมบอกอีกฝ่ายอย่างเนือยๆ

           “อือ ผมรู้แหละว่ามันธ์แฮงค์อยู่ แต่ผมก็ไม่อยากให้มันธ์อดข้าวเช้า ก่อนลงไปซื้อข้าวผมเลยตั้งปลุกไว้ ถ้าผมจุ้นจ้านเกินไปก็ขอโทษด้วยครับ”

           “ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่มารบกวนพาย”

           “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวตัวอ้วนดังขึ้น มันกระโดดขึ้นมานั่งบนตักผม ดูท่ามันจะติดผมเหมือนกันนะ

           “เจ้าอ้วน...ลงมา!!” พายดุแมวของตัวเองเล็กน้อย แต่เจ้าแมวก็ดูจะไม่ฟังเจ้าของ มันยังคงนั่งตักผมไม่ยอมลุกออกไปไหน ผมเอามือลูบหัวมันไปสองสามที

           “ปล่อยมันนั่งไปแบบนี้ก็ได้ครับ”

           “เอางั้นหรอ?”

           “ครับ มันก็น่ารักดี”

           “ถ้ามันธ์ว่างั้นก็แล้วแต่ครับ”

           ตลอดเวลารับประทานอาหารเช้า พวกเราก็ได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าก้มตากิน ผมก็ปวดหัวและง่วงเกินกว่าจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็ดูจะรู้ว่าผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดเลยไม่พูดอะไร ไม่นานพวกเรากินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ตอนนั้นเองที่พายหันมาพูดกับผม

           “เออมันธ์ครับ เดี๋ยวผมไปทำงานแล้วนะครับ ยังไงถ้ามันธ์อยากนอนต่อก็ตามสบายนะครับ”

           ประโยคยืดยาวอะไรไม่รู้ ผมก็ฟังได้ไม่ทันหมด เข้าใจแต่ว่าผมนอนได้...อืม...ตอนนี้ผมอยากล้มตัวลงนอนแล้ว

           “แล้วก็นี่มือถือของมันธ์นะครับ เมื่อคืนมันแบตหมด ผมเห็นมันรุ่นเดียวกันกับของผมเลยเอามาชาร์ตแบตให้”

            ผมรับมือถือมาจากคนตรงหน้าอย่างงงๆ สมองยังรู้สึกประมวลผลอะไรไม่ได้มากนัก “ขอบคุณมากครับ”

           เขาพูดอะไรกับผมอีกสองสามประโยค ผมได้แต่อือออไป รู้ตัวอีกทีก็โดนคนโตกว่าลูบหัวซะแล้ว

           “ทำอะไรครับพาย?” ผมหันไปมองคนที่ลูบหัวผมอยู่

           “ไปนอนต่อเถอะครับ”

           “อือ” ผมไม่ปฏิเสธ เจ้าแมวก็เหมือนรู้ตัวว่าผมจะลุกมันเลยชิงรีบกระโดดลงจากตักผมไปก่อน ผมเดินงัวเงียไปที่เตียงนอน ตอนนี้ผมไม่ต้องการอะไรนอกจากการนอน พอเห็นเตียงก็ล้มตัวลงและหลับไปทันที





           RRRRR

           เสียงโทรศัพท์ปลุกผมตื่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือผม ผมกดรับอย่างหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะการนอน

           “ฮัลโหล!!”

           [งายยยย เพื่อนรัก นอนกับพี่พายเป็นไงบ้าง] เสียงไอ้ต้าดังเข้ามาในโสตประสาทผมเป็นเสียงแรก

           “พี่พายอะไร?!” ผมถามกลับอย่างหงุดหงิด

           [ก็เมื่อคืนมึงไปนอนห้องพี่พายไง]

           “เดี๋ยว!! อะไรนะ?!!” จังหวะนั้นผมรีบดีดตัวขึ้นลุกนั่งหันไปมองรอบๆ ห้องอย่างเต็มตาอีกครั้ง...เชี้ย! ผมไม่ได้อยู่ห้องตัวเองจริงด้วย!! เมื่อเช้าผมก็เบลอๆ ก็คิดอยู่ว่าเหมือนตัวเองนั่งกินข้าวกับพาย นี่ไม่ได้ฝันจริงๆ ด้วย    โอ๊ย!! ปวดหัวฉิบหาย เมื่อคืนไม่น่ารับคำท้าไอ้กันต์มันเลย

           [แล้วสรุปเมื่อคืนเป็นไง?] เสียงพลอยดังเข้ามาจากปลายสาย

           “เป็นไงเหี้ยไรล่ะ!! แล้วนี่ทำไมกูมาอยู่ห้องพายได้? กูจำได้ว่าความทรงจำสุดท้ายกูดวลเหล้ากับไอ้กันต์นะ”

           [อย่าเรียกว่าดวล เพราะไม่กี่แก้วมึงก็น็อคแล้ว ไอ้อ่อน!!] คราวนี้เป็นเสียงกันต์ดังเข้ามา

           “แล้วสรุปยังไง ทำไมกูมาอยู่ห้องนี้ได้?”

           [เออน่า มึงไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าที่มึงไปอยู่ในห้องคนที่ชอบได้ก็เพราะฝีมือพ่อสื่อแม่สื่ออย่างพวกกู จงขอบคุณซะ!! แล้วสรุปเมื่อคืนเป็นไง?]

           “เป็นไงอะไรล่ะ กูเพิ่งตื่น”

           [โถ่!! ไอ้อ่อน!!] เสียงทั้งสามคนดังลั่นเข้ามาในโทรศัพท์ผม แหม พร้อมใจกันด่าผมเชียวนะ

           [สรุปเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?] เสียงพลอยถามขึ้นอีกครั้ง

           “เออไม่มี จริงๆ เมื่อเช้าพายซื้อข้าวมาให้กู เราก็ได้คุยกันนิดหน่อย แต่กูก็จำไม่ค่อยได้ มันแฮงค์ๆ อยู่”

            [มึงนี่ก็นะ เพื่อนอุส่าต์ยื่นอ้อยเข้าปากให้แล้วแท้ๆ เสือกไม่แดก] ต้าบ่นขึ้นมา ฟังแค่น้ำเสียงผมก็เดาสีหน้ามันออก

            [นี่มึงยังอยู่ห้องพี่เขาใช่ป่ะ] เสียงพลอยดังแทรกขึ้นอีกครั้ง

           “เออ ทำไมอ่ะ”

            [เหยดๆ เที่ยงแล้วยังอยู่ด้วยกันอีก มันไม่มีอะไรจริงดิ?] ต้าถามผมขึ้นอีกครั้ง ได้ยินอย่างนั้นผมก็นึกขึ้นได้...เจ้าของห้องอยู่ไหน?

            ผมลุกขึ้นมาออกเดินตามหาเจ้าของห้อง แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เห็นใครสักคนในห้อง มีแต่เจ้าแมวสองตัวที่เดินวนไปวนมาตามผมเนี่ย แล้วผมก็พบกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งแปะไว้ที่ตู้เย็น

           ‘ถ้าตื่นแล้วหิว มีข้าวผัดอยู่ในตู้เย็นนะครับ เอามาอุ่นกินได้ แล้วถ้ามันธ์จะกลับห้องฝากล็อกห้องให้ด้วยนะครับ ผมไปทำงานจะกลับมาตอนเย็นๆ ครับ’

           แค่ข้อความในกระดาษเล็กๆ ก็ทำให้มุมปากผมยกยิ้มขึ้น กระดาษโน้ตแผ่นนั้นตอบทุกคำถามที่ผมสงสัยว่าเจ้าของห้องไปไหน

           [ไอ้มันธ์!! ไอ้มันธ์โว้ยยย ยังอยู่ไหม?!!] เสียงเพื่อนผมโวยวายดังผ่านมือถือออกมา จริงด้วยผมยังไม่วางสายนี่น่า

           “ยังอยู่”

           [เออแล้วสรุปยังไง ไม่มีอะไรจริงๆ?] ยัง ยังไม่เลิกถามคำถามนี้กันอีก

           “ไม่มีอะไร”

           [แล้วอยู่จนถึงตอนนี้ทำไมไม่มีอะไร?]

           “ก็พายเขาออกไปทำงานตั้งนานแล้ว จะมีอะไรได้ไง”

           [โถ่! ไอ้อ่อน!!] เสียงเพื่อนด่าผมเข้ามาอีกที

           [เฮ้อ งั้นก็ช่างมัน ยังไงเดี๋ยวมึงมาเจอพวกกูนะ ที่ร้านไอ้กันต์] พลอยเปลี่ยนเรื่องและชวนผมไปที่ร้านเพื่อนสนิทในกลุ่ม กันต์มันเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ตั้งแต่สมัยปีสี่แต่ก็ยังทำมาจนถึงทุกวันนี้

           “ได้ งั้นอีกสองชั่วโมงเจอกัน”

           [เออ ดีล] แล้วมันก็วางสายไป





   
            ผมกลับมาที่ห้องของตัวเอง ไม่ลืมที่จะหยิบกระดาษโน้ตและข้าวผัดติดมือกลับมาด้วย ผมเดินเข้ามาที่ห้องครัว หยิบคุกกี้ที่ทำเมื่อวานมาใส่ถุง เขียนโน้ตบอกอีกฝ่ายไว้

           ‘คุกกี้ตอบแทนครับ ขอบคุณสำหรับเตียงนอน โจ๊ก และข้าวผัดครับ’

           ผมยิ้มขึ้นมานิดเมื่อนึกถึงหน้าของพาย แล้วบรรจงติดกระดาษโน้ตไปกับถุงคุกกี้เหล่านั้น ก่อนจะเอาไปแขวนไว้ที่หน้าห้องของอีกฝ่าย

            พอกลับเข้ามาที่ห้องผมก็อาบน้ำแต่งตัว กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ปาเข้าไปบ่ายสองแล้ว มีข้อความ miss call ว่าผมไม่ได้รับสายจากไอ้ต้าอยู่สามสาย เห็นดังนั้นผมเลยรีบหยิบกระเป๋าออกจากห้องจังหวะนั้นเองเพิ่งถึงนึกขึ้นได้ว่ากุญแจห้องผมหายไปไหน? เมื่อกี้ตอนผมเข้าห้องผมก็เจ้ามาด้วยรหัสผ่านไม่ทันได้คิดเรื่องกุญแจ

            ผมเดินหาไปจนทั่วห้องก็ยังไม่เจอกุญแจที่ว่า จะออกจากห้องไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่ได้ แม้ประตูห้องจะเข้าได้ด้วยรหัสผ่าน แต่การจะเข้าคอนโดได้ก็ต้องใช้คีย์การ์ดที่ติดอยู่กับกุญแจห้องอยู่ดี

           RRRRR

           เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นอีกครั้ง และก็เป็นไอ้ต้าคนเดิมที่โทรเข้ามา

           [ฮัลโหลมึง อยู่ไหนแล้ว พวกกูรอจนรากงอกแล้วเนี่ย?!]

           “ยังอยู่คอนโด”

           [อ้าว! ทำไมยังไม่ออกมาอีก]

           “กูหากุญแจคอนโดไม่เจอว่ะ”

           [ก็นั่นแหละที่กูเรียกมึงมาที่ร้านไอ้กันต์ กุญแจมึงอยู่ที่พวกกู]   

           “อ้าว! ไอ้เหี้ย แล้วก็ไม่บอก”

           [เออ! รีบๆ มาล่ะ]

           “เออได้ๆ เดี๋ยวกูรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”





           พอผมลงมาข้างล่างคอนโด ขณะกำลังเดินออกจากประตูสายตาผมก็หันไปเจอเจ้าแมวตัวเล็กตัวหนึ่งยืนอยู่แถวนั้น ผมมองมันด้วยความสงสัย มันเป็นแมวตัวเล็กสีสวาด ในปากคาบอะไรบางอย่างอยู่ซึ่งเรียกความสนใจจากผมมากๆ ผมเดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กนั้นเพื่อจะได้มองให้เห็นชัดๆ ว่ามันคาบอะไรอยู่

           “ไงเจ้าตัวเล็ก”

           ผมลูบหัวมันเบาๆ สองที มันทำท่าจะวิ่งหนีผมจนผมต้องจับมันไว้ไม่ให้มันหนี และบังคับให้มันปล่อยสิ่งที่คาบอยู่ที่ปากลงมาบนมือผม

           “หืม? นี่กุญแจคีย์การ์ดนี่?”

           “เมี๊ยว!”

           “ทำไมแกมีคีย์การ์ดได้ล่ะ หึ?”

           มันร้องขึ้นมาอีกครั้งราวกับจะตอบคำถามผม พอผมมองชัดๆ ก็พบว่ามันน่าจะเป็นแมวตัวเดียวกับที่ผมเจอวันก่อน ที่ว่าเป็นแมวของพายกับเพื่อน

           “แกใช่แมวของพายไหม?”

           “เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยว!!” มันร้องโหวกเหวกเสียงดังขึ้นทันทีที่ผมพูดชื่อพาย เดาว่าน่าจะใช่สินะ แล้วทำไมมันมาอยู่ตรงนี้คนเดียวเนี่ย?

            ผมอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมกอดมันดิ้นเล็กน้อยผมก็กอดแน่นขึ้น หันมองบริเวณนั้นก็ไม่เห็นบุคคลที่เป็นเจ้าของเจ้าแมวน้อยตัวนี้

            ครืน~ ครืน~

            เสียงท้องฟ้าดังขึ้นเบาๆ ผมเงยหน้ามองก็เห็นเมฆครึ้มลอยมาแต่ไกล...อีกไม่นานฝนคงตก

            “เหมียว~”

           เสียงแมวในอ้อมกอดผมเรียกให้ผมหันไปมอง ผมยิ้มให้มันเล็กน้อย ไม่รู้เจ้าของหายไปไหน แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ก็น่าสงสาร ฝนทำท่าจะตกด้วย....

           “แกไปอยู่ห้องฉันก่อนละกัน โอเคไหม?”

           “เมี๊ยว! เมี๊ยว!!” เสียงของมันตอบกลับมา ผมไม่รู้หรอกว่ามันพูดว่าอะไร แต่ก็เข้าข้างตัวเองไปก่อนว่ามันตกลงจะไปห้องผม

            ผมใช้กุญแจคีย์การ์ดที่เจ้าแมวคาบมานั้นกลับเข้าไปในคอนโด แล้วตรงกลับเข้าห้องตัวเอง





            เมื่อมาถึงห้องผมก็ปล่อยแมวในอ้อมกอดก่อนจะกดโทรไปหาเพื่อนๆ เพื่อบอกพวกมันว่าไปไม่ได้แล้ว มันก็โวยวายนิดหน่อย แต่ผมก็ตัดสาย ตัดปัญหาไป ขี้เกียจฟังพวกมันบ่น

           “เมี๊ยว”

           เสียงเล็กๆ เรียกความสนใจจากผมอีกครั้ง ผมก้มลงลูบหัวมันเบาๆ จริงๆ เจ้าตัวเล็กตรงหน้าผมก็ไม่ได้ตัวเล็กมากหรอก ขนาดมันก็เท่าแมวทั่วๆ ไป แต่พอเทียบกับขนาดตัวของแมวสีส้มสีขาวของพาย เจ้าตัวนี้ก็ดูตัวเล็กไปทันที

           “กินนี่ไหม?”

           ผมเดินมาที่ครัวแล้วยื่นคุกกี้ชิ้นเล็กๆ ให้เจ้าแมวตัวนั้น มันรับมากินโดยไม่ปฏิเสธ ผมยิ้มให้มันแล้วอุ้มมันขึ้น มือข้างนึงถือจากคุกกี้เดินไปนั่งที่โซฟา พอถึงโซฟาปุ๊ปเจ้าตัวเล็กก็กระโดดออกจากอ้อมกอดผมทันทีโดยที่ผมยังไม่ปล่อย

           “ว่าแต่แกไม่อยู่ตรงนั้นได้ไง เจ้าของแกไปไหนล่ะ?” ผมหันไปคุยกับเจ้าแมวตัวเดิม แต่มันก็ยังคงตอบผมไม่ได้อยู่ดี ได้แต่ส่งเสียงร้องของแมวตอบผมมา

           “เฮ้อ...พูดอะไรมาฉันก็ไม่เข้าใจแกอยู่ดีแหละ เอาเป็นว่ายังไงแกก็อยู่กับฉันจนกว่าเจ้าของจะมาละกัน”

            “เมี๊ยว~”   

            “อ่ะนี่ กินอีกสิ”

            ผมดันจานที่ใส่คุกกี้เข้าไปใกล้เจ้าแมวตัวเล็กอีกครั้ง มันร้องขึ้นเหมือนกับจะขอบคุณผมแล้วก็ก้มลงกินคุกกี้ในจาน

            เปรี้ยง!

            เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ทำเอาผมที่ไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย

            ผมไม่ชอบเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เพราะมันทำให้ผมคิดถึงความทรงจำแย่ๆ ในวัยเด็ก ถึงแม้จะเป็นความทรงจำที่เลือนลางจนผมแทบจะจำไม่ได้แล้วว่ามันคือเรื่องอะไร แต่พอได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ความรู้สึกแย่ๆ ตอนนั้นมันก็ตีกลับขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

           “เมี๊ยว~”

            เจ้าแมวน้อยเข้ามาคลอเคลียที่มือผม ราวกับต้องการจะปลอบโยนผม ผมยิ้มให้มันแล้วลูบหัวมันเล็กน้อย

            “ปลอบใจฉันหรอ...ขอบคุณนะ”

            “เมี๊ยว~”

           ผมทนความน่ารักของมันไม่ไหวเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะถ่ายรูปมันเป็นที่ระลึก

           แชะ!

           เพราะดันลืมปิดเสียงพอกดถ่ายปุ๊ปเจ้าแมวน้อยมันก็เงยหน้ามองผมทันที มันยกขาหน้าขึ้นมาแตะไปที่บริเวณกล้องก่อนจะใช้แรงน้อยๆ ดันโทรศัพท์ผมนิดๆ ราวกับเป็นการประท้วงว่าไม่ให้ผมถ่ายรูปมันอย่างนั้นแหละ

           “โอเคๆ เข้าใจแล้ว ไม่ถ่ายแล้ว โอเคไหม?”

           “เมี๊ยว!”

           เช่นเดิมเสียงตอบกลับมาก็ยังคงเป็นเสียงแมวๆ เหมือนเดิม ผมยิ้มให้มันเล็กน้อย จังหวะนั้นเองที่เสียงแจ้งเตือนมือถือผมดังขึ้น เมื่อก้มลงไปมองก็พบว่ามันเป็นแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นหนึ่ง ผมรีบกดเข้าไปดู

           มันคือแจ้งเตือนเชิญชวนผมกดไลค์เพจเพจนึง ผมเปิดเข้าไปดู คิ้วขมวดขึ้นทันที นี่มันอะไร? ผมแคปหน้าจอแล้วส่งเข้าไปในไลน์กลุ่มเพื่อน



           Month : นี่มันอะไรวะพลอย

           ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เหยดดดดด ถึงกับมีเพจจจจจจจ ฮ็อตเว่อร์~

           P. : เพื่อนกูส่งมาให้ดู กูเลยเชิญมึงกดไลค์ไงจ๊ะ

           กันต์ : สติ๊กเกอร์กระต่ายชูนิ้วโป้ง

            P. : ต้องยอมรับนะว่าคลิปล่าสุดของมึงน่ะ ออร่าความรักมันแผ่ซ่านสุด ไม่งั้นเพจนี้คงไม่เกิดขึ้นมา


            ใช่ครับ...เพจที่พลอยเชิญชวนผมกดไลค์ มันชื่อเพจ ‘Month-Pie Fanclub’

   
            Month : สาบานว่ามึงไม่ได้เป็นคนสร้าง

            P. : สาบานเลยค่ะ คุณพ่อ!!

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : กูก็เปล่าาาาาา

            กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์ตัวเดิม

            Month : ไอ้เหี้ยแล้วใครสร้างวะ

            P. : มึงก็จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวนี้มีเพจแบบนี้เยอะแยะไปน่า ขำๆ

            Month : กูกลัวพายเข้าใจผิด!

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เข้าใจผิดอะไร ก็มึงชอบเขาจริงๆ นี่

            กันต์ : ก็ยังคงส่งสติ๊กเกอร์ตัวเดิมมาอีก



           เฮ้อ...ผมได้แต่ถอนหายใจ แล้วปิดแอพพลิเคชั่นนั้น ไม่สนใจพวกมันอีก เรื่องนี้ผมคงต้องหาทางบอกพาย หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผม

           ผมส่องเพจนั้นดู รูปดิสเพจก็เป็นรูปที่แคปมาจากคลิปที่ผมเพิ่งลงยูทูปเมื่อวาน มันเป็นจังหวะที่เราสบตากันตอนบีบคุกกี้พอดี

           เอาจริงๆ ตอนตัดต่อคลิป ผมจะตัดตอนนั้นทิ้งก็ได้ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ผมไม่อยากตัดฉากนั้นทิ้ง ไม่รู้สิ อาจจะเพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาดีๆ ผมเลยไม่อยากลบทิ้งล่ะมั้ง

           ปกติคลิปผมจะยาวไม่เกินยี่สิบนาที แต่คลิปนี้ก็ปาเข้าไปสามสิบกว่านาที เพราะฉากที่มีพาย ผมแทบจะไม่กล้าตัดทิ้ง

           ผมเลื่อนดูโพสแรกของเพจนั้นก็เป็นรูปที่แคปมาจากในคลิปเดิมเช่นกัน แต่คราวนี้เป็นรูปเดี่ยวของผมกับพายรวมเป็นสองรูป แคปชั่นโพสว่า

           ‘ที่หน้าผากทาดินสอพองเหมือนกันด้วย แม่บอกว่าดินสอพองไว้ทาตอนหัวโน หัวโนที่เดียวกันแบบนี้รู้เลยนะคะว่าเพราะอะไร #อิอิ’

            ผมกดดูคอมเม้นรูปนั้นทันที

            ‘โอ๊ย ฟินอ่ะะะ โอ๊ยยยยยย มันจะมีกี่สาเหตุกันนะที่หัวโนที่เดี่ยวกัน แค่คิดก็เขินแล้ว’

            ‘ไม่ไหวแล้วต้องการฟิคค่ะ!!’

            ‘อาจจะแค่เลอะแป้งก็ได้ อาจจะไม่ใช่ดินสอพอง’

            ‘โอ๊ย!! แอดมินคะ!! ฟินมากค่ะ มีข้อมูลเพิ่มเติมของทั้งคู่ไหมคะ?’

            แล้วก็คอมเม้นต์แนวฟิน แนวจิ้นอีกหลากหลายคอมเม้น ก็มีบ้างที่แย้งความเห็นเหล่านั้นแต่ก็ถูกกลบไปด้วยคอมเม้นต์อื่นอย่างรวดเร็ว

           ผมกดออกจากเพจ แล้วเข้าไปดูในคลิปของตัวเอง เลื่อนอ่านคอมเม้น

           ‘พี่พายน่ารักจังเลยค่ะ เขาเป็นใครหรอคะพี่มันธ์ แฟนพี่รึเปล่าสายตาหวานกันซะ’

           ‘หวานกว่าคุกกี้ก็คู่นี้แล่วค่ะ!! มีเพจด้วยนะ’ แล้วก็แนบเพจที่ผมเพิ่งกดออก

           ‘แมวก็น่ารัก คนก็น่ารัก’

           ‘ลองทำตามแล้วค่ะ คุกกี้อร่อยมาก’

           ‘คลิปหน้าขอพี่พายอีกนะคะพี่มันธ์!!’

           ‘เจ้าแมวอ้วนน่าบีบมาก’

            คอมเม้นต์ทั้งหลายใต้คลิปนั้นส่วนมากก็พูดถึงพาย ไม่ก็แมว มีพูดถึงคุกกี้ผมไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เลยด้วยซ้ำ พอมองยอดวิวก็พบว่าคลิปนั้นก็ทะลุไปเกินครึ่งล้านแล้วภายในระยะเวลาสั้นๆ

            จริงๆ คลิปคราวก่อนที่ถ่ายติดเจ้าแมวส้มของพายนั่นก็ยอดวิวสูงกว่าคลิปอื่นๆ ของผม แต่เจอคลิปนี้เข้าไปคาดว่าอีกไม่กี่วันยอดวิวต้องสูงแซงทุกคลิปที่ผมเคยลงแน่ๆ

             ส่วนเรื่องที่คนดูรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อพาย ก็คงเป็นเพราะผมเรียกพายในคลิปนั่นแหละ...อ่า...คงต้องหาเวลามานั่งคุยกับพายเรื่องคลิปและเรื่องเพจนั้นอย่างจริงๆ จังๆ ซะแล้วล่ะ....

             เปรี้ยง!!

             เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง ผมหันออกไปมองทางระเบียง พบว่าตอนนี้ข้างนอกฝนตกหนักมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มเปลี่ยนเวลายามบ่ายกลายเป็นเหมือนเวลาโพลเพล้คงเพราะเมฆครึิ้มบดบังแสงดวงอาทิตย์เสียหมด

             ผมปิดโทรศัพท์แล้ววางไว้บนโต๊ะ เจ้าแมวตัวเดียวในห้องเดินเข้ามาใกล้ผมอีกนิด ก่อนที่มันจะยกขาหน้าของมันขึ้นมาแตะหลังมือผมเบาๆ

            “หืม? อะไรเจ้าตัวเล็ก ปลอบผมอีกแล้วหรอ?”

            “เมีี๊ยว~” เสียงมันตอบกลับมา ตอนนั้นเองที่จู่ๆ คำพูดของคนข้างห้องก็ลอยเข้ามาในความคิดของผม

            ‘มีคนเคยบอกผมว่า เวลาเรากลัวอะไร หรือเวลารู้สึกแย่ ให้จับมือกันไว้ เราจะได้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้’

            ผมยิ้มเล็กๆ ให้กับคนที่ลอยเข้ามาในความคิด มือก็ยกลูบหัวเจ้าแมวตัวเล็กอีกครั้ง

           “แกนี่มันเหมือนเจ้าของแกจริงๆ เลยนะ”





           เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นตอนเวลาเกือบห้าโมง ผมลืมตาตื่นหันไปมองทางประตูเล็กน้อย นี่ผมหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้...มองออกไปข้างนอกท้องฟ้าก็กลับมาใสเหมือนเดิมแล้ว...ฝนหยุดตกแล้วสินะ...ผมหันไปหาเจ้าตัวที่อยู่เป็นเพื่อนผมเมื่อกี้ก็พบว่ามันนอนหลับอยู่เช่นกัน

           เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง ผมเลยลุกไปที่ประตู พอส่องตาแมวก็เห็นผู้ชายที่ไม่รู้จักยืนอยู่หน้าห้อง

           ใคร?

           เสียงกริ่งดังย้ำขึ้นอีกครั้ง ผมเลยยอมเปิดประตู

            พอเปิดประตูเจ้าแมวตัวสีส้มกับสีขาวก็วิ่งเข้ามาในห้องผมทันที

            เมื่อกี้ มันแมวของพายนี่?

            “เอ่อสวัสดีครับ คือผมเป็นเพื่อนพายที่อยู่ห้องข้างๆ คุณนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเห็นแมวขนาดตัวไม่ใหญ่มาก ประมาณมาตรฐานแมวปกติน่ะครับ ขนเป็นสีเทา ตาสีเหลืองน่ะครับ คุณเห็นมันบ้างไหมครับ?”

            ผมฟังคนตรงหน้าแล้วสมองประมวลผลคิดตามนิดนึง

            “ครับ มันอยู่ที่ห้องผมครับ”

            “จริงหรอครับ!!” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยสีหน้าดูโล่งอก ดีใจ จังหวะนั้นเองที่มีอะไรบางอย่างผ่านหน้าผมไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

            “เมี๊ยว!!”

            เป็นเจ้าตัวเล็กนั่นเองที่กระโดดเข้าไปหาคนตรงหน้าผม ซึ่งคนนั้นเขาก็อ้าแขนรับมันไว้ในอ้อมกอดอย่างทันท่วงที แล้วหันไปพูดกับเจ้าแมวในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อย “ไงพาย!! หาตั้งนาน!! มึงนี่นะ!!”

            “หืม? พาย? แมวตัวนั้นชื่อพายหรอครับ ชื่อเหมือนเจ้าของมันหรอครับ?” ผมถามขึ้นอย่างสงสัย ก็มันจะมีจริงๆ หรอคนที่ตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงเป็นชื่อตัวเองน่ะ ถึงพายจะเป็นเจ้าของมันแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ แต่จะชื่อเดียวกันมันก็ออกจะแปลกไปซะหน่อย

            อีกฝ่ายทำหน้าอึ้งๆ แต่เพียงเสี้ยววิ ก็ตอบคำถามของผม

            “จริงๆ ชื่อเต็มๆ มันคือพายแอปเปิ้ลน่ะครับ แต่ก็มีบ้างที่ผมเผลอเรียกมันว่าพายน่ะครับ แฮะๆ”

            “อ่อ ว่าแต่คุณไปไหนมาครับทำไมปล่อยให้มันอยู่ตัวเดียว ผมบังเอิญเจอมันที่หน้าคอนโดแล้วจำได้ว่าเป็นแมวของพาย พอดีเห็นว่าฝนจะตกจะทิ้งมันไว้คนเดียวก็เป็นห่วง เลยอุ้มมันมาไว้ที่ห้องน่ะครับ ถ้าผมไม่เจอมันคุณไม่คิดบ้างหรอครับว่ามันจะเป็นอันตรายหรือเปล่า?” ผมอดไม่ได้ที่จะต่อว่าคนตรงหน้าอย่างยาวเหยียด

             “อ่า...ขอบคุณนะครับที่ช่วย ผมขอโทษจริงๆ ครับเป็นความผิดผมเอง” อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ตอนนั้นเองที่ผมได้มองเห็นคนตรงหน้าชัดๆ เขาตัวเปียกทั้งตัว ใบหน้าดูแดงเล็กน้อย แถมตอนพูดก็ดูมีอาการหอบนิดๆ

            “นี่คุณตามหามันตลอดที่ฝนตกหรอครับ?” ผมถามขึ้นตามข้อสันนิษฐานของตัวเอง

            “ครับ...ผมก็ตกใจที่มันหายไปเลยออกตามหา”

            “หรอครับ งั้นผมก็ขอโทษนะครับที่ต่อว่าคุณไปเมื่อกี้”

            “ครับ ไม่เป็นไรครับ ความผิดผมเอง ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยมันไว้”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”

            “ครับงั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วนะครับ สวัสดีครับ” ว่าแล้วเขาก็เดินหันหลังไปพร้อมกับในมืออุ้มเจ้าตัวเล็กไปด้วย เจ้าแมวสองตัวที่วิ่งเข้ามาในห้องผมก็เดินตามคนนั้นออกไปเช่นกัน







______________________________________
มาแล้วคร่าาาาาาาาาา ตอนแรกกะว่าจะลงวันเว้นวัน แต่ยังไงก็ขอเปลี่ยนเป็นลงตามใจฉัน ละกันนะคะ ๕๕๕๕๕ อยากลงก็จะมาลงค่ะ แต่สาบานว่าจะไม่ทิ้งนานเกินไปแน่ๆ แฮะๆ

ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ที่มาอ่านมาติดตามกัน ใครชอบยังไงก็อย่าลืมมาหวีดกันได้ในทวิต #แมวอยู่กับผม แล้วก็อย่าลืมเม้นต์ กดไลค์ กดแชร์กันด้วยนะคะ >___< ขอบคุณมากคร่าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 6 [05/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 05-01-2019 19:56:59
เราแพ้ผู้ชายทำขนมได้ ฮืออออ
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 6 [05/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 05-01-2019 21:54:49
กรี๊ด!!!~
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 6 [05/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-01-2019 23:11:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 6 [05/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-01-2019 09:17:53
ความลับจะปิดได้อีกนานสั้ยเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 6 [05/01/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 06-01-2019 19:26:01
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 09-01-2019 22:24:46
บทที่ 7 : แมวของผม...สอนเลี้ยงแมว





           “ขอบคุณมากนะนิวที่ช่วย” นี่คือประโยคแรกที่ผมพูดขึ้นเมื่อกลับมาร่างเดิม

           “อือ ก็เกือบไปเหมือนกัน ตอนแรกกูก็สงสัยทำไมมีเสื้อกับกระเป๋ามาอยู่หน้ารถกู แต่ดูคุ้นๆ เลยเปิดกระเป๋าดูถึงรู้ว่าเป็นของมึง ใช้เวลาคิดสักนิดก็เลยรู้ว่ามึงน่าจะเป็นแมวไป”

           เมื่อช่วงเย็น ผมทำงานอยู่ดีๆ ก็รู้สึกใจเต้นผิดปกติ พอกลับมาถึงคอนโดจู่ๆ ก็กลายเป็นแมวไปทันที โชคดีที่ไม่มีใครเห็น แต่ก็โชคร้ายที่ดันกลายเป็นแมวทั้งๆ ที่อยู่นอกคอนโด จะกลับไปห้องตัวเองก็เข้าคอนโดไม่ได้ ตอนแรกผมจะส่งข้อความหาไอ้นิวเพื่อบอกให้มันมาช่วย แต่มือแมวๆ ของผมเนี่ยมันดันกดหน้าจอมือถือไม่ติด!! สุดท้ายผมเลยได้แต่คาบกระเป๋ากับเสื้อเชิ้ตไปวางไว้บนรถไอ้นิวหวังว่าถ้ามันกลับมาถึงคอนโดแล้วเห็นของอยู่บนรถมันน่าจะเดาได้ แต่ก็ต้องภาวนาอีกอยู่ดีเพราะไม่รู้ว่ามันจะเดินมาที่รถหรือเปล่า ทุกวันนี้มันก็มีสารถีคอยเทียวไปเทียวมารับส่งอยู่ จนแทบไม่ได้แตะลูกรักคันโปรดของมันมาหลายเดือน แต่ก็นะ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว มันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

           พอผมเดินกลับมาหน้าคอนโดเพื่อมาเอากางเกงกับรองเท้าไปไว้ที่รถไอ้นิว ผมก็เห็นคนคุ้นหน้าเดินออกมาจากคอนโดพอดี จังหวะนั้นถ้าผมคาบกางเกงกับรองเท้านี่ไปตอนนี้เขาต้องสังเกตเห็นแน่ๆ ผมเลยรีบเอาเสื้อผ้าที่เหลือไปซุกไว้แถวพุ่มไม้ตรงนั้น แต่ด้วยความรีบร้อน กุญแจคีย์การ์ดก็เลยล่นออกมาจากกระเป๋า ผมคาบมันขึ้นมาหวังจะรีบวิ่งไปแอบแถวนี้ก่อน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วอีกฝ่ายเห็นผมเสียก่อน.... นั่นแหละแล้วผมก็โดนพาเข้ามาในห้องของอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเต็มใจหนัก...

           แต่ก็แปลกวันนี้ผมว่าผมก็ไม่ได้เหนื่อยมากอะไรนะ แต่ทำไมกลายเป็นแมวไปก็ไม่รู้

           “เออว่าแต่ มึงรู้ได้ไงอ่ะว่ากูอยู่ห้องนั้น?” ผมถามขึ้นเพราะผมแค่ส่งสัญญาณบอกมันเป็นนัยว่าผมกลายเป็นแมวเองนะ ไม่ได้บอกอะไรไว้ว่าอยู่ที่ไหน

           “กูไม่รู้หรอก”

           “อ้าว? หมายความว่ายังไง?”

           “เอาจริงต้องบอกเลยนะว่ามึงเนี่ยโชคดีมากที่กูออกจากโรงพยาบาลวันนี้ แล้วบอสต้องการเอกสารที่กูลืมไว้ในรถพอดีเลยเดินไปดู ไม่งั้นกูก็ไม่เห็นเสื้อผ้ามึงหรอก เออถ้ากูไม่เห็นเสื้อกับกระเป๋ามึงขึ้นมามึงจะทำยังไง?” ประโยคหลังมันหันมาถามผม โดยที่ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย

           “กูก็กะซ่อนอยู่แถวนั้น รอจนกว่าเป็นคนนั่นแหละ แต่ก็เกิดเหตุนิดหน่อย แล้วสรุปมึงเจอกูได้ไง?”

             “ก็นั่นแหละกูเห็นกระเป๋ากับเสื้อมึงเลยเดาได้ว่ามึงกลายเป็นแมว”

           “…” ผมเงียบไม่ขัดจังหวะมันเล่า รอฟังมันให้จบ

             “แล้วทีนี้กูเลยมองหามึงที่ลานจอดรถก็ไม่เจอ เลยเรียกบอสมาช่วยหา ก็ยังไม่เจอ จนฝนตก”

           พอผมได้ยินถึงตรงนี้ผมเลยรีบขัดจังหวะมันขึ้นมาทันที

            “เดี๋ยวนะ...มึงบอกคุณธาริณเรื่องกูหรอ?” 

            “เปล่า~ กูไม่ได้บอก กูบอกบอสว่าเห็นแมวของมึงวิ่งอยู่เลยให้ช่วยหา บอสก็บอกให้กูโทรหามึง กูก็แถๆ ไปว่าโทรแล้วไม่รับ”

            “อ่อ...ก็แล้วไป” ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจบอสของไอ้นิวหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ ผมกลัวการถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด ผมไม่อยากให้ใครมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว...

             “เออนั่นแหละ แล้วกูก็นึกได้ว่าถ้ามึงกลายเป็นแมว ก็ให้แมวมึงช่วยหาน่าจะช่วยอะไรได้มากกว่ากูกับบอส กูเลยขอบอสขึ้นมาห้องมึงให้เขาหาอยู่ข้างล่าง พอเข้ามาในห้องกูเลยให้เจ้าแมวสองตัวนั่นช่วยหามึง”

             ผมไม่ค่อยแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน เพราะนิวมันรู้รหัสห้องผมอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่มันจะเข้าไปในห้องผมได้

             “โชคดีนะที่แมวมึงรู้จริงๆ กูเห็นมันวิ่งไปดมๆ ที่ห้องข้างๆ มึง เลยลองเคาะถามดู แล้วก็โป๊ะเช๊ะ!”

                   “เออขอบใจมากมึง เออเฮ้ยว่าแต่มึงบอกคุณธาริณยังว่าเจอกูแล้ว?” ผมนึกถึงอีกคนที่มันเพิ่งพูดถึง มันบอกว่าเขาช่วยหาผมอยู่ข้างล่าง แต่ตั้งแต่ผมเข้ามาในห้องมันจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่เห็นมันโทรไปบอกคุณธาริณเลย ป่านนี้คุณเขาไม่รอมันแย่หรอ

            “บอกแล้ววววว โทรไปบอกตอนเข้าห้องน้ำไปเอาผ้าขนหนูเมื่อกี้ไง”

            “เอองั้นก็ดีไป แล้วแผลมึงเป็นไงบ้าง ตากฝนเมื่อกี้เช็ดให้แห้งรึยัง?” แล้วทำไมเมื่อกี้ต้องแอบไปคุยลับๆ ล่อๆ ในห้องน้ำด้วย?

            “เรียบร้อยแล้วน่า...ว่าแต่ คนที่อยู่ข้างห้องมึงนี่ใครวะ? แล้วมึงไปอยู่กับเขาได้ไง?”

           “อ่า...เรื่องมันยาว เอาเป็นว่ากูบังเอิญโดนเจอเขาเข้า แล้วเขาก็เข้าใจว่ากูในร่างแมวเป็นสัตว์เลี้ยงของกู เขาก็เลยอุ้มกูไปอยู่ที่ห้องเพราะเห็นฝนมันจะตก”

           “เขาไม่รู้เรื่องมึงใช่ไหม? เขาเลยสงสัยที่กูเรียกมึงในร่างนั้นว่าพาย”

           “อืม ไม่รู้ ...เขาเคยเจอกูในร่างแมวครั้งนึง ตอนนั้นกูก็แถๆ ไปว่าเป็นแมวของกูกับของมึง”

            ไอ้นิวทำหน้าตกใจพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ยักคิ้วขึ้นข้างนึงอย่างสงสัย

           “เออมึงนั่นแหละ แล้วมึงนี่ก็นะ กูยอมใจในสกิลแถเรื่องชื่อแมวมาก หัวไวสุด”

           “แน่นอนอยู่แล้ว นี่ใครครับ?! นี่คุณนิวเจ้าของฉายาลื่นเป็นปลาไหลนะครับ!!” นิวพูดพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ...ใช่เรื่องที่จะภูมิใจไหมล่ะนั่น

           “เออ ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะ ถ้ามึงไม่มา มีหวังกูต้องเข้าห้องทางระเบียงอีกรอบแน่ๆ” ตอนนั้นเขายังคิดอยู่เลยว่ากะจะรอให้อีกฝ่ายเผลอแล้วกระโดดกลับเข้าห้องทางระเบียง โชคดีที่ยังไม่ได้ซ่อมกระจกระเบียง มันก็คงไม่ยากที่ผมจะแอบเข้าไปในห้องตัวเอง แต่นั่นแหละ จู่ๆ ผมก็วูบหลับไปเฉย ดีนะที่ไม่กลับมาเป็นมนุษย์ตอนหลับอยู่ในห้องมันธ์

           “เออ ไม่เป็นไรเว้ย เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันเปล่าวะ”

           ผมพยักหน้าให้มันไปทีนึง ก่อนจะพูดต่อ “ยังไงเดี๋ยวกูกลับห้องเลยดีกว่า ขอบคุณมากนะสำหรับกางเกง เดี๋ยวกูซักมาคืน” เพราะผมเอากางเกงไปซ่อน ตอนนี้ที่นิวมันเลยมีแค่เสื้อกับกระเป๋าของผมที่วางไว้ตรงรถมัน โชคดีที่มันถือติดมาด้วย ผมเลยยืมกางเกงเลที่มันเอาไว้ใส่นอนมาใส่ก่อน

           “เออ ไม่ต้องรีบ ตัวนั้นขามันสั้นแล้วกูไม่ค่อยได้ใส่หรอก”

           “มึงจะด่าว่ากูเตี้ยว่างั้น?” นั่นไงสุดท้ายมันก็อดไม่ได้ที่จะหาเรื่องแซะผม

           “กูเปล่าพูดนะ” มันตอบยิ้มๆ

           “เออ กูไปและ ไปเจ้าไข่แดงไข่ขาวกลับห้องกัน” ประโยคหลังผมหันไปพูดกับเจ้าแมวทั้งสองที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น ก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินไปเตรียมจะออกจากห้องแล้วก็นึกได้....ผมไม่มีรองเท้านี่หว่า

           “เออไอ้นิว!!”

           “อะไร?!” เสียงมันตะโกนมาจากห้องนั่งเล่น
   
           “กูขอยืมรองเท้าแตะมึงด้วยนะ” ผมตะโกนไปขอเจ้าของห้อง

           “เออ เอาไปเลย อยากใส่คู่ไหนก็เอาไป” มันบอกกลับมาอย่างส่งๆ ไม่ได้สนใจผมนัก ผมก้มมองชั้นรองเท้ามันแล้วก็ต้องแปลกใจนิดๆ ทำไมมีรองเท้าสองขนาด?..ถึงจะเป็นสองขนาดที่ไม่ต่างกันมาก แต่ก็พอมองออกว่ารองเท้าบางคู่มันเป็นขนาดใหญ่กว่าไซส์ของไอ้นิว คือถึงผมจะเตี้ยกว่านิว แต่เท้าของเราก็ใหญ่เท่ากัน จะว่าเท้ามันใหญ่ขึ้นก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าเท้ามันใหญ่ขึ้นมันจะเก็บรองเท้าไซส์เดิมไว้ทำไม แถมทั้งสองไซส์มันก็ดูเป็นรองเท้าใหม่ทั้งคู่ ดูไม่เหมือนรองเท้าเก่าที่เลิกใช้แล้ว

           ผมได้แต่สะบัดหัวนิดๆ ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้สิ่งที่ผมควรกังวลคือ จะมีใครบังเอิญไปเจอกางเกงกับรองเท้าผมหรือเปล่า คือถ้าเจอแค่กางเกงกับรองเท้าอ่ะผมก็ไม่กังวลหรอก แต่ผมกลัวคนเจอกางเกงในด้วยต่างหากล่ะ!!




           พอผมกลับไปถึงห้อง ผมก็เห็นคุกกี้ถุงหนึ่งห้อยอยู่ตรงประตู...หืม? คุกกี้??

           ผมหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่านอกจากคุกกี้แล้วยังมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะอยู่

           ‘คุกกี้ตอบแทนครับ ขอบคุณสำหรับเตียงนอน โจ๊ก และข้าวผัดนะครับ’

           ผมยิ้มให้กับข้อความนิดๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุกกี้นี้มาจากใคร

           ผมเข้าไปในห้อง เดินไปที่ห้องครัวเพื่อจะเอาคุกกี้มาใส่โหล จังหวะนั้นเองที่ผมมองเห็นจานเปล่าที่หน้าตาไม่คุ้นเคยวางอยู่ตรงที่เก็บจาน

           นั่นสิ...ผมยังไม่ได้เอาจานไปคืนเขาเลยนี่น่า... นึกได้ดังนั้นผมเลยรีบหยิบจาน เดินออกไปหาคนที่อยู่ห้องข้างๆ กดกริ่งไม่กี่ครั้งเขาก็เปิดประตู

           “ผมเอาจานมาคืนน่ะครับ” ผมยื่นจานให้คนตรงหน้า

           “อ่อครับ...ขอบคุณครับ”

           “แล้วก็ขอบคุณสำหรับคุกกี้นะครับ” ผมกล่าวขอบคุณคนตรงหน้าไปอีกครั้ง ในใจก็ได้แต่กล่าวขอบคุณเรื่องที่ช่วยเหลือตอนเขากลายเป็นแมวเมื่อกี้ด้วย

           “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ได้กินคุกกี้หรือยังครับ?”

           “ยังเลยครับ ผมเพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อกี้เอง นึกได้เรื่องจานเลยรีบเอามาคืน”

            “งั้นหรอครับ...อย่าลืมกินนะครับ”

            “ครับ”

            “จริงสิ เมื่อกี้ผมเจอแมวของพายด้วย เจ้าตัวเล็กๆ สีเทาน่ะ แต่ว่าเพื่อนพายมาเอาไปแล้วได้คุยกันหรือยังครับ?”

            “คุยแล้วครับ มันบอกผมเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณนะครับที่ช่วยเจ้าตัวเล็กไว้” ในที่สุดผมก็ได้ขอบคุณตรงหน้าเรื่องนี้

            “เข้ามาในห้องก่อนไหมครับ?” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา ผมพยักหน้าตอบกลับไป เหมือนมันกลายเป็นปฏิกริยาอัตโนมัติไปเสียแล้ว

           มันธ์หันตัวหลบเล็กน้อย ให้ผมเดินเข้าไป ผมเดินเข้าไปนั่งตรงโซฟาที่อยู่ในห้องนั่งเล่น มองที่โทรทัศน์ก็เห็นอีกฝ่ายเปิดหนังเรื่องโปรดของผมค้างไว้

           “มันธ์ชอบดูหนังเรื่องนี้หรอครับ?”

           “ครับ เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของผมเลย”

           “บังเอิญจังครับ เรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องโปรดของผมเหมือนกัน”

           มันธ์ไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในครัว ปล่อยให้ผมสนใจกับภาพยน์ในโทรทัศน์ หันมาอีกที มันธ์ก็โผล่มาพร้อมคุกกี้ในมือ

           “พอดีผมยังมีคุกกี้อยู่น่ะครับ พายกินเถอะครับ” เขาว่าแล้วยื่นจานนั้นมาให้ ผมได้แต่รับมาแล้วพูดขอบคุณ

           พวกเรานั่งดูหนังเรื่องนั้นกันอย่างเงียบๆ ไปสักพักอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา

           “หนังเรื่องนี้ดีนะครับ ผมชอบมาก โดยเฉพาะเจ้าแมวในเรื่อง น่ารักมากๆ”

           “ใช่ครับ ผมก็ชอบมาก”

           “ผมดูเรื่องนี้ครั้งแรก นี่อยากจะหาแมวมาเลี้ยงแล้วออกไปเปิดหมวกเล่นกีต้าร์แบบนี้เลย

           “มันก็ดูน่าสนุกแหละครับ แต่ถ้าทำจริงผมว่าคงเหนื่อยแน่ๆ ยิ่งถ้าแมวซนๆ นี่ ยิ่งจับยากเผลอแว่บเดียวก็วิ่งหนีหายไปอีก”

            “ก็จริงครับ”

            “เอาจริงๆ ผมเคย พาเจ้าสองตัวไปออกทริปทำงานด้วยกันด้วยแหละ” จู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องเมื่อเกือบครึ่งปีก่อนขึ้นมา

            “หืม? แล้วยังไงต่อครับ?” มันธ์หันมาสนใจผม ละสายตาออกจากจอโทรทัศน์

            “คือตอนนั้นผมก็เพิ่งเก็บเจ้าสองตัวมาเลี้ยงไม่นาน เจ้าอ้วนยังอายุไม่ถึงหกเดือนเลยครับ ตอนนั้นมันซนกว่าตอนนี้มากๆ วิ่งไปวิ่งมา ผลสุดท้าย ดันเล่นซนปีนต้นไม้แล้วลงไม่ได้ เดือดร้อนผมต้องปีนขึ้นไปรับมันลงมา” และแน่นอนตอนนั้นพอผมกลับมาถึงโรงแรมผมก็กลายเป็นแมวทันที และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองรู้ว่าผมเป็นแมวได้

            “โห...ไม่ลำบากแย่หรอครับ? แล้วทำไมพายเอามันไปทำงานด้วยล่ะครับ?” อีกฝ่ายถามขึ้นมาอย่างสงสัย

            “ก็ตอนนั้นผมเพิ่งรับมันมาเลี้ยงน่ะครับ ยังไม่รู้จะเอาไปฝากไว้ที่ใคร เลยพามันไปด้วย ก็คิดว่าคงไม่ลำบากอะไร แต่ใครจะไปคิดว่าจะลำบากสุดๆ ไปเลย โชคดีที่หลังจากครั้งนั้นไอ้นิวเพื่อนผมมันก็ยอมรับฝากแมวช่วงที่ผมไปออกทริป”

            อีกฝ่ายได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้นมานิดๆ คงนึกภาพความวุ่นวายตอนนั้นอยู่

           “แล้วเนี่ย ออกทริปรอบนี้ผมว่าผมอาจจะต้องกระเตงเจ้าสองตัวไปด้วย ก็หวังแค่ว่ามันจะไม่ซนเท่าเมื่อก่อน” ผมยังคงพูดต่ออย่างไม่หยุด

           แต่พออีกฝ่ายได้ยินผมพูดดังนั้น เขาถึงกับขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามผมขึ้น

           “หืม? ทำไมต้องเอาไปด้วยหรอครับ ไม่ฝากเพื่อนพายไว้เหมือนเดิมหรอ?”

           “อ่า...คือพอดีอาทิตย์หน้านิวไม่อยู่น่ะครับ ผมก็กะจะเอาไปฝากคนอื่น แต่คิดๆ ดู เอาพวกมันไปด้วยดีกว่า จะฝากคนอื่นดูเจ้าสองตัวนั้นก็เกรงใจ”

           “พายจะออกทริปอาทิตย์หน้าหรอครับ?”

           “ครับ”

           “วันไหนหรอ?”

            “น่าจะไปวันเสาร์นี้น่ะครับ”

            “ครับ...แล้วกลับ?”

           “อ่า...อย่างเร็วน่าจะวันพุธอย่างช้าก็วันศุกร์ครับ เวลากลับยังไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผมเขียนคอลัมน์เสร็จช้าเร็วแค่ไหน” จริงๆ ส่วนนึงก็เพราะผมจะกลายเป็นแมวมากน้อยแค่ไหนด้วยแหละ เพราะถ้าผมกลายเป็นแมวผมก็จะทำงานได้ช้าลง...

           “จริงๆ พายเอาเจ้าสองตัวมาฝากไว้ที่ผมก็ได้นะ”

           “หืม?”

            “ก็ถ้ามันลำบาก พายก็เอามาฝากไว้ที่ผมก็ได้”

            “เฮ้ย ไม่ดีกว่า มันจะลำบากมันธ์นะ”

           “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ยังไงผมก็ว่างๆ แถมอยู่ห้องตลอด คอยดูแลมันได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง”

           “แต่มันธ์ไม่เคยเลี้ยงแมวไม่ใช่หรอ...มันลำบากนะ” ผมถามย้ำคนตรงหน้าอีกที

           จริงๆ เรื่องเอาแมวไปฝากคนอื่นมันยากตรงที่ต้องหาคนรับฝากที่ดูแลแมวเป็นนี่แหละ การฝากแมวไว้ที่ใครสักคนมันไม่ใช่แค่ฝากแป๊ปๆ แต่มันฝากเป็นสัปดาห์ แมวมันต้องกิน ต้องถ่าย ถ้าคนดูแลไม่เป็น ผมก็เป็นห่วง แถมยังเกรงใจคนที่รับฝากด้วยที่ต้องสละเวลามาดูแลเจ้าแมว มาคอยทำความสะอาดมัน คอยให้อาหารมัน

           “มันคงไม่ลำบากมากหรอกครับ ถือเป็นการให้ผมฝึกลองเลี้ยงแมวไง...อย่างที่ผมเคยบอกผมอยากลองเลี้ยงแมวมานานแล้วแต่ไม่กล้าซะที นี่ก็ถือเป็นการทดลองไปในตัว” มันธ์พูดขึ้นอย่างยิ้มๆ

           “แต่ว่า...”

           “นะครับ เอาเจ้าสองตัวมาฝากไว้ที่ผมเถอะ” เสียงมันธ์ออดอ้อนผมอีกครั้ง “ถ้าพายยังเป็นห่วง ช่วงเวลาไม่กี่วันที่เหลือนี้ พายก็สอนผมเลี้ยงสิครับ ผมจะได้รู้วิธีดูแลพวกมัน พอถึงเวลาที่พายไปออกทริป ผมจะได้ทำเป็นแล้วพายจะได้ไม่ต้องห่วงเจ้าสองตัวนี้ แถมจะได้ไม่ลำบากแบกพวกมันไปด้วย”

            ผมได้แต่คิดตามสิ่งที่คนตรงหน้าพูด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เป็นอันตกลง

           “ก็ได้ครับ งั้นผมต้องขอฝากเจ้าสองตัวนี้ในช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่นะครับ”

           “ครับ” อีกฝ่ายตอบอย่างน้ำเสียงยินดี แลดูสนุก

             “งั้นมะรืนนี้มันธ์ว่างไหมครับ?”

            “ว่างครับ”

            “โอเค งั้นเดี๋ยววันมะรืนผมมาสอนมันธ์เลี้ยงเจ้าพวกสองตัวนี้นะครับ”

            “ได้เลยครับ” มันธ์ยิ้มให้ผมหน้าระรื่น แล้วพวกเราก็หันไปดูหนังกันต่อ




            พอถึงวันที่นัดกับมันธ์ ไว้ ผมก็ไปกดกริ่งเรียกห้องข้างๆ ไม่นานเขาก้เปิดประตูให้ผมเข้าไปในห้อง พอผมเข้าไปผมก็เห็นเขาเปิดโน้ตบุ๊คค้างไว้อยู่

            “มันธ์ทำงานอยู่หรอครับ...ผมรบกวนรึเปล่า”

            “ไม่รบกวนเลยครับ ผมใกล้เสร็จแล้ว พายรอแป๊ปนะครับ”

           “อ่อโอเคครับ”

            ผมนั่งลงบนโซฟาก่อนที่มันธ์จะนั่งลงตาม เขาหันไปทำงานต่อเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับผม

           “เสร็จแล้วครับ”

            “อ่า...ครับ จริงๆ หลักๆ ผมจะให้มันธ์ คอยดูอาหารกับน้ำเจ้าสองตัวนั้นอ่ะครับ เททิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวมันก็เดินมากินเอง”

           “หืม? เททิ้งไว้ได้เลยหรอครับ?”

           “ครับ ส่วนอาหารกับชามข้าวเดี๋ยววันที่ผมเดินทางผมเอามาให้”

           “อ่าครับ...”

           “นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องห้องน้ำแมวอ่ะครับ ถ้าเจ้าสองตัวไปอึ ผมก็ต้องรบกวนให้มันธ์ช่วยตักออกจากกระบะทรายครับ แล้วถ้าทรายมันพร่องลงไปก็คอยเติม ส่วนเรื่องทำความสะอาดก็ดูว่ามีอึติดตูดติดเท้าน้องไหม ถ้ามีก็ใช้ทิชชูเปียกเช็ดครับ”

            “โอเคครับ ไม่น่ายาก”

            “ครับ ไม่ยากหรอก แต่ผมกลัวมันจะดื้อแค่นั้น ถ้าเจ้าอ้วนดื้อก็แค่เอาอาหารล่อ ส่วนเจ้าตัวพี่ก็อาจจะยากหน่อย เพราะมันไม่ค่อยชินคน ยังไงก็พยายามเอาใจเจ้าอ้วนนะครับ เพราะถ้าเจ้าอ้วนยอมมันธ์แล้ว เดี๋ยวเจ้าตัวขาวก็ยอมตามเอง”

           “โอเคเลยครับ”

           “หลักๆ ก็มีแค่นี้แหละครับ เรื่องอื่นๆ ผมจดให้ลงกระดาษนี่แล้ว” ผมยื่นกระดาษเอสี่ให้อีกฝ่าย ในนั้นก็จะมีขั้นตอนการดูแลแมวเบื้องต้นที่ผมเพิ่งบอกไป แล้วก็รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการดูแลเจ้าแมวสองตัวนั้นเพิ่มเติม “แล้วก็ยังไงถ้ามันธ์ว่างๆ ก็คอยเล่นกับมันบ้างนะครับ ทั้งสองตัวชอบให้รูปหัวกับเกาคาง แต่เจ้าตัวส้มจะชอบให้ลูบท้องเป็นพิเศษ”

           “ลูบท้อง?”

           “ครับ รูปเบาๆ เหมือนเกาพุงให้มันอ่ะครับ”

           “แปลกดีนะครับ ผมเคยอ่านเจอบอกว่าจริงๆ แมวไม่ชอบให้ยุ่งกับท้อง”

           “เจ้าอ้วนมันชอบให้เอาใจครับ จริงๆ อยากลูบ อยากจับตรงไหนก็ได้เลย มันชอบ”

           “โอเคครับ”

            “แล้วถ้ามีอะไรสงสัยหรือเกิดเหตุเร่งด่วนอะไรก็โทรหรือไลน์มาถามก็ได้นะครับ” ผมพูดก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปให้อีกฝ่ายแอดไลน์ เมมเบอร์ อีกฝ่ายก็รับมา กดเบอร์ตัวเองแล้วยิงเข้าเครื่องเรียบร้อย กดแอดไลน์แล้วก็ส่งคืนผม

           “แล้วเจ้าตัวเล็กล่ะครับ? เจ้าตัวเล็กปกติพายกับเพื่อนพายช่วยกันเลี้ยงนี่...แล้วเพื่อนพายไม่อยู่แบบนี้ เจ้าตัวเล็กไม่มาอยู่กับพายหรอ?”

             อ่า...จริงสิ ผมลืมคิดเรื่องนั้นไปเลย...

            “เอ่อ...”

            “…?”

           “คือนิวมันเอาไปฝากแม่มันน่ะครับ แต่แค่ตัวเดียวแม่ก็ลำบากแล้ว ผมเลยไม่กล้าเอาอีกสองตัวไปฝากด้วย” ผมรีบแถไปอย่างรวดเร็ว

            “โอเคครับ ยังไงถ้าลำบากให้ผมช่วยดูแลเจ้าตัวเล็กอีกตัวก็ได้นะ” มันธ์ก็ยังพูดด้วยความหวังดี

             “ครับ ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ แค่เจ้าสองตัวนี้ก็ลำบากมันธ์มากพอแล้ว”

            อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มตอบกลับมาเล็กๆ

            “จริงสิ เดี๋ยวมันธ์ไปห้องผมนะครับ จะได้ไปเล่นกับเจ้าสองตัวนั้นสร้างความคุ้นเคย แล้วก็เดี๋ยวผมจะได้สอนวิธีตักอึออกจากทรายด้วย”

           “ได้ครับ”



   
           พอเดินมาถึงหน้าห้องผมก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ ผมเลยหันไปพูดกับมันธ์

           “รหัสห้องผมศูนย์ห้าศูนย์สี่นะครับ”

           “…?..”

           “คือบอกไว้ก่อนครับ เผื่อวันที่ผมไม่อยู่แล้วมันธ์ต้องการอะไรเพิ่มเติมจะได้เดินมาหยิบได้”

           “อ๋อโอเคครับ ว่าแต่ศูนย์ห้าศูนย์สี่...นี่วันเกิดพายหรอครับ...ห้าเมษา?”

           “เปล่าครับ มันเป็นวันที่ผมเจอเจ้าสองตัวนี้น่ะ”

           “อ่อ…"

           พอเข้ามาในห้องผมก็ให้อีกฝ่ายไปนั่งที่โซฟาห้องก่อน ซึ่งเจ้าสองตัวนั้นก็นั่งอยู่บนโซฟาพอดี เจ้าตัวอ้วนรีบกระโดดขึ้นตักคนมาใหม่ทันที

           “ว่าแต่พายเกิดวันไหนหรอครับ?” คนนั่งลูบหัวแมวจู่ๆ ถามผมขึ้นมา
 
           “ยี่สิบสี่ธันวาน่ะครับ”

            “คริสมาสต์อีฟ?”

            “ครับ ทำไมหรอ?”

             “ถ้าบอกว่าพายเกิดวันเดียวกับผมพายจะเชื่อไหม?”

            “หืม จริงหรอครับ?” ผมตกใจเล็กน้อย เอาจริงๆ ก็จำได้ลางๆ ว่าอีกฝ่ายเกิดเดือนธันวา แต่เพิ่งรู้ว่าดันเกิดวันเดียวกับผม

            “จริงครับ...งั้นวันเกิดปีนี้เรามาฉลองด้วยกันนะครับ” มันธ์จ้องผม ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นสายตาแพรวพราว

            “อ่า….” จะตอบยังไงดีนะ

            “นะครับ มาฉลองวันเกิดของ ‘เรา’ ด้วยกันนะครับ” ปากยกยิ้ม ตาเป็นประกาย มือก็ถือโอกาสจับมือผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ราวกับจะกดดันให้ผมตอบตกลงเท่านั้น

            “ไม่รับปากนะครับ ผมต้องดูก่อนว่าวันนั้นมีงานไหม” ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไป อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยผม

             “ครับ ได้ครับแต่ยังไงผมก็จะรอนะ”



   
            ผมสอนวิธีการดูแลเจ้าสองตัวให้มันธ์ดู เผลอแว่บเดียวก็เที่ยงกว่าแล้ว คนข้างห้องเลยอาสาทำอาหารให้ผมทาน ผมก็ได้แต่ปล่อยให้เขาทำ เพราะบอกแล้วว่าฝีมือการทำอาหารของผมน่ะติดลบ....

             “เอ่อ...พายครับ” เสียงเรียกดังมาจากในครัว ผมเลยเดินไปหา

             “มีอะไรหรอ?”

             “คือตู้เย็นพายว่างมาก....”

             ก็ตามนั้นแหละ ปกติผมไม่ทำอาหารกินเอง ส่วนมากก็ซื้อข้าวจากร้านแถวคอนโดขึ้นมากินบางทีก็ซื้อจากเซเว่นเอา

             ผมมองเข้าไปในตู้เย็น ตอนนี้ในตู้ผมมีเบียร์สองกระป๋อง โซดาสามขวด นมหนึ่งแพ็ค น้ำเปล่าอีกสามขวดใหญ่...แค่นี้

             “คือปกติผมไม่ทำอาหารกินเองอ่ะ ตู้เย็นมันก็เลยโล่งแบบนี้”

            “อ้าวแล้วปกติพายกินอะไรหรอ?”

            “ก็ปกติผมก็ซื้ออะไรแถวคอนโดนี้กินแหละครับ....งั้นเราไปกินข้าวข้างนอกกันไหม?” ประโยคหลังผมหันมาเสนอทางออกให้อีกฝ่าย   

            “ผมว่า เดี๋ยวเราไปซื้อวัตถุดิบมาทำกันดีกว่า”

           “ทำทำไมให้เสียเวลา กินร้านไม่ง่ายกว่าหรอ?”

            “ก็ผมอยากทำให้พายทานนี่ครับ” ยิ้มพิฆาตใจมาอีกแล้ว...แล้วอย่างนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไง....   

            “ก็ได้...”

            “งั้นไปรถผมนะครับ”

            ผมได้แต่พยักหน้าให้อีกฝ่าย


หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 09-01-2019 22:25:15






            แม้เป็นช่วงเที่ยงวัน แต่การจราจรในกรุงเทพก็ยังคงเต็มไปด้วยรถรารถติดเป็นเรื่องปกติ ผมกับมันธ์มารถติดแง็กอยู่ตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ดูจะยังไม่มีทีท่าว่ารถจะเคลื่อนไปเสียที

            “พายจะไปออกทริปที่ไหนหรอครับ?” จู่ๆ มันธ์ก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ

            “ลำปางน่ะครับ”

            “ไปเหนือตอนเดือนตุลา? หนาวแล้วหรอครับ?”

            “ยังหรอกครับ อากาศเย็นลงแหละ แต่ยังไม่ถึงกับหนาว”

            “อ้าว งี้ไปทำไมล่ะครับ?”

           “ก็คอลัมน์ที่ผมจะเขียนมันวางแผงเดือนพฤศจิกายนน่ะครับ ผมก็เลยต้องเขียนคอลัมน์ที่เที่ยวหน้าหนาวตั้งแต่เดือนนี้”

           “อ่อ อย่างนี้นี่เอง...ผมยังไม่เคยไปลำปางเลยครับ แต่เคยเห็นอยู่ว่ามีวัดกับน้ำตกสวยมาก”

            “ใช่ครับ มีบ่อน้ำพุร้อนด้วยนะ” ผมรีบพูดไปตามที่ได้ศึกษามา ผมกะว่าจะลองไปแช่ไข่ไก่ดู เห็นเขาว่าไข่ไก่แช่บ่อน้ำร้อนจะอร่อยมาก

            “จริงหรอครับ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย ผมรู้แต่ว่าพูดถึงลำปางก็ต้องคิดถึงรถม้ากับชามตราไก่”

            “ใช่ครับ มันธ์ก็รู้เยอะเหมือนกันนะครับ”

            “ครับ ผมศึกษาพวกสถานที่ท่องเที่ยวงี้บ่อยครับ อยากไปนะ แต่ไม่มีโอกาสได้ไปสักที”
   
            “ลองไปดูนะครับ มันดีมากจริงๆ ถือโอกาสเป็นการพักผ่อน ให้รางวัลชีวิตแก่ตัวเอง”

            “ผมก็อยากไป แต่ไม่อยากไปคนเดียว เที่ยวคนเดียวมันเหงาๆ น่ะครับ”

           “ก็จริงครับ...มันธ์ไม่มีเพื่อนเที่ยวหรอ?” ผมพูดเออออเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ก่อนจะตบท้ายด้วยการถาม จริงๆ มันธ์ก็มีเพื่อนไม่ใช่หรอ เมื่อวันก่อนผมยังเจอคนที่ชื่อพลอยเลย

           “เพื่อนผมมันไม่ค่อยชอบเที่ยวน่ะครับ”

           “อ่อครับ”

           “พายสนใจไปกับผมไหม?”

           “ห้ะ?!” ตะกี้อีกฝ่ายพูดอะไรนะ??

           “ก็ ถ้าผมจะไปเที่ยวพายสนใจไปเป็นไกด์ให้ผมไหม? พายน่าจะเคยเที่ยวมาเยอะ”

           “อ๋อ...ได้ครับ”

           “สัญญาแล้วนะ?” อีกฝ่ายหันมายิ้มกว้างให้ผมอีกครั้ง

           “ครับ สัญญาครับ” ก็แค่เป็นไกด์นำเที่ยว จะไปยากอะไร

           โครก~

           เสียงท้องร้องดังขึ้น ทำเอาผมหน้าขึ้นสีเล็กน้อย ...ก็นะนี่จะบ่ายโมงแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย...

            มันธ์มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ยิ่งเรียกสีหน้าของผมให้แดงยิ่งขึ้นไปอีก

           “มีคุกกี้อยู่หลังรถน่ะครับ พายกินแก้หิวไปก่อนนะครับ”

           “คุกกี้หรอ?”

           “ครับ...ยังไม่เบื่อใช่ไหมครับ?”

           “ยังหรอกๆ” วินาทีนี้ผมกินได้ทุกอย่างแหละ หิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวแล้ว

            ผมเอื้อมตัวไปด้านหลังรถ ไม่นานผมก็เห็นโหลคุกกี้หลายสิบกระปุกอยู่หลังรถตามที่อีกฝ่ายบอก ผมเลยหยิบออกมากระปุกนึง พอเปิดดูแล้วก็พบว่ามันเป็นคุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์...ผมยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหยิบขึ้นมากิน...รสชาติแบบนี้ คงเป็นคุกกี้ที่มันธ์ทำเองแน่ๆ

            “มันธ์ทำคุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์อีกแล้วหรอครับ...หรือว่าเหลือจากวันก่อน?”

            “อ๋อ อันนี้เพิ่งทำเมื่อวานน่ะครับ ว่าจะเอาไปฝากขายที่ร้านประจำ”

            “อ้าว! ของขายงี้ ผมดันเอามากินเฉยเลย กระปุกละเท่าไหร่ครับ เดี๋ยวผมจ่ายเงินให้”

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ” มันธ์พูดกลับมาตายังคงจ้องมองถนน แต่ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง

           “เฮ้ยแต่มันของซื้อของขายนะ ผมเกรงใจ”

           “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ พายกินเถอะ หิวไม่ใช่หรอ?”

           “กินได้จริงๆ หรอ?” ผมถามขึ้นอีกครั้ง

            “ได้จริงๆ ครับ” คราวนี้มันธ์ละสายตาจากถนนมามองผมเล็กน้อย

           “อ่า...งั้นขอบคุณครับ”

            ผมหยิบคุกกี้ขึ้นมากินอีกสองสามชิ้น หันไปมองคนข้างๆ เขาก็ดูจะยังคงมีสมาธิกับการขับรถอยู่เช่นเดิม ผมก้มลงมองคุกกี้ในมือตัวเองก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ อีกครั้ง

           “เอ่อ...พายหิวไหมครับ...กินคุกกี้หน่อยไหม?” ผมถามมันธ์ขึ้น เพราะคุกกี้นี้อีกฝ่ายก็ให้ฟรีๆ จะนั่งกินคนเดียวก็ดูจะกระไรอยู่

            “ครับกินครับ” อีกฝ่ายพูดตอบผม ตาก็ยังจ้องอยู่กับถนน ใช้สมาธิมุ่งไปกับการขับรถตรงหน้า

            “เอ่อ....”

            ผมได้แต่ทำสายตาเลิกลั่กขึ้นมานิด มือค่อยๆ หยิบคุกกี้ขึ้นมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายมองมือผมด้วยหางตาเพียงแว่บเดียว ก่อนจะก้มหน้าลงกัดชิ้นคุกกี้ในมือของผม พอคุกกี้หมดผมรีบชักมือกลับทันที

            “อร่อยเน๊อะ” เขาพูดขึ้นมาหลังเคี้ยงคุกกี้หมด แม้มองถนนอยู่แต่สายตาก็ก็ดูจะมีความสุขอย่างล้นเหลือ

            “ครับ...อร่อยครับ” ผมได้แต่ก้มหน้ามองกระปุกคุกกี้ พูดเออออไปกับอีกฝ่าย

            “พายครับ...” เสียงนุ่มจากคนข้างๆ ผมดังขึ้นอีกครั้ง

            “ครับ?” ผมถามกลับ ตายังคงก้มหน้ามองแต่คุกกี้ในมือไม่กล้ามองอีกฝ่าย

            “พายครับ ผมอยากกินอีก”

           คราวนี้ผมยื่นคุกกี้ไปให้อีกฝ่ายทั้งกระปุก ตามองออกไปข้างนอก ไม่กล้ามองมันธ์

            “ผมขับรถอยู่...พายหยิบให้ผมหน่อยนะครับ แบบเมื่อกี้”
 
           อ่า....แบบเมื่อกี้เขาไม่เรียกว่าส่งให้ เขาเรียกว่า ‘ป้อน’

           “นะครับพาย...ผมหิวมากเลยเนี่ย”

            ผมได้แต่ก้มหน้างุดๆ หยิบคุกกี้แล้วหลับกูหลับตายื่นให้อีกฝ่าย มันธ์ก็ก้มหน้าลงกัดคุกกี้ในมือผมเช่นเดิม แต่คราวนี้เขากัดโดนนิ้วมือผมเบาๆ ผมรีบชักมือกลับทันที รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว...สัมผัสเมื่อกี้มันไม่ใช่การกัดพลาด แต่มันเหมือนเป็นการกัดแบบจงใจหยอกผมเสียมากกว่า...หรือผมคิดไปเอง?




           “พายอยากกินอะไรครับ” มันธ์หันมาถามผมระหว่างเดินในแผนกของสด

           “อะไรก็ได้ครับ”

           “ไม่เอาอะไรก็ได้ได้ไหมครับ?” อีกฝ่ายหันมาหาผมด้วยสายตาอ้อนๆ

            “อ่า...งั้นเป็นอะไรก็ได้ที่ทำง่ายสุด เร็วสุด” ผมยอมตอบตัดปัญหาไป จริงๆ ตอนนี้ผมกินอะไรก็ได้จริงๆ เพราะหิวมาก....

            “พูดอย่างนี้หิวสินะครับ”

            “ครับ” ผมตอบอย่างจริงใจเป็นที่สุด

            “โอเคครับ ผมจะรีบให้ไวเลยครับ งั้นพายกินข้าวผัดไหมครับ? ชอบหรือเปล่า?”

            “ได้ครับ”

            ได้ยินดังนั้นมันธ์ก็เดินไปนั่นไปนี่ ผมก็ได้แต่เดินตามร่างสูงไปมา

            “ว่าแต่ห้องพายมีพวกเครื่องปรุงไหมครับ?”

            “อ่า...ไม่มีครับ” บอกแล้วว่าผมไม่ทำอาหารกินเลย...

            “ครับ...แต่ใช้ของผมก็ได้” มันธ์บ่นกับตัวเองสองสามคำ แล้วก็เดินไปมาหยิบนั่นหยิบนี่ต่อ ผมได้แต่เข็นรถเข็นตาม

            พอจะจ่ายเงิน มันธ์ก็หันมาถามผมอีกที

            “ข้าวผัดโอเคจริงๆ หรอครับ ข้าวผัดหมูง่ายๆ เลยนะ”

      “โอเคจริงๆ ครับ” ผมตอบย้ำกับอีกฝ่ายไป

            เอาจริงๆ มานั่งนึกๆ ดู ตั้งแต่รู้จักกันมา อีกฝ่ายก็เอาแต่ตามใจผมตลอดจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแค่ชอบใส่ใจคนอื่น หรือมีอะไรมากกว่านั้น...หรือผมแค่คิดมากไปเอง?

           พอจ่ายเงินเสร็จอีกฝ่ายก็คุ้ยหาอะไรบางอย่างในกุง ก่อนจะส่งมาให้ผม...มันเป็นขนมปังเปล่าหนึ่งแผ่น ที่ผมไม่ทันสังเกตว่าเขาซื้อมาตอนไหน

            “พายกินรองท้องไปก่อนนะครับ”

           นั่นไง...ใส่ใจอีกแล้ว

           ผมรับขนมปังนั้นมากัดเบาๆ มืออีกข้างก็ช่วยอีกฝ่ายถือของ

           พอมาถึงที่รถ มันธ์ก็หยิบน้ำส่งให้ผม “น้ำครับจะได้ไม่คอแห้งจากขนมปังเมื่อกี้”

           อีกแล้ว...เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อีกฝ่ายมักใส่ใจจนผมอดสงสัยไม่ได้ทุกครั้ง

            “มันธ์...” ผมหันไปมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ อีกฝ่ายยังไม่ทันสตาร์ทรถก็หันมาตามเสียงเรียก

            “ครับ?”

            “ถามจริงๆ เลยนะ หลายๆ วันที่ผ่านมาเนี่ย ที่มันธ์ใส่ใจผม คอยดูแลผม คอยช่วยเหลือผม มันธ์มีอะไรอยากจะบอกผมไหม?” อยากถามตรงๆ แต่ก็กลัวหน้าแตกคิดไปเองว่าเขามาจีบ เลยเลือกคำถามเปิดๆ ไว้หน่อย ป้องกันการหน้าแตกไว้ก่อน

            “พายคิดว่ายังไงล่ะครับ?” อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบ แถมส่งยิ้มถามกลับมาอีก

            “ไม่อยากพูดอ่ะ กลัวหน้าแตก มันธ์บอกมาเถอะ”

            “ก็ตามที่พายคิดนั่นแหละ” อีกฝ่ายก็ยังคงไม่ตอบผมแต่ดันตอบอ้อมๆ เหมือนที่ผมถามอ้อมๆ

            “คิด..คิดอะไร?”

            “ก็คิดตามนั้น...”

            “…?.”

            “ครับ...ผมกำลังจีบพายครับ”






____________________________________
ภาพยนต์เรื่องโปรดของมันธ์กับพาย คือเรื่อง A street can named Bob ค่ะ >___< ใครยังไม่เคยดูลองไปหาดูนะคะ น่ารักมากๆ ทำมาจากเรื่องจริงด้วย


   
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-01-2019 22:58:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-01-2019 18:58:59
มันต้องยังงี้ !!

จีบต้องบอกว่าจีบ 5555
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 10-01-2019 21:47:13
รอเขาได้กัน
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 11-01-2019 07:51:16
เมื่อไรจะได้กัน :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 11-01-2019 14:23:01
เค้ารู้ความในใจกันแล้ว

 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-01-2019 00:27:33
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ชอบมากเลยค่ะ ลุ้นตลอดเลยว่าพายจะเปลี่ยนเป็นแมวต่อหน้ามันธ์รึป่าว จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 7 [09/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-01-2019 17:27:32
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 13-01-2019 21:56:33



บทที่ 8 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว...อยู่กับแมว
[/b]





           วันนี้เป็นวันที่พายต้องออกเดินทาง ผมตื่นเช้ามารับเจ้าแมวทั้งสองตัวกับอุปกรณ์เลี้ยงแมวอื่นๆ อีกฝ่ายย้ำวิธีการดูแลแมวคร่าวๆ ให้ผมฟังอีกครั้ง แถมยังไม่ลืมที่จะย้ำว่าอย่าให้อาหารเจ้าสองตัวนั้นเยอะเกินไป เพราะมันอ้วนเกินไปแล้ว ส่วนผมได้แต่ย้ำกับอีกฝ่ายว่าถ้าถึงลำปางแล้วให้ทักมาบอกผมด้วย

            จริงๆ วันนั้นที่ผมบอกกับพายตรงๆ ว่าผมจะจีบพาย ตอนแรกผมนึกว่าอีกฝ่ายจะเขินหลบหน้าหลบตาเสียอีก แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับเฉยๆ มีเขินหน้าแดงบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หลบหน้าหลบตาผมอย่างที่คิด วันนั้นพอเรากลับมาจากห้าง เราก็ยังทำข้าวผัด นั่งกินข้าวกัน แถมผมยังอยู่ห้องพายจนมืดค่ำช่วยพายซ่อมกระจกประตูระเบียงอยู่เลย ก็ถือเป็นปฏิกริยาที่เกินคาดนิดๆ

           “เมี๊ยว~” เจ้าแมวตัวส้มส่งเสียงเรียกร้องให้ผมหันไปสนใจมัน ต่างจากเจ้าตัวขาวที่วิ่งไปนั่งนิ่งบนโซฟาแล้ว

           “จะเอาอะไร?”

           “เมี๊ยว~” มันส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง ผมเลยอุ้มมันขึ้นมา มือข้างนึงคอยลูบหัวมันเบาๆ มันก็ครางออกมานิดๆ ราวกับพึงพอใจที่ผมทำอยู่

            ผมเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆ เจ้าตัวขาว ส่วนเจ้าตัวส้มก็วางไว้บนตักผม มันขยับตัวเล็กน้อยให้นั่งได้ถนัดถนี่ขึ้นแล้วก็นิ่งไป ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมหันมาอีกทีมันก็หลับไปเสียแล้ว

             ผมมองนาฬิกา ในใจพลางนึกถึงคนที่มาฝากแมวไว้ ป่านนี้คงถึงสนามบินแล้ว...จำได้ว่าพายบอกว่าไฟล์ทสิบโมง ดังนั้นน่าจะถึงลำปางก่อนเที่ยง ตอนนี้เพิ่งแปดโมงกว่า...อีกตั้งนาน

            ระหว่างที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยว่าวันนี้จะทำอะไรดี จู่ๆ แจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นไลน์ในมือถือผมก็เด้งขึ้น


            Pie : เช็คอินเรียบร้อย ตอนนี้กำลังรอขึ้นเครื่อง...มันธ์อยู่กับเจ้าสองตัวนั่นได้แน่ๆ ใช่ไหม?

             Month : ถ้าบอกไม่ได้ พายจะรีบกลับมาที่นี่ไหมครับ?

            Pie : ส่งสติ๊กเกอร์น้องหมีน้ำตาลยืนนิ่งๆ มา

            Month : ไม่อยากให้ไปเลย ไม่ให้ไปตอนนี้ทันไหมครับ?

   
            ผมแกล้งหยอดอีกฝ่ายไป ซึ่งเพียงเสี้ยววิมันก็ขึ้นว่าพายอ่านแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังดูเงียบไม่ได้ตอบอะไรผมมา


            Month : พายครับ?

            Pie : แค่นี้นะครับผมไปขึ้นเครื่องแล้ว

            Month : safe flight ครับ


           คราวนี้อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะอ่านข้อความผม...ตอนนี้ยังไม่ทันเก้าโมงยังเหลือเวลาขึ้นเครื่องอีกตั้งนาน ดูท่าว่าพายจะจงใจหนีผมไปเสียแล้ว   

           แล้วเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่พอก้มมองโทรศัพท์มือถือก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อคนที่ไลน์มาไม่ใช่คนที่ผมคาดหวัง

   
           กันต์ : จะเอาไหมกุญแจห้องมึงอ่ะ

           Month : เออ กูลืมไปเลย

            P. : มาเอาเร็วววววว เดี๋ยวบ่ายๆ ว่าจะไปตั้งตี้ร้านไอ้กันต์เหมือนเดิม

            Month : ได้ๆ เดี๋ยวไป กูกะจะไปซื้อของมาทำขนมพรุ่งนี้พอดี

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : ดีมากกกกก คราวนี้ห้ามเบี้ยวพวกกูอีก

   
           “เมี๊ยว~ เมี๊ยว~” เสียงเจ้าตัวส้มบนตักผมที่ดูจะตื่นเพร่ะผมยุกยิกไปมา เรียกความสนใจให้ผมก้มลงมามองมัน อ่า...ลืมไปเลย..


            Month : พวกมึงกูไปไม่ได้แล้วนะ

            P. : อ้าว

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เทเพื่อนอีกและะะะ

            กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์หมียืนหันหลังหันหน้ากลับมามองขวับ


            ผมก้มลงดูเจ้าตัวที่นอนสบายใจอยู่บนตักเล็กน้อย มันก็เงยหน้ามามองผมอย่างสงสัย ผมยิ้มให้มันนิดๆ ก่อนจะเปิดกล้องถ่ายรูปเจ้าอ้วนตัวส้มส่งเข้ากรุ๊ปไลน์


            Month : มีเพื่อนมาอยู่ด้วย ต้องดูแล

            P. : กรี๊ดดดดดด น้องแมววววว นว้องงงงงง น้องมาจากไหนนนนน น่าร้ากกกกกก อยากจับพุงงงงง โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : แมวใครอ่ะ?

            กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์หมีทำหน้าสงสัย

            Month : แมวของพาย พายเอามาฝากไว้

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เหยดโด้ววววว เดี๋ยวนี้มีฝากมงฝากแมวววววววว

            P. : เล่ามาเดี๋ยวนี้!!!

           กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์หมียื่นเผือก

           Month : เออน่า เดี๋ยวค่อยเล่า เอาเป็นว่าพวกมึงเอากุญแจมาให้กูที่คอนโดได้ป่ะ กูไม่อยากทิ้งแมวไว้ตามลำพัง

           ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : รักแมวให้เหมือนที่รักเจ้าของสินะ ถถถถถถ มีการไม่อยากทิ้งแมวไว้ตามลำพัง แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

           P. : ได้!! เพื่อความรักของเพื่อน เดี๋ยวดิฉันจะช่วยเอง!!

           Month : ดีมากเพื่อนรัก~


           แล้วผมก็ก้มหน้าลงไปจดวัตถุดิบอุปกรณ์ทั้งหลายที่ต้องการ ก่อนจะส่งไปให้ในกรุ๊ปดูอีกครั้ง


           Month : ฝากซื้อวัตถุดิบพวกนี้ด้วยดิ

           ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : ได้ทีใช้ใหญ่เลยนะ

           Month : เออน่า ช่วยหน่อย

           P. : เคๆ

           กันต์ : งั้นเดี๋ยวเย็นๆ หลังปิดร้านจะไปหานะ ถึงแล้วเดี๋ยวโทรอีกที

           Month : เค ดีลลลลลล


           ผมนั่งดูหนัง เข้าเพจ ส่องทวิตเตอร์ ทำนั่นทำนี่ไปเรื่อยเปื่อย หันไปอีกทีเจ้าตัวส้มเดินไปกินอาหารที่ผมเทไว้แล้ว ส่วนเจ้าตัวขาวก็ยังนอนอยู่บนโซฟาเช่นเดิม รู้ตัวอีกทีเสียงไลน์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง


           Pie : ถึงโรงแรมแล้วนะครับ


           พายส่งข้อความมาหาผมแถมส่งโลเคชั่นที่พักมาให้ ผมยิ้มให้กับข้อความนั้นเล็กน้อย อย่างน้อยพายก็ไม่ลืมที่จะบอกผม ผมหันไปด้านข้างตัวเองก่อนจะกดถ่ายรูปเจ้าแมวตัวขาวอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวถูกถ่ายไม่รู้ตัว และเดินไปทางครัวเพื่อถ่ายรูปเจ้าตัวส้มอีกตัว


           Month : โอเคครับ

           ** แนบรูปเจ้าตัวส้มกำลังกินอาหารกับเจ้าตัวขาวนอนอยู่บนโซฟา **

           Pie : ไม่ต้องให้มันกินข้าวเยอะนะ มันอ้วนจะตายแล้วววว

           Month : สติ๊กเกอร์แมวทำมือโอเค


            แล้วอีกฝ่ายก็เงียบหายไปเช่นเดิม สงสัยว่าจะเริ่มไปทำงานแล้ว ผมก็ไม่อยากรบกวนพาย เลยไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรเพิ่มเติม

            พอว่างไม่รู้จะทำอะไร ผมก็แอบเข้าไปส่องเพจ ‘Month-Pie Fanclub’ ถึงผมจะไม่ได้กดไลค์เพจนี้แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมชอบแอบไปส่องเพจนี้บ่อยๆ ตอนแรกยอดไลค์เพจแค่หลักร้อย ผ่านไปไม่กี่วันยอดไลค์เพจเกือบหมื่นแล้ว....

            ผมเลื่อนดูเนื้อหาเพจก็ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากวันนั้นที่ผมดู เพียงแต่มียอดไลค์และคอมเม้นท์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวแค่นั้น ผมเลยจะกดปิดแต่มือก็ดันไปกดปุ่มรีฟรชแทน ตอนนั้นเองที่ผมเห็นข้อมูลอัพเดตใหม่ในเพจนั้น

            มันเป็นรูปที่แคปมาจากไอจีสตอรี่ของพลอย ซึ่งพลอยเพิ่งแคปบทสนทนาไลน์เมื่อกี้ลงไอจีสตอรี่ของมัน แถมใส่คำว่า แมวของคนรักก็ต้องช่วยดูแล~

            เดี๋ยวนะ...ไอ้พลอย....

            ผมรีบเปิดไลน์อีกครั้ง พร้อมส่งรูปที่เพจนั้นลงเข้ากรุ๊ปไลน์
   

            Month : ไอ้พลอย ใครให้มึงเอาไปลงงงงง!!!

           P. : แหม นิดๆ หน่อยๆ เอง อย่าคิดมาก

            Month : ไอ้เหี้ย ถ้าพายมาเห็นเข้าจะทำไง?!

            P. : ไม่เห็นหรอกน่า ไอจีกูก็ล็อค เขาก็ไม่ได้ตาม ไม่เห็นหรอกน่า

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : มึงจะไปคิดมากอะไร ยังไงมึงก็จะจีบเขาไม่ใช่เร๊อะะะ นิดๆ หน่อยๆ อย่าคิดมาก

            Month : โอ๊ยยยย ไอ้พวกเหี้ยยยย


            ผมได้แต่กดปิดไลน์ไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด แอบหวั่นใจว่าถ้าพายมาเห็นพายจะคิดมากรึเปล่า ผมเคยบอกพายว่าจะจีบพายก็จริง แต่ก็ยังไม่เคยบอกเรื่องที่พวกเรากลายเป็นคู่จิ้นอะไรนี่เลย

            เพราะผมเอาแต่เครียดเรื่องความรู้สึกพายเลยไม่ทันได้สังเกตว่าไอจีพลอยมันเป็นไอจีล็อคแล้วเพจนั้นจะแคปรูปมาได้ยังไง....?




            พอถึงเวลาช่วงโพล้เพล้ไอกันต์ก็โทรมาหาผม ผมเลยบอกให้มันขึ้นมาเลย และแน่นอนพอเปิดประตูห้องผมมา ผมก็พบหน้าเพื่อนทั้งสามครบแก๊งไม่ใช่แค่ไอ้คนที่โทรหาผมเมื่อกี้คนเดียว

           “ไงเพื่อนรักกกกกกก ไหนๆ แมวอยู่ไหนนนนนนน?” เสียงพลอยดังมาก่อนเพื่อน พอมันก้าวเข้ามาในห้องแล้วเห็นเจ้าตัวขาวที่นั่งอยู่บนโซฟามันก็รีบปรี่เข้าไปหาทันที ส่งผลให้เจ้าตัวขาวสะดุ้งตกใจอย่างแรงแล้ววิ่งหนีมาทางผม

           “ง่ะ...หนีเราทำไม เรามาอย่างเป็นมิตรนะ มามะเจ้าเหมียวมาหาเรามา~” พูดเสียงสองมุ้งมิ้ง ทำเอาชายหนุ่มอีกสามคนในห้องได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระเอือมระอา

            พอเห็นเจ้าแมวไม่เล่นด้วย สายตาพลอยก็เหมือนจะหันไปเห็นเจ้าตัวส้มอีกตัวที่นอนอยู่แถวกระจกระเบียง พลอยก็ไม่รอช้าพุ่งตัวเข้าไปหาเจ้าส้มทันที โชคดีที่เจ้าส้มเข้ากับคนง่ายมันเลยยอมให้พลอยลูบขนมันไปมา

            “อ่ะนี่ ของที่มึงฝากซื้อ” กันต์ยื่นถุงชอปปิ้งให้ผม ผมก็รับมาพูดขอบใจเบาๆ แล้วเดินเอาไปวางไว้ที่ครัว แต่แค่เสียงถุงก๊อบแก๊บเล็กน้อยก็ทำเอาเจ้าอ้วนตัวส้มหูตั้งมันรีบวิ่งมาที่ครัวทันที ทิ้งให้พลอยนั่งงงว่าจู่ๆ เจ้าแมววิ่งไปไหน

             ไม่ต้องแปลกใจเลยสงสัยเจ้าอ้วนต้องคิดว่ามีขนมแน่ๆ

            “วันนี้ยังไม่มีขนมครับ” ผมยิ้มให้มันนิดๆ เอามือลูบหัวมันไปสองสามที มันก็ได้แต่ตอบกลับมาว่าเมี๊ยวแบบเซ็งๆ แล้วเดินกลับไปให้พลอยลูบหัวมันเล่นอีก

             “ว่าแต่แมวชื่ออะไรอ่ะมันธ์?” จู่ๆ ต้าที่เงียบมานานก็ถามขึ้น แล้วผมก็นึกได้....นั่นสิ ตั้งแต่รู้จักเจ้าแมวสองตัวนี้มาผมยังไม่รู้จักชื่อพวกมันเลยนี่น่า เห็นพายเรียกเจ้าตัวส้มว่าเจ้าอ้วน...ส่วนเจ้าตัวขาว...ผมนึกไม่ออกจริงๆ แฮะ ว่าพายเรียกว่าอะไร

             “เออ...กูไม่รู้ว่ะ”

             “อ้าว!! ยังไง?”

            “ก็กูไม่เคยถามชื่อพวกมัน พายก็ไม่เคยบอก ปกติเจ้าอ้วนตัวส้มพายก็เรียกว่าเจ้าอ้วน ส่วนเจ้าตัวขาวกูก็ไม่เคยได้ยินพายเรียกเลย”

             “รับแมวเขามาดูแล แต่ไม่ถามชื่อแมวเขาไว้ซะงั้น” พลอยละสายตาหันมาต่อว่าผมด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

             “เออ ก็ไม่ได้คิดถึงเลยนี่หว่า”

            “คิดถึงแต่เจ้าของแมวจนไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นก็พูด” คราวนี้เป็นไอ้ต้าที่แซวขึ้นมา

            “เออ!!”

            “แหมมมมมมม เดี๋ยวนี้ไม่มีปฏิเสธเลยนะครัชชชช”

            ครัชพ่อง!!

            เอาจริงกับคนแบบพวกมันเนี่ยอย่าไปพูดต่อปากต่อคำด้วยเลย พูดไปก็ไม่จบไม่สิ้น แต่เอาจริงพอพวกมันพูดถึงชื่อแมวผมก็เลยนึกได้

             ผมเปิดไลน์ทักเจ้าของแมวทั้งสอง

   
           Month : พายครับ...ผมลืมเรื่องสำคัญจะถาม

           Month : แมวของพายชื่ออะไรครับ?

           Month : ผมก็รู้จักพวกมันตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เคยรู้ชื่อเจ้าสองตัวนี้เลย เคยเห็นพายเรียกแต่เจ้าอ้วน ส่วนเจ้าตัวขาวผมไม่เคยได้ยินพายเรียกมันเลย


           เงียบ...อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะอ่านข้อความของผมด้วยซ้ำ ผมเลยปิดไลน์ไป สงสัยพายจะยังทำงานไม่เสร็จ

           “แน่ะๆ ตาวิเศษเห็นน้าาาาาา~ ไลน์หาใครหรอจ๊ะ~” เป็นเสียงไอ้ต้าเช่นเดิมที่เอ่ยแซวผม

           “หืม? อะไรๆ ขอเผือกหน่อย” คราวนี่พลอยละจากเจ้าแมวอ้วนเดินมาหาผมที่ห้องครัวแทน

           “ไม่มีอะไรหรอกน่า” ผมได้แต่บอกปัดด้วยความรำคาญ เลิกสนใจพวกมันแต่หันมาสนใจเจ้าแมวตัวขาวที่ป้วนเปี้ยนอยู่ที่เท้าผมแทน

            น่าแปลก...ปกติเจ้าตัวขาวแทบจะไม่เข้าใกล้ผมเลย แต่ตอนนี้มันกลับป้วนเปี้ยนอยู่รอบผมไม่ห่าง

           ผมก้มลงไปมองมันนิดๆ เอามือค่อยๆ ลูบหัวมัน ก่อนจะพูดกับมันด้วยความสงสัย

           “เจ้าตัวขาวเป็นอะไรไปหึ?”

            มันไม่พูดอะไรเพียงแต่เอาหน้ามาคลอเคลียมือผมไม่หยุด ตัวก็ดูจะสั่นนิดๆ

            “หืม? น้องแมวเป็นอะไรไปหรอ?” พลอยลงมานั่งยองๆ ข้างๆ ผม เจ้าตัวขาวเห็นอย่างนั้นก็ร้องขู่ แล้วกระโดดมาเกาะผมทันที

            แม้จะตกใจกับปฏิกริยาแมวตรงหน้า แต่โชคดีที่ผมพอจะมีสติอ้ามือรับเจ้าตัวขาวไว้ทัน มันมีอาการตัวสั่นอย่างแรง ส่งเสียงครางในลำคอไม่หยุด ผมเลยได้แต่ลูบหัวมันเบาๆ ค่อยๆ ปลอบมัน ซึ่งเหมือนมันก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของผม มันเลยค่อยๆ เงียบลง ตัวก็ค่อยๆ สั่นน้อยลงเช่นกัน ผมเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดๆ แล้วหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสามคนแทน

            “มึง อย่ามาเข้าใกล้แมวมาก มันกลัวแล้ว โดยเฉพาะมึงเลยไอ้พลอย ชอบจู่โจมน้อง”

            “อ้าว! กูผิดอีก!!” ถึงพลอยจะบ่นนิดหน่อย แต่พอมันเห็นท่าทางของแมวในอ้อมกอดผมมันก็ยอมเดินออกไปจากห้องครัว แล้วกลับไปนั่งเล่นกับเจ้าแมวส้มเช่นเดิม ส่วนเจ้าขาวพอเห็นหญิงสาวเดินออกไปแล้วมันก็คลอเคลียผมเล็กน้อย อาการร้องหรือตัวสั่นเมื่อสักครู่หายไปหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

           “โอ๋ๆ นะครับ ไม่ต้องกลัวนะ” ผมพูดพลางลูบขนมันไปมา ตัวขยับเล็กน้อยเหมือนกล่อมเด็ก ยิ่งทำให้เจ้าตัวขาวรู้สึกพึงพอใจมันเข้ามาคลอเคลียผมมากขึ้น แต่แล้วเองจังหวะนั้นเหมือนเจ้าตัวขาวหันไปเห็นชายหนุ่มอีกสองคนที่เหลือ มันก็ร้องขู่ขึ้นมาอีกครั้ง

            ผมหันไปมองตามมัน จึงได้แต่ส่งสายตาให้เพื่อนออกไปจากครัวก่อน ซึ่งเหมือนกันต์จะเข้าใจผมมันเลยลากไอ้ต้าไปนั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่นแทน

            พอทั้งห้องครัวปราศจากคน เจ้าขาวก็คลอเคลียกับซอกคอผมนิดหน่อยจนผมรู้สึกจั๊กกะจี้จนแอบหลุดหัวเราะออกมา ตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะของผมดันเรียกสติเจ้าแมวในอ้อมกอด มันเลยดิ้นเล็กน้อย แล้วกระโดดไปนั่งบนเคาร์เตอร์ครัวแทน

            แหม...ตะกี้ยังอ้อนผมอยู่เลย มาตอนนี้กลับไปหยิ่งซะแล้ว...อย่างนี้เรียกว่าผมได้ความไว้ใจจากเจ้าแมวตรงหน้าสักนิดไหมนะ?




             พอช่วงเวลาค่ำ หลังคนและแมวกินข้าวเสร็จเรียบร้อย เพื่อนๆ ผมก็ขอตัวกลับ ไอ้กันต์ก็ไม่ลืมที่จะคืนกุญแจห้องให้ผม

             เมื่อเพื่อนๆ จากไป ห้องผมก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ผมหันมองเจ้าแมวสองตัว แล้วหันกลับมามองที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง กดเข้าไปในไลน์ ก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงไม่อ่านไลน์ผมเช่นเดิม

             “นี่พวกแกสองตัวชื่ออะไรหรอ...หรือว่าเจ้าส้มชื่อเจ้าอ้วนจริงๆ...ส่วนเจ้าขาวล่ะชื่ออะไร?” ผมหันไปหาทั้งสองตัวหันหน้ามองมันไปมา

             “เหมียว~” มีแต่เสียงตอบกลับจากเจ้าแมวส้มตัวเดียว

            “หรือว่าพวกแกไม่มีชื่อจริงๆ จังๆ รึเปล่า?”

            “เมี๊ยว~” ก็ยังคงเป็นเจ้าอ้วนสีส้มตัวเดิมที่ตอบกลับมา

            ผมเลิกสนใจเจ้าสองตัวนั้นแล้วหันไปเปิดโทรทัศน์หาอะไรดู สุดท้ายไม่เจออะไรน่าดู ผมเลยเลือกจะเปิดหนังเรื่องโปรดเรื่องเดิม

            ผมเปิดดูไม่ถึงสิบนาที เจ้าแมวอ้วนสีส้มก็ปีนขึ้นมานั่งตักผม สายตาหันไปจ้องดูหนังไปกับผม ในขณะที่เจ้าตัวขาวยังคงเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในครัว ผมก็แอบอดเป็นห่วงมันไม่ได้ ครัวผมมีพวกมีด อุปกรณ์อันตรายเยอะแยะ ถ้ามันดันซนจนบาดเจ็บขึ้นมาจะเป็นไง...

            นึกได้อย่างนั้นผมเลยจะลุกไปอุ้มเจ้าตัวขาวมานั่งด้วยกัน แต่ก็ติดตรงที่เจ้าอ้วนบนตักผมนี่แหละ จะลุกก็ลุกไม่ได้

            “เจ้าอ้วนครับ ลุกก่อนได้ไหม”

            “…”

            “เจ้าอ้วนครับ”

            “…”

            มันก็ยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น ไม่ตอบคำถามผม โอเคสรุปว่ามันไม่ได้ชื่อเจ้าอ้วนสินะ เลยเงียบไม่สนใจผมแบบนี้

            ในเมื่อมันไม่ยอมฟังผม ผมเลยค่อยๆ อุ้มมันออกไปวางข้างๆ ก่อนจะเดินไปที่ครัวเพื่อเอาเจ้าตัวขาวมาวางที่โซฟาข้างๆ เจ้าตัวส้ม ซึ่งตอนอุ้มเจ้าตัวขาวมันก็มีดิ้นเล็กน้อย

            ผมเปิดดูไลน์อีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังคงไม่อ่านไลน์ผมอยู่ดี...นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้วนะ ยังทำงานไม่เสร็จอีกหรอ?

            ผมได้แต่ถอนหายใจ แล้วนั่งดูหนังต่อ พอถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนผมก็อาบน้ำเตรียมนอน เปิดเช็คไลน์อีกครั้งก็พบว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่อ่านไลน์ ผมได้แต่วางโทรศัพท์ไว้ข้างเตียงคิดว่าอีกฝ่ายคงทำงานจนเหนื่อยหลับไปแล้ว

           แต่พอจะนอนก็นึกได้ถึงเพื่อนร่วมห้อง เลยเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วต้อนเจ้าแมวทั้งสองตัวเข้ามานอนด้วยกันในห้องนอน เทน้ำวางไว้ให้เจ้าสองตัวเผื่อดึกๆ หิว ขนกระบะทรายมาไว้ที่ห้องนอน สุดท้ายไม่ลืมที่จะล็อคห้องนอนไม่ให้เจ้าแมวทั้งสองออกไปได้ ทำแบบนี้เวลาตกดึกผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะไปป้วนเปี้ยนกับอุปกรณ์ทำครัวจนได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า

           “ฝันดีนะครับ เจ้าอ้วน เจ้าขาว”

            เพราะไม่รู้ชื่อเลยได้แต่เรียกมันอย่างนี้ไปก่อน แต่เจ้าสองตัวก็ยังคงไม่สนใจผม ผมเลยได้แต่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะล้มตัวนอน หวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะเห็นข้อความของเจ้าของแมว แล้วรู้สักทีว่าเจ้าสองตัวนี้ชื่ออะไรกันแน่....




          


หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 13-01-2019 21:57:30
 







                 “เมี๊ยว~ เมี๊ยว~ เมี๊ยว!!”

            เสียงแมวและน้ำหนักบ้างอย่างที่ทับอยู่บนอกผมปลุกให้ผมต้องลืมตาตื่นจากห้วงนิทรา...สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อลืมตาก็คือดวงตาสีเหลืองโตกำลังจ้องมองผมอยู่ ใบหน้าของมันห่างจากผมไม่ถึงครึ่งฟุต

             “เชี้ย!”

             ด้วยความตกใจทำให้ผมสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที ส่งผลให้เจ้าอ้วนที่อยู่บนอกผมไม่ทันตั้งตัวกลิ้งลงไปข้างผม

             “เมี๊ยว!!” มันส่งเสียงดังประท้วงผมกลับ

             อ่า...จริงสิ เจ้าแมวทั้งสองของพายมาอยู่กับผมประมาณสัปดาห์หนึ่งนี่น่า...

             “แง้ว!! แง้ว!!! เมี๊ยว!!!!” เจ้าอ้วนตัวส้มส่งเสียงประท้วงผมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมไม่สนใจมัน

              “อ่า....รู้แล้วๆ ขอโทษน้าาาา ไม่ได้ตั้งใจนะ”

              มันหันมามองผมอีกครั้งก่อนจะส่งเสียงร้องไม่เลิกแล้วเดินไปทางประตู เอาเท้าเขี่ยประตูไปมา

              “หืม? มีอะไรเจ้าอ้วน?”

              “เมี๊ยวๆ~”

              ปากก็ร้องไม่หยุด มือก็ขูดประตูไม่เลิก

              “จะเอาอะไรหือ?”

              “เมี๊ยวๆ!”

              มันก็ยังคงทำเหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่ผมเห็นท่าทางของมันก็พอจะเข้าใจขึ้นมา “อยากออกไปจากห้องสินะ?”

              “เมี๊ยว!!” ราวกับมันตอบรับผมว่า ใช่!! ผมได้แต่ยิ้มให้มันนิดๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูให้มัน

             พอประตูเปิดออกเท่านั้นแหละมันก็รีบวิ่งไปที่จานข้าวทันที...นี่สินะสาเหตุที่ปลุกผม

             เจ้าตัวขาวที่นอนนิ่งๆ อยู่ปลายเตียง เห็นน้องตัวเองวิ่งไปห้องครัว มันก็เลยค่อยๆ เดินตามน้องมันไป

             ผมหันไปมองนาฬิกาก็เห็นว่าแปดโมงกว่าแล้ว พอเดินกลับไปที่เตียงหยิบมือถือ เปิดไลน์ขึ้นมาดู ก็ยังไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย อีกฝ่ายยังคงไม่อ่านไลน์เช่นเดิม...

             เฮ้อ...สงสัยจะงานยุ่งไม่ก็ยังไม่ตื่น

             ผมหันมองเจ้าแมวสองตัว ก่อนจะก้มหน้าพิมพ์ข้อความหาอีกฝ่าย


             Month : พายครับ สรุปเจ้าสองตัวนี้มีชื่อไหมครับ

             Month : ยังไงพายบอกผมนะครับ ระหว่างนี้ผมก็จะตั้งชื่อมันไปพลางๆ ก่อน


             เพราะถ้าอีกฝ่ายยังไม่ตอบผมอยู่อย่างนี้ เห็นทีผมอาจจะคุมเจ้าสองตัวนี้ไม่อยู่ ลองเรียกมันว่า เจ้าอ้วน เจ้าขาว เจ้าส้ม ก็แล้วมันก็ไม่สนใจราวกับผมไม่ได้เรียกมัน เพราะฉะนั้นผมต้องหาวิธีเรียกให้มันฟังเดี๋ยวผมต้องอัดคลิปทำอาหารแล้วด้วย ถ้ามันยังไม่ฟังอยู่อย่างนี้กลัวจะเกิดปัญหาตามมา....

             เอาจริงๆ เจ้าตัวส้ม ผมเรียกมันว่าเจ้าอ้วนมันก็สนใจผมนะ! แต่สนใจเฉพาะเวลามีอาหาร!!...เจ้าแมวอ้วนเอ๊ย!!!

             ว่าแล้วผมก็กดปิดไลน์ หันไปหาทางห้องครัวแล้วลองเรียกมันดูอีกครั้ง “เจ้าอ้วน! เจ้าขาว!”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว!” จู่ๆ เสียงเจ้าส้มก็ตอบรับเสียงเรียกของผมทำเอาหัวใจผมพองฟูขึ้นมา ผมรีบเดินไปหามันที่ห้องครัวทันที ก่อนจะพบสาเหตุเสียงของเจ้าแมวอ้วนตรงหน้า เล่นเอาใจที่พองฟูเมื่อกี้แฟ่บลงทันที

             ที่มันร้องเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะตอบรับที่ผมเรียกมันหรอก แต่เป็นการร้องเพราะบอกว่าอาหารหมดต่างหาก!! โอ๊ยยยยยยย เจ้าอ้วนจอมตะกละ!!

             ผมส่ายหน้าให้กับมันนิดๆ แล้วเทอาหารเม็ดที่พายเอามาให้ แต่ก่อนที่มันจะก้มหน้าลงไปกิน ผมก็ยกชามออกจากหน้าทั้งสองตัวก่อน

             “เมี๊ยว!!” เจ้าส้มร้องประท้วงขึ้นทันที

            “ไม่ได้ยังกินไม่ได้ จากวันนี้ไปอีกหนึ่งอาทิตย์ เราต้องอยู่ด้วยกัน แล้วฉันก็ไม่รู้ชื่อพวกนาย ดังนั้น ฉันจะตั้งชื่อให้แล้วเวลาเรียก พวกนายต้องตอบรับฉันนะเข้าใจไหม?!”

             “เมี๊ยว!!” เจ้าอ้วนตัวส้มตอบกลับมาอย่างหงุดหงิด ดูมันจะรู้สึกขัดใจที่ผมไปขัดขวางการกินอาหารของมัน ส่วนเจ้าตัวขาวก็ยังคงนิ่งมองผมเฉยๆ

             อืม...เอาชื่ออะไรดีนะ...ขนสีส้มตัวอ้วนๆ กับขนสีขาว....แล้วจู่ๆ เมนูอาหารบางอย่างก็ลอยขึ้นมาในหัวผม รู้แล้วว่าจะตั้งชื่อทั้งสองว่าอะไร!!

             “โอเค...ต่อไปนี้ฉันจะเรียกพวกแกสองตัวว่า หมูกรอบ กับ เต้าหู้” ผมชี้ไปที่แมวสีส้ม ตามด้วยเจ้าแมวสีขาว

             “เมี๊ยว!!” เจ้าแมวส้มยังคงส่งเสียงประท้วงผม

            “เมี๊ยว!” คราวนี้เจ้าแมวตัวขาวส่งเสียงประท้วงผมด้วยอีกตัว

            “ไหนลองสิ” ผมเดินถือชามข้าวทั้งสองชาม เดินไปที่ห้องนั่งเล่น “เจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้ มานี่เร็ว!!”

            ทั้งสองหันมามองผมนิดๆ เหมือนกำลังงงๆ ว่าผมพูดอะไรอยู่ ผมเลยเรียกมันไปอีกที

             “เจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้ มากินข้าวเร็ว~”

            ทีนี้เหมือนมันเริ่มเข้าใจว่าผมเรียกมันทั้งสอง เจ้าตัวส้มหรือที่ผมเรียกมันว่าหมูกรอบ ก็เดินมาหาผม ส่วนเจ้าตัวขาวที่ผมเรียกว่าเต้าหู้ก็ยังนิ่งอยู่

            เจ้าหมูกรอบเดินเข้ามานั่งตรงเท้าผม มันยกขาหน้าป้อมๆ ของมันสะกิดเท้าผม พลางส่งเสียงเล็กน้อยเหมือนเล็กร้องให้ผมเอาอาหารให้มัน

            “ไม่ได้นะ เจ้าหมูกรอบ นายยังกินไม่ได้ ถ้าเจ้าเต้าหู้ยังไม่ยอมเดินมาทางนี้” ผมก้มหน้าลงไปดุมันนิดๆ

            เหมือนมันจะเข้าใจที่ผมพูด มันเลยหัวไปหาเจ้าตัวขาวก่อนจะร้องเรียกอีกตัว

             “เจ้าตู้หู้มานี่เร็ว มากินข้าว” ผมเรียกมันไปอีกที

             “เมี๊ยว!” เจ้าตัวส้มก็ส่งเสียงเรียกเช่นกัน

             สุดท้ายเจ้าตัวขาวก็ดูรำคาญกับความช่างตื้อของหนึ่งคนกับหนึ่งตัว เลยยอมเดินเข้ามาหาทั้งคู่ มนุษย์คนเดียวในห้องเลยยกยิ้มขึ้นนิดๆ “ดีมาก เจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้~”

            ผมวางชามลงตรงหน้าทั้งสอง เจ้าหมูกรอบก็รีบก้มลงกินทันที ในขณะที่เจ้าเต้าหู้มองหน้าผมนิดนึงแล้วร้อง ‘เมี๊ยว~’ ก่อนจะก้มหน้าลงไปกินอาหาร ราวกับว่าจะขอบคุณผมอย่างนั้นแหละ

            โอเค สรุปตั้งแต่วันนี้ไปอีกหนึ่งอาทิตย์ เจ้าแมวสองตัวนี้จะชื่อหมูกรอบกับเต้าหู้!! ผมรีบเปิดไลน์เข้าไปบอกเจ้าของแมวทั้งสอง

   
            Month : พายครับ ทำงานอยู่สินะครับ

            Month : ผมจะทักมาบอกว่าผมตั้งชื่อให้เจ้าสองตัวนี้แล้วนะครับ

            Month : พอดีมันไม่ยอมฟังผมเลย ผมเลยตั้งชื่อให้มัน มันจะได้เชื่อฟังผมขึ้นมาสักนิด

            Month : ทำงานก็สู้ๆ นะครับ


            ผมปิดแอพพลิเคชั่นไลน์ แล้วหันมาดูเจ้าแมวทั้งสองตัวกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย




             ช่วงสายๆ หลังผมอาบน้ำทานข้าวเรียบร้อย ผมก็ลงมือทำงาน เจ้าแมวตัวส้มหรือที่ผมตั้งชื่อว่าหมูกรอบ มันก็กระโดดมาป้วนเปี้ยนแถวเคาน์เตอร์ครัว ส่วนตัวเจ้าขาวหรือเจ้าเต้าหู้นั้นมันกระโดดขึ้นไปนอนหลังตู้เย็นเป็นที่เรียบร้อย ราวกับจะยึดที่ตรงนั้นเป็นฐานที่ตั้งมั่นไปสักพัก

             พอผมทำอาหารไปได้ไม่นานเจ้าแมวอ้วนตัวสีส้มก็เดินไปมาจนบังหน้ากล้องพอดี

             “เจ้าหมูกรอบ หลบหน่อยเร็ว มันบังหน้ากล้อง”

             “เมี๊ยว~”

             มันไม่สนใจ แต่กลับเดินมาดมมือผมฟุดฟิดไปมา เรียกรอยยิ้มจากผมได้อีกครั้ง...ท่าทางของมันทำเอาผมคิดถึงวันแรกที่เจอเจ้าแมวตรงหน้า และยังเป็นวันแรกที่ผมพบกับพาย....

             ผมลูบหัวมันนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำขนมต่อท่ามกลางสายตาของเจ้าแมวอยากรู้อยากเห็นทั้งสองตัว




              เวลาผ่านไปจนถึงวันพุธ พายก็ยังไม่ตอบไลน์ผม จำได้ว่าตอนนั้นพายบอกว่าอาจจะกลับวันพุธนี่น่า....ผมกดโทรหาคนที่ไม่ยอมอ่านไลน์ แต่ก็ไม่มีคนรับเช่นเดียวกับไลน์ที่ไม่มีคนตอบ...สงสัยทำงานหนักมากจริงๆ แหละ แต่เล่นไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้ผมก็แอบอดห่วงไม่ได้

              ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ เสียงแอพพลิเคชั่นไลน์ก็ดังขึ้น ผมหันไปมองก็ผมว่ามันเป็นแจ้งเตือนจากคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่พอดี

   
              Pie : งานยังไม่เส้ดคับ เด่วกับวันสุก


              ข้อความของพายไม่ได้ตอบคำถามที่ผมเพียรถามไปหลายวัน แต่กลับพิมพ์บอกจุดประสงค์ของพายที่ไลน์มาหาผมแทนทำเอาผมสงสัยเล็กน้อย คือผมเข้าใจนะที่งานยังไม่เสร็จเลยอาจจะกลับช้า เพราะพายก็บอกผมไว้แต่แรกแล้วว่าอาจจะกลับวันศุกร์ แต่ที่ผมสงสัยคือการพิมพ์ของพายมากกว่า ถึงเราจะเพิ่งเคยคุยไลน์กันแค่ไม่กี่ประโยค แต่ก็ดูพายไม่น่าจะเป็นคนที่พิมพ์ไม่ถูกแบบนี้

             ผมพิมพ์ตอบกลับอีกฝ่ายไป


             Month : โอเคครับ ผมอยู่กับเจ้าสองตัวก็สนุกดีครับ จะดูแลพวกมันอย่างดี พายก็สู้ๆ นะครับ


              และเป็นเช่นเดิมที่อีกฝ่ายไม่อ่านไลน์ผม คาดว่าหลังพิมพ์ข้อความนี้เสร็จคงจะปิดไลน์ทันที เลยไม่ทันได้ตอบผม

              อ่า....คงจะงานยุ่งจริงๆ ผมได้แต่คิดอย่างนี้ปลอบใจตัวเองเป็นรอบที่ร้อย

              เจ้าแมวทั้งสองก็เหมือนจะจับอารมณ์ผมได้ เจ้าตัวอ้วนเดินมาวนเวียนแถวขาผม เอาหัวของมันถูไถลคลอเคลียผมไปมา ส่วนเจ้าตัวขาวเดินมานั่งข้างๆ เท้าผม แล้วเอาขาหน้าของมันแตะขาผมเบาๆ สองสามที ทั้งคู่ทำราวกับกำลังปลอบใจผม

              ผมยิ้ม เอื้อมมือลงไปลูบหัวพวกมันเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดความคิดไล่ความรู้สึกแย่ๆ ออกไป แล้วเทอาหารให้เจ้าสองตัวนี้แทน

              “ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกสองสามวันนะ”

              “เมี๊ยว!” เสียงเจ้าเต้าหู้ตอบรับผม ในขณะที่เจ้าหมูกรอบยังคงก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจผมอีก

             พอเห็นพวกมันกินอย่างมีความสุขผมก็ละสายตา แล้วเดินมาหยิบโน้ตบุ๊คเปิดยูทูปช่องตัวเองเพื่อดูคอมเม้นต์ด้านล่าง ซึ่งคอมเม้นต์ก็เต็มไปด้วยคนชื่นชมแมว แน่นอนยอดวิวก็ทะลุหลักแสนไปที่เรียบร้อย แม้มันจะยอดวิวไม่สูงเท่าคลิปที่ผมทำอาหารกับพาย แต่ก็ถือว่ายอดวิวสูงอยู่ดีสำหรับคลิปที่เพิ่งลงมาได้แค่สองวัน

              “ดังใหญ่แล้วนะเจ้าหมูกรอบ เจ้าเต้าหู้” ผมยิ้มนิดๆ ให้กับพวกมัน ก่อนจะปิดโน้ตบุ๊คลงมือเตรียมตัวถ่ายคลิปสำหรับวันนี้

              ผมเปิดดูวัตถุดิบในครัว แล้วก็พบว่ามันพร่องลงไปเยอะ เพราะช่วงนี้ผมมัวแต่วุ่นอยู่กับเจ้าสองตัวเลยไม่ได้ออกไปซื้อวัตถุดิบมาเพิ่ม ที่พวกกันต์ซื้อมาให้เมื่อวันก่อนก็ใช้หมดไปแล้ว ผมได้แต่เดินไปมาอยู่ในครัวสักพักหวังจะเจอวัตถุดิบมากกว่านี้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจแล้วกลับมานั่งหน้าคอมเหมือนเดิม ก่อนจะพิมพ์ข้อความลงในเพจของตัวเอง

              ‘ขอโทษด้วยครับ มีปัญหาเล็กน้อย พรุ่งนี้ของดการลงคลิปนะครับ^^’

             พอพิมพ์ข้อความเสร็จก็ปิดโน้ตบุ๊ค แล้วหันกลับมาสนใจเจ้าแมวสองตัว ในหัวไม่วายพลางคิดไปถึงเจ้าของแมว...อีกสองวันก็วันศุกร์...จะได้เจอกันแล้ว~

             แต่ใครจะไปคาดคิดว่าผมจะไม่ได้เจอคนที่เฝ้าคิดถึงไปอีกนานกว่านั้น....




             ในที่สุดเช้าวันศุกร์ที่ผมเฝ้ารอก็มาถึง แต่ผมก็ยังคงไม่ได้รับข้อความหรือโทรศัพท์ใดๆ จากเจ้าของแมวเลย เดาว่าพายคงมาไฟล์ทเช้า ซึ่งไฟล์ทเช้าสุดจากลำปางมากรุงเทพก็คือแปดโมง ดังนั้นกว่าจะถึงสนามบิน กว่าจะกลับมาถึงคอนโดก็คงเที่ยงกว่า ผมก็ได้แต่รออย่างใจเย็น เจ้าแมวสองตัวก็เดินมาคลอเคลียผมอย่างเช่นที่ทำตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ อาจจะเพราะอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ พวกมันเลยเริ่มรู้สึกไว้ใจผม และสนิทกับผมมากขึ้น เจ้าตัวขาวที่ตอนแรกดูจะไม่ชอบเข้าใกล้ผม ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใกล้ผมเหมือนเดิมแหละ แต่ก็ยอมให้ผมลูบหัวจับตัวมันมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว ถือความเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี

             ผมนั่งรออีกฝ่ายจนเวลาเกือบเที่ยงเสียงแจ้งเตือนไลน์จากโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

             มุมปากผมยกยิ้มไม่ต้องดูก็รู้ว่ามาจากใคร แต่แล้วพอกดเปิดดูมุมปากที่ยกยิ้มของผมก็ต้องหุบลง คิ้วค่อยๆ ขมวดขึ้นเล็กน้อย จริงอยู่ว่าข้อความนั้นมาจากคนที่ผมเฝ้ารอ แต่ใจความของข้อความนี่สิมันคืออะไร?

   
             Pie : sos มาหาที่โรงแรมด่วน!!







_________________________________________
ขอโทษทีค่ะที่หายไปหลายวัน พอดีช่วงนี้ป่วยกับมีเรื่องเครียดนิดหน่อย ยังไงช่วงนี้ก็อาจจะอัพไม่ถี่เหมือนช่วงแรกนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ ชอบไม่ชอบยังไงอย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดให้กำลังใจกันสักนิดนะคะ หรือจะแวะมาพูดคุยกันในทวิต #แมวอยู่กับผม หรือ แอคทวิต @MW_many ก็ได้น้าาาาา >_____<
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 13-01-2019 22:23:04
เปลี่ยนร่างหรอออ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-01-2019 23:42:53
เกิดอะไรขึ้นกับพาย ไม่น่าจะกลายร่างอย่างเดียวล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 14-01-2019 21:15:17
แมวน่ารักแต่ๆ งือ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 14-01-2019 21:48:13
กลายเปนแมวยาวๆไปใช่มั้ยเนี่ยะพายอ่ะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 14-01-2019 22:39:42
เกิดอะไรจึ้นตอนพายเป็นแมวรุป่าวนะ แล้วพิมตอบได้ไงอ่ะ ของให้พายปลอดภัยน้า
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 14-01-2019 23:41:40
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-01-2019 13:35:46
เอ้า กลายเป็นแมวรึ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 15-01-2019 19:10:08
จำได้ว่าพายเคยบอกชื่อแมวไว้ตั้งนานแล้วนิ ไข่แดงกับไข่ขาวไง
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-01-2019 23:42:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: dragonassist ที่ 16-01-2019 00:38:09
 :mew2: ตัวเองคะ แมวไม่ควรกินเค้กนะคะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-01-2019 01:06:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่พายกลายเป็นแมวยาวนานเลยเหรอ?  ถึงทำให้ไม่สามารถตอบไลน์ได้  แถมพิมพ์ยังผิด ๆ ถูก ๆ อีก เพราะพิมพ์ส่งตอนอยู่ร่างแมวใช่ป่ะ?

แต่...เมสเสจสุดท้ายเนี่ยคืออะไร?  ใครพิมพ์มา?  โรงแรมที่ว่าคือโรงแรมอะไร ที่ไหน?
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 17-01-2019 11:14:46
พายงานเข้า

 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 18-01-2019 17:25:34



บทที่ 9 : แมวของผม...ต้องการความช่วยเหลือ




           ทุกครั้งที่ผมมาทำงาน ผมต้องกลายร่างเป็นแมวเสมอๆ งานช่างภาพถือเป็นหนึ่งในงานที่เหนื่อย แต่ผมก็อยากจะทำ ผมรักที่จะทำงานนี้ ผมชอบความงามของธรรมชาติ ชอบที่จะท่องเที่ยว ถ่ายทอดความงามเหล่านั้นให้คนอื่นได้เห็น แม้มันจะเสี่ยง มันจะลำบาก แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำมันต่อไป

           แน่นอนโรงแรมที่ผมจองย่อมเป็นโรงแรมที่สามารถพาสัตว์เลี้ยงเข้ามาพักได้ พอเช็คอินเข้าห้องพักอย่างแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงโรงแรมอย่างที่ผมทำทุกครั้ง คือ เปิดโน้ตบุ๊ค เสียบสายชาร์ตค้างไว้ พร้อมต่อโน้ตบุ๊คพ่วงกับแป้นคีย์บอร์ด  ไม่ลืมที่จะต่อเม้าส์เลเซอร์เข้ากับโน้ตบุ๊คไว้ด้วย
          
            ความจริงโน้ตบุ๊คผมใช่ว่าแป้นคีย์บอร์ดจะเสียหรอกนะ แต่ผมทำทุกอย่างนี้เพื่อป้องกันเวลากลายเป็นแมว เพราะแป้นคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊คมันเล็กไปหน่อยใช้แป้นคีย์บอร์ดอันใหญ่สำหรับคอมจะพิมพ์สะดวกกว่า

           สองวันแรกผมออกไปถ่ายรูปวัด น้ำตก บ่อน้ำร้อน แต่พอวันที่สามผมกลับกลายเป็นแมว โชคดีที่ผมเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว เลยไม่ลำบากมาก

           ผมใช้เท้าแมวๆ กระโดดขึ้นไปที่โต๊ะทำงาน ใช้ขาหน้าค่อยๆ เลื่อนเม้าส์ กดเปิดโปรแกรมเอกสาร ก่อนจะเริ่มต้นทำงาน ท่าทางมันก็ออกจะทุลักทุเลเล็กน้อย

            หันมองหน้าเอกสารเปล่า ผมร่างไว้แล้วว่าคอลัมน์นี้จะนำเสนอจังหวัดนี้ในมุมมองไหน เลยไม่ยากนักที่จะเรียบเรียงพิมพ์ข้อความออกมา แต่ที่ยากคือเท้าแมวๆ นี่แหละที่ทำให้ผมกดแป้นคีย์บอร์ดไม่ถนัด!! โอเคแม้ปุ่มแป้นคีย์บอร์ดที่ต่อเข้ามามันจะทำให้พิมพ์ง่ายขึ้น แต่มันก็ค่อนข้างยากสำหรับแมวอยู่ดีโดยเฉพาะพวกตัวอักษรที่ต้องกดปุ่ม Shift ด้วย ผ่านไปจนเวลาตกเย็นผมก็พิมพ์ข้อความได้ประมาณหนึ่งหน้า เล่นเอาผมหอบเล็กน้อย ผมคิดว่าคงพอแล้วสำหรับวันแมวๆ นี้

            ผมเดินไปหัวเตียง คาบขนมปังมาวางไว้บนโต๊ะ ใช้เล็บแมวกรีดซองก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดึงขนมปังออกมากิน...คิดถูกจริงๆ ที่ซื้อขนมปังมาตุนไว้

            ผมก้มหน้าอ่านบทความที่ตัวเองพิมพ์เมื่อกี้ด้วยข้อจำกัดของเท้าแมวทำให้ผมพิมพ์ผิดเยอะอยู่พอสมควร แต่เดี๋ยวตอนกลับเป็นคนค่อยมาแก้ก็ได้

             ผมกินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเลยปีนกลับไปที่เตียง...ของีบสักแป๊ปละกัน



   
            รู้ตัวตื่นมาอีกทีด้านนอกก็มืดสนิทเสียแล้ว มองไปรอบๆ ก็รู้ทันทีว่าผมกลับเป็นคนแล้ว ก้มมองมือตัวเองเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานแล้วก็พบว่าผมกลับเป็นคนแล้วจริงๆ

            ผมลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลาก็พบว่าตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว จะนอนต่อก็กลัวจะเพลิน เลยลุกขึ้นมาอาบน้ำ แล้วนั่งแก้บทความที่พิมพ์ผิดทั้งหลาย

            พอฟ้าเริ่มสว่างผมก็ละสายตาจากจอคอมตรงหน้า ยังคงเปิดโน้ตบุ๊คเสียบที่ชาร์ตแบตทิ้งไว้เช่นเดิม เพราะแอบไม่ไว้ใจว่าจะกลายเป็นแมวตอนไหน อย่างน้อยเปิดคอมไว้ก็ย่อมดีที่สุด เพราะเมื่อกลายเป็นแมว เท้าของแมวทำให้ผมทำอะไรกับโทรศัพท์ได้เลย แต่อย่างน้อยถ้าเปิดโน้ตบุ๊คไว้ในนั้นมีโปรแกรมไลน์ หากเกิดอะไรเร่งด่วนผมก็จะสามารถติดต่อคนอื่นได้

            ผมเตรียมตัวออกไปถ่ายรูปเพิ่มเติม พอเสร็จวันนี้ก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย พรุ่งนี้ก็เตรียมตัวกลับได้โชคดีที่งานไม่ยืดเยื้อมาก จะได้รีบกลับไปหาเจ้าสองตัวนั้นเร็วๆ รู้สึกเกรงใจมันธ์ด้วยที่ต้องอยู่ดูแลเจ้าสองตัวนั้น

            แต่สุดท้ายเหมือนอะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ พอตกเย็นผมกลับถึงห้อง ผมก็กลับเป็นแมวอีกครั้ง...น่าแปลกรู้สึกช่วงนี้ผมกลายเป็นแมวบ่อยขึ้น แถมแต่ละครั้งก็อยู่ในร่างแมวนานขึ้นเช่นกัน 

            พรุ่งนี้ผมต้องเช็คเอ้าท์ก่อนเที่ยง ตอนนี้เพิ่งสี่โมงเย็น ยังไงก็น่าจะไม่มีปัญหา กลับเป็นคนทันแน่ๆ

           ผมเดินไปมาในห้องเท่าที่เท้าเล็กๆ จะเอื้ออำนวย แล้วตัดสินใจคาบเสื้อผ้าบางส่วนโยนลงกระเป๋า โชคดีที่ผมเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่มา แม้จะโยนๆ เสื้อผ้าลงกระเป๋าโดยไม่พับก็ยังคงมีพื้นที่เพียงพอให้ใส่เสื้อผ้าทั้งหมด

            ตอนนี้บทความก็เรียบร้อยดี ขาดก็แค่รูปภาพที่ผมยังไม่ได้แต่งรูป แต่เอาไว้กลับไปค่อยทำก็ยังทัน เพราะเดดไลน์ผมคือวันอาทิตย์

            ผมนั่งคิดสักพักว่าเหลืออะไรบ้างที่ต้องทำ ตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นกล่องบนโต๊ะ กล่องสองใบ ซึ่งใบหนึ่งผมซื้อมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก ส่วนอีกใบผมเตรียมไว้เพื่อที่จะเอาไปเป็นของฝากคนข้างห้องที่อยู่ดูแลแมวผมมาเกือบหนึ่งสัปดาห์

            ผมหยิบมันออกมาดูอีกครั้ง ด้านในกล่องเป็นแก้วเซรามิกสีเทาใบหนึ่ง...

            ผมเจอแก้วใบนี้ตอนขากลับจากวัด ตอนนั้นรถเวียงขับผ่านร้านเซรามิก ผมรีบบอกให้ลุงจอดรถทันที ร้านนั้นขายพวกชาม เครื่องปั้นดินเผา ป้ายร้านบอกราคาเริ่มต้นที่ห้าบาท ลักษณะร้านเป็นร้านตั้งเตนท์ขนาดใหญ่ อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยชื่อดังไปไม่มาก ผมเดินเข้าไปดูด้วยความสนใจ ในร้านนั้นละลานตาไปด้วยถ้วยชามหลายไซส์หลายขนาด สีสันรูปทรงหลากหลาย ผมเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดตาที่แก้วใบหนึ่ง

            มันเป็นแก้วกาแฟทั่วไป เป็นสีขาว แต่ที่แปลกว่าปกติคือตรงส่วนหูจับ มันเป็นลายลักษณะเหมือนหางแมว ปากแก้วมีสามเหลี่ยมขึ้นมาเล็กน้อยสองอัน มองจากด้านหน้าถึงมองออกว่ามันคือหูแมว ส่วนตรงตัวแก้วก็เพ้นท์ลายหน้าแมว
 
            น่ารัก...

            แล้วจู่ๆ หน้าเพื่อนข้างห้องก็ลอยเข้ามา จริงๆ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่ามันธ์ดูจะชอบแมวมากๆ แม้เขาจะไม่ได้เลี้ยงแมวก็ตาม...

             ผมหยิบแก้วใบนั้นขึ้นมาเตรียมจะนำไปจ่ายเงิน ทันใดนั้นเองผมก็เห็นว่าใบที่วางอยู่ด้านหลังแก้วสีเทาใบนี้ เป็นแก้วแมวเหมือนกัน แต่มีสีเทา

             เห็นแล้วก็อยากได้เองแฮะ....

             สุดท้ายผมเลยตัดสินใจหยิบแก้วสีเทานั้นมาด้วย ก่อนจะนำทั้งสองใบไปจ่ายเงิน ซึ่งราคาแก้วถูกเกินคาด สองใบรวมกันไม่ถึงร้อยเลย สมกับเป็นเมืองส่งออกเซรามิกรายใหญ่จริงๆ

            ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดเมื่อคาดคิดถึงปฏิกริยาของมันธ์เมื่อเห็นแก้วใบนี้ เขาคงมีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นเคยแน่ๆ ปากก็คงพูดว่า ‘ขอบคุณมากครับ ผมจะใช้แก้วใบนี้อย่างดี’ แน่ๆ เลย

            ยังไม่ทันคิดว่าจะทำอะไรต่อผมก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอีกแล้ว สี่เท้าเลยกระโดดกลับไปที่เตียงนอน แล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว หวังว่าพรุ่งนี้พอกลับถึงคอนโดผมจะได้พักเสียที



   
            แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างหวังเมื่อผมตื่นขึ้นมาผมยังคงอยู่ในร่างแมว!!  ผมรีบกระโดดไปที่โต๊ะข้างหัวเตียงด้วยความร้อนรน ใช้ขาหน้ากดปุ่มโฮมโทรศัพท์มือถือพบว่าตอนนี้แปดโมงกว่า ผมกลายร่างเป็นแมวมากว่าสิบหกชั่วโมงแต่ก็ยังไม่กลับเป็นคน....

             จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี ผมเดินไปเดินมาในห้อง พยายามรวบรวมสติตัวเองไม่ให้แตกตื่นไม่กว่านี้

             โอเค ตอนนี้ผมควรจัดการปัญหาเรื่องโรงแรมนี่ก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะกลับร่างเดิมทันไหม ส่วนตั๋วเครื่องบินที่จองไว้รอบเย็นก็คงต้องทิ้งไป

             ผมใช้ขาหน้าค่อยๆ เลื่อนเม้าส์คลิกเข้าอินเตอร์เน็ต กดเข้าเว็บเพื่อส่งอีเมลล์

             ผมเลือกที่จะใช้ภาษาอังกฤษพิมพ์อีเมลล์ เพราะแป้นคีย์บอร์ดถ้าใช้ขาหน้าของแมวพิมพ์จะสะดวกกว่า ไม่ต้องกดปุ่ม Shift เหมือนภาษาไทยให้ยุ่งยาก แม้จะกลายเป็นว่าผมพิมพ์ตัวอักษรอังกฤษพิมพ์เล็กทั้งหมด แต่ใจความก็ยังคงครบถ้วน ดีกว่าพิมพ์ภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ จนทางโรงแรมอาจคิดว่าเป็นอีเมลล์ขยะ

              ใช้เวลากดพิมพ์เกือบชั่วโมงกว่าจะเสร็จ จากนั้นก็กดส่งเข้าอีเมลล์ของโรงแรม รอเพียงไม่เกินห้านาทีทางโรงแรมก็ส่งกลับมาว่าเขาสามารถพักต่อได้อีกจนถึงวันศุกร์

              โอเคอย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถอยู่ในห้องเฉยๆ ไปได้อีกสองวัน ผมทำใจให้สงบขึ้น สองวันน่าจะเป็นเวลาเพียงพอที่จะทำให้เขากลับร่างเดิม จากประสบการณ์ที่มีมาทั้งหมด ผมจะกลายเป็นแมวนานสุดไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนนี้ก็ผ่านไปสิบเจ็ดชั่วโมงแล้วอีกไม่เกินเจ็ดชั่วโฒงผมก็น่าจะกลับร่างเดิม ขึ้นได้อย่างนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เลยกระโดดกลับไปที่เตียง

              RRRRR

              ยังไม่ทันที่จะได้หลับ เสียงโทรศัพท์มือถือผมก็แผ่ดเสียงลั่นจนผมสะดุ้ง ผมเดินมาดูก็พบว่าเป็นเสียงเรียกเข้าจากมันธ์ อยากจะรับแต่ก็รับไม่ได้ รอสักพักเสียงก็เงียบลง ผมจึงกระโดดกลับไปที่โต๊ะทำงาน แล้วกดเข้าโปรแกรมไลน์ ตลอดระยะเวลาที่ผมมาที่นี่ผมไม่ได้เข้าไลน์เลยสักนิด เข้าไลน์ครั้งล่าสุดก็คือตอนที่ส่งไปบอกอีกฝ่ายว่าเขามาถึงโรงแรมแล้ว

              พอคลิกเข้าไปดูก็พบว่าแจ้งเตือนของผมมีทั้งจากนิวและจากมันธ์ ผมคลิกเข้าไปดูที่นิวส่งมาให้ก่อน มันเป็นรูปภาพสั่นๆ รูปหนึ่งที่มองแทบไม่ออกว่ามันคืออะไรเพียงแค่รูปเดียวกับข้อความอะไรไม่รู้ไม่เป็นภาษา ผมเลิกสนใจข้อความจากนิว หันไปเลื่อนเม้าส์ไปกดดูข้อความของอีกคนที่มีจำนวนแจ้งเตือนเยอะกว่าเท่าตัว

             มันธ์ไลน์มาหาผมเยอะแยะ แต่จะให้ผมพิมพ์ตอบก็ไม่ไหว ผมเลยทำได้แค่พิมพ์ตามความจำเป็น


             Pie : งานยังไม่เส้ดคับ เด่วกับวันสุก


            เท้าแมวๆ ที่ทำให้พิมพ์ยากกว่าเดิมหลายเท่า แต่สุดท้ายผมก็สามารถพิมพ์ข้อความสั้นๆ บอกอีกฝ่ายได้ ผมเลื่อนเม้าไปกดปิด แล้วเดินกลับมาที่เตียงเช่นเดิม ความรู้สึกง่วงจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ผมจึงค่อยๆ ล้มตัวลงนอน




            สุดท้ายผ่านไปสองวันผมก็ยังคงเป็นแมว!!! แปลก...นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ผมไม่เคยกลายเป็นแมวนานขนาดนี้มาก่อน แลัววันนี้ผมต้องเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้วด้วย

            ผมเปิดอิเมลล์ก่อนจะพิมพ์หาโรงแรมเช่นเดิม ใจความของมันคือขออยู่ต่อจนถึงวันอาทิตย์ แต่คราวนี้ไม่เป็นดังหวัง เพราะทางโรงแรมส่งกลับมาว่าเสาร์-อาทิตย์นี้มีคนจองห้องผมเสียแล้ว เพราะฉะนั้นผมสามารถนอนต่ออย่างมากสุดได้แค่หนึ่งคืนและอาจจะต้องย้ายห้องหรือหากไม่ประสงค์จะพักต่อก็ต้องเช็คเอ้าต์ก่อนเที่ยงวันเสาร์ ผมได้แต่ตอบกลับโรงแรมไปว่าตกลงผมจะพักต่ออีกคืน

             คราวนี้แหละปัญหาใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าผมจะกลับเป็นมนุษย์ทันพรุ่งนี้ไหม ผมรีบกดเข้าไลน์แล้วพิมพ์ข้อความไลน์ไปหานิว บอกให้มันมาช่วยเหลือผมด่วน แต่จนแล้วจนรอดเวลาผ่านไปจากเช้าเป็นสาย จากสายเป็นเกือบเที่ยง นิวก็ยังคงไม่ตอบกลับข้อความผม ไม่แม้แต่จะอ่านด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองที่ผมนึกได้ว่านิวมันไม่อยู่ไทยนี่น่า....

             เอาไงดี....เอาไงดี......

             ผมเดินวนไปวนมา ในหัวก็คิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหาตรงหน้ายังไงดี สายตาเหล่ไปเห็นไลน์จากคนข้างห้อง ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที

             เอาวะ เป็นไงเป็นกัน แก้ปัญหาตอนนี้ก่อน ปัญหาวันหน้าก็ค่อยคิดวันหน้า!!

             คิดได้ดังนั้นผมก็เปิดไลน์ในคอมก็ใช้ขาหน้าพิมพ์ส่งข้อความหามันธ์

   
            Pie : sos มาหาที่โรงแรมด่วน!!
 
            Pie : 405


            พอจะกดพิมพ์ต่อจู่ๆ ผมก็รู้สึกวูบแล้วทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็นความมืด




             ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

             เสียงเคาะประตูปลุกผมตื่น ผมมองรอบๆ ห้องไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วแต่ตอนนี้รอบตัวมืดสนิท

             ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

             เสียงประตูห้องดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเรียกจากอีกฟากประตู “พายครับ? พายอยู่ไหมครับ?”

             เสียงมันธ์ดังขึ้นทำเอาผมตื่นเต็มตา มองรอบตัวที่ยังคงดูใหญ่กว่าปกติไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้ว่าผมยังคงอยู่ในร่างแมวแน่ๆ

            “พายครับ? ได้ยินรึเปล่า? เป็นอะไรรึเปล่าครับพาย?” เสียงจากมันธ์ที่อยู่อีกฟากของประตูยังดังขึ้นอีกครั้ง

           ฉิบหาย! เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เอาไงดีล่ะทีนี้

            RRRRR

            คราวนี้เป็นเสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ผมวิ่งไปดูก้พบว่าเป็นสายเรียกเข้า แล้วก็พบว่ามันคือสายเรียกเข้าจากคนที่อยู่อีกฟากของประตู...สายเรียกเข้าจากมันธ์

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “พายครับ อยู่ในห้องใช่ไหม ผมได้ยินเสียงมือถือ พายครับ?”

            ฉิบหายแล้ว....ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันธ์จะไปเรียกพนักงานมาเปิดประตูห้องผม

           ผมรีบกลับไปที่คอมก่อนพิมพ์ไลน์หาคนที่อยู่อีกฟากของประตูแต่ยังไม่กดส่ง พอพิมพ์เสร็จก็รีบวิ่งไปคาบกุญแจมาที่ประตู

           โชคดีที่ระหว่างพื้นห้องกับประตูมีช่องนิดๆ พอที่จะลอดกุญแจออกไปได้ ผมปล่อยกุญแจที่คาบเอาไว้ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยกุญแจออกไปข้างนอก แล้วรีบกลับมาที่โต๊ะทำงาน พอมันธ์ไขกุญแจเข้ามาในห้องปุ๊ปผมก็กดส่งข้อความที่พิมพ์ค้างไว้ทันที

            มันเป็นข้อความภาษาอังกฤษที่มีใจความสั้นๆว่า ‘มีงานด่วนฝากเอาแมวกับของกลับไปกรุงเทพให้ด้วย’

           มันธ์กดเปิดไฟห้องแล้วก้มหน้าอ่านข้อความเพียงแว่บเดียวก็กลับมามองผม ผมก็จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ

           “เจ้าตัวเล็ก?”

            “ครับ?” ผมส่งเสียงถามกลับไปตามความเคยชินแต่แน่นอนว่าเสียงของผมอีกฝ่ายคงได้ยินว่าเมี๊ยวเช่นเดิม

            “ทำไมมาอยู่นี่? ไหนว่าอยู่กับแม่เพื่อนพายไง??”

            อ่า...นั่นสิ...ผมลืมไปเลย

            อีกฝ่ายไม่ทันฟังคำตอบของผมก็เดินไปที่กระเป๋า ก็แน่ล่ะถึงมันธ์จะนั่งฟังผมสักชั่วโมงสิ่งที่มันธ์เข้าใจก็ยังคงเป็นแค่เสียงเมี๊ยวๆ ของผมนั่นแหละ

            มันธ์ก้มหน้าพิมพ์อะไรสักอย่างลงโทรศัพท์ แล้วเสียงไลน์ทั้งจากมือถือและจากโน้ตบุ๊คก็ดังขึ้นพร้อมกัน ผมก้มลงไปดู ก่อนจะเห็นข้อความว่าเป็นมันธ์คนเดิมที่ส่งข้อความมา


            Month : พายไปไหนครับ แล้วให้ผมเอาของไปหมดเลยหรอครับ?


            ผมเห็นข้อความของอีกฝ่ายแล้วแต่ก็ไม่รู้จะตอบกลับยังไง อีกฝ่ายก็ได้แต่ถอนหายใจและเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ก่อนจะก้มลงสนใจกับกระเป๋าเดินทางของผม จังหวะนี้เองที่อีกฝ่ายมัวแต่สนใจอย่างอื่นอยู่เลยไม่ทันเห็นผม ผมก็รีบพิมพ์ข้อความส่งกลับไปทันที


             Pie : yes 


            มันธ์ทำหน้ายุ่งเล็กน้อยก่อนจะหันมองรอบห้องคร่าวๆ แล้วตัดสินใจเทของในกระเป๋าผมออกมาทั้งหมดทันที

            เอ๋?!

             ผมรีบกระโดดไปหาร่างสูงเพื่อดูว่าเขาต้องการจะทำอะไร แล้วผมก็เห็นว่าเขากำลังนั่งพับผ้า?! มันธ์กำลังรื้อของในกระเป๋าผมออกมาเพื่อจัดระเบียบให้มันเรียบร้อย สายตาผมเหลือบไปเห็นบางสิ่ง จึงรีบเข้าไปคาบมันออกมารู้สึกอายเหมือนกันที่ต้องมาคาบชั้นในตัวเองแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายเห็นแหละ แต่ถึงจะพยายามแอบทำโดยย่องเบาแค่ไหน สุดท้ายมันธ์ก็ดันสังเหตเห็นผมอยู่ดี ผมเลยโดนอีกฝ่ายจับตัวไว้ทันทีและโดนบังคับให้ปล่อยสิ่งที่คาบไว้ออกมา

             “ไม่ซนนะครับ” เขาบ่นกับผมนิดหน่อยแล้วอุ้มผมไปวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะหันไปยุ่งกับการจัดกระเป๋าต่อ ไม่ถึงครึ่งชัวโมงมันธ์เดินไปที่ห้องน้ำ แล้วออกมาพร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ผมวางไว้ในห้องน้ำ มันธ์จัดการยัดพวกมันใส่ถุงพลาสติกก่อนจะวางลงในกระเป๋าเดินทาง

              ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง มันธ์ก็ปิดกระเป๋าผมเสร็จเรียบร้อย เขาหันมาจัดการกับโต๊ะทำงานของผมต่อ ผมปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการไป ส่วนตัวเองก็เดินมาดูห้องน้ำเผื่อเช็คของดูว่ามันธ์ตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า แต่ก็พบว่าในห้องน้ำไม่มีของของผมหลงเหลืออยู่เลย เดินไปดูตู้เสื้อผ้าหน้าห้องน้ำ ในนั้นก็โล่งเปล่า เดินไปดูบริเวณอื่นก็ไม่พบของของผมตกหล่นอยู่ โอเค...มันธ์เก็บของผมครบหมดจริงๆ

             ยังไม่ทันที่มันธ์จะเก็บโน้ตบุ๊คผม เขาก็เห็นกระเป๋าเงินของผมวางอยู่บนโต๊ะ มันธ์หยิบขึ้นมาดูพลางบ่นพึมพำขึ้นมาราวกับใช้ความคิดพูดย้ำๆ ทบทวนความเป็นไปได้ไปมา “กระเป๋าตังค์กับมือถือก็อยู่นี่แล้วจะหายไปไหนได้ยังไง?”

             เขาเลิกเก็บของแล้วก้มหน้าพิมพ์บางอย่างในมือถือ  แล้วก็หยุด ทำเพียงจ้องมองมือถือเครื่องนั้น สักพัก แต่แล้วก็ถอนหายใจก่อนจะเก็บมันลงไปยังกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม

              RRRRR

              เสียงโทรศัพท์ของมันธ์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม แต่พอเห็นชื่อปลายสายใบหน้านั้นก็หุบยิ้ม แล้วกดรับ

             “ว่าไง”

              ผมกระโดดขึ้นไปบนเตียงนั่งลงข้างๆ มันธ์ แอบลอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่าย

              “อือ ถึงแล้ว โชคดีที่มาทันตั๋วเครื่องรอบสุดท้าย”

             อ่า...จริงสิผมส่งข้อความไปหาอีกฝ่านตอนเที่ยง ตอนนี้แม้ผมจะยังไม่รู้เวลาแต่ดูจากที่ด้านนอกมืดแล้วมันคงเป็นเวลาค่ำๆ ฟังจากบทสนทนาแสดงว่ามันธ์คงจองตั๋วเครื่องบินรอบเย็นเพื่อมาหาผมแน่ๆ

             “เรียบร้อยแล้ว โรงแรมที่พายส่งโลเคชั่นมาให้นั่นแหละ ห้อง 405”

              พูดแล้วอีกฝ่ายก็ฝั่งอีกฝั่งของสายพูด

             “ไม่รู้ว่ะ ไม่เจอ”

               ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร ได้แต่นั่งฟังแล้วคาดเดาไป

              “เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับ อือ ฝากเจ้าแมวทั้งสองตัวด้วยนะพลอย”

               พูดจบมันธ์ก็กดวางสาย แต่ยังคงกดโทรศัพท์ต่อ เข้าฟังเสียงจากปลายสายประมาณเกือบสิบนาที ก่อนจะเริ่มบทสนทนาขึ้น ผมพอจับใจความได้ว่าเขาจะจองเครื่องบินกลับกรุงเทพ แล้วก็พูดอะไรเกี่ยวกับแมวนิดหน่อยก่อนจะกดวางสาย มันธ์มองมือถือในมืออยู่สักครู่ก่อนจะหันมาหาผม

              “อยู่ในห้องนี้คนเดียวแป๊ปนะ เดี๋ยวผมมา”

               “เมี๊ยว~”

               เขาลูบหัวผมเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินและออกจากห้องไป

               พอเห็นว่าอีกฝ่ายไปผมก็รีบกลับไปที่โน้ตบุ๊คโชคดีที่ตะกี้มันธ์ยังไม่ทันเก็บมันไป ผมกดเปิดไลน์ พิมพ์ข้อความภาษาอังกฤษหาอีกฝ่ายทันที บอกเพียงว่าผมมีธุระด่วนไปกับเพื่อนที่เจอกันทีนี่ ด้วยความรีบเลยไม่ทันได้เอาอะไรไปรวมไปถึงโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงิน ยังไงก็รบกวนให้พายเก็บทั้งหมดกลับกรุงเทพให้ด้วย ผมมองข้อความอีกครั้งจนคิดว่าครบถ้วนพอแล้วก็รีบกดส่งอีกฝ่ายทันที ซึ่งมันก็ขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วอย่างรวดเร็ว ผมเห็นดังนั้นจึงผมเดินกลับไปที่เตียงแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอน



   
               ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่อยู่บนหัว มันธ์กลับมาแล้ว....มองไปรอบห้องก็พบว่าทุกอย่างถูกเก็บลงกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย

               “เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลกันหน่อยนะ” เขาว่าพลางยื่นไส้กรอกมาให้ผม ผมรับมากินอย่างว่าง่าย ส่วนเขาก็หันไปกินข้าวกล่องของตัวเอง

               ไม่นานหนักทั้งคนทั้งแมวก็กินอาหารเสร็จเรียบร้อย มันธ์ก็ยังคงวุ่นอยู่กับโทรศัพท์มือถือ สีหน้าเริ่มดูไม่ดีขึ้นมาเป็นระยะ

                “เจ้านายแกหายไปไหนเนี่ย?”

                “เมีี๊ยว!”

               ให้ตายยังไงมันธ์ก็คงฟังผมไม่ออกอยู่ดี เขายิ้มให้ผมอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำอยู่ประมาณสิบกว่านาที พอออกมาจากห้องน้ำเขาก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที  ผมมองมันธ์อยู่สักพักแต่ไม่เห็นเขาขยับตัวจึงเดินเข้าไปมองหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ

               หลับหรือยังนะ?

               แล้วจู่ๆ อีกฝ่ายก็คว้าตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวจนส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ

               “แง้ว!!”

              “ขอกอดหน่อยนะครับ” เขาพูดพลางคลายอ้อมกอดให้ผมได้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น พอผมทำท่าจะหนีมันธ์ก็จะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นทันที

              “เจ้าตัวเล็กอย่าหนีสิ เจ้านายแกหนีฉันไปแล้ว แกก็อย่าหนีฉันไปอีกคนสิ”

              ได้ยินอย่างนั้นผมก็หยุดดิ้น หันไปมองคนที่พูดทันที แต่อีกฝ่ายก็หลับตาลงเป็นการตัดบทสนทนาทั้งหมด ผมได้แต่คอลเคลียคนที่หลับ อยากบอกเหลือเกินว่าขอโทษนะครับ...



   
              ช่วงสายผมตื่นขึ้นมาก็เห็นอีกฝ่ายอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อย มันธ์ยิ้มให้ผมนิดๆ สีหน้าของอีกฝ่ายดูเคร่งเครียด

               มันธ์ยื่นทูน่ากระป๋องที่เปิดแล้วมาให้ผม

              “ตื่นแล้วก็กินซะหน่อยนะ”

              “เมี๊ยว~”

              ผมขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน

             ไม่นานหนักพอพวกเรากินเสร็จมันธ์ก็หันไปสะพายกระเป๋าเป้

             “เราไปกันเถอะ”

             ว่าแล้วมันธ์ก็เปิดประตูห้องทิ้งไว้แล้วเดินเข้ามาลากกระเป๋าไปไว้ข้างนอกก่อนจะกลับมาสะพายกระเป๋ากล้องของผมไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างจับผมอุ้มขึ้นและไม่ลืมที่จะถือกระเป๋าของตัวเองไปด้วยตอนนั้นเองที่สายตาผมหันไปเห็นของที่อยู่บนโต๊ะ

             “เมี๊ยว!! เมี๊ยว! เมี๊ยว! แง้ว!” ผมส่งเสียงร้องโวยวายพลางดิ้นไปมาทันที จนอีกฝ่ายต้องปล่อยตัวผมลงผมใช้จังหวะนี้ปีนกลับไปที่โต๊ะทำงาน เอาเท้าเขี่ยกล่องบางอย่าง

              “หืม? อะไรเจ้าตัวเล็ก?”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว!”

              ขาหน้าผมแตะที่กล่องทั้งสองไปมาพยายามให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ

               “หืม? จะให้เอาไปด้วยหรอ?”

              พออีกฝ่ายเข้าใจที่ผมต้องการสื่อผมก็รีบส่งสียงร้องยืนยันไปทันที

               มันธ์หยิบกล่องทั้งสองใบขึ้นมาดู ก่อนจะเปิดมันออก  พอเห็นของข้างในเขาก็หันมามองผม

              “ของพายหรอ?”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยว!” ผมส่งเสียงโวยวายอีกครั้ง

              “โอเคครับ โอเค เข้าใจแล้ว”

              มันธ์ถอดเป้ที่สะพายอยู่ออกก่อนจะยัดกล่องทั้งสองใบนั้นลงกระเป๋าเป้ โชคดีที่มันยังพอมีที่ว่างยัดลงไปได้ คราวนี้ทั้งคนทั้งแมวก็พร้อมออกเดินทาง

              มันธ์ลงมาเช็คเอ้าท์โรงแรม แน่นอนผมไม่ได้บอกอะไรอีกฝ่ายไว้ เขาก็เลยต้องจ่ายค่าโรงแรมให้ผมไปก่อน มันธ์เหมารถแท็กซี่ไปยังเชียงใหม่ซึ่งราคาแพงหูฉี่ แต่เพราะมีผมที่เป็นแมวอยู่ด้วยเลยไม่สามารถขึ้นรถทัวร์หรือรถตู้ไปเชียงใหม่ได้ มันธ์เลยต้องเหมาแท็กซี่ไป

              พอเรามาถึงไปสนามบินเชียงใหม่ มันธ์ก็จัดการนำผมไปเช็คอิน ซึ่งแน่นอน ว่าผมต้องถูกขังอยู่ในกรง และเดินทางไปคนละส่วนกันคน พอจัดการกับผมเรียบร้อยมันธ์ก็ลูบหัวผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับไปจัดการกับตั๋วของตัวเอง โชคดีที่เราก็เดินทางกันปลอดภัยไม่มีปัญหาอะไร กว่าจะถึงกรุงเทพก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆ แล้ว

            






หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 8 [13/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 18-01-2019 17:26:26
                  






                จากสนามบินมาถึงคอนโดใช้เวลาไม่นาน ตลอดเวลาที่เดินทาง มันธ์ก็ยังคงทำหน้าเคร่งเครียดไม่มีรอยยิ้มเหมือนทุกที

                เมื่อมันธ์เปิดประตูเข้าห้องตัวเอง ผมก็เห็นผู้หญิงคุ้นหน้าคุ้นตานั่งลูบหัวเจ้าตัวอ้วนไปมา ข้างๆ กันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่

               “คุณพายคะ?” เสียงเจ้าไข่ขาวร้องเรียกผมทันที

               “มาแล้วหรอมึง?” คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายดังออกมาจากในครัว

                “อ่ะ แมววววววววว น้องงงงงงงงงง” หญิงเดียวในห้องพุ่งตรงเข้ามาหาผม แล้วแย่งผมไปอุ้ม โดยเจ้าแมวตัวขาวก็เดินมาป้วนเปี้ยนแถวๆ ผม คอยถามผมด้วยความเป็นห่วง ผมก็ตอบมันไปคำสองคำ หูพยายามฟังบทสนทนาของเจ้าของห้องกับเพื่อนของเขา

               “แล้วสรุปยังไง? ทำไมมีแมว?” เสียงผู้ชายที่นั่งข้างผู้หญิงดังขึ้น เขาลุกเดินมาหามันธ์

               “ไม่รู้ว่ะ”

               “อะไรคือไม่รู้?”

               “ก็กูไปหาพาย แต่ไม่เจอว่ะ”

                “อ้าว...มึงอุส่าถ่อไปหาเขาถึงลำปาง แต่ไม่เจอคืออะไร? แล้วนี่ของทำไมเยอะแยะ?”

                ผมเห็นเพื่อนของมันธ์เดินมาที่โต๊ะกินข้าว แล้วยื่นน้ำให้มันธ์ มันธ์รับมาก่อนจะอธิบายให้เพื่อนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

                “ก็กูไปถึงก็ไม่เจอใครเลย เจอแต่แมวของพายกับของของพาย”

                “อ้าวแล้วงี้เจ้าตัวหายไปไหน”

               “กูไม่รู้เลย เขาแค่ส่งไลน์มาบอกกูว่าฝากเก็บของกับฝากแมวกลับมาหน่อย กูไม่รู้เลยเขาหายไปไหน ของก็อยู่ครบ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ โน้ตบุ๊ค มือถือ กระเป๋าเงิน ทุกอย่างอยู่ครบ แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่....” มันธ์พูดอย่างร้อนรนน้ำเสียงดูมีความกังวล

               “เฮ้ย...ได้ไง แล้วพี่พายเขาจะหายไปไหน กระเป๋าเงินกับมือถือก็ไม่เอาไปเนี่ยนะ?? มึงกูว่าโทรแจ้งตำรวจเถอะ ขนาดนี้แล้ว มันผิดปกติไปนะ”

              “อืม....กูก็เป็นห่วง เหี้ยเอ๊ย!! กูไม่น่ากลับมาเลย!!”

              เพล้ง!
 
               เสียงแก้วแตกกระจายอย่างแรง เรียกเอาทุกคนที่อยู่ในห้องหันไปมองคนขว้าง มันธ์ขว้างมันราวกับว่าจะช่วยระบายความโกรธในใจของตัวเองได้

               “ไอ้เหี้ยมันธ์มึงใจเย็นดิ”

              “กูเย็นไม่ไหวแล้วว่ะไอ้กันต์ ตลอดทางที่กูเดินนั่งรถกลับมากูเอาแต่ไลน์หาเขา เขาก็ไม่แม้แต่จะอ่านไลน์กู เมื่อวานกูก็ทั้งโทรไลน์ ทั้งส่งข้อความเขาก็ไม่ตอบกู จะโทรหาเขาก็ไม่ได้เพราะโทรศัพท์เขาก็อยู่ที่กู กูแม่งก็หน้าโง่ทำเหี้ยอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่เขาบอกคือ พาแมวกับของ กลับมากรุงเทพอย่างโง่ๆ”

               อารมณ์และน้ำเสียงของเขารุนแรงขึ้นตามความโกรธ เขาดูโมโห ดูหงุดหงิด น้ำตาเริ่มคลอหน่วย แต่มันดูเป็นน้ำตาที่มาจากความโกรธมากกว่าความเศร้า

              มันธ์รู้สึกตัวเองงี่เง่า เขาโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ โกรธจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ อีกฝ่ายก็หายไปเลย หายไปเหมือนจู่ๆ ก็แค่ ‘หายไป’ วินาทีนี้เองที่เขารู้ว่าเขาช่างไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย....ไม่รู้จักเพื่อน ไม่รู้จักครอบครัว ไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย.....

              ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกผิด...ผมสร้างความลำบากให้มันธ์จริงๆ

              ผมพยายามสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของหญิงสาว พอสะบัดหลุดก็รีบวิ่งและกระโดดขึ้นโต๊ะไป อีกฝ่ายยังคงหงุดหงิดจนเพื่อนที่อยู่ในห้องได้แต่เงียบแล้วมองอย่างเห็นใจ

              “พ่อกูมีเพื่อนเป็นตำรวจเยอะ เดี๋ยวกูให้พวกเขาประสานกับตำรวจที่ลำปางช่วยอีกทีนะมึง มึงต้องใจเย็นๆ พี่เขาไม่เป็นอะไรหรอก”

              “กูก็อยากใจเย็นนะพลอย แต่กูก็เป็นห่วงเขา เขาไม่แม้แต่จะอ่านไลน์กูด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีไหม หรือเป็นอะไรไปหรือเปล่า?”

              “เมี๊ยว” ผมอยู่ตรงนี้ไงล่ะ ผมค่อยๆ ยกขาหน้าของตัวเองไปจับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ อยากถ่ายทอดให้เขารับรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ผมปลอดภัย ไม่ได้เป็นอะไร...

              “เจ้าตัวเล็ก...เท้า....”

              มันธ์ก้มมองมือตัวเองเมื่อรู้สึกได้ถึงเท้าเล็กๆ ที่มาสัมผัส ทำให้สังเกตเห็นรอยเลือดเล็กๆ ที่มือของตัวเอง เขาจับเท้าผมขึ้นมาดูจนรู้ว่าเลือดนั้นมันมาจากบาดแผลที่เท้าของผม

               “หรือว่าแกไปเหยียบเศษแก้วที่ผมปาเมื่อกี้หรอ”

              ผมได้แต่เลือกที่จะเงียบ...เพราะเมื่อกี้เอาแต่เป็นห่วงอีกฝ่ายจนไม่ทันได้ระวัง ผมไม่อยากส่งเสียงอะไรอีกแล้ว แม้จะบอกว่าไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย แต่ถ้าผมพูดอะไรตอนนี้ภาษาที่ออกมามันก็ยังคงเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ เขาก็อาจจะเข้าใจผิดแล้วโทษตัวเองหนักขึ้นไปอีก...

               “ขอโทษนะ..ขอโทษ พายให้ผมดูแล ผมยังทำให้ดีไม่ได้เลย..ฮึก...ขอโทษนะ” เสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมายิ่งทำให้ทั้งห้องเงียบขึ้นกว่าเดิม ผมเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น ค่อยๆ เลียน้ำที่ไหลมาจากดวงตาคู่นั้นอย่างแผ่วเบา ปลอบประโลมอีกฝ่ายด้วยการกระทำ

               เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในห้องก็ค่อยๆ เดิมเข้ามาก่อนจะโน้มตัวลงกอดมันธ์จากด้านหลัง ผู้ชายอีกสองคนที่เหลือก็เข้ามาร่วมกอดคนที่นั่งร้องไห้อยู่ ทั้งสามคนกอดมันธ์แน่นจนผมไม่เห็นอีกฝ่าย ผมได้แต่ถอยออกมานั่งดูมิตรภาพของเพื่อนอย่างเหงาๆ

             ทุกอย่างเป็นความผิดของผม...ผมไม่ได้บอกเรื่องของผมให้มันธ์ฟัง แต่ผมก็ยังสร้างภาระให้มันธ์ทำสิ่งโง่ๆ อย่างไปรับผมที่ลำปาง...เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

              จริงอย่างที่มันธ์พูด มันเหมือนจู่ๆ ผมแค่หายไป ผมควรจะบอกเขา อธิบายให้เขาฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของผม ที่ผมไม่ยอมบอกมันธ์เพราะผมแค่กลัว...กลัวจะโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาแปลกประหลาด...ผมมัวแต่กลัวว่าตัวเองจะรู้สึกแย่จนลืมที่จะนึกถึงจิตใจของอีกฝ่าย ถ้าผมเพียงจะอธิบายให้เขาฟังสักนิด....แต่จะมาคิดตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ผมไม่มีวิธีที่จะสื่อสารกับคนตรงหน้าอีกต่อไป วิธีเดียวที่ทำได้คือการกลับกลายเป็นมนุษย์....

              ผมขอโทษ......

              “ขอบคุณพวกมึงนะ” จู่ๆ เสียงมันธ์ที่อยู่ในวงล้อมของเพื่อนๆ ก็ดังขึ้นมา เพื่อนๆ ได้ยินอย่างนั้นจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดให้อีกฝ่ายได้ออกมาหายใจหายคอ

              “มึงใจเย็นยัง” คนที่มันธ์เรียกว่ากันต์ เป็นคนถามขึ้น

             “อือ...ขอบคุณพวกมึงมาก แล้วก็ขอบคุณที่ดูแลเจ้าแมวทั้งสองตัวให้”

            “แค่นี้เอง เพื่อนกันก็ต้องช่วยกัน” คราวนี้เป็นผู้ชายอีกคนพูดขึ้น

             “ยังไงตอนนี้กูขออยู่คนเดียวได้ไหม...”

             “มึงแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้?”

             “อืม...แน่ใจ”

             “โอเค งั้นเดี๋ยวพวกกูกลับก่อนละกัน ถ้ามึงต้องการอะไรโทรหาพวกกูได้ตลอดนะ”

              “ขอบคุณมาก”

              “ส่วนเรื่องพี่พาย เดี๋ยวกูลองถามพ่อให้”

              “อือ..ถ้าได้เรื่องยังไงบอกกูด้วย”

             “เออ มึงก็อย่าคิดมาก พักผ่อนด้วย ดูหน้าแล้วนี่เมื่อคืนไม่ได้นอนใช่ไหม?”

             มันธ์ไม่ยอมตอบคำถามเพื่อน จนเพื่อนได้แต่ถอนหายใจ แล้วยอมอออกจากห้องไป ปล่อยให้มันธ์ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง




             “เมี๊ยว” ผมส่งเสียงคิดเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดหรือขยับไปไหนมากว่าชั่วโมงแล้ว

             “อ่ะ...จริงสิ แผล”

              เขาจับเท้าผมยกขึ้นมาดูอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เลือดได้แห้งไปหมดแล้ว

             “ผมขอโทษนะ...ขอโทษ” เขาอุ้มผมขึ้นมาอุ้ม “ไปหาหมอกันนะ”

              ว่าแล้วเขาก็อุ้มผมออกไปจากห้องทันที โชคดีที่ผมทันได้หันไปบอกเจ้าสองตัวนั้นว่าให้อยู่ในห้องเงียบๆ ห้ามออกไปไหนเดี๋ยวผมกลับมา ดูท่าว่าเจ้าของห้องคงจะลนลานจนลืมไปแล้วว่ายังมีเจ้าแมวอีกสองตัวอยู่ด้วย




             พอมาถึงโรงพยาบาล รอไม่นานผมก็ได้พบคุณหมอ คุณหมอก็จัดการดึงเศษแก้วเล็กๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ออกจากปากแผลผม แล้วล้างทำความสะอาด โชคดีที่เป็นไม่หนักมากเลยไม่ต้องถึงกับเย็บแผล ไม่นานหนักเท้าผมก็มีผ้าพันแผลผืนเล็กพันอยู่

              คุณพยาบาลอธิบายการใช้ยาต่างๆ เรียบร้อยพวกเราก็กลับกัน ระหว่างทางอีกฝ่ายก็เงียบกริบไม่แม้กระแต่จะเปิดเพลงในรถ ทำให้ผมได้แต่นั่งนิ่งเงียบๆเช่นกัน

             ผมก็ได้แต่นั่งมองอีกฝ่ายขับรถไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นขึ้นมา

              อึก!!

               ความรู้สึกแบบนี้มัน?!!

               ผมรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา ความเจ็บปวดคราวนี้มันมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเผชิญมา ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนราวกับถูกไฟแผดเผา หน้าอกรู้สึกปวดหนึบแน่น การหายใจเริ่มติดขัด มีความรู้สึกปวดตุบๆ ไปมา

               ความร้อนของร่างกายดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผมเก็บความรู้สึกนี้ไม่ไหว ผมค่อยๆ ดิ้นไปมาตามความรู้สึกปวดร้าวตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย การหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นเพราะตอนนี้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก

               “แง้ว!”

               ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาจนเกินกว่าจะทนไหวทำเอาผมเผลอหลุดเสียงร้องออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ทัน เสียงนั้นเรียกให้คนข้างตัวหันกลับมามองผม

               พอมันธ์เห็นผมดิ้นไปมา หายใจหอบหนักขึ้นเขาพูดขึ้นมาด้วยความร้อนรนทันที “เจ้าตัวเล็ก!! เป็นอะไร?!!”
              มันธ์ค่อยๆ ประคองรถเข้าข้างทาง ก่อนจะจอดเพื่อดูอาการผม แต่ผมก็ยังคงรู้สึกร้อน ราวกับกระดูกกทั้งหลายของผมกำลังไหม้

               อึก!!

              ความรู้สึกแน่นในอกยังคงจู่โจมไม่หยุด จนในที่สุดภาพตรงหน้าของผมก็ดับมืด พร้อมกับเสียงทุ้มเข้มของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ จางหายไป....






_____________________________
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ว่าแมวไม่ควรทานเค้กนะคะ เราลืมชี้แจงให้ชัดเจนจริงๆ ค่ะ ว่าแมวไม่ควรทานเค้ก เราได้ลองปรึกษาสัตวแพทย์แล้ว คุณหมอบอกน้องทานได้แต่ไม่ควรเพราะมันไม่มีประโยชน์กับน้อง น้องเป็นสัตว์กินเนื้อต้องการโปรตีนมากกว่า ดังนั้นการให้น้องทานเค้กแม้จะไม่ได้มีอันตรายมากแต่ก็ไม่ควรค่ะ เพราะน้องอาจจะอ้วน แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์กับน้อง ^^ ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูล

ส่วนเรื่องชื่อน้องแมว สังเกตดีๆ น้าาาาาา พายไม่เคยเรียกชื่อเจ้าสองตัวนี้ต่อหน้ามันธ์เลย
จริงๆ เคยเรียกชื่อแค่ครั้งเดียวแต่ตอนนั้นพายเป็นแมวอยู่เพราะฉะนั้นมันธ์ฟังไม่รู้เรื่องแน่ๆ ค่ะ ^W^)//

ชอบไม่ชอบยังไงอย่าลืมเม้นต์ให้กำลังใจกันหน่อยน้า ฝากกดไลต์กดแชร์กันด้วยนะคะ หรือจะแวะมาพูดคุยกันที่แท็ก #แมวอยู่กับผม ก็ได้น้าาาาาาาา

หมายเหตุ
รถเวียงคือรถโดยสารของลำปาง มีลักษณะแบบรถแดงของเชียงใหม่ แต่มีสีเหลืองและสีน้ำเงิน
การเปิดโน้ตบุ๊คค้างไว้หลายวันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำนะคะ ^^
การเช็คอินแมวเนื่องจากเราไม่เคยพาน้องแมวขึ้นเครื่องเลยไม่ได้เขียนรายละเอียดไว้ อย่างไงถ้าอะไรผิดพลาดไปก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
___________________
ลงครั้งแรก 18-01-2019
22-01-2019 *** แก้ไขเรื่องสีแก้วแมว เป็นซื้อให้มันธ์สีขาว ซื้อให้ตัวเองสีเทา ***

หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-01-2019 17:45:11
พายจะเปลี่ยนร่างต่อหน้ามันธ์รึป่าวเนี่ย เราเข้าใจมันธ์เลย อยากให้พายลองบอกความจริงกับมันธ์ไปด้วยก็ดี อย่าปล่อยให้คนอื่นเป็นห่วงจนเป็นทุกข์เลย
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-01-2019 17:45:45
พายกำลังจะกลายเป็นคนใช่มั้ย

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-01-2019 20:39:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

หรือว่า...พี่พายจะกลับคืนร่างเดิม   อุ๊ย...อย่างนี้ก็เปลือยกายต่อหน้าน้องมันธ์สิเนี่ย  อิอิ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-01-2019 22:03:29
คืนร่างซะงั้น เคลียร์กันดีๆละ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 18-01-2019 22:18:58
กลายร่างคืนเรอะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 20-01-2019 17:12:42
รอฮืออออจะตัดแบบนี้ไม่ได้ :ling1: มาเร็วๆน้าสนุกมากๆ ถ้ารู้ความจริงแล้วจะเป็นยังไงต่อนะ นักเขียนสู้ :กอด1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: พันวา ที่ 20-01-2019 19:11:01
มันธ์ได้คูณสองไปเลยชอบทั้งแมวและพาย ก็ได้พายที่เป็นแมวไป  :katai2-1: :katai2-1:

สู้ๆนะพาย มันธ์อย่าโกรธน้องนะ คุยกันดีๆ สงสารน้อง :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 21-01-2019 07:46:51
ถ้าเป็นแมวตลอดไปจะทำยังไงงงงงง
รอตอนต่อไปครับบบ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 21-01-2019 10:27:31
รอน่ะครับ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-01-2019 12:54:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 24-01-2019 14:28:55
มาต่อเร็วน้าาา รอๆๆๆๆ :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: M_mA ที่ 24-01-2019 20:45:20
จะทำยังไงดี!! รู้แล้วคร้า มันธ์จะรู้แล้ววววววว!!
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-01-2019 11:10:28
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pwmd ที่ 25-01-2019 19:25:04
กรี๊ดดดด ค้างมากค่ะ 5555555555
เข้าใจมันธ์เลยเป็นห่วงแต่ทำอะไรไม่ได้ ฮือออ
จะกลายเป็นคนรึเปล่านะตอนหน้า มันธ์จะได้รู้ความจริงม้ายยย รอนะคะ  : )))
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 28-01-2019 21:38:55
รออยู่นะคะ มาต่อเร็วๆน้า :impress2:  สนุกมากๆ ตอนนี้ค้างมากก :z3:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 9 [18/01/2019] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-01-2019 21:47:10
คิดถึงจัง รออ่านอยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 01-02-2019 16:15:43




บทที่ 10 : แมวของผม...ร้องไห้





           ผมลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่ามุมมองภาพที่เห็นตรงหน้านั้นเปลี่ยนไปจากเดิม สถานที่ก็ต่างออกไปจากที่ผมเห็นเมื่อสักครู่ มันดูเป็นเหมือนลานจอดรถที่ไหนสักที่ แต่แน่นอนว่าผมยังอยู่ในรถเช่นเดิม...ก้มลงมองตัวเองพบว่าตอนนี้ผมเปลือยเปล่ามีเสื้อเชิ้ตคลุมสีเข้มคลุมอยู่ แต่พอหันไปข้างๆ ก็ไม่เห็นเจ้าของรถซะแล้ว

           ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรประตูรถก็เปิดออก เป็นเจ้าของรถนี่เองที่ก้าวเข้ามานั่ง

           “อ่ะ...พายตื่นแล้วหรอครับ ยังไงก็ใส่เสื้อผ้าพวกนี้ก่อนนะครับ” มันธ์ยื่นถุงกระดาษให้ผม ผมรับมาทันทีแล้วเขาก็ออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะปิดประตูรถด้วย

           ผมได้แต่มองคนที่เพิ่งออกไปอย่างงงๆ แต่ก็หยิบเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้ให้มาสวมใส่อย่างทุลักทุเล ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นดูจะตัวใหญ่กว่าผมเล็กน้อย

            ผมสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วก็ลงจากรถเดินไปหาอีกฝ่าย

            “เอ่อ...มันธ์ครับ”

            ผมเพิ่งสังเกตว่าเสื้อที่คลุมร่างกายผมเมื่อกี้เป็นเสื้อตัวเดียวกับที่มันธ์ใส่ออกมาจากคอนโด ส่วนตอนนี้คนตรงหน้าผมกลับสวมเสื้อยืดแทน

           “หลวมไปหน่อยนะครับ ขอโทษด้วยพอดีผมให้เพื่อนมันหยิบๆ มาให้จากห้องผมนะครับ อ่ะ!! ไม่ต้องห่วงนะครับผมไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังหรอก”

           แสดงว่าเสื้อที่มันธ์ใส่อยู่ก็คงเป็นเสื้อที่เพื่อนเอามาให้ด้วยเช่นกันสินะ มันธ์คงถอดเสื้อตัวเองออกแล้วเอามาคลุมให้ผม

           ผมนึกได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ความทรงจำสุดท้ายก่อนผมจะวูบไปผมยังคงเป็นแมว ตื่นมาร่างกายผมก็ไร้เสื้อผ้า ทุกอย่างมันชัดเจนว่าผมกลับเป็นคนต่อหน้าเขา....

            “เอ่อ...มันธ์จะไม่ถามอะไรหน่อยหรอครับ?”

            “หืม?”

            “ก็เรื่องทั้งหมดนี่” ผมชี้มาที่ตัวเอง เรื่องทั้งหมดของผม... “มันธ์จะไม่ถามอะไรหรอครับ?”

            “ถ้าพายไม่อยากเล่า ผมก็จะไม่ถามครับ”

           ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มกลับมาหาผมด้วยรอยยิ้มสดใสเฉกเช่นทุกครั้งที่ยิ้มให้ผมเสมอมา
 
           ผมเริ่มมองเห็นอีกฝ่ายอย่างไม่ชัดแต่แล้วจู่ๆ มันธ์ก็ก้าวเข้ามาจับแขนผมและออกแรงดึงจนผมเซเข้าไปหาอีกฝ่าย มันธ์รีบยกแขนขึ้นมาโอบล้อมตัวผม รัดอ้อมกอดแน่นขึ้น มือข้างหนึ่งจับหัวผมให้ซบไปกับไหล่ของเขา

           “พายไม่ร้องนะครับ...ไม่ร้องแล้วนะ” มันธ์เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

           ร้อง?

           อ่า...น้ำตานี่เองที่กำลังไหลออกมาทำให้ผมเห็นภาพตรงหน้าพล่าเลือนไปหมด

           “ไม่ร้องนะครับ...ผมอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ พายนี่ ผมไม่ไปไหน”

           “อึก…” เสียงสะอื้นที่เหมือนพยายามอัดอั้นไว้ดังออกมาอย่างไม่รู้ตัว

           “โอ๋ๆ นะครับ” มันธ์ลูบหลังผมไปมาพร้อมกับประโยคนั้น

           ความทรงจำวัยเยาว์ตีขึ้นเข้ามาในห้วงความทรงจำ ภาพสีหน้า สายตา ของคนรอบข้างที่มองอย่างรังเกียจ คำพูดที่ด่าทอผมต่างๆ นานา วนเวียนกลับเข้ามา

           ‘ไอ้ตัวประหลาด!!’

           ‘ออกไปนะ!! อย่าเข้ามาใกล้ลูกฉัน!’

           ‘นายมันเป็นปีศาจ นายมันผิดมนุษย์!!’

           ‘ขอโทษนะ แต่พวกเราให้เธออยู่ด้วยไม่ได้’



           “พาย...ใจเย็นๆ ครับ”

           ผมไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองส่งเสียงออกมาดังแค่ไหน หรือตัวเองตัวสั่นแค่ไหน เสียงของผมแผ่ดขึ้นดังลั่นจนเรียกให้คนผ่านไปผ่านมาหันมามอง มันธ์ดูจะตกใจกับปฏิกริยาของผม เขาเอาแต่พูดปลอบประโลมผม มือก็ลูบหลังผมไปมาไม่หยุด

           “พายครับ...ใจเย็นนะครับ”

           มันธ์ถอยห่างออกมามองหน้าผมเล็กน้อยตอนพูดประโยคนั้น ก่อนที่จะโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากผมเบาๆ

           “ใจเย็นๆ นะครับ...”

           มันธ์เลื่อนริมฝีปากมาสัมผัสที่เปลือกตาผม

           “ผมอยู่ตรงนี้นะครับ”

           ริมฝีปากเลื่อนมาซับน้ำตาที่แก้มอย่างบางเบา

           “ผมอยู่ข้างๆ พายนะครับ”

           ริมฝีปากเรียวบางนั้นเลื่อนมาสัมผัสกับริมฝีปากร้อนของผม มันธ์ออกแรงกดสัมผัสนั้นหนักขึ้นเล็กน้อยราวกับจะตอกย้ำคำพูดของเขา ว่าเขายังอยู่ตรงนี้...อยู่ข้างๆ ผมนี้....

           มันธ์ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิง หน้าผากยังคงแนบชิดติดกับหน้าผากผม ใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่คืบ

           “ผมรักพายนะครับ”

           สัมผัสเดิมจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง แต่คราวนี้สัมผัสนั้นกลับรุนแรงขึ้นมาเล็กน้อย ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาจากสัมผัสนั้นทำผมเผลอตอบรับการกระทำนั้นกลับไปอย่างไม่รู้ตัว

           จนกระทั่งผมแทบจะหมดลมหายใจนั่นแหละอีกฝ่ายถึงปล่อยริมผีปากผมให้เป็นอิสระ แต่ยังคงไม่คลายอ้อมกอดที่สัมผัสตรงกันข้าม มันกลับรัดแน่นขึ้นมาอีกครั้ง

           ผมยืนรับสัมผัสไออุ่นของอ้อมกอดนั้นอยู่สักพักจนจิตใจเริ่มรู้สึกสงบขึ้น

           มันธ์มองผมอย่างยิ้มๆ ก้มหัวลงมาเอาหน้าผากของตัวเองโขกกับหน้าผากผมเบาๆ หนึ่งครั้ง ทำเอาผมได้แต่ทำหน้างุนงงว่าอีกฝ่ายทำอะไร

            “หยุดร้องแล้วสินะครับ”

           จริงสิ...น้ำตาผมหยุดไหลแล้ว

           ยังไม่ทันที่ผมจะเอามือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่ อีกฝ่ายก็ใช้มือข้างหนึ่งขึ้นมาเช็ดน้ำตาของผมเสียแล้ว

            มันธ์ปาดคราบน้ำตาออกจากแก้มของผมไปมา ก่อนจะกลับไปกอดผมแน่นเหมือนเดิม

           “ร้องไห้เสร็จแล้วหิวไหมครับ? ไปกินข้าวกันไหม?” เขาถามขึ้นราวกับผมเป็นเด็กที่ร้องไห้งอแงเสร็จแล้วมักบ่นหิวข้าว ผมได้แต่เหล่มองคนสูงกว่านิดๆ

           “ว่าไงครับ ไปกินข้าวไหมครับ? อ่ะ! หรือจะกินผมดี?” ไม่ว่าเปล่า มันธ์ดันก้มหน้าลงมาฉกฉวยริมฝีปากผมอย่างเบาๆ ไปอีกหนึ่งที

            “อยากกลับคอนโด”

            ผมได้แต่หน้ายู่ใส่คนฉวยโอกาส ก่อนจะตอบอีกฝ่ายไปตามความจริง ตอนนี้ผมอยากกลับพักผ่อน อยากนอนแผ่หลาบนเตียง ดูถ้าว่าผมจะร้องไห้ออกไปหนักกว่าที่คิด ถึงได้รู้สึกแสบคอ ปวดตา ขนาดนี้ ใครว่าร้องไห้แล้วไม่เหนื่อย ผมขอเถียง

            “โอ๊ะ! พายจะกินผมหรอครับ ได้เลยครับ! ไปครับรีบกลับคอนโดกันเถอะ!!”

            ผมได้แต่เอามือเคาะหัวคนเด็กกว่าไปทีนึง โทษฐานมาพูดอะไรลามก แต่แล้วอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือผมไว้ทันที ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วทั้งสองข้างบังคับให้ผมแบมือออก

            “เจ็บไหมครับ?”

            ผมก้มลงมองตามสายตาที่เขามองมือผม... อ่าจริงสินะผมโดนแก้วบาด

            เพราะกลับร่างเดิมทำให้ผ้าพันแผลที่พันไว้อย่างดีจึงหลุดหลุยเนื่องจากขนาดมือที่ขยายใหญ่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแผลที่มีขนาดใหญ่อยู่กลางฝ่ามือแมว ก็ราวกลับขยายใหญ่ตามมือผมด้วย ทำให้ตอนนี้กลางฝ่ามือผมมีรอยแผลเป็นรอยบาดขนาดใหญ่ เลือดที่เคยแห้งไปแล้วกลับมามีเลือดซึมออกมาอีกครั้ง 

            มันธ์ก้มลงมาจูบมือผมเบาๆ

            “ขอโทษนะครับที่ทำให้บาดเจ็บ”

              “ไม่หรอก มันไม่ใช้ความผิดของมันธ์ครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้เริ่มทำหน้าเหมือนเด็กน้อยทำความผิดมา

            “แต่ก็เจ็บใช่ไหมครับ...ที่แก้วมันแตกยังไงก็เป็นเพราะผม ดังนั้นมองยังไงๆ ผมก็ผิด”

            “ไม่เอาน่า...อย่าคิดมากสิ”

            “แต่ว่า...!!”

            “หยุดโทษตัวเองเลยครับ! ไปครับกลับคอนโดดีกว่า ไหนมันธ์บอกจะให้ผมกินมันธ์ไง? ผมหิวจะแย่แล้วอยากรีบกลับไปกินมันธ์แล้วเนี่ย”

            เพราะพูดล้อเล่นตามมุกของอีกฝ่าย จึงทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงกว่าทุกครั้ง แต่ก็ดีกว่าทำหน้าเศร้าแบบเมื่อกี้ล่ะนะ

            ผมพลิกมือของอีกฝ่ายมาจับไว้หลวมๆ ก่อนจะค่อยๆ ดึงร่างสูงมาที่ประตูฝั่งคนขับ ผมเปิดประตูแล้วดันให้อีกฝ่ายไปนั่ง ซึ่งมันธ์ก็ยอมนั่งดีๆ ส่วนตัวผมก็กลับไปนั่งที่ข้างคนขับ

            “ไปครับเรากลับไปกินกันดีกว่า” ผมพูดแซวไปอีกครั้ง จนอีกฝ่ายหัวเราะขึ้นมานิดๆ แล้วยอมสตาร์ทรถ ขับออกมา




           ตลอดทางมันธ์ก็เอาแต่นิ่งเงียบ ในขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้ามองเข่าตัวเอง...แม้อีกฝ่ายไม่ถามอะไรผม แต่ผมก็รู้สึกว่าควรจะบอกอะไรอีกฝ่ายบ้าง แต่จะพูดยังไงดีล่ะ?

           ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงคอนโด พอผมก้าวขาลงจากรถมันธ์ก็รับเดินมาหาผม แล้วฉวยมือข้างที่ไม่เจ็บของผมไปจับ เขาบีบมือผมนิดๆ ก่อนจะจูงผมไปทางคอนโด

           จนตอนนี้เข้ามาในห้องของมันธ์แล้วเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือผม เขาลากผมมานั่งที่โซฟา ส่วนตัวเองก็เดินไปหยิบกล่องยามาแล้วนั่งลงข้างๆ ผม

            มันธ์จับมือข้างที่บาดเจ็บ ก่อนจะก้มลงมองมัน

            “เจ็บไหมครับ?”

            ปากก็ยังคงถามคำถามเดิมกับที่ถามผมเมื่อสักครู่

           ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ตอบอีกฝ่าย “ไม่เจ็บครับ เลิกเครียดได้แล้ว”

           “ครับ” ว่าแล้วก็กลับไปเงียบก้มหน้าก้มตาทำแผลให้ผม พอทำเสร็จก็เงยหน้ามามองผมสายตายังคงเสร้าสร้อยเหมือนเดิม เห็นอย่างนั้นผมเลยก้มหน้าจูบคนตรงหน้าหนึ่งทีและรีบดึงหน้าตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว สัมผัสได้ถึงความร้อนของหน้าที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำเองเขินกว่าโดนกระทำเยอะเลย

           “ไม่เศร้าแล้วนะครับ”

           ฝ่ายถูกจูบดูยังยังไม่หายอึ้ง ผมเลยรีบก้มลงไปจุ๊บเร็วๆ อีกหนึ่งที

            “กลับมาเป็นมันธ์คนเดิมได้แล้วครับ”

            “…”

            ยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิมไม่ตอบอะไร

             “ถ้ายังไม่กลับมาเหมือนเดิมผมกลับห้องแล้วนะ” ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นทันที แต่อีกฝ่ายก็คว้ามือผมไว้ก่อนจะดึงตัวผมไปในอ้อมกอด

             “จุ๊บแบบเมื่อกี้ไม่พอหรอกครับ มันต้องแบบนี้”

            มันธ์ก้มลงจูบผมอย่างทันที ริมฝีปากเรียวของเขากดริมฝีปากผมหนักขึ้น บังคับให้ผมอ้าปากออก ก่อนจะค่อยๆ แทรกลิ้นเข้ามาอย่างละลาบละล้วง

            เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ผมไม่รู้ รู้ตัวอีกทีผมก็หายใจไม่ทัน มันธ์จึงยอมปล่อยริมฝีปากผมเป็นอิสระ แต่ก็เพียงแค่เสียววิ เขาก็ก้มลงมากระหน่ำจูบปากผมอีกครั้งพร้อมโถมน้ำหนักตัวเข้ามาหาผมมากขึ้น ส่งผลให้ผมล้มไปบนโซฟาทันที ปากที่ยังประกบกันอย่างไม่หยุดทำให้อีกฝ่ายก็ล้มตัวลงมาอยู่บนตัวผมด้วยเช่นกัน

            มันธ์ยังคงจูบผมไม่หยุด ราวกับโหยหาอยากจะกลืนกินปากผม มือข้างหนึ่งจับใบหน้าผม ไม่ให้หลีกหนีจากการรับจูบที่หนักหน่วงนี้ ส่วมมืออีกข้างก็ค่อยๆ ไล้มายังร่างกายผมก่อนจะปลดกระดุมออกอย่างชำนาน พอมือเย็นๆ ของอีกฝ่ายสัมผัสหน้าอกที่เปลือยเปล่าของผมผมก็รีบจับมือของอีกฝ่ายทันทีราวกับได้สติ

            “มันธ์ครับ...ไม่เอาครับ”

            เขาหยุดการกระทำ ก่อนจะมองหน้าผมราวกับถูกขัดใจ

            “ไม่-เอา-ครับ” ผมพูดขึ้นดังชัดอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงมาทำเอาผมหลับตาปี๋เตรียมรับสัมผัสจูบที่รุนแรงอีกครั้ง แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นเบาๆ ที่หน้าผาก ผมรีบลืมตาขึ้นทันทีเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกจากหน้าผากผม

                  “ครับ...ถ้าพายยังไม่พร้อมก็ไม่ทำครับ” ว่าแล้วเขาก็ยิ้มให้ผมเบาๆ และลุกขึ้นออกจากตัวผม จากนั้นก็หันมาดึงตัวผมให้ลุกไปนั่งเช่นกัน

             มันธ์หันมาติดกระดุมเสื้อให้ผม มือก็ลูบหน้าผม นิ้วค่อยๆ เลื่อนมาสัมผัสริมฝีปากผม สายตามองตามนิ้วนั้นอย่างโหยหา

              “ทำแบบนี้บ่อยๆ นะครับผมชอบ” ว่าแล้วก็แจกรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้งขึ้นมาอีกที ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

              “พอเลย ไม่ทำแล้ว”

              ผมลุกขึ้นหนีคนตรงหน้าทันที อีกฝ่ายก็เดินตามมาอย่างไม่ลดละ จนผมเดินผ่านห้องครัวถึงทันสังเกตเห็นเจ้าแมวทั้งสองตัว

              “อ่ะ ลืมไปเลยว่าเจ้าหมูกรอบกับเจ้าเต้าหู้อยู่ด้วย” มันธ์พูดขึ้นทันทีเมื่อมาหยุดอยู่ข้างหลังผม

              “หืม? หมูกรอบกับเต้าหู้คืออะไร?” ผมรีบหันกลับไปถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย

             “อ่า...พายไม่ได้อ่านไลน์หรอครับ ก็ที่ผมบอกไงว่าผมไม่รู้ชื่อพวกมัน ผมเลยตั้งชื่อพวกมันให้”

                  พูดแล้วก็นึกได้ เหมือนอีกฝ่ายไลน์มาถามผมจริงๆ แหละ แต่ตอนนั้นมก็วุ่นๆ เลยไม่ทันได้สนใจ กลายเป็นว่าแมวผมมีชื่อใหม่เฉยเลย

            “จริงๆ พวกมันชื่อไข่แดงกับไข่ขาวนะครับ”

            “อ้าวหรอครับ ชื่อน่ารักดีนะครับ น่ารักเหมือนเจ้าของ” ใบหน้ายิ้มทะเล้นกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง

          

หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 01-02-2019 16:16:16





                 RRRRR

            ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร เสียงโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น มันธ์รีบกดรับทันที

            อ่า...โทรศัพท์ของมันธ์นี่เอง

            “ฮัลโหลมึง”

            ผมอุ้มเจ้าไข่แดงขึ้นมา มันธ์ก็ยังคงคุยโทรศัพท์

                 “อ่าห้ะ”

                ผมใช้แขนอีกข้างพยายามอุ้มเจ้าไข่ขาวแต่เหมือนมันเห็นว่าผมบาดเจ็บที่มือมันเลยถอยห่างออกไป พลางส่งเสียงราวกับบอกว่ามันรับรู้ว่าผมต้องการอะไร

             “ไม่ต้องแล้วมึง” เสียงมันธ์ก็ยังคงคุยกับคนในสายอยู่

             ผมหันไปหามันธ์ แล้วพูดโดยไม่ออกเสียง

             ‘กลับก่อนนะ’

             แต่พอผมทำปากพูดไปปุ๊ปอีกฝ่ายก็รีบเอามือที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์มาคว้าข้อมือผมไว้ทันที พอผมจะสะบัดมืออีกฝ่ายออก มือนั้นก็บีบข้อมือผมหนักขึ้น

            “เจอตัวพายแล้ว ขอบคุณมากมึง”

             มือมันธ์ก็ยังคงบีบข้อมือแน่น จนผมได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างมีคำถาม

            “ยังไม่รู้รายละเอียด”

            ผมเงียบหยุดหาทางออกจากมือแกร่งนี้ แล้วเปลี่ยนไปสนใจบทสนมนาของเจ้าของห้องกับคนในสายแทน

            “อือ”

            ….

            “โอเคมึง ขอบใจมาก ได้ความว่าไงเดี๋ยวมาบอก”

            แล้วมันธ์ก็กดวางสาย พอเห็นสีหน้าที่สงสัยของผม เขาก็เอ่ยปากอธิบาย
 
            “เพื่อนผมน่ะครับ มันโทรมาบอกเรื่องที่จะช่วยตามหาพายน่ะครับ”

            “อ่อ….” นั่นสินะ เพื่อนพายบอกไว้ตอนก่อนออกจากห้องว่าจะช่วยประสานกับตำรวจหาตัวผมนี่น่า... “ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวา..”

             “ไม่เป็นไรครับ” ยังไม่ทันพูดจบมันธ์รีบตอบกลับอย่างรวดเร็วราวกับรู้ว่าผมจะต้องพูดอย่างนี้

             “มันธ์จะไม่ถามอะไรผมจริงๆ หรอ?”

              “บอกแล้วถ้าพายไม่อยากเล่า ผมก็ไม่ถามครับ แค่พายปลอดภัยก็พอแล้ว”

              “แล้วถ้าผมบอกว่าผมอยากเล่าล่ะครับ?” คราวนี้ผมถามอีกฝ่ายด้วยคำถามใหม่...ผมควรจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันธ์ฟัง เพราะหลายวันมานี้ผมทำอีกฝ่ายเดือดร้อนเหลือเกิน อย่างน้อยเขาก็ควรจะรู้เหตุผล

              “ถ้าพายอยากเล่า ผมก็จะฟังอย่างตั้งใจครับ แต่แน่ใจหรอครับว่าอยากเล่าจริงๆ...อย่าฝืนตัวเองนะครับ”

              “ไม่ฝืนหรอก มันธ์ควรรับรู้มัน...แต่ผมขอเวลาสักแป๊ปนะ” ว่าแล้วผมก็ค่อยๆ นั่งลงที่โต๊ะกินข้าว

              ผมนั่งกุมมือวางไว้บนโต๊ะก้มมองมือตัวเองในหัวก็พลางคิดว่าจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี

              อีกฝ่ายเห็นผมกังวลใจเขาก็เดินมาลูบหลังผมเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็น แล้วเทน้ำผลไม้ออกมาสองแก้ว แก้วหนึ่งยื่นให้ผม ผมได้แต่รับมาแล้วจิบน้ำในแก้วนั้นเบาๆ รสชาติหวานอมเปรี้ยวที่ผ่านเข้ามาในปากทำให้ผมรู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย

              มันธ์เดินมานั่งข้างๆ ผม เขาดื่มน้ำในแก้วนั้นไปเรื่อยๆ พลางกดมือถือเล่นไปมาไม่พูดอะไร ราวกับว่าถ้าผมยังไม่พร้อมเขาก็ไม่คิดจะเร่งรัดอะไร

              ผมใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้รู้อีกทีมือก็ถูกอีกฝ่ายกุมไว้หลวมๆ รอบตัวมีเจ้าแมวทั้งสองตัวมาคลอเคลีย

              “ถ้าไม่สะดวกใจพายไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ”

              “ไม่หรอก...ผมพร้อมแล้วแหละ”

              เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ควรต้องมีคำอธิบาย...

              “มันธ์ก็เห็นแล้วว่าผมเป็นแมว”

              ผมเหล่มองอีกฝ่าย มันธ์ก็มองผมกลับมา ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ความรู้สึกหวาดกลัว ความรู้สึกผิดทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในความรู้สึกผม ผมรีบพูดสิ่งที่อยู่ในใจนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว

              “ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว ถะ..ถ้ามันธ์จะรังเกียจผมผมก็เข้าใจนะ ผมขอโทษผมไม่ได้อยากจะทำให้มันธ์วุ่นวาย เรื่องเมื่อวานก็เหมือนกัน ผมไม่ได้อยากให้มันธ์เดือดร้อน ขอโทษที่ให้มันธ์เสียเวลาไปหาผมถึงที่โรงแรมนั่น ขอโทษที่หายไปโดยไม่บอก ขอโทษที่ทำให้ลำบาก ขอโทษ ผมไม่รู้จะพูดยังไง แต่ขอโทษจริงๆ ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว ผมมันเห็นแก่ตัว ผมมันไม่ได้เรื่องต้องทำให้มันธ์ลำบาก ผม..!”

               “พายครับ...พาย ใจเย็นๆ ก่อนครับ”

               มันธ์ยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปเกลี่ยน้ำใสๆ ข้างแก้มที่ไหลออกมาจากดวงตาของผม ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงกอบกุมมือผมไม่ปล่อย

              “จำได้ไหมครับ ที่พายบอกผมว่าา เวลาเรากลัวอะไร หรือเวลารู้สึกแย่ ให้จับมือกันไว้ เราจะได้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้ ผมกำลังจับมือพายอยู่ พายไม่ได้อยู่คนเดียวนะครับ ผมยังอยู่ตรงนี้ข้างๆ พายนะครับ”

              ผมได้แต่นั่งนิ่ง บีบมืออีกฝ่ายเป็นการยืนยันว่าเขายังอยู่ตรงนี้...ยังไม่หนีผมไปไหน

              “ผมไม่เคยโกรธพายนะครับ ผมแค่เป็นห่วง ตอนนี้พายก็อยู่ตรงนี้ ตรงหน้าผม อย่างปลอดภัย แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว เพราะฉะนั้นไม่โทษตัวเองนะครับ”

               “ตะ...แต่มันเป็นความผิดของผม เพราะผมทำให้มันธ์ต้องลำบากไปถึงที่นั่น เพราะผมทำให้มันธ์ต้องอารมณ์เสียขนาดนั้น และเพราะผม...”

               ผมเหล่ไปมองเศษซากแก้วที่ยังคงอยู่ไม่ห่างนัก คำพูดและอารมณ์ของมันธ์ตอนนั้นวนกลับเข้ามาในความทรงจำของผม

              มันธ์ได้แต่มองตามสายตาผม แล้วเหมือนเขาก็จะเข้าใจความคิดของผมทันที...ตอนผมเป็นแมวผมอยู่กับเขาตลอด ผมเห็นทุกอย่าง...ผมเห็นอารมณ์โกรธของอีกฝ่าย

               “พายครับ ผมไม่ได้โกรธพายจริงๆ ตอนนั้นทุกอย่างมันเพราะผมโกรธตัวเอง โกรธที่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้พายหายไปเฉยๆ”

               น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง ฟังยังไงก็เป็นความผิดของผมอยู่ดี ถ้าผมไม่กลายเป็นแมว หรือถ้าเพียงแต่ผมบอกเรื่องของผมกับคนตรงหน้า อีกฝ่ายคงไม่โทษตัวเองแบบนี้

              “ไม่ร้องสิครับ...ทำไมยิ่งผมพูดพายยิ่งร้องล่ะเนี่ย?”

               “ฮึก..!!” เสียงที่พยายามกลั้นกลับถูกเปล่งออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

               “งั้นเอางี้ ถ้าพายยังรู้สึกผิด งั้นพายให้สัญญากับผมได้ไหม? แล้วจะถือว่าเราหายกัน”

               “สะ...สัญญาอะไร?”

               “สัญญาว่าต่อไปนี้พายจะพึ่งพาผมมากกว่านี้ และจะให้ผมเข้าไปในชีวิตพายนะครับ”

               อย่างนี้มันได้ที่ไหน ฟังแล้วไม่เห็นว่าจะเป็นการที่ผมไถ่โทษมันธ์เลย มันดูเป็นสัญญาที่ทำให้ผมยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับอีกฝ่ายมากกว่าอีก

                “สัญญานะครับ?”

               มันธ์ยิ้มให้ผมราวกับเป็นเด็กน้อย

               “….”

               “ถ้าพายไม่สัญญาผมจะโกรธและไม่ยกโทษให้กับเรื่องที่ผ่านมาแล้วนะครับ”

              ได้ยินอย่างนั้นผมจริงรีบพยักหน้าเร็วๆ ทันที

               “งั้นต่อจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ เรื่องที่แล้วมาก็ให้มันแล้วไปนะ”

              มันธ์ยังคงยิ้มให้ผมเช่นเดิม นิ้วมือก็ยังไม่หยุดเขี่ยแก้มผมไปมาแม้ตอนนี้ผมจะไม่มีน้ำตาแล้วก็ตาม เพียงเสี้ยววินาทีคนตรงหน้าก็ก้มลงมาขโมยจูบผมอีกครั้ง

              มันธ์ใช้มือที่กอบกุมมือของผมเมื่อสักครู่เปลี่ยนมาจับลำคอผมและออกแรงกดเบาๆ บังคับให้ผมขยับไปรับจูบจากเขาอย่างหนักหน่วง ส่วนมืออีกข้างก็ยังไม่ละจากแก้มผม มันคองประคองไม่ให้ผมหนีจากจูบตรงหน้าเช่นกัน

              รู้ตัวอีกทีสัมผัสร้อนไหลเข้ามาราวกับจะสำรวจผม ผมก็ทำได้แต่ตอบรับสัมผัสนั่น แต่แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ ผมรีบผลักคนตรงหน้าให้ออกห่างแต่ยังไม่ทันตั้งตัวร่างกายผมก็เปลี่ยนไปอีกครี้ง โชคดีที่เราอยู่ใกล้กันทำให้มันธ์คว้าตัวผมไว้ได้ทัน ตอนนี้ผมเลยตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง

                “พายครับ...กลายเป็นแมวตอนนี้มันขี้โกงนะครับ”

                มันธ์พูดพลางยกตัวผมด้วยมือทั้งสองข้างให้สายตาผมมาอยู่ในระดับสายตาของเขา

                “เมี๊ยว~”

               อีกฝ่ายทำหน้ายู่เล็กน้อยก่อนจะก้มลงมาฟัดพุงแมวๆ ของผม เอาหัวถูไถหน้าท้องผมไปมาอีก

               “แง้ว!!” ผมได้แต่ส่งเสียงร้องพยายามเอามือเล็กๆ ของตัวเอง ดันหัวของอีกฝ่ายที่กำลังลวนลามผมอยู่ แต่เพราะตัวที่เล็กและถูกอีกฝ่ายจับไว้อย่างแน่นหนาทำให้ผมหยุดคนตรงหน้าได้ไม่ดีสักเท่าไหร่

                “แล้วเป็นแมวแบบนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องไหมครับเนี่ย~” แม้จะโอดครวญแต่ก็ยังไม่หยุดเอาหน้าซุกพุงของผมอยู่ดี สรุปจะชอบหรือไม่ชอบที่ผมเป็นแมวกันเนี่ย?




               กว่าผมจะกลับเป็นคนอีกครั้งท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว และแน่นอนว่าตอนนี้ผมยังอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าของห้อง ซึ่งโชคดีที่เขาหลับไปแล้ว ไม่งั้นวันนี้เขาคงต้องเห็นผมโป๊อีกรอบแน่ๆ

               มีความรู้สึกว่าแค่วันนี้วันเดียวผมกลับเปลืองเนื้อเปลืองตัวเหลือเกิน....

               ตอนช่วงเป็นแมวเขาก็เอาแต่ลูบผมไปมา สัมผัสผม กอดผมไม่ยอมปล่อย แม้แต่ตอนที่เผลอหลับไปมันธ์ก็ยังไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี

               ผมค่อยๆ ถอยห่างจากคนตรงหน้า แต่ก็เป็นไปได้ยากเต็มทีเพราะคนที่นอนอยู่ดันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นราวกับคิดว่าผมคือหมอนข้าง ผมหันไปมองมือที่กอดอยู่ก่อนจะลงมือค่อยๆ แกะมือนั้นออก แต่ก็แกะยากเหลือเกิน

               สุดท้าย มือนั้นก็ไม่ยอมออกไปจากเอวผม และจู่ๆ แขนนั้นก็ขยับแน่นขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผมสัมผัสกับคนที่นอนอยู่จนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างร่างกาย แถมยังมีการกดย้ำบริเวณเอวผมอยู่สองสามทีผมเอาผมต้องละสายตาจากมือแล้วหันไปมองหน้าเจ้าของมือทันที

              แน่นอนว่าอีกฝ่ายนั้น...ตื่นอยู่!!

              ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?

             “จะหนีไปไหนครับ? หืม?”

             “ปล่อยน่า...หายใจไม่ออกแล้วเนี่ย”

             ผมดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดนั้นเล็กน้อย

             “ถ้าหายใจไม่ออกเดี๋ยวผมผายปอดให้เองครับ”

             ผมมองหน้าคนพูดส่งอสายตาค้อนๆ ไปให้เด็กกามหนึ่งที

             “ทะลึ่งตลอดอ่ะ นี่มันธ์เป็นคนแบบนี้หรอ?”

             “ช่วยไม่ได้ก็พายน่ากินขนาดนี้ผมจะอดใจได้ไง”

             ไม่ว่าเปล่ามันธ์ดันเลื่อนใบหน้าตัวเองมาหอมแก้มผมดังฟ้อดใหญ่ ราวกับกำลังหอมแก้มเด็กทารกด้วยความหมั่นเขี้ยว

            “ปล่อยได้แล้ว”

            อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบ ไม่ปล่อยผมออกจากอ้อมกอด แถมมือข้างหนึ่งดันค่อยๆ เลื้อยต่ำลงมา...ต่ำจนถึงบริเวณสะโพกผม เพราะตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่สามารถบังคับมือได้อย่างใจหวัง จึงได้แต่มองอีกฝ่ายและพูดห้าม

             “ก็บอกว่าไม่เอาไงครับ...”

              “ไม่ได้จะ ‘เอา’ สักหน่อย แค่อยากสัมผัส” อีกฝ่ายยังคงพูดสองแง่สามง่ามได้อย่างหน้าตาเฉย

             เอาจริงๆ ตอนนี้ผมเสียเปรียบอีกฝ่ายมากๆ ผมอยู่ในห้องเขา บนเตียงเขา ในอ้อมกอดเขา แถมยังเปลือยไร้เสื้อผ้าสักชิ้นอีก มันจะเสียเปรียบและน่าอายเกินไปแล้วววววว

              พอคิดทบทวนถึงสถานการณ์ตรงหน้าขึ้นมา ใบหน้าผมก็ขึ้นสีอย่างไม่รู้ตัว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนตรงหน้าได้อีกครั้ง

             มันธ์ค่อยเลื่อนใบหน้ามาใกล้ผม ทำเอาผมรีบหลับตาปี๋เพราะคาดว่าอีกฝ่ายต้องจู่โจมผมอีกครั้งแน่ๆ แต่แล้วก็เปล่า เขาเพียงแต่เลื่อนใบหน้าไปเพื่อกระซิบที่ข้างหูผม

             “ไม่แกล้งคนขี้เขินแล้วก็ได้” พูดจบแต่ก็ไม่วาย ยังทิ้งท้ายการลวนลามผมด้วยการกัดใบหูผมเบาๆ อีกหนึ่งที ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

              “มันธ์ใส่เสื้อผ้าก่อนละกัน” เขาว่าพลางส่งเสื้อยืดกับกางเกงบอลขาสั้นมาให้ผม ผมได้แต่รับมาอย่างงงๆ

              “รีบใส่เถอะครับก่อนที่ผมจะทำเรื่องไม่ดี” มันธ์ส่งสายตาที่มีความนัยแฝง เลื่อนสายตาจากที่มองหน้าผมอยู่ลงไปเรื่อยๆ จนผมต้องรีบเอาผ้าห่มขึ้นมาปิด พอเห็นปฏิกริยาอย่างนั้นมันธ์ก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างอารมณ์ดี

              ผมรีบใส่เสื้อผ้าแล้วถือวิสาสะเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา พอเดินออกจมูกก็ปะทะเข้ากับกลิ่นหอมบางอย่าง

              “มันธ์ทำอะไรอ่ะ?”

               “ทำผัดผักครับ เห็นพายยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่กลางวัน พายกินได้ใช่ไหม?”

               “ได้ครับ”

               ผมแอบโกหกอีกฝ่ายไป จริงๆ ผมกินผักได้ แต่ไม่ชอบ เลี่ยงได้คือเลี่ยง แต่สุดท้ายเหมือนอีกฝ่ายจะจับได้ว่าผมโกหก

              “พายไม่ชอบหรอ?”

               “จริงๆ คือไม่ชอบอ่ะ กลิ่นมันเหม็นเขียว ไม่อร่อย แต่กินได้นะ แค่ไม่ชอบ”

               “อ้าว งั้นเดี๋ยวผมทำอย่างอื่นให้นะครับ ตู้เย็นผมเหลือแค่ไข่ไก่ กินไข่ตุ๋นดีไหมครับ?”

               “ไม่ต้องหรอก กินผัดผักก็ได้”

               “พายครับ...ถ้าไม่ชอบก็อย่าฝืน”

               “แต่ว่า ผมเกรงใจอ่ะ”

               “ไหนพายสัญญากับผมแล้วไงว่าพายจะพึ่งผมมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นห้ามเกรงใจครับ พายไปนั่งรอเลยเดี๋ยวผมทำให้” ว่าแล้วมันธ์ก็หันไปวุ่นวายกับการทำอาหารเพิ่ม ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจและยอมฟังอีกฝ่ายแต่โดยดี

              RRRRR

              เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คราวนี้เป็นเสียงที่คุ้นหู ผมรีบเดินตามเสียงนั้นไปทันที มันเป็นสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของผมจริงๆ พอเห็นผู้โทรมาในใจผมได้แต่คิดว่า ฉิบหายแล้ว... ผมรีบกดรับอย่างรวดเร็ว

              “ครับคุณอาร์ม”

               ‘พายเขียนคอลัมน์เสร็จหรือยังครับ ผมจะโทรมาเตือนว่าพรุ่งนี้อย่าลืมส่งนะครับ”

               “อ่าครับ”

               จะบอกได้ไงว่าผมยังไม่ได้ลงมือทำสักรูปเลย

               ‘เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?’

                และแน่นอนอีกฝ่ายย่อมจับความผิดปกติของผมได้ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจก่อนจะสารภาพความจริงว่างานยังไม่คืบหน้าเลย ซึ่งโชคดีที่คุณอาร์มเป็นคนใจดี เขาเลยยอมให้ผมส่งได้ช้าสุดคือบ่ายวันอังคาร ผมรีบขอบคุณอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและกดวางสายไป

                “ใครโทรมาหรอครับ?” คนที่ยืนเงียบที่เพิ่งทำอาหารเสร็จหันมาถามผม พลางเดินไปมาเอาอาหารที่ทำเสร็จมาวางบนโต๊ะผมเห็นอย่างนั้นเลยรีบเข้าไปช่วยทันที

               พออาหารวางบนโต๊ะเรียบร้อยผมก็หันไปตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามค้างไว้

               “กองบก.น่ะ จริงๆ พรุ่งนี้ผมต้องส่งรูปและเนื้อหาคอลัมน์ให้เขา แต่เพราะเป็นแมวผมเลยแทบจะยังไม่ได้แต่งรูปเลยโชคดีหน่อยที่ตัวเนื้อหาเสร็จแล้ว”

               “อ้าว พายบอกว่าเป็นแมว แล้วงี้ทำไมพายทำเนื้อหาเสร็จล่ะครับ?”

              พอได้ยินคำถามแบบนั้น ผมเลยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาให้ฟังรวมถึงวิธีการทำงาน การติดต่อคนภายนอกเมื่อกลายเป็นแมว มันธ์พยักหน้ารับรู้เป็นช่วงๆ แถมมิวายเอ่ยปากชมผมอีก...ใช่เรื่องที่ต้องชมไหมเนี่ย?!




                 พอผมทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ผมก็ยกจานไปเก็บ แต่คราวนี้เจ้าของห้องไม่ยอมปล่อยให้ผมล้างจานเองคนเดียวอีกแล้ว เขาเข้ามายืนข้างๆ และช่วยล้างจาน ระหว่างนั้นก็เริ่มสอบสวนผมอีกครั้ง

               “ทำไมพายกลายเป็นแมวได้ล่ะครับ เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

               “อ่า...อันนี้ผมก็ไม่รู้อ่ะ ตั้งแต่จำความได้มันก็เป็นแล้ว”

               “แปลกจัง...เป็นกันทั้งบ้านหรือเปล่าครับ?”

               พอได้ยินคำถามนี้ผมถึงกับเงียบ...ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง มีแค่นิวคนเดียวที่รับรู้

               คำสัญญาที่ให้ไว้กับอีกฝ่ายลอยเข้ามาในความคิด ‘สัญญาว่าต่อไปนี้พายจะพึ่งผมมากกว่านี้ และจะให้ผมเข้าไปในชีวิตพายนะครับ’ ถ้าจะให้อีกฝ่ายเขามาในชีวิต ผมก็ต้องทำใจยอมรับและเลิกปิดบังเรื่องของตัวเอง...

              “จริงๆ ผมเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีครอบครัวหรอก”

               ผมพูดขึ้นเบาๆ ตาจดจ้องกับจานในมือมากขึ้น แม้สติจะไม่ได้อยู่กับการล้างจานตรงหน้าก็ตาม

                    “….”

              พออีกฝ่ายเอาแต่เงียบ ผมเลยเริ่มเล่าเรื่องตัวเองต่อไปเรื่อยๆ

              “ผมไม่มีความทรงจำช่วงก่อนเก้าขวบเลย เห็นคุณแม่ที่บ้านเด็กกำพร้าบอกว่าผมประสบอุบัติเหตุ ทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนเลยไม่มีความทรงจำช่วงก่อนหน้าเกิดอุบัติเหตุ”

              หางตาผมเหมือนเห็นว่าอีกฝ่ายหยุดมือที่ช่วยล้างจานแล้วหันมามองหน้าผมแทน แต่ผมก็ยังคงเอาแต่ก้มมองจาน มือยังขยับขัดฟองน้ำไม่หยุด แต่สายตาเลื่อนลอยไปไกล ส่วนปากก็ยังคงพร่ำเล่าเรื่องในอดีตให้อีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า ไม่ใช่อดีตอันน่าเจ็บปวดของตัวเอง

             “เพราะฉะนั้นผมเลยไม่รู้จักครอบครัวตัวเอง ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของผมนั้นเป็นตัวประหลาดเหมือนผมไหม”

              แล้วจู่ๆ ก็มีสัมผัสจู่โจมจากด้านหลัง มันธ์กอดผมพลางซุกหน้าของตัวเองลงบนไหล่ผม  ส่วนผมที่ถูกกอดอยู่ได้แต่หยุดยืนนิ่งเฉยๆ

              “พายไม่ใช่ตัวประหลาดนะครับ”

               “…”

               “พายก็แค่พิเศษกว่าคนอื่น พายไม่ใช่ตัวประหลาด พายอย่าคิดแบบนั้นอีกนะ”

               อ้อมกอดนั้นกระชับแน่นขึ้น

                ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต คนที่รับรู้เรื่องราวของผมส่วนใหญ่มีแต่จะทำท่ารังเกียจและตีตัวออกจากผมไป ผมเคยมีแฟน เคยมีคนรัก เราคบกันมาเกือบห้าปี พอผมตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดนี้อยู่กับเธอ เธอก็บังเอิญรู้เรื่องตัวจริงของผม เธอก็ทำท่ารังเกียจผม แล้วหนีหายไปจากชีวิตผมทันที ความผูกพันความรักที่มีให้กันมาหลายปีมันมลายหายอย่างรวดเร็วไปเพียงเพราะอาการประหลาดของผม...แต่กับเจ้าของอ้อมกอดนี้ไม่ใช่...

               มันธ์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกครั้ง...มันธ์ไม่รังเกียจผม ไม่โกรธผม ไม่แม้แต่จะบังคับให้ผมพูดความจริง หรือเล่าเรื่องทุกอย่าง เขาเพียงแค่อยู่ตรงนี้ คอยรับฟังผม คอยอยู่ข้างๆ และปลอบประโลมผม...

               “ขอบคุณนะ”

               ผมปล่อยตัวเอียงเอนหัวไปแนบศรีษะที่อยู่บนไหล่ของผม เรายืนอยู่อย่างนั้นสักครู่ จนผมดิ้นเบาๆ

                “ล้างจานต่อเถอะครับ”

                มันธ์ยอมปล่อยผม แล้วเราก็หันกลับไปล้างจานกันต่อ ผมฉีกยิ้มให้กับร่างสูงเจ้าของห้อง พอเห็นผมยิ้มได้อีกฝ่ายก็ดูจะรู้สึกดีขึ้นมาเลยยิ้มตอบกลับมา บรรยากาศอันเศร้าสร้อยเมื่อกี้มลายหายไปทันที




                 “ผมกลับห้องก่อนนะ ขอบคุณมันธ์นะที่ช่วยเหลือผม”

                 ผมว่าพลางสะพายกระเป๋าเป้ขึ้น แต่ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบปลดกระเป๋าเป้ออกแล้ว เปิดกระเป๋า ก่อนจะหยิบกล่องใบหนึ่งส่งให้อีกคน

                 “อะไรหรอครับ?”

                 มันธ์รับมาอย่างงงๆ แต่พอจะจำได้ว่ามันคือกล่องที่เขาเกือบลืมไว้ที่โรงแรม แต่เจ้าตัวเล็กก็ขยั้นขยอให้เขาเอากลับมา

                “ของฝากน่ะ”

                มันธ์รีบเปิดแล้วดึงแก้วออกมาจากกล่อง มันเป็นแก้วที่มีหูแมวใบสีขาว มันธ์ยิ้มกว้างขึ้นมา

                 “ขอบคุณมากครับ ผมจะใช้แก้วใบนี้อย่างดีเลย”

                 นั่นไงเป็นตามที่เขาคิดจริงๆ ด้วย

                “อ๊ะ?! แต่ผมจำได้ว่าแก้วมันเป็นสีเทาไม่ใช่หรอครับ??”

                 คงจะเป็นตอนนั้นที่โรงแรมที่มันธ์เปิดดู มันธ์คงจะเปิดดูแก้วของผม

                  “อ่อ สีเทาผมซื้อมาใช้เองน่ะครับ”

                  “หรอครับ...” อีกฝ่ายทำเสียงหงอยๆ ลงนิดหน่อยจนผมแปลกใจ “มันธ์อยากได้สีเทามากกว่าหรอ?”

                 “เปล่าหรอกครับ สีขาวก็น่ารักดี”

                 น่ารักดีแต่ก็ยังทำหน้าหงอยนี่นะ?? ผมเกินเข้าไปดึงแก้วจากมืออีกฝ่ายออกก่อนจะยัดกล่องอีกใบใส่มือมันธ์แทน พอเห็นอย่างนั้น มันธ์ก็กลับมาสดใสหน้าบานขึ้นทันที

                 ผมได้แต่ส่ายหน้านน้อยๆ ให้กับคนที่ทำตัวเป็นเด็กๆ “ผมว่าสีขาวสวยกว่าอีก นึกว่ามันธ์จะชอบสีขาว”

                 อีกอย่างสีขาวก็เขากับโทนห้องของมันธ์มากกว่าด้วย

                 “ผมชอบสีขาวมากกว่าครับ แต่สีเทานี่เหมือนเจ้าตัวเล็ก...เหมือนพายดีน่ะครับเลยอยากได้” เน้นคำว่าอยากได้อย่างผิดปกติ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้หมายถึงอยากได้แก้วเฉยๆ หรอก

                 “ผมกลับดีกว่า ไปและ ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลแมวนะ ไข่แดงไข่ขาวกลับห้อง!” ประโยคหลังผมหันมาตะโกนเรียกเจ้าแมวของตัวเองที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ไม่ไกล แต่ทั้งสองตัวก็ยังคงนิ่ง...

                “เจ้าไข่แดงไข่ขาวกลับห้องได้แล้ว!!”

                และก็ยังคงนิ่ง..

                “หมูกรอบ เต้าหู้ครับ กลับห้องนะครับ” คราวนี้มันธ์เป็นคนพูด และมันก็ยอมฟังแต่โดยดี เดินมาหาผมพลางส่งเสียงร้องเหมียวๆ ไม่หยุด

               โอเค...หายไปสัปดาห์เดียวได้ชื่อใหม่ลืมชื่อเก่าเลยนะ แหมมมมม

               ผมแบกของทั้งหายกลับห้องตัวเอง มันธ์ก็เดินมาส่งพอจะเปิดประตูของที่พะรุงพะรังทำให้เปิดไม่ถนัดมันธ์จึงฉวยเอากระเป๋ากล้องในมือผมไปถือแทน ผมขอบคุณเบาๆ ก่อนจะหันไปเปิดประตู

              ผมเดินเข้าไปเปิดไฟ เจ้าแมวทั้งสองตัวก็เดินเข้าห้องตามมา มันธ์หันมาส่งกระเป๋าให้ผม ผมก็รับมันมาเอาไปวางไว้แถวนั้น พวกเรายืนนิ่งมองหน้ากันไปมาตรงประตูอยู่ซักพัก ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมพูดอะไร ได้แต่จ้องตากันไปมา

              “ผมกลับห้องแล้วนะครับ ราตรีสวัสดิ์นะ” เป็นมันธ์ที่ทำลายความเงียบระหว่างเราขึ้นก่อน

               “อ่า..ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอบคุณสำหรับหลายวันที่ผ่านมานะครับ”

               “ครับ ไม่เป็นไรหรอก”
 
               แล้วมันธ์ก็ยังคงยืนนิ่ง ไม่ยอมขยับไปไหน ไหนว่าจะกลับห้องไง?

               ผมยักคิ้วทำหน้าสงสัยไปให้อีกฝ่าย

                “ไม่มีกู๊ดไนท์คิสหรอ” 

                เอิ่ม...นี่คือไม่ยอมไปไหนเพราะยืนรอกู๊ดไนท์คิส??

               “ไม่มีครับ กลับห้องไปได้แล้ว”

                ผมดันตัวอีกฝ่ายเบาๆ หวังให้เดินกลับไปห้องตัวเองไป มันธ์เห็นอย่างนั้นจึงได้แต่ทำหน้าหงอยๆ เหมือนหมาน้อยที่เจ้าของสั่งงดข้าวเย็น เห็นอย่างนั้นก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้

                มือที่กำลังดันตัวอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นจับคอเสื้ออีกฝ่าย แล้วอาศัยช่วงเวลาเพียงเสี้ยงวิ ออกแรงดึงให้ใบหน้านั้นก้มลงมารับสัมผัสจากริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว

                 “แค่นี้นะ ไปนอนได้แล้ว ราตรีสวัสดิ์” ผมรีบพูดอย่างรวดเร็ว ปิดประตูดัง ปึง! ต่อหน้าอีกฝ่ายทันที ไม่รอให้อีกฝ่ายได้รู้ตัวทันหรอกว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น

                 แม่งเอ๊ย เขินนะโว้ยยยยยย





______________________________
ขอโทษค่ะที่หายไปนาน พอดีมีเรื่องเครียดๆ นิดหน่อยค่ะ
ขอบคุณทุกคนนะคะที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ
ข้อมูลต่างๆ อะไรที่ผิดพลาดไปก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-02-2019 16:57:31
 :pig4: :pig4: :pig4:

พวกเขา...กันแล้ว  อิอิ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 01-02-2019 21:15:11
 :impress2: หวายๆๆๆ  มีจุ๊บๆกันด้วย
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-02-2019 23:21:11
เกี้ยวกราดจากตอนก่อน ตอนนี้หวานแหวว จุ๊บๆๆๆๆกันเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 01-02-2019 23:39:49
รู้แล้ว
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-02-2019 00:37:41
พายเป็นเด็กกำพร้าแล้วทีนี้จะรู้ได้ยังไงล่ะว่าทำไมถึงกลายร่างเป็นแมวได้
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 02-02-2019 08:34:21
ชื่อใหม่ก็น่ารักเต้าหู้กับหมูกรอบน่ารักมากๆ มันธ์คือดีมาก รออยู่นะคะ สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-02-2019 15:37:10
มันธ์เป็นคนหื่น 55555
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-02-2019 16:13:30
หยอดเก่งงง
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-02-2019 23:53:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 03-02-2019 08:57:04
กรี๊ดดดดดดดดด
เค้าจูบกันแล้วจ้ะแม่จ๋า

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 12-02-2019 00:14:12
พึ่งได้เข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลย
คือมันธ์ ดีงามมากเว่อร์ เข้าใจพายสุดๆ
แถมตอนนี้ยังหวานกันสุดๆไปเลย
น้องแมวก็น่ารักกก
 :-[
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 13-02-2019 13:00:44
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 13-02-2019 20:25:49
รออยู่น้า คิดถึงเต้าหู้กับหมูกรอบ :กอด1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 10 [01/02/2019] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-02-2019 22:10:06
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 21-02-2019 15:43:16






บทที่ 11 แมวของผม...กับสถานที่ในอดีต





           RRRRR

           เสียงโทรศัพท์ปลุกผมตื่นจากการหลับไหลในวันจันทร์ที่ผมไม่มีงาน พอมองหน้าจอก็พบว่าเป็นเสียงเรียกเข้าจากเพื่อนรักที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสามอาทิตย์เต็ม

           ผมกดรับสายอย่างงัวเงีย กวนตีนมันไปก่อนที่มันจะได้พูดอะไร

            “ยังไม่ตายอีกหรอ?”

           ‘โฮ้~ ไม่ได้คุยกันตั้งนานมึงทักกูอย่างนี้เลยหรอ’

           “เออ ก็มึงเล่นหายไปไม่ติดต่อกูเลย กูทักไลน์ไปแม่งก็ไม่ตอบ แล้วมึงยังส่งรูปอะไรก็ไม่รู้กับพิมพ์ภาษาอะไรไม่รู้ให้กูอีก”

           ‘เชี้ย? จริงดิ?? กูส่งไรไปวะ??’   

            แล้วมันก็เงียบหายไปสักพักผมเดาว่ามันคงหายไปเปิดไลน์ แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงมันอุทานไม่เป็นคำก่อนมันจะกลับมาพูดกับผม   

           ‘ไอเหี้ยมึงลืมๆ ไปไม่มีอะไรหรอก’

            “เออ กูก็ไม่ได้สนใจอะไร มึงกลับมาจากญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

            ‘กลับมานานแล้ว ตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้วนู่น’

            “เออๆ ว่าแต่โทรมามีไร??”

            ‘กูมีเรื่องจะรบกวน ยังไงมึงมาที่ห้องกูก่อน’

           “อะไรวะ?? มึงก็ขึ้นมาห้องกูดิ”

           ‘เถอะน่า...มาห้องกูเถอะ กูไปหามึงไม่ไหวแล้วววว’

           อะไรของมันวะ?? สุดท้ายผมได้แต่เออออ ยอมตามใจมัน ผมวางสายก่อนจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ปิดห้องให้เรียบร้อย ปล่อยเจ้าแมวสองตัวเดินป้วนเปี้ยนไปมาในห้อง

           ผมเดินลงมาที่ห้อง 505 ซึ่งเป็นห้องด้านล่างของห้องมันธ์พอดี กดกริ่งไปสักพัก เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นมาทันที


           NewBalancez : เข้ามาเลย รหัสเดิม

   

            ผมก็กดรหัสเข้าห้องมันตามที่เคยจำได้ โดยไม่ได้สนใจว่าในมือเสียงแอพลิเคชั่นไลน์กำลังดังขึ้นต่อเนื่องอย่างระรัวแค่ไหน พอเข้าไปก็ได้ยินเสียงมันตะโกนมาจากห้องนอน เลยเดินเข้าไปตามเสียงเรียกนั้น ผ่านห้องนั่งเล่นที่มีแต่กล่องอะไรไม่รู้วางระเกะระกะเต็มไปหมด พอมาถึงห้องนอนก็เห็นสภาพเพื่อนรักที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงห่มผ้าห่มจนมิด มีแต่หัวทุยๆ ขอมันโผล่พ้นผ้าออกมา

            “มีอะไรวะ??”

            “มึงดูในไลน์ๆ”

               “??”

            ผมก้มลงไปดูตามที่มันบอกอย่างผ่านๆ ตา พบว่าเสียงแจ้งเตือนเมื่อครู่ก็มาจากคนตรงหน้านี่แหละ มันส่งรูปศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นมาให้ผมประมาณสิบกว่ารูปได้

            “ศาลเจ้า?”

            “เออ”

            “ทำไมอ่ะ? ไม่เข้าใจ?? แล้วมึงกลับมาจากญี่ปุ่นเป็นอาทิตย์แล้วทำไมเพิ่งเอารูปมาอวดกู?”

            “ขอสารภาพ พอดีมันวุ่นๆ แล้วกูเลยลืมไป เพิ่งนึกได้อ่ะ แฮะๆ...”

            “……”

            ผมได้แต่ทำหน้ายุ่งคิ้วขมวดใส่มัน

            “เออน่า สาระสำคัญไม่ใช่กูจะอวดรูปเว้ย คืองี้ ศาลเจ้าในรูปอ่ะอยู่แทบคันไซ กูกับบอสไปเจอโดยบังเอิญ”

            แล้วยังไงล่ะ?? ศาลเจ้ามันทำไม?? มันก็สวยดีนะ แต่นี่คือเรื่องสำคัญที่มันถึงกับลากให้ผมมาที่ห้องมันเลย??

            “ตอนแรกกูก็ไปเฉยๆ เห็นผ่านแล้วสวยดี แต่ที่พีคคือมึงดูรูปที่กูส่งไป เห็นป่ะ รอบๆ วัดแม่งมีแต่รูปปั้นแมวเต็มไปหมด แถมในวัดก็แมวเยอะมากๆ”

            “เห็น แล้วแปลกอะไรวะ?? คือตามศาลเจ้าปกติก็มีรูปปั้นนั่นนี่เป็นปกติมะ?”

            “เออ ก็ไม่แปลกอย่างที่มึงว่า แต่ที่แปลกคือนี่ มึงดูๆ ประมาณรูปที่ห้าที่กูส่งไป”

           ผมลองเลื่อนๆ ดู ก็พบภาพหนึ่งที่ต่างจากภาพอื่นๆ มันเป็นภาพผ้าแขวนผนัง แต่ลายผ้าแขวนนั้นกลับเห็นไม่ชัดเพราะภาพสั่นเกินไป

           “ผ้าแขวนอะไรวะ? แล้วทำไมภาพสั่นขนาดนี้”

            “ก็กูแอบถ่ายอ่ะดิ เขาไม่ให้ถ่ายรูปพวกผ้าแขวน แต่กูตื่นเต้นจัดเลยแอบถ่ายมาให้มึง”

            “แล้วสรุปมันคือผ้าแขวนอะไร?”

             “มันเป็นรูปแมวค่อยๆ กลายเป็นคน!!!”

            “หืม? หมายความว่าไง?”

            “กูก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดว่ะ วันนั้นพระที่วัดไม่อยู่วัดกัน มีแต่มิโกะอยู่นิดหน่อย กูไปถามแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไร”

            “อ้าว...”

            “เออ ขอโทษด้วย แต่กูว่ามันอาจจะเป็นเบาะแสถึงอาการของมึงก็ได้นะ”

           “หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่รูปวาดจากตำนานปรัมปราไม่มีอะไรก็ได้” ผมพูดขัดคนที่นอนบนเตียง ข้อมูลใหม่ที่นิวได้รับมามันก็น่าสนใจอยู่หรอก...แต่มองในอีกแง่มุม มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ กับข้อมูลที่ได้มา ก่อนจะเปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่น ปล่อยจางเรื่องนี้ไป

           “มึงเรียกกูมาแค่นี้?”

           “เปล่า...จริงๆ มีเรื่องจะรบกวน”

           “??”

           “คือวันนี้กูต้องเอาเอกสารกับของไปให้ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแทนแม่อ่ะ แต่คือกูไปไม่ไหว มึงเอาไปให้หน่อยดิ ของทั้งหมดอยู่ในห้องนั่งเล่นนะ เออแล้ววันนี้ที่นั่นมีงาน มึงไปช่วยถ่ายรูปด้วยดิ งานเริ่มบ่ายๆ”

           “อ้าว แล้วทำไมมึงไม่ไปเอง? หรือแผลผ่าตัดไส้ติ่งมึงยังไม่หาย? แต่ก็ครบเดือนแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมเป็นนานจัง”

           “แผลอ่ะยังไม่หายแต่ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ก็แบบ...กูป่วยนิดหน่อย กูรู้ว่ามึงไม่อยากไป แต่กูไม่ไหวจริงๆ คนเก่าๆ ที่อยู่ที่นั่นก็ไม่อยู่กันแล้ว ไม่มีใครรู้จักมึงหรอก มึงไม่ต้องกลัว”

           มันรีบพูดหวังให้ผมตกลง มันก็น่าจะรู้ว่าที่นั่นแม้จะเป็นที่มีพระคุณกับผม แต่ผมก็ไม่ค่อยอยากจะกลับไปเหยียบที่นั่นสักเท่าไหร่...แต่ก็จริงของมัน ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นเกือบสิบปีแล้วต่างกับนิวที่กลับไปที่นั่นเป็นประจำเพราะส่วนนึงคือมันต้องไปคอยดูแลแทนแม่ ในขณะที่ผมพอออกมาจากที่นั่นก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย มีเพียงแต่ส่งเงินไปให้ทุกเดือนก็แค่นั้น ว่าแต่มันป่วยอะไรของมัน ก็เห็นสภาพปกติดี

           “ป่วยอะไร?”

           “เออน่า...มึงช่วยกูหน่อย”

           อยากจะด่าแต่เห็นสายตาอ้อนวอนของมันก็ด่าไม่ลง

           “เออ ก็ได้ เดี๋ยวกูไปให้ แล้วไหนเอกสาร?”

           “อยู่นี่ๆ”

           ว่าแล้วมันก็เอื้อมมือออกมาเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นรอยที่แขนของมันเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด

           “แขนมึงไปโดนอะไรมาวะ?”

           ได้ยินแบบนั้นมันรีบชักมือกลับมาในผ้าห่มทันที แต่เพราะมันทำแบบนั้นทำให้ผ้าห่มหลุดออกมาแว่บหนึ่งจนผมเห็นว่าไม่ใช่แขนที่เป็นรอยจ้ำ แต่บริเวณลำคอมันก็มีรอยเช่นกัน

           “มึงไปโดนอะไรมา แพ้อะไรหรอ?? หาหมอยัง??”

           “เออ ไม่เป็นไรหรอก”

           ว่าแล้วมันก็เลิกสนใจผม หันมาเอื้อมมาที่หัวเตียงหยิบเอกสารที่ผมถามหาเมื่อสักครู่ แต่เพราะมันเอื้อมหยิบในท่าที่นอนอยู่อย่างขี้เกียจมันเลยดูทุลักทุเลไม่ได้สักที

            “มึงจะขี้เกียจไปไหน ลุกมาหยิบดีๆ ดิวะ”

           ท่าทางของมันเหมือนไม่อยากให้ส่วนใดๆ ของร่างกายยื่นออกมาจากผ้าห่ม สุดท้ายมันเลยส่งผลคนตรงหน้าดูเก้ๆ กังๆ ด้วยความรำคาญผมเลยฉุดแขนมันให้ลุกขึ้นมาเบาๆ จังหวะนั้นเองที่ผมแอบเหลือบเห็นรอยจ้ำใต้เสื้อของมันที่ดูจะมีเยอะกว่าภายนอกเสื้อผ้าที่ผมเห็นเมื่อกี้ด้วยซ้ำ!!

            “มึงถอดเสื้อเดี๋ยวนี้!!” ผมสั่งมันเสียงเข้ม

            “อะ…อะไร?!!”

            “ถอด-เดี๋ยว-นี้!!”

             มันทำท่ายึกยักไม่ยอดถอดสักที่ผมเลยตรงเข้าไปจับคนตรงหน้าถอดเสื้อออก ฝ่ายถูกจับให้ถอดเสื้อก็รีบกอดอกหวังจะปิดบังร่างกายตัวเองทันที แต่ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่ามันไม่ได้ช่วยปิดอะไรหรอก....

             “มึงเป็นอะไรเนี่ย? นี่ไม่ใช่รอยแพ้แล้วมั้ง บางรอยดูเป็นรอยช้ำด้วยซ้ำ แล้วทำไมเป็นเยอะขนาดนี้?”

             “ไม่มีอะไรหรอก...เนี่ยมึงก็เห็นสภาพกูแล้วนี่ จะให้กูไปเองกูก็กลัวโดนถามจนเดือดร้อนไปเข้าหูแม่กูอีก ขี้เกียจตอบคำถาม”

            “งั้นมึงต้องตอบกู สรุปเป็นอะไร ไปกินอะไรผิดสำแดงที่ญี่ปุ่น?”

             “เปล่า”

             “อ้าว...แล้วสรุปมึงเป็นอะไร มัวแต่อุบอิบอยู่นั่นแหละ แล้วกินยายัง”

             “กินแล้ว”

              “สรุปเป็นไร?”

              “…”

             มันก็เอาแต่เงียบ ไม่ยอมพูดอะไร ผมก็เงียบจ้องหน้ากดดันมันเบาๆ จนสุดท้ายมันได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยอมตอบคำถามผม

              “กูไม่ได้เป็นไรหรอกมึง..คือแบบ”

              “แบบ?”

              “คือเมื่อคืน...คือบอส”

              “….”

              แล้วมันก็เงียบอีก ไม่ยอมพูดอะไรต่อ แต่หน้ากลับขึ้นสีแดงขึ้นมาเรื่อยๆ

             “บอส?? คุณธาริณ?”

             “เออ”

             “คุณธาริณเกี่ยวอะไร?”

              “กะ...ก็ คุณธาริณของมึงนั่นแหละที่ทำกูเป็นแบบนี้”

             มันรีบพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะดึงผ้าห่มแล้วมุดหน้าลงไป หนีหน้าผมทันที

             เหี้ย! เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันพูดอะไรนะ?

              ผมมองปฏิกริยาเพื่อนตรงหน้า ก่อนจะนึกทวนคำพูดมัน นึกสภาพร่างกายของมันตอนนี้ ผลลัพธ์ก็ชัดเจนมีอยู่เพียงคำตอบเดียว

             “เหี้ย! ได้ยังไง?? มึงกับคุณธาริณ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?? ไอ้เหี้ย ไอ้นิวมึงโผล่ออกมาคุยกับกูก่อน”

              ผมพยายามดึงผ้าห่มมันออกมาแต่คราวนี้คนใต้ผ้าห่มกลับจับไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้หลุดออกมา

              “ไอ้นิววววว โผล่หน้ามาพูดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะบอกแม่มึง!!”
 
               คราวนี้ได้ผล มันยอมโผล่หัวยุ่งๆ ของตัวเองออกมา

              “สรุปยังไง? มึงกับบอสคบกัน?”

              “อือ”

             “ตั้งแต่เมื่อไหร่??”

              “ปีที่แล้ว”

             “เหี้ย! นานขนาดนั้นทำไมกูไม่รู้วะ??”

             “ก็กูไม่กล้าบอก กลัวมึงจะรู้สึกไม่ดี...”

             คราวนี้ผมได้หันไปมองหน้าคนบนเตียงอย่างจริงๆ จังๆ

             “ทำไมมึงคิดแบบนั้น? มึงคิดว่ากูจะใจแคบรับไม่ได้ที่เพื่อนคบกับผู้ชาย?? มึงยังรับได้ที่กูมีร่างกายประหลาดแบบนี้ได้ อะไรทำให้มึงคิดวะว่าเรื่องแค่นี้กูจะรับไม่ได้”

             ผมเริ่มมีน้ำโหขึ้นมานิดๆ

            “กูขอโทษ เออกูคิดมากไปเอง กูไม่ได้คิดว่ามึงใจแคบเลยนะ มึงอย่าโกรธกูนะ โอ๊ย!!”

            เพราะมันรีบลุกขึ้นมาจับมือผม หวังจะอธิบายให้ผมฟังทำให้ความเจ็บจากแผลผ่าตัดไส้ติ่งที่ยังไม่ทันหายดีก็แล่นขึ้นมา มันเลยร้องขึ้นมาทันที แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผม

            เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

            ผมจับมือของมันแล้วค่อยๆ ดึงออกจากแขนของตัวเอง ปฏิกริยานั้นยิ่งเรียกสีหน้าสลดจากนิวได้เป็นอย่างดี

            ผมได้แต่ถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะจับตัวมันให้ล้มนอนลงแบบเดิม กับมันผมไม่เคยโกรธเกินได้ชั่วโมงเลยจริงๆ

           “มึงนอนไป เดี๋ยวแผลก็ระบมอีก”

           “มึงไม่โกรธกูนะ”

            “เออ ไม่โกรธ แล้วทำไมสภาพมึงเป็นแบบนี้? คุณธาริณรุนแรงกับมึงแบบนี้ตลอดเลยหรอ?”

             ปกติผมไม่เคยสังเกตร่างกายของเพื่อนเลย ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าร่างกายมันจะมีรอยช้ำอะไรเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ประจำอีก ผมคงต้องคุยกับอีกฝ่ายอย่างจริงๆ จังๆ

            “เปล่าหรอก เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

            “มีเรื่อง?”

             “มึง กูไม่เป็นอะไรจริงๆ”

             “ถ้าเขาทำร้ายมึง หรือรุนแรงกับมึง มึงก็ไม่ควรจะฝืนทนนะ ถึงมึงจะรักกันแต่การทำร้ายร่างกายกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”

             “ใจเย็นก่อนพาย บอสไม่ได้รุนแรงหรือทำร้ายร่างกายกูจริงๆ บอสเป็นคนดี มึงไว้ใจได้ กูแฮปปี้ไม่ได้ฝืนอะไร คือแบบมึงก็รู้ใช่ป่ะว่ากูผ่าตัดไส้ติ่งมาเดือนนึงแล้ว”

             “อ่าห้ะ...แล้ว?”

             “ก็นั่นแหละ คือกูเป็นงี้ไง มีแผลผ่าตัด หมอบอกห้ามออกกำลังกายหนัก”

              “…?..”

             “ก็แบบมันก็รวมถึงเรื่องอย่างว่า แล้วแบบก็กูกับบอสก็ไม่ได้ทำมาเป็นเดือนแล้ว...แผลกูก็ยังไม่หายดี บอสเลยแบบทำแค่ภายนอก...จะได้ไม่กระเทือนแผลกูมาก...มันเลยแบบ....” มันพูดไปหน้าก็แดงไปแถมยิ่งพูดหน้าก็ยิ่งค่อยๆ หดหายลงไปใต้ผ้าห่ม ผมเลยขัดมันขึ้นมาทันที

              “พอ...กูเก็ทแล้ว โอเค งั้นมึงนอนพักไป เดี๋ยวกูจัดการเรื่องที่บ้านเด็กกำพร้าให้ ว่าแต่มึงเอายาอะไรเพิ่มเติมไหม หรืออยากได้อะไรหรือเปล่าเดี๋ยวกูไปซื้อให้”

              “ไม่เป็นไรมึง บอสซื้อให้กูไว้หมดแล้ว”

              “โอเคๆ งั้นมึงนอนพักไปๆ เดี๋ยวกูจัดการให้”
   
             ผมเอื้อมหยิบเอกสารในโต๊ะก่อนจะส่งให้มันตรวจเช็คว่าเอกสารนั้นถูกต้องครบถ้วนใช่ไหม ซึ่งมันก็รับไปตรวจก่อนจะส่งคืนเมื่อตรวจความถูกต้องเอกสารครบถ้วน

             “แล้วมึงขนของคนเดียวไหวไหมวะ ของรอบนี้เยอะด้วย เดี๋ยวกูช่วยดีกว่า”
 
                ว่าแล้วมันก็ทำท่าจะลุกมาวยผม โดยไม่เจียมสังขารตัวเองเลย  ผมรีบกดไหล่ให้มันนอนลงไป

             “มึงนอนไปเลย เจ็บแล้วยังไม่เจียมสังขารตัวเองอีก ไหนหมอบอกห้ามออกกำลังกายไง”

              “แต่…"

               “นอนไปเลย”

               มันก็ยังคงทำหน้ากังวลไม่เลิกจนผมบอกจะหาคนมาช่วยนั่นแหละมันถึงทำสีหน้าวางใจลงได้ แต่ยังไม่วายให้ผมเปิดประตูห้องนอนไว้ มันจะได้เห็นว่าผมหาคนมาช่วยขนของจริงๆ ไหม

              สุดท้ายผมเลยได้แต่โทรไปรบกวนให้มันธ์ลงมาช่วย ซึ่งมันธ์ก็ยินดี รีบลงมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นผู้ช่วยผมมาแล้ว เจ้าของห้องก็ดูจะวางใจได้เลยพล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว




              พวกเราใช้เวลาขนประมาณยี่สิบนาที ของทั้งหมดก็มาอยู่บนรถผม พอขนมาเรียบร้อยผมกูรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ จนเซไปเล้กน้อย มันธ์อย่างอย่างนั้นก็รีบเข้ามาประคองผมทันที

              “ไหวไหมครับ?”

               “ผมว่าผมไม่ไหวครับ ...อึก!”

              คราวนี้ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจเต็นแรงขึ้น มันธ์เห็นท่าไม่ดีจึงประคองผมไปนั่งในรถฝั่งข้างคนขับพลางปรับเบาะให้ผมนอนได้สบายๆ ส่วนตัวเขาหยิบกุญแจไปจากมือผมก่อนจะกลับไปที่ฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ แล้วหันมาหาผม

              “ดีขึ้นไหมครับ?”

              “อือ” ผมพึมพำตอบไปเล็กน้อย มือก่ายหน้าผากตัวเอง พยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ

              “พายไปคนเดียวไหวไหม? ให้ผมไปด้วยไหม?”

             “มันธ์ว่างหรอครับวันนี้?”

             “ครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”

             ผมพยักหน้าเบาๆ เห็นแบบนั้นมันธ์จึงส่งมือถือให้ผม ผมรับไปมองนิดนึง มันคือแอพ map ผมพิมจุดหมายปลายทางแล้วส่งมือถือคืน แล้วนอนนิ่งๆ ต่อไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าผมต้องการพักผ่อนเลยปล่อยให้ผมนอนไปอย่างเงียบๆ

             จุดหมายปลายทางครั้งนี้เป็นบ้านเด็กกำพร้าที่ผมเติบโตมา ผมไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าจะไปไหน แต่เขาคงเห็นจากในแมพแล้วแหละ

             พอขับรถไปได้สักพัก ผมก็รู้สึกได้ว่ารถหยุดนิ่ง พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่รอบๆ มองแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง

              “พายกินอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”

              “อือ...อะไรก็ได้”

              “โอเคครับ”

               ผ่านไปสักครู่มันธ์ก็กลับมาพร้อมกับซาลาเปาและชานมปั่นหนึ่งแก้ว

              “พายกินหน่อยนะครับ”

              ผมรับมากินอย่างว่าง่าย พอได้กินน้ำหวานๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ผมนั่งกินต่ออย่างเงียบๆ ส่วนมันธ์ก็กลับไปขับรถต่อ

               พอผมรู้สึกดีขึ้นก็ปรับเบาะให้นั่งขึ้นมานิดหน่อย

              “ขอบคุณนะครับสำหรับอาหาร แล้วก็ที่มาเป็นเพื่อน”

               “ครับ ว่าแต่พายเป็นอะไร ดีขึ้นหรือยังครับ?”

              “ดีขึ้นแล้วๆ แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”

              “เหนื่อย?” มันธ์หันมามองผมอย่างสงสัย คงเพราะปกติคนที่แค่เหนื่อยไม่น่ามีอาการอะไรแบบนี้

             “คือถ้าผมเหนื่อยผมจะรู้สึกหัวใจเต้นผิดปกตินิดหน่อยก่อนจะกลายเป็นแมวน่ะครับ”

             “อ่อ อย่างนี้นี่เอง สรุปคือพายจะกลายเป็นแมวถ้ารู้สึกเหนื่อย?”

            “อือ”

           “แล้วอย่างนี้จะไหวไหมครับ จะไม่กลายเป็นแมวใช่ไหมถ้าเราไปถึงแล้วน่ะ?”

           “ดีขึ้นแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรแล้วล่ะครับ”

           “โอเค...ยังไงพายก็นอนพักต่ออีกหน่อยละกัน กว่าจะถึงน่าจะอีกครึ่งชั่วโมง”

           “อือ ขอบคุณมาก”

           ผมว่า แต่ก็ไม่ได้กลับไปนอนต่อแบบที่อีกฝ่ายบอก ผมหันออกไปดูวิวข้างทางไปเรื่อยเปื่อย พลางคิดถึงเรื่องราวในอดีต

            
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: มากมายด์ ที่ 21-02-2019 15:43:55








                ผมในตอนเด็กนั้นตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ตอนนั้นผมเหมือนเด็กแรกเกิด ที่ฟังใครก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความทรงจำใดๆ เหลืออยู่

           ผมถูกพามาที่บ้านเด็กกำพร้าทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล... ผมถูกจับให้เรียนรู้ใหม่ทั้งหมดทั้งการใช้ชีวิต ภาษา ความรู้ทุกอย่าง อาจจะเพราะแค่สูญเสียความทรงจำจำเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้แต่ทักษะต่างๆ ยังคงไม่ได้เลือนหายตามไปดังนั้นเพียงเวลาแค่หนึ่งปี ผมก็สามารถใช้ชีวิตปกติได้ มีความรู้ตามความสมวัยของตัวเอง แต่แม้ความรู้ของผมจะเพิ่มขึ้นแต่การเข้าสังคมของผมกลับติดลบ...

           ผมไม่สามารถเข้ากับใครได้เลย แรกๆ ผมก็เข้ากับคนอื่นได้จนวันหนึ่งที่จู่ๆ ผมกลายเป็นแมว...ทุกคนต่างตกใจ เขวี้ยงข้าวของใส่ผม ด่าทอว่าผมคือตัวประหลาด และเลิกเล่นเลิกคุยกับผมไป แม้แต่แม่ๆ ที่บ้านเด็กกำพร้าก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ผม มีแต่คุณแม่ใหญ่คนเดียวที่ยังรักผม ไม่รังเกียจผม ช่วยสอนให้ผมรับรู้ร่างกายตัวเอง และสอนถึงการปรับตัวเข้ากับสังคมให้กับผม ให้ผมเก็บมันเป็นความลับ แต่อย่างไรก็ตามท่านก็มีงานเยอะ จึงไม่ค่อยได้ลงมาดูแลเด็กๆ โดยตรง หนึ่งปีที่ผ่านมาผมจึงแทบจะอยู่คนเดียวเกือบตลอดเวลา

           เพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองผมจึงถูกเหมาไปว่าน่าจะอายุประมาณเก้าปี หนึ่งปีหลังจากได้อยู่ที่นี่เพราะถูกทุกคนรังเกียจ ผมเลยไม่มีชื่อ ไม่มีใครเรียกก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมีชื่อ...ถ้าจำเป็นต้องเรียกทุกคนก็จะเรียกผมว่าตัวประหลาด ส่วนพวกแม่ๆ ก็จะเรียกผมว่าเด็กใหม่...จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่นิวก้าวเข้ามาในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้... ผมยังจำวันนั้นได้ดี...




           วันนั้นเป็นวันเด็ก ที่ทางบ้านเด็กกำพร้าจัดกิจกรรมให้เด็กได้มานั่งทำสิ่งประดิษฐ์กัน มีหลายหลายให้เด็กเลือกทั้งเพ้นท์กระเป๋า พับกระดาษ วาดรูประบายสี ปั้นดินน้ำมัน ระบายสีปูนปาสเตอร์ ซึ่งผมเลือกอย่างหลัง แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจปูนปาสเตอร์ ทั้งห้องเลยมีแค่ผมคนเดียวหรือความจริงทุกคนอาจจะแค่ไม่อยากอยู่ใกล้ผม... ผมนั่งลง แล้วเริ่มลงมือทาสี แต่แล้วก็มีเด็กที่ดูแต่งตัวดีกว่าทุกคนในที่นี้มานั่งข้างๆ ผม เขาหันมาพยายามชวนผมคุย

           “นี่ๆ นายชื่ออะไรหรอ?”

           “…”

           “ว่าไงชื่ออะไร??”

           “…”

           “ทำไมไม่ตอบอ่ะ เราชื่อนิวนะ นายชื่ออะไรอ่ะ?”

           จะเอาชื่ออะไรดีล่ะ ระหว่างตัวประหลาดกับเด็กใหม่? ผมเลือกชื่อที่แย่น้อยกว่าบอกอีกฝ่าย

           “เด็กใหม่”

           “หืม??”

            “ทุกคนเรียกเราว่าเด็กใหม่”

            “สรุปนายชื่อเด็กใหม่??”

            “เปล่า...เราไม่มีชื่อ แต่ทุกคนเรียกเราว่าเด็กใหม่”

            “อ้าว”

            ผมได้แต่เงียบไม่รู้จะพูดอะไร หันกลับไปก้มหน้าก้มตาระบายสีปูนปาสเตอร์ตรงหน้า

            “พาย”

            “หืม?” ผมหันไปหาอย่าสงสัย เมื่อจู่ๆ คนข้างตัวพูดขึ้นมาอีกครั้ง

             “นายชื่อพายไง ดีไหม?”

             “ทำไมต้องชื่อพายอ่ะ”

              “ก็พายอร่อย พายเป็นขนมที่เราชอบกินที่สุดเลยโดยพายแอปเปิ้ล”

              “พายแอปเปิ้ล?”

              “อ้าว!!...นายไม่เคยกินหรอ?”

              ผมรีบส่ายหน้าทันที

              “งั้นเดี๋ยวแป๊ปนะ”

               ว่าแล้วเขาก็รีบลุกออกไปทันที ผมมองตามหลังเล็กๆ ที่วิ่งออกไป เห็นเขาวิ่งไปหาคุณป้าที่แต่งตัวดีคนนึง คุณป้าคนนั้นก็จูงมือเขาเดินหายไป พอเขาลับสายตาไปผมเลยหันกลับมาตั้งใจสร้างสรรค์ผมงานตรงหน้าต่อ จนสุดท้ายผมระบายเสร็จไปเกือบครึ่งหนึ่งก็มีกลิ่นบางอย่างปะทะเข้ากับจมูกผมเต็มๆ ผมหันไปมองสิ่งนั้นทันที

              เด็กชายคนเมื่อกี้กลับมาแล้ว ในมือของเขาถือจาน บนจานนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่

              “นี่ไงพายแอปเปิ้ล นายลองกินสิ”

             ว่าแล้วเขาก็ยื่นจานให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆ มองดูสิ่งที่อยู่ในจาน

              “กินสิๆ”

             เขาคนนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมกิน ผมเลยค่อยๆ ตักอาหารที่อยู่ในจานเข้าปาก รสสัมผัสแรกที่รู้สึกทำเอาผมรู้สึกประหลาด มันหวาน กรอบ อร่อย ผมไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

             พอได้เข้าปากไปคำนึง คำอื่นๆ ก็ตามเข้ามาอย่างรวมเร็ว เพียงแว่บเดียวอาหารในจานก็หมด

             “อร่อยใช่ไหมล่ะ” เขาถามผมอย่างยิ้มๆ

              ผมรีบพยักหน้าตอบไปทันที “อร่อยมากๆ เลย มันคืออะไรหรอ?”

              “พายแอปเปิ้งไง ที่เราบอกเมื่อกี้อ่ะ”

              “อ่อ...อร่อยมากเลย”

             “ถ้านายพอใจงั้นนายก็พอใจชื่อพายใช่ไหม?”

              ผมหันมองคนตรงหน้าอีกครั้ง คิดถึงอาหารที่กิน ...พายอร่อย พายไม่ได้แย่ อย่างน้อยคำว่าพายก็ดีกว่าคำว่าตัวประหลาดหรือเด็กใหม่

              “อือ...ชื่อพายก็ดี...ขอบคุณนะ”

              เขาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้น “งั้นเราชื่อนิวนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะพาย”

              “อือ...ยินดีที่ได้รู้จัก”

               “งั้นต่อจากนี้เรามาเป็นเพื่อนกันนะ”

              พอได้ยินอย่างนี้ผมชะงักไปนิดนึง

              “เอ่อ....”

               “นะ เป็นเพื่อนกัน”

                 ผมลังเลไปมา สุดท้ายถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจบอกอะไรบางอย่างกับคนตรงหน้า

               “คือเราก็อยากเป็นเพื่อนกับนิวนะ...แต่เราเป็นตัวประหลาด นิวอย่าเป็นเพื่อนผมเลย...”

                “หมายความว่าไงอ่ะ?” อีกฝ่ายก็ยังคงทำหน้างง ผมเลยตัดสินใจแสดงให้ดูเลยดีกว่า

                “เอ่อ...เดี๋ยวเราทำให้นิวดู แต่นิวอย่าร้องตกใจหรือเขวี้ยงอะไรใส่ผมนะ” ผมไม่อยากเจออะไรเขวี้ยงใส่อีกแล้ว...

                “ทำไมต้องตกใจ ทำไมต้องเขวี้ยงด้วยอ่ะ??”

                 “เดี๋ยวนิวก็จะเข้าใจเอง”

                 ว่าแล้วผมก็เริ่มวิ่งไปมาทั่วห้อง พอเริ่มสัมผัสปฏิกริยาร่างกายตัวเองได้ผมก็หยุดอยู่ตรงหน้า เพียงเสี้ยววิผมก็กลายเป็นแมว

                  คนตรงหน้าดูตกใจแต่ก็ไม่ได้กรีดร้อง หรือวิ่งหนี หรือเขวี้ยงปูนปาสเตอร์ใส่ผม เขานิ่งไปเพียงนิดเดียวก่อนจะนั่งลง เอามือมาลูบๆ หัวผม

                “พายหรอ?”

                ผมพยักหน้าพลางร้องตอบรับเขา

                “พายจริงๆ ดิ”

               ผมทำเช่นเดิมเพื่อตอบรับเขา

               “เฮ้ย โคตรเจ๋งงงงง เฮ้ย! พายกลายเป็นแมวได้จริงดิ เฮ้ยเจ๋งโคตรรรรรรรรร”

                เขาพูดพลางอุ้มผมชูขึ้นไปมา ร้องดีใจดูสีหน้าตื่นเต้นราวกับเจอเรื่องสนุก ซึ่งเป็นปฏิกริยาเกินคาดมากๆ

              พอนิวเริ่มรู้สึกเหนื่อยเขาก็วางผมลงกับกองเสื้อผ้าของผมเช่นเดิม แล้วก็พูดถามผมนั่นนี่เต็มไปหมดแต่ผมยังคงเป็นแมวทำได้แต่ตอบแค่เมี๊ยว จนสุดท้ายเหมือนนิวจะรู้ตัวสักทีว่าถามผมไปตอนนี้ผมก็ตอบคำถามเขาไม่ได้ เขาเลยได้แต่เปลี่ยนมาลูบหัวผมเล่นไปมา

              ไม่เกินห้านาทีผมก็กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม ผมใส่เสื้อผ้าก่อนเป็นอันดับแรก แล้วอีกฝ่ายก็จู่โจมถามผมทันที

              ผมนั่งคุยกับเขาไปมาจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน นานแล้วที่ผมไม่ได้มีคนคุยเล่นแบบนี้ ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ ยิ่งนิวรู้ความประหลาดของผมแล้วไม่รังเกียจผม ผมยิ่งมีความสุข นับเป็นความสุขในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาก็ว่าได้

               แต่แล้วความสุขของผมก็สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว เมื่อค้นพบว่าแท้จริงแล้วนิวไม่ได้เป็นเด็กที่นี่...นิวเป็นลูกของเจ้าของบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ วันนี้นิวแค่ตามคุณแม่มาด้วยเฉยๆ พอกิจกรรมจบ นิวก็ถูกคุณแม่พาตัวกลับไปทันที แต่ไม่วายนิวก็ยังคงตะโกนให้สัญญากับผมว่าจะกลับมาหาผมบ่อยๆ

               ซึ่งหลังจากวันนั้น นิวก็กลับมาหาผมบ่อยๆ จริงๆ ส่วนมากจะมาหาผมทุกวันเสาร์ เพียงแค่วันเสาร์ที่ผมจะมีความสุข แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว....

                ผ่านไปประมาณปีหนึ่งนิวก็บอกกับผมว่าเขากำลังจะเข้าศึกษาชั้นมัธยม ผมเลยลองไปศึกษาดูและพบว่าผมก็สามารถสอบเทียบและเข้าไปเรียนกับนิวได้ ผมเลยพยายามสุดความสามารถทั้งตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจทำข้อสอบ จนได้ทุน และสอบติดที่เดียวกับนิว หลังจากนั้นเราเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ผมได้เจอมันในทุกๆ วัน เพราะมันเป็นโรงเรียนประจำ ความลับของผมตลอดหกปีที่เรียนโรงเรียนประจำ ก็มีนิวคอยช่วยเหลือ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีมัน ก็คงไม่มีผมในวันนี้ นิวคือคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผม จากคนที่นั่งเงียบไม่กล้าเข้าสังคม กลายเป็นคนที่ยอมเปิดรับสังคมรอบข้าง และปรับตัวที่จะอยู่กับคนทั่วไปให้ได้




             “ถึงแล้วครับพาย”

             เสียงของมันธ์ปลุกผมจากห้วงความทรงจำในวัยเด็ก ผมหันไปมองรอบๆ พื้นที่ที่คุ้นเคย แต่ก็ดูแปลกตาไป ตึกต่างๆ มีการทาสี ปรับแต่งเพิ่มเติม ต้นไม้ที่มีก็ก็ดูจะมีลดน้อยลง แต่ยังดีที่มีเครื่องเล่นเด็กต่างๆ เพิ่มขึ้น

            ผมมองรอบข้างๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมลุกออกไปไหน จนคนข้างๆ ต้องมาสะกิดผมเล็กน้อย

           “พายครับ...ไม่ลงหรอ?”

            “ครับ...ลงครับ”

            แม้ปากพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ยังคงไม่ขยับ ต่างกับคนข้างๆ ที่ลงจากรถไปเป็นที่เรียบร้อย มันธ์เดินมายังฝั่งข้างคนขับ เปิดประตูออก แต่ผมก็ยังคงนั่งนิ่งอย่างนั้น

            มันธ์ค่อยๆ นั่งลงยองๆ ให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับผม

           “พายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

            “ผมกลัวนิดหน่อยน่ะ”

            มือผมสั่นไม่หยุด จนกุมมือของตัวเองเข้าด้วยกัน หวังจะให้มันหยุดสั่น อีกฝ่ายก็เห็นมือของผม เขาเลยจับไว้เบาๆ

            “ผมอยู่ตรงนี้นะครับ พายไม่ต้องกลัวนะ”

             ผมหันมองคนที่จับมืออยู่ ก่อนจะควบคุมลมหายใจของตัวเอง พยายามรวบรวมสติ เพียงไม่กี่นาทีผมก็รู้สึกหยุดสั่น และกล้าที่จะก้าวลงมาจากรถ มันธ์ก็ยังคงจับมือผมไม่ปล่อย

              เราเดินจับมือกันไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในตึก อีกฝ่ายก็ปล่อยมือผม แล้วหันมายิ้มให้ผม ผมเข้าใจถึงการกระทำของอีกฝ่าย เขาคงกลัวว่าคนจะมองไม่ดี

            ผมเดินตรงไปที่ห้องผู้อำนวยการ มันธ์ปล่อยให้ผมเดินเข้าไป ส่วนตัวเองรออยู่ด้านนอก พอเข้าไปก็พบผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่ เขาคือแม่ใหญ่คนเดิม แม่ที่คอยให้ความรักให้กำลังใจผม...น้ำตาผมคลอขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

             “คะ...คุณแม่?”

             “คะ?”

             แม่ใหญ่เงยหน้าขึ้นมามองผม รอยยิ้มใจดีนั้นยังคงเหมือนเดิม ใบหน้านั้นมีริ้วรอยขึ้นมากกว่าในความทรงจำของผม แต่คุณแม่ใหญ่ก็ยังเป็นคุณแม่ใหญ่คนเดิม

               ผมรีบยกมือไหว้คนตรงหน้าทันที คุณแม่ใหญ่รับมือไหว้ผม ใบหน้านั้นฉีกยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะทักผม

             “พายนี่เอง ไม่ได้เจอกันมานานเลยนะ”

              คุณแม่ใหญ่ยังคงจำผมได้...

             ท่านเดินเข้ามาก่อนจะใช้ทิชชู่ค่อยๆ ซับน้ำตาให้ผม

              “เป็นเด็กขี้แยเหมือนเดิมเลยนะ”

              คุณแม่ลูบหัวผมเบาๆด้วยความเอ็นดู ผมรีบโผเข้ากอดท่าน น้ำตาไหลออกมาทันที ผมปล่อยโฮอย่างไม่อาย คุณแม่ได้แต่ลูบหลังพลางปลอบผมไปมา

             เรายืนกอดกันสักพัก พอผมผละอ้อมกอดออก คุณแม่ก็พาผมมานั่ง เราพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และสุดท้ายผมก็ขอโทษท่านที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ถือสาอะไร แถมยังขอบคุณที่ผมคอยส่งเงินกลับมาที่นี่อย่างเป็นประจำ

              ผมแจ้งถึงจุดประสงค์ที่มา ก่อนจะยื่นเอกสารให้ ท่านรับไปตรวจสอบสักพักก่อนจะเก็บใส่ลิ้นชัก แล้วอาสาพาผมเดินสำรวจที่นี่ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธ

             พอออกมาหน้าห้อง ก็พบมันธ์นั่งรออยู่ พอมันธ์เห็นคราบน้ำตาที่ใบหน้าผมเขาก็รีบปรี่เข้ามาหาผมทันที

             “พายเป็นอะไรไปครับ? ทำไมร้องไห้??”

              “ไม่มีอะไรหรอก คุณแม่ครับนี่มันธ์เป็นน้องผมน่ะครับ” ผมแนะนำคนข้างตัวใหญ่คนแก่กว่าได้รู้จัก มันธ์ได้ยินอย่างนั้นก็รีบยกมือไหว้คนข้างตัวผมทันที

               คุณแม่รับไหว้พลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อีกฝ่าย

               เราเดินตามคุณแม่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงที่จัดงานเย็นวันนี้ ท่านเลยขอตัวไปทำงานต่อ ส่วนเรื่องของที่พวกผมเอามา ท่านก็ให้เด็กๆ มาช่วยยก

              ไม่นานนักของทั้งหมดก็ถูกยกออกมาเรียบร้อย สุดท้ายผมเลยเอากล้องขึ้นมาเช็ค

               “ที่ห้อยมันคืออะไรหรอครับ?” จู่ๆ มันก็ถามขึ้น ตอนผมเอากล้องมาลองถ่าย

              “ที่ห้อย?”

               “สายสีน้ำเงินที่ห้อยอยู่น่ะครับ”

               ผมหันไปมองตามที่มันธ์ชี้ ...มันคือสายผ้าสีน้ำเงินซีดเก่าๆ ที่ผมเอามาคล้องกับสายกล้องอีกที

               “ผมเคยเห็นมันครั้งนึตอนอยู่ในห้องพายน่ะ มันเป็นพวงกุญแจหรอครับ? แต่ก็ดูไม่เหมือน”
 
               “อ่อ....ความจริงมันเป็นปลอกคอน่ะ”

               “หืม? ปลอกคอ??”

               “ครับ จริงๆ ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่ามันคือปลอกคอ แต่มันเป็นสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่ผมสูญเสียความทรงจำน่ะ ตอนแรกผมนึกว่าเป็นกำไรข้อมือ แต่มันก็ดูใหญ่เกินไปสำหรับเด็ก จนพอผมได้กลายเป็นแมวอีกครั้งถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือปลอกคอ”

               “หืม? แล้วทำไมพายเอามาทำเป็นที่ห้อยอย่างนี้ล่ะครับ?”

               “มันเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่น่ะครับ มันติดตัวกับผมตั้งแต่ก่อนผมจะสูญเสียความทรงจำผมเลยพกมันเป็นเครื่องรางน่ะ”

                “หรอครับ”

                มันธ์จับมันมองอย่างเหม่อลอย

                “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

                 ผมถามไปแต่มันธ์ก็ยังคงสัมผัสมันไปมา สายตามองสายดังกล่าวอยู่ก็จริง แต่ดูสติจะเลื่อนลอยออกไปไกล

                  “มันธ์ครับ?”

                     ผมส่งเสียงเรียกอีกทีจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว

                “ครับ?”

                 “เป็นอะไรรึเปล่า?”

                 “เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกว่ามันคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก”

                 “หืม? คุ้น?”

                “ช่างมันเถอะครับ ไม่มีอะไรหรอก”




               ใช้เวลาประมาณบ่ายสามงานก็เสร็จเรียบร้อย พวกเราเดินไปลาคุณแม่ใหญ่อีกครั้ง ท่านกอดผมเบาๆ ก่อนจะอวยพรให้พวกเราทั้งสองตามประสาผู้ใหญ่

               ผมได้แต่กอดท่านแน่ๆ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ท่านได้แต่เช็ดน้ำตาให้ผม พลางหัวเราะอย่างเอ็นดู

               ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมก่อนจะกอดท่านแน่นๆ ขึ้นอีกครั้ง คุณแม่ใหญ่ทำท่าจะออกมาส่งผม แต่ผมให้ท่านกลับไปนั่งที่เดิม เพราะไม่อยากให้คุณแม่เหนื่อย

              เราเดินมาเรื่อยๆ จนถึงรถ

             “คราวนี้เดี๋ยวผมขับเองครับ”

             “ผมขับดีกว่า พายจะได้พัก”

              ผมยิ้มให้มันธ์ก่อนจะชูกุญแจรถไปเยาะเย้ยอีกฝ่าย ว่าผมมีกุญแจนะ ดังนั้นผมต้องเป็นคนขับ แต่ยังไม่ทันเปิดประตู อาการเดิมก็จู่โจมขึ้นมาอีกครั้ง ผมเซเข้าไปพิงกับประตูรถ พลางหอบหายใจเล็กน้อย เพียงเสี้ยววิผมก็กลายเป็นแมวไปทันที

             มันธ์เดินเข้ามาอุ้มผม ยกผมขึ้นมาระดับสายตาก่อนจะยิ้มอย่างร้ายกาจให้ผม

              “สรุปผมขับกลับนะครับ”







__________________________
 I'm backkkkkkkkkk.
ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษที่ายไปนานค่ะ มีธุระนั่นนี่ แล้วมีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อย เลยหายไปนาน
หลังจากนี้สัญญาค่ะ จะไม่หายไปนานแบบนี้อีกแล้ววววววว
ขอบคุณทุกคนนะคะที่ยังติดตามกันอยู่ พวกคุณคือกำลังใจที่สำคัญของเรา <3
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 21-02-2019 19:12:51
มาแล้วๆๆ ดีใจมากๆเลย มันธ์บอกว่าปลอกคอคุ้นๆ ต้องมีะไรบางอย่างแน่เลย รอตอนต่อไปจ้า เป็นกลจให้นักเขียนนะคะสู้ๆ :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 21-02-2019 19:17:06
เพราะอะไรถึงต้องเป็นแมวน้า
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-02-2019 22:43:54
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขอเดาว่า  พายกับมันธ์ต้องเคยเจอกันมาก่อนตอนเป็นเด็กแน่ ๆ เลย  และเป็นช่วงเวลาก่อนที่ความทรงจำของพายจะหายไปนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-02-2019 22:57:12
ปริศนากำลังจะเฉลยใช่มั้ยๆๆ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-02-2019 23:03:38
มันธ์เคยเจอพายมาก่อนหรอ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 22-02-2019 00:13:43
ติดตามต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-02-2019 20:56:44
มีอะไรแน่เลย
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 23-02-2019 00:00:08
วือออออ
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 23-02-2019 12:02:27
งื้ออออ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: M_mA ที่ 23-02-2019 20:00:57
อยากรู้อดีตของน้องง!! มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้้นนนนนนน!!!
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-03-2019 11:00:03
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-03-2019 13:09:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-03-2019 11:48:43
 :mew2:
ติดตามๆ มีอะไรในอดีต
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-03-2019 12:55:07
 :call: :call: :call:

เกือบครบ 1  เดือนแล้วที่น้องแมวหายไป
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-04-2019 16:31:45
 :call: :call: :call:

ไข่แดงตัวอ้วน  รีบกลับเข้าเล้าเถอะลูก
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-04-2019 19:05:24
รออ่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-05-2019 21:07:51
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-08-2019 22:00:23
 :call: :call: :call: