พิมพ์หน้านี้ - ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NINEWNN ที่ 14-12-2018 23:32:29

หัวข้อ: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 14-12-2018 23:32:29
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



ผลงานที่ผ่านมา
SINGLE PAPA คุณพ่อยังโสด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39650.0) (จบแล้ว)
TIME TICKET อยากให้เรารักกันอีกครั้ง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45267.0) (จบแล้ว)
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] ช่องว่างระหว่างชอบกับรัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48969.0)
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] MIDSUMMER's ICE CREAM  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52997.0)
ขอให้ (ไม่) ใช่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51371.0) (จบแล้ว)
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] Friend's Cigarette (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63098.0)
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] Elevator Is Out of Order (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66919.0)
[เรื่องสั้น | ตอนเดียวจบ] Nothing in Return (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67521.0)
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || [ตอนที่ 0 : 14/12/18] ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 14-12-2018 23:46:12
———— 00 ————

 

     “—ณะ ไอ้ณะ”

     “ฮะ” ผมดึงหูฟังออกเพราะเสียงตวาดพร้อมกับแรงบีบบริเวณหัวไหล่ ละสายตาจากหน้าจอที่จ้องอยู่ตั้งหลายชั่วโมงตามเสียงเรียก

     เจ้ปันสีหน้าร้อนรนใจอย่างปิดไม่มิด “ฉันหากุญแจบ้านไม่เจอ ไม่รู้อยู่ไหน”

     “เอ้า ผมจะรู้กับเจ้ไหมเนี่ย”

     “กำลังคิดว่าลืมไว้ที่ร้านที่ไปซื้อข้าวกลางวันมาให้พวกแกรึเปล่า” หล่อนว่าอย่างนั้น “ขับพาไปหน่อย”

     “ปากซอยเอง เดินไปสิวะ”

     “ไอ้ณะ ปากซอยอะไรล่ะ ร้านป้าไม่เปิดเว้ย ฉันเดินไปยันซอยสี่ให้แก!”

     “เอ้า” ผมเกาหัว ก็ว่าอยู่เชียวว่าข้าวมันเค็มกว่าปกติ “เอากุญแจรถไปได้ปะ แล้วก็ขับไปเอง เดี๋ยวผมตัดงานไม่ทันพอดี”

     “ฉันขับมอเตอร์ไซค์เป็นที่ไหนล่ะยะ!” หล่อนแหว ดูท่าจะร้อนใจจริงๆ “นะๆ”

     “อันนี้อ้อนหรือเรียกชื่อ”

     “เรียกชื่อมั้งไอ้บ้า”

     “งั้นขับไปเอง”

     “ไอ้ณะ ไอ้เด็กเวร!”

     ผมหัวเราะพรืด รู้ว่าตอนนี้เจ้ปันไม่น่าจะเล่นด้วยมากเท่าไหร่เลยรีบกดเซฟงาน มองซ้ายขวาในออฟฟิศ ไอ้โย่งหันมาพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงว่าช่วยเหลือผู้อาวุโสที่สุดในที่แห่งนี้เสียก่อน

     ผมควงกุญแจรถ “แล้วไปทำอิท่าไหนถึงลืมวะ”

     “ไม่รู้ นี่ฉันก็ไม่รู้ว่าไปแล้วจะเจอไหม หายไปตอนไหนไม่รู้”

     “เอ้า แล้วก่อนหน้านี้ไปไหนอีก”

     “ไม่ๆ” เธอรีบตอบ “แต่ก่อนฉันไปซื้อข้าวให้พวกแกมันอยู่เว้ย ไม่หล่นระหว่างทางก็ลืมไว้ที่ร้านเนี่ยแหละ”

     ผมเกาหัวแกรก “ใจเย็นๆ”

     พูดไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ว่าเจ้ปันไม่ใจเย็นตามคำแนะนำผมอยู่แล้ว ผมสตาร์ทรถ แล้ววันนี้แม่สาวเจ้าก็มีออกไปคุยกับคนอื่นถึงได้ใส่กระโปรงให้นั่งยากๆ เสียอย่างนั้น หล่อนนั่งเหมือนกับสาววัยมหาวิทยาลัยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ให้น้ำหนักเอียงไปฝั่งเดียว ลำบากฉิบหาย

     รอเจ้ปันอยู่หน้าร้านตามสั่งที่อีกฝ่ายมาซื้อให้ช่วงกลางวันพักหนึ่งเพราะเจ้าของร้านบอกให้รอแป๊บนึง แม่ครัวร้านนี้ดูหงุดหงิดเสียจนน่ากลัวเสมอ บางทีก็กลัวว่าแกจะขว้างตะหลิวออกมาหากันตอนไหน สุดท้ายหล่อนก็เดินออกมาด้วยสีหน้าดีอกดีใจ

     “สรุปไปทำอิท่าไหนวะ”

     “เผลอวางไว้ตอนล้วงกระเป๋ามาจ่ายเงินมั้ง” หล่อนถอนหายใจ “เกือบนึกว่าต้องเสียค่าคีย์การ์ดแล้วกู”

     “ยังดีนะที่เจอ แก่แล้วขี้ลืม”

     “ไอ้ณะ!”
     
     ผมยกมือปิดหู “ขับรถพามาขนาดนี้แล้วเจ้ ยังจะด่าอีก”

     หล่อนฟึดฟัดแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมรู้ว่าเจ้ปันเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยโดนยุขึ้นง่ายเพราะงั้นเลยชอบที่จะแหย่ โดยเฉพาะเรื่องอายุเนี่ยแหละ ทั้งที่ความเป็นจริงก็แค่วัยสามสิบต้นๆ เท่านั้น

     “ไปๆ รีบกลับกัน” เจ้ปันตบบ่า

     มันก็ควรจะได้รีบกลับอยู่หรอก

     “เชี่ย ตำรวจว่ะ” ผมสบถออกมาเมื่อขับมาจนจะถึงสี่แยก

     ทั้งที่ที่ทำงานตัวเองอยู่ถัดไปแค่สองซอย ออกถนนใหญ่เพียงแป๊บเดียวแท้ๆ แต่ลองมีการการตั้งด่านแบบนั้น แถมตอนนี้ไม่มีใครพกหมวกกันน๊อกมาสักคน ขืนโผล่ไปให้เจอ ยังไงก็ต้องโดนเรียกแน่นอน ไอ้เวรเอ๊ย ก่อนหน้านี้แค่ห้านาทียังไม่มาตั้งเลย

     ผมหักเลี้ยวกลับเข้าไปอีกทาง

     “ไอ้ณะ!” คนซ้อนท้ายตีไหล่ผมเบาๆ เป็นการเรียกสติ “แกขับไปไหน”
     
     “ออกท้ายซอยเหอะ มีตำรวจ”

     “ท้ายซอยตรงไหนวะ”

     “ตรงสะพาน”

     “ไอ้ณะ!” หล่อนแหวเสียงดังขึ้นอีกหน่อย “สะพานมันสูงฉิบหายเลยนะเว้ย”

     “เอออออ ออกไปก็ถึงแล้วเนี่ย ไม่เป็นไรหรอกน่า เจ้เชื่อณะ




         



     ไม่เป็นไรก็แย่แล้ว

     เจ้ปันบ่นผมไม่ยอมหยุดตั้งแต่เราก้าวเข้ามาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หล่อนหยิกหูผมจนหน้าแทบเขียวเมื่อสุดท้ายแล้วเราไม่ได้กลับออฟฟิศตามที่ผมโม้ไว้

     “ก็เจ้อ้วนอ่ะ”

     “ไอ้เด็กนี่ ฉันบอกแล้วว่าให้แกขับขึ้นไปเองแล้วให้ฉันเดินข้ามสะพาน”

     “ก็ปกติมันขึ้นได้นี่”

     “ปกติแกขึ้นคนเดียว!”

     ผมบ่นอุบอิบ “ก็คิดว่าทำได้อ่ะ”

     เจ้าหล่อนทำท่าจะเงื้อมือฟาดอีกรอบแต่มองสภาพผมแล้วก็ถอนหายใจพรืดอย่างอารมณ์เสีย เอ่ยถ้อยคำให้รู้สึกเจ็บใจกว่าเดิม “ไงล่ะ ไม่ยอมจ่ายค่าปรับ มาจ่ายค่าหมอแทน ไปๆ มาๆ แพงกว่าอีกมั้งเนี่ย”

     “โหย อย่าย้ำได้ปะ เจ็บแล้ว”

     “แกต้องล้างแผลเองด้วย สมน้ำหน้า ดีไม่ดีแผลแกก็จะเน่า”

     ผมเบ้ปาก ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกขนลุกอยู่นิดหน่อยกับคำขู่นั้นยามที่ก้มลงมองสภาพแผลของตัวเอง โดนไปหมดทั้งหัวเข่าทั้งข้อศอก ไม่อยากคิดว่าช่วงที่แผลเริ่มแห้งผมจะแสบแค่ไหน ไอ้เวรเอ๊ย ไม่น่าห้าวเลยกู แล้ววันนี้ก็ไม่น่าใส่ขาสั้นด้วย ต้องโทษที่ทำงานแล้วที่ปล่อยให้ผมชิลได้เกินเหตุ!

     “คุณณภัทรค่า”

     “ครับ” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อพยาบาลเรียก จังหวะที่ทิ้งน้ำหนักลงบนขาขวาผมก็เจ็บจนต้องนิ่วหน้า

     เจ้ปันสังเกตได้ “ไปเป็นเพื่อนปะ” หล่อนลุกขึ้นจะพยุงผม

     “ไม่ๆ รอนี่แหละเจ้”

     ผมโบกมือไปมาทั้งที่ในหัวนี่สบถคำหยาบไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนหน้านี้นึกว่ามีแค่แผลจากรถล้มอย่างเดียวเพราะขับมอเตอร์ไซค์มาที่โรงพยาบาลที่อยู่ห่างไปสี่ซอยได้อย่างปลอดภัย (ไม่โดนด่านด้วย) เพิ่งมารู้สึกตัวเมื่อกี้นี้นี่แหละว่าไม่น่าจะได้เจ็บแค่จุดเดียวเสียแล้ว

     ผมกุมขมับ ซวยแล้วไอ้ณะ อย่างน้อยขอให้ยังขับรถกลับไปได้หน่อยเถอะ

     พยาบาลเป็นคนช่วยพยุงผมเข้ามา ท่าทีไม่ทุลักทุเลมากแต่สาวเจ้าก็ถามสีหน้าเคร่งเครียดว่าเจ็บเท้าด้วยหรือไม่ นาทีนี้ไม่กล้าห้าวต่อ ผมเลยพยักหน้าให้

     คุณพยาบาลสาวปิดม่าน “รอแป๊บนะคะ”

     ผมพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน

     จริงๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็รถล้มบ่อยครั้งเพราะถนนแถวมหา’ ลัยวิ่งกันอย่างวุ่นวาย แต่ตอนนั้นไม่มีหรอกจะระเห็จมาถึงโรงพยาบาล ไปที่คลีนิกใกล้ๆ ก็หรูแล้ว แต่รอบนี้เจ้ปันนั่นแหละที่เซ้าซี้ให้มาถึงนี่เพราะสถานพยาบาลใกล้ที่สุดเป็นที่นี่ ขืนเป็นคลีนิกผมคงขับไปไม่ไหว แถมที่ออฟฟิศยังไม่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอีกต่างหาก

     ผมก้มหน้ามองแผล เหมือนจะได้ยินเสียงคนที่ช่วยทำแผลให้กันสมัยก่อนบ่นมาแต่ไกล


     “เนี่ย ก็เธอขับไม่ระวัง”

     “เค้าระวังแล้วแต่ก็ยังล้มต่างหาก”

     “เถียงเก่งจังนะ”

     “อันนี้เรียกชื่อหรือลงท้ายประโยคไม่ให้ห้วน”

     และหลังจากนั้นผมก็จะโดนสำลีนั้นกดแผลแรงๆ ให้ผมอุทานดังลั่น – กวนตีนตอนอีกฝ่ายหงุดหงิดทีไรได้เรื่องทุกที

     จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เลิกกับคุณ ผมก็ไม่ได้รถล้มอีกเลย

     เสียงเลื่อนของม่านทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ คุณหมอเป็นคนเดินเข้ามาพร้อมกับก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรสักอย่างอยู่ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของอีกฝ่ายเจือจางแทรกมากับสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหยูกยา ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้กลิ่นน้ำหอมอีกฝ่ายชัดเจนแบบนี้

     อีกคนไม่เงยหน้าอยู่พักหนึ่งในขณะที่ผมเงยหน้าขึ้นมอง มือของอีกฝ่ายขาวจนเกือบซีด ก็อย่างว่า คนเป็นหมอคงไม่มีเวลาไปเจอแสงแดดเท่าไหร่นัก

     สุดท้ายคุณหมอก็เอาแฟ้มลงให้ผมเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆ

    ไอ้เหี้ย

     นั่นไม่ใช่ชื่อของอีกฝ่าย แต่เป็นคำอุทานที่ผมเกือบหลุดปากออกไปเมื่อเห็นใบหน้าอีกคนชัดๆ

     “นายณภัทร”

     เวลาโดนเรียกแบบนี้ ผมคิดถึงหน้าลูกชายคนดังของดาราทุกครั้งเลยให้ตาย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้เสียด้วยสิ

     อีกฝ่ายขมวดคิ้วเมื่อเห็นผมไม่ตอบ “นายณภัทรใช่ไหม” เรียกชื่อจริงโหลๆ ของผมซ้ำ

     “อา— ใช่” ผมชักจะอึกอัก สถานการณ์แบบไหน หรือเขาจะจำกันไม่ได้จริงๆ

     คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันตามนิสัยที่ชอบทำเวลาหัวเราะโดยไม่มีเสียง “รถล้มเหรอ”

     “ครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว

     เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก สบถในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้งไปแล้ว อีกฝ่ายเหมือนแวมไพร์ฉิบหาย ขี้กร้านจะดูดีขึ้นเสียด้วยซ้ำ ไม่ได้เจอกันตั้งสี่— ไม่สิ ห้าปี ไม่ได้เจอกันห้าปียังเหมือนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยไม่ผิดเพี้ยน

     หรือเพราะจริงๆ แล้วระยะเวลาห้าปีนั้นมากพอที่ทำให้อีกฝ่ายลืมกันไปแล้ว

     คุณมองหน้าผมในขณะที่ผมมองไปที่ชื่อบนอกข้างซ้าย ลึกๆ ในใจหวังว่าจะเป็นเพียงแค่คนหน้าเหมือนเฉยๆ แต่ลึกลงไปอีกก็คิดว่าที่ผมไม่อยากเจอคุณเป็นเรื่องโกหก

     สุดท้ายชื่อที่ปักอยู่บนอกก็บอกว่าผมไม่ได้ฝันไป

     คุณ คณณัฐ์ – คนที่ชื่อจริงอ่านยากฉิบหายคนนั้น

     “เธอเนี่ย อายุเท่าไหร่ก็ไม่เปลี่ยนเลย”

     ผมผงะ “ฮะ?” ร้องเสียงฉงนยามที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

     คุณหมอหัวเราะ “เธอยังโง่เหมือนเดิมเลยนะ”

     —อืม

     และนั่นคือบทสนทนาแรกระหว่างผมกับแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาห้าปีครับ






-------------------------

ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งค่ะ ; )
ไม่ได้เขียนนิยายจริงๆ นานเลย ขอฝากด้วยนะคะ


#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || [ตอนที่ 0 : 14/12/18] ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 15-12-2018 12:11:36
เรียกกันเธอๆน่ารักจังงง ติดตามนะคะ <3
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || [ตอนที่ 0 : 14/12/18] ————
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 15-12-2018 14:20:43
หมอออ มาดูแลน้องด่วนนนนนน
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || [ตอนที่ 0 : 14/12/18] ————
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-12-2018 09:22:21
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || [ตอนที่ 0 : 14/12/18] ————
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 16-12-2018 16:39:55
พระเอกดุ ส่วนน้องก็น่าตีจริงๆ สนับสนุนพระเอกดุๆค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || [ตอนที่ 01 : 23/12/18] ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 23-12-2018 22:00:49
———— 01 ————



     “โย่ง มึงว่าเขาชื่ออะไรวะ อ่านยากฉิบหาย”

     ผมพูดคุยกับเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้จักกันในตอนนี้ ยกนิ้วขึ้นชี้ชื่อที่อยู่เหนือผมไป ดูท่าจะออกเสียงยาก หรือว่าผมโง่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตำแหน่งบนกระดาษเอสี่ที่แปะประกาศอยู่บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของชื่อคงจะได้อยู่ห้องตรงข้ามไม่ก็ห้องข้างๆ กันแน่นอน

     “คะ-นะ-นัด”

     “อ๋อ เออว่ะ” เหลือบตาอ่านชื่อที่ถูกเขียนไว้ก็คิดว่ามันก็คงจะอ่านได้แบบนั้นจริงๆ ก่อนที่จะผงะอย่างตกใจเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อกี้ไม่ใช่เสียงของเพื่อนตัวเอง

     หันไปที่ต้นเสียงก็เจอกับผู้ชายรูปร่างสูงใกล้เคียงกันสวมเสื้อยืดคอวีสีดำที่ผมมารับรู้ทีหลังว่าตู้เสื้อผ้าของอีกคนเต็มไปด้วยเสื้อทรงนี้หลากหลายสีสัน ดวงตาใต้กรอบแว่นหนาเตอะกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว

     “มันอ่านยากขนาดนั้นเลยเหรอ”

     คำพูดเหมือนจะหาเรื่องแต่ก็เปล่า ผมเห็นอีกฝ่ายพยายามกลั้นขำเสียด้วยซ้ำ

     “ก็ยากนิดนึง”

     “จริงปะ เป็นคนแรกเลยที่บอก” ผมไม่รู้จะตอบอะไร อยู่ๆ ก็โดนคนอัธยาศัยดีชวนพูดคุยด้วยคำพูดสุภาพเลยทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ให้อีกฝ่าย “แล้วเธอชื่ออะไร”

     “เราเหรอ?”

     “อาฮะ”

     “ชื่อณภัทร” ผมแนะนำตัวด้วยชื่อจริง เพราะเกิดมาทั้งชีวิตไม่มีชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ แล้วแต่ศรัทธาคนจะเรียกทั้งนั้น “มึง เอ้ย— เธอล่ะ” อยากกัดลิ้นตายฉิบหาย จั๊กจี้พิลึกกับการเรียกผู้ชายเหมือนกันว่าเธอ

     อีกฝ่ายเอามือปัดไปมา “พูดมึงก็ได้”

     “เอ้าเหรอ” ก็เห็นสุภาพ ผมนึกว่าจะซีเรียสมากกว่านี้เสียอีก “แล้วมึงชื่ออะไร”

     “ชื่อที่เธอเพิ่งอ่านไง” เพื่อนใหม่ยิ้ม “คะ-นะ-นัด”

     วันนั้นเป็นวันย้ายเข้าหอพักในของมหาวิทยาลัยตอนขึ้นปีหนึ่ง และผมเปิดตัวด้วยการโชว์โง่ด้วยการให้เจ้าของชื่อมาอ่านชื่อตัวเองให้ผมฟังโดยที่ไม่รู้จักกัน
   



     “แล้วไปทำอิท่าไหนอีกล่ะรอบนี้”

     “อะไร”

     อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “ที่รถล้มไง” น้ำเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อยราวกับต้องการจะดุกัน

     “อ๋อ— หนีตำรวจน่ะ ไม่ได้ใส่หมวกมา มีคนซ้อนด้วย”

     “ยอมจ่ายค่าปรับอาจจะถูกกว่าค่าหมอ”
   
     ผมมองคนผิวขาวที่พูดถ้อยคำเหมือนจะสมน้ำหน้ากันด้วยริมฝีปากสีแดงน่าบีบหากแต่ยังแห้งเป็นขุยเล็กน้อย ไฝเล็กๆ สองดวงบริเวณใต้ดวงตาข้างซ้ายที่กำลังจับจ้องแผลของผมอยู่ ไปจนถึงปลายนิ้วเรียวที่บรรจงแตะต้องรอบๆ แผลของผมอยู่
   
     “แล้วพาใครซ้อนมา”
   
     “พี่ที่ทำงาน”
   
     “เป็นอะไรหรือเปล่า”
   
     “ไม่เป็น ก็นี่พยายามหลบไม่ให้พี่มันโดน”
   
     คุณละสายตาจากบาดแผล “พี่ผู้หญิงเหรอ”   ผมคงเผลอแสดงสีหน้างุนงงออกไป เจ้าตัวถึงหัวเราะออกมาผะแผ่ว “ก็ปกติเธอทำแบบนั้นกับผู้หญิงนี่ เหมือนตอนที่พากิ๊บล้ม เอาตัวบังซะจนเปิดเปิงไปหมด”
   
     ผมกลืนน้ำลายอึก “ยังอุตส่าห์จำได้อีกนะ”
   
     “อืม” คุณพยักหน้า “ไม่รู้สิ— ก็จำได้”
   
     แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมเราอีกครั้ง
   
     ผมคิดไม่ออกว่าเราต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร วันนี้ดูท่าจะสุดเหวี่ยงเกินไปแล้ว ตั้งแต่หนีตำรวจ รถล้ม เข้าโรงพยาบาล แล้วยังมาเจอแฟนเก่าที่รับมือยากที่สุดด้วย

     คุณ คณณัฐ์เป็นแฟนเก่าของผมสมัยมหาวิทยาลัย เสริมอีกหน่อยคือเป็นแฟนเก่าที่รับมือยากที่สุดในโลกใบนี้ คุณไม่เหมือนตอนที่ผมคบน้องหวานตอนม. สี่ หรือคบกับแก้วตอนม. ห้า อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ใจเย็นเสียจนคนใจร้อนอย่างผมทำอะไรไม่ค่อยถูกตั้งแต่เราคบกัน ไม่งี่เง่า ไม่งอแง – เป็นแบบนั้นกระทั่งเวลาเราเลิกกันเลยด้วยซ้ำไป
   
     เมื่อจัดการแผลตรงหัวเข่าเสร็จ อีกฝ่ายก็เลื่อนสายตาไปที่ข้อเท้า แตะต้องมันตามประสาหมอ
   
     “เจ็บไหม”
   
     ผมนิ่วหน้า “เจ็บ”
   
     “สมน้ำหน้า”
   
     “เอ้า”
   
     “ล้อเล่น” และก็เป็นรอยยิ้มบางๆ อีกครั้งบนใบหน้าอีกฝ่าย “ขาเธอถึงขั้นร้าวเลยไหมเนี่ย”
   
     ผมกลืนน้ำลายอึก เอาล่ะชีวิตกู เริ่มคิดจริงๆ แล้วว่าไม่น่าห้าวขนาดนี้
   
     โดนตรวจอยู่พักหนึ่งก่อนที่สุดท้ายแล้วจะได้ข้อสรุปออกมาว่าไม่ใช่ขาผมร้าวแต่อย่างใด แค่พลิกเฉยๆ คุณหมอคนเก่งก็เลยจัดการพันข้อเท้าให้ผม อดคิดถึงตอนที่อีกฝ่ายเคยทำแบบนั้นสมัยเราอยู่มหาวิทยาลัยไม่ได้ ตอนนั้นคุณบ่นผมยับขณะทำแผลให้ผมไปด้วย สองสามครั้งเห็นจะได้ แต่ก็นั่นแหละ, ครั้งนี้คุณไม่ได้เอ่ยปากบ่นอะไรอีกแล้ว คงเพราะสถานะของเราไม่เหมือนเดิม
   
     “ที่ข้อเท้าก็ประคบร้อนประมาณ 2 วัน จากนั้นค่อยประคบเย็น ส่วนแผลตรงอื่น ระวังไม่ให้โดนน้ำ แล้วก็มาล้างแผลด้วย” ผมมองกลีบปากนั้นที่พูดอย่างใจเย็น ก่อนที่อีกฝ่ายจะชะงักไป “เธอล้างเองได้ไหมเนี่ย”
   
     “เค้าล้างได้” ตอนพูดออกไปผมเกือบจะกัดลิ้น – ไอ้ห่า เค้าอะไรกัน
   
     “เหรอ แต่เค้าว่าตรงเข่านี่ช่วงแรกมาล้างที่โรงพยาบาลหรือคลีนิกก็ดีนะ เธอชอบทำอะไรสกปรกอ่ะ”
   
     “ไม่สกปรกแล้ว”
   
     “จริงเหรอ ถ้าเน่ามาโดนตัดขาไม่รู้นะ”
   
     สีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดขำ – คุณขู่แบบนี้กับผมมาตั้งแต่รถล้มครั้งแรกนั่นแหละ
   
     “เธอขำมากปะ” แล้วก็ชอบต่อด้วยประโยคนี้อีกเหมือนกัน “ออกไปได้แล้ว นานแล้ว”
   
     “นานอะไร”
   
     “ตรวจเธอนานแล้ว เดี๋ยวโดนคนอื่นด่า”
   
     “สิบห้านาทีเนี่ยนะ”
   
     “เออ นั่นแหละ นานแล้ว!” คุณเริ่มเสียงแข็งขึ้นมาอีกหน่อย
   
     และ โอเค, ผมยอมแพ้ สิ่งที่ทำได้มีแค่การยกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ บ่งบอกว่าผมยอมให้อีกฝ่าย “ไปแล้ว”
   
     “ล้างแผลดีๆ ด้วยนะ”
   
     “อาฮะ” ผมพยักหน้า พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทุลักทุเลเล็กน้อย
   
     จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบมองใบหน้าที่ยังไม่แตกต่างจากสมัยเราเป็นนักศึกษาของอีกฝ่าย แต่ก็ชัดเจนว่าคณณัฐ์หาได้สนใจกันไม่ กำลังเขียนลายมืออ่านง่ายลงบนกระดาษแผ่นนั้น – ไหนใครว่าลายมือหมอมักจะห่วยแตก ผมสาบานเลยว่าไม่จริง – อีกฝ่ายเป็นระเบียบกว่าเด็กฟิล์มอย่างผมเสียอีก
   
     เหมือนอีกฝ่ายรับรู้ คุณเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วมุ่น “ยังไม่ไปอีก”
   
     “เอ่อ— ขอโทษ”
   
     นั่นยิ่งทำให้คุณงงยิ่งกว่าเก่า “ขอโทษอะไร”
   
     ไม่รู้ นั่นเป็นคำตอบแรกที่ผุดเข้ามาในหัว ผมแค่อยากจะเอ่ยคำขอโทษออกมา
   
     “ไปแล้วครับ”
   
     ผมหันหลังกลับ กำลังจะเดินไปเปิดม่านที่ถูกพี่พยาบาลปิดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเชียว หนึ่ง, ผมแอบนับในใจ บอกกับตัวเองว่าถ้าถึงก้าวที่ห้าแล้วยังไม่มีเสียงเรียกใดใดรั้งไว้ สอง, คงเป็นตัวผมเองที่จะต้องหันกลับไปพูดอะไรสักอย่าง สาม
   
     “ณะ”
   
     ผมเกือบตะโกนออกมาด้วยความปิติ แต่สิ่งที่ทำได้มีแค่การหันไปหาอีกฝ่าย “ว่า?”
   
     “เปล่าเลย” แต่คุณกลับทำแค่ยิ้มแบบที่คุณเคยทำ “แค่เรียกเฉยๆ”
   
     “อาฮะ”
   
     “ณะ”
   
     ผมหันไปอีกครั้ง “ครับ”
        
     “เธออันบล๊อกไลน์เค้าได้หรือยัง”
   




     คุณเคยต้องมานั่งมองหน้าโปรไฟล์แฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้วหลายปีไหมครับ
   
     ใช่ – ผมกำลังทำแบบนั้นแหละ
   
     “ส่องใครอ่ะ”
   
     เสียงเพื่อนสนิทที่ดังขึ้นมาจากข้างหลังทำให้ผมเผลออุทานคำหยาบ “โว้ย โผล่มาไม่ให้สุ่มให้เสียง” ด่าไอ้โย่งที่ไม่ได้ตัวโย่งสมชื่อก่อนจะกดออกจากแอพพลิเคชั่น ลนลานแม้คำพูดของมันจะทำให้ผมรับรู้ว่าเพื่อนสนิทจากมหาวิทยาลัยต้องรับรู้แล้วแน่นอนว่าผมไปเจอกับใครมา
   
     “มา เดี๋ยวกูไปส่ง”
   
     “ขอบใจมากมึง”
   
     “ทำบุญทำทานให้หมามันจ้า”
   
     ด่ากันเก่งแต่เลิกคบกันก็ไม่ได้ เจอหน้าแม่งตั้งแต่มัธยม มหาวิทยาลัย กินข้าวคลุกน้ำปลาพร้อมเซ็ทฉากด้วยกันตอนออกกองครั้งแรกยันงานธีสิส แยกกันอยู่พักหนึ่งแล้วยังอุตส่าห์มาสมัครทำงานที่เดียวกันอีก – เหมือนโลกบอกว่าคนต่ำตมก็ต้องอยู่ด้วยกัน มีณะมีโย่ง มีโย่งมีณะที่แท้
   
     ไอ้โย่งโกยเศษซากกาแฟออกมาจากโต๊ะ ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วและนี่ถือว่าเป็นการกลับบ้านเร็วของออฟฟิศผม มันจะขับรถไปส่งให้ส่วนมอเตอร์ไซค์ให้ผมจอดไว้ที่ออฟฟิศจะได้ไม่วุ่นวายมาก เป็นการทำเพื่อตัดรำคาญคำบ่นจากเจ้ปันที่ผมได้บุญลงไปเต็มๆ
   
     “เมื่อกี้มึงส่องเฟซใครนะ”
   
     ผมอยากยกตีนขึ้นมากุมขมับ แต่เกรงว่าจะเป็นการเล่นใหญ่เกินไป “เสือก”
   
     “ขอบใจ กูภูมิใจกับคำนี้” ฉายาไอ้โย่งตาทิพย์ไม่ได้ได้มาเล่นๆ “เจ้ปันบอกว่ามึงเหวอจนเกือบขับชนเสาอีกรอบตอนกลับมา สรุปเจอจริงเหรอวะ”
   
     “ใคร”
   
     “คุณ”
   
     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เออ” รู้ไปว่าสักวันก็ต้องบอกมันอยู่ดี เพราะว่าไม่มีใครให้ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกแล้ว
   
     โย่งถึงกับระเบิดหัวเราะ “จริงปะเนี่ย ทักปะ”
   
     “ไม่ทักก็แย่ เขาตรวจกูเนี่ย” แค่เท่านั้นเพื่อนเวรของผมก็ระเบิดหัวเราะเล่นใหญ่กว่าเดิม ไม่ได้สงสารใจกันแม้แต่น้อย ไอ้โย่ง เพื่อนสันดานเสีย
   
     “เห็นคุณย้ายมาโรงพยาบาลนี้กูยังไปเม้นแซวเลยว่าอยู่ใกล้ๆ กัน เดี๋ยวจะพาเพื่อนไปเจอ สมพรปากว่ะ” มันสตาร์ทรถจับเกียร์ สีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของเพื่อนเสียจนผมอยากด่าว่าไอ้โย่งหน้าหมา “แล้วไหงไปส่องเฟซเขาอีกวะ”
   
     “ก็แค่เจอ”
   
     “จริงปะจ๊ะ”
   
     “จริง” ผมย้ำ นิ่งไปชั่วครู่ “—มั้ง”
   
     “เนี่ย มึงมีเยื่อใยอ่ะ”
   
     “ไอ้เวร กูแค่ตกใจไหมล่ะ ไม่คิดว่าจะเจอ”
   
     จริงๆ ไม่คิดว่าจะเจออีกฝ่ายอีกแล้วในชีวิตนี้
   
     นั่นไม่ใช่เรื่องที่โกหก ใช่ว่าไม่รู้ความเป็นไปในชีวิตอีกคน พอจะรับรู้ได้อยู่หรอกจาก social media ของเพื่อนๆ คุณ – แหงล่ะ ผมเล่นอันเฟรนด์เฟซบุ๊กอีกฝ่ายไปตั้งแต่เราเลิกกัน – ไม่นับไปถึงการบล๊อกไลน์และเบอร์โทรในช่วงเวลาที่เราตัดสินใจว่าพอดีกว่า เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รับรู้หรอกว่าอีกคนเป็นอย่างไรบ้าง รู้แค่ว่ากลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วหลังจากไปใช้ทุนที่นครศรีธรรมราชมาเพราะเพื่อนๆ มีการอัพเดตให้เห็นหน้าคุณบ่อยกว่าปกติ
   
     “จริงเหรอวะ” โย่งใช้จังหวะที่รถมาถึงไฟแดงหันมาถาม น้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย
   
     “มันไม่น่าเชื่อเหรอ”
   
     “ไม่รู้ดิ กูแค่แบบ— คุณคือคนที่มึงคบนานที่สุดอ่ะ”
   
     ผมย้อนคิด ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เกือบสี่ปีที่คบกับอีกฝ่ายก็เป็นสถิติสูงสุดที่เกิดขึ้นในชีวิตรักผมจริงๆ
   
     “ทำให้มึงเลิกบุหรี่ได้ด้วย” มันเสริม
   
     “แล้วก็ทำให้กูกลับมาติดบุหรี่ใหม่”
   
     เพื่อนคนเดียวส่ายหน้า “ดึงดราม่าเฉย”
   
     “กูเปล่าเลย”
   
     “จริงปะจ๊ะ”
   
     “ขอร้อง ไอ้คำพูดนี้เลิกพูดสักที เปรี้ยวตีนฉิบหาย”
   
     “จริงปะ—” ผมด่ามันก่อนที่มันจะพูดจบ แล้วบทสนทนาของเราก็จบอยู่ตรงนั้นเพราะไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี




     ไอ้โย่งมาส่งถึงหน้าคอนโด ขอบคุณที่มีเซเว่นอยู่ใกล้ๆ คอนโดของผมขนาดนี้ ทำเลดีแท้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของพี่ชาย ตอนแรกผมก็อยู่กับมัน จนสุดท้ายมันเลือกที่จะแต่งเข้าบ้านเมียของตัวเอง ผมเลยได้ยึดสถานที่ดีๆ แบบนี้ไปฟรีๆ
   
     อาหารมื้อนี้โง่กว่าทุกวัน มันจบลงที่พะแนงไก่ในเซเว่น เวฟมาเลยจะได้ไม่ต้องล้างจาน ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างเอื่อยเฉื่อย เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บจากแผลที่ได้จากความโง่ของตัวเองเข้าให้แล้วจริงๆ ในเวลานี้
   
     Kunnanad T.
   
     อ่านชื่อเดิมบนหน้าจอโทรศัพท์ซ้ำไปมา ผมไล่รูปโปรไฟล์ของคุณไปนาน ไปจนถึงวันสำคัญต่างๆ ในชีวิตอย่างเช่นวันรับปริญญาหรือวันรับกาวน์ที่จำได้ว่าตัวเองเป็นคนถ่ายมากับมือ นั่นเป็นทั้งหมดที่ทำได้แล้วในเมื่ออีกฝ่ายตั้งไว้เป็น private
   
      ผมคิดถึงคำพูดล่าสุด – คำถามโง่ๆ ว่าผมยังไม่อันบล๊อกไลน์อีกฝ่ายสักที
   
     จำไม่ได้ว่าทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนั้น แต่ก็นึกได้ว่าทรมานไม่ใช่น้อยในตอนนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองต้องทำธีสิสในสภาพไหน ตัดวีดีโอไปร้องไห้ไปก็เคย แล้วก็จำได้เหมือนกันว่าเพื่อนๆ ของคุณที่ยังพูดคุยถามไถ่กัน เล่าว่าสภาพของคุณก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
   
     ผมมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง คว่ำหน้าจอโทรศัพท์
   
     ไม่นานก็หยิบมาใหม่ มองภาพเหล่านั้นอยู่อีกสองสามนาที สุดท้ายก็ออกจากแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก –  พอแล้วดีกว่า, ส่องไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นหรอก – บอกกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะเดินไปอาบน้ำด้วยสภาพทุลักทุเลนิดหน่อย
   
     ออกจากห้องน้ำพร้อมกับความคิดว่าที่ข้อเท้าผมปวดระบมจริงๆ เสียแล้ว จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าตอนนั้นคุณบอกผมว่าอะไร ประคบร้อนหรือเย็นกันแน่ ผมเลยตั้งใจจะเสิร์จกูเกิ้ลเสียหน่อย
   
     Kunnanad T. sent you a friend request.
   
     ผมใจกระตุกนิดหน่อย
   
     ยอมรับจริงๆ ว่าคุณเป็นคนที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผมผิดเพี้ยนตั้งแต่ครั้งแรก บางทีก็แค่ตกใจ, รอยยิ้มของเขาทำให้ผมอ่านไม่ค่อยออกเท่าไหร่
   
     ผมลังเลว่าตัวเองควรจะกด confirm หรือ delete request จากอีกฝ่ายดี
   
     สุดท้ายแล้วผมก็เมินเฉยกับคำแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ กดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์ของตัวเองแทน ค้นหารายชื่อที่เคยบล๊อกไว้เมื่อนานมาแล้ว กดอันบล๊อก มองหน้าแชทอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจพิมพ์เข้าไปสั้นๆ แม้ในหัวจะมีคำถามมากมาย
   
napat
เค้าไม่ได้บล๊อกเธอแล้ว

     คุณไม่ได้ตอบผมในทันที – และมันน่าตลกมากที่ผมมองหน้าจอทุกๆ ห้านาทีขณะที่ประคบข้อเท้าของตัวเองอยู่
   
     คนเราจะต้องรอข้อความจากแฟนเก่าที่เลิกกันไปห้าปีหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจเหมือนกัน
   
     คืนนั้นผมมองเพดานสีขาว พลิกตัวไปมาสองสามรอบ นึกคึกเปิดเพลย์ลิสต์ของ the script ที่ไม่ได้เปิดฟังนานแล้ว ได้ยินเพลง the man who can’t be moved วนไปมาหลายเวอร์ชั่นเสียจนผมเผลอฮัมทำนองที่คุ้นเคยจนเผลอหลับไป
   
     ผมฝันถึงคุณในชุดนักศึกษา กินอะไรสักอย่างอยู่ที่ม้านั่งหอในที่เราเคยนั่งด้วยกันบ่อยๆ คุยกันด้วยอะไรที่อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเหมือนที่ได้เห็นบ่อยๆ และผมเอาแต่จับจ้องอีกฝ่าย เส้นผมสีดำขลับ, สีผิวที่ขึ้นสีแดงขณะที่โดนแดด, รอยยิ้มที่สดใสสู้กับพระอาทิตย์และเสียงหัวเราะผะแผ่วของอีกฝ่ายในบทสนทนาโง่ๆ ของเรา
   
     ผมตื่นมาตอนเช้าเพราะนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือตัวเอง กดเลื่อนมันอยู่สองสามรอบก่อนจะมีสติว่าตัวเองควรจะตื่นจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะไปทำงานสาย
   
     สิ่งที่ปรากฎในโทรศัพท์นอกจากนาฬิกาปลุกก็คงเป็นข้อความจากเจ้าของความฝันของผมในไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง
   
     k.
     โอเคสิ 5555
     เธออย่าลืมล้างแผลด้วยนะ
   
     คุณเป็นแบบนั้นเสมอ ให้ความรู้สึกว่าได้ยินเสียงที่พูดแบบช้าๆ ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แม้จะไม่ได้คุยกันต่อหน้า เป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่า ให้ตาย แล้วใครมันจะเกลียดเธอลง แบบนี้บ่อยๆ แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าอะไรทำให้ผมฝันถึงคุณที่เป็นแบบนั้น

     คงเพราะภาพจำของคุณเป็นแบบนั้น – ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้กระทั่งเราเลิกกัน
   
     ต่อให้เราเป็นแฟนเก่ากันแล้วก็เถอะ แต่— ให้ตาย, แล้วใครจะเกลียดเธอลง
   





-------------------------

แฟนเก่าก็ไม่จำเป็นต้องดราม่าจ้า
เรื่องนี้เป็นนิยายกุ๊งกิ๊งนะจ๊ะ

เจอกันในแท๊กค่า  :katai2-1:
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 01 : 23/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 23-12-2018 22:29:41
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 01 : 23/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 23-12-2018 22:42:44
แงงงงงง น่ารักมากเลยค่า ชอบตรงแทนว่าเค้ากับเธอ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 01 : 23/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: fon270640 ที่ 23-12-2018 22:50:08
อนาคตล่ะคะจะดราม่าไหม 5555
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 01 : 23/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: brave ที่ 24-12-2018 00:01:26
 :mew1: รออ่านนต่ออยู่นะคะ น่ารักมากๆเลยย
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 01 : 23/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-12-2018 17:29:19
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 02 : 28/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 28-12-2018 21:48:32
———— 02 ————



     “ณะ จะไปล้างแผลปะ เดี๋ยวขับไปส่ง”

     เจ้ปันที่ช่วงนี้วอแวผมเป็นพิเศษถามขณะควงกุญแจรถของตัวเอง เจ้แกวอแวผมเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งคงเพราะสองวันมานี้ผมเลือกที่จะไม่ขับมอเตอร์ไซค์ของตัวเองมา เรียก grab เอาจะสะดวกกว่า ขอให้มั่นใจก่อนว่าแขนขาของตัวเองมั่นคงพอที่จะขับมอเตอร์ไซค์ได้ ขากลับก็ติดรถเพื่อนไม่ก็พี่ๆ ที่ออฟฟิศเอา สะดวกกว่ากันเยอะ อีกส่วนคงเพราะรู้สึกผิด แม้ว่าตอนนั้นผมจะดันทุรังเอาเองล้วนๆ

     “วันนี้นัดล้างแผลเหรอวะ” ไอ้โย่งที่อยู่หัวโต๊ะเอ่ยปากถาม

     “เออ”

     “โดนไปเท่าไหร่วะเนี่ย”

     “ไม่รู้ว่ะ แต่เขาบอกวันแรกๆ ไปล้างที่โรงพยาบาลดีกว่า”

     เพื่อนสนิทหรี่ตา “เขานี่ใครวะ”

     ไอ้ฉิบหาย โดนแล้วกู – ผมเลิ่กลั่กในขณะที่เพื่อนระเบิดหัวเราะ “หน้าหมา” ตะโกนด่าเพื่อนที่ดูจะสะใจกับการล้อผมเรื่องแฟนเก่าราวกับเราเป็นเด็กมหาวิทยาลัย

     “อะไรวะ” เจ้ปันเกาหัวแกรก “สรุปไปปะ เดี๋ยวเจ้ไปส่ง”

     “ทำไมวันนี้ใจดีจังครับบบบ” ลากเสียงยาวพร้อมกับคว้าแขนเจ้าเนื้อของหล่อนมาบีบเล่นจนคนอายุมากกว่าทำท่าจะฟาดกันเสียอย่างนั้น “ไปๆ เจ้จะไปแล้วเหรอ”

     “เออ เดี๋ยวรถติด ขี้เกียจ”

     “ขอเก็บของแป๊บ”

     ผมรีบกดปิดหน้าต่างๆ นานาที่เปิดอยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ เก็บของต่างๆ เข้ากระเป๋าในขณะที่เจ้ปันยืนคุยกับไอ้โย่งอย่างออกรสว่าเมื่อกี้โย่งหัวเราะอะไร

     “เจ้ถามไอ้ณะเองเลย เรื่องนี้โย่งไม่ยุ่ง” มันว่างั้นแต่ยังป้องปากขำ มองจากนอกโลกยังรู้ว่ามีพิรุธ

     “ทำไมวะณะ มันพูดไม่ได้เหรอ”

     “เสือก”

     “แกด่าเจ้เหรอ! เดินไปโรง’ บาลเองเลยนะ”

     “เปล่า ด่าไอ้โย่ง” กลับคำแทบไม่ทันเมื่อสาวเจ้าทำท่าจะปล่อยผมเดินไปจริงๆ

     “เจ้ลองปล่อยมันเดินเปล่า ผมว่าใจมันพามันเดินไปหาหมอได้”

     เพื่อนสนิทเน้นคำว่าหมอแรงๆ เสียจนผมหันไปด่าคำหยาบให้อีกหน ทีนี้เจ้ปันคงเริ่มจับจุดได้ ทำท่าจะเอ่ยปากถามว่าหมอเกี่ยวอะไรกับผมแต่ผมรีบตัดบทไปเสียก่อน เดินออกจากออฟฟิศก่อนที่จะโดนเจ้ปันซักกันจนขาว

     “พาเดี้ยงไปล้างแผลเหรอ”

     “ใช่ค่าพี่เอก”

     พี่เอกที่เดินสวนออกมาทักทายกัน มองผมที่เรียกว่าเดี้ยงแล้วส่ายหน้าเหมือนจะขำ พี่แกเป็นเหมือนกับพ่อในออฟฟิศแห่งนี้พอๆ กับที่เจ้ปันเหมือนคุณป้าขี้บ่นข้างบ้าน     

     “แล้วนี่ขาเป็นไงบ้าง” พี่เอกเหล่สายตามาที่ขาของผม “จะเลิกเดี้ยงตอนไหน”

     “โหยพี่ มันหายวันหายพรุ่งได้ที่ไหนเล่า”

     “บอกให้ลาหยุดสักวันสองวัน”

     “บ้า ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น”

     “เปล่า กูปวดหู ขี้เกียจฟังเสียงมึงกับไอ้โย่งทะเลาะกันเรื่องใครจะเป็นแครี่”

     “เวร”

     พี่โย่งหัวเราะ ตบบ่าพร้อมกับอวยพรให้ผมหายไวๆ แล้วเดินเข้าออฟฟิศไป

     ผมทำงานที่นี่มาได้สามปีเศษ ยังไม่มีแพลนจะย้ายไปทำงานที่ไหนนอกจากรับฝิ่นงานนอกเป็นครั้งคราว ไอ้ตัวเราจบเอกภาพยนตร์มาก็จริง แต่งานประจำที่ทำตอนนี้เป็นตากล้องและ editor ให้กับเพจท่องเที่ยวดังแห่งหนึ่ง จะว่าไม่ตรงสายก็ใช่ แต่นาทีนั้นผมแค่เบื่อชีวิตฟรีแลนซ์ที่ไม่แน่นอน สู้หางานประจำที่ว่างพอให้ผมรับฝิ่นเป็นช่วงๆ เกรงว่าจะดีกว่า คนในออฟฟิศเองก็เป็นกันเองดี มีผมกับไอ้โย่งที่ผันตัวมาทำ creative เจ้ปันที่เป็นคนคอยเขียนคอนเทนท์ต่างๆ พี่เอกกับแฟนชื่อพี่ข้าว ทั้งคู่ที่เป็นคนก่อตั้งเพจ นอกจากนี้ก็ยังมีฟรีแลนซ์หน้าเดิมๆ โผล่มาบ่อยๆ อีกสองสามคน ถือว่าเป็นบรรยากาศครอบครัว

     ถ้านับการที่เจ้ปันเท้าเอวด่าผมสารพัดเป็นบรรยากาศครอบครัวได้อ่ะนะ

     “แล้วขากลับกลับไงวะ”

     “เดี๋ยวเรียก grab เอา”

     “ให้รอไหม”

     “ไม่เป็นไร” ผมโบกมือไปมา “ขอบใจมากเจ้”

     “สรุปมีเรื่องอะไรกับหมอเหรอวะไอ้ณะ”

     “โอ๊ย ไอ้โย่งมันก็— ขับดีๆ ดิวะเจ้แม่ง” ผมชะงักนิดหน่อยตอนที่เจ้ปันทำท่าจะปาดรถคันข้างหน้า ไม่ชอบนั่งรถพี่แกก็เพราะอย่างนี้แหละ ผู้หญิงอะไรตัวเล็กแต่ขับรถห้าวฉิบหาย “ไอ้โย่งพูดไปเรื่อย”

     “จริงเหรอ แกก็ดูร้อนอยู่นะ”

     “เจ้คิดม๊าก”

     “เสียงสูง”

     “เจ้คิดมาก” ผมลงเสียงต่ำแทบไม่ทัน

     “ดูมัน” หล่อนทำท่าจะฟาดผมสักที รุนแรงฉิบหาย แต่นั่นแหละ, ตอนนี้อาศัยรถเขาเลยต้องเงียบๆ ไว้

     เจ้ปันวนรถมาส่งผมให้ตรงหน้าตึกคนไข้ทั่วไปให้สะดวกกับไอ้เดี้ยงอย่างผมก่อนที่จะวนรถกลับไปเลย ในขณะที่ผมเข้าไปติดต่อ รอไม่นานเท่าไหร่ก็ถูกเรียกชื่อตามประสาโรงพยาบาลเอกชนขนาดไม่ใหญ่มาก คิดว่าจะมาล้างแผลที่นี่แค่สองครั้งแรกๆ ให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ติดเชื้ออะไรก็พอแล้ว ผมไม่ค่อยรักษาความสะอาด ขาดทักษะในการทำแผลให้ตัวเองโดยสิ้นเชิง เกรงว่าช่วงแรกๆ ถ้าไม่รักษาดีๆ แผลจะติดเชื้อไปก่อน

     ผมเหลือบคุณหมอสองคนที่เดินคุยกันมาขณะออกจากลิฟต์ตอนที่ตัวเองรอจะจ่ายเงิน ในหัวพาลคิดไปถึงคุณหมออีกคนที่เพื่อนหยิบยกมาแซวกัน ไอ้โย่งหน้าหมา

     บทสนทนาของผมกับคุณจบลงไปแล้ว ไม่เกิน 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่คณณัฐ์ตอบกลับมา เราคุยกันด้วยคำถามโง่ๆ ง่ายๆ อย่างเช่น คุณกินอะไรแล้วหรือยัง ไม่ก็สรุปเธอปวดแผลบ้างไหม ก่อนจะจบลงด้วยคำพูดว่าเราไปก่อนนะ มีเคสที่ศัลย์— แล้วก็จบ ผมไม่ตอบ ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรอีก

     จริงๆ ก็มีความคิดอยู่บ้างว่าหรือผมควรจะทักไปบอกคุณกันนะว่าผมกำลังมาล้างแผลที่โรงพยาบาล แล้วยังไงต่อ? ไปกินข้าวเย็นกันสักมื้อไหมอย่างนี้หรือ

     คนเราไม่น่าจะต้องชวนแฟนเก่าไปกินข้าวไหมนะ – ต่อให้เป็นแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอกันห้าปีก็เถอะ

     “คุณณภัทรค่ะ”

     “ครับ” เสียงเรียกนั่นทำให้ผมเลิกคิดไร้สาระ ลุกขึ้นยืนไปจ่ายเงินให้จบๆ ไปเสียที ใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะเดินออกมาเรียกแท๊กซี่กลับคอนโดของตัวเองได้สักที



     
     คืนนั้นโทรศัพท์ของผมที่แทบจะไร้บทสนทนาอื่นๆ นอกจากเรื่องงานส่งแจ้งเตือนขึ้น

     k.
     เออ เห็นเธอตอนเย็น มาล้างแผลเหรอ?

     ลังเลนิดหน่อยที่จะตอบกลับไปในทันที ผมสูดเส้นที่ยังนอนแอ่งแม้งอยู่ในถุงพลาสติกเพื่อให้สะดวกต่อการล้างจาน ยอมรับว่าขี้เกียจมากจริงๆ และทุกคนที่เห็นผมทำแบบนี้ก็จะด่าผมเสียหมดว่าผมมันไอ้ซกมก

      สุดท้ายก็เลือกที่จะกินก๋วยเตี๋ยวจนหมดจานแล้วค่อยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตอบอีกคน

napat
ใช่ๆ
เจอแล้วไม่ได้ทักเหรอ
     
     k.
     เห็นหลังไกลๆๆ ยังคิดเลยว่าใช่หรือเปล่า
     วิ่งตามไม่ทันหรอก 5555

     
napat
ขนาดนั้นเลยนะ
     
     k.
     ขนาดนั้นเลยแหละ
     แล้วเป็นยังไงมั่งแผล เป็นหนองไปแล้วใช่ปะ

     
napat
ทำไมต้องแช่งกันตลอดด้วยเนี่ย
ก็ปกติดี

     k.
     ข้อเท้าอ่ะ ดีขึ้นยัง ประคบมั่งเปล่า

     
napat
ดีขึ้นแล้วครับ

     เอาจริงๆ ก็แปลกใจกับสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน ผมตอบกลับไปแค่นั้น ข้อความถูกขึ้นว่าอ่านแล้วในทันที คงเพราะคุณก็กำลังจับโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา ข้อความที่ส่งไปมันก็ไม่มีอะไรน่าต่อจริงๆ – แต่ก็ใจหายนิดหน่อยกับความเงียบไม่กี่นาทีนั้น

     ผมมองหายางมารัดปากถุงก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาให้ผมอ่านข้อความผ่านหน้าจอโทรศัพท์ที่ก่อนหน้านี้ล็อกไปแล้ว

     k.
     แล้วช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ทำงานแถวนั้นเหรอ
     
     —ลืมไปได้ยังไงนะว่าคุณเก่งเรื่องชวนคุย

napat
ครับ เค้าทำแถวนั้น
อยู่ซอยหก
     
     k.
     เอ้า ใกล้มากเลยนี่
     ที่เดียวกับโย่งใช่เปล่า

napat
รู้ด้วยเหรอ?
     
     k.
     ไปส่องมาไง 55555
     ก็ณะไม่รับแอดเฟซเราสักทีอ่ะ
     
     ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เห็นแล้วแหละว่าคณณัฐ์แอดมาหากันตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ตอนนั้นเอาแต่คิดว่าต้องอันบล็อกไลน์อีกฝ่ายเสียก่อน
     
     ผมเอาลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้ม นี่เป็นอีกเรื่องที่คุณเก่ง, ทำให้ผมยิ้มโดยไร้สาเหตุ
     
     นึกแปลกใจนิดหน่อยที่คุณเป็นแบบนี้ พูดคุยกันอย่างอัธยศัยดีเหมือนเดิม เหมือนกับว่าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเราจบกันไปแล้ว แถมยังเป็นการจบกันแบบที่ผมทำตามสัญญาไม่ได้ว่าถ้าวันไหนเลิกกัน เราจะเป็นเพื่อนกันต่อ
     
     ตอนนั้นผมแค่คิดว่าถ้าผมเห็นอีกฝ่ายผมต้องตายแน่ๆ ต้องไม่มีสมาธิทำอะไร ต้องแบกร่างไปทำธีสิสไม่ได้ สุดท้ายถึงเลือกแบบนั้น
     
     k.
     เงียบเลยเหรอออ
     
     ผมชะงัก พิมพ์ตอบกลับไปในทันทีแม้ว่านั่นจะเป็นคำโกหก

napat
ขอไปล้างจานแป๊บหนึ่งได้ไหมล่ะ
     
     k.
     ดีใจจังที่เธอล้างจานเป็นแล้ว 55555
     กินข้าวแล้วเหรอ

     
napat
ครับ เธอกินยัง
     
     k.
     ยังๆ รอน้องในวอร์ดซื้อมาให้อยู่

     
napat
เคเอฟซีจัดไป
     
     k.
     ก็เยินตายดิ 555555 ไม่เอาแหละ
     เธอๆ
     น้องเอามาให้แล้ว เราไปกินข้าวก่อนนะ
     อย่าลืมล้างจานนน

     
napat
โอเคครับ ไปล้างแล้ว
     
     ผมวางโทรศัพท์มือถือ เผลอวาดยิ้มอยู่ชั่วครู่ยามคิดถึงคุณหมอและเรื่องที่อีกฝ่ายเคยบ่นว่าเคเอฟซีเป็นอาหารที่เอามากินที่โรงพยาบาลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นวันนั้นจะมีแต่เคสน่าปวดหัวทั้งวัน
     
     เดินเอาถุงพลาสติกที่มีเศษอาหารไปทิ้งแต่ก็ไม่ได้ล้างจานจริงตามที่บอกกับอีกคน สาบานว่าถ้าอยู่ด้วยกัน คุณคงได้ด่าผมฉอดๆ แล้วก็ยืนบอกผมว่าเทใส่จานดีๆ แล้วล้างจานดีๆ ด้วย อะไรแบบนั้นเหมือนที่เคยทำตอนที่ผมไปนอนหออีกฝ่าย หรืออีกฝ่ายมานอนหอผม

     แต่ก็นั่นแหละ, ไม่นานผมก็ได้สติว่ามันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว

     น่าแปลกใจเหมือนกัน คุณเป็นแฟนเก่าที่ทำให้ผมคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ของอีกฝ่าย ภาพในหัวของผม คุณเป็น
แบบนั้นเสมอ

     มีคำถามโง่ๆ ปรากฎขึ้นมาว่า ทำไมเราถึงเลิกกันนะ

     ตอนนั้นเราแค่เหนื่อยหรือเปล่า

     เราไม่ได้เลิกกันแบบสาเหตุในหนังในละคร ไม่ใช่สักนิด ไม่ได้มีมือที่สาม ไม่ได้มีเรื่องเข้าใจผิด ไม่ใช่กระทั่งเรื่องครอบครัวที่กดดัน เราแค่เลิกกันเพราะ— คิดถึงแต่ตัวเองมากไปหน่อย จะบอกแบบนั้นก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว หลังจากที่คุณย้ายไปเรียนอีกวิทยาเขตตั้งแต่ขึ้นปี 2 ช่วงนั้นเรายังพอจะมีเวลาว่างให้กันบ้าง ไทม์ไลน์ชีวิตยังใกล้ๆ กัน ก่อนที่จะถูกฉีกกระชากช่วงที่เราอยู่ปี 4 ผมกำลังหัวหมุนกับธีสิส ส่วนคุณกำลังเริ่มขึ้นวอร์ด เราแค่หาเวลาเจอกันแทบไม่ได้ คุยกันแทบไม่ได้ ผมอยู่ทำงานจนตีสาม ในขณะที่ตีห้าคุณต้องตื่นไปเตรียมขึ้นวอร์ด

     เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งๆ ที่ระหว่างเราทะเลาะกัน ผมต้องขอปลีกตัวไปออกกอง ส่วนคุณปลีกตัวไปเขียนรีพอร์ต ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเราคิดว่า— เมื่อไหร่แบบนี้มันจะจบสักที

     จำไม่ได้เหมือนกันว่าเรื่องที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเราคืออะไร ผมช่วยงานกองจนไม่ตอบไลน์ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่คุณไม่ยอมกินข้าวเที่ยงบ่อยจนอาการโรคกระเพาะกำเริบ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่งี่เง่ากว่านั้นก็ได้

     เราแค่พูดออกมาว่าเราเหนื่อย – เหนื่อยแล้วนะ ไม่เอาแล้วได้ไหม – ผมหรือคุณกันแน่ที่พูดคำนั้นออกมาก่อน

     แล้วมันก็ตามด้วยคำตอบรับจากอีกคนว่า – เค้าก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน

     เรื่องของเราเป็นแบบนั้นเสมอมา

     เกิดขึ้นแบบง่ายๆ จบลงแบบง่ายๆ

     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองข้อเท้าที่เริ่มจะเจ็บน้อยลง ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ถ้าประคบสม่ำเสมอ อีกสองวันคงจะกลับไปขับมอเตอร์ไซค์ได้เหมือนเดิม ส่วนแผลที่เพิ่งไปล้างมา เดี๋ยวอีกสอง – สามวันไปล้างอีกสักที หลังจากนั้นผมคงจะจัดการเองได้

     แต่พูดตามตรงนะ,

     ถ้ามีคุณมาล้างแผลให้กันเหมือนเมื่อก่อนคงดี





     วันเสาร์ – อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนกับโกหก ผมที่รับฝิ่นงานจากรุ่นพี่ที่คณะแทบไม่ได้นอน สีหน้าอิดโรยเสียจนพี่ข้าวเอ่ยปากทักทายว่าทำไมผมถึงทำตัวราวกับไม่ได้หยุดอย่างไรอย่างนั้น

     “น้องณะ แล้วเดี๋ยววีคนี้ไปอุบลฯ กับพี่ได้ไหมเนี่ย”

     “โหย ได้พี่ สบายมาก” ผมโบกมือไปมา

     “ดีมาก ถ้าไม่ได้พี่จะหักเงินเดือน”

     “พี่ข้าววว แค่นี้ก็ไม่มีเงินใช้แล้วครับบบ”

     หล่อนหัวเราะ ยิ้มกว้างให้กันก่อนที่จะตบบ่าเป็นเชิงว่าไปทำงานต่อเสียที

     ผมหย่อนกายนั่งในตำแหน่งประจำ เหลือตัดต่อคลิปวีดีโอทริปญี่ปุ่นที่ไปมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนอีกพาร์ท ระหว่างนั้นก็มีคลิปชวนเที่ยว ชวนหาของกินในกรุงเทพฯ ลงแทรกเป็นระยะๆ ไม่ให้น่าเบื่อเพราะทริปญี่ปุ่นมีความยาวมากกว่าปกติ

     k.
     ทำงานอยู่ซอยหกใช่เปล่า

     ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เสียงไลน์ใน PC ก็เด้งขึ้นมา ดังพอที่จะทำให้ไอ้โย่งซึ่งนั่งตรงข้ามกันเงยหน้าขึ้น ไอ้เราบางทีก็ลืมจะล็อกเอาท์จากไลน์ด้วยซ้ำเพราะปกติแทบจะเป็นคนเดียวที่ใช้เครื่องนี้

     ผมคว้าหูฟังมาเสียบไว้ แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพิมพ์ตอบกลับอีกคนไป

     
napat
ครับ ทำไมเหรอ

     k.
     วันนี้เลิกเวรเที่ยงอ่ะ
     ไปกินข้าวด้วยกันไหม

     ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ชะโงกหน้าแบบแนบเนียนไปดูเพื่อนตัวเองที่นั่งตรงข้าม กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปอีกฝ่ายก็พิมพ์เสริมมาก่อน

     [k.
     อย่าลืมชวนโย่งมาด้วยนะ อยากเจอ 55555555

     ไอ้โย่ง— ไอ้หน้าหมา

     เหมือนรู้ว่ามีการด่าในใจ เพื่อนสนิทถึงกับจามออกมาในเสี้ยววินาที ชีวิตเหมือนกับซิตคอมมากไปหน่อย มันขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าผมกำลังจ้องอยู่ ก่อนที่จะขยับปากอย่างไรเสียงว่ามองอะไรของมึง

     ผมไม่คิดจะยุ่ง ปล่อยเบลอมันไปแล้วพิมพ์ไลน์ตอบหาอีกคน

     
napat
เธอไปชวนมันดิ

     k.
     เอ้า เฉยเลย ทำงานกับเขาก็ชวนหน่อยสิ
     ไปหาไรกินกัน แถวนี้ๆ
     ไม่ได้เจอนานเลย ว่าจะนัดเจอโย่งตั้งนานแล้ว

napat
แล้วเค้าอ่ะ

     “แล้วเค้า— เชี่ย มึงคุยกับใครเนี่ย” ผมสะดุ้ง รีบปิดหน้าจอไลน์แทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของพี่เอก ก่อนที่จะตามมาด้วยการแหกปาก “กูเห็นนะ”

     “พี่เอกมึง”

     “เจ้านายๆ น้อยๆ หน่อย”

     “ก็พี่แม่งมาไม่ให้สุ่มให้เสียงอ่ะ”

     “มึงคุยกับสาวแน่นอน ทำมาเค้า เบาหน่อยพ่อหนุ่ม” ยังจะมาบีบเสียงเล็กเสียงน้อยอีก! “เวลางานจ้า อย่าเพิ่งคุยไลน์จ้า”

     “สาวอะไรเล่า” ผมเถียง และนั่นไม่ใช่คำโกหก

     แต่ดูเหมือนจะทำให้ไอ้โย่งที่ตั้งท่ารอเสือกจะมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “มันคุยกับใครวะพี่”

     “ตัวเคๆๆ”

     “พี่เอก! ไม่ต้องพูดเลย!”

     “ตัวเค?” ไอ้โย่งขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มแบบมาดร้าย “เอ๋ กูว่ามึงมีตัวเคอยู่คนเดียวน้า ยังไงน้า”

     “ห่าโย่ง เงียบไปไป๊”

     “รีเทิร์นไหมน้า”

     “ไอ้ห่า เงียบ!”

     ไอ้โย่งหัวเราะเสียงดังในขณะที่พี่เอกแสดงสีหน้าสนอกสนใจ รวมไปถึงเจ้ปันกับพี่ข้าวที่เริ่มจะได้ยินเสียงโวยวายของผมที่ด่าเพื่อนกับเจ้านายไปเรียบร้อยก็ดูหูพึ่งไม่แพ้กัน

     ตึ๊ง!

     k.
     น้อยใจเก่งจัง 5555555
     เธอก็อยากเจอเหมือนกัน

     “อยากเจอเหมือนกันด้วยว่ะ”

     “ไอ้ห่า พี่เอกกกก!” ผมโวยวายเสียงดังเมื่ออีกฝ่ายอ่านข้อความที่เด้งแจ้งเตือนขึ้นมาบนหน้าจอ PC

     พี่มันหัวเราะ เอาซองเอกสารสีน้ำตาลฟาดหัวผมไม่แรงไม่เบาก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง ในขณะที่ไอ้โย่งชี้หน้าผมเหมือนจะบอกว่าผมต้องเตรียมคำตอบให้มันดีๆ ไม่อยากคิดเลยว่าตอนเที่ยงจะชักจูงมันออกไปเจอกับคุณได้ยังไง

     สนใจกันจังนะเรื่องกูกับเมียเก่ากูเนี่ย ไอ้เวรเอ๊ย!




-------------------------

ดีใจที่ทุกคนชอบกันนะคะ <3

ปล. ขอโทษที่แยกสีตัวอักษรในแชตสำหรับ TBL ไม่ได้ ทำแล้วรวนไปหมดเลย  :hao5:

เจอกันในแท๊กค่า  :katai2-1:
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 02 : 28/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 29-12-2018 15:41:12
น่าร้ากกกกกกกก​ ถ้าจะรีเทิร์นต้องปรับกันใหม่น้า
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 02 : 28/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 29-12-2018 18:48:37
น่าร้ากกกกกกกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 02 : 28/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 30-12-2018 00:21:17
เขินเลย น่าจะเดาพระนายผิด ฮา

ลุ้นไปกับความสัมพันธ์ค่ะ อยากให้ถึงตอนหวานๆกันเร็วๆเน้อ ฮ่าๆ
เชื่อคนเขียนนะคะว่าว่าไม่มาม่า  ฮืออ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 02 : 28/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 30-12-2018 20:56:24
เรียกเค้าตัวเองกันซะน่ารักเลย เหมือนยังเป็นแฟนกันอยู่ อ่านแล้วดูนุ่มนิ่มอะ  :-[
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 02 : 28/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 01-01-2019 09:58:30
น่ารักมากเลยย เหมือนยังเป็นแฟนกันอยู่เลย
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 02 : 28/12/18 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 07-01-2019 20:23:37
———— 03 ————



     ผมทำอะไรไม่ถูก ยอมรับเลย

     “มึงล่ก” นั่นเป็นคำที่เพื่อนสนิทบอกกัน

     “กูเปล่า”

     โย่งหัวเราะ “มึงล่ก ล่กแบบสุดๆ” ย้ำคำเดิมซ้ำอีกครั้ง

     มันดูจะมีความสุขมากกว่าผมด้วยซ้ำตอนผมเดินไปถามว่าไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหม มีคนฝากชวนมึง แวบแรกซักผมราวกับมันจะลาออกไปทำร้านซักรีด แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมันก็แค่นั้น ผมไม่ตอบสักอย่างมันจะทำอะไรได้

     นั่งก่นด่าตัวเองในใจว่ากำลังจะทำจริงๆ หรือวะ ผมกำลังจะนั่งกินข้าวกับแฟนเก่าพร้อมด้วยเพื่อนตัวเองที่รับรู้เรื่องตั้งแต่ผมหลงรักแฟนคนนั้นยันเรื่องที่ผมเป็นหมาบ้าตอนเลิกกัน – ให้ตายเถอะณะ มึงคิดอะไรอยู่

     ร้านอาหารในศูนย์การค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของพวกเราเป็นตำแหน่งที่ตอบโจทย์ได้ดี คุณบอกว่าไม่มีนัดต่อ แค่นึกขึ้นได้ว่าอยากจะเจอโย่งและผมสักครั้ง ส่วนผมกับโย่งก็แจ้งไว้แล้วว่าวันนี้อาจจะกลับไปเข้าออฟฟิศช้า ด้วยความที่บรรยากาศเป็นกันเองพี่ๆ เลยไม่ได้ว่ากล่าวอะไร

     “เป๋มาหาคุณเลย”

     “เลิกเป๋แล้ว” ผมเถียง ตอนนี้ผมกลับมาเดินได้ปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องพันข้อเท้ามาเหมือนอาทิตย์ก่อน แผลที่แขนเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดอะไรแล้ว หากแต่แผลที่หัวเข่ายังไม่ทันตกสะเก็ดดี เพิ่งเริ่มตึงๆ หน่อยเท่านั้น

     “คุณรออยู่ที่ร้านแล้วใช่ปะ”

     “อาฮะ”

     “มึงลุกลี้ลุกลนอ่ะ”

     “เชี่ย กูเปล่า”

     โกหกคำโต มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าผมเป็นแบบที่มันว่า แต่อย่างไรก็ตาม, ผมก็ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่

     ร้านอาหารญี่ปุ่นที่พอจะมีชื่อเป็นที่หมายของเรา ผมกับไอ้โย่งเดินมา ไม่ทันที่จะเข้าร้านก็เห็นว่าคุณกำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่บริเวณริมหน้าต่าง ไม่ได้รับรู้สักนิดว่าเราจะมา

     เสื้อเชิ้ตสีอ่อน, ใบหน้าที่ดูไม่ได้แตกต่างจากวัยมหาวิทยาลัย, สีผมดำขลับที่ไม่เคยผ่านการทำสีผมใดๆ

     ให้ตายเถอะ คุณเหมือนเดิมขนาดนี้ได้อย่างไร

     “เพื่อนมาแล้วครับ” ไอ้โย่งเอ่ยปากกับพนักงานสาวที่เดินมาทักทายเราแบบนั้น ในขณะที่ผมไม่ได้ละสายตาไปจากอีกคนเลยแม้แต่น้อย

     มันเอาแขนกระทุ้งผมเบาๆ ยักคิ้วราวกับจะเอ่ยแซว และเป็นคนเดินไปเอ่ยทักทายเพื่อนเก่าเสียก่อน

     “โย่งงงง” คุณร้องเรียกชื่อเพื่อนผมทันทีที่โดนทักทาย ยิ้มจนตาหยี

     เจอแล้วว่ามีอะไรแตกต่างไป, เดี๋ยวนิ้วเวลายิ้มแล้วรอยย่นที่ตาของคุณชัดกว่าแต่ก่อน เป็นตำแหน่งที่ผมเคยใช้เย้าแหย่อีกฝ่ายบ่อยๆ ว่าหน้าแก่ แต่ตอนนี้ผมคงหน้าแก่นำไปหลายขุมแล้ว

     “คิดถึงคุณหมอจังเว้ย” โย่งโอบกอด ตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

     ผมยืนนิ่งเมื่อทั้งสองผละออกจากกัน คุณก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน แค่เสี้ยววินาทีที่เราสบตาทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเลื่อนตัวเข้าไปนั่งตำแหน่งตรงข้ามกับคุณเสียก่อน ไอ้ครั้นจะกอดกันข้ามโต๊ะก็คงแปลกๆ ทุกอย่างเลยเป็นเหมือนกับปกติ

      “ว่าจะนัดนานแล้ว วันนี้นึกขึ้นได้เลยนัดซะเลย”

     “ก็ใช่ดิ ไอ้เราก็นั่งคอมเม้นเฟซบุ๊กคุณหมออยู่ตั้งนาน” ผู้ชายห่ามๆ อย่างมันก็ยังต้องยอมพูดสุภาพกับคุณ “แล้วเป็นยังไงบ้าง ย้ายมาจากใต้ใช่เปล่า ก่อนหน้านี้อยู่ที่ไหนนะ”

     “ไปใช้ทุนที่นครศรีธรรมราช”

     “ก็ดีนี่นา”

     “ใช่” คุณวาดยิ้ม “ไม่ได้แย่เลย โชคดีด้วยแหละอยู่ในเมือง แต่พอมีพายุอะไรเข้าก็เหนื่อยหน่อย”

     ผมฟังเพื่อนตัวเองคุยกับคุณเรื่อยเปื่อย บทสนทนาหยุดชะงักเมื่อพนักงานเข้ามารับออเดอร์ ผมเมนูที่ตัวเองอยากทานในขณะที่ในหัวคิดว่าเมนูที่คุณจะสั่งคืออะไรในเมื่อผมรู้ดีว่าอีกคนไม่นิยมชมชอบปลาดิบเท่าไหร่นัก ใช่ว่ากินไม่ได้แต่เลือกได้ก็ไม่กิน

     “ผมเอาแซลมอนดงบุริครับ”

     “เบิร์นไฟไหมคะ”

     “แค่ครึ่งเดียวพอครับ”

     แล้วก็ต้องยอมรับว่าผิดหวังนิดหน่อยที่ผลออกมาเป็นแบบนั้น – ที่เดาในใจไม่ได้ตรงใจอีกฝ่ายเสียทีเดียว

     “คุณยังติดต่อกับพวกไอ้ม่านอยู่ไหม”

     “ติดต่อดิ วันหลังนัดเจอมันบ้างก็ได้นะ มันก็อยู่กรุงเทพฯ”

     “เออว่ะ แต่ไอ้เกมกลับลำปางไปแล้ว รอไปงานแต่งมันทีเดียวเลยท่าจะดี”

     “จะแต่งแล้วเหรอ”

     “คุยกันเมื่อเดือนก่อนก็หาฤกษ์แล้วนะ”

     บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเพื่อนคนอื่นๆ สมัยพวกเราอยู่ปีหนึ่ง ผม โย่งและคุณอยู่หอใน นอกจากนี้ยังมีเมทของผมที่เรียนประมงฯ และเมทของคุณที่เรียนเทคนิคการแพทย์ฯ ที่มักจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ พึ่งพากันมาเยอะ เคาะประตูยืมตั้งแต่สบู่ แชมพูยันไบก้อน เตือนกันเรื่องผ้าที่ตากไว้ในวันฝนตก บางทีก็ตั้งวงเหล้ากันในห้องบ่อยๆ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้เลยแม้แต่น้อย

     ในหมู่ที่เอ่ยๆ ชื่อมานี้ คุณเป็นคนที่ห่างไกลมากที่สุดเพราะตอนปีสองย้ายไปอีกวิทยาเขต จะมาหาผมสักทีก็มักจะคลุกคลีกับผมเท่านั้น เห็นหน้าบ่อยหน่อยก็คงจะเป็นโย่งที่เรียนคณะเดียวกับผม ช่วงอ่านสอบหรือทำงาน
อะไร ไอ้โย่งปรากฎในทุกช่วงชีวิต คุณกับมันเลยยังสนิทกันไม่เสื่อมคลาย

     “แล้วเธออ่ะ เป็นไงมั่ง”

     สรรพนามที่คุ้นชินถูกเรียกออกมา ผมเห็นเพื่อนตัวเองยกมือเท้าแขน ยกยิ้มเหมือนจะล้อเลียนแต่ผมไม่เปิดโอกาส

     “ก็ปกติดี ไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอก” ผมตอบกลางๆ “ใช้ชีวิตไม่ต่างจากไอ้โย่งเท่าไหร่”

     “ทำให้เพจไหนนะ”

     “เที่ยว Tape”

     “เฮ้ย ดังนะนั่น เราก็ตามอยู่”

     ผมนั่งฟังคุณชวนเราคุยไปเรื่อยเปื่อย ถ้าแบบนั้นก็ได้เที่ยวบ่อยใช่ไหมหรือไม่ก็เอาไว้เราจะลองไปเที่ยวตามรอยดูนะ ถ้อยคำต่างๆ ที่หลุดออกมาจากอีกคนฟังรื่นหู รอยยิ้มนั้นก็ดูจริงใจ เสียงหัวเราะผะแผ่วตอนที่ไอ้โย่งเล่นมุกตลกพร้อมกับคำด่าที่ฟังยังดูนิ่มนวลตามนิสัยของอีกคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก

     ไอ้โย่งที่นั่งเล่าประสบการณ์การโดนหญิงเทเพราะเป็นฟรีแลนซ์ด้วยความสนุกสนาน เหมือนตอนที่มันเศร้าในช่วงสองสามปีไม่ใช่เรื่องจริง

     “ไอ้เรามันก็เด็กฟิล์มขายขำไปวันๆ ใครมันจะไปชอบ”

     “โย่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ขายขำแล้ว”

     “ทุกวันนี้พี่ๆ ยังชอบด่าเราว่าเราทำตัวกากกรังอยู่เลย”

     “กรังก็ส่วนกรังสิ อันนั้นเพราะสกปรกหรือเปล่า ไม่ใช่ขายขำสักหน่อย” คุณหัวเราะ “แต่เราก็อยากฟรีแลนซ์บ้างนะ ถึงมันจะเหนื่อยก็เถอะ”

     “ไม่ดีหรอก” ผมเอ่ยแทรก ก่อนหน้านี้พวกผมก็ฟรีแลนซ์กันมาทั้งนั้น แต่พอทำงานฟรีแลนซ์ไปสักสองสามปีมันก็เริ่มเหนื่อย อยากทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งบ้างถึงเบนมาอยู่ในสายนี้ “เป็นคุณหมอไปน่ะดีแล้ว แล้วคุณไม่เรียนต่อเหรอ”

     “อาจจะเรียนต่อนะ กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ใช่ปีนี้”

     “—อ๋อ” ผมครางรับในลำคอ แล้วก็เงียบ

     อีกคนมองผมก่อนจะเอ่ยคำที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา “จริงๆ ณะก็เลิกขายขำแล้วเหมือนกันนะเนี่ย”

     “ไม่เคยขายขำสักหน่อย” ผมเถียง “มันเป็นคาแรกเตอร์เฉยๆ”

     คุณแกล้งทำหน้าไม่เชื่อ “จริงเหรอ”

     “คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ”

     คนที่นั่งตรงข้ามกันระบายยิ้ม หัวเราะก่อนจะเอ่ยผะแผ่วว่าแซวเล่น เอื้อมมือมาตีท่อนแขนผมที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนที่จะหันไปสนใจไอ้โย่งใหม่

     ผมมองรอยยิ้มนั่น ตั้งคำถามในใจว่าอะไรถึงเลือกปล่อยมันไปในตอนนั้น

     และตั้งคำถามใหม่,

     ว่าจนกระทั่งตอนนี้ มันยังเป็นรอยยิ้มที่น่ามองที่สุดอยู่หรือเปล่า



     
     “อันนี้คืออะไรเนี่ย”

     คณณัฐ์ร้องเสียงหลงเมื่อบังเอิญลงมาเจอผมในสภาพไม่จืด สภาพไม่จืดในที่นี้หมายถึงหน้าและตัวสีฟ้า กางเกงสีขาว ตอนนี้หนาวเป็นบ้า ว่าที่คุณหมอถึงกับหัวเราะพรืด วางตะกร้าผ้าที่อยู่ในมือแทบไม่ทัน

     “กิจกรรมคณะ” ผมตอบไปตามจริง “ตีหนึ่งแล้ว ทำไมเพิ่งซักผ้า”

     “เราเผลอหลับอ่ะ แต่นึกได้ว่าต้องซักผ้า พรุ่งนี้ไม่มีเสื้อใส่แล้ว”

     “ใส่ซ้ำดิ”

     “ทำไมเธอซกมกจัง”

     “เปล่าเสียหน่อย”
ผมเถียง “หรือคุณไม่เคยใส่ซ้ำเลย”

     “ก็เคย แต่ไม่เคยเกินสองวัน” คุณหมอชูนิ้วขึ้นมา เหมือนได้สติเลยเดินออกไปที่หน้าหอ ค่อยๆ หย่อนผ้าทีละตัวลงเครื่องซักผ้า “มันจะแห้งทันไหมเนี่ย” เหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองมากกว่าพูดกับผม

     “เดี๋ยวให้ยืมเอาเปล่า”

     อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจ คนหล่อเหลาขมวดคิ้วมุ่น “เสื้อเนี่ยนะ”

     “เออ เสื้อเนี่ยแหละ”

     “เธอให้คนอื่นยืมเสื้อบ่อยเหรอ ของส่วนตัว”

     “เปล่า” บ้าหรือเปล่า เสื้อนักศึกษานะ

     อยากจะว่ากลับไปแบบนั้นแต่ก็ทำไม่ได้ คุณเป็นคนที่ทำให้ผมต้องงับปากพูดสุภาพด้วยเสมอ สมมุตินั่งด่าเพื่อนคนหนึ่งว่าไอ้สัด หันกลับมาหาคุณก็คือเงียบกริบ ด่าอะไรแบบนั้นไม่ได้ ขนาดสรรพนามยังพูดกูมึงกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย – ไม่ใช่ว่าคุณห้ามหรอกนะ – แต่การที่เราพูดกูมึงใส่คนที่พูดกับเราแค่คำว่าเธอมันก็แปลกๆ ใช่ไหมล่ะ ต่อให้สนิทกันก็เถอะ

     “งั้นไม่เป็นไรหรอก คงแห้งทันแหละ”

     “ก็แล้วแต่” ผมไม่คิดเถียง “แล้วเดี๋ยวลงมาเอาเหรอ ตีสองแน่”

     “นั่นสิ กลัวเผลอหลับอีกอ่ะ”

     “เดี๋ยวโทรปลุก” คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “เราอาบน้ำอะไรเสร็จแม่งก็คงตีสองแล้ว กว่าจะล้างออก”

     “งั้นหรือ” อีกฝ่ายทำท่าจะหัวเราะขณะที่เทผงซักฟอกลงไปและปิดฝาเครื่องซักผ้า “เป็นคุณอวาตาร์ที่ใจดีจังนะ”

     ว่ากันตามจริง, ผู้ชายหน้าตาดีที่ส่วนสูงเท่ากันมาเรียกผมด้วยคำพูดแบบนี้ไม่น่าจะดูน่ารักได้ยังไง แต่คุณกลับทำให้ผมสบถในใจว่าน่ารักฉิบหายเป็นล้านครั้งในเสี้ยววินาที

     “ไม่ใช่อวาตาร์นะ สเมิร์ฟต่างหาก”

     สิ้นคำเถียงของผมคุณก็เป็นฝ่ายโวยวายว่าตัวสูงขนาดนี้แต่งเป็นสเมิร์ฟทำไม เหมือนจะกลบเกลื่อนความอายที่ทักทายเป็นหนังผิดเรื่องเสียอย่างนั้น




     
     “เดี๋ยวนี้คุยกับแฟนเก่าบ่อยจังนะ”

     “หน้าหมา”

     “ขอบใจนะมึง กูรู้ว่าสาวๆ มักจะชอบหมา”

     ผมอ่อนล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้ว เถียงไปสิบชาติก็ไม่มีวันชนะไอ้โย่ง เอาจริงๆ ก็คือขนาดสาวปากจัดยังเหนื่อยจะคุยกับมันเลย เห็นเจ้ปันเป็นตัวอย่างกันแล้วนี่

     “ยังคุยกันอีกเหรอวะ ถามจริง”

     “ไม่ได้คุย” ขนาดนั้น ผมต่อในใจ “ก็แค่— ตอบไปมา”

     “ไอ้ณะ นั่นคือการคุย”

     “เออๆ” ผมปัดมือไปมา หมดแรงที่จะเถียงด้วย “แล้วแต่มึงเถอะ”

     ผมเก็บข้าวของต่างๆ นานาขณะที่รอโปรแกรมแรนเดอร์ สำรวจกล้องที่พกมาด้วยในวันนี้พร้อมกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบเพราะตอนเย็นเราจะเดินทางไปอุบลราชธานีกันในวันนี้ ถึงจะเป็นคอนเทนท์ไปเที่ยว แต่ลึกๆ แล้วเราก็รู้นั่นแหละว่าเป็นการไปเที่ยวกันทั้งออฟฟิศ เพราะวันนี้มีคนไปครบเลย ตั้งแต่ผม, ไอ้โย่ง, เจ้ปัน ขาดไม่ได้ก็คู่รักที่ร่วมสร้างเพจนี้มาตั้งแต่เป็นแค่เพจในเฟซบุ๊กจนทุกวันนี้ลงแชแนลในยูทูปเป็นเรื่องเป็นราว พ่วงด้วยน้องสาวของพี่ข้าวมาอีกคนอีกต่างหาก

     ปึง!

     ขณะที่จะแบกร่างตัวเองไปห้องน้ำผมก็สะดุ้งอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ประตูถูกเปิดขึ้นอย่างแรงผิดปกติ พี่ข้าวที่ปกติต้องสีหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่แสดงความหงุดหงิดใจแบบปิดไม่มิด ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของเจ้าตัวแทบไม่ทัน

     ผมทำหน้างุนงง เหลือบมองคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็สภาพเดียวกัน ก่อนที่จะเดินออกมาที่ห้องน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้

     ทำธุระเสร็จ ขณะที่จะเดินกลับออฟฟิศตัวเองก็เหลือบไปเห็นเจ้านายตัวเองกำลังพ่นควันบุหรี่ออกมาในโซนใกล้ๆ นั้น พอจะจับอาการได้ลางๆ แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกไปกลับโดนพี่เอกร้องเรียกเสียก่อน

     “ว่าไงมึง โดดงานเหรอ”

     “เฮ้ย เปล่าสักหน่อยพี่” ผมแก้ตัวเป็นพัลวัน

     คนอายุมากกว่าหัวเราะ มันชูซองบุหรี่ราวกับจะถามแต่ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “สมัยก่อนมึงสูบนี่”

     “พอโตขึ้นแล้วก็อยากเลี่ยงๆ ว่ะ” ผมตอบตามจริง “ขอดูดเฉพาะตอนที่กินเหล้าอะไรพอ ไม่ไหวแล้วเดี๋ยวนี้”

     “ก็ดี” พี่มันว่าแบบนั้น พ่นควันให้ลอยฟุ้งในอากาศ จางหายไปในระยะเวลาไม่นาน “ข้าวกลับเข้าไปแล้วใช่เปล่า”

     “ใช่”

     “ตึงอ่ะดิ”

     “เออดิ ทะเลาะกันหนักเหรอพี่”

     “ช่วงนั้นของเดือนมั้ง เลยเหวี่ยงไปซะหมด” ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่จริงจังอะไรมาก “แต่ก็ทะเลาะกันด้วย กูแม่ง— บางทีก็ไม่เข้าใจผู้หญิงว่ะ”

     “ทำไมอ่ะ”

     “แฟนเก่า”

     คำพูดที่หลุดออกมาคำแรกทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย ช่วงนี้อ่อนไหวกับคำนี้เป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร – เออ จริงๆ ก็รู้แหละ – แกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่

     “ข้าวไม่อยากให้ชวนแฟนเก่ามางานแต่งว่ะ แต่สำหรับกู, ไม่รู้ดิ ก็ยังคุยกันได้หรือเปล่า”

     “กรรม” ผมเกาหัวแกรก “ยากจัง”

     “เทแม่งเลยดีไหม”

     “เทแฟนเก่า?”

     “เทงานแต่ง” เจ้านายระเบิดหัวเราะ “ไอ้เหี้ย อย่าเล่นให้มันได้ยินวันนี้ โกรธตายชัก – เล่นวันอื่นไม่โกรธแต่วันนี้กูโดนฟาดแน่”

     ผมเองก็หัวเราะไปด้วย “ค่อยๆ คุยดีกว่าพี่ ถ้าพี่ข้าวไม่เข้าใจยังไงก็เลี่ยงดีกว่า เดี๋ยวตึงกันเปล่าๆ”

     “รอมันเย็นๆ ก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกรอบ ขืนตึงทั้งทริปกูตาย”

     ผมหัวเราะแม้ในใจก็แอบเห็นด้วย คงจะกร่อยน่าดู

     พี่เอกขยี้บุหรี่ลงกับกระถางที่ถูกวางไว้ใกล้ๆ “แค่แฟนเก่ามันจะทำอะไรได้วะ เจอหน้าก็ไม่คิดอะไรหรอก” มันบ่นงึมงำ คงจะเซ็งไม่น้อยเช่นกัน

     ในขณะที่ผมนิ่งไปกับถ้อยคำนั้นเหมือนกัน

     เออ, เป็นแค่แฟนเก่ามันจะทำอะไรได้วะ

     ผมสูดลมหายใจลึกยามที่ตระหนักได้ถึงความหวั่นไหวในใจ เป็นความสงสัยนิดหน่อยว่าหรือจริงๆ แล้ว สาเหตุที่คุณยังคุยกับผมได้เป็นปกติราวกับเราไม่เคยจบกันลงไปเป็นเพราะแบบนี้ – เจอหน้าก็ไม่คิดอะไรหรอก

     ขืนได้ยินคณณัฐ์มาพูดแบบนี้ใส่ ผมคงทำหน้าไม่ถูกแหงๆ




-------------------------

อาจจะช้าไปหน่อย แต่สุขสันต์ปีใหม่นะคะ
ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขมากๆ
ปีนี้หวังว่าจะเขียนเรื่องนี้จบ และก็มีโอกาสเขียนเรื่องอื่นนะคะ

(ตั้งเป้าว่าปีนี้จะช้าไปไหมนะ 55555555
แต่ยังไงก็ยังเรียนไม่จบเลยต้องแบ่งเวลา จะสู้ค่ะ!)

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 03 : 07/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-01-2019 20:39:14
คุณยังน่ารักเหมือนเดิมเสมอเลย

สู้ๆนะคะจบปีไหนเราก็จะรออ่านค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 03 : 07/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-01-2019 22:28:58
สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 03 : 07/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-01-2019 02:07:01
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 03 : 07/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-01-2019 11:45:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 03 : 07/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 12-01-2019 21:35:22
เอาว่ะะะะะ

ร้องเพลงถ่มนไฟเก่ามันร้อน รอวันรื้อฟื้นแปปค่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 15-01-2019 13:13:04
———— 04 ————



     “พี่ณะๆ”

     “ว่าไงขิม”

     “พี่ณะถ่ายรูปให้น้องได้เปล่า”

     “ได้ครับ”

     น้องขิมยิ้มหวานเอ่ยปากขอบคุณก่อนที่จะเดินไปที่ปลายก้อนหินให้ผมเล็งรูปภาพสวยๆ เปลี่ยนท่าไปมาก่อนจะเริ่มโวยวายว่าไม่รู้จะทำท่าอะไรแล้วจนผมหัวเราะด้วยความเอ็นดู

     “มาดูรูปก่อนเปล่า”

     “ดูๆๆ ดูค่ะ”

     เด็กวัยเพิ่งจบมหาวิทยาลัยวิ่งกลับมาชะโงกหน้าดูรูปในกล้องที่ยังถูกห้อยคอผมไว้ เป็นระยะที่ใกล้เสียจนได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ จากเจ้าหล่อน – ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรกับเขาหรอก แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วผงะไปนิดหน่อยถึงได้รับรู้ว่ามันคงจะเป็นการไม่ระวังเกินไป

     “ขอโทษค่ะพี่ณะ” ขิมว่าหัวเราะแบบที่ดู— กระอักกระอ่วน? ผมพยายามจะคิดให้มันเป็นคำนั้น หากแต่เท่าที่มองแล้ว ใช้คำว่าเขินน่าจะเหมาะกว่า “พี่ถ่ายรูปสวยจัง”

     “เอ้า พี่ทำงานด้านนี้ ถ่ายไม่สวยแล้วจะให้ทำมาหากินยังไง”

     “มันก็ไม่มีถ่อมตัวเลยเนอะ”

     “ให้พี่อวดหน่อยเหอะ” ผมส่ายหน้า “มีเรื่องดีๆ ให้อวดอยู่นิดเดียว”

     “จริง—”

     “อะแฮ่ม!”

     ผมสะดุ้งอย่างตกใจเมื่อเสียงกระแอมไอที่ดังกว่าปกติดังมาจากอีกฝั่ง พี่เอกเป็นต้นกำเนิดเสียงนั้น ปรายตามองผมและมองน้องสาวแฟนตัวเองก่อนที่จะชี้นิ้วไปที่ด้านหลัง

     “ณะไปถ่ายให้ข้าวดิ มันบ่นว่าพี่ถ่ายไม่สวยว่ะ”

     “ได้พี่” ผมพยักหน้า “ไอ้โย่งมันไปไหนอ่ะ”

     “ถ่ายคลิปอยู่ไง”

     “—อ๋อ” ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ วิ่งไปหาเจ้านายอีกคนของตัวเองแทบไม่ทันเพราะเห็นว่าพี่เอกกำลังมองผมตาเขียวปั๊ดอยู่

     แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของผมใช่ไหมล่ะ




     “ฉันว่าน้องขิมชอบแกว่ะณะ”

     นั่นเป็นการเปิดประเด็นที่ค่อนข้างจะร้ายแรงของเจ้ปันขณะที่เราอยู่กันในเซเว่น กำลังจะซื้อข้าวของไปสำหรับปาร์ตี้คืนสุดท้ายก่อนที่พรุ่งนี้จะกลับกรุงเทพฯ

     “คิดมาก” ผมตอบปัด

     “ไม่เว้ย” แต่หล่อนไม่ยอมจบ “มึงเชื่อเซ้นส์ผู้หญิงที”

     “โอ๊ย อิเจ้”

     “คำพูดแกสาวแตกมาก ฉันเครียด” ผมหัวเราะกับการยกมือสองข้างขึ้นมากุมศีรษะของเจ้มัน หันไปสนใจกับเนื้อหมูสันคอในโซนอาหารสดแทนคำพูดของสาวใหญ่อย่างเจ้ปัน “น้องก็น่ารักนะเว้ย กรุบๆ กริบๆ”

     “ยังไม่รับปริญญาจ้า”

     “ก็ไม่ติดคุกอ่ะ”

     “จับคู่เก่ง” ผมลากเสียงยาว “เอาเวลาไปจับคู่ให้ตัวเองก่อนน้า”

     “ไอ้ณะ!”

     หล่อนทำท่ากระฟัดกระเฟียดเมื่อผมพูดจาจี้ใจดำเต็มๆ เห็นอย่างนี้หล่อนคงเศร้าอยู่บ้าง เดือนก่อนเห็นเอาแต่บ่นว่าเพื่อนๆ เตรียมงานแต่งกันเกือบหมดแล้วเหลือแค่ตัวเองที่ยังไม่มีแม้แต่ว่าที่เจ้าบ่าว

     “จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นแกมีแฟน” คนอายุมากกว่าพูดต่อพลางคว้าข้าวโพดสองฝักใส่รถเข็น “หรือว่าจริงๆ ซุกเงียบวะ”

     “ไม่มีจริงๆ”

     “แต่เห็นช่วงนี้ไอ้โย่งแซวแกบ่อย เรื่องถ่านไฟเก่า”

     ผมชะงักไปนิดหน่อยก่อนที่แกล้งทำเป็นง่วนกับการเลือกผักชนิดอื่นแทน “เอาแครอทด้วย”

     “เปลี่ยนเรื่องเก่งมาก” หล่อนประชดแต่ก็คว้าผักมาให้ดังว่า “แค่ถามเฉยๆ ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า”

     “ขอบใจมากเจ้ มันไม่ได้แย่หรอก”

     หล่อนขมวดคิ้ว “แฟนเก่าเนี่ยนะไม่แย่” ถามออกมาอย่างแปลกใจ “ฉันคือคนหนึ่งที่บอกเลยว่าแฟนเก่าจะไม่ได้อยู่ในชีวิตอีก – ทุกกรณี” ย้ำคำสุดท้ายอย่างชัดถ้อยชัดคำ

     ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ความคิดมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ได้มองว่าเจ้าหล่อนผิดที่คิดแบบนั้น เพราะกาลครั้งหนึ่ง, ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน – พูดไปขี้กร้านจะเถียงกันมากกว่า – นั่นคงเป็นสิ่งที่ตัวผมในอดีตกับตอนนี้แตกต่างไป

     “เฮ้ยณะ หลบๆ”

     เสียงไอ้โย่งดังมาจากระยะไม่ใกล้ไม่ไกล มันเดินมาพร้อมกับเบียร์หนึ่งแพ๊ค ตามด้วยน้องขิมที่มาพร้อมกับน้ำอัดลมและขนมอีกนิดหน่อยในมือ

     เจ้ปันย่นจมูก “พวกแกอาบราดตัวเหรอ”

     “ให้พี่เอกอาบค่ะ” น้องขิมพูดถึงแฟนพี่สาวตัวเองด้วยรอยยิ้มตาหยี “เรามากินแค่โค้กกันดีกว่าพี่ปัน”

     “ก็แย่แล้ว” ผมเอ่ยแซว “สรุปขิมเมาคนแรก พี่จะหัวเราะให้”

     “บ้า น้องไม่กิน”

     ผมเห็นเจ้ปันบึนปากแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รับรู้อะไร พอๆ กับแกล้งไม่รู้ว่าน้องสาวพี่ข้าวมองผมด้วยสายตาแบบไหน ไม่รู้สิ แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ตอนนี้น้องก็ไม่ได้พูดอะไรชัดเจน อยู่กันแค่ในทริป ไม่น่าจะยุ่งยากตรงไหน

     จัดการจ่ายเงินเรียบร้อย เจ้ปันเป็นคนออกเงินให้และทำท่าว่าจะเลี้ยง ไอ้เราก็ถือว่าลาภปาก ก่อนที่พวกผมจะเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ที่เรายืมมาจากที่พัก

     ผมแบมือไปตรงหน้าคนอายุน้อยกว่า “แบ่งมาให้พี่ถือก็ได้”

     “ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวน้องถือเอง”

     “งั้นเอาพวกนี้มาให้พี่แขวนไว้”

     “ได้เหรอพี่” หล่อนทำท่าลังเลนิดหน่อย “น้องถือไหวนะคะ”

     “เอามาเถอะ” สุดท้ายหญิงสาวก็ยื่นบางส่วนให้ผมแขวนไว้ข้างหน้า อีกส่วนเธออาสาจะถือไว้เอง

     ผมสตาร์ทรถ หล่อนเอามือมาแตะไหล่ผมเบาๆ ตามคำสั่งว่าอย่าจับที่ชายเสื้อ ท่าท่าเงอะงะในการซ้อนมอเตอร์ไซค์ทำให้นึกเอ็นดู




     k.
     อยากไปเที่ยวมั่ง
     เราล่ะอิจฉา     

napat
ก็ไปเที่ยวร้านดัง คนวางทริปเป็นพวกพี่ๆ น่ะ
แล้วก็มีไปสามพันโบก
เออ วันนี้ยุ่งอยู่เหรอ
     
     คำถามนั้นถูกทิ้งไว้ตั้งแต่แปดชั่วโมงก่อนโดยยังไร้ซึ่งคำตอบ ไม่ได้มีแม้กระทั่งสัญญาณว่ามันถูกเปิดอ่าน ผมไม่ได้ร้อนรน – คิดว่าอย่างนั้น – แม้ว่าตอนนี้ผมจะเผลอเปิดหน้าแชตของอีกฝ่ายมาดูก็ตาม

     เพลงคาราโอเกะถูกเปิดร้องที่บ้านพัก คุณป้าเจ้าของที่บอกว่าเสียงดังได้แค่อย่าให้เกิดเที่ยงคืนเพราะว่าบ้านข้างๆ สองหลังไม่มีคนพักอยู่ ทีนี้ก็สมใจสาวๆ โดยเฉพาะเจ้ปันที่ยังร้องเพลงกินจุ๊บกินจิ๊บอยู่

     แก้วใส่เบียร์ของผมพร่องไปเยอะทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่กินมากนักเนื่องจากว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินไม่มีหยุดจนเริ่มหน้าแดง เจ้ปันก็เป็นพระเภทคออ่อน ไอ้โย่งก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งเก็บข้าวของ หน้าที่นั้นคงเป็นของผมไปโดยปริยาย อีกส่วนหนึ่งคงเพราะคิดว่าตัวเองแก่เกินจะเมาหัวราน้ำเหมือนกับวัยมหาวิทยาลัยแล้ว

     “พี่ณะเอาเนื้ออีกไหม”

      “ขิมกินเหอะ” ผมโบกมือปฏิเสธพลางหยิบถั่วปากอ้าที่ซื้อมาเข้าปากอีกรอบ “พี่กินแค่ถั่วก็พอแล้ว”

     หล่อนพยักหน้า วางจานเนื้อไว้ตรงหน้าก่อนที่จะหย่อนกายนั่งข้างๆ “เป็นไรพี่ ไม่ร้องเพลงเหรอ”

     “—ขี้เกียจไปแย่งไมค์เจ้มัน”

     “อ๋อ” แล้วเราก็เงียบใส่กันอย่างกระอักกระอ่วน

     ผมดื่มเบียร์ที่เหลือครึ่งแก้วจนหมด วางลงบนโต๊ะ เธอจัดการเติมน้ำแข็งและรินเบียร์ให้ ค่อยๆ เทไม่ให้มีฟอง “มีฟองก็ได้” ผมเอ่ยขึ้นแบบนั้น

     ขิมทำหน้างุนงง “ปกติเพื่อนๆ น้องกินแบบไม่มีฟอง”

     “เทให้มีฟองมันหอมกว่า” ผมพูดไปตามจริง “แล้วก็ไม่ทำให้ท้องอืดด้วย”

     “จริงเหรอ ไม่ยักกะรู้ ปกติเวลากินกับพวกเพื่อนๆ นะ เวลาเทให้มีฟองก็จะโดนแซวว่าเมาแล้วๆ”

     ผมเผลอยกมือขึ้นมาเท้าโต๊ะมองเจ้าหล่อน ไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่กลับทำให้เธอแสดงอาการทำอะไรไม่ถูกออกมาให้เห็นได้ชัด

     “มันก็แล้วแต่คนกิน— แฟนเก่าพี่ก็กินแบบเราแหละ”

     ดูท่าผมเองก็เริ่มมึนๆ เข้าให้แล้ว ไม่เช่นนั้นคำว่าแฟนเก่าคงไม่มีวันหลุดออกมาจากปาก

     หล่อนทำหน้าไม่ถูกก่อนจะหัวเราะแก่นๆ “พูดถึงแฟนเก่าเฉย มึนแล้วสิท่า” ยิ้มแย้มตามวัยเด็กเพิ่งเรียนจบ “ขอเพลงเปล่า เดี๋ยวน้องไปขอไมค์ให้เลยนะเนี่ย”

     “ไม่ต้องหรอก” ผมปฏิเสธอีกครั้ง “แค่พูดถึงเฉยๆ”

     “ขิม! มาเป็นสาวสาวสาวกับพวกพี่เร็ว!”

     เสียงเอ่ยออกไมค์ทำเอาผมหัวเราะพรืดพร้อมๆ กับคนถูกเรียก น้องทำหน้างุนงงไม่เท่าไหร่ก็โดนเจ้ๆ ทั้งสองเดินมาลากไปร้องเพลง ขิมโวยวายใหญ่ว่าสาวสาวสาวอะไรไม่รู้จัก หล่อนรู้จักแต่เฟย์ฟางแก้ว เป็นเรื่องที่น่าขันพิลึก

     เพลงถูกเล่นไปเรื่อยๆ จนเจ้ปันยอมวางไมค์ ท่าทางเหมือนจะตายไปแล้วหนึ่ง ในขณะที่บุหรี่มาอยู่ในมือของผมแทนที่จะนอนแอ้งแม้งอยู่ในซองต่อไป เป่าควันขึ้นฟ้าตอนที่เพลงเฮฮาถูกเปลี่ยนเป็นเพลงที่เศร้ามากขึ้น แอบรักบ้าง โหยหารักครั้งเก่าบ้าง

     ผมเลิกอินกับเพลงที่กล่าวถึงแฟนเก่ามานานมากแล้ว, สักสามหรือสี่ปีเห็นจะได้ที่เลิกเฮิร์ทเสียจนนั่งฟังเพลงเศร้าซ้ำไปมา

     คิดจริงๆ หรือว่าผมจะไม่เปิดใจให้ความสัมพันธ์ใดเลยก่อนที่กลับมาเจอคุณ ตลกแล้ว ผมเป๋ไปแค่เทอมเดียวด้วยซ้ำกระมัง พอทำงานแล้วก็มีคุยเล่นกับคนอื่นบ้าง เพื่อนของเพื่อน คนที่รู้จักกันจากการทำงาน กระทั่งเจอกันจากร้านเหล้าสักร้าน – คุณแค่เป็นคนสุดท้ายที่ผมเรียกว่าแฟน – หลังจากนั้นมักจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ไปต่อหรือไม่ก็จบลงแค่ค่ำคืนเดียว

     ผมไม่ได้ปิดใจหรอก ไม่เคยสักนิด ในขณะเดียวกันก็เลิกครวญครางร้องหาความรักหรือก่นโทษพระเจ้าว่าทำไมใจร้ายไปนานแล้ว ผมแค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น

     ผมปล่อยควันออกจากปาก บุหรี่ร้อนไม่ใช่อะไรที่ชอบเท่าไหร่แต่ของฟรีจากพี่เอกมัน เอาอะไรมาก

     ผมเองก็มีคำถามเหมือนกันนะว่ามันเป็นเรื่องน่าดีใจหรือน่าเศร้ากันแน่ที่ได้กลับมาเจอคุณอีกครั้ง

     ดีใจ, ที่มีโอกาสมาเจอคนที่เคยทำให้รักมากถึงเพียงนั้น

     น่าเศร้า, ที่ไม่รู้ว่าต่อให้เจอกันแล้ว เราจะมีโอกาสทำอะไรได้อีกบ้างไหม

     ครืด

     โทรศัพท์ในมือสั่นทำให้ผมพลิกมันขึ้นมาดูก่อนที่จะเผลอยืดตัวหลังตรงขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นว่าข้อความนั้นมาจากใคร

     k.
     ใช่ 55555 อย่างเยินเลยวันนี้
     โคตรๆๆๆ เหนื่อย
     เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไป opd อีกตั้งแต่เช้า
     เอ้า อ่านเร็วจัง ไม่เที่ยวอยู่เหรอ

     ผมกลืนน้ำลาย เผลอเข้ามาอ่านแชตก่อนที่ในหัวจะตัดสินใจได้อีก โทษเบียร์ที่ตัวเองกินไปคนเดียวตั้งสองขวดและบุหรี่มวนเมื่อกี้แล้วกัน

napat
อื้ม กินเหล้ากันอยู่ที่พักแล้ว

     k.
     อ๋อ ดีจัง 555555
     ไปกินดิ

     —ยังไม่อยากไป

     นิ้วผมผมเกือบพิมพ์คำนั้นไปอยู่แล้ว อันที่จริงพิมพ์ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่จังหวะที่จะกดส่งก็ชะงักไป กดลบ พิมพ์ข้อความอื่นไปแทน

napat
ทำไมอ่ะ คุยไม่ได้เลยเหรอ
     
     k.
     เปล่าครับ ก็คุยได้แหละ
     เมาเหรอ

     
napat
ไม่เมา
     
     k.
     จริงเปล่าาาา

napat
จริงๆ
ไม่งั้นลองคอลดูไหม

     ผมกดออกแชตในทันทีที่พิมพ์ไปแบบนั้น ข้อความมันขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วก่อนที่ผมจะออกมาเสียอีก อยู่ๆ ในใจก่อนเต้นรัว อยากจะกดลบข้อความแม้จะรู้ดีว่าไม่ทันแล้วก็ตาม

     บทสนทนาของเราเงียบลง พอๆ กับความรู้สึกผมที่รู้สึกเหมือนรอบตัวเงียบไปด้วยทั้งที่เพลงยังเปิดดังลั่น เสียงของพี่ๆ ยังร้องเพลงเศร้ากันอยู่

     ผมบี้บุหรี่ที่สุดก้นกรองลงบนที่เขี่ยบุหรี่ “ขออีกตัวนะพี่” เอ่ยกับพี่เอกที่นังกระซิบกระซาบกับแฟนสาวตัวเองอยู่ข้างๆ หยิบออกมาหนึ่งตัวพร้อมกับไฟแช็ก

     ผมเดินออกมาที่หน้าบ้านซึ่งไกลจากบริเวณที่ทุกคนกำลังเฮฮากันอยู่ หย่อนกายบนบันไดที่มีเพียงสองขั้นเพื่อยกตัวบ้านสูงจากพื้นดิน เกาศีรษะอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นมาอีกมวน

     หน้าจอนั้นยังคงเงียบเฉย ผมรู้ตัวในตอนนั้นเลยว่าตัวเองพลาดไปแล้ว

     
napat
ขอโทษ

     สุดท้ายผมก็พิมพ์คำนั้นออกไป สั้นๆ ง่ายๆ ข้อความนั้นไม่ถูกอ่านในทันทีแต่ผมก็เฝ้ารอ ในที่สุดมันก็ขึ้นว่าข้อความที่ส่งไป ปลายทางได้เปิดอ่านแล้ว

     k.
     55555 ไม่เป็นไร
     ช่างมันเถอะเนอะ

     
napat
อืม
อึดอัดใช่หรือเปล่าครับ

     ถ้าเป็นตอนที่เราคบกัน คุณคงจะบอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยได้ไหม รอเจอหน้ากันดีกว่า เคลียร์กันผ่านตัวอักษรหรือน้ำเสียงเพียงอย่างเดียวไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้น รั้งแต่จะทำให้แย่ลง รู้อยู่แล้วหากแต่รอบนี้ก็คิดไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร

     อันที่จริงเรามีอะไรให้เคลียร์กันหรือเปล่าก็ไม่รู้

     ผมดูดลมร้อนเข้าปอด, แผดเผาภายใน, ก่อนที่จะปล่อยมันออกไปเหลือแต่กลิ่นติดปลายจมูก

     k.
     นิดนึง

     เราไม่เคยปิดบังอะไรกัน เลือกที่จะพูดกันตรงๆ เสมอ เพราะฉะนั้นผมไม่ได้แปลกใจกับคำตอบที่ไม่ได้ตอบตามมารยาทของอีกฝ่าย – หรือจริงๆ นั่นอาจจะตามมารยาทแล้ว? ในใจคณณัฐ์อาจจะอยากตอบกลับมาว่าอึดอัดสิโว้ยก็ได้

     k.
     ก็เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว
     เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าต้องตอบเธอแบบไหน

     
napat
เข้าใจครับ
     
     k.
     จำได้ปะว่าตอนนั้นเราคุยกันว่าถ้าเลิกกันเราจะเป็นเพื่อนกันต่อ
     แต่ตอนนั้น เธอก็ทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
     เค้าก็เข้าใจนะ เพราะงั้นเค้าเลยไม่รู้ไงว่าเล่นได้ถึงไหน 5555555
     
     คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกบีบรัดเสียจนอยากจะร้องไห้
     
     เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว, หากแต่ก็ยังรู้สึกในวินาทีนี้

     
napat
เล่นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า เหมือนที่เราเคยเล่นกัน
คุยกันเหมือนเดิม
อะไรแบบนั้น เธอพอจะทำได้ไหม

     คุณเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรอยู่พักหนึ่ง นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเก่า – คนเมาไม่ได้พูดอะไรไม่คิด แต่พูดในสิ่งที่คิดหากไม่เคยได้พูดเสียมากกว่า – ผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

     k.
     ตอนนั้นเธอไม่อยากมีเค้าอยู่ในชีวิตแล้วนะ 55555555
     เค้าก็ตามใจเธอตลอดแหละ 555555555

     ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกเลย

     
napat
อืม แล้วเธอคิดว่ายังไงบ้างอ่ะ
หมายถึง
อยากให้เค้าทำยังไงครับ

     ผมรอคำตอบนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เฝ้ารอว่าประโยคถัดไปที่คุณจะเอ่ยเอื้อนคืออะไร หวาดหวั่นเล็กน้อยยามคิดว่านั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

     k.
     อยากมีเธอในชีวิตเหมือนเดิมแหละ
     อย่าหายไปอีกได้เปล่า
     นะครับ

     —เป็นคุณตลอดเลยที่ทำให้ผมรู้สึก

     เป็นคุณเสมอมาเลยด้วยซ้ำไป

     k.
     กลับไปทำตามสัญญาได้เปล่า
     เลิกกันแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิมนะ





-------------------------

เปิดเทอมแล้ว หลังจากนี้คงอัพช่วงวันพฤหัส - เสาร์นะคะ
เพราะที่หอไม่มีเน็ตค่ะ 5555555555

แต่ว่าวันนี้มาอัพให้ก่อน แบกคอมมานั่งคาเฟ่ใกล้ๆ

ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ  :katai5:

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 16-01-2019 04:32:39
เเง้ คำว่าเพื่อน พูดเบาก็เจ็บบบบบบ สู้เค้านะะะ  :katai4: มาสวัสดีปีใหม่คนเขียนย้อนหลังค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-01-2019 09:08:48
สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-01-2019 13:18:40
จุกแทนณะเบาๆ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-01-2019 22:30:30
 o22


หน่วงเด้อออ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 17-01-2019 01:09:19
คำว่าเพื่อนคืออออออ
แต่เค้าคุยกันน่ารักมากๆเลยค่ะ ; v ;
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-01-2019 02:20:04
 :mew6: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 04 : 15/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: GevalinW329 ที่ 26-01-2019 16:11:45
 o18
กลับไปทำตามสัญญาเหมือนเดิมเหรอโอ้ยยยย
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 05 (pg.2) : 30/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 30-01-2019 23:01:37
———— 05 ————



     “แล้วถ้าเราเลิกกัน เธอจะคบกับเค้าเหมือนเดิมไหม”

     ไม่มั่นใจว่าบทสนทนานั้นเริ่มขึ้นตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่เรากินหมูกระทะหลังจากช่วงที่เราคบกันใหม่ๆ หรืออาจจะเป็นตอนที่เรากำลังดูหนังในห้องของใครสักคนหลังจากคบกันมาสองปีแล้ว จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน และจำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าทำไมเราเจอเหตุการณ์อะไรเราถึงถามคำถามแบบนี้ออกมาให้กัน

     ช่างเถอะ, เอาเป็นว่าตอนนั้นมันนานมากก็แล้วกัน

     “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

     “ก็แค่— ลองๆ คิดดู”
จำได้แค่ว่าคุณเป็นคนพูดคำนั้น “ว่าถ้าเราเลิกกัน จะเลิกเป็นเพื่อนกันไปเลยหรือเปล่านะ”

     “แล้วทำไมต้องคิดด้วย”


     ไม่ได้ถามด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นหรือประชดประชัน ผมแค่ถามเฉยๆ คงเป็นเพราะปกติคุณไม่ใช่คนชอบเอ่ยเรื่องอนาคต (หมายถึงอนาคตของเรา) ประกอบกับที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ ไอ้คำพูดจำพวกพอเธอแก่แล้วเราไปอยู่บ้านด้วยกันเถอะหรือว่าเธออยากเจอพ่อแม่เราหรือเปล่าก็หลุดปากออกมาน้อยมาก อย่างมากก็แค่เวลาเราเจอร้านอาหารแล้วบอกกันว่าเอาไว้ไปร้านนั้นด้วยกันนะอิหรอบนี้มากกว่า

     เราสัญญากันน้อยเรื่องมาก— น้อยมากๆ

     และไม่รู้ว่าอะไรทำให้เราไปถึงคำสัญญาในเรื่องนี้ได้

     กลางเรื่องเราคุยอะไรกันบ้างนะ เราทะเลาะกันหรือเปล่า คุณงอนหรือผมเองที่เป็นคนน้อยใจ – ผมตอนนี้จำอะไรไม่ได้สักอย่าง จำได้แค่ว่าเราจบกันด้วยคำพูดว่า

     “ถ้าเราเลิกกันแล้ว ช่วยเป็นเพื่อนกันต่อด้วยนะ”

     “ครับ”
ผมตอบแบบนั้น “สัญญา”

     จำได้ว่าคณณัฐ์แปลกใจนิดหน่อยกับคำพูดนั้น แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นการฉีกยิ้มกว้าง

     เอ่ยเอื้อนคำเดียวกันกลับคืนมา

     “สัญญา”

     ใช่, เราสัญญากันแบบนั้น

     แต่สุดท้ายผมนี่แหละที่ทำไม่ได้

      รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่เคยชอบคำสัญญาที่อาจจะทำไม่ได้ในท้ายที่สุด รู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่ควรให้คำมั่นกับสิ่งที่อาจจะไม่จีรังยั่งยืน

     เพราะแบบนั้นหรือเปล่าถึงรู้สึกว่าลืมคุณไม่ได้เสียที




     ผม – ในวัยยี่สิบเจ็ด – มองหมูยอเส้นที่ซื้อมาเกินจำนวนที่ตัวเองจะกินและขนมเปี๊ยะเจ้าดังจากอุบล อุตส่าห์แบ่งให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ไปแล้วแต่ก็ยังมีเกินกว่าที่ตัวเองจะเก็บได้อยู่ดี ปกติก็ไม่ค่อยทำอะไรกินเท่าไหร่เสียด้วย – คงเพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อมาฝากอีกคนด้วยกระมัง

     k.
     กลับไปทำตามสัญญาได้เปล่า
     เลิกกันแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิมนะ

     ยังจำคำพูดของคุณได้อยู่เลย – แม่งเอ้ย

     ผมถอนหายใจพรืด ตอนนั้นก็ตัดสินใจตอบไปด้วยเลขห้าที่ยาวกว่าทุกครั้งแทนการหัวเราะอย่างสมเพชตัวเองแล้วก็ใช้คำพูดปิดโอกาสตัวเองจนแทบเป็นศูนย์

napat
55555555555555
นึกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกันแล้วซะอีก
แบบนั้นก็ได้ครับ

     สุดท้ายแล้วผมเองนั่นแหละที่ต้องมานั่งกุมขมับ มีสองความคิดตีกันว่าระหว่างโอเค เพื่อนก็เพื่อนกับเพื่อนก็เหี้ยแล้ว วนเวียนเถียงกันอยู่อย่างนั้น คิดว่าถ้ายังคิดไม่ตกอีกหน่อยอาจจะต้องเลือกปรึกษาใครสักคน

     คงจะดีกว่านี้อีกหน่อยถ้าหากไม่ใช่วันต่อมาหลังจากบทสนาทนานั้นจบลง คุณบอกว่ามีเคสด่วน จากนั้นก็หายไปเลย ไลน์ไม่ได้ตอบอะไรอีก เล่นเอาตัวผมกระวนกระวาย ไอ้ครั้นจะทักไปบอกว่า นัดเจอกันไหมเผื่อเอาหมูยอกับขนมเปี๊ยะไปให้ก็ดูเป็นเรื่องกระอักกระอ่วน คิดไม่ออกว่าถ้าเจอหน้ากันตรงๆ จะเผลอทำหน้าแบบไหนออกไปเสียด้วย ขืนบรรยากาศกร่อยคงจะให้รู้สึกแย่น่าดู

     ผมเอาหมูยอที่เหลือไม่ถึงเส้น เดินไปที่ครัวแล้วหั่นให้เป็นลูกเต๋าขณะที่เปิดดูในตู้เย็น หยิบไข่ออกมาสองฟอง ทำไข่เจียวง่ายๆ

     เออ กินหมูยอคนเดียวก็ได้!



     
     ทั้งที่หมายมั่นปั้นมือไว้แบบนั้นแท้ๆ แต่เพียงเห็นคนที่หายหน้าหายตาไปจากแอพพลิเคชั่นไลน์สามวันทักทายเข้ามาประโยคเดียวขณะที่ผมกำลังตัดต่อคลิปวีดีโออยู่ในออฟฟิศ ไอ้ตัวผมถึงกับรู้สึกทำสีหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว

     k.
     อ้าว เพิ่งเห็นว่าลืมตอบเธอ

     อยากจะประชดประชันว่าลืมนานกว่านี้ก็ไม่เป็นไรหรอกคุณ! แต่แน่นอนว่านั่นแค่คิดในใจเท่านั้น

     ผมเห็นข้อความเด้งอีกสองสามประโยคแต่ไม่อยากจะกดเข้าไปดู ปิดหน้าจอโทรศัพท์ใส่ใจกับงานตรงหน้าก่อน ไม่ใช่แฟนเก่าที่กำลังอยากเป็นเพื่อนกัน – แม่งเอ้ย, รู้สึกว่าตัวเองขี้น้อยใจเหมือนกับสาววัยแรกรุ่นอย่างไรอย่างนั้น

     ผมเมินเฉยกับข้อความของอีกฝ่ายได้จวบจนพักเที่ยง ตอนที่เดินออกมากินร้านข้าวแกงกับพี่ๆ ที่ออฟฟิศบทสนทนาวนเวียนอยู่ถึงเรื่องทริปบรรยากาศการไปเที่ยวที่ผ่านมาไปจนถึงการวางแผนถึงคอนเทนต์การท่องเที่ยว

     “ลองไปตามงานที่เขาจัดไหมพี่” ไอ้โย่งเสนอ “ปกติถ้าเที่ยวในกรุงเทพฯ พี่ก็พาไปร้านนู้นร้านนี่ใช่ปะ ถ้าเป็นตามงานที่เขาจัดบ้างก็ไม่เลวมั้ง”

     “เออ พวกนั้นก็น่าสนใจ” พี่เอกทำท่ากรุ่นคิดก่อนจะหันไปคุยกับแฟนตัวเองว่ามีกิจกรรมไหนที่อยากทำเป็นพิเศษหรือเปล่า

     “Wedding Fair ไหม” ผมเอ่ยถาม “พวกลูกเพจเขาก็รู้กันนี่นาว่าพี่จะแต่งงาน”

     “โอ๊ย ผิดคอนเซปต์เพจไปเยอะ”

     “ก็ยังไงพี่ก็ต้องไปอยู่แล้วไง”

     “เก็บๆ ไว้ก่อนแล้วกัน” หัวหน้าว่าเช่นนั้น “แต่ถ้าไปงานอะไรพวกนี้คนตัดต่อลำบากนะเว้ย มึงจะทำทันเหรอไอ้ณะ”

     บทสนทนาเราวนเวียนกันอยู่แค่นั้นในช่วงพัก ผมเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ ในเฟซบุ๊กเผื่อจะมีร้านหรืออะไรน่าสนใจ ระหว่างนั้นเห็นชีวิตเพื่อนที่แยกย้ายกันไปแทรกอยู่บ้างก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่ยามเฟซบุ๊กแส่รู้ด้วยการขึ้นข้อความเตือนขึ้นมา

     Kunnanad T. sent you a friend request.

     —จริงสินะ ผมยังไม่ได้รับแอดจากคุณเลยตั้งแต่ตอนนั้น

     เพราะปกติคุยไลน์กัน ไม่ได้ห่างกันไปนานเท่าไหร่เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก ไม่รู้ว่าเฟซบุ๊กแส่รู้ขึ้นมาหรืออาจเป็นคุณที่ส่งคำขอมาใหม่ แต่นั่นก็ดูผิดวิสัยของคุณไปเสียหน่อย ผมเลยเทน้ำหนักไปที่ข้อแรกมากกว่า

     ผมมองปุ่มสองปุ่ม

     ความหมายของมันคือการตอบรับกับปฏิเสธ

     สุดท้ายผมก็ยอมกดตอบรับคำขอนั้นหลังจากเมินเฉยมันมาเสียนาน

     ไม่มีแล้วนายณภัทรที่จะจมปลักกับเรื่องเก่าๆ นายณภัทรคนนี้จะเอาใหม่ ไม่มีมาตราการรอเพื่อนตอบไลน์ ไม่มีการอยากเจอหรืออยากได้ยินเสีย ไม่มีกระทั่งการคิดเรื่องเก่าๆ

     เพื่อนก็เพื่อนดิวะ!




     
     
napat
(photo)
(photo)
เธอเคยบอกอยากกินใช่ปะ

     อย่าไปบอกใครแล้วกันว่าอาทิตย์ก่อนหมายมั่นปั้นมือกับตัวเองอย่างไร – เสียหมาฉิบหาย

     ผมเกลียดการที่พอเจอเมนูบางเมนูก็ย้อนนึกถึงบทสนทนาเรื่อยเปื่อยของคุณ การเดินเข้ามาในร้านอาหารเกาหลีแล้วกินเมนูที่ปกติตัวเองไม่คิดอยากกินเพียงเพราะนึกสงสัยว่ารสชาติแบบไหนที่คุณอยากกินเป็นเรื่องพิลึก และการถ่ายเมนูนั้นไปให้คุณก็เป็นเรื่องที่พิลึกมากขึ้นไปอีก

     k.
     เอ้า 5555555 เธอกินเหรอ?


napat
ครับ
ทำไมเหรอ

     k.
     ก็ปกติไม่น่าจะกินอะไรงี้อ่ะ
     แล้วนี่ออกไปทำอะไรเหรอ

     
napat
มาดูหนัง

     ตอบไปพลางละเลียดกินข้าวไป เอาจริงๆ นะ, ไอ้ไก่ทอดเกาหลีราดชีสนี่เห็นจะไม่อร่อยตรงไหน เสียสุขภาพอีกต่างหาก ผมคิดว่าผมคงจะเลี่ยนก่อนกินหมดแหงๆ แต่นั่นแหละ สั่งมาแล้ว จะไม่กินก็เสียดายเงิน

     k.
     แหน่ะๆๆ แผลหายแล้วก็เปรี้ยวเลยนะ
     ไปกับใครค้าบ

     ผมได้แต่ถอนหายใจพรืดกับคำถามนั้น ถามจริงคณณัฐ์ ถามจริง! นั่นคือสิ่งที่อยากจะตะโกนถามอีกฝ่ายแต่ทำได้แค่ในใจ ช่วงหลังๆ คุณเริ่มหยอกเย้าผมเหมือนกับเราเป็นเพื่อนกัน – ให้ตาย พูดแล้วก็เศร้าเอง – แต่นั่นแหละ คุณทำแบบนั้น วันก่อนคุณยังบอกว่าไม่เชื่อที่ผมจะโสดสนิท แบบไม่มีใครจริงๆ

     คณณัฐ์คิดว่าผมหน้าตาดีมากขนาดนั้นเลยหรือ ส่องกระจกแล้วก็เริ่มจะภูมิใจหน่อยๆ แม้ในใจจะตัดพ้อรอบที่ล้านว่าผมไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายคิดอย่างนั้นสักนิด

     
napat
มากับสาว

     k.
     เอ้าาาาา ไหนบอกไม่มีใคร
     โกหกนี่นา แย่ๆๆๆ

     ช่วยแสดงอาการเศร้าเสียใจหน่อยได้ไหมคุณ แค่นี้ผมก็จะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว เล่นตอบกันมาแบบนี้ก็เหมือนคุณจะไม่คิดอะไรเลย

     ไอ้เวรเอ๊ย, ก่อนเลิกกันก็ฉีกเฟรนด์โซนมาได้ เลิกกันแล้วมาเจอกันใหม่ก็ยัดกันไปอยู่ในตำแหน่งเดิมเฉย

     
napat
ก็ยังเชื่อเนอะ 555
มาคนเดียวครับ
     
     k.
     จริงเปล่า เชื่อได้ปะเนี่ย

napat
ช่วยเชื่อเถอะตอนนี้

     k.
     5555 เชื่อก็ได้
     ณะดูอะไรมาเล่าให้ฟังมั่งนะ
     เราไปกินข้าวบ้างแล้ว

     ผมส่งสติ๊กเกอร์ไปหนึ่งตัว ล็อกหน้าจอ เห็นว่ามีข้อความอีกสองสามคำจากคนช่างชวนคุยแต่ก็เมินเฉย อย่าว่ากันเลยในเมื่อมันเป็นการมอบโอกาสให้ตัวเองต่อบทสนทนาอื่นต่อไปเรื่อยๆ

     สุดท้ายแล้วอาหารมื้อนั้นก็เหลืออย่างที่ผมคาดการไว้ การกินอะไรเลี่ยนๆ ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ นึกขันที่คุณหมอซึ่งน่าจะซีเรียสเรื่องสุขภาพเมินเฉยกับเรื่องพวกนี้มากกว่าผมอีก ตอนที่ผมถาม เจ้าตัวก็บอกว่าเราก็รู้หมดแหละว่าอะไรดีไม่ดี แต่ก็อยากกินนี่ ซึ่งมันก็ถูกต้องของเขา – ก่อนเลิกกันคุณก็เป็นคนที่ดูมีความสุขกับการกินมากเสียจนผมไม่เคยโต้แย้งใดๆ ในเรื่องนี้



     
     เทศกาลหนังญี่ปุ่นทำให้ผมมีความสุขในวันเสาร์ – อาทิตย์ จริงอยู่ที่ตอนเรียนผมเรียนเอกตัดต่อ เพราะฉะนั้นเลยคลุกคลีอยู่กับภาพยนตร์ค่อนข้างมาก ตอนที่ตัวเองเรียนอยู่ก็คิดว่าจะทำงานเกี่ยวกับด้านนั้นเหมือนกัน ถึงสุดท้ายจะมีหลายปัจจัยให้ไม่ได้ทำงานตรงตามที่เคยคิดไว้ในตอนนั้นเท่าไหร่ แต่การใช้ทั้งวันในการดูหนังสองสามเรื่องในโรงหนังขนาดเล็กและล้อมรอบไปด้วยคนที่ดูจะเข้าใจทุกอย่างเหมือนกันก็เป็นความรู้สึกที่ดี

     ผมออกจากห้างช่วงสามทุ่ม ถนนที่เคยหนาแน่นในช่วงกลางวันเหลือรถน้อยแล้ว ส่วนผมก็ได้แค่มองจากสะพานเดินขึ้นไปที่รถไฟฟ้า ถ้ารถเป็นแบบนี้ทั้งวันก็คงจะดี ผมไม่ค่อยอยากขับรถยนต์เพราะไม่ชอบช่วงที่ต้องติดอยู่ในถนนนานๆ ตอน rush hour ประกอบกับได้ที่ทำงานห่างไปจากคอนโดไม่ถึงหนึ่งสถานีดี ผมเลยยังกระเตงมอเตอร์ไซค์คันเดิมเป็นพาหนะคู่ใจไปก่อน วันไหนจะไปที่อื่นค่อยพึ่งรถไฟฟ้ากับ grab เอา

     ผมเดินแทรกเข้าไปในรถไฟฟ้า ผู้คนไม่ได้น้อยขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้แออัด ในหัวคิดไปถึงหนังที่เพิ่งดูจบทั้งสองเรื่อง

     เวลาไหนที่เหงามากที่สุดก็คงจะเป็นเวลาแบบนี้ เจอหนังที่อยากพูดคุยกับใครสักคนแล้วไม่มีใครคุยด้วย ได้เจอเพลงใหม่ที่ชอบแล้วไม่รู้จะแชร์กับใคร จะบอกว่าให้แชร์กับเพื่อนอย่างไอ้โย่งหรือเพื่อนในคณะคนอื่นที่เริ่มห่างๆ กันไปแล้วก็คงไม่ใช่

     เคยบ่นเรื่องนี้กับเจ้ปัน เจ้มันก็บอกว่าให้เลี้ยงสัตว์สักตัวแล้วพล่ามให้มันฟังเอา เป็นคำแนะนำที่เหมาะกับผู้ที่โสดมาอย่างเชี่ยวชาญฉิบหาย

     เปิดประตูเข้ามาในห้องพบเจอแต่ความมืด คลำหาสวิชต์เปิดไฟ โยนกระเป๋าที่ใช้อยู่ใบเดียวของตัวเองไว้ที่โซฟา เดินเอาเฉาก๊วยที่ซื้อมาเพราะสงสารยายแกไปใส่ไว้ในตู้เย็นก่อนจะนั่งเอื่อยเฉื่อยเพราะยังไม่อยากอาบน้ำ แต่ก็ยังไม่ขยันพอจะเปิดคอมมาทำงานที่ตัวเองรับเพิ่ม

     k.
     ณะๆ
     วันอาทิตย์หน้าว่างไหม

     ขมวดคิ้วนิดหน่อยกับคำถามที่ถูกยื่นให้กันค้างไว้เมื่อสาม – สี่ชั่วโมงก่อน

     
napat
มีอะไรหรือเปล่า

     พิมพ์คำถามกลับไปและออกหน้าแชตออกมาก่อน คุณคงไม่ตอบผมในเร็วๆ นี้ก่อนจะขมวดคิ้วอีกหน่อยเมื่อเห็นว่ามีอะไรแปลกไปในแอพพลิเคชั่น

     ปกติไลน์ผมมีแชตน้อยมาก นอกเหนือจากไลน์ครอบครัวและงานที่ปักหมุดไว้บนสุด คนที่ตอบโต้กันตลอดก็มีแค่คณณัฐ์ พี่ชาย และเหล่าออฟฟิเชี่ยลต่างๆ แต่ตอนนี้กลับมีแชตใบหน้าผู้หญิงยิ้มแป้นให้เห็นอีกคน

     ขิม
     พี่ณะว่างไหมคะ
     น้องจะมาถามว่าพี่ณะรับถ่ายรูปรับปริญญากลุ่มมั้ยย

     งุนงงนิดหน่อยว่าเธอเอาไลน์ผมมาจากไหน แต่ก็พอเข้าใจได้กับคำถามนั้น ยิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องงานเลยยิ่งตอบกลับอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนพิมพ์ค้างไว้ให้ตั้งแต่ตอนผมกลับบ้าน เลยไม่ได้สังเกต

napat
ต้องบอกรายละเอียดกับวันก่อนอ่ะ

     ขิม
     กลุ่ม 5 คนค่ะ ไม่ได้อยากได้อะไรยิ่งใหญ่อ่า ขอแค่ถ่ายที่มหา’ ลัย
     แต่วันเวลาคุยกันได้นะคะ ขิมอยากถ่ายกับเพื่อนๆ
     ปกติพี่ณะคิดราคาเท่าไหร่คะ

     น้องขิมตอบกันเร็วเหมือนกับเฝ้ารออยู่ตลอดเวลา ผมพิมพ์รายละเอียดต่างๆ ให้ยาวเหยียด ผมเคยรับถ่ายรูปรับปริญญามาบ้างแต่ส่วนใหญ่มาจากคนรู้จักๆ กันเลยไม่ได้ทำอะไรเป็นกิจลักษณะนัก ยังไงก็ไม่ใช่ช่างภาพอาชีพ แค่ถือคติไม่เลือกงานไม่ยากจน

     ขิม
     งั้นเดี๋ยวน้องถามเพื่อนก่อนนะคะ
     แต่เพื่อนๆ อยากจะให้พี่ณะถ่ายแหละ

     
napat
เอ้า เพื่อนรู้จักพี่ด้วยเหรอ
     
     ขิม
     อัพรูปที่อุบลฯ ในไอจีงายย
     เพื่อนๆ บอกว่าพี่ถ่ายสวย

napat
อ๋ออ
โย่งก็ถ่ายสวยนะ

     เสนอตัวเลือกไปให้ ระหว่างโย่งกับผม ไอ้โย่งรับงานถ่ายภาพบ่อยเสียจนรายได้แทบจะเทียบเท่ากับที่พี่สาวน้องจ้างเป็นตากล้องแล้วกระมัง

     ขิม
     น้องอยากให้พี่ณะถ่าย

     
napat
     แล้วแต่ครับ 55555


     ผมทำสีหน้าไม่ถูกกับคำพูดแบบนั้น คิดแบบไม่มีนัยยะก็ไม่มีอะไร แต่ก็นั่นแหละ, ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเสียหน่อยที่มีเซ้นส์ ฟังดูน่าหมั่นไส้ฉิบหาย แต่ผมว่าผมก็มีเซ้นส์เรื่องแบบนี้อยู่บ้าง เพราะงั้นเลยเลือกตอบไปแบบกลางๆ

     น้องพิมพ์กลับมาว่าขอคุยกับเพื่อนแป๊บหนึ่งแต่ถ้าจ้างจริงๆ จะเป็นช่วงเสาร์ – อาทิตย์ ให้คำตอบได้ภายในพรุ่งนี้ ไม่วายทิ้งท้ายเย้าแหย่กันว่ารู้จักมักจี่กันลดราคาให้ได้หรือไม่ ไอ้เราก็อยากจะบอกว่าน้องครับ ถ่ายรูปให้สาวๆ แม่งเหนื่อยฉิบหายแต่สิ่งที่ตอบกลับไปได้ก็แค่คำว่าเอาไว้จะลองคิดดู

     ออกจากไลน์มาไม่ทันไรก็ต้องกดเข้าไปใหม่เมื่อพบว่าคนที่ถามคำถามไว้ตอบกลับมา

     k.
     นี่กับเพื่อนซื้อจองบุฟเฟ่ต์โรงแรมไว้อ่ะ
     แต่เขาไม่ว่างแล้ว
     สนใจไหม จะขายต่อ 55555

napat
     ที่ไหนอ่ะ กลางวันเหรอ
     
     k.
     (photo)
     (photo)
     ที่นี่ๆ ตอนนั้นมันมีโปรจองผ่านแอปอ่ะ
     จะทิ้งก็เสียดายด้วย

napat
     อ๋อ คิดออกๆ
แล้วเธอไม่อยู่เวรเหรอตอนนี้
     
     k.
     เพิ่งออกครับ กำลังจะขับรถกลับ

     
napat
     ขับดีๆ นะ
ก็น่าสนใจอ่ะ เห็นกุ้งแล้วอยากกิน
แต่ไม่รู้จะไปกับใคร 55555

     ผมตอบกลับไปแบบนั้น ภาพที่อีกฝ่ายส่งมาก็ชวนน้ำลายสอไม่เบา ราคาก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับบุฟเฟ่ต์โรงแรมชื่อดัง จำได้ว่าตอนเห็นโปรโมชั่นผมยังแคปหน้าจอไว้อยู่เลย เพียงแค่ไม่มีเพื่อนไปด้วย

     k.
     เดี๋ยวขายให้ราคาคนเดียวไหม 5555
     เค้าแค่เสียดายอ่ะ
     อยู่ๆ คนที่จะไปด้วยก็ติดเวร

     คำพูดชวนขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อในหัวเผลอมีคำถามเข้ามาว่าปกติคนเราไปกินบุฟเฟ่ต์โรงแรมกับใครสองคนกันนะ

     และใช่, คนส่วนใหญ่น่าจะไปกินกับแฟน

     
napat
     แหน่ะ ตอนแรกจะไปกับใคร

     k.
     เธอไม่รู้จักหรอก 55555555555

napat
     เดท?

     ผมกดออกจากหน้าแชตเมื่อเห็นว่าข้อความนั้นขึ้นอ่านแล้วในทันที ล็อกหน้าจอ ตั้งใจจะรอแจ้งเตือนว่าอีกฝ่ายตอบกลับมาว่าอะไร

     แล้วมันก็เป็นคำตอบที่ตอบกลับมาแบบให้ผมหน้าหงาย

     k.
     55555555555

     คุณไม่ใช่คนชอบโกหก – ผมรู้ – และเรื่องที่คุณชอบบ่ายเบี่ยงด้วยการหัวเราะผมเองก็รู้อีกนั่นแหละ

     แม่งเอ๊ย, ผมสบถคำผรุสวาทในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ยิ่งกว่าโดนกระทะฟาดหน้ายามคิดว่านัดนั้นสำหรับคุณอาจจะเป็นเดตจริงๆ ก็ได้ แล้วอีกฝ่ายเป็นใคร? ผมอยากจะดึงทึ้งศีรษะตัวเองฉิบหายในตอนนี้แต่สิ่งที่พิมพ์กลับไปได้น่ะหรือ—

napat
     55555555555555555

     ใครก็ได้ช่วยแทนเลขห้านั่นแทนคำว่าห่าที ขอร้อง!

     k.
     เดี๋ยวค่อยตอบก็ได้ครับ

napat
     เธอ

     ผมสูดลมหายใจ พิมพ์ไปคำเดียวแล้วขึ้นว่าอีกฝ่ายรับรู้เลยแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาราวกับรอให้ผมพิมพ์ประเด็นเข้าไปก่อน

     ณภัทร เอาสักหน่อย, ลองดูไม่เสียหาย

     
napat
     ยังไงเค้าก็ไม่มีใครไปด้วยอยู่แล้ว
ถ้าไม่อย่างนั้น
เธอไปกินกับเราได้ไหมครับ





-------------------------

ตอนหน้าไม่มีแชตแล้ว!

ช่วงนี้ดูแลสุขภาพกันดีๆ นะคะ
สภาพอากาศในประเทศเราย่ำแย่มากจริงๆ
ใครเป็นภูมิแพ้ยิ่งต้องระวังเลยค่ะ

เจอกันในแท๊กนะคะ  :pig4:
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 05 (pg.2) : 30/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 31-01-2019 06:09:59
รออยู่เลยค่ะะ มาอัพแล้วว
ณะสู้หน่อยเอ้ยยย ถึงแม้คุณจะดูยากมากก็ตามว่ารู้สึกยังไง
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 05 (pg.2) : 30/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-02-2019 06:17:41
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 05 (pg.2) : 30/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-02-2019 22:12:50
ลุ้น
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 05 (pg.2) : 30/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-02-2019 23:25:08
ชอบคาร์คุณหมอมากเลย น่ารัก อยากปกป้อง อยากดูแล แง  :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 05 (pg.2) : 30/01/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 09-02-2019 20:11:22
———— 06 ————



     ผมพยายามแล้วที่จะบอกตัวเองไม่ให้ประหม่า

     แต่นั่นแหละ, มันยากมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก

     ตื่นมาเช้ากว่าปกติเพื่อเล่มเกม ตีป้อมแตกไปอีกไม่รู้กี่ป้อม ตอนแรกก็คิดว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอกไปกินข้าวกับคนที่เป็นเพื่อน (และแฟนเก่า) ไม่น่าจะวุ่นวายขนาดนั้น อาบน้ำเตรียมตัวชิลๆ ก่อนที่จะสำเหนียกได้เมื่อตัวเองเดินทางออกมาว่าสองชั่วโมงนั้นโกหก – ความจริงผมตื่นเต้นแบบฉิบหาย

      เสยผมที่เริ่มยาวปรกหน้าเป็นรอบที่ร้อย ถึงจะบอกว่าเป็นร้านอาหารโรงแรมแต่ก็ไม่ได้เป็นโรงแรมหรูอะไรเลยแต่งตัวได้แบบปกติ คลายความกังวลไปบ้างก่อนที่จะเริ่มตื่นเต้นใหม่เมื่อเห็นข้อความของอีกฝ่ายที่บอกว่าเพิ่งจอดรถเสร็จ

     เคี้ยวลิ้นตัวเองตายไปก่อนเลยได้หรือเปล่า

     —จำได้ว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่แบบนี้นะณภัทร

     ครั้งสุดท้ายที่ตื่นเต้นเวลามาเที่ยวกันสองคนเป็นตอนไหนนะ อาจจะเป็นตอนที่เริ่มจีบน้องหวานติดสมัยม. สี่ จำได้ว่าตอนนั้นไปรับเขาเพื่อไปเดินตลาดแถวบ้าน ตื่นเต้นฉิบหายเหมือนกัน แต่พอมานั่งคิดดีๆ แล้ว ก็อาจจะไม่ใช่, มีครั้งที่กระอักกระอ่วนกว่านั้นอีก

     ตอนที่ผมกับคุณไปเดตกันครั้งแรกหลังตัดสินใจคบกันนั่นแหละ

     “ณะ”

     เสียงเรียกชื่อทำให้ผมนับหนึ่ง, สอง, สามในใจ ตั้งใจจะหันไปทันทีหากแต่สุดท้ายมันก็เกินเป็นสี่, ห้า,
และ— เอาวะ สักตั้ง!

     “มาแล้วเหรอ” นั่นเป็นคำทักทายที่เก้ๆ กังๆ และดู non-sense ที่สุดในโลกใบนี้

     “มาแล้วสิ” อีกฝ่ายวาดยิ้ม “ไม่งั้นจะเห็นเหรอ”

     คุณเป็นเหมือนเดิม ผู้ชายรูปร่างสูงผิวขาว ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ขายาวให้รู้สึกว่าเด็กลงมาหน่อย ผมที่ไม่เคยผ่านการทำสีนั้นไม่ได้ถูกเซ็ตแต่ดูจะเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งสุดท้ายที่ได้เจอ คงไปตัดผมมาเสียละมั้ง

     ไม่รู้ว่าเผลอสำรวจอีกฝ่ายท่ามกลางความเงียบนานไปหรือเปล่า คุณเลยยกมือขึ้นมาเกาศีรษะ เบนสายตาไปทางอื่น “งั้นเราเข้าไปกันไหม” ถามด้วยน้ำเสียงน่าฟังเหมือนกับที่เคยเป็นมา

     “—อา” เผลอทำอะไรไม่ถูกก่อนจะพยักหน้าลง

     คุณพยักหน้าให้ผม เดินนำไปก่อนแต่คงเพราะปกติคุณเป็นคนเดินช้าในขณะที่ผมเดินเร็ว เราเป็นแบบนั้นเสมอ, แค่สองสามก้าวของผม เราก็กลับมาเดินอยู่ในระยะเดียวกัน

     พวกเราอยู่ในระยะห่างที่น่ากระอักกระอ่วนแปลกๆ มันไม่ได้ห่างไกลจนคนไม่รู้ว่าเรามาด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ใกล้ถึงขนาดที่หลังมือเราจะสัมผัสกันยามที่มันแกว่งเพราะจังหวะการเดิน

     ระยะทางจากตำแหน่งที่ผมยืนรอคุณมาถึงร้านอาหารไม่ได้นานขนาดนั้น ตอนที่เราเดินไปขึ้นบันไดใกล้ๆ จวบจนขึ้นลิฟต์ ยามประตูลิฟต์เปิดก็กลายเป็นที่ที่คุณจองไว้ตั้งแต่ต้น

     “จองไว้ครับ” คุณเอ่ยปากกับพนักงานที่ยืนต้อนรับ ส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายอ่านหมายเลขในการจอง ก่อนที่พนักงานจะโน้มศีรษะบอกว่าให้รอสักครู่ถึงหันกลับมาหาผม “แปลกๆ เนอะ”

     ผมเลิกคิ้ว “—แปลกตรงไหนเหรอ” ถามคำถามโง่ๆ ไปทั้งที่คิดเหมือนกัน

     “ไม่รู้สิ” อีกฝ่ายทำหน้ากรุ่นคิด “แค่แต่ก่อนคิดว่า— คงไม่ได้มาทำไรแบบนี้กับเธอแล้วมั้ง”

     ผมหัวเราะแห้งๆ

     “แค่กินข้าวเอง”

     “นั่นสิ” คุณว่าอย่างนั้น “แค่กินข้าวเอง”

     พนักงานเข้ามาแทรกเราก่อนจะพาเราไปที่โต๊ะทำให้บทสนทนาสั้นๆ และแสนกระอักกระอ่วนจบลงตรงนั้น ผู้คนในร้านค่อนข้างหนาตาแต่ไม่ได้แออัดจนเกินไป นั่งฟังเขาชี้แจงเวลาและโซนอาหารต่างๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะตามมาด้วยประโยคว่าขอให้ทานให้อร่อยครับ

     ทั้งที่ได้สัญญาณว่าเราควรเดินไปดูอาหารที่จ่ายเงินมาเสียหน่อย แต่เปล่าเลย, เราก็นั่งมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนนั่นแหละ

     เป็นคุณที่ถามขึ้นมาก่อน “เธอไปตักก่อนไหม”

     “ไม่เป็นไร เธอไปก่อนเถอะ”

     “ไม่อ่ะ เธอก่อน”

     เรามองหน้าอยู่เสี้ยววินาทีแล้วผมก็กระแอมไอ “งั้นไปด้วยกันนี่แหละ”

     “—ก็ได้ครับ”

     เพราะแบบนั้นเราเลยมายืนกันอยู่ที่หน้าไลน์อาหารญี่ปุ่นในตอนนี้ ผมลอบมองผู้ชายที่ส่วนสูงประมาณกัน คุณไม่ใช่คนตัวเล็ก ไม่ใช่เลยสักนิด, แต่ถึงแบบนั้นท่าทางสนใจในอาหารกลับดูน่ามองไม่หยอก ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณเป็นคนมีความสุขกับการกินหากแต่ไม่ได้อ้วนสักนิด คงเพราะไม่ใช่คนที่เน้นกินอะไรเยอะ แต่ชอบกินนู่นกินนี่ กินอาหารดีๆ พร้อมกับกินบรรยากาศไปด้วยมากกว่า

     “เอาแซลมอนไหม” คุณหันมาถามผมแบบนั้นตอนที่ผมเพิ่งซูชิบางส่วนลงบนจาน

     “เอามาก็ได้ครับ” ผมหันช่องว่างที่มีบนจานให้อีกคน คุณจัดการวางสโมกแซลมอนให้อย่างไม่อิดออด เงยหน้ามองกันราวกับจะถามว่าพอหรือยัง “พอแล้ว ขอบคุณนะ”

     “มีปลาดิบตรงนู้นด้วย” คุณว่าเช่นนั้น “เค้าว่าจะไปสั่ง เธอจะเอาอะไรไหม เผื่อสั่งให้”

     “สั่งมาเลยก็ได้ กินได้ทุกอย่าง”

     “อืม, จำได้”

     รอยยิ้มบางๆ กับคำพูดสองพยางค์นั้นทำให้ผมใจพองฟู แต่เหมือนคุณจะไม่คิดเช่นนั้น อีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนตัวเองเพิ่งพูดอะไรผิด ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้อธิบายหรือแก้ตัวแต่อย่างใด

     คุณไล่ผมให้เอาจานไปวางก่อนแล้วเดินไปในโซนที่จัดอาหารให้ตามออร์เดอร์ ผมทำแบบนั้นไม่อิดออด เดินไปที่โต๊ะ วางจาน หยิบแก้วน้ำทั้งสองใบก่อนที่จะเดินกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าทั้งสองแก้ว

     คนที่กลับมาที่โต๊ะแล้วทำหน้าตาเหรอหรา “เอาให้เราเหรอ”

     “กินเองมั้งสองแก้ว”

     “เธอกวนตีน” อีกฝ่ายว่าเสียงเบาเหมือนกับปกติ เป็นคนที่ด่าแล้วไม่เคยให้ความรู้สึกว่าโดนด่าจริงๆ สักครั้ง

     ผมหย่อนก้นนั่ง “กินน้ำเปล่าใช่ไหม” ถามอย่างไม่มั่นใจนัก

     “ถ้าเราไม่กินอ่ะ”

     “ก็ขอแก้วใหม่”

     “อื้อ”

     การพยักหน้าของอีกคนทำให้ใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ถามอย่างไม่มั่นใจเมื่อสิ่งที่คิดว่าจำได้มันถูกบั่นทอนลง “เธอดื่มอย่างอื่นเหรอ”

     ความเงียบชั่วอึดใจก่อนจะตามมาด้วยการคลี่ยิ้ม “เปล่า” เว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา “ไม่นึกว่าเธอจะจำได้”

     เราไม่ได้พูดอะไรกับประเด็นนี้อีก แม้ในใจผมจะเถียงว่ามีหรือจะจำไม่ได้ ตอนคบกันผมแทบไม่เห็นอีกฝ่ายดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวานต่างๆ เลยสักนิด น้อยมากๆ ถ้าไม่ใช่วันที่ต้องการคาเฟอีนจริงๆ คุณพกน้ำหนึ่งขวดติดกระเป๋า บางวันเป็นผมเองที่เดินไปซื้อให้ แถมยังโดนบ่นบ่อยๆ เรื่องดื่มน้ำน้อย – จะนานแค่ไหน มันก็ต้องจำได้บ้างแหละ

     “ช่วงนี้เป็นไงมั่งล่ะ” ผมถามออกไปทั้งที่รู้ว่านั่นเป็นคำถามที่โง่พอตัว “ไม่ได้เจอกันตั้ง— เดือนนึง?”

     “แค่เดือนเดียวเอง” คณณัฐหัวเราะ “จะมีอะไรเปลี่ยนไป เหมือนเดิมแหละ วนเวียนอยู่แค่นี้ วอร์ด หอพัก
บ้าน”

     “กลับบ้านบ่อยไหม”

     “บ่อยสิ บ้านก็อยู่แค่นี้ แล้วเธอล่ะได้ไปเยี่ยมแม่บ้างหรือเปล่า”

     “ถ้าได้วันหยุดก็กลับ”

     “คุณน้าก็ย้ายไปไกลจังเลยนะ”

     “ก็กลับบ้านเขาแหละ ไม่ได้มีอะไรหรอก อยู่กับ ป้าๆ ก็ดีนะ”

     ผมพูดถึงแม่ของตัวเองที่ตอนนี้ย้ายกลับไปอยู่กับคุณป้าที่แม่ฮ่องสอน เดิมทีแม่ของผมเป็นคนเหนือแต่มาแต่งกับคุณพ่อที่อยู่กรุงเทพฯ ด้วยหน้าที่การทำงานต่างๆ ก็เลยอยู่กรุงเทพฯ จวบจนวัยเกษียณแล้วจึงขายบ้านไปซื้อบ้านใกล้ๆ กับเครือญาติของแม่ที่นู่น พี่ชายผมเองก็แต่งงานแล้วกลายเป็นแต่งเข้าบ้านภรรยา ตอนนี้เลยมีผมอยู่หัวเดียวกระเทียมลีบแบบนี้

     “แต่มันก็สงบดีแหละ” คุณเอ่ยแบบนั้น “ตอนเราไปนครศรีฯ เราว่ามันก็คนละอารมณ์นะ แต่ถ้าเราไปอยู่ถ้าเหนือก็คงอีกอารมณ์อีกอยู่ดี”

     “อืม ก็ดีแหละ เขาอยากพักกันแล้วด้วย”

     “แล้วเธอไม่อยากย้ายไปด้วยเหรอ” คนตรงข้ามเอียงศีรษะเล็กน้อยขณะที่คีบปลาดิบเข้าปาก “งานของเธอมันก็น่าจะทำที่บ้านได้นี่นา ก่อนหน้านี้เธอเป็นฟรีแลนซ์ไม่ใช่หรือ”

     “ก็— ไม่รู้สิ ตอนนั้นเพิ่งได้งานประจำปีเดียวเองมั้ง” ผมยกน้ำจิบเบาๆ ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องอีกฝ่ายเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ “แล้วยังไงก็อยู่กรุงเทพฯ มาตลอดด้วย อยู่ที่นี่พี่ๆ เพื่อนๆ ก็ช่วยหางานนู่นงานนี้ให้ทำดี เก็บเงินไปเรื่อยๆ ก่อน”

     “อ๋อ ก็ดีนะ”

     “แต่ก็คิดถึงที่บ้านเหมือนกัน”

     “ก็ปกติเธอติดบ้านอ่ะ”

     “เปล่าสักหน่อย” ผมเถียง รู้สึกเหมือนโดนคุณด่าว่าเป็นลูกแหง่ชอบกล “เธอนั่นแหละไม่ค่อยกลับบ้านเอง”

     “ก็ตอนเรียนมันหนักนี่ แต่ช่วงนี้กลับบ่อยแล้วเถอะ”

     ปากของอีกฝ่ายเริ่มทำการเถียง คิ้วขมวดเข้าหากันเสียจนอยากจะเอาตะเกียบที่อยู่ในมือนี้จิ้มให้มันคลายออก คุณใช้ตะเกียบหยิบซูชิเข้าปากอีกคำแล้วทำการอธิบายต่อ

     “รู้น่า ช่วงหลังๆ คุณแม่ของเค้าเริ่มไม่ค่อยสบายด้วย”

     “แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่หรือเปล่าครับ” 

     “ไม่หรอก ก็ตามอายุนั่นแหละ”

     จำได้ว่าสมัยก่อนคุณแม่ของคุณก็เป็นหนึ่งในบทสนทนาบ่อยๆ คุณเป็นคนรักที่บ้าน พูดถึงแม่กับน้องสาวที่อยู่กันแค่สามคนบ่อยมากๆ คงเพราะโตมากับบ้านหญิงล้วนด้วย เลยยิ่งทำให้คุณเป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่าเรียบร้อยกว่าผู้ชายทั่วไป ทั้งนิสัยไม่โวยวาย ทั้งทำอะไรสงบๆ รวมไปถึงคำพูดคำจา ไอ้การที่คุณเรียกคุณแม่ทุกคำไม่เสื่อมคลายนี่ก็เหมือนกัน

     บทสนทนาเราวนไปเรื่อง น้องสาวของคุณ พี่สาวของผม เรื่องที่ญาติคนไข้ที่พูดคุยกับคุณหรือว่าเรื่องแปลกๆ ที่เจอมาทั้งประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อม

     ผมชอบเห็นปากนั่นขยับมากกว่าเห็นข้อความตัวอักษร ชอบที่จะได้ยินเสียงมากกว่าต้องมานั่งเดาว่าจริงๆ แล้วตอนที่อีกฝ่ายพิมพ์เลขห้ามาแทนการหัวเราะจริงๆ ไหม หรือว่าพิมพ์มาเพื่อไม่ให้มันดูห้วนจนเกินไป ชอบที่จะเห็นดวงตาอีกฝ่ายหยีลงจนเป็นพระจันทร์เสี้ยวตอนที่ผมเล่าเรื่องตลกในออฟฟิศให้ฟัง

     คุณ

     ผมได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นมาจากสมอง ไฟแดงกระพริบถี่ๆ ขณะที่ในหัวของผมมีแต่ชื่อคุณ เสี้ยววินาทีที่ฉุกคิดว่าไอ้เวร นายณภัทร มึงหยุดเดี๋ยวนี้ แต่เพียงได้สบตากับอีกคนอย่างตรงไปตรงมามันก็เป็นเพียงเสียงแผ่วเบาจนเลือนรางไปกับสายลม

     แย่แล้วณะ, ทั้งที่คิดว่าเลิกชอบไปแล้วแท้ๆ

     สุดท้ายก็ยังชอบมากอยู่ดี




     
     “เธอจะไปไหนต่อหรือเปล่า”

     “ก็— กลับเลย?” คนที่เดินเอื่อยเฉื่อยไปด้วยกันเอียงคอ “หรือว่าจะไปไหนดี แถวๆ นี้มีอะไรเยอะนะ”

     “ไม่รู้สิ”

     อีกคนพยักหน้า “นั่นสิ ไม่รู้เหมือนกัน”

     ผมไม่รู้ว่าการแสดงออกของเราเป็นยังไง เราถามกันหลังจากอิ่มแล้วและเสียเวลาเถียงกันว่าใครจะจ่ายเงิน (แน่นอนว่าผมได้จ่าย เพราะอ้างว่าจะได้ไม่ต้องโอนเงินให้คุณทีหลัง) แต่ยังไม่มีแพลนจะไปไหน ยอมรับเลยว่าวินาทีเมื่อกี้ที้คุณถามเหมือนจะไม่ไปไหนต่อก็ทำให้ผมใจแป้วไปไม่ใช่น้อย

     อีกนิดได้ไหมคุณ – ขอเวลาอีกนิดหนึ่ง

     “ปกติเธอทำอะไรบ้างวันหยุด”

     “เหมือนๆ เดิม” ผมตอบตามจริง ต่อบทสนทนาเรื่องง่ายๆ ที่ถูกถามออกมา “ดูหนัง เล่นเกม กินๆ นอนๆ”

     “ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่นี่”

     “ก็นั่นสิ” ผมลดระดับเสียงลง “ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่หรอก”

     เราหยุดกันหน้าประตูไปลานจอดรถ ยังไม่มีใครตกลงได้ว่าจะไปไหนต่อ คุณยืนนิ่งในขณะที่ผมเองก็ไม่ได้แตกต่าง ระยะห่างของเรามีเพียงสองก้าว

     จะไปแล้วหรือ

     ผมครวญครางในใจ สองชั่วโมงอาจจะไม่เพียงพอสำหรับความรู้สึกตอนนี้ และไม่รู้หรอกว่าตัวเองเผลอทำหน้าแบบไหนออกไปคุณถึงเบนสายตาไปอีกทาง

     “ณะ”

     “—ครับ?”

     ผมเอ่ยถามเสียงแผ่วในขณะที่อีกฝ่ายเม้มปากแน่น สบตาผม ผลุบตาลงต่ำแล้วจึงเงยขึ้นมาสบตากันใหม่

     “เธอว่าเรา—”

     ยังไม่ทันจบประโยคทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อโทรศัพท์แผดร้องขึ้นมา ผมรีบตะปบกางเกงตัวเองก่อนที่จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ของผม คณณัฐเองก็ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ มองตากันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง มองหน้าจออยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะกดรับสาย

     “ว่าไงครับขนุน”

     ตอนแรกผมเกือบจะใจแป้วแล้ว แต่ชื่อที่ถูกเอ่ยเอื้อนออกมาก็เป็นชื่อที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จัก ขนุนคือน้องสาวของคุณ พูดจาสุภาพใส่กันตลอดจนผมนึกเกร็ง

     “พี่มากับ—” อีกฝ่ายเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “เพื่อน”

     เพื่อนอะไรล่ะ อยากตะโกนไปแบบนั้นทั้งที่ความเป็นจริงทำได้แค่ยิ้มให้

     ผมนึกว่าตัวเองจะเกลียดคำว่าเพื่อนเฉพาะตอนที่แอบชอบคุณเสียอีก แต่ตอนนี้ผมกลับต้องมาเกลียดคำนี้ใหม่อีกรอบแล้วอย่างนั้นหรือ

     “มะขามเหรอ” น้ำเสียงนั้นดูจะแสดงความกังวลใจออกมาให้เห็น คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน คุณมองผมอย่างกับทำอะไรไม่ถูกแต่ยังคุยกับปลายสายไม่หยุด “ไม่อาการหนักมากใช่หรือเปล่า”

     ผมเกาศีรษะ มะขามคือใครอีก ชื่อนี้ไม่ยักกะเคยได้ยินมาก่อน

     “อา— ถ้าอาการไม่ดี พี่ไปได้แหละ”

     ท่าจะไม่ดีแล้ว

     ผมเห็นสีหน้าที่ปิดไม่มิดของอีกฝ่าย ท่าทางดูไม่สบายใจเท่าไหร่ น้ำเสียงที่คุยกับน้องสาวซึ่งอยู่ปลายสายก็ดูตึงเครียดไม่ใช่น้อย สุดท้ายแล้วเมื่อวางโทรศัพท์ลงคณณัฐก็กัดปากล่างของตัวเอง

     “เค้าต้องกลับบ้านน่ะ”

     “มีอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “น้องสาวเหรอ?”

     “อื้อ น้องบอกมะขาม เอ่อ— หมาที่บ้าน อยู่ๆ มันก็ลุกทรงตัวไม่ได้”

     “เฮ้ย แล้วน้องเธอทำยังไง”

     “น้องขับรถไม่เป็นอ่ะ มะขามมันตัวใหญ่ด้วย เดี๋ยวเค้าคงไปช่วย”

      “—อา”

     คณณัฐเก็บโทรศัพท์เข้าตำแหน่งเดิม ไม่ต้องเงยหน้าก็มองผมได้ชัดเจนในเมื่อเราสูงประมาณกัน ระดับสายตาเราก็เท่ากันอยู่แล้ว

     ผมเข้าใจนะว่านั่นมันเรื่องด่วน และก็เข้าใจด้วยว่าเราไม่ได้มีแผนไปไหนต่อ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้

     “ณะ ไปด้วยกันไหม”

     แต่ใช่, ผมไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายถามคำนั้นขึ้นมาหรอก

     และผมก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนที่ผมจะตอบกลับเสียอีก เพราะงั้นเลยเผลอยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปาก เมื่อกี้คงเผลอยิ้มกว้างออกไปแน่ๆ

     “ไปนะ”

     “นั่นเรียกชื่อเหรอ” ผมเอ่ยถาม

     คุณทำหน้ากรุ่นคิดไปนิดหน่อยก่อนจะตอบเสียงเบา “เปล่า ชวนต่างหาก”

     “อืม, ไปสิ” ผมพยักหน้า

     ไปไหนก็ได้

     แต่ขออยู่กับคุณนานกว่านี้หน่อยเถอะ




-------------------------

บอกแล้วว่าไม่มีแชตแล้ว!

อยากรู้ว่าทุกคนคิดยังไงกับเรื่องนี้
คอมเม้นบอกหรือเล่นแท็กในทวิตได้นะคะ

จะพยายามปั่นตอนหน้ามาตอบแทนให้!

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
   
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-02-2019 20:34:27
เราชอบแชทน้าา ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าน่ารักมากๆ ทั้งคู่เลย อยากอ่านพาร์ทอดีตมากเลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-02-2019 21:50:37
น่าะใจตรงกันเหมือนเดิมแหละมั้งงงงง
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-02-2019 22:17:29
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-02-2019 22:30:36
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 09-02-2019 22:33:10
จะแชทหรือไม่แชทสองคนนี้ก็คุยกันน่ารักมากๆ อยากให้ใจตรงกันอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 10-02-2019 23:56:17
ลุ้นมาก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 11-02-2019 17:27:20
เพื่อนตลอดเรยยย น้องคุณ!
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 12-02-2019 02:36:08
 :hao5: จีบคุมหมอหน่อยยยย เดี๋ยวชั้นจะเข้าไปจีบเองแล้วนะะะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 12-02-2019 21:27:41
พูดกันน่ารักเนอะ ชอบบบบ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: 2:00PM ที่ 14-02-2019 13:50:52
เคมีดีจังเลยตอนอยู่ด้วยกัน ชอบความรู้สึกของนะที่มันค่อยๆพีคขึ้น จนยอมรับว่ายังชอบอยู่มาก
แล้วเก็บมาเว้าวอนในใจคนเดียว
เดี๋ยวทั้งคู่ก็จะกลับมาคบกันใช่ไหมคะ แต่อยากยืดระยะออกไปหน่อย อยากอ่านนะเวิ่นเวอเพ้อถึงหมอ
ชอบให้เมะทรมานใจ  :laugh:
ขอบคุณนะคะ แฮปปี้วาเลนไทน์ค่ะ    :3123:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: enas290843 ที่ 14-02-2019 22:40:54
มันอินตรงที่อยู่ในเฟรนโซนเหมือนกันนี่แหละ เห้อออออ ออกยาก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 15-02-2019 17:20:06
แงงงง ชอบจังเลยอ่ะ ฮือออ มันยุบยิบในใจแบบชอบมากกกก :hao5: :hao7:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 06 (pg.2) : 09/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-02-2019 20:32:16
———— 07 ————




     บรรยากาศในรถอึดอัดเกินกว่าที่คิดไว้

     ผมทำตัวไม่ถูกนิดหน่อยตั้งแต่เปิดประตูรถ ตอนที่เราคบกับคุณติดมอเตอร์ไซค์ของผมอยู่ตลอดเวลา และตอนที่เราเลิกกัน คุณยังไม่ทันจะขับรถเป็นด้วยซ้ำ – แต่รถคันนี้ก็ดูจะผ่านการใช้งานมาสักพักแล้ว – คงจะสองหรือสามปีเป็นอย่างต่ำ

     “ขอโทษนะรกไปหน่อย”

     ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ใกล้เคียงอะไรแบบนั้นแม้แต่น้อย รถของคุณสะอาด มีกลิ่นหอมจากเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งก็ไม่ได้มีของระเกะระกะดั่งที่คิดไว้เสียเท่าไหร่นอกจากเสื้อกาวน์ที่ถูกแขวนไว้หลังรถ

     “ขับนานแล้วเหรอ”

     “ก็ต้องหัดก่อนลงไปใช้ทุน”

     “อ๋อ”

     “ใช่ ขืนขับรถไม่เป็นที่นู่นก็ลำบาก เที่ยวไหนไม่ได้เลย” คณณัฐตอบแบบนั้น ขณะที่มองซ้ายมองขวา หยิบ
สาย USB เชื่อมโทรศัพท์กับเครื่องเล่นเพลงก่อนจะสตาร์ทรถ

     เพลงที่ถูกเล่นคือเพลงยุค 00’s ช่วงที่เรากำลังเป็นวัยรุ่น อมยิ้มขำเมื่อคุณกดผ่านเพลงสองเพลงแรกก่อนจะหยุดลงในเพลงที่สามของ sum41 ฮัมเบาๆ ตามทำนองที่ถูกเล่น ปลายนิ้วที่อยู่บนพวงมาลัยรถเคาะเป็นจังหวะ

     “ดีนะ” ผมเอ่ยเปรยขึ้นมา

     เจ้าของรถหันขวับ “อะไรเหรอ”

     ตอนนี้

     “ที่มีรถเป็นของตัวเองไง” ในใจอยากตอบแบบนั้นแต่ปากก็ไม่ได้ตอบออกไปหรอก ขืนทำไปต้องทำหน้าไม่ถูกกันแน่ๆ “ไปไหนสะดวกดี”

     “แต่รถติด” คุณเบะปาก “วันไหนได้กลับบ้านวันศุกร์ก็เล่นเอาไม่อยากกลับบ้านเลย รถติดจะตายชัก”

     “ก็จริง”

     “เธอขับรถเป็นตั้งนานแล้วนี่ ไม่ออกรถหรือ”

     “ไม่ล่ะ สาเหตุเดียวกัน” ผมตอบไปตามจริง เหลือบมองคนที่หันหน้ามาคุยด้วยยามสัญญาณไฟเป็นสีแดง “มอเตอร์ไซค์ก็สะดวกดี ทำงานแค่ใกล้ๆ ด้วย”

     “แต่ก็ต้องขับระวังๆ นะ เดี้ยงเหมือนวันก่อนแย่เลย”

     เสียงหัวเราะแผ่วเบา, รอยยิ้มที่ถูกวาดกว้างจนตาหยี, ทำนองเพลงที่เคยฟังด้วยกันและบรรยากาศในรถที่แออัดในท้องถนน

     เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคุณก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดตัวเองในห้าปีก่อนเสียจริงว่าปล่อยมือจากคนที่ให้ความรู้สึกสบายใจแบบนี้ได้อย่างไร ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ นายณภัทร ไอ้คนโง่เง่า

      วันเสาร์ตอนบ่ายสามไม่ได้มีการจารจรแออัดเท่าที่คิด เพลงใหม่สลับเก่าถูกเล่นเพลงแล้วเพลงเล่า คำพูดที่แลกเปลี่ยนกันในไฟแดงแต่ละแยกชวนให้สบายใจ คงเพราะตอนนี้โลกของผมเหลือแค่คุณกับพื้นที่เล็กเท่ารถยนต์สี่ประตู

     “แล้วเลี้ยงหมากับแมวมันไม่ตีกันเหรอ” เอ่ยถามยามที่คิดขึ้นมาได้ว่าคุณเคยเลี้ยงแมวด้วยหนึ่งตัว จำชื่อไม่ได้แล้วหากแต่รับรู้ว่าเป็นแมวไทยพันธุ์ทาง “น่าจะเหนื่อยอยู่นะ”

     “เปล่าหรอก เลี้ยงตัวเดียว”

     “อ้าว—”

     “แมวเลี้ยงตายไปแล้วนะ” คำตอบที่ถูกพูดออกมาเสียงเรียบเฉยทำให้ผมนิ่งเงียบไป “ตั้งแต่เค้าไปใช้ทุนแล้ว”

     คุณไม่ได้ดูมีความเสียใจในน้ำเสียงนั้นหรอก รอยยิ้มบางๆ ยังประดับบนริมฝีปากด้วยซ้ำ

     ก่อนที่จะหันมามองกันแล้วหัวเราะเล็กน้อย “อย่าคิดมากสิ”

     “ขอโทษที”

     “ไม่เป็นไร”

     “—ขอโทษจริงๆ ครับ”

     “ไม่เป็นไรจริงๆ” คุณย้ำ “มันตั้งนานแล้ว เธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”

     บรรยากาศดีๆ ของเราเสียไปแล้ว เปราะบางเสียเหลือเกิน, อดคิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะไปโทษใครนอกจากตัวเองในเมื่อเพลงก็ยังเล่นเหมือนเดิม การจราจรก็ยังไม่ทันพ้นจากตำแหน่งเดิมมาเสียเท่าไหร่ และโลกของเราก็ยังมีพื้นที่เท่าเดิม – แค่คำพูดของผมเท่านั้นเอง

     “มันนานแล้วจริงๆ ณะ” คุณพูดมันขึ้นมาอีกครั้ง “นานชนิดที่ว่าเค้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเธอแล้วซะอีก”

     อยากจะเอ่ยคำขอโทษอีกครั้งแต่ก็พูดไม่ออก

     ผมมองสัญญาณไฟที่เริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวให้รถของเราเคลื่อนตัวไปจากเดิมเพราะไม่กล้าสบตาคุณกับคำพูดของอีกฝ่าย

     ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยปากออกไปว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลยคุณ ในเมื่อตอนนี้เราก็เจอกันแล้วนี่

     แต่ก็นั่นแหละ, คุณพูดถูกต้อง ห้าปีที่ความสัมพันธ์จบลงเรียกได้ว่าเนิ่นนานเสียจนเราควรจะลืมกันไปได้แล้วว่าเราเคยรู้จักคนนี้มาก่อน ห้าปีคือระยะเวลาจากเด็กม. หกเรียนมหาวิทยาลัยจนรับปริญญา เพื่อนผมเริ่มแต่งงานมีลูก บางคนเปลี่ยนงานไปสามที่แล้วด้วยซ้ำ

     นานเสียจนไม่น่าจะมีอะไรเหมือนเดิมได้อีกเลย

     ไม่น่าเลยจริงๆ

     เขายังอยากเป็นเพื่อนกันก็ดีแค่ไหนแล้วเชียว






     ตอนเห็นมะขามก็เข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมน้องสาวของคุณถึงได้โทรมาร้องขอให้คุณกลับบ้านเพื่อพามันไปหาหมอ

     หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ดูจะตัวโตกว่าตัวอื่นๆ โงหัวขึ้นมาจากพื้นตอนที่ผมจับพลัดจับพลูเดินเข้า
บ้านมาด้วย น้องสาวของคุณท่าทางร้อนใจเกินกว่าจะถามว่าผมเป็นใคร เอาแต่อธิบายว่าน้องมะขามมีอาการเป็นอย่างไรบ้างให้พี่ชายฟัง

     “พี่คุณอุ้มไหวไหม” น้องถาม “หนูอุ้มไม่ไหวเลย น้องพยายามลุกแต่น้องลุกไม่ได้”

     “ใจเย็นๆ ครับ”

     คนเป็นพี่ได้แต่พยายามบอกให้น้องสาวตัวเองใจเย็นทั้งที่น้องทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก่อนจะย่อกายลงไปหาสุนัขตัวโตของตัวเอง ลูบหัวสัตว์เลี้ยงเบาๆ ก่อนจะพยายามช้อนมันขึ้นมาในอ้อมแขน แต่ด้วยการที่มันนอนอยู่บนพื้นทำให้มันดูเป็นได้ยากเล็กน้อย

     “คุณ” ผมเรียกอีกฝ่ายที่ตอนนี้ดึงเจ้าหมาตัวใหญ่ขึ้นมาจากพื้นได้แล้ว แต่จัดแจงท่าทางไม่ถูก “เดี๋ยวอุ้มให้”

     คุณไม่ได้ทำอะไรมาก ใช้มืออีกข้างจัดแจงท่าทางมันให้ผมอุ้มไอ้ตัวโตง่ายขึ้น มันส่งเสียงร้อง ดูท่าจะไม่ยอมท่าเดียวแต่สุดท้ายผมนั่งแหละที่อุ้มมันขึ้นรถมาได้โดยที่น้องขนุนเป็นคนเปิดประตูรถของพี่ชายตัวเองให้

     “เดี๋ยวพี่ขับพาไปหาหมอก่อนนะ”

     “หนูไปด้วย”

     “ไปสิ” คุณพยักหน้า “หนูก็ต้องไปบอกอาการมะขามมัน”

     เพราะฉะนั้นเราเลยอยู่บนรถด้วยกันทั้งสามคนพร้อมกับสุนัขที่ส่งเสียงบ่นในลำคอไม่มีหยุด น้องขนุนทำท่าจะร้องไห้ตลอดระยะเวลาไม่ถึงสิบนาทีดีในการมาถึงคลีนิคสัตว์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านของคุณ เพราะความร้อนใจนั้นเองทำให้น้องไม่ได้ถามพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำว่าผมเป็นเพื่อนคนไหน มาอยู่กับคุณได้อย่างไร

     จำได้ว่าคุณไม่ค่อยมีความลับกับที่บ้าน เพราะงั้นตัวน้องขนุนก็รับรู้ว่าคุณมีแฟนตอนคบกับผม หากก็ไม่เคยเจอกัน, หรืออาจจะเจอกันเพียงพูดคุยไม่กี่คำ จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก

     รถมาจอดที่หน้าคลีนิค ต้องขับไปอีกหน่อยถึงจะมีที่จอดรถสำหรับคลีนิคสัตว์ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้

     ผมปลดเข็มขัดนิรภัย “เดี๋ยวอุ้มเข้าไปให้ เธอขับรถไปจอดนะ” ว่าก่อนจะเปิดประตูรถลงไป

     เจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ดูจะไม่สบายตัวเท่าไหร่ตอนที่ผมพยายามอุ้มมันลงจากรถเพื่อเดินไปที่ประตูคลีนิคซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามเมตรดี ยังดีที่คนข้างในรีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ แถมเจ้ามะขามตัวหนักไม่ใช่เล่น

     พี่ที่เปิดประตูให้ผมเอ่ยพูดกับผู้หญิงอายุน้อยอีกคน “ตามหมอป้องหน่อยค่ะ”

     ไม่นานชายหนุ่มตัวสูงผิวขาวก็เดินออกมาในสภาพหัวยุ่ง ท่าทางคงจะงานยุ่งน่าดู ของอีกฝ่ายคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่นก่อนจะถามว่าใครเป็นเจ้าของเจ้าหมาตัวใหญ่ตัวนี้ อาการเป็นอย่างไรบ้าง ผมเลยถอยออกมาให้น้องสาวของคุณเข้าไปคุยแทน ไม่ได้พูดอะไรอีกจนกระทั่งเจ้าของอีกคนของหมาตัวโตนั่นเดินเข้ามาในคลีนิค ตรงดิ่งไปหาน้องสาวตัวเองด้วย

     ทำอะไรไม่ถูกอยู่นานเมื่อสถานการณ์ดูเคร่งเครียดจนกระทั่งสัตวแพทย์คนนั้นรับปากออกมาว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้น่าห่วงมาก และจะทำการตรวจดูเดี๋ยวนี้

     คุณเอามือลูบไหล่เล็กของน้องสาวขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองผม ขยับปากอย่างไร้เสียงว่าขอบคุณด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่

     ผมส่ายหน้า ไม่เป็นไร ตอบกลับไปแบบนั้น

     สิบห้านาทีเห็นจะได้ตั้งแต่เจ้ามะขามถึงมือหมอ ถูกตรวจเลือด ถามนู่นถามนี่กับเจ้าของเต็มไปหมด สุดท้ายก็โดนบอกสีหน้าเคร่งเครียด

     “จากอาการ คิดว่าอาจจะเป็นพยาธิในเม็ดเลือดนะครับ” คุณหมอว่าเช่นนั้น “เดี๋ยวรอผลตรวจเลือดอีกที แต่เพราะพามาหาหมอเร็วแบบนี้และไม่มีอาการอาเจียนหรือดื้อยาอะไร ถ้ากินยา 2 อาทิตย์ก็กลับมาเป็นปกติได้แล้ว”

     เพียงฟังเท่านั้นหญิงสาวก็สีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด หันไปซบไหล่คนเป็นพี่ชายราวกับจะหัวใจวายอยู่ตรงนั้นจริงๆ

     ผมมองภาพคุณที่จัดการกับเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ พร้อมๆ กับปลอบโยนน้องสาวและพูดคุยอย่างเป็นการเป็นการกับหมอถึงอาการสัตว์เลี้ยงของตัวเองด้วยความชื่นชมในใจ

     คณณัฐเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะเป็นคนที่คนบางคนบอกว่าไม่แมนจากนิสัยเรียบร้อยและคำพูดคำจาสุภาพ ผมไม่เห็นว่านั่นมันจะเกี่ยวกันตรงไหน แมนไม่แมนแล้วอย่างไร, เรื่องที่คุณเป็นที่พึ่งให้น้องสาวหรือเพื่อนๆ ในหลายเรื่องได้เพราะมีสติก็น่าจะบ่งบอกให้รู้ได้แล้วว่าคุณเป็นคนที่เหมาะสมกับคำชม

     ยังโชคดีอยู่บ้างว่าแม้จะเป็นคลีนิคขนาดไม่ใหญ่มาก หากแต่ก็มีที่พักให้สัตว์ค้างคืนและมันว่างพอดี เมื่อผลตรวจออกมาเป็นตามที่คุณหมอสันนิษฐานไว้ก็เลยได้ข้อตกลงว่าจะให้เจ้ามะขามนอนที่นี่สักคืนก่อน

     “เดี๋ยวหนูขอเข้าไปดูน้องหน่อย”

     คุณพยักหน้าให้น้องสาว เอาจริงนะ, ผมเอ็นดูการพูดจาไพเราะกับทุกอย่างของบ้านนี้เสียเหลือเกิน

     คณณัฐทำท่าจะเดินตามเข้าไปด้วยก่อนที่จะหันมามองผม กวักมือเรียกราวกับจะให้เขาไปหาเจ้าหมาตัวโตนั่นด้วยกันแต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

     “ไม่ไปหรือ” คำถามนั้นถูกถามอย่างแปลกใจ

     “ไม่เป็นไร เวลาครอบครัว”

     คุณหัวเราะ ฟาดมือลงบนไหล่ผมเบาๆ “เข้าไปด้วยก็ได้นี่นา อุส่าต์พามะขามมา”

     “น้องเธอทำเหมือนจะร้องไห้” ผมเปรย “โตเป็นสาวแล้วนะ น้องน่ารักดี” อดชมน้องสาวอีกคนไม่ได้

     คุณขมวดคิ้วมุ่น “อย่าคิดจะจีบขนุนเชียว น้องมีแฟนแล้ว” เอานิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้าเหมือนกับจะต้องการปรามกัน

     ผมหัวเราะผะแผ่ว สิ่งที่ถูกเตือนไม่แม้แต่จะอยู่ในความคิดด้วยซ้ำแต่คุณยิ่งทำหน้าจริงจังมากกว่าเก่า นั่นค่อนข้างจะ— น่ารัก โอ้ แหงล่ะ, ผมเริ่มคิดแล้วว่าคำพูดชื่นชมเมื่อกี้ที่ตัวเองพูดออกไปควรจะใช้ชมน้องสาวหรือพี่ชาย แต่คงไม่ดีแน่ถ้าจะเอ่ยชมคณณัฐในยามนี้

     ผมจับไหล่สองข้างของคุณหมอให้หันหลัง บอกกับอีกฝ่ายว่าเดินไปปลอบน้องหน่อยแล้วผมจะยืนรออยู่ตรงนี้เอง






     “เป็นอะไรครับ”

     ผมในวัยยี่สิบเอ็ดปีซึ่งตัดสินใจพักสายตาจากโปรแกรมการตัดต่อที่ยิงยาวกว่าสามชั่วโมงของตัวเองเพิ่งสังเกตว่าอีกหนึ่งชีวิตที่กางโต๊ะญี่ปุ่นอ่านหนังสืออยู่ในห้องสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ว่าที่คุณหมอสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบว์บนกล่องของขวัญ

     “คุณ” เรียกชื่ออีกฝ่ายย้ำอีกครั้ง เดินเข้าไปทิ้งตัวข้างๆ แต่คุณกลับไม่เงยหน้าขึ้นมาจากชีทหนากองโต “ยากเหรอ”

     ริมฝีปากของอีกคนเม้มแน่น “—ไม่ค่อยเข้าหัวเลย”

     “หยุดอ่านก่อนไหม”

     “ไม่ล่ะ”


     เหลือบตามองคนเนิร์ดที่หน้าตาไม่สู้ดี เลื่อนมือไปแตะผมส่วนหน้าที่ยาวจนจะทิ่มตาอีกฝ่ายอยู่แล้ว ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด คุณไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้มานานแล้ว คงจะเป็นส่วนที่ตัวเองไม่เข้าใจจริงๆ

     “ไม่อยากเรียนใหม่” เสียงแผ่วเบาเอ่ยเอื้อนออกมา “ถ้าสอบไม่ผ่านเค้าคง—”

     ผมบีบริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนพูดจบ คณณัฐย่นจมูก เอื้อมมือมาตียามที่เห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อเสียที เป็นท่าทางที่ชวนให้หัวเราะด้วยความเอ็นดู

     “โทรหาคุณแม่ไหม”

     “ไม่เอาล่ะ โทรบอกแม่ เดี๋ยวแม่ก็รู้สิว่าเครียด”

     “คุณแม่คงอยากให้บอก”

     “แต่เค้าไม่อยากบอก”


     คนคงไม่เชื่อว่าคุณเป็นคนดื้อเงียบ – แต่ผมนี่แหละรู้ดี – เพราะงั้นผมเลยยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ คุณไม่ชอบบอกถึงความเครียดของตัวเองกับที่บ้าน ทั้งที่ปกติจะต้องติดต่อกับแม่หรือน้องสักชั่วโมงในแต่ละวัน แต่พอเครียดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ยอมทำ คุณบอกปิดบังไม่ได้ และกลัวจะเอาด้านแย่ๆ ไปลงกับคนที่บ้าน

     “งั้นเธอพักก่อน”

     “เอ๊ะ เค้าบอกว่าเค้าอ่านไม่ทัน”


     ผมแย่งชีทมาจากมือของว่าที่คุณหมอ “เดี๋ยวอ่านให้ฟัง”

     คุณทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ไม่ได้แย่งชีทจากมือผมกลับไป อยู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเท้าแขนราวกับจะรอฟัง ผมก้มหน้าอ่านสไลด์แรกผิดๆ ถูกๆ ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้เราก็แค่เด็กฟิล์มจะเอาทักษะไหนมาอ่านศัพท์ทางการแพทย์ สุดท้ายแล้วคุณก็หลุดหัวเราะกับความโง่เง่าในสายวิชาที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ของผม ตีไหล่กันแล้วก็บอกว่าผมควรไปตัดต่อ sound เหมือนเดิมท่าจะดีกว่า

     ผมยิ้มตามรอยยิ้มนั้น

     แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหนังสือให้คุณฟังจริงๆ อยู่แล้ว แค่อยากให้คุณยิ้มเท่านั้นเอง

     ชายหนุ่มอีกคนก็พิงศีรษะลงบนไหล่ของผม บ่นงึมงำถ้อยคำน่าฟังเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ผมก็ได้
ยินอยู่ดี

     “ดีจังที่เค้ามีเธอ”

     ผมก็รู้สึกดีเหมือนกันที่สามารถให้คุณมีผมได้ในวันที่คุณอยากพักมากที่สุด





     ผมได้ทานมื้อเย็นฝีมือน้องขนุน หล่อนบอกว่าอยากจะทำให้แทนคำขอบคุณที่ผมไปช่วยเหลือวันนี้โดยที่พี่ชายหล่อนมากระซิบบอกว่าขนุนทำอาหารไม่อร่อยเท่าไหร่หรอก แต่พอเห็นหล่อนขอแวะซื้อของสดระหว่างทางกลับจากคลีนิคสัตว์และวนเวียนอยู่ในครัวทันทีที่กลับมา ไอ้ครั้นจะปฏิเสธเลยไม่มีอยู่ในความคิด

     จำได้ว่าเคยมาบ้านของคุณเมื่อนานมาแล้วอยู่สองหน ครั้งแรกตอนเป็นเพื่อน ครั้งที่สองตอนเป็นแฟนแล้วแต่ไม่รู้ว่าสมาชิกที่บ้านคุณรู้หรือเปล่า ใครจะคิดว่าจะมีโอกาสมาครั้งที่สามในฐานะแฟนเก่ากันวะ

     มื้ออาหารจบลง ผมอาสาล้างจานให้ในขณะที่คณณัฐล้างอุปกรณ์ครัวอยู่ข้างๆ ไปด้วย และมีเสียงบ่นน้องสาวตัวดีของตัวเองดังเรื่อยๆ ทั้งที่ยังยิ้มอยู่

     นี่แหละนะพี่ชาย บ่นแทบตายสุดท้ายก็ตามใจอยู่ดี

     “เดี๋ยวเค้าไปส่งคอนโดเธอ”

     “เฮ้ย ไม่ต้อง” ผมรีบปฏิเสธ “แค่บีทีเอสก็พอมั้ง กลับเองได้”

     “แต่ว่า—”

     “ขนุนอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ วันนี้คุณแม่เธอไม่กลับนี่ กว่าจะขับไปถึงนู่นคงนานน่าดู”

     พออ้างถึงคุณแม่ของคุณที่ไปร่วมทริปทำบุญคุณก็หมดคำเถียง เราล้างจานกันจนเสร็จ กลับไปคุยกับน้องขนุนอีกนิดหน่อย เจ้าหล่อนยิ้มหวานบอกว่าไว้เจอกันใหม่ในครั้งหน้าก่อนที่จะบอกลา

     รถคันเดิมที่พาผมมาที่นี่เป็นรถที่พาผมกลับ คุณบอกว่าขับรถสักสิบนาทีก็ถึงบีทีเอสแล้ว

     “ขอบใจนะที่มาวันนี้”

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับจากใจจริง “ขอบใจมากกว่าที่ชวนมา”

     “อื้อ”

     มันกลับมาแปลกๆ อีกแล้ว ตอนนี้ผมอยากจะครวญครางด้วยเสียงแบบไอ้มะขาม เผื่อว่าคุณจะเอ็นดูกันอยู่บ้าง

     “เฮ้ย!” จู่ๆ รถคันหน้าก็ปาดข้ามเลนเข้ามาในจังหวะนั้น คุณเหยียบเบรกจนรถกระตุกเพื่อไม่ให้ชน ผมเองก็โน้มตัวไปข้างหน้า เผลอทำโทรศัพท์ตกลงไป “ขอโทษๆ”

     “ขับเหี้ยไรของมันเนี่ย” ผมเผลอบ่น

     คุณหัวเราะนิดหน่อย “แล้วเมื่อกี้เธอทำอะไรตกหรือเปล่า ได้ยินเสียง”

     “มือถือๆ” ผมเอามือปะป่ายข้างล่าง “เดี๋ยวค่อยหาตอนจะลงก็ได้”

     ไม่ถึงนาทีดีก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้า คุณจอดรถข้างทางและหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดไฟฉายให้ ผมโน้มตัวลงไปเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ตัวเองอยู่ในซอกใต้เบาะ

     “ส่องไฟฉะ—”

     คำพูดของผมถูกหยุดลงเมื่อหันไปและพบว่าคุณอยู่ในระยะที่ใกล้กว่าที่คิด จากที่หมายจะขอยืมโทรศัพท์ของคุณมาไว้ในมือก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ คณณัฐเองก็ดูจะตกใจเหมือนกันที่ผมหันกลับมายามที่คุณกำลังโน้มตัวเข้ามาเพื่อช่วยเหลือแบบนี้

     ผมเผลอจับจ้องที่ดวงตาที่สบกันกับผมไม่ยอมหลีกหนีไปไหน, ไฝสองจุดที่เรียงตัวกันเป็นเส้นตรงใต้ดวงตาข้างซ้าย, ปลายจมูก, และริมฝีปากของคุณ

     จำได้ว่าตัวเองเคยสบตากับอีกคนบ่อยแค่ไหน แต่จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เรามองกันในระยะนี้ครั้งสุดท้ายคือเวลาใด เนิ่นนานเพียงไหนแล้ว – และจำไม่ได้ด้วยว่าครั้งสุดท้ายผมทำอะไรกับคุณในระยะห่างเพียงเท่านี้

     คุณผลุบตาลงต่ำ บดกลีบปากเข้าหากันแน่น

     คุณจะถอยออกไปหรือเลื่อนกายเข้ามานะ

     เสี้ยววินาทีที่เผลอตั้งคำถามเป็นเวลาเดียวกับที่ได้รับคำตอบว่า เปล่า คุณไม่ได้ทำอะไรเลย ราวกับเฝ้ารอว่าตัวผมเองจะทำอะไรต่อไป คุณถึงจะเป็นฝ่ายตัดสินใจ

     เพราะฉะนั้นผมเลยเป็นคนที่เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกนิด

     “เธอ— เอาไปส่องเองไหม”

     และผมก็ได้รับรู้แล้วว่าคุณถอยออกไป

     ระยะห่างเท่านั้นคือใกล้ที่สุดที่ผมได้รับอนุญาตในยามนี้

     ผมรับโทรศัพท์มาจากอีกคน กระอักกระอ่วนใจเหลือเกินเพราะงั้นเลยไม่กล้ามองหน้าคุณอีกเลย เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาได้แล้วจึงส่งมันคือให้กับคุณและเปิดประตูออกไป

     “กลับดีๆ นะ”

     “ครับ” ผมตอบ ไม่มองหน้าอีกคนด้วยซ้ำ “เหมือนกันนะ”

     “ถึงแล้วบอกด้วยนะครับ”

     “อื้อ”

     ผมกำลังจะปิดประตูอยู่แล้ว หากแต่รวบรวมความกล้าที่จะมองหน้าคุณอีกสักครั้ง รอยยิ้มถูกหยิบยื่นมาให้เหมือนกับทุกครั้งหาก เพียงแค่นั้น, แค่เท่านั้น, ผมก็ทำได้แค่ยิ้มกลับไป

     “ณะ”

     ผมหยุดมือ “ครับ?”

     คณณัฐเม้มปากแน่น “ขอบคุณนะวันนี้”

     “ไม่เป็นไร ขอบคุณเหมือนกัน ฝากบอกน้องขนุนด้วยนะ”

     “อื้อ” คุณพยักหน้า “กลับดีๆ” ย้ำคำเดิมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม

     ผมพยักหน้า ปิดประตูรถ เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังสถานีรถไฟฟ้า รถคันนั้นยังจอดอยู่ที่เดิมจนผมเลื่อนมาจนถึงสิ้นสุดทางนั้น คณณัฐจึงขับรถออกไป

     พยายามบอกว่าแค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว

     พยายามแล้ว, แต่— ให้ตายเถอะ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าตอนนี้คุณคิดอย่างไร

     คุณทำได้จริงๆ หรือไอ้การเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าเนี่ย

     เก่งเหลือเกิน




     
-------------------------
อยู่ๆ คอมเม้นกับคนอ่านก็เยอะมาก
ขอบคุณทุกคนมากๆๆๆ นะคะ จะพยายามเขียนออกมาให้เร็วที่สุดเลย

ปล. ใครรู้จักหมอป้องยกมือขึ้น

เจอกันในแท็กค่า
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 07 (pg.2) : 16/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-02-2019 23:00:06
ทุกคนสะกดตัวเองว่าต้อง move on สินะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 07 (pg.2) : 16/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-02-2019 23:38:34
 :katai2-1:


อมยิ้มๆ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 07 (pg.2) : 16/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-02-2019 21:25:20
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 07 (pg.2) : 16/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-02-2019 21:22:09
กำแพงเฟรนด์โซนมันสูงอะไรขนาดนี้  :hao7:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 07 (pg.2) : 16/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 18-02-2019 22:30:17
คุยกันน่ารัก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 07 (pg.2) : 16/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 21-02-2019 00:33:54
คุยกันน่ารักมาก แต่มันเป็นงึกๆงักๆ5555555
อยากอ่านมุมคุณบ้างจังค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 07 (pg.2) : 16/02/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: enas290843 ที่ 22-02-2019 01:06:48
ตอนที่ส่องไฟฉายหาโทรศัพท์ในรถ เราคิดภาพตามแล้วกระอักกระอวนแทนณะเลยค่ะ มะนคงจะหน่วงมากๆ อยากรู้จังว่าคุณจะคิดอะไรบ้างมั้ย
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 08 (pg.2) : 15/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 15-03-2019 21:31:24
———— 08 ————




     “มึงไปกินข้าวกับใครวันเสาร์”

     ผมเลิกคิ้วกับคำถามแรกที่โดนถามจากโย่งทันทีที่เดินเข้ามาในออฟฟิศ ดึงหูฟังออกแล้วเอ่ยถามมันด้วยสีหน้าแปลกใจ “เมื่อกี้มึงพูดไรนะ”

     “มึงไปกินข้าวกับใครวันเสาร์” โย่งย้ำ “ที่ผ่านมา”

     “อ๋อ” ไม่ได้แปลกใจใดๆ ที่เพื่อนเอ่ยถามคำนี้ “กูว่าแล้ว”

     วันก่อนผมเห็นคุณอัพภาพในเฟซบุ๊กแล้ว มันก็เป็นแค่ภาพอาหารนั่นแหละ ถ้าไม่บังเอิญว่าโต๊ะกับเมนูนั้นเป็นภาพที่ผมอัพลงอินสตาแกรมเมื่อคืนก่อนหน้านั้นพอดี ยังคิดอยู่เลยว่าไอ้โย่งที่ไม่เคยจะปล่อยเรื่องของผมผ่านต้องมาถามอยู่แล้ว นึกแปลกใจด้วยซ้ำที่เลือกจะถามวันจันทร์ แทนที่มันจะไลน์มาทันทีที่เห็น

     “กูว่าแล้ว!” ไอ้โย่งทำหน้าตาตื่น “รีเทิร์นจริงๆ ใช่ไหม”

     “โอ๊ย กูอยากจะฟาดปากมึง”

     “อ้าว”

     “ไม่รีเทิร์น” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มึงกินอาหารกับเพื่อน ถ่ายรูปลงไม่ได้หรือไง ก่อนหน้านี้มึงเจอคุณมึงยังถ่ายรูปลงเลยนี่” เถียงมันด้วยความโมโหอย่างไม่จริงจัง

     “ได้ทั้งนั้นถ้าคนนั้นไม่ใช่แฟนเก่ากู”

     “ไอ้โย่ง หน้าหมา”

     “หรือจะเถียง”

     “เออ!” ผมกระแทกเสียง ไม่เถียงอะไรทั้งนั้นแหละ เถียงไปยังไงก็แพ้ “ย้ำอยู่นั่นแหละ แฟนเก่า!”     

     ไอ้โย่งที่โดนคำพูดใส่อารมณ์ของผมไปถึงกับทำอะไรไม่ถูก น้อยครั้งนักที่ผมจะหงุดหงิดให้เพื่อนเห็นด้วยประเด็นที่ล้อเลียนกันเหมือนสมัยเราอยู่มหาวิทยาลัย

     “โกรธเหรอวะ” มันถามน้ำเสียงหงอยลงไปนิดหน่อย “กูยุ่งมากไปเหรอวะมึง”

     “ก็ใช่ด้วย” ผมว่าเสียงอ่อนลงบ้าง เห็นเพื่อนไม่สบายใจอะไรก็ไม่ได้นึกอยากจะโวยวายใส่ให้เห็นหรอก “แต่มึง— เลิกย้ำสักทีว่ากูเป็นแฟนเก่า กูรู้แล้ว แฟนเก่าไง!” ผมกระแทกก้นลงไปบนเก้าอี้ของตัวเอง เผลอจิกตีนเมื่อเห็นว่าเก้าอี้ทำท่าจะเลื่อน ขืนผมล้มตอนนี้มันคงจะเป็นฉากขึงขังที่ตลกพิลึก “แฟนเก่าแล้วยังไง เลิกย้ำได้แล้ว กูเป็นเพื่อนคุณได้”

     โย่งเองก็ทำสีหน้าไม่ถูกกับความจริงจังของผมในวันนี้ มันมองซ้ายมองขวา สุดท้ายก็พูดคำว่าขอโทษออกมาในที่สุด

     “ขอโทษด้วยถ้ากูล้อจนมึงไม่สนิทใจกับคุณ”

     “เปล่า” ผมถอนหายใจพรืด “ให้ตายกูก็ไม่สนิทใจ”

     “เอ้า”

     ผมเปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้า “เออ กูไม่สนิทใจ” ย้ำคำเดิมอีกครั้งเหมือนอดกลั้น

     การอยู่คนเดียวช่วงวันอาทิตย์มาจนถึงวันจันทร์เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมต่อสู้กับความสับสนว้าวุ่น ทำอะไรไม่ถูกด้วยตัวคนเดียวมาเกินวันไม่ได้หรอก

     “ให้ตายก็ไม่สนิทใจ บ้าปะวะ ใครมันจะเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ดีขนาดนั้นอ่ะ”

     ไอ้โย่งขมวดคิ้ว “เวร” ก่อนจะตบหน้าผากเข้าฉาดใหญ่

     ผมได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนสนิท “ใช่ เวร”

     “ณะ กูถามจริง” โย่งเหลือบมอง มันคงคิดว่าผมจะประชด แต่เปล่าเลย, ผมไม่ได้ประชดสักนิด – ที่พูดออกไปทั้งหมดคือเรื่องจริง พอเห็นสีหน้าไม่เล่นของผมแล้ว มันก็คงรู้เหมือนกัน

     “เออ” ผมย้ำอีกครั้ง

     สีหน้าของเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปเป็นจริงจังมากขึ้น “กูเห็นความรักของมึงมาตั้งแต่มึงเริ่มแอบชอบคุณ ข้ามเส้นเฟรนด์โซน คบกันยันมึงเลิกกัน นี่กูยังต้องเห็นตอนมึงจีบคุณใหม่ด้วยเหรอ”

     ผมเค้นหัวเราะในลำคอดังเฮอะ “มีโอกาสจีบใหม่ก็ดีสิ”

     “เอ้า” มันทำสีหน้าแปลกใจ “คุณไม่เอามึงเหรอ”

     “ไอ้โย่งหน้าหมา” ผมด่ามันด้วยความหงุดหงิดใจเพราะมันพูดถูกต้องทุกประการ

     “สนามอารมณ์มากเลยกูเนี่ย ไม่คิดบ้างเหรอว่ากูก็เจ็บได้ร้องไห้เป็น” มันพูดติดตลกเหมือนกับทุกครั้งก่อนจะตัดเข้าประเด็นจริงจังใหม่ “คือยังไง ที่มึงคุยๆ กันอยู่นี่ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนจะจีบกันใหม่เหรอ”

     “จีบกันใหม่ก็แย่ คุณบอกเป็นเพื่อน”

     มันทำหน้าแหย “เป็นเพื่อน?” ทวนคำเสียงฉงน “กูไม่มีมาตราการคุยไลน์กับเพื่อนทุกวัน แล้วไปหาอะไรกินด้วยกันสองคนในวันหยุดนะ ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษจริงๆ หรือเคสที่ไม่มีใครคบแล้วเหมือนกูกับมึงตอนนี้”

     ผมขยำทิชชู่ปาใส่มันสักทีด้วยความหมั่นไส้แต่ก็เถียงไม่ออก เอาจริงๆ คนวัยเราก็เริ่มแยกย้ายกับเพื่อนไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่อยู่กับคนรักทั้งนั้น ถ้าผมไม่ได้รับคำชวนจากไอ้โย่งให้มาทำงานที่นี่ก็คงจะเป็นการคบที่เริ่มห่างกันไปไปแล้วเหมือนกัน

     “คุณใจแข็งแล้วก็ใจดี” มันว่าต่อ “ยังไงก็ไม่ใช่คนที่จะตัดฉับใครได้เพียงเพราะเขาเป็นแฟนเก่าว่ะ หมอก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

     “เขาเคยทำได้”

     “เขาไม่ได้เคยทำได้” มันว่าน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนั้นมึงบังคับให้เขาทำได้”

     ผมนิ่งเงียบ

     “เถียงดิ” มันเลิกคิ้วเหมือนจะซ้ำเติมแต่ผมทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นเพราะที่พูดเรื่องจริงล้วนๆ “ตอนนั้นกูว่าพวกมึงก็สภาพใกล้ๆ กันอ่ะ ถึงกูจะอยู่กับมึงมากกว่าก็เถอะแต่กูก็รู้ปะวะ เพื่อนคุณด่ามึงฉิบหาย— ไอ้แมคปะวะ ชื่อนั้นปะ”

     “ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว”

     “เออ เอาเป็นว่ากูรู้แล้วกันว่าคุณสภาพไม่ต่างจากมึงหรอก” มันพูดด้วยความจริงจังขึ้นมาหน่อย “ตอนนั้นน่ะนะ ตอนนี้กูไม่รู้”

     ผมมองหน้าจอที่ขึ้นว่าพร้อมใช้งาน ถอนหายใจอีกครั้ง แค่คุยกับไอ้โย่งเรื่องนี้เพียงแป๊บเดียวยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

     “ไม่แปลก – ตอนนี้กูก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน”




     ผมคิดว่าบรรยากาศในออฟฟิศมันก็หม่นหมองอยู่พอตัวเพราะความคิดน่าปวดหัวต่างๆ ที่วนเวียนมาทั้งอาทิตย์ พยายามตอบแชทคุณให้น้อยลงแต่ก็กลายเป็นตัวเองที่อยากจะพูดคุยถามไถ่เสียเอง จนวันที่ผมต้องแบกร่างออกมาที่งานฟู้ดแฟร์ซึ่งจัดอยู่อีกฝั่งของกรุงเทพฯ กับพี่ข้าวและพี่เอกนั่นแหละ

     “ทะเลาะกันเหรอวะพี่” สบโอกาสถามพี่เอกตอนที่พี่ข้าวกำลังไปเข้าห้องน้ำ ผมรับหน้าที่คนขับรถงี้เกร็งจนฉี่จะแตก

     “เออ” เจ้านายพยักหน้า ท่าทางหัวเสีย “แม่งเอ๊ย”

     “คลิปกร่อยปะเนี่ย”

     “ไม่รู้แม่ง ถ้ามันเป็นมืออาชีพไม่ได้ก็ลองดู”

     “พี่ข้าวมาได้ยินพี่โดนแน่”

     ว่าที่เจ้าบ่าวยักไหล่ ทำท่าทีไม่แคร์อะไรแบบนี้ก็คงจะหงุดหงิดไม่แพ้สาวเจ้าเหมือนกัน

     เห็นเจ้านายเป็นแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าอะไรทำให้คู่รักสามวันดีสี่วันไข้ตัดสินใจจัดงานแต่งงานในเดือนหน้านี้ได้ พี่ข้าวเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับนิยามว่าผู้หญิ๊ง...ผู้หญิง ในขณะที่พี่เอกดูจะไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่ ด้านชาเป็นที่หนึ่ง (แต่บางครั้งผมก็เข้าใจพี่เอกตอนที่บอกว่าเจ้าหล่อนอีโมฯ เกินไปเสียหน่อย) แต่ก็นั่นแหละ, ผมพอเข้าใจได้ว่าทั้งสองเองก็คงถึงวัยคิดสร้างครอบครัวแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่อายุห่างจากผมไปแค่สี่ – ห้าปีแท้ๆ พี่ชายของผมก็แต่งงานด้วยวัยประมาณนี้เหมือนกัน

     พี่ข้าวเดินออกมาสีหน้าหงุดหงิด ท่าทางไม่พอใจเท่าไหร่นัก ทำท่าจะเดินจ้ำอ้าวแต่ก็หันขวับมาเมื่อผมกับพี่เอกเดินตามไม่ทัน เพียงเท่านั้นพี่เอกก็สาวเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเพื่อที่จะเดินตามแฟนตัวเองให้ทัน

     อืม, นั่นก็น่ารักดี

     ผมเปิดกล้อง จริงอยู่ที่ปกติผมมักจะรับหน้าที่ตัดต่อ แต่ก็เป็นตากล้องด้วยเหมือนกัน เวลาออกนอกสถานที่โดนมากจะเป็นไอ้โย่ง มีผมแทรกมาบ้างเมื่อโย่งเริ่มงอแงว่ามันขี้เกียจ

     พอเข้ามาในฟู้ดแฟร์แล้วในหัวเผลอนึกถึงคุณอย่างห้ามไม่ได้ จำได้ว่านี่เป็นหนึ่งในบทสนทนาตอนที่เรากินอาหารฝีมือน้องสาวของคุณด้วยกัน คุณหันหน้าจอที่มีภาพไส้ย่างมาให้ ผมจำชื่อร้านไม่ได้หรอก – แต่ก็จำได้ว่าคุณ
อยากกินไส้ย่างที่มาออกบูธงานวันนี้

     ผมเดินตามคู่รักคนดังต้อยๆ จริงอย่างที่พี่เอกว่า พี่ข้าวก็มืออาชีพมากพอที่จะถ่ายคลิปวีดีโอด้วยความเฮฮา เล่นมุกอย่างสนุกสนาน กินทุกอย่างด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ป้อนแฟนหนุ่มบ้าง ยุให้แฟนหล่อนป้อนตากล้องอย่างผมบ้าง

     “มีแต่คนถามว่าตากล้องโสดไหม ตากล้องโสดทั้งสองคนนะคะ ข้าวบอกไว้ตรงนี้”

     “โหย พี่ข้าว” ผมชะโงกหัวออกมาจากหลังกล้องวีดีโอ “ขายกันอย่างนี้เลยนะ”

     “เฮ้ย พวกแกก็มีคนถามถึงเยอะนะเว้ย” พี่เอกหัวเราะ “ประกาศๆ ไป เดี๋ยวก็มีคนติดต่อเข้ามา”     

     “ขอขาวๆ นะครับ” ผมเอ่ยออกมา ก่อนจะเป็นตัวเองที่ชะงักไปเอง

     “เฮ้ย ไม่ขาวแล้วไงวะ มึงมีปัญหาเหรอไอ้น้อง” พี่เอกถามผมด้วยน้ำเสียงเฮฮาว่าผมเรื่องมากหรือเปล่า ต้องขาวอย่างเดียวหรือถึงจะเอา มีสเป็กเจาะจงอย่างอื่นอีกไหม แต่ผมตอบคำถามเหล่านั้นแค่ในใจ

     ไม่เคยชอบคนขาว, ไม่เคยเลย— แต่เพราะชอบคุณนั่นแหละ ถึงได้หันมาชอบคนผิวขาว
     คนพูดเสียงเบาเนิบนาบก็ไม่ได้อยู่ในสเป็ก คนเป็นหมอก็ไม่ใช่ คนใจเย็นหรือคนตัวสูงผอมก็ไม่ใช่อีก คิดไปคิดมาแล้ว ผมไม่ได้มีสเป็กอะไรเลยนอกจากคิดถึงคุณเวลาคนถามว่าชอบคนแบบไหน

     พอไหมณะ

     ถามตัวเองแบบนั้น แต่ตอนที่หันไปเจอร้านขายไส้ย่างแล้วก็ยังเห็นหน้าคุณอยู่ดี

     เอาแบบนี้สิตัวกู




     
     ผมเลื่อนสตอรี่อินสตาแกรมเรื่อยเปื่อยตอนที่นั่งอยู่บนรถซึ่งพี่เอกเป็นคนขับแก้เซ็ง พี่มันอาสาจะขับกลับไปส่งที่คอนโดให้ตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น แต่กรุงเทพฯ ช่วงหลังมื้อเย็นก็ยังเป็นที่ที่ชวนให้หงุดหงิดกับรถที่เต็มถนนอยู่ดี

     “น้องขิงทักมาแหละ” พี่ข้าวที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับเอ่ยออกมา “ถามถึงณะด้วย”

     “—อา”

     “น้องสาวพี่โสดนะ”

     คำพูดลอยๆ จากหญิงสาวทำให้ผมเงียบกริบ แต่แฟนของพี่ข้าวก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “อย่าคิดจะจับคู่เลยนะข้าว”

     “เอ้า ทำไมอ่ะ เผื่อณะมันเหงาไง”

     “ไม่เหงาพี่” ผมเอ่ยปากขึ้นมาตัดบท “ไม่ได้เหงาอะไร”

     “จริงเหรอ”

     “อือ” ผมไม่ได้โกหกหรอก “ไม่เหงาเลย”

     พอเป็นแบบนั้นพี่ทั้งสองก็ยอมแพ้ ผมออกจากอินสตาแกรม เปิดมาที่แอพพลิเคชั่นอื่น สุดท้ายก็ไปไถไทม์ไลน์เฟซบุ๊กที่ไม่ได้เข้าบ่อยนัก ตอนนี้เต็มไปด้วยประเด็นการเมืองเผ็ดร้อน บางคนก็บ่นยาวหลายหน้ากระดาษ บางคนก็แค่แชร์บทความ ผมเลื่อนผ่านอย่างไม่ใส่ใจอะไรนักก่อนที่จะหยุดนิ่งกับภาพที่เห็น

     Jednipat J. – with Kunnanad T.
     thanks for photo na krub


     รู้อยู่แล้วว่าเฟซบุ๊กเป็นแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างจะสาระแน อะไรที่ไม่อยากเห็นก็มักจะได้เห็น แต่ตอนที่ได้เห็นภาพที่คุณถูกแท็กมาด้วยใครสักคนที่ไม่รู้จักก็ทำให้ใจตกลงไปกองที่ตาตุ่ม ภาพนั้นไม่ได้เห็นหน้าคุณแต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นภาพที่คุณถ่ายให้

     Jednipat J. คนนั้นดูจะเป็นคนหน้าตาดี ชายหนุ่มผิวสองสี สวมแว่นตาท่าทางมีภูมิฐาน อายุคงไล่เลี่ยกับคุณ – และเป็นคุณหมอที่โรงพยาบาลเดียวกัน – ข้อมูลนั้นเฟสบุ๊กเป็นคนบอกกัน

     ผมเลื่อนดูความคิดเห็นของคนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมาเอ่ยปากว่าหมอเจตอะไรนี่หล่อ บางคนก็มาแซว แต่ความคิดเห็นที่ทำให้ผมถึงกับหยุดชะงักคืออันล่าสุด

     Pink pawarisa สรุปคู่จิ้นนี้จริงไหมคะพี่หมอเจต 5555
     Jednipat J. น่าจะเป็นได้แค่คู่จิ้นมั้ง มีคนใจร้าย ) : Kunnanad T.
     Kunnanad T. พี่เจตเลิกปั่นเถอะครับบบบ
     Jednipat J. เผื่อจะได้เป็นจริงไง


     —เอาล่ะ กูไม่ชอบไอ้พี่เจตนี่

     อยากจะไปแสดงความคิดเห็นบ้าง แต่โพสต์ก็ไม่ใช่ของคุณ – ต่อให้เป็นของคุณก็ไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองจะกล้าเสนอหน้าเข้าไปในโลกที่ตัวเองเคยเดินออกมาเนิ่นนานถึงห้าปีได้หรือเปล่า

     ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ ถอนหายใจมองรถบนถนนที่แน่นขนัดและคงจะแน่นไปอีกสักพัก อย่างน้อยๆ ก็คงอีกสองสามช่วงถนนก่อนที่จะเริ่มรับรู้ว่าเพลงที่เปิดอยู่ในรถคือเพลงซ่อนกลิ่นของปาล์มมี่ – ไอ้พี่เอก เพลย์ลิสต์พี่ก็ช่างสรรหาเหลือเกิน – เอาเสียซีนอย่างกับหนังรัก




     
     k.
     เพิ่งออกจากเวรแหละ
     เหนื่อยจัด

     ผมอ่านข้อความที่ถูกส่งค้างไว้ราวห้าชั่วโมงก่อนทิ้งท้ายคำบ่นพร้อมกับสติ๊กเกอร์หมีปิดหน้าร้องไห้หนึ่งตัวนั่นทำให้ผมเค้นยิ้มได้ไม่ยาก จะยิ้มให้เต็มปากก็ไม่ได้

     
napat
     เพิ่งถึงห้อง เหนื่อยเหมือนกัน

     ตอนที่พิมพ์กลับไป ไม่คิดเลยว่าข้อความจะถูกอ่านราวกับกำลังรออยู่แบบนั้น

     k.
     อ้าววว ปกติไม่ดึกขนาดนี้นี่
     ทำไมวันนี้ดึกอ่ะ

     
napat
     ออกไปถ่ายงานฟู้ดแฟร์ครับ
ที่เธอเคยพูดถึงอ่ะ
     
     k.
     อ๋อ 555555555555
     อยากเที่ยวบ้างจัง

     
napat
     วันนี้ก็ไปเที่ยวนี่
กับคุณหมออีกคนใช่หรือเปล่า

     ผมไม่ได้พูดประชดแต่อย่างได้ แต่หยั่งเชิงกับคำถามนั้น อยากรู้ว่าคุณจะตอบกลับว่าอะไร – คุณไม่ได้บอกผมว่าจะไปไหนหรอกถ้าไม่ใช่เราตอบกันกลับแบบในทันทีแล้วจะปลีกตัว

     วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวบนเตียง บอกตัวเองว่าอย่าทำตัวเป็นเฝ้ารอ และความตั้งใจนั้นก็เป็นหมันในไม่กี่นาที

     k.
     เอ้า รู้ได้ยังไง

     ผมพ่นหายใจพรืด พิมพ์ตอบกลับไป

     
napat
     เฟซมันเด้งขึ้นมาไง
ไม่ได้ตั้งใจจะส่องนะ

     k.
     ร้อนตัววว ไม่ได้ว่าอะไรเลย

napat
     สนิทกันเหรอ

     ผมรู้ตัวว่าถามคำถามที่ไม่น่าถามตอนที่ใจร้อนกดส่งไปแล้ว คุณอ่านมันในทันที บรรยากาศในแชตดูห้วนไปหรือเปล่านะ และผมมีสิทธิ์ที่จะถามอยู่ไหม นั่นเป็นสิ่งที่ตั้งคำถามเพิ่มเติมในใจ ก่อนที่ผมจะได้รับคำตอบกลับมา

     k.
     555555555555555

     —ด้วยวิธีที่คุณใช้บ่ายเบี่ยง

     นั่นค่อนข้างจะน่าหงุดหงิด ผมสูดลมหายใจลึก รู้แล้วว่าคุณไม่อยากให้ถาม หรือไม่สะดวกใจที่จะตอบ แต่ผมบอกตัวเองว่า – พอแล้ว – พอ พอ พอให้หมด, ผมควรรู้เสียทีว่าตัวผมควรจะได้ยืนตรงไหนในความสัมพันธ์กับแฟนเก่า

     เราควรแปะป้ายกันว่าอะไรในตอนนี้เหรอคุณ

     แฟนเก่าหรือเพื่อนใหม่

     k.
     ก็เวียนเจอกันบ่อยๆ

     
napat
     สนิทใช่เปล่า

     k.
     ประมาณนั้นมั้ง 55555555
     ไม่ใช่เธอกับโย่งนะ คบกันแค่นั้นอ่ะ

     
napat
     เธอ

     k.
     ครับ?

     พอแล้ว ผมบอกตัวเองอีกครั้ง พอแล้วจริงๆ

     
napat
     คนนี้ใช่เปล่าที่เธอซื้อบุฟเฟ่ต์โรงแรมคราวนั้นด้วย
จะไปกับเขาใช่หรือเปล่า
คุยๆ กันกับเขาอยู่เหรอ?

     ถ้าตัวอักษรมีเสียง มันคงเนิบนาบเหมือนที่คุณพูด แต่ผมรู้, คนอย่างผมไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบนั้นนักหรอกในความเป็นจริงถ้าหากนั่นไม่ใช่คำถามจริงจัง และผมคิดว่าคุณเองก็รู้ ถึงได้อ่านข้อความแล้วเงียบไปแบบนั้น

     ผมใจฝ่อในความเงียบนั้นเหลือเกิน ไม่มีโอกาสในการยกเลิกข้อความอีกแล้ว, และถ้าผมทำ ผมคงด่าตัวเองไปตลอดชาติเหมือนกับตอนที่บอกเลิกคุณแน่ๆ

     k.
     ตั้งใจจะไปกับพี่เขาอ่ะแหละ 55555555
     ทำไมอ่ะ

     คราวนี้เป็นผมเองที่เงียบกับคำถามสั้นๆ นั้น

     คำถามสั้นๆ ที่ตีความได้มากมาย เป็นคำถามที่ราวกับจะเอ่ยปากบอกกันว่าผมกำลังก้าวก่ายเกินไป หรืออาจจะสื่อว่าผมไม่ควรไปยุ่งกับอะไรแบบนี้

     k.
     ณะ เธอถามเค้าในฐานะอะไรเหรอ
     เค้าจะได้ตอบคำถามถูก

     ผมเดาอารมณ์ของคุณไม่ถูกเลย จริงๆ นะ, หรือห้าปีมันเนิ่นนานเกินไปจนผมรู้สึกราวกับว่าเราต้องทำความรู้จักกันใหม่

     k.
     เค้าเหนื่อยจะเดาใจเธอแล้วอ่ะ
     จริงๆ นะครับ
     บอกเค้าหน่อยนะ เค้าเดาใจเธอตลอดไปไม่ได้หรอก

     —แล้วจะไปทำความรู้จักกันในฐานะอะไรเล่า

     ผมถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกับที่คุณถามผม

     k.
     เค้าจะได้รู้ไง
     ว่าเค้าควรตอบที่เธอถามว่าอะไร



     

-------------------------
ขอโทษที่หายไปนานค่ะ

มิดเทอมทำพิษมา หายไปนานเกินกว่าที่คิดมากๆ
เพราะมีงานด้วย ;-;
ยังเรียนไม่จบนะคะ แง้ ปีสามเองค่ะ
แต่หลังจากนี้น่าจะกลับมาอัพได้แบบเดิมแล้วค่ะ!

ฝากด้วยนะคะ!

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 08 (pg.2) : 15/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-03-2019 23:26:28
อ่านแล้วก็เห้ยเบาๆ คู่นี้เล่นอะไรกันอยู่ 555
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 08 (pg.2) : 15/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-03-2019 23:43:10
อยากตอบแทนณะบ้างว่าไม่รู้ว่าเธอวางเราไว้ในฐานะไหน แง้ ปวดหัวใจ ไม่รู้ว่าคุณมูฟออนได้ไหม แต่สำหรับณะ ไม่แน่ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 08 (pg.2) : 15/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 16-03-2019 09:19:48
เราก็เดาใจคุณไม่ออกเหมือนกันค่า แง้
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 08 (pg.2) : 15/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-03-2019 20:50:48
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 08 (pg.2) : 15/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 26-03-2019 20:14:06
———— 09 ————

 

 

     ผมไม่ใช่คนไม่รู้อะไรเลย – แค่แกล้งทำตัวแบบนั้นเก่งเท่านั้น

 

     ตอนที่ผมรู้ตัวว่าเพื่อนคนหนึ่งแอบชอบผม แวบแรกก็รู้สึกตกใจ, ตกใจมากๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเลยตั้งใจว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครมาชอบ – ผมมันก็ทำแบบนี้ไปเสียทุกครั้ง ยิ้มแย้มเป็นมิตรแต่ถอยออกมาหน่อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดไปเอง แต่เหมือนเคสนี้จะยากกว่าทุกครั้งในเมื่อณะหรือณภัทรคนนั้นเป็นผู้ชายตัวโตที่ดูท่าจะซื่อบื้อ

 

     แขนขายาวเก้งก้างนั่นจะขยับตัวแต่ละทีก็ยึกๆ ยือๆ ไปเสียหมด แถมสีหน้านั่นปิดบังอะไรไม่ค่อยได้เอาเสียเลย

 

     “คุณ” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นมาจากหน้าประตู “อยู่ห้องเปล่า”

 

     ผมถอยเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะ เดินไปเปิดประตูเพราะรู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือใคร“ว่าไง”

 

     “ยืมเหรียญสิบหน่อยดิ ไม่มีเหรียญจะซักผ้าแล้ว”


 

     มุกที่เอามาใช้เคาะประตูห้องผมก็น่ารักดีเหมือนกัน ผมเริ่มจะชินไปเสียแล้วกับการที่มีคนห้องใกล้ๆ กันในหอในเดินออกมายืมนู่นยืมนี่ ขอแลกเหรียญสิบไปซักผ้าบ้าง บางวันก็เดินมายืมยากันยุง ยาสีฟัน ตลกไหม, รูมเมทของตัวเองก็มี เซเว่นใต้หอก็มี ยังอุตส่าห์มายืมนู่นนี่ของเพื่อนต่างคณะอีก ตอนแรกก็คิดในใจว่าไอ้เด็กฟิล์มตัวสูงชะลูดนี่ไม่มีอะไรเลยเหรอ แต่พอคุยกับไอ้แมคที่เป็นรูมเมทคณะเดียวกันแล้วก็กลายเป็นว่ามันส่ายหน้าบอกผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

 

     “ไอ้ณะมันไม่เคยมาเคาะห้องเราตอนกูอยู่เด้อ”

 

     “อ้าว”
ผมเกาหัวแกรก “จริงเหรอ”

 

     “เออ มันหาเรื่องเจอหน้ามึงเปล่า”


 

     —ก็คงใช่

 

     พอเริ่มสังเกตแล้วก็หยุดสังเกตไม่ได้ คงเพราะหอในมีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้รู้จักกับเพื่อนคณะอื่น ไปๆ มาๆ ห้องของผมกับห้องของณะ รวมไปถึงปีหนึ่งอีกสองสามคนในหอก็ชอบสั่งพิชซ่ามากินกันตอนดึกๆ หรือไม่ก็คลุกกันเล่นเกม โดยที่ผมกับณะไม่เล่นเกม เวลาพวกนั้นสุมหัวกัน ผมก็ถูกดีดมาอยู่กับณะไปโดยปริยาย

 

     อยากจะแกล้งทำเป็นไม่รู้อยู่หรอก แต่ไอ้การที่เปิดพัดลมแล้วจงใจจ่อให้ผมทั้งที่ตัวเองเหงื่อแตกซ่กเต็มหลัง หรือการที่ชวนไปกินอะไรที่ผมเพิ่งเปรยว่าอยากกินไปเมื่อสองสามวันก่อนนั่นก็ค่อนข้างน่าสงสัย

 

     “อ่ะ เอาอันนี้ไปกินดิ”

 

     “เฮ้ย ณะกินไปก็ได้”

 

     “ไม่เป็นไร”
อีกฝ่ายว่าแบบนั้น “อยากให้คุณกิน”

 

     ผมหัวเราะอย่างเก้อเขิน แกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาคู่นั่นที่มองมาอย่างซื่อตรง “เนี่ย ชอบพูดจาพระเอกนะเนี่ย ทำแบบนี้ให้สาวๆ สาวหลงตาย”

 

     “แล้วต้องไปทำให้สาวเหรอ”


 

     ฟังคำพูดแล้วโคตรของโคตรเจ้าชู้, แต่สีหน้างุนงงนั่นก็ไม่ได้บ่งบอกอะไรไปมากกว่าผู้ชายคนนี้ถามออกมาตรงๆ ว่าเขาต้องไปทำหรืออย่างไร

 

     “เดี๋ยวคนก็คิดว่าณะชอบเราหรอก”

 

     ผมเอ่ยแบบนั้นพลางหลบตา – หมายมั่นว่ามันจะเป็นกำแพงให้เสียหน่อย

 

     ณะแสดงสีหน้าออกมา อ่านออกง่ายเหมือนกับทุกครั้ง ทำน้ำเสียงโอดครวญจนทำให้ก้อนเนื้อในอกผมเต้นระรัวอย่างห้ามไม่ได้

 

     “จริงๆ คุณเองก็รู้อยู่แล้วนี่นา”

 

     แล้วผมก็รับรู้ได้ตอนนั้น – ไอ้กำแพงที่ว่านั่นไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันณะหรอก – ไม่เช่นนั้น แค่ณะแตะต้องเพียงแผ่วเบาคงไม่ล้มครืนง่ายๆ ถึงเพียงนี้

 

     ขี้โกงเหลือเกินนะณภัทร

 

 

 

 

 

     เคยมีคนบอกว่าแฟนคนแรกมักจะติดอยู่ในความทรงจำไปอีกเนิ่นนาน – ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต – แฟนคนแรกของผมอยู่ในความทรงจำของผมได้นานกว่าที่อยู่ในความเป็นจริงเสียอีก

 

     แม้จะไม่ได้นานเท่าไหร่นักที่ได้คบกับณะ แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่น้อยเลย

 

     แต่เชื่อไหม, ณะ – ในวัยยี่สิบปีที่อาศัยในภาพจำ – ติดอยู่กับผมแม้ว่าผมจะผ่านช่วงเวลาสุดโหดในการเป็น extern, ผมรับปริญญา, ผมไปใช้ทุน จวบจนผมกลับมาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ

 

     เนิ่นนานขนาดนั้นแหละ

 

     เพราะฉะนั้นตอนที่เห็นใบประวัติคนเพิ่งได้รับอุบัติเหตุมา ชื่อณภัทรที่แสนโหลกับนามสกุลที่ผมคุ้นๆ ขึ้นมาทำให้ขมวดคิ้ว ก้อนเนื้อในอกเต้นตุบ, ตุบ, ตุบ เหมือนกับภาวนาอะไรสักอย่าง

 

     ตอนที่เดินเข้าไปและเห็นว่าณภัทรคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่อาศัยอยู่ในภาพจำ รู้ไหมผมทำอะไรไม่ถูก เอ่ยปากทักทายด้วยรอยยิ้มทั้งที่ในหัวร้องกู่ก้องว่าฉิบหายแน่สลับกับตะโกนคำว่าทำยังไงดีอยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้ง จะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักก็ไม่ได้เพราะวินาทีที่สบตากันผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายจำผมได้

 

     —ต้องดีใจหรือเสียใจนะ

 

     รำพันคำนั้นกับตัวเอง ผมคิดไม่ออกว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีกับสถานการณ์แบบนี้

 

     ห้าปีที่ไม่ได้เจอกันเธอเป็นยังไงบ้างนะ

 

     แล้วเธอยังอยากจะเจอกันอยู่ไหม

 

     “ณะ เธออันบล๊อกไลน์เค้าได้หรือยัง”

 

     ตอนที่พูดออกไป ในหัวไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก – จริงๆ นะ – นั่นมันเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะพูดออกมาตลอดตอนเจอหน้าอีกฝ่ายนับตั้งแต่เราเลิกรากันไป

 

     ณภัทรหน้าเจื่อนไปชั่วครู่กับคำพูดนั้น ผมแสร้งทำเป็นหัวเราะก่อนที่จะโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าให้คนขาเป๋ออกไปจากที่ตรงนี้เสียที

 

     ความเงียบอยู่กับผมอยู่เพียงชั่วครู่ ผมถอนหายใจพรืด แต่นั่นไม่ได้ช่วยจัดการกับความรู้สึกปั่นป่วนในอกเลยแม้แต่น้อย

 

     ผมส่งยื่นเอกสารให้กับพี่พยาบาลที่เอ่ยปากถามว่าเจอคนรู้จักหรือ ตอบไปไม่กี่คำ ไม่ได้อธิบายใดๆ ต่อ

 

     ถ้ายังอยากรู้จักกันอยู่น่ะนะ

 

 

 

 

   

     “เจอกับณะด้วยแหละ”

 

     ผมเอ่ยปากบอกเพื่อนสนิทที่เพิ่งจะได้นัดเจอกัน แมคที่ตอนนี้เป็นหมอแมคขมวดคิ้วนิดหน่อยราวกับจะถามว่าผมกำลังพูดถึงใคร ก่อนที่มันจะเบิกตาโพล่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจดจำแฟนเก่าของผมได้

 

     “ไอ้เชี่ยณะอ่ะนะ” ผมหัวเราะ พยักหน้าให้กับแมคที่ยังงุนงงไม่หาย “ตอนไหนวะ ได้ยังไง”

 

     “ก็เจอที่โรงพยาบาล ณะรถล้มมา เราตรวจให้” ผมอธิบายไปตามจริง “แล้ววันก่อนก็นัดกินข้าวด้วยกัน”

 

     “สองคน?”

 

     “เปล่า กับโย่งด้วย”

 

     “โย่งไหนอีกวะ”

 

     “โย่งไง ที่เป็นแฝดกับณะอ่ะ ตัวติดกันบ่อยๆ ตอนปีหนึ่ง” ผมพยายามอธิบาย มันกรุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะร้องอ๋อออกมา “จำได้แล้วใช่เปล่า”

 

     “คิดออกแล้ว โหย, ก็ลืมไปเลยว่ะ”

 

     ไม่แปลกที่แมคจะลืม คณะแพทยศาสตร์ย้ายออกมาเรียนอีกวิทยาเขตตอนปีสอง เพราะฉะนั้นพวกเราเลยห่างกับคนวิทยาเขตนั้นไปโดยปริยาย มีเพียงผมที่ตอนนั้นยังคบกับณภัทรอยู่เลยเดินทางไปที่นั่นช่วงเสาร์ – อาทิตย์ สลับกับให้ณะเดินทางมาหาผมบ้างก็เท่านั้น

 

     แมคมองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้นแทนที่จะจดจ้องกับจานข้าวของตัวเอง “แล้ว?”

 

     “ฮะ?”

 

     “แล้วยังไงต่อ” มันถามย้ำ “คือมึงต้องการสื่ออะไรวะ”

 

     “เปล่านี่”

 

     “อยากคืนดีกับมันหรือยังไง”

 

     นั่นน่ะเป็นคำถามที่ยิ่งกว่าหมัดฮุกเสียอีก

 

     ผมเลิกคิ้วกับคำถามนั้นทั้งที่ในใจร้อนรนยิ่งกว่าโดนไฟลน แต่คงจะตบตาเพื่อนที่ยังอาศัยอยู่ด้วยกันเกือบตลอดไม่ได้ คนตรงข้ามทำสีหน้าค้านคั้น แต่ผมเลือกที่จะเงียบ และนั่นคงจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนดี

 

     “แค่คิดว่า— ดีจังนะที่ได้เจอกันอีก” ผมพูดไปตามที่คิด

 

     นั่นไม่ได้โกหก

 

     ถ้าเป็นตัวผมก่อนหน้านี้สักแปด-เก้าปีผมคงบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็คงไม่อยากเลิกกันหรอก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักห้าปีผมก็คงจะร้องไห้บอกว่าคิดถึงฉิบหาย หรือถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสองปีคงจะบอกว่าณะจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป

 

     คิดออกไหม

 

     ความรู้สึกที่ผมมีให้ณะมันเปลี่ยนไปทุกปี มันเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่ไหลผ่านผมไป เปลี่ยนไปตามความเนิ่นนานของความทรงจำ

 

     ตัวผมตอนนี้คิดแค่ว่าดีจังนะที่ได้เจอกันอีก ขอบคุณนะที่ยังยอมคุยกันบ้าง

 

     “แค่นั้น?” แมคถามอย่างแปลกใจ

 

     ผมพยักหน้า “แค่นั้น”

 

     “ตอนนั้นมันทำมึงไว้มาก” มันส่ายหน้า พันสปาเก็ตตี้ในจานตัวเองต่อ บรรยากาศไม่ตึงเครียดเท่ากับคราแรกที่เอ่ยปากบอกเรื่องแฟนเก่า “แต่พอมานั่งคิดๆ แล้วก็เข้าใจได้ มันไม่ได้นอกใจ แล้วก็ไม่ได้งี่เง่า”

 

     “อืม” ผมครางในลำคอ คิดย้อนไปถึงความทรงจำเก่าๆ “แต่ตอนนั้นแมคด่าณะไว้ซะเสียหมา”

 

     กาลครั้งหนึ่งคนที่มองโลกในแง่ดี ดีลกับปัญหาเก่งอย่างผมยังเคยโทรมเป็นหมาในวอร์ด จำช่วงเวลาที่ตัวเองเจ็บเจียนตายกับคำยุติความสัมพันธ์ที่ถูกเอ่ยเอื้อนออกมาผ่านโทรศัพท์ได้ไม่มีวันลืม และยังจำได้ด้วยว่าตอนนั้นแมคกับพี่ๆ ที่วอร์ดช่วยแบกผมกันมากแค่ไหน

 

     “ก็แหงดิวะ ตอนนั้นกูยังเด็ก คิดแค่ว่าใครทำอะไรเพื่อนกูคือเลวมาก”

 

     “แล้วตอนนี้ล่ะ”

 

     “ถ้ามันทำมึงเจ็บกูก็ด่ามันเหมือนเดิมอ่ะ”

 

     ผมหัวเราะพรืด “ไม่ทำหรอก”

 

     “อย่าบอกนะว่ากูจะหมาแล้ว” แมคทำท่าลุกลี้ลุกลน

 

     “เปล่าสักหน่อย แต่ยังไงณะก็คงไม่ทำอะไรหรอก” ผมอดขำกับทีท่าแบบนั้นของเพื่อนไม่ได้ “—เพราะเราเองก็เจ็บแล้วก็จำเหมือนกัน”

 

     แมคมองผมด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ ก็จะตามมาด้วยการส่ายศีรษะน้อยๆ

 

     “เพราะแบบนี้ไงกูถึงได้เชียร์หมอเจต”

 

     “เลิกเชียร์เถอะ”

 

     “ทันทีมาก ถ้ากูเป็นพี่มันกูร้องไห้แล้วนะ”

 

     ผมยิ้มและหัวเราะแห้งๆ  แม้ว่าตอนแรกก็สงสารพี่หมอเจต ถึงทีท่าจะดูหมาหยอกไก่กับผมมานานแถมสาวๆ ในวอร์ดก็ชอบแซวกันเสียเหลือเกินแต่ช่วงหลังๆ ก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคาดหวังให้มีการพัฒนาความสัมพันธ์จริงๆ ตอนแรกผมปฏิเสธออกไปชัดเจน แม้ไม่ได้ขัดกับผู้ชายแต่ไม่ได้แปลว่าเป็นใครก็ได้ หากแต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าให้ลองดูไปก่อนโดยที่ไม่ดันทุรังจนน่าเกลียดจนผมเองก็ใจอ่อน ยอมคุยกันแม้จะรับรู้ว่าอีกคนคิดยังไงหากแต่ก็ยังไม่เปิดใจ

 

     “ใจร้ายเก่งเนอะมึงอ่ะ”

 

     “แมคก็รู้” ผมส่ายหน้า “ไม่เคยใจร้ายได้จริงๆ สักทีหรอกน่า เราอ่ะ”

 

     “โอ้โห” เพื่อนสนิทเลิกคิ้วราวกับคำพูดของผมมันฟังดูตอแหลหนักหนา เอาอะไรกับเพื่อนคนเดียวที่ยังกล้าพูดกูมึงใส่ทั้งที่ผมเคยชนิดกับการพูดสุภาพล่ะ หมอนี่น่ะเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมเร็วกว่าชาวบ้านเขาเสมอนั่นแหละ “จะคอยดูแล้วกัน”

 

 

 

 

 

     หรือว่าวันที่ผมต้องใจร้ายจริงๆ มันมาถึงแล้วนะ

 

     ผมคิดว่าณะอาจจะร้องไห้ไปแล้วถ้ารู้ว่าบุฟเฟ่ต์โรงแรมที่อีกฝ่ายซื้อต่อมามันคือของพี่เจตที่กำลังพยายามจะก้าวเข้ามาในชีวิต ตอนแรกไม่คิดหรอกว่าจะต้องทำอะไรแบบนี้ แต่พออีกฝ่ายหยิบยื่นน้ำใจให้กันก็เลยคิดว่าไม่เป็นอะไรกับการไปกินข้าวกับแฟนเก่า

 

     ผมคิดแบบนั้น

 

     —หรือบอกให้ตัวเองคิดแบบนั้นกันแน่นะ

 

     บริสุทธิ์ใจทุกอย่างที่พูดกับณะ ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ และแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่วูบไหวในแววตาอีกคน

 

     หลายครั้งที่ใจนึกหวาดหวั่นว่าถ้าผมเห็นมันเมื่อไหร่ ผมจะแกล้งทำเป็นโง่ไม่ได้อีกต่อไป

 

     และถ้าผมแกล้งทำเป็นโง่ไม่ได้ – ผมอาจจะเสียเขาไปอีกก็ได้ – คราวนี้คงไม่มีใครใจดีเหวี่ยงเขามาให้ผมเจออีกแล้ว

 

     ณะไม่เคยจะปิดบังอะไรได้, ไม่เคยเลย, แต่เขากลับไม่ชอบพูดออกมาตรงๆ สักที ผมคิดว่าระยะเวลาห้าปีที่เราไม่เจอกันจะสอนให้เขาปิดบังได้หรือไม่ก็มีความกล้าในการพูดมากขึ้น สักทางใดทางหนึ่ง แต่เหมือนคำภาวนาของผมจะไร้ผมชอบกล

 

     ดังนั้นการอยู่ในระยะใกล้ที่ผมรับรู้ถึงลมหายใจอีกฝ่ายถึงได้อันตรายเหลือเกิน

 

     แววตาของเขามองผม – ไม่เหมือนเดิมนักแต่ก็ไม่แปลกไปจากเดิม – และมั่นน่าแปลกมากๆ ที่ผมยังจดจำมันได้แม้แต่ได้รับรู้มาตั้งหลายปี

 

     ผมรอว่าเขาจะทำอะไร เขาจะขยับเข้ามาใกล้เหมือนแต่ก่อนไหมนะ หรือจะผละออกไปเลย

 

     แต่พอณะขยับเข้ามา – เป็นผมเองที่เผลอถอยออกไป

 

     นั่นมันแย่ที่สุด, ห่วยมากๆ, ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเลยเสียด้วยซ้ำตอนที่ตัวเองทำแบบนั้น ความรู้สึกในหัวตีกันยุ่งเหยิงไปหมด

 

     ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจกลับบอกตัวเองว่า คณณัฐ์ เอาหน่อย, อีกครั้งจะเป็นอะไรไป

 

     ผมเองที่สร้างกำแพงให้กับความสัมพันธ์ที่เคยพังในครั้งเก่าเพียงเพื่อค่อยๆ หยิบอิฐออกทีละชิ้น, ทีละชิ้น, ด้วยความใจอ่อน

 

     คิดถึงคำพูดแมคที่บอกว่าผมใจร้าย

 

     ผมรู้ว่าผมใจร้าย – แต่ไม่เคยจะใจร้ายกับณภัทรได้เลยสักครั้ง – ตั้งแต่ตอนเขาเริ่มมันครั้งแรกแล้ว

 

     พูดออกมาตรงๆ ได้ไหม ผมเว้าวอนทุกครั้งที่เห็นข้อความที่มาจากอีกฝ่าย ผมอยากรู้เหลือเกินว่าณะคิดอะไรอยู่ในหัว ผมจะได้แสดงออกแบบไหน

 

     เจ็บแล้วจำน่ะใช่ – แต่เรื่องดีๆ ที่เคยทำให้กันก็จำได้เหมือนกัน

 

     ถ้าณะเป็นคนที่ทำเลวกับผมมันคงจะง่ายกว่านี้ เพราะคงไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าความสัมพันธ์มันจะถูกดึงกลับมาได้หรือเปล่า แต่ณะไม่ใช่, ไม่เคยเลยสักครั้ง, สิ่งเดียวที่ณะทำร้ายกันคงจะเป็นการเอ่ยปากบอกเลิกออกมา แล้วบอกกันว่าไม่อยากมีผมอยู่ในชีวิตแล้ว

 

     
k.

     ณะ เธอถามเค้าในฐานะอะไรเหรอ

     เค้าจะได้ตอบคำถามถูก

     เค้าเหนื่อยจะเดาใจเธอแล้วอ่ะ

จริงๆ นะครับ

 

     ถ้าเราย้อนกลับไปเป็นแบบเดิม เราจะไปต่อกันรอดจริงๆ ใช่ไหม

 

     
k.

     บอกเค้าหน่อยนะ เค้าเดาใจเธอตลอดไปไม่ได้หรอก

     เค้าจะได้รู้ไง

     ว่าเค้าควรตอบที่เธอถามว่าอะไร

   

     ถ้าเธอบอกกันว่าเธอไม่อยากเค้าอยู่ในชีวิตซ้ำสองจะต้องทำยังไงนะ

 

     ใช้เวลานานเลยกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ นานเลยนะที่คนซึ่งไม่เคยร้องไห้ต้องร้องไห้เวลาปิดไฟ นานเลยนะที่ต้องทำตัวให้ชินกับการไปไหนโดยไม่มีเธอ

 

     กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ความเหนื่อยยากในอาชีพการงานยังไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเท่าตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะห่างหายจากความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูก ณะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กปีหนึ่งคนนั้น

 

     ผมมองข้อความของตัวเองที่ขึ้นว่าอีกฝ่ายรับสารนั่นแล้ว และณะเงียบไป

 

     กำโทรศัพท์มือถือแน่นอย่างทำอะไรไม่ถูก

 

     napat

     เธอพักที่ไหนนะ?

 

     ข้อความนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงง ไม่ทันจะตอบอะไรกลับหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสายโทรเข้าผ่านไลน์ ผมเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเป็นคนที่เพิ่งโต้ตอบกันล่าสุด

 

     ตอนนี้เนี่ยนะ ถามจริง

 

     ผมเม้มปากแน่นทำท่าจะกดรับสายแต่สุดท้ายก็ลังเล กำลังจะตัดสายแต่ใจก็ไม่แข็งพอที่จะทำอย่างนั้น สุดท้ายมันก็ถูกตัดไป

 

     napat

     คุณ รับหน่อยครับ

     อยากคุยด้วย

 

     พิมพ์กลับมาแค่นั้น เงียบไปชั่วครู่กับการนิ่งเฉยของผม ก่อนที่สายเดิมจะโทรเข้ามาใหม่

 

     นาทีนั้นแหละที่ผมรู้ว่าณะก็ยังเป็นณะ และผมก็ยังเป็นคุณ

 

     ใจร้ายกับณะไม่ลงเสียที

 

     “ฮัลโหล”

 

 

 

 

-------------------------

เป็นกึ่งๆ ตอนพิเศษนั่นแหละค่ะ

รู้แล้วว่าทุกคนอยากรู้ความคิดคุณ ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วนะ

 

หลายคนที่อ่านคุณไม่ออก ตอนนี้คงอ่านออกมากขึ้นแล้วน้า ( :

 

ปล. ไม่มีประสบการณ์กับแฟนเก่าค่ะ

แต่คิดว่าถ้าเป็นตัวเองมีแฟนเก่าแบบนี้คือฟาดมันสักทีแล้ว ยึกยือ!

 

เจอกันในแท็ก #ตอนนี้ยังเป็นคุณ นะคะ

 

หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-03-2019 20:32:17
ต่างคนต่างยึกยือจริงค่ะ คาดหวังว่าตอนหน้าเขาจะได้เคลียร์กันจริงจังสักที เหมือนต่างคนต่างไม่มูฟออน  :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 26-03-2019 21:13:53
เย้ได้อ่านฝั่งคุณแล้ววว ลำบากเหมือนกันนะคะ อยากรู้จังว่าทำไมณับอกเลิกคุณ
ต่อไปคือคุยกันแล้วไม่งึกงักแล้วเนาะ555555
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-03-2019 21:18:22
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 26-03-2019 22:53:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-03-2019 01:28:28
ลุ้นมากกกกกก นตอนแรกแอบเสียวๆ ว่าคุณไม่คิดอะไรแล้วจริงๆ
แต่พอเห็นแบบนี้ก็โล่งอก ไปหน่อย
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-03-2019 01:57:29
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Nooonun ที่ 29-03-2019 08:26:45
โอ้โหห คือต่างฝ่ายต่างยังฝังใจกลับรักครั้งนั้นอยู่เลย จนอยากจะรู้ถึงเหตุผลและความคิดของณะตอนบอกเลิกคุณครั้งนั้นเลยอะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 08-04-2019 19:03:22
ฮืออออออ อยากรู้แล้วว่าจะเคลียร์กันยังไงงงง :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 09 (pg.3) : 26/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-04-2019 07:19:34
คนหนึ่งรุกเก่ง อีกคนบอกปัดเก่งง
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/04/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-04-2019 21:02:43
———— 10 ————




     ผมเคยก่นด่าเพื่อนสนิทผู้หญิงตอนมหาวิทยาลัยว่ามันโคตรโง่เง่า วนเวียนกับแฟนเก่าที่ทำเหมือนมันเป็นของตายอยู่นานเป็นเทอมๆ ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นสักที ผมอีกนั่นแหละที่เคยมองตัวละครในหนังรักปัญญาอ่อนที่ไม่ยอมเอาตัวเองออกจากความรักครั้งเก่า

     ผม – ตอนที่เลิกกับคุณ – เป็นตัวผมที่อดทนกับการเลิกราไม่ได้ ยอมที่จะตัดคุณออกจากชีวิตด้วยความรู้สึกว่าไม่ได้เป็นแฟนก็ไม่ต้องเป็นห่าอะไรแล้ว เมินเฉยต่อคำสัญญาน้อยเรื่องที่มีให้กันและเดินออกมา

     ผม – ตอนที่ได้เจอกับคุณอีก – เป็นตัวผมที่สับสน วุ่นวาย ละทิ้งความคิดต่างๆ ที่เคยมีมา ไม่มีทฤษฎีแฟนเก่าไม่ควรกลับมาในชีวิตหรือทฤษฎีว่าคนเราต้องเอาแฟนเก่ามาเป็นเพื่อนอยู่ในหัวเลยสักอย่าง ตีกับตัวเองทุกชั่วโมง เป็นเหมือนไบโพลาร์ที่ดีใจกับข้อความโง่ๆ ที่เขาตอบมาและดิ่งลงเหวยามคิดว่าข้อความเชิงนั้นอาจจะถูกส่งให้กับใครหลายคนเพราะผมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆ

     และตัวผม – ตอนที่โดนคุณถามคำถาม – เป็นตัวผมที่ถูกฉุดลงมาเจอกับความเป็นจริงว่าเรื่องครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น

     กดคอลไปหาอย่างไม่ได้คิด หัวใจที่เป็นลูกโป่งถูกจิ้มจนฟีบลมในทุกสัญญาณที่บ่งบอกว่าปลายสายยังไม่คิดจะรับ

     
napat
     คุณ รับหน่อยครับ
     อยากคุยด้วย

     พิมพ์บอกคุณไปแบบนั้น กดโทรศัพท์ไปหาอีกรอบขณะที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

     รู้ว่าความคิดนี้มันเฮงซวย แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อความคิดไหนก็เฮงซวยอยู่ดี – เอาความเฮงซวยออกมาเป็นการกระทำเลยคงไม่ได้แย่นัก

     “ฮัลโหล”

     ปลายสายรับเสียที

     น้ำเสียงนิ่งเรียบแบบที่ได้ยินตามปกติ ก้อนเนื้อในอกผมเต้นดังตุบ, ตุบ, ตุบ อีกนิดก็คงจะทะลุออกมาที่ปากกันพอดี

     “ว่าไงครับ” คณณัฐเอ่ยถามเสียแผ่วเบา “โทรมาแล้วก็ไม่พูด”

     “—เธออยู่ไหนนะ”

     นั่นเป็นคำถามเดียวที่ผมอยากถามตอนนี้

     คนปลายสายเงียบไปชั่วครู่ “เอาจริงเหรอณะ?”

     “อืม” ผมยืนยัน “อยากไปหา”

     คุณยังคงเงียบ ผมเลยย้ำอีกครั้ง – เผื่อว่านั่นจะทำให้คุณมั่นใจขึ้นมาอีกหน่อย

     “อยากไปเจอเธอว่ะ ตอนนี้เลย”




     
     “—เอาจริงดิ”

     ผมมองคุณหมอที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเสื้อยืดย้วยๆ – หรือบางทีนั่นอาจจะเสื้อกล้าม? ช่างมันเถอะ, คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาว กางเกงห้าส่วนที่ไม่น่าจะได้เห็นในวันปกติ เส้นผมไม่ผ่านการทำสีนั่นยุ่งพอๆ กับใบหน้าที่ยังดูงุนงงว่าผมมาปรากฎตัวตรงหน้าแล้วจริงหรือไม่

     โลเกชั่นที่ถูกแชร์มาให้กันหลังจากถามย้ำหลายครั้งว่าจะมาจริงๆ หรือ และใช่, ผมทำ สุดท้ายผมถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ใต้คอนโดด้วยสภาพไม่แตกต่างจากคนตรงหน้านัก

     “เธอถามย้ำแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ” ผมเอ่ยเบาๆ ประดักประเดิดพอตัว – ว่ากันตามจริงก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

     คุณยกมือขึ้นเกาท้ายทอย หัวเราะเสียงแห้งก่อนที่จะเงยหน้ามองผมหลังจากที่มองเท้ามานาน

     “ก็ยังอุตส่าห์มา” นั่นเป็นถ้อยคำอื่นที่ได้รับ “ขาเพิ่งหายแท้ๆ”

     “ก็หายมาสักพักแล้วนะ”

     คุณย่นจมูก “ไม่เชื่อหมอเหรอ”

     “อืม, ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่” ผมหัวเราะเบาๆ

     เรามองหน้ากัน หัวเราะให้กันด้วยเสียงหัวเราะที่เหี่ยวแห้งที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้ จากนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ ผมไม่พูดสิ่งใด คุณไม่อาจเอ่ยสักคำ

     แบบนี้อีกแล้ว – ไม่ชอบเลยแฮะ – แต่ก็ชอบมากกว่าตอนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยอยู่ดีนั่นแหละ

     “อยากไปไหนไหม” ผมถามเสียงเรียบ “อาจจะ เอ่อ— ไม่รู้สิ แถวนี้มีอะไรนั่งบ้างนะ”

     “นี่ก็ใกล้ที่เธอทำงานนะ”

     “แล้วมันไกลโรงพยาบาลเธอเหรอ”

     คณณัฐย่นจมูก “ยอกย้อน!” ตีไหล่กันเบาๆ ราวกับจะหยอกล้อ “ไม่รู้สิ เธอไม่มีแพลนอะไรเลยเหรอ”

     “ไม่มีจริงๆ” ผมยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างยอมแพ้

     “แล้วเธอมาทำไมอ่ะ”

     เหมือนเป็นใบ้ในวินาทีนั้นแหละ

     คราแรกคิดเหมือนกันว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นความสั่นไหวในแววตา แต่ดูจะยากเหลือเกิน – ผมทำไม่ได้หรอก – เพราะฉะนั้นเลยสูดลมหายใจลึก ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าที่เคย หากแต่ก็ยังเบาหวิวอยู่ดี

     “ก็— อยากมาเจอเธอ”

     คุณดูไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่

     ก่อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าจะวาดยิ้มออกมา เสี้ยววินาทีก่อนที่มือขาวจะยกขึ้นมาปิดราวกับไม่อยากให้เห็นว่ายิ้มกว้างแค่ไหน

     “จริงๆ แถวนี้มันก็มีแต่พวกร้านเหล้า บาร์” คุณว่าเช่นนั้น มองผมในสภาพที่ดูดีกว่าชุดนอน หากแต่ก็ไม่ใช่ไปสถานที่เหล่านั้นแน่ๆ “มีร้านบัวลอยอยู่ท้ายซอย ร้านดังเลย เธอเคยกินหรือเปล่า”

     “อา ไม่เคยหรอก”

     “งั้นไปด้วยกันไหม”

     ผมพยักหน้า เหมือนหมาตัวโตที่ดีใจกับคำพูดของเจ้าของ

     คุณหัวเราะ “แต่ท่าทางจะต้องรอนานหน่อยนะ คนเยอะตลอดเลย ร้านมันแมส”

     “ไม่เป็นไรหรอก ไม่รีบทำอะไร” ผมว่าแบบนั้น เหลือบมองคุณหมอที่หัวเราะน้อยๆ เย้าแหย่กันว่าไม่ต้องรีบไปตัดงานหรือ แต่ความเป็นจริงแล้วตอนนี้อีกฝ่ายครั้นจะดูยุ่งกว่าผมเสียอีก “อยู่กับเธอนานๆ ก็ได้”

     คนฟังนิ่งไปนิดหน่อย ก่อนจะบ่นงึมงำ “ไปเรื่อย” เหมือนจะด่ากันหากไม่ได้มองว่าคุณยกมือขึ้นเกาท้ายท้อย แก้เขินเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา

     คุณเดินออกมาพร้อมกับผมก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาอะไรเท่าไหร่ – อยากผ่ากะโหลกคุณดูจริงว่าในหัวนั่นคิดอะไรบ้าง – บางทีก็อดตั้งคำถามแบบนี้ไม่ได้ และก็เผลอคิดขึ้นมาได้ว่าคำถามของผมดูเหมือนความคิดของฆาตกรในหนังสยองขวัญชอบกล ผมเลยหลุดหัวเราะออกมา

     “อะไร” คุณถาม หรี่ตามองผม “เธอคิดอะไรเนี่ย”

     “เปล่า”

     “เอ๊ะ แล้วหัวเราะอะไร”

     “ไปเรื่อย” ผมตอบด้วยคำที่คุณเคยใช้ว่ากัน

     “หัวเราะไอ้ม่วงหรือไงล่ะ”

     ผมมองตามสายตาของอีกคน เลิกคิ้วนิดหน่อยที่เห็นว่าคุณมองหมาข้างถนนตัวหนึ่งอยู่ “ยังไม่เลิกตั้งชื่อให้หมาทุกตัวอีกเหรอ” หลุดขำนิดหน่อยกับชื่อที่คุณเรียก

     “ไม่ได้ตั้งเองสักหน่อย อันนี้ป้าขายข้าวแกงเขาก็เรียก” บ่นเสียงเข้มขึ้นมาเสียจนผมยิ้มขำ

     ระยะเวลาจากห้องพักของคุณมาถึงร้านบัวลอยที่ว่าก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นัก แต่พอเดินมาถึงแล้วก็เข้าใจกับคำพูดที่ว่ารอนานนะ เพราะเต็มไปด้วยผู้คนวัยหนุ่มสาว มีเก้าอี้พลาสติกจัดให้รออยู่ประมาณสิบที่นั่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือมีพี่ๆ ที่ใส่ชุด line man กับ grab อีกจำนวนหนึ่ง

      “มันอร่อยมากเลยเหรอ” ผมถามขึ้นอย่างนึกสนใจ

     “ก็อร่อยดีนะ ถูกด้วย”

     ผมพยักหน้าตอบรับคำคุณหมอ ในหัวคิดว่าสงสัยต้องลองไปเสนอกับพี่เอกสักหน่อยในสำหรับคอนเทนท์เล็กๆ น้อยๆ ลงแก้ขัด

     จังหวะที่เก้าอี้ว่างผมก็เดินนำคุณไปที่เก้าอี้ ตั้งใจจะปล่อยให้คุณนั่ง ตอนแรกทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายข้อสรุปของเราก็จบลงตอนที่กลุ่มสาวๆ วัยมหาวิทยาลัยเดินเข้ามา ผมกับคุณเลยเดินแยกออกมาหน่อยให้พวกหล่อนนั่งโดยปริยาย

     “เคยมากินไหม” ผมถามตอนที่บทสนทนาของเราชะงักไปนิดหน่อย

     “ก็เคย”

     “เหรอ”

     “มากับพวกพี่ๆ ที่เป็นหมออ่ะ ส่วนใหญ่ก็อยู่แถวนี้กันหมด” คุณเอ่ยปากพูดเพิ่มเอง

     “—แล้ว” ผมอึกอัก ความลังเลวิ่งเข้ามาชั่วอึดใจ “กับหมอที่ชื่อว่าเจต— เธอก็เคยมาด้วยใช่ปะ”

     คุณมองหน้าผม ความอึดอัดแล่นเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวกับแววตา กลบเกลื่อนมันด้วยเสียงหัวเราะน้อยๆ ที่ได้ยินบ่อยเหลือเกินในช่วงหลัง

     “ที่เค้าถาม เธอยังไม่เห็นตอบเลย”

     ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

     และคุณคงสังเกตเห็น ถึงผลุบตาลงต่ำ “ก็เคยมา” สุดท้ายก็ยอมตอบกลับมา “สองคนก็เคย”

     “อา—” ผมยิ้มเจื่อน “งั้นเหรอ”

     “บัวลอยจะอร่อยอยู่ไหมนะ”

     “อร่อยดิ” ตอบแบบนั้นพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ใส่กัน กระอักกระอ่วนฉิบหาย

     คุณลอบมองผมด้วยสายตาที่อ่านยากเช่นเคย แบบนี้เสมอ – เหมือนจะเดาง่ายแต่ก็ไม่ เหมือนจะอ่านออกสบายๆ ทั้งที่ต้องใช้ความคิดมากกว่าข้อสอบวิเคราะห์ภาพยนต์เสียอีก

     คนเป็นหมอเข้าใจยากแบบนี้เสมอเลยไหมนะ

     ถามไปงั้นทั้งที่ก็รู้ว่าไม่ใช่หรอก ไม่เกี่ยวกับหมออะไรทั้งนั้น ก็แค่เป็นคุณต่างหาก

     “หลังจากนี้ไปไหนต่อดี”

     “กลับไปนอนไง” คุณขมวดคิ้วเมื่อผมโพล่งคำถามขึ้นมาแบบนั้น “เธอจะไปไหนอีก”

     “อา— ไม่รู้สิ”

     “เอ้า” ดูคุณจะแปลกใจนิดหน่อย “งั้นกินก่อนไหมล่ะ แล้วค่อยคิด”

     ผมเดาะลิ้น พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วคุณก็ยิ้มให้เหมือนไม่มีเรื่องน่าอึดอัดใจกันมาก่อน

     เป็นวินาทีที่ผมย้อนคิดถึงตอนเราเพิ่งคบกันใหม่ๆ บ่อยครั้งที่เรามีเรื่องตึงใส่กันเพราะไม่ถูกใจเรื่องเล็กๆ บางอย่างของแต่ละคน ยังจูนหากันไม่ติด อะไรทำนองนั้น และนั่นแหละ – เราจบลงตรงที่ร้านขนมแถวๆ หอในบ่อยมาก บางทีก็เซเว่น อะไรก็ตามที่เป็นของกินจะทำให้เราปรับความเข้าใจกันได้เสมอ

     “จริงๆ แล้ว—”

     “คุณ คุณคุณสองคนค่า!”

     คำพูดของคุณหยุดชะงักลงด้วยเสียงตะโกนของพนักงาน ผมเลิกคิ้วแทนคำถามแต่คุณส่ายหน้า เดินนำไปที่ร้านก่อน

     ร้านขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนร้านอาหารตึกแถวทั่วไปในขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เมนูมีแต่บัวลอย เต้าทึง ของหวานต่างๆ ที่ราคาไม่แพง ไม่เน้นรูปลักษณ์ พอเห็นชื่อร้านชัดๆ แล้วก็คุ้นเคยขึ้นมาหน่อยเพราะผมเองก็เคยเห็นผ่านตา ดังจริงไม่ตินัง

     “อยากกินบัวลอยงาดำอ่ะ”

     “สั่งดิ”

     “เธอจะกินอะไร”

     “อันนี้มั้ง” ผมชี้นิ้วส่งๆ ไม่ได้นึกอยากกินอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว “มันจะหวานปะวะ”

     “เออ ร้านนี้หวานนิดนึงนะ” คุณว่าแบบนั้น “แต่ก็ไม่ใช่ชานมที่จะสั่งหวานน้อยใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นเธอโดนป้าเขาเพ่งกบาลแน่” ยิ้มเหมือนจะขำกันมากกว่า

     ผมไม่คิดเถียงใดๆ และหันไปสั่งเมนูให้กับคุณ ผมสั่งน้ำมะพร้าวหนึ่งแก้วกับขนมหนึ่งถ้วย ในขณะที่คุณสั่งขนมมาสองถ้วยกับน้ำเปล่าแทน

     พูดคุยกันด้วยเสียงเคาะโต๊ะที่ทำจากสแตนเลสเพราะไม่อยากสู้เสียงสาวๆ โต๊ะถัดไปที่หัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลัง ผมไล้ปลายนิ้วเป็นจังหวะเพลง ก่อนที่คุณจะเคาะมันตามผม ก่อนจะตามมาด้วยการเตะเท้ากันใต้โต๊ะเมื่อผมเลื่อนปลายนิ้วไปสัมผัสกับหลังมือของอีกคนแทนจะเป็นพื้นโต๊ะ

     “เตะทำไมอ่ะ”

     “แล้วจับทำไมอ่ะ” คุณหมอว่าอย่างไม่ยอมแพ้

     ผมไม่ได้ตอบ มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นโดยที่ยังไม่เลื่อนนิ้วจากหลังมืออีกคน คุณหมอในสภาพอยู่บ้าน แตกต่างจากทุกวันที่เราได้เจอกันในช่วงหลังๆ มองกลับมา สุดท้ายก็เป็นคนละสายตาไปก่อน

     คนนั่งตรงข้ามเตะเท้าใต้โต๊ะกันอีกครั้ง คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อโดนขัดใจกับการกระทำนั้น ก้มลงบ่นงุบงิบก่อนที่จะเอ่ยน้ำเสียงดังขึ้นมาหน่อยให้ผมรู้ว่านั่นไม่ได้พูดกับตัวเองแต่พูดกับผม

     “ตอนนั้นเธอก็ทำแบบนี้”

     “หือ?”

     “นานแล้วอ่ะ ปีไหนนะ” คุณเอียงคอ ทำท่ากรุ่นคิด “ตอนที่เค้าหึงเธอกับพี่ที่เธอไปช่วยธีสิส”

     “อ๋อ” ผมครางรับ ใบหน้ารุ่นพี่คนดังผุดขึ้นมาในหัวแต่คิดชื่อไม่ออก คุณเลิกคิ้วเหมือนกับจะรอ สุดท้ายผมก็ยอมรับความจริง “จำชื่อไม่ได้แล้วแต่คิดหน้าออกนะ”

     “แหงดิ พี่เขาสวย” คุณหัวเราะ “โคตรสเป็กเค้าเลย”

     “น้อยๆ หน่อยสิคุณ”

     “จำได้ปะว่าตอนนั้นเค้าโคตรโกรธที่เธอต้องคอยตอบแชตพี่คนนั้นทั้งวัน แล้วไปทำธีสิสด้วย คนก็เอาแต่อัพรูปเธอตัวติดกับพี่เขาอ่ะ”

     “จำได้— มั้ง” ปลายเสียงเบาไปหน่อยเพราะไม่มั่นใจเท่าไหร่ “ตอนนั้นน่าจะทะเลาะกันหนักที่สุดแล้ว”

     คุณพยักหน้า วาดยิ้มบนริมฝีปาก “อืม ไม่น่ามีครั้งไหนเท่าครั้งนั้นแล้ว”

     เราคุยกันผ่านสายตา เหมือนเรื่องราวในอดีตมันฉายชัด วนไปวนมา ผมยังจำตอนที่คุณกินข้าวเย็นในโรงอาหารได้ จำตอนที่คุณหัวเราะกับไอ้โย่งที่ทำอะไรบ้าๆ กับแก๊งหอในได้ จำตอนที่คุณหน้าหงิกงอในการฝ่าการจารจรอันติดแสนติดมาหาผมที่หอได้ทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งจะได้เวลาว่างหลังสอบ

     แล้วคุณจำเรื่องแบบไหนเกี่ยวกับผมได้นะ

     เป็นเรื่องดีๆ แบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า

     “เธอจำได้ไหมว่าตอนนั้นทำแบบไหนเค้าถึงหายโกรธ”

     “—อา”

     เหมือนปฏิกิริยาของผมจะทำให้คุณหลุดขำมากกว่าจะโกรธ คุณยิ้ม ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ยักคิ้วนิดหน่อยราวกับจะบอกว่าพูดมาสิรอฟังอยู่

     “จำไม่ได้ถูกไหม”

     ผมหัวเราะแห้งแทนคำตอบ

     คุณยิ้ม เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่พนักงานเอาเมนูที่เราสั่งมาเสิร์ฟตรงหน้า คณณัฐหันไปขอบคุณก่อนที่จะหันมาหาผม

     “เธอก็แค่พาเค้ามากินขนม ตอนนั้นน่าจะปังเย็นมั้ง” คุณพูดเช่นนั้น “แล้วเธอก็สั่งให้เลย โคตรวัดใจ ถ้าตอนนั้นเธอสั่งผิดเมนู เค้าต้องหงุดหงิดฉิบหายแน่ๆ”

     “พูดคำหยาบ”

     “แค่คำว่าฉิบหายเอง”

     “นั่นแหละ”

     “ไอ้เรื่องมาก” ผมยักไหล่ไม่คิดเถียง จริงๆ ในหัวผมเอื้อมมือไปบีบปากนั่นแล้ว แต่เป็นความคิดที่รุ่มร่ามและคงไม่อาจทำได้จริงในนาทีนี้ “แล้วจากนั้นเธอก็ให้เค้ากินแม่งทั้งหมดอ่ะ เธอสั่งมาตั้งสองถ้วย แล้วไม่ช่วยกินด้วยนะ ไปเอาความคิดว่าเค้าจะอารมณ์ดีเวลากินของหวานมาจากไหนวะ ตอนนั้นโคตรหงุดหงิด”

     “อ้าว” ฉิบหาย ผมจำไม่ได้เลยว่าตอนนั้นทำอะไรไว้ ณภัทรตอนอายุยี่สิบจามแทบไม่ทันแล้วมั้งตอนนี้

     “แต่—” คุณเว้นช่วงไปชั่วครู่ ก้มหน้า แล้วก็พูดออกมาเสียงเบา “ตอนที่เธอบอกว่าเอาอีกถ้วยไหม เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น เดี๋ยวเธอเลี้ยงเอง เค้าก็แบบ— ใครจะไปโกรธเธอต่อลง” คุณหัวเราะ “บ้าบอเนอะ ตอนนั้น”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร

     ยิ้มแบบที่คุณยิ้ม หัวเราะแบบที่คุณหัวเราะ เห็นด้วยกับคุณทุกประการว่าตอนนั้นมันเป็นเรื่องบ้าบอและง่ายดายถึงเพียงไหน

     “กินอันนี้ไหม” ผมตักบัวลอยงาดำขึ้นมาไว้บนหน้า

     คุณเลิกคิ้วเพราะเมนูที่ผมสั่งเป็นหนึ่งในสองเมนูที่คุณสั่งมาด้วย ไม่ทันที่จะส่ายหน้าผมก็วางลงบนถ้วยของคุณเสียก่อน

     “เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”

     เหมือนคำพูดของผมจะทำให้คุณยิ้มกว้างกว่าเก่า ถึงได้เลื่อนมือมาปิดริมฝีปากของตัวเองเพราะไม่อยากให้ผมเห็น

     “หลังจากนั้นเราทำอะไรต่อนะ” ผมตั้งคำถาม “ให้ทาย, เค้าพาเธอขับรถเล่นใช่ปะ” มีอะไรให้ทำไม่กี่อย่างหรอกตอนนั้นน่ะ

     คุณขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า

     “งั้น— เดี๋ยวไปขับรถเล่นกัน” ผมว่าแบบนั้น “มอเตอร์ไซค์เหมือนเดิมนะ โอเคหรือเปล่า”

     คณณัฐมองผม ลดรอยยิ้มลงนิดหน่อย “คำถามที่เค้าถามเธอ ยังไม่ตอบเลยนะ”

     ผมเม้มปากแน่น

     “รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้เค้าคิดนะว่ามันไม่ใช่แล้วอ่ะ” คุณพูดแบบนั้น มองตรงมาที่ผม ไม่หลบตา ไม่มีการตะเบ็งเสียงหรือตะคอก ก็แค่พูด, ในแบบที่คุณรู้ว่าผมจะฟัง “เค้าไม่อยากคิดไปเองหรอกนะ”

     ผมมองคำถามในตาคุณ

     เป็นคุณอีกแล้วที่ทำให้ผมรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ โต้แย้งไม่ได้ อย่าคิดจะหลบหลีก – เป็นคุณอีกแล้วที่ทำให้เรื่องที่ผมซ่อนไว้ถูกเปิดเผยออกมาหมดเปลือกและถูกเอ่ยเอื้อนออกมา

     ผมเลื่อนปลายนิ้วไปแตะปลายนิ้วของคุณ

     “จริงๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำเท่าไหร่” พูดแผ่วเบา – หรือไม่เบากันนะ – แต่เหมือนเสียงหัวใจของผมดังกลบไปหมดเลย “ถ้าเค้าจีบเธอตอนนี้ เธอจะอนุญาตไหมครับ”

     คุณสบตาผม บดกลีบปากเข้าหากัน แวบเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าแววตาของคุณสั่นระริกก่อนมันจะกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือของคุณถูกดึงกลับไป – ฉิบหาย – ผมร้องตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะเห็นว่าคุณยกมือขึ้นมาริมฝีปากตัวเองเอาไว้อีกแล้ว

     ผมรู้คำตอบในนาทีนั้น ก่อนที่คุณจะบ่นงึมงำเสียอีก

     “ดูละครมาหรือไง โคตรเชย”

     แต่คุณก็ยิ้มอยู่ดี

     

-------------------------

หายไปนานมากๆๆ ขอโทษด้วยนะคะ
โทษโปรเจ็กและงานต่างๆ ที่ทับหัวอิฉันที ;-;

จริงๆ เรื่องนี้วางพล๊อตไว้ไม่ยาวค่ะ
ตอนนั้นคิดว่าถ้ายาวจะไม่จบเอา 55555555555

เพราะงั้นบอกไว้ก่อนว่านี่ก็เกินครึ่งหนึ่งของเรื่องแล้วนะคะ
เขียนฟีลกู๊ดไม่ค่อยเก่งจริงๆ เลย แง

เจอกันในแท็กค่า
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-04-2019 21:41:45
จริงๆ แอบคิดว่าปูเรื่องมาแบบนี้ ถ้าตอนจบแยกย้ายกัน คนอ่านก็จะไม่เสียใจเท่าไหร่ 55555555
แต่อยากให้แฮปปี้เอนดิ้งนาจา อิอิ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 16-04-2019 21:44:33
เขาจีบกันนนนนน น่ารักเนอะ ^^
หายไปนานจริงไรจริง แต่เค้ายังรอทุกวันน๊าาา
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-04-2019 01:58:09
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 19-04-2019 08:02:57
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-04-2019 09:46:40
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 28-04-2019 13:19:35
เย้ๆๆ จีบเลยยยนยยยยย
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-04-2019 21:35:23
ยังไงงดิ อย่ายึกยัก ไม่งั้นแม่จะฟาดๆๆ ค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 06-05-2019 21:02:33
ชอบเรื่องนี้สนุก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 07-05-2019 14:19:45
แง้ น่ารักมาก อ่านเรื่อยๆเพลินดีมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 08-05-2019 09:25:55
น่ารัก อยากให้กลับมาคบกันแล้ว  :กอด1:
ขอบคุณนะคะ เขียนดีมากๆเลย ภาษาสวยมากก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 09-05-2019 22:08:34
ชอบเรื่องนี้ น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 10-05-2019 00:11:12
ลุ้นๆ ลุ้นกับทั้งคู่เลย  :mew3:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 10 (pg.3) : 16/03/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-05-2019 08:23:52
ลุ้นสุด ๆ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 31-05-2019 20:32:46
———— 11 ————


     เคยรู้สึกว่าตื่นมาแล้วสดใสกว่าทุกวันไหม

     อยู่ๆ ก็รู้สึกแบบนั้นหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว คว้าโทรศัพท์ขึ้นมามองนาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลาเดิมที่ตื่น หากแต่ปกติต้องขดตัวอยู่บนเตียงต่ออีกสักยี่สิบนาที ไม่ใช่ลุกขึ้นไปแปรงฟันในทันทีเพราะจำคำพูดของคนที่คุยกันเมื่อคืนได้ว่า ตื่นแล้วลุกเลยนะ เลยรู้สึกว่าต้องทำตามเสียหน่อย

     แม่งเอ๊ย เหมือนกลับไปเป็นณภัทรตอนอายุสิบแปด – ห่างหายความรู้สึกสดชื่นหลังตื่นตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะยิ่งทำงานหาเงินไปเรื่อยๆ เนี่ยยิ่งเหนื่อย มันต้องมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำงานแล้ว อยาก skip ชีวิตไปตอนมีเงินแล้วแวบเข้ามาบ้าง แต่คุณทำได้— ยกความดีความชอบให้เขาแล้วกัน

     แปรงฟันก่อนจะเดินออกมาหาอะไรทำเมื่อพบว่าเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ไม่ต้องรีบไปอาบน้ำและแบกร่างตัวเองไปขับมอเตอร์ไซค์และทำงาน

     หยิบโทรศัพท์เช็กข่าวสาร ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องที่รถไฟฟ้าเสียอีกแล้ว – คุณภาพชีวิตเฮงซวย – ก่อนจะเข้าไปในไลน์เพื่อพบว่าแชตของคนที่อยู่บนสุดเพราะถูกปักหมุดไว้ได้ตอบกลับมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน

     k.
     เค้าออกเวรแล้ว
     เดี๋ยวไปนอน สายๆ คงตื่นมั้ง มีเวรอีกทีพรุ่งนี้เลย
     แต่ถ้าสัก 14.00 เค้าไม่ตื่น ทักมาปลุกที 5555

     ยอมใจกับชีวิตที่ดูจะแย่กว่าผมไปอีกขั้น คุณไม่ได้มีเวลาทำงานประจำเหมือนผม อาจจะโหมงานเหมือนตอนที่ผมทำฟรีแลนซ์แต่ไม่ได้สบายเหมือนอยู่บ้าน และความกดดันเป็นความกดดันที่คนละแบบ

napat
โอเค ตื่นแล้วบอกนะ
นอนพักไป

     ผมมองตัวอักษรที่ส่งไป ไม่ได้ขึ้นอ่านแล้วแต่อย่างใด ถึงกระนั้นก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังหลับฝันดี

     สุดท้ายก็นั่งไถนั่นนี่ในทวิตเตอร์ไปเรื่อย ก่อนที่จะแบกตัวเองไปอาบน้ำเมื่อรู้ว่า อ้าว, ฉิบหายแล้ว, สุดท้ายก็เริ่มอาบน้ำเหมือนกับวันที่นอนตื่นสายอยู่ดี





     “ไปงานแต่งไอ้เก่งปะ”

     ขณะที่ผมยังง่วนอยู่กับการดูฟุตเทจที่ทำท่าจะมีปัญหาขึ้นมาเพราะไมค์ช่วงท้ายคลิปไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ โย่งก็เอ่ยปากถามขึ้นมาแบบนั้น

     ผมเงยหน้า “ฮะ? เชี่ย ลืมไปเลย”

     “เออ มันย้ำในกรุ๊ปเนี่ย”

     “ไม่ได้ไปอ่านว่ะ” ผมถอนหายใจ “วันไหนนะ”

     “วันพฤหัสฯ นี้”

     “บอกทีว่ามันไม่ได้มีธีมสีพิลึกๆ กูหาชุดไม่ทัน”

     “ไม่ สีขาวธรรมดา”

     ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก จริงๆ จำได้ว่าไอ้เก่งที่เป็นเพื่อนคนหนึ่งในคณะกำลังจะแต่งงาน แต่ช่วงหลังๆ นี่ทำนู่นนี่ และมีเรื่องที่ทำให้วอแวมาแทรกอยู่พอตัว เลยกลายเป็นลืมไปเสียสนิทว่าต้องเตรียมตัวไปงานแต่งเพื่อน

     “ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะแต่งงานแล้ว” โย่งพูดไปเรื่อย “มึงจำได้ปะที่มันคบกับพี่นุกมาตั้งห้า-หกปี แล้วอยู่ๆ ก็ปิ๋ว เลิกเฉย— แล้วดูคนนี้ คบแป๊บๆ ก็แต่งแล้ว นี่แหละนะ แม่งจะใช่ไม่ใช่ไม่ได้อยู่ที่เวลา”

     แฟนเก่าของเพื่อนถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น จำได้ว่าตอนสมัยเรียนเพื่อนที่ชื่อเก่งคบกับรุ่นพี่คนสวย คบกันเนิ่นนาน ทำงานแล้วก็ยังคบกันต่ออีกสักพักชนิดที่พวกผมทุกคนล้วนบอกกันว่ามันคงจะไม่แคล้วไปแต่งกับคนอื่นแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่

     “ตอนเรียนมันก็งั้นแหละ” โย่งว่าพลางหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งเข้าปาก “คู่ที่ไปรอดจริงๆ แม่งจะมีกี่คู่กันวะ”

     “—ก็ถูก” ผมบ่นพึมพำ “แต่ถ้าไปรอดได้มันก็คงดี”

     เพื่อนสนิทเลิกคิ้วพลางยื่นขวดคุกกี้มาให้ผม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ มันเลยเลื่อนมือกลับไปพร้อมกับหยิบเข้าปากอีกชิ้น

     “มันก็ดีหรอก” มันว่าแบบนั้น “แต่ถ้าไปไม่รอดแล้วก็อย่าลืมลองเปิดใจกับคนใหม่ๆ มั่งแล้วกัน”

     ผมหัวเราะแผ่วเบาตอบแทนความหวังดีของเพื่อนที่ปกติจะปากหมา ยังไม่อยากออกตัวแรงเพราะกลัวว่าจะฟรีล้อเข้าให้สักวัน

     k.
     ตื่นแล้ว

     ข้อความสั้นๆ เด้งขึ้นมาที่หัวมุมหน้าจอ ผมมองมันก่อนจะเปลี่ยนโหมดเป็น do not disturb เผื่อไว้ก่อน และตอบกลับไปในทันที

     
napat
จะออกไปกินอะไรไหม
เที่ยงแล้ว

     k.
     ขี้เกียจอ่ะ
     เดี๋ยวสั่งไลน์แมนมามั้ง
     เดี๋ยวเย็นนี้จะขับรถพาแม่ไปกินข้าวด้วย

     
napat
โอเคครับ ตามนั้น

     k.
     ตั้งใจทำงานได้ละ
     สู้ๆ

     ผมยิ้มให้กับเรื่องราวเล็กๆ แบบนั้นอย่างห้ามไม่ได้ – ยกมือขึ้นปิดบังริมฝีปากตัวเองบ้างเพราะกลัวว่าใครจะมองเห็น ส่งสติ๊กเกอร์กลับไปหนึ่งตัวก่อนที่จะจัดการทำงานต่อเหมือนเดิม

     “ณะ”

     “จ๋า” ผมขานรับเจ้านายผู้หญิงเสียงหวานเมื่อเจ้าหล่อนดูน้ำเสียงฉุนเฉียว “ว่าไงพี่”

     “เลือกให้พี่หน่อย”

     “ฮะ?”

     พี่ข้าววางแฟ้มในมือลงตรงหน้าผมดังปึก หน้านิ่วคิ้วขมวด คาดว่าคงหงุดหงิดอะไรค้างมาอย่างแน่นอน และผมก็ได้รับคำตอบเมื่อพี่เอกเดินเข้ามา

     “เอาให้ทุกคนโหวตเลยดิ ห้าเสียง ตัดสินให้จบๆ”

     อ๋อ— เรื่องแต่งงานอีกตามเคย

     ยิ้มขำให้กับภาพที่เริ่มเห็นบ่อยๆ เหมือนช่วงหลังสองคนนี้จะตีกันบ่อยครั้งเรื่องความคิดเห็นไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับการจัดงาน แน่นอนว่าเจ้ ผม และไอ้โย่งมักจะได้เป็นกรรมการบ่อยๆ และสุดท้ายรอบนี้พี่ข้าวก็ชนะเมื่อผลโหวตเรื่องกระโปรงทรงไหนดีกว่ากัน ด้วยผลโหวต 3 ต่อ 2 ฟังดูตลกพิลึก แต่หล่อนก็อารมณ์ดีแล้ว

     ผมเหลือบมองพี่เอก นึกว่าจะหงุดหงิดแต่สุดท้ายก็ยิ้มขำให้แฟนตัวเองที่อารมณ์ดีที่ได้ตามใจ

     ความรักก็แบบนี้

     “เออ น้องณะ”

     “ว่าไงอีกพี่”

     “เสาร์นี้ไปถ่ายรับปริญญาให้ไอ้ขิมใช่ป่ะ” พี่ข้าวถามถึงน้องสาวตัวเอง “ถ้ายังไงมันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มไรก็บอกพี่ละกันนะ เดี๋ยวพี่จ่ายให้เอง”

     พอหล่อนพูดขึ้นผมก็ครางในลำคอ เรื่องนี้ก็เกือบลืมไปเหมือนกัน ยังดีที่เจ้าหล่อนเตือนกันก่อน

     ผมหัวเราะ “โห ป๊ามาก สุดยอดไปเลยพี่”

     “ไอ้บ้า” หญิงสาวเอาแฟ้มนั้นเคาะหัวผมเบาๆ “เอ้า ทำงานต่อ ไม่งั้นไม่จ่ายเงินให้นะ”



     
     k.
     (photo)
     (photo)
     คอนเทนท์นี้ของเพจเธอน่ากิน

     napat
ไม่ใช่เพจเค้าสักหน่อย 55555
แต่ไอ้โย่งบอกว่าอร่อยจริง
ยังไม่ได้ไปกินเลย

     k.
     อ้าว ไม่ได้ไปถ่ายเหรอ

     
napat
เวียนๆ กันอ่ะ ร้านนั้นเค้าไม่ได้ถ่าย

     k.
     อ๋อ

     ผมมองข้อความนั้นที่สิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมาขณะที่ร้านราดหน้าแถวๆ หอพักเอามาเสิร์ฟพอดี ป้ายังหน้าตาบึ้งตึงเหมือนเคย แต่ผมยิ้มให้ป้า ทีนี้ป้าแกก็งง เดินกลับไปพร้อมกับฟาดมีดลงเขียงด้วยน้ำเสียงที่แรงเหมือนกับที่ผ่านมาทุกวัน

     k.
     พรุ่งนี้วันเสาร์
     เธอว่างไหม

     ผมขมวดคิ้วมุ่น หัวใจพองโตอย่างไม่น่าให้อภัยเพียงเพราะคำถามง่ายๆ นั้น

     
napat
ทำไมเหรอครับ

     ใจดีกันหน่อยคณณัฐ – ผมภาวนาให้คุณเป็นคนพูดออกมาก่อน – กลัวพูดบ่อยไปจะทำให้ดูคลั่งรัก และมันค่อนข้างจะน่าแปลกใจกับการแสดงออกกั๊กๆ ของเรา แต่นั่นแหละ, ผมยังวางตัวไม่ถูกนักแม้ว่าเราเหมือนจะปรับความเข้าใจกันมาแล้ว

     อย่างว่า, มันต้องใช้เวลา – ไอ้เราก็ไม่เคยมีประสบการณ์จีบแฟนเก่าเสียด้วย

     k.
     เค้าว่าง

     และนั่นก็— น่ารักฉิบหาย

     สบถในใจเป็นพันครั้ง ช่วงเวลาที่ห่างกันไปหลายๆ ปีคงทำให้ไม่สามารถชินกับนิสัยน่ารักของอีกฝ่าย แม้ถ้าพูดในแง่ความเป็นจริงว่าคุณหมอเป็นคนสูงชะลูดและหน้าตาดูจะหล่อเหลาเกินกว่าจะบอกว่าน่ารัก แต่ผมก็ยังคงจะยืนหยัดในความน่ารักของเขาอยู่ดี ไม่ใช่ในแง่รูปลักษณ์ภายนอกแต่เป็นในแง่นิสัยต่างหาก

     k.
     อีกนิดก็ขับแหกโค้งแล้วนะ
     ตรงจัด
     เธอต้องตอบเค้าว่าอะไร

     
napat
5555555555
จริงๆ เค้าไม่ว่าง
     
     k.
     ณะ
     : (

     อา— ให้ตายเถอะ ผมตักราดหน้าเข้าปากอย่างมีความสุขทั้งที่เส้นใหญ่แม่งก็ยังเละเหมือนเดิม แต่รสชาติอร่อยกว่าทุกวัน และผมจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาของป้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงขณะที่เอาอาหารมาเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ

napat
แต่ก็ไปได้
ตอนเย็นๆ ได้ไหม

     k.
     เค้ามีเวรทุ่มนึง
     ไม่เป็นไรนะ
     วันอื่นก็ได้

     ผมนิ่งไปชั่วครู่กับคำพูดนั้น พยายามบอกตัวเองว่าไม่ให้ผิดหวังกับเรื่องเล็กๆ ทั้งที่เอาความจริงก็ผิดหวังนิดหน่อย อย่างไรดีล่ะ เราก็โตกันแล้ว – เข้าใจหมดนั่นแหละ

     แต่จะว่าไป, ตัวผมตอนปีสี่ก็เข้าใจเหมือนกัน

     ผมออกจากแชทของคุณ เข้าไปในแชทล่าสุดของน้องสาวของพี่ข้าวที่ยืนยันเวลาวันพรุ่งนี้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เจ้าหล่อนอาสาจะขับรถมารับที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นโลเกชั่นในการถ่ายภาพ เวลานัดคือช่วงเก้าโมง

     ผมถอนหายใจ เปิดแชทคุณอีกครั้ง

     
napat
พรุ่งนี้เช้าล่ะว่างไหม

     k.
     ก็ว่าง วันนี้เค้าออกเวรสี่ทุ่ม
     เธอมีงานไม่ใช่เหรอ

     
napat
ยกเลิกงานแล้ว
     
     k.
     ไม่ตลก
     ณะ เค้าไม่ตลกนะ ทำงานไปเลย

napat
หยอกจ้า

     k.
     ไม่ขำ

     ถ้าเป็นโย่งจะพิมพ์กลับมาว่าหยอกพ่อมึงดิ แต่ถ้าเป็นคุณก็แบบนี้— ไม่เคยจะเกรี้ยวกราดอะไรเหมือนชาวบ้านเขาเสียที

napat
มีไปถ่ายรูปรับปริญญา
เธอไปด้วยกันไหม

     คณณัฐ์เงียบไป

     ผมเลยเริ่มลังเลใจเพิ่มอีกหน่อย คุณหมอคงจะเหนื่อย ผมเข้าใจได้ถ้าคุณหมอจะอยากนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง หรือทำกิจกรรมสบายๆ มากกว่าการไปตากแดด ถือพัดลมตัวเล็กให้กับสาวๆ ในวันรับปริญญา ไม่ได้แปลกใจอะไรเลยด้วยซ้ำ

     
napat
ถ้าเธอเหนื่อยไม่ต้องก็ได้นะ

     k.
     เปล่าๆ ตะกี้คุยกับพี่พยาบาล 55555

napat
อ๋อ

     ใจแป้วหมดเลยนายณภัทร บ้าจริง

     k.
     กี่โมงอ่ะ

     
napat
เค้านัดกับที่นู่นไว้เก้าโมงครับ
     
     k.
     ขอเงื่อนไขเดียว
     
     ผมมองข้อความที่ส่งมาของคุณหมอ เริ่มใจตุ่มๆ ต่อมๆ ปกติลูกบ้าคุณหมอเยอะเกินกว่าที่ใครคิด ขืนยื่นเงื่อนไขยากๆ คงทำให้ผมปวดหัว
     
     k.
     ขับรถให้ทีนะรอบนี้
     ขี้เกียจขับรถแล้วอ่ะ 5555555
     
     ผมหัวเราะ
     
     —และตอบคุณกลับไปว่าด้วยความยินดียิ่ง
     






     เช้าวันถัดมาผมขับมอเตอร์ไซค์ไปหาคณณัฐ์ด้วยตัวเองตอนแปดโมง เร็วกว่าที่แพลนไว้ในตอนแรกเพราะตั้งใจว่าจะใช้รถยนต์ของคุณไปที่มหาวิทยาลัยของน้องขิมแทน เมื่อคืนตอนที่พิมพ์ไลน์ไปบอกน้อง น้องเองก็ดูจะงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

     คุณเดินลงมาที่หน้าคอนโดพร้อมหาววอด เสื้อเชิ้ตแขนสั้นเป็นเสื้อที่ถูกหยิบมาสวมใส่กับกางเกงขายาว จำได้ว่าคุณชอบเสื้อเชิ้ตไม่ทางการตั้งแต่ตอนนั้น ดูๆ ไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ พอๆ กับที่ผมยังชอบเสื้อสกรีนลายโง่ๆ อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ


     คุณหมอทำท่าจะวางกุญแจรถบนมือของผม แต่ก็ชะงัก “ขับรถให้จริงอ่ะ” ถามย้ำอีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ

     “มาขนาดนี้แล้วปะ” ผมหัวเราะ คว้ากุญแจในมือนั่นมาหยิบเอง ก่อนที่ชะงักไป “รถเธอคันไหนนะ”     

     “เนี่ย มันเป็นซะอย่างงี้”

     ผมชอบตอนเช้าที่เจอคุณชะมัด ชอบเสียงหัวเราะนิดๆ หน่อยๆ และดนตรีที่คลออยู่ของรถคุณหมอ กลิ่น air refresher เย็นๆ ปะปนกับกลิ่นน้ำหอมที่ผมไม่เคยคิดฉีดแต่คุณหมอดูเหมือนจะขาดมันไม่ได้

     “เธอจะกินข้าวเช้าไหม” ผมเอ่ยปากถามขณะที่กำลังจะสตาร์ทรถ

     “ม่าย”

     “แล้วชอบบ่นให้เค้ากิน”

     “เอ้า วันหลังไม่บ่นดีปะ”

     ผมวาดยิ้มบางๆ “ไม่ดี” ตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่ในใจหมองลงไปนิดหน่อย

     คุณคงจะมองเห็นถึงได้มีความวูบไหวในสายตา เราก็แค่ไม่อยากหยิบมันเหล่านั้นมาพูดถึงอีก – ซ้ำไปซ้ำมาและวนเวียนอยู่ในความคิด แต่แท้จริงแล้ว, ชีวิตที่ไม่มีคุณตั้งห้าปีมันก็ยังมีความเคยชินบางอย่างอยู่

     “เดี๋ยวพอถึงมหา’ ลัย เค้าค่อยแวะเซเว่นก็ได้” คุณบอกแบบนั้น เหมือนเป็นการยอมลดตัวเองไปกินข้าวเช้าสักนิด

     ผมไม่ได้พูดอะไร ขยับเปลี่ยนเกียร์ในขณะที่บอกให้คุณช่วยเปิด map ให้หน่อย พบว่าระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางคงจะทำให้เราไปถึงเร็วกว่าที่นัดไว้สักหน่อย

     “น้องเค้าก็จะรับปริญญา”

     “จ้างได้นะ”

     “ฟรีปะ ถ้าฟรีเดี๋ยวจ้างให้เลย”

     “โห คุณครับ” ผมโอดครวญ “ต้องทำมาหากินนะ”

     “แหย่เล่น” และคุณก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

     ผมไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้คุณเป็นคนเปิดเพลงบนรถ และฟังเสียงปรามนิดหน่อยเวลาที่ผมเร่งเครื่อง คุณเป็นพวกหวงรถ ผมเข้าใจได้เพราะว่าตัวเองก็คงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำให้อีกคนวางใจได้ในทันที แต่คุณก็ยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากทำเสียงเข้มขึ้นมาหน่อยเรียกณะ ไม่เอาดิตอนที่ผมใช้รถของเขาแซงรถคันที่ขับยึกๆ ยือๆ ข้างหน้า

     ไม่นานเท่าไหร่เราก็มาถึงที่มหาวิทยาลัย ผมจึงทำการโทรหาน้องขิมก่อนเป็นคนแรก

     “พี่ณะถึงแล้วเหรอคะ” ปลายสายรับสายเสียงตกอกตกใจ

     “ครับ” ผมตอบรับ มองคณณัฐที่กำลังหยิบกระเป๋ากล้องของผมและทำท่าจะเปิดประตูลงรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ให้พี่ไปที่ไหน”

     “พี่ณะขา พวกหนูยังแต่งหน้าไม่เสร็จเลย พี่มาเร็วอ่ะ”

     “เอ้า พี่ขอโทษ” คุณเหลือบมอง สุดท้ายก็เปิดประตูรถลงไปก่อนเลย ผมเห็นแบบนั้นเลยเปิดประตูลงไปบ้าง “แถวนี้มีอะไรให้พี่กินบ้างไหม หรือเซเว่น—”

     “โรงอาหารไม่เปิดค่า พวกหนูอยู่กันใต้ตึก พี่ณะมาหาหนูก่อนไหมแล้วเดี๋ยวพาเดินไปเซเว่น”

     “อ๋อ” ผมครางรับ มองอีกฝ่ายที่ยืนมองซ้ายมองขวาหาที่ร่มหลบอยู่ ก่อนที่จะสะกิดหลังมือให้อีกคนเดินตาม “พี่อยู่ตรงลานจอดรถ เดินไปไหนต่อ”

     คนปลายสายบอกทางเดิน ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเท่าไหร่เพราะงั้นเลยดูไม่มีปัญหา เดินไปที่ใต้ตึกเรียนก็เห็นกลุ่มสาวๆ หน้าตาดีตามประสาสาวบัญชีแต่งหน้ากันอยู่ ขิมเป็นคนแรกที่ยกมือโบกทักทายก่อนชะงักไปเล็กน้อย
และเปลี่ยนมายกมือไหว้เมื่อไม่ได้เห็นว่ามีผมคนเดียว

     ผมเหลือบมองผู้ช่วยจำยอมวันนี้ อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำแบบไหน

     แต่คณณัฐ์ก็เป็นเหมือนเดิม ยิ้มหวาน ทักทายน้องๆ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีสนิทชิดเชื้อไปมากกว่านั้น

     “ไปเซเว่นด้วยกันไหมคะ” ขิมเอ่ยถามผมแบบนั้น “หรือพี่ณะกับพี่—”

     “พี่เขาชื่อคุณ” ผมแนะนำ

     ขิมพยักหน้า ยิ้มหวานให้ “ค่ะ พี่คุณไปด้วยกันไหม”

     คุณหมอมองหน้าผมชั่วครู่ คงไม่อยากไปไหนโดยไม่มีผมเพราะยังไงก็ไม่มีคนรู้จัก ผมเลยไม่ขัด บอกให้น้องๆ บอกทางมาและเดินไปเอง ใช้ข้ออ้างว่าเจ้าหล่อนยังแต่งหน้ากันไม่เสร็จจะได้ไม่ต้องเสียเวลา

     “หนูไปด้วยได้นะคะ จะไปซื้อน้ำด้วย”

     “ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ

     ขิมไม่ได้มีท่าทีอะไร น้องแค่บอกว่างั้นฝากซื้อน้ำขวดใหญ่และขอโทษที่ยังแต่งตัวกันไม่เสร็จแบบนี้ ปล่อยให้สองหนุ่มอย่างพวกผมเดินออกมาเอง

     “มีแต่สาวๆ” คุณหมอเปรยขึ้นมาตอนที่เราอยู่กันสองคน “ชอบล่ะสิ”

     ผมรู้สึกหัวใจพองโตกับคำพูดนั้น

     ไม่ได้จริงจังอะไรมากแต่ก็ไม่ได้เมินเฉยกัน – นั่นโคตรน่ารัก

     “ก็ชอบสิ สาวๆ มหา’ ลัย วัยขบเผาะ”

     คุณหัวเราะ “พูดจาเหมือนเฒ่าหัวงู แก่แล้วนะ”

     “เอ้า คุณก็อายุเท่าๆ ณะแหละ” ผมไม่ได้ว่าอะไรกับมือที่ตบไหล่ผมเบาๆ เหมือนกับจะหยอกล้อ ไม่ได้เจ็บเลย อันที่จริงวางมือคุณไว้ตรงนี้ต่อไปก็ได้ “แล้วก็ขอโทษนะ— ชอบเหมือนกันล่ะสิ”

     คุณหมอทำลอยหน้าลอยตา ไม่รู้เรื่องแต่ก็ไม่ได้ทิ้งลายผู้ชายเสียทีเดียว

     อย่างไรก็ผู้ชาย ไอ้เรื่องชอบมองอะไรสวยๆ งามๆ เนี่ยมันห้ามกันไม่ได้หรอก และมันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เราคบกันแล้ว

     “เค้าเอาไว้มอง” คุณอธิบาย “ทัศนียภาพมันสวย”

     “เค้าก็ทำงานเหมือนกันครับ ขอโทษ”

     “สงสัยต้องตามมาดูเธอทำงานบ่อยๆ แล้ว”

     “ก็คือมาคุมเค้า?”

     “มาดูสาวสิ จะมาคุมอะไรเธอ”

     ผมเอื้อมมือไปบีบหลังคออีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวกับคำพูดเย้าแหย่นั้น คุณหัวเราะขณะที่ย่นคอหนี ก่อนที่จะตามมาด้วยการบ่นงึมงำว่าไม่เล่นแล้วๆ

     ถ้าคุณจะมาคุมผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก

     ถึงแม้จะรู้ดีก็เถอะ – ว่าต่อให้คุณไม่คุมผมก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดี


-------------------------
     หายไปนานมากกกกกก แบบมากกกก T_T
     ไม่มีคำไหนจะโต้เถียง ขอโทษจริงๆ ค่ะ
     มีทั้งงานต่างๆ สอบไฟนอล แล้วพอสอบเสร็จปุ๊บเค้าก็ไปเกาหลีปั๊บ
     มีเวลาพักสอง – สามวันก็จะฝึกงานแล้ว 55555555555
     
     แต่ช่วงฝึกงานคงจะอัพนิยายได้เหมือนเคยค่ะ
     เรื่องมันเนิบนาบไปไหมนะ ; - ; แต่ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้เลยค่ะ
     ถ้าทำให้เบื่อต้องขอโทษด้วยนะคะ
     
     ขอบคุณที่ยังติดตามตลอดค่ะ
     รักทุกคนนะคะ <3

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 31-05-2019 21:27:33
ถามว่าเนิบไหม มันก็เนิบอยู่นะแต่ว่า...เค้าชอบแบบนี้ จีบกันน่ารักเนอะ
คิดถึงมากกกกก และก็ดีใจมากที่มาต่อ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 31-05-2019 21:28:00
ถามว่าเนิบไหม มันก็เนิบอยู่นะแต่ว่า...เค้าชอบแบบนี้ จีบกันน่ารักเนอะ
คิดถึงมากกกกก และก็ดีใจมากที่มาต่อ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-05-2019 22:10:19
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-06-2019 00:08:43
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 01-06-2019 17:30:54
เพิ่งมาอ่านยิงยาวเลยจ้า ลุ้นมากกกกกในที่สุดณะก็พูดออกมา พออ่านตอนที่ 10 จบ แล้วเลื่อนมาเจอตอนที่ 11 ก็คือดีใจมากๆๆๆ เค้าค่อย ๆ เริ่มความสัมพันธ์น่ารักมากกกก อยากบอกว่าแอบลุ้นให้หมอคุณมางานถ่ายรูปรับปริญญากับณะมาก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-06-2019 18:14:26
อ่ะจีบกันใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-06-2019 22:19:19
น่ารักมากกกก เปิดใจกันแบบนี้อ่ะดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 01-06-2019 22:56:01
เย้ มาต่อแล้วววว
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: SMiLD ที่ 04-06-2019 12:38:46
ฮื้อออ ชอบความจีบกัน อุ่นๆละมุน พี่คุณน่ารักมากเลยอ่าา
แต่ค้างง่า รอต่อนะค้าาา เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยค่าา :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 05-06-2019 10:58:44
เขินตัวจะแตกแล้ว รีบมาต่อน้าาา อยากอ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 05-06-2019 13:39:46
 :katai1:ดีมากเลยอะ อานแล้วฟินมาก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 07-06-2019 12:14:35
บอกได้คำเดียวว่า “น่ารักมากกกกกกกกกก”  :-[
น่ารักทุกอย่าง บทสนทนา ท่าทาง ความสัมพันธ์ และคุณคุณ
รอตอนต่อไปนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 11 (pg.3) : 31/05/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-06-2019 22:54:32
———— 12 ————


     “เธอรับงานถ่ายรูปด้วยเหรอ”

     ผมเงยหน้าขึ้นมองคณณัฐ์ที่นั่งเล่นอยู่ที่ปลายเตียงของผมพร้อมกับกล้อง DSLR ในมือ อีกฝ่ายยิ้มตาหยี หันกล้องที่เป็นรูปผู้หญิงในชุดสวยงามตามประสาเชียร์ลีดเดอร์สมัยมัธยม

     ผมส่ายหน้า “เปล่า อันนั้นน้องที่เป็นญาติ” ผมอธิบาย “น้องมันเป็นหลีดฯ ไง เลยไปช่วยถ่ายรูป”

     “ถ่ายสวยเนอะ”

     “แน่นอน คนมันเก่ง”


     คุณแลบลิ้นทำเสียงแหวะออกมา ในขณะที่ผมหัวเราะแผ่วเบา

     ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวข้างๆ “ทำไม เค้าทำไม่เก่งเหรอ”

     “เก่งก็ได้”
ว่าที่คุณหมอหันตัวมา “แต่ไม่ชมมากหรอก เดี๋ยวเธอเหลิง”

     ว่าแบบนั้นพลางเอาแขนคล้องแขนของผมไว้ในขณะที่เล่นกล้องผมเหมือนเดิม เป็นวิธีการสัมผัสกันโดยที่เราได้ไปทำอย่างอื่น ผมสังเกตมาสักพักแล้วว่าคุณชอบที่จะอยู่ด้วยกันใกล้ๆ สัมผัสตัวกันเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่กอดก่ายหรือจับมือเหนียวแน่น

     “เคยคิดจะรับจ๊อบถ่ายรูปไหม” คุณเงยหน้าขึ้นมาถาม

     “เคยดิ แต่คงต้องฝึกฝีมืออีกหน่อย คณะเค้ามีคนทำเต็มเลย”

     “ก็เด็กฟิล์มอ่ะเนอะ”

     “เอกอื่นก็มี คณะเค้าเล่นกล้องเยอะ”
ผมว่าพลางมองชายหนุ่มข้างกาย เผลอมองไล่ไปตั้งแต่ปลายเส้นผม, ดวงตากับไฝสองจุดตรงนั้น, จมูก เรื่อยไปจนริมฝีปากและข้อมือที่ขนาดใกล้เคียงกัน “เธอชอบเป็นแบบไหม”

     คุณหมอเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงก่อนจะถามเสียงหลง “เค้า?”

     ผมพยักหน้า

     “โหย เค้าไม่ชอบถ่ายรูปอ่ะ” คุณว่าแบบนั้น เอียงศีรษะลงมาซบบนต้นแขนของผมขณะที่เลื่อนรูปในกล้องของผมไปเรื่อยๆ “เฮ้ย เพื่อนน้องสวยอ่ะ— อ๋อ ใช่ ไม่ใช่ถ่ายไม่ได้แต่ไม่ค่อยชิน เกร็งๆ กล้อง”

     “ไว้วันหลังถ่ายให้”
ผมว่าแบบนั้น เอียงหัวซบศีรษะของคุณต่ออีกทอด

     “แบบเป็นกิจจลักษณะเลยเหรอ”

     ผมพยักหน้า “แบบเป็นกิจจลักษณะเลย”

     “ไม่เอาอ่ะ เขินแย่”


     คุณว่าแบบนั้นพลางซูมรูปเพื่อนๆ ของน้องผม เล่นเอาคิ้วกระตุกนิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายชอบจริงแต่ก็ไม่อยากจะไปหึงอะไรมั่วซั่ว มันดูเป็นคนงี่เง่าไปเสียหน่อย ว่าก็ว่าเถอะ, คุณชอบผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ท่าทางอาหมวยนิดๆ สุดๆ จนตัวผมนึกขำไม่ได้ที่ผม – ซึ่งเป็นแฟนคุณ – เป็นเพียงผู้ชายตัวสูงโย่งหน้าตาไม่โดดเด่น แถมยังจะไว้เคราบางช่วงเพราะงานเยอะอีกต่างหาก

     “งั้นวันรับปริญญาฯ”

     “นานไป”

     “จะไม่อยู่เหรอ”


     คุณถามคำถามที่ไม่ค่อยถาม

     ผมไม่ได้ตอบ – ยอมรับว่าไม่เก่งกาจเรื่องการสัญญา จริงๆ แล้วเป็นคนซีเรียสเรื่องคำพูดค่อนข้างมาก และคุณเองก็ดูจะเข้าใจ อีกฝ่ายยิ้มและหัวเราะแหะๆ แล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า

     “งั้นวันรับกาวน์ เธอช่วยมาถ่ายรูปให้ด้วยนะ”

     ผมคิดไปถึงในระยะเวลาอีกครึ่งปีข้างหน้า ก่อนที่จะพยักหน้ารับคำ

     คุณยิ้มตาหยี น่ารักเหมือนเดิม ก่อนที่จะทำนั่นทำนี่กับกล้องผมต่อ

     เชื่อไหม, ผมเพิ่งถือกล้องไปถ่ายรูปให้คุณวันรับกาวน์ไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ เราก็เลิกกันเสียแล้ว

     ไม่ต้องไปสนใจวันรับปริญญาหรอก,

     มันไม่มีวันนั้นเลยสักนิด




     
     “น้อง น้องคนนั้นอ่ะ— ลองมายืนข้างหน้าๆ เอ้ย ถอยอีกนิด”

     “มันจำชื่อน้องไม่ได้นะ ไม่จ่ายค่าจ้างนะพี่”

     “โหย” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากช่องมองภาพ “น้องไม่จ่ายพี่ก็ไม่กดชัตเตอร์อ่ะ เอาดิ”

     กลุ่มสาวๆ หัวเราะคิกคัก ทั้งที่เป็นผู้หญิงแต่ด้วยความห้าวแล้วน้องๆ ก็ถือว่าคุยกับผมได้เร็ว อันที่จริงนี่เป็นเคล็ดลับในการทำให้คนถูกถ่ายรูปผ่อนคลายด้วย ขืนถามคำตอบคำภาพก็เกร็งยันชาติหน้า

     “พี่คุณยังจำชื่อพวกหนูได้เลยนะ”

     ผมหันไปมองคุณหมอที่วันนี้มาเป็นผู้ช่วยแบกของแบกน้ำจำยอม คณณัฐยักคิ้วหลิ่วตา ท่าทางน่าจะโดนหยิกสักทีแต่ก็ไม่อยากออกตัวมากเกินไป

     หันกลับไปจับกล้องเป็นมั่นเป็นเหมาะ “น้อง— สรุปชื่ออะไรนะ”

     “หวาน!”

     ผมหัวเราะ “ขอโทษๆ น้องหวานเข้าไปหน่อย”

     หญิงสาวทำหน้างออย่างไม่จริงจัง ผมทำงานของตัวเองไปตัวบรรยากาศเฮฮา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าอายุใกล้เคียงกัน น้องขิมเองก็ไม่ปล่อยให้มีเดดแอร์ แต่ที่มากไปกว่านั้น—

     ผมเหลือบมองคุณหมอ รอยยิ้มหวานเหมือนเดิมถูกมอบให้กัน

     คุณเอียงคอและยักคิ้ว “แค่นี้ก็จะไม่ได้ กา-จอก” ไม่ลืมที่จะพูดจากวนกันปิดท้ายจนผมอดไม่ไหว เอื้อมมือไปบีบปากนั้นจนได้

     คุณนิ่วหน้าแต่เหมือนจะไม่จริงจังในขณะที่ผมหัวเราะ ผมหันไปหากลุ่มสาวๆ ก่อนที่จะเห็นว่าพวกหล่อนหัวเราะไปด้วย ไม่ได้มีทีท่าตกใจหรืออะไร น้องขิมมองผมนิ่งๆ แต่ยามเราสบตากันก็ยิ้มให้ ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อย คงเพราะหล่อนเป็นเพียงคนเดียวที่รู้จักกับคนรู้จักของผมต่ออีกทอด และก่อนหน้านี้ก็ใช่จะไม่รู้ว่าเธอค่อนข้างจะสนใจผมไม่ใช่น้อย
     เรียกว่าเซ้นส์ก็คงได้ – ไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอก ผู้ชายเองก็มีเหมือนกัน

     “เอ้า ถ่ายต่อ เดี๋ยวคิดชั่วโมงเพิ่มนะ”
     
     “ไม่ใจดีเลยอ่ะ”

     “ให้พี่ทำมาหากินเถอะน้อง”

     น้องๆ หัวเราะ ไม่นานเราก็ถ่ายที่ตึกเรียนเสร็จ คงเพราะคนไม่เยอะ แถมในวันเสาร์-อาทิตย์แบบนี้ก็ไม่ค่อยเจอใคร ที่สำคัญคือแสงดี

     ผมปล่อยให้น้องๆ เดินพาผมไปที่หอสมุดซึ่งเป็นโลเคชั่นถัดไป รอบนี้คงจะเย็นขึ้นมาหน่อยหลังจากเดินวนอยู่ในตึกร้อนๆ เสียนาน

     “เหนื่อยไหม” คุณหมอเดินมาถามพร้อมกับพัดลมตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอามาจากไหน หันมาจ่อให้ที่ใบหน้าของผม “ร้อน”

     “พกด้วยเหรอ”

     “ไปยืมน้องมา มันชอบใช้ตอนมันไปคอนเสิร์ต”

     “อ๋อ” พยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมให้มากความ

     คณณัฐยิ้มหวาน เลื่อนมือที่ถือพัดลมพกพามาให้ที่ใบหน้า จ่อเข้าที่หน้าผาก ขยับปากถามโดยไร้เสียงว่าหายร้อนยัง ซึ่งทั้งหมดนั่นโคตรจะน่ารัก เป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พบเจอมานานมากแล้ว

     คุณเก่งกาจเรื่องรอยยิ้มที่ทำให้โลกสดใสไม่พอ ยังเก่งกาจเรื่องทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกดีด้วย
     
     เราเดินมาถึงห้องสมุด รอบนี้เริ่มจากการถ่ายเดี่ยวกันก่อน น้องผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนแรกที่นั่งลงพิงชั้นหนังสือ ผมเหลือบเห็นภาพกระโปรงนักศึกษาของหล่อนร่นขึ้นไปเลยลดกล้องลง มองซ้ายขวาก็พบว่าเพื่อนๆ น้องเขาคุยกันอยู่เลยไม่สังเกต แต่ไอ้ครั้นจะเตือนเองก็กระอักกระอ่วน

     “น้องครับ” และคนช่วยชีวิตผมคือคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างหลังผม “นั่งระวังหน่อยน้า” ใช้น้ำเสียงในการเตือนให้ดูน่ารักมากกว่าดูน่าเขินอาย

     เธอรีบเปลี่ยนท่านั่ง ผมเลยโล่งใจหน่อยและเริ่มทำงานต่อ

     คุณไม่ได้เก่งแค่เรื่องรอยยิ้มทำให้โลกสดใส แต่ยังเก่งเรื่องการวางตัวให้ไม่มีใครสักคนเกลียด จะไม่ชอบหน้าคณณัฐได้ก็คงจะมีความคิดที่ซับซ้อนน่าดู คุณวางตัวดีกับผู้หญิงและผู้ชาย ถนอมน้ำใจแต่ไม่ให้ความหวัง อ้างอิงจากตอนที่สาวๆ สมัยมหา’ ลัยชอบที่จะขายขนมจีบให้อีกคนเหลือเกิน

     “เมื่อยไหม” คุณเดินเข้ามาถามผมตอนที่ผมเดินมาหยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม

     ผมเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าน้อยๆ “นั่งรอเบื่อไหม”

     “เฉยๆ”

     “วันหลังต้องเอาไฟอะไรมาให้ถือแล้ว”

     “งั้นวันหลังไม่มาแล้ว”

     “โหย” แล้วคุณก็หัวเราะที่แหย่ผมได้ – แหงล่ะ, คุณถือไพ่เหนือกว่าผมเสมอแหละ “ตอนนี้เธอก็มาเดินตามต้อยๆ แล้วนะ อุตส่าห์แนะนำว่าเป็นผู้ช่วย ไม่ได้ช่วยอะไรสักอย่าง”

     “เค้าถือกระเป๋ากล้องให้ไง ช่วยแล้ว”

     “กินแรง”

     คณณัฐยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าช่วยไม่ได้ ผมเอื้อมมือไปหมายจะดึงแก้มอีกคนด้วยความมันเขี้ยว แต่จังหวะนั้นเองที่คุณเบี่ยงตัวออก

     เหมือนบรรยากาศรอบข้างของเราน่าอึดอัดขึ้นมาภายในเสี้ยววินาทีกับการกระทำนั้น คุณดูตกใจ ผมเองก็เหมือนกัน ถึงได้ลดมือกลับในวินาทีถัดไป

     “เอ่อ—”

     “พี่ณะๆ”

     เสียงเรียกของใครคนหนึ่งทำให้ผมกลืนคำพูดลงคอ คุณคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อน น้องขิมเป็นคนที่เรียกผมเมื่อกี้นี้ เธอเดินเข้ามาหาพร้อมกับชี้ที่กล้อง

     “หนูขอดูรูปหน่อยได้ไหมคะ”

     “อ๋อ, ได้ๆ”

     ผมหยิบกล้องขึ้นมาเปิดที่อัลบั้มภาพที่เพิ่งถ่ายไป หันกล้องให้ด้วยความเคยชิน

     น้องขยับเข้ามาหนึ่งก้าว กลิ่นหอมแฮะ— น้ำหอม, ไม่สิ, แชมพู? ผมตั้งคำถามกับกลิ่นที่แทรกเข้ามาในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะได้ยินสัญญาณร้องเตือนเมื่อพบว่าระยะห่างนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การใกล้กันจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวหล่อนคงไม่ใช่ระยะธรรมดา

     ผมเงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันที่สบตากับคุณที่กำลังมองอยู่แล้ว แววตาของคุณดูปกติดีราวกับผมกำลังยืนคุยกับน้องเฉยๆ ทั้งๆ ที่น้องกำลังก้มหน้ามองหน้าจอกล้องที่คล้องคอผมอยู่

     ผมกลืนน้ำลาย “แป๊บนะน้องขิม” เอ่ยแบบนั้นก่อนจะถอยมาหนึ่งก้าว ยื่นกล้องให้เธอ

     น้องทำหน้างุนงงในจังหวะแรก ก่อนจะเหลือบตาไปมองออกฝั่ง “อะ- อ๋อ ค่ะ” ตอบมาแผ่วเบาก่อนจะถอยออกไปอีกหนึ่งก้าว

     ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้าตาแบบไหนออกไป แต่คุณถึงกับหลุดหัวเราะออกมาก่อนที่จะยกมือป้องปากและหันไปทางอื่นแทน

     “ชอบรูปประมาณนี้อ่ะ” น้องขิมหันหน้าจอกล้องมาทางผม “ขอโทษนะพี่”

     “ฮะ?” ผมร้องเสียงฉงน

     “เมื่อกี้ลืมตัว”

     “ไม่เป็นไรๆ พี่ไม่ได้— เอ่อ ซีเรียสอะไร”

     “อ๋อ” เธอพยักหน้า “พี่โย่งไม่มาด้วยเหรอคะวันนี้”

     ผมขมวดคิ้ว “ปกติพี่รับงานนอกก็ไม่มาด้วยนะ ปกติพี่ก็มาคนเดียว”

     “อ้าวเหรอคะ” น้องเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยถามคำถามที่ทำให้ผมจนมุมในที่สุด “แล้วทำไมวันนี้พี่คุณถึงมาด้วยล่ะคะ”

     ผมถึงกับอึ้งไปเลยจังหวะนั้น

     ไม่ได้ตอบอะไรไปสักคำเดียวทั้งๆ ที่ขยับปากออกแต่สุดท้ายก็หุบปากฉับ

     น้องขิมครางต่ำในลำคอ “อ๋อ” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ยิ้มให้กันแต่ผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป

     ขอโทษนะครับน้อง





     
     ผมเสร็จงานตอนช่วงบ่าย นานกว่าที่คิดไว้เล็กน้อย จริงๆ พวกน้องๆ ชวนกันไปทานร้านชาบูแต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะรู้ดีว่ายังมีนัดกับคนที่มาด้วยกันในที่ที่คุณเคยส่งมาว่าอยากไปเลยได้บอกลากับทุกคนไปเลย

     “เป็นแมปให้ด้วยนะ”

     “รู้แล้วน่า” คุณว่าแบบนั้น “จริงๆ ให้เค้าขับไหม ตอนเช้าเธอขับแล้ว”

     “คิดมาก – เดี๋ยวเค้าขับให้แหละ”

     ผมตอบปัดพลางคาดเข็มขัด สตาร์ทรถที่ตอนนี้ร้อนฉิบหายเพราะจอดไว้บริเวณที่โดนแดด คุณกดเร่งแอร์ในขณะที่ผมวางมือลงบนพนักเก้าอี้ของอีกฝ่ายเพื่อถอยรถ

     จังหวะที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เผลอสบตากับคุณที่มองมาที่ผมอยู่ เพียงแค่เราสบตากันคุณก็หลบสายตาไปทางอื่น

     “มีอะไรเหรอ”

     “เปล่า”

     ผมมองหน้าอีกฝ่ายที่บ่นงึมงำก่อนจะยักคิ้ว “หล่ออ่ะดิ”

     “เอ้า ก็หล่อน่ะสิถึงได้มอง”

     ถ้าคิดว่าจะชนะคุณได้ ผมก็คิดผิดอีกตามเคย

     ทั้งที่คิดว่าจะหยอดไปแล้วจะทำให้อีกฝ่ายเขิน คำตอบคือใช่เลยสักนิด ในเมื่อคุณตอบกลับอย่างไม่มีรีรอ ไม่มีแม้แต่จังหวะจะเขินด้วยซ้ำ

     พอผมเป็นฝ่ายเงียบ กลายเป็นคุณเสียอีกที่เอานิ้วชี้ว่า “แหน่ะ เขินล่ะสิ”

     จะเหลือเหรอพ่อคุณ

     มื้อกลางวันตอนบ่ายสองไม่ได้แย่ ถึงแม้ว่าจะมีคนบ่นอิดออดนิดหน่อยที่หิวมาก แต่เพราะร้านอาหารไม่หนาแน่นเท่าช่วงเที่ยงเลยได้มาเร็ว มื้ออาหารไม่ได้กร่อยมาก ผมนั่งฟังคุณพูดเรื่องกองทุนไปจนถึงนินทาเจ้าหมา
ของตัวเองที่ผมเคยไปช่วย พร้อมกับนินทาเพื่อนสนิทที่ผมไม่ได้ยินชื่อมานาน

     “แมคจะแต่งงานแล้วนะ”

     “แมค? อ๋อ” นั่งคิดหน้าเพื่อนไปชั่วครู่ คงเพราะถึงจะเป็นเพื่อนกับเพื่อนของคุณในเฟซบุ๊กเหมือนเดิม แต่ว่าไม่ได้มีบทสนทนาต่างๆ นานแล้ว “มันจะแต่งแล้วเหรอ”

     “ไม่ได้เจอเลยเหรอ”

     “ตั้งแต่มันรับปริญญาก็ไม่ได้เจอเลยนะ แรกๆ ก็คุยกันบ้าง แต่สักพักก็หาย”

     คุณขมวดคิ้วมุ่น “เธอไปงานรับปริญญามันด้วยเหรอ”

     ผมครางต่ำในลำคอ สบถในใจว่าพลาดแล้ว

     คนเรามีเรื่องที่อยากจะฝังเก็บไว้, ผมเองก็เหมือนกัน

     จริงๆ แล้วผมก็มีเพื่อนที่เรียนหมอคณะเดียวกับคุณสองสามคน อย่างที่บอกว่าปีแรกเรียนวิทยาเขตเดียวกัน เพราะฉะนั้นวันรับปริญญาของพวกมัน ถ้าหากผมว่างก็จะไปหา

     ผมยังจำความบ้าบิ่นของตัวเองเมื่อก่อนได้อยู่เลย, ตอนนั้นเราน่าจะเลิกกันไปสักสองปี— ไม่สิ, ประมาณปีกว่าๆ มากกว่าล่ะมั้ง ใช่, ประมาณนั้นแหละ

     ผมไปงานรับปริญญาที่รู้ว่าคุณกำลังรับปริญญาด้วย แต่ไม่ได้ไปหา

     ไม่มีดอกไม้ ไม่มีคำยินดี ไม่ได้เจอหน้าตรงๆ ด้วยซ้ำ ผมไปถ่ายรูปกับไอ้แมคสองสามภาพและพูดคุยไม่กี่ประโยคก่อนจะแยกตัวออกมาหาเพื่อนคนอื่นๆ จำได้ว่าตอนนั้นเราคลาดกันเพราะสาเหตุอะไรบางอย่าง มันถามผมว่าอยากเจอคุณไหมและผมตอบว่าไม่เป็นไร

     ถ้าตอนนั้นผมตอบว่าอยากเจอจะเป็นอย่างไรนะ หรือถ้าผมรอนานกว่านั้นผมจะทำอย่างไร

     จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้จะเป็นจะตายแล้ว แต่ในหัวก็คิดแค่ว่าไม่ต้องเจอคงจะดีกว่า คิดอยู่แค่นั้นจริงๆ

     “ไปแหละ” ผมตอบเสียงแผ่ว

     คุณวาดยิ้มแต่แววตาเศร้าลงนิดหน่อย “แต่วันนั้นเราไม่ได้เจอกันเนอะ”

     “อื้อ”

     แล้วอาหารก็ดูจะรสชาติจืดชืดลงนิดหน่อยหลังจากนั้น

     เราเปลี่ยนเรื่องราวไปที่ชีวิตของแมคที่ยังเป็นเพื่อนสนิทของคุณอยู่ ช่วงนี้ได้ยินเรื่องการแต่งงานบ่อยเสียเหลือเกิน ผมแอบนินทาพี่สะใภ้ของตัวเองให้คุณฟัง อย่างเช่นเรื่องแปลกๆ ตอนท้อง แต่คุณกลับอธิบายมาอย่างวิทยาศาสตร์ตามประสาคนเป็นหมอ โดนผมแซวว่ายังเนิร์ดเหมือนเดิมแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องขำขัน

     กว่าเราจะเดินออกมาจากร้านอาหารก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงพร้อมท้องที่อิ่มเกินกว่าที่คิด

     “ไปไหนต่อดี” คณณัฐเอ่ยถามขึ้นมา “รอบนี้ณะเลือก เค้าเลือกร้านอาหารแล้ว”

     “ยากว่ะ”

     “งั้นกลับเลยดีไหม”

     “คุณณณ” ผมลากเสียงยาวในขณะที่เจ้าของชื่อหัวเราะแผ่วเบาที่แหย่ผมได้อีกครั้ง

     ลงท้ายเราก็จบกันที่การจอดรถไว้แถวข้างทางแล้วลงไปเดินตลาดงานอาร์ตและของมือสองใกล้ๆ นี้ตามที่ผมหาในอินเตอร์เน็ตว่ามีอะไร ผมหยิบกล้องลงไปด้วย ถือว่าถ้ามีอะไรน่าสนใจคงจะได้ทำงาน

     แต่น่าแปลกนะ, ของที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผมตอนนี้คงเอาไปเสนอไม่ได้แน่

     ทั้งที่ถือกล้องอยู่พร้อมกับเลนส์ที่เปลี่ยนจากตอนกลางวันเป็นระยะภาพที่กว้างขึ้นเพื่อถ่ายให้เห็นบรรยากาศมากกว่าภาพบุคคลแล้วแท้ๆ แต่ทำไมจุดโฟกัสเวลาผมมองผ่านกล้องถึงเป็นคุณมากกว่าบรรยากาศเหล่านั้นได้ก็ไม่รู้

     “ณะๆ” คุณเรียกชื่อผมพลางสะกินต้นแขน “เค้าขอไปดูต้นไม้ร้านนั้นนะ”

     ผมมองปลายนิ้วไปที่ร้านขายกระบองเพชร “เธอเลี้ยงด้วยเหรอ”

     “เพิ่งลองเลี้ยงก่อนหน้านี้ไม่นาน” คณณัฐตอบแบบนั้น “เบื่อๆ ก็หาอะไรทำ” ว่าแบบนั้นแล้วก็เดินดุ่มๆ ออกไปเลย

     ผมถ่ายรูปถนนที่ไม่ค่อยมีผู้คนในเวลานี้เนื่องจากตลาดเพิ่งตั้ง อีกสักพักก่อนที่จะหันกลับไปที่คุณหมอ ตั้งใจจะเดินไปหาแต่พอมองคุณที่ก้มหน้าทำหน้าเคร่งเครียดกับต้นไม้จิ๋วต่างๆ แล้วก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้

     คุณตอนเรียนมหาวิทยาลัยเคยบ่นว่าเลี้ยงต้นไม้ไม่เคยรอด ไม่กินปลาดิบ หน้าตาเคร่งเครียดกับหนังสือเรียนแต่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันทุกที

     ห้าปีไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลยนะ จำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เจอกับคุณผมคิดคำนี้มากี่ครั้งแล้ว แต่มันก็ยังผุดขึ้นมาอีกที

     มันจะไปรอดจริงๆ ใช่ไหม

     จู่ๆ คำถามแบบนี้มันก็เคลื่อนตัวเข้ามาในหัวสมอง เป็นจังหวะที่ทำให้ลังเลจะกดชัตเตอร์จากมุมนี้

     แต่เสี้ยววินาทีนั้นคุณเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากนั่นไม่ได้ยิ้มเหมือนเดิมแต่กัดเม้มน้อยๆ ก่อนที่จะกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้

     “ณะ มาช่วยเลือกหน่อย”

      ผมลดกล้องลงหลังจากกดชัตเตอร์ตอนที่เราสบตากันผ่านกล้อง

     เดินเข้าไปหา, ให้อีกฝ่ายบ่นงึมงำใส่และหันกลับมาถามด้วยคำถามง่ายๆ ว่าคุณจะเลือกอะไรดี ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เข้าถึงเรื่องต้นไม้ใบหญ้าและไม่เข้าใจว่าต้นไหนแตกต่างกันอย่างไรด้วยซ้ำ แต่คุณก็ถามความคิดของผม สุดท้ายคุณก็ได้ต้นไม้ทั้งสองต้นนั้นใส่ถุงกระดาษมา

     “ป่ะ ไปต่อกัน” คุณว่าแบบนั้นก่อนที่เราจะเดินต่อ

     หลังมือของเราสัมผัสกันแผ่วเบา,

     มันคงจะเร็วไปที่จะจับมือกันแน่นเหมือนที่เคยทำ

     แต่ความอ่อนไหวที่โดนบนหลังมือของผมทำให้รู้สึกดีพอๆ กับรอยยิ้มทำให้โลกสดใสของคุณ – เพราะฉะนั้นผมจะยินดีกับช่วงเวลาเช่นนี้ไปก่อนแล้วกัน

     อย่างน้อยมันก็ใกล้พอที่ทำให้มือของเราโดนกันได้



-------------------------

จริงๆ มันใกล้จบแล้วน้า ; - ;
กะไว้ประมาณ 15 ตอนค่ะ

ถ้ามีโอกาสรวมเล่มคงจะดี
แต่ถ้าเขียนช้าแบบนี้ก็คือ--- 5555555555555555555

เจอกันในแท็กนะคะ
#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 12 (pg.4) : 16/06/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-06-2019 23:09:27
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 12 (pg.4) : 16/06/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-06-2019 23:26:37
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 12 (pg.4) : 16/06/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 17-06-2019 11:29:54
คุณคุณน่ารักมากกกกกก เป็นคนดีที่ดีมากกกกกก
ดูเหมือนคุณจะไม่โกรธณะเลย คุณคุณดีมากกกกก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 12 (pg.4) : 16/06/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 17-06-2019 20:53:37
คุณหมอเป็นตัวละครที่อ่านความคิดยากจริงๆ ทั้งที่มีพาร์ทคุณหมอแล้วแต่เราก็ยังเดาใจคุณหมอไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
แต่เค้าก็ชอบเรื่องนี้ ชอบการเดินเรื่อง ชอบตัวละครเองของเรื่อง ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 12 (pg.4) : 16/06/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 17-06-2019 22:23:05
คุณคุณน่ารักเหลือเกิน ชอบเวลาเขาคุยกันทั้งตอนปัจจุบันทั้งตอนอดีตที่ยังเป็นแฟนกัน
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 12 (pg.4) : 16/06/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-06-2019 23:47:27
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 12 (pg.4) : 16/06/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-06-2019 20:51:56
ขอให้เป็นเรื่องราวดีๆ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 18-07-2019 21:33:44
———— 13 ————


     “พรุ่งนี้ไปดูหนังกัน”

     “อื้อ— พรุ่งนี้เหรอ” ส่งเสียงครางในลำคออย่างไม่มั่นใจ ไม่ใช่ไม่มั่นใจในตัวเองหรอกนะ “เธอไม่ได้มีเวรวันพรุ่งนี้เหรอ”

     “ก็มีสิ แต่ว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าจองรอบดึกหน่อยนะ” ปลายสายตอบกลับมาแบบนั้น “แถมเธอบอกอยากดูตั้งนานแล้วนี่”

     “ก็ไม่ได้ขนาดนั้น”

     คิดไปถึงหนังเรื่องที่เปรยว่าอยากดูเมื่อคราวก่อนกับคุณ ถามว่าอยากดูไหมก็ใช่ แต่ระยะเวลาการเข้าโรงมาเกือบสองอาทิตย์และเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานาก็ไม่ได้ถือว่ามีความต้องการอยากดูเท่าก่อนหน้า จริงอยู่ที่ดูหนังบ่อย และการดูหนังคนเดียวถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมมาก

     “ไม่อยากดูแล้วเหรอ” คุณหมอถามเสียงอ่อนลงกว่าเดิม

     แต่ที่ยังไม่ไปดู— ก็เพราะคุณนั่นแหละ

     “ไม่อยากจริงๆ หรอ”

     ผมหลุดขำ “อยากดูก็บอกมาตรงๆ น่า”

     “ฮึ่ย” ได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดดังมาจากปลายสาย “รู้สึกผิดอ่ะ เธอไม่ไปดูเพราะเค้าบอกว่าอยากดูเหมือนกันใช่ไหม”

     อยากจะตอบว่าใช่ แต่ปากตอบกลับไปอีกอย่าง “คิดมาก”

     “แต่เค้าก็อยากดูอ่ะ พรุ่งนี้เวรก็เลิกสามทุ่ม เนี่ย ดูรอบที่พารากอนยังมีอยู่เลยนะ”

     “ถ้าเธอยืนยันว่าไม่เหนื่อยก็ได้”

     “เย้” คุณเหมือนเด็กนิดหน่อย ถึงจะใช้น้ำเสียงนุ่มๆ ที่พูดคำว่าเย้ออกมาอย่างกับไม่มีอารมณ์ร่วมแบบนั้น แต่ก็รู้แหละว่าคุณหมอกำลังรู้สึกดีใจอยู่ “แล้วงานใกล้เสร็จหรือยัง”

     ผมมองหน้าจองานคอมพิวเตอร์ของตัวเองที่เปิดโปรแกรมตัดต่อวีดีโอ เป็นงานนอกเหนือจากงานประจำที่รับเข้ามาหาเงินเพิ่มเติมบ้างตามประสา เหลืออีกไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว

     “อีกสักพักแหละ”

     “อยากให้อยู่เป็นเพื่อนไหม”

     “อยากอยู่ไหม” ถามปลายสายอย่างไม่คิดอะไรมาก “จริงๆ ก็ยังไม่ง่วง”

     “จริงนะ”

     “อื้อ”

     บทสนทนาเรียบง่ายดำเนินต่อไปเรื่อยๆ – เรื่อยเปื่อยเสียจนนึกแปลกใจ เรียบง่ายเสียจนใครมาเห็นต้องคิดว่ามันน่าเบื่อจริงๆ แน่ – เราไม่ได้คุยกันบ่อยเท่าไหร่ ส่วนมากก็แค่ห้านาทีที่คุณหมอว่าง เน้นพิมพ์หากันมากกว่าว่าวันๆ ทำอะไร ใช่ว่าไม่เคยจะเห็นว่าคุณหมอไปไหนมาไหนผ่านทางโซเชี่ยลอื่นๆ อย่างอินสตาแกรม (ที่ในที่สุดผมก็ยอมกด follow ไปสักที) แต่ตามนิสัยของคุณหมอแล้วก็นั่นแหละ, เหมือนถือคติว่าไปก่อนแล้วค่อยบอก ซึ่งผมก็เข้าใจดีเพราะตัวเองก็ไม่ต่างเท่าไหร่นัก

     มักจะโดนไอ้โย่งทักทายด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยตอนที่พิมพ์ไลน์ในเวลางาน แต่เหมือนจะเริ่มขี้เกียจแซวขึ้นมาแล้วมั้ง หรือไม่ก็คงเป็นเพราะประเด็นเด็ดตอนนี้ไปอยู่ที่พี่เอกกับพี่ข้าวที่กำลังจะถึงงานแต่งในวันเสาร์นี้มากกว่า

     “เดี๋ยวพี่ออกไปหาเพื่อนนะ จะลองชุดเพื่อนเจ้าสาว”

     “จ้า” ผมขานรับอีกฝ่าย “ไอ้ลูกจ้างมันก็ต้องทำงานอยู่ตรงนี้”

     “แหมอีน้อง ทำมาพูด ทำให้มันจริงๆ เถอะงานน่ะ ไม่ใช่นั่งตอบไลน์สาวอยู่”

     “แค่กกกก!”

     ผมหันขวับไปมองไอ้โย่งที่ “ตีนติดคอเหรอมึง”

     “ใช่เลย ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย” มันกระแอมไอ “สงสัยต้องไปหาหมอสักหน่อย”

     ผมสบถไอ้สัดออกมาเบาๆ ในขณะที่พี่ข้าวหรี่ตา เอ่ยปากแซว “สอยของสูงนะคุณน้อง มิน่า น้องสาวพี่มันแค่เด็กบัญชี”

     “โอ๊ย ไปเรื่อย” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงประเด็น “ไม่เกี่ยวกับเรียนคณะไหนสักหน่อย”

     “หรือเกี่ยวกับอายุ” เจ้ปันเอ่ยถามแทรกเข้ามา “จริงๆ แกไม่ชอบเด็กๆ ใช่ไหมล่ะน้องณะ!”

     “เกี่ยวกับถ่านไฟกะ—”

ผมเอื้อมมือไปตะปบปากไอ้โย่งแทบไม่ทัน อาชีพยังไม่เท่าไหร่ แต่ไม่อยากให้ใครรับรู้เท่าไหร่ว่าคุยกับแฟนเก่าอยู่ ผมถลึงตามองเพื่อนสนิท ล็อกคอมันแน่นก่อนจะยอมคลายออกเมื่อเห็นว่ามันดูจะยอมเงียบแล้ว

“ไอ้ณะ ไอ้เวร ฉิบหาย มือเค็มมาก”
     
     “อี๋” ผมมองมือตัวเอง “มึงเลียมือกูปะเนี่ย”

     “พวกแกทุกคนโสโครกมาก” นั่นเป็นเสียงปรามจากว่าที่เจ้าสาว หล่อนหัวเราะก่อนจะหันไปมองพี่เอกที่กำลังควงกุญแจรถรออยู่ “ชวนมางานพี่ได้นะ พี่อยากเห็นหน้า”

     ผมหัวเราะ “ประโยคเหมือนจะตบอ่ะ”

     “ใช่จ้า เพราะพี่รักน้องณะ” พี่ข้าวแซวเล่นขำๆ ก่อนจะโบกมือลาเดินไปหาแฟนตัวเองที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นสามี

     “พี่เอกเผลอแล้วเจอกัน” ผมแกล้งตะโกนแซวต่อ

     พี่ๆ ที่จ่ายเงินเดือนให้กันเดินออกไปแล้ว ผมหันมามองฟุตเทจในหน้าจอต่อ ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ เจ้ปันก็เปลี่ยนไปชวนคุยประเด็นใหม่

     “เออ ฉันอยากกินเนื้อย่าง เย็นนี้ไปด้วยกันปะ”

     “ไหนเจ้บอกจะไปวิ่ง”

     “ก็เมื่อวานวิ่งแล้วไง” สาวโสดวัยสามสิบถลึงตา “เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็ส่วนวันนี้สิวะ”

     “แต่น้ำหนักมาจากสิ่งที่กินจากเมื่อวานนะ”

     “ไอ้โย่ง!”

     ผมมองสาวใหญ่กับเพื่อนสนิทตัวเองที่ปากหมาไปทั่ว เรียกได้ว่าไม่สนิทกันจริงทำแบบนี้คงจะได้โดนด่าเข้าให้

     หลังจากที่ตีกันเสร็จแล้วหล่อนถึงกลับมาขายเนื้อย่างให้ผมใหม่ สายตาออดอ้อนตามประสาคนอยากกิน และเห็นว่าอย่างไรวันนี้คณณัฐก็ออกจากเวรสามทุ่มอยู่แล้ว และร้านที่เจ้ปันชวนไปเองก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่มากนัก

     “ชวนหมอมาด้วยไหม” โย่งหันมาถาม

     “ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ “ไม่อยากให้มาเจอเจ้”

     “ร้ายกาจมากนังน้อง! ฉันก็อยากเห็นหน้าหมอเธอ”

     “ขาวๆ สูงๆ”

     “นางแบบเลยไหม”

     โย่งเหลือบมองผม ส่วนผมหัวเราะ บ่ายเบี่ยงไปเป็นประเด็นอื่น – จริงอยู่ที่ไม่ได้ปิดบังหรือรู้สึกแย่ที่กำลังคุยๆ กับผู้ชาย แต่คิดว่าเดี๋ยวให้มั่นใจไปสักระยะก่อนน่าจะดีกว่า

     “คบหมอไม่เหนื่อยเหรอวะ”

     “ยังไม่ได้คบ”

     “นั่นแหละ” เจ้ปัดมือไปมา “สงสัยๆ เพราะเขาก็คงยุ่งจริงๆ”

     ผมส่ายหน้า – ไม่ใช่ปฏิเสธแต่หมายถึงไม่รู้ต่างหาก

     รู้ดีว่าคณณัฐยุ่งกว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันเสียอีก ตอนนั้นแทบจะไม่มีเวลาปิดเทอมด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้คุณเรียนจบแล้ว เป็นนายแพทย์เต็มตัว อีกฝ่ายเคยพูดถึงว่าอยากเรียนเฉพาะทางในอีกสอง – สามปีอีกต่างหาก

     ขนาดตอนนั้นแค่นั้นเรายังไปกันไม่รอดเลย

     เพราะเด็กหรืออย่างไรนะ เพราะหลายๆ อย่างมันหล่อหลอมให้เราจัดลำดับความสำคัญกันและกันไว้ท้ายสุด หรือเพราะเราไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอกันแน่นะ

     พอในหัวมีคำถามเหล่านี้ มันก็พาลมีคำถามอื่นเพิ่มขึ้นมาในหัว

     ตอนนี้— ผมมีภูมิคุ้มกันเรื่องนี้ดีขึ้นหรือยังนะ

     ดีมากพอหรือยังสำหรับการสานสัมพันธ์กับคุณอีกครั้ง




     คุณไม่ตอบผมมาสักพักแล้ว – สักพักในที่นี้หมายถึงสี่ชั่วโมง – คำพูดสุดท้ายที่พูดคือมีลางว่าวันนี้จะยุ่งแน่ๆ เลย มีคนหิ้วเคเอฟซีมาจากนั้นก็หายไป คาดว่าที่วอร์ดคงได้ยุ่งเหมือนที่อีกฝ่ายคาดการณ์ไว้จริงๆ ถึงเป็นแบบนี้ ฟังดูตลกพิลึกที่คนเรียนวิทยาศาสตร์จ๋าเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ผมก็เข้าใจ บางครั้งตัดต่อวีดีโอแล้วเรนเดอร์ไม่ได้ก็แทบจะพนมมือกราบกรานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน

     เนื้อย่างเป็นอะไรที่ตอบโจทย์กันในวันนี้ดี ครั้งนี้มากันแค่หนึ่งสาวกับสองหนุ่ม โสดทั้งทีม แม้ไอ้โย่งจะบ่นอิดออดเพราะคนเยอะเสียจนต้องรอคิวนาน

     “แล้วแกไม่รีบกลับเหรอ”

     “ณะเหรอ? ไม่อ่ะ” ผมปฏิเสธตอนที่เห็นว่าเราอาจจะต้องรอคิวกันอีกราวๆ ชั่วโมงหนึ่ง

     “ไม่ต้องไปหาใคร” เจ้ปันหรี่ตา “แน่นะ”

     “ไม่จ้า” ไม่ใช่ตอนนี้ ผมทดคำเหล่านั้นในใจ “ไม่รีบอะไรเลย กินๆ ไปเถอะ ขี้เกียจฟังเจ้บ่น”

     “ตอนนี้แกบ่นฉันอยู่อ่ะ”

     “เปล่านะ” ผมหัวเราะ

     ตัดสินใจจะไปเดินดูอุปกรณ์กีฬาตามใจไอ้โย่งแทนการรอเวลา ผมวนเวียนอยู่กับรองเท้าวิ่งอยู่นาน แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งเจ็บหนักกับโทรศัพท์เครื่องใหม่เพราะคิดว่ามันถึงเวลาเปลี่ยนไปแล้วเลยคิดว่าต้องพักก่อน อีกอย่างตัวเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนออกกำลังกายอะไรเสียเท่าไหร่ ซื้อรองเท้าวิ่งมาเดินเฉยๆ ตลอดแหละผมน่ะ

     
napat
     ไม่เป็นไร ไม่รีบอยู่แล้ว
     เธอเสร็จเมื่อไหร่บอกแล้วกัน
     ให้วนไปรับก็ได้นะ เผื่อไม่อยากขับรถมา
     วันนี้ไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์มาอยู่แล้ว
     
     k.
     ทำไงดีเธอ
     เค้าว่าเค้าเยินจริงๆ แน่เลย
     
     ผมหยิบโทรศัพท์มาดูขณะที่เราได้เข้าร้านเนื้อย่างสุดโปรดของเจ้ปัน คณณัฐตอบมันมาแบบนั้นเมื่อห้านาทีก่อน ท่าทางจะหนักจริงไม่ล้อเล่น

     
napat
ไม่เป็นไร ไม่รีบอยู่แล้ว
เพิ่งเข้าร้านข้าวเย็นเอง 5555
เธอเสร็จเมื่อไหร่บอกแล้วกัน

     แล้วคุณก็หายไป – สุดยอดไปเลย

     จริงๆ คุณก็มาๆ หายๆ อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ตอนที่เรานัดกันเท่าไหร่ เดาได้ว่ายุ่ง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อตอนที่มื้ออาหารจบลง

     “กลับเลยไหมมึง” โย่งหันมาถามหลังจากเจ้ปันแยกตัวไปที่รถของตัวเอง “เดี๋ยวไปส่งที่บีทีเอสเอามะ”

     “ไม่ว่ะ คงเดินๆ ก่อน”     

     “เอ้า แล้วกลับยังไง”

     ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ตอนนี้บ่งบอกว่าอีกสิบห้านาทีสามทุ่ม – คณณัฐออกเวรตอนสามทุ่มพอดี แต่หายไปแบบนี้ใจไม่ดีเท่าไหร่ อาจจะช้ากว่านั้นไปอีก หมอเองก็ไม่ใช่พนักงานออฟฟิศที่ฟันเวลาเลิกทำงานได้ตลอดเสียด้วย – ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อคิดได้ถึงความเป็นจริงข้อนั้น

     “จริงๆ นัดคุณไว้”

     ไอ้โย่งขมวดคิ้ว “ถามจริง?”

     “เออ”

     “นัดที่ไหนเนี่ย”

     “ไม่รู้ว่ะ” ผมตอบตามจริง “ตอนนี้คุณน่าจะเวรเยินอยู่”

     “มึงไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลไหม”

     “ออกเวรสามทุ่ม กลัวไปแล้วคลาดกันน่ะ”

     “โดนเทแล้วเพื่อนกู” มันแซวเสียจนผมหัวเราะ แต่ดูจะเป็นเสียงหัวเราะที่แห้งเกินไปเล่นเอาไอ้โย่งเลิ่กลั่ก “เฮ้ย เอาน่ะมึง หมอไง เดี๋ยวก็ตอบมามั้ง ให้รอเป็นเพื่อนปะ”

     ผมปัดมือไปมา “ไม่ต้องอ่ะ ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

     แต่มันก็ขนาดนั้นแหละ

     โย่งกลับไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมเดินวนไปเวียนมาในห้าง กดโทรหาไปตอนที่เลยจากเวลาเวรมาสิบห้านาทีแล้วแต่คุณก็ไม่ตอบ

     บอกว่าตัวเองไม่น่ารู้สึกแย่ – แต่ก็นั่นแหละ, ผมรู้สึก – มันไม่ได้รู้สึกดีนักหรอกตอนที่โดนผิดนัด

     เหมือนความทรงจำเก่าๆ กลับมา

     ติดต่อยากก็ไม่ว่าหรอก แต่เรานัดกันแล้วไม่ใช่หรือ รู้ดีว่ามันไม่ใช่อาชีพที่เล่นโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา เป็นปกติก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่พอเป็นช่วงเวลาที่รู้ว่ามีคนรออยู่ก็— อา ให้ตาย ผมสบถใส่ตัวเองเป็นพันครั้งตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดในสิ่งที่คณณัฐเองก็จัดการให้ไม่ได้

     มันไม่ใช่อาการหัวเสียเหมือนสมัยมหา’ ลัย คงเพราะเคยเผื่อใจไว้แล้ว แต่ยอมรับว่าผิดหวังอยู่เหมือนกัน

     เดินวนไปเรื่อยเปื่อย ไปๆ มาๆ ก็จะสี่ทุ่มเสียแล้ว

     คุณยังคงไม่ตอบไลน์ ไม่รับสาย เริ่มจะเป็นห่วงจริงๆ เสียแล้วว่าเกิดอุบัติเหตุหรือมีเหตุฉุกเฉินอะไรหรือเปล่า

     ขอบคุณที่ยังไม่ได้ซื้อตั๋วหนังและไม่มีความคิดจะรอกินข้าวด้วยกัน – ผมบอกตัวเองแบบนั้น – ร้านรวงในห้างใกล้จะปิดแล้ว ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ กำลังจะเปิดแอพพลิเคชั่น grab เสียแล้วด้วยซ้ำ โทรศัพท์ถึงได้ดังขึ้นมา

     คณณัฐเป็นคนโทรเข้ามา

     ผมมองหน้าจอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จะบอกว่าไม่อารมณ์เสียเลยคงจะโกหก แต่รู้ดีว่าแสดงออกไปไม่ได้แน่ๆ – ไม่งั้นคงพังอีกแน่ๆ

     “ขอโทษ” ปลายสายตอบกลับมาแบบนั้น “ขอโทษจริงๆ มันแบบ— ไม่ได้จับมือถือเลยตั้งแต่ที่ตอบเธอ มีผ่าตัด”

     “อือ”

     “ขอโทษจริงๆ”

     ผมสูดลมหายใจเข้าปอด “ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

     “เพิ่งออกจากโรงพยาบาล กำลังจะไปที่รถ” ผมเชื่อว่าคณณัฐกำลังรีบแล้ว สังเกตได้จากลมหายใจที่มีจังหวะเหมือนกับกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่ “เธอ รอบหนังมันจะยังมีอยู่ไหม ตอนนี้เธออยู่ไหนนะ”

     ยิ่งฟังยิ่งทำให้รู้สึกโกรธไม่ลง – จะว่าโง่เง่าก็ได้ แต่การที่เห็นว่าคุณไม่ได้นิ่งดูดายกับเรื่องของผมก็พาลให้รู้สึกดีอยู่บ้างเหมือนกัน

     “ผ่าตัดนานกี่ชั่วโมงเนี่ย” ผมถามเสียงอ่อนลงนิดหน่อย “ตั้งแต่ที่ไม่ได้ตอบใช่ไหม”

     “ใช่ – ทำไงดีวะเธอ เค้าขอโทษจริงๆ”

     “ไม่เหนื่อยเหรอ” ผมถาม “ยังจะขับรถอีก”

     “แต่เค้า—”

     “กลับห้องก็ได้นะ” ปลายสายเงียบเหมือนกับจะชะงักไป “เธอมาแล้วคงเหนื่อยจนนอนในโรงอีก”

     “เธออยากดูนี่”

     “ดูคนเดียวก็ได้”

     “ณะ” คุณหมอเรียกชื่อผมเสียงอ่อน “ขอโทษจริงๆ”

     ผมถอนหายใจ “รู้แล้วครับ” ตอบกลับไปแบบนั้นสั้นๆ

     แล้วเราก็มีความเงียบให้กัน  - นั่นไม่ค่อยจะน่ารักเท่าไหร่ – มันทำให้บรรยากาศในโทรศัพท์เราแย่ลงเป็นกองในเสี้ยววินาทีได้เลยด้วยซ้ำ

     “ขอโทษจริงๆ” คุณตอบแบบนั้น

     “อื้อ, รู้ว่าเธอต้องเหนื่อย”

     “แล้วเธอจะกลับยังไง”

     “มี Grab นะ”

     “—อา” คนทางนั้นส่งเสียงออกมาอย่างกับเสียดาย “เธออยากดูหนังเรื่องนี้มากไหม”

     เป็นคำถามที่ทำให้ผมเม้มปากแน่น “ไม่รู้สิ” จริงๆ ก็ไม่ได้อยากดูมากขนาดนั้น – แต่รอคุณมาขนาดนี้แล้ว จะไม่ทำอะไรเลยคงจะเสียดายเวลา ผมคิดแบบนั้นในใจ รู้ว่าไม่มีวันพูดออกไปได้แน่

     “ถ้าเป็น Netflix สักเรื่อง” คณณัฐเว้นจังหวะ “ชดเชยได้ไหม”
     
     ผมงุนงงกับคำถามนั้นอยู่ชั่วครู่ แต่คนผิดนัดกลับเอ่ยพูดออกมาเสียงแผ่วเบา เล่นเอาหัวใจผมอ่อนยวบไปหมด

     “—เพราะเค้าก็อยากดูหนังกับเธอเหมือนกัน”




     ห้าทุ่ม, ร้านรวงที่ปิดทั้งหมดจนไม่เหลืออะไรนอกจากเซเว่น ขอบคุณที่ที่ห้างยังมีแมคโดนัลที่เปิดรับผมเป็นลูกค้าคนสุดท้ายก่อนที่จะปิด ให้ผมได้เฟรนฟรายเหี่ยวๆ มาในปริมาณมากกว่าปกติ

     คณณัฐเดินเข้ามาในห้องของผม – ซึ่งผมไม่มีเวลาเก็บกวาดด้วยซ้ำ – ผมมองเสื้อกันหนาวที่ฟาดไว้บริเวณโซฟาและกองเสื้อผ้าที่ตัวเองรีบเก็บเข้ามาตอนเช้าเพราะกลัวฝนจะตก ยังไม่ทันเก็บเข้าตู้หรือพับใดๆ ด้วยซ้ำ

     “ห้องสวยเนอะ”

     “อา—” ผมกระแอมไอ “นั่งได้เลย”

     เราตกลงกันว่าจะมาที่ห้องของผม ตอนแรกผมคิดว่าจะไปหาคุณที่ห้องของอีกฝ่ายแต่คณณัฐบอกว่าเดี๋ยวมาหาเองเพราะเป็นการไถ่โทษ ในมือของคุณมีบัวลอยกับเต้าทึงอย่างละสองถุง เรียกได้ว่าซื้อมาชนกัน แต่คุณก็หัวเราะแล้วก็บอกว่ากินได้ทั้งคู่

     “เธอมีเสื้อใช่ไหม”

     “มีๆ” คุณหมอพยักหน้า “ต้องเตรียมไว้ที่รถตลอดแหละ บางวันก็ไม่ไหว”

     “อ๋อ— ก็ดีนะ”

     “ต้องนอนโรงพยาบาลน่ะเหรอ ไม่ดีมั้ง” คณณัฐพูดติดขำ “แต่ก็ขอโทษจริงๆ”

     “ช่างเถอะ” ผมว่าพลางวางกระเป๋าของตัวเอง เดินไปหยิบเสื้อผ้าที่กองไว้เดินเข้าไปในห้องนอน เปิดประตูทิ้งไว้ให้รู้ว่าผมมาเก็บผ้าเฉยๆ ก่อนจะหันไปมองคณณัฐที่มองซ้ายมองขวาราวกับจะหาที่นั่ง “โซฟาก็ได้นะ หรือเธออยากกินก่อน แป๊บ เดี๋ยวหยิบจานให้”

     “เหนียวตัวอ่ะ ขออาบน้ำก่อน—”

     คำพูดนั้นหยุดชะงักไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม

     “awkward จัง” อีกฝ่ายพึมพำออกมาเบาๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอ คณณัฐคงคิดเหมือนกันถึงความทะแม่งของประโยคที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมา

     ผมให้คุณหมอไปอาบน้ำก่อน หยิบผ้าขนหนูที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าออกมาให้ ใช้ช่วงเวลาที่คณณัฐเข้าไปในห้องน้ำเพื่อมองห้องนอนรกๆ ของตัวเองอย่างวิตกกังวล ทำอะไรไม่ได้นอกจากโยนนั่นโยนนี่เข้าตู้เสื้อผ้า นานมากแล้วที่ไม่มีคนมาที่ห้อง ถ้ามีก็จะเป็นพี่ผม ไม่ก็พ่อแม่ หรืออาจจะเพื่อนๆ บ้าง แต่ห้องขนาดกลางๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ที่เพื่อนจะมาหากันอยู่ดี

     อา— ให้ตาย พอคิดแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่คณณัฐก้าวเข้ามาในห้อง

     ไม่นานนักหรอกที่คณณัฐเดินออกมาพร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงขายาวลายสก๊อต “นี่ชุดนอนเธอเหรอ”

     “ให้ถอดเสื้อนอนไหมล่ะ” คุณหมอเอ่ยถาม “ก็ชุดที่เก็บไว้เผื่อต้องนอนโรงพยาบาล ขอแบบรัดกุมหน่อยไม่ได้เหรอ” บ่นงุบงิบเสียจนน่าบีบปากนั่นตรงนี้จริงๆ

     ผมต่อสายเข้าทีวีที่ปกติไม่ได้ใช้เพราะชอบดูหนังในคอมพิวเตอร์เสียมากกว่า วางถุงบัวลอยกับเฟรนฟรายไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าโซฟา “เลือกเรื่องเลยนะ”

     “ไม่รู้จะดูอะไรเลย”

     “เลือกๆ มาเถอะครับ”

     คุณหมอบ่นอะไรสักอย่างอยู่ที่หน้าจอพร้อมกับกดรีโมทของผมอย่างเลือกไม่ได้ พลางโบกมือไปมาเป็นเชิงไล่ให้ผมไปอาบน้ำเสียที

     ไม่นานเท่าไหร่ผมก็เป็นคนเดินออกมา คณณัฐดูจะยอมแพ้กับการเลือกหนังไปแล้วแต่ไปเปิดกล่องเฟรนฟรายเหี่ยวๆ มาทานแทน พอผมเดินออกมาอีกฝ่ายก็ตบที่ว่างข้างๆ เป็นเชิงเรียกไปหา เถียงกันไม่กี่คำกับหนังที่อยากเปิด เชื่อไหมว่าสุดท้ายแล้วเราเปิดหนังแมสๆ อย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่คณณัฐชื่นชอบหนักหนา แล้วเราก็เถียงกันอีกครั้งว่าจะดูกันในภาคไหน คุณอยากดูภาคสาม ส่วนผมอยากดูภาคห้า ลงท้ายเราก็มาจบกันที่ภาคเจ็ดจุดสองที่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเราตอนแรกเลยแม้แต่น้อย

     ชอบช่วงเวลาคุณทำเหมือนดูมันครั้งแรกทั้งที่น่าจะดูฉากแฮร์รี่บุกเข้าไปในธนาคารนี้มาเป็นสิบรอบแต่ก็ยังอุตส่าห์หันมาป้อนเฟรนช์ฟรายผม – แม่งโคตรของโคตรน่ารัก – และผมเหมือนจะกลายเป็นง่อยอย่างไรไม่รู้

     “บัวลอยต่อไหม” ผมหันไปถามเบาๆ เมื่อเห็นว่าเฟรนช์ฟรายของเราหมดแล้ว

     คุณส่ายหน้า “อิ่มอ่ะ” ไม่หันมามองกันด้วยซ้ำตอนที่ตอบกัน

     ไม่รู้ว่าทำไมผมจุดสนใจของผมถึงเริ่มเปลี่ยนจากแดเนียล แรดคลิฟฟ์บนทีวีมาเป็นคุณหมอที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเสียอย่างนั้น ชอบเวลาที่ริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันน้อยๆ หรือมือที่กำลังกอดหมอนหลังจากที่เดินไปล้างมือมาเพราะเป็นคนซีเรียสเรื่องความสะอาดสะอ้าน

     เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป็นฉากสุดท้ายที่ฮอกวอตส์เสียแล้ว คุณยังมองหน้าจอตาแป๋ว ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ง่วงแล้วเหรอ”

     “อื้อ” ผมหยัดกายขึ้นนั่งดีๆ ดึงหมอนอีกใบมากอดไว้ “เธอไม่เหนื่อยเหรอ”

     “ไม่เหนื่อย อาบน้ำแล้วตื่น”

     “ไหนตื่นจริงเปล่า”

     “ณะ!” อีกคนถลึงตาเมื่อผมแกล้งเย้าแหย่ เอื้อมมือฟาดลงมาบนต้นแขน “ไปนอนเลยไป”

     ผมเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายวางหมอนลงบนตักที่ว่างอยู่ของอีกคน “นอนตรงนี้ไม่ได้เหรอ” ถามอย่างออดอ้อน แต่ดูเหมือนจะไม่เคยทำให้คณณัฐใจอ่อน

     “ไปนอนดีๆ ไป เดี๋ยวเค้าปิดพวกนี้ให้”

     ผมแสร้งยกมือขึ้นกอดอด มันคงอ้อนมืออ้อนเท้ามากพอที่จะทำให้คุณหมอดีดหน้าผากผม ไม่ได้เบามือเสียด้วย คุณหัวเราะ ก้มลงมองผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักของอีกฝ่าย ตอนนี้คณณัฐมองผมเป็นอะไรหนอ— ลูกหมาตัวโต? หรืออาจจะเป็นหมาของแฮกริดก็ได้

     ผมดึงมือของอีกฝ่ายมาเล่น ไล้ปลายนิ้วไปที่หลังมือ เกาะกุมไว้หลวมๆ แต่คนกระชับมันคือคุณหมอเสียเอง

     อีกฝ่ายปรามกัน “รุ่มร่าม”  แผ่วเบาเสียจนคิดว่าคุณคงไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า

     “เขิน”

     “เปล่า”

     “เปล่าก็ได้”

     คุณหมอขมวดคิ้ว “โอเค เขินนิดหน่อย” เอ่ยราวกับยอมแพ้ “ไม่ง่วงจริงๆ เหรอ”

     “นิดหน่อย” ในเมื่อคณณัฐยอมรับแล้ว เกรงว่าเป็นผมที่ต้องยอมรับบ้าง “แต่ยังไม่อยากไปนอนเลย”

     พูดในสิ่งที่คิด, คิดอย่างไรก็พูดไปแบบนั้น ไม่ได้คิดหวังว่าอีกคนจะเขิน แต่ก็นั่นแหละ – คุณเขินอีกแล้ว

     คุณสบตากัน เอามืออีกข้างขึ้นมาบังช่วงปากไปจนถึงจมูก นั่นโคตรของโคตรน่ารักอีกแล้ว, ผมเหมือนคนคลั่งรักหลังจากไม่ได้เป็นแบบนี้มานานแสนนาน คุณอีกแล้ว คุณเสมอ คุณตลอดเลยที่เป็นสาเหตุของการคลั่งรักของผม ความคิดพรรณาต่างๆ ลอยเข้ามาในหัว และมันคงสื่อออกไปจากอะไรสักอย่าง คณณัฐถึงได้มองผมด้วยสีหน้าแบบนั้น

     ผมเอื้อมมือไปดึงมือที่ปิดหน้าอีกฝ่ายออกมา กดจูบลงบนฝ่ามือขาวนั่นอย่างไร้สาเหตุ คณณัฐไม่ได้ชักมือกลับ แต่ปล่อยให้ผมจับมือข้างนั้นต่อ

     ชอบคุณ

     คงเผลอขยับปากพูดไปโดยไร้เสียง

     และคนที่อยู่ตรงหน้าก็ตอบกลับมาโดยไร้เสียง – ไม่ใช่การขยับปากพูด หากแต่เป็นการโน้มศีรษะลงมาใกล้เสียจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดระหว่างกัน ได้ยินเสียงหัวใจเต้น รับรู้ถึงการลังเลเพียงจังหวะเดียวทั้งที่ระยะห่างระหว่างเราเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตร

     แต่คุณก็หลับตาลงและเป็นผมที่หยัดกายขึ้นเพียงเล็กน้อย

     กลีบปากของคุณเอ่ยคำตอบโดยที่ไม่ต้องเปล่งเสียงใดด้วยการยินยอมให้ผมกดจูบซ้ำๆ แบบนั้น บางคราก็ตอบกลับมา มือของอีกฝ่ายไล้บนแผ่นอกของผมเบาๆ ตอนที่ผมหยัดกายให้เราไม่ละริมฝีปากจากกันในขณะที่มือของผมเองก็ชื่นชอบที่จะไล้วนอยู่บริเวณหัวไหล่ของอีกฝ่าย

     “—ณะ” ชื่อของผมน่าฟังเป็นบ้า แม้ว่าคุณจะเอ่ยเสียงแผ่วจนอีกนิดเป็นการกระซิบกันแล้วก็ตาม “ไม่ใช่ Netflix and Chill นะวันนี้”

     “อื้อ” ผมตอบกลับไป ซุกศีรษะบนลาดไหล่อีกฝ่าย “รู้แล้ว”

     “งั้นก็ปล่อยเค้า” คณณัฐเอ่ยปราม “เดี๋ยวไปกันใหญ่หรอก”

     ผมไม่ปล่อยตามคำขอนั้นหรอก ไม่ได้คิดจะทำอะไรเพียงแต่ขอกอดคุณนานกว่านี้อีกสักหน่อย

     แล้วก็ช่างแม่งแฮร์รี่ พอตเตอร์กับลอร์ดโวลเดอร์มอร์ด้วย ในหัวของผมมีอยู่แค่เพียงคำๆ เดียววิ่งไปมา

     —ขอบคุณอะไรก็ตามบนโลกที่เหวี่ยงคุณกลับมาเจอผมอีก



-------------------------
หายไปนานเนอะ //หัวเราะแห้งๆ
แต่ก็มาต่อแล้วนะคะ ; - ; ตอนนี้ยาวมากเลยด้วยนะ!

คิดว่าไหนๆ ก็ใกล้จบแล้ว อยากจะพิมพ์นิยายเรื่องนี้เองค่ะ
ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้เขียนนิยายนานแล้ว พอได้เขียนก็อยากจะได้ทุกอย่างที่อยากได้
เช่นปก การจัดหน้าต่างๆ แบบนี้ เอาแต่ใจเนอะ
ส่วนเรื่องราคาจะพยายามบีบให้ได้มากที่สุดค่ะ

เดี๋ยวจะมาทำแบบสอบถามถึงความสนใจของนักอ่านด้วยนะคะ
ติดตามได้ในทวิตเตอร์ @ninewnn_novel ได้นะทุกคน

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ


หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-07-2019 00:20:24
 :-[
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-07-2019 00:38:25
อีกนิดเดียวเท่านั้นนน
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-07-2019 00:40:03
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 19-07-2019 18:24:20
มันก็จะเขิน ๆ หน่อย เพิ่งเริ่มกันใหม่อย่าพลาดโอกาสนะคุณณะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-07-2019 00:33:41
ค่อยๆปรับกันน้ออออ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 20-07-2019 23:51:47
อ่านแล้วมีความสุขจัง :o8:

ชอบที่เค้าทั้งคู่ปรับตัวเข้าหากัน รู้แหละว่านะอยากโวยวายที่หมอคุณมาช้า แต่นะก็เปลี่ยนตัวเองให้ใจเย็นเพราะเข้าใจคุณ ส่วนคุณก็ไม่ละความพยายามที่จะมาดูหนังกับนะ เราว่าหมอก็ง่วงแหละ  :hao5:

รู้เลยว่าทั้งคู่อยากอยู่ด้วยกันมาก พยายามกันทั้งคู่ ฮืออออ มันดีจริงๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: YNS ที่ 27-07-2019 07:45:56
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้รวดเดียว 13 ตอนเลย
ก่อนอื่นขอชื่นชมคนเขียนก่อน แต่งได้ดีมากเลย ภาษา ถึงจะยังมีคำผิดบ้างแต่การเรียบเรียงดีมาก บรรยายดีมากอ่านไปไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลย
ในความรู้สึกส่วนตัว ตัวละคร character ชัดมาก ตัวหลักสองตัวให้ความรู้สึก contrast บางอย่างที่เรายังสรุปไม่ได้ แต่คิดว่าสิ่งนี้อาจเป็นปัญหาในอนาคตของทั้งคู่ ซึ่งในตอนล่าสุดกลิ่นเริ่มออกละ
รอติดตามและส่งกำลังใจให้คนเขียนนะ ดีใจมากๆที่ได้มาเจอเรื่องนี้นะ
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 27-07-2019 11:57:02
คือมันดีมาก mood & tone อย่างชัด  ทั้งตอนเค้าอึดอัดใส่กันก็รู้สึกได้
ทั้งตอนที่เค้ากระอักกระอ่วน ก็รู้สึก

เขินมากกกกกกก ในความเป็นทั้งสองคน
รอฟินนน
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: พลอย ที่ 27-07-2019 14:32:28
ว่าละ ไม่ใช่ netflix and chill น๊า เป็นเขินเลยดิแกร
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-07-2019 17:58:37
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 13 (pg.4) : 18/07/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 16-08-2019 00:45:00
น่ารักมากๆเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 14 (pg.5) : 24/08/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 24-08-2019 23:02:45
(https://www.img.in.th/images/4f5740da3f91e7a559717a8cfb43c479.jpg)
หนังสือ #ตอนนี้ยังเป็นคุณ
เปิดให้จองวันที่ 30 สิงหาคม เวล 20.00 น.
ติดตามได้ที่ @ninewnn_novel



———— 14 ————

“วันนี้ยังจะเจอกันไหม”

“วันนี้เค้าไม่ไหวหรอก” ผมตอบกลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน มองหน้าจอคอมพิวเตอร์สลับกับตัวเลขบ่งบอกเวลาที่มุมหน้าจอ “มีปัญหาตอนแรนเดอร์นิดหน่อย วันนี้คงต้องอยู่ยาวๆ”

“งั้นเหรอ— ขอบคุณพี่จิ๊บครับ” ปลายสายตอบกลับแค่นั้นก่อนจะตอบกับใครอีกคนที่อยู่ด้วยแทนที่จะเป็นผม “ไม่เป็นไรหรอก แบกงานกลับบ้านหรือว่าทำที่ทำงานล่ะแบบนี้”

“เดี๋ยวดูก่อน แต่ยังไงก็คงต้องกลับบ้านแหละ เค้าไม่ได้มีเสื้อผ้าเก็บไว้ที่นี่”

“กลับดึกเหรอ”

“อาจจะครับ”

“โอเคครับ” คุณหมอตอบกลับมาแบบนั้น “ถ้าเหนื่อยๆ ก็นอนนั่นเลยนะ ไม่ขับตอนดึกล่ะ”

“เค้าจะไม่ได้อาบน้ำนะ”

“อาบน้ำกับอาบเลือดเลือกอะไรล่ะ”

“โห— ดุจังวะคุณ”

ปลายสายหัวเราะแผ่วเบา ถึงจะทำพูดขู่แต่น้ำเสียงก็ไม่เคยจะดูน่ากลัวเท่าไหร่เลย เราคุยกันอีกสองสามคำก่อนที่จะได้ยินใครสักคนเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหมอ จากนั้นคุณก็บอกว่าแค่นี้ก่อนนะแล้วก็วางสายไป นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่นัก

คุณหมอเหรอ จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้ยินคุณถูกเรียกแบบนั้นเท่าไหร่ แต่อย่างว่า, ผมก็ไม่ได้ไปโผล่ที่โรงพยาบาลของคุณสักครั้งนับตั้งแต่เข้าเฝือก

ผมมองไปที่หน้าจอก่อนจะถอนหายใจยืดยาว ตอนนี้ในออฟฟิศมีแค่ผมอยู่คนเดียว ไอ้โย่งไปถ่ายงานพร้อมกับคู่รักที่บางแสน เจ้ปันก็เข้าบริษัทมาแต่เพิ่งจะออกไปหาอะไรกิน ส่วนตัวผมที่มีปัญหากับการแรนเดอร์งานก็หงุดหงิดเกินกว่าจะไปกินข้าว รู้ตัวดีว่าตัวเองอยากได้เวลาในการอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวสักชั่วโมงให้อารมณ์เสียจางหายไปก่อนที่จะเอานิสัยเสียไปลงกับใครเขา เลยฝากให้เจ้ปันซื้ออาหารตามสั่งมาให้แค่นั้น

ส่วนที่คณณัฐโทรมาก็ไม่ใช่อะไร – นานๆ ทีอีกฝ่ายจะมีเวลาว่างตอนกลางวันมากพอให้เราคุยกัน – คงเพราะเห็นข้อความที่ผมบ่นกระปอดกระแปดลงในไลน์ อีกฝ่ายเลยรับรู้ได้ว่าผมไม่รู้สึกดีเท่าไหร่นัก ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ ไม่ถีงห้านาทีดี แต่ก็ช่วยเหลือกันได้มากเลยทีเดียว

ไม่นานนักก่อนที่เจ้ปันจะเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องข้าวหนึ่งกล่องตามที่สั่งไว้ “ไปกินข้าวก่อนไอ้ณะ จากโมโหงานแล้วจะพาลโมโหหิวด้วยไม่ได้” หล่อนว่าแบบนั้นก่อนจะปัดมือไปมาเป็นเชิงไล่กัน

เราคุยกันอย่างเอื่อยเฉื่อยเพราะเหลือกันแค่สองคน เจ้ปันเล่าให้ฟังว่าพี่เอกกำลังเปิดรับสมัครคนมาช่วยงานผมอยู่และตำแหน่งอื่นๆ เพราะเพจเราดูจะเติบโตได้มากกว่าที่เคยคาดคะเนกันไว้ในต้นปี ซึ่งถือเป็นเรื่องดี

“แล้ววันนี้แกจะนอนนี่เหรอ”

“คงไม่นอน” ผมจ้วงข้าวเข้าปาก เคี้ยวอีกนิดก่อนจะตอบเจ้ “เดี๋ยวดูก่อน แต่ไม่แบกกลับไปทำบ้านแน่นอน ขี้เกียจ”

“ไอ้ณะ มูมมามมาก สาวๆ ไม่ชอบ”

“เจ้เป็นสาวด้วยเหรอ” ผมแหย่ “สามสิบกว่าแล้วนะ”

“ฉันมีเงินดูแลตัวเองย่ะ”

ผมหัวเราะกับเจ้าหล่อน ไม่ได้เถียงอะไรต่อ




แล้วมันก็เป็นแบบที่คาดเดาไว้ เจ้ปันบอกว่าจะไปรับหลานที่อนุบาลเพราะบังเอิญพี่ชายตัวเองไม่ว่าง ไม่ลืมที่จะเตือนให้ผมล็อกกุญแจทุกอย่างหากจะกลับ ก่อนที่จะโดนพี่เอกด่าในวันพรุ่งนี้

“พี่เอกเร่งงานเหรอ”


“เปล่าหรอก” ผมตอบอย่างเหนื่อยอ่อน “แต่คิดว่าต้องเสร็จแล้ว ยังไงมันก็มีเดดไลน์”

“กดดันตัวเองเครียดเปล่าๆ” เจ้เดินมาลูบหัว ทำเหมือนผมเป็นหมาตัวใหญ่เสียอย่างนั้น “ไปกินข้าวเย็นด้วยนะเว้ย”

“จ้า”

“กวนตีน” หล่อนควงกุญแจรถของตัวเอง “เดี๋ยวไปแล้ว ขอให้งานเสร็จนะไอ้น้อง”

“ขอบคุณมากเจ้”

ผมโบกมือให้เพื่อนร่วมงานคนเดียวที่เหลือวันนี้ เดินออกมาทิ้งตัวที่โซฟา มองเพดานอยู่พักหนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาเปิดนั่นเปิดนี่ไปเรื่อย ไลน์ครอบครัวของผมกำลังคุยกันด้วยเรื่องว่าตอนนี้ช่วงเย็นแม่จะทำขนมจีนน้ำเงี้ยวและคิดถึงลูกๆ มากแค่ไหน ผมพิมพ์ตอบกลับไปไม่กี่คำ ว่ากันตามจริงคิดว่าหลังจากงานแต่งงานของเจ้านายจะบินไปหาที่บ้านเสียหน่อยแต่อยากแกล้งไปเซอร์ไพรส์ที่บ้านให้คนแก่เขาตกใจกันเสียบ้าง

ออกมาจากหน้าต่างนั้นเข้าสู่หน้าต่างเพื่อนๆ เพื่อนในกลุ่มมหาวิทยาลัยของผมไม่ได้พูดคุยอะไรกันนัก เหลือแค่ไอ้โย่งที่ถ่ายอาหารทะเลมาให้และผมทำได้เพียงพิมพ์ตอบมันไปอย่างเกรี้ยวกราดว่างานผมมีปัญหา กำลังแก้ไขอยู่ มันหัวเราะกลับมาก่อนจะอวยพรให้ทุกอย่างปลอดภัย

ออกมาจากแชตนั้นและมองแชตที่ถูกปักหมุดไว้บนสุดอีกครั้ง คณณัฐยังไม่ได้ตอบอะไรนับตั้งแต่โดนเรียก ก็ตามประสาคุณหมอ หวังแค่ว่าวันนี้งานจะไม่เยินก็พอ ได้ยินว่าออกเวรสองทุ่ม ผมก็คิดว่าคณณัฐเองก็คงจะเจอเรื่องน่าปวดหัวไม่แพ้กันแน่

ไถนั่นนี่อย่างคนไม่มีอะไรทำนัก ก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่า เอาวะ, ทำงานต่อสักที

ปวดตาก็แล้ว ปวดหลังก็แล้ว ชีวิตคนตัดต่อวีดีโอมันก็อย่างนี้ – จนตอนที่เห็นข้อความของคนที่หายไปนานตอบกลับมานั่นแหละ
   
   k.
   เลิกแล้ว
ฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้าง 555

napat
จะเหลือเหรอครับ
   
   k.
   ว้าว เสร็จแล้วล่ะสิ

napat
ก็แย่แล้ว
ยังอยู่ที่ออฟฟิศอยู่เลยเธอ

ว่าแบบนั้นพลางส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้แทนการออดอ้อนสักที ดูแล้วคล้ายจะน่าสมเพชเหลือเกิน
   
   k.
   อ้าว
   แล้วกลับกี่โมง
   กินอะไรรึยังเนี่ย

ผมเบนสายตาไปมองก่อนที่จะพบว่าตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว เกาหัวแกรกๆ เมื่อรับรู้ว่าตัวเองทำงานเพลินเกินกว่าจะลุกไปซื้ออาหารเย็นมาทาน

เป็นจังหวะที่เผลออ้าปากพะงาบๆ เพราะรู้ว่าคณณัฐคงได้เทศน์กันมากกว่าเดิม แต่เงียบไปก็คงทำให้คุณหมอรู้คำตอบแล้ว
   
   k.
   ยังไม่ได้กินอ่ะดิ
   นิสัยเสีย

napat
โหหหหหห
คนที่วันนึงกินข้าววันละมื้อ ทำมาบ่น

อมยิ้มนิดหน่อยกับบทสนทนาง่ายๆ ของเรา สุดท้ายแล้วคณณัฐก็พิมพ์กลับมาว่าจะไม่บ่นแล้ว อย่าลืมกินข้าวด้ย เดี๋ยวขับรถก่อน เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ผมมีแรงขึ้นมาใหม่

ผมเหยียดกายบิดขี้เกียจอีกครั้งขณะที่คิดว่าตัวเองควรจะเชื่อคุณหมอบ้างก่อนที่จะจบลงด้วยสุขภาพเหมือนชีวิตในหนังฟรีแลนซ์* ซึ่งบางทีก็ไม่ได้ดูห่างไกลเท่าไหร่ กดเข้าแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารที่ทำให้ชีวิตง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะแล้วเริ่มทำงานใหม่

แกร๊ก

ผมขยับกายซ้ายขวาเมื่อได้ยินเสียงจากประตู เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสนใจหน้าจอใหม่

แกร๊ก— แกร๊ก!

ผมเริ่มหรี่ตายามที่คิดว่าเสียงจากประตูไม่ได้เป็นการหูแว่วไปเอง

จับจ้องที่ลูกบิดที่คาดว่าเป็นต้นเหตุของเสียงเหล่านั้น ก่อนที่จะพบว่ามันขยับราวกับมีคนพยายามจะเปิดจริงๆ

เป็นจังหวะที่สูดลมหายใจตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป โทรศัพท์ของผมก็สั่น – คณณัฐโทรหากันในเวลาแบบนี้ – ผมคว้ามันมารับสาย เบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องลี้ลับอยู่ชั่วครู่

“เธอเปิดประตูให้หน่อย”

“ฮะ?” ร้องเสียงฉงนตอนที่ปลายสายเอ่ยปากแบบนั้นทันทีที่กดรับ

“—เธออยู่ตึกสีเขียวๆ ชั้นไหนนะ”

“ห้าครับ”

“เนี่ย เค้าอยู่หน้าประตูออฟฟิศเธอ”

ผมเดินตรงไปที่ประตูทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ปลดล็อกโดยยังไม่ทันตัดสาย

คุณหมอยืนอยู่ตรงหน้า ถือโทรศัพท์แนบหูไม่ต่างกัน ส่งยิ้มให้พร้อมกับชูของในมือ ไก่ทอด KFC จำนวนสองกล่อง

“ไม่บอกเลยว่าจะมา” ผมบ่นงึมงำ ตัดสายโทรศัพท์เมื่อเห็นว่าคนในสายยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

คุณหันกลับมา “เซอร์ไพรส์”

“ถ้าเค้าไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะ”

“แล้วจะอยู่กับใคร” คณณัฐถามอย่างขำขัน “กับชู้เหรอ”

“ใครเขาจะพาชู้มาที่ออฟฟิศ”

“เผื่อจะเป็นพล๊อตหนังโป๊”

“แย่มาก”

คุณหมอหัวเราะจนตาหยี มองซ้ายมองขวาก่อนที่จะวางมันบนโต๊ะที่พวกผมใช้กินข้าว “ซื้อมาให้”

“จริงๆ เค้าสั่งไลน์แมนไปแล้ว”

“อ้าวเหรอ งั้นเค้ากินคนเดียวก็ได้” คุณไม่ได้ดูเสียใจเท่าไหร่ “แต่ไม่หิวเหรอ— สามทุ่มกว่าแล้วนะ” ถึงกระนั้นก็ยังมองกันด้วยความเป็นห่วง

ผมพยักหน้า บอกว่ายังไงก็แบ่งกันกินก็ได้ จริงๆ นึกแปลกใจที่คณณัฐโผล่มาถึงออฟฟิศแบบนี้ จริงอยู่ที่พี่เอกกับพี่ข้าวไม่ได้ซีเรียสในการพาใครเข้ามา ช่วงไอ้โย่งติดสาวก็มีการพาสาวมานั่งรอหลังเลิกงานเหมือนกัน แต่แปลกใจที่เจอคณณัฐในสภาพเสื้อโปโลตัวเก่งกับกางเกงขายาวพร้อมกับ KFC ต่างหาก

“นึกยังไงถึงซื้อ KFC มา”

ผมถามขณะที่เดินเข้าไปในโซนห้องครัว จัดหามีดกับจานให้อีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่าคุณหมอไม่ชอบให้มือเปื้อนเวลากินไก่

“อยากกินมากๆ” คุณบอกแบบนั้น “แต่ถ้าสั่งมาที่วอร์ดก็คงโดนเชือด”

“สรุป KFC มันทำให้เวรเยินจริงไหม”

“ไม่รู้! แต่มันเยินทุกครั้งเลยนะ”

อีกฝ่ายบ่นนั่นบ่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยถึงตอนที่รุ่นพี่ทำใจกล้าสั่งไก่ทอดเข้ามาในวอร์ด ฟังแล้วตลกนิดๆ ที่คุณดูจะไม่เชื่อว่าเป็นเหมือนกันทุกโรงพยาบาล แต่ถามเพื่อนคนอื่นๆ ก็บอกว่าไม่ต่างกัน หรือมันจะเป็นเรื่องความลี้ลับที่หาคำตอบไม่ได้ของวงการแพทย์ล่ะมั้ง

“เธอสั่งอะไรไลน์แมนไป”

“สั่งราดหน้า” ผมว่าพลางยื่นจานหนึ่งใบให้อีกฝ่าย “สั่งมาตั้งสามถุง ตั้งใจจะเก็บไว้ด้วย เธอเอากลับไปสักถุงก็ได้”

“แปลว่าไก่เค้าไม่เป็นหมัน?”

“กินทั้งหมดได้ไหม หิว”

คุณหมอขมวดคิ้ว “ก็บอกแล้วว่าอย่าลืมกินข้าว” บ่นเบาๆ อย่างเป็นต่อ แหงสิ, ปกติคนที่ไม่กินข้าวไม่ใช่ผมเสียหน่อย น้อยครั้งคุณเขาจะมีสิทธิ์พูด ก็ต้องยอมเขาเสียบ้าง

คณณัฐเหลือบมอง หยิบน่องไก่ให้กันก่อนโดยผมไม่ต้องเอ่ยปากขอเพราะเราแบ่งกันแบบนี้เสมอ ผมกินน่อง คุณกินปีก ไม่ลืมที่จะฉีกซองซอสมะเขือเทศ บีบมันลงบนจานเปล่าๆ ของผมให้เสร็จสรรพ

“เฟรนช์ฟรายเหี่ยวแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก” ผมหัวเราะ “เหี่ยวๆ ก็อร่อยดี”

“ไปล้างมือก่อน”

“ค้าบบบบ”

ได้ยินเสียงบ่นว่าผมกวนตีนดังไล่หลังออกมา ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะ

เรานั่งกินไก่ทอดด้วยกัน เงียบเฉย มีเสียงช้อนกระทบกับจานจากคณณัฐอยู่คนเดียวเพราะผมไม่ได้ใช้มีดเหมือนคุณเขา นั่งฟังเรื่องที่คุณหมอน้อยใจกับไก่ทอดสไตล์เกาหลีที่ครองห้างในขณะที่คุณหมอยังคงจงรักภักดีกับไก่ทอดของผู้พัน

“เป็นคุณหมอกินแบบนี้จะดีเหรอ”

“หมอก็คนปะ อยากกินอะไรตามใจปากเหมือนกัน” คุณโวยวาย “ตอนนี้อายุยังไม่เยอะ สักสามสิบแล้วค่อยคิด”

“ยืมไปบอกแม่ของเค้าที ไขมันเกินอีกแล้ว”

“คุณแม่เธออายุเท่าไหร่แล้วนะ”

“หกสิบห้า เกษียณมาหลายปีแล้ว”

“อืม, ระวังๆ หน่อยก็ดี” คุณว่าเช่นนั้น “แล้วเธอคิดจะย้ายไปอยู่กับที่บ้านหรือเปล่า”

“—อา ยังไม่ได้คิดไว้หรอก ถ้าจะไปคงไม่ใช่เร็วๆ นี้”

“อื้อฮึ” คำตอบรับเงียบงันแบบนั้น

บางครั้งผมก็รู้สึกแปลกใจเวลาที่บทสนทนาเราเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่กับคุณหรอก, กับเพื่อนๆ อย่างไอ้โย่ง หรือผู้ร่วมงานอย่างเจ้ปันเองก็เหมือนกัน กาลครั้งหนึ่งเราเป็นเพียงนักศึกษา พูดคุยกันในเรื่องของอาจารย์ประสาทๆ ในมหาวิทยาลัยหรือกิจกรรมที่แสนวุ่นวาย ไม่เคยจะมีบทสนทนาเรื่องสุขภาพ ประกันชีวิต หรือกองทุนใดๆ ไว้เลย – หัวข้อเหล่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อยของช่วงชีวิตทำให้รู้สึกใจหายมากพอตัว

ผมมองหน้าคุณ

และคุณก็เงยหน้ามองหน้าผม “เค้าขอทายว่าเธอคิดอะไร” เอ่ยถามกันแบบนั้นยิ้มๆ

“อ๋อ” ผมเลิกคิ้ว “ลองทายดู”

“คงจะแนวๆ ว่าเค้ากำลังลองใจ—” คณณัฐหรี่ตา สบตากันเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับคำพูด “อืมมม ไม่ใช่ๆ”

“เธอรอดูจากหน้าเค้านี่นา”

“เอ้า ไม่ได้เหรอ”

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วตอนนี้เค้าคิดอะไรอยู่”

“ยากจัง”

“นั่นสิ”

“แต่คิดว่าเค้าคิดเหมือนเธอ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “ยังไม่ทันรู้เลยว่าเค้าคิดอะไร”

“ก็คิดว่าคงไม่ต่างกันเท่าไหร่” คนเป็นหมอยักไหล่ “ใช่ไหมล่ะ”

“ถ้าใช่ก็ดี”

“อยากให้ใช่เหมือนกัน”

เรามองหน้ากัน ยิ้มและหัวเราะ – แบบที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้กับแฟนเก่าคนหนึ่งมาก่อน

ไม่นานนักไลน์แมนก็ทำให้พวกเราเลิกคุยกัน ผมเดินออกไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายเงินค่าราดหน้าที่สั่งมา เดินขึ้นมาไม่ทันไรก็เห็นคณณัฐชูโทรศัพท์มือถือของผมให้กัน

“ณะ มีคนโทรหาเธอ”

“หือ” รับโทรศัพท์ที่วางไว้มาดูว่าสายที่ไม่ได้รับคือพี่เอก

“ไม่กล้ารับให้อ่ะ”

ผมเอื้อมมือไปแตะศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ “ไม่เป็นไร” ตอบปัดอย่างไม่คิดอะไรมากก่อนที่จะกดโทรกลับหาเจ้านายที่ช่วยจ่ายเงินเดือนให้กันในทันที เพราะปกติไม่มีเรื่องให้โทรคุยกันมากนักหากไม่ได้นัดเวลาคุยงานกันก่อน เพราะงั้นเลยคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องด่วนก็ได้

“ฮัลโหล”

“ณะเองพี่” ผมพูดทันทีที่ปลายสายกดรับ “มีอะไรรึเปล่า”

“ตอนนี้ยังอยู่ที่ออฟฟิศปะหรือกลับไปแล้ว”

“ยังๆ”

“เหรอ ทำอะไรอยู่”

ผมขมวดคิ้วมุ่น “พักกินข้าว” แต่ก็ตอบไปตามจริง

“งานใกล้เสร็จยัง”

“ก็ใกล้แล้วนะ – ถามทำไมวะ”

“เหรอ จริงปะ” น้ำเสียงพี่เอกไม่ได้เคร่งเครียดเท่าไหร่ เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของใครดังออกมาจากปลายสายด้วยซ้ำ “จะฝากดูให้หน่อยว่าสายชาร์ตแบตกูมีอยู่ที่โต๊ะไหม หาไม่เจอ ไม่งั้นจะซื้อใหม่เลย”

“รอแป๊บนะพี่” ผมว่าพลางหันหลัง เดินไปที่โต๊ะพี่เอก คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้นมากกว่าเก่าจากด้านหลัง “อยู่กับใครวะพี่ พี่ข้าวเหรอ”

“เอ้า กูก็ต้องอยู่กับแฟนกูสิวะ”

“เสียงหัวเราะหลอนฉิบหาย” ผมหัวเราะกลับบ้าง กวาดสายตามองหาสิ่งที่พี่เอกบอก “บนโต๊ะไม่มี”

“ลิ้นชักชั้นสอง”

“อ๋อ” เปิดลิ้นชักแล้วเจอกับสิ่งนั้นพอดี “เจอนะพี่ ยืมใครไปก่อนแล้วค่อยซื้อก็ได้”

“เออ ขอบใจมากๆ”

“ครับ”

เกือบจะกดตัดสายอยู่แล้วถ้าปลายสายไม่เรียกชื่อกันไว้ก่อน “ไอ้ณะ”

“ว่าไงพี่”

“แฟนมึงน่ารักดีนะ”

ผมรู้สึกขนลุกวาบกับคำพูดนั้น หันไปมองคณณัฐที่เคี้ยวเฟรชฟรายจนแก้มตุ่ยก่อนที่จะแกล้งหัวเราะแห้งๆ ใส่สาย “บ้าน่ะ ไม่มีแฟน”

“แล้วมึงพาใครเข้ามาในออฟฟิศ”

“เชี่ย” เผลอสบถออกมาอย่างตกใจ มองซ้ายมองขวาอย่างนึกระแวง

“ลืมไปแล้วรึไงว่ากูติดกล้องไว้ในออฟฟิศ ไอ้ง่าว” พี่เอกระเบิดหัวเราะ “ไม่ได้ตั้งใจจะสอดแนม แต่กูแค่เปิดกล้องเช็กความเรียบร้อย ไงล่ะ เจอของเด็ด อร่อยปะมีคนเอาของมาส่งให้ถึงที่”

ผมเหลือบมองคุณหมอ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันอย่างงุนงงก่อนที่จะก้มลงไปเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองใหม่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นประเด็นในการสนทนา

“—งานวันแต่งต้องชวนมาให้ได้นะเว้ย ไม่งั้นไม่จ่ายค่าจ้าง”

“โห”

“เปิดตัวก็ได้” พี่เอกย้ำ “โลกเปิดกว้างแล้ว ในออฟฟิศเราก็คงไม่มีใครเกลียดมึงหรอก”

“เหอ ยุ่งน่า” ผมตอบปัดไปมา “ไม่ได้กลัวเรื่องคนจะรับไม่ได้สักหน่อย”

“เอ้า, งั้นเหรอ” เจ้านายกลั้วหัวเราะ “แล้วกลัวเรื่องอะไร?”

ผมกัดฟัน พยายามพูดให้เสียงเบาลง “ยังไม่ใช่แฟนเลยไม่อยากเปิดตัว แค่นี้นะ”

ได้ยินเสียงถามว่าจริงเหรอของพี่เอกดังลอดมาไม่ทันจะสิ้นคำด้วยซ้ำ ผมกดตัดสายก่อน เดินไปหาคุณที่ยังคงเล่นโทรศัพท์ได้เพราะมือไม่เปื้อน

“ณะจะกลับตอนไหนเหรอ”

“อีกไม่นานงานก็เสร็จแล้วมั้ง”

“ขับรถไหวไหม” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยถามเจือด้วยความเป็นห่วงเหมือนทุกครั้ง

ผมพยักหน้า แต่คณณัฐคล้ายว่าจะยังไม่เชื่อกัน อีกฝ่ายทำท่าคิดไปชั่วครู่ก่อนจะวาดยิ้ม “เดี๋ยวเราขับไปส่งก็ได้”

เป็นคำตอบที่ทำให้รู้สึกเป็นห่วงคนที่น่าจะเหนื่อยกว่าผมหลายเท่าชอบกล “ไม่เหนื่อยเหรอ ทำงานมาทั้งวัน”

“ไม่เป็นไรวันนี้เค้าไม่เยิน”

แต่อีกคนคล้ายว่าจะไม่คิดอย่างนั้นถึงได้ตอบมาแบบนั้น เอื้อมมือที่ยังไม่ทันโดนไก่ทอดมาแนบแก้มผมเบาๆ พูดคำที่น่ารักเกินกว่าจะคิดไว้ออกมา

“เดี๋ยวเอาใจเธอหน่อยก็ได้ เธอตามใจเค้ามาเยอะแล้ว”

ผมรู้ว่าเราเหนื่อย – อย่างน้อยๆ ก็รู้ดีว่าภาระที่เราแบกไว้บนบ่ามากมายกว่าสมัยมหาวิทยาลัยมากมายแค่ไหน ความกดดันแตกต่างกัน เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตที่แสนสับสนและวุ่นวายได้เก่งขึ้นกว่าเก่า

เป็นวินาทีที่ทำให้ผมย้อนคิดถึงตอนที่เราเคยทะเลาะกันครั้งเป็นเด็กไร้เดียงสา

ตอนนั้นเราเงียบใส่กันไม่ก็บึงตึง หากมีใครพูดคำว่าเหนื่อยก็คงจะเอ่ยปากออกมาว่าเหนื่อยเหมือนกัน

“ว่าไง”

“โอเคครับ” ผมหัวเราะ กดศีรษะลงบนไหล่ของอีกฝ่ายที่ส่วนสูงใกล้เคียงกัน “วันนี้ขับไปส่งหน่อย”

“น่ารักมาก”

ปลายนิ้วไล้ลงบนเส้นผมของผมแผ่วเบา แตะท้ายทอยแล้วบีบนวดเล็กน้อย มันไม่ได้ช่วยคลายเหนื่อยเท่าไหร่แท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าความตึงเครียดจะหายไปอย่างที่บอกจริงๆ

เป็นอีกวินาทีที่ทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่คนเดียว หรือความรักในครั้งเยาว์วัยที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าเด็กอายุเท่านั้นจะแบกรับไหวในตอนนั้น

“ดีใจจัง” ผมเอ่ยปาก “ขอบใจนะที่อยู่ด้วย”

“ก็เหมือนวันที่เค้าผิดนัดเธอ หรือหมดแรงจะคุยนั่นแหละ” คุณขยี้เส้นผมของผมราวกับนึกมันเขี้ยวกัน “ตอนนั้นก็ขอบคุณเหมือนกันที่อยู่ด้วย”

ก็เป็นเสียแบบนี้,

ถ้าไม่แคร์กล้องวงจรปิดที่คอยสอดแนมอยู่ ผมคงได้จูบคุณจนปากช้ำแน่ๆ





-------------------------
หายไปนานเพราะจัดการรายละเอียดเล่มไม่ลงตัวค่ะ
จัดการอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้เรื่องระยะเวลา/รายละเอียดต่างๆ ลงตัวที่สุด
ต้องขอบคุณจริงๆ นะคะที่ทุกคนให้ความสนใจกัน //โค้งรอบทิศ

เดี๋ยวตอนสุดท้ายจะอัพให้หลังจากเปิดจองไม่เกิน 1 อาทิตย์
หลังจากนั้นตัวอย่างภาพดราฟ/ตอนพิเศษต่างๆ จะตามมาค่ะ

ขอบคุณทุกคนนะคะ
ช่วยอยู่ด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายทีนะคะ

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 14 (pg.5) : 24/08/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-08-2019 22:34:31
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 14 (pg.5) : 24/08/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 26-08-2019 02:03:16
ทั้งคู่น่ารักมากกกกก :hao5:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 14 (pg.5) : 24/08/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 26-08-2019 02:22:53
ดีมากๆเลยค่ะ งื้อ เขิน ขอบคุณนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 14 (pg.5) : 24/08/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 28-08-2019 14:14:13
โง้ยยยยยน่ารักคุณหมอทำเซอร์ไพรส์ด้วย แต่ ๆ โป๊ะแตกกลางออฟฟิศซะงั้น5555 
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 14 (pg.5) : 24/08/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 29-08-2019 03:13:33
น่ารักมากเลย  มันอุ่นในใจ :mew2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 14 (pg.5) : 24/08/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 10-09-2019 23:46:53
———— 15 ————


“ณะ แกว่าฉันเป็นยังไง”

วันนี้ได้ยินคำพูดนี้รอบที่ล้านได้แล้วกระมัง “สวยแล้วๆ สวยที่สุด สวยแบบที่มีใครแย่งซีน”

“ไม่จริงใจ” พี่ข้าวทำท่าเหมือนจะร้องไห้ มองกระจกซ้ายขวา “สวยจริงๆ นะ”

“โอ๊ย น้องข้าว สวยแล้วจริงๆ”

“หน้ามันหนาไปมั้ยคะเจ้ปัน”

“ก็งานแต่งงานมันก็ต้องหนากว่าปกติอยู่แล้วนี่”

ผู้หญิงอีกคนในออฟฟิศตบบ่าทั้งสองของเจ้านาย พี่ข้าวยังคงมองตัวเองในกระจก วันนี้เจ้าหล่อนแปลกไปเล็กน้อย จากผู้หญิงที่แต่งหน้าบางๆ แต่งตัวทะมัดทะแมงกลายมาเป็นผู้หญิงที่แต่งหน้าหนากว่าปกติ ขนตาทำให้รู้สึกเหมือนโดนลมพัดทุกครั้งที่เจ้าหล่อนกระพริบตา (แน่นอนว่าคิดได้แค่ในใจ ขืนเผลอพูดไป เจ้าหล่อนคงได้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองจนเป็นบ้าไปก่อนแน่)

“นั่นสิพี่ข้าว” อีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำเปล่ามาตรงหน้า “เอาไหมคะพี่ณะ”

“อา— ขอบคุณครับน้องขิม”

น้องสาวเจ้าสาวพยักหน้าให้ ผมรับแก้วมา น้องขิมหันไปยื่นแก้วอีกใบให้เจ้ปัณ และวางแก้วใบสุดท้ายให้พี่สาวตัวเอง “สวยแล้ววันนี้ ขิมยอมให้หนึ่งวัน”

“เฮ้ย บ้าแล้ว พี่สวยกว่าเธอตลอดแหละ”

“ไม่จริง”

“จริง”

ผมปล่อยให้คู่พี่น้องผู้หญิงเถียงกันไปแบบนั้น ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนที่จะยกกล้องขึ้นมาเช็กภาพที่ถ่ายไว้ให้

วันนี้ผมรับหน้าที่เป็นตากล้องเก็บบรรยากาศงานแต่งงานให้ น้อยครั้งที่จะได้รับงานพวกนี้ ผมว่ามันวุ่นวายและดีไม่ดีอาจจะได้เงินไม่คุ้มด้วยซ้ำ เห็นว่าเป็นพี่ที่สนิทกันเลยตอบรับให้ ตอนเช้าก็เข้าไปหาเจ้าบ่าวมาแล้วแต่พี่เอกก็ปัดมือไล่ไปมา บอกว่าไม่เห็นต้องเก็บบรรยากาศอะไรมาก ตัวเด่นวันนี้อยู่ที่เจ้าสาว ทำอะไรๆ ก็ตามใจเจ้าสาวเท่านั้น ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้ผิดเท่าไหร่นัก เท่าที่รู้จักกันมาพี่เอกก็ไม่ใช่คนชอบกิจกรรมอะไรพวกนี้ หากจะจดทะเบียนอย่างเดียวแล้วไม่จัดงานก็ดูไม่เกินจริง

“ไอ้โย่งยังไม่มาอีกเหรอ” เจ้ปันหันมาถามผม “หรืออยู่ห้องพี่เอก”

“มันพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนไง”

“อ๋อ”

ผมเหลือบมองนาฬิกา “แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้วมั้ง”

“ไม่ต้องไปเร่งโย่งหรอก” เสียงเจ้าสาวแทรกเข้ามา “แค่มันยอมโผล่มาตอนเช้าฉันก็ดีใจใจจะขาดแล้ว คนอย่างมันยอมตื่นหกโมงมาหากันอ่ะ”

ผมหัวเราะ ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น

จังหวะนั้นเองที่กลุ่มเพื่อนเจ้าสาวเดินเข้ามา เอ่ยแซวกันด้วยรอยยิ้ม หัวเราะกันเสียงดัง ถ่ายรูปกันไม่หยุดหย่อน ผมไม่ได้รู้สึกรำคาญ ตรงกันข้าม, เป็นจังหวะที่เผลอคิดว่าสักวันเพื่อนๆ ของผมก็คงเป็นแบบนี้ อีกสักสองถึงสามปีในอนาคต บางทีผมอาจจะต้องเป็นตากล้องให้ในวันที่ไอ้โย่งแต่งงานด้วยซ้ำ

“พี่ณะกินอะไรมั้ย” คำถามตามมารยาทดังออกมาจากน้องขิม “ขิมจะลงไปเซเว่น แล้วเดี๋ยวจะแวะไปรับคุณพ่อคุณแม่ด้วย”

“อ๋อ ไม่ล่ะ เดี๋ยวพี่คงไปนั่งเล่นห้องพี่เอก”

น้องพยักหน้า “ค่ะ” นิ่งไปสักนิดก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วพี่คุณไปไหนล่ะคะ วันนี้ไม่มาด้วยกันเหรอ”

ผมยิ้มบางๆ “คุณยุ่งน่ะ”

“คุณหมออ่ะเนอะ”

“ใช่ ประมาณนั้นแหละ” ผมได้แต่เห็นด้วย “ความจริงยังไม่เคยพามาเจอพี่ข้าวกับพี่เอกด้วย”

“อ้าวเหรอคะ” น้องขิมทำท่าทางแปลกใจ “งั้นแปลว่าขิมเป็นคนเดียวที่เคยเห็นน่ะสิ”

“ประมาณนั้นแหละ ถ้าไม่นับไอ้โย่งนะ”

“แต่ขิมว่าพี่ๆ เขาก็ไม่ซีเรียสหรอกถ้าจะชวนมา”

“เห็นว่าถ้าตอนเย็นเวรไม่เยินจะมาหา”

ผมตอบไปตามจริง ความจริงเมื่อคืนเราคุยกันแล้ว ถามย้ำก็แล้วแต่คุณก็ยืนยันว่าไม่มั่นใจ เห็นว่างานเย็นจะเริ่มตอนทุ่มหนึ่ง คณณัฐที่เลิก OCD ตอนหกโมงก็ยังไม่กล้ารับปากว่าจะมาแน่ๆ

กลัวว่าจะผิดนัดอีก คุณบอกผมแบบนั้นเมื่อคืนเสียงหงอยแบบที่ผมรู้ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกผิด รอบนี้ไม่ได้นัดแค่เธอด้วย ถ้าผิดนัดอีกก็แย่เลย

โดนพูดแบบนั้นใส่ก็ใจอ่อนไม่อยากเซ้าซี้ แม้จะโดนพี่เอกย้ำมาอีกทีว่าชวนมาเถอะ แขกมีเป็นร้อย เพิ่มมาสักคนไม่ได้ทำให้จ่ายเงินค่าบุฟเฟ่ต์เพิ่มขึ้นเพราะจ่ายไปหมดแล้ว แถมเจ้าบ่าวเจ้าสาวคล้ายจะอยากเห็นเหลือเกิน ขอบคุณที่พี่เอกไม่เผากันเรื่องผมแอบพาคุณหมอขึ้นออฟฟิศในคราวก่อนอย่างประเจิดประเจ้อ ไม่งั้นคงจะต้องฟังคนอื่นๆ ล้อไปจนวันตาย

—ทุกวันนี้ก็โดนล้อจนตายอยู่แล้วน่ะนะ

เดินเข้าไปหาพี่เอกบ้าง บรรยากาศสงบกว่ากันเป็นกอง พี่เอกยังบ่นไม่มีหยุดว่าทำไมเราต้องแยกห้องกันแต่งตัวเพราะเพื่อนตัวเองก็ไม่ได้เยอะ อุปกรณ์แต่งตัวก็ไม่ได้เยอะ เปลืองค่าห้อง ว่าแบบนั้นแต่เห็นก็ตามใจไม่มีหยุด

ผมมองไปที่โซฟามีของวางระเกะระกะ “ขอนอนได้ปะพี่” เอ่ยถามอย่างเหนื่อยอ่อน

“ก็เอาดิ”

“เอ้อ ดีเว้ย” ผมหัวเราะ

“เออ นอนๆ ไปเถอะ จองห้องในโรงแรมแล้วเน้นใช้ให้คุ้ม”

“ตามใจแฟนสุด”

“หลังจากวันนี้ก็เป็นเมียแบบถูกกฎหมาย” พี่เอกว่าแบบนั้น “ถึงจะว่างั้นก็เถอะ กูไม่ได้ตามใจแค่ข้าวสักหน่อย เอาจริงก็ตามใจพ่อแม่ตัวเองด้วย”

“—อ๋อ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ ทิ้งตัวลงบนโซฟาหลังจากเคลียร์ของให้มีพื้นที่ในการนอน “ก็เก็ทว่ะพี่ เอาจริง ตอนพี่ผมแต่งงานก็แบบนี้แหละ”

“ตอนคบมันเป็นเรื่องของสองคน ตอนแต่งงานแม่งสองครอบครัวเฉย” พี่เอกว่าแบบนั้น “กลับไปตอนเพิ่งคบกันใหม่ๆ นะ แม่งไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลยว่ะ”

ผมที่หลับตาลงถึงกับเปิดเปลือกตาขึ้นใหม่ “อื้ม, เข้าใจ” ตอบไปสั้นๆ พร้อมกับความทรงจำบางอย่างที่ลอยเข้ามาในหัว “อย่างว่าแหละ ตัวเองตอนยี่สิบกับตัวเองตอนสามสิบ มันจะไปเหมือนกันได้ยังไงวะ”

“ถูกของมึง” เจ้าบ่าววันนี้หัวเราะ “ถ้าเจอข้าวตอนยี่สิบ กูอาจจะแครี่มาไม่ถึงตอนที่แต่งงานกันก็ได้”

“ไม่รู้เลยว่าพี่ข้าวตอนยี่สิบเป็นไง”

“ไม่รู้เหมือนกัน – คงไม่รู้ด้วย”

“มีไหมวะคู่ที่คบกันตั้งแต่ม. ปลายแล้วได้แต่งงานกัน”

“มีนะเพื่อนกูอ่ะ แต่น้อยเหลือเกิน”

ผมหัวเราะ “เพื่อนผมก็มีนะ แต่งงานกับแฟนตอนมหา’ ลัย”

“เก่งฉิบหายที่คบกันมาเป็นสิบๆ ปีได้”

“เฮ้ย พี่พูดงี้ไม่ได้ปะวะ” ผมแกล้งแซว “ตอนนี้พี่กับพี่ข้าวก็จะสิบๆ ปีแล้ว เดี๋ยวก็ได้จัด anniversary สิบปีด้วยกัน”

“อาจจะไม่ได้จัดก็ได้” พี่เอกว่าแบบนั้น “ใครจะไปรู้อนาคตวะ”

เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกเศร้าพิลึกที่ถูกพูดออกมาในวันแต่งงาน ถ้าสาวเจ้ามาได้ยินเข้าอาจจะร้องไห้เพราะวันนี้ดูเป็นวันที่เธออารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ แต่ผมก็เข้าใจ, ด้วยนิสัยของพี่เอกมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

“แต่ก็นะ,” พี่มันยักไหล่ “ตอนกูคบแรกๆ กูก็คิดว่าอาจจะไม่ได้แต่งก็ได้เหมือนกัน ตอนนี้กูได้แต่งแล้ว เพราะงั้นครบสิบปีก็อาจจะเป็นเหมือนกันก็ได้”

ผมฟังคำพูดของพี่มัน “ก็นั่นสิเนอะ”




งานแต่งงานไม่ได้แตกต่างจากงานรับปริญญา ไม่ได้แตกต่างอะไรจากความรู้สึกเวลาไปเยี่ยมลูกสาวคนแรกของเพื่อนในกลุ่มที่โรงพยาบาล และบางที, มันก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกับงานศพของใครสักคน – เป็นงานที่ให้ความรู้สึกว่าเรากับเจ้าของงานกำลังจะห่างกันไปอีกขั้นหนึ่ง หลังจากนี้คงจะมีเรื่องอื่นสำคัญในชีวิต เหมือนได้เห็นการเติบโตของใครสักคน ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด

“เธอกินข้าวรึยัง” ปลายสายเอ่ยถามกันอย่างเป็นห่วง “เป็นตากล้องคงไม่ได้กินข้าว”

“กินแล้วครับ” ผมตอบกลับตามจริง “เอาจริงก็คงยุ่งแค่ช่วงที่มีแขกมาเยอะๆ แหละ มีจังหวะให้กินข้าวอยู่”

“แต่เธอกินแล้ว”

“เดี๋ยวก็กินอีก ใส่ซองไปขนาดนั้นต้องกินให้คุ้ม”

คนปลายสายหัวเราะ “วันนี้ไม่เยินมาก แต่ยังไม่กล้ารับปากเลย”

“มาเถอะ เจ้าสาวเจ้าบ่าวเขาก็อยากให้มา”

“ยังไม่เคยเจอกันสักครั้งเลยนะ” คุณหมอทำเสียงแปลกใจ “ทำไมเจ้านายเธอถึงอยากให้ไปเจอนักนะ”

“อ๋อ” ครางรับในลำคอเบาๆ เวรแล้ว นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เล่าให้คณณัฐฟังเลยว่าโดนพี่เอกเห็นหมดแล้วตั้งแต่วันที่คุณซื้อเคเอฟซีมาให้กินถึงออฟฟิศ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคณณัฐรู้แล้วจะเป็นอย่างไร “มันก็แค่เดาได้ว่าเค้า อา— ว่ายังไงล่ะ มีเธออยู่”

เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากปลายสาย “ก็ไปได้แหละ แต่ไม่รู้กี่โมง รถติดแน่เลย”

“สูทก็หยิบมาเผื่อให้แล้ว” ผมพูดเสียงอ่อน อีกนิดจะเรียกว่าอ้อนเสียด้วยซ้ำ “ถ้ามาได้ก็มาเถอะ”

“คร้าบบ ถ้าไปได้จะโทรไปบอกนะครับ”

เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่สถานการณ์จะบังคับให้ผมวางสาย แขกเหรื่อของคู่บ่าวสาวเริ่มเข้ามาจนผมรู้ว่าผมต้องไปทำงานให้สมเงินที่พี่ๆ จ่ายเสียหน่อย โย่งยังคงรับหน้าที่ตากล้องถ่ายวีดีโอเหมือนเดิม วันนี้เพื่อนสนิทของผมทำผมดีกว่าปกติ แต่งตัวเป็นผู้เป็นคน มันแซวว่าเพื่อนเจ้าสาวสวยๆ เยอะต้องมีคนสนใจมันสักคน ฟังแล้วอยากจะหัวร่อเข้าให้ แต่ก็ยอมๆ เขาหน่อย ดูเหมือนช่วงนี้โย่งจะเหงามากกว่าปกติ

“ยำแซลมอนอร่อยจัด” โย่งเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับกล้องในมือ “ว่างั้นปะครับคุณณะ”

“ไม่รู้ครับยังไม่ได้กิน ใช้งานกันซะคุ้มราคาเลย”

“ได้ยินมั้ยพี่ อย่าลืมอัพเงินเดือน”

ผมหัวเราะกัลคำเย้าแหย่ให้เจ้านาย ไม่รู้เหมือนกันว่าคลิปรอบนี้จะออกมาในรูปแบบไหน แต่ก็ต้องเป็นการใหญ่หน่อยแหละ เจ้าของเพจเขาอุตส่าห์แต่งงานกันทั้งที

หลายคนที่เดินเข้ามาคุ้นหน้าคุ้นตากันใหญ่เนื่องจากเคยทำคลิปลงในเพจร่วมกัน ก็คือผมเป็นฝ่ายรู้จักเขาฝ่ายเดียว ตำแหน่งของผมไม่ได้ออกหน้ากล้อง มีแต่เอาคนหน้ากล้องมาลงคอมพิวเตอร์เพื่อตัดต่อเท่านั้น

“คุณมาไหมล่ะสรุป”

“เห็นว่าจะมา” ผมตอบไอ้โย่ง

“อ๋อ” มันดูว่าง่ายดี แต่ไม่วายสงสัย “แล้วจะแต่งตัวอะไรทันเหรอวะ”

“พกสูทมาให้ท้ายรถอยู่แล้ว”

“—ก็ดีๆ” มันพยักหน้าแค่นั้น

ผมเลื่อนกล้องขึ้นมาระดับสายตา ถ่ายภาพบรรยากาศที่ดูอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม จังหวะนั้นที่น้องขิมเดินผ่านก็ไม่วายหันมายิ้มให้กล้อง วันนี้หล่อนสวย, ดูเป็นสาว แต่รอยยิ้มก็ดูสดใสสมเพิ่งเป็นบัณฑิตดี

“กูนะ” เสียงเปรยแผ่วเบาดังขึ้นมาจากข้างกาย “ไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะกลับมาคืนดีกับคุณ”

ผมลดกล้องในมือ “ไม่คิดเหมือนกัน” ตอบกลับแบบนั้นอย่างนึกขำขัน

“อันที่จริงตอนอยู่มหา’ ลัย กูคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรจะทำให้พวกมึงเลิกกัน” มันพูดแบบนั้นพลางยกแก้วเครื่องดื่มจรดริมฝีปาก พูดเหมือนคนแก่คุยกันทั้งที่เรายังไม่ทันสามสิบดี “แต่ตอนนั้นมึงเหมือนหมาที่สุดในสามโลก ในกลุ่มคุยกันบ่อยฉิบหายว่ามึงจะจบไหม เล่นเลิกกันตอนเวลาพีคๆ ของปีสี่พอดี”

“ก็ขอบคุณตัวเองที่เรียนจบมา” ผมหัวเราะ “—แต่ตอนนั้นเจ็บจริงๆ นะเว้ย เหมือนหมาที่สุดในชีวิตกูแล้ว”

“คุณหมอก็ไม่ต่างเถอะ”

“อื้ม” ตอบกลับแผ่วเบาเพราะไม่รู้จะพูดอะไร

“แล้วจะเปิดตัวตอนไหนล่ะ”

“เปิดตัวอะไร”

“แฟนใหม่ที่มาจากแฟนเก่า”

ผมเค้นหัวเราะ “ให้คุณคบกูก่อนเถอะ”

มันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้อยู่ในสถานะคนคุยเหรอ” ดูจะแปลกใจที่ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “จะสามสิบแล้ว ทำอะไรให้มันรวดเร็วฉับไวหน่อยสิวะ รออะไรอยู่”

เป็นคำถามที่ให้ความรู้สึกแปลกพิลึก จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองโดนคำถามแบบนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายตอนไหน

“ไม่รู้สิ” ผมกดชัตเตอร์ให้ภาพของความสุขอีกครั้ง “รอให้เขามั่นใจว่ามันจะไม่จบลงเหมือนเดิมมั้ง”

บทสนทนาหยุดลงชั่วครู่ทันทีที่โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่น ผมหยิบขึ้นมาพร้อมกับพบว่าคนโทรมาคือคนที่อยู่ในประเด็นที่กำลังคุยกันอยู่ กดรับสายแทบจะในทันที

“ถึงแล้วเหรอ”

“ใช่ๆๆ เค้าถึงแล้ว” คุณตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรนนิดหน่อย “ยุ่งอยู่หรือเปล่า”

“ไม่ๆ เดี๋ยวลงไปหา จอดรถไว้ชั้นเจ็ด”

“งั้นเดี๋ยวเค้าขึ้นไปหาเธอเอง ชั้นเจ็ดนะ”

“ครับ”

ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาว่าโอเคก่อนที่สายจะถูกตัดไป ผมก้มมองนาฬิกา อีกราวครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงเวลาที่คู่บ่าวสาวออกมาทักทายแขกให้ผมไม่ว่างอีกรอบ เพราะตอนนี้เจ้าของงานทั้งสองบอกให้พักกินข้าวก่อนผมเลยดูงานได้สบายๆ

ผมดึงสายคล้องกล้อง นำไปสวมคอไอ้โย่ง “ฝากแป๊บ เดี๋ยวลงไปรับคุณ”

เพื่อนซื้งุนงงแต่ก็ตอบรับแต่โดยดี

ตอนที่ประตูลิฟต์เปิด คุณหมอก็ยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์แล้ว อีกฝ่ายสีหน้าอิดโรยนิดหน่อย ในมือถือถุงกระดาษแบรนด์ของใช้ หากแต่ไม่วายยิ้มตาหยีตอนที่เจอกัน

“จะแปลกๆ ไหม” คุณถามแบบนั้น “แต่คิดว่าคงไม่ดีถ้ามามือเปล่า”

“จริงๆ พี่ๆ เขาก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว” ผมว่าแบบนั้น เดินนำอีกฝ่ายไปที่ลานจอดรถ วันนี้มีรถยนต์มาขับเพราะยืมพี่ตัวเองมาเนื่องจากคิดว่ามอเตอร์ไซค์คงเอาไม่อยู่ แถมต้องอยู่ตั้งแต่งานเริ่มยันงานเลิก “เธอใส่ได้ไหมเนี่ย”

“เฮ้ย เราก็เตี้ยกว่าเธอนิดเดียวเอง” คุณขมวดคิ้วมุ่น “ทำเหมือนเธอสูงนักแหละ”

“ก็ไม่ได้พูดแบบนั้น เป็นห่วงแค่ตรงไหล่เฉยๆ”

คณณัฐก็ดูจะงอแงแบบเล็กๆ ทำให้ผมไม่วายเอื้อมมือไปบีบจมูกอีกฝ่ายสักที คุณหมอสวมเสื้อสูทสีเบจของผม ดูเหมือนไหล่จะตกไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร

“ไปแค่นี้ได้ไหม” คุณถามอย่างไม่มั่นใจ “ต้องเซ็ทผมไหมอ่ะ”

“ไม่ต้องหรอก เธอดูเค้าสิ”

“ก็เธอเซ็ทแล้ว!”

“เอ้า” หัวเราะแผ่วเบากับคำพูดที่ฉายชัดถึงอารมณ์ ดูเหมือนวันนี้คุณหมอจะงอแงผิดปกติ อาจจะเป็นเพราะการจารจรที่ทำให้เหนื่อยมาก

จะไม่มาก็ได้แท้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์มา

พอคิดแบบนี้แล้วก็ขอบคุณคุณเขานั่นแหละ – ธุระอะไรก็ไม่ใช่เลยแท้ๆ

คุณหมอทำท่าเหมือนจะไปเซ็ทผมจริง แต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ใช่งานเล่นใหญ่อะไร ผู้ใหญ่ก็ไม่เยอะ แต่งตัวหล่อไปถึงไหน แซวเบาๆ แต่โดนถลึงตามองใส่พร้อมกับบอกว่าเป็นมารยาทให้เกียรติสถานที่แล้วกัน ผมเลยตามใจ ยอมให้คุณเขาเอาเจลเซ็ทผมไปที่ห้องน้ำเพื่อแต่งตัวสักหน่อย

ใช้เวลาไม่นานนักหรอกคุณหมอก็เดินออกมาในสภาพไม่ต่างจากเดิม ผมมอง กำลังจะเอ่ยแซวแต่คุณก็ตีไหล่เบาๆ
 
ตอนที่เดินเข้าไปในงาน คณณัฐดูจะเกร็งมากกว่าปกติถึงได้เบียดกายมาหาผมมากกว่าเดิมให้คนรู้ว่าเดินมากับใคร ผมบ่นพึมพำว่าขอบคุณที่มาทันเวลาเมื่อไอ้โย่งโบกมือให้พร้อมกับเคาะที่นาฬิกาข้อมือมันราวกับจะบอกว่าต้องรีบแล้ว

“ขอบใจมาก” ผมเดินไปรับกล้องจากมือมัน ก่อนที่จะหันมาถามคนข้างกาย “เดี๋ยวเค้าไปแถวๆ เวที เก็บภาพน่ะ เธออยู่กับไอ้โย่งไปนะ”

“อ๋อ” คุณทำหน้ากังวลใจนิดหน่อยแต่ก็ยิ้ม “ได้ๆ”

“มานี่หมอ ให้มันไปทำงานก่อน”

คุณหมอหัวเราะ โบกมือลาให้กันอย่างว่าง่าย ผมรีบแทรกตัวไปแถวเวที และยังไม่ทันพักเหนื่อยไฟก็เริ่มดับลงเพื่อให้ความสนใจกับคู่บ่าวสาว

เสียงแซวบนเวทีจากพิธีกรที่เป็นเพื่อนพี่เอก, คลิปวีดีโอบอกเล่าความรักของทั้งสอง, คำอวยพรซึ้งๆ จากญาติผู้ใหญ่ที่ทำเอาพี่ข้าวน้ำตาคลอ เรื่อยไปจนถึงการตัดเค้กแต่งงานที่จำได้ว่าเจ้าบ่าวบ่นว่าสิ้นเปลืองแต่เจ้าสาวบอกว่าเป็นความฝัน – ผมเก็บทั้งหมดนั้นไว้ในภาพถ่ายผ่านกล้องของตัวเอง

จนไฟกลับมาเปิดเป็นปกติ เจ้าบ่าวเจ้าสาวลงมาขอบคุณตามโต๊ะต่างๆ แล้ว ทั้งเพื่อนและญาติๆ ผมหันไปมองหาเพื่อนตัวเอง ก่อนที่จะนึกแปลกใจนิดหน่อยที่ข้างๆ ของคณณัฐไม่ได้มีแค่ไอ้โย่ง แต่รวมถึงน้องขิมด้วย

“นึกว่าพี่คุณจะไม่มาซะแล้ว” น้องขิมหันมาพูดกับผมแบบนั้นตอนผมเดินเข้าไปหา “แต่ก็อุตส่าห์มา ขอบคุณนะคะ ได้คุยกับพี่ข้าวหรือยัง”

คุณหมอส่ายหน้าน้อยๆ “ยังเลย”

“เดี๋ยวพี่ข้าวก็มาแหละค่ะ วันนี้คิวแน่น”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ” คณณัฐยิ้มตาหยีให้กับน้องเจ้าสาว “วันนี้เป็นตัวเอก ต้องยุ่งเป็นธรรมดา”

บทสนทนาไหลลื่นไปตามประสาคุณหมออัธยาศัยดี กลายเป็นผมเองที่เงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรเท่าไหร่เมื่อไอ้โย่งขอตัวไปถ่ายวีดีโอก่อน คุณหมอคุยกับน้องขิมอยู่นานพอควรจนถึงตอนที่น้องขอตัวไปทักทายญาติผู้ใหญ่ที่บังเอิญเจอ

ผมเหลือบมองคู่บ่าวสาวที่เดินมากำลังจะถึงตำแหน่งที่พวกผมยืนอยู่

“แปลกๆ แฮะ ยังไม่ได้ไหว้เจ้านายเธอเลย”

“ถึงจะเรียกว่าเจ้านายแต่ก็เหมือนรุ่นพี่เฉยๆ มากกว่า” ผมหัวเราะแผ่วเบา

“จะเป็นไรไหมนะ” คุณหมอย่นจมูก “ไม่ได้รู้จักโดยตรงด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า คิดมาก”

เจ้าของงานเดินเข้ามาใกล้อีกนิด สังเกตเห็นคณณัฐยืนกำมือนแน่นกว่าปกตินิดหน่อยแต่สีหน้ายังยิ้มแย้มไม่มีเปลี่ยน ใจนึงก็อยากเย้าแหย่ว่าตอนมหาวิทยาลัยที่อีกฝ่ายเจอพ่อแม่ผมยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ อันนี้อะไรกับไอ้แค่รุ่นพี่

—คงเพราะเป็นครั้งแรกที่จะก้าวเข้ามาในสังคมของอีกฝ่ายหลังจากเดินออกไปมานานก็ได้ ไอ้ผมก็เผลอตั้งข้อสงสัยแบบนั้นอย่างอดไม่ได้

“นี่เธอ” เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ ตอนที่คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เค้าต้องแนะนำเธอว่ายังไงนะ”

“ฮะ?” คนข้างกายหันร้องเสียงฉงน คณณัฐดูงุนงง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่จะผลุบตาลงต่ำ “ก็— เอาที่เธออยากแนะนำแล้วกัน”

หัวใจผมพองโตเล็กน้อยกับถ้อยคำง่ายๆ เหล่านั้น,

เหมือนคุณจะบอกว่าอย่างไรก็ตกลง

เจ้าบ่าวเจ้าสาวหันมาเห็นผมแล้ว พี่เอกดูจะแปลกใจ คงเพราะเคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของคุณหมอตั้งแต่ในกล้องวงจรปิดวันนั้นแล้ว แต่พี่ข้าวดูจะไม่รับรู้เรื่องด้วย คุณหมอยกมือไหว้ทั้งสองทันทีที่สบตาตามประสาคนมีมารยาท
 
เจ้าของงานเดินมา “ขอบคุณครับที่มา” ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม

“ครับ แล้วก็ยินดีด้วยนะครับสำหรับงานแต่งงาน” คณณัฐเอ่ยถ้อยคำอวยพรที่แสนเรียบง่าย

พี่ข้าวยิ้มให้ บอกว่าขอบคุณ ขณะนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมกับคำถามในแววตาเหมือนกับจะบอกผมให้แนะนำ ส่วนคณณัฐยังไม่ทันรู้เรื่อง

ผมเม้มปากแน่น,

ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว,

“พี่เอก พี่ข้าว” ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เรียกชื่อทั้งสองเพื่อจะแนะนำคุณให้อีกฝ่ายรู้จัก “นี่คุณนะครับ”

เอาล่ะ, เอาหน่อย, ณะเอาหน่อย,

ผมบอกตัวเองด้วยคำนี้มาประมาณสามร้อยครั้งในเสี้ยววินาที ก่อนที่จะขยับปากพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดมาเนิ่นนาน – นานเหลือเกินที่จะได้กลับมาเรียกคุณด้วยคำนี้อีกครั้งหนึ่ง

“คุณเป็นแฟนของผมครับ”




the end.





จะเอานายเอกชื่อ “คุณ”

นั่นเป็นความคิดเดียวที่มีตอนที่ตัดสินใจจะเขียนเรื่องนี้ จากนั้นก็ตามมาด้วยความคิดว่าอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับแฟนเก่าที่ไม่ใช่นิยายดราม่า – และอยากให้คนคิดถึงช่วงเวลาในการตกหลุมรักครั้งนั้นในชีวิตขณะที่อ่านนิยายเรื่องนี้ไปด้วย

#ตอนนี้ยังเป็นคุณ เกิดขึ้นแบบนั้น,

เรียบง่ายจนน่าตกใจ ทุกฉากทุกตอน ทุกการจัดการความรู้สึก – แน่นอนว่ามีเชิงลึกกว่านี้ในเล่มแน่นอน (สามารถกดจองได้ที่ : https://forms.gle/emoVJYFmj2ZfJfH4A)

อยากเขียนอะไรที่เรียบง่าย เป็นวันธรรมดาในแต่ละวัน ไม่ใช่ดราม่าเหมือน soap opera หรือวุ่นวายเหมือน high school life ในหนังฝรั่ง ก็แค่อยากให้คนอ่านทุกคนคิดถึงตอนที่ตกหลุมรักมากที่สุด – นั่นคือสาเหตุที่คณณัฐได้ชื่อคุณ

ทุกประโยคที่พูดถึงคุณ – คนอ่านอาจจะไม่ได้คิดถึงแค่ “คุณหมอคณณัฐ” เหมือนที่ณะคิดถึง แต่อยากจะคิดถึงความรักสักครั้งที่แทรกตัวอยู่ในซอกหลืบของความทรงจำ หรืออาจจะเป็นความรักที่ยังอยู่ในมือ จะเป็นรักครั้งไหนก็ได้, ถ้าหากนิยายเรื่องนี้ยังทำให้รู้สึกคิดถึงสิ่งที่เรียกว่าการตกหลุมรักได้จะเป็นความยินดียิ่ง

ตอนที่กลับมาเขียนนิยายอีกครั้งยอมรับว่ากล้าๆ กลัวๆ ไปหมดเพราะห่างหายจากวงการนิยายวายมานานมากๆ (ไปเขียนฟิคอยู่ช่วงหนึ่ง) กลัวคำวิจารณ์ กลัวว่าจะไม่มีใครอ่าน กลัวว่าจะโดนคำด่าเหมือนที่เคยโดน

ขอบคุณทุกความคิดเห็น คำวิจารณ์และความช่วยเหลือที่ทำให้นิวเลิกกลัว – ไม่ว่าจะเคยรู้จักกันในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก หรือเคยรู้จักกันมาจากนิยายเรื่องอื่นแล้ว

ขอบคุณนะคะ,
ที่ทำให้นิวได้กลับมาตกหลุมรักการเขียนนิยายของตัวเองอีกครั้ง

ขอบคุณจากใจจริง
เอ็นเอ็น

[/color]
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-09-2019 01:01:56
 :L2: :L2: :L2: :3123: :3123: :3123: :3123: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-09-2019 01:50:10
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-09-2019 09:56:23
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 11-09-2019 16:18:08
น่ารักน่าประทับใจมาก ฮือออออ ขอบคุณนะคะชอบนิยายเรื่องนี้มาก ๆ เลย :L2:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 12-09-2019 00:18:35
น่ารักมากกกกกก ซึ้งแอบน้ำตาซึมหน่อยๆ
ชอบที่เป็นแฟนกันตั้งแต่มหาลัย รักกันมากแล้วก็เลิกกันแบบงงๆ จนกลับมาเจอกันอีกครั้งคุณหมอคุณก็ยังรอณะอยู่ นี่นับถือหมอมากที่ยังรอณะ เพราะณะทิ้งหมอคุณของเราก่อน แต่ตอนนี้แฮปปี้แล้ว นี่ก็แฮปปี้ :katai2-1:

ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ เรื่องนี้สนุกมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 12-09-2019 05:22:24
เอ็นดูมากๆ ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆออกมาค่า
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 18-09-2019 09:06:05
ชอบบบบบบบ ไม่ได้เศร้าแค่เทาๆให้คิดถึงเรื่องในอดีต ตอนนั้นอาจจะยังเป็นเด็กความอดทนอะไรก็คงยังไม่มากพอ
ตอนนี้ก็รักษามันดีๆนะ ขอบคุณมากๆค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-09-2019 22:31:09
รออ่านตอนพิเศษในเล่มไม่ไหวเลยค่ะ มันดีมาก ชอบตัวละครทั้งคู่มากเลย ไม่ต้องโดดเด่น หวือหวาอะไร แต่ว่ามีเสน่ห์มากเลย จะตามอ่านนิยายคุณนิวทุกเรื่องตลอดไปเลยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Babyfish ที่ 23-09-2019 14:29:54
ชอบคุณคุณมากเลย ทำยังไงดี ขอแย่งได้มั้ยคะคุณณะ อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากเลยค่ะ ชอบตัวละครทุกคนเลย เนิบๆแต่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก บางตอนเกือบร้องไห้ด้วย อีโมเหมือนกับคุณข้าวเลยค่ะ555555 รอติดตามนิยายเรื่องอื่นๆต่อนะคะะะ❤️
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 24-09-2019 02:01:49
กลมกล่อมดีค่ะ ไม่ได้เศร้าอาจจะเทาๆบ้างแต่ก็มีความละมุนน่ารักแล้วก็ทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่แรกรักกัน
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 24-09-2019 13:58:49
เพิ่งมีโอกาสมาอ่าน รวดเดียวจบเลย เป็นเรื่องที่อ่านได้เรียบๆเรื่อยๆแต่มันดีมากเลยค่ะ
 ทำให้คิดย้อนไปถึงช่วงชีวิตนึงที่เคยหวนไปคบ”แฟนเก่า” แต่เราไม่ได้จบแฮปปี้แบบคุณ,ณะเท่านั้นเองค่ะ (:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 24-09-2019 22:39:58
มันเป็นนิยายที่เค้าๆเธอๆมากอ่ะะเจิลจนบิดไปหมดเลยค่ะ ขอบคุณนักเขียนที่กลับมาเขียนนะคะ เยื่อมมากกกกกรัวมือออๆๆๆๆ :katai4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 25-09-2019 22:28:11
เรียบง่าย ภาษาลื่นไหล

คุณหมอน่ารัก พ่อพระเอกเราก็กล้าๆกลัว เอ็นดู
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 26-09-2019 03:32:15
 :pig4: :pig4: :pig4: ทั้งหนาวง และน่ารัก
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 06-10-2019 19:04:51
เรื่องนี้คือดีมากกกกกกกก. ชอบครับ คุณ&ณะ :-[
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Parapoyfaii ที่ 27-10-2019 15:49:59
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้สองคนนี้กลับมาเจอกันอีก ดีจัง
ฮื่ออ อบอุ่นไปหมดเลย ขอให้ครั้งนี้มันเป็น right place and right time นะ
รอบนี้ขอให้มันดี
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน
ขอบคุณค่า
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Prema ที่ 01-01-2020 11:09:32
ขอบคุณที่แต่งนิยายน่ารัก ๆ แบบนี้ออกมานะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: gibari ที่ 01-01-2020 22:23:44
รู้สึกถึงความนุ่มนิ่มอยู่ในเรื่อยเต็มไปหมดเลยค่ะ
เรื่องราวอาจจะไม่ได้หวือหวาอะไรมากมาย แต่ก็อ่านได้ไม่มีเบื่อเลยแม้แต่น้อยค่ะ
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ สำหรับนิยายน่ารักๆ นี้ ^^
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 08-01-2020 22:07:14
งื้ออออ ดีมากเลยค่ะะะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 10-01-2020 23:20:54
ดีมากๆหวานมากๆอ่านแล้ว​ ทั้งเขินทั้งดีด​ อบอุ่นด้วย
ตอนแรกหงุดหงิดนิดหน่อยกะณะแบบพ่อ​ พ่อต้องด
พูด​ แม่ไม่เข้าใจ​ แต่ก้เข้าใจแหละ​ วนกลับมาเจอป
แฟนเก่า​  แต่นี่ชอบ​บุคลิก​คุณมาก​ แบบเหมือนทำให้คนยิ้มได้โดยไม่ต้องพยายาม
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 12-01-2020 10:30:06
น่ารักดีอ่ะอ่านไปยิ้มไป อยากอ่านต่ออีกเลยอ่ะเสียดายจบซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 12-01-2020 10:44:31
น่ารักกกก เวลาคุยกันยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 15-01-2020 22:40:11
อ่านไปยิ้มไป แอบเศร้านิดๆช่วงแรกเพราะณะคิดถึงตอนที่เลิกกัน
แต่หลังๆอ่านไปยิ้มไปจริง มันเป็นความอบอุ่น ละมุนในใจเมื่อได้อ่าน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆฮะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 18-01-2020 02:06:45
พิมพ์ 5555  แต่รู้สึกได้ถึงความเดทแอร์  สู้ ๆคุณ ณะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 18-01-2020 02:38:35
 :ling1: น่ารักมาก ๆๆๆ คุณณณณ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 19-01-2020 10:58:13
ณะ ตอบให้ดีนะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 19-01-2020 23:17:24
 :กอด1: น่ารักกมากกกก ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 20-01-2020 19:53:59
น่ารักมากกกก ๆ. อ่านแล้วมีความสุขขข อยากให้มีตอบพิเศษบ้างจังค่ะ รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:40:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 22-04-2020 20:49:12
 Bery simple but is perfect คือเรียบๆ แต่โครตได้ใจ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 27-08-2020 22:59:11
ทำไมมันละมุนละมอมขนาดนี้ ดีใจที่เขาได้กลับมารักกันอีก น่ารักกกก ขอบคุณคุณไรท์ที่แต่งนิยายดีๆมานะคะ
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ENAJ ที่ 02-09-2020 20:59:13
โอ้ย ดีมากเลยค่ะพึ่งได้มาอ่าน อยากได้เล่มเลยค่ะ ;-;
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ffern ที่ 29-10-2020 01:54:06
ตามมามุงช้าไปหน่อยเเง้  :hao5: อ่านไปสองตอนสนุกมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: ffern ที่ 03-11-2020 02:21:22
เขินสรรพนามสองคนนี้มาก เราอ่านฟิคมาเป็นร้อยๆเรื่อง เรื่องนี้สรรพนามเขินสุดเลยแง้ แอบกระซิบ นะจะต้องเข้าเฟรนโซนใช่มั้ยนะ555555555 แชทที่คุยกันคือถอดแบบลทสนทนาโคตรเฟรนโซนมาเลย
หัวข้อ: Re: ———— ตอนนี้ (ยัง) เป็นคุณ || ตอนที่ 15 (pg.5) end : 10/09/19 ————
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 21-11-2020 21:52:41
เนื้อเรื่องน่ารักดีค่ะ แอบลุ้นเหมือนกันว่าจะรีเทิร์นไหม พอเจอคำแนะนำเท่านั้นแหละ ยิ้มแก้มแตกเลย คุณหมอคุณน่ารัก ณะก็ดูอบอุ่นดี ชอบค่ะ :katai2-1: