พิมพ์หน้านี้ - กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 15 (22/3/2562)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: AlittleStarWr ที่ 12-12-2018 11:37:01

หัวข้อ: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 15 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-12-2018 11:37:01
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




(http://i66.tinypic.com/zu2hsp.jpg)


Thank you : กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก (เพลิง VS ลำธาร)



        เพราะคนเลวอย่างผม คนดี ๆ ที่ชีวิตมีค่าอย่างลำธาร ถึงต้องถูกทำลายจนไม่เหลือความหวังอะไรในชีวิต

เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้มันต้องสูญเสียสิ่งสำคัญ สูญเสียทุกอย่าง

รวมทั้งอนาคตที่สดใสของมัน สูญเสียเพราะคนเลวอย่างผม

ที่ไม่มีค่าไม่มีปัญญาหาสิ่งเหล่านั้นมาทดแทนให้มันได้

ทั้งชีวิตไร้ค่าของผมยังทดแทนสิ่งที่ผมทำลาย ทำให้มันสูญเสียไปไม่ได้

สิ่งที่ผมทำลงไปโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา

คนเลว ๆ อย่างผมมันก็ดีแต่ทำเรื่องเหี้ย ๆ ดึงเอาคนดี ๆ อย่างมันมาตกต่ำด้วย

ทำไมผมไม่ตาย ๆ ไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด หรือพระเจ้าคิดว่าความตายมันง่ายเกินไปสำหรับผม

ผมควรจะอยู่เพื่อรับโทษทัณฑ์ อยู่กับความสำนึกผิด และบาปที่ได้ทำลงไปกับคนดี ๆ คนหนึ่งใช่ไหม

หากนี่คือบทลงโทษ ผมก็อยากจะบอกว่ามันสาสมแล้วกับความเลวของผม

ลงโทษให้ผมอยู่กับความผิดบาปที่สำนึกได้ในตอนที่สายไป

เพลิง + ลำธาร

อ่านนิยายเรื่องอื่นของ ดาว ณ แดนดิน
เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906164#msg3906164)
กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3905592#msg3905592)
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 12-12-2018 13:04:42
แค่คำโปรยก็.     สะท้าน. หัวใจแหว่งๆขาดๆ. 
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 1 (13/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-12-2018 19:02:39
กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 1





“ธารสัญญากับแม่นะ ตั้งใจเรียนให้จบ ไปอยู่กับคุณลุงพิภพธารต้องเป็นเด็กดี”

“ธารไม่ไปไม่ได้เหรอครับแม่ ธารอยากอยู่ที่นี่กับแม่”

“พอแม่ไม่อยู่แล้วธารต้องเข้มแข็งนะลูก”

“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ แม่ต้องอยู่กับธาร เราจะอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูก ธารไม่ไปเรียนกรุงเทพแล้วก็ได้”

“คนเก่งของแม่ สัญญานะ...”

“แม่..”

“ไปอยู่กับคุณลุง ตั้งใจเรียน อยู่กับคุณลุงจนกว่าจะเรียนจบสัญญากับแม่”

“ไม่เอาครับแม่ ธารไม่เอาแบบนี้แม่ต้องอยู่กับธารนาน ๆ “

“แม่รักลำธาร”

“แม่..ต้องอยู่กับธาร แม่อย่าทิ้งธารไปนะครับ”

“แม่รักลูกนะ”

“แม่ครับ” เสียงที่บอกรักผมแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนเงียบไปในที่สุด ผมเงยหน้าขึ้นจากอกแม่ ภาพของแม่ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเลือนราง เพราะม่านน้ำตาเอ่อขึ้นมาจนล้นอาบสองแก้ม แม่กำลังมองมาที่ผมด้วยแววตาอ่อนแรง ตาทั้งสองข้างของแม่ค่อย ๆ ปิดลง แล้วแม่ก็จากผมไปในที่สุด ผมรู้ว่าแม่จะไม่ทรมานอีกต่อไปแล้ว แต่การถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ ก็คงทรมานไม่น้อยไปกว่าการมีชีวิตอยู่กับโรคร้าย เหมือนที่แม่เผชิญตลอดสามเดือนที่ผ่านมา

ผมรู้ว่าแม่ป่วยก็ตอนที่อาการของแม่เกินกว่าจะรักษาได้ แม่ไม่เคยพูดถึงสุขภาพของตัวเอง จนวันที่ย่ำแย่เกินกว่าจะปิดบัง และนั่นก็เป็นวันที่สายเกินเยียวยาแล้ว แม่ไม่ยอมรักษาตัวเอง เพราะต้องการเก็บเงินทั้งหมดไว้ให้ผมใช้ในการเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพ มหาวิทยาลัยที่ผมฝันอยากเข้า แต่นั่นมันจะมีความหมายอะไร ในเมื่อคนที่ผมรักไม่ได้อยู่รอดูความสำเร็จของผม

การรักษาแม่ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย ลำพังเงินที่ผมกับแม่พยายามเก็บไว้มันไม่พอ แต่ตอนนี้เงินจำนวนนั้นมันยังเหลืออยู่เท่าเดิม เมื่อคุณลุงพิภพยื่นมือเข้ามาช่วย ผมรู้แค่ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ของแม่ ที่เคยรู้จักและสนิทสนมกันมานาน แต่ผมมารู้จักคุณลุงจริง ๆ เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมานี่เอง

“ผมจะพยายามหาเงินทั้งหมดมาคืนคุณลุงให้ได้ แต่ผมขอเวลาทำงานสักหน่อยได้ไหมครับ” เพราะความเกรงใจผมตัดสินใจถามคุณลุงพิภพในเย็นวันที่เผาศพแม่นั่นเอง นอกจากเงินที่คุณลุงช่วยจ่ายในการรักษาแม่แล้ว ยังมีเงินที่ใช้จ่ายในงานศพอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลยสำหรับเด็กอายุ 18 อย่างผม ที่ไม่รู้ว่าต้องจัดการเรื่องทั้งหมดเองยังไง

คุณลุงมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาคู่นั้นดูอ่อนโยนปนเห็นใจ และดูเข้าอกเข้าใจ “แล้วคิดว่าจะไปทำงานอะไรล่ะ ถึงจะได้เงินมากพอมาคืนให้ฉัน ไหนจะต้องเรียนหนังสืออีก”

“ผม..” หลบสายตาที่มองอย่างทะลุปรุโปร่ง ผมกัดปากตัวเอง แล้วตัดสินใจบอกอย่างที่คิดไว้ “ผมจะยังไม่ไปเรียนครับ จะหาเงินมาคืนคุณลุงก่อนค่อยเรียนต่อทีหลัง” คุณลุงส่ายหน้าทั้งที่ยังยิ้มบางให้

“แล้วคิดว่าต้องทำงานอีกกี่ปีถึงจะหาเงินมาคืนได้ครบทั้งหมด”

“ผมยังไม่รู้ครับแต่จะพยายามหามาให้ได้ คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหน”

“ฉันไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก แต่แม่ของเธออยากให้เธอเรียนต่อนะ”

“ผมจะเรียนแน่นอนครับ หลังจากหาเงินมาคืนครบแล้ว”

“แต่ฉันไม่ได้ต้องการเงินคืน ฉันอยากให้เธอทำตามที่สัญญากับแม่ไว้”

“แต่เงินนั่นมันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะครับ” คุณลุงถอนหายใจออกมาเบา ๆ เหมือนเบื่อจะพูดเต็มทีแต่ยังยิ้มให้ผมอยู่

“อย่าโกรธฉันเลยนะเจ้าหนู แต่เงินนั่นมันน้อยมากถ้าเทียบกับทั้งหมดที่ฉันมี ฉันเต็มใจให้ช่อมาลีและอยากให้เธอตั้งใจเรียนให้จบ ไม่ต้องห่วงเรื่องหาเงินมาคืนฉันไม่เอา ถ้าฉันหาเธอกับแม่เจอเร็วกว่านี้ เธอสองคนคงไม่ต้องลำบากกันขนาดนี้หรอก” แววตาของคุณลุงอ่อนแสงลง แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็กลับมาเป็นปกติ และนั่นก็มากพอที่จะทำให้ผมสงสัยและอยากรู้ ว่าเขากับแม่เคยเป็นอะไรกัน หรือเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหนมาก่อน แต่เอาตรง ๆ ก็ไม่กล้าพอที่จะถามออกมาหรอก

“แต่คุณลุงครับ ผม..”

“เธอจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่หรือไง แม่เธอเขาหวังไว้มากนะ”

“ผม..” อยากจะบอกว่ายังไงแม่ก็ไม่อยู่ดูความสำเร็จของผมแล้ว มันจะสำเร็จลงช้าอีกสักสองสามปีคงไม่เป็นไร

“หรือเธอจะไม่รักษาสัญญาก็ได้ แต่ฉันก็มีสัญญาที่ให้ไว้กับช่อมาลีเหมือนกัน ว่าจะช่วยดูแลส่งเสียเธอจนกว่าจะเรียนจบ และโตพอที่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ไม่ลำบาก” ผมได้แต่ยืนเงียบไม่กล้ารับความหวังดี หนึ่งวันก่อนแม่จะจากไป ผมเห็นแม่คุยอะไรบางอย่างกับคุณลุง แต่ก็ได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เลยไม่รู้ว่าท่านทั้งสองพูดอะไรกันบ้าง

“ขอให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อช่อมาลีบ้างสักอย่างเถอะ “แววตาของคุณลุงมีประกายบางอย่าง ที่เห็นแล้วไม่สามารถเดาได้เลย ว่ากำลังรู้สึกยังไงหรือคิดอะไรอยู่ และผมคงจะมองด้วยสายตาสงสัยมากเกินไป คุณลุงเลยตัดบท “ยังไงก็ขอให้ฉันดูแลเธอจนกว่าจะเรียนจบเถอะนะ ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไร”

“แต่ผมเกรงใจคุณลุง ผมรับความหวังดีของคุณลุงมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกนะครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เพราะฉันมีงานให้เธอทำตอบแทน...”

ผมแหงนมองขึ้นไปบนคอนโดสูง 25 ชั้นเบื้องหน้า คุณลุงพิภพบอกว่าที่นี่คือที่อยู่ใหม่ของผม ตัวตึกได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงามทันสมัย มันดูหรูหรามีระดับจนแทบไม่กล้าเดินเข้าไปนั่งรอในล็อบบี้ อย่างที่พี่ทัพเลขาของคุณลุงที่ขับรถมาส่งผมบอก ผมยืนรอหน้าตึกขณะที่พี่เขาเอารถไปจอด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องมาอยู่ไกลบ้าน มันไม่ใช่การมาแบบชั่วคราว แต่ผมอาจจะต้องอยู่ที่นี่ยาวจนกว่าจะเรียนจบ กระเป๋าใส่เสื้อผ้าสองใบวางอยู่ข้าง ๆ แอบตื่นเต้นเลยต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อลดความประหม่า พี่ทัพเดินมาถึงพอดี

“เข้าไปข้างในกันเถอะครับ” พี่ทัพเป็นผู้ชายร่างสูง เขาจึงดูดีมาในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่สวมอยู่ เขายิ้มให้ผม รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่น ช่วยให้ความรู้สึกประหม่าลดลงได้บ้าง เขาช่วยถือกระเป๋า มืออีกข้างแตะหลังผมเบา ๆ ดันให้เดินเข้าไปในล็อบบี้ของคอนโดด้วยกัน

ผมถือกระเป๋าเดินตามเลขาของคุณลุง ที่เดินนำเข้าไปท่าทางคุ้นเคยกันสถานที่เป็นอย่างดี ไปถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้าพนักงานต้อนรับยิ้มสวยยกมือไหว้ทักทาย

“นี่คือคุณลำธารหลานท่านประธาน จะมาอยู่กับคุณเพลิง”

“สวัสดีค่ะ” ผมรับไหว้เธอแทบไม่ทัน รู้สึกแปลก ๆ ที่ถูกคนอายุมากกว่าไหว้ก่อน “ยินดีต้อนรับค่ะ”

“สวัสดีครับ”

“ขึ้นไปข้างบนกัน” ผมยิ้มให้พนักงานต้อนรับคนสวยแล้วเดินตามพี่ทัพไป เขาพาผมเดินเลยมาด้านหลังเคาน์เตอร์ ตรงนั้นเป็นทางขึ้นลิฟต์ และนั่นทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคอนโดสูงตั้ง 25 ชั้น คงมีคนอาศัยอยู่ไม่น้อย แต่กลับมีลิฟต์ไว้ใช้งานเพียงตัวเดียว

“มานี่สิ” พี่ทัพเรียกเข้าไปใกล้แล้วกดรหัสลงบนปุ่มหน้าลิฟต์ “คุณลำธารเห็นรหัสที่พี่กดเมื่อกี้ไหมครับ”

“ครับ”

“จำไว้ให้ดีนะ เพราะเป็นรหัสสำหรับใช้ลิฟต์กับตัวนี้เท่านั้น ลิฟต์ตัวนี้จะขึ้นไปถึงชั้นยี่สิบห้าชั้นเดียว ส่วนคนทั่วไปจะใช้ลิฟต์อีกฝั่ง” พี่ทัพใช้นิ้วหัวมือชี้ข้ามไหล่ตัวเองไปข้างหลัง ซึ่งต้องเดินอ้อมผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไปอีกฝั่ง นั่นจึงตอบข้อสงสัยของผม ว่าคอนโดหรูแห่งนี้ เจ้าของไม่ได้ขี้เหนียวถึงขนาดติดตั้งลิฟต์ไว้ใช้งานแค่ตัวเดียว แต่ลิฟต์ตัวเดียวตัวนี้ เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของคนที่พักอยู่ชั้นที่ 25 เท่านั้น ที่ใช้งานมันได้

ผมเดินตามพี่ทัพหรือชื่อเต็ม ๆ ของเขาคือฐานทัพ เลขาของคุณลุงพิภพเดินนำเข้าไปในลิฟต์ เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น เขาเงียบผมก็เงียบ พอเราต่างเงียบความรู้สึกแปลก ๆ ก็กลับมาหาผมอีก มันเหมือนความตื่นเต้น แต่ทำไมต้องตื่นเต้น หรือเพราะผมกำลังจะได้เจอกับพี่ชายคนนั้น ที่ผมเคยเจอเขาเมื่อ 1 ปีก่อน การเจอกันครั้งแรกเขาทำให้ผมประทับใจด้วยการขับรถเฉี่ยว ขณะผมปั่นจักรยาน และเพลิดเพลินกับการกินลมชมวิวยามเย็น คนที่ผมมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นใคร และจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่ลืม

“เฮ้ย!! โอ๊ย! “ผมร้องเสียงหลง ปั่นจักรยานมาดี ๆ ก็ถูกรถที่ขับมาด้วยความเร็วพอสมควรเฉี่ยวเอา จักรยานของผมเสียหลักแฉลบออกนอกเส้นทาง สุดท้ายก็ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ผมตกเข้าไปนอนพังพาบในแปลงองุ่นสูงท่วมหัว ได้แผลถลอกตามหัวเข่ากับข้อศอกมาพอสมควร

“เจ็บมากไหมครับน้อง ขอโทษด้วยพี่ไม่ทันเห็นว่ามีเราอยู่ข้างทาง” เจ้าของรถคันนั้นรีบลงมาถาม และยังช่วยพยุงผมลุกขึ้น

“ไม่เป็นไรครับ”

“ได้แผลด้วยนี่โทษทีนะเดี๋ยวพี่พาไปหาหมอเอง” เขาขอโทษอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่พูดเปล่า ยังถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกที่ใส่อยู่ออกมาเช็ดเลือดตามรอยแผลถลอกบนขาให้ด้วย

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับพี่ เสื้อพี่เปื้อนหมดแล้ว”

“เลือดออกด้วยพี่ว่าเราไปหาหมอเถอะ” เขาไม่สนใจเลยว่าผมบอกอะไร เอาแต่ก้มหน้าซับเลือดที่ไหลซึมออกมาบนขาของผม ด้วยเสื้อของเขาเอง ผมแอบมองเสี้ยวหน้าใสกับไรหนวดเขียว ๆ ของเขาเสียเพลิน

“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ แผลแค่นี้เองไม่ต้องไปหาหมอก็ได้”

“แล้วเดินไหวไหมบ้านอยู่ไหนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” พอเขายืดตัวขึ้นผมกลับไม่กล้ามองหน้าเขาต่อเสียอย่างนั้น

เลยก้มดูแผลที่หัวเข่าตัวเองแทน “ไม่เป็นไรครับผมไหว บ้านอยู่ไม่ไกลนี่เองเดี๋ยวผมปั่นจักรยานกลับได้”

“งั้นเอาเสื้อนี่กดแผลไว้ก่อน” ยัดเสื้อใส่มือผมก็พอดีกับโทรศัพท์ของเขามีสายเรียกเข้า ผละไปคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงไม่พอใจอยู่สองสามคำ เขาก็หันมาถาม “แน่ใจนะว่าไม่ให้ไปส่ง แล้วค่าเสียหาย..”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากครับพี่ชาย ไม่เป็นไรจริง ๆ กลับไปทำแผลที่บ้านได้ครับ”

“ถ้าอยากให้พี่ชดใช้ค่าเสียหายก็ตามไปเอาที่..” เขากัดปากมองไปยังทางข้างหน้าแล้วหันกลับมา ตลอดเวลาที่คุยกัน ผมแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาตรง ๆ นอกจากแอบมองครั้งแรก ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้วด้วย “บ้านหลังที่อยู่ไม่ไกลข้างหน้านี่แหละพี่กำลังจะไปที่นั่น”

ผมพยักหน้ารับ เขากลับขึ้นรถขับออกไปด้วยท่าทางเร่งรีบ แต่พอกลับมาถึงบ้านหลังเล็กของผมกับแม่ กลับเจอพี่ชายคนนั้นยืนทำหน้าถมึงทึงที่ห้องรับแขก ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนสีซีดขาดหัวเข่า เสื้อเชิ้ตตัวนอกของเขายังอยู่กับผม ไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไร แต่ผมก็ได้แค่แอบมองอยู่อีกห้องด้านหลังของบ้าน เพราะแม่มีแขกอีกคนที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ จนพี่เขาและคุณลุงคนนั้นกลับไป ผมถึงได้แอบเข้าห้องตัวเองอาบน้ำล้างแผลบ้าง

“ลำธาร!”

“ครับ! “

“ออกมาสิ” ผมรู้สึกตัวแล้วมองรอบ ๆ จึงได้เห็นว่าเรามาถึงชั้นที่ 25 แล้ว พี่ทัพยืนรออยู่หน้าลิฟต์ นั่นจึงไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทำไมเขาถึงได้เรียกผมเสียงดัง ก็ผมมัวแต่คิดเรื่องพี่ชายคนนั้นเพลิน จนลืมเดินตามเขาออกมานะสิ

“ชั้นนี้มีห้องชุด 2 ห้องนะครับ แต่มีคนอยู่แค่ห้องคุณเพลิงห้องเดียว” พี่ทัพบอกขณะเดินนำไปหน้าห้อง มีผมเดินตามต้อย ๆ อย่างว่าง่าย เรายืนรอครู่ใหญ่หลังจากกดกริ่ง บานประตูสีดำสนิทจึงได้เปิดออก และเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“มีอะไร!” ตรงหน้าผมกับพี่ทัพคือ..ผู้ชาย! ใช่ผู้ชายที่หน้าตาหล่อในแบบที่เรียกกันว่า หล่อแบบ Bad Boy ผิวหน้าขาวใสประดับด้วยตอหนวดเครา ผมยาวประบ่าดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แบบที่เดาได้เลยว่าเพิ่งตะเกียกตะกายลุกมาจากที่นอน เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม ดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก เหมือนหยิบมาสวมส่ง ๆ ก่อนเปิดประตูออกมา เสียงเจ้าของห้องไม่เป็นมิตรสักนิด ผมแอบช้อนตาขึ้นมองหน้าเขาหวั่น ๆ ดีที่เขากำลังมองหน้าพี่ทัพอยู่ แต่ตาคู่นั้นก็ดุจนดูน่ากลัว ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้พี่ทัพโดนงับหัว

“ผมพาคุณลำธารมาส่งครับ” เขาปรายตาดุมองผมทางหางตา และผมก็หลบสายตาเขาทันที แต่ไม่ลืมรักษามารยาทด้วยการยกมือไหว้สวัสดี ในแบบที่คิดว่าเรียบร้อยสวยงามที่สุด

“เข้ามา ส่วนมึงกลับไปได้แล้ว” เสียงดุทำให้ผมเสียวสันหลังวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือบมองหน้าพี่ทัพก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา เขาพยักหน้าแทนการบอกให้ตามเจ้าของห้องเข้าไป

เดินเข้ามาในห้องแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก แอบหันไปมองข้างหลัง ทันได้เห็นพี่ทัพเดินเข้าไปในลิฟต์ จนกระทั่งลิฟต์ปิดลง ผมรู้สึกเหมือนกำลังหลงทางในต่างถิ่น

“อาลัยอาวรณ์มันนักมึงทำไมไม่ตามมันไป! “ผมรีบหันกลับมาแต่ก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง เพราะดวงตาดุที่มองขวางจนน่ากลัว รับกันพอดีเลยกับใบหน้าที่เต็มด้วยหนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็ม และมีผมยาวประบ่าเป็นองค์ประกอบ ที่ทำให้เขาดูดุน่ากลัวยิ่งกว่าคุณอัครเดชคนรักของพี่รันเสียอีก ซ้ำรูปร่างส่วนสูงยังไล่เลี่ยกันด้วย

แล้วพี่ชายใจดีสุภาพคนนั้นของผมหายไปไหน แต่จะว่าไปแล้วอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ ตอนผมเจอเขาครั้งแรก มันผ่านมาตั้ง 1 ปีกว่าเข้าไปแล้ว อะไรต่าง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย รวมทั้งพี่ชายคนนั้น หรือที่จริงแล้วเขาอาจจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แค่ตอนนั้นเขาผิดที่ขับรถเฉี่ยวผม เลยพูดดีแสดงความรับผิดชอบเฉย ๆ

“เอ่อ ผม ผมเปล่า” ผมบอกพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง ที่..แทบจะเรียกได้ว่ารกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา จนผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ภายนอกของคอนโดแห่งนี้ช่างหรูหราน่าอยู่ ตั้งแต่เดินเข้ามาจนถึงหน้าห้องนี้ก็เช่นกัน แต่พอเข้ามาข้างในทำไมมันต่างจากรูปลักษณ์ที่เห็นข้างนอก ราวกับหลุดเขาไปอยู่คนละโลก!

พื้นที่กว้างหน้าโซฟาห้องรับแขก ที่เขากำลังนั่งวางอำนาจอยู่ เต็มไปด้วยเศษซากของการสังสรรค์อย่างกระป๋องเบียร์ขวดเหล้าขวดโซดา กระป๋องน้ำอัดลม รวมถึงพวกจานช้อนกับแก้วที่ใช้กินดื่ม และซองขนมเปล่ากระจายเกลื่อน พื้นที่ส่วนอื่นก็ดูแย่พอกัน เหมือนกับว่าห้องนี้เพิ่งผ่านงานเลี้ยงใหญ่อะไรสักอย่างมา และยังไม่ได้รับการเก็บกวาดทำความสะอาด

“ดูจนพอใจแล้วก็เอาของไปเก็บ รีบมาเก็บกวาดซะมึงไม่รู้หน้าทีตัวเองหรือไง ไหนเขาบอกจะส่งเด็กรับใช้มาให้กู”

“แล้วห้องผมอยู่ตรงไหนครับ อุ๊ย! “เขาหันขวับมาทางผม สายตาเหวี่ยงไม่พอใจเหมือนผมเพิ่งจะ เอ่อ..พูดคำหยาบคายกับเขาหรืออะไรทำนองนั้น

“ห้องผม หมายถึงห้องของมึงนะเหรอ” ผมยืนตัวลีบแบบที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตัวหดเล็กลงได้เท่านี้มาก่อน เจอกันครั้งแรกเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ถึงผมจะไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ แต่ยังจำแววตาใจดีกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาได้ไม่ลืม จนกระทั่งวันนี้ ความทรงจำของผมเหมือนเป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเขาเองก็คงจำผมไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเขาต้องอารมณ์เสีย ถ้าไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย ทำไมไม่ปฏิเสธคุณลุงพิภพไปแต่แรก

“ไม่รู้ว่ะ ที่นี่มีห้องนอนสองห้องแต่มันไม่ว่างให้มึงอยู่ ดังนั้นอยากอยู่ตรงไหนก็เลือกเอาที่มึงสบายใจเลย อย่าเกะกะลูกตากูก็พอ” สีหน้ากวน ๆ นั่น ไม่ได้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด มีห้องนอนสองห้องแต่ไม่ว่าง อยากอยู่ตรงไหนก็เลือกเอาที่ผมสบายใจเลยเหรอ แล้วมันจะเหลือห้องไหนให้เลือกบ้างล่ะ ในเมื่อผมไม่รู้ว่าที่นี่มันมีห้องอะไรบ้าง คิดว่าคอนโดหรูกว้างขวางอย่างนี้ เขาจะมีห้องอะไรให้บ้าง แต่เท่าที่นึกออก นอกจากห้องนอนก็น่าจะเป็นห้องรับแขกที่เราอยู่ตอนนี้ ห้องครัว ห้องน้ำ แล้วคิดว่าผมจะอยู่ห้องไหนได้

เจ้าของห้องนั่งไขว่ห้าง กางแขนสองข้างพาดพนักพิงโซฟาจ้องหน้าผมเขม็ง ขณะที่ผมยืนคิดทบทวนว่าจะเอายังไงดี เขาไม่ได้ยินดีต้อนรับผมเหมือนที่คุณลุงบอกแม้แต่น้อย แต่ผมจะทำยังไงได้ ในเมื่อตกลงและสัญญากับคุณลุงพิภพแล้ว ว่าจะมาช่วยดูแลลูกชายของท่าน ตอบแทนความช่วยเหลือที่ผมติดค้าง ทำงานนี้แลกกับค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายจนกว่าจะเรียนจบ แล้วท่านยังบอกว่าท่านต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ ถ้าผมไม่ยอม ผมจะกลายเป็นคนที่ทำให้ท่านผิดสัญญาลูกผู้ชาย ที่ให้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณลุงบอกไว้อย่างนั้น และผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อคุณลุงยกเอาสัญญาที่ผมให้ไว้กับแม่มาอ้างบ้าง พร้อมกับคำพูดอีกมากมายที่ผมฟังจนงง เลยเผลอตกปากรับคำมาแบบไม่รู้ตัวเลย

“มึงจะยืนบิดตูดอยู่อย่างนี้อีกนานมั้ย! เอาของไปเก็บแล้วมาฟังกูแจกแจงหน้าที่ของมึง” ผมไม่ได้ยืนบิดตูดสักหน่อย

“แล้ว..จะให้ผมเอาไปเก็บที่ไหนล่ะ”

“ที่ไหนก็เรื่องของมึงอยากอยู่ที่นี่ก็อยู่ไป แต่อย่าเข้าไปวุ่นวายในห้องนอนกู” ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายกับพื้นที่ส่วนตัวเขาอยู่แล้ว แต่ยังคิดหนักว่าตัวเองจะนอนตรงไหน ห้องนี้กว้างทีเดียว ผมคงหาที่นอนสบาย ๆ ได้สักที่ล่ะนะ แต่ตอนนี้คงต้องหาที่วางกระเป๋าก่อน ตกลงซุกมันไว้กับขยะแถวนี้ก็แล้วกัน

“หน้าที่ของมึงคือดูแลทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อย” เขาพูดต่อเมื่อเห็นผมเอากระเป๋าวางไว้ข้างโซฟา แถมยังปรายตาไปรอบ ๆ อย่างนำเสนอ คงภูมิใจในความรกนี้มากสินะ “ต้องทำทุกวันกูไม่ชอบให้ห้องสกปรก”

“ครับ” เขาแสยะยิ้มที่ทำให้ความหล่อแบบแบด ๆ ลดลงไปกว่าครึ่ง จนดูน่าเกลียดแทน ผมตอบรับทั้งที่คิดหนัก พรุ่งนี้เปิดเรียนวันแรกผมต้องไปแต่เช้า และอาจจะมีกิจกรรมให้อยู่ที่มหาวิทยาลัยทั้งวันจนค่ำ

“ต้องซักผ้ารีดผ้าให้กู รวมถึงทำอาหารให้กูกินให้ครบทั้งสามมื้อ ถ้ากูหิวตอนดึกมึงต้องลุกขึ้นมาทำให้กูกินด้วย” ผมเผลอมองหน้าเขา เรื่องทำอาหารไม่มีปัญหาเพราะผมทำเป็น แต่ต้องทำให้เขากินให้ครบสามมื้อเหรอ แถมยังอาจจะมีมื้อดึกด้วย แล้วถ้าเขาออกไปเรียนผมต้องทำข้าวกล่องให้เขาไหม

“มองหน้าทำไมสงสัยเหี้ยอะไรก็ถาม!” เขาไม่เจ็บคอบ้างหรือไงที่ตะคอกเอา ๆ เหมือนคนพูดกันไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ผมก็รู้เรื่องนะ หรือผมต้องบอกเขาด้วย ว่าพูดกันปกติผมก็เข้าใจ

“ผมแค่สงสัยว่าถ้าวันไหนพี่เพลิงไม่อยู่..”

“ใครใช้ให้มึงเรียกกูพี่ กูไม่มีน้อง!”

“ครับขอโทษครับ คือ..ถ้าวันไหนคุณเพลิงไม่อยู่ผมต้องทำอาหารไหมครับ”

“แล้วมึงจะทำให้ใครแดก! กูไม่อยู่ก็ไม่ต้องทำถามโง่ ๆ “แล้วถ้าผมบอกว่าผมจะทำให้ตัวเองแดก เอ๊ย! ทำให้ตัวเองกิน เขาจะหาว่าผมโง่อีกไหม ทั้งที่ผมก็แค่อยากบอกเขาบ้างอะไรบ้างว่าผมก็กินเป็น

แล้วผมจะตอบอะไรได้นอกจาก “ครับ” เขาเงียบพอเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นว่าสายตาของเขา มันเดือดดาลมากแค่ไหน ไม่พอใจอะไรผมอีกล่ะ

“ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง!”

“ผมเปล่านะ”

“กูเห็นอย่ามาเถียงสัส! ” ผมแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มอาจจะแค่ขยับมุมปากนิด ๆ ตอนคิดว่าถ้าตัวเองกล้ากวนเขากลับบ้างมันจะเป็นยังไง ก็ดุขนาดนี้ใครจะไปยิ้มออก ผมไม่กลัวจนฉี่ราดก็ดีเท่าไหร่แล้ว ทำไมเขาถึงได้หงุดหงิดมากขนาดนี้ มีเรื่องไม่พอใจอยู่ก่อนแล้ว หรือเพิ่งหงุดหงิดตอนที่ผมมาถึง

“นอกระเบียงมีสวนหย่อม มึงต้องรดน้ำให้กูเช้าเย็น ถ้าต้นไม้กูตายแม้แต่ต้นเดียวมึงเจอดีแน่!”

“ครับ”

“ส่วนสระว่ายน้ำต้องดูแลทำความสะอาดทุกอาทิตย์ แล้วอย่าเสือกสะเออะลงไปเล่นกูรังเกียจ” ผมว่ายน้ำไม่เป็น ดังนั้นเขามั่นใจได้เลยว่าผมจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้มัน

“วันนี้เอาแค่นี้ก่อนกูจะไปนอนต่อ หวังว่าตื่นมาห้องคงน่าอยู่เหมือนเดิม” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินเกาพุงกลับเข้าห้องหน้าตาเฉย ทิ้งผมให้ยืนงงในดงขยะ แสดงว่าที่รก ๆ นี่มันไม่เหมือนเดิมสินะ หรือนี่จะเป็นการต้อนรับที่เขาทำไว้เพื่อผมโดยเฉพาะ



***********************

ได้ฤกษ์ลงตอนแรกสักที หลังจากจด ๆ จ้อง ๆ มาสองสามวัน

ว่าจะเปิดที่ฉากไหนก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียกกันว่ารอมานานมาก

ทั้งคนที่เคยอ่าน มาตั้งแต่เรื่องของน้าเดชกับนุรัน ในเรื่อง จับนายตัวร้ายมาใส่กรงทอง

ที่ลำธารไปโผล่แว้บ ๆ ให้อิน้ามันหึงเล่น จนแทบบันดาลโทสะใส่เด็ก

เรื่องเกริ่นไว้แต่แรกว่าจะดราม่า แต่อาจจะแพ้ความสดใสของลำธาร

อันนั้นต้องขอให้นักอ่านทุกท่าน ช่วยเป็นกำลังให้ดาว

สามารถคอนโทลอารมณืตัวละครให้อยู่ในกรอบด้วยนะคะ

ได้รู้ว่ายังมีคนรอดาวก็ดีใจมากแล้วค่ะ ทั้งคนที่รอเงียบ ๆ

ทั้งคนที่ถามหาไปคุยกับดาวทาง inbox ก็ต้องขอบคุณมากจริง ๆ

ดาว ณ แดนดิน

13/12/2561

หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 1 (13/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 14-12-2018 14:36:03
+1 ให้กำลังใจคนเขียน/ตอนล่าสุดครับ ขอบคุณครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 1 (13/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 20-12-2018 09:16:12


ขอบคุณครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 2 (25/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 25-12-2018 22:15:31


ตอนที่ 2

ตั้งแต่มาถึงเขาก็เอาแต่ตะคอกด่าผม เหมือนคนเกลียดกันมาเป็นชาติ แล้วก็สั่ง สั่งเสร็จก็หายเข้าห้องไปเลย ปล่อยให้ผมทำงานงก ๆ เป็นเด็กรับใช้เต็มตัว โดยที่เขาไม่บอกอะไรสักอย่าง ผมจึงต้องเริ่มการใช้ชีวิตที่นี่วันแรก ด้วยการเป็นนักสำรวจเดินดูรอบ ๆ เป็นอย่างแรก



ห้องกว้างพื้นที่เท่ากับบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งแห่งนี้ ตกแต่งด้วยโทนสีเทากับดำ ประกอบไปด้วยห้องรับแขกตรงกลางห้อง ที่จะเจอก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อเปิดประตูเข้ามา ด้านขวาของประตูทางเข้า ฝั่งที่เขาเพิ่งเดินหายเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง เดาได้ไม่อยากว่าคงเป็นหนึ่งในห้องนอนที่มีทั้งหมดสองห้อง และเป็นเขตหวงห้ามสำหรับผม ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวาย ส่วนห้องนอนอีกห้องอยู่ตรงข้าม ประตูเยื้องกันไปนิดหน่อย ทางเดินตรงกลางระหว่างห้องนอน พาไปสู่ห้องออกกำลังกายที่ถือว่าเป็นฟิตเนสขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ เพราะรวมเอาเครื่องออกกำลังที่กายเห็นได้ในฟิตเนสใหญ่ ๆ มาไว้ที่นี่หลายสิบชิ้น โดยเฉพาะผนังด้านหนึ่งที่มีชั้นเหล็กสีดำวางไว้ บนชั้นเหล็กนั้นเต็มไปด้วยดัมเบลขนาดต่าง ๆ เรียงรายรอให้เขาใช้มันหลายสิบอัน ผนังห้องฝั่งหนึ่งเป็นกระจก จึงสามารถมองเห็นวิวตึกรอบ ๆ ได้



ย้อนกลับมาที่ห้องรับแขกอีกรอบ ฝั่งตรงข้ามกับประตูห้องสามารถเปิดออกไปที่ระเบียงได้ ตรงนั้นมีบันไดขึ้นไปอีกชั้นที่ผมเพิ่งสังเกตเห็น เพราะมันถูกบังด้วยตู้กระจกกินพื้นที่ผนังห้องด้านนี้เกือบทั้งหมด ภายในตู้อัดแน่นไปด้วยโมเดลหุ่นยนต์ กับโมเดลซูเปอร์ฮีโร่จากหนังของมาร์เวลมากมาย ที่ผมรู้จักก็มีเทพเจ้าสายฟ้าหรือพี่ธอร์ ผมชอบเป็นพิเศษเพราะเขาหล่อดี นอกจากนั้นยังมีโมเดลการ์ตูนอีกหลายร้อยแบบที่ผมรู้จักเป็นบางตัว และยังมีโมเดลรถพวกซูเปอร์คาร์อีกเยอะมาก แต่ละคันสวย ๆ ทั้งนั้น มุมนี้ดูจะเป็นมุมที่มีชีวิตชีวาและมีสีสันสดใสที่สุด แต่กลับเข้ากันได้ดีกับห้องที่ตกแต่งโทนสีเทาดำ  

ผมเดินผ่านประตูกระจกออกไปยังระเบียงกว้าง มีสวนจัดไว้อย่างสวยงาม มันดูเป็นธรรมชาติเข้ากับสระว่ายน้ำที่อยู่ถัดไป แล้วยังมีอ่างน้ำขนาดผู้ชายตัวโต ๆ สามสี่คนลงไปนอนแช่ได้อีกต่างหาก เพิ่งเคยเห็นว่าบนตึกสูงขนาดนี้ก็มีสวนกับสระว่ายน้ำได้ด้วย แต่ก็นั่นแหละ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นถ้ามีเงินมากพอ ผมเองเพิ่งเคยขึ้นมาอยู่บนคอนโดอย่างนี้เป็นครั้งแรก มันเลยเป็นเรื่องแปลกที่อาจจะธรรมดาสำหรับคนอื่น ส่วนอีกด้านของระเบียงมีห้องเล็ก คิดว่าคงเป็นห้องเก็บของ และห้องน้ำที่ต้องบอกว่าหรูมาก ๆ เลย



แต่..คุณชาย Bad Boy ดูไม่ค่อยเข้ากันกับการทำสวนดอกไม้เลยนะผมว่า ถึงไม้ดอกจะไม่เยอะเท่าไม้ประดับ แต่อย่างน้อยก็มีต้นกุหลาบที่กำลังออกดอกล่ะนะ ถึงจะมีแต่กุหลาบสีขาวก็ตามเถอะ



หลังจากสำรวจสวนกับสระว่ายน้ำ ผมกลับเข้ามาในห้องเหมือนเดิม เดินผ่านห้องรับแขกไปทางฝั่งซ้ายของห้อง ที่มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารตั้งไว้ตรงกลางโซน ถัดไปเป็นห้องครัว ที่..ต้องบอกว่ามันรกได้ไม่แพ้ห้องรับแขกเลย ถ้วยจานใช้แล้ววางเกลื่อนเคาร์เตอร์และในอ่างล้าง แต่ไม่มีพวกหม้อหรือกระทะ นั่นเดาได้ว่าเศษซากหลังจากการกินเหล่านี้ เอาไว้ใส่อาหารที่ซื้อมาจากข้างนอก แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะลงมือทำอาหารเองหรอก ความคิดนั้นมันออกจะแปลกและดูพิลึกเกินไป ถึงผมจะไม่ได้รู้จักเขาดีนักก็ตามเถอะ



ในพื้นที่ห้องครัวฝั่งหนึ่งเป็นห้องซักล้าง ที่มีอุปกรณ์ครบครันทั้งเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า ทำให้ห้องชุดห้องนี้เป็นบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่มันทำให้ผมสงสัย ว่าเขาอยู่ที่นี่คนเดียวและทำงานบ้านทุกอย่างเองเลยหรือ คิดทั้งที่ไม่เชื่อจนนึกอะไรบางอย่างได้ ว่าลูกคนรวยเอาแต่ใจจอมวางอำนาจอย่างเขา ก็คงไม่พ้นจ้างคนมาทำให้ และตอนนี้คนที่ต้องทำให้เขาก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ผมนี่ไงเด็กรับใช้เต็มตัวอย่างที่เขาบอก ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับตำแหน่งที่เขายัดเยียดให้ ถึงคุณลุงพิภพจะบอกว่าให้ผมมาช่วยดูแลลูกชายคนเดียวก็ตามเถอะ



ผมคิดว่าเขาเป็นผู้ชายลุค Bad Boy ที่อาจจะทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก จนคุณลุงเป็นห่วงเลยส่งผมมาอยู่ช่วยดูแลเขา อาจจะเป็นชายหนุ่มเลือดร้อนที่กำลังสนุกกับชีวิตวัยรุ่นวัยเรียน สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนไปวัน ๆ แต่ไม่คิดว่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ จนเริ่มลงมือทำความสะอาดห้อง และได้เห็นเศษซากอะไรบางอย่าง ปนอยู่กับพวกก้นบุหรี่และขยะบนพื้น ผมใช้ไม้กวาดเขี่ยมันออกมาอย่างขยะแขยง กวาดส่ง ๆ ใส่ที่ตักผงเอาไปเทลงถุงดำมัดปากให้แน่นหนา เหมือนกลัวว่ามันจะกระโดดออกมาให้ต้องตามเก็บกวาดอีก ถ้ามัดไม่ดีพอ เพราะมันคือเศษถุงยางอนามัยใช้แล้วไม่ต่ำกว่าสิบชิ้น! เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ ต้องมั่วขนาดไหน ถึงได้มีของอะไรใช้แล้วอย่างนี้ทิ้งไว้เกลื่อนห้องไปหมด!



กว่า Big Cleaning จะเสร็จเวลาก็ปาเข้าไปจนเย็น เขาหมกตัวอยู่ในห้องตลอดเวลาที่ผมทำงาน บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อย ตอนไปทำงานพิเศษที่รีสอร์ตใกล้บ้านยังไม่เหนื่อยขนาดนี้ ทั้งที่รีสอร์ตนั้นกว้างกว่านี้มาก และต้องทำอะไรหลายอย่างมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ถึงจะใช้เวลาในการทำงานเท่า ๆ กัน ที่นั่นมีคนช่วย แต่ที่นี่ผมต้องทำคนเดียว และความสกปรกมันต่างกันมาก



ผมใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายนั้นเก็บกวาดทำความสะอาด จนเสร็จในเวลาเกือบ 5 โมงเย็น ห้องหรูน่าอยู่ขึ้น กลิ่นหอมของน้ำยาถูพื้นทำให้รู้สึกสดชื่น ผมนั่งพักตรงโซฟาหันหน้าเขาหาทีวี ยังไม่กล้าเปิดมันดูหรอก แค่ถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาของเขา ก็คิดว่าตัวเองกล้ามากเกินไปแล้ว ถ้าเขาไม่ว่าอะไรผมอาจจะยึดตรงนี้เป็นที่นอน แต่ถ้ามีแขกหรือมีเพื่อนมาหาเขาจะไล่ผมหรือเปล่า



นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตัวผมเริ่มเอนและค่อย ๆ เอียงข้าง แต่เพราะความเพลียเลยปล่อยให้มันเอียงลงไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น จนความรู้สึกเริ่มเลือนรางล่องลอย หนังตาหนักอึ้ง Big Cleaning สูบพลังผมไปแทบหมด ภาพจอทีวีสีดำตรงหน้าเริ่มเบลอ การมองเห็นย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะภาพมัว ๆ เหมือนถูกบีบให้เล็กลง แล้วในที่สุดทุกอย่างก็หายไปกลายเป็นสีดำและความมืด...



โครม!!

เฮือกก....!!

“เกิดอะไรขึ้นครับ!”

“งานมึงเสร็จแล้วหรือไงถึงได้มานอนตากแอร์! “

“ครับเสร็จแล้ว” ผมมองของที่กระจายเกลื่อนรอบตัว บางชิ้นตกอยู่บนโซฟา บางชิ้นหล่นบนพื้นพรม แต่ส่วนใหญ่มันกองอยู่บนตัวผมนี่เอง

ผมถามอย่างไม่เข้าใจ “แล้วนี่อะไรครับ”

“เสื้อผ้าไงถามโง่ ๆ “ ผมรู้ล่ะว่ามันคือเสื้อผ้า แถมยังเป็นเสื้อผ้าที่ใส่แล้วอีกต่างหาก ก็กลิ่นเหงื่อแตะจมูกเสียขนาดนี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขาเอามันมาโยนใส่ผมทำไม หรือว่า...

“เอาไปซักให้กูให้เสร็จก่อนค่ำ!” ผมแอบปล่อยลมหายใจออกมาเบา ๆ บอกดี ๆ ไม่เป็นหรือไงนะ ผ้าทั้งตะกร้าทำไมต้องเอามาเทโครมใส่หน้าผมอย่างนี้ด้วย “อย่ามาทำเป็นกระแดะแถวนี้หน่อยเลย กูต่างหากที่ต้องรังเกียจมึง! “ ผมสะบัดตัวให้เสื้อผ้าที่กองทับถมอยู่บนตัวหล่นลงไปบนพื้น ก็แน่ล่ะ กางเกงในม้วนเป็นเลขแปดแทบจะคลุมหัวผมอยู่แล้ว ใครมันจะไม่รังเกียจล่ะ



“หึ” อะไรอีกล่ะ “ทำงานได้เอี่ยมดีนี่ สมกับตำแหน่งเด็กรับใช้” เขาบอกขณะผมกำลังเก็บเสื้อผ้าของเขาใส่ตะกร้าเหมือนเดิม เสร็จก็หอบตะกร้าไว้ ตั้งใจจะเดินไปทางห้องซักล้าง

“เดี๋ยว”

“โอ๊ะ!! อะไรเนี่ยคุณ” พอหันกลับมาเขาก็โยนอะไรบางอย่างมาใส่หน้าผมเต็ม ๆ กางเกงในเลขแปดอีกตัวของเขา คนบ้าเอ๊ย!

“ก็มึงเก็บไปไม่หมด” แล้วเขาก็แสยะยิ้ม เป็นยิ้มเหยียดหยันที่แฝงไปด้วยความสะใจ ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะอะไรกับผมนักหนา “ทำหน้าอย่างนี้ไม่พอใจหรือไง เขาจ้างมึงมาเท่าไหร่กูจะใช้ให้คุ้มค่าแรงไม่ต้องห่วง ไปทำงานได้แล้ว” ผมหันหน้ากลับมาทางเดิม และก้าวขาไปทางห้องซักล้าง

“เดี๋ยว” แต่เท้าก็ต้องหยุดชะงักอีกรอบ และหันกลับไปรับคำสั่งจากเขา “กางเกงในกูต้องซักน้ำอุ่น” เขาบอกแล้วยิ้มมุมปาก ใบหน้าหล่อแบบร้าย ๆ น่าเกลียดขึ้นมาก เมื่อประดับด้วยหนวดเคราเป็นตอยามแสยะยิ้ม “อ้อ..แล้วก็ซักด้วยมือเท่านั้นนะ อย่าแม้แต่จะคิดอ้าปากเถียงดูยี่ห้อมันด้วย แต่ละตัวราคาเท่าไหร่มึงรู้ไหม!”

“ผมไม่รู้” จะไปรู้ได้ยังไงผมไม่ได้ไปซื้อด้วยสักหน่อย

“ไม่รู้ก็ทำตามที่กูสั่ง” คุณชาย Bad Boy สั่งเสร็จก็เดินกลับไปทางห้องนอนของตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองตามหลัง กางเกงใน! ผมต้องซักกางเกงในให้เขาด้วยมือตัวเองเหรอ ซ้ำยังต้องซักน้ำอุ่นด้วย อะไรจะพิถีพิถันขนาดนั้น ทำไมคุณลุงไม่เคยบอก ว่าลูกชายของท่านเรื่องมากอย่างนี้ แต่ก็เท่านั้นแหละ ผมจะทำอะไรได้ นอกจากก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่ง จะว่าไปแล้วงานแค่นี้มันยังน้อยไป กับค่าตอบแทนที่คุณลุงพิภพให้ผม มันไม่ใช่แค่จำนวนเงิน เพราะความเมตตาที่คุณลุงมีให้ผม กับวาระสุดท้ายของแม่นั้น มันมากมายกว่าหลายเท่า แต่คุณลุงกลับขอคืนแค่อย่างเดียว คือให้ช่วยดูแลลูกชายของท่าน ถึงจะไม่ชอบใจที่เขาวางอำนาจ แต่พอคิดว่าทำเพื่อผู้มีพระคุณ มันก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก



เสื้อผ้าของเขาทั้งหมด ถ้าไม่เป็นสีขาวก็เป็นสีดำหรือสีน้ำเงิน จึงง่ายมากสำหรับการแยกซัก ผมยัดเสื้อผ้าชุดแรกเข้าเครื่อง มองหาผงซักผ้าแถวนั้นไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง ข้างเครื่องซักผ้ามีตู้สำหรับเก็บของ พอเปิดดูพบแค่ความว่างเปล่า คิดว่าตู้นี้เอาไว้เก็บของพวกผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่มอะไรพวกนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีและคงไม่มีอยู่ที่อื่น เอาจริง ๆ ผมก็ไม่น่าสงสัยหรอก เพราะคนคนนี้เขาคงไม่ทำอะไรอย่างนี้เอง นอกจากให้แม่บ้านหรือร้านมารับไปจัดการให้ 



ไม่รู้ว่าควรจะถามเขาดีหรือเปล่า หรือลงไปซื้อของพวกนี้มาเลย

ผมยืนอยู่หน้าประตูของพื้นที่ต้องห้ามอย่างห้องนอนของเขา ชั่งใจอยู่เป็นครู่ถึงได้ยกมือขึ้นกะจะเคาะเบา ๆ

“คุณ..” มือผมค้างอยู่กลางอากาศ หลังจากเคาะได้เพียงครั้งเดียว บานประตูหายไปแทนที่ด้วยใบหน้าหล่อแบบร้าย ๆ ที่ถมึงทึง “คุณเพลิงผงซักผ้าอยู่ไหนครับ”

“กูจะรู้ไหม”

“อ้าวนี่ห้องคุณนะครับ”

“แต่ตอนนี้มึงเป็นคนรับใช้ที่มาดูแลห้องให้กู คนที่ควรรู้คือมึง”

“..ผมเพิ่งมานะ” จะรู้ได้ยังไงล่ะ

“แล้วมึงเห็นมันมีอยู่ไหม!”

“ก็ไม่เห็นถึงได้มาถามเจ้าของห้องนี่ไงครับ”

“ไม่เห็นแปลว่าไม่มี ถามเหี้ยอะไรนักหนารำคาญ! ” ปัง! เขาเปิดประตูห้องออกมาพร้อมสีหน้าหงุดหงิด และกลิ่นเหล้าที่ยังติดตัว แล้วก็ปิดกลับเข้าไปพร้อมความหงุดหงิด ที่คาดว่าจะมีมากขึ้นกว่าเดิม เขาเกลียดอะไรผมนักหนาทำไมไม่พูดกันดี ๆ บ้าง



ถอนหายใจเบา ๆ ขณะเดินกลับมายังห้องรับแขก หยิบเป้ใบเก่งขึ้นมาค้นหากระเป๋าสตางค์ ผมไม่น่าถามเลย ทั้งที่คิดอยู่ว่าห้องนี้มันคงไม่มีของอะไรพวกนี้แน่ ๆ ได้กระเป๋าสตางค์ผมก็ออกจากห้องลงไปยังชั้นล็อบบี้ ใต้คอนโดแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ผมเห็นมีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟที่ล้วนดูแพงเหลือเกิน และที่ผมเล็งไว้คือซูเปอร์มาเก็ตที่อยู่ถัดไป ในนั้นน่าจะมีของที่ผมต้องการ



ผมเดินเข้ามาในซูเปอร์มาเก็ตแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะเข้ามาก็เจอกับเครื่องดื่มมากมายหลายชนิด ทั้งเหล้าทั้งไวน์ นึกว่าตัวเองเข้าผิดร้าน แต่พอมองเลยไปเห็นสินค้าอื่น ๆ เลยยังพอทำใจกล้า เดินลึกเข้าไปเลือกซื้อของที่ต้องการ ราคาของมันแพงกว่าร้านค้าทั่วไปพอสมควร อยากเดินออกไปซื้อที่เซเว่น แต่กลัวกลับมาทำงานไม่ทันใจคุณชาย เลยตัดใจซื้อของที่ขายแพงเกินราคาท้องตลาดแล้วรีบกลับ สาบานว่าผมจะเข้าร้านนี้เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสุดท้าย



สิ่งที่ผมอยากหลีกเลี่ยงที่สุดคือการปะทะอารมณ์กับเขา ซึ่งแน่นอนว่ามีแต่เขาที่อยากปะทะ ส่วนผมเงียบ ๆ เรียบ ๆ ติ๋ม ๆ ตามประสา เพราะลึก ๆ แล้วยังคิดถึงพี่ชายใจดีคนนั้นที่เจอกันเมื่อปีก่อน แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้เลย เพราะเป็นเขาเองที่ไม่เคยจะพูดกันดี ๆ ตั้งแต่เจอหน้า และตอนนี้ก็เช่นกันที่ผมอาจจะถูกด่าหรือถูกตะคอกอีก เมื่อลิฟต์พิเศษพาผมกลับมาที่ชั้น 25 เหมือนเดิม พร้อมกับปัญหาใหม่ที่ต้องถูกด่าซ้ำอีกนั่น เพราะผมยังไม่มีกุญแจห้อง!

แต่จะทำไงได้ล่ะ กุญแจห้องไม่มีแต่ต้องเข้าห้อง ทางเดียวจะเข้าได้คือกดกริ่งเรียกเจ้าของห้องมาเปิดประตูให้ ซึ่งแน่นอนว่า..

“เหี้ยอะไรนักหนาวะ!” ประตูยังไม่ทันเปิดดีด้วยซ้ำเสียงด่าก็ดังมาก่อนตัว ตาขวาง ๆ นั่นทำผมตกใจแต่ยังพอควบคุมตัวเองได้อยู่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหงุดหงิดมากมายขนาดนี้ ถ้าคนที่มากดกริ่งเป็นเพื่อนเขาหรือเป็นคนอื่น จะถูกด่าอย่างนี้ไหม ผมสงสัยจริง ๆ “อะไรของมึง”

“คือผมลงไปซื้อผงซักผ้า”

“แล้วไง”

“ก็ขอทางผมจะเข้าไปซักผ้าให้คุณไง” ร่างที่ทั้งหนาทั้งสูงกว่าผมยืนขวางประตูอยู่ ตาคู่นั้นก็ไม่รู้จะดุไปถึงไหน ผมไม่กล้าเงยหน้ามองเขาเลย ความรู้สึกที่ไม่กล้ามองหน้าในตอนนี้กับเมื่อ 1 ปีก่อน มันแตกต่างกันลิบลับ

“ไหนมึงซื้ออะไรมาบ้าง” เขาคงถามไปอย่างนั้นเอง เพราะถามยังไม่ทันจบถุงที่ถืออยู่ก็ถูกกระชากไปค้น ๆ ดูของไม่กี่อย่างที่อยู่ข้างใน “ผงซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยารีดผ้า” เขาไล่ดูของในถุงไปทีละอย่าง ใบหน้าที่ดูหงุดหงิดอยู่แล้วเลยดูขัดใจเข้าไปใหญ่ เมื่อคิ้วได้รูปคู่นั้นขมวดมุ่นเหมือนขัดใจอะไรบางอย่าง

ผมช้อนตาขึ้นมองเขาเหมือนจะถามว่าหาอะไร และเหมือนเขาจะรู้ด้วย

“ไม่มีน้ำยาชักชุดชั้นใน!” อะไรนะ!

“ไม่มีครับผมไม่ได้ซื้อมา”

“กูบอกมึงว่ายังไง!”

“ก็...”

“กางเกงในกูต้องซักอย่างดี ไม่อย่างนั้นกูจะให้มึงซักมือเพื่อ? “ ผมรู้ว่ากำลังยืนอ้าปากหวอมองเขาอยู่ เพราะพูดอะไรไม่ออก “อ้อกูลืมบอกอีกอย่างสินะว่ามันต้องใช้น้ำยาสำหรับซักชุดชั้นในเท่านั้น ลงไปซื้อมาใหม่!”

“แต่..”

“ไป! “แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากก้มหน้าก้มตาหันกลับไปทางลิฟต์พิเศษตัวนั้น เพื่อลงไปซื้อของที่คุณชายเขาต้องการ รู้ว่าเขาต้องแกล้งผมแน่ ๆ ผู้ชายซกมกอย่างเขานี่เหรอจะมาพิถีพิถันกับเรื่องอะไรพวกนี้



ผมเดินหน้าบึ้งออกมาจากลิฟต์ ตรงไปยังซูเปอร์มาเก็ตที่เพิ่งจะบอกไปไม่ถึง 10 นาทีก่อน ว่าจะไม่กลับมาเหยียบอีก รีบหาของที่คุณชายเขาต้องการแล้วรีบกลับขึ้นไปยังชั้นที่ 25 แอบถอนหายใจคนเดียวในลิฟต์ เมื่อคิดว่าต้องโดนด่าอีกแน่ ๆ ตอนกดกริ่งเรียกเขามาเปิดประตู เพราะลืมขอกุญแจห้องไปด้วย แต่พอออกจากลิฟต์ก็ให้รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เมื่อเห็นว่าเขายังใจดีเปิดประตูทิ้งไว้ให้ ผมจึงไม่ต้องกดกริ่งเรียกให้เขารำคาญ แต่ก็ช่างเขาเถอะ ยังไงก็รีบไปทำงานที่เขาสั่งให้เสร็จ ๆ ไปดีกว่า



ผมเติมผงซักผ้ากับน้ำยาปรับผ้านุ่มใส่ในเครื่องซักผ้า เปิดให้เครื่องทำงานแล้วหันมาจัดการกับกางเกงในเลขแปดเกือบยี่สิบตัว หมักหมมทั้งหมดนี้ไว้กี่วันแล้วไม่รู้ แต่เท่าที่สังเกตเสื้อผ้าใส่แล้วทั้งหมดของเขา กลับไม่มีชุดนอนสักชุด นอกจากชุดนักศึกษา กับชุดใส่เที่ยวที่เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนสีเข้ม กับเสื้อยืดกางเกงกีฬาทั้งขาสั้นและขายาว ซึ่งทั้งหมดนี้มีแค่สามสี คือ ขาว ดำ น้ำเงิน แหงล่ะเขาคงไม่นอนหรอก เพราะเอาเวลานอนมาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ไง



ผมขยี้กางเกงในของเขาในน้ำยาซักแรง ๆ ได้แค่แอบบ่นในใจ ซักให้เขาทีละตัวอย่างพิถีพิถันจนเสร็จ เสื้อผ้าชุดแรกที่ใส่เข้าไปในเครื่องก็ซักเสร็จพอดี กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอม ๆ ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว



“ไปทำกับแกล้มให้กู เพื่อนกูจะมากินเหล้า” แช่กางเกงในไว้ในน้ำสะอาด กำลังจะเอาผ้าออกจากเครื่องมาอบ เสียงสั่งเจือความหงุดหงิดก็ดังขึ้นข้างหลัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงใคร



ต่อค่ะ....
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 2 (25/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 25-12-2018 22:15:48


เขามาพร้อมกับกลิ่นสบู่หอมฟุ้งไปทั่ว แทบจะกลบกลิ่นอ่อน ๆ ของน้ำยาปรับผ้านุ่มหมด พอหันไปดูคุณชาย Bad Boy ก็อยู่ในชุดใหม่แล้ว ถึงจะเป็นแค่เสื้อกล้ามโชว์รอยสักภาษาจีนบนต้นแขน กับกางเกงยีนเหมือนเดิม แต่เขากลับ..ดูดีจนผมเผลอมองรูปร่างที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสมตัวนั้นนิ่ง ช่วงไหล่กว้างพอดีกับมัดกล้ามต้นแขน ผิวที่ไม่ได้ขาวมากทำให้เส้นเลือดที่ฟูขึ้นมาจาง ๆ น่ามองไปอีกแบบ เสื้อพอดีตัวเน้นให้รูปร่างของเขาเด่นขึ้น ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของลอนกล้ามที่ดันเนื้อผ้าออกมา กางเกงยีนพอดีตัวเผยช่วงขายาวดูทรงพลัง แต่จำเป็นต้องอวดพร่ำเพรื่อขนาดนี้ไหม รู้แล้วว่าเฟิร์ม สักวันผมจะมีกล้ามแบบเขาบ้าง



“ไปสิวะ!” แทบสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอมองร่างกายตรงหน้าเพลิน ดีที่เขาไม่ด่า คงเพราะห่วงเรื่องของกินให้เพื่อน ๆ อยู่

“แต่ผมยังซักผ้าไม่เสร็จ”

“เรื่องของมึง แต่เพื่อนกูจะมาหกโมงเย็นต้องมีของให้พวกมันแดก!”

“นี่คุณผมไม่ใช่หุ่นยนต์นะ จะได้ทำอะไรทันใจไปหมดทุกอย่าง”

“กูก็เห็นว่ามึงเป็นคน หรือมึงคิดว่าตัวเองเป็นอะไรวะ” เขากวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ไรหนวดกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากพูดออกมา “ก็ยืนสองขาเหมือนคนนี่หว่า หรือคิดว่าตัวเองมีสี่ขาวะ” ว่าเสร็จเขาก็หัวเราะเสียงดัง มันไม่ได้ดูขบขันมากไปกว่าการหัวเราะเพื่อเยาะหยันผมเลย “ให้ไวหกโมงของกินต้องพร้อม!”

“จะให้ทำทันได้ยังไง ผ้าผมยังซักไม่เสร็จเลย”

“เรื่องของมึงไง ในฐานะเด็กรับใช้ที่ส่งตรงมาจากสำนักงานใหญ่ เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญญาหรือไง ทำไม่ได้ก็ไสหัวกลับไป!” ผมส่ายหน้า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองกำลังบอกเขาว่าทำไม่ได้ หรือจะไม่ยอมกลับไปกันแน่ หรืออาจจะทั้งสองอย่าง ไสหัวกลับไปเหรอ ถ้ากลับไปแล้วผมจะได้เรียนหนังสือเหรอ ไหนจะยังมีเงินที่ติดค้างคุณลุงไว้อีกส่วนหนึ่ง ถ้าผมไม่ได้ทำงานนี้ ผมจะเอาเงินที่ไหนมาใช้คืน

“ไปสิวะสัสยืนบื้ออยู่ได้กูรำคาญ!”



ผมยังยืนบื้ออยู่เหมือนเดิมอย่างที่เขาว่านั่นแหละ เพราะถึงเขาจะบอกให้ผมไป แต่ก็เป็นตัวเขาที่เดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง ซ้ำยังปิดประตูเสียงดังตามหลัง ผมถอนหายใจหันไปเอาผ้าออกจากเครื่อง แล้วเอาส่วนที่เหลือที่แยกไว้ใส่เข้าไปแทน อย่างน้อยช่วงที่ผมกำลังทำอาหารมันก็ซักไปพร้อมกันละนะ จะได้ไม่เสียเวลา เสร็จก็เดินมาที่ส่วนของครัว เปิดตู้เย็นเพื่อจะพบว่า...



“อะไรเนี่ย!” ผมหลุดอุทานออกมาเสียงดัง เพราะเจอเข้ากับสิ่งไม่คาดคิดจริง ๆ เมื่อเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ออกมาแล้ว พบว่า ทั้งตู้มีน้ำเปล่าแค่สองขวด แถมยังเป็นสองขวดที่เปิดดื่มไปแล้วเกือบหมด ดึงประตูตู้เย็นอีกบานออกเพื่อพบกับความว่างเปล่า ตู้เย็นขนาดใหญ่พอ ๆ กับตู้เสื้อผ้าหลังย่อม เขาซื้อมาเพื่อใช้มันแช่ของแค่นะเหรอ บ้าไปแล้วสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ

เดินกลับมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง เพื่อหยิบเงินในกระเป๋าก่อนลงไปซื้อของ แต่เงินที่ติดตัวมาก็เหลืออยู่ไม่กี่บาท และผมต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ผมไม่รู้ว่าควรไปขอเขาตอนนี้ดีหรือเปล่า แต่ดูจากสีหน้าท่าทางและแววตาก่อนเดินเข้าห้องไป มันบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมไม่ควรไปเสนอหน้าให้เขาเห็นอีก อาจจะตลอดไป หรือจนกว่าผมจะทำให้เขาพอใจ ด้วยการทำทุกอย่างตามคำสั่งให้เสร็จทันใจเขา แต่เห็นเงินในกระเป๋าก็ต้องถอนใจ เพราะผมจะทำอะไรได้จากเงินแค่สองร้อยบาท จะให้ผมเอาเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเพื่อเขาละก็ไม่มีทาง!



ขณะกำลังชั่งใจว่าจะไปเรียกเขาอีกรอบไหม เพื่อขอเงินค่าซื้อของ ผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างแพลมออกมาจากช่องบัตรในกระเป๋า ผมหยิบบัตรสีทองออกมาดู คิดถึงคนที่ให้บัตรใบนี้มา



“ฉันจะให้ฐานทัพโอนเงินสำหรับค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเธอเข้าบัญชีนี้ทุกเดือน อย่าปฏิเสธเลย ยังไงเธอก็รับปากจะทำงานให้ฉันแล้วนะห้ามกลับคำ” เมื่อวานคุณลุงพิภพบอกยิ้ม ๆ ตอนยื่นบัตรใบนี้ให้ผม ที่ทำท่าจะปฏิเสธอยู่แล้วหากไม่ถูกดักคอไว้ก่อน



ผมกัดปากมองบัตรในมือนิ่ง ที่คิดไว้ว่าจะไม่เอาเงินที่คุณลุงให้ออกมาใช้เกินความจำเป็นคงไม่ได้แล้ว นี่ยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ ความตั้งใจหลายอย่างของผมเป็นอันต้องผิดเพี้ยนไปหมด ตั้งแต่การจะใช้เงินอย่างประหยัด กระทั่งที่คิดไว้ว่าจะไม่เข้าชูเปอร์มาเก็ตข้างตึกนี้อีก แต่นี่จะเป็นรอบที่สามของวันแล้วที่ผมต้องเดินเข้าไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ทันแน่ เพราะมันห้าโมงเย็นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการไปจ่ายตลาดเลย



ชั่งใจอยู่ครู่เดียวก็ยัดบัตรเข้าไว้ที่เดิม ยัดกระเป๋าเงินใส่กระเป๋ากางเกงเดินไปใส่รองเท้า รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างแต่ก็นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

“จะไปไหนของมึง” อ้าว “เหี้ยอะไรอีกวะ!” เขาถามแปลกแถมยังด่าผมด้วย ตอนผมหันกลับไปมองหน้าเขา ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาจะเอายังไงกับผมกันแน่

“ผมจะไปซื้อของมาทำอะไรไว้ให้เพื่อนคุณกินตามที่คุณสั่งไง”

“แล้วทำไมไม่ไปเอาเงินกับกู มึงรวยนักหรือไง” เป็นงั้นไป “นี่เงินซื้อเหล้ากับมิกซ์เซอร์มาด้วย” เขายัดเงินปึกหนึ่งใส่มือผม ที่แทบทำหลุดเพราะเกือบรับไว้ไม่ทัน

“มิกเซอร์?” โซดากับน้ำแข็งเท่านั้นใช่ไหม

“เออสิ ทำไมหรือมึงไม่รู้จัก”

“ผมไม่รู้จัก”

“เหี้ย! มึงมาจากหลังเขาหรือไงวะ” ผมเปล่ามาจากหลังเขานะ แค่บ้านอยู่บนเนินท่ามกลางขุนเขาเอง

“ผมหมายถึงว่าเอาอะไรบ้าง”

“โซดา น้ำอัดลมเอามาเผื่อเยอะ ๆ ไปได้แล้วกูรำคาญ! “ อยากสะบัดหน้าใส่เขาให้คอเคล็ดไปเลย แต่ที่ทำได้จริง ๆ คือเดินออกมาเงียบ ๆ ไม่มีปากมีเสียง



พอเข้ามาที่แผนกเหล้า ปัญหาใหญ่ก็ตามผมมา เพราะเขาไม่ได้บอกว่าจะกินเหล้ายี่ห้ออะไร บนชั้นวางเรียงรายเต็มไปด้วยเหล้ายี่ห้อต่าง ๆ ที่ดูราคาของแต่ละขวดแล้วผมแทบอยากเดินหนี แต่ก็ตัดสินใจชี้ส่ง ๆ ให้พนักงานหยิบเหล้ามาให้หนึ่งขวด เป็นหนึ่งขวดที่ราคาต่ำที่สุดจากทั้งหมด แต่ผมยังคิดว่ามันแพงอยู่ดี แต่ถ้ามันไม่พอก็คงเป็นผมที่ต้องเดินลงมาซื้อให้เขาใหม่แน่ ๆ เลยจัดเผื่อไปเลยสามขวดเหนาะ ๆ ถึงยังไงเงินที่เขาให้มาก็ไม่ใช่น้อย ถ้าเยอะไปก็แค่โดนด่าอีกไม่นานคงชิน ไม่ลืมสั่งโซดากับน้ำอัดลมเพิ่มด้วย

เสร็จจากแผนกเหล้า ผมเข้าไปเลือกซื้อของสำหรับทำอาหาร ถึงจะไม่เคยดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มอะไรประเภทนี้ ก็พอรู้อยู่ว่าอาหารที่เหมาะกับการแกล้มเหล้าที่สุด คงไม่พ้นอาหารประเภทยำ หรืออาหารรสจัดจ้าน ได้ของครบทุกอย่าง รถเข็นก็เต็มพอดี พอเอาไปจ่ายเงินผมถึงนึกได้ ว่าจะขนขึ้นไปคนเดียวยังไงไหว แต่หนักใจได้ไม่นาน เมื่อเข็นรถออกมาจากซูเปอร์มาเก็ต กะจะแอบเข็นเอาของไปทิ้งไว้หน้าลิฟต์สักหน่อย แล้วค่อยเอารถมาคืน พี่ รปภ.หน้าทางเข้าก็เดินมาหาก่อน

“ผมช่วยครับ”

“ครับขอบคุณครับ” ผมรีบขอบคุณเมื่อพี่ รปภ. ที่อยู่หน้าทางเข้าเข้ามาช่วยเข็นรถ ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะผลักผมออกจากที่จับ ผมเลยได้แต่เดินตามเขาเข้าไปในล็อบบี้งง ๆ จนถึงหน้าลิฟต์ VVIP

“จะทำอะไรครับ” 

“ก็ขนของออกสิครับ”

“ขนออกทำไมครับ ของเยอะขนาดนี้เข็นขึ้นไปได้เลยครับ เดี๋ยวผมเอาลงมาเก็บให้เอง”

“เอ่อจะดีหรือครับ คือผมเกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมยินดีให้บริการเจ้านายชั้นเพนท์เฮาส์อยู่แล้ว”

“ครับขอบคุณครับ แต่ผมไม่ใช่เจ้านายนะครับ”

“ก็เป็นหลายท่านประธานไม่ใช่หรือครับ ก็เท่ากับว่าเป็นน้องคุณเพลิง ก็เท่ากับเป็นเจ้านายนั่นแหละครับ”

“เอ่อ ผมไม่..”

“เปิดลิฟต์เถอะครับ จะได้เอาของขึ้นไปเก็บ” เป็นงั้นไป ผมเดินไปกดรหัสลิฟต์ พอพี่ รปภ. ช่วยเข็นรถมาส่งจนถึงหน้าห้อง นั่นแหละผมถึงนึกได้ ว่าลืมอะไรก่อนลงไปซื้อของ กุญแจห้องไงล่ะ



ไม่ดีแน่ถ้าเขาเปิดประตูออกมาแล้วเจอคนอื่นอยู่ด้วย ผมจึงบอกขอบคุณพี่ รปภ. อีกครั้งและฝากให้เขาเอารถเข็นลงมาเก็บให้ ก็เกรงใจอยู่นั่นแหละ แต่ยังไงเขาก็คิดว่าผมเป็นเจ้านายไปแล้ว ฝากสักหน่อยคงไม่เป็นไร ผมหันกลับมาทางประตู ไม่เคยมีสักครั้งจะหนักใจกับการกดกริ่ง หรือเคาะเรียกคนอยู่ในห้องมาเปิดประตูให้เท่าตอนนี้ ที่ผมต้องมาอยู่กับคุณชาย Bad Boy อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนคนวัยทอง แต่ผมก็ไม่มีเวลาแล้วนี่นะ ยังไงคงไม่พ้นโดนด่าอีก แค่โดนเร็วขึ้นหน่อยจะเป็นไรไป ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาอีกครั้งแล้วตัดสินใจยกมือขึ้นกดกริ่ง



“มึงมัวมายืนทำหน้าโง่อะไรอยู่ตรงนี้วะ มาถึงแล้วทำไมไม่รีบเข้าห้อง” แต่มือก็ค้างอยู่กลางอากาศ เพราะเขาเปิดประตูออกมาพอดี

“ครับ ๆ “ ผมรีบขนของเขาไปเก็บในครัว ด้วยการหิ้วถุงที่วางเต็มหน้าหน้าห้องด้วยมือทั้งสองข้าง ข้างละสองสามถุง กว่าจะขนไปเก็บได้ทั้งหมดต้องเดินกลับไปกลับมาหลายเที่ยว และทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาคุณชายเขาที่ยืนมองเฉย ๆ โดยไม่คิดจะมีน้ำใจช่วยเลยสักนิด แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ นี่มันหน้าที่คนรับใช้อย่างผม คุณชายมีหน้าที่ยืนคุมมันก็ถูกแล้ว

“มึงซักผ้าเสร็จหรือยัง”

“ยังครับ”

“แล้วเมื่อไหร่มันจะเสร็จ ชักช้า!”

“ก็คุณ...” กริ้งงง กำลังจะอ้าปากเถียงอยู่แล้วเชียว แต่เสียงกริ่งหน้าห้องดังขัดขึ้นก่อน อาจจะเป็นเพื่อนเขาที่บอกว่าจะมา แต่มาเร็วไปนะผมว่า

“รีบทำงานของมึงให้เสร็จ เพื่อนกูมาแล้ว” เขาชี้หน้าสั่งแล้วผละเดินออกจากห้องครัวไป ผมหันมาเก็บของเตรียมวัตถุดิบทำกับแกล้มวางไว้บนเคาท์เตอร์ แล้วไปเอาผ้าที่ซักไว้ออกจากเครื่อง ใส่กางเกงในที่ตอนนี้ซักสะอาดไม่ขดเป็นเลขแปดเข้าไปแทนเพื่อปั่นหมาดก่อนเอาไปอบ เดินกลับมาห้องครัวอีกรอบถึงนึกได้ ว่าผมยังไม่เอาน้ำออกไปให้แขก แต่ไม่รู้ว่ามากันกี่คนเลยคิดว่าจะออกไปแอบดูสักหน่อย



กึก!!

เดินออกมาจากโซนครัวผ่านห้องกินข้าว แต่ขาก็ต้องหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ที่สามารถมองเข้าไปเห็นทุกอย่างในห้องรับแขกได้เป็นอย่างดี เท้าของผมชะงักอยู่กับที่ทันที เมื่อสายตาปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง อะไรบางอย่างที่ไม่เคยคาดคิด ว่าตัวเองจะต้องมาเห็นกับตาจะ ๆ แบบนี้

หึ!

*********************

แล้วหนูลำธารก็เดินมาเจอ...........(เดาได้ไม่ยากหรอก 55)

มาช้าไปหน่อยต้องขออำไพมา ณ โอกาสนี้ค่ะ 

เขียนไปอัปไปตามเดิม เสร็จก็มา ไม่เสร็จก็เขียนต่อไปเรื่อย ๆ 

อย่าเพิ่งเบื่อที่จะรอนะคะ นิยายเรื่องนี้ เปิดเรื่องทิ้งไว้นานมาก

และมันทำให้ดาวคาใจถ้าไม่เขียนให้จบ ใครที่ติดตามมาตั้งแต่แรก จะเห็นว่ามี 2 คู่

เพราะมีคู่รองคือคู่ของ ปฏิมากับกานต์ด้วย

แต่มาคิดดูแล้ว ดาวขอโฟกัสที่คู่หลัก เลยแยกคู่นั้นไปเปิดอีกเรื่อง

เพราะเนื้อหาจะไม่เกี่ยวกันก็ได้ แต่ จะมีตัวละครของอาเล็ก

หรือคุณปฏิมากับกานต์มาโผล่ในเรื่องนี้เล็กน้อย

เดี๋ยวอ่านไปจะรู้ว่าสองคนนี้เป็นใคร 

ดังนั้นก็เจอกันตอนหน้านะคะ 

ดาว ณ แดนดิน

25-12-2561
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รัก..คนอย่างกู ตอนที่ 2 (25/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 28-12-2018 00:02:21
 :call:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รัก..คนอย่างกู ตอนที่ 3 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-12-2018 12:49:39


ขอบคุณที่..รักคนอย่างกู ตอนที่ 3


“หึ”

เฮือก!!

ผมรู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงเขาแค่นหัวเราะ ท่าทางของผมคงตลกมาก เขาถึงได้ทำสีหน้าเยาะหยันกันได้ขนาดนี้ ก็จะไม่ให้ผมอึ้งได้ยังไง เป็นใครจะไม่อึ้งที่เดินออกมาเห็นคนกำลังจูบกันเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ดุเดือดเสียจนผมแค่ยืนดู ยังแทบหายใจตามไม่ทัน

“เป็นเหี้ยอะไรของมึงอีก มีอะไร”

“อุ๊ย! ..นี่ใครคะเพลิง”

“เด็กรับใช้”

“เด็กรับใช้หน้าตาหล่อน่ารักเชียวนะคะ” หญิงสาวเอี้ยวตัวหันมามอง ผมคนมารยาทดีเลยยกมือไหว้ทักทายเธอ ทั้งที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอ จะเน้นคำว่าเด็กรับใช้หนักไปหน่อย “น้องชื่ออะไรคะ”

“ลำธารครับ”

“ชื่อก็น่ารักนะคะเพลิง” เธอยิ้มหวานบอกเจื้อยแจ้ว พลางขยับเข้าไปออดอ้อนคุณชาย ทั้งที่เสื้อผ้ายังหลุดลุ่ย ผมเพิ่งเห็นว่าเธอนั่งคร่อมตักเขาอยู่ เพราะก่อนหน้านี้จูบดูดดื่มดึงความสนใจไปหมด เลยไม่ทันได้สังเกต ไม่เคยเห็นใครจูบกันต่อหน้าต่อตาอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ตัวผมเองก็ยังไม่เคยจูบกับใคร เลยตกใจที่เดินมาเจออะไรแบบนี้เข้า แต่สำหรับเขาคงเป็นเรื่องธรรมดา ผมมั่นใจเพราะเห็นหลักฐานถุงยางอนามัยใช้แล้วที่ทิ้งเกลื่อนห้อง



หลังเสียงหวานที่บอกว่าผมน่ารัก คุณชาย Bad Boy หันมาแสยะปากให้ผม พร้อมสายตาคู่คมของเขา ที่เจือไปด้วยความเหยียดหยันเช่นเดิม ผมพยายามไม่สนใจทั้งที่ไม่รู้เขาเกลียดอะไรผมนักหนา



“มีอะไรก็พูดสักทีสิวะ!” ตะคอกตลอด

“คือเปล่า ผมแค่จะมาดูว่าเพื่อนคุณมากี่คนจะได้เอาน้ำมาให้”

“เพิ่งมาคนเดียวเดี๋ยวตามมาอีกหลายคน”

“แหมเพลิงคะน้ำหวานน้อยใจนะคะ อุตส่าห์รีบมาก่อนใครทันทีที่เพลิงโทรชวน ให้น้ำหวานพิเศษกว่านั้นไม่ได้เหรอคะ เมื่อก่อนขอมาด้วยแทบตายก็ไม่ยอม อย่างน้อยเพลิงน่าจะให้รหัสลิฟต์น้ำหวานไว้นะคะ คราวหน้าจะได้ไม่ต้องให้ใครโทรขึ้นมากวนเพลิง”

“สั่งข้างล่างไว้แล้วว่าให้ส่งขึ้นมาเลย”

“แต่เพลิงคะ น้ำหวานอยากได้พิเศษกว่าคนอื่นนี่นา”

“นี่พิเศษพอไหม” เขากระชากคุณน้ำหวานเข้าไปจูบต่อหน้าต่อตา ทั้งที่ผมยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ นอกจากจูบดูดดื่มร้อนแรง เสื้อคอกว้างของเธอดูจะเป็นใจให้เขาเหลือเกิน เมื่อมือใหญ่ ๆ ปัดนิดเดียว มันก็ตกแผละลงมาอยู่ต้นแขน แถมเขายังดึงสายเสื้อชั้นในสีดำของเธอลง จนเผยให้เห็นหน้าอกขาว ๆ ที่กำลังเคล้นคลึงอย่างมันมือ จนกลัวว่ามันจะแตกโพละเหมือนแตงโมถูกทุบ มืออีกข้างก็ซุกซนไม่แพ้กัน เพราะมันกำลังล้วงผ่านกระโปรงสั้นเต่อ ที่ร่นขึ้นไปอยู่เหนือสะโพก ขยับเข้าขยับออกอยู่ตรงนั้น!

พื้นที่ลึกลับตรงกลางระหว่างขาของเธอ!



แล้วผมทำไมต้องมายืนดูอะไรแบบนี้ด้วย เขากำลังจะ..กำลังจะมีเพศสัมพันธ์กันใช่ไหม? ผมไม่รู้จะบอกความรู้สึกตอนนี้ยังไง มันน่าอายเกินไป ทำตัวไม่ถูกที่ต้องมาเห็นอะไรที่ควรทำในที่ลับตาแบบนี้ ยืนหันซ้ายหันขวา เมื่อเสื้อตัวหลวมคอกว้างของเธอถูกคุณชายกระชากจนขาด กระโปรงที่สั้นอยู่แล้วถูกถลกขึ้นมาไว้ช่วงเอว เผยให้เห็นกางเกงในลูกไม้สีดำตัวจิ๋ว ที่ต้องบอกว่ามันจิ๋วมากเสียจนไม่สามารถปิดบังก้อนเนื้อบั้นท้ายของเธอได้ แถมตัวกางเกงในยังรัดเข้าไปในร่องบั้นท้ายอีก หรือนี่คือกางเกงในแบบที่เขาเรียกกันว่าจีสตริง!



คุณน้ำหวานร้องเสียงสั่น เมื่อเขาก้มลงงับเนินเนื้ออย่างมันเขี้ยว จนเกิดรอยแดงขึ้นหลายจุด แต่ผมไม่รู้สึกเลยว่าเธอไม่พอใจ ดูเหมือนเธอจะชอบเสียด้วยซ้ำ แล้วผมทำไมต้องมายืนดูอะไรแบบนี้ด้วย ร่างกายของผู้หญิงที่เกือบเปลือย ผู้ชายกับผู้หญิงที่กำลังจะทำอะไรกัน มันน่าอายมากที่ต้องมาทำต่อหน้าคนอื่น แต่ทำไมทั้งสองคนไม่รู้จักอายผมเลย



เสียงหายใจแรง ๆ ของคุณน้ำหวาน ทำให้ผมวางตัวไม่ถูก รู้สึกถึงความร้อนผะผ่าวบนใบหน้า จนต้องยกฝ่ามือขึ้นทาบแก้มทั้งสองข้างไว้ ทันได้เห็นเขาแสยะยิ้มเหมือนเยาะทางหางตา ตอนหันไปมองทางอื่น เขาบีบบี้ก้อนเนื้ออวบอึ๋มสองก้อนให้เบียดกัน ตวัดปลายลิ้นละเลงเม็ดตุ่มสีชมพู ร่างเย้ายวนบนตักคุณชายบิดเร่า แอ่นหน้าอกเข้าหาใบหน้าหล่อร้ายสูดปากครางเสียงสั่น



แต่...

คงไม่เหมาะแน่ถ้าผมจะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป หวังว่าเขาคงมีถุงยางอนามัยอยู่ใกล้มือให้หยิบใช้ทันนะ

“เดี๋ยว มึงจะไปไหน!” นึกว่าไม่ได้สนใจผมแล้วเสียอีก แต่พอจะก้าวขาออกมาเสียงตะคอกถามดันดังขึ้นทันที

“อุ้ย! น้องยังอยู่เหรอคะ พี่ก็นึกว่าไปแล้วเสียอีก” ใบหน้าสวยของเธอเจืออารมณ์ปรารถนาเต็มเปี่ยม ครั้งแรกคุณน้ำหวานทักทายผมเสียดิบดีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมก็มองว่าเธอช่างน่ารัก ถึงจะไม่ค่อยหวงเนื้อหวงตัวเท่าไหร่ก็ตามเถอะ แต่คราวนี้น้ำเสียงของเธอเสแสร้งเสียจนผมรู้สึกได้ว่าคนพูด พูดออกมาด้วยความรำคาญ สายตาเป็นมิตรในตอนแรก เปลี่ยนเป็นจิกมองจนตัวผมแทบพรุน ก็รู้อยู่ว่าผมอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้วจะถามทำไม

“คือผมจะไปเอาน้ำมารับแขก แล้วไปทำงาน”

“หิวน้ำ?” เธอหันไปมองหน้าเขาเมื่อได้ยินคำถาม พลางแลบลิ้นออกมาเลียริมปาก ที่เคลือบด้วยลิบสติกสีแดงสดสายตาเปล่งประกาย เหมือนอยากกลืนกินคนที่เธอกำลังนั่งคร่อมตักให้หมดทั้งตัวมันเสียเดี๋ยวนี้

“น้ำหวานอยากอยู่กับเพลิงมากกว่าค่ะ” เธออยากกินเขามากกว่า ผมเดาจากสายตาเธอนะ

“งั้นมึงนั่งลง” เขาหันมาสั่งผม ทั้งที่เอ่อ..กำลังจะทำเรื่องอย่างว่ากับผู้หญิง แล้วยังจะให้ผมนั่งลงทำไม “พื้น!” เขาตะคอกสั่งอีกเมื่อผมกำลังจะนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ นั่นสินะ เด็กรับใช้ไม่ควรนั่งเสมอเจ้านาย ผมก็บ้าที่ทำท่าจะนั่งลงบนพื้นตามที่เขาสั่ง นึกได้ว่างานตัวเองยังไม่เสร็จเลยยืนขึ้นเหมือนเดิม

และ..

“เหี้ยอะไรของมึงอีกกูบอกให้นั่งลง! ” เขาจะให้ผมนั่งลงดูหนังสดที่เขากำลังจะเล่นจริง ๆ หรือไง

“แต่ผมยังซักผ้าไม่เสร็จ ต้องทำของกินที่คุณสั่งด้วย” เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมเห็นเขาชะงัก แล้วกลับมาทำหน้าถมึงทึงใส่ผมเหมือนเดิม ตาดุ ๆ คู่นั้นมองขวางจนน่ากลัว

“เพลิงคะ ให้น้องเขาไปเถอะค่ะเราจะได้ต่อกันสักที” อยากถามว่าผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีก ทำไมเอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งอย่างนั้น หรืออยากให้ผมนั่งดูเขาทำอะไรต่อมิอะไรพวกนั้นกับเธอจริง ๆ เขาบ้าไปแล้วหรือไง แต่บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้อยากดูหรอกนะ

“ไสหัวไป! “ถอนหายใจออกมาตอนนี้จะถูกด่าไหม ผมรีบเดินออกไปจากห้องรับแขก โซนปลอดภัยของผมตอนนี้คงเป็นห้องครัวกับงานที่รออยู่ เดินไปจัดการกับผ้าที่เหลือ เอากางเกงในที่ปั่นหมาดออกจากเครื่องซักผ้า แล้วเอาเข้าเครื่องอบพร้อมกับเสื้อผ้าชิ้นอื่น ๆ ที่ซักไว้ก่อนหน้านี้ ใส่เสื้อผ้าชุดสุดท้ายเข้าเครื่องซัก กดปุ่มให้เครื่องทำงาน



ผมเดินกลับมาที่ครัว เตรียมของสำหรับทำกับแกล้ม ว่าจะทำไว้สักสองสามอย่าง เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนเขาจะมากันกี่คน ถ้าไม่พอค่อยทำเพิ่มก็แล้วกัน เริ่มด้วยการล้างผักไว้แล้วหันมาเตรียมของสด เมนูที่คิดว่าจะทำคืออาหารง่าย ๆ อย่างหมูมะนาว ยำรวมมิตรทะเล กับต้มยำกุ้ง แน่นอนว่าทั้งสามอย่างนี้คือเมนูที่ผมถนัดที่สุด เพราะชอบกินเลยได้ทำบ่อย ๆ ส่วนรสชาตินั้น ใครได้ชิมก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย หรือแค่พูดเอาใจผมก็ไม่รู้นะ แต่ผมชิมเองยังต้องยอมรับเลยว่าอร่อยจริง ๆ ขออวยตัวเองหน่อยเถอะ



ตึง!!

“อ๊ะ! เพลิงขารุนแรงจังน้า” เสียงดังตึงเหมือนอะไรหนัก ๆ ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงกระเส่าของคุณน้ำหวาน ที่พูดเหมือนจะประท้วง แต่ได้ยินแล้วรู้เลยว่ามันไม่ค่อยจริงจังนัก ผมก้มหน้าก้มตาปอกเปลือกก้านคะน้าต่อไป เสร็จก็หันเฉียงแล้วเอาไปแช่น้ำแข็งไว้ หันไปหั่นเนื้อหมูต่อ

“ไม่ชอบหรือไง หืม แบบนี้ล่ะชอบไหม”

“อ๊ะ เพลิง เพลิงขา..อื้มมม” พยายามจดจ่ออยู่กับการหั่นหมูให้ได้ชิ้นพอดีคำ ไม่ลืมเผื่อตอนลวกที่มันอาจจะหดลงอีกด้วย แต่เสียงของหญิงชายข้างนอก ยังดังเข้ามาให้ได้ยินเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าเขาอยากให้ผมมีส่วนร่วมรับรู้อย่างนั้นแหละ

“กับเพลิงน้ำหวานชอบทุกอย่างค่ะ อ่า..เพลิง เพลิงขาดีจังค่ะ”

“เสียวดีใช่ไหมล่ะ..ตรงนี้แฉะเชียว” อะไรของเขานักหนานะ หั่นหมูเสร็จแกะกุ้งต่อ พรูลมหายใจออกมาเบา ๆ ในบางช่วง นอกจากเสียงคุยกันหยาบโลนที่ดังเข้ามาให้ได้ยิน ยังมีเสียงหายใจหอบถี่เหมือนเหนื่อยเสียนักหนา เสียงขาโต๊ะหรือขาเก้าอี้ขยับครูดพื้นครืดคราดแทรกเข้ามาด้วย

“เหี้ยเอ๊ย! คุกเข่าลง” ผมยืนแกะกุ้งอยู่หน้าเคาร์เตอร์ครัว หันหลังให้ทางเดินออกไปยังโต๊ะกินข้าว แต่เสียงของสองคนนั้นยังดังเข้ามาให้ได้ยินเรื่อย ๆ ต้องใช้ความพยายามมากอย่างไม่เคยทำมาก่อน ที่จะไม่หันไปมอง เดาว่าคุณชาย Bad Boy คงออกอิทธิฤทธิ์ ด้วยการพาคุณน้ำหวานอะไรนั่น เปลี่ยนจากโซฟาในห้องรับแขกมาอยู่แถวนี้ ผมถึงได้ยินเสียงของพวกเขาชัดเจน อาจจะเป็นบนโต๊ะกินข้าวหรือเก้าอี้นั่งเล่น แต่ทำไมไม่พากันเข้าไปทำในห้องกันสองคน ผมไม่เข้าใจจริง ๆ



ต้องถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะเตรียมของเสร็จแต่ละอย่าง ตอนนี้กำลังปั่นส่วนผสมสำหรับทำน้ำราดหมูมะนาว เสียงเครื่องปั่นดังพอสมควร แต่ยังไม่สามารถกลบเสียงครางต่ำของเขา ที่ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ บางทีก็เหมือนเสียงสัตว์ร้ายกำลังคำราม แต่เสียงพูดเจื้อยแจ้วของคุณน้ำหวานหายไปแล้ว ผมรู้ว่าเธอยังอยู่ แต่เดาไม่ถูกจริง ๆ ว่ากำลังทำอะไร เหมือนกำลังวุ่นวายอยู่กับอะไรบางอย่าง และเธอก็คงพอใจในสิ่งที่ทำมาก เพราะเสียงอืออา ๆ อืม ๆ ของเธอดังมาให้ได้ยินในบางครั้ง



กริ่งงงง

“ไปเปิดประตู อ่า...สัส!” ได้ยินเสียงเขาบอก ตามมาด้วยเสียงครางกับเสียงสบถ ไม่รู้เขาด่าผมหรือพูดเพราะมันติดปาก แต่ผมยังไม่กล้าหันไปมองเขาอยู่ดี ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป จนกระทั่ง..

เพล้ง!!!

“อะ อะไรครับ” ผมหันไปถามหน้าตื่น เขานั่งหันข้างให้ครัวอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวนี่เอง มิน่าล่ะผมถึงได้ยินเสียงเขาคุยกับคุณน้ำหวานชัดเต็มสองหู แต่กลับไม่เห็นเธอ ไม่รู้หายไปไหนทั้งที่ได้ยินเสียงอืม ๆ ง่ำ ๆ แพรบ ๆ อยู่แท้ ๆ

“กูบอกให้มึงไปเปิดประตูไม่ได้ยินหรือไงวะ! อ่า น้ำหวาน ช้าก่อนอย่าเพิ่งดูด” เธอดูดอะไรทำไมทำให้เขาพูดเสียงกระเส่าได้ขนาดนั้น แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนทำไมผมมองไม่เห็น แต่ไม่มีเวลาสงสัยไปมากกว่านี้แล้ว เพราะต้องรีบไปเปิดประตูตามคำสั่ง ผมมองไปทางเขาด้วยหางตา เพราะไม่กล้าหันไปดูเต็ม ๆ เหมือนเมื่อกี้ ที่หันไปเจอเข้ากับแววตาแปลก ๆ มันดูน่ากลัวแต่ก็เปล่งประกายน่ามอง แววตาวาว ๆ กับใบหน้าหล่อร้าย ให้ความรู้สึกที่ผมบอกไม่ถูก มันเหมือนจะเสียวสันหลังวาบด้วย แต่ก็เหมือนจะร้อนผ่าวไปตามผิวเนื้อพร้อม ๆ กัน



ยอมรับว่ากลัวจะเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น เลยเดินเลี่ยงแทบชิดผนังอีกด้าน อ้อมไปทางห้องรับแขก ถึงได้เห็นทางหางตา ว่าคุณน้ำหวานกำลังหาอะไรบางอย่าง ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงหน้าคุณชายแถวตักของเขา ผมรีบเดินไปเปิดประตูก่อนคุณชายท่านจะองค์ลงอีก

“ใครวะเนี่ยไม่เคยเห็นหน้า” เพื่อนคนแรกของคุณเพลิงที่เดินเข้ามาในห้องหยุดถาม สายตาของเขามันดูจาบจ้วงจนน่าเกลียด แต่ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร เพื่อนอีกคนที่เดินนำเข้าไปข้างในก่อนก็ทักขึ้น

“วู้ว ไอ้เพลิงแซ่บแต่หัววันเลยนะมึง” เขาทักและตามมาด้วยเสียงของคนอื่น ๆ ที่ทยอยเข้าห้องมา

“สัสไม่รอ”

“มองเห็นสวรรค์รำไรแล้วสิมึง”

“ติมแท่งอร่อยไหมจ๊ะคนสวย”

“อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ว่ะ แต่เห็นหน้าไอ้เหี้ยเพลิงแล้วฟินตามเลยกู”

“ไอ้เพลิงเสร็จแล้วมาจัดให้พี่บ้างนะครับคนสวย”

“พวกมึงดูแม่งสิบัดซบไม่รอเพื่อนรอฝูงเลย”

“สัส!” เขาตอบเพื่อนเท่านั้น และเสียงดังปนหงุดหงิดของเขา เรียกผมที่ยังยืนมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีให้หันไปทางนั้น ว่าจะเลี่ยงอยู่แล้วเชียวแต่ก็ลืมตัว เพราะหันไปตามสัญชาตญาณ สายตาของผมเลยปะทะเข้าเต็ม ๆ กับภาพน่าอายที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน คนมองอย่างผมยังอาย แล้วคนทำอย่างเขาไม่อายบ้างหรือไง



คุณชายถอดเสื้อกล้ามทิ้งไว้บนโต๊ะกินข้าว ท่อนบนของเขาเลยเปลือยเปล่า เผยให้เห็นหน้าอกกว้างแข็งแกร่งของมัดกล้าม กับรอยสักภาษาจีนหนึ่งตัวบนต้นแขนขวา ส่วนต้นแขนอีกข้างเป็นลายเส้นมั่ว ๆ ที่ผมยังเห็นไม่ชัดนัก แต่ก็คิดว่ามันสวยดีทีเดียว เขานั่งบนเก้าอี้มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่วางพาดบนโต๊ะ ส่วนมืออีกข้างวางบนหัวคุณน้ำหวาน ขาทั้งสองข้างแยกออก ให้คุณน้ำหวานนั่งแทรกตรงกลาง กางเกงที่ใส่อยู่ถูกรั้งลงมาเล็กน้อยจนเห็นเนินเนื้อบั้นท้าย เพื่อปล่อยให้อะไรต่อมิอะไรข้างหน้าออกมา และมันคือสิ่งที่คุณน้ำหวานกำลังวุ่นวายก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับมัน



ทั้งที่คิดว่าจะไม่หันไปมอง แต่ตอนที่เพื่อนเขาทักแล้วผมเผลอหันไป ก็ทันได้เห็นอะไรต่อมิอะไรของเขา ที่คุณน้ำหวานกำลังกลืนกินมันเหมือนเป็นของอร่อย ทั้งที่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอายมาก แต่สองคนนั้นเขาไม่อายกันบ้างหรือไง เพื่อนก็มาออกเต็มห้องขนาดนี้



“ไอ้เพลิงมึงเกินไปแล้วนะ แซ่บไม่ปรึกษาเพื่อนฝูงเลยไอ้สัส” ทุกคนให้ความสนใจกับหนังสดตรงหน้ากันหมด เมื่อคุณเพลิงใช้มือเดียวกำเส้นผมยาวของคุณน้ำหวานรวบขึ้น เผยให้เราได้เห็นกิจกรรมที่เธอกำลังทำจะ ๆ แท่งเนื้อตั้งลำเหยียดตรงจนเห็นเส้นเลือดพองฟู ถูกครอบครองโดยริมฝีปากแดงฉ่ำ ขยับรูดขึ้นลงเป็นจังหวะ น้ำลายไหลยืดชโลมความใหญ่โตจนมันวาว มือเรียวทั้งสองข้างของเธอช่วยปลุกปั่น บางครั้งถอนออกสุดจนได้ยินเสียงดูดดังป๊อก แล้วตวัดปลายลิ้นโลมเลียรอบ ๆ ก่อนจะครอบปากลงไปใหม่ทำวนอยู่อย่างนั้น



ลมหายใจแทบสะดุดที่ได้เห็น แต่ทำไมผมต้องมาเห็นอะไรน่าอายแบบนี้ด้วย คนเข้ามาในห้องตั้งหลายคน แต่สองคนนั้นกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกันสักนิด แถมยังตั้งหน้าตั้งตาทำกิจกรรมของตัวเองอย่างเมามัน คุณเพลิงกัดฟันกรอดแสยะยิ้มส่งให้เพื่อนอีกคน ที่เดินเข้าไปพร้อมโทรศัพท์ในมือถ่ายคลิป เขาหันกลับไปสนใจกับมือที่ขยุ้มเส้นผม และจังหวะการเด้งสวน ไม่นานตัวเขาเกร็งจนเห็นมัดกล้ามแน่นชัด มือกดหัวคุณน้ำหวานเข้าหาตัวเอง พร้อมกับเด้งสะโพกสวนใส่อย่างแรง



เขากระตุกหลุดเสียงคำรามออกมาจากลำคอ ร่างกายแกร่งเกร็งแน่นเป็นครู่แล้วค่อย ๆ ผ่อนคลายลง หน้าอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ บุหรี่ในมือถูกยกขึ้นดูดเอาควันพิษเฮือกใหญ่ เขาแหงนใบหน้าหงายขึ้น ปล่อยควันสีเทาพุ่งออกจากปากเป็นสาย ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์



คุณน้ำหวานเงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาของเธอมีแต่ความหลงใหล ทั้งที่ยังมีน้ำสีขาวขุ่นไหลย้อยลงตามคางเปื้อนไปหมด เธอกวาดมันเข้าปากเหมือนเดิมด้วยการตวัดปลายลิ้นยาววนไปรอบ ๆ จนเกลี้ยงจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังแท่งเนื้อที่กำไว้ไม่ปล่อย เป็นการทำความสะอาดความใหญ่โตให้เขาด้วย เธอไม่อายเขาไม่อาย ทั้งที่ผมกับเพื่อนของเขายืนดูอยู่ตรงนี้ หรือนี่เป็นเรื่องธรรมดา คงธรรมดาสำหรับพวกเขาสินะ พวกคนหน้าไม่อาย



และตอนนี้ผมคงหมดข้อสงสัยเรื่องถุงยางอนามัยใช้แล้วที่ทิ้งเกลื่อนห้อง แต่มันควรแล้วหรือ ที่มาทำต่อหน้าคนอื่นอย่างนี้


ต่อจ้า...
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รัก..คนอย่างกู ตอนที่ 3 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-12-2018 12:50:12


“อย่าเพิ่งหมดแรงก่อนนะเว้ย กูเรียกเด็กแล้วกำลังมา”

“งานนี้ไม่เช้าไม่เลิกโว้ย ป๋าเพลิงอุตส่าห์เปิดห้องหรูให้ฟรีสไตล์ต้องเอาให้คุ้ม” พอกิจกรรมน่าอายของเขาจบลง เพื่อน ๆ ก็ส่งเสียงเกทับกันยกใหญ่ แต่ผมก็ยังไม่กล้ามองไปที่เขาอยู่ดี เพื่อนของเขาเหมือนรู้งาน จัดการกับเหล้ามิกซ์เซอร์ที่เขาให้ผมเตรียมไว้ มาถึงก็เริ่มทันทีแบบไม่ยอมเสียเวลากันเลย



ผมกำลังจะเดินเลี่ยงไปทำอาหารต่อเงียบ ๆ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหน ก็ต้องหยุดเท้าจนตัวชะงัก เพราะเพื่อนอีกสองคนของเขาที่ยังไม่เดินเข้ามาในห้อง กำลังดูดปากกันอย่างเมามันอยู่หน้าประตู!

และเป็นผู้ชายทั้งคู่!

มีเพื่อนเขาอีกสามคนเพิ่งมาถึง เดินผ่านสองคนที่กำลังจูบกันเข้ามาในห้อง คนแรกเดินผ่านเฉย ๆ คนต่อมามองแล้วส่ายหน้ายกมือขึ้นตบหัวเพื่อนเบา ๆ หนักสุดเห็นจะเป็นคนสุดท้าย ที่บีบก้นหนึ่งในสองของคนที่จูบกัน บีบแล้วกอดแล้วล้วงกันอยู่อย่างนั้น จนผมเผลอมองตาโต



ผมไม่ได้ต่อต้านหรืออะไรทำนองนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะคนใกล้ตัวผม พี่ชายที่รักและนับถืออย่างพี่รันก็มีแฟนเป็นผู้ชาย แถมยังดุจนพี่รันหงอ ทั้งหงอทั้งอ้อนจนบางครั้งผมยังนึกอิจฉา แต่รวม ๆ แล้ว ความใส่ใจห่วงใยของพวกเขาที่มีให้กัน ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เวลาสัมผัสได้ถึงความรักของทั้งสองที่มีให้กัน มันรู้สึกดีตามไปด้วย พี่รันพี่ชายของผมเอง



ตัวผมเองก็..ชอบผู้ชาย และมีคนที่แอบประทับใจในตัวเขาตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ถึงตอนนี้จะไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่พอมาเห็นอะไรอย่างนี้ มันก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ว่าคุณชาย Bad Boy กับคุณน้ำหวานจูบกันในห้องรับแขกต่อหน้าผมดูแย่มากแล้ว แต่ตอนนี้ผมคิดว่าคู่ที่อยู่หน้าห้องแย่ยิ่งกว่า และที่แย่ที่สุดคือ ทำไมผมต้องมาอยู่ท่ามกลางอะไรอย่างนี้ด้วย



“เห้ย! ผัวเมียคู่นั้นมึงจะเข้าห้องมั้ย ไม่เข้ากูจะได้ปิดประตู ห้องแอร์นะสัสมันเปลืองไฟ รู้จักช่วยชาติประหยัดพลังงานบ้าง”

“หรือไม่งั้นก็เอาให้เสร็จค่อยเข้ามาก็ได้กูไม่รีบ ไอ้น้องปิดประตู” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงโห่แซวดังกระหึ่ม จนกลัวว่าเพื่อนบ้านจะออกมาด่า ก็ถ้าชั้นนี้มีเพื่อนบ้านกับเขานะ แต่อย่างที่พี่ รปภ. บอก ชั้นเพนท์เฮาท์นั้นมีห้องอยู่แค่สองห้อง พี่ฐานทัพก็บอกแล้ว ว่ามีคนอยู่แค่ห้องของคุณเพลิงห้องเดียว เลยสบายใจได้ว่าจะไม่มีเพื่อนบ้านเปิดประตูออกมาด่า ให้กระเจิงไปคนละทิศคนละทาง นับว่าที่นี่เหมาะแก่การมั่วสุมของพวกเขามาก แต่ผมคงไม่กล้าพูดออกไป เพราะยังไม่อยากถูกคุณชายเขาด่าเอา



งานเลี้ยงของพวกเขาเริ่มขึ้น มีเพื่อนคุณชายมาเพิ่มอีกหลายคน และในจำนวนหลายคนนั้น มีพวกที่เขาเรียกกันว่าเด็กตามมาด้วย ไม่รู้ว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นแค่พวกรักสนุก เพราะบางคนอยู่กับคนหนึ่ง ไม่นานก็เปลี่ยนไปจูบกับอีกคน บางคู่จูบกันอยู่ดี ๆ ก็ถูกอีกคนดึงไปกอดหน้าตาเฉย แบบนี้คือแบบที่เขาเรียกว่ามั่วใช่ไหม หรือเขาเรียกอะไรกันแน่ ปาร์ตี้เซ็กหมู่อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า แต่ละคนหน้าตาท่าทางก็ดี แต่ทำไมพากันทำตัวสกปรกกันอย่างนี้ ผมไม่เข้าใจจริง ๆ



ทำไมคุณลุงพิภพไม่เคยบอกว่าผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหมครับคุณลุง ธารชักเริ่มกลัวแล้วนะ

งานเลี้ยงมีทั้งเหล้าทั้งเบียร์ ทั้งควันบุหรี่ลอยเต็มไปหมดจนแทบหายใจไม่ออก ผมได้แต่หลบอยู่ในครัว มีเดินออกไปบ้างตอนคุณชายเรียกใช้ เพื่อน ๆ ของเขากับเด็กที่นัดมารวมแล้วเกือบยี่สิบคน อาหารที่ผมทำยังไงก็ไม่พอหรอก ยังดีที่บางคนมีมารยาทซื้อติดมือมาด้วย ผมก็ทำหน้าที่เด็กรับใช้ที่ดี ด้วยการหาถ้วยหาจานไปใส่ให้พวกเขาไง ไม่อยากคิดถึงพรุ่งนี้เช้าเลย ว่าห้องมันจะเละมากแค่ไหน ทั้งที่ผมเพิ่ง Big Cleaning ไปแท้ ๆ อยากไว้อาลัยให้ตัวเองชะมัด



คุณลุงพิภพคงรู้เรื่องที่ลูกชายทำตัวเหลวไหล ท่านถึงได้เป็นห่วงและส่งผมมาช่วยดูแล ก็เขามั่วเสียขนาดนี้ ดูอย่างตอนนี้สิ เมื่อหัวค่ำยัง..เอ่อนั่นแหละ ยังทำอะไรต่อมิอะไรกับคุณน้ำหวานอยู่เลย ตกดึกมาข้างกายเขาเปลี่ยนเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักไปแล้ว เดาว่าน่าจะอายุเท่า ๆ กับผม คือ 18 ย่าง 19 หรืออาจจะน้อยกว่านี้ ส่วนคุณน้ำหวานที่ใส่เพียงเสื้อชั้นในสีดำ กับกระโปรงสั้นเต่อตัวเดิม นั่งหน้าบูดอยู่อีกข้าง และจิกตามองเด็กผู้ชายคนนั้นจูบไปตามซอกคอของเขา มือลูบไล้ไปตามร่างกายแกร่งของคุณชาย Bad Boy อย่างหลงใหล



เจ้าของห้องนั่งเอนหลังบนโซฟาตัวใหญ่ สองแขนกางพาดไปตามพนักพิง มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ มืออีกข้างถือแก้วเหล้า ท่าทางเย็นชาทั้งที่กำลังถูกจูบไปตามเนื้อตัว บางครั้งก็ยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบ หงายหน้าพาดศีรษะไปตามพนักพิง ยามปล่อยควันออกมาอย่างผ่อนคลาย ปกติผมไม่ชอบคนสูบบุหรี่ แต่ภาพคุณชายดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ มันดูดิบ ๆ แต่ก็น่าหลงใหลแปลก ๆ จนมองเพลิน



นอกจากคุณน้ำหวาน ยังมีสาว ๆ อีกสามสี่คนมาร่วมวงปาร์ตี้กับพวกเขาด้วย และพวกเธอกำลังเต้นสุดเหวี่ยงกับหนุ่ม ๆ อยู่อีกมุมของห้องกว้าง เพลงจังหวะสนุก ๆ ที่เปิดดังเสียจนกลัวว่าหูจะแตก เล่นเอาผมปวดหัวกว่าเก่า

“โอ๊ะโอนี่เด็กใครเอ่ย” ผมตกใจเดินถอยจนหลังติดตู้เย็น เพราะอยู่ดี ๆ เพื่อนของคุณชายคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นข้างหน้า ผมไม่เห็นตอนเขาเดินเข้ามา เพราะมัวแต่มองไปทางห้องรับแขก “ว่าไงครับคนน่ารักมากับใครเอ่ย”

“ผมไม่ได้มากับใครแล้วก็ไม่ได้เป็นเด็กใครด้วย”

“ดีเลย งั้นมาเป็นเด็กพี่เก่งไหม เป็นเด็กพี่เก่งแล้วดีข้าวฟรีสามมื้อ แถมมื้อพิเศษไม่อั้นถ้าน้องต้องการ” ไม่อยากคิดเลยว่ามื้อพิเศษของเขาคืออะไร

“ไม่ครับ คุณเข้ามาต้องการอะไรครับ”

“พอดีพี่เก่งกำลังหาคนน่ารัก ๆ มาเป็นแฟน แล้วพี่เก่งก็โชคดีเดินเข้ามาเจอในนี้ครับ ยืนอยู่ตรงหน้าพี่เก่งนี่ไง เป็นแฟนกันนะครับ” จะง่ายดายอะไรขนาดนั้น พูดจบก็ยิ้มกว้างให้ แต่อะไรก็ไม่แย่เท่ากับการที่เขาเดินเข้ามาจนชิด ยกมือข้างหนึ่งค้ำตู้เย็นเหนือไหล่ผม พอจะหลบไปอีกทาง ก็ยกมืออีกข้างขึ้นกักไว้ ผมเลยติดอยู่ตรงนั้นไปไหนไม่ได้

“คุณจะทำอะไร ขอทางด้วยผมจะออกไปจากตรงนี้”

“ตกลงเป็นแฟนพี่เก่งก่อนสิครับแล้วจะปล่อย”

“ถอยไปนะคุณผมไม่เล่น”

“พี่เก่งก็ไม่ได้เล่นครับ พี่เก่งเอาจริง”

“กรุณาถอยด้วยครับ” แต่คนถูกขอให้ถอยกลับยังยืนยิ้ม จ้องผมด้วยสายตาแปลก ๆ เหมือนกำลังสนุก กลิ่นเหล้าจากตัวเขาคลุ้งไปทั่วจนเริ่มเวียนหัว พยายามเบี่ยงหน้าหลบยกมือขึ้นผลักหน้าอกเขาออก เมื่อเขาก้มเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจปนกลิ่นเหล้า ผมจะโดนคุณชายด่าไหม ถ้าต่อยเพื่อนเขาสักหมัดสองหมัด

ต่อ....
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รัก..คนอย่างกู ตอนที่ 3 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-12-2018 12:50:45

“อะไรกันวะ!” ไม่รู้จะดีใจได้หรือเปล่าที่มีเสียงหนึ่งทักขึ้น และทำให้คนตรงหน้ายอมถอยออกไป ถึงจะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ช่วยให้ผมหายใจสะดวกขึ้น เหมือนจะดีแต่ก็ดีไม่สุด เพราะคนมาใหม่คือคุณชาย Bad Boy เขาแสยะยิ้มมองผมด้วยสายตาสมเพช ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนขยะไร้ค่า ที่บังเอิญติดรองเท้าจนเขาต้องสะบัดออกด้วยความขยะแขยง



ผมผลักเพื่อนเขาออกอีกครั้ง และครั้งนี้คนที่เรียกตัวเองว่าพี่เก่งยอมถอยแต่โดยดี

“นี่เด็กใครวะไอ้เพลิง น่ารักเป็นบ้าเลยว่ะ”

“แค่เด็กรับใช้กูไม่ใช่ของใคร” ตอบเพื่อนแล้วมองผมแค่หางตา กระชากประตูตู้เย็นเปิดออกอย่างแรง ผมยังไม่ทันตั้งตัวเพราะยืนพิงอยู่ เลยถึงกับเซไปข้าง ๆ ดีที่ยังไม่ล้มลงให้ได้อาย เพราะเพื่อนเขารั้งไว้ทัน แต่มันจะดีก็ดีไม่สุด เพราะเขาไม่รั้งเปล่าแต่ยังกอดผมไว้แน่น สะบัดยังไงก็ไม่ยอมปล่อย แบบนี้ปล่อยให้ผมล้มลงไปกระแทกพื้นเถอะ

“เมื่อคืนไม่เห็นมีเด็กรับใช้น่ารัก ๆ อย่างนี้วะ ขาวใสจนเห็นเส้นเลือดเลยมึง”

“มันเพิ่งมาวันนี้”

“เด็กรับใช้บ้านมึงนี่คัดหน้าตาหรือเปล่าวะ น่ารักเป็นบ้าเลยกูขอได้ไหม เงี่ยนจะตายห่าอยู่แล้ว” ถึงไม่ได้สนใจที่ทั้งสองคุยกัน แต่ก็ยังได้ยินชัดว่าพูดอะไรบ้าง เพราะผมยังถูกเพื่อนเขากอดรวบไว้ทั้งตัว พยายามดันตัวเองออก แต่ทำไมเรี่ยวแรงของผมน้อยกว่าเขามากขนาดนี้ ดันยังไงก็ดันไม่ออก ซ้ำแขนทั้งสองข้างถูกรวบเข้ากับตัวแน่นไปหมด

“อย่าดิ้นสิครับคนน่ารัก” ฟอด!! บ้าไปแล้วเขาหอมแก้มผม!

“ปล่อยผมนะ” ผมบอกเพื่อนเขาแล้วหันไปมองคุณเพลิง พยายามบอกผ่านสายตาว่าไม่ชอบ แต่ผมลืมไปได้ยังไง ว่าตัวเองนอกจากอยู่ในฐานะคนรับใช้แล้ว ยังดูเหมือนจะอยู่ในฐานะคนที่เขาเกลียดอีกหนึ่งตำแหน่ง แค่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ที่รู้ ๆ คือเขาต้องหาเรื่องแกล้งผมเพื่อความสะใจอีกแน่ ๆ

“มึงไม่ชอบหรือไง” คุณชายถามเสียงเยาะหยัน ถ้าชอบผมคงไม่ดิ้นหนีอย่างนี้หรอก คนเฮงซวย!

ถ้าแม่ได้ยินผมด่าเขาแบบนี้ คงโดนดีดปากแน่

แต่ผมก็พูดได้แค่ “ใครจะชอบล่ะบอกเพื่อนคุณปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะคุณเพลิง”

“นึกว่ามึงชอบให้ท่าผู้ชายเหมือน...” เขาเม้มปาก แสร้งขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด และพูดออกมาในที่สุดหลังถอนหายใจหนัก ๆ อย่างคนเพิ่งตัดสินใจได้ “เหมือนผู้หญิงบางคน! ” ผมไม่เข้าใจที่เขาพูดหรอก และไม่คิดจะสนใจด้วย เพราะสิ่งที่ผมต้องทำคือหาทางหลุดไปจากตรงนี้ให้ได้ ก่อนจะถูกเพื่อนเขาลวนลามมากไปกว่านี้ ตอนนี้รู้สึกถึงจมูกโด่งของคนรวบกอดซุกไซ้หลังคอผมแล้ว

“โอ๊ยเหี้ย! “ผมกระทืบส้นเท้าลงบนเท้าเขาเต็มแรง อ้อมกอดคลายแรงรัดลงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการถองศอกแหลม ๆ ใส่ท้องเขา “สัสพยศแบบนี้แหละดีพี่เก่งชอบครับ”

“หึ ตามสบายเพื่อน กูไปล่ะ” คุณชายแสยะยิ้มเย็นให้แล้วเดินออกไปจากครัว

“พวกคุณบ้าไปหมดแล้วหรือไง ปล่อยผม” ผมสะบัดข้อมือออกจากมือเขาจนได้ เดินเลี่ยงออกไปจากครัวผ่านห้องกินข้าวมองไปทางห้องรับแขก หลายคนกำลังดื่มกินและพูดคุยกัน บางคู่ก็แสดงบทรักต่อกันอย่างหน้าไม่อาย ผมไม่รู้จะไปไหนเลยว่าจะออกไปหลบในสวนที่ระเบียง แต่พอเดินออกไปถึงสวนแล้ว กลับทำอะไรไม่ถูก เมื่อเจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังถูกผู้ชายสองคนประกบทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ทั้งสามพากันนัวเนียอยู่ตรงเก้าอี้ยาวข้างสระว่ายน้ำอย่างเมามัน



คุณน้ำหวาน!



นี่มันอะไรกัน พวกเขาคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทั้งดื่ม ทั้งกิน ทั้งมั่ว แม่สอนผมตลอดว่าอย่าพาตัวเองเข้ามาอยู่ในที่แบบนี้ เพราะมันเป็นสิ่งไม่ดีและอันตราย ผมเชื่อฟังคำสอนของแม่สอนมาตลอด ไม่เคยคิดจะเข้ามายุ่งเกี่ยวให้ตัวเองต้องลำบาก และไม่คิดว่าจะได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางอะไรที่แย่มากขนาดนี้ ผมต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด คิดถึงคำที่คุณลุงพิภพบอก ถ้ามีเรื่องอะไรจำเป็นให้โทรหาพี่ทัพได้ตลอด แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ผมจะกล้ารบกวนเขาหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปจากที่นี่ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน



แต่..

“จับได้แล้ว” ผมตัดสินใจจะออกไปจากที่นี่เลยหมุนตัวกลับ คิดว่าจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหยิบกระเป๋าเงิน เพราะเอากระเป๋ามาเก็บไว้ในนั้น แต่ก็ชนเข้ากับเพื่อนของคุณชายเสียก่อน พี่เก่งคนที่บอกว่าขอผมเป็นแฟน เขายืนมองหน้าผมสายตาหวานฉ่ำ แต่ดูยังไงก็บอกได้คำเดียวว่าน่าขนลุก

เขายกเบียร์ขวดเล็กในมือขึ้นดื่มอึกใหญ่แล้วถาม “จะรีบไปไหนครับคนน่ารักที่เริ่มทำตัวไม่น่ารักแล้ว แต่พี่เก่งยังใจดีนะ”

“หลีกทาง”

“ตรงนี้ก็ได้บรรยากาศมากเลยสำหรับการเริ่มเป็นแฟนกัน อ่านั่น..ริมสระมีคนจองที่แล้ว แต่ไม่เป็นไรเก้าอี้อีกตัวยังว่าง มาทางนี้มา”

“ผมไม่ไปปล่อยผม” เขาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือดึงพาเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ผมขืนตัวไว้ สามคนที่กำลังนัวเนียหันมามองผมเล็กน้อย แล้วหันกลับไปนัวเนียกันต่ออย่างเมามัน คุณน้ำหวานที่ตอนนี้ยกทรงสีดำของเธอหายไป แสยะยิ้มน่าเกลียดมาให้ด้วย แต่ผมไม่มีเวลาสนใจเธอหรอก เพราะกำลังถูกลากไปอีกมุมของสระว่ายน้ำ ติดกับสวนที่เป็นสระเล็ก เพิ่งรู้ว่ามันคืออ่างน้ำวน

“อยากเล่นน้ำไหมครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเหมือนคนใจดี แต่การกระทำตรงข้ามทุกอย่าง ตั้งแต่การกระชากลากผมมาแบบไม่เต็มใจ ทั้งไม่ฟังสิ่งที่ผมพยายามบอกเขาเลยว่าผมไม่เล่นด้วย

“ไม่! ปล่อยผมนะคุณผมไม่เล่นอะไรทั้งนั้น”

“มาเถอะครับ ไอ้ป๋าเพลิงมันอนุญาตแล้วน่า”

“มันไม่เกี่ยวว่าใครจะอนุญาตหรือไม่ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้!”

“ไม่เกี่ยวกับว่ามีสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์หรอกครับ มาสนุกด้วยกันไม่ต้องใช้สิทธิ์ เพราะพี่เก่งให้น้องเต็มที่” ผมดิ้นหนีเมื่อเขากระชากเข้าไปกอด ซุกจมูกไซ้ไปตามซอกคอจนต้องหันหลบเป็นพัลวัน ผมเสียหลักเซล้มเพราะถูกผลักลงกับเก้าอี้ยาว ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่กว่า 180 เซ็นฯ กระโดดขึ้นนั่งทับช่วงเอว ข้อมือทั้งสองข้างถูกตรึงขึ้นเหนือหัวกดลงกับเบาะรองนั่ง

“หอมจัง” ผมพยายามดิ้นหนี เพราะมันน่าขยะแขยงมาก เมื่อเขากดจมูกไปตามผิวเนื้อแล้วเอาแต่บอกว่าหอม และ.. “หวานด้วย” เมื่อเขาดูดหนัก ๆ ลงตรงซอกคอ ไซ้จมูกลงไปจนถึงหน้าอกที่มีเสื้อปิดบังมิดชิด และนั่นคงทำให้เขาทำอะไรได้ไม่ถนัด จึงได้ปล่อยข้อมือผมข้างหนึ่งไปแกะกระดุมเสื้อออก พอมือเป็นอิสระ ผมควานหาอะไรบางอย่างใกล้ตัวที่พอจะเอามาใช้หยุดความบ้าของเขา คว้าได้ขวดขนาดเหมาะมือผมก็ฟาดหัวเขาสุดแรง



ผลัวะ!!

“โอ๊ย!” มันคือขวดเบียร์ที่เขาเพิ่งวางไว้เมื่อกี้นี้เอง สมน้ำหน้าหัวแตกเลย “ไอ้สัสมึงตีหัวกู!” เพี๊ยะ! หน้าผมหันไปตามแรงตบ มันชาหนึบในตอนแรกแล้วเปลี่ยนเป็นแสบยิบ ๆ ความเจ็บไม่ต้องพูดถึง เพราะเล่นเอาผมมึนงงไปชั่วขณะ แต่ก็ยังนึกได้ว่าต้องเอาตัวรอด รีบหันกลับไปกะจะชกให้สักหมัดสองหมัด แต่โดนเขาต่อยท้องเข้าเสียก่อนจุกจนตัวงอ

“หึ น้องชอบแบบนี้เหรอ ได้ครับเดี๋ยวพี่เก่งจัดให้” ความจุกทำให้ผมหมดแรงดิ้นหนี ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพยายามหายใจเข้าลึก ๆ บรรเทา ตัวผมสั่นไปหมด ผมกลัวเพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ไม่เคยต้องสู้กับใคร เขายกมือเปื้อนเลือดขึ้นดู ยิ้มเหมือนคนโรคจิตขัดกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มเหมือนคนใจดี แววตาวาวโรจน์เมื่อตวัดมองผม ใบหน้าแดงก่ำไม่รู้เพราะความโกรธหรือความเมา แต่คงเป็นอย่างแรกมากกว่า

แล้วเขาก็เงื้อมือขึ้น คิดว่าต้องโดนตบอีกแน่ ๆ ผมไม่มีแรงหนีแล้ว ตัวยังถูกเขานั่งทับจนแทบขยับไม่ได้อีก เลยหลับตาลงยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

เพล้ง!!!

“ไอ้เหี้ยเก่ง! “



***************

ใครที่ไม่ได้อ่าน จับนายตัวร้ายมาใส่กรงทอง อาจจะสงสัยว่าพี่รันเป็นใคร

สามารถหาอ่านได้จากเรื่อง จับนายตัวร้ายมาใส่กรงทอง ค่ะ ตัวไม่มา มาแต่ชื่อให้คนคิดถึงรัน

ได้คิดถึงกว่าเดิม 555 หรือลืมน้องรันของน้าเดชกันไปแล้วคะ ยังมีคนรอ ss2 มั้ย

บอกลาปีเก่าด้วยตอนสุดท้ายของปีค่ะ ส่วนตอนต่อไป เจอกันปีหน้าเลยนะคะ

และ

 ดาวขอให้นักอ่านทุกท่านโชคดีต้อนรับปีใหม่ ขอให้ร่ำรวยกันถ้วนหน้าทุกคน ให้มีแต่ความสุขสวัสดี

สุขภาพร่างกายแข็งแรง ให้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตจากนี้และตลอดไปค่ะ

Happy New Year 2019

ดาว ณ แดนดิน

29-12-2561
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รัก..คนอย่างกู ตอนที่ 3 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-01-2019 09:57:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รัก..คนอย่างกู ตอนที่ 3 (30/12/2561)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-01-2019 10:04:45
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 4 (11/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-01-2019 18:54:30





ขอบคุณที่..รักคนอย่างกู 4

“เหี้ยอะไรของมึงวะไอ้เพลิง!”

“กูบอกว่าไง มากินที่นี่มึงจะมั่วจะเมาแค่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่เอาของพวกนี้เข้ามาด้วย” เขาโยนอะไรบางอย่างใส่หน้าเพื่อน พี่เก่งคว้ามันไว้ได้ แต่ยังลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่คุณชายเดือดดาลแทบจะฆ่าเขาได้อยู่แล้ว

“ก็แค่ของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเปล่าวะ มึงจะดุไปไหน”

“กูไม่ชอบ!”

“ทำอย่างกับมึงไม่เคย” เขาตวัดสายตามองเพื่อนตาขวาง ถ้าผมเป็นพี่เก่งคงเผลอสะดุ้งกันบ้างล่ะ “แล้วไงละ เวลามึงไปมั่วที่อื่นมันก็มีนี่หว่า กูไม่เห็นว่ามึงจะมีปัญหาอะไรเลย”

“ที่อื่นคือที่อื่น แต่ไม่ใช่ที่นี่เก็บของของมึงแล้วไสหัวไปซะ”

“ได้แต่กูจะเอาไอ้เด็กนี่ไปด้วย”

“ผมไม่ไปนะ” รีบปฏิเสธทันทีที่เขากระชากแขน ท้องก็ยังจุกอยู่จนต้องกุมไว้

พี่เก่งหันมาตะคอกผม “หุบปากเลยมึง ตีหัวกูแตกยังไงก็ต้องคิดบัญชี! มึงต้องชดใช้”

“ออกไปจากบ้านกู!”

“เออสัส! มานี่เลยมึง”

“ผมไม่ไปกับคุณ!” ผมขืนตัวเองไว้เมื่อถูกกระชากให้ลุกขึ้น หน้าก็เจ็บท้องก็จุก แต่คนอื่น ๆ ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยผมสักคน แม้แต่คุณน้ำหวานกับผู้ชายสองคนนั้นที่นั่งอยู่ไม่ไกล ยังทำแค่หยุดกิจกรรมแล้วหันมามองเฉย ๆ ทำหน้าเหมือนผมไปขัดจังหวะเขาด้วยซ้ำ

อยากร้องออกมาดัง ๆ ทุกคนที่นี่คงเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว มองเข้าไปในห้องหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างนอก เกิดอะไรขึ้น ผมมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย เขาแค่แสยะปากให้ไม่แยแสสักนิด

“เล่นตัวนักนะมึงมา!” เพราะขืนตัวไว้สุดแรงจนเขาหันมาว่าด้วยความโมโห พร้อมกับเงื้อมือขึ้น ผมหดคอหลบ คิดว่าคงโดนตบอีกแน่ ๆ

“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะไอ้เก่ง ปล่อยน้องมันก่อน”

“กูจะเอามันไปด้วย”

“น้องมันไม่ไปมึงจะบังคับทำไมวะ” เพื่อนเขาอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาแทรกขึ้น เขาคือคนที่ส่ายหัวให้เพื่อนผู้ชายสองคน ที่จูบกันอยู่หน้าประตูตอนมาถึง นั่นเลยเรียกให้คนอื่น ๆ เดินตามออกมาดูเหตุการณ์ด้วย ตอนนี้เสียงเพลงเงียบไปแล้ว ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน อยากให้เรื่องนี้มันจบ ๆ ไปสักที เพราะผมไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาทั้งวันยังต้องมาเจออะไรอย่างนี้อีก พยายามสะบัดข้อมือออกจากมือใหญ่ของเขา แต่มันก็แข็งเหมือนคีมเหล็ก บีบจนข้อมือผมแดงไปหมดแล้ว เจ็บจนอยากร้องไห้

“มึงดูหัวกูนี่ ไอ้เด็กนี่มันทำกู”

“มึงทำมันน้องมันก่อนไหมสัส”

“มันอ่อยกูเอง กูก็แค่ตามน้ำ” เชื่อเขาเลย

“ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น พวกคุณบ้าไปกันหมดแล้วหรือไง”

“หลีกทางกูจะกลับ” แรงกระชากทำผมเซไปข้างหน้าเกือบล้ม พี่คนนั้นเลยจะเข้ามาช่วยพยุง “อย่ามาขัดกูนะไอ้เหี้ยออฟ!”

“มึงก็เห็นอยู่ว่าน้องมันไม่อยากไปด้วย”

“แต่กูจะเอามันไป!”

“ผมไม่ไป”

“มึงคิดว่าตีหัวกูแล้วจะรอดตัวไปได้ง่าย ๆ เหรอสัส ฝันอยู่หรือไงเด็กน้อย”

“ผมแค่ป้องกันตัว”

“ยังไงมึงก็ต้องชดใช้!”

“สัสพอสักที! ไสหัวมึงออกไปจากที่นี่ไอ้เก่ง!” ไม่คิดว่าเขาจะช่วย แต่เสียงนี้เป็นเสียงของเขาจริง ๆ คุณชาย Bad Boy มองเพื่อนตาขวาง ท่าทางเดือดดาลและคงรำคาญเต็มที

“ไปก็ได้โว้ย! “พี่เก่งยังไม่ยอมปล่อยผม เขากระชากอีกทีผมเลยสะดุดล้ม หัวเข่ากระแทกพื้นเจ็บหนึบจนลุกไม่ขึ้น

“ปล่อยมัน! “

“กูไม่ปล่อยมึงจะทำไม ไหนเมื่อกี้มึงบอกเองว่าตามสบาย” ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายสองคนที่กำลังฟาดฟันกันทางสายตาอยู่ตอนนี้ จะเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่พอใจ ไม่มีใครยอมใคร แต่ถ้าเทียบรังสีความน่ากลัว ผมยกให้คุณเพลิงน่ากลัวกว่า เพราะนอกจากตัวเขาจะสูงกว่าพี่เก่งแล้ว หุ่นยังหนาล่ำท่าทางแข็งแกร่งกว่ามาก ส่วนอีกคนสูงโปร่งออกไปทางเจ้าสำอางมากกว่า คุณชายที่ดูลุย ๆ ใบหน้าถมึงทึงเพราะโกรธจัดประดับด้วยไรหนวดเคราเป็นตอสั้น ๆ อย่างคนขี้เกียจโกน ทำให้เขาดูเข้มขึ้น เลยน่ากลัวกว่าเห็น ๆ

“เฮ้ย เพื่อนกันทะเลาะกันให้ได้อะไรวะ ไปพอ ๆ ไอ้เก่งมึงกลับไปก่อน” เพื่อนอีกคนเข้ามาดึงพี่เก่งออกไป แต่เขายังขืนตัวไว้ เพราะทั้งพี่เก่งกับคุณชายยังเขม่นใส่กันอยู่

“เมียเก็บมึงเหรอไอ้เหี้ย งั้นก็เอาคืนไป”

“โอ๊ย! “ผมเจ็บสองเด้ง เพราะพอพี่เก่งบอกว่าเอาคืนไป เขาก็ผลักผมไปทางคุณเพลิง ฝ่ายนั้นก็ปัดตัวผมออกทันที ก่อนจะได้เซไปชนหน้าอกกว้าง ๆ ของเขา ผมล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบ และคนเจ็บที่สุดก็คือตัวผมไง ถูกคนนั้นผลักคนนี้ผลักเหมือนเป็นสิ่งน่ารังเกียจ

พี่เก่งออกจากที่นี่ไปแล้วหลังจากทิ้งสายตาน่ากลัวมองมาที่ผม หลังเสียงปิดประตูดังปังทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ พยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนดี ๆ ท่ามกลางสายตาสมเพชของหลายคน โดยเฉพาะสายตาดุดันของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเจ้านาย ที่มองเหมือนผมเป็นต้นเหตุทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น แต่ผมคงไม่ต้องแปลกใจนักหรอก เพราะไม่ว่าจะทำอะไรมันก็คงผิดสำหรับเขาหมดทุกอย่างนั่นแหละ ทั้งที่ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรให้เขาไม่ชอบ

“เอาไงวะจะต่อหรือแยกย้าย” คนที่ผมได้ยินพี่เก่งเรียกออฟถามขึ้น หลายคนมองหน้ากันแล้วส่ายหัว ส่วนผมได้แต่ยืนก้มหน้าไม่กล้ามองใคร

“อยู่นี่เสียบรรยากาศแล้ว กูว่าออกไปต่อข้างนอกดีกว่าว่ะ” ใครอีกคนเสนอขึ้น

“ดีเหมือนกัน มึงเอาไงไอ้เพลิง” เพื่อนอีกคนหันมาถามคุณชายแต่เขาไม่ตอบ และเหมือนคนอื่น ๆ จะรู้กันว่าคงไม่ได้คำตอบจากเขา เพราะถามแล้วต่างคนต่างแยกย้าย บางคนกอดคอกันเดินออกจากห้อง บางคนเดินออกไปทั้งที่เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อยด้วยซ้ำ

“เพลิงไปกับน้ำหวานนะคะ” อย่างเช่นคุณน้ำหวานนี่ไง ที่ใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่รุ่มร่าม คงเป็นของหนึ่งในสองที่เธอนัวเนียด้วย แต่กลับไม่กลัดกระดุมสักเม็ด ยังดีที่รู้จักกุมสาบเสื้อปิดหน้าอกล้นทะลักไว้ เลยไม่ดูน่าเกลียดนัก เธอเดินมาเกาะแขนคุณชายที่ยืนทำหน้าโหดถมึงทึงน่ากลัว “ไปนะคะเพลิง”

“ออกไปก่อน”

“แต่น้ำหวานว่า..”

“สัสออกไปกูรำคาญ!” เธอถึงกับหน้าเสีย แต่ยังมีแก่ใจตวัดสายตาจิกมองผม เหมือนกับผมเป็นคนเอ่ยปากไล่ยังไงอย่างนั้น ทั้งที่ผมยืนของผมอยู่เงียบ ๆ แล้วเธอก็สะบัดเดินตามคนอื่นออกไป จนเหลือแค่เจ้าของห้องกับคนอาศัยอย่างผม

“มึงจะยืนทำหน้าโง่อยู่อีกนานไหม!” หรือว่าผมต้องออกไปเหมือนคนอื่น ๆ ด้วย?

“ก็ผมไม่ได้ว่าจะออกไปต่อข้างนอกเหมือนเพื่อนคุณนี่”

“ไม่ไปก็ไปเก็บห้องสิวะ ยืนบื้ออยู่ทำไมเกะกะลูกตากูแม่ง!” บอกกันดี ๆ ก็ได้นี่นา ผมทำได้แค่เถียงในใจ ขณะเดินตัวงอผ่านเขาเข้าไปข้างใน ลงมือเก็บกวาดห้องอีกรอบ ทั้งที่วันนี้ก็เก็บกวาดมาแล้วทั้งบ่าย ผิวแก้มยังเจ็บเวลาพูด ท้องที่จุกเพราะโดนต่อยดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังรู้สึกเสียด ๆ บางครั้งที่ขยับตัวแรง บิดตัวหรือก้มทำนั่นทำนี่ แต่ถึงจะเจ็บก็คงโอดครวญไม่ได้ เพราะมีสายตาอาฆาตมาดร้ายจ้องอยู่ ถึงจะแค่แอบเหลือบมองก็เห็นล่ะนะ ว่าแววตาของเขามันน่ากลัวมากแค่ไหน ไม่รู้อยู่ดี ๆ จะบันดาลโทสะฆ่าผมตายหมกไว้แถวนี้หรือเปล่า

ถึงจะเคยได้มีคนเรียกว่าไอ้เด็กโปลิโอ เพราะเมื่อก่อนผมผอมมาก แต่พอขึ้น ม.6 ผมก็เริ่มออกกำลังกายมากขึ้น กินเยอะขึ้น จะได้มีเนื้อมีหนังอย่างคนอื่น ๆ เขาบ้าง และผมก็ทำสำเร็จที่ได้น้ำหนักมาเพิ่มอีกตั้ง 3 โลแน่ะ แต่ถึงอย่างนั้นถ้าเทียบกับพี่เก่ง ผมก็ตัวเล็กและเตี้ยกว่าพวกเขาอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงคุณชายเลยที่ทั้งตัวสูง ทั้งหนาทั้งล่ำ ว่ามันจะต่างกันมากแค่ไหน ถ้าวันไหนเขาไม่อยู่ ผมอาจจะแอบใช้เครื่องออกกำลังเผื่อมีกล้ามเนื้อเหมือนเขาบ้าง

แต่ผมควรจะอยู่ที่นี่ต่อหรือออกไปอยู่ที่อื่นดี คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา มือก็เก็บของไปด้วย ถ้าจะเรียนต่อให้จบ ผมต้องอดทนอยู่ที่นี่ให้ได้ แต่ถ้าเขาจะพาเพื่อนมาปาร์ตี้อย่างนี้ทุกวันคงไม่ไหว ถ้าจะออกไปอยู่ข้างนอก ผมคงต้องทำงานเก็บเงินมาใช้หนี้ให้คุณลุงก่อน จากนั้นค่อยทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย นั่นคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ทั้งหมดที่พูดมานี้เป็นไปไม่ได้สักอย่าง เมื่อคิดถึงสัญญาที่ผมให้ไว้กับแม่ คำสั่งเสียสุดท้ายบอกให้ผมอยู่กับคุณลุงจนกว่าจะเรียนจบ ข้อตกลงที่คุยกับคุณลุง ถ้ากลับคำผมยังจะเป็นคนที่น่าเชื่อถืออยู่อีกหรือ

ผมเก็บขยะรวมใส่ถุงดำ ถูพื้นที่เลอะ รีบทำให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้ไปนอนพักสักทีเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ปกติผมไม่เคยนอนดึกขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่...

“แม่งเอ๊ย! “โครม! ผ่านไปครู่หนึ่ง ผมได้ยินเสียงสบถตามมาด้วยเสียงดังโครม เดาว่าคุณชายอารมณ์ร้ายคงระบายอารมณ์กับอะไรสักอย่างแถวนั้น แต่ผมไม่กล้าโผล่หน้าออกไปดู เพราะแค่นี้ก็โดนหางเลขมาเยอะแล้ว ก้มหน้าก้มตาทำงานงก ๆ ต่อไป อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเช้าแล้ว และเป็นเช้าวันแรกสำหรับเฟรชชี่ปีหนึ่งอย่างผมด้วย ที่ต้อง...

“แย่แล้ว! “เผลอร้องออกมา ของทุกอย่างในมือร่วงตกลงพื้น เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ผมต้องไปมหาวิทยาลัย 8 โมงเช้าต้องเข้าปฐมนิเทศ ต้องไปรับตารางเรียนอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง ช่วงบ่ายรุ่นพี่เรียกรวม แต่อีกไม่ถึงสามชั่วโมงก็จะเช้าอยู่แล้ว ผมยังไม่ได้นอนสักงีบเลยนี่สิปัญหา!

“เป็นเหี้ยอะไรของมึงอีก!” บ่อยแค่ไหนก็ไม่ชิน ผมถึงกับสะดุ้ง ไม่รู้คุณชายที่โมโหร้ายอยู่ตรงสระว่ายน้ำ เดินเข้ามาในห้องตอนไหน ตกใจแต่ก็หันไปทางเขา เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีมารยาทหันหลังให้เจ้านายอีก

“ยืนเหม่อหาญาติผู้ใหญ่มึงหรือไงรีบทำงาน! “เขาสั่งไว้เท่านั้นก็เดินหน้าดุเข้าห้องตัวเองไป ผมเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตามคำสั่ง

กว่าจะเก็บกวาดเช็ดถูห้องจนสะอาด ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ผมกลับเข้ามาในครัว รื้อหาชุดนักศึกษาออกมาจากกระเป๋า มันยับนิดหน่อยเลยต้องรีดเตรียมไว้ จนทุกอย่างจะเสร็จก็เสียเวลาไปอีกพอสมควร ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก น้ำก็ยังไม่ได้อาบ แต่มันไม่ไหวแล้ว ร่างกายเหนื่อยล้าสะสมตั้งแต่มาถึงจนตอนนี้ยังไม่ได้พักผ่อน ตาผมจะปิดอยู่แล้ว เลยเดินล่องลอยมาทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องรับแขก ยังไม่ได้ถามเขาว่าผมจะนอนตรงนี้ได้ไหม แต่เขาเข้าห้องไปแล้วไว้ค่อยถามตอนเช้าก็แล้วกัน ถ้าเขาตื่นนะ

ในห้องเปิดไฟสลัวตั้งแต่ตอนพวกเขาปาร์ตี้กัน และตอนนี้ถึงงานจะล้มไปแล้ว แต่ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่จน แสบจมูก ไม่ชอบเลย แต่ถ้าจะอยู่ที่นี่ผมก็คงต้องอดทน คุณลุงคงไม่รู้ว่าผมต้องเจอกับอะไรบ้าง และผมเองก็ไม่รู้ว่าควรบอกคุณลุงดีไหม ผมควรบอกถึงความร้ายกาจของลูกชายให้พ่อได้รับรู้บ้างจะดีไหม หรือนั่นอาจจะทำให้คุณลุงไม่สบายใจกว่าเก่า ก็คุณลุงให้ผมมาช่วยดูแลลูกชายนี่นะ คงไม่อยากได้ยินอะไรไม่ดีอย่างนี้ นอกจากว่าผมดูแลลูกชายให้อย่างดีที่สุด

“ธารคิดถึงแม่จังครับ” การคิดถึงแม่ช่วยให้ความรู้สึกหน่วง ๆ หนักอึ้งดีขึ้นมาก ร่างกายที่ถูกทำร้ายก็เหมือนจะดีขึ้นด้วย แค่คิดถึงคนที่เรารัก ถึงตอนนี้ผมจะเหลือตัวคนเดียว ถึงแม่จะไม่ได้อยู่รอดูความสำเร็จของผม แต่ผมก็จะทำให้มันสำเร็จให้ได้ ผมจะอยู่ที่นี่กับเขา อดทนเพื่อความสำเร็จของตัวเอง เวลาแม่มองลงมาจากบนฟ้าจะได้ภูมิใจ แต่ไหนแต่ไรมาเราก็มีกันอยู่แค่สองแม่ลูก ผมเคยถามถึงพ่อ แม่บอกแค่ว่าพ่อเสียตั้งแต่ตอนผมยังอยู่ในท้อง รับรู้แค่ว่าแม่ต้องเลี้ยงผมมาลำพัง และเราไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว

เรื่องเรียนผมไม่หนักใจเท่าเรื่องของคนที่ผมต้องอาศัยอยู่ด้วยจนเรียนจบ ถึงจะเคยรู้สึกดี ๆ กับเขามาก่อน แต่ไม่รู้จะทนได้อีกนานแค่ไหน ผมมันแค่คนแอบปลื้มในตัวเขา พี่ชายใจดีคนนั้น ไม่อยากคิดเลย ถ้าเขารู้เรื่องนี้มันจะเป็นยังไง เพราะมาอยู่วันแรกก็เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้เต็มใจให้อยู่ด้วย ตอนนี้ก็คงรำคาญเต็มที

“ธารจะทำให้ได้ครับแม่ จะตั้งใจเรียนให้จบ อาจจะไม่ถึงขั้นเกียรตินิยมแต่ธารจะทำให้ดีที่สุดนะครับ ธารสัญญา”

“แค่นี้แม่ก็ภูมิใจในตัวธารแล้วจ้ะ”

“ครับแม่ แม่ครับ! “เฮือกกก!! สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าข้างนอกเริ่มสว่างแล้ว ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่คงไม่นานนัก เลยเหมือนยังไม่ตื่นเต็มตา แต่จะให้นอนต่อก็กลัวตื่นไม่ทัน

ตอนนี้ 6 โมงเช้าแล้ว คงต้องรีบเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย แต่หน้าที่ก่อนไปก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นผมคงโดนด่าเละอีกแน่ เดินล่องลอยกลับเข้าไปในครัว เอาของออกมาเตรียมทำอาหารเช้าไว้ให้คุณชาย ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ของสดที่ซื้อมาเมื่อวานยังเหลือเลยทำข้าวต้มหมูง่าย ๆ ไว้ หวังว่าตื่นขึ้นมาเขาคงรู้จักหากินเองได้ และหวังว่าเขาคงไม่โทษว่าผมไม่อยู่รับใช้ ก็วันนี้มันวันแรกที่ผมจะได้เป็นนักศึกษาเต็มตัวนี่นา

เตรียมอาหารเสร็จผมรีบไปอาบน้ำ ใช้ห้องน้ำของสระที่อยู่ข้างนอก แต่งตัวเสร็จออกมาหาอะไรกินรองท้อง ตักแบ่งข้าวต้มที่ทำไว้รีบกินรีบออกไป ไม่ลืมเขียนโน้ตติดไว้หน้าตู้เย็นบอกเขาไว้ด้วยว่าไปไหน ไม่คิดว่าเขาจะอยากรู้ แต่ก็ยังดีกว่าทำให้เขาอารมณ์เสีย เพราะตื่นมาไม่เจอเด็กรับใช้ให้เขาจิกหัวใช้งานล่ะนะ

ที่พักกับมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลกันมาก แต่ให้เดินก็ไม่ไหวเหมือนกัน โชคดีที่นั่งรถเมล์แค่ต่อเดียว ต้องขอบคุณคุณลุงที่ให้พี่ทัพพาผมมาดูเส้นทางไว้แล้ว เลยไม่ต้องกลัวหลง และวันแรกก็ผ่านไปพร้อมกับความง่วงแทบลืมตาไม่ขึ้น ถึงจะตื่นเต้นเพราะได้สัมผัสกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ถึงจะตื่นเต้นกับการก้าวเข้าสู่วัยเรียนที่โตขึ้นอีกก้าวของการเป็นนักศึกษา แต่ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กลับประท้วงตลอดเวลา นั่งฟังอาจารย์พูดไปก็พานจะหลับเสียให้ได้ ยังดีที่ได้เพื่อนใหม่คอยสะกิดเรียก ไม่อยากนั้นผมคงหลับคาห้องตั้งแต่วันแรกให้อาจารย์หมายหัวแล้ว

ผมได้เพื่อนใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยพร้อมกันถึงสองคน เก้าผู้ชายตัวสูงผิวเข้มนัยน์ตาคม ท่าทางเป็นคนจริงจังกับชีวิตพอสมควร เก้าบอกว่าผิวเข้ม ๆ ของเขาเป็นเอกลักษณ์ของคนใต้ ที่ส่วนใหญ่ผิวแทนเข้มกันทั้งนั้น พอนั่งใกล้กันสีผิวตัดกันจนเห็นได้ชัดกับคนเหนืออย่างผม ส่วนกุ๊กไก่เป็นสาวกรุงเทพฯ หน้าหมวย สองคนนี้รู้จักกันก่อน เพราะเจอกันตอนหลงทางหาคณะตัวเองไม่เจอ ต่างคนต่างมาคนเดียว เก้าเป็นเด็กต่างจังหวัด กุ๊กไก่ถึงจะเป็นเด็กกรุงเทพแต่เพื่อสนิทกลับเรียนคนละคณะ เลยต้องแยกกัน

“โอย..ไม่คิดว่าวันแรกมันจะน่าเบื่ออย่างนี้” กุ๊กไก่บ่นได้ตรงใจคนง่วงอย่างผมมาก หลังจากเราฉลองการเป็นเพื่อนกัน ด้วยอาหารกลางวันในโรงอาหารของคณะนี่เอง

“มาวันแรกก็เบื่อแล้วเหรอ” ผมถามยิ้ม ๆ

“เบื่อจะนั่งฟังสิ” กุ๊กไก่ยังบ่นไปหาวไป เมื่อคืนเธออาจจะไม่ได้นอนเหมือนผมก็ได้

“บ่ายโมงรุ่นพี่เรียกรวมนะอย่าลืม” เก้าบอก

“ไม่ไปอะขี้เกียจ” สาวหมวยว่ามาอย่างนั้นทำให้ผมสนใจทันที

“ไม่ไปก็ได้เหรอกุ๊กไก่” ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ ใจอยากกลับไปนอนมันเสียเดี๋ยวนี้ถ้าทำได้

“ได้สิทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“แต่ก็ควรจะไปไม่ใช่เหรอ” เก้าว่า “ใกล้ได้เวลาแล้วนี่ไปนั่งรอเถอะ” เราสามคนพากันเดินไปนั่งรอในหอประชุมคณะ ไม่นานรุ่นพี่ปี 2 ก็เข้ามาเรียกรวม จัดให้นั่งเรียงแถวให้เป็นระเบียบ มีการประกาศกิจกรรมต่าง ๆ ของปี 1 ที่เราต้องทำร่วมกันหลายอย่าง และการตามหาพี่รหัส เป็นกิจกรรมที่ผมสนใจมากที่สุด

ถึงโอกาสมันจะน้อย แต่ก็แอบหวังว่าจะได้อยู่สายรหัสเดียวกันกับพี่รัน พี่ที่ผมรักและนับถือยกให้เป็นไอดอลคนเก่ง ที่เลือกมาเรียนที่นี่และเลือกลงคณะนี้ นอกจากความชอบส่วนตัวเป็นทุนเดิม ส่วนหนึ่งก็มาจากพี่รันคนเก่งของผมนี่เอง ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่มีเพื่อนสนิทเลย เพราะบ้านอยู่ไกลจากโรงเรียนมาก เลิกเรียนต้องรีบกลับบ้านช่วยแม่ทำงาน วันหยุดไปทำงานพิเศษที่รีสอร์ตบ้านพี่รัน เลยได้ไปสนิทกับพี่รันที่สุด พอพี่รันจบ ม.6 แล้วเข้ามาเรียนต่อกรุงเทพฯ ก็แอบเหงาไปพักใหญ่ แต่ก็ตั้งใจว่าจะตามมาเรียนกับพี่รันให้ได้ สามปีผ่านไปวันนี้ผมทำได้แล้ว จากนี้ก็ตั้งใจเรียนให้จบจะได้ทำงาน

ผมกวาดตาไปทั่วห้องประชุม หวังว่าจะได้เจอพี่ชายที่รักนั่งอยู่มุมไหนสักแห่ง แต่ก็ไม่เจอ แอบผิดหวังไปนิด แต่ไม่เป็นไรเพราะกะจะโทรหาพี่รันหลังรุ่นพี่ปล่อยกลับอยู่แล้ว รุ่นพี่ส่วนมากมีแต่ปี 2 ผมเลยไม่แปลกใจนักที่ไม่เห็นไอดอลของตัวเอง เพราะพี่รันเรียนปี 4 แล้ว พี่ฐานทัพบอกว่าคุณชาย Bad Boy เองก็เรียนปี 4 แต่เขาเรียนวิศวะ แอบไม่อยากเชื่ออยู่เหมือนกัน แต่เห็นหน้าตาดุ ๆ ท่าทางเถื่อน ๆ แบบเขาก็ดูเข้ากันได้อยู่นะครับ แต่ผมไม่ได้หมายความว่าวิศวะจะเถื่อนกันทุกคนหรอกนะ

ไม่อยากคิดเลยถ้าได้มาเรียนคณะเดียวกันมันจะเป็นยังไง


ต่อล่างจ้า
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 4 (11/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-01-2019 18:54:48


วันแรกในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปพร้อมกับความง่วง ผมจับสลากได้พี่รหัสชื่อพี่ณัฐ ที่ต้องไปตามหาเอาเองทีหลังว่าเขาเป็นใคร จะว่าง่ายก็ง่าย แต่ถ้ามันง่ายขนาดนั้น รุ่นพี่เขาคงบอกไปแล้วว่าใครเป็นใคร ถ้าเกิดมีคนชื่อณัฐสักสองคน ผมก็ต้องตามให้ถูกว่าเป็นณัฐคนไหน ที่ตรงกับคำบอกใบ้ที่เขียนมาให้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผมเลือกผิดต้องถูกลงโทษ ส่วนโทษจะหนักจะเบา ก็ขึ้นอยู่กับความปรานีของพี่เราเท่านั้น

หลังจับสลากพี่รหัสเสร็จ รุ่นพี่มีการรับน้องเบา ๆ สำหรับวันแรก แต่คนไม่ได้นอนมาทั้งคืนอย่างผมแทบอ่วม กว่ากิจกรรมจะเสร็จก็เกือบ 5 โมงเย็น แยกย้ายกับเพื่อนใหม่หน้าหอประชุม กุ๊กไก่พักที่บ้านมีรถส่วนตัวขับมาเรียน เธอจะไปส่ง แต่ผมเกรงใจเกินกว่าจะรบกวนเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันวันแรก ส่วนเก้าพักหอในมหาวิทยาลัย

“พี่รัน! “เผลอเรียกเสียงดังเลยเพราะดีใจ ขณะจะเดินออกไปรอรถเมล์กลับห้อง เห็นพี่รันนั่งอยู่หน้าตึกกับกลุ่มเพื่อนพอดี ว่าจะโทรหาอยู่แล้วเชียว แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้ ปกติวันแรก ๆ อย่างนี้ไม่น่าเจอรุ่นพี่ปีสูงโดยเฉพาะปี 4 หนุ่มลูกครึ่งที่นั่งข้างพี่รันคือพี่โรเจอร์ ผมรู้จักเพราะเคยเจอกันแล้วที่เชียงใหม่ ตอนพี่เขาไปเที่ยว ส่วนอีกสองคนคิดว่าน่าจะเป็นพี่ก้องกับพี่นที เพื่อนที่พี่รันเคยเล่าให้ฟัง แต่ผมยังไม่เคยเจอตัวจริงพี่ทั้งสองคนมาก่อน

“เป็นไงธารวันแรกสนุกไหม”

“ครับ สนุกจนเกือบหลับเลย” ผมตอบพี่รันยกมือไหว้ทักทายพี่ ๆ คนอื่นไปด้วย พี่รันแนะนำให้รู้จักพี่ก้องกับพี่นที

“หลับได้ไงเดี๋ยวโดนซ่อมตั้งแต่วันแรกนะน้อง” พี่นทีบอก ดูท่าทางแล้วคงเป็นคนขี้เล่นสนุกเฮฮาทีเดียว

“แล้วรู้หรือยังได้ใครเป็นพี่รหัส” พี่รันถาม

“ผมอยากเป็นน้องรหัสพี่รันครับ แต่ที่จับได้ไม่รู้จะเป็นสายเดียวกันหรือเปล่า ชื่อพี่ณัฐ”

“ณัฐเหรอ เอาน่าลองไปหาดูก่อนคณะเรามีไม่กี่ณัฐหรอก” แล้วพี่รันก็หัวเราะขำ แต่นั่นเล่นเอาผมใจเสียไปเยอะเลย ถ้าเกิดมีคนชื่อนี้หลายคนผมแย่แน่

คุยกับพวกพี่ ๆ ครู่ใหญ่ จนร่างกายบอกว่าไม่ไหว เพราะมันล้าเต็มทีแล้วเลยขอตัวกลับ ผมยอมให้พี่รันมาส่งที่คอนโด เพราะอยากให้รู้ว่าพักอยู่ที่ไหน พี่จะได้ไม่เป็นห่วง

“โอ้โหคอนโดโคตรหรูเลยว่ะธาร”

“ครับธารอยู่ที่นี่กับลูกชายของคุณลุงพิภพ พี่เขาก็เรียนมอเดียวกับเราแต่คนละคณะ”

“เออ ยังไงถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่นะเว้ย ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณมากนะครับพี่รันที่มาส่งธาร” เวลาคุยกันสองคน ผมชอบแทนตัวเองกับพี่รันด้วยชื่อ คิดถึงตอนเด็ก ๆ ที่เล่นกันอยู่สองคน เพราะพี่รันก็ถูกแม่บังคับกลาย ๆ ให้มาทำงานพิเศษที่รีสอร์ตแลกค่าขนม เราสองคนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือกำพร้าพ่อ ผมลาพี่รัน รอจนรถเลี้ยวออกถนนใหญ่ถึงเดินเข้าไปในคอนโดหรู ยิ้มทักทายตั้งแต่พี่ รปภ. เฝ้าประตูไปจนถึงพนักงานต้อนรับที่ผมไม่รู้จักชื่อ แต่เหมือนทุกคนคงรู้จักผมหมดแล้ว ในฐานะหลานชายท่านประธาน ที่มาอยู่กับลูกชายของท่าน

เพราะความไม่ชิน ผมเดินตัวลีบมือกำสายกระเป๋าเป้แน่น เมื่อไปทางลิฟต์วีไอพีกดขึ้นไปยังชั้นที่ 25 คิดถึงโซฟาตัวใหญ่ที่ผมจะยึดเอาเป็นที่นอน ไม่ว่าคุณชายเขาจะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม ก็เขาเป็นคนบอกเอง ว่าผมอยากจะอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่อย่าเข้าไปยุ่มย่ามในห้องของเขาก็พอ ดังนั้นก็ไม่ผิดใช่ไหม ที่ผมจะยึดโซฟานุ่ม ๆ นั่งสบายของเขาเป็นเตียง ก็มันกว้างเหมาะพอดีสำหรับการนอนของผมนี่นา

พอคิดว่ากำลังจะได้นอนพักเลยเผลอยิ้มออกมาน้อย ๆ แต่รู้สึกเลยว่าหนังตาตัวเองมันหนักเอามาก ๆ เพราะผมไม่ไหวจริง ๆ เมื่อคืนก็แทบจะไม่ได้นอน วันนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าไปมหาวิทยาลัยและอยู่ที่นั่นทั้งวัน โดยไม่มีโอกาสงีบหลับสักตื่น แต่พอมาถึงหน้าห้อง ภาพโซฟาตัวนุ่มน่านอนพลันสลายหายไปในอากาศทันที เมื่อนึกอะไรบางอย่างได้

ผมไม่มีกุญแจหรือรหัสเข้าห้อง!

ยืนชั่งใจอยู่หน้าบานประตูหรูหรา รอบตัวเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน แต่ผมรู้ว่าถ้ากดกริ่งหน้าห้องเรียกเจ้าของห้องมาเปิดประตู อาจจะเป็นการส่งสัญญาณเรียกพายุทอร์นาโดพุ่งเข้าใส่ตัวเอง แต่ผมจะทำอะไรได้นอกจากจำใจต้องกดกริ่ง ไม่อย่างนั้นก็เข้าห้องไม่ได้ น่าจะถามกุญแจหรืออะไรที่ทำให้ผมเข้าห้องได้โดยไม่ต้องกวนเขาตั้งแต่เมื่อคืน ก็ถ้าผมกล้าอะนะ

แต่ตอนนี้ไม่กล้าไม่ได้แล้ว! ผมตัดสินใจยื่นมือสั่น ๆ ที่อ่อนแรงลงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ กดปุ่มข้างประตู หวังว่าคงไม่ทำให้เขาอารมณ์เสียเกินไป ทั้งที่แค่รับรู้ว่ามีผมอยู่ในห้องด้วยเขาก็อารมณ์เสียแล้วล่ะนะ แต่...

เงียบ กว่าจะรวบรวมความกล้ายกมือขึ้นกดกริ่งหน้าห้องได้ก็ตั้งนาน ตอนนี้ยืนรอตั้งนานประตูบานหรูหนาหนักยังไม่เปิดออก อาจจะไม่มีคนอยู่ หรือว่าเขายังไม่กลับมา คงเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อวานตอนเพื่อนเขามากด เสียงไพเราะของกริ่งราคาแพงยังดังให้ได้ยินกังวานเสนาะหูไปทั้งห้อง นั่นตัดเรื่องที่เขาไม่ได้ยินออกไปได้เลย แต่ตอนนี้ผมจะทำยังไงดี มันง่วงและเหนื่อยเหลือเกิน

พอไม่รู้จะทำยังไง เลยนั่งลงข้างประตูรอเขากลับมา ตอนนี้เย็นมากแล้ว ถ้าเขาออกไปมหาวิทยาลัยก็น่าจะใกล้ได้เวลากลับ ผมนั่งกอดเข่าพิงหลังกับผนังข้างประตูบานหรู พื้นหินอ่อนเย็น ๆ ทำให้อยากล้มตัวลงนอนแผ่ให้สมกับความง่วง เพราะมันเพลียเหลือเกิน

ถ้าตอนนี้แม่ยังอยู่ชีวิตผมจะเป็นยังไงนะ ผมคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านหลังเล็กของเราบนเนินกลางสวนองุ่น คิดถึงอากาศเย็นสบายยามค่ำกับหมอกจาง ๆ อยากไปปั่นจักรยานเล่น ผมไม่อยู่สวนดอกไม้เล็ก ๆ รอบบ้านคงไม่มีใครดูแล ป่านนี้คงเหี่ยวเฉาลงไปมากแล้ว และอีกไม่นานมันคงแห้งตายหมด บ้านหลังเล็กของเราคงเหงาไม่ต่างกับผมตอนนี้

ปุบ! ผมปรือตาขึ้นหันไปมองประตูห้อง เหมือนได้ยินเสียงเปิดปิดประตูแต่คงหูแว่วไปเอง เพราะทุกอย่างรอบตัวยังคงเงียบเหมือนเดิม บานประตูยังปิดสนิทเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

‘แม่ครับธารคิดถึงแม่จังเลยครับ’ ผมยิ้มเมื่อเห็นแม่ใต้เปลือกตาที่ปิดลง ผู้หญิงที่สวยที่สุดของผมกำลังส่งยิ้มกลับมา เป็นรอยยิ้มในความทรงจำที่ผมไม่มีวันลืม หลับตาลงเมื่อไหร่ก็เห็นแม่ยิ้มให้เมื่อนั้น ความทรงจำของเราสองแม่ลูก ความสุขที่มีกันแค่สองคน สุขหรือทุกข์เราก็ผ่านมันมาด้วยกัน เวลาที่เราเคยใช้ร่วมกัน วันเกิดของผมกับของขวัญจากแม่ งานเลี้ยงเล็ก ๆ สองแม่ลูก วันที่ผมเรียนจบชั้นประถมพร้อมกับคะแนนสอบที่ 1 ของชั้นปี ทำให้แม่ยิ้มกว้างอีกหลายเท่า และวันทุกวันที่มีแต่รอยยิ้มของเรา

“น้อง”

แต่อยู่ดี ๆ ทุกอย่างกลับเลือนรางลง ใบหน้าของแม่ซีดลงแล้วค่อย ๆ จางหายไป ในที่สุดก็เหลือเพียงความอ้างว้าง ผมเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในความมืด มันลุกลามกินพื้นที่เขามาเรื่อย ๆ ผมอยากวิ่งหนีแต่ก็หนีไม่พ้น ถูกความมืดกลืนกินจนมองอะไรไม่เห็น เหมือนร่างกายถูกกดให้จมดิ่งลงเหวลึก...

“น้องครับ”

เฮือก!! สะดุ้งตื่นเพราะแรงเขย่าที่ต้นแขนไม่เบานัก หัวใจของผมเต้นแรงเพราะถูกปลุกขึ้นกะทันหัน มันเหนื่อยแต่ก็พอตั้งสติได้ ผู้ชายที่คุกเข่าตรงหน้ากำลังยิ้มให้ สายตาที่มองมาอ่อนโยนจนความตกใจของผมค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงความสงสัย และยิ่งต้องสงสัยกว่าเดิม เมื่อคำถามหลุดออกจากริมฝีปากบางสีชมพูจาง ๆ ของเขา

“ลำธารใช่ไหม” รอยยิ้มใจดีช่วยให้ผมยังวางใจได้ ว่าเขาคงไม่ได้มาร้าย แต่ก็เผลอขยับถอยออกมาเล็กน้อย เมื่อเขาวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ ท่าทางอย่างนี้คงมีใช่คนที่คิดร้ายต่อกันหรอกใช่ไหม

“สงสัยล่ะสิว่าฉันรู้จักลำธารได้ยังไง” ผมพยักหน้าเบา ๆ ให้คนตรงหน้ารู้ว่าผมคิดอย่างนั้นจริง เพราะยังหาเสียงตัวเองไม่เจอ อยากจะพูดอยากจะถามอะไรออกไปบ้าง แต่เหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือผมยังไม่ตื่นดี “ไม่ต้องกลัวนะฉันชื่อปฏิมา เป็นน้องชายพี่ใหญ่ เอ่อ..คุณพิภพไง”

ผมถึงกับเหวอทำตัวไม่ถูกแต่ก็รีบยกมือไหว้ ทั้งที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าพูดเรื่องจริง หรือกำลังโกหก เพราะไม่เคยได้ยินคุณลุงพูดถึงน้องชายสักครั้ง หน้าตาก็ไม่มีเค้าเหมือนกันเลย แต่ท่าทางใจดีไม่ต่างกันนี่ ผมควรจะวางใจได้ไหม คุณลุงพิภพตัวสูงหนาเหมือนคุณเพลิง ใบหน้าดุแต่ก็ดูใจดี ต่างจากคนตรงหน้าที่ถึงจะดูใจดีเหมือนกัน แต่กลับสูงโปร่ง ดูเป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยนกว่ามาก ผมไม่ได้หมายความว่าคุณลุงไม่สุภาพนะ แต่ผู้ชายสองคนนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปคนละแบบ และที่สำคัญคือ เขาดูอายุน้อยเกินกว่าจะเป็นน้องชายของคุณลุงได้นะสิ

“สงสัยอะไรเดี๋ยวค่อยถามนะ แล้วทำไมมาหลับตรงนี้ได้ล่ะ เพลิงยังไม่กลับมาหรือไง”

“เอ่อ ผม..ไม่รู้ครับ สงสัยยังไม่กลับ”

“แล้วเราไม่มีคีย์การ์ดเข้าห้องหรือรหัสเปิดประตูเหรอ” ผมเงียบเมื่อคุณปฏิมาถอยออกไปแล้วยืนขึ้น เลยได้โอกาสยืนขึ้นบ้าง เขาพูดต่อเมื่อผมไม่ตอบคำถามสักที “เดาว่าคงไม่มีทั้งสองอย่างสินะถึงได้มานอนตรงนี้ เพลิงนี่แย่จริง ๆ มาเถอะเดี๋ยวอาเปิดประตูให้” แล้วคุณปฏิมาก็หันไปกดรหัสเปิดประตูท่าทางคุ้นเคย ผมคงเชื่อได้แล้วสินะว่าเป็นน้องชายคุณลุงจริง

“เรียกฉันว่าอาเล็กเหมือนเพลิงเรียกก็แล้วกันนะ เข้ามาสิยืนเงียบทำไม” นั่นแหละผมถึงได้เดินตามคุณปฏิมาเข้าไปในห้อง และได้พบกับความจริงว่า...

“อ้าวเพลิงอยู่ห้องเหรอทำไมไม่เปิดประตูให้น้องล่ะ”

“แค่เด็กรับใช้ไม่ใช่น้อง ไม่มีปัญญาเข้ามาก็ให้มันนอนหน้าห้องนั่นแหละ อาเล็กไม่ต้องสนใจ” คนที่นั่งไขว่ห้างท่าทางผ่อนคลายอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ตอบ มือข้างหนึ่งถือกระป๋องเบียร์ ส่วนอีกข้างถือรีโมททีวี เขาปรายมองมาที่ผมสายตาเยาะหยัน แล้วหันกลับไปสนใจรายการแข่งรถในจอทีวีเหมือนเดิม ทำเหมือนผมเป็นอากาศ

“ไม่สนใจได้ยังไง น้องรอจนหลับอยู่หน้าห้องเลยนะเพลิง”

“ช่วยไม่ได้ตอนเปิดประตูมันไม่เข้ามาเอง” คุณเล็กหันมามองหน้าผมสายตามีคำถาม ผมส่ายหน้าเบา ๆ บอกให้รู้ว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเขาเปิดประตูตอนไหน หรืออาจจะเป็นตอนที่ผมหลับอยู่

“งั้นอาจะเอารหัสกับคีย์การ์ดให้น้องเอง”

“อาเล็ก! “

“ว่า...” คุณเล็กหันไปยิ้มหล่อให้คุณเพลิง ท่าทางสองคนนี้เหมือนพี่ชายคนโต กับน้องคนเล็กที่อายุห่างกันไม่กี่ปี มากกว่าจะเป็นอากับหลาน คุณเพลิงมองคุณอาตาขวาง แต่แปลกที่คนถูกมองกลับยังยิ้มอ่อน ท่าทางออกจะกวนเสียด้วยซ้ำ เป็นคนอื่นหรือผม คงไม่กล้าทำสีหน้าอย่างนั้นแน่ ถ้าถูกสายตาดุคู่นั้นจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อขนาดนี้ “คราวหลังลำธารจะได้ไม่ต้องนั่งรอจนหลับอยู่หน้าห้องไง คนอะไรใจร้ายชะมัดเลย”

“สมน้ำหน้ามัน”

“เอ๊ะตาเพลิงนี่พูดกับน้องดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”

“ช่างมันเถอะ” ผมรู้สึกสมเพชตัวเองยังไงไม่รู้ แต่ก็ดีใจที่ไม่ต้องกดกริ่งเรียกให้เขาอารมณ์เสียอีก เมื่อคุณเล็กบอกรหัสเปิดประตู ผมรีบท่องให้จำได้ขึ้นใจ ยกมือไหว้ขอบคุณเมื่อคีย์การ์ดแผ่นเล็กถูกยื่นมาตรงหน้า ทั้งที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ เหมือนกำลังถูกสายตาเชือดเฉือนจ้องมอง

“แล้วอาเล็กมาทำไม”

“อามาดูห้อง”

“จะย้ายเข้ามาเหรอ”

“ก็คิด ๆ อยู่แต่ยังไม่ชัวร์ เดี๋ยวเย็นนี้ออกไปกินข้าวกับอาไหม”

“ผมมีเด็กรับใช้ทำให้กินนะถ้าอาเล็กไม่อยากออกไปข้างนอก”

“เพลิง” คุณเล็กปราม เขายักไหล่พร้อมกับเบ้ปากไม่สนใจ คุณเล็กเลยหันมาถามผม “ธารทำกับข้าวเป็นเหรอ”

“เป็นครับ”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้โชว์ฝีมือหน่อยนะ ฉันจะมากินด้วย”

“ได้ครับ คุณเล็กอยากทานอะไรหรือชอบอะไรเป็นพิเศษไหมครับเดี๋ยวผมทำให้”

“อืม..อะไรก็ได้ที่รสไม่จัดฉันกินได้หมดนั่นแหละ แล้วก็เรียกอาเล็กเหมือนพี่เพลิงนะ” เห็นนะว่าอีกคนที่นั่งฟังเบ้หน้า แต่ผมก็ยิ้มกว้างให้คุณเล็ก อย่างน้อยเขาก็ใจดีกับผมเหมือนคุณลุง

“ครับ”

คุณเล็กยิ้มให้ผม แล้วหันไปหาหลานชาย “เดี๋ยวอาไปดูห้องก่อน”

“เดี๋ยวตามไป” คุณเพลิงตอบแต่ผมไม่รู้ว่าห้องอะไรและไม่กล้าถาม มองตามหลังจนคุณเล็กออกจากห้องไปแล้ว เลยหมุนตัวกะจะเข้าไปดูในครัว ว่ามีของพอทำอาหารสำหรับเย็นนี้หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหน เสียงดุ ๆ ก็ขัดขึ้นก่อน

“อย่าแม้แต่จะคิดอ่อยอาเล็กของกู!” อะไรของเขาอีก ผมเงยหน้ามองเขา อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรแก้ต่างให้ตัวเองดี ไม่รู้คิดได้ยังไงว่าผมจะอ่อยคุณเล็ก หรือเขาคิดว่าคนอย่างผมจะให้ท่าคนนั้นคนนี้ไปทั่ว

“ผม ผมเปล่า” เลยก้มหน้าตอบไปแค่นั้น

“เปล่าแต่ยิ้มให้เขาขนาดนั้นใครจะเชื่อมึง ไปเลยทำงานตามหน้าที่ของมึงเลย”

“ครับ” แอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ หวังว่าเขาคงไม่ได้ยิน

“แต่ถึงมึงจะอ่อยยังไงคงไม่ได้แดกอากูหรอก เพราะเขาเป็นประเภทมีผัว ไม่ใช่ประเภทเป็นผัวใคร” ตอนแรกผมก็ยืนก้มหน้า แต่พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ก็เลยอยากเห็นว่าเขากำลังทำสีหน้ายังไง เหลือบตาขึ้นดูกล้า ๆ กลัว ๆ สายตาที่สะท้อนกลับมาคือสายคมกล้าปนสมเพช เขาแสยะยิ้มสะใจที่ผมยังเงียบ เหมือนยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง แต่ผมไม่รู้จะแก้ต่างให้ตัวเองยังไง ว่าสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยคิดถึงมันเลย เขามองผมในแง่ร้าย และผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาคิดอย่างนั้น แต่อย่างน้อยในอะไรแย่ ๆ ที่เขาพูดมาทั้งหมด ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อยู่บ้าง นั่นก็คือเขาไม่ตะคอกเหมือนทุกครั้งที่พูดกัน แถมยังยิ้มให้ผมด้วย ถึงจะเป็นการแสยะยิ้มอย่างคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าก็เถอะนะ

มองตามร่างสูงที่เดินออกจากห้องไปจนประตูปิดลง ถึงได้หันไปทางห้องครัว ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ที่เข้าให้สิทธิ์ผมใช้งานได้อย่างเต็มที่ เดินเอากระเป๋าไปเก็บไว้ในตู้เล็กที่โซนซักรีด ตอนนี้มันกลายเป็นตู้เก็บของของผม อย่างพวกเสื้อผ้าที่มีไม่กี่ชุด กับชุดนักศึกษาที่ตอนนี้ผมมีแล้ว 3 ชุด ค่อยไปซื้อเพิ่มทีหลัง นอกจากนั้นก็เป็นของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ กับสมุดหนังสือ

เก็บของเสร็จเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านสบาย ๆ แต่พอไปเปิดตู้เย็นดูของสดที่เหลืออยู่กลับต้องเบ้หน้า เพราะของอย่างละนิดอย่างละหน่อย ถ้าเอามาทำอาหารให้คุณชายกับคุณอาของเขา สองคนก็แทบไม่พออิ่ม ผมคงต้องกลืนน้ำลายตัวเองอีกรอบ กลับไปซื้อของที่ซูเปอร์ไฮโซนั้นอีก เพราะเย็นปานนี้ให้ไปตลาดคงไม่ทัน



****************

อย่างน้อยมีอาเล็ก น้องธารคงไม่ถูกอีพี่มันรังแกมากเกินไป (ใช่มั้ย)

ช่วงแรก ๆ อาจจะขัดใจนิดหน่อยนะคะ เพราะมีแต่พาร์ทของธาร

ถึงพาร์ทเพลิงบ้าง อะไรคงเบาขึ้นบ้าง จะได้รู้ว่ามันยังไงกันแน่

ขออำไพที่มาช้านะคะ

ดาว ณ แดนดิน

11-1-2562
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 4 (11/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 12-01-2019 02:03:32
อิคุณเพลิงร้ายกาจเวอร์
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 5 (15/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-01-2019 17:51:49
 

ตอนที่ 5

ผมเหนื่อย ตั้งแต่เล็กจนโตและอยู่มาจนถึงวันนี้ ผมช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ ด้วยการทำงานพิเศษหาเงินค่าขนมเองมาตลอด เหลือบ้างก็หยอดกระปุกเก็บไว้ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีวันไหนเลยที่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าวันนี้ ทั้งเหนื่อยทั้งล้า เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้ทั้งวันก็ทำกิจกรรมอยู่มหาวิทยาลัย กลับมาห้องยังต้องมานั่งรออยู่หน้าห้องตั้งนานจนเผลอหลับ คิดว่าคงหลับได้ครู่ใหญ่กว่าคุณเล็กจะมาปลุก แต่นั่นมันยังไม่เพียงพอหรอก สำหรับคนที่ไม่ได้นอนแทบทั้งคืนอย่างผม



ผมทำอาหารและจัดโต๊ะไว้ให้คุณอากับคุณหลานเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ปลีกตัวออกมายืนทบทวนความเหนื่อยของตัวเอง มันเหนื่อยมากจนอย่างทิ้งร่างนอนลงตรงนี้ แล้วไม่ต้องรับรู้อะไร เหมือนปิดสวิตช์ไฟไปเลยได้ยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ผมคงฝันหวานเกินไป เพราะที่นี่ได้มีผมอยู่คนเดียว หนำซ้ำมันยังไม่ใช่ที่ของผมด้วย



“เมื่อกี๊มึงคุยอะไรกับอาเล็ก!” ผมถึงกับสะดุ้ง อยู่ดี ๆ เสียงดุก็ดังขึ้นใกล้ ๆ พอหันกลับไปดูยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ เพราะเจ้าของเสียง มายืนทำหน้าถมึงทึงซ้อนอยู่ข้างหลังแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้



มนุษย์หน้าดุจ้องผมตาขวาง!

“คือผม..ผมแค่ถามคุณเล็กว่าจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม” พยายามขยับตัวเบี่ยงออกไปข้าง ๆ เพราะหลังติดกับเคาน์เตอร์เตาไฟฟ้าทำอาหารแล้ว บนเตายังมีหม้อต้มยำร้อน ๆ ตั้งอยู่ แต่เขารู้ทัน วางมือทั้งสองข้างบนเคาน์เตอร์กักผมไว้ไม่ให้ขยับหนี เลยได้แต่ยืนตัวลีบอยู่อย่างนั้น



พอมายืนใกล้กันอย่างนี้ ผมถึงได้เห็นว่าขนาดตัวของเรามันต่างกันมากแค่ไหน เขาตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่น เหวี่ยงทีเดียวคนที่เคยได้รับฉายาว่าไอ้เด็กโปลิโออย่างผม คงปลิวเหมือนนกปีกหัก ถึงตอนนี้ผมจะไม่ผอมแห้งเหมือนเมื่อก่อนก็เถอะนะ ยังไงก็ตัวผอมบางอยู่ดีเมื่อยืนเทียบกับเขา



ใบหน้าดุขยับเข้ามาใกล้ ตาคมคู่นั่นจ้องผมไม่กะพริบ และเป็นผมเองที่ต้องหลบตา เพราะไม่กล้าพอจะจ้องตอบนาน เผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก้อนเนื้อในอกกระตุกวูบเต้นผิดจังหวะ ไม่รู้ว่ากลัวเกินไปหรืออะไรกันแน่ แต่มือที่กำแน่นชื้นเหงื่อจนรู้สึกได้ เขาขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นรดผิว มันใกล้มากจนได้กลิ่นหอมเย็น ๆ จากตัวเขา ใกล้จนเห็นความแตกต่างของสีผิวบนหน้าอกกว้าง ระหว่างผิวที่ถูกแดดเลียจนสีเข้มขึ้น กับผิวขาวในร่มผ้าเป็นรอยเสื้อกล้าม บ่งบอกว่าเขาชอบอยู่กลางแจ้ง ใกล้จนเห็นรอยสักบนต้นแขนอีกข้างของเขา ที่สักลามมาถึงหัวไหล่ ลายเหมือนนกอะไรสักอย่างอยู่ในเปลวไฟ ดูสวยมีชีวิตชีวาแต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม



ต้องยอมรับว่ามันดูเท่มากเมื่ออยู่บนต้นแขนล่ำของเขา ทั้งสีสันทั้งลวดลายที่ดูพลิ้วไหว เหมือนนกตัวนั้นมีชีวิตจริง ๆ และกำลังขยับปีกโบยบิน ส่วนต้นแขนอีกข้างที่สักเป็นภาษาจีน ตัวอักษรนั้นก็อยู่ในเปลวไฟเหมือนกัน สีแดงเพลิงเหมือนกำลังแผดเผา ให้ความรู้สึกร้อนรุ่มยามจ้องมอง



ก็เหมาะดีเพราะเขาชื่อไฟ!

“อย่ามาตอแหล พูดความจริงกับกู!” เฮือก!!! เผลอคิดเพลินจนลืมว่าเขายังจ้องเหมือนจะขบหัวให้ได้อยู่

“ผมพูดกับคุณเล็กแค่นั้นจริง ๆ “

“หึ ถ้าแค่นั้นมึงคงไม่ยิ้มจนหน้าบานขนาดนี้หรอกสัส บอกกูมาว่าขออะไรจากอากู!”

“โอ๊ยคุณเพลิง!” ผมร้องออกมาเบา ๆ เพราะไม่อยากให้คุณเล็กที่นั่งกินข้าวอยู่ห้องถัดไปได้ยิน กลัวจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้ แค่คุณเล็กเอารหัสประตูกับคีย์การ์ดให้ผม ก็ถูกเจ้าของห้องเขม่นมากพอแล้ว ต้นแขนถูกมือใหญ่บีบแน่น เขาเองก็กระซิบถามด้วยท่าทางคุกคาม เหมือนไม่อยากให้คุณอาของเขาได้ยินเช่นกัน

“อย่าให้เอ๊ยรู้ว่ามึงแอบขออะไรจากอาเล็กของกูอีก กูไม่เอามึงไว้แน่” ถูกผลักอีกแล้ว คราวนี้ไม่แรงมาก แต่ก็เจ็บไม่น้อยเลยตอนหลังชนเข้ากับเคาน์เตอร์ เขาพูดเหมือนผมเคยขออะไรคุณเล็กมาก่อนเสียอย่างนั้น ทั้งที่ผมไม่เคย และนี่ก็เป็นการเจอกันครั้งแรกระหว่างผมกับคุณเล็กด้วย



หรือการที่คุณเล็กเอารหัสเปิดห้องกับคีย์การ์ดให้ผมนั้น เขาเหมารวมว่าเป็นการขอ แล้วผมยิ้มหน้าบานเหรอ ผมไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าตัวเองยิ้มในแบบที่เขาเรียกว่ายิ้มหน้าบาน แต่ถ้าเป็นการยิ้มตามมารยาทที่คุยกับผู้ใหญ่ใจดีนั้นผมไม่เถียงนะ

แล้วการยิ้มมันผิดมากนักหรือไง

“สองคนนี้ทำอะไรกันอยู่ เมื่อไหร่จะออกไปกินข้าวอารออยู่นะ” เขาสะบัดมือออกจากต้นแขนผมทำสีหน้ารังเกียจ เสียงคุณเล็กดังขึ้นก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามา เหมือนเป็นระฆังช่วยชีวิต เพราะผมไม่รู้จะตอบเขาว่ายังไง ก็ผมไม่ได้ขอไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่เหมือนทุกอย่างมันคือความผิดของผมทั้งหมด หรือแค่การที่ผมมีตัวตนอยู่ก็ผิดมากแล้ว แต่ช่วยบอกเหตุผลทีเถอะครับว่าทำไม

“กำลังจะไป” รู้สึกว่าเขาพูดไม่ค่อยเพราะกับคุณอาของเขาเท่าไหร่เลย ถึงจะไม่มีคำหยาบก็เถอะ เขาตอบแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคุณเล็กหันมาทางผม

“ธารไปกินข้าวด้วยกัน”

“เอ่อ เชิญเลยครับผม..”

“อาเล็กไม่ต้องชวน คนมันรู้สถานะของตัวเองดีว่าควรอยู่ตรงไหน”

“สถานะอะไรกัน”

“เด็กรับใช้ไง นายกินก่อนเด็กรับใช้มันถึงจะกินได้”

“เพลิง! ไปว่าน้องอย่างนั้นทำไม”

“ไม่เป็นไรครับ คุณเล็กกับคุณเพลิงไปทานข้าวกันเถอะครับ ไว้ผมค่อยกินทีหลังก็ได้” ผมยิ้มให้คุณเล็กแต่ก็เกือบสะดุ้ง เพราะคุณชายที่กำลังจะเดินออกจากครัว หันมาตวัดสายตาดุมอง ลืมไปว่าเขาเพิ่งต่อว่าเรื่องที่ผมยิ้มให้คุณอาของเขาเกินไปเมื่อกี๊นี้เอง

คุณเล็กถอนหายใจเบา ๆ มองคุณเพลิงด้วยสายตาเหมือนคนกำลังอ่อนอกอ่อนใจ

“ไปเถอะลำธารไปกินพร้อมกัน ไม่ต้องไปสนใจพี่เพลิงหรอก มากับอา”

“แต่อาเล็ก! “

“มากินด้วยกันทุกคนนั่นแหละ” คุณเล็กที่ดูเป็นผู้ชายเนี้ยบแต่ใจดีสุภาพอ่อนโยน พอบอกด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ กลับทำให้รู้สึกถึงความเด็ดขาด จนผมไม่กล้าปฏิเสธ แม้แต่คุณเพลิงยังเงียบ ท่าทางคงเกรงใจคุณอาของเขามากทีเดียว เห็นตั้งแต่ตอนที่คุณเล็กเอาคีย์การ์ดให้ผมแล้ว ว่าเขาไม่ได้โวยวายอะไรมากอย่างควรจะเป็นด้วยซ้ำ นอกจากทำสีหน้าถมึงทึงใส่ผม บอกให้รู้ว่าไม่พอใจ ผมอดแปลกใจไม่ได้ แต่ใครจะกล้าถามกันล่ะ



พอผมเหลือบมองอีกคนที่กำลังจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวก็แทบสะดุ้ง เพราะเขากำลังมองผมตาขวาง อย่างกับจะขบหัวเอาตอนนี้ถ้าทำได้ และเหมือนคุณเล็กจะรู้ทันสถานการณ์แปลก ๆ ระหว่างผมกับเขา จึงมองหน้าหลานชายด้วยสายตาตำหนิ แต่มือที่กอดคอผมพาเดินไปยังโต๊ะอาหารนี่สิ ทำให้ผมไม่กล้ามองไปทางคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายอีก เพราะเขาหวงคุณอาของเขาอย่างกับอะไรดี คุณเล็กมากอดคอผมอย่างนี้ คนผิดก็ไม่พ้นเป็นผมอีกแน่นอน โทษฐานที่ปล่อยให้คุณเล็กกอดคอ เขาไม่มีทางคิดหรอก ว่าเด็กอย่างผมปฏิเสธผู้ใหญ่ใจดีอย่างคุณเล็กไม่ได้



สถานการณ์บนโต๊ะอาหารมื้อแรกของเราไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก เมื่อมีคุณเล็กคอยชวนคุยถามไถ่เรื่องนั้นเรื่องนี้ไปจนถึงเรื่องเรียน

“ถึงจะเรียนกันคนละคณะ ก็ดูแลน้องด้วยนะเพลิง” คุณเล็กบอกเพราะเห็นว่าผมเพิ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพ พลางตักไข่เจียวให้หลานชาย แน่นอนว่าพอคุณเล็กเผลอ เขาก็แอบแสยะปากใส่ผม เหมือนกับบอกกลาย ๆ ว่าฝันไปเถอะ ที่จะได้รับการดูแลจากเขาอะไรประมาณนั้น ผมทำเป็นไม่เห็น หันไปฟังสิ่งที่คุณเล็กเล่าอย่างตั้งใจ

และเพิ่งได้รู้ตอนนี้เอง ว่าที่คุณเพลิงเขาเรียนวิศวะนั้น เขาเรียนวิศวะคอมฯ เสียด้วย นึกว่าจะเป็นพวกไฟฟ้า โยธา อิเล็กทรอนิกส์ อะไรพวกนั้นที่ได้ยินบ่อย ๆ เสียอีก ก็เห็นพระเอกนิยายส่วนมากเขาเรียนกันนี่เนอะ

อ้อลืมไป อย่างคุณเพลิงเขาเป็นตัวร้ายไม่ใช่พระเอกนี่นา คิก ๆ



“อุ๊ย! “คิดอะไรเพลินเลยหลุดขำออกมาเบา ๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาชิงชังจ้องอยู่ เล่นเอาสะดุ้งหุบยิ้มแทบไม่ทัน ลืมไปได้ไงว่าเขาไม่ชอบให้ผมยิ้ม

“ธารเป็นอะไร”

“เอ่อ..เปล่าครับคุณเล็ก” คุณเล็กมองแบบไม่ค่อยเชื่อ ผมเลยส่งยิ้มที่คงจืดชืดที่สุดไปให้ จากนั้นเราต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากิน เพราะผมเองก็ไม่กล้าเงยหน้ามองคนที่นั่งตรงข้ามอีก คุณเล็กชมว่าอาหารที่ผมทำอร่อยทุกอย่าง หมดห่วงเรื่องอาหารการกินของคุณเพลิง จากนั้นก็ต่างคนต่างกิน สลับกับการคุยกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสองอาหลานมากกว่าที่คุยกัน



คุณชายส่งสายตาเหยียดปนดูถูกมาทางผม ตอนคุณเล็กบอกว่า “พี่เพลิงเขาเรียนเก่งนะธาร ถ้ามีวิชาไหนที่ไม่เข้าใจให้พี่เขาช่วยติวได้ รายนั้นน่ะเขาเป็นประเภท...” คุณเล็กเม้มปากเว้นจังหวะหายใจ เหลือบหางตามองหลานตัวเอง รอยยิ้มนั้นดูวิบวับมีนัยหยอกเย้า และผมคิดว่ามันน่ารักทีเดียว “ถึงจะเป็นวิชาที่ตัวเองไม่ได้เรียน แต่ถ้าได้อ่านทำความเข้าใจนิดเดียว ก็สามารถติวให้เราได้เลยนะ..”

“ครับ” ผมก็ตอบได้แค่นั้นแหละ แต่คงไม่กล้าถึงขนาดให้เขาติวหรอก แค่มีตัวตนเกะกะอยู่ในห้องเขาก็กล้ามากเกินไปแล้ว

คนอะไรจะเก่งปานนั้น แต่ผมหรือจะกล้าพูดออกไป เมื่อได้ยินน้ำเสียงเจือความภูมิใจของคุณเล็ก ผมไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นอาหลานกันแบบไหน ทำไมคุณอากับคุณหลานถึงได้ดูไม่น่าอายุห่างกันมากนัก อาจจะเป็นเพราะคุณเล็กหน้าอ่อนกว่าอายุจริงก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะคุณชาย Bad Boy หน้าแก่เกินไป เลยแก่ทันคุณอาของตัวเอง ถ้าให้เดาคุณเล็กน่าจะแก่กว่าหลานไม่ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ



คิดมาถึงตรงนี้ผมก็อยากขำ คุณชายหน้าดุตลอดกาล คงหน้าแก่เพราะชอบทำหน้าดุ ๆ นี่แหละ ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าต้องทำงานมากเกินไป แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ จึงตวัดสายดุจ้องมาเหมือนคอยจับผิด และเขาจะจับสังเกตได้ทันทีที่ผมทำอะไรผิดปกติ อย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน เขากำลังถลึงตาใส่ผม ทั้งที่ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไร จนกระทั่งหันไปทางคุณเล็กแล้วโดนทักถึงรู้ตัว

“ยิ้มอะไรเหรอธาร บอกกันบ้างสิจะได้ยิ้มด้วย” ผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน แถมยังไม่กล้าหันไปทางคุณชาย เพราะรู้ว่าสีหน้ากับแววตาของเขา คงดุขึ้นกว่าเก่าอีกหลายระดับ ผมไม่ได้แค่คิดว่าเขาแก่เพราะหน้าดุ แต่ยังเผลอยิ้มกับความคิดของตัวเองออกมาด้วย!

เลยได้แต่อ้อมแอ้มตอบไปว่า “เปล่าครับไม่มีอะไร”



มื้อเย็นผ่านไป แต่ปัญหาใหม่ที่ไม่น่าจะเป็นปัญหาก็ตามมาอีก

“เดี๋ยวอาช่วยเก็บ”

“อาเล็กปล่อยให้มันทำไป มีเรื่องจะคุยด้วย”

“ก็คุยสิ ทั้งคุยทั้งเก็บด้วยก็ได้นี่ แต่อาว่าเพลิงน่าจะช่วยน้องเก็บหน่อยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแต่เช้า”

“ไม่ให้แม่บ้านมาทำงานแล้ว”

“อ้าว! ทำไมล่ะ”

“เขาส่งเด็กรับใช้มาให้แล้ว จะให้แม่บ้านมาทำงานให้เปลืองแรงอีกทำไม”

“เฮ้อ มาทางนี้หน่อยอามีเรื่องจะคุยด้วย” แล้วสองอาหลานก็เดินไปนั่งคุยกันสองคนที่ห้องรับแขก ผมเลยทำหน้าที่ทั้งหมดเองคนเดียว ตามที่ได้รับมอบหมายแต่แรก คุณลุงบอกแค่ว่าให้ผมมาอยู่ที่นี่คอยดูแลลูกชายท่าน แต่ไม่ได้บอกว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ถ้าการเป็นเด็กรับใช้ และทำงานทุกอย่างตามที่เขาบอกคือการดูแล ผมก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว



คุณเล็กคุยกับหลานชายอยู่สักพักก็กลับ คุณชายออกไปพร้อมคุณอาของเขา และไม่รู้จะกลับมาตอนไหน นั่นทำให้ความเกร็งเพราะกลัวถูกเขาหาเรื่องลดลงไปมาก ตอนนี้มันดึกสำหรับผมเต็มทีแล้ว พอจัดการงานตามหน้าที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย และอาบน้ำอาบท่าจนสบายตัว ผมก็พร้อมเต็มที่สำหรับการพักผ่อนจริงจัง ทิ้งร่างลงนอนบนโซฟาตัวกว้าง ที่เหมาะพอดีสำหรับการนอนของคนตัวไม่โตมาก แต่ก็ได้มาตรฐานชายไทยอย่างผม



พอนอนลงหนังตาก็เหมือนจะหยุดทำงานทันที ด้วยการปิดลงพร้อมหลับ และเหมือนทุกคืนที่ผมหลับตาลงเมื่อไหร่ จะได้เห็นรอยยิ้มอ่อนหวานของแม่ คอยยิ้มให้ใต้เปลือกตาที่ปิดลงเมื่อนั้น แม่ยังยิ้มสวยอย่างที่จำได้ไม่เคยลืม ถึงจะกำลังเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ภาพที่ไหลเข้ามาในหัวกลับชัดเจน ผมนอนหนุนตักแม่ในวันหยุด เราสองคนเลือกใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่บ้านกลางไร่องุ่น แม่ขอโทษผมเสมอ ที่ไม่ได้พาออกไปเที่ยวไหนไกลบ้านเหมือนพ่อแม่คนอื่น ที่พาลูก ๆ ไปเปิดหูเปิดตา แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรเลย ขอแค่ได้อยู่กับแม่ในบ้านที่แสนอบอุ่นของเรา



ตอนนั้นถ้าผมรู้ว่าแม่กำลังเผชิญอยู่กับโรคร้าย แค่ได้รู้สักนิด ผมจะไม่เอ่ยปากเรื่องการเข้ามาเรียนกรุงเทพให้แม่หนักใจเลย แต่เพราะผมไม่รู้ เลยเอาแต่พูดถึงความฝันของตัวเอง และปลายทางของเราสองแม่ลูก ตอนยืนอยู่บนความสำเร็จของผมด้วยกัน แม่บอกแค่ว่าได้เท่าไหร่แม่ก็ภูมิใจ แต่ที่แม่ไม่เคยบอกคืออาการเจ็บป่วย จนกระทั่งวันที่มันสายไปแล้ว ผมถึงได้รู้ว่าทุกวันที่เราอยู่ด้วยกัน เพราะแม่ต้องการใช้เวลาอยู่กับผมให้นานที่สุด ก่อนจะไม่มีเวลาของเราอีกตลอดกาล

แม่ครับธารคิดถึงแม่ที่สุดเลยครับ…



ปัง!!

เฮือก!!! ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดในห้องรับแขก ลมหายใจหอบถี่หัวใจเต้นรัวแรง เป็นผลมาจากการตื่นขึ้นแบบทันทีทันใดเพราะความตกใจ หลังเสียงดังปังตามมาด้วยเสียงกุกกักแถวประตูห้อง และเสียงอะไรบางอย่างตกลงพื้น พยายามเพ่งมองอยู่เป็นครู่ จนสายตาชินกับความมืด ถึงได้เห็นว่าต้นเหตุของเสียงที่ดังขึ้น คือเสียงประตูที่ถูกเหวี่ยงปิดอย่างแรง ด้วยมือเจ้าของห้องเอง

แอบมองพฤติกรรมของเขาเงียบ ๆ ร่างสูงเดินเซมาทางโซฟาตัวที่ผมนอนอยู่ ขยับหลบแทบอยากให้ตัวเองกลืนหายเป็นเนื้อเดียวกันกับโซฟาเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้



“ลุก!” พยายามหายใจให้เบาที่สุดแกล้งทำเหมือนกับว่ายังไม่ตื่น จนรู้สึกว่าเขามายืนใกล้ ๆ เพราะกลิ่นเหล้าคลุ้งกระจายมาเตะจมูก พอปรือตาขึ้นดู จึงได้เห็นว่าเขาเดินอ้อมมายืนข้าง ๆ และยังไม่ทันได้ลุกอย่างที่เขาบอก ข้อเท้าผมก็ถูกเขากระชากอย่างแรง เจ็บจนร้องลั่น

“ลุกขึ้นสิวะ! “

“โอ๊ย! ลุกแล้ว เฮ้ยคุณ! “

“ชักช้าลุกขึ้น!”

“ก็..ก็ผมหลับอยู่”

“ช่างหัวมึง กูหิว” ถึงในห้องจะมืดสลัวแต่ก็พอมองเห็น ว่าตอนนี้เขากำลังจ้องผมเขม็งด้วยแววตา.. แววตาแบบไหนก็ไม่รู้ แต่เล่นเอาผมขนลุกซู่ได้ก็แล้วกัน ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม เขาก็ยืนจ้องอยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดเลยว่ายืนไม่ตรงเท่าไหร่ ท่าทางแบบนี้คงเมามากแน่ ไม่รู้ว่าไปอาบเหล้ามาหรือไง มันถึงได้เหม็นหึ่งไปทั้งห้องอย่างนี้ หมดกันนิทราแสนสุขของผม

“จะนั่งโง่อยู่ทำไมวะ! กูบอกว่าหิวลุกออกไป “ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาเหมือนนั่งทับอะไรร้อน ๆ เพราะพอบอกว่าลุกออกไป ร่างโงนเงนของคนเมาก็เอนลงมาทันทีแทบหลบไม่ทัน ไม่อยากคิดเลย ถ้าร่างหนาล้มทับลงมาเต็ม ๆ ผมจะแบนและเจ็บมากแค่ไหน “อะไรของมึงอีกวะ!”

“ก็..”

“สัสไปสักที! “

“ครับ แต่คุณอยากทานอะไรล่ะ”

“อะไรก็ทำมาสักอย่าง ชักช้าอยู่ได้กูรำคาญแม่ง!” แล้วผมจะทำอะไรได้ ก่อนที่เขาจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ เลยรีบไปทำอาหาร ไม่ลืมเปิดไฟในห้องรับแขกให้ด้วย “เอารีโมตทีวีมาให้กูก่อน”

“ครับ” พอคุณชายได้ของที่ต้องการก็หันไปสนใจทีวี ผมจึงมีโอกาสได้แอบสังเกตเขา คุณชายกับเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีน้ำเงินเข้ม แขนยาวพับขึ้นสูงจนถึงข้อศอก กระดุมเม็ดบนสองสามเม็ดถูกแกะออกจนเห็นแผงอกล่ำ กับกางเกงยีนแต่งขาดที่กำลังนิยม เขานอนแผ่เหงื่อชุ่มตัวแทนที่ผม ที่ต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้เขากินตอน...

หันไปดูนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างทีวี ตีสาม!



เพิ่งหลับไปได้ไม่กี่ชั่วก็ถูกปลุกให้ตื่น ผมเลยเดินสะโหลสะเหลเข้าครัว เลือกทำเมนูง่าย ๆ ให้เขา มีข้าวเหลือพอดีเลยทำข้าวผัดไข่เค็ม เมนูโปรดของผมอีกอย่างหนึ่ง หวังว่าเขาคงกินได้ล่ะนะ ถึงจะเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ผมก็ตั้งใจทำให้เขา อันที่จริงเวลาทำอาหารผมก็ตั้งใจทำทุกอย่างนั่นแหละ นอกจากความชอบส่วนตัวในการทำอาหารแล้ว คงต้องยอมรับอีกอย่าง ว่าชอบความรู้สึกตอนคนกินแล้วชมว่าอร่อยด้วย แต่ก็ต้องมาวัดว่ามันอร่อยจริงหรือไม่ ตอนที่กินอิ่ม ว่าเขากินหมดกันหรือเปล่า ถ้าหมดก็แสดงว่าอร่อยจริง



วางจานข้าวผัดไข่เค็มลงตรงหน้าคนเมา แล้วต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะคนที่บอกหิวดันหลับไปแล้ว นึกว่าจะเปิดทีวีดูรอ แต่กลายเป็นนอนให้ทีวีดูเสียอย่างนั้น ไม่รู้จะให้ผมฝืนสังขารง่วง ๆ ไปทำอาหารให้ทำไม ถ้าจะไม่รอกินอย่างนี้ ก็อย่าให้ผมต้องไปทำดึก ๆ ดื่น ๆ เลยเถอะ



แต่ก็นั่นแหละผมมันแค่เด็กรับใช้ เขาสั่งอะไรก็ต้องทำ ตอนนี้คุณชายเปลือยท่อนบนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม นอนหลับตานิ่งลมหายใจสม่ำเสมอ พาดตัวไปตามความยาวของโซฟา เสื้อถูกถอดทิ้งกองอยู่บนพื้นข้าง ๆ ผมยันมือทั้งสองข้างกับเข่าตัวเองแล้วคุกเข่าลง ชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ ยิ่งใกล้กลิ่นเหล้าจากตัวเขายิ่งแรง เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม ท่าทางคงร้อนทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ คิ้วเข้มขมวดน้อย ๆ เปลือกตาปิดสนิท ขนตาก็ยาวแถมยังหนา แต่อย่าให้ตาคู่นี้ลืมขึ้นมาล่ะ เพราะมันจะดุจนน่ากลัว จมูกของเขาโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่เอาแต่ตะคอกด่าผมได้รูปพอดี ไม่หนาไม่บางเกินไป รับกับไรหนวดเป็นตอสั้นที่พอได้เห็นใกล้ ๆ แล้ว..

เขาก็..ดูดีทีเดียว



ภาพใบหน้าของพี่ชายใจดีที่เจอกันเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ซ้อนทับใบหน้าคนเมา หนึ่งปีก่อนเขายังดูหล่อใส ผิดกับตอนนี้ที่หนวดเคราทำให้เขาดูดิบเถื่อน ดูหล่อแบบร้าย ๆ ไปอีกแบบ

และ...

“เอ่อ..” ถึงกับพูดไม่ออก ขณะกำลังสำรวจใบหน้าหล่อร้ายเพลิน เปลือกตาคู่นั้นก็ปรือขึ้นช้า ๆ จนเผยให้เห็นดวงตาคู่คมแดงก่ำ เสี้ยววินาทีที่เผลอสบตากันใจของผมกระตุกวูบ ก่อนที่เขาจะผงะถอยและตื่นเต็มตา ผมดีดตัวออกห่างแทบไม่ทัน เพิ่งรู้ตัวว่าชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เขามากเกินไป

“มึง!” คนเมาขยับตัวนั่งท่าทางทุลักทุเล อยากเข้าไปช่วยแต่คงไม่พ้นโดนดีดออกมาแน่ “มึงจะทำอะไรกู”

หา! ดูถามเข้าเถอะ “เปล่า ผมเปล่า แค่จะบอกคุณว่าของกินได้แล้ว”

เขามองเลยไปยังจานข้าวร้อน ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางผลักผมออกไปด้วย “หลีก” แล้วก็จ้วงตักข้าวเขาปากเหมือนคนไม่ได้กินข้าวมาสามวันอย่างนั้นแหละ



ท่าทางของเขาดูอร่อยจนผมเผลอมองเพลิน เพลินจนลืมนั่ง จนข้าวในจานหายเกลี้ยงไปหมดในเวลาไม่นาน ส่วนผมยังยืนรอรับคำสั่งคอยรับใช้อยู่ไม่ไกลตามหน้าที่

“น้ำ” นั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว ว่าลืมเตรียมน้ำไว้ให้เขาด้วย รีบวิ่งกลับเข้าไปในครัว ออกมาพร้อมน้ำหนึ่งแก้ว และอีกขวดใหญ่ในมือเผื่อเขาไม่อิ่ม และคุณชายเขาก็ไม่อิ่มจริง ๆ เพราะสั่งให้ผมรินเพิ่มอีกตั้งสองรอบ

“มึงจะยืนบื้อบิดตูดอยู่อีกนานไหม กูอิ่มแล้วเอาไปเก็บ” ก็ผมลืมแถมยังง่วงมากด้วย

“ครับ” รีบเก็บจานเก็บแก้วเข้าไปล้างคว่ำไว้ รวมทั้งกระทะและเครื่องครัวที่ใช้ทำ เพิ่งรู้ว่าตู้ที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์อีกฝั่งเป็นเครื่องล้างจาน แต่ของที่ใช้ก็น้อยเกินกว่าจะใช้เครื่องผมเลยล้างเอง เก็บครัวทำความสะอาดเรียบร้อยกลับออกมาอีกที คุณชายก็หลับไปแล้วบนโซฟายาวที่ผมกะจะกลับมานอน



แล้วผมจะนอนที่ไหนล่ะคืนนี้ เขายืดที่นอนผมไปแล้ว

ใจร้ายชะมัด!

ถ้าปลุกเขาขึ้นมาอีกเขาจะว่าผมไหมนะ ในห้องเขาน่าจะนอนสบายกว่าบนโซฟาเป็นไหน ๆ ถึงสำหรับผมมันจะนอนได้สบายมาก ๆ แต่คนตัวใหญ่อย่างเขาคงไม่เหมาะแน่ แล้วไหนยังจะท่าทางน่าอึดอัดนอนไม่สบายนั่นอีก หัวก็เอียงอย่างนั้นตื่นมาคงปวดคอแย่ เสื้อก็ไม่ใส่ไม่รู้จะร้อนอะไรนักหนา ทั้งที่ในห้องก็เปิดแอร์จนเย็นฉ่ำ



แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจออกมาเบา ๆ เข้าไปช่วยจัดท่านอนให้เขาใหม่ หยิบหมอนมารองหัวให้ดี ๆ ทำทุกอย่างให้เงียบและเบาที่สุด ร่างใหญ่กับโซฟาไม่เหมาะกันเอาเสียเลย ขายาว ๆ นั่นก็โผล่ออกไปตั้งเยอะ ทำไมไม่รู้จักเข้าไปนอนในห้องตัวเองก็ไม่รู้ แถมตัวเขายังร้อนมาก ไม่ได้ร้อนแบบคนป่วย แต่ท่าทางคงอึดอัดน่าดูกับความเหนียวเหนอะหนะ และเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามตัวตลอด



ผมนั่งบนพื้นข้างโซฟายาว กอดหมอนอิงตามองคนเมา เขานอนเหมือนไม่สบายตัว ขยับหยุกหยิกพลิกกลับไปกลับมา นั่งชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ จนต้องถอนหายใจอีกครั้งแล้วลุกขึ้น เดินเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมอ่างใส่น้ำกับผ้าผืนเล็ก จัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวช่วงบนให้เขาจนเสร็จ แล้วลงมานั่งกอดหมอนที่พื้นเหมือนเดิม



ผมเริ่มง่วงเลยขยับโต๊ะกลางหน้าโซฟาออก ปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนขนานไปกับโซฟาตัวยาว หันหน้าไปทางเขา นอนมองคนเมาหลับ ยามหลับเขาดูไร้พิษสงลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ หวังว่าตื่นขึ้นมาคงไม่โวยวายว่าผมมานอนใกล้หรอกนะ เพราะผมก็ไม่อยากเขาใกล้นักหรอก แต่ตรงนี้มันปูพรมนุ่มน่านอนนี่นา



“พี่ชายโกรธอะไรให้ผมเหรอครับ” ถ้ากล้ามถามคำถามนี้ออกไปคงดี แต่เพราะผมไม่กล้าและกลัวว่าคำตอบที่ได้อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด เลยเก็บคำถามไว้กับตัว นอนมองเขาหลับไปเรื่อย ๆ คนตัวใหญ่นอนพาดไปตามความยาวของโซฟา มือข้างหนึ่งวางบนอก ที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ส่วนมืออีกข้างตกลงระพื้นข้างโซฟา และผมง่วงเกินกว่าจะลุกขึ้นจัดท่านอนใหม่ให้



พรุ่งนี้ชีวิตจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ถ้าให้อยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก มุมมองในสายตาค่อย ๆ แคบลง ภาพในความสลัวเลือนรางลง ตามสัดส่วนของเปลือกตาหนักอึ้งที่ปิดลงช้า ๆ จนทุกอย่างเลือนหายไป เมื่อผมหลุดเข้าสู้ห้วงดำมืดและหลับใหล



**************

ลำธารใจดีเหลือเกินลูกเอ๊ย ไปนอนใกล้พี่เขาทำม้าย

เดี๋ยวก็ตื่นมาขบหัวเอาหรอก

อีพี่มันยิ่งอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่

เย้ๆๆ มาเร็วใช่มั้ยล่ะ แต่ตอนหน้าอาจจะมาช้านะคะ

เพราะ พฤ. ศ. ส.อ. ดาวติดธุระ แล้วจะรีบกลับมานะจย้าาา

ดาว ณ แดนดิน

15-1-2562
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 5 (15/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 15-01-2019 20:29:53
สนุกจ้า สงสาร ธารเค้า แต่นานๆไป อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น ขอบคุณ สำหรับ สำหรับ นิยายดีๆ ชอบ แนว มาม่า 55 เศร้า ปนลุ้น รอติดตาม น้องธาร ยุ จ้า  รีบมาต่อ นะ รอยุๆ ^^
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 5 (15/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-01-2019 10:54:18
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 5 (15/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-01-2019 09:23:09
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 5 (15/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Rach ที่ 17-01-2019 16:15:00
ถ้าแบบนี้เราก็ไม่ไหว ย้ายไปอยู่กับพี่รันดีกว่าไหม :m15:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 5 (15/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 21-01-2019 20:47:22



กำลัง  :katai4:
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 6 (24/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-01-2019 17:43:42



 :katai2-1:

มีเรื่องอยากประกาศก่อนอ่านสัดนิด เพราะประกาศตอนท้ายกลัวไม่มีคนอ่าน อิอิอิ

คือว่า ดาวตัดสินใจแล้ว ว่าจะเปลี่ยนชื่อนิยายเรื่องนี้นะคะ

จากชื่อเดิมคือ ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู

เปลี่ยนเป็น กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า..รัก

ซึ่งจะเปลี่ยนที่หัวเรื่อง พร้อมการอัพในตอนหน้านะคะ

ไม่อยากเปลี่ยนปุ๊บปั๊บ กลัวคนที่เข้ามาทีหลังจะไม่เห็น

ส่วนคนที่เฟบ (เพิ่มเข้าชั้นหนังสือ) ไว้ก็ง่ายหน่อย เพราะยังไงก็ได้รับการแจ้งเตือนอยู่แล้ว

หรือใครคิดว่ามีชื่อเรื่องที่โอกว่าอยากเสนอ ก็เสนอได้นะคะ ดาวจะรับไว้พิณา



ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู 6



ผมยืนหายใจหอบอยู่หน้าตึกคณะบริหาร ที่ตอนนี้มมันเงียบเหงาเหมือนตึกร้าง ไม่ได้เปรียบเทียบเกินจริง แต่เพราะไม่มีใครเดินอยู่แถวนี้มันเลยเงียบมาก เขาคงเข้าเรียนกันหมดแล้ว ส่วนผมมาสาย ก็ถ้าไม่นับคนในร้านถ่ายเอกสารหน้าตึกนะ ก็แทบจะไม่มีใครอื่นอีกเลย ล้วงเอาโทรศัพท์รุ่นเก่าที่อุตส่าห์เก็บเงินซื้อเองออกมาดู ต้องตกใจหนักกว่าเก่า เพราะผมสายไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว!



ต้นเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย และผมเองก็ตื่นสายด้วย แต่ถ้าเขาไม่แกล้งใช้ให้ผมทำนั่นทำนี่ ยังไงผมก็มาทันเวลาเข้าเรียนแน่ ๆ



เมื่อเช้าได้ยินเสียงอะไรขลุกขลักใกล้ตัว แถวโซฟาที่ผมนอนอยู่ แต่มันง่วงเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาดู และเพราะนอนยังไม่เต็มอิ่มนัก เลยกะว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อย รู้สึกเหมือนมีคนก้าวข้ามตัวไป แต่ตอนนั้นก็อย่างที่บอกว่าผมง่วงมาก พยายามเปิดหนังตายังไงก็เปิดไม่ขึ้น เลยได้แต่พลิกตัวหันไปอีกทาง นอนกอดผ้าห่มหลับต่อไปทั้งอย่างนั้น จนนานแค่ไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกก็ตอนที่อะไรบางอย่างถูกโยนมาใส่ตัวโครมใหญ่ ไม่เจ็บแต่ก็เล่นเอาสะดุ้งตื่นทันที



“อะไรครับ เกิดอะไรขึ้น” เสียงของผมมันทั้งแหบทั้งงัวเงียเพราะยังไม่ตื่นดี ทั้งยังหาวหวอดเลยยกมือขยี้ตาไปด้วย อยู่ดี ๆ คุณชายก็หอบอะไรบางอย่างมาทิ้งลงบนตัวผม แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเขา จากที่ยังสะลึมสะลือ ตอนนี้ร่างกายผมตื่นตัวเต็มที่ นั่งมองเขาตัวแข็งทื่อ



คนที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า มีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียวปิดบังร่างกาย ที่เกาะพราวไปด้วยหยดน้ำ ขอบตาเขายังแดง ๆ เหมือนคนเพิ่งตื่น หรืออาจจะเป็นเพราะเมาเมื่อคืนก็เป็นได้ แต่ใบหน้าที่ยังคงความดิบเถื่อนของเขานั้นน่ามองขึ้น เมื่อผมเปียก ๆ ถูกเสยไปข้างหลัง น้ำจากเส้นผมหยดลงมาตามตัวผ่านไหล่กว้าง ถึงกล้ามเนื้อได้สัดส่วน ช่วงเอวสอบหนาพอดีกับกล้ามเนื้อแน่น ๆ ตรงหน้าท้อง และไรขนอ่อนใต้สะดือเรียงเป็นแนว หายลงไปในขอบผ้าเช็ดตัวที่เหน็บทับกันไว้หมิ่นเหม่



เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ! แต่ทำไมต้องออกมาในสภาพแบบนี้ด้วย!



ผมมองเขาตั้งแต่เส้นผมเปียกลงมาจนถึงเท้าทั้งสองข้าง ที่ยืนแยกออกจากกันเล็กน้อย ไล่กลับขึ้นไปจนถึงใบหน้าดุดิบเถื่อนอีกครั้ง สายตาคมคู่นั้นจ้องถมึงทึงจนผมสะดุ้งอีกรอบ รู้ตัวว่ามองเขามากเกินไปแล้ว แต่ใครใช้ให้มายืนจังก้าอวดหุ่นอยู่ตรงนี้ล่ะ

“มึงจะมองกูอีกนานไหมสัส ลุกไปทำงานสักที!”

“เอ่อ ครับ แล้วคุณจะให้ผมทำอะไร”

“อย่าถามโง่ ๆ กูขี้เกียจตอบ”

“โอ๊ย!” ไม่ได้เจ็บแต่อุทานเพราะตกใจ เมื่อตะกร้าผ้าในมือเขาถูกโยนมาใส่หน้า ดีที่รับไว้ได้ทัน ส่วนคำตอบก็สมเป็นเขานั่นแหละ ผมมองกองเสื้อผ้าที่กระจายเต็มพื้น บางชิ้นกองอยู่บนตัว มันเหมือนเดจาวู เพราะเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ต่างกันก็แค่คราวก่อนเป็นเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก แต่คราวนี้เป็นเสื้อผ้าที่ผมซักแล้ว แต่...



“ตายแล้ว! “

“มึงสิจะตาย รีบเอาผ้าไปรีดให้กูเลยกูต้องใส่ไปเรียนวันนี้!” ผมลืมสนิทเลยว่าต้องรีดเสื้อผ้าให้เขา เมื่อคืนก็เหนื่อยเกินไป เก็บครัวอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็คิดแต่เรื่องนอนอย่างเดียว แล้วไหนตอนนี้ผมถึงมานอนอยู่บนพื้นได้ล่ะ?



พอสงสัยอย่างนั้น ผมช้อนตาขึ้นมองคนที่ยืนจังก้าค้ำหัวสีหน้าเอาเรื่อง แล้วก็แทบสะดุ้งอีกเป็นรอบที่สาม เพราะเขาจ้องตอบกลับมาด้วยสายตาดุน่ากลัวกว่าปกติ แถมตาคู่นั้นมันยังแดงก่ำกว่าเก่านะผมว่า



“มึงจะนั่งทำหน้าโง่ ๆ อย่างนี้อีกนานไหม สายแล้วกูจะรีบไปเรียน!” อ๋อ เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนเขาแย่งที่นอนผมไปนี่นา ผมเลยต้องระเห็จลงมานอนที่พื้น

“จริงด้วยสิผมก็มีเรียน”

“อย่าหวังว่ามึงจะได้ไปง่าย ๆ ถ้างานไม่เสร็จ”

“ครับ ๆ “ตื่นเต็มตาแล้ว ผมรีบลุกขึ้นลนลานเก็บเสื้อผ้าที่กระจายเกลื่อนใส่ตะกร้า แล้ววิ่งเอาเข้าไปรีด ไม่ลืมเอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมารีดด้วย ไม่มีเวลาแม้แต่จะดูนาฬิกาด้วยซ้ำ แต่ถ้าต้องรีดทั้งหมดนี้ ผมคงไปเรียนไม่ทันแน่

“อะไรของมึงอีก” คุณชายถามขณะตายังจ้องจอทีวีมือกดเปลี่ยนช่อง เสื้อผ้าก็ไม่รู้จักหาตัวอื่นมาใส่ก่อน นุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไม่อายบ้างหรือไงนะ

“คือ..คุณจะใส่ตัวไหน ผมจะได้รีดเฉพาะตัวที่จะใส่วันนี้ให้ก่อน แล้วที่เหลือผมจะรีดให้ตอนเย็น”

“แล้วทำไมมึงไม่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ได้เรื่อง!”

“คือผม ผมลืมครับผมขอโทษ” ผมบอกเสียงแผ่วเผื่อว่าเขาจะไม่ว่าอะไร แต่ก็แค่เผื่อละนะ ความจริงเป็นยังไงก็เห็นอยู่

“งานไม่เสร็จไม่ต้องออกจากห้อง ตอนนี้กูหิวแล้ว”

“แต่คุณครับ”

“ถ้ามึงมัวแต่ยืนบิดตูดอยู่นี่ มันไม่เสร็จแน่ ๆ ล่ะ และถ้ากูไปเรียนสายมึงโดนหนัก ไปหาอะไรมาให้กูกินแล้วค่อยรีดผ้า”

“แต่..”

“ไปสิวะ! “อุตส่าห์รวบรวมความกล้าออกมาต่อรองกับเขา แต่ผมก็ไม่ได้รับความปรานี เดินคอตกกลับเข้ามาในครัว แถมยังต้องทำอาหารเช้าให้เขาด้วย แล้วผมจะทำอะไรก่อนดี แต่เขาบอกให้หาอะไรให้กินก่อนนี่นา



เปิดตู้เย็นหาของที่จะเอามาทำเป็นอาหารเช้าง่าย ๆ และเมนูง่าย ๆ ที่ผมคิดได้ตอนนี้คงไม่พ้นแซนด์วิช เพราะซื้อของมาเตรียมไว้แล้ว ทั้งแฮมทั้งชีสและขนมปังโฮลสวีท แถมด้วยสเปรดทูน่าอร่อย ๆ เพิ่มผักอีกสักนิด ไม่นานแซนด์วิชแฮมชีสของผมก็พร้อมเสิร์ฟ

“อ๊ะ คุณ! “

“สัส! มึงจะตกใจทำไม เสร็จยังกูหิวเนี่ย” จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง พอหันกลับมาก็เกือบชนเข้ากับหน้าอกกว้าง ๆ ดีที่ถอยออกทัน ไม่รู้ว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน เดินก็ไม่มีเสียงให้ได้ยินสักนิด ตัวก็ออกจะโตขนาดนี้

ผมหันไปหยิบจานแซนด์วิชมายื่นให้เขา

“นี่ครับ” คุณชายยังจ้องหน้าผมอยู่เหมือนเดิม ไม่ยอมรับไปสักที “เอากาแฟด้วยไหมครับ”

“เออ!” เขาตอบแค่นั้นแล้วดึงจานออกจากมือผม เดินไปนั่งกินดูทีวีไปด้วย ผมรีบชงกาแฟออกไปให้ แต่ยังไม่ทันได้วางกาแฟลงตรงหน้าเขาด้วยซ้ำ

“กูไม่กินกาแฟแบบนี้ ไปชงกาแฟดำมา” จะเข้มไปไหน แค่พูดในใจหรอกนะ ความจริงคือผมรีบถอยทัพกลับเข้ามาในครัว พร้อมกาแฟใส่นม ผิดเองที่ไม่ถามก่อน ชงกาแฟดำไปให้เขาไม่ลืมใส่มะนาวเพิ่มให้ด้วยหนึ่งแว่นจะได้สดชื่น และพอวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าเขา คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันทันที

“กาแฟเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย”

“ก็..เมื่อคืนคุณเมามาก วันนี้ก็ตื่นเช้าผมเลยใส่มะนาวให้ด้วยจะได้สดชื่น”

“เสือก! ” ผมถึงกับสะดุ้ง แล้วแทนที่เขาจะคิดว่าคำนี้มันแรงเกินไป แต่กลับแสยะปากให้กันเสียอย่างนั้น “จะไปทำอะไรก็ไป”

“ครับ”

“วันนี้กูใส่ช็อป” เสียงของเขาดังขึ้นอีก ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปจากตรงนั้น ผมไม่ได้หันไปมองว่าเขาทำหน้ายังไง เพราะผมกำลังแอบยิ้ม กลัวหันไปทั้งที่ยิ้มแล้วจะถูกเขาด่าอีก เลยรีบไปรีดเสื้อช็อปให้เขา ชุดนักศึกษาของตัวเองก็ยังต้องรีดด้วย และเพราะความรีบ เลยโดนเตารีดร้อน ๆ ลวกมือให้เจ็บอีกเป็นของแถม



กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จ กว่าจะได้อาบน้ำแต่งตัวก็สายมากแล้ว ผมไม่มีเวลากินมื้อเช้า คุณชายก็เพิ่งออกไป เลยคิดว่าจะไปให้ทันเรียนคาบเช้าก่อนค่อยไปหาข้าวกินทีหลัง ผมรีบออกจากห้อง พอลงมาข้างล่างก็ต้องเดินออกไปรอรถที่ถนนใหญ่อีก เดินผ่านร้านขายยา มือที่โดนเตารีดลวกดันร้อนผ่าวขึ้นเหมือนต้องการการรักษา ตอนนี้มันพองจนน่ากลัว เลยตัดสินใจแวะเข้าไปซื้อยามาทาก่อน



ครืนนนนน



“เฮ้ย!! โอ๊ย!! “ตกใจจนผงะถอยหลังสะดุดฟุตบาทล้มก้นกระแทก เพราะตอนจะข้ามถนนไปร้านยาอีกฝั่ง รถมอเตอร์ไซค์เสียงดังคันหนึ่งขับผ่านมาพอดี ผมไม่ทันเห็นเลยถูกเฉี่ยวแขน เจ็บตัวอีกแล้ว



ตอนนี้นอกจากหลังมือที่พองเพราะเตารีด ฝ่ามือยังถลอกเพราะครูดกับพื้นถนนอีก ส่วนรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่เกือบชนผมวิ่งไปได้ไม่ไกล คนขับจอดแล้วหันมามอง พอเห็นผมลุกขึ้นก็เร่งเครื่องเสียงดังครืน ๆ ขับต่อไป ไม่ลงมาถามสักคำว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า คำขอโทษสักคำก็ไม่มี แต่ผมไม่แปลกใจหรอก เพราะเจ้าของรถคันนั้นคือคนที่ผมต้องรับใช้เขาไงล่ะ ถึงจะใส่หมวกกันน็อกปิดหน้าหมด แต่เสื้อช็อปสีเทาเข้มตัวนั้นผมเพิ่งรีดไปทำไมจะจำไม่ได้



คงจอดสมน้ำหน้าผมนั่นแหละ คนอะไรใจร้ายชะมัดเลย ผมเคยแอบปลื้มเขาไปได้ยังไงนะ



รีบไปซื้อยามาทาแผลที่กำลังพอง แล้วรีบวิ่งออกไปขึ้นรถเมล์ ใช้เวลาพอสมควรก็มาถึงมหาวิทยาลัย และวิ่งกระหืดกระหอบมายืนอยู่หน้าตึกคณะบริหารที่เงียบเหงา ตึกสูง 5 ชั้น เป็นตึกเก่าไม่มีลิฟต์ และตอนนี้ผมสายมากแล้ว ห้องเรียนชั้นสามไม่สูงเกินไป แต่ถ้าให้วิ่งก็เล่นเอาเหนื่อยได้เหมือนกัน



ในที่สุดผมก็มายืนหน้าห้องเรียน เพราะเป็นวิชาพื้นฐานที่เรียนรวม สมาชิกร่วมคลาสจึงเยอะพอสมควร และตอนนี้ทุกคนกำลังมองมาที่ผมผ่านกระจกใส พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เพราะผมเหนื่อยจนหอบ พอเปิดประตูเข้าไปเสียงปรบมือต้อนรับก็ดังขึ้นทันที



“ครับ ในที่สุดประธานของเราก็เดินทางมาถึงได้สักที” ประธานอะไร? “เชิญทางนี้ครับท่าน” คนเชิญเป็นรุ่นพี่ ปี 2 ผายมือเรียกให้ผมไปหน้าห้อง มีรุ่นพี่ ปี 2 คนอื่นยืนอยู่ตรงนั้นอีกหลายคน

“ขอเชิญท่านแนะนำตัวก่อนเลยครับ” ผมงงเมื่อพี่คนนั้นหันหน้ามาหา เขาเรียกผมว่าท่านประธานและบอกให้แนะนำตัว หมายความว่ายังไง ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วอาจารย์ไปไหนทำไมไม่มีการเรียนการสอน

“แนะนำตัวครับน้อง” พี่อีกคนบอกเบา ๆ ผมเลยหันไปทางเพื่อนในชั้น ที่พอคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างแล้ว กุ๊กไก่นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงตรงกลางห้อง ส่วนเก้านั่งอยู่หลังห้องกับเพื่อนอีกกลุ่ม มีเก้าอี้ว่างข้างตัวที่เขาน่าจะจองไว้ให้ ทุกคนในห้องมองมาที่ผมเป็นจุดเดียวจนชักเขิน หันไปทางรุ่นพี่คนนั้นก็ถูกมองด้วยสายตากดดัน จนต้องทำตามคำสั่ง

“สวัสดีครับ ผมชื่อลำธาร สาขา...”

รุ่นพี่คนที่เรียกผมว่าท่านประธานมองนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่แล้วถาม “ทำไมเพิ่งมาครับคุณลำธาร คิดว่าตัวเองเป็นประธานเปิดงานอะไรสักอย่าง ที่ต้องให้คนอื่นมาเตรียมพร้อมรอต้อนรับการมาของคุณหรือไงครับ”

“เอ่อ..ผมเปล่า” ไม่รู้จะบอกยังไงดี จะบอกกว่ามัวแต่ทำงานเพราะถูกแกล้งก็คงฟังไม่ขึ้น วันนี้คุณชายอาจจะไม่ได้ตั้งใจแกล้ง แต่เป็นเพราะผมเองที่ทำงานไม่เรียบร้อย ผมผิดเองที่ไม่ทำอะไรให้มันเสร็จก่อนเข้านอน

“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยครับ” ผมบอกนึกถึงรอยถลอกที่ฝ่ามือ

“นี่เลยเป็นข้ออ้างของคนไม่มีความรับผิดชอบหรือครับ ถ้าจะมาสายขนาดนี้ผมว่าไม่ต้องมาคงดีกว่านะครับ ถ้ามีสอนอาจารย์ก็คงสอนไปได้เยอะแล้ว มาขัดจังหวะการเรียนของคนอื่นเปล่า ๆ ผลเสียก็มาตกที่ตัวน้องเอง ที่จะตามไม่ทันเพื่อน” ผมได้แต่ยืนก้มหน้ารับผิด นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ยอมรับว่าอายจริง ๆ ที่ทุกคนมองมาทางนี้กันหมด บางคนมองด้วยสายตาตำหนิ บางคนซุบซิบกัน บางคนหัวเราะขำ แต่ก็มีไม่น้อยที่นั่งเฉยและทำสีหน้าเบื่อหน่าย

“ผมขอโทษครับ”

“ได้ตามคำขอครับ สายไปเกือบครึ่งชั่วโมงคิดเป็นนาที เอาสามสิบนาทีพอ ก็เท่ากับว่าสามสิบรอบครับภายในยี่สิบนาที” ผมไม่เข้าใจ เลยหันไปมองรุ่นพี่อีกคนที่ดูท่าทางใจดีกว่า คนที่กระซิบบอกให้ผมแนะนำตัวนั่นแหละ แต่ได้รับแค่รอยยิ้มใจดีของพี่เขากลับมา “ไปครับปฏิบัติ!”

“ปฏิบัติ? ปฏิบัติอะไรครับ”

“วิ่งจากชั้นสามลงไปชั้นหนึ่งแล้ววิ่งกลับขึ้นมาครับ สามสิบรอบเท่ากับจำนวนนาทีที่คุณสาย!” พี่อีกคนที่ยืนหน้าเข้มอยู่ข้างกันบอก ผมว่ามันไม่ถึง 30 นาทีนะ แต่เสียงเฮของเพื่อนที่นั่งในห้องดังขึ้นก่อน ไม่รู้เฮเพราะพอใจหรือสมน้ำหน้า ที่ผมถูกสั่งให้วิ่งขึ้นลงตึกสามชั้นตั้ง 30 รอบ! มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อผมมาสายเอง พี่เขาไม่ได้ลงโทษแบบไร้เหตุผล แต่วิ่งขึ้นลง 30 รอบนี่สิผมจะไหวไหม มันโหดเกินไปหรือเปล่า

“ปฏิบัติ! ”

“คะ ครับ”

“วางกระเป๋าไว้ก่อนก็ได้ครับน้อง”

“ไอ้ณัฐอย่าเยอะ! “ณัฐเหรอ? นั่นมันชื่อพี่รหัสผมนี่ หันกลับไปมองเจ้าของชื่อ เป็นรุ่นพี่คนที่บอกให้ผมแนะนำตัว เขายังยิ้มใจดีอยู่เหมือนเดิม ส่วนคนอื่นก็ถือว่าไม่ยิ้มไม่บึ้ง มีแต่คนที่ออกคำสั่งสองคนนั้นที่ทำหน้าตึงอยู่ได้ ถ้าพี่ณัฐคนนี้เป็นพี่รหัสผมจริง ๆ ก็คงดี แต่คณะนี้มีคนชื่อณัฐกี่คนกันนะ



ผมวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะเรียนว่างตัวหนึ่งข้างประตู แล้วออกจากห้องตรงไปยังบันได ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง มีนักศึกษาคนหนึ่งที่พอคุ้นหน้าว่าเรียนด้วยกัน เดินเหงื่อท่วมตัวสวนขึ้นมา เดาว่าคงถูกลงโทษเหมือนกัน แต่เมื่อกี้ที่เดินขึ้นมาผมไม่เห็นเขา ไม่รู้ว่าหลบไปนั่งพักที่ไหนหรือเปล่า เขายิ้มให้เหมือนรู้ว่าผมก็ถูกลงโทษ ผมยิ้มตอบแต่ไม่ได้ทักทายอะไร รอบแรกที่วิ่งลงยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่พอกลับขึ้นมาก็ต้องแปลกใจ เพราะคนอื่น ๆ ต่างเดินสวนลงจากตึกกัน บางคนส่งเสียงเชียร์ บางคนก็เดินผ่านกันเฉย ๆ จนถึงชั้น 3 ผมเริ่มหอบเพราะความเหนื่อย ก็เห็นเพื่อนใหม่ของตัวเองยืนรออยู่แถวบันไดแล้ว



“ธารเป็นไงบ้าง” กุ๊กไก่ถามขึ้นทันทีที่เห็นผมโผล่พ้นราวบันไดขึ้นมา ข้างกันมีเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนยืนอยู่ด้วย ทั้งสองส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ส่วนเก้ากำลังเดินเข้ามาพอดี

“ตอนนี้ยังไหว แต่พากันออกมาทำไมล่ะ”

“อาจารย์ยกเลิกคลาสแต่แรกแล้วให้ไปเรียนชดเชยวันอื่นน่ะ” ผู้หญิงที่ยืนข้างกุ๊กไก่บอก

“ใช่แต่รุ่นพี่น่ะฉวยโอกาสไม่บอก ไม่ให้อาจารย์ประกาศ จะได้รวมพวกเราง่าย ๆ ไม่ให้ใครโดดไง” กุ๊กไก่ว่าเหมือนอารมณ์เสียนิด ๆ เพื่อนผู้หญิงที่ยืนด้วยกันขอแยกไปแล้ว ตอนนี้เลยเหลือผมกับกุ๊กไก่และเก้าที่เดินเข้ามาสมทบพอดี

“ไงไหวไหม” เก้าทักผม

“นี่รอบแรกยังสบายแต่กว่าจะถึงสามสิบรอบขาเราคงลาก” ผมบอกเสียงหอบ นี่แค่ขึ้นลงรอบเดียวยังขนาดนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าถึง 30 รอบตามคำสั่งผมจะหายใจทันไหม

“เอ้าน้องไม่รีบทำเดี๋ยวไม่ได้ไปไหนกันพอดี พี่ก็มีธุระเหมือนกันนะ” รุ่นพี่อีกคนเดินมาบอกเสียงดุ มีพี่ณัฐเดินตามมาพร้อมกระเป๋าเป้ใบเก่าของผม

“ขอบคุณครับพี่”

“ไปวิ่งให้ครบก่อนแล้วค่อยมาเอากระเป๋าก็ได้ครับ” มือที่ยื่นมือไปรับกระเป๋าตัวเองค้างอยู่ในอากาศ เพราะพี่เขาไม่คืนให้แล้วยังไล่ให้ผมรีบกลับไปวิ่งต่อ นี่แปลว่าพวกเขาจะเฝ้าผมด้วยสินะ คงกลัวว่าผมจะแอบหนีล่ะสิ



ต่อ.....

หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 6 (24/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-01-2019 17:44:18

ถึงคำสั่งจะบอกว่าให้วิ่งแต่ผมก็ทำได้แค่เดิน เดินขึ้นลงได้อีก 3 รอบขาก็เริ่มล้า เหนื่อยจนต้องหายใจทางปากช่วย แล้วเหลืออีกตั้ง 20 กว่ารอบผมจะไหวหรือเปล่า นึกโทษตัวเองย้อนหลังที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ทั้งเดินทั้งพัก กัดฟันได้ถึงรอบที่ 10 ก็เหงื่อท่วมตัว หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว



รอบที่ 13 ผมถอดใจท้อหนัก เพราะแทบยกขาไม่ขึ้นแล้ว มันสั่นไปหมด ล้าจนก้าวไม่ออก ไม่มีแรงไม่มีน้ำหนัก ควบคุมไม่ได้เหมือนไม่ใช่ขาตัวเอง ทั้งล้าทั้งหอบจนต้องอ้าปากหายใจพะงาบ ๆ เหมือนปลาขาดน้ำ เดินเกาะไปตามราวบันไดเหมือนคนเมาจนถึงรอบที่ 18 ตัวผมถึงกับย้วยลงบนพื้น เพราะไม่มีแรงทรงตัวอีกต่อไป ถ้าจะเดินต่ออีกคงต้องคลานเอา



“พอแล้ว ไปพักได้แล้วเพื่อนรอ” ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็แทบกลั้นยิ้มไม่ได้เมื่อพี่ณัฐพูดขึ้น พี่เขายื่นกระเป๋าเป้มาให้ กับน้ำเย็นด้วยหนึ่งขวด

“แต่ผมเพิ่งวิ่งได้สิบแปดรอบเองนะครับ” กลัวโดนซ่อมย้อนหลังแล้วมันจะหนักกว่าเก่านะสิ

“ไม่เป็นไรหรอก ขืนวิ่งครบสามสิบรอบคงเดินไม่ได้พอดี พี่ไม่อยากต้องหามน้องส่งโรงพยาบาล เพราะถูกลงโทษนักหรอกนะ”

“แต่..พี่คนนั้นเขาจะไม่ว่าเหรอครับ แล้วผมก็มาสายจริง ๆ “

“น้องมึงนี่เด็กดีจริง ๆ ว่ะไอ้ณัฐ” พี่อีกคนว่า

“ดีเหมือนกูไงไอ้เนส ไปพักเถอะพี่อนุญาต” พี่คนนี้ชื่อเนสผมจะจำไว้

“ไม่ทันไรโอ๋แล้วนะมึง” พี่เนสว่าแล้วผลักไหล่พี่ณัฐเบา ๆ

“ก็โอ๋น้องกูใครจะทำไมวะ” ผมแหงนหน้ามองรุ่นพี่สองสลับกันไปมา ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ดีใจที่ไม่ต้องวิ่งขึ้นลงจนครบ 30 รอบ แต่จะว่าวิ่งคงไม่ถูกนัก เพราะผมวิ่งแค่รอบแรก ๆ เท่านั้น พอเริ่มล้าก็วิ่งไม่ออกแล้วเดินอย่างเดียว เหนื่อยจนลิ้นห้อยแล้วตอนนี้

“ลุกไหวไหม” พี่ณัฐก้มลงมาถาม ยิ่งเห็นใกล้ ๆ พี่เขายิ่งดูใจดี น้ำเสียงก็อ่อนโยน ได้ยินแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นน้องชายที่กำลังได้รับความห่วงใยจากพี่ชายเลย ขอคิดหน่อยเถอะเพราะผมไม่มีพี่น้อง

“ไหวครับ โอ๊ย! “

“เจ็บตรงไหน”

“ขาผมครับมันปวดหนึบ ๆ ยังไงไม่รู้”

“เป็นอะไรธาร”

“เรายืนไม่อยู่แล้วเก้า ขอนั่งอีกเดี๋ยว” พอจะลุกขึ้นก็ทรงตัวไม่อยู่ เพราะขาผมไม่มีแรงเลย ล้มลงอีกจนพี่ณัฐรับตัวไว้เกือบไม่ทัน เก้ากับกุ๊กไก่วิ่งเข้ามาหาพอดี เลยช่วยประคองให้นั่งลงบนขั้นบันได

“ไปขอยานวดที่ห้องพยาบาลเถอะ” เก้าชวน

“ดีเหมือนกันนะธาร” กุ๊กไก่เห็นด้วย

“แต่เรายังเดินไม่ไหวขอพักอีกหน่อยนะแล้วค่อยไป”

“ยังไงช่วงเช้าก็ไม่ได้เรียนอยู่แล้ว พี่ว่าพักอยู่ห้องพยาบาลเลยดีกว่าไหม” พี่ณัฐถาม

“ครับพี่”

“ไอ้ณัฐไปได้แล้วเดี๋ยวไม่ทันเข้าเรียน”

“มึงไปก่อนเลยเดี๋ยวกูไปส่งน้องกูก่อน”

“เออ ๆ รีบตามมาล่ะอย่าสาย” มองตามพี่เนสเดินลงบันไดไปก่อนแล้ว ถึงได้หันกลับมามองหน้าพี่ณัฐอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ

“มองอะไรครับ ไม่ต้องสงสัยหรอกพี่เป็นพี่รหัสเราเอง”

“จริงเหรอครับ!” ใช่จริง ๆ ด้วย ผมดีใจจนยิ้มกว้างห้ามความตื่นเต้นไม่ได้เลย รู้สึกถึงความใจดีของพี่รหัสตัวเองตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นพี่รหัสแล้ว

“ลุกเถอะรีบไปหายามาทาดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับพี่ไปเรียนก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปกับเพื่อน” ผมบอกเพราะเกรงใจพี่ณัฐจริง ๆ แค่ให้ผมหยุดวิ่งก่อนก็ไม่รู้จะมีปัญหาอะไรกับพี่หน้าตึงคนนั้นอีกหรือเปล่า บอกแล้วเลยหันไปหาเก้าให้ช่วยพูด

“เดี่ยวพวกผมพาลำธารไปเองครับพี่” เก้าบอก

“โอเคถ้าไปกันเองได้พี่ฝากดูด้วย แล้วอย่าลืมรวมรอบบ่ายสี่โมงล่ะ เดี๋ยววันศุกร์ที่จะถึงนี้เราจะรับน้องวันสุดท้ายแล้ว” พี่ณัฐบอกทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็แยกตัวไปเรียน ผมจึงหันกลับมาหาเพื่อนสองคนที่มองอย่างเป็นห่วง ตอนนี้เหลือเพียงเราสามคนสามเกลอที่เหมือนคนอื่นไม่คบแล้ว

“ไปขอยานวดที่ห้องพยาบาลกันเถอะ” กุ๊กไก่ชวน

“เรายังลุกไม่ไหว ขอพักแป๊บหนึ่งนะ ๆ ” กุ๊กไก่ดูห่วงจริงจังยิ่งกว่าผมที่เป็นคนเจ็บเสียอีก

“ไปตอนนี้แหละ ถ้าลุกไม่ไหวขี่หลังเราไปก็ได้”

“จะดีเหรอเก้า เห็นอย่างนี้ตัวเราก็หนักอยู่นะ”

“ผอมอย่างนี้จะหนักแค่ไหนเชียวธาร ขี่หลังเก้าไปเถอะ” กุ๊กไก่ว่าอีก

“ขึ้นมาไม่หนักหรอก” เก้าหันหลังให้แต่ผมยังลังเลไม่กล้าขึ้นเพราะเกรงใจ ถึงจะพูดจาเหมือนสนิทกันในระดับหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเราเพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเองนะ

“จะดีเหรอเก้า”

“แล้วมันจะไม่ดีตรงไหนล่ะ นายเดินไม่ไหวนะรีบไปหายามานวดก่อนจะไม่ดีกว่าเหรอ”

“นั่นสิธารเราเห็นด้วยกับเก้านะ ขี่หลังเก้าไปเถอะเดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน”

“ก็ได้” พอผมขยับไปเกาะหลังเก้า ขาทั้งสองข้างก็ถูกแขนแข็งแรงของเขารวบเข้าหาตัว ไม่รู้จะวางมือไว้ที่ไหนเลยเอาพาดไหล่เก้าไปเกี่ยวกันไว้ข้างหน้า และผมเพิ่งได้รู้ว่าเก้าแข็งแรงมาก ๆ เลยตอนเขาพาผมลุกขึ้นทันทีหน้าตาเฉย เหมือนร่างกายของผมมันไร้น้ำหนัก แถมยังบอกอีกว่าตัวผมเบาเหมือนไม่ได้แบกอะไร แต่นี่คนทั้งคนเชียวนะที่เกาะอยู่บนหลัง จะว่าไม่มีน้ำหนักได้ยังไงกัน



เก้าพาผมเดินลงมาถึงชั้นแรกของตึกเรียนพร้อมกับกุ๊กไก่ ความสูงของเขาทำให้มุมมองที่ผมเห็นแปลกไป รู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอยู่อย่างนี้ ไม่เคยขี่หลังใครมาก่อน และที่เลี่ยงไม่ได้คือสายตาของคนรอบข้าง ซึ่งส่วนมากก็เป็นเพื่อนที่เรียนคลาสเดียวกันที่ยังอยู่แถวนี้ หลายคนกำลังมองมาอย่างสนใจ เพราะเก้าเองก็เรียกได้ว่าเด่นและได้รับความสนใจทั้งจากรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่อยู่ไม่น้อย สำหรับคนร่างสูงที่มีใบหน้าหล่อคมคายแบบชาวใต้ แต่กลับดูใจดีเพราะเก้ายิ้มเก่งพูดเพราะ และที่หนีไม่พ้นก็คงจะเป็นเสียงซุบซิบน่ารำคาญ บางคนส่งเสียงแปลก ๆ บางคนยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ผมไม่ชอบแต่ก็ไม่รู้จะห้ามยังไง อยากไปให้ถึงห้องพยาบาลเร็ว ๆ แต่เราต้องเดินอ้อมไปอีกทางผ่านตึกคณบดี ถึงจะเป็นตึกกลางที่อีกฝั่งจะติดกับคณะวิศวกรรม



ตึกกลางเป็นตึกสำหรับติดต่องานต่าง ๆ ของนักศึกษาและคนทั่วไป แน่นอนว่าที่นี่จะมีผู้คนเข้าออกตลอดเวลา และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคนมาติดต่ออะไรกันนักหนา ทำไมเยอะขนาดนี้ ต่างจากตึกของคณะบริหารที่จะเงียบมากในช่วงเวลาเรียน เก้าพาผมเลี่ยงการเดินขึ้นด้านหน้าตึก พาเดินอ้อมมาทางฝั่งของวิศวะฯ แล้วขึ้นบันไดข้างตรงไปยังห้องพยาบาล ดีกว่าเดินขึ้นหน้าตึกแล้วต้องผ่านแผนกต่าง ๆ และคนมากมายที่มาติดต่อธุระ กว่าจะไปถึงห้องพยาบาลก็ต้องผ่านสายตาคนในนั้นแทบทุกคน



“เก้าเดินเร็ว ๆ หน่อย” ผมเร่งเมื่อรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกำลังถูกจ้องมอง เพราะบนระเบียงตึกวิศวะฯ มีคนนั่งอยู่เต็ม พอผมหันไปเสียงโห่แซวก็ดังขึ้นมาทันที ทั้งเสียงเป่าปาก เสียงร้องแซวน้องจ๊ะน้องจ๋าอะไรมั่วไปหมด ผมอายจนต้องรีบหันกลับมาทางเดิม

“เร็วกว่านี้ก็วิ่งแล้วแหละตัวเองไม่หนักเลยนี่” เก้าว่า

“ไหนเมื่อกี้บอกเองว่าไม่หนัก”

“แบกนาน ๆ มันก็หนักได้นะ”

“งั้นก็วางเราลงก่อน ตอนนี้เราว่าเราเดินเองได้แล้วนะ”

“ใกล้ถึงแล้วอย่าเพิ่งวางเลย ไปขึ้นไปก่อน พวกวิศวะแซวใหญ่แล้ว” กุ๊กไก่ว่าหลังจากหันไปมองค้อนให้เสียงโห่ฮาเสียวงใหญ่ มองไปชั้นไหนก็มีแต่ผู้ชายจนไม่กล้ามองนาน ผมไม่กล้าหันไปทางตึกวิศวะอีก กลัวถูกคิดว่ามองหน้าหาเรื่อง เลยได้แต่เร่งให้ถึงห้องพยาบาลเร็ว ๆ ในใจ



ในที่สุดเก้าก็วางผมลงบนเตียงพยาบาล คุณหมอรีบเข้ามาถามว่าเป็นอะไร พอรู้สาเหตุเธอยิ้มขำพวกผมเลยพลอยยิ้มไปด้วย



“นี่ค่ะยา นวดตรงที่ปวดเบา ๆ ให้ยาค่อยๆ ซึมเข้าไปนะคะ” คุณหมอประจำห้องพยาบาลบอก พร้อมกับยื่นหลอดยาสำหรับนวดกล้ามเนื้อมาให้ ผมไหว้ขอบคุณแล้วยื่นมือออกไปรับ แต่ถือได้ไม่ถึง 5 วินาทีหลอดยาก็ถูกเก้าแย่งไป

“ดึงขากางเกงขึ้น” เก้านั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผม สั่งเสียงนิ่งจนต้องรีบทำตาม แต่กางเกงนักศึกษาแบบพอดีตัวขาไม่ใหญ่มาก จึงดึงขึ้นได้แค่เข่า ผมอยากนวดทั้งขาเพราะมันปวดเมื่อยไปหมด “ถอดรองเท้าออกด้วย”

“ต้องถอดด้วยเหรอเก้า” ผมถามเก้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองคุณหมอ ที่ยืนดูเราอยู่ใกล้ ๆ เหมือนถามเพื่อความแน่ใจด้วย

“ถ้าปวดก็ต้องนวดค่ะ นวดให้ทั่วเลยก็ได้ยาจะได้ช่วยคลายกล้ามเนื้อ”

“ครับ” ผมรับคำคุณหมอเบา ๆ ไม่บอกหรอกว่าอยากนวดทั้งขาเลย “เก้าไม่ต้องเราทำเอง” ผมรีบบอกเมื่อเก้าทำท่าจะถอดรองเท้าให้

“ไม่เป็นไรน่าเพื่อนกัน” เก้าดึงรองเท้าแบบคัทชูของผมออกไปแล้วตามด้วยถุงเท้า พยายามหดขาหลบแต่ก็ถูกมือใหญ่ ๆ ดึงกลับไปเหมือนเดิม

“ไม่ ๆ เก้าเดี๋ยวเรานวดเอง”

“นวดไหวเหรอธาร” กุ๊กไก่ถาม

“ไหวสิไม่เป็นไรนะให้เรานวดเอง” แค่ให้ขี่หลังมาก็เกรงใจจะแย่แล้ว ผมเลยรีบห้ามเมื่อเก้าถอดรองเท้าถุงเท้าออกให้ แล้วทำท่าจะนวดยาที่เท้าต่อ

ขาที่ปวดเมื่อยจนล้ารู้สึกดีขึ้นเมื่อตัวยาเย็น ๆ ซึมเข้าสู่ผิว เก้านวดยาให้ช้า ๆ ท่าทางชำนาญเหมือนคนเคยทำอยู่เป็นประจำ

“นวดเก่งนะเราน่ะ” กุ๊กไก่คิดเหมือนผมเลย

“แตะบอลน่ะเลยต้องนวดบ่อย”

“ยาหลอดนี้เก็บไว้ทาที่บ้านนะคะ แล้วก็ลงชื่อตรงนี้ด้วยค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมรับสมุดมาเขียนชื่อตัวเองลงไป เป็นสมุดทะเบียนการเข้ารักษาและรับยา จากนั้นพวกเรานั่งพักคุยกันไม่นานก็ลาคุณหมอออกมา เก้าจะให้ผมขี่หลังอีก แต่ตอนนี้ถึงขาจะยังล้าและอ่อนแรงอยู่ ผมก็พอเดินได้แล้วเลยเลือกเดินเองดีกว่าขี่หลังเพื่อนให้คนมอง ผมไม่ชอบเป็นเป้าสายตาใครเท่าไหร่

“เก้ากับกุ๊กไก่จะไปไหนต่อ” ผมถามตอนเราลงมายืนอยู่ข้างตึกกลางทางเดิมกับตอนที่เดินขึ้นไป

“เดี๋ยวก็เที่ยงแล้วไปหาอะไรกินก่อนมั้ย แล้วค่อยไปรอเรียนรอบบ่าย” กุ๊กไก่ชวนเก้าก็เห็นด้วย

“งั้นไปเจอกันที่โรงอาหารนะ เดี๋ยวเราไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะตามไป” ขาที่ได้รับการนวดยารู้สึกดีขึ้นจนผมอยากนวดมันทั้งขาให้ทั่ว แต่ถ้านวดจะนวดต้นขาด้วย คงต้องถอดกางเกงออกหมด เลยต้องเข้าห้องน้ำก่อน

“ไปพร้อมกันนี่แหละเดี๋ยวรอ” เก้าว่า

“นั่นสิไปไหนไปกันอยู่แล้ว” กุ๊กไก่เห็นด้วย

“งั้นก็ไปกันเถอะ ห้องน้ำหลังตึกนี่ก็ได้” ผมเดินขาลากตามเพื่อนทั้งสองไปห้องน้ำหลังตึก ก่อนเข้าห้องน้ำยังไม่ลืมสำทับเพื่อนทั้งสองไว้ด้วย

“ถ้านานก็ไปเจอกันที่โรงอาหารเลยก็ได้นะ”

“นานเหรอธาร หนักหรือไง” กุ๊กไก่ถามยิ้ม ๆ

“ปละ เปล่า พอดีกลัวรอนานน่ะ” แอบเขินสายตาเพื่อนซะงั้น แต่คิดว่ากว่าจะนวดยากว่าจะแต่งตัวอีกคงนาน เลยไม่อยากให้เพื่อนรอ

“เดี๋ยวเจอกันนะ” กุ๊กไก่บอกแล้วแยกไปเข้าห้องน้ำหญิงที่อยู่อีกฝั่ง ผมกับเก้าเลยเดินเข้าห้องน้ำชาย

“เสร็จแล้วรอหน้าห้องน้ำกับกุ๊กไก่นะธาร” เก้าบอกแล้วเดินไปที่โถฉี่ ส่วนผมเดินไปเข้าห้องน้ำห้องที่อยู่ข้างในสุด ปิดประตูล็อกอย่างดี เอากระเป๋าห้อยไว้กับที่ห้อยของ แล้วถอดกางเกงเพื่อนวดต้นขาที่ยังปวดหนึบอยู่ นวดแล้วรู้สึกสบายขึ้นเยอะ พอได้นวดผมเลยนวดใหม่อีกรอบทั้งขาเลย ได้ยินเสียงเก้าบอกว่ารอข้างนอกอีกครั้ง ผมเลยตะโกนบอกกลับไปว่าให้ไปรอที่โรงอาหารเลย จากนั้นในห้องน้ำก็เงียบ เพราะน่าจะมีผมอยู่คนเดียว



ถึงจะถอดกางเกงออกเพื่อนวดดี ๆ แต่ขาที่ไม่มีแรงเหมือนปกติแถมยังล้าด้วย ก็เป็นอุปสรรคในการนวดไม่น้อย กว่าจะยกขึ้นพาดชักโครกนวดได้ทีละข้างใช้เวลาพอสมควร นวดจนรู้สึกสบายขึ้น และแน่ใจว่านวดยาทั่วขาทั้งสองข้างแล้วถึงเก็บหลอดยาใส่กระเป๋า



ได้ยินเสียงคนคุยกันเบา ๆ ข้างนอก คงเป็นนักศึกษาคนอื่นที่มาเข้าห้องน้ำ เลยรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ผมเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินก้มหน้าผ่านโถฉี่ ที่มีคนกำลังยืนทำธุระอยู่ออกมาล้างมือ เพราะกลิ่นยานวดกล้ามเนื้อถึงจะหอม แต่ถ้าเปื้อนเยอะ ๆ ก็กลายเป็นกลิ่นฉุนได้เหมือนกัน เลยต้องล้างนานเป็นพิเศษ ก้มหน้าก้มตาล้างจนคิดว่าสะอาดไม่มีกลิ่นแล้ว ถึงก้มลงวิดน้ำล้างคราบเหงื่อบนใบหน้า แต่พอยืดตัวขึ้นดูกระจกเท่านั้นแหละ ใจผมเป็นต้องกระตุกวาบ ตกใจแทบช็อกเมื่อสบตาเข้ากับใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง จ้องผมด้วยแววตาน่ากลัวผ่านกระจกเงา



ผมเสียวสันหลังวาบขนลุกซู่ตัวสั่นขึ้นมาทันที

“หึ ไงครับน้องสบายดีไหม”



********

เจอกันตอนหน้าจ้า

ดาว ณ แดนดิน

24-1-2562
หัวข้อ: Re: ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู ตอนที่ 6 (24/1/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-01-2019 19:56:55
 :katai2-1: :katai2-1: :katai3:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 7 (3/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-02-2019 22:25:51



กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า..รัก 7





“คุณ!”

“ดีใจจนพูดไม่ออกเลยใช่ไหมล่ะ ที่ได้เจอกันอีก” ผมตกใจจนยืนตัวแข็งทื่อ จ้องหน้าเขาผ่านกระจกเงาอยู่อย่างนั้น มารู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงแหบ ๆ ถามขึ้น เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้ง แล้วกลืนน้ำลายลงคอเหมือนคนกระหายน้ำ ขยับเข้ามายืนซ้อนหลังจนชิด ก้มลงมาพูดใกล้ ๆ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจกลิ่นแปลก ๆ ของเขา ผมรีบก้มหน้าหลบ ขยับจะก้าวออกมาข้าง ๆ เลี่ยงไปจากตรงนี้ แต่ขาที่ล้าก็ใช่ว่าจะพาตัวเองออกไปได้ง่าย ๆ



“ไม่ตอบเหรอครับคนเก่ง” เขาวางมือทั้งสองข้างลงกับเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้า คร่อมตัวผมกักไม่ให้ขยับไปไหนได้ พยายามหดตัวเองให้เล็กที่สุด เพื่อไม่ให้ร่างกายสัมผัสกันทั้งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขาอยู่ใกล้แค่นี้ ซ้ำการวางมือลงบนขอบอ่าง ยังทำให้เขาต้องโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเก่า รู้สึกถึงหน้าอกที่ชิดกับแผ่นใกล้มากจนขนลุก



“คุณช่วยถอยออกไปหน่อยครับ”

“ถอยทำไมล่ะ อุตส่าห์มีโอกาสใกล้ชิดกันขนาดนี้แล้ว ไม่คิดถึงพี่เก่งหรือไงครับ” ผมหดคอหนีคางสาก ๆ ที่รบกวนอยู่แถวซอกคอ พยายามเบี่ยงตัวออกห่างแต่เป็นไปไม่ได้เลย กับขนาดตัวที่แตกต่าง ถึงตัวเขาจะไม่สูงเท่าเก้าหรือคุณเพลิง แต่ก็สูงกว่าผมอยู่ดี ยิ่งมายืนชิดกันอย่างนี้ ตัวผมเลยยิ่งดูเล็กลงกว่าเก่า



“เอ่อ..ผมขอตัว”

“จะไปไหนล่ะ! “

“โอ๊ย! “ไหล่ทั้งสองข้างถูกเขาตะปบด้วยมือแข็ง ๆ บีบไว้แน่น ตรึงให้ผมอยู่กับที่ ผมตัวสั่นเพราะแววตาที่จ้องผ่านกระจกเงามันน่ากลัวมาก นิ่วหน้าจนตาหยีเมื่อเขาเพิ่มแรงบีบขึ้นอีก เพราะผมพยายามหันไปมองทางโถปัสสาวะ มีผู้ชายสองคนอยู่ตรงนั้น หวังว่าจะขอความช่วยเหลือได้บ้าง แต่ไหล่กับคอก็ถูกบีบแน่นจนเจ็บร้าวไปหมด



“คิดว่าเจอพี่เก่งแล้วจะได้ออกไปจากตรงนี้ง่าย ๆ หรือไงครับ เป็นเมียไอ้เพลิงไม่ใช่เหรอเราน่ะ ไหนวันนี้เห็นขี่หลังคนอื่นเฉยเลย ตกลงมีผัวกี่คนครับ หรือเสร็จแล้วก็แยกย้าย คนน่ารักเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า”

“พูดอะไรของคุณปล่อยผมนะ ช่วยด้วยครับ”

“หึ คิดว่าจะมีใครกล้ามาช่วยหรือไง”

“ช่วยด้วย..อุบ!!” ปากถูกมือใหญ่ปิดไว้แน่น เมื่อพยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชายสองคน ที่กำลังทำอะไรบางอย่างกันอยู่แถว ๆ โถปัสสาวะ แต่พอเห็นเสื้อที่พวกเขาใส่ ความหวังของผมเป็นต้องหายวับไปทันที เพราะพวกเขาใส่เสื้อช็อปวิศวะ คงไม่พ้นคงเป็นพวกเดียวกัน “อื้อ”



“อย่าดิ้นสิครับ พี่เก่งกำลังอยากหาอะไรทำก็เจอน้องพอดี เรามาทำอะไรสนุก ๆ นอกสถานที่กันดีกว่า” เหมือนเขาจะเป็นคนประเภท ทำอะไรไม่ดีได้ทุกที่ทุกเวลาจริง ๆ ผมไม่ชอบเสียงแหบ ๆ ที่พูดออกมา สลับกับการเลียริมฝีปากอยู่ตลอด หรือการพูดไปด้วยกลิ้งลิ้นไปด้วยของเขาเลย ใบหน้าใสของเขาดูใกล้ ๆ แล้วมันซีดน่ากลัวมากกว่าน่ามอง เขาปิดปากผมแน่น มืออีกข้างตวัดรัดรอบลำตัวกักสองแขนไว้ด้วย เขาดันตัวผมเข้ากับขอบอ่างล้างหน้า จนท้องถูกกดทับกับสันขอบอ่างเจ็บไปหมด รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแข็ง ๆ ดุนอยู่ตรงบั้นท้าย ผมรวบรวมกำลังดิ้นเท่าที่แรงมีสุดแรง



“เห็นไหมว่าพี่เก่งพร้อมแล้ว” เขาบอกพร้อมกับบดส่วนกลางลำตัวที่มีอะไรแข็ง ๆ เข้ากับบั้นท้ายของผมประกอบคำพูด มันน่าขยะแขยงมากจนผมอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ อยากเอาอะไรทุบตรงนั้นของเขาให้หน้าเขียวไปเลย แต่ที่ทำได้ก็แค่เสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง ผมเริ่มหายใจลำบาก เพราะมือใหญ่ปิดไว้ทั้งปากทั้งจมูก พยายามดิ้นจนเหนื่อย อยากกระทืบลงบนเท้าเขาก็ไม่มีโอกาส ซ้ำยังถูกกดให้ก้มหน้าลงกับอ่างน้ำด้วย ยังดีที่เขาไม่ได้เปิดน้ำใส่ให้ผมสำลัก



“อะไรของมึงวะไอ้เก่ง จะจัดตรงนี้เลยหรือไง เด็กมาจากไหนอีกวะนั่น”

“หึ สนไหมล่ะมึง เดี๋ยวเสร็จกูยกให้ต่อ”

“ความคิดดีว่ะเพื่อน”

“ถอดเสื้อผ้ามันออก” เขารั้งตัวผมขึ้นแล้วเหวี่ยงให้หันหน้าไปทางเพื่อนเขา เสียงถามมาจากหนึ่งในสอง ของคนที่ทำอะไรบางอย่างที่โถปัสสาวะ พวกเขาไม่ได้ฉี่ล่ะผมมั่นใจ แต่ไม่รู้ทำอะไรกัน หรืออาจจะแอบสูบบุหรี่ แต่ทำไมไม่ได้กลิ่นบุหรี่

“ท่าทางน่ารักไม่เบานะเนี่ย ถ้าไม่มีมือเหี้ย ๆ มึงปิดไว้คงน่ามองกว่านี้เยอะ ปล่อยออกเหอะว่ะ”

“ปล่อยให้มันแหกปากร้องนะสิ ถอดกางเกงมันออก!” ผมได้แต่ทำเสียงอืออาเพราะพูดเป็นคำไม่ได้ พยายามส่ายหน้าบอกว่าไม่ให้ทำ เหนื่อยก็เหนื่อยแต่ยังไงผมก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมให้พวกนี้ทำอะไรกับตัวเองได้ง่าย ๆ เด็ดขาด

“โอ๊ยสัส! เท้ากู!” จังหวะที่เขาจะให้เพื่อนถอดกางเกงผมออก เป็นจังหวะที่ผมยืนได้มั่นคงพอดี เลยกระทืบส้นเท้าลงไปบนเท้าเขาสุดแรงเต็ม ๆ พี่เก่งร้องเสียงดังเพราะคงเจ็บอยู่ไม่น้อย และนั่นทำให้แรงกอดที่ล็อกตัวผมไวคลายลงด้วย

“ปล่อยผม!”

“มึงจะเอาอย่างนี้ใช่ไหมอีเด็กเวร ได้” โครม!! โอ๊ย! ร่างของผมปลิวไปตามแรงเหวี่ยง ชนเข้ากับประตูห้องน้ำอย่างแรง จุกจนร้องไม่ออก ตัวผมไหลลงไปกองกับพื้น ไม่มีแม้แต่แรงจะพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนได้อีก ไม่ต้องคิดว่าจะวิ่งออกไปจากที่นี่ได้ยังไงเลย ผมไม่มีหวัง ขาที่ล้านวดยาจนดีขึ้นแล้ว ตอนนี้มันกลับไม่มีแรงแถมยังสั่นจนควบคุมไม่ได้ จริง ๆ แล้วคือตัวผมสั่นไปหมดแล้ว ผมกลัวพวกเขา



“ทำแบบนี้ทำไมผมไปทำอะไรให้คุณ ช่วยด้วยครับ ช่วยผมด้วยใครอยู่ข้างนอกได้โปรดช่วยผมด้วย” ผมเงยหน้าขึ้นต่อว่าทั้งน้ำตาคลอ นี่คือสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตของผมแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ พวกเขามีกันสามคน และกำลังเดินเข้ามายืนล้อมผมไว้



“หุบปากมึงเลย ไม่มีใครกล้าเข้ามาตอนกูอยู่ในนี้หรอก” หรือจะเป็นอย่างที่เขาบอก เพราะผมร้องสุดเสียง แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมคือเงียบ และไม่มีใครโผล่เข้ามาเลยสักคน

“หน้าตาใช้ได้นี่หว่าไอ้เก่ง”

“แสบด้วย มึงเห็นแผลบนหัวกูไหม นั่นฝีมือมัน”

“เหี้ย! น้องไม่ธรรมดาว่ะ”

“กูชักอยากลองแล้วว่ะ เร็ว ๆ สิวะมึง” คำที่ใช้เรียกผมช่างฟังดูน่าทะนุถนอม ต่างจากการกระทำของพวกเขาลิบลับ ผมก็ตัวแค่นี้แถมยังเหนื่อยจากการขึ้นลงตึก 3 ชั้นตั้งหลายรอบ ขาก็ไม่มีแรงจะไปสู้อะไรพวกเขาได้

“มึงสองคนต่อคิวกันไว้เลย เสร็จเดี๋ยวกูโยนให้”

“แต่เมื่อกี้กูได้ยินมึงบอกว่ามันเป็นเมียไอ้เพลิงไม่ใช่เหรอวะ” เพื่อนคนแรกของเขาถาม ท่าทางเกรงใจอยู่ไม่น้อยเมื่อพูดถึงคุณชาย



พอพูดถึงเขา ไม่รู้ว่าถ้าอยู่ตรงนี้เขาจะช่วยใคร ระหว่างเด็กรับใช้นอกสายตาอย่างผม กับเพื่อนของเขา หรือบางทีเขาอาจจะไม่สนใจอะไรเลย แล้วมองเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายจนเดินหนีไปเฉย ๆ ผมไม่คิดว่าเขาจะช่วย ทั้งที่ใจลึก ๆ ก็แอบหวังว่าพี่ชายใจดีคนนั้น ยังแฝงตัวอยู่ในมุมไหนมุมหนึ่งลึก ๆ ในใจของเขา ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของผม



“หึ เมียใครกูไม่สนกูจะเอา!” เขาแสยะยิ้มให้เพื่อนแล้วหันมาตะคอกใส่หน้า จนความคิดบ้า ๆ ในหัวผมกระเจิงหายไปทันที นั่งมองเขาพูดกันกลับไปกลับมา แล้วมองไปรอบ ๆ หาทางหนีให้ตัวเอง

“เฮ้ย เพื่อนกันเดี๋ยวเป็นเรื่องนะมึง”

“ตอนมันไล่กูออกจากคอนโด ก็ไม่เห็นไว้หน้ากูสักนิด แม่งคิดว่าตัวเองรวยไง เมื่อก่อนมันเคยชวนพวกมึงไปเพ้นเฮาท์มันเหรอ พอจะชวนเพื่อนไปทั้งที แม่งก็ห้ามนั่นห้ามนี่เรื่องมาก คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นนักหรือไง”

“แต่วันนั้นมึงก็เอาของไปไม่ใช่เหรอวะ”

“แม่งก็คนเคย ๆ เล่นเหมือนกันปะวะ ทำอย่างกับมันไม่เคย”

“แต่มันก็บอกก่อนแล้ว ว่าไปห้องมันห้ามเอาของไปนะมึง” ผมไม่เข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงของอะไร แต่ผมอยากออกไปจากที่นี่ ไปจากเรื่องเลวร้ายนี้ และสาบานว่าจะไม่มาแถวนี้อีก

“แล้วไงกูไม่สนช่างแม่งสิ มาสนุกกันดีกว่ากูกำลังดีดเลยเนี่ย” เขาเลียริมฝีปากแห้ง ๆ เดินเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่บนพื้นอีกก้าว มือถอดเข็มขัดปลดตะขอกางเกงออกไปด้วย ผมถดตัวถอยจนหลังติดผนังห้องน้ำหมดทางไป ขณะที่เขาก้าวตามเข้ามา มือควักแท่งเนื้อออกมารูดขึ้นลงต่อหน้าต่อตาผม เพื่อนเขาอีกสองคนที่ยืนรออยู่ก็ทำเหมือนกัน นี่พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ บ้ากันไปหมดแล้วหรือไง คิดจะทำเรื่องเลว ๆ อย่างนี้ในสถานศึกษาเหรอ



ผมมองไปรอบตัว หาอะไรที่พอจะเอามาทำเป็นอาวุธ แต่อยู่ในห้องน้ำอย่างนี้ มันจะมีอะไรให้เป็นความหวัง นอกจากถังขยะที่ตั้งอยู่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง กับสายฉีดน้ำหลังชักโครก ถ้าเอื้อมถึงก็คงได้แค่ฉีดน้ำใส่เขา จากนั้นคงโดนกระทืบตายคาเท้า นี่ผมกำลังเจอกับอะไร ทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องมาเกิดขึ้นกับผม ชีวิตสวยงามที่ผมฝันไว้ มันกำลังจะกลายเป็นฝันร้ายใช่ไหม



ผมยังจุกอยู่มากแต่ก็พยายามถดตัวถอยหนี เขาก้าวเข้ามายืนใกล้ ๆ จนส่วนที่กำลังถูกรูดขึ้นลงแทบทิ่มหน้าผมอยู่แล้ว ถอยจนไม่มีที่ให้หนี หน้าหงายเพราะมือใหญ่กระชากเส้นผม ดึงให้เงยหน้าขึ้นอย่างแรง พยายามแกะมือเขาออก มืออีกข้างก็ผลักให้เขาถอยห่าง ทั้งทุบทั้งข่วนทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แต่แทบไม่เป็นผลอะไรเลย เหมือนเขาไม่ได้สะทกสะท้านกับการต่อต้านของผมสักนิด



ผมเหนื่อยมากทั้งล้าทั้งท้อ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับผม ทำไมต้องมาเจอคนพวกนี้ หลับตาฝืนความเจ็บ เพราะเส้นผมถูกดึงอย่างแรง เขากำแน่นจนคิดว่ามันคงหลุดออกมาเป็นกระจุก ผมฝืนไว้ไม่ยอมง่าย ๆ เพราะมันน่ารังเกียจมาก เมื่อเขาขยับส่วนนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เกลียดรอยยิ้มบิดเบี้ยวที่เขาแสยะมาให้ ผ่านริมฝีปากแห้งผาก ที่ต้องแลบลิ้นเลียมันตลอด เหมือนเขาเป็นโรคอะไรสักอย่าง



“ถ้ากัดกูจะฆ่ามึงหมกห้องน้ำแน่เข้าใจไหม อ้าปาก!”

“อย่านะ! อึก” เขากำลังจะเอาส่วนปลายของมันมาเขี่ยที่ปาก ผมเลยหันหน้าหนีส่วนที่มีน้ำใสไหลเยิ้ม และกลิ่นสาบคาวปะแล่มใกล้จมูก ความร้อนผ่าวและอะไรเหนียว ๆ น่ารังเกียจ เลยได้สัมผัสกับพวงแก้มแทน ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมพวกเขาต้องทำอะไรแบบนี้กับผมด้วย ผมไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย มีแต่เขาที่ทำก่อนและผมต้องป้องกันตัว



แม่บอกเสมอว่าให้ผมเข้มแข็งเพื่อตัวเอง เพราะแม่อยู่กับผมตลอดไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมอ่อนแอเหลือเกินครับแม่ อยากร้องไห้ฟูมฟายออกมาเหมือนคนสิ้นคิด อ่อนแอจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ก็ถ้าจะทำร้ายกันถึงขนาดนี้ ฆ่าผมเลยยังดีกว่า

“หันมาสิวะอ้าปากทำให้กู”

“ไม่ โอ๊ย! อย่านะปล่อยผม” เขากระชากเส้นผมที่กำอยู่อย่างแรง บังคับให้หันกลับมา พร้อมกับเหยียบท่อนขาของผมไว้ด้วย ผมเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เขาทำสิ่งน่ารังเกียจกับตัวเอง พอพยายามหันหนีอีก เขาเลยใช้ส่วนนั่นละเลงไปตามแก้มของผมจนเปื้อนไปหมด



ผมกลัว ดวงตาของเขามันน่ากลัวมาก แววตาที่จ้องมาเหมือนคนจิตไม่ปกติ รู้สึกถึงความบิดมวนในท้อง รสขม ๆ ตีขึ้นมาในลำคอ ตอนนี้ผมทั้งกลัวทั้งรังเกียจสิ่งที่เขากำลังทำ



“อ้าปากสิวะ! แล้วน้องจะชอบ” เขาเปลี่ยนวิธีพูดให้ฟังนุ่มนวลขึ้น แต่การกระทำยังคงน่าขยะแขยงเหมือนเดิม เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอารมณ์แปรปรวนจนน่ากลัว แววตาของเขาบางครั้งก็ดูเลื่อนลอย บางครั้งก็เป็นประกายก้าวร้าว แต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็น่ากลัวที่สุดสำหรับผมอยู่ดี

“เร็วสิวะไอ้เก่งเล่นอยู่ได้ กูแข็งจนปวดไปหมดแล้วเนี่ย คนอะไรน่าเอาฉิบหาย ไอ้เหี้ยเพลิงไปหามาจากไหนวะแม่ง”

“ใจเย็นมึงกูขอเล่นมันก่อน” เขาตอบเพื่อนแต่มือยังกดส่วนปลายละเลงกับแก้มผมไม่หยุด พยายามเบี่ยงหน้าหลบ แต่หันไปทางไหนเขาก็ตามมาทำร้ายผมได้เหมือนเดิม

“ห้องน้ำเต็มว่ะ เข้าไม่ได้ไปเข้าที่อื่น”

“เพื่อนผมอยู่ในนั้นยังไม่ออกมา ผมแค่จะเข้าไปดู”

“ไม่มีเพื่อนมึงอยู่ที่นี่หรอกจะไปไหนก็ไป”

“แต่เพื่อนผมอยู่ในนั้นจริง ๆ และเขายังไม่ออกมา”

“ก็บอกไม่มีไงวะสัสนี่! “นั่นเสียงเก้ากำลังทะเลาะกับใครก็ไม่รู้อยู่หน้าห้องน้ำ แต่มันก็ช่วยหยุดสิ่งที่พี่เก่งกำลังทำ ผมลืมตาขึ้น พร้อมกับหัวใจที่เต้นกระหน่ำด้วยความหวัง หวังว่าเก้าจะเข้ามาช่วย ส่วนสามคนนี้รีบแต่งตัว ขณะที่พวกเขาทิ้งความสนใจไปจากผม หันไปทางหน้าห้องน้ำ ผมรีบถอยห่างเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้สุด ปิดประตูล็อกไว้ทันทีทั้งที่นั่งอยู่บนพื้น เช็ดคราบน่ารังเกียจบนแก้มด้วยแขนเสื้อ รอฟังเสียงจากข้างนอก





“สัส มีอะไร!” เสียงพี่เก่งตะคอกถามดังขึ้น ผมใจชื้นนิดหน่อย เพราะฟังจากระดับเสียง มันบอกว่าเขาอยู่ห่างจากห้องน้ำที่ผมหลบอยู่พอสมควร เขาคงเดินออกไปทางหน้าห้องน้ำแล้ว

“ไอ้นี่มันจะเข้าห้องน้ำว่ะมึง”

“ผมแค่มาตามเพื่อน ไม่มีก็จะไป”

“ที่นี่ไม่มีเพื่อนมึงหรอกจะไปไหนก็ไป”

“เก้าเราอยู่ในนี้!” เก้าเป็นความหวังเดียวของผม ก่อนที่เขาจะถูกไล่ไป เลยรีบตะโกนบอกว่าผมยังอยู่ตรงนี้ ห้องน้ำเป็นแบบห้องรวบเหมือนห้องน้ำสาธารณะทั่วไป ที่ไม่ได้กั้นสูงจนถึงเพดาน เวลาตะโกนจึงได้ยินกันหมด

“นั่นเสียงเพื่อนผม” เก้าเถียง ผมเลยรีบเปิดประตูออกไป ก่อนที่จะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเก้า คิดว่าถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย พวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านี้ พยายามเดินเร็ว ๆ เท่าที่ขาอ่อนล้าของผมจะพาเดินไปได้ แต่พอเดินผ่านพี่เก่งก็ถูกเขาดึงแขนไว้ไม่ยอมให้ออกไป ผมคิดผิด!

“ปล่อยผมนะ”

“มึงยังไปไหนไม่ได้”

“ปล่อยเขา” เก้าบอกมองหน้าพี่เก่งด้วยสายตานิ่ง ๆ แต่น้ำเสียงที่บอกมั่นคงและหนักแน่น ไม่ได้ดูท้าทายแต่ให้ความรู้สึกน่ายำเกรง จนพี่เก่งกำมือที่จับข้อมือผมแน่น เจ็บไปตามระเบียบ

“เมียมึงเหรอเห็นขี่หลังกันกะหนุงกะหนิงเชียว” คนที่อยู่ในห้องน้ำกับพี่เก่งถาม มองผมกับเก้าสลับกันด้วยสายตาดูถูก ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอะไรกันนักหนา ถึงได้คิดแต่เรื่องแบบนี้ เก้าไม่สนใจยืนจ้องหน้าพี่เก่งนิ่งอยู่อย่างนั้น จนผมกลัวว่าสองคนนี้จะมีเรื่องกัน

“เก้า ปล่อยผม” ผมเรียกเพื่อนพยายามบิดข้อมือออก พวกเขามีหลายคนขณะที่เก้ามาคนเดียว ผมกลัวว่าถ้าพวกนี้คิดจะทำอะไรไม่ดีเก้าจะสู้ไม่ได้ เลยต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

“พวกมึงทำอะไรกันอยู่วะ ไม่ไปแดกหรือไงข้าวน่ะ!” ไม่รู้จะดีใจได้หรือเปล่า เมื่อเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น ขณะที่เก้ากับพี่เก่งกำลังฟาดฟันกันทางสายตา เสียงที่ผมไม่รู้ว่าอยากได้ยินหรือไม่อยากได้ยินกันแน่ แต่ใจก็เต้นรัวขึ้นมาเสียเฉย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ ทั้งที่เมื่อเช้าเขาทำไม่ดีกับผมไว้ตั้งหลายอย่าง โดยเฉพาะตอนเดินออกมาหน้าคอนโด



เจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้ ในรัศมีที่มองเห็นเข้ามาในห้องน้ำ พี่เก่งก็ปล่อยข้อมือของผมพอดี รีบเดินก้มหน้าออกมาจากตรงนั้น เก้าก็ตามมาด้วย ผมไม่กล้าหันกลับไปมองว่าข้างหลังเป็นยังไง คิดอย่างเดียวว่าต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด สาบานกับตัวเองว่าจะไม่มาเข้าห้องน้ำที่นี่อีก

ต่อจ้า....
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 7 (3/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-02-2019 22:26:17


“ธารเดี๋ยวธารรอด้วย”

“อ้าวกุ๊กไก่นึกว่าไปรอที่โรงอาหารแล้วเสียอีก”

“ไปแล้ว แต่ไม่เห็นธารกับเก้าตามไปสักทีเลยเดินกลับมาดู เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอกไปกันเถอะ เก้ามาเร็ว” สภาพที่มอมแมมกว่าตอนแรก คงทำให้กุ๊กไก่สงสัยไม่น้อย ผมบอกปัดแล้วหันกลับไปเรียกเก้าที่เดินตามมาเงียบ ๆ แอบปัดไปตามเสื้อผ้าที่เปื้อนอยู่ด้วย เพราะกลัวจะต้องตอบคำถามที่ไม่อยากตอบอีก ผมอยากให้มันผ่าน ๆ ไป และจะไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างนี้อีก ด้วยการระวังตัวให้มากขึ้น



เราสามคนเดินไปโรงอาหารพร้อมกัน ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จริง ๆ แล้วคือตอนนี้ผมกำลังพยายามจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ทั้งกลัวทั้งกังวลว่าพี่เก่งจะตามมาทำร้ายอีกหรือเปล่า กลัวว่าเขาจะไม่พอใจที่เก้าเข้ามาขวาง แล้วพาลไปทำอะไรไม่ดีกับเก้าด้วย ผมกลัวจนลนมือสั่นจนต้องกำไว้แน่น กุ๊กไก่ถามหลายครั้งว่าโอเคหรือเปล่า ก็ได้แค่บอกว่าไม่เป็นไร ถึงท่าทางดูไม่ค่อยเชื่อแต่กุ๊กไก่ก็ไม่ได้เซ้าซี้



ผมอยากกลับห้องแต่ยังเหลือเรียนรอบบ่ายอีกสองวิชา ไม่อยากอยู่ที่นี่ไม่อยากเจอคนมากมายแล้ว แต่ถ้าไม่มาก็คงถูกตั้งคำถามอีก ผมยังไม่อยากพูดอะไรกับใคร จริง ๆ คือไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว ตอนนี้ยังตัวสั่นไม่หาย ถึงจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว ถึงจะอยู่ไกลจากที่นั่นและอยู่กับเพื่อนแล้ว แต่ก็ยังกลัวมากอยู่ดี



พวกเราได้ที่นั่งมุมหนึ่งในโรงอาหาร ที่เต็มไปด้วยนักศึกษาจากคณะบริหารกับวิศวะ น่าจะมีคณะอื่นหลงมาบ้าง แต่คงไม่เยอะเท่าสองคณะที่อยู่ใกล้สุด มีเพียงตึกคณบดีกับตึกกลางขั้นไว้ จึงต้องใช้โรงอาหารที่ใกล้ที่สุดร่วมกัน ส่วนคณะอื่น ๆ จะอยู่ถัดไปจากนี้ ในบริเวณกว้างหลายสิบไร่ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะมีโรงอาหารอีกฝั่งไว้คอยบริการ



ผมแอบไปล้างคราบสกปรกออกจากหน้า ตรงที่ล้างจานหลังโรงอาหารตอนไปซื้อข้าว แล้วกลับมาก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจใคร แต่รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกำลังถูกจ้องมอง พอเงยหน้าขึ้นสายตาก็ปะทะเข้ากับสายตาคมดุของคุณชาย Bad Boy ที่มองมาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันเข้าจัง ๆ หัวใจกระตุกวูบทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรขัดหูขัดตาเขาอีกหรือเปล่า เขานั่งโต๊ะถัดไปจากโต๊ะของผม 3 แถว ปากเคี้ยวข้าวแต่ถลึงตามองผมจนน่ากลัว ทำเหมือนกำลังคาดโทษเลย แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดอีก



ส่วนคนที่ทำร้ายผมในห้องน้ำ นั่งโต๊ะเดียวกันกับคุณชายแต่ขั้นด้วยเพื่อนสองคน ข้างหน้ามีเพียงน้ำเปล่าขวดเดียวที่ปริมาณน้ำในขวดลดลงนิดเดียว เหมือนตั้งไว้ประดับโต๊ะเฉย ๆ เขาไม่ได้กินข้าวเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ที่นั่งด้วยกัน พี่เก่งมองมาทางนี้แต่ไม่ได้มองผม สายตาของเขามองเก้าที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่สนใจใคร ไม่รู้จะมีเรื่องอะไรกันอีกหรือเปล่า กลัวเขาจะมาทำอะไรเพื่อนเพราะเข้าไปช่วยผม คนคนนี้ยิ่งกัดไม่ปล่อย ดูจากที่เขาทำกับผมนะ ชักเป็นห่วงเก้าแล้วสิ ทำไมไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่ากำลังถูกมองด้วยสายตาน่ากลัวอย่างนั้น



“เบื่ออะโดดรวมไปเดินเล่นห้างกัน” กุ๊กไก่ชวน ขณะที่เราพากันเดินออกมาจากห้องเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้ เพื่อไปรวมที่ลานหน้าคณะตามที่รุ่นพี่เรียก เราสามคนกลายเป็นกลุ่มที่ไม่มีใครคบไปโดยปริยาย ส่วนสาเหตุเพราะอะไรนั้นผมไม่รู้ ถึงจะมีคนอื่น ๆ ที่เรียนด้วยกันเข้ามาพูดคุยด้วยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นกลุ่มเดียวกันเท่ากับผม กุ๊กไก่และเก้า



ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย เพราะกุ๊กไก่คุยเก่งร่าเริง มนุษยสัมพันธ์ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนผมถึงจะร่างเริงและไม่หยิ่ง แต่กลับไม่กล้าเขาหาคนอื่นก่อน พูดง่าย ๆ ว่าผมยังประหม่า แต่ก็ไม่ถึงขนาดขาดความมั่นใจในตัวเอง ส่วนเก้าจะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น ถึงจะมีเพื่อนเรียนด้วยกันมาคุย เขาก็ยังมีระยะห่าง คนอื่นอาจจะมองว่าหยิ่ง แต่ผมคิดว่าเขาเป็นคนไม่พูดมากมากกว่า แต่ลงมือทำเลย



ทั้งที่กุ๊กไก่พูดเก่ง และมนุษยสัมพันธ์ดีที่สุดแล้วในกลุ่มของเราสามคน แต่คนที่ดึงพวกเราเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กลับเป็นเก้า ที่ดูแล้วไม่น่าจะสนใจกิจกรรมพวกนี้ได้ด้วยซ้ำ เหมือนตอนนี้ กุ๊กไก่กำลังชวนโดดที่รุ่นพี่เรียกรวม แต่เก้ากลับค้านเหมือนทุกครั้ง และบอกว่าพวกเราควรไปรวมมากกว่า ส่วนผมยังไงก็ได้ แต่ใจจริงก็แอบขี้เกียจอยู่เหมือนกันนะ



“ว่าไงเนี่ยสองคนนี้ จะไปไหมห้างใกล้ ๆ นี่เอง”

“จะดีเหรอกุ๊กไก่ รุ่นพี่รู้เดี๋ยวก็โดนสั่งซ่อมหรอก” อย่าลืมนะว่าผมยังมีเรื่องเมื่อเช้าเป็นชนักปักหลังอยู่ เกิดพี่หน้าตึงสองคนนั้นรู้ว่าพี่ณัฐให้ผมหยุดวิ่ง ก่อนจะครบตามที่เขาสั่งจะทำยังไง แต่คิดว่าเขาคงรู้อยู่นั่นแหละ เพราะเมื่อเช้าก็มีคนอื่นอยู่ด้วยตอนพี่ณัฐมาบอกให้ผมหยุด ถึงจะไม่มีใครสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่พูดอะไรใช่ไหมล่ะ และนั่นก็อาจจะทำให้ผมถูกเขม่นไปมากกว่านี้ หรือถูกลงโทษอีกก็ได้



“ก็อย่าให้รู้สิ” หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มตอบหน้าตาเฉย กระชับกระเป๋าเป้ที่หลังเตรียมโดดเต็มที่

“ไม่รู้ก็ดีสิ โน่นเห็นไหมทางโน้นรุ่นพี่ล็อกเป้าไว้แล้ว จะไปไหนได้ทันรีบไปรวมเลย พี่เขาเรียกแล้ว” เก้าดับฝันกุ๊กไก่แล้วต้อนเราสองคนไปทางลานหน้าคณะ ก็ไม่อยากเข้าร่วมแต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ผมก็ไม่มีปัญหา ทั้งที่กุ๊กไก่มองค้อนเก้าไปแล้ว

“วันศุกร์นี้ก็วันสุดท้ายแล้วน่า ทนหน่อยสิ” ผมกับกุ๊กไก่เหมือนเด็กเลยที่ถูกเก้าต้อนมา ก็ตัวสูงใหญ่ออกขนาดนี้ เขาปลอบขณะพวกเราเดินไปเข้าแถวรวมกับคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน จากนั้นรุ่นพี่สั่งให้นั่งลงลงตรงลาน ทั้งที่พื้นร้อน ๆ เพราะเพิ่งผ่านแดดยามเที่ยงวันมาไม่กี่ชั่วโมง ดีที่ตอนนี้ตะวันลับหลังตึกเรียนไปแล้ว เลยไม่ต้องนั่งตากแดดกัน เหมือนถูกเรียกรวมตอนเที่ยง



การรวมก็เหมือนเดิมที่มีพี่ปี 2 เป็นคนดูแล และมีพี่ปี 3 มายืนทำหน้าโหดคุมอยู่รอบ ๆ ตอนแรกผมไม่รู้หรอก แต่กุ๊กไก่บอกว่าอย่างนั้น ดูเหมือนกุ๊กไก่จะรู้จักดีว่าใครเป็นใครอยู่ปีไหน พอพูดถึงรุ่นพี่ผมก็มองไปรอบ ๆ เผื่อจะเจอพี่รัน แต่มองจนรอบทิศทางแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่อยากเจอเลย คิดว่าแถวนี้ไม่น่าจะมีปี 4 อยู่สักคนด้วยซ้ำ ไม่รู้หายไปไหนกันหมด



ปี 1 ได้รับแจกกระดาษมาคนละสามผ่าน ที่เย็บเข้ากันไว้เรียบร้อยแล้ว ในนั้นพิมพ์เพลงประจำมหาวิทยาลัย และเพลงคณะให้พวกเราหัดร้อง ซึ่งแน่นอนว่าพวกปี 1 ยังไม่มีใครร้องได้กันสักคนหรอก เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน เลยได้แต่เปิดอ่านผ่าน ๆ บางคนเอาเอามาพัดไล่ความร้อนเสียอย่างนั้น อย่างเช่นกุ๊กไก่ที่นั่งอยู่แถวข้าง ๆ ผมนี่ไง พัดให้ตัวเองไม่พอยังใจดีเผื่อแผ่มาทางผมด้วย ส่วนเก้านั่งอยู่อีกแถว เรานั่งกันคนละแถว แต่พอเรียงกันแล้วก็ได้นั่งข้างกันเหมือนเดิมอยู่ดี



“มีอะไรเหรอ” เผลอถามเข้าจนได้ เมื่อเห็นว่าเก้าแอบหันมามองอยู่หลายครั้ง เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง กลัวว่าเก้าจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องน้ำ ผมเลยทำเป็นไม่เห็น แต่คราวนี้ดันเผลอถามออกมาเองเสียได้ ถามแล้วเลยก้มหน้าหลบสายตาเดาความคิดไม่ถูกของเก้า ทำเป็นสนใจเพลงมาร์ชประจำมหาวิทยาลัยในแผ่นกระดาษที่รุ่นพี่แจกให้แทน

“เดี๋ยวเลิกรวมต้องคุยกัน” เสียงเก้ากระซิบตอบกลับมาเบา ๆ นึกว่าจะปล่อยผ่านแล้วก็ไม่

ผมเลยแกล้งถามเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร “เก้าจะคุยเรื่องอะไรเหรอ”

“ก็รู้อยู่นี่” ไม่ผิดจากที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย

“มันไม่มีอะไรหรอกเก้า”

“ทั้งที่เราเห็นว่ามันก็มีอะไรนะเหรอ”

“ช่างมันเถอะอย่าสนใจเลย”

“แต่..”

“สองคนนี้จะจีบกันอีกนานไหมครับ” !! ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะตกใจที่อยู่ดี ๆ เสียงดุก็ดังขึ้นข้างหลัง มันไม่ใช่เสียงดุธรรมดา แต่เสียงนั้นทั้งดุทั้งดังจนทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ และรุ่นพี่ที่ยืนพูดอะไรไม่รู้อยู่ข้างหน้า พากันหันมามองหมด ผมกับเก้าเลยเงียบทันที



“ลุกขึ้น!” รุ่นพี่เสียงดังคนเดิมสั่งอีกและเก้าลุกขึ้นทันที ส่วนผมก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่าวันนี้เจออะไรมาบ้างตั้งแต่เช้า ต้องค่อย ๆ ลุก และมันคงไม่ทันใจรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง เป็นกลุ่มรุ่นพี่ ปี 3 ที่มายืนทำหน้าดุคุม ปี 1 หรืออาจจะคุมปี 2 ด้วยหรือเปล่า เขาเลยเร่งเสียงดัง



“เร็ว! “แต่ผมก็เร็วได้เท่านี้เลยอาจจะไม่ทันใจ จนพี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังต้องตะคอกสั่งมากอีก ดีที่เก้าช่วยดึงตอนนี้เลยลุกขึ้นยืนได้แล้ว ทำไมต้องตะคอกด้วย พูดดี ๆ กันไม่เป็นแล้วหรือไง “คุณใช่ไหมที่โดนลงโทษให้วิ่งขึ้นลงตึกสามชั้นสามสิบรอบเมื่อเช้า!”



ใจหายวาบที่ได้ยินคำถามที่ถามด้วยเสียงดุ ๆ กลัวว่าจะถูกลงโทษอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า ที่ขัดคำสั่งรุ่นพี่เมื่อเช้า กลัวว่าพี่ณัฐพี่รหัสของผมจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย แต่ถามถึงขนาดนี้ผมจะกล้าโกหกได้ยังไง

“ครับ”

“แล้วทำครบไหม”

“เอ่อ” ผมกำมือแน่นเพราะมันกำลังสั่น ช้อนตาขึ้นมองเก้าที่กำลังมาตอบด้วยสายตาเข้าใจ ช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นได้มาก หันไปทางกุ๊กไก่ก็มองมาอย่างให้กำลังใจไม่ต่างกันเลย ผมจึงหันไปตอบรุ่นพี่ “ไม่ครบครับผมขอโทษ แต่ผมวิ่งไหวจริง ๆ “



เลี่ยงไม่พูดถึงว่าใครเป็นคนบอกให้หยุด เพราะเอาจริง ๆ ถ้าเมื่อเช้าพี่ณัฐไม่บอกให้หยุด ผมคงเดินจบครบสามสิบรอบนั่นแหละ ถึงพี่หน้าตึงจะสั่งให้วิ่งก็ถามเถอะ จะต้องคลานแต่ก็คงต้องทำตามคำสั่งอยู่ดี

“คำสั่งของรุ่นพี่ไม่มีความหมายกับคุณเลยหรือไง”

“ผม...”

“คิดให้ดี ตอนนี้พูดอะไรก็เหมือนกับการแก้ตัว และคุณจะกลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป” ใช่ถึงผมจะพูดอะไรตอนนี้ เขาก็คงคิดว่าผมแก้ตัวทุกคำ แล้วจะถามทำไมล่ะ

“ครับ”

“ตอบได้แค่นี้เหรอ ไม่คิดจะรับผิดชอบหน่อยเหรอ สิ่งที่รุ่นพี่บอกมันไม่มีความหมายเลยหรือไง คุณถึงไม่คิดจะทำตาม ทั้งที่คุณเองเป็นฝ่ายผิด!” ผมเงียบไม่รู้จะตอบยังไงเมื่อเขาตอกย้ำมาอย่างนั้น เพราะผมเองก็ผิดจริง ๆ ที่มาสาย

“ผมขอโทษครับ แต่..”

“ตอนนี้จะพูดอะไรก็ได้สิ คุณคิดว่าตัวเองเก่งนักหรือไงที่กล้าขัดคำสั่งรุ่นพี่”

“ผมเปล่าครับไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย”

“เหมือนคุณกำลังเถียงนะ” พอรุ่นพี่คนนี้พูดจบเก้าตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ ผมกลัวเก้าจะมีเรื่องกับรุ่นพี่ เลยจับกระเป๋าเขาไว้แน่น กระตุกเรียกให้หันกลับมา พยายามบอกทางสายตาให้เก้าใจเย็น ๆ ทั้งที่ตั้งแต่รู้จักกันมาก็พอรู้อยู่ว่าเก้าไม่ใช่คนที่ชอบมีเรื่องกับใคร แต่เพราะกลัวเก้าจะพูดอะไรที่อาจจะทำให้รุ่นพี่ปี 3 คนนี้ไม่พอใจกว่าเก่า ผมเลยต้องเรียกเขาไว้ก่อน



“เมื่อเช้าคุณวิ่งได้กี่รอบ”

“18 รอบครับ” ผมก้มหน้าตอบ

“กี่รอบนะ! ตอบดัง ๆ ผมไม่ได้ยิน” เขาถามเสียงดังขึ้นทั้งที่เมื่อกี้น่าจะได้ยินแล้ว ว่าผมตอบไปเท่าไหร่ ผมไม่ได้พูดเบาเลย ก็ใช้ระดับเสียงเท่ากับที่พูดก่อนหน้านี้และเขายังได้ยิน แต่ทำไมอยู่ดี ๆ จะไม่ได้ยินเสียล่ะ หรือว่ากำลังแกล้งให้ผมอาย อยากให้คนอื่นมองว่าผมเป็นคนขี้โกงหรือไง ทั้งที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกงสักนิด

“สิบแปดรอบครับ”

“กี่รอบ! “

“สิบแปดครับ! “

“ดี! เหลือสิบสองไปวิ่งให้ครบ!” เขาเอาแต่ถามย้ำ จนครั้งสุดท้ายผมตอบเสียงดังให้ถูกใจเขา ผลที่ได้กลับมาคือคำสั่งเสียงดัง สั่งให้ผมไปวิ่งให้ครบ นี่ผมต้องกลับไปวิ่งขึ้นลงตึกสามชั้นใหม่เหรอ แค่คิดขาสองข้างก็แทบหมดแรงทรุดลงแล้ว ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ กิจกรรมทุกอย่างคงหยุดลงแล้ว ตั้งแต่พี่ปี 3 คนนี้เดินเข้ามาหาผมกับเก้า ที่นั่งคุยกันอยู่แถวหลังสุด ตอนนี้เราเด่นกันมาก เพราะปี 1 คนอื่น ๆ ยังพากันนั่งอยู่ มีแค่ผมกับเก้าและรุ่นพี่คนนี้ที่ยืน ขณะที่คนอื่นกำลังมองมาที่เราเป็นจุดเดียว



“มีเรื่องอะไรกัน”

“ผมกำลังลงโทษรุ่นน้องอวดดีขัดคำสั่งรุ่นพี่ครับ” เสียงถามเสียงแรกคุ้นหู แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ทำให้รุ่นพี่ปี 3 คนนี้ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมก็คงไม่ธรรมดาล่ะนะ

“ยังไง”

“น้องคนนี้ถูกลงโทษด้วยการให้วิ่งขึ้นลงตึกสามชั้นเมื่อเช้า เพราะเข้าเรียนสายไปครึ่งชั่วโมง”

“ไม่น่ามาสายขนาดนั้นนะ”

“ครับ แต่ที่แย่ที่สุดคือเขาอวดดีวิ่งไม่ครบตามที่สั่ง ถือเป็นการไม่เคารพรุ่นพี่ ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ผมจึงให้โอกาสเขาด้วยการให้กลับไปวิ่งให้ครบ”

“ต้องกลับไปวิ่งขึ้นลงตึกสามชั้นอีกเหรอ”

“ครับ”

“วิ่งรอบลานตรงนี้ก็น่าจะแทนได้นี่ ยังไงทุกคนก็มารวมกันตรงนี้แล้ว”

“แต่..”

“หรือว่ายังไงเรา” พอได้ยินคำถามที่เหมือนจะไม่ได้ถามรุ่นพี่ปี 3 เหมือนตอนแรก จากที่ยืนมองหน้ากันกับเก้าอยู่นาน เลยหันไปมองทางต้นเสียงที่ช่วยต่อรองให้ ใจผมชื้นขึ้นมาก เพราะเจ้าของเสียงที่ว่าคุ้น ๆ ในตอนแรกนั้น คือพี่นทีเพื่อนพี่รัน พอมองเลยไปข้างหลังพี่นทีก็เห็นพี่รันยืนอยู่ถัดไป กลุ่มพี่รันมาครบทั้ง 4 คน และยังมีปี 4 คนอื่น ๆ อีกหลายคนมาด้วย



พี่รันมองมาทางผมนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่แค่ยิ้มให้บาง ๆ ผมก็รู้สึกดีแล้ว ไม่ได้คิดว่าอยากให้พี่รันช่วยพูดกับพี่ ปี 3 คนนี้ให้ ผมยินดีรับโทษ และจะทำให้ครบเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แต่ถ้าวิ่งตรงนี้ก็ดี เพราะวิ่งรอบลานที่เป็นทางราบ และพื้นที่ก็ไม่ได้กว้างมาก มันต้องดีกว่าวิ่งขึ้นลงบันไดอยู่แล้ว



“ว่าไงจะให้น้องววิ่งที่นี่ได้ไหม ยังไงก็มีกิจกรรมอยู่แล้วนี่”

“ได้ครับ” เสียงตอบไม่เบาแต่ก็ไม่ดังมากเหมือนตอนแรก แต่ทุกคนที่นี่ก็ได้ยินกันทั้งหมด เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนมองมาด้วยสายตาเหมือนเอาใจช่วย นั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้อีกเยอะ อย่างน้อยผมก็คงไม่ถูกเกลียดจากเพื่อนรุ่นเดียวกันทุกคน

“เหลือกี่รอบล่ะ” พี่นทีหันมาถาม ผมพยายามจะไม่ยิ้ม แต่สีหน้าคงบอกทุกคนไปแล้วว่าดีใจมากแค่ไหน ก็มาเรียนแต่ล่ะวันไม่ใช่ว่าจะได้เจอพี่รันงง่าย ๆ ผมต้องดีใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

“เหลือสิบสองรอบครับ” ผมตอบ

“มีแค่นี้ใช่ไหมที่น้องต้องทำ” พี่นทีหันไปถามพี่ปี 3 คนนั้นอีก

“บวกกับโทษใหม่ที่นั่งคุยกันเมื่อกี้ ไม่สนที่รุ่นพี่พูดด้วยให้เป็นทั้งหมดคนละยี่สิบรอบ!”

ผมกับเก้ามองตากันแล้วหันไปทางพี่นทีที่ถามขึ้นพอดี “ไหวไหมล่ะ วิ่งรอบลาน 20 รอบ”

“ไหวครับ”

“งั้นก็ปฏิบัติ”

“ครับ! “เราสองคนเริ่มออกวิ่งรอบลานรวมพลหน้าคณะ ที่ขนาดของมันใหญ่กว่าสนามบาสไม่มาก ผมกับเก้าวิ่งเหยาะ ๆ ไปรอบ ๆ กลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกัน ยังได้ยินเสียงที่พี่ปี 2 พูดกับพวกที่เหลือ เรื่องกิจกรรมอีกหลายอย่าง รวมทั้งการประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย ที่ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยทุกแห่งไปแล้ว ที่จะต้องมีการประกวดกันทุกปี



ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับกิจกรรมอะไรเหล่านั้น มากไปกว่าการเข้าร่วมตามหน้าที่ ปกติผมก็ไม่ใช่เด็กกิจกรรมอยู่แล้ว เพราะต้องทำงานหารายได้พิเศษตั้งแต่เด็ก มันเลยเหมือนเคยชินและไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ถ้าจำเป็นต้องเข้าร่วมผมก็ทำได้ วิ่งเหยาะ ๆ กับก้าวไปได้หลายรอบแล้วเหงื่อเริ่มออก ความร้อนไม่ต้องพูดถึง แม้จะไม่มีแดดแต่ก็ร้อนจนตอนนี้เสื้อที่ใส่อยู่เปียกชุ่มไปหมด เก้าเองก็ไม่ต่างกันเลย เผลอ ๆ คงเหงื่อเยอะกว่าผมอีก



กลุ่มรุ่นพี่ปี 4 ที่มาสังเกตการณ์การรับน้องนั่งอยู่ไม่ไกล เห็นพี่รันยังนั่งอยู่ในกลุ่มนั้น ผมก็มีกำลังใจขึ้นเยอะ อย่างวิ่งให้เสร็จเร็ว ๆ อยากให้กิจกรรมรับน้องวันนี้เสร็จเร็ว ๆ จะได้คุยกับพี่รันบ้าง หวังว่าพี่รันคงไม่กลับไปก่อน เพราะกลับห้องไปผมก็ต้องทำงานอีกหลายอย่าง ไม่รู้จะมีเวลาโทรหาไหม ถึงพี่รันจะโทรมาบ้าง แต่ผมก็อยากเป็นฝ่ายโทรหาพี่บ้างเหมือนกัน เพราะคิดถึงตอนอยู่ด้วยกันที่บ้าน ยิ่งห่างมาอย่างนี้ เจอพี่ที่เรารักนับถือก็ยิ่งอยากคุยกันนาน ๆ



ผมกับเก้าวิ่งครบ 20 รอบก็ต้องวิ่งไปบอกพวกรุ่นพี่ว่าครบแล้ว ถึงได้กลับมานั่งที่เดิมข้างกุ๊กไก่ อดที่หันไปมองทางพี่รันไม่ได้ อดที่จะส่งคำอ้อนวอนไปด้วยไม่ได้ ว่าให้พี่รันอย่าเพิ่งกลับนะผมอยากคุยด้วย ได้คุยสักนิดก็ยังดีพอให้หายคิดถึง ผมคิดถึงพี่รันคิดถึงแม่คิดถึงบ้านด้วย การได้คุยกับคนที่เจอกันมาแต่เด็กบ้านอยู่ใกล้กัน มันช่วยให้หายคิดถึงได้เยอะ พี่รันเองก็ไม่ค่อยมีเวลา ได้ยินว่าปี 4 ใกล้จบก็ต้องวุ่นอยู่กับการเรียน การทำโปรเจ็กจบอะไรอีกหลายอย่าง แถมพี่รันยังต้องเข้าไปช่วยงานคุณน้าอีก แบบนี้ไงผมเลยไม่ค่อยกล้าโทรไปหาบ่อย ๆ พอเจอกันที่มหาวิทยาลัยเลยอยากเห็นแก่ตัวบ้าง



“ไหวไหมธาร” กุ๊กไก่ถามขึ้นทันทีที่ผมกับเก้านั่งลง เราสองคนยังหอบจากการวิ่ง เก้าเองถึงจะดูเหนื่อยแต่ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะคงออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว ต่างจากผมที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังเป็นเรื่องเป็นราวเลย แถมเมื่อเช้ายังถูกตัดกำลังไปแล้วด้วย ทั้งเรื่องการลงโทษและ..เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องน้ำ



ถ้าผมแอบออกกำลังกายในห้องฟิตเนสของคุณชายบ้างเวลาเขาไม่อยู่ จะถูกเขาด่าไหมนะ ชักอยากมีกล้ามใหญ่ ๆ เหมือนเก้าแล้วสิ ดูแข็งแรงจัง



“เหงื่อออกเต็มเลย” ผมคิดเพลินเลยลืมตอบ แต่กุ๊กไก่ก็คงรู้เลยไม่ได้เซ้าซี้ ถามแต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะเห็นอยู่แล้วว่าผมเหงื่อโทรมมา แถมยังใจดีเอาชีสเพลงที่รุ่นพี่แจกมาพัดให้ด้วย

“ไม่เห็นถามเราเลยกุ๊กไก่” เก้าว่าเหมือนจะตัดพ้อ แต่ดูยังไงก็ไม่จริงจังเลยสักนิด

“เก้าน่ะท่าทางแข็งแรงจะตาย วิ่งแค่ยี่สิบรอบแค่เหงื่อซึมมั้ง ไม่เหมือนธารนี่วิ่งขึ้นลงตั้งแต่เมื่อเช้าจนตอนนี้ ดูสิจะลิ้นห้อยไหมเนี่ย เดี๋ยวเลิกจากนี้ให้เราไปส่งนะ”

“จะดีเหรอกุ๊กไก่ เรากลับเองได้”

“น่าสักวันทางเดียวกันด้วย ยังไงเราคงคบกันได้แค่สามคนนี้ล่ะ”

“ให้กุ๊กไก่ไปส่งนั่นแหละจะได้รีบกลับไปพักอย่าลืมนวดยาที่ขาล่ะ”

“งั้นก็ได้ขอบคุณครับ”

“แนะพูดซะเพราะเชียว เพื่อนกันน่าไม่ต้องเกรงใจ”

“งั้นก็ไปส่งเราด้วยสิ”

“เสียใจย่ะ หอในใกล้แค่นี้เดินกลับเอง” พอผมตกลงกุ๊กไก่ก็ยิ้มกว้างเลย เพราะขอไปส่งที่คอนโดหลายครั้งแล้ว แต่ผมเกรงใจเลยไม่ได้ไปด้วยกันสักที



เรานั่งกันไม่นานรุ่นพี่ก็ปล่อยให้แยกย้าย เก้ากลับไปแล้ว ส่วนผมกับกุ๊กไก่ไปด้วยกัน ผมเลยชวนไปหาพี่รันที่นั่งอยู่อีกฝั่งของลานหน้าคณะก่อน กุ๊กไก่ตื่นเต้นที่รู้ว่าผมรู้จักรุ่นพี่ปี 4 ที่มาจากบ้านใกล้กัน แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กันนั่นแหละ ว่าขาผมมันล้ามากแล้วตอนนี้ เลยทำได้แค่ค่อย ๆ เดินไป มีกุ๊กไก่คอยขนาบอยู่ข้าง ๆ มีช่วยประคองบางครั้งที่เดินพื้นต่างระดับ



“หึ” เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นขณะเราเดินผ่านบอร์ดข้างทางเดิน เสียงที่ทำให้ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูก แต่ต้องยอมรับว่ามีหนึ่งครั้งในวันนี้ ที่ผมรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าดีใจหรือเปล่าที่ได้ยิน พอหันไปทางต้นเสียงก็ไม่ผิดไปจากที่คิด เมื่อเจ้าของเสียงเดินออกมาจากหลังบอร์ดข้างทางเดิน

“เขาปล่อยให้กลับแล้วก็รีบกลับไปทำงาน อย่าลืมว่ามึงยังทำงานไม่เสร็จ”

“ครับ” ผมรับคำแล้วหันไปมองหน้าเพื่อน กุ๊กไก่มองตอบมาสีหน้ามีคำถาม “นี่คุณเพลิงเจ้านายเราเอง คนที่เราอาศัยอยู่ด้วย คนนี้กุ๊กไก่เพื่อนผมครับ” เขามองตอบผมสายตาเหมือนกำลังบอกว่า กูไม่ได้ถาม!

“สวัสดีค่ะ” กุ๊กไก่ยกมือไหวเจ้านายของผมยิ้มให้เขาด้วย คุณชายพยักหน้ารับไหว้ทั้งที่ยังมองผมตาขวาง

“กูกลับไปมึงต้องอยู่ห้อง เตรียมของกินไว้ให้กูเรียบร้อยแล้ว” เขาสั่งแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่เท้าทั้งสองต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น

“มีอะไรกันเหรอ”

“พี่รัน”

“อือ ว่าไงมีเรื่องอะไรกัน” พี่รันถามผมแต่ปรายตาไปทางคุณชาย เหมือนไม่ชอบใจเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าบริหารกับวิศวะที่ตึกเรียนอยู่ใกล้กันแค่นี้จะถูกกันหรือเปล่า ฝ่ายนั้นก็ดูเถื่อนเหมือนมาหาเรื่อง ส่วนฝ่ายนี้ก็ท่าทางกวน ๆ หรือเพราะเป็นเจ้าถิ่นอันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้มีเรื่องกันเลย



“มึงจะยืนบิดตูดอยู่นี่อีกนานไหม”

“แล้ววิศวะมาทำอะไรที่บริหารวะ!”

“มาให้หมามันถามมั้ง”

“มะ มึงไอ้เหี้ยเพลิง! “เขาแสยะยิ้มให้พี่รันเหมือนที่ชอบทำให้ผม แถมยังปรายตามองพวกพี่โรเจอร์ พี่ก้อง พี่นที ด้วยสายตาท้าทายไม่เป็นมิตร ทั้งที่ตัวเองมาคนเดียวแท้ ๆ ยังทำเป็นเก่ง พูดจบแล้วเดินหนีไปดื้อ ๆ ทิ้งให้พี่รันกัดฟันกรอด ถ้าไม่ติดว่าพี่โรเจอร์ดึงแขนไว้ ไม่รู้ว่าพี่รันจะตามไปเอาเรื่องหรือเปล่า



ผมขอโทษพี่รันที่ทำให้โดนว่า พอพี่รันรู้ว่าเขาคือคนที่ผมอาศัยอยู่ด้วยก็ไม่พอใจ เลยชวนผมไปอยู่คอนโดที่ซื้อไว้ แต่นั่นยิ่งทำให้ผมเกรงใจพี่รันเข้าไปใหญ่ แถมยังมีสัญญากับคุณลุงพิภพอีก ผมจะไปได้ยังไง



พอได้คุยกัน ถึงได้รู้ว่ากลุ่มพี่รันกับกลุ่มคุณชาย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่ไม่เคยมีเรื่องอะไรกันใหญ่โต เพราะยังไงก็สถาบันเดียวกัน เรียนก็เรียนใกล้กันแค่นี้ อาจจะมีเขม่นหรือกวนใส่กันบางครั้ง แต่ไม่เคยเกิดเรื่องร้ายแรง คุยได้ไม่นานผมกับกุ๊กไก่ต้องขอตัวกลับ นึกเสียดายเพราะอยากคุยกับพี่รันนาน ๆ แต่ก็เกรงใจเพื่อนที่รอ



กุ๊กไก่มาส่งหน้าคอนโดแล้วเลยกลับบ้าน ก่อนไปยังบ่นว่าเจ้านายผมดูน่ากลัว แต่หล่อเถื่อนเร้าใจเลยให้ผ่าน เป็นงั้นไปเพื่อนใหม่ของผม



**********************

มาช้ายังดีกว่าไม่มาเนอะ

ลำธารเหมือนโดนหนักมากอะตอนนี้

ดาวจะโดนปาขวดมั้ยเนี่ย ดาวไม่ได้แกล้งนะ อีพี่มันแกล้ง

แต่ไม่กลัวหรอกเดี๋ยวให้พี่เพลิงไปเคลียร์ อย่ามาเยอะ!!!

55555

เปลี่ยนชื่อแล้วเด้อออออ

#เพลิงธาร

ดาว ณ แดนดิน

3-2-2560
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 8 (7/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-02-2019 21:42:30



กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก 8



“สวัสดีครับพี่ฐานทัพ ผมลำธารนะครับ ขอพูดสายกับคุณลุงพิภพได้ไหมครับ”

“รอสักครู่นะครับคุณธาร” ผมยังอยู่หน้าคอนโด กำลังโทรหาคุณลุง เพราะอะไรบางอย่างที่ดูไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ หลังจากตรวจดูเงินในกระเป๋า และคิดว่าตัวเองต้องเตรียมเงินติดตัวไว้ใช้สักหน่อย เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เหลือเงินแค่ 200 บาท ผมก็ยังไม่ได้ไปกดเงินที่ตู้ ATM เลย ถึงจะมีเงินบางส่วนที่เจ้านายของผมให้มา ตั้งแต่วันที่ผมต้องไปซื้อของมาทำอาหารให้เขากับเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้มันก็เหลือไม่มาก และผมก็ต้องแยกเอาไว้ใช้จ่ายในส่วนของเขา ไม่กล้าเอาเงินเขามาใช้ส่วนตัว กลัวเขาจะหาว่าผมขี้โกง



ถึงจะมีเบอร์ส่วนตัวแต่คิดว่าคุณลุงคงงานยุ่งมาก ผมเลยไม่กล้าโทรไปรบกวน เลือกโทรหาพี่ฐานทัพเลขาของคุณลุง เพราะถ้าคุณลุงไม่ว่างก็ยังฝากเรื่องไว้ได้ แต่รอไม่นานผมก็ได้ยินเสียงคุณลุงดังมาตามสาย

“ว่าไงเจ้าหนู ลูกชายของฉันมันแผลงฤทธิ์อะไรหรือเปล่า ถึงได้โทรมา” คุณลุงถามเหมือนรู้ดีว่าลูกชายตัวเองเป็นยังไง แต่ที่ผมโทรมาไม่ใช่เรื่องนี้

“สวัสดีครับคุณลุง เอ่อ..คุณเพลิงไม่ได้ทำอะไรครับ” ผมจะบาปไหม แต่ไขว้นิ้วไว้แล้วแหละ แอบขอโทษคุณลุงไปด้วย “คือผมจะโทรมาถามเรื่องเงินเดือน”

“เงินเดือนที่ฉันให้เธอนะเหรอ ทำไมล่ะ”

“ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะครับ”

“ไม่เยอะหรอก ฉันรู้ว่าการดูแลลูกชายฉัน มันต้องทำให้เธอเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า”

“แต่..”

“ตอนนี้หน้าที่ของเธอคือตั้งใจเรียน แล้วก็ดูแลพี่เขานะเจ้าหนู เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ เงินนั่นถ้าคิดว่ามันมากไป ก็คิดเสียว่าเป็นเงินเก็บ หรือเป็นโบนัสชดเชยที่เธอต้องปวดหัวกับลูกชายฉันไง ฉันรู้ว่าเจ้าเพลิงต้องแผลงฤทธิ์อะไรใส่เธอแน่ ๆ ”

“แต่คุณลุงครับ...”

“ตอนนี้เธออยู่ในฐานะหลานชายของฉัน และฉันก็คิดว่าเธอเป็นหลานฉันจริง ๆ แล้วด้วย ใช้เงินอย่างสบายใจเถอะนะลำธาร ไม่ต้องกลัวไม่ต้องเกรงใจ ที่ฉันให้เยอะเพราะฉันรู้ว่าเธอจะใช้มันยังไง ทั้งที่เธอจะใช้จ่ายกับอะไรยังไงฉันก็ไม่ว่า ดูแลตัวเองดูแลพี่เพลิงให้ลุงด้วย เดี๋ยวลุงต้องเข้าประชุมแล้ว มีอะไรก็โทรหาฐานทัพได้ตลอดนะ”



คุณลุงวางสายไปแล้ว หลังจากที่พูดอะไรยืดยาวจนผมแทบฟังไม่ทัน แต่ก็จับใจความและเข้าใจคำพูดทั้งหมดได้ ก้มลงมองบัตรสีเงินแวววาวในมือ ที่ทำอะไรได้หลายอย่าง ตั้งแต่กดเงินสดหรือใช้แทนเงินสดซื้อของ แต่ที่ทำให้ผมต้องโทรหาคุณลุง เพราะยอดเงินเดือนแรกที่คุณลุงโอนให้ มันเยอะมากจนผมตกใจ ทำงานเป็นเด็กรับใช้แค่นี้ทำไมได้ค่าตอบแทนเยอะขนาดนี้ หรือคุณลุงรู้อยู่แล้วว่าผมต้องเจอกับอะไรบ้าง



ผมเดินกลับไปที่ตู้ ATM ข้างซูเปอร์มาเก็ตที่ผมเคยออกปากว่าจะไม่เข้าไปอีก แต่แค่วันแรก ผมต้องเดินเข้าไปถึง 3 รอบ และมันยังมีรอบต่อ ๆ มาในวันต่อมาอีกหลายรอบเลยต้องทำใจ เพราะร้านนี้มันอยู่ใกล้ คิดไปคิดมาก็สะดวกดีเหมือนกัน กดเงินออกมาจำนวนหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายของตัวเอง เผื่อไว้ซื้อของกินของใช้อื่น ๆ ด้วย เข้าไปซื้อของใช้ส่วนตัวนิดหน่อย ก่อนพาร่างเหนื่อยล้าขึ้นห้อง วันนี้แค่วันเดียว แต่เป็นวันเดียวที่ทำให้ผมเหนื่อยมากจริง ๆ เหนื่อยจนแทบจะต้องคลานขึ้นห้องเลยทีเดียว



พอเปิดประตูเข้าห้องมาได้ ผมทิ้งตัวลงนอนแผ่บนโซฟาในห้องรับแขกนั่นเอง ร่างกายตอบสนองทันทีที่หลังแตะความนุ่มสบาย ไม่อยากขยับไปไหน ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว กระเป๋าเป้ไหลจากไหล่ลงไปกองบนพื้นข้างโซฟา ถุงของที่ซื้อมายังอยู่ในมือ ความผ่อนคลายค่อย ๆ แทรกซึมเข้าเติมเต็ม ไล่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันออกไป ผ่อนคลายจนไม่อยากขยับตัว แม้แต่หมอนยังไม่หยิบมาหนุน ผมหลับตาลง ทุกอย่างหยุดนิ่ง เกิดความเงียบเหมือนเสียงทุกเสียงหายไปจากโลกนี้ แล้วทุกอย่างก็มืดลงปิดกั้นการรับรู้ของผม



“ท่านอนแม่งโคตรน่าเอาเลยว่ะ”

“ขาวฉิบหายเลยมึง ไอ้เหี้ยเพลิงไปหามาจากไหนวะ”

“ใช่ทั้งขาวทั้งใส เห็นแล้วอยากกัดให้จมเขี้ยว”

“เด็กไอ้เพลิงหรือเปล่าว่ะ พวกมึงก็พูดไป”

“นี่แค่เห็นนิดเดียวนะมึง ถ้าได้เห็นหมดทั้งตัวจะขนาดไหนวะ”

“สัสกูจะแข็งแล้วเนี่ย แค่คิดยังเสียวไปถึงตับ ตับ ๆ ตับ”

“ลามกสัส! “เสียงคุยกันที่แว่วเข้ามาในหูฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ผมรำคาญมาก ไม่รู้ใครมาคุยกันอยู่แถวนี้ อยากไล่ไปไกล ๆ พยายามลืมตาขึ้นดู แต่หนังตาก็หนักอึ้งเหลือเกิน มันหนักมากเหมือนถูกถ่วงด้วยน้ำหนักสักร้อยตัน พยายามปรือตาขึ้นจนเหนื่อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จนต้องล้มเลิกความตั้งใจ แต่เสียงคุยกันยังดังมาให้รำคาญอยู่เรื่อย ๆ



“ชักอยากเห็นแล้วสิวะ ว่าข้างในมันจะน่ากัดขนาดไหน”

“หุ่นแบบนี้กระแทกทีไม่หักเลยเหรอวะ”

“มึงก็กระแทกเบา ๆ สิวะไอ้ห่าเสียของ”

“เอ้าก็กูเยดุ เวลามัน ๆ มึงจะออมแรงเพื่อ?”

“แต่ปกติมึงไม่กินผู้ชายไม่ใช่? “

“พอ ๆ น้องเขาจะเล่นด้วยกับพวกมึงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

“เรื่องนั้นไว้ค่อยคุย แต่เจอลีลากูแล้วไม่รอดมือกูสักรายว่ะ”

“มึงถามไอ้ป๋าก่อนไหม อาจจะเป็นเด็กมันก็ได้ หรือมึงคิดว่าไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่จะเข้ามานอนในเพนท์เฮาท์มันได้ไงวะ” ผมได้ยินพวกเขาคุยอะไรกันบางอย่าง เรื่องเอาอะไรสักอย่าง แต่ละเสียงไม่คุ้นหูเลย พยายามลืมตาขึ้นดูอีกครั้ง ว่าใครมาคุยอะไรกันอยู่ตรงนี้ หรือจะเป็นเพื่อนคุณชาย หรือเขาจะกลับมาแล้ว ถ้าเขากลับมาแล้วเป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะได้นอนสบายอยู่อย่างนี้ เพราะเขาต้องปลุกผมแน่ ๆ หรือไม่อย่างนั้นก็กระชากผมลงจากโซฟาไปแล้ว



หรือผมกำลังฝัน เป็นความฝันที่ทั้งหนักและเหนื่อย ฝันที่อึดอัดหนักหน่วง ฝืนจนเหนื่อย ฝันเหมือนจริงมากจนคิดว่าตัวเองไม่ได้ฝัน แต่ทำไมผมทำอะไรไม่ได้ อยากตื่นจากฝันก็ทำไม่ได้ อยากขยับตัวอยากลืมตาขึ้น หรืออ้าปากพูดสักคำก็ทำไม่ได้สักอย่าง ผมเป็นอะไรไป ทำไมมันอึดอัดหนักหน่วงอย่างนี้



พยายามขยับปากถามว่าใคร แต่แค่จะเปิดปากเปล่งเสียง ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากเหลือเกิน มันเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาถ่วงริมฝีปากไว้ เหมือนตอนที่ผมพยายามลืมตาขึ้น แต่ถ้าจะพูดกันจริง ๆ ตอนนี้ผมรู้สึกหนักไปทั้งตัวจนอึดอัด อยากตื่น อยากลืมตาดู อยากรู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว แต่กลับทำไม่ได้สักอย่าง ผมเริ่มเหนื่อยเพราะพยายามฝืนมากเกินไป เหนื่อยจนหอบ แต่ก็ไม่สามารถหลุดไปจากอะไรหนัก ๆ ที่ทับอยู่ได้ และเหมือนน้ำหนักนั้นมันจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่รู้สึกว่ามีอะไรทับอยู่บนตัวเลยด้วยซ้ำ ผมเป็นอะไรไป!



ในความรู้สึกของผม เหมือนคนเหล่านั้นกำลังจ้องผมอยู่ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางสายตาน่ากลัวของคนหลายคน ที่มองและวิจารณ์อย่างไม่เกรงใจ ผมกลั้นใจฝืนปรือตาขึ้นอีกครั้ง จนเห็นภาพเลือน ๆ ราง ๆ มันไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ว่ามีคนอยู่ใกล้ ๆ และนี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ส่วนหนึ่งก็รับรู้ได้ว่าผมยังไม่ตื่นเต็มตา



“เฮ้ย! ขยับตัวแล้วว่ะ”

“จะตื่นแล้วเหรอวะกำลังดูเพลินเลยอย่าเพิ่งตื่นสิหนู”

“มุงอะไรกันวะ!” เสียงนี้ผมจำได้ ว่าเป็นเสียงเจ้านายของผมเอง เสียงดังขึ้นใกล้มาก แสดงว่าเขาอยู่ตรงนี้ด้วย แต่ทำไมตอนแรกเขาไม่พูดอะไร หรือเขาเพิ่งเข้ามา

“เด็กมึงเหรอไอ้เพลิง”

“เด็กรับใช้” น้ำเสียงเย็นชาตอบชัดถ้อยชัดคำ แต่ยังดีกว่าตอนตะคอกด่าผมล่ะนะ

“โหแค่เด็กรับใช้มันต้องน่ากินขนาดนี้เลยเหรอวะ” จะกินอะไร พวกเขาหิวกันเหรอ อีกหน่อยคุณชายต้องเรียกผมไปทำอะไรให้พวกเขากินแน่ ๆ ใช่ไหม ผมต้องรีบตื่นเดี๋ยวนี้ ต้องลุกขึ้นให้ได้เดี๋ยวนี้ก่อนที่เขาจะอารมณ์เสีย และดุผมอีก

“เฮ้ย ๆ มึงจะทำอะไรน้องมันวะไอ้เพลิง”

“ปลุกมัน”

“แล้วมึงเอาหมอนมาทำไม”

“ใช้ปลุกไง” ตุบ!! เฮือกกกก!!! แฮก ๆ

ผมสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งหอบ หลังจากไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นหรือฝันอยู่ตั้งนาน มันเหนื่อยมาก เหนื่อยยิ่งกว่าตอนวิ่งรอบสนาม 20 รอบ ใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตึกตักดังชัดเจน ผมตกใจตื่นเพราะอะไรบางอย่างกระแทกโดนตัวอย่างแรง ตื่นมาเพราะความตกใจที่ถูกโยนหมอนใส่ไม่พอ ยังต้องมาตกใจกับผู้ชายแปลกหน้าหลายคน ที่ยืนอยู่รอบ ๆ โซฟาที่ผมนอนอยู่ สายตาของพวกเขาจ้องมาที่ผมคนเดียว ทั้งเหนื่อยทั้งหอบแต่ก็กวาดตามองไปรอบ ๆ จนมาหยุดอยู่กับร่างสูงใหญ่ ที่มีใบหน้าหล่อแบบดิบ ๆ ของคุณชาย Bad Boy



เขากำลังจ้องผมตาขวาง และผมไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่เผลอหลับ แต่ผมหลับลึกมากจริง ๆ ตื่นมาก็ยังงง ๆ ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน และมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมต้องมายืนล้อมวงกันอยู่ตรงนี้



“มึงจะนอนอ่อยผู้ชายอีกนานไหม!” เขาถามเสียงดุตาก็ดุและขวางจนน่ากลัว ไม่เคยจะพูดกันดี ๆ สักครั้งหรอก แถมยังชอบว่าผมอ่อยผู้ชาย ว่าผมให้ท่าคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ทั้งที่ผมไม่เคยทำอย่างนั้นสักหน่อย อย่าว่าแต่ทำเลย แค่ในความคิดก็ยังไม่มีเรื่องแบบนั้นด้วยซ้ำ

“พวกคุณ..”

“งานมึงเสร็จแล้วหรือไงถึงนั่งบื้ออยู่ได้ ไปเตรียมของพวกกูจะกินเหล้า”

“มึงก็เบา ๆ กับน้องมันหน่อยน่าไอ้เพลิง”

“ใช่สัสนี่ มึงดูน้องตกใจจนพูดไม่ออกแล้วนั่นน่ะ น้องชื่ออะไรครับ” เพื่อนเขาถาม แต่ผมยังนั่งเงียบเพราะถูกเขาจ้องตาขวาง หรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่ตื่นเต็มตา ผมเลยไม่ได้ตอบอะไรใครไปสักคำ แต่ทำไมทุกคนถึงได้เอาแต่จ้องมองผมอยู่อย่างนี้ จ้องด้วยสายตาแปลก ๆ จนทำตัวไม่ถูกแล้วนะ

“ไสหัวไปสักทีสิวะ! “

“เอ่อครับ..” กำลังจะลุกขึ้นจากโซฟา แต่ในหัวยังคิดถึงสิส่งที่หลงลืมไป และผมมาคิดออกตอนนี้เอง “แย่แล้ว! “

“อะไรแย่ครับน้อง” เพื่อนของเขาอีกคนถาม แต่ผมก็ยังไม่ตอบสักคำถาม เพราะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ว่าเขาสั่งให้ผมทำอะไรไว้ให้กิน และให้เสร็จก่อนเขากลับมาถึง แต่ผมดันลืมสนิท มาถึงก็หลับไปเฉยเลย เขาต้องหาเรื่องด่าผมอีกแน่ ๆ

“อ้าวเป็นอะไรของเขาวะ” ได้ยินเสียงดังตามหลังมาแต่ผมไม่อยู่ตอบ รีบเดินเข้าไปในครัวอันเป็นพื้นที่ที่ผมได้รับสิทธิ์จัดการอะไรทุกอย่างได้เต็มที่ เก็บกระเป๋าแล้วรีบออกมาดู ว่ามีของอะไรที่พอจะทำเป็นมื้อเย็นให้เขาได้บ้าง จำได้ว่ายังมีของสดในตู้เย็นเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง น่าจะพอทำอะไรง่าย ๆ สำหรับมื้อเย็นนี้

“มึงจะทำอะไร!” เฮือก!! ตกใจมาก ไม่คิดว่าเขาจะตามเข้ามาเร็วอย่างนี้

“อะเอ่อ ทำมื้อเย็นให้คุณไงที่สั่งไว้”

“ใช่กูสั่งไว้ แต่สั่งไว้ว่ายังไง”

“สั่งว่า..เอ่อ ให้ทำ..ให้เสร็จก่อนคุณกลับมาถึงครับ”

“แล้วก็ไม่เสร็จเพราะมึงเอาแต่นอนสัส! ไม่ได้เรื่อง! รีบไปจัดที่พวกกูจะกินเหล้าข้างสระว่ายน้ำ!”

“ครับ”

“ชักช้า! “ก่อนไปยังตะคอกส่งท้ายอีก ไม่รู้จะโทษใครดี ระหว่างคนขี้หงุดหงิดอย่างเขา กับตัวผมเองที่ขี้ลืม ก็ผมเหนื่อย แค่คิดว่าอยากนอนพักให้หายเพลียสักหน่อย ไม่คิดว่าจะหลับยาวขนาดนี้ ผมเอาโทรศัพท์ออกมาดูนาฬิกา ตอนนี้เวลา 2 ทุ่มแล้ว ผมหลับไปทั้งอย่างนั้นเกือบ 3 ชั่วโมง!



ไม่รู้ว่าการเตรียมที่อย่างเขาบอก ผมต้องทำอะไรบ้าง เลยเดินออกไปดูที่สระว่ายน้ำก่อน เพื่อนของเขากำลังช่วยกันขยับเก้าอี้นอนเล่นมาเรียงกันจัดเป็นที่นั่ง บางคนก็ยืนดู แต่วันนี้พวกเขามากันไม่เยอะเหมือนหลายวันก่อน แถมยังไม่มีผู้หญิง หรือพวกเด็กผู้ชายด้วย ผมกลัวว่าเขาจะจัดปาร์ตี้มั่วกันแบบครั้งก่อน ๆ อีก หวังว่าคืนนี้คงไม่มีเรื่องแบบนั้นนะ ผมไม่ชอบเลย



“มึงมายืนบิดตูดอะไรอยู่ตรงนี้ เรื่องที่กูสั่งน่ะเสร็จหรือยัง!” อีกแล้วบิดตูดอีกแล้ว ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นสักหน่อย ทำไมเขาถึงชอบว่าผมจังนะ หันไปทางเจ้าของเสียงดุที่ยืนอยู่ข้างหลัง มือข้างหนึ่งถือกีตาร์ ส่วนอีกข้างถือหนังสือเล่มหนามาด้วย เขาถอดเสื้อโชว์หน้าอกแน่น ๆ กับหน้าท้องเป็นคลื่นสวย เพราะใส่แค่กางเกงยีนตัวเดียว ที่เอวต่ำเสียจนขอบชั้นในสีดำ โผล่ขึ้นมาให้เห็นตัวอักษรยี่ห้อสีขาว มันก็ดูเข้ากันดีกับหน้าดุ ๆ เถื่อน ๆ ของเขาล่ะ แต่มันจำเป็นจะต้องโชว์ขนาดนี้เลยเหรอ ร้อนก็ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่นะ



“มึงเตรียมของมาหรือยัง!” ตะคอกอีกแล้วจนผมสะดุ้ง แต่ก็รีบปรับสีหน้าเมื่อรู้ตัวว่าเผลอมองเขานานเกินไป

“ของ? ของอะไรครับ”

“สัส! ไม่ได้เรื่อง พวกกูจะแดกเหล้าไม่มีแก้วไม่มีน้ำแข็ง มึงจะให้พวกกูแดกกันยังไง” ผมก็อยากบอกจริง ๆ ว่าไม่รู้ เพราะผมไม่ใช่คนดื่ม และไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรยังไงกันบ้าง

“มีอะไรวะ” คนนี้ผมจำได้ว่าชื่อออฟ เป็นคนช่วยผมไว้จากการถูกพี่เก่งลวนลาม วันที่ผมมาวันแรก เพิ่งสังเกตว่าเขาก็อยู่ที่นี่ แต่ถ้าเขาไม่พูดขึ้นผมเองก็คงไม่รู้ เพราะไม่กล้ามองหน้าใครจริง ๆ กลัวจะเป็นเหมือนวันที่เกิดเรื่องกับพี่เก่งคราวก่อน กลัวถูกเขามองว่ากำลังอ่อย

“ไม่มีอะไรกูแค่ให้มันไปเตรียมของ แต่แม่งยังไม่ทำอะไรสักอย่าง”

“เออ ๆ มึงไปนั่งรอก่อน น้องครับหาแก้วกับกระติกน้ำแข็งมาให้พี่หน่อย” พี่ออฟบอกคุณชายแล้วหันมาพูดกับผม ก็ถ้าเขาพูดดี ๆ บอกกันดี ๆ อย่างนี้แต่แรก ก็คงได้ของที่ต้องการไปหมดแล้ว

“ครับ” ผมเดินกลับเข้ามาในครัว เตรียมของที่พี่ออฟขอ แต่พอจะหยิบแก้วก็ต้องหยุดมืออีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าพวกเขามีทั้งหมดกี่คน เพราะความไม่รอบคอบของผมแท้ ๆ อย่างนี้สินะถึงได้ถูกเขาดุบ่อย ๆ ขนแก้วชุดแรกออกไปก่อนพร้อมกระติกใส่น้ำแข็งไว้เต็ม จะแอบนับจำนวนคนแล้วค่อยเอาแก้วออกไปเพิ่มอีก พอได้ของที่ต้องการพวกเขาก็เริ่มตั้งวง และวันนี้มีสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจมาก ๆ นั่นก็คือ..



เจ้านายของผมเขาเล่นกีตาร์!



ถึงจะแค่เล่นเฉย ๆ ไม่ได้ร้องเพลงด้วย แต่ก็แปลกหูแปลกตามากสำหรับผม ไม่น่าเชื่อว่าคนท่าทางดิบ ๆ เถื่อน ๆ อย่างเขา จะมีอารมณ์ศิลปินแบบนี้ด้วย นึกว่าจะดุเป็นอย่างเดียวเสียอีก



ผมต้องกลับมาทำอะไรเป็นกับแกล้มให้พวกเขา แต่พี่ออฟแอบกระซิบว่าไม่ต้องทำเยอะ เพราะพวกเขากินข้าวจากข้างนอกก่อนเข้ามาแล้ว พอทำของกินเสร็จ และเอาออกไปให้พวกเขาแล้ว ผมก็กลับเข้ามาอยู่ในครัว อันเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผม (หรือเปล่านะ) แต่ตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีใครเข้ามารุ่มร่ามด้วย จัดการทำความสะอาดตามหน้าที่ ต่อด้วยการรีดผ้าที่เหลือจากเมื่อเช้า ขายังที่ล้าอยู่อยากนวดยาจะแย่ แต่คงเอาไว้นวดทีเดียวหลังจากอาบน้ำเสร็จดีกว่า



รีดผ้าเสร็จเป็นอย่างสุดท้าย ผมก็ได้เวลาจัดการกับตัวเองด้วยการอาบน้ำอาบท่าสักที อยากนอนพัก แต่ถึงจะเพลีย อยู่มากผมกลับไม่ค่อยรู้สึกง่วงอย่างควรจะเป็น หรืออาจจะเป็นเพราะได้นอนไปแล้ว 3 ชั่วโมงตอนหัวค่ำ ทำงานเสร็จอาบน้ำเรียบร้อย เลยเหมือนตามันจะสว่างไปแล้ว แต่ถึงจะง่วงก็ไม่รู้ว่าผมจะกล้านอนหรือเปล่า ในเมื่อวงเหล้ายังไม่เลิก เผื่อคุณชายต้องการอะไรอีก แล้วมาเห็นว่าผมนอนหลับอุตุอยู่ คงถูกดุอีกแน่ ๆ และที่สำคัญ ไม่รู้ผมจะไว้ใจพวกเขาได้หรือเปล่า ว่าจะไม่เป็นเหมือนพี่เก่ง ที่คอยแต่จะหาเรื่องทำมิดีมิร้ายผมอยู่ตลอด



นั่งนวดยาอยู่ที่โต๊ะวางของในครัว ได้ยินเสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น คงเป็นเพื่อน ๆ ของคุณชายมาเพิ่มอีก ผมรีบนวดยาที่บีบใส่ฝ่ามือ แต่ก็ยังไม่ทันใจคุณชายเขาอยู่ดี เลยได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากสระว่ายน้ำ



“ไอ้เด็กเหี้ย! มึงไม่ได้ยินเสียงกริ่งหรือไงไปเปิดประตู!” วางหลอดยาไว้บนโต๊ะแล้วรีบวิ่งไปยังประตูห้อง ที่คนข้างนอกเหมือนจะรีบและใจร้อนมาก เพราะกดรัว ๆ ไม่หยุด ไม่แปลกใจเลยที่คุณชายจะตะโกนมาสั่งผมเสียงหงุดหงิดอย่างนั้น



ผมรีบเปิดประตูออกทันที ไม่ได้ส่องดูด้วยซ้ำว่าใครยืนอยู่อีกด้านของประตู จนกระทั่งบานประตูเปิดออก และได้เห็นหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นชัด ๆ คนที่ทำเอาผมชะงักนิ่ง พร้อมกับความตกใจจนอึ้ง ขนอ่อนในร่างกายพากันลุกไปหมด เสียวสันหลังวาบตัวสั่นขึ้นมาเสียดื้อ ๆ



“โอ๊ะโอเจอกันอีกแล้วนะครับ” ผมพูดไม่ออก ไม่คิดว่าต้องมาเจอคนใจร้ายคนนี้อีกในเวลาไม่ถึงวัน เขาก้าวเข้ามาในห้อง แสยะปากยิ้มน่าเกลียดด้วย พร้อมคำพูดหยอกเย้าที่ฟังแล้วแสลงหู ผมก้าวถอยหลัง ขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่ มีเพื่อนเขาเดินตามเข้ามาอีก 2 คนก่อนประตูถูกปิด เป็นสองคนที่ทำให้ความกลัวของผมพุ่งขึ้นจนขาอ่อน เพราะคือคนที่อยู่ในห้องน้ำกับเขาเมื่อตอนเที่ยงนั่นเอง



“พรหมลิขิตรึเปล่าวะ” คนที่เดินตามเข้ามาคนแรกถาม

“น้ำเน่าไอ้สัสเนื้อคู่ต่างหาก” คนที่สองพูดขึ้นบ้าง

“เห็นไหมว่าเราหนีกันยังไงก็หนีไม่พ้น ยอมเป็นของพี่เก่งแต่แรกก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังกล้ามาที่นี่อีก ไหนวันนั้นเห็นคุณชายออกปากไล่ เหมือนกับจะไม่คบกันอีกแล้ว แต่วันนี้พวกเขาก็ไปกินข้าวด้วยกันนี่นะ เพื่อนกันถึงจะโกรธแต่ก็คงปรับความเข้าใจกันได้ไม่ยาก

โครม!! โอ๊ย!

ต่อจ้า....
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 8 (7/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-02-2019 21:43:08



พี่เก่งเดินเข้ามาหาท่าทางไม่ได้คุกคาม แต่กลับไม่น่าไว้ใจสักนิด จริง ๆ แล้วคือคนอย่างเขามันไว้ใจไม่ได้เลยต่างหาก ผมก้าวถอยหลังจนชนโครมเข้ากับชั้นอะไรบางอย่าง ของที่วางตกแต่งอยู่บนนั้นหล่นกระจาย พอหันไปดูจึงเห็นว่ามันเป็นตู้รองเท้าสูงถึงเอว ที่เขาเก็บรองเท้าคู่โปรดหรือคู่ที่ต้องใส่บ่อย ๆ ของคุณเพลิงไว้ ส่วนรองเท้าทั้งหมดจะอยู่ในห้องแต่งตัว ซึ่งอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งในห้องนอนของเขา ที่ผมไม่รู้มากไปกว่านี้ เพราะอย่างที่เขาบอกว่าไม่ให้ผมเข้าไปยุ่มย่าม



ผมถอยหนียังถูกตามไม่ลดละ สายตาน่ารังเกียจของเขาจ้องไม่วางตา สายตาที่ทำให้ผมตัวสั่นสะท้าน เกิดความหนาวเยือกขึ้นมาเฉย ๆ สายตาที่ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา ทั้งที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบทุกชิ้น

“คืนนี้น้องหนูเสร็จพี่เก่งแน่ครับ”

“ไม่มีทาง” ปึก!! โอ๊ย! ผมถอยห่างในระยะที่คิดว่าเขาคงคว้าตัวไว้ไม่ได้ แล้วรีบหันหลังจะวิ่งหนี แต่กลับชนเข้ากะอะไรบางอย่างจนดังปึก ผมถึงกับหงายหลังจะล้ม แต่ถูกประคองไว้โดยคนที่ผมกำลังจะหนีเขานั่นแหละ พอเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นว่าตัวเองชนเข้ากับอกกว้าง ๆ เปลือยเปล่าของคุณชาย ที่ไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน

“เหี้ยอะไรของมึงวะ!” เขาถามสีหน้าบ่งบอกว่ารำคาญเต็มที และไม่ต้องเดาเลยว่ารำคาญใคร

“ปล่อยผม”

“พวกไอ้ออฟรอที่สระ” เขาหันไปบอกเพื่อน ๆ

“พวกมึงสองคนเดินไปก่อน ขอกูคุยกับน้องลำธารหน่อย ร้อน ๆ อย่างนี้ได้เล่นน้ำคงเย็นดี”

“ผมไม่คุยกับคุณปล่อยผม” ผมมองตาคุณชายที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ผมเหมือนกัน เขาเงียบทั้งที่ผมมองด้วยแววตาขอร้อง อย่างน้อยตอนนี้คงมีแต่เขาที่ช่วยผมได้ แต่เขากลับทำแค่มองผมด้วยสายตารำคาญ ถอนหายใจหนัก ๆ แล้วเดินกลับไปทางสระว่ายน้ำ ผมถูกกอดคอบังคับให้เดินตามไปอย่างขัดไม่ได้ ไม่รู้จะอะไรกับผมนักหนา

“มึงเอามันมาด้วยทำไม” คุณชายถามท่าทางบอกชัดเลยว่าหงุดหงิดมากแค่ไหน ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาก่อนคงเริ่มได้ที่กันแล้ว เมื่อผมถูกลากมายืนข้างวงเหล้าติดขอบสระว่ายน้ำเลย

“ก็เอามานั่งเป็นสีสัน” พี่เก่งตอบหน้าตาเฉยอย่างกับว่าผมอยากมาด้วย “ยังไงคืนนี้มึงก็ไม่ได้นัดเด็กมาอยู่แล้วนี่ อย่างน้อยก็น่าจะชวนยายน้ำหวานอะไรนั่นมาให้ไอ้สองตัวนี่ด้วยนะเว้ย” พอพูดชื่อคุณน้ำหวาน ผมจำผู้ชายสองคนนี้ได้แล้ว

“อย่างยายนั่นกินครั้งเดียวก็พอ แล้วมึงจะยืนอีกนานไหมวะนั่งลงสักที” พี่ออฟบอกพลางยื่นแก้วเหล้ามาให้พวกพี่เก่งคนละแก้ว และแก้วสุดท้ายถูกยื่นมาตรงหน้าผม

“ผมไม่อยากอยู่ตรงนี้”

“นั่งกินด้วยกันก่อนสิ”

“ผมไม่กินเหล้า”

“ไม่ต้องชวนมันให้เสียของ จะไปไหนก็ไป” คุณชายนั่งลงแล้วเหลือบมองผมทางหางตา ทำเหมือนกับว่าผมอยากอยู่ตรงนี้เองเสียอย่างนั้น

“เฮ้ย ๆ ได้ไงวะกูยังอยากคุยกับน้องลำธารอยู่นะเว้ย”

“อย่ายุ่งกับมันวุ่นวาย!” คุณชายตะคอกกลับพี่เก่งเสียงเข้ม ท่าทางคงรำคาญเต็มที ปล่อยผมไปเถอะนะถ้ารำคาญนักล่ะก็

“หวงเหรอวะ มึงจะเก็บไว้กินคนเดียวว่างั้น”

“สัส! “ เฮ้ย!! เฮือกกก เกือบไปแล้ว หัวใจเกือบหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม คุณชายลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด ทำให้ผมที่ยืนอยู่ข้างหลังถูกเขากระแทกเข้าอย่างจังเกือบหงายหลังตกน้ำ ดีที่พี่เก่งคว้าแขนไว้ทัน ไม่อยากนั้นคงได้อายมากกว่านี้ แต่เรื่องอายไม่เท่าไหร่เรื่องตายน่าห่วงกว่า เพราะผมว่ายน้ำไม่เป็น และจะดีกว่านี้ถ้าคนที่ช่วยไว้ไม่ใช่คนน่ารังเกียจอย่างพี่เก่ง ที่ถือโอกาสรวบกอดผมไว้แน่น

“กูแค่รำคาญไม่ได้หวง เล่นตัวแม่งอยู่ได้จะไปไหนก็ไป!”

“ปล่อยสิ” ผมหันไปบอกพี่เก่ง แต่เขายิ่งยิ้มยั่วกวนโมโห แต่ไม่ทันรู้ตัวข้อมือก็ถูกคุณชายกระชากไปแล้ว

“น่ารำคาญมึงมานี่เลย”

“ไอ้เพลิงเบาหน่อยน้องมันเจ็บ ตัวก็แค่นั้นจะทนแรงควาย ๆ ของมึงได้แค่ไหน” ยังเป็นเสียงพี่ออฟคนเดิมที่ตะโกนตามหลังมา ส่วนคนอื่นนั่งมองแล้วหัวเราะ เหมือนกับเป็นเรื่องสนุกที่เห็นผมถูกรังแก

“แค่นี้มันไม่ตายหรอกสัส เดินเร็ว ๆ “ผมแทบหัวคะมำ ทั้งถูกกระชากทั้งถูกดึงเพราะสาวเท้าตามเขาไม่ทัน พอทำท่าจะยืนได้ก็ถูกลากเข้ามาข้างใน โดยฝีมือเจ้านายใจร้ายของผม เพื่อนเขาจะทำมิดีมิร้ายผมเขากลับไม่ห้าม แถมยังว่าผมเล่นตัวอีก พวกนั้นก็ไม่รู้จะอะไรกับผมนักหนา จะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ

“อยู่ในนี้” อุก! ถึงกับจุกเมื่อถูกเขาเหวี่ยงจนเซถลาเสียหลักฟุบลงกลางห้อง “แล้วอย่าเสือกโผล่หัวออกไปให้กูรำคาญลูกตาอีก!” ปัง!! เขาสั่งเสียงดุกดดันด้วยสายตาที่ดุยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อลากผมมาทิ้งไว้ในห้องห้องหนึ่ง ห้องที่เขาสั่งนักสั่งหนาว่าไม่ให้ผมเข้ามารุ่มร่ามวุ่นวาย ห้องที่เขาหวงนักหวงหนาห้ามไม่ให้ผมเข้ามาจุ้นจ้าน แต่วันนี้กลับเป็นเขาเองที่เหวี่ยงผมเข้ามา แล้วยังสั่งเสียงโหดห้ามไม่ให้ออกไปทำให้เขารำคาญ อารมณ์นี้ผมตามไม่ทันจริง ๆ ณ จุดนี้



เขาออกไปทิ้งไว้เพียงเสียงปังดังก้องหู ของบานประตูที่ปิดอย่างระบายอารมณ์ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงโกรธและรำคาญมากแค่ไหน แต่ผมผิดเหรอ ไม่ใช่เพื่อนเขาหรอกหรือไง ที่เอาแต่ตามตอแยวุ่นวายทำร้ายผมไม่ลดละ ผมไม่เคยเล่นด้วย ไม่เคยพูดดี ๆ ด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้โยนความผิดมาให้ผมอย่างนี้



เขามันแย่ไม่มีความยุติธรรม! หรือเกลียดผมนัก แล้วผมไปทำอะไรให้เขาเกลียดตั้งแต่ตอนไหนไม่เห็นรู้เรื่อง 1 ปีก่อนที่เจอกันครั้งแรกยังพูดกันดี ๆ 1 ปีให้หลังอย่างตอนนี้มาเจอกันอีก ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจำกันได้ แล้วทำไมถึงทำอย่างนี้กับผม เกลียดกันนักจะอยู่กวนประสาทนาน ๆ เลยคอยดู!



เรียกร้องหาความยุติธรรมตอนนี้ คงไม่มีประโยชน์อะไร ผมเลยถือโอกาสสำรวจห้องที่เขาหวงนักหวงหนามันเสียเลย ภายในห้องตกแต่งเรียบง่ายโทนสีเทาเข้ม ๆ กับสีดำ ผนังห้องแต่งเป็นแบบทูโทน คือครึ่งล่างบุไม้เนื้อดีสีดำสูงประมาณไหล่ของผู้ชายตัวสูง ๆ อย่างเขา ทำเป็นชั้นตกแต่งด้วยหลอดไฟสีนวล ส่องขึ้นไปยังผนังด้านบนที่เป็นหินอ่อนสีเทา ดูกลมกลืนมีรสนิยม เข้ากับตู้เสื้อผ้าไม้เนื้อดีสีดำแบบบิวต์อิน ตกแต่งด้วยกระจกใส



พื้นห้องเป็นพื้นไม้เคลือบเงา ตรงกลางห้องคือเตียงขนาดใหญ่ ที่ต้องบอกว่ามันใหญ่มาก ขนาดผู้ชายตัวโต ๆ อย่างเขาคงนอนได้ 3 หรือ 4 คนแบบสบาย ๆ ชุดที่นอนเป็นสีเทาเข้มเกือบดำ ก็..ดูเหมาะกับเขาดี ข้างเตียงอีกฝั่งเป็นประตูกระจก ที่เปิดออกไปเป็นระเบียง ปิดด้วยม่านสีบาง ๆ ที่มีม่านทึบแสงกั้นอีกชั้น แต่ตอนนี้มันปิดอยู่เพียงครึ่งเดียว จึงสามารถมองผ่านม่านบาง ๆ ออกไปเห็นพื้นที่เล็ก ๆ ข้างนอก ที่มีโซฟาจัดไว้ให้เป็นมุมพักผ่อน ถัดไปเป็นบ่เลี้ยงปลาคาร์ฟสีสวยมาก



ส่วนอีกมุมหนึ่งของห้องเหมือนจะเป็นมุมทำงาน บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ กองสุมเต็มไปด้วยกระดาษเป็นปึก น่าจะเป็นชีตเรียนของเขา จอคอมฯ ขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะ ข้างกันมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุคอีกเครื่องตั้งไว้ ส่วนข้างโต๊ะทำงาน มีลำโพงขนาดใหญ่สูงถึงเอวตั้งอยู่ทั้งสองข้าง ถัดไปเป็นกีตาร์ไฟฟ้าวางบนแท่นเรียงกันถึง 3 ตัว แต่ละตัวสวย ๆ ทั้งนั้น ขนาดคนไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเครื่องดนตรีอย่างผม เห็นแล้วยังคิดว่ามันสวยมาก ๆ โดยเฉพาะกีตาร์ตัวสีแดงสด ที่คงจะเป็นสีที่สดใสที่สุดแล้วในห้องนี้ ส่วนอีก 2 ตัวเป็นสีดำเงางาม



หน้าเตียงเป็นมุมพักผ่อนอีกมุม ติดตั้งทีวีจอใหญ่ ไม่รู้ว่ากี่นิ้ว แต่ผมคงตัวเล็กนิดเดียวถ้าไปยืนใกล้ หน้าทีวีเป็นโซฟาเบดเตี้ย ๆ ที่เต็มไปด้วยหมอนอิงนุ่มนิ่ม จัดเป็นมุมพักผ่อนที่น่านอนเล่นมาก ผนังหลังทีวีประดับด้วยรูปที่ถูกขยายใหญ่เต็มทั้งช่องผนัง รูปผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นกีตาร์ หันหน้าออกสู่ท้องทะเลกว้าง ขณะพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ภาพย้อนแสงจึงดูมืดทึบ แต่กลับได้มุมและองศาที่สวยงาม เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นตกกระทบร่างของเขากับกีตาร์เป็นเงาดำ แต่ก็รู้ว่าคนในภาพคือใคร



ผมถูกภาพนั้นตรึงสายตาให้จ้องมองนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองยืนนานไปแล้ว เมื่อความปวดที่ขาส่งสัญญาณเตือน แต่ก็ยังละสายตาไปจากภาพนั้นไม่ได้ องค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพถึงจะดูเงียบเหงา แต่กลับเข้ากันและให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนน่าแปลกใจ และมันทำให้ผมคิดถึงพี่ชายใจดีคนนั้นอีกแล้ว



เดินถอยหลังช้า ๆ ทั้งที่ตายังจับอยู่กับภาพ จนขาชนเข้ากับขอบเตียง ผมทิ้งร่างนั่งลงกับพื้น งอเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอด ทิ้งน้ำหนักลงแผ่นหลังนั่งพิงขอบเตียง หวังว่าคงไม่ถูกเขาดุอีกนะ ที่บังอาจมาใกล้ที่นอนเขาขนาดนี้ ผมนั่งกอดเข่าจ้องภาพนั้นไม่วางตา ขายังรู้สึกล้าและเหมือนมันร้อนผ่าวไปทั่ว คงเพราะวันนี้ผมใช้งานมันมากเกินไป และผมเองก็เหนื่อยมากเหลือเกิน ผมหลับตาลง…



ธารคิดถึงแม่จังเลยครับ ได้ยินเสียงตัวเองดังแผ่ว ๆ เหมือนเสียงกระซิบ ผมคงหมดแรงสำหรับวันนี้แล้ว แต่พอคิดถึงแม่ก็รู้สึกถึงกำลังใจ วันไหนท้อแท้แค่คิดถึงแม่ ผมเหมือนได้รับการเติมพลัง ตอนนี้ก็เหมือนกันที่ผมเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ แต่แค่คิดถึงแม่เท่านั้น ความเหนื่อยมันจะปลิวหายไปทันที



“มึง! ไอ้ตัววุ่นวาย” คนเก่งของแม่ต้องรู้จักอดทนนะ น้ำเสียงอ่อนหวานของแม่ยังดังก้องในหัวใจ รอยยิ้มของแม่ยังฉายชัดในความทรงจำ ความรักความอบอุ่นของแม่ยังห่มคลุมรอบตัวผมอยู่เสมอ

“ตื่น! “ถึงวันนี้จะไม่มีตักของแม่ให้นอนหนุน ไม่มีมืออุ่น ๆ คอยลูบปลอบ แต่ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้หายไปใน แม่ยังอยู่ในใจของผม ยังอยู่ในความทรงจำที่ไม่มีความทรงจำไหนมาลบเลือนได้ และเมื่อผมหลับตาลง รอยยิ้มของแม่ใต้เปลือกตาจะกระจ่างชัดเจน มันชัดเจนพอ ๆ กับเรื่องเลวร้ายที่คนน่ารังเกียจทำกับผมในห้องน้ำ และรอยยิ้มของแม่จะทำให้มันเลือนหายไปจากใจผม

“สัส ตื่นสักที!” เฮือก!! ผมสะดุ้งตื่นจากฝันมานั่งตัวตรงหายใจหอบ มีคุณชายยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ตรงหน้า และจ้องผมตาขวาง

“คุณ..มีอะไรครับ”

“ลุกขึ้นแล้วไสหัวออกไปจากห้องได้แล้ว กูจะนอน!”

“แต่..” ผมงงเลยมองไปรอบตัว เพิ่งจำได้ว่าถูดเหวี่ยงเข้ามาในห้องนอนของเขา แล้วนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นอีกทีเพราะเสียงตะคอกปลุกดังลั่น

“ไปสิวะ! “

“คะ..ครับ”

“เดี๋ยว”

“ครับ?”

“ออกไปเก็บของที่สระว่ายน้ำให้เรียบร้อยด้วย”

“ครับ” ผมเดินตาลอยออกมาจากห้อง ถึงจะตกใจที่ถูกตะคอกปลุกแต่ก็ยังไม่ตื่นดีนัก เดินมาถึงห้องรับแขก อยากล้มตัวลงนอนต่อที่โซฟาตัวกว้าง แต่คำสั่งของเขายังดังก้องในหู และนั่นคงทำให้ผมนอนไม่หลับจนถึงเช้าแน่ ถึงจะง่วงมากก็ตามเถอะ เพราะมันคงตามหลอกหลอนผมทั้งคืน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของเขาให้เสร็จแล้วค่อยมานอน



ผมเดินปรือตาล่องลอยไปทางประตูระเบียง ที่เปิดออกไปยังสระว่ายน้ำ เดินไปหาวไปจนสะดุดพรมหญ้าเทียมที่ใช้แต่งสวน เกือบล้มหน้าคะมำ แต่ถึงขนาดนั้นตาก็เอาแต่จะปิดอยู่ตลอด เหมือนจะหลับกลางอากาศให้ได้ ผมหาวอีกครั้งแล้วพยายามปรือตามองไปรอบ ๆ ตรงนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ตอนนี้คงดึกมากแล้ว พวกเขาถึงแยกย้ายกันได้สักที ในความเลือนรางของความง่วง ผมเห็นขวดเหล้าขวดโซดาวางเกลื่อน เก้าอี้ยาวเอาไว้นอนเล่นริมสระ วางขวางหันไปคนละทิศละทาง มือเก็บของไปปากหาวไป ขยะที่ต้องทิ้งเก็บรวมใส่ถุงดำ จานกับแก้วที่ต้องล้างเก็บไปไว้ที่อ่างล้าง จนเหลือแต่เก้าอี้ยาวพวกนี้ที่ผมต้องเลื่อนจัดให้เข้าที่เหมือนเดิม



ผมทั้งง่วงทั้งเพลีย ไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายล้าไปทุกส่วนขนาดนี้มาก่อน ทั้งเพราะวันหนัก ๆ ที่ผ่านมา และการนอนที่ยังไม่เต็มอิ่มแต่ถูกปลุกขึ้นกลางคัน ผมเริ่มเบลอแต่มือยังลากเก้าอี้ยาวให้เข้าที่เหมือนเดิม และผม...



“เฮ้ย! เฮ้ย ๆ อ๊าก!! “

ตูม!!



เท่านั้นที่ผมร้องออกมาได้ เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน เมื่อเท้าสะดุดเข้ากับขอบสระที่เป็นพื้นต่างระดับ ผมเสียหลักยืนโงนเงนตะกายอากาศได้ไม่กี่ครั้ง ก่อนจะหล่นลงไปในสระจนน้ำที่สงบนิ่งแตกกระจาย ผมตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอด จากที่ยังไม่ทันตื่นดี ตอนนี้ผมตื่นเต็มตา สัญชาตญาณบอกให้ทรงตัวให้ได้ เลยหยั่งเท้าลงหวังจะยืน แต่เท้ากลับแตะได้เพียงความวูบโหวงเหมือนว่างเปล่า หัวใจของผมกระตุกวาบ สองมือตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด สองเท้ากลับพาตัวจมดิ่งลงใต้น้ำ ไม่รู้มันลึกแค่ไหน แต่เตะเท้าหาพื้นยังไงก็ไม่เจอ พยายามอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่มีเพียงเสียงที่ดังก้องในหัวตัวเอง และฟองน้ำพุ่งออกมา



ผมสำลักน้ำ แต่ก่อนที่จะขาดอากาศหายใจ ร่างของผมทะลึ่งพรวดขึ้นเหนือน้ำ ด้วยแรงของมือทั้งสองข้างที่ตะเกียกตะกายตีสะเปะสะปะ หวังเอาชีวิตรอด ผมอ้าปากรับเอาอากาศพร้อมกับจมูกที่สูดเอาพลังชีวิตเต็มที่ แต่ยังไม่ทันได้โกยอากาศเข้าเต็มปอด ตัวของผมก็หลุดลงสู่ใต้น้ำ เหมือนมีแรงอะไรบางอย่างดูดลงไป ปากที่กำลังอ้ารับอากาศจึงได้รับน้ำเข้าไปอึกใหญ่จนสำลัก ผมอึดอัดทั้งดิ้นจนเหนื่อย เหมือนกำลังจะตายเสียให้ได้ ทั้งที่ยังตะเกียกตะกายหาทางเอาชีวิตรอด ตัวผมเกร็ง เกร็งมากจนรู้สึกถึงกล้ามเนื้อตึงเครียดไปหมด ขาข้างขวาเหยียดเกร็งถึงปลายเท้า รู้สึกเจ็บแปลบตรงปลีน่อง และเจ็บมากขึ้นจนขยับขาข้างนั้นไม่ได้ เหมือนกล้ามเนื้อจับตัวกันเป็นก้อนแข็งไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับขาของผม ผมจะทำยังไง เจ็บทรมานเหลือเกิน ผมต้องตายจริง ๆ ใช่ไหม ทั้งที่หลีกเลี่ยงมาตลอด ทั้งที่พยายามไม่เข้าใกล้แหล่งน้ำที่อาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเองมาตลอด แต่วันนี้ดันหลีกไม่พ้น

แม่ครับธารกำลังจะตายใช่ไหม! เรากำลังจะได้เจอกันแล้ว..ใช่ไหมครับ

ผมคิดถึงแม่อีกแล้ว นี่ผมกำลังจะตายตามแม่ไปใช่ไหม ใกล้จะได้เจอแม่จริง ๆ แล้วใช่ไหม สองแขนที่ตะกายมวลน้ำมหาศาลเริ่มอ่อนแรง ผมหายใจไม่ออกและกำลังจะหมดแรง ผมกำลังจะตายจริง ๆ แล้วสินะ

รู้สึกถึงความอึดอัดจากแรงบีบมหาศาลที่ไม่รู้มาจากไหน ทำไมสระมันลึกจนขาผมยังหยั่งไม่ถึง ผมจะหมดแรงอยู่แล้ว ร่างกายต้องการอากาศแต่ไม่สามารถหายใจเข้าไปได้ มันอึดอัด แต่เพราะอยากเอาชีวิตรอดเลยเผลอหายใจจนน้ำเข้าปากเข้าจมูก มือสองข้างชูขึ้นเหนือหัว หวังจะคว้าโอกาสของการมีชีวิตรอด แต่จุดจบของผมคงมาถึงแล้ว จึงไม่ได้รับความปรานี ผมหมดแรงแล้ว คงไม่ต้องรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว



แม่ครับ ธารกำลังจะไปหาแม่เดี๋ยวนี้แล้วนะครับ

ตูม!!!

**********************

ฮืออออ สงสารน้องอะ

เอาใจช่วยน้องหน่อยนะ อย่างเพิ่งด่าดาวล่ะ

ดาว ณ แดนดิน

7-2-2560
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 8 (7/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 07-02-2019 22:22:03
 :m31:  เครียดแทนน้องธาร 
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 8 (7/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-02-2019 20:16:10
 :hao5:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 8 (7/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 11-02-2019 00:00:08
ติดตามค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 9 (13/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-02-2019 21:37:02



กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก 9



(เพลิง)



ผมนั่งลงบนเตียงมองตามหลังไอ้ตัววุ่นวาย ที่เดินล่องลอยเหมือนคนยังไม่ตื่นออกไปจากห้อง แค่เห็นหน้ามันก็หงุดหงิดแล้ว บอกตรง ๆ ว่าผมเกลียดมัน ทั้งเกลียดทั้งรำคาญ แต่ทั้งที่เกลียดทั้งที่รำคาญขนาดนี้ แล้วทำไมผมถึงยอมให้มันมาอยู่ด้วย

ความจริงคือผมไม่ได้ยอม!

บอกไปแล้วว่าไม่และไม่ได้สนใจสักนิด แต่ถูกยัดเยียดจากผู้ชายคนนั้น พ่อผมของผม เขาบอกว่าจะฝากลูกของเพื่อนที่เพิ่งเข้าเรียนที่เดียวกันกับผมมาอยู่ด้วย จะได้ให้มันช่วยดูแลผม เขาเห็นผมเป็นเด็กห้าขวบหรือไงวะ ผมไม่ต้องการคนดูแล ไม่ได้รับปากด้วยซ้ำว่าจะยอมให้ใครมาอยู่ด้วย แต่ถึงเวลาเขาก็ส่งมันมา มัดมือชกผมที่พูดอะไรไม่ออก เพียงเพราะคำว่าพ่อมันค้ำคอ พอมารู้ทีหลังว่ามันเป็นลูกใครนั่นแหละ ผมถึงได้เปลี่ยนความตั้งใจจากเดิม ที่คิดว่าจะไล่ตะเพิดมันกลับ แล้วปล่อยให้มันเดินเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของผมแทน



ตลอดหลายปีที่ผ่านมาระหว่างผมกับเขา พ่อของผม เราใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ไม่ไกลกัน แต่ไม่ต่างจากคนไม่รู้จักกันเลย ตั้งแตกเด็กผมมีเพียงอาเล็กน้องชายของเขาคอยดูแลเอาใจใส่ ถึงได้ทั้งรักทั้งหวงอาเล็กมาก มีอะไรก็คิดถึงอาเล็กก่อนใคร และเกรงใจอาเล็กคนเดียว แล้วอาก็งานยุ่งไม่น้อยไปกว่าเขา ถึงทั้งสองทำงานด้วยกัน แต่อาเล็กกลับไม่เคยมีข้ออ้างเพื่อละเลยผมสักครั้งตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับผม อาเล็กจะมีเวลาให้เสมอ ต่างจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแท้ ๆ ที่นอกจากงานแล้ว หากมีเวลาว่างจากการทำงาน เวลาของเขาทั้งหมด มีไว้เพื่อทุ่มเทไปกับการตามหาผู้หญิงคนนั้น คนรักเก่าของเขา จนถึงวันที่แม่ของผมทนไม่ได้และจากไป เขาก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะตามหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ



ตอนนั้นผมก็เป็นแค่เด็กผู้ชายอายุสิบขวบ ที่รู้เรื่องรู้ราวอะไรพอสมควรแล้ว เสียงทะเลาะกันที่ดังออกมา มันเข้าหูผมทุกคำ ได้รับรู้ปัญหาและสาเหตุทุกอย่าง ได้เกลียดคนที่ผมไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าด้วยซ้ำ ผมไม่เคยเห็นพวกเขาทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้ หรือจริง ๆ แล้วมันอาจจะเป็นคลื่นใต้น้ำที่พวกเขาสะสมมันไว้ จนกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่รอวันซัดเข้าทำลายฝั่ง รุนแรงมากจนเด็กผู้ชายคนหนึ่งเก็บความเสียใจเอาไว้ไม่ไหว ต้องยืนร้องไห้เงียบ ๆ ต่อหน้าต่อตาพวกเขา วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ผมเรียกผู้ชายคนนั้นว่าพ่อ และเป็นวันสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าแม่..



ลำธาร มันเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่เขาตามหามาหลายปี และเจอเธอเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ได้ข่าวว่าตายห่าไปแล้ว ผมไม่อยากโทษใคร แต่สองแม่ลูกนี้ก็มีส่วนทำให้เกิดอะไรแย่ ๆ ขึ้นกับครอบครัวของผม ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรที่ส่งมันมาอยู่กับผม ทั้งที่ผมแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นว่าไม่เอา ที่ให้อยู่มีตั้งเยอะแยะ คอนโดในโครงการของเขาเฉพาะในกรุงเทพก็มีตั้งหลายที่ ทำไมไม่ให้มันไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถึงแต่ละที่จะมีชื่อผมเป็นเจ้าของ และถือหุ้นกว่า 50 % ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย หุ้นส่วนที่เหลือก็เป็นของเขากับอาเล็ก สิ่งที่เขาทำมันไม่ได้ทำให้ผมซึ้งใจ จนยอมอภัยให้กับสิ่งที่เขาทำไว้หรอก เพราะมันไม่สามารถพาแม่ของผมกลับมาหาผมได้ ต่อให้เขายกทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีให้ผม มันก็ทดแทนชดใช้สิ่งที่ผมเสียไปไม่ได้ มันแทนกันไม่ได้เลย!



คำพูดสวยหรูที่บอกว่าให้มันมาอยู่ช่วยดูแล แต่สำหรับผมแปลได้อย่างเดียวว่าคอยรับใช้ นั่นแหละที่ผมมองมัน ผมไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้น ที่ยืนร้องไห้เงียบ ๆ เพราะพ่อแม่ทะเลาะกันอีกต่อไปแล้ว ผมโตพอที่จัดการกับชีวิตตัวเองได้แล้ว โตจนเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว และอยู่ด้วยตัวเองมาตลอด เพิ่งจะมาห่วงผมตอนนี้มันไม่ช้าไปหน่อยหรือไง ดังนั้นตำแหน่งเด็กรับใช้ มันเหมาะกับหน้าจืด ๆ ท่าทางเอ๋อ ๆ เหมือนคนความรู้สึกช้าของมันแล้ว อยากอยู่ด้วยก็ต้องคอยรับใช้รองมือรองตีนผม ไม่มีสถานะน้องนุ่งห่าเหวอะไร อย่างที่เขาพยายามยัดเยียดมันมาให้หรอก



คืนก่อนวันที่เขาจะให้คนมาส่งมัน ผมชวนเพื่อนมามั่วเต็มที่ จัดห้องไว้ต้อนรับมันให้สมกับตำแหน่งเด็กรับใช้ เตรียมงานไว้ให้มันทำให้สมอยาก เดี๋ยวจะว่าเอาได้ว่าไม่มีอะไรทำ แล้วเป็นไงสมใจเลยสิ ปกติพวกผมก็จัดปาร์ตี้อะไรแบบนี้บ่อย ๆ กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผมไม่เคยจัดที่ห้องตัวเอง ไม่เคยชวนเพื่อนหรือใครมาที่ห้องเลย วันที่ไอ้ฐานทัพเลขาของเขามาส่งมัน ผมเองก็มีนัดจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนพอดี กะจะทิ้งให้มันทำงานเงียบ ๆ สบาย ๆ สักหน่อย แต่มันดันมาถึงก่อนผมเลยเปลี่ยนใจ ชวนพวกนั้นมากินกันที่ห้องแทน



แล้ววันนั้นยายน้ำหวานอะไรนั่นก็ดันมาได้จังหวะพอดี ทั้งที่ผมนัดเวลาให้มาพร้อมกันกับคนอื่นแล้วแท้ ๆ ยังเสนอหน้ามาก่อนเพื่อน เลยจัดหนังสดให้ไอ้เด็กรับใช้มันดูไปยกหนึ่ง เหมือนจะบอกกลาย ๆ ด้วย ว่าถ้าอยู่ที่นี่มึงต้องเจอกับอะไรบ้าง แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ แค่ไอ้ตัววุ่นวายเห็นผมกับยายน้ำหวานจูบกัน แม่งมองจนอึ้งเหมือนไม่เคยเห็น หน้าตานี่ไปแล้ว แดงอย่างกับว่าตัวเองเป็นคนถูกจูบเองเสียอย่างนั้น ไม่รู้แม่งจะเขินแทนกูทำไมอ่อนฉิบหาย ตอนมันเห็นยายนั่นใช้ปากให้ผมยิ่งสะใจ ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้ามองตรง ๆ แต่ผมก็เห็นนะว่ามันอยากรู้อยากเห็น จนแอบชำเลืองมอง พอเห็นแล้วยังมาทำตาโต ทำเป็นหันไปทางอื่นเหมือนไม่อยากมอง ทั้งที่แอบดูของกูเต็ม ๆ เหอะ

ไอ้อ่อนเอ๊ย



สำหรับกลุ่มพวกผมถ้าว่ากันด้วยเรื่องกินเรื่องเที่ยว เรื่องจัดปาร์ตี้อะไรพวกนี้ บอกได้เลยว่ามันจะมั่วได้ขนาดไหน ถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งเด็ก ทั้งเหล้า ทั้งยา ของมึนเมามีให้ทุกอย่าง แต่ยานี่ผมไม่เอาด้วยจริง ๆ คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมพาเพื่อนมาจัดปาร์ตี้ที่ห้อง ก่อนที่วันต่อมาไอ้เด็กรับใช้มันจะมานั่นแหละ ทั้งที่ปกติผมไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัว ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างไอ้ออฟ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่มอต้น หรือเพื่อนเรียนอย่างพวกไอ้เก่ง ผมมีเพื่อนหลายกลุ่ม แต่ยกให้เป็นเพื่อนสนิทแบบที่ไว้ใจกันจริง ๆ มองตาก็รู้ว่าคิดอะไรก็มีไอ้ออฟแค่คนเดียว ส่วนพวกไอ้เก่งก็สนิทในระดับหนึ่ง วันนั้นพวกมันยังแปลกใจเลยว่าผมคิดอะไรอยู่ แต่แม่งก็แปลกใจกันได้ไม่นานหรอก เพราะสำหรับพวกนี้ แค่มีที่ให้พวกมันมั่วสุมกินเหล้าเอาเด็ก ก็ไม่สงสัยห่าอะไรกันได้นานแล้ว แต่ไอ้เก่งดันมีเรื่องกับไอ้ตัววุ่นวายนั่นก่อนจนถูกตีหัวแตก อะไรเลยสะดุดกันไปหมด ปาร์ตี้กำลังได้ที่ก็เริ่มกร่อย และนั่นเท่ากับว่ามันสร้างศัตรูให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัวด้วย ผมรู้ว่าไอ้เก่งไม่ปล่อยมันง่าย ๆ แน่ แต่แล้วยังไงล่ะ เรื่องของใครก็เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับกู อย่าทำให้กูรำคาญก็พอ พวกเพื่อนผมมันรู้ดีกันทั้งนั้น



วันนั้นที่ผมไล่ไอ้เก่งออกจากห้อง ก็ไม่ใช่เพราะจะช่วยไอ้เด็กรับใช้นั่น แต่เพราะไอ้เหี้ยเก่งดันเอาของมาด้วย ซึ่งผมบอกแล้วว่ามันไปที่ไหน จะมั่วเด็กมั่วยายังไงก็ได้ แต่ถ้ามาที่นี่ห้ามเอายามาด้วยเด็ดขาด ผมไม่ชอบ ผมเคยลองไม่ใช่ไม่เคย แล้วไม่ใช่ว่าลองแล้วไม่ชอบเลยไม่เอา แต่ผมคิดว่าชีวิตเราทำอะไรดี ๆ ให้ตัวเองได้มากกว่านั้น มากกว่าการเอาสิ่งไม่ดี ไม่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย จะเมาจะมั่วก็แค่ให้เมาพวกแอลกอฮอล์ก็น่าจะพอแล้ว ยาเสพติดนี่ผมไม่ชอบจริง ๆ ที่ลองก็แค่ลองให้รู้ ลองแล้วก็ไม่เห็นแม่งจะมีดีห่าอะไรเลย เคยมีคนบอกว่าพวกติดยาคือพวกอ่อนแอ ถ้าเราเข้มแข็งเราจะไม่ติดมัน เท่าที่กูเห็นแม่งอ่อนแอกันทั้งนั้นเลยสัส รวมทั้งไอ้เก่งกับเพื่อนมันด้วย



คิดแล้วหงุดหงิดไม่รู้อะไรนักหนา ยิ่งผมเป็นพวกขี้รำคาญด้วยแล้ว มันเลยหงุดหงิดง่ายเข้าไปใหญ่ เดินออกจากห้องจะหาน้ำเย็น ๆ ดื่ม แล้วค่อยกลับมานอน ผมเดินผ่านโซฟาตัวที่ไอ้เด็กวุ่นวายยืดเป็นที่นอน กะจะแวะแกล้งมันเล่นให้อารมณ์ดีสักหน่อยก็ดันไม่อยู่ ที่นี่มี 2 ชั้นมันกว้างเกินกว่าจะอยู่คนเดียวก็จริง แต่ผมชอบของผมอย่างนี้ ชั้นบนผมไม่ค่อยขึ้นไป แต่ยังให้คนขึ้นไปทำความสะอาดไว้ตลอด เพื่อรอคนสำคัญของผมกลับมา ข้างล่างมีห้องนอนสองห้อง ผมนอนห้องใหญ่ ส่วนห้องเล็กปิดตาย จะให้ไอ้ตัววุ่นวายนอนห้องนั้นก็ได้ แต่ผมจะไม่ให้มันได้อยู่สบายใครจะทำไม อยากนอนที่ไหนก็เรื่องของมัน อยากอยู่ด้วยกันนักให้อยู่ยังไงมันก็ต้องอยู่ให้ได้



เดินมาเจอแต่โซฟาว่างเปล่า ไม่คิดหรอกว่ามันจะทำตามที่ผมสั่งจริง ๆ เพราะดึกขนาดนี้ ท่าทางมันก็เหมือนยังไม่ตื่นดีด้วยซ้ำ คิดว่ามันคงเดินเบลอ ๆ เอ๋อ ๆ ตามแบบของมัน มาเจอที่ที่มันเคยนอนก็คงล้มตัวลงนอน รอให้ผมมาแกล้งมันเล่นเหมือนเคย แต่ตอนนี้บนโซฟากลับไม่มีร่างผอม ๆ ของมันนอนแผ่อยู่ ท่านอนของมันไม่ว่าจะนอนบนโซฟา หรือนอนบนพื้นเหมือนวันนั้น ดูหลับสบายจนน่าหมั่นไส้ ผมล่ะอยากยันโครมเข้าให้สักทีสองที ทั้งที่นอนแบบนี้มันไม่น่าสบายตัวสักนิด ผมเคยลองแล้ว แม่งคงเพราะตัวเล็ก ๆ นั่นแหละ แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ตัวเล็กอะไรมากมายหรอก ก็สูงพอประมาณ แต่มันผอม ซุกตัวเข้าไปตรงไหนเลยเหมือนจะพอดีไปเสียหมด แตกต่างกับผม แค่ล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวที่มันนอนได้สบาย ก็เหมือนว่าที่มันจะเต็มไปหมดจนอึดอัดแล้ว



..แม่งไม่ยุติธรรมเลยของกูเลือกเองแท้ ๆ

ต่อ....
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 9 (13/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-02-2019 21:37:39


ไม่คิดว่ามันจะออกไปเก็บกวาดซากที่พวกผมกินไว้ตอนนี้จริง ๆ นึกว่าเดินมานอนต่อ กะจะมาแกล้งแม่งสักหน่อย เสือกไม่อยู่ให้แกล้งเสียได้ ถึงวันนี้ที่มหาวิทยาลัย จะแกล้งมันไปเยอะแล้วก็ตามเถอะ หึ กว่าจะรับน้องเสร็จผมจะให้ไอ้พวกนั้นแกล้งมันให้อ่วมไปเลย วันนี้ถ้าพวกไอ้รันไม่มา มันคงโดนหนักกว่านั้นแน่ เพราะไอ้ทอมปี 3 ที่สั่งลงโทษมันวันนี้ ก็ลูกน้องผมเอง สั่งยังไงก็ได้ จัดเหล้าให้มันสักขวดสองขวดเป็นค่าตอบแทน มันก็ทำให้ทุกอย่างอยู่แล้ว ความคิดแบบเด็ก ๆ แล้วไง กูสะใจใครจะว่ายังช่างแม่งสิ หมั่นไส้ตั้งแต่เห็นขี่หลังมากับไอ้ห่านั้นแล้ว ท่าทางคงห่วงใยใส่ใจกันมาก ไอ้ตัววุ่นวายนี่แม่งคงอ่อยไปทั่ว จนผมไปเห็นมันอยู่ในห้องน้ำกับไอ้เก่ง เดาเรื่องได้ไม่อยากเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็อย่างที่ผมบอกว่าไอ้เก่งไม่ปล่อยแน่ที่บังอาจไปตีหัวมัน ถ้าไอ้เด็กรับใช้ไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบนั้นอีก มันก็ต้องระวังตัวเองให้มากกว่านี้



พอไม่มีไอ้ตัววุ่นวายนอนอยู่ตรงนี้ให้แกล้ง ผมเดินเลยเข้าห้องครัว เปิดตู้เย็นหยิบน้ำเย็น ๆ มาเปิดยกขึ้นดื่มเกือบหมดขวด เห็นแก้วจานอะไรที่ใช้แล้ว ถูกเก็บมาไว้ที่อ่างล้างไว้หมดแล้ว แต่ไอ้เด็กรับใช้ของผมมันหายหัวไปไหน ทำไมยังไม่ล้างเก็บให้สะอาดเรียบร้อย

มึงโดนแน่!

ผมคาดโทษมันแล้วเดินออกไปดูที่สระว่ายน้ำ แต่ยังก้าวไปไม่ทันพ้นขอบประตู รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างผิดปกติ รอบสระไม่มีไอ้เด็กวุ่นวาย ถุงดำใส่ขยะวางอยู่มุมหนึ่ง เก้าอี้ยาวที่ใช้นอนเล่นยังวางเกะกะขวางทางอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่มีคน ไม่มีใครเลย ไอ้พวกนั้นก็กลับไปกันหมดแล้ว ผมเป็นคนเปิดประตูส่งพวกมันลงไปเอง คืนนี้ไม่กินกันดึกมากเพราะพวกผมแค่มาคุยงานกัน เลยแค่ตั้งวงเล็ก ๆ หมดเหล้าไปสามขวดก็แยกย้าย แต่ก็ถือว่ากินหนักอยู่เหมือนกัน ผมนี่เริ่มมึนหน่อย ๆ แล้ว แต่ไม่ถึงกับเมา

หายหัวไปไหนวะแม่ง!

ผมได้แต่สบถด่ามัน สั่งอะไรไม่เคยมีสักครั้งหรอก ที่มันจะทำออกมาได้อย่างเรียบร้อย ไม่ขาดตรงนั้นก็เกินตรงนี้ หรือไม่อย่างนั้นแม่งก็ลืมไม่ทำตามที่สั่ง ปวดหัวกับมันฉิบหาย กวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เจอไอ้ตัวปัญหา มองไปทางสวนก็ไม่มี แล้วมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนของมันวะ!

“ไอ้เด็กเหี้ย! หายหัวไปไหนของมึงวะ!” ทุกอย่างยังเงียบ ถ้าที่นี่ไม่มี ในห้องรับแขกที่มันใช้นอนก็ไม่มี แล้วมันจะหายหัวไปไหนของมันได้ สบถด่ามันไปตั้งหลายรอบก็ไม่เห็นโผล่หัวมาสักที จนผมชักจะหงุดหงิดอีกแล้ว น่ารำคาญจริง ๆ

“ไอ้ธาร! “เหมือนจะเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ผมเรียกชื่อมัน แต่เรียกยังไงเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีเสียงขานรับ ทั้งที่ปกติมันต้องวิ่งหน้าตื่นมายืนทำหน้าตลก ๆ รอรับคำสั่งจากผมแล้ว



ขณะที่กำลังเข่นเขี้ยวคาดโทษมันอยู่นั้น ผมหันไปเห็นอะไรบางอย่างในสระว่ายน้ำ อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเย็นวาบขึ้นมาเฉย ๆ เสียอย่างนั้น ผิวน้ำในสระที่ปกติมันต้องนิ่ง ตอนนี้กลายเป็นระลอกคลื่น คลื่นแรงขึ้นจนเห็นมือที่ตะเกียกตะกายชูขึ้นเหนือน้ำ มือนั้นตีน้ำจนแตกกระจายเสียงดัง จากนั้นร่างของมันก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมา พยายามตีสะเปะสะปะดิ้นรนอยู่ไม่กี่ครั้งก็จมลงไปใต้น้ำอีก



แม่งเอ๊ย! ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วมึงจะลงไปทำไมวะ! ผมรีบวิ่งออกไปยังสระว่ายน้ำ แต่วิ่งได้สองก้าวก็สะดุดอะไรบางอย่างเกือบล้มหน้าคะมำ หันไปดูแม่งถึงเห็นว่าเป็นแผ่นหญ้าเทียม ไม่รู้ใครดึงมันขึ้นมา แล้วไม่เก็บเรียงไว้ให้เรียบร้อยเหมือนเดิม แต่โมโหไปก็เท่านั้น ไอ้ตัววุ่นวายที่อยู่ในน้ำมันจะตายก่อนนะสิ



ผมไม่สนใจแผ่นหญ้าห่าเหวอะไรนั่น รีบวิ่งไปยังสระ กระโดดลงไปใกล้จุดที่มันโผล่ขึ้นมา ดำลึกลงไปจนเกือบถึงก้นสระ ถึงได้เห็นตัวมันอยู่ห่างจากผมแค่หนึ่งช่วงตัว ผมรีบว่ายเข้าไปหา คว้าได้ตัวไอ้เด็กรับใช้มาไว้ในอ้อมแขน แล้วรีบพามันขึ้นมาเหนือน้ำ เพราะผมยังมึน ๆ จากเหล้าเลยทุลักทุเลนิดหน่อย แต่ไอ้ตัววุ่นวายหมดสติไปแล้ว สระตรงนี้ลึกถึง 2 เมตรครึ่ง ซึ่งเป็นความต้องการของผมเอง ผมสั่งนักออกแบบเองว่าอยากได้แบบไหน ลึกแค่ไหน และควบคุมการก่อสร้างเองทั้งหมด เพื่อให้ถูกใจตัวเองที่สุด สระถึงได้ลึกมากกว่าปกติ เตี้ย ๆ อย่างมันตกลงไปเลยได้แต่ดิ้นกระแด่ว ๆ อย่างนี้ไงล่ะ เพราะขาสั้น ๆ ของแม่งหยั่งไม่ถึงพื้น



“มึง” ผมตบหน้ามันเบา ๆ หลังจากวางร่างไอ้เด็กรับใช้ลงบนพื้นข้างขอบสระ แต่ตบยังไงเรียกยังไงก็ไม่ยอมตื่น หน้าตานี่ซีดไปหมดแล้ว

แม่งเอ๊ย! จะมาตายเป็นผีเฝ้าสระให้กูหรือไงวะ

“มึง ตื่นสิวะ” ผมตบแปะ ๆ ไปอีกหลายที แต่ก็เหมือนเดิมก็คือมันยังแน่นิ่ง ไม่ตอบรับไม่ขยับให้เห็นว่ารู้สึกตัว ไม่อะไรสักอย่างเหมือนตายห่าไปแล้วจริง ๆ

“ลำธาร! แม่งเอ๊ย! “ ผมสบถเสียงดัง หลังยื่นมืออังจมูกแต่ไม่รู้สึกถึงลมหายใจของมัน ผมช้าไม่ได้แล้ว รีบจัดท่านอนให้มันใหม่ วางประสานมือลงบนตำแหน่งที่ต้องปั๊มหัวให้มันตามวิธีที่ได้เรียนมา แล้วกดลงไปให้ได้น้ำหนักพอดี สลับกับการเป่าปากต่อลมหายใจให้มันด้วย ผมปั๊มหัวใจสลับกับการเป่าปากมันอยู่อย่างนั้น จำไม่ได้ว่าทำไปกี่รอบจนเริ่มเหนื่อย ความมึนความเมานี่หายไปหมดแล้ว แต่เหนื่อยยังไงก็หยุดไม่ได้ เพราะมันต้องทำให้ต่อเนื่อง จนแขนแทบจะล้าในที่สุดมันก็เริ่มหายใจ แต่เหมือนมีอะไรสะดุดอยู่เหมือนหายใจไม่คล่อง เลยต้องปั๊มต่อแล้วเป่าปากให้มันอีกรอบ จนมันหายใจได้คล่องขึ้น และสำลักน้ำออกมานั่นแหละถึงหยุดได้ ผมเปลี่ยนท่าให้มันนอนตะแคง นั่งเฝ้าจนมันเริ่มหายใจได้เป็นปกติ ถึงได้ทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ มันนั่นเอง



เหนื่อยฉิบหาย! โคตรเหนื่อย! ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วยตัวเองมาก่อน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาช่วยดึงชีวิตใครกลับมาจากความตาย หน้าสิ่วหน้าขวานอะไรขนาดนี้ โดยเฉพาะไอ้เด็กที่เป็นตัววุ่นวายในชีวิตผม ทำไมผมไม่ปล่อยให้มันตาย ๆ ไปซะ อยากโง่ตกลงไปเองทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น ผมนอนหลับตานิ่ง ลมหายใจยังหอบอยู่แต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนแรก ยอมรับว่าตกใจมากที่เห็นคนกำลังจะตายต่อหน้าต่อตา แต่ผมจะปล่อยให้มันตายไปง่าย ๆ ได้ยังไง แบบนั้นก็ไม่สนุกสิ สู้เก็บชีวิตมันไว้แกล้งเล่นดีกว่า

รู้สึกว่าไอ้เด็กที่นอนอยู่ข้าง ๆ มันขยับตัว แต่ผมไม่ได้สนใจ ยังนอนหลับตานิ่งหายใจหนัก ๆ อยู่เหมือนเดิม มือข้างหนึ่งทิ้งลงข้างตัว ส่วนอีกข้างรองหนุนหัวไว้ คิดว่าจะค่อย ๆ ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แล้วค่อยลุกไปอาบน้ำแต่ไม่เลย..

“เฮ้ย! อะไรของมึงวะ” เพราะไอ้เด็กรับใช้ที่นอนข้าง ๆ นี่แหละ ที่อยู่ดี ๆ มันก็โผเข้ามากอดผมไว้แน่น แนบหน้าลงกับหน้าอกของผม เหมือนไม่กลัวจะโดนถีบออกไปเลยให้ตายสิ เสื้อกูก็ไม่ได้ใส่ตั้งแต่แรก

“คุณเพลิง! ช่วยผมด้วยครับ ช่วยด้วย”

“ช่วยอะไรของมึงอีกวะ ปล่อยกู!”

“ช่วยด้วยครับผมว่ายน้ำไม่เป็น ช่วยด้วย”

“ปล่อยกู!”

“ผมกลัว”

“ปล่อยกู! แหกตาดูหน่อยตอนนี้มึงอยู่บนบกแล้ว!” ผมทั้งตะคอกทั้งแกะมือที่รัดตัวแน่นออก อยู่ดี ๆ ก็หันมากอดผม แล้วเอาแต่หลับหูหลับตาร้องช่วยด้วย ๆ ไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน และปลอดภัยแล้ว แม่งคนใกล้ตายมันเป็นอย่างนี้หมดทุกคนหรือไงวะ

“เอ่อ..” แล้วมันก็เงียบ ตาสั่น ๆ กวาดมองไปรอบตัว ไม่รู้มันตื่นหรือยัง หรือคิดว่าตัวเองตายห่าเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่มือมันยังกอดเอวผมแน่นไม่ปล่อย ตัวมันสั่นมาก ไม่รู้เพราะหนาวหรือกลัวหรือทั้งสองอย่าง ที่จริงพอมันเริ่มหายใจปกติได้แล้ว ผมควรพามันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หาผ้าห่มมาห่มให้ความอบอุ่น แต่ช่างแม่งเหอะ แค่ช่วยให้รอดตายนี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว แม่งยังมากอดกูไว้อีก

“คุณ คุณลงไปช่วยผมขึ้นมาเหรอ” มันหันกลับมาถาม ตากลม ๆ ของมันเบิกขึ้นจนกว้างเหมือนกระต่ายตื่นตูม ไม่รู้จะทำเป็นแบ้วอะไรนักหนาสิแม่ง เห็นแล้วรำคาญตา!

“เออ! “ ผมกระแทกเสียงตอบไป เพราะมันเบลอจนน่ารำคาญ ปกติแม่งก็เอ๋ออยู่แล้วไง ความรู้สึกช้าด้วย สั่งอะไรบอกอะไรกว่ามันจะยุรยาตรไปทำให้ได้ แม่งก็ยืนบิดตูดเสียเวลาอยู่ตั้งนาน แต่ผมไม่ได้ตั้งใจมองตูดมันหรอกนะ ดูอย่างตอนนี้สิ มันมองหน้าผมอึ้ง ๆ แล้วก็เอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้น ปากแม่งจากที่ซีด ๆ ตอนแรก ตอนนี้เริ่มมีสีเลือดขึ้นแล้ว ผมเม้มปากแน่น มองปากแดง ๆ ของมันแล้วหงุดหงิด มึงจะยิ้มทำไมวะสัส!



“ขอบคุณครับ ขอบคุณนะครับที่ช่วยชีวิตผม” แล้วมึงจะกอดกูแน่นขึ้นเพื่อ?

“เออ! แล้วเมื่อไหร่มึงจะปล่อยกูสักที”

“อุ๊ย! ” อุ๊ยหาพ่อมึงเหรอกอดกูตั้งนาน “ขอโทษครับ” แล้วมันก็รีบขยับออก ลุกขึ้นนั่งก้มหน้าเหมือนคนทำตัวไม่ถูก



ผมลุกขึ้นนั่งมองมันอย่างหงุดหงิด แก้มแม่งก็แดงเป็นรอยปื้นเลยไง แล้วไม่ใช่รอยอะไรหรอกนะ รอยมือกูนี่แหละ ถึงกับต้องกำมือแน่นเลย นี่ผมตบแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ แค่ตบเรียกสติมันเองนะ ผมแค่ตบเบา ๆ แต่ทำไมมันแดงขนาดนี้ได้วะ ก็แค่จะปลุกมันแค่นั้นเองไหมล่ะ ถึงจะเกลียดแต่ก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายร่างกายมันหรอก หรือจะเป็นอย่างที่ไอ้ห่าออฟมันบอก แรงควายอย่างผมถึงจะทำเบา ๆ แต่อาจจะแรงไปสำหรับมัน แต่จะอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ ตอนนี้มันก็แดงไปแล้วนั่นล่ะ กูไม่รู้สึกผิดหรอก แก้มมึงมันใสเองต่างหากไอ้ตัววุ่นวาย!



“แล้วมึงจะนั่งสั่นอย่างนี้อีกนานไหม รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวก็ปอดบวมตายห่ากันพอดี”

“ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”

“กูไม่ได้ห่วงมึง! " ผมรีบตะคอกปฏิเสธ ถลึงตามองมันอย่างหงุดหงิด คิดได้ยังไงว่ากูจะห่วง "เสียเวลาโดดลงไปช่วย แล้วมึงยังคิดจะเป็นปอดบวมตายอีก จะให้กูลงไปช่วยให้เหนื่อยทำไม ไสหัวไปสักที!”

“ครับ ๆ ” ผมไล่ไอ้เด็กวุ่นวายเพราะรำคาญเต็มที คราวนี้มันว่าง่าย รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าบ้าน ตัวยังเปียกน้ำก็หยดเป็นทางไปสิ แต่ช่างหัวมันเถอะ ยังไงมันก็เป็นคนทำความสะอาดอยู่แล้ว



ล้มตัวลงนอนอีกครั้งตรงข้างสระ วางสองมือรองหัวตามองขึ้นไปบนฟ้า อากาศตอนดึก ๆ อย่างนี้กำลังเย็นสบายสำหรับผม ถึงตอนนี้อาจจะเย็นไปหน่อยเพราะตัวผมยังเปียก แถมยังไม่ใส่เสื้ออีก เสี้ยวหนึ่งของความคิด มีคนที่จากไปแวบเข้ามาในหัว ผมหลับตาลงถอนหายใจหนัก ๆ แล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ ทอดสายตามองขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง ทั้งที่จริง ๆ ท้องฟ้ากรุงเทพแม่งก็ไม่มีอะไรให้น่ามองนักหรอก ดาวดวงเล็ก ๆ อ่อนแสงแต่ก็ยังกะพริบปริบ ๆ เหมือนไม่มีแรง ท้องฟ้ากลางคืนมัว ๆ ทึม ๆ เห็นแล้วหดหู่ฉิบหาย เข้าไปหาเรื่องแกล้งไอ้ตัวน่ารำคาญนั่น แล้วไปนอนดีกว่า



**********

มาซะดึกดื่นเลย

อีพี่คีฟลุคอยู่นะคะ อย่าเคืองนะถ้าคุณชายเขาจะหยาบ ๆ หน่อย

โดยเฉพาะคำพูดจ้า

เจอกันตอนหน้าน้าาาา ไอ้ตัวยุ่งทั้งหลาย

ดาว ณ แดนดิน

10-2-2562
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 9 (13/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 21-02-2019 22:11:25
 :katai4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 10 (24/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-02-2019 21:45:19



กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก 10

#ลำธาร



เพียงขยับตัวเบา ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับร่างกายจะปริแตกออกจากกันให้ได้ พยายามปรือตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นยังไม่ชัดเจนดีนัก ตอนนี้นอกจากไม่มีแรงแล้วยังเพลียและเจ็บไปหมด ร่างกายทุกส่วนเหมือนมีหินหนัก ๆ ถ่วงเอาไว้ ขยับแต่ละทีเหมือนมันจะแตกสลายออกจากกัน เหมือนมีใครเอาระเบิดเล็ก ๆ มาฝั่งไว้ตามตัวเต็มไปหมด และมันจะระเบิดให้เจ็บปวดทันทีแค่ขยับตัว แถมยังร้อนผ่าว ๆ ไปทั่ว บางทีก็หนาวเยือกขึ้นมาเฉย ๆ แบบนี้ผมคงโดนไข้เล่นงานแล้วแน่ ๆ



กลืนน้ำลายลงคอ คอก็ทั้งแห้งทั้งเจ็บ ตอนนี้ผมตื่นเต็มตาแล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พอทำอะไรไม่ได้ เลยได้แต่นอนมองหน้าจอทีวีสีดำ ๆ อยู่อย่างนั้น ขยับจะลุกขึ้นเมื่อไหร่ กล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มันจะส่งเสียงร้องประท้วงผ่านความเจ็บแปลบทันที เจ็บจนต้องนิ่วหน้า เจ็บปวดร้าวไปหมด ขยับขาก็เจ็บขยับแขนก็เจ็บร้าวไปทั้งตัว เมื่อวานยังไม่รู้สึกอะไร ไม่คิดว่ามันจะเจ็บไปหมดแบบนี้ เผยอปากจะครางออกมาเพราะความเจ็บ ยังรู้สึกเจ็บไปทั้งหน้าลามลงไปถึงคอ นี่ผมเป็นอะไรไปแล้ว!



หลับตาลงอย่างหมดแรง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อวาน ผมเจอแต่เรื่องหนัก ๆ จนไม่น่าเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นภายในวันเดียว แถมเมื่อคืนยังตกลงไปในสระว่ายน้ำอีก ไม่รู้ว่ามันลึกมากขนาดไหน แต่เหมือนตกลงไปในหุบเหวดำมืดไม่มีจุดสิ้นสุด ลึกมากจนคิดว่าคงไม่ถึงก้นเหวสักที รู้แต่ว่ามันน่ากลัว สาบานว่าผมจะไม่เข้าใกล้ หรือเดินเฉียดไปแถวนั้นอีกเด็ดขาด



เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้ ปานนี้ผมคงได้เจอกับแม่แล้วหรือไม่นะ คนเราตายแล้วไปไหน แล้วถ้าเราตายทีหลังตั้งนาน จะได้เจอกันกับคนที่ตายไปก่อนหรือเปล่า ผมไม่รู้และไม่กล้าคิดถึงเลย แค่ยังไม่ตายก็ดีใจแล้ว เพราะมีเรื่องต้องทำอีกหลายอย่าง ยังตายตอนนี้ไม่ได้ คิดแล้วก็อยากขอบคุณเขาอีกสักครั้ง ถึงเมื่อคืนจะขอบคุณไปแล้ว แต่คิดว่าคงยังไม่พอ ถึงเขาจะใจร้ายกับผม พูดจาร้าย ๆ แถมยังตะคอกใส่ตลอด แต่เอาจริง ๆ คุณชายก็ไม่ได้ร้ายแบบคนใจดำ ไม่เสียแรงเลยที่แอบปลื้มเขามาตั้งเป็นปี



ผมลองขยับตัวอีก คราวนี้ขยับได้มากกว่าเก่านิดหน่อย แต่ก็ยังเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัวอยู่ดี โดยเฉพาะช่วงขา ที่คงเป็นผลมาจากการวิ่งขึ้นลงตึก และการวิ่งรอบสนาม พอต้องมาตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดเมื่อคืน แถมยังเป็นตะคริว มันเลยซ้ำกันเข้าไปใหญ่ ทุกคนต้องเคยเป็นเวลาที่ไม่ได้ออกกำลังกาย หรือทำอะไรหนัก ๆ มาก่อน พอได้มาทำกล้ามเนื้อเลยเกิดการฉีกขาด อีกเสบจนเจ็บไปหมด เหมือนที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้



ที่ขยับแล้วไม่เจ็บก็คงจะเป็นลูกตาทั้งสองข้าง กับการกะพริบตานี่กระมัง ผมนอนเหมือนคนเป็นง่อย เมื่อคืนหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผมฝืนร่างกายไม่ไหว เลยล้มตัวลงนอนบนพื้นพรมหน้าทีวีนี่เอง กับผ้าห่มผืนเล็กลายโปเกมอน ของรักของหวงที่เอามาจากบ้านด้วย แต่ขณะเคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับ ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งหอบตกใจอีก เพราะคุณชายเขาโยนอะไรบางอย่างมาใส่หน้า พอลุกขึ้นดูจึงเห็นว่ามันคือผ้าห่มที่ทั้งหนาและอุ่นกว่า ผมกำลังต้องการมันอยู่พอดี แต่ให้ดี ๆ ไม่ได้หรือไงครับ ทำไมต้องโยนใส่หน้าผมด้วย หรือคุณชายเขาแค่อยากแกล้ง คงแค่อยากแกล้งสินะ เพราะเขาแสยะยิ้มสะใจทิ้งไว้ให้ ก่อนเดินเข้าห้อง ตกลงเขาใจดีหรือใจร้ายกันแน่ ผมทำตัวไม่ถูกจริง ๆ



..ก็ต้องใจดีสิ เพราะเขาช่วยชีวิตผมไว้นี่นา

“อึก อูย” ถึงกับต้องหลุดปากครางเสียงสั่นเพราะความเจ็บ แต่จะให้นอนเฉยอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้เช้าวันใหม่แล้ว และผมต้องไปเรียน อย่างน้อยก่อนไปเรียน ต้องเตรียมอาหารเช้าไว้ให้คุณชายด้วย ไม่รู้วันนี้เขามีเรียนหรือเปล่า แต่เขาสั่งไว้แล้วนี่ ว่าอาหารต้องทำให้เขากินให้ครบ 3 มื้อ แต่ร่างกายของผมนี่สิ มันทำไมไม่เป็นใจเอาเสียเลย หัวก็เหมือนจะเริ่มปวดตุบ ๆ เข้าให้แล้วด้วย



ฝืนขยับตัวจะลุกขึ้นได้แค่ลำตัวช่วงบน ใช้ศอกทั้งสองข้างรับน้ำหนักตัวเองไว้ เพราะเจ็บร้าวจนต้องนิ่วหน้าบิดเบี้ยวไปหมด

“จิ๊” ผมชะงักเพราะเสียงจิ๊ปากที่ดังขึ้นข้างหลัง คิดว่าเจ้าของเสียงคงนั่งอยู่บนโซฟา และผมนอนหันหัวไปทางนั้นจึงไม่เห็นเขาในตอนแรก

“อุ๊ย! “ผมค่อย ๆ หันไปทางต้นเสียง แต่กลับต้องผงะเกือบหงาย เพราะหันไปเจอเข้ากับฝ่าเท้าใหญ่ ๆ ที่แทบจะทาบเข้ากับใบหน้าของผมเต็ม ๆ เจ้าของเท้านั่งไขว่ห้าง มองมาด้วยสายตาที่เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่ากำลังหงุดหงิด และอีกไม่นานมันอาจจะตามมาด้วยคำด่า ที่พ่นออกมาจากริมฝีปากได้รูปในกรอบเคราสั้นพอดี แถมเขายังกระดิกเท้ายิก ๆ จนน่าหมั่นไส้

“ตื่นแล้วก็ลุกสักที! แหกตาดูนาฬิกาหน่อยว่ามันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว!”

“เฮ้ย! “

“ไม่ต้องมาเฮ้ยเลย ลุกขึ้นไปทำของกินมาให้กู” ที่ผมร้องไม่ใช่เพราะเสียงตะคอกของเขา แต่เป็นเพราะเวลาตอนนี้มันปาเข้าไป 10 โมงแล้ว วันนี้ผมมีเรียน 8 โมงครึ่ง นี่ผมตื่นสายขนาดนี้ได้ยังไง ต้องโดนด่าอีกแน่เลย

“เอ่อ แล้วคุณ..” ไม่กล้าถามต่อเลย เพราะสายตาดุ ๆ ขวาง ๆ ที่กำลังมองเหมือนจะขบหัวเสียให้ได้ เล่นเอาพูดไม่ออก หรือว่าเขามีเรียนเช้าเหมือนกัน หวังว่าคงไม่ใช่หรอกนะ แล้วก็หวังว่าเขาคงไม่ได้นั่งรอให้ผมตื่น เพื่อไปทำมื้อเช้าให้กินก่อนไปเรียนหรอกใช่ไหม

เขายังจ้องนิ่งเหมือนรอฟัง ผมเลยต้องพูดต่อ “คุณมีเรียนกี่โมงครับวันนี้”

“วันนี้กูไม่มีเรียนและตอนนี้กูหิวมาก รีบไปหาอะไรมาให้กูกินซะก่อนที่กูจะอารมณ์เสีย!” แอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างโล่งอก แต่ก็โล่งได้ไม่ทั้งหมด เพราะถ้าช้ากว่านี้คุณชายอาจจะโมโหหิว แล้วเอาความหงุดหงิดมาลงที่ผมอีกก็ได้

“ทำเสร็จแล้วเอาเข้าไปให้กูที่ห้อง ไปสักทีสิวะนั่งเอ๋ออยู่ได้! “นั่นปะไรล่ะ

“ครับ ๆ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ถึงจะบอกว่าเดี๋ยวนี้ แต่สังขารผมมันไม่อำนวยหรอกนะ รีบพับผ้าห่มลวก ๆ ไว้ก่อน ค่อยมาเก็บใหม่ทีหลัง พยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นช้า ๆ แต่คุณชายคงรำคาญ เลยช่วยสงเคราะห์ให้อย่างคนใจดี เมื่อผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาดันที่กลางหลัง ช่วยส่งแรงให้ผมลุกได้ง่ายขึ้น อะไรบางอย่างที่ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร เพียงแค่แรกสัมผัสกับแผ่นหลังของตัวเอง



คิดว่าความใจดีนี้มันคืออะไรล่ะครับ ธารเฉลยให้ก็ได้ ว่ามันคือฝ่าเท้าใหญ่ ๆ ของเขาไงล่ะที่ส่งมาช่วยยัน พอตั้งตัวจะยืนได้ ยังมีแรงเบา ๆ ส่งตามมาอีกจนผมเกือบเซ ถ้าเขาถีบแรงกว่านี้ผมคงล้มหน้าคะมำชนเข้ากับจอทีวีแล้วแน่ ๆ



พาร่างอ่อนเปลี้ยค่อย ๆ เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในครัว ความเจ็บร้าวส่งเสียงประท้วงขึ้นมาเป็นริ้ว ตั้งแต่ช่วงขากระจายไปทั่วตัว ไม่อยากขยับ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ทุกย่างก้าวเหมือนร่างกายจะปริแตกจากกันให้ได้ แต่คนรับใช้อย่างผมจะเลือกได้เหรอ ในเมื่อเจ้านายนั่งทำหน้าถมึงทึงรอออกขนาดนั้น



เพราะแทบไม่มีแรงหยิบจับอะไร มื้อเช้าของเขาวันนี้จึงมีแค่ไข่เจียวหมูสับ โปะบนข้าวที่หุงไว้แล้ว เอามาอุ่นจนร้อนได้ที่ ดีที่ซื้อหมูบดมาไว้ เลยไม่ต้องฝืนยืนสับหมูซ้ำเติมสังขารตัวเอง ใส่วุ้นเส้นสดลงไปด้วยนิดหน่อย พร้อมโรยต้นหอมหันชิ้นเล็ก ๆ ใส่เครื่องปรุงให้ได้รสชาติกำลังดี ได้แค่นี้หวังว่าคงไม่โดนด่าอีกหรอกนะ เพราะผมตั้งใจทำสุดฝีมือ วางจานข้าวลงในถาดเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟให้คุณชาย ค่อย ๆ ยกถาดขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองมันเหมือนเป็นของล้ำค่า เดินไปทางห้องนอนของเขา



วันนี้รู้สึกว่าระยะห่างจากห้องครัวเดินผ่านห้องรับแขก จนมาถึงส่วนที่เป็นห้องนอน มันช่างไกลเหลือเกิน เคาะประตูเบา ๆ สองสามครั้งรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนเปิดประตู ผมไม่ได้ตื่นเต้น แต่เรียกกำลังใจให้ตัวเอง เตรียมพร้อมรับอะไรก็ตามที่อาจจะตามมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างเขา



“ให้วางไว้ตรงไหนครับ” เพราะเขายังนั่งหันหน้าเข้าหาหน้าจอคอมเงียบอยู่ เหมือนไม่รู้ว่าผมยกถาดอาหารเข้ามาให้แล้ว ถึงผมจะมั่นใจว่าเขาคงได้กลิ่นของกินหอม ๆ ก็เถอะนะ แต่เขากลับยังนั่งรัวมือบนคีย์บอร์ด ไม่สนใจของกินที่ผมยกมาเลยสักนิด “เอ่อ.. “

“วางไว้แถวนั้นแล้วไสหัวออกไปกูจะทำงาน!” ก็ไหนว่าหิวมากทำไมไม่รีบมากินเล่า

“แล้วคุณจะกินตอนนี้หรือเปล่าครับ”

“เสือก! “อ้าวอุตส่าห์เป็นห่วง หันมาด่าแค่นั้นก็หันกลับไปรัวมือบนแป้นพิมพ์ ตาจ้องหน้าจอเหมือนกำลังติดพัน ผมถอยออกมา วางถาดอาหารไว้บนโต๊ะเตี้ย ๆ หน้าทีวี แล้วรีบออกจากโซนอันตรายให้เร็วที่สุด เท่าที่สองขาจะพาไปได้ ตรงไปเข้าห้องน้ำกะจะทำธุระส่วนตัวสักหน่อย...

“ไอ้เด็กเหี้ย! ทำไมมึงไม่เอาน้ำมาให้กูด้วย!” แต่ยังเดินไปได้ไม่ถึงไหน เสียงตะโกนมาจากห้องที่ผมเพิ่งเดินออกมาก็ดังขึ้นก่อน อีกแล้วสินะ ลืมจนได้สินะ ก็สมควรแล้วหรือไม่ล่ะ ที่เขาจะหงุดหงิดและดุผมตลอดอย่างนี้



ตรงไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำขวดใหญ่ออกมา ได้ยินเสียงบ่นแวว ๆ ว่าทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ชักช้าเสียเวลาบ้างล่ะ สารพัดจะบ่นเหมือนคนแก่ไม่มีผิด คิดมาถึงตรงนี้ผมก็แอบหัวเราะขำเบา ๆ จนเดินไปถึงหน้าห้อง เห็นว่าประตูห้องของเขาไม่ได้ปิด เลยถือวิสาสะเดินเข้าไป และเจอกับตาดุ ๆ ขวาง ๆ ของเขาแทบหุบยิ้มไม่ทัน จะว่าผมยิ้มขำเขาอีกไหมนะ แต่ผมเปล่าจริง ๆ นะครับสาบานเลย

“แม่งต้องให้กูอารมณ์เสียทุกทีหรือไงวะ มึงถึงจะทำอะไรเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง” เสียงบ่นดังตามหลังมา หลังจากผมวางขวดน้ำไว้ แล้วรีบออกจากห้องก่อนจะโดนงับหัว “งานแม่งก็ยังต้องแก้อีกบานเลยสัด! ง่วงก็ง่วง!” แล้วก็อะไรอีกหลายอย่างที่ผมไม่อยู่ฟัง ไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย วันนี้ผมคงไม่ได้ไปเรียนแล้ว มันฝืนไปไม่ไหวจริง ๆ ขาดเรียนตั้งแต่ต้นเทอมเลยสินะเรา



เพราะตัวร้อนรุม ๆ เหมือนมีไข้ ผมเลยทำแค่เช็ดตัวแล้วมากินข้าว หายาแก้ไข้ยาแก้ปวดแก้อักเสบกินตามไปด้วย ก่อนล้มตัวลงนอนอีกที ยังไม่ลืมหยิบยามานวดขา นวดไปนวดมารู้สึกสบายขึ้นเลยนวดทั้งตัว นวดไปก็เจ็บไป จนผิวขาว ๆ แดงไปหมดเพราะยาเย็น ๆ



สองวันกับการนอนอยู่เฉย ๆ เพราะทั้งเป็นไข้ทั้งเจ็บตามเนื้อตามตัวไปหมด วันแรกไข้อ่อน ๆ ของผมดีขึ้นหลังจากได้นอนพักผ่อนทั้งวัน สลับกับการถูกปลุกขึ้นมาทำนั่นทำนี่ให้คุณชาย วันที่สองกล้ามเนื้อดีขึ้นมาตามลำดับ วันนี้ผมจึงมาเรียนได้ตามปกติ แต่ดันเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์พอดี แล้วหยุดเสาร์อาทิตย์อีกสองวัน ไม่อยากมาแต่ก็แอบเสียดายเลยต้องมา

“ธาร..” ได้ยินเสียงเรียกลากยาว ผมหันกลับไปทางเจ้าของเสียง กุ๊กไก่กำลังวิ่งเข้ามาหา มีเก้าเดินตามหลังมาไกล ๆ ท่าทางสุขุมใจเย็นเชียว

“หายแล้วเหรอธาร เป็นห่วงแทบแย่”

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” ผมตอบกุ๊กไก่ หันไปยิ้มให้เก้าด้วย 2 วันที่นอนพัก กุ๊กไก่กับเก้าโทรหาตลอดที่มีเวลา

“น่าจะหยุดยาวเลยนะ พรุ่งนี้ก็หยุดอีกแล้วเนี่ย” กุ๊กไก่ว่าท่าทางเสียดายแทน

“กลัวเรียนไม่ทันเพื่อนนะสิ”

“เก็บชีตเรียนไว้ให้แล้วนี่ไง” เก้าบอกพลางเปิดกระเป๋า ล้วงเอาเอกสารหลายปึกออกมาให้ หยุดแค่ 2 วันมันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ

“ขอบใจนะเก้า ไปเถอะขึ้นเรียนกัน”

“ไหวนะ”

“สบายมาก” จริง ๆ ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ต้องเดินกระย่องกระแย่งเหมือนคนไม่สมประกอบแล้ว เพราะแม่สอนเสมอว่าให้ดูแลตัวเองดี ๆ ไม่สบายต้องรู้จักหาหยูกหายากินให้เป็น และผมก็ทำตาม เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าสิ่งที่แม่สอนมาตลอดนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผมในวันที่แม่ไม่อยู่ เพราะรู้ว่าจะอยู่กับผมได้ไม่นาน



วันนี้ผ่านไปพร้อมกับคำบ่นกระปอดกระแปด ของหญิงหนึ่งเดียวในกลุ่ม เพราะเรามีเรียนหนักทั้งเช้าบ่าย ผมเองก็อดบ่นไม่ได้เหมือนกัน กลุ่มของเราสามคนคงมีแต่เก้าคนเดียวที่ยังนิ่งได้ ทั้งที่ผมกับกุ๊กไก่แทบจะไม่ไหวกันอยู่แล้ว

“โอย ร่างกายต้องการการเยียวยา”

“ใช้อะไรเยียวยาล่ะ”

“หมูกระทะ ต่อด้วยไอติมถ้วยใหญ่ ๆ ไปไหม หาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านดีกว่า” กุ๊กไก่ชวนขณะที่เราเดินตามเพื่อนคนอื่น ๆ ออกจากห้องเรียนวิชาสุดท้าย

แต่ถูกเก้าดับฝันเสียก่อน “ยังกลับไม่ได้ อย่าลืมสิวันนี้รุ่นพี่เรียกรวมรับน้องวัยสุดท้าย”

“โหยไม่ไปอะ”

“ไปเถอะ ยังไงมอเราก็ไม่ได้รับน้องแบบแปลก ๆ เหมือนมออื่น ไปดูว่ากิจกรรมวันสุดท้ายจะสนุกไหม” ตามความคิดของผมนะ ประโยคนี้น่าจะเป็นคำพูดของกุ๊กไก่ มากกว่าผู้ชายตัวโต ๆ ท่าทางเฉยเมย ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอย่างเก้า แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าสลับกัน คนโอดครวญไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรม กลับเป็นคนคุยเก่งอารมณ์ดีที่เป็นมิตรกับทุกคนอย่างกุ๊กไก่ แต่คนที่คอยต้อนพวกเราเข้าร่วมกิจกรรม กลับเป็นเก้าเสียอย่างนั้น ส่วนผมยังไงก็ได้ตามเพื่อน เพราะตอนอยู่เชียงใหม่ ผมไม่มีเพื่อนที่จะคอยชวนกันไปไหนต่อไหนแบบนี้ ทั้งที่ก็อยากมีเพื่อนสนิทกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน



แต่จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ไม่รู้เพื่อนที่เพิ่งย้ายมาเรียนเทอมสุดท้ายอย่างวิน จะถือเป็นเพื่อนสนิทได้หรือเปล่า เรานั่งโต๊ะติดกัน เขาเป็นคนคอยเข้ามาชวนทำนั่นทำนี่ ทั้งที่ผมไม่ค่อยได้ไปตามคำชวนเท่าไหร่นัก อย่างนี้เรียกว่าเพื่อนสนิทได้หรือยังนะ แต่หลังจบ ม. 6 และแยกย้ายกันไปก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

“เออ แล้วพวกนายสองคนหาพี่รหัสเจอกันหรือยัง”

“ตายแล้วธาร! เรายังไม่เจอพี่รหัสเลย” กุ๊กไก่บอกท่าทางตกอกตกใจจนตาโต

“ไม่เจอหรือไม่สนใจหา” เก้าถาม

“เออ ก็นั่นแหละ”

“เก้าเจอพี่รหัสแล้วเหรอ” ผมหันไปถามเก้าบ้าง แต่เป็นกุ๊กไก่ตอบคำถามแทนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“เจอแล้วสวยด้วย ชื่อพี่หนิง” หรือจะมีอะไรเป็นพิเศษ เพราะสายตากุ๊กไก่ที่มองเก้า ดูวิบวับเป็นประกายล้อเลียนเชียว

ผมหันไปถามเพื่อนสาว “แล้วกุ๊กไก่ล่ะทำไมยังไม่เจอ”

“หาแล้วแต่ไม่เจอนะสิ ดูคำใบ้เหมือนคนเสียที่ไหน” กุ๊กไก่ล้วงเอากระดาษยับ ๆ ออกมาจากกระเป๋าคลี่ให้ผมกับเก้าดู เราสามคนเงียบมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่บอกความรู้สึกไม่ถูก รู้แต่ว่าอ่านคำใบ้ที่กุ๊กไก่ได้แล้ว คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากหมาน้อยตัวเล็ก ๆ ขนฟูอย่างพอเมอเรเนียน เราเงียบกันเป็นครู่ ผมกับเก้ามองหน้ากันแล้วอดขำไม่ได้ กุ๊กไก่โดนแน่ ๆ

“ของเราไม่มีบอกชื่อด้วย”

“ยากหน่อยนะ”

“ใครจะง่ายอย่างธารล่ะ พี่รหัสเดินมาหาเองเลยนี่” ผมก็ได้แต่ยิ้มจะว่าง่ายก็ง่าย ที่พี่ณัฐเฉลยกันผมเองว่าเป็นพี่รหัส ทั้งที่รุ่นพี่ปี 2 คณะเรามีคนชื่อนี้ตั้ง 3 คน

ต่อ...
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 10 (24/2/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-02-2019 21:46:13


พอเดินมาถึงลานกิจกรรมหน้าคณะ รุ่นพี่ปี 2 ก็พากันรออยู่แล้ว พร้อมปี 1 อีกกลุ่มใหญ่ที่เลิกเรียนมาก่อน พวกเราถูกเรียกให้เข้าไปนั่งรวม รุ่นพี่พาเล่นอะไรสนุก ๆ หลายอย่างจนมาถึงการประกาศพี่รหัส ซึ่งใครที่ยังตามหาพี่รหัสตัวเองไม่เจอ จะถูกเรียกออกไปยืนหน้ากลุ่มเพื่อพิจารณาโทษ และกุ๊กไก่ก็เป็นหนึ่งในนั้น



รับน้องวันสุดท้ายก็สนุกดีเหมือนกัน รุ่นพี่มีเกมแปลก ๆ มาให้พวกเราเล่น จนมาถึงช่วงสุดท้ายเป็นการกล่าวต้อนรับปี 1 อย่างเป็นทางการ จากนั้นมีการผูกข้อมือรับขวัญ ผมยิ้มให้พี่รหัสตัวเองที่เดินยิ้มมาแต่ไกล ในมือด้ายสีขาวสำหรับผูกแขนถือมาด้วย

“สวัสดีครับพี่ณัฐ”

“ว่าไงเราได้ข่าวว่าไม่สบาย หายดีหรือยัง”

“หายดีแล้วครับ ตอนนี้สบายมากเลย”

“มาผูกข้อมือก่อน” พี่ณัฐผูกข้อมือให้ผมอย่างตั้งใจ พร้อมกับอวยพรอะไรอีกเล็กน้อย “เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“เอ่อ..”

“ไปเถอะธาร เราก็ต้องไปอะถูกพี่ปอมทำโทษ” สรุปแล้วพี่รหัสกุ๊กไก่ชื่อปอมปอม คิดไปคิดมาก็เป็นคำใบ้ที่ง่ายนะ แต่เพราะพวกเราไม่คิดว่าจะมีคนชื่อแบบนี้นะสิ เลยนึกไม่ออกกัน ปอมเมอเรเนียนเนี่ยนะ “ชวนเก้าไปด้วย พี่รหัสเก้าก็น่าจะไปเหมือนกันใช่ไหมคะพี่ณัฐ”

“กลุ่มเดียวกันต้องไปอยู่แล้วล่ะ ว่าไงธารไปกินข้าวด้วยกันสักวันไม่ต้องคิดมาหรอก” พอกุ๊กไก่ถามพี่ณัฐเลยหันมาพูดกับผม แล้วผมปฏิเสธได้ไหมล่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรกับคนขี้หงุดหงิดคนนั้นหรือเปล่า

“นั่นเก้า เก้ามานี่หน่อย” กุ๊กไก่ตะโกนเรียกเก้าที่กำลังยืนคุยอยู่กับพี่รหัส ต้องยอมรับเลยว่าพี่รหัสเก้าสวยจริง ๆ แต่จะไม่สวยได้ยังไง ในเมื่อเธอคนนั้นเป็นถึงดาวของมหาวิทยาลัยปีที่แล้ว ที่รู้เพราะกุ๊กไก่เพิ่งกระซิบบอกเมื่อกี้

“เย็นนี้ว่าไง”

“พี่เขาชวนกินข้าวนั่นแหละ” สรุปคืนนี้พวกเราทุกคนนัดรวมตัวกันที่ร้านอาหารหลังมอตอน 1 ทุ่ม กุ๊กไก่อาสาเป็นคนมารับผม พอตกลงกันได้พวกเราก็แยกย้าย ผมกลับมาที่ห้อง รีบทำงานตามหน้าที่ให้เรียบร้อย และงานสุดท้ายที่ต้องทำคือเตรียมอาหารเย็นไว้ให้คุณชาย



ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ใกล้ได้เวลากุ๊กไก่มารับ แต่คุณชายยังไม่กลับมา และไม่รู้จะกลับมาตอนไหน ผมคงไม่อยู่ดึกมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรบอกเขาก่อนไปอยู่ดี เพราะผมก็แค่คนอาศัย ไปไหนมาไหนผิดเวลาควรบอกสักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าทำตัวเหลวไหลอีก ถึงเขาคงไม่สนใจก็ตามเถอะ



กุ๊กไก่โทรมาบอกว่าถึงแล้ว ผมเลยต้องไปทั้งที่ยังไม่ได้บอกคุณชาย เบอร์โทรก็ไม่มีไม่รู้จะติดต่อยังไง เลยต้องออกไปทั้งอย่างนั้น เรามาถึงร้านอาหารหลังมอ คนอื่น ๆ ก็มาพร้อมกันหมดแล้วทั้งพี่ณัฐ พี่ปอมปอม เก้ากับพี่หนิง และมีพี่คนอื่นในกลุ่มที่พาน้องรหัสตัวเองมาเลี้ยงด้วยอีกหลายคน แยกโต๊ะกันนั่งกลุ่มใครกลุ่มมัน แต่ก็มีบ้างที่คุยกันข้ามโต๊ะ มื้ออาหารผ่านไปได้สักพัก พวกเรารู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น จนถึงเวลาแยกย้ายกัน



“เดี๋ยวไปนั่งฟังเพลงต่อนะทุกคน” พี่ปอมปอมเป็นคนเปิดประเด็น

“ว่าจะชวนอยู่พอดีเลย” ตามด้วยพี่ณัฐพี่รหัสผมเอง ผมมองหน้าเก้าแต่เก้าไม่ได้พูดอะไร ผมไม่เคยไปนั่งฟังเพลงหรือไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนมาก่อน เลยคิดว่าจะปฏิเสธ “ไปนะ”

“เอ่อ..”

“กุ๊กไก่ต้องไปนะ นี่ถือเป็นการลงโทษที่ตามหาพี่ไม่เจอ” พี่ปอมบอกแกล้งทำตาดุแบบทีเล่นทีจริงมองกุ๊กไก่

“ไปไหม” กุ๊กไก่หันมาถามผม แต่ผมไม่คิดว่าจะไปอยู่แล้วเลยว่าจะปฏิเสธ แต่..

“ไปเถอะธารไปด้วยกัน” พี่ณัฐบอก

“นั่นสิเก้าก็ไปนะ ห้ามปฏิเสธเลย” นี่เสียงพี่หนิงพี่รหัสเก้า ที่เกาะติดน้องรหัสตัวเองไม่ปล่อย ผมว่ามันชักแปลก ๆ อีกแล้ว

เก้าเลยหันมาถามผม “ธารว่าไง”

“เอ่อ จะดีหรือครับ”

“ธารไปเถอะเราอยากลองไปเที่ยวดู”

“แต่เราไม่เคยไปเที่ยวแบบนั้นเลย”

“เราก็ไม่เคยไปเหมือนกัน” กุ๊กไก่ดูตื่นเต้นกับการเที่ยวครั้งนี้มาก

ผมเลยหันไปถามความเห็นจากเก้า “เก้าว่าไง”

“แล้วแต่”

“เก้าต้องไปอยู่แล้วสิ ไม่ไปพี่โกรธ” พี่หนิงบอก

“ไปเถอะนะธารวันเดียว”

“ไปเถอะไม่ต้องกลัว พี่ไม่ให้อยู่กันดึกมากหรอก” พี่ณัฐว่ามาอย่างนั้นผมเลยได้แต่พยักหน้า บอกตอบรับเบา ๆ แต่กุ๊กไก่นี่ยิ้มกว้างกระโดดชูกำปั้นร้องเยสไปแล้ว ท่าทางอยากไปเหลือเกิน



ร้านใหม่ที่พวกเรามาเป็นร้านอาหารกึ่งผับ ที่แบ่งเป็นหลายโซน ตั้งแต่โซนเอาท์ดอร์ข้างนอกที่ทำเป็นสวนอาหาร นั่งกินชมบรรยากาศ มีเสียงเพลงคลอเบา ๆ ส่วนข้างในจะเป็นผับที่กุ๊กไก่เจ้าเก่าบอกว่า ช่วงดึก ๆ เพลงจะคึกคักขึ้นและสนุกขึ้น

“ได้ยินชื่อเสียงมาตั้งนานเพิ่งได้โอกาสมา” กุ๊กไก่กระซิบบอกอย่างตื่นเต้น ท่าทางคงเล็งมานานแล้ว

“แต่เราไม่ค่อยชอบเลยคนเยอะด้วย” ผมกระซิบกลับ กุ๊กไก่บอกว่าเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ คนเลยเยอะเป็นพิเศษ พวกเราเดินตามรุ่นพี่เข้ามาโซนด้านใน ที่ต้องบอกว่ามีพื้นที่กว้างพอสมควร ขนาดเพิ่งจะสามทุ่มกว่า โต๊ะก็แทบเต็มหมดแล้ว



ผมกวาดตาไปรอบ ๆ มองผู้คนที่กำลังพูดคุยดื่มกิน แอบตื่นตาตื่นใจนิดหน่อย เพราะไม่เคยเที่ยวสถานที่แบบนี้มาก่อน พื้นที่กว้างพอสมควร เต็มไปด้วยโต๊ะที่วางเรียงกัน เว้นที่พอให้เดินสวนกันได้สะดวก ฝั่งตรงข้ามที่หันหน้ามาทางประตู เป็นเวทีสูงประมาณต้นขา นักร้องกำลังร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์ขับกล่อมบรรยากาศตอนหัวค่ำ พี่ณัฐเดินนำเราไปนั่งมุมหนึ่งไม่ไกลจากเวที มีเพื่อนผู้ชายตามมาอีกหลายคนเลยต้องต่อโต๊ะ ผมนั่งติดกับพี่ณัฐถัดจากพี่ณัฐเป็นเพื่อนพี่เขาที่เพิ่งมา ส่วนอีกข้างเป็นกุ๊กไก่ เก้านั่งถัดไป ตรงข้ามเราคือพี่ปอมพี่หนิงนั่งด้วยกันกับเพื่ออีกสองคน และน้องรหัสที่พามา



พอได้ที่เรียบร้อย เครื่องดื่มที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ ผมปฏิเสธเหล้าที่พี่ณัฐจะชงให้ เลือกดื่มน้ำอัดลมแทน พี่ณัฐยังขอใส่เหล้านิดหน่อย ซึ่งผมไม่ค่อยสบายใจเลย แต่พอเห็นปริมาณที่พี่เขาเทใส่ลงไปในแก้วแล้ว ก็เลยไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันน้อยมากจริง ๆ เอามาชิมรสชาติน้ำอัดลมสีดำ ๆ ของผมแทบไม่เปลี่ยน



ยิ่งดึกยิ่งคึกคักเพลงก็เปลี่ยนไปในจังหวะที่เร็วขึ้น กุ๊กไก่ดูสนุกเป็นพิเศษ ส่วนเก้าท่าทางสบาย ๆ เหมือนเคยชินกับสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว ผมเองเลยพลอยสนุกไปด้วย พี่ ๆ มาด้วยกันดื่มเหล้ากันทุกคน บางคนลุกขึ้นเต้นไปด้วย ผมถูกพี่ปอมดึงให้ลุกขึ้นเต้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่การเต้นนี่ผมไม่ไหวจริง ๆ เลยต้องขอตัว



เผลอแป๊บเดียวเวลาผ่านไปจนตอนนี้ห้าทุ่มกว่า ผมเห็นเวลาแล้วแทบห้ามตัวเองไม่ให้วิ่งออกไปจากที่นี่ไม่ทัน ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วอย่างนี้ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะสนุกกับสถานที่แบบนี้จริง ๆ จนลืมเวลานอนของตัวเอง ทั้งที่ตั้งแต่มาอยู่กับคุณชาย ต้องนอนดึกตลอดก็ตามเถอะ

“กุ๊กไก่จะกลับหรือยัง”

“เดี๋ยวสิกำลังสนุกเลย”

“แต่เราว่ากลับกันเถอะห้าทุ่มแล้วนะ”

“ธารอยากกลับแล้วเหรอ ถามพี่ ๆ ก่อนสิเขาจะกลับหันหรือยัง” กุ๊กไก่หันไปถามพี่รหัสตัวเองกับเก้าที่นั่งถัดไป ผมเลยหันไปถามพี่ณัฐบ้าง

“พี่ณัฐครับจะกลับกันหรือยังครับ”

“ธารอยากกลับแล้วเหรอ งั้นพี่ไปส่งนะ”

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมกลับกับกุ๊กไก่ก็ได้ เผื่อพี่อยากเที่ยวต่อ” ถือคติว่ามาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน อีกอย่างเห็นพี่ณัฐกำลังสนุกกับเพื่อน ผมเลยเกรงใจ ท่าทางคงได้ที่พอสมควรแล้ว เพราะเห็นดื่มเข้าไปไม่น้อยเลย

“งั้นดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อน เดี๋ยวพี่ออกไปส่งข้างนอก”

“ครับ” ผมรับแก้วน้ำอัดลมที่พี่ณัฐยื่นมาให้ ก็เห็นล่ะนะว่าพี่เขาแอบเทเหล้าใส่ลงไปด้วย แต่ก็แค่นิดเดียวเหมือนที่ชงให้ตอนแรก เลยไม่ได้ท้วงอะไร เพราะดื่มลงไปยังเป็นรสชาติซู่ซ่าของน้ำอัดลม เหมือนไม่ได้ผสมเหล้าด้วยสักนิด ผมดื่มจนหมดแก้ว แล้วนั่งมองไปรอบ ๆ รอ เพราะกุ๊กไก่ยังคุยกับพี่ปอมอยู่ จนครู่หนึ่งผ่านไปกุ๊กไก่สะกิดบอก ผมเลยลุกขึ้นบอกลาคนอื่น ๆ ที่นั่งด้วยกัน

“อุ๊ย! “

“เมาโค้กเหรอธาร”

“เปล่า ๆ สงสัยนั่งนานเหน็บเลยกิน” จังหวะที่ลุกขึ้นผมเซเล็กน้อยเพราะรู้สึกมึนหัว บอกลาพี่ ๆ ที่นั่งด้วยกันแล้วเดินออกมา แต่ทำไมรู้สึกแปลก ๆ ไปก็ไม่รู้ มันผิดปกติมวน ๆ วน ๆ ในท้อง หัวเหมือนหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ตอนแรกยังรู้สึกเฉย ๆ อยู่เลย นี่ผมเป็นอะไรไป!

“ไหวนะธาร”

“ไหวครับพี่ณัฐ”

“ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อนไหม”

“ก็ดีเหมือนกันครับ” ผมเห็นด้วยเลยบอกเก้ากับกุ๊กไก่ว่าจะไปห้องน้ำ ให้เดินออกไปรอข้างนอกก่อน เดินสะเปะสะปะชนคนอื่นบ้างชนเก้าอี้บ้างไปตลอดทาง รู้สึกแปลก ๆ เหมือนอยากอาเจียน หัวมึนหนักขึ้นกว่าเก่า เดินชนคนนั้นคนนี้เหมือนควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ ยังดีที่พี่ณัฐช่วยประคอง จนมาถึงห้องน้ำผมรีบวิ่งไปที่อ่างล้างหน้า เปิดน้ำวิดใส่หน้าจนเสื้อเปียกไปหมด

“เป็นไงบ้าง” เสียงพี่ณัฐถามดังอยู่ใกล้ ๆ แต่ผมไม่ไหวแล้ว มันเหมือนพูดไม่ออก ร้อน ๆ หนาว ๆ พะอืดพะอมอยากอาเจียนอย่างเดียว แต่โก่งคอจะอ้วกก็ไม่มีอะไรออกมา “ไปเถอะรีบกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“กุ๊กไก่ล่ะครับ กุ๊กไก่กับเก้าไปไหนแล้วครับพี่ณัฐ” ผมจำไม่ได้แล้วว่าสองคนนั้นหายไปไหน เลยถามพี่ณัฐขณะพากันเดินออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินเหมือนเสียงคนเรียกแทรกเสียงเพลงดัง ๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามีใครเรียกจริงหรือเปล่า เดินไปกับพี่ณัฐที่บอกว่าจะพาผมเลี่ยงคนเยอะ ๆ ไปอีกทาง ได้ยินแว่ว ๆ ว่าหลังร้านดีกว่าหรือยังไงนี่แหละ



พี่ณัฐพาผมมาถึงที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันมืดผมเลยเงยหน้าขึ้นมอง มีคนยืนอยู่ตรงนี้หลายคน แต่กลับไม่ใช่พี่ณัฐ ไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก ไม่รู้ว่าใครเป็นใครเพราะมันมืดไปหมด ทั้งมืดทั้งร้อน เก้าอยู่ไหน กุ๊กไก่ พี่ณัฐหายไปไหนกันหมด

“พามันออกไปก่อนจะมีใครมาเห็น” เสียงนี้เหมือนเสียงพี่ณัฐเลย ผมว่าผมจำได้ พยายามเรียกและหันไปทางต้นเสียง แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ทางไหน แขนของผมถูกกระชากแต่ยังขืนตัวไว้ เพราะไม่รู้ว่าใครดึง ไม่รู้ว่าจะดึงไปไหน ผมไม่อยากไปผมจะกลับไปหาเพื่อน

“ธาร! หยุดนะพวกมึงจะทำอะไรเพื่อนกู” ปึก! “อึก“ ตุบ! เก้า! ผมว่าผมได้ยินเสียงเก้า จากนั้นเหมือนเสียงของแข็งฟาดลงบนอะไรสักอย่างดังปึก แล้วตามมาด้วยเสียงอะไรหนัก ๆ ตกลงบนพื้นดังตุบ

เกิดอะไรขึ้น!

“เฮ้ย มึงตีหัวมันทำไมวะ”

“ก็มันเข้ามาขัดเอง”

“ตายหรือเปล่า”

“แค่นี้ไม่ตายหรอกมั้ง”

“ไอ้ตัวสูงที่ให้มันขี่หลังวันนั้นนี่หว่า เอามันไปด้วยเร็วตามมา เดี๋ยวกูไปเอารถ” เสียงนี้คุ้น ๆ แต่นึกไม่ออกว่าเสียงใคร เขาพูดจบก็วิ่งออกไปจากตรงนี้ เพราะผมได้ยินเสียงฝีเท้า พยายามมองก็มองเห็นไม่ชัด ตรงนี้ทั้งมืดและผมถูกคนสองคนยืนประกบไว้ แขนทั้งสองข้างถูกจับแน่น แล้วเก้าล่ะเก้าหายไปไหน ผมจำได้ว่าเสียงที่บอกให้หยุดเมื่อกี้เป็นเสียงของเก้าแน่ ๆ

“มาสิวะ”

“ไม่นะผมไม่ไปพวกคุณจะพาผมไปไหน”

“มาเหอะน่าเดี๋ยวพาไปสนุก”

“ไม่เก้า เก้าอยู่ไหน” ผมว่าผมร้องเรียกเก้าเสียงดัง แต่เหมือนจะดังเฉพาะในหัวของผมนี่เอง ข้อมือถูกกระชากผมพยายามขืนตัวไว้ ก็คิดว่าขืนตัวเองไว้นะ แต่ทำไมร่างกายมันไหลไปตามแรงดึงอย่างนี้ จนประตูเปิดออก ข้างนอกก็ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอมีแสงสลัวที่สาดมาจากที่ไหนสักแห่งไกล ๆ ให้พอมองเห็น

“ปล่อยผม ผมไม่ไปปล่อย” ผมพยายามบอกแต่ไม่มีใครสนใจ สองแขนยังถูกฉุดกระชาก และผมยื้อตัวเองไว้อย่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมกลัว กลัวจนตัวสั่นหายใจหอบเหนื่อยไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แบบนี้ไม่ปลอดภัยแน่ ๆ

“มึงสองคนแบกไอ้โย่งนั่นออกไปก่อน” โย่งไหนใครแบกใคร ทำไมต้องแบกผมไม่เข้าใจเลย ตาเหมือนจะปิดแต่ผมฝืนไว้ เห็นใครอีกคนที่ท่าทางคงหลับไปแล้วถูกแบกผ่านหน้าไป แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วพวกเขาจะพาไปไหน ผมไม่ไปผมอยากกลับห้อง

“มาสิวะ!”

“ไม่ผมไม่ไป”

“อย่าให้พวกกูต้องใช้กำลัง”

“เสียเวลาแบกแม่งไปเลยเถอะตัวแค่นี้เอง”

“เออ” รู้สึกเหมือนโลกหมุน เหมือนถูกจับตัวพาดกับอะไรบางอย่าง ผมเวียนหัว ที่มึน ๆ อยู่แล้วเลยยิ่งมึนเข้าไปใหญ่ แต่พวกเขาจะพาผมไปไหน แบบนี้มันไม่ปลอดภัยใช่ไหม



พอคิดว่าไม่ปลอดภัยผมเลยพยายามดิ้น ปัดมือสะเปะสะปะตีไปทั่ว แต่ทำไมมันเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่มีแรงอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกับผม หรือว่าผมเมา ทั้งที่เหล้าก็ดื่มเข้าไปนิดเดียวที่พี่ณัฐเทให้ และผมก็เห็นว่ามันน้อยมากจริง ๆ จนไม่รู้รสชาติด้วยซ้ำ ถึงผมจะไม่เคยกินเหล้ามาก่อนก็ตามเถอะ ยังไงก็น่าจะรู้ แต่ทั้งที่มั่นใจว่าไม่ได้เมา ทำไมผมทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ควบคุมตัวเองไม่ได้ ขัดขืนก็เหมือนจะไม่มีแรง หัวก็มึนจนอยากอาเจียน รู้สึกถึงความร้อนผ่าววูบวาบกระจายลามไปทั้งตัว



“เฮ้ย พวกมึงทำอะไรกันวะ! ”



**************

#กว่าจะลงเอยด้วยคำว่ารัก

ว่าตอนเขียนพี่เดี่ยวต้นกล้า นายเอกเจ็บตัวตลอดแล้ว มาเจอเรื่องนี้หนักกว่าต้นกล้าอีก

ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรสิเนี่ย ถึงได้หาเรื่องให้นายเอกของเราเจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย

ดาว
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 11 (6/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 06-03-2019 22:12:29


กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก 11

#เพลิง

“พี่คะ! ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย!” ผมมองเด็กสาวที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า จำได้ว่าเป็นเพื่อนไอ้เด็กรับใช้ แต่มาขอให้ผมช่วยอะไร แล้วทำไมต้องเป็นผมที่กำลังจะกลับไปนอน เสียงเพลงก็ดังขึ้นมากกว่าตอนหัวค่ำจนต้องตะโกนคุยกัน

“มีอะไร”

“ธารค่ะ ธารกำลังแย่ช่วยธารด้วยนะคะ”

“ทำไมต้องช่วย?”

“ก็ธารกำลังแย่แล้วค่ะ ธารอยู่กับพี่ใช่ไหมคะพี่เพลิง ช่วยธารด้วยนะคะ” แขนผมถูกเขย่ารัว ๆ ตามระดับความร้อนใจของเด็กสาวตรงหน้า ผมมองแขนตัวเองแล้วถาม

“มันเป็นอะไร?”

“ธารเมาค่ะ อยู่ดี ๆ ก็เมาทั้งที่ไม่ได้กินเหล้าเลย” ผมชะงักคิดถึงท่าทางไอ้เด็กรับใช้ ที่เห็นเดินไปทางห้องน้ำกับผู้ชายคนหนึ่ง คุ้น ๆ หน้าว่าเรียนบริหารเหมือนกัน อาจจะเป็นรุ่นพี่ของมันหรือเพื่อน แต่ผมไม่ได้สนใจ เห็นกลุ่มมันตั้งแต่เข้ามาตอนแรกแล้ว เพราะพวกผมนั่งอยู่บนชั้นสองที่มองลงมาเห็นเวที และคนที่อยู่ชั้นล่างได้หมด ยังแปลกใจอยู่ว่าหน้าอ่อน ๆ อย่างไอ้ตัววุ่นวายกล้ามาเที่ยวสถานที่แบบนี้ด้วยเหรอ

“นะคะพี่เพลิงกุ๊กไก่ขอร้อง พี่จำหนูได้ใช่ไหมที่เป็นเพื่อนธาร พี่ไปช่วยธารด้วยนะคะ”

“ไม่เห็นจำได้” สีหน้าของกุ๊กไก่สลดลง แต่ยังพึมพำบอกเสียงอ่อย

“ก็เจอกันวันก่อน” อ๋อ วันที่กูไปแกล้งมันถึงคณะใช่ไหม

“ช่วยแล้วจะได้อะไร”

“อะไรก็ได้ค่ะพี่อยากได้อะไรคะ”

“ถ้าอย่างนั้น...” ผมแสยะยิ้มเหลือบตามองไอ้ออฟที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก้มลงไปกระซิบข้างหูเพื่อนของไอ้ตัววุ่นวาย เธออึ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมบอก นัยน์ตากลมโตมองหน้าผมสายตาสั่นระริก “ตกลงไหมล่ะไม่อย่างนั้นก็ไม่ช่วย”

“แต่ธารกำลังจะแย่นะคะพี่ ธารเหมือนคนถูกมอมยา แล้วพวกนั้นกำลังจะเอาตัวธารไป ตอนนี้เก้าตามไปแล้ว แต่พวกมันมีหลายคน เก้าคนเดียวไม่ไหวแน่ค่ะ” จากที่บอกกับอาการที่ผมเห็น เดาได้ไม่อยากว่าถ้าไม่เมา ก็คงไม่พ้นเรื่องนี้แน่ ๆ แต่มันทำตัวมันเอง ผมควรเสือกไหม?

“ควรช่วย?”

“ขอร้องเถอะค่ะ พี่อยากได้อะไรกุ๊กไก่ยอมหมดขอแค่ไปช่วยธารก่อนนะคะ”

“อย่าลืมที่พูดไว้ล่ะ มันอยู่ไหนนำทางไปสิ” ผมกับไอ้ออฟเดินตามเพื่อนไอ้ตัววุ่นวายไปทางหลังร้าน ก็ไม่ผิดอย่างที่คิด ถ้ามันจะมอมยาใครสักคนไปทำมิดีมิร้าย ทางที่สะดวกที่สุดก็ต้องเป็นทางนี้ เพราะมีแต่เด็กเสิร์ฟเท่านั้นที่ใช้ แต่เวลางานก็ไม่ค่อยมีใครมาทางนี้กันหรอก

ผมก้าวยาว ๆ ตามไป จนทันได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังฉุดกระชากลากดึงกัน อยู่แถวทางออกด้านหลัง ทางตรงนั้นมืดมาก ปกติจะเป็นทางเข้าออกพนักงาน จึงไม่ได้เปิดไฟไว้ หรือคงเปิดเฉพาะเวลามีคนมา จะมีก็แค่แสงสลัวส่องมาจากเวที ที่ไม่ได้ช่วยให้สว่างอะไรมากมายนัก

“เฮ้ย พวกมึงทำอะไรกันวะ” ผมตะโกนถามก่อนที่พวกมันจะพากันออกไป คนกลุ่มนั้นหยุดชะงักพอดีกับประตูเปิดออก แสงสลัวจากข้างนอกส่องเข้ามาให้เห็น ว่าไอ้ตัวปัญหามันถูกแบกพาดไหล่ กำลังจะถูกพาออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว

“ถ้าไม่อยากมีเรื่องก็อย่าเสือก”

“ไม่เสือกไม่ได้ว่ะ มีคนขอร้องให้กูมาเสือก” ผมมองไอ้ออฟทางหางตาเป็นอันรู้กัน ไม่เห็นเพื่อนของไอ้ตัวน่ารำคาญตามมาด้วย คิดว่าไอ้ออฟคงให้รออยู่ข้างหลัง แบบนี้จะปะทะหรืออะไรค่อยสะดวกหน่อย

พอผมบอกอย่างนั้น พวกมันเลยซุบซิบอะไรกันบางอย่างเหมือนกำลังปรึกษา พอเห็นผมกับไอ้ออฟเดินเข้าไปหา มันวางไอ้ตัววุ่นวายลงแล้วดันไปข้างหลัง พวกมันมีสามฝั่งผมมีสอง ก็ไม่ได้ถือว่าเสียเปรียบอะไรนัก แล้วอีกคนไปไหน เมื่อกี้ยายเด็กกุ๊กไก่อะไรนั่น บอกว่าเพื่อนตามมาช่วยแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมมันไม่อยู่ที่นี่ หรือมันหลงไปทางอื่น

“มึงสองคนนี่อยากเสือกเรื่องชาวบ้านกันจริง ๆ “

“กูก็ไม่ได้อยากเสือกแต่ส่งเด็กนั่นมา”

“กูไม่สงสัยหรอก ก็แม่งน่ากินขนาดนี้ แต่อยากได้ของดีก็เข้ามาแย่งเอาสิวะ”

“ตามที่ขอ” ผลัวะ! มันขอผมก็จัดให้ ถือคติเปิดก่อนได้เปรียบ ผมถีบมันหงายหลังตั้งแต่มันยังพูดไม่จบ และนั่นเหมือนเป็นการเปิดให้พวกเราตะลุมบอนใส่กัน สามต่อสองไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมกับไอ้ออฟ ก็ไม่เคยพูดว่าตัวเองดี เคยมีเรื่องชกต่อยมานักต่อนัก ไม่หาเรื่องเขาแก้เครียดเขาก็มาหาเรื่องเอง

ตีกันจนทุกคนหลุดออกไปหลังร้าน ฟาดกันไปฟาดกันมาไม่มีใครยอมใคร พวกผมโดนพอสมควรจากการต่อสู้สะเปะสะปะของพวกมัน ส่วนพวกมันก็เรียกได้ว่าหนักทีเดียว ผมกับไอ้ออฟอาจจะได้เปรียบเพราะสู้เป็น วิชาป้องกันตัวก็เรียนมาไม่น้อย ทั้งยูโด คาราเต้ มวยไทย ไปฝึกไปเรียนมาหมดตั้งแต่ ม.ต้น ซ้อมกันตลอด ฝึกกำลังไม่เคยขาด ห้องฟิตเนสส่วนตัวก็มี แค่นี้เลยไม่ต้องเปลืองแรงเสียเวลาจัดการนาน พวกมันก็อ่วมล่าถอยไป

“มึง” ผมหันกลับมาหาได้เด็กรับใช้ที่ตอนนี้มันเลื้อย ต้องบอกว่าเลื้อยเพราะแม่งยืนไม่อยู่ ต้องนั่งลงกับพื้นแล้วใช้มือสาวไปตามผนังลากสังขารตัวเองไป

“อย่านะ อย่ามายุ่ง!”

“แม่งกูไม่ได้อยากยุ่ง แต่มึงจะกลับไหม ไม่กลับกูจะได้ทิ้งไว้นี่ ไม่น่าเสียเวลามาช่วยเลย”

“ใจเย็นมึงน้องมันโดนยา พากลับไปก่อน” ไอ้ออฟบอกเสียงนิ่ง ไอ้ห่านี่แม่งติดภาพพระเอกอยู่หรือไงวะ อะไรก็ดีไปหมด ผมเห็นนะว่าได้เด็กรับใช้มองไอ้ออฟด้วยสายตาชื่นชม แต่ไว้รู้จักสันดานมันก่อนเถอะ แล้วมึงจะเปลี่ยนใจแทบไม่ทัน ผมกับเพื่อนยังไม่ได้พูดอะไรกันอีก กุ๊กไก่ก็วิ่งตามออกมา

“พี่คะ! ธาร! ธารเป็นไงบ้าง”

“ใครน่ะ..”

“นี่กุ๊กไก่ไง เก้าล่ะธารเก้าไปไหน พี่เห็นเก้าไหมคะ”

“ไม่เห็น อย่าเพิ่งถามพาเพื่อนออกไปจากที่นี่ก่อน” ไอ้ออฟบอก พยุงไอ้เด็กรับใช้ลุกขึ้นด้วย ผมยืนมองนิ่ง ใจก็ไม่อยากยุ่ง แต่แม่งมาอาศัยอยู่ด้วยไง จะทิ้งไว้อย่างนี้ก็กระไรอยู่ ไอ้ออฟก็รู้ว่าผมคิดอะไรมันเลยมองหน้า มึงกดดันกูอยู่ใช่ไหม

ไอ้เพื่อนเหี้ย!

“กลับเลยนะคะ เดี๋ยวกุ๊กไก่ไปส่งธารเอง”

“ไม่ต้องหรอกน้องให้ธารกลับกับไอ้เพลิง ส่วนน้องกลับเองได้ไหมหรือจะให้พี่ไปส่ง” ไอ้ออฟถามเสียงนุ่ม แม่งแกล้งทำตัวเป็นพระเอกอีกแล้วสินะมึง หมั่นไส้ไอ้เพื่อนเวร

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ กุ๊กไก่เอารถมากลับเองได้ แต่..ธารจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะพี่” ไม่เป็นไรกับผีนะสิ! ดูก็รู้ว่ามันไม่จบแค่นี้แน่ ตอนนี้มันก็เริ่มเลื้อยใส่ไอ้ออฟแล้ว นี่อย่าให้เป็นเหมือนที่กูคิดไว้เลยเถอะนะขอร้อง

“ธารไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวมึงพาน้องกลับเลยก็แล้วกัน” ไอ้ออฟบอกกุ๊กไก่แล้วหันมาบอกผม

“เออ งั้นมึงไปส่งน้องเขาด้วย” ผมบอกไอ้ออฟ เพราะหน้าตื่น ๆ มือสั่น ๆ นั่น ไม่รู้จะขับรถถึงบ้านหรือเปล่า

“ไปเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่งไม่ต้องห่วงเพื่อน” ไอ้ออฟส่งไอ้ตัววุ่นวายมาให้ผม แม่งก็ทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งหมดเลย ยืนก็ไม่อยู่จนกูต้องกอดไว้ สองคนนั้นเดินแยกไปทางลานจอดรถข้างผับ กุ๊กไก่หันมามองเพื่อนเหมือนยังห่วง ผมเลยพยุงไอ้ตัวปัญหาไปที่รถตัวเองที่จอดไว้ไม่ไกลบ้าง และเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ก็ตอนนี้เอง..

เหี้ยแล้วไงกูขี่มอ’ ไซค์มา!

สติไอ้ธารไม่มีเหลือเลย ยืนเองมันยังยืนไม่ได้ แล้วผมกับบิ๊กไบค์จะเอามันกลับไปยังไงยังนึกไม่ออก ลากไอ้ตัวปัญหาที่ตอนนี้ มือมันเลื้อยไปตามตัวผมจนน่ารำคาญ เดินมาถึงดูคาติลูกรัก เลยต้องทิ้งมันนอนเกลือกกลิ้งไปกับพื้นแถวนั้น แถมแม่งยังอ้วกออกมาอีก ผมถอยรถออกจากช่องจอด แล้วยืนมองคนที่นอนเลื้อยอยู่บนพื้นอย่างหนักใจ จะขนมันกลับยังไงวะเนี่ยกู

“ลุกขึ้น!”

“ไม่เอาไม่ลุกนะครับ น้องไม่ไหวแล้ว ทำไมร้อน ร้อนไปหมด” มันบอกไม่ไหวผมเข้าใจ แต่ไม่ไหวแล้วดึงทึ้งเสื้อผ้าตัวเองบ่นร้อน ๆ ไปด้วยนี่แม่งหมายความว่ายังไงวะ ผมเองก็กินเหล้าเข้าไปไม่น้อยด้วย คือยอมรับก็ได้ว่าเมาพอสมควร แต่ก็ยังพอจะรู้ตัวอยู่

“ลุกไม่ไหวมึงจะนอนอยู่นี่รอให้เขาลากไปยำหรือไง ลุกขึ้น!”

“ลุกไม่ขึ้นอ่าพี่ชาย..พี่ชายครับช่วยธารด้วย”

“พี่ชายไหนของมึงอีกวะลุกเดี๋ยวนี้! “ผมกระชากปีกมันขึ้น ความหงุดหงิดนี่มาเต็ม พอลุกขึ้นได้ดันไม่มีแรงทรงตัวอีก เลยต้องโผซบอกผมทิ้งน้ำหนักมาให้เต็ม ๆ แม่งหงุดหงิดโว้ย! อย่าให้กูรู้นะว่าใครใส่ยามัน จะลากมากระทืบให้ลืมบ้านเลขที่เลย โทษฐานที่ทำให้กูต้องมาวุ่นวายกับไอ้ตัวปัญหานี่!

ผมนั่งคร่อมบนรถพยายามดึงไอ้ธารขึ้นนั่งซ้อนท้าย ทุลักทุเลจนจะล้มหัวทิ่มหลายครั้ง มันก็ยังขึ้นมาไม่ได้ จนผมต้องลงจากรถไปอุ้มมันขึ้นนั่งเอง เบาะนั่งก็แคบ ๆ นั่นแหละ แต่นั่งได้แล้วปัญหามันยังไม่จบ ขืนพาไปอย่างนี้มันได้หงายหลังตกรถก่อนถึงห้องแน่ แล้วกูจะทำยังไงกับมันดีง่วงก็ง่วง ยื้อยุดกันอยู่นานกว่าจะจับให้มันนั่งดี ๆ ได้ ปากก็บ่นงึมงำอะไรของมันไม่รู้

พอผมขึ้นมานั่งข้างหน้า เอวก็ถูกมันกอดหมับเข้าให้อย่างรู้งาน เปล่า..มันไม่ได้กอดเพราะกลัวตก แต่แม่งกอดแล้วลูบไล้ไปทั่ว แถมขยำกล้ามหน้าอกจนกูสยิวไปหมด มึงไม่รู้หรือไงว่าหัวนมมันไวความรู้สึก!

“นั่งดี ๆ สิวะ! “ตะคอกไปแต่มันไม่สะเทือนหรอก ก็รู้ล่ะว่าตอนนี้มันไม่มีสติเหลือเลย แต่จะเอาอะไรกับคนขี้รำคาญอย่างผม แค่พาไปด้วยนี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว จับมือไอ้เด็กรับใช้ที่กำลังบีบขยำกล้ามเนื้ออย่างมันมือกระชากออก แล้วเอามาประสานกันที่หน้าท้อง ให้มันกอดเอวผมไว้ รีบเก็บขาตั้งรถสตาร์ทเครื่อง ออกตัวไปก่อนที่มือมันจะหลุดจากกัน ผมต้องขับรถมือเดียว ส่วนอีกมือคอยจับมือทั้งสองข้างมันไว้ให้อยู่ในท่ากอดเอว ไม่อย่างนั้นแม่งก็ลูบ ๆ คลำ ๆ กูอยู่นี่แหละ คิดว่ากูอดทนเก่งนักหรือไงกับเรื่องพวกนี้ ดีที่ท้ายเบาะนั่งสูง เลยเทให้มันทิ้งน้ำหนักมาที่ผมจนหมด ตอนนี้แน่ใจแล้วว่ามันไม่ได้โดนมอมยาธรรมดา แต่มีอะไรที่มากกว่านั้น...

มาถึงคอนโดก็ดึกมากแล้ว ขับรถเข้าไปเก็บในที่จอดส่วนตัวที่ รปภ.เปิดรอ จากนั้นผมก็ไม่เสียเวลาลากมันอีก จัดการแบกร่างปวกเปียกขึ้นพาดไหล่ไปทั้งอย่างนั้น ดึก ๆ อย่างนี้ไม่มีใครหรอก นอกจากพนักงานกะกลางคืนคนเดียวกับ รปภ. คอยดูแลความเรียบร้อยทั่วไป ถึงห้องผมเกือบจะโยนมันลงพื้นแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามันดิ้นแล้วยืดตัวขึ้นกอดคอผมไว้แน่น

ต่อ.....
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 11 (6/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 06-03-2019 22:13:02



“สัดปล่อยกู!”

“ไม่เอาไม่ปล่อยหรอก อย่าเพิ่งไปไหนนะอยู่ด้วยกับธารก่อนนะครับ”

“ปล่อยสิวะ!” ผมพยายามแกะมือมันออก แต่แม่งยิ่งแกะก็ยิ่งเหมือนเกี่ยวกันพัลวันมากขึ้น หลุดจากตรงนั้นมันก็ไปเกาะตรงนี้ เหมือนผมถูกมันลวนลามหน้าตาเฉย แล้วคือกูก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนไง ปกติก็ต้องเอาทุกวันอยู่แล้วถึงจะหลับได้ แล้ววันนี้คือของขาดไหม เข้าใจกูหน่อยสิวะ!

“ไม่เอาไม่ปล่อย ทำไมมันร้อนอย่างนี้ ธารร้อน ร้อนจริง ๆ นะดูสิ “แควก! มันแบะคอเสื้อออก พยายามแกะกระดุมแต่คงไม่ทันใจ เลยกระชากจนเสื้อขาด ไม่บอกก็รู้ว่ามันร้อนมากแค่ไหน ขนาดผมยังรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวมัน เป็นความร้อนที่ออกมาจากข้างในเลย เสื้อผ้าก็จะถอดออกลูกเดียวจนต้องดึงไว้ ดึงตรงนั้นมันก็ไปจับตรงนี้ ยื้อกันไปยื้อกันมาชักรำคาญ เลยปล่อยให้แม่งถอดออกเลย ตอนนี้ทำท่าว่าจะถอดกางเกงต่อ แล้วคือตัวขาว ๆ แดงเป็นจ้ำ ๆ นี่คืออะไรวะ ผิวก็ละเอียดลื่นมือจนกูมันเขี้ยวแม่งฉิบหายแล้ว

“มึงตั้งสติหน่อยสิวะ” ผมตบหน้ามันเบา ๆ คือเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้แล้ว กลัวเป็นเหมือนวันที่มันตกน้ำ วันนั้นก็คิดว่าตัวเองตบเบาแล้วนะ แต่แดงเป็นปื้นเลยไง

“ช่วยด้วย ผม..ผมจะทำยังไง ร้อนไปหมดแล้ว ธารอื้ออออ ทั้งร้อน ทั้ง....อื้ออออ”

“แช่น้ำ! ใช่ร้อนแบบนี้มึงต้องไปแช่น้ำมานี่เลย” ผมช้อนตัวมันขึ้นพาเดินออกไปทางระเบียง ผ่านสวนเล็กไปจนถึงสระว่ายน้ำ ไอ้คนถูกอุ้มก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ ให้อุ้มดี ๆ หรอกนะ แม่งทั้งกอดทั้งลูบทั้งซุก จนกูจะทนไม่ไหวอยู่แล้วโว้ย!

ตูม!!!

ผมพามันเดินไปทางสระฝั่งไม่ลึก โยนมันทิ้งลงน้ำแล้วกระโดดตามลงไปด้วย มันตะเกียกตะกายจนคว้าตัวผมได้ ก็เกาะแน่นติดหนึบทันที ไม่อยากตามมันลงมา แต่ถ้าไม่ลงมาระดับน้ำแค่นี้กับคนไม่มีสติที่ว่ายน้ำไม่เป็น มันก็ตายได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

“อยู่เฉย ๆ “

“ไม่! เฉยไม่ได้ พี่ชายใจดีอยู่ไหน พี่รันอยู่ไหน ธารอยากหาพี่รัน ธารร้อนธารไม่ไหวแล้วคุณชายครับ” เพ้ออะไรของมันนักหนาวะ! ตกลงมึงจะเอาใครกันแน่

“แช่น้ำเย็น ๆ เดี๋ยวมึงก็หาย” ก็เคยได้ยินมาว่าอย่างนั้นล่ะนะ

“ไม่..ไม่หาย ยังร้อนอยู่ยังไม่หาย คอแห้งหิวน้ำด้วยแหละ” พอบอกหิวน้ำมันก็ก้มลงอ้าปากกลืนเอาน้ำเข้าไปอึกใหญ่ เอาเข้าไป ให้พอใจมึงเลย

“อ่า ผม..อยากมีเซ็ก! “เหี้ยอะไรของมัน! มึงโดนตัวไหนมา! “ตรงนี้ไงจับดูสิแข็งไปหมดแล้ว ผมอยากผมจะเอา..อื้อออ” แล้วจะให้กูทำยังไง ไอ้เด็กรับใช้พยายามเข้ามากอดจูบลูบคลำ ผมก็ดันมันออก เอามือยันหัวมันไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ รำคาญมาก ๆ เข้าผมเลยผลักมันจนเกือบหงาย ดีที่อยู่ในน้ำ น้ำเลยช่วยพยุงน้ำหนักมัน ไม่อย่างนั้นมีหัวน็อกพื้นแน่

พอเข้ามาหาผมไม่ได้มันก็ถอยหลังไปพิงกับขอบสระ ทำอะไรบางอย่างกับตัวเองยุกยิกใต้น้ำ ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเลย อย่างที่คิดนั่นแหละมันกำลังช่วยตัวเอง ตอนนี้น้ำทั้งสระคงช่วยให้มันเย็นไม่ได้ ผมก็ทั้งเมาทั้งฝืนจนเหนื่อย แล้วแม่งยังจะมาช่วยตัวเองต่อหน้าต่อตากูอีก เห็นกูเป็นผนังบ้านหรือไงวะ จะได้ไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย

“อ๊ะ! อาาาา อื้มมมม” มึงจะครางจนปริ่มขนาดนั้นเพื่อ!!?? ตอนนี้ไม่ใช่แค่มันแล้วที่ร้อน ผมเองเห็นมันทำหน้าเร้าอารมณ์อย่างนั้น เสียงก็สั่นกระเส่าขนาดนั้น เลยแทบจะอดใจไม่ไหว แต่ผมเกลียดมัน ผมจะไม่แตะต้องมัน มันคือไอ้เด็กรับใช้ลูกชายของผู้หญิงคนนั้น ผมต้องไม่เข้าใกล้มัน แต่ทำไมในตัวกูมันวูบวาบแปลก ๆ ยิ่งสบตากับมันที่จ้องตอบมาอย่างเชิญชวน ผมยิ่งหายใจหนักขึ้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกินเหล้ามาไม่น้อยด้วยแล้ว ใจมันเลยหวิวไหวง่ายขึ้น ปกติเวลาเมา ๆ อารมณ์มันก็ขึ้นง่ายอยู่แล้วไง

ดูท่าจะไม่ไหวแล้วเลยขึ้นจากสระแม่งเลย ปล่อยให้มันแช่น้ำอยู่คนเดียวอย่างนั้น ฝั่งนี้น้ำสูงแค่ช่วงอกของมันคงไม่เป็นไร หวังว่าคงไม่โง่เดินไปทางฝั่งที่ลึก 2 เมตร ให้ตัวเองจมน้ำตายห่าไปหรอกนะ

ผมถอดเสื้อยืดที่ใส่อยู่ออก โยนทิ้งไว้บนเก้าอี้นอนแถวนั้น เดินเข้าไปในครัวหาอะไรเย็น ๆ ดื่ม เปิดตู้เย็นได้เบียร์มาสองกระป๋อง เปิดกระป๋องแรกกรอกลงคอรวดเดียวอึก ๆ จนหมด โยนกระป๋องเปล่าทิ้งแล้วเปิดกระป๋องใหม่ต่อทันที ยกดื่มหมดไปเกือบครึ่ง อารมณ์ถึงได้บางเบาลงบ้างเมื่อได้เบียร์เย็นจัดมากลั้วคอ ยืนสงบสติอยู่ครู่เดียวก็ยกที่เหลือดื่มอีกจนหมด เปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องใหม่ออกมา แล้วเดินกลับไปที่สระว่ายน้ำ ยังไงก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นคนเดียวไม่ได้ สติสตังก็ไม่มีเดี๋ยวจมน้ำตายห่าขึ้นมายุ่งอีก

“อื้ออออ..อ่าาาาา....ซี้ดดด...อ้าาาาา” แต่พอเดินมาถึงขอบสระ ก็ต้องเสียววูบวาบตามมันไปด้วย เพราะมาถึงจังหวะที่แม่งเสร็จพอดีไง เสียงครางเสียวเสียงสั่นเลยเข้าหูเต็ม ๆ แม่งอุตส่าห์เดินหนีแล้วนะกู ไม่รู้จะกลับมาได้ยินให้ตัวเองของขึ้นอีกทำไมวะ!

“ดีขึ้นหรือยัง” ผมกัดฟันถาม ไม่รู้ยาที่มันโดนมาเป็นตัวไหน แต่ดูอาการแล้วคงแรงทีเดียว ไม่เคยเห็นไม่เคยสนใจ ไม่คิดว่าตัวเองต้องพึ่งยาอะไรพวกนี้ เพราะแค่กระดิกนิ้วกูก็ได้สมใจอยากแล้ว เคยได้ยินแต่พวกยาเสียสาวหรือยาปลุกอะไรพวกนั้น พอโดนแล้วไม่มีสติหลงเหลือ มีแต่ความต้องการแบบไม่รู้ตัว ร้องอยากเอา ๆ อย่างเดียว ก็คงเป็นอย่างไอ้ตัววุ่นวายกำลังเป็นอยู่นี่สินะ

“คุณ..เพลิง” เออ! จำกูได้แล้วสินะมึง มันเรียกเสียงสั่น ปรือตาขึ้นมองผมที่ยืนอยู่บนขอบสระ ลมหายใจยังหอบผิดปกติ แต่หวังว่าอะไร ๆ ของมันคงลงแล้วนะ

อย่าคิดเยอะผมหมายถึงอารมณ์!

“ขึ้นมา”

“ช่วยด้วยครับ” มันเดินเซแทด ๆ เลื้อยมาตามขอบสระยื่นมือมาให้ ผมก็ใจดีช่วยดึงมันขึ้น นึกว่าอาการจะดีขึ้นหรือหายแล้วแต่ไม่ใช่เลย ตอนก้มลงไปดึงมือมัน เห็นสีหน้ากับแววตาก็รู้ทันที ว่ายามันยังไม่หมดฤทธิ์อย่างคิดไว้ แล้วปากแดง ๆ วาว ๆ เจ่อ ๆ นั่น มึงจะเผยอหาอะไรนักหนาวะ! ยังอีก ๆ พอเห็นกูจ้องเข้าหน่อยก็เอาใหญ่ กัดปากให้กูดูเฉยเลย มันจะมากไปแล้วนะไอ้เด็กเหี้ย!

ดึงมันขึ้นมาแล้วปล่อยให้นอนครางอยู่ข้างสระทั้งอย่างนั้น เสื้อไม่ใส่กางเกงก็หลุดร่นลงไปอยู่ใต้สะโพกทั้งตัวนอกตัวใน ไล่สายตาตั้งแต่ใบหน้าขาวใสซับสีเลือด ลงมาตามลาดไหล่ผ่านแผ่นอกบาง ที่หัวนมสีแดงบนอกทั้งสองข้าง ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจถี่ หน้าท้องแบนราบเรียบเนียนละเอียด เอวคอดแล้วผายออกตรงสะโพก ตรงนั้นของมันก็ยังไม่สงบดี และตอนนี้มันก็เริ่มนวดให้ตัวเองอีกแล้ว ส่วนมืออีกข้างลูบไล้ไปตามหน้าอก บดบี้เม็ดเล็ก ๆ บนอกสลับกันทั้งสองข้าง ผิวขาว ๆ ของมันซับสีแดงเรื่อไปหมด ไม่พอยังเอานิ้วยัดเข้าไปในปากตัวเอง แล้วเอามาละเลงกับหัวนมจนเปียกชุ่ม แถมยังอ้าปากครางหอบ ให้เสียงแทรกเข้าไปดังก้องในหัวกู

แล้วกูเอามือมาวางกุมเป้าตัวเองตั้งแต่ตอนไหนวะ! แม่งเอ๊ย!

“อื้อออ “มันยันตัวลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจกับการปลุกปั่นอารมณ์ดิบให้ตัวเอง สองมือปรนเปรอสองขายันกางเกงที่คาต้นขาออก จนตอนนี้ตัวมันไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้น และผมจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้ามันทำของมันเงียบ ๆ ไม่ปล่อยเสียงครางเสียวสั่นประสาท แล้วเอาแต่บอกว่าอยากได้อยากเอาอยู่อย่างนั้น ตาก็มองผมด้วยแววตาที่บรรยายไม่ถูก แต่กูเห็นแล้วบอกได้คำเดียวว่ากำลังถูกยั่ว และกูจะไม่ทน!

“แม่งเอ๊ย! มึงอยากเจอของจริงนักใช่ไหม”

“ของ..เจอของจริง ของจริงอะไรหรือครับ อ่าาา พี่ชาย..พี่ชาย ธาร..อื้ออ” มันขยับมือรัว ๆ กับแท่งเนื้อแข็ง ๆ ที่ส่วนปลายฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำใสมันวาว เห็นแล้วต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอตาม นั่นถึงได้รู้ว่าตัวเองคอแห้งมากขนาดไหน กระป๋องเบียร์ในมือถูกกำแน่นจนแทบจะบุบเบี้ยว เลยยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดทั้งกระป๋อง จากที่จะสร่างเมาในตอนแรก ตอนนี้คือเริ่มกรึ่ม ๆ มึน ๆ ขึ้นมาอีกแล้วกู

“อ๊ะ ซี้ดดด” ร่างผอมเพรียวกระตุกเกร็ง ปล่อยน้ำคาวออกมาเลอะหน้าท้องตัวเอง มือยังสาวรัว ๆ ไม่หยุด ใบหน้าหงายเชิดขึ้นตาหลับพริ้ม ปากเผยออ้าส่งเสียงครางอืออาไม่เป็นคำ ลิ้นแดง ๆ แลบออกมาเลียริมฝีปาก ก่อนจะขบปากล่างตัวเองแน่นแล้วดึงออก ส่งเสียงซี้ดยาวปิดท้าย ในแบบที่ผมได้ยินแล้วเสียวตามจนเผลอเกร็งตัว รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ที่บ่งบอกว่าตอนนี้ เกิดความต้องการปลดปล่อยเข้าแล้วเหมือนกัน

ผมกัดฟันแน่นข่มความรู้สึก ทำไมกูต้องมานั่งดูอะไรอย่างนี้ด้วย จะหันหนีหรือเดินหนีไปจากตรงนี้ก็ได้ แต่ทำไมถึงไม่ทำ ทำไมยังเอาแต่นั่งจ้องมันอยู่อย่างนั้น เหมือนจะให้ตัวเองทรมานเล่นฉิบหายจริง

“พี่ พี่ครับ..” สัด! เสียงนี้มาอีกแล้ว แล้วไม่ได้มาแค่เสียง แต่มาพร้อมร่างเพรียวของมัน คลานเข้ามาหาเก้าอี้ที่ผมนั่ง ร่างขาวขึ้นสีแดงเรื่อในแสงสลัว ตรึงสายตาจนลืมหันหนี และพอถูกสองมือของมันเกาะขาแน่นเท่านั้นแหละ ความอดทนทุกอย่างที่กูสั่งสมมาเป็นอันต้องขาดผึงลง

ผมก้มลงกระชากมันขึ้น จนร่างปวกเปียกปลิวตามมือมา ป้อนจูบอย่างคนหิวกระหายตายอดตายอยาก เหมือนคุมตัวเองไม่ได้ เพราะมันยั่วตายั่วใจผมมากเหลือเกิน เสร็จต่อหน้าต่อตากูสองรอบ ในแบบที่กูไม่ได้ทำห่าอะไรด้วยเลยไง มันทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกท้าทายยังไงก็ไม่รู้

ไม่คิดว่ามันจะใสซื่อไร้เดียงสา อย่างที่มันเคยแสดงในยามปกติ และผมก็คิดไม่ผิด เพราะไม่ว่าจะจูบมันไปแบบไหนท่าไหน มันก็ตอบโต้คืนมาแบบเดียวกันไม่ลดละ ดูดเป็นดูด! กัดเป็นกัด! ขบเป็นขบ! เม้มเป็นเม้ม! ทุกอย่างที่ผมทำกับมันจะย้อนคืนมาทั้งหมด ไอ้ที่ทำท่าทางใส ๆ อยู่วันก่อนมึงแกล้งสินะ ทั้งที่มึงคงพรุนไปหมดแล้ว วันนี้กูจะเล่นให้พรุ่นจนทะลุไปเลยแม่ง รู้จักกูน้อยไปแล้วไอ้ตัววุ่นวาย!

ผมดึงร่างเพรียวขึ้นมานั่งคร่อมตัก ไล่จูบลงมาตามซอกคอถึงหน้าอก ทั้งจูบทั้งกัดลงไปเต็มเขี้ยว แต่แทนที่มันจะผลักไสหรือขยับออก กลับกดหัวผมลงกับนวลเนื้ออ้าปากครางกระเส่า พอผละออกมันยังจะตามประกบปาก เลยต้องยันไหล่มันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างจ้องมันตาดุ มันมองตอบกลับมาไม่ลดละ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา เหมือนกำลังบอกว่ากูจะเอา และกูต้องได้อะไรประมาณนั้น

“ทำให้กู”

“ทำ..อะไร”

“เหมือนกูทำเมื่อกี้ไง” บอกแค่นั้นมันก็จัดการกับผมทันที ตั้งแต่ประกบจูบสอดลิ้นเข้ามาในปากที่อ้ารับ ใช้ลิ้นเรียวกวาดไปทั่วเหมือนหยอกเล่น จนเกี่ยวลิ้นผมออกมาดูดหนัก ๆ ปล่อยออกแล้วดูดอยู่อย่างนั้น สลับกับเม้มริมฝีปากหลายครั้ง ปลายลิ้นเรียวเลียริมฝีปากผมเมื่อไหร่เสียวได้เมื่อนั้น เรียกเสียงครางที่ปล่อยออกมาแบบไม่รู้ตัวได้ทุกที ดูดจนพอใจมันถึงปล่อย แล้วดูดปากล่างของผมไปที ไล่จูบลงมาตามคางจนเสียวสยิวไปหมด นี่มันเก่งหรือกูอ่อนไปวะเนี่ย

“ชอบจัง” มันบอกแล้วจูบหนัก ๆ ลงบนคาง ผมแหงนหน้าขึ้นตอนมันจูบต่ำลงไปถึงลูกกระเดือก แล้ววนกลับมาจูบตรงสันกรามสลับกันทั้งสองข้าง นี่ตกลงมึงชอบกรามกูเหรอ “ชอบ แต่ไม่ชอบยาว ๆ นะรู้ปะ “อะไรของแม่งวะกูจะไปรู้ได้ไง ซี้ดดด

“ตรงนี้ด้วย” ตามมาด้วยความอุ่นของริมฝีปากที่กดลงบนไรนวดมุมปาก แล้วย้ายไปทำกับอีกข้างเหมือนกัน มันไล้ปลายลิ้นเลียตามรูปหน้าที่ล้อมกรอบด้วยตอหนวดเคราสั้น ๆ ของผม ตกลงที่ว่าชอบ ๆ นี่คือมึงชอบหนวดกับเครากูใช่ไหม

ผมหายใจเข้าหนัก ๆ ตอนมันลากปลายลิ้นเลียต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าอก หยอกเล่นกับหัวนมจุดไว้สัมผัส ที่มันทั้งเลียทั้งกัดเบา ๆ จนเสียวจี๊ดไปถึงแท่งเนื้อแข็งปั๋งในกางเกง มือข้างหนึ่งทั้งขูดทั้งข่วนขยำไปตามกล้ามเนื้อ ส่วนอีกข้างมันขยำนวดอยู่กับแท่งเนื้อของตัวเอง ที่ตอนนี้แข็งตั้งเยิ้มฉ่ำบ่งบอกความต้องการล้นเอ่อ แต่ผมยังอยากเล่นต่อ

“ถอดกางเกงออกให้กู” เผลอเกร็งตัวตอนมันไล่จูบลงไปตามหน้าท้อง ตัวมันก็ถอยลงไปเรื่อย ๆ ตามความยาวของเก้าอี้ด้วย จนตอนนี้คุกเข่าอยู่ตรงกลางระหว่างขาของผม

พอผมบอกมันเลยเงยหน้าขึ้นมามอง ตาหวานจนเยิ้มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาเปิดเผย ริมฝีปากฉ่ำวาวแดงเรื่อเผยอน้อย ๆ เป็นจังหวะเร้าอารมณ์ได้พอดี แต่ทั้งที่มองหน้าผม มือกลับทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ปลดกระดุมกางเกงยีนผมออกแล้วรูดซิบลง ผมยกสะโพกขึ้นให้มันรูดกางเกงออกได้ง่าย ๆ เหลือแต่กางเกงในสีดำที่ไม่อาจปิดบังความต้องการ ที่กำลังดุนดันเนื้อผ้าขึ้นมาจนเห็นเป็นลำแข็ง

“ทักทายมันหน่อย”

“ครับ?” มันเอียงคอมองเหมือนหมาน้อยขี้สงสัย คงอยากรู้ว่าผมให้มันทำอะไรนั่นแหละ

“ทักด้วยปลายลิ้นมึงกับตรงนั้นของกู” เหมือนมันจะไม่เข้าใจแต่พอบอกให้ทักด้วยปลายลิ้น เนื้อสาก ๆ แดง ๆ ปลายแหลมก็แลบออกมาจากปากมัน แตะลงบนท่อนลำใหญ่ผ่านเนื้อผ้า มันเหลือบตาขึ้นมองผม เหมือนจะถามว่าทำอย่างนี้ใช่ไหม ผมไม่ตอบแต่กดหัวมันลงเด้งตัวขึ้นใส่ รู้สึกถึงความอุ่นชื้นของโพรงปากครอบลงกลางแท่ง ความแข็งของฟันกดเน้นหนัก แต่ทำให้เสียวมากกว่าเจ็บ ยิ่งตอนถูกมันไล่งับเบา ๆ ไปตามความยาวตั้งแต่โคนถึงปลาย ยิ่งเสียวจนผมเกร็งสยิวไปทั้งตัว มึงจะเก่งเกินไปแล้ว

“ถอดไหม” มันเงยหน้าขึ้นถาม แต่มือเกี่ยวขอบกางเกงในของผมรั้งลงไปก่อนแล้ว แบบนี้มึงจะถามเพื่ออะไรกูไม่เข้าใจจริง ๆ มันทำเสียงจิ๊จ๊ะเหมือนรำคาญ เพราะผมยังนั่งเฉย ไม่ยอมยกสะโพกขึ้นให้มันถอดออกดี ๆ จนมันคงรอไม่ไหวเลยก้มลงทั้งเม้มทั้งเลียของผมผ่านเนื้อผ้าชุ่มน้ำอีกครั้ง ผมเลยยกสะโพกขึ้นให้ พอดีกับที่มันเกี่ยวรั้งขอบกางเกงในออกอีก ทำให้แท่งเนื้อแข็งปั๋งที่อัดแน่นไปด้วยความอยากจนอวบใหญ่ ดีดหน้ามันเข้าเต็ม ๆ

ต่อ...
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 11 (6/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 06-03-2019 22:14:22


มันยิ้ม! ถูกของผมดีดหน้าเข้าเต็ม ๆ แม่งยังยิ้มเหมือนสมใจ ไม่พอมันยังแลบลิ้นออกมาตวัดเลีย ตั้งแต่โคนจนถึงปลายแท่งที่ตั้งลำแข็งโด่พร้อมรบ ความต้องการของผมมันอัดแน่นทั้งลำจนแทบปริแตก ส่วนปลายป้านฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำใส ที่มันตวัดลิ้นกวาดต้อนไล้เลียไปรอบ ๆ แล้วครอบโพรงปากอุ่นลงให้ ท่าทางเหมือนจะเก่งงาน แต่เงอะงะแบบนั้นดูยังไงก็ไม่ใช่ ตกลงมึงเป็นยังไงกันแน่ ทำไมเอาจริง ๆ กลับเหมือนทำไม่เป็นอย่างนี้

“ดูดด้วย แรง ๆ ” ผมสั่งลมหายใจหอบแรงตามอารมณ์ขึ้นสูงจนหยุดไม่อยู่ ถ้ายังไม่ได้ปลดปล่อย มือกดหัวมันให้อมลึกเข้าไปอีก รู้สึกถึงแรงดูดหนัก ๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง แล้วเหมือนมันจะสำลัก แต่ถึงขนาดนั้นยังไม่ยอมปล่อยแท่งเนื้อใหญ่โตของผม ที่มันต้องอ้าปากกว้างครอบไว้ขอบปากขยายแทบฉีก ทั้งดูดทั้งผงกหัวตามมือบังคับไม่ลดละ เผลอเด้งเอวสวนใส่มันไปหลายที ส่วนปลายแทบทะลุคอ จนมันต้องถอนปากออกมาไอแคก ๆ แต่ผมทนต่อไปไม่ได้อีกแล้วถ้าไม่ได้ทำเดียวนี้ ไม่ได้กระแทกแดกดันใส่มันตอนนี้ คงหัวใจวายเพราะความอยากแน่นอกตายให้เป็นข่าวแน่ 

“มานี่” ผมดึงมันขึ้นมาจูบแลกลิ้น เผลอดูดแรงไปหน่อยจนมันสะดุ้ง รสชาติปะแล่มของเลือดและกลิ่นคาวสนิมตีขึ้นจมูกทันที ลิ้นแม่งจะขาดไหมวะ

“อื้อออ”

“อยากให้กูเข้าไปไหม” ถามทั้งที่ตอนนี้แทบจะรอต่อไม่ไหวแล้วแม้แต่เสี้ยววินาที ร่างกายเปลือยเปล่าทั้งคู่จนเนื้อแนบเนื้อ มันนั่งคร่อมตัวบนตักผม ทำให้อะไรต่อมิอะไรบดเบียดเสียดสีกันไปหมด ยิ่งตอนนี้แท่งเนื้อแข็ง ๆ ของผมดุนดันอยู่ตรงปากทางข้างหลังของมัน ผมยิ่งเหมือนถูกยั่วถูกท้าทาย ไม่พอมันยังขยับตัวโยกไปมา ให้ส่วนแข็ง ๆ ของตัวเองเสียดสีกับหน้าท้องผม ตัวมันเองก็ต้องการไม่น้อย เพราะฤทธิ์ยายังไม่หมด ดูจากอาการแล้วท่าทางแม่งคงไม่หมดง่าย ๆ ด้วย แต่ก็ดีแล้วผมเองถ้าได้เริ่มก็หยุดไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

“ว่าไง อยากให้กูเข้าไปหรือยัง”

“เข้าไปไหนอะ” ผมถามมันเสียงพร่าอย่างคุมไม่ได้ แต่คำถามมึงนี่ก็ไร้เดียงสาเหลือเกินนะ ไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งให้กูตื่นเต้นเล่น แต่ยอมรับก็ได้ว่ามันได้ผล เพราะผมชักตื่นเต้นแปลก ๆ ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

“ตรงนี้ไง” ผมขยับส่วนปลายหยักที่ดุนดันอยู่ข้างหลัง ให้แทงเน้นย้ำกับปากทางของมัน จี้เน้น ๆ เข้ากับตรงนั้นให้มันรู้ว่าต้องเข้าตรงไหน จะได้ไม่ต้องอธิบายให้มากความอีก

“อ๊ะ อื้มมม” แต่ผลที่ได้รับแทนที่จะทำให้มันตกใจ กลับเป็นผมเองที่แทบกระโจนเข้าใส่มัน เพราะปลายเยิ้มฉ่ำน้ำลื่น ๆ สัมผัสกับปากทางคงทำให้เสียวไม่น้อย มันเลยครางกระเส่าเร้าความต้องการ จนกูจะทนไม่ได้อยู่แล้ว นี่กะจะแกล้งมันกูดันถูกแกล้งเสียเองหรือไงวะ!

“จะ..จะเข้าตรงนี้เหรอครับ” ถามเพื่อ? แล้วมึงยังจะมาส่ายก้นใส่ของกูอีกนะ เสียบแม่งเดี๋ยวนี้เลยได้ไหมยั่วกูดีนัก!

“เออ สิวะไม่ให้เข้ากูไม่ทำต่อ”

“ไม่ได้นะ! ต้องทำต่อสิ เข้าก็ได้เข้ามา ๆ แต่ต้องจูบด้วยยยย “ หึ มันต้องอย่างนี้สิ แล้วอย่ามาโทษกูทีหลังก็แล้วกัน ผมทิ้งคำพูดที่เคยพูดไว้ก่อนหน้า จูบมันอีกในแบบที่เรียกได้ว่าจูบลืมตาย เพราะมันเองก็เหมือนจะไม่ยอม ต่างคนต่างจูบเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหนก็ไม่รู้ จนผมคิดว่าถ้าจูบต่อไปคงอดใจไม่เสียบพรวดเข้าไปตอนนี้ไม่ได้ เลยผละออกแล้วบอกมันเสียงกระเส่า

“หันหลังมา”

“ได้ครับ” มันตอบรับแข็งขันขยับตัวหันหลังมาให้ ผมเลยจับมันให้อยู่ในท่าคลาน ดึงสะโพกมันขึ้น จับขาแยกออกจากกันอีกให้พอดี ผมขยำนวดแท่งเนื้อตัวเองที่อยู่ในมือ พลางขยับเข้าไปอยู่ข้างหลังมันให้ใกล้ชิดกันเข้าไปอีก ปากทางของมันเปิดเผยต่อสายตา แม้จะอยู่ในแสงที่ส่องมาเพียงสลัวจากห้องรับแขก แต่ยังเห็นได้ว่าช่องทางตรงนั้นยังปิดแน่น เหมือนไม่เคยถูกล่วงล้ำมาก่อน แล้วไอ้ท่าทางร่านสวาทที่เรียกร้องอยู่เมื่อกี้ มันหมายความว่ายังไงวะ!

ถ้าไม่แน่ใจและอยากให้แน่ใจก็ต้องสัมผัสดู ผมใช้หัวแม่มือแตะน้ำลายในปาก แล้วเอาไปคลึงตรงปากทาง ไอ้ธารสะดุ้งทันทีที่สัมผัสแรกแตะลงตรงนั้น แต่นอกจากมันจะไม่ถอยหนี ยังปล่อยเสียงกระสันออกมาให้เสียวตับเล่น ป้ายน้ำลายลงตรงนั้นอีกจนชุ่ม คลึงวนไปมาหลายรอบแล้วจึงส่งนิ้วแรกเข้าไปข้างใน

“อ๊ะ พี่..ชายครับ!”

แน่น! ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสกับข้างในของมัน คือความแน่นอย่างเป็นธรรมชาติ และแน่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อมันขมิบรัดทันที เหมือนต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่ล่วงล้ำเข้าไป

“อย่าเกร็งสิวะ”

“มะ..ไม่” ไม่อะไรของมึง ปฏิเสธตอนนี้มันสายไปแล้วไอ้ตัววุ่นวาย นี่กูเตรียมความพร้อมให้ก็ถือว่าใจเย็นใจดีมากแล้ว ปกติเจอแต่เด็กเป็นงาน ที่ให้เสียบแม่งจัดเจนหมดแล้วไงทั้งชายทั้งหญิงที่เคยเจอมา เลยไม่ต้องเสียเวลารอแบบนี้ อยากเสียบอยากทำก็ใส่เข้าไปได้เลยทันที แต่นี่มันไม่เหมือนกันและผมกำลังย่ามใจ แค่รู้ว่าจะได้เปิดซิงกูดันตื่นเต้นแปลก ๆ เหมือนคนไม่เคยเสียอย่างนั้น หรือเพราะกูไม่เคยเปิดซิงใครมาก่อนวะ เด็กที่เคยนอนด้วยกันก็เจนจัดหมดแล้วไง แบบนั้นเอาแล้วมันก็จริง เพราะรู้ท่ารู้จังหวะลีลาดี แต่อย่างนี้ก็สนุกไปอีกแบบล่ะวะ

“อย่าเพิ่งรัด” ก้มลงใช้ฟันครูดไปกับผิวเนื้อละเอียดตรงแผ่นหลังของมัน เบี่ยงเบนความสนใจ พร้อมกับขยับนิ้วเข้าออก ทั้งที่ยังแน่นเพราะมันไม่ยอมคลายแรงขมิบให้เลย จนผมไล่ขบไล่กัดไปตามแนวกระดูกสันหลังขึ้นไปถึงท้ายทอย กัดเบา ๆ สลับกับการดูดจนขึ้นรอยเล่นอยู่ตรงนั้น มันหดคอหนีผมยิ่งได้ใจ ทั้งหลบทั้งครางรับเลยทั้งกัดทั้งดูดแม่งเลย มือที่คาอยู่ในนั้นก็เพิ่มนิ้วเข้าไปอีกขยับเขาออก ทั้งคว้านรอบ ๆ ไปด้วย สามนิ้วแล้วไม่รู้จะพอหรือยังกับสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วทั้งสาม ที่มันอยากเข้าไปหาความอบอุ่นข้างในจะแย่อยู่แล้ว

“อ๊ะ อื้อออ” มันสะดุ้งส่งเสียงครางยาว เมื่อปลายนิ้วของผมกดเข้ากับจุดเสียวข้างใน ผมคลึงเล่นกับตรงนั้นเรียกเสียงครางของมัน ตัวเองก็เสียวตามจนปวดไปหมด และนาทีนี้กูจะไม่ทน

ผมถอดนิ้วออกมา จับอะไรที่ใหญ่กว่าเข้าไปจดจ่อ แค่กดส่วนหัวเข้าไปกูก็ใจแทบขาด เพราะมันรัดแน่นจนไปต่อไม่ได้ ต้องถอยออกมาก่อน เจ้าของปากทางร้องครางสั่น ไม่รู้เพราะเสียวหรือเจ็บ คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง เพราะผมเองก็ถึงกับเจ็บหน่วงเลยไง แต่เมื่อกี้กูบอกว่าไงนะ นาทีนี้มันหยุดไม่ได้แล้ว เลยเพิ่มความลื่นให้มันอีก ด้วยน้ำลายที่ถ่มลงไปตรงนั้น จะเดินเข้าไปเอาเจลในห้องก็เสียเวลา เพราะกูรอต่อไปไม่ได้แล้วจริง ๆ

ผมจับมันหันหน้ามาจูบแลกลิ้นกันอีก ทั้งที่ยังซ้อนหลังมันอยู่อย่างนั้น มันก็หันกลับมาอ้าปากรับอย่างรู้งาน บั้นท้ายที่ถอยกลับมาด้วย ส่ายยั่วเสียดสีอยู่กับความแข็งปั๋ง เหมือนจะท้าทายว่าเมื่อไหร่มึงจะเข้ามาสักที นี่กูคิดไปเองล้วน ๆ จูบจนเลือดในตัวระอุร้อนฉ่า ถึงผละออกมาจดจ่ออยู่กับปากทางที่รอให้เข้าไปเติมเต็ม

“อ้าาาา..” มันเชิดหน้าขึ้นครางเสียว เมื่อผมกดส่วนหัวเข้าไปอีกรอบ รอบนี้ทำระยะได้ลึกขึ้น และก็เป็นไปตามคาด เพราะผมเองก็ไม่ไหวแล้ว เลยเสียบพรวดเข้าไปเต็ม ๆ ผลคือของเหลวสีแดงสดแม่งซึมออกมาทันที

ค่อย ๆ ขยับเข้าไปทีละนิด ข่มจิตข่มใจให้เย็นจนต้องกัดฟันกรอด ไม่เคยต้องทนกับความอยากมากมายขนาดนี้มาก่อน ทุกทีแม่งก็จับเสียบ ๆ เลยไง แต่นี่ถ้าอยากเก็บมันไว้ใช้งานนาน ๆ ก็ต้องรักษาเครื่องให้แม่งหน่อย ผมดันตัวเองเข้าไปสุดโคนในทีเดียว มันลึกมาจนเจ้าของช่องทางครางปากสั่น ยิ่งได้ยินเสียงครางผมยิ่งฮึกเหิม ทุกความอดทนที่เคยมีหายไปไหนหมดไม่รู้ ที่บอกว่าเกลียด บอกว่าจะไม่เอามันนั้นกูพูดตอนไหน จำไม่เห็นได้เลย

เร่งตอกอัดความแข็งแกร่งเข้าใส่ช่องทางเปื้อนเลือด ตัวมันเองก็เหมือนจะไม่ได้สนใจ กับไอ้ความเจ็บปวดอะไรนั่นเท่าไหร่ นอกจากครางรับแล้วมันยังสวนบั้นท้ายกลับมา เข้าจังหวะกันพอดีกับแรงกระแทกของผม นาทีนี้จะเจ็บจะตายกูไม่สนแล้ว เพราะความเสียวซ่านมันแผ่กระจายไปทั้งตัว เสียววูบวาบ เสียวลืมจนต้องซี้ดปาก ยิ่งเสียวยิ่งใส่เข้าไปแรง ๆ จนเสียงดังตับ ๆ แข่งกับเสียงร้องของมัน

“อื้อออออ”

“ชอบแบบนี้เหรอ”

“ชอบ”

“แล้วแบบนี้ล่ะ”

“อ๊ะ! “จากที่รัว ๆ ใส่มัน ผมถอยตัวเองออกมาจนเกือบหลุดจากกัน แล้วกระแทกเข้าไปใหม่แบบหนัก ๆ เน้น ๆ ผลที่ได้คือเสียงครางรับดัง ๆ กับบั้นท้ายที่ส่ายยั่ว เหมือนจะบอกว่าเอาอีก ๆ เลยจัดให้มันไปหลายดอกก่อนจะใส่เข้าไปรัว ๆ จนเสียงหอบหายใจกับเสียงครางดังประสานกัน แยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร ทั้งเสียวทั้งมันเพราะใส่ไปเต็มที่

“นั่งลงมา” นั่งพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ดึงมันให้นั่งทับลงมา โดยไม่ยอมให้ส่วนที่คากันอยู่หลุดออก ผมจับขาไอ้ธารให้มันนั่งท่าถนัด แล้วเด้งเอวขึ้นใส่รัว ๆ จนมันร้องไม่เป็นภาษา เอวล้าแล้วแต่ยังเสียวไม่หยุด เลยปล่อยให้มันเป็นคนทำบ้าง มันยันขาข้างหนึ่งกับเก้าอี้ ส่วนขาอีกข้างยันบนพื้น ผมช่วยมันประคองตัวเมื่อมันเริ่มขยับขึ้นลง แต่แค่นั้นเหมือนมันยังไม่พอใจ เลยหันกลับมาหาผม อ้าปากเหมือนกำลังเรียกร้องจะเอาอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ผมเองก็กำลังต้องการ เลยอ้าปากให้มันแทรกลิ้นเข้ามา ไอ้ธารทั้งจูบทั้งเด้งเอวใส่ ถ้าไม่โดนยาไม่รู้ว่ามันจะเก่งจะกล้าทำอะไรขนาดนี้หรือเปล่า

จูบจนได้ที่มันถึงผละออก มือข้างหนึ่งยันพนักเก้าอี้ ส่วนอีกข้างเกี่ยวรอบคอผม เลยช่วยคุมจังหวะด้วยการจับเอวมันไว้ ให้กระแทกลงมาตามแบบที่ต้องการ มืออีกข้างจับสีข้างพยุงน้ำหนักให้มันด้วย หัวนมแดง ๆ เพราะถูกผมกัดก่อนหน้าล่อตาอยู่ใกล้ ๆ เลยตวัดปลายลิ้นเลียไปอีกหลายที ทั้งดูดทั้งเม้มไปอีกหลายรอบ ผลที่ได้คือเสียงครางเร่าร้อน ร่างกายของมันเริ่มเกร็งพร้อม ๆ กับผม บ่งบอกว่าเรากำลังจะถึงจุดหมายปลายทาง มาถึงจังหวะที่ผมจะเสร็จจริง ๆ เลยจับเอวมันไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง เด้งตัวสวนตอกอัดเข้าใส่รั่ว ๆ

“อึก อ่าาาา” จนในที่สุดผมกระตุกปลดปล่อยเข้าไปในตัวมัน อ้าปากครางเสียงต่ำ ทั้งที่ยังแทงสวนรัวแรงอยู่อย่างนั้น ส่วนมันก็น้ำพุ่งออกมาเป็นสาย ผมยังเด้งเข้าใส่ไม่ลดละ ตาจับจ้องอยู่กับมือที่สาวรูดรีดน้ำตัวเองออกรัว ๆ จนเสียวไปกับมันด้วย

พายุสงบลงแล้ว ผมปล่อยให้มันนั่งทับทั้งที่ส่วนนั้นยังคาในตัวมัน ไอ้ธารทิ้งน้ำหนักนอนลงบนตัวผมหายใจหอบ แต่สำหรับผมมันยังไม่หมดแค่นี้ ตัวมันเองก็คงยังไม่หมดฤทธิ์ยา เพราะตอนนี้มันเริ่มขยับตัวยุกยิก จับมือผมกอดรอบเอว เหมือนเชิญชวนให้ต่อรอบใหม่ ผมคิดว่าน้ำหน้าอย่างไอ้ธาร แม่งคงซิงทั้งข้างหน้าข้างหลังนั่นแหละ ก็ดีจากนี้ไปมึงก็เป็นที่ระบายให้กูจนกว่ากูจะเบื่อก็แล้วกัน

“มึงจะเอาอีกหรือไง” ถามไปอย่างนั้นแหละ ถึงมันบอกไม่ผมก็เอาอยู่ดี ไม่มีเสียงตอบแต่การขยับร่างกายให้บดเบียดเสียดสีมากขึ้น ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าแค่นี้มันไม่พอ

“อยากได้อีกก็ลุกขึ้น” พอมันลุกขึ้นส่วนนั้นเลยหลุดออกจากกัน ทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย แต่ก็ว่าง่ายได้แค่นั้น พอผมลุกตามแม่งก็คว้าคอผมไปจูบเลยไง กูละอยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าเป็นเวลาปกติมึงจะกล้าขนาดนี้ไหม ถ้าไม่โดนยามามึงจะเป็นยังไง แต่ช่างแม่งเถอะ ตอนนี้กูขอเอาก่อน เรื่องเสียวเป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

จูบของมันไม่มีทีท่าว่าจะจบง่าย ๆ ผมเลยอุ้มมันขึ้นทั้งที่ยังประกบปากดูดดื่ม กระเตงพาเดินเข้าไปในห้องนอน โยนมันลงบนที่นอนแล้วกระโดดตามไปทันที วันนี้กูไม่อิ่มมึงอย่าหวังจะได้นอนดี ๆ เลยสัด!



ลูกรักของคุณชายเขาค่ะ DUCATI 899 Panigale

ขอบคุณรูปจากเน็ตเด้อ 






***********

ถึงกับเฮือกกกก ถอนหายใจ และถึงกับหายใจหายคอโล่งไปอีกตอน

เพราะคิดหนักพอสมควร กับการแต่งแบบใช้ตัวละครบรรยาย ซึ่งเรื่องก่อนหน้านี้ทั้ง 3 เรื่อง 

ไม่ได้ใช้การบรรยายแบบนี้ หนักใจที่สุด ก็ NC นี่ล่ะจร้าาา ทั้งที่ก็เคยเขียนในตอนพิเศษของเรื่องอื่นมาบ้างนะ

แล้ว NC มันไม่ใช่แค่ตอนนี้ไง ตอนต่อๆ ไป มันจะมาอีกเรื่อย ๆ หรือเปล่า?? แหะ ๆ

บางตอนอาจจะมาช้า แต่ก็ขอให้อยู่เป็นกำลังใจให้นุ้งธารกันหน่อยเด้อ

รักนะคะทุกคน

ดาว ณ แดนดิน

18-2-2562
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 11 (6/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 06-03-2019 22:25:20
 :L2
สงสารน้อง..  :sad11:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 11 (6/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 07-03-2019 20:39:32
ชีวิตของน้องธารเจอแต่คนบัดซบ ตั้งแต่ไอ้เพลิงและผองเพื่อน อิตาลุงพ่อไอ้เพลิงที่พาน้องมาเจออะไรยังกะไม่รู้สันดารลูกแถมไม่ติดตามดูความเป็นไป ไหนจะรุ่นพี่เหี้ยๆที่วางยาอีก เมื่อไหร่จะออกจากวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีความสมเหตุสมผลนี้สักที แล้วพวกนั้นจะโดนอะไรบ้าง อ่านแล้วก็เต็มกลืนชีวิตบัดซบ
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 12 (7/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-03-2019 23:03:36


กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก 12

#ลำธาร



“สิ่งที่จะบอกว่าเราโตขึ้นแค่ไหนคือตรงนี้นะลูก” แม่จิ้มปลายนิ้วชี้เข้ากับขมับของผมเบา ๆ ในวันหยุดวันหนึ่ง ที่เราเอาเสื่อมาปูนั่งเล่นในสวนกุหลาบหลังบ้าน ผมนอนหนุนตักแม่ ท้องฟ้าวันนั้นฉาบด้วยแดดอ่อน ๆ ปลายฤดูหนาว ที่อากาศเย็นกำลังดี กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกุหลาบกระจายรอบตัว เรามีเรื่องมากมายมาคุยกันได้ตลอด ตั้งแต่เรื่องตลกขำขันจากที่ทำงานของแม่ จนถึงคำสอนต่าง ๆ ที่แม่มักจะคอยบอกคอยสอนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิต การดูแลตัวเอง แม่สอนผมให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

“ความคิดความอ่าน เป็นตัวชี้ว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน ไม่ใช่แค่ร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้นมาตามอายุ”

“ครับแม่”

“เด็กดีของแม่”

“ธารรักแม่นะครับ”

“แม่ก็รักลูกจ้ะ”

“แม่ครับธารคิดถึงแม่จัง”

“แม่ก็อยู่กับลูกแล้วนี่ไง อย่างอแงสิ”

“ธารโตเป็นหนุ่มแล้วน่า..จะงอแงได้ยังไง”

“ไม่งอแงเลยนะเราน่ะ”

“แม่อยู่กับธารนาน ๆ นะครับ ธารคิดถึงแม่”

“แม่ก็อยู่กับธารตลอดอยู่แล้วไงจ๊ะลูก ในความคิดถึงไง”

“แม่อย่าไปครับ อย่าไป แม่!”

เฮือก!!!

สิ่งแรงที่เห็นเมื่อปรือเปลือกตาเปิดขึ้น คือความสลัวภายในห้องไม่คุ้นตา หรืออาจจะคุ้น ไม่สิมันไม่คุ้นเลย เพราะผมควรนอนอยู่หน้าทีวีในห้องรับแขก แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีไม่มีทีวีอยู่ตรงหน้า แถมเพดานห้องสีเทาอ่อนก็ไม่คุ้นตานัก ความอ่อนนุ่มที่รองรับร่างกายแปลกไปจากปกติ ถึงพรมหน้าทีวีจะนุ่มอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกถึงความสบายอย่างนี้ เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอที่ดังข้างหู กับความรู้สึกหนัก ๆ ทับบนช่วงอกนี่ก็ด้วย ที่ทำให้ผมแปลกใจและตกใจไปพร้อมกัน พอจะหันไปดูว่ามีอะไรทับอยู่ ทำไมถึงได้หนักขนาดนี้ ผมก็ดันขยับตัวไม่ได้อีก ร่างกายเหมือนถูกกักกันไว้และอ่อนล้า ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย แทบไม่มีแรงแม้แต่จะกะพริบตา ลำคอก็แห้งจนกลืนน้ำลายไม่ลง ร่างกายมันหนักอึ้งและปวดเมื่อยไปหมด นี่ผมเป็นอะไรไป! เกิดอะไรขึ้นกับผม!



จำได้ว่าเมื่อคืนผมออกไปกินข้าวกับพี่ณัฐพี่รหัส กับกลุ่มรุ่นพี่และเพื่อน ๆ กุ๊กไก่เป็นคนมารับ แล้วไปเจอกันที่ร้านอาหาร จากนั้นไปนั่งฟังเพลงต่อเกือบเที่ยงคืนถึงได้กลับ ก่อนกลับผมรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย เลยไปล้างหน้าในห้องน้ำ และพี่ณัฐพาผมออกมาทางด้านหลังของผับ และ..??



ผมจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้! จนถึงตอนนี้ที่ตื่นขึ้นมาในห้องไม่คุ้นเคย ห้องที่แสงสลัวผ่านเข้ามาจากรอยแยกของผ้าม่าน ให้พอมองเห็นภายในแบบไม่ชัดเจนดีนัก กะพริบตาอีกหลายครั้งให้สายตาปรับชินกับความสลัว ข้างนอกคงสว่างแล้ว แต่เดาไม่ถูกว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ แค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยจนต้องหลับตาลง ในหัวปวดหนึบจนเต้นตุบ ๆ



ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งและพยายามขยับตัว แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก รู้สึกได้ถึงความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าอยู่ตลอด ปวดเมื่อยและเจ็บแปลบไปทุกส่วนของร่างกาย พอขยับตัวแรงขึ้น หวังให้หลุดจากอะไรหนัก ๆ ที่ทับบนอก ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ หรือผมจะโดนผีอำเขาให้แล้ว เคยได้ยินว่าคนถูกผีอำจะรู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับลงบนตัว มันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า



ถึงกับต้องรวบรวมแรงเพื่อขยับตัวอีกครั้ง แต่กลับเป็นการขยับตัวที่ค่อนข้างง่อยเปลี้ยเหลือเกิน ไม่รู้เป็นเพราะสิ่งที่ทับอยู่มันหนักเกินไป หรือเพราะผมไม่มีแรงกันแน่ แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าเก่า ใจหายวาบกับอะไรบางอย่างที่เพิ่งได้รับรู้ อย่างความเปลือยเปล่าของร่างกาย! ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่เสื้อผ้า!



ใจของผมกระตุกวูบ แล้วเต้นรัวแรงเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น! เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่!



“นอน” ฟอด!! เสียงนี้! เสียงของเขา! เสียงคุณชาย! ถึงมันจะฟังแหบแห้งแค่ไหน แต่ผมก็จำได้ว่าเป็นเสียงของเขาแน่นอน ตอนนี้ผมไม่สงสัยแล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เพราะนอกจากเสียงที่ได้ยินชัดเต็มสองหู ภาพผู้ชายนั่งเล่นกีตาร์หันหน้าออกทะเลที่เห็นบนผนัง ยังช่วยยืนยันความคิดได้เป็นอย่างดี ว่าตอนนี้ผมนอนอยู่ในห้องของเขา!



แล้วเมื่อกี้เจ้าของห้องทำอะไรตอนผมขยับ เขากระชับท่อนแขนที่วางอยู่บนอกผมแน่นขึ้น แล้วขยับเข้ามาหอมลงบนขมับ ก่อนจะทิ้งใบหน้าฝังลงที่ซอกคอ ปากพึมพำบอกให้นอน เสียงพึมพำที่บอกว่าเจ้าตัวยังไม่ตื่นดี พร้อมกับความรู้สึกหนักช่วงต้นขา เมื่ออะไรบางอย่างที่หนักว่าเคลื่อนขึ้นมาทับ อะไรบางอย่างที่หนักเหมือนท่อนซุง อย่างท่อนขาแข็งแรงของเขานั้นเอง ร่างกายของเราแนบชิดกัน ผิวแนบผิวแบ่งปันความอุ่นของนวลเนื้อ และนั่นมันทำให้ผมได้รู้อีกอย่างหนึ่งด้วย ว่าเขาเองก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน!



เขาหอมผมแล้วบอกว่านอน! เขานี่นะ!

เขาทำอะไรลงไป มันจะเป็นไปได้เหรอ! เขาต้องละเมอแน่ ๆ ถ้าเขาตื่นและมีสติ ป่านนี้คงถีบผมตกเตียงไปแล้ว



มันต้องเป็นเพราะเขาละเมอนั่นแหละ แล้วผมมานอนอยู่ในห้องเขาได้ยังไง! แถมยังถูกเขากอดอีก เขาไม่เกลียดผมแล้วหรือไง ทำไม? มันเกิดอะไรขึ้นผมงงไปหมดแล้ว!



ต้องใช้เวลาเป็นครู่ ผมถึงเริ่มเห็นอะไรภายในห้องชัดขึ้น มองไปรอบ ๆ เท่าที่จะทำได้ จนไปถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมตัวแข็งทื่อ แทบไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อหันไปเห็นกลุ่มผมของเจ้าของใบหน้าหล่อดิบอยู่ใกล้ ๆ มันใกล้มากจนลมหายใจรดผิวกัน เขานอนกอดผมอยู่ เรานอนด้วยกัน ใกล้กันกว่าครั้งไหน ๆ และมันคงมีอะไรมากกว่านั้น เพราะเราทั้งคู่ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวกันเลยสักชิ้น นอกจากผ้าห่มที่คลุมร่างของเราสองคนไว้ แต่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาคือร่างกายที่เปลือยเปล่าทั้งสองคน



แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่มันเรื่องบ้าอะไร มันคือเรื่องจริงหรือผมยังไม่ตื่น แต่ผมคงฝันไปนั่นแหละ สิ่งที่คิดมาทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้หรอกไม่มีทาง!



“โอ๊ย! “ถึงกับหลุดเสียงร้องออกมาเพราะความเจ็บ เมื่อผมขยับตัวออกห่างจากเขา ถ้าฝันทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้ ทั้งที่ค่อย ๆ ขยับออกมาแล้วแท้ ๆ จะได้ไม่ทำให้เขาตื่นขึ้นมาด่าอีก แต่ทั้งที่คิดว่าฝัน ทำไมความเจ็บปวดแปลบ ๆ มันกระจายลามไปทั้งตัวได้รวดเร็วอย่างนี้ โดยเฉพาะความเจ็บที่มีจุดเริ่มต้นจากตรงนั้นของผม ก้นของผมมันเจ็บร้าวทรมานที่สุด เจ็บจนกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ได้ ร่างกายผมไม่เคยเจ็บมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต



พยายามเค้นความทรงจำ ค้นหาว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่ทำให้ผมต้องมานอนในห้องนี้กับเขา และตื่นมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วอย่างนี้ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ความทรงจำสุดท้ายคือผับที่เราไปหลังกินข้าว และหยุดแค่ตอนกำลังจะกลับ ผมขอไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่รู้ว่ากลับมาที่นี่ตอนไหน หรือกลับมาได้อย่างไรใครพากลับมา และเข้ามานอนในห้องนี้ได้ยังไง การที่ผมเจ็บตรงนั้นมันหมายความว่ายังไง คงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอกใช่ไหม ไม่ใช่นั่นแหละมันไม่จริงหรอก ผมอาจจะล้มก้นกระแทกไม่รู้ตัวก็ได้



ผมหลับตาลงอีกครั้ง ครั้งนี้รู้สึกเจ็บแปลบแต่กลับไม่ใช่เจ็บที่ก้น ความเจ็บมันอยู่ตรงกลางอก เมื่อคิดว่าความผิดปกติของร่างกาย อาจจะเกิดมาจากสาเหตุนั้น และผมคงหลอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ไม่ได้ เพราะอาการมันฟ้องชัดเจนจนกลัวที่จะยอมรับมัน แค่คืนเดียว คืนเดียวเท่านั้น คืนเดียวที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นอกจากความผิดพลาดบางอย่าง ที่ผมทำได้แค่ยอมรับจากอาการของร่างกายตัวเอง ผมกับเขา..



เหลือบตาขึ้นมองคนนอนข้าง ๆ เราอยู่ใกล้กันยิ่งกว่าใกล้ ใกล้มากจนน่ากลัว ใกล้จนได้กลิ่นเหล้าบูด ๆ จากลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของเขา บ่งบอกว่ากำลังหลับสบาย ฝืนความเจ็บค่อย ๆ จับท่อนแขนใหญ่ออกจากช่วงอก แล้วดันตัวเองให้ห่างจากความใกล้ชิดนี้ ทุกการเคลื่อนไหว แม้จะพยายามทำให้แผ่วเบามากที่สุด ก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บให้บางเบาลงได้เลย ขยับทีเดียวเจ็บร้าวไปทั้งตัว โดยเฉพาะตรงนั้นมันเจ็บที่สุด ช่องทางข้างหลังนั่น ผมไม่อยากยอมรับเลยว่าความเจ็บนี้มันเกิดจากอะไร ไม่กล้าคิดเลยว่าใครเป็นคนทำให้เจ็บได้ถึงขนาดนี้



“ยุกยิกเหี้ยอะไรของมึงนักหนาวะกูจะนอน! ” พยายามให้เบาที่สุดแล้วนะ แต่ยังทำเขาตื่นจนได้ แล้วจะนอนทำไมไม่นอนดี ๆ จะมานอนทับผมทำไม ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองหนักมาก

“ผมหนักคุณขยับออกไปหน่อย”

“..” เขาชะงักเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป แอบเห็นว่าปากของเขาแสยะออกน้อย ๆ ขณะพลิกตัวนอนหงาย เขาหลับตาท่าทางเหมือนคนขี้เกียจตื่น ผ้าห่มที่ร่นลงไปกองกับเอวเผยให้เห็นร่างกายแกร่ง กับกล้ามเนื้อแน่น ๆ ได้รูปของเขา

“ผม ทำไมเรา ทำไมผมมานอนในห้องคุณ” ถามพลางดึงผ้าห่มเขามากอด อาศัยให้มันปิดบังร่างกายเปลือยเปล่า ทั้งที่เมื่อคืนหากเรื่องที่คิดเกิดขึ้นระหว่างผมกับเขาเป็นเรื่องจริง เขาคงเห็นไปหมดแล้ว แต่ผมยังอายอยู่ดี

“กูแบกมึงเข้ามาเอง แล้วไม่ต้องถามคำถามโง่ ๆ ว่าแบกเข้ามาทำไม มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ” คำตอบที่ไม่อยากยอมรับทำให้ใจของผมดิ่งลงยิ่งกว่าเก่า หลับตาก้มหน้าลงเอ่ยถามทั้งที่เขาบอกไม่ให้ถาม

“กะ เกิดอะไรขึ้นครับ” และเสียงผมก็สั่นจนน่าตกใจ

“มึงจำไม่ได้หรือไงว่าทำอะไรกับกูไว้บ้าง” เมื่อคืนผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมาที่นี่ได้ยังไง แล้วจะจำได้ได้ยังไงว่าทำอะไรไปบ้าง แค่ตื่นมาเจออาการปวดหัว ปวดตามตัวกับเจ็บร้าวไปทั้งตัวนี่ก็งงไปหมดแล้ว



ผมส่ายหน้าอย่างอ่อนแรงแทนคำตอบ หัวเริ่มปวดมากขึ้นจนขมับเต้นตุบ ๆ เรานอนมองตากันในระยะใกล้ กลิ่นเหล้าบูด ๆ จากลมหายใจของเขาคลุ้งกระจายรอบตัว เขามองตอบกลับมาด้วยสายตาขวาง ๆ เหมือนรำคาญ แต่ผมก็ยังอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่ดี

“แค่เอากันไม่มีอะไรมาก กูกับมึงเงี่ยนแล้วมาจบกันที่เตียงก็แค่นั้น” ถึงจะนึกสงสัยอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่พอได้ยินจริง ๆ กลับทำตัวไม่ถูก ไม่อยากยอมรับ ใจกระตุกวูบเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ผมพูดอะไรไม่ออก จริง ๆ คือไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงไม่มีทางหรอก

แต่แค่เอากัน..แค่เอาอย่างนั้นเหรอ สำหรับเขามันแค่นั้นเองเหรอ?

“แต่ทำไม..มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”

“มึงมันโง่ไงเงียบสักทีกูจะนอน!” เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ สินะ ผมกับเขา แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้สักอย่าง แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง มันเป็นอย่างที่ผมคิดไม่ได้หรอก เพราะเขาเกลียดผม!

ต่อ
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 12 (7/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-03-2019 23:05:26

ผมคิดจนปวดหัวไปหมดแล้ว ไม่ใช่สิ ที่จริงมันปวดตุบ ๆ ตั้งแต่ตอนลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ อยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา คอก็แห้งหัวก็ปวดแรงก็ไม่มี แต่ทั้งที่ปวดขนาดนี้ในหัวกลับว่างเปล่า ไร้ความทรงจำว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือเป็นเพราะผมทำตัวเหลวไหล การไปเที่ยวครั้งแรกของผม มันส่งผลร้ายมากมายขนาดนี้เลยเหรอ เป็นเพราะผมไม่รู้จักดูแลตัวเองและไม่ระวังตัวใช่ไหม



“ถ้ามึงไม่นอนก็ไสหัวออกไป!” เขาบอกแค่นั้น แล้วพลิกตัวนอนคว่ำหน้าหันหลังให้ ผมเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นแผ่นหลังของเขา ที่เต็มไปด้วยร่องรอยอะไรบางอย่างสีแดงจาง ๆ บางจุดก็เข้มจนน่ากลัว เพราะมันเหมือนเลือดที่ซึมออกมาจากผิวหนัง



นอนมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยเส้นสีแดงเหมือนรอยข่วนอยู่เป็นครู่ ถึงได้ฝืนร่างกายเจ็บร้าวค่อย ๆ ถดตัวลงจากที่นอน แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมทรงตัวไม่อยู่ เมื่อทันทีที่ผมยืนขึ้น มันเหมือนพื้นที่เหยียบลงไปพลิกกลับ เหมือนโลกทั้งโลกหมุนคว้างกะทันหัน แล้วพลิกตลบกลับด้าน ทุกอย่างมืดดำไปหมด เกิดความเย็นเฉียบวาบขึ้นในหัว แล้วแผ่ซ่านไปทั้งตัว เหมือนถูกอะไรบางอย่างบีบอัดเข้ามาพร้อมกัน มันไม่เจ็บแต่ทำให้เคว้งคว้างหมุนวนทรงตัวไม่ได้ ร่างกายเหมือนล่องลอยแต่กลับไม่สบายตัว ลมหายใจอ่อนล้าแต่ก้อนเนื้อในอกกลับเต้นกระหน่ำ ปวดมวนวิงเวียนจนต้องนิ่วหน้าตามความรู้สึกดิ่งวูบ



“โอ๊ย! “พอลืมตาขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองนอนหงายอยู่บนที่นอนเหมือนเดิม พร้อมกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งตัว มีนัยน์ตาขวางดุจ้องมองเหมือนจะฆ่ากันให้ตายถ้าทำได้

“เป็นเหี้ยอะไรของมึง!”

“ผม..ผมหน้ามืด”

“พูดให้รู้เรื่องจะตายหรือไง กูบอกให้นอนมึงจะลุกไปไหน” ผมพึมพำบอกแต่เขาคงฟังไม่รู้เรื่อง เพราะสิ่งที่หลุดออกมาจากริมฝีปากมีเพียงลมแผ่ว ๆ เมื่อกี้จำได้ว่าเขาบอกให้ผมไสหัวออกไปถ้าไม่นอน แต่พอจะออกไปกลับหน้ามืดจนล้มตึงลง นี่ผมผิดอีกแล้วสินะ ผมนอนหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้น ทั้งเจ็บตัวทั้งในหัวยังหมุนติ้วไม่หยุด ร้อนผ่าวไปทั้งหน้าโดยเฉพาะดวงตา เมื่อน้ำอุ่น ๆ ไหลออกมาทางหางตาอาบรดขมับทั้งสองข้าง ร่างกายเปลือยเปล่าสัมผัสความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเริ่มหนาวสั่น ลำคอแห้งผากจนกลืนน้ำลายไม่ลง อยากดึงผ้ามาห่มแต่มือกลับไม่ขยับเพราะไม่มีแรง ตอนนี้อย่าว่าแต่ขยับมือไปดึงผ้ามาห่มเลย แค่จะลืมตาขึ้นผมยังทำไม่ได้



ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักเหมือนรำคาญ และน้ำหนักที่ไหวยวบของที่นอน คงเป็นเพราะเขาลุกขึ้น แต่ผมก็ลุกตามไม่ไหว



“กูเกลียดที่สุดแม่งก็น้ำตานี่แหละ” ผมรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้และอ่อนแอ แต่มันทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ผมเจอแต่เรื่องร้าย ๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอมาก่อนในชีวิต ทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมกัน ทุกอย่างมันแย่มากจนผมตั้งรับไม่ทัน และรับไม่ได้ ไม่รู้ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับผม ทำไม?

“..น้ำ”

“เออ ๆ แม่งยุ่งยากกูจริง” เสียงบ่นไกลออกไปตามมาด้วยเสียงเปิดปิดประตู แล้วห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ แทรกด้วยเสียงสะอื้นอย่างอ่อนแรงของผม อาการหน้ามืดเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ทำได้แค่นอนหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม

“ลูกขึ้นมากินดี ๆ “ผมก็อยากลุกแต่มันลุกไม่ไหวจริง ๆ แต่เดี๋ยวนะ เขาบอกให้ผมลุกขึ้นมากินเหรอ กินอะไรล่ะ เมื่อกี้ผมบอกน้ำ เพราะคอแห้งเลยอยากกิน นี่แสดงว่าที่เขาเดินออกจากห้องไปเมื่อกี้ เพื่อไปเอาน้ำมาให้ผมอย่างนั้นเหรอ นี่มันเรื่องจริงหรือผมกำลังฝันอยู่ “อ่อนแอ! “เสียงตะคอกดังขึ้นตามมาด้วยความเย็นกดลงบนผิวแก้ม ผมลืมตาขึ้นเลยสบตาเข้ากับดวงตาคมดุที่จ้องมองอย่างรำคาญ แต่ถึงจะรำคาญเขายังเดินออกไปเอาน้ำมาให้ผมล่ะนะ



หยิบขวดน้ำที่วางอยู่ข้างแก้มมาถือไว้ ฝืนร่างกายลุกขึ้นนั่งแต่ทำไม่ได้ เพราะความเจ็บจากช่องทางข้างหลังแล่นริ้วขึ้นประท้วงทันที เลยใช้แค่ข้อศอกรองรับน้ำหนักตัว พยายามหมุนฝาเปิดขวด แต่หมุนเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก จนเขาแย่งไปเปิดแล้วยื่นกลับมาให้



“ขอบคุณครับ” ผมบอกด้วยเสียงแหบ ๆ ที่เขาคงแทบไม่ได้ยิน และทันทีที่น้ำเย็น ๆ ถูกเทเข้าไปในปากไหลลงไปตามลำคอ ผมรู้สึกดีขึ้น ถึงจะทำได้แค่ค่อย ๆ ดื่ม แต่น้ำก็ช่วยเยียวยาและเรียกความสดชื่นให้ได้พอสมควร



“ขอบคุณนะครับ..คุณเพลิง” พอค่อยมีแรงหน่อยก็พูดได้ยาวขึ้น ผมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแววตาดุดัน ที่บ่งบอกถึงความรำคาญเหมือนเดิม จากคนที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ตรงหน้า ผมไม่กล้ามองตอบเลยลดสายตาลง แต่ก็ต้องด่าตัวเองในใจที่ไม่หันหน้าหนีไปทางอื่น เพราะสายตาที่มองต่ำดันไล่มองร่างกายของเขา ตั้งแต่ลำคอหนาลงมา ตรงซอกคอมีรอยแดงเข้มเป็นจ้ำ ไหล่กว้างแข็งแกร่ง หน้าอกที่มีมัดกล้ามพอดีสวยในแบบผู้ชายและ...

รอยฟัน!



บนหน้าอกของเขาเต็มไปด้วยรอยฟันกับรอยกัดกระจายไปทั่ว ได้แต่สงสัยว่าใครเป็นคนทำ? ทำไมถึงกล้าทำกับร่างกายของเขาได้ขนาดนี้? กวาดตาสำรวจไปทั่วแผงหน้าอกกว้าง รอยฟันกระจายเต็มไปหมด แต่พอไล่สายตาต่ำลงไปกว่านั้น ผมถึงกับต้องก้มหน้างุดหลบทันที ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วร้อนฉ่าขึ้นกว่าเก่า จนต้องยกสองมือขึ้นมาปิดไว้



“ทำไมคุณไม่ใส่เสื้อผ้า” เขายืนจังก้าอวดร่างกายแกร่ง กับความเป็นชายที่ปรากฏต่อสายตาผมเข้าเต็ม ๆ คนอะไรเดินไปทั่วบ้านทั้งที่เสื้อผ้าไม่ใส่!

“ให้กูเอาเวลาไหนไปใส่ กวนเวลากูนอนไม่พอยังร้องอยากแดกน้ำอีก”

“ผมขอโทษ แต่..” ผมเอามือออกจากหน้า บังคับสายตาไม่ให้ไขว้เขวไปทางช่วงกลางลำตัวของเขา ที่มีอะไรบางอย่างกำลังสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไล่สายตาไปตามแผงอกที่เต็มไปด้วยรอยแดง และรอยกัดจนเห็นเป็นรูปรอยฟันชัดเจน

“แต่อะไรของมึงจะพูดอะไรก็พูด ก่อนที่กูจะรำคาญ”

“ระ รอย รอยพวกนั้นบนหน้าอกคุณ ข้างหลังก็มีรอยเหมือนรอยข่วนแดงเต็มไปหมด เกิดอะไรขึ้นกับคุณครับ”

“หึ” ผมถามเพราะเป็นห่วงแต่เขากลับแค่นยิ้ม! จริง ๆ นะที่เขากำลังยิ้ม! ถึงจะเป็นการแสยะยิ้มเหมือนที่ชอบทำ แต่ครั้งนี้มันกลับ.. มันกลับให้ความรู้สึกแปลกออกไป แถมยังมีเสียงหึดังออกมาจากลำคอ ได้ยินแล้วรู้สึกถึงความพอใจ เข้ากับสีหน้าของเขาตอนนี้เลย สีหน้าในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน พอใจและสะใจไปพร้อมกัน

“อยากรู้เหรอว่าไอ้รอยพวกนี้มันมาได้ยังไง” เขาก้าวเข้ามาใกล้ สายตาเป็นประกายกับริมฝีปากที่แสยะออกเหยียดยิ้ม ทำให้ผมไม่อยากสนใจแล้ว ว่าเขาได้รอยพวกนั้นมาได้ยังไง

“จำไม่ได้หรือไงที่กูบอกมึงเมื่อกี้” เขาบอกเรื่องอะไร ก็มีอยู่เรื่องเดียวที่ตอนนี้ผมไม่อยากรู้แล้ว แต่กำลังจะบอกเขาไม่ให้พูดต่อ เขาดันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “คงไม่ต้องถามมั้งว่ารอยพวกนี้ใครมันเป็นคนทำ แต่เมื่อคืนมึงร้อนแรงโคตร ๆ เลยว่ะ”

“ร้อนแรง?”

“ใช่ มึงนี่มันพวกแรดเงียบจริง ๆ เห็นหงิม ๆ นึกว่าจะไม่เป็นงานแต่ที่ไหนได้ เล่นเอาซะกูซอยเอวใส่ไม่ทันเลย”

“ไม่จริง! ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้แรดเงียบด้วย ผมไม่เคยทำอะไรอย่างนั้น โอ๊ย!” ผมตะโกนเถียง แต่พอจะขยับลงจากเตียง ร่างกายที่บาดเจ็บก็ประท้วงขึ้นทันที โดยเฉพาะส่วนนั้น ก้นของผมเจ็บแปลบจนน้ำตาเล็ด

“จริงมึงทำเมื่อคืน จำไม่ได้ก็อย่ามาเถียงหรือมึงจะดูคลิปที่กูถ่ายไว้!” ผมอึ้งจนพูดไม่ออกเลยได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมรับ ตั้งแต่ตื่นมาทุกอย่างที่ได้รับรู้ ทำให้ผมตกใจไปแล้วกี่ครั้งกันนะ “จะดูไหม”

“ไม่จริงหรอกคุณโกหกผม” ผมอยากร้องไห้ อยากตะโกนออกมาดัง ๆ ในสิ่งที่ไม่อยากยอมรับ ทั้งที่รู้แก่ใจดีจากความผิดปกติของร่างกาย แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ

“เดี๋ยว! นั่นมึงจะไปไหน”

“ออกไปจากที่นี่ไง คุณมันจอมโกหก!”

“พอจะให้ดูคลิปก็ไม่กล้า ถ้าว่ากูโกหกมึงก็ดูนั่นสิ” สายตาเขามองต่ำลงที่ช่วงล่างของผม ตรงนั้นใต้ผ้าห่มที่ผมดึงมาปิดร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง ตามช่วงขาเรียวกำลังมีอะไรบางอย่างไหลอาบลงมา อะไรบางอย่างสีขาวขุ่นปนออกมากับเลือด!



“ขาว ๆ นั่นน้ำกูเอง โทษทีที่ปล่อยข้างในแถมลืมใส่ถุงยางว่ะ ส่วนแดง ๆ นั่นคงไม่ต้องบอกนะว่าอะไร มึงก็เห็นว่าของกูใหญ่” แค่พูดเฉย ๆ ไม่พอ เขายังจับตรงนั้นของตัวเองนวดคลึงต่อหน้าต่อตาผม และมันก็ตอบสนองการกระตุ้นทันที พอผมมองตามมือที่ขยับขึ้นลงเขาก็พูดต่อ “ใหญ่จริงใช่ไหมล่ะ ใส่เข้าไปจะฉีกบ้างอะไรบ้างก็ไม่แปลก”

พูดเรื่องน่าอายออกมาหน้าตาเฉยเกินไปแล้ว “คุณมัน..แย่”

“นี่ด่ากูเหรอ” เขาหลุดเสียงหัวเราะ ไม่ได้สะท้านกับคำด่าแค่นี้หรอก “แต่กูจะบอกอะไรอย่างนะ ว่ามึงควรจะขอบคุณที่กูลดตัวลงไปเอากับมึง นั่นถือเป็นความกรุณาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้านายอย่างกู ให้เด็กเหลวไหลอย่างมึง หรือมึงโกรธที่เมื่อคืนกูไม่ปล่อยมึงไปกับไอ้สวะพวกนั้น” ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงพวกไหน แต่ยิ่งพูดผมยิ่งไม่เข้าใจ สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะความทรงจำที่ขาด ๆ หาย ๆ ผมจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ทั้งหมดนี้แปลได้ว่าเขาเป็นคนพาผมกลับมาที่นี่ ผมไม่ได้กลับมาเองหรือให้เพื่อนมาส่งหรอกเหรอ

“ส่วนรอยพวกนี้กูจะไม่ถือก็แล้วกัน” เขาพูดพลางก้มดูหน้าอกตัวเอง มือลูบไปตามรอยฟัน ตกลงผมเป็นคนทำรอยพวกนั้นจริง ๆ เหรอ ไม่จริงหรอกผมไม่เชื่อ ผมไม่กล้าทำอย่างนั้นกับเขาแน่ ๆ ล่ะ “มึงควรรู้ไว้นะ ว่ากูไม่เคยปล่อยให้ใครทำรอยบนตัวมาก่อน”

“ไม่จริงผมไม่ได้ทำ”

“มึงไม่ได้ทำแล้วหมาไหนจะทำ ตื่นก็ตื่นมาบนเตียงกูแท้ ๆ จะมาไร้เดียงสาหลอกตัวเองทำไมอีก ออกไปได้แล้วกูหิว”

“แล้วมาบอกผมทำไม”

“ไปหาอะไรมาให้กูกินสิวะ แหกตาดูเวลาหน่อย” เขาจ้องหน้าผมนิ่ง แววตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความสะใจ จนผมพูดอะไรไม่ออก ไหนบอกเกลียดไหนบอกรำคาญ แต่ทำไมถึงได้ทำใจร้ายกับผมอย่างนี้

“คุณมันก็ดีแต่ทำตัวเป็นคนใจร้ายนั่นแหละ”

“ไสหัวไปกูรำคาญ!” ผมก็ไม่อยากอยู่หรอก พอเขาบอกอย่างนั้นเลยพยายามเดินออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด ทั้งที่เพิ่งหายจากไข้ ทั้งที่อาการเจ็บขาจากการถูกลงโทษเพิ่งหายดีได้ไม่ถึงวัน ผมก็ต้องมาเจ็บตัวอีกแล้ว

“เดี๋ยวผ้าห่มนั่นของกูเอาคืนมา”

“โอ๊ยคุณ! “พอบอกเอาคืนเขาก็กระชากผ้าห่มออกอย่างแรง ผมเซเกือบล้ม รีบกุมปิดเป้ากลางกายตัวเองไว้ มันน่าอายมากที่ต้องเปลือยต่อหน้าคนอื่น ถึงเขายังเปลือยเหมือนกัน และมือยังนวดเล่นของตัวเอง ขณะที่คุยกับผมอยู่ตั้งนานสองนานก็ตามเถอะ ผมไม่ได้หน้าด้านอย่างเขาสักหน่อย

“ทำมาเป็นอายกูเห็นมาหมดแล้ว ร่อนเอวใส่กูทั้งคืนขนาดนั้น”

“หยุดพูดอย่างนั้นนะ!”

“ทำไมกูจะพูดไม่ได้”

“ผมไม่พูดกับคุณแล้ว”

“เออช่างแม่งเถอะไสหัวออกไปเลย” ผมหันหลังเดินออกจากห้อง ทันได้ยินเสียงหัวเราะขำดังตามมา พร้อมกับเสียงตะโกนบอกให้ผมรีบ ๆ ทำอาหารมาให้ แล้วรีบเข้ามาเก็บที่นอนที่ผมทำเลอะออกไปซัก แต่แค่จะเดินออกมาผมยังแทบไม่มีแรง แล้วจะให้รีบทำงานตามที่สั่งเร็ว ๆ ได้ยังไง



กว่าจะเดินไปได้แต่ละก้าวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมต้องอาศัยผนังห้องช่วยพยุงตัว อยากเดินให้เร็วกว่านี้ แต่ขาสั่นแทบก้าวไม่ออก ทั้งเจ็บตรงนั้นที่ยังรู้สึกเหนอะหนะ ทั้งไม่มีแรง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมากกว่าการที่ผมกับเขามีอะไรกัน ผมถึงได้ล้าและทั้งมึนทั้งเบลอจนหัวสมองวูบโหวงอย่างนี้ พยายามเดินเท่าที่ขาอ่อนแรงจะพาไปได้ เห็นกระเป๋าตัวเองตกอยู่กลางห้องเลยหยิบมาด้วย เดินเข้าไปในส่วนซักรีดที่ใช้เก็บของ คว้าได้ผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่างไว้ แค่ไม่กี่วันที่เจอเขา ทำไมถึงได้เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นกับผมมากมายขนาดนี้ คิดเท่าที่สมองเบลอ ๆ ของผมจนคิดออก และได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่าผมไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อไป ผมต้องไปจากที่นี่ให้พ้นจากเขา ไปอยู่ให้ไกลก่อนจะเกิดเรื่องร้ายมากไปกว่านี้



คิดถึงคุณลุงพิภพ ถ้าผมจะไปจากที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องบอกกล่าวคุณลุงไว้ก่อน ค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋า พอได้มาแล้วถึงกับตกใจกับเวลาที่เห็นบนหน้าจอ ที่บอกว่าตอนนี้มันบ่ายสี่โมงเย็นของวันแล้ว ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ

“คุณลุงครับ”

“ว่าไงเจ้าหนูฉันกำลังว่าจะโทรหาเธออยู่พอดีเลย ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง เจ้าลูกชายของฉันมันคงไม่สร้างปัญหาอะไรให้หรอกใช่ไหม ฉันกำลังจะไปธุระต่างประเทศนะ คงต้องอยู่ที่นั่นสักพักจนกว่าจะเสร็จธุระ ยังไงฝากดูแลเจ้าลูกชายของฉันด้วย แค่นี้ก่อนนะต้องไปแล้ว”

“คะ ครับ! คุณลุงเดี๋ยวก่อนครับ คือผม..” ยังไม่ได้พูดอะไรเลย คุณลุงพิภพก็วางสายไปแล้ว แถมยังไม่ลืมฝากฝังให้ผมดูแลลูกชายให้ด้วย ผมอยากบอกจริง ๆ ว่าลูกชายของคุณลุงร้ายกาจมาก เขาร้ายเกินกว่าจะต้องการการดูแลจากใครทั้งนั้น



ทำไมผมเหนื่อยอย่างนี้ ทั้งเหนื่อยทั้งท้อ ขาแทบไม่มีแรงยืนแล้วเลยค่อย ๆ ทิ้งน้ำหนักนั่งลงหน้าเครื่องซักผ้านั่นเอง และทันทีที่ก้นแตะพื้น ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาถึงไขสันหลัง ผมหลับตาแน่นข่มมันไว้ หายใจเข้าลึก ๆ หวังให้ช่วยบรรเทา จะยืนขึ้นก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดอีกแล้ว อ่อนแรงจนโทรศัพท์ที่ถืออยู่หลุดจากมือ พยายามปรือเปลือกตาขึ้น เพื่อดูอะไรบางอย่างที่ติดปลายนิ้ว อะไรบางอย่างที่ไหลออกมาเลอะต้นขาและผ้าที่พันตัวอยู่ สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนสติจะหายไป คือสีแดงสดเปื้อนปลายนิ้ว และใบหน้าสวยหวานที่ดูตกใจ จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืดไปหมด เพราะผมฝืนร่างกายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว



แม่ครับธารคิดถึงแม่ที่สุดเลยนะครับ...



********


ตอนนี้ถ้าอ่านแล้วไม่โอ บอกกันด่วน ๆ เลยนะคะ

เพราะดาวเองก็ยังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เหนื่อยกับธาร สงสารด้วย

เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนมาสองสามวันแล้ว แต่ก็ยังคิดว่าบรรยายความรู้สึกของธารออกมาได้ไม่สุด

เพราะมีกันสองคนแม่ลูก ธารเลยคิดถึงแต่แม่ตลอด มันก็จะออกมาประมาณนี้

อย่าเพิ่งรำคาญ ว่าทำไมธารเอาแต่ร้องหาแม่เด้อ

แล้วเจอกันตอนหน้าจ้าาาา

ดาว

22-2-2562
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 12 (7/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 08-03-2019 08:08:51
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 12 (7/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: Rach ที่ 09-03-2019 11:50:08
 :hao7:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 13 (ครึ่งแรก) (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-03-2019 23:11:15


กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก 13 ครึ่งแรก

#เพลิง




ผมยืนมองไอ้ตัวปัญหา ที่นอนหลับหน้าซีดอยู่บนที่นอนด้วยความรู้สึกที่..ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีว่ะ ไม่ได้เป็นห่วง แต่พอถูกว่าเข้าหน่อย ก็ดันไม่รู้จะทำตัวยังไงไปอีกสิกู ถ้าเป็นคนอื่นมาต่อว่าอย่างนี้ผมไม่สนใจหรอก แต่นี่เป็นคนที่ผมรักและเกรงใจที่สุดไง มันเลยค่อนข้างพูดไม่ออก



ก่อนหน้านี้อาเล็กมาหาผม เหมือนรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ต่อไปคงมาหาผมได้บ่อย ๆ การที่เข้ามาเห็นผมในสภาพนอนทั้งวันเสื้อผ้าไม่ใส่ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่ที่ทำให้อาเล็กตกใจคงเป็นร่องรอยตามตัว กับสภาพห้องนอนที่ค่อนข้าง..



อืม..เรียกได้ว่าเละนิดหน่อยก็แล้วกันนะ ถึงมันเกินกว่าคำว่านิดหน่อยไปเยอะก็ตามเถอะ แถมยังมีคราบอะไรต่อมิอะไร กับคราบเลือดเปื้อนเต็มที่นอนไปหมด ไม่บอกก็รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นที่นี่ และดุเดือดเลือดพล่านมากแค่ไหน ผมเองก็ใส่ไปเต็มที่ไง ไอ้คนโดนยานี่ไม่ต้องพูดเลย ถึงอกถึงใจจนน้ำในตัวแทบไม่เหลือ ทั้งที่ปกติผมไม่เคยพาคู่นอนเข้ามาทำอะไรในห้องนี้ ถ้าไม่ทำข้างนอกก็ออกไปที่อื่นเลย เปิดโรงแรมหรือเข้าม่านรูดที่ไหนก็ได้ถ้านึกอยากเอา แต่เมื่อคืนไม่รู้คิดยังไงสิ มันลืมไปหมดทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งการป้องกัน ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยพลาดสักครั้งเลย



อาเล็กไล่ผมไปอาบน้ำอาบท่า ผมก็หยิบกางเกงขาสั้นที่เคยถอดทิ้งส่ง ๆ ไว้แถวนั้นมาใส่ ลุกขึ้นทำตามอย่างว่าง่าย เพราะอยากเลี่ยงไม่ให้เขาบ่นนาน แต่เพิ่งจะล้างหน้าแปรงฟันตัวยังไม่ทันได้โดนน้ำสักหยด ก็ได้ยินเสียงเรียกดังลั่นบ้านก่อน ออกจากห้องน้ำมาก็เห็นคุณอาคนเก่ง อุ้มได้ตัวปัญหาเข้ามาในห้องแล้ว เห็นสภาพผมกับสภาพมัน อาเล็กคงเดาเรื่องทุกอย่างได้ทันที



“อาเห็นนอนหมดสติในห้องซักรีด คงต้องพาไปหาหมอแล้วล่ะ” เขาบอกพลางวางมันลงบนที่นอน ผมล่ะคันตีนยิก ๆ อยากถีบมันลงไปนอนข้างล่าง แต่คนที่อุ้มมันมาคืออาเล็กของผมไง ขืนทำแบบนั้นจะกลายผมนี่แหละโดนแทน

“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละจะไปสนใจทำไม แค่โดนเอามันไม่ตายหรอก” เท่านั้นล่ะอาเล็กหันขวับมองหน้าผมตาดุเลย

“ทำไมทำน้องเจ็บขนาดนี้เพลิง!” เสียงแข็งไปอีกนี่หลานรักนะ

“มันร้องจะเอา ๆ ของมันเองนะ”

“เราไม่ได้ข่มขืนน้องใช่ไหม!” อาเล็กถามเสียงเข้ม เล่นเอาผมเสียหายหมดเลย หนังหน้าหลานตัวเองดีขนาดนี้ คิดว่าต้องข่มขืนเอาหรือไงวะถึงจะได้กิน คนอย่างไอ้เพลิงนะแค่กระดิกนิ้วก็ได้สมอยากแล้วนะครับ

“ก็บอกแล้วไงว่ามันว้อนท์ของมันเอง อย่าดุน่า”

“สภาพน้องเป็นแบบนี้อาเชื่อไม่ลงหรอกนะ” อาเล็กพูดไปตาก็สำรวจร่างกายมันไปด้วย ไอ้เด็กรับใช้มีเพียงผ้าเช็ดตัวเก่า ๆ พันท่อนล่าง ผมก็เพิ่งได้สำรวจตัวมันจริงจังตอนนี้เอง ว่าผิวขาว ๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยที่ผมทำไว้เยอะพอสมควร ส่วนที่เห็นแวบ ๆ ข้างหลัง ผ้าที่มันนุ่งอยู่แม่งก็เปื้อนรอยเลือดด้วยไง สงสัยคงทำตัวเองเลือดไหลอีกแล้วนั่นล่ะ บอกให้นอนดี ๆ ก่อนไม่เชื่อสมน้ำหน้ามัน

“งั้นรอถามตอนมันตื่นก็แล้วกัน ขี้เกียจพูดจะไปอาบน้ำแล้ว”

“โทรไปสั่งข้าวมาไว้ให้น้องก่อน เราเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวันไม่ใช่หรือไง” เห็นไหมสุดท้ายอาเล็กก็ใจดี และเป็นห่วงเหมือนเดิมนั่นแหละ

“อืม “ตอบแค่นั้นแล้วเดินหาโทรศัพท์ที่ทำตกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาโทรสั่งข้าว การที่อาเล็กเข้ามาปลุกผมถึงในห้อง ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าแวะมาหาแล้วเห็นผมยังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่เหมือนวันนี้ ตอนนี้เขาย้ายมาอยู่ใกล้กัน คงได้โอกาสมาบ่อยขึ้น ก็ย้ายมาอยู่เพนท์เฮาส์อีกห้องนั่นแหละ กับแฟนใหม่ของเขา ส่วนผมเมื่อคืนหมดพลังงานไปเยอะ จะนอนทบต้นทบดอกบ้างก็ไม่แปลก กว่าไอ้ตัวปัญหามันจะหมดฤทธิ์ กว่าพายุอารมณ์ของผมจะสงบลง เวลาก็ปาเข้าไปเช้าวันใหม่แล้วไง



ส่วนการนอนแก้ผ้าล่อนจ้อนนี่ ถือเป็นเรื่องปกติของผมนะบอกไว้ก่อนแล้วอย่าลืม อาเขาเห็นจนเบื่อแล้วล่ะ เพราะเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก แต่ที่ไม่ปกติก็คงเป็นห้องที่ข้าวของกระจัดกระจาย กับรอยบนตัวเต็มไปหมด เขารู้ว่าผมหวงตัวมากแค่ไหน ต่อให้เอากันมันหยดยันเช้า ก็อย่าหวังว่าจะได้ทำเครื่องหมายอะไรบนตัวผมได้ อาเล็กรู้เกี่ยวกับผมดีทุกอย่าง แต่นอกจากรอยบนตัว คราบอะไรต่อมิอะไร ทั้งคราบเลือดเลอะบนที่นอน ก็เดาได้ไม่อยากเลยว่าผมเพิ่งผ่านคืนร้อนแรงมา ไอ้ผมจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ แต่เขาคงไม่คิดว่าคนที่นอนกับผม จะเป็นไอ้เด็กรับใช้ที่เขาเอ็นดูนักหนาไง



ผมโทรสั่งข้าว อยากแกล้งสั่งผัดกะเพราเผ็ด ๆ มาให้มันกิน แต่รู้ดีว่าถ้าทำอย่างนั้นอาเล็กจะจัดการกับผมยังไง เลยสั่งให้แค่ตัวเอง ส่วนไอ้ตัววุ่นวายที่นอนตายหมดฤทธิ์อยู่นั่น สั่งข้าวต้มให้มันไป สั่งมาเผื่ออาเล็กด้วยแล้วถึงได้แยกไปอาบน้ำอาบท่า นอนแช่น้ำอุ่นโอ้เอ้อยู่ตั้งนาน พอแต่งตัวออกมาก็เจอเข้ากับแขกอีกคน ที่อาเล็กคงโทรบอกให้มาดูอาการของมัน แล้วอาการมันหนักขนาดต้องตามหมอเลยหรือไง คือแค่เอากันไหมวะ



“มีแฟนแล้วหรือไงเราน่ะ” นายแพทย์วิทยาทักขึ้นยิ้ม ๆ ตอนเห็นผมเดินออกมาจากห้องแต่งตัว มือก็เก็บอุปกรณ์การแพทย์อะไรของเขาไปด้วย แอบเห็นว่าก่อนหน้านั้นลุงหมอฉีดยาให้มันไปสองเข็ม สมควรไหมล่ะมึง

“หึ แค่เอากันเล่น ๆ ไม่ใช่แฟน”

“ขนาดเล่น ๆ น้องยังยับเยินขนาดนี้ ถ้าเอาจริงลุงว่ามีตายคาเตียงนะไอ้หลานชาย”

“ก็ถ้าแฟนจะถนอมอยู่หรอกแต่นี่ไม่ใช่ไง”

“อย่าดุเดือดนักสิเห็นใจคนรับด้วย”

“จะได้ไม่เสียมาถึงลุงหมอไง อาเล็กข้าวมาส่งยังหิวแล้ว” แอบเคืองอาเล็กที่เอาเสื้อผ้าผมมาใส่ให้มัน เพราะพูดออกมาไม่ได้ไง เดี๋ยวจะถูกบ่นว่าหวงของอีก ตอนนี้ผมหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว เลยหันไปถามหาของกินแทน อีกอย่างก็ไม่อยากคุยเรื่องนี้มากด้วยไง ถึงลุงหมอจะเป็นญาติสนิทของเรา มีศักดิ์เป็นพี่ชายของคุณใหญ่ พี่ชายแท้ ๆ ของอาเล็ก หรือก็คือพ่อผมนั่นแหละ แต่เรื่องนี้ไม่พูดตอนนี้จะดีที่สุดสำหรับผม ถ้าไม่อยากโดนอาเล็กกระโดดกัดหูเอา ท่าทางของเขายิ่งเอ็นดู ๆ มันอยู่



พวกเราออกมานั่งคุยกันข้างนอก ผมกินไปด้วยฟังอาเล็กกับลุงหมอคุยกันไปด้วย ไม่ค่อยออกความคิดเห็นอะไรกับเขา เพราะเป็นคนไม่ชอบพูดมาก แถมพูดเพราะ ๆ หวาน ๆ กับใครเขาไม่เป็นด้วย เลยได้แต่รับฟัง

“เอาละ คราวนี้มาคุยเรื่องของเด็กที่นอนเจ็บอยู่ในห้องกันดีกว่า” ลุงหมอพูดขึ้นเมื่อเห็นผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ข้าวในกล่องหมดไปแล้วสองกล่อง อิ่มจนแน่นไปหมด แต่ผมเกือบสำลักน้ำ เมื่อลุงหมอพูดประโยคต่อมา “บอกลุงหน่อยซิว่าเพลิงไม่ได้ใช้ยากับน้อง”

“ยา ยาอะไรลุงหมอ” ผมรีบกลืนน้ำลงคอแทบไม่ทัน มองหน้าผู้ใหญ่สองคนสลับกัน ลุงหมอยังยิ้มหล่อใจดีตามแบบฉบับของคุณหมอ ที่จะยิ้มหลอกล่อเราก่อนจิ้มเข็มฉีดยาที่ตูด ส่วนอาเล็กมองตาดุ แทบกระโดดกัดหูผมเดี๋ยวนี้ถ้าทำได้ เขารู้ว่ากลุ่มผมทั้งกินทั้งเที่ยวทั้งมั่วอยู่แล้ว จะมีเรื่องยาเรื่องอะไรพวกนี้บ้างก็ไม่แปลก แต่ก็เตือนให้รู้จักระวังตัวตลอด

“ลุงหมายถึงยาที่พวกนักเที่ยวชอบใช้กัน”

“พี่หมอหมายถึงยาเสพติดหรือเปล่าครับ หรือพวกยาเสียสาวอะไรแบบนี้” อาเล็กถามแต่ตาดุ ๆ นี่ยังจ้องผมไม่ลดละ จนขนหัวลุกไปหมดเลย ทำไมมันน่ากลัวอย่างนี้ กับผู้ชายของเขาเคยถูกจ้องแบบนี้หรือเปล่าวะ

“ใช่ไหม” ลุงหมอไม่ตอบอาเล็กแต่หันมาถามผมแทน ทั้งที่เขายิ้มอยู่แต่ทำไมกูรู้สึกเหมือนถูกกดดันขนาดนี้วะ อาเล็กก็ยังจ้องเอา ๆ ด้วยอีก

มึงไอ้ตัวปัญหา ขนาดหลับอยู่ยังสร้างเรื่องให้กูงานเข้าอีก ตื่นมามึงโดนแน่!

“ก็..มันก็โดนยานั่นแหละ”

“เพลิง! อารู้ว่าเพลิงไม่ชอบน้อง แต่มันต้องทำร้ายกันขนาดนี้เลยเหรอ” อาเล็กตะคอกเรียกชื่อผมแล้วถามเสียงนิ่ง ท่าทางอย่างนี้คงกำลังข่มอารมณ์อยากบีบคอผมให้ตายคามือนั่นแหละ รู้ดีเพราะกว่าเขาจะเลี้ยงผมให้โตมาได้ขนาดนี้ อาเล็กก็แทบรากเลือดล่ะพูดเลย นี่กูต้องภูมิใจหรือเปล่าวะ?



พอผมยังไม่ตอบอาเล็กก็เริ่มหน้าแดงมากขึ้น ดวงตาวาวโรจน์ดุเอาเรื่องจนน่ากลัว จมูกบานพะงาบ ๆ เหมือนจะมีไฟพุ่งออกมาใส่หน้าผมได้ทุกเมื่อ เลยรีบบอกเสียงอ่อยเลยกู

“ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากช่วยมัน ส่วนยามันโดนมาจากที่อื่น”

“ยังไง” ลุงหมอถามท่าทางคงสงสัยจนคิ้วขมวด

“เมื่อคืนมันแอบไปเที่ยวกับเพื่อน”

“ลำธารน่ะนะจะทำตัวเหลวไหลอย่างนั้น” อาเล็กมองผมด้วยสายตาที่กำลังบอกว่า ถ้าเป็นมึงก็ว่าไปอย่างนะเพลิง อะไรประมาณนี้ แถมยังทำสีหน้าเหมือนผมกำลังโกหกไปอีก นี่กูหมดความน่าเชื่อถือเพราะมึงอีกแล้วใช่ไหม ไอ้ตัววุ่นวาย!

“ก็เห็นแล้วไหมล่ะ ยังไงผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิด มันโดนยามา เห็นมันว้อนท์ ๆ ร้องจะเอา ๆ ให้ได้อยู่ตรงหน้า พาไปกระโดดน้ำแช่น้ำในสระยังไม่หาย เลยไม่รู้จะทำยังไง คนมันเคยได้อยู่ได้กินอะนะ มีของกินมาวางอยู่ตรงหน้าก็คือบับ..โอ๊ย! อาเล็กมันเจ็บนะ!” โดนกำปั้นทุบหลังไปหนึ่งที ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก แต่ปากมันร้องของมันออกไปเอง

“แล้วทำไมไม่โทรหาอาหรือโทรหาลุงหมอตั้งแต่เมื่อคืน”

“ก็..เมา” สีหน้าอาเล็ก เห็นแล้วบอกได้คำเดียวว่าเขาคงเอือมระอา และอยากบีบคอผมเต็มที แต่เขาทำหน้าอย่างนั้นได้ไม่นานหรอกเชื่อผมสิ ส่วนลุงหมอก็เหมือนเดิมคือยิ้มใจดี สงสัยเส้นประสาทแก้มแกคงค้างไปแล้ว ถึงได้เอาแต่ยิ้มอย่างนั้น

หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 13 (ครึ่งแรก) (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-03-2019 23:11:45



“เท่าที่ลุงดูคงโดนหยอดยามานั่นแหละ แล้วที่หลับอยู่ตอนนี้นอกจากอ่อนเพลียเพราะเรื่องนั้นแล้ว ยังเป็นผลมาจากฤทธิ์ยาด้วย ยากลุ่มนี้มันมีหลายตัว ไม่มีสีไม่มีกลิ่น หยอดใส่เครื่องดื่มก็ไม่เห็นความแตกต่าง อาการก็จะมีตั้งแต่มึนงงจนถึงขาดสติ ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ควบคุมตัวเองไม่ได้ เกิดความร้อนวูบวาบในร่างกาย ยิ่งกินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยิ่งจะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น อย่างที่เพลิงคงเห็นแล้วเมื่อคืน” ผมนี่พยักหน้ารัว ๆ เลย อาเล็กจะได้เลิกทำตาขวางใส่สักที



“คนที่โดนยาจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย เป็นยาอันตรายมากนะ ถ้าได้รับมากเกินไปอาจจะทำให้หัวใจวายได้เลย” ผมคนหนึ่งละ ไม่คิดจะเอายาพวกนี้มาใช้กับคนอื่นหรอก เพราะไม่จำเป็นเลย เราคุยกันต่ออีกหลายเรื่อง จนโทรศัพท์อาเล็กมีสายเข้า ก็คงเป็นแฟนเขานั่นแหละที่โทรมาตาม ได้ข่าวว่าแฟนใหม่ซะด้วย ไม่รู้จะคบกันได้อีกนานแค่ไหน เห็นนิ่ง ๆ อย่างนี้แต่อาเล็กสายเปย์นะครับ ตอนยังไม่ได้อะไรก็ดูแลเทคแคร์อย่างดี พอได้เงินได้ของแล้วแม่งก็ทิ้งอากูให้ตามไปกระทืบหลายรายแล้ว



“เดี๋ยวอาไปธุระก่อนเพลิงดูน้องด้วย”

“เรื่องอะไรล่ะอาเล็ก ว่าจะออกไปข้างนอกอยู่เหมือนกันนะ” แล้วตาสวย ๆ ของอาเล็กก็เปลี่ยนเป็นตาดุ ๆ น่ากลัวอีกแล้ว เมื่อตวัดมองผมอย่างคาดโทษ บอกไว้ก่อนเผื่อลืม นี่น้องชายของพ่อนะไม่ใช่แม่ แต่ทำกูหงอยได้ก็แล้วกัน

“วันนี้ห้ามออกไปไหนเลย” เวรแท้!

“ลุงก็คงต้องกลับเหมือนกัน ส่วนยามีทั้งยากินแล้วก็ยาทาสำหรับตรงนั้นนะ ต้องให้น้องทาทุกวันจนกว่าจะหายดี ถ้าธารยังไม่ตื่นเพลิงก็ทาให้น้องด้วยล่ะ” ลุงหมอแกล้งผมแน่ ๆ แววตาแบบนี้ผมดูออก แต่ฝันไปเถอะไอ้ตัวปัญหาว่ากูจะทำให้มึง

“อ้อ ช่วงนี้งดเรื่องอย่างว่าไปก่อนนะไอ้หลานชาย รอให้น้องหายดีก่อน ใช้ของไม่รักษาระวังจะเสียดายทีหลัง จะหาว่าลุงไม่เตือนไม่ได้นะเว้ย” ถึงลุงหมอไม่บอก ผมก็ไม่อยากกินของเก่าที่เคยกินแล้วหรอก เมื่อคืนถ้าไม่เมาก็ไม่รู้จะกระเดือกลงหรือเปล่า แต่ถ้าของขาดก็ไม่แน่ว่ะครับ ขอดูอารมณ์ตอนนั้นก่อนก็แล้วกัน

หึ..หมั่นไส้กูกันไปเถอะ



ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองกลับไปแล้ว เหลือแค่ผมกับไอ้เด็กรับใช้ ที่ตอนนี้มันนอนเหมือนกับว่าเตียงทั้งเตียงของผม ได้กลายเป็นของมันไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ถึงเตียงนอนจะกว้างระดับพ่อคิงไซส์ก็เถอะนะ แต่ใช่เหรอที่มันจะมานอนเหมือนเป็นเจ้าของอย่างนี้ คิดแล้วอยากถีบแม่งสักทีให้หงายตกเตียง แต่ถ้าทำจริงคงไม่พ้นโดนด่าอีก มึงจะเกินไปแล้วนะ แค่นอนเฉย ๆ ยังทำให้กูถูกด่าไปตั้งหลายครั้งได้



ตอนนี้เย็นมากแล้ว แต่ไอ้เด็กรับใช้ยังไม่ยอมตื่น ผมจะจัดการยังไงกับมันดี พอก้มลงมองถุงยาในมือ เสียงอาเล็กที่สั่งให้ทำนั่นทำนี่ให้มันก็ดังขึ้นในหัวกูทันที อย่างกับมีใครมากดรีเพลย์เครื่องเล่นเสียงซ้ำ ๆ จนจะหลอนอยู่แล้ว จะออกไปกินเหล้ากับเพื่อนสักหน่อย ต้องมาติดแหง็กกับมึงเนี่ย กูไม่ทนหรอก!



แสงสียามค่ำคืนของกรุงเทพ มันล่อเหล่าแมลงกลางคืนให้มาหลงติดกับได้เสมอ และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้หลงมัวเมาไปกับแสงและสีพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็มาได้บ่อย ๆ เหตุผลเดียวเพราะเพื่อนชวน คือที่มาไม่ได้มาเพราะชอบไง แต่ถ้าอยากเจอเพื่อนมันก็ต้องมากับเขาใช่ไหมล่ะ วันนี้ผมเบื่อเลยออกมาแต่หัววัน ไม่ใช่เพราะอะไรนอกจากไอ้ตัวปัญหา ที่ยึดเตียงผมไปหน้าตาเฉย ถึงตัวมันเองจะหลับไม่รู้เรื่องก็ตามเถอะ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันตื่นขึ้นมาหาข้าวหายากินหรือยัง อาเล็กเองคงรู้อยู่แล้วนั่นแหละ ว่ายังไงผมคงไม่เชื่อฟังเขาขนาดอยู่ดูแลมันหรอก เลยเตรียมข้าวต้มมาวางไว้ให้มันข้างเตียง ผมเลยเอาถุงยาที่ลุงหมอให้วางไว้ใกล้ ๆ ตื่นมาเห็นแล้วไม่รู้จักหาเข้าปากตัวเอง กูก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว



ผมเลือกนั่งตรงบาร์ชั้นล่าง สั่งเบียร์มาดื่มรอพวกไอ้ออฟ กวาดตามองไปรอบ ๆ ผับ เพิ่งจะหัววันแท้ ๆ แต่คนก็นับว่าเยอะพอสมควร เป็นผับเดียวกันกับที่มาเมื่อคืนนั่นแหละ สาวสวยฝั่งตรงข้ามชูแก้วขึ้นชนระยะไกลมา ผมเลยชนตอบไป คืนนี้กะว่าจะหิ้วไปด้วยสักคนล่ะนะถ้าเจอแบบถูกใจ

“ว่าไงมึงมานานหรือยังวะ”

“เพิ่งมา” ผมตอบไอ้ออฟ แปะมือกับเพื่อนอีกสามคนที่เดินตามหลังมันมาด้วย เมื่อคืนก็มาด้วยกันกับกลุ่มนี้นั่นแหละ

“สาวโต๊ะนั้นเล็งมึงอยู่หรือเปล่าวะ” ไอ้ไนซ์ขยับเข้ามากระซิบถาม แต่ตามันอยู่กับผู้หญิงกลุ่มนั้นไม่วางตา ก็กลุ่มที่ยกแก้วชนกลางอากาศกับผมนั่นแหละ ของแบบนี้มันดูไม่อยากหรอก ว่าเขากำลังสนใจเราอยู่หรือเปล่า

“เออ”

“เหี้ยไรวะเออแค่เนี่ย หมาคาบไปแดกตัดหน้ากูจะหัวเราะเอา” แล้วมันก็หัวเราะจนปากกว้าง

“หมาไหน”

“สัด!” ผมรู้ว่ามันจะมามุกนี้ไง แต่มันเองนั่นแหละที่ลืม เลยด่าตัวเองเป็นหมาเฉยเลย

“เออ แล้วน้องธารของกูเป็นไงบ้างวะ” ไอ้ออฟถามเหมือนเพิ่งนึกได้

“มันเป็นของมึงตั้งแต่ตอนไหน” ผมสวนกลับทันทีจนมันชะงัก ก็ไม่ได้หวงหรอกนะ แค่กัดมันเล่นเฉย ๆ

“แหม ๆ คืนเดียวทำเป็นหวงไอ้สัด แล้วตกลงน้องเป็นไงบ้างวะ”

“อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ ตอนนี้ยังลุกไม่ขึ้น อีกอย่างกูไม่ได้หวงแค่หมั่นไส้”

“หนักล่ะสิมึง”

“น้องธารไหนวะ” ไอ้อาร์ทถามขึ้นก่อนที่ผมจะได้ด่าไอ้ออฟต่อ

“เด็กไอ้เพลิง ยังไม่เห็นล่ะสิมึง ขาวแจ่มเลยว่ะหน้าตาหล่อน่ารักแบบใส ๆ ไร้เดียงสาสเป็คมึงเลยล่ะ”

“มันไม่ใช่เด็กกู” ผมบอกเสียงนิ่ง ยกเบียร์ในขวดที่ถืออยู่ขึ้นกรอกปากจนหมด แล้วหันไปสั่งขวดใหม่

“เออ ๆ เด็กที่บ้านมึงนั่นแหละ”

“แต่กูชักอยากรู้แล้วสิว่าใครหยอดยามัน” คือยากเห็นหน้าไอ้พวกภัยสังคมพวกนี้ไง คิดได้ยังไงถึงเอาของแบบนี้มาใช้กับคนอื่น ถ้าเป็นญาติพี่น้องมันโดนบ้างมันจะว่ายังไงวะ



“กูว่าพวกที่มาด้วยกันนั่นแหละ เท่าที่กูดูเมื่อคืนไม่เห็นมันลุกไปไหน ไม่มีคนอื่นเข้ามามั่วด้วยนี่หว่า” ไอ้ออฟสันนิษฐานและผมก็เห็นด้วย เพราะนั่งอยู่ข้างบน มันมองเห็นพวกอยู่ข้างล่างได้หมดอยู่แล้ว แล้วโต๊ะที่พวกนั้นนั่งเมื่อคืน ก็อยู่ช่วงกลางเกือบหน้าเวทีไง ที่สำคัญคือเพราะความหมั่นไส้ล้วน ๆ เลยทำให้ผมเผลอหันไปมองมันบ่อย ๆ อยากรู้ว่าต่อหน้ากับลับหลังมันจะเป็นยังไง แตกต่างกันมากขนาดไหน แล้วก็อย่างที่เห็น หนีเที่ยวมั่วกินเหล้า



“เกิดเรื่องอะไรขึ้นวะ ทำไมพวกกูไม่เห็นรู้เรื่องด้วย” อันนี้เสียงไอ้เข้มที่เงียบฟังพวกเราพูดกันอยู่นาน มองหน้าเพื่อนมันอีกสองคนด้วย ไอ้สองตัวนั่นแม่งก็ส่ายหน้ารัว ๆ แทนการบอกว่ากูก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันทันทีเลย

“แม่งมัวแต่แดกเหล้าเคล้าเด็กไง เพื่อนมีเรื่องจนจะตายห่าอยู่แล้วยังไม่รู้” ไอ้ออฟบอกเฉย ๆ ไม่พอ ยังตบหัวเพื่อนไปคนละทีไม่เบาแรงนัก มึน ๆ อยู่นี่มีตื่นเลยล่ะ แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้จะโทษพวกมันหรอก เพราะผมกับไอ้ออฟขอกลับก่อน พอเพื่อนไอ้เด็กรับใช้มาขอความช่วยเหลือก็ตามกันไปเลย ไม่คิดเรียกเพื่อนคนอื่นไปหาเรื่องด้วย

“กูว่าน่าจะเป็นไอ้ผู้ชายที่เดินตามหลังมันนั่นแหละหยอดยา” เพราะมันเป็นคนนั่งติดกับไอ้ตัวปัญหา แม่งตัวติดกันตลอดเลยไง แถมยังเป็นคนยื่นแก้วเหล้าให้มันด้วย ส่วนอีกข้างก็น้องผู้หญิงที่มาขอความช่วยเหลือ ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว แต่หน้าตาผมไม่ลืม เพราะยังไงก็ต้องทวงสัญญาที่ตกลงกันไว้

“กูไปเข้าห้องน้ำก่อนเดี๋ยวมา” ผมบอกแล้วยกเบียร์ที่เหลือขึ้นดื่มจนหมดขวด ถึงลงจากเก้าอี้ทรงสูงหน้าบาร์

“งั้นขึ้นไปชั้นบนไหมวะ”

“เออ เดี๋ยวตามขึ้นไป” พวกผมชอบนั่งชั้นบนกันมากกว่า เพราะคนไม่เดินพล่านวุ่นวาย ไม่มั่วมากเหมือนข้างล่าง หมายถึงไม่มีใครเดินเบียดไปเบียดมานะ แต่ถ้ามั่วอย่างอื่นนั่นก็อีกเรื่อง



ห้องน้ำช่วงหัวค่ำยังไม่ค่อยมีคนมากนัก ผมเข้าไปปล่อยน้ำเสียที่โถฉี่ จนเสร็จแล้วออกมายืนที่อ่างล้างมือ กดสบู่เหลวมาถูอย่างพิถีพิถันถ่วงเวลาอยู่เป็นครู่ ถึงล้างฟองออก สะบัดมือแรง ๆ ไปอีกหลายที ค่อยดึงกระดาษเช็ดมือมาเช็ดอย่างตั้งใจ เหมือนกลัวมันไม่สะอาดหมดจด ผมออกมาจากห้องน้ำ เดินเลยบันไดขึ้นชั้นสองออกไปหลังผับ ตามทางเดินมืด ๆ อย่างนี้ไม่ต้องแปลกใจเลย ถ้าจะเห็นว่ามีคนกำลังทำอะไรกันอยู่ ผมเดินเลยคนสองคนที่กำลังนัวเนียกันอย่างเมามัน เปิดประตูออกไปยืนสูดอากาศที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์ข้างนอก



“ตามกูมาหรือไง” ผมถามผู้ชายที่เดินมายืนอยู่ข้างหลังไม่ไกลนัก เพราะสังเกตเห็นว่ามันมีท่าทางสนใจกลุ่มของพวกผมตั้งแต่แรก อีกอย่างมันก็นั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์บาร์ไม่ไกลจากผมด้วย พอลุกมาเข้าห้องน้ำยังเดินตามมาอีก เลยไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วมันก็ไม่บังเอิญจริง ๆ เพราะมันยังตามผมมาถึงนี่



“ใช่ ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ผมหันไปมองหน้ามัน ลักษณะท่าทางดูดี การแต่งตัวเหมือนคนมาเที่ยวทั่วไป แต่กลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่บอกว่าไม่น่าไว้ใจ พอผมไม่ว่าอะไรมันเลยพูดต่อ “ฉันได้ยินพวกนายคุยกันเรื่องยา” มันเข้าเรื่องทันทีไม่มีอ้อมค้อม ตอนนี้เรายืนอยู่ข้างนอกด้านหลังของร้าน ที่เต็มไปด้วยลังเครื่องดื่มกับขวดเปล่าวางเกะกะเต็มไปหมด มันก็คือตรงที่ไอ้เด็กรับใช้ถูกพาออกมาเมื่อคืนนี้นั่นแหละ

“ยาอะไรวะกูคุยกันตั้งหลายเรื่อง”

“ยาอะไรล่ะนายรู้ดีอยู่แล้วนี่”

“แล้วไง”

“ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม” มันมองเหมือนคิดว่าผมรู้ดีว่าที่มันกำลังพูดหมายถึงเรื่องอะไร ผมลดสายตาลงต่ำ มองกระดาษแผ่นเล็กที่ยื่นมาตรงหน้า แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เพราะแค่เห็นตัวหนังสืออยู่บนกระดาษ กูก็ไม่อยากยุ่งแล้วไง หน้าที่มึงมึงก็ทำเองสิวะ คิดว่ากูอยากเป็นสายให้ตำรวจนักเหรอ ไม่ใช่พลเมืองดีขนาดนั้นหรอก

“เกี่ยวกับกูเหรอ”

“ก็ถ้าฟังไม่ผิดเมื่อคืนคนของนายถูกหยอดยาไม่ใช่หรือ ก่อนจะมีใครเจอเรื่องเลวร้ายอย่างนี้อีก เรามาช่วยกันไม่ดีกว่าหรือไง” ผมล่ะเกลียดจริง ๆ ไอ้ท่าทางใจเย็นสุขุมนุ่มลึกที่มันแสดงออกมา ก็รู้ละนะว่าอายุมากกว่า แต่มาขอความช่วยเหลือจากกู จะมองกูด้วยสายตากวนตีนแบบนี้ คิดว่าควรช่วยไหมล่ะ

“เสียเวลา”

“เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่นั้น”

“แล้วมันแค่ไหน”

“แค่มีเอเยนต์รายใหญ่แฝงตัวอยู่ที่ด้วย”

“เออ แล้วมาบอกกูเพื่อ ถ้าเกิดกูเป็นเอเยนต์รายใหญ่คนนั้นคงเผ่นก่อนแล้ว”

“ฉันรู้ว่านายไม่ใช่เด็กแบบนั้นหรอก ฉันดูคนไม่เคยพลาด”

“ตอนนี้มึงพลาดแล้ว”

“ไม่พลาดหรอกฉันมั่นใจ แค่เห็นว่ามาบ่อย คิดว่าอาจจะรู้อะไรดี ๆ อยู่บ้าง” แค่เห็นว่ามาบ่อยหรือวะ นี่มันตามผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“มึงแอบตามกูมาหรือไง แล้วนี่ก็ไม่ใช่หน้าที่กูด้วย” ผมเดินออกมา ไม่สนใจว่าไอ้รอ ตอ ออ อะไรนั่นจะทำหน้ายังไง จะทำอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ อย่ามาหาประโยชน์จากกูก็พอ


หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 13 (ครึ่งแรก) (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-03-2019 23:12:20



ผมกลับขึ้นมาหาเพื่อน เครื่องดื่มพร้อมเต็มโต๊ะ กับเด็กที่ไม่ต้องบอกว่ามาจากไหน นั่งกันเป็นคู่เหมือนคบกันมานาน ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่ถึง 30 นาทีก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ แม่งนั่งตักนั่งโอบนั่งกอดกันเรียบร้อยแล้ว พอผมเดินเข้าไปนั่งบ้างเด็กก็เข้าหาทันที หุ่นนี้ไม่ต้องบรรยาย แค่เห็นก็กำมือเตรียมขยำให้เละแล้ว ผมไม่ได้โรคจิตนะแค่มันเขี้ยว

เห็นไหมล่ะ อย่างพวกผมไม่ต้องมอมยาหยอดเหี้ยอะไรใครหรอก เพราะมีคนเต็มใจไปด้วยอยู่แล้ว



#ลำธาร

“อืม” ผมได้ยินเสียงตัวเองดังในหัว เมื่อขยับตัวเพราะนอนอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป จนเมื่อยขบไม่หมด รู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้นอนอีกรอบ แต่พอลืมตาขึ้นยังงงว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่..ไม่ใช่สิ ผมไม่ได้นอน ความทรงจำสุดท้ายคือหลังจากที่ผมโทรไปบอกคุณลุงพิภพ ว่าจะไม่ขออยู่ที่นี่แล้ว ยังไม่ทันได้พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ คุณลุงก็ชิงฝากฝังลูกชายและวางสายไปก่อน หลังจากนั้นผมก็หมดเรี่ยวแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ทั้งปวดหัวทั้งวิงเวียน แต่ก่อนจะหมดสติไป ถ้าผมไม่เบลอหรือเพ้อจนตาฝาด ผมมั่นใจว่าเห็นคุณเล็กวิ่งเข้ามาหา เรียกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตกใจ จากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด



ผมมองไปรอบตัว ตอนนี้ไม่สงสัยเลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเข้ามานอนในห้องนี้ได้ยังไง เพราะคิดไปก็ปวดหัวเปล่า ๆ เขาอาจจะใจดีลากผมเข้ามา หรือถ้าผมไม่ได้ฝันไปคุณเล็กอาจจะมาจริง ๆ แล้วพาผมเข้ามานอนในห้องนี้ก็เป็นได้ ตอนนี้ร่างกายของผมรู้สึกดีขึ้นมาก ไม่มีอาการปวดหัวหรือมึนเบลอ ตอนลุกขึ้นนั่งยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่ก้น แต่ก็ไม่ทรมานเหมือนตอนตื่นครั้งแรก เหมือนบาดแผลกำลังเริ่มทุเลาลง



ผมก้มลงมองตัวเอง จำได้ว่าก่อนหมดสติไป ผมมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันช่วงล่าง แต่ตอนนี้ ผมใส่เสื้อยืดตัวใหญ่สีน้ำเงินเข้ม กับกางเกงที่ค่อนข้างตัวใหญ่กว่าไซส์ตัวเองมาก มันไม่ใช่ของผมแน่ ๆ ล่ะ เพราะผมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าแบบนี้มาใส่ คำถามต่อมาคือของใคร เป็นไปได้ไหมที่มันจะเป็นของเจ้าของห้อง แต่ถ้าไม่ใช่มันจะเป็นของใครไปได้ล่ะ หรือว่าภาพคุณเล็กที่ผมเห็นก่อนหมดสติจะเป็นตัวจริง แต่ทำไมต้องพาผมเข้ามานอนในห้องนี้ด้วย



ในห้องเงียบมาก และการตื่นขึ้นมาคนเดียวขณะที่ร่างกายเจ็บป่วย ไม่ค่อยดีต่อความรู้สึกนัก เพราะมันอ้างว้างเกินไปสำหรับผม ที่เคยชินกับความเอาใจใส่ของแม่ ถึงตอนนี้จะเหลือตัวคนเดียว ก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้ ผมขยับจะลงจากเตียง สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับของที่วางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ เข้าพอดี

ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย ว่ามันคือถ้วยข้าวต้มกับถุงยา!



ความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นในอก ไม่ทำให้อึดอัดแต่กลับรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ความวูบโหวงมาพร้อมกับความเต็มตื้นในใจ ทั้งที่ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะทำให้ แต่สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าจะเป็นของใครไปได้ หรือจะเป็นของสำหรับเขา คงไม่ใช่หรอก เพราะของแบบนี้มันสำหรับคนป่วย เขาไม่ได้ป่วย ตกลงเขาจะดีหรือร้ายกับผมกันแน่ ผมลองแตะข้างถ้วยข้าวดู ไม่รู้สึกถึงความร้อน นั่นแสดงว่าคงถูกนำมาวางไว้นานจนข้าวเย็นหมดแล้ว ถึงจะไม่เข้าใจการกระทำของเขา แต่ผมก็หิวเกินกว่าจะมองข้ามมัน ฝืนกินข้าวจนหมดถ้วยแล้วถึงหยิบถุงยาขึ้นมาดู และมันก็เป็นยาสำหรับผมจริง ๆ แถมยังมียาสำหรับทาแผลตรงนั้นด้วย

อย่าบอกนะว่าเขาออกไปหาซื้อมาให้ผม…



“ตื่นแล้วเหรอ”

“คุณเล็ก! “

“รู้สึกดีขึ้นไหม”

“ครับ” ผมทำตัวไม่ถูก เมื่อหันไปหันคุณเล็กยืนส่งยิ้มมาให้ และยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ เมื่อร่างสูงเพรียวเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงข้าง ๆ ผม แต่จะว่าไปแล้วก็ยังดีกว่าเป็นคุณชายใจร้ายล่ะนะ

“เก่งมากเลยกินข้าวจนหมดด้วย แล้วนี่กินยาหรือยัง”

“กินแล้วครับแต่คุณเล็กครับ..”

“อาเล็ก”

“ครับอาเล็ก” ผมเปลี่ยนคำเรียกตามที่คุณเล็กแก้ให้ แต่พอคิดว่าคุณเล็กคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างผมกับคุณเพลิงแล้ว ก็อายจนต้องก้มหน้าหลบตา คิดอะไรไม่ออกประหม่ามือไม้สั่นไปหมด



“อารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแต่ธารไม่ต้องกลัวนะ” คุณเล็กพูดเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้รู้สึกว่าคนพูดเข้าใจในตัวเรา ทำให้ก้อนสะอื้นตีขึ้นมาในอก ขอบตาของผมร้อนผ่าว น้ำใส ๆ มันไหลออกมาคลอจนเต็มหน่วยตา พร้อมกับน้ำมูกใสในโพรงจมูกจนต้องสูดเข้ายาว ๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เก็บน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แม้จะพยายามกลั้นไว้ให้ถึงที่สุด เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยสับสนไปหมด สับสนจนไม่รู้จะทำตัววางตัวยังไงดี

“ผมขอโทษ แต่ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น” เสียงของผมสั่นและเบามาก แต่คุณเล็กก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน

“ธารไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

“ผมทำตัวเหลวไหล ถ้าไม่ออกไปข้างนอกเมื่อคืนคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ แต่ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง” ตอนนี้ผมห้ามตัวเองไม่อยู่แล้ว เลยทั้งพูดทั้งสะอึกสะอื้น ร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างไม่อาย เพราะไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกตอนนี้อย่างไรดี

“โธ่ลูกเอ๊ยมานี่มา” ตัวของผมถูกคุณเล็กดึงเข้าไปกอด และผมที่กำลังต้องการที่พึ่ง ก็รับเอาความใจดีนั้นด้วยการกอดตอบแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพูดไม่รู้เรื่อง เลยได้แต่ตั้งใจฟังสิ่งที่คุณเล็กบอก “อาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่อาเชื่อว่ามันไม่ใช่ความเหลวไหลของธาร อารู้ธารเป็นเด็กดี”

ผมส่ายหัวรัว ๆ อยู่กับอกของคุณเล็กปฏิเสธ “ไม่ดี ไม่ดีเลยครับ ผมออกไปเที่ยวกลางคืน แล้วยัง..”

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก”

“อาเล็กรู้เหรอครับว่าเมื่อคืน..” ผมผละออกมองหน้าคุณเล็ก อยากเห็นว่าตอนนี้เขาทำหน้ายังไง จะตำหนิจะรังเกียจผมไหม

“เมื่อคืนธารโดนคนใจร้ายหยอดยามา” ผมงงและไม่เข้าใจ และคงแสดงออกมาให้เห็นทางสีหน้า คุณเล็กเลยเล่าเรื่องที่เขาคุยกับคุณเพลิง และคุณหมอให้ฟัง นี่มีคนอื่นรู้เรื่องเพิ่มมาอีก โดยที่ผมยังไม่รู้เรื่องของตัวเองด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ

“ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราไม่เป็นไรก็ดีแล้วนะ ต่อไปต้องระวังตัวให้มากขึ้น” คุณเล็กบอกแล้วรั้งผมเข้าไปกอดเหมือนเดิม ลูบหลังลูบไหล่ปลอบไปด้วย ตอนนี้เสื้อตรงหน้าอกของคุณเล็กเปียกไปหมด เพราะน้ำตาของผม แต่ผมก็ยังกอดคุณเล็กไว้อย่างนั้น รู้สึกอุ่นใจขึ้นมากเมื่อมืออุ่น ๆ สัมผัสลงบนกลุ่มผมลูบไปมาให้เบา ๆ

“ผมสัญญาว่าจะไม่ไปเที่ยวแบบนั้นอีกแล้วครับ”

“เห็นไหมเด็กดีของอา ถ้าอย่างนั้นเช็ดตัวก่อนดีกว่าจะได้นอนพัก เดี๋ยวพรุ่งนี้ลุงหมอจะเข้ามาดูอาการอีก”

“แต่..”

“ไม่ต้องกลัว ลุงหมอที่ว่าเป็นพี่ชายของอาเอง” ผมรับคำคุณเล็กเบา ๆ อยากขอให้คุณเล็กอยู่ด้วยแต่ก็เกรงใจ คุณเล็กไปเอาผ้ากับอ่างใส่น้ำใบเล็กออกมาจะเช็ดตัวให้ ผมเลยรีบปฏิเสธ เผลอขยับตัวแรงไปจนเจ็บไปถึงแผลที่ก้นด้วย

“ช่วงนี้ก็ระวังตัว ขยันทายาเดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”

“ครับอาเล็กเดี๋ยวธารทำเอง”

“ถ้าอย่างนั้นอากลับล่ะนะ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม หรืออยากให้อาอยู่เป็นเพื่อน หรือจะไปนอนห้องโน้นด้วยกัน” ทุกอย่างที่คุณเล็กเสนอมาเป็นไปไม่ได้สักอย่าง ผมรีบปฏิเสธเพราะความเกรงใจ นอกจากเกรงใจคุณเล็กแล้วยังเกรงใจคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องด้วย



ผมนอนเจ็บทำอะไรไม่ได้มากอยู่สองสามวัน อาการถึงได้เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เหลือก็แต่บาดแผลตรงนั้น ที่ถึงจะดีขึ้นมากแล้วแต่ยังไม่หายสนิท ยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้างถ้าเผลอนั่งหรือขยับตัวแรงเกินไป ที่แย่ที่สุดก็ตอนเข้าห้องน้ำนี่แหละ เพราะมันยังเจ็บและทรมานอยู่มาก ส่วนคุณชายไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไรกับผมมากนัก นอกจากเวลาหิว กลางคืนเขาออกไปเที่ยวทุกคืนกลับมาก็เกือบเช้าแล้ว



เขาก็...ยังใจร้ายเหมือนเดิม มองผมด้วยตาขวาง ๆ ดุ ๆ เหมือนเดิม แต่เพราะขัดคุณเล็กไม่ได้ เลยต้องทำอะไรหลายอย่างให้ผมแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก



กุ๊กไก่โทรมาหาเพราะผมขาดเรียนหลายวัน ก็ไม่รู้จะตอบเพื่อนไปว่ายังไง นอกจากต้องโกหกไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ที่ไม่ได้ไปเรียนตลอดอาทิตย์เพราะไม่สบายนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเพื่อนจะเชื่อหรือเปล่า แต่กุ๊กไก่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้นนอกจากบ่น ว่าผมกับเก้าทำไมไม่สบายพร้อมกัน ปล่อยให้เธอไปเรียนคนเดียว ส่วนร่องรอยตามตัวที่ผมแทบช็อกตอนเห็นครั้งแรก เริ่มสีอ่อนลงมากแล้ว เหลือแค่รอยจาง ๆ ที่คงใส่เสื้อผ้าปิดไว้ได้ ยังดีที่เด็กปี 1 อย่างพวกผม ต้องใส่เชิ้ตแขนยาวผูกเนกไทอยู่แล้ว การแต่งตัวเรียบร้อยถูกระเบียบทุกวันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก



ผมหอบที่นอนออกมาปูนอนหน้าทีวีในห้องรับแขกเหมือนเดิม หลังจากพักมาทั้งอาทิตย์ พรุ่งนี้คงไปเรียนได้สักที แค่นี้ก็กลัวเรียนไม่ทันเพื่อน แล้วยังมีเรื่องอยากถามกุ๊กไก่กับเก้า ว่าสองคนนั้นรู้เรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นกับผมบ้างหรือเปล่า...

ปัง!!



******************

ในที่สุดก็ได้อัพวันนี้ ทั้งที่จริงอยากอัพตั้งแต่เมื่อวาน แต่มันยังไม่สุดค่ะ

ตอนนี้อยู่ดี ๆ ก็ยาวเฉยเลย แล้วดาวไม่อยากตัดเป็นตอนใหม่ เพราะเนื้อหามันค่อนข้างต่อเนื่องกัน

เลยแบ่งอัพเป็นสองพาร์ท ไม่ได้แบ่งเปอร์เซ็นอะไรนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้น่าจะอัพคึ่งหลังได้

ส่วนเรื่องของเนื้อหาและพล็อตของเรื่องนั้น คนที่เคยอ่านเรื่องของน้าเดชนุรันคงรู้กันอยู่แล้ว ว่าเรื่องของลำธาร

ดาวตั้งใจว่าจะเขียนต่อจาก เรื่องของน้าเดชกับนุรัน ซึ่งนั่นมันตั้งแต่ ปี 2559 เนื้อหาหรือพล็อต 

มันเลยอาจจะไปคล้ายคนอื่นบ้าง ทำให้เกิดการคาดเดาว่าเรื่องมันต้องมาอีหรอปนี้ หรือมีกลิ่นน้ำเน่าอยู่บ้าง

อันนั้นดาวไม่รู้จริง ๆ เพราะไม่ได้อ่านนิยายทุกเรื่อง แต่พล็อตนี้เป็นพล็อตเดิมที่ดาวเขียนไว้ ตั้งแต่ปี 2559

เพิ่งจะได้เอามาเขียนต่อ และไม่ได้เปลี่ยนเนื้อหาอะไร นอกจากเปลี่ยนเอาคู่รองออกไปเปิดเรื่องใหม่ (คู่อาเล็ก + กานต์)

เพราะอยากเขียนโฟกัสไปที่คู่หลักคู่เดียว ดังนั้นถ้ามีเบื่อ ๆ บ้างเพราะเจอแนวนี้มาเยอะ ยังไงก็ติดตามดูก่อนนะคะ ดาวว่า

นิยายดาว มันมีความต่างอยู่ในตัวอยู่แล้ว อยากรู้ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ

โดยเฉพาะตอนหน้ามีเสียวแน่  

รักนะคะ

ดาว

27-2-2562
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 13 (ครึ่งแรก) (9/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 10-03-2019 03:22:04
ทำไมรอบข้างธารถึงมีแต่คนเลวๆ เก้าโดนอะไรบ้างเพราะหายไปเลย พี่รหัสก็เหี้ยมาก
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 13 (ครึ่งหลัง) (10/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-03-2019 22:48:36


กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า..รัก ตอนที่ 13 ครึ่งหลัง

ปัง!!

นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเคลิ้มหลับไปตอนไหนไม่รู้ มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงดังปัง ผมตกใจรีบลุกขึ้นเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปทางประตูห้อง พอเห็นว่าเป็นเจ้าของห้องเมากลับมาเหมือนทุกวัน ก็ล้มตัวลงนอนไม่สนใจเขาอีก ใช่..มันควรจะเป็นอย่างนั้น รับรู้การมีอยู่ของกันและกัน แต่ไม่ได้สนใจกันเลย ตอนนี้ผมก็ไม่ควรสนใจเขา ถ้าไม่ได้กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งอยู่ใกล้ ๆ พอหันกลับไปดูก็ถูกอะไรหนัก ๆ โถมทับเข้าใส่ อะไรหนัก ๆ ที่ฉุนไปด้วยกลิ่นเหล้าผสมกลิ่นเหงื่อ อย่างร่างกายสูงใหญ่ของเขา

“ปล่อยนะคุณมานอนทับผมทำไม จะทำอะไรของคุณ!”

“กูอยากเอากับมึง..”

“จะบ้าเหรอปล่อยผม!” ปัดมือของเขาที่กำลังดึงทึ้งเสื้อผ้าของผมอย่างบ้าคลั่ง เขาเมามากจนไม่มีสติ แต่จะมาทำรุ่มร่ามกับผมอย่างนี้ได้ยังไง

“อย่าดิ้นสิวะ!” มือทั้งสองข้างถูกเขาสอดนิ้วประสานเข้ามา แล้วกดลงกับฟูกนอนด้วยแรงที่เหนือกว่า ตัวก็ถูกทับจนแทบขยับไปไหนไม่ได้

“ไม่นะคุณเพลิง อื้อออ” ผมพูดได้เพียงเท่านั้น ปากก็ถูกประกบปิดดูดดึงจนเจ็บไปหมด เขาสอดลิ้นแทรกเข้ามาข้างในควานไปทั่ว รู้สึกได้ถึงแรงดูดหนัก ๆ เหมือนจะกลืนกินทั้งปากของผม รสเหล้าแปร่งปร่าที่ติดลิ้นของเขา แทรกเข้ามาในประสาทการรับรู้ ร่างกายถูกกดทับจนดิ้นไม่ได้ ขาสองข้างถูกทับด้วยน้ำหนักทั้งหมด จากขาของเขาทั้งสองข้างเหมือนกัน และถูกดันให้แยกออกกว้าง

“อย่านะ อย่าทำ..อย่างนี้ อื้อออ คุณ เพลิง!” ผมรีบบอกทันทีที่ปากเป็นอิสระ เมื่อเขาไล่ดูดไล่ขบไปตามซอกคอจนผมเสียวสยิว แต่เขาไม่ฟังและไม่หยุด ยังไล่แตะริมฝีปากร้อนขบเม้มไปทั่ว

“คุณกำลังข่มขืนผม!”

“แล้วไงวะ” เขาถามแล้วก้มลงดูดหนัก ๆ ที่ไหล่ของผม เสื้อตัวเก่าที่คอย้วยยืดตกจากไหล่ เผยให้เห็นหน้าอกบางส่วน คราวนี้เจ็บจี๊ดจนสะดุ้ง ผมเริ่มหายใจไม่ค่อยออก เพราะน้ำหนักที่ทับลงมาทั้งตัว ความนุ่มนิ่มของริมฝีปากล้อมกรอบด้วยตอหนวด ถูไถตามข้างแก้มและใบหู บวกกับกับลมหายใจอุ่นของเขาทำผมขนลุกไปทั้งตัว

เขาตะคอกใส่หน้าผม “มึงรู้ไหม! อาเล็กคิดว่าคืนนั้นกูข่มขืนมึง ทั้งที่กูไม่ได้ทำเหี้ยอะไรเลย!”

“แต่..”

“ทำไมกูต้องถูกเขากล่าวหา ทั้งที่ไม่ได้ทำเรื่องเหี้ย ๆ อย่างนั้น!”

“แต่ตอนนี้คุณกำลังทำ”

“กูเลยจะเหี้ยให้สุดไง! ” แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นเหมือนคนเสียสติ มือทั้งสองข้างของผมเป็นอิสระแล้ว แต่กลับทำได้แค่ผลักไหล่เขาดันไว้ ไม่ให้ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดทับลงมา ด้วยแรงที่เรียกได้ว่าน้อยนิดเหลือเกินถ้าเทียบกับเขา ผมถูกกอดแน่นจนดิ้นไม่ได้ เขาเริ่มซุกไซ้ใบหน้าไปตามซอกคอ ทั้งขบทั้งกัดจนเจ็บแปลบไปหมด พรุ่งนี้เช้ารอยที่เริ่มจางไปแล้วต้องกลับมาอีกแน่ ๆ ร่างกายส่วนล่างของเราบดเบียดกัน ผมสัมผัสได้ถึงความต้องการของเขา ที่กำลังแข็งขันดุนเนื้อผ้ากางเกงจนนูนเป็นแท่ง มันแข็งมากจนผมเจ็บ เมื่อมันถูกกดลงกับหน้าท้อง

“อย่านะคุณเพลิง”

“หุบปากกูรำคาญ แค่ยอมกูดี ๆ มึงจะไม่เจ็บตัว”

“อ๊ะ! ไม่”

“หึ”

“ผม อย่าทำผม อย่านะคุณเพลิงผมเจ็บอยู่”

“เจ็บก็ช่างหัวมึง เจ็บยังไงกูก็จะเอาอยู่ดีมานี่เลย” เหวอ... ผมร้องเสียงดังเผลอกอดคอเขาแน่น พอสองขาที่ถูกกดให้อ้ากว้างเป็นอิสระ ก็ตวัดเกี่ยวเอวสอบตามสัญชาตญาณทันที เมื่อถูกอุ้มขึ้นแบบไม่บอกกล่าว แต่พอตั้งสติได้ก็ต้องดิ้นพล่านเป็นพัลวัน เพราะจุดหมายปลายทางที่เขากำลังพาไป คือห้องนอนของเขา!

“โอ๊ย! คุณเพลิง อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!” เขาฟาดมือหนัก ๆ ลงมาบนก้นผม!

“บ้าก็ผัวมึง” เขาวางผมลงบนเตียงไม่เบานัก แต่ก็ไม่ถึงกับโยน ผมรีบกระถดตัวถอยหนี เมื่อเขายืดตัวขึ้นถอดเสื้อหนังสีดำที่ใส่อยู่ออก โยนทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วกระโจนขึ้นมาบนเตียง ผมตะเกียกตะกายหนีไปอีกทาง เลยถูกเขาจับข้อเท้ากระชากกลับมาอย่าแรง

“ปล่อยผม อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะคุณเพลิง”

“กูจะทำดี ๆ ก็ได้ถ้ามึงไม่ดิ้นหรือมึงชอบเจ็บตัว สายเอ็มหรือมึง”

“ไม่ผมไม่ให้ทำปล่อยผม! “เพียะ!!

ในความสลัวของโคมไฟหัวเตียง ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำ ทุกอย่างหยุดชะงักนิ่งทันที หลังเสียงฝ่ามือปะทะเข้ากับแก้มสาก ผมไม่เคยคิดทำร้ายร่างกายเขา ทั้งที่ถูกเขากระทำจนเจ็บหนัก ไม่เคยคิดเลยจริง ๆ จนกระทั่งฝ่ามือผมฟาดใบหน้าเขาเต็ม ๆ แต่ผมขอสาบานว่ามันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ไม่เลยสักนิด แต่เป็นเพราะผมดิ้นสุดแรง ปัดป้องไม่ให้เขาก้มเข้ามาจูบ เราต่างคนต่างสู้สุดกำลังที่มี เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ ผลมันจึงออกมาเป็นแบบนี้

เขากัดฟันแน่นจนกรามนูนเป็นสัน “มึง!”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ คุณทำให้ผมต้องป้องกันตัว”

“หุบปาก! “

“อย่า อื้ออออ” ผมมีโอกาสร้องออกมาได้เท่านั้น ก็ถูกเขาตะปบสองมือเข้ากับใบหน้า กระชากไปปิดปากด้วยจูบป่าเถื่อน กดลงมาอย่างคนหิวกระหาย ทั้งดูดทั้งกัดทั้งสอดลิ้นควานไปทั่ว ดูดดึงดื่มกินจนผมหายใจแทบไม่ทัน ไม่รู้เพราะเขาอดอยากมาจากไหน หรือทำไปเพราะความโกรธ แต่ก็สร้างความเจ็บไปให้ผมไปทั้งปาก กลิ่นสนิมเลือดตีขึ้นจมูก ปากผมคงแตกจนบวมเจ่อไปหมดแล้ว

ร่างกายถูกสัมผัสอย่างหยาบคาย เพราะผมไม่ให้ความร่วมมือ เลยถูกจับล็อกใบหน้าด้วยมือแข็งแกร่งทั้งสองของเขา ดึงให้ยืดตัวขึ้นรับจูบ เขาคร่อมอยู่ช่วงเอว นั่งทับกดดันความแข็งขืนคับแน่นลงกับหน้าท้อง ผมสัมผัสได้ถึงความต้องการเต็มเปี่ยม ทิ่มแทงผิวเนื้อผ่านเสื้อผ้าที่เราสวมใส่

“อ๊า!” ผมจิกเล็บเข้ากับต้นแขนแน่น ๆ ของเขา เมื่อส่วนกลางกายไวสัมผัส ถูกบดเบียดด้วยอะไรบางอย่าง ที่กำลังแข็งเป็นท่อนในกางเกงของเขา ร่างถูกดันให้เอนลงไปกับที่นอน ทั้งที่เขาไม่ยอมปล่อยให้ปากผมเป็นอิสระ ซ้ำถูกทับด้วยลำตัวหนาหนัก เขาเปลี่ยนจากการคร่อมกลางลำตัว เป็นทาบทับร่างกายทิ้งน้ำหนักทั้งหมดให้ แทรกตัวเองเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างขา ที่ถูกบังคับให้ต้องอ้าออกโดยปริยาย ความรู้สึกบางอย่างวูบวาบเข้ามาในประสาทรับรู้ ซาบซ่านไปทั้งตัวจนผมใจหาย ไม่อยากยอมรับเลยว่าการทำแบบนี้ มันสามารถกระตุ้นความรู้สึกร่วมของผมได้เป็นอย่างดี ความรู้สึกตอนถูกท่อนอะไรแข็ง ๆ บดเบียดกับกลางลำตัว

“แค่นี้ก็ครางซะเสียงดังเลยนะมึง”

“ผะ ผมเปล่าปล่อยผมนะคุณ”

“เงียบก่อนที่กูจะรำคาญ” ผมหายใจหอบจนเสียงดัง เมื่อการคุกคามเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิด ข้อมือทั้งสองข้างถูกเขากดไว้ แต่การบดเบียดร่างกายเข้าหากันจนแนบชิด กับริมฝีปากแตะไต่จูบซับเบา ๆ ไปตามขมับ ไล่ผ่านใบหูลงมาถึงจุดน่ากลัวแถวลำคอ ทำให้ผมแปลกใจไปพร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง ก่อตัวขึ้นในร่างกายจนอดกลัวไม่ได้

“อย่าทำเลยนะครับได้โปรด อ๊ะคุณเพลิง! “ผมตกใจเลยเผลอร้องเสียงดัง เพราะอยู่ดี ๆ เขาก็ยืดตัวขึ้นอยู่ในท่าคุกเข่า กระชากผมให้ลุกตามแล้วดึงมือผมไปวางตรงกลางลำตัว ที่มีแท่งแข็ง ๆ หลบซ่อนอยู่ในนั้น

“ไม่ทำได้ไงกูอยากจะตายอยู่แล้ว จับดูสิ..จับไว้” ผมไม่ยอมจับ เขาเลยบังคับมือผมให้แบออก แล้วกดคลึงวางทาบนวดไปตามความยาว แค่สัมผัสภายนอกยังจินตนาการไปถึงขนาดของมัน ที่คงจะใหญ่โตจนน่ากลัว เขาจับมือผมกดไว้กับส่วนแข็งแกร่งของตัวเองด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างแกะกระดุมกางเกงยีนที่ใส่อยู่รูดซิปลง และยังไม่ทันที่ผมจะได้ดึงมือออก ก็ถูกบังคับให้ล้วงผ่านขอบกางเกงในเข้าไปสำรวจ ขณะที่เขาดึงกางเกงออกจากตัวไปพร้อมกันทั้งสองชิ้น

“จะสะดุ้งทำไมวะ มันเคยเข้าไปในตัวมึงแล้วตั้งค่อนคืน”

“ไม่” ผมส่ายหน้าไม่ยอมรับ พยายามดึงมือกลับแต่ถูกจับไว้แน่น ข้อมือแดงไปหมด ผมผิดเองที่ไม่รีบออกไปอยู่ที่อื่น ผิดเองที่คิดว่าเขาคงไม่ทำแบบนี้กับผมอีก นอนรักษาตัวอยู่ที่นี่เพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ในขณะที่ร่างกายยังเจ็บป่วย ช่วงที่ผ่านมาเขาเองไม่ได้สนใจ ไม่มีท่าทีจะทำเรื่องนี้กับผมเลย ผมจึงชะล่าใจ จนไม่คิดว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นอีก

มือของผมไม่ได้ถูกบังคับให้จับตรงนั้นของเขาแล้ว แต่ยังถูกยึดไว้ไม่ปล่อย เลยพยายามถอยออกห่าง แต่สะบัดข้อมือให้หลุดยังไงก็ไม่หลุดสักที เขาถอดกางเกงโยนทิ้งไปอีกทางด้วยมือข้างเดียว แล้วถอดเสื้อออก หันมามองผมด้วยแววตาน่ากลัว เหมือนผมเป็นของกินชวนน้ำลายสอ เราสองคนสบตากัน ผมมองเขาด้วยสายตาไม่ปิดบังความหวาดหวั่น ถึงจะเคยรู้สึกดี ๆ กับเขา เคยแอบมองแอบปลื้มเขามาก่อน แต่มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ

“มึงจะกลัวทำไมมันสนุกจะตาย”

“ผมไม่สนุกด้วยหรอก”

“แต่กูอยากจะตายอยู่แล้วเนี่ยมึงเห็นไหม” เขาบอกพลางเดินเข่าเข้ามาใกล้ ส่วนนั้นชี้ตรงแน่วมาทางผมดูน่ากลัว เพราะมันบ่งบอกว่าอัดแน่นไปด้วยความต้องการจนบวมเป่ง เส้นเลือดพองฟูอยู่รอบ ๆ ทำให้มันน่ากลัวขึ้นมากสำหรับผม เลยรีบเลี่ยงสายตาหันไปมองทางอื่น กระถดตัวถอยจนหลังติดหัวเตียง แต่พอหันกลับมาใบหน้าของเขาก็อยู่ใกล้จนน่ากลัว

“คุณ! “

“ธาร” ผมสั่งตัวเองให้ถอยห่างไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้เพราะหลังติดหัวเตียง หรือเพราะกลีบปากคู่นั้น ที่เรียกชื่อชิดกับริมฝีปากของผม เรียกแล้วเขาไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากแตะริมฝีปากของเราคลอเคลียกันไปมา ความรุนแรงที่เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนกะทันหัน ทำให้ผมทำตัวไม่ถูกจนต้องหลับตาลง ก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำ ไม่อยากยอมรับว่าเผลอรู้สึกดี ทั้งที่เขากำลังคุกคามและขืนใจ

“ว่าง่าย ๆ กูจะได้ไม่รำคาญ” เสียงกระซิบดังชิดใบหู ผมขนลุกซู่เพราะความสยิวจนตัวสั่น บอกไม่ถูกว่ามันคือความกลัว หรือเป็นความรู้สึกแบบไหนกันแน่

“อย่าครับ” เสียงปฏิเสธของผม แผ่วเบามากจนแทบหายไปในลำคอ เมื่อความนุ่มหยุ่นของเขากดแนบกับริมฝีปากอีกครั้ง และยังมีอีกหลายครั้งตามมา จนในที่สุดเขาก็ประกบปากลงแนบแน่น สอดแทรกความหวานละมุนเข้ามาป้อน พร้อมวางมือกอบกุมกลางลำตัว ความอุ่นของฝ่ามือใหญ่ เรียกให้ส่วนกลางกายของผมตอบสนองทันที

มัน..ช่างน่าอายเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 13 (ครึ่งหลัง) (10/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-03-2019 22:49:08



ผมกำลังพ่ายแพ้ให้กับอะไรก็ตามที่พยายามต่อต้าน เพราะนอกจากตัวเขา ที่คอยกระตุ้นด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ยังเป็นเพราะตัวผมนี่เอง ใจไม่แข็งพอต้านทานความต้องการของตัวเอง เหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวกำลังเรียกร้องหาการสัมผัส และมันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยามสบตาเข้ากับดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยไฟปรารถนาของเขา ร่างกายตอบสนองมืออุ่นยามเขาลูบไล้ไปตามเนื้อตัว และนั่นทำให้ผมได้รู้ ว่าตัวเองไม่มีเสื้อผ้าเหลือติดตัวแล้ว ถึงไม่อยากยอมรับว่าชอบสัมผัสของเขา แต่ผมกลับเผลอตัวไปตามการนำพาอย่างว่าง่าย มันช่างน่าอายเหลือเกิน

ผมหลงไปกับรสจูบหลอกล่อ หลงไปกับมืออุ่นที่สัมผัส ในขณะที่ใจหนึ่งปฏิเสธ อีกใจกลับเสียดายความซาบซ่าน ที่กำลังเรียกร้องให้ผมทำอะไรสักอย่างตอบสนอง มือของผมถูกจับไปวางไว้กับแท่งเนื้อแข็งแกร่ง ที่ตอนนี้มันร้อนผ่าวจนกลัวจะลวกมือ เขาทำเหมือนกำลังสอนบทเรียน และผมกำลังเรียนรู้ เม็ดตุ่มไตบนหน้าอกถูกปลายลิ้นอุ่นตวัดเลีย ทำผมถึงกับสะดุ้ง เพราะการถูกสัมผัสตรงนั้นครั้งแรกด้วยปลายลิ้น มือที่กำแท่งเนื้อร้อน ๆ ของเขาอยู่ เลยเผลอกำแน่นขึ้นตามระดับความรู้สึกในกาย

เรี่ยวแรงของผมอ่อนเปลี้ยลงเรื่อย ๆ ขัดกับความรู้สึกบางอย่างเต็มตื่นขึ้นมาแทน เมื่อถูกโอบกอดไปพร้อมกับการปลุกเร้า ผมรับรู้ได้ถึงความต้องการของเขา ว่าเขากำลังต้องการผม ยังมีเขาที่ต้องการผมอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกว่าจะไม่โดดเดี่ยว ทำให้ผมพอใจและตอบสนอง กดริมฝีปากกับกล้ามหน้าอกแน่นตอนเขายืดตัวขึ้น เอื้อมมือไปเอาอะไรบางอย่างในลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียง ผมถูกความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อแน่น ล่อใจให้จูบไปทั่ว มารู้สึกตัวก็ตอนเขาละเลงอะไรบางอย่างเย็น ๆ เข้ากับปากทางข้างหลัง

“คุณเพลิง! “

“ชู่...แค่เจล”

“แต่..อื้อออ” ปากถูกปิดด้วยปากสกัดกั้นการประท้วง พร้อมกับนิ้วเปียกลื่นสอดเข้ามาในตัว ผมเสียววาบไม่ใช่เพราะความรู้สึกกระสัน แต่เป็นเพราะตรงนั้นเคยมีบาดแผลที่เพิ่งสมานตัว ทำให้ผมกลัวว่ามันจะเจ็บอีก ผมเกร็งตัวแน่นรัดนิ้วสามนิ้ว แต่เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหู ช่วยให้ผมผ่อนคลายลงได้เยอะ

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอย่ารัด แค่นี้กูก็จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” เขาใช้ริมฝีปากและปลายลิ้น ปลอบประโลมไปตามผิวเนื้ออ่อน ผมก็ยอมเขาอย่างสิ้นท่า โอนอ่อนให้เขาทำทุกอย่างที่ใจปรารถนา เปิดรับเขาอย่างน่าอาย

เขาโอบกอดไว้ด้วยอ้อมแขนรัดแน่น ผมแทบจมเข้าไปในอกกว้าง รู้สึกได้ถึงความขึงขังดุนดันปากทาง ถูไถไปมากับสัมผัสลื่น ๆ สองสามครั้ง แล้วสอดแทรกความแข็งแกร่งชุ่มเจลเข้ามาทีเดียว เหมือนเขาอดรนทนต่อความอยากไม่ได้อีกแล้ว

เหตุการณ์วันที่ผมถูกหยอดยามา จนเขาต้องช่วยปลดปล่อย เหมือนตอนนี้หรือเปล่าผมไม่รู้ เพราะไม่กล้าถาม รู้แต่ว่าตอนนี้ เริ่มแรกที่ร่างกายถูกรุกรานผมเจ็บ ความเจ็บที่แทรกเข้ามาในความรู้สึกคับแน่นจนอึดอัด และอีกความรู้สึกที่ผมไม่กล้าพูดถึงมัน ผมจิกเล็บลงกับแผ่นหลังของเขา ระบายความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เมื่อเขาแทรกตัวเขามาจนสุดความยาว ทิ่มแทงส่วนลึกล้ำในร่างกาย และทำให้ผมกระวนกระวายมากขึ้น เมื่อเขาแช่ตัวทิ้งไว้อย่างนั้น แล้วเอาแต่เล่นกับตุ่มเนื้อบนหน้าอกผม จนมันเปียกเลอะน้ำลายไปหมด ร่างกายของผมบิดเร่าควบคุมไม่ได้ นอนหลับตาปากเผยออ้ารับอากาศ รับความรู้สึกแปลกใหม่ถาโถมเข้าสู่ร่างกาย

ผมอึดอัดไม่รู้จะทำยังไงเลยขยับตัว และนั่นส่งผลไปถึงบั้นท้าย แท่งเนื้อของเขาเสียดสีเข้ากับอะไรบางอย่างในตัว ความกระสันจู่โจมทันทีจากตรงนั้น ใจผมกระตุกเสียววาบ เมื่อความซาบซ่านจากจุดนั้น ส่งต่อปฏิกิริยาไปยังปลายประสาททุกส่วนในร่างกาย มันทำให้ผมอายจนไม่กล้ามองหน้าเขา ยิ่งได้ยินเสียงหึดังออกมาจากลำคอของเขา ผมยิ่งอย่างให้ทุกอย่างหยุดลงตรงนี้ ทั้งกลัวทั้งอาย แต่อีกใจไม่รักดีกลับเรียกร้องให้ไปต่อ ใจที่อยากรู้ว่าความรู้สึกต่อจากนี้เป็นยังไง ใจที่เรียกร้องหาการสัมผัสที่มากกว่า

....มันตั้งคำถามว่าคืนนั้น ผมถูกเขาสัมผัสแบบนี้ใช่ไหม

“คุณ คุณครับ” ผมเรียกเขาขณะที่ใบหน้าหงายเชิดขึ้น ตอนถูกตอหนวดสาก ๆ ถูไถผิวอ่อนแถวซอกคอ ไม่รู้ว่าเรียกทำไม แต่ข้างล่างก็ขยับตามคำพูดด้วยโดยไม่รู้ตัว

“อะไร”

“ผม” อายเกิดกว่าจะพูดออกมา แต่ถ้าไม่พูดแล้วเขาจะรู้ไหม” ผมอึดอัด”

“อยากให้กูเริ่มว่างั้น” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ผมรู้ว่าไม่ใช่เพราะคอแห้งหรือกระหายน้ำ แต่เพราะเขาเองต้องการอะไรมากกว่านี้เหมือนกัน ผมร้อนผ่าวไปทั้งหน้าจนต้องยกสองมือขึ้นปิด เมื่อเขาก้มลงมาใกล้ขึ้นอีก ไม่รู้ว่าเขาอยากเห็นหน้าผมชัด ๆ หรือแค่อยากเอาปากมาล้อเล่นกับริมฝีปากของผม กดเม้มสองสามที พอผมเผยอปากอ้าขึ้นแค่เล็กน้อย เขาก็ปล่อยความหวานด้วยการสอดปลายลิ้นเข้ามา มันเย้ายวนจนผมเผลอตวัดปลายลิ้นตอบเขาไป

“เมื่อกี้หมาไหนมันบอกไม่ให้กูเอาวะ” เขากระซิบบอกทั้งขยับส่วนนั้นเข้าออกช้า ๆ เป็นจังหวะเนิบนาบน่าขนลุก ผมหายใจหอบถี่ ถ้าเขาล้อผมต้องอายมากแน่ ๆ

“ตอนนี้เป็นยังไง มึงอยากเห็นหน้าตัวเองไหมล่ะ” เขาไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะถามแค่นั้นก็อ้าปากครอบปากผมดูดหนัก ๆ ไล่จูบไล่ขบกัดไปจนถึงตุ่มเนื้อตรงกลางหน้าอก ริมฝีปากอุ่นของเขาทำให้ผมหลงลืม สับสนอยู่ในความล่องลอยที่ปฏิเสธไม่ได้ มันเย้ายวนจนผมทิ้งความเขินอาย กระโจนลงในหลุมอะไรสักอย่าง ที่ขุดล่อด้วยปลายลิ้นและการสัมผัส เขาส่ายเอวเบา ๆ ถอยออกแล้วขยับเข้ามาเนิบนาบ แต่กลับทำให้ผมอยากกรีดร้องเหมือนคนบ้า มันคงน่าขบขันมากสำหรับเขา และผมไม่อยากเป็นตัวตลก

“อ๊ะ! คุณ!”

“ซี๊ดดด กูทนไม่ไหวแล้วแม่งเอ๊ย” เพราะอึดอัดและกลัวเขาจะล้อ ผมเลยขยับตัวจะลุกขึ้น แต่อะไรบางอย่างที่ชำแรกอยู่ในตัว กลับทำให้ผมเกิดความกระสัน เพราะความเสียวสยิวจากการเสียดสี เขาสบถเสียงดังแล้วกอดผมแน่น ขยับรัวเข้าใส่ช่องทางจนแสบไปหมด ร่างกายผมรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน เกร็งแน่นในอ้อมกอดของเขา

มันเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูก ทั้งที่ใจอยากต่อต้าน แต่ร่างกายกลับทำสิ่งตรงข้าม ทั้งที่ใจบอกว่าไม่ทุกคำ แต่ร่างกายกลับเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ กระโจนลงสู่หลุมลึกดำมืด หลุมที่สุมเต็มไปด้วยไฟร้อนแรง พร้อมจะแผดเผาให้มอดไหม้ได้ทุกเมื่อ

...แต่ผม..กลับกระโจนลงไปด้วยความเต็มใจ

ความเร่าร้อนยามเขากระแทกเข้ามา กับความหวามไหวยามถอนตัวออก ริมฝีปากอุ่นที่กดจูบดูดดึงไร้ความถนอม ฟันคมที่ขบกัดอย่างมันเขี้ยว มือร้อนผ่าวที่ลูบไล้สำรวจ ทุกอย่างทำผมแทบขาดใจ เหมือนร่างกายอัดแน่นด้วยประจุไฟฟ้า มันวูบวาบไปหมด และนั่นทำให้ผมตกใจ เมื่อพบว่าตัวเองรู้สึกดีกับสิ่งที่เขาทำ!

ผมถูกจับพลิกให้นอนคว่ำ เขาโอบกอดมาจากข้างหลัง สอดใส่ความแข็งร้อนเขามารวดเดียวจนสุด ขาข้างหนึ่งถูกดันแยกออกกว้าง ให้เขากระแทกถนัดถนี่ ผมอ้าปากรับอย่างลืมอาย เมื่อถูกจับให้หันหน้ากลับไปรับจูบ จนเขาพอใจถึงปล่อย ความเสียวซ่านเริ่มเล่นงานอีกระลอก ต้องซบหน้าลงกับหมอนกัดไว้แน่น มือทั้งสองจิกกำผ้าปูที่นอนจนยับย่น

“รูดของมึงไปด้วย” ได้ยินแว่ว ๆ ว่าเขาบอกให้ทำอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่เข้าใจ จนกระทั่งมือข้างหนึ่งที่จิกผ้า ถูกดึงไปวางกับท่อนเนื้อ ที่ยังแข็งไม่เต็มที่ของตัวเอง และพอได้รับสัมผัสจากมืออุ่นเท่านั้นแหละ จากที่ยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ ตอนนี้มันทั้งแข็งทั้งร้อน ส่วนปลายบวมเป่งเหมือนกำลังจะปริแตก ความอยากถาโถมเข้าใส่จนตั้งรับไม่ทัน ผมคงบ้าไปแล้ว ไม่ต้องให้เขาบอกอะไรอีก ผมเร่งมือสาวแท่งเนื้อตามจังหวะกระแทกกระทั้น ตกลงสู่ห้วงเหวที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงเร่าร้อน แต่กลับมืดดำจนมองไม่เห็นทางขึ้น ความวูบวาบหวามไหวแผ่กระจายไปทั่ว จังหวะสอดใส่ถี่รัวรับกับแรงสาวรูด ครางกระเส่าราวกับทรมาน

ในที่สุดผมก็พบกับความว่างเปล่าเบาหวิว ปลายปริ่มน้ำใสในคราแรก ปลดปล่อยของเหลวขาวขุ่นออกมา คนข้างหลังยังเร่งตัวเองรัวแรง ผมหลุดเสียงครางลากยาว แต่กลับรู้สึกถึงความไม่สุด เลยรีบสาวรูดตัวเองรัว ๆ มือข้างหนึ่งยังจิกผ้าปูที่นอนแน่น บั้นท้ายขยับสวนเข้าใส่เขาไม่รู้ตัว ร่างผมเกร็งกระตุกเฮือก ของเหลวขาวขุ่นพุ่งออกมาอีกระลอก รับรู้ถึงความเบาหวิวเหมือนร่างกายกำลังล่องลอย

“มึง! โอ๊ะสัด!! รัดกูไปอีก “แต่ผมยังไม่หลุดจากพันธนาการ ถูกเขาตะปบที่เอวด้วยมือทั้งสองแข็งปานคีมเหล็ก กักบังคับให้บั้นท้ายกระแทกสวนรัว ๆ รู้สึกถึงความใหญ่โตร้อนผ่าวเร่งเข้าออก มันร้อนเร่าจนกลัวจะลุกเป็นไฟ รับรู้ถึงความเกร็งแน่นของร่างกายสูงใหญ่ และในที่สุด ผมก็ได้ยินเสียงครางคำรามต่ำของเขา พร้อมกับแท่งเนื้อที่เน้นย้ำเข้าลึกสุด เต้นกระตุกรัวอยู่ภายใน ร่างกายของผมหลุดเข้าสู่ห้วงความผ่อนคลาย ถึงได้รู้ว่าตัวเองขมิบรัดเขาแน่น

ผมหายใจหอบ เหงื่อซึมออกมาตามไรผม มันเหนื่อยแต่กลับ..รู้สึกบางเบา ในความง่วงผมตื่นตัว เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาทิ้งตัวทับลงมา ไม่สนใจเลยว่าผมจะหนักแค่ไหน แถมยังไม่ยอมถอนส่วนนั้นออกไปจากตัวผม ตัวเขาเองก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่น้อยไปกว่ากันเลย

“ปล่อยผมสิ”

“เงียบ! “คิดว่าตัวเองควรออกไปได้แล้ว แต่พอขยับตัวจะลุกขึ้น ก็ถูกเขารวบกอดไว้จากข้างหลังแน่น การดิ้นหนีของผมทำให้ร่างกายของเราหลุดจากกัน แต่ผมกลับยังหลุดไปจากอ้อมแขนแข็งแรงคู่นี้ไม่ได้เลย

“ผมจะไปอาบน้ำ”

“อาบทำไมยังไม่เสร็จ”

“ก็เมื่อกี้”

“นั่นมันแค่รอบแรก มึงคิดว่ารอบเดียวมันพอสำหรับกูหรือไง”

“แต่..”

“กูไม่พักแม่งแล้ว!”



*******

ตอนที่ 13 น่าจะเป็นตอนที่ยาวที่สุด แต่ NC มีบ่อย ๆ จะดีมั้ย 555

ยังไงเจอกันตอนหน้าดีกว่าค่ะ ไม่อยากพูดมากเดี๋ยวเผลอสปอยด์ อิอิ

(เมื่อกี๊พิมพ์ไปแล้วแต่ลบทันไง)

สุขสันต์วันสิ้นเดือนะคะ

ดาว

28-2-2562
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 13 (ครึ่งหลัง) (10/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 11-03-2019 17:05:19
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 14 (14/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-03-2019 09:36:33



**เนื้อหายังไม่รีไรท์



กว่าจะลงเอยด้วยคำว่ารัก 14

#ลำธาร



อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเช้าอยู่แล้ว เขาถึงยอมปล่อยให้ผมนอนดี ๆ ส่วนเขาเองเหมือนจะหลับไปทันทีเหมือนกัน หลังจากตักตวงเอาความสุขจากร่างกายของผมหมดแรง ทิ้งเพียงบางสิ่งบางอย่างไว้ในตัวผม แต่จะโทษเขาคนเดียวคงไม่ได้ เพราะผมใจอ่อนเองด้วย หลับไปได้ไม่นานหลังจากนั้น ก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกทั้งที่นอนยังไม่เต็มอิ่ม ใจมันกังวลอยู่ตลอดว่าต้องรีบลุกขึ้นมาเก็บของ ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปอยู่ที่อื่น และต้องไปวันนี้ ส่วนคุณลุงพิภพค่อยหาโอกาสบอกทีหลัง ถ้าผมอยู่ที่นี่ต่อไปมันอาจจะไม่จบแค่นี้ ผมไม่อยากเป็นที่ระบายของเขา



คนนอนข้าง ๆ ยังหลับไม่รู้เรื่อง แต่ทั้งที่หลับเป็นตายอย่างนั้น เขายังไม่วายข่มเหงวางอำนาจกับผม ด้วยการพาดทั้งท่อนแขนและท่อนขากักตัวผมไว้ ไม่ได้สนใจว่าผมจะหนักหรือนอนไม่สบายสักนิด ผมกลั้นหายใจตอนจับแขนเขาออกจากช่วงอก ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วยกขาหนัก ๆ ของเขา ที่ก่ายอยู่บนต้นขาตามออกไป แอบปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อจับแขนจับขาของเขาออกจากตัวได้หมดแล้ว แต่เขายังหลับเป็นตายอยู่เหมือนเดิม ผมลุกจากเตียงเก็บเสื้อผ้าที่ถูกเขาโยนทิ้งไว้แถวนั้นมาใส่ลวก ๆ รีบออกจากห้อง อาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบมาเก็บของก่อนเขาจะตื่น แต่ยังทำอะไรไม่เสร็จดีเขาก็เดินหน้าตึงเข้ามา จนผมรีบเอากระเป๋าซ่อนแทบไม่ทัน ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องซ่อน



“ไปไหนของมึง” เขาถามเสียงห้วน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงตัวสั่น เขาหมายความว่ายังไง หรือเขารู้แล้วว่าผมจะไปอยู่ที่อื่น แอบเหลือบหางตามองไปทางกระเป๋าที่ซ่อนไว้ กลัวเขาสังเกตเห็น ทั้งที่ไม่รู้ว่าถ้าเห็นแล้วเขาจะสนใจหรือเปล่า นั่นสินะเขาจะมาสนใจของไร้ค่าพวกนั้นทำไม

“กูถาม! “

“ผม ผมจะไปเรียน”

“วันนี้กูไม่มีเรียน มึงไม่อยากอยู่กับกู?” ใครจะไปอยากอยู่ด้วย แต่ผมทำได้แค่ตอบในใจเท่านั้นแหละ ตอนนี้อย่าว่าแต่ตอบคำถามเขาเลย แค่เงยหน้าขึ้นคุยกับเขาผมยังไม่กล้า

“ผมมีเรียน”

“ไปไหนก็ช่างหัวมึง”

“ครับ”

“กวนตีน!”

“ผมเปล่า”

“กูติดใจมึงหรือเปล่าวะ จะไปเรียนก็รีบไปรีบกลับ ยิ่งโง่ ๆ อยู่เดี๋ยวก็โดนเขาหลอกไปทำมิดีมิร้ายอีก” พูดอย่างกับว่าอยู่ที่นี่ ผมจะไม่ถูกทำมิดีมิร้ายอย่างนั้นแหละ เขาบอกแค่นั้นก็เดินออกไปเลย ผมเหลือบหางตาไปทางกระเป๋าเสื้อผ้าอีกครั้ง ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับมาให้เขารังแกอีก มันจะไม่ให้มีแบบนั้นอีกแล้ว



“อ้อ” เฮือก!!

“เป็นเหี้ยอะไรของมึง แค่นี้ถึงกับตกใจ”

“เอ่อ ไม่มีอะไรครับคุณจะเอาอะไร”

“หาของกินไว้ให้กูด้วย เดี๋ยวกูไปอาบน้ำออกมาต้องได้กิน”

“ครับ” ผมตกใจ ตกใจมากจนสะดุ้ง เพราะเอาแต่คิดเรื่องไปอยู่ที่อื่น เอาแต่คิดเรื่องกระเป๋าที่ยัดของเข้าไว้ลวก ๆ ไม่เป็นระเบียบเพราะรีบ จับได้อะไรก็ยัด ๆ เขาไป ดีที่ข้าวของของผมมีไม่เยอะ เลยไม่ต้องวุ่นวายตอนขนออกไปนัก ไม่คิดว่าเขาจะเดินกลับเข้ามาอีก แต่ก็โล่งใจที่เขาแค่เดินมาบอกเท่านั้น ก็เดินกลับไปทางห้องนอน ไม่ได้สนใจอาการแตกตื่นผิดปกติของผมเลย



แล้วทำไมผมต้องตกใจด้วยล่ะ เขาอาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าผมไม่กลับมา อาจจะต้องการแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้อนรับ ไม่ได้อยากให้ผมมาอยู่ด้วยแต่แรก ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ ผมรีบเปิดตู้เย็นหาของออกมาเตรียมทำอะไรไว้ให้เขากิน รีบทำให้เสร็จจะได้รีบออกไปก่อนเขาจะออกมา



*****************



“ธารแน่ใจแล้วเหรอ”

“แล้วทำไมเราจะไม่แน่ใจล่ะกุ๊กไก่”

“ก็..เราว่าธารอยู่กับพี่เพลิงก็ดีแล้วนะ”

“เราเกรงใจพี่เขาน่ะ ออกมาอยู่ข้างนอกสบายใจกว่า” หลังหมดเวลาเรียนภาคบ่าย ตอนนี้ผมกับกุ๊กไก่ยืนอยู่หน้าหอในมหาวิทยาลัย เมื่อเช้าตอนออกมาจากคอนโด ผมโทรหาเก้าจะถามเรื่องหอพัก เพราะเห็นว่าเก้าอยู่หอน่าจะพอรู้จักหรือแนะนำได้บ้าง แต่เก้ากลับกำลังจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกพอดี เลยให้มาอยู่ที่ห้องแทนได้ ผมนี่โล่งเลย

“แล้วเก้าจะมาหาเราไหม ทำไมขาดเรียนหลายวันก็ไม่รู้ โทรไปก็ไม่รับ”

“เห็นบอกจะมาพรุ่งนี้นี่ กุ๊กไก่นั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวเราไปคุยกับคนดูแลหอก่อน” กุ๊กไก่นั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าหอ เพราะเป็นหอชายจึงห้ามผู้หญิงเข้าข้างใน ส่วนหอหญิงจะอยู่ถัดไปอีกคนละฝั่ง กั้นไว้ด้วยสวนสุขภาพรอบบึงเล็ก ๆ ให้พักผ่อนหย่อนใจ

หลังอ่านกฎระเบียบอะไรเข้าใจดีแล้ว ผมรับกุญแจห้องที่เก้าฝากไว้มาจากคนดูแลหอ เพื่อเอาของขึ้นไปเก็บ เพราะเก้าจัดการไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้วทุกอย่างตั้งแต่เมื่อเช้า ที่สำคัญผมไม่ต้องจ่ายค่าหอเพราะเก้าจ่ายแล้ว ที่นี่เก็บค่าหอพักเป็นเทอม ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ราคาถ้าหารเฉลี่ยออกมาต่อเดือน ก็ถือว่าถูกมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมต้องคืนส่วนที่ต้องจ่ายให้ก้าวด้วยอยู่ดี



ผมตื่นเต้นมากเมื่อมาหยุดอยู่หน้าห้องบนชั้นสอง หอเป็นตึกสูง 3 ชั้น กำพวงกุญแจในมือแน่นจนเหงื่อชื้นไปหมด ไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป แต่สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือทำทุกอย่างให้ดีที่สุด หลังจากก้าวออกมาจากตรงนั้น ขอให้ที่นี่เป็นที่เริ่มต้นใหม่ของผม มันคงยังไม่สายไป และหลังจากนี้ผมจะก้าวไปด้วยตัวเอง



สูดหายใจเข้ายาว ๆ เรียกความมั่นใจ แต่มือยังสั่นไม่หายตอนยื่นกุญแจไปไจเปิดห้อง ไม่รู้ทำไมต้องตื่นเต้นไม่รู้ทำไมหัวใจต้องเต้นผิดจังหวะ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ อีกหลายครั้ง กว่าผมจะสอดลูกกุญแจเข้ากับลูกบิดได้ แต่...

“เฮ้ยอะไรวะ!! “

“เอ่อ ขอโทษครับ” ผมรีบก้มหน้าลงมองพื้น หลังจากเผลอมองคนที่ยืนอยู่กลางห้องจนตาค้าง เพราะเสียมารยาทเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ไม่ได้เคาะหรือส่งเสียงเตือนอะไรเลย จึงเจอเข้าเต็ม ๆ กับผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างเขายืนอยู่กลางห้อง น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ตามตัวยังมีหยดน้ำเกาะเต็มไปหมด ถือเป็นคนที่รูปร่างดีมาก แต่ผมลืมไปได้ยังไง ว่าเมื่อเช้าเก้าบอกว่าอยู่กับรูมเมตปีหนึ่งจากคณะนิติศาสตร์ ได้จับคู่กันโดยการสุ่มจับสลาก



“ลำธารใช่ไหม”

“ครับผมชื่อลำธารเรียกธารก็ได้ครับ”

“เออ กูเป้นั่นเตียงไอ้เก้า มึงชอบนอนใกล้หน้าหน้าต่างไหม” ผมมองตามมือที่ชี้ให้ดู แล้วเลยมองไปรอบห้องกว้างพอดีสำหรับอยู่ 2 คน ภายในห้องมีเตียงขนาดนอนได้คนเดียวให้สองเตียง วางขั้นด้วยชั้นวางของติดผนัง ข้างเตียงอีกฝั่งเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ เตียงวางชิดผนังฝั่งหนึ่ง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นตู้เสื้อผ้า พร้อมห้องน้ำไม่กว้างมาก

“เรานอนตรงไหนก็ได้ หรือถ้าเป้อยากเปลี่ยนมานอนใกล้หน้าต่างก็ได้นะ”

“เออ อยู่ไปเถอะตอนแรกก็อยากได้อยู่หรอกไอ้เตียงติดหน้าต่างเนี่ย แต่มาไม่ทันไอ้เก้ามันเลยได้เลือกก่อน”

“เป้จะย้ายก็ได้นะเรานอนเตียงข้างในได้”

“นอน ๆ ไปเถอะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะเป้”

“เออ แล้วนี่มึงออกไปไหนอีกหรือเปล่า” ผมเผลอสูดหายใจเข้าเสียลึก จนได้กลิ่นสบู่หอมสดชื่นจากตัวเป้ เพราะหันกลับไปเจอเขายืนอยู่ใกล้ ๆ แทบจะติดหลังผม ทั้งที่ตอนแรกยังเก็บนั่นเก็บนี่อยู่เตียงตัวเองแท้ ๆ ไม่รู้เดินมาตอนไหน แล้วทำไมไม่รีบไปแต่งตัวสักที ผมควรบอกให้เขาไปแต่งตัวก่อนดีไหม

“ไป ไปครับเพื่อนเรารออยู่ข้างล่าง” สายตาแปลก ๆ ของเป้ ทำให้ผมอึดอัดจนไม่กล้าหายใจแรง หรือที่จริงผมไม่อยากหายใจเอากลิ่นหอมเย็นจากตัวเขา แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็ทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย “ดะ เดี๋ยวเราต้องไปแล้วแค่เอาของขึ้นมาเก็บ”

“เหรอ ไปไหนกันวะถามได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ แค่ออกไปกินข้าวแถวนี้”

“หึ” ผมไม่ชอบเสียงหัวเราะแบบนี้เลย ได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนตามหลอกหลอนยังไงไม่รู้สิ “ไหนเพื่อนมึงรออยู่ไหน ใช่คนที่นั่งอยู่ม้าหินอ่อนนั่นหรือเปล่าวะ”

“อ๋อ ใช่ครับ” เป้เปิดประตูออกไปยืนเกาะลูกกรงระเบียงห้อง ชะโงกหน้าลงไปข้างล่าง ทั้งที่นุ่งแค่ผ้าผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ดีที่ห้องนี้อยู่ตรงกับทางเข้าหอ มีต้นไม้ที่ผมไม่รู้จักชื่อปลูกไว้ กิ่งของมันเลื้อยขึ้นมาถึงระเบียงเลยยังพอช่วยบังให้ได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ควรออกไปข้างนอกทั้งสภาพแบบนี้ไม่ใช่หรือไง พอผมตอบรับเป้เลยหันกลับมามอง พร้อมกับสายตาแปลก ๆ อีกแล้ว

“เพื่อนหรือแฟนกันแน่วะ มึงนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ เห็นท่าทางเรียบร้อยแต่มีสาวควงแล้ว แล้วที่ไอ้เก้าฝากดูแลนี่จะให้กูดูแลอะไรมึงอีกวะ”

“เปล่า ๆ เพื่อนเราจริง ๆ เพื่อนเก้าด้วย แล้วก็ไม่ต้องดูแลอะไร เราดูแลตัวเองได้ขอบใจนะ”

“อืม..เพื่อนจริงเหรอ ถ้าไม่ใช่แฟนงั้นกูจีบได้ไหม”

“หา!! “

“หึ มึงจะตกใจอะไรกูแค่ขอจีบเพื่อนมึง หรือมึงหวง ตกลงเป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่าวะ”

“เพื่อนจริง ๆ ครับแต่ว่าเรื่องจีบ..” คือใครจะจีบใครผมก็ไม่มีสิทธิ์ว่าหรือห้าม แต่ควรจะถามเจ้าตัวเขาไม่ใช่หรือไง

“หึ ๆ มึงนี่ตลกนะ แค่กูขอจีบเพื่อนทำหน้าอะไรของมึงอย่างนั้น”

“ก็..เราไม่รู้จะตอบยังไงนี่นา”

“เออ ๆ ไม่ต้องหวงเพื่อนมึงกูไม่จีบหรอก กูไม่ได้ชอบผู้หญิง”

“มะ หมายความว่าไง” ไม่ได้ชอบผู้หญิงถ้าอย่างนั้นก็ต้อง...



ชักกลัวรอยยิ้มกับแววตาของเป้แล้วสิ ตอนแรกผมอาจจะไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงได้มองผมด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ตอนนี้ ผมน่าจะรู้คำตอบแล้วใช่ไหม เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงนั่นก็แปลว่าชอบผู้ชาย..ได้ไหมนะ แล้วที่มองผมแบบนั้นเขาหมายความว่ายังไง ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า เขาคงไม่คิดอะไรกับผมแบบนั้นหรอกใช่ไหม

“หมายความว่ากูไม่เอาผู้หญิงไง กูเป็นเกย์!”

“อ๋อ เหรอเข้าใจแล้ว”

“แล้วไง มึงไม่กลัว? ทำไมยอมรับได้ไวนักวะ?” เผลอบีบตัวจนลีบ ท่าทางคงดูตลกมากสำหรับเขา ผมไม่ได้ตกใจที่ได้รู้ว่าเป้เป็นเกย์ เพราะผมเองถึงจะยังเขินที่จะพูดออกมาว่าตัวเองเป็น แต่ก็ยอมรับมาตั้งแต่เจอพี่ชายใจดีคนนั้นแล้ว ว่าผมชอบผู้ชาย แต่ที่เป้ทำให้ผมตกใจ เพราะตอนนี้เขาเอาแต่เดินรอบตัวผม เหมือนกำลังสำรวจหรือจับผิดอะไรสักอย่าง ผมแค่ย้ายเข้าหอนะยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย หรือเขาจะดูออก อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าผีเห็นผี จะว่าผมแสดงออกมากเกินไปก็ไม่น่าจะใช่

“ว่าไง กลัวกูจับทำเมียไหมมึง”

“เอ่อ..” ผมถอยห่างออกจากเป้สองสามก้าว แต่เขาก็ยังก้าวตามมา ทำให้ระยะห่างลดลงเหมือนเดิม “เก้าบอกเราว่าเป้เป็นคนดี เป้คงไม่ทำอย่างนั้นกับเราหรอกจริงไหมล่ะ”

“มึงไว้ใจผู้ชายไม่ได้ทุกคนหรอก”

“เป้ คือเราก็เป็นผู้ชายนะ”

“ผู้ชายที่น่าจับกดไงมึงน่ะ”

“เป้! “เผลอเรียกเสียงดัง ไม่คิดว่าเขาจะคิดกับผมแบบนี้ ไม่คิดว่าเขาจะพูดมันออกมาตรง ๆ และคำพูดตรง ๆ ของเขานอกจากจะทำให้ผมตกใจ ยังทำให้ผมคิดไปถึงใครบางคน ใครบางคนที่เพิ่งทำอะไรต่อมิอะไรกันมาเมื่อคืน คิดถึงเสียงของเขาตอนบอกว่าอยากมีอะไรกับผม แถมเมื่อเช้าเขายังพูดอีกว่าติดใจ คำพูดน่าอายที่เขาพร่ำบอกตอนทำอะไรกับร่างกายของผม นั่นเป็นเพราะว่าเขาคิดอย่างที่เป้คิดหรือเปล่านะ

“ขาว ผิวใสกิ๊กแต่เนียนละเอียดน่าขยำให้ช้ำเขียวคามือ จมูกนิดปากหน่อยแถมยังแดงฉ่ำจนน่ากัด ท่าทางคงจะนุ่มนิ่มจนดูดเพลิน แล้ว..”

“ขอโทษนะ แต่เป้อย่าพูดอย่างนี้อีกได้ไหม เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” ต้องตัดบท เพราะทนฟังเป้พูดสาธยายอะไรที่เกี่ยวกับตัวผมทำนอนนั้นไม่ไหว

“มึงนี่ดูแปลก ๆ นะ ทำไมต้องหน้าแดงด้วยวะ”

“เป้ก็แปลกเหมือนกันนั่นแหละ”

“เออ ๆ ไม่รีบไปอีกเดี๋ยวเพื่อนมึงรอจนเฉาแล้ว”

“ครับ เราจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ เป้จะออกไปไหนไหม”

“ไม่ว่ะขี้เกียจ เดี๋ยวกูนอนรอมึงอยู่ห้องนี่ล่ะ”

“เอ่อ ไม่ต้องรอก็ได้” ผมช้อนตาขึ้นมองหน้าเป้อีกครั้ง แล้วหันหลังรีบออกจากห้องไป ทำไมเป้ถึงได้พูดแบบนี้ เขาพูดจริงหรือพูดเล่นหรือแค่หลอกให้ผมกลัว แล้วทำไมต้องหลอก เมื่อเช้าเก้าบอกว่ารูมเมตที่อยู่ด้วยกันนิสัยดีไว้ใจได้ แต่ผู้ชายที่นุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินไปทั่ว ทั้งที่มีคนเพิ่งเจอกันอยู่ในห้อง นี่ยังเรียกว่านิสัยดีได้อยู่หรือเปล่า



ผมออกไปหาอะไรกินกับกุ๊กไก่ เราพยายามโทรชวนเก้าออกมาแต่เขาติดธุระ ผมอยากใช้เวลาโอ้เอ้อยู่ข้างนอกนาน ๆ เพราะยังไม่อยากกลับห้องไปอยู่กับคนแปลก ๆ อย่างเป้ คำพูดของเขาทำให้ผมเริ่มกลัว แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร กุ๊กไก่เองถึงเวลาก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน เราเลยต้องแยกย้าย สุดท้ายผมก็จำใจกลับมาที่ห้อง และถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ของเป้ จนถึงเวลาเข้านอนผมง่วงมากแต่กลับนอนไม่หลับ



ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า บนฟ้ามืด ๆ ไม่มีดาวอย่างที่อยากเห็น มันเลยดูเคว้งคว้างอ้างว้าง บางทีฟ้าอาจจะเข้าใจความรู้สึกของผม เลยไม่ปล่อยให้ดาวออกมาเปล่งแสงระยิบระยับอย่างที่คิดไว้ ผมยืนมองท้องฟ้ามืด ๆ หม่น ๆ จนยุงเริ่มกวน แต่เพราะความระแวงกลัวว่าเป้จะทำอะไรอย่างที่พูด ทำให้ผมกังวลจนนอนไม่หลับ จะกดโทรหาเพื่อนก็เกรงใจเพราะคงนอนกันหมดแล้วทั้งเก้าทั้งกุ๊กไก่ แต่พอคิดว่าพรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าเลยกลับเข้าห้อง ในความสลัวภายในห้อง เป้นอนหลับไม่รู้เรื่อง เรียกว่าหลับเป็นตายก็ว่าได้ เขาไม่ได้มีท่าทีจะทำอะไรอย่างที่พูดสักนิด แต่ก็เป็นเขาเองไม่ใช่หรือ ที่บอกว่าผมไว้ใจผู้ชายคนไหนไม่ได้ ผมควรระวังตัวไว้นั่นแหละดีที่สุด



ผมตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปเรียน เป้ตื่นหลังจากนั้นไม่นาน ผมจะออกไปจากห้องแล้วเขายังอาบน้ำไม่เสร็จ แต่นั่นก็ดีแล้ว เพราะผมไม่อยากอยู่ในสถานการณ์ที่เขาเดินไปรอบห้อง ทั้งที่นุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนักหรอก ถึงหุ่นเขาจะดูดีมาก ๆ ในแบบผู้ชายเจ้าสำอางที่ดูแลตัวเองดี ถึงจะไม่มีกล้ามแน่น ๆ เหมือนคุณชาย แต่ก็น่ามองอยู่มากทีเดียว แต่เดี๋ยวนะ! ทำไมผมถึงต้องเอาเป้ไปเปรียบเทียบกับคนใจร้ายคนนั้นด้วยล่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 14 (14/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-03-2019 09:36:56



“เฮ้ยมึงอย่าเพิ่งไปรอก่อนออกไปพร้อมกัน”

“แต่เราแต่งตัวเสร็จแล้ว เป้ยังไม่ทำอะไรเลย”

“น่ารอแป๊บเดียวเดี๋ยวไปส่งที่คณะ”

“แต่...”

“อย่าเรื่องมากน่า รอแป๊บเดียวเดี๋ยวกูไปส่ง” เป้ไม่สนใจที่ผมปฏิเสธ เดินไปแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้า ซึ่งเป็นตู้ไม้สร้างแบบติดผนัง แบ่งเป็นสองช่องให้สำหรับสองคน แอบส่องในตู้เห็นเสื้อผ้าเป้เยอะทีเดียว และก็ดูรกมากด้วย แตกต่างจากตู้ฝั่งของผม ที่นอกจากชุดนักศึกษาก็มีเสื้อผ้าธรรมดาอยู่ไม่กี่ชุด เลยดูโล่งมาก

“เสร็จแล้วไปได้ เดินสิวะกูจะล็อกห้องเนี่ย” เชื่อเขาเลย เป้สามารถทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่ถึง 5 นาที ผมยังแอบสำรวจตู้เสื้อผ้าฝั่งของเขาไม่ทั่วด้วยซ้ำ เราสองคนเดินลงมาข้างล่าง เป้เดินนำไปข้างหอ ตรงนั้นจะเป็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์

“ขึ้นมาอย่ามัวแต่ขำ”

“น่ารักดีนะ แต่เราว่าไม่เข้ากับหน้าเป้เลย” นอกจากไม่เข้ากับหน้าแล้ว เป้ยังตัวใหญ่จนอดสงสารรถคันเล็กนิดเดียวไม่ได้ แล้วนี่เขายังจะให้ผมซ้อนท้ายอีกเหรอ รถจะวิ่งไปไหวแน่เหรอ

“รถเก่าพี่สาวน่ะ เขาไม่ใช้แล้วเลยเอามาใช้ จะซื้อใหม่ก็เกรงใจพ่อแม่ไง”

“อืม ก็คงเหมาะกับเป้ล่ะมั้ง”

“เหมาะมาก ๆ เลยล่ะ ใครเห็นก็ขำกันใหญ่ แต่มึงจะขึ้นมาได้หรือยัง” ผมก้าวขาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ทรงน่ารักของเป้ ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นอะไรยี่ห้อไหน หรือจะใช่รถที่เขาเรียกกันว่าเวสป้าหรือเปล่า ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย รู้อยู่อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นรถผู้หญิงแน่ ๆ ล่ะ เพราะนอกจากรูปร่างของรถที่ออกไปทางน่ารักแล้ว ยังสีเหลืองอ๋อยเป็นขมิ้นเชียว

“โหสาวบริหารมีแต่คนตู้ม ๆ ทั้งนั้นเลยว่ะมึง” เป้ทำท่าทางเหมือนคนน้ำลายสอยามเห็นของเปรี้ยว

“ไหนบอกไม่ชอบผู้หญิง”

“อาหารตาโว้ยไปล่ะ” เขามาส่งผมทิ้งไว้หน้าคณะ ก่อนไปยังย้ำว่ามีอะไรให้ผมโทรหาเขา เราแลกเบอร์กันแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ผมมองส่งจนเป้ขับรถห่างออกไปไกล จึงหันหลังเดินขึ้นตึกเรียน รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ เหมือนกำลังถูกจ้องมอง แต่พอหันกลับไปดูทางเดิมก็ไม่เห็นมีอะไร นักศึกษาคนอื่น ๆ ก็พากันทยอยขึ้นตึกเพื่อเรียนวิชาแรกของวัน ผมเลยหันหลังกับขึ้นห้องเรียนบ้าง



ตลอดอาทิตย์นี้ ชีวิตผมเรียบง่าย ตื่นเช้ามาเรียน เลิกเรียนเดินกลับหอ บางวันเก้าไปส่ง ตอนนี้เก้าเอารถที่บ้านมาใช้ เป็นรถกระบะคันใหญ่ที่เหมาะกับเขาดี บางวันก็ได้กุ๊กไก่ไปส่งบ้าง หลังจากเรานั่งเล่นนั่งทำการบ้านโอเอ้อยู่แถวคณะจนเย็น แต่ตอนเช้าเป้จะมาส่งทุกวัน ซึ่งผมเกรงใจพวกเขามาก เพราะไม่อยากเป็นภาระให้เพื่อน ๆ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธใครได้สักที โดยเฉพาะเก้าที่ถ้าผมเอ่ยปากปฏิเสธเมื่อไหร่เป็นได้ถูกดุตลอด กุ๊กไก่กับเป้เลยเอาบ้าง ตอนนี้กลุ่มของพวกเราเลยมีเป้เป็นสมาชิกเพิ่มมาอีกคนแล้ว



เป็นชีวิตเรียบง่ายแบบที่ผมชอบ และเขา..คุณเพลิง หลังจากวันนั้นเราก็ไม่เจอกันอีกเลย เขาอาจจะไม่ได้สนใจว่าผมหายไปไหน ถึงตึกเรียนของบริหารกับวิศวะจะอยู่ใกล้กัน แต่ผมก็พยายามเลี่ยงไม่เดินไปทางฝั่งวิศวะมากนัก และผมเพิ่งมีเรื่องดี ๆ เข้ามาเกินกว่าจะใส่ใจเรื่องนั้น ผมได้งานที่คาเฟ่หลังมหาวิทยาลัย เป็นร้านน่ารักในธีมตามสั่งติดแอร์ ขายอาหารตามสั่งเมนูง่าย ๆ รวมทั้งของหวานพวกเค้ก ไอศกรีม และเครื่องดื่มทั้งชากาแฟ ไปจนถึงชาไข่มุก น้ำปั่นผลไม้เพื่อสุขภาพก็มี แอบตื่นเต้นนิดหน่อย เพราะวันเสาร์นี้ผมจะได้เริ่มงานเต็มตัว หลังจากฝึกงานวันละชั่วโมงหลังเลิกเรียนมาสองวัน



มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมยังค้างคาใจคือเรื่องวันนั้น ผมเลยพยายามตามหาพี่ณัฐ แต่ก็ไม่เจอเขาเลยตั้งแต่วันที่เราไปกินเลี้ยงกัน ส่วนเก้าจากที่ไม่ค่อยพูดตอนนี้แทบไม่พูดอะไรเลย ทั้งที่ยังมาเรียนและไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าเขาพูดน้อยลง ต่างจากกุ๊กไก่ที่ยังพูดมากเหมือนเดิม



“อาทิตย์หน้าเราอาจจะลาทั้งอาทิตย์” เก้าบอกตอนที่พวกเรานั่งเล่นอยู่โต๊ะประจำหน้าคณะ หลังเรียนวิชาสุดท้ายของภาคบ่ายเสร็จ ผมกับกุ๊กไก่หันไปมองหน้าเก้าพร้อมกันทันทีที่เขาพูดจบ

“ทำไมลานานขนาดนั้นล่ะเก้า” กุ๊กไก่ถามหน้าตื่นท่าทางแปลกใจ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ปกติเก้าแทบไม่ยอมขาดเรียน ขนาดกุ๊กไก่ชวนโดดวิชาเดียวยังไม่ยอม แถมเป็นคนต้อนพวกผมให้เข้าเรียนตลอด แต่ดันมาบอกว่าจะลานานเป็นอาทิตย์ขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องแปลกใจ

“ว่าจะกลับบ้านน่ะ แต่ยังไม่แน่ถ้าไม่เห็นมาก็แปลว่าลานั่นแหละ”

“จะเก็บชีตเรียนไว้ให้นะ” ผมบอก

“อืมฝากด้วย”

“แต่เก้าไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกใช่ไหม มีเรื่องอะไรบอกได้นะ” เพราะผมสังเกตมาหลายวันแล้ว ว่าเก้าเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่างให้คิดอยู่ตลอดเวลา ถึงจะทำตัวปกติ แต่มันก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นักหรอก

“ไม่มีไม่ต้องเป็นห่วงน่า หรือจะเป็นห่วงดี เห็นช่วงนี้ใครบางคนมีรุ่นพี่วิศวะมาจีบหรือเปล่าวะ”

“เอ่อ..” เก้าบอกแล้วมองหน้ากุ๊กไก่ยิ้ม ๆ คนถูกมองชะงักไป แล้วกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม ส่วนผมได้แต่มองหน้าเพื่อนสองคนสลับกันไปมา แอบงงนิดหน่อย

“มีข่าวอะไรที่เรายังไม่รู้หรือเก้า” นั่นสิทำไมผมตกข่าว เรามาเรียนก็อยู่ด้วยกันตลอด หรือจะเป็นช่วงที่ผมต้องไปฝึกงานที่ร้านหลังเลิกเรียน

“ถามกุ๊กไก่สิ” ผมหันไปทางกุ๊กไก่ พร้อมกับเครื่องหมายคำถามบนหน้าผาก กุ๊กไก่เหมือนคนทำตัวไม่ถูกแต่ผิวแก้มแดงเรื่อ

“ไม่มีอะไรหรอกแค่รุ่นพี่รู้จักกัน”

“แล้วใครล่ะ” ผมถามยิ้ม ๆ ถึงกุ๊กไก่จะบอกว่าแค่รุ่นพี่รู้จักกัน แต่ผมยังไม่ลืมที่เก้าพูดว่าอะไรจีบ ๆ นั่นหรอกนะ

“ก็พี่ออฟไง”

“พี่ออฟ? “ชื่อนี้คุ้นนะว่าไหม ขอร้องล่ะอย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย

“ใช่พี่ออฟเพื่อนพี่เพลิงไง” ยอมรับว่าตกใจมาก และยิ่งตกใจจนหันขวับไปมองแทบไม่ทันเมื่อกุ๊กไก่พูดต่อ “รู้จักกันวันที่เราไปเที่ยวไง ก็อย่างที่เล่าให้ฟังว่าเราฝากธารกลับกับพี่เพลิงเพราะพักอยู่ด้วยกัน พี่ออฟเลยไปส่งเรา แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอกเก้าพูดเกินจริง”

“แต่เห็นนะว่าแอบไปกินข้าวกับพี่เขาด้วยน่ะ” เก้าไม่ยอมถูกว่าง่าย ๆ

“แค่ไปกินข้าวที่โรงอาหารเอง” กุ๊กไก่เสียงสูงไปนะ “เพื่อนพี่เขาก็ไปพี่เพลิงก็ไปด้วยนะธาร ไม่ได้ไปแค่เรากับพี่ออฟสองต่อสองซะเมื่อไหร่ล่ะ” ทำไมผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ที่ได้ยินว่ากุ๊กไก่ค่อนข้างสนิทกับสองคนนั้น ทั้งที่หลายวันมานี้ ผมไม่ได้ยินชื่อเขาเลย แต่วันนี้กลับได้ยินตั้งหลายรอบ แล้วกุ๊กไก่ไปกับกินข้าวกับพี่ออฟกับคุณเพลิงตอนไหน ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ต้องเป็นตอนที่ผมไปฝึกงานแน่ ๆ ไม่รู้หรือว่าพวกเขาเป็นตัวอันตราย ถึงพี่ออฟจะเคยช่วยผม ถึงเขาจะดูเป็นคนดี แต่มาเป็นเพื่อนกับคุณชาย Bad Boy ได้ ผมก็ไม่อยากไว้ใจเขานักหรอก

“ไม่มีอะไรจริง ๆ นะ ธารก็รู้จักพี่เพลิงไม่ใช่เหรอ” เพราะผมรู้จักเขาไงมันถึงน่าห่วง กุ๊กไก่ถามแล้วหลบตาผมเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่อยากพูดถึง แต่ผมยังไม่อยากเซ้าซี้ตอนนี้เลยไม่ถามต่อ

“อืม” ผมตอบได้แค่นั้น ทั้งที่ไม่อยากคิดอะไรมาก แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ผมไม่อยากให้กุ๊กไก่มายุ่งเกี่ยวอะไรกับคนพวกนั้น ถึงพี่ออฟจะเป็นคนมาจีบกุ๊กไก่ แต่พวกเขากินเที่ยวด้วยกัน ขนาดกุ๊กไก่ไปกินข้าวกับพวกเขาผมยังเพิ่งรู้ แล้วถ้าเขาชวนไปเที่ยวหรือทำอะไรอย่างอื่น ผมจะทำยังไง ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าพวกนั้นเขามั่วกันมากแค่ไหน

“ถ้าโอเคก็ดีแล้วล่ะ” เก้าบอก

“แต่มีอะไรบอกกันบ้างนะเก้า พักหลังนี้แกเงียบไปนะ” ผมเห็นด้วยกับกุ๊กไก่เลย บางทีเก้าก็เงียบผิดปกติ จนไม่กล้าชวนคุย

“ก็มีเรื่องให้คิดอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ไม่ต้องห่วงเราจัดการได้”

“โอเค แต่ถ้ามีเรื่องอะไรอย่าปิดกันนะ”

“ธารดูแลตัวเองดี ๆ นะ กุ๊กไก่ด้วย เรากลับก่อนวันนี้ไม่ได้ไปส่งนะธาร” เก้าบอกแค่นั้นก็เดินแยกออกไปทันที ท่าทางรีบทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคุยกันสบาย ๆ อยู่เลย ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนแยกย้ายกันเก้ามักจะย้ำผมกับกุ๊กไก่อย่างนี้เสมอ จนผมอดสงสัยไม่ได้ ว่าอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเก้า



ผมมองตามจนเก้าเดินไปถึงรถ แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตู ก็ถูกใครบางคนเดินเข้าไปดึงแขนไว้ก่อน เก้าสะบัดแขนออกอย่างแรง หันไปกระชากคอเสื้อของใครคนนั้นอย่างเอาเรื่อง ผมกำลังจะลุกวิ่งไปหาเก้าแล้ว เพราะกลัวเกิดเรื่องกับเขา แต่เห็นทั้งสองพูดอะไรกันหลายคำ เลยรอดูอยู่ที่เดิม สองคนคุยกันไม่นาน ใครคนนั้นก็เดินหัวเราะจากไป เก้าเองพอขึ้นรถได้ ก็ขับกระชากออกไปอย่างแรง จนกลัวว่าจะไปชนคนอื่นเข้า ผมจะไม่เป็นห่วงเพื่อนมากขนาดนี้เลย ถ้าคนที่เข้ามาคุยกับเก้าจะไม่ใช่พี่เก่ง ไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน หรือตั้งแต่วันที่เก้าไปช่วยผมที่ห้องน้ำ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะเก้าดูหัวเสียและโมโหให้พี่เก่งมาก



“มีอะไรเหรอธาร”

“เปล่าไม่มีอะไร เราไปไหนต่อ”

“สวัสดีครับน้องธาร น้องกุ๊กไก่เลิกเรียนแล้วใช่ไหมครับวันนี้”

“พี่ออฟ! พี่เพลิง!” เสียงทักแรกคุ้นหูแต่ผมยังนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร จนได้ยินเสียงกุ๊กไก่ทักตอบนั่นแหละ ถึงได้รู้และตัวสั่นขึ้นมาเฉย ๆ เหมือนผมทำอะไรผิดไว้ ยิ่งหันกลับมาผมยิ่งเสียวสันหลังวาบ เมื่อสองคนเดินมานั่งลงที่โต๊ะเดียวกัน

คุณเพลิง! เป็นเขาจริง ๆ ด้วย

“พี่มาชวนกุ๊กไก่ไปกินไอติมครับ ไปด้วยกันนะธาร”

“เอ่อ ผม..” เพราะจะเริ่มงานเต็มวันพรุ่งนี้ วันนี้ผมเลยว่างไม่ต้องไปฝึกงาน แต่ผมก็ไม่อยากไปกับเขา แต่ถ้าผมไม่ไปด้วยกุ๊กไก่ก็ต้องไปกับผู้ชายสองคนนะสิ ผมว่ากุ๊กไก่ควรปฏิเสธ แต่..

“ไปนะธาร กุ๊กไก่อยากกินไอติมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จะได้ไม่บ่นให้ธารรำคาญอีกไง”

“แต่ เรา..”

“ไปเถอะวันนี้พี่เลี้ยงเต็มที่” พี่ออฟชวนแล้วหันไปมองกุ๊กไก่สายตาหวานแปลก ๆ แต่นั่นมันน่ากลัวสำหรับผม

“ไปนะธาร” ถึงจะเอ่ยชวนแต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนกุ๊กไก่กำลังขอร้อง

“คือเรา..”

“ไปด้วยกัน” เฮือก!! ไม่รู้ทำไมผมต้องตกใจ แต่พอเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ เย็น ๆ ว่าไปด้วยกัน หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ผมก็เผลอตกใจจนเกือบสะดุ้ง ตั้งแต่เขาเข้ามานั่งตรงข้ามผม ส่วนพี่ออฟนั่งตรงข้ามกับกุ๊กไก่ โต๊ะม้าหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยม เราเลยได้นั่งเผชิญหน้ากันพอดี แต่ผมกลับไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมองหน้าเขา ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สายตาของเขาที่มองตอบมา เห็นแล้วเหมือนผมกำลังถูกลงโทษยังไงก็ไม่รู้

“ธารต้องไปอยู่แล้วแน่นอนค่ะพี่เพลิง”

“ไปกันเถอะ ให้ธารไปกับมึงเดี๋ยวกูไปกับกุ๊กไก่เจอกันที่ร้าน ตามนั้น”

“แต่..”

“ลุก! “ พอเงยหน้าขึ้นกุ๊กไก่กับพี่ออฟก็เดินออกไปแล้ว ผมกำมือแน่นจนเกร็งไปหมด ตอนนี้เหลือแค่ผม ที่นั่งเหมือนรากงอกติดม้าหินอ่อน กับคนตาดุที่จ้องตาขวางน่ากลัว ทำไมต้องให้ผมไปด้วย ทำไมต้องให้ผมไปกับเขา ดูหน้าก็รู้ว่าไม่ได้เต็มใจสักนิด

“ไม่ได้ยินที่กูบอกหรือไงลุกขึ้น” เขาไม่ได้ตะคอกเหมือนเคย ไม่ได้คิดว่าเขาใจดีหรือใจเย็นลง แต่อาจจะเป็นเพราะอยู่ข้างนอกเขาเลยไม่อยากให้ใครมองว่าตัวเองเป็นคนยังไง ก็คงจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ



เขาเดินนำผมลัดไปทางตึกวิศวะ จนถึงที่เขาจอดรถไว้ แล้วหันมามองผมด้วยหางตา ผมคิดว่าไปเองน่าจะดีกว่า แต่พอเขาหันมามองอีกทีด้วยสายตาดุ ๆ เหมือนกำลังสั่งให้ขึ้นรถได้แล้ว ผมเลยจำใจเดินไปปีนขึ้นนั่งซ้อนท้ายเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้



“โอ๊ยคุณ! “พอปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเขาได้ เบาะที่สูงและเทลาดมาข้างหน้า ทำให้ผมรู้สึกโหวง มันน่ากลัวจนต้องก้มลงไปหาเขา แต่พอเขาจะออกรถผมหวาดเสียวกลัวตก เลยเผลอกอดเอวเขาไปเต็ม ๆ และเขาก็ปัดมือผมออกทันที ไม่ใช่สิต้องเรียกว่ากระชากออกจะถูกกว่า

“อย่ามากอดกู”

“ผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ แต่มันสูงผมกลัว เฮ้ย!” เขาบิดคันเร่งอย่างแรงจนรถกระชาก ผมรีบจับชายเสื้อที่เขาใส่อยู่ แล้วก็ต้องรีบปล่อยทันทีเพราะกลัวเขาด่าอีก ตลอดทางผมต้องนั่งก้มและเกร็งตัวไว้ ไม่ให้ตัวเองไหลไปถูกตัวเขา แต่มันเป็นไปได้ยากมาก เพราะเบาะรถที่เทลาดมาข้างหน้ามันชันมากทีเดียว ผมเกร็งจนปวดเมื่อยไปหมด มาถึงร้านก็แทบขยับลงจากรถไม่ได้ เพราะเหน็บเริ่มกินขาเมื่อยตัวไปอีก



บรรยากาศการกินไอศกรีมของพวกเราอึดอัดมาก จนอยากให้มันผ่านไปเร็ว ๆ กุ๊กไก่คุยกับพี่ออฟ หันมาคุยกับผมบ้างบางครั้ง ส่วนผมกับเขา เอาแต่นั่งเงียบ ผมไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ แต่สังเกตเห็นว่าเขาคงชอบกินไอศกรีมมาก เพราะเขาสั่งมาถ้วยใหญ่พิเศษ แล้วเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินไม่สนใจใครเลย



“ถึงเวลากลับไปทำหน้าที่ของมึงแล้ว” อยู่ดี ๆ เขาก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ตอนนี้ที่โต๊ะมีแค่ผมกับเขา พี่ออฟเดินไปสั่งไอติมถ้วยใหม่ กุ๊กไก่ไปเข้าห้องน้ำ เลยเหลือผมกับเขาอยู่ที่โต๊ะกันสองคน

“ไม่! ผมไม่กลับ” ผมกัดฟันบอกเสียงเบา เพราะต้องพยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าห้ามมันไม่ได้ ตอนนี้มือผมก็เริ่มสั่นแล้วด้วย แต่ผมไม่อยากกลับไปให้เขาทำร้ายอีก

“ลืมแล้วหรือไงว่ามึงมีหน้าที่รับใช้กูทุกอย่าง!” เขากัดฟันพูดเน้นคำว่าทุกอย่างหนัก ๆ ซึ่งนั่นเข้าใจได้ไม่อยาก ว่าทุกอย่างของเขาหมายถึงอะไรบ้าง และผมจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ผมตัดสินใจแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องกลับไป

“มันไม่ใช่หน้าที่ของผม ผมออกมาแล้ว”

“ก็..แล้วแต่มึงก็แล้วกัน เดี๋ยวกูหาคนไปทำแทนก็ได้ งานบ้านน่ะหาไม่อยากหรอก งานบนเตียงยิ่งหาง่ายถามเพื่อนมึงดูสิ” พูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็หันไปมองกุ๊กไก่ที่เดินกลับมาพอดี ผมเงยหน้ามองเพื่อน แต่ยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

“จริงไหมน้องกุ๊กไก่”

“อะไรจริงหรือคะพี่เพลิง”

“ที่ตกลงกันไว้” กุ๊กไก่มีสีหน้าตกใจจนเห็นได้ชัด ใบหน้าน่ารักซีดเผือดลงปากเผยอค้างสั่นระริก แต่ไม่นานก็เหมือนจะตั้งสติได้ เลยหันมามองหน้าผมทำท่าทาเหมือนกำลังกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง

“คือ..”

“กุ๊กไก่เอาไอติมเพิ่มไหม มาช่วยพี่เลือกขนมไปฝากที่บ้านหน่อยเร็ว”

“ค่ะ” เหมือนพี่ออฟจะรู้จังหวะหรือผมคิดมากไป กุ๊กไก่หันไปตอบรับพี่ออฟ แล้วหันกลับมามองหน้าผมกับคุณเพลิงสลับกัน ค่อยลุกออกไปพร้อมกับสีหน้าลำบากใจ

“คุณทำอะไรเพื่อนผม” เขาแสยะยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่น่ามองสักนิด มันไม่เข้ากับใบหน้าหล่อเหลาของเขาเลย เมื่อหันมาทางผมพร้อมแววตาดุคู่นั้น ที่บอกว่าคนจะมาแทนผมไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลย

“กูยังไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้ามึงยังอยากอยู่หอกับผัวใหม่ต่อก็แล้วแต่มึง”

“แล้วที่คุณพูดเมื่อกี้ คุณตกลงอะไรกันกับเพื่อนผม” เขาแสยะยิ้มดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกมากจนผมนึกหมั่นไส้ แววตามีประกายสนุกหรี่มองผมอย่างท้าทาย จนผมกำมือแน่น “บอกผมมานะคุณเพลิง!”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่กู!” เขาตะคอกบอก แต่ยังรักษาระดับเสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน นัยน์ตาขี้เล่นยามเห็นผมร้อนรนเปลี่ยนเป็นจริงจัง “อยากรู้เหรอ”

“บอกผมมาสิ”

“หึ ถามเพื่อนมึงดูสิ” ทำไมผมต้องมาอยู่ในสถานการณ์อึดอัดอย่างนี้ด้วยก็ไม่รู้ สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นอกจากนั่งฟังเขาเย้ยหยันเล่นแง่ใส่

“กูไปสูบบุหรี่” เขาบอกตอนพี่ออฟเดินกลับมาพร้อมกุ๊กไก่ และถุงใส่ขนมอีกหลายถุง

“เดี๋ยวพี่มานะ” พอพี่ออฟตามออกไปผมเลยหันมากทางกุ๊กไก่ ที่คงรู้ดีอยู่แล้วว่าผมกำลังจะถามอะไร

“ธาร”

“กุ๊กไก่ตกลงอะไรกับเขาเหรอ”

“คือ..” กุ๊กไก่กัดปากตัวเองท่าทางลำบากใจ นั่นยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่าเขาพูดอะไรกับเพื่อนผม ทำไมกุ๊กไก่ถึงมีท่าทางแบบนี้

“บอกเรามาเถอะ”

“วันที่เราไปเที่ยวแล้วธารเมา” จริง ๆ ผมไม่ได้เมาเหล้า แต่ทุกคนคงคิดว่าผมเมาเพราะดื่มเหล้าหมดแล้ว “วันนั้นมีคนจะเอาตัวธารไป เรากับเก้าตามไปช่วยแต่พวกนั้นมีหลายคน เราไปเจอพี่เพลิงกับพี่ออฟพอดี เลยขอให้ตามไปช่วย แล้วพี่เพลิงกับพี่ออฟก็ช่วยธารไว้ได้ จากนั้นก็เหมือนที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ”

“แล้วเรื่องข้อตกลง” กุ๊กไก่ก้มหน้ากัดปากล่างตัวเองแน่น

“ตอนแรกพี่เพลิงจะไม่ไป แต่เรายังขอร้องเขา พี่เพลิงเลยขอแลกกับ..กับการที่เราต้องนอนกับเขาคืนหนึ่ง เขาถึงจะยอมไปช่วยธาร”

“บ้าที่สุด! กุ๊กไก่ก็รับปากเขาเหรอ “ กุ๊กไก่พยักหน้ารับทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา แต่ทำไม ทำไมเขาถึงได้ยื่นข้อตกลงอะไรที่มันร้ายกาจเห็นแก่ตัวอย่างนี้

“เราเป็นห่วงธารมาก แล้วเราก็ไม่รู้จะช่วยยังไง พวกนั้นมีหลายคน ตอนนั้นพี่ณัฐกับเก้าก็หายไปไหนแล้วไม่รู้” กุ๊กไก่บีบมือตัวเองแน่น ผมไม่คิดว่าจะมีเพื่อนเสียสละให้ผมได้มากถึงขนาดนี้ “เพราะเราผิดเองที่ชวนธาร เราผิดเองที่อยากเที่ยว แล้วพอธารโดนแบบนั้น จะไม่ให้เราทำอะไรเลยเหรอ”

“แล้วเรื่องจีบ”

“เราไม่รู้ธารหลังจากไปส่งเราคืนนั้น พี่ออฟเขาก็มาหาตลอด แต่พี่เพลิงเขา..ไม่รู้สิธารถามพี่เพลิงเองเถอะ”

“แต่เขาไม่ได้ขู่อะไรกุ๊กไก่ใช่ไหม” กุ๊กไก่แค่ส่ายหน้า แต่ในแววตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความงุนงงอยู่ไม่น้อย แล้วผมจะทำยังไงดี ทำไมเรื่องมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ เขาคิดจะทำอย่างนั้นกับกุ๊กไก่จริง ๆ ใช่ไหม แต่คนอย่างเขาจะทำอะไร จะนอนกับใครมันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็เคยเห็นเขาจัดปาร์ตี้อะไรพวกนี้มาแล้วนี่

“กลับกันเถอะ ธารกลับกับไอ้เพลิงนะเดี๋ยวพี่ไปส่งกุ๊กไก่เอง”

“ไปนะธาร”

“ครับ” ผมตอบรับเบา ๆ แต่ไม่คิดจะไปกับเขาเหมือนที่พี่ออฟบอก มองตามจนสองคนนั้นออกจากร้านไป ผมจึงเดินออกจากร้านไปบ้าง คุณเพลิงนั่งอยู่ที่รถคันใหญ่ของเขา ท่าทางไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่ผมไม่อยากพูดไม่อยากคุยกับเขาอีกแล้ว เลยรีบเดินผ่าน

“อย่าลืมนะว่าเวลาของมึงหมดแล้ว”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม”

“กูจะไปธุระ ตอนกลับถึงห้องกูต้องเห็นมึงอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นกูจะเอาเพื่อนมึงไปอยู่แทน!” เขาบอกแล้วหันไปใส่หมวกกันน็อก ก้าวขึ้นนั่งบนรถ ผมรีบวิ่งเขาไปใกล้ จะบอกเขาให้ได้ยินชัด ๆ ว่าไม่ไป แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เขาก็ขับรถออกไปก่อนแล้ว ทิ้งให้ผมยืนมองตามท้ายรถของเขาจนลับตา

“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!” เสียงรถเขาดังออกขนาดนั้นไม่รู้จะได้ยินไหม แต่เสียงดังกวนชาวบ้านอย่างนี้ ขอให้ถูกตำรวจจับด้วยเถอะ สาธุ!



*************

จ้า ให้มันขี่ล้มจนหัวฟาดพื้นไปเลยมั้ยลูก 

เด็กคนนี้นี่...มีแช่งสามีตัวเอง ได้ไง

เอาเป็นว่า ธารจะเอายังไง เจอกันตอนหน้าจ้าาา

6-3-2562

ดาว
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 14 (14/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-03-2019 23:10:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 14 (14/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 19-03-2019 13:19:33
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 15 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 22-03-2019 23:23:22



**เนื้อหายังไม่รีไรท์



กว่าจะลงเอยด้วยคำว่ารัก 14

#ลำธาร




อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเช้าอยู่แล้ว เขาถึงยอมปล่อยให้ผมนอนดี ๆ ส่วนเขาเองเหมือนจะหลับไปทันทีเหมือนกัน หลังจากตักตวงเอาความสุขจากร่างกายของผมหมดแรง ทิ้งเพียงบางสิ่งบางอย่างไว้ในตัวผม แต่จะโทษเขาคนเดียวคงไม่ได้ เพราะผมใจอ่อนเองด้วย หลับไปได้ไม่นานหลังจากนั้น ก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกทั้งที่นอนยังไม่เต็มอิ่ม ใจมันกังวลอยู่ตลอดว่าต้องรีบลุกขึ้นมาเก็บของ ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปอยู่ที่อื่น และต้องไปวันนี้ ส่วนคุณลุงพิภพค่อยหาโอกาสบอกทีหลัง ถ้าผมอยู่ที่นี่ต่อไปมันอาจจะไม่จบแค่นี้ ผมไม่อยากเป็นที่ระบายของเขา



คนนอนข้าง ๆ ยังหลับไม่รู้เรื่อง แต่ทั้งที่หลับเป็นตายอย่างนั้น เขายังไม่วายข่มเหงวางอำนาจกับผม ด้วยการพาดทั้งท่อนแขนและท่อนขากักตัวผมไว้ ไม่ได้สนใจว่าผมจะหนักหรือนอนไม่สบายสักนิด ผมกลั้นหายใจตอนจับแขนเขาออกจากช่วงอก ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วยกขาหนัก ๆ ของเขา ที่ก่ายอยู่บนต้นขาตามออกไป แอบปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อจับแขนจับขาของเขาออกจากตัวได้หมดแล้ว แต่เขายังหลับเป็นตายอยู่เหมือนเดิม ผมลุกจากเตียงเก็บเสื้อผ้าที่ถูกเขาโยนทิ้งไว้แถวนั้นมาใส่ลวก ๆ รีบออกจากห้อง อาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบมาเก็บของก่อนเขาจะตื่น แต่ยังทำอะไรไม่เสร็จดีเขาก็เดินหน้าตึงเข้ามา จนผมรีบเอากระเป๋าซ่อนแทบไม่ทัน ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องซ่อน



“ไปไหนของมึง” เขาถามเสียงห้วน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงตัวสั่น เขาหมายความว่ายังไง หรือเขารู้แล้วว่าผมจะไปอยู่ที่อื่น แอบเหลือบหางตามองไปทางกระเป๋าที่ซ่อนไว้ กลัวเขาสังเกตเห็น ทั้งที่ไม่รู้ว่าถ้าเห็นแล้วเขาจะสนใจหรือเปล่า นั่นสินะเขาจะมาสนใจของไร้ค่าพวกนั้นทำไม

“กูถาม! “

“ผม ผมจะไปเรียน”

“วันนี้กูไม่มีเรียน มึงไม่อยากอยู่กับกู?” ใครจะไปอยากอยู่ด้วย แต่ผมทำได้แค่ตอบในใจเท่านั้นแหละ ตอนนี้อย่าว่าแต่ตอบคำถามเขาเลย แค่เงยหน้าขึ้นคุยกับเขาผมยังไม่กล้า

“ผมมีเรียน”

“ไปไหนก็ช่างหัวมึง”

“ครับ”

“กวนตีน!”

“ผมเปล่า”

“กูติดใจมึงหรือเปล่าวะ จะไปเรียนก็รีบไปรีบกลับ ยิ่งโง่ ๆ อยู่เดี๋ยวก็โดนเขาหลอกไปทำมิดีมิร้ายอีก” พูดอย่างกับว่าอยู่ที่นี่ ผมจะไม่ถูกทำมิดีมิร้ายอย่างนั้นแหละ เขาบอกแค่นั้นก็เดินออกไปเลย ผมเหลือบหางตาไปทางกระเป๋าเสื้อผ้าอีกครั้ง ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับมาให้เขารังแกอีก มันจะไม่ให้มีแบบนั้นอีกแล้ว



“อ้อ” เฮือก!!

“เป็นเหี้ยอะไรของมึง แค่นี้ถึงกับตกใจ”

“เอ่อ ไม่มีอะไรครับคุณจะเอาอะไร”

“หาของกินไว้ให้กูด้วย เดี๋ยวกูไปอาบน้ำออกมาต้องได้กิน”

“ครับ” ผมตกใจ ตกใจมากจนสะดุ้ง เพราะเอาแต่คิดเรื่องไปอยู่ที่อื่น เอาแต่คิดเรื่องกระเป๋าที่ยัดของเข้าไว้ลวก ๆ ไม่เป็นระเบียบเพราะรีบ จับได้อะไรก็ยัด ๆ เขาไป ดีที่ข้าวของของผมมีไม่เยอะ เลยไม่ต้องวุ่นวายตอนขนออกไปนัก ไม่คิดว่าเขาจะเดินกลับเข้ามาอีก แต่ก็โล่งใจที่เขาแค่เดินมาบอกเท่านั้น ก็เดินกลับไปทางห้องนอน ไม่ได้สนใจอาการแตกตื่นผิดปกติของผมเลย



แล้วทำไมผมต้องตกใจด้วยล่ะ เขาอาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าผมไม่กลับมา อาจจะต้องการแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้อนรับ ไม่ได้อยากให้ผมมาอยู่ด้วยแต่แรก ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ ผมรีบเปิดตู้เย็นหาของออกมาเตรียมทำอะไรไว้ให้เขากิน รีบทำให้เสร็จจะได้รีบออกไปก่อนเขาจะออกมา



*****************



“ธารแน่ใจแล้วเหรอ”

“แล้วทำไมเราจะไม่แน่ใจล่ะกุ๊กไก่”

“ก็..เราว่าธารอยู่กับพี่เพลิงก็ดีแล้วนะ”

“เราเกรงใจพี่เขาน่ะ ออกมาอยู่ข้างนอกสบายใจกว่า” หลังหมดเวลาเรียนภาคบ่าย ตอนนี้ผมกับกุ๊กไก่ยืนอยู่หน้าหอในมหาวิทยาลัย เมื่อเช้าตอนออกมาจากคอนโด ผมโทรหาเก้าจะถามเรื่องหอพัก เพราะเห็นว่าเก้าอยู่หอน่าจะพอรู้จักหรือแนะนำได้บ้าง แต่เก้ากลับกำลังจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกพอดี เลยให้มาอยู่ที่ห้องแทนได้ ผมนี่โล่งเลย

“แล้วเก้าจะมาหาเราไหม ทำไมขาดเรียนหลายวันก็ไม่รู้ โทรไปก็ไม่รับ”

“เห็นบอกจะมาพรุ่งนี้นี่ กุ๊กไก่นั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวเราไปคุยกับคนดูแลหอก่อน” กุ๊กไก่นั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าหอ เพราะเป็นหอชายจึงห้ามผู้หญิงเข้าข้างใน ส่วนหอหญิงจะอยู่ถัดไปอีกคนละฝั่ง กั้นไว้ด้วยสวนสุขภาพรอบบึงเล็ก ๆ ให้พักผ่อนหย่อนใจ

หลังอ่านกฎระเบียบอะไรเข้าใจดีแล้ว ผมรับกุญแจห้องที่เก้าฝากไว้มาจากคนดูแลหอ เพื่อเอาของขึ้นไปเก็บ เพราะเก้าจัดการไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้วทุกอย่างตั้งแต่เมื่อเช้า ที่สำคัญผมไม่ต้องจ่ายค่าหอเพราะเก้าจ่ายแล้ว ที่นี่เก็บค่าหอพักเป็นเทอม ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ราคาถ้าหารเฉลี่ยออกมาต่อเดือน ก็ถือว่าถูกมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมต้องคืนส่วนที่ต้องจ่ายให้ก้าวด้วยอยู่ดี



ผมตื่นเต้นมากเมื่อมาหยุดอยู่หน้าห้องบนชั้นสอง หอเป็นตึกสูง 3 ชั้น กำพวงกุญแจในมือแน่นจนเหงื่อชื้นไปหมด ไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป แต่สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือทำทุกอย่างให้ดีที่สุด หลังจากก้าวออกมาจากตรงนั้น ขอให้ที่นี่เป็นที่เริ่มต้นใหม่ของผม มันคงยังไม่สายไป และหลังจากนี้ผมจะก้าวไปด้วยตัวเอง



สูดหายใจเข้ายาว ๆ เรียกความมั่นใจ แต่มือยังสั่นไม่หายตอนยื่นกุญแจไปไจเปิดห้อง ไม่รู้ทำไมต้องตื่นเต้นไม่รู้ทำไมหัวใจต้องเต้นผิดจังหวะ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ อีกหลายครั้ง กว่าผมจะสอดลูกกุญแจเข้ากับลูกบิดได้ แต่...

“เฮ้ยอะไรวะ!! “

“เอ่อ ขอโทษครับ” ผมรีบก้มหน้าลงมองพื้น หลังจากเผลอมองคนที่ยืนอยู่กลางห้องจนตาค้าง เพราะเสียมารยาทเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ไม่ได้เคาะหรือส่งเสียงเตือนอะไรเลย จึงเจอเข้าเต็ม ๆ กับผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันร่างเขายืนอยู่กลางห้อง น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ตามตัวยังมีหยดน้ำเกาะเต็มไปหมด ถือเป็นคนที่รูปร่างดีมาก แต่ผมลืมไปได้ยังไง ว่าเมื่อเช้าเก้าบอกว่าอยู่กับรูมเมตปีหนึ่งจากคณะนิติศาสตร์ ได้จับคู่กันโดยการสุ่มจับสลาก



“ลำธารใช่ไหม”

“ครับผมชื่อลำธารเรียกธารก็ได้ครับ”

“เออ กูเป้นั่นเตียงไอ้เก้า มึงชอบนอนใกล้หน้าหน้าต่างไหม” ผมมองตามมือที่ชี้ให้ดู แล้วเลยมองไปรอบห้องกว้างพอดีสำหรับอยู่ 2 คน ภายในห้องมีเตียงขนาดนอนได้คนเดียวให้สองเตียง วางขั้นด้วยชั้นวางของติดผนัง ข้างเตียงอีกฝั่งเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ เตียงวางชิดผนังฝั่งหนึ่ง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นตู้เสื้อผ้า พร้อมห้องน้ำไม่กว้างมาก

“เรานอนตรงไหนก็ได้ หรือถ้าเป้อยากเปลี่ยนมานอนใกล้หน้าต่างก็ได้นะ”

“เออ อยู่ไปเถอะตอนแรกก็อยากได้อยู่หรอกไอ้เตียงติดหน้าต่างเนี่ย แต่มาไม่ทันไอ้เก้ามันเลยได้เลือกก่อน”

“เป้จะย้ายก็ได้นะเรานอนเตียงข้างในได้”

“นอน ๆ ไปเถอะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะเป้”

“เออ แล้วนี่มึงออกไปไหนอีกหรือเปล่า” ผมเผลอสูดหายใจเข้าเสียลึก จนได้กลิ่นสบู่หอมสดชื่นจากตัวเป้ เพราะหันกลับไปเจอเขายืนอยู่ใกล้ ๆ แทบจะติดหลังผม ทั้งที่ตอนแรกยังเก็บนั่นเก็บนี่อยู่เตียงตัวเองแท้ ๆ ไม่รู้เดินมาตอนไหน แล้วทำไมไม่รีบไปแต่งตัวสักที ผมควรบอกให้เขาไปแต่งตัวก่อนดีไหม

“ไป ไปครับเพื่อนเรารออยู่ข้างล่าง” สายตาแปลก ๆ ของเป้ ทำให้ผมอึดอัดจนไม่กล้าหายใจแรง หรือที่จริงผมไม่อยากหายใจเอากลิ่นหอมเย็นจากตัวเขา แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็ทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย “ดะ เดี๋ยวเราต้องไปแล้วแค่เอาของขึ้นมาเก็บ”

“เหรอ ไปไหนกันวะถามได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ แค่ออกไปกินข้าวแถวนี้”

“หึ” ผมไม่ชอบเสียงหัวเราะแบบนี้เลย ได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนตามหลอกหลอนยังไงไม่รู้สิ “ไหนเพื่อนมึงรออยู่ไหน ใช่คนที่นั่งอยู่ม้าหินอ่อนนั่นหรือเปล่าวะ”

“อ๋อ ใช่ครับ” เป้เปิดประตูออกไปยืนเกาะลูกกรงระเบียงห้อง ชะโงกหน้าลงไปข้างล่าง ทั้งที่นุ่งแค่ผ้าผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ดีที่ห้องนี้อยู่ตรงกับทางเข้าหอ มีต้นไม้ที่ผมไม่รู้จักชื่อปลูกไว้ กิ่งของมันเลื้อยขึ้นมาถึงระเบียงเลยยังพอช่วยบังให้ได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ควรออกไปข้างนอกทั้งสภาพแบบนี้ไม่ใช่หรือไง พอผมตอบรับเป้เลยหันกลับมามอง พร้อมกับสายตาแปลก ๆ อีกแล้ว

“เพื่อนหรือแฟนกันแน่วะ มึงนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ เห็นท่าทางเรียบร้อยแต่มีสาวควงแล้ว แล้วที่ไอ้เก้าฝากดูแลนี่จะให้กูดูแลอะไรมึงอีกวะ”

“เปล่า ๆ เพื่อนเราจริง ๆ เพื่อนเก้าด้วย แล้วก็ไม่ต้องดูแลอะไร เราดูแลตัวเองได้ขอบใจนะ”

“อืม..เพื่อนจริงเหรอ ถ้าไม่ใช่แฟนงั้นกูจีบได้ไหม”

“หา!! “

“หึ มึงจะตกใจอะไรกูแค่ขอจีบเพื่อนมึง หรือมึงหวง ตกลงเป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่าวะ”

“เพื่อนจริง ๆ ครับแต่ว่าเรื่องจีบ..” คือใครจะจีบใครผมก็ไม่มีสิทธิ์ว่าหรือห้าม แต่ควรจะถามเจ้าตัวเขาไม่ใช่หรือไง

“หึ ๆ มึงนี่ตลกนะ แค่กูขอจีบเพื่อนทำหน้าอะไรของมึงอย่างนั้น”

“ก็..เราไม่รู้จะตอบยังไงนี่นา”

“เออ ๆ ไม่ต้องหวงเพื่อนมึงกูไม่จีบหรอก กูไม่ได้ชอบผู้หญิง”

“มะ หมายความว่าไง” ไม่ได้ชอบผู้หญิงถ้าอย่างนั้นก็ต้อง...



ชักกลัวรอยยิ้มกับแววตาของเป้แล้วสิ ตอนแรกผมอาจจะไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงได้มองผมด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ตอนนี้ ผมน่าจะรู้คำตอบแล้วใช่ไหม เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงนั่นก็แปลว่าชอบผู้ชาย..ได้ไหมนะ แล้วที่มองผมแบบนั้นเขาหมายความว่ายังไง ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า เขาคงไม่คิดอะไรกับผมแบบนั้นหรอกใช่ไหม

“หมายความว่ากูไม่เอาผู้หญิงไง กูเป็นเกย์!”

“อ๋อ เหรอเข้าใจแล้ว”

“แล้วไง มึงไม่กลัว? ทำไมยอมรับได้ไวนักวะ?” เผลอบีบตัวจนลีบ ท่าทางคงดูตลกมากสำหรับเขา ผมไม่ได้ตกใจที่ได้รู้ว่าเป้เป็นเกย์ เพราะผมเองถึงจะยังเขินที่จะพูดออกมาว่าตัวเองเป็น แต่ก็ยอมรับมาตั้งแต่เจอพี่ชายใจดีคนนั้นแล้ว ว่าผมชอบผู้ชาย แต่ที่เป้ทำให้ผมตกใจ เพราะตอนนี้เขาเอาแต่เดินรอบตัวผม เหมือนกำลังสำรวจหรือจับผิดอะไรสักอย่าง ผมแค่ย้ายเข้าหอนะยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย หรือเขาจะดูออก อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าผีเห็นผี จะว่าผมแสดงออกมากเกินไปก็ไม่น่าจะใช่

“ว่าไง กลัวกูจับทำเมียไหมมึง”

“เอ่อ..” ผมถอยห่างออกจากเป้สองสามก้าว แต่เขาก็ยังก้าวตามมา ทำให้ระยะห่างลดลงเหมือนเดิม “เก้าบอกเราว่าเป้เป็นคนดี เป้คงไม่ทำอย่างนั้นกับเราหรอกจริงไหมล่ะ”

“มึงไว้ใจผู้ชายไม่ได้ทุกคนหรอก”

“เป้ คือเราก็เป็นผู้ชายนะ”

“ผู้ชายที่น่าจับกดไงมึงน่ะ”

“เป้! “เผลอเรียกเสียงดัง ไม่คิดว่าเขาจะคิดกับผมแบบนี้ ไม่คิดว่าเขาจะพูดมันออกมาตรง ๆ และคำพูดตรง ๆ ของเขานอกจากจะทำให้ผมตกใจ ยังทำให้ผมคิดไปถึงใครบางคน ใครบางคนที่เพิ่งทำอะไรต่อมิอะไรกันมาเมื่อคืน คิดถึงเสียงของเขาตอนบอกว่าอยากมีอะไรกับผม แถมเมื่อเช้าเขายังพูดอีกว่าติดใจ คำพูดน่าอายที่เขาพร่ำบอกตอนทำอะไรกับร่างกายของผม นั่นเป็นเพราะว่าเขาคิดอย่างที่เป้คิดหรือเปล่านะ

“ขาว ผิวใสกิ๊กแต่เนียนละเอียดน่าขยำให้ช้ำเขียวคามือ จมูกนิดปากหน่อยแถมยังแดงฉ่ำจนน่ากัด ท่าทางคงจะนุ่มนิ่มจนดูดเพลิน แล้ว..”

“ขอโทษนะ แต่เป้อย่าพูดอย่างนี้อีกได้ไหม เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” ต้องตัดบท เพราะทนฟังเป้พูดสาธยายอะไรที่เกี่ยวกับตัวผมทำนอนนั้นไม่ไหว

“มึงนี่ดูแปลก ๆ นะ ทำไมต้องหน้าแดงด้วยวะ”

“เป้ก็แปลกเหมือนกันนั่นแหละ”

“เออ ๆ ไม่รีบไปอีกเดี๋ยวเพื่อนมึงรอจนเฉาแล้ว”

“ครับ เราจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ เป้จะออกไปไหนไหม”

“ไม่ว่ะขี้เกียจ เดี๋ยวกูนอนรอมึงอยู่ห้องนี่ล่ะ”

“เอ่อ ไม่ต้องรอก็ได้” ผมช้อนตาขึ้นมองหน้าเป้อีกครั้ง แล้วหันหลังรีบออกจากห้องไป ทำไมเป้ถึงได้พูดแบบนี้ เขาพูดจริงหรือพูดเล่นหรือแค่หลอกให้ผมกลัว แล้วทำไมต้องหลอก เมื่อเช้าเก้าบอกว่ารูมเมตที่อยู่ด้วยกันนิสัยดีไว้ใจได้ แต่ผู้ชายที่นุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินไปทั่ว ทั้งที่มีคนเพิ่งเจอกันอยู่ในห้อง นี่ยังเรียกว่านิสัยดีได้อยู่หรือเปล่า



ผมออกไปหาอะไรกินกับกุ๊กไก่ เราพยายามโทรชวนเก้าออกมาแต่เขาติดธุระ ผมอยากใช้เวลาโอ้เอ้อยู่ข้างนอกนาน ๆ เพราะยังไม่อยากกลับห้องไปอยู่กับคนแปลก ๆ อย่างเป้ คำพูดของเขาทำให้ผมเริ่มกลัว แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร กุ๊กไก่เองถึงเวลาก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน เราเลยต้องแยกย้าย สุดท้ายผมก็จำใจกลับมาที่ห้อง และถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ของเป้ จนถึงเวลาเข้านอนผมง่วงมากแต่กลับนอนไม่หลับ



ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า บนฟ้ามืด ๆ ไม่มีดาวอย่างที่อยากเห็น มันเลยดูเคว้งคว้างอ้างว้าง บางทีฟ้าอาจจะเข้าใจความรู้สึกของผม เลยไม่ปล่อยให้ดาวออกมาเปล่งแสงระยิบระยับอย่างที่คิดไว้ ผมยืนมองท้องฟ้ามืด ๆ หม่น ๆ จนยุงเริ่มกวน แต่เพราะความระแวงกลัวว่าเป้จะทำอะไรอย่างที่พูด ทำให้ผมกังวลจนนอนไม่หลับ จะกดโทรหาเพื่อนก็เกรงใจเพราะคงนอนกันหมดแล้วทั้งเก้าทั้งกุ๊กไก่ แต่พอคิดว่าพรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าเลยกลับเข้าห้อง ในความสลัวภายในห้อง เป้นอนหลับไม่รู้เรื่อง เรียกว่าหลับเป็นตายก็ว่าได้ เขาไม่ได้มีท่าทีจะทำอะไรอย่างที่พูดสักนิด แต่ก็เป็นเขาเองไม่ใช่หรือ ที่บอกว่าผมไว้ใจผู้ชายคนไหนไม่ได้ ผมควรระวังตัวไว้นั่นแหละดีที่สุด



ผมตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปเรียน เป้ตื่นหลังจากนั้นไม่นาน ผมจะออกไปจากห้องแล้วเขายังอาบน้ำไม่เสร็จ แต่นั่นก็ดีแล้ว เพราะผมไม่อยากอยู่ในสถานการณ์ที่เขาเดินไปรอบห้อง ทั้งที่นุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนักหรอก ถึงหุ่นเขาจะดูดีมาก ๆ ในแบบผู้ชายเจ้าสำอางที่ดูแลตัวเองดี ถึงจะไม่มีกล้ามแน่น ๆ เหมือนคุณชาย แต่ก็น่ามองอยู่มากทีเดียว แต่เดี๋ยวนะ! ทำไมผมถึงต้องเอาเป้ไปเปรียบเทียบกับคนใจร้ายคนนั้นด้วยล่ะ

...
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 15 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 22-03-2019 23:23:48



“เฮ้ยมึงอย่าเพิ่งไปรอก่อนออกไปพร้อมกัน”

“แต่เราแต่งตัวเสร็จแล้ว เป้ยังไม่ทำอะไรเลย”

“น่ารอแป๊บเดียวเดี๋ยวไปส่งที่คณะ”

“แต่...”

“อย่าเรื่องมากน่า รอแป๊บเดียวเดี๋ยวกูไปส่ง” เป้ไม่สนใจที่ผมปฏิเสธ เดินไปแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้า ซึ่งเป็นตู้ไม้สร้างแบบติดผนัง แบ่งเป็นสองช่องให้สำหรับสองคน แอบส่องในตู้เห็นเสื้อผ้าเป้เยอะทีเดียว และก็ดูรกมากด้วย แตกต่างจากตู้ฝั่งของผม ที่นอกจากชุดนักศึกษาก็มีเสื้อผ้าธรรมดาอยู่ไม่กี่ชุด เลยดูโล่งมาก

“เสร็จแล้วไปได้ เดินสิวะกูจะล็อกห้องเนี่ย” เชื่อเขาเลย เป้สามารถทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่ถึง 5 นาที ผมยังแอบสำรวจตู้เสื้อผ้าฝั่งของเขาไม่ทั่วด้วยซ้ำ เราสองคนเดินลงมาข้างล่าง เป้เดินนำไปข้างหอ ตรงนั้นจะเป็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์

“ขึ้นมาอย่ามัวแต่ขำ”

“น่ารักดีนะ แต่เราว่าไม่เข้ากับหน้าเป้เลย” นอกจากไม่เข้ากับหน้าแล้ว เป้ยังตัวใหญ่จนอดสงสารรถคันเล็กนิดเดียวไม่ได้ แล้วนี่เขายังจะให้ผมซ้อนท้ายอีกเหรอ รถจะวิ่งไปไหวแน่เหรอ

“รถเก่าพี่สาวน่ะ เขาไม่ใช้แล้วเลยเอามาใช้ จะซื้อใหม่ก็เกรงใจพ่อแม่ไง”

“อืม ก็คงเหมาะกับเป้ล่ะมั้ง”

“เหมาะมาก ๆ เลยล่ะ ใครเห็นก็ขำกันใหญ่ แต่มึงจะขึ้นมาได้หรือยัง” ผมก้าวขาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ทรงน่ารักของเป้ ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นอะไรยี่ห้อไหน หรือจะใช่รถที่เขาเรียกกันว่าเวสป้าหรือเปล่า ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย รู้อยู่อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นรถผู้หญิงแน่ ๆ ล่ะ เพราะนอกจากรูปร่างของรถที่ออกไปทางน่ารักแล้ว ยังสีเหลืองอ๋อยเป็นขมิ้นเชียว

“โหสาวบริหารมีแต่คนตู้ม ๆ ทั้งนั้นเลยว่ะมึง” เป้ทำท่าทางเหมือนคนน้ำลายสอยามเห็นของเปรี้ยว

“ไหนบอกไม่ชอบผู้หญิง”

“อาหารตาโว้ยไปล่ะ” เขามาส่งผมทิ้งไว้หน้าคณะ ก่อนไปยังย้ำว่ามีอะไรให้ผมโทรหาเขา เราแลกเบอร์กันแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ผมมองส่งจนเป้ขับรถห่างออกไปไกล จึงหันหลังเดินขึ้นตึกเรียน รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ เหมือนกำลังถูกจ้องมอง แต่พอหันกลับไปดูทางเดิมก็ไม่เห็นมีอะไร นักศึกษาคนอื่น ๆ ก็พากันทยอยขึ้นตึกเพื่อเรียนวิชาแรกของวัน ผมเลยหันหลังกับขึ้นห้องเรียนบ้าง



ตลอดอาทิตย์นี้ ชีวิตผมเรียบง่าย ตื่นเช้ามาเรียน เลิกเรียนเดินกลับหอ บางวันเก้าไปส่ง ตอนนี้เก้าเอารถที่บ้านมาใช้ เป็นรถกระบะคันใหญ่ที่เหมาะกับเขาดี บางวันก็ได้กุ๊กไก่ไปส่งบ้าง หลังจากเรานั่งเล่นนั่งทำการบ้านโอเอ้อยู่แถวคณะจนเย็น แต่ตอนเช้าเป้จะมาส่งทุกวัน ซึ่งผมเกรงใจพวกเขามาก เพราะไม่อยากเป็นภาระให้เพื่อน ๆ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธใครได้สักที โดยเฉพาะเก้าที่ถ้าผมเอ่ยปากปฏิเสธเมื่อไหร่เป็นได้ถูกดุตลอด กุ๊กไก่กับเป้เลยเอาบ้าง ตอนนี้กลุ่มของพวกเราเลยมีเป้เป็นสมาชิกเพิ่มมาอีกคนแล้ว



เป็นชีวิตเรียบง่ายแบบที่ผมชอบ และเขา..คุณเพลิง หลังจากวันนั้นเราก็ไม่เจอกันอีกเลย เขาอาจจะไม่ได้สนใจว่าผมหายไปไหน ถึงตึกเรียนของบริหารกับวิศวะจะอยู่ใกล้กัน แต่ผมก็พยายามเลี่ยงไม่เดินไปทางฝั่งวิศวะมากนัก และผมเพิ่งมีเรื่องดี ๆ เข้ามาเกินกว่าจะใส่ใจเรื่องนั้น ผมได้งานที่คาเฟ่หลังมหาวิทยาลัย เป็นร้านน่ารักในธีมตามสั่งติดแอร์ ขายอาหารตามสั่งเมนูง่าย ๆ รวมทั้งของหวานพวกเค้ก ไอศกรีม และเครื่องดื่มทั้งชากาแฟ ไปจนถึงชาไข่มุก น้ำปั่นผลไม้เพื่อสุขภาพก็มี แอบตื่นเต้นนิดหน่อย เพราะวันเสาร์นี้ผมจะได้เริ่มงานเต็มตัว หลังจากฝึกงานวันละชั่วโมงหลังเลิกเรียนมาสองวัน



มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมยังค้างคาใจคือเรื่องวันนั้น ผมเลยพยายามตามหาพี่ณัฐ แต่ก็ไม่เจอเขาเลยตั้งแต่วันที่เราไปกินเลี้ยงกัน ส่วนเก้าจากที่ไม่ค่อยพูดตอนนี้แทบไม่พูดอะไรเลย ทั้งที่ยังมาเรียนและไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าเขาพูดน้อยลง ต่างจากกุ๊กไก่ที่ยังพูดมากเหมือนเดิม



“อาทิตย์หน้าเราอาจจะลาทั้งอาทิตย์” เก้าบอกตอนที่พวกเรานั่งเล่นอยู่โต๊ะประจำหน้าคณะ หลังเรียนวิชาสุดท้ายของภาคบ่ายเสร็จ ผมกับกุ๊กไก่หันไปมองหน้าเก้าพร้อมกันทันทีที่เขาพูดจบ

“ทำไมลานานขนาดนั้นล่ะเก้า” กุ๊กไก่ถามหน้าตื่นท่าทางแปลกใจ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ปกติเก้าแทบไม่ยอมขาดเรียน ขนาดกุ๊กไก่ชวนโดดวิชาเดียวยังไม่ยอม แถมเป็นคนต้อนพวกผมให้เข้าเรียนตลอด แต่ดันมาบอกว่าจะลานานเป็นอาทิตย์ขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องแปลกใจ

“ว่าจะกลับบ้านน่ะ แต่ยังไม่แน่ถ้าไม่เห็นมาก็แปลว่าลานั่นแหละ”

“จะเก็บชีตเรียนไว้ให้นะ” ผมบอก

“อืมฝากด้วย”

“แต่เก้าไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกใช่ไหม มีเรื่องอะไรบอกได้นะ” เพราะผมสังเกตมาหลายวันแล้ว ว่าเก้าเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่างให้คิดอยู่ตลอดเวลา ถึงจะทำตัวปกติ แต่มันก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นักหรอก

“ไม่มีไม่ต้องเป็นห่วงน่า หรือจะเป็นห่วงดี เห็นช่วงนี้ใครบางคนมีรุ่นพี่วิศวะมาจีบหรือเปล่าวะ”

“เอ่อ..” เก้าบอกแล้วมองหน้ากุ๊กไก่ยิ้ม ๆ คนถูกมองชะงักไป แล้วกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม ส่วนผมได้แต่มองหน้าเพื่อนสองคนสลับกันไปมา แอบงงนิดหน่อย

“มีข่าวอะไรที่เรายังไม่รู้หรือเก้า” นั่นสิทำไมผมตกข่าว เรามาเรียนก็อยู่ด้วยกันตลอด หรือจะเป็นช่วงที่ผมต้องไปฝึกงานที่ร้านหลังเลิกเรียน

“ถามกุ๊กไก่สิ” ผมหันไปทางกุ๊กไก่ พร้อมกับเครื่องหมายคำถามบนหน้าผาก กุ๊กไก่เหมือนคนทำตัวไม่ถูกแต่ผิวแก้มแดงเรื่อ

“ไม่มีอะไรหรอกแค่รุ่นพี่รู้จักกัน”

“แล้วใครล่ะ” ผมถามยิ้ม ๆ ถึงกุ๊กไก่จะบอกว่าแค่รุ่นพี่รู้จักกัน แต่ผมยังไม่ลืมที่เก้าพูดว่าอะไรจีบ ๆ นั่นหรอกนะ

“ก็พี่ออฟไง”

“พี่ออฟ? “ชื่อนี้คุ้นนะว่าไหม ขอร้องล่ะอย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย

“ใช่พี่ออฟเพื่อนพี่เพลิงไง” ยอมรับว่าตกใจมาก และยิ่งตกใจจนหันขวับไปมองแทบไม่ทันเมื่อกุ๊กไก่พูดต่อ “รู้จักกันวันที่เราไปเที่ยวไง ก็อย่างที่เล่าให้ฟังว่าเราฝากธารกลับกับพี่เพลิงเพราะพักอยู่ด้วยกัน พี่ออฟเลยไปส่งเรา แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอกเก้าพูดเกินจริง”

“แต่เห็นนะว่าแอบไปกินข้าวกับพี่เขาด้วยน่ะ” เก้าไม่ยอมถูกว่าง่าย ๆ

“แค่ไปกินข้าวที่โรงอาหารเอง” กุ๊กไก่เสียงสูงไปนะ “เพื่อนพี่เขาก็ไปพี่เพลิงก็ไปด้วยนะธาร ไม่ได้ไปแค่เรากับพี่ออฟสองต่อสองซะเมื่อไหร่ล่ะ” ทำไมผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ที่ได้ยินว่ากุ๊กไก่ค่อนข้างสนิทกับสองคนนั้น ทั้งที่หลายวันมานี้ ผมไม่ได้ยินชื่อเขาเลย แต่วันนี้กลับได้ยินตั้งหลายรอบ แล้วกุ๊กไก่ไปกับกินข้าวกับพี่ออฟกับคุณเพลิงตอนไหน ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ต้องเป็นตอนที่ผมไปฝึกงานแน่ ๆ ไม่รู้หรือว่าพวกเขาเป็นตัวอันตราย ถึงพี่ออฟจะเคยช่วยผม ถึงเขาจะดูเป็นคนดี แต่มาเป็นเพื่อนกับคุณชาย Bad Boy ได้ ผมก็ไม่อยากไว้ใจเขานักหรอก

“ไม่มีอะไรจริง ๆ นะ ธารก็รู้จักพี่เพลิงไม่ใช่เหรอ” เพราะผมรู้จักเขาไงมันถึงน่าห่วง กุ๊กไก่ถามแล้วหลบตาผมเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่อยากพูดถึง แต่ผมยังไม่อยากเซ้าซี้ตอนนี้เลยไม่ถามต่อ

“อืม” ผมตอบได้แค่นั้น ทั้งที่ไม่อยากคิดอะไรมาก แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ผมไม่อยากให้กุ๊กไก่มายุ่งเกี่ยวอะไรกับคนพวกนั้น ถึงพี่ออฟจะเป็นคนมาจีบกุ๊กไก่ แต่พวกเขากินเที่ยวด้วยกัน ขนาดกุ๊กไก่ไปกินข้าวกับพวกเขาผมยังเพิ่งรู้ แล้วถ้าเขาชวนไปเที่ยวหรือทำอะไรอย่างอื่น ผมจะทำยังไง ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าพวกนั้นเขามั่วกันมากแค่ไหน

“ถ้าโอเคก็ดีแล้วล่ะ” เก้าบอก

“แต่มีอะไรบอกกันบ้างนะเก้า พักหลังนี้แกเงียบไปนะ” ผมเห็นด้วยกับกุ๊กไก่เลย บางทีเก้าก็เงียบผิดปกติ จนไม่กล้าชวนคุย

“ก็มีเรื่องให้คิดอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ไม่ต้องห่วงเราจัดการได้”

“โอเค แต่ถ้ามีเรื่องอะไรอย่าปิดกันนะ”

“ธารดูแลตัวเองดี ๆ นะ กุ๊กไก่ด้วย เรากลับก่อนวันนี้ไม่ได้ไปส่งนะธาร” เก้าบอกแค่นั้นก็เดินแยกออกไปทันที ท่าทางรีบทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคุยกันสบาย ๆ อยู่เลย ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนแยกย้ายกันเก้ามักจะย้ำผมกับกุ๊กไก่อย่างนี้เสมอ จนผมอดสงสัยไม่ได้ ว่าอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเก้า



ผมมองตามจนเก้าเดินไปถึงรถ แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตู ก็ถูกใครบางคนเดินเข้าไปดึงแขนไว้ก่อน เก้าสะบัดแขนออกอย่างแรง หันไปกระชากคอเสื้อของใครคนนั้นอย่างเอาเรื่อง ผมกำลังจะลุกวิ่งไปหาเก้าแล้ว เพราะกลัวเกิดเรื่องกับเขา แต่เห็นทั้งสองพูดอะไรกันหลายคำ เลยรอดูอยู่ที่เดิม สองคนคุยกันไม่นาน ใครคนนั้นก็เดินหัวเราะจากไป เก้าเองพอขึ้นรถได้ ก็ขับกระชากออกไปอย่างแรง จนกลัวว่าจะไปชนคนอื่นเข้า ผมจะไม่เป็นห่วงเพื่อนมากขนาดนี้เลย ถ้าคนที่เข้ามาคุยกับเก้าจะไม่ใช่พี่เก่ง ไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน หรือตั้งแต่วันที่เก้าไปช่วยผมที่ห้องน้ำ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะเก้าดูหัวเสียและโมโหให้พี่เก่งมาก



“มีอะไรเหรอธาร”

“เปล่าไม่มีอะไร เราไปไหนต่อ”

“สวัสดีครับน้องธาร น้องกุ๊กไก่เลิกเรียนแล้วใช่ไหมครับวันนี้”

“พี่ออฟ! พี่เพลิง!” เสียงทักแรกคุ้นหูแต่ผมยังนึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร จนได้ยินเสียงกุ๊กไก่ทักตอบนั่นแหละ ถึงได้รู้และตัวสั่นขึ้นมาเฉย ๆ เหมือนผมทำอะไรผิดไว้ ยิ่งหันกลับมาผมยิ่งเสียวสันหลังวาบ เมื่อสองคนเดินมานั่งลงที่โต๊ะเดียวกัน

คุณเพลิง! เป็นเขาจริง ๆ ด้วย

“พี่มาชวนกุ๊กไก่ไปกินไอติมครับ ไปด้วยกันนะธาร”

“เอ่อ ผม..” เพราะจะเริ่มงานเต็มวันพรุ่งนี้ วันนี้ผมเลยว่างไม่ต้องไปฝึกงาน แต่ผมก็ไม่อยากไปกับเขา แต่ถ้าผมไม่ไปด้วยกุ๊กไก่ก็ต้องไปกับผู้ชายสองคนนะสิ ผมว่ากุ๊กไก่ควรปฏิเสธ แต่..

“ไปนะธาร กุ๊กไก่อยากกินไอติมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จะได้ไม่บ่นให้ธารรำคาญอีกไง”

“แต่ เรา..”

“ไปเถอะวันนี้พี่เลี้ยงเต็มที่” พี่ออฟชวนแล้วหันไปมองกุ๊กไก่สายตาหวานแปลก ๆ แต่นั่นมันน่ากลัวสำหรับผม

“ไปนะธาร” ถึงจะเอ่ยชวนแต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนกุ๊กไก่กำลังขอร้อง

“คือเรา..”

“ไปด้วยกัน” เฮือก!! ไม่รู้ทำไมผมต้องตกใจ แต่พอเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ เย็น ๆ ว่าไปด้วยกัน หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ผมก็เผลอตกใจจนเกือบสะดุ้ง ตั้งแต่เขาเข้ามานั่งตรงข้ามผม ส่วนพี่ออฟนั่งตรงข้ามกับกุ๊กไก่ โต๊ะม้าหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยม เราเลยได้นั่งเผชิญหน้ากันพอดี แต่ผมกลับไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมองหน้าเขา ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สายตาของเขาที่มองตอบมา เห็นแล้วเหมือนผมกำลังถูกลงโทษยังไงก็ไม่รู้

“ธารต้องไปอยู่แล้วแน่นอนค่ะพี่เพลิง”

“ไปกันเถอะ ให้ธารไปกับมึงเดี๋ยวกูไปกับกุ๊กไก่เจอกันที่ร้าน ตามนั้น”

“แต่..”

“ลุก! “ พอเงยหน้าขึ้นกุ๊กไก่กับพี่ออฟก็เดินออกไปแล้ว ผมกำมือแน่นจนเกร็งไปหมด ตอนนี้เหลือแค่ผม ที่นั่งเหมือนรากงอกติดม้าหินอ่อน กับคนตาดุที่จ้องตาขวางน่ากลัว ทำไมต้องให้ผมไปด้วย ทำไมต้องให้ผมไปกับเขา ดูหน้าก็รู้ว่าไม่ได้เต็มใจสักนิด

“ไม่ได้ยินที่กูบอกหรือไงลุกขึ้น” เขาไม่ได้ตะคอกเหมือนเคย ไม่ได้คิดว่าเขาใจดีหรือใจเย็นลง แต่อาจจะเป็นเพราะอยู่ข้างนอกเขาเลยไม่อยากให้ใครมองว่าตัวเองเป็นคนยังไง ก็คงจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ



เขาเดินนำผมลัดไปทางตึกวิศวะ จนถึงที่เขาจอดรถไว้ แล้วหันมามองผมด้วยหางตา ผมคิดว่าไปเองน่าจะดีกว่า แต่พอเขาหันมามองอีกทีด้วยสายตาดุ ๆ เหมือนกำลังสั่งให้ขึ้นรถได้แล้ว ผมเลยจำใจเดินไปปีนขึ้นนั่งซ้อนท้ายเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้



“โอ๊ยคุณ! “พอปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเขาได้ เบาะที่สูงและเทลาดมาข้างหน้า ทำให้ผมรู้สึกโหวง มันน่ากลัวจนต้องก้มลงไปหาเขา แต่พอเขาจะออกรถผมหวาดเสียวกลัวตก เลยเผลอกอดเอวเขาไปเต็ม ๆ และเขาก็ปัดมือผมออกทันที ไม่ใช่สิต้องเรียกว่ากระชากออกจะถูกกว่า

“อย่ามากอดกู”

“ผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ แต่มันสูงผมกลัว เฮ้ย!” เขาบิดคันเร่งอย่างแรงจนรถกระชาก ผมรีบจับชายเสื้อที่เขาใส่อยู่ แล้วก็ต้องรีบปล่อยทันทีเพราะกลัวเขาด่าอีก ตลอดทางผมต้องนั่งก้มและเกร็งตัวไว้ ไม่ให้ตัวเองไหลไปถูกตัวเขา แต่มันเป็นไปได้ยากมาก เพราะเบาะรถที่เทลาดมาข้างหน้ามันชันมากทีเดียว ผมเกร็งจนปวดเมื่อยไปหมด มาถึงร้านก็แทบขยับลงจากรถไม่ได้ เพราะเหน็บเริ่มกินขาเมื่อยตัวไปอีก



บรรยากาศการกินไอศกรีมของพวกเราอึดอัดมาก จนอยากให้มันผ่านไปเร็ว ๆ กุ๊กไก่คุยกับพี่ออฟ หันมาคุยกับผมบ้างบางครั้ง ส่วนผมกับเขา เอาแต่นั่งเงียบ ผมไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ แต่สังเกตเห็นว่าเขาคงชอบกินไอศกรีมมาก เพราะเขาสั่งมาถ้วยใหญ่พิเศษ แล้วเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินไม่สนใจใครเลย



“ถึงเวลากลับไปทำหน้าที่ของมึงแล้ว” อยู่ดี ๆ เขาก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ตอนนี้ที่โต๊ะมีแค่ผมกับเขา พี่ออฟเดินไปสั่งไอติมถ้วยใหม่ กุ๊กไก่ไปเข้าห้องน้ำ เลยเหลือผมกับเขาอยู่ที่โต๊ะกันสองคน

“ไม่! ผมไม่กลับ” ผมกัดฟันบอกเสียงเบา เพราะต้องพยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าห้ามมันไม่ได้ ตอนนี้มือผมก็เริ่มสั่นแล้วด้วย แต่ผมไม่อยากกลับไปให้เขาทำร้ายอีก

“ลืมแล้วหรือไงว่ามึงมีหน้าที่รับใช้กูทุกอย่าง!” เขากัดฟันพูดเน้นคำว่าทุกอย่างหนัก ๆ ซึ่งนั่นเข้าใจได้ไม่อยาก ว่าทุกอย่างของเขาหมายถึงอะไรบ้าง และผมจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ผมตัดสินใจแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องกลับไป

“มันไม่ใช่หน้าที่ของผม ผมออกมาแล้ว”

“ก็..แล้วแต่มึงก็แล้วกัน เดี๋ยวกูหาคนไปทำแทนก็ได้ งานบ้านน่ะหาไม่อยากหรอก งานบนเตียงยิ่งหาง่ายถามเพื่อนมึงดูสิ” พูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็หันไปมองกุ๊กไก่ที่เดินกลับมาพอดี ผมเงยหน้ามองเพื่อน แต่ยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

“จริงไหมน้องกุ๊กไก่”

“อะไรจริงหรือคะพี่เพลิง”

“ที่ตกลงกันไว้” กุ๊กไก่มีสีหน้าตกใจจนเห็นได้ชัด ใบหน้าน่ารักซีดเผือดลงปากเผยอค้างสั่นระริก แต่ไม่นานก็เหมือนจะตั้งสติได้ เลยหันมามองหน้าผมทำท่าทาเหมือนกำลังกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง

“คือ..”

“กุ๊กไก่เอาไอติมเพิ่มไหม มาช่วยพี่เลือกขนมไปฝากที่บ้านหน่อยเร็ว”

“ค่ะ” เหมือนพี่ออฟจะรู้จังหวะหรือผมคิดมากไป กุ๊กไก่หันไปตอบรับพี่ออฟ แล้วหันกลับมามองหน้าผมกับคุณเพลิงสลับกัน ค่อยลุกออกไปพร้อมกับสีหน้าลำบากใจ

“คุณทำอะไรเพื่อนผม” เขาแสยะยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่น่ามองสักนิด มันไม่เข้ากับใบหน้าหล่อเหลาของเขาเลย เมื่อหันมาทางผมพร้อมแววตาดุคู่นั้น ที่บอกว่าคนจะมาแทนผมไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลย

“กูยังไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้ามึงยังอยากอยู่หอกับผัวใหม่ต่อก็แล้วแต่มึง”

“แล้วที่คุณพูดเมื่อกี้ คุณตกลงอะไรกันกับเพื่อนผม” เขาแสยะยิ้มดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกมากจนผมนึกหมั่นไส้ แววตามีประกายสนุกหรี่มองผมอย่างท้าทาย จนผมกำมือแน่น “บอกผมมานะคุณเพลิง!”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่กู!” เขาตะคอกบอก แต่ยังรักษาระดับเสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน นัยน์ตาขี้เล่นยามเห็นผมร้อนรนเปลี่ยนเป็นจริงจัง “อยากรู้เหรอ”

“บอกผมมาสิ”

“หึ ถามเพื่อนมึงดูสิ” ทำไมผมต้องมาอยู่ในสถานการณ์อึดอัดอย่างนี้ด้วยก็ไม่รู้ สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นอกจากนั่งฟังเขาเย้ยหยันเล่นแง่ใส่

“กูไปสูบบุหรี่” เขาบอกตอนพี่ออฟเดินกลับมาพร้อมกุ๊กไก่ และถุงใส่ขนมอีกหลายถุง

“เดี๋ยวพี่มานะ” พอพี่ออฟตามออกไปผมเลยหันมากทางกุ๊กไก่ ที่คงรู้ดีอยู่แล้วว่าผมกำลังจะถามอะไร

“ธาร”

“กุ๊กไก่ตกลงอะไรกับเขาเหรอ”

“คือ..” กุ๊กไก่กัดปากตัวเองท่าทางลำบากใจ นั่นยิ่งทำให้ผมอยากรู้ว่าเขาพูดอะไรกับเพื่อนผม ทำไมกุ๊กไก่ถึงมีท่าทางแบบนี้

“บอกเรามาเถอะ”

“วันที่เราไปเที่ยวแล้วธารเมา” จริง ๆ ผมไม่ได้เมาเหล้า แต่ทุกคนคงคิดว่าผมเมาเพราะดื่มเหล้าหมดแล้ว “วันนั้นมีคนจะเอาตัวธารไป เรากับเก้าตามไปช่วยแต่พวกนั้นมีหลายคน เราไปเจอพี่เพลิงกับพี่ออฟพอดี เลยขอให้ตามไปช่วย แล้วพี่เพลิงกับพี่ออฟก็ช่วยธารไว้ได้ จากนั้นก็เหมือนที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ”

“แล้วเรื่องข้อตกลง” กุ๊กไก่ก้มหน้ากัดปากล่างตัวเองแน่น

“ตอนแรกพี่เพลิงจะไม่ไป แต่เรายังขอร้องเขา พี่เพลิงเลยขอแลกกับ..กับการที่เราต้องนอนกับเขาคืนหนึ่ง เขาถึงจะยอมไปช่วยธาร”

“บ้าที่สุด! กุ๊กไก่ก็รับปากเขาเหรอ “ กุ๊กไก่พยักหน้ารับทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา แต่ทำไม ทำไมเขาถึงได้ยื่นข้อตกลงอะไรที่มันร้ายกาจเห็นแก่ตัวอย่างนี้

“เราเป็นห่วงธารมาก แล้วเราก็ไม่รู้จะช่วยยังไง พวกนั้นมีหลายคน ตอนนั้นพี่ณัฐกับเก้าก็หายไปไหนแล้วไม่รู้” กุ๊กไก่บีบมือตัวเองแน่น ผมไม่คิดว่าจะมีเพื่อนเสียสละให้ผมได้มากถึงขนาดนี้ “เพราะเราผิดเองที่ชวนธาร เราผิดเองที่อยากเที่ยว แล้วพอธารโดนแบบนั้น จะไม่ให้เราทำอะไรเลยเหรอ”

“แล้วเรื่องจีบ”

“เราไม่รู้ธารหลังจากไปส่งเราคืนนั้น พี่ออฟเขาก็มาหาตลอด แต่พี่เพลิงเขา..ไม่รู้สิธารถามพี่เพลิงเองเถอะ”

“แต่เขาไม่ได้ขู่อะไรกุ๊กไก่ใช่ไหม” กุ๊กไก่แค่ส่ายหน้า แต่ในแววตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความงุนงงอยู่ไม่น้อย แล้วผมจะทำยังไงดี ทำไมเรื่องมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ เขาคิดจะทำอย่างนั้นกับกุ๊กไก่จริง ๆ ใช่ไหม แต่คนอย่างเขาจะทำอะไร จะนอนกับใครมันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็เคยเห็นเขาจัดปาร์ตี้อะไรพวกนี้มาแล้วนี่

“กลับกันเถอะ ธารกลับกับไอ้เพลิงนะเดี๋ยวพี่ไปส่งกุ๊กไก่เอง”

“ไปนะธาร”

“ครับ” ผมตอบรับเบา ๆ แต่ไม่คิดจะไปกับเขาเหมือนที่พี่ออฟบอก มองตามจนสองคนนั้นออกจากร้านไป ผมจึงเดินออกจากร้านไปบ้าง คุณเพลิงนั่งอยู่ที่รถคันใหญ่ของเขา ท่าทางไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่ผมไม่อยากพูดไม่อยากคุยกับเขาอีกแล้ว เลยรีบเดินผ่าน

“อย่าลืมนะว่าเวลาของมึงหมดแล้ว”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม”

“กูจะไปธุระ ตอนกลับถึงห้องกูต้องเห็นมึงอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นกูจะเอาเพื่อนมึงไปอยู่แทน!” เขาบอกแล้วหันไปใส่หมวกกันน็อก ก้าวขึ้นนั่งบนรถ ผมรีบวิ่งเขาไปใกล้ จะบอกเขาให้ได้ยินชัด ๆ ว่าไม่ไป แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เขาก็ขับรถออกไปก่อนแล้ว ทิ้งให้ผมยืนมองตามท้ายรถของเขาจนลับตา

“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!” เสียงรถเขาดังออกขนาดนั้นไม่รู้จะได้ยินไหม แต่เสียงดังกวนชาวบ้านอย่างนี้ ขอให้ถูกตำรวจจับด้วยเถอะ สาธุ!



*************

จ้า ให้มันขี่ล้มจนหัวฟาดพื้นไปเลยมั้ยลูก 

เด็กคนนี้นี่...มีแช่งสามีตัวเอง ได้ไง

เอาเป็นว่า ธารจะเอายังไง เจอกันตอนหน้าจ้าาา

6-3-2562

ดาว
หัวข้อ: Re: กว่าจะลงเอยด้วยคำว่า...รัก ตอนที่ 15 (22/3/2562)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-03-2019 22:35:49
  o13
 :pig4: