พิมพ์หน้านี้ - KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:34:51

หัวข้อ: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:34:51
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

                                                                        บทนำ

                ตาย..เขาต้องตายแน่ๆ

               ร่างสูงเกือบร้อยแปดสิบกำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เบื้องหลังคืองูสีแดงตัวใหญ่กำลังเลื้อยตามมาอย่างไม่ลดละความพยายาม ดวงตากลมโตของมันเอาแต่จับจ้องมาทางคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างกระหาย ท่ามกลางความเงียบงันบนถนนรกร้าง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่ากับชุดกระโปรงที่อยู่บนตัวเขานี่หรอก เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาอยู่ในชุดเจ้าสาว? (แบบที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาไม่ควรจะได้มาสวมใส่) ที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าไปใส่ตั้งแต่ตอนไหน แถมยังรองเท้าส้นสูง ศัตรูตัวฉกาจยิ่งกว่าไอ้สัตว์เลื้อยคลานที่กำลังเลื้อยตามหลังมา ไหนจะช่อดอกไม้ในมือที่มาแบบไม่รู้ตัวนี่อีก

                แล้วเขาจะถือเอาไว้ทำไมกัน?

            คิดได้เช่นนั้น พลันสองมือก็โยนช่อดอกไม้ในมือทิ้ง สองเท้ากระโดดผลุงและดีดรองเท้าส้นสูงออกจากเท้าของตน มันกระเด็นเฉียดหัวงูตัวนั้นไปเพียงหน่อยเดียว (น่าจะโดนหัวมันไปให้รู้แล้วรู้รอด)  ความยาวรุ่มร่าม ทำให้เขาต้องถลกกระโปรงขึ้นและวิ่งหนีด้วยเท้าเปล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนที่วิกผมจะปลิวหลุดออกไปจากหัวของเขา ตอนนี้ เขาเลยกลายเป็นกระเทยร่างยักษ์กำลังวิ่งพล่านเหมือนคนบ้าอยู่กลางถนนไปเสียอย่างนั้น

                สองขาพยายามพาร่างของตัวเองหนีให้พ้นอันตราย ทว่าพละกำลังของเขากลับอ่อนลงไปเรื่อยๆ  เสียงหอบหายใจเริ่มดังถี่ขึ้นตามระยะทางที่ไกลออกไป อาการชาเริ่มแล่นปราดไปทั่วขาของเขาอย่างไม่อาจจะหาอะไรมาหยุดยั้งได้  ภายในใจก็เอาแต่พร่ำบ่นถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ตนกำลังเผชิญหน้าในเวลานี้

                ทำไมกัน...ทำไมเขาต้องมาวิ่งหนีไอ้สัตว์เลื้อยคลานในเวลาที่ฟ้ายังไม่สางแบบนี้ด้วย!

                รอบข้างที่มีเพียงความมืดและอาการอันเย็นเฉียบ ส่งผลให้ใจของเขาระส่ำระส่ายเท่าทวีคูณ

                และเมื่อเขาหันหลังกลับไปมอง ก็พบว่าไอ้งูตัวนั้นยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะไล่ตามเขา ตาโตๆ ของมันที่ทั้งดุดันและน่ากลัวเอาแต่จับจ้องมายังคนตรงหน้าอย่างไม่ให้คลาดสายตา ราวกับว่าเขาคือเป้าหมายหนึ่งเดียวของมันในเวลานี้!

                จนกระทั่ง...

                พลั่ก!

                เขาสะดุดล้ม...!

                อาจจะเป็นเพราะขาที่หมดแรงเอาดื้อๆ อาการปวดตุ้บๆ เริ่มแล่นขึ้นมาตามข้อเท้า น่องและขาของเขาทีละนิด ขณะที่สายตาของเขายังคงจ้องไปยังงูตัวใหญ่สีแดงอย่างไม่ละสายตาด้วยความกลัว มันค่อยๆ เลื้อยเข้ามาใกล้ แม้ว่าภายในใจอยากจะรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปให้ไกล แต่เขาก็ทำเพียงแค่ขยับร่างกายถอยไปข้างหลังทีละนิด ก่อนที่งูตัวนั้นจะสบโอกาสพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วจนคนตรงหน้าเผลอร้องออกมาเสียงดังลั่น!

                คิด...ว่าคงไม่รอดแน่ๆ !

                จึงได้แต่หลับตารอรับความเจ็บปวดอยู่เช่นนั้น เพียงชั่วครู่ เขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตตรงหน้า สัมผัสที่แตะลงบนต้นแขนของเขาและกระชับแน่น

              “พี่ครับ...”

                เสียงเด็กผู้ชายเอ่ยเรียก เป็นเสียงที่เขารู้สึกเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน 

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงนั้นยังคงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

              หรือจะมีเด็กที่ไหน เข้ามาช่วยเขาจากงูสีแดงตัวนั้น?

            เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและลืมตาขึ้นทีละนิด ก่อนจะเบิกตาโพลง เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กผู้ชายคนนั้นเต็มตาใบหน้าของคนตรงหน้าเข้าใกล้มากเสียจนเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ทำให้ใจของเขาเริ่มระส่ำระส่ายอีกครั้ง ดวงตาของเด็กคนนั้นสบลึกเข้ามาในตาของเขา...ราวกับต้องการสื่อสารอะไรบางอย่าง

                ก่อนที่ปากเล็กๆ นั้นจะค่อยๆ ขยับ...

                “แต่งงานกับผมนะ พี่สาว...”

                ก่อนที่เด็กชายคนนั้นจะเข้าใกล้และจุมพิตลงบนแก้มของเขาอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะผละออกไปแล้วยืนยิ้มให้กับคนที่เอาแต่นิ่งอึ้ง ก่อนที่ร่างสูงจะแหกปากเสียงดังลั่นอย่างที่เคยทำ

                “ม่ายยยยยยยยยย”

 

                “...!?”

                เจ้าของร่างสูงสะดุ้งตื่นหลังจากรู้สึกวืดเหมือนตกจากที่สูง ยกมือขึ้นมาจับแก้มทันทีที่เรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงความฝัน

                เพราะเคยแพ้เกมเพื่อนสนิทตอนม.หนึ่ง จนต้องแต่งหญิงคราวนั้น เขาถึงได้ฝังใจเรื่องเด็กผู้ชายคนนั้นและเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะเอาตั้งแต่เล็กจนโต ก็เพราะไอ้เด็กผู้ชายคนนั้น (ที่เพิ่งจะขึ้นป.สี่ในตอนนั้น) มันเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ มันเลยวิ่งแจ้นตามเฝ้าเขาเช้ายันเย็น บางวันมีแอบตามไปถึงบ้าน เล่นเอาเขาหลอนไปเป็นปีๆ

            เขาคิดและถอนหายใจออกมาอีกครั้ง...

                ทว่า..

                “รีบตื่นทำไมวะ?”

                เขาหันไปมองค้อนใส่ ซัน เพื่อนสนิทที่ตัวติดกันมาตั้งแต่สมัยประถม เหตุเพราะเจ้าตัวเพิ่งจะแอบถ่ายรูปเขาไปหมาดๆ  ซันส่งเสียงในลำคออย่างคนขัดใจ ก่อนจะลดกล้องลง

                “แอบถ่ายอะไรกูอีก!” ฮ่องเต้ร้องโวยวาย ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่คนตรงหน้าเต็มที่ ตรงข้ามกับซันที่ดูเหมือนจะมีความสุขที่ทำให้เขาหงุดหงิดได้

                “ก็มันน่าถ่ายไว้นี่หว่า...” ก่อนที่ซันจะยื่นกล้องมาให้เขาดู

                ฮ่องเต้นิ่วหน้า หรี่ตามองไอ้จอเล็กๆ ที่กำลังฉายภาพ...ของเขาเอง

                “ไอ้ซัน!!”

                เป็นอันต้องเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงดังลั่นอย่างเหลืออดเพราะนอกจากคลิปนั้นจะไม่น่าดูแล้ว ภาพยังติดเรทจนดูไม่ได้อีก ทว่าพอเขากะจะกระโจนเข้าตะปบกล้องมา หมายจะเอามาลบคลิปทุเรศๆ ในกล้องนั่น ไอ้เจ้าของกล้องมันก็ดันมือไวกว่าทำให้เขาถึงกับวืด หน้าทิ่มไปกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย

                และนั่นทำให้คนที่ชื่อว่าซันหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ที่ได้เห็นเขาทำเรื่องน่าอายเข้าให้จนได้!

                “กูชอบจัง เวลามึงละเมอเนี่ย...” ซันหันมาเย้าหยอกฮ่องเต้ต่อ ก่อนจะเว้นจังหวะแล้วยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูคนที่เพิ่งจะยันตัวลุกขึ้นมาจากพื้นว่า “...โคตรเอกซ์เลยว่ะ”

                “ไอ้ซัน!!” และมือที่ฮ่องเต้หมายจะซัดใส่ซันสักป๊าบก็วืดอีกระรอก เหตุเพราะซันถอยห่างออกไปด้วยความไวแสงประหนึ่งรู้ทันความคิดของเขา

                “ลบคลิปเลย ไอ้ซัน” ฮ่องเต้หันไปออกคำสั่ง ทว่าซันกลับยักไหลอย่างไม่ใส่ใจในคำพูด แต่หันมาสนใจเรื่องที่ฮ่องเต้ละเมอต่อ

                “ไอ้เต้ กูถามมึงจริงๆ เหอะ มึงฝันอะไรอยู่วะ ถึงได้นอนจูบกระเป๋าตัวเองแถมยังทำเสียงอื้อๆ อีกต่างหาก”

                คนพูดก็พูดไปยิ้มอย่างล้อเลียนเพื่อนไป ส่วนไอ้คนที่ถูกถามก็หน้าหงิกงอไปแล้วเรียบร้อย

                “ยุ่งน่า!”

                ฮ่องเต้ตอบกลับไปแค่นั้นพร้อมกับใบหน้าขึ้นสี ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าใครต่อใครจะผ่านมาเห็นตอนเขาละเมอบ้างหรือเปล่า ยิ่งกับพวกรุ่นน้องมานั่งรวมกลุ่มกันเตรียมของสำหรับกิจกรรมรับน้องใต้ถุนคณะด้วยแล้ว เขายิ่งไม่อยากจะให้มาเห็นเพราะต้องถูกเอาไม่นินทาลับหลังเป็นแน่

                “เอาน่า มันเรื่องปกติไม่ใช่หรือไงวะ”

                “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” พูดออกไปอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์   

                “ท่านฮ่องเต้ขอรับ เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”

                เสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังมาแต่ไกลเรียกสายตาให้เจ้าของชื่อและซันหันไปมอง แถมด้วยพวกปีสองที่พร้อมใจกันส่งสายตาไปยังไอ้ตัวต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง

               “เสียงดังไปแล้วมึงอ่ะ” ฮ่องเต้อดหันไปเอ็ดตะโรใส่คนมาใหม่อย่างเสียไม่ได้ เจ้าของส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบห้าหยุดยืนกระหืดกระหอบได้สักพัก ก็หันมามองหน้าคนที่รอฟังที่โต๊ะ

               “ไม่ดังไม่ได้เว้ย เรื่องแบบนี้”

                “เรื่องอะไรวะ ไอ้นิว” เป็นซันที่หันไปถามด้วยความอยากรู้และนั่นทำให้คนเล่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ก่อนจะหันไอถามคนที่นั่งเงียบ แต่ก็ตั้งตารอฟังอย่างฮ่องเต้ว่า

               “มึงเห็นสเตตัสน้องรหัสมึงหรือยัง” น้ำเสียงและท่าทางที่ดูตื่นเต้นผิดปกติ ทำให้คนที่เหมือนจะมีส่วนเข้าไปเอี่ยวกับเรื่องนี้ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ แม้ว่าเขาจะหวังเอาไว้ว่าเรื่องที่จะได้ยินต่อไปนี้จะเป็นข่าวดี แต่ทำไมใจของเขาถึงไม่รักดี เอาแต่เต้นผิดจังหวะเป็นลางอยู่ได้

                “มี...อะไรวะ” ถามออกไปอย่างหวั่นๆ

             “อะ มึงดูให้เต็มตา” ไม่ว่าเปล่า นิวยังส่งมือถือของตัวเองให้เขาดูอีก “อย่างไวอ่ะ ตอนแรกกูคิดว่าจะเป็นมึงซะอีกที่สละโสด คบกับน้องยิ้ม”

                คำอธิบายภาพบนหน้าจอมือถือซึมซับเข้าไปในสมองน้อยๆ จนฮ่องเต้เริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่มากขึ้นสถานะคบกันของ ยิ้ม น้องรหัสปีสามและ ลัคกี้ หลานรหัสปีสอง ทำให้ฮ่องเต้ปวดหัวขึ้นมาอัตโนมัติ รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ละม้ายคล้ายจะเป็นลม  จนได้ยินเสียงลึกลับลอยมาเข้ามาในโสตประสาต เสียงของใครบางคนที่กำลังเขย่าโสตประสาตจนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง

             พวกเอ็งรู้ไหมว่าสายรหัส 178 คณะเรามีอาถรรพ์นะเว้ย เขาว่าเป็น สายรหัสกินกันเอง จะกี่รุ่นๆ ก็ได้แฟนในสายรหัสตัวเองหมดทุกคนเลย ถ้าไม่เชื่อนะ ก็รอพิสูจน์ได้เลย

            เป็นประโยคบอกเล่าจากลุงรหัสของฮ่องเต้ที่ฝังอยู่ในใจและสมองน้อยๆ มาจวบจนเขาเรียนอยู่ปีสี่ และลุงรหัสคนนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการมีแฟนเป็นป้ารหัสของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย คบกันตั้งแต่สมัยยังเป็นเฟรชชี่ใสๆ จนตอนนี้เรียนจบ ทำงานและดูเหมือนว่าจะมีแพลนแต่งงานปีหน้านี้เลยด้วย

                “โอ้โห ถ้าอย่างนั้น น้องเฟรชชี่ปีนี้ ก็ตกเป็นของท่านฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย”

                นิวเริ่มพูดจาหยอกล้อเพื่อนไปตามประสาคนพูดมากที่สุดในกลุ่ม ทำเอาฮ่องเต้ที่เพิ่งตั้งสติได้หันมาเขม่นใส่ แต่คนพูดมากกลับไม่ได้สนใจเอาแต่พล่ามออกมาไม่หยุดเหมือนคนเก็บกด ถูกห้ามไม่ให้พูดมานานเป็นแรมปี

              “แต่ช้าแต่ อย่าเพิ่งกระวนกระวายไป ไม่แน่นะเว้ย สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดปีนี้ อาจจะ...” ว่าแล้วก็ทำท่าท่ามโน สติล่องลอยออกไปไกลถึงนอกโลก “...สวย เซกซี่ หุ่นเซี๊ยะ น่าเจี๊ยะก็ได้ท่านฮ่องเต้”

                “ไร้สาระ”

               การตอกกลับที่แสนสั้นแต่กลับได้ใจความจนนิวต้องทำตาโต อ้าปากกว้าง เหมือนกำลังตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

                “มึงไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะเว้ย กูเห็นพี่ๆ มึงแต่ละคนก็คบกันเองทั้งนั้นอ่ะ แถมยังไปรอด แต่งงานมีลูกไปกันไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้วด้วย”

                บางทีเขาก็นึกอยากจะหาอะไรมาปิดปากคนพูดมาก ยิ่งมันพูดออกมามากเท่าไหร่ เหมือนยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เขาต้องยอมรับความจริงมากขึ้นเท่านั้น

              “มันก็แค่เรื่องบังเอิญ มึงเข้าใจความบังเอิญไหม”

                แม้ว่าจะรู้จักอาถรรพ์สายรหัสดีอยู่แก่ใจ แต่ฮ่องเต้ก็ต้องทำทีเป็นไม่ใส่ใจกับสิ่งที่นิวพูด เพื่อป้องกันพวกเพื่อนรักที่ตั้งท่ารอแซวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าเด็กปีหนึ่งปีนี้

                “เออ เดี๋ยวกูจะรอดู” สุดท้าย นิวก็ได้แต่ทำท่า เบะปากหมั่นไส้ แต่ไม่วายพูดทิ้งทวนชวนให้เพื่อนคิดเอาไว้ “ได้ยินมาว่ารหัสนักศึกษารุ่นหกศูนย์ประกาศแล้วนี่หว่า สงสัยจะต้องเข้าส่องน้องรหัสเสียหน่อยแล้ว”

                ดูก็รู้ว่านิวจงใจจะให้ใครบางคนแถวนี้คิดต่อเรื่องอาถรรพ์สายรหัส เพราะนอกจากท่าทางที่น่าหมั่นไส้แล้ว เจ้าตัวยังทำเสียงเล็กเสียงน้อยประกอบเข้าไปด้วยและนั่นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับต้องลุกขึ้นมาอย่างเหลืออด

              “ไปเล่นไกลๆ เลยไป!”

              “ขอรับ เกล้ากระหม่อมขอทูลลาฮ่องเต้” พูดจบเจ้าตัวก็กระโดดหลบเท้าที่พุ่งเข้าใส่อย่างเต็มแรงและวิ่งแจ้นหายไปในหมู่เด็กปีสองปีสาม ส่วนอีกคนก็ทำเป็นลอยหน้าลอยตาเดินหนีไปถ่ายรูปเด็กๆ ต่อ

                ฮ่องเต้จึงได้แต่ส่งเสียงในลำคออย่างคนหัวเสีย แต่พอหันกลับมาที่โต๊ะและเห็นโน้ตบุ๊คที่ตัวเองเล่นเกมค้างเอาไว้ อะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว

             ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของนิวเพื่อนรัก หรือสถานะคบกับของสายรหัส ท่านฮ่องเต้ถึงได้หาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวด้วยการเปิดเว็บไซต์ค้นหารหัสนักศึกษาของมหา’ลัย และพิมพ์รหัสนักศึกษาของตัวเองเข้าไปในช่อง เปลี่ยนแค่เลขรุ่นของเขาจากห้าเจ็ดเป็นหกศูนย์และกดปุ่มค้นหา

             เพียงเท่านั้น ข้อมูลทั้งหมดก็ปรากฏ

 

              นายธิติกร นันทพรหม รหัสนักศึกษา  600921178

            นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิติศาสต์

            อาจารย์ที่ปรึกษา xxxxxx xxxxxxxxxxx

 

            ข้อมูลที่ฉายขึ้นมาบนหน้าจอเล่นเอาฮ่องเต้ถึงกับผงะ สองมือยกขึ้นมาขยี้ตาและหันไปดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสายตาของตัวเอง

                นายธิติกร นันทพรหม...

            นายธิติกร...

            นาย...

            นำหน้าด้วยคำว่า นาย แบบนี้ สายรหัสคนต่อไปของเขาก็เป็น...ผู้ชาย...อย่างไม่ต้องสงสัย

                แล้วแบบนี้ใครมันจะไปรับได้...

                ผู้ชายกับผู้ชายนะคุณ! จะไม่ให้ผมตื่นตระหนกตกใจเป็นไก่ตาแตกเลยหรือไง

                เรื่องนี้มันยิ่งเสียกว่าตอนที่เขาได้รู้ว่าสายรหัสปีสองกับปีสามคบกันเสียอีก แล้วไอ้พี่ปีสี่อย่างเขา มีโอกาสให้แก้ตัวปีหน้าเสียที่ไหน (เรียนต่ออีกปีก็เปอร์สิครับ) ดูเหมือนว่าสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดจะเล่นตลกกับชีวิตของเขาเข้าแล้ว

               

                พวกเอ็งรู้ไหมว่าสายรหัส 178 คณะเรามีอาถรรพ์นะเว้ย เขาว่าเป็น สายรหัสกินกันเอง จะกี่รุ่นๆ ก็ได้แฟนในสายรหัสตัวเองหมดทุกคนเลย ถ้าไม่เชื่อนะ ก็รอพิสูจน์ได้เลย                 

               

                มึงไม่เชื่อ ก็รอพิสูจน์ได้เลย !?

 

 




หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:36:54
ตอนที่ 1 น้องปีหนึ่งมาถึงเชียงใหม่
                รถยนต์สีขาวขับเข้ามาจอดเทียบทางเข้าห้องน้ำในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ อากาศเย็นๆ ในเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าทำให้เจ้าของรถอย่างโฟโต้สามารถเดินทางต่อได้อย่างสบาย แต่ที่ต้องแวะจอดเอาที่ปั้มนี้ ก็เพราะไอ้มนุษย์เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันดันปวดธุระส่วนตัวกะทันหัน จนเจ้าของรถอย่างเขาต้องเหยียบคันเร่ง สอดสายตามองหาที่ปลดปล่อยให้มันแทบไม่ทัน จนกระทั่ง มาเจอที่นี่และคงไม่ต้องบอกว่าไอ้มนุษย์เพื่อนที่พูดถึงมันรีบแจ้นลงจากรถไปไหน

                “ไอ้ฟิวด์ๆ”

                ในเมื่อคนหนึ่งหายต๋อมไปในห้องน้ำ เขาจึงจำต้องปลุกอีกคนที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาแก้เมารถมานานเกือบชั่วโมง กาฟิวด์สะลึมสะลือตื่น เอามือขยี้ตาสองสามทีและผงกตัวลุกขึ้นมาสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก่อนจะหันไปถามคนที่ปลุกเขา

                “ถึงแล้วเหรอ”

                “ยัง ไอ้เปรมมันเจือกปวดอี้ กูเลยต้องแวะปั้มให้มัน”

                คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังหน้ามึนไปเล็กน้อย คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างไม่กระจ่างดี

                “นี่ยังไม่ถึงเชียงใหม่อีกเหรอ”

                “ถึงแล้ว อีกนิดเดียวก็จะถึงมอแล้วเนี่ย มึงลงไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม เดี๋ยวต้องไปรายงานตัวเข้าหอไม่ใช่หรือไง”

                “อือ” กาฟิวด์รับคำและลงไปเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย บนรถจึงเหลือแค่โฟโต้ที่กำลังนั่งกดมือถือฆ่าเวลาเล่นไปพลางๆ  ก่อนที่หน้าจอจะถูกแทรกขึ้นมาด้วยสายเรียกเข้าจากคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

                “ว่าไงครับ คุณหญิงแม่” เสียงสดใสตอบกลับไป หลังจากไม่ยอมรับโทรศัพท์แม่ของตัวเองมาเกือบสามชั่วโมงเพราะต้องขับรถจากเชียงรายมาเชียงใหม่ ทำเอาปลายสายอดบ่นกลับมาอย่างเสียไม่ได้

                โฟโต้คุยเล่นและรายงานความคืบหน้าเรื่องการเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยภัคนลินให้กับผู้เป็นแม่จนเสร็จเรียบร้อยได้สักพัก เพื่อนรักทั้งสองคนของเขาก็กลับขึ้นมานั่งบนรถด้วยด้วยท่าทางที่สบายขึ้น (หมายถึงไอ้เปรม) ส่วนลูกสิงโตประจำกลุ่มอย่างกาฟิวด์ก็มีสีหน้าสดชื่นขึ้น

                “พวกมึง ถ่ายรูป” โฟโต้ว่าพลางยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป เสร็จสรรพก็ส่งไปให้กับแม่ของตนที่ยังคงคอยส่งข้อความมาถามไถ่เรื่อยๆ แม้ว่าจะโทรคุยกันแล้วก็ตาม

                “ไอ้ฟิวด์ มึงแน่ใจนะ ว่าจะไม่ย้ายออกมาอยู่กับพวกกู” เปรมหันไปถามคนที่นั่งด้านหลังด้วยความเป็นห่วง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่กาฟิวด์ได้ออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้ แถมยังต้องอยู่หอในคนเดียวแบบไม่มีเพื่อนอย่างพวกเขาคอยปกป้องด้วย

                “สบายมาก” ทว่าคนตอบกลับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับการจากบ้านมาอยู่ต่างจังหวัดแบบนี้

                ไอ้ที่พวกเพื่อนเขาเป็นห่วงกันก็เพราะบุคลิกและนิสัยของเขานั่นแหละ ทั้งใสซื่อบริสุทธิ์และดูบอบบางเสียอย่างนั้น จะไม่ให้ห่วงมันก็กะไรอยู่

                “เอาน่า ปล่อยมันได้ลองอยู่คนเดียวบ้าง” โฟโต้หันไปปลอบใจคนข้างๆ และหันไปยิ้มให้กับกาฟิวด์ ก่อนจะหันไปสตาร์ทรถและขับออกไปจากปั้มน้ำมัน

               

                ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสามคนก็มาถึงมหาวิทยาลัยที่สอบติดด้วยความยากลำบาก (เพราะสมองทื่อๆ ของพวกเขา) เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วและเป็นมหาวิทยาลัยที่พวกเขาตัดสินใจว่าจะมาเรียนด้วยกัน วันนี้ การจราจรแออัดพอสมควรเพราะผู้ปกครองต่างพานักศึกษาปีหนึ่งมารายงานตัวเข้าหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย กว่าพวกเข้าจะฝ่าการจราจรบริเวณประตูหน้าของมอได้ ก็ใช้เวลาพอสมควร

                โฟโต้สับเกียร์ เหยียบคันเร่งและเลี้ยวรถผ่านเข้าประตูหน้าของมหาวิทยาลัยเข้าไป สายตาทั้งสามคู่มองสำรวจไปยังบรรยากาศรายรอบด้วยความตื่นเต้นที่สื่อผ่านทางสายตาและรอยยิ้มอย่างอดใจเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ชีวิตเด็กมหา’ลัยกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้านี้

                รถคันสีขาวขับเข้ามาเทียบจอดที่ลานจดรถด้านหลังหอสองชาย ก่อนที่ทั้งสามคนจะทยอยลงรถและเดินไปส่งกาฟิวด์ด้านในหอพัก แม้ว่าจะเป็นอาคารหอพักแสนธรรมดา แต่พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ทั้งเสียงรุ่นพี่ รุ่นน้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ปกครองยิ่งทวีความตื่นเต้นเป็นเท่าตัว ก่อนที่กาฟิวด์จะไปต่อแถวที่โต๊ะเหมือนเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆ

                โฟโต้กับเปรมถอยห่างออกมายืนรอกาฟิวด์รายงานตัวอยู่ตรงทางขึ้นหอพัก ไม่นานเจ้าตัวก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับบัตรประจำตัวและกุญแจห้อง ก่อนที่ทั้งสามคนจะช่วยกันขนสัมภาระขึ้นไปบนชั้นสามและตรงดิ่งไปยังห้องพักทันที

                “กูว่ามึงจองเตียงเดี่ยวไปเลย” เปรมเสนอความคิดเห็นทันทีที่เห็นว่าในห้องยังไม่มีใครมา เนื่องจากในห้องมีเพียงแค่เตียงเดี่ยวและเตียงสองชั้นอย่างละหนึ่ง

                “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวรอคนอื่นมาแล้วค่อยว่ากันก็ได้” แต่คนขี้เกรงใจกลับปฏิเสธ

                “คนมาก่อน ก็มีสิทธิ์ก่อนป่ะวะ” คนหัวดื้อยังคงไม่ละความพยายาม นอกจากจะเถียงกลับแล้ว ยังจัดการยกสัมภาระไปวางไว้บนที่นอนเรียบร้อย

                “เปรม” กาฟิวด์ได้แต่ยืนเรียกเพื่อนอย่างไม่รู้จะห้ามยังไง

                “เอาน่า ไอ้ฟิวด์ มึงนอนเตียงเดี่ยวน่ะดีแล้ว เตียงสองชั้นมันไม่เหมาะกับมึงหรอก” โฟโต้ช่วยปลอบใจเพื่อนอีกแรง ขณะยืนมองเปรมเขียนข้อความลงในกระดาษว่า ห้ามย้าย มีปัญหาโทรมาเคลียร์ได้ที่เบอร์... จนเสร็จและแปะติดไว้ที่หัวเตียง

                “ถ้ารูมเมทมึงมีปัญหาก็มาเคลียร์กับกูนี่” พูดจบเจ้าตัวก็เดินนำลิ่วๆ ออกจากห้องไป ปล่อยให้กาฟิวด์ยืนมองสัมภาระของตัวเองตาละห้อย

                “ไปๆ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงปลอบใจ” โฟโต้ว่าพลางลากเด็กน้อยกาฟิวด์ที่ไม่อาจจะขัดคำสั่งคุณพ่อเปรมได้ออกมาจากห้อง

                ทั้งสามขับรถออกไปจากมหาวิทยาลัยที่แออัดไปด้วยรถจำนวนมากและเลี้ยวเข้าไปทางหลังมหาวิทยาลัยซึ่งเต็มไปด้วยรถไม่แพ้กัน เนื่องจากโซนหอพักหลังมอเองก็มีนักศึกษาย้ายเข้ามาเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะกิจกรรมของแต่ละคณะที่กำลังจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้ ทุกคนจึงต้องรีบเข้าขนของเข้าหอกันวันนี้ เช่นเดียวกันกับโฟโต้และเปรมที่จองหอในไม่ทัน จึงจำต้องหาที่พักที่ใกล้ที่สุดอย่างหอพักโซนหลังมอแทน

                หลังจากมาถึงหอพักที่พวกเขาจัดการโอนเงินมัดจำและค่าหอมาจองล่วงหน้าเกือบสองเดือน (เพราะถ้าจองช้ากว่านี้ คงไม่มีที่พักดีๆ เหลือให้พวกเขาเป็นแน่) ทั้งสามคนก็เข้าไปทำสัญญาเช่าหอพัก เสร็จสรรพก็ขนของเข้าไปกองไว้ในห้องตามระเบียบ  ก่อนที่ทั้งสามคนจะขึ้นรถและขับออกมาจากหอพัก มุ่งหน้าไปยังถนนเส้นในตัวเมืองเพื่อไปหาซื้อของและตามล่าหาที่เที่ยวตามแผนการที่วางเอาไว้

                นานทีได้มาเยือนเชียงใหม่ มีหรือที่พวกเขาจะพลาดเรื่องเที่ยว...

 

                บรรยากาศในยามเช้ายังคงขับเคลื่อนไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ที่หลั่งไหลเข้ามาเยือนเมืองเชียงใหม่ เสียงจอแจของกลุ่มคนทั้งไทยและเทศต่างสร้างความคึกครื้นไปตามเส้นทางการสัญจร อีกทั้งการจราจรที่คับคั่งยังบ่งบอกถึงค่านิยมของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้

                แม้ว่าทั้งสามคนจะเป็นคนภาคเหนือ แต่เชียงใหม่ยังคงเอกลักษณ์ สร้างความแตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขาอย่างจังหวัดเชียงราย อาจจะเรียกได้ว่าแต่ละที่ก็ย่อมมีกลิ่นอายของความเป็นตัวตนที่ไม่อาจจะนำมาเทียบเคียงกันได้เพราะต่างที่ต่างก็มีทีเด็ดเป็นของตัวเอง

                สามเพื่อนซี้ว่าที่เฟรชชี่มหาวิทยาลัยภัคนลินยังคงติดอยู่บนรถ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดมาร์คบนแผนที่ที่พวกเขาหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าจะไปเยือนให้ได้ แน่นอนว่าสถานที่แรกต้องเป็นแหล่งของกินอย่างช่วยไม่ได้เพราะความเร่งรีบในการเดินทางทำให้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากขนมปังและน้ำที่ปะทังชีวิตมาเกือบสี่ชั่วโมงเต็ม

                โฟโต้เลี้ยวรถเข้าไปจอดร้านอาหารชื่อดังในย่านนิมมานเหมินทร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของวัยเรียน วัยทำงานและนักท่องเที่ยว (เยอะสุดก็เห็นจะเป็นชาวจีน) เพราะแหล่งอาหารที่หลากหลาย ทั้งสามแวะเข้าออกแทบจะทุกร้านโดยไม่ทันได้คำนึงถึงกระเพาะของตน เพราะความอยากรู้อยากลอง จนต้องไปเพิ่งยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อกันแบบรัวๆ  หลังจากหนังท้องอิ่มก็เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อต่อ ไล่มาตั้งแต่ในตัวเมืองย้อนกลับมาทางมหาวิทยาลัยภัคนลิน ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปนั่นนี่เพื่อส่งไปรายงานให้กับผู้ปกครองทางบ้านทั้งหลาย เสร็จสรรพก็แวะซื้อของเข้าหอเพิ่มเติมบ้างประปราย ก่อนจะจบลงด้วยการมาเดินตลาดหน้ามอภัคนลินยามเย็น ที่เริ่มตั้งตลาดกันตั้งแต่หกโมง

                “ไอ้ฟิวด์ นี่มึงยังไม่อิ่มอีกเหรอวะ”

                เปรมเริ่มบ่นกระปอดกระแปดด้วยความรู้สึกเหนื่อยแทนคนที่แวะซื้อของกินตลอดข้างทาง ขณะที่อีกฝ่ายยังคงพลังงานเต็มเปี่ยม ตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเหมือนเด็กเล็กก็ไม่ปาน นั่นก็เพราะเขาไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนเสียเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่แวะห้าง ไม่ก็ออกไปกินข้าวนอกบ้านกับครอบครัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น

                “มึง! ไปกินเสต็กกัน! เขาว่าร้านนี้เจ้าเด็ดหน้ามอเลยนะ” พูดจบเจ้าตัวก็ปรี่เข้าไปในร้าน โดยไม่รอฟังคำตอบจากเพื่อนเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเปรมต้องถอนหายใจออกมา   

                “มึงก็ปล่อยมันเหอะ นานทีปีหนมันจะได้อิสระกับชาวบ้านเขา” โฟโต้ยังคงทำหน้าที่ปลอบใจอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าไปในร้าน ปล่อยให้เปรมเดินตามมาต้อยๆ

                กาฟิวด์สั่งแบบจัดเต็มอย่างไม่เกรงกระเพาะจะแตก ตรงกันข้ามกับสองคนที่เหลือที่สั่งกันมาคนละนิดละหน่อย พออาหารถูกเสิร์ฟต่างฝ่ายต่างก็ลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกาฟิวด์ที่จ้วงอาหารเข้าปากด้วยความตื่นเต้น สีหน้าดูมีความสุขสุดๆ ส่วนอีกสองคน...ยังคงกินไปเรื่อยๆ เพราะความอิ่มจนท้องเกือบแตกกับอาหารที่แหวกฝูงชนเข้าไปกินมาตั้งแต่เช้า       

                ทั้งสามคนจะเดินออกร้านด้วยความอิ่มเกินคุ้ม หลังจากซัดอาหารมื้อค่ำเข้าไปเป็นที่เรียบร้อย ทว่าคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกลับเพ่งสายตาไปยังร้านขนมหวานที่ตั้งอยู่เกือบสุดทางเดินด้วยใจที่เต้นแรงไม่หยุด ก่อนสองมือจะคว้าหมับเข้าที่มือของเพื่อนคนละข้างและออกแรงดึงไปยังพื้นที่เป้าหมายอย่างไม่รีรอ

                กาฟิวด์เดินเข้าไปสั่งเมนูด้วยความตื่นเต้น ท่ามกลางความง่วงเหงาหาวนอนของเพื่อนทั้งสองเพราะการเดินทางไกลมาทั้งวัน แถมตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว ความเพลียที่สะสมมาเนิ่นนานก็เริ่มออกฤทธิ์ไปตามระเบียบ

                “กิน!”

                เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับไอศกรีมเย็นๆ ที่ยัดเข้าปาก ทำเอาโฟโต้ที่นั่งหลับตาพริ้ม หลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ถึงกับสะดุ้งผุดลุกขึ้นมานั่ง

                “อะไรของมึงเนี่ย”

                “เครปเย็นไง จะได้หายง่วง” พูดพร้อมกับใช้ช้อนตักไอศกรีมในเครปที่ถูกม้วนเป็นทรงกรวยขึ้นมาใส่ปากอย่างมีความสุข สายตาที่มองของกินในมือตรงหน้าเป็นประกายวาววับเพราะนอกจากวิปครีมสีรุ้งที่สะดุดตาแล้ว กระดาษห่อสีเขียวลายน่ารักยังถูกอกถูกใจคนกินอีก

                “ไอ้ที่กินเข้าไปตั้งแต่หัววันนี่เอาไปไว้ไหนหมดวะ หรือกระเพาะมึงยืดดะ...”

                ยังบ่นไม่ทันจบประโยค ไอศกรีมก็ถูกส่งไปอุดปากคนพูดมากจนเลอะขอบปาก เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งสองได้เป็นอย่างดี แม้ว่ารสหวานเย็นจะถูกปาก แต่กลับไม่ได้ช่วยให้คนถูกแกล้งสงบจิตสงบใจได้เลย สังเกตได้จากดวงตาและริมฝีปากที่ขยับไปมาด้วยความหงุดหงิดใจ

                “อร่อยใช่ป่ะล้า” คนแกล้งยังคงไม่ยี่หระกับอารมณ์ของเพื่อน แถมยังยื่นเครปเย็นไปจ่อหน้าและบังคับให้กินอีก แต่คนหัวรั้นก็ดื้อดึงเพราะท้องที่แน่นไปด้วยสารพัดของกิน จึงใช้มือพยายามดันตัวลูกสิงโตประจำแก๊งให้ออกห่าง ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังพยายามยัดเยียดของหวานให้ ทั้งคู่ผลักกันไปดันกันมาด้วยแรงที่เริ่มมากขึ้น จนกระทั่ง เปรมเผลอไปปัดมือของกาฟิวด์เข้า เป็นเหตุให้เครปเย็นหลุดออกจากมือทันที

                สายตาทั้งสามคู่มองตามของหวานที่ลอยละล่องขึ้นเหนือหัว ก่อนจะร่วงแผละใส่ใครบางคน

                “เฮ้ยยยยยยย” ว่าที่ปีหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่น เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก ขณะจับจ้องไปยังร่างสูงของคนแปลกหน้าที่มีคราบไอศกรีมและวิปครีมสีรุ้งเปรอะเปื้อนตั้งแต่เส้นผมจรดลงมาถึงไหล่

                เขานิ่งงันไปเหมือนคนกำลังมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

                “ขอโทษครับๆ” กาฟิวด์รีบปรี่เข้าไปหาพร้อมกับมือล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาอย่างร้อนรน ก่อนที่เขาจะชะงักมือเพราะคนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามอง

                “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเช็ดเอง” พูดจบก็คว้าผ้าเช็ดหน้าไปซับคราบของหวานที่เลอะอยู่ทันที จังหวะนั้นเองที่เปรมเพิ่งจะได้มีโอกาสมองสำรวจผู้เคราะห์ร้ายตรงหน้าเขา

                “รุ่นพี่คณะมึงไม่ใช่เหรอวะ” เปรมหันไปกระซิบกระซาบ หลังจากสายตาสบเข้ากับสัญลักษณ์คณะที่ติดอยู่ที่อกด้านซ้ายของเสื้อ แต่เพราะคราบที่เลอะอยู่จึงทำให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้เห็นเลขรุ่นของรุ่นพี่คนนี้

                “เออว่ะ ตาดีฉิบหาย” โฟโต้ร้องบอก ขณะที่กาฟิวด์กลายร่างเป็นกระต่ายตื่นตูม ขอโทษขอโพยรุ่นพี่เสียยกใหญ่ หน้าตาที่เหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้ ทำเอาคนตรงหน้านึกขำ แต่อีกใจหนึ่งก็อดเอ็นดูไม่ได้

                “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเราเสียหน่อย” คนแปลกหน้าเลือกใช้สรรพนามเช่นนั้น เพราะใบหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูเด็กกว่า

                “แต่ผมเป็นคนทำนี่ครับ”

                “ไม่เป็นไร เลอะแค่นี้เอง”

                ถึงจะเป็นเรื่องแค่นี้สำหรับเขา แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ในความรู้สึกกาฟิวด์อยู่ดี เด็กน้อยตรงหน้าจึงยังรุ้สึกผิดไม่หาย

                “แล้วนี่ ใช่เด็กภัคนลินหรือเปล่า” อีกฝ่ายชวนคุยขณะมองสำรวจคราบเลอะที่อาจจะหลงเหลือบนเสื้อของตัวเอง

                “ครับ”

                “ปีหนึ่งป่ะ”

                “ใช่ครับ”

                ร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และส่งยิ้มใจดีไปให้

                “ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

                “ไม่เป็นไรครับ พี่ขอตัวก่อนนะ” พูดจบก็ส่งคืนผ้าเช็ดหน้าให้และเดินห่างออกไป โดยหารู้ไม่ว่าสายตาหนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่

                เป็นโฟโต้ที่ลอบมองคนที่เพิ่งเดินออกไป ความรู้สึกอันแปลกประหลาดครั้นได้เห็นสีหน้าท่าทางของรุ่นพี่คนนั้น ทำให้เขาเผลอแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกไปอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเพื่อนรักอย่างเปรมเอาแต่จ้องหน้าเขาด้วยความสงสัย 

                “ตกหลุมรักผู้ชายเหรอวะ” เปรมหันไปถามพร้อมกับยิ้มกริ่ม

                “ห่าอะไรล่ะมึง สเป็กกูก็ไม่ใช่ นมใหญ่ๆ หุ่นเอกซ์ๆ ก็ว่าไปอย่าง”

                “กูจะไปรู้กับมึงเหรอ เห็นมองตาค้างขนาดนั้น” พูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ ส่วนโฟโต้ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะหันไปมองคนที่นิ่งเงียบไปนานสองนาน

                กาฟิวด์มองลงไปที่พื้นตาละห้อยพร้อมกับทำหน้าจู๋เหมือนเด็กเสียดายของ และไอ้ของที่ว่าดันเป็นเครปเย็นที่เจ้าตัวเพิ่งจะตักกินไปได้แค่คำสองคำ แต่บัดนี้มันกับกลายเป็นคราบประดับตกแต่งพื้นถนนเรียบร้อย

                “ซื้อใหม่ก็ได้นี่หว่า เดี๋ยวพวกกูยืนรอก็ได้” โฟโต้ปลอบใจเพื่อนด้วยความเอ็นดู

                “อันใหม่ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม” เจ้าตัวว่าพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มซึมเศร้า จนเปรมต้องเข้ามาช่วยปลอบใจ

                “ร้านเดิม มันก็ต้องเหมือนเดิมดิวะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเพื่อเป็นการไถ่โทษที่กูทำเครปมึงตกก็ได้เอ้า” ทั้งที่อุตส่าห์ออกไปพูดไปขนาดนั้นแล้ว แต่สีหน้าของกาฟิวด์กลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยเพราะความรู้สึกผูกผันกับเครปเย็นบนพื้น

                “ร้านเดิม รสชาติเดิม แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม” พูดไปพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปพลาง “เครปอันนี้มันเป็นเครปเย็นอันแรกในชีวิตนักศึกษาของกูเลยนะ ต่อให้ซื้ออีกกี่อัน มากินอีกกี่ครั้ง ความรู้สึกมันก็ไม่เหมือนกันหรอก”

                “แล้ว...มึงจะเอายังไงต่อ” เปรมเลียบๆ เคียงๆ ถาม

                “กลับเหอะ กูหมดอารมณ์แล้วอ่ะ” พูดจบก็เดินเตร็ดเตร่นำหน้าไป สองสหายที่เหลือหันมามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไง ท้ายที่สุดจึงได้แต่ตามใจและเดินตามไป

                “น้องครับ! น้อง!”

                เสียงเรียกจากทางด้านหลัง ทำให้ทั้งสามคนต้องชะงักฝีเท้าและหันกลับไปมอง ก็พบรุ่นพี่คนเดิมที่วิ่งตามมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา

                “นึกว่าจะไม่ทันซะละ” ร่างสูงเอ่ยปากบอก “อะ พี่ให้ครับ”

                สายตาสามคู่จับจ้องไปที่เครปเย็นตรงในมือของรุ่นพี่ตรงหน้าเลิกลัก โดยเฉพาะกาฟิวด์ที่เหมือนจะทำตัวไม่ถูก จนคนตรงหน้าต้องเป็นฝ่ายยัดของหวานใส่มือให้

                “รับไปเถอะ” และก็ส่งยิ้มใจดีให้ “ถึงแม้ว่าความรู้สึกมันจะไม่เหมือนกับครั้งแรก แต่อย่างน้อยรสชาติของมันจะยังอยู่ในความทรงจำของน้องตลอดไปนะครับ”

                คำพูดของคนแปลกหน้าทำเอากาฟิวด์อดยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้ เช่นเดียวกับโฟโต้ที่เอาแต่จับจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่วางตาเพราะคำพูดที่เขาเองก็นึกไม่ถึง เห็นจะมีแค่เปรมคนเดียวที่ทำหน้าบูดบึ้ง เอาแต่มองจับผิดคิดไปไกลว่ารุ่นพี่คนนี้อาจจะเข้ามาจีบเพื่อนเขา

                “ยังไงก็ขอให้ใช้เวลาในรั้วมหา’ลัยให้คุ้มค่านะครับ” พูดจบก็เดินแยกตัวไปอีกทางทันที โดยไม่ทันได้ฟังคำขอบคุณจากรุ่นน้อง

                กาฟิวด์ก้มลงมองเครปเย็นในมือและยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีใจ เช่นเดียวกันกับโฟโต้ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้โดยตรง แต่แรงดึงดูดกลับทำเอาเขาไม่อาจจะละสายตาไปจากคนที่เพิ่งจะเดินจากไปได้

                ใจดีด้วย แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าแบบนี้ ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้อง คงจะหลงรักตายพอดี

 

                ค่ำคืนนั้น ทั้งสามคนก็กลับเข้าไปนอนพักผ่อนที่หอพักของตน เพื่อรอเข้าร่วมกิจกรรมในวันรุ่งเช้า แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้ออกมานอนหอคนเดียวแบบนี้ แต่ในหัวใจของพวกเขากลับถูกโอบกอดด้วยความอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ 

               

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:37:40
ตอนที่ 2 พี่ปีสี่พบปะน้องปีหนึ่ง
   เก๋งซีดานสีขาววิ่งผ่านเข้าประตูหลังของมหาวิทยาลัย ท่ามกลางอากาศสบายๆ ในยามที่ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้ามาเพียงน้อยนิด แสงแดดจางๆ สะท้อนผ่านกระจกรถเข้ามากระทบใบหน้าของคนขับที่มีความสุขเสียยิ่งกว่าอะไรในตอนนี้ หากแต่เจ้าของรถตัวจริงที่นั่งมาด้วยกลับเอาแต่ทำหน้าหงิกเหมือนเด็กสามขวบโดนขัดใจเสียอย่างนั้น
   ฮ่องเต้อ้าปากหาววอดๆ  สีหน้าแสดงออกถึงอาการง่วงนอนอย่างเต็มที่เพราะเวลานี้เขาควรจะนอนหลับสบายอยู่บนเตียง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไร ตั้งแต่ชาติปางไหน ที่นำพาเจ้ากรรมนายเวรมาลากเขาออกจากหอพักแต่เช้าตรู่และบังคับให้ไปที่คณะนิติศาสตร์ เพื่อไปทำซากพืชซากสัตว์อะไรก็ไม่รู้...
   นี่มันยังไม่เปิดเทอมสักหน่อย มันมีความจำเป็นอะไรที่เขาต้องไปที่นั่นกันด้วยล่ะ
   “มึง...” ฮ่องเต้หันใบหน้าเนือยๆ ไปหาเจ้ากรรมนายเวรอย่างนิวเพื่อนรักที่เขาเริ่มจะเกลียดมันเข้าไปทุกวันและเอ่ยปากถามในสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอดระยะทางตั้งแต่ออกจากหอ “มึงลากกูมาทำเพื่อ?”
   คนถูกถามเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยพร้อมกับอมยิ้ม ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้ถูกฝ่าเท้าทาบหน้าว่า “ก็ลากมาส่องว่าที่เมียไง”
   “ไอ้นิว...”
   “เอ๊ะ หรือจะว่าที่ผัวก็แล้วแต่มึงถนัดอ่ะ”
   “ไอ้สัสนิว! กูไม่ตลก!” เขาหันไปด่าพร้อมกับชักสีหน้าบูดบึ้งเพิ่มขึ้นไปอีกเลเวลหนึ่งและถ้าไม่ติดที่ว่าไอ้รถที่คนข้างกายขับอยู่เป็นรถของเขาล่ะก็...คงได้ถูกเท้าของเขายันจนกระเด็นทะลุกระจกรถแน่ ถือว่าเป็นโชคดีของมันที่เขาหวงซีดานลูกรักอยู่พอสมควร
   “แล้วใครว่ากูตลกล่ะครับ นี่กูจริงจังและทำเพื่อมึงอยู่นะเว้ย” นิวร้องบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเสียจนฮ่องเต้นึกไหมั่นไส้
   “จริงจังตรงไหนวะ มึงกำลังกวนประสาตกูชัดๆ”
   “ไอ้เต้...”
   เพราะจู่ๆ น้ำเสียงที่ดูจริงจังขึ้นมา ฮ่องเต้จึงชะงักนิ่งและหันไปมองคนข้างๆ ด้วยความสงสัย
   “ความรู้สึกมึงอ่ะ กูรู้หมดแล้วนะเว้ยและกูก็รู้ดีด้วยว่าที่มึงเอาแต่เกรี้ยวกราดทุกวันนี้ เป็นเพราะอะไร”
   “อะไร...” เขาขยับปากถามออกไปได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่คนข้างๆ จะหันมาตอบ
   “เพราะว่ามึงเหงาตูดไง”
   “ไอ้เชี้ยนิว!” ฮ่องเต้หันไปด่ากลับแทบไม่ทัน หลังจากได้ยินคำตอบ ในใจเอาแต่พร่ำบ่นว่าไม่น่าหลงคิดว่าคนอย่างนิวจะพูดอะไรจริงจังเป็นกับชาวบ้านชาวเมืองเขา
   “เอาน่า วันนี้ปีหนึ่งมารายงานตัวกันแล้ว มึงไม่ต้องกลัวจะเหงาตูดหรอก”
   “หุบปากและพากูกลับหอเดี๋ยวนี้!” แม้ว่าจะหันไปออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเพียงใด เพื่อนนิวก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลี้ยวรถกลับเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับยิ่งเหยียบคันเร่งให้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้น
   “เสียใจด้วยนะขอรับ โค้งหน้าถึงคณะ” และเพื่อนนิวตัวน้อยก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา

   สองชั่วโมงต่อมา...               
   “ไอ้เต้! ไอ้เต้โว้ย ออกมาเร็ววววว”
   เสียงแหกปากดังลั่นห้องสโมสรนักศึกษาประจำคณะนิติศาสตร์ ปลุกคนที่กำลังเคลิ้มหลับต้องสะดุ้งผุดลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ (ที่เขาอุตส่าห์ลงทุนเอามาวางต่อกันทำที่นอน) ก่อนจะชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ทันทีที่เห็นว่าเป็นซัน มนุษย์เพื่อนที่มีอาวุธประจำกายคือกล้องถ่ายรูป ท่ามกลางห้องที่ว่างเปล่าเพราะพวกรุ่นพี่ที่อยู่ในห้องต่างพากันไปสุมหัวอยู่ที่จุดรับน้องใต้ถุนตึกคณะเรียบร้อยแล้ว
   “อะไรของมึงอีกวะ วุ่นวายกับกูจังเฮ้ย” พูดไปพลางเอามือยีผมไปพลาง สภาพของเขาตอนนี้งัวเงียได้ที่ เหตุเพราะถูกลากออกจากหอแต่เช้าไม่พอ พอหาที่งีบหลับได้ก็มีมารอย่างเพื่อนซันมาผจญอีก ไม่แปลกถ้าวันนี้เขาจะอารมณ์บ่จอยทั้งวัน
   “ไปกับกู” ไม่ว่าเปล่า ซันยังหันไปฉุดฮ่องเต้ให้ลุกขึ้นตามอีก
   “ไปไหน!?”
   “ไปดูเด็กปีหนึ่งสิวะ”
   “กูไม่ไป! กูจะนอนนนนนนนนน” และฮ่องเต้ก็เริ่มโวยวาย ดึงตัวเองกลับมานั่งก้นติดกับเก้าอี้ งอแงเหมือนเด็กนอนไม่เต็มอิ่ม อารมณ์ของเขาในตอนนี้ บอกเลยว่า...พร้อมจะไฟว์กับทุกคนที่มาขัดขวางการนอนแบบสุดๆ 
   “แต่มึงต้องไปกับกู กูให้ไอ้นิวพามึงมาที่คณะก็เพื่อให้มึงมาดูน้องนะเว้ย ไม่ใช่ให้มานอน ลุกขึ้นมา!” ซันยังคงไม่ยอมแพ้ กระตุกแขนเสียจนฮ่องเต้เกือบหน้าทิ่มพื้น
   “ดูน้องอะไร กูไม่ไปทั้งนั้นอ่ะ วันนี้มันไม่ใช่คิวกูเสียหน่อย มึงอย่ามาผิดคิว”
   เขาจำได้ว่าคิวเขามันอีกตั้งสองวันโน่น
   “ไอ้ฮ่องเต้” ซันเริ่มเรียกเขาเสียงแข็ง ขณะที่เขาเองก็หันไปมองตาขวางๆ และถามกลับเสียงห้วน
   “อะไร”
   “ถ้ามึงไม่ลุกขึ้นมาเนี่ย...” ซันเว้นจังหวะและกระเถิบเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์สุดๆ “...กูจะปล่อยคลิปมึง”
   “คลิป?” ฮ่องเต้ทวนคำพูดด้วยความมึนงงกับเรื่องคลิปที่พูดถึง
   “คลิปที่มึงนอนละเมอ เมื่อวันก่อนไง” และซันก็ยกยิ้มที่มุมปากอย่างเป็นต่อ “...ว่าไงครับ สรุปว่าจะไปกับกูดีๆ ไหม?”
   เพราะซันเป็นมนุษย์เพื่อนที่ไม่น่าไว้ว่าใจและเขาก็เชื่อว่ามันต้องทำตามคำพูดอย่างแน่นอน ดังนั้น...
   “เออ กูไปก็ได้” เขากัดฟันพูดออกไปในที่สุด “...แต่มึงห้ามปล่อยคลิปกูนะเว้ย”
   เพราะขืนมันปล่อยไป เขาได้กลายเป็นโรคจิตในสายตาคนรอบข้างเป็นแน่ แถมยังขายหน้าชาวบ้านข้าวมหา’ลัยเขาไปทั่วอีกต่างหาก

   แต่ผมไม่ใช่โรคจิตนะ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดกันล่ะ มันก็แค่ความฝัน แล้วไอ้ความฝันมันบังคับกันได้ที่ไหน

   และเขาก็ต้องยอมจำนน หันไปคว้ากระเป๋าและเดินตามซันออกไปจากห้องสโมฯ แต่โดยดี
   
   เสียงกลองประสานกับเสียงร้องเพลงของพวกรุ่นพี่ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณใต้ถุนตึก เด็กปีหนึ่งในชุดเสื้อยืดสีเทาประจำคณะกับกางเกงขายาวกำลังทยอยต่อแถวรายงานตัวเข้าร่วมกิจกรรมรับน้อง ขณะที่พวกรุ่นพี่ที่โต๊ะก็ช่วยกันทำป้ายชื่อให้น้องอย่างขะมักเขม้น
   พอได้เห็นบรรยากาศเช่นนั้น เขาก็เริ่มใจอารมณ์ดีขึ้นมาพอสมควร หวนนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาเพิ่งจะมีโอกาสได้เข้ามาที่คณะครั้งแรก ความกลัวและความกังวลคอยเกาะกุมจิตใจของเขาตลอดเวลา แต่พอได้รุ่นพี่ในคณะเข้ามาช่วยดูแลตั้งแต่ก้าวแรกของการเป็นนักศึกษา เขาก็ทั้งอุ่นใจและมีความสุขกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยตลอดมาเพราะนอกจากรุ่นพี่จะทำการต้อนรับปีหนึ่งเป็นอย่างดีแล้ว ยังคอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในยามที่รุ่นน้องลำบาก มันทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงน้ำใจน้องพี่ในรั้วมหาวิทยาลัยอย่าแท้จริง
   ฮ่องเต้ได้แต่ยิ้มในใจ ก่อนจะสอดสายตามองหาที่สิงสถิตระหว่างกิจกรรมรับน้องเพราะขืนมายืนทำหน้ามึนอยู่ตรงนี้ เกรงว่าจะเกะกะขวางทางพวกรุ่นน้องเสียเปล่า ส่วนซัน...ก็เดินลิ่วๆ ไปถ่ายรูปรุ่นน้องอีกฟากหนึ่งเสียแล้ว ทิ้งให้เขายืนเคว้งอยู่ตามลำพัง ทั้งที่ตัวมันลากเขามาเองแท้ๆ เลยเชียว แบบนี้จะไม่ให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาอีกระรอกได้เช่นไร
   แต่ก่อนที่เขาจะพาร่างของตัวเองไปยังโต๊ะของพวกปีสี่ที่กำลังส่งเสียงเย้วๆ กันอยู่ที่มุมตึกอีกฝั่ง เขาคงต้องไปเข้าห้องน้ำ ล้างตาล้างตาเสียก่อนเพราะเพิ่งจะตื่นนอนมาหมาดๆ ที่สำคัญจะให้มานอนต่อท่ามกลางบรรยากาศรับน้องก็ใช่เรื่อง เสียงดังขนาดนี้ เขานอนไม่ลงหรอกครับ
   คิดได้เช่นนั้น เขาก็หมุนตัวกะจะเดินไปอีกทิศ ทว่า...
   ปึก!
   “ขอโทษครับ!”
   เสียงรุ่นน้องเอ่ยขอโทษทันทีที่ชนรุ่นพี่อย่างเขาเข้าในจังหวะที่เขาหันไปพอดีและเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เขาจึงเซถอยหลังไปเล็กน้อย พร้อมกันกับรุ่นน้องคนข้างหลังที่เผลอเอามือมาจับแขนเขาไว้เพราะกลัวคนตรงหน้าจะล้มเพราะแรงชนเมื่อครู่
   “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
   คนตรงหน้าที่สูงกว่าเขาไปเล็กน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
   “มะ...ไม่เป็นไร เอ่อ...”
   คำพูดถูกกลืนลงไปในลำคอ ฮ่องเต้เผลอมองคนที่ยืนอยู่หน้าตาไม่กระพริบพลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่อยากจะเชื่อกับสายตาตัวเอง

   ก็จะให้เขาไม่มองไอ้รุ่นน้องคนนี้ตาค้างได้ยังไง ในเมื่อออร่าว่าที่เดือนคณะฉายออกมาจนกลบรัศมีเด็กปีหนึ่งคนอื่นขนาดนี้

   “เอ่อ...พี่ครับ”
   ฮ่องเต้ยังคงมองสำรวจว่าที่เดือนคณะปีนี้ (ในความคิดของเขา) อย่างลืมตัว ทั้งผิวพรรณที่ขาวใสเปล่งประกายออร่า จมูกโด่ง ตาคม ริมฝีปากบาง แถมรูปร่างที่ดูสมส่วนราวกับนายแบบ ทุกอย่างล้วนแต่ดึงดูดสายตาของเขาในเวลานี้
   “พี่ครับ พี่!”
   “หะ...หา!?” เขาเผลอร้องออกมาทันทีที่ตั้งสติได้ พร้อมกับกู่ร้องถามตัวเองในใจว่าเขามายืนทำผีบ้าอะไรตรงนี้
   “เห็นพี่เหม่อๆ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” รุ่นน้องถามกลับพลางกลั้นขำกับทำท่าเงอะงะของคนตรงหน้า
   “เออ ไม่...ไม่เป็นไร”
   และจังหวะนั้นเอง ที่เขาเหลือบไปเห็นป้ายชื่อที่ห้อยคอรุ่นน้องอยู่

   ...ชื่อ นัท รหัส 204...

   “ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ” พูดจบ นัทก็คลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารักและอบอุ่นไปในที
   “เออๆ ไม่เป็นไร รีบไปรับน้องเถอะ” ฮ่องเต้พูดแค่นั้น ก่อนที่ทั้งเขาและนัทจะแยกตัวกันไปตามทางของตัวเอง โดยที่ฮ่องเต้ไม่รู้เลยว่านัทแอบหันกลับมามองส่งเขาจนลับสายตา พร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ ที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
   น้ำไหลออกมาทันทีที่ก๊อกถูกเปิด ฮ่องเต้จัดการล้างหน้าล้างตาจนเริ่มตื่นเต็มที่และยืนจัดผมเผ้าอยู่หน้ากระจกเพราะสภาพที่เขาถึงกับต้องหันไปตามตัวเองว่าใจกล้าหน้าด้าน พาร่างโทรมๆ เดินเข้ามาในคณะได้เช่นไร แถมคนที่ผ่านไปผ่านมาก็มีไม่ใช่น้อย ดีไม่ดีใครเขาได้สงสัยอีกว่าเขาอาบน้ำแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหรือเปล่า

   แต่สาบานได้ว่าเขาอาบน้ำน้ำ แปรงฟันแล้วนะครับ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะต้องมาแปรงใหม่เพราะหลับไปจนรู้สึกเหมือนน้ำลายเริ่มบูดแล้วก็ตาม

   และขณะที่ฮ่องเต้กำลังแปรงฟัน (ถือว่าโชคดีที่เป็นคนพกแปรงฟันตลอดเวลา) อยู่หน้ากระจกและฟองกำลังฟูเต็มปาก เสียงประหลาดก็ดังออกมาจากห้องส้วมห้องหนึ่ง มันเป็นห้องเดียวที่ประตูถูกปิดในเวลานี้และเขาคงไม่คิดอะไรต่อ ถ้าไอ้เสียงประหลาดนั่นมันไม่เพิ่มระดับความดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าได้ยินมันอย่างชัดเจนเต็มสองรูหู
   ฮ่องเต้บ้วนฟองยาสีฟันทิ้งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ห้องส้วมที่อยู่ข้างในสุด
   “อื้อ...อ้า...”
   เสียงนี้มัน...
   “อีก...อื้อ...เอาอีก”
   เขากระเถิบเข้าไปใกล้และเอาหูแนบกับประตูด้วยลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภายในใจก็หวังเอาไว้ว่าคนที่อยู่ข้างในคงไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เขาคิดลึกเอาไว้
   “อีกนิด...อ้า”
   แต่เสียงปลดปล่อยดังชัดแจ๋วขนาดนี้ เขาคงไม่ได้หูฝาดไปเป็นแน่
   “ดีมาก ที่ร้ากกกกก”

   เชี้ยยยยยย

   ใครมันมาลงโทษตัวเองวะ!? นี่มันห้องน้ำคณะเลยนะเฮ้ย

   เพราะการกระทำอันหยามเกียรติสถานบัน ทำให้รุ่นพี่ที่รักคณะ รักมหาวิทยาลัยสุดใจอย่างเขาอดรนทนไม่ไหว ต้องยกมือขึ้นเคาะประตูรัวๆ เพื่อเรียกตัวการทำลายความดีงามออกมาเพื่อสั่งสอนทันที
   ปังๆๆๆ!!
   “ออกมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” ครั้นมือก็ยังคงทุบประตูและตะโกนเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะที่คนที่อยู่ด้านในกำลังลนลานแทบเป็นแทบตายจนชนนั่นนี่เสียงดังปึงปังด้วยความตกใจที่มีใครมาได้ยินเข้าจนได้ 
   “ผมบอกให้ออกมา!!” น้ำเสียงของเขาเริ่มเจือไปด้วยความแข็งกร้าว ในใจก็คิดไปไกลจนถึงขั้นจะส่งตัวคนทำผิดไปให้พวกปกครองอบรมนอกรอบเสียหน่อย เพราะเขากะเอาไว้ว่าคนที่กล้าทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่พวกปีสามก็ต้องเป็นพวกปีสี่แน่ๆ และยิ่งเป็นรุ่นพี่นี่แหละ ที่ทำให้เขาปล่อยไปไม่ได้เพราะขนาดรุ่นพี่ยังทำตัวไม่เหมาะสม รุ่นน้องหน้าไหนจะมาฟังคำ 
   “นี่คุณ! ผมสั่งให้...”
   เสียงของเขาเงียบหายไป เมื่อประตูถูกเปิดมาและสายตาปะทะเข้ากับนักศึกษาชายในชุดเสื้อยืดสีเทาและกางเกงขายาว...

   เชี้ย เด็กปีหนึ่ง...!?

   ฮ่องเต้มองหน้าเด็กปีหนึ่งที่กำลังยืนหน้าเสีย เด็กคนนั้นสูงกว่าเขาไปเล็กน้อย หน้าตาออกแนวกวนๆ แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นดวงตาและริมฝีปากได้รูปที่ดูมีเสน่ห์จนไม่อาจจะละสายตาได้ แต่เดี๋ยว นั่นไม่ใช่ประเด็น! แม้ว่ารูปร่างหน้าตาผิวพรรณของคนตรงหน้าจะดีแค่ไหน มันก็ไม่ได้ช่วยลดทอนความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นในใจของรุ่นพี่อย่างเขาในตอนนี้ได้หรอก
   “เมื่อกี้น้องทำอะไรครับ” ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเรียบดุ ดึงหน้า ทำตาดุประหนึ่งวิญญาณรุนพี่สุดโหดเข้าสิง
   “คือ...ผมอธิบายได้นะครับ” คนตรงหน้าเริ่มว่าเสียงเครียด เหตุเพราะเกรงว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจผิด
   “ว่ามาสิ” ฮ่องเต้หันไปเร่ง เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องของตนเอาเต่ทำท่าเลิกลัก
   “ผมโดนเพื่อนแกล้ง ก็จู่ๆ มันก็ส่งคลิปอะไรไม่รู้มาให้ ผมเลยลองเปิดดู แล้วมันก็...อย่างที่พี่น่าจะได้ยินนั่นแหละครับ”
   พูดจบก็เงยหน้า เหลือบตามองรุ่นพี่ขาโหดที่กำลังจ้องเหมือนกำลังจับผิดเขา

   ฉิบหาย! จ้องตาขวางขนาดนี้ คงจะไม่เชื่อแน่

   “ถ้าถูกเพื่อนแกล้งจริง  แล้วทำไมไม่รีบปิดคลิปล่ะครับ พี่ได้ยินว่าเสียงนั่นมันดังนานมากเลยนะ”
   คำพูดของฮ่องเต้ทำเอารุ่นน้องอย่างเขาหน้าเสีย อ้าปากพะงาบๆ อย่างพยายามจะเถียง แต่เพราะความจริงที่มันไม่สมควรจะพูดออกไป ทำให้เขาเหมือนคนน้ำลายท่วมปาก อึดอัดแทบจะเป็นบ้า
   “สรุปว่ายังไงครับ จะยอมรับผิดไหม ว่าน้อง...มา...” ฮ่องเต้พูดติดขัดไปเล็กน้อยเพราะคำพูดที่กระดากปาก “...มาช่วยตัวเองในห้องน้ำ”
   “โหย พี่...ก็มัน...”
   “ถ้าน้องไม่ยอมรับ พี่คงต้องส่งตัวไปให้พวกรุ่นพี่ฝ่ายปกครองสอบสวนและลงโทษ”
   “เฮ้ย ใจเย็นสิพี่!” หนุ่มรุ่นน้องปรี่เข้าไปดึงแขนทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายหมุนตัวจะออกไปทำตามที่พูดเอาไว้ ฮ่องเต้ก้มลงมองมือของรุ่นน้องพร้อมกับทำหน้าเหยเก
   “เอามือออกไป!”
   “ขอโทษครับ” คนตรงหน้าวาพร้อมกับยกมือขึ้นสองข้างอย่างสำนึกผิด ก่อนจะยอมรับความจริงในท้ายที่สุด “ผมยอมรับก็ได้ครับ ว่าผมทำแบบนั้น”
   “แล้วทำไมถึงได้มาทำแบบนั้นในที่สาธารณะแบบนี้” ฮ่องเต้ว่าเสียงนิ่งอย่างเริ่มจะสั่งสอนรุ่นน้องด้วยคำพูด
   คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นสบตาเล็กน้อยและสารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก
   “ก็อย่างที่ผมบอกไปว่าผมโดนเพื่อนแกล้ง แต่ผมก็เป็นผู้ชายปกติ น้ำขึ้นน้ำลงเหมือนคนทั่วไป แล้วทั้งภาพทั้งเสียงชัดระดับ HD ขนาดนั้น น้องชายผมมันก็เลยโผล่หัวขึ้นมาพร้อมแรงอัดฉีดเต็มสูบ แล้วพี่จะให้ผมออกไปทั้งที่มัน...”
   เว้นจังหวะพลางก้มลงมองที่กางเกงของตน ทำเอาฮ่องเต้เผลอมองตาม ก่อนจะกระแอมและเสมองไปทางอื่น เมื่อรุ่นน้องตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามอง โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังแอบอมยิ้มเพราะใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีของเขา
   “พี่คงไม่อยากให้ผมไปเดินเพ่นพ่าน ทั้งที่น้องชายของผมหัวโด่โผล่ทะลุกางเกงออกมาแบบนั้นใช่ไหมครับ”
   “...” คราวนี้เป็นฝ่ายรุ่นพี่ที่เงียบกริบอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ทำเอาอีกฝ่ายแอบหัวเราะในใจอย่างเสียไม่ได้

   ถึงจะดึงหน้าโหดให้ตาย รุ่นพี่คนนี้เขาจะรู้ไหมว่าสุดท้ายมันก็เหมือนเด็กสามขวบทำหน้าบึ้งอยู่ดี

   “ผมก็เลยต้องกล่อมน้องผมให้หลับก่อน แล้วค่อยออกไปข้างนอกไงครับ”
   เป็นอันว่ารุ่นพี่อย่างฮ่องเต้พ่ายแพ้ไปในเกมนี้ เขามองรุ่นน้องที่สารภาพบาปที่ไม่ได้ตั้งใจ (หรือว่าตั้งใจ) จะทำและถอนหายใจหนักๆ ออกมาทีหนึ่ง
   “เออๆ จะยังไงก็ช่าง คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน ที่นี่มันสถานศึกษา ควรจะให้เกียรติสถานที่ด้วย ไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ อย่าลืมว่าเราอยู่ในสังคม อยู่ในที่สาธารณะ ไม่ได้อยู่ในที่ส่วนตัว ต่อให้น้องยังเป็นปีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำของน้องมันจะเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นไม่ได้”
   “โห คำพูดพี่นี่...โคตรเจ๋งว่ะ”
   “ไอ้...” ฮ่องเต้ชะงักปากอย่างไม่รู้จะด่าอะไรออกไปเพราะท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่สำนึกของคนตรงหน้า
   “เอ๊ย ขอโทษครับพี่” คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาไหว้แบบกวนๆ ชวนให้ฮ่องเต้หงุดหงิดใจขึ้นมาอีกระรอก
   “อย่าให้เจอคราวหน้าอีกนะ ไม่อย่างนั้น ผมไม่ปล่อยไปเหมือนครั้งนี้แน่” พูดจบก็หมุนตัวกะจะเดินไปหยิบกระเป๋าแต่ไอ้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับเอามือมาคว้าแขนไว้ ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาและปาดนิ้วลงบนด้านข้างริมฝีปากของเขา
   “เชี้ยอะไรเนี่ย!” ฮ่องเต้เผลอผลักคนตรงหน้าออก ท่าทางเงอะงะเหมือนคนไม่รู้จะจัดการยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า

   ผมเป็นผู้ชาย แต่กลับมาเจอผู้ชาย (แถมเป็นเด็กปีหนึ่ง) ด้วยกันเองมาทำแบบนี้ จะให้ยิ้มรับหน้าบานได้ยังไงเฮ้ย

   “คราบยาสีฟันครับ ผมเห็นมันติดอยู่นานแล้ว” แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มจนตายีราวกับเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   “พี่ชื่ออะไรเหรอครับ”
   ไม่วายยังถามชื่อเขาต่ออีก ท่าทางรุ่นพี่ปีสี่อย่างเขาจะเจอโรคจิตปีหนึ่งตัวจริงเสียงจริงเข้าเสียแล้ว
   “ไม่บอกเว้ย!”
   ตะโกนลั่นใส่หน้าและหันไปคว้ากระเป๋า ก่อนจะใส่เกียร์หมาชิ่งหนีออกจากห้องน้ำด้วยความไวแสง โดยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
   
   

   
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:39:21
ตอนที่ 3 เมียงู (ไม่) พร้อม

                วันที่สองของการรับน้อง...

                หลังจากเฟรชชี่ไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเก็บเอาไว้ในอัลบั้ม เฟรชชี่ รุ่นที่ 60 กันจนครบจบกระบวนการตามระเบียบ พี่ๆ ก็เตรียมการรอรับรุ่นน้องอยู่ตรงบริเวณใต้ถุนคณะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

                รุ่นพี่ยังคงมาพร้อมกับกลองและเสียงเพลงเช่นเคย ขณะที่พวกเฟรชชี่หน้าใสก็พากันออกสเต็ปกันเต็มที่ จนเกินคุ้มสำหรับชีวิตปีหนึ่ง ภาพเหล่านั้นปรากฏผ่านสายตาของรุ่นพี่ทุกคน รวมถึงฮ่องเต้ที่มีคิวนัดเข้ามาดูแลน้อง ร่างสูงเดินดื่งไปยังม้านั่งสำหรับรุ่นพี่ทันที กะจะไปนั่งพักเอาแรงเสียหน่อย หลังจากไปช่วยรุ่นน้องขนของไปไว้ที่ด้านหลังคณะมาหมาดๆ บนโต๊ะมีแก๊งเพื่อนปีสี่ของเขาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี กำลังส่งเสียงดังกันอย่างไม่หยุดปาก ส่วนหนึ่งก็หัวเราะชอบอกชอบใจกับท่าเต้นของเด็กปีหนึ่ง อีกส่วนก็เอาแต่พูดถึงเฟรชชี่หน้าสวย หุ่นดี ว่าที่ดาวคณะและอาจจะเป็นดาวมหาวิทยาลัยในปีนี้

                และทันที่ที่เขาปรากฏตัว ทุกสายตาก็เบนความสนใจจากกลุ่มเด็กปีหนึ่งตรงหน้ามาที่เขาทันที แถมยังมองด้วยสายตามีเลศนัยอีกต่างหาก ทำเอาฮ่องเต้มองกลับไปด้วยความระแวงใจ

                พวกแม่งจะเล่นอะไรกูอีกวะ

            แม้จะคิดในใจเช่นนั้น แต่สองขาก็พาร่างของตัวเองไปรวมกลุ่มกับเจ้าของสายตาหมาดร้ายทั้งหลายแหล่อย่างไม่มีทางเลือก

                “เป็นยังไงบ้างขอรับ ท่านฮ่องเต้”

                ยังคงเป็นนิวเพื่อนรักมักจี่ที่เป็นฝ่ายเอ่ยทักด้วยประโยคแฝงความนัยเหมือนเช่นเคย แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ดังเช่นทุกครั้งเพราะเพื่อนแต่ละคนของเขาไม่เคยจะไว้วางใจได้แม้แต่วินาทีเดียว

                “เป็นยังไง อะไรของมึง” เขาถามกลับอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง

                “เอ้า ไอ้นี่ความจำสั้นเหรอวะ”

                ดูมันตอบ น่าโบกให้หัวหลุดออกจากบ่า

                “ก็เรื่องว่าที่เมีย เอ๊ะ หรือจะเป็นว่าที่ผัววะ ฮ่าๆๆ”

                ป้าบ!

                ฝ่ามือของฮ่องเต้โบกเข้าที่หัวของนิวเสียงดัง เหตุเพราะความอดทนที่หมดลงกะทันหัน ทว่าคนถูกทำร้ายร่างกายกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังหัวเราะลั่นพร้อมกับเพื่อนคนอื่นที่ดูจะสนอกสนใจเรื่องของเขาเป็นพิเศษ ชวนให้คนที่ตกเป็นประเด็นให้พูดถึงหัวร้อนขึ้นมาทันตาเห็นเพราะเดิมทีก็เป็นคนไม่ชอบให้ใครมาล้ออยู่แล้ว ยิ่งเรื่องที่ถูกล้อดันมาเกี่ยวกับอาถรรพ์สายรหัส 178  ยิ่งต้องหัวร้อนเข้าไปใหญ่

                “อ้าว พี่ฮ่องเต้มาด้วยเหรอครับ”

                เสียงใสๆ ของ กรีน หนุ่มรุ่นน้องปีสามเอ่ยทัก หลังจากเจ้าตัวโผล่เข้ามาร่วมวงกับรุ่นพี่ที่โต๊ะพร้อมกับพี่รหัสอย่าง เจมส์ ที่เดินเข้ามาสมทบพร้อมกับใบหน้าหล่อๆ  เพราะวันนี้จะมีการคัดเลือกดาวเดือนคณะรอบแรก ซึ่งคัดจากสายตาของเหล่าดาวเดือนปีก่อนๆ และกลุ่มรุ่นพี่แก๊งคัดสรรดาวเดือนคณะ อดีตเดือนคณะทั้งสองอย่างกรีนและเจมส์จึงต้องมาร่วมกิจกรรมรับน้องในวันนี้

                “ไม่น่าถามนะกรีน ไอ้เต้มันก็ต้องมาดูหน้าว่าที่แฟนของมันอยู่แล้ว” และฮ่องเต้ก็ถูกกวนประสาทเข้าอีกหน ท่าทางวันนี้เขาคงได้หัวร้อนตั้งแต่หัววัน

                “ไอ้เจมส์ ว่างนักก็ไปเล่นกับเมียมึงโน่นไป” ฮ่องเต้เอ็ดตะโรใส่อย่างคนเริ่มจะหัวเสีย ทว่าคนที่ถูกไล่กลับยักไหล่ใส่อย่างไม่สะทกสะท้าน

                “เสียใจด้วยว่ะ เมียกูพักอยู่ที่หอ พอดีเมื่อคืนเล่นกันยาวไปหน่อย กูเลยมีเวลามาดูหน้าว่าที่ผัวมึงไง”

                “แหม เบาๆ ครับ คุณเจมส์ เห็นแก่ตำแหน่งเดือนคณะของมึงมั่ง” นิวหันไปแซว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดชวนให้คิดลึกของเจมส์ เพราะทุกคนต่างก็รู้ถึงกิตติศัพท์เรื่องอย่างว่าของเขาเป็นอย่างดี แม้ว่าทีแรกจะมีเอียงอายไปบ้าง แต่พอเวลาผ่านพ้นไปนานแล้ว เดือนคณะอย่างเขาก็หาได้ยี่หระกับเสียงเล่าลือถึงเขาไม่

                เขาจะสนใจทำไม ในเมื่อเขาทำกับเมียตัวเองแค่คนเดียว ถึงจะบ่อยและรุนแรงไปหน่อยก็เถอะ

                “ไอ้นี่ก็เป็นถึงรอเดือนคณะ  ไม่เห็นมันจะทำตัวสมตำแหน่งเลย” และเจมส์ก็บุ้ยปากไปทางคนหัวร้อนอีกครั้ง

            อ้าว มาลงที่กูเฉยยยย!

            ฮ่องเต้เบะปากใส่อย่างคนโดนขัดใจเพราะตำแหน่งรองเดือนที่เขาพยายามจะหลงลืมมันไปให้ได้และไม่อยากให้ใครต่อใครพูดถึงอีก อันเนื่องมาจากวีรกรรมขายหน้าที่เขาได้สร้างไว้ตอนประกวดนั่นแหละ

                “อันที่จริงหน้าตามึงก็ออกจะน่ารักนะเว้ย กูว่ามึงเลิกดึงหน้าโหดเหอะ เผื่อว่าที่สามีของมึงจะได้รักได้หลงไง”

                ยังไม่วายที่เดือนคณะปี 57 จะวกกลับมาพูดเรื่องนี้ แถมไอ้คำว่าน่ารักนั่นอีก พอเขาได้ฟังแล้วมันของขึ้นตงิดๆ จนเท้าอยากจะสะกิดเนื้อหนังใครเข้าให้และระหว่างนั้นเอง

                “เอาล่ะ เพลงต่อไป!” เสียงรุ่นน้องสันทนาการคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากร้องเพลงจบ เรียกสายตาให้พวกรุ่นพี่หันไปมองเป็นสายตาเดียว ขณะที่บรรดาปีหนึ่งยังคงยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

                “เอาเป็นเพลงรับน้องที่คลาสสิกสุดๆ ไปเลยดีกว่า พี่เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเพลงนี้แน่นอน นั่นคือเพลงอะไรคะ พี่แพรว”

                “เพลง...เมียงูค่า!!”

                ฮ่องเต้ชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อเพลง เหตุเพราะเขารู้ดีว่านอกจากเพลงเมียงูมันจะโคตรเก่าแล้ว มันยังไม่ได้อยู่ในลิสต์เพลงรับน้องปีนี้ (เขามาเฝ้าน้องมันเตรียมงานรับน้องทุกวัน ทำไมจะไม่รู้)

                “เพลงที่มันมีงูออกมาใช่ไหมครับ” นักศึกษาปีหนึ่งคนหนึ่งตะโกนถาม ทำเอาคนรอบข้างหัวเราะกันครืน

                “ไม่ใช่ๆ เมียงูสุดคลาสสิกของเราต้องร้องว่า...บาทเดียวดูเพลินอะไรไม่เกินเมียงู...” ไม่ว่าเปล่า รุ่นน้องสันทนาการคนนั้นยังทำท่าตามเพลงที่ร้อง เรียกเสียงฮาจากรุ่นน้องยกใหญ่

                “เอ้า ช่วยกันร้องหน่อยเร็วววววว”

                เท่านั้น เสียงร้องเพลงเมียงูสุดคลาสสิกก็ดังกระหึ่มพร้อมกับกลุ่มพี่สันฯ ที่พร้อมใจกันเต้นโชว์น้องๆ จนจบเพลง

                “เอาล่ะ ต่อไปก็ตาน้องๆ แล้ว...”

                “เดี๋ยวๆ พี่แม็ค...” เสียงรุ่นน้องสันฯ อีกคนหนึ่งขัดขึ้น “...เพลงเมียงู แต่ไม่มีเมียงู มันจะไปสนุกอะไร ใช่ไหมคะน้องๆ”

                “ช่ายยยยยยยยย” เสียงปีหนึ่ง

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ขอ...”

                เพราะสายตาที่รุ่นน้องสันฯ หันมามองทางโต๊ะของพวกปีสี่อย่างกะทันหัน ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะแอบตีเนียน เดินหลบออกไปอยู่ข้างหลังเสา ลอบมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำ

                สังหรณ์ใจว่าจะโดนเล่นงานยังไงชอบกล

            “ขอให้พี่เจมส์กับพี่กรีน เดือนคณะปีสามและปีสี่ มาเป็นเมียงูให้น้องหน่อยค่า!!”

                จบประโยค เสียงโห่ร้องของพวกรุ่นพี่ก็ดังกระหึ่มเพราะชื่อเสียงของเดือนคณะคู่นี้ และไม่นานรุ่นพี่ทั้งสองที่ถูกเรียกชื่ออย่างเจมส์และกรีนก็ออกไปยืนอยู่ด้านหน้าเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางเฟรชชี่ (โดยเฉพาะสาวแท้ สาวเทียม) ที่ต่างพากันกระซิบกระซาบพร้อมกับทำหน้าตาปลาบปลื้มกันเสียยกใหญ่ ในใจพวกเธอต่างก็ภาวนาให้ตนได้ออกไปเต้นคู่กับเมียงูที่หล่อลากกระชากใจ

                ในขณะเดียวกัน คนที่ลอบมองสถานการณ์ด้วยความระแวงอย่างฮ่องเต้ก็เตรียมจะชิ่งหนี เหตุเพราะเกรงว่าตนจะได้ออกไปทำอะไรแปลกๆ เขาหันซ้าย มองขวา ก่อนจะคว้ากระเป๋าและชิ่งหนีด้วยความไวแสง แต่มันยังคงไวไม่พอที่จะพ้นรัศมีของมือใครบางคนที่พุ่งเข้ามากระชากกระเป๋าของเขาจากทางด้านหลัง   

                “มึงจะไปไหน ไอ้เต้!” นิวร้องเรียกพร้อมกับออกแรงกระชากกระเป๋า เอาซะฮ่องเต้เซถอยหลังตาม

                “ปล่อยกู!!” คนถูกกระชากได้แต่ร้องเรียกพร้อมกับออกแรง ยื้อยุดฉุดร่างให้ออกห่างจากมือของนิว ขณะที่ทุกคนยังมัวแต่สนใจเดือนคณะทั้งสอง

                “อร๊ายยยยย!! ขอเสียงปรบมือให้กับพี่เจมส์ พี่กรีน เมียงูของเราด้วยค่า!!”

                เสียงปรบมือดังลั่นใต้ถุนพร้อมกันกับเสียงชัตเตอร์จากช่างภาพทั่วสารทิศ ขณะที่ร่างของฮ่องเต้ถูกนิวล็อกแขนและลากกลับไปที่เดิม ก่อนที่นิวจะทำในสิ่งที่ฮ่องเต้ไม่ทันได้คาดคิด...

                “เดี๋ยวครับเดี๋ยว!!”

                เมื่อถูกขัดจังหวะ ทุกสายตาก็หันขวับไปมองเจ้าของเสียงทันที ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับเบิกตากว้างพร้อมกับดิ้นพลั่กๆ เพื่อให้หลุดจากแขนของเพื่อนที่กำลังทรยศเขาด้วยการทำให้เขาอับอายขายหน้าเฟรชชี่

                “ลืมใครไปหรือเปล่าคร้าบบบบ” นิวลากเสียงอย่างอารมณ์ดี ผิดกับอีกคนที่แทบจะลงไปแดดิ้นกับพื้น

                “พี่ฮ่องเต้!! อร๊ายยยยยยยย”

                และเจ้าของชื่ออย่างเขาก็ถูกผลักออกมาประจันหน้ารุ่นน้องเป็นที่เรียบร้อย ทว่าพอจะหันหลังกลับและหนีออกไปจากตรงนี้ เจมส์กับกรีนก็เข้ามาประกบและช่วยกันล็อคตัวเขา ทำฮ่องเต้ที่หมายจะกระโดดถีบมารร้ายอย่างนิวเข้าสักทีต้องชะงักหันมาส่งสายตาข่มขู่ให้กับผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสอง

                “เย็นไว้ ไม่มีอะไรหรอกน่า” คำพูดของเจมส์ดูเหมือนจะเป็นการปลอบใจ แต่น้ำเสียงกลับแฝงความนัยไปอีกแบบ

                “เอาล่ะจ้าๆ ตอนนี้ เราก็ได้เมียงูกันแล้ว คราวนี้ พี่จะให้น้องๆ ออกมาเต้นคู่กับพี่เมียงูทั้งสามคนและเพื่อความสนุกคูณสอง พี่จะทำการสุ่มรหัสน้องๆ ทีละคนนะคะ!!”

                และทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบ...

                ใบหน้าของเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้ม เว้นแต่เพียงรุ่นพี่ปีสี่อย่างฮ่องเต้ที่โมโหโกรธา หัวเสียจนแทบจะถอดหัวตัวเองเหวี่ยงใส่พญามารนิวที่เอาแต่หัวเราะก๊ากๆ ได้อยู่แล้ว

                “คนแรก คู่กับพี่เจมส์นะคะ รหัสสอง...สาม...ศูนย์ค่า อยู่ไหมเอ่ย?” พวกพี่สันฯ ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

                “อยู่ค่า!!” กระเทยปีหนึ่งร่างท้วมผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าดีใจแบบสุดๆ ก่อนจะรีบเดินฝ่าฝูงชนเด็กปีหนึ่งที่นั่งอยู่ออกไปข้างหน้าทันที ท่ามกลางความอิจฉาของเฟรชชี่คนอื่น

                “น่ารักมาก! เอาล่ะ อีกสองคนที่เหลือ คนแรกคู่กับพี่กรีน ส่วนคนที่สองคู่กับฮ่องเต้สุดน่ารักของเรานะคะ”

                สายตามาดร้ายของฮ่องเต้ส่งไปหารุ่นน้องสันฯ ทันทีที่คำว่าน่ารักหลุดออกมาจากปาก จนเธอสะดุ้งเฮือกและหันหน้าหนีแทบไม่ทัน

                จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง ว่าไม่ชอบให้ใครมาพูดว่าผมน่ารักเว้ยยยย

            ที่สำคัญ ช่วยดูหน้าผมตอนนี้ด้วย แทบจะแยกเขี้ยวกระโดดงับคอคนได้อยู่แล้ว ไอ้แบบนี้มันเรียกว่าน่ารักยังไงหา!?

            ยิ่งคิด ก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะขวิดไอ้ตัวการประทุษร้ายเขาด้วยเรื่องขายหน้าให้เสียรู้แล้วรู้รอด ก่อนที่เขาจะตะโกนกู่ร้องก้องพื้นที่ภายในใจกับคำพูดต่อไปของรุ่นน้องสันฯ

                “รหัสสาม...” รุ่นน้องสันฯ เว้นจังหวะเพิ่มความตื่นเต้น “...สามหนึ่งสี่และหนึ่งเจ็ดแปดค่า!!”

                รหัสสามตัวสุดท้าย ทำเอาฮ่องเต้หันขวับไปมองคนประกาศจนคอแทบเคล็ด ในหัวก็เอาแต่คิดว่านี่ต้องเป็นแผนแน่ๆ ก่อนจะมองตามเด็กปีหนึ่งที่ลุกขึ้นยืน ทว่าเขาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อคนที่ลุกขึ้นมาไม่ใช่เด็กปีหนึ่งรหัสหนึ่งเจ็ดแปด แถมยังภาวนา อ้อนวอนต่อพระเทวดาทั้งหลายแหล่ในสากลโลกให้ดลใจไอ้เด็กปีหนึ่งคนนั้นไม่มาเข้าร่วมกิจกรรมวันนี้ หรือไม่ก็ให้เจอเด็กขี้อายจนไม่กล้าออกมาเต้น หรือ...หรือให้มันท้องเสียกะทันหันก็ได้เอ้า!!

                “รหัสสามหนึ่งสี่มาแล้ว! รหัสหนึ่งเจ็ดแปดล่ะคะ อยู่ไหมเอ่ย!?”

                ไม่อยู่ ไม่ต้องอยู่ มึงไม่สมควรอยู่ในเวลานี้!!

            นั่นคือเสียงสวดภาวนาในใจของฮ่องเต้ ก่อนที่เขาจะถูกฟ้าผ่าใส่หัวดังเปรี้ยง เมื่อสายตาประสานเข้ากับเด็กปีหนึ่งที่ลุกขึ้นยืนท่ามกลางบรรดาเฟรชชี่ทั้งหลายที่เอาแต่จับจ้องอย่างไม่วางตา บางคนถึงกับน้ำลายหกรดใส่ป้ายชื่อ ส่วนบางคนถึงกับแดดิ้นจนเพื่อนต้องหันมามอง อาจจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นและดูมีเสน่ห์จนดึงดูดสายตาคนรอบข้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งกับฮ่องเต้ ทว่าเขาไม่ได้มองคนตรงหน้าด้วยความพิศวาสแต่อย่างใด เขาแทบจะเป็นลมใส่ด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่าไอ้เจ้าของรหัสหนึ่งเจ็ดแปดปีนี้คือเด็กปีหนึ่งคนเดียวกันกับที่เขาเจอในห้องน้ำ

                ก่อนที่เสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่ารุ่นพี่จะดังขึ้นมาพร้อมกับบทสนทนาเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองที่ทำเอาคนที่เข้าไปมีเอี่ยวกับเรื่องนี้อย่างฮ่องเต้ถึงกับหงุดหงิด

                ทำไมไอ้โรคจิตปีหนึ่งต้องตกมาเป็นสายรหัสปีนี้ของผมด้วยฟระ

            “มาข้างหน้าเลยจ้า!!” เสียงรุ่นน้องสันฯ ตะโกนเรียกอีกครั้ง ขณะที่รุ่นน้องคนนั้นเดินฝ่ากลุ่มเด็กปีหนึ่งออกมา สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองไปที่ป้ายชื่อของเด็กคนนั้นอย่างไม่วางตา

                ...ชื่อ โฟโต้ รหัส 178...

            สำเนาถูกต้อง ไม่ผิดตัวเป็นแน่...

                “เต้นคู่กับพี่ฮ่องเต้เนอะ” รุ่นน้องสันฯ หันมาบอกพร้อมกับดันเจ้าตัวมาทางฮ่องเต้ที่กำลังเหลือบมองคนข้างๆ อย่างหัวเสีย ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะพฤติกรรมที่เข้าขั้นโรคจิตและเรื่องอาถรรพ์สายรหัส ใบหน้าของฮ่องเต้ยังคงบูดบึ้งอยู่อย่างนั้น จนคนข้างๆ คิดไปไกลว่าถูกรุ่นพี่เกลียดขี้หน้าเข้าให้เสียแล้ว

                และในขณะที่ฮ่องเต้หันไปสาปแช่งพญามารนิวที่กำลังทำหน้าระรื่นล้อเลียเขาอยู่ จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งมาสะกิดเข้าที่ไหล่ พอหันไปมองก็พบว่าเป็นโฟโต้

                “ดูหงุดหงิดจังเลยนะครับ” โฟโต้พยายามเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เพราะที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ทว่ามันกลับทำให้คิ้วของฮ่องเต้ขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม

                “พี่เกลียดผมเหรอ”

                น้ำเสียงนอยด์ๆ ของโฟโต้ ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับชะงักและหันกลับมาเหลือบตามองคนที่ปั้นหน้าน้อยใจรุ่นพี่อย่างเขาเสียเต็มประดา

                “คุยกับผมหน่อยสิครับ”

                ฮ่องเต้ยังคงนิ่งเงียบ จนโฟโต้ต้องย่นจมูกใส่ (ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เข้ากับหน้าของโฟโต้มากในสายตาฮ่องเต้)

                “ทำไมพี่ไม่ยอมคุยกับผมล่ะครับ”

                “มึงมันโรคจิตไง”

                “โธ่ เรื่องแบบนั้นมันก็ปกติของผู้ชายไม่ใช่เหรอครับ ทำอย่างกับไม่เคยไปได้”

                ฮ่องเต้หันขวับไปมองหน้าโฟโต้อย่างเหลืออด ก่อนจะแอบหันไปมองรอบข้างอย่างหวาดระแวงเพราะจู่ๆ โฟโต้ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทว่าอีกฝ่ายกลับตีความผิด จึงเบิกตากว้างหันไปถามด้วยความประหลาดใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รุ่นพี่สันฯ กำลังออกคำสั่งพอดี

                “เมียงูพร้อม! สาม...สะ../ หรือว่าพี่ไม่เคย!!?”

                ยังไม่ทันได้นับสี่ โฟโต้ก็ตะโกนขึ้นกลางวง ทำเอาทุกอย่างหยุดชะงักอัตโนมัติพร้อมกับสายตาทุกคู่ที่หันมามองโฟโต้กับฮ่องเต้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับประโยคที่ว่าไม่เคยอะไรสักอย่าง

                ฮ่องเต้หน้าเสีย หันไปมองรอบข้างด้วยความอับอายขายขี้หน้า ก่อนจะหันไปส่งสายตามาดร้ายให้กับคนก่อเรื่อง

                “พูดอะไรของมึงเนี่ย!” เขาหันไปกระซิบกับโฟโต้ อีกฝ่ายจึงได้แต่ยิ้มแห้ง

                “ขอโทษครับ”

                ฮ่องเต้ส่งสายตาให้กับรุ่นน้องสันฯ เป็นเชิงให้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ก่อนที่เสียงกลองจะดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเพลงเมียงูสุดคลาสสิก และฮ่องเต้ก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นเสาให้กับโฟโต้เต้นรอบเขาด้วยความอับอาย

                “แล้วเวลาพี่มีอารมณ์ พี่ทำยังไงเหรอครับ”

                ยังไม่วายที่โฟโต้จะกลับมาพูดเรื่องนี้อีกจนได้ แถมยังแอบอมยิ้มกับใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีด้วยความอายของรุ่นพี่ที่เขาเจตนาจะแหย่เล่นเพราะความน่ารักเวลาเขินอายของพี่เขา 

                “บอกผมหน่อยสิครับ”

                “มึงจะรู้ไปทำไม!”

                “ก็เผื่อวิธีของพี่จะดีกว่าการเปิดคลิปแล้วทำแบบที่ผมทำ ผมจะได้เอาไปทำบ้าง ไม่แน่นะครับ วิธีของพี่อาจจะทำให้ผมติดใจไปจนวันตายเลยก็ได้นะครับ”

                ฮ่องเต้ได้แต่ยืนอึ้งเพราะไม่คิดว่าไอ้เด็กปีหนึ่งตรงหน้าเขาจะโรคจิตถึงขั้นกล้าพูดเรื่องแบบนี้ท่ามกลางคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ แถมยังมาพูดกับเขาที่เพิ่งเคยเจอกัน จะเรียกว่าคนแปลกหน้าก็ยังได้เลย นี่เขาต้องรับมือยังไงกับสายรหัสปีนี้ของตัวเองกัน

                ก่อนที่เพลงจะจบลงและฮ่องเต้จะก้าวขาฉับๆ เดินหนีอย่างไม่สนใจใยดีคนที่เอาแต่หัวเราะกับท่าทางของเขา โฟโต้ได้แต่มองตามรุ่นพี่จอมเหวี่ยงไปจนสุดสายตา ไม่ว่าจะมองยังไง ไม่ว่ารุ่นพี่คนนั้นจะทำหน้าหงุดหงิดใส่ขนาดไหน สายตาของเขาก็ยังคงมองเห็นความน่ารักในตัวรุ่นพี่คนนั้นอยู่ดี

                คนอะไร น่าแกล้งชะมัด 

                “แปลกๆ นะมึงอ่ะ”

                โฟโต้หันไปมองกรีนที่หันมาพูดกับเขา รอยยิ้มของกรีนทำให้โฟโต้ได้แต่งงในคำพูด

                “มองอยู่ได้ พี่คนนั้นน่ะ”

                โฟโต้หันไปมองตามสายตาของกรีน ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา

                “ไม่รู้สิครับ แค่คิดว่าพี่เขาดูแปลกดี...”

                กรีนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเอามือตบบ่ารุ่นน้องและเดินแยกออกมา พร้อมกับเจมส์ที่เดินตามาสมทบที่โต๊ะ

                “ว่าไงมึง ว่าที่แฟนตัวหอมป่ะ” เสียงนิวที่กำลังสัมภาษณ์ฮ่องเต้ดังเรียกความสนใจกรีนกับเจมส์ ก่อนที่กรีนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เจมส์ทำหน้าที่แซวเพื่อนต่อไป 

                “เงียบไปเลยไอ้นิว!”

                “อะไรวะ แค่นี้ทำเป็นเขิน เห็นตอนอยู่กับน้อง มึงนี่ตัวเกร็งเชียว”

              “เกร็งมากๆ ระวังจะเจ็บนะเว้ย” เจมส์เริ่มเสริมทับ พร้อมกับยิ้มกริ่มและมองหน้าฮ่องเต้ที่หัวร้อนจนแทบไหม้

                “กูไม่ได้เกร็งเว้ย!”

                “จริง?” เจมส์ทำหน้าไม่เชื่อ “เมื่อกี้กูยังเห็นมึงเงอะๆ งะๆ อยู่เลย มึงรู้สึกเกร็งที่ได้อยู่ใกล้ไอ้เด็กนั่นก็บอกมาเถอะ”

                “ไม่ใช่เว้ย!!”

                “หน้าแดงหมดแล้วมึง ฮ่าๆ” พญามารนิวไม่ว่าเปล่า ยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับทำหน้าเขินล้อเลียนเขาอีก 

                “เขินจนหน้าแดงแบบนี้ จากประสบการณ์แล้ว...” เจมส์เว้นวรรคและทำหน้าสีหน้าจริงจัง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำให้ฮ่องเต้ถึงขั้นต้องลงมือผลักหัวเดือนคณะปีตัวเองว่า “...เมียชัวร์”

                “เมียบ้านมึงดิ อย่ามามั่ว!”

                “มึงคอยดูละกัน ว่ามันผิดจากที่กูพูดหรือเปล่า” พูดจบก็ยักคิ้ว ทำหน้ากวนประสาตใส่และโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูฮ่องเต้อีกหน “กูจะรอดูว่าที่ผัวใหม่มึงนะ”

                “ไอ้เจมส์!!”

                สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ด่าเท่านั้นเพราะเจ้าตัวดันวิ่งแจ้นหนีฝ่ามือพิฆาตออกไปจากโต๊ะเรียบร้อย เหลือเพียงพญามารนิวที่ยืนยิ้มมองหน้าเขาอย่างมีเลศนัย

                “อะไร มึงจะล้ออะไรกูอีกล่ะ”

                “กูไม่ล้อมึงหรอกน่า...” พูดจบ นิวก็ยิ้มกริ่มและพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า “...เพราะกูกลัวเพื่อนเหงาตูด ฮ่าๆ”

                ฮ่องเต้ได้แต่นิ่งเงียบและใช้สายตาด่าคนตรงหน้าอย่างไม่รู้จะกลั่นกรองงัดแงะสารพัดคำไหนมาด่าได้แล้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอาขั้นสุด

               

                 

 

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:40:19
ตอนที่ 4 รับน้องก้าวแรก

                วันนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นวันจัดกิจกรรม รับน้องก้าวแรก กิจกรรมรับน้องในวันนี้ จึงเริ่มต้นด้วยการทำบุญใส่บาตรในช่วงเช้าตรู่ และแบ่งทีมทำความสะอาดแต่ละบริเวณของคณะนิติศาสตร์ในช่วงสาย อันเริ่มตั้งแต่หกโมงเช้าจนกระทั่งตอนนี้ปาเข้าไปเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว รุ่นพี่จึงเรียกเหล่าเฟรชชี่มารวมตัวกันที่ใต้ถุนคณะดังเช่นทุกครั้ง ขณะที่รุ่นพี่อีกส่วนหนึ่งก็ช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อยและทยอยเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดที่สรรหามาให้น้อง

                โฟโต้อาสารวบรวมอุปกรณ์ทำความสะอาดในทีมของตัวเอง เขายืนรอเพื่อนในทีมเอาของมายื่นให้จนครบก่อนจะทยอยยกพวกไม้กวาดไปก่อน และจังหวะที่เขากำลังก้มลงเก็บไม้กวาดนั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นเท้าของให้บางคนที่มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ  ก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้นและหันไปมองผู้มาใหม่

                คนที่ตัวสูงพอๆ กันกับเขาส่งยิ้มมาให้อย่างคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และเขาคงจะยิ้มตอบเช่นกัน หากไม่ติดอยู่ที่ว่าเขาไม่ยักกะรู้จักเพื่อนคนนี้ ถึงแม้ว่าจะเห็นหน้าค่าตาช่วงรับน้องสองวันแรกมาบ้างแล้ว แต่ก็เพิ่งจะได้มีโอกาสเข้าใกล้

                เขาชื่อ นัท รหัส 204

                ป้ายชื่อที่ห้อยคออยู่บอกเขาเอาไว้เพียงแค่นั้น

                “เดี๋ยวกูช่วย” เพื่อนใหม่ร้องบอกก่อนจะช่วยยกที่ตักขยะและเดินนำลิ่วๆ ไปหารุ่นพี่ที่ยืนรออยู่ ขณะที่โฟโต้ได้แต่ยืนมองก่อนจะยกไม้กวาดขึ้นมาและเดินเอาไปให้รุ่นพี่บ้าง

                “อุ๊ย น้องนัท”

                โฟโต้เหลือบมองคนข้างๆ สลับกับรุ่นพี่ที่กำลังทำทางเอียงอายกับความหล่อของนัท ก่อนที่เขาจะยื่นไม้กวาดไปให้ จังหวะนั้นเอง ที่รุ่นพี่เพิ่งจะมองเห็นเขา ทำเอาโฟโต้ถึงกับหมั่นไส้คนข้างๆ ไปตามๆ กัน

                ออร่ากลบกูซะมิดเลยนะ ไอ้เผือกเอ๊ย!

            ก่อนที่เขาจะเอาแต่คิดว่าคนที่ชื่อนัทอะไรนี่กินผงซักฟอกเป็นอาหารหรือเปล่า ถึงได้ขาวจัดขนาดนี้ แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นคนขาวอยู่แล้ว แต่พอไปยืนเทียบกับนัท ความขาวของเขาก็กลายเป็นรองไปซะเฉย แบบนี้ ยิ่งทำให้โฟโต้หงุดหงิดและรีบเดินหนีออกมาทันที

                โฟโต้แวะเข้าห้องน้ำเพื่อล้างมือและล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเดินมารวมกลุ่มกับปีหนึ่งคนอื่นที่ทยอยกันมาจนใกล้จะครบแล้ว ซึ่งก็นั่งรอได้ไม่นาน รุ่นพี่ที่ยืนอยู่หน้าแถวก็เริ่มเข้ามาทำหน้าที่ หลังจากรุ่นน้องปีหนึ่งก็เข้ามานั่งที่ใต้ถุนตึกคณะเรียบร้อยแล้ว

                “เอาล่ะค่ะ พี่จะให้น้องพักกินข้าวครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเริ่มกิจกรรมฐานในช่วงบ่ายนะคะ ให้น้องๆ นั่งอยู่ที่เดิม เดี๋ยวพวกพี่ๆ จะเป็นคนเอาข้าวกับน้ำไปให้นะคะ”

                สิ้นเสียงของรุ่นพี่คนนั้น พวกรุ่นพี่ก็ทยอยเอาข้าวกับน้ำมาแจกเด็กปีหนึ่งไปตามระเบียบ ก่อนที่ห่อข้าวร้อนๆ จะแตะเข้าที่ข้างแก้มของคนที่เอาแต่นั่งเหม่ออยู่

                “ข้าวครับน้อง” โฟโต้หันไปยกมือไหว้รุ่นพี่ที่ยื่นห่อข้าวมาให้ จำได้รางๆ เหมือนว่าเขาจะเป็นเพื่อนของรุ่นพี่จอมเหวี่ยง คนเดียวกันกับที่ตะโกนขึ้นผ่ากลางวงและเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้ต้องมาเป็นเมียงูให้กับเขาเมื่อวาน

                “ขอบคุณครับ” พูดพร้อมกับรับห่อข้าวมาจากรุ่นพี่

                “กูชื่อนิวนะ” รุ่นพี่เริ่มแนะนำตัว “เป็นเพื่อนไอ้เต้ เอ่อ ไอ้ฮ่องเต้อ่ะ มึงจำมันได้ใช่ป่ะ”

                “อ๋อ จำได้ครับ”

                โดยเฉพาะไอ้ท่าเมียงูเมื่อวาน ผมจำได้ขึ้นใจเลยล่ะครับ

            “เออดี...” ก่อนที่นิวจะก้มลงมองป้ายและพึมพำชื่อคนตรงหน้าออกมา “...โฟโต้ กูจะจำไว้ล่ะกันนะ มึงเฟรนลี่ดี น่าจะเข้ากับเพื่อนกูได้”

                พูดจบก็ปล่อยก๊ากออกมาท่ามกลางความมึนงงของโฟโต้ ก่อนจะผละออกไปและเดินแจกข้าวสาวๆ ปีหนึ่งต่อตามประสาคนเฟรนลี่เข้าได้กับเฟรชชี่ (เน้นแค่สาวๆ ) ทุกคน

                โฟโต้มองภาพนั้นอย่างขำๆ และจัดการกับห่อข้าวในมือต่อ...

               

                ขณะเดียวกัน ที่หน้าคณะนิติศาสตร์...

                ฮ่องเต้ง่วนอยู่กับข้าวสำหรับใช้ในกิจกรรมรับน้องของหลังรถที่เพิ่งจะไปซื้อมาจากตลาด เขาทยอยขนของยื่นให้รุ่นน้องอีกสองคนที่มาช่วย ก่อนจะปิดประตูและเดินหิ้วของพะรุงพะรังเข้าคณะไป

                “ไอ้เต้ กินข้าวยัง” เสียงหนึ่งเอ่ยถามหลังจากสองมือของเจ้าของชื่อวางของลงบนโต๊ะ

                “ยัง ซื้อของเสร็จ กูก็กลับมาเลยเนี่ย” ฮ่องเต้หันไปตอบ คิง ประธานรุ่นปีเขาที่เอาข้าวเอาน้ำมาให้

                “เออๆ ถ้าอย่างนั้นมึงก็พักกินข้าวก่อนก็แล้วกัน กูคุยกับน้องละ ว่ากิจกรรมฐานตอนบ่ายให้มึงไปอยู่ช่วยฝ่ายพยาบาลแทน ไหนๆ มึงก็อุตส่าห์วิ่งรถออกไปซื้อของตั้งไกล”

                “กูอยู่ช่วยฐานเหมือนเดิมก็ได้นะเว้ย แค่ออกไปซื้อของ กูไม่ได้เหนื่อยอะไรสักหน่อย” เขาพูดไปตามความจริง แถมไอ้ของที่เขาซื้อมาก็แค่พวกขนมนมเนยสำหรับเด็กปีหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะและจัดการกับห่อข้าวห่อน้ำที่ได้มา

                “เออ ถ้าไม่เหนื่อยก็แล้วแต่มึงละกันวะ” คิงว่าพลางยิ้มขำกับท่าทางคนที่เหมือนจะตายอดตายอยากมาตั้งแต่เช้า

                “ใจเย็นมึง เดี๋ยวติดคอพอดี” คิงว่าพลางส่งทิชชูให้กับคนที่เริ่มจะกินเลอะเทอะเพราะความเร่งรีบ

                “ก็กูหิวนี่หว่า ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย” พูดเสียงอ้อมแอ้มเพราะข้าวที่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ในปาก

                “เอาไปอีกห่อเลยไป เดี๋ยวมึงไม่อิ่ม”

                ฮ่องเต้เงยหน้ามองคิงที่ส่งห่อข้าวมาให้ ก่อนจะถามออกไปด้วยความสงสัย

                “แล้วมึงไม่กินอ่ะ”

                “กูกินแล้ว ไอ้พวกปีสองมันสั่งมาเผื่อพี่มันเยอะจะตาย กินๆ ไปเหอะ”

                ได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็คลี่ยิ้มออกมาและรับห่อข้าวมาจากคิง ก่อนที่อีกฝ่ายจะแยกตัวไปดูรุ่นน้องต่อ

                “โหย นี่ท่านฮ่องเต้ไปอดอยากปากแห้งมาจากไหนขอรับครับท่าน ถึงได้โซ้ยข้าวตั้งสองห่อเนี่ย”

                ฮ่องเต้ชะงักมือพลางหันไปมองพญามารนิวอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาตักข้าวเข้าปากด้วยความเร็ว ต่อด้วยยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความไวแสงและลุกขึ้นเดินหนีทันที

                “โธ่ ทำเป็นไม่พูดกับกู” นิวว่าก่อนจะเดินตามฮ่องเต้ไปติดๆ ก่อนจะตกใจจนเผลอสบถลั่นเพราะไอ้คนข้างหน้าดันเบรกฝีเท้าแบไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า

                ฮ่องเต้หันขวับมาจ้องหน้านิวด้วยสายตาดุดัน “ถ้ามึงคิดจะมาล้อกูเรื่องไอ้เด็กนั่นล่ะก็ กูถีบมึงกระเด็นแน่”

                คำขู่ของฮ่องเต้ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหวั่นเกรงเลยสักนิด แถมยังทำหน้าทำตาล้อเลียนเขาอีกต่างหาก

                “ทำเป็นมาขู่ เดี๋ยวก็รู้ฤทธิ์อาถรรพ์สายรหัส”

                “ไอ้นิว!” ฮ่องเต้กระแทกเสียงใส่อย่างคนเริ่มจะหงุดหงิด

                ไอ้นี่ก็กะจะแซวจนกูได้กับไอ้เด็กนั่นเลยใช่ไหม

                “เรียกกระผมทำไมหรือขอรับนายท่าน” ไม่วายจะฉีกยิ้มกว้างใส่คนตรงหน้า จนฮ่องเต้ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายและเดินเอาขยะไปทิ้งอย่างไม่สนใจใยดีคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาไม่หยุด

               

                กิจกรรมรับน้องช่วงบ่ายเริ่มขึ้นแล้ว รุ่นพี่แบ่งน้องปีหนึ่งออกเป็นกลุ่มเพื่อสะดวกต่อการทำกิจกรรมฐาน ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็เน้นไปในส่วนของความสามัคคีกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รุ่นน้องได้รู้จักและปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่มากขึ้น  แม้ว่าเวลาจะคล้อยบ่ายแล้วและแม้ว่าเนื้อตัวจะน้องตัวเปื้อนสี เปื้อนน้ำ เปื้อนโคลนไปบ้าง  แต่เด็กปีหนึ่งทุกคนยังคงเต็มที่กับทุกกิจกรรมในทุกๆ ฐานที่รุ่นพี่จัดเตรียมไว้ให้ ทำให้ภายในคณะนิติศาสตร์เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขของเหล่าสมาชิกในครอบครัว

                เช่นเดียวกันกับฮ่องเต้ แม้ว่าเขาจะเป็นพี่โตสุดในคณะและผ่านกิจกรรมรับน้องมาทั้งตอนเป็นเฟรชชี่และรุ่นพี่ปีสองปีสามมาแล้ว แต่การได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการรับน้องอีกครั้ง ก็ยังคงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและมีความสุข จนอดยิ้มและหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาเองก็อยากจะเก็บเกี่ยวบรรยากาศดีๆ เอาไว้เพราะอีกเพียงแค่ไม่กี่เดือน เขาก็จะต้องก้าวออกจากรั้วบ้านหลังที่สองแห่งนี้ไปในนามของศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยภัคนลิน

                ฮ่องเต้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เข้ามาดูแลกิจกรรมฐานสุดท้ายร่วมกับเพื่อนและรุ่นน้องชั้นปีอื่นๆ ซึ่งฐานของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่ให้น้องใช้ความสามัคคีเอาชนะอุปสรรคจากเชือกที่มัดข้อเท้าเอาไว้ก็เท่านั้น แต่มันอาจจะยากไปสักหน่อยเพราะพื้นดินที่เฉอะแฉะ ประกอบกับภารกิจอีกนิดๆ หน่อยๆ ก็เท่านั้น

                เด็กปีหนึ่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าแวะเข้ามาร่วมกิจกรรมและเวียนไปฐานอื่นเรื่อยๆ ฮ่องเต้ยังคงเอาแต่ยิ้มร่าอย่างมีความสุขอยู่อย่างนั้นและมองรุ่นน้องกลุ่มล่าสุดที่เวียนไปยังฐานอื่น ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะหุบฉับทันทีที่สายตาประสานเข้ากับใบหน้าของใครบางคน

                ไอ้โรคจิตปีหนึ่ง!

            เขาอุทานขึ้นมาในใจพลางเบนสายตาหนีโฟโต้ที่เดินถือรองเท้าซึ่งยัดไส้ด้วยถุงเท้าเปียกๆ เอาไว้ ขณะที่อีกฝ่ายกลับเอาแต่มองมาทางเขาอย่างละสายตาไม่ได้ ภายในใจก็เอาแต่พร่ำบนกับตัวเองถึงสาเหตุที่ฮ่องเต้สามารถดึงดูดสายตาของเขาได้มากถึงขนาดนี้

                พี่ฮ่องเต้ทำเสน่ห์ใส่เราหรือยังไง

            เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมเสน่ห์ของลูกแมวตาโตตัวนี้อย่างไม่อาจจะหาอะไรมาฉุดรั้งได้

                ใช่ เขาดูเหมือนลูกแมว

            โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่มักจะเอาแต่จ้องมองเขาแบบดุๆ นั่น แก้มขาวๆ ที่มักจะขึ้นสีทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน แถมริมฝีปากแดงระเรื่อราวกับเขาเฝ้าดูแลมันมาเป็นอย่างดี เหมือนบุหรี่ไม่เคยแตะ เหล้าไม่เคยสัมผัส ขนาดริมฝีปากด้านนอกยังดูดีขนาดนั้น แล้วข้างใน...รสชาติ...ของมัน...แค่คิดก็ทำเอาใจเต้นไม่เป็นระส่ำขึ้นมา

                เฮ้ย คิดบ้าอะไรอยู่วะ พี่เขาเป็นผู้ชายนะเว้ย

            โฟโต้สะบัดหน้าไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัว  ก่อนจะพยายามหันไปสนใจสิ่งรอบข้างอื่น ทำทีเป็นวางรองเท้าผ้าใบเปื้อนโคลนก็แล้ว พับขากางเกงขึ้นก็แล้ว ทว่าสุดท้ายสายตาของเขาก็ถูกดึงมาที่คนๆ เดิม จนเขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่เสียงของรุ่นพี่ประจำฐานจะดังเรียกความสนใจ

                “สวัสดีค่า ยินดีต้อนรับน้องๆ เข้าสู่ฐานที่เจ็ดนะคะ ฐานนี้เป็นฐานวัดความสามัคคี โดยกติกาของเราก็ง่ายมาก! พี่จะแบ่งน้องออกเนสองกลุ่มและให้เชือกเส้นนี้...” พี่สันฯ อธิบายพร้อมกับชูเชือกผ้าเส้นหนึ่งขึ้นมา “...ผูกระหว่างข้อเท้าของน้องกับเพื่อนเอาไว้ หลังจากนั้น เราจะมาแข่งกันทำภารกิจกัน ซึ่งถ้าทีมไหนแพ้ จะต้องถูกลงโทษนะคะ”

                ก่อนที่พี่สันฯ อีกคนจะหันมาสั่ง “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ ขอให้น้องๆ แบ่งออกเป็นสองทีมได้เลยนะคะ”

                รุ่นน้องเริ่มนับหนึ่งสองและแยกกลุ่มตามเลขที่นับได้จนเสร็จสรรพ แต่ความที่รุ่นน้องกลุ่มนี้มีจำนวนไม่เท่ากัน แถมยังน้อยกว่าปีหนึ่งกลุ่มอื่นที่ผ่านมาอีก พี่สันฯ ปีสองจึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ปีสี่ที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งเป็นจุดที่เตรียมเอาไว้สำหรับให้น้องๆ แข่งกันกินขนมและน้ำ

                “ขอให้พี่ปีสี่ช่วยเข้ามาแทรกน้องด้วยค่ะ”

                แม้ว่าจะดูเหมือนออกคำสั่ง แต่สายตาที่ส่งไปให้รุ่นพี่กลับเป็นสายตาที่อ่อนลงเฉกเช่นคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งรุ่นพี่ปีสี่อย่างนิว เมธและฮ่องเต้ก็เต็มใจเข้ามาช่วยเป็นอย่างดี ทั้งสามคนเดินเข้ามาสมทบท่ามกลางสายตาของรุ่นน้องที่มองมาอย่างไม่วางตา โดยเฉพาะกับฮ่องเต้ที่ดูเหมือนว่าความน่ารักจะไปสะดุดตาสาวๆ เข้าจนพวกเธอต้องหันไปกระซิบกระซาบกันด้วยความเขินอายยกใหญ่

                ไม่เว้นแม้กระทั่งสายตาของโฟโต้ที่ยังคงมองตามคนที่สะกดสายตาเขามาตั้งแต่เดินเข้ามาที่ฐานนี้แล้ว หากแต่ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาไม่ใช่เรื่องเสน่ห์ของรุ่นพี่คนนั้น แต่เป็นคำพูดของพี่สันฯ ที่ทำเอาเขาอึ้งไปทันทีที่ได้รู้ว่านอกจากฮ่องเต้จะเป็นรุ่นพี่ของเขาแล้ว พี่เขายังเป็นพี่โตสุดในคณะอีกต่างหาก

                มิน่า พี่เขาถึงได้เอาแต่ทำหน้าบึ้ง ไม่ยอมคุยเล่นกับผม

            โฟโต้จึงได้แต่มองตามฮ่องเต้ที่เดินไปอยู่อีกทีมตาละห้อย ความรู้สึกผิดที่ไปหยอกล้อพี่ปีสี่เล่นก่อนหน้านั้นเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่พูดและทำอะไรแบบนั้นเป็นแน่

                พี่สันฯ ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ก่อนที่เชือกผ้าจะถูกส่งมาถึงมือรุ่นน้องทีมแรกที่ได้เริ่มเล่นก่อน โฟโต้จัดการมัดเชือกผ้าเส้นนั้นเข้าที่ข้อเท้าของตนและเพื่อนที่อยู่ติดกันเหมือนคนอื่นๆ และยืดตัวขึ้น ใช้แขนโอบไหล่คนข้างๆ เอาไว้ ก่อนที่พี่สันฯ จะเริ่มนับเลขให้สัญญาณเตรียมตัวเริ่มเกม

                “พร้อมกันแล้วใช่ไหมเอ่ย”

                “พร้อมแล้วค่า/ครับ” เสียงปีหนึ่ง

                “เอาล่ะนะ! สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!”

                สิ้นเสียงออกคำสั่ง ทุกคนในทีมก็พร้อมใจกันก้าวเท้าทันที กติกาเกมก็ไม่มีอะไรมาก แค่ต้องเดินไปให้ถึงโต๊ะที่มีสารพัดของกินวางอยู่ด้วยเท้าที่ถูกผูกติดกันแน่นหนา แต่มันจะยากขึ้นก็ตรงการก่อกวนจากรุ่นพี่ในฐาน โดยเฉพาะคนที่ถือสายยางฉีดน้ำที่เล่นใหญ่ เอาซะพื้นดินเฉอะแฉะพาลให้พวกรุ่นน้องทรงตัวแทบไม่อยู่ สถานการณ์ตรงหน้าเป็นไปด้วยความเร่งรีบและชุลมุนวุ่นวายเสียยกใหญ่ และเพราะแบบนั้น เลยทำให้เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

                “โอ๊ยยยยยยย!!” โฟโต้แหกปากลั่นด้วยความเจ็บปวด หลังจากร่างกายล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง พลอยให้คนข้างๆ ล้มตามไปด้วย

                ก่อนที่เขาจะตกเป็นเป้าสายตา...

                “เชี่ย! เป็นยังไงมั่ง” เสียงร้องของเพื่อนข้างๆ ดังขึ้น ขณะที่มือก็ช่วยแกะเชือกผ้าที่ข้อเท้าให้โฟโต้ไปด้วย ท่ามกลางกิจกรรมที่หยุดชะงักไปกลางคัน

                โฟโต้เอาแต่นั่งนิ่ง เอามือกุมเท้าและนิ่วหน้าด้วยความเจ็บที่มากจนขยับลุกไปไหนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะแรงกระแทกและท่าล้มที่ทำให้ร่างกายขยับผิดที่ผิดทาง

                “ให้กูดูหน่อย!!”

                เพราะมัวแต่เจ็บ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าฮ่องเต้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่  แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าและท่าทางมากเพียงใด และดูเหมือนว่ามันจะมากพอจนไปกระตุ้นความรู้สึกรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจของโฟโต้ สายตาของเขาเอาแต่มองไปทางรุ่นพี่ปีสี่ที่เอาแต่ปั้นหน้าบึ้งตึงใส่ตนมาตลอด เขาไม่อยากจะเชื่อกับสายตาตัวเองว่ารุ่นพี่จอมเหวี่ยงคนนั้น จะกลับกลายมาเป็นรุ่นพี่ที่กำลังกังวลกับเรื่องของเขาได้มากมายเพียงนี้

                “โอ๊ย!” โฟโต้เผลอร้องออกมาอีกครั้งเพราะมือของฮ่องเต้ที่ไปโดนเข้าที่แผล

                “เจ็บเหรอ ขอโทษนะ”

                น้ำเสียงอ่อนโยนที่เพิ่งเคยจะได้ยินครั้งแรก เรียกสายตาให้โฟโต้หันกลับไปมองและสบสายตาเข้ากับดวงตาที่ฉายแววความห่วงใยออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง เพียงเท่านั้น ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด

                ฮ่องเต้ค่อยๆ ดึงมือของโฟโต้ที่กุมเท้าเปลือยเปล่าของตัวเองออกช้าๆ สีหน้าหวาดๆ ของเขาทำเอาเจ้าของเท้าอดหันไปมองตามไม่ได้และนั่นทำให้โฟโต้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเพราะหลังเท้าที่ถลอกเป็นรอยเลือดซิบ ความชาแล่นปราดเข้ามาอย่างรวดเร็วจนคนบาดเจ็บต้องนิ่วหน้าอีกครั้ง

                “อดทนหน่อยนะ” ฮ่องเต้เอ่ยกับคนตรงหน้า ก่อนจะหันไปสั่งพวกรุ่นพี่เสียงเข้ม “มาช่วยพยุงน้องหน่อย”

                พวกรุ่นพี่ช่วยกันพยุงตัวของโฟโต้ออกไปจากฐานกิจกรรมรับน้องและตรงไปยังหน่วยรักษาพยาบาล แม้จะทุลักทุเลไปบ้างเพราะร่างที่ปวดหนึบจากการกระแทกจนเดินเองแทบไม่ได้ แต่อย่างน้อยความรู้สึกอบอุ่นจากการดูแลของรุ่นพี่ก็ทำให้เด็กปีหนึ่งอย่างเขาคลายความกังวลลงไปได้

                โฟโต้ปล่อยให้รุ่นพี่ที่หน่วยพยาบาลช่วยทำแผลให้จนเสร็จ ขณะที่สายตาก็เอาแต่มองหาคนที่ช่วยเขาเอาไว้ ทว่ารอบกายของเขาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรุ่นพี่ที่ไม่ได้ชื่อฮ่องเต้

                “เป็นไงมั่งวะ” นิวเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเขาเองก็อยู่ในสถานการณ์ชุลมุนเมื่อครู่เช่นกัน

                “เจ็บครับ” โฟโต้ร้องบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำเอานิวอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

                “เออ ยังดีที่ตอบว่าเจ็บเพราะถ้ามึงตอบว่าไม่เจ็บล่ะก็ กูจะได้เหยียบเท้าซ้ำเข้าให้”

                “โหย ใจร้ายว่ะพี่”

                ทั้งคู่คุยเล่นกันไปตามประสาพี่น้องที่เริ่มคุยกันถูกคอ (เพราะเป็นสายกวนประสาตเหมือนกัน)

                “ไปทำอีท่าไหนน่ะเรา ถึงได้แผลถลอกมาซะขนาดนี้” รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม ขณะกำลังเก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับเข้าที่

                “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้อีกทีก็ล้มลงไปแล้ว” โฟโต้หันไปตอบตามความจริง ทว่ารุ่นพี่ฝ่ายพยาบาลกลับทำหน้าสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

                “แต่แผลมันเหมือนจงใจมากเลยนะ”

                “ทำไมอ่ะหวาน” นิวหันไปถามด้วยความสนอกสนใจ เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ กับรอยถลอกที่เท้าของรุ่นน้องเช่นกัน แต่ที่ไม่ได้ถามอะไรออกไปก็เพราะไม่คิดว่าจะมีคนสงสัยเหมือนกัน

                “ต่อให้น้องล้มไปข้างหน้า ยังไงแผลมันก็ไม่ออกมาลักษณะนี้แน่ๆ” หวานแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ และหันไปมองหน้าโฟโต้ “แน่ใจนะ ว่าไม่ได้โดยใครเหยียบเท้าเข้า โดยเฉพาะคนที่ใส่รองเท้า”

                คำพูดของหวานทำให้โฟโต้ชะงักนิ่ง นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้จะรู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าจะถูกใครเหยียบเท้าเข้าจริงๆ แต่ภาพเหตุการณ์มันก็ไม่ได้กระจ่างชัดมากพอจะไปจับเท้าใครได้คาหนังคาเขาเพราะตอนนั้นสายตาของเขาก็เอาแต่มองไปที่โต๊ะวางขนมด้านหน้า ไม่ได้มาสนใจว่าเท้าใครจะเดินย่ำไปทางไหน

                “คงเป็นช่วงชุลมุนมากกว่าครับ เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก” แม้ว่าปากของรุ่นน้องจะบอกออกไปแบบนั้น แต่นิวกับหวานก็ไม่วายหันมามองหน้ากันอย่างสื่อความหมายอีก แต่สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยทุกอย่างผ่านไปเพราะไม่มีหลักฐานอะไรไปเอาความผิดกับใครได้ นิวกับหวานจึงชวนโฟโต้คุยเรื่องสัพเพเหระต่อเพื่อรอให้โฟโต้ได้นั่งพักไปพลาง

               

                ขณะเดียวกัน ที่ลานจอดรถด้านหลังคณะ...

                ฮ่องเต้หยิบถุงพลาสติกออกมาจากหลังรถหนึ่งใบและจัดการยัดรองเท้าผ้าใบที่เปรอะไปด้วยคราบสกปรกจากการเข้าร่วมกิจกรรมฐานลงไป เสร็จสรรพก็ยัดมันเข้าไปที่หลังรถ ก่อนจะหันไปคว้าถุงกระดาษที่เขาลืมเอาลงจากรถตั้งแต่ก่อนรับน้องออกมาเพื่อตรวจเช็คของที่อยู่ในนั้น เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินหิ้วถุงกระดาษและกลับเข้าไปในคณะทันที ทว่าพอไปถึงยังที่หมาย ขาของเขากลับชะงักขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

                ฮ่องเต้ลอบมองโฟโต้ผ่านหลังต้นไม้ใหญ่ คนที่เพิ่งจะเจ็บตัวนั่งมองแผลตัวเองท่ามกลางอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่เป็นเพื่อนเพราะตอนนี้ ฝ่ายสันทนาการเรียกรุ่นพี่รุ่นน้องไปรวมตัวกันแล้ว ส่วนรุ่นพี่ฝ่ายพยาบาลคงจะไปเข้าห้องน้ำหรือทำอะไรสักอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

                สายตาของคนเป็นพี่เอาแต่จับจ้องคนเป็นน้องด้วยความรู้สึกประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เขาเองก็เป็นฝ่ายเข้าไปช่วยเด็กปีหนึ่งคนนั้นเองแท้ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเขาตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากไปหน่อย พอเห็นโฟโต้ลงไปร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดกับพื้น ใจของเขาก็เต้นไม่เป็นระส่ำเพราะเกรงว่ารุ่นน้องของตนจะบาดเจ็บหนัก (แต่มันก็หนักจริงๆ นั่นแหละ) จนกระทั่ง ตอนนี้ที่เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไปและความรู้สึกไม่แน่ใจกลับก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนเขาได้แต่มองของในมืออย่างชั่งใจ         

                “โอ๊ย!”

                เสียงร้องของโฟโต้ทำเอาเขาสะดุ้ง รีบปรี่เข้าไปช่วยพยุงคนอวดดีที่ลุกขึ้นมาทั้งที่ยังเจ็บอยู่ แม้ว่าคนเข้าไปช่วยจะไม่ทันได้คิดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับหันมามองด้วยความแปลกใจเสียอย่างนั้น

                ฮ่องเต้ยังคงว้าวุ่นอยู่กับการบาดเจ็บของรุ่นน้องและช่วยพยุงให้โฟโต้นั่งลงที่เก้าอี้ดังเดิม โดยไม่ทันได้สังเกตสายตาของโฟโต้ที่มองมาทางเขาด้วยสายตาที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

                “เจ็บตัวแล้วยังอวดดีอีกนะ”

                ไม่รู้ว่านั่นเป็นการแสดงความเป็นห่วงในแบบฉบับของฮ่องเต้หรือเปล่า แต่คำพูดนั้นกลับดีต่อใจโฟโต้อย่างน่าประหลาด ไม่คิดว่าคนที่เอาแต่ทำหน้าเหวี่ยงไปวันๆ จะอ่อนโยนกับเขาได้

                “แผลเป็นไงบ้าง” แม้จะพูดด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ยังคงวางมาดตามแบบฉบับฮ่องเต้

                โฟโต้เหลือบไปมองที่แผลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “มีแค่แผลถลอกที่เท้าครับ นอกนั้นก็ปวดตามตัวนิดหน่อย”

                “ปวดนิดหน่อย? แบบที่นิดหน่อยก็ร้องโอ๊ยน่ะเหรอ” ฮ่องเต้ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหยิบถุงกระดาษข้างๆ ยื่นให้กับโฟโต้

                “ครับ?”

                “รองเท้า” คำตอบสั้นๆ แต่กลับสร้างความประหลาดใจให้กับโฟโต้เป็นอย่างมาก มือหนึ่งยกขึ้นมารับถุงกระดาษจากรุ่นพี่ไปเปิดดูและเป็นอันต้องแปลกใจเข้าไปใหญ่

                “พี่ให้ผมเหรอครับ”

                คำถามของคนข้างๆ ทำเอาฮ่องเต้ชะงักเพราะไม่ทันได้คิดว่าน้องมันจะถามคำถามนี้กับเขา

                “เปล่า พี่รหัสปีสี่ของมึงฝากมาให้”

                ถึงจะรู้สึกกระดากปากที่พูดออกไปแบบนั้นและรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไอ้พี่รหัสปีสี่ที่พูดถึงคือตัวเขาเอง แต่มันก็ดีกว่าให้โฟโต้มารู้ว่าเขาเป็นคนให้เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามใดใดที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

                “ยังไงก็ขอบคุณพี่นะครับ ที่อุตส่าห์เอามาให้” พูดจบก็หันไปยิ้มอ่อนโยนให้

                เป็นครั้งแรกที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้เห็นมุมอ่อนโยนของกันและกัน...

            “เออ...อืม รีบใส่ซะสิ เดี๋ยวจะได้ไปส่งที่หอ” ท้ายประโยคเสียงของฮ่องเต้กลับแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะความรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องพูดประโยคนี้ออกไป แต่เพียงแค่เสียงอันแผ่วเบาก็ทำเอาอีกฝ่ายใจเต้นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าโฟโต้เองจะไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันนี้กับรุ่นพี่ผู้ชายคนนี้คืออะไร แต่เขาก็ยินดีรับมันไว้เพราะอย่างน้อยมันทำให้เขามีความสุข

                “ขอบคุณครับ”

                โฟโต้หันไปขอบคุณอีกครั้งและหยิบรองเท้าจากถุงออกมาใส่ ก่อนที่ฮ่องเต้จะลุกขึ้นและช่วยพยุงโฟโต้ให้ลุกตาม พอจัดท่าทีได้ลงตัว ทั้งคู่ก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างช้าๆ

               

                แสงแดดยามเย็นสาดกระทบร่างสูงของรุ่นพี่ปีสี่และเฟรชชี่ปีหนึ่งสายรหัส 178 จนเกิดเงาทอดไปบนพื้นถนน เท้าของพวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างมั่นคง ประคับประคองอีกฝ่ายไปตามเส้นทางข้างหน้าอันแสนยาวไกล แม้ว่ากิจกรรมรับน้องจะสิ้นสุดลงไปไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่คนที่อยู่ข้างกายกลับช่วยเติมเต็มความทรงจำของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ

                ก้าวแรกของพวกเขาที่ก้าวไปพร้อมกันในวันนี้ อาจจะเป็นเพียงแค่ก้าวเล็กๆ บนทางเดินอันแสนยาวไกล หากแต่มันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาภายในใจ แม้ว่าคนทั้งคู่จะยังไม่มีใครรู้ตัวเลยก็ตาม

                เมื่อมีก้าวแรก ก้าวที่สองก็ต้องตามมาเสมอ...

            ที่สำคัญ คงไม่มีใครหน้าไหนที่จะหยุดก้าวของตัวเองเอาไว้ที่เพียงแค่ก้าวเดียว...     

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:42:18
ตอนที่ 5 อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง

                วันนี้ คนบาดเจ็บติดแหงกอยู่ที่หอเพราะเนื้อตัวที่ระบมไปหมด โดยเฉพาะตั้งแต่ส่วนสะโพกลามไปยังฝ่าเท้า หลังจากกลับถึงห้องเมื่อวาน เขาก็สลบเหมือดทันทีด้วยความเหนื่อยล้า จนมาสะดุ้งตื่นเอาอีกทีก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองของอีกวัน อันที่จริง...ที่เขาตื่นก็เพราะเสียงกระเพาะที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องต่างหาก

                โฟโต้ค่อยยันตัวลุกขึ้นจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ แม้ว่าจะปวดหนึบตามเนื้อตามตัว แต่ก็ยังโชคดีที่พอเดินได้ ร่างสูงจัดการอาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความทุลักทุเล หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปหยิบกระเป๋าเงินและย่ำเท้าเตาะแตะไปยังประตูห้อง

                สายตาเหลือบมองรองเท้าแตะสีน้ำตาลคู่ใหม่ที่เพิ่งจะได้มาเมื่อวาน พลันรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เขายังคงจำเหตุการณ์เมื่อวานได้เป็นอย่างดีและชาตินี้ทั้งชาติ เขาคงไม่อาจจะลืมมันไปได้ ส่วนเจ้าของรองเท้าคู่นี้ คงต้องรอลุ้นต่อไปว่าเป็นใคร สองเท้าค่อยสวมรองเท้าคู่นั้นและเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมล็อคกุญแจห้องเสร็จสรรพ

                ไว้ใจไม่ได้ครับ เห็นข่าวออกจะบ่อย ขนาดว่าล็อคห้องแน่นหนา โจรมันยังอุตส่าห์ลงทุนงัดเข้ามาขโมยของได้ ใครจะรู้ว่าผมจะซวยอะไรอีก   

                โฟโต้ลงลิฟต์ไปชั้นล่าง เดินลงบันไดต่ออีกไม่กี่ขั้น ก่อนจะเลี้ยวเข้าร้านอาหารตามสั่งข้างหอเพราะความขี้เกียจปนสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย           

                ช่วงบ่ายสองคนเริ่มบางตา อาจจะเป็นเพราะว่าเลยมื้อเที่ยงมาแล้ว กอปรกับคนที่มาพักที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษามอภัคนลิน ซึ่งออกไปรับน้องกันตั้งแต่เช้า โฟโต้จึงเดินเข้าไปสั่งข้าวผัดแกงเขียวหวานใส่กล่องขึ้นไปกินบนห้อง เสร็จสรรพก็เดินไปสั่งโอริโอ้ปั่นที่ร้านน้ำข้างๆ และระหว่างที่เขากำลังยืนรออยู่นั้นเอง จู่ๆ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น ด้วยความคุ้นหู ทำให้โฟโต้ต้องหันไปมองและเป็นอันต้องรีบกระเถิบหลบไปแอบหลังพุ่มที่ใช้ประดับภายในร้าน เมื่อสายตาสบเข้ากับรุ่นพี่ที่รู้จัก

                ฮ่องเต้ลุกลี้ลุกลนอยู่ที่โต๊ะอาหารเกือบด้านในสุดของร้าน หลังจากที่เพื่อนรักอย่างนิวพยายามจับผิดเรื่องที่เขาเยี่ยมหน้ามาที่หอนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์มาแบบเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ แต่ดันมาดวงซวยเจอเพื่อนเข้าจนได้ แถมยังเป็นคนปากมากที่เขาไม่อยากจะเจอมากที่สุดอีกต่างหาก

                “ไอ้ฮ่องเต้ มึงสารภาพมาโดยด่วน อย่าให้กูต้องโมโหเพราะความอยากเผือก!!”

                “เบาๆ หน่อยดิวะ เดี๋ยวคนอื่นก็หันมามองกันหมดพอดี” ฮ่องเต้หันไปมองรอบร้านอย่างหวาดระแวง แม้ว่าภายในร้านจะมีเพียงสองแม่ลูกที่เป็นลูกค้านั่งเกือบด้านนอกสุดของร้านก็ตาม ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะหันกลับมาจ้องฝ่ายตรงข้ามที่เอาแต่จ้องจับผิดเขา โดยทันได้สังเกตเห็นว่ามีใครอีกคนแอบฟังบทสนทนาของเขากับเพื่อนอยู่อีกหนึ่งคน

                “มึงก็บอกมาดิ ว่ามึงมาทำไม!?” ไม่ถามเปล่า ยังเอาช้อนที่เพิ่งจะใช้ตักข้าวกินจนเสร็จเมื่อครู่ ยกขึ้นมาชี้หน้าผู้ต้องหาคดีบุกหอพักตรงหน้า

                ฮ่องเต้อ้ำๆ อึ้งๆ ยกมือขึ้นมายีหัวจนยุ่งอย่างคนไม่อยากจะตอบคำถาม อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่รู้จะสรรหาคำอธิบายใดมาพูดกับคนตรงหน้าต่างหาก สมองพยายามคิดหาคำแก้ตัวเพราะหากนิวรู้ว่าเขามาทำอะไรที่หอนี้ เป็นอันได้ถูกล้อเลียนไปยันเรียนจบเป็นแน่ แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังคงได้แต่อึกอักอยู่เช่นนั้น

                “ทำไมวะ! กูจะมากินข้าวร้านนี้ไม่ได้หรือไง!”

                ในเมื่อเถียงไม่ออก ก็โวยวายออกไปก่อนก็ได้ล่ะวะ

            “มาได้! แต่มันผิดปกติเว้ย หอมึงอยู่ตั้งไกล แต่ถ่อสังขารพาร่างมากินข้าวถึงที่นี่เนี่ย มันไม่ใช่วิสัยปกติของท่านฮ่องเต้นะครับ”

                “ทีมึงยังมาได้เลย”

                “ก็หอกูอยู่นี่” พูดจบก็ชี้ไปทางหอพักของตน ทำเอาคนที่แอบอยู่ตรงพุ่มไม้ต้องมองตาม ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้รู้ว่านิวอยู่หอเดียวกันกับเขา เสร็จสรรพก็หันกลับมามองรุ่นพี่ทั้งสองที่ยังซักถามกันไม่เลิก

                “และมึงก็ไม่มีทางมาหากูที่หอในเวลาแบบนี้ อีกอย่างไอ้ของที่มึงหิ้วมาเนี่ย มันก็ไม่ใช่ของกูแน่นอน ดังนั้นอย่ามาอ้างว่าเอาของมาให้กู”

                ข้อสันนิษฐานของนิวทำเอาฮ่องเต้หุบปากฉับเพราะโดนดักหน้าไปเสียทุกทาง จนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยในการสรรหาข้อแก้ตัว

                “สรุปว่ายังไง มึงมาทำอะไรที่นี่ครับ”

                ฮ่องเต้เหลือบมองนิวอย่างเซ็งๆ

                กับตอนเรียนในห้องไม่เคยจะยกมือถามอาจารย์ แต่พอนอกห้องและเป็นเรื่องของกูนี่อยากเผือกจังวะ

                “ไงมึง! จะตอบกูได้ยัง” คนเร่งรัดเอาคำตอบยักคิ้วจึกๆ ทำท่าถือไพ่เหนือกว่า จนอีกฝ่ายถึงกับจ๋อยสนิทและค่อยๆ เปิดปากสารภาพความจริงออกมา

                “กูก็แค่...”

                “น้ำได้แล้วจ๊ะ!!” เสียงป้าร้านน้ำดังขัดจังหวะ ดึงความสนใจจากคนทั้งคู่เพราะจุดที่ป้าแกยืนอยู่คือหลังพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก ฮ่องเต้จับจ้องไปยังจุดนั้นก่อนจะตื่นตะลึง เมื่อเห็นร่างสูงของใครอีกคนที่เขาไม่จะเจอในเวลานี้

                ไอ้โรคจิตปีหนึ่ง! มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?

            นึกขอบคุณตัวเองที่ยังไม่พูดอะไรออกไป ไม่เช่นนั้น ความได้แตกต่อหน้าเด็กปีหนึ่งคนนั้นแน่  เขามองไปยังอีกฝ่ายอย่างพยายามหาโอกาส เมื่อเห็นว่าโฟโต้หันหลังให้รีบลุกหนีไปทางด้านหลังร้านด้วยความไวแสง

                “อ้าวเฮ้ย ไอ้เต้ๆ” นิวร้องเรียกตามเพื่อนที่วิ่งหายต๋อมไปตรงหลังร้าน สองคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยพลางหันกลับไปมองโฟโต้ที่กำลังยืนคุย ฝ้าย ดาวเด่นปีหนึ่ง ว่าที่ดาวคณะนิติศาสตร์ปี 60 ที่ออร่าเข้าตาเขามาตั้งแต่วันแรก แต่ไอ้เรื่องทีเขาสงสัยคือเรื่องที่เพื่อนของเขาลุกหนีทันทีที่ได้เห็นไอ้เด็กโฟโต้ต่างหาก

                หรือว่ามันจะเอาของมาให้ไอ้เด็กนั่นวะ

           

                ขณะที่อีกด้านของร้าน แม้ว่าอยากจะเผือกเรื่องของพี่ฮ่องเต้มากแค่ไหน โฟโต้ทำได้เพียงแค่ยิ้มและล้วงเงินในกระเป๋าออกมาเพื่อมาจ่ายค่าน้ำ ทว่ากลับไม่ทันอีกมือหนึ่งที่ยื่นมา

                “ค่าโอริโอ้ปั่นค่ะ” เป็นฝ้ายที่จ่ายเงินค่าน้ำแทนเขา ซึ่งป้าก็รับเอาแบงค์กับเหรียญในมือของเธอไปเป็นที่เรียบร้อย ทำเอาโฟโต้ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก

                “เธอมาจ่ายให้เราทำไม?” ถามพร้อมกับมองคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ

                “เราแค่อยากไถ่โทษ ที่เมื่อวานทำเธอเจ็บตัว”

                ฝ้ายตอบออกพร้อมกับแสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมาและอธิบายต่อ

                “คือเมื่อวาน เราไม่ทันได้ระวัง เลยพลาดไปเหยียบเท้าเธอ แต่! เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ เราสาบานได้ มันเป็นอุบัติเหตุ แต่ได้ยินมาว่าเธอถึงกับไปรับน้องวันนี้ไม่ได้ เราเลยยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่...”

                “เฮ้ย ใจเย็นๆ” โฟโต้ร้องบอกเพราะน้ำเสียงที่ร้อนรนและสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้เต็มที่

                ฝ้ายเงยสบตากับโฟโต้เล็กน้อยก่อนจะหลุบตาลงต่ำ

                “เราขอโทษ”

                “ไม่เป็นไร เราไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่ากังวลเลย เราไม่โกรธหรอก” เขาตอบพร้อมกับพยายามยิ้มแบบใจดีไปให้

                “ขอบใจนะ ที่ไม่โกรธเรา” ฝ้ายร้องบอกเสียงใสและยิ้มให้กับโฟโต้ “เอ้อ เราชื่อปุยฝ้ายนะ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ต้องขอโทษเธออีกรอบด้วย”

                “อืม เราโฟโต้...”

                “รู้แล้วแหละ”

                “หืม?” โฟโต้ชะงักทันทีกับคำตอบของคนตรงหน้า

                “เรารู้ชื่อเธอแล้ว ก็ในคณะอ่ะ เธอออกจะดัง” และเธอก็เอาแต่ยิ้มกริ่ม จนเขาชักจะสงสัยไอ้คำว่า ออกจะดัง ที่ว่านั้นมันจะใช่ในทางที่ดีหรือเปล่าเพราะเขาไม่อยากจะเสียประวัติตั้งแต่ยังไม่เปิดเรียน

                “ยังไงก็ขอให้หายไวๆ นะ จะได้ไปรับน้องด้วยกัน กำลังสนุกเลย”

                “อืม ขอบใจนะ” เขาตอบกลับเพียงเท่านั้น ก่อนที่ฝ้ายจะขอตัวไปกินข้าวกับแม่

                โฟโต้อดหันกลับไปมองที่โต๊ะเกือบริมสุดของร้านอีกครั้งไม่ได้ ทว่าที่โต๊ะกลับเหลือเพียงแค่นิวที่นั่งกดมือถือยิกๆ อยู่คนเดียว

                ไวชะมัด สมเป็นลูกแมวจริงๆ

            ส่ายหัวอย่างนึกขำ ก่อนจะเดินไปที่เอาข้าวและกลับเข้าหอเพราะแหล่งข่าวหายตัวไปแล้ว นักเผือกอย่างเขาก็ต้องกลับรังอย่างไม่มีทางเลือก

 

                หลังจากเห็นหลังไวๆ ของเด็กปีหนึ่งเดินกลับเข้าหอ คนที่เอาแต่หลบหน้าก็ย่องออกมาจากหลังร้าน สอดสายตามองไปทางหน้าร้านจนแน่ใน จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหันกลับมาเจอสายตามาดร้ายจากนิว

                “มองอะไรมึง”

                “มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกู” คนที่ยังไม่ได้รับคำตอบทวงสิทธิ์เพราะหากวันนี้ไม่ได้รู้ความจริง เขาต้องนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย คล้ายจะเป็นโรคเผือกกำเริบ

                “คำตงคำตอบอะไร กูรีบ กูจะกลับแล้ว!” ไม่ว่าเปล่า ยังหันไปคว้าถุงใส่ของที่เก้าอี้และก้าวขาฉับๆ เดินหนีไปอย่างรวดเร็วชนิดไม่หันหลังกลับมามองคนข้างหลังแม้แต่น้อย

                “ชิส์ มึงหนีได้ กูก็ตามได้เหมือนกันนั่นแหละวะ” ตั้งเป้าหมายกับตัวเองเสร็จสรรพก็พรวดพราดออกไปจากร้านทันที

                แม้ว่าจะเดินออกมาจากร้านและขึ้นมานั่งบนรถซีดานสีขาวประจำตัวแล้วก็จริง ทว่าเจ้าของรถกลับไม่คิดจะขับออกไปแม้แต่น้อย หากแต่ลอบมองสถานการณ์ตรงหน้าผ่านกระจกรถของตน สายตาเอาแต่จับจ้องนิวเพื่อนรักที่เดินกลับเข้าไปในหอ รอเวลาสักพัก จนกระทั่งแน่ใจว่านิวกลับขึ้นห้องไปแล้ว จึงเปิดประตูและกระโดดผลุงลงมาจากรถ

                ฮ่องเต้หิ้วถุงกระดาษที่เป็นเหตุผลหลักที่เขาต้องเยี่ยมหน้ามาที่นี่ แล้วเดินเข้าไปในหอพักอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อถามหาห้องของเจ้าของไอ้ของที่เขาเอามาให้ เสร็จสรรพก็ขึ้นลิฟต์และตรงไปยังห้องของเป้าหมายทันที โดยหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนกำลังสะกดรอยตามเขาอยู่

                ไม่ใช่นิว แต่เป็นรูมเมทอย่างซันที่มาเห็นเพื่อนรักต่างหอของตนเข้าโดยบังเอิญ สองเท้าจึงพาร่างไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์และมองหมายเลขที่ไปหยุดอยู่ตรงชั้นเจ็ด ซึ่งไม่ใช่ชั้นของห้องเขากับนิว ความสงสัยทำให้ซันต้องรีบขึ้นลิฟต์ตามไป จนกระทั่งถึงชั้นเจ็ด

                ซันก้าวออกมาจากลิฟต์และรีบหลบหลังกำแพงทันทีที่สายตาสบเข้ากับร่างสูงอันคุ้นเคย สายตาลอบมองคนที่กำลังเขียนอะไรยุกยิกอยู่ตรงหน้าประตูห้องอย่างจับพิรุธอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะหลบเข้ามุมกำแพง เมื่อฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมามองสำรวจทางเดินและเดินไปทางลิฟต์ โดยทิ้งถุงกระดาษห้อยเอาไว้ตรงหน้าประตูห้องของใครสักคน

                หลังจากเห็นว่าเพื่อนสนิทของตนลงลิฟต์ไปแล้ว ซันก็รีบโผล่ออกมาจากมุมกำแพง กะจะเข้าไปแอบดูของในถุงกระดาษนั้น ทว่าความไม่ทันระวังทำให้ไหล่ของเขากระทบเข้ากับร่างสูงของใครบางคนเข้า

                “ขอโทษครับ/ขอโทษ...”

                สองเสียงประสานกันขึ้น ก่อนที่ซันจะทันได้เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ถูกชน ทว่าใบหน้าที่คุ้นตาทำให้เขาต้องชะงัก สองสายตาประสานกันอย่างสื่อความหมายพร้อมกับใบหน้าของซันที่บึ้งตึงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

                ไอ้เปรม...ไม่สิ ต้องเรียกมันว่าไอ้เด็กเปรต แม่งมาได้ไงวะ

                “พี่ซัน...”

                “เรียกกูทำไม”

                น้ำเสียงกระชากของคนเป็นพี่ ทำเอาอีกฝ่ายใจหล่นวูบ มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดได้

                “แค่แปลกใจที่ได้เจอพี่ที่นี่” แม้ว่าจะพยายามพูดจาดีด้วยเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยเพราะนอกจากซันจะเริ่มมองรุ่นน้องตรงหน้าตาขวางแล้ว เสียงที่เปล่งออกมาก็เริ่มแข็งกร้าวตามไปด้วย

                “กูก็อยู่ที่นี่ ดีๆ ของกูมาตั้งนานแล้ว มึงต่างหากที่เพิ่งจะโผล่มา ดังนั้น คนที่ควรแปลกใจคือกู ไม่ใช่มึง”

                ฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบไปอย่างพยายามอดกลั้นความหงุดหงิดเต็มที่ ทว่าก็สะกดกลั้นเอาไว้ได้เพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น

                “เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง”

                “ไม่มีความจำเป็นที่กูต้องพูดดีๆ กับคนทรามๆ อย่างมึง”

                “พี่ซัน!”

                “ทำไม โมโหเหรอ จะต่อยกันสักยกไหมล่ะ เผื่อมึงจะได้หลาบจำและมีสติคิดได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร”

                ซันยกยิ้มที่มุมปากเหมือนที่เคยทำและนั่นทำเอาความอดทนของเปรมขาดผึง ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะปิดบัง

                “นี่มันก็ห้าปีแล้ว ทำไมพี่ไม่ยอมเปิดใจฟังสักทีว่าผมไม่ได้คิดร้ายกับน้องซิน” เปรมหมายถึงน้องสาวที่ซันทั้งรักทั้งหวงและไอ้การที่คนตรงหน้ายังคงดื้อดึงที่จะเป็นศัตรูกับเขาอยู่แบบนี้ ก็เพราะเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ซันเข้าใจผิดและพาลเกลียดขี้หน้าเขาเข้าเต็มๆ

                แม้ว่าเปรมจะพยายามหาทางอธิบายสักเท่าไหร่ ซันก็ยังคงดึงดันที่จะไม่ฟังเพราะทิฐิของตัวเองที่ฝังรากลึก จนปักใจคิดไปเองเรียบร้อยแล้วว่าเปรมก็แค่ผู้ชายทรามๆ ที่พยายามเข้าหาน้องสาวของเขาเพื่อหวังฟัน

                ทว่ายังไม่ทันได้เคลียร์คดีความที่คั่งค้างมายาวนานถึงห้าปี เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะพร้อมกับเด็กปีหนึ่งหน้าใสคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้านหลังเปรม

                “เออ...ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้ว่าคุยกันอยู่” เสียงใสเอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปทางเพื่อนของตน “ถ้าอย่างนั้น กูเข้าไปที่ห้องก่อนนะ มึงคุยเสร็จก็ตามมา”

                ซันลอบมองสองคนที่คุยกันอย่างสนิทสนมด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเดินหนี ทำให้คนมาใหม่ถึงกับมึนงงทำอะไรไม่ถูกเพราะคิดว่าตนเป็นสาเหตุทำให้ซันไม่พอใจและเดินหนีเปรมไป

                “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจอ่ะ” คนขี้กังวลหันไปบอกกับเพื่อนสนิท ทว่าเปรมกลับส่ายหน้ามาให้

                “มึงไม่ต้องขอโทษหรอกไอ้ฟิวด์ มึงไม่ได้ผิด คนผิดก็คือคนที่ไม่ยอมฟังอะไรนั่นต่างหาก” เปรมมองตามรุ่นพี่ที่ก้าวขาฉับๆ ตามจังหวะอารมณ์จนกระทั่งร่างนั้นเดินเข้าลิฟต์ไป จึงหันหน้ากลับมาหาคนข้างๆ

                “ไปเหอะ” พูดจบก็เดินนำไปยังห้องของตัวเองทันที ขณะที่กาฟิวด์ได้แต่มองทางเดินที่ว่างเปล่าและหันกลับมามองแผ่นหลังของเปรมอีกครั้ง

                “อะไรของมันวะ” เอ่ยกับตัวเองพลางยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ อย่างคนหาคำตอบไม่ได้ ก่อนจะรีบเดินตามเพื่อนสนิทของตนไปทั้งที่ยังคาใจเรื่องเมื่อครู่อยู่แบบนั้น

               

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:43:03
ต่อ.......

 หลังจากกลับถึงห้องและจัดการข้าวน้ำที่ซื้อมาจนอิ่มแปล้ เจ้าของร่างสูงก็ไปกึ่งนั่งกึ่งนอนที่เตียง โดยมีโน้ตบุ๊คตัวโปรดวางแหมะอยู่ที่ขา สองมือพิมพ์หาอะไรอ่าน ท่องโซเชียลไปเรื่อยจนกระทั่งผล็อยหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงมือถือกรีดร้องลั่นห้อง ปลุกเจ้าของห้องให้รีบเร่งมารับสาย

                โฟโต้สะลึมสะลือลุกขึ้นมารับโทรศัพท์และเป็นอันต้องสะดุ้งกับเสียงปลายสายที่ตะโกนใส่อย่างไม่คิดว่าคนฟังจะหูดับหรือเปล่า ทำเอาเจ้าของเครื่องชักสีหน้าหงุดหงิดออกมาเพราะนอกจากจะโดนรบกวนแล้ว ยังต้องมาฟังเสียงแหกปากของเพื่อนสนิทอีก

                [ถ้าไม่ลุกมาเปิดประตู กูจะพังเข้าไปแล้วนะโว้ย!!]

                แม่งไปโมโหใครมาวะ ตะโกนเหมือนไม่มีใครให้ระบาย

            “เออๆ เดี๋ยวกูลุกไปเปิด” ตอบกลับไปแค่นั้นและวางสาย พยุงร่างหนักๆ ไปยังประตูและเปิดให้กับเพื่อนรักที่หัวร้อนเพราะถูกปล่อยให้เคาะประตูอยู่นานสองนานก็ไม่มีใครมาเปิด

                ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปรมก็ถือวิสาสะเปิดไฟในห้อง จนคนที่เพิ่งจะตื่นต้องหยีตาเพราะแสงสว่างจ้า ก่อนจะปิดประตูและเดินตามเปรมกับกาฟิวด์เข้ามาในห้องของตัวเอง

                “เป็นยังไงบ้าง” เป็นกาฟิวด์ที่หันมาถาม ขณะที่เจ้าของห้องเดินงัวเงียกลับไปนั่งที่เตียง ขณะที่เปรมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรื้อเอาถ้วยชามเพื่อเอามาใส่กับข้าวที่หิ้วมาฝากอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง

                “ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีปวดอยู่นิดหน่อย” โฟโต้ตอบพลางเหลือบไปมองเปรมที่ยังคงวุ่นวายกับการรื้อห้องของเขา

                ไอ้นี่ก็ค้นซะจนกูนึกว่าเป็นห้องมัน

                คิดพลางส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก่อนจะหันกลับมาขมวดคิ้วใส่กาฟิวด์ที่ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่มาให้

                “กูเห็นมันวางอยู่หน้าห้องมึงอ่ะ”

                คำอธิบายของกาฟิวด์ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้คนฟังเข้าไปอีก ก่อนมือเปิดถุงกระดาษใบนั้นออกเพื่อดูของที่อยู่ในนั้นและเป็นอันต้องตกตะลึงเพราะสายตาสบเข้ากับรองเท้าผ้าใบของตน ที่ทำหล่นหายไปเมื่อวาน ทีแรกเขาคิดว่าคงจะไม่ได้คืนแล้ว จึงไม่ได้ตามหา แต่ตอนนี้มันกลับถูกส่งตรงมาหาเขาถึงห้อง แถมยังดูสะอาดสะอ้านกว่าตอนที่เขาใช้ก่อนหน้านั้นเสียอีก

                ใครกันที่นอกจากจะใจดีทำความสะอาดรองเท้าแล้ว ยังอุตส่าห์เอามาส่งคืนเขาถึงที่ห้องอีก

            “ใครเอามาให้วะ” โฟโต้อดหันไปถามเพื่อนของเขาอย่างเสียไม่ได้ ทว่าทั้งกาฟิวด์และเปรมกลับส่ายหน้ามาให้

                “ไม่รู้อ่ะ มาถึง พวกกูก็เห็นมันแขวนอยู่ตรงหน้าห้องแล้ว กูก็นึกว่ามึงจะเอามันเข้ามาในห้องแล้วเสียอีกเพราะกูเห็นมันห้อยเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายสอง”

                เอามาทิ้งไว้ให้นานแล้วเสียด้วย

            พลันความคิดก็สะดุดลงเพราะอีกหนึ่งความคิดที่ดันแทรกขึ้นมากะทันหัน ภาพเหตุการณ์ที่ร้านอาหารใต้หอกลับมาฉายซ้ำราวกับพยายามจะยืนยันอีกความคิดของเขา

                จะเป็นพี่ฮ่องเต้จริงๆ เหรอ

            ท่าทีเลิกลักเหมือนคนมีความลับ หลังจากที่ถูกเพื่อนซักถามอย่างเอาเป็นเอาตายที่เขาได้เห็นเมื่อตอนบ่าย ทำเอาเขาอดสันนิษฐานไม่ได้ว่าใครคนนั้นจะเป็นฮ่องเต้ แม้ว่าความเป็นไปได้มันจะน้อยนิดก็ตาม

                ถึงแม้จะพอได้เห็นความอ่อนโยนของอีกฝ่ายมาบ้าง แต่คำพูดและท่าทางห่ามๆ ก็ยังคงดูขัดกับการกระทำอยู่ดี พอได้ลองจินตนาการถึงภาพที่รุ่นพี่คนนั้นกำลังซักรองเท้าให้เขาแล้ว โฟโต้ถึงกับต้องรีบสลัดภาพนั้นออกไปจากหัวทันที

                สายโหดแบบนั้น จะไปลงทุนซักรองเท้าให้ใครได้

                “มันไม่มีโน้ตอยู่ในถุงเหรอวะ?” คำพูดของเปรมเหมือนแสงสว่าง ชี้บอกทางให้กับเขา

                โฟโต้หันขวับกลับไปค้นถุงกระดาษอีกครั้งและก็พบกับกระดาษเล็กๆ อย่างที่เพื่อนขาโหดของเขาเพิ่งจะพูดถึง

                “เขียนว่าไงวะ!?” เจ้าของคำพูดก่อนหน้านั้น กระโดดผลุงขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความไวแสง ทำเอาโฟโต้อดแขวะในใจไม่ได้

                เรื่องเผือกไวเชียวนะมึง!  ถึงว่าล่ะ คบกับกูได้ (อ่าว)

                แต่กระนั้นก็ยังคงแบ่งปันข่าวสารด้วยการอ่านข้อความให้รู้กันอย่างทั่วถึง

                “โตแล้ว รู้จักซักรองเท้าบ้าง ส่วนถุงเท้าก็ไม่ต้องงก ใช้จนมันเน่าคาเท้า แล้วก็อย่าลืมใส่ยาด้วย จากพี่รหัสปีสี่”

                เมื่ออ่านข้อความบนกระดาษจนเสร็จสิ้น เปรมก็ถือวิสาสะคว้าถุงกระดาษไปเปิดดูและร้องออกมา

                “โห ซักร้องเท้าให้ไม่พอ ยังแถมถุงเท้าให้เป็นแพ็คกับยามาอีกหนึ่งชุดซะด้วย ใจดีผิดปกตินะเนี่ย” ท้ายประโยคหันมาหรี่ตามองโฟโต้ ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าเอือมระอากับสิ่งที่ได้ยิน

                “พี่รหัสใจดีกับน้องรหัส มันผิดปกติตรงไหนวะ”

                “ผิดตรงที่มันมากเกินไปไง มึงเพิ่งเข้าคณะได้แค่สามวัน หน้าพี่เขา มึงก็ยังไม่เคยเห็น เอาตรงๆ นะ ขนาดกูคบมึงมาเกือบจะเจ็ดปี กูยังไม่เคยคิดจะซักแม้แต่เสื้อให้มึงเลย”

                “ก็นั่นมันมึง ไม่ใช่รุ่นพี่กู” โฟโต้สวนกลับทันควัน เหตุเพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ยักกะเคยเห็นเพื่อนห่ามๆ ของเขาคนนี้ทำงานบ้านเลยสักครั้ง ยิ่งกับตอนทำเวรประจำวันหลังเลิกเรียนด้วยแล้ว มันยังใช้คนอื่นให้ทำให้เลย   

                “เออ! กูจะเป็นยังไงก็ช่างกูเหอะน่า ว่าแต่มึงเถอะ ไม่คิดจะตามหารุ่นพี่สายรหัสตัวเองบ้างหรือไง!?”

                “กูไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยว่ะ” โฟโต้ตอบกลับเสียงเรียบ ทว่าคนข้างกายทั้งสองกลับดูตกตะลึงราวกับสิ่งที่เขาพูดออกไปได้สร้างปัญหาใหญ่หลวง

                “หาโดยด่วนเลยครับเพื่อน ไม่อย่างนั้นมึงได้อกแตกตายก่อนวันเปิดสายรหัสแน่”

                “กูหรือมึงกันแน่ที่จะอกแตกตาย” โฟโต้หันไปแขวะด้วยความเอือมระอาอย่างถึงที่สุด ทำเอาอีกฝ่ายรีบสวนกลับแทบไม่ทัน

                “ใครจะอกแตกตายก็ช่างแม่งเหอะ เพราะหน้าที่ของมึงคือ...หาตัวรุ่นพี่สายรหัสให้เจอครับ”

                “แล้วกูจะรู้ได้ไงวะ คำใบ้อะไรก็ไม่มี รุ่นพี่คณะกูก็มีตั้งกี่ร้อยคน” พูดออกไปเพราะมืดแปดด้านล้วนๆ ตรงข้ามกับคนที่อยากเผือกเรื่องเพื่อน ซึ่งดวงตาฉายแววความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างปิดไม่มิด

                “กูมีวิธี”

                ไม่รอช้า เจ้าตัวก็รีบคว้ามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดหยิกๆ เพื่อเข้าเว็บไซต์ของมหา’ลัย

                “เอารหัสนักศึกษาของมึงมา” เปรมเอ่ยปากพูดโดยไม่เงยหน้ามาสบตากับอีกสองคนที่เอาแต่จ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

                “หกศูนย์...” โฟโต้ยอมบอกรหัสนักศึกษาของตัวเองอย่างว่าง่ายจนกระทั่งไปถึงเลขสามตัวสุดท้าย “...หนึ่งเจ็ดแปด”

                “เชี่ย! หนึ่งเจ็ดแปด!?”

                สองเสียงซ้ายขวาประสานกันขึ้น ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงกลางถึงกับสะดุ้ง ขณะที่เปรมเองก็หันขวับกลับมามองหน้าเขาด้วยความตื่นตะลึง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปสบกับกาฟิวด์ที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน ตรงข้ามกับโฟโต้ที่เลิกลักมองหน้าเพื่อนสลับกันไปมาอย่างระแวง

                “อะไรของพวกมึงงงง!?”

                “มึงไม่รู้จริงๆ เหรอ” กาฟิวด์เอ่ยปากถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะเรื่องที่พวกเขารู้มา เป็นเรื่องที่ไม่มีนักศึกษาคนไหนในมอภัคนลินที่ไม่รู้ โดยเฉพาะกับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ที่เป็นพยานให้กับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

                “เออๆ ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ตอนนี้ตามหาพี่รหัสของมันก่อน” เปรมบอกปัดและก้มหน้าก้มตากดข้อมูลในมือถือต่อ “มึงเอาปากกากับกระดาษมาจดสิ”

                โฟโต้กระเถิบไปหยิบกระดาษกับปากกาบนหัวเตียงและจดชื่อจริงทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยของรุ่นพี่คนแรกตามรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าขอมูลนักศึกษาลงไปตามคำสั่งของเปรม ก่อนที่จะจดชื่อรุ่นพี่คนต่อไปหลังจากที่เปรมเปลี่ยนเลขรหัสสองตัวหน้าในช่องค้นหาใหม่ ให้เป็นปีห้าแปดและห้าเจ็ดตามลำดับ

                หลังจากโฟโต้จดรายชื่อรุ่นพี่ทั้งสามคนลงไปในกระดาษเป็นที่เรียบร้อย เปรมก็หันมาสั่งให้เขาเสิร์ชหาชื่อพวกนี้ในเฟสบุ๊คต่อทันที

                “มันจะเจอเหรอวะ บางคนเขาไม่ได้ใช้ชื่อเฟสเต็มยศนะเว้ย” แม้ว่าจะพูดไปตามความจริง แต่เขากลับโดนเปรมโบกหัวเข้าให้

                “หาๆ ไปเหอะน่า” เปรมหันไปสั่งพร้อมกับจ้องเข้าไปบนหน้าจอมือถือในมือของโฟโต้ต่อด้วยความสนอกสนใจ ขณะที่เจ้าของเครื่องได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับสองมือที่ยังคงกดค้นหารายชื่อไปเรื่อย

                “เฮ้ย! เจอแล้วๆ!!”

                เปรมกับกาฟิวด์อดทำหน้าหมั่นไส้โฟโต้ไม่ได้ เพราะจู่ๆ เพื่อนของเขาก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้คิดแม้แต่จะทำอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ ก่อนที่เปรมจะตาลุกวาวหลังจากที่ชะโงกหน้าเข้าไปส่องดูเฟสพี่รหัสปีสองของคนข้างๆ

                “เชี่ย น่ารักว่ะ”

                โฟโต้หันมาโบกหัวคนพูดที่โพล่งอะไรออกมาไม่รู้จักคิด

                “พี่รหัสกูเป็นผู้ชายไหมล่ะ” นี่คือเหตุผลหนึ่ง ส่วนอีกเหตุผล “แถมยังมีแฟนแล้วด้วย” 

                แต่เพราะชื่อเฟสของแฟนพี่รหัสปีสองที่คุ้นตา ทำเอาสองคิ้วของโฟโต้ต้องขมวดเข้าหากันแน่น

                “มึง...” เช่นเดียวกับกาฟิวด์ที่ร้องเรียกเพราะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเช่นเดียวกันกับเขา “...กดเข้าไปดูเฟสแฟนพี่เขาดิ๊”

                ความอยากรู้อยากเห็นทำให้นิ้วจิ้มไปบนชื่อแฟนของรุ่นพี่ปีสองอย่างไม่คิดและนั่นทำเอาลูกกะตาทั้งหกแทบถลนออกมาจากเบ้า เมื่อคนที่คบกับพี่รหัสปีสองคือพี่รหัสปีสามของเขาเอง

                “เหี้ยยยยย มันเรื่องจริงเหรอวะ” เปรมสติแตกเป็นที่เรียบร้อย

                “มึงจะอินอะไรเบอร์นั้นวะ สายรหัสคบกันเองแค่นี้” ยังคงเป็นโฟโต้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเช่นเดิม

                “แต่พี่รหัสปีสี่ของมึงเป็น...ผู้ชาย” พูดจบ กาฟิวด์ก็ก้มลงมองกระดาษในมือข้างหนึ่งของโฟโต้ที่มีชื่อ นายปฐมพงศ์ จารุวงศ์ Patompong Jaruwong อยู่ ทำให้อีกสองคนต้องมองตาม ก่อนที่โฟโต้จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพูดอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่

                “แล้วไงวะ?”

                โฟโต้ถามกลับแบบมึนๆ ท่ามกลางเพื่อนสองคนที่มองหน้ากันเลิกลัก ทั้งคู่เริ่มเกี่ยงกันเป็นคนพูดอยู่สักพักใหญ่ จนกระทั่งมีหน่วยกล้าตายคายความลับออกมา

                เปรมสูดลมหายใจเข้าลึกพลางเหลือบมองคนที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะเริ่มเล่า

                “มึงจำเรื่องอาถรรพ์สายรหัสที่กูเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม?”

                “ก็...จำได้”

                ถ้ามันหมายถึงไอ้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสของมหา’ลัยภัคนลิน ที่มันพูดกรอกหูผมตั้งแต่ก่อนสอบเข้าล่ะก็...ผมจำได้ดียิ่งกว่าเนื้อหาออกสอบตอนนั้นเสียอีก

             “เออ นั่นแหละ” และเปรมก็ได้แต่แสดงสีหน้าหนักใจออกมา “กูจะบอกว่า...สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด คณะนิติศาสตร์ของมึงอ่ะ เป็นสายรหัสอาถรรพ์”

                โฟโต้นิ่งเงียบไปราวกับคนกำลังใช้ความคิด สองหูยังคงรอรับฟังสิ่งที่เพื่อนกำลังจะพูดต่อ

                “เขาว่ากันว่า...เป็นสายรหัสกินกันเองว่ะ”

                สิ้นเสียงของเปรม หัวใจของโฟโต้ก็กระตุกวูบและเต้นแรงในเวลาต่อมา

                “มึงหมายความว่าไงวะ ที่ว่าสายรหัสกินกันเอง” ปากขยับถามออกไปอย่างต้องการแน่ใจกับความหมายของคำพูดนั้น 

                “กินกันเอง ก็คือได้กันเองไง” เปรมช่วยขยายความ “กูได้ยินมาว่าตั้งแต่นักศึกษารุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน ก็มีแฟนแต่งงานกับคนในสายรหัสตัวเองหมดเลยนะเว้ย”

                “และที่กูกับไอ้เปรมเป็นห่วง ก็เพราะว่าพี่รหัสปีสี่ของมึงเป็น...ผู้ชาย” กาฟิวด์ช่วยเสริมจนโฟโต้เริ่มกระจ่าง

                “ใช่ และตอนนี้ก็เหลือแค่พี่เขากับมึงอ่ะ ที่ยังไม่มีแฟน”

                “ดังนั้น มึงก็คงหนีไม่พ้นหรอก”

                เงียบ...

                ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบเพราะคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เต็มๆ ดันเอาแต่นั่งนิ่ง

                “กูว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องที่รุ่นพี่เขาพูดต่อๆ กันมาก็ได้นะเว้ย”

                แม้ว่าจะเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น แต่เขากลับไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าตัวเองพูดออกมาเพราะไม่เชื่อเรื่องนี้หรือเพราะว่าต้องการปลอบใจตัวเองกันแน่ แถมใจของเขายังเอาแต่เต้นเร็วและแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอกเสียอย่างนั้น

                “แต่พี่รหัสปีสองกับปีสามของมึงก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการคบกันเองแล้วนะ มึงยังจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าอีกหรือไง”  กาฟิวด์พยายามเตือนสติ

                “มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ” ปากของคนฟังยังคงเอาแต่คัดค้าน ทำเอาเปรมถึงกับเหนื่อยใจ

                “บังเอิญที่ว่าทั้งสายรหัสมึงคบกันเองทุกคนทุกคู่เนี่ยนะ ใช้ตรรกะความน่าจะเป็นหน่อยดิวะ”

                และทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้ง...

                “ไอ้โฟ...” กาฟิวด์ค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างระแวงในความเงียบของเพื่อน “...มึงจะลองค้นเฟสพี่ปีสี่ดูหน่อยไหม?”

                “นั่นดิ ไหนๆ ก็เหลือแค่พี่เขากับมึงที่โสดแล้ว ลองดูหน้า ศึกษาประวัติว่าทีแฟนคร่าวๆ เอาไว้ก็ไม่เสียหายนะเว้ย เผื่ออะไรๆ มันดันเป็นจริงขึ้นมา” เปรมหันไปสบสายตากับกาฟิวด์อีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับมามองเจ้าของเรื่อง

                โฟโต้หันซ้ายหันขวาและสบกับสายตาเพื่อนรักทั้งสองนิ่ง...

                “กินข้าวเหอะ”

                  เขาเลี่ยงที่จะตอบและพยุงตัวลุกขึ้นเดินหนีไปที่โต๊ะอาหาร ท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งสองที่มองมาด้วยความเป็นห่วง

                               

                แม้จะกินอิ่ม แต่คืนนั้นเขากลับนอนไม่หลับเพราะในหัวมีแต่เรื่องอาถรรพ์สายรหัสอยู่เต็มหัวและเขาคงจะไม่คิดมากขนาดนี้ หากรุ่นพี่ที่อาถรรพ์จงใจเลือกให้เขาดันเป็น...ผู้ชาย   

            เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าชีวิต ความรู้สึกและอะไรต่อมิอะไรมากมายจะเป็นเช่นไร หากอาถรรพ์สายรหัสดันเป็นจริงขึ้นมา ที่สำคัญ เขายังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเขาเองจะยอมรับความจริงนั้นได้มากแค่ไหน เขาไม่เคยรังเกียจ หากวันหนึ่งจะตกหลุมรักใครสักคนที่มีเพศสภาพเหมือนเขา เพียงแต่เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันต้องเริ่มจากตรงไหนและก้าวเดินต่อไปยังไง มันจะเหมือนความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของเขาไหม แต่ก็นั่นแหละ ที่ผ่านมาเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ความรัก มันเป็นยังไง แม้จะคบกับใคร ผ่านอะไรมาพอสมควร แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกกับใครจนเรียกว่ารักเลยสักคน นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่จริงใจกับใครมาจนถึงตอนนี้

            นายธิติกรถอนหายใจแรงๆ ออกมาทีหนึ่งและล้มตัวลงนอน แขนข้างหนึ่งก่ายหน้าผากอย่างคนคิดมาก พยายามข่มตาให้หลับอย่างไม่รู้เลยว่าจะนอนหลับสนิทหรือเปล่า

                ทำไมลูกผู้ชายอย่างผมต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องงมงายพวกนี้ด้วยวะ!? หรือจริงๆ แล้วมันเป็นเหตุผลที่โชคชะตานำพาให้ผมสอบติดคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยภัคนลินกัน? เรื่องแค่นี้ในความคิด จึงกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ในความรู้สึกของผมได้ อย่างกับทุกอย่างมันถูกวางเอาไว้ตั้งแต่แรกเสียอย่างนั้น...

                คิดไปพลางถอนหายใจไปพลาง ท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องของตน ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด

 

                ค่ำคืนอันแสนสั้นผ่านไปท่ามกลางหมู่ดาวพราวระยับบนผืนฟ้า สายลมแห่งคืนวันได้พัดผ่านไปท่ามกลางความเงียบงันและท่ามกลางเด็กปีหนึ่งจำนวนมากที่หลับใหลด้วยความเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมในวันนี้ หากแต่มีใครบางคนที่ไม่อาจจะหลับตาลงได้ แม้ว่าภายในห้องจะปิดไฟมืดมานานกว่าหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม

                ฮ่องเต้ลืมตาเหม่อมองไปยังเพดานท่ามกลางความมืด หากแต่บางอย่างกลับยังคงชัดเจนในความทรงจำ เขาเองก็คิดมากไม่ต่างจากเด็กปีหนึ่งคนนั้น ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดในฐานะน้องรหัสปีหนึ่งของเขา หากแต่สิ่งที่อยู่ในใจของเขามันคือความสับสน ใช่ เขากำลังสับสนว่าควรจะทำอะไรหรือไม่ควรจะทำอะไร ในใจก็เอาแต่คิดว่าเด็กคนนั้นจะรู้หรือยังว่าใครคือพี่รหัสปีสี่ แล้วเด็กนั้นจะรู้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองไหม แล้วถ้าเกิดเด็กคนนั้นรู้...จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปนับจากวินาทีนั้นบ้าง

                ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยใจ แต่พอพยายามจะหลงลืมมันไป ทุกอย่างกับพร้อมใจกันผุดขึ้นมาในหัวจนเขาไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ก็ช่างเถอะ สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ เห็นจะเป็นการพยายามไม่เข้าใกล้และสร้างความรู้สึกอะไรบางอย่างกับเด็กคนนั้นให้มากที่สุด

                มันคงจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตอีกหนึ่งปีที่เหลือในรั้วมหา’ลัยภัคนลินแห่งนี้ต่อไปได้ ที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาถรรพ์สายรหัสที่จะจับคู่ให้เด็กคนหนึ่งคนนั้นในปีต่อๆ ไป

 

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 00:43:58
ตอนที่ 6 แค่รู้สึกว่าน่าแกล้ง

                เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน...

                เสียงมือถือกรีดร้องลั่นจนคนที่เพิ่งจะหลับตานอนต้องตื่นขึ้นมารับด้วยความหงุดหงิดและเป็นอันต้องหัวเสียเข้าไปอีก เมื่อได้รู้ว่าปลายสายคือ สีฝุ่น ลูกพี่ลูกน้องสุดที่รักมักที่ชัง ซึ่งใจกล้าหน้าด้าน ออกคำสั่งให้คนเป็นพี่อย่างฮ่องเต้ไปรับที่ร้านเหล้าด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้นสุดๆ ว่า

                ผมเป็นผู้ชายบอบบาง ตัวเล็กๆ เกิดถูกไอ้หนวดหน้าไหนฉุดไปปล้ำ แล้วใครจะช่วยผมล่ะ

            ด้วยความใจดีและกลัวมันโดนปล้ำ (อันที่จริงคือรำคาญที่มันตามตื๊อไม่เลิก) พี่ชายที่แสนดีอย่างเขาเลยต้องมาติดแหงกอยู่บนรถในเวลาเกือบเที่ยงคืนเช่นนี้

                สองมือหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในซอย ซึ่งเป็นย่านสังสรรค์ของเหล่ามนุษย์กลางคืนทั้งหลายและอย่างที่รู้กันว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจากทั่วสารทิศ สอดสายตามองหาจนกระทั่งเจอร้าน T ที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้บอกกล่าวเอาไว้  จึงหาที่จอดรถและโทรตามเจ้าตัวการที่คอยโทรมาเร่งเขาทุกๆ สิบนาที

                “กูอยู่ลานจอดรถ มึงอยู่ไหน”

                [เฮียยยยยยยย] เสียงอ้อแอ้ดังมาตามสาย [มารับผมข้างในร้านหน่อยดิ ไม่ไหวแล้วอ่า]

                 คำพูดของฝ่ายตรงข้ามทำเอาฮ่องเต้ถึงกับเหลือกตาขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

                ใช้กูมารับ แล้วยังจะให้กูไปลากสังขารมึงออกมาจากร้านอีก

            “ออกมาเองดิวะ เร็วๆ ด้วย กูจะรออยู่ในรถ”

                [ไม่เอาอ่ะ เฮียยยยย มารับผมหน่อยเด้ ผมม้ายหวายล้าวววววว]

                ฮ่องเต้นิ่งเงียบ สมองพยายามประมวลความคิดถึงสิ่งที่ควรทำในเวลานี้

                ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะเข้าไปรับ หากแต่ชุดของเขาต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะความเร่งรีบปนขี้เกียจ ทำให้เขาลากตัวเองออกมาจากห้องด้วยสภาพเสื้อยืดกับกางเกงบอล อนึ่งเพราะภาพในหัวที่คิดไว้คือเขาขับรถมาถึงปุ๊บ สีฝุ่นปั๊บและเขาก็ขับรถออกไปทันที ใครจะไปคิดว่าจะต้องเข้าไปข้างร้าน

                ไหนตอนแรกบอกจะให้กูมารับเฉยๆ ฟระ!!

            คนเป็นพี่อดบ่นกับตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เขาคงปิดต่อมคนดีในตัวและนอนหลับที่หออย่างสุขสงบต่อไปแล้ว ไม่ออกมาเผชิญอากาศเย็นๆ ช่วงดึก ทั้งที่พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเข้าคณะและทำอีกสารพัดกิจกรรมหรอก

                [นะเฮีย นะครับ น้าคร้าบบบ ]

                “เออ! เดี๋ยวกูเข้าไป ว่าแต่มึงอยู่ตรงไหน” ปากว่าออกไปด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก

                [โซนข้างในสุดเลยเฮีย แถวโต๊ะที่พวกเพื่อนเฮียชอบมานั่งอ่ะ] พูดจบก็เรอใส่ทั้งที่ยังไม่ว่างสาย

                ฮ่องเต้ดึงมือถือออกห่างอย่างรู้สึกรับไม่ได้ ก่อนจะรับกดวางสายและหันไปควานหาบัตรประชาชนในกระเป๋าตังค์ เสร็จสรรพก็ลงจากรถและตรงดิ่งไปยังทางเข้าซึ่งมียามนั่งหน้าโหดอยู่ประจำตำแหน่ง ฮ่องเต้ส่งยิ้มและยกมือไหว้อย่างคนคุ้นเคยและยื่นบัตรประชาชนไปให้ดูพอเป็นพิธี ก่อนจะยื่นมือไปรับตราประทับของทางร้าน

                “คิดไงมาคนเดียวะไอ้น้อง แถมมาชุดนี้อีก กักตัวไม่ให้เข้าดีไหมเนี่ย” คนตรงหน้าเอ่ยทัก ก่อนจะหลุดขำกับเสื้อผ้าสุดแสนจะธรรมดาของเขา

            เสื้อยืด กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ

                เหมือนเตรียมมานอนในร้านเหล้า แทนที่จะมาเที่ยว และในใจเขาก็คาดโทษไว้กับสีฝุ่นไปแล้วด้วย 

                “โห พี่ ให้ผมเข้าเถอะ ผมมารับไอ้ฝุ่นมันอ่ะ ท่าทางจะเมายับแล้วด้วย”

                “กูก็แค่แซวเล่น ร้านนี้ไม่ได้คนเข้าเสียหน่อย ฮ่าๆ” คนตรงหน้าว่าขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันทีที่นึกอะไรขึ้นมาได้

                “ว่าแต่ไอ้สีฝุ่นเหอะ แม่งห่าอะไรลงวะ กูเห็นมันเข้ามาตั้งแต่ร้านเปิดแล้วนะเว้ย ป่านนี้เพิ่งจะให้มึงมารับ แถมมันยังมาแดกเหล้าสามสี่วันติดกันแล้วมั้งเนี่ย”

                ฮ่องเต้ชะงักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นเพราะเดิมทีลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ไม่ใช่สายดื่ม และมันก็จะไม่มีทางดื่มหนักเป็นแน่ หากไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรในใจที่บอกใครไม่ได้

                มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ

                ฮ่องเต้รีบเข้าไปในร้านด้วยความเป็นห่วงและทันทีที่เท้าก้าวเหยียบข้างในร้าน เขาก็รีบสอดสายตามองหาเป้าหมาย ขณะที่สองขาก็พาร่างของตัวเองไปยังโซนข้างในสุดของร้าน ท่ามกลางกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั่ว เสียงเพลงดังกระหึ่ม ท่ามกลางนักดื่มที่กำลังสนุกได้ที่

                หลายสายตาต่างพากันจับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา ไม่ใช่เพราะความหล่อหรอก แต่เพราะสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์ของเจ้าตัวเนี่ยแหละ โดยเฉพาะกับผู้ชายบางกลุ่มที่เหลือบมองขาขาวที่โผล่พ้นร่มผ้าของเขาตาเป็นมัน ทำเอาฮ่องเต้ต้องรีบก้าวขาฉับๆ เดินไปตามหาไอ้สีฝุ่นทันที

                “สวัสดีครับ พี่เต้!” รุ่นน้องที่โต๊ะหันมายกมือไหว้กันเป็นแถวเพราะรู้จักกันดีในฐานะพี่ชายเพื่อนอยู่แล้ว

                ฮ่องเต้รับไหว้พวกรุ่นน้องแบบลวกๆ ก่อนจะปรายตามองเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่เลื้อยไปกับที่นั่งอย่างไร้สติ

                “ไหวไหมพี่ ให้ผมช่วยป่ะ” หนึ่งในคนที่นั่งอยู่หันมาถาม

                “เออ ขอบใจเว้ย” ซึ่งฮ่องเต้ก็ยินดีรับความช่วยเหลือนั้นทันทีเพราะสภาพของสีฝุ่นที่ดูแทบไม่ได้ ก่อนจะหันไปเรียกคนที่กลายเป็นตัวภาระในความคิดของตนไปเรียบร้อยแล้ว

                “ไอ้ฝุ่น! ไอ้สีฝุ่น!!”

                คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองด้วยตาปรือ “อ้าววววว เฮียยยยย”

                “ไม่ต้องมาองมาอ้าวเลย ไป! กลับได้แล้ว” ปากก็ร้องบอกไป ส่วนตัวก็เข้าไปพยุงร่างที่โคตรของโคตรจะหนักขึ้นมา โดยมีเพื่อนของสีฝุ่นคอยช่วย แต่พอเดินออกห่างจากโต๊ะได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว สีฝุ่นก็โงหัวพร้อมกับยกมือขึ้นมาห้าม

                “เดี๋ยวก่อนเฮีย...” เว้นจังหวะพลางทำหน้าพะอืดพะอม “...ผมจะอ้วก”

                “เหี้ยยยย มึงอย่ามาอ้วกใส่กูนะเว้ย” เป็นอันต้องร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “พามันไปห้องน้ำดีกว่าพี่ ขืนปล่อยมันไป ไม่อ้วกในร้านก็ในรถพี่แน่ๆ”

                ฮ่องเต้เห็นด้วยกับความคิดนั้นอย่างถึงที่สุด จึงหันกลับไปบอกกับเพื่อนน้องมันว่า...

                “เออว่ะ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวกูพามันกลับเองก็ได้”

                “ไหวเหรอพี่ ไอ้ฝุ่นมันหนักจะตาย แถมยังตัวสูงกว่าพี่อีก” แม้ประโยคหน้าจะแสดงความเป็นห่วง หากแต่ประโยคหลังกลับทำเอาคนเป็นพี่ฉุนกึก

                ตัวสูงกว่าแล้วไงวะ แค่แบกลูกพี่ลูกน้องตัวเองแค่นี้ เรื่องเล็กเถอะ ชิส์

                “เออ กูไหว มึงนั่งดื่มกับเพื่อนต่อเถอะ” พยายามพูดออกไปแบบไม่กระแทกเสียง

                “แน่ใจนะครับ ว่าพี่จะไม่ให้ผมช่วย”

                “เออ ครับ” เป็นอันต้องเน้นคำอย่างชัดเจนเพราะอีกฝ่ายที่เซ้าซี้ไม่เลิก

                “โอเคพี่ ยังไงก็ขับรถกลับดีๆ นะครับ”

                หลังจากบอกลาด้วยประโยคคลาสสิกเสร็จสรรพ ฮ่องเต้ก็พยุงร่างสีฝุ่นและหมุนตัวเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องน้ำ และทันทีที่เข้ามาข้างใน ก็ต้องเข้าไปช่วยลูบหลังให้คนเป็นน้องที่อ้วกออกมาแต่น้ำ ก่อนที่มันจะล้างหน้าล้างตาและยืนหลับตาพิงกำแพงห้องน้ำ

                ฮ่องเต้ยืนมองสีฝุ่นอยู่อย่างนั้นและเอาแต่คิด...

                ท่าทางมันจะมีเรื่องเครียดหนักจริงๆ

            “ไงมึง ไหวไหม” ฮ่องเต้ถามออกไปพร้อมกับจ้องหน้าสีฝุ่น

                ฝ่ายตรงข้ามลืมตาขึ้นมามองเล็กน้อย ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ

                “ไหวดิ ผมน้องเฮียนะ” มันพยายามฝืนยิ้มและก็เป็นฮ่องเต้ที่เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาแทน

                “ไปคุยกันที่หอ”

                พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นและพยุงคนที่เริ่มจะสร่างเมาขึ้นมาบ้าง แม้จะเดินเซและอ่อนแรงไปบ้างก็ตาม

                ท่าทางไอ้ขวดที่วางเกลื่อนโต๊ะนั่นจะเป็นของมันล้วนๆ

                “มึงแน่ใจนะ ว่าจะไม่อ้วกอีก” คนเป็นพี่หันไปถามระหว่างออกมาจากร้านและเดินไปที่รถ

                “สาบานว่าผมไม่มีทางอ้วกใส่รถเฮียแน่ ฮึกกกก” เอ่ยปากเสียดิบดี แต่ดันมีการทำท่าจะขย้อนของในท้องออกมา ทำเอาฮ่องเต้เผลอร้องเสียงหลงไปทีหนึ่ง

                “กูว่ามึงอ้วกแน่ๆ”

                “ไม่อ้วกหรอกน่า” คนที่ยังไม่สร่างเมาดีเริ่มโวยวายและทำท่าพะอืดพะอมขึ้นมาอีกระรอก

                ท่าทางไม่น่าไว้วางใจของสีฝุ่น เพิ่มความเป็นห่วงให้กับฮ่องเต้ ไม่ใช่ห่วงว่ามันจะอ้วกเลอะรถหรอก แต่ห่วงสภาพจิตใจต่างหาก สายตาอันแสนอ่อนโยนจับจ้องไปยังใบหน้าอึนๆ อย่างพินิจพิจารณาว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเขาต้องจัดเหล้าจนเมาหนักแบบนี้

                คงจะไม่ใช่เพราะไปอกหักจากใครมาอีกนะ

            เพราะถึงแม้หน้าตา ท่าทางมันจะดูกะล่อน แต่เขารู้ดีว่ามันจริงใจกับทุกคน ยิ่งถ้าได้รักใครเข้าแล้ว ก็จะรักแบบชนิดที่ว่าถอนตัวไม่ขึ้น 

                “ฮึกกกกก” สีฝุ่นทำท่าจะอ้วกอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่เดินมาถึงรถ ฮ่องเต้จึงจัดการดันตัวมันให้ยืนพิงข้างรถเอาไว้และรีบหันไปล้วงกุญแจรถในกระเป๋ากางเกง

                “เฮ้ย! ดีๆ มึง” ยังไม่ทันที่จะเปิดประตู ก็ต้องหันไปคว้าตัวคนข้างๆ ให้กระเถิบเข้ามาชิดรถอีกหน เมื่อสีฝุ่นทำท่าจะโงนเงนไปข้างหน้า จนเกือบจะหัวฟาดกับรถคันข้างๆ

                และระหว่างที่เขากำลังเปิดประตูรถนั้นเอง สีฝุ่นก็ผงกตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนเขาคว้าตัวเอาไว้ไม่ทัน พอตั้งสติได้อีกทีก็พบว่าคนเป็นน้องขย้อนทุกสรรพสิ่งในท้องออกมาเป็นที่เรียบร้อย แต่เรื่องมันไม่ได้จบอยู่เพียงแค่ตรงนั้น

                “เชี่ยยยยย” ฮ่องเต้แทบจะสบถลั่นออกมาทันทีที่สายหันไปปะทะเข้ากับใครบางคนและภาพตรงหน้าก็ทำเอาเขาแทบตาถลน

                ภาพเด็กผู้ชายเสื้อเปื้อนอ้วกของคนข้างตัวเขา...

                จังหวะนรกฉิบหาย ดันมาลงจากรถตอนไอ้สีฝุ่นอ้วกพอดีเป๊ะ

                คิดในใจและหันไปมองคนข้างกายอีกหน

                นี่ก็อีกคน หาเรื่องให้กูซวยอีกแล้ว

            “เฮ้ย น้อง พี่ขอโทษ” เป็นฮ่องเต้ที่เป็นฝ่ายขอโทษขอโพยคนตรงหน้า ก่อนจะพยุงสีฝุ่นที่ยืนพิงรถด้วยความเหนื่อยหอบ

                “มะ...ไม่เป็นไรครับพี่” ถึงปากจะบอกไม่เป็นไร แต่สีหน้าพะอืดพะอมบ่งบอกว่าลึกๆ ภายในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น

                “รอเดี๋ยวนะ” ฮ่องเต้เปิดประตูหลังและยัดร่างสีฝุ่นเข้าไป เสร็จสรรพก็ควานหากระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองและค้นเสื้อยืดออกมาให้คนตัวเล็ก (นึกขอบคุณที่เป็นคนชอบพกเสื้อผ้าสำรองติดตัว เผื่อเอาไว้เปลี่ยนเวลาไปออกกำลังกายกับเพื่อนเสร็จ)

                “เปลี่ยนซะ ตัวเหม็นหมดแล้ว”

                คนตัวเล็กมองเขาอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับไป “เอ่อ ขอบคุณครับ”

                ก่อนที่จะเอาแต่ยืนถือเสื้อของเขาอยู่แบบนั้น

                “ไม่เปลี่ยนล่ะ” เขาถามออกไปอย่างสงสัยเพราะท่าทางเงอะงะ แถมยังเขินๆ ยังไงชอบกล

                หรือว่าไม่กล้าถอดเสื้อต่อหน้าคนอื่น?

            “เอาเข้าไปเปลี่ยนในรถก็ได้นะ พี่ไม่ดูหรอก” หลังจากตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น เขาก็หันหลังให้และทำทีเข้าไปจัดท่านอนของคนที่หมดสติไปเสียดื้อๆ

                เมื่อเห็นเช่นนั้น คนตัวเล็กก็มุดกลับเข้าไปในรถและจัดการเปลี่ยนเสื้อทันทีเพราะสภาพและกลิ่นที่ตัวเองไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป เสร็จสรรพก็มุดกลับออกมาและปิดประตูรถ

                “เอ่อ พี่ครับ” เอ่ยปากเรียกคนที่ยังคงวุ่นวายอยู่ในรถของตัวเอง

                ฮ่องเต้หันกลับมามองตามเสียงเรียก ทว่าเขาเกือบจะหลุดขำออกมาเพราะเสื้อยืดตัวโคร่งสีเข้มที่ไม่เข้ากับหน้าตาน่ารักของคนตรงหน้าสักนิด

                “ผมรบกวนขอเบอร์พี่หน่อยได้ไหมครับ จะได้เอาเสื้อไปคืน”

                “เอ๊ย ไม่ต้องคืนก็ได้ พี่ให้” พูดจบก็ยิ้มให้รุ่นน้องด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเริ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อมีโอกาสได้มองสำรวจหน้ารุ่นน้อง

                จะว่าไปหน้าตาน้องมันก็คุ้นตาเหมือนกันแหะ เหมือนเคยเจอที่ไหนหว่า

            “ไม่เอาพี่ ผมเกรงใจอ่ะครับ”

                แถมไอ้ท่าทีขี้เกรงใจแบบนี้ด้วย...

            “พี่ครับ พี่!”

                “หะ...หะ?” ฮ่องเต้เผลอตกใจเพราะเมื่อครู่ มัวแต่เหม่อ

                “เอาเบอร์พี่มาเถอะครับ หรือจะที่อยู่ก็ได้ ผมจะได้ซักแล้วเอาไปคืน” ไม่ว่าเปล่า ยังยื่นมือถือมาจ่อตรงหน้าอีกต่างหาก แถมยังทำหน้าตาน่าเอ็นดูเข้าไปอีก

                “โอเคๆ เดี๋ยวพี่ให้เบอร์เราไปก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็คว้ามือถือมากดเบอร์โทรตัวเองลงไป ก่อนจะนึกอะไรแผลงๆ ขึ้นมาจึงกดลบตัวเลขทั้งหมดและกรอกอีกเบอร์หนึ่งลงไปแทน

                “อะ เรียบร้อย” ยื่นมือถือคืนให้คนตัวเล็ก “แล้วถ้ามีโอกาสพี่จะให้น้องพี่มันไปไถ่โทษที่ทำเสื้อเราเปื้อนนะ”

                “ไม่ปะ...”

                “ห้ามปฏิเสธ” เขาขัดคนตัวเล็กได้ทันควัน ท่าทางเกรงใจของคนตรงหน้าทำให้ฮ่องเต้รู้สึกถูกชะตาอย่างน่าประหลาด แถมยังคิดว่าหากเขามีน้องชายแบบนี้สักคน คงได้หวงจนตามเฝ้าเช้าเย็นแน่ๆ

                “จริงด้วย ผมลืมไปเลย” จู่ๆ ก็ร้องออกมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ทำเอาฮ่องเต้สะดุ้งตามก่อนจะหัวเราะกับคำถามถัดมา “พี่ชื่ออะไรครับ?”

                “ฮ่องเต้ เรียกกู...เอ่อ” พลันปากก็ชะงักด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่จะใช้สรรพนามเช่นนั้นกับรุ่นน้องตรงหน้า “...เรียกว่าพี่เต้ก็ได้”

                ทว่าคนตัวเล็กกลับหัวเราะออกมากับท่าทางของเขา

                “พี่จะพูดกูมึงกับผมก็ได้นะครับ ปกติผมกับเพื่อนก็พูดกันแบบนี้”

                และเขาก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ

                ใครจะไปรู้ล่ะวะ ท่าทางก็เหมือนคุณหนู ไม่น่ามาอาศัยอยู่กับสรรพนามมึงกูได้นี่หว่า

            “ผมชื่อกาฟิวด์นะครับ เรียกผมฟิวด์ก็ได้” ร้องบอกพร้อมกับยิ้ม

                ใบหน้าหวานๆ ทำเอาฮ่องเต้อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้

                ผู้ชายบ้าอะไรน่ารักขนาดนี้

            “แล้วนี่มาเที่ยวคนเดียวเหรอ”

                อยากถามเหลือเกินว่าไม่กลัวถูกฉุดบ้างหรือไง เปราะบางน่าถะนุถนอมขนาดนี้

            “เปล่าครับ ผมมากับเพื่อน แต่ว่ารถเสีย มันเลยให้ผมรออยู่ในรถอ่ะครับ”

                ฮ่องเต้มองหน้ากาฟิวด์อย่างชั่งใจเพราะคิดไปว่าจะใช้โอกาสนี้เป็นการไถ่โทษ

                “ถ้าอย่างนั้น ให้พี่ไปส่งไหม”

                “จะดีเหรอพี่ ผมเกรงใจ”

                คนตัวเล็กปฏิเสธตามคาด ทำเอาฮ่องเต้แอบเซ็งเพราะลึกๆ ในใจไม่ได้คิดแค่เรื่องไถ่โทษอย่างเดียว หากยังนึกไปถึงคนที่สลบเหมือดอยู่ข้างตรงเยาะหลังนั่นต่างหาก

                “เอาน่า ถือเป็นการไถ่โทษเรื่องที่...” เหลือบตาไปมองข้างหลังรถเล็กน้อย “...ที่มันอ้วกใส่เราอ่ะ”

                คนตรงหน้านิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ “ผมขอโทรถามเพื่อนก่อนนะครับ”

                “เอาสิ เดี๋ยวพี่ไปรอในรถนะ” พูดจบก็ทำทีเปิดเข้าไปนั่งเล่นมือถือในรถรอไปพลาง จนกระทั่ง...

                “พี่เต้ครับ!” กาฟิวด์หันมาเรียก

                “ว่าไง” หันไปถามพร้อมกับยิ้มแบบใจดี ก่อนที่จะหุบยิ้มฉับ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนที่เพิ่งจะเดินมาถึง ใครคนนั้นเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยและฉีกยิ้มกว้าง ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้านิ่งให้กับความซวยที่มาเยือนโดยไม่รู้ตัว

                ใครจะไปคิดว่าคนน่ารักจะคบค้าสมาคมกับไอ้เด็กโรคจิตนั่นกันล่ะวะ!

                “นึกว่าใคร ที่แท้ก็พี่ฮ่องเต้นี่เอง” เป็นคำทักทายที่ฟังดูไม่รื่นหูสำหรับฮ่องเต้สักนิด ไม่วายยังกวนประสาทเขาในตอนท้ายอีกต่างหาก “มาเที่ยวคนเดียว ไม่กลัวถูกฉุดเหรอครับ” 

                “กลัวไปต่อยปากคนแถวนี้มากกว่า” คนสวนกลับทันควันอย่างคนลืมตัวว่าจะพยายามไม่สุงสิงหรือต่อปากต่อคำกับคนตรงหน้า ขณะที่สองขาก็ก้าวขาลงจากรถมายืนประจันหน้ากับรุ่นน้องทั้งสองคน

                “รู้จักกันด้วยเหรอ” กาฟิวด์มองฮ่องเต้สลับกับโฟโต้

                “เขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะ” โฟโต้หันไปตอบเพื่อน แต่ไม่วายเดินเข้ามาใกล้จนฮ่องเต้ระแวง เผลอก้าวถอยหลัง “พี่รู้แล้วใช่ไหมครับ ว่ารถผมเสีย”

                “เออ รู้แล้ว” ปากก็ตอบไป มือก็พยายามผลักคนตรงหน้าออกไปพลาง แต่นอกจากมันจะไม่ยอมถอยออกไปแล้ว ยังฉวยโอกาสจับมือรุ่นพี่ที่อายุห่างกันเกือบสามปีอีก

                “พี่จะให้ผมกลับด้วยใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับต้องการสะกดจิตคนตรงหน้า

                “ปล่อย” แต่ทว่ามันกลับไม่ได้ผล โฟโต้จึงกระชับมือของฮ่องเต้แน่นและพูดอย่างเอาแต่ใจ

                “คนถามยังไม่ได้คำตอบเลยนะครับ”

                “...”

                “ว่าไงครับ จะให้ผมกลับด้วยใช่หรือเปล่า”

                สุดท้ายรุ่นพี่ปีสี่ก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก สายตาจ้องหน้ารุ่นน้องปีหนึ่งแบบเคืองๆ และตอบกลับไป

                “เออ!” 

                แต่หากน้ำเสียงกระชากและคำตอบสั้นๆ กลับยังไม่เป็นที่พอใจสำหรับอีกฝ่าย

                “อะไรกันครับ เออของพี่เนี่ย ผมไม่เห็นเข้าใจเลย”

                ทุกคำพูดล้วนมาจากความอยากแกล้งของเขาล้วนๆ

                “กวนตีนกูละ มึงอ่ะ” ฮ่องเต้ว่าพร้อมกับชักมือกลับและผลักคนตรงหน้าให้ถอยห่าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของอีกฝ่าย ขณะที่กาฟิวด์ก็ได้แต่มองเพื่อนรักที่ทำตัวกวนประสาตรุ่นพี่ที่คณะด้วยความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่มากกว่าการหยอกล้อ

                ใครใช้ให้พี่น่าแกล้งล่ะครับ

            โฟโต้เอาแต่นึกขำ โดยหารับรู้ถึงความผิดปกติของพฤติกรรมของตัวเองไม่ เช่นเดียวกับคนที่เอาแต่หงุดหงิดใส่ฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลาอย่างฮ่องเต้ เขาเองก็แทบจะไม่รู้เลยว่าการโต้ตอบกันในระยะเวลาสั้นๆ มันได้ทำให้หัวใจของเขาซึมซับอะไรบางอย่างเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว

                “กวนตีนอะไรกันครับ ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพี่หมายถึงอะไร”

                ยังๆ ไม่หยุดอีกนะ ไอ้โรคจิตปีหนึ่ง!

            “มึงก็โตพอที่จะรู้ว่ากูหมายถึงอะไร” ฮ่องเต้แอบมองค้อนใส่ทีหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “แล้วอันที่จริงเนี่ย กูชวนแค่น้องฟิวด์ ส่วนมึง...ถ้าจะกลับก็ขึ้นรถ”

                “ปากร้ายใจดีนะครับ พี่ฮ่องเต้” ปากก็ว่าไป ขณะที่มือก็ยกขึ้นมาหยิกแก้มฝ่ายตรงข้ามอย่างลืมตัว เพราะความสุขเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาในใจได้บดบังทุกสถานะระหว่างเขากับคนตรงหน้าไปแล้วเรียบร้อย คงมีเพียงแค่กาฟิวด์คนเดียวที่เอาแต่จับจ้องการกระทำของเพื่อนอย่างไม่วางตาเพรา

                “ใจดีแบบนี้ รุ่นน้องทั้งคณะ เขาไม่รักพี่ตายเลยเหรอครับ”

                “เชี่ยอะไรมึงเนี่ย!” ฝ่ายตรงข้ามเอ็ดตะโรใส่พร้อมกับปัดมือของคนที่เด็กกว่าตนออก

                มึงก็ผู้ชาย กูก็ผู้ชาย น่าเกลียดฉิบหาย มาจับแก้มกันแบบนี้ รู้ตัวบ้างดิวะ กูรุ่นพี่คณะมึงนะเว้ย

                แม้ว่าจะหงุดหงิด หากแต่ลึกๆ กลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอย่างที่คิด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ใจเต้นขึ้นมาเสียได้ ความรู้สึกไหววูบนั่นทำเอาฮ่องเต้ถึงกับต้องสบถในใจลั่น

                มึงอย่ามาใจเต้นกับไอ้เด็กโรคจิตนี่นะเว้ย มันแค่แกล้ง เข้าใจไหมว่ามันแกล้งมึงให้มึงหงุดหงิดอยู่โว้ยยย

            ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าฟืดใหญ่และพูดใส่คนตรงหน้า “ถ้ามึงไม่เลิกหาเรื่องกูล่ะก็ กูจะปล่อยมึงทิ้งไว้นี่แหละ”

                “อะไรกันครับ ผมยังไม่ทันหาเรื่องอะไรพี่เลยนะ ที่สำคัญ นี่ก็ดึกมากแล้วนะครับ ทิ้งผมไว้คนเดียวแบบนี้ พี่ไม่กลัวเหรอ” ท้ายประโยคส่งเสียงอ้อนคนตรงหน้า จนฮ่องเต้ต้องปั้นหน้าหงุดหงิดใส่อย่างต้องการจะปกปิดความรู้สึกแปลกๆ ข้างใน

             “กลัวอะไรของมึง”

                “ก็กลัวไม่มีใครปกป้องพี่ตอนถูกฉุดไงครับ” คำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาฮ่องเต้ฉุนขาด ถึงกับเงยหน้า สบสายตากับเด็กปีหนึ่งและถามกลับเสียงเรียบว่า

                “มึงจะกลับไหม” คำพูดของเขาเหมือนเป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้าย จนอีกฝ่ายต้องเลิกแกล้ง

                “กลับครับ แต่ผมขอโทรบอกช่างก่อนนะครับ” ร้องบอกออกไปก่อนจะออกไปโทรศัพท์

                “ขึ้นรถเลยก็ได้นะ” ฮ่องเต้หันไปบอกกาฟิวด์ที่ยังยืนมึนกับการโต้เถียงกันเมื่อครู่ไม่หาย ก่อนจะร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้ “เอ๊ย! เดี๋ยวพี่พาไอ้ฝุ่นไปนั่งข้างหน้าเอง”

                เท่านั้น คนตัวเล็กก็โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งกับพี่...”

                พูดได้เพียงแค่นั้น ก็หันกลับมามองหน้าฮ่องเต้เพราะไม่แน่ใจกับสรรพนามที่ใช้เรียกคนที่หลับอุตุอยู่ในรถ

                ฮ่องเต้เหลือบตาไปมองคนในรถเล็กน้อยก่อนจะหันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “พี่สีฝุ่น มันอยู่ปีสอง”

                “ครับ เดี๋ยวผมนั่งกับพี่เขาก็ได้ครับ จะได้ไม่ลำบากพี่เต้” หันมาบอกอย่างเกรงใจ “ที่สำคัญ ให้โฟโต้นั่งหน้ากับพี่เต้ดีกว่าครับ มันบอกทางเก่ง”

                แม้จะแอบหัวเสียกับประโยคสุดท้ายเพราะไม่อยากโดนโฟโต้กวนประสาตใส่ไปตลอดทาง แต่เพราะข้อเสนอแรกที่เป็นอันพออกพอใจ จึงให้อภัยได้ ทว่ารอยยิ้มก็ขึ้นมาประดับบนใบหน้าได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่มันจะหายไปพร้อมกับเสียงจากคนข้างหลัง

                “ให้ผมนั่งกับพี่ดีแล้วครับ รับรองว่าผมไม่พาพี่ หลง แน่ๆ”

                แม้แต่คนพูดยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังพูดอะไรออกมา ส่วนฝ่ายตรงข้ามเองถึงกับชาวาบไปทั่วทั้งร่าง ส่งสายตามองไปยังคนที่เอาแต่ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีและออกคำสั่งเสียงเข้ม

                “ขึ้นรถ!!”

               

 

 

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 13-11-2018 00:49:55
เดี๋ยวววววว จะอัพทีเดียวเยอะแบบนี้ไม่ด้ายย เก็บไว้ให้รอมั่ง 5555555  :z13:
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 13-11-2018 01:08:23
 :o8:  :-[  :impress2: น่ารักกกนะเนี่ยสายรหัสนี้เนี่ย...  o13 รอตามอ่านค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-11-2018 09:59:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว

ป.ล.  รอบนี้จะอัพจนจบหรือเปล่า?  โพสต์เก่าอัพแล้วอยู่ ๆ ก็หายไป
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 18:44:55
ตอนที่ 7 แค่หวงเพื่อน
“ท่าทางเพื่อนผมมันจะไม่ไหวแล้วนะครับ” น้ำเสียงร้อนรนของคนข้างกาย ทำเอาสายตาของคนที่ขับรถอยู่ต้องละจากถนนตรงหน้า เหลือบไปมองกระจกที่สะท้อนภาพของลูกพี่ลูกน้องของตนที่กำลังเลื้อยเข้าไปกอดกาฟิวด์เอาไว้ ขณะที่กาฟิวด์เองก็พยายามใช้มือดันตัวคนที่เมาไม่รู้เรื่องออกไป

ก่อนที่ฮ่องเต้จะเหลือบตามองใบหน้าหงุดหงิดของคนข้างๆ และเอ่ยออกมาโดยไม่ทันได้ไต่ตรอง

“มึงหวงเหรอ”

หากแต่อีกคนกลับจริงจัง “ครับ ผมหวง”

คำตอบสั้นๆ แต่กลับกระชับได้ใจความจนคนฟังใจกระตุกวูบ ใบหน้าเริ่มตึงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ผมขอไปนั่งข้างหลังแทนได้ไหมครับ”

อีกหนึ่งประโยคที่หลุดออกมาจากปากของโฟโต้ เหมือนอาวุธร้ายที่ฟาดเข้าที่หัวของเขาเข้าจังๆ แม้จะไม่รู้สาเหตุแน่ชัด แต่ก็คงต้องยอมรับว่ามันทำเอาเขาหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อย

หงุดหงิดก็เพราะมันกำลังจะทำแผนผมล่มไม่เป็นท่าเท่านั้นแหละวะ

พยายามคิดหาคำแก้ตัวเพื่อปลอบใจตัวเอง ก่อนจะชะงักไปกับอีกความคิดหนึ่งที่ผุดแทรกขึ้นมากลางหาว

หรือว่ามันจะไม่ใช่แค่เพื่อนกันวะ?

ยิ่งคิด ภายในใจก็ยิ่งสับสนกับสถานะของคนทั้งคู่ พาลให้ใบหน้าเริ่มตึงมากกว่าเดิม อย่างที่ไม่รู้ตัว

“นะครับ ผมขอร้อง”

และยิ่งได้ยินน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความกังวลและซีเรียสมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไปทวีอารมณ์คุกกรุ่นภายในใจเขามากขึ้น จนเริ่มจะทนไม่ไหว เท้าของเขาเหยียบเบรกเข้าให้อย่างเต็มแรง ทำเอาคนที่นั่งมาด้วยหน้าทิ่มไปตามๆ กัน

“เออ มึงย้ายไปนั่งข้างหลังกับ เพื่อน มึงก็แล้วกัน”

ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพูดออกไปด้วยอารมณ์ไหน แต่ประโยคนั้นก็ได้หลุดออกจากปากรุ่นพี่ปีสี่อย่างเขาไปแล้ว ถึงจะเป็นการพูดแบบไม่ได้จงใจ หากแต่คนฟังกลับสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่แปลกไป แต่พอจะหันไปรั้งคนหัวเสียเอาไว้ ก็ไม่ทันแม้แต่จะเอ่ยปากเรียก จึงได้แต่เปิดประตูลงจากรถและมองตามคนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง พยุงร่างของสีฝุ่นออกมาอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ร่างของเขาจะเซจนเกือบล้มเพราะคนที่เมาไม่รู้เรื่องดันเลื้อยมากอด แถมยังทิ้งน้ำหนักตัวมาที่เขาทั้งหมด

แต่ก่อนที่ร่างสูงจะทันได้ล้มลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง เสียงร้องเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนใครสักคนที่เข้ามาช่วยประคองสองร่างเอาไว้

สองสายตาเผลอไผลไปประสานเข้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากแต่แรงดึงดูดบางอย่างกลับทำให้ทั้งคู่เอาแต่สบตากันนิ่งอยู่เช่นนั้น พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมา

ก่อนที่ฮ่องเต้จะเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้ความรู้สึกที่เขาเอาแต่เรียกมันว่า แปลกประหลาด มาตลอดนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจเอาเสียเลย มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยวผมช่วยครับ”

เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำเพียงแค่พยุงสีฝุ่นไปนั่งที่เบาะหน้าเท่านั้น ก่อนจะเดินตัวปลิว ไม่ยอมหันมามองร่างสูงของรุ่นน้องที่เอาแต่จับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา

ใช่ว่าจะมีแต่เขาที่รู้สึกแปลกๆ คนเดียวเสียเมื่อไหร่ เพราะคนที่เด็กกว่าก็สัมผัสได้ถึงแรงกระตุ้นบางอย่างเช่นกัน เป็นแรงกระตุ้นที่เขาเองก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เขาเกิดความว้าวุ่นใจไม่ใช่น้อย แต่เขากลับทำได้เพียงแค่เดินขึ้นไปนั่งเบาะหลังกับเพื่อนแบบเงียบๆ

ก่อนที่เก๋งซีดานสีขาวจะเคลื่อนตัวออกไปโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ ต่อจากนั้น กระทั่งเจ้าของรถขับมาถึงหอพักของคนด้านหลัง ที่เขาเพิ่งจะแวะเวียนมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า

“ขอบคุณมากนะครับ” คนด้านหลังเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้าของรถทำเพียงแค่ตอบรับด้วยเสียง อือ ในลำคอเบาๆ เท่านั้น

“เอาไว้ ผมจะซักเสื้อมาคืนให้นะครับ”

ฮ่องเต้พยักหน้ารับคำและยิ้มบางๆ ให้กับกาฟิวด์ ก่อนจะเหลือบมองตามรุ่นน้องทั้งสองที่ลงจากรถไปจนกระทั่งทั้งคู่เดินหายเข้าไปในหอพัก จึงถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแบบไม่ทราบสาเหตุ

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ขับรถออกไป เสียงมือถือของคนข้างกายก็ดังขึ้นเสียก่อน จึงถือวิสาสะล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงของมันออกมาดู แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่วางสายไปก่อนแล้ว

ก่อนที่ข้อความแจ้งเตือนจะเด้งขึ้นมา...

และนั่นทำให้เขาได้รู้ความจริงอะไรบางอย่างจากข้อความในแชทที่เขาถือวิสาสะเปิดดูเพราะความสงสัยที่ไม่อาจจะทนเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป

มันอาจจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ไอ้สีฝุ่นต้องเป็นแบบนี้ก็ได้

อ้น : รับสายพี่หน่อยได้ไหม พี่อยากคุยกับเราจริงๆ นะ ขอร้องล่ะ

ทั้งชื่อและข้อความที่ถูกส่งเข้ามาทำเอาฮ่องเต้ฉุนกึก ไม่นึกว่าในชีวิตจะได้มาเจอคนๆ นี้อีก ก่อนที่จะอาศัยความมึนเมาจนไร้สติของคนข้างๆ สแกนลายนิ้วมือและกดเข้าไปดูข้อความเก่าทั้งหมด

 อ้น : มาเจอพี่หน่อยได้ไหม

สีฝุ่น : ผมไม่ต้องการเจอพี่อีก หวังว่าพี่คงเข้าใจ

อ้น : พี่รู้ว่าพี่ทำผิด พี่ขอโทษ แต่ช่วยออกมาคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม

สีฝุ่น : พี่จะคุยอะไรกับผมอีก พี่ไม่ได้รักผมแล้ว ผมก็เลือกที่จะปล่อยพี่ไป ผมขอร้อง อย่าทำให้ผมต้องเจ็บไปมากกว่านี้เลย

อ้น : พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ

สีฝุ่น : ครับ ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอให้พี่มีความสุขกับคนใหม่ของพี่นะครับ

ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ ที่หลับสนิทและได้แต่ถอนหายใจออกมา

“มึงไม่น่ารู้จักคนอย่างมันเลยว่ะ”

เป็นอีกครั้งที่เขาคิดเช่นนั้น และต่อให้เขามีเวลาทบทวนมากกว่านี้อีกเป็นสิบๆ ปี เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม  ก่อนที่เขาจะสะดุ้งกับเสียงมือถือของสีฝุ่นที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง สายตาจึงหันไปจับจ้องชื่อสายเรียกเข้าแบบไม่วางตา พอคิดไปว่าคนที่โทรเข้ามาอาจจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้คนเป็นน้องต้องเมาหัวราน้ำในวันนี้ จึงกดรับและรอฟังปลายสายที่ดูเหมือนจะดีใจมากเพราะคิดไปว่าเขาคือสีฝุ่น

[ฝุ่น ขอบคุณนะ ที่รับสาย ตอนนี้ฝุ่นอยู่ไหน เราออกมาเจอกันได้หรือเปล่า]

“คงไม่ได้หรอก ไอ้ฝุ่นมันไม่มีทางตื่นขึ้นมาตอนนี้แน่” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

[พี่ฮ่องเต้!!]

ปลายสายตื่นตระหนกทันทีที่ได้รู้ว่ากำลังคุยอยู่กับใคร

“จำได้ด้วยเหรอ” ทว่าฮ่องเต้กลับแค่นเสียงใส่ “ถ้าจำกูได้ ก็ไม่น่าจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับน้องกูอีก”

[แต่ผมรักสีฝุ่น รักมากเท่าชีวิตของผม]

“แต่การกระทำของมึงมันไม่ใช่” สวนกลับไปทันควัน ทำเอาปลายสายถึงกับนิ่ง

[เชื่อผม ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะครับ]

“ห้าปีที่ผ่านมามันยังไม่เรียกว่าโอกาสอีกเหรอวะ”

ฮ่องเต้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นอย่างไม่คิดจะปิดบัง เรื่องราวที่มันวนเวียนซ้ำรอยเดิมมาห้าปีเต็ม ถ้าไม่ติดว่าสีฝุ่นรักอ้นมากขนาดนี้ เขาคงไม่ต้องมานั่งทนเห็นคนใกล้ตัวของเขาเจ็บปวดเจียนตายมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที

[ผมขอโทษ...] ปลายสายเริ่มสะอึกสะอื้น แต่มันกลับไม่ได้เรียกความน่าสงสาร หากแต่เรียกความสมเพชจากฝ่ายตรงข้าม

[...แต่ผมทิ้งฝุ่นไปไม่ได้ ผมรักเขา...ผมรักเขามาก ผมรักเขาจริงๆ นะครับ]

คำพูดของอ้นทำให้ฮ่องเต้ต้องถอนหายใจใส่ด้วยความรำคาญใจ

“ถ้ามึงรักมันจริง มึงคงไม่ไปนอนกกกับผู้ชายคนอื่นจนไอ้ฝุ่นมันเสียใจแล้วพาลทะเลาะกับมึงหรอก กี่ครั้งแล้วที่พวกมึงเลิกกันเพราะเหตุผลนี้ กี่ครั้งแล้วที่มึงทำให้ไอ้คนที่มึงบอกว่ารักนักรักหนาต้องใช้ชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็น!”

ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ปลายสายส่งกลับมาแทนคำตอบ ทำเอาฮ่องเต้แสยะยิ้มออกมาอย่างนึกรังเกียจ

“เลิกยุ่งกับน้องกูซะ ครั้งนี้ถือว่าเป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายจากกู”

ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นและกดวางสาย สายตาเหลือบมองไปยังคนข้างกายที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นทั้งที่หลับตาอยู่ด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ ก่อนที่มือจะเอื้อมไปเขี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออก

“กูจะทำทุกอย่างให้มึงมีความสุข กูสัญญา”

คำพูดของคนเป็นพี่ดังแทรกเข้าไปในความคิด โดยที่คนพูดเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้หลับสนิทไปอย่างที่เข้าใจ เขารับรู้ทุกถ้อยคำที่ฮ่องเต้พูดออกมากระทั่งประโยคสุดท้าย

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในยามดึกอีกครั้ง ก่อนที่ซีดานสีขาวจะแล่นออกไปจากบริเวณหอพักพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาเปรอะแก้มทั้งสองข้างของคนที่แสร้งว่าหลับสนิท

ขอบคุณเฮียมากนะครับ ที่คอยอยู่เคียงข้างผมมาตลอด สัญญาว่าจากนี้จะไม่ดื้อกับเฮียและเริ่มต้นชีวิตใหม่เหมือนที่เฮียคอยพูดเตือนสติผมมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา

แม้น้ำตาจะยังคงไหล หากแต่รอยยิ้มกลับผุดขึ้นมาในหัวใจ ซึ่งถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นจากลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวที่เขารักเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของตน

 

 

ขณะเดียวกัน...

คนตัวเล็กนั่งห้อยขา ส่งสายตาจับพิรุธไปทางเพื่อนสนิทของตนที่ดูเหม่อลอยผิดปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเห็นสนุกกับการเถียงกับรุ่นพี่คณะตัวเอง จนเขาเองก็อดคิดไปไกลไม่ได้ว่าเพื่อนรักของเขากำลังมีใจให้กับผู้ชายเป็นครั้งแรก

กาฟิวด์ยังคงจ้องมองไปทางโฟโต้ที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนคนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่สองเท้าก็ไปที่ตู้เสื้อผ้า ส่วนสองมือก็หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ออกมาพาดบ่าเอาไว้ผืนหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ นิ่งไปสักพักและหันกลับมาสบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง

“ไอ้ฟิวด์...”

“ว่า”

“กูว่าพี่เขาชอบมึงว่ะ”

โฟโต้ค่อยๆ เอ่ยปากพูดกับกาฟิวด์หลังจากที่เอาแต่ชั่งใจอยู่นานสองนาน เขาเอาแต่คิดไม่ตกกับเรื่องนี้มาตั้งแต่เห็นท่าทีที่แปลกไปของฮ่องเต้ หลังจากที่เขาขอแลกที่นั่งบนรถ หากแต่คนฟังกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ตรงกันข้าม กาฟิวด์กลับคิดไปว่าโฟโต้เองนั่นแหละ ที่เริ่มมีใจให้รุ่นพี่อย่างฮ่องเต้

“มึงเอาอะไรมาพูด พี่เขาไม่ได้คิดอะไรกับกูหรอกน่า” พูดไปเพื่อความสบายใจของเพื่อนรักที่แอบชอบรุ่นพี่แบบไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว

“แต่เขาดูใจดีกับมึงมากเลยนะเว้ย ตั้งแต่ตอนเจอกันที่ตลาดหน้ามอ แถมวันนี้ยังให้เสื้อมึงมาใส่ฟรีๆ อีก”

กาฟิวด์แอบยิ้มขำกับความคิดของเพื่อน ก่อนจะพยายามอธิบายสิ่งที่เป็นอยู่ให้ฟัง

“ไอ้เรื่องใจดีเนี่ย กูว่ามันเป็นนิสัยของพี่เขาอยู่แล้วนะ ส่วนเรื่องเสื้อ...ที่พี่เขาให้กูมาใส่ก็เพราะรู้สึกผิดที่พี่สีฝุ่นอ้วกใส่กูนั่นแหละ”

“แต่พี่เขาอาสามาส่งมึงเลยนะเว้ย!”

และที่เขาต้องรีบกลับมาที่รถ หลังจากกาฟิวด์โทรไปบอกว่ามีคนอาสาไปส่ง ก็เพราะเขาเป็นห่วง กลัวว่าเพื่อนจะถูกใครหลอกพาขึ้นรถไปไหนต่อไหนหรือทำมิดีมิร้ายเข้า แต่พอได้รู้ว่าใครคนนั้นคือพี่ฮ่องเต้ รุ่นพี่ปีสี่ที่ชอบทำตัวห่ามตรงข้ามกับหน้าตา (ก็หน้าตาพี่เขาออกจะใจดี) ก็อดแปลกใจไม่ได้ ยิ่งพอมานึกย้อนกลับไปถึงตอนที่พี่เขาซื้อเครปเย็นอันใหม่ให้กาฟิวด์ ทั้งๆ ที่เพื่อนของเขาเป็นฝ่ายผิด ทำให้เนื้อตัวพี่เขาเลอะเองแท้ๆ ถ้าไม่ชอบ ก็คงไม่ยอมขนาดนี้หรอกมั้ง

กาฟิวด์มองหน้าโฟโต้ที่คิดเป็นตุเป็นตะไปถึงไหนต่อไหนและได้แต่ลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยายามอธิบาย

“ที่พี่ฮ่องเต้มาส่งกูก็เพราะว่าพี่เขาอยากจะไถ่โทษแทนน้องเขา อีกอย่าง พี่เขาก็ให้มึงก็นั่งมาด้วยไม่ใช่หรือไง คิดอะไรมากมายวะ”

“ถ้าอย่างนั้น ไอ้ตอนที่พี่กูขอแลกที่กับมึง ทำไมพี่เขาต้องพูดเหมือนประชดกูด้วยวะ เหมือนเขาไม่พอใจที่กูจะไปนั่งแทนมึงเลยนะเว้ย”

กาฟิวด์ถอนหายใจใส่คนตรงหน้ายาวเหยียด ในใจก็นึกอยากจะหาอะไรมาฟาดเข้าที่หัวเพื่อนสักทีสองที เผื่อสมองจะได้ทำงานและมองเห็นความจริงที่มันเกิดขึ้น

“เออ จะอะไรก็ช่างเถอะ ยังไงพี่เขาก็ไม่มีทางชอบกูแน่ๆ” กาฟิวด์บอกปัด

“แต่กูว่าชอบ” หากแต่คนขี้สงสัยยังคัดค้านอยู่อย่างนั้น

“โอ๊ยยย แล้วมึงจะคิดมากเรื่องกูกับพี่เขาทำไมวะ เอาเวลาไปคิดเรื่องตัวเองเหอะ” ท้ายประโยคพูดออกไปเพราะต้องการประชดล้วนๆ แต่มันกลับเพิ่มความสงสัยให้ฝ่ายตรงข้ามเสียอย่างนั้น

“เรื่องของกู? ทำไมวะ?”

โฟโต้เลิ่กคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่กาฟิวด์ต้องการจะสื่อ ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงต้องเหลือกตาใส่อย่างเหลืออด แต่พออ้าปากจะพูดเรื่องของพี่ฮ่องเต้ออกไป ก็เกรงว่าจะทำให้เพื่อนรักของเขาคิดมากเพราะมันไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน (ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งบอกว่าพี่ฮ่องเต้ชอบเขาก็เถอะ) เอาเป็นว่ารอเวลาอีกสักหน่อย ปล่อยให้มันรู้สึกมากขึ้นกว่านี้อีกนิด มันจะได้หนีความจริงไปไหนไม่รอด

ความจริงที่ว่าพี่ฮ่องเต้คือพี่รหัสปีสี่และเป็นคนๆ เดียวกับที่อาถรรพ์สายรหัสกินกันเองได้เลือกให้มันนั่นแหละ

ต้องขอบคุณความเผือกของเปรมในวันนั้น ทำให้พวกเขาสองคนได้รู้ว่าใครคือว่าที่แฟนของโฟโต้ แต่ที่พวกเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบเพราะรู้ดีว่าไอ้เพื่อนรักอย่างโฟโต้เคยคบมาแต่ผู้หญิง หากจะให้สนใจมองผู้ชายสักคน คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“ก็เรื่องที่มึงไปแหย่พี่ฮ่องเต้ไง ระวังเหอะ เดี๋ยวจะโดนเอาคืนตอนอยู่ในคณะ”

กาฟิวด์ทำเป็นพูดออกนอกเรื่องเพื่อดึงความสนใจของโฟโต้ออกจากเรื่องที่พี่ฮ่องเต้ชอบหรือไม่ชอบเขา

“เอาคืนแล้วไงวะ อย่างพี่เขาจะไปทำอะไรคนอย่างกูได้ ฮ่าๆ” และโฟโต้ก็หัวเราะร่วน ชวนให้กาฟิวด์ส่ายหน้าใส่ด้วยความระอา

ในหัวของโฟโต้มีแต่ภาพของคนที่อายุมากกว่า ซึ่งชอบทำตัวขัดกับรูปร่างหน้าตาเท่านั้นและเขารับประกันได้เลยว่าอย่างฮ่องเต้ไม่มีทางทำอะไรเขาได้  หลังจากที่ได้เจอกันมาสักพัก แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าฮ่องเต้ขี้เขินมากขนาดไหน ยิ่งตอนที่เขาเข้าใกล้หรือโดนตัวยิ่งแล้วใหญ่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้การพ่นคำด่าหรือไม่ก็ชักสีหน้ารำคาญใส่ มันเป็นเพียงแค่การแสดงเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายเท่านั้น และนั่นก็ทำให้เขายิ่งหมั่นไส้ อยากจะแกล้งพี่ฮ่องเต้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน

“เออ กูจะรอดูว่าระหว่างมึงกับพี่ฮ่องเต้ใครจะแพ้”

อันที่จริง เขาอยากจะพูดออกไปว่า ใครจะแพ้ทางอีกฝ่ายก่อนกัน แต่เพราะกลัวคนแถวนี้คิดมากเลยต้องยั้งคำพูดเอาไว้แค่นั้น

“เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าเพื่อนมึงเก่ง”

“เออ มึงเก่ง” กาฟิวด์หมายถึงเก่งทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องความรู้สึกของตัวมันเอง

ทั้งคู่ยืนคุยกันสักพัก ก่อนที่โฟโต้จะแยกตัวไปอาบน้ำ ขณะที่กาฟิวด์กดเล่นมือถือไปเรื่อยเปื่อย  สักพัก ก่อนที่จะมีสายเรียกเข้าจึงกดรับทันที

“ว่าไงครับแม่”

[แม่ได้ยินมาว่าเราไปร้านเหล้ามาเหรอ]

เสียงดุๆ ของแม่ดังมาตามสาย หากแต่คนฟังกลับอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

“ผมแค่ไปเป็นเพื่อนไอ้โฟโต้มันน่ะครับ พอดีพี่กราฟให้เอาของไปให้เพื่อนที่นั่น”

กาฟิวด์หมายถึงพี่ชายของโฟโต้ที่เปิดร้านอาหารอยู่ที่เชียงใหม่ พ่วงด้วยการมีแฟนเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่เขาเพิ่งจะกลับมาหมาดๆ

[แล้วไป แม่นึกว่าจะเข้าผับเข้าบาร์ตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมเสียอีก]

“ผมจะเข้าได้ยังไงล่ะครับ อายุยังไม่ถึงเลย”

[ก็ดีแล้ว แม่ล่ะห่วงเราจริงๆ แล้วอยู่หอในเป็นไงบ้าง สะดวกสบายหรือเปล่า ให้แม่สั่งให้คนไปช่วยย้ายออกมา...]

“แม่ครับ ทุกอย่างโอเคครับแม่ อย่าห่วงเลย” กาฟิวด์รวบรัดตัดความคำพร่ำบ่นของคนเป็นแม่ที่บ่นมาตั้งแต่เขาตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยภัคนลินที่ตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งห่างไกลจากบ้าน เพราะความต้องการอยากจะเรียนรู้โลกภายนอกของตัวเองล้วนๆ

[เฮ้อ เอาเถอะ ถึงยังไงเราก็ไม่ยอมฟังแม่อยู่ดี เอาเป็นว่าถ้าลูกมีปัญหาอะไรให้รีบโทรหาแม่เลยนะ เข้าใจไหม]

“โอเคครับแม่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมจะรีบรายงานแม่ทันทีเลยครับ”

กาฟิวด์ตอบกลับไปแค่นั้น ก่อนที่แม่ลูกจะพูดจาล่ำลากันและวางสาย แต่แม่ของเขายังไม่วายที่จะส่งข้อความมาทางไลน์ด้วยความเป็นห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนอีก กาฟิวด์จึงได้แต่พิมพ์ข้อความตอบกลับไปเพื่อความสบายใจของคนเป็นแม่ ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับรายชื่อเพื่อนในไลน์ที่เพิ่มขึ้นมา รูปโปรไฟล์ที่คุ้นตาทำให้กาฟิวด์ต้องกดเข้าไปดูไม่ได้ ก่อนจะมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อเห็นภาพของสีฝุ่นชัดเต็มสองตา

“มาได้ยังไง” ปากขยับพึมพำไป ก่อนที่เหตุการณ์ตอนที่ขอเบอร์มือถือจากพี่ฮ่องเต้จะฉายซ้ำเข้ามาในหัว และนั่นทำให้มือของเขาต้องกดเข้าไปดูเบอร์โทรที่ถูกบันทึกเอาไว้

มันหาใช่เบอร์ของพี่ฮ่องเต้จริงๆ ไม่ แต่กลับเป็นเบอร์ของพี่สีฝุ่นที่เมาหลับไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

“แล้วพี่เขาจะเมมเบอร์พี่ฝุ่นมาทำไมกัน”

ยังคงเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ แถมยังได้แต่คิดไปว่าพี่ฮ่องเต้อาจจะใส่เบอร์ลูกพี่ลูกน้องของเขามาให้เพราะอยากให้น้องชายมาไถ่โทษที่อ้วกใส่เขาก็เป็นได้

“ช่างเหอะ” บอกกับตัวเองก่อนจะนั่งเล่นมือถือฆ่าเวลาต่อไป
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 19:31:57
ตอนที่ 8 จูนความรู้สึก

                เมื่อห้าปีก่อน...

                “พี่ทำแบบนี้ทำไม?”

                เสียงของสีฝุ่นดึงความสนใจของฮ่องเต้ที่เพิ่งจะเดินมาถึงโรงฝากรถหน้าโรงเรียนจนต้องชะงักฝีเท้า ก่อนจะกระเถิบหลบเข้ามุมเสาเพื่อลอบมองสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า มองร่างสูงในสุดนักเรียนมัธยมปลายปีแรกกำลังยืนประจันหน้ากับเด็กมัธยมปลายต่างโรงเรียนที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี

                เขาคืออ้น...

                เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีที่ห้าและแฟนคนแรกของสีฝุ่น

                อ้นเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้ไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องของตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ห้ามสีฝุ่นเอาไว้ไม่ได้เพราะความรักของมันที่มีให้คนอย่างอ้นและความใสซื่อที่มากเกินกว่าจะตามเกมคนเจ้าเล่ห์ทัน มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮ่องเต้ต้องคอยตามดูแลสีฝุ่นไม่ห่าง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงไม่อาจจะปล่อยให้สีฝุ่นต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่

                “ฝุ่น...”

                “อย่ามาแตะตัวผม!” สีฝุ่นสะบัดมือของคนตรงหน้าออก แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างที่คนเป็นพี่เองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนและแววตาที่กำลังสั่นระริกนั่นก็ยิ่งกระตุ้นให้เขาฮ่องเต้อยากรู้เรื่องที่ทั้งคู่ทะเลาะกันมากขึ้นไปอีก

                “พี่ขอโทษ”

                “ผม...ไม่ให้...อภัย” น้ำเสียงสั่นเครือของสีฝุ่นบีบคั้นหัวใจของคนเป็นพี่ให้เจ็บปวดไปตามๆ กัน

                “สีฝุ่น...”

                “พี่ไปเถอะครับ ผมขอร้อง”

                “ไม่ พี่รักฝุ่นคนเดียว ฝุ่นให้โอกาสพี่สักครั้งเถอะนะ พี่สัญญาว่ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก!!”

                ไอ้ฝุ่น ได้โปรด อย่าให้อภัยคนอย่ามันเลย

            ฮ่องเต้ได้แต่ภาวนาในใจเช่นนั้น ด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่ในใจ ก่อนจะหลับตาลงด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ เมื่อเห็นน้ำตาของคนเป็นน้องเริ่มไหลออกมา

                เกินไป นี่มันมากเกินไปที่คนอย่างเขารับไหว

                “ผม...ฮึก...ผม”

                “ฝุ่นรักพี่อยู่ใช่ไหม”

                สีฝุ่นได้แต่สะอึกสะอื้นและเอาแต่หลุบตาลงต่ำอย่างคนไม่รู้จะจัดการยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะแฟนคนแรกของเขาดันมาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เขาเจ็บปวดปางตายแบบนี้ หากแต่การเงียบของสีฝุ่นกลับทำให้อ้นได้ใจ เอื้อมมือมาจับมือของเขาไปกุมเอาไว้ข้างหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

                “พี่รักฝุ่นนะครับ เรากลับมาคืนดีกันเถอะนะ”

                หากแต่ประโยคนั้นกลับทำให้คนที่ลอบมองสถานการณ์อยู่นานสองนานหมดความอดทนและตะโกนออกไปเสียงดังลั่น

                “ไม่มีทาง!” ฮ่องเต้เดินออกมาเผชิญหน้ากับอ้น พร้อมกับคว้าตัวสีฝุ่นที่กำลังสั่นระริกมาไว้ข้างหลังตน

                “พี่เต้...”

                เจ้าของชื่อจับจ้องใบหน้าของคนที่เอ่ยปากเรียกอย่างไม่วางตา ความรู้สึกทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ภายในใจถูกส่งผ่านสายตาคู่นั้นจนฝ่ายตรงข้ามเองก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังรู้สึกโกรธเกลียดมาแค่ไหน

                ที่ผ่านมา เขายอมปล่อยเพราะเห็นว่าอ้นคือผู้ชายที่สีฝุ่นรักและคิดมาตลอดว่าความรักอันบริสุทธิ์ของลูกพี่ลูกน้องของเขาจะเปลี่ยนใจอ้นได้ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้ คงถึงเวลาที่เขาต้องออกมาปกป้องคนที่เขารักเสียที

                “เลิกยุ่งกับไอ้ฝุ่นซะ กูเตือนมึงด้วยความหวังดี”

                ดวงตาของอ้นฉายแววความเจ็บปวดออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากฮ่องเต้ ร่างกายเล็กๆ เริ่มสั่นระริก จนฮ่องเต้ก็ไม่แน่ใจว่าอ้นกำลังโกรธ เสียใจหรืออะไรกันแน่ เพราะความเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าที่มีมากเกินกว่าจะคาดเดา

                “ผมขอโทษ ได้โปรด พี่อย่าขัดขวางความรักของเราเลยนะครับ” อ้นเริ่มส่งเสียงอ้อนวอน หากแต่สายตาของฮ่องเต้กลับมองการแสดงออกของคนตรงหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจ

                “พี่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด...คืออะไร” ท้ายประโยคดวงตาของอ้นกลับฉายแววประหลาดออกมา แม้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียว แต่มันก็ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับกระอักกระอวนขึ้นมาได้เพราะความลับบางอย่างที่คนทั้งคู่ต่างก็รู้ดี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอ้นจะเอาเรื่องนั้นมาบีบบังคับเขาและทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ อย่างสีฝุ่นได้

                แต่ในเมื่ออ้นเลือกที่จะทำแบบนี้ เขาเองก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากปกป้องหัวใจของลูกพี่ลุกน้องเพียงคนเดียวของเขาให้ได้มากที่สุด

                “คนที่คิดไม่ซื่อ มึงก็รู้ว่าจุดจบมันจะต้องเป็นยังไง” ฮ่องเต้กล้ำกลืนฝืนพูดออกไป หากแต่คนตรงหน้ากลับตีหน้าเศร้าและพลั่งพรูคำพูดต่างๆ นานาออกมาไม่หยุด

                “ผมไม่ได้ตั้งใจ พี่ให้อภัยผมนะ ให้ผมได้คืนดีกับสีฝุ่นเถอะนะครับ เพราะชีวิตของผมขาดเขาไม่ได้จริงๆ”

                ฮ่องเต้หลุบตาลงต่ำ สองมือยกขึ้นมาเท้าสะเอวและเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าอย่างเหลืออด

                “มึงรู้ไหมว่าความพลาดพลั้งของมึงทำร้ายคนกี่คนมาแล้ว! แต่กูก็ไม่ได้สนใจมากเท่ากับการที่มึงมาทำร้ายน้องกูหรอก! นั่นคือสิ่งที่กูไม่มีวันให้อภัยคนอย่างมึงได้”

                “พอเถอะเฮีย...”

                “มึงนั่นแหละ ที่ควรจะพอ...” ฮ่องเต้หันไปตอกกลับสีฝุ่นที่พยายามจะดึงตัวเขาให้ออกห่างจากอ้น ก่อนที่เขาจะหันไปสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

                “...พอกับการคาดหวังความรักจากคนที่นอกจากจะไม่เคยรักมึงจริงๆ แล้ว ยังคอยแต่ทำร้ายมึงด้วยการไปคบคนอื่นลับหลังมึงอีก!!”

                “...”

                “กูถามมึงจริงๆ เถอะนะ มึงเห็นน้องกูเป็นอะไร!?” เป็นคำถามที่ไม่เชิงต้องการคำตอบเสียทีเดียว ขณะที่อ้นได้แต่จ้องหน้าเขากลับด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและเกลียดชังในเวลาเดียวกัน

                “ผมก็เห็นว่าเขาเป็นน้องของพี่ไง...” อ้นกัดฟันพูดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาเปื้อนใบหน้า “...เพราะแบบนั้น ผมถึงต้องรั้งเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด”

                “เลิกเถอะ เลิกคิดที่จะทำอะไรโง่ๆ แบบนี้เสียที มึงก็รู้ว่าใจของมึงไม่ได้รักน้องกูมาตั้งแต่แรก”

                ฮ่องเต้พยายามใจเย็นและเกลี้ยกล่อมคนตรงหน้า

                “เราทุกคนต่างก็มีคนของตัวเองที่รอคอยอยู่บนหนทางข้างหน้า ถ้ามึงไม่ยอมปล่อย มึงก็ไม่มีทางได้เจอเขา ดังนั้น เลิกยุ่งกับน้องกูซะ แล้วต่างคนต่างเปิดใจออกตามหาคนของตัวเองได้แล้ว”

                “ผมไม่...”

                “ถือว่ากูขอร้อง...” ฮ่องเต้ตัดบทและมองอ้นด้วยสายตาวิงวอน “...เลิกเถอะนะ”

 

                ฮ่องเต้ถอนหายใจออกมากับภาพอดีตที่ยังคอยวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่เคยลืมและคงจะไม่มีทางลืมเป็นแน่ ยิ่งตอนที่ได้รู้ข่าวว่าสีฝุ่นกลับไปคบกับอ้นเป็นครั้งที่สอง สามและสี่...

                เขาก็เอาแต่คิดมากเรื่องนี้มาโดยตลอดและหวังเอาไว้ตลอดเช่นกันว่าอ้นจะเปลี่ยนใจมารักสีฝุ่นได้จริงๆ หรือไม่ก็อาจจะยอมปล่อยให้สีฝุ่นไป แต่เปล่าเลย ทุกครั้งที่กลับมาคบกัน ทุกอย่างมันเหมือนเดินวนกลับมาที่เดิมทุกครั้ง

                รักกัน...ผิดหวัง...เลิกคบและจบด้วยการกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง

                และอีกหลายๆ เรื่องที่สีฝุ่นยังไม่รู้และเขาเองก็ไม่ต้องการให้สีฝุ่นรู้ เพราะเขาเองก็กลัวจับใจว่าสีฝุ่นจะรับไม่ได้และพาลให้เรื่องราวบานปลายมากขึ้น

 

                วันนี้ ฮ่องเต้ต้องขับรถกลับไปที่หอของสีฝุ่น เพื่อไปดูแลคนที่ล้มป่วยตั้งแต่เมื่อคืน...

                หลังจากกลับจากร้านเหล้า เขาก็ต้องคอยดูแลสีฝุ่นทั้งคืนเพราะสีฝุ่นดันไข้ขึ้น แถมยังเอาแต่ละเมอถึงอ้นจนเขาโมโหและอยากจะรู้ว่าครั้งนี้อ้นทำอะไรเอาไว้ สีฝุ่นถึงได้อาการสาหัสขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ ถึงรู้ไปก็เท่านั้นเพราะยังไงอ้นก็ได้ทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของเขาไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการที่เขาต้องกันให้อ้นออกห่างจากสีฝุ่นให้มากที่สุดและหลังจากนั้น เขาจะได้หาแฟนใหม่ให้สีฝุ่นซะให้รู้แล้วรู้รอด

                ติ้ง!

                เสียงลิฟต์เปิด ดึงสติให้ฮ่องเต้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขาหอบของกินที่เพิ่งจะออกไปซื้อเอาไว้ในมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างกดลิฟต์ไปยังชั้นเจ็ดพร้อมกับรอประตูปิด ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวไปถึงชั้นสามนั้นเอง ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ก้าวเข้ามา เขาเผลอสบตาคนมาใหม่ที่มองมาที่ตนอย่างตื่นตระหนกด้วยท่าทีแปลกใจ

                ก็ผมไม่ใช่ผีนี่ครับ เรื่องอะไรที่มันต้องตกใจที่เห็นผมขนาดนั้น

            ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดพร้อมกับใครคนนั้นที่หันมาสบตากับเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

                “พี่ฮ่องเต้ใช่หรือเปล่าครับ?”

                ฮ่องเต้กระพริบตาใส่อย่างมึนงงก่อนจะตอบ “ใช่”

                พร้อมกับคิดไปว่าเขากับคนตรงหน้ารู้กันกันตั้งแต่ตอนไหน แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไป คนที่เอาแต่ยิ้มก็เป็นฝ่ายเฉลยข้อสงสัยอย่างกับเดาความคิดของเขาออก

                “ผมนัทนะครับ เป็นรุ่นน้องที่คณะ แต่พี่คงจำผมไม่ได้หรอกเนอะ”

                ฮ่องเต้ทำหน้าครุ่นคิด เมื่อรู้สึกคับคล้ายคับคลากับรูปร่างหน้าตาและชื่อของเด็กคนนี้ สักพัก ก่อนที่เขาจะร้องอ๋อขึ้นมาเมื่อภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาหลังกลับไปชนใครสักคนเข้าที่ใต้ถุนคณะในวันรับน้องวันแรก

                “อ๋อ ไอ้เด็กว่าที่เดือนคณะ” และก็เผลอพูดออกไปตามสิ่งที่คิด

                “พี่พูดว่าอะไรนะครับ” ฝ่ายตรงข้ามถามออกมาอย่างไม่แน่ใจสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก ทำเอาคนที่เพิ่งจะนึกได้ว่าพูดอะไรออกไปทำหน้าเหลอหลาใส่

                “หะ...หา? พะ...พูดอะไรวะ?”

                หากแต่ท่าทางเช่นนั้นกลับดูน่ารักในสายตาของอีกฝ่าย จนเผลอหลุดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ ก่อนที่สายตาคมจะเลื่อนขึ้นไปจับจ้องใบหน้าขาวใสของรุ่นพี่คณะและถือวิสาสะกระเถิบเข้าไปใกล้จนฮ่องเต้ตกใจก้าวถอยจนหลังติดพนังลิฟต์

                “ก็ที่พี่บอกว่าเดือนคณะ เมื่อกี้...”

                สายตาฉายแววขำขัน ครั้นเห็นรุ่นพี่ตรงหน้าตนกำลังตื่นตระหนกตกใจ หากแต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ทำอะไร เสียงประตูลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับผู้มาเยือนกลุ่มใหม่ ทั้งคู่หันไปมองผู้หญิงสามคนที่ทำหน้าเหวอกับภาพผู้ชายสองคนตรงหน้า ก่อนที่ฮ่องเต้จะเป็นฝ่ายดันตัวนัทให้ออกห่าง ซึ่งนัทก็ทำเพียงถอยออกไปยืนอยู่ข้างๆ  เขาเพื่อเว้นที่ว่างให้กับพวกเธอและทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ กระทั่งลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นเจ็ด ฮ่องเต้กับนัทจึงเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกัน

                “พี่อยู่หอนี้หรือมาหาใครครับ” นัทเอ่ยปากถามระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินไปตามทางเดิน

                ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ เล็กน้อยก่อนจะตอบ “มาหาญาติ พอดีมันไม่สบาย”

                “แล้วญาติพี่ชื่ออะไรเหรอครับ เผื่อผมจะรู้จัก”               

                “สีฝุ่น” ฮ่องเต้ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร แต่คนข้างๆ กลับมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจ

                “ใช่พี่สีฝุ่น ปีสอง คณะอักษรหรือเปล่าครับ?”

                ฮ่องเต้เองก็แปลกใจเช่นกันที่คนข้างๆ ดันรู้จักลูกพี่ลูกน้องของตน “รู้จักด้วยเหรอ”

                “ก็ไม่เชิงหรอกครับ เผอิญว่าช่วงนี้พี่เขาชอบเมาแล้วมาเคาะห้องผมตลอด สงสัยคนเก่าที่เช่าห้องอยู่จะเป็นคนรู้จักของพี่เขาล่ะมั้งครับ เห็นเอาแต่พูดถึงคนชื่ออ้น”

                ฮ่องเต้ชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น...

                ในใจก็พาลนึกไปถึงคนที่ถึงขั้นมาเช่าห้องชั้นเดียวกันกับสีฝุ่นอย่างหงุดหงิดใจ

                นี่มันยังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกวะ!!

            “พี่ฮ่องเต้ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

                เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์ หันไปมองหน้าคนข้างๆ อย่างนึกขึ้นมาได้ว่ากำลังคุยกับเด็กปีหนึ่งค้างเอาไว้ ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา

                “ไม่มีอะไร”

                “แต่พี่ดูไม่ค่อยสบายใจนะครับ”

                ฮ่องเต้ชะงักปากที่กำลังจะพูดออกไปว่า ไม่เป็นไร อีกครั้งอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยปากร้องขออะไรกับคนข้างๆ

                “กูขออะไรมึงอย่างหนึ่งได้ไหมวะ”

                นัททำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “ได้สิครับ”

                “ถ้าคนชื่ออ้นกลับมาที่นี่อีก ช่วยบอกพี่หน่อยได้หรือเปล่า”

                คำพูดของฮ่องเต้ทำเอานัทนิ่งเงียบไปสักพัก อย่างคนกำลังชั่งใจและในเมื่อคิดได้ว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร ก็ยิ้มบางๆ ออกมา

                “ได้ครับ แล้วพี่จะให้ผมติดต่อพี่ทางไหนล่ะครับ”

                “เอาเบอร์พี่ไปก็ได้” ฮ่องเต้พูดจบ นัทก็ล้วงมือถือออกมาให้รุ่นพี่ตรงหน้าของตนกดเบอร์ลงไป เสร็จสรรพก็รับมือถือคืนมา

                “เอาไว้เดี๋ยวผมจะไลน์ไปหาก็แล้วกันนะครับ” พูดออกไปด้วยความเต็มใจ

                “ขอบใจแกมากนะ” ฮ่องเต้พยายามเลี่ยงใช้สรรพนามกับคนที่ยังไม่ได้สนิทกันมาก หากลับทำให้นัทต้องลิบยิ้มออกมาเพราะความน่ารัก (อีกแล้ว) ของฮ่องเต้

                “พูดมึงกูเถอะครับ น่าจะถนัดกว่า”

                ฮ่องเต้ได้แต่เกาหัวแก้เก้อกับคำพูดของรุ่นน้อง

                “กลับห้องเถอะครับ เดี๋ยวกับข้าวในมือพี่จะเย็นชืดหมดนะครับ”   

                คำพูดและสายตาของนัท ทำเอาฮ่องเต้ต้องก้มลงมองตามที่มือของตัวเอง ก่อนจะละสายตาขึ้นมามองหน้าคนที่เด็กกว่าตน

                “เออ กูไปก่อนนะ”

                “ครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ” นัทได้แต่ยืนยิ้มและมองตามฮ่องเต้ที่ผละออกไปจนลับสายตา ก่อนจะมองเบอร์โทรศัพท์ของฮ่องเต้ในมือถือและยิ้มกระหยิ่มในใจ

 

                 ฮ่องเต้เดินไปที่ห้องของสีฝุ่น จัดการใช้กุญแจที่หยิบติดมือมาด้วยตอนออกไปข้างนอก ไขประตูเข้าไปในห้องที่ถูกเปิดไฟทิ้งเอาไว้สว่างโร่พร้อมกับเจ้าของห้องที่ลงมานั่งชันเข่าเหม่อลอยอยู่บนพื้นปลายเตียง

                “มานั่งทำอะไรตรงนี้วะ” ปากก็เอ่ยทักเจ้าของห้อง มือก็จัดแจงกับข้าวใส่ถ้วยชาม

                “เฮีย...”

                “ว่าไง?” ฮ่องเต้ตอบกลับโดยไม่ได้หันไปมองใบหน้าซึมเศร้าของคนเป็นน้อง

                “ผมอกหัก...”

                หากแต่ประโยคสั้นๆ ที่ตอบกลับมากลับทำเอามือของเขาชะงัก กอปรกับน้ำเสียงปนเศร้าของสีฝุ่นแล้ว ยิ่งทำให้คนเป็นพี่รู้สึกใจคอไม่ดี แต่ก็ทำได้เพียงแค่เงียบเพื่อฟังคนเป็นน้องพูดต่อไป

                “อันที่จริงผมควรที่จะบอก...ว่าผมมีเรื่องบางอย่างที่ปิดบังเฮียอยู่ ตอนนั้น ผมกลัวว่าถ้าเฮียรู้เรื่องนี้ เฮียต้องโกรธและไม่ให้อภัยผมอีก เฮีย...” สีฝุ่นเว้นจังหวะพลางสูดลมหายใจเข้าลึก “...เฮียคงจะจำพี่อ้นได้”

                ใจของฮ่องเต้กระตุกวูบอีกครั้งที่ความจริง (ที่เขาก็พอจะรู้มาบ้าง) หลุดออกมาจากปากของสีฝุ่น

                “เขามาขอโอกาสกับผมเป็นครั้งที่สี่หรือห้า ผมเองก็จำไม่ได้ เขามาสารภาพว่าเขาไม่เคยมีความสุขเลยตอนที่เขาอยู่กับคนอื่น เขาเอาแต่คิดเรื่องของผมอยู่ตลอดเวลา...”

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์คุกกรุ่นภายในใจและฟังสีฝุ่นพูดต่อ

                “ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งและลืมเขาได้ แต่กลับกลายเป็นว่าผมไม่เคยลืมเขาได้เลย ผมมันโง่เองที่กลับไปคบกับเขา สุดท้าย เขาก็มีคนอื่นเหมือนที่ผ่านมา”

                ก่อนที่สีฝุ่นจะหันใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตามาทางฮ่องเต้ที่เอาแต่ยืนเงียบ หากแต่มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นอย่างหาที่ระบายความโกรธ

            โกรธคนที่กล้ามาทำให้น้องของเขาเสียใจ

            “ขอโทษนะเฮีย”

                ฮ่องเต้เหลือบตาไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคนเป็นน้องที่คงจะไม่รู้ว่าคนเป็นพี่อย่างเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน สายตาของฮ่องเต้ไม่อาจจะละไปจาดวงตาที่เริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา ซึ่งไม่รู้ว่ามันไหลออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้ อีกทั้งแขนสองข้างที่พยายามโอบกอดตัวเองเอาไว้

                ความเปราะบางในเวลานี้ของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้แทบใจสลายไปตามๆ กัน เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาและนั่งลงข้างๆ  ดึงสีฝุ่นเข้ามาในอ้อมกอดเพื่อปลอบประโลมจิตใจลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเขา

                “มึงจะร้องไห้อีกทำไม น้ำตาของมึงมันมีค่ามากกว่าจะเอาไปร้องให้คนแบบนั้นนะเว้ย อีกอย่าง กูก็อยู่นี่แล้ว กูสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อที่มึงจะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับใครอีก”

                “ผมขอโทษ...”

                “มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก มึงไม่ได้ผิด คนที่ผิดคือคนที่ทำให้มึงต้องเสียใจต่างหาก แล้วกูก็ไม่เคยโกรธมึงและไม่มีทางที่กูจะโกรธน้องอย่างมึงหรอก”

                คำพูดของฮ่องเต้ทำเอาสีฝุ่นจุกอก เขาน่าจะเชื่อฮ่องเต้ตั้งแต่แรกว่าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอ้น หากแต่เพราะความดื้อดึง หลงคิดไปว่าสิ่งที่อ้นแสดงออกคือความจริงใจ ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ฟังฮ่องเต้และยอมคบกับอ้น

                ทั้งๆ ที่เฮียเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่เชื่อฟังเฮีย

            นั่นทำให้เขาเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นอ้นอยู่กับคนอื่นเสียอีก

                สีฝุ่นสะอึกสะอื้นออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ท่ามกลางสายตาของฮ่องเต้ที่เอาแต่จ้องมองคนเป็นน้องด้วยความสงสารจับใจ ก่อนจะขยับตามสีฝุ่นที่เคลื่อนตัวลงมานอนหนุนตักของเขาและมองตามคนที่ดึงมือข้างหนึ่งของเขาไปกุมเอาไว้อย่างต้องการความอบอุ่น

                ภาพตรงหน้าเป็นภาพพี่ฮ่องเต้ต้องทำใจยอมรับ แม้ว่ามันจะบีบคั้นหัวใจมากแค่ไหนก็ตาม หากแต่ลึกๆ ก็นึกที่จะหาทางแก้แค้นอ้นสักครั้ง เพียงแต่เขายังหาทางทำให้คนอย่างอ้นเจ็บช้ำไม่ได้ก็เท่านั้น

                “ผมรักเฮียนะ” จู่ๆ คนที่เงียบไปนานสองนานก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำจ้องมองใบหน้าของฮ่องเต้ที่ระบายยิ้มออกมาบนใบหน้า

                “เออ กูก็รักมึง”

                ก่อนที่ทั้งคู่จะจะพากันถอนหายใจออกมา...

                “เฮียว่าผมจะเจอรักแท้กับเขาบ้างหรือเปล่า”

                คำพูดของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้อดยิ้มออกมาไม่ได้ พาลให้หวนนึกถึงสมัยยังเป็นเด็ก ตอนที่ครอบครัวของทั้งสองคนเฉลิมฉลองวันครบรอบแต่งงานของป๊าม๊า สีฝุ่นก็เอาแต่ถามคำถามนี้กับฮ่องเต้ทุกปีว่าโตขึ้นจะเจอรักแท้เหมือนกับที่ป๊าม๊าเจอหรือเปล่า ตอนนั้น เขาเอาแต่หงุดหงิดใส่เพราะคิดว่าสีฝุ่นกวนโมโห ถามคำถามเดิมกับเขาทุกปี ขณะที่เขาก็กวนกลับด้วยการตอบคำถามแบบเดิมทุกปี และในครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามแบบเดิมไม่ได้ ในเมื่อเขาเองก็คิดเช่นนั้น

                “จะให้กูบอกอีกกี่ทีวะ”

                “ก็ผมอยากฟัง”

                “เออๆ” ฮ่องเต้รับคำ มองใบหน้าที่เริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อยพลางเอามือลูบผมของคนตรงหน้าอย่างเบามือ “ถ้ามึงยังเชื่อมั่นและศรัทธาในความรัก สักวันรักแท้จะเป็นฝ่ายเข้ามาหามึงเอง โดยที่มึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการไขว่คว้ามันมา...”

                จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ยั้งคำพูดเอาไว้ เมื่อประโยคถัดไปดันไปแทงใจดำตัวเองเข้า จนน้ำเสียงที่พยายามเปล่งออกมาอีกครั้งดูเลื่อนลอย

                “...หรือพยายามรักษาความรักนั้นเอาไว้ เพราะถ้ามันคือรักแท้จริงๆ มันจะอยู่กับมึงตลอดไป” 

                “เฮีย เป็นอะไรหรือเปล่า”

                ฮ่องเต้ได้สติ ก้มลงไปมองสีฝุ่นที่กำลังเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

                “เป็นอะไร กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ก็มึงอยากฟังไม่ใช่เหรอ กูก็พูดแล้วไง”

                สีฝุ่นหรี่ตาลงมองอย่างจับพิรุธเพราะการพูดรัวๆ ติดกันเป็นพรืดของคนเป็นพี่

                “ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะเฮีย” สีฝุ่นว่าก่อนจะผงกตัวลุกขึ้นมาจ้องหน้าเขา “หรือว่าเฮียกำลังคิดถึงใครอยู่”

                เท่านั้น คนถูกเพ่งเล็งก็ถึงกับตื่นตระหนก อึกอักอย่างคนไม่รู้จะพูดยังไง

                “เฮียคิดถึงใคร บอกผมมาเดี๋ยวนี้เลย!!”

                “ไม่มีเว้ย!” ฮ่องเต้ร้องบอกก่อนจะรีบลุกขึ้น กะจะเดินหนี หากแต่สีฝุ่นกลับรีบลุกขึ้นตามและดึงแขนเขาเอาไว้

                “ไม่ต้องมามีความลับกับผมเลยนะ”

                “ความลับอะไรวะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละเว้ย” พูดจบก็รีบสะบัดแขนของสีฝุ่นออกแล้วเดินหนีไปเตรียมกับข้าวต่อ พยายามทำเป็นไม่สนใจคนที่ยังคงตามมาเซ้าซี้ไม่เลิก

                “ผมไม่เชื่อเฮียหรอก”

                “เรื่องของมึง ถอยไป กูจะจัดโต๊ะ” ฮ่องเต้ยกชามกับข้าวและเดินไปที่โต๊ะตามที่พูด ทว่าสีฝุ่นยังคงตามตื๊อไม่เลิก

                “เออ ก็ได้! เฮียไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร แต่หลังจากนี้ไป เฮียก็คอยระวังไว้ให้ดีเถอะ เพราะผมจะตามสืบเรื่องนี้แน่นอน ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครหน้าไหนมันบังอาจมาทำให้เฮียของผมตกหลุมรัก!”

                ฮ่องเต้ถอนหายใจแรงๆ ใส่ไปหนหนึ่ง กับคำการพล่ามออกมายาวเหยียดของคนเป็นน้อง ก่อนที่สีฝุ่นจะเบิกตากว้างเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และร้องเสียงหลง จนฮ่องเต้เผลอตกใจตาม

                “เฮ้ยยยยย หรือว่า...!!?”

                “หรือว่าอะไรของมึงอีก!” พุดออกไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะใจหายวาบเมื่อได้ฟังประโยคถัดไปจากสีฝุ่นว่า

                “หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น!?”

                “คะ...ใคร! ใคร?”

                “ก็รหัสหนึ่งเจ็ดแปดปีนี้ไง!!”

                และข้อสันนิษฐานของสีฝุ่นก็ฟาดเข้าใส่จนฮ่องเต้หน้าชาเพราะอุตส่าห์ว่าจะไม่คิด ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วแท้ๆ แต่...

                มันจะรื้อฟื้นขึ้นมาหาพระแสงของ้าวอะไรของมันวะเนี่ยยยยย

            ทว่าสีหน้าของฮ่องเต้กลับไปสะดุดตาสีฝุ่นเข้าเต็มๆ  จนเจ้าตัวอดโวยวายออกมาไม่ได้

                “ทำหน้าแบบนี้ๆ อย่าบอกนะว่าเฮียโดนอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองเล่นงานแล้วอ่ะ”

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ สูดหายใจเข้าไปฟืดใหญ่ ก่อนจะลืมตา หันไปมองหน้าเหวอๆ ของคนเป็นน้องพร้อมกับตะโกนออไปเสียงดังลั่นห้อง

                “มากินข้าว!!”

 


                 Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ

                                                       :katai5: :katai5: :katai5:




หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 19:38:35
ตอนที่ 9 บางอย่าง

                “มึงจะไปเรียนไหม!?” ฮ่องเต้ยืนพูดกับคนขี้เซาที่เอาแต่นอนจมอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ขณะที่มือก็ถือผ้าขนหนู เช็ดผมที่เพิ่งจะสระเสร็จไปเมื่อครู่อยู่ที่ปลายเตียง

                หลังจากที่เขาต้องมานอนเป็นเพื่อนสีฝุ่นสามวันเต็ม ก็ถึงเวลาเปิดเทอมวันแรกและถึงเวลาที่เขาจะกลายเป็นนักศึกษาปีสี่อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็อย่างว่า...ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเหนื่อยหนัก เขาเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตปีสี่จะเป็นยังไง แต่ก็ขอไม่ไปเรียนสายตั้งแต่วันแรกก็เป็นพอ เพราะอย่างน้อย เขาก็ไม่ควรจะถูกอาจารย์เทศนาตั้งแต่คาบเรียนแรกของเทอม ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องรีบตื่นแต่เช้า เผื่อเวลามาปลุกไอ้ตัวการที่กำลังจะทำให้เขาไปเรียนสายอย่างคนที่นอนนิ่งไม่ไหวติงยู่บนเตียง

                และในเมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจากผีผ้าห่มเขาเรียก เขาก็จำเป็นต้องเดินไปที่ข้างเตียงและดึงผ้าห่มออก ก่อนจะจัดการสะบัดหัว เพื่อให้น้ำจากเส้นผมเปียกๆ ช่วยปลุกคนขี้เซา

                “เล่นอะไรของเฮียเนี่ยยยยยย” ในที่สุดสีฝุ่นก็โวยวายออกมาไม่ค่อยจะเป็นภาษาเท่าไหร่ พร้อมกับหยีตาเพราะแสงสว่างจ้าจากพระอาทิตย์ที่เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง หากแต่เจ้าตัวกลับพลิกตัวหนีและทำท่าจะหลับต่อเสียอย่างนั้น

                “ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวกูต้องแวะไปส่งมึงอีกนะเว้ย!” คนเป็นพี่ร้องบอกพลางก้มตัวลงไปฉุดแขน จนกระทั่งสีฝุ่นผงกตัวลุกขึ้นมานั่งงัวเงีย จึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตู้เสื้อผ้าและเดินกลับมาพร้อมกับโยนผ้าผืนนั้นลงบนหัวของสีฝุ่น

                “ไปอาบน้ำ! แล้วรีบออกมาแต่งตัว กูรีดชุดไว้ให้แล้ว” เขาหมายถึงชุดนักศึกษาที่รีดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

                ฮ่องเต้มองสีฝุ่นที่ลุกขึ้นมาอย่างเนือยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินลากเท้าเข้าห้องน้ำไป หลังจากที่ประตูห้องน้ำปิด เขาก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดนักศึกษาออกมาใส่ เสร็จสรรพก็ไปจัดการเซ็ทผมที่เริ่มยาวเพราะเขาไม่ได้ตัดมันมานานหลายเดือน

                หลายนาทีผ่านไป...

                สีฝุ่นก็เดินออกจากห้องน้ำและแต่งตัวจนเสร็จ เหลือบมองดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้ปาเข้าไปหกโมงสี่สิบแล้ว ฮ่องเต้กับสีฝุ่นจึงเร่งฝีเท้าออกมาจากหอพักโดยด่วนเพราะเกรงว่าจะไม่ทันการ

                “เฮียจะไปไหนแต่เช้าเนี่ย”

                สีฝุ่นร้องถามพร้อมกับมองเหลียวหลังตาม เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ขับรถผ่านประตูทางเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้หอพักของสีฝุ่นมากที่สุด

                “ก็พามึงไปรับสิ่งดีๆ ก่อนเข้าเรียนวันแรกไง” ฮ่องเต้ตอบขณะเลี้ยวรถไปตามทางแยกเพื่อตรงไปยังถนนหน้ามอ

                “ผมอยู่ปีสองแล้วนะเฮีย ไม่ได้เป็นเฟรชชี่ปีแรกที่ต้องเล่นใหญ่ตอนเปิดเทอมสักหน่อย” ท้ายประโยคเริ่มฟังไม่เป็นภาษาเพราะสีฝุ่นอ้าปากหาวไปด้วย

                “อยู่ปีไหนก็ควรเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งดีๆ เผื่อมึงจะได้เจอรักแท้กับชาวบ้านเขาบ้างไง” พูดจบก็เหลือบตาไปมองคนข้างๆ ที่ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ หน้าตาที่ดูง่วงนอนแบบสุดๆ ของสีฝุ่นทำเอาเขาเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้

                “เอาน่า เลิกทำหน้าบึ้งตึงได้แล้ว ตอนนี้มึงควรยิ้มมากกว่า”

                “แบบนี้ใช่ไหมเฮีย” ไม่ว่าเปล่า ยังหันมายิ้มยิงฟันใส่แบบกวนๆ จนฮ่องเต้อดไม่ได้ โบกหัวคนเป็นน้องไปที

                “กวนประสาตแต่เช้านะมึง”

                ฮ่องเต้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พลางสอดสายตามองหาที่ว่างและเลี้ยวรถเข้าไปจอด ก่อนจะลากสีฝุ่นที่เริ่มงอแงเป็นเด็กสามขวบลงมาจากรถและพามันเดินไปตามทางเดิน กระทั่งถึงจุดที่ขายของสำหรับทำบุญ

                “สวัสดีครับ” ฮ่องเต้ยกมือไหว ป้าเนียม แม่ค้าประจำร้านขายชุดอาหารสำหรับใส่บาตรจอนเช้า เขารู้จักกับป้ามาตั้งแต่ปีหนึ่งเพราะเขามักจะแวะมาใส่บาตรเกือบทุกเช้าก่อนไปเรียนเสมอ

                “ไม่เจอกันนาน หน้าตาน่ารักขึ้นนะเรา”

                สีฝุ่นแทบจะหลุดขำออกมาทันทีที่ได้ยินคำชมนั้น ขณะที่ฮ่องเต้ทำได้แค่เพียงยิ้มแห้งๆ ไปให้คนพูด พาลนึกไปว่ายังดีที่เป็นป้า เพราะถ้าเป็นเพื่อนหรือรุ่นน้องคนอื่น เขาอาจจะแยกเขี้ยวใส่และกระโดดงับคอไปแล้วก็ได้ ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาพูดว่าเขาน่ารัก

                มันเป็นปมฝังใจผมมาตั้งแต่เด็ก ได้โปรดเข้าใจผมด้วย

                “แล้วพาใครมาด้วยล่ะ”

                ฮ่องเต้มองไปข้างหลังตามป้าเนียมที่ชะโงกหน้ามองพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง

                “นี่สีฝุ่น ลูกพี่ลูกน้องของผมครับ”

                “สวัสดีครับ” สีฝุ่นยกมือไหว้ ขณะที่ป้าเนียมทำหน้าเหมือนเสียดายอะไรสักอย่าง

                “ป้าก็นึกว่าแฟนใหม่เราเสียอีก”

                ฮ่องเต้ถึงกับชะงัก หน้าตาเหลอหลาขึ้นมาทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากของป้า เขาคงไม่กระวนกระวายใจเท่าไหร่นักหรอก หากตอนนี้สีฝุ่นไม่ได้ยืนอยู่ด้วย เพราะนอกจากสีฝุ่นจะเอามือมาจับต้นแขน ออกแรงบีบเล็กน้อยเพื่อให้เขาหันไปมองแล้ว ยังส่งสายตากดดันเป็นเชิงคาดคั้นเอาคำตอบอีกต่างหากและอย่าฮ่องเต้จะทำอะไรได้นอกจาก...

                “เอาสองชุดนะครับป้า” หันไปพูดกับป้าอย่างจงใจเปลี่ยนเรื่องและพยายามดึงแขนออกจากมือของสีฝุ่น โดยไม่หันไปมองหน้าเจ้าของมือเป็นอันขาด โชคดีที่พระท่าบิณฑบาตผ่านมาพอดี เขากับสีฝุ่นเลยต้องรีบใส่บาตรและรับพรจากรพะท่านก่อน เสร็จสรรพฮ่องเต้ก็ยื่นเงินให้กับป้าเนียมและเดินหนีทันที

                “บอกผมมาให้หมดเลยนะเฮีย ไอ้ที่ป้าแกพูดนั่นหมายความว่าไง”

                แม้จะพยายามตามตื๊อ แต่ฮ่องเต้ก็ก้าวขายาวๆ เร่งฝีเท้าเดินหนี จนกระทั่งคนที่ตามหลังมาต้องเปลี่ยนจากเดินเร็วๆ มาเป็นวิ่งตามจนทันและฉวยโอกาสโผล่พรวดเข้าไปขวางหน้า ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับตกใจและเบรกเท้าแทบไม่ทัน

                “อะไรของมึงอีกวะ!?”

                “บอกผมมา!” สีฝุ่นคาดคั้นหน้านิ่ง พยายามข่มคนเป็นพี่ให้ได้มากที่สุด แต่เขาคงจะลืมไปว่าฮ่องเต้เคยกลัวเด็กอย่างเขาที่ไหนกัน

                “มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ป้าแกก็แค่เข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนที่เคยมาใส่บาตรด้วยกันเป็นแฟนกู”

                โกหกออกไปเช่นนั้น โดยหารู้ไม่ว่าหน้าตา ท่าทางและน้ำเสียงของเขาส่อแววพิรุธมากแค่ไหน และมันก็มากพอที่จะทำสีฝุ่นหรี่ตาลงมองอย่างจับผิดเขาได้

                “จะให้ผมบอกอีกกี่ที ว่าเฮียโกหกไม่เก่ง”

                คำพูดของสีฝุ่นเหมือนเป็นการตอกย้ำให้ฮ่องเต้หมดทางหนี หากแต่เจ้าตัวยังคงคัดค้าน

                “ไม่มีอะไรก็คือไม่มีดิวะ”

                “ผมไม่เชื่อ”

                “ก็เรื่องของมึง” พูดจบก็เดินหนี จนสุดท้ายสีฝุ่นก็ยอมล่าถอยไปแต่โดยดี เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคาดคั้นเอาความกับคนที่ไม่คิดจะพูดความจริงกับเขา ยิ่งเป็นคนปากหนักอย่างเฮียฮ่องเต้ด้วยแล้ว เขารู้ดีว่าคาดคั้นไปเป็นปีก็ไม่มีทางปริปากหลุดอะไรออกมาแน่ สู้เขาเอาเวลาไปตามสืบเรื่องนี้เองดีกว่า

                “รอผมด้วยเฮีย” สีฝุ่นตะโกนเรียกพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินตามให้ทันคนที่หายวับเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

                สีฝุ่นเดินไปสั่งกาแฟ ขณะที่ฮ่องเต้หยิบขนมปังบนชั้นวางสองห่อใส่ลงไปในตะกร้า เป็นขนมปังสังขยาแบบที่เขาชอบห่อหนึ่งกับขนมปังไส้ทูน่าของสีฝุ่นอีกห่อหนึ่ง หากแต่พอจะเดินผ่านชั้นขนมปังไปนั้นเอง เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยุดยืนให้ความคิดสักพักก่อนจะเดินกลับมาที่ชั้นวางขนมปังอีกครั้งและเลือกขนมปังที่เขาคิดว่าคนที่กำลังนึกถึงอยู่น่าจะชอบใส่ลงไปในตะกร้าเพิ่มอีกสองห่อ ก่อนจะเดินไปเลือกนมขวดเล็กมาอีกห้าขวด พร้อมกับน้ำดื่มสำหรับติดรถเอาไว้อีกสามขวด

                “เฮียจะเอาไปขายในห้องเหรอ ซื้อเยอะจัง” สีฝุ่นที่เดินตามหลังมาพร้อมกับแก้วกาแฟร้อนในมือ ชะโงกหน้าเข้ามามองของในตะกร้าอย่างสงสัย

                “กูก็ซื้อเผื่อมึงนั่นแหละ” ฮ่องเต้ตอบและเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

                “มันเยอะไปป่ะเฮีย” สีฝุ่นว่าและหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ “หรือว่าซื้อไปให้ใครหรือเปล่าครับ”

                น้ำเสียงที่ฟังดูยียวนกวนประสาตทำเอาฮ่องเต้อดเหลือบตาไปมองอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้

                “กูก็เพิ่งบอกไปว่าซื้อเผื่อมึง” พูดจบก็หิ้วถุงเดินออกจากร้านสะดวกซื้อทันที

                “เอะอะก็มีความลับกับน้องนะ อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าซื้อไปให้ใคร” ว่าแล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาจิบทีหนึ่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตามประสาคนรักกาแฟ ก่อนจะเดินตามคนเป็นพี่ไปที่รถ

                หากแต่พอขึ้นไปนั่งบนรถได้ คนข้างๆ ก็คว้าแก้วกาแฟออกจากมือไปและยัดขนมปังกับนมมาใส่มือเขาแทน

                “กินให้หมดด้วยนะ” ฮ่องเต้ร้องบอกก่อนจะสตาร์ทรถ

                “ไม่เอา! เฮียเอากาแฟผมคืนมาเลย!” สีฝุ่นโวยวายออกมาพร้อมกับชักสีหน้าเหมือนเด็กถูกบังคับให้กินของที่ไม่ชอบ และไอ้ของที่ว่าดันเป็นนมขวดที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้นั่นแหละ

                สีฝุ่นเกลียดการดื่มนมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้รู้ดี เพราะแบบนั้นเขาจึงบังคับให้คนเป็นน้องดื่มนมทุกเช้าและก่อนเข้านอนมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งทุกวันนี้ที่เขาก็ยังคงบังคับสีฝุ่นทักครั้งที่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน

                “ดื่มเข้าไปเหอะน่า มันดีต่อสุขภาพนะเว้ย”

                อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้มันดื่มแต่เหล้า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอหน้ากัน สีฝุ่นจะเอาแต่กินเหล้าจนเมาหัวราน้ำไปกี่วัน กี่สัปดาห์ ที่สำคัญ ไม่รู้ว่าระบบร่างกายจะมีอะไรเสื่อมไปเพราะเหล้าบ้างไหม

                ฮ่องเต้ขับรถพาสีฝุ่นไปส่งที่คณะอักษรศาสตร์และขับมาถึงคณะตัวเองในเวลาเจ็ดโมงกว่าๆ เขาขับรถวนหาที่จอดรถหลังคณะและดับเครื่อง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลบางอย่างในเว็บไซต์มหาวิทยาลัย  พิมพ์รหัสนักศึกษาของใครบางคนลงไปและกดค้นหา หลังจากนั้น ผมก็แคปข้อมูลบนหน้าจอเอาไว้ ก่อนจะลงจากรถและเดินไปเปิดประตูหลัง จัดการเปิดกระเป๋าเป้ เอาโพสอิจและปากกาออกมาเขียนข้อความลงไป หลังจากนั้นก็แปะมันลงไปบนห่อขนมปังและใส่มันกลับเข้าไปในถุงดังเดิม         

                หลังจากฮ่องเต้เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเสร็จ ก็ปิดประตู ล็อครถและเดินเข้าคณะ ท่ามกลางสายตาของใครอีกคนที่นั่งจับตาดูเขาอยู่ข้างในตัวรถ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

 

                ระหว่างที่ฮ่องเต้เดินเข้าไปยังตึกที่ตนเรียนนั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกรีนที่กำลังเดินเข้ามาในตึกเรียนเดียวกันกับเขาพอดี เขาจึงมองตามกรีนที่ถอดหูฟังออกและเก็บลงกระเป๋าเป้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นรุ่นพี่ปีสี่ของตน

                “สวัสดีครับ พี่เต้” กรีนหันไปยกมือไหว้ฮ่องเต้พร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยแซวต่อว่า “ปีสี่แล้ว ยังต้องตื่นมาเรียนแปดโมงอีกเหรอครับ”

                ซึ่งฮ่องเต้ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มอ่อนไปให้

                “ชีวิตนักศึกษามันก็แบบนี้แหละ ยังดีที่ตอนเรียนยังแค่แปดโมง ไม่อยากคิดถึงตอนทำงาน” เขาบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสา ก่อนจะวกเข้าเรื่องสำคัญ

                “เออ ไอ้กรีน กูมีเรื่องให้มึงช่วยว่ะ”

                “ว่ามาเลยครับ” กรีนยิ้มให้ด้วยความยินดี

                “กูจะฝากมึงเอาของไปให้เด็กปีหนึ่งหน่อยได้ไหมวะ”

                “เรื่องแค่นี้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ อีกอย่างน้องปีหนึ่งสายพี่ ผมก็รู้จักดีอยู่แล้ว” ท้ายประโยคยิ้มอย่างล้อเลียน จนฮ่องเต้ต้องตีหน้านิ่งใส่

                “โธ่ พี่เต้ อย่าเพิ่งทำหน้าบึ้งใส่ผมสิครับ ผมแค่ล้อเล่นเอง แล้วไหนล่ะครับ ของที่จะให้น้อง” กรีนเปลี่ยนเรื่อง ฮ่องเต้จึงเปิดกระเป๋าเป้และเอาถุงใส่ขนมปังกับนมออกมาสองถุง แล้วยื่นให้คนตรงหน้า หากแต่กรีนกลับยิ้มกริ่มกับของที่เห็น

                “เสิร์ฟมื้อเช้าให้กันตั้งแต่วันแรกแบบนี้ ผมคงได้ยินข่าวดีเร็วๆ นี้ใช่ไหมครับ”

                “ไอ้กรีน เว้นว่างไม่แซวเรื่องนี้กับกูบ้างก็ได้นะ แค่พวกพี่มึง กูก็ปวดหัวจะแย่”  ฮ่องเต้ว่าพลางส่ายหน้าอย่างระอาใส่ ก่อนจะหันไปปิดกระเป๋า

                “โอเคครับ ผมจะพยายาม ว่าแต่น้องเรียนตึกนี้เหรอครับ”

                “ใช่ ห้องเจ็ดหกศูนย์เก้า” ฮ่องเต้บอกออกไปตามข้อมูลที่ค้นหาจากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยตอนที่อยู่บนรถ

                “ครับ ถ้าผมเจอน้องแล้ว ผมจะไลน์ไปบอกพี่ก็แล้วกันนะครับ”

                “อืม ขอบใจมาก” ฮ่องเต้ยิ้มให้กับกรีน ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกัน

                และจังหวะที่ทั้งคู่ก้าวเข้าไปยืนอยู่ในลิฟต์นั้นเอง จู่ๆ ก็มีใครบางคนโผล่พรวดเข้ามาข้างในลิฟต์อีกสองคน ฮ่องเต้กับกรีนที่กดเลขชั้นที่จะไปเรียบร้อยแล้ว จึงเขยิบถอยหลังเผื่อพื้นที่ให้คนที่เข้ามาใหม่อย่างไม่คิดอะไร ก่อนที่ประตูจะปิดลง

                กับน้องผู้หญิง เขาพอจะจำได้ว่าเธอคือน้องฝ้าย ดาวเด่นปีหนึ่งที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง หากแต่ผู้ชายอีกคนนี่สิ รูปร่างและท่าทางคุ้นตาฮ่องเต้ยังไงชอบกล ก่อนที่บทสนทนาของคนข้างหน้าจะดังขึ้น

                “ดีใจจังที่ได้เรียนห้องเดียวกัน” น้องผู้หญิงหันไปคุยกับน้องผู้ชายคนข้างๆ “ว่าแต่เธอตื่นเช้าแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”

                “ไม่หรอก แล้วแต่ว่าวันไหนมีอะไรให้ทำมากกว่า” น้องผู้ชายหันไปตอบ

                หากแต่เสียงที่ดูคุ้นหู ทำเอาฮ่องเต้กับกรีนหันมามองหน้ากันทันที รอยยิ้มของกรีนทำให้ฮ่องเต้แน่ใจว่าสองคนข้างหน้าคือคนที่เขาคิดเอาไว้ไม่ผิดตัวเป็นแน่

                “จะเปลี่ยนใจเอาให้น้องเองไหมครับ” กรีนกระซิบถามเป็นเชิงล้อเลียน ฮ่องเต้จึงหันไปเขม่นใส่พร้อมกับเอานิ้วชี้แตะที่ปากเพื่อบอกให้คนข้างๆ อย่าเสียงดัง

                แต่ก็ไม่ทันคนข้างหน้าที่หันกลับมามองข้างหลังอย่างไม่ได้นัดหมาย ทำเอาฮ่องเต้ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองรุ่นน้องตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มมาให้แทนการทักทาย ขณะที่กรีนได้แต่แอบหัวเราะอย่างนึกขำกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่     

                ฮ่องเต้ทำได้แค่เพียงพร่ำบ่นในใจว่าทำไมชีวิตของเขาไม่เริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆ กับคนอื่นเขาบ้าง ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำบุญใส่บาตรแท้ๆ  แต่กลับต้องมาเจอคนที่ไม่อยากจะเจอแต่เช้า

                ตรงกันข้ามกับโฟโต้ที่เอาแต่มองสำรวจฮ่องเต้ในชุดนักศึกษาที่เขาก็เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรก...

                น่ารักว่ะ

            นั่นคือคำจำกัดความที่โฟโต้ยกให้ฮ่องเต้ในเวลานี้ ทั้งเส้นผมสีเข้มที่ถูกเซ็ทมาเป็นอย่างดี ผิดกับวันรับน้องที่ฮ่องเต้แต่งตัวติดออกจะสบายๆ แถมเส้นผมยังแอบยุ่งน้อยๆ เหมือนกับคนเพิ่งตื่น แต่ยังไงตอนนั้น โฟโต้ก็ยังคงมองว่ามันดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ

                ไม่รู้ว่าอะไรที่ดลใจให้เขาคิดเช่นนั้น แต่เขาก็คิดแบบนั้นไปแล้ว

                ยิ่งมอง ยิ่งใกล้ ใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่ฮ่องเต้เป็นผู้ชาย แต่กลับดึงดูดสายตาและดูเหมือนว่ารุ่นพี่ปีสี่คนนี้จะเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ทำให้เด็กปีหนึ่งอย่างเขาหลงเสน่ห์

                แม้ว่าทุกสัดส่วนบนร่างกายจะไม่ได้ต่างกัน แถมนิสัยของรุ่นพี่คนนี้ก็ติดจะห่ามๆ ไม่ได้ดูเปราะบางเหมือนกับเพื่อนของเขาอย่างกาฟิวด์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้ดูน่ารัก...เป็นความน่ารักอย่างลงตัวในแบบฉบับของฮ่องเต้ ที่ทำเอาเขาไม่อาจจะถอนสายตาออกไปได้

                “สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”

                ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ กว่าที่เขาจะรู้ตัวและยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสองคนตรงหน้าพร้อมกับฝ้าย ซึ่งกรีนก็รับไหว้น้องพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผิดกับฮ่องเต้ที่กำลังพยายามปรับสีหน้า (หลังจากตกใจที่ได้เจอเขา) และไม่ยอมหันมามองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย

                สงสัยจะไม่ชอบขี้หน้าเพราะโดนผมกวนประสาตแน่ๆ

            แต่นั่นกลับเป็นความคิดที่ทำให้โฟโต้หลุดยิ้มออกมาและอดแซวคนที่ชอบชักสีหน้าบึ้งตึงใส่ทุกครั้งที่เจอหน้าเขาไม่ได้

                “แหม ได้เจอพี่ฮ่องเต้แต่เช้าแบบนี้ เหมือนเป็นลางว่าผมจะโชคดีทั้งวันเลยนะครับ”

                ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้าที่พยายามปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติมากที่สุด โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าการทำแบบนั้น ยิ่งเป็นการแสดงพิรุธ แต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไปเพราะเขามองว่าท่าทางแบบนั้นคือเสน่ห์อีกแบบของพี่ฮ่องเต้

                หากแต่คนตรงหน้าเขากลับเอาแต่นิ่งเงียบเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเท่าไหร่นัก และก่อนที่เขาจะทันได้ยุแหย่ฮ่องเต้ต่อ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นห้าเสียก่อน ฮ่องเต้จึงได้โอกาสรีบแจ้นออกไป ทิ้งไว้เพียงแค่สายตาของโฟโต้ที่มองตามไปจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิด

                “ไม่ตามไปเรียนกับพี่เขาด้วยเลยล่ะ มองตามขนาดนั้น”

                โฟโต้หันกลับมามองหน้ากรีนที่เอ่ยแซวรุ่นน้องด้วยแววตาหยอกล้อ

                “ทำอย่างกับพี่เขาจะยอมให้ผมตามอย่างนั้นแหละครับ”

                กรีนหัวเราะออกมาเบาๆ  กับคำพูดของโฟโต้ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกที่ชั้นหก ทั้งสามคนจึงเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกัน ก่อนที่กรีนจะมองตามรุ่นน้องสองคนที่กำลังยืนหาห้องเรียน

                “ห้องเจ็ดหกศูนย์เก้าอยู่ทางนู้น” กรีนช่วยชี้บอกทางและอธิบาย “เลขตัวเลขบอกตึก เลขตัวที่สองบอกชั้น ส่วนเลขสองตัวสุดท้ายบอกห้อง ซึ่งมันก็เรียงไปตามเลขนั่นแหละ มึงสังเกตเอาจากป้ายบนประตูก็ได้”

                ทั้งฝ้ายและโฟโต้มองตามมือของกรีนที่ชี้ไปยังป้ายเล็กๆ บนประตูซึ่งมีเลขสี่ตัวอยู่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับกรีน

                “ขอบคุณครับ พี่กรีน”

                “ไม่เป็นไร ตอนอยู่ปีหนึ่ง กูก็งงๆ แบบนี้แหละ”

                หากแต่ก่อนที่โฟโต้จะทันได้เดินไป เสียงฝ้ายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

                “แล้วพี่กรีนรู้ได้ยังไงคะ ว่าพวกหนูหาห้องเจ็ดหกศูนย์เก้าอยู่”

                กรีนไม่ได้มีทีท่าตกใจอะไร แต่ทำเพียงแค่ยิ้มและยื่นอะไรบางอย่างไปตรงหน้าของโฟโต้

                “พอดีพี่ปีสี่ของโฟโต้เขาบอกมา แล้วก็ฝากของมาให้ด้วย”

                ท้ายประโยคหันไปพูดกับโฟโต้ เจ้าตัวจึงได้แต่รับถุงในมือกรีนมาแบบงงๆ ก่อนที่กรีนจะช่วยอธิบาย

                “พี่รหัสปีสี่ของมึงเขาฝากมาให้มึงถุงหนึ่ง  ส่วนอีกถุงฝากให้คนชื่อนัท รหัสสองศูนย์สี่ เรียนอยู่ห้องเดียวกันนั่นแหละ”

                “อ่อ ยังไงก็ขอบคุณพี่กรีนนะครับ ที่เอามาให้ผม” โฟโต้ขอบคุณคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่กรีนจะแยกตัวไปเรียน ขณะที่โฟโต้กับฝ้ายก็เดินเข้าห้องเรียนไป

                โฟโต้สอดสายตามองหาคนชื่อนัทท่ามกลางนักศึกษาที่เริ่มทยอยมาเกือบจะเต็มห้อง ก่อนจะไปสะดุดตากับร่างสูงของคนที่เขาอิจฉาในออร่าเมื่อตอนรับน้องที่เพิ่งจะเดินเข้าห้องมา

                เมื่อเลื่อนสายตาลงไปมองตาป้ายที่ถูกเขียนเอาไว้ว่า นัท 204 แล้ว ก็ตรงเข้าไปหาพร้อมกับของในมือทันที

                “โทษนะ พี่รหัสปีสี่ฝากของมาให้” โฟโต้ร้องบอกพร้อมกับยื่นของในมือไปให้ ขณะที่นัทก็รับไปแบบมึนงง

                “เออ ขอบคุณนะ” ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มไปให้และต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งเรียน ซึ่งโฟโต้ก็เลือกนั่งโซนแถวกลางห้องและเกือบจะชิดริมหน้าต่าง โดยมีฝ้ายที่ขอตามมานั่งข้างๆ ด้วย ทำเอาผู้ชายแถวนั้นมองตามด้วยความอิจฉา

                “ดีจัง ได้ของเทคตั้งแต่เปิดเทอมเลย” ฝ้ายหันมาชวนคุย ขณะที่โฟโต้กำลังอ่านโพสอิจที่เขียนเอาไว้แค่ว่า ตั้งใจเรียนนะ จากพี่รหัสปีสี่ เท่านั้น

                “เดี๋ยวเธอก็ได้เหมือนกันนั่นแหละ” โฟโต้หันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนที่สายตาจะหันไปสบกับร่างสูงของใครบางคนเข้า ทำให้บทสนทนาชะงักไป

                “ขอนั่งด้วยได้ไหม พอดีมันไม่มีที่ว่างแล้ว”

                เป็นนัทที่เดินเข้ามาคุยด้วย โฟโต้ปราดตาไปมองเก้าอี้ทั่วห้องและเมื่อเห็นว่ามันเต็มตามที่นัทบอกเอาไว้ จึงหันกลับมาบอกคนตรงหน้า

                “เอาดิวะ ตรงนี้ไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว” โฟโต้ร้องบอก ก่อนที่นัทจะเอ่ยขอบคุณและนั่งลงข้างๆ  ทำให้วันนั้น ทั้งโฟโต้ต้องนั่งเรียนกับเพื่อนใหม่ทั้งสองคนอย่างนัทและฝ้ายไปโดยปริยาย

               

 

Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ

                                        :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:


หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 19:43:38
ตอนที่ 10 แกล้งนักมักรักเอง Part 1

                ชีวิตปีสี่หนักกว่าที่ฮ่องเต้คิดเอาไว้...

                เพราะเจอหน้ากันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาจารย์ก็เล่นสั่งงานล่วงหน้ายาวไปยันปลายเทอม เขาจึงอดเซ็งไม่ได้ แต่คนที่เซ็งกว่า น่าจะเป็นคนข้างๆ ที่เอาแต่บ่นไม่หยุดมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว

                “ตายๆๆ อุตส่าห์ดีใจที่รอดเงื้อมมืออาจารย์บดินทร์ตอนเทอมที่แล้วมาได้ แต่ต้องมาเจอในวิชานี้อีก ชีวิตปีสี่กูตายห่าแน่ๆ”

                คำพูดของนิวทำเอาฮ่องเต้กับซันหัวเราะครืน ขณะที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมออกจากห้องเพื่อที่จะไปหาอะไรกินต่อ หากแต่นิวยังคงเอาแต่บ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดตามประสาคนพูดมาก

                “นี่กูไปทำเวรทำกรรมอะไรกับใครไว้หรือเปล่าวะ โชคชะตาถึงได้จงใจให้กูต้องมาเรียนวิชานี้ เอ๊ะ หรือว่าเมื่อเช้ากูก้าวเท้าออกจากหอผิดข้างวะ ไอ้ซัน เมื่อเช้ามึงทันเห็นป่ะว่ากูก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวาออกจากห้องอ่ะ”

                ท้ายประโยคนิวหันไปพูดกับซันที่ยืนยิ้มมองหน้ามันด้วยความเอือมระอา ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาโบกหัวคนพูดมากไปที

                “จะเท้าไหนมันก็ไม่เกี่ยวหรอก ไอ้ที่มึงโดนเพ่งเล็งก็เพราะมึงทำตัวเองทั้งนั้น”

                “กูทำอะไร กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย นี่มันเพิ่งจะเปิดเทอมสัปดาห์แรกเอง” นิวตีหน้ายุ่งใส่เหมือนคนถูกกล่าวหา

                “เหรอ ไม่ได้ทำอะไรเหรอครับ” ซันเว้นจังหวะและทำทีหันมาพูดกับฮ่องเต้ “ไอ้เต้ มึงจำได้หรือเปล่าวะ ว่าไอ้เด็กปีสี่หน้าไหนมันที่ก่อวีรกรรมมาสายสามคาบติดกัน จนอาจารย์บดินทร์สั่งทำโทษวะ”

                ฮ่องเต้ทำเพียงหัวเราะใส่ ตรงข้ามกับคนที่มีเอี่ยวกับเรื่องนี้เต็มๆ อย่างนิว ที่ถึงกับเท้าสะเอวใส่และจ้องหน้าซันอย่างเอาเรื่อง

                “ก็มึงนั่นแหละ ทิ้งกูไปนอนกับสาวที่ไหนก็ไม่รู้ เลยไม่มีใครช่วยปลุกกูไง มึงก็รู้ๆ อยู่ว่ากูตื่นยาก”         

                “มึงก็หัดตื่นเองมั่งดิวะ เรียนจบไปก็ใช่ว่ากูจะได้อยู่กับมึงเสียหน่อย ยังไงสักวันหนึ่งมึงก็ต้องตื่นไปทำงานเองอยู่ดีหรือเปล่าวะ”

                นิวนิ่งไปเล็กน้อยอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างหันมามองหน้าซันตาเป็นประกาย

                “งั้นมึงก็ไปอยู่กับกูดิ”

                “ใช่เรื่อง” ซันตอกกลับทันที หากแต่นิวยังคงไม่ยอมแพ้

                “ไม่รู้เว้ย หลังจากเรียนจบ กูจะไปสมัครงานที่เดียวกับมึง ย้ายไปอยู่หอเดียวกับมึง แล้วก็...”

                “แต่งงานสร้างครอบครัวกับกูด้วยเลยไหมล่ะ” ซันพูดประชดประชันใส่ หากแต่นิวกลับคิดเป็นอีกอย่าง

                “เออ ก็ดีนะ กูจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาเมียไง บอกตามตรงว่าตอนอยู่หอกับมึงนี่กูโคตรสบายเลยว่ะ ฮ่าๆๆ”

                และนิวก็หัวเราะลั่นอย่างไม่สนใจสายตาของซันที่มองมันด้วยความเอือมระอาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่นิวจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ฮ่องเต้กับซันเดินตามหลัง

 

                เวลาลุล่วงเข้าไปห้าโมงเย็นแล้ว เด็กปีหนึ่งต่างทยอยเข้ามาในลานกิจกรรมในร่มประจำคณะ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเชียร์กันเป็นวันแรก เพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมระหว่างเปิดเทอมที่จะเกิดขึ้น โดยมีรุ่นพี่แต่ละชั้นปีเข้ามาดูแลรุ่นน้องไม่ห่าง

                 เช่นเดียวกับฮ่องเต้ นิวและซันที่ก็เดินลัดเข้ามาทางประตูหลัง ที่ฮ่องเต้ต้องเข้าห้องเชียร์ในวันนี้ ก็เพราะเรื่องการคัดเลือกดาวเดือนคณะที่เขาต้องเข้าไปเอี่ยวเพราะเคยเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวด ส่วนสองรายหลัง คนหนึ่งมาเพราะเป็นตัวแทนนักศึกษาชั้นปีที่สี่ในการเก็บภาพบรรยากาศกิจกรรม ส่วนอีกคนมาเพราะชอบเข้าร่วมกิจกรรมกับรุ่นน้อง ไม่สิ อันที่จริงต้องบอกว่ามาเพื่อส่องสาวๆ มากกว่า เพราะคนที่ถือคติว่าสาวสวยคือสีสันและอาหารตาในชีวิตอย่างนิว คงไม่มีธุระอื่นใดที่จะสำคัญไปกว่ารุ่นน้องสาวๆ อีกแล้ว

                “ให้กูช่วยมองหาว่าที่แฟนมึงให้ป่ะ” นิวหันไปหยอกล้อทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามารวมตัวกับรุ่นพี่ที่มาออกันอยู่ด้านหลังห้องเชียร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเด็กปีสามที่กำลังเช็คชื่อเด็กปีหนึ่ง ซึ่งกำลังต่อแถวเรียงคิวกันเดินเข้ามาในห้องเชียร์

                “มึงไม่ต้องมากวนตีนกูเลยนะไอ้นิว” ฮ่องเต้หันไปทำหน้าดุใส่อย่างเคยและเช่นกัน นิวก็ยังคงไม่ยี่หระกับคำพูดใดๆ เพราะยิ่งทำให้ฮ่องเต้โมโหใส่ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสนุกสำหรับเขา

                “กวนตีนที่ไหน นี่กูช่วยมึงเลยนะเว้ย”

                “ช่วยห่าอะไร มึงไม่ต้องมายุกูเรื่องสายรหัสเลยนะ”

                “เรื่องอะไรล่ะ ก็กูอยากให้มึงมีแฟน กูก็ต้องยิ่งยุมึงดิวะ ฮ่าๆๆ” นิวพูดอย่างลอยหน้าลอยตา จนเกือบจะโดนฝ่าเท้าของฮ่องเต้ที่ลอยตามมาติดๆ  โชคดีที่เขาจับทางเพื่อนรักเขาได้ ก้นของเขาจึงพ้นจากฝ่าเท้าของฮ่องเต้ไปอย่างหวุดหวิด ทำเอาคนที่ลดเท้าลงต้องเท้าสะเอวใส่อย่างหงุดหงิดใจ

                น่าจะโดนสักทีนะไอ้นิว

            แต่ก็ได้คิดแค้นแค่ในใจเท่านั้น ก่อนที่จะลงไปนั่งกับม้านั่งและมองพวกรุ่นน้องที่ทยอยเข้ามานั่งในห้องเชียร์ต่อ ส่วนนิวก็มุ่งหน้าเข้าไปหาสาวๆ ต่อด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดๆ  ขณะที่ซันก็ออกไปทำหน้าที่ เริ่มทยอยถ่ายรูปบรรยากาศรอบห้องเชียร์ จนกระทั่ง...

                สายตาของฮ่องเต้เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเช็คชื่ออยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าที่คุ้นตาทำเอาหัวใจของเขาเริ่มสั่น อาจจะเพราะกังวลใจหรือไม่ก็เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหนและเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่ามันมักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาได้เจอกับโฟโต้

                จนเขาต้องพยายามเบนสายตาไปมองทางอื่นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้นให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาระยะห่างและความปลอดภัยให้กับหัวใจตัวเอง

               

                ระหว่างนั้น...

                สีฝุ่นหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตึกคณะ ก้มมองมือถือในมือของตัวเองที่มีข้อความจากคนแปลกหน้าเข้ามาในไลน์ ข้อความนั้นถูกส่งมาตั้งแต่ตอนบ่ายสอง แต่เพราะว่าเขาติดเรียนจึงไม่มีโอกาสได้แตะโทรศัพท์ เลยเพิ่งจะมาเห็นข้อความเอาตอนเกือบห้าโมงเย็นไปแล้ว

                “คืนนี้ว่าไงเพื่อน” เสียงของ มิว เพื่อนสนิทในคณะดังมาจากทางด้านหลังพร้อมกับแขนยาวๆ ที่พาดตรงบ่า สีฝุ่นจึงละสายตาจากมือถือแล้วหันไปคุยกับเพื่อนของเขาก่อน

                “ไม่ว่ะ กูกะจะงดเข้าร้านสักพัก” แม้ว่าเจ้าตัวจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่คำตอบนั้นกลับทำให้มิวถึงกับอึ้ง จับไหล่เพื่อนให้หันมาทางตัวเองและมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า

                “เฮ้ย นี่มึงเป็นใครวะ ใช่ไอ้สีฝุ่นเพื่อนกูป่ะเนี่ย”

                ป้าบ!

                มือของสีฝุ่นฟาดเข้าที่หัวของมิวเสียงดังลั่น

                “ตลกละมึง”

                “เอ้า ก็ปกติเพื่อนกูไม่เคยพูดอะไรแบบนี้นี่หว่า...” มิวว่าพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ “...มึงไม่รู้หรอก ที่ผ่านมามึงซดเหล้าแทนน้ำทุกวัน ตั้งไม่รู้กี่เดือน จนกูเนี่ยคิดว่ามึงติดเหล้าไปแล้วนะเว้ย”

                สีฝุ่นถึงกับนิ่งไปกับคำพูดของเพื่อนที่แทงใจดำเขาเข้าเต็มๆ ที่มิวพูดไม่ได้เกินไปเลยสักนิด เพราะหลายเดือนที่ผ่านมาเขาก็เอาแต่เข้าร้าน กลับถึงห้องอย่างหมดสภาพ จนไม่เป็นอันทำอะไร

                “แต่กูก็ต้องขอบใจมึงนะเว้ย ที่อุตส่าห์ดูแลกูมาตลอด”

                “ไม่เป็นไรเว้ย อีกอย่าง กูเห็นมึงคิดได้ กูก็ดีใจ งั้นเดี๋ยวกูกลับก่อนละ ต้องไปรับแฟนว่ะ”   พูดจบ มิวก็แยกตัวออกไปรับแฟนตามที่บอก ก่อนที่สีฝุ่นจะก้มลงมองมือถือและจัดการกับข้อความที่ส่งเข้ามา

                สีฝุ่น : เดี๋ยวพี่ไปหาที่คณะก็ได้ครับ

            เขาพิมพ์ตอบกลับไปแค่นั้น ก่อนจะหย่อนมือถือใส่กระเป๋ากางเกง หากแต่ข้อความที่เข้ามาใหม่ทำให้เขาต้องชะงักมือและก้มลงมองมือถืออีกครั้ง

                กาฟิวด์ : ถ้าอย่างนั้น ผมรออยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อน หลังโรงอาหารสังคมนะครับ

            เสร็จสรรพจึงหย่อนมือถือลงในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะเดินออกจากตึกและข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามคณะอักษรศาสตร์ที่เขาเรียนอยู่ ซึ่งเป็นคณะสังคมศาสตร์เพื่อไปตามนัดของกาฟิวด์ เด็กปีหนึ่งที่เขาเองก็ยังไม่เคยจะเห็นหน้าเลยสักครั้ง แต่เด็กคนนั้นกลับมีไลน์เขาเสียได้

                แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เดินเข้าไปในคณะสังคมฯ เสียงของใครบางคนก็ดังเรียกชื่อเขาขึ้นมา เสียงนั้นทำเอาสีฝุ่นต้องชะงักฝีเท้า สีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันตาเห็น แต่ยังคงไม่ยอมหันหลังกลับไปมองเพราะใจของเขาที่เต้นไม่เป็นระส่ำระส่าย

                “ขอเวลาพี่สักเดี๋ยวได้ไหม” รุ่นพี่ปีสามในชุดนักศึกษาต่างมหา’ลัยเอ่ยปากถาม ดวงตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินหนีออกมา

                “เดี๋ยวสิฝุ่น รอพี่ก่อน” อ้นยังคงไม่ลดละความพยายาม เพราะเขาติดต่อกับสีฝุ่นไม่ได้มาซักระยะหนึ่งแล้ว จนกระทั่งเขาตัดสินใจมาตามหาที่มอภัคนลินและได้เจอกับสีฝุ่นในวันนี้

                สีฝุ่นเร่งฝีเท้า ก้าวขาฉับๆ อย่างไม่สนใจใยดีคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งและเอาแต่ตะโกนเรียกตามหลังมาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งมาถึงตรงจุดที่มีนักศึกษาบางตาอย่างโซนหลังคณะสังคมศาสตร์ และเพราะว่าสีฝุ่นหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ไม้หินอ่อน อ้นจึงสบโอกาสคิดเข้าข้างตัวเองว่าสีฝุ่นอาจจะต้องการคุยกับเขาในที่ปลอดคนเพื่อความสะดวก

                “สีฝุ่น ขอบคุณนะ ที่ยอมคุยกับ...”

                “พี่สีฝุ่นใช่ไหมครับ”

                อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจังหวะ ทำให้อ้นชะงัก ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองยังเด็กปีหนึ่งอีกคนที่เขาเพิ่งจะเห็น หลังจากที่มัวแต่มองสีฝุ่น

                “ครับ น้องฟิวด์” สีฝุ่นเหลือบมองป้ายชื่อที่ห้อยคอของคนตรงหน้าและร้องบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปหากาฟิวด์ที่ยังคงยืนยิ้มอย่างไม่รับรู้ถึงบรรยากาศตึงเครียดรอบข้าง

                แต่รอยยิ้มสดใสนั้น กลับทำให้ใครบางคนฉุนกึก สายตาของอ้นไม่อาจจะมองความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ที่อยู่ตรงหน้าไปในทางที่ดีเลยแม้แต่น้อย

                “นี่ครับ เสื้อของพี่ฮ่องเต้” กาฟิวด์ยื่นถุงกระดาษไปตรงหน้า กะเอาไว้ว่าจะฝากขอบใจฮ่องเต้ต่ออีกสักหน่อย แล้วจะได้กลับหอ แต่มันดันติดอยู่ที่สีฝุ่น ซึ่งทำเพียงแค่ปรายตามองลงมาที่ถุงในมือของคนตัวเล็กด้วยสายตาที่สื่ออกมาว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับกาฟิวด์

                “พี่ว่าน้องฟิวด์เอาไปคืนพี่เต้เองดีกว่านะครับ” พูดพลางเอื้อมมือไปจับมือกาฟิวด์และกะจะเดินออกไปจากที่นี่ แต่เพราะว่าภาพตรงหน้าที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง ทำให้อ้นต้องเข้ามาขวางหน้าคนทั้งคู่เอาไว้

                “ถ้าฝุ่นคิดจะประชดพี่ด้วยการทำแบบนี้ ก็อย่าเลยดีกว่าเพราะยังไงพี่ก็จะตามฝุ่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าฝุ่นจะกลับมาหาพี่”

                น้ำเสียงตัดพ้อของอ้น ทำให้สีฝุ่นเลือกที่จะไม่ยอมสบตากับคนตรงหน้าเพราะใจของเขายังไม่เข้มแข็งพอที่จะต้องมาเจอกับคนๆ นี้

                “แล้วแต่พี่เถอะครับ” เขาจึงทำได้เพียงร้องบอกคนตรงหน้าสั้นๆ และจูงมือกาฟิวด์ รีบเดินหนีออกมาจากบริเวณนั้นทันที โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้า แววตาและท่าทางของอ้นที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

                ก่อนที่อ้นจะล้วงมือถือออกมาและกดโทรหาใครบางคน

                “ยังอยู่ที่นั่นใช่ไหม ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ”

 

                กาฟิวด์ทำเพียงแค่ปล่อยให้สีฝุ่นลากมาที่ลานจอดรถคณะอักษรฯ โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำเพราะท่าทางที่ดูไม่ดี แถมยังสีหน้าที่แสดงอารมณ์ขุ่นมัวออกมาอย่างปิดไว้ไม่มิด กระทั่งสีฝุ่นหยุดเดินและหันหน้ากลับมาหาเขา

                “ขอโทษนะ”

                กาฟิวด์มองหน้าสีฝุ่นที่เอ่ยคำพูดนั้นออกมาและระบายยิ้มจางๆ กลับไปให้ ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง

                “พี่ฝุ่น...ไม่เป็นไรนะครับ”

                สีฝุ่นอดเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจกับคำถามของคนที่เพิ่งจะเห็นหน้ากันไม่ได้ จังหวะนั้นเองที่เขาเพิ่งจะมีโอกาสได้มองสำรวจคนตรงหน้า

                ใบหน้าที่แลดูน่ารักมากเกินกว่าจะคิดว่าเป็นผู้ชาย รูปร่างและผิวพรรณดูมีน้ำมีนวลและน่าถะนุถนอม อีกทั้งริมฝีปากและดวงตาที่ดูเหมือนลูกสิงโตนั่น ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้เขาต้องหยุดมอง

                “พี่สีฝุ่น...”

                นี่มันคนหรือตุ๊กตากันแน่

            สีฝุ่นอุทานขึ้นมาในใจอย่างไม่อาจจะละสายตาจากคนตรงหน้าได้ จนกาฟิวด์ต้องเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับเอามือมาจับแขนเขาเขย่าเล็กน้อยเพราะคิดไปไกลว่ารุ่นพี่ตรงหน้าเป็นอะไรไป

                 “พี่โอเคหรือเปล่าครับ” ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ขณะที่สีฝุ่นได้สติ มองหน้ารุ่นน้องตรงหน้าเล็กน้อยและหัวเราะออกมาเบาๆ กับอาการของตน

                คิดอะไรของมึงวะ สีฝุ่น

                “ไม่เป็นไรครับ พี่โอเค” สีฝุ่นตอบคำถามพลางระบายยิ้มออกมา

                “ถ้าอย่างนั้น อันนี้ ผมฝากคืนพี่เต้ด้วยนะครับ” กาฟิวด์ยื่นถุงกระดาษมาตรงหน้าอีกครั้ง แต่คราวนี้สีฝุ่นยอมรับไปแต่โดยดี เขาสำรวจของในถุงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับกาฟิวด์

                “แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ ให้พี่ไปส่งไหม”

                “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเพื่อนผมมารับ” โกหกออกไปเพราะความเกรงใจ ประกอบกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ทำให้เขาต้องเว้นระยะห่างจากสีฝุ่นเอาไว้

                เผื่อบางที พี่เขาอาจจะอยากอยู่คนเดียว

                “โอเคครับ” สีฝุ่นรับคำเพียงเท่านั้น ก่อนที่กาฟิวด์จะแยกตัวไป ขณะที่สีฝุ่นก็กระโดดขึ้นรถและขับออกไปจากคณะอักษรศาสตร์

 

                 ที่ห้องเชียร์ คณะนิติศาสตร์...

                หลังจากที่รุ่นพี่ปีสามอธิบายเรื่องการคัดเลือกดาวเดือนคณะ ซึ่งได้มีการคัดเลือกจากสายตาพวกรุ่นพี่ไปแล้วหนึ่งรอบ ครั้งนี้จึงถึงคิวของรุ่นน้องที่มีหน้าที่โหวตว่าอยากให้ใครเป็นตัวแทนในการประกวด โดยอาศัยวิธีง่ายๆ คือการเขียนชื่อเพื่อนลงในกระดาษและส่งให้กับรุ่นพี่เพื่อช่วยกันนับคะแนนโหวต ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ในการนับ ระหว่างนั้น รุ่นพี่บางส่วนก็เข้าไปคุยเรื่องกิจกรรมอื่นๆ กับรุ่นน้องไปพลางๆ  ขณะที่พวกที่อยู่ตรงโต๊ะด้านหลังห้องเชียร์กำลังวุ่นอยู่กับการนับคะแนน

                “กูว่าหนึ่งในนั้นต้องมีว่าที่แฟนมึง” ยังคงเป็นนิวที่หันมาคุยเรื่องของสายรหัสและคงไม่ต้องบอกว่าสีหน้าของฮ่องเต้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจแค่ไหน

                “ไม่พูดเรื่องนี้ซักชั่วโมง มึงจะตายไหม” ฮ่องเต้หันไปตอกกลับอย่างเซ็งๆ

                “ไม่ต้องถึงชั่วโมงหรอก แค่สามวินาที กูก็ลงแดงตายแล้วเว้ย” พูดจบก็หัวเราะร่าออกมาเช่นเคย หาได้สะทกสะท้านใดๆ กับคำพูดของเพื่อนไม่

                ก่อนที่เสียงประกาศจากรุ่นพี่ปีสามจะดังขึ้นมา ดึงความสนใจของทุกคนที่อยู่ในห้องเชียร์

                “ถ้าพี่ประกาศชื่อใคร ขอให้น้องคนนั้นออกมายืนข้างหน้าด้วยนะคะ”

                “ต้องมีไอ้โฟโต้แน่ๆ เชื่อกูดิ” นิวยังไม่วายใช้ศอกสะกิดเข้าที่สีข้าง จนฮ่องเต้อดถองศอกใส่อย่างนึกรำคาญไม่ได้

                “หุบปาก เก็บน้ำลายไว้บ้างเหอะมึง”               

                แต่คนโดนว่าก็ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่อย่างนั้น

                “สำหรับดาวคณะคนแรกนะคะ น้องฝ้าย สามหนึ่งศูนย์ค่า”

                เสียงปรบมือและโห่แซวจากพวกผู้ชายดังกราว เพราะต่างก็หมายตาน้องฝ้ายเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในคณะ ก่อนที่รุ่นพี่จะประกาศรายชื่อว่าที่ดาวคณะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบทั้งเจ็ดคน จึงเริ่มประกาศรายชื่อคนที่ผ่านเข้าการคัดเลือกเดือนคณะต่อ

                “สำหรับเดือนคณะคนแรกนะคะ น้องนัท สองศูนย์สี่ค่า”

                เป็นไปตามที่ฮ่องเต้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดเพราะออร่าของนัทที่โดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอ สายตาของเขามองตามนัทที่เดินออกไปยืนอยู่ข้างหน้า ท่ามกลางเสียงเชียร์ของพวกสาวๆ ในห้องเชียร์ทั้งหลายแหล่             

                “ไอ้น้องคนนี้ใช่ป่ะ ที่เขาว่ากันว่าเป็นนายแบบ” นิวหันมาถามอย่างสงสัย

                “ไม่รู้เว้ย” ฮ่องเต้ตอบไปตามความจริงเพราะเขาไม่ได้รู้จักมักจี่เด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว

                “มึงไม่รู้ได้ไงวะ น้องเทคมึงไม่ใช่หรือไง”

                “กูไม่ใช่พวกชอบสอดรู้สอดเห็น จะได้รู้เรื่องชาวบ้านเขาไปทั่วอย่างมึง” ฮ่องเต้ตอกกลับไปอย่างสาแก่ใจ หากแต่มันกลับเปิดโอกาสให้เพื่อนนิวเข้าจนได้

                “อ๋อ มึงจะบอกว่ามึงเป็นพวกชอบถูกสอดมากกว่างั้นดิ” พูดจบก็ยิ้มกริ่มออกมา

                ฮ่องเต้นิ่งไปสักพัก ก่อนจะเบิกตากว้างและหันไปโบกหัวคนข้างๆ ครั้นเข้าใจในสิ่งที่นิวพูด

                “คิดได้แต่เรื่องเหี้ยๆ นะมึง”

                “มึงจะมาว่ากูไม่ได้นะเว้ย มึงนั่นแหละ เปิดประเด็นสอดๆ ก่อน”

                “เดี๋ยวหมัดกูจะได้สอดเข้าที่หน้ามึง”

                “โธ่ ทำเป็นมาโหดใส่”

                “หุบปากได้ละมึง” พูดจบก็เอามือกอดอกและหันใบหน้าหงุดหงิดไปอีกทาง มองดูพวกรุ่นน้องทำกิจกรรมกันต่อ

                “ส่วนเดือนคณะคนสุดท้ายนะคะ น้อง...”

                “โฟโต้ๆๆ” นิวทำทีเข้ามากระซิบเชียร์ที่ข้างหู จนฮ่องเต้ต้องชักสีหน้ารำคาญใส่อีกหน หากแต่นิวกลับหัวเราะร่า ก่อนจะโหวกเหวกขึ้นมาเสียงดังเมื่อรุ่นน้องประกาศว่า

                “...น้องโฟโต้ หนึ่งเจ็ดแปดค่า”

                “บร๊ะ กูว่าแล้ว!!” และเจ้าตัวก็ตบเข่าฉาด แถมยังเอาแขนมาพาดบ่าฮ่องเต้อย่างกวนๆ อีกต่างหาก

                “ออกไปไกลๆ เลย” ฮ่องเต้ว่าพร้อมกับผลักนิวออก

                “ทำมาไล่กู มึงดีใจที่น้องมันเข้ารอบก็บอกมาเถอะ”

                “ถ้ากูจะดีใจก็เพราะมันเป็นสายรหัสกูก็แค่นั้นล่ะวะ”

                “จริงเหรอ กิ้วๆๆ” นิวหันไปแซวจนเกือบฮ่องเต้ถีบเข้าให้ หากแต่เจ้าตัวกลับหลบทัน แต่ก็ไปชนกับคนมาใหม่ จนใครคนนั้นร้องเสียงหลงเพราะเท้าของนิวที่เหยียบเข้าที่เท้าของเขาเข้า

                “โหย เหยียบมาได้นะเฮียนิว” เป็นสีฝุ่นที่เดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระดาษในมือ

                “กูขอโทษ ก็เฮียมึงอ่ะดิ จะถีบกู” นิวหันไปฟ้องเหมือนเด็กๆ  ทำเอาสีฝุ่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้

                “เฮียเขาคงอยากกลบเกลื่อนความน่ารักล่ะมั้งครับ ฮ่าๆๆ” และสองพี่น้องก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวสายตาดุๆ ของคนที่ถูกเอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อย

                “เดี๋ยวมึงจะได้โดนอีกคน ไอ้ฝุ่น”

                สีฝุ่นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนเป็นพี่และตรงเข้ามาหาฮ่องเต้พร้อมกับยื่นถุงกระดาษในมือมาให้

                “แต่ก่อนที่ผมจะโดน เฮียคงต้องตอบผมมาก่อนแล้วล่ะครับ ว่าเฮียคิดจะทำอะไร”

                คำพูดของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้ขมวดคิ้วเป็นปม รับถุงกระดาษมาเปิดดูอย่างสงสัย ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าในนั้นเป็นเสื้อที่เขาเคยให้กาฟิวด์ใส่

                “ว่าไงครับ เฮีย” สีฝุ่นยิ้มกริ่มมองใบหน้าคนเป็นพี่อย่างจับพิรุธ ขณะที่ฮ่องเต้พยายามปรับสีหน้า ทำทีเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                 

               

 

Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมดอดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ


                                       :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 19:47:50
ตอนที่ 11 แกล้งนักมักรักเอง Part 2

                “ว่าไงครับ เฮีย” สีฝุ่นยิ้มกริ่มมองใบหน้าคนเป็นพี่อย่างจับพิรุธ ขณะที่ฮ่องเต้พยายามปรับสีหน้า ทำทีเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “ทำอะไร”

                สีฝุ่นรู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำถาม หากแต่เป็นการพยายามบ่ายเบี่ยงการตอบคำถามของเขาต่างหาก  อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มีหรือที่สีฝุ่นจะไม่รู้จักนิสัยของคนเป็นพี่

                “ก็ไอ้ที่เฮียเอาไลน์ผมให้น้องกาฟิวด์ไงครับ”

                “ก็น้องเขาขอเบอร์เอาไว้ จะได้ติดต่อเอาเสื้อมาคืนไง” ฮ่องเต้พยายามตอบคำถามอย่างระมัดระวัง

                “ทั้งๆ ที่เสื้อมันเป็นของเฮียเนี่ยนะ ทำไมเฮียไม่เอาเบอร์ตัวเองให้น้องไป” สีฝุ่นยังคงจับตาคนเป็นพี่ไม่เลิก ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับหลุดท่าทีแปลกๆ ออกมา แม้จะเล็กน้อย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้คนเป็นน้องสังเกตเห็น

                “ก็ตอนนั้น แบตมือถือกูหมด แล้วกูก็จำเบอร์ตัวเองไม่ได้ เลยเอาเบอร์มึงให้น้องมันไปไง”

                “จำเบอร์ตัวเองไม่ได้ แต่ดันจำเบอร์ผมได้ ไม่เนียนเลยนะครับ เฮียบอกความจริงกับผมมาเหอะ”

                สีฝุ่นกอดอกรอคำตอบ เช่นเดียวกับนิวที่ยืนอยู่ข้างหลังรอฟังด้วยความสนอกสนใจ (อันที่จริงแค่อยากเผือก) จนท้ายที่สุด ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด

                “เออ กูบอกความจริงมึงก็ได้” ฮ่องเต้เหลือบไปมองสีฝุ่นแบบเซ็งๆ ก่อนจะเริ่มเล่า

                “ก็คืนนั้นที่มึงโทรตามให้กูไปรับที่ร้าน มึงเล่นเมาไม่รู้เรื่อง แล้วไปอ้วกใส่น้องฟิวด์ กูเลยต้องเอาเสื้อกูให้น้องเขาเปลี่ยน ตอนแรกกูก็กะจะให้เสื้อน้องมันไปเลย แต่น้องมันดันอยากซักเสื้อมาคืน แล้วขอเบอร์กูเอาไว้ อันที่จริงกูให้เบอร์กูไปก็ได้นะ แต่พอดีว่าคนที่ก่อเรื่อง มันคือมึงไง กูเลยเอาเบอร์มึงให้น้องฟิวด์ไปแทน เผื่อมึงจำได้ว่าไปอ้วกใส่เขาไว้ จะได้ทำอะไรเพื่อเป็นการขอโทษไง”

                สีฝุ่นกระพริบตาปริบๆ  สมองพยายามประมวลผลสิ่งที่ฮ่องเต้เล่าออกมายาวเหยียด

                “เฮียไม่ได้เล่านิทานหลอกผมใช่ไหม”

                ป้าบ!

                ฮ่องเต้หันไปโบกหัวคนเป็นน้องอย่างเหลืออดเพราะดันมาว่าเขากุเรื่องขึ้นมาได้ คนอุตส่าห์พูดความจริงแท้ๆ  ถึงแม้จะพูดออกมาไม่หมดก็ตามเถอะ

                จะบอกหมด ไม่หมด ผมก็ถือว่าได้บอกความจริงออกไปก็แล้วกัน

            “ก่อเรื่องเอง แล้วยังจะมาหาว่ากูมั่วอีก”

                “แล้วทำไมเฮียไม่บอกผมตั้งแต่แรกเล่า เรื่องมันก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วอ่ะ” สีฝุ่นเอามือลูบหัวป้อยๆ หน้าหดเหลือสองนิ้ว ท่าทางวางมาดจับพิรุธเมื่อครู่หายไปในพริบตา

                “ก็ตอนนั้นมึงมัวแต่เสียใจอยู่ กูก็เลยพลอยลืมเรื่องน้องฟิวด์ไปด้วยไง” ฮ่องเต้ได้แต่ส่ายหน้าใส่อย่างเอือมระอา

                “เออ เอาเป็นว่าผมจะไปขอโทษน้องก็แล้วกัน” พูดพลางทำหน้ายู่ “งั้นผมกลับก่อนก็แล้วกัน ต้องไปเอาชุดนักศึกษา เดี๋ยวร้านปิดก่อน”

                “อืม แล้วอย่าไปก่อเรื่องที่ไหนอีกล่ะมึง กูขี้เกียจตามช่วย” ฮ่องเต้หมายถึงเรื่องเข้าร้านเหล้า

                “รู้แล้วน่า ผมกลับละ บายครับเฮียนิว” ท้ายประโยคหันไปบอกคนที่เอาแต่ยืนเงียบมานานสองนาน หากแต่ตาดูหูฟังสองพี่น้องคุยกันอย่างจับความได้บ้างไม่ได้บ้าง

                “ไว้เจอกัน” นิวร้องบอกพ้อมกับมองตามสีฝุ่นที่เดินออกไปจนลับสายตา ก่อนจะหันขวับกลับมามองหน้าฮ่องเต้

                “อะไรมึง” ฮ่องเต้ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ทันทีที่เห็นอะไรบางอย่างในแววตาของนิว

                “มึงไม่ได้คิดจะจับคู่ให้น้องมึงใช่ไหม”

                คำถามของนิวทำเอาฮ่องเต้ต้องเหลือกตาใส่ “งดเผือกสักมื้อเถอะมึงน่ะ”

                “เออ กูไม่ยุ่งเรื่องของไอ้ฝุ่นมันก็ได้ แต่กูจะยุ่งเรื่องของมึงแทนก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็กระเถิบเข้ามาใกล้และเอาแขนพาดบ่าฮ่องเต้ “รู้สึกยังไงบ้างครับ ที่ว่าที่แฟนผ่านเข้ารอบเดือนคณะ”

                ฮ่องเต้หันไปยิ้มมาดร้ายใส่นิว “เสือกขนาดนี้ ไปเป็นเมียน้องมันแทนกูเลยไหมล่ะ”

                “ไม่เอาอ่ะ กูไม่ชอบยุ่งกับของๆ เพื่อน แล้วอีกอย่างนะ กูเป็นพวกชอบสอด ไม่ได้ชอบถูกสอดแบบมึง เฮ้ยยยยย”

                เป็นอันต้องร้องเสียงหลงในตอนท้าย เมื่อฮ่องเต้หันไปคว้าโทรโข่งแถวนั้นขึ้นมาหมายจะฟาดเข้ากลางแสกหน้าของคนพูดมาก จนนิวต้องยกมือขึ้นร้องห้ามแทบไม่ทัน

                “ทำร้ายร่างกายคนอื่นมันผิดกฎหมายนะขอรับ โดยเฉพาะกับเพื่อนที่ทั้งหวังดีและหน้าตาดีอย่างผมเนี่ย ยิ่งบาปกรรม เกิดมาชาติหน้าไม่น่ารักเท่าชาตินี้นะเว้ย เฮ้ยยยย”

                นิวร้องลันอีกครั้งเพราะฮ่องเต้ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่จริงๆ

                “พอๆ เลยมึง มึงไม่ต้องไล่กูด้วยวิธีนี้หรอก นี่! กูมีเท้า นะเพื่อนนะ กูเดินไปเองได้ ไปละ” พูดจบก็วิ่งแจ้นหายตัวไปอย่างเช่นเคย ฮ่องเต้จึงถอนหายใจใส่ไปทีหนึ่งพร้อมกับลดมือและเอาโทรโข่งวางไว้ที่โต๊ะดังเดิม

                “ไอ้เต้ ประชุมดาวเดือน” เจมส์เดินมาเรียก หลังจากรุ่นพี่ปีสามประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านเข้ารอบดาวเทียมทั้งเจ็ดคนและประกาศเลิกห้องเชียร์ในเวลาต่อมา เหลือไว้เพียงแค่นักศึกษาปีหนึ่งที่เข้ารอบการคัดเลือกดาวเดือน รวมถึงดาวเทียมของคณะและรุ่นพี่ดาวเดือนแต่ละชั้นปี รวมถึงรองเดือนคณะปีห้าเจ็ดอย่างฮ่องเต้

 

                โฟโต้ นัทและฝ้ายกระเถิบเข้ามารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ  ดาวเดือนคนอื่นๆ  เพื่อรอรุ่นพี่เข้ามาพูดคุยเรื่องการประกวด

                “ก่อนอื่น พี่จะขอแนะนำดาวเดือนแต่ละชั้นปีให้รู้จักก่อนเลยนะคะ” รุ่นพี่ปีสามซึ่งเป็นเฮ้ดหลักในการจัดงานประกวดเริ่มเปิดประเด็นและทยอยแนะนำรุ่นพี่แต่ละคนให้รุ่นน้องได้รู้จัก โดยเริ่มจากรุ่นพี่ปีสี่อย่างเจมส์

                แต่เดือนคณะที่พ่วงด้วยตำแหน่งเดือนมหา’ลัยอย่างเจมส์ กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของโฟโต้กับนัทเลยแม้แต่น้อย เพราะสายตาของทั้งคู่เอาแต่จับจ้องไปทางใครอีกคนที่กำลังออกมาแนะนำตัวเป็นคนต่อมา

                “สวัสดีครับ พี่ชื่อฮ่องเต้ จะเรียกว่าพี่เต้ก็ได้นะครับ พี่เป็นรองเดือนคณะปีห้าเจ็ดนะ” ว่าแล้วก็ยิ้มใส่รุ่นน้องไปที จนสาวน้อยสาวใหญ่ จะว่าไปก็รวมถึงหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ (โดยเฉพาะโฟโต้กับนัท) ถึงกับยิ้มตามเป็นทิวแถว ก่อนที่รุ่นพี่ปีถัดไปจะทยอยแนะนำตัวกันจนครบ

                “สำหรับการประกวด น้องๆ ต้องเตรียมการแสดงมาคนละหนึ่งอย่าง จะเป็นร้องเพลง เล่นดนตรีหรืออะไรก็ได้ที่แสดงศักยภาพของน้องๆ ออกมาให้ได้มากที่สุดนะคะ ทั้งนี้ พวกพี่ๆ จะให้น้องทุกคนจับฉลาก เพื่อเลือกพี่เทคน้องๆ กันนะคะ”

                ว่าแล้วก็ยื่นกล่องไปให้พร้อมกับเด็กปีหนึ่งที่ทยอยจับฉลากขึ้นมาทีละคน โดยเริ่มจากผู้หญิงก่อน ค่อยมาเป็นผู้ชายจนครบ ท่ามกลางสายตาของฮ่องเต้ที่เผลอไปมองโฟโต้ซึ่งกำลังเปิดฉลากอ่านอยู่ ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนา ขอให้โฟโต้จับได้รุ่นพี่คนอื่นทีเพราะช่วงระยะเวลาการประกวดดาวเดือนยาวนานหลายสัปดาห์ แน่นอนว่ามันมากพอที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

                หากแต่ฮ่องเต้คงจะหลงลืมไปว่าการที่เขามาเจอกับโฟโต้ได้ เป็นเพราะอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองประจำคณะนิติศาสตร์ รวมถึงการจับฉลากเลือกพี่เทคในครั้งนี้ ที่ดูเหมือนสายรหัสอาถรรพ์จะไม่ยอมปรานี พยายามสานสัมพันธ์ให้กับคนทั้งคู่

                “น้องโฟโต้ จับได้ใครเอ่ย” รุ่นพี่ปีสามร้องถาม ขณะที่นั่งยองๆ ตรงหน้า ในมือถือปากกากับกระดาษเตรียมจดชื่อ

                โฟโต้เงยหน้าขึ้นมาพลางปรายตามองไปทางฮ่องเต้เล็กน้อย ทำเอาคนถูกมองถึงกับแววตาสั่นระริกเพราะรับรู้ถึงลางร้ายที่กำลังมาเยือนตน ก่อนที่โฟโต้จะหันกลับมามองหน้ารุ่นพี่ปีสามตรงหน้าและเอ่ยปากพูดออกมาว่า

                “พี่ฮ่องเต้ครับ”

                ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง ฮ่องเต้ลมแทบจับทันทีที่ชื่อของตัวเองหลุดออกมาจากปากของเด็กปีหนึ่งที่เขาไม่อยากใกล้ชิดมากที่สุด ส่วนโฟโต้เองก็เหลือบมองฮ่องเต้เป็นระยะๆ  เช่นเดียวกัน

                ก็ใช่จะมีแต่ฮ่องเต้ที่รู้สึกถึงบางอย่างคนเดียวเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจเช่นเดียวกัน ตรงกันข้ามกับรุ่นพี่ปีสามที่แทบจะยิ้มกริ่มทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ขณะที่มือก็จดชื่อลงไปในกระดาษ เมื่อจดรายชื่อครบหมดทุกคนแล้ว จึงยืนขึ้นและกลับไปยืนประจำตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่ต่อไป

                หลังจากอธิบายเรื่องงานดาวเดือนคณะต่อจนเสร็จสรรพ รุ่นพี่รุ่นน้องต่างก็ทยอยเข้าไปทักทายและพุดคุยกับพี่เทคของตนเอง รวมถึงโฟโต้ที่เดินเข้าไปหาฮ่องเต้ที่ทำหน้านิ่ง หากแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ท่ามกลางสายตากรุ้มกริ่มของรุ่นพี่รุ่นน้องดาวเดือนรอบข้างที่มองมาที่พวกเขาอย่างรู้กันดีในความหมาย

                “ดีใจจัง ที่เป็นพี่ฮ่องเต้” โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างอย่างล้อเลียนเพราะรู้ดีว่าตนเป็นสาเหตุของสีหน้าบึ้งตึงของคนตรงหน้า

                “มีอะไรจะปรึกษาก็ว่ามา อย่าลีลานัก มันเสียเวลากู” ฮ่องเต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากแต่มันกลับทำให้โต้อดหัวเราะออกมาไม่ได้     

                “อันที่จริง ผมมีเรื่องสำคัญที่อยากจะปรึกษาพี่มานานแล้ว”

                โฟโต้เว้นจังหวะพลางมองฮ่องเต้ที่เหลือบมองมาทางเขาด้วยความอยากรู้ว่าจะถูกรุ่นน้องคนตรงหน้ากวนประสาตอะไรเขาอีก

                “ผมอยากจะปรึกษาว่าต้องทำยังไง พี่ฮ่องเต้ถึงจะทำตัวน่ารักกับผมบ้าง” โฟโต้ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบใดออกไป ผิดกับฮ่องเต้ที่หันทำหน้าดุใส่อย่างพยายามรักษามาดรุ่นพี่ปีสี่ของตนเอาไว้

                “พี่เทคมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแค่เรื่องดาวเดือน ดังนั้น กูจะไม่ตอบคำถามใดๆ ที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องงานประกวด”

                “โธ่ บอกผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ ก็ผมอยากรู้”

                โฟโต้เผลอเอามือไปจับมือของฮ่องเต้แล้วแกว่งไปมาแบบอ้อนๆ

                “เวลาเจอหน้ากันทีไร พี่ก็ทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมตลอด ยิ้มให้ผมบ้างสิครับ เวลาพี่ยิ้ม น่ารักจะตายไป”

                ฮ่องเต้เริ่มฉุนกับคำว่า น่ารัก ที่ออกมาจากปากของโฟโต้เป็นครั้งที่สอง จนต้องเอ่ยปากร้องเตือนคนตรงหน้า

                “ข้อแรกที่มึงควรจะรู้คือกูไม่ชอบให้ใครมาพูดว่ากูน่ารัก”

                “อ่าว ก็พี่น่ารักนี่ครับ”

                แต่ดูเหมือนว่าโฟโต้จะไม่ได้สนใจคำเตือนนั้นเลยแม้แต่น้อย

                “กูจะน่ารักหรือไม่น่ารักมันก็เรื่องของกู แต่ระหว่างที่กูเป็นพี่เทคเดือนให้ มึงห้ามพูดคำว่าน่ารักกับกูไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม”

                “แล้วถ้าผมเผลอหลุดปากพูดออกมาว่าพี่น่ารักล่ะครับ” โฟโต้ยังคงฉีกยิ้มเย้าแหย่รุ่นพี่ปีสี่ตรงหน้าไม่เลิก

                “มึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าถ้ากูได้ยินคำนั้นออกจากปากมึงเมื่อไหร่ มึงก็ไม่ต้องมาคุยกับกู”

                “โห โหดนะเนี่ย” โฟโต้หาได้กลัวคิดแบบที่พูดออกไปไม่ ตรงกันข้ามเขากลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับยิ้มกริ่ม “แต่ฟังๆ ไปก็เหมือนแฟนกันเลยเนอะ เหมือนกับว่าถ้าผมไปบอกรักคนอื่น พี่จะไม่คุยกับผมอย่างนั้นแหละ”

                “ไอ้โฟโต้!” ฮ่องเต้เรียกชื่อเด็กปีหนึ่งจอมกวนเสียงดังลั่น “ถ้ามึงกวนตีนกูอีกแค่ครั้งเดียว ก็...”

                หากแต่ปากกลับชะงักเพราะคิดคำขู่ไม่ออก ทำเอาโฟโต้หัวเราะร่วน มองคนที่โต (แค่อายุ) กว่าด้วยความเอ็นดู

                “โอเคครับ เอาเป็นว่าผมจะพยายามไม่กวนพี่ก็แล้วกันนะครับ”

                โฟโต้ร้องบอกออกไปแค่นั้นและล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ส่งให้กับฮ่องเต้

                “ผมรบกวนขอเบอร์พี่หน่อยได้ไหมครับ เผื่อว่าผมมีเรื่องจะปรึกษา จะได้ติดต่อพี่ได้”

                เพราะสีหน้าและท่าทางที่ดูจริงจังขึ้นมา ฮ่องเต้จึงยอมรับมือถือมาและกดเบอร์โทรให้เด็กปีหนึ่งตรงหน้าแต่โดยดี

                “อะ ติดต่อเฉพาะเวลาจำเป็นนะเว้ย แล้วก็ห้ามเกินสี่ทุ่มด้วย กูจะนอน” เน้นย้ำและส่งมือถือคืนให้ โฟโต้จึงรับมือถือกลับคืนมาและกดยิงเบอร์ตัวเองเข้าเครื่องของอีกฝ่าย

                “นั่นเบอร์ผมนะครับ เผื่อพี่มีอะไร จะได้ติดต่อผมได้”

                “อืม” ฮ่องเต้รับคำสั้นๆ “มึงก็ไปคิดมาก่อนละกันว่าวันจริงจะแสดงอะไร แล้วค่อยมาปรับทีหลัง”

                “โอเคครับ”

                “เออ กูกลับละ” ฮ่องเต้พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องเชียร์ทันที ทิ้งให้โฟโต้มองตามพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เลยว่ายังมีอีกสายตาหนึ่งที่จับจ้องมาทางเขาสลับกับฮ่องเต้อยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

                “มองอะไรวะ” กรีนเอ่ยทักพร้อมกับเอามือไปโบกตรงหน้าของนัท เจ้าตัวจึงหันกลับมาสนใจพี่เทคของตัวเองต่อ

                “เปล่าครับ” นัทตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ ไปให้

                “อืม วันนี้ก็รู้ไปคร่าวๆ ก่อนก็แล้วกัน ถ้ามึงมีปัญหาอะไร ตรงไหนก็ทักมาถามกูในเฟสหรือไลน์ก็ได้”

                “ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่กรีน”

                “เออ สู้ๆ เว้ย” กรีนเอามือตบบ่ารุ่นน้องสองสามที ก่อนที่จะแยกตัวออกไป ท่ามกลางสายตาของนัทที่ยังคงมองตามโฟโต้ที่กำลังง่วนอยู่กับมือถือในมือ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องเชียร์

 

                “เชี่ยเอ้ย มาเสียอะไรตอนนี้วะ” ฮ่องเต้สถบออกมาไม่หยุด ขณะที่ยืนรอช่างซ่อมรถที่เขาเพิ่งจะโทรหาเมื่อครู่ เพราะรถเก๋งซีดานคันโปรดดันมายางแบนสี่เส้นพร้อมกันในเวลาเกือบหนึ่งทุ่มเสียได้ แถมยังสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ยอมติดอีก ระหว่างนั้น เจ้าตัวก็เดินสำรวจรอบรถไปพลางเผื่อว่าตัวการที่ทำให้รถเขาเสีย

                เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ใครบางคนผ่านมาเจอ สายตาของใครคนนั้นเอาแต่จับจ้องท่าทางแปลกๆ ของฮ่องเต้อยู่สักพักใหญ่ จึงเดินเข้ามาถามไถ่เผื่อว่ารุ่นพี่คนนี้จะมีอะไรให้ช่วย

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่เต้”

                ฮ่องเต้เงยหน้ามองถามเสียงเรียกและก็พบว่าเป็นนัท น้องเทคของตัวเองกำลังส่งสายตามองมาทางเขาอยู่

                “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่รถเสีย” แม้ปากจะบอกว่า แค่ แต่ความเป็นจริงมันทำให้เขาหัวเสียไม่ใช่น้อย เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา แถมท่าทางลูกรักของเขาอาการหนักเอาการอยู่เหมือนกัน นั่นแหละ ที่ทำให้เขายิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่

                “ให้ผมช่วยโทรตามช่างให้ไหมครับ”

                “ไม่เป็นไร กูโทรแล้ว เดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้ง” ฮ่องเต้บอกออกไปอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เท่าที่คุยกับช่างเมื่อกี้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรอคิวพอสมควรเพราะทางร้านดันมีลูกค้าเข้าเยอะอีก

                “ถ้าอย่างนั้น ผมรอเป็นเพื่อนนะครับ”

                “เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงกลับเหอะ”

                “มันจะมืดแล้วนะครับ อยู่คนเดียวแบบนี้มันอันตราย” นัทสบสายตากับฮ่องเต้ด้วยความเป็นห่วง ทำเอาฮ่องเต้นิ่งไปสักพักอย่างใช้ความคิด

                “กูอยู่ได้น่า กูเป็นผู้ชายนะเว้ย ใครจะมาทำอะไรกูได้วะ อีกอย่าง ที่นี่ก็ในมหา’ลัย ไม่เป็นไรหรอก”

                ฮ่องเต้บอกพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่าย อันที่จริง เขาไม่อยากให้นัทมาอยู่รอเพราะกว่าช่างจะมา แถมยังไม่รู้ว่ารถจะซ่อมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้อีก กว่าทุกอย่างจะเสร็จก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ

                “แต่ผมเป็นห่วงพี่นี่ครับ”

                ฮ่องเต้ชะงักไปทันทีที่นัทพูดประโยคนั้นออกมา สายตาเหลือบมองรุ่นน้องตรงหน้าพลางขยับปากอย่างคนไม่รู้จะพูดอะไร

                “ให้ผมอยู่รอเป็นเพื่อนเถอะนะครับ เพราะถ้าพี่ให้ผมกลับไปตอนนี้ ผมก็อดห่วงพี่จนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่ดี”

                ฮ่องเต้ได้แต่ยิ้มแห้งออกมา “มึงจะห่วงอะไรกูวะ ไม่มีเรื่องอะไรน่าห่วงสักหน่อย”

                “ก็เพราะเป็นพี่ผมถึงต้องห่วง ดังนั้น ให้ผมกับพี่นะครับ” คำร้องขอพร้อมกับสายตาอ้อนวอนทำเอาคนที่พยายามปฏิเสธเริ่มใจอ่อน ดูเหมือนว่านัทจะมาถูกจุดเสียแล้วเพราะน้อยนักที่ใครจะรู้ว่าท่าทางห่ามๆ แถมยังหน้าตาดุๆ ของฮ่องเต้มันก็แค่ฉากบังหน้า หากแต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนอ่อนไหวกับสิ่งรอบข้างมากแค่ไหน

                และนั่นทำให้ฮ่องเต้ได้แต่เกาหัวแกรกๆ อย่างคนไม่รู้จะทำยังไง ท้ายที่สุดเขาจึงต้องเอ่ยปากบอกไปกับคนตรงหน้าว่า

                “ก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน”

                รอยยิ้มแสนอบอุ่นผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนัททันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่ฮ่องเต้เปิดโอกาสให้เขาได้อยู่ใกล้ในเวลาที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนแบบนี้ ตรงกันข้ามกับใครบางคนที่กำลังจับตามองทั้งคู่จากในตัวรถโดยสิ้นเชิง

                สายตาของโฟโต้ไม่อาจจะละไปจากคนสองคนตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย ระหว่างนั้น หัวใจของเขากลับส่งเสียงแปลกๆ อย่างที่เขาเองก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนมีหลากหลายอารมณ์ปนเปผสมผสาน จนเขาแยกแยะไม่ออกว่าตนรู้สึกยังไงกันแน่

                จะว่าไม่พอใจ ก็อาจจะใช่...

                มันรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดใจแปลกๆ เหมือนสถานการณ์ตรงหน้าของเขาในเวลานี้เป็นเรื่องที่ทำให้เขาต้องคิดหนัก ความขุ่นข้องหมองใจมันเอ่อล้นจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ จังหวะนั้นเองที่สมองพลันคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนรักอย่างเปรม

                “มึงยังอยู่ที่คณะใช่ไหม เดี๋ยวกูไปหา”

                โฟโต้ทิ้งท้ายเอาไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไปจากหลังคณะนิติศาสตร์ทันที

 

                เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที...

                ฮ่องเต้เปิดประตูทิ้งเอาไว้และเข้าไปนั่งข้างในรถพลางกดมือถือเล่นไปพลาง โดยมีนัทที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังฝั่งคนขับเป็นเพื่อน

                “พี่เต้เป็นคนเชียงใหม่เหรอครับ ถึงได้มาเรียนที่นี่” นัทเปิดประเด็นชวนคุยเพื่อฆ่าเวลาไปพลาง

                “เปล่า กูเป็นคนเชียงราย แต่พอดีกูสอบติดที่นี่” ฮ่องเต้ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะหันไปถามคนข้างหลัง “แล้วมึงล่ะ คิดไงมาเรียนที่นี่”

                “ผม...”

                ยังไม่ทันที่นัทจะได้ตอบคำถาม เสียงมอเตอร์ไซค์ที่เข้ามาจอดเทียบตัวรถก็ดังขัดจังหวะ พอเห็นว่าเป็นช่างซ่อมรถก็กระโดดลงไปหาทันที

                ฮ่องเต้พูดคุยกับช่างซ่อมรถสักพักใหญ่พร้อมกับสีหน้าที่ตึงเครียดเพราะไม่สามารถซ่อมรถให้เสร็จทันภายในวันนี้ ท้ายที่สุด เขาจึงต้องปล่อยให้ช่างเรียกคนมาเอารถไปพร้อมกับทิ้งเบอร์โทรเอาไว้ให้เพื่อติดต่อ

                “แย่เลยนะครับ รถดันมาเสียช่วงเปิดเทอมแบบนี้” นัทเอ่ยออกมาขณะมองช่างเอารถของฮ่องเต้ไป

                “เออ เมื่อเช้าก็ดีๆ อยู่ กูก็ไม่คิดว่ามันจะอาการหนักขนาดนี้” ฮ่องเต้สีหน้าเหยเกเพราะความเซ็งปนกับความเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและเข้าห้องเชียร์มาทั้งวัน

                “พี่เต้ครับ พี่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ไหมครับ”

                ฮ่องเต้กระพริบตาใส่อย่างมึนงงที่จู่ๆ นัทก็ถามแบบนั้นออกมา “ได้ดิ ทำไมวะ”

                “เดี๋ยวผมไปส่ง” นัทตอบกลับไปแค่นั้นพร้อมกับยิ้มละมุนออกมา ขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้ารุ่นน้องอย่างช่างใจก่อนจะให้คำตอบ

                “เออ รบกวนมึงด้วยก็แล้วกัน”

                “ยินดีครับ”

                พูดจบ นัทก็พาฮ่องเต้เดินไปที่ลานจอดมอเตอร์ไซค์หลังคณะและให้ฮ่องเต้ขึ้นซ้อนท้ายเขาทันที

                “กอดเอวผมเอาไว้ก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ” นัทว่าพร้อมกับแอบลอบยิ้ม

                “ไม่เป็นไร แค่นี้กูไม่ตกลงไปหรอก” ฮ่องเต้ตอบกลับไปแค่นั้น อันที่จริง ก่อนหน้านั้น เขาเองก็ขับมอเตอร์ไซค์มาโดยตลอด แถมยังซ้อนท้ายเพื่อนออกจะบ่อยเพราะกิจกรรมที่ทำให้ต้องวิ่งเข้าออกคณะ ส่วนรถยนต์ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เขาเองก็เพิ่งจะมาขับเอาตอนปีสาม

                “โอเคครับ”

                นัทแอบหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะขับรถออกไป

 

Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ

                             :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:


หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 19:50:08
ตอนที่ 12 ความสับสนของน้องปีหนึ่ง

                วันนี้เป็นวันศุกร์ แต่นายธิติกรไม่ได้สุขตาม เขาแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะในสมองมีแต่เรื่องประหลาดที่วนเวียนเข้าออกไม่ยอมหยุด กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เขาถึงได้ไปปลุกเพื่อนรักทั้งสองและพามาที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยตั้งแต่นาฬิกายังไม่เดินไปถึงเวลาเจ็ดโมงดีเลยด้วยซ้ำ

                และเมื่อมาถึงที่โรงอาหาร เขาก็กลับเอาแต่ชักสีหน้าบึ้งตึงใส่จานข้าวตรงหน้า สองมือจับช้อนซ้อมเขี่ยอาหารในจานไปมาอย่างหงุดหงิดใจ จนเพื่อนรักของเขาทั้งสองคนอดหันมามองหน้ากันอย่างสื่อความหมายไม่ได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับไปมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

                “เป็นอะไรของมึงวะ หมาแมวที่ไหนไปอี้กองไว้ที่หน้าห้องมึงหรือไง” เปรมหันไปทักด้วยความอยากรู้ เพราะสีหน้าและอาการของเพื่อนที่พาลทำเขากินข้าวไม่ลง

                “หมาแมวทิ้งบอมบ์หน้าห้อง มันยังไม่ทำให้กูหงุดหงิดขนาดนี้หรอกเว้ย”

                “แล้วเป็นอะไรของมึง!?” เปรมถามกลับอย่างคนเริ่มจะหงุดหงิดตาม

                โฟโต้จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเปรมและถอนหายใจยาวเหยียดออกมา “ไม่รู้เว้ย!”

                คำตอบของโฟโต้ทำเอาเปรมแทบจะหาอะไรมาเคาะหัว โชคยังดีที่แถวนี้ไม่มีอาวุธ เลยได้แต่เอามือกอดอก วางแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะและจ้องไอ้คนที่เอาแต่ก้มหน้างุด ใช้ช้อนสับข้าวจนจะเละคาจานอยู่รอมร่อ

                “เล่ามา” เปรมเอ่ยออกไปเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่กาฟิวด์เองก็ลอบมองเพื่อนด้วยความอยากรู้

                “กู...” โฟโต้ชะงักปากเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าสิ่งที่อยู่ในใจเขามาตลอดทั้งคืนยังไง เขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์เหวี่ยงแต่เช้าได้ขนาดนี้

                “ใช่เรื่องพี่ฮ่องเต้หรือเปล่า” กาฟิวด์ค่อยปริปากพูดออกมาอย่างเชื่องช้า พลางลอบมองสีหน้าฝ่ายตรงข้ามที่กำลังขมวดคิ้วมาให้

                “ทำไมมึงถึงคิดว่าเป็นเรื่องนั้น” โฟโต้ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพราะรู้สึกเหมือนโดนแทงใจดำเข้าเต็มๆ แต่ไอ้ที่ทำให้เขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้เต็มปาก ก็เพราะสาเหตุที่ทำให้เขาโมโหนั่นต่างหาก

                แม้จะรู้ดีว่าตัวเองรู้สึกไม่สบายเนื้อ ไม่สบายตัว แถมด้วยไม่สบายใจหลังจากที่เห็นฮ่องเต้กับนัทเมื่อวานตอนเย็น แต่เขาแค่ต้องการเหตุผล...

                เหตุผลที่จะมารองรับความรู้สึกทั้งหมดที่เป็นไปในเวลานี้

            “ก็มึงเพิ่งจะบอกกับกูว่ามึงรู้สึกไม่ชอบที่เห็นพี่ฮ่องเต้อยู่กับนัท แถมขากลับมึงก็ยังเห็นเขาซ้อนท้ายกันอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องพี่เต้ มันจะมีเรื่องไหนอีกที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้” กาฟิวด์พูดไปตามความจริงที่ได้รับฟังจากปากเพื่อน

                เมื่อวาน หลังจากกินข้าวด้วยกันเสร็จและระหว่างทางที่โฟโต้มาส่งเขาที่หอใน ทั้งคู่ก็บังเอิญเจอนัทที่ขับรถสวนไปพร้อมกับมีพี่ฮ่องเต้ซ้อนท้าย ตอนนั้น กาฟิวด์แทบจะร้องเสียงหลงเพราะจู่ๆ โฟโต้ก็เล่นเหยียบเบรกกะทันหัน แถมยังเอาแต่จ้องไปยังนัทกับพี่ฮ่องเต้ไม่วางตาอีก เมื่อเห็นอาการหงุดหงิดใจของเพื่อน กาฟิวด์ก็เลยถามไถ่จนพอจะได้ใจความมาว่า

                “กูก็แค่ไม่ชอบที่เห็นพี่เขาดีกับคนอื่น แต่กับกู แค่ยิ้มให้ก็ยังไม่เคย”

                อาการที่ใครๆ ก็ดูออกว่านายธิติกรเพื่อนรักของเขากำลัง หึง และ น้อยใจ รุ่นพี่ปีสี่คนนั้น แต่ดูเหมือนว่าโฟโต้เองจะยังไม่รู้ตัว

                “นี่อย่าบอกนะ ว่ามึงหวงพี่ฮ่องเต้อะไรนั่นน่ะ” เป็นเปรมที่โพล่งออกไปไม่ทันคิด ทำเอากาฟิวด์ต้องเหลือกตาใส่และหันไปทำหน้าดุใส่เปรม

                “มึงจะพูดทำไมวะ” กาฟิวด์กระซิบกระซาบเพราะเขาเองก็อุตส่าห์เลี่ยงที่จะพูดแท้ๆ

                ขณะที่โฟโต้สตันไปกับคำพูดของเปรม สมองก็พยายามคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้น ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

                “ว่าไงไอ้โฟ สรุปว่ามึงหวงพี่เต้ใช่ไหม” เปรมหันไปถามอีกครั้ง โดยไม่ฟังคำเตือนจากกาฟิวด์

                “ไอ้เปรม กูบอกว่าอย่าพูดแบบนั้นไง” กาฟิวด์ร้องบอกพลางกระตุกแขนเปรมยิกๆ

                “มึงก็ดูหน้ามันดิ ขืนมันรู้ตัวช้าอยู่แบบนี้ มีหวังไอ้พี่เต้อะไรนั่นได้โดนหมาคาบไปแดกก่อนพอดี แล้วทีนี้คนที่จะกลายเป็นหมาก็คือมันนั่นแหละ”

                 โฟโต้เหลือบมามองหน้าเปรมด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าไอ้ความรู้สึกที่เป็นอยู่มันคืออาการหวงจริงๆ

                “มึงก็ใจเย็นๆ หน่อยดิวะ พี่ฮ่องเต้เขาเป็นผู้ชายนะ ให้เวลาไอ้โฟโต้บ้างดิ” กาฟิวด์ยังคงพยายามเบรกความแรงของเปรมที่นับวันยิ่งมากขึ้น แต่เปรมกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะมองหน้าโฟโต้ด้วยแววตาจริงจัง

                “มึงไม่เคยคบกับผู้ชาย กูพอเข้าใจ แต่กับพี่ฮ่องเต้ มึงคงจะยังไม่รู้ว่าเขาเคยคบผู้ชายมาก่อนและที่สำคัญพี่เขายังเป็นที่หมายตาของชาวเดือนภัคนลินด้วย ดังนั้น ถ้ามึงไม่รีบ กูฟันธงเลยว่าพี่ฮ่องเต้โดนเดือนคณะอื่น ปีอื่นสอยแน่นอน”

                คำบอกเล่าของเปรมทำเอาโฟโต้ถึงกับมึนตึ๊บ จนต้องหันไปถามแบบไม่อยากจะเชื่อกับหูของตัวเอง

                “แล้วมึงไปรู้มาได้ยังไงวะ” ทั้งเรื่องที่พี่ฮ่องเต้คบผู้ชาย ไหนจะเรื่องชาวเดือนอะไรนั่นอีก มันทำเอาเขาอดคิดไปไม่ได้ว่าเปรมกำลังกุเรื่องขึ้นมาหลอกเขาอยู่

                “กูรู้มาจากรุ่นพี่กูอีกที แต่รับรองว่าข่าวนี้เชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็น” ก่อนที่เจ้าตัวจะลอยหน้าลอยตาพูดต่อว่า “ดีไม่ดี ตอนนี้เขาอาจจะมีใจให้ใครสักคนอย่างไอ้นัทไปแล้วก็ได้เพราะพี่เต้ไม่ได้เลือกคบคนที่เพศเหมือนมึง”

                พูดแทงใจดำเพื่อนเสร็จก็ยักคิ้วใส่ ทำเอาโฟโต้อดหมั่นไส้ไม่ได้ หากแต่จะไปตอกกลับเพื่อนก็กะไรอยู่ เพราะลำพังตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอดเลยด้วยซ้ำ ใช่ว่าเขาจะเลือกคบคนที่เพศเสียเมื่อไหร่ เขาแค่กังวลใจเท่านั้น ว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

                “ไง รู้แบบนี้แล้ว มึงจะยอมรับได้หรือยังว่ามึงหวงพี่ฮ่องเต้” เปรมยังคงวกเข้ามาเรื่องเดิม

                โฟโต้หันไปมองหน้าเปรมอย่างช่างใจเล็กน้อยและตอกกลับสั้นๆ ว่า “เรื่องของกู”

                “เออครับ ไอ้คุณโฟโต้ กูจะถือว่ากู เตือนแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบทำ มาเสียดายเวลาที่หลัง บอกเลยว่าเปล่าประโยชน์”

                “เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ได้ยินไอ้เปรมพูดจาดี เก่งๆๆ” กาฟิวด์ยิ้มอย่างล้อเลียน ขณะที่คนข้างๆ ได้แต่ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

                “คนเรามันเก่งกันคนละเรื่องเว้ย อีกอย่าง คนที่ขี่ม้าเก่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตกม้าตายไม่ได้นี่หว่า ใช่ไหมไอ้โฟโต้” ท้ายประโยคหันมาเหน็บแนมโฟโต้เข้าเต็มๆ เพราะโฟโต้เรียนเก่งที่สุดในกลุ่ม แถมยังเจ้าเล่ห์ไปเสียทุกเรื่องยกเว้นเรื่องหัวใจตัวเอง

                ที่ผ่านมามันอาจจะใช้สารพัดความมารยาสยบผู้หญิงมานักต่อนัก แต่นั่นมันก็แค่ ‘ครอบครอง’ ไม่ใช่ ‘ความรัก’ พอมารู้สึกจริงๆ กับใครสักคนเข้า คนฉลาดที่สุดก็กลับกลายมาเป็นคนซื่อบื้อที่สุดอย่างที่เห็น

            “มึงอย่าพูดมากดีกว่าไอ้เปรม เพราะเกิดถึงคราวตัวเองตกม้าตายขึ้นมา มันจะจุกนะเว้ย” โฟโต้ยักคิ้วใส่เพื่อนไปที จนเกิดสงครามน้ำลายระหว่างสองฝ่ายขึ้นมา

                “งั้นก็มาลองวัดกันดูว่าใครจะตกม้าตายก่อนกัน ระหว่างมึงกับกู” เปรมยังคงเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

                “ก่อนที่มึงจะมาวัดกับกู มึงควรจะจัดการตัวมึงเองก่อนเหอะ ได้ข่าวว่าช่วงนี้สับรางไม่ทันแล้วไม่ใช่หรือไง ไอ้เสือ” โฟโต้ร้องแซวพลางมองสำรวจใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างขำขัน

                “แล้วมึงช่วยเอาเวลาสับรางไปดูแลสภาพหน้ามึงบ้างนะเว้ย เดี๋ยวรถไฟตกราง แล้วจะหาว่ากูไม่เตือน”

                เปรมนิ่วหน้าใส่ด้วยความมั่นไส้กับคำพูดของโฟโต้ ช่วงนี้เขาดูโทรมลงไปจริงๆ นั่นแหละ ก็เพราะสาวๆ ดันหัวไวแล้วพาลมาจับผิดเขาเข้าให้ จนเขาต้องสับรางเป็นพัลวันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปตามๆ กัน 

                “ก็รถไฟมันดันเดินผิดรางนี่หว่า กูก็ต้องมานั่งปรับสับรางใหม่ดิวะ เวลากูเลยไม่พอให้มาดูแลตัวเองไง”

                โฟโต้ได้แต่ส่ายหัวให้กับคำพูดของเปรม เขาเองก็เตือนนักเตือนหนาว่าเข้ามหา’ลัยแล้วก็เพลาๆ บ้าง ยิ่งช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า ทีแรกก็รับปากเขาเสียดิบดี แต่เผลออีกที เสืออย่างเปรมก็ลากเหยื่อเข้าห้องเรียบร้อย ซึ่งถ้าเตือนไม่ฟังแบบนี้ เขาก็คงต้องปล่อยให้ตัวใครตัวมัน

                “ที่สำคัญ มึงก็รู้ดีว่าของแบบนี้มันห้ามได้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะกับกูแล้วเนี่ย มึงก็น่าจะรู้ว่าไม่มีอะไรห้ามกูได้หรอก” เปรมยังคงยืนยันจุดยืนในการออกล่าสาวของตน จนโฟโต้เองถึงกับถอดถอนหายใจ

                “กูว่ามึงควรจะเลือกเวลาบ้างเถอะ”

                “เฮ้ย ไอ้โฟโต้ กูไม่ใช่เสือซุ่ม เสือซ่อนเล็บอย่างมึงนะเว้ย จะได้มัวแต่รอเวลาให้เหยื่อตายใจก่อนค่อยลากไปกิน กูถามจริงเหอะ อดแดกมาแล้วกี่คนวะ”

                “คุณเปรมครับ อย่างผมเนี่ย เขาเรียกว่าช้าแต่ชัวร์ แล้วกูก็ไม่เคยพลาดท่าปล่อยเหยื่อไปโดยที่กูไม่ได้แดก” ว่าแล้วก็ยักคิ้วใส่ ทำหน้าโชว์พาวเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม

                “เออ มึงมันเล่ห์กลเยอะ จนกูแทบอยากจะขโมยไปขายให้รู้แล้วรู้รอด” เปรมพูดประชดก่อนจะทำหน้าจริงจัง “ว่าแต่มึงจะเอายังไงกับเหยื่อรายล่าสุดวะ”

                “เหยื่อรายล่าสุดอะไรของมึงวะ” โฟโต้ถามกลับแบบมึนๆ จนฝ่ายตรงข้ามเกือบจะเอาช้อนปาใส่

                “ก็พี่ฮ่องเต้ไงวะ มึงจะเอายังไง”

                โฟโต้นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ “กูมีวิธีของกูก็แล้วกันน่า”

                โฟโต้หมายถึงวิธีที่เขาอาจจะคิดออกเวลาอื่น อันที่จริง เขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าเอ่ยปากว่าเขาจะทำยังไงกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่าฮ่องเต้ ตอนนี้ คิดได้อย่างเดียวเลยก็คือ...

                ชัดเจนกับตัวเอง ให้ได้ก่อน ส่วนไอ้เรื่องใส่เกียร์เดินหน้าและเอาพี่ฮ่องเต้มาเป็นของเขา มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเสือซ่อนเล็บอย่างเขาอยู่แล้ว

                “เออ แล้วก็อย่าช้าเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกันนะเว้ย เพราะพี่ฮ่องเต้ไม่เหมือนคนอื่นที่มึงเคยรุก”

                “พูดมากจังวะ ไอ้เปรม”

                “กูก็แค่เตือนหรือเปล่าวะ กลัวมึงจะอดแดก” เปรมเน้นสองคำสุดท้ายอย่างจงใจ หากสายตาของอีกฝ่ายกลับเหลือบมองไปทางกาฟิวด์ที่นั่งหน้าซื่อฟังเพื่อนทั้งสองมานานสองนาน

                “กูว่ามึงเลิกพูดเหอะ เกรงใจคนข้างๆ มึงบ้าง หูมันไม่ควรจะมารับมลภาวะทางเสียงแต่เช้านะเว้ย” โฟโต้โพล่งออกไปเพื่อจะปรามเปรมล้วนๆ หากแต่มันกลับทำให้กาฟิวด์หน้าหงิก หันไปสบตากับโฟโต้ทีหนึ่ง กับเปรมทีหนึ่งก่อนจะทำท่าฮึดฮัดใส่ 

                “เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกมองกูแบบนี้สักที กูก็ผู้ชายเหมือนกันกับพวกมึงนั่นแหละ”

                แต่ท่าทางของคนตัวเล็กกลับทำเอาเพื่อนรักทั้งสองคนต้องหันมาสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะหัวเราะ

                “เออ มึงเป็นผู้ชาย” เปรมร้องบอกก่อนที่โฟโต้จะเสริมทับว่า

                “แต่มึงไม่เหมือนพวกกูไง”

                “ไม่เหมือนตรงไหน” ลูกสิงโตประจำกลุ่มแหวใส่ พยายามทำตัวให้ดูน่ากลัวเผื่อว่าเพื่อนรักของเขาทั้งสองเห็นแล้ว จะได้ถอนคำพูด โดยหารู้ไม่ว่าการทำแบบนั้น มันไม่ได้ช่วยลดบุคลิกที่ดูราวกับเด็กไม่ประสีประสาเรื่องทางโลก แถมหน้าตายังดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนน้องชายในสายตาเพื่อนมากกว่า

                เอาเป็นว่าต่อให้มองยังไง กาฟิวด์ก็คือลูกสิงโตแบเบาะพลัดถิ่นมาอยู่กับพญาเสือโคร่งอย่างพวกเขาอยู่ดี

                และระหว่างที่ต่างฝ่ายกำลังปะทะกันอยู่นั้นเอง เสียงแจ้งเตือนจากไลน์ก็ดังขึ้น ดึงความสนใจของกาฟิวด์ออกจากเพื่อนรักทั้งสอง ก่อนที่สองคิ้วจะขมวดเข้าหากันเพราะชื่อเจ้าของไลน์

                สีฝุ่น : เย็นนี้ว่างหรือเปล่าครับ

                สองมือก็ได้แต่พิมพ์ตอบกลับไป

                กาฟิวด์ : เย็นนี้ ผมต้องเข้าห้องเชียร์ พี่สีฝุ่นมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ

            สีฝุ่น : พอดีพี่มีธุระสำคัญอยากจะคุยกับน้องฟิวด์

            “คุยกับใครวะ” เพราะเปรมชะโงกหน้าเข้ามาถามเสียก่อน ทำเอากาฟิวด์สะดุ้งหันมามองคนข้างๆ ก่อนที่จะทันได้พิมพ์ตอบสีฝุ่นกลับไป

                “กูคุยกับเพื่อน” ตอบออกไปพลางเบี่ยงตัวหลบคนที่พยายามจะชะโงกหน้าเข้ามาดูข้อความในมือถือ

                “แน่ใจนะ ว่ามึงคุยกับเพื่อน”

                “เออดิวะ”

                เปรมยังคงหรี่ตามองอย่างสงสัย จนกาฟิวด์ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากโฟโต้ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อคนที่นั่งตรงกันข้ามเองก็มองมาทางเขาอย่างจับผิดเช่นกัน

                “อะไรของพวกมึงเนี่ย กูบอกคุยกับเพื่อนก็คุยกับเพื่อนดิวะ” กาฟิวด์เริ่มทำหน้างอไปตามประสา โดยไม่รู้ว่านั่นยิ่งเป็นการแสดงพิรุธออกมามากขึ้น

                “เพื่อนที่ไหน ชื่ออะไร” เปรมเริ่มซักเสียงดุเพราะความหวงเพื่อนที่มีมาตั้งแต่รู้จักกันวันแรก

                เขากับโฟโต้จำได้ดีว่าที่พวกเขาดึงกาฟิวด์เข้ามาอยู่ในกลุ่มก็เพราะกาฟิวด์เป็นเหยื่อของพวกอันธพาลในโรงเรียน แถมยังเอาตัวไม่รอด จนพวกเขาทนไม่ไหและเข้าไปช่วยเอาไว้ตลอด จนสุดท้าย พวกเขาก็กลายมาเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด

                หากแต่คนที่เพื่อนห่วงนักห่วงหนากลับเอาแต่บ่ายเบี่ยง “เพื่อนที่คณะ! ชื่อ...ชื่อ...”

                พูดออกไปได้เพียงเท่านั้นเพราะสมองดันมาตันเอาเสียดื้อๆ ก่อนที่เขาจะร้องเสียงหลง เมื่อมือถือในมือถูกคนมือไวอย่างเปรมดึงออกไปหน้าตาเฉย

                “เอาคืนมานะเว้ย!”

                ซ้ำเคราะห์ร้ายเพราะข้อความของสีฝุ่นที่ถูกส่งเข้ามาพอดี

                สีฝุ่น : ว่าแต่น้องฟิวด์เลิกกี่โมงครับ

                “สีฝุ่น...” เปรมพึมพำชื่อนั้นออกมา ทำเอาคนที่คุ้นหูอย่างโฟโต้ต้องหันขวับไปมองพร้อมกับยื่นมือไปคว้ามือถือมาเปิดดูรูปโปรไฟล์และเมื่อเห็นกับตาว่าใช่คนเดียวกันกับที่เคยเจอ     เลยกะจะกดเข้าไปดูข้อความอย่างถือวิสาสะ หากแต่กาฟิวด์ดันมือไวกว่า ลุกขึ้นโน้มตัวข้ามโต๊ะมาคว้ามือถือไปจากมือของเขา

                “ไอ้ฝุ่นผงอะไรนั่นมันเป็นใคร” เปรมหันมาทำเสียงดุใส่อีกครั้ง จนกาฟิวด์หน้างอหนักกว่าเก่า

                “เออ จะสีฟงสีฝุ่นอะไรก็ช่าง มันเป็นใคร!?”

                “เขาเป็นลูกน้องของพี่ฮ่องเต้” กาฟิวด์ตอบเสียงอ่อย ท่าทางเหมือนกำลังโดนพ่อสอบสวนไม่มีผิด ขณะที่เปรมได้แต่ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันขวับไปมองจนกาฟิวด์เผลอสะดุ้งตามสายตาโหดๆ ของเปรม

                “อะ...อะไร”

                “ไอ้พี่นั่นคงไม่ได้มาจีบมึงใช่ไหม” อีกหนึ่งคำถามในการสอบสวนออกมาจากปากของเปรมพร้อมกับสายตาคาดคั้นที่ใครเห็นเป็นอันต้องกลัว

                “เปล่าสักหน่อย” และกาฟิวด์ก็ต้องตอบปฏิเสธไปตามระเบียบ

                “ก็ดี แต่ถ้าไอ้พี่นั่นมันทำท่าว่าจะจีบ มึงต้องรีบบอกกู เข้าใจไหม!?”

                กาฟิวด์อ้าปากพะงาบๆ อึกอักอยู่สักพักจึงค่อยเอ่ยปากพูดแบบติดๆ ขัดๆ ออกมาว่า

                “พะ...พี่เขาจะจีบกูได้ยังไงเล่า ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น” ก่อนจะนิ่งไปเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และหันมามองหน้าเพื่อนรักทั้งสองสลับกัน “เดี๋ยวนะ ไอ้ที่พวกมึงบอกว่ากูเป็นผู้ชาย แต่ไม่เหมือนกับพวกมึงเมื่อกี้ อย่าบอกนะว่าพวกมึงหมายถึง...”

                เท่านั้น อีกสองคนที่เหลือก็ถึงกับหันหน้ามามองกันเลิกลักเพราะอีกฝ่ายดันจับความหมาที่แฝงไปกับคำพูดก่อนหน้านั้นได้ และแน่นอนว่ากาฟิวด์จะต้องโกรธพวกเขาเป็นแน่ ดังนั้น...

                “รีบไปเหอะว่ะ เดี๋ยวไปเรียนสายนะเว้ย” โฟโต้เป็นคนแรกที่โพล่งออกมาก่อน พร้อมกับผุดลุกขึ้นมา สะพายกระเป๋าเป้และเดินหนี ทำทีว่าต้องรีบเอาจานข้าวไปเก็บแบบสุดๆ

                “อ่าวเฮ้ย! ทิ้งบอมบ์ให้กูเลยนะ” เปรมร้องโวยวายเสียงดังตามหลัง ก่อนจะลุกตามโฟโต้ไป ทิ้งไว้แค่เพียงคนตัวเล็กที่หน้าบูดเป็นบูดเด็กไปแล้วเรียบร้อย

                กูขอโทษนะเว้ย ไอ้กาฟิวด์ ดูยังไง มึงก็ไม่น่าจะรุกใครได้ว่ะ

            นั่นเป็นความในใจของนายธิติกรที่ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยออกเพื่อนรักตัวน้อยของเขาได้ฟังเพราะเกรงว่าทุกอย่างจะพังไปมากกว่าเดิม...

               

               

               

               

               
Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ
                                    :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
 

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 19:54:10
ตอนที่ 13 ความชัดเจน

                เพราะเป็นวันอาทิตย์และไม่มีกิจกรรม นายธิติกรเลยมีโอกาสตื่นเช้าและแวะเวียนไปที่ร้านอาหารของ กราฟิก พี่ชายแท้ๆ ที่อายุห่างกันถึงเจ็ดปีและมีดีแค่หน้าตาเพราะปากสุนัขไม่รับประทาน แถมยังหัวร้อนเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าไอ้อุปนิสัยแบบพี่ชายของเขาถึงได้ดึงดูดหนุ่มหล่อลากระดับพระกาฬ  ที่เพียบพร้อมไปด้วยฐานะ หน้าที่การงานและฉลาดเป็นกรด แถมยังนิสัยดีราวกับพ่อพระมาเกิดอย่าง แบมบู หนุ่มข้างบ้านที่พอจะเห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่เด็กแถมยังหลงรักพี่ชายเขาหัวปักหัวปำ จนครั้งหนึ่ง น้องชายอย่างเขาถึงกับต้องไปเอาน้ำหมดมาให้ดื่ม ให้อาบเพราะหลงคิดว่ากราฟิกเล่นของใส่จนแบมบูหน้ามืดตามัวมาหลงรักได้

                แต่ก็ช่างเถอะ แม้ว่าพวกพี่ๆ ทั้งสองของเขาจะดูต่างกันคนละขั้ว แต่เห็นทั้งคู่รักกันดีจนเข้าปีที่สี่แล้ว เขาเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

                ส่วนตอนนี้ กลับมาสนใจสาเหตุที่เขาต้องถ่อสาระร่าง เยี่ยมหน้าเข้ามาที่ร้านของพี่ชายแต่หัววันก่อน

                สองเท้าพาร่างสูงเข้าไปด้านหลังร้าน ลูกน้องหลายคนยกมือไหว้ตามประสาคนที่รู้จักกันดีว่าเป็นน้องชายเจ้าของร้าน ซึ่งโฟโต้ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มกลับไปให้และถามหาคนเป็นพี่ที่หายหัวไปไหนก็ไม่รู้   

            “พี่กราฟล่ะครับ”

                “คุณกราฟอยู่ข้างบนห้องครับ” มนตรี พนักงานประจำเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอะไร

                ทันทีที่ได้รับคำตอบ โฟโต้ก็หมายเอาไว้ว่าจะเดินขึ้นไปตามคนเป็นพี่ที่บนห้อง ทว่าแขนกลับถูกพนักงานรั้งเอาไว้

                “เอ่อ ผมว่า...ผะ...ผมโทรขึ้นไปชั้นบนดีกว่าครับ คุณโฟโต้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นไป”

                เพราะท่าทางมีพิรุธ โฟโต้จึงต้องจับตามองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยว่าพี่ชายของเขาทำอะไรอยู่ข้างบน พนักงานคนนี้ถึงได้บอกให้เขารออยู่ด้านล่าง

                “มีอะไรหรือเปล่า” โฟโต้ถามออกไปเสียงเรียบ หากแต่มันกลับทำให้คนตรงหน้าเลิกลักอย่างคนหาคำตอบไม่ได้

                “มะ...ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เห็นว่าคุณโฟโต้มาเหนื่อยๆ ก็เลย....”

                “บอกความจริงผมมา” โฟโต้พูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับส่งสายตาคาดคั้นไปให้ จนพนักงานถึงกับสะดุ้งและก้มหน้างุด

                “ถ้าพี่ไม่ยอมบอก พี่อาจจะโดนไล่ออกก็ได้นะครับ อย่าลืมว่าแม่ของผมก็มีอภิสิทธิ์ในร้านนี้เหมือนกัน”

                มีเพียงโฟโต้เท่านั้น ที่รู้ดีว่าตนไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ อย่างที่ว่า แต่ที่เขาต้องสวมรอยแอบอ้างเช่นนั้นออกไปก็เพราะความต้องการของตัวเองล้วนๆ  และเขาก็เคยทำแบบนี้มากหลายครั้งหลายหน จนพนักงานในร้านต่างก็คิดไปว่าเขาถือหุ้นร้านอาหารกับพี่ชายของตนคนละครึ่งจริงๆ  แต่เขาก็ไม่สนหรอก เพราะตราบใดที่พี่ชายของเขายังไม่รู้ นั่นก็หมายความว่าเขาสามารถตีเนียนต่อไปได้

                “โธ่ คุณโฟโต้ครับ ถ้าผมบอกไป ผมก็โดนไล่ออกอยู่ดีนั่นแหละครับ” สีหน้าหมดอาลัยตายอยากของพนักงานตรงหน้า ทำให้คนฟังแสยะยิ้มออกมาอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

                “ถ้าอย่างนั้น ก็ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกันนะครับ” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง หากมองผิวเผินก็คงจะเป็นแค่เพียงรอยยิ้มอันแสนสดใส แต่หากลึกๆ ลงไปกลับแฝงไปด้วยพลังงานชั่วร้ายบางอย่าง

                “แต่ว่า...”

                “เอาเป็นว่าผมจะช่วยให้พี่พ้นผิดก็แล้วกัน” พูดจบ เจ้าตัวก็พรวดพราดเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนทันที โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคนที่กำลังตกที่นั่งลำบากในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย

                “ผมช่วยได้แค่นี้จริงๆ นะครับ คุณกราฟ” มนตรีพูดออกมาเสียงอ่อน ได้มองตามโฟโต้ที่หายวับขึ้นไปชั้นบนตาละห้อย อย่างคนไม่อาจจะทำอะไรได้ จึงได้แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องของสองพี่น้องและภาวนาในใจให้ตนเองไม่ถูกไล่ออกเท่านั้น

                โฟโต้เดินขึ้นมาบนชั้นสาม ยกมือขึ้นกะจะเคาะประตูห้อง แต่ก็ต้องชะงักและเปลี่ยนมาจับลูกบิดแทน เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ บิดสองสามทีและเมื่อพบว่ามันไม่ได้ล็อกเหมือนที่ตนคิดเอาไว้ ก็ถือวิสาสะเปิดประตูอย่างเบามือที่สุด ก่อนจะค่อยย่องเข้าไปในห้องซึ่งถูกจัดแต่งเอาไว้เหมือนคอนโดขนาดย่อม ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับรองเท้าที่เขาจำได้ดีว่าไม่ใช่ของพี่ชายตนเป็นแน่ เพียงเท่านั้น รอยยิ้มร้ายก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง ก่อนที่สองขาจะพาร่างตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอนซึ่งถูกเปิดแง้มเอาไว้ด้วยความสะเพร่าของเจ้าของห้อง

                พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงของผู้ชายสองคนในห้องนอนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ทั้งคู่กำลังยืนอยู่ตรงปลายเตียงและคลอเคลียกันไม่ห่าง ทำเอาคนที่กำลังจับตาดูถึงกับยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะแอบล้วงมือถือขึ้นมาถ่ายภาพนั้นเอาไว้

                “ขอนอนก่อนนะ นะครับ” เสียงอ้อนๆ ของแบมบูดังขึ้นเพราะกำลังถูกสวมกอดจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น หากแต่คนที่หัวดื้อกลับเอาแต่รั้งเขาเอาไว้และพยายามซุกไซร้ พรมจูบทั่วผิวเนียนใสที่โผล่พ้นชุดนอนออกมา ก่อนจะขยับซุกไซร้ที่ซอกคอด้วยความหื่นกระหาย จนแบมบูถึงกับหดตัวเพราะความรู้สึกเสียวซ่านที่แล่นปราดขึ้นมาจนผิวพรรณเริ่มแดงระเรื่อ

                “ขออีกทีไม่ได้เหรอ ช่วงนี้เราแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยนะ” กราฟิกเองก็พยายามออดอ้อนคนตรงหน้าไม่แพ้กัน อีกทั้งยังพยายามสัมผัสทุกสัดส่วนบนเรือนร่างที่เขาหวงแหนเสียยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก เพื่อให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนโอนอ่อนตาม

                “แบมก็อยู่กับกราฟแล้วไงครับ แบมอุตส่าห์ให้ลูกน้องเฝ้าร้าน คืนนี้เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืนไง” แบมบูพยายามอดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกที่เริ่มไหววูบไปตามสัมผัสที่กราฟิกพยายามมอบให้ไม่หยุด ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกเสียเมื่อไหร่ แต่เพราะว่าเขาต้องเปิดร้านตอนกลางคืน ส่วนกราฟิกเปิดร้านอาหารในตอนกลางวัน เวลาของพวกเขาเลยไม่ตรงกัน พาลไม่ค่อยได้เจอหน้าและนั่นทำให้แบมบูต้องพยายามหาเวลามาหากราฟิกที่ร้านบ่อยๆ ขณะที่กราฟิกเองก็ไปนอนค้างที่ร้านเขาสลับกันบ้างเป็นครั้งคราว

                “แต่แบมก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าถ้ากราฟกินไม่อิ่ม กราฟจะไม่มีแรงทำงาน” ขยับปากพูดเสียงแผ่วและค่อยโลมเลียสัมผัสต้นคอจนอีกฝ่ายรู้สึกวาบหวามและไม่อาจจะสะกดกั้นอารมณ์ใดๆ ได้อีกต่อไป เสียงเบาเปล่งออกมาจากริมฝีปากระเรื่อของแบมบู

                “อื้อ...พอ...พอก่อน...” แม้ปากจะพยายามเอ่ยปราม แต่ร่างกายกลับกระตุกตามสัมผัสที่คอยจาบจ้วงเข้ามาใต้ร่มผ้า สองมือของกราฟิกยังคงทำหน้าที่เย้ายวนอารมณ์อีกฝ่ายไม่หยุดยั้ง มือหนาค่อยเลื้อยไปด้านหน้าและเลื่อนจับบริเวณที่เสียวซ่านที่สุดบนยอดอก ขยี้เบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยวจนอีกฝ่ายต้องกัดปาก ส่งเสียงออกมาจากลำคอ

                “ขอ...นะครับ” กราฟิกกระซิบเสียงแหบพร่า ความกระหายไม่อาจจะฉุดรั้งอะไรเขาได้อีกต่อไป

                “ไม่...อื้อ” แบมบูไม่อาจจะห้ามปรามคนหัวดื้อได้ด้วยคำพูดอีกต่อไปเพราะริมฝีปากได้รูปตรงเข้าครอบครองริมฝีปากของอีกฝ่ายและสอดอาวุธร้ายที่ร้อนระอุไปตามแรงอารมณ์เข้าไปตวัดเกี่ยวกับอีกฝ่ายแบบไม่ให้ได้พักหายใจ ขณะเดียวกัน มือหนาก็ล้วงลึกลงไปข้างในกางเกง สัมผัสกับส่วนที่ไวต่อการสัมผัสที่สุดบนร่างกายท่อนล่าง ขยับมือขึ้นลงตามจังหวะจนต่างฝ่ายต่างก็เริ่มหายใจถี่ยิบ

                และจังหวะที่แบมบูขยับพลิกตัวนั้นเอง สายตาก็สบเข้ากับใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูพร้อมกับมือถือในมือ

                “โฟโต้!?” ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก สองมือผลักร่างสูงของอีกฝ่ายออกไปอัตโนมัติ ขณะที่กราฟิกเองก็ยอมปล่อยคนรักของตนแต่โดยดี   ก่อนจะหันไปมองหน้าโจรย่องเบาที่ลักลอบเข้ามาในห้องของเขา

                “ไอ้น้องเวร!” กราฟิกสบถลั่นทันทีที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของน้องชายตัวร้าย ขณะที่โฟโต้ก็รีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋าด้วยความเร็วแสงแบบชนิดที่กราฟิกไม่ทันเห็น

                “มึงมาได้ยังไงวะ” กราฟิกโวยวายเสียงดังตามประสาคนหัวร้อนง่ายและต้นเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจเช่นนี้จะเป็นอะไรไปได้นอกเสียจาก

                ข้อแรก คือเขาถูกขัดจังหวะ ส่วนข้อสอง ไอ้คนที่มาขัดจังหวะดันเป็นไอ้น้องชายตัวแสบที่เขาอยากจะจับมาตีให้หายคันไม้คันมือสักที

            “ต่อก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยมาถามว่าผมมาได้ยังไง” เจ้าตัวการยังคงยิ้มหน้าระรื่นอย่างล้อเลียนพี่ชายของตน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพี่เขาไม่ชอบให้ใครมาขัดจังหวะตอนทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กับภรรยาสุดที่รักและเพราะว่าเขารู้ ถึงได้รีบแจ้นขึ้นมาดู ส่วนไอ้เรื่องคลิป ก็กะจะเก็บเอาไว้ขู่ให้พี่ชายของตนทำตามคำสั่งอะไรบางอย่างก็เท่านั้น

                 “กูคงมีอารมณ์ต่อหรอก ส่วนมึง ตอบมาได้แล้วว่ามาทำไม”

                “สรุปพี่อยากรู้ว่าผมมาได้ยังไงหรือว่าผมทำไมกันแน่ เอาสักข้อสิครับ”

                “ไอ้โฟโต้!” กราฟิกเรียกชื่อคนเป็นน้องเสียงดังอย่างเหลืออด “ถ้ามึงยังไม่เลิกกวนประสาท กูจะให้ไอ้มนตรีมาจับมึงโยนออกนอกร้านจริงๆ ด้วย”

                “ใจเย็นๆ ก่อนสิ กราฟ น้องอุตส่าห์มาหาทั้งทีนะ” แบมบูเข้ามาปรามคนเป็นพี่พร้อมกับส่งยิ้มใจดีไปให้คนเป็นน้อง ทำเอาโฟโต้ได้ใจ ปรี่เข้าไปหาพี่สะใภ้ แต่ก็ยังไม่วายเอาแขนพาดบ่าแบมบูเอาไว้แบบต้องการยั่วโมโหกราฟิก

                “ใช่ไหมครับพี่แบม ผมอุตส่าห์มาหาทั้งที คนแถวนี้ก็ใจร้าย ไม่ต้อนรับไม่พอ ยังขู่ว่าจะจับโยนออกนอกร้านอีก” ก่อนที่จะหันใบหน้าระรื่นไปทางกราฟิก “ใช้ไม่ได้เลยเนอะ”

                “ไอ้โฟโต้! ปล่อยเมียกูแล้วมาให้กูถีบเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวพุ่งเข้ามาหมายจะถีบน้องชายตัวแสบ แต่โฟโต้ดันหลบทัน จนกราฟิกโมโหและชี้นิ้วหมายหัวไปทางโฟโต้

                “กลับมานี่เลยนะเว้ย!”

                “กลับไปก็โดนพี่กราฟถีบดิ เฮ้ยยยยยย” พูดจบก็ต้องวิ่งวนรอบแบมบูอีกครั้งเพราะคนเป็นพี่ยังคงไม่ยอมแพ้ คาดโทษหมายเตะเข้าทีก้นของคนเป็นน้องให้หายโมโหสักที

                และสุดท้ายก็จบลงด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างออกมานั่งหอบที่โต๊ะข้างนอก

                “กินน้ำ แล้วนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนไป” แบมบูว่าพลางมองหน้าสองพี่น้องสลับกันไปมาอย่างขำๆ  ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงข้างๆ กราฟิกที่จ้องหน้าคาดโทษน้องชายอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเอาแต่หัวเราะไม่หยุด

                “เออ ว่าแต่เป็นไงมาไงถึงได้แวะมาที่ร้านได้”

                โฟโต้สีหน้าเปลี่ยนทันทีที่ถูกถาม ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากพูด “ผมมีเรื่องจะปรึกษา...”

                “สับรางไม่ทัน แล้วโดนสาวๆ เอาไม้หน้าสามมาฟาดหน้าหรือไง”

                “ถ้าเรื่องนั้น ผมไม่มาปรึกษาพี่ให้เสียเวลาหรอก เพราะปรึกษาไปก็เอาอะไรไปใช้ไม่ได้อยู่ดี” ก่อนที่โฟโต้จะหันหน้าไปทางแบมบู “ผมอยากปรึกษาพี่แบมเรื่อง...”

                เพราะโฟโต้เอาแต่อึกอัก กราฟิกจึงได้แต่ขมวดคิ้วและทำหน้าหงุดหงิดใส่

                “เรื่องอะไรก็บอกมาสักทีดิวะ ชักช้าอยู่ได้”

                “พี่กราฟ ถ้ามันพูดง่ายก็พูดไปแล้วป่ะ” โฟโต้หันไปว่าก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมขอคุยกับพี่แบมก่อนได้ไหม แล้วเดี๋ยวผมจะบอกพี่กราฟทีหลัง”

                “ทำไมวะ ความลับหรือไง”

                “มันก็ไม่เชิง ขอร้องเหอะ ผมเครียดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว”

                คำพูดและท่าทางของคนเป็นน้อง ทำให้กราฟิกต้องช่างใจอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

                “เออๆ ก็ได้ ถ้างั้นกราฟไปเตรียมร้านก่อนนะ” ท้ายประโยคหันไปสั่งคนข้างๆ

                “ครับ” แบมบูมตอบกลับแค่นั้น ก่อนที่สายตาของคนที่เหลือจะมองตามคนที่ลุกจากโต๊ะและเดินออกจากห้องไป

                ก่อนที่โฟโต้จะหันกลับมาสบสายตากับแบมบูอีกครั้ง

                “คือมันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะถามนะครับ แต่ผมอยากได้ความเห็นจากพี่จริงๆ”

                “ถามมาเถอะ” แบมบูยิ้มขำกับท่าทางกังวลของคนตรงหน้า

                “แต่พี่ห้ามโกรธผมนา”

                “ครับ พี่ไม่โกรธ”

                เมื่อได้ยินเช่นนั้น โฟโต้ก็สูดลมหายใจเข้าลึกและเข้าประเด็นทันที

                “พี่แบมยังจำได้ไหม ที่พี่เคยบอกผมว่าก่อนหน้าที่พี่จะมาคบกับพี่กราฟ พี่เคยคบกับผู้หญิงมาก่อน”

                แบมบูสตันกับคำถามของโฟโต้ไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเรื่องที่โฟโต้อยากจะปรึกษาคือเรื่องพวกนี้

                “จำได้ดิ มีอะไรหรือเปล่า”

                โฟโต้กลืนน้ำลายลงคอ ก้มหน้าอย่างชั่งใจแล้วพูดออกมาเสียงอ้อมแอ้ม “ผมอยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงเปลี่ยนใจมาคบกับผู้ชาย แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าตัวเอง...”

                “เรื่องที่พี่เป็นเกย์ใช่ไหม” แบมบูพูดออกมาตรงๆ อย่างไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรที่ถูกถามถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับเริ่มอยากรู้ถึงสาเหตุที่น้องชายของแฟนมาถามเรื่องนี้กับเขา

                “กะ...ก็ประมาณนั้นครับ”

                ยิ่งได้เห็นสีหน้าตึงเครียดของคนตรงหน้า ยิ่งทำให้แบมบูเริ่มมั่นใจในความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว จึงค่อยๆ เปิดปากพูดกับคนตรงหน้าอย่างใจเย็น

                “ก่อนที่พี่จะให้คำตอบ พี่ขอถามเราอย่างหนึ่งได้ไหม”

                โฟโต้ค่อยเงยหน้าขึ้นมาสบกับสายตาจริงจังของฝ่ายตรงข้าม “ได้ครับ”

                “พี่อยากรู้ว่าทำไมเราถึงมาปรึกษาเรื่องนี้กับพี่”

                “คือ...”   

                “ที่พี่อยากรู้ก็เพราะว่าพี่จะได้ให้คำปรึกษาเราได้ถูกจุด”

                “โอเคครับ” โฟโต้พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่ผมมาปรึกษาพี่เรื่องนี้ก็เพราะว่าผม...คิดว่าผม...รู้สึกกับ...”

                “กับผู้ชายด้วยกันเองใช่ไหม”

                คนเป็นน้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะพยักหน้า “ครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมรู้สึกมันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ผมรู้แค่ว่าเวลาเจอหน้าเขาทีไร ผมก็อยากเข้าไปแกล้ง ทั้งๆ ที่เขาเอาแต่ทำหน้าบึ้งเหมือนโกรธผมอยู่ตลอดเวลา แต่ผมกลับมองว่าเขาน่ารัก แต่ระยะหลังมานี้ ผมก็เพิ่งจะมาน้อยใจตอนที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ยิ้มให้กับคนอื่น แต่พออยู่กับผมทีไร เขาก็ไม่เคยยิ้มให้ผมเลย”

                “น้อยใจหรือว่าหึง เอาให้แน่ๆ”

                คำถามของแบมบูทำเอาโฟโต้ชะงัก เหลือบมองคนที่อายุมากกว่าเล็กน้อยและได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์คุกกรุ่นภายในใจ

                “ผมไม่ชอบเวลาที่เห็นเขาไปกับคนอื่น มันหงุดหงิด...แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดใส่เขานะครับ ผมหงุดหงิดกับตัวเอง แล้วก็เอาแต่คิดเรื่องเขาตลอดเวลา”

                “นั่นไม่น่าจะใช่อาการของคนน้อยใจนะ”

                โฟโต้เองก็อดยอมรับกับคำพูดของแบมบูไม่ได้

                “ผมรู้ แต่ผมแค่ไม่แน่ใจเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น ผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ผมอาจจะรู้สึกกับเขาในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง...”

                “ฟังนะ โฟโต้ มันไม่ยากเลย ถ้าเวลาเราไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง เราก็แค่หาทางพิสูจน์และพี่ก็เชื่อว่าโฟโต้โตพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรที่เรียกว่าพี่น้อง อะไรที่เรียกว่าความรัก”

                “...” โฟโต้ได้แต่นิ่งเงียบและรับฟังสิ่งที่แบมบูพูดต่อไป

                “อันที่จริง โฟโต้ไม่จำเป็นต้องมานั่งถามใครเลยด้วยซ้ำ พี่หมายถึงเรื่องที่เราจะเป็นหรือไม่เป็นเกย์ เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับ ความรู้สึก ของเราเอง ไม่ใช่ของคนอื่น ถ้าคิดว่าชอบ ก็คือชอบ ถ้าไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ แล้ว เวลา จะบอกกับเราเองว่าสิ่งที่เรารู้สึกไปนั้น มัน ใช่ จริงๆ หรือเปล่า”

                “...”

                “พี่ไม่รู้นะ ว่าเรากำลังกลัวเรื่องเพศสภาพอยู่หรือเปล่า แต่พี่อยากจะเตือนอะไรเราเอาไว้อย่างหนึ่ง”

                จังหวะนั้นเองที่โฟโต้หันมาสบสายตาของแบมบูอีกครั้ง

                “ถ้าคิดว่าเราเจอคนที่ใช่ อย่าปล่อยให้เงื่อนไขอะไรก็ตามมาทำให้เราเลือกที่จะปล่อยเขาไป เราไม่มีทางรู้หรอกว่าในอนาคต เขาจะยังเป็นคนที่ใช่สำหรับเราหรือเราเป็นคนที่ใช่สำหรับเขาอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่พี่อยากให้โฟโต้คิดเอาไว้เสมอคือ ขอแค่เขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเราในปัจจุบันก็พอ ส่วนที่เหลือก็แค่เดินหน้า ทำทุกอย่างให้เรากลายเป็นคนที่ใช่สำหรับเขา”

                ได้ยินแบบนั้น โฟโต้เองก็ได้แต่นิ่งคิด หัวใจของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายไหลเวียนไปทั่ว จนเริ่มสั่นขึ้นมาเบาๆ 

                “เอาจริงๆ ตอนนั้น พี่ไม่รู้หรอกว่าพี่เป็นเกย์หรือไม่เป็น จนกระทั่ง พี่ได้เจอกับกราฟและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน พี่เองก็บอกไม่ถูก ก็อย่างที่เรารู้ว่าพี่เขาเป็นคนยังไง เขาทำให้พี่รู้สึกอบอุ่นใจที่อยู่ด้วย มันรู้สึกดีที่มีคนคอยปกป้อง คอยดูแลและอยู่เคียงข้างพี่ในยามที่พี่ทุกข์ ความรู้สึกทุกอย่างมันตรงกันข้ามกับที่พี่รู้สึกกับแฟนพี่ที่เป็นผู้หญิง”

                “...”

                “แต่หลังจากนั้น พี่ก็ไม่ได้มานั่งสนใจอีกว่าพี่จะเป็นหรือไม่เป็น หรือว่าใครจะมองว่าพี่เป็นเกย์หรือเปล่าเพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือพี่รักกราฟและมันก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้พี่เลิกรักเขาได้ เดี๋ยวเราก็จะได้เรียนรู้มันด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้แค่ยอมรับทุกอย่างไปตามความรู้สึกเท่านั้นก็พอ”

                “แล้วพี่พอจะมีวิธีไหนบ้างไหมครับ ที่พอจะพิสูจน์ว่าเราชอบเขาจริงๆ”

                แบมบูหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำถามของคนที่ผ่านเรื่องรักตามประสาวัยรุ่นมามาก แต่กลับไม่รู้จักว่าความรัก มันต้องรู้สึกยังไง

                “ลองใช้เวลาอยู่กับเขานานๆ  แล้วใช้หัวใจเรานั่นแหละ เป็นตัวตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ”

                “...”

                “แล้วถ้าเกิดผลลัพธ์มันออกมาว่า ชอบ ก็แค่ทำตามความรู้สึกของตนเอง”





Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมด อดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ


                                                         :L3: :L3: :L3: :L3: :L3: :L3:
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 20:04:42
ตอนที่ 14 ถือกำเนิดสไมโลดอน

                “ลองใช้เวลาอยู่กับเขานานๆ แล้วใช้หัวใจเรานั่นแหละ เป็นตัวตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ”

            ...

            “แล้วถ้าเกิดผลลัพธ์มันออกมาว่าชอบ ก็แค่ทำตามความรู้สึกของตนเอง”

            ...

            คำพูดของแบมบูที่วนเวียนอยู่ในหัว ทำเอาคนสติสตังของนายธิติกรขาดหาย สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเหมือนคนคิดมาก ขณะที่สายตาเอาแต่เหม่อลอยไปไกล ทั้งที่เขาควรจะใช้สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอโปรเจคเตอร์หน้าห้องและฟังเสียงอาจารย์ที่กำลังบรรยายเนื้อหาบทเรียน ในเวลาที่เขานั่งอยู่ในห้องเรียนเช่นนี้ต่างหาก

                เขาเป็นแบบนี้มาสักพัก ตั้งแต่คาบแรกกระทั่งคาบเรียนสุดท้าย...

                ความคิดที่จะพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองก็ยังไม่หลุดออกไปจากหัวเสียที

            “โฟโต้ๆ” ฝ้ายหันมาร้องเรียก พลางเอามือโบกตรงหน้าคนข้างๆ หลังจากที่เธอกับนัทเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว หากแต่เพื่อนของเธอคนนี้กลับเอาแต่นั่งนิ่งอย่างกับคนสติหลุด

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงกังวลไม่แพ้สีหน้าของตนในเวลานี้ หลังจากโฟโต้หันกลับมามองเธอแบบตื่นๆ

                “เอ่อ ไม่...ไม่เป็นไร” โฟโต้พูดและแสร้งยิ้มออกไป ทั้งที่ในใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

                “นายดูเหม่อมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ มีอะไรหรือเปล่า” นัทเองก็สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของโฟโต้เช่นกันและมันก็ทำให้เขาอดคิดไปไม่ได้ว่าเพื่อนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ

                “เฮ้ย ไม่มีอะไร เราแค่ง่วงๆ” โฟโต้บอกอีกครั้งและลุกขึ้น เก็บข้าวของใส่กระเป๋า ท่ามกลางสายตาเป็นกังวลของฝ้ายกับนัท ทั้งคู่หันมาสบสายตากันเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยโฟโต้ไปเพราะต่างคนต่างก็คิดว่าบางที อาจจะเป็นเรื่องที่โฟโต้ไม่อยากให้ใครรู้ก็ได้

                “ถ้าไม่มีอะไรก็รีบไปซ้อมดาวเดือนเหอะ จะสายแล้ว” นัทหันไปบอกอีกครั้ง ก่อนที่โฟโต้จะสะพายกระเป๋าและทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องเรียน ตรงไปยังลานซ้อมกิจกรรมของคณะทันที

 

                ขณะเดียวกัน...

                ฮ่องเต้ก็มารวมกลุ่มกับพวกพี่เทคดาวเดือนคนอื่นๆ ที่ลานซ้อมกิจกรรม เพื่อรอเด็กปีหนึ่งที่เลิกเรียน ระหว่างนั้นก็นั่งอ่านหนังสือไปพลาง เนื่องจากช่วงสอบย่อยใกล้เข้ามาเต็มทีแล้วและหลังจากนี้ กิจกรรมของทางคณะและมหา’ลัยจะมีมากขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องมาทบทวนให้เข้าใจเสียก่อน ส่วนเรื่อนความจำก็ค่อยจำไปทีละนิด จะได้ไม่ต้องมานั่งลำบากจำทีเดียวหลายบท

                ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบไปเห็นเด็กสามคนที่กำลังเดินเข้ามาข้างใน หนึ่งในนั้นยังคงมีเด็กปีหนึ่งที่เขายังคงยืนยันว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากจะเจอ แต่ก็ดันหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะไอ้เด็กคนนั้นดันจับฉลากได้เขาเป็นพี่เทคเดือนเสียได้ ดังนั้น คงต้องทำใจและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวรตามกรรม...

                ไม่ๆๆ เขาไม่ควรปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น เขาต้องตั้งสติและพึงระลึกเอาไว้เสมอว่าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวแค่เฉพาะเรื่องกิจกรรมเท่านั้น

                “สวัสดีครับ พี่ฮ่องเต้” โฟโต้เอ่ยทักพลางฉีกยิ้มกว้างแบบที่เคยทำ แสร้งกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่ระส่ำระส่ายอยู่ในเวลานี้ ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังคงเก๊กหน้านิ่งใส่เหมือนอย่างที่เคยทำ โดยไม่รู้เลยว่ารุ่นน้องที่เขาระแวงนักระแวงหนากำลังมีแผนการบางอย่างอยู่ในหัว

                ใจเย็นเว้ย ไอ้โฟโต้ ทำตัวตามปกติๆ

            โฟโต้ท่องประโยคนั้นซ้ำไปมาอยู่ในใจ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองเห็นเอกสารประกอบการเรียนในมือของฮ่องเต้ ที่มีรอยขีดเขียนไปมากกว่าครึ่ง

                “พี่เต้ขยันแบบนี้ คงได้เกรดสวยทุกเทอมเลยสินะครับ”

                หากแต่ประโยคนี้กลับไม่ได้ออกจากปากของสายรหัสปีหนึ่ง แต่กลับเป็นคำพูดของสายเทคที่เดินเข้ามาสมทบ พร้อมกับรอยยิ้มละมุนที่มีให้รุ่นพี่ปีสี่ตรงหน้าเช่นเคย

                แต่นั่นกลับทำให้สายตาของโฟโต้ฉายแววความไม่พอใจออกมาและเขาเองก็อดสงสัยในแววตาที่นัทกำลังมองไปทางพี่ฮ่องเต้อย่างเสียไม่ได้ ดูยังไงมันก็เหมือนแววตาของคนที่แอบชอบและที่สำคัญ พี่ฮ่องเต้ของเขาดันยิ้มกลับไปให้นัทด้วยนี่สิ มันน่าโมโหนัก

                “ว่างๆ มาติวให้ผมได้หรือเปล่าครับ” นัทยังคงไม่ยอมหยุด หยอดสายตาและรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนไปให้และแน่นอนว่ามันทำให้สติของสายรหัสตัวจริงอย่างโฟโต้ขาดผึ่ง สายตาตวัดมองไปทางนัทที่ยังคงเอาแต่จับจ้องใบหน้าของฮ่องเต้อย่างไม่วางตา

                “พี่เทคเดือนนายเป็นใครเหรอ” อาจจะฟังเป็นคำถามสำหรับใคร แต่มันไม่ใช่สำหรับนายธิติกรเพราะรอยยิ้มและสายตาที่ต้องการสื่อความหมายง่ายๆ กับฝ่ายตรงข้ามว่า มึงไปซะ

            “พี่กรีน ปีสอง มีอะไรหรือเปล่า” นัทส่งยิ้มกลับไปพร้อมกับมองโฟโต้ด้วยสายตาที่สื่อความนัยว่าเขาไม่ได้โง่ ที่จะดูไม่ออกว่าโฟโต้ต้องการอะไร แต่เขาเพียงต้องการกวนประสาตอีกฝ่ายกลับก็เท่านั้น

                โฟโต้จึงทำทีเป็นชะเง้อมองหาก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่แฝงความร้ายกาจเอาไว้ว่า “พี่กรีนเขามองหานายอยู่นะ น่าจะมีธุระสำคัญคุยด้วย”

                นัทชะงักนิ่ง จ้องหน้าโฟโต้ที่ยังคงทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่สักพัก ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาด้วยความคับแค้นใจและหันไปมองตามสายตาของโฟโต้ แต่เพราะว่าเขาเองก็เห็นตำตาว่ากรีนกำลังมองหาเขาอยู่จริงๆ จึงได้แต่ฝากความคับแค้นใจนั้นเอาไว้กับอีกฝ่ายเท่านั้น

                “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมไปหาพี่กรีนก่อนนะครับ” นัทหันไปพูดกับฮ่องเต้ที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับสายรหัส สายเทคปีหนึ่งของตน เลยทำเพียงแค่พยักหน้าและยิ้มแทนคำตอบเท่านั้น ตรงข้ามกับโฟโต้ที่แสร้งยิ้มและส่งสายตาขับไล่ไสส่งนัทอย่างไม่คิดจะปิดบัง

                พี่เทคเดือนของผม ใครหน้าไหนก็ห้ามแตะเว้ย

                คิดและยิ้มกระหยิ่มในใจ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหายวับไปจากความคิด เมื่อเสียงหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

                “น้อยใจหรือว่าหึง เอาให้แน่ๆ”

            คำพูดนั้นทำให้เขาถึงกับชะงักและพิจารณาสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะทำลงไปเมื่อครู่

                “นั่นไม่น่าจะใช่อาการของคนน้อยใจนะ”

            หึงเหรอวะ...

            พึมพำกับตัวเองในใจ โดยหารู้ไม่ว่าฮ่องเต้กำลังมุ่นคิ้ว จับตามองสีหน้าประหลาดของเขาอยู่

                หึงที่ไอ้นัทเข้ามายุ่งย่ามกับพี่ฮ่องเต้...

                ก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้ากลับมามองคนที่เขาเพิ่งจะบอกกับตัวเองว่า หึง ไปหมาดๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

                “อะไร”

                เป็นอันได้สติ เมื่อฮ่องเต้โพล่งถามออกมาอย่างไม่เข้าใจรุ่นน้องตรงหน้า

                “เป็นอะไรของมึง ลืมกินยาแก้โรคประสาตหรือไง”  ฮ่องเต้ว่าพลางส่ายหน้าน้อยๆ  จนโฟโต้ต้องรีบปรับสีหน้าและยิ้มกริ่มออกมา

                “ผมยอมรับครับ ว่าลืมกินยา ไม่ใช่ยาแก้โรคประสาตนะครับ แต่เป็นยา...” เขาเว้นจังหวะ มองสำรวจฮ่องเต้ในชุดนักศึกษาด้วยสายตาหยอกเย้าและค่อยเปล่งเสียงออกมาว่า “...ยาแก้โรคทนความน่ารักของพี่เต้ไม่ไหว”

                ถึงคราวฮ่องเต้เป็นคนสตันบ้าง เขายืดตัวขึ้น มองหน้าคนที่เพิ่งจะพูดหยอกบอกว่าเขาน่ารักด้วยสายตาที่ไหววูบเล็กน้อยเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ทำเอาเขาใจเต้นแรง ก่อนจะตีหน้าดุใส่อย่างที่เคยทำ

                “กูบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามพูดคำว่าน่ารักกับกู”

                หากแต่ท่าทางฮึดฮัดและคำเตือนของฮ่องเต้กลับทำให้โฟโต้ได้ใจเสียอย่างนั้น

                “ถ้าอย่างนั้น...” เขาทำทีเป็นมองรุ่นพี่ปีสี่ที่ชอบทำตัวโหดไม่เข้ากับหน้า ด้วยสายตาจาบจ้วงอย่างต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกเขินอายมากขึ้นไปกว่าเดิม “...เปลี่ยนเป็นน่าฟัดแทนนะครับ”

                “ไอ้โฟโต้!!”

                ฮ่องเต้เผลอร้องเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงดังลั่น จนคนรอบข้างหันมามองตามกันเป็นสายตาเดียวทีแรกก็มองมาด้วยความตกใจเพราะคิดว่าพี่น้องคู่นี้จะมีเรื่องกัน แต่พอเห็นว่าเป็นฮ่องเต้กับโฟโต้ พี่น้องสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดก็เปลี่ยนเป็นมองด้วยสายตาละห้อยและต่างพากันซุบซิบถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ไปต่างๆ นานา

                ขอโทษนะครับ พี่เต้ ใครใช้ให้พี่น่ารัก น่าฟัดล่ะครับ

            เสือร้ายยิ้มกระหยิ่มออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง เขากัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย มองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันเปี่ยมล้น อย่างต้องการจะแกล้งคนน่ารัก น่าฟัดในสายตาของเขา

                จนเหยื่ออย่างฮ่องเต้ถึงกับเริ่มหายใจแรงๆ ใส่ จะว่าเขากำลังหงุดหงิด โมโหก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะไอ้อาการร้อนผ่าวไปทั่วร่างจนอึดอัดและทำตัวไม่ถูกที่ดันมีมากกว่าความโกรธนี่สิ ที่ทำให้เขาลำบากใจ ทั้งที่ควรจะลุกหนีหรือจัดการปรามคนตรงหน้าให้รู้เด็กรู้ผู้ใหญ่เสียบ้าง แต่เพราะการกระทำของโฟโต้ไม่ได้ทำให้เขารูสึกแย่ เลยทำให้เขาโกรธไม่ลงเสียอย่างนั้น

                เฮ้ย เดี๋ยวนะ นี่ผมไม่ได้รู้สึกแย่อย่างนั้นเหรอวะ

                ฮ่องเต้เบิกตาโพลงอย่างคนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ค่อยเหลือบตาไปมองคนที่เอาแต่ยืนกอดอกจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา ก่อนที่แววตาจะสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้งเพราะโฟโต้แกล้งเลียริมฝีปากเบาๆ และส่งสายตาหื่นกระหายมาทางเขาอีกครั้ง

                มึงตั้งสติเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย มึงอย่าไหลไปตามเกมดิวะ เชี้ยเอ้ยยยยย     

            ฮ่องเต้อยากจะเอามือทึ้งหัวตัวเองแทบตาย แต่ก็ทำได้เพียงแค่กำชีทและปากกาไฮไลท์เอาไว้แน่นอย่างต้องการระบายความร้อนในร่างกายในเวลานี้ ทว่าการกระทำนั้นกลับสะดุดตาของนายธิติกรเข้า ทำเอาคนขี้เล่นเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่สายตายังคงจับจ้องมือของรุ่นพี่ตรงหน้าอยู่อย่างนั้น

                ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปใกล้จนฮ่องเต้มองตามเลิกลัก กระทั่งรุ่นน้องที่เขามองว่าเป็นไอ้โรคจิตปีหนึ่งมาโดยตลอด โน้มตัวเข้ามาใกล้ชนิดที่เห็นชัดยันรูขุมขนเลยทีเดียว โฟโต้ฉวยโอกาสนั้น สบสายตากับคนเป็นพี่ หวังจะสะกดร่างนั้นแบบอยู่หมัด ก่อนจะใช้จังหวะที่ฮ่องเต้เผลอ เอื้อมไปจับมือของเขา คลายกำปั้นนั้นออกช้าๆ แล้วดึงปากกาไฮไลท์และชีท พร้อมกับถอนตัวเองออกมาจากอีกฝ่าย

                “ยับหมดแล้วครับ” โฟโต้ว่าขำๆ

                แต่ฮ่องเต้กลับไม่ขำด้วย แม้ว่าการกระทำของโฟโต้จะทำให้เขาใจเต้นแรง แต่พอสบเข้ากับสายตาของคนรอบข้างที่มองมาพร้อมกับรอยยิ้ม ประกอบกับเหตุการณ์บางอย่างในอดีตทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย มันทำให้เขาเริ่มกระอักกระอวนจนใบที่เคยแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย กลับกลายมาเป็นซีดเผือดด้วยความหวั่นกลัว

                ...จนเขาต้องรีบดึงเอกสารประกอบการเรียนในมือของโฟโต้คืนมา

                “วันนี้ มึงซ้อมเดินเองก็แล้วกัน”

                พูดจบก็คว้ากระเป๋าและเดินหนีออกไปจากลานซ้อมกิจกรรมทันที โดยไม่รอฟังเสียงเรียกจากคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย

                พี่เขาโกรธเหรอวะ

                โฟโต้มองตามร่างนั้นที่หายวับออกไปจากลานซ้อมกิจกรรม และได้แต่หันกลับมามองปากกาไฮไลท์ในมือที่เจ้าของคงจะโมโหจนหลงลืมมันเอาไว้

                “กูทำอะไรลงไปวะเนี่ย” ปากก็ว่า อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นมายีหัวอย่างหงุดหงิดตัวเอง ก่อนที่จะหันไปมองตามมือของใครบางคนที่วางลงบนไหล่ ทว่าสายตาของเจ้าของมือกลับเอาแต่มองไปทางที่ฮ่องเต้เพิ่งจะเดินหายออกไป

                “มึงมาคุยกับกูหน่อยดิวะ” ซันบอกแค่นั้นและตบบ่ารุ่นน้องสองสามที ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปจากลานซ้อมกิจกรรมบาง ขณะที่โฟโต้ได้แต่หลับตาลงอย่างต้องการระงับอารมณ์ แล้วเดินตามตากล้องประจำคณะออกไปแต่โดยดี

                ท่ามกลางสายตาของนัทกับฝ้ายที่มองตามคนทั้งคู่ออกไป กับฝ้าย เธอมองตามไปด้วยความสงสัย แต่กับนัท เขาแอบสะใจเล็กน้อยที่โฟโต้พลาดท่าตั้งแต่เริ่มเดิมเกม

                ขอโทษด้วยนะ ยังไงพี่เต้ก็ต้องรักกู

                ซันเดินนำโฟโต้ออกมาตรงลานจอดรถ ตรงจุดที่คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก เสร็จสรรพก็หยุดเดินและหันหน้ากลับมามองนายธิติกร เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งจะก่อเรื่องกับเพื่อนเขามาหมาดๆ

                “ชอบหรือว่าแค่ต้องการแหย่เล่น” ซันเข้าประเด็นทันที ทำเอาคนถูกถามเหมือนถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าที่หน้าอย่างจังเพราะความตรงไปตรงมาและสายตาเรียบนิ่งที่มองมาอย่างต้องการจะกดดันคนตรงหน้า

                “ผม...”

                “ขอบอกไว้ก่อนนะ กูไม่ชอบคนลังเล” ก่อนที่ซันจะเน้นประโยคถัดมา “ไอ้เต้ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

                คำพูดของซันทำเอาโฟโต้เริ่มหน้านิ่ง สายตาที่มองกลับไปทางรุ่นพี่ดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา จนซันเองก็เริ่มคาดหวังที่จะได้เห็นและฟังอะไรดีๆ จากคนตรงหน้า

                “ผมชอบพี่เต้ครับ” โฟโต้พูดออกไปตามความรู้สึกของตนและมันก็ผ่านการคิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว เหมือนที่พี่แบมบูบอกว่า แค่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ในเมื่อพี่ฮ่องเต้น่ารักขนาดนั้นและนัทเองก็พยายามเข้ามายุ่งย่ามกับคนที่เขาชอบขนาดนี้ เสืออย่างเขาคงไม่ปล่อยให้จิ้งจอกอย่างนัทมาล่าเหยื่อของตนไปง่ายๆ หรอก

                “มึงแน่ใจนะ ไอ้ที่มึงพูดออกมา” ซันยังคงไม่วางใจเท่าไหร่นัก

                “ครับ ผมชอบพี่เต้จริงๆ ชอบมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาช่วยผมตอนผมล้มและตั้งแต่วันที่ผมได้ใกล้ชิดกับเขา”

                “มึงไม่คิดบ้างเหรอ ว่าบางที่ไอ้เต้มันก็ทำไปตามหน้าที่ของรุ่นพี่”

                โฟโต้นิ่งงันไปกับคำพูดของซัน เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก

                เขากำลังจะบอกว่าที่พี่เต้เข้ามาช่วย ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะว่าเขาทำตามหน้าที่...

            เพียงเท่านั้น ในใจก็เจ็บแปลบขึ้นมาราวกับถูกอะไรกรีดเข้า ใบหน้าเริ่มตึงเครียดขึ้นมาจนวันเองก็สังเกตเห็น

                “มึงอาจจะรู้สึกดีในฐานะพี่น้อง...”

                “ไม่ครับ” โฟโต้สวนกลับทันควัน ทำเอาซันถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงหน้าขรึมเช่นเดิมและสบสายตากับโฟโต้ที่มองมาทางเขาอย่างไม่วางตา “มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบพี่น้อง ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่เต้ มันมากกว่านั้น ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบไหนและผมก็จะไม่มีทางทำให้ตัวเองรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่ทำอะไรเลย”

                “...”

                “ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าการกระทำหรือคำพูดของพี่เต้จะเป็นไปตามหน้าที่ของรุ่นพี่หรืออะไร ผมรู้แค่ว่าสิ่งเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกดี ที่ผมชอบก็เพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นรุ่นพี่หรืออยู่ในฐานะอะไรก็ตาม”

                “พูดเหมือนมึงเคยคบผู้ชายมาก่อนเลยนะ”

                ซันก็ยังคงจี้จุดคนตรงหน้าต่อไปเรื่อยๆ แต่ที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อเพื่อนรักอย่างฮ่องเต้ เขาไม่อยากให้เพื่อนของเขาต้องพลาดท่าให้กับความรู้สึกที่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ถูกอีกฝ่ายหลอกต้องมาเจ็บปวดเพราะมารับรู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่ความรัก

                “แล้วถ้ากูบอกว่าไอ้เต้มันไม่ใช่เกย์ แต่มันเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงและมันก็ไม่มีทางชอบผู้ชายอย่างมึง มึงจะเลิกยุ่งกับเพื่อนกูไหม”

                ซันพูดเน้นคำในประโยคสุดท้ายและแสดงความรู้สึกผ่านทางน้ำเสียง สีหน้าและแววตาอันดุดัน อย่างจงใจจะขู่ให้คนตรงหน้าเลิกยุ่งกับเพื่อนเขาไปซะ จนโฟโต้ต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ยอมรับกับตนเองว่าคำพูดแต่ละอย่างของซันทำเอาเขาทั้งจุกและกระอักกระอวนไปหมด แต่เขาก็พยายามจะตอบคำถามของรุ่นพี่ไปตามความรู้สึกของตน 

                “ผมไม่รู้นะ ว่าพี่คิดยังไงกับเรื่องนี้ ผมไม่เคยมองว่าพี่ฮ่องเต้เป็นผู้ชายหรือเป็นเกย์และผมไม่คิดที่จะมองเขาแบบนั้นด้วย ผมยังยืนยันคำเดิมว่าผมชอบที่เขาเป็นเขา ต่อให้เขาจะไม่ได้ชื่อฮ่องเต้หรือจะเปลี่ยนชื่อ ศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าเป็นล้านครั้ง ผมก็ยังคงชอบเขาอยู่ดี”

                “...”

                “เพราะผมชอบตัวตนของเขาข้างใน ไม่ใช่อะไรก็ตามที่เป็นเพียงแค่เปลือกนอกและผมก็รู้สึกกับเขาแค่คนเดียว ส่วนพี่จะมองว่าผมหรือพี่เต้เป็นเกย์หรือไม่ ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ” 

                ซันยิ้มเยาะใส่คนตรงหน้า  “คำพูดของคน มันไม่ได้พิสูจน์ความจริงใจไม่ได้หรอก ก็เหมือนกับเพื่อนมึงไง โกหกหน้าด้านๆ”

                และมันทำเอาโฟโต้เริ่มฉุนขาด มองรุ่นพี่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ เป็นความหงุดหงิดที่ทำเอาเขาเริ่มพูดเร็วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเพราะความงี่เง่าของรุ่นพี่ตรงหน้าที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

                “พี่ซัน ผมรู้นะ ว่าพี่เกลียดเพื่อนผม แต่นี่มันเรื่องของผมกับพี่ฮ่องเต้ ไม่ใช่เรื่องของไอ้เปรมกับน้องสาวของพี่ กรุณาแยกแยะด้วยนะครับ”

                “มันจะต่างอะไรกันวะ ในเมื่อไอ้เต้มันก็เพื่อนกูและกูขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่ากูไม่ไว้ใจมึง กูจะไม่มีทางปล่อยให้มึงเข้ามายุ่งย่ามกับชีวิตของไอ้เต้แน่ ถึงแม้ว่าไอ้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองอะไรนั่นมันจะเป็นจริงก็ตาม”

                โฟโต้ขมวดคิ้วกับประโยคสุดท้ายที่ซันพูดออกมา “เกี่ยวอะไรกับเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง?”

                ใจหนึ่งก็เริ่มเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์สายรหัสนี้ยังไง แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของพี่ฮ่องเต้

                ซันมองสบกับสายตาสงสัยของคนตรงหน้าและยกยิ้มที่มุมปาก “รู้เอาไว้ด้วยนะ ว่าไอ้ฮ่องเต้คือพี่รหัสปีสี่ของมึง”

                แม้ว่าอีกนานกว่าจะถึงวันเปิดสายรหัสของคณะนิติศาสตร์ แต่ซันก็เลือกที่จะโพล่งความจริงออกไปเช่นนั้นเพราะความจงใจที่อยากจะให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเป็นไปบางอย่าง ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้เพราะโฟโต้เองก็ถึงกับอึ้งกิมกี่ที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งที่เขาอุตส่าห์ไม่ยอมตามหาพี่รหัสปีสี่แล้วแท้ๆ  แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าเขาจะหนีความจริงไม่พ้น

                และเขาเองก็กำลังสับสนกับความจริงที่เพิ่งจะมากระจ่างเอาตอนนี้...

                “ดีใจไหมล่ะ ที่ได้รู้ว่าใครเป็นพี่รหัสปีสี่ ได้ข่าวว่าพี่ปีสองกับปีสามของมึงก็คบกันเองแล้วนี่ ไอ้เต้ก็จะเรียนจบปีนี้แล้วด้วย มันคงหนีไม่พ้นอาถรรพ์สายรหัสของมันหรอก”

                ซันพูดไปพลางแสยะยิ้มไปพลาง มองหน้าเพื่อนของคนที่เขาเกลียดนักเกลียดหนาด้วยความสะใจ

                “แต่เพราะกูสงสาร กลัวว่ามึงจะเจ็บ กูเลยอยากบอกให้มึงรู้เอาไว้อีกอย่างหนึ่ง...”

                โฟโต้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตามาดร้ายของคนตรงหน้า

                “...มึงคงจะยังไม่รู้ว่าอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองมันไม่ได้ส่งผลกับแค่สายตรง แต่มันส่งผลกับสายเทครหัสสองศูนย์สี่ด้วย” ก่อนจะเว้นจังหวะและพูพออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “...และปีนี้ไอ้เต้ มันก็ดันมีสายเทคอีกหนึ่งคน กูคงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”

                พูดจบวันก็เฉียดเข้ามาใกล้และเอามือจับเข้าที่บ่าของโฟโต้ ออกแรงบีบเล็กน้อย ขณะที่สายตาของคนทั้งคู่จะประสานกันราวกับต้องการจะฟาดฟันกันผ่านสายตา

                “ถอนตัวไปตอนนี้ ยังทันนะ”

                นั่นคือคำพูดที่ทิ้งท้ายเอาไว้ให้ สร้างความอึดอัด คับแค้นใจให้กับโฟโต้เป็นอย่างมาก สายตาของเขาไม่อาจจะปกปิดอารมณ์คุกกรุ่นเอาไว้ได้ ตรงกันข้ามมันใกล้จะระเบิดออกมาเต็มทนจนเขาต้องกำหมัดแน่น...

                แต่มือกลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง...

                มือข้างนั้นยกขึ้นมาตรงหน้าพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังปากกาไฮท์ไลท์ที่ฮ่องเต้ลืมเอาไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ภายในใจของเขาออกมา ราวกับว่าปากกาไฮท์ไลท์ตรงหน้าคือพี่ฮ่องเต้ที่กำลังจ้องมองมาทางเขาอยู่

                “ใครจะว่ายังไงผมก็ไม่สนหรอก ในเมื่อผมยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้ว พี่ต้องเป็นของผม”

                จงใจเน้นคำพูดในประโยคสุดท้ายอย่างมาดหมั้น ก่อนจะบรรจงแตะริมฝีปากลงบนปากกาไฮท์ไลท์แท่งนั้นและยกยิ้มที่มุมปาก

                “มัดจำไว้ก่อนนะครับ แล้วผมจะค่อยผ่อนคืนให้หรือไม่ก็จ่ายทีเดียว”

                ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบังพร้อมกับรอยยิ้มมาดร้ายและแผนการอีกมากมายในสมองที่รับรองได้ว่าทั้งฮ่องเต้และซัน ไม่สิ ต้องรวมถึงสายเทคของพี่ฮ่องเต้อย่างนัทด้วย รับรองว่าไม่ใครที่จะรอดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ แน่ต่อให้นัทจะเป็นเสือ แต่ก็คงจะเป็นแค่เสือดาวเท่านั้นและแน่นอนว่าไม่มีทางที่เสือดาวจะมาทำอะไรสไมโลดอนอย่างเขาได้หรอก

                เพราะถ้าสไมโลดอนเขาคิดจะล่าเหยื่อแล้วล่ะก็...เขาสามารถทำให้เหยื่อตายทีเดียวได้ง่ายๆ ในชั่วพริบตา

               

                               
Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมด อดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ
                               :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 20:17:06
ตอนที่ 15 ตามง้อในฐานะพี่น้อง

                “เช้ดเข้ ใครพกผีแพนด้ามาเรียนด้วยวะ!”

                เสียงนิวร้องลั่นมาแต่ไกล ตั้งแต่ฮ่องเต้ยังไม่ทันได้สาวเท้าเข้ามาให้ห้องเรียนเพราะสภาพที่เหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายชั่วโมงของเพื่อนรัก ที่ทำเอาเขาอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

                “เขามีแต่หมีแพนด้าหรือเปล่าวะ” ซันหันไปว่าขำๆ ตบมุกใส่จนนิวหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม ก่อนจะปรายตาไปมองคนมาใหม่ ที่ถึงกับทรุดลงทิ้งน้ำหนักทีเดียวจนก้นกระแทกเก้าอี้อย่างแรง แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ แถมยังเลื้อยไหลลำตัวและฟุบนอนเอาแก้มแนบไปกับโต๊ะ พร้อมกับเสียงลมหายใจที่พ้นออกมาแรงๆ เหมือนคนมีเรื่องเครียดไปที

                ซันกับนิวหันมาสบตากัน แม้ว่าซันจะรู้แก่ใจดีว่าเพื่อนของเขากำลังคิดมากเรื่องอะไร แต่กับนิว เขายังคงไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น

                “เฮ้ยๆๆ มึงจะมาหลับใส่พวกกูแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ตื่นมาให้กูเผือกเรื่องมึงก่อนดิวะ” นิวปรี่เข้าไปเขย่าตัวจนฮ่องเต้ถึงกับขมวดคิ้วทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างหงุดหงิด หากแต่ตาทั้งสองข้างยังคงปิดสนิทอยู่เช่นนั้น

                “ไอ้เต้ มึงจะปล่อยให้กูหิวเผือกตายคาห้องเรียนแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” นิวยังคงร้องเรียกเพื่อนต่อไป แต่เพราะเขารู้ดีว่าปลุกแบบนี้ ให้ตายยังไงฮ่องเต้ก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาเล่าให้เขาฟังแน่ว่ามันไปทำอะไรมา เขาจึงแสร้งหันไปพูดกับซันแทนว่า...

                “อ่อนเพลียมาแต่เช้าแบบนี้ กูว่ามันต้องเสร็จไอ้น้องโฟโต้แล้วแน่ๆ”

                หากแต่สายตาของนิวกลับเหลือบมองไปทางฮ่องเต้อย่างต้องการจะสังเกตปฏิกิริยา นั่นทำให้นิวไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาไม่พอใจของซัน

                “มึงไม่คิดเหรอว่าบางทีมันจะเสร็จไอ้น้องนัท สายเทคปีหนึ่งของมัน” เพราะซันแสร้งทำเสียงเหมือนไม่ว่าสิ่งที่พูดไม่ได้เป็นเรื่องจริงจังอะไรออกมา ทำให้คนที่ไม่คิดอะไรกับทุกเรื่องเป็นเดิมทีอย่างนิวเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น

                “อย่าบอกนะ ว่ามึงเชียร์ไอ้น้องนัทอ่ะ” นิวหรี่ตามองไปทางใบหน้าระรื่นของซัน

                “เออ ในเมื่อมึงเชียร์ไอ้โฟโต้ กูก็จะเชียร์ไอ้น้องนัทให้มันได้กับไอ้เต้” ท้ายประโยค ซันจงใจหันไปพูดกับฮ่องเต้ที่กำลังพยายามระงับความหงุดหงิดที่ชักจะเพิ่มระดับไปตามคำพูดของเพื่อนเรื่อยๆ

                และเมื่อซันประกาศเจตนาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง นิวจึงขยับถอยหลังไปสองก้าวและเอามือชี้หน้า หรี่ตามองซันพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

                “หมายความว่ามึงจะประกาศศึกกับกูใช่ไหม!?”

                “กูพูดออกจะชัดเจน” ซันตอบพร้อมกับยักไหล่กลับมาให้

                “ด้ายยยยยย มึงรอดูได้เลย ว่ากูเนี่ยแหละ จะทำให้ไอ้โฟโต้กับไอ้เต้...”

                แปะ!

                ฟึ่บๆๆ

                เอามือประสานกันขยับจนเกิดเสียงกระทบระหว่างฝ่ามือสองข้างเพื่อประกอบการบรรยาย

                “กูรับรองเลยนะ ไอ้เต้ ว่ามึงต้องฟินแน่นอนนนนน”

                ป้าบ!

                “เลิกพูดเรื่องนี้สักที ก่อนที่กูจะหมดความอดทนแล้วตัดเพื่อนกับมึง!” เป็นฮ่องเต้ที่ลุกขึ้นมาโบกหัวคนพูดมาก หากแต่คราวนี้ สีหน้า ท่าทางและน้ำเสียงดูจริงจังขึ้นถนัดตาจนนิวถึงกับหน้าเหวอ

                “เฮ้ย มึง...กูแค่...”

                “มึงไม่ต้องมาแก้ตัว ถ้ามึงไม่รู้อะไรอย่ามาพูดดีกว่า” อาจจะเป็นเพราะฮ่องเต้อดหลับอดนอนมาทั้งคืนและเครียดเรื่องบางอย่าง ทำให้สติและความอดทนของเขาต่ำลงไป จนพลั้งปากพูดออกไปเช่นนั้น แต่มันกลับทำให้ซันยิ้มกริ่มเพราะเขารู้ดีว่าที่ฮ่องเต้เป็นแบบนี้ก็เพราะเรื่องที่โฟโต้เข้าหาเมื่อวาน 

                “เออๆ กูไม่พูดแล้วก็ได้ ใจเย็นนะเพื่อนนะ” นิวทำได้แค่ยิ้มเจื่อนไปให้พร้อมกับค่อยเอามือแตะที่ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ  แต่พอเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ว่าอะไร จึงดันให้เพื่อนรักที่กำลังฉุนขาดนั่งลงดังเดิม

                ก่อนที่อาจารย์จะเดินเข้าห้องและทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ...

               

                โฟโต้ชะงักฝีเท้า เหลือบตาไปมองนัทที่นั่งอยู่ตรงที่ประจำอย่างไม่วางตา หากแต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีจงเกลียดจงชังอะไรออกมา ทำเพียงแค่เดินเข้าไปหาฝ้ายเหมือนเช่นทุกวันราวกับไม่มีเรื่องอะไรบาดหมางใจกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฝ้าย

                “โฟโต้ เรามีเรื่องจะถาม” ฝ้ายหันใบหน้ากังวลมาทางโฟโต้ทันทีที่เขานั่งลงข้างเธอ

                “มีอะไรเหรอ” โฟโต้ถามกลับพลางฉีกยิ้มกว้างเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่รอยยิ้มสดใสนั้นไม่ได้ช่วยให้ฝ้ายคลายความกังวลลงไป แถมกับนัท เขาเองก็ยังคงเอาแต่นิ่งเงียบด้วยความอึดอัดใจ

                “เมื่อวาน มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมพี่ฮ่องเต้รีบกลับไปแบบนั้น”

                โฟโต้สตันไปเล็กน้อยกับคำถามของคนข้างๆ หากแต่ก็รีบปรับสีหน้ายิ้มแย้มออกมา “ไม่มีอะไรหรอก พอดีพี่เขาไม่ค่อยสบายก็เลยขอตัวกลับก่อน”

                จังหวะนั้นเองที่นัทเงยหน้าขึ้นมามองคนพูด ขณะที่โฟโต้เองก็สบตากับอีกฝ่ายแบบที่รู้กันดีว่าพวกเขาทั้งคู่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกัน

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ซันเขาเรียกเธอไปคุยเรื่องอะไรล่ะ”

                แม้ว่าฝ้ายจะเป็นคนถาม แต่นัทกลับเอาแต่จ้องโฟโต้ไม่วางตาแบบคนที่รอฟังคำตอบ ในตาของโฟโต้จึงฉายแววยิ้มเยาะขึ้นมา แต่ก็เพียงชั่ววูบเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหันไปมองฝ้ายและแสร้งทำเป็นไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องเมื่อวาน

                “ก็เรียกไปคุยเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย บอกไม่ได้หรอก มันเป็นความลับระหว่างลูกผู้ชาย”

                ท่าทีของคนขี้เล่นที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก ทำให้ฝ้ายคลายความกังวลลงไปได้บ้าง เพราะเธอเองก็ห่วงแทบตายว่าโฟโต้จะมีเรื่องตั้งแต่วันแรกที่นัดซ้อมดาวเดือน พาลได้ถูกหมายหัวถึงวันงานประกวดพอดี

                ก่อนที่โฟโต้จะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และล้วงมือถือออกมากดเล่นระหว่างรออาจารย์ โดยมีสายตาของนัทที่คอยมองมาตลอด แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ลึกๆ เขารู้สึกไม่พอใจอีกฝ่าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

                โฟโต้นั่งมองข้อความที่เขาส่งไปหาใครบางคนตั้งแต่เมื่อคืน แต่ดูเหมือนว่าใครคนนั้นจะไม่ยอมเปิดอ่านเลยสักนิด แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่นัก

                คนขี้ใจอ่อน ยังไงก็โกรธได้ไม่นานหรอก

            คิดและยิ้มกระหยิ่มในใจ ก่อนที่เสียงอาจารย์จะดังเรียกสติ เขาจึงต้องเก็บมือถือลงไปในกระเป๋าและหันมาตั้งหน้าตั้งตาเรียน

               

                เพราะเย็นวันนี้ ไม่มีนัดซ้อมดาวเดือนคณะ ฮ่องเต้จึงรีบสาวเท้าออกจากห้องเรียนอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง แม้แต่เพื่อนรักของเขาอย่างนิวกับซันที่ได้แต่มองตามคนที่หงุดหงิดมาตั้งแต่หัววันยันเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ

                “ไอ้เต้มันเป็นอะไรของมันวะ กูก็แซวมันเล่นออกจะบ่อย ทุกวันเลยด้วยซ้ำมั้ง ปกติมันก็ไม่ได้เป็นขนาดนี้นี่หว่า...” นิวพล่ามออกมาสีหน้ากึ่งจริงจัง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ “...หรือว่าเหงาตูดเลยพาลมาโมโหกูวะ ไอ้ซัน!”

                ท้ายประโยคหันไปถามความเห็นจากซัน ที่ทำเพียงแค่ส่ายหน้าแบบเอือมระอามาให้

                “เลิกคิด แล้วไปหาข้าวกินได้แล้ว กูหิว” พูดจบ ซันก็เดินนำหน้า ปล่อยให้คนคิดมากแถมยังพูดไม่ยอมหยุดอย่างนิวต้องพล่ามสารพัดคำออกมาและกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป

                “กลับมาช่วยกูคิดก่อนดิวะ”

               

                ขณะเดียวกัน...

                ฮ่องเต้กำลังขับรถออกจากคณะไปด้วยความหงุดหงิดใจ ปนความง่วงเพราะเมื่อคืนดันคิดมากจนนอนไม่หลับ พาลให้เท้าเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นอย่างคนขาดสติและจังหวะที่เขาสับเกียร์ขับขึ้นเนินสูง เตรียมขับอ้อมวงเวียนกลางถนนตรงที่อยู่ไม่ไกลนักนั้นเอง มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งดันขับปาดหน้าเขาเข้าให้จนเขาต้องขับเบี่ยงไปอีกทางแทนการเหยียบเบรกเพราะไม่อยากให้รถไหลลื่นลงไปชนรถข้างหลังเข้า แต่เพราะตอนนี้เป็นช่วงเลิกเรียน จึงทำให้รถพลุกพล่านเยอะเป็นพิเศษ จึงไม่ได้มีแค่รถของเขาคันเดียวที่ได้รับผลกระทบ เพราะยังมีมอเตอร์ไซค์อีกคันที่ไถลไปกับถนน ท่ามกลางสายตาของนักศึกษาจำนวนมาก ทั้งจากบนรถและข้างถนน

                ฮ่องเต้รีบจอดรถลงมาช่วยดูอาการของนักศึกษาคนนั้นที่ล้มลงไปนอนกับพื้น ขณะที่มอเตอร์ไซค์คันที่ขับปาดหน้าเขา ฉวยโอกาส ตีเนียนขับรถหนีไปแล้วเรียบร้อย ทิ้งไว้เพียงแค่สายตาคับแค้นใจของฮ่องเต้ แต่ก็เพียงชั่วครู่ เพราะคนที่เขาห่วงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก

                ฮ่องเต้พยุงนักศึกษาชายคนนั้นให้ผงกตัวขึ้นมานั่ง ก่อนจะช่วยถอดหมวกกันน็อคออกเพราะแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของคนบาดเจ็บ ทว่าพอได้เห็นโฉมหน้าของนักศึกษาชายปริศนาตรงหน้า มือที่จับหมวกกันน็อคกลับชะงักนิ่ง ดวงตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าคุ้นตาด้วยความรู้สึกกระอักกระอวน

                ทำไมต้องเป็นไอ้โรคจิตปีหนึ่งด้วยวะ

            เพราะอาการของคนตรงหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้ฮ่องเต้พยายามลืมความรู้สึกอันน่าอึดอัดออกไปและพยายามสนใจรอยแผลตามตัวของนักศึกษาปีหนึ่งตรงหน้าแทน

                “ลุกไหวไหม”

                “ขอลองดูก่อนนะครับ” พูดจบเจ้าตัวก็ค่อยพยุงตัวลุกขึ้นมา หากแต่เพราะแรงกระแทกทำให้เขาต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด แล้วทรุดลงไปนั่งกับพื้นเพราะร่างกายที่หนักอึ้งไปหมด และนั่นทำให้ฮ่องเต้ต้องช่วยพยุงโฟโต้ขึ้นมาอย่างช้าๆ โชคดีที่นักศึกษาบริเวณนั้นมีน้ำใจเข้ามาช่วยเหลือ จึงทำให้การพยุงร่างของเด็กปีหนึ่งอย่างโฟโต้ไปที่รถของฮ่องเต้เป็นเรื่องง่ายขึ้น

                เสร็จสรรพ ฮ่องเต้จึงเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นถนนและขอแรงนักศึกษาแถวนั้นช่วยยกขึ้นมา ก่อนจะเข็นเอาไปจอดไว้ตรงลานจอดรถนิเทศศาสตร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด 

                “ขอบคุณมากนะครับ เดี๋ยวผมพาน้องไปส่งโรงพยาบาลเอง”  ฮ่องเต้เอ่ยขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มและเดินกลับมาที่รถของตนพร้อมกับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์กับกระเป๋าของโฟโต้ในมือ

                “ทนหน่อยก็แล้วกัน” ฮ่องเต้ว่าพลางสตาร์ทรถและขับออกไปจากบริเวณนั้นทันที โดยไม่ทันได้สังเกตสายตาอบอุ่นของโฟโต้ที่เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขาอย่างไม่วางตา

                พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า แต่ก็เพียงชั่ววูบเท่านั้น เพราะความเจ็บที่แล่นปราดขึ้นมาจนโฟโต้ต้องนิ่วหน้า

               

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 20:19:10
 หลังจากทำแผล ฮ่องเต้ก็พยุงโฟโต้ออกมาจากโรงพยาบาลและพามาขึ้นรถ กะเอาไว้ว่าจะขับไปส่งที่หอพัก

                “ไหวไหมมึง” ฮ่องเต้ถามขณะที่โฟโต้ขยับตัวเข้าไปนั่งข้างในรถ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมายิ้มแบบอ่อนโยน

                “ไหวสิครับ พี่เต้อยู่ตรงนี้ทั้งคน”

                ทว่ามันกลับเป็นคำพูดที่ทำให้ฮ่องเต้เริ่มใจเต้นแปลกๆ ขึ้นมา เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตามองคนรุ่นน้องตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ ได้แต่ทำทีเป็นเขยิบตัวเข้าไปใกล้และช่วยดึงเข็มขัดนิรภัยไปคาดให้เพราะแขนขวาของโฟโต้ที่ต้องเข้าเฝือกเอาไว้ และเพราะใบหน้าที่เฉียดเข้าใกล้ แม้จะเป็นเพียงแค่ด้านข้าง มันก็เรียกรอยยิ้มให้กับเด็กปีหนึ่งอย่างโฟโต้ได้ สายตาวาววับมองสำรวจใบหน้าของรุ่นพี่ปีสี่ทันทีที่สบโอกาส ทั้งเส้นผม ใบหู ดวงตาและแก้มเนียนใสของฮ่องเต้ ทุกอย่างล้วนแต่ชวนให้เขาใจเต้นไม่เป็นระส่ำ ยิ่งกับกลิ่นกายอ่อนๆ ของคนตรงหน้าด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึก...ดี

                มันดี...จนกระทั่งเขาถึงกับเผลอไผลขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ แต่ก่อนที่จมูกของเขาจะทันได้จรดกับแก้มของคนตรงหน้าอย่างต้องการฉวยโอกาส ความรู้สึกอันแปลกประหลาดจากการถูกจับจ้อง ทำให้ฮ่องเต้หันใบหน้ากลับมามอง...

                จนปลายจมูกแตะกันด้วยความบังเอิญ...

                แต่เป็นความบังเอิญที่สร้างความพอใจให้กับรุ่นน้องอย่างโฟโต้ รอยยิ้มบางๆ จึงถูกระบายออกมาบนใบหน้า ดวงตาวาววับสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างจงใจ กระทั่งฮ่องเต้รับรู้ถึงความรู้สึกของรุ่นน้องที่ส่งมาให้เขาและเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไป

                ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบปิดประตูและสาวเท้าไปขึ้นรถฝั่งคนขับ ขณะที่โฟโต้ได้แต่มองตามคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ทำเป็นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เขาก็พอจะมองออกว่ารุ่นพี่ปีสี่คนนี้ของเขากำลังใจเต้นแรงไม่แพ้กัน และมันทำให้เสือร้ายยิ้มกระหยิ่มอย่างลำพองใจ

                “ขอบคุณมากนะครับ ที่ช่วยผม” โฟโต้ชวนคุยทำลายความเงียบเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะอึดอัดน่าดูกับการที่ต้องอยู่กับเขาสองต่อสองบนรถเช่นนี้ ดังนั้น เขาจึงต้องทำทุกทางให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายเข้าไว้เพราะนั่นจะทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดใจคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น

                และมันอาจจะง่ายชนิดที่พี่ฮ่องเต้ไม่ทันรู้ตัว

            “อืม ไม่เป็นไร” และดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่รู้ตัวจริงๆ นั่นแหละ “วันหลังก็ขับรถระวังบ้าง มึงก็รู้ว่าทางในมอมันต่างระดับ โดยเฉพาะตรงวงเวียนยิ่งอันตราย ต่อให้มึงไม่ไปชนเขา เขาก็มาชนมึงอยู่ดี”

                ฮ่องเต้สั่งสอนรุ่นน้องไปตามความเคยชินเพราะความเป็นพี่ที่มีอยู่ในตัวตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่บ้านก็ต้องดูแลสีฝุ่น พอเข้าโรงเรียน เข้ามหา’ลัยได้ก็ต้องมาดูแลรุ่นน้องต่อและนั่นทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังเผลอเคยชินไปกับโฟโต้อีกคน

                คนข้างๆ เขาจึงสบโอกาสตีหน้าสลดอย่างคนสำนึกผิดและพูดจาอ้อมแอ้มออกมา

                “ผมเข้าใจครับ ว่าควรระวัง แต่ตอนนั้น ผมเอาแต่คิดมากก็เลยเผลอลืมตัวไปว่ากำลังขับรถอยู่”

                เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูเครียดๆ  ฮ่องเต้จึงต้องเหลือบตามามอง และเมื่อเห็นใบหน้าสลดของรุ่นน้องก็ได้แต่แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

                “คนอย่างมึงมีเรื่องให้คิดมากด้วยหรือไง” แม้รุ่นพี่อย่างฮ่องเต้จะพูดออกมาอย่างไม่คิดอะไร หากแต่รุ่นน้องอย่างโฟโต้กลับสวนกลับเขาทันควัน

                “มีสิครับ!” ก่อนจะหดตัวลง เมื่อฮ่องเต้เผลอหันมามองด้วยความตกใจ “เรื่องเดียวที่ผมคิดก็คือเรื่องของพี่นั่นแหละ”

                ฮ่องเต้เกือบเผลอเหยียบเบรกเพราะแอบสะดุ้งกับคำพูดของโฟโต้ ก่อนที่ใจของเขาจะระส่ำระส่ายขึ้นมา ขณะที่ปากก็ถามออกไปอย่างหวั่นๆ ว่า

                “คิดมากเรื่องกูทำไมวะ”

                “ก็พี่ไม่ยอมตอบไลน์ผม” คำตอบที่สวนกลับมาทำเอาฮ่องเต้สตัน กระพริบตาสองสามทีและชักสีหน้าหงุดหงิดใส่อย่างที่เคยทำเพราะคิดว่าโฟโต้จงใจกวนประสาตเขา

                “พี่โกรธผมใช่ไหมครับ” โฟโต้ว่าเสียงอ่อย ก่อนจะใช้โอกาสระหว่างที่รถติดไฟแดง หันไปสบตากับเจ้าของรถและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ผมกำลังง้อพี่อยู่นะ”

                เพราะฮ่องเต้ดันหันมา จึงสบเข้ากับสายตาอ้อนๆ ของรุ่นน้องข้างกายเข้าพอดี ใจจึงเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามเอาไว้ได้ ฮ่องเต้จึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ ล่าถอยและถอนสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว

                ใจเย็น ไอ้เต้ น้องมันไม่ได้คิดอะไร มันแค่หยอกเล่นตามประสาเด็ก

            พยายามคิดปลอบใจของตัวเองที่ไม่รักดี ไปรู้สึกอะไรกับรุ่นน้องปีหนึ่ง

                แต่ไอ้เด็กนี่มันโรคจิตนะเว้ย ใครจะไปรู้ทันว่ามันคิดอะไรอยู่     

            อีกเสียงในหัวที่ทำเอาความคิดแรกสะดุด จนฮ่องเต้ต้องส่ายหน้าไล่ความคิดพวกนั้นออกจากหัวและตั้งสติกับสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด

                เลิกคิด...

            นั่นเป็นคำสั่งสุดท้ายที่เขาสั่งหัวใจของตัวเอง ก่อนจะเหยียบคันเร่ง หลังจากสายตาสบเข้ากับสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียว โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มของโฟโต้ที่กำลังพออกพอใจกับท่าทางกระสับกระส่ายของอีกฝ่าย ก่อนจะตีหน้าซื่อพูดกับพี่รหัสปีสี่ของตนต่อ

                “ผมขอโทษนะครับ ที่เข้าใกล้พี่เมื่อวาน ผมรู้ว่ามันทำให้พี่ไม่พอใจและโกรธผม”

                ฮ่องเต้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้เด็กโรคจิตปีหนึ่งในสายตาเขา มันไปรู้จุดอ่อนของเขามาหรือเปล่า ถึงได้เอาแต่พูดพล่ามเรื่องนี้ไม่หยุด รู้แต่ว่ามันทำให้คนขี้ใจอ่อนแบบเขารู้สึกไม่สบายใจและก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เขาจำเป็นต้องอธิบาย

                “กูไม่ได้โกรธ...” ฮ่องเต้เริ่มเปิดปากพูดเพราะเขาเองก็ไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคาใจ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่เขาทำให้ใครต้องมารู้สึกไม่ดีด้วยแล้ว มันยิ่งแย่ต่อความรู้สึกของเขาเอง

                “...เมื่อวาน กูแค่ตกใจที่มึงเข้าใกล้ก็เท่านั้น”

                “เพราะเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองใช่ไหมครับ” ในที่สุด โฟโต้ก็โพล่งความลับออกมา นั่นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับชะงัก ใบหน้าตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่อาจจะปิดบังเอาไว้ได้ สองมือกระชับพวงมาลัยแน่นขึ้น ขณะหักเลี้ยวเข้าไปในซอยหนึ่ง โดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา

                จนกระทั่ง ฮ่องเต้ขับรถมาจอดตรงหน้าหอพักของโฟโต้ที่เขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง...

                “มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ฮ่องเต้เปิดประเด็นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ น้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือทำเอาโฟโต้ต้องหันไปมองอย่างช่างใจ ก่อนจะจงใจพูดอ้อมแอ้มออกมาอย่างต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกไปตามที่ตนต้องการ

                “เพราะว่าผมเข้าใกล้พี่เมื่อวาน หลังจากพี่กลับไป เพื่อนพี่ก็เข้ามาคุยกับผม...”

                ฮ่องเต้ได้แต่เงียบเพื่อรอฟังคำอธิบายของโฟโต้ โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าคนข้างๆ

                “...เขาเล่าเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองให้ผมฟัง รวมทั้งบอกด้วยว่าพี่เต้คือพี่รหัสปีสี่ของผม...”

                ใจของฮ่องเต้กระตุกวูบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พร้อมทั้งหายใจถี่ขึ้นแบบไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่าง เมื่อได้ยินประโยคถัดมาจากโฟโต้

                “...ก่อนที่พี่เขาจะสั่งให้ผมเลิกยุ่งกับพี่เต้”

                ฮ่องเต้หลับตาลงอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์คุกกรุ่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจและมันทำให้คนข้างกายอดยิ้มกริ่มขึ้นมาในใจอย่างเสียไม่ได้

                ขอโทษนะครับ พี่ซัน ผมว่าพี่พลาดมากที่พูดความจริงกับผมเมื่อวาน

            “ผมเลยอดคิดมากไม่ได้ว่าผมทำให้พี่เต้ไม่สบายใจ พี่รู้ไหมว่าผมดีใจที่ได้เจอรุ่นพี่ในคณะแบบพี่เต้เพราะพี่ทั้งน่ารัก ใจดีและอบอุ่น แถมนิสัยเหมือนกับพี่ชายแท้ๆ ของผม” ท้ายประโยคโฟโต้แสร้งหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เจอกับฮ่องเต้

                และมันทำให้คนข้างกายอดหันมามองอย่างเสียไม่ได้...

                มองใบหน้าของคนที่เอาแต่ยิ้ม ก่อนที่ใบหน้านั้นจะเริ่มสลดกับประโยคถัดมา

                “แต่พอมารู้ว่าผมไปกวนใจพี่ จนเพื่อนพี่ต้องออกมาเตือน ผม...ผมก็รู้สึกไม่ดี ทั้งที่ผมแค่อยากให้พี่คุยกับผม ยิ้มให้ผมเหมือนกับที่พี่ทำกับรุ่นน้องคนอื่น ผมเลยต้องตามง้อ แต่พี่คงโกรธจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผม”

                ยิ่งได้ฟัง มันยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกแย่...

                “มึงฟังนะ...” ฮ่องเต้พยายามกลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ที่คอมานานลงไปและค่อยเอ่ยออกมาช้าๆ “...กูไม่ได้โกรธและไม่เคยโกรธ ต่อให้มึงจะทำอะไรยังไง พูดจาอะไรใส่ กูก็ไม่เคยคิดหรือแม้แต่รู้สึกโกรธมึงจริงๆ”

                แต่มันเป็นเพราะความทรงจำอันเลวร้ายต่างหาก ที่ทำให้ผมต้องพยายามถอยห่างเพื่อป้องกันหัวใจตัวเอง

            “ถ้ามึงคิดว่ากูเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของมึง มึงก็น่าจะรู้ดีว่ากูเป็นคนยังไง” ฮ่องเต้กัดฟันพูด ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความอึดอัดจนเขาแทบจะคลั่งตายอยู่ตรงนี้

                แต่เพราะโฟโต้ก็คือโฟโต้...เด็กคนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความทรงจำที่ผ่านมาของเขา เขาก็ไม่ควรจะทำร้ายความรู้สึกของเด็กคนนี้

            ....

            อย่างน้อย มันก็ยังอยู่ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง ดังนั้น เขาไม่ควรจะวิตกกังวลจนเกินเหตุเหมือนที่ผ่านมาอีก

            “กูขอโทษมึงก็แล้วกัน ที่ทำให้มึงต้องคิดมากเพราะการกระทำของกู...” ฮ่องเต้หมายถึงการพยายามตีตัวออกห่าง ทั้งที่โฟโต้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอดีตของเขา “...ส่วนเรื่องที่เพื่อนกูพูด มึงก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะบางทีมันก็แค่อาจจะหลอกมึงเล่น”

                เพราะคิดว่าคนที่โฟโต้พูดถึงคือนิว ฮ่องเต้จึงคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะความปากมากและอยากจะแกล้งเขาของเพื่อน จึงไปตั้งท่า ขู่น้องรหัสปีหนึ่งของเขา แต่ยังไงเขาก็คงต้องไปจัดการคนปากมากเสียหน่อย ที่ดันเอาเรื่องสายรหัสกินกันเองไปพูดให้โฟโต้ฟัง

                “พี่ไม่โกรธผมจริงๆ นะครับ” โฟโต้แสร้งหันไปถามเพื่อความแน่ใจ

                “เออ จะให้กูต้องพูดย้ำกี่ครั้งวะ สมองปลาทองหรือไงมึงน่ะ”

                เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เริ่มกลับมาพูดคุยกับเขาเป็นปกติ รอยยิ้มสดใสก็กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง

                “ขอบคุณนะครับ พี่เต้ ถ้าอย่างนั้น ผมขึ้นห้องก่อนนะครับ”

                “เดี๋ยวกูช่วย” พูดจบ ฮ่องเต้ก็เปิดประตูลงจากรถทันทีและเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งให้โฟโต้

                ฮ่องเต้ช่วยพยุงโฟโต้ลงมาจากรถพร้อมกับสะพายกระเป๋าเอาไว้อีกข้าง จนกระทั่งไปถึงตรงหน้าหอพัก ซึ่งมีร่างสูงของใครบางคนยืนรออยู่

                เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนของตัวเอง เปรมก็เดินดิ่งเข้ามาหาโฟโต้ช่วยรับร่างของโฟโต้เอาไว้ทันที

                “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่ช่วยผม” โฟโต้ไม่ลืมที่จะหว่านเสน่ห์ทางสายตาให้กับฮ่องเต้เป็นการทิ้งท้าย จนฮ่องเต้ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา

                “เออ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก ไหนๆ มึงก็รู้แล้วว่ากูเป็นพี่รหัสปีสี่ของมึง กูกลับละ”

                “ครับ ขับรถกลับดีๆ นะครับ ถ้าถึงหอแล้วบอกผมด้วยนะ ผมเป็นห่วง”

                ฮ่องเต้ไม่ตอบอะไร ก็หมุนตัวเดินออกไปจากหอพักทันที นั่นก็เพราะว่าคำพูดทิ้งท้ายของรุ่นน้องที่ทำเอารุ่นพี่อย่างเขาเผลอคิดไปถึงไหนต่อไหน

                คิดมากอะไรของมึงวะ

            ฮ่องเต้บอกกับตัวเองเท่านั้น ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไป ท่ามกลางสายตาของโฟโต้กับเปรมที่ลอบมองจนกระทั่งรถของฮ่องเต้เคลื่อนตัวออกไปจากประตูรั้วหอพัก

                เท่านั้น โฟโต้ก็ถอนหายใจและทิ้งร่างที่เกร็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้พยุงลงมาจากรถ เพื่อผ่อนคลายร่างกายทันที  พร้อมกับรอยยิ้มมาดร้ายตามแบบฉบับโฟโต้ที่เผยออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง ก่อนที่เขาจะมุ่นคิ้ว เมื่อสายตาหันไปสบเข้าไปเปรมที่กำลังมองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

                “มองหน้ากูแบบนั้น หมายความว่าไงวะ”

                “กูก็แค่อยากรู้ว่าหน้าอย่างมึงไปทำอีท่าไหน พี่เต้ถึงได้เชื่อสนิทใจว่ามึงโดนรถชนจริงๆ”

                “ก็ท่าล้มกลางถนนไง ทำอย่างกับมึงไม่เห็นไปได้ ทั้งที่มึงเป็นคนขับปาดหน้าพี่เขามาชนกูเองแท้ๆ” โฟโต้ว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

                “ยังมีหน้ามากวนประสาทอีกนะ แล้วนี่มันถึงขั้นต้องใส่เฝือกเลยเหรอวะ ไหนบอกมึงนักล้มมืออาชีพไง”

                “ตอนแรกกูก็จะไม่ใส่หรอก แต่พอดีว่ากูมีแผน เลยขอพี่หมอเขาแถมให้” โฟโต้หมายถึงเพื่อนพี่ชายที่เขาเองก็คุ้นเคยดีอย่าง หมอมีน และไอ้ที่คุ้นเคยดีก็เพราะหมอมีนคนนี้นี่แหละเป็นผู้หญิงที่พี่ชายของเขาแอบชอบ แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายมาเป็นกาวใจให้กราฟิกกับแบมบูได้ยังไง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

                “เพื่อนอย่างมึงนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ว่ะ” เปรมเหน็บแหนมเข้าให้ทีหนึ่ง

                แต่โฟโต้กลับยักไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระอะไรกับคำพูดของเพื่อนแค่นี้ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันขึ้นลิฟต์และแยกย้ายกันกลับห้อง

               



Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมด อดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ

                           :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 20:20:05
ตอนที่ 16 เดินหมากตัวแรก

                ฮ่องเต้ : กูถึงหอแล้ว

            นั่นคือข้อความแรกที่ฮ่องเต้ตัดสินใจส่งไป หลังจากที่เขาขับรถกลับมาถึงหอพักของตนเอง ก่อนที่เขาจะทันได้เลื่อนอ่านข้อความเก่าๆ ของโฟโต้ที่เขาไม่เคยคิดที่จะเปิดอ่าน

                หลังจากได้คุยกันแบบเปิดใจเมื่อวาน เขาก็ได้เรียนรู้บางอย่าง ทำให้เขาตัดสินใจปลดผ้าม่านผืนแรกซึ่งกั้นระหว่างเขากับเด็กปีหนึ่งคนนั้นเอาไว้ และนั่นก็อาจจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสายรหัสปีหนึ่งขยับเข้ามาใกล้กันอีกขั้นหนึ่ง

                อย่างน้อย...ก็แค่พี่น้อง

            เมื่อคิดแบบนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าโฟโต้

                โฟโต้ : หาอะไรทาน แล้วก็รีบอาบน้ำ เข้านอนนะครับ สีหน้าพี่วันนี้ดูไม่ดีเลย ผมเป็นห่วง

            นั่นคือข้อความที่โฟโต้ตอบกลับมา หลังจากที่ได้อ่านข้อความของเขา

                มันก็แค่ห่วงในฐานะพี่น้อง

            ฮ่องเต้ย้ำกับตัวเองเช่นนั้น เพื่อเกลี้ยกล่อมให้หัวใจไม่ตกหลุมพรางไปตามเกมของอาถรรพ์สายรหัส ก่อนจะส่งข้อความกลับไป

            ฮ่องเต้ : วันพฤหัสนี้ ไปเรียนยังไง

                โฟโต้ : ให้เพื่อนไปส่งครับ

            ฮ่องเต้ : รถยนต์? มอเตอร์ไซค์?

            โฟโต้ : มอเตอร์ไซค์ครับ

            นั่นเป็นประโยคสุดท้าย ที่โฟโต้ตอบกลับเขามาและเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก

                และเพราะวันนี้เป็นวันพุธ ซึ่งไม่มีการเรียนการสอน เขาจึงขับรถกลับเข้ามาในมหา’ลัยแต่เช้าพร้อมกับช่างซ่อมรถ เพื่อมาเช็คสภาพมอเตอร์ไซค์ของโฟโต้ที่เขาลากมาจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถคณะนิเทศศาสตร์

                “ลำบากหน่อยนะ เครื่องมันเก่าแล้ว ถ้าจะให้ดีก็เก็บเงินซื้อใหม่ดีกว่าน้อง ใช้ไปก็อันตราย ถนนหนทางในมอยิ่งแล้ว เครื่องดับตอนขับขึ้นเนินนี่ ไม่รอดแน่ๆ”

                คำตอบที่ได้รับทำให้ฮ่องเต้ถึงกับนิ่วหน้า คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น ขณะที่สายตาก็มองสำรวจมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ตรงหน้า ที่สภาพพอใช้งานถูๆ ไถๆ ได้เท่านั้น

                “ซ่อมได้หรือเปล่าครับ”

                ช่างหันมามองหน้าเครียดทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น “ไอ้ซ่อมมันก็ซ่อมได้ แต่จะให้ใช้การได้ตลอดคงไม่ไหวหรอก”

                “โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น รบกวนพี่ซ่อมให้ด้วยนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปเอาที่ร้าน”

                “เออๆ เดี๋ยวพี่จะให้คนที่ร้านมายกไปก็แล้วกันนะ”

                หลังจากตกลงกันเสร็จ ฮ่องเต้ก็รอกระทั่งมีคนมายกรถไปพร้อมกับทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้ช่าง ระหว่างนั้นเอง ที่จู่ๆ ก็มีสายเรียกเข้าจากคนแปลกหน้า ฮ่องเต้จึงชะงักเท้าที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถและหันมารับโทรศัพท์แทน   

                “ฮัลโหลครับ”

                [พี่เต้ ผมนัทเองนะครับ...]

                “นัท...” ฮ่องเต้ทวนชื่อและนึกถึงหน้าน้องเทคปีหนึ่งของตัวเอง “...อ๋อ ไอ้นัท ว่าไง”

                [...พี่เต้ยังจำที่พี่ให้ผมคอยรายงานพี่เรื่องคนที่ชื่ออ้นได้ไหมครับ]

                ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยินชื่อของใครคนนั้น “ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

                [ผมเห็นเขาเอาของมาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ที่หอ เหมือนจะเอามาให้พี่สีฝุ่นนะครับ ผมเลยจะโทรมาถามว่าพี่เต้จะทำยังไงต่อ]

                หลังจากได้ฟังที่นัทพูด เขาก็นิ่งไปสักพักอย่างคนใช้ความคิดก่อนจะให้คำตอบ “มึงช่วยไปเอาของที่เคาน์เตอร์มาก่อนได้ไหมวะ แล้วสั่งคนที่หอเอาไว้ว่าไม่ต้องบอกให้สีฝุ่นมันรู้ เดี๋ยวกูจะเข้าไปหาที่หอ”

                [ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้]

                ได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็กดวางสายและเดินดิ่งไปที่รถ จัดการขับออกไปจากมหา’ลัยทันที

               

                ขณะเดียวกัน...

                “คันเท้ามากหรือไง เดินไปเดินมาอยู่นั่น” เปรมเอ่ยทักพร้อมกับจ้องคนที่เอาแต่ทำหน้าเครียดเหมือนเงินในกระเป๋าหายไปสามล้านก็ไม่ปาน เพราะหลังจากที่โฟโต้มาเคาะห้องตั้งแต่เขายังไม่ตื่น จนเขาอาบน้ำเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ ไอ้ร่างสูงตระหง่านที่เข้ามาบุกห้องแต่เช้าก็ยังคงเอาแต่เดินวนไปทั่วห้อง

                โฟโต้จึงหยุดเดินและหันใบหน้าหงุดหงิดของตัวเองกลับมามองหน้าเพื่อน “กูเครียด!”

                สองคำที่พ่นออกมาจากปาก แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เปรมกระจ่างแจ้งในอาการร้อนรนของเพื่อนตนเลยแม้แต่น้อย

                ตอบแบบนี้ มันไม่ต้องตอบผมเลยเสียยังจะดีกว่า

            “ไอ้ที่มึงเป็นอยู่นี่ กูไม่รู้เลยมั้งว่ามึงเครียด!” เปรมเหน็บแนมจนคนฟังหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ “กูต้องการคำอธิบาย ขยายความน่ะ มึงรู้จักไหม”

                “เออ! ก็พี่ฮ่องเต้ดิวะ จนข้ามวันแล้ว ยังไม่ส่งข้อความอะไรตอบกลับกูมาเลย”

                “เมื่อวาน พี่เขาก็ส่งข้อความมาหามึงแล้วไม่ใช่หรือไงวะ”

                โฟโต้ทำท่าจะทึ้งหัวตัวเองอย่างโมโห “เออ!! ส่ง! ส่งมาถามแค่ว่ากูไปเรียนยังไง เอารถอะไรไป พอกูบอกว่ามอเตอร์ไซค์ เขาก็เงียบเลยเว้ย แผนกูก็พังหมดดิวะ แบบนี้”

                เปรมนิ่งไปสักพักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วมึงบอกพี่เขาว่ามึงจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเนี่ยนะ”

                “เปล่า กูบอกว่าเพื่อนไปส่ง”

                และเปรมก็ถึงบางอ้อทันที “สมควรแล้วที่พี่เขาไม่ตอบ มีเพื่อนไปส่งแล้วพี่เขาจะต้องห่วงอะไรอีกวะ ปิดเกมตัวเองแล้วยังจะมาหัวร้อนอีก”

                “มึง แต่แขนกูเข้าเฝือกอยู่นะเว้ย ไปมอเตอร์ไซค์มันจะไปสะดวกอะไรวะ”

                “มึงเข้าเฝือกที่แขน ไม่ใช่ขา เขาจะต้องมาห่วงความสะดวกอะไรกับมึงล่ะวะ บทมึงจะง่าวก็ง่าวเนอะ”

                โฟโต้ทำหน้าครุ่นคิดตามสิ่งที่เปรมพูด “หรือกูต้องจะแกล้งตกบันไดแล้วให้พี่หมอเข้าเฝือกที่ขาให้ดีวะ”

                “โอ้ย บ่างัว!” แต่นั่นกลับทำให้เปรมถึงกับทนไม่ได้ สบถภาษาถิ่นออกมาดังลั่น “มึงไม่กระโดดตึกลงไปให้เลยล่ะโว้ย จะได้ให้หมอมีนเข้าเฝือกพันร่างมึงให้กลายเป็นมัมมี่ไปเลย คราวนี้ พี่ฮ่องเต้จะได้สงสาร ตามดูแลมึงยี่สิบสี่ชั่วโมงไง”   

                “กูก็แค่พูดเล่นไหมล่ะ มึงก็จริงจังไปไหมวะ” โฟโต้ส่ายหน้าน้อยๆ กับคำพูดของเพื่อน เพราะลำพังแค่ต้องใส่เฝือกที่แขนไปเรียน แสดงละครกับคนรอบข้างทุกวันก็ลำบากจะแย่

                แต่จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ผมยอมมาทำอะไรแบบนี้ เพื่อคนๆ เดียว รู้ไว้เถอะครับ ว่าพี่สำคัญสำหรับผมมากแค่ไหน

            “แล้วมึงจะเอาไงต่อวะ เรียกคะแนนความน่าสงสารไปเรื่อยๆ กูว่าไม่น่าจะได้ผลกับคนแบบพี่ฮ่องเต้นะเว้ย” เปรมร้องเตือนเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                “ไอ้เปรมครับ ขืนกูใช้แค่ความน่าสงสารเนี่ย กูก็เหนื่อยฟรีดิวะ” และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของโฟโต้ “แผนนี้มันก็แค่ใช้เข้าหาพี่เขาในฐานะรุ่นน้องเท่านั้นแหละ กูก็แค่รอให้เขาตายใจอีกสักหน่อย แล้วค่อยจัดการทีเดียว”

                “อย่าชะล่าใจไปก็แล้วกัน เท่าที่กูสังเกตดู กำแพงที่กั้นระหว่างมึงกับพี่เขาก็สูงใช่ย่อยนะเว้ย”

                “กำแพงสูงแล้วไงวะ ประตูก็มี” โฟโต้โพล่งออกไปโดยไม่ต้องคิดทบทวนใดๆ

                เพราะเขาไม่มีทางปีนกำแพงให้เสียเวลาหรอก สู้ตะล่อมให้เหยื่อยอมเปิดประตูให้เขาเองยังจะเท่ห์กว่า

                “ปากดีไปเหอะ มึงน่ะ ถ้าเขาไม่ยอมมาเปิดประตูให้ อย่ามานั่งเป็นหมาหงอยก็แล้วกันเฝ้าหน้าบ้านเขาก็แล้วกัน”

                แต่โฟโต้กลับยักไหล่ใส่อย่างไม่ใส่ใจ “มึงคอยดูเหอะ ยังไงพี่ฮ่องเต้ก็ต้องเป็นของกู”

                “เรื่องมั่นหน้าไม่เคยเกินมึงหรอก”

                “กูไม่ได้มั่นแค่หน้า อย่างอื่นกูก็มั่นนะเว้ย” โฟโต้พูดจาสองแง่สองง่ามพลางเหลือบตามองลงไปที่กางเกงของตัวเอง จนเปรมต้องเบะปากใส่

                “กูไม่แปลกใจเลยที่พี่ฮ่องเต้ด่าว่ามึงเป็นโรคจิต”

                “เดี๋ยวก่อนๆ ไอ้เปรม เรื่องนั้นมันความผิดมึงนะเว้ย ส่งคลิปมาไม่ดูเวล่ำเวลา” โฟโต้อดเอ็ดใส่ถึงเรื่องคลิปอย่างว่าที่เปรมส่งมาให้เขาวันรับน้องคณะวันแรกไม่ได้ เพราะแบบนั้น เขาถึงได้ถูกฮ่องเต้มองว่าเขาเป็นโรคจิต

                “ทำอย่างกับมึงไม่ชอบ” เปรมหมายถึงคลิปหญิงอกตูม หุ่นน่าฟัดที่เขาส่งไปให้คราวนั้น

                “เออ ไอ้ชอบมันก็ชอบ...” ก่อนที่โฟโต้จะนิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พลันรอยยิ้มร้ายก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง “...แต่สงสัยกูต้องไปหาแบบใหม่ดูหน่อยแล้วว่ะ”

                “แบบใหม่อะไรของมึงวะ” เปรมขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

                “ก็แบบฝึกหัดใหม่ เอาไว้ใช้สอนการบ้านพี่ฮ่องเต้ไงวะ” และเจ้าตัวก็หัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจกับแผนการชั่วร้ายในหัว “ฝึกแม่งทั้งทักษะฟัง พูด อ่าน เขียนเลยเป็นไง พี่ฮ่องเต้จะได้ติดใจ หลงกูจนหนีไปไหนไม่รอด”

                “กูว่ามึงมากกว่าที่จะหลงพี่เขาจนไปไหนไม่รอด” คำพูดของเปรมทำเอาเสียงหัวเราะของโฟโต้เบรกลงทันที “ระวังเหอะ กูเห็นมาเยอะละ ไอ้พวกอวดดีแบบมึงเนี่ย กลัวเมียหัวหดกันทั้งนั้น”

                โฟโต้ตวัดสายตาหันไปมองทางเปรมอย่างเคืองๆ “ไม่ใช่กับกูก็แล้วกัน”

                “จะไปหาแบบฝึกหัดทำที่ไหนก็ไปเลยไป มึงน่ะ” เปรมเริ่มออกปากไล่แบบเอือมๆ กับท่าทางมั่นใจจนออกนอกหน้าของเพื่อน แต่ไม่วายร้องเตือนในตอนท้าย “แค่ฟังกับอ่านก็พอนะเว้ย อย่าไปฝึกพูด ฝึกเขียนกับผู้ชายที่ไหนล่ะ”

                “เออน่า กูก็ศึกษาภาคทฤษฎีเอาไว้ ส่วนภาคปฏิบัติ กูเก็บไว้ทดลองกับพี่ฮ่องเต้คนเดียวเว้ย” แล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอย่างเสือได้ใจอีกครั้ง

                “อย่าเพิ่งหวังภาคปฏิบัติเลยมึงน่ะ เกิดพี่ฮ่องเต้เขาไม่ยอมใจอ่อน ทฤษฎีที่ศึกษาเอาไว้มันจะสูญเปล่านะครับเพื่อน” เปรมยังอดหันกลับมาแขวะใส่เพื่อนรักมั่นหน้าของเขาไม่ได้ด้วยความหมั่นไส้

                “คนอย่างกูไม่รู้จักคำว่าพลาดเว้ย อีกอย่าง คนอย่างพี่ฮ่องเต้เดาได้ไม่ยากหรอก แค่กูแหย่นิดเดียวก็คิดเตลิดไปไกลแล้ว”

                “เออ พ่อคนเก่ง พลาดมาเมื่อไหร่ อย่าหวังว่ากูจะปลอบใจมึงเลย”

                “ทำไม มึงจะทำอะไร”

                “กูก็จะกระทืบมึงซ้ำ แถมเอาดินกลบหน้ามึงด้วยไง”

                “เออ โหดเข้าไป นับวันยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปทุกทีนะมึงน่ะ” โฟโต้หมายถึงเจ้าของค่ายมวยสุดโหด ที่แม้แต่เพื่อนรักของลูกชายอย่างเขาและกาฟิวด์แทบจะไม่อยากเจอหน้า เพราะเจอทีไรเป็นอันต้องตัวเกร็งจนแทบจะลืมหายใจหายคอไปตามๆ กัน

                “เลิกพุดถึงพ่อกูสักทีเหอะ นี่ถ้ากูไม่หนีมาเรียนที่เชียงใหม่นะ ป่านนี้ กูโดนจับปั้นเป็นนักมวยแล้ว” เปรมว่าสีหน้าเหยเก อดนึกถึงสภาพตัวเองตอนที่ถูกบังคับให้ไปซ้อมมวยไม่ได้

                “มึงก็ไม่ตามใจพ่อมึงหน่อยวะ ไหนๆ บ้านมึงก็มีค่ายมวยแล้ว” โฟโต้หยอกเล่นขำๆ เพราะเขารู้ดีว่าเพื่อนเขาคนนี้เกลียดการชกมวยขนาดไหน

                “มึงก็รู้ว่ากูชอบว่ายน้ำมากกว่า” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เปรมทะเลาะกับพ่ออยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับคำพูดของพ่อที่เขาได้ยินจนชินหูว่า

                “ฉันสร้างค่ายให้แกชกมวย ไม่ได้ให้มาเป็นนักว่ายน้ำ”

            แม้ว่าเปรมจะลงแข่งจนชนะการแข่งขันว่ายน้ำและได้รางวัลมามากมายก่ายกอง แต่พ่อของเขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่ต้องการให้เขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ

                Rrrrrrrrrr

                เสียงมือถือที่ดังขึ้น ดึงความสนใจของเพื่อนรักทั้งสอง

                “เดี๋ยวกูไปเอาให้” โฟโต้ร้องบอกเพราะเขาอยู่ใกล้เตียงที่สุด ก่อนจะเดินไปคว้ามือถือที่ชาร์ตแบตทิ้งไว้บนหัวเตียงขึ้นมา ทว่าพอเห็นสายเรียกเขาที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกลับทำให้ใบหน้าของคนขี้เล่นถึงกลับหน้าตึงขึ้นมา

                “น้องซิน...” โฟโต้พึมพำชื่อของใครคนนั้นออกมาและมันทำให้เปรมที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือถึงกับเบิกตาโพลง

                “เชี้ยยยย” ก่อนที่เจ้าตัวจะปรี่เข้าไปคว้ามือถือมาจากมือของเพื่อนด้วยความร้อนรนและกดรับ พร้อมกับเดินออกไปคุยกับปลายสายที่นอกระเบียง ท่ามกลางสายตาของโฟโต้ที่มองมาอย่างต้องการคำตอบ

                กระทั่งเปรมเดินกลับเข้ามาในห้อง หลังจากคุยกับปลายสายเสร็จสรรพ...

                โฟโต้ก็ยังคงมองคนที่เดินเอื่อยๆ เข้ามาด้วยสายตากดดัน แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมากอดอกเอาไว้ ขณะที่เปรมพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด แม้ว่าในใจของเขาตอนนี้จะเต้นไม่เป็นระส่ำระส่ายจนทำตัวไม่ถูก ที่จู่ๆ ความลับของเขาก็ดันมาแตกต่อหน้าโฟโต้

                “ทำไมมึงยังติดต่อกับน้องซินอยู่วะ” โฟโต้ถามออกไปเสียงเครียดเพราะเขาเตือนนักเตือนหนาว่าให้เลิกยุ่งกับน้องสาวของซันได้แล้ว เพราะมันมีแต่จะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อน

                “น้องเขาให้กูช่วยติวให้ มึงก็รู้ว่าตอนนี้ซินอยู่มอหกแล้ว”

                “แล้วทำไมมึงไม่ปฏิเสธวะ” โพล่งออกไปแบบนั้นและเงียบไปอึดใจ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “หรือเป็นมึงที่เป็นคนอยากติวให้เขา”

                เปรมอึกอักมองหน้าโฟโต้ด้วยความรู้สึกกระอักกระอวนเพราะเรื่องบางอย่างที่เขาไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้

                “ก็กู...”

                “ไอ้เปรม จนป่านนี้มึงยังคิดจะปิดอะไรกูอีกวะ”

                เปรมเหลือบมองคนตรงหน้าเล็กน้อยและได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัดใจ “กูเลิกยุ่งกับซินไม่ได้...”

                “สรุปว่ามึงชอบซินจริงๆ ใช่ไหม”

                โฟโต้ถามในสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอดออกไปเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่ ตั้งแต่ที่เปรมกับซินรู้จักกัน จนกระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไปเข้าหูของพี่ชายอย่างซันเข้า ตั้งแต่นั้นมา ทุกอย่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดมาโดยตลอดและเขาก็ไม่อยากให้เพื่อนของเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นไปตลอดด้วย

                “กูไม่ได้ชอบซิน ระหว่างกูกับเขา เราเป็นแค่พี่น้องกันมาตั้งแต่แรก”

                “แล้วทำไมวะ” หากแต่คำตอบที่ได้รับ ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ 

                ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามอธิบายต่อว่า “...กูมีเหตุผลของกูนะเว้ย แต่กูแค่บอกมึงไม่ได้ แล้วที่สำคัญ ครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับซิน”

                โฟโต้นิ่งไปอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้ามองเปรมที่พยายามพูดขอร้อง

                “กูสัญญาว่าจะจบเรื่องนี้ให้ได้ แต่กูขอเถอะ มึงอย่าเพิ่งมาซักอะไรกูตอนนี้เลย กู...ให้คำตอบอะไรมึงได้ทั้งนั้น”

                เพราะแววตาที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและสีหน้าที่บ่งบอกว่าคนพูดจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ทำให้โฟโต้ได้แต่ถอนหายใจใส่ยาวเหยียด

                “กูไม่เข้าใจว่ะ แล้วกูก็จะไม่พยายามเข้าใจด้วย ตราบใดที่มึงยังไม่อยากจะให้กูเข้าใจ” เว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “แค่มึงอย่าลืมว่ามึงยังมีกูที่เป็นเพื่อนมึงก็พอ”

                โฟโต้ไม่รู้หรอกว่าเปรมกำลังคิดที่จะทำอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็ยังคงยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อนของเขา

                “ว่าแต่ วันนี้ไอ้ฟิวด์มันไปไหนของมันวะ ปกติเห็นมาขลุกอยู่ห้องมึงตลอด” โฟโต้เปลี่ยนเรื่องเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด

                “ไม่รู้ว่ะ กูทักแชทนไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันยังไม่ตอบกูเลย โทรไปก็ไม่รับ สงสัยคณะมันมีนัดทำกิจกรรมมั้ง”

                “เหรอวะ” โฟโต้ยังไม่ค่อยอยากจะปักใจเชื่อเสียเท่าไหร่ เพราะกาฟิวด์ไม่เคยห่างหายไปจากแชท แถมยังติดเปรมอย่างกับอะไรดี ว่างเมื่อไหร่ก็ต้องมาขลุกอยู่ด้วยกันตลอด

                แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อติดต่อเจ้าตัวไม่ได้แบบนี้ พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้

                “แล้วนี่มึงจะลงไปกินข้าวกับกูไหม” เปรมหันมาถามเพราะตอนนี้ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว

                “ไม่ว่ะ ขืนกูออกไปกับมึง เดี๋ยวความแตกกันพอดี กูขี้เกียจใส่เฝือก”

                “ไม่มีใครเห็นหรอกน่า”

                “ไม่เห็นได้ไงละวะ เพื่อนพี่เต้ก็อยู่หอเดียวกับกูเนี่ย” โฟโต้หมายถึงนิว ที่อาจจะโผล่หน้ามาเจอเขาเมื่อไหร่ก็ได้

                “เออ ถ้างั้นกูซื้อมากินข้างบนเป็นเพื่อนมึงก็ได้” เปรมส่ายหน้าแบบเอือมระอากับแผนการบ้าๆ ที่ทำตัวเองเดือดร้อนของเพื่อน ตรงกันข้ามกับโฟโต้ที่ยิ้มแก้มปริทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “มึงนี่สุดยอดเพื่อนรักกูเลยว่ะ”

                “ไม่ต้องพูดมาก จะแดกอะไรก็บอกมา”

                เปรมทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะรับคำสั่งจากโฟโต้เรื่องของกินและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับความหิว

                ระหว่างนั้นเอง โฟโต้ก็เดินไปเปิดทีวีและมานั่งห้อยขาอยู่ตรงปลายเตียง ในมือก็ถือรีโมทเปลี่ยนช่องไปมาสักพัก กระทั่งเจอรายการท่องเที่ยว ซึ่งโปรดของตัวเอง ทว่าจังหวะที่เขากำลังดูทีวีเพลินๆ อยู่นั้น มือถือของเขาก็ดังเรียกความสนใจจนเขาต้องรีบหันกลับไปมองเพราะคิดว่าอาจจะเป็นพี่ฮ่องเต้

                ทว่า...นอกจากเขาจะผิดหวังแล้ว ดูเหมือนว่าจะเจองานเข้าเต็มๆ เสียด้วย

                โฟโต้นิ่วหน้าใส่หน้าจอมือถืออย่างรับรู้ชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะหลับตาลงและลืมตาขึ้นมาใหม่ช้าๆ อย่างพยายามทำใจ สุดท้าย ก็ทำได้แค่กดรับสายและเอามือถือแนบกับหูตัวเอง

                “ว่าไงพี่กราฟ เห่อๆ” เขากรอกเสียงลงไปพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ใส่ จนปลายสายอดเข้าให้ไม่ได้

                 [เห่อๆ...] กราฟิกทำเสียงล้อเลียน ก่อนจะเปลี่ยนโทนเสียง ดุใส่จนอีกฝ่ายถึงกับหน้าเหวอ [...มึงไม่ต้องมาห่งมาเห่อใส่กูเลยนะเว้ย สารภาพมาซะดีๆ ว่ามึงเอารถไอ้มนตรีไปทำอะไร]

                ชิบหายแล้วกู...

            โฟโต้ได้แต่เอามือลูบหน้าตัวเองและยิ้มเจื่อนให้กับปลายสาย “ผม...แค่ยืม แบบ...อยากลองใช้มอเตอร์ไซค์ในมอมั่งอ่ะ”

                [มึงไม่ต้องมาแถ หมอมีนเขาเล่าให้กูฟังหมดแล้วนะเว้ย เรื่องที่มึงไปขอให้เขาช่วยทำแผลให้เมื่อวาน ดูเหมือนว่ากูกับมึงต้องมาคุยกันหน่อยแล้วว่ะ ไอ้น้องชาย]

                ท้ายประโยคเล่นเอาโฟโต้เสียวสันหลังวาบ เพราะไม่บ่อยนักที่กราฟิกจะเรียกเขาเช่นนั้นและก็มักจะเรียกแค่เฉพาะตอนที่เขาไปก่อเรื่องใหญ่เอาไว้ ดังเช่นครั้งนี้

                “ช่วงนี้ผมไม่ว่างเลยอ่ะ ไหนจะเรียน ไหนจะกิจกรรม ไหนจะ...”

                [ไหนๆ มึงก็เรียนหนัก กิจกรรมเยอะแล้วเนอะ...] กราฟิกว่าเสียงหวาน ก่อนจะตะคอกใส่ในประโยคถัดมา [เดี๋ยวกูนี่แหละ จะไปหามึงถึงที่เอง! ห้ามหนี ห้ามพูดปด ไม่งั้นเรื่องนี้ถึงหูพ่อกับแม่แน่ เข้าใจไหม!”

                คำสั่งของกราฟิกเป็นเหมือนคำสั่งประหารเขาชัดๆ  แบบนี้น้องชายตัวดีอย่างเขาจะหนีไปไหนรอดได้อีก

                “เข้าใจครับ” โฟโต้ตอบกลับไปเสียงอ่อย ก่อนจะดึงมือถือออกมาจ้องดูหน้าจอประหนึ่งว่าเป็นหน้าโหดๆ ของพี่ชายตน

                “เชี้ยยยยยยยยยยยย” และเป็นอันต้องร้องลั่นพร้อมกับหงายท้องลงไปนอนดิ้นกับเตียงพลั่กๆ เหมือนเด็กเพราะดูเหมือนว่าอะไรหลายๆ อย่างจะไม่เป็นใจให้แผนการของเขาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทำเอาเสือร้ายที่อวดตนนักอวดตนหนึงกับเสียหน้าและแทบจะทึ้งหัวตัวเองจนเส้นผมจะหลุดติดมืออยู่รอมร่อ

                ก่อนที่เสือแห้วตัวนั้นกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับตีหน้ายุ่ง “จับปล้ำแม่งเลยเว้ยยยย!!”

                ดูเหมือนนั่นจะเป็นแผนการเดียวที่เขาคิดออก ในเวลาที่ฉุนขาดและไร้สติเช่นนี้...

 

                ขณะที่ฮ่องเต้ขับรถไปถึงหอพักของสีฝุ่นแล้วเรียบร้อย...

                เขาสะพายกระเป๋าและขึ้นไปหานัทที่ห้องทันทีที่มาถึง ด้วยความร้อนรนจนเกินที่จะยับยั้งอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง

                “พี่เต้...” นัทพึมพำชื่อคนตรงหน้าออกมา หลังจากที่เขาเปิดประตูตามเสียงเคาะห้อง “...เข้ามาก่อนครับ”           

                ฮ่องเต้เดินเข้าไปข้างในตามคำบอก ก่อนที่นัทจะล็อกประตูห้องและตามเข้ามาข้างใน ตรงดิ่งไปยังโต๊ะอ่านหนังสือและคว้ากล่องของขวัญบนโต๊ะ ส่งให้กับฮ่องเต้

                “นี่ครับ ของที่คนชื่ออ้นฝากเอาไว้”

                “ไอ้สีฝุ่นมันยังไม่รู้ใช่ไหม” ฮ่องเต้ถามอย่างเป็นกังวลเพราะเขาไม่อยากให้สีฝุ่นข้องเกี่ยวใดๆ กับอ้นอีก

                “ยังครับ แล้วผมก็กำชับป้าหอเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับพี่สีฝุ่น”

                ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “ยังไงก็ขอบใจมึงมากนะ ที่บอกกู แล้วก็ไปเอาของมาให้”

                “ไม่เป็นไรครับ” นัทยังคงส่งยิ้มละมุนกลับไปให้เหมือนเช่นทุกครั้ง “แล้วพี่จะไม่เปิดดูหน่อยเหรอครับ”

                คำถามของนัท ทำเอาฮ่องเต้ต้องก้มลงมองกล่องในมือเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบรุ่นน้องตรงหน้า “ไม่ว่ะ ไว้กูจะเอาไปจัดการทีหลัง”

                เพราะเขาไม่อยากให้คนนอกอย่างนัทมารับรู้อะไรไปมากกว่านี้ จึงคิดที่จะจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง ซึ่งนัทก็ไม่ได้ว่าอะไร

                “ยังไงก็ขอบใจมึงอีกทีนะ ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนกู” ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ ไปให้ ขณะที่ยัดกล่องใบนั้นใส่ในกระเป๋าเป้

                “ผมยินดีช่วยครับ ยิ่งถ้าเป็นพี่ฮ่องเต้ ผมเต็มใจ”

                ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดของนัท แต่เมื่อเงยหน้ามามองแล้วพบว่าสีหน้าของรุ่นน้องตรงหน้าไม่ได้มีอะไรแปลกไป จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก

                “ถ้ามึงมีอะไรที่กูพอจะช่วยได้ ก็บอกนะ ถึงเป็นการตอบแทนที่มึงช่วยกู”

                แม้ว่าคนพูดจะพูดออกไปโดยไม่คิดอะไรเพราะเขาเป็นพวกที่ว่าถ้าใครดีกับเขา เขาก็จะดีตอบอยู่แล้ว หากคำพูดนั้นกลับไปเข้าทางอีกฝ่ายเข้าเสียได้

                “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ผมขอรบกวนติดรถพี่เต้ไปเรียนด้วยหรือเปล่าครับ พอดีรถผมดันมาเสียพอดี”

                ฮ่องเต้มุ่นคิ้วหันกลับไปมองแบบงงๆ “มึงไม่ได้ไปส่งไอ้โฟโต้เหรอ เห็นมันบอกว่าจะไปกับเพื่อนเพราะแขนเข้าเฝือก ขับรถไปเรียนเองไม่ได้”

                อันที่จริง ฮ่องเต้ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก หากนัทจะขอติดรถไปด้วย แต่ไอ้ที่ทำให้เขาข้องใจเพราะคิดว่าเพื่อนที่โฟพูดถึงจะเป็นนัทเสียอีก เห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ

                นัทเองก็ถึงกับชะงักไปกับคำพูดของรุ่นพี่ตรงหน้า ก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาหลังจากสมองพยายามประมวลผลจนเสร็จสรรพ

                “เพราะแบบนั้นไงครับ ผมถึงต้องขอติดรถพี่เต้ไปด้วย” ก่อนที่นัทจะอธิบายเสริมว่า “ตอนแรก ผมก็กะจะไปรับโฟโต้ แต่รถผมดันมาเสียพอดี ไอ้ผมก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกครับ แต่กับโฟโต้ ผมไม่อยากให้เดินไปเรียนเอง ก็เลยกะจะขอใครสักคนไปส่ง พอดีมาเจอพี่เต้ก่อน ก็เลย...กะจะขอติดรถพี่เต้ไป”

                ท้ายประโยค นัทพยายามทำท่าทางเกรงใจเพื่อให้ฮ่องเต้เชื่อ ขณะที่ฮ่องเต้ก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเข้าใจในเหตุผลของรุ่นน้องตรงหน้า

                “ได้ เดี๋ยวยังไงคืนนี้กูไลน์หา นัดเวลาอีกทีก็แล้วกัน”

                “ขอบคุณมากนะครับ” และนัทก็ส่งยิ้มให้

                ก่อนที่ฮ่องเต้จะกลับออกไปจากหอพัก ท่ามกลางสายตาของนัทที่มองส่งจากประตูห้องจนลับสายตา
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 13-11-2018 20:22:18
 ตอนที่ 17 กระชับมิตร

                “ไม่ทำ ยังไงกูก็ไม่ทำ!” เปรมโวยวายเสียงดังลั่นห้องแต่เช้า หลังจากผู้บุกรุกอย่างโฟโต้พยายามบังคับขู่เข็ญให้เขาทำตามแผนบ้าๆ  แต่พอเห็นปฏิเสธเพื่อเป็นพัลวันเช่นนี้ จากที่จะบังคับในทีแรกก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นขอร้องอ้อนวอนด้วยความเห็นใจเพราะเขาอุตส่าห์ลงทุนเล่นละคร อดทนใส่เฝือก ทั้งที่มันทั้งร้อนทั้งคันจนแทบบ้าเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากพี่ฮ่องเต้ขนาดนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะปล่อยให้ทุกอย่างล้มเหลวไม่เป็นท่า

                ยิ่งได้รู้ว่านัทเองก็วางแผนเข้าใกล้พี่ฮ่องเต้ของเขา โดยการทำทีเป็นบอกว่ารถเสียและติดรถพี่ฮ่องเต้ไปเรียน เขาจึงต้องจำใจปฏิเสธที่จะไม่ไปกับฮ่องเต้เช้านี้ เพื่อที่จะใช้แผนการอื่นแทนและหนึ่งในแผนนั้นก็จำเป็นต้องมีหมากตัวสำคัญอย่างเปรม

                “โหย ไอ้เปรม กูขอร้องล่ะมึง” 

                “มึงไม่ต้องมารงมาร้องกับกูเลยนะเว้ย หลีกทางไป กูจะไปเรียน!” เปรมพยายามหาทางหลบเลี่ยงให้ถึงที่สุด ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ยอมแพ้เดินเข้าไปกางแขนขวางทาง เบี่ยงตัวซ้ายที ขวาทีเพื่อกันบุคคลสำคัญในแผนการของตนหนีไป

                “มึงอย่าทิ้งกูไว้แบบนี้ดิวะ มึงเองก็เคยบอกว่าถ้ากูช้า หมาก็คาบไปแดก”

                “เออ กูบอก แต่กูไม่ได้บอกสักคำว่าจะช่วยมึง”

                “แต่มึงเป็นเพื่อนกูนะเว้ย เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนดิวะ”

                เปรมหยุดยืนเท้าสะเอวข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกระชับกระเป๋าเป้ที่พาดบ่า จ้องหน้าพร้อมกับตะโกนลั่นว่า “งั้นกูเลิกคบมึง!”

                “ไอ้...”

                “ตั้งแต่วินาทีนี้ เดี๋ยวนี้”

                “ไอ้เปรม...”

                “โอเคนะ กูไม่ใช่เพื่อนมึงแล้ว ดังนั้น กูก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ช่วยมึง”  พูดติดกันยาวเป็นพรืดและเบี่ยงตัวหลบ หมายจะเดินหนีออกจากห้อง หากแต่ก็ไม่ทันอีกมือหนึ่งที่คว้าหมับเข้าที่ข้อแขนและออกแรงจับแน่นจนเจ้าตัวต้องหันขวับกลับมามองด้วยความหงุดหงิด

                “ปล่อย!”

                “กูไม่ปล่อย จนกว่ามึงจะช่วยกู” โฟโต้ว่าอีกครั้งพร้อมกับจ้องหน้าฝ่ายตรงข้าม จนเปรมต้องหยุดนิ่ง ถอนหายใจใส่แรงๆ ไปที

                “ไอ้โฟโต้ มึงฟังกูนะเว้ย ถ้าเป็นเรื่องอื่นกูก็ยินดีจะช่วย แต่กูบอกแล้วไงวะ ว่าถ้าเป็นเรื่องพี่ซัน กูไม่ยุ่ง”

                “ก็แค่นิดเดียวเองหรือเปล่าวะ ถือว่าช่วยเพื่อนอย่างกูสักครั้งเหอะน่า” โฟโต้พยายามมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาอ้อนวอนอีกครั้ง ขณะที่เปรมได้แต่มองหน้าโฟโต้นิ่ง ก้มลงมองที่มือและเลื่อนสายตาขึ้นมามองที่หน้าอีกครั้ง

                “ไม่เว้ย!!” พูดจบ เจ้าตัวก็กระชากมือตัวเองออกมาและเดินหนีไปด้วยความหงุดหงิดใจ พาลให้คนข้างหลังอย่างโฟโต้ต้องโมโหตาม

                “ไอ้เปรม! ไอ้เปรม!!” โฟโต้ร้องเรียกชื่อเพื่อนด้วยความร้อนรน หากแต่อีกคนกลับเดินฉับๆ ไปที่ประตูอย่างไม่สนใจใยดี กระทั่งมือของเปรมจับเข้าที่ลูกบิดประตู เพียงเท่านั้น โฟโต้ก็เป็นอันต้องตะโกนลั่นด้วยความร้อนใจ

                “ถ้ามึงไม่ยอมช่วย กูไปบอกพี่ซันว่ามึงชอบพี่เขา!!”

                คำพูดของโฟโต้หยุดเปรมได้อย่างชะงัด ดวงตาสองข้างถึงกลับเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่มือก็ปล่อยออกจากลูกบิดพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

                ก่อนที่เปรมจะค่อยหันหน้ากลับมามองโฟโต้และเอ่ยปากถาม “มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

                “มึงไม่ต้องรู้หรอกว่ากูไปรู้เรื่องของมึงมาได้ยังไง รู้ไว้อย่างเดียว...” โฟโต้เว้นจังหวะพลางเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเปรมและเอ่ยปากพูดออกมาว่า “...ถ้ามึงไม่ยอมทำตามที่กูบอก เรื่องนี้ถึงหูพี่ซันแน่”

                “มึงคิดว่าคนอย่างมึงจะขู่กูได้เหรอวะ” เปรมว่าเสียงเครียด

                “ได้ ไม่ได้ มึงก็ถามใจตัวเองดูเถอะ ว่ามึงอยากจะให้ทุกอย่างมันเป็นความลับหรืออยากจะให้เรื่องนี้รั่วไหลไปถึงหูใครบ้าง”

                เพียงเท่านั้น เปรมก็กำหมัดแน่น กัดฟันกรอด จ้องหน้าโฟโต้อย่างคนหัวเสีย ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามจ้องหน้าคนหัวร้อนอย่างท้าทาย

                “คบกันมาตั้งหลายปี มึงคงรู้นะว่าลึกๆ แล้วกูเป็นคนยังไง” โฟโต้ยังคงเกทับไม่เลิก

                “...”

                “มึงเองก็อุตส่าห์เก็บความลับ อดทนกับพี่เขามาได้ห้าปี มึงคงไม่คิดจะเอาความลับของมึงมาแลกกับการที่ไม่ช่วยกูทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ หรอกนะ”

                โฟโต้สังเกตว่าเปรมเริ่มหายใจแรงขึ้น แม้รู้ดีว่าจะทำให้เพื่อนของเขาโกรธ แต่เขาก็ยอมแลก เนื่องจากเปรมถือเป็นหมากตัวสำคัญในการเดินเกมจีบพี่ฮ่องเต้เพราะเปรมเป็นคนเดียวที่เขาคิดว่าสามารถจัดการซันได้อย่างอยู่หมัด

                คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ลงทุนตามสืบเรื่องของไอ้เปรม

            โฟโต้ยิ้มกระหยิ่มอย่างได้ใจเพราะการลงทุนในครั้งนั้นของเขา ดูเหมือนจะได้กำไรมากกว่าที่คิด

                อันที่จริง เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องของเพื่อนเลย แต่เพราะคำพูดของซันในวันนั้น ทำให้เขาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างและในเมื่อตัวต้นเหตุที่ทำให้ซันไม่ชอบหน้าเขาคือเปรม ดังนั้น เขาจึงจำต้องทำให้ทั้งสองคนปรองดองกันให้ได้ ซึ่งเขาก็เริ่มจากการสืบเรื่องความบาดหมางระหว่างเปรมกับซันให้กระจ่างชัด โดยการแอบไปหาน้องซินเพราะคิดเอาไว้ว่าซินน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องทั้งหมด

                และมันก็จริงอย่างที่เขาสันนิษฐานเอาไว้ ใช้วิธีการหลอกล่อนิดๆ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จถึงความทุกข์ทรมานของเปรม หลังจากที่มีเรื่องกับซันต่ออีกหน่อยและตบท้ายด้วยการทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดี อยากช่วยให้เปรมมีหายเครียดเรื่องซัน เท่านั้น น้องสาวที่แสนดีอย่างซินก็ยอมปริปากเล่าความจริงทุกอย่างให้เขาฟัง

                แน่นอน ว่าอย่างน้อยมันก็ทำให้เขามีเรื่องมาขู่เปรมได้และคาดว่าจะจบเรื่องนี้ด้วยการส่งไอ้เปรมไปเป็นเครื่องบรรณาธิการให้กับซัน เพื่อจะได้กำจัด ไม่สิ ต้องเรียกว่าให้ซันยอมเปิดทางให้เขาเข้าหาพี่ฮ่องเต้จะเหมาะกว่า  ขอแค่เปรมคว้าหัวใจซันมาให้ได้ ก็เป็นอันจบเกมระหว่างเขากับซันได้แบบไม่มีใครเสียเปรียบใคร 

                “แค่ไปล่อพี่ซันให้ออกห่างจากพี่นิวใช่ไหม” เสียงของเปรมเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริกเพราะเจ้าตัวพยายามเก็บกดอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายในใจและนั่นทำให้คนที่เหนือกว่าอย่างโฟโต้เผยรอยยิ้มร้ายออกมา

                “ใช่ มึงจะใช้วิธีไหน ก็ตามแต่ใจมึงเลย แค่แยกสองคนนั้นให้ห่างกันก็พอ”

                “เพื่ออะไรวะ” เปรมยังคงสงสัยไม่หายกับเรื่องนี้

                “เออน่า เอาไว้ถ้าแผนกูสำเร็จ กูจะมาเล่าให้ฟัง” ว่าเสร็จก็ก้มมองนาฬิกาข้อมือ “เวร กูไม่มีเวลาแล้ว มึงรีบออกไปเลย ได้เวลาพวกพี่เขาไปเรียนแล้ว”

                “มึงรู้ได้ไงว่าสองคนนั้นออกไปเรียนเวลานี้” เปรมยังคงตีหน้าเครียดใส่ จนโฟโต้เริ่มหัวร้อนขึ้นมาบ้าง

                “เออน่า กูจะรู้ได้ยังไงก็ช่างกูเหอะ มึงรีบไปได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันเว้ย!” พูดจบ จอมวางแผนก็หมุนตัวและดุนหลังเพื่อนให้ออกเดิน พร้อมกับเปิดประตูให้เสร็จสรรพ

                “แล้วมึงไม่ไปกับกูล่ะวะ” เปรมหันกลับมาถามแบบงงๆ

                “ลงไป แผนก็แตกกันพอดีดิวะ” โฟโต้เอ็ดตะโรใส่เพื่อนอย่างคนเริ่มหัวเสีย “มึงลงๆ ไปเหอะน่า เดี๋ยวกูตามไป”

                “เออๆ แต่ถ้าพี่ซันจับได้ อย่ามาโทษกูก็แล้วกัน”

                คำพูดของเปรมทำเอาโฟโต้ต้องสูดลมหายใจเข้าไปดังฟืด ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งตบเข้าที่บ่าเพื่อนดังปั้กๆ

                “ได้ กูไม่โทษมึงแน่” ก่อนที่รอยยิ้มร้ายจะผุดขึ้นมาบนใบหน้า “แต่ถ้าความลับมึงรั่วไหลหลังจากนั้น มึงก็อย่ามาโทษกูเหมือนกัน”

                “ไอ้ชะ...” เปรมชะงักปากเอาไว้แค่นั้นเพราะโฟโต้ทะลึ่งตาใส่อย่างคนมีอำนาจสูงสุดในเวลานี้ เปรมจึงได้แต่กระชับกระเป๋าแน่นและเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปจากห้องทันที โดยมีสายตาของโฟโต้มองตามอย่างพออกพอใจ

                เสร็จไปหนึ่ง เดินแผนสองได้

            คิดเช่นนั้นและหันหน้าไปอีกฝั่งซึ่งเป็นห้องพักของนิวกับซัน เขายืนเฝ้าสังเกตการณ์จากห้องของเปรมอยู่เช่นนั้น รอกระทั่งมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น จึงผลุบตัวเข้าไปข้างในห้องและใช้หูแนบไปกับประตูเพื่อแอบฟังเสียงความเป็นไปข้างนอกห้อง

                อีกฟากฝั่ง ซันกับนิวกำลังทำสงครามกันแต่เช้าเหมือนดังเช่นทุกวัน โดยหารู้ไม่ว่ากำลังมีเสือร้ายซุ่มอยู่

                “ไอ้ซัน มึงจะทิ้งกูเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” เสียงนิวตะโกนออกมาจากห้อง เสียงนั้น ดังพอที่จะให้โฟโต้ได้ยินเพราะห้องของซันอยู่ไม่ไกลจากห้องของเปรมมากนัก

                “ใครใช้ให้มึงตื่นสายล่ะวะ ก็รู้อยู่ว่ากูออกห้องเวลาไหน” ซันหันไปว่าอย่างคนไม่คิดอะไรและทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง นั่นทำให้นิวต้องถลาเข้ามาห้าม สองมือดึงแขนเพื่อนเอาไว้จนซันเซถอยหลังตามเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

                “มึงงงง อยู่รอกูเดี๋ยวดิวะ แปปเดียวกูก็เสร็จแล้ว”

                ซันกรอกตาใส่ มองคนที่เพิ่งจะโพล่งคำว่า แปปเดียว ออกมาหมาดๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

                “สภาพชุดนอน เพิ่งตื่นแบบนี้เนี่ย แปปเดียว”

                และนิวก็ได้แต่ก้มลงมองสภาพตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก ก่อนจะเงยหน้าไปส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับคนตรงหน้า “เออ กูขอสิบห้านาที รับรองเลยนะเว้ย สิบห้านาทีแบบเป๊ะๆ”

                “ไม่ให้เว้ย!”

                “ไอ้ซันนนนน ถ้ามึงทิ้งกู กูจะไปเรียนยังไงล่ะวะ”

                “ไอ้นิว มอเตอร์ไซค์มึงก็มีไหม หัดใช้บ้างดิวะ” ซันว่าอย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง ก่อนจะออกคำสั่งเป็นครั้งสุดท้าย “ล็อคห้องด้วยนะเว้ย เจอกันที่คณะ”

                “อ่าวเฮ้ยๆ ไอ้ซันๆ!!” นิวตะโกนเรียกเสียงดังลั่น หากแค่ซันกลับทำเพียงแค่โบกมือทิ้งท้ายใส่ จนคนตื่นสายพาลหงุดหงิดระคนน้อยใจตาม

                “ไปเองก็ได้วะ” แล้วก็ได้แต่ทำหน้าหงอยเหงา ปิดประตูและเดินกลับเข้าไปในห้อง

                ติ้ง!

                เสียงแจ้งเตือนข้อความทำเอาขาที่กำลังจะพาร่างไปที่ห้องน้ำต้องชะงักและหันใบหน้าหงุดหงิดไปทางหัวเตียง

                “ใครส่งอะไรมาแต่เช้าอีกเนี่ยยยย” ร้องโวยวายเพียงลำพัง แต่ก็เดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดู

                ซัน : อีกสิบห้านาที กูออกรถ

            เท่านั้น ใบหน้าแสนหงุดหงิดก็แทบจะแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแก้มปริทันที

                “ไอ้ซันก็คือไอ้ซันอยู่วันยังค่ำแหละน่า” พึมพำกับตัวเองก่อนจะทำหน้าตื่นตระหนกอย่างนึกขึ้นมาได้ “รีบดิวะ ไอ้นิว! เดี๋ยวมันก็ทิ้งจริงๆ หรอก”

                และเจ้าตัวก็ทึ้งหัวตัวเองไปที ก่อนจะปรี่เข้าห้องน้ำไปด้วยความไวแสงเพราะเกรงว่าคนที่ล่วงหน้าลงไปข้างล่างก่อนแล้ว จะเปลี่ยนใจปล่อยให้เขาขับมอเตอร์ไซค์ไปเรียนเองจริงๆ

               

                ขณะเดียวกัน เปรมแอบซุ่มอยู่ที่ข้างบันไดหน้าหอพัก เพื่อรอใครบางคนโผล่หน้ามา...

                “เหี้ยเอ๊ย ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ” เขายังคงหงุดหงิดใจไม่หายกับแผนการของโฟโต้ ที่เขาต้องเข้าไปมีเอี่ยวด้วยอย่างไม่มีทางเลือก

                “แม่งเอ้ย!!” เปรมว่าพลางเตะเข้าที่ก้อนหินตรงหน้าอย่างหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้ พอจะแหกปากออกไป ก็เกรงจะเสียงดังจนไปเข้าหูคนที่เขารออยู่ แล้วพาลให้เสียแผนหมด

                จนกระทั่ง สายตาของเขาจะหันไปเห็นร่างสูงของใครบางคนหยุดยืนอยู่ที่บันได โชคดีที่ใครคนนั้นมัวแต่ก้มหน้าก้มตากดมือถือในมือยิกๆ จนไม่ทันได้สังเกตเขาที่แอบซุ่มรออยู่ โดยอาศัยพุ่มไม้แถวนั้นกำบังตัวและเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินลงมา เขาก็รีบคว้ามือถือขึ้นมาด้วยความร้อนรนและแสร้งทำเป็นกำลังคุยสายกับใครสักคนอยู่ทันที

                “ว่าไงครับ น้องซิน...” เปรมจงใจเสียงดังในตอนท้าย หวังให้คนที่ยืนอยู่ตรงบันไดได้ยิน ซึ่งมันก็ได้ผลชะงัดเพราะซันถึงกับชักสีหน้าหงุดหงิดมองตามคนที่เดินตัดหน้าเขาไปอย่างไม่ให้คลาดสายตา

                เปรมทำทีมองไม่เห็นซันและหยุดยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าหอพักต่อ “ได้ครับ เดี๋ยวพี่ไปรับนะ”

                ซันจ้องมองการกระทำนั้นด้วยความไม่พอใจ หากแต่พยายามจะสะกดกลั้นอารมณ์ไว้เพราะอยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรต่อไป

                “เรื่องเรียนมันเรื่องเล็ก เรื่องของซินสำคัญกว่า ให้พี่ไปหาซินที่บ้านนะครับ” เปรมแกล้งพูดจาหว่านล้อมใส่มือถือของตน ก่อนจะกดวางสายและรีบเดินนำไปที่ลานจอดรถทันทีเพราะเขามั่นใจว่าคนข้างหลังจะต้องตามมาอย่างแน่นอน

                หวงน้องขนาดนั้น คงไม่ยอมปล่อยให้ซินมาเจอเขาแน่

            มันเป็นความคิดที่ถูกต้องทั้งหมดเพราะความหวงน้องออกนอกหน้า เสียจนซันเองก็หลงลืมไปว่าเขากำลังรอใครอยู่ ลืมแม้กระทั่งว่าคาบแรกของวันสำคัญกับเขามากแค่ไหน

                และนั่นทำให้เขาเดินตามเปรมไปอย่างขาดสติ โดยหารู้ไม่ว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นเพียงแค่แผนการลวงเหยื่อออกจากถ้ำก็เท่านั้น 

                เปรม : พี่ซันตามกูมาแล้ว ที่เหลือมึงจัดการเองก็แล้วกัน

            เปรมส่งข้อความไปหาโฟโต้เสร็จสรรพก็รีบขึ้นรถที่โฟโต้ทิ้งกุญแจเอาไว้ให้และขับออกไปทันที ขณะที่ซันเองก็ขับรถตามเขาไปติดๆ  เช่นกัน

 

                โฟโต้ยืนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือ หลังจากได้อ่านข้อความที่เปรมส่งมาให้ ก่อนจะค่อยแง้มประตูห้องและสอดสายตามองไปยังห้องของนิวที่ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เท่านั้น เจ้าตัวก็รีบย่องออกมาจากห้องและรีบลงลิฟต์ไปชั้นล่าง หลังจากนั้น เขาก็ไปยืนดักรอนิวที่ด้านล่างหอพักเพื่อทำตามแผนการลำดับขั้นต่อไป

                ขณะที่เหยื่ออย่างนิว ก็ได้แต่เดินวนอยู่ในห้อง ไปทางซ้ายที ขวาทีจนหัวแทบหมุนเพราะความรีบร้อนกลัวว่าจะเพื่อนทิ้ง

                “หนังสือ รายงาน เอกสาร...” นิวหยุดยืนค้นกระเป๋าเพื่อสำรวจว่าเขาจะไม่ลืมเอาอะไรไปเรียน กระทั่งทุกอย่างครบก็รีบปิดกระเป๋าและหันไปคว้ามือถือที่โยนทิ้งไว้บนเตียง หากแต่ข้อความบางอย่างที่เข้ามาพอดี ทำเอาสองเท้าที่กำลังจะเดินไปต้องชะงัก

                ซัน : วันนี้กูโดดเรียนนะ

            เหมือนมีอะไรหล่นทับร่าง จนใบหน้าที่สดใสหม่นหมองลงทันตาเห็น ไอ้ที่เขาทุ่มเททำไปทั้งหมด ตั้งแต่อาบน้ำ แต่งตัวและเก็บของใส่กระเป๋าด้วยความไวแสงกลับกลายเป็นความสูญเปล่า เหมือนถูกหลอกให้รีบและก็ถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี

                “ไอ้ซันนนนนนนนนนนน!” นิวร้องลั่นพลางกำมือถือในมือแน่น “จะมาโดดเรียนเชี่ยอะไรเช้านี้วะ”

                ก่อนที่เจ้าตัวจะต้องเดินกลับไปทีโต๊ะอ่านหนังสือ เปิดลิ้นชักและค้นกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองออกมาอย่างช่วยไม่ได้

                “สุดท้ายก็ต้องไปเองจนได้สิน่า!” บ่นพึมพำและเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากห้องไป

 

                กลับมาที่ด้านล่างหอพัก...

                “ทำไมช้าจังวะ” หนุ่มรุ่นน้องว่าพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าเวลาได้ล่วงเข้าไปเกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้ว ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างและรีบเตรียมตัว เมื่อเห็นเหยื่อของตนกำลังเดินเข้ามาใกล้ จึงรอจังหวะ จนสบโอกาสและโผล่พรวดเข้าไปหา

                “อ่าว พี่นิว สวัสดีครับ” เสือร้ายแสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ หลอกให้เหยื่ออย่างนิวคิดว่าตนมาเจอกับรุ่นน้องตรงหน้าเข้าด้วยความบังเอิญ

                “เออๆ สวัสดี...” ก่อนที่นิวจะนิ่วหน้า ส่งสายตาไปมองรุ่นน้องของตนด้วยความสงสัย “...แล้วนี่มึงไม่ได้ไปกับไอ้เต้เหรอวะ เห็นมันบอกจะไปส่งมึงที่คณะนี่”

                ครั้นได้ยินเช่นนั้น โฟโต้ก็ถึงกับร้องขึ้นมาในใจเพราะเพิ่งจะมารู้ว่ารุ่นพี่ตรงหน้าเขาก็รู้เรื่องนี้ด้วย แต่นั่นกลับทำให้เขาสบโอกาส ตีหน้าเศร้า หลบสายตาและพูดเสียงอ้อมแอ้มออกมาว่า

                “ผมไม่อยากจะไปขวางทางคนรักกันน่ะครับ”

                และมันก็ทำให้นิวถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก “คนรักกันอะไรของมึงวะ”

                “ก็พี่ฮ่องเต้กับนัทไงครับ พอดีนัทบอกว่ารถเสีย ก็เลยกะจะขอติดรถพี่เต้ไปด้วย...” โฟโต้เว้นจังหวะพลางเหลือบมองหน้านิวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมาช้าๆ “...พี่คงจะยังไม่รู้ว่านัทชอบพี่ฮ่องเต้”

                “หะ ไอ้นัทเนี่ยนะ” นิวอ้าปาก เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเอง

                “ครับ ผมเลย...ไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน”

                ประโยคสุดท้ายโฟโต้พยายามเค้นเสียงให้ฟังดูเจ็บปวดมากที่สุด จนนิวเองก็ใจหายวาบไปตามๆ กัน

                “แล้ว...มึงจะเศร้าทำไมวะ เรื่องแค่นี้เอง”

                “ก็ผมชอบพี่เต้!” โฟโต้ชะงักไปชั่วครู่ เหมือนเพิ่งจะนึกออกว่าตนพูดอะไรออกไป ก่อนจะรีบลนลานพูดออกไปในตอนท้าย “พี่ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกันนะครับ ผมขอตัวก่อน”

                “เดี๋ยวดิวะ!” นิวรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนรุ่นน้อง ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอย่างต้องการจะพูดให้รู้เรื่อง

                “มึงชอบไอ้เต้จริงๆ ใช่ไหม” นิวหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างต้องการความจริง “กูขอความจริงนะเว้ย กูจริงจัง”

                และนั่นทำให้โฟโต้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

                “ครับ ผมชอบพี่ฮ่องเต้” ก่อนจะหดตัวลงและทำหน้าเศร้า “แต่พี่ฮ่องเต้ชอบนัทไปแล้ว ผมคงไม่มีสิทธิ์หรอกครับ”

                ท้ายประโยคโฟโต้ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนกำลังประชดตัวเอง ทำเอาคนที่ยืนมองอย่างนิวต้องถอนหายใจใส่เฮือกใหญ่และจ้องหน้ารุ่นน้องที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา หมดความมั่นใจในตัวเองแบบสุดๆ อย่างพินิจพิจารณา

                บอกแล้วไงครับ ว่าเรื่องนี้ เขาจริงจัง

            “ไอ้ฮ่องเต้ มันไม่ได้ชอบไอ้นัทหรอก” และเขาจำเป็นต้องเอ่ยปากพูดความจริงกับคนตรงหน้า “แล้วมันก็คงจะชอบใครไม่ได้อีกแล้ว”

                “พี่นิว หมายความว่าไงครับ” เสือร้ายในตัวแทบจะโผล่พรวดออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เหมือนนั่นจะเป็นประเด็นสำคัญต่อเกมรุกจีบพี่ฮ่องเต้ของเขา

                นิวมองรุ่นน้องตรงหน้าอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกมา “คนที่คาดหวังกับความรักมากๆ  ชนิดที่ยอมแลกได้แม้กระทั่งชีวิต แต่พอวันหนึ่ง ได้พบว่าสิ่งที่เขายอมแลกไปมันเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า มึงว่าความรู้สึกของคนๆ นั้นจะเป็นยังไงวะ”

                โฟโต้นิ่งไปเพราะในสมองเอาแต่ครุ่นคิด ตีความในสิ่งที่นิวพยายามจะสื่อให้เขาได้รู้และนั่นทำให้นิวต้องพูดต่อว่า

                “ไอ้เต้มันโตเกินกว่าจะมาล้อเล่นเรื่องความรักแล้วนะเว้ย ถ้ามึงคิดจริงจัง มึงต้องทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ แล้วมึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”

                เป็นครั้งแรกที่นิวพูดอะไรทำนองนี้ออกมาและที่เขาตัดสินใจพูดแบบนี้ก็เพราะความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนอย่างฮ่องเต้ล้วนๆ  แม้ว่าเขาจะเชียร์ให้ฮ่องเต้ชอบโฟโต้ แต่เขาเองก็ไม่ได้มั่นใจนักหรอกว่าเพื่อนของเขาจะไม่ผิดหวังเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง แต่อย่างน้อย ขอแค่ใครสักคนที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ยอมเปิดใจและเชื่อในความรักอีกครั้ง เขาก็ต้องลองเสี่ยงและในเมื่อโอกาสมันมาถึงที่ มีหรือที่เขาจะปล่อยให้มันหลุดลอยไปง่ายๆ

                “อยู่ใกล้กันแค่นั้น มันไม่ได้ทำให้ไอ้เต้ชอบไอ้นัทได้หรอก มึงยังมีสิทธิ์ที่จะจีบไอ้เต้อยู่นะเว้ย เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว กูเห็นแล้วใจไม่ดีตาม” นิวหัวเราะออกมาเบาๆ ในตอนท้ายเพื่อช่วยคลายอารมณ์เศร้าให้กับรุ่นน้องขี้ใจน้อยตรงหน้า

                แต่โฟโต้ยังคงทำหน้าเครียดใส่และตัดพ้อต่อว่า “แต่พี่ฮ่องเต้ไม่ยอมผมเข้าใกล้เข้าเสียขนาดนั้น ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบพี่เขาล่ะครับ อีกอย่างเขาก็ยอมให้แต่นัทเข้าหา แบบนี้ ผมไม่เสียคะแนนแย่เหรอครับ”

                นิวมองโฟโต้ที่สีหน้า ท่าทีดูเคร่งเครียดจนเขาเองแทบจะไมเกรนขึ้นตามอีกครั้ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มร้ายออกมา “เรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการเอง”

                “พี่นิวจะจัดการยังไงเหรอครับ” โฟโต้แสร้งถาม หากแต่เสือร้ายในตัวสั่นระริกอย่างดีใจที่เหยื่ออย่างนิวติดกับเขาเข้าให้จนได้

                “มึงยังไม่ต้องรู้หรอก แต่ต่อจากนี้ไป แค่ตามน้ำไปกับกูก็พอ” นิวยิ้มหน้าระรื่น กลับมาเป็นรุ่นพี่มาดกวนเช่นเดิม จนโฟโต้แอบลอบยิ้มอย่างพออกพอใจ 

                “หมายความว่าพี่ชะช่วยผมใช่ไหมครับ”

                “เออ กูก็ต้องช่วย...” นิวเว้นจังหวะพลางคิดคำว่า สายรหัส ในใจ “...ช่วยรุ่นน้องอย่างมึงอยู่แล้วดิวะ มึงเป็นคนตรงๆ ดี กูชอบ ฮ่าๆๆ”

                และเจ้าตัวก็หัวเราะลั่นอย่างไม่รับรู้ถึงกับดักที่ล้อมตัวเอาไว้ใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะหันไปหารุ่นน้องอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ จนโฟโต้แทบจะปรับสีหน้าไม่ทัน

                “แล้วนี่มึงไปเรียนยังไงวะ” นิวว่าพลางมองแขนที่ยังใส่เฝือกของคนตรงหน้าอยู่ โฟโต้จึงก้มลงมองตามและได้แต่เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้

                “คงต้องเดินไปแล้วล่ะครับ”

                “จะแปดโมงอยู่แล้วนะเว้ย ไม่ทันหรอก” นิวร้องโวยวายออกมาหลังจากก้มลงมองนาฬิกา “ไปๆ เดี๋ยวกูไปส่ง”

                “เอ่อ คือ...” โฟโต้ทำท่าจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ หากแต่นิวกลับสวนกลับทันควัน

                “ไปเหอะน่า!” พูดจบ นิวก็รีบลากโฟโต้ออกจากหอและตรงไปดิ่งไปยังลานจอดรถ ก่อนจะพารุ่นน้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ (คันที่เขาจอดทิ้งเอาไว้มานาน) และขับออกไปทันทีเพราะถ้าไม่รีบตอนนี้ มีหวังเขาคงได้ถูกอาจารย์สวดยับตายดับคาห้องเรียนเป็นแน่

                ส่วนโฟโต้...

                เสร็จไปอีกหนึ่ง

            ได้แต่คิดและยิ้มกระหยิ่มในใจที่แผนการกระชับมิตรของตนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ส่วนเรื่องของซัน ก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเปรมต่อไป


หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 16-11-2018 03:10:21
อ่านทันแล้วว ขอคอมเม้นหน่อยนึง
เท่าที่อ่านมามันทำให้รู้สึกว่าโฟโต้ไม่จริงใจเลยอะ ดูหวังผลอะไรซักอย่าง คิดว่าถ้าเจ้าเล่ห์วางแผนอย่างงี้ต่อไปซักวันต้องโป้ะแตกแน่ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ฮ่องเต้คงปิดกั้นตัวเองมากขึ้นไปอีกแน่เลย รอซีนดราม่าพี่เต้เลยค้าบ
 :z3: :pig4:
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:32:51
ตอนที่ 18 ความว้าวุ่นของพี่ปีสี่

                ฮ่องเต้เอาหนังสือขึ้นมานั่งอ่านไปพลางๆ ระหว่างรอเรียนในคาบแรกของวัน แต่เขากลับพบว่าตนเองไม่มีสมาธิจดจ่อกับเนื้อหาในหนังสือตรงหน้าเลยสักนิดเพราะเรื่องของใครบางคนที่กำลังกวนใจ จนคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น ขณะที่สายตาก็เหลือไปมองนาฬิกาเหนือไวท์บอร์ดหน้าห้องเรียน สลับกับมองมือถือบนโต๊ะที่เขาเป็นคนเอาขึ้นมาวางเพราะหวังจะได้เห็นความเคลื่อนไหวจากใครคนนั้น หลังจากที่เขาส่งข้อความไปถามว่า

                ฮ่องเต้ : ถึงห้องเรียนหรือยัง

            นั่นก็เพราะเขาได้รับข้อความจากเด็กคนหนึ่งเมื่อเช้า...

                โฟโต้ : ผมไม่รบกวนพี่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้พี่เสียเวลาขับรถมารับผม

            ฮ่องเต้ : ไม่รบกวน ไม่เสียเวลาหรอก หอมึงก็อยู่แค่หลังมอเอง

            โฟโต้ : แต่พี่ต้องขับรถไปรับนัทอีกไม่ใช่เหรอครับ พี่ไปกับนัทเถอะครับ เดี๋ยวผมไปกับเพื่อนของผมอีกคนก็ได้

            เขาไม่เข้าใจว่าทำไมโฟโต้ต้องปฏิเสธเขาด้วย ในเมื่อการไปรับมันมาเรียน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่เขาจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจสักนิด แถมยังเรียนคณะเดียวกัน ยังไงมันก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้วด้วย

            และยิ่งไปกว่านั้น เขากลัวว่าโฟโต้จะไม่มีใครไปส่งเหมือนอย่างที่พิมพ์ข้อความมาบอก อีกอย่าง เขานึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเพื่อที่โฟโต้พูดถึงคือใคร ปกติก็เห็นตัวติดอยู่แต่กับนัทเสียส่วนใหญ่ เพราะแบบนั้น เขายิ่งกระวนกระวายใจเข้าไปอีก จนกระทั่งตอนนี้ ที่ทุกอย่างยังคงเงียบ...

                ไม่มีแม้แต่หนึ่งข้อความหรือหนึ่งสายเรียกเข้าจากคนที่ทำให้เขาพะว้าพะวงใจอยู่ในตอนนี้และมันกำลังจะทำให้เขาสติแตกเต็มที

                มันจะมาหรือยังวะ

            นั่นเป็นคำถามที่ยังคอยวนเวียนอยู่ในหัวมาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน กระทั่งตอนนี้ ที่เวลาล่วงเข้าไปใกล้จะแปดโมง ซึ่งเป็นเวลาเริ่มเรียนวิชาแรก

                ป่านนี้ มันคงจะถึงห้องแล้วล่ะมั้ง

            และนี่ก็เป็นข้อสันนิษฐานสำหรับคำถามที่ยังคงหาคำตอบไม่ได้ ความวิตกกังวลทำให้ฮ่องเต้เผลอสั่นขาโดยไม่รู้ตัว แถมมือของเขายังอยู่ไม่นิ่ง เอาแต่ขยับพลิกหน้ากระดาษไปมาเพื่อหวังจะให้หนังสือตรงหน้าช่วยทำให้เขาลืมเรื่องของใครคนนั้น ทว่าท้ายที่สุด ก็คงต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขาไม่อาจจะหลงลืมเรื่องเด็กคนนั้นได้จริงๆ

                สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองเข็มนาฬิกาที่กำลังบอกว่าเขาไม่มีเวลาให้กลับออกไปข้างนอกห้องอีกแล้ว เขามองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอดรนทนไม่ไหว รีบเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าและลุกขึ้น ก้าวขาฉับๆ ออกไปจากห้องอย่างไม่ยอมแม้แต่จะหยุดฟังคำทัดทานจากเพื่อนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย

                “มันจะโดดเรียนเหรอวะ นี่มันวิชาอาจารย์นัยนาเลยนะเว้ย” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับมองไปทางรองเดือนคณะปีของตนที่หายวับออกจากห้องเรียนไปเรียบร้อยแล้ว

                “กูว่าไม่น่าจะใช่หรอก มันคงมีธุระด่วน” เป็นคิงที่หันไปตอบเพื่อนในกลุ่มของตนเช่นนั้น เพราะเท่าที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะยอมโดดเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะมีอะไรสำคัญให้ทำ

               

                ฮ่องเต้รีบวิ่งลงจากบันไดชั้นห้ามาข้างล่างตึกและวิ่งตรงไปยังลานจอดรถหลังคณะทันที ก่อนที่เขาจะขับรถตัวเองออกไปทางประตูหลังมอและตรงไปทางหอพักในย่านนั้นทันที

                หากแต่เพราะในเวลาเกือบแปดโมงเช่นนี้ นักศึกษาต่างก็เร่งพากันขับรถเข้ามอเพราะใกล้จะถึงเวลาเรียนของตนแล้ว ทำให้การจราจรพลุกพล่านมากขึ้นกว่าตอนช่วงเช้าตรู่ พาลให้คนที่จิตใจร้อนรนเป็นเดิมทีอยู่แล้วอย่างฮ่องเต้ ต้องหงุดหงิดมากขึ้นเป็นเท่าตัว ระหว่างนั้น ก็หยิบมือถือขึ้นมาดูพลางๆ เผื่อว่าจะมีข้อความตอบกลับมา

                แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบเช่นเดิม...

                และมันทำให้ฮ่องเต้ต้องออกแรงเหยียบคันเร่งเพื่อที่จะได้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้น กระทั่งเขาเลี้ยวรถเข้ามาที่หอพักของใครคนนั้นในเวลาแปดโมงกว่าๆ  ทำเอาคนขี้กังวลต้องรีบลงจากรถและเข้าไปในหอพัก จัดการถามไถ่กับเจ้าหน้าที่ว่าเห็นบุคคลหายสาบสูญที่เขาตามหาอยู่หรือเปล่า

                “น้องโฟโต้เพิ่งจะออกไปกับเพื่อนเอง...” เจ้าหน้าที่ที่หอพักว่าพลางเหลือบมองนาฬิกา “...น่าจะออกไปได้สักเกือบๆ สิบนาทีก่อนหน้าที่น้องจะมาเอง มีอะไรจะฝากไว้หรือเปล่าจ๊ะ”

                “เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณมากนะครับ” เขาได้เพียงแต่บอกกล่าวออกไปแค่นั้นและเดินกลับไปขึ้นที่รถ

                อดโล่งใจไปไม่ได้ ที่อย่างน้อยไอ้เด็กคนนั้นก็ไปเรียนกับเพื่อนเหมือนอย่างที่บอกกับเขาเอาไว้ ฮ่องเต้หลับตาและเอนหลังลงไปอย่างต้องการพักเอาแรงเพราะความรีบร้อนที่ทำเอาต้องวิ่งกระหืดกระหอบไปทั่ว หากแต่ก็เพียงแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมาอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้และล้วงมือถือออกมาดูเวลา

                “เชี้ยละ!” เป็นอันต้องสบถออกมาเพราะเวลาที่ล่วงเข้าไปเกือบแปดโมงสิบนาทีแล้ว ก่อนจะสตาร์ทรถและรีบขับออกไปเพราะเพิ่งจะมาสำเหนียกได้ว่าเขาเองก็ต้องรีบไปเรียนเช่นกัน

 

                กว่าจะเข้ามานั่งเรียนในห้องได้ ก็ถูกอาจารย์ประจำวิชาอย่างอาจารย์นัยนาบ่นจนหูชาเพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ฮ่องเต้มาสาย

                “อย่าให้มีคราวหน้าอีกนะ”

                ประโยคหลังไล่ตามมาติดๆ  พร้อมกับสาตาดุดันที่ทำเอาคนที่ค่อยย่องเข้าไปนั่งโซนหลังห้องเรียนเสียวสันหลังตามเป็นระยะๆ  จนกระทั่งเขาหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ได้ อาจารย์จึงกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ ท่ามกลางความเงียบของเหล่านักศึกษาภายในห้อง

                “เป็นยังไงวะ ความรู้สึกของคนมาสาย” นิวหันมาหัวเราะใส่คนข้างๆ ทันที แต่เพราะความเหนื่อยหอบจากการต้องวิ่งขึ้นมาบนชั้นห้า (เนื่องจากแถวของคนที่ยืนรอลิฟต์ยาวเป็นโข) ทำให้ฮ่องเต้ได้แต่ส่งสายตาดุไปให้เพื่อนของตนอย่างที่เคยทำทุกครั้ง ทำให้นิวได้แต่พูดพล่ามต่อไปอยู่ฝ่ายเดียว

                “ว่าก็ว่าเถอะ วันนี้พวกเพื่อนกูมันเป็นอะไรกันไปหมดวะ คนหนึ่งโดดเรียน ส่วนอีกคนก็มาสาย” ท้ายประโยคหันมามองหน้าฮ่องเต้อย่างจงใจ ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่นั่งกระหืดกระหอบ โกยอากาศเข้าปอดพร้อมกับล้วงสมุดในกระเป๋ามาพัดให้ตัวเอง

                แม้ในห้องจะเปิดแอร์ แต่เพราะเขาเพิ่งจะมาถึง ร่างกายมันก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกสักพัก จึงไม่แปลกที่เหงื่อของเขาจะยังคงไหลตามใบหน้าและร่างกายของเขาเช่นนี้

                “ได้ข่าวว่ามึงไปรับไอ้น้องนัทมาเรียนด้วยเหรอ” นิวเริ่มแผนการด้วยคำถามที่แฝงความนัยอะไรบางอย่างเอาไว้

                “อืม” แต่กระนั้น ฮ่องเต้ยังคงตอบกลับไปสั้นๆ อย่างไม่ใส่ใจ

                “เฮ้อ สนใจกันจัง สายเทคเนี่ย คงไม่รู้ตัวเลยสินะ ว่าทำให้เด็กปีหนึ่งบางคนน้อยใจ” นิวพูดพร้อมกับยิ้มกริ่ม ขณะที่ฮ่องเต้ถึงกับชะงักและหันไปขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

                “มึงหมายถึงใคร?” เขายังคงถามออกมาสั้นๆ เพราะไม่มีอารมณ์มาต่อความยาวสาวความยืดกับคนข้างๆ ทั้งความกังวลและอีกสารพัดทำให้อารมณ์ของเขาในตอนนี้ ผสมปนเปกันไปหมดจนเจ้าตัวรู้สึกเหนื่อยไปตามๆ กัน

                “มึงสนใจด้วยเหรอว้า” ทว่านิวยังคงไม่ยอมหยุด หยอกล้อคนข้างๆ ไปตามประสา ซึ่งมันก็ทำให้ฮ่องเต้หงุดหงิด

                “ถ้าไม่อยากเล่าก็หุบปากไป”

                “ใจเย็นดิวะ กูเกริ่มมาขนาดนี้ก็ต้องอยากบอกมึงอยู่แล้วป่ะ อีกอย่าง มันเป็นเรื่องของมึงล้วนๆ ทำไมกูต้องกั๊ก”

                ฮ่องเต้ไม่ตอบ เพียงแต่ส่งสายตารำคาญไปให้จนนิวต้องรีบเล่าเพราะกลัวเพื่อนจะเปลี่ยนใจไม่อยากฟัง แล้วทำให้เขาเสียแผนหมด

                “เออๆ กูเล่าก็ได้...” นิวกระแอมไอใส่ไปทีก่อนจะเริ่มเล่า “...คือเมื่อเช้าเนี่ย กูเจอไอ้โฟโต้ที่หอ ทีแรกกูก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะมึงบอกว่ามึงจะไปรับมันไปเรียนด้วยเพราะแขนมันใส่เฝือก ขับรถไปเรียนเองไม่ได้ แต่มึงรู้ป่ะ ว่าไอ้ที่กูรู้เพิ่มเติมมาเนี่ย มันคืออะไร”         

                “ถามกูกลับอีกที มึงโดนตีนกูแน่”

                คำพูดนั้น ทำเอาคนลีลาเยอะถึงกับยิ้มแห้งใส่ “ไม่ถามก็ได้วะ ก็...น้องมันคิดว่ามึงกับไอ้นัทอยากนั่งรถไปด้วยกันสองต่อสองอ่ะ น้องมันเลยปฏิเสธ ไม่อยากไปกับมึง”

                ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเป็นหลายเท่าเพราะคำพูดที่ฟังดูไม่เข้าท่า “แล้วทำไมกูต้องอยากไปกับไอ้นัทสองต่อสองด้วยวะ แล้วมันปฏิเสธกูเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ”

                “ก็น้องมันคิดว่ามึงกับไอ้น้องนัทอะไรนั่น แอบกุ๊กกิ๊กๆ มีใจให้กันไงวะ” ไม่ว่าเปล่า นิวยังทำท่าทางประกอบและดัดเสียงเล็กเสียงน้อยจนน่าหมั่นไส้

                “ไอ้น้องมันก็ดีแสนดีนะเว้ย พอรู้ว่าไอ้น้องนัทนั่นชอบมึง ก็ไม่ยอมไปกับมึงเพราะไม่อยากเป็นก้างขวางคอรุ่นพี่กับเพื่อนรักของตัวเอง เออ มันคงจะรักไอ้นัทมากเลยเนอะ ว่าไหม ไม่อย่างนั้น มันคงไม่เสียสละให้เพื่อนมันขนาดนี้หรอกว่ะ”

                “ไอ้นิว...”

                “เนี่ย ถ้าเมื่อเช้ากูไม่ไปเจอและบังคับให้มันซ้อนท้ายกูมานะ ป่านนี้ มันคงยังเดินไม่ถึงคณะเลยมั้ง กูว่านะ...”

                “ไอ้นิว!!” ฮ่องเต้เอ่ยปรามคนพูดมากที่ชักจะเริ่มพูดจาเลยเถิดจนเขาชักจะโมโห

                “อะไรวะ มึงหงุดหงิดอะไรของมึงเนี่ย” นิวแสร้งถามออกไป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

                “มึงไม่ได้สร้างเรื่องใช่ไหม” ฮ่องเต้ถามออกไปอย่างไม่แน่ใจในคำบอกเล่าของเพื่อน เพราะนิวมักจะชอบพูดจาใส่ไข่เพิ่มไปหลายฟองจนเรื่องมันเกินจริง แต่นั่นกลับกลายเป็นคำสบประหม่าจนนิวต้องทำท่าขึงขังใส่

                “ไอ้เต้ เรื่องนี้กูจริงจังนะเว้ย แล้วที่กูเอาเรื่องนี้มาบอกมึงก็เพราะกูสงสารไอ้โฟโต้ที่ต้องเดินไปเรียนคนเดียวเพราะมึงมัวแต่สนใจไอ้น้องนัทไง”

                “มึงว่าไงนะ!!” ฮ่องเต้แทบลุกพรวดขึ้นมาตะคอกใส่ หากแต่ระดับเสียงแค่นั้น กับบรรยากาศภายในห้องที่มีเพียงแค่เสียงของอาจารย์ ก็เพียงพอที่ทำให้เขาถูกเพ่งเล็ง

                “จะนั่งเรียนดีๆ หรือต้องให้อาจารย์ลงโทษเธอก่อนหะ!”

                “ขอโทษครับ อาจารย์” ฮ่องเต้ยกมือไหว้เป็นการขอโทษอาจารย์อย่างเกร็งๆ

                “ครั้งที่สองแล้วนะ เธอน่ะ ตั้งใจเรียนหน่อย”

                “ครับ” ฮ่องเต้รับคำเพียงเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติแต่ที่ดูเหมือนจะไม่ปกติ เห็นจะเป็นอารมณ์ของฮ่องเต้ที่หมุนจนจะก่อพายุลูกใหญ่ได้

                ไหนว่ามันไปกับเพื่อนไงวะ!!

            นั่นคือสิ่งที่ติดอยู่ในหัวของเขาและทำให้เจ้าตัวอยากจะกลายเป็นพายุพัดเข้าใส่โฟโต้เข้าให้จริงๆ (เขาหมายถึงตอนที่เจอหน้ากัน) ขณะที่นิวลอบมองสีหน้าเพื่อนอย่างพอใจ ก่อนจะกระเถิบตัวเข้ามาใกล้และกระซิบกระซาบกับฮ่องเต้ต่อ

                “กูว่า มึงควรใส่ใจไอ้โฟโต้ให้มากกว่านี้นะเว้ย หยุด!” นิวยกมือขึ้นมาห้าม เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กำลังจะอ้าปากเถียง “กูหมายถึงให้มึงใส่ใจในฐานะรุ่นน้อง กูเข้าใจว่าไอ้นัทมันเป็นสายเทค แต่อย่าลืมว่าไอ้โฟโต้มันก็เป็นถึงสายตรงของมึงเลยนะเว้ย มึงควรจะดูแลความรู้สึกมันเหมือนกัน”

                ฮ่องเต้เหลือบตามองและเมื่อเห็นว่าสีหน้าของนิวดูจริงจังกับเรื่องที่พูดมาก เขาจึงเผลอคิดไปว่าครั้งนี้ นิวคงไม่ได้เอาเรื่องอาถรรพ์สายรหัสของเขามาล้อเล่น เลยอดถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้

                “เออ เดี๋ยวเรื่องนี้กูเคลียร์เอง” เขาตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ท่ามกลางความพอใจของนิวที่ไม่ได้แสดงออกมา

 

                “เออ เดี๋ยวเรื่องนี้กูเคลียร์เอง”

            พูดออกไปตั้งแต่คาบแรกของวัน จนป่านนี้ เลิกเรียนแล้ว เขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของไอ้คนที่ทำเอาเขาเสียสมาธิในชั่วโมงเรียนวันนี้ แถมไอ้ใครคนนั้นยังไม่ยอมแม้แต่จะอ่านข้อความที่เขาส่งไป พอโทรไปหาตอนที่มันไม่มีเรียนก็ไม่ยอมรับสายอีก

                เป็นอะไรของมันวะ

            ยังคงเป็นเรื่องค้างคาใจจนฮ่องเต้ไม่เป็นอันทำอะไร แต่กระนั้นก็ทำได้เพียงแค่ยืนดักรอเด็กปีหนึ่งที่ว่าอยู่ด้านล่างตึกเรียน เผื่อว่าจะได้เคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ หากเขามีโอกาสได้เจอกับโฟโต้

                “มารอนานหรือยังครับ พี่เต้” เสียงของนัทที่เอ่ยทัก ทำเอาฮ่องเต้ที่มัวแต่ก้มกดมือถือยิกๆ ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง หากสายตาของเขาไม่ได้โฟกัสไปที่หน้าของรุ่นน้องที่เดินเข้ามาหา เอาแต่มองหาใครอีกคนที่คิดว่าจะเดินมาพร้อมกับนัท

                “โฟโต้...ไม่ได้มาด้วยเหรอ” ฮ่องเต้เอ่ยถามไปตามที่ใจคิด จนรอยยิ้มบนใบหน้าของรุ่นน้องตรงหน้าแทบจะหายไปในทันที ก่อนที่เขาจะแสร้งทำเป็นไม่ได้คิดอะไร

                “กลับไปแล้วครับ เห็นบอกว่าหมอนัดตรวจอาการ”

                “แล้วมันไปกับใคร” ฮ่องเต้โพล่งถามออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นและมันยิ่งไปกระตุ้นความหึงหวงของนัทมากขึ้น

                เพราะดูเหมือนว่ารุ่นพี่ตรงหน้าของเขา กำลังรู้สึกอะไรบางอย่างกับโฟโต้

            “โฟโต้ไปกับเพื่อนครับ” และมันก็ทำให้นัทเลือกที่จะโกหกออกไปเช่นนั้น เพราะถ้าฮ่องเต้รู้ว่าโฟโต้ไปหาหมอคนเดียว เขารู้ดีว่าฮ่องเต้ต้องตามไปหาที่โรงพยาบาลและถ้าคนอย่างโฟโต้ได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่ฮ่องเต้สองต่อสองแบบนั้น เขาเชื่อว่าโฟโต้ไม่มีทางปล่อยให้พี่ฮ่องเต้รอดเงื้อมมือไปแน่

                ดังนั้น เขาก็ไม่ควรจะปล่อยให้โอกาสนั้นเกิดขึ้น

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ” นัทแสร้งถามออกไป เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของรุ่นพี่ตรงหน้า จนฮ่องเต้ต้องรีบปรับสีหน้าและหันกลับมามอง

                “อ๋อ เปล่าๆ  แล้วนี่ มึงจะกลับเลยใช่ไหม เดี๋ยวกูจะได้ไปส่ง”

                “ครับ” นัทตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับยิ้มให้กับคนตรงหน้า

                “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเหอะ” ฮ่องเต้พูดปิดท้ายบทสนทนาแค่นั้น แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยเรื่องของสายรหัสปีหนึ่งอีกคนก็ตาม แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เดินไปที่รถพร้อมกับสายเทคปีหนึ่งของตัวเอง

               

            (มีต่อ.....)

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:34:05
                (ต่อ......)

    ระหว่างทาง ฮ่องเต้ก็เอาแต่เงียบและทำหน้าตึงอยู่ตลอดเวลา จนนัทต้องเหลือบตามามองเป็นระยะด้วยความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจ

                ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนข้างกายของเขาตอนนี้ กำลังคิดถึงใครอยู่

            ดูเหมือนว่าหัวใจของพี่ฮ่องเต้กำลังจะตกไปอยู่ในมือของเสือร้ายอย่างโฟโต้ แม้ว่าจะเพียงแค่น้อยนิด แต่มันก็น่าจะเพียงพอที่ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากได้และนั่นทำให้นัทตัดสินใจยกล้วงมือถือออกมา พร้อมกับกดส่งข้อความหาใครบางคน

                ในเมื่อใช้ความดีเข้าสู้ไม่ได้ แผนร้ายก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จะช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสำหรับเขา

            นัท : ช่วยหน่อยนะ เราเป็นห่วงโฟโต้ ไม่อยากให้นั่งรถกลับเองในสภาพแบบนั้น

            และเมื่อได้รับข้อความตอบกลับอันเป็นที่น่าพอใจจากอีกฝ่าย นัทก็เก็บมือถือใส่กระเป๋าเช่นเดิม พลางเหลือบมองเจ้าของรถที่ยังคงเอาแต่จับจ้องถนนด้านหน้า

                ขอโทษนะครับ ผมจำเป็นต้องทำเพราะทั้งตัวและหัวใจของพี่ มันสำคัญกับชีวิตของผม

            พลันแววตาอันแฝงไปด้วยความปวดร้าวก็ฉายผ่านดวงตาคู่นั้น ก่อนที่มันจะหายไป เมื่อฮ่องเต้ขับรถมาจอดตรงหน้าหอพักของเขาและหันมามอง

                นัทจึงกลับมาทำตัวปกติและส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ปีสี่ของตนทันที “ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้ผมติดรถไปเรียน แถมยังมาส่งอีก”

                “อืม ไม่เป็นไร มึงเองก็ช่วยกูเรื่องไอ้อ้น” ฮ่องเต้ว่าพลางฝืนยิ้มกลับไปให้ เพราะในหัวของเขาตอนนี้ ยังคงไม่อาจจะละทิ้งเรื่องของใครอีกคนไปได้ “มึงเข้าหอเถอะ เดี๋ยวกูจะกลับละ”

                “ขับรถระวังด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”

                ผมเป็นห่วง

            แม้ว่าจะเอ่ยออกมาจากปากของอีกคน แต่มันกลับทำให้ฮ่องเต้หวนนึกถึงใครอีกคนเสียได้

                “ครับ ขับรถกลับดีๆ นะครับ ถ้าถึงหอแล้วบอกผมด้วยนะ ผมเป็นห่วง”

            เขายังจำรอยยิ้มสดใสของใครคนนั้นได้ดี จำได้แม้กระทั่งตอนที่เด็กคนนั้นฉวยโอกาสเข้าใกล้และพูดจาหยอกล้อใส่เขา แต่ดูเหมือนว่าท่าทีที่เป็นธรรมชาติและเป็นตัวของตัวเองแบบนั้น มันกำลังจะหายไปและมันก็ทำให้เขารู้สึก...แย่

                “มึงมันโรคจิต...”

                “พี่ว่าไงนะครับ?”

                ฮ่องเต้สะดุ้งที่ถูกถามกลับแบบนั้น เพราะมัวแต่คิดมากเรื่องของใครอีกคน จนหลงลืมไปว่านัทยังอยู่บนรถกับเขา

                “มะ...ไม่มีอะไร ช่วงนี้ กูเบลอๆ เลยเผลอพูดอะไรไปเรื่อย” ก่อนจะยิ้มแห้งๆ  หากแต่มันกลับทำให้นัทได้โอกาส ทำหน้าจริงจังขึ้นมาและเอ่ยปากพูดกับคนข้างๆ

                “ดูแลตัวเองด้วยสิครับ อย่างน้อยแค่นอนหลับให้เพียงพอก็ยังดี” นัทพยายามสบสายตากับฝ่ายตรงข้าม จนฮ่องเต้ใจกระตุกวูบเพราะท่าทีที่เขาไม่เคยเห็นจากนัท “พี่ซูบลงไปมากแล้วนะครับ รู้ตัวบ้างไหม”

                ชั่วครู่ ฮ่องเต้เผลอไหววูบไปกับคำพูดของคนตรงหน้า หากแต่พอสายตาเหลือบไปเห็นมือของนัทที่ยกขึ้นมาจะแตะเข้าที่แก้มของตน เท่านั้น ฮ่องเต้ก็ได้สติ เบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อยและแสร้งทำเป็นพูดเรื่องอื่นต่อ

                “เอ่อ แล้วรถของมึงเป็นยังไงบ้าง”

                นัทนิ่งไปเล็กน้อยพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ เพราะท่าทีของฝ่ายตรงข้ามที่แสดงออกเป็นเชิงปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังคงพยามใจเย็นเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตนกับรุ่นพี่ต่อไป

                “พรุ่งนี้ คงเข้าไปเอาที่ร้านได้แล้วครับ” นัทยังคงยิ้มออกไปเหมือนไม่ได้มีเรื่องอะไรในใจ “ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าหอก่อนนะครับ ขอบคุณพี่อีกครั้ง แล้วก็...เอาไว้เจอกันที่คณะนะครับ”

                “อืม” คราวนี้ ฮ่องเต้ทำเพียงแค่ตอบกลับไปสั้นๆ  และมองตามนัทที่เปิดประตูลงจากรถของตนไปจนกระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าหอไปแล้ว

                เมื่อเหลือเพียงแค่ตัวของเขาที่นั่งอยู่ภายในรถ...

                ใบหน้าของเขาก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ขณะที่มือก็กดมือถือและโทรหาใครบางคน

                “มึงอยู่ไหน” ฮ่องเต้ถามเสียงเครียด ทันทีที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายกดรับสายเขาแล้ว

                [กูก็อยู่หอดิวะ ไอ้ซันหายหัวไปแบบนี้ มึงคิดว่ากูจะไปไหนได้หะ]

                คำตอบนั้น ทำเอาฮ่องเต้หน้าตึงเสียยิ่งกว่าเดิม แต่จะมีเพิ่มเติมขึ้นมาก็เห็นจะเป็นความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในใจ

                “มึงไม่ได้อยู่กับไอ้โฟโต้ใช่ไหม”

                [ฮั่นแน่ ถามหาว่าที่สามีแบบนี้ หมายความว่ามึง...] นิวร้องแซวพร้อมกับขนมที่อยู่เต็มปาก ขณะที่อีกมือและสองตาก็กำลังวุ่นอยู่กับการสำรวจขนมที่กองอยู่บนพื้นห้องตรงหน้า

                “กูถามเพราะอยากได้คำตอบ ไม่ใช่ให้มึงมาแซวกู”

                [เออๆ รู้แล้วน่า กูก็แค่แหย่เล่นป่าววะ]

                “ไอ้นิว! ถ้า”

                [โหย ไอ้เต้ ใจเย็นดิวะ กูจะบอกว่าแยกจากมึง กูก็ตรงกลับหอเลยเนี่ย จะเอาเวลาไหนไปอยู่กับผัวมึงวะ]

                เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด ฮ่องเต้ก็ไม่สนใจแม้แต่ประโยคชวนโมโหในตอนท้ายและกดวางสายทันที จนปลายสายถึงกับทำหน้ามึนใส่โทรศัพท์และทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าใส่ด้วยความเอือมระอา ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาสนใจขนมที่พื้นห้องต่อ

                ส่วนฮ่องเต้ที่กำลังหงุดหงิดได้ที่ ก็เอาแต่กำพวงมาลัยแน่นอย่างคนหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้

                “เมื่อเช้าก็โกหกกูทีหนึ่งแล้ว กูไม่ปล่อยให้มึงโกหกกูซ้ำสองหรอก”

                ปากก็โพล่งออกไปเช่นนั้น โดยหารู้ตัวไม่ว่าตนกำลังให้ความสนใจคนที่เขาพยายามจะกั๊กสถานะรุ่นน้องมากเกินความจำเป็นไปเสียแล้ว ก่อนที่เขาจะขับรถออกไปจากหอพักของนัทและตรงไปยังโรงพยาบาลที่เขาเคยพาโฟโต้ไปส่งตอนรถล้มมาครั้งหนึ่งแล้วทันที

                ท่ามกลางสายตาของนัทที่ลอบมองจากด้านในหอพักของตน...

               

                “แน่ใจเหรอว่าเขาจะมา”

                เสียงของหมอมีนหรือคนที่ตกกระไดพลอยโจรไปกับแผนการของโฟโต้เอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าวายร้ายปีหนึ่งเอาแต่นั่งเล่นมือถืออยู่ตรงหน้าห้องทำงานของเธออย่างสบายใจเฉิบ หลังจากที่แวะเวียนเข้ามาให้เธอจัดการเปลี่ยนเฝือกที่แขนให้พร้อมกับถามไถ่ถึงอาการของคนบาดเจ็บจอมปลอม นั่นก็เผื่อว่าจะมีใครถาม จะได้ให้คำตอบแบบเนียนๆ

                “มา ไม่มา มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ” เด็กปีหนึ่งจอมร้ายกาจยังคงยิ้มหน้าระรื่นเสียจนคนที่โตกว่าอดเอามือผลักหัวแบบหมั่นไส้ไม่ได้

                “มันน่าจะเอาให้แขนหักจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนให้พี่เสียจรรยาบรรณ”

                “โธ่ พี่หมอมีน...” โฟโต้หันไปหาคนตรงหน้าและกอดแขนแบบออดอ้อน “...ผมออกจะน่ารัก น่าเลี้ยงขนาดนี้ พี่จะหักแขนผมลงเหรอ”

                และหมอมีนก็ได้แต่ยิ้มอย่างล้อเลียน “จ้า น่ารัก น่าเลี้ยง...” ก่อนที่เธอจะดึงแขนของตนกลับมา “...แต่พี่ว่าน้องเต้เขาคงไม่อยากเลี้ยงเธอหรอก”

                “อะไรกันครับ นี่พี่มีนจะไม่เข้าข้างผมเหรอ”

                “แน่สิ เด็กร้ายๆ แบบนี้ ใครจะไปเข้าข้าง แล้วอีกอย่างนะ น้องเต้เขาคงอยากจะเลี้ยงแมว ไม่ใช่เสืออย่างเรา”

                “พี่หมอมีนครับ ถึงผมจะเป็นเสือ แต่ก็เป็นเสือที่ว่านอนสอนง่าย แล้วก็กินง่ายด้วยนะครับ”

                “สอยง่าย กินง่ายมากกว่าล่ะมั้ง” หมอมีนอดแขวะเข้าให้ไม่ได้เพราะพาลนึกไปถึงพฤติกรรมแสบๆ ของคนตรงหน้า เมื่อครั้งยังเป็นเด็กมอปลาย “ระวังเหอะ กรรมจะตามทันนะ”

                “กรรมอะไรล่ะครับ  นั่นมันก็แค่บทเรียนเสริมชีวิตต่างหาก” ว่าแล้วก็ยิ้มทะเล้นใส่ไปที

                “บทเรียนเสริมชีวิต เดี๋ยวก็ได้เจอบทเรียนชีวิตเหมือนที่พี่ชายเราเจอหรอก” หมอมีนว่าพลางส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาไปให้ “พี่ไปทำงานต่อละ คุยกับคนไข้แถวนานๆ เดี๋ยวจะติดป่วยเป็นโรคร้ายๆ ตาม” 

                “ร้ายเพราะรักหรอกครับ” โฟโต้อดหยอกกลับไม่ได้ “ยังไงก็ขอบคุณพี่มีนมากนะครับ เอาไว้จะหาหนุ่มหล่อๆ มาตอบแทนนะครับ”

                “ย่ะ พ่อเสือร้าย” พูดจบ หมอมีนก็เดินกลับเข้าห้องทำงานไป ทิ้งให้โฟโต้มองตามจนลับสายตาและเมื่อเหลือบมองเวลาที่ปาเข้าไปสี่โมงครึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจลุกเดินออกไปข้างนอกและตรงไปที่ลานจอดรถทันที

               

                อีกฟากฝั่งหนึ่ง...

                กว่าฮ่องเต้จะขับรถมาถึงโรงพยาบาลได้ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะช่วงเวลาตอนเย็นที่รถพลุกพล่าน จนเขาต้องไปติดอยู่กับไฟแดงหลายจังหวะ ระหว่างนั้น เขาก็พยายามโทรหาคนที่หายหัวไปตั้งแต่เช้า หากว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับสายเลยแม้แต่น้อย จนเขาชักจะร้อนใจเข้าไปใหญ่ พาลให้ฝ่าเท้าเหยียบคันเร่งจนจมมิดอย่างลืมตัว

                ตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย ที่ออกมายืนหลบมุมตึกอยู่บริเวณที่ใกล้ทางเข้าโรงพยาบาลมากที่สุด เพื่อจับตามองรถของเหยื่อที่อาจจะขับเข้ามาในเร็วๆ นี้ นั่นเพราะว่าการที่พี่ฮ่องเต้ของเขาโทรเข้ามาถี่ยิบขนาดนี้ แสดงว่าต้องรู้เรื่องที่เขามาที่โรงพยาบาลจากนัทแล้วเป็นแน่และที่เขาเลือกที่จะไม่รับสาย ก็เพราะแค่อยากจะช่วยเร่งปฏิกิริยาร้อนเนื้อร้อนใจของฮ่องเต้ให้มากขึ้นก็เท่านั้น

                ถ้าพี่ฮ่องเต้ยิ่งมาถึงเร็วเท่าไหร่ แผนการของเขาก็ยิ่งสำเร็จขึ้นมากเท่านั้น

            กระทั่งฮ่องเต้ฝ่ากับการจราจรอันแสนวุ่นวายมาได้...

                เขาก็เลี้ยวเข้ามาหาในลานจอดรถของโรงพยาบาลทันที โดยหารู้ไม่ว่ารถของเขาได้ขับผ่านหน้าใครบางคน ที่ออกมายืนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตรงบริเวณลานจอดรถและดูเหมือนว่าการมาของเขาจะทำให้ใครคนนั้น ดีใจจนเนื้อเต้น

                “มาจนได้สินะครับ” โฟโต้ยิ้มกริ่ม หลังจากที่เขาเอาแต่แอบซุ่มอยู่ตรงมุมตึกมานานสองนาน จึงตัดสินใจที่จะโทรกลับหาอีกฝ่ายอย่างจงใจ

                เพราะถูกปั่นอารมณ์ให้หงุดหงิดและกระวนกระวายอยู่เป็นเดิมทีแล้ว พอเห็นว่ารุ่นน้องที่ตนตามหาตั้งแต่เช้าโทรกลับเข้าหน่อย ฮ่องเต้ก็ตกหลุมพรางรับสายเขาเข้าให้อย่างง่ายดาย

                “มึง...อยู่ไหน” ฮ่องเต้พยายามพูดออกไปอย่างใจเย็น ทว่าน้ำเสียงที่แอบสั่นดันไปเข้าหูจนอีกฝ่ายอดลอบยิ้มออกมาไม่ได้

                “ผมอยู่ที่โรงพยาบาลครับ กำลังจะกลับหอ พี่เต้มีอะไรหรือเปล่า เห็นโทรหาผมตั้งแต่เช้า ขอโทษนะครับ ที่ผมไม่ได้รับสายพี่เลย” โฟโต้พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้และมันก็ส่งผลให้อีกฝ่ายที่ขี้ใจอ่อนเป็นเดิมทีอยู่แล้ว ถึงกับไหววูบไปตาม

                “มึงอยู่ตรงไหน”

                “ตอนนี้เหรอครับ...” โฟโต้เว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “...ตอนนี้ ผมอยู่ที่ตึกใหญ่ครับ”

                “ตรงด้านหน้าตึกใช่ไหม”

                “เอ่อ ใช่ครับ”

                “รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูไปรับ”

                “พี่เต้...”

                “ไม่ต้องปฏิเสธ กูมีเรื่องจะคุยด้วย” ฮ่องเต้รวบรัดตัดความและรีบลงจากรถไปด้วยความเร่งรีบ เพราะเกรงว่าคนเด็กกว่าจะหาเรื่องหนีเขาไปอีก ตรงกันข้ามกับโฟโต้ที่เอาแต่ยืนยิ้มอย่างพออกพอใจที่ในที่สุดฮ่องเต้ก็เริ่มเดินไปตามเกมของเขาเสียที

                จนกระทั่ง ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้านในตึกใหญ่ บริเวณที่เด็กปีหนึ่งคนนั้นได้บอกกับเขาเอาไว้ ครั้นสอดสายตามองจนเจอ จึงรีบเดินเข้าไปหาด้วยอารมณ์ที่มันคุกรุ่นอยู่ภายในใจ

                “สวัสดีครับ พี่เต้” โฟโต้แสร้งยกมือไหว้ฮ่องเต้แบบเกร็งๆ              ทว่าท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้ฮ่องเต้หงุดหงิดใจเสียยิ่งกว่าเก่า

                “อืม” ฮ่องเต้ตอบกลับไปสั้นๆ เพราะความหนักอึ้งที่ริมฝีปาก

                “พี่เต้มีอะไรหรือเปล่า สีหน้าพี่ดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ” จนโฟโต้ต้องถามออกไปเช่นนั้น พลางใช้สายตาจับจ้องไปยังรุ่นพี่ของตนด้วยความเป็นห่วง...แค่ฉากหน้า

                หากแต่ลึกๆ แล้ว โฟโต้ก็อดดีใจไม่ได้ เพราะท่าทีที่ดูหงุดหงิดและไม่สบายใจไปในทีแบบนั้น มันเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขา

                ฮ่องเต้เหลือบตามองรุ่นน้องที่ยังคงตีหน้าซื่อใส่อย่างช่างใจเล็กน้อยและพูดออกมาว่า “มี...”

                “ครับ?”

                “กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง” ฮ่องเต้ไม่อาจจะปกปิดน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนคนกำลังโกรธของตนได้มิด ยิ่งกับใบหน้าที่ตึงเครียดของเขาในเวลานี้ด้วยแล้ว มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขากำลังตกหลุมพรางคนเจ้าเล่ห์เข้าเต็มๆ

                “เคลียร์เรื่องอะไรเหรอครับ” หากแต่เสือร้ายยังคงแสดงละครออกไปเช่นนั้น จนคนที่โตกว่าต้องพยายามข่มความร้อนรนภายในใจเอาไว้และค่อยๆ เอ่ยปากพูด

                “ก็เรื่องที่มึงไม่ยอมไปเรียนพร้อมกูเมื่อเช้าไง ทำไมมึงต้องโกหกด้วย”

                คำพูดของฮ่องเต้ เล่นเอาโฟโต้ถึงกับเงียบเพราะไม่คิดว่าคนตรงหน้าเขาจะพูดจาอะไรตรงไปตรงมาเช่นนี้

                สมแล้วพี่เป็นพี่ฮ่องเต้

            “ผมก็แค่ไม่อยากรบกวนพี่”

                “โกหก!” ฮ่องเต้สวนกลับทันทีอย่างเหลืออดเพราะคิดไม่ถึงว่าจนป่านนี้แล้ว รุ่นน้องตรงหน้ายังจะหาคำแก้ตัวแทนการพูดความจริงกับเขาอีก “เมื่อไหร่มึงจะเลิกโกหกกูสักทีวะ”

                “...”

                “กูอยากฟังความจริงจากปากมึง”

                “...”

                “แล้วมึงก็ควรจะรู้เอาไว้ด้วยว่าไม่มีใครบนโลกชอบคนโกหก รวมถึงกูด้วย”

                โฟโต้เหลือบมองคนที่เริ่มจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ก่อนจะค่อยเอ่ยปากออกมาอย่างคนยอมแพ้ “โอเคครับ ผมจะบอกความจริง...กับพี่”

                ก่อนที่เจ้าตัวจะสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดต่อว่า “ผมไม่อยากไปเป็นส่วนเกินของพี่กับนัท...”

                แม้ว่าจะเป็นความจริง (ในความคิดของฮ่องเต้) ที่ฮ่องเต้พอจะรู้มาจากนิวบ้างแล้ว หากแต่มันก็ยังคงทำให้เขาหงุดหงิดได้อีกเพราะความความคิดเองเออเองของคนตรงหน้า

                “แล้วทำไมมึงต้อง...”

                “โฟโต้! อยู่นี่เอง เราตามหาเธอแทบแย่” เสียงของคนมาใหม่ทำเอาบทสนทนาหยุดชะงัก โฟโต้ถึงกับหันไปมองด้วยความหงุดหงิดใจเพราะดูเหมือนว่าเขากำลังจะเสียแผน ส่วนฮ่องเต้ทำเพียงแค่เหลือบตามองด้านหลังของโฟโต้เท่านั้น

                “อ่าว พี่เต้ สวัสดีค่ะ” ฝ้ายเอ่ยทัก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรุ่นพี่ที่คณะของตน

                “ครับ”  และเขาก็ทำแค่ตอบกลับมาสั้นๆ เท่านั้น เพราะในหัวมัวแต่นึกย้อนไปถึงคำพูดของนัทก่อนหน้านี้

            “โฟโต้ไปกับเพื่อนครับ”

            หรือเพื่อนที่นัทหมายถึงจะเป็นฝ้าย

            เมื่อคิดได้เช่นนั้น หัวใจของเขาก็ถึงกับกระตุกวูบพร้อมกับอาการชาวาบไปทั่วทั้งร่าง หรือจะเป็นเขาที่คิดไปเองคนเดียว...รู้สึกเหมือนโดนอะไรฟาดหน้าเข้าเต็มๆ ก็ไม่ปาน

                คงเป็นเราที่คิดไปเอง ทั้งที่ครั้งนี้มันมากับเพื่อนจริงๆ

                “เอ่อ พี่เต้มาหาใครเหรอคะ” ฝ้ายเป็นฝ่ายถามเพราะเธอไม่คิดว่าฮ่องเต้จะมารับโฟโต้ได้

                หากแต่คำถามนั้นกลับทำให้ฮ่องเต้ต้องเหลือบตามามองโฟโต้ที่หันมาสบสายตาเข้าพอดี ก่อนที่เขาจะหันไปตอบรุ่นน้องอย่างฝ้าย

                “พี่มาหาเพื่อนน่ะ แต่เผอิญมาเจอโฟโต้ก่อน ก็เลยแวะทักทายนิดหน่อย” ท้ายประโยคฮ่องเต้จงใจหันไปมองทางโฟโต้ จนอีกฝ่ายหน้าเสีย “ยังไงพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ”

                “เดี๋ยวสิครับ พี่เต้!”

                ฮ่องเต้ผละออกไปจากคนทั้งคู่ทันที ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงเรียกของโฟโต้ หลงลืมไปแม้กระทั่งเรื่องที่เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะเคลียร์กับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง ทั้งหมด มันก็เพราะความว้าวุ่นในใจที่เขาเองก็พอจะรู้ว่ามันคืออะไร

                ใช่ว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกแบบนี้...

                ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าไอ้อาการแบบนี้มันเรียกว่าอะไร...

                เพียงแต่เขาควรจะมีเหตุผลให้มากกว่านี้ เหตุผลที่ทำให้เขาเลิกคิดและเลิกข้องเกี่ยวกับเด็กปีหนึ่งคนนี้เสียทีเพราะไม่เช่นนั้น ตัวเขาเองนั่นแหละ ที่จะแย่...

 

                 

 

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:38:52
ตอนที่ 19 ผู้สนับสนุนหลัก

                หลังจากที่เป็นฝ่ายหนีกลับมาก่อน ฮ่องเต้ก็ค้นพบว่า...เด็กปีหนึ่งคนนั้น มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากแค่ไหน

                ทั้งคืน เขาไม่สามารถข่มตาหลับขับตานอนได้เพราะเรื่องของโฟโต้คอยกวนใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะเฝ้าบอกตัวเองว่าอย่าไปสนใจ อย่าไปรู้สึกอะไร หากแต่การทำเช่นนั้น กลับยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เขาคิดถึงเรื่องของเด็กปีหนึ่งคนนั้นมากขึ้น

                “กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึง!” จนเขาทนไม่ไหว เผลอโพล่งออกไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดเต็มทน

                เอาเสียคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาตอกกลับว่า “เออ กูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึง!”

                จังหวะนั้นเอง คนที่ตกอยู่ในวังวนความว้าวุ่นก็เพิ่งจะมีสติ สำเหนียกได้ว่าตนกำลังนั่งอยู่ในโรงอาหารของคณะกับเพื่อนประธานรุ่นอย่างคิง

                “กูไม่ได้หมายถึงมึง” และก็ได้แต่ส่งเสียงอ้อมแอ้มออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ยังคงหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น

                “แล้วมึงหมายถึงใคร” คิงถามพลางยิ้มขำกับท่าทางเหมือนกำลังงอนใครสักคนของคนตรงหน้า

                “ก็หมายถึง...” ฮ่องเต้ชะงักปากที่กำลังจะโพล่งชื่อของ โฟโต้ ออกไป “...ไม่ใช่มึงก็แล้วกัน”

                พูดจบก็แสร้งหันไปหยิบโกโก้ปั่นขึ้นมาดูด จนคิงอดส่ายหน้าใส่ไม่ได้เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นท่าทีที่ดูอ่อนลงราวกับเด็กของคนๆ นี้

                นั่นก็เพราะเขาไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกที่มันปั่นป่วนอยู่ภายในใจได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งจากเรื่องที่โฟโต้ปฏิเสธเขาเพราะเรื่องของนัท จนเกือบจะได้เดินไปเรียนเอง แล้วยังจะเรื่องที่โรงพยาบาลซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้สติของเขาขาดผึ่ง

                เรื่องแรก มันทำให้เขาโกรธ...โกรธเพราะโฟโต้เลือกที่จะโกหก

                ส่วนอีกเรื่อง มันกลับดูเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น...

                เขาไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ ว่าถ้าเป็นคนอื่นมารับโฟโต้ที่โรงพยาบาลเมื่อวาน เขาจะรู้สึกหงุดหงิดใจได้มากเท่านี้ไหม

                แม้จะรู้ดีว่าไอ้อาการที่ตัวเขากำลังเป็นอยู่มันคืออะไร แต่ที่เขาพยายามจะปฏิเสธก็เพราะ...ความกลัว

                กลัวว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย และกลัวว่า จะเป็นฝ่ายเดียวที่รู้สึก

                โดยเฉพาะยิ่งกับสายรหัสของตัวเอง ที่ต้องไปข้องเกี่ยวกับอาถรรพ์สายรหัสเป็นเดิมทีอยู่แล้ว เขายิ่งไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกเพราะเขารู้ดีว่าต่อจากนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

                และนั่น...ทำให้เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองเด็ดขาด ไม่แม้แต่จะคิดที่จะรู้สึกกับรุ่นน้องคนไหนมากเกินกว่าพี่น้อง ไม่ว่าจะในสายรหัสหรือสายเทค

                แต่ตอนนี้...

                ดูเหมือนว่าความตั้งใจนั้นกำลังจะพังทลายลงไป แถมด้วยฝีมือของเขาเองล้วนๆ

                เป็นเขาที่รู้สึก...เป็นเขาที่เป็นฝ่ายเริ่มรู้สึกก่อน

                เป็นอีกครั้ง ที่เขาแพ้เสียงหัวใจตัวเอง ไม่สิ บางที เขาอาจจะแพ้...ไอ้โรคจิตปีหนึ่งคนนั้น

                “มึงมันโรคจิต!”

                จนสุดท้ายก็พลั้งปากพูดออกมาจนคนที่นั่งตรงข้ามต้องเงยหน้าขึ้นมามองทั้งที่ช้อนตักข้าวคาปากอยู่อย่างนั้น อย่างที่คนพูดเองก็ไม่รู้ตัว ราวกับว่าคำพูดนั้นกลายเป็นคำติดปากของเขาไปเสียแล้ว เวลามีเรื่องของโฟโต้มากวนใจทีไร ก็อดที่จะนึกถึงคำพูดนั้นอย่างเสียไม่ได้ เหมือนกับว่ามันสามารถแทนความรู้สึกทั้งหมดของเขาได้ดีกว่าคำพูดอื่นใดบนโลกใบนี้ หรือไม่...มันก็อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวอยู่ตลอดเวลา

                ไม่ว่าเด็กคนนั้น จะพูดหรือทำอะไร ก็ดูเหมือนว่าจะส่งอิทธิพลต่อจิตใจของเขาไปเสียหมด

                ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่นั่งคิด นอนคิดหรือแม้กระทั่งตอนหยิบโกโก้ปั่นขึ้นมาดูดปื้ดๆ แบบนี้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของเด็กคนนั้น

                ปั้ก!

                “ไอ้โรคจิต!!” และก็ลั่นวาจาออกมาเช่นนั้นอีกครั้ง หลังจากที่มือกระแทกแก้วน้ำปั่นลงบนโต๊ะ

                “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ กูไปโรคจิตใส่มึงตอนไหนวะ” และก็เป็นคิงที่หันมาตอบกลับ พร้อมกับอมยิ้มใส่คนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งตั้งแต่เข้ามานั่งกินข้าวในโรงอาหาร แม้จะรู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่ได้หมายถึงตน แต่เขาก็อดแกล้งหยอกกลับไปเช่นนั้นไม่ได้

            เขายังอดนึกเสียดายไม่ได้ที่ฮ่องเต้ชอบตั้งท่าเหมือนแมวจะจู่โจมใส่คนอื่นตลอดเวลา เพราะหน้าตาที่ดูน่ารักผิดหูผิดตากับสิ่งที่แสดงออกมาไป มันเลยกลายเป็นว่า...น่ารักแบบแปลกๆ ไปแทน แต่กระนั้น ทุกคนต่างก็ยังเอ็นดูรุ่นพี่ปีสี่คนนี้ โดยที่เจ้าตัวไม่ยักกะรู้ตัวเลยสักครั้งและหลงคิดไปด้วยซ้ำว่าท่าทีแบบนั้นทำให้ตนดูน่าเกรงขาม

                และฮ่องเต้ก็ทำหน้าบูดใส่เขาอีกหน ก่อนจะคว้าแก้วโกโก้ขึ้นมาดูดพรวดๆๆ จนคิงอดคิดไปไม่ได้ว่าเพื่อนเขาคงอาจจะอิ่มโกโก้แทนข้าวในจานที่เจ้าตัวแทบจะไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่มันคือข้าวไข่เจียวแฮมชีทของโปรดเจ้าตัวแท้ๆ  คงจะเป็นเพราะใครคนนั้นสำคัญต่อหัวใจมาก เพื่อนร่วมรุ่นของเขาคนนี้ถึงได้ยอมทิ้งเมนูโปรดทั้งจานได้ลงคอ

                คิงจึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีของฝ่ายตรงข้ามอยู่อย่างนั้น กระทั่งมีผู้เข้าร่วมการสัมภาษณ์คนใหม่เดินเข้ามาที่โต๊ะ ในเวลาเกือบจะเที่ยง แถมยังเดินหน้าตึง บอกบุญไม่รับมาอีกต่างหาก

                ไม่รู้ว่าหงุดหงิดเรื่องอากาศร้อน คนในโรงอาหารเยอะ โมโหหิวหรือไปมีเรื่องกับใครมากันแน่

                “ไอ้นี่ก็อีกคน หน้าตึงมาแต่ไกลเชียว” คิงว่าขำๆ พลางมองหน้าสองเพื่อนรักหน้ามุ่ย

                “เมื่อวานมึงโดดเรียนทำไม?” และเป็นฮ่องเต้กลายเป็นผู้สัมภาษณ์ หันไปถามคนที่หายหัวไปเป็นวันทันที ขณะที่คิงก็ได้แต่จับจ้องไปทางวันด้วยความอยากรู้ในประเด็นเดียวกัน

                “ไม่มีอะไร แค่ธุระด่วนนิดหน่อย” ซันพูดออกไปด้วยอารมณ์ติดจะหงุดหงิด นั่นก็เพราะเหตุการณ์เมื่อวานที่ทำเอาเขาหัวเสียไม่ใช่น้อย ถือว่าโชคดีที่พ่อแม่เขามาเยี่ยมซินที่บ้านป้าพอดี เลยไม่ทันได้มีเรื่องกัน แต่ไอ้ที่มันน่าหงุดหงิดใจก็ตรงที่พ่อแม่ของเขาดันเห็นดีเห็นงาม เห็นว่าเปรมเป็นเด็กที่โคตรจะแสนดีนั่นแหละ

                แบบนั้น เขาก็ต้องจับตาดูและคอยระวังไอ้เด็กเปรตนั่น ให้มากขึ้นไปอีกเท่าตัวน่ะสิ

            “แน่ใจนะเว้ย ว่าแค่ธุระด่วน ไอ้นิวมันมาฟ้องว่าเมื่อคืนมึงก็ไม่ยอมกลับห้อง แถมยังบอกว่าจะกลับไปอยู่บ้านอีก” ฮ่องเต้เอามือข้างหนึ่งจับเข้าที่บ่าเพื่อนและออกแรงบีบเบาๆ  “มึงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

                เพราะน้ำเสียงและแววตาที่ดูเป็นกังวลของฮ่องเต้ ทำเอาซันอดหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ความร้อนรุ่มภายในใจจะค่อยลดหลั่นลงไป จึงได้แอบลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ  และแสร้งยิ้มให้กับคนข้างๆ

                “กูจะไปมีเรื่องอะไรได้วะ พอดีเมื่อวานพ่อกับแม่มา เลยโทรให้กูไปรับก็แค่นั้น”

                “แล้วทำไมมึงต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านด้วย ทางไปบ้านมึงกับมหา’ลัยมันไม่ได้ใกล้ๆ เลยนะเว้ย”

                 ฮ่องเต้หมายถึงบ้านป้ากับลุงของซัน ที่สร้างเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ลูกของแกเข้าเรียนที่เชียงใหม่ แต่หลังจากเรียนจบ ลูกของแกก็ต้องย้ายไปทำงานที่อื่น เลยเหลือกันแค่สองคนสามีภรรยา แต่เพราะซันดันสอบติดที่เชียงใหม่ ประกอบกับตอนนั้น ลุงไม่สบาย ส่วนป้าก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ซันเลยต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้นเพื่อคอยช่วยดูแล กระทั่งอาการของลุงดีขึ้น ซันก็เลยขอย้ายออกมาอยู่หอกับนิวเพราะระยะทางจากบ้านที่ไกลจากมหา’ลัยหลายกิโลเมตรและช่วงนั้นเขาก็ต้องกลับดึกแทบทุกวันเพราะต้องทำงานกลุ่มกับเพื่อนและกิจกรรมของทางคณะ ทำให้ทางบ้านของซันเป็นห่วง ไม่อยากให้ขับรถไปกลับเสียดึกดื่น แถมยังต้องตื่นเช้า เผื่อเวลาขับรถไปเรียนอีก

                ส่วนน้องสาวอย่างซิน เท่าที่เขารู้มา ดูเหมือนว่าชอบเทียวไปเทียวมาอยู่ที่เชียงใหม่บ่อยๆ เฉพาะช่วงวันหยุดเพราะเธอติดพี่ชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

                อันที่จริง ก็สมควรจะติดอยู่ล่ะนะ ก็ไอ้ซันเล่นหวงจนไม่ยอมปล่อยให้น้องเข้าสังคมขนาดนั้น

            “พอดีลุงกับป้าต้องย้ายไปอยู่กับลูกเขาที่อื่น แล้วซินก็ดันอยากจะมาอยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อเพราะวางแผนเอาไว้ว่าจะย้ายมาเรียนที่เชียงใหม่...”

                ซันเว้นจังหวะเล็กน้อยพร้อมกับพยายามระงับอารมณ์ เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่เขาโมโหไม่หายเพราะปีนี้ เขาก็จะเรียนจบแล้วและถ้าเขาปล่อยให้ซินมาอยู่ที่เชียงใหม่ นั่นก็ยิ่งเป็นการปล่อยให้ไอ้เสือเปรมมันมีโอกาสเข้าใกล้น้องสาวของเขามากขึ้น

                ก็ขนาดซินมาแค่ช่วงวันหยุด มันยังอุตส่าห์โดดเรียนไปหาน้องผมได้ นับประสาอะไรกับการที่ซินย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ แบบนั้น โอกาสที่จะได้เจอกันมันก็มีมากขึ้นน่ะสิครับ ดีไม่ดี มันอาจจะวางแผนทำอะไรมากกว่าแค่เจอก็ได้

            “แล้วไงต่อวะ” ฮ่องเต้ถามแทรกเพราะเห็นว่าเพื่อนเงียบไปนาน ซันจึงเหลือบตามามองเล็กน้อยและปรับสีหน้า ก่อนจะพูดต่อ

                “...ก็ซินเป็นผู้หญิง กูจะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไงวะ แต่ก็ต้องดูก่อนว่าซินจะย้ายเข้ามาวันไหน แล้วป้ากับลุงจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ เอาไว้เดี๋ยวกูจะบอกมึงอีกทีก็แล้วกัน” ซันปิดท้ายบทสนทนาเรื่องของตัวเองแค่นั้น ขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ

                “มึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้บอกไอ้นิวเหอะ รายนั้นคงยอมหรอก”

                ได้ยินเช่นนั้นซันก็อดหัวเราะตามไม่ได้ “มึงนั่นแหละ ที่ต้องเตรียมรับมือ ขาดกูไปสักคน กูรับรองเลยว่ามันไปป่วนมึงแน่ เผลอๆ อาจจะขอย้ายไปเป็นเมทมึงด้วย”

                “งั้นกูก็ขอให้มึงย้ายออกหลังจากเรียนจบเถอะ กูไม่อยากปวดหัว”

                “แล้วนี่ ไอ้นิวมันหายไปไหนของมัน” คิงเอ่ยถามหลังจากที่ปล่อยให้เพื่อนรักคุยกันอยู่นานสองนาน

                “ไม่รู้ ตะกี้แวะเข้าไปที่หอก็ไม่เจอ มันไม่ได้มาเรียนเหรอวะ” ซันหันไปถามคนข้างๆ บ้างเพราะกว่าเขาจะกลับมาถึงมหา’ลัยก็ตอนสายๆ  เลยพาลไม่ได้เข้าเรียนในช่วงเช้า

                หากแต่ฮ่องเต้กลับส่ายหน้า ขณะที่คิงช่วยพูดยืนยันอีกเสียง “ก็เออดิ อาจารย์แกฝากมาเตือนแล้วนะเว้ย คะแนนเข้าห้องหายไม่พอ เดี๋ยวได้หมดสิทธิ์สอบกันพอดี”

                “เอาเป็นว่าถ้ามันมาเรียนตอนบ่าย เดี๋ยวกูช่วยเตือนมันอีกทีก็แล้วกัน” ซันว่าเสียงเครียดเพราะแม้ว่าเขาจะเอาแต่บ่นเพื่อนคนนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อยาม แต่นั่นก็เพราะความเป็นห่วง อยากให้เพื่อนเรียนจบไปพร้อมๆ กันนั่นแหละ ยิ่งได้อยู่ด้วยกันทุกวัน เจอหน้ากันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงเด็กไม่รู้จักโตอย่างนิวที่สุด

                เขายังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ว่าหลังเรียนจบไป มันจะอยู่คนเดียวได้ยังไง

                และซันก็ได้แต่ทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปซื้อข้าว โดยไม่ลืมซื้อน้ำเย็นๆ ติดมือมาสักขวด เผื่อจะดับอารมณ์ร้อนก่อนที่เขาจะต้องไปเข้าเรียนคาบบ่ายกับคนที่ชวนให้เขาปวดหัวได้ตลอดเวลาอย่างนิว

                หรือบางที เขาควรจะแวะซื้อยาแก้ปวดสักแผงดีนะ จะได้ช่วยลดอาการปวดหัว หลังจากถูกเพื่อน (จำเป็นต้อง) รักของเขาคนนี้ สอบสวนเรื่องที่เขาหายไปเมื่อวานและเรื่องที่จะย้ายออกจากหอ

               
              (มีต่อ.......)
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:40:08
       (ต่อ....)
ขณะเดียวกัน...

                นิว : เย็นนี้ มึงว่างหรือเปล่า

            ข้อความที่ถูกส่งมาทำเอาเจ้าของเครื่องอย่างโฟโต้ถึงกับขมวดคิ้วใส่ด้วยความไม่เข้าใจในเจตนาของคนส่ง เพราะหลังจากกลับถึงหอเมื่อวาน เขาก็ทั้งส่งข้อความ ทั้งโทรหาฮ่องเต้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมแม้แต่จะอ่านข้อความของเขาเลยด้วยซ้ำ ทำให้เขาต้องหันไปพึ่งพาผู้สมรู้ร่วมคิด ไม่สิ ต้องเรียกว่าผู้สนับสนุนรายหลักของเขาอย่างนิว เพื่อที่จะตามง้อพี่ฮ่องเต้...

                ใช่ครับ ผมต้องตามง้อเขา

            เพราะไอ้การที่พี่ฮ่องเต้เลือกที่จะโกหกต่อหน้าฝ้ายว่าไม่ได้มาหาเขา กับไอ้การที่รวบรัดตัดบทและเดินหนีไปเสียดื้อๆ แบบนั้น มันออกจะชัดเจนว่าลึกๆ แล้ว ในใจของพี่ฮ่องเต้กำลังถูกความรู้สึกบางอย่างเข้าครอบงำ

                ไม่โกรธก็คงจะหึง

            และถ้าเป็นแบบหลัง เขาก็ยิ่งต้องตามง้อ...

                แต่กับเหตุการณ์เมื่อวาน ก็คงต้องยอมรับว่าตัวเขาเองก็หงุดหงิดใจไม่ใช่น้อย จนแทบอยากจะระบายด้วยการเข้าไปกระชากรุ่นพี่คนนั้น เข้ามาขังไว้ในอ้อมกอดของตัวเองและปรับความเข้าใจกันให้รู้เรื่อง แต่นอกจากมันจะติดไอ้เฝือกที่แขนของเขาแล้ว ยังติดที่พี่ฮ่องเต้ของเขาหุนหันพลันแล่นออกไปแบบไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมามองเลยสักนิด ไหนจะเพื่อนของเขาอีกคนที่ยืนรอ เพราะฉะนั้น เขาจึงจำต้องปล่อยคนที่โตกว่าไปและนั่งรถกลับไปพร้อมกับฝ้ายเท่านั้น

                แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่ได้จบแค่นั้น...

                “ทำไมจู่ๆ ถึงมารับเราได้”

            นั่นเป็นข้อสงสัยที่ติดอยู่ในหัวของโฟโต้มาโดยตลอดเพราะหลังจากเลิกเรียน ฝ้ายก็ไม่ได้มีท่าทีจะมาส่งเขาที่โรงพยาบาลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่จู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้ แถมยังได้จังหวะแบบนี้ เขาก็อดระแวงไม่ได้ว่าจะมีใครชักใยอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า

                “ก็นัทนั่นแหละ บอกว่าเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะลำบากเพราะแขนก็เข้าเฝือกอยู่ เลยส่งข้อความบอกให้เรามารับ”

            อาจจะเป็นเพราะความใส่ซื่อของฝ้ายที่หลงคิดไปว่านัทกับโฟโต้สนิทใจกันชนิดที่ว่าพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ทำให้เธอพูดความจริงออกมาทั้งหมด โดยหารู้ไม่ว่าความจริงนั้นทำให้โฟโต้โมโหจนแทบจะเผลอเผยร่างเสือร้ายของตนออกมา หากแต่ก็ยังใจเย็นพอที่จะตีหน้าซื่อ ทำตัวเป็นลูกเสือตัวน้อยที่ไร้พิษสงใดๆ ต่อหน้าเธอ

                “ยังไงก็ขอบใจเธอมากนะ ที่อุตส่าห์มารับ”

            และเขาก็ได้แต่ตอบกลับไปเช่นนั้นเพราะฝ้ายไม่ได้รู้เรื่องใดๆ กับสงครามเย็นระหว่างเขากับนัทเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะแยกกับเธอไปและกลับมากระวนกระวายใจต่อที่ห้องของตัวเอง เขาทั้งพยายามส่งข้อความและโทรหา แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดข้อความอ่านเลยแม้แต่น้อย  แม้ใจหนึ่งเขาจะดีใจกับการที่ฮ่องเต้โกรธเพราะคิดไปว่าฮ่องเต้คงจะหึง หากอีกใจหนึ่งกลับไม่สบายใจเพราะความสัมพันธ์ของเขากับพี่ฮ่องเต้ยังไม่คืบหน้าไปไหน จะมีก็แต่การก่อกวนใจให้อีกฝ่ายรู้สึกก็เท่านั้น

                คงต้องหาวิธีเปิดปากพี่ฮ่องเต้ให้ได้

            นั่นคือแผนการต่อไปที่เขาคิดจะทำเพราะขืนเขาปล่อยให้ความสัมพันธ์มันดูน่าอึดอัดใจไปแบบนี้เรื่อยๆ  มีหวังเขาได้ถูกฮ่องเต้เมินเป็นแน่ จากการดูลาดเลามาหลายครั้ง เขาก็พอจะจับปฏิกิริยาคนอย่างฮ่องเต้ได้พอสมควรและเขาก็พอจะเดาออกว่าฮ่องเต้อ่อนไหวง่ายมาก เพราะแบบนั้น เขาถึงได้เห็นรุ่นพี่ปีสี่ของเขาตั้งท่า เก๊กหน้าและทำเสียงดุใส่อยู่บ่อยๆ  เพียงเขาแค่แหย่นิดแหย่หน่อย ก็เตลิดไปไกลถึงดาวอังคาร ยิ่งกับท่าทีที่แสดงให้เขาเห็นเมื่อวานยิ่งแล้วใหญ่ แม้ว่าเจ้าตัวกำลังโกรธ แต่กลับเป็นการโกรธที่โคตรของโคตรจะน่ารักในสายตาของเขาเลยก็ว่าได้

                ไม่แปลกใจที่คนอย่างพี่ฮ่องเต้จะทำให้เขาตกหลุมรักได้ง่ายดายขนาดนี้

                และในเมื่อเสืออย่างเขาตกหลุมรักใครแล้ว ทางเดียวที่เขาจะทำก็คือ...ลวงเหยื่อเข้าถ้ำซะ

                เพราะการที่เหยื่อเลือกที่จะเดินเข้ามาหาเสือเอง มันคือเครื่องรับประกันว่าเหยื่อคนนั้น จะอยู่กับเสืออย่างเขาในถ้ำด้วยกันตลอดไป

                ผมถึงชอบที่จะ ลวง มากกว่า ลาก เพราะเหยื่อจะได้ไม่คิดที่จะหาทางหนีออกจากถ้ำเหมือนแบบหลัง

            และการที่จะลวงเหยื่อให้เข้าถ้ำได้ มันก็ต้องอาศัยไส้ศึกอย่างนิวมาเป็นตัวช่วยสำคัญ

                อ่อ ลืมไป ผมไม่ควรเรียกเขาว่าไส้ศึกเพราะเขาคือผู้สนับสนุนรายหลักของผม

                โฟโต้ : ว่างครับ พี่นิวมีอะไรหรือเปล่า

            เพราะฉะนั้น การทำตัวให้ว่างและไหลลื่นไปตามแผนของเพื่อนพี่ฮ่องเต้ น่าจะทำให้เขาได้กินเหยื่อแบบหอมหวานและอร่อยที่สุด

                นิว : มึงว่างก็ดี เย็นนี้ไปกินข้าวกัน

            ทว่าข้อความที่ตอบกลับมานั้น ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่

                โฟโต้ : แล้วพี่ซันจะไม่ว่าเหรอครับ ปกติพี่อยู่ด้วยกันตลอด

            โฟโต้ถามดักเอาไว้ก่อนเพราะเกิดซันเยี่ยมหน้าไปกินข้าวเย็นด้วยจริง เขาจะได้หาทางหนีทีไล่ได้ถูก   

                ก็เผื่อแผนพี่นิวล่มขึ้นมา ผมก็แย่สิ

            นิว : มันไม่ว่าหรอก ตราบใดที่มึงกับกูไม่มีใครพูด เอาเป็นว่าเจอกันที่ร้าน DL ตอนหนึ่งทุ่มก็แล้วกัน พอดีหลังเลิกเรียน กูต้องออกไปซื้อของนิดหน่อย มึงก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะเว้ย

            โฟโต้อ่านข้อความนั้นและเงียบไปสักพักอย่างชั่งใจ

                ไว้ใจได้ไม่ได้ ลองตามน้ำไป เดี๋ยวก็รู้เองล่ะวะ

            โฟโต้ : โอเคครับ

            ข้อความสุดท้ายถูกส่งออกไปเรียบร้อย ก่อนที่โฟโต้จะเดินเข้าตึกเพื่อไปเข้าเรียนในช่วงบ่ายต่อ

 

                เมื่อเวลาปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่ม...

                นายธิติกรจึงต้องมายืนรอรุ่นพี่ที่นัดหมายตนให้มากินข้าวด้วยที่หน้าร้านอาหาร DL  ไม่นานนัก คนนัดก็โผล่หน้ามาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างเสียจนน่าหมั่นไส้

                “สวัสดีครับ พี่นิว” โฟโต้ทำเป็นยกมือขึ้นไหว้รุ่นพี่คนสำคัญ (ในแผนการ) อย่างนอบน้อม

                “สวัสดีเว้ย ไปๆ เข้าไปข้างในกัน” ว่าแล้วก็เอามือตบบ่ารุ่นน้องสองสามทีและเดินนำเข้าไปข้างในร้าน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแผนการร้าย

                โฟโต้เหลียวซ้ายมองขวาเพื่อมองหาคนอื่น เมื่อเห็นว่านิวไม่มีทีท่าว่าจะพูดถึงคนที่พามาด้วยเลยแม้แต่น้อย แถมยังเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งอาหารอีกต่างหาก

                “พี่นิวครับ”

                “หืม ว่าไง” นิวยังคงยิ้มหน้าระรื่น

                “แล้วไม่มีใครมาด้วยเหรอครับ” โฟโต้เอ่ยปากถามออกไปอย่างเกร็งๆ หากฝ่ายตรงข้ามกับร้องอ๋อออกมาเสียงดัง

                “ถ้ามึงหมายถึงไอ้ฮ่องเต้มันอ่ะนะ เดี๋ยวมันก็ตามมา”

                คำตอบของนิวยิ่งทำให้โฟโต้ไม่เข้าใจในแผนการเข้าไปใหญ่ จนเขาได้แต่เงียบจนนิวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ในสมองน้อยๆ ของตนออกมา

                “คืองี้...” เจ้าตัวลุกขึ้นดึงเก้าอี้เข้ามาใกล้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดเสียงดัง “...เมื่อวาน มึงไลน์มาปรึกษากูใช่ป่ะ ว่าจะทำยังไงให้ไอ้ฮ่องเต้ยอมคุยกับมึง วันนี้ กูก็เลยนัดมันมาไง แต่กูไม่ได้บอกนะว่ามึงมาด้วย”

                โฟโต้พอจะจับใจความได้บ้าง จึงพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจไปให้ แต่ในใจก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีเพราะมันเป็นแผนที่ดูตื้นเกินไป แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั่งรอเวลาต่อไป กระทั่งพนักงานเดินเข้ามาที่โต๊ะ...

                และเหล้าพร้อมกับมิกเซอร์ก็ถูกวางลงตรงหน้าของเขา...

                ทำเอาคิ้วสองค้างวิ่งวุ่นเข้าหากัน พร้อมกับกลิ่นอายของแผนการร้ายที่มาพร้อมกับไอ้พวกของมึนเมาบนโต๊ะ สายตาของเขาได้แต่มองตามมือของนิวที่วุ่นวายอยู่กับการชงเหล้า กระทั่ง...

                แก้วในมือถูกยื่นมาตรงหน้า...

                “เอ่อ ผมไม่ดื่มครับ” โฟโต้ปฏิเสธออกไปเพราะยังคงไม่วางใจคนตรงหน้าเท่าไหร่นัก

                จะมาไม้ไหนอีกวะ

            “มึงดื่มไปเหอะ ถ้ามึงเมา เดี๋ยวกูพากลับ” นิวยังคงพยักพเยิด ยื่นแก้วไปตรงหน้ารุ่นน้องอย่างไม่ยอมแพ้

                “แต่...ผมไม่อยากดื่ม” โฟโต้ยังคงตีเนียนทำตัวอ่อนต่อโลกและมองเครื่องดื่มในมือของรุ่นพี่พร้อมกับทำสีหน้าเหยเกใส่ “ผมขอไม่ดื่มได้ไหมครับ”

                “ไม่ได้!!” และนั่นทำเอานิวถึงกับลุกพรวดขึ้นมาร้องลั่น ก่อนที่เจ้าตัวจะทำหน้าหงอย “ถ้ามึงไม่ดื่ม ไอ้เต้ต้องเอากูตายแน่ๆ”

                “เกี่ยวอะไรกับพี่ฮ่องเต้ครับ?”

                นิวมองหน้ารุ่นน้องของตนและได้แต่ถอดถอนหายใจออกมา “ก็...ความจริงแล้ว ไอ้เต้เป็นคนสั่งให้กูทำแบบนี้”

                พี่ฮ่องเต้เนี่ยนะ จะให้ผมดื่มเหล้าไปทำไมกัน

            โฟโต้ได้แต่พึมพำในใจ ขณะรอคำอธิบายจากนิว

                “อันที่จริง หลังจากที่มึงส่งข้อความมาเล่าให้กูฟังเมื่อวาน กูเลยโทรไปหาไอ้เต้ บอกให้มันใจเย็นแล้วมาคุยกับมึงดีๆ  แต่มันกลับมาสั่งให้กูมาบังคับให้มึงดื่มเหล้าในโทษฐานที่กูเข้าข้างมึงอ่า แล้วถ้ากูทำไมสำเร็จ มันก็จะไม่ยอมติวให้กูอ่ะ กูยิ่งโง่ๆ อยู่ ถ้าไม่มีมัน กูต้องเรียนไม่จบแน่ๆ”

                นิวพยายามตีหน้าเศร้าเท้าความไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทำเช่นนี้

                “แล้วเนี่ย เมื่อกี้มันก็ส่งข้อความมาหาว่ามันเองก็มาถึงที่ร้านแล้ว แต่มันจะยอมออกมาคุยด้วยก็ต่อเมื่อมึงดื่มหมดนี่แล้ว...ไม่เมา”

                โฟโต้หันไปมองไอ้ หมดนี่ ของนิวที่วางอยู่บนโต๊ะและไอ้ หมดนี่ ที่ว่าก็หมายถึงเหล้าทั้งกลม...

                พร้อมกับสีหน้าลำบากใจที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดไว้ไม่มิด ถึงแม้เขาจะดื่มบ่อยและคอแข็ง แต่คนเดียวทั้งกลมแบบนี้ ก็ตายได้เหมือนกันเถอะ

                “มึงเองก็อยากจะคุยกับมันไม่ใช่เหรอ ถ้ามึงไม่ยอมทำตามที่มันสั่ง มันก็ไม่มีทางยอมคุยกับมึงแน่ๆ” นิวยังคงตะล่อมให้รุ่นน้องที่ตนหลงคิดว่าเป็นเด็กวัยสิบเก้าปีที่สุดแสนจะอ่อนต่อโลกต่อไป

                ทว่า...เสือก็ยังคงเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ

                โฟโต้ยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นแผนการของพี่ฮ่องเต้จริงๆ มันต้องมีอะไรมากว่านั้นเป็นแน่ โฟโต้จึงได้แต่นั่งเงียบอย่างคนกำลังทำใจสักพัก...

                เอาวะ ถ้าเกิดเขาคิดจะมอมจริงๆ เดี๋ยวค่อยแกล้งเมาเอาก็ได้

                “ก็ได้ครับ” ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปคว้าแก้วมาจากนิว มองมันอยู่ชั่วอึดใจ แล้วค่อยจิบเข้าไปพร้อมกับทำสีหน้าเหยเกออกมาเพราะรสชาติเฝื่อนๆ ของเหล้าที่สัมผัสเข้ากับลิ้น

                “มึงไม่เคยกินเหล้าเหรอวะ” จนนิวต้องถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

                โฟโต้ทำเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเอียงอายมาให้ แบบที่ทำให้คนถามถึงกับสำนึกผิดและเอามือเกาหัวแกรกๆ

                ใครจะไปคิดว่าเด็กอย่างมันจะไม่เคยแตะของพวกนี้เลยล่ะวะ

            แต่กระนั้น เด็กตรงหน้าของนิวก็ค่อยรินเหล้าเข้าปากไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่าแค่แก้วเดียวก็ไม่น่าจะรอด นิวแทบจะละสายตาไปจากรุ่นน้องตรงหน้าไม่ได้เลย

                ปั้ก!

                เหล้าแก้วแรกหมดลงไปด้วยความยากลำบาก โฟโต้หลับตาลง พยายามกลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ที่คอลงไปและได้แต่หายใจแรงๆ ออกมา

                “มึง...ไหวเปล่าวะ”

                “ไหว...ผมไหวครับ ขอแค่พี่เต้ยอมออกมาคุยกับผมก็พอ” โฟโต้จงใจจะสร้างภาพให้ตนน่าสงสาร ทั้งที่เหล้าแก้วเดียวที่ดื่มไปไม่แม้แต่จะสะกิดคอเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นแก้วกลับไปให้นิว “ต่อเลยครับ”

                นิวมองรุ่นน้องอย่างชั่งใจ ขณะที่รับแก้วมาชงเหล้าเพิ่ม

                ผมทำเกินไปหรือเปล่าวะ

            แม้จะกังวลเช่นนั้น หากแต่มือก็รีบชงเหล้าใส่แก้วและส่งกลับไปให้คนตรงหน้าอยู่ดี ขณะที่โฟโต้ยังคงตีมึนทำเป็นโงนเงนไปทีอย่างจงใจจะตบตารุ่นพี่ของตน สักพัก ก่อนที่เขาจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา...

                เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่ผลพวงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ เพราะดูเหมือนว่ามันจะไปกระตุ้นบางอย่างในร่างกายให้ตื่นตัวขึ้นมาจนน่าอึดอัด 

                พี่นิวใส่อะไรลงไปหรือเปล่าวะ

                แต่กระนั้น โฟโต้ก็ยังคงรับแก้วเหล้าจากนิวมาดื่มเป็นแก้วที่สองและตามมาด้วยแก้วที่สาม...

                “พี่...นิว หึๆ” โฟโต้แกล้งทำเป็นมึน ส่งแก้วเปล่าให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า “อีกแก้ว...จัดมาเลย!!”

                ระดับเสียงที่เริ่มจะดังขึ้น ทำให้นิวชักจะลังเลที่จะชงเหล้าเพิ่มให้คนตรงหน้า

                “กู...กูว่ามึงพอเหอะ” และก็ต้องร้องเตือนออกไปเพราะอาการที่ไม่น่าไว้วางใจของรุ่นน้อง

                “ไม่ครับ!!” โฟโต้เริ่มโวยวาย “ผมจะกิน! เดี๋ยวพี่เต้ไม่ยอมออกมาคุยกับโผ้มมมม อึก”

                “เออๆ กูชงให้ก็ได้วะ” แม้ปากจะว่าไปเช่นนั้น หากแต่ในใจกลับรู้สึกผิดขึ้นเป็นเท่าตัว

                กูคิดผิดหรือเปล่าวะเนี่ย ที่ไปหลอกมันว่าเป็นแผนของไอ้เต้ ใครจะไปคิดว่ามันคออ่อนขนาดนี้วะ

            สายตาก็ได้แต่มองคนที่เอาแต่ทำหน้ามุ่ยด้วยความกังวล ก่อนที่มือจะยื่นแก้วกลับไปให้คนตรงหน้า ทว่า...

                ฟึบ!

                “เชี้ย!!” นิวร้องลั่น ลุกขึ้นมาดูอาการทันทีที่รุ่นน้องของตนฟุบหลับไปกับโต๊ะ “ไอ้โฟโต้ๆ!!”

                นิวพยายามเขย่าตัวเรียกชื่อรุ่นน้องของตน แต่โฟโต้เอาแต่พึมพำไปมาอย่างไร้สติอย่างที่คนวางแผนถึงกลับลอบยิ้มออกมา โดยหารู้ไม่ว่าเขากำลังถูกคนที่เด็กกว่าตลบหลังเข้าให้
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:44:24
ตอนที่ 20 มือของรุ่นพี่

                หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ฮ่องเต้ก็ต้องขับรถเข้ามาที่ร้านซ่อมรถในเวลาทุ่มกว่าๆ เหตุเพราะทางร้านโทรตาม หลังจากที่เขาลืมไปเสียสนิทว่าเป็นคนเอามอเตอร์ไซค์มาซ่อมให้โฟโต้

                “ฝากเอาไปส่งที่หอนี้เลยนะครับ” ฮ่องเต้บอกกับช่างซ่อม หลังจากจัดการจ่ายเงินค่าซ่อมมอเตอร์ไซค์เป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากร้านและขับรถกลับหอทันที

                ที่เขาต้องสั่งให้ช่างเอารถไปส่งที่หอโฟโต้แบบนั้น ก็เพราะไม่อยากเจอเด็กปีหนึ่งคนนั้นในเวลาที่เขากำลังว้าวุ่นใจอยู่เช่นนี้ นอกจากมันจะทำให้เขาทำตัวไม่ถูกแล้ว มันทำให้เขาหวาดกลัวเสียจนอยากจะหนีไปให้ไกล

                แม้ว่าในใจจะรู้สึกดีกับการมีเด็กคนนั้นคอยกวนอยู่ตลอดก็ตาม...

                แววตาของคนที่โตกว่าอย่างเขายังคงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาใจเต้นแรงทุกครั้งที่เด็กคนนั้นเข้าใกล้ แถมยังประหม่าเสียจนทำอะไรไม่ถูกและถ้าเขารู้ตัวตั้งแต่แรก คงไม่ปล่อยความรู้สึกของตัวเองให้เป็นไปเช่นนี้

                แต่เรื่องของความรู้สึก มันห้ามได้ที่ไหนกัน

            เสียงหนึ่งทำเอาคนที่กำลังจะโทษวันเวลาที่ผ่านมาต้องชะงัก พลันถอนหายใจหนักๆ ออกมาที

                ก็เพราะว่ามันห้ามไม่ได้ไม่ใช่หรือ เขาถึงได้หวั่นใจอยู่เช่นนี้

            ฮ่องเต้ขับรถมาถึงหอของตนเองและดับเครื่องยนต์ หากแต่ร่างกายกลับหนักอึ้ง จนเจ้าตัวต้องเอนหลังนั่งนิ่ง ปล่อยมือจากพวงมาลัยพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอย คิดไม่ตกกับเรื่องของรุ่นน้องที่เขาเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันได้กลายมาเป็น คนสำคัญ ในความรู้สึกของเขา

                ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทีและตัดสินใจคว้ากระเป๋าเป้ ลงจากรถและเดินเข้าไปในหอพักด้วยท่าทีอ่อนแรงราวกับนักศึกษาที่เพิ่งจะผ่านสงครามการสอบและกองงานมาหมาดๆ

                แต่ความจริงมันคือสงครามความรู้สึกของผมเองต่างหาก

            แถมดูเหมือนว่าสงครามในครั้งนี้ จะไม่จบลงง่ายๆ เสียด้วย

                ผมควรจะจัดการยังไงกับความรู้สึกของตัวเองกัน

            ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบตั้งตัวไม่ติดและเขาก็รู้ดีว่าไอ้ความรู้สึกที่ว่านั่นมันคืออะไร...

                ทั้งไอ้การที่เขาไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเขาชอบคนอื่น ทั้งไอ้การที่เขาเอาแต่หงุดหงิดในที่อีกฝ่ายโกหก เพียงเพื่อที่จะให้เขาไปอยู่กับคนอื่น มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนผลักไสอยู่ตลอดเวลา ไหนจะเรื่องที่เขากระวนกระวายใจกับอาการบาดเจ็บของมัน ในหัวของเขาเอาแต่คิดตลอดว่ามันจะเดินทางไปสะดวกไหม ทั้งที่มันนั่งมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อนก็ได้ แต่เขาก็อยากจะไปรับเพราะคิดไปว่ามันคงนั่งรถแบบนั้นไปเรียนไม่สะดวกแน่

                กระทั่งเรื่องที่เขาหงุดหงิดใจที่ฝ้ายเป็นคนไปรับโฟโต้ที่โรงพยาบาล ทั้งที่เขาอุตส่าห์จะไปรับ...

                ทั้งหมดนี้ มันออกจะชัดเจนว่าในหัวของเขา มีแต่เรื่องของเด็กที่ชื่อโฟโต้

            และมันก็มีเหตุผลเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น แต่เขาจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้จริงๆ เหรอ เขาควรจะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกต่อไปเรื่อยๆ  และสุดท้าย จะมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้สึกมากขึ้นเพราะคนข้างกายเขาในเวลานี้ คงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขาไปมากกว่า รุ่นพี่

            แล้วมันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบผู้ชายด้วย

            เป็นความจริงอีกข้อที่ฮ่องเต้เพิ่งจะมานึกขึ้นได้ ความจริงที่ว่า ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนบนโลก จะรู้สึกกับผู้ชายด้วยกันและถ้าโฟโต้เองเป็นแบบนั้น มันก็มีแต่จะพาลมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ

                และนั่นทำให้ฮ่องเต้ต้องส่ายหัวไล่ความคิดทั้งหมดออกไป แล้วเดินเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างคนที่พยายามจะไม่คิดมาก

  (มีต่อ....)

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:46:37
(ต่อ...)
                เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว...

                ฮ่องเต้ยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะและพยายามจดจ่อกับกองงานตรงหน้า ทว่าจนแล้วจนเล่า...ภาพเหตุการณ์เก่าๆ กลับมาฉายซ้ำให้คนหน้าใสต้องขมวดคิ้วแน่น

                “ไม่คิด กูต้องไม่คิด” พลางหลับตาลงอย่างพยายามจะตั้งสติ แล้วค่อยลืมตาขึ้นมาพร้อมกับพ่นลมออกมาจากปาก และหันไปจับปากกา ลงมือเขียนงานต่อ

                แต่แล้ว...

                “พี่โกรธผม...”

            เสียงหนึ่งก็ผุดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ทำเอามือถึงกับชะงัก

                “...ทั้งที่ผมแค่อยากให้พี่คุยกับผม ยิ้มให้ผมเหมือนกับที่พี่ทำกับรุ่นน้องคนอื่น ผมเลยต้องตามง้อ แต่พี่คงโกรธจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผม”

                ...

                “ผมเลยต้องตามง้อ...”

            เพียงแค่ประโยคนั้นก็สามารถทำให้หัวใจของคนเป็นพี่ทำงานหนักมากขึ้นเท่าตัว สายตาของเขาหันไปมองมือถือที่วางอยู่ข้างๆ  ซึ่งเขาได้แตะมันเพียงแค่ไม่กี่นาที ในตอนที่ต้องคุยกับช่างซ่อมที่โทรมาบอกให้เขาเข้าไปเอามอเตอร์ไซค์ ก่อนที่มือจะค่อยขยับไปหยิบมันขึ้นมา

                มิสคอลที่ปรากฏบนหน้าจอทำเอาคนที่โตกว่าวูบวาบข้างในอก อีกทั้งข้อความที่เขาไม่คิดแม้แต่จะเปิดอ่าน เป็นข้อความที่ถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน ภายหลังไม่กี่ชั่วโมงที่เขาเป็นฝ่ายแพ้และหนีกลับมาก่อน ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่วางมันกลับลงที่เดิมเพราะรู้ตัวดี ว่าเขากำลังใจอ่อนกับเด็กปีหนึ่งคนนี้

                “ไม่คิดเรื่องมันสักนาทีไม่ได้เลยเหรอวะ” ฮ่องเต้บ่นพึมพำกับตัวเอง สีหน้าติดจะกังวลใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ก่อนจะส่ายหน้าไล่ความคิดทั้งหมดออกจากหัวและหันไปจับปากกาอีกครั้ง ทว่า...

                เสียงเคาะประตูกลับฉุดเขาออกมาจากกองงานตรงหน้าและคิดว่าใครกันที่มาเคาะประตูในเวลาเกือบสองทุ่มเช่นนี้ แล้วสองเท้าก็พาร่างเดินไปยังประตูห้อง ก่อนจะเปิดมันออก...

                “ไอ้นิว!?” ร้องออกไปแบบงงๆ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนของเขาที่มาเคาะประตูห้องในเวลาแบบนี้ หากแต่สายตากลับมองผ่านไปยังอีกคน

                อีกคน...ที่คอยแต่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา

                หากแต่ครั้งนี้กลับมาเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่เพียงแค่เสียงที่ดังในความคิดของเขา

                “ฝากหน่อยดิวะ แม่งเมาไม่รู้เรื่องเลยเว้ย” นิวร้องบอก พยายามทรงตัว แบกคนที่เขาเพิ่งจะบอกว่าเมาไม่รู้เรื่องเอาไว้พร้อมกับมองเพื่อนด้วยสายตาอ้อนวอนแบบสุดๆ

                “ฝากอะไร ทำไมมึงไม่พามันกลับหอวะ” ฮ่องเต้ชักจะลนลานเพราะเขาไม่อยากจะเจอโฟโต้ในเวลานี้

                “ก็...” นิวชะงักปากที่กำลังจะบอกว่าไม่รู้จักหอของโฟโต้ เพราะเพิ่งจะมานึกเอาได้ว่าไอ้คนที่เขาแบกมาด้วย มันอยู่หอเดียวกันกับเขา

                “...เออ คือ...” อึกอักไปชั่วครูอย่างคนหาคำพูดไม่ได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตีเนียนร้องออกมา เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “เฮ้ย ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะมึงเลยนะเว้ย”

                และมันก็ทำให้คนที่ถูกโยนความผิดมาใส่ต้องชักสีหน้าหงุดหงิด “เกี่ยวอะไรกับกู กูไม่ได้ไปสั่งให้มันแดกเหล้าเสียหน่อย”

                ก่อนที่ฮ่องเต้จะหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ “แล้วมึงไปเจอมันได้ยังไง”

                “อะ...อะไร มึงอย่ามามองเหมือนว่ากูไปมอมเหล้ามันมานะเว้ย” นิวร้องเสียงหลงเพราะเจอสายตาดุดันจากฝ่ายตรงข้ามที่ทำหน้าราวกับจะฆ่าเขา

                “แล้วมันจริงไหมล่ะ”

                “กูเปล่านะเว้ย กูก็ไปหาแดกของกูอ่ะ แล้วไอ้โฟโต้มันก็เมาเดินเข้าทัก มันมาถามถึงมึง พอกูบอกว่ากูไม่รู้ มันก็มาเพ้อเรื่องที่มึงไม่ยอมรับสาย ไม่ยอมตอบข้อความมันให้กูฟัง กูก็เลยพามันมาหามึงนี่ไง”

                ว่าเสร็จ เจ้าตัวก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่เพราะพล่ามออกไปแบบลืมหายใจไปชั่วขณะ

                “มึงนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุให้น้องมันแดกเหล้า มึงต้องรับผิดชอบนะเว้ย”

                ฮ่องเต้ส่งสายตาหงุดหงิดไปทางคนพูดมากและเลยไปทางคนที่เมาเลื้อยไปกอดรุ่นพี่ของตนอย่างไร้สติ

                “แต่กูก็ไม่ได้ไปบังคับให้มันแดก มึงเป็นคนไปเจอมันนี่ มึงก็พามันไปนอนด้วยก็แล้วกัน” ฮ่องเต้รวบรัดตัดความอย่างไร้เยื่อใย แม้ในใจจะโอนอ่อนไปบ้างกับการที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้โฟโต้มีสภาพเช่นนี้ และได้แต่คว้าลูกบิด กะจะปิดประตูใส่และเดินกลับเข้าห้องไป ทว่า...

                “เพราะเรื่องอาถรรพ์สายรหัสใช่ไหม มึงถึงเอาแต่หนีแบบนี้” นิวกลับตะโกนขัดเข้าเสียก่อนและดูเหมือนว่าคำพูดนั้น จะทำให้คนที่คิดแต่จะหนีถึงกับหันขวับกลับมามองหน้าเพื่อนของตน ด้วยสายตาที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้

                เพราะมันปนเปไปด้วยหลากอารมณ์เสียจนเจ้าตัวเอง ก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าควรจะเรียกมันว่าอะไร เพียงแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกปวดหนึบที่ใจขึ้นมาได้

                “มึงไม่คิดที่จะเปิดใจรับอะไรบ้างเลยเหรอวะ”

                อะไร ที่นิวว่าก็หมายถึง ใครสักคน อย่างคนที่เมาหมดสภาพ (แต่เพียงเปลือกนอก) หากแต่ยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์พอที่จะรับรู้ทุกอย่าง แม้ว่าเปลือกตายังคงหลับอยู่เช่นนั้น

                ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้านิวด้วยความกระอักกระอวน สักพัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำว่า...

                “ใจของกูมันตายด้านไปแล้ว”

                ทว่ามันกลับเป็นคำพูดที่ทำเอาคนขี้เล่นและอารมณ์ดีมาตลอดถึงกับจี๊ดตาม

                “ถ้าอย่างนั้น มึงก็ช่วยชัดเจนกับมันในฐานะ พี่น้อง ด้วย อย่างน้อย ก็เคลียร์ให้รู้เรื่องว่าไอ้การที่มึงโกรธ มึงนอยด์จนไม่ยอมคุยกับน้องมันอยู่นี่ มันคืออะไร”

                ก่อนที่นิวจะสบสายตาจริงจังกับฮ่องเต้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “มึงก็น่าจะรู้ดีว่าการเป็น ฝ่ายเดียว มันรู้สึกยังไง”

                ฮ่องเต้รู้ดีว่านิวกำลังพูดถึงอดีตที่ทำให้เขาเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองออกจากทุกคนที่เข้ามา โดยเฉพาะกับสายรหัสและสายเทคของตน มันเป็นความทรงจำที่เขาไม่อาจจะลบเลือนมันไปได้เลยแม้แต่สักวินาทีเดียว

                เพราะว่ารักมาก...มันก็เลยเจ็บมาก

            และมันก็มากพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจออกห่างจากโฟโต้ แม้ว่าภายในใจของเขาจะรู้สึกและภายในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องของเด็กที่ชื่อว่าโฟโต้ สายรหัสปีหนึ่งของเขาก็ตาม

                ท่ามกลางความเงียบระหว่างรุ่นพี่ทั้งสอง...

                โฟโต้เองกลับรู้สึกถึงบางอย่าง เขาเริ่มจะเดาได้ว่าทั้งหมดเป็นแผนของนิวที่คิดจะมอมเหล้าเขาและพามาส่งให้ฮ่องเต้ เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาและเผื่อว่าช่วงเวลานั้น จะช่วยคลายปัญหาทุกอย่างระหว่างเขากับฮ่องเต้ได้

                นั่นคือสิ่งที่เขาเข้าใจ...

                แต่ไอ้ที่ไม่เข้าใจก็คือ...ไอ้อาการแปลกๆ ที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ ที่มันทำให้เขาทั้งอึดอัดและแทบจะทนไม่ไหว เสียจนต้องนิ่วหน้าอย่างพยายามจะระงับอาการปวดหนึบที่ช่วงล่าง

                แต่เขาก็ยังไม่อยากจะคิดว่านิวจะใส่อะไรอย่างว่าลงไปให้เขากินได้เพราะตอนที่นิวชงเหล้าให้ เขาก็ยังมีสติที่จะสังเกตว่านิวไม่ได้เอาอะไรแปลกๆ อย่างเช่นพวกยาปลุกอารมณ์ใส่ลงไป แล้วทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนี้...

                ไม่ไหว...มันไม่ไหวแล้ว

            โฟโต้เริ่มหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมเพราะฤทธิ์ของของแปลกๆ ที่เผลอกินเข้าไป จึงได้แต่กำมือแน่นและคลายออกอย่างหาที่รองรับอารมณ์ไม่ได้ และหากเป็นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ เขาต้องทรมานตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ

                ถือว่าพี่นิวเปิดทางให้เองก็แล้วกัน

            เมื่อคิดเช่นนั้น โฟโต้ก็ทำทีทิ้งร่างและโน้มตัวลงไปข้างหน้าอย่างพอจะเดาได้ว่าฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงนั้น เสียจนฮ่องเต้กับนิวร้องเสียงหลง แต่โฟโต้ก็ไวพอที่จะคว้าหมับเข้าที่ร่างของฮ่องเต้และทิ้งน้ำหนักตัวไปที่รุ่นพี่ปีสี่ของเขาเพื่อถ่วงไม่ให้ฮ่องเต้หนี ส่วนนิวกลับยกยิ้มอย่างพอใจ

                “ขนาดมันเมาหมดสติขนาดนี้ มันยังเลือกที่จะอยู่กับมึงเลย” นิวเหน็บแหนมจนฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะสบสายตาจริงจังอีกครั้ง

                “มึงจะคิดอะไร มันก็เรื่องของมึง แต่ทางที่ดี...กูว่าให้ทุกอย่างมันจบลงภายในห้องนี้ หลังจากที่พวกมึงสองคนก้าวออกมา ความสัมพันธ์จะเป็นยังไงก็เรื่องของพวกมึง ในฐานะเพื่อน กูก็ทำได้แค่นี้แหละ”   

                ก่อนที่นิวจะรีบเดินหนีออกไป แบบที่ฮ่องเต้ไม่ทันจะรั้งเพราะร่างของโฟโต้ที่ถ่วงเอาไว้อย่างจงใจ จึงได้แต่หันกลับมามองคนที่กอดเกี่ยวร่างของตนไว้พร้อมกับซบหน้าเข้าที่ไหล่ด้วยสายตาที่ไม่รู้จะเอายังไงกับเด็กคนนี้ดี ตรงข้ามกับโฟโต้ที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลัง...มากขึ้น

                กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายของคนที่เขาชอบ สัมผัสจากการกอดที่ยิ่งไปกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง

                ได้โปรดเถอะครับ พาผมเข้าไป...

            เขาได้แต่ภาวนาในใจเช่นนั้น ขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่ยืนนิ่งเงียบ สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาและค่อยเอื้อมมือไปปิดพร้อมทั้งล็อคประตูเสียงดัง...

                แกร๊ก!

                เท่านั้น เสือร้ายก็ลอบยิ้มออกมาอย่างได้ใจ ขณะที่ถูกพยุงเข้าไปข้างในห้องและพามาที่เตียง...

                เมื่อร่างสัมผัสกับผ้าปูที่นอนและหัวแตะหมอนนุ่มๆ บนเตียง ฮ่องเต้ก็เอาแต่ยืนจับจ้องใบหน้านั้นอยู่พักหนึ่ง อาจจะเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์และเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาและตัดสินใจไปหยิบผ้าชุบน้ำ ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง

                “กูกลัวว่ามึงจะไม่สบายตัวแล้วป่วยหรอกนะ” ฮ่องเต้ว่าพลางทำใจอยู่นาน ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆ ร่างของคนที่เมาไม่รู้เรื่อง

                เอาวะ คิดเสียว่ามันเป็นไอ้สีฝุ่นก็แล้วกัน     

            เพราะเขาเองก็เคยต้องดูแลลูกพี่ลูกน้องของตนตอนเมาอยู่บ่อยๆ จึงพยายามคิดเพื่อลดทอนอาการร้อนผ่าวในตัว แล้วจึงเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด

                แล้วมือจะสั่นทำเชี่ยอะไรวะ

            หากแต่เพราะความประหม่าจึงทำให้มือของเขาสั่นและดูเงอะงะไปในที ราวกับเด็กไม่เคยแกะกระดุมเสื้อ โดยหารู้ไหมว่าสัมผัสเช่นนั้น กลับทำให้โฟโต้...รู้สึกดี

                น่ารักฉิบหาย

            ทว่ากลับทำได้เพียงแค่ลอบยิ้มอยู่ในใจ ขณะที่ฮ่องเต้ก็จัดการปลดกระดุมกระทั่งเม็ดสุดท้ายและพยุงตัวโฟโต้ขึ้นมาเพื่อถอดเสื้อออก แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเฝือกที่แขน

                “เจ็บแขนจนต้องใส่เฝือกขนาดนี้ ยังมีน่าไปแดกเหล้าอีกนะ” ฮ่องเต้เผลอหลุดปากบ่นออกมาตามประสา แต่มันกลับยิ่งทำให้คนที่ได้ฟังหัวใจพองโตขึ้นมาเพราะคิดไปว่าคนที่โตกว่ากำลังเป็นห่วงเขา

                พี่ฮ่องเต้ยังไงก็คือพี่ฮ่องเต้อยู่วันยังค่ำ

            และนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเคยบอกว่าคนอย่างฮ่องเต้เดาได้ไม่ยาก ก่อนที่ความเย็นจะสัมผัสลงบนตัวของโฟโต้ ทำเอาเจ้าตัวแอบสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มจะกลับมาวนเวียนในร่างกายของเขาอีกหน

                เชี่ยละ แบบนี้มันก็ยิ่งไปกระตุ้นดิวะ

            เขาเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าของเก่ายังไม่ทันจะสงบดี เพราะถูกกระตุ้นด้วยผ้าเย็นๆ และสัมผัสอันเบาบาง มันก็ยิ่งกลับทำให้ภายในตัวของเขาร้อนผ่าวมากขึ้นไปอีก

                ขณะที่ฮ่องเต้ยังคงหวังดี ช่วยเช็ดตัวให้อย่างไม่รู้ว่ากำลังไปปลุกเสือร้ายภายในตัวเด็กปีหนึ่งที่ทำทีเป็นหลับใหลอยู่ ค่อยไล่เช็ดลำคอขาวที่กำลังลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อย่างเสือร้ายที่กำลังเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า ลงมาบนกล้ามเนื้อหน้าอกที่ชื้นไปด้วยเหงื่อและลากผ่านกระทั่งหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อพอขึ้นเป็นรูปให้ได้เห็น...

                ซ่อนรูปเหรอวะ

            ฮ่องเต้เองก็แอบลอบกลืนน้ำลาย เมื่อสายตาเผลอมองสำรวจแผ่นอกกว้างและกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่าลืมตัว จนมือของเขาเผลอไผลไปเช็ดวนอยู่ตรงกล้ามเนื้อหน้าอก จนหนุ่มรุ่นน้องเผลอกัดปากตามเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเสียจนแกนกายเริ่มกระตุกวูบและตุ่มบนยอดกล้ามเนื้อหน้าอกเริ่มแข็งเป็นไตขึ้นมา

                 เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เพราะฮ่องเต้เองก็เริ่มจะรู้สึกตัวร้อนไปตามๆ กัน จึงรีบผละออกมาอย่างเริ่มจะรู้สึกตัวได้

                คิดเชี่ยอะไรของมึงวะ ไอ้เต้!

                หรือมันอาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้ว เขาเองก็รู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นกัน จึงทำให้ความรู้สึกทั้งหมดมันง่ายกับทุกการสัมผัส ขณะที่อีกฝ่าย...

            เมื่อเขาเริ่มจะทนไม่ไหว  คนเจ้าเล่ห์ก็เอามือปัดป่ายไปทั่วอย่างจงใจและใช้มือหนึ่งคว้าเข้าที่แขนจนฮ่องเต้สะดุ้ง ปล่อยผ้าให้ร่วงจากมือพร้อมทั้งหันลับมามองคนคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้ว

                “พี่เต้...พี่เต้ใช่ไหม”

                ฮ่องเต้แอบใจคอไม่ดีที่จู่ๆ คนที่เงียบไปนานก็ละเมอออกมา สายตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา พร้อมกับคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันแน่น แถมสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังทุกข์ทรมานกับฝันร้าย

                “ช่วย...ช่วยผมด้วย”

                เสียงแหบพร่าทำเอาร่างของคนที่โตกว่าชาวาบ เขามุ่นคิ้วมองไปยังเด็กปีหนึ่งที่กำลังขยับไปมาอย่างต้องการจะหาที่พึ่ง สักพักก็เริ่มดิ้นพล่านพร้อมกับเหงื่อที่เริ่มจะไหลลงมาจากเส้นผม

                “ผมไม่ไหว...มันไม่ไหวแล้ว”

                ก่อนที่มือจะถูกลากไปคว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงซึ่งกำลังมีอะไรบางอย่างดันออกมาจนขึ้นรูป แบบที่ฮ่องเต้ก็ไม่ทันได้ตั้งตัว

                “เชี่ยอะไรของมึงเนี่ย!!” แม้ปากจะร้องโวยวาย หากแต่มือกลับถูกบังคับให้ลูบไปตามรอยนูนบนกางเกงอยู่เช่นนั้น จนผิวขาวเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความอาย ขณะอีกฝ่ายได้แต่ส่งเสียงออกมาจากลำคออย่างพอใจ แบบชวนให้คนที่กำลังสัมผัสส่วนนั้นอยู่ถึงกับหน้าร้อนผ่าว

                “ช่วยผม...นะครับ” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาอย่างพยายามจะออดอ้อน เสียจนฮ่องเต้มือไม้สั่นอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อหันไปสบเข้ากับสายตาของคนที่ไม่คิดว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาตอนนี้

              (มีต่อ....)
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:47:39
           (ต่อ....)

            นี่มันเป็นเรื่องน่าอายที่สุดชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

            แม้ว่าเขาจะเคยคบกับผู้ชาย แต่นั่นมันก็ไม่ได้นานพอที่จะทำให้เขาเคยสัมผัสกับแก่นกายของใครคนนั้น แม้จะผ่านกางเกงก็ตามเถอะ แล้วดูมันตอนนี้สิ สายตาหยาดเยิ้มที่กำลังมองมาทางเขาแบบนั้น เหมือนกำลังจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง

                “นะครับ ช่วยผม แค่ครั้งเดียว...ก็ยังดี” เสือร้ายส่งเสียงและสายตาออดอ้อนคนตรงหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่ในใจก็ได้แต่พยายามจะกัดฟันฝืนทนกับความอึดอัดภายใน แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นมาขย้ำเหยื่อมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั้น

                เพราะไม่อย่างนั้น ความลับเรื่องที่แขนของเขาไม่ได้เป็นอะไรได้แตกต่อหน้าฮ่องเต้แน่ อย่าลืมสิ ว่าตอนนี้แขนข้างขวาของเขายังเข้าเฝือกอยู่

                “พี่เต้...” โฟโต้เอ่ยเรียกคนที่หน้าแดง ตัวแดงอีกครั้ง พลางลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะความน่ารักเสียจนเขาอยากจะลุกขึ้นไปฟัดตอนนี้เสียให้ได้

                ทน...ทนเอาไว้ ไอ้โฟโต้

                “ช่วย...ช่วยตัวเองดิวะ” ฮ่องเต้ร้องบอกและดึงมือออกไป พร้อมทั้งหันหน้าหนีด้วยความเขินอายและอาการร้อนผ่านในตัวที่แทบจะปะทุออกมา

                “แต่เพื่อนพี่เป็นคนทำให้ผมเป็นแบบนี้นะครับ พี่ไม่คิดที่จะรับผิดชอบหน่อยเหรอ” หนุ่มรุ่นน้องยังว่าเสียงอ่อย อย่างต้องการจะให้คนตรงหน้าคิดที่จะรับผิดชอบไอ้การที่เขาต้องเป็นแบบนี้บ้าง หากแต่ฮ่องเต้กลับขมวดคิ้วใส่

                “มะ...มึงหมายความว่าไงที่ว่า...ไอ้นิว...” ฮ่องเต้เอ่ยปากออกไปได้แค่นั้น เพราะยังไม่แน่ใจกับการสังหรณ์ใจของตัวเอง

                ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งและโตพอที่จะรู้ว่าไอ้อาการที่มันเป็นอยู่คืออะไรหรอก

            “ผมไม่รู้ว่าพี่นิวเอาอะไรใส่ลงไปในเหล้า...” โฟโต้เว้นจังหวะ หอบหายใจด้วยความเหนื่อย “...รู้แต่ว่า มันทำให้ผมทนไม่ไหว มันปวด...ไปหมด”

                คนเจ้าเล่ห์แสร้งทำตัวน่าสงสารให้คนใจอ่อนต้องมองตามด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แต่เพราะความที่ไม่เคยทำให้ใคร มันจึงทำให้คนที่โตกว่าลังเลใจ

                “มึง...มึงก็ไปห้องน้ำดิวะ” ว่าออกไปอย่างไม่อยากจะหันกลับมาสบสายตาคนเจ้าเล่ห์ จนสุดท้ายโฟโต้จึงต้องยอมปล่อยแต่โดยดี เพราะเขาเองก็ทนไม่ไหวกับความอึดอัดที่ชักจะมากเกินขีดจำกัดแล้วเช่นกัน

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ช่วยพาผมไปห้องน้ำก็ได้ครับ” โฟโต้เสียงอ่อนลงไป หากแต่น้ำเสียงนั้นยังแฝงความรู้สึกเจ็บปวดแบบที่ฮ่องเต้ต้องเหลือบตากลับมามอง...ใบหน้าของคนเด็กกว่าที่กำลังน้ำตาคลอ

                อาจจะเพราะความทรมานจากการต้องอดกลั้น ดังนั้น เขาจึงใจอ่อน...

                “เออๆ” ตอบกลับไปพร้อมกับทำหงุดหงิดใส่อย่างตั้งใจจะกลบเกลื่อนความอายของตน

                ก่อนที่เขาจะช่วยพยุงโฟโต้ให้ลุกขึ้นมาและพาไปที่ห้องน้ำตามคำร้องขอ พร้อมทั้งปิดประตูและรีบผละออกมาเพราะเสียงหัวใจที่เต้นแรง

                ฮ่องเต้ยืนเอาหลังพิงประตูห้องน้ำ สังเกตว่าไม่ใช่เพียงแค่ลมหายใจของตนที่ดังถี่ขึ้น แต่อารมณ์ของเขา...ก็ขึ้น...เช่นกัน อย่างที่สายตาต้องเหลือบลงมามองที่ช่วงล่าง ซึ่งมีบางอย่างกำลังตื่นตัวขึ้นมาอย่างน่าอาย...

                นี่ผมมีอารมณ์กับไอ้เด็กนี่เหรอวะ

            คิดได้แบบนั้น จึงได้แต่หลับตาลงด้วยความระอาใจกับความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ เขาหันซ้ายขวาอย่างกำลังจะหาตัวช่วย ก่อนจะเดินกลับไปสงบจิตสงบใจอยู่ที่ปลายเตียง กะจะอดกลั้นเอาไว้จนกว่าโฟโต้จะจัดการกับของตัวเองเสร็จแล้วปล่อยให้มันหลับไปเสียก่อน

                ขณะเดียวกัน...

                โฟโต้ได้แต่ยืนเท้ากับอ่างล้างหน้าอย่างพยายามจะอดกลั้น หลังจากจัดการถอดกางเกงตัวนอกออกจนเหลือเพียงแค่บ็อกเซอร์ เพราะเพิ่งจะมาสำเหนียกได้ว่าตนใส่เฝือกที่แขนข้างขวา ซึ่งเป็นข้างที่ถนัดที่สุด หากจะให้เขามาใช้มือข้างซ้ายทำ ยังไงมันก็ไม่เสร็จแน่ ยิ่งผนวกกับการที่เข้าโดนยาปลุกเซ็กส์เข้าไปแบบนี้ จะให้อะไรๆ มันสงบลงง่ายๆ  คงเป็นไปไม่ได้แน่

                แม้จะอยากทำพี่ฮ่องเต้แค่ไหน ผมก็ต้องอดทนเพื่อให้เขาเชื่อใจ

            หลังจากที่เฝ้าสังเกตท่าทางของฮ่องเต้มาได้สักพัก ประกอบกับได้ฟังคำพูดของนิว แม้ว่านิวจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เขาก็พอจะเดาออกว่าพี่ฮ่องเต้กำลังหวาดกลัวความรัก ดังนั้น คงยากที่จะทำให้พี่ฮ่องเต้ของเขายอมรับความรู้สึกและยอมเปิดใจที่จะเริ่มต้นใหม่กับเขา

                เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะคบกับรุ่นพี่ปีสี่คนนี้เล่นๆ  เหมือนกับเคยคบกับคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา เพราะฉะนั้น วิธีการทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนไปจากที่เขาเคยทำ แม้มันจะยาก แต่เขาก็ต้องอดทน เพื่อให้ได้พี่ฮ่องเต้มาเป็นของเขา ไม่ใช่แค่คืนนี้ แต่จะเป็นทุกคืนและตลอดไป

            ที่สำคัญ เขาต้องการ หัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่ ร่างกาย

            แต่กระนั้น มันก็ต้องเป็นไปในแบบฉบับของเสือร้ายอย่างเขา

                ก็คนมันถนัดแบบนั้นนี่ครับ

            โฟโต้มองซ้ายขวาอย่างหาตัวช่วย จนกระทั่ง ความคิดหนึ่งได้ผุดเข้ามาในหัว สายตาจึงเอาแต่จับจ้องไปยังข้าวของบนอ่างล้างหน้าและ...

                ไว้ค่อยซื้อคืนก็แล้วกัน

            ...จัดการกวาดของทุกอย่างลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังลั่น ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องเสียงออกมาเสียงดังและทรุดลงไปนั่งกับพื้นทันที

                แบบที่หนุ่มรุ่นพี่ตกใจและรีบวิ่งมาทางห้องน้ำ ใช้มือเคาะประตูสองสามทีและตะโกนเข้าไป หากกลับได้ยินเพียงแค่เสียงโวยวายออกมาอย่างน่าเป็นห่วง

                เอาวะ มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ

            ฮ่องเต้ข่มใจเอาไว้และตัดสินใจเปิดประตูพรวดเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะเบิกตากว้างกับภาพของข้าวของที่หล่นกระจายเต็มพื้น แต่เป็นอันต้องเบนหน้าหนีกับภาพของหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังนั่งเหยียดกายอยู่บนพื้นห้องน้ำพร้อมกับบางอย่างที่กำลังแข็งขืนอยู่ในมือ

                มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ!

                “ฮืออออ พี่เต้...ช่วยผม...ฮึก” โฟโต้เริ่มสะอึกสะอื้น ร้องขอเสียงสั่น โดยที่ตาไม่แม้แต่จะลืมขึ้นมามองด้วยซ้ำ

                “ช่วยอะไรวะ มึงก็ช่วยตัวเองไปดิ” ฮ่องเต้ร้องบอกไปเช่นนั้น ก่อนจะค่อยหันมามองคนที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เอาหัวพิงกำแพงห้องน้ำอย่างเหนื่อยหอบ

                “ผมไม่ถนัดข้างซ้าย...” โฟโต้ว่าพลางค่อยลืมตาขึ้นมาสบกับสายตาของฮ่องเต้ พร้อมทั้งน้ำใสที่คลอตาซึ่งเริ่มจะแดงก่ำเพราะแรงอารมณ์

                เพียงเท่านั้น ฮ่องเต้ก็ถึงกับใจหายวาบและแสดงสีหน้าที่อ่อนลงมาอย่างเห็นได้ชัด จนโฟโต้ได้ใจและพูดเสริมทับ

                “...ช่วยผม...นะครับ”

                “มะ...มึงก็ใจเย็นดิวะ ค่อยๆ ทำไป มือข้างไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละวะ” เพราะคำปฏิเสธของฮ่องเต้ทำเอาหนุ่มรุ่นน้องต้องแสร้งดิ้นพล่านและใช้มือรูดแกนกายของตนขึ้นลงต่อหน้าหนุ่มรุ่นพี่

                “มันไม่เสร็จ...ยังไงมันก็ไม่เสร็จ ฮืออออ” โฟโต้ร้องโวยวายและดิ้นพลั่กๆ  อย่างจงใจจะแสดงให้เห็นว่าเขากำลังทุกข์ทรมานแค่ไหน จนฮ่องเต้ถึงกับใจกระตุกวูบ มองหนุ่มรุ่นน้องด้วยใจที่อ่อนยวบลงไปในพริบตา

                “มันไปไม่ถึง ฮึก ทำยังไง ผมต้องทำยังไง ให้มันเสร็จ ผมไม่ถนัด ฮือออ”

                “เฮ้ยยย หยุดเลยนะเว้ย!” ฮ่องเต้ร้องเสียงหลง เมื่อเห็นว่าคนที่เหยียดกายอยู่บนพื้นขยับแขนที่เข้าเฝือกของตนเข้ามายังแกนกาย “มึงจะใช้ข้างนั้นไม่ได้นะ”

                อาจจะเพราะเผลอตกใจมากไปหน่อย จึงทำให้ฮ่องเต้รีบปรี่เข้ามาหาหนุ่มรุ่นน้องอย่างลืมตัว

                พลันสายตาของโฟโต้ก็หันมาสบกับฮ่องเต้ “ผมทนไม่ได้ ผมไม่ไหวแล้ว ผม...”

                “เออๆ กูรู้แล้วน่า” ฮ่องเต้นิ่งเงียบไป อึดใจพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมา ก่อนจะหันมาสบกับสายตาคนตรงหน้าอีกครั้ง “เดี๋ยว...กู...กูช่วย...ช่วยมึง...ก็ได้”

                “พี่เต้...” แม้จะดีใจแค่ไหน แต่โฟโต้ก็พูดออกไปเสียงอ่อน “...ถ้ามันฝืนความรู้สึก ก็อย่าเลยครับ”

                “แล้วจะให้กูปล่อยมึงเอาไว้แบบนี้เหรอวะ!” ฮ่องเต้สวนกลับอย่างเหลืออด เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมจะไม่รู้ว่ามันทรมานแค่ไหนถ้าไม่ได้ปลดปล่อยออกมา

                “บางที ถ้าผมได้แช่น้ำเย็นมันอาจจะช่วยได้”

                “มึงอยากตายหรือไง!” ฮ่องเต้โพล่งออกไปอย่าลืมตัว เพราะถ้าเขาคิดที่จะช่วยโฟโต้ด้วยวิธีนี้ เขาจะมานั่งเขินอายทำซากอะไรล่ะ คงได้จับมันไปแช่น้ำตั้งนานแล้ว แต่เพราะว่าเขากลัวว่าโฟโต้จะไม่สบายต่างหาก ยิ่งแขนยังเข้าเฝือกอยู่แบบนี้  เขาก็ยิ่งทำแบบนั้นไม่ได้

                ทั้งเจ็บแขน ทั้งไม่สบาย เดี๋ยวก็ได้ตายห่ากันพอดี

                “แต่พี่เต้ครับ...”

                “มึงไม่ต้องพูด!” ฮ่องเต้เอ่ยปากปรามคนพูดมาก ก่อนจะก้มหน้างุด “ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว มึงอยู่เฉยๆ เหอะ”

                โฟโต้ลอบมองคนที่หน้าแดงแปร๊ดไปยันใบหูอย่างพออกพอใจ สายตาอดมองริมฝีปากแดงระเรื่อและแก้มขาวๆ นั้นอย่างเสียไม่ได้ อย่างที่อยากจะจับมาจูบสักทีสองทีให้หายหมั่นเขี้ยวในความน่ารัก น่าฟัดของคนตรงหน้า

                “ขอบคุณครับ” โฟโต้ว่าเสียงแผ่ว อย่างไม่ละสายตาไปจากใบหน้าเนียนใสของคนที่เอาแต่ก้มหน้างุดอย่างกำลังทำใจ ก่อนที่เขาจะกระตุกวูบเพราะสัมผัสบนแกนกายที่มาจาก...มือของหนุ่มรุ่นพี่

                “อื้ม...” โฟโต้เริ่มหลับตาพริ้ม ส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจในสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ ขณะที่ฮ่องเต้...

                แม้จะว่าเขินอายเพียงใด ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้และใช้นิ้วสัมผัสส่วนปลายแล้วค่อยขยี้เบาๆ ให้อีกฝ่ายได้เสียวจนตัวสั่น รอจนได้จังหวะแล้วค่อยรูดส่วนแกนขึ้นลงจนน้ำใสชโลมไปทั่ว จากเนิบนาบก็แปรเปลี่ยนเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น

                “อึก อ้า...พี่เต้...พี่เต้ครับ” จนอีกฝ่ายครางออกมาเสียงแหบพร่า อย่างที่คนทำถึงกับตื่นตัว

                “มะ...มึงอย่าพูดชื่อกูดิวะ” ฮ่องเต้ร้องบอกเพราะเสียงของหนุ่มรุ่นน้องที่เอ่ยชื่อของตนออกมาเช่นนั้น กำลังทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว จากไอ้ที่เริ่มจะสงบลงไปก่อนหน้า มันชักจะเริ่มตื่นตัวขึ้นมาและถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะต้องทนไม่ไหว เผลอทำอะไรไปมากกว่านี้แน่

                “ขอ...ขอโทษครับ ฮาห์ๆ  แต่มันดี...ผมรู้สึกดีมาก”

                โฟโต้อดยอมรับไม่ได้ว่าการที่ทำให้คนอื่นเป็นฝ่ายทำให้มันยิ่งช่วยกระตุ้นความรู้สึกภายในมากขึ้น เสียจนเขาอดที่จะลืมตาเล็กน้อย มองไปทางฮ่องเต้ที่ตัวแดงไปทั่งร่างอย่างเสียไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เสือร้ายในตัวยิ่งอยากจะกระโจนใส่เหยื่อมากขึ้นไปอีก

                “เงียบได้ไหมวะ” ฮ่องเต้ร้องบอกอย่างเขินๆ จนโฟโต้อดไม่ไหว กระเถิบเข้ามาใกล้เสียจนหนุ่มรุ่นพี่ถึงกับตกใจ

            “จะทำอะไร!?”

                “ผมแค่กลัวว่าพี่จะไม่ถนัด” หนุ่มรุ่นน้องแสร้งบอกด้วยความหวังดี หากแต่จงใจอยากจะใกล้ชิดอีกฝ่าย ตรงข้ามกับฮ่องเต้ที่ใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเก่า

                กูกลัวว่ากูจะทนไม่ไหวมากกว่า

            และถ้าเป็นแบบนั้น เขาต้องขายหน้าไอ้โรคจิตปีหนึ่งแน่

                เขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาใช้มือรูดแกนกายของคนตรงหน้าต่อไป จนกระทั่ง...

                “ฮะ...ฮาห์ ผม...ใกล้แล้วครับ มันใกล้แล้ว”

                เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็เร่งจังหวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเสียงเฉอะแฉะดังก้องห้องน้ำอย่างต่อเนื่องและ...

                “ฮาห์...” ของเหลวสีขาวขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา อย่างที่มีมือของฮ่องเต้ช่วยสาวให้ออกมาจนหมด

                “ขอบคุณครับ” โฟโต้ว่าอย่างอ่อนแรง

                “พี่เต้...” เสียงร้องเรียกของโฟโต้ ทำเอาคนขี้อายต้องเงยหน้าสบตาแบบงงๆ “...ของพี่...มัน”

                เพียงเท่านั้น สายตาก็ก้มลงมองตามสายตาของหนุ่มรุ่นน้องพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกทันที

                 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:49:24
ตอนที่ 21 คำสารภาพ

                 “...ของพี่...มัน”

                ฮ่องเต้เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกทันทีที่สายตาสบเข้ากับบางอย่างที่กำลังดุนดันกางเกงของเขาออกมา

                “อย่ามองนะเว้ย!” ก่อนจะกระโจนเข้าปิดตาหนุ่มรุ่นน้องที่เอาแต่จับจ้องมายังช่วงล่าง แบบที่ทำให้เขารู้สึกขายขี้หน้าไปมากกว่าเก่า

            พี่เต้ มีอารมณ์กับเราเหรอวะ

            โฟโต้อดคิดเข้าข้างตัวเองอย่างเสียไม่ได้เพราะหลักฐานที่ตำตาอยู่ตรงหน้า มันออกจะชัดว่าพี่ฮ่องเต้ของเขากำลังรู้สึกยังไง จึงเอาฉวยโอกาสจับมือที่ปิดตาของเขาและดึงออกมากุมเอาไว้ พลางสบสายตากับอีกฝ่ายที่ดูเหมือนกำลังจะตายเพราะความอายที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง

                “ผมช่วยนะครับ” และพูดออกไปเสียงแผ่วพร้อมกับสายตาที่มองเข้าไปที่ร่างกายของคนที่กำลังสั่น อย่างที่ไม่อาจจะหักห้ามความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้

                “ไม่ต้อง!!” จนฮ่องเต้ต้องแหวใส่เพราะสายตาคมที่กำลังมองมาอย่างต้องการให้เขายอมสิโรราบแต่โดยดี

                หากแต่เพราะ...

                เราไม่ได้เป็นอะไรกัน

            ทำให้ฮ่องเต้ลังเลใจ แม้ลึกๆ เขาจะไม่ได้รู้สึกรังเกียจกับสัมผัสจากอีกฝ่าย มันออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำกับช่วงเวลาแบบนี้ กับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้

                “กูจัดการเองได้ มึงรีบล้างตัวแล้วออกก็ไปพักผ่อนเถอะ” ฮ่องเต้ร้องบอกออกไปพร้อมกับดึงมือของตัวเองออกมา กะจะรีบออกไปจากห้องน้ำโดยเร็วเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน

                 หากแต่โฟโต้กลับไวทันพอจะคว้าแขนกลับมา...

                แบบที่ทำให้ฮ่องเต้เสียหลัก โผเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมาก จนใบหน้ากับเฉียดใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ทำเอาคนที่โตกว่าถึงกับสะดุ้ง สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความกังวล อย่างคนทำอะไรไม่ถูก

                “พี่เต้รู้ไหมครับ ว่าพี่น่ารักมากในสายตาของผม”

                เพราะจู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดเช่นนั้น ทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรืออะไรกันแน่ จึงได้เพียงแค่สบตาอีกฝ่ายนิ่งราวกับถูกสะกดเอาไว้ อีกอย่าง เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรรุนแรงออกไปเพราะยังเห็นว่าโฟโต้ใส่เฝือกอยู่ เกรงว่ามันจะกระทบกระเทือนเข้า

                “ผมขอจูบพี่ได้ไหมครับ” โฟโต้ทำทีเอ่ยปากขอ หากแต่ในใจคิดไว้ว่ายังไงก็จะต้องทำ จึงขยับศีรษะและเผยอริมฝีปากเข้าใกล้

                “มึงจะจูบกูทำไมวะ” และก็เป็นไปตามคาด เมื่อฮ่องเต้สวนกลับมาด้วยหัวใจที่เต้นแรงอย่างกับจะหลุดออกมาจากอก มันทำให้โฟโต้ต้องชะงัก แต่ก็เพียงแค่น้อยนิดและยกยิ้มที่มุมปาก เลื่อนสายตาขึ้นไปมองและจับจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตของคนด้านบน

                “ผมแค่อยากจูบ คนที่ผมรัก จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอครับ” เอ่ยออกไปเสียงหวาน มองด้วยแววตาเย้ายวนให้อีกฝ่ายได้เผลอไผล ก่อนจะเผยอปากและงับเข้าที่ริมฝีปากล่าง...

                ดูดดึงออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างความวาบหวามและบรรจงใช้ลิ้นร้อนสัมผัสไปทั่วทั้งริมฝีปากบนและล่าง ลิ้มชิมรสชาติหอมหวานภายนอก ขณะที่มือเลื่อนสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มอย่างเบามือจนอีกฝ่ายเผลอ จึงฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้าไปตักตวงน้ำหวานภายในเข้ามากักเก็บเอาไว้ที่ปากของตน และเว้นจังหวะ ผละออกมากลืนน้ำหวานเข้าไปอึกใหญ่และปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสพักหายใจ แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่...

                ก็ประกบปากเข้าหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็นสัมผัสที่ร้อนแรงกว่าครั้งแรก ริมฝีปากของคนเด็กกว่าราวกับจะกลืนกินคนที่โตกว่าเสียให้ได้ ทั้งความเร่าร้อนและวาบหวามเกาะกุมหัวใจเอาไว้แน่น แบบที่ฮ่องเต้ต้องหลับตาพริ้มและขยับไปตามท่วงทำนองที่โฟโต้กำลังนำไป

                อดยอมรับไม่ได้ว่ามันทำให้ฮ่องเต้รู้สึกดี...

                อาจจะไม่ใช่จูบแรก แต่กลับเป็นจูบที่สามารถตราตรึงเขาเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด ทั้งจังหวะขยับริมฝีปากที่สร้างความร้อนแรงได้ทุกเสี้ยวนาที อีกทั้งลิ้นร้อนที่ตวัดเกี่ยวเข้ามาภายในอย่างต้องการจะหยอกล้อให้ใจเต้นเร็วและแรงขึ้น ทุกอย่างดูลงตัวไปเสียหมดจนฮ่องเต้เองก็แทบทนไม่ไหวกับสัมผัสนี้

                อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่วนเวียนอยู่ในใจ ทำให้เขาเผลอไผลไปกับหนุ่มรุ่นน้องอย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับโฟโต้...เขาเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโอนอ่อนไปตามการลุกล้ำของเขาเช่นนี้ มันทำให้เขาอดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าริมฝีปากจะประกบกับอีกฝ่ายและมอบสัมผัสที่เติมเต็มความรู้สึกของกันและกันมากขึ้นไปในที

                กระทั่ง พอจะจับทางได้ว่าฮ่องเต้กำลังไร้สติ มือข้างที่ว่างจึงค่อยเลื่อนสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังของรุ่นพี่ แบบที่ฮ่องเต้ต้องเผลอส่งเสียงออกมาในลำคอเพราะความรู้สึกวาบหวิวจากมือหนาของหนุ่มรุ่นน้อง จนเริ่มจะชินกับการสัมผัสเช่นนั้น มือหนาจึงเลื่อนผ่านสีข้างมาด้านหน้าและซุกมือเข้าไปในเสื้อยืด ลูบไล้หน้าท้องอย่างเบามือและขยับขึ้นไปบนกล้ามเนื้อหน้าอกอย่างเชื่องช้า

                กระทั่ง...

                นิ้วหนึ่งสะกิดเข้าบนยอดอกซึ่งกำลังแข็งเป็นตุ่มไตด้วยแรงอารมณ์ที่เอ่อล้นออกมาเสียจนยากจะกักเก็บเอาไว้ มันทำให้ฮ่องเต้สะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลงขึ้นมามองและผละริมฝีปากออกจากหนุ่มรุ่นน้อง

                “ทำ...ทำอะไร” กระซิบถามเสียงแผ่วด้วยความตื่นตระหนก

                “ผมแค่อยากจะช่วย...” อีกฝ่ายตอบกลับไปเสียงเบาหวิว สายตาดูล่องลอยเป็นคนละคนเพราะกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้และใช้มือรั้งลำคออีกฝ่ายเอาไว้ แล้วจูบลงบนแก้มใสไปที...สองที เลื่อนลงมาที่ริมฝีปากและค่อยแปรเปลี่ยนเป็นลำขอขาวผ่อง

                อย่างที่ทำให้ฮ่องเต้...หายใจแรงขึ้น

                ไม่ไหวแล้ว...

            เขาพร่ำบ่นในใจซ้ำๆ กับสัมผัสที่เริ่มจะมากขึ้นไปทุกทีของหนุ่มรุ่นน้อง จึงได้แต่หลับตาพริ้มยอมรับสัมผัสนั้นแต่โดยดีเพราะเขาเองก็ไม่อาจจะต้านทานอะไรได้อีกต่อไป

                ครั้งเดียว...ขอแค่ครั้งเดียว

            ฮ่องเต้กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่อย่างที่ไม่อาจจะต้านความต้องการของตัวเองได้ ใจของเขาก็ต้องการ...ต้องการหนุ่มรุ่นน้องคนนี้เช่นกัน 

                โฟโต้จึงได้ใจ ผละมือจากลำคอและเลื่อนมาลูบไล้ตรงต้นขาของฮ่องเต้ที่มีเพียงแค่กางเกงขาสั้นตัวบางสำหรับใส่นอน ที่ร่นขึ้นไปถึงโคนขาอ่อนปกปิดส่วนนั้นเอาไว้ ก่อนที่มือหนาจะขยับลึกเข้าไปด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น...และรีบดึงมือออกมาเพื่อถอดกางเกงของคนตรงหน้าลงอย่างที่ไม่อาจจะอดทนได้อีกต่อไป

                จนเหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในตัวบาง...

                มือของหนุ่มรุ่นน้องก็คว้าหมับเข้าที่ส่วนนั้นและปรนเปรออีกฝ่ายอย่างชำนาญ จนฮ่องเต้เริ่มส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่ต้องการจะปกปิดความรู้สึกของตน เพราะความร้อนระอุภายในร่างกายมันไม่อาจจะเย็นลงได้ หากเขาจะหยุดในตอนนี้

                “อึก...โฟ...โฟโต้” ฮ่องเต้ส่งเสียงร้องเรียกชื่อ หลังจากที่หนุ่มรุ่นน้องงัดแกนกายของเขาออกมาให้สัมผัสกับอากาศภายนอก พร้อมทั้งความรู้สึกจากการถูกสัมผัสจากมือโดยตรง ทำให้ความเสียวซ่านยิ่งปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขาถึงกับตัวเกร็ง

                “ว่าไงครับ” โฟโต้เอ่ยเสียงหวานพลางยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อมือหนึ่งจับเข้าที่แขนของเขาเพราะความเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว แบบที่โฟโต้ต้องก้มลงไปกดจูบที่แก้มและจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากอีกฝ่าย

                ...พร้อมทั้งขยี้ส่วนหัวให้ตัวกระตุกและเลื่อนลงมารูดแกนกายขึ้นลงตามจังหวะเนิบช้า ก่อนจะค่อยเร็วขึ้นจนฮ่องเต้ส่งเสียงอื้ออึงออกมา

                ดี...มันดีเกินไปแล้ว

            และครวญครางอยู่ในใจเช่นนั้น อย่างพ่ายแต่ต่อการปรนเปรอจากหนุ่มรุ่นน้อง

                “น่ารักจัง...” โฟโต้แกล้งก้มลงไปกระซิบที่หูจนฮ่องเต้ขนลุกซู่ตาม “...เด็กดีของผม”

                แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่ค่อยเหมาะกับคนที่อายุห่างกันถึงสามปี แต่มันก็ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกดีไม่ใช่น้อย จนอ่อนยวบลงไปตามแรงอารมณ์ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนได้รับความอบอุ่นจนน้ำตาแทบจะเอ่อล้นออกมา

                “อึก...ฮ่าห์” และมันก็ทำให้คนที่โตกว่ารู้สึกเหมือนตัวเล็กลงไป มันทั้งอบอุ่นและดีอย่างไม่น่าเชื่อ

                โฟโต้ก้มใบหน้าลงไปซุกไซร้ลำคอ เพิ่มความสุขซ่านไปทั่วร่างกายของหนุ่มรุ่นพี่ ลิ้นร้อนสัมผัสเลียเข้าคอขาวและลากลงมายังเนินอก...

                “อื้อ...อย่า...” ฮ่องเต้ร้องเสียงลงเมื่อลิ้นลากผ่านตุ่มไตสีหวาน ก่อนจะงับเบาๆ และดูดดึงจนชุ่ม จนมือบีบเข้าที่แขนของโฟโต้อย่างแรง ทว่าคนทำกลับยิ่งได้ใจ รัวลิ้นเลียรอบตุ่มจนอีกฝ่ายหายใจถี่ยิบ ขณะมือก็เร่งจังหวะสาวขึ้นลงเร็วเสียจนคนถูกกระทำแทบไม่ได้พักหายใจ

                อย่างที่กำลังลืมความเป็นจริงทุกอย่างหมดสิ้น...

            ...และส่งเสียงครางออกจาลำคออย่างไร้ข้อกังขาใดภายในหัวใจ

            ลืมแม้กระทั่งความคิดที่คอยย้ำเตือนตนอยู่เสมอว่าเขากับโฟโต้ควรจะเป็นแค่...รุ่นพี่รุ่นน้อง...

            “มัน...มัน...” เขาร้องเสียงหลงเมื่อความเสียวซ่านแล่นปราดขึ้นมาทั่วร่างจนร่างกายกระตุกตามอย่างไม่อาจจะห้ามได้ เผลอไผลขยับสะโพกตามแรงอารมณ์ กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายที่ร่างกายกระตุกเกร็งและปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมาจนหมดสิ้น...

                ฮ่องเต้หายใจเหนื่อยหอบ โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างอ่อนแรง ขณะที่โฟโต้ได้แต่มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น...


(มีต่อ.....)


หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:50:55
      (ต่อ.....)
               ฮ่องเต้คิดว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน...

                เขาหลับตาพริ้มอย่างคนตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความสุข นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้...ความรู้สึกราวกับถูกโอบล้อมเอาไว้ด้วยไออุ่นจากใครสักคน

                “ผมแค่อยากจูบ คนที่ผมรัก จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอครับ”

                ...

                “...คนที่ผมรัก...”

                สั้นๆ แต่กลับทำให้รู้สึกดีเสียจนเกินกว่าจะพรรณนาสิ่งที่อยู่ภายในใจ เพราะหลงคิดไปว่าเป็นความฝัน จึงปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปไกล ไม่แม้แต่จะกักเก็บความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่ออีกฝ่ายเอาไว้...

                หากแต่เพราะแสงที่ลอดผ่านเข้ามา ทำให้เปลือกตาของหนุ่มรุ่นพี่ต้องลืมขึ้น พลันใบหน้าของคนข้างกายก็ปรากฏตรงหน้า...พร้อมกับดวงตาของฮ่องเต้ที่เบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก

                ร่างทั้งร่างลุกพรวดขึ้นมานั่งมองหนุ่มรุ่นน้องที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขา...

                มันไม่ใช่ความฝัน ทั้งหมดคือความจริง...

                ความจริงที่ว่าเขากับเด็กคนนี้จูบกันและ...ทำเรื่องน่าอายลงไป

                พลันหน้าใสก็ระเรื่อไปด้วยเลือดฝาดจากความอาย แม้ร่างกายของทั้งคู่จะถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้า หากแต่ภาพเมื่อคืนยังคงชัดเจนในความทรงจำของเขา ยิ่งไปกว่านั้น...เขาดันจำรายละเอียดทุกอย่างได้ดี แม้กระทั่งกับ...

                สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองไปยังร่างกายช่วงล่างซึ่งถูกผ้าห่มปิดเอาไว้ของคนที่หลับใหลอย่าไม่รู้เรื่องรู้ราว

                เชี่ยยย นี่กูคิดอะไรอยู่วะ

                แล้วก็ส่ายหน้าไล่ภาพนั้นออกจากหัวทันที

                ไปว่ามันโรคจิต แต่ไอ้สิ่งที่เขาทำไป มันก็ดูโรคจิตพอกัน

            “พี่เต้...ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงอ้อแอ้ของคนข้างกายทำเอาฮ่องเต้เลิกลัก รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                “อะ...อืม” ว่าเสร็จก็พูดออกไปรัวๆ “ถะ...ถ้ามึงง่วงก็หลับต่อเถอะ กูไปอาบน้ำก่อน”

                “เดี๋ยวสิครับ” หากมือของรุ่นน้องกลับยื่นออกไปคว้าแขนของเขาเอาไว้ แต่เพราะเผลอผุดลุกขึ้นเร็วไปหน่อย เป็นเหตุให้คนที่แขนยังใส่เฝือกอยู่ต้องร้องออกมาเสียงดัง “โอ๊ยยยย”

                จนฮ่องเต้ต้องรีบกลับมาดูด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่าวะ”

                โฟโต้ทำทีนิ่วหน้าใส่เพราะอาการบาดเจ็บตรงแขน...ที่แสร้งทำขึ้นมาเพื่อหลอกคนตรงหน้า

                “รู้สึกเจ็บนิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไร” โฟโต้ว่าเสียงอ่อนพลางยิ้มบางๆ ให้

                “อย่าขยับมากดิวะ แขนมึงยังไม่หายดี” ฮ่องเต้พูดออกไปด้วยความเป็นห่วงอย่างลืมตัวและมันก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มใจชื้นขึ้นมาเพราะท่าทีที่ดูอ่อนลงไปของคนตรงหน้า

                “พี่เต้...หายโกรธผมแล้วเหรอครับ” จึงเอ่ยปากถามออกไปเสียงอ่อน แบบที่หนุ่มรุ่นพี่ถึงกับชะงักอย่างเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็มีเรื่องค้างคาใจกับรุ่นน้องคนนี้

                “กู...”

                “ผมขอโทษนะครับ ที่โกหกพี่...” โฟโต้แสร้งก้มหน้าก้มตาอย่างคนสำนึกผิด “...ตอนนั้น ผมคิดแค่ว่า...พี่กับนัทคงอยากจะไปด้วยกัน เลยไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน”

                ฮ่องเต้ทำได้แต่นิ่งเงียบและฟังอีกฝ่ายพูดในสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมานาน ยอมรับว่ามันเป็นความจริงที่เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยและนั่น ก็ส่งผลให้บรรยากาศภายในห้องดูตึงเครียดขึ้นมาถนัดตา จนโฟโต้ต้องเหลือบตามองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเป็นระยะ

                “ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้พี่โกรธ...จนไม่ยอมคุยกับผม” ก่อนที่มือจะเลื่อนมาจับมือของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนและออกแรงบีบเบาๆ

                “ผมไม่ได้ตั้งใจ ผม...ขอโทษนะครับ” และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ หากแต่มันกลับทำให้ฮ่องเต้ดึงมือกลับมา ก่อนสายตาตึงเครียดจะเงยขึ้นมาสบกับสายตาคนตรงหน้า

                “มึงจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มึงก็โกหกกูไปแล้วหรือเปล่าวะ” และในที่สุดก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบ           

                “พี่เต้...” โฟโต้เองก็แอบตกใจไม่ใช่น้อย เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโกรธเขามากขนาดนี้

                โดยเฉพาะกับร่างกายที่กำลังสั่นและแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก...น้อยใจ มันทำให้เขาใจหายวาบไปตามๆ กัน

                “มึงแคร์ความรู้สึกเพื่อนมึง อยากให้เพื่อนมึงกับกูได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคน แล้วมึง...” ก่อนที่ฮ่องเต้จะกลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ตรงลำคอของเขาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงระคนความน้อยใจ “...มึงไม่คิดจะแคร์ความรู้สึกกูบ้างเลยเหรอวะ”

                ฮ่องเต้รู้เพียงแค่ว่า...นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากจะระบายออกไป หลังจากที่เอาแต่หมกมุ่นและคิดทบทวนเรื่องของเด็กปีหนึ่งที่เข้ามาวนเวียนในชีวิตของเขาในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองพูดออกไปด้วยอารมณ์ไหนด้วยซ้ำ ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามันสมควรที่จะพูดออกไปในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง เหมือนอย่างที่เขาพยายามจะรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้หรือเปล่า ขอแค่เพียงตอนนี้ ความอึดอัดและคับข้องใจในตอนนี้ ถูกระบายออกไปก็พอ

                เพราะเขาเองก็อยากกลับไปคุยกับรุ่นน้องคนนี้เช่นเดิม อยากให้มันเป็นเหมือนเดิม กวนประสาตและ ยิ้ม แบบที่มันยิ้มให้กับเขาเหมือนที่มันเคยทำ

                ผมแค่อยากเห็นรอยยิ้มนั้นบนใบหน้าของมัน ไม่ใช่สีหน้าอมทุกข์แบบนี้

            แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายพยายามต่อต้านในทีแรก แต่พอมันถอยห่างเข้าจริงๆ มันกลับทำให้เขา...รู้สึกแย่

                ผมรู้แค่ว่ามันไม่มีความสุข ไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง ที่มันกำลังตีตัวออกห่างจากชีวิตและผลักผมเข้าไปในชีวิตของคนอื่น

                ขณะที่โฟโต้เองก็ถึงกับต้องหันไปมองคนข้างๆ  ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่ทำให้เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ทั้งน้ำเสียงและร่างกายที่กำลังสั่นระริกนั่นด้วย ที่ทำให้เขารับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ในใจของฮ่องเต้

                เขาไม่รู้หรอกว่ารุ่นพี่ปีสี่ที่เขาหมายตาเอาไว้คนนี้ จะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังแสดงท่าทีแบบไหนออกมา รวมถึงคำพูดนั้น ที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของพี่ฮ่องเต้เร็วขนาดนี้ แต่นั่น มันก็ทำให้เขาดีใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ มันไม่ใช่รอยยิ้มอันแสนร้ายกาจ หากแต่มันเป็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่เขามักจะแสดงออกมาเพียงแค่เวลาที่เขามีความสุข...สุขที่เกิดจากหัวใจ แม้จะเพียงแค่เรื่องน้อยนิด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขาแล้วไม่ใช่หรือ

                “พี่เต้...อยากให้ผมแคร์ความรู้สึกพี่ใช่ไหมครับ”

                คำถามที่เอื้อนเอ่ยออกไปจากปากของรุ่นน้อง ฉุดให้ฮ่องเต้ที่จมดิ่งอยู่กับความรู้สึกของตนเอง ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตนได้พูดอะไรออกไป เหมือนว่าเขากำลังให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มากเสียจนอาจจะหลงลืมไปว่าเขากำลังตีกรอบให้ตนเองอยู่ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง

                และฐานะแบบนั้น สมควรแล้วหรือที่เขาพูดเช่นนี้ออกไป

                พอหันกลับมามองคนข้างๆ  เขาก็พบกับรอยยิ้มบางๆ  ที่ระบายบนใบหน้าของโฟโต้ เพียงเท่านั้น หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

                มันยิ้มแล้ว...

            แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มสดใสเหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาและความอึดอัดใจก็ถูกลบเลือนไปช้าๆ

                หรือความจริงแล้ว หัวใจของเขาต่างหาก ที่เป็นฝ่ายคิดอะไรมากกว่าไปกว่านั้น

            “ถ้าเป็นแบบนั้น ผมสัญญาว่าจะใส่ใจความรู้สึกของพี่เหมือนอย่างที่พี่ต้องการ”

                “มึง...คือกู...” คราวนี้ ฮ่องเต้กลับกลายเป็นฝ่ายอึกอักเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับคำพูดของตัวเอง

                พูดออกไปแล้ว ใช่ว่าจะเอากลับคืนมาได้เสียเมื่อไหร่

            หรือบางทีเขาควรจะยอมรับความรู้สึกทั้งหมดที่มันกำลังก่อตัวขึ้นมาในใจกัน...

                “พี่เต้ครับ...” โฟโต้เอื้อมมือไปจับมือคนตรงหน้าอีกครั้ง หากคราวนี้กลับกระชับมือนั้นเอาไว้แน่นและมองสบสายตาอย่างจริงจัง “...พี่อาจจะยังไม่รู้ ว่าความจริงแล้ว...ผมชอบพี่”

                ร่างกายของคนที่โตกว่าชาวาบไปทั้งร่าง ทันทีที่ประโยคสั้นๆ หลุดออกมาจากปากของคนที่เด็กกว่า ก่อนที่ใจของเขาจะเต้นแรงขึ้นมาด้วยความรู้สึกดี หากแต่มันก็ยังมีความกังวลใจเข้ามาปะปนเสียจนเขาทำตัวไม่ถูก

                “ผมเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกแบบนั้น ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ ใจของผม...มันมีแค่พี่ฮ่องเต้คนเดียว” โฟโต้ยังคงสารภาพทุกความรู้สึกทั้งหมดของตนออกไปอย่างหมดเปลือก “และที่เมื่อคืน...ที่ผมพูดออกไป มันคือความรู้สึกจริงๆ ของผมและที่ผมจูบพี่ก็เพราะผมอยากจะจูบไปตามความรู้สึกของคนที่รักพี่ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะอารมณ์...แบบนั้น”

                ฮ่องเต้รู้สึกว่าหัวใจกำลังทำงานหนักพอๆ กับสมอง จนร่างกายชาวาบและปากหนักแบบที่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

                “แต่ยังไง ผมก็ไม่เร่งเอาคำตอบจากพี่หรอกครับ ผมเข้าใจดีว่าระหว่างผู้ชายด้วยกัน...เอ่อ พี่เต้คงจะคิดไปว่ามัน...ไม่ควร”

                เพราะท้ายประโยคที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแบบที่ทำให้คนฟังเจ็บปวดตาม ฮ่องเต้จึงอดเงยหน้าขึ้นมามองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังก้มหน้างุดอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะหลบสายตา เมื่อหนุ่มรุ่นน้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

                “แต่ผมจริงจังกับเรื่องนี้มากนะครับ ผมอยากจะขอโอกาส...” โฟโต้เงียบไปอึดใจและมองปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม แล้วเอ่ยปากออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “...ให้ผมได้จีบพี่เต้นะครับ”

                และหัวใจของคนฟังก็ถึงกับกระตุก ราวกับร่างกายพลัดตกจากที่สูง ก่อนที่มันจะเต้นเร็วและแรงขึ้น

                “ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าแผลในใจของพี่ ถูกใครทำร้ายมา แต่อย่างน้อยให้ผมได้เป็นคนรักษาแผลนั้นได้ไหม อย่างน้อยขอให้ผมได้ลองดูสักครั้ง ถ้ามันไม่หาย ผมสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างพี่ไปพร้อมกับบาดแผลนั้นตลอดชีวิตของผม”

                ฮ่องเต้ยังคงเงียบ...

                สมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดทุกคำพูดของโฟโต้และเรื่องราวต่างๆ ระหว่างพวกเขา ขณะที่หัวใจก็เอาแต่ส่งเสียงตามความรู้สึกที่มันปนเปกันไปหมด

                ทั้งรู้สึกดีที่อีกฝ่ายสารภาพว่าชอบ...

            ...แต่อีกใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ครั้นนึกไปถึงเส้นทางของพวกเขาต่อจากนี้

            “นะครับ พี่เต้...” โฟโต้ส่งเสียงออดอ้อนอย่างต้องการให้อีกฝ่ายใจอ่อน จนฮ่องเต้ต้องหันขวับกลับไปมองอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

                “แล้ว...กับเด็กปีหนึ่งที่ชื่อฝ้าย...”

                “ผมกับฝ้ายเป็นแค่เพื่อนกันครับ” โฟโต้ร้องบอกพร้อมกับส่งยิ้มออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้และส่งสายตาหยอกล้อ “นี่อย่าบอกนะครับ ว่าที่พี่หนีกลับก่อนวันนั้น...พี่หึงผม”

                “ไม่ใช่เว้ย!” ฮ่องเต้ร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “แล้วทำไมพี่ถึงกลับก่อนล่ะครับ ทั้งๆ ที่พี่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม” โฟโต้ยังเท้าความไปถึงเรื่องวันนั้นต่อ จนคนที่ถูกสอบปากคำถึงกับหน้าขึ้นสี เลิกลักทางคำแก้ตัว

                “ก็กูไม่อยากให้เพื่อนมึงรอนาน”

                “แค่นั้นเองเหรอครับ” โฟโต้แสร้งทำหน้าหงอยใส่

                “เออ ก็แค่นั้นแหละ มึงจะอะไรนักหนาวะ” ขณะที่อีกฝ่ายก็ได้แต่ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายด้วยความเคยชิน

                “ผมก็แค่อยากให้พี่...” หนุ่มรุ่นน้องเว้นจังหวะและยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างต้องการจะแกล้ง “...หึงผม”

                และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล จนฝ่ายตรงข้ามถึงกับชักสีหน้าหงุดหงิดเป็นเท่าตัวอย่างต้องการจะกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นแรง

                “แล้วสรุปว่าพี่จะตอบผมได้หรือยังครับ ว่าจะยอมให้ผมจีบหรือเปล่า”

                ฮ่องเต้หลุบตาลงต่ำและได้แต่ช่างใจอยู่สักพัก

                “ทำอย่างกับกูปฏิเสธแล้วมึงจะยอม” แม้ปากจะพูดกับคนตรงหน้า หากแต่สายตากลับเบนไปมองทางอื่น  จนคนรอคำตอบถึงกลับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

                ทำไมน่ารักแบบนี้วะ

            “ถ้าอย่างนั้น จะถือว่าพี่ฮ่องเต้อนุญาตก็แล้วกันนะครับ” โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างอย่างเด็กที่กำลังสมใจอยากกับการตามใจจากคนที่โตกว่า “เอาเป็นว่านับตั้งแต่นี้ไป ผมจะเดินหน้าจีบพี่ในแบบของผม จนกว่าพี่จะรู้สึกโอเคกับทุกอย่าง ถ้าวันนั้นมาถึง...ช่วยให้คำตอบกับผมด้วยนะครับ”

                ฮ่องเต้ที่กำลังจะหันกลับมาตอกกลับอะไรสักอย่างด้วยความหมั่นไส้ในความมั่นใจจนออกนอกหน้าของโฟโต้ ถึงกับต้องชะงักและท่าทีอ่อนลง เพราะดันไปสบเข้ากับแววตาที่กลับมาสดใสอีกครั้งและเพราะมันเต็มไปด้วยความหวัง ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกไปมากกว่านี้

                “มึงนี่...ดื้อเหมือนกันนะ” เลยได้แต่ว่างออกไปพลางยิ้มน้อยๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย

                แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้ผมสบายใจที่ได้กลับไปคุยกับมันแบบเดิม

            แม้ว่าเขาจะยังไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองทั้งหมด แต่ความอึดอัดภายในใจ มันก็เบาบางลงไปบ้าง

                “ถ้าดื้อแล้วได้ใจพี่ ผมยอมเป็นเด็กดื้อในสายตาพี่ไปตลอดชีวิตเลยครับ ขออย่างเดียว พี่อย่าดื้อกับผมให้มากนักก็พอ...”

                “ทำไม มึงจะทำอะไรกู”

                “ผมบอกพี่ไปแล้วนี่ครับ ว่าผมจะจีบในแบบของผม นั่นก็หมายความว่า...ถ้าพี่ยิ่งดื้อกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ต้องใช้วิธี จีบ ที่เหมาะกับเด็กดื้อและเพิ่มระดับไปตามความดื้อของพี่นั่นแหละครับ”

                “ถอยออกไปเลยนะเว้ย!” ฮ่องเต้ร้องลั่นทันทีเพราะโฟโต้กระเถิบเข้ามาใกล้พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากอย่างเสือร้ายกำลังได้ใจ “แล้วก็เลิกทำหน้าเจ้าเล่ห์แบบนั้นสักที”

                ที่อยากเห็นมันยิ้ม ผมหมายถึงยิ้มแบบร่าเริงสดใส ไม่ใช่ยิ้มใส่เหมือนมันคิดไม่ซื่อกับผมตลอดเวลาแบบนี้สักหน่อยนี่ครับ

            “ดีใจจัง ที่พี่มองออกสักทีว่าผมเจ้าเล่ห์”

                “กูมองออกนานแล้วเถอะ”

                “จริงเหรอครับ!” โฟโต้ตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “มันใช่เรื่องน่าดีใจหรือไง!?” จนฮ่องเต้ได้แต่มองสีหน้าตื่นเต้นไม่เข้าท่าของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

                “ทำไมจะไม่น่าดีใจล่ะครับ พี่บอกว่าพี่มองออกนานแล้ว มันก็แสดงว่าพี่เองก็มองผมมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นพี่จะรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นแบบนั้น” ว่าแล้วก็ยิ้มแป้นแล้นใส่ อย่างภาคภูมิใจกับคำพูดของตัวเองเสียเต็มประดา

                ไอ้เด็กนี่ จินตนาการเก่งกว่าผู้หญิงอีก

            “เออ มึงจะคิดอะไรก็เรื่องของมึงเถอะ”

                ในเมื่อคนที่โตกว่าอย่างเขาทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

                “ถ้าอย่างนั้น ถือว่าพี่รับรู้แล้วนะครับ ว่าผมจะจีบ...” ว่าไปพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ “...อย่าคิดหนีผมก็แล้วกัน”

                “คนอย่างกูไม่เคยคิดหนีใครอยู่แล้วเว้ย!”

                แต่ถ้ามันจำเป็นก็อีกเรื่องนะครับ

            “แล้วก็ถ้าอกหักขึ้นมาก็อย่ามาฟูมฟายทีหลังก็แล้วกัน”

                “ถ้าอย่างนั้น เรามาแข่งกันไหมครับ ว่าใครจะฟูมายก่อนกัน ระหว่างพี่กับผม...”

                คำท้าของโฟโต้ทำเอาฮ่องเต้ต้องขมวดคิ้วใส่ “ทำไมกูต้องฟูมฟายด้วย”

                “ก็เผื่อพี่แอบหึงผมไง”

                “ตื่นเหอะ มึงน่ะ” ฮ่องเต้โพล่งออกไปด้วยความเอือมระอากับความมั่นหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง

                “พี่มาพนันกับผมไหมล่ะ ระหว่างที่ผมจีบพี่...ถ้าพี่ร้องไห้ก่อน ผมจะจูบพี่ แต่ถ้าผมร้องไห้ก่อน ผมยอมให้พี่จูบผมสิบทีเลยอ่ะ”

                “ไม่เว้ย! ถ้ามึงร้องไห้ก่อน กูจะลงโทษมึงด้วยวิธีของกู” อาจจะเป็นเพราะความอึดอัดใจก่อนหน้านั้นถูกยกออกไปจากอกจนบ้างแล้ว ฮ่องเต้จึงเผลอมองหน้ามันแบบกวนๆ อย่างไม่ทันได้คิดอะไร และนั่นก็ยิ่งเข้าทางโฟโต้ไปกันใหญ่

                “โอเคครับ ถือว่าพี่ยอมพนันกับผมแล้วนะ”

                “เออ...” และก็ตอบกลับไปสั้นๆ เพียงเท่านั้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:52:58
ตอนที่ 22 มากกว่านั้น

                “กูไม่ว่าง” ฮ่องเต้พูดใส่มือถือไปพลางมือหนึ่งก็ค้นเสื้อผ้าในตู้ไปพลาง “เออ เอาไว้ตอนเย็นก็แล้วกัน แค่นี้นะเว้ย กูยุ่งอยู่”

                บอกออกไปและกดวางสายลูกพี่ลูกน้องของตนที่โทรมาตามตื๊อให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อน แต่เขาก็ต้องปฏิเสธไปเพราะไม่อยากให้สีฝุ่นมาเห็นเขาอยู่กับโฟโต้ ไม่อย่างนั้น ได้ถูกซัก ไม่ก็ถูกล้อเป็นแน่

                ฮ่องเต้ปิดประตูตู้ หลังจากได้เสื้อผ้าตามที่ต้องการ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูห้องน้ำถูกเปิด เขาจึงชะงักฝีเท้าพร้อมกับสายตาที่เหลือบไปมองหนุ่มรุ่นน้องที่เดินออกมา

                เพียงเท่านั้น เขาก็ถึงกับต้องมองค้าง...

                เพราะคนตรงหน้าพันแค่ผ้าเช็ดตัวไว้เพียงแค่ท่อนล่าง เผยให้เห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวระยับ ครั้นเมื่อแสงแดดลอดผ่านม่านเข้ามากระทบ สายตามองสำรวจไล่ตั้งแต่เส้นผมที่ชุ่มไปด้วยน้ำเสียจนหยดลงมาบนหน้าผาก...

                ...หยดน้ำนั้น ไหลลงมายังสันจมูก ผ่านริมฝีปากชุ่มชื้นกระทั่งมาถึงปลายคาง ก่อนจะหยดลงบนกล้ามเนื้อหน้าอก ผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องลงไปยัง...

                “หน้าแดงหมดแล้วครับ”

                ฮ่องเต้รีบเบนสายตาหนีทันที ครั้นหนุ่มรุ่นน้องเอ่ยปากแซว ก่อนจะกระแอมไอสองสามทีแก้เขิน อย่างที่โฟโต้แทบจะอดใจไม่ไหว

                คนบ้าอะไรวะ เขินแล้วน่าฟัดฉิบหาย

            คิดในใจพลางแอบเลียริมฝีปากเบาๆ และกลืนน้ำลายลงคออย่างต้องการจะแกล้งคนที่ลอบหันกลับมามองเขาเป็นระยะ ฮ่องเต้ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าสายตาของเขายังคงติดอยู่ที่หนุ่มรุ่นน้อง เพราะคิดไปว่าตนหันไปมองทางอื่น

                หากแต่คนแกล้งยังคงไม่พอใจ สองเท้าย่างเข้ามาประชิดกับหนุ่มรุ่นพี่ หากแต่พอฮ่องเต้จะขยับหนี แขนข้างซ้ายก็ยื่นออกไปรั้งเอวคนตรงหน้าเอาไว้ จนร่างทั้งสองแนบชิดกัน ชนิดที่จมูกของฮ่องเต้สามารถสัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมและผิวกายของหนุ่มรุ่นน้องได้อย่างง่ายดายและมันก็ทำเอาเลือดในร่างกายของเขาสูบฉีดเร็วขึ้น จนแก้มแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ อย่างที่โฟโต้พอใจ

                แม้จะเป็นกลิ่นหอมจากแชมพูและครีมอาบน้ำที่ฮ่องเต้ใช้ทุกวัน แต่พอมันมาอยู่บนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มและผิวที่แม้จะไม่ขาวมาก แต่ก็แลดูสุขภาพดีของคนตรงหน้าแล้ว มันกลับส่งกลิ่นหอมยิ่งเสียกว่าตอนที่เขาใช้มันเสียอีก

                “ทำอะไรวะ...” ฮ่องเต้กระซิบถามออกไปพลางพยายามจะทำหน้าหงุดหงิดเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นแรง แต่อาจจะเป็นเพราะความประหม่าที่มีมากกว่าก็เป็นได้ สีหน้าและท่าทางของเขาในตอนนี้ จึงแสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังทำตัวไม่ถูกมากกว่ากำลังไม่พอใจคนตรงหน้า

                “อย่าขยับสิครับ แขนผมยังเจ็บอยู่นะ” โฟโต้ว่าเสียงอ้อน ให้คนที่โตกว่าต้องมองลงไปยังเฝือกแขนด้านขวา

                “มึงก็ปล่อยสิวะ” ฮ่องเต้พยายามดึงตัวเองออกจากแขนของโฟโต้ หากแต่อีกฝ่ายกลับกระชับอ้อมแขนนั้นเอาไว้แน่น พร้อมทั้งมองหน้ารุ่นพี่ปีสี่ของตนอย่างเด็กกำลังอ้อนขอขนมหวาน

                “ขอผมอยู่ใกล้พี่แบบนี้อีกเดี๋ยวสิครับ...” เว้นจังหวะและโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูว่า “...ผมชอบเวลาที่เห็นพี่เขินผม”

                “กูไม่ได้เขิน” ปากก็โพล่งออกไปอย่างขัดกับอาการที่เป็นอยู่

                “ปากแข็งแบบนี้  ระวังนะครับ ว่าผมจะ...” โฟโต้ผละออกจากคนตรงหน้าและสบสายตาที่กำลังเลิกลัก แล้วค่อยเลื่อนลงมามองริมฝีปากที่เขาคิดว่ามันอร่อยที่สุดในโลก “...ใช้ปากของผมทำให้มันอ่อนลง”

                เพราะเสียงที่แหบพร่าพร้อมกับน้ำลายที่ถูกกลืนลงคออย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมโตจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและสองมือก็รีบยกขึ้นมาผลักคนตรงหน้าออกห่างทันที

                “โอ๊ยยยยย” แต่มีหรือที่เสือร้ายอย่างโฟโต้จะยอม จึงร้องโอดโอยอย่างกับแขนข้างที่ใส่เฝือกอยู่จะหัก ทำเอาเหยื่อที่เพิ่งจะตื่นกลัวเมื่อครู่ต้องรู้สึกผิดและปรี่เข้ามาดูอาการเสือร้าย

                “กะ...กูขอโทษ เป็นอะไรมากหรือเปล่าวะ” ฮ่องเต้หน้าเสียทันทีที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดปางตายของคนที่เด็กกว่า หารู้ไม่ว่าภายใต้เฝือกอ่อนนั้น แขนของโฟโต้ไม่ได้มีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน แถมยังใช้การได้ดีชนิดที่สามารถจับกดเขาได้ในพริบตาเลยด้วย

                “ผม...เจ็บ” หากแต่ยังตีเนียนแสร้งว่าแขนข้างที่ถนัดที่สุดเจ็บมากเสียเต็มประดา เจ็บถึงขั้นที่ว่าอดแสดงออกมาทางสีหน้าไม่ได้

                “ใครใช้ให้มึงทำแบบนั้น” จนคนที่คิดว่าเป็นต้นเหตุถึงกับเป็นห่วงในอาการ แต่ก็ยังคงรักษามาด พูดออกไปเสียงอ้อมแอ้มเช่นนั้น

                “แล้วใครใช้ให้พี่ทำน่ารักใส่ผมล่ะครับ” คนที่เด็กกว่าก็ยังคงหยอดไม่เลิก

                “ยังจะมาพูดเล่นอีก” จนอีกฝ่ายทำหน้าเครียดใส่ แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ฟังดูน่ารักน่าชังเหมือนเด็กหรือผู้หญิง แต่มันกลับทำให้คนฟังหลงใหล กอปรกับการทำหน้ายู่เหมือนคนกำลังงอนที่ทำให้โฟโต้แทบจะสติแตกและสาบานกับตัวเองไว้ว่าชาตินี้ชาติไหนก็ไม่มีทางปล่อยเหยื่อคนนี้ไปให้ใครได้ฟัดเล่นเป็นแน่

                ก็เพราะว่าสไมโลดอนตัวนี้ จะเก็บลูกแมวตาโตตัวนี้เอาไว้ฟัดคนเดียวน่ะสิ

            “ไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว”

                เมื่อเอาแต่ถูกจ้องมองจนไม่เป็นอันทำอะไร ฮ่องเต้จึงว่าออกไปพร้อมกับยื่นเสื้อผ้าในมือไปตรงหน้า หากแต่คนที่เด็กกว่ากลับทำเพียงแค่มองและ...

                “พี่เต้...ช่วยใส่ให้ผมหน่อยสิครับ”

                “ใช่เรื่อง!” หากแต่ลูกแมวตาโตกลับแหวใส่อย่างเคยตัว “ทุกทีมึงก็ใส่เองได้”

                “แต่ไม่ใช่ตอนนี้นี่ครับ ที่เมื่อกี้พี่ผลัก แขนผมยังเจ็บอยู่เลยนะ” เรื่องอะไรที่เขาจะยอมแพ้ มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองทั้งที มีหรือจะยอมไม่ฉวยโอกาสกับคนตรงหน้า

                แล้วฮ่องเต้ก็ดันลังเลใจตามด้วยนี่สิ เป็นปัญหายิ่งเสียกว่าตอนทำข้อสอบไม่ได้เสียอีก เพราะอย่างน้อยในข้อสอบก็ยังเขียนมั่วๆ ให้รอดตัวไปได้ แต่มันไม่ใช่กับคนตรงหน้า ที่ให้ตายยังไง เขาก็สั่งให้หัวใจหยุดเต้นแรงไม่ได้ แถมอาการของเขายังหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะสายตาของฝ่ายตรงข้าม...กับความใจขี้อ่อนของเขา

                ถ้าเปรียบโฟโต้เป็นข้อสอบแล้วล่ะก็...คงเป็นข้อสอบที่หาคำตอบยากที่สุดในโลกสำหรับเขาแล้วล่ะ

                พูดอะไรมาแต่ละอย่าง ไม่สงสารคนขี้ใจอ่อนอย่างเขาบ้างเลย

            มันทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมาเกาหลังคอแก้เก้อและเอามือเท้าสะเอวมองหน้าฝ่ายตรงข้าม สักพัก...

                “กูช่วยใส่แค่เสื้อนะเว้ย!”

                “กางเกงด้วยสิครับ พี่จะให้ผมล่อนจ้อนอยู่ในห้องพี่เหรอ”

                “ใส่เองไม่ได้หรือไงวะ”

                “ก็แขนผมเจ็บนี่ครับ”

                “...”       

                “แถมพี่ยังเป็นคนทำด้วย”

                “มึงนี่มัน...” สุดท้ายก็ได้แต่ชะงักปากอย่างคนพูดอะไรไม่ออก

                “ถ้าพี่ไม่ยอมใส่ ผมก็จะอยู่ในห้องกับพี่สภาพนี้นั่นแหละ”

                “ดื้อด้านจังวะ!!”

                “ถ้าดื้อแล้วได้ใจพี่ ผมยอม”

                “มึงเคยพูดไปแล้ว”

                “ครับ แต่กลัวว่าพี่จะลืม แต่ถ้าพี่ดื้อ...” โฟโต้เว้นจังหวะเข้ามาใกล้จนฮ่องเต้ผงะ ถอยหลังตาม “...ผมก็คงต้องลงโทษ”

                “หยุดเลยนะเว้ย กูกับมึงยังไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่ามาทำรุ่มร่าม!” ฮ่องเต้ร้องเตือน ทำเอาคนตรงหน้าถึงกับชะงัก สีหน้าเปลี่ยนจนคนฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็นได้

                “ขอโทษครับ ผม...ลืมไป” ว่าออกไปพลางตีหน้าสลด ราวกับคำพูดของฮ่องเต้เป็นอะไรที่บาดใจตนแบบสุดๆ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแบบฝืนๆ พร้อมกับสายที่แสดงให้เห็นถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ “...เดี๋ยวผมใส่เองก็ได้ครับ”

                ก่อนจะคว้าเสื้อผ้ามาแบบที่คนตรงหน้าต้องมองตามด้วยความหงุดหงิด...หงุดหงิดที่ตัวเองเอาแต่ใจอ่อนกับคนที่เด็กกว่าไม่เลิก และได้แต่มองตามคนที่เดินกลับเข้าห้องน้ำไป ก่อนจะปิดประตูใส่แบบไม่หันกลับมามองเขาอีกแหนะ

                แต่ไม่ได้!!

                เมื่อคืนก็ทีหนึ่งแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยให้อะไรแบบนั้นมันเกิดขึ้นอีก ตราบใดที่เขากับไอ้โรคจิตปีหนึ่งยังอยู่ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง...

                ถึงแม้ว่ามันเพิ่งบอกว่าจะจีบผมก็ถามเถอะ

            คิดแบบนั้น...แล้วทำไมในใจมันต้องรู้สึกหน่วงๆ กัน...

 

                หลังจากกินข้าวเสร็จ...ฮ่องเต้ก็ขับรถพาสายรหัสปีหนึ่งของตนมาส่งที่หอ...

                “ขอบคุณพี่เต้มากนะครับ สำหรับเมื่อวาน...” โฟโต้เอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบ แล้วทำทีเป็นจะเปิดประตูลงจากรถ

                “เดี๋ยวก่อน” และฮ่องเต้คงจะไม่รั้งเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะคนที่เด็กกว่าเอาแต่ทำหน้าหงอย ไม่ยอมพูดยอมจากับเขามาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งใต้หอของเขา จนกระทั่งขึ้นรถและขับพาคนข้างกายมาถึงหอพัก ก็เพิ่งจะมาได้ยินมันพูด แถมยังมาเป็นประโยคเชิงบอกลาเขาอีก แบบนี้จะไม่ให้รั้งเอาไว้ได้ยังไงกัน

                ขี้งอนจังวะ

            แม้จะหงุดหงิดกับอาการที่คนข้างกายของเขาเป็นอยู่ แต่เพราะความเป็นพี่ที่มีมากจนเคยชิน ทำให้เขาเคยชินกับการง้อและดูแลคนที่เด็กกว่า พอมีเรื่องอะไรที่อีกฝ่ายไม่สบายใจ เขาก็พร้อมที่จะเคลียร์ให้รู้เรื่องแบบที่รักษาน้ำใจกัน

                เช่นเดียวกันกับตอนนี้ ฮ่องเต้รู้ดีแก่ใจว่าคนข้างกายของเขากำลังงอนเรื่องที่เขาไม่ยอมช่วยใส่เสื้อผ้าให้ แม้มันจะดูเป็นเรื่องไร้สาระเอามากๆ สำหรับเขาในเวลาปกติ แต่พอมาเป็นเวลานี้กับคนๆ นี้แล้ว มันกลับสำคัญสำหรับเขาขึ้นมาทันตาเห็น จนเขาคิดที่จะต้องเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกไป

                “มึงงอนเหรอวะ” แม้จะเป็นคนปากแข็ง แต่พอต้องง้อใครแล้วกลับพูดจาอ้อมค้อม ตะล่อมใครไม่เป็น จึงโพล่งถามออกไปตรงๆ เช่นนั้น ตามสไตล์ของฮ่องเต้

                โฟโต้แอบแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามนั้น แม้ตัวเองจะเป็นฝ่ายแสดงละครตบตาเพื่อให้อีกฝ่ายตามง้อ แต่เพราะไม่คิดว่าฮ่องเต้จะถามออกมาตรงๆ จนเขาถึงกับสตันไปสามวินาทีเต็มๆ  แต่มันก็ทำให้เขาพอใจกับท่าทีเช่นนี้

                “เอ่อ ผม...” ทว่าเขายังต้องรักษาท่าทีของรุ่นน้องผู้ใสซื่อต่อไป

                “เรื่องเสื้อผ้า...” จึงทำให้คนที่โตกว่าอย่างฮ่องเต้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกไปเอง “...มึงงอนกู”

                แต่ก็เพียงแค่ทำเสียงอ้อมแอ้มออกไปก็เท่านั้น แต่นั่นมันก็มากพอสำหรับอีกฝ่าย

                “ขอบคุณนะครับ” จนต้องหันไปบอกพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ชนิดที่ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับงงในท่าที

                “มึงขอบคุณกูทำไม”           

                ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคนข้างกายของเขาต้องการสื่ออะไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะงอนเขาเอาเป็นเอาตาย แต่ไหงกลับยอมยิ้มให้เขาง่ายดายขนาดนั้น

                “ก็ขอบคุณที่พี่เต้ใส่ใจความรู้สึกของผม”

                “หะ?” ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ กับไอ้รอยยิ้มและแววตาที่กำลังมองมาทางเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ จึงได้แต่สงสายตางงงวยกลับไปอย่างจะต้องการสื่อว่า กูไปใส่ใจอะไรมึงตอนไหนวะ

            “ไม่อย่างนั้น พี่คงจะถามว่าผมงอนหรอก...ใช่หรือเปล่าครับ” ท้ายประโยคยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างจงใจจะสะกดสายตาของอีกฝ่าย จนฮ่องเต้ต้องเอามือดันตัวรุ่นน้องให้ถอยห่างเพราะสายตาที่มองมามันทำเอาเขาใจสั่นอีกแล้ว

                ก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่ได้มองว่ามันหล่อหรืออะไร แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาขนาดนี้ ไม่ว่ามันจะพูดหรือทำอะไร ก็ดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจจากเขาได้อย่างง่ายดาย...

                หรือเป็นเขากัน ที่ใจง่ายกับฝ่ายตรงข้าม

            “ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องสะลักสำคัญอะไร แต่พี่ก็ยังถามเพราะพี่ห่วงความรู้สึกของผม รู้ไหมครับ ว่านั่นมันหมายความว่ายังไง...” โฟโต้ยังคงขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่สนใจมือสองข้างที่กำลังดันตัวเขาออก พร้อมกับสายตาที่มองไปยังรุ่นพี่ปีสี่ของตนด้วยแววตาแบบเด็กกำลังดีใจ เว้นจังหวะให้ฮ่องเต้ได้ตื่นตกใจเล็กน้อยและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

                “...มันก็แสดงว่าพี่ฮ่องเต้กำลัง สนใจ ผมอยู่ยังไงล่ะครับ”

                คนฟังนิ่งงันไปอย่างใช้ความคิด พลันเบิกตากว้างเมื่อสามารถเข้าใจทุกอย่างแบบถ่องแท้

                “คือ...มัน...ไม่ใช่” เพราะความร้อนรน ทำเอาคนที่โตกว่าพูดจาติดๆ ขัดๆ

                “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าพี่...ปากแข็ง” ไม่วายจะเลื่อนสายตาลงไปมองที่ริมฝีปากระเรื่อ จนคนที่ตกเป็นเป้าสายตาเผลอเม้มปากไปอย่างไม่รู้ตัว นั่นก็เพราะ...

                ภาพจูบแรกระหว่างเขากับสายรหัสปีหนึ่งตรงหน้าดันแทรกขึ้นมาในความคิด...

                ทำให้ใจสั่น...อย่างไม่อาจจะห้ามเอาไว้ได้

                จนต้องรีบชักสีหน้าหงุดหงิดใส่และใช้มือผลักคนตรงหน้าให้ออกห่าง อย่างเกรงว่าตนจะเป็นฝ่ายแย่เพราะเสียงหัวใจที่ควบคุมเอาไว้ไม่เคยได้ ครั้นเมื่อต้องอยู่กับรุ่นน้องคนนี้เพียงลำพัง

                โฟโต้ได้แต่มองการกระทำนั้นและ...แอบลอบขำในใจ ให้กับความน่ารักของอีกฝ่ายที่ทำเอาเขาชักจะ...หลงหัวปักหัวปำ ชนิดที่เห็นทุกการกระทำของพี่ฮ่องเต้เป็นเรื่องน่ารักไปเสียหมด แม้กระทั่งเวลาที่ถูกเหวี่ยงใส่

                “ถ้าอย่างนั้น ผมขึ้นห้องก่อนนะครับ” แต่ก็ข่มใจและพูดออกไปเช่นนั้น เพราะเกรงว่าถ้าเขารุกหนักไปกว่านี้ เหยื่อตรงหน้าจะตื่นกลัวและเผ่นแนบไปเสียก่อน นั่นก็เพราะปมในใจที่ยังไม่ถูกคลายของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องพยายามใจเย็นที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้ 

                แต่กระนั้น เขาก็ไม่รับรองว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน...

            โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างและทำทีจะลงจากรถอย่างไม่คิดอะไร เพียงแค่เรื่องเมื่อคืนมันก็มากพอสำหรับเขาแล้ว หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

                “เดี๋ยว...” ฮ่องเต้ร้องเรียกจนคนที่เด็กกว่าต้องหันกลับมามอง หลังจากเอาแต่นิ่งเงียบและคิดทบทวนอะไรบางอย่างชั่วอึดใจ

                “พี่เต้ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ถามออกไปเพราะคิดว่าตนอาจจะลืมอะไรบางอย่าง

                ก่อนจะพบว่าเขาคิดผิดถนัดเพราะประโยคถัดมากลับกลายเป็นคนละเรื่องกับที่อยู่ในหัวของเขา

                “จนกว่ามึงจะถอดเฝือก ให้กู...” ฮ่องเต้เผลอเงียบไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา “...ไปรับไปส่งมึงนะ”

                เพียงเท่านั้น สายตาวาววับของคนเจ้าเล่ห์ก็แทบจะฉายขึ้นมาทันที รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเสือร้ายอย่างได้ใจและพอใจกับคำพูดของคนข้างกายเขา ยิ่งได้เห็นเลือดฝาดบนแก้มขาวๆ นั่นแล้ว ยิ่งทำให้อดใจไม่ไหว จนต้อง...

                “พี่เต้ครับ...” เอ่ยปากเรียกคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเพราะความอายและ...

                ...จุ๊บเข้าที่ริมฝีปากของคนถูกเรียกที่เงยหน้าขึ้นมาทางตน ผละออกมาเล็กน้อยเพื่อมองสำรวจเข้าไปในดวงตากลมโตที่กำลังเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก แล้วได้แต่ลอบยิ้มอย่างพออกพอใจ แต่ก็ยังไม่มากพอต่อความต้องการ...

                “น่ารักจัง...” จึงเอ่ยออกไปเสียงหวานและประกบเข้าที่ปากของฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับเอื้อมมือซ้าย ตรงเข้าล็อคที่หลังคอเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะหนี

                ค่อยงับเข้าริมฝีปากอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่งและถะนุถนอม ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

                ก็ใช่จะมีแต่พี่ฮ่องเต้เสียเมื่อไหร่ ที่ใจเต้นทุกครั้งที่ถูกสัมผัส

            เขาเองก็หวั่นไหวและตื่นเต้นทุกครั้งที่สัมผัสคนตรงหน้าเช่นกัน ยอมรับอย่างน่าไม่อายเลยว่ามันดีกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยสัมผัส ไม่ว่าจะผิวเนียนใส แก้มขาวๆ และริมฝีปากที่กำลังถูกเขาครอบครองอยู่นี้ มันดีมากเสียจนเขาหลงลืมทุกรอยจูบจากใครก็ตามที่ผ่านมาและก็มากเสียจนเขาไม่อาจจะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปกับการจูบคนตรงหน้าได้อีกต่อไป...

                เพราะไม่ใช่แค่ริมฝีปากระเรื่อนั่น แต่จะเป็นทั้งตัวของพี่ฮ่องเต้ที่จะถูก กลืนกิน บนรถเสียก่อน

            จึงทำให้โฟโต้ต้องถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง...

                ฟอดดดด

                แต่ก็ไม่วายกดปากจูบลงบนแก้มขาวๆ นั่นอย่างแรงไม่ได้ จนฝ่ายตรงข้ามถึงกับหน้าแดงลามไปยังใบหู แต่ก็ไม่ได้พูดหรือต่อว่าอะไรอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำ ได้แต่หอบหายใจเบาๆ และสบสายตาที่มีเสน่ห์เอามากๆ ของคนข้างกาย

                “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ส่วนเรื่องมารับมาส่ง...ผมตามใจพี่” ท้ายประโยคว่าเสียงหวานใส่ไม่พอ ยังฉีกยิ้มกว้างและมองด้วยสายตาอย่างต้องการจะทำให้อีกฝ่ายหลง

                นั่นทำให้คนฟังถึงกับต้องหลบสายตา โฟโต้มองภาพนั้นและยิ้มกระหยิ่มในใจ ทีแรกหลงคิดไปไกลว่าจะถูกฮ่องเต้ต่อว่าเพราะจู่โจมเข้าใส่มากเกินไป ทั้งที่เขาเพิ่งจะบอกออกไปว่า จะจีบ ได้ยังไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งจะโวยวาย แถมยังหน้าขึ้นสีและมีท่าทีเขินอายเขาเช่นนี้ มันกลับทำให้เสือร้ายแทบจะออกมาโลดโผน แต่ก็ยังคงต้องรักษามาดเป็นลูกเสือแสนเชื่องต่อไป

                เผื่อว่าลูกแมวตาโตจะหลงเชื่อและยอมใจอ่อนอย่างเห็นว่าลูกเสือตัวนี้ไม่ได้มีพิษภัยอะไร ไม่แม้กระทั่ง...คิดที่จะ งาบ ลูกแมวตรงหน้า เลยสักนิด

            ก่อนที่โฟโต้จะเปิดประตูลงจากรถและเดินกลับเข้าหอพักไปด้วยหัวใจที่พองโต...

                ปล่อยให้ฮ่องเต้จมอยู่กับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำพัง พร้อมกับมือที่เอื้อมขึ้นมาจับริมฝีปากของตนอย่างเผลอไผล ไม่ใช่ว่ามันไม่รู้สึกดี...

                แต่เพราะยิ่งรู้สึกดีต่างหาก ยิ่งทำให้เขากังวลใจ...

(มีต่อ......)

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:54:17
(ต่อ...)
โฟโต้เดินกลับเข้าไปในหอพักอย่างอารมณ์ดี ทว่าทันทีที่เขาเปิดประตูห้อง ก็เป็นอันต้องชะงักเพราะไฟที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้และรองเท้าอีกสองคู่ที่ถูกถอดวางอยู่ จึงต้องรีบปิดประตูและเข้าไปดูให้เต็มตาว่าใครที่บังอาจเข้ามารุกล้ำพื้นที่ของเขา

                “ตกใจอะไรนักหนา” เสียงของคนที่คุ้นเคยกันดีเอ่ยทัก เมื่อเห็นสีหน้าของตื่นตระหนกของเจ้าของห้องที่เห็นเขาเข้า ทว่าคนบุกรุกยังคงท่าทีสบายๆ ไม่สะทกสะท้านอะไรกับสายตาหงุดหงิดของคนตรงหน้า หากแต่กลับเลื่อนสายตาไปมองยังเฝือกแขนแทน

                “พี่เข้ามาได้ยังไง” คนเป็นน้องเอ่ยถามคนที่เหยียดกายอยู่บนเตียงของตนอย่างไม่ชอบใจนัก

                “มีกุญแจ ทำไมจะเข้ามาไม่ได้” กราฟิกตอบกลับเสียงเรียบพร้อมกับโชว์กุญแจห้องในมือให้ดู ขณะที่คนเป็นน้องได้แต่มองอย่างเหลืออด “แล้วก็ไม่ต้องถามด้วยว่ากูเอามาได้ยังไง เพราะคนที่ต้องถามคือกู ไม่ใช่มึง”

                “มีอะไรก็ว่ามาเลยครับ ท่านพี่” โฟโต้ลากเสียงยาวอย่างประชดประชัน

                “มึงคิดจะทำอะไร”

                “หมายถึงอะไร” โฟโต้ตีหน้าซื่อใส่ให้คนเป็นพี่ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดบ้าง

                “ก็ไอ้เฝือกที่มึงใส่นั่นไง เล่ามาให้หมดเลยนะเว้ย”

                “ไหนพี่กราฟบอกว่าพี่หมอมีนเล่าให้ฟังหมดแล้วไง” โฟโต้เท้าความไปถึงตอนที่กราฟิกโทรมาหาเขาคราวก่อนหน้านั้น

                “แต่กูไม่เชื่อว่าไอ้ที่มึงพูดกับมีนจะเป็นความจริงทั้งหมด”

                “แต่กูไม่เชื่อว่ามึงจะพูดความจริงกับมีนทั้งหมด” กราฟิกว่าอย่างรู้ทันคนเจ้าเล่ห์ “มึงมันเหลี่ยมจัดตั้งแต่ไหนแต่ไร กูเป็นพี่มึงนะเว้ย เรื่องแค่นี้ทำไมกูจะดูไม่ออก”

                เพราะความใกล้ชิดสนิทสนมมาตั้งแต่เกิด กอปรกับนิสัยที่ร้ายพอกัน ไม่แปลกที่เสือตัวพี่จะรู้ใจเสือตัวน้องดีชนิดที่ไม่ต้องมองตาก็รู้แล้วว่าคิดเรื่องอะไรอยู่   

                “นั่นไง พี่ดูออก! ดูออกแล้วจะมาถามผมอีกทำไมให้เสียเวลา กลับไปเปิดร้านดีกว่าน่า” แต่เรื่องพูดจา ทำท่ากวนประสาตแล้ว เหมือนเสือตัวน้องจะมีมากกว่า

                “เสียใจว่ะ กูปิดร้านยันวันพรุ่งนี้” กราฟิกเอ่ยปากบอกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “แล้วในเมื่อมึงไม่ยอมเล่า งั้นกูขอถามมึงเลยก็แล้วกัน”

                กราฟิกเงียบไปอึดใจและมองหน้าคนเป็นน้องด้วยแววตาจริงจัง สีหน้าของคนเป็นพี่ทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของน้องหุบลงทันที

                “อะไร...” และเอ่ยปากถามออกไปอย่างคนเริ่มจะหวั่นใจ

                “มึงชอบฮ่องเต้จริงๆ เหรอวะ”

                และหัวใจของโฟโต้ก็เต้นแรงขึ้นมา...

                เขามองหน้าพี่ชายแท้ๆ ของตนอย่างชั่งใจเล็กน้อย แล้วค่อยเอ่ยปากตอบคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้สีหน้า

                “ครับ ผมชอบและตอนนี้ ผมก็กำลังจีบเขาอยู่ด้วย”

                คำตอบของโฟโต้ไม่ได้ทำให้กราฟิกแปลกใจเพราะเขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลานี้มาแล้ว เพียงแค่อยากจะแน่ใจว่าน้องชายของตน ที่เคยเอาแต่หลีหญิงและไม่คิดจริงจังกับใครมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะคิดจริงจังกับคนที่ชื่อฮ่องเต้จริงๆ หรือแค่สับสนและอยากลองอะไรหรือเปล่า

                “มึงรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” และคนเป็นพี่ก็ยังคงอดห่วงคนเป็นน้องอย่างเสียไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาเคยประสบและกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ มันมีอะไรมากกว่าที่ใครเห็นและมันอาจจะไม่ได้สวยงามไปเสียทุกอย่าง

                “ผมยืนยันได้เลยว่าผมไม่ได้สับสนหรือคิดจะอยากรู้อยากลองอะไร...” โฟโต้เองก็พูดออกไปตรงๆ  อย่างคนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ “...พี่ฮ่องเต้เป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึก ไม่ใช่แค่อยากจะได้แล้วจบเหมือนกับคนอื่นๆ ที่เข้ามา ผมรู้สึกกับเขามากกว่านั้น...”               

                กราฟิกได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่จ้องหน้าโฟโต้อย่างไม่วางตา มองสำรวจสีหน้าแล้วแววตาอย่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังโกหกเขา

                “กูว่ามึงทำใจเอาไว้หน่อยก็ดีนะ” และได้แต่เอ่ยปากบอกออกมาแบบนั้น “เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ แม้แต่กับคนในครอบครัว”

                คำพูดของกราฟิกทำเอาโฟโต้ต้องขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ “พี่พูดเหมือนกับว่า...”

                “การที่กูตัดสินใจออกมาอยู่กับแบมบู เปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่เพื่อหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่สี่ปีก่อน แต่กูเพิ่งจะได้กลับบ้านเมื่อปีที่แล้ว มึงคิดว่ามันเป็นเพราะอะไร”

                โฟโต้ได้แต่เงียบ มองหน้าคนเป็นพี่อย่างคนกำลังใช้ความคิด นึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ช่วงนั้นเขาติดต่อกับพี่ชายของตนได้เพียงแค่ทางโซเชียลเท่านั้น พอถามว่าทำไมถึงไม่กลับบ้านก็เอาแต่บอกว่ายุ่ง กับพ่อแม่ก็เอาแต่เลี่ยงที่จะพูดถึงพี่กราฟิก ทั้งที่พี่ชายของเขาเป็นลูกชายคนโตที่พวกท่านทั้งรักทั้งหวงเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน

                ...ทั้งรักทั้งหวง...

            ห้วงความคิดเป็นอันสะดุดลง พลันสายตาก็กระตุกวูบครั้นนึกอะไรขึ้นมาได้

                หรือที่พ่อกับแม่สั่งห้ามไม่ให้เขาเดินทางเดียวกับพี่ชาย จะหมายถึงเรื่องนี้

            ตอนนั้น ก็หลงคิดไปว่าพ่อแม่คงไม่อยากให้ลูกชายของพวกท่าเรียนคณะเดียวกัน ทำอาชีพเดียวกันจึงพูดออกมาเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดไปเสียยกใหญ่

                “ทำไมพี่ไม่บอกผม...” จึงได้แต่เอ่ยปากถามออกไปอย่างระมัดระวัง มองหน้าคนที่เขาคิดว่าจะเจ็บปวดทรมานมานานแค่ไหน “...มันตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “บอกไปแล้วได้อะไรวะ อีกอย่าง กูไม่อยากให้มึงต้องมาคิดมากเรื่องของกู” กราฟิกว่าเสียงอ่อน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ  เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนลงไปถนัดตาแบบที่โฟโต้ไม่ได้เห็นมานานแล้ว

                ก่อนที่เขาจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นดังเดิม “แต่มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก มึงก็เห็นว่าทุกอย่างมันกำลังไปได้ดี...”

                โฟโต้รู้ดีว่าคนตรงหน้าหมายถึงเรื่องที่พ่อแม่ยอมให้กลับไปที่บ้านพร้อมกับแบมบู แม้ว่าตอนนั้น บรรยากาศในครอบครัวจะยังดูตึงเครียด แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้บ้างแล้ว

                “ห่วงตัวมึงเองเหอะ ถ้ามึงคิดจะจริงจังกับคนๆ นี้จริงๆ  มึงก็ต้องทำใจว่าอะไรมันไม่ได้เป็นไปตามที่มึงต้องการทุกอย่างและถ้ามึงเลือกที่จะดึงเขาเข้ามาอยู่ในชีวิตมึงแล้ว มึงก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาทั้งชีวิตด้วย”

                โฟโต้ระบายยิ้มออกมาบนหน้า ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยก็ได้ที่พี่น้องคู่นี้จะมานั่งจับเข่าคุย พูดจาดีๆ ใส่กันเป็นเรื่องเป็นราว

                “ในเมื่อผมเลือกที่จะรักใครสักคนแล้ว ผมจะรับผิดชอบเขาไปตลอดชีวิต” น้ำเสียงหนักแน่นของคนเป็นน้อง ทำเอากราฟิกโล่งใจ ต่อจากนี้ไปเขาเองก็คงจะต้องคอยช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้

                “เออ คิดได้แบบนั้นก็ดี...” คนเป็นพี่ว่าออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่เฝือกแขนข้างขวาของโฟโต้ “...ยิ่งโต มึงนี่ยิ่งน่ากลัวเข้าไปทุกที”

                โฟโต้อดขำออกมาไม่ได้กับคำเหน็บแนมของพี่ชาย “พูดอย่างกับว่าพี่ไม่เคยใช้วิธีพวกนี้”

                กราฟิกจึงทำปากใส่อย่างหมั่นไส้ในคำพูดของน้องชายตน ที่ดูเหมือนจะรู้ดีไปเสียทุกเรื่องในชีวิตเขา รวมถึงไอ้วิธีการที่เขาใช้ตามจีบ ตามง้อแบมบูด้วย

                หากแต่สองพี่น้องที่กำลังจะคุยกันต่อก็ต้องชะงักคำพูดเอาไว้เพราะเสียงโทรศัพท์ในห้องที่ดังขึ้น เรียกให้เจ้าของห้องไปรับสายแบบงงๆ  ก่อนจะหันหน้ากลับมามองคนเป็นพี่ที่รอฟังอยู่แบบเกร็งๆ

                “ครับๆ เดี๋ยวผมลงไป” พูดต่ออีกแค่นั้นและวางสาย

                “ใครโทรมา แล้วโทรมาทำไม” เพราะสีหน้าหวาดระแวงของคนเป็นน้องจึงทำให้คนเป็นพี่ต้องถามออกไปอย่างพยายามจะจับผิด

                “ลุงที่หอโทรมา ให้ลงไปเอาของข้างล่าง”

                “งั้นกูไปด้วย”

                “เฮ้ย ไม่ต้อง เดี๋ยวผมลงไปเอง” โฟโต้ร้องห้ามทันทีที่เห็นว่ากราฟิกลุกพรวดขึ้นมา ทำท่าว่าจะตามเขาลงไปจริงๆ

                จนกราฟิกต้องยิ้มร้ายใส่ไปที “ปล่อยให้มึงลงไปเอง ก็เท่ากับว่ากูปล่อยให้มึงสร้างเรื่องปิดบังกูเพิ่มดิวะ”

                เสือก็ยังคงเป็นเสืออยู่วันยังค่ำและเรื่องอะไรที่เสือด้วยกันจะดูไม่ออกว่าเสืออีกตัวคิดอะไร ดังนั้น กราฟิกจึงรีบสาวเท้าเดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้เจ้าของห้องอย่างโฟโต้ต้องรีบวิ่งตามไปแทบไม่ทัน

                และเมื่อทั้งคู่มาถึงด้านล่าง...

                ลุงประจำหอก็พาเดินไปหาช่างยนต์ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันกับที่โฟโต้เอาไปล้มในมหา’ลัยมา กราฟิกมองน้องชายที่ยืนคุยกับช่างอย่างใกล้ชิด เพื่อฟังทุกบทสนทนาที่ออกมาจากปากของช่างซ่อมรถ

                “เมื่อวานพี่ก็เอามาทีหนึ่งแล้ว แต่น้องไม่อยู่ เลยไม่กล้าฝากไว้ เดี๋ยวหายจะเป็นเรื่องอีก”

                “เอ่อ แล้วรถผมไปอยู่ที่พี่ได้ยังไงครับ” ถามออกไปด้วยความสงสัย อันที่จริง เขาลืมไปสนิทเลยด้วยซ้ำว่ารถคันนี้หายไปตั้งแต่วันที่เขาเอาไปล้มมา

                “ก็ไอ้น้องที่ชื่อฮ่องเต้อะไรนั่นแหละ เอาไปซ่อมให้ พี่ก็นึกว่าน้องรู้แล้วเสียอีก” ช่างหันมามองหน้าคนที่ยังไม่เข้าใจในความเป็นไปอย่างสงสัย “ไม่ได้เป็นเพื่อนกันเหรอ”

                “พอดีเขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะผมน่ะครับ แล้วก็...สงสัยจะลืมบอก” โฟโต้ได้แต่แก้ตัวไปเช่นนั้น ก่อนจะถามกลับ “แล้วค่าซ่อมเท่าไหร่ครับ”

                “โอ๊ยยย ไม่ต้องหรอก น้องคนนั้นเขาจ่ายให้แล้ว” คนตรงหน้าร้องบอกก่อนจะส่งกุญแจรถให้ “อะ กุญแจ ยังไงก็ใช้รถระวังๆ ด้วย มันเก่ามากแล้ว”

                “ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ว่าออกไปแค่นั้นและมองตามช่างที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของช่างอีกคนที่ขับตามมาออกไปจนลับสายตา

                “จะจีบเขา แต่ปล่อยให้เขาออกตังค์ค่าซ่อมรถให้ แมนชิบหายเลยน้องกู” กราฟิกส่ายหน้าใส่ด้วยความเอือมระอา “ไอ้น้องเต้นั่นคงดีใจเนอะ ถ้ารู้ความจริงว่ารถคันนี้ไม่ใช่รถมึง”

                “ถ้าพี่กราฟไม่พูด พี่เต้เขาก็ไม่รู้หรอกน่า” โฟโต้ว่าอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยน ครั้นนึกอะไรขึ้นมาได้

                “คิดชั่วอะไรของมึงอีกวะ” จนคนที่สังเกตเห็นต้องเอ่ยทักเสียงเรียบพลางเอามือกอดอก มองหน้าคนที่กำลังยิ้มร้ายออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง

                “อย่าเรียกว่าคิดชั่วดิ ให้เรียกว่าตามน้ำดีกว่า”

                “อย่างมึงเขาเรียกว่าตอแหล”

                “เออ จะอะไรก็ช่างเหอะน่า เอาเป็นว่าฝากบอกไอ้มนตรีด้วยก็แล้วกัน ว่ารถคันนี้ผมขอยืมก่อน ไหนๆ ก็ไม่ค่อยอยู่แล้ว”

                “กูควรจะสนับสนุนหรือขัดขวางมึงดีวะ” กราฟิกมองหน้าน้องชายของตนอย่างไม่ไว้วางใจในแผนการ

                “ไม่ต้องสนับสนุน แต่ก็อย่าขัดขวางก็พอ” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างใส่พี่ชายตนไปที แบบที่ทำเอาคนที่โตกว่าหมั่นไส้ “ผมก็แค่จำเป็นต้องใช้รถต่อนิดหน่อย”

                “วางแผนจะจ่ายดอกเบี้ยล่ะสิ” ทว่าคนเป็นพี่กลับรู้ทัน เอ่ยปากออกมาจนโฟโต้ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ

                “ของมันต้องจ่าย ผมก็ต้องจัดสิครับ”

                และเสือร้ายสองตัวก็เดินกลับขึ้นไปข้างบนห้อง...

                เสือตัวน้องกลับไปคิดแผนร้าย...ส่วนเสือตัวพี่ก็ต้องตกกระไดพลอยโจนในการช่วยคิดแผนไปด้วย     

               

 

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:55:24
ตอนที่ 23 เริ่มเกม

                เพราะเอ่ยปากออกไปแล้ว ฮ่องเต้จึงต้องมารับเด็กปีหนึ่งที่เขานัดเอาไว้ที่หอพักในตอนเช้า...

                หากแต่เพราะเด็กปีหนึ่งคนนั้น ดันมาอยู่หอพักเดียวกันกับเพื่อนของเขาอย่างนิวกับซัน ทำให้เขาต้องส่งข้อความไปเร่งอีกฝ่ายให้รีบลงมา ก่อนที่เขาจะเจอเพื่อนรักสองคนที่ว่าและพาลให้พวกมันต่อความยาวสาวความยืดเรื่องของเขา

                ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่อดหัวเราะใส่ข้อความที่ถูกส่งเข้ามือถือของเขาอย่างเสียไม่ได้

                ฮ่องเต้ : อย่าให้เพื่อนกูเห็นล่ะ กูขี้เกียจอธิบาย

            โฟโต้รู้ดีว่าลูกแมวตาโตของเขาตัวนี้ คงจะเขินจนมองหน้าใครไม่ได้ โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทที่พูดมากอย่างนิว ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหากวนใจอีกฝ่ายแบบชนิดที่ไม่อาจจะหาอะไรมากำจัดได้ ดังนั้น โฟโต้จึงทำตัวว่าง่ายอย่างเอาใจอีกฝ่ายเสียหน่อย ที่สำคัญ เพราะมันเป็นวันแรกที่ฮ่องเต้มารับเขาไปเรียนด้วย เขาจึงอยากจะทำให้ลูกแมวตาโตของเขาสบายใจ เพื่อที่อีกฝ่ายจะยอมใกล้ชิดกับเขาแบบไร้ความกังวล

                เพราะแบบนั้น มันจะทำให้พี่ฮ่องเต้เผลอไปกับทุกคำพูดและการกระทำของเขาได้ง่ายขึ้น

                มันเป็นสัญชาตญาณที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ช่วงเวลาที่เราผ่อนคลายที่สุด จึงเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เพราะเรามักจะเผลอไม่ระมัดระวังตัวในช่วงเวลานั้นและมันก็ใช้ได้ผลกับพี่ฮ่องเต้เสมอ

                โฟโต้เดินออกมาจากหอพักอย่างไม่รีบร้อนเพราะเขารู้ดีว่ากว่านิวกับวันจะออกจากห้อง ก็ปาเข้าไปเกือบแปดโมง แต่ตอนนี้ ยังไม่ทันจะเจ็ดโมงครึ่งดีเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ไม่มีทางที่เขาจะเจอสองคนนั้นเป็นแน่ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นหนุ่มรุ่นพี่ลงมาจากรถและเดินตรงมาหา เท่านั้น รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนหน้าของหนุ่มรุ่นน้องทันที

                “สวัสดีครับ คนน่ารัก” โฟโต้เอ่ยทักเสียงหวาน

                “จะให้กูบอกอีกกี่ครั้ง ว่าห้ามพูดคำว่าน่ารักกับกู” แน่นอนว่ามันทำให้ฝ่ายตรงข้ามหน้าหงิกและเอ่ยปรามเขาอย่างที่เคยทำ

                “แล้วจะต้องให้ผมบอกพี่อีกกี่ครั้งล่ะครับ ว่าพี่น่ารัก” จงใจเน้นคำสุดท้ายแล้วยื่นหน้าไปใกล้ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “หรือพี่อยากให้ผมพูดว่า...สวัสดีครับ ที่รัก”

                 ฮ่องเต้ทำปากขมุบขมิบ อยากจะเถียงอะไรกลับ แต่สมองกลับตันเอาเสียดื้อๆ

                “ไปขึ้นรถ!” จึงได้แต่ออกคำสั่งไปแบบนั้น ทำเอาโฟโต้อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้กับท่าทีของคนที่ทำตัวไม่ถูก ก่อนที่เขาจะเดินตามคนที่โตกว่าไปได้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องชะงักไปตามๆ กัน เพราะคนข้างหน้าดันหยุดเดินและหันขวับกลับมามองหน้าเขาพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า

                “กระเป๋า” ฮ่องเต้ว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดและตรงเข้าไปคว้ากระเป๋าออกจากบ่า เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องเอาแต่ทำหน้างง  ก่อนเจ้าตัวจะก้าวขาฉับๆ กลับไปที่รถ ทิ้งให้โฟโต้มองตามอย่างไม่อาจจะละสายตาไปจากร่างสูงของอีกฝ่ายได้

                น่ารักสัส สงสัยต้องจัดก่อนเข้าเรียนแล้วล่ะมั้ง

            แววตาวาววับของโฟโต้ฉายออกมาอย่างปกปิดไว้ไม่มิด พลันลิ้นร้อนดุนกระพุ้งแก้มจนข้นรอยนูนเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มร้ายจะปรากฏบนใบหน้า แล้วสองขาก็ก้าวพรวดๆ ตามไปขึ้นรถทันที

                “มึงกินอะไรมาหรือยัง” ฮ่องเต้เอ่ยถามขณะกำลังสตาร์ทรถ จนโฟโต้ห้องหันกลับมามองเพราะเพิ่งจะขึ้นรถมาหมาดๆ จึงยังไม่ทันได้ตั้งตัวกับการถูกถาม หากแต่สายตาของเสือร้ายในตัวกลับไปเห็นบางอย่างเข้า ทำเอาหนุ่มรุ่นน้องเผลอไผล ไม่ได้มองหน้าคนถามเลยแม้แต่น้อย

                นั่นก็เพราะซิบกางเกงที่ดันไม่ได้รูด จนเนื้อผ้าเผยอออกพอให้เห็นสีชั้นในของคนข้างกาย เพียงเท่านั้น เสือร้ายในตัวก็สั่นระริก พลันสมองก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันก่อนหน้านั้น...ที่เขาได้มีโอกาสช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในส่วนนั้น จนเจ้าของส่งเสียงออกมาอย่างพอใจ อีกทั้งสีหน้าที่แดงก่ำเพราะแรงอารมณ์...แบบนั้น...ยิ่งทำให้เขาแทบทนไม่ไหว จนลำคอขยับนูนตามน้ำลายที่ถูกกลืน ไหลลงไปในร่างกายที่เริ่มร้อนผะผ่าว...

                แดกตอนนี้เลยได้ไหมวะ

            ได้แต่คิด...เพราะไม่สามารถทำเช่นนั้นไปได้ มิฉะนั้น ลูกแมวตาโตของเขาจะต้องระแวงแล้ววิ่งหนีไปเป็นแน่

                “กูถาม ทำไมมึงไม่...”

                เพราะจู่ๆ หนุ่มรุ่นน้องก็เงียบไป เจ้าของรถจึงต้องหันกลับมาถามอีกครั้ง จนอีกฝ่ายถึงกับต้องรีบหลบสายตาและทำทีเป็นเขินอาบกับสิ่งที่เห็น

                “มึง...เป็นอะไรวะ” ฮ่องเต้จ้องหน้าคนถูกถามอย่างไม่วางตา เพราะท่าทีแปลกๆ แถมยังหายใจแรงเหมือนคนป่วยกะทันหันของอีกฝ่าย

                “คะ...คือ ผม...พี่...” เสือร้ายแสร้งตะกุกตะกักออกไปเพื่อกลบเกลื่อนความหื่นกระหายและตบตาว่าไม่ได้จงใจจะจ้องมองของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

                “ทำไม ไม่สบายเหรอวะ ทำไมหน้ามึงซีดแบบนั้น” สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ก็เพราะความเป็นห่วงอย่างไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายจากคนข้างกาย กระทั่งเผลอยกมือขึ้นไปแตะที่หน้าผากเสือร้ายและเลื่อนลงมาทีแก้ม

                “ตัวมึงอุ่นๆ นะ” ปากก็ว่าออกไป อย่างหารู้ไม่ว่าไอร้อนที่แผ่ซ่านออกจากตัวไม่ได้มาจากพิษไข้ แต่มันมาจากแรงกามารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในนั่นต่างหาก

                “แล้วสรุปมึงกินอะไรยังวะ” และก็เอ่ยถามอีกครั้ง อย่างคนไม่รู้อะไร

                “ยังครับ”

                “อืม ถ้างั้น...เดี๋ยวไปหาอะไรกินรองท้อง แล้วค่อยกินยาก็แล้วกัน”

                “เดี๋ยวสิครับ พี่เต้...” โฟโต้ร้องห้ามอย่างอดไม่ได้ พลางมองหน้าที่ฝ่ายที่กำลังมองกลับมาด้วยความมึนงง “...ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ที่ผมเงียบไปเมื่อกี้...ก็เพราะ...”

                โฟโต้เว้นจังหวะแล้วทำเป็นชี้ไปที่กางเกงของอีกฝ่าย พร้อมทั้งแสร้งหันหน้าไปทางอื่น “พี่...ลืม...รูด...ซิบ”

                พลันสายตาของอีกฝ่ายก็หันขวับกลับมามองที่เป้ากางเกงตนพร้อมกับร้องอุทานลั่นรถ แล้วรีบคว้าหมับ จัดการรูดซิบกางเกงทันทีด้วยความรู้สึกภายในใจที่กำลัง...อายชิบหาย!!

                “คือผมไม่ได้ตั้งใจจะมองนะ แต่มันบังเอิญไปเห็น แล้วก็...”

                “เงียบเหอะน่า!” กระแทกเสียงใส่ด้วยความอายและออกรถด้วยความเร็ว จนอีกฝ่ายก้มหน้างุด หากแต่ในใจกลับแต่ลอบยิ้ม

                ทั้งขำในความโก๊ะ หมั่นเขี้ยวกับท่าทีเขินอายและหื่นกระหายกับชั้นในสีน้ำเงิน...

               

                ใช้เวลาไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงคณะนิติศาสตร์ เพราะช่วงเช้าเช่นนี้ รถบนถนนไม่ค่อยจะติดขัดนัก กอปรกับหอพักที่อยู่ใกล้ประตูทางเข้ามอ ทำให้สะดวกต่อการมาเรียน

                “แล้วสรุป มึงกินอะไรมายังวะ” ฮ่องเต้เอ่ยถามเพื่อทำลายวามเงียบ หลังจากที่โฟโต้ลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว

                “ยังครับ พี่เต้หิวหรือเปล่า” โฟโต้ถามกลับพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างคนไม่ติดใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เพราะใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังอดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงต้องทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายด้วยการเบี่ยงประเด็นไปตาม

                “กูกินมาแล้ว” ฮ่องเต้ตอบกลับออกไปเสียงเรียบ หากแต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายหน้าหงอย เพราะคนที่โตกว่าอุตส่าห์เปิดประเด็นเหมือนจะให้โอกาสเขาไปกินข้าวด้วยทั้งที แต่ไหงกลับมาตอบกลับมาเช่นนั้นได้

                “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมค่อยไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียนก็ได้ครับ” ตอบออกไปตามปกติวิสัยตื่นสายจนเลยเวลากินมือเช้า แต่นั่นกลับทำให้ฮ่องเต้ตีหน้าดุใส่

                “ได้ไง! ไม่มีใครบอกมึงหรือไงว่ามื้อเช้ามันสำคัญแค่ไหน อีกอย่าง มึงไม่มียาที่ต้องกินตอนเช้าหรือไง”

                ท้ายประโยคโฟโต้ถึงกับทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้หมายถึงอะไร

                “ยาอะไรครับ?”

                และมันก็ทำให้อีกฝ่ายตีหน้าเคร่งใส่มากกว่าเดิม “แขนมึงเป็นแบบนี้ แล้วยังมีหน้ามาถามอีกว่ากูหมายถึงยาอะไร!”

                ซึ่งมันก็ทำให้คนที่เด็กกว่าถึงบางอ้อ หากแต่เลิกลักอยู่ในใจเพราะลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสนิท จนต้อง...

                “ผมว่าแล้วววววว ว่าผมลืมอะไร!” แสร้งยีหัวจนยุ่งอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ผมก็เพิ่งมานึกได้ว่าลืมยาเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ”

                ฮ่องเต้ส่งเสียงอย่างขัดใจในลำคอ นึกอยากจะจับเด็กปีหนึ่งตรงหน้ามาตีให้หายคันไม้คันมือเสียที ถ้าเป็นสีฝุ่นคงได้โดนไปแล้วแน่ๆ แต่เพราะเป็นโฟโต้หรอกนะ เขาถึงได้ไม่กล้าทำ

                “มึงนี่มัน...” ฮ่องเต้เงียบไปอึดใจ จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาโมโหแล้วเปล่งเสียงออกมา “...เด็กจังวะ”

                อย่างไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าไม่ได้ เด็ก อย่างที่เขาเห็นเลยสักนิด ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ม่านบังตาที่อีกฝ่ายสร้างให้เขาเห็นต่างหาก

                “จะยังไงก็ช่าง ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวแม่งก็ปวดท้อง เรียนไม่รู้เรื่องพอดี” พูดจบก็เดินนำรุ่นน้องของตนไป โดยไม่รอฟังคำแก้ตัวหรือคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น จนอีกฝ่ายต้องเดินตามไป...แบบเต็มใจจะตาม

                ความเป็นห่วงเป็นใยที่หลุดออกมาทางคำพูด แม้จะพูดออกมาตามความเคยชินของการเป็นพี่และการเป็นฝ่ายดูแลคนอื่นมาตลอด แต่นั่นมันก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเคยชินกับการพูดคุยและใกล้ชิดเขาไปเสียแล้ว และอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนลวงเหยื่อเข้าถ้ำของเขา

                โฟโต้เดินตามฮ่องเต้ไปกระทั่งถึงโรงอาหารของคณะ ในช่วงเช้า นักศึกษายังคงบางตาเพราะส่วนใหญ่ก็มักจะหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ รองท้องมากกว่ามานั่งกินข้าว ทั้งคู่จับจองที่วางเสร็จสรรพ ฮ่องเต้จึงเอ่ยถาม

                “มึงจะกินอะไร เดี๋ยวกูไปซื้อให้” แม้จะเป็นคำถามเรียบง่ายและดูเหมือนว่าคนถามจะไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้หนุ่มรุ่นน้องลำพองใจขึ้นมาได้

                “เอ่อ เดี๋ยวผมไปซื้อเองดีกว่าครับ” แต่ยังคงต้องรักษาความเกรงใจที่มีต่อรุ่นพี่ในยามปกติ (แต่หื่นกระหายในยามวิกาล) และกล่าววาจาออกไปเช่นนั้น

                “เอ่อน่า เดี๋ยวกูไปซื้อให้ แขนข้างที่ใช้การได้ก็...ไม่ถนัดไม่ใช่เหรอวะ” ท้ายประโยคกลับฟังดูแผ่วเบาเพราะความเขินอายที่มีอยู่ข้างใน เนื่องจากในหัวของเขามันไม่อาจจะลบเลือนภาพในเหตุการณ์ในคืนนั้นได้

                และมันก็ทำให้โฟโต้ลอบยิ้ม...

                ติดใจเสียแล้วล่ะมั้ง

                คิดไปแบบนั้น แต่ก็ก็อดคิดในมุมกลับกันอย่างเสียไม่ได้เพราะเขาเองก็ติดใจรสมือของอีกฝ่าย ชนิดที่หาอะไรมาทดแทนได้ยาก ยกเว้น...

                ข้างในนั้น...ของพี่ฮ่องเต้

            เป็นส่วนที่เขายังไม่เคยลองลิ้มชิมรส แต่คาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดแน่ว่ามันจะต้อง...ซี๊ด

                “คิดจะกินเนื้อไดโนเสาร์อยู่หรือไงวะ นานไปแล้วนะ” อ่องเต้อดทักท้วงไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ แถมสายตายังฉายแววแปลกพิกลออกมาอย่างกับเปิบพิสดารเสียอย่างนั้น

                “เอาเป็นข้าวต้มก็ได้ครับ” ปากเอ่ยตอบ หลังจากสายตาสบเข้ากับป้ายร้านข้าวต้มลุงชูพอดี

                ฮ่องเต้พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ “อืม นั่งรอไปก่อนก็แล้วกัน”

                ก่อนจะแยกออกไปซื้อข้าวต้มให้กับรุ่นน้อง ส่วนโฟโต้ก็นั่งรอที่โต๊ะอย่างว่าง่าย

                “เอาข้าวต้มชามหนึ่งครับ” ฮ่องเต้เอ่ยบอกและยืนรอรับอาหารที่สั่งไป ไม่นานเขาก็จ่ายเงินแลกอาหารแล้วเดินกลับมาหาเด็กปีหนึ่งที่นั่งรออยู่

                ข้าวต้มร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยมาตามไอร้อนที่ลอยขึ้นมาบนชามข้าว ถูกวางลงบนโต๊ะ ตรงหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่มีรุ่นพี่อย่างเขาคอยประคบประหงมขนาดยอมไปซื้อข้าวให้

                “รีบกิน จะได้รีบไปเรียน” ทว่าบอกแค่นั้น แล้วก็เดินออกไปจากโต๊ะอีกครั้ง อย่างไม่รอฟังคำขอบคุณจากรุ่นน้อง

                ฮ่องเต้เดินกลับไปที่ร้านน้ำอีกครั้ง แล้วเปิดตู้คว้าน้ำเปล่าออกมาขวดหนึ่ง จังหวะนั้นเองที่มีอีกมือจับเข้าที่ขวดน้ำนั้นพอดี ทำให้มือของหนุ่มรุ่นพี่ต้องชะงักและปล่อยมือจากขวดน้ำ

                “ก่อนเลยครับ” ฮ่องเต้ว่าออกไปเสียก่อนจะทันได้หันไปมองหน้าคนมาใหม่

                “ใจดีตลอดเลยนะครับ” จนอีกฝ่ายเอ่ยแซวอย่างเสียไม่ได้

                “ไอ้นัท...” ฮ่องเต้ยิ้มออกทันทีที่เห็นหน้า ก่อนที่นัทจะเป็นฝ่ายยื่นขวดน้ำนั้นกลับมาให้

                “พี่เอาไปเถอะครับ พี่มาก่อน” นัทยังคงยิ้มละมุนตามสไตล์กลับไปให้คนตรงหน้าเหมือนเช่นทุกครั้ง “เถอะครับ เดี๋ยวผมหยิบขวดใหม่ก็ได้”

                นัทเน้นย้ำคำพูดอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ แถมยังยัดขวดน้ำใส่มือของหนุ่มรุ่นพี่จนหมดหนทางหลีกเลี่ยงและได้แต่รับขวดน้ำนั้นมาถือไว้

                “อืม” ฮ่องเต้รับคำสั้นๆ แล้วเดินไปจ่ายเงิน ท่ามกลางสายตาของนัทที่มองตามพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก กระทั่งหนุ่มรุ่นพี่เดินกลับไปถึงโต๊ะที่มีใครบางคนนั่งอยู่ เท่านั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับไปทันที พลันสายตาเรียบเฉยก็ปรากฏ

                หมอนั่นอีกแล้ว

            ก่อนที่มือจะหยิบน้ำออกมาจากตู้ขวดหนึ่งและเดินไปจ่ายเงินกับเจ้าของร้าน

                ฮ่องเต้จัดการเปิดขวดน้ำพร้อมกับเสียบหลอดเข้าไป ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าโฟโต้ ทำเอาคนตรงหน้าถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความซึ้งใจ

                “ทำไมใจดีกับผมขนาดนี้ล่ะครับ” เอ่ยออกไปเสียงหวาน

                ทว่าอีกฝ่ายกลับยังตีหน้านิ่งใส่แล้วเอ่ยออกไปเสียงเรียบ “ก็มึงป่วย”

                “แสดงว่า ถ้าผมไม่ป่วย พี่ก็จะไม่ใจดีกับผม” แล้วคนที่ (แอบอ้าง) ว่าตัวเองป่วยก็ทำหน้างอ จนคนที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามป่วยจริงๆ ถึงกับอยากจะหาอะไรมาปาใส่หน้า

                นี่ถ้าเป็นไอ้ฝุ่น คงโดนถีบไปแล้ว

            ยังคงยืนยันกับตัวเองเช่นนั้น เพราะปกติ เขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งพูดจาไพเราะ แสดงท่าทีอ่อนโยนใส่กับคนที่สนิทกันเสียหน่อย ก็ทำไงได้ คนมันติดเป็นนิสัยแล้วนี่นา

                ยิ่งสนิทมาก มันก็ยิ่งเขินปากเวลาจะพูดจาดีๆ ใส่

            “รีบกินๆ ไปเหอะน่า” จึงได้แต่เบี่ยงประเด็นตามนิสัย จนอีกฝ่ายชักจะน้อยใจขึ้นมาจริงๆ

                ไว้ตกลงปลงใจเมื่อไหร่ล่ะ จะจับฟัดจนกว่าจะบอกรักทุกวันเลยเหอะ

            แต่ก็อดหมั่นเขี้ยวกับท่าทีเมินเฉยนั้นเสียไม่ได้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายปากหนัก ถึงต้องรอเวลาต่อไป

                “ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”

                แต่ดูเหมือนเวลาจะไม่เป็นใจ โฟโต้หันขวับไปจ้องหน้าคนมาใหม่ทันที นัทเองก็จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเพราะฮ่องเต้หันมามองเขาพอดี จึงยิ้มออกไป

                “ไหนๆ ก็มาเจอนายแล้ว จะได้ไปเรียนพร้อมกัน” แม้จะเป็นประโยคทักทายธรรมดา แต่น้ำเสียงกลับสื่อถึงนัยแอบแฝง

                ฮ่องเต้มองหน้ารุ่นน้องสองคนสลับกันไปมาเล็กน้อย ยิ่งคิดไปถึงเรื่องที่เด็กทั้งสองคนรู้สึกอะไรบางอย่างกับเขาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกอึดอัด จนต้อง...

                “เออ ถ้าอย่างนั้น พวกมึงก็ดูแลกันเองก็แล้วกัน กูรีบไปเรียน” พูดจบก็หุนหันลุกเดินออกไปจากโต๊ะทันที ทิ้งให้หนุ่มรุ่นน้องสองคนมองตามจนลับสายตา จึงหันกลับมาจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย

                “เราชอบพี่เต้ แล้วเราก็จะจีบพี่เขาด้วย” เป็นนัทที่เอ่ยปากบอก พร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในใจ

                หากแต่มันกลับทำให้โฟโต้หัวเราะใส่พร้อมกับตอกกลับสั้นๆ “บอกทำไม”

                “ก็อยากให้รู้ จะได้หัดระวังตัวเอาไว้บ้าง” ว่าแล้วก็ปรายตามองไปยังเฝือกแขนของโฟโต้ “ความลับไม่มีในโลก”

                “แล้วนายเคยได้ยินสุภาษิตนี้ไหมวะ” โฟโต้เว้นจังหวะ “รู้สิ่งใด ไม่สู้รู้วิชา”

                นัทมองหน้าโฟโต้นิ่งอย่างพยายามจะเข้าใจในความหมายที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการจะสื่อ ขณะที่โฟโต้ได้แต่ยกยิ้มที่มุมปาก ยืดอกเต็มภูมิว่ายังไงตนก็อยู่เหนือกว่านัทอยู่เห็นๆ

                “...แล้วเผอิญว่าวิชาของกูมันดันเยอะเสียด้วยสิ เพราะฉะนั้น ต่อให้นายรู้ความลับ มันก็สู้กับการที่เรารู้วิชาไม่ได้หรอก”

                พลันใบหน้าเปลี่ยนสี ภายในใจเต็มไปด้วยความคับแค้นกับคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่ก็ยังพยายามยิ้มออกมาอย่างต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว

                 “อย่าชะล่าใจไปก็แล้วกัน พลาดขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะเสียวิชาเอา” และเจ้าตัวก็นั่งลงตรงหน้าอีกฝ่าย อย่างที่โฟโต้ต้องมองตามการกระทำนั้น “กินข้าวต่อสิ”

                “ถ้ามันลำบากนัก ก็ขึ้นไปเรียนก่อนก็ได้นะ พี่เต้ไม่อยู่เสียหน่อย” และก็พูดออกไปอย่างประชดประชัน

                “ทีนายยังเล่นละครตบตาทุกคนได้ ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้”

                เพราะนัทปรายตามองไปทางซ้ายมือ โฟโต้จึงต้องเหลือบตามองตาม พลันสายตาก็สบเข้ากับกลุ่มของเจมส์

                “อย่าลืมว่าพี่เต้เป็นถึงรองเดือน คงไม่แปลกถ้าพวกพี่เขาจะสนิทจนเอาเรื่องที่เราทิ้งนายไว้ที่นี่ ไปบอกพี่เต้”

                โฟโต้หันกลับมามองหน้านัทอย่างดูถูก “อ่อนว่ะ คิดทำการใหญ่ แต่ดันระแวงกับไอ้เรื่องแค่นี้”   

                และนั่นมันกลับทำให้นัทถึงกับฉุน “ไม่รู้อะไร อย่าเพิ่งพล่ามไปดีกว่า”

                “คนอย่างนาย มันเดาได้ไม่ยากหรอก...” และยกยิ้มที่มุมปากพร้อมกับเน้นประโยคถัดมาว่า “...ชั้นเชิงนาย มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินจะเป็นศัตรูของเรา”

                นัทจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง หากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความคุกกรุ่นจากความรู้สึกภายในใจ จน...ต้องยันตัวลุกขึ้นมา ใช้สองแขนเท้าที่โต๊ะและโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างจงใจ

                “ชั้นเชิงสูงนัก ก็อย่าตกลงมาให้ถูกเหยียบง่ายๆ ก็แล้วกัน” กระซิบออกมาจากความรู้สึกทั้งหมด จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณา

                เขาประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป โฟโต้ไม่ใช่แค่เด็กปีหนึ่งที่สักแต่จะทำตัวทีเล่นทีจริงไปวันๆ แต่กลับมีอะไรมากกว่านั้น ภายใต้หน้ากากเด็กปีหนึ่ง...

                ขณะที่โฟโต้ไม่ได้ยี่หระกับคำพูดของนัทเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ

                และในจังหวะที่นัทไม่ทันได้ตั้งตัว โฟโต้เหลือบไปมองทางโต๊ะของเจมส์ เมื่อเห็นว่าทุกสายตาไม่ได้สนใจพวกเขา จึงฉวยโอกาสระหว่างที่หันหน้ากลับมามองนัท ปัดชามข้าวต้มคว่ำลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังและมันก็ดังมากพอที่จะเรียกสายตาของทุกคนให้หันมามอง เพราะระดับเสียงพูดคุยกันในโรงอาหารไม่ได้ดังมากพอที่จะกลบเสียงนั้น

                จากมุมที่คนอื่นมองมานั้น หากไม่ได้ยินเรื่องที่สองคนคุยกันก่อนหน้านั้นแล้ว มันทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆ

                และนั่นทำให้นัทต้องหันมามองหน้าโฟโต้อย่างไม่เข้าใจในการกระทำ หากแต่โฟโต้กลับชิงพูดแทรกขึ้นเสียก่อน

                “ถ้าเรื่องที่เราชอบพี่เขา มันทำให้นายไม่พอใจ เรา...ขอโทษ”

                นัทเดาไม่ออกเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงได้แต่ทำหน้านิ่งใส่อย่างคนไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์ที่คนเจ้าเล่ห์จงใจจะสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขายังไงดี ยิ่งมองสบกับสายตาที่ไม่ได้สำนึกผิดจริงๆ จากคนตรงหน้า แต่กำลังบีบบังคับให้เขาเดินออกไปจากโรงอาหาร

                แต่ถ้าผมทำแบบนั้น มันยิ่งไม่เป็นการตอกย้ำว่าผมเป็นฝ่ายทำร้ายมันเหรอ

            และในเมื่อกดดันแทบตาย แต่นัทก็ยังคงยืนกรานผ่านทางสายตาว่าไม่ยอมเป็นฝ่ายเดินออกไปแน่ จากเดิมทีที่กะจะยั่วโมโหให้นัทไม่พอใจและเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป ให้ทุกคนมองว่านัทเป็นฝ่ายทำร้ายเขาก่อน โฟโต้จึงต้องพลิกแผน หันไปคว้ากระเป๋าและมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

                “เราเลิกชอบพี่เขาไม่ได้จริงๆ เราขอโทษนะ” ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเดินออกไปเองอย่างไม่คิดที่จะหันกลับมาดูผลงานของตัวเอง ทิ้งให้นัทยืนนิ่งอึ้งกับสถานการณ์และเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาหลายคู่ที่มองมา โดยเฉพาะจากโต๊ะของเจมส์ จึงได้แต่กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจและ...

                ก้มลงเก็บชามข้าวต้มนั้นขึ้นมาและเดินเอาไปเก็บ หวังจะให้ภาพนั้น ลดทอนความร้ายกาจที่โฟโต้ยัดเยียดมาให้เขาได้บ้าง

                “มึงเล่นกูก่อนนะ” กระซิบเสียงแผ่วและวางชามเปล่าลงในถัง

                ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกไปจากโรงอาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างพยายามจะสะกดกั้นอารมณ์ที่มีอยู่ภายใน...

 

               

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:56:48
ตอนที่ 24 แค่คนเคยรู้จัก

                “ไงว้า หายเงียบไปเลยนะมึงงงงง” เสียงนิวลอยลมมาเข้าหูทันทีที่ฮ่องเต้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน จากสีหน้าที่เป็นกังวลเรื่องนัทกับโฟโต้ แปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดขึ้นมาทันตาเห็น

                ก็เพราะว่าผมมีเรื่องจะต้องเคลียร์กับมันไง!

                “มึงไม่ต้องมายิ้มหน้าระรื่นเลยนะเว้ย!” ฮ่องเต้ตอกกลับและโยนกระเป๋าข้ามหัวเพื่อนไปลงบนเก้าอี้พอดิบพอดี ส่วนเจ้าตัวก็ย่างสามขุมเข้าไปหาอย่างเอาเรื่อง “วันนั้น มึงเอาอะไรให้น้องมันกิน!”

                เมื่อมีโอกาสได้เจอตัว ก็เปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อมตามประสาฮ่องเต้ หากแต่นิวกลับหาได้สะทกสะท้านเพราะเขาเคยชินกับการจู่โจมรูปแบบนี้ของเพื่อนเขาเสียแล้ว แถมยังยิ้มรับหน้าบานอีกต่างหาก

                “ใส่อะไร กูบอกไปแล้วไงว่าน้องมันแดกเหล้า แล้วเมาเอง”

                คำพูดของนิวทำเอาสองคิ้วของเพื่อนรักอีกคนข้างต้องขมวดเข้าหากันแน่น แต่ซันก็ทำเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆ เพราะสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวอะไรกับเด็กปีหนึ่งที่ชื่อโฟโต้หรือเปล่า

                “กูไม่เชื่อ ถ้ามันแค่เหล้าจริงๆ คืนนั้นมันคงไม่...!!” ริมฝีปากของคนเอาเรื่องชะงักไปทันควัน ครั้นนึกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องควรจะพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “...มึงเอายาห่านั่นใส่ให้น้องมันใช่ไหม!!”

                ประโยคสุดท้าย เขาไม่ได้จะถามคนตรงหน้า แต่ต้องการจะเค้นความจนอีกฝ่ายสารภาพออกมาให้ได้ต่างหาก แต่นิวกลับแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาเสียเต็มประดา

                “ทำไมวะ หรือยามันออกฤทธิ์จริงๆ”

                ฮ่องเต้ไม่ตอบแต่ส่งสายตาอาฆาตไปให้แทน จนนิวถึงกับเบิกตากว้าง ร้องอุทานเสียงดังลั่น

                “มึงเสร็จน้องมันละ...!!” เพราะเสียงที่ดังเกินไป ฮ่องเต้จึงกระโจนเข้าใส่ แขนข้างหนึ่งรัดคอ ส่วนอีกมือหนึ่งปิดปากของคนพูดมากเอาไว้

                “เสียงดังทำห่าอะไร กูไม่ได้เสร็จน้องมันเว้ย” ท้ายประโยคเสียงเบาลงพลางเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงผละออกมาจากร่างของเพื่อนตน ในใจยังคงเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่หายกับเรื่องคืนนั้น

                ก็แค่มือ...ผมไม่นับหรอกเว้ย

            “อ้าว แล้วมึงจะโมโหใส่กูทำไมวะ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” นิววกกลับมาเข้าเรื่อง เพราะท่าทีที่แปลกไปของเพื่อนเขา อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน มีหรือเขาจะดูไม่ออกเวลาเพื่อนมีเรื่องปิดบัง

                แต่ก็ช่างเถอะ ถ้ามันอึดอัดจนทนไม่ไหว เดี๋ยวก็แจ้นมาบอกเขาเองแหละ

                “ก็...ก็มันไม่ใช่เรื่องควรทำไง มึงก็เห็นว่าไอ้โฟโต้มันเจ็บแขนอยู่ อีกอย่าง มึงใช้ยาพวกนี้มันไปมั่วๆ ได้ไงวะ มึงก็รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน เกิดไอ้เด็กนั่นเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไงวะ”

                อ่องเต้พูดรัวๆ ติดกันเป็นพรืดจนนิวจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง จึงได้แต่จ้องหน้าอย่างจับผิด

                “มึงเป็นห่วงน้องมันมากกว่า อย่าเอาอันตรายมาอ้างเลย”

                ฮ่องเต้แอบสะดุ้งกับคำพูดของเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะทำทีเป็นหงุดหงิดใส่

            “ก็ห่วงดิวะ ชีวิตคนทั้งคนนะเว้ย กูไม่อยากมีเพื่อนเป็นฆาตกร”

                “อ้าว ไอ้เต้ กูอุตส่าห์ช่วยมึงนะเว้ย!” นิวร้องโวยวาย แต่เดี๋ยวเดียวก็ยิ้มร่าใหม่เพราะสมองดันนึกอะไรขึ้นได้ “แต่ถ้ามันตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ กูยอมเป็นฆาตกรว่ะ”

                “สวรรค์อะไรของมึงวะ”

                “ก็สวรรค์ชั้นเจ็ด ที่มีแต่มึงกับมันไง ฮ่าๆๆ” และนิวก็หัวเราะลั่นอย่างสะใจ จนฮ่องเต้ได้แต่ตีหน้างอนใส่

                “กูไม่ตลกนะเว้ย”

                “เอาน่าๆ เดี๋ยวไว้คราวหน้า กูจะหายาที่มันแรงกว่านี้ แล้วก็เตรียมถุงยางกับเจลไว้ แถมเปิดห้องหรูๆ ให้ด้วยเอ้า พวกมึงจะได้มีอารมณ์กระดึ๊บๆๆ” ไม่ว่าเปล่า ยังทำไม้ทำมือ แสดงออกทางสีหน้าอย่างเต็มที่จนอีกฝ่ายหัวร้อนใส่

                ป้าบ!

                “กระดึ๊บบ้านป้ามึงดิ!” ฮ่องเต้ด่าพร้อมกับโบกหัวคนจริตเยอะไปที “ถ้ามันมีคราวหน้าอีก กูเลิกคบมึงแน่”

                “โอ๊ยๆๆ โอเคๆ ครับท่านฮ่องเต้ กระผมสำนึกผิดแล้ว อย่าเลิกคบผมเลยนะ”

                นิวรีบปรี่เข้าไปเขย่าแขนอีกฝ่ายและออดอ้อนสุดกำลัง แต่เขาไม่ได้กลัวกับคำขู่นั้นของเพื่อนหรอก เพราะรู้นิสัยฮ่องเต้ดีว่าขี้ใจอ่อนแค่ไหนต่อให้เขาทำแบบนั้นอีกเป็นสิบๆ ที ยังไงก็โกรธไม่ลงหรอก ยิ่งถ้าเขาทำให้ฮ่องเต้ยอมตกลงคบกับโฟโต้ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องห่วงกับอีแค่เรื่องมอมยาปลุกอารมณ์หรอก

                “ว่าแต่คืนนั้นมันไม่มีอะไรจริงๆ เหรอวะ” และก็หันไปกระซิบถามทีเล่นทีจริง ชนิดที่ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับโมโหขั้นสุด

                “ไม่เมีเว้ย!” แต่ก็ได้แต่ตอกกลับไปเช่นนั้นและเดินไปนั่งที่โต๊ะเพื่อรอเรียน ท่ามกลางสายตาของซันที่มองมาอย่างไม่ชอบใจนัก...

 

                หลังจากเทียวรับเทียวส่งถึงหอสามวันเต็ม ก็ถึงเวลาที่โฟโต้ต้องถ่อสังขารไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งในเวลาเกือบเย็น...ตามแผน

                “อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง ทนไม่ไหวแล้วเหรอ” หมอมีนเอ่ยแซวขณะช่วยถอดเฝือกออกให้ นั่นก็เพราะตามกำหนดแล้ว โฟโต้ต้องมาถอดเฝือกสัปดาห์หน้า แต่เจ้าตัวดันมาอ้อนวอนให้เธอช่วยเอาออกเวลานี้เสียได้

                “โธ่ พี่มีนครับ ไอ้เฝือกนี่มันทำให้ผมลำบากมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วนี่ครับ อย่าว่าแต่อาทิตย์หน้าเลย แค่วันสองวัน ผมก็จะตายแล้ว”

                โดยเฉพาะตอนที่ต้องใส่ไปข้างนอก เขาแทบจะทนไม่ได้ คิดแต่จะเอาเฝือกออกตลอดเวลาเพราะมันทั้งคัน ทั้งชื้นไปด้วยเหงื่อที่แขนเนี่ยแหละ

                “จ้า แล้วก่อนหน้านี้ ใครล่ะหะ ปากเก่งเชียว” หมอมีนหัวเราะเบาๆ กับพฤติกรรมของน้องชายเพื่อนไม่ได้ จัดการถอดเฝือกให้เจ้าตัวเสร็จ ก็ไปล้างไม้ล้างมือต่อ

                “ใครจะไปคิดว่ามันลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อน เห็นตอนที่กราฟใช้แผนนี้ก็ไม่ยักกะเป็นอะไร” เสือร้ายกลายร่างเป็นลูกเสือ ร้องบอกเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะยืนเส้นยืดสาย บีบนวดที่แขนไปพลาง รู้สึกโล่งขึ้นเมื่อไม่มีอะไรมาครอบเอาไว้

                “ไม่เป็นอะไรเลยจ้า” หมอมีนอดลากเสียงยาวอย่างประชดประชันไม่ได้ “เราน่ะ รู้น้อยไปล่ะสิ รายนั้นล่ะ เขาก็บ่นตลอดเวลาที่มีให้บ่นนั่นแหละ”

                “แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่หมอมีนมากนะครับ ที่ช่วย...” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีใส่ จนอีกฝ่ายนึกหมั่นไส้

                “ไม่ต้องมายิ้มเลย คราวหน้าพี่ไม่เอาแล้วนะ แผนแบบนี้” สุดท้ายก็ได้แต่บ่นออกมาเช่นนั้น “ยังดีที่ว่าที่แฟนเราเขายังไม่รู้ เพราะขืนความแตกเหมือนตอนช่วยอีตากราฟล่ะก็...พี่คงได้ลาออกจากการเป็นหมอแล้วจริงๆ”

                “โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ อีกอย่าง ผมเล่นละครเก่งกว่าพี่กราฟตั้งเยอะ ไม่อย่างนั้น พี่ฮ่องเต้คงไม่ใจอ่อนเทียวรับเทียวส่งผมแบบนี้หรอก”

                “ระวังไว้เถอะ คนที่ใจอ่อนมากๆ แบบฮ่องเต้เนี่ย ลองได้ผิดหวังเสียใจหรือจับได้ว่าถูกหลอกล่ะก็...เราจะได้เสียเขาไปตลอดชีวิต”

                “โหย พี่มีนครับ กว่าจะถึงตอนนั้น พี่ฮ่องเต้ก็คงรักผมไปแล้วล่ะครับ คนรักกัน ยังไงก็ให้อภัยกัน”

                เพราะท่าทางที่ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร ทำเอาหมอมีนถึงกับต้องทำหน้าจริงจังใส่และค่อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตึงเครียด

                “โฟโต้ ฟังพี่นะ...ความรัก มันไม่ใช่ตัวแปรที่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเลือกที่จะให้อภัยอีกฝ่ายเสมอไปหรอกนะ”

                โฟโต้นิ่งเงียบ สีหน้าเปลี่ยนไปทันตาเห็นที่ได้ยินคนตรงหน้าพูดออกมาเช่นนั้น หากแต่ก็ยังคงนั่งฟังต่อไป

                “คู่รักหลายคู่ ไม่ได้เลิกกันเพราะเขาหมดรักกันหรอก แต่เพราะเขาให้อภัยกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ได้ต่างหากและที่พวกเขาเลือกที่จะไปจากกันก็เพราะเขาไม่อยากกลับมาเจ็บซ้ำๆ กับคนเดิมๆ พี่ว่า...ฮ่องเต้อาจจะเป็นแบบนั้น”

                โฟโต้เงียบไปอย่างใช้ความคิด หากพิจารณาดูจากที่ผ่านมาแล้ว ก็เข้าข่ายว่าพี่ฮ่องเต้ของเขาจะเป็นเช่นนั้น เขายังจำได้ดีว่าตอนที่เขาแกล้งโกหกเรื่องของนัทและไม่ยอมไปเรียนฮ่องเต้ในวันนั้น มันทำให้ฮ่องเต้โกรธถึงกับหนีหน้าเขาเอาเสียดื้อๆ  โชคดีที่ตอนนั้นเขายังมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้ฮ่องเต้ยอมรับได้ เขาถึงยังมีโอกาสได้กลับมาคุยกับฮ่องเต้

                “พี่มีนครับ ผมมีเรื่องจะถาม” โฟโต้เอ่ยปากออกไป ครั้นนึกไปถึงเรื่องบางอย่าง “ตอนนั้น พี่พอจะรู้ไหมครับ ว่าทำไมพี่กราฟถึงได้ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง”

                อาจจะเป็นเพราะฮ่องเต้มีนิสัยคล้ายคลึงกับพี่ชายของเขา ที่เป็นพวกปากแข็งและไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ  แม้ในใจจะต้องเสียใจมากแค่ไหนก็ตาม เขายังจำได้ว่าพี่ชายของเขาเองก็เกือบจะเสียพี่แบมบูไปเพราะเอาแต่หนีความรู้สึกของตัวเอง แต่ถ้าเป็นพี่ฮ่องเต้ของเขาล่ะ...พอจะมีอะไรที่จะทำให้คนปากแข็งอย่างพี่ปีสี่คนนี้ของเขายอมรับความรู้สึกของตัวเอง

                พี่ฮ่องเต้ ไม่ใช่คนที่คาดเดายาก...ดังนั้น เขาจึงพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเองก็เริ่มมีใจให้กับเขาบ้างแล้ว

            หมอมีนมองหน้าโฟโต้อย่างช่างใจ แต่พอคิดไปว่าถ้าให้เจ้าน้องชายคนนี้ไปถามคนอย่างกราฟิก ชาตินี้ทั้งชาติ คนปากแข็งก็ไม่มีทางบอกน้องชายตนเองเป็นแน่ จึงค่อยเอ่ยปากพูดออกมา

                “ที่กราฟยอมรับ ก็เพราะเขากลัวการสูญเสีย เราก็น่าจะรู้นิสัยข้อนี้ของพี่ชายเราดี กราฟไม่ใช่คนที่ปล่อยให้ตัวเองรักใครง่ายๆ เพราะเขากลัวว่าวันหนึ่งเขาจะรับไม่ได้ ถ้าจะสูญเสียใครคนนั้นไป แต่พอเขาได้เผลอใจกับแบมบู หลังจากได้ใช้เวลาด้วยกัน มันก็ทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะสูญเสียแบมบูไปก็แค่นั้น”     

                “...”

                “แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้จะเป็นแบบเดียวกันกับพี่ชายเราไปเสียหมดหรอกนะ...” หมอมีนร้องเตือนสติน้องชายเพื่อน “...ความรัก มันเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้หรอก ต่างคนต่างก็มีเหตุผลที่จะเลือกว่าจะปล่อยให้ใครเข้ามาหรือไม่เข้ามาในชีวิตของพวกเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคาดหวังจากความรักก็คือความมั่นคง...”

                “...”

                “ไม่มีใครอยากจะเสียใจซ้ำๆ อยากจะเริ่มต้นใหม่หลายหน ความรักมันก็คือรูปแบบหนึ่งของการคาดหวังน่ะแหละ ถ้าเราทำให้เขามั่นใจในตัวเราได้ เขาก็จะเปิดใจให้เรามากกว่าครึ่ง...” หมอมีนเว้นจังหวะและสบสายตากับอีกฝ่าย “...เพียงแค่อย่าทำลายความรู้สึกของเขาหลังจากนั้นก็พอ ไม่อย่างนั้น เราอาจจะไม่ได้เข้าไปในใจของเขาตลอดชีวิต”

                เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านิ่งเงียบไป แต่ดูจากสีหน้าและแววตาที่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คล้ายว่าจะเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังสื่อออกไป จึงปรับสีหน้าและส่งยิ้มไปให้

                “เลิกคิดมากได้แล้ว ไป ออกไปหาฮ่องเต้เถอะ รอนานแล้วนั่น”

                เมื่อได้ยินเช่นนั้น โฟโต้ก็ได้แต่เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้องทำงานของหมอมีนอย่างว่าง่าย

                ฮ่องเต้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาหาหนุ่มรุ่นน้องที่เฝือกหายไปจากแขนแล้ว

                “ยังไงช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งใช้งานหนัก แล้วถ้ามีอาการผิดปกติอะไรก็ให้รีบพามาหาหมอทันทีเลยนะคะ” หมอมีนหันไปบอกพร้อมกับยิ้มกริ่ม มองหน้าสองคนสลับกันไปมา “แต่มีแฟนดูแลดีขนาดนี้ หมอคงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วเนอะ”

                ฮ่องเต้หน้าขึ้นสีทันทีที่ถูกทักเช่นนั้น “คือ...นี่รุ่นน้องผมครับ”

                และนั่นทำเอาหมอมีนอดนึกขำไม่ได้ ขณะที่โฟโต้ได้แต่ย่นจมูกใส่ “รุ่นน้องอะไรล่ะครับ ผมคือคนที่กำลังตามจีบพี่อยู่ต่างหาก”

                “ไอ้โฟโต้!” เพราะความเขินอายที่ถูกพูดต่อหน้าคนอื่นเช่นนั้น ฮ่องเต้จึงถองศอกใส่คนข้างกายไปที

                “โอ๊ยยยยย”  หากแต่อีกฝ่ายกลับร้องโอดโอยเสียดังลั่น ทำเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา จนหนุ่มรุ่นพี่หน้าซีดไปตามๆ กัน

                “เจ็บเหรอวะ” ว่าพลางร้อนรนจับแขน มองสำรวจ

                ท่าทางแบบที่หมอมีนอดหันไปกระซิบที่ข้างหูน้องชายเพื่อนไม่ได้ว่า “สำออย”

                โฟโต้หันมาขมุบขมิบปากใส่ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะแสร้งนิ่วหน้า เมื่อฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมามอง

                “กูขอโทษ...”

                น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนคนจะร้องไห้ทำเอาอีกฝ่ายใจอ่อนยวบ หากแต่ก็ยังแสดงละครต่อไปอย่างแนบเนียน

                “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” โฟโต้แสร้งยิ้มออกไป “กลับกันเถอะครับ ผมหิวแล้ว”

                ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินออกไป ท่ามกลางสายตาของหมอมีนที่มองตามพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

                “ว่าง่ายเหมือนกันแหะ”

 

                “มึงอยากกินอะไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามขณะขับรถออกจากโรงพยาบาล อีกฝ่ายจึงหันมามองแล้วส่งยิ้มบางๆ มาให้

                “แล้วแต่พี่เต้เลยครับ”

                “ได้ไง มึงเป็นคนบอกเองว่าหิว” ที่ต้องพูดออกไปแบบนั้นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไรต่างหาก

                “แล้วพี่ไม่หิวเหรอครับ” คนถามกลับว่าเสียงทะเล้น เอาแต่จับจ้องไปทางคนขับรถที่ยังคงเอาแต่มองทางข้างหน้า

                “ไม่” ฮ่องเต้ร้องบอกสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อ เมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องเงียบไป “แต่เดี๋ยวกูไปกินเป็นเพื่อนมึงก็ได้”

                พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของคนข้างกายและเอ่ยออกไปเสียงหวาน “ขอบคุณครับ”

                “แล้วสรุปมึงอยากกินอะไร” ฮ่องเต้วกกลับเข้าคำถามเดิม “ห้ามตอบว่าแล้วแต่หรือตามใจกูนะเว้ย”

                เพราะถูกดักทางเสียก่อน หนุ่มรุ่นน้องจึงหัวเราะออกมาเบาๆ จึงเอ่ยตอบ “ที่ห้างใกล้ๆ นี่ก็ได้ครับ ผมมีของที่ต้องแวะซื้อพอดี”

               

                ห้างที่โฟโต้พูดถึงอยู่ไม่ไกลมากนัก พวกเขาจึงมาถึงจุดหมายปลายทางในไม่กี่นาทีและเข้าไปหาอาหารง่ายๆ กินกัน ขณะที่ฮ่องเต้เองก็กินเข้าไปได้แค่คำสองคำเพราะเขาไม่ค่อยหิวเท่าไหร่นักและได้แต่นั่งมองหนุ่มรุ่นน้องกินข้าวไปพลาง

                พลันสาตาก็เอาแต่มองสำรวจคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่เข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาในตอนนี้ แถมอิทธิพลนั้นยังมากเสียจนเขาเอาแต่หวนคิดแต่เรื่องของมันอยู่ตลอดเวลาเสียด้วยสิ หากจะถามหาเหตุผล...เขาเองก็ตอบได้ไม่เต็มปากมากนักเท่าไหร่ เพราะแม้ว่ามันจะมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ก็ยังไม่มั่นใจที่จะชัดเจนกับความสัมพันธ์นี้

                “มองแบบนี้ อยากกินผมแทนข้าวเหรอครับ” เพราะอีกฝ่ายว่าเสียงทะเล้นและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฮ่องเต้จึงพลอยได้สติกลับมา ชักสีหน้าบึ้งตึงใส่

                “พูดมาก” และโพล่งออกไปแบบนั้น

                “พูดมากแล้วชอบหรือเปล่าครับ” โฟโต้ยังคงยิ้มจนตาหยีแบบที่ทำให้ฮ่องเต้ใจเต้นตาม ดูเหมือนเขาจะหลงไอ้รอยยิ้มแบบนี้เข้าเสียแล้ว แถมไอ้คำว่าชอบกับไอ้สายตาแพรวพราวนั่นอีก เหมือนจงใจจะหลอกล่อให้เขาพูดตามใจมันเสียอย่างนั้น

                “กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” คนโตกว่าจึงได้แต่เลี่ยงที่จะตอบและลุกขึ้นเดินออกจากร้านอาหาร ไปทางห้องน้ำตามที่ได้บอกอีกฝ่ายไป

                แต่ก็ทำเพียงแค่ล้างมือและจัดผมเผ้า เสื้อผ้าอยู่หน้ากระจกเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาทำธุระส่วนตัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแค่เลี่ยงออกมาจากโฟโต้ก็แค่นั้นเอง ทว่าสายตาก็เหม่อลอยเข้าอีกจนได้

                ช่วงนี้ เขามักจะมีอาการแปลกๆ เสมอ จิตใจไม่ค่อยจะอยู่กับตัวเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะตอนที่ต้องอยู่กับโฟโต้ตามลำพัง ยอมรับว่าตัวเองก็รู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขากล้าบอกใครต่อใครออกไป ต่อให้เขาพยายามที่จะกลับมาเชื่อมั่นในความรักมากเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่า...มันจะพ่ายแพ้ต่อปมในใจไปเสียทุกครา

                คิด...และถอนหายใจอยู่หน้ากระจก

                กระทั่ง...

                “ฮึกๆ ฮืออออออ” เสียงเด็กร้องไห้ดังเข้ามาใกล้

                ฮ่องเต้หันซ้ายมองขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ที่กำลังใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ  จนสายตาประสานเข้ากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ แววตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตามองไปรอบกายอย่างไร้จุดหมาย

                “พ่อ...ฮึก...พ่อไปไหน” เด็กคนนั้นร้องออกมาอีกครั้ง หลายคนที่อยู่ในห้องน้ำ บ้างก็เอาแต่ยืนมอง บ้างก็รีบจัดการธุระของตนและรีบออกไปจากห้องน้ำ ไม่ก็เอาแต่กระวนกระวาย ไม่รู้จะจัดการกับเด็กชายตัวน้อยยังไง

                จนฮ่องเต้อดเดินเข้าไปหาไม่ได้...

                “เด็กดี ร้องไห้ทำไมครับ” เขาพยายามพูดจาอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองเจ้าตัวน้อยที่เอาแต่สะอึกสะอื้นด้วยความสงสารจับใจ

                “พ่อ...ฮึก...พ่อผมไปไหน” เด็กน้อยยังคงพูดจาวนเวียนซ้ำๆ  เป็นประโยคที่พอจะเดาออกว่าคงจะพัดหลงกับพ่อเป็นแน่

                “เดี๋ยวพี่พาไปหาพ่อนะครับ” ฮ่องเต้พยายามหว่านล้อมเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายกลัวที่จะไปกับคนแปลกหน้าอย่างเขา “เดี๋ยวจะได้เจอพ่อแล้ว ไปกับพี่นะ”

                เด็กน้อยก้มลงมองที่มือของเขาอย่างชั่งใจ เพราะพัดหลงกับพ่อมานานหลายนาที จนเริ่มกลัวไปเสียทุกอย่าง

                “ไม่ต้องกลัวนะ พี่แค่จะพาเราไปหาพ่อ”

                “พี่จะพาผมไปหาพ่อจริงๆ นะ” ถ้อยคำที่ฟังชัดบ้างๆ ไม่ชัดบ้างตามประสาเด็กพูด ทำให้ฮ่องเต้ต้องคลี่ยิ้มอย่างใจดีให้

                “ครับ ไปหาพ่อกันนะ”

                แม้จะหวาดกลัว แต่เด็กน้อยก็ยังทำใจกล้ายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย ฮ่องเต้กุมมือเล็กๆ ที่สั่นระริกนั้นด้วยฝ่ามืออุ่นๆ ของเขา ก่อนจะอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาและเดินไปที่จุดประชาสัมพันธ์ของห้างสรรพสินค้า

                “ช่วยหน่อยนะครับ พอดีน้องเขาหลงกับพ่อ” เขาเอ่ยบอกไปแค่นั้นและพยายามลูบหลังปลอบประโลมเจ้าตัวเล็กที่เอาแต่สะอื้นไห้ไม่หยุด ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็รับเรื่องและจัดการประกาศตามหาตัวผู้ปกครองของเด็กทันที

                “ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวพ่อก็มาแล้ว” กล่อมจนเด็กชายตัวน้อยเริ่มหยุดร้องไห้ แต่ก็ยังมีสะอื้นบ้างประปราย ระหว่างนั้นเองที่ฮ่องเต้หันไปเห็นบางอย่างที่กระเป๋าสะพายของเด็กในอ้อมแขน จึงทรุดตัวและวางเจ้าตัวเล็กลง แล้วหยิบบัตรเล็กๆ ที่ห้อยอยู่หลังประเป๋าขึ้นมาดู...

                มันคือข้อมูลส่วนตัวของเด็กและเบอร์โทรศัพท์ผู้ปกครอง หากแต่มือที่จับบัตรนั้น...กลับชะงักงันไป ครั้นสายตาสบเข้ากับนามสกุลของเจ้าตัวเล็กที่ดันไปเหมือนกับคนรู้จักของเขา...

                ไม่สิ...ต้องเรียกว่า คนเคยรู้จัก

                เท่านั้น ใบหน้าที่เคยแสดงความอ่อนโยนออกมาต่อหน้าเด็กชายตัวน้อย กลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยเพราะความรู้สึกกระอักกระอวนในใจที่เขาไม่อาจจะเก็บกดเอาไว้ได้ 

                “เป็นอะไร...”

                เจ้าตัวเล็กหันมาถาม ทำเอาคนใจเสียถึงกลับต้องรีบส่งยิ้มบางๆ ไปให้  ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องมองสำรวจไปทั่วใบหน้าของเด็กตรงหน้า ที่มันกำลังบีบเค้นหัวใจและทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก

                เหมือนกันไม่มีผิด...ดวงตาคู่นั้น มันเหมือนกันเกินไป

            ยิ่งได้มองสบตากับเด็กชายตรงหน้ามากเท่าไหร่ คนเคยรู้จักก็ยิ่งปรากฏกายในความทรงจำของเขามากขึ้นเท่านั้น พลันมือหนาเผลอไผลเอื้อมขึ้นไป หมายสัมผัสกับแก้มใสของเด็กชายตรงหน้า...อย่างที่เขาเคยได้สัมผัสกับใบหน้าของใครคนนั้น...หากแต่ก็ยังพอมีสติที่จะยั้งมือและเปลี่ยนไปจับเข้าที่ไหล่เล็กนั้นอย่างเบามือ

                “รอคุณพ่ออยู่ตรงนี้ อย่าไปไหนนะครับ” และกลั้นใจพูดออกไปอย่างอ่อนโยน แม้ในใจจะทั้งเจ็บและจุกมากแค่ไหนก็ตาม

                ร่างสูงยัดกายลุกขึ้นและฝากเด็กชายตัวน้อยไว้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะตัดสินใจเดินหนีออกมาจากบริเวณนั้น อย่างไม่อาจจะอยู่รอเพื่อได้เจอใครคนนั้นอีก

                ...เพราะเขากลัวว่าจะทนไม่ไหว หากได้เจอกับ คนเคยรู้จัก อีกครั้ง

           

                “พี่เต้...เป็นอะไรไปครับ” โฟโต้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ที่รุ่นพี่ปีสี่ของเขากลับมาจากเข้าห้องน้ำ ขนขับรถมาจอดหน้าหอของเขา ก็เอาแต่นั่งหน้าเครียด ถามคำตอบคำ บางทีก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังที่เขาถามเลยด้วยซ้ำไป ขนาดว่าเขาแกล้งหยอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่มีท่าทีเขินอายอย่างที่เคยเป็น...

                หรือพี่ฮ่องเต้จะไปเจออะไรมา ระหว่างนั้น

                “พี่ฮ่องเต้ครับ” โฟโต้เรียกรุ่นพี่ของตนอีกครั้งพลางเอามือไปเขย่าแขนเบาๆ ให้อีกฝ่ายได้สติและหันกลับมามองหน้าหนุ่มรุ่นน้องของตนเลิกลัก

                “มะ...มีอะไร” และถามกลับแบบมึนๆ

                “ดูเหม่อๆ นะครับ คิดอะไรอยู่” จนโฟโต้ต้องถามด้วยเสียงอ่อนโยน พร้อมกับสบตาหนุ่มรุ่นพี่ด้วยสายตาที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน

                และมันก็ชัดเจนมากพอที่จะทำให้ฮ่องเต้จุกในอกขึ้นมา...

                “โฟโต้...” ก่อนจะเอ่ยปากเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเครียด หากแต่กลับนิ่งงันไปเพราะประโยคถัดมา ซึ่งเขาได้แต่ช่างใจว่าจะพูดออกไปดีไหม กระทั่งอีกฝ่ายเลื่อนมือลงไปจับเข้าที่มือของหนุ่มรุ่นพี่และเอ่ยปากบอก

                “พี่มีอะไรอยากจะบอกผมหรือเปล่า”

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาใสซื่อที่กำลังจับจ้องมาที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ หรือเพราะรอยยิ้มบางๆ หากแต่กลับแฝงไปด้วยความสดใสของฝ่ายตรงข้าม หรืออาจจะเป็นเพราะ...ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะแปรเปลี่ยนไปของพวกเขา จึงทำให้ฮ่องเต้อึดอัดเสียยิ่งกว่าเก่า

                แล้วเขาจะแน่ใจได้ยังไง ว่าถ้าถามออกไป จะได้คำตอบ...ที่มันเป็นความจริง

            ริมฝีปากได้รูปขยับไปมา อย่างอยากจะโพล่งออกไปให้ได้เคลียร์ใจกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง หากแต่ใจกลับกลัวขึ้นมาจนไม่กล้า...

                ช่างเถอะ ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ

            “กูแค่จะบอกว่า...ให้มึง...ระวัง...” ฮ่องเต้สบสายตาคนตรงหน้าด้วยความอึดอัดใจ “...แขนมึงอาจจะยังไม่หายดี”

                “...ครับ” โฟโต้รับคำอย่างว่าง่ายและแสร้งยิ้มออกไปอย่างไม่คิดอะไร แม้ลึกๆ จะรู้ดีแก่ใจว่าฮ่องเต้กำลังโกหกเขาอยู่ก็ตาม เพียงแค่เขาต้องการให้เวลาอีกฝ่ายก็เท่านั้น

                ตอนนี้ พี่ฮ่องเต้คงยังไม่ไว้ใจผม

            “ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าหอก่อนนะครับ” จึงได้แต่เอ่ยปากและลงจากรถของอีกฝ่ายไป

                อย่างที่ต่างฝ่าย ต่างก็กังวลใจไม่แพ้กัน

           

                 

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:58:05
ตอนที่ 25 ทำความรู้จัก

                สีฝุ่น : เดี๋ยวพี่ไปรับที่คณะนะครับ

                นั่นเป็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามาบนมือถือของกาฟิวด์ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อน เพื่อเน้นย้ำนัดสำคัญ...อ่า จะเรียกว่าสำคัญสำหรับเขาคนเดียวก็ได้ เพราะพี่สีฝุ่นตั้งใจจะพาเขาไปเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการไถ่โทษที่อ้วกใส่เขาตอนนั้นต่างหาก (หลังจากที่พลาดนัดเพราะเขาติดกิจกรรมของคณะมาตลอด)

                พอคิดเช่นนั้น เจ้าตัวก็ทำหน้ายู่เหมือนเด็ก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปบนถนนบริเวณลานจอดรถคณะ พลันสายตาก็สบเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ของใครบางคนที่แล่นมาจอด ก่อนที่เจ้าตัวจะถอดหมวกกันน็อคออก สะบัดหัวสองสามททีเพื่อจัดทรงผมแบบง่ายๆ  ให้แสงแดดในยามเย็นสาดกระทบเส้นผมสีน้ำตาลจนเกิดประกายอ่อนๆ ส่องให้เห็นใบหน้าขาวใสและดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่สามารถเห็นสีของดวงตาได้อย่างชัดเจนเพราะต้องแสง

                ร่างสูงแสนคุ้นเคยเดินตรงเข้ามาบริเวณโต๊ะหินอ่อนที่ถูกจัดวางเรียงไปตามทางเดิน ท่ามกลางสายตาของหนุ่มรุ่นน้องที่มองตามราวกับถูกสะกด

                “กาฟิวด์?” เสียงเอ่ยทัก ดึงกาฟิวด์หลุดออกจากภวังค์ แววตาสบเข้ากับสีหน้าประหลาดใจของคนที่เข้ามาทักทาย

                “พะ...พี่พีท” จึงเอ่ยออกไปตะกุกตะกักตามประสา เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าเข้าโดยบังเอิญ

                “กาฟิวด์จริงๆ ด้วยแหะ” พีทยิ้มร่า สองมือยกขึ้นมาหยิกสองแก้มขาวๆ ของหนุ่มรุ่นน้องด้วยความเคยชิน พร้อมทั้งมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า “ใส่ชุดนักศึกษาแล้วดูโตขึ้นเยอะเลยนะ”

                เพียงแค่ไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เจอหน้า เขาเองก็ไม่คิดว่าหนุ่มรุ่นน้องจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ นึกถึงตอนที่เขาต้องไปติวให้กลุ่มของกาฟิวด์ ก่อนเข้ามหา’ลัยแล้ว ตอนนั้นกาฟิวด์ยังดูเด็กมากจริงๆ  ต่างกับตอนนี้ลิบลับ น่าแปลกที่เพียงแค่เปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดนักศึกษา ก็ทำให้เด็กตัวเล็กๆ ในวันนั้น ดูโตขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่เจอกันได้

                “สะ...สวัสดีครับ” แม้จะช้าไปนิด แต่กาฟิวด์ก็ยังคงยกมือไหว้รุ่นพี่ตรงหน้าเหมือนเช่นทุกครั้ง ท่าทางที่ดูเกร็งๆ เวลาต้องอยู่ต่อหน้าคนที่โตกว่าเสมอ ทำเอาพีทเผลอหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูคนตรงหน้า

                “โตขึ้นแล้ว ยังน่ารักขึ้นด้วยนะ” และมันก็มากจนเขาอดยกมือขึ้นมายีผมคนที่เด็กกว่าอย่างเสียไม่ได้

                “น้องฟิวด์...” ใครบางคนที่เพิ่งจะมาถึงเอ่ยเรียกออกมาได้แค่นั้น ครั้นสายตาสบเข้ากับภาพตรงหน้า หากแต่มันกลับทำให้กาฟิวด์รีบลุกขึ้นเพื่อหลบมือหนาของพีท แทนการดึงมือออกเพราะเกรงจะเสียมารยาทกับรุ่นพี่ใจดีที่คอยดูแลเขามาตลอด ก่อนจะเข้ามหา’ลัย

                แต่การกระทำนั้น มันกลับผิดวิสัยจนพีทจับพิรุธได้ ปรายตาไปมองทางรุ่นน้องอีกคนแล้วได้แต่ลอบยิ้มในใจ

                “สวัสดีครับ พี่พีท” สีฝุ่นยกมือไหว้รุ่นพี่ต่างคณะ ที่รู้จักกันในฐานะเพื่อนชมรมเดียวกันกับฮ่องเต้

                “เออ ไปไงมาไง ถึงได้แวะมาสังคมฯ ได้วะ” เอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสีฝุ่นมาหากาฟิวด์ก็ตาม

                “พอดี...ผมมารับน้องฟิวด์น่ะครับ” สีฝุ่นได้แต่ยิ้มบางๆ ไปให้ เพราะยังเกร็งๆ กับภาพที่พีทหยอกล้อกับกาฟิวด์อยู่เมื่อครู่

                “อ่าว นี่รู้จักกันด้วยเหรอ” พีทยิ้มร่าอย่างคนไม่คิดอะไร พลางเอามือไปโอบไหล่กาฟิวด์อย่างจงใจแล้วกระซิบที่ข้างหูของหนุ่มรุ่นน้องว่า “เนื้อหอมน่าดูนะเรา”

                จนคนฟังสะดุ้งรีบผละออกมา หากแต่ยังไม่พ้นแขนที่โอบไหล่เอาไว้ “มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”

                “ครับ เดี๋ยวพี่จะรอฟังข่าวดีนะ” และก็กระซิบที่ข้างหูอีกรอบ ให้สีฝุ่นต้องรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ

                “พี่ไปละนะ เอาไว้จะพาไปเลี้ยงข้าวนะครับ” พีททิ้งท้ายเอาไว้เท่านั้น จับหัวกาฟิวด์โยกไปมาสองสามที ให้หนุ่มรุ่นน้องต้องเหลือบตาไปมองที่สีฝุ่นอย่างเกรงใจ ก่อนที่พีทจะโบกมือลาและผละออกไปอีกทาง

                “ไปกันหรือยังครับ” สีฝุ่นแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรและฉีกยิ้มให้กับคนข้างกาย

                “ครับ” ส่วนคนที่เป็นรุ่นน้องก็ได้แต่ตอบรับกลับไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินตามรุ่นพี่ไปที่รถ

 

                สีฝุ่นพากาฟิวด์ไปที่ร้านอาหารที่อยู่ไม่ห่างจากมหา’ลัยภัคนลินมากนัก หลังจากมาถึงเขาก็จัดการสั่งอาหารเต็มโต๊ะ เสียจนคนตัวเล็กต้องหดตัวด้วยความเกรงใจ ทำให้ดูตัวเล็กเข้าไปใหญ่

                 “กินเลย ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก” สีฝุ่นว่าอย่างคนรู้ทัน จนอีกฝ่ายยิ้มแห้ง มองมือที่ผายไปทางอาหารบนโต๊ะ

                “ครับ” และได้แต่ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะหยิบช้อนซ้อมขึ้นมาตักอาหารแบบเกร็งๆ อย่างที่อีกฝ่ายอดยิ้มขำไม่ได้

                “กินนี่ด้วยสิครับ เมนูเด็ดร้านนี้เลยนะ พี่มากินบ่อย รับรองว่าอร่อยแน่นอน” ไม่ว่าเปล่า มือไม้ยังจัดการตักเมนูเด็ดตามที่ปากว่าไปให้อีกฝ่าย ตามด้วยอาหารอีกหลายอย่างจนท่วมข้าวสวยในจานจนมิด ให้อีกฝ่ายได้รีบร้องห้าม

                “พะ...พอก่อนดีกว่าครับ มัน...ล้นจานแล้ว” แต่ก็เพียงแค่บอกออกไปเสียงอ้อมแอ้มตามประสา

                สีฝุ่นมองการกระทำนั้นอย่างขำขัน จนอดหัวเราะออกมาเบาๆ ให้คนที่เด็กกว่า ซึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นเข้าพอดี ต้องขมวดคิ้วใส่

                ใจหนึ่งก็นึกอาย อีกใจก็แอบเคือง

            “พี่ฝุ่น...ขำอะไรครับ”

                “ขำกาฟิวด์ไง...” สีฝุ่นตอบออกไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง “...เงอะงะ แต่ก็น่ารักดี”

                กาฟิวด์ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านั่นเป็นคำชมจากอีกฝ่ายจริงๆ หรือเปล่า เพราะฟังดูขัดกันพิลึก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันสามารถหยุดทุกการกระทำของเขาได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะกับสายตาที่ไม่อาจจะเงยขึ้นมาสบตากับอีกคนได้อย่างเต็มที่นัก เพราะความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ

                “รีบกินเถอะครับ อาหารเย็นหมดแล้ว” สีฝุ่นเอ่ยบอกคนตรงหน้าอีกครั้ง และทำทีเป็นตักอาหารใส่จานของตัวเองบ้าง อย่างที่อีกฝ่ายได้แต่เงยหน้าขึ้นมามอง สักพัก และเริ่มจับช้อนซ้อม ยอมตักข้าวเข้าปากแต่โดยดี

 

                ทีแรก ก็คิดไปว่าสีฝุ่นจะพาเขาไปส่งที่หอหลังจากกินข้าวเสร็จ แต่เขากลับถูกลากมาที่หน้าโรงหนังตามคำชวนของอีกฝ่ายเสียได้ และไอ้เขาจะไปปฏิเสธได้ยังไง ในเมื่อคนชวนไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น แถมยังฉวยโอกาสจูงมือเขาให้เดินตามมาอีก จนสุดท้าย เขาก็ต้องมายืนรอคนที่เอ่ยปากบอกว่าจะไปซื้อตั๋วหนังให้

                ไม่นาน ร่างสูงก็เดินมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ชูตั๋วหนังในมือให้รุ่นน้องของตนดู

                “ได้มาละ” ว่าออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ราวกับต้องไปออกรบเพื่อชิงตั๋วมาเสียอย่างนั้น โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกับการซื้อตั๋วหนัง ให้อีกฝ่ายอดลอบขำไม่ได้

                เป็นอะไรของพี่เขา

            แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้เพียงแต่มองคนที่หุบยิ้มฉับ ทำหน้ามุ่ยขึ้นมาเหมือนเด็ก

                “แต่อีกตั้งเกือบชั่วโมง กว่าหนังจะฉาย...” พลันคนที่โตกว่าเพียงเล็กน้อยก็ชะงักนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมา “...งั้นเราไปเดินซื้อของก่อนดีกว่าเนอะ”

                ไม่ต้องรอฟังรุ่นน้องพูด รุ่นพี่อย่างเขาก็จัดการจูงมืออีกฝ่ายให้เดินตามลิ่วๆ ทันที ไม่วายแวะเข้าออกร้านนั้น ร้านนี้ไปทั่ว จนกาฟิวด์เองต้องพยายามปฏิเสธเป็นพัลวัน

                นั่นก็เพราะสีฝุ่นเอาแต่จะซื้อของให้เขาอย่างเดียวเลยนี่สิ

                “เสื้อตัวดีเหมาะกับฟิวด์ดีนะ”

                “พอแล้วครับ พี่สีฝุ่น” กาฟิวด์ร้องบอก สีหน้าเริ่มจะเหนื่อยกับการตามใจคนที่โตกว่า แต่ก็ยังเกรงใจและลึกๆ แล้วก็ปฏิเสธไม่ลงเท่าไหร่นักหรอก เพราะสีหน้า แววตาและรอยยิ้มเหมือนเด็กกำลังมีความสุขกับการซื้อของให้เขานั่นไง เห็นแล้วใครจะใจร้ายใส่ได้

                “พออะไรล่ะ ที่ตอนนั้น พี่อ้วกใส่ ยังไม่ได้ซื้อเสื้อคืนเลย” ผนวกกับการขุดเรื่องเก่ามาอ้างอย่างรู้สึกผิดอีกต่างหาก ที่ทำเอารุ่นน้องอย่างเขาปฏิเสธยากขึ้น จนได้แต่แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา

                “แค่ตัวเดียวก็พอแล้วครับ” และได้แต่ต่อรองออกไปเช่นนั้น

                “แต่พี่อยากซื้อให้” ทว่าอีกฝ่ายยังคงหัวรั้น บอกออกไปหน้ายู่ ก่อนที่จะฉีกยิ้มกว้างอย่างเอาแต่ใจ “อื้ม เสื้อตัวนั้นก็น่ารักดี กาฟิวด์น่าจะชอบนะ”

                พร้อมทั้งเดินหนีไปเลือกซื้อเสื้อต่อ ปล่อยให้รุ่นน้องมองตามด้วยความเหนื่อยใจ

                หลังจากเดินเลือกซื้อของจนเต็มอิ่ม สีฝุ่นก็พากาฟิวด์มาดูหนังต่อตามเวลาฉาย ใช้เวลาไปสองชั่วโมงกว่าๆ กว่าที่สีฝุ่นจะยอมขับรถออกมาจากห้างสรรพสินค้าและขับมาส่งรุ่นน้องของตนที่หอพักในมหา’ลัยแต่โดยดี

                “รีบอาบน้ำเข้านอนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียนสาย” เอ่ยบอกพร้อมกับรอยยิ้ม มองรุ่นน้องของตนด้วยแววตาใจดีที่แฝงไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง

                “ครับ” ก่อนที่กาฟิวด์จะตอบรับกลับไปสั้นๆ และหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินเข้าหอไป

                ส่วนสีฝุ่นก็มองส่งจนอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในหอ พลันรอยยิ้มละมุนก็ปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง

                หากแต่พอจะขับรถออกไป เสียงมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน ทว่าพอหยิบขึ้นมาดู กลับต้องแปลกใจเพราะดันเป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา

                “ฮัลโหลครับ” แต่ก็ต้องกดรับเพราะคิดไปว่าคนโทรอาจจะเป็นคนสนิทที่เปลี่ยนเบอร์แล้วโทรมาบอกเขาก็ได้

                [ไม่เจอกันนาน คงยังไม่ลืมพี่ใช่ไหมครับ สีฝุ่น]

                หากแต่เสียงจากปลายสายกลับทำเอาคนรับถึงกับจุกอก 

                “พี่ไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน” และถามกลับไปเสียงเรียบ แอบเคืองอยู่ในใจ ทั้งที่อุตส่าห์เปลี่ยนทั้งเบอร์ เปลี่ยนทั้งเครื่อง (ที่อ้นเคยซื้อให้) หนีแล้วแท้ๆ

                [ฝุ่นคือคนที่พี่รักนะครับ หาเบอร์ฝุ่นแค่นี้ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร]

                “พี่ต้องการอะไรก็บอกมาเลยดีกว่า” สีฝุ่นเริ่มหน้าตึงกับการที่อีกฝ่ายเล่นลิ้นใส่ หากแต่อ้นกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

                [อย่าพูดกับพี่แบบนั้นสิครับ ฝุ่นก็รู้ว่าพี่ต้องการอะไร พี่รักฝุ่นมากนะครับ พี่ไม่มีทางปล่อยฝุ่นไปแน่นอนอยู่แล้ว]

                คำว่ารักของอีกฝ่าย มันดูพูดออกมาง่ายเสียจนคนฟังได้แต่หลับตาลงอย่างกำลังระงับสติอารมณ์อยู่ตอนนี้ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า รัก ของอีกฝ่ายมันเป็นเพียงแค่ลมปาก แต่สีฝุ่นยังคงรู้สึกไปกับคำๆ นั้น คำที่ลวงเขามาโดยตลอด

                นั่นก็เพราะว่า รัก ของเขา มันมาจากความรู้สึกข้างใน

            เขารักอ้นมากชนิดที่ยอมโกหกลูกพี่ลูกน้องของตน ยอมแม้กระทั่งโกหกตัวเองว่าลึกๆ แล้ว อ้นรักเขาเพียงคนเดียว แม้ว่าที่ผ่านมา อีกฝ่ายจะโกหกและคบซ้อนกี่ครั้งกี่หน เขาก็ยอมให้อภัย...

                แต่มันไม่ใช่กับครั้งนี้...

                ในเมื่อตัดสินใจเดินหน้าแล้ว เขาก็ไม่ควรกลับลำกลับคำพูดของตัวเอง โอกาสของอ้นมันหมดลงแล้วจริงๆ

                “ทำยังไง...พี่ถึงจะปล่อยผม” แต่ก็พยายามพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

                นั่น ทำให้อ้นแอบลอบยิ้ม [กลับมาคบกับพี่อีกสักครั้งนะครับ พี่สัญญาว่าถ้าครั้งนี้ พี่ทำให้ฝุ่นเสียใจอีก พี่จะยอมปล่อยฝุ่นไป...นะครับ]

                น้ำเสียงอ่อนโยนกอปรกับความรู้สึกหน่วงในใจ ทำให้สีฝุ่นเริ่มลังเล จมอยู่กับความคิดอยู่นานสองนาน

                [นะครับ สีฝุ่น...กลับมาคบกับพี่นะครับ]

                จนเสียงอีกฝ่ายดังขอร้องกลับมา จึงได้สติและพูดออกไปเสียงเรียบ “ผมไม่รับปากว่าผมจะกลับไปคบกับพี่ แต่ถ้าพี่อยากจะกลับมาคบกับผมก็คงต้องพยายามหน่อยนะครับ”

                พูดจบ ก็กดวางสายไป พลันเอนตัวจนแผ่นหลังก็ปะทะเข้ากับเบาะดังปึก หลับตาลงและผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างนึกขึ้นได้แล้วกดโทรหาใครบางคน

                “เฮีย ช่วงนี้ผมไปนอนด้วยดิ”

                เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายเสร็จสรรพ ก็สตาร์ทรถและขับออกไปทันที ทิ้งให้อีกฝ่ายที่ลอบมองเขาจากด้านในรถอีกคัน ได้แต่ฮึดฮัดอยู่เพียงลำพัง 

                “ไม่ได้ดั่งใจเลยเว้ย!!” ว่าออกไปเสียงดังลั่นรถ เพราะครั้งนี้สีฝุ่นเหมือนจะไม่ยอมอภัยให้เขาอีกแล้ว ได้แต่ลอบมองเข้าไปในหอพักชาย ที่ที่ใครบางคนเพิ่งจะหายตัวเข้าไป พลันสองคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน แววตาสงสัยฉายขึ้นมาในดวงตาคู่สวยนั้นทันที

                “หรือจะเป็นเพราะเด็กคนนั้น...” ปากพึมพำออกมาอย่างสงสัย เพราะเขาแอบตามสีฝุ่นไปตั้งแต่ตอนเลิกเรียนแล้ว ตามไปดูตั้งแต่ตอนที่สองคนนั้นกินข้าว ดูหนัง กระทั่งขับรถมาส่งเด็กคนนั้นที่หอ แถมยังข้าวของที่สีฝุ่นจงใจซื้อให้มันนั้นอีก ความสัมพันธ์คงไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาแน่

                ไม่รอช้า มือถือก็ถูกยกขึ้นมาและกดโทนออกทันที รอสายไม่นานนักก็กรอกเสียงลงไปอย่างออกคำสั่ง แม้สายตาจะยังคงจับจ้องไปทางหอพักชายอยู่ก็ตาม

                “ช่วยสืบประวัติใครสักคนให้หน่อยสิ...”

 

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 21:59:20
ตอนที่ 26 ตั้งใจ

                “ไอ้ฝุ่น ตอบข้อความทีดิ กูรำคาญ” ฮ่องเต้ส่งเสียงอ้อแอ้บอกไอ้คนที่นอนข้างๆ พร้อมกับเขย่าแขนเพื่อปลุกมันอย่างหงุดหงิด เพราะเขาเพิ่งจะนอนหลับสนิทไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากที่มีเรื่องให้ต้องคิดมากแบบข้ามวันข้ามคืน แต่ก็ต้องมาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแจ้งเตือนแชทที่ดังไม่ยอมหยุดในเวลาที่ฟ้ายังไม่สางแบบนี้

                สีฝุ่นส่งเสียงอย่างขัดใจ ก่อนที่ฮ่องเต้นะจะรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายบนเตียงและเขาก็หลับต่ออย่างไม่สนใจอะไรเพราะตอนนี้เขาง่วงมากถึงมากที่สุด กว่าจะข่มตาลงนอนได้ก็ปาเข้าไปเกือบข้ามวัน นั่นมันก็เพราะเรื่องของเด็กที่เขาเจอที่ห้างด้วยความบังเอิญ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในหัวของเขาไม่ยอมไปไหนและเขาก็ค่อยๆ หลับลึกลงไปเรื่อยๆ

                ตรงข้ามกับสีฝุ่น ที่แทบจะตื่นเต็มตาทันทีที่เห็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามา ไม่ใช่บนเครื่องของเขา แต่เป็นของฮ่องเต้ต่างหาก แต่เพราะตั้งเสียงแจ้งเตือนเอาไว้เหมือนกัน คนเป็นพี่จึงเข้าใจผิดไปว่าเป็นของเขา แต่ก็ดีแล้วแหละ เพราะมันทำให้เขาได้รู้ความจริงอะไรบางอย่างเข้าจนได้

                และมีหรือที่สีฝุ่นจะปล่อยผ่าน เขาหันกลับไปมองคนที่นอนอุตุอยู่บนเตียงอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมา ก็หันกลับไปสนใจข้อความในมือถือต่อ ไล่อ่านจนครบทุกบรรทัดและ...

                จัดการพิมพ์อะไรบางอย่างและส่งกลับไปให้อีกฝ่าย

                พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า ท่ามกลางความมืดสลัวในห้อง ก่อนที่คนเป็นน้องจะวางมือถือเอาไว้ที่เดิมและล้มตัวลงนอนต่ออย่างสบายใจ...

                ไม่ๆๆ เขาไม่ควรจะนอนต่อสิ เพราะตอนี้ก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงแล้ว ร่างสูงจึงผงกตัวขึ้นมาอีกครั้งและรีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำอาบท่าทันที

               

                ส่วนฮ่องเต้...กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เสียงโทรศัพท์ของเขาดังลั่นห้อง

                ฮ่องเต้ผงกตัวขึ้นมานั่งงัวเงียอยู่บนเตียง ก่อนจะหันไปคว้ามือถือมาดูก่อนจะกดปิดนาฬิกาปลุกที่เขาตั้งปลุกเอาไว้ตอนหกโมงครึ่ง

                “คิดว่าเฮียยังไม่ตื่นเสียอีก”

                คนเป็นพี่หันไปมองหน้าลูกพี่ลุกน้องของตนที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันท่อนล่างเอาไว้ซึ่งกำลังยืนเช็ดผมเปียกๆ ของมันอยู่ตรงปลายเตียงด้วยความแปลกใจ

                “ทำไมวันนี้ถึงตื่นเช้าได้”

              ก็ปกติเห็นมันตื่นสายจะตายไป ผมก็เลยอดแปลกใจไม่ได้ที่มันจะตื่นเช้ากว่าผมได้ขนาดนี้

                “ผมก็แค่อยากตื่นเช้า มันแปลกมานักเลยหรือไง” สีฝุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ  กับท่าทางของคนเป็นพี่ “เฮียนั่นแหละ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ผมรีดชุดนักศึกษาไว้ให้แล้ว”

                “หะ?” คราวนี้ คนฟังถึงกับร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเอง “มึงเนี่ยนะ รีดชุดนักศึกษาให้กู”

                แต่เดี๋ยวนะ...ไอ้ฝุ่นมันรีดเสื้อผ้าเป็นที่ไหนกันวะ           

                คิดได้ พลันดวงตาก็เบิกโพลงและพรวดพราดลุกจากเตียงทันทีที่ภาพปรากฏในหัวคือเสื้อนักศึกษาที่เต็มไปด้วยรอยไหม้สีน้ำตาลและกางเกงที่สภาพยับเยินไม่ชิ้นดี

                แต่พอเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดนักศึกษาออกมาดูก็โล่งใจไปทีที่ชุดของเขายังคงสภาพความเป็นนักศึกษาอยู่ แถมยังดูเรียบร้อยดีซะด้วย

                “ใช้ได้นี่หว่า” เพราะแบบนั้นจึงอดหันไปชมไม่ได้ ทำเอาสีฝุ่นยิ้มแก้มแทบแตก ก่อนที่มันจะหุบยิ้มฉับเมื่อเขาหรี่ตามองอย่างจับผิด “นี่มึงหวังผลอะไรจากกูหรือเปล่า

                “โหยเฮียยย ดูพูดเข้า คนอย่างผมจะไปหวังอะไรจากเฮียกันล่ะ”

                “มึงหวังออกจะบ่อย” เขาว่าขณะที่เก็บชุดนักศึกษาเข้าใส่ในตู้เสื้อผ้าเหมือนเดิมและเดินออกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียงห้อง

                “เร็วๆ นะเฮีย มีคนเขารีบ”

               ฮ่องเต้หันขวับไปจ้องหน้าไอ้สีฝุ่นทันที “มึงหมายถึงใคร”

                “ก็ผมไงเฮีย ผมกะว่าจะไปหาอะไรกินก่อนเรียนหน่อย” สีฝุ่นว่าพร้อมกับคลี่ยิ้ม ท่าทางไม่น่าไว้วางใจในความคิดของฮ่องเต้เลยสักนิด

                “อย่าให้รู้ว่ามึงโกหกอะไรกู” จนเขาอดหันไปชี้หน้าคาดโทษใส่ ทำให้อีกฝ่ายต้องเร่งเดินมาดันตัวเขาให้เข้าห้องน้ำอย่างว่อง

                คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

            ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ และยอมเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี...

                หลังจากนั้นเขาก็จัดการอาบน้ำแปรงฟันจนเสร็จสรรพและเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเงาสีฝุ่นทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงระเบียง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จึงเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดนักศึกษาออกมาวางที่เตียง ก่อนจะหันกลับไปค้นเสื้อผ้าชั้นในออกมาและจัดการปิดตู้เสื้อผ้า กะจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ แต่ทว่า...

                “เหี้ยยยยย”

                เป็นอันต้องร้องเสียงหลง ขยี้ตามองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

                “มึง...มึง ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่ได้วะ” เขาร้องถามอีกฝ่ายที่ยืนนิ่ง สายตามันเอาแต่จับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา ไม่ได้หมายถึงที่หน้าหรอกนะ แต่หมายถึงไอ้ร่างกายเปียกๆ ของเขาที่มีเพียงผ้าขนหนูสีน้ำเงินปิดท่อนล่างเอาไว้ต่างหากล่ะ และเขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าไอ้เด็กตรงหน้านี่มันไม่ใช่คนที่บอกว่าจะจีบและพยายามจะแทะโลมเขาด้วยคำพูดและสายตาตลอดเวลา อย่างในตอนนี้ ที่มันกำลังจ้องเขาด้วยแววตาที่ไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย

                “เลิกมองกูแบบนั้นได้แล้ว!” ร่างสูงแหวใส่ ขณะสองมือก็ร้อนรน ควานหาหมอนมาปิดร่างกายตัวเองเอาไว้ด้วยความหวงแหนสุดใจ

                ฉิบหาย แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงไปวะชิบ

            แต่พอคิดอีกที ยังไงอยู่ต่อหน้าไอ้เด็กนี่ในสภาพแบบนี้ ถึงเขาจะเป็นผู้ชาย มีอะไรๆ เหมือนมันทุกอย่าง แถมยังเคย...เห็นไปถึงไส้ถึงพุงมาแล้วก็เถอะ แต่ไม่ได้! ยังไงเขาก็จะไม่มีทางให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ตราบใดที่เขากับมันยังคงความสัมพันธ์แค่รุ่นพี่รุ่นน้องและตอนนี้ เขาก็ต้องปกป้องตัวเองจากตัวอันตรายให้ได้!

                “กูบอกให้เลิกมองไง!!” เป็นอันตะโกนใส่อีกหน จนอีกฝ่ายได้สติ รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

                “เอ้ย ผมขอโทษ ก็ร่างกายพี่มัน...” โฟโต้บอกพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ มาให้กับเขา ก่อนจะหลุบตาลงต่ำและพยายามไม่มองร่างกายที่โคตรของโคตรจะดึงดูดสายตาของคนตรงหน้า

                “พอเลยมึง! มึงรออยู่ตรงนี้นี่แหละ กูเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะออกมาจัดการกับมึง!” ฮ่องเต้ร้องบอก ก่อนจะกระเถิบไปข้างหน้าเพื่อหยิบชุดนักศึกษา

                ...และจังหวะนั้นเองที่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ได้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น

                ทำเอามือที่จับชุดนักศึกษาถึงกับค้างเติ่งด้วยความตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก จึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับตะโกนลั่นในใจว่า...               

            เหี้ยแล้ววววววววววว

            ก่อนสายตาจะเหลือบไปมองข้างหลัง ก็พบสาเหตุที่ผ้าเช็ดตัวมันหลุดออกเพราะเขาดันเผลอปิดประตูตู้เสื้อผ้าหนีบปลายผ้า ยิ่งทำให้ต้องหลับตาลงอย่างหงุดหงิดกับตัวเองที่มาพลาดท่าเสียทีไม่เข้าเรื่อง ก่อนที่เขาจะค่อยหันใบหน้าที่ร้อนผ่าวไปทางอีกฝ่ายซึ่งกำลังยืนอึ้งกิมกี่ เบิกตาโพลงมองมาทางเขาที่มีเพียงหมอนปิดส่วนนั้นเอาไว้ ก่อนที่ฮ่องเต้จะตะโกนลั่นห้องว่า...

                “หันหลังให้กูเดี๋ยวนี้!!”

 

                พาร์ทโฟโต้

 

                ผมอึ้ง...อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไป

                เนื้อตัวของพี่ฮ่องเต้ที่ปรากฏต่อหน้าผมในตอนนี้ มันยิ่งเสียกว่าที่ผมได้เจอกับเขาในทุกๆ วัน แม้ว่าผมจะเคยได้เห็นทุกส่วนและเคยแม้กระทั่งสัมผัสส่วนนั้นของเขามาแล้วก็ตาม แต่ตอนนั้น มันเพราะฤทธิ์ยากับแอลกอฮอล์ในร่างกาย ทุกอย่างเลยดูพร่าเลือนไปหมด

                ต่างกับตอนนี้ ที่ผมยังมีสติครบถ้วนดี...

                ผมมองภาพนั้นพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แล้วถ้าจะบอกว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับสภาพของพี่ฮ่องเต้ในเวลานี้ ก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกครับเพราะผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะมีอิทธิพลกับอารมณ์ความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้

                ตอนนี้ร่างกายของผมมันเต็มไปด้วยความหื่นกระหายเอามากๆ แต่เพราะจิตใจที่กำลังร้องเตือนถึงสิ่งที่ไม่ควร ทำให้ผมต้องพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่มันกำลังเอ่อล้นออกมา

                “หันหลังให้กูเดี๋ยวนี้!!” พี่ฮ่องเต้หันมาสั่งผมด้วยความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                อะไรกัน ท่าทางแบบนั้น...

                ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนให้อนุญาตผมเหยียบเข้ามาถึงที่นี่และให้โอกาสผมได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้เองแท้ๆ ผมจะคิดได้หรือเปล่านะ ว่าเขากำลังต้องการอะไรบางอย่างจากผมอยู่

                “ออก...ไป...” ผมมองตามพี่ฮ่องเต้ที่ขยับถอยหลังไปตามจำนวนก้าวของผมที่ขยับเข้าไปใกล้เขาเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว

                ทำไงดี...ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียการควบคุมตัวเองชะมัด

                สายตาของผมไม่อาจจะละไปจากร่างกายที่น่าถะนุถนอมนั่นได้เลย ร่างกายกับสมองของผมกำลังทำสงครามกันอย่างหนักกับสถานการณ์ตรงหน้าแบบนี้ มันจะเกินไปหรือเปล่านะ ทำไมใจผมถึงได้อยากจะสัมผัสผิวขาวๆ  บนร่างสมส่วนนั่นกัน

                ตายๆๆ พี่ฮ่องเต้กำลังจะทำให้ผมสติแตกแล้วนะ!

                “อย่านะเว้ย อย่าทำอะไร...” คนตรงหน้าผมชะงักคำพูดไปทันทีที่ผมเผลอไผลเข้าไปใกล้เข้าจนเกินขอบเขต ผมสบลึกเข้าไปในดวงตากลมโตเหมือนลูกแมวของเขาที่ดูเหมือนจะสั่นระริก เลื่อนสายตามองตามหยดน้ำจากเส้นผมของเขาที่หยดลงมาตรงปลายจมูกน่าหมั่นเขี้ยวนั่น ก่อนที่มันจะค่อยๆ ไหลลงมาที่ริมฝีปากแดงระเรื่อที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ซึ่งผมได้แต่เก็บเอาไปนอนฝันทุกคืนและหวังว่าจะได้สัมผัสมันด้วยริมฝีปากของผมในทุกๆ วัน

                อยากให้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ได้สัมผัสริมฝีปากนั้น...

              กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวขาวใสและเส้นผมของเขาเหมือนเป็นตัวกระตุ้นที่คอยทำลายความอดกลั้นของผมในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขาล้วนแต่ดึงดูดจิตใจของผมให้อ่อนไหวและอีกไม่นานผมคงจะไม่สามารถต้านทานความน่ารักของคนตรงหน้าได้อีกต่อไป

                ร่างกายของผมขยับเบียดจนแผ่นหลังของพี่ฮ่องเต้ถอยชิดกับตู้เสื้อผ้า ผมพยายามควบคุมลมหายใจที่ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดตัวลงไปอย่างช้าๆ  โดยไม่ละสายตาไปจากดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก มือของเขาขยับขยำหมอนเพียงใบเดียวที่ปิดส่วนนั้นเอาไว้ ขณะที่มือของผมเอื้อมไปขยับเปิดประตูตู้เสื้อผ้าเล็กน้อย พอที่จะให้ปลายผ้าเช็ดตัวหลุดออกมาได้ ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือไปข้างหลัง กอดกระชับเอวของเขาให้เข้ามาใกล้และพยายามดึงหมอนในมือของเขาออก

                พี่ฮ่องเต้พยายามยื้อยุดฉุดหมอนในมือออกไป ผมจึงทำทีเป็นผ่อนแรงก่อนกระฉากหมอนใบนั้นออกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ร่างสมส่วนตรงหน้าไร้อาภรณ์ใดๆ ปกปิด ผิวขาวใสก็เริ่มแดงระเรื่อด้วยความเขินอายขึ้นมาทันที ผมมองริมฝีปากที่กำลังขยับเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง (ซึ่งน่าจะเป็นคำด่า) ทว่ากลับไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาเสียที เขามุ่นคิ้ว มองผมเหมือนคนกำลังไม่พอใจ แต่ก็ไม่เชิงว่าเขาไม่ได้รู้สึกแย่ไปกับการกระทำทั้งหมดของผม

                เขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่ายิ่งเขาทำหน้าแบบนั้น มันยิ่งกระตุ้นให้ผมรู้สึกกับเขามากกว่าเดิม

                ผมกระชับมือโอบเอวของคนตรงหน้าเข้ามาแนบชิดกับตัวและนั่นทำให้ร่างกายส่วนนั้นของเขาสัมผัสกับร่างกายของผมอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่ผมจะแสร้งทำเป็นโน้มใบหน้าเข้าไปหาจนจมูกของผมเฉียดเข้าใกล้ใบหูและลำคอด้านข้างที่ขึ้นสีเพราะความอาย กลิ่นหอมของเขาทำเอาผมเผลอไผลฉวยโอกาสสัมผัสกลิ่นนั้นพร้อมกับหลับตาพริ้ม

                “ปล่อย...กู...” พี่ฮ่องเต้เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเขาเองก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างไม่ต่างไปจากผม เพียงแต่เขาคงไม่อยากจะปล่อยใจให้อะไรก็ตามเกิดขึ้นในเวลานี้ก็เท่านั้น

             ผมเอื้อมมือไปจับปลายผ้าเช็ดตัวที่ก้มลงไปเก็บขึ้นมาเมื่อครู่และคลี่ออก ก่อนจะคลุมเข้าที่สะโพกด้านหลังและขยับพันผ้าผืนนั้นรอบเอวของเอาไว้ เขาดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อมือของผมเลื่อนมาหยุดอยู่บริเวณเอวด้านหน้าเพื่อผูกปมให้แน่น เพราะถ้าผ้าผืนนั้นหลุดลงมากองตรงพื้นอีกครั้ง...ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะหักห้ามความรู้สึกทั้งหมดของตนเองได้หรือเปล่า

                “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ” ผมบอกขณะถอยห่างจากพี่ฮ่องเต้ที่ดูเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว เขาดูมึนๆ ราวกับเพิ่งผ่านเรื่องแบบนั้นมาอย่างนั้นแหละ

                นี่ขนาดผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะครับ ถ้าวันหนึ่ง...ผมหมายถึงถ้ามีโอกาสได้ทำตามความปรารถนา เขาจะอาการหนักขนาดไหน

                ผมหันไปหยิบชุดนักศึกษาที่ถูกวางทิ้งไว้บนเตียงและส่งให้กับพี่ฮ่องเต้ เขามองหน้าผมอย่างคาดโทษเล็กน้อยก่อนจะคว้าชุดไปจากมือผมและรีบเข้าห้องน้ำไป ผมได้แต่มองตามพี่เขาไปจนกระทั่งประตูห้องน้ำปิดพร้อมกับอมยิ้มให้กับความน่ารักของเขา ก่อนที่ผมจะหมุนตัวกลับมาที่เตียงและจังหวะนั้นเองที่สายตาของผมเลื่อนไปเห็น...

                ชั้นในของพี่ฮ่องเต้...!!

                ให้ตายเถอะ ตัวไม่อยู่...ยังจะอุตส่าห์ทิ้งของสำคัญไว้ให้ดูอีกนะครับ

                ผมส่ายหน้าอย่างขำๆ ก่อนจะก้มลงเก็บชั้นในตัวนั้นขึ้นมาและเดินไปที่หน้าประตูห้องน้ำ แต่ทว่ายังไม่ทันได้เคาะเลยครับ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับใบหน้าตกใจของพี่ฮ่องเต้ที่โผล่ออกมาจากห้องน้ำ

                “มึงมาทำอะไรตรงนี้”

                ดูเหมือนเขาจะมีสติมากขึ้นแล้วสินะครับ ถึงได้กลับมาพูดจาโผงผางกับผมแบบเดิมได้ แต่ยังไงผมก็อดขำกับท่าทางหวาดระแวงของเขาไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรจากลูกแมวตาโตที่กำลังพอขนขู่ผมเสียงดังฟ่อๆ เลยครับ

                “อย่ามองผมแบบนั้นสิครับ ผมแค่เอาไอ้นี่มาให้” ผมว่าพร้อมกับยกมือข้างที่ถือชั้นในของเขาเอาไว้ขึ้นมาตรงหน้า ทำเอาแก้มของพี่ฮ่องเต้ขึ้นสีอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พี่เขาจะคว้าชั้นในของตัวเองไปจากมือของผมและกะจะปิดประตูใส่หน้า แต่ผมมือไวกว่าผลักประตูเข้าไปพร้อมกับยืนพิงเอาไว้และมองสำรวจคนตรงหน้าที่ยังคงมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวเอาไว้

                “ถ้ามึงคิดจะทำอะไรกูล่ะก็ กูต่อยมึงไม่ยั้งแน่!!”

                เขาเหมือนลูกแมวกำลังขู่จริงๆ นะ น่ารักชะมัด

                “ถ้าผมคิดจะทำอะไร คงทำไปตั้งแต่ตอนที่พี่อยู่ตรงตู้เสื้อผ้าแล้วล่ะครับ ใกล้เตียงขนาดนั้นเนี่ย ผมจับพี่กดได้ง่ายๆ เลยนะ อีกอย่างแขนผมก็หายดีแล้วด้วย พี่สู้แรงผมไม่ได้หรอก”

                “ไอ้ชะ...”

                “ชู่ว!” ผมยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของตัวเอง “ไม่เอาครับ หยาบคายแต่เช้า เดี๋ยวจะเจอแต่เรื่องไม่ดีเอานะ”

                พี่ฮ่องเต้เบะปากเล็กน้อยก่อนจะออกปากไล่ผม “ออกไปเลยไป กูจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”

                “ผมช่วยไหมครับ ผมแต่งตัวให้เด็กเก่งนะ” ผมบอกอย่างอารมณ์ดี ทว่าคนตรงหน้ากับแหวใส่ผมเหมือนเช่นทุกครั้ง

                “กูไม่ใช่เด็ก! กูแต่งตัวเองได้ ออกไป!!” ก่อนที่พี่เขาจะผลักผมด้วยแรงทั้งหมดที่มีและปิดประตูห้องน้ำใส่ ขณะที่ผมเดินกลับมาที่เตียงและจัดการเก็บกวาดที่นอนอย่างอารมณ์ดี

                จะว่าไปช่วงเวลาแบบนี้ มันเหมือนกับผมได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพี่ฮ่องเต้แล้วเลยเนอะ ผมคิดว่านะ

 

                พาร์ทฮ่องเต้

               หลังจากเปลี่ยนมาใส่ชุดนักศึกษา ผมเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาจากห้องน้ำ ก็เจอไอ้เด็กโฟโต้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือของไอ้สีฝุ่น มันหันหน้ากลับมามองผมและก็ยิ้มเหมือนที่เคย ก่อนที่มันจะลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า ขณะที่ผมได้แต่มองมันด้วยความระแวง

                สาบานได้ว่าผมจะไม่คิดอะไรและไม่รู้สึกทั้งอาย ทั้งระแวงเลย ถ้าไอ้ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ไอ้โฟโต้ที่จ้องจะทำมิดีมิร้ายผมผมอยู่เรื่อย ดูสายตาที่มันมองกับการกระทำตอนอยู่กับผมสิครับ มันน่าไว้ใจเสียที่ไหน แต่ก็ยังดีที่มันยังคิดได้ ไม่ทำอะไรแปลกๆ กับผมน้องจากพยายามเข้าใกล้ แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมที่เป็นผู้ชายเริ่มกลัวการรุกเข้าหาจากผู้ชายอย่างมันแล้วล่ะครับ

                “มาครับ เดี๋ยวผมเอาผ้าเช็ดตัวไปตากให้” ผมมองมือมันที่ยื่นมาตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสาตาขึ้นมามองหน้ามันแบบกวนๆ

                “ไม่ต้อง” พูดจบผมก็กะจะเดินเอาผ้าไปตากที่ระเบียง แต่พอเดินผ่านมันไปได้ไม่กี่ก้าว ผมก็ต้องตกใจเพราะไอ้มือของคนข้างหลังที่คว้าหมับเข้าที่เอวของผม

                “ไอ้เชี้ย ปล่อย” ผมโวยวายก่อนจะใช้ตัวดันมันให้ออกห่าง แต่สุดท้ายมันก็เข้ามากอดผมจากทางข้างหลังอีก ก่อนที่มือของมันจะคว้าผ้าเช็ดตัวของผมไปเฉย

                “บอกแล้วไงครับ ว่าเดี๋ยวผมเอาไปตากให้” มันกระซิบบอกที่ข้างหูจนผมขนลุก ก่อนที่มันจะปล่อยผมและเดินออกไปตากผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง ขณะที่ผมได้แต่มองตามมันที่ดูมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น ก่อนที่ผมจะเดินไปไปหยิบไดร์ในลิ้นชักโต๊ะของไอ้สีฝุ่นและไปยืนเป่าผมอยู่หน้ากระจกเงาขนาดเท่าตัวที่ข้างกำแพง ไอ้โฟโต้เดินกลับเข้ามาข้างในห้องและเอาแต่มองผมอย่างไม่ยอมละสายตาไปไหน

                ผมเป่าผมให้พอแห้งและจัดการเซ็ทผมให้เรียบร้อย ก่อนจะเอาไดร์ไปเก็บไว้ที่เดิมท่ามกลางสายตาที่ยังคงจ้องผมทุกท่วงท่าการกระทำ ผมหันหน้าไปมองมันอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

                “มึงมาอะไรที่หอนี้”  ผมถามมันออกไป ในใจก็แค่คิดไปว่ามันอาจจะมาหาเพื่อนมันหรืออะไร แม้ว่าในใจจะรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ อยู่บ้างก็ตาม

                “ผมก็มาหาพี่ไงครับ” มันว่าพร้อมกับยิ้มขำกับคำถามของผม “ก็พี่เป็นคนบอกให้ผมมาหาพี่ที่นี่เอง หรือพี่จะปฏิเสธว่าพี่ละเมอส่งข้อความมาหาผม”

                “ข้อความ? ข้อความอะไรของมึง”     

                ตั้งแต่ตื่นนอนมา ผมจับโทรศัพท์ก็แค่ตอนปิดนาฬิกาปลุกเท่านั้นเถอะ! แต่ถ้าเป็นเมื่อคืน...ผมก็ส่งข้อความไปหาไอ้ซันแค่คนเดียวเท่านั้นแหละครับ ก็เพราะผมจะบอกให้มันเอารถมาคืนและถามเรื่องไอ้น้องเปรมก็แค่นั้น

                แล้วไอ้ข้อความที่มันพูดถึง...หมายความว่ายังไงกัน

                “ก็เมื่อเช้าผมส่งข้อความบอกว่าจะมารับพี่ที่หอ แล้วพี่ก็ส่งที่อยู่หอนี้มาให้ผม ถ้าพี่ไม่เชื่อจะดูในมือถือผมก็ได้นะ” ไอ้โฟโต้ล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักศึกษาและส่งมาให้

                ผมรีบตะปบเข้าไปเอามือถือในมือมันมาดูทันทีและความจริงทุกอย่างก็ประจักษ์แก่สายตาของผมเป็นที่เรียบร้อย ข้อความที่ถูกส่งไปให้ไอ้โฟโต้ขึ้นชื่อว่าเป็นแชทของผมจริงๆ แถมยังส่งไปหามันตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่ตื่น...

                และนั่นทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าตรู่ ตอนที่ผมบ่นเรื่องเสียงเตือนแชทที่ดังไม่หยุดและมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้เห็นเรื่องนี้

                “ไอ้...สี...ฝุ่น...” ผมกัดฟันพูดชื่อไอ้ตัวการที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด มิน่า มันถึงได้ตื่นเช้าและหายหัวไปจากห้องโดยไม่บอกไม่กล่าวผมเลยสักนิด ทั้งๆ ที่มันบอกว่าจะขับรถไปส่งผมที่มหา’ลัยเพราะผมไม่มีรถเองแท้ๆ อย่าให้เจอนะ แม่จะเอาคืนให้จนจุกพูดไม่ออกเลย!!ก็ดูข้อความที่มันส่งไปสิครับ

                ถ้ามาถึงแล้ว ให้เข้ามาเลย ห้องไม่ได้ล็อค

            นี่มันไม่ต่างอะไรไปจากการที่ผมเห็นดีเห็นงามกับการให้ไอ้โฟโต้เข้ามาในห้องเลยสิครับ ถึงว่าล่ะ ไอ้โฟโต้มันถึงได้มองผมอย่างกับว่าผมจงใจให้เรื่องหลุดๆ เมื่อเช้าเกิดขึ้น     

                ผมส่งมือถือคืนให้ไอ้โฟโต้ที่ลุกขึ้นยืนมาประจันหน้ากับผม “ไปครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

                ผมเหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงที่กำลังบอกว่าผมกำลังจะไปเรียนสายแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง ก่อนที่ผมจะจำใจไปหยิบกระเป๋าเป้ที่โต๊ะอ่านหนังสือของไอ้สีฝุ่นและออกจากหอไปพร้อมกับไอ้โฟโต้

 

 

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 22:00:29
ตอนที่ 27 พาร์ทกาฟิวด์

                หลังจากที่เดินเอาจานไปเก็บเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินออกมาจากโรงอาหารและแวะเข้าร้านเครื่องดื่มที่ผมยังไม่เคยเข้าเลยสักครั้งตั้งแต่เปิดเทอมมา เพราะเมื่อคืนกว่าจะนอนหลับได้ก็ข้ามวันแล้วล่ะครับ ทำให้ผมง่วงเหงาหาวนอนสุดๆ ไปเลยตอนนี้ ดังนั้น ถ้าได้กาแฟสักแก้วก็คงจะดีเพราะได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วล่ะครับว่าช่วยให้มีชีวิตรอดตอนเรียนได้ แต่เพราะผมยังไม่เคยสั่งกาแฟเลยสักครั้ง นั่นทำให้ผมเอาแต่ยืนมองเมนูด้านบนเคาน์เตอร์อยู่นานสองนานจนพนักงานเริ่มจะหงุดหงิด ผมเลยตัดสินใจสั่งเอสเพรสโซ่ร้อนไป ไม่นานผมก็ได้เครื่องดื่มมาไว้ในมือ ผมเดินออกจากร้านก่อนจะลองดมกลิ่นดู ซึ่งกลิ่นมันก็...หอมแบบแปลกๆ ดีครับ ผมมองดูกาแฟในมือราวกับมันคือเหล้า

                เอาวะ มันจะขมแค่ไหนกันเชียว ขนาดเหล้าผมก็ยังผ่านมาแล้ว นับประสาอะไรกับแก้วแค่นี้

                พรวด!

                “แค่กๆๆ”

                ผมสำลักไม่หยุด ยอมรับก็ได้ว่าผมคิดผิดอย่างมหันต์ ทั้งความร้อน (เพราะรีบจนลืมไปว่ามันร้อน) ทั้งรสชาติของกาแฟปนเปอยู่ในปากของผมไปหมด รสชาติของมันทั้งขม แถมยังมีเปรี้ยวนิดๆ ต่างหาก ความรู้สึกนี้มันไม่ต่างจากตอนที่ผมกินเหล้าช็อตครั้งแรก ตอนแรกกะจะรีบกลืนๆ เข้าไป แต่ไม่ไหวครับ มัน...แย่กว่าที่คิด

                “กี่ขวบครับเนี่ย”

                เสียงของใครบางคนทำให้ผมที่กำลังจะทิ้งแก้วกาแฟลงถังขยะต้องชะงักหันไปมอง ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือไอ้พี่สีฝุ่น เป็นคนๆ เดียวกับที่อ้วกใส่เสื้อของผมในวันที่เรา... ไม่สิ ต้องเรียกว่าวันที่ผมได้เจอกับเขาครั้งแรกมากกว่า หลังจากนั้น ผมก็ได้เจอเขาที่คณะทุกเช้าวันจันทร์และวันพฤหัสก่อนเข้าเรียนเพราะที่เขามักจะแวะซื้อกาแฟที่ร้านขายเครื่องดื่มที่โรงอาหารด้านหลังตึกคณะ (ร้านที่ผมเพิ่งพ่นกาแฟของเขาออกมานั่นแหละครับ) ขณะที่ผมแวะไปกินข้าว แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปคุยอะไรกับเขาหรอกครับ ก็ผมไม่รู้จักเขาสักหน่อย จู่ๆ ให้เข้าไปคุยด้วย มันก็ดูกะไรอยู่ แต่วันนี้กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่เข้ามาทักผม

                “เปื้อนหมดแล้ว” เขาบอกก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมา เขาไม่ได้เช็ดที่เสื้อหรอกครับ แต่เช็ดที่คอและแก้มของผมต่างหากและนั่นทำให้ผมมีโอกาสได้มองหน้าพี่เขาใกล้ๆ เป็นครั้งแรก บอกตามตรงว่าใบหน้าแสนทะเล้นนั่นสะกดผมเอาไว้อยู่หมัดเลยล่ะครับ

                “ฝุ่น...”

                เสียงของผู้มาใหม่ทำให้พี่สีฝุ่นชะงักมือของตัวเองที่กำลังสัมผัสอยู่บนแก้มของผมผ่านผ้าเช็ดหน้าของเขา ดูเหมือนสองคนนี้กำลังทะเลาะกันอยู่เลยแหะ ผมลอบมองพี่ผู้ชายด้านหลังที่กำลังมองมาแผ่นหลังของพี่สีฝุ่นด้วยสายตา...จะว่าตัดพ้อก็ไม่ใช่ จะว่าโกรธก็ไม่เชิง อยากรู้จังว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน...

                “ฝุ่น...พี่ว่า...”

                “ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ”

                “แต่ฝุ่นเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าพี่อยากกลับไปคบกับฝุ่น พี่ก็ต้องพยายาม...”

                “...”

                “พี่ก็พยายามอยู่นี่ไงครับ ขอร้องนะ ยอมคุยกับพี่สักครั้งเถอะ” 

                ผมเหลือบตามองพี่สีฝุ่นที่ดูเหมือนไม่อยากจะหันหน้าไปมองคนข้างหลังเลยสักนิด ในแววตาที่ดูเหมือนกำลังโกรธกลับแฝงไปด้วยร่องรอยความเจ็บปวดจากอะไรบางอย่างที่ผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน อยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ใบหน้าที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความมัวหมองเช่นนี้

                “นี่ฝุ่นกำลังจะประชดพี่ใช่ไหม อย่าคิดว่าพี่ดูไม่ออกนะ ว่าฝุ่นไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนี้”

                ท้ายประโยค อีกฝ่ายจงใจหันมาสบสายตาจนผมสะดุ้ง ลอบกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกๆ  รู้สึกลางไม่ดีเอาเสียเลย

                ส่วนพี่สีฝุ่นก็ยังเอาแต่นิ่งเงียบไปเหมือนคนกำลังสติหลุด ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เลื่อนสายตามามองหน้าผมด้วยสายตาที่ผมเองก็เดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ มือของเขาค่อยๆ สัมผัสที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

                “สีฝุ่น!”

                จู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามากระชากแขนพี่สีฝุ่นพร้อมกับปรายตามามองผมด้วยสายตาประหนึ่งว่าผมไปทำสุนัขบ้านเขาตาย (เขามองผมเหมือนอาฆาตผมมาเป็นสิบๆ ชาติทั้งที่ผมไม่เคยทำอะไรให้จริงๆ นะครับ) ทว่าสุดท้าย พี่สีฝุ่นกลับดึงแขนออกจากมือของเขา ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ไปกระตุ้นต่อมความอาฆาตของเขาอย่างแรง

                “ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมต้องพาคนของผมไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน” พี่สีฝุ่นปรายตามองคนข้างๆ เล็กน้อยก่อนจะหันกลับมายิ้มละมุนให้กับผม “ดูซิ คราบกาแฟยังติดอยู่เลย”

                และก่อนที่ผมจะทันได้รู้ตัว ใบหน้าของพี่สีฝุ่นก็โน้มเข้ามาใกล้และฝังริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของผม ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันดูเลือนรางไปหมด มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจนในความรู้สึกของผมก็คือสัมผัสอันอ่อนโยนที่กำลังดื่มด่ำกับรสกาแฟที่ยังคงหลงเหลืออยู่ที่ปากของผม รสสัมผัสที่เขามอบให้เปลี่ยนกาแฟที่ผมเคยรับรู้ว่ามันขมให้เป็นกาแฟรสหวานแบบที่ไม่อาจจะหาซื้อได้จากร้านเครื่องดื่มที่ไหนได้อีก ก่อนที่เขาจะผละออกไปท่ามกลางความมึนงงของผม

                “ฝุ่นคิดดีแล้วแล้วใช่ไหม ที่ทำแบบนี้”

                ดูเหมือนเขาจะกำลังแค้น...แค้นผมมากกว่าพี่สีฝุ่นหลายเท่าเลยแหละ ดูจากสายตาที่ไร้ความปรานีใดๆ นั่นแล้ว ชีวิตผม ไม่น่าจะอยู่ในความปลอดภัยได้นานเท่าไหร่ล่ะ

                “ถ้าฝุ่นคิดจะทำแบบนี้ ก็อย่าลืมรับผลที่จะตามด้วยก็แล้วกัน”   

                “ไปกันเถอะ”

                ร่างของผมถูกพี่สีฝุ่นฉุดให้เดินตามอย่างง่ายดายเพราะสติของผมที่หลุดลอยไปไกลไม่รู้เท่าไหร่แล้ว รู้ตัวอีกที ผมก็มาอยู่ที่ลานจอดรถแล้วครับ

                “ขอโทษนะ” พี่สีฝุ่นหันมาบอกพร้อมกับทำหน้ารู้สึกผิด ก่อนที่พี่เขาจะเลื่อนสายตามามองที่ปากของผมและนั่นทำให้ผมสะดุ้งเผลอเม้มปากอัตโนมัติเพราะความไม่เคยชิน ทำให้พี่สีฝุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ

                “จูบแรกเลยเหรอ?” เขามองเหมือนกึ่งๆ ไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ยิ่งนึกไปถึงไอ้โฟโต้กับไอ้เปรมด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกอายเข้าไปใหญ่ ผมอายุสิบเก้าแล้ว แต่เพิ่งจะเคยมีจูบแรกแถมยังเป็นผู้ชายด้วย มันดูแย่ใช่ไหมล่ะครับ

                “ขอโทษ คือพี่ไม่รู้จริงว่าเราไม่เคยจูบใคร” เขาเกาหัวแกรกๆ อย่างคนไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า

                “ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค” ผมบอกพร้อมกับพยายามยิ้มให้พี่เขาสบายใจ แต่พอคิดไปว่าเขาทะเลาะกับผู้ชายเมื่อกี้แล้วพาลมาจูบผม...ทำไมใจมันถึงได้รู้สึกห่อเหี่ยวด้วยก็ไม่รู้

                “หน้าตาเรามันไม่เป็นอย่างที่พูดเลยนะ” เขาพยายามสบตากับผม ก่อนจะยืดตัวขึ้นและพูดจาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “พี่จะให้เราทำโทษพี่ ด้วยการยอมทำตามคำสั่งของเราหนึ่งเดือนเลยเอ้า”

                คำพูดและท่าทางของเขามันทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พี่ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ”

                “ไม่เอาดิ คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ สั่งพี่มาได้เลย”

                “ผมสั่งใครไม่เป็นหรอกครับ ยิ่งพี่เป็นรุ่นพี่ผมด้วยแล้ว ใครจะไปกล้าสั่ง”

                เขานิ่งไปสักพักพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะคอยดูแลเราเพื่อเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”

                “ผมว่ามัน...”

                “อยากให้พี่รู้สึกผิดไปจนตายเลยเหรอครับ”

                ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อคนตรงหน้าพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารให้มากที่สุด ถึงแม้จะดูขัดกับหน้าตาของเขาไปเล็กน้อย แต่มันกลับมีอิทธิพลต่อใจของผมเสียอย่างนั้น

                “ก็ได้ครับ”

                และผมก็ต้องยอมจำนนในวินาทีสุดท้ายสินะครับ

                “เอ้อ รอพี่เดี๋ยวนะ” พี่สีฝุ่นหันมาบอกก่อนจะเปิดประตูรถและหยิบเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตามาให้ ในขณะที่ผมได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจ “เปลี่ยนซะ เหนียวตัวหมด ต้องนั่งเรียนทั้งวัน”

                ถ้าผมปฏิเสธ เขาก็จะยัดเยียดให้ผมอยู่ดีใช่ไหมครับ

                “เดี๋ยวผมเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ...”

                “ไม่ต้อง เปลี่ยนในรถนี่แหละ มาๆๆ”

                พี่แกไม่ฟังผมเลยสักนิด เปิดประตูหลังและจับผมยัดเข้าไปเฉย แล้วไอ้ผมก็ดันทำตามที่เขาสั่งด้วยนี่สิครับ รู้อย่างนี้ ผมยอมรับข้อตกลงที่จะสั่งให้พี่เขาทำอะไรก็ได้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่เอาแต่สั่งและจับผมทำนั่นทำนี่อยู่แบบนี้ สุดท้าย ผมก็จำต้องปิดประตูรถและถอดเสื้อนักศึกษาที่เปื้อนกาแฟบนตัวออกจนได้

                ทว่า...ขณะที่ผมกำลังจะสวมเสื้อตัวใหม่อยู่นั้น จู่ๆ ไอ้พี่สีฝุ่นก็เปิดประตูรถเฉย เล่นเอาผมสะดุ้ง หน้าเหวอ เผลอเอามือกอดท่อนบนของตัวเองที่ไม่มีอะไรปกปิด

                “โทษที ลืมไปว่าเราต้องเหนียวตัวแน่ๆ เลยเอานี่มาให้” เขาบอกออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยื่นทิชชูเปียกมาให้พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น

                “ขอบคุณครับ”

                “เช็ดให้นะ”

                “เฮ้ย! ไม่ต้องครับ!!” ผมร้องลั่นพลางรีบคว้าทิชชูห่อนั้นมาจากมือของไอ้พี่สีฝุ่นที่เอาแต่ยืนขำกับท่าทางของผม

                “แหย่เล่นแค่นิดเดียว ร้องเสียงดังไปได้” และเขาก็เอาแต่หัวเราะ

                “พอเลยพี่ ผมจะเปลี่ยนเสื้อแล้ว”

                “โอเคครับ” พูดจบเขาก็ปิดประตูและหันหลังให้ ผมชะเง้อมองเพื่อความแน่ใจว่าเขาจะไม่แกล้งอะไรผมอีก ก่อนจะรีบเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อนักศึกษาตัวใหม่ทันที หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ลงมาจากรถพร้อมกับเสื้อนักศึกษาที่เปื้อนกาแฟของตัวเอง ทว่ากลับมีสายตาคู่หนึ่งที่เอาแต่จ้องจนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขาที่เอาแต่ยืนหัวเราะอย่างไม่เข้าใจ

                “ขำอะไรของพี่เนี่ย”

                “ขำคนน่ารัก...” ผมชะงักไปกับคำพูดของพี่สีฝุ่น “...เวลาเราใส่เสื้อตัวใหญ่แบบนี้ก็น่ารักดี”

                และผมก็ได้แต่เงียบเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปในเวลาแบบนี้ ผมเลยทำทีเป็นพับเสื้อนักศึกษาในมือเพื่อจะเอาใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง ทว่าไอ้พี่สีฝุ่นดันมือไวกว่าคว้าเสื้อไปจากมือผมเฉย

                “พี่ขอก็แล้วกัน ถือว่าแลกกับเสื้อของพี่นะ” พูดจบก็เปิดประตู โยนเสื้อเข้าไปในรถ โดยไม่รอให้ผมได้มีโอกาสตอบปฏิเสธแม้แต่น้อย

                “เข้าคณะกัน”

                ไม่ว่าเปล่า...เขายังถือวิสาสะมาจับมือผมและออกแรงดึงให้เดินตามอย่างเอาแต่ใจ ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

                ไม่เข้าใจ...ในการกระทำของเขา       

                และจังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นใครบางคนที่กำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพวกผมเอาไว้ เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่คนๆ นั้นจะหายตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าผมแค่ตาฝาดไปเท่านั้น

                สงสัยผมจะตาฝาดไปจริงๆ นั่นแหละครับ

                ผมถูกลากมาจนถึงร้านขายเครื่องดื่มร้านเดิมแบบงงๆ ก่อนที่พี่สีฝุ่นจะลากให้ผมตามเข้าไปและดันตัวผมให้นั่งรอที่เก้าอี้ข้างในร้าน

                “รอสักครู่นะครับ”

                เขาทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นและเดินเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์ พูดอะไรกับพนักงานสองสามคำก่อนที่เขาจะลงมือชงเครื่องดื่ม ไม่นานนักพี่สี่ฝุ่นก็เดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์พร้อมกับเครื่องดื่มสองแก้วในมือ

                แก้วหนึ่งคือกาแฟเย็นของเขา ส่วนอีกแก้วถูกวางลงตรงหน้าผม

                “ลองดื่มดูสิ”

                ผมมองไปที่แก้วกาแฟตรงหน้าพลางทำหน้าหยีเพราะรสชาติขมๆ เปรี้ยวๆ ของมันยังติดอยู่ที่ลิ้น พี่สีฝุ่นจึงยกกาแฟแก้วนั้นขึ้นมาตรงหน้าผมพร้อมกับเกลี้ยกล่อม

                “ลองจิบดู นิดเดียว”

                “ก็ได้...” ผมรับคำและกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกาแฟแก้วนั้นมา ทว่าพี่เขากลับลุกขึ้นเดินอ้อมไปข้างหลังของผมและโน้มตัวลงมาพร้อมกับใช้แขนของเขาโอบผมจากทางด้านหลัง

                ตรงหน้าของผมคือแก้วกาแฟที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นซึ่งอยู่ในมือของพี่สีฝุ่น สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงผมเป็นผู้ชาย แต่ผมก็ไม่เคยทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แถมกับผู้ชายด้วยกัน...นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกของผม

                “ลองจิบดูสิครับ” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหลัง ถ้าจะลุกออกไปตอนนี้ มีหวังกาแฟได้หกรดตัวผมอีกรอบแน่เพราะด้านหน้าของผมก็ติดกับโต๊ะ แถมด้านหลังยังมีพีสีฝุ่นกักตัวเอาไว้อีก ดังนั้น ผมเลยตัดสินใจลองจิบกาแฟตามที่พี่เขาบอกนั่นแหละครับ

                ผมเอามือไปจับแก้วเอาไว้เล็กน้อยเพื่อความถนัด ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปจิบกาแฟตรงหน้า...

                มันไม่ได้ขมอย่างที่คิด...

                และนั่นทำให้ผมต้องลองก้มลงไปจิบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซึ่งรสชาติของมันนับว่าถูกปากผมเลยทีเดียว

                “เป็นไงบ้าง ยังขมอยู่อีกหรือเปล่า” พี่สีฝุ่นถามพลางวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะตรงหน้า

                “ไม่แล้วครับ” ผมบอกพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมา “แล้วนี่...เขาเรียกว่าอะไรเหรอครับ”

                ก็ผมไม่ใช่คอกาแฟนี่นา จะไปรู้ได้ยังไงว่ากาแฟมันมีกี่แบบ แล้วแต่ละแบบมันรสชาติเป็นยังไง ทว่าคำถามของผมกลับทำให้ไอ้พี่สีฝุ่นหลุดขำออกมา (อีกแล้ว) ท่าทางผมนี่คงดูโง่ในสายตาพี่เขามากเลยสินะครับ หึ

                “แล้วเราชื่ออะไรล่ะ”

                “ครับ?” ผมทวนคำถามแบบงงๆ เพราะจู่ๆ คนที่รุ้จักชื่อกันแล้วก็ดันมาถามชื่อซ้ำอีก

                แก่กว่าผมแค่ปีเดียวก็เป็นอัลไซเมอร์แล้วหรือไงกัน

                “พี่ถามว่าเราชื่ออะไร” คนแก่อัลไซเมอร์ถามซ้ำ จนผมนี่แทบตอบกลับไปไม่ทัน พร้อมกับมองหน้าพี่แกอย่างคนเตรียมรับมุขตลก ที่อาจจะไม่ตลกของเขา

                “กะ...กาฟิวด์ครับ”

                อะ ถ้ามุขไม่ขำ ผมพ่นกาแฟใส่จริงด้วยนะ

                “อืม กาฟิวด์...” พี่สีฝุ่นทำทีพึมพำไปสักพักและหันขวับมายิ้มให้กับผม “โอเค ถ้าอย่างนั้น กาแฟแก้วนี้ก็เรียกว่ากาฟิวด์”

                ผมอ้าปากค้าง ยังคงมึนงงกับคำตอบของพี่เขา “พี่พูดเรื่องอะไร”

                ใจจริงผมอยากจะพูดว่า นี่มุขอะไร ต่างหาก แต่ก็เกรงจะโดนกาแฟสาดใส่ก่อนไปเรียนเสียก่อน

                “กาแฟแก้วนี้ เป็นสูตรพิเศษสำหรับน้องกาฟิวด์ไงครับ ดังนั้น มันก็เลยชื่อว่ากาแฟกาฟิวด์” ก่อนที่เขาจะสบตากับผมอย่างสื่อความหมาย “พอดี พี่เห็นว่าเราดื่มกาแฟไม่ได้ เลยคิดไปว่าเราอาจจะยังไม่เคยดื่มกาแฟ พี่เลยทำสูตรพิเศษให้”

                ผมเกือบจะทำหน้าเอือมใส่กับมุขกาแฟกาฟิวด์ของพี่แกแล้วครับ อีกนิด...อีกนิดเดียวจริงๆ นะ แต่พอมาได้ยินคำอธิบายหลังจากนั้น ผมกลับทำไม่ลง ตรงข้ามกับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขามาใส่ใจกับเรื่องของผม ทั้งที่เขาทำเป็นไม่สนใจมันก็ได้เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆ และไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ 

                “เอ่อ ขอบคุณมากนะครับ”

                และผมก็ได้แต่พูดกับพี่เขาไปแบบนั้น พร้อมกับฉีกยิ้มไปให้ด้วยความเต็มใจ 

                วันนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมกับพี่สีฝุ่นได้คุยกันเป็นครั้งแรกและถ้าผมไม่ชะล่าใจไป ผมก็คงจะรู้ล่วงหน้าเช่นกัน ว่าวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะบางอย่างที่ส่งอิทธิพลต่อหัวใจของผม

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 22:02:06
ตอนที่ 28 ลางสังหรณ์

                เสียงโหดๆ ของอาจารย์นัยนาดังเรียกสติของนักศึกษาเป็นพักๆ  โดยเฉพาะกับพวกที่หนีมานั่งแถวหลังสุดของห้องเรียนอย่างฮ่องเต้ นิวและซัน  สายตาของพวกเขาเอาแต่จับจ้องไปทางหน้าจอโปรเจกเตอร์อย่างไม่วางตา ขณะที่หูก็พยายามฟัง มือก็พยายามเลกเชอร์ตามให้ทันที่อาจารย์สอน กระทั่งหมดคาบนั่นแหละ พวกเขาถึงได้มีช่วงเว้นว่างให้หายใจหายคอกันบ้าง ก่อนที่อาจารย์จะทิ้งภาระงานชิ้นใหญ่เอาไว้ให้พร้อมกับกำชับเรื่องเวลาส่งงานกับนักศึกษาชั้นปีที่สี่ที่เริ่มทำตัวชิลตั้งแต่ต้นเทอม เพราะความเคยชินในการเรียนมาสามปีเต็ม และอาจารย์แกก็เดินออกจากห้องไปท่ามกลางเสียงบ่นกระปอดกระแปดของนักศึกษาเช่นเคย

                “ทุกคน อย่างเพิ่งออกจากห้องนะ เรามีเรื่องจะคุยด้วย” คิง ตัวแทนรุ่นของปีห้าเจ็ด เอ่ยเรียกดักเพื่อนที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ทำเอาทุกคนต้องชะงักทุกการกระทำและพร้อมใจกันเงียบฟังสิ่งที่มันกำลังพูด

                “จากที่เราไปประชุมตัวแทนชั้นปีที่สี่มาเมื่อวาน เรื่องการเปิดสายรหัสในอีกสามสัปดาห์ที่จะถึงนี้  ก็อย่างที่น้องบอกในตอนแรกว่าจะใช้เกมคำใบ้จากซานต้าและซาตาน ซึ่งพวกเราต้องเขียนคำใบ้ฉบับสุดท้ายให้เด็กปีหนึ่งด้วยตนเองและต้องรวบรวมส่งให้เด็กปีสองภายในวันพุธหน้า เพื่อที่จะให้เด็กปีหนึ่งมีเวลาตามหารุ่นพี่ในสาย แต่ทุกคนต้องเขียนใส่ในกระดาษที่จะแจกให้และเอามาส่งให้เราภายในวันจันทร์หน้า ส่วนใครที่มีสายเทคก็เขียนเพิ่มตามจำนวนน้องที่ต้องเทคด้วย”

                สิ้นเสียง กระดาษสีขาวขนาดเอสี่ก็ถูกส่งต่อมาให้กับคนที่อยู่ข้างหน้าสุด ก่อนที่กระดาษพวกนั้นจะถูกส่งต่อๆ กันมาจนกระทั่งถึงมือเพื่อนรักสามคนที่นั่งอยู่ด้านหลังห้อง ซึ่งแน่นอนว่าฮ่องเต้จะต้องหยิบมาสองแผ่นเพราะเขามีสายเทคอีกหนึ่งคน

                “อ่อ แล้วก็อีกเรื่อง ปีสองฝากเน้นย้ำมาว่าให้แต่งตัวตามธีมงานด้วย ส่วนเรื่องสีกับแบบของชุดก็แล้วแต่จะเลือกเลย เรื่องที่พูดก็มีแค่นี้แหละ”

                หลังจากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายออกไปจากห้อง เช่นเดียวกันกับเพื่อนรักทั้งสาม

                “มึงคิดไว้ยังว่าจะใส่ชุดซานต้าหรือซาตาน” เป็นซันที่หันมาถามขณะที่เดินลงบันได

                “ซาตานอยู่แล้วดิวะ กูมั่นใจว่าไอ้น้องไม่มีทางหากูเจอแน่ๆ” นิวหันไปตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ จะเรียกว่ามั่นหน้าก็ได้ ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับหมั่นไส้

            คอยดูเถอะ ถ้าเกิดน้องมันตามหาพี่รหัสปีสี่มันเจอในวันงานเปิดสายล่ะก็ ผมจะหัวเราะให้ลั่นงานเลยครับ

                “แล้วมึงอ่ะ ไอ้เต้” ซันหันมาถามเขาต่อ

                “ยังไม่รู้ว่ะ” และฮ่องเต้ก็ตอบกลับแค่นั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้จบแค่นั้น

                “ไม่เห็นต้องคิดเยอะเลยมึงอ่ะ ชุดแต่งงานธีมซาตานไปเลยดิ ไหนๆ ก็มีเจ้าบ่าวแล้วหนิ ฮ่าๆ”

                “หุบปากไปเลยไอ้นิว!!” ฮ่องเต้อดหันไปด่านิวอย่างหงุดหงิดใจ รู้สึกว่าคุยกับพวกแม่งนี่ทีไรวกเข้าเรื่องนี้ตลอด ขณะที่มันเอาแต่หัวเราะร่าอย่างมีความสุข

                “ก็มันจริงหนิวะ วันงานเปิดสายมีแต่คนเขารอลุ้นคู่มึงกันทั้งนั้นแหละ ถ้ามึงตกลงปลงใจกับน้องมันจริงๆ งานวันนั้นนี่ ยกให้เป็นงานแต่งมึงเลยนะเว้ย”

                “ไอ้เชี้ยนิว! เลิกล้อกูสักทีได้ไหมวะ มันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นแหละเว้ย” เขาชักสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม เป็นความหงุดหงิดจากใจจริง  แบบไม่ได้แกล้งทำกลบเกลื่อนอะไรทั้งนั้น!

                “ไอ้นิว มึงก็เลิกล้อมันสักทีน่า มันบอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรดิวะ” ซันว่าพลางเขยิบมากอดคอฮ่องเต้ แสร้งตีหน้าเรียบเฉยออกไป แม้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจที่นิวเอาแต่ชงคู่โฟโต้ฮ่องเต้

                นิวจึงได้แต่เบะปากใส่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ซันคอยห้ามไม่ให้เขายุฮ่องเต้เรื่องโฟโต้ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ซันออกไป แต่กลับหันมาถามฮ่องเต้อย่างเปลี่ยนเรื่อง ขณะที่เดินออกจากประตูทางขึ้นบันได

                “เออ ไอ้เต้ พรุ่งนี้ พวกกูว่าจะไปเดินดูของให้น้อง มึงจะไปด้วยกันป่ะ”

                “ไปดิ กูว่าจะชวนพวกมึงอยู่พอดี กูเลือกของไม่เก่งว่ะ” ฮ่องเต้ตอบแทบบไม่ต้องคิด ก่อนจะหันไปชี้หน้าไอ้นิวที่อ้าปากจะแซวเขาอีกระรอก “พอเลยมึงอ่ะ!”

                “อะไร กูก็แค่จะบอกว่าพรุ่งนี้เจอกันที่ห้างเดิมแค่เนี้ย มึงนี่ก็คิดอะไรไปไกลเนอะ” ท้ายประโยคนิวจงใจจะสื่อเป็นนัยว่าผมกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ ทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

                ล้อกูเข้าไปนะมึง ถ้าตกเป็นเมียใครวันไหน กูจะล้อมึงยันงานแต่งเลยคอยดู!

                “เออ ยังไงมึงก็ดทรมาเตือนกูอีกทีก็แล้วกัน กูกลับละ” และในจังหวะที่เขากะจะหมุนตัวเดินออกจากคณะนั้นเอง สายตาก็หันไปสบเข้ากับใครบางคนเข้าพอดี

                “ไอ้เต้!” ร่างสูงตะโกนเรียกผมมาแต่ไกล ก่อนจะผละจากกลุ่มเพื่อนและเดินมาทางพวกเขา “ไงวะ ไม่เจอกันนานเลยเว้ย”

                “สวัสดีครับพี่เมฆ” และพวกเขาก็ยกมือไหวคนที่สาวเท้าเข้ามาหาไปตามระเบียบ

                พี่เมฆคือพี่รหัสปีสองของฮ่องเต้เอง ซึ่งเขาไม่ได้เจอมานานหลายเดือนแล้วเพราะช่วงเรียนปีสี่ เมฆก็ดูยุ่งๆ จนไม่มีเวลาทำอะไร หลังจากเรียนจบก็ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด

                “ทำไมวันนี้ถึงได้แวะมาได้อ่ะพี่” ฮ่องเต้ถามพลางมองสำรวจสีหน้าที่ดูชื่นมื่นกว่าแต่ก่อน (หมายถึงช่วงที่เรียนหนัก งานเยอะน่ะ)

                “ช่วงนี้กูว่าง เลยแวะขึ้นมาเที่ยวหาเพื่อนหน่อย นี่ก็กะว่าจะไปดื่มคืนนี้ พวกมึงจะไปด้วยกันป่ะ ไอ้สินกับไอ้ดิวก็ไปด้วยนะเว้ย” เมฆหมายถึงพี่รหัสของนิวกับซันที่อยู่แก๊งเดียวกันกับพี่แกมาตั้งแต่ปีหนึ่ง

                พวกเขาสามคนจึงหันไปมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาก่อนที่ซันจะเป็นคนตอบ “เอาดิพี่ ช่วงนี้ผมก็เซ็งๆ อยู่เหมือนกัน”

                “เออ เจอกันที่ร้านเฮียเจ็ดนะเว้ย จะได้มีเวลานั่งคุยกันนานๆ หน่อย ท่าทางพวกมึงมีอะไรต้องคุยกับกูอีกยาวว่ะ ฮ่าๆ” ท้ายประโยคมีการปรายตามามองทางน้องรหัสของตน จยฮ่องเต้แอบสะดุ้งกับสายตานั้นเบาๆ 

                หวังว่าเรื่องที่จะคุย จะไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่ผมคิดหรอกนะ

                และเมฆก็ขอตัวกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนต่อ ขณะที่ฮ่องเต้ต้องติดรถซันไปเอารถตัวเองที่มันเอาไปขับเมื่อวันวาน หลังจากขับรถกลับมาถึงหอตัวเอง เขาก็กดมือถือโทรหาสีฝุ่นและชวนมันมาดื่มกับพวกเขาคืนนี้ เพื่อเป็นการที่เขาจะได้จัดการที่มันบังอาจวางแผนให้ไอ้โฟโต้เข้าห้องเขาเมื่อเช้าและหลังจากที่สีฝุ่นตกปากรับคำ ฮ่องเต้ก็เข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปหาข้าวกินที่ร้านใต้หอเพื่อรอเวลาไปสังสรรค์กับพวกรุ่นคืนนี้ต่อ

 

                “เอ้า ชนนนน” เสียงเฮลั่นของกลุ่มรุ่นพี่ปี 56 กับพวกผมดังขึ้น ก่อนที่เหล้าในแก้วจะถูกยกขึ้นดื่มพร้อมกับสีหน้าชื่นมื่นของทุกคน ก่อนที่สายตาจะหันไปโฟกัสคนข้างๆ  ฮ่องเต้ที่เล่นดื่มทีเดียวหมดแก้ว

                “เฮ้ยๆ ใจเย็นมึง เดี๋ยวได้ตายห่าก่อน”

                เมฆยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับคำเตือนของเพื่อน แต่กลับหันไปชงเหล้าเพิ่มอีกแก้ว ท่าทางพี่เหมือนอยากจะเมาให้หัวราน้ำตั้งแต่ยังไม่สามทุ่มยังไงยังงั้น

                “เออ แล้วพวกมึงเป็นยังไงบ้างวะ ได้ข่าวว่าเทอมนี้ได้เรียนกับอาจารย์นัยนาด้วยนี่” ก่อนที่เมฆจะหันมาถาม ขณะกำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้วและก็เป็นไอ้นิวคนเดิมที่เป็นคนบ่นเรื่องอาจารย์ ซึ่งเขาก็เห็นมันบ่นอาจารย์ทุกคนนั่นแหละ

                “กลิ่นความพังพินาศโชยมาตั้งแต่เปิดเทอมเลยสิครับพี่ แค่เห็นชื่ออาจารย์ตอนลงทะเบียนเรียนนะ ผมก็ไมเกรนขึ้นไปสามวันเจ็ดวันแล้ว!”

                และมันก็เรียกเสียงหัวเราะของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี

                “มึงก็ตั้งใจเรียนหน่อยดิวะ เอาใจอาจารย์แกนิดนึง แกอุตส่าห์เตรียมการเรียนการสอนมาเพื่อพวกมึงเลยนะเว้ย ฮ่าๆ” ว่าแล้วเมฆก็กระดกแก้ว กรอกเหล้าเข้าปากอีกรอบ

                “โห พี่ อาจารย์แกเล่นแร็ปสอนขนาดนั้น ตั้งใจแค่ไหน ก็ไม่เข้าหัวผมอยู่ดีป่ะ นี่ผมยังกังวลไม่หายกับสอบย่อยสัปดาห์หน้าเลย” และก็เป็นนิวบ้างที่เป็นฝ่ายยกแก้วขึ้นมาดื่ม

                “มึงก็ให้ไอ้ฮ่องเต้ติวดิวะ ได้ข่าวท็อปตลอดไม่ใช่หรือไง” สิน พี่รหัสของไอ้นิวหันมาแซวพร้อมกับบุ้ยปากมาทางคนที่ถูกเอ่ยถึง ก่อนที่เมฆจะหันมากอดคอน้องรักด้วยความภาคภูมิใจ

                “แน่นอนดิวะ ลูกศิษย์กูปั้นมากับมือ” ไม่วายยังหันมายกมือไฮไฟว์กับเขาอีกระรอก ทำเอาสายรหัสอื่นหมั่นไส้ไปตามๆ กัน

                แต่ก็ช่วยไม่ได้นะครับ ก็ผลสอบออกจะชัดเจนขนาดนั้น

                “ไอ้ซัน เงียบจังวะ” และทุกสายตาก็รวมใจกันไปหยุดอยู่ตรงคนที่เอาแต่นั่งเงียบตามเสียงของดิว “ปกติมึงนี่พูดมากจนกูต้องคอยเบรกอ่ะ”

                “เซ็งนิดหน่อยว่ะพี่”

                “หึ อย่าบอกนะว่าเรื่องไอ้เด็กเปรม”

                ฮ่องเต้เป็นอันหูผึ่งทันทีที่มีชื่อของเปรมในบทสนทนา

                เรื่องนี้ต้องเผือกครับ

                “จะมีเรื่องอะไรให้ผมเซ็งได้อีกล่ะ” และมันก็กระดกแก้วกรอกเหล้าเข้าปาก

                “กูถามจริงเถอะ มึงสองคนจะโกรธแค้นกันไปถึงเมื่อไหร่วะ”

                “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มันมายุ่งกับซินก่อน”

                “เฮ้ย! นี่มันจะห้าปีแล้วนะเว้ย มันยังไม่เลิกยุ่งกับน้องมึงอีกเหรอวะ” ไอ้พี่ดิวหันมาถามอย่างอึ้งๆ 

                “ผมเพิ่งเจอกับมันเมื่อวันก่อนเองพี่...”

                “ไอ้ซัน...กูว่านะ ถึงมึงไม่เจอวันนั้น มึงก็ต้องเจอวันอื่นอยู่ดีป่ะวะ เพราะนอกจากไอ้เปรมจะอยู่มอเดียวกันแล้วเนี่ย มันยังเป็นเพื่อนของว่าที่แฟนเพื่อนมึงด้วย ใช่ไหมครับ ท่านฮ่องเต้”

                “เดี๋ยวมึงได้สอบตกยกเทอม!” ฮ่องเต้สวนกลับนิวทันทีที่พูดจาน่าจับหักคอไปเผาทิ้ง แต่นอกจากมันจะไม่สะทกสะท้านใดๆ กับคำพูดของเขาแล้ว คำพูดของมันยังจุดประเด็นความวินาศมาให้เขาอีกต่างหาก สังเกตจากสปอร์ตไลท์ที่เบนความสนใจจากซันมาลงที่เขานั่นแหละ ตอนนี้ เลยกลายเป็นว่าทุกสายตาของคนที่นั่งละแวกใกล้เคียงโฟกัสมาที่เขาเป็นจุดเดียว

                “เออว่ะ! กูว่าจะถามอะไรมึงก็นึกไม่ออก” เป็นเมฆที่หันมาเปิดประเด็นต่อจากไอ้นิว “สรุปว่ามึงกับไอ้เด็กใหม่สายเรานี่ยังไงกันวะ”

                “ไม่อะไรยังไงทั้งนั้นแหละ” เขาตอบปฏิเสธพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มบังหน้า

                “เฮ้ย!! ได้ไงวะ ก็ในสายรหัสมีมึงแค่คนเดียวที่โสดนี่!” เมฆเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง ทำเอาฮ่องเต้ยิ่งต้องรีบปรามพี่แทบไม่ทัน

                “อย่าเสียงดังดิพี่!”

                “กูก็แค่แปลกใจ ในสายตอนนี้ก็คบกันหมดแล้ว เหลือแต่มึงกับไอ้เด็กใหม่ที่โสด...” ก่อนที่เมฆจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “...หรือน้องมันมีแฟนแล้ววะ!?”

                “ไม่มีหรอกพี่ น้องมันโคตรจะโสดเลย” นิวเสนอหน้าผงกตัวลุกขึ้นมาตอบอย่างสนุกปาก ก่อนที่พี่รหัสของมันจะเสริมทับ

                “เอาน่า มึงก็คิดมากไปได้ น้องมันเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ก็ไม่เห็นจะแปลกที่มันจะไม่อะไรยังไงเหมือนกับพวกพี่ๆ มัน”

                “มึงไม่ต้องมาพูดเลยไอ้สิน! ผู้ชายแล้วไงวะ มึงก็รู้ว่าสายรหัสอาถรรพ์จับคู่ให้ในสายหนึ่งเจ็ดแปดก่อนเรียนจบทุกคน แล้วไอ้เต้มันก็อยู่ปี่สี่แล้ว ถ้าคู่ของมันไม่ใช่ไอ้เด็กใหม่ แล้วมันจะเป็นใครน่าไหนได้อีกวะ!”

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมฆเริ่มเมาแล้วหรือเปล่า จึงโพล่งทุกอย่างที่คิดออกมาแบบไม่คิด และคำพูดของเมฆก็ทำเอาน้องรหัสอย่างฮ่องเต้เริ่มปวดหัวขึ้นมา ทุกอย่างเหมือนจะวนเวียนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว นั่นอาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้มันติดอยู่ในหัวของเขามาตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดเทอมแล้วก็ได้ (ก็ตั้งแต่วันที่ได้รู้ว่าปีหนึ่งปีนี้ของเขาเป็นผู้ชายนั่นแหละ) ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ต้องระแวดระวังภัยจากอาถรรพ์สายรหัสมากขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ทำไมเขาต้องได้มาอยู่สายรหัสนี้ด้วยก็ไม่รู้

                “ใจเย็นไอ้เมฆ มึงอย่าลืมว่ายังมีสายเทคเหลืออีกคน”

                มือของฮ่องเต้ชะงักตามคำพูดของดิวทันที รู้สึกเหมือนมีคลื่นยักษ์ลูกที่สองพัดเข้าใส่จนกระเด็นไปอีกระรอก

                “เออว่ะ!!” มันทำให้เมฆตบเข่าฉาดเหมือนว่ามองเห็นทางออกสำหรับเรื่องนี้ ก่อนจะหันมามองหน้าน้องรักของตนอย่างตื่นเต้นและก็จ้องอยู่แบบนั้นเหมือนต้องการจะให้เขาพูดอะไรบางอย่างออกไป

            แล้วอะไรกันที่พี่แกต้องการให้ผมพูด

                “อะไรพี่!? จ้องหน้าผมทำไม” เขายืดตัวนั่งหลังตรงและมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เข้าใจ

                “ในเมื่อสายรหัสไม่มีความคืบหน้าแล้วสายเทคล่ะ มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม”

                “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละพี่!!”

                “อะไรว้า สายรหัสก็ไม่มี สายเทคก็ไม่ใช่ กูว่ามันไม่ใช่ละ” เมฆเริ่มพล่ามบ่นออกมาอย่างหัวเสีย ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ว่าทำไมพี่แกถึงได้ดูจริงจังกับเรื่องนี้กันหนักหนา หรือมันมีอะไรที่เขายังไม่รู้อีก

                “มึงก็บอกพี่เมฆไปดิวะ ว่าหนึ่งในนั้นพยายามเข้าหามึงอยู่” ความปากมากของนิวเริ่มสร้างความหายนะให้กับฮ่องเต้อีกครั้ง จนเขาอดหันไปทำตามขวางใส่มันที่ยิ้มหน้าระรื่นไม่ได้ ดีนะ ที่เขายังไม่ได้บอกเรื่องที่ไอ้โฟโต้บอกว่าจะจีบเขาให้ใครฟัง ไม่อย่างนั้น คงวุ่นวายมากกว่านี้เป็นแน่

                “เฮ้ยๆๆ เล่ามาเดี๋ยวนี้นะเว้ย  หนึ่งในนั้นคือใคร”

                และเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมากับคำถามของเมฆ แล้วจะให้ผเขาเล่าอะไรล่ะ ในเมื่อเขาก็ยังไม่แน่ใจอะไรกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

                “อ่าว เงียบกริบ” เสียงเมฆดึงเขาออกมาจากความคิด ได้แต่หันไปมองหน้าพลางลอบถอนหายใจออกมา

                “เล่าอะไรพี่ มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

                “เอาน่า ปล่อยน้องมันไปเถอะ กูบอกแล้วไง น้องมันเป็นผู้ชายเหมือนกันหมด ทั้งสายจริง สายเทค มันก็เรื่องปกติหรือเปล่าวะ ที่มันจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ถ้าเป็นสาวๆ ก็ค่อยว่าไปอย่าง เนอะ ไอ้เต้” ท้ายประโยค ดิวหันมาพยักหน้าให้กับน้องรหัสของเพื่อน ที่ได้แต่ยิ้มอ่อนและดื่มเหล้าในแก้วให้หมด

                แล้วทำไมผมถึงต้องรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

                “เออ ไอ้เต้ กูลืมบอกไปเลย” คนถูกเรียกหันไปมองแบบงงๆ  ก่อนที่เมฆจะพูดเรื่องสำคัญออกมา “เดือนหน้าพี่ขวัญจะคลอดลูกคนเล็กแล้วนะเว้ย ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กูว่าจะชวนมึงไปเยี่ยมหลานหน่อยว่ะ”

            จู่ๆ ก็เหมือนโดนอะไรฟาดเข้าที่หน้าจนมึน...

                จนฮ่องเต้...ทำตัวไม่ถูก มันแน่นหน้าอกและเหมือนอะไรจุกที่คอ จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็ไม่ออกขึ้นมากะทันหัน  เพียงได้ยินเรื่องราวของใครบางคน ก็ทำเอาบรรยากาศมืดครึ้มขึ้นมาทันตาเห็น

                นานแค่ไหนกันที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้

                “ถ้า...ผมว่าง...ผมจะบอกนะครับ” แต่ก็ทำได้เพียงแค่ตอบออกไปแบบนั้น ความกระอักกระอวนมันทำให้เขาไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป จึงขอตัวกลับก่อน

                เขาแยกตัวออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่และขึ้นรถเตรียมกลับหอด้วยร่างกายที่มันหนักอึ้งไปหมด สมองของเขาประมวลผลช้ากว่าปกติ ดังนั้น หลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว เขาก็กลับเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ในรถอย่างไม่คนไม่ค่อยมีสติ จังหวะนั้นเอง ที่มีสายเรียกเข้า จึงถอนหายใจออกมาก่อนจะกดรับสาย

                [เฮีย ผมซ้อมบอลเสร็จละ ยังอยู่ที่ร้านอยู่ป่ะ]

                สีฝุ่นถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผิดกับคนถูกถามที่ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความหม่นหมอง

                “กูจะกลับแล้ว มึงจะมาก็ได้นะ ไอ้ซันกับไอ้นิวก็ยังอยู่”

                [เฮียเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงฟังดูไม่ดีเลย]

                เกลียดชะมัด คนรู้ทัน

                “กูไม่ได้เป็นอะไร กูแค่เมา...”

                และเขาก็ได้แต่โกหกออกไปแบบนั้น ก็คนมันไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆ แล้ว อีกอย่าง...มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องพูดถึงเรื่องนั้นอีก

                [ถ้าอย่างนั้น เจอกันที่หอนะเฮีย แต่ผมขอกลับดึกหน่อยนะ]

                ก่อนที่สีฝุ่นจะวางสายไป ขณะที่ใจของฮ่องเต้มันยังคงสั่นไม่หยุด

                ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด กับคำชวนที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ชื่อของใครบางคนกลับทำให้ความทรงจำทุกอย่างกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและชัดเจนราวกับมันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยหรือเปล่า เขาเองก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้เขาเหมือนกำลังขาดสติไปเป็นพักๆ ก่อนที่จะสะบัดหน้าไล่ความคิดทั้งหมดออกจากหัวและขับรถออกจากร้าน

                หากย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เขาคงจะไม่ขอรู้จักกับใครคนนั้น แต่ในเมื่อเวลามันทำได้เพียงแค่หมุนไปข้างหน้า เขาเองก็ทำได้แค่ปล่อยอดีตไว้ข้างหลังและยินดีกับพวกเขาเท่านั้น

                แต่ดูเหมือนว่าอดีตจะไม่ยอมปล่อยผมนี่สิ ยิ่งได้เห็นหน้าเด็กคนนั้นและได้ยินคำชวนในวันนี้ มันยิ่งทำให้เขาสังหรณ์ใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเขาอีก...หรือประวัติศาสตร์ มันกำลังจะซ้ำรอยกัน               

 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 22:04:26
ตอนที่ 29 สานสัมพันธ์

                อาการปวดหัวแล่นปราดเข้ามาทันทีที่ร่างสูงรู้สึกตัว พลันต้องยีตาเพราะแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่สาดกระทบใบหน้า หลังจากที่ม่านตาปรับรับกับแสงได้ เขาก็มองไปรอบๆ และพบว่าตนยังนั่งอยู่ตรงขอบประตูระเบียงตั้งแต่เมื่อคืนยันสว่าง เท่านั้น ก็ถอนหายใจออกมาพลางเหม่อมองไปยังวิวข้างนอก ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้และท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงสีทองประดับ ก่อนที่เขาจะยันกายลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยร่างกายและสมองที่มันหนักอึ้งไปหมด

                ฮ่องเต้หย่อนตัวลงบนเตียงอย่างเหม่อลอย เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน จำได้แค่ว่า...หลังจากกลับมาจากร้าน ก็มานั่งเล่นที่ระเบียงเพราะนอนไม่หลับ ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ขณะที่สมองก็เอาแต่คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่เขาเป็นนักศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยภัคนลินและช่วงเวลาที่เขาอยู่ในฐานะสมาชิกสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด

                พลันร่างสูงก็ล้มตัวลงแผ่หลาลงบนเตียงที่ไม่ได้สัมผัสมาตั้งแต่เมื่อคืน เหม่อมองไปยังเพดานห้องที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยของเทปกาวอยู่ ก่อนที่ภาพความทรงจำทั้งหมดจะหวนกลับคืนมาอย่างหักห้ามเอาไว้ไม่ได้ ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยเงาสะท้อนของใครบางคนที่เคยเข้ามาในห้องนี้ ที่คอยสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความสุขเอาไว้ให้กับเขามากมาย ก่อนที่ใครคนนั้นจะเขาไป หลงเหลือไว้เพียงแค่ความเจ็บปวดที่เขาไม่สามารถจะยอมรับมันได้

                เพราะมันเลวร้ายเกินกว่าที่จะทำใจยอมรับ แต่มันกลับเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมและนั่นอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่สิ่งต่างๆ  ภายในห้องนี้ยังคงอยู่ที่เดิม

                เขาจมอยู่กับความทรงจำอยู่นานพอสมควร ก่อนจะสะดุ้งกับเสียงเรียกเข้าและหันไปคว้ามือถือบนหัวเตียงมากดรับโดยที่ไม่ได้ดูว่าปลายสายเป็นใคร เขานอนหลับตานิ่งขณะกรอกเสียงทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

                [ตื่นหรือยังครับ พี่เต้]

                เสียงสดใสของอีกฝ่ายทำเอาใจหายไปแวบหนึ่งก่อนจะยกมือถือขึ้นมาดูชื่อของคนโทร         

                “ถ้าบอกว่ายังไม่ตื่น มึงจะวางสายไหม” การพูดเพราะๆ กับอีกฝ่ายกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขาตั้งแต่ที่เจอไอ้เด็กนี่กวนประสาทตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ดังนั้น สิ่งเดียวที่เขาจะทำให้ก็คือการกวนประสาทมันเท่านั้น ไอ้เด็กประเภทนี้ ทำดีด้วยไม่ได้หรอก เดี๋ยวมันได้ใจและพาลเรียกร้องอะไรจากเขาไปมากกว่านี้

                [ถ้าพี่ยังไม่ตื่น งั้นผมวางสายแล้วขึ้นไปปลุกพี่ที่ห้องนะครับ]

                เหอะ เป็นไงล่ะครับ ไอ้เด็กนี่มันธรรมดาที่ไหน

                “มึงไม่ยุ่งกับกูสักวันจะตายไหม”   

                [ไม่ตายหรอกครับ แค่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเท่านั้นเอง] มันว่าด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ และมันดันทำให้ใจเขาอ่อนลงด้วยนี่สิ

                “วันนี้มึงมีประชุมคณะไม่ใช่หรือไง โทรมากวนกูอยู่ได้ เดี๋ยวก็สายหรอก”

                ฮ่องเต้จำได้ว่าวันนี้ทางคณะกำหนดให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งทุกคนเข้าร่วมการประชุมเรื่องโครงการจิตอาสาที่เด็กปีหนึ่งจะต้องวางแผนร่วมกันและลงพื้นที่ทำกิจกรรมภายในเทอมนี้ และนี่ก็ปาเข้าไปเกือบเจ็ดโมงแล้ว ดังนั้น ไอ้ปลายสายมันควรจะเตรียมตัวเข้าคณะได้แล้ว ไม่ใช่มาโทรกวนเขาอยู่แบบนี้

                [ก็ผมคิดถึงพี่นี่ครับ เมื่อวานก็ไม่ได้เจอ วันนี้ก็ต้องประชุม แถมพรุ่งนี้ผมยังต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อน คงไม่ได้เจอพี่อีก ผมคงทนไม่ไหว ขาดใจตายเพราะขาดพี่แน่ๆ]

                “เรื่องของมึง! ถ้าไม่มีธุระอะไรก็แค่นี้!”  เขารวบรัดตัดความและวางสายโดยไม่รอฟังฝ่ายตรงข้ามที่ส่งเสียงร้องเรียกเหมือนกำลังตกใจที่เขาทำเช่นนั้น

                สรุปว่าไอ้เด็กนี่มันเป็นคนแบบไหนกันแน่ เขาไม่เข้าใจไอ้สิ่งที่มันแสดงออกมาเลยสักนิด เดี๋ยวเด็ก เดี๋ยวผู้ใหญ่ ไม่ดีใจหายก็ร้ายจนเขากลัว เอาเป็นว่าการอยู่ห่างจากมันน่าจะเป็นผลดีต่อตัวเขามากที่สุดแล้วล่ะ

                แต่แล้วก็มีสายเรียกเข้าจากเบอร์เดิมอีกรอบและเขาก็ทำแค่ตัดสายมันทิ้งไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งมันยอมแพ้ แต่ก็ยังเสนอหน้าส่งข้อความมาแทน เป็นข้อความตามประสาเด็กของโฟโต้ที่ย้ำให้เขาอาบน้ำ กินข้าวเช้าให้ตรงเวลาและบอกว่ามันจะมารับเขาตอนเที่ยง หลังจากประชุมเสร็จ ซึ่งเขาไม่ไปกับมันแน่ๆ เพราะอย่างน้อยก็มีข้ออ้างนัดกับพวกนิวซันเอาไว้แล้ว

                และร่างสูงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ล้มตัวลงนอน ตอนนั้นเอง ที่เขาเพิ่งจะได้เห็นข้อความจากสีฝุ่นที่ส่งมาเมื่อคืนว่าไปนอนหอเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก จึงกดเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย ทว่าเสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คก็ดังขึ้น พอกดเข้าไปดูก็พบว่าเป็นการแจ้งเตือนความทรงจำ...

                สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปยังข้อความแจ้งเตือนนั่นราวกับถูกสะกด นิ้วเรียวขยับสัมผัสกับหน้าจอค้างเอาไว้และสุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ต่อความรู้สึกตัวเอง กดเข้าไปดูความทรงจำของวันนี้และภาพต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ ภาพเหล่านั้นไล่เรียงตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นภาพของเขา นิวและซันที่ไปเที่ยวตระเวนล่าของกินในย่านมหา’ลัยภัคนลิน และย้อนไปเมื่อสองปีก่อนที่พวกเขาอยู่ปีสอง เป็นภาพที่พวกเขาทำกิจกรรมกับรุ่นน้อง มันทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้กับภาพน้องๆ ที่โดนแกล้งในกิจกรรมฐานด้วยฝีมือพวกรุ่นพี่ ก่อนที่ผมจะเลื่อนหน้าจอลงมาเรื่อยๆ  และหยุดอยู่ที่ความทรงจำตอนที่เขาอยู่ปีหนึ่ง

                ภาพอบรมผู้เข้าร่วมประกวดเดือนคณะ เป็นภาพที่รุ่นพี่คนหนึ่งกำลังดูแลเขาอย่างใกล้ชิดและเป็นภาพที่เคยเป็นที่พูดถึงของคนทั้งคณะอยู่นานพอสมควร แต่คงมีเพียงเขากับรุ่นพี่คนนั้นเท่านั้นที่รู้ว่าทุกอย่างมันมากกว่าการใกล้ชิดในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ทุกอย่างมันก็เป็นเพียงอดีตเท่านั้น

                 เพราะต่อให้เรียกร้องยังไง ความสุขในวันนั้น เขาก็เอามันกลับคืนมาไม่ได้

                และตัดสินใจกดออกจากเฟสบุ๊ค ทว่ามันกลับไปเด้งที่หน้าข้อความของไอ้โฟโต้ซึ่งคงจะเปิดทิ้งไว้ จู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะนิยามมันว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ ความรู้สึกนั้น มันทำให้มือของเขาเผลอไผลไปสัมผัสบนหน้าจอมือถืออย่างแผ่วเบาและขยับเลื่อนขึ้นไปดูข้อความเก่าๆ  ของโรคจิตปีหนึ่งที่คอยส่งมาให้ตั้งแต่ที่มันบอกว่าจะจีบเขา ข้อความเหล่านั้นไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่กำลังตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่าทุกอย่างมันกำลังจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง มันยิ่งทำให้เขาได้แต่กังวลว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมอีกหรือเปล่า เขายอมรับว่าเขาเองก็หวาดกลัวความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันในระดับหนึ่ง เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าความรักไม่จำกัดเพศ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว เขากลับพบว่ามันไม่ง่ายกับการประคองความรักไปให้ถึงที่สุด สิ่งรอบข้าง ผู้คนมากมาย ทั้งเพื่อน ครอบครัว ทุกอย่างล้วนแต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออนาคตของคนทั้งคู่

                อีกอย่าง...เขาไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าการที่โฟโต้มันเข้าหาเขาแบบนี้ เป็นเพราะมันคิดจริงจังหรือแค่สับสน ยิ่งมีเรื่องอาถรรพ์สายรหัสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ผมกลัวว่าทุกอย่างมันจะเป็นเพียงการล้อเล่นหรือการท้าทายอาถรรพ์เหมือนอย่างที่...มีใครบางคนเคยทำกับเขาหรือเปล่า

                และถ้าเป็นอย่างนั้น เขาควรจะทำยังไงดี...

                เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะทำได้กับการจากลาอีกครั้งได้หรือเปล่า...

                แล้วตอนนี้ล่ะ เขาควรจะปล่อยให้เด็กโฟโต้ให้เข้าหาเขาต่อไปหรือควรจะหนีไปให้ไกลที่สุดเพื่อที่จะปกป้องหัวใจของเขาไม่ให้เจ็บปวดซ้ำๆ  กับอาถรรพ์สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด

                “โว้ยยยยยยยยยย” สุดท้ายก็ได้แต่ร้องลั่นห้องพร้อมกับเกลือกกลิ้งไปมาบนที่นอนอย่างไม่รู้จะจัดการยังไงกับชีวิต

                ดูเหมือนความรักจะกลายมาเป็นอีกเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตเขา (รองจากการเรียน) ไปแล้ว!

 

                (มีต่อ....)

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 22:05:01
(ต่อ......)
ตอนบ่าย โฟโต้โทรมาหาเขาตามคาด แต่ฮ่องเต้ก็ตอบปฏิเสธมันไปเพราะมีนัดกับนิวและซัน ตอนนี้ เขาก็ได้แต่รอสองคนนั้นอยู่ในห้างสรรพสินค้าย่านมหาวิทยาลัยภัคนลิน เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงแล้วที่สองคนนั้นยังไม่โผล่หน้ามา ก่อนที่เขาจะได้รับข้อความจากซันที่บอกว่ามันกับนิวเพิ่งจะมาถึง สงสัยเพราะเมื่อวานดื่มหนักจนแฮงค์แน่นอน ดีนะ ที่เขาหาอะไรกินก่อน ไม่เช่นนั้น คงได้โมโหหิวเป็นแน่

                ตอนนี้ เขานั่งรอใบสั่งสินค้าอยู่ในร้านขายเครื่องเขียนเจ้าประจำของตน บรรยากาศของร้านถูกตกแต่งสไตล์วินเทจแบบที่เขาชอบ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายอย่างบอกไม่ถูก นอกจากการตกแต่งร้านที่ทำให้เด่นสะดุดตาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาชอบร้านนี้เอามากๆ ก็คือเราสามารถออกแบบสินค้าได้ด้วยตัวเอง จะพูดง่ายๆ เลยก็คือเราสามารถสั่งทำเครื่องเขียนเองได้นั่นแหละ แถมราคาก็ยังสบายกระเป๋าเอามากๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของร้านขายเครื่องเขียนแห่งนี้เลยก็ว่าได้

                “ใบสั่งสินค้าได้แล้วค่ะ”

                ฮ่องเต้หันไปตามเสียงเรียกของพนักงาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนและรับเอกสารมาไว้ในมือ

                “ขอบคุณครับ” เขาบอกแค่นั้นและเก็บใบสั่งสินค้าใส่ในกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะล้วงมือถือออกมาเพราะเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นมาพอดี

                “ว่าไง”

                กรอกเสียงลงไปขณะที่เดินออกไปหน้าร้าน สอดสายตามองหาไอ้พวกที่เลทนัด

                [มึงยังอยู่ที่ร้านอยู่หรือเปล่า พวกกูกำลังขึ้นไป]

                “เออ กูรออยู่หน้าร้านนะ” เขาตอบกลับไปแค่นั้นและยืนรอจนกระทั่งสองคนนั้นโผล่หน้ามาให้เห็น

                "ไหวไหมไอ้นิว” เป็นอันต้องส่งเสียงร้องทัก กับซันน่ะปกติดี ส่วนนิว...ท่าทางยังไม่ตื่นดีเลยด้วยซ้ำ จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่ามันดื่มหนักแค่ไหนถึงได้แฮงค์ข้ามวันยันบ่ายขนาดนี้

                “ไหว...”

                คำตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้ต้องมองดูคนตอบที่เอาแต่อ้าปากหาวจนเห็นไปยันลิ้นไก่ ท่าทางเหมือนไม่ได้นอนแบบนี้ สงสัยเมื่อคืนอ้วกแน่นอน ก็เพราะนิวคอแข็งเสียที่ไหนล่ะ เมื่อวานคงดื่มหนักแบบไม่มีใครห้ามล่ะสิท่า

                “พวกกูขอไปหาอะไรกินก่อนนะ รอไอ้นิวตั้งแต่เช้า โคตรหิวเลยว่ะ” ซันร้องบอก ก่อนที่พวกเขาจะพากันเดินเข้าร้านอาหารที่อยู่อีกโซนหนึ่งของห้าง แต่พอเข้าร้านมาได้ นิวก็เอาแต่หาวแล้วหาวอีก กระทั่งพนักงานจะเดินเอาเมนูมาให้

                “เอ่อ ขอดูเมนูก่อนสักครู่นะครับ” ฮ่องเต้บอกพร้อมกับยิ้มให้กับพนักงาน ซึ่งเธอก็ยิ้มกลับและปล่อยให้พวกเขาได้เลือกเมนูอาหารกันต่อ

                “เฮ้ย ร้านอาหารนะเว้ย ไม่ใช่ห้องนอน” เพราะไอ้ท่าทางสะลึมสะลือ กึ่งๆ จะหลับของพวกมัน ฮ่องเต้ถึงต้องเอาเมนูเคาะหัวนิวไปที

                “อะไรของมึงวะ กูง่วงงง” และมันส่งเสียงร้องโวยวายเป็นเด็กๆ

                “ใครใช้ให้มึงจัดหนักจนแฮงค์ล่ะวะ” เขาบ่นก่อนจะส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา แต่ก็อดขำกับท่าทางเหมือนเด็กง้องแง้งของคนตรงหน้าไม่ได้ ปกตินิวเป็นคนที่โคตรจะกวนตีนที่สุดในบรรดาแก๊งเขาแล้ว แต่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะมันง่วงเท่านั้นแหละ เดี๋ยวพอมันได้นอนเต็มอิ่มมันก็กลับมากวนตีนพวกเขาเหมือนเดิม

                หากคำพูดนั้น ทำให้นิวทำหน้านิ่ง จ้องมาทางฮ่องเต้พร้อมกับเปิดปากพูด “ใครบอกกูแฮงค์! กูรู้ตัวว่ากูคออ่อน เรื่องอะไรกูจะดื่มเยอะ”

                “ปล่อยมันเหอะ นานๆ ทีมันจะไม่ได้นอน” ซันแซวเล่นและหัวเราะออกมาเบาๆ แต่นิวกลับเอามือฟาดแขนซันเข้าดังป้าบ!

                “เพราะมึงไม่ใช่หรือไง! กูถึงไม่ได้นอนเนี่ย” คำพูดของไอ้นิวทำเอาคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรต้องชะงัก หรี่ตามองสองเพื่อนรักฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัยและสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง

                “เดี๋ยวนะ ไอ้การที่มึงไม่ได้นอนเนี่ย ไม่ใช่เพราะมึงแฮงค์ แล้วมึงไปทำอะไรมาวะ?”

                “คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับเพื่อนเต้ เมื่อคืนมีคนบางคนเอาแต่บ่นเรื่องไอ้เด็กเปรม จนหัวกูเนี่ยแทบจะซึมซับเรื่องของน้องมันเข้าไปจนหมดทุกเรื่อง พอมันเครียดใช่ไหม มันก็ดื่มหนักจนไม่มีสติ เดือดร้อนให้กูพากลับ แถมยังต้องคอยดูแลมันที่ไม่ยอมหลับยอมนอน เอาแต่พล่ามเรื่องไร้สาระ ไม่พอ ยังอ้วกใส่กูอีก กูเลยไม่ได้หลับเพราะต้องคอยดูแลมันไง!!”

                และนิวก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด หลังจากที่ร่ายยาวให้ฟังจนจบ ซึ่งสีหน้าของมันตอนนี้โคตรจะหงุดหงิด แตกต่างจากซันที่สีหน้าของมันโคตรจะมีความสุข

               

                ใช้เวลาไม่นาน นิวกับซันก็กินข้าวกันเสร็จ จึงเดินเข้าออกร้านต่างๆ ภายในห้างเพื่อดูของที่อยากได้เพิ่มเติม รวมถึงชุดที่จะใส่ในวันงานด้วย

                “สรุปว่ามึงจะซื้ออะไรให้น้องวะ” ฮ่องเต้หันไปถามทั้งสองคนที่กำลังเดินดูเสื้อผ้ากันอยู่

                “ของกูน่าจะเน้นพวกอุปกรณ์การเรียนว่ะ น้องกูมันเนิร์ดๆ แถมโคตรจะขี้อาย ให้ไอ้พวกปีสองหลอกถามว่าอยากได้อะไรก็เอาแต่บอกว่าอะไรก็ได้ สุดท้าย กูก็เลยไม่รู้ว่าน้องอยากได้อะไร” ซันร่ายยาวอย่างเซ็งๆ ให้นิวใช้แขนตวัดกอดคอซันก่อนที่มันจะพูดต่อ

                “เอาน่า ให้เวลาน้องมันปรับตัวหน่อย ปีหนึ่งใสๆ ก็ขี้อายไม่กล้าขออะไรจากพี่แบบนี้แหละ ดูอย่างไอ้ฮ่องเต้ดิ๊...” แล้วมันก็หันมาใช้แขนอีกข้างกอดคอเขา

“กูเกี่ยวไร?” ซึ่งคนที่ถูกลากไปเกี่ยวก็ถามไปตามความคิด

ลางสังหรณ์เหมือนจะโดนด่าชอบกล

“ก็มึงอ่ะ ตอนปีหนึ่งโคตรของโคตรจะเด็กเนิร์ด ดูติ๋มๆ ขี้อายจนแทบจะมุดดินเดิน ฮ่าๆๆ” แล้วทั้งคู่ก็ปล่อยก๊ากเสียงดังลั่น จนฮ่องเต้ต้องเอามือโบกหัวคนพูดหน้าทิ่มไปทีหนึ่ง

“เออจริง แต่แม่งนะเว้ย ดันเสือกได้เป็นรองเดือนคณะ ฮ่าๆๆ กูโคตรขำหน้ามันตอนที่มันร้องเพลงบนเวทีอ่ะ”  ทว่าซันกลับเสริม

“ไอ้เชี้ยซัน!!”

“เออว่ะๆๆ ไอ้ตอนที่มันต้องเต้นบนเวทีอีก ไอ้ท่าเท่ห์ๆ ที่พี่คินอุตส่าห์สอนแทบตาย...”

ฮ่องเต้ชะงักกึก...เมื่อคำบางคำสะดุดหูเขาเข้า

มันดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของเขา พลันภาพเหตุการณ์และความรู้สึกเดิมๆ ก็แล่นปราดเข้ามาบีบเค้นหัวใจอีกครั้ง

“...สุดท้ายไอ้เต้เต้นออกมาอย่างกับเด็กอนุบาล แม่ง กูนึกว่ามาเที่ยวงานวันเด็ก” นิวยังคงทำหน้าที่แฉความอับอายของเขาต่อ โดยที่พวกมันเองไม่รู้เลยว่าเขาชะงักนิ่งไปกับคำบางคำที่พวกมันพูดออกมา

คำบางคำที่ทำเอาเขารู้สึกกระอักกระอวนไปหมด

 “จริง! กูนี่ขำจนน้ำตาเล็ดเลยนะเว้ย ฮ่าๆๆ ”

  “กูแม่งงง โคตรสงสารพี่คินเลยว่ะ”

 “เฮ้ย ไอ้นิว...ชู่ว”

เป็นซันที่รู้สึกตัวก่อน เลยรีบสั่งนิวให้หยุดพูด ก่อนที่ฮ่องเต้จะรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ เขารู้ว่าไอ้นิวไม่ได้ตั้งใจและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่มันก็ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไรอีก...

แต่ทำไม...มันถึงทำได้ยากเย็นนัก กับการไม่รู้สึก...

“พวกมึงนี่แม่ง จำแต่เรื่องขายหน้าของกูนะเว้ย!!”  ฮ่องเต้แกล้งร้องบอกออกไปพร้อมกับทำท่าฮึดฮัดใส่ ก่อนจะทำทีเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วมึงอ่ะ ไอ้นิว มึงคิดไว้ยังว่าจะซื้ออะไรให้น้อง”

“หะ...หะ กูเหรอ!?” นิวตกใจที่จู่ๆ ประเด็นก็ถูกเบี่ยงหา เลยหันหน้าไปมองไอ้ซันเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้ดูร่าเริงเหมือนปกติแล้วตอบฮ่องเต้

โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตว่าซันยิ้มอย่างพออกพอใจที่เห็นฮ่องเต้รู้สึกกระอักกระอวนกับเรื่องนี้ เพราะนั่นมันก็หมายความว่าฮ่องเต้ยังคงหวาดกลัวเรื่องอาถรรพ์สายรหัสอยู่ และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เพื่อนของเขาก็ไม่มีทางตกปากรับคำ คบกับสายรหัสอย่างโฟโต้...ตามที่เขาอยากจะให้เป็น

                “เออ กูว่า...” นิวนิ่วหน้าพลางเอามือเกาหัวแกร๊กๆ “กูว่า...กูจะซื้อพวกของใช้น่ารักๆ แล้วก็ขนมกับนมอะไรพวกนี้ พอดีน้องกูเป็นผู้หญิงว่ะ ละ...แล้วมึงอ่ะ จะไม่ซื้ออะไรให้น้องจริงๆ เหรอวะ”

                “กูไม่รู้ว่าน้องมันอยากได้อะไร เลยกะว่าจะมาดูอีกที” ฮ่องเต้ตอบไปพลางมองดูรอบๆ ไปพลาง ที่เขาเลือกโกหกออกไปแบบนั้นเพราะถ้าเกิดว่าสองคนรู้ว่าผมซื้ออะไรให้น้อง เขาต้องถูกล้อเลียนไม่เลิกแน่ๆ  แล้วอีกอย่างเขาก็อุตส่าห์ลงทุนสั่งทำของขึ้นมาเอง ดังนั้น เขาไม่ยอมให้ความลับรั่วไหลหรอก

                “อย่างไอ้โฟโต้...กูว่าเดาไม่ยากหรอกว่ะ” ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เผื่อนิวมันจะมีไอเดียอะไรดีๆ ให้เขาซื้อของให้น้องมันเพิ่มเติม แต่เปล่าเลย มันกลับทำตาระยิบระยับใส่เฉย

                “มึงจะพูดอะไร!?”

                “จะพูดว่า...มึงไม่ต้องซื้ออะไรให้น้องมันหรอก” และมันก็ยกยิ้มที่มุมปาก “เพราะมึงนั่นแหละ ของเทคชั้นดี โอ๊ย!”

                และคนพูดถูกโบกหัวมันเข้าให้ “หุบปากไปเลยมึง!!”

                เขาไม่น่ารอฟังเลย! ก็รู้ๆ อยู่ว่าถ้าเป็นเรื่องสายรหัส พวกแม่งสองคนไม่เคยมีความคิดดีๆ ให้กับเขาหรอก

                ฮ่องเต้เดินหนีไปอีกทาง ปล่อยให้นิวกับซันเดินดูของไปเรื่อยๆ  อยู่อย่างนั้น กระทั่งนิวร้องเรียกเสียงดังลั่นร้าน   

                “เฮ้ย ไอ้เต้ กูมีของที่ไอ้โฟโต้น่าจะชอบว่ะ”

                ทำให้ฮ่องเต้ต้องเดินไปหานิวที่กำลังดูของบนชั้นวางอยู่อย่างเซ็งๆ

                “อะไรวะ!?” ถามออกไปอย่างงงๆ ก่อนที่กล่องสีน้ำเงินขนาดพอดีมือจะถูกจ่อมาตรงหน้าเขา

            เชี้ยยยยยย นี่มัน...! ถุงยางอนามัยไม่ใช่เรอะ!!

                “ไอ้สัสนิว!!!”

                “เฮ้ยยย ไอ้เต้ กูรับรองนะเว้ยว่าไอ้โฟโต้มันต้องชอบและไปขอบคุณมึงถึงห้องเลยแหละ ฮ่าๆๆ” ดูเหมือนว่านิวจะยังคงสนุกปากกับการทำให้เพื่อนหัวเสีย แต่นั่นเขาก็แอบหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าจะทำให้ฮ่องเต้โมโหจนลืมเรื่องขงอพี่คินได้ก็เท่านั้น

                “พอๆ มึงรีบไปจ่ายเงินได้แล้วไอ้นิว ส่วนไอ้ซันมารอกับกูนอกร้าน” พูดจบฮ่องเต้ก็รีบลากซันออกมาทันที เพราะขืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป นิวคงได้หาเรื่องให้เขาซื้ออะไรแปลกๆ อีกแน่นอน

                 ไม่นานนัก นิวก็ยิ้มร่าเดินออกมาจากร้าน ท่าทางจะตาสว่างขึ้นเยอะ อาจจะเป็นเพราะได้หาเรื่องแกล้งเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงได้ตื่นเต็มตาและหัวไวขึ้นมาทันที           

“เออ ไอ้เต้ มึงจะกลับเลยป่ะ” นิวหันมาถามเขา

                “ไม่อ่ะ กูว่าจะเดินดูของใช้ต่ออีกหน่อย”

                “เออๆ งั้นกูกับไอ้ซันกลับก่อนนะเว้ย พอดีพวกกูมีนัดต่อว่ะ”

                “โอเคๆ กลับดีๆ นะพวกมึง” ฮ่องเต้บอก ก่อนที่นิวจะเอาถุงใส่อะไรบางอย่างยัดใส่มือ

                “อะไรวะ!?”

                “เล็กๆ น้อยๆ” เป็นอันต้องงงกับคำตอบของนิว แต่เจ้าตัวกลับไม่อธิบายอะไรเพิ่มสักนิด

                “หืม แล้วให้กูเพื่อ จะติดสินบนอะไรกูไม่ทราบ!?”

                “เออน่า ของใช้จำเป็นสำหรับมึงแน่ๆ” บอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มประหนึ่งต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งเขาแม่งอยากจะตะโกนออกไปเหลือเกิน ว่า

                กูไม่เข้าใจโว้ย

                “เอาไปแกะดูหลังจากพวกกูไปแล้วกันนะ”

                “มึงไม่ได้แกล้งกูใช่ไหม!?” เขาหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ แต่มันทำเพียงแค่ยักไหล่มาให้ ก่อนที่พวกมันจะโบกมือลาเชาไปเฉย

                เขาส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะพาร่างของตัวเองเดินเตร็ดเตร่ไปยังโซนร้านเสื้อผ้าผู้ชายต่อและทันทีที่เดินมาถึงร้านประจำ เขาก็เดินเข้าไปข้างในและเดินดูเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็ดูปกติดี จนกระทั่ง...

                “พี่ฮ่องเต้...” เสียงเรียกที่โคตรจะคุ้นหู ทำเอาฝีเท้าต้องชะงัก เหมาะเจาะกับสายตาที่เหลือบไปเห็นเงาผ่านกระจกพอดิบพอดี ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงมันคือไอ้คนที่เขาไม่อยากจะเจอในตอนนี้

                นั่นก็เพราะเรื่องบางอย่าง ที่ทำให้เขาไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

                ขอทำใจหน่อยไม่ได้หรือไงวะ

                ไอ้เขาก็อุตส่าห์หลบหน้าไม่ไปกับรุ่นน้องมันแล้ว ยังอุตส่าห์มาเจอที่ห้างนี่อีก ทำอย่างกับมันสะกดรอยตามเขามา...หรือว่ามันทำแบบนั้นจริงๆ วะ?

                ดังนั้น ฮ่องเต้จึงทำทีเป็นไม่ได้ยินและกะจะเดินหนี แต่ก็ไม่ทันมือหนาที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาเสียก่อน เขาจึงหันไปมองและรีบสะบัดมือออก จังหวะนั้นเองที่ถุงในมือร่วงลงกับพื้นดังปึก! และโชคไม่ดีเอามากๆ ที่ไอ้ของที่อยู่ในถุงดันโผล่ออกมา...

                และของที่ว่ามันทำเอาเขาเกือบช็อก!!!

            กล่องสีน้ำเงิน...

                ประเด็นที่เขาเพิ่งจะเถียงกับไปเพื่อนในร้าน...

            ไอ้เชี้ยนิว!!

                สายตามองตามโฟโต้ที่ก้มลงเก็บของให้เขาอัตโนมัติ ดูเหมือนมันจะอึ้งไปเล็กน้อย ขณะที่มันค่อยๆ เก็บของใส่ในถุงและส่งคืนให้กับเขา

                “ที่ปฏิเสธเพราะกลัวผมรู้ว่าจะมาซื้อถุงยางเหรอครับ” โฟโต้ยิ้มอย่างล้อเลียนให้อีกฝ่ายหน้าขึ้นสี “...หรือกะจะเตรียมไว้เผื่อผมเมา แล้วพี่นิวพาผมไปส่งที่ห้องพี่อีก”

                “หยุดคิดเลยนะเว้ย! แล้วไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลยนะ”  มันทำให้ฮ่องเต้ต้องโวยวายเพราะในหัวดันไปนึกถึงเรื่องคืนนั้นเข้าเสียได้ จนใบหน้าขึ้นสีมากกว่าเดิม จนเป็นที่พออกพอใจของอีกฝ่าย  และเมื่อถูกจ้องนานเข้าจนทำตัวไม่ถูกก็หันซ้ายขวาใส่ไปทีและทำทีจะเดินหนีไปให้พ้นคนตรงหน้า

                 ...แต่ก็ถูกคว้าแขนเอาไว้จนได้

                “ไม่เห็นต้องอายแล้วเดินหนีผมเลยนี่ครับ ของแบบนี้....” โฟโต้ยกยิ้มที่มุมปาก เว้นวรรคเล็กน้อยและก้มลงมากระซิบที่ข้างหูของหนุ่มรุ่นพี่ต่อว่า “...มันเรื่องธรรมชาติครับ”

                เสียงของเขาทำเอาฮ่องเต้ขนลุกซู่ จนแทบจะบ้าตายอยู่รอมร่อ  คิดไปว่าทำไมเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

                “ว่าแต่...ซื้อเยอะขนาดนี้เนี่ย บ่อยเหรอครับ”

                “ไอ้โฟโต้!!”

                “ฮะๆ ผมล้อเล่นน่า ผมก็แค่เป็นห่วงอ่ะ ว่าพี่อาจจะไม่ได้ใช้มันอีกต่อไปก็ได้”

                เขายอมรับว่าคำพูดของโฟโต้ทำเอาเขาคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า ก็ดูสายตาที่มันมองเขาสิ จะให้เขาสื่อความหมายออกไปในแง่ดีได้ยังไง

                “ปล่อยกูได้แล้ว กูจะกลับหอ”  คราวนี้พยายามพูดดีๆ กับอีกฝ่ายแทน เพราะไม่อยากตอล้อต่อเถียงให้ยืดเยื้อ เขารู้ตัวดีว่ายิ่งเขาคุยกับมันนานเท่าไหร่ เขายิ่งจะหนีจากอีกฝ่ายได้ยากขึ้นเพราะหัวใจของเขาที่มันแอบสั่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้รุ่นน้องตรงหน้านี่ไง!

                “ผมไปส่ง”

                “ไม่ต้อง!!” ฮ่องเต้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อุตส่าห์หนีหน้า เรื่องอะไรที่จะต้องไปกับมันอีกล่ะ

                “ผม...ไป...ส่ง...นะครับ” โฟโต้ว่าเสียงหวานในตอนท้ายอย่างพยายามอ้อนอีกฝ่ายให้ใจอ่อน

                “ไม่...” 

                ทว่าฮ่องเต้ยังคงดึงดันที่จะปฏิเสธ หนุ่มรุ่นน้องจึงต้องเปลี่ยนจากการอ้อนด้วยเสียงหวานๆ  มาเป็นการอ้อนในแบบฉบับเสื้อร้ายแทน

                “ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าถ้าผมจีบพี่แล้ว พี่ห้ามหนีผม”

                และนั่นมันก็ทำให้ฮ่องเต้ชะงักกับคำพูดของหนุ่มรุ่นน้องที่พูดออมาพร้อมกับแววตาที่สื่อถึงอะไรบางอย่าง

                โอเคครับ ถึงผมจะเคยบอกมันไปว่าคนอย่างผมไม่เคยหนีใคร แต่ผมก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะไม่หนี...ถ้าไม่จำเป็น

                “ยังไงกูก็ไม่ไปกับมึง!”

                “ผมจีบพี่อยู่นะครับ ผมบอกว่าไปส่งก็คือไปส่ง”  และโฟโต้ก็หรี่ตาพร้อมกับโน้มหน้าเข้ามาใกล้ จนเขาอดมองไปรอบข้างอย่างหวาดระแวงกลัวคนมาเห็นไม่ได้

                “เอาหน้าออกไปเลย!”

                “ไม่ครับ จนกว่าพี่จะให้ผมไปส่ง” 

“กูเอารถมา กูกลับ...”

“นั่นไงครับ! พอดีเลย ผมไม่ได้เอารถมา เดี๋ยวผมขับรถให้นะครับ”

สัสสส มันไม่ฟังที่ผมพูดเลยเถอะ!! แถมเออออเองเสร็จสรรพเลยด้วย

ก่อนที่โฟโต้จะแบมือมาตรงหน้าผม

“อะไร!?”

“กุญแจรถครับ” มันพูดพร้อมกับยิ้มจนตาหยีตามแบบฉบับ

เขาชักเริ่มจะเกลียดไอ้รอยยิ้มแบบนี้ขึ้นมาแล้วสิ ทั้งรอยยิ้มและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลาของอีกฝ่าย เห็นทีไร ใจเขาต้องอ่อนลงทุกที

“ขอกุญแจด้วยครับพี่เต้” โฟโต้ย้ำอีกรอบ แต่คราวนี้เหมือนมีรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัว คับคล้ายคับคลาว่ากำลังกดดันเขาอยู่ “ถ้าพี่ไม่ให้เนี่ย ผมกะเอาไว้ว่าจะตามพี่ไปตลอดทางเลยแหละครับ”

โฟโต้ยังคงยิ้ม...แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ นี่มันกำลังขู่เขาชัดๆ

 ไอ้เด็กนี่มัน....

“แต่คิดอีกที ถ้าผมตามพี่แบบสตอกเกอร์ก็คงจะสนุกไปอีกแบบนะครับ และถ้ามีคนเห็นเข้า พวกเขาจะคิดอะไรกันน้า”

“พอเลย!” ฮ่องเต้ร้องบอกออกไป ขืนใครมาเห็นว่าไอ้เด็กนี่สะกดรอยตามเขาน่ะเหรอ ข่าวอาถรรพ์สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดเป็นอันดังกระฉ่อนไปทั่วมหาวิทยาลัยแน่ๆ  และถึงเวลานั้น มันอาจจะไปเข้าหูคนในครอบครัวเขาด้วยก็ได้!

“กูยอมให้มึงไปส่งก็ได้ มึงนี่มันโคตรโรคจิต”

และในที่สุดเขาเป็นอันต้องพ่ายแพ้ต่อไอ้เด็กปีหนึ่งคนนี้จนได้ แต่เขาไม่ได้ใจง่ายนะ!! เพราะมันขู่ว่าจะตามไปตลอดทางเลยต่างหาก เขาถึงต้องยอม เหอะ

 

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 22:06:07
ตอนที่ 30 ความรู้สึก

                “ซื้ออะไรเยอะแยะวะ ทำอย่างกับจะย้ายหอ” ฮ่องเต้ว่าพลางมองข้าวของพะรุงพะรังในมือของสายรหัสปีหนึ่ง ซึ่งกำลังจัดวางของใส่หลังรถของเขา หลังจากกว้านซื้อข้าวของเครื่องใช้และอีกสารพัดของจิปาถะ ใช้เวลานานจนตอนนี้ก็ปาเข้าไปห้าโมงเย้นแล้ว ทว่าโฟโต้กลับหันมาฉีกยิ้มกว้างใส่เขาตามแบบฉบับ

                “ถ้าพี่เต้อนุญาตให้ผมไปอยู่ด้วย ผมย้ายวันนี้เลยก็ได้นะครับ” และก็ได้แต่หยอกเอินใส่คนที่โตกว่าไปที

                “ถ้างั้น มึงคงไม่มีวันได้ย้ายหอหรอก” ฮ่องเต้สวนกลับ แบบที่โฟโต้เองกะเอาไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ และปิดประตูหลังรถ ก่อนจะมองตามคนที่เดินลิ่วๆ ขึ้นรถไปก่อนอย่างขำๆ

               

                ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ ซึ่งกำลังขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข คนที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ต่อล้อต่อเถียงกับเขาตลอดระยะทางตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกมาจากห้างสรรพสินค้า แต่บอกตามตรงเลยว่าเขาไม่ค่อยจะมีอารมณ์จะมาเถียงกับคนข้างกายนักหรอก ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะเงียบเพื่อเลี่ยงบทสนทนาและเอาแต่จ้องมองไปยังคนที่เอาแต่พูดคนเดียวมาตลอดทาง อย่างที่ในหัวเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวายสับสน...

            อยากรู้ชะมัดว่าในใจของมันกำลังคิดอะไรอยู่

            ถึงแม้ว่าเขากับโฟโต้จะอยู่ใกล้กันขนาดนี้และถึงแม้ว่ามันจะเป็นคนออกปากว่าจะจีบ แต่เขากลับคาดเดาไม่ได้เลยสักนิดว่าคนที่อยู่ข้างเขาในเวลานี้ กำลังรู้สึกยังไงกันแน่ ซึ่งนั่น...มันทำให้เขารุ้สึกลังเลใจไปเสียทุกอย่าง ยอมรับความเขาเองเป็นคนคิดมาก ชนิดแบบปล่อยวางไม่ได้ เพราะอดีตมันได้ฝากบาดแผลที่ลึกจนเกินเยียวยาเอาไว้ในใจของเขา แม้ว่าความเจ็บปวดมันจะเบาบางลงมาบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ใครสักคนมาสร้างอีกหนึ่งบาดแผลให้กับหัวใจของเขาอีกเป็นซ้ำสอง

                “เย็นนี้พี่เต้อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

                “มึงถามกูเป็นรอบที่สามแล้วนะ” ฮ่องเต้ร้องบอกเพราะคำถามเดิมที่แทรกเข้ามาในบทสนทนา โฟโต้ละสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองถนนข้างหน้าเช่นเดิม

                “ก็พี่ไม่ยอมตอบผมสักทีนี่ครับ”

                “...”

                “ถ้าพี่ไม่ยอมตอบ จะถือว่าพี่ตามใจผมก็แล้วกันนะครับ” พูดจบก็หันมายิ้มให้คนที่โตกว่าไปทีและเลี้ยวรถไปทางตรงกันข้ามกับทางกลับหอ เสียจนคนที่นั่งมาด้วยถึงกับเหวอใส่

                “มึงจะไปไหน!?” และร้องถามพลางเอี้ยวตัวหันกลับไปมองทางที่มันขับผ่าน ทว่าท่าทางแบบนั้นกลับทำให้โฟโต้หัวเราะออกมาเบาๆ

                “พาพี่ไปกินข้าวไงครับ” ก่อนจะตอบออกไปด้วยท่าทีสบายๆ ซึ่งฮ่องเต้ก็ทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถต่อไปโดยไม่พูดอะไรต่อ จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งที่โฟโต้คุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาจึงเดินนำรุ่นพี่เข้าไปข้างในร้าน ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรนักเพราะมันก็เป็นเพียงร้านอาหารธรรมดา แต่เพราะคนที่เด็กกว่ากลับพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างถือวิสาสะ ทำตัวราวกับที่นี่คือร้านของตนเองไปเสียได้ นั่นแหละ ที่ทำให้เขาเริ่มจะหวั่นใจ

                “ร้านนี้เปิดชั้นสองให้ลูกค้าเข้าด้วยเหรอวะ” เขาถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ ไม่ยักกะรู้สักนิดว่าร้านนี้เปิดชั้นสองด้วย ปกติที่เขาเคยมากินกับเพื่อนก็เห็นเปิดชั้นแรก แถมข้างบนยังไม่มีลูกค้าเลยสักคน ทั้งๆ ที่ชั้นล่างเต็มไปด้วยลูกค้าจนต้องอาศัยเก้าอี้เสริม

                แต่ก็ทำได้เพียงมองสำรวจรอบข้าง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งๆ  ที่ตกแต่งสไตล์คลาสสิกและโต๊ะเก้าอี้สำหรับสองคนนั่งตั้งอยู่ใกล้กับริมระเบียงด้านหลังร้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ของสวนที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมที่คอยพัดเข้ามาช่วยให้ภายในพื้นที่ปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ นับว่าเป็นพื้นที่สำหรับประทานอาหารที่เรียบง่าย แต่ช่วยผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

                “ไม่หรอกครับ ตรงนี้เป็นมุมส่วนตัว ผมบอกพี่กราฟ...เอ่อ พี่ชายของผมน่ะครับ ผมบอกให้พี่เขาเตรียมไว้”

                “พี่ชาย...” ฮ่องเต้ทวนคำออกมาแบบมึนๆ

                “ครับ ร้านนี้เป็นของพี่ชายผม...” โฟโต้ตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไร มองสบตาคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส “...รับรองครับ ว่าตรงนี้ไม่มีคนนอกเข้ามาแน่นอน เผื่อพี่เต้จะไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าพี่มากินข้าวกับผมสองคน”

                ฮ่องเต้หันไปมองไอ้โฟโต้ด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา ซึ่งเขาเข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร อีกฝ่ายคงจะกลัวว่าเขาจะกังวลว่าจะมีใครมาเห็นตอนที่เขาอยู่กับมันสองคนเพราะเราต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่และมันก็คงไม่ดีแน่ที่เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมันจะไปเข้าหูใครเข้า โดยเฉพาะป๊าของผมที่โหดเสียยิ่งกว่ามาเฟียเสียอีก ซึ่งนั่นมันทำให้เขาใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย

                เพราะอย่างน้อย มันก็แสดงว่า...มันใส่ใจความรู้สึกของผม

                “ก็ยังดีที่มึงคิดได้” แต่ก็ตอบกลับออกไปด้วยเสียงเรียบง่ายตามสไตล์

            บอกแล้วไงครับว่าการพูดดีๆ กับมันเป็นเรื่องยากสำหรับผมไปแล้ว

                “แน่นอนสิครับ พี่มากินข้าวกับผมทั้งที ผมก็อยากให้พี่สบายๆ  อยากทำอะไรก็ทำ...” ท้ายประโยคโฟโต้เน้นคำพร้อมกับสบลึกเข้ามาในดวงตาของคนที่โตกว่า ทีแรกก็เห็นด้วยอยู่หรอกเพราะอย่างน้อยเขาจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลว่าใครจะมองยังไง ถือว่ามันใส่ใจรายละเอียดดี แต่ว่า...

                “แต่มันก็เท่ากับว่ามึงจะทำอะไรก็ได้เหมือนกันน่ะสิ” ฮ่องเต้หรี่ตาลง ร้องถามออกไปอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งโฟโต้ก็ทำเพียงแค่ยักไหล่กลับมาให้

                “กูจะลงไปกินข้าวข้างล่าง”

                “แน่ใจเหรอครับ คนเยอะนะ” และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าหนุ่มรุ่นน้องอีกครั้ง “แล้วพี่แน่ใจเหรอครับ ว่าผมจะไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าคนอื่น” 

                “มึงจะทำอะไร!?”

                โฟโต้หัวเราะออกมาเล็กน้อยกับท่าทีหวาดกลัวของคนตรงหน้า

                ตลกชะมัด แต่ก็น่ารักดี

            ก่อนจะตอบ “ก็กินข้าวไงครับ หรือพี่จะให้ผมกิน...อย่างอื่น”

                “มึงนี่มัน...”

                “ก็แล้วแต่พี่นะครับ ถ้าพี่อยากจะลงไปกินข้าวข้างล่าง ผมตามใจพี่อยู่แล้ว”

                คำพูดของสายรหัสปีหนึ่ง ทำเอาฮ่องเต้ต้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เท้าของเขาขยับไปมาด้วยความลังเลว่าจะเดินไปทางไหนและสุดท้ายก็ลงเอยกับการที่เขาต้องเดินไปที่โต๊ะ พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้และมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาหงุดหงิด ขณะที่มันฉีกยิ้มกว้างอย่างถือชัยชนะ

                เออ มึงเก่ง! เก่งเรื่องพูดจาข่มขู่ให้กูทำตามใจมึงเนี่ย!!

                “เชิญครับ”

                เขาชะงักมองไอ้เด็กโฟโต้ที่หยุดยืมยิ้มแฉ่งอยู่หลังเก้าอี้ที่มันเขยิบให้เขา

                พอเห็นแบบนั้นแล้ว...

                เขาก็ตีมึนเดินไปเขยิบเก้าอี้อีกฝั่งแล้วรีบนั่งสิ!

                “จะยืนกินเหรอครับ” พร้อมทั้งพูดและยิ้มแบบประชด ทำให้มันหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พนักงานเสิร์ฟเดินขึ้นมาชั้นบนพอดี

                “สวัสดีครับ ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารนะครับ” พนักงานชายคนนั้นเอ่ยบอกพร้อมกับจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ หากแต่สายตากลับมองเขาสลับกับโฟโต้ที่เอาแต่กดมือถือเหมือนกำลังพิมพ์ข้อความหาใครสักคนอยู่ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของพนักงานทำเอาฮ่องเต้เริ่มทำตัวไม่ถูก

                รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่รู้เลยแหะ 

                “ไม่แนะนำหน่อยเหรอ”

                ประโยคนี้ พนักงานชายหันไปคุยกับโฟโต้ ทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ ก่อนที่จะเบิกตากว้างและนั่งหลังตรงขึ้นมา ทำเอาฮ่องเต้แปลกใจไปตามๆ กัน

                “พี่กราฟ!!” โฟโต้ร้องเรียกชื่อคนตรงหน้า

                ...พี่!?

            หรือผู้ชายคนนี้จะเป็นพี่ชายของไอ้โฟโต้กันครับ จะว่าไป...หน้าตาก็คล้ายกันอยู่นะ

                พี่มาทำไมเนี่ย!”

                “กูอยากเผือกเรื่องของมึงไง”

                “ผมบอกแล้วไงว่ายังไม่ใช่ตอนนี้!”

                “กูไม่สน กูอยากรู้ตอนนี้ กูก็จะต้องรู้ตอนนี้!”

                “ไอ้พี่กราฟ!”

                “เรียกกูทำไม”

                ฮ่องเต้มองสองพี่น้องเถียงกันไปมาด้วยความมึนงง สักพักก่อนที่พี่ชายของโฟโต้จะหันหน้ามาและใช้สายตามองสำรวจเขาตั้งแต่งหัวจรดเท้า

                “ใช้ได้นี่หว่า...” นั่นคือคำตอบของเขา แบบที่ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับผงะ

                ตรงข้ามกับกราฟิกที่ยิ้มแป้นแล้น ดีอกดีใจที่หาเรื่องแกล้งน้องชายได้ กะจะเอาคืนที่ชอบใส่ร้ายเขาให้แบมบูเข้าข้างอยู่บ่อยๆ เสียหน่อย

                “อย่าทำแบบนั้นดิ!” โฟโต้ร้องโวยวายตามคาดพร้อมกับดึงพี่ชายของตนให้ออกห่างจากฮ่องเต้ทันที ทว่าสุดท้ายก็ถูกพี่ชายตนเองผลักให้พ้นทางเพื่อที่จะได้เข้ามาจ้องหน้าจนฮ่องเต้ต้องผงะถอยหลัง แบบไม่ทันได้ตั้งตัว 

                “มะ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

            เชี้ย! แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเกร็งไปด้วยวะ

                “พี่ชื่อกราฟฟิก แก่กว่าเราไปสามปี เรียกพี่กราฟก็ได้” และคนพูดก็ฉีกยิ้มกว้างมาให้ เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันกับโฟโต้ แต่ดูสุขุมและเจ้าเล่ห์น้อยกว่า...มั้งนะ             

                แต่ยังไงก็ช่าง ดูเหมือนพี่น้องคู่นี้จะไม่น่าไว้ใจพอกัน สรุปว่าเขาจะออกจากร้านนี้อย่างปลอดภัยไร้อะไรตะขิดตะขวงใจหรือเปล่า

                “ไม่คิดจะแนะนำตัวเองให้พี่ได้รู้จักบ้างเหรอ” กราฟฟิกยิ้มจนตาหยี แต่ดูอีกทีมันคือรอยยิ้มที่ขู่บังคับกันชัดๆ

                รู้เลยว่าไอ้โฟโต้ได้เชื้อใครมา...

                “ผม...ฮ่องเต้ เรียกว่าเต้เฉยๆ ก็ดะ...”

                “แล้วเป็นอะไรกับไอ้โฟโต้” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อีกฝ่ายก็เล่นสวนคำถามขึ้นมาทันที ทำเอาฮ่องเต้อ้าปากพะงาบๆ เพราะสมองประมวลผลไม่ทัน เหลือบไปมองโฟโต้เล็กน้อยก่อนจะหันมาตอบ

                “เป็น...รุ่นพี่ที่คณะ”

                “ที่มันกำลังตามจีบใช่ไหม” กราฟิกเติมประโยคต่อท้ายเสร็จสรรพ ไม่รอฟังความใดๆ จากคนเพิ่งรู้จักอีกต่อไป สาบานได้เลยว่าถ้าวันนี้ถ้าฮ่องเต้หลุดไปได้ เขาจะไม่กลับเข้ามาเหยียบที่ร้านนี้อีกแน่ๆ   

                นี่ขนาดว่าเจอแค่พี่ชาย ยังสอบสวนจนเขาหวาดระแวงขนาดนี้ ถ้าเจอพ่อแม่นี่จะขนาดไหน แต่ก็ไม่แน่หรอกเพราะถึงตอนนั้น พวกท่านคงจะไม่พูดอะไรเพราะช็อกกับการที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันเอง และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ  เขาควรจะทำยังไงกับความสัมพันธ์แบบนี้...

            เฮ้ย เดี๋ยว! นี่ผมกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ความสัมพันธ์บ้าบออะไร ผมกับมันยังไม่ได้คบกันเสียหน่อย ทำไมผมต้องไปกังวลเรื่องพ่อแม่ของไอ้โฟโต้ด้วย!!

                “พอได้แล้วน่า! ดูดิ พี่เต้ทำหน้าเครียดแล้วเนี่ย!” โฟโต้ร้องโวยวายพร้อมกับดันตัวพี่ชายให้ออกห่าง ขณะที่ฮ่องเต้พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะคำพูดของโฟโต้ที่ทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป

                “เครียดอะไร ไม่เห็นเหรอว่าเราออกจะเข้ากันได้ดี”

                ฮ่องเต้แอบตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ  กราฟิกก็เข้ามาประชิดตัวและกอดคอเขา แถมยังเอาหน้าแนบกับแก้มของเขาอีก และนั่นทำเอาโฟโต้ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดใส่และรีบเข้ามากระชากพี่ของตนให้ออกห่างจากว่าที่แฟนทันที

                “จะทำอะไร เกรงใจบ้าง อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่ที่คณะผมนะ”

                ประโยคหลังของไอ้โฟโต้ทำเอาฮ่องเต้แอบต้องลอบยิ้มออกมา ก่อนจะรีบหุบยิ้มและทำเหมือนไม่มีอะไรเมื่ออีกฝ่ายหันมามองผม เขาก็แค่ดีใจที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็รู้จักให้เกียรติเขาให้ฐานะรุ่นพี่ของตน ก่อนที่ฮ่องเต้จะแอบสะดุ้งกับคำพูดถัดมาของกราฟิก

                มึงหวงก็บอกมาเถอะ” 

                ไอ้โฟโต้หันมามองหน้าฮ่องเต้ก่อนจะหันไปตอบคนตรงหน้า “เออ หวง...หวงมากเลยด้วย รู้แล้วก็อย่าไปกอดสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะ”

                ท้ายประโยคเหลือบตามามองคนที่ตนหวงนักหวงหนาอีกครั้ง ทำให้ฮ่องเต้ต้องแกล้งเสมองไปทางอื่นเพราะหัวใจที่จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นมาพร้อมกับคำว่า หวง ที่มันยังดังก้องอยู่ในหัวของเขา ไม่รู้ว่ารู้สึกดีเพราะได้ยินคำๆ นี้หรือเพราะโฟโต้เป็นคนพูดกันแน่

            หรือว่าจะเป็นเพราะทั้งสองอย่าง

                “กูไม่กอดก็ได้...” กราฟิกทำทีว่าง่าย หากแต่ยังไม่วายโน้มตัวไปกระซิบข้างหูน้องชายตนต่อว่า “...แต่อย่าลืมเรื่องมอเตอร์ไซค์ไอ้มนตรี”

                พลันคนฟังถึงกับหันขวับ ตวัดสายตามองด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะดันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ 

                “แต่ถ้าความลับรั่วไหล ผมปล่อยคลิปพี่กับพี่แบมบูแน่”

                “คลิปอะไรวะ” กราฟิกนิ่วหน้าใส่อย่างไม่เข้าใจ

                “คลิป...อย่าง...ว่า” พลันร้อยยิ้มร้ายก็ปรากฏบนหน้าของน้องชาย “ผมแอบถ่ายเอาไว้ ตอนที่มาปรึกษาพี่แบมบูเรื่องพี่เต้ ถ้าพี่ยังจำได้ว่าผมเป็นคนเข้ามาขัดจังหวะ”

                ไม่ต้องให้หยุดคิด กราฟิกก็พอจะนึกออกว่าเขากับคนรักถูกถ่ายคลิปตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงกัดฟันกรอดมองหน้าน้องชายตนอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้

                เขาไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แต่กับแบมบู เขาจะไม่มีวันยอมให้แปดเปื้อนเด็ดขาด ยิ่งต้องให้ใครมาได้เห็นอะไรๆ ของคนรัก เขายิ่งไม่มีทางยอม

                “ผมขอกินข้าวกับว่าที่แฟนต่อนะครับ”

                ฟังน้องชายพูดและยิ้มจนตาหยีมาให้อย่างกลบเกลื่อนบทสนทนาเมื่อครู่ จึงเอ่ยปากพูดอย่างคนทำอะไรไม่ได้

                “ขอให้กินข้าวอร่อยๆ นะ” ปากก็อวยพร หากแต่สายตาที่จ้องไปทางน้องชายกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ลึกลงไปก็เอาแต่แช่งให้ข้าวติดคอ ทำขายหน้าจนฮ่องเต้ไม่กล้าคบ

                “พี่ไปก่อนนะครับ เอาไว้คราวหน้าจะต้อนรับน้องสะใภ้ให้ดีกว่านี้” กราฟิกจงใจยิ้มอย่างไม่คิดอะไรกับคำพูดนั้น ตรงข้ามกับฮ่องเต้ที่ถึงกับเลิกลัก ทำตัวไม่ถูก

                หากแต่พอคิดจะแก้คำพูด ฝ่ายตรงข้ามกับเดินลิ่วๆ หนีลงไปชั้นล่างเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงแค่น้องชายที่หันมามองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มตามแบบฉบับมาให้

                “กินข้าวเถอะครับ”   

 

                ฮ่องเต้นั่งกินข้าวไปได้สักพัก บทสนทนาบนโต๊ะไม่แตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่นัก โฟโต้ยังคงพยายามหาเรื่องต่อล้อต่อเถียงกับเขาจนกระทั่งกินข้าวเสร็จ ก็อาสาขับรถพาเขาไปส่งที่หอเช่นเดิม แม้ว่าระหว่างทางจะพยายามชวนเขาคุยมากเท่าไหร่ เขาก็ทำได้เพียงแค่เงียบเท่านั้น กระทั่งโฟโต้ขับรถมาถึงหอของเขา

                “ทำไมไม่ไปหอมึง” ฮ่องเต้ถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะรถที่ขับมาก็รถของเขา ถ้ามันมาส่งเขาก่อนแบบนี้ แล้วมันจะกลับยังไงกัน

                “บอกแล้วไงครับ ว่าผมมาส่งพี่”

                “แล้วมึงจะกลับยังไง” เพราะท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านใดๆ ฮ่องเต้จึงต้องโพล่งออกไปเช่นนั้น

                “นั่นสิ แล้วผมจะกลับยังไงดีน้า...” หากแต่อีกฝ่ายกลับกวนประสาตเขากลับมาเสียอย่างนั้น จนฮ่องเต้ถึงกับต้องมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง

                “กูไม่ตลก” บอกออกไปเสียงนิ่งพอๆ กับสีหน้า ทำเอาโฟโต้แอบขำ

                “ครับ ผมก็ไม่ได้เล่นตลกกับพี่เสียหน่อย...” โฟโต้เว้นจังหวะและขยับเข้าไปใกล้อย่างกำลังจะอ้อน “...ขอผมนอนด้วยได้ไหมครับ คืนนี้”

                “ไม่ได้!” ฮ่องเต้แหวใส่ตามคาด “หอมึงก็มี ก็ไปนอนหอตัวเองดิวะ”

                นั่นก็เพราะเขาไม่อยากจะใกล้ชิดไปมากกว่านี้ ทั้งที่ในใจของเขาไม่สามารถเปิดใจยอมรับอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่นัก กับความรักครั้งใหม่...เขาไม่เคยแน่ใจว่าเขาจะยอมรับได้และเขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจใครด้วย

                “นะครับ พี่เต้...” โฟโต้ว่าเสียงอ้อน ขยับเข้าไปใกล้หนุ่มรุ่นพี่นแทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน “...คืนนี้ แค่คืนเดียวนะครับ”

                “...ไม่ดะ...”

                “สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร” พูดเสียงเบาอย่างจงใจจะสะกดอีกฝ่าย “ผมไม่มีรถกลับ แล้วตอนนี้ มันก็ทุ่มกว่าแล้วนะครับ”

                “กูบอกว่าไม่...”

                “แถมข้าวของเต็มรถแบบนี้ พี่จะใจร้าย ปล่อยให้ผมเดินกลับจริงๆ เหรอครับ” ว่าไปเสียงอ่อนอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาโทรบอกให้เพื่อนมารับก็ได้ ทว่า...

                “เออ แค่คืนนี้นะเว้ย”

                ความประหม่าทำให้ฮ่องเต้ลืมฉุกคิดถึงหนทางใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งว่าเขาแค่ขับรถพาอีกฝ่ายไปส่งที่หอก่อน แล้วกลับมาที่หอเขาก็ได้ แต่สุดท้ายก็พลาดท่าเพราะสมองที่เบลอขึ้นมากะทันหัน เพียงแค่สายตาออดอ้อนและน้ำเสียงที่อ่อนลงไปของอีกฝ่าย เท่านั้น จิตใจก็ระทวยและลืมเลือนทุกสิ่ง

                ลืมแม้กระทั่งว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์และการที่โฟโต้มานอนที่ห้องเขาแบบนี้ มันหมายความว่าเขาจะต้องอยู่กับหนุ่มรุ่นน้องไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ  เพราะสิ่งเดียวที่เขานึกได้ก็คือ...หน้าของลูกพี่ลูกน้องของเขา

                อย่างน้อย ผมก็ไม่ได้อยู่กับมันสองต่อสองเสียหน่อย

                “ขอบคุณครับ” หนุ่มรุ่นน้องบอกออกไปเช่นนั้นและส่งยิ้มแสนละมุนมาให้ อย่างไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของหนุ่มรุ่นพี่

                “ลงรถได้แล้ว กูต้องปั่นงานต่อ”

                พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถให้อีกฝ่ายต้องมองตามพร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะตามลงมาและขนข้าวของตามขึ้นไปบนห้องของฮ่องเต้...

 

 

 

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 03-12-2018 22:08:16
ตอนที่ 31 ความเปราะบาง

                “เฮีย...” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังข้างหูคนที่ยังคงหลับตาพริ้ม ตกอยู่ในห้วงความฝัน “...ตื่นได้แล้ว”

                คนถูกปลุกนิ่วหน้ากับเสียงที่เล็ดลอดเข้าไปในโสตประสาต พลันเปลือกตาค่อยลืมขึ้นมามองสำรวจหน้าคนเรียก

                “ไอ้ฝุ่น...” ริมฝีปากขยับเรียกชื่ออีกฝ่าย พลันสองคิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด “...ปลุกกูทำไมวะ”

                เพราะดันมาถูกปลุกแต่เช้าในวันหยุด คนที่อยากจะพักผ่อนจากการเรียนมาทั้งสัปดาห์จึงหงุดหงิดใจกับการถูกรบกวน ก่อนจะขยับหนี ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวและหลับต่ออย่างไม่สนใจใยดีลูกพี่ลูกน้องตัวเอง

                “เฮีย! ตื่นได้แล้วน่า” ทว่าสีฝุ่นกลับไม่ปรานี ตรงเข้าไปดึงผ้าห่มและเขย่าตัวจนกระทั่งอีกฝ่ายตื่น และทะลึ่งตัวขึ้นมานั่งจ้องหน้าเขา

                “อะไรของมึงวะ! กูจะนอน!” โวยวายใส่ไปที จนสีฝุ่นถึงกลับชักหน้านิ่งใส่

                “มาคุยกับผมก่อน”

                “คุยเรื่อง?”

                “เรื่องเด็กปีหนึ่งคนนั้นไง”

                “ใครรรรร” ฮ่องเต้ลากเสียงยาวใส่อย่างโมโห อย่างไม่ทันคิดไตร่ตรองถึงคำพูดของอีกฝ่าย

                “ไอ้โฟโต้...”

                หากแต่พอได้ยินชื่อนั้น...ปากกลับชะงัก พลันตาสว่างขึ้นมาทันทีราวกับโดนน้ำสาด เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืน...มีแขกมานอนที่ห้องเขาหนึ่งคน

                “เออว่ะ!” ร้องออกมาพลันมองซ้ายขวา หาร่างสูงของใครบางคนในห้อง ทว่า... “มันไปไหนแล้ววะ”

                “กลับไปแล้ว” สีฝุ่นตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร เขาไม่ได้อยากรู้เสียหน่อยว่าว่าที่พี่เขยเขาหายไปไหน ไอ้ที่อยากรู้ก็คือ...เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างต่างหากล่ะ   

                “ตอนไหนวะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง”

                “โธ่ เฮีย ก็คนไปเขาไม่อยากให้รู้ เฮียจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าตอนไหน” สีฝุ่นว่าอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงและกระเถิบเข้าไปใกล้คนเป็นพี่

                “แล้วสรุปว่า...เมื่อคืน...” สีฝุ่นเว้นจังหวะ มองสำรวจตั้งแต่ตัวจรดเท้าของอีกฝ่าย “...ได้กันยัง”

                ผัวะ!

                “โอ๊ยยยย” เป็นอันต้องร้องลั่นเพราะฝ่ามือที่ฟาดเข้าใส่หัวเต็มแรง

                “ได้บ้านป้ามึงดิ”

                “ป้าผมก็แม่เฮียนะ เฮ้ย หยุด!” สีฝุ่นลั่นออกไปพร้อมกับมือจับเข้าที่ข้อแขนของฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะสะบัดมือมาฟาดหัวเขาอีกหน จนคนเป็นพี่ถึงกับจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์

                หากแต่สีฝุ่นกลับเอาแต่จ้องจับพิรุธอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา สบเข้าไปในสายตานิ่งเรียบนั่นอย่างค้นหาคำตอบและพร้อมทั้งร่างที่กระเถิบขึ้นไปบนเตียง คลานไล่คนเป็นพี่ไปจนสุดขอบเตียงอีกด้านและ...

                “สารภาพมาเดี๋ยวนี้เลยนะเฮีย ว่าเมื่อคืน...เสร็จน้องมันแล้วใช่ไหม”

                พลั่ก

                โครม!

                “โอ๊ยยยยยยยยยยยยย เฮีย!!” คนถูกถีบตกเตียงร้องเสียงดังลั่นห้อง แต่ก็ไม่วายผงกหัวขึ้นมาจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ

                “หุบปากไปเลย มึงน่ะ”

                “ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า” ว่าพลางลุกขึ้นมาลูบก้นตัวเองที่กระแทกพื้นเต็มๆ เมื่อครู่

                ฮ่องเต้ส่งสายตาดุไปทางลุกพี่ลุกน้องของตน ก่อนจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปยังระเบียงนอกห้อง อันที่จริง เขาหงุดหงิดตั้งแต่ที่เมื่อคืนมันหนีกลับไปนอนห้องตัวเองแล้ว จากที่จะเอามันมาเป็นไม้กันหมาเสียหน่อย ที่ไหนได้ พอมันเจอไอ้โฟโต้ในห้อง ก็ทำเป็นอ้างว่าลืมของไว้ที่หอ เดี๋ยวกลับมา...แต่ขอเถอะ เดี๋ยวของมันก็คือกลับมาเอาตอนเกือบสิบโมงเช้านี่นะ

                แทนที่จะปกป้องกู ดั๊นนนน มายกกูให้คนอื่นง่ายๆ

            ยังดีที่เมื่อคืนหมาตัวนั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรเขา ไม้หน้าสามจึงไม่จำเป็นต้องใช้

                “ใช้ไม่ได้เลยเว้ย!” และก็พึมพำด่าคนที่อยู่ในห้องไปที แล้วกะจะคว้าผ้าเช็ดตัวบนราวตากผ้ามาเหมือนเคย...แต่ที่ไม่เหมือนเคย ก็เห็นจะไอ้ที่ห้อยต่องแต่งบนราวตากผ้าของเขานี่แหละ

                “ผ้าเช็ดตัวกูหายไปไหนวะ” ฮ่องเต้ชะเง้อมองลงไปชั้นล่างไปที เพราะหลงคิดไปว่าอาจจะปลิวตกไปก็ได้ หากแต่กลับไม่มีแม้แต่เงาผ้าเช็ดตัวของเขาสักนิด แถมไอ้ที่ห้อยสองผืนนี่...มั่นใจว่าผืนแรกเป็นของสีฝุ่น ส่วนอีกผืนเป็นของเขาที่ให้โฟโต้ยืมใช้

                สงสัยจะปลิวตกไป แล้วมีใครเก็บไปทิ้งล่ะมั้ง

            คิดแบบนั้น สองเท้าก็พาร่างกลับเข้าห้องเพื่อไปเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ในตู้เสื้อผ้าและไปอาบน้ำ ขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาไปนั่งเล่นนอนเล่นที่เตียงอย่างสบายใจ

                หากแต่ทันทีที่เข้าห้องน้ำไป สายตากลับสะดุดกับข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำที่เขามั่นใจว่ามัน...ไม่ใช่ของเขา

                ทุกอย่างยังดูใหม่หมดราวกับเพิ่งซื้อมา...และนั่นทำให้เขาต้องเปิดประตูชะโงกหน้าออกไปถามคนเป็นน้อง

                “ไอ้ฝุ่น...”

                “ว่า?”

                “มึงซื้อของมาเปลี่ยนให้กูเหรอวะ”

                ทว่าสีฝุ่นกลับทำหน้ามึนใส่ “ของอะไรอ่ะ”

                “ก็พวกของใช้ในห้องน้ำ” ฮ่องเต้บอกเพิ่มเติมพลางจ้องหน้าอย่างต้องการคำตอบ

                “เปล่าสักหน่อย อีกอย่าง ผมเพิ่งจะมาถึง จะเอาเวลาไหนไปเปลี่ยนให้” สีฝุ่นชี้แจง ทั้งที่ในใจก็สงสัยกับคำถามของอีกฝ่าย “มีอะไรหรือเปล่า ของหายหรือว่าอะไร”

                “เปล่า ไม่มีอะไร” ฮ่องเต้ตัดสินใจบอกปัดไปแบบนั้นและปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ สำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ยังไม่เคยถูกใช้และ...กระดาษแผ่นเล็กบนผ้าเช็ดตัว

                มือเรียวหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรบนนั้น พลันความกระจ่างชัดก็มาเยือน เมื่อข้อความนั้นลงท้ายด้วยชื่อของโฟโต้ เท่านั้น เขาก็นึกไปถึงข้าวของที่อีกฝ่ายกว้านซื้อมาเมื่อวาน เพียงเพราะอยากจะใช้คืนพวกของที่อีกฝ่ายทำเสียหายไปเมื่อคืนนั้น...

                คืนที่เขากับมัน...ในห้องน้ำกันสองคน

            แก้มใสเริ่มแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อจากเลือดฝาด เผลอกัดริมฝีปากล่างอย่างลืมตัวเพราะภาพความทรงจำในวันนั้นดันแทรกเข้ามาในหัว ทั้งภาพ ทั้งเสียงและกลิ่นอายของอีกฝ่าย ยังคงไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเขาและมันก็ยังคงชัดเจนเสียจน...

                “คิดเชี้ยอะไรวะ ไอ้เต้!”

                ...ต้องตั้งสติ

                และรีบจัดการอาบน้ำอาบท่า อย่างพยายามไม่สนใจเรื่องของใช้ชิ้นใหม่ในห้องน้ำของตน

 

                “มีอะไรหรือเปล่า ยิ้มหน้าบานเชียว” ฝ้ายอดถามออกไปไม่ได้ เมื่อเห็นโฟโต้เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอมือถือของตน และนั่นทำให้นัทต้องหันมามองด้วยสายตาเรียบเฉย หากแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความอยากรู้             

                “ก็...นิดหน่อย” โฟโต้หันไปตอบด้วยรอยยิ้ม พลันสายตาก็เหลือบไปมองหน้านัททีหนึ่ง...ด้วยสายตาเย้ยหยัน แบบที่อีกฝ่ายพอจะรู้ตัวว่าเขากำลังหมายถึงเรื่องอะไร

                “ยิ้มแบบนี้ ขอเดานะ เรื่องหัวใจใช่ไหม” ฝ้ายยังคงแซวต่อไปอย่างไม่คิดอะไร โฟโต้จึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ  ตรงข้ามกับนัทที่เอาแต่นิ่งเงียบไปแบบผิดหูผิดตา

                “เป็นไรวะ ไอ้นัท” จนเพื่อนที่นั่งข้างเขาอีกคนต้องเอ่ยทัก เพราะตั้งแต่มานั่งทำงานกลุ่มด้วยกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้า นัทยังไม่มีทีท่าว่าจะนิ่งเงียบได้ขนาดนี้

                “เปล่า แค่ง่วง...พอดีทำงานดึกไปหน่อย” นัทหมายถึงงานพิเศษที่ร้านอาหารซึ่งเขาต้องไปทำทุกคืน

                “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราพอแค่นี้ก่อนไหม แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ นัทจะได้พักด้วย” ฝ้ายเสนอความเห็นเพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่สบายเอา อีกอย่างงานกลุ่มที่นัดกันมาทำวันนี้ก็เสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือก็แค่ตรวจทานข้อมูลอีกทีและเตรียมนำเสนอเท่านั้น

                “ก็ดีนะ ตอนนี้ก็บ่ายสามละ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปทำงานแล้วนี่” คนข้างๆ หันมาพูดกับนัท ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างตกลงกันแยกย้ายกันไปพัก

                ขณะที่โฟโต้ ออกมายืนกดมือถือ กะจะโทรหาคนสำคัญของตนที่เฝ้าทนรอเจอไม่ไหว ท่ามกลางสายตาของนัทที่มองมาด้วยความสงสัย ก่อนที่จะล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงและกดโทรออก รอไม่นาน ปลายสายก็กดรับ

                “ไปกินข้าวกับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย...เรื่องคนที่ชื่ออ้น”

                คนที่นัทโทรหาก็คือฮ่องเต้และเขาก็ใช้ข้ออ้างเดิม หากแต่มีอิทธิพลกับอีกฝ่ายมากเสียจนมาถูกหลอกล่อให้ออกมาเจอเขาอย่างง่ายดาย นั่นทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาแทบจะทันทีที่อีกฝ่ายยอมตกลงและวางสายไป สายตาของนัทเอาแต่จับจ้องไปทางโฟโต้ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับโทรหาฮ่องเต้  ก่อนที่เขาจะเดินแยกไปอีกทาง

                ขณะที่โฟโต้ได้แต่มึนงงกับปลายสายที่ดูเหมือนว่ากำลังติดสายใครอยู่...

 

                [ธุระกับใครครับ]

                เป็นประโยคคาดคั้นซึ่งหลุดออกมาจากปากของโฟโต้เป็นรอบที่ร้อย เมื่อเห็นว่าสายรหัสปีสี่อย่างเขา เอาแต่เลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้

                “ก็บอกว่าไปกับเพื่อนไง” จนฮ่องเต้ต้องเอ่ยปากบอกไปได้เพียงเท่านั้น

                เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีนัดกินข้าวกับนัท ไม่อย่างนั้น โฟโต้คงได้งอนจนเขาต้องเป็นฝ่ายตามง้ออีก ถึงแม้ว่าเขากับมันจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็เถอะ

                แต่ผมก็ไม่ชอบให้ใครมางอนใส่นี่ครับ มันน่าอึดอัดจะตายไป

                [เพื่อนที่ไหนครับ พี่ซันหรือพี่นิว]       

                “เปล่า เพื่อนนอกคณะ มันมีธุระสำคัญจะปรึกษา แค่นี้นะเว้ย กูต้องไปแล้ว” และก็รวบรัดตัดความ แถมกดตัดสายอย่างรวดเร็วชนิดที่อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน พลันลมหายใจก็ถูกทิ้งออกมาอย่างหนัก สายตาเอาแต่จับจ้องบนมือถืออย่างไม่อาจจะละความกังวลใจไปได้

                ทั้งที่เคยบอกไปว่าไม่ชอบคนโกหก แต่กลับมาโกหกเสียเอง หงุดหงิดตัวเองชะมัด

            และเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าโฟโต้รู้เรื่องนี้เข้า จะเป็นยังไง...

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ” นัทเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไป แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนที่โทรมาต้องเป็นโฟโต้อย่างแน่นอน แต่เขาเพียงแค่อยากรู้รายละเอียดก็เท่านั้น

                “เปล่า...” นั่นเป็นคำตอบจากรุ่นพี่ตรงหน้า ก่อนจะนิ่งงันไปอีกครั้งพร้อมเสียงหัวใจที่เต้นแรง

                “พี่เต้...”

                “มึงอย่าบอกมันได้หรือเปล่าวะ”

                เพราะจู่ๆ คนที่โตกว่าก็โพล่งออกมาแบบนั้น นัทจึงเผลอตกใจไปเล็กน้อย ก่อนจะเอาแต่มองสำรวจใบหน้าเป็นกังวลและร้อนรนใจของอีกฝ่าย

                อย่างพอจะเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

            “...”

                “กูหมายถึง...ไอ้โฟโต้ เพื่อนมึง” ฮ่องเต้พูดเสริมพลางเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายอย่างร้องขอ “อย่าบอกเรื่องที่กูกับมึงมากินข้าวด้วยกัน...ได้ไหม”

                นัทไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักกับประโยคหลังเพราะรู้แต่แรกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร หากแต่มันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจก็เท่านั้น

                “ผมขอถามได้ไหมครับ ว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากให้โฟโต้รู้”

                คำถามของนัทฟาดเข้าที่หน้าจนชาดิก ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่รู้ว่าจะต้องตอบคำถามนี้ยังไง แต่มันเป็นเพราะอีกฝ่ายคือนัท...มันทำให้เขาลำบากใจที่จะพูด

                เขาไม่ชอบให้ใครมาทำร้ายจิตใจ แต่หากเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่น เขาเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน

                “ดูเหมือนว่าพี่จะแคร์ความรู้สึกเพื่อนผมคนนี้มากเป็นพิเศษนะครับ” นัทส่งสายตาตัดพ้อไปให้ อย่างจะให้คนตรงหน้ารู้สึกถึงความรู้สึกข้างใน พลันเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายเอาไว้...

                แม้ฮ่องเต้จะดึงมือหนี แต่เขากลับไม่ยอม กระชับมือนั้นเอาไว้แน่นเสียจนฮ่องเต้เริ่มใจคอไม่ดี

                “แล้วผมล่ะครับ ยังพอมีสิทธิ์ที่จะรักพี่อยู่ไหม”

                เป็นคำถามที่สร้างความอึดอัด จนคนถูกถามเองก็ลำบากใจที่จะพูดอะไรออกไป ทั้งน้ำเสียงและแววตาของคนที่กำลังน้อยใจเขา มันกำลังจะทำให้เขาใจอ่อนด้วยความสงสาร

                นัทเป็นรุ่นน้องที่ดีในสายตาเขามาตลอดและมันก็เป็นสายเทคของเขาด้วย เขาเองก็ไม่อยากจะให้มีอะไรมากระทบกระเทือนความสัมพันธ์จนมองหน้ากันไม่ติด

                “ให้ผมมีโอกาสได้ลองจีบพี่...ได้ไหมครับ”

                “มึง...กูว่า...”         

                “ขอนะครับ พี่เต้” นัทว่าย้ำอีกครั้งให้อีกฝ่ายใจอ่อน “ผมรู้ว่าพี่กับโฟโต้ยังไม่ได้คบกัน ดังนั้น ผมขอจีบพี่เต้นะครับ”

                ฮ่องเต้ได้แต่นิ่ง อึกอักไม่รู้จะจัดการปัญหาตรงหน้ายังไง แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้คบกับโฟโต้ตามที่นัทพูดเอาไว้ แต่ใจของเขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขารู้สึกกับโฟโต้ไปแล้ว แต่ที่ยังไม่ตกลงคบกันก็เพราะเขายังกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำสอง เขายังไม่สามารถเชื่อใจโฟโต้ได้อย่างเต็มร้อยก็เท่านั้น

                อีกอย่าง นัทเองก็เป็นสายเทคของเขาและเรื่องอาถรรพ์สายรหัสมันก็เกิดขึ้นจริงกับทั้งสายตรงและสายเทค  แล้วเขาควรจะทำยังไง จะบอกออกไปเลยดีไหมว่าใจของเขาอยู่กับโฟโต้ไปแล้ว

                “ถ้าพี่ลำบากใจที่จะพูด ก็ไม่ต้องตอบรับผมก็ได้ครับ เพราะถึงพี่จะปฏิเสธยังไง ผมก็จะจีบพี่อยู่ดีเพราะใจของผมมันมีแต่พี่แค่คนเดียว”

                นัทพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังใจหายวาบ สายตามุ่งมั่นของอีกฝ่ายมันทำให้ปากของฮ่องเต้ไม่สามารถขยับพูดอะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกของตนออกไปได้เลยแม้แต่น้อย

                “เมื่อกี้ เรื่องอ้น ถึงไหนแล้วนะ” จนต้องรีบเปลี่ยนประเด็น วกกลับเข้าไปยังเรื่องสำคัญที่ทำให้ตนมาอยู่ที่นี่

                “ผมจะบอกว่าคนชื่ออ้นอะไรนั่นส่งของมาที่หอ เมื่อวาน...” นัทบอกพร้อมกับยื่นถุงกระดาษไปให้อีกฝ่าย

                ฮ่องเต้รับไปแล้วได้แต่เปิดดูด้วยความสงสัย ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ ครั้นเห็นของที่อยู่ในนั้น

                มันเป็นรูปของนัทที่ถูกตามถ่ายทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ราวกับคนถ่ายกำลังตามติดชีวิตของนัท พร้อมทั้งข้อความที่ส่งมาบอกว่าให้เลิกยุ่งกับเรื่องของสีฝุ่นและฮ่องเต้ซะ

            “เขาส่งมาให้ผม...” นัทเสริมทับความมั่นใจอีกครั้ง จนฮ่องเต้อดเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเสียไม่ได้

                “กูขอโทษนะเว้ย เพราะกู...มึงถึงต้องมาซวยไปด้วย” ฮ่องเต้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ มันทำให้เขาเสียใจที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน จนพาลให้อีกฝ่ายต้องมาเดือดร้อนไปด้วย

                “อย่าคิดมากเลยครับ ผมไม่เคยโทษพี่เลยนะ” นัทส่งยิ้มละมุนให้อย่างพยายามให้อีกฝ่ายไม่คิดมาก “เพียงแค่ผมอยากให้พี่ระวังตัวมากกว่านี้ ผมไม่อยากให้คนที่ชื่ออ้นอะไรนั่นมาทำร้ายพี่”

                “กูขอโทษ...” ฮ่องเต้เอ่ยออกไปอย่างไม่รู้จะสรรหาคำใดที่ดีกว่านี้มาทดแทน “...แต่กูสัญญาว่ากูจะไม่ปล่อยให้มันมาทำอะไรมึงแน่ เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับกู...”

                ฮ่องเต้เว้นจังหวะเล็กน้อยอย่างคนเพิ่งจะนึกอะไรได้ ก่อนจะพูดแก้ไปว่า “...กับลูกพี่ลูกน้องกู”

                “มันจะเกี่ยวกับใครไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญที่สุดก็คือตัวต้นเหตุ ถ้าเรายังจัดการเขาไม่ได้หรือถ้าเขายังไม่พอใจ เรื่องทุกอย่างก็ไม่มีทางจบ” นัทว่าอย่างให้คนที่โตกว่าใจเย็น

                “ก็จริงของมึง กูต้องหาทางหยุดไอ้อ้นให้ได้” ฮ่องเต้ว่าพลางถอดถอนหายใจออกมาอย่างหนัก จนนัทต้องขยับเข้าไปใกล้อย่างจงใจ

                “พี่เต้...ไม่ต้องกังวลหรอกครับ...” นัทมองสบตาอีกฝ่ายนิ่ง แล้วค่อยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผมจะช่วยพี่จบเรื่องนี้เอง”

                ที่พูดออกไปไม่ได้หมายความว่าตนเก่งกาจเสียจนจะกำจัดใครได้อย่างง่ายดาย แต่เพราะ...

                มีเพียงเขาเท่านั้น ที่จะสามารถยุติเรื่องทั้งหมดได้...

                               

 

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 07-12-2018 07:23:28
 :hao7:
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:39:33
ตอนที่ 32 ของใคร

                หลังจากเจอวันที่โฟโต้ขอไปนอนที่ห้องวันนั้น ฮ่องเต้ก็ไม่ได้เจอหน้าเด็กคนนั้นเกือบสามวันเต็มเพราะต่างคนต่างก็มีเรียนและโฟโต้ก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของทางคณะ มีเพียงข้อความในแชทเท่านั้นที่ทำให้เขารู้ว่ามันทำอะไร อยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้าง ขณะที่ชีวิตของเขาดำเนินไปแบบราบเรียบ ทุกอย่างยังคงวนลูปอยู่กับการเรียน ปั่นงานและอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในวันศุกร์ที่จะถึง อย่างเช่นในตอนนี้ที่เขากำลังนั่งแกะเลกเชอร์ของตนเองอยู่ตรงบริเวณโต๊ะไม้หินอ่อนหน้าตึกสามของคณะ

                “ไอ้เต้ จดหมาย”

                แต่เป็นอันต้องเงยหน้ามองตามเสียงเรียกของประธานรุ่นที่เพิ่งจะเดินมาถึง ซึ่งในมือของมันมีจดหมายเป็นปึกซึ่งคาดว่ามันคงไปเดินเก็บมาจากพวกปีสี่ที่นั่งสุมหัวกันอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ เขาละสายตาจากมันเพื่อหันไปเปิดกระเป๋าและเอาจดหมายในแฟ้มยื่นให้คนตรงหน้า

                “อีกสองอัน ของไอ้นิวกับไอ้ซัน” เขาบอกในขณะที่อีกฝ่ายตรวจเช็คจดหมายก่อนจะรวมเข้ากับจดหมายของคนอื่นต่อ

                “เออ แล้วพวกมันไปไหน ทำไมมึงมานั่งคนเดียว”

                “พวกนั้นไปเรียนอิ้งที่อักษร กูเลยมานั่งรอเรียนคาบสุดท้าย” เขาตอบ ก่อนจะถามคนตรงหน้ากลับ “แล้วมึงอ่ะ ไม่ไปกับพวกไอ้เจมส์หรือไง”

                “พอดีกูต้องไปประชุมกับพวกเด็กปีสอง”

                “ประชุมตลอดเทอมเลยนะมึง” และเขากับคิงก็หัวเราะออกมาเบาๆ  จะว่าไปฮ่องเต้ก็สงสารมันเหมือนกัน เป็นตัวแทนรุ่น เดี๋ยวก็เรียกประชุม เดี๋ยวก็ต้องรับหน้าเวลามีปัญหา แค่ได้ยินเรื่องที่มันต้องเผชิญแต่ละครั้ง เขาก็เหนื่อยแทนแล้ว

                “ก็อย่างว่า เปิดเทอมใหม่ ปัญหามันก็เยอะหน่อย”

                “เออ แล้วคราวนี้มีอะไรอีกวะ หน้าตามึงดูเครียดๆ นะ” เขาร้องทักอย่างสงสัยเพราะสีหน้าที่ดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย

                “ก็เรื่องคัดดาวเดือนคณะนั่นแหละ พอดีทางมหา’ลัยประกาศเลื่อนจัดงานประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยมาเดือนหน้า คณะเราเลยต้องเลื่อนงานประกวดขึ้นมาช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้”

                “เฮ้ย แต่ช่วงท้ายเดือนมีงานเปิดสายรหัสไม่ใช่หรือไง”

            แบบนั้น งานมันไม่ชนกันวุ่นเลยเหรอครับ

                “เออดิ แล้วที่ประชุมก็ลงมติกันแล้วว่าจะเลื่อนงานเปิดสายรหัสขึ้นมาเป็นสัปดาห์หน้าเพราะกลัวว่าถ้าเลื่อนออกไปหลังงานดาวเดือน จะไปชนกับงานกีฬามหา’ลัยอีก กูก็จะมาบอกพวกปีสี่ตอนเรียนเสร็จเนี่ยแหละ”

                ฮ่องเต้ได้แต่พยักหน้าตามอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าของที่เขาสั่งเอาไว้ ทางร้านนัดไปเอาช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ดูเหมือนว่าผมจะต้องหาซื้อของมาให้พวกปีหนึ่งเพิ่มแล้วล่ะ

                “เอ้อ แล้วก็มีอีกเรื่อง...”

                “...”

                “...ติวสอบกลางภาคเทอมนี้ กูขอมึงไปช่วยติวให้ปีหนึ่งได้ไหมวะ”

                คำถามนั้น ทำให้คนถูกถามนิ่งเงียบอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะหันไปถามประธานรุ่น “แล้วไม่มีใครติวให้น้องเลยเหรอวะ”

                “ตอนนี้มีแค่ไอ้กันกับไอ้เจน พวกที่เก่งๆ นอกนั้นก็ไม่มีใครว่าง กูเลยมาขอมึงช่วยเพราะเห็นว่ามึงสอบได้ท็อป แถมยังคอยติวให้ไอ้นิวกับไอ้ซันตลอด”

                “แล้วติวเมื่อไหร่”

                “ก่อนปีหนึ่งสอบหนึ่งสัปดาห์ มึงไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพวกสโมสรนักศึกษาจะเตรียมเอกสารให้”

                เขาพยักหน้ารับคำ “ยังไงก็เอาเอกสารมาให้กูล่วงหน้าสักสามสี่วันแล้วกัน”

                “เออ ขอบใจมากนะเว้ย”

                และเขากับประธานรุ่นก็คุยกันต่อได้สักพักก่อนจะขึ้นไปเรียนคาบสุดท้ายของวัน โดยมีซันกับนิวตามมาสมทบ หลังจากอาจารย์เข้าสอน บรรยากาศในห้องเรียนก็ยังคงเงียบกริบเช่นเดิมเพราะต่างคนต่างก็ต้องเร่งมือเล็กเชอร์ให้ทันตามคำพูดของอาจารย์ ระหว่างเรียนก็มีถามตอบกันบ้างประปราย

                จนกระทั่งหมดคาบเรียน ประธานรุ่นปีเขาก็ออกไปยืนหน้าห้องเพื่อชี้แจงการคัดตัวดาวเดือนคณะและการเปิดสายรหัส ก่อนที่ไอ้ประธานรุ่นจะตามเก็บจดหมายสายรหัสจากพวกปีสี่ที่เหลือซึ่งกำลังส่งเสียงเซ็งแซ่ แข่งกันพูดถึงเรื่องที่ประธานรุ่นเพิ่งจะมาชี้แจงจบแหมาดๆ เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาเป็นประเด็นหลักของพวกปีสี่เพราะบางคนยังไม่ได้เตรียมของให้น้อง ไหนจะเสื้อผ้าใส่ในวันงานอีก ส่วนประเด็นรองลงมาก็เป็นเรื่องการคัดตัวดาวเดือน ต่างคนต่างก็เชียร์คนนั้นคนนี้ให้ได้รับตำแหน่งไปตามประสารุ่นพี่ ขณะที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมออกจากห้อง ส่วนนิวก็เข้ากลุ่มตั้งพวกคุยโม้เรื่องตัวเก็งดาวคณะปีนี้ โดยมีซันคอยห้ามทัพด้วยความหมั่นไส้

                “น้องฝ้าย! ยังไงตำแหน่งดาวคณะปีนี้ต้องเป็นน้องฝ้ายเท่านั้นเว้ย”

                “มึงก็อวยเกินไป ไม่รอดูน้องคนอื่นก่อนล่ะวะ”

                “น่ารัก ใสๆ  แบบนี้ ยังไงก็สู้น้องฝ้ายของกูไม่ได้หรอกโว้ย มึงดูๆๆ เห็นแบบนี้ ไม่ได้มีดีแค่หน้าตานะครับ เก่งรอบด้าน เพอร์เฟคตั้งแต่เซลล์สมองยันเล็บเท้าเลยเว้ย!!”

                นั่นแหละ ส่วนใหญ่พวกผู้ชายก็พากันเชียร์น้องฝ้ายกัน ส่วนพวกผู้หญิง...

                “หล่อลากสไตล์นายแบบ ยังไงน้องนัทก็ต้องได้ตำแหน่งเดือนแน่ๆ”

                “อย่าชะล่าใจไป ตราบใดยังมีน้องโฟโต้อยู่ น้องนัทก็มีสิทธิ์เป็นรองได้เถอะ”

                “แต่น้องนัทก็ร้องเพลงเพราะนะ แถมยังเล่นเปียโนได้ด้วย”

                “โอ๊ย ความสามารถแบบนั้นน้องเดือนคนอื่นก็ทำได้ แกรอดูน้องโฟโต้ละกัน”

                ...ส่วนใหญ่ก็ได้ยินแต่ชื่อสองคนนั้น แต่ฮ่องเต้ก็เห็นด้วยกับพวกเธอนะ นัทเองก็เป็นถึงนายแบบ ผิวขาว หุ่นดี แถมหน้าตามีออร่า ส่วนไอ้โฟโต้ ถึงจะไม่ใช่นายแบบ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันก็หน้าตาดีเทียบเท่าเดือนมหาวิทยาลัยรุ่นก่อนๆ ได้ แถมหุ่นของมันยังสมส่วน ไม่ได้ผอมแห้งไปเสียหมด ผิวพรรณของมันก็แลดูสุขภาพดี ไหนจะดวงตาของมันที่ทรงเสน่ห์ จมูกที่รับกับรูปหน้าและริมฝีปากที่สามารถเปลี่ยนโลกให้สดใสได้เพียงแค่มันยิ้ม...

                เฮ้ย! นี่ผมจะมายืนบรรยายรูปร่างหน้าตามันทำไมเนี่ย!?

                เขารีบดึงตัวเองออกมาจากความคิด รีบยัดหนังสือใส่กระเป๋าหมายจะรีบเดินออกจากห้อง จังหวะนั้นเอง ที่มีใครบางคนมายืนขวางหน้าเอาไว้ เขาได้แต่ทำหน้างง ในขณะที่พวกเธอเอาแต่ยืนยิ้มกริ่ม

                “มีอะไรหรือเปล่า” ถามออกไปเพราะเห็นว่าพวกเธอไม่ยอมพูดอะไรเสียที ทำให้พวกผู้หญิงตรงหน้าหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยปากถามกลับ

                “คัดเลือกเดือนคณะปีนี้ แกเชียร์ใครเหรอ”

                ฮ่องเต้สตันไปกับคำถาม มองคนที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังคาดหวังคำตอบอะไรบางอย่างจากเขา

                “เออ เรา...” ฮ่องเต้มองหน้าพวกเธอที่กำลังตื่นเต้น มองมาทางเขาอย่างตั้งใจ “...เราก็เชียร์ทุกคนนั่นแหละ”

                ดูเหมือนว่าคำตอบของเขาจะทำให้พวกเธอผิดหวังไม่น้อย ทว่าหนึ่งในนั้นก็ยังไม่ลดละความพยายาม เซ้าซี้เพื่อหาคำตอบจากเขาอีก

                “ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษเลยเหรอ แบบว่า...” เธอเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดเน้นคำในประโยคถัดมา “...สายรหัสหรือไม่ก็สายเทคของตัวเอง อะไรแบบเนี่ย”

                สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเรื่องสายรหัสสินะ เฮ้อ

                “คือเรา...”

                “พี่เต้ครับ!”           

                แต่เพราะเสียงใครบางคนดังขึ้นแทรก ฮ่องเต้จึงต้องหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นนัทที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเขาและนั่นทำให้ผมกับมันตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยาย ผมเหลือบตาไปมองพวกผู้หญิงที่เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนและกระซิบกระซาบกันเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองนัท

                “คือพี่เจมส์ฝากมาตามพี่ให้ไปที่ห้องกิจกรรมน่ะครับ”

                นัทบอกวัตถุประสงค์และฮ่องเต้ก็คงจะไม่คิดมากอะไร หากไอ้ตัวการที่ชื่อว่าเจมส์มันไม่ได้ยืนยักคิ้วจึกๆ อยู่ตรงมุมประตูทางลงตึกก่อนที่มันจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงเนี่ย มันก็บอกเขาด้วยตัวเองได้หรอกเพราะมันเพิ่งจะเรียนวิชาสุดท้ายด้วยกันกับเขาและเพิ่งจะเดินออกจากห้องไปก่อนหน้าเขาแค่นิดเดียวเอง ที่สำคัญ ฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่าต้องเข้าไปที่ห้องกิจกรรมเพราะวันนี้ต้องไปช่วยพวกเดือนคณะปีก่อนดูเรื่องซ้อมเดินให้เด็กปีหนึ่งและให้คำแนะนำเรื่องการ

                “อืม กูกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” และก็ได้แต่บอกออกไปแค่นั้น แต่มันกลับทำให้นัทคลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มแบบสุภาพ นุ่มนวล ต่างจากรอยยิ้มของไอ้โฟโต้...

            เฮ้ย!! แล้วทำไมผมต้องไปนึกถึงมันอีกแล้ววะ!!

                เขาสลัดภาพไอ้โฟโต้ออกจากความคิดและรีบเดินไปยังทางเดินลงตึก ทว่าเขากลับต้องชะงักฝีเท้าเพราะมือของนัทที่จับเข้าที่ต้นแขนของผม

                “เดี๋ยวก่อนสิครับพี่เต้” มันร้องบอกก่อนที่มันจะมองตามสายตาของเขาที่มองไปที่มือของอีกฝ่าย ทำให้มันปล่อยมือและพูดขอโทษผมที่เสียมารยาท

                “ผมแค่จะบอกว่า...” มันเว้นจังหวะและยิ้มละมุนออกมาราวกับต้องการสะกดสายตาเขาเอาไว้ “...เดินไปด้วยกันนะครับ”

                เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่นัทจะเดินไปพร้อมกันกับเขาอย่างไม่รอคำตอบ ระหว่างทางนัทก็พยายามชวนเขาคุยเรื่องเรียน ซึ่งเขาก็ตอบกลับไปเท่าที่จะตอบได้ จนกระทั่งไปถึงห้องกิจกรรมของคณะ...

                ทั้งรุ่นน้องและรุ่นเพื่อนต่างก็หันมามองเขากับนัทเป็นสายตาเดียวก่อนจะกระซิบกระซาบและหัวเราะกันคิกคัก บ้างก็ทำหน้าเหวอเหมือนไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเสียอย่างนั้น แต่มันก็เท่านั้นแหละ เพราะตอนนี้สายตาเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเขาก็คือ...สายตาของไอ้โฟโต้

                สายตาที่ดูเหมือนจะไม่พอใจกับสิ่งที่มันเห็น สายตาของมันที่จ้องมาทางเขนกับนัทดูนิ่งเสียจนน่ากลัวและมันทำให้เขาถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พร้อมๆ กับใจของเขาที่เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่รู้ทำไมสายตาของมันถึงมีอิทธิพลกับหัวใจของเขาได้ขนาดนี้ ก่อนที่ใจของเขามันจะเต้นถี่ขึ้น เมื่อไอ้โฟโต้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้และเดินตรงมาทางที่เขายืนอยู่

                ระหว่างที่เดินมา สายตาของโฟโต้เอาแต่จ้องไปที่นัทอย่างไม่ยอมละสายตาจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า

                “ไหนมึงบอกว่าจะไปทำธุระไง” โฟโต้เปิดประเด็นคุยกับนัทที่ยืนอยู่ข้างเขาทันทีและนั่นทำให้ทุกสายตายิ่งโฟกัสมาที่คนทั้งสามมากขึ้น

                “ก็นี่ไง ธุระกู” นัทตอบกลับเสียงเรียบ พร้อมกับทำหน้าตาใสซื่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่โฟโต้เท่านั้น ที่ดูออกว่านัทกำลังยั่วโมโหตนเอง

                “มึงตัดสินใจแล้วใช่ไหม”

                “ใช่”

                ส่วนฮ่องเต้ก็ได้แต่มองปีหนึ่งทั้งสองแบบมึนๆ  กึ่งๆ เข้าใจ แต่ก็เหมือนมีอะไรที่ยังไม่รู้  ก่อนที่เขาจะสะดุ้งเมื่อมันเบนสายตามาหา

                “ผมลืมของ พี่เต้ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิครับ” โฟโต้ว่าพร้อมกับยิ้มจนตาหยีเหมือนที่เคยทำทุกครั้งที่เจอหน้าและในขณะที่เขาจะตอบปฏิเสธนั้นเอง โฟโต้ก็กระเถิบตัวมายืนด้านข้างและกระซิบโดยไม่มองหน้าว่า

                “ผมแค่อยากคุยกับพี่ เรื่องนัท...”

                ฮ่องเต้หน้าเหวอทันทีที่ได้ยินแบบนั้น คิดไปไกลว่าจะเป็นเรื่องที่เขาออกไปกินข้าวกับวันนั้น แต่ดันโกหกว่าไปกับเพื่อน เท่านั้น ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นกว่าเดิม ด้วยความกลัวว่าคนตรงหน้าของเขาในเวลานี้ จะโกรธ น้อยใจหรืออะไรหรือเปล่า

                “...แต่ถ้าพี่ไม่อยากคุยกับผม ก็ไม่ต้องตามมาก็ได้นะครับ”

                เป็นประโยคทิ้งท้าย ด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดที่ใครได้ฟังเป็นอันต้องอยากจะตีคนพูดสักทีสองทีแน่ๆ  แต่ฮ่องเต้กลับจะฟังออกว่าความจริงแล้วมันแค่กำลังน้อยใจเขาอยู่ พลันสายตาก็สบเข้ากับแววตาของโฟโต้ที่กำลังสั่นระริก เพียงเท่านั้น ใจของเขาก็อ่อนยวบลงไปแทบจะทันที

                จะว่าเขาเองก็แคร์ความรู้สึกของไอ้เด็กปีหนึ่งคนนี้ก็ได้ เพราะหัวใจมันกำลังสั่งให้เขาทำตามคำสั่งของโฟโต้

                ...ก่อนที่โฟโต้จะเดินออกไปจากห้องกิจกรรม

                และเพราะเขาก็รู้ดีอีกเช่นกันว่าทำไมไอ้เด็กคนนั้นถึงได้พูดแบบนั้นออกมาและนั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะเดินตามมันออกไป แต่ทว่า...

                “ไม่ไปได้ไหมครับ”

                จู่ๆ นัทก็จับแขนของเขาเอาไว้พร้อมกับมองมาด้วยสายตาเว้าวอนในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งการที่มันทำแบบนั้น ยิ่งทำให้คนทั้งคู่ยิ่งตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องกิจกรรม แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ จะทำให้เขารู้สึกกระอักกระอวนไปหมด แต่มันกลับทำให้ได้รู้ว่าเขาคงไม่สามารถจะหนีอดีตได้อีกต่อไปและบางทีเขาควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

                เขาตัดสินใจแล้ว...

                ฮ่องเต้หันไปมองนัทที่ส่งสายตาเว้าวอนมาให้ก่อนจะตัดสินใจแกะมือออก ทว่าอีกฝ่ายกลับไปยอมปล่อยให้ไป

                “ถ้ากูไม่ไป เดี๋ยวเพื่อนมึงก็หาว่ากูแล้งน้ำใจหรอก ก็...เผื่อมันจะมีอะไรให้กูช่วยยกมา” ก่อนที่เขาจะแกะมือนัทออกอีกครั้ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อย แต่ก็กลับหัวเราะออกมาเหมือนกำลังประชดตัวเอง

                “ขอโทษนะครับ ดูเหมือนว่าพี่จะให้ความสำคัญกับเพื่อนผมไปแล้ว”

                คำพูดของนัทเหมือนจะแทงใจของเขาเข้าเต็มๆ  จนได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มทำหน้าซึมอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินออกไปจากลานซ้อมกิจกรรมและเดินไปตามทางเดินด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ตอนนี้หลากหลายความรู้สึกมันปนเปกันไปหมด ถึงแม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความกลัว แต่เขาก็ต้องพยายามดึงความกล้าที่มันหลงเหลืออยู่เพียงแค่น้อยนิดของตัวเองเพื่อจัดการกับทุกอย่าง

                เขาสอดสายตามองหาไอ้โฟโต้ จนกระทั่งเห็นหลังมันอยู่ไวไวที่ห้องเก็บของหลังลานกิจกรรม จึงเดินเข้าไปหา

                “พี่ฮ่องเต้...” มันพูดเสียงเบาพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาเหมือนกำลังดีใจเรื่องอะไรบางอย่าง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมันยังดูหงุดหงิดอยู่แท้ๆ  จนเขาอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไบโพล่าร์หรือเปล่า

                “ที่บ้านมึงทำธุรกิจส่งออกรอยยิ้มหรือไง ยิ้มอะไรนักหนา”

                “ผมก็แค่ไม่คิดว่าพี่จะตามผมมา ทั้งๆ  ที่ผมพูดจาไม่น่ารักกับพี่” ท้ายประโยคมันหลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกผิด

                ชวนผมมาเองแท้ๆ  แต่ดูมันพูดจาทำหน้าทำตาเข้าสิครับ

                “ไหนล่ะ ของที่มึงลืมไว้” เขาแกล้งมองเข้าไปในห้องเก็บของที่ถูกเปิดประตูทิ้งไว้ ถึงแม้จะรู้ว่าการมาเอาของไม่ใช่จุดประสงค์หลักที่มันเรียกเขาออกมาแบบนี้ก็ตาม

                “อยู่ข้างในครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาเอง” โฟโต้ว่าพร้อมกับส่งยิ้มมาให้เหมือนเช่นเคย ก่อนที่มันจะเดินเข้าไปในห้องเพื่อค้นของที่อยู่ข้างตู้เก็บของซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบถึงมุมห้องด้านใน เขามองอีกฝ่ายที่ล้วงมือถือขึ้นมาเพื่อใช้ไฟจากแฟลชกล้องส่องเข้าไปในห้องที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ก่อนจะหันไปกดปุ่มสวิตช์ไฟให้และนั่นทำให้มันหันมามองหน้าเขา

                “ขอบคุณครับ” ก่อนที่มันจะหันไปรื้อของต่อ แต่เพราะท่าทางของมันที่ดูเหมือนว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็หาของไม่เจอสักที ทำให้เขาอดเดินเข้าไปข้างในห้องด้วยความสงสัย

                อันที่จริง เขาแค่อยากให้มันรีบหาของให้เจอ จะได้พูดเรื่องสำคัญกันเสียที

                “มึงหาอะไรอยู่วะ ทำไมไม่เจอสักที”

                โฟโต้ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงและหันมาตอบ “เทปกาวครับ”

                “เทปกาว!?” ผมทว่ากลับต้องร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อกับตอบของมัน

                “ครับ ก็พี่เจมส์ให้ผมมาเอาเพราะต้องใช้มาร์คจุดซ้อมเดินแล้วก็ซ้อมการแสดง”

                “แล้วไอ้เจมส์ไม่ได้บอกหรือไงว่ามันอยู่ตรงไหน”

                “บอกครับ บอกว่าอยู่ข้างตู้เก็บของ”

                คำตอบของโฟโต้ทำให้ผมถึงบางอ้อว่าทุกอย่างมันเป็นแผนของเจมส์

                คิดจะทำอะไรของแม่งวะ

            เดี๋ยวก็ใช้ให้ไอ้นัทไปหาเขา เดี๋ยวก็ใช้โฟโต้มาเอาของ แถมยังลากเขามาด้วยแบบนี้อีก ไม่สิ อันที่จริงเขาตามมันมาเอง แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้แค่รีบหาเทปกาวให้เจอก็พอ

                “มึงโดนมันหลอกแล้ว” ฮ่องเต้บอกออกไปก่อนจะหันไปเปิดประตูตู้เก็บของใบที่สองออกและหยิบกล่องใส่เทปกาวกับกรรไกรออกมา ก่อนจะยื่นให้กับโฟโต้

                “วันหลังมึงก็ไม่ต้องไปเชื่อมันมากก็ได้นะ” บอกก่อนจะหันหลังกะจะเดินออกไปจากห้อง แต่โฟโต้กลับคว้าแขนเขาเอาไว้

                “ผมมีเรื่องที่อยากจะขอร้อง”

                ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้าคนที่ส่งสายตาอ้อนวอนเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลัวจับใจว่าจะเป็นเรื่องที่เขาโกหกว่าไปธุระกับเพื่อนวันก่อนจริงๆ

                 “ระ...เรื่อง เรื่องอะไร...”

                “เรื่องไอ้นัท...” มันพูดทิ้งทวนเอาไว้แค่นั้นและปรายตามองไปทางข้างด้านหลังและนั่นทำให้เขาต้องหันไปมองตาม ก่อนที่มันจะเดินผ่านเขาไปและปิดประตูล็อคห้อง ซึ่งเขาก็ไม่ได้คัดค้านหรือโวยวายอะไรออกไปเพราะเขาเองก็มีเรื่องที่จะต้องคุยกับมันให้รู้เรื่องเช่นกัน

                “ขอโทษนะครับ ที่ต้องทำแบบนี้” โฟโต้หันมาเผชิญหน้าพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้เพื่อดันตัวเขาให้ถอยจนชิดตู้เก็บของตามสไตล์ของอีกฝ่ายที่ฮ่องเต้เริ่มจะรู้ทันและนั่นทำให้มันทำหน้าแปลกใจออกมาเล็กน้อย

                “พี่ไม่กลัวผมแล้วเหรอ”

                “กูเชื่อใจว่ามึงไม่มีทางทำอะไรกู” ฮ่องเต้ว่าออกไปพร้อมกับสบลึกเข้าไปในดวงตาของมันเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อแบบนั้นจริงๆ

                “ขอบคุณนะครับ ที่พี่เชื่อใจผม” โฟโต้บอกพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความซึ้งใจ ก่อนที่ฮ่องเต้จะทำเอาหุบยิ้มฉับกับประโยคถัดมา

                “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะเชื่อใจมึงเรื่องอื่น”

                “พี่หมายความว่าไง”

                “ที่กูเชื่อว่ามึงจะไม่ทำอะไรแปลกๆ ก็เพราะมึงเป็นรุ่นน้องของกู แต่กับเรื่องที่มึงบอกว่าจะจีบ...กูยังไม่เชื่อใจและถ้ามันเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ กูเองก็คงจะไม่สบายใจ”

                โฟโต้นิ่งเงียบไปอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาอย่างสื่อความหมาย

                “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมขอเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ แล้วผมจะทำให้พี่เชื่อใจผมให้ได้ รอผมนะครับ พี่เต้”

                ฮ่องเต้มองมือของอีกฝ่ายที่ถือวิสาสะมากุมมือของเขาเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ถูกส่งผ่านฝ่ามือของมันและมันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจมากขึ้นด้วยการบีบมือของเขาเบาๆ  เพื่อเป็นการเรียกความเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้เขาเชื่อใจให้ได้

                “แต่ตอนนี้ ผมอยากจะขอร้องในฐานะคนที่กำลังจีบพี่...”

                พลันความอบอุ่นก็มลายหายไป แทนที่ด้วยความหวาดระแวงกับประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมาทันที

                เอาวะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

            ฮ่องเต้พยายามคิดปลอบใจตัวเอง

                “เรื่องไอ้นัท” และเอ่ยออกไปช้าๆ “คือ...กู...ความจริงแล้ว”

                “ผมไม่อยากให้พี่เข้าใกล้มัน”

                ฮ่องเต้ชะงักงันไปกับคำพูดของอีกฝ่าย แบบมึนงงกับสิ่งที่โฟโต้ต้องการบอก

                “ผมไม่ชอบที่เห็นพี่อยู่ใกล้มันเลย ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์ ตราบใดที่พี่ยังไม่ได้คบกับผม เพราะฉะนั้น ผมเลยอยากจะขอร้อง ให้พี่อยู่ห่างจากมัน...นะครับ พี่เต้”

                นี่มัน...ไม่ได้จะพูดเรื่องที่ผมไปกินข้าวกับไอ้นัทหรอกเหรอ

                ฮ่องเต้ลอบกลืนนำลายลงคอ สบสายตากับอีกฝ่ายอย่างเริ่มจะใจอ่อนลงไปทุกที หากแต่เพราะบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ทำให้เขาต้องตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป

                “แต่กูว่ามันดูไม่ยุติธรรมกับอีกฝ่ายนะ” และยิ้มออกมาอย่างถืออำนาจเหนือกว่าอีกฝ่าย

                หัวใจ...เป็นของผม ตราบใดที่ผมไม่คิดจะยกให้ ใครหน้าไหนก็ไม่มีทางได้ไปทั้งนั้น

            “พี่เต้...” โฟโต้เริ่มส่งเสียงเรียกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อในคำพูด เพราะก่อนหน้านี้ ก็เห็นว่าง่าย เผลอตามใจเขาตลอด อ้อนนิดอ้อนหน่อยก็ยอมใจอ่อน แต่ครั้งนี้ กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม

                “กูจะไม่รับปากมึงเรื่องไอ้นัท จนกว่ามึงจะทำตามสัญญาได้”

                “อะไรกัน ผมมาก่อนมันนะ ผมชัดเจนว่าจะจีบพี่ก่อนมันด้วยซ้ำ แล้วทำไมพี่ถึงให้โอกาสทั้งที่มันไม่ได้ชัดเจนกับพี่ตั้งแต่แรกด้วย”

                ฮ่องเต้มองโฟโต้ที่เริ่มงอแงเป็นเด็กสามขวบด้วยความเอือมระอา “เอาเป็นว่ากูมีเหตุผลของกูก็แล้วกัน”

                เพราะอย่างน้อย โฟโต้จะได้เรียนรู้ว่าความรักมันไม่ได้มาง่ายๆ  ถ้ามันรักเขาจริง ยิ่งมีคู่แข่งมันก็ต้องยิ่งพยายามเพื่อให้ได้ใจเขามากขึ้น และมันก็จะทำให้เขาพอจะมั่นใจในตัวมันได้บ้าง

                “ก็ได้ ในเมื่อพี่ไม่ยอมรับปาก ผมก็จะทำให้พี่กับไอ้นัทออกห่างจากกันเอง!!”

                “กูว่าไอ้นัทมันคงไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรอก”

                “พี่เต้...” โฟโต้เรียกชื่อพลางมองผมด้วยแววตาเหมือนพ่อกำลังดุลูก “...พี่กำลังเข้าข้างมันอยู่นะ”

                และเขาก็ทำเพียงแค่ยักไหล่ไปให้แทนคำตอบ ก่อนจะเดินมาปลดล็อคกุญแจและออกมาจากห้องเก็บของโดยไม่ฟังเสียงโวยวายที่ดังตามหลังมาของโฟโต้ อย่างน้อยเขาก็รู้สึกดีที่ได้พูดสิ่งที่เขากังวลออกไป ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของโฟโต้แล้วล่ะ ว่ามันจะทำยังไงให้เขาเชื่อใจมันในทุกๆ เรื่องต่อจากนี้

                 

             
               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:40:47
               (มีต่อ...)
 ฮ่องเต้เดินกลับมาที่ลานซ้อมกิจกรรมท่ามกลางสายตาที่มองมาทางเขากับโฟโต้ที่เดินตามหลังมา แต่นั่นมันก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขามากเท่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้น เพราะเรื่องที่เขากังวลใจมาโดยตลอดมันได้หายไปจากใจของบ้างแล้วหลังจากที่ได้พูดความรู้สึกของตนเองออกไป

                ฮ่องเต้เดินมาสมทบกับพวกรุ่นพี่ที่ยืนรอเด็กปีหนึ่งที่เหลืออยู่อีกไม่กี่คน โฟโต้เดินเอาของไปให้ไอ้เจมส์และช่วยรุ่นพี่ติดเทปกาวไปทั่วพื้นที่ลานซ้อมกิจกรรม ก่อนที่มันจะไปรวมตัวกับเพื่อนคนอื่นๆ  สีหน้าของมันดูสดใสแตกต่างจากตอนที่เห็นเขาเดินมากับนัทเมื่อก่อนหน้านั้นลิบลับ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอก เวลาที่เห็นมันหงุดหงิดหรือไม่ก็ตัดพ้อน้อยใจ โดยที่ตัวต้นเหตุที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นคือเขา และยิ่งได้เห็นสายตาแข็งกร้าวที่มันมองนัทกับได้ยินที่มันขอร้องไม่ให้เขาเข้าใกล้นัท เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาคิดยังไงกับสถานการณ์นั้น รู้แต่ว่ารู้สึกดี...

            จะคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่าครับ ว่าไอ้โฟโต้กำลังหึงผมกับไอ้นัท

                “ในห้องเก็บของคงฟินน่าดู”

                เสียงไอ้เจมส์ดังกระแทกหน้าเขาเข้าเต็มๆ จนอดหันไปส่งสายตาหงุดหงิดใส่กับสิ่งที่มันพูดออกมา

                “ฟินห่าอะไร อย่ามากวน!”

                “ที่ห้องเก็บของ กูได้ยินหมดแล้ว” มันพูดหน้าตาย ขณะที่เขาได้แต่ทำหน้าเหวอ

                “มึงรับจ้างเป็นสตอกเกอร์หรือไง”

                “กูจะรับจ้างเป็นอะไรมันก็ไม่สำคัญ ประเด็นที่กูอยากรู้ก็คือ...” ไอ้เจมส์เว้นจังหวะพลางสบตาเขาเหมือนต้องการจะล้วงความจริง “...มึงเริ่มเปิดใจให้น้องมันแล้วใช่ไหม”

                ความรู้สึกของของในตอนนี้เหมือนถูกทุบเข้าที่หลังจนจุก “กูก็แค่...”

                “ถ้าโกหกไม่เก่งก็พูดความจริงเถอะ”

                เขาหันไปมองหน้าไอ้เจมส์ที่ทำหน้านิ่งรอคอยคำตอบ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                “เออ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ที่มันพยายามเข้าหา ในหัวของกูก็เอาแต่คิดมากเรื่องของมัน”

                “ไม่หรอก เรื่องที่ทำให้มึงคิดมากคือเรื่องของไอ้พี่คินต่างหาก”

                และเป็นอันต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเจมส์อย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเอง “มึงรู้ได้ไง”       

                “ถ้ามึงจำได้ว่ากูคือเดือนคณะ มึงก็น่าจะจำได้ว่าคนที่อยู่กับมึงตอนช่วงคัดเลือกดาวเดือนแทบจะตลอดเวลาก็คือกู แล้วมันจะแปลกอะไรที่กูจะรู้เรื่องของมึงกับพี่คิน”

                “อืม...กูก็ไม่น่าถาม”

                “มึงกลัวใช่ไหมว่าไอ้โฟโต้มันจะทำเหมือนที่พี่คินเคยทำกับมึง”

                และเขาก็ได้แต่พยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ก่อนที่เจมส์จะเอามือมาวางบนไหล่ของเขาและออกแรงบีบเบาๆ

                “ไอ้เต้ ในเมื่อมันไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ทำไมมึงต้องกลัวด้วยวะ”

                “ถ้ามึงยังจำเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองได้ มึงก็จะรู้คำตอบ”

                เจมส์เงียบไปสักพักก่อนจะหันมาพูดต่อ “กูเข้าใจละ มึงอยากรู้ว่าการที่ไอ้โฟโต้จีบมึงเป็นเพราะมันชอบมึงจริงๆ หรือเป็นเพราะเรื่องอาถรรพ์สายรหัส ตอนที่อยู่ในห้องเก็บของมึงก็เลยบอกว่ามึงยังไม่เชื่อใจมันเรื่องอื่น...ใช่ไหม”

                “ก็ใช่ เพราะตราบใดที่กูยังไม่มั่นใจในความรู้สึกของมัน กูคงจะเดินหน้าต่อไม่ได้”

                “มันไม่ยากหรอกถ้าจะพิสูจน์ความจริงใจของใครสักคน” เจมส์พูดออกมาพร้อมกับสบตาฮ่องเต้ด้วยความแน่วแน่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “กูจะช่วยมึงเอง”

               
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:41:58
ตอนที่ 33 จุดเริ่มต้น

                หลังจากที่ทุกคนซ้อมเดินกันจนครบ เดือนคณะแต่ละชั้นปีก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการพูดคุยกับรุ่นน้องเรื่องการแสดงต่อจนเสร็จ

                และเป็นโฟโต้กับนัทก็เดินเข้ามาหารุ่นพี่ปีสี่อย่างฮ่องเต้ที่กึ่งนั่งกึ่งยืนดูอยู่ แต่เพราะเด็กปีหนึ่งที่เขาพอจะจำได้ว่าชื่อฝ้ายเดินเข้ามาตัดหน้า ดึงแขนโฟโต้เสียก่อน มันเลยจำต้องหยุดยืนคุยกับเด็กคนนั้น จึงเหลือเพียงแค่นัทที่เดินมาหาเขา

                หากแต่สายตากลับละไปจากอีกสองคนไปไม่ได้เลย...

                มันทำให้ใบหน้าของเขาตึง หัวใจระส่ำระส่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่ไม่ใช่หนแรกที่เขารู้สึกเช่นนี้ แต่เป็นครั้งที่สอง...เขาไม่ชอบใจเลยที่ต้องมาเห็นโฟโต้สนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้น บอกตามตรงเลยว่ามันทำให้เขา...หวาดกลัว

                กลัว...ว่าเรื่องที่เขาระแวงมาตลอดจะเกิดขึ้นมาจริงๆ

                “พี่เต้จะกลับเลยหรือเปล่าครับ”

                ฮ่องเต้ผละมามองหน้าคนเอ่ยถาม ก่อนจะเหลือบมองไปทางโฟโต้กับฝ้ายอีกครั้ง สักพัก จึงพยักหน้าให้กับนัท

                “อืม คงจะอย่างนั้น”

                “คือ...ผมขอติดรถไปด้วยได้หรือเปล่าครับ พอดีผมไม่ได้เอารถมา”

                “ได้ดิ กูว่าจะแวะไปหาไอ้สีฝุ่นอยู่พอดี”

                ฮ่องเต้ตอบออกไปโดยไม่ทันคิดไตร่ตรองและก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ดลใจเขาให้พูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ใจจริงเขากำลังรอโฟโต้ แต่พอเห็นแบบนั้นแล้ว มันทำให้เขาไม่อยากจะรอ...เปล่าหรอก เขาแค่หงุดหงิดที่ต้องรอใครนานๆ ก็เท่านั้น ทั้งที่ใครคนนั้นอาจจะไม่ได้อยากมากับเขาจริงๆ  ขืนรอไปก็คงรอเก้ออยู่ฝ่ายเดียว 

                ถึงแม้ว่าเขาจะคุยอยู่กับไอ้นัท แต่สายตากลับไปโฟกัสที่ไอ้โฟโต้อย่างลืมตัวและนั่นทำให้นัทต้องมองตาม

                “ตอนแรก ผมจะกลับกับโฟโต้ แต่พอดีมันต้องไปส่งฝ้าย แล้วดูเหมือนว่าเธอมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับโฟโต้น่ะครับ ผมเลยไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน”

                คำพูดของนัทยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัว มันทำให้เขายิ่งละสายตาจากสองคนนั้นไม่ได้ ในใจได้แต่ร้องภาวนาว่าอย่าให้สองคนนั้นไปด้วยกัน แต่เขาคงจะลืมไปว่าตัวเองไม่ใช่เทวดาที่ไหนถึงจะเสกให้อะไรเป็นไปตามที่ใจคิดก็ได้ ซึ่งนั่นมันทำให้เขาหงุดหงิด ยิ่งเห็นมือของฝ้ายที่จับแขนโฟโต้และท่าทางสนิทสนมนั่นด้วยแล้ว ยิ่งพาลให้อารมณ์ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

                ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเขาเพราะครั้งหนึ่งคนที่ชื่อคินก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว พี่คินเคยทำให้หลงเชื่อมาแล้วว่าผู้หญิงที่สนิทด้วยมากที่สุดเป็นเพียงเพื่อนของตน สุดท้าย ฮ่องเต้ก็กลายเป็นเด็กปีหนึ่งโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

                บางที เขาอาจจะคิดถูกที่ไม่เชื่อใจเด็กโฟโต้ตั้งแต่แรกเพราะไม่แน่ว่าโชคชะตาอาจจะเล่นตลกโดยการส่งโฟโต้มาซ้ำรอยแผลเดิมอีกก็ได้

                “ไปเหอะ” ฮ่องเต้หันไปบอกกับนัทและหันหลังเดินหนีออกมาจากลานซ้อมกิจกรรมทันที

 

                ฮ่องเต้ขับรถมาจนกระทั่งถึงหอสีฝุ่น เขาไม่ค่อยได้คุยกับนัทมากนักเท่าไหร่เพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่านของตัวเอง นี่ขนาดว่าเขาแค่ลองเปิดใจให้อีกฝ่ายเองนะ ยังไม่ทันได้เริ่มคุยกับมันเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง แต่พอเห็นมันควงแขนกับผู้หญิงคนอื่น เขากลับรู้สึกหงุดหงิดเป็นจนแทบบ้า! และอารมณ์ของเขาก็คงจะไม่พุ่งถึงขีดสุด ถ้าสีฝุ่นมันอยู่ที่ห้องในตอนนี้

                “พี่ไปอยู่รอที่ห้องของผมก่อนไหมครับ”

                นัทเสนอความเห็น หลังจากที่ฮ่องเต้โทรหาไอ้เจ้าของห้องเจ็ดศูนย์สามเกือบยี่สิบรอบแล้ว แต่ก็ไร้วี่แววการตอบกลับ สงสัยว่าเขาจะมาเสียเที่ยว ว่าจะปรึกษามันเรื่องโฟโต้สักหน่อย แต่ดันหายหัวไปแบบนี้ โคตรจะพึ่งพาได้เลย!

                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูกลับหอเลยดีกว่า เผื่อไอ้ฝุ่นมันไปนอนหอเพื่อน” เขาทำอ้างไปอย่างนั้นเพราะขี้เกียจรอปนไม่อยากเข้าห้องนัทด้วยความรู้สึกไม่สบายใจแบบนี้

                “ถ้าอย่างนั้น ก็ขับรถกลับดีๆ นะครับ ขอบคุณพี่ที่มาส่งผม”

                “อืม ไม่เป็นไร” เขาพยายามฝืนยิ้มไปให้ ทว่าจังหวะที่กำลังหมุนตัวหันหลังจะเดินกลับนั้นเอง ป้าคนที่คอยดูแลหอพักก็วิ่งเข้ามาหาและเขย่าแขนนัทยกใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ต้องหยุดมองตาม

                “อยู่นี่เอง ป้าโทรหาเราตั้งนานก็ไม่รับ”

                “มีอะไรเหรอครับ” นัทเองก็ดูงงๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

                “ก็ไอ้พวกเดิมนั่นแหละ มันบอกว่าถ้าเราไม่ลงไปเจอ พวกมันจะพังข้าวของของป้า นัทช่วยไปไกล่เกลี่ยกับพวกมันที ถือว่าป้าขอร้องนะ”

                ป้าแกพูดจบ นัทก็รีบหุนหันวิ่งออกไปทันที ไอ้เขาที่ตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้ยินก็วิ่งตามไปดูด้วยความเป็นห่วง พอลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง ก็รีบตามไปนัทไปทั่ว ก่อนจะเจอกลุ่มผู้ชายท่าทางนักเลงจำนวนสี่คนอยู่ตรงด้านหลังหอพัก ซึ่งติดกับโกดังเก็บของเก่าๆ ซึ่งคนไม่ค่อยพลุกพล่าน

                “โผล่หัวมาแล้วเหรอวะ ไหนล่ะ ที่มึงรับปากว่าจะหามาจ่าย!”

                “ผมกำลังหาอยู่...”

                “เหรอวะ มึงกำลังหาหรือว่าตั้งใจจะเบี้ยวกันแน่วะ ถึงได้หลบหน้า จนพวกกูต้องตามหามึงถึงที่นี่”

                 ไอ้พวกนี้ เป็นเจ้าหนี้ของไอ้นัทอย่างนั้นสินะครับ

                ฮ่องเต้ยืนมองสถานการณ์อยู่เบื้องหลังอย่างรอจังหวะ ทว่ากลับกลายเป็นพวกมันที่เล็งเป้ามาทางเขาเสียก่อน พวกมันหันไปกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่าง ก่อนที่ไอ้หัวหน้าแก๊งของมันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเขาพร้อมกับแสยะยิ้ม

                “อะไรกันวะ นี่มึงจนตรอกถึงขั้นต้องพาคนสำคัญมาใช้หนี้แทนเลยวะ”

                “ออกไป!” เป็นนัทที่เข้ามาขวางตรงหน้าเขา อารมณ์ของมันเริ่มพุ่งพล่านจนสังเกตเห็นได้ชัดจากสีหน้าโกรธของมันที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

                “เหอะ จะทำอะไร มึงก็ควรจะคิดให้ดีๆ มันจะเดือดร้อนตัวมึงเสียเปล่า”

                “กูคิดดีแล้ว” นัทโพล่งออกไป ทำให้ไอ้พวกทวงหนี้เริ่มโมโห

                “ดี! งั้นมึงก็จ่ายไอ้ที่ค้างเอาไว้สองแสนนั่นมาซะ! กูจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาทวงมึงอีก”

                สองแสน...

            ทำไมไอ้นัทถึงได้ติดหนี้มากมายแบบนั้น

                “ผมขอคืนแค่ดอกเบี้ยก่อน” นัทพยายามต่อรอง ซึ่งฮ่องเต้ก็รอฟังว่าพวกมันจะเอายังไงต่อ

                “ดอกเบี้ยเหมาจ่ายสามหมื่นบาท ถ้ามึงมีให้ กูก็จะปล่อยมึงไป”

                และเป็นอันที่นัทต้องหน้าเสียทันทีที่มันพูดเช่นนั้น หน้ามันตึงเครียดจนฮ่องเต้เองก็อดเป็นห่วงไม่ได้

                “ผม...ขอเวลาหนึ่งสัปดาห์”

                “เหอะ มึงคิดว่าพวกกูเสียเวลามาหามึงที่นี่ทุกวันเพื่อต่อเวลาให้มึงอย่างนั้นเหรอ กูว่า...ถ้ามึงไม่มีให้ ลองจ่ายด้วย...ก่อนไหมล่ะ”

                คำที่หายไปเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนพูดส่งสายตามามองทางฮ่องเต้ ทำให้นัทต้องเหลือบตามองตามด้วยความไม่พอใจ

                “ไม่มีทาง คนที่เป็นหนี้คือกู ไม่ใช่...” นัทเองก็เว้นคำเอาไว้อย่างต่างคนต่างรู้กันดีว่ากำลังพูดเรื่องอะไร เห็นจะมีต่ฮ่องเต้ที่ยังคงเข้าใจแค่ว่าพวกนั้นต้องการเงินจำนวนสามหมื่นจากนัทก็เท่านั้น

                “ถ้ามึงไม่ยอม แถมเงินก็ไม่มีจ่ายให้กูแบบนี้...” และมันก็แสยะยิ้ม “...จ่ายด้วยเลือดหัวมึงแทนก็แล้วกัน”

                “เดี๋ยว!!”

                เป็นฮ่องเต้ที่ร้องห้ามขัดจังหวะพวกมันที่กำลังกรูเข้ามาหมายจะทำร้ายร่างกายนัทเต็มที่ ใจของเขาเต้นระส่ายระส่ำกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าและถ้าเขาปล่อยให้รุ่นน้องของตัวเองเป็นอะไรไป โดยที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร เขาเองก็คงจะเรียกว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ไม่ได้

                “ตอนนี้ มึงต้องการแค่สามหมื่นใช่ไหม”

                “ทำไม มึงจะจ่ายแทนมันอย่างนั้นเหรอ” หนึ่งในพวกนั้นแค่นเสียงหัวเราะใส่ ก่อนที่พวกมันจะสตันไปเมื่อฮ่องเต้สวนกลับไปว่า

                “ใช่ เดี๋ยวกูจะไปกดเงินมาให้ แต่ถ้าพวกมึงกลัวว่ากูจะหนี จะตามมาก็ได้”

                เขาบอกไปแค่นั้น ก่อนที่พวกมันจะหันหน้าปรึกษากันและตัดสินใจให้หนึ่งนั้นเป็นคนตามเขาไปที่ตู้กดเงินซึ่งอยู่ใกล้กับหอพักนี้มากที่สุด โดยให้นัทอยู่รอกับพวกมันเพื่อเป็นตัวประกันเผื่อผมคิดหนี

                “คิดมาตลอดว่าคนอย่างมึงจะฉลาด”

                ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหันไปมองตามเสียงของคนที่ตามเขามาอย่างไม่เข้าใจ มันพูดเหมือนมันรู้จักเขาอย่างนั้นแหละ

                “มึงหมายความว่าไง”

                เขาถามมันกลับ ขณะที่มือก็คลิกทำรายการที่ตู้กดเงินตรงหน้า โชคดีที่จำนวนเงินในบัญชีเหลืออยู่ประมาณห้าหมื่นต้นๆ  มันเป็นเงินเก็บที่ผมสะสมมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งบวกกับเงินได้มาจากงานพาร์ทไทม์อีกเล็กน้อย ยังดีที่เขาเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ เผื่อวันหนึ่งจะเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างเช่นในตอนนี้

                “ไม่ใช่เรื่องที่กูต้องตอบ”     

                กวนตีนฉิบหาย...

                ฮ่องเต้รีบกดเงินออกมาและยื่นให้กับมัน “จะนับซ้ำก็ได้นะ”

                “ไม่ว่ะ คนอย่างมึงไม่น่าจะโกง”

                และคำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้ฮ่องเต้ต้องมองหน้ามันอย่างไม่สบอารมณ์

                “ไปได้แล้ว”

                มันบอกก่อนจะปล่อยให้เขาเดินนำ ส่วนมันคุมอยู่ทางด้านหลัง เขาจึงรีบสาวเท้าเดินให้เร็วที่สุดเพราะอยากให้เรื่องรีบจบๆ ไป ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่ดังมาจากทางด้านหลังหอพัก

                และสิ่งที่เขาเห็นก็คือร่างของนัทที่ล้มลงไปตรงหน้า แต่เพราะหัวหน้าของมันหันมาเห็นเขาก่อน มันเลยสั่งให้ลูกน้องที่กำลังจะซัดหมัดเข้าที่หน้าของนัทอีกครั้งให้หยุด

                “มึงไม่น่ามาเร็วเลยว่ะ”

                “พวกมึงทำเหี้ยอะไรวะ ไหนมึงบอกถ้าจ่ายค่าดอกเบี้ยแล้วจะปล่อยไง!!” ฮ่องเต้ตะโกนใส่หน้าพวกมันและลงไปช่วยดูอาการนัทที่นั่งอยู่กับพื้น

                “กูก็ไม่ได้บอกนี่ว่าที่กูจัดมันยกนี้เพราะเรื่องเงินที่มันติดไว้...” ไอ้หัวหน้าของมันสาวเท้าเข้ามาใกล้ พลางนั่งลงตรงหน้าพวกเขาสองคนและจ้องหน้านัทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น สายตาของมันไล่ไปตามรอยแผลที่ลูกน้องมันได้สร้างเอาไว้อย่างสาแก่ใจ

                “...นี่คือบทเรียนสำหรับไอ้พวกอ่อนหัดและคนทรยศ!!”

                นี่มันยังมีเรื่องอะไรอีก นอกจากเรื่องเงินที่ไอ้นัทติดมันไว้

                “ถ้าพวกมึงยังไม่หยุด พวกมึงได้โดนข้อหาทำร้ายร่างกายแน่” เขาขู่มันอย่างไม่เกรงกลัวเพราะท่าทีที่ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดจะยังไม่จบลงง่ายๆ  แต่มันกลับตอกหน้าเขาอย่างไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

                “เก็บความอวดดีของมึงเอาไว้ปกป้องตัวเองเถอะ”

                “ไม่ต้อง...ปกป้องผมหรอก” นัทปริปากพูดออกมาพลางจ้องตากับไอ้พวกทวงหนี้ “...ทั้งหมดมันเป็นเพราะผม มันเป็นความผิดของผมแค่คนเดียว”

                “หึ ชีวิตมึงนี่มันน่าสมเพชจริงๆ” หัวหน้าของพวกมันแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจ ก่อนที่มันจะหันไปถามคนที่ตามฮ่องเต้ไปกดเงินเมื่อครู่

                “ครบใช่ไหม”

                “ทุกบาททุกสตางค์ครับพี่”

                “เอาไว้กูจะตามมาทวงอีกสองแสนกับดอกเบี้ยที่เหลือก็แล้วกัน” พูดจบมันก็พากันเดินออกไป ทิ้งไว้แค่ฮ่องเต้กับนัทที่กำลังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด

                “ไหวไหมวะ” ฮ่องเต้เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

                “ไหวครับ”

                ฮ่องเต้มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาเพราะในเวลาแบบนี้ อีกฝ่ายก็ยังจะฝืนยิ้มให้กับเขาอีก

                ฮ่องเต้ช่วยพยุงนัทให้ลุกขึ้นและพาขึ้นไปบนห้อง แต่เพราะในห้องของนัทไม่มีอุปกรณ์ทำแผลเลยสักชิ้น เขาจึงต้องออกไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลที่ร้านขายยาซึ่งอยู่ห่างออกไปหอพักพร้อมกับแวะซื้อมื้อเย็นมาเผื่อนัทด้วย และเพราะตอนนี้ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าแล้ว (กว่าจะเลิกซ้อมดาวเดือนก็เกือบทุ่มกว่า) รถบนถนนเลยติดเป็นพิเศษ ทำให้เขากลับไปถึงหอพักของนัทเอาตอนเกือบจะสามทุ่ม

                หลังจากขึ้นมาข้างบนห้อง นัทที่อาบน้ำตามที่เขาสั่งเอาไว้ก็มาเปิดประตูให้เขาเข้าไปข้างใน ก่อนที่เขาจะลากมันไปที่นั่งที่เก้าอี้และจัดการทำแผลให้กับมัน

                “เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ” นัทพยายามแย่งอุปกรณ์ทำแผล แต่ฮ่องเต้ก็ชักมือหนีเพราะไม่อยากให้นัททำแผลเอง

                “มึงมองเห็นแผลหรือไง”

                “แต่ว่าผมเกรงใจ”

                “เกรงใจทำไมวะ มึงก็รุ่นน้องคณะกูนะเว้ย”

                “พี่ฮ่องเต้...” จู่ๆ นัทก็เรียกเขาเสียงอ่อน ทำให้เขาอดหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่กำลังมองมาทางเขาด้วยแววตาเหมือนคนสำนึกผิดไม่ได้

                ทำไมมันต้องมองผมแบบนั้นกัน

                “อย่าทำดีกับผมมากนักจะได้ไหมครับ ยิ่งพี่ดีกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเจ็บ”

            เชี้ยละไง...

                ฮ่องเต้หน้าเหวอทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนจะทำเป็นแกะห่อสำลีและฝาขวดแอลกอฮอล์ล้างแผลอย่างต้องการจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง  ในหัวตอนนี้คิดแต่ว่าตัวเองควรพูดอะไรออกไปในเวลาแบบนี้

                “ผมขอโทษนะครับ ที่ผมดันทุรัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าใจของพี่เป็นของไอ้โฟโต้ไปแล้ว”

                คำว่า โฟโต้ ดังสะดุดหูจนฮ่องเต้เผลอชะงักมือตาม หัวใจมันเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

                “ท่าทางพี่คงจะไม่รู้ว่าตอนที่พี่อยู่กับไอ้โฟโต้ พี่มีความสุขมากแค่ไหน...”

                ฮ่องเต้แปลกใจกับคำอธิบายของอีกฝ่ายที่เหมือนจะรู้ดีไปเสียทุกอย่าง 

                “ตอนนั้น พี่เป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะพูด กล้าที่จะเผชิญหน้า แม้ว่าไอ้โฟโต้มันจะเอาแต่กวนประสาทหรือไม่ก็บังคับให้พี่ทำตามใจมันก็ตาม แต่พี่ก็ไม่เคยโกรธเลยไม่ใช่เหรอครับ”

                โกรธ...

                คำๆ เดียวที่ทำให้เขานึกย้อนไปถึงสิ่งที่เขาเคยพูดกับโฟโต้เอาไว้

            “ไม่ว่ามึงจะทำอะไร กูก็ไม่เคยโกรธมึงหรอก รู้เอาไว้แค่นี้แหละ” 

                “คิดเรื่องของโฟโต้อยู่สินะครับ”

                ฮ่องเต้เผลอหันไปมองหน้านัทอีกครั้ง ก่อนจะเสมองไปทางแผลบนใบหน้าของมันที่เขากำลังใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดแผลให้ ถึงแม้มันจะทำหน้านิ่วไปเล็กน้อย แต่มันก็กลับมายิ้มเหมือนเดิม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้า

                “พี่เชื่อในรักแท้หรือเปล่า”

                เขามุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจกับคำถามของมัน “จู่ๆ ทำไมถึงถามเรื่องนี้”

                “สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม เพื่อนคนหนึ่งของผมเคยบอกเอาไว้ว่ารักแท้จะตามหาเราเสมอ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ส่วนไหนของโลก...”

                ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนเคยได้ยินคำพูดแบบนี้จากที่ไหน...

                “ผมไม่เคยเชื่อแบบนั้นเลยสักครั้ง แต่เพื่อนของผมคนนั้น มันกลับเชื่อแบบนั้นมาโดยตลอดและมันก็กำลังพิสูจน์ให้ผมเห็นว่าคำพูดของมันเป็นความจริงมาโดยตลอด แล้วพี่ฮ่องเต้ล่ะครับ คิดยังไง”

                ฮ่องเต้นิ่งไปสักพักอย่างใช้ความคิดก่อนจะตอบ ขณะที่มือก็ใส่ยาที่แผลให้กับนัท

                “เชื่อดิ กูเชื่อมาตลอดนั่นแหละว่ารักแท้มีจริงและสักวันมันจะตามหาเราจนเจอเอง”

                ท้ายประโยค ฮ่องเต้รู้สึกได้ว่าตัวเองเสียงแผ่วลงไป แต่มันกลับทำให้นัทหัวเราะออกมาเบาๆ  เขาจึงจัดการทำแผลให้นัทเสร็จก็จัดแจงให้มันกินข้าวกินยาต่อ ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับหอเพราะเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบห้าทุ่มแล้ว

                “ขอบคุณพี่มากนะครับ ผมจะพยายามหาเงินมาใช้คืนพี่ให้เร็วที่สุด”

                จริงสิ เขาเกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยครับ

                “แล้วเงินตั้งสองแสน มึงจะไปหาที่ไหนมาใช้คืนวะ”

                นัทนิ่งไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับฮ่องเต้ ด้วยสายตาที่เหมือนกำลังต้องการอยากจะบอกอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ทำเพียงแค่ฝืนยิ้มและพูดกับรุ่นพี่ของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

                “พี่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ยังไงผมก็หาเงินก้อนนั้นมาได้แน่นอน”

                เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะมองหน้านัทเพื่อสื่อว่าเขาจริงจังกับสิ่งที่พูด “ถ้ามึงมีปัญหาอะไร มึงต้องรีบบอกกู เข้าใจไหม”

                เขาเป็นห่วงนัทจริงๆ นะ ยิ่งได้เห็นรอยแผลที่หน้าและตามตัวของมันแล้ว เขายังรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่เลย

                “เข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ขับรถกลับดีๆ นะครับ”

                “อืม”

                เขารับคำแค่นั้น ก่อนจะออกจากห้องของนัทและลงมาที่ลานจอดรถด้านล่าง ชะเง้อมองหารถไอ้สีฝุ่นเผื่อว่ามันจะกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววเช่นเคย ท่าทางมันจะออกไปกับเพื่อนของมันนั่นแหละ ดังนั้น เขาเลยได้แต่ขึ้นรถและขับออกไป กว่าจะกลับมาถึงหอตัวเองก็ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว จึงกะรีบขึ้นหอไปสะสางงานเล็กน้อยและอาบน้ำนอน ทว่าทันทีที่ผมก้าวเข้ามาข้างในหอพัก ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทัก

                “ขอโทษนะ เธออยู่หอนี้หรือเปล่า”

                “ครับ” ฮ่องเต้รับคำแบบงงๆ  ท่าทางของเธอดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ฮ่องเต้จึงคิดไปว่าเธอคงจะมารอลูกชาย

                “ถ้าอย่างนั้น ช่วยอยู่เป็นเพื่อนน้าหน่อยได้หรือเปล่า พอดีน้ารอสามีมารับน่ะ”

                ฮ่องเต้ชะงักหันไปมองรอบข้างที่ไม่มีใครอยู่ด้วยความลังเลใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลงเพราะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว แถมตอนนี้ยังดึกมาแล้วด้วย เกิดอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็จะได้มีคนช่วยทัน

                ผมยังไม่หายตกใจกับเรื่องที่ไอ้นัทเจอในวันนี้เลยครับ

                “ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวไปนั่งรอที่โซฟาละกันนะครับ”

                เขาพูดอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะพาเธอไปนั่งที่โซฟา...

 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:43:20
ตอนที่ 34 คิดมาก

                ทั้งที่รู้ว่าวันนี้มีสอบย่อย แต่เขากลับเอาแต่เหม่อลอยไปจนเกือบจะหมดชั่วโมง ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองทำข้อสอบเสร็จตอนไหน แถมก่อนหน้านั้น กว่าเข้าใจโจทย์ที่ถาม ก็ต้องอ่านวนไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขาจำไม่ได้เลยสักนิด ว่าในหน้ากระดาษถามเกี่ยวกับเรื่องอะไร จึงได้แต่หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเพื่อนทั้งหลายที่กรูเข้ามาถามไถ่เรื่องสอบวันนี้และรีบกลับหอ เพราะวันนี้เขามีเรียนแค่คลาสบ่าย (วิชาที่เพิ่งสอบเสร็จไปนั่นแหละ)

                ทีแรก กะจะมานอนเอาแรงเสียหน่อย หลังจากที่เมื่อคืนนอนไม่หลับเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น มันยังฝังอยู่ในหัวของเขา จากการได้เจอผู้หญิงคนนั้น...เมื่อคืน ความคิดของเขาก็ฟุ้งซ่านไปหมด จนตอนนี้ มือที่กำลังเก็บเสื้อผ้าลงในตะกร้าเป็นอันต้องชะงักตามพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอยไปไกล คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลใจชนิดที่สลัดยังไงก็ไม่หลุดออกไปจากเรื่องนี้ได้เสียที

 

                “จะว่าไปแล้ว เราก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ ท่าทางจะเนื้อหอมน่าดู” คนข้างกายพยายามชวนเขาคุย ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มต่อว่า “มีแฟนหรือยัง”

                และมันก็ทำให้เขานิ่งไปสักพักก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ไม่มีครับ”

                “เหรอ...” พลันน้ำเสียงและสีหน้าไม่อยากจะเชื่อของเธอก็ปรากฏ “...แล้วคนคุยล่ะ ไม่มีเลยเหรอจ๊ะ”

                “เอ่อ...” และฮ่องเต้ก็ชะงักงันไปอีกครั้งเพราะจู่ๆ หน้าเด็กที่ชื่อโฟโต้ก็ลอยเข้ามาแทรก ทำให้เขาต้องตั้งสติก่อนจะหันไปตอบปฏิเสธ “...ไม่มีครับ”

                “ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าอย่างเราจะไม่มีสาวๆ คนไหนจับจอง” เธอหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งเขาเองก็ทำได้แค่ยิ้มแห้ง

            ก็ใช่ว่าความสัมพันธ์แบบเขาจะเปิดเผยได้อย่างง่ายๆ ยิ่งอะไรๆ ไม่ชัดเจนแล้วด้วย มันก็ยากที่จะพูด

                “น้าเองก็มีลูกชายเหมือนกัน คนแรกก็มีแฟนไปแล้ว เหลือแต่น้องชายของเขา...”

                ฮ่องเต้เหลือบมองคนข้างกายที่กำลังเหม่อมองไปยังประตูด้านนอกและเล่าเรื่องของลูกชายตัวเองให้เขาฟังต่อ

                “...ที่ผ่านมา เขาไม่เคยทำให้น้าเป็นห่วงเลย ทั้งเรื่องการเรียนหรือกระทั่งเรื่องแฟน น้าเองก็รู้สึกภูมิใจที่เขาสอบเข้าเรียนที่มอภัคนลินได้ คิดว่าอนาคตของเขาจะต้องดี น้าคิดแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่ง น้าได้ยินมาว่า...เขากำลังตามจีบผู้ชายคนหนึ่งอยู่”

                ใจของเขากระตุกวูบทันที อีกฝ่ายเองก็หันมาสบตากับเขาอย่างสื่อความหมายเช่นกัน

                “...แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ สมัยนี้ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด คงไม่มีใครมาถือเรื่องแบบนี้กัน” เธอเว้นจังหวะและมองหน้าเขาด้วยสายตาที่คาดเดาได้ไม่ยาก

                สายตาของคนเป็นแม่ที่ต้องการจะปกป้องลูกชายของตนเอง...

                “แต่ถ้าเธอเป็นแม่เขาจะคิดยังไงถ้าลูกชายของเธอคบกับผู้ชายกันเอง”

                “...”

                “ความสัมพันธ์ที่ไร้อนาคตแบบนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับลูกชายของเธอเอง เธอจะทำยังไง”

 

                เธอจะทำยังไง...

                ทั้งหมดมันวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดทั้งคืนจนกระทั่งในความฝัน ยอมรับว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดมาทั้งหมด ทำให้เขาเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ในใจ ต่อให้สมัยนี้หรือสมัยไหน มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับของคนเป็นพ่อแม่อยู่วันยังค่ำและมันก็ทำให้เขายิ่งคิดถึงคำพูดของใครบางคนในวันที่เขาเลือกให้ใจกับเขาไปแล้ว

 

                “พี่ขอโทษ แต่เต้ก็รู้ว่าความรักแบบเรามันเป็นไปไม่ได้ ครอบครัวของเราทั้งคู่ไม่มีทางรับเรื่องแบบนี้ได้หรอก ไอ้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสอะไรนั่น มันก็แค่เรื่องที่กู่ขึ้นเพื่อหลอกนักศึกษาก็เท่านั้น เรากลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมเถอะ”

 

                พี่คินเอาแต่พูดว่าทุกอย่างมันไม่มีทางเป็นไปได้ ขณะที่เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รักกับอีกฝ่าย

                นี่คือเหตุผลที่ทำให้ฮ่องเต้กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่กับใคร โดยเฉพาะกับคนในสายรหัสหรือกระทั่งสายเทค อาจจะเป็นเพราะคำพูดของพี่คินที่ว่า “... เรื่องอาถรรพ์สายรหัสอะไรนั่น มันก็แค่เรื่องที่กู่ขึ้นเพื่อหลอกนักศึกษาก็เท่านั้น...” มันฝังรากลึกลงไปในใจจนกลายเป็นอคติไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อยากจะคิดแบบนั้น แต่เมื่อไหร่ที่เขาคิดจะปฏิเสธ ความกลัวกลับผุดขึ้นมาและมันก็มากเสียจนเขาไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีก พาลให้เขาสับสนในตัวเองว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกยังไงและเอาแต่ลังเลว่าเขาควรจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า

                ผมควรที่จะรักหรือหยุดความสัมพันธ์เอาไว้แค่รุ่นพี่รุ่นน้องกัน...

                ยิ่งได้เห็นโฟโต้เดินไปกับฝ้ายเมื่อวานด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้หงุดหงิดใจขึ้นมา แม้ว่าเขาจะพยายามปลอบใจตัวเองว่าบางที ฝ้ายอาจจะมีเรื่องปรึกษาโฟโต้จริงๆ อย่างเรื่องเรียน ก็ช่วงนี้ต้องซ้อมดาวเดือน แถมยังต้องเข้าห้องเชียร์ ต้องเรียนหนัก แถมเวลาน้อย เธออาจจะขอให้โฟโต้ไปช่วยติวให้ที่ห้อง แล้วก็....

                เฮ้ย! บ้าน่า คงไม่ถึงขั้นเข้าห้องกันหรอกมั้ง

                แล้วทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยไปได้ แค่มันไปกับเพื่อนเอง...แค่เพื่อน...

                แต่ไปกับเพื่อนผู้หญิงเนี่ยนะ

            เสียงจิตใต้สำนึกร้องเตือน

                เพื่อนกัน เขาไม่มีทางทำอะไรเกินเลยหรอก

                จิตสำนึกกลับเห็นต่างออกไป

                แล้วถ้าเกิดฝ้ายสารภาพว่าชอบโฟโต้ล่ะ

                จิตใต้สำนึกยังคงไม่ยอมแพ้

                แต่โฟโต้กำลังจีบมึงอยู่นะเว้ย

                 จิตสำนึกพยายามคัดค้าน

                ก่อนที่ฮ่องเต้จะสะบัดหน้าไล่ความคิดให้เสียงพวกนั้นหายไปและสรุปกับตัวเองว่าเขาควรจะปล่อยวาง  ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่ชาร์ตทิ้งก่อนออกไปสอบเพราะแบตหมดตั้งแต่เมื่อคืน แต่เขาดันมารู้เอาเสียตอนก่อนจะออกไปสอบ (ก็เขาไม่ใช่คนติดมือถือจนต้องเปิดดูตลอดเวลานี่นา) ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้เขาเด้งตัวไปที่ข้างเตียงและหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู แอบหวังว่าจะเห็นคำอธิบายจากโฟโต้ แต่เปล่าเลย...

                หมายถึงโทรศัพท์ผมนี่แหละครับ ที่มีแต่ความว่างเปล่า

                สงสัยเมื่อคืนจะมัวแต่คุยกับฝ้ายจนดึกดื่น กว่ามันจะได้นอนก็คงข้ามวันพอดี สายป่านนี้ เลยยังไม่ตื่นล่ะมั้ง 

                ฮ่องเต้โยนมือถือลงบนเตียงและลุกขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งเขาใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นธรรมดาเพราะวันนี้ไม่ได้ออกไปไหนไกล ก่อนจะเดินไปหยิบตะกร้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าของสัปดาห์นี้ ยกเว้นแค่ชุดนักศึกษาที่เขาซักตากเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะด้วยความที่เสื้อมันเป็นสีขาวและไอ้เขาก็กลัวว่าเครื่องมันจะซักไม่สะอาด เลยซักทุกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จ

                หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย ฮ่องเต้ก็เดินเอาผ้าลงมาซักที่เครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญที่อยู่ตรงข้างหอและในขณะที่เขาเอาผ้าชิ้นสุดท้ายใส่ลงในเครื่องนั้นเอง

                “พี่เต้...”

                ฮ่องเต้หันไปมองด้านหลังแบบงงๆ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อโฟโต้พุ่งเข้ามาหาเขา ใบหน้าตึงเครียดแบบที่เขาไม่เข้าใจ

                เออ กูก็ไม่เข้าใจมึงเหมือนกันเว้ย!

                หน้าตาโฟโต้ดูเหมือนคนอดหลับอดนอนมา จนฮ่องเต้อดคิดไปไม่ได้ว่ามันคงจะคุยกับเพื่อนจนดึกจริงๆ

                “ที่พี่บอกผมเมื่อวาน มันเรื่องจริงเหรอครับ”

                ฮ่องเต้สตันไปสามวินาทีกับคำถามที่ไม่มีที่ไปที่มาของอีกฝ่าย ก็เมื่อวาน หลังจากซ้อมดาวเดือนเสร็จ เขาก็ไม่ได้คุยกับมันเลยนี่ มันก็สมควรเป็นเขาหรือเปล่าที่ต้องทำหน้าไม่เข้าใจ

                “พี่ต้องการแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

                ต้องการ?

            แบบนั้น?

                “อะไรของมึงวะ”

                เขามองอีกฝ่ายที่ผ่อนลมหายใจอย่างต้องการจะสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ก่อนที่มันจะค่อยๆ อธิบาย

                “เมื่อวาน หลังจากที่ผมพยายามโทรหาพี่ แล้วพี่ไม่ยอมรับสาย ผมเลยส่งข้อความไปหาเพื่ออธิบายว่าระหว่างผมกับฝ้าย มันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้น แม่ของฝ้ายเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนโจรทำร้าย แต่เธอไม่ได้เอารถมา เลยขอผมไปส่งและขอให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเอง”

                ทันทีที่โฟโต้พูดจบ ฮ่องเต้ก็ชาวาบไปทั้งร่าง...

            แม่ของฝ้ายเขาโรงพยาบาล แต่ผมกลับเอาแต่หงุดหงิดและตัดพ้อไอ้โฟโต้ ผมนี่มันแย่ชะมัด

                “...ทีแรก ผมคิดว่าพี่จะเข้าใจ แต่จู่ๆ พี่ก็บอกว่าให้ผมเลิกยุ่งกับพี่สักทีเพราะพี่ไม่มีทางชอบผม อีกอย่างพี่ก็เห็นว่าผมกับฝ้ายเหมาะสมกันดี เลยอยากให้ผมคบกับฝ้าย...”

                “กูเนี่ยนะ ส่งข้อความไปบอกมึงแบบนั้น”

                “ก็ใช่สิครับ เมื่อคืนผมเลยต้องพยายามติดต่อพี่ โทรไปหาทั้งพี่นิว พี่สีฝุ่น แต่ก็ไม่มีใครติดต่อพี่ได้เหมือนกัน พอแม่ของฝ้ายพ้นขีดอันตราย ผมก็เลยมาตามหาพี่ที่หอทันที แต่พี่ก็ออกไปเรียน ผมเลยรอจนเจอพี่”

                ฮ่องเต้อ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูของตัวเอง

                “แต่ก็ช่างเถอะครับ สิ่งที่ผมอยากรู้ตอนนี้คือเรื่องข้อความที่พี่ส่งมาหาผมเมื่อคืน ตกลงว่าพี่ต้องการแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ”

                “กูไม่ได้ส่ง!!” ฮ่องเต้โพล่งออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดจากการถูกคาดคั้นและนั่นทำให้โฟโต้หน้าเหวอทันที

                “พี่เต้...หมายความว่าไง”   

                “เมื่อวาน หลังจากกลับจากงานดาวเดือน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแบตมือถือกูหมดตอนไหน มาเห็นอีกทีก็ไอ้ตอนที่เครื่องดับไปแล้ว ดังนั้น กูจะส่งข้อความไปหามึงได้ยังไง”

                “แต่เมื่อวานผมยังโทรหาพี่ติดอยู่เลย”

                “กูถึงบอกไงว่ากูก็ไม่รู้ว่าแบตมันหมดตอนไหน...” ผมชะงักอย่างนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามมันกลับ “...แล้วมึงโทรมาหากูตอนไหน”

                “ผมโทรไปหาพี่ตลอดตั้งแต่ตอนเกือบสามทุ่มนั่นแหละครับ”

                ...ตอนนั้น ผมยังอยู่ที่ห้องของไอ้นัทอยู่เลยนี่ครับ

                เขาจำได้ว่าใส่มือถือไว้ในกระเป๋าเป้ที่เอาขึ้นไปด้วย แต่เขาก็หิ้วมันไปด้วยตลอด จะเอาวางไว้ก็แค่ก่อนออกไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลให้นัทกับตอนที่เอาจานไปล้างที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ

                แต่มันจะเป็นฝีมือไอ้นัทจริงๆ เหรอ คนแบบนั้นไม่น่ามีความคิดที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ 

                “ตอนนั้น พี่เต้อยู่กับใครครับ...”

                ฮ่องเต้หันไปมองหน้าโฟโต้เลิกลักอย่างคนคิดอะไรไม่ทัน เพราะถ้าไม่บอก โฟโต้ก็จะเข้าใจผิดอยู่แบบนี้ แต่ถ้าขืนพูดความจริงไป โฟโต้กับนัทก็จะผิดใจกันอีก

                และเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “เอาเป็นว่าข้อความพวกนั้น กูไม่ได้เป็นคนส่งก็แล้วกัน”

                ตอบออกไปพลางลอบมองโฟโต้ที่ขยับปากเหมือนอยากจะซักถามอะไรต่อ สีหน้าของมันยังค้างคาใจกับคำตอบของเขาไม่หาย (เป็นเขาก็คาใจเหมือนกันนั่นแหละ) ทว่ามันกลับถอนหายใจออกมาอย่างคนยอมแพ้

                “ใครจะส่งก็ช่างเถอะครับ แค่ผมได้รู้ว่าพี่ไม่ได้คิดแบบนั้น ผมก็ดีใจแล้ว”

                ฮ่องเต้หลบสายตาของอีกฝ่ายและทำเป็นจะใส่ผงซักฟอกลงในช่อง ทว่าโฟโต้ก็คว้ากล่องใส่ผงซักฟอกในมือของเขา มันแย่งไปอย่างเดียวไม่ว่าหรอก แต่เพราะอีกฝ่ายดันประกบด้านหลังและเอื้อมมือมาด้านหน้าเขาด้วยี่สิ

                 นึกออกไหมครับ ไอ้ท่ายืนกอดจากทางด้านหลังเหมือนที่คู่รักเขาชอบทำกันน่ะ

                “ทำอะไร เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ผมโวยวายพลางลอบมองไปรอบข้างอย่างระแวดระวัง

                “อยากช่วยว่าที่แฟนซักผ้า ผมผิดด้วยเหรอครับ”

                โฟโต้พูดเสียงออดอ้อน ก่อนที่ฮ่องเต้จะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออีกฝ่ายดันโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อเอื้อมมือมาไปดึงฝาเครื่องซักผ้า แต่การที่มันทำแบบนั้นมันทำให้เขาต้องก้มไปข้างหน้าตามแรงทับของมัน พอจะขยับหนี ด้านหน้าก็ติดเครื่องซักผ้า ด้านหลังก็ติดโฟโต้

                ก็มันเล่นเอาตัวมาติดชนิดที่หลังของผมแนบชิดกับอกของมันเลยนี่ครับ

                ยังไม่พอ มันยังจะล้วงเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมาและหยอดลงไปในตู้ ทั้งๆ ที่เรายังคากันอยู่ท่านี้...

                เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ  ผมจะใช้คำอธิบายแบบนี้ไม่ได้!

                เอาเป็นว่ามันเอาเหรียญหยอดลงไปโดยที่มันยังคงกอดเขาเอาไว้อย่างนั้นนั่นแหละ ไม่รู้ว่าโฟโต้จะรู้ตัวไหมว่ามันกำลังจะทำให้เขาคลั่งตายคาถังซักผ้า

                “แปปนึงนะครับ ผมมองไม่เห็นรูเลย”

                มันหมายถึงรูหยอดเหรียญน่ะครับ อย่าคิดเป็นอื่น

                แต่มันก็คงจะเห็นหรอกนะ เพราะแทนที่มันจะเอาหน้าของมันย้ายไปตามฝั่งที่ตู้หยอดเหรียญอยู่ แต่มันกลับเอาหน้าของมันมาแนบกับหน้าของเขาและชะเง้อมองไปทางที่ตู้อยู่แทน แบบนี้ เขาก็บังมันหมดสิ

                “มึงแค่ถอยออกไปก็จบแล้วไหม”

                “ไม่ครับ อุตส่าห์ได้กอดพี่ทั้งที”

                “เอามานี่!”  ฮ่องเต้สุดจนทนกับอีกฝ่าย เลยหันไปคว้าเหรียญจากมือมันและรีบๆ หยอดลงไปให้จบๆ เรื่อง

                และในจังหวะนั้นเอง ที่โฟโต้ฉวยโอกาสหอมแก้มเขาไปฟอดใหญ่ ทำเอาเขาสตัน สมองเบลอไปชั่วขณะ ก่อนที่โฟโต้จะผละออกไปยืนยิ้มระรื่น

                “แก้มแฟนใครก็ไม่รู้ หอมจัง”             

                “ใครแฟนมึง!?”

                “ก็พี่ไง”

                “กูยอมเป็นแฟนมึงตอนไหนวะ!?

                “ตอนนี้เลยก็ได้นะครับ ถือว่าให้ผมได้รับผิดชอบที่หอมแก้มพี่ไปเมื่อกี้”

                “ไอ้เชี้ยนี่!!” เขาหันไปหมายจะยกตะกร้าปาใส่มัน ทว่าอีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นร้องห้ามเพราะเสียงมือถือที่ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                “ว่าไง ไอ้ฟิวด์...”

                ฮ่องเต้ลดมือข้างที่ถือตะกร้าลง มองอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ ทว่าหน้าของโฟโต้กลับเริ่มตึงเครียดขึ้นมาเสียจนฮ่องเต้เริ่มเป็นห่วง

                “กูอยู่กับพี่เต้ มีอะไรหรือเปล่าวะ” โฟโต้ว่าพลางเหลือบตามามองด้วยสายตาที่ฮ่องเต้เองก็คาดเดาไม่ได้ แต่สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดียังไงไม่รู้

                “เออ ถ้างั้นมึงก็ถ่วงเวลาไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวกูไปหา”

                ฮ่องเต้มองอีกฝ่ายที่วางสายไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไป

                “พี่เต้ ไปกับผมหน่อยสิครับ”             

                “มี...อะไรวะ” ฮ่องเต้หันมาถามแบบงงๆ

                “พี่ซันกับไอ้เปรมมีเรื่องกันครับ”

                “หะ เรื่อง...เรื่องอะไร”

                “ไปก่อนเหอะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง” 

                และโฟโต้ก็ไม่รอให้เขาได้ถามอะไรอีก รีบลากเขาไปที่รถซึ่งจอดไว้ข้างหอใกล้ๆ  ทันที

               

               

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:44:21
ตอนที่ 35 ภายในใจ

                “อะไรวะ กูไม่เห็นเข้าใจเลย”

                ฮ่องเต้โพล่งออกไป หลังจากนั่งฟังโฟโต้มานานสองนาน แต่ไม่ยักกะเข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาและคนข้างๆ  จะต้องมาทะเลาะอะไรกันรุนแรงขนาดนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ซันเป็นฝ่ายหลบหน้าเปรมมาตลอด เลี่ยงได้เป็นเลี่ยงเพราะมันเคยบอกว่าเกลียดขี้หน้าชนิดแบบไม่อยากเห็นแม้แต่เส้นผม จะมีก็ไอ้แค่ช่วงที่เปรมเข้ามาวุ่นวายกับซินเท่านั้น มันถึงต้องไปเผชิยหน้ากับเปรมเพื่อปกป้องน้องสาว

                แล้วงี้ เพื่อนผมจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ

            เขาได้แต่กระวนกระวายใจมาตลอดระยะทางบนรถ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์ ทุกอย่างดูเหมือนช้าลงไปถนัดตา ถ้าเทียบกับความว้าวุ่นภายในใจของเขา ทั้งเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดอะไรรุนแรงขึ้น ทั้งกังวลใจว่าเรื่องราวทุกอย่างจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ชนิดหาน้ำไหนมาดับไฟไม่ได้

                “ใจเย็นครับ สำหรับพี่ซัน เปรมมันไม่กล้าทำอะไรรุนแรงหรอก” โฟโต้ว่าอย่างปลอบใจ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายที่ผิดไว้ไม่มิด ขณะก้าวเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน

                “เพื่อนมึงกูไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่เพื่อนกูมากกว่า หัวร้อนหัวรั้นขนาดนั้น ใครก็เอามันไม่อยู่หรอก”

                “แต่ผมว่า...มีคนหนึ่งนะครับ ที่ เอา อยู่” พลันร้อยยิ้มประหลาดก็ปรากฏบนใบหน้าของโฟโต้ ให้ฮ่องเต้ต้องสงสัย

                “มึงหมายความว่าไงวะ”

                “อีกไม่นาน พี่ก็รู้เองครับ”

                “ทำเป็นความลับไปได้” ฮ่องเต้เบ้ปากใส่ ให้โฟโต้อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ ก่อนที่ลิฟต์จะเปิดออกและทั้งคู่ก็รีบตรงดิ่งไปยังจุดเกิดเหตุอย่างห้องของเปรมทันที

                โฟโต้เป็นฝ่ายเคาะประตูและเรียกคนด้านในให้มาเปิด หากแต่กลับไร้วี่แววว่าคนข้างในจะยอมออกมาเปิดประตูให้แม้แต่น้อย ทว่ากลับมีแต่เสียงดังโครมครามดังเล็ดลอดออกมาจากข้างในห้อง ซึ่งมันยิ่งทำให้ฮ่องเต้ร้อนใจเข้าไปใหญ่ จนเป็นฝ่ายเคาะประตู เรียกเพื่อเขาอีกหน

                “ไอ้ซัน! ไอ้ซันนน!!”

                แม้จะตะโกนเรียกดังแค่ไหน เคาะประตูซ้ำเท่าไหร่ ก็ยังคงไม่มีใครมาเปิดประตูให้

                “เอาไงดีวะ” ฮ่องเต้หันไปขอความเห็นจากคนข้างๆ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นมาได้ว่า “กุญแจ! เดี๋ยวกูไปเอากุญแจข้างล่าง”

                โฟโต้รีบคว้าคนที่กำลังจะหุนหันพลันแล่นไว้แทบไม่ทัน หลังจากพูดเสร็จก็เตรียมพุ่งตัวออกไปข้างหน้าตามความคิด       

                “เดี๋ยวผมไปขอให้ครับ พี่รอดูสถานการณ์อยู่ที่นี่” พูดจบ โฟโต้ก็กะจะเดินกลับไปที่ลิฟต์ ทว่าใครบางคนกลับวิ่งสวนมาเสียก่อน

                “ไม่ต้องครับ ผมไปเอากุญแจมาแล้ว” เป็นกาฟิวด์ที่ร้องบอกพร้อมกับส่งกุญแจไปให้เพื่อน มือไม้ก็สั่นไปหมด แถมยังหอบแหกๆ อีก

                จนโฟโต้ต้องเป็นฝ่ายเอากุญแจไปเปิดประตูห้องแทนและเมื่อทั้งสามคนโผล่พรวดเข้าไปในห้อง...

                “เชี้ยยยยยยยยยยยย”

                ต่างก็ร้องเสียงหลงเพราะร่างของคนทั้งคู่ที่อยู่บนพื้น ท่ามกลางข้าวของกระจัดกระจายราวกับเพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ และเสื้อผ้า...ที่หลุดลุ่ย กองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

                เปรมเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตื่นตระหนก ส่วนซันดูเหมือนจะหมดแรงไปในที ร่างทั้งร่าง จากที่ดีดดิ้นจะเป็นจะตาย เริ่มอ่อนแรงและส่งเสียงหอบหายใจออกมาอย่างหนัก ท่ามกลางสายตาคนทั้งสามที่มองมาแบบอึ้งๆ

                กับโฟโต้...เขาแค่ไม่คิดว่าจะเข้ามาเจอจังหวะนี้เข้า

                แต่กับฮ่องเต้...เขาทั้งตื่นตระหนกกับภาพตรงหน้าที่เขาไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอและตกใจกับสถานการณ์ระหว่างเพื่อนเขาที่กำลังตกเป็นของรุ่นน้องที่เกลียดขี้หน้ากันมานานถึงห้าปี ทั้งที่ซันเอาแต่พูดมาตลอดว่าเปรมจีบซิน แต่ไอ้ที่เขาเห็นอยู่ ทำไมมันถึงได้...พลิก...แบบนี้

            สรุปว่า...ไอ้น้องเปรมมันชอบซินหรือไอ้ซันเพื่อนเขากันแน่วะ

            ระหว่างนั้น ซันก็รวบรวมแรงทั้งหมด ผลักเปรมออกไปจากร่างของตน ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ที่ปรี่เข้าไปช่วยด้วยความเป็นห่วงและสายตาของเปรมที่มองมาด้วยความเจ็บปวด

                “พี่ซัน...”

                “มึงไม่ต้องมาเรียกชื่อกู กู...ฮึก...” ซันกลืนก้อนที่จุกอยู่ในลำคอลงไป ไม่แม้แต่จะหันไปมองคนที่อยู่เบื้องหลัง “...กู...เกลียด...มึง”

                แม้จะเป็นสิ่งที่ได้ยินมาตลอด หากแต่คำว่า เกลียด ในครั้งนี้ กลับทำให้เปรมเจ็บเสียยิ่งกว่าที่ได้ยินครั้งไหน หากแต่ก็ได้แต่มองคนตรงหน้าที่ถูกพยุงออกจากห้องไปอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้

                “ผมจะทำให้พี่รักผมให้ได้” พึมพำเบาๆ กับตน แม้ว่าจะยังมองไม่เห็นหนทางก็ตาม เขายอมรับว่าทั้งหมด มันเป็นเพราะอารมณ์ร้อนของเขา ที่พาลทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่าเช่นนี้

                “ไอ้เปรม มึงไหวไหมวะ” โฟโต้เอ่ยถาม ขณะที่กาฟิวด์ปิดประตูและเดินตามเข้ามาสบทบ สองมือก็ช่วยเก็บข้าวของในห้องไปพลาง ส่วนเจ้าตัวก็ได้แต่ถอนหายใจก้มลงไปเก็บเสื้อผ้ามาใส่

                “ไหว แค่เหนื่อยนิดหน่อย” เปรมตอบกลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างปิดไว้ไม่มิด เสียจนเพื่อนรักทั้งสองอดเป็นห่วงไม่ได้

                “มีอะไรหรือเปล่า จู่ๆ ทำไมมึงถึงได้...” กาฟิวด์เอ่ยปากถามเพียงเท่านั้น เพราะไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเพื่อนเขาจะโอเคกับการถูกถามแบบนี้หรือเปล่า

                หากแต่เปรมกลับหันไปมองโฟโต้อย่างชั่งใจ สักพัก แต่ก็ทำเพียงแค่ลอบถอนหายใจออกมา

                “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องซินนั่นแหละ แต่ครั้งนี้ กูแค่อารมณ์ร้อนไปหน่อย”

                คำตอบของเปรม ทำเอาโฟโต้ต้องจ้องหน้าคนพูดอย่างจับผิด เพราะนอกจากพิรุธที่ส่อออกมาทางสายตาแล้ว การที่เพื่อนเขานิ่งไปแบบนี้ มันยิ่งดูผิดปกติเข้าไปใหญ่

                “กูว่ามึงมีเรื่องที่ไม่ยอมบอกกูนะ” แต่เรื่องอะไรที่ว่าที่ทนาย (ในอนาคต) อย่างเขาจะยอม คาดคั้นได้ก็ต้องคาดคั้น  “อย่าเอาเรื่องซินมาอ้างหน่อยเลย”

                เพราะถูกดักทาง คนฟังถึงกับต้องมุ่นคิ้วด้วยความหนักใจ ท้ายที่สุกก็ทนแรงกดดันไม่ไหวและยอมปริปากพูดออกมา

                “เออ อันที่จริง มันเป็นเรื่องของมึงกับพี่เต้...”

                “ทำไม?” โฟโต้เร่งถามต่ออย่างกระตือรือร้นเพราะเกรงว่าซันจะคิดแผนใหญ่มาขวางทางเขาอีก

                “ก็อย่างที่มึงรู้ ว่าเขาไม่พอใจที่เห็นมึงตามจีบเพื่อนเขา เขาเลยขู่ว่าจะกำจัดมึงให้พ้นทาง ยังไงมึงก็ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน กูว่าเขาวางแผนเก่งพอตัวอยู่”

                โฟโต้เป็นอันต้องเครียดตามทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ในบรรดาศัตรูของเขา ก็เห็นจะมีซันนี่แหละ ที่อันตรายที่สุด เพราะเป็นทั้งเพื่อนรักของฮ่องเต้มาตั้งแต่ตอนประถม พูดอะไรไปยังไงเขาก็เป็นรองอยู่ดี

                “เอาไว้กูจะหาทางช่วยมึงอีกแรงก็แล้วกัน” เปรมบอกพร้อมทั้งเอามือมาจับบ่าของโฟโต้ ออกแรงบีบเบาๆ อย่างต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย

                “อืม ขอบใจมึงมากนะเว้ย” และเป็นอันต้องถอนหายใจออกมา “เรื่องพี่ซัน กูก็มืดแปดด้านจริงๆ ว่ะ มึงเป็นความหวังเดียวของกูเลยนะเว้ย ถ้าพี่ซันลงเอยกับมึงได้ ทุกอย่างก็จบ”

                นั่นทำให้เปรมเงียบไปสักพัก สายตาเอาแต่เหม่อลอยจนกระทั่งคิดได้ว่า

                “กูจะบอกความจริงกับเขา”

                “ความจริง?”

                ก่อนจะหันหน้ามามองเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังมองอยู่เช่นกัน “ทั้งเรื่องของซิน แล้วก็ความรู้สึกกู”

                “นี่...มึงยังไม่ได้บอกเขาเหรอวะ”

                “เปล่า เขาไม่ยอมฟังกูเลยต่างหาก” เปรมตัดพ้อออกมา ความเศร้าฉายผ่านแววตาจนคนรอบข้างสัมผัสได้ แต่ก็เพียงชั่วครั้งคราวเท่านั้น ก่อนที่สายตาจะมองเพื่อนของตนอย่างจริงจัง

                “แล้วมึงกับพี่เต้ ไปถึงไหนแล้ววะ”

                พลันกลับกลายเป็นโฟโต้ที่ต้องถอนหายใจออกมา “ถึงไหนอะไรล่ะวะ เขายังไม่เชื่อใจกูเลย”

                “ไม่เชื่อใจ...เรื่องที่มึงจีบเขาหรือเปล่า”

                “มึงน่าจะไปเป็นหมอดู” โฟโต้หันไปฝืนยิ้มให้กับกาฟิวด์ตั้งข้อสันนิษฐานได้ตรงเผง

                “กูว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะเว้ย ถ้าเขาจะลังเล เพราะถึงมึงกับเขาจะยอมรับเรื่องเพศสภาพได้ แต่มึงอย่าลืมว่ายังมีคนในครอบครัวอีกนะเว้ย ผู้ชายทั้งคู่ ไหนจะเรื่องแต่งงาน เรื่องลูกอีก ความรักแบบพวกมึง มันมีข้อจำกัดอีกหลายด้าน อีกอย่าง พวกมึงก็ยังไม่เคยคบกับผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ มันก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะลังเลและไม่เชื่อว่ามึงจะจริงจังกับเขา ดีไม่ดี เขาอาจจะคิดว่ามึงแค่สับสนด้วยซ้ำ”

                และโฟโต้ก็ได้แต่มองหน้าเพื่อนแบบอึ้งๆ

                “อะไร มองหน้ากูแบบนั้นหมายความว่าไง” เปรมหันมาชักสีหน้าใส่

                “เปล่า ก็แค่รู้สึกเป็นบุญหูที่ได้ยินมึงพูดอะไรแบบนี้”

                “ไอ้นี่...ที่กูอุตส่าห์พูดให้ฟัง ก็เพราะเห็นว่าช่วงก่อนมึงก็เอาแต่เครียดจนนอนไม่หลับหรอก ดึกๆ ดื่นๆ ไม่รู้จักหลับจักนอน”

                “ก็กูนอนไม่หลับ...” โฟโต้ชะงักคำพูดอย่างนึกขึ้นได้ “...แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูยังไม่นอน”

                “ก็ห้องมึงเปิดไฟทิ้งไว้ยันตีสองตีสาม จะให้คิดว่ามึงเปิดไฟนอนหรือไง ทำอย่างกับทุกทีมึงนอนหลับลงทั้งๆ ที่ไฟสว่างโร่อย่างนั้น”

                “เออ สองสามวันมานี้กูก็เครียดจนนอนไม่หลับจริงๆ นั่นแหละวะ กูไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงพี่ฮ่องเต้ถึงจะเลือกกู ไม่ใช่ไอ้นัท”

                “แล้วทำไมมึงต้องไปกังวลเรื่องคนอื่นด้วย สำคัญที่สุดคือตัวมึงเองไม่ใช่หรือไง หน้าที่ของมึงตอนนี้มีแค่ทำให้พี่ฮ่องเต้เชื่อว่ามึงจริงใจกับเขาและถ้ามึงทำได้ ก็ไม่มีอะไรให้มึงต้องคิดมากอีก” กาฟิวด์เปิดปากพูด ก่อนที่เปรมจะเสริมทับ

                “อันนี้ กูเห็นด้วย แต่ก่อนอื่น กูว่ามึงเคลียร์กับที่บ้านมึงก่อนไหม เผื่ออะไรๆ จะง่ายขึ้น”

                “กูว่าพ่อกับแม่กูคงไม่มีปัญหาหรอก” โฟโต้พูดไปตามสิ่งที่คิดทว่าเปรมกลับทำหน้าเครียดจนอดระแวงไม่ได้

                “อันที่จริง พวกกูมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกมึง” เปรมละสายตาจากเขาไปหาไอ้กาฟิวด์เพื่อให้เปิดอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ ก่อนที่เปรมจะหันมาพูดกับเขา

                “หลายวันก่อน พ่อกับแม่มึงโทรมาหาพวกกูเรื่องมึงกับพี่ฮ่องเต้ กูไม่รู้ว่าเรื่องหลุดไปถึงหูพ่อแม่มึงได้ยังไง...”

                โทรศัพท์ของกาฟิวด์ถูกส่งมาให้เพื่อยืนยันสิ่งที่พวกมันพูดด้วยรูปถ่ายของเขากับพี่ฮ่องเต้ ทั้งรูปตอนที่เจาเจอกับฮ่องเต้ครั้งแรกที่ลานจอดร้านเหล้า รูปตอนที่เขาพาฮ่องเต้ไปกินข้าว รูปตอนที่เขาไปหาฮ่องเต้ที่หอและไหนจะรูปที่เขาใกล้ชิดกับฮ่องเต้ตอนอื่นๆ อีก บางรูปมันดูไม่น่าจะหลุดมาได้เลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้โฟโต้รูปสึกไม่สบายใจ

                “ใครทำวะ”

                “พวกกูพยายามสืบแล้วนะเว้ย แต่เหมือนมันไหวตัวทัน บล็อกพวกกูไว้ทุกช่องทางเลยว่ะ” เปรมอธิบายเสียงเครียดกว่าเดิม

                “กูว่ามึงอย่าเพิ่งสนใจเลยว่าใครทำ มึงสนใจแค่ว่า...มึงจะรับมือพ่อแม่ตัวเองยังไงดีกว่า อย่างที่ไอ้เปรมต้องการจะบอกว่ามึงยังมีครอบครัวอยู่และใช่ว่าพ่อแม่จะรับเรื่องแบบนี้ได้เหมือนกันหมดทุกคนนะเว้ย”

                โฟโต้มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความตึงเครียดมากกว่าเดิม...

                ยิ่งนึกไปถึงเรื่องที่กราฟิกเคยบอกเอาไว้แล้ว ยิ่งทำให้เขาไมเกรนจะขึ้น

                “เอาน่า ถ้าพ่อแม่มึงยอมรับได้ อย่างน้อยมึงก็มีคนซัพพอร์ตเรื่องพี่ฮ่องเต้นะเว้ย” กาฟิวด์บอก

                “บางทีพ่อแม่ของมึงอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พี่ฮ่องเต้เชื่อใจมึงก็ได้” และเปรมก็ช่วยเสริม

                และสุดท้ายโฟโต้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “เออ ยังไงกูก็ไม่มีทางให้อะไรมาเป็นอุปสรรคกับความรักครั้งนี้ของกูแน่”

                เพราะในเมื่อเขาเลือกที่จะรักพี่ฮ่องเต้ไปแล้ว เขาเองก็ควรจะรับผิดชอบด้วยการต่อสู้กับทุกสิ่งตรงหน้าอย่างไม่มีข้อแม้...

                 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:45:28
ตอนที่ 36 ก็มันรู้สึกไปแล้ว

                วันนี้ โฟโต้โทรมาแต่เช้าเพื่อปลุกเขาให้ไปกินข้าวด้วยกัน แต่ด้วยความขี้เกียจ อันที่จริงมันเป็นเพราะเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานด้วย ทำให้ฮ่องเต้เลือกที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายไปและนอนต่อ ทว่าโฟโต้กลับบุกเข้ามาหาเขาถึงห้อง ทำให้เขาหงุดหงิดงัวเงียเหมือนอย่างในตอนนี้

                “มากินข้าวกันครับ” โฟโต้หันมายิ้มจนตาหยี ขณะที่มือวางจานข้าวลงบนโต๊ะ ฮ่องเต้เดินเอื่อยๆ พลางเช็ดผมไป จนกระทั่งถึงหน้ากระจก แต่เป็นอันต้องสะดุ้ง...กับความหล่อของตัวเอง

                เอ๊ย ไม่ใช่ เพราะโฟโต้ดันเอามือมาจับผ้าในมือเขาต่างหาก แถมในมืออีกข้างของมันยังมีไดร์เป่าผม (ไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ) เตรียมไว้เรียบร้อยราวกับมันเตรียมการทุกอย่างมาดีแล้ว

                “เดี๋ยวผมช่วยครับ” หนุ่มรุ่นน้องบอกพร้อมกับพยายามแย่งผ้าในมือไป

                “ไม่ต้อง...”

                “เถอะน่า” และมันก็แย่งผ้าในมือของเขาไปสำเร็จพร้อมกันนั้น มันยังดันตัวเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ แต่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องยอมให้มันทำแบบนั้นกันล่ะ ตั้งแต่โตมาก็เห็นจะมีแต่ตอนประกวดดาวเดือนคณะที่เขายอมให้คนอื่นทำผมให้ แต่จู่ๆ จะปล่อยให้คนอื่นมาเซ็ทผมให้แบบนี้ มัน...ไม่ชินนี่ แถมยิ่งเป็นโฟโต้ด้วยแล้ว ยิ่ง...

                ยิ่งทำให้รู้สึกเขินแปลกๆ

                “กูทำเองได้น่า”

                “อย่าดื้อสิครับ พี่เต้!” มันเริ่มทำเสียงดุ ประหนึ่งว่าเขาเป็นน้องชายของมัน

                แต่กูเป็นรุ่นพี่มึงนะเฮ้ย!

                “พี่เลือกเอานะครับ ระหว่างจะนั่งลงให้ผมเซ็ทผมให้พี่ตรงนี้ หรือว่าพี่จะนอนให้ผมเซ็ทผมให้ตรงโน้น”

                ไอ้ตรงโน้นที่โฟโต้หมายถึงก็คือเตียง...

                และเมื่อเขาเอาแต่เงียบ...

                “โอเคครับ ผมว่าพี่น่าจะชอบนอนให้เซ็ทผมมากกว่า”

                “ไม่ใช่เว้ย!” ฮ่องเต้โวยวายพร้อมกับขืนตัวทันทีที่กำลังจะถูกลากไปที่เตียง

                ไอ้เด็กนี่มันไม่เคยไว้ใจได้เลยเว้ย!!

                “ถ้าไม่ใช่ก็นั่งลงครับ”

                “มึงนี่...”

                “หรือพี่จะเปลี่ยนใจ”

                ฮ่องเต้เบะปากใส่ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งที่เก้าอี้อย่างยอมจำนน ทำให้โฟโต้ได้ใจ ฉีกยิ้มกว้างอย่างสาสมแก่ใจ ก่อนที่มันจะเริ่มใช้ผ้าเช็ดผมให้ ขณะที่เขาได้แต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์มองมันที่โคตรของโคตรจะอารมณ์ดีผ่านทางกระจก ใบหน้าที่สดใสด้วยรอยยิ้มของมันทำให้ใจของเขาอ่อนลงไปอย่างน่าประหลาด

                จะว่าไป มือมันก็เบาใช้ได้เหมือนกันแหะ ทำเอาซะผมสบายหัวจนจะเคลิ้มหลับอีกรอบ

                “สบายไหมครับ” โฟโต้ถามพร้อมกับมองหน้าเขาผ่านกระจกเงาตรงหน้า

                “ก็ดี” ฮ่องเต้ตอบและเลี่ยงสายตาไปมองทางอื่น รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้มือของเขามันว่างเกินไปและนั่นทำให้เขาได้แต่หยิบนั่นนี่บนโต๊ะไปเรื่อย ก่อนที่โฟโต้จะจัดการไดร์และเซ็ทผมให้ต่อ

                อันที่จริง เขาก็รู้สึกดีไม่น้อยที่อีกฝ่ายพยายามทำทุกอย่างให้และคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่อาจจะเป็นเพราะจุดเริ่มต้นของเขากับเด็กคนนี้ไม่ได้เริ่มจากการพูดจาเพราะๆ เจอกันในสถานการณ์ที่น่าจดจำ แต่กลับเริ่มต้นด้วยการพูดจากวนประสาท แถมอคติที่มีต่อเรื่องอาถรรพ์สายรหัส ทำให้เขาพยายามจะหงุดหงิดใส่มันตลอดเวลาจนเกิดเป็นความเคยชิน ถ้าจะให้เปลี่ยนเป็นพูดจาดีๆ หรือทำตัวปกติกับมันแล้วล่ะก็...เขาคงทำตัวไม่ถูก แต่เขาก็รู้สึกดีตรงที่มันไม่ถือสาที่เขาเอาแต่โวยวายเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับพยายามทำให้ใจของเขาอ่อนลงไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้เขาเปิดใจและยอมรับมันได้อย่างง่ายดาย

                “มีความสุขใช่ไหมล่ะครับ”

                ฮ่องเต้สะดุ้งกับเสียงของโฟโต้ที่โน้มใบหน้ามาใกล้จนแก้มแถบจะชนแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันสบลึกเข้าไปในดวงตาของเขาผ่านกระจกเงาและคลี่ยิ้มออกมา

                “ผมดีใจนะครับ ที่เห็นพี่เต้ยิ้มออกสักที”

                ฮ่องเต้เลิกลักอย่างคนทำตัวไม่ถูก “ยิ้มอะไรล่ะ พูดมากอยู่ได้ รีบๆ ทำให้เสร็จๆ กูมีเรียนแปดโมงนะเว้ย”

                “เสร็จตั้งนานแล้วครับ”

                “หะ...” เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตัวเองในกระจก ก่อนจะหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอาย

                “ชอบจัง เวลาที่เห็นพี่เขิน ผมใจเต้นแรงมากเลยรู้ไหมครับ” ท้ายประโยคโฟโต้เขยิบเข้ามากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู สายตาของมันเหมือนกำลังจะสื่อความอะไรบางอย่าง นั่นทำให้หนุ่มรุ่นพี่ขี้เขินต้องรีบผลักหนุ่มรุ่นน้องจอมเย้าแหย่ออกไปและลุกขึ้น

                “พูดมาก”

                ฮ่องเต้เดินหนีออกมานั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือและเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนที่เดินตามมา ทว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง

                “ปล่อย...” ฮ่องเต้ว่าเสียงเครียด แต่โฟโต้กลับเอาแต่กระชับกอดแน่นและเอาคางมาเกยที่ไหล่เขา

                “ขอเวลาผมหน่อยนะครับ”

                พลันฮ่องเต้ก็รู้สึกใจหายที่จู่ๆ โฟโต้ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียดขึ้นมาและนั่นทำให้มือของเขาที่พยายามจะแกะมือมันออกต้องชะงักตาม

                “ผมจะทำให้พี่เชื่อใจผมให้ได้”

                ยอมรับว่านั่น ยิ่งทำให้ใจของเขาเต้นแรงขึ้น...กับคำพูดของมัน...

                เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใครบางคนพยายามทุ่มเทและทำทุกอย่างเพียงเพราะอยากจะให้เขาเชื่อใจ มันให้เขารู้สึกจุกในอกด้วยความตื้นตันที่มันเอ่อล้น

                โฟโต้คลายกอดก่อนจะจับตัวเขาให้หันมาหา มันเอาแต่สบลึกเข้าไปในตาโดยไม่ปริปากพูดอะไร ขณะที่เขาเองได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้เช่นกัน เหมือนกับร่างกายของเขาถูกสะกดให้อยู่นิ่ง กว่าจะรู้ตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าที่กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กระทั่งปลายจมูกของมันแทบจะสัมผัสแก้มของเขา

                “ทำ..อะไร...วะ” เลยได้แต่พูดออกไปเสียงแผ่ว

                โฟโต้เหลือบสายตาขึ้นมาสบตากับเขาอีกครั้ง ก่อนที่มันจะกระซิบเสียงแผ่ว “ถ้าผมบอกว่าอยากจูบ...พี่จะอนุญาตหรือเปล่า”

                ฮ่องเต้ตื่นตระหนกกับคำพูดของอีกฝ่าย ทั้งสีหน้า แววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของคนตรงหน้าแสดงออกมาอย่างชัดเจน มันกระตุ้นให้ใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นเท่าทวีคูณ

                “กู...หิวข้าว” จนต้องบอกปฏิเสธและขยับเบี่ยงตัวหลบออกมา ซึ่งโฟโต้ก็ยอมปล่อยเขาแต่โดยดี

                ฮ่องเต้นั่งกินข้าวกับโฟโต้จนเสร็จและออกไปเรียน โดยอาศัยรถไอ้โฟโต้ที่ใช้ทุกวิธีการมาบังคับจนเขาต้องยอมไปกับมันแต่โดยดี กระทั่งไปถึงตึกเรียน โฟโต้ก็จำต้องโบกมือลา แม้อยากจะไปส่งอีกฝ่ายถึงหน้าห้องเรียนแทบตาย แต่เพราะฮ่องเต้โวยวาย บอกไปว่าไม่อยากให้ใครเห็น เขาจึงยอมตามใจและทำเพียงแค่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าตอนเย็นจะมารับ ก่อนจะเดินแยกไปเรียนอีกตึก...

                พลันลมหายใจของหนุ่มรุ่นพี่ก็ถูกถอนทิ้ง...

                แม้จะรู้สึกที่กับโฟโต้มากแค่ไหน แต่ภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความว้าวุ่นไม่ขาด

                ช่วงนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียด ทั้งเขาและเพื่อนอย่างซัน ต่างก็มีเรื่องให้คิดมาก แถมยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่หากจะให้เผชิญกับมันแบบตรงๆ  เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะทำใจยอมรับผลของมันได้หรือเปล่า

                สถานการณ์ในเวลานี้ มันต่างอะไรจากการที่เขากำลังถูกมีดจ่ออยู่ตรงหน้ากัน เพียงแค่รอเวลา...ที่มีดเล่มนั้น จะแทงเข้ามาก็เท่านั้น

                จะมีทางไหนไหมนะ ที่เขาจะสามารถหลีกหนีมีดเล่มนั้นได้

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนัก ตั้งสติและคิดว่าวันนี้ เขาต้องเรียน...เขาควรจะจดจ่ออยู่แค่การเรียนเท่านั้น การเรียนที่เขาอุตส่าห์พยายามมาถึงปีสุดท้าย เขาจะให้มันพังไม่ได้

                ก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้าไปในตึกเรียนอย่างเลื่อนลอย...

 

                ทั้งที่เขาก็เดินเข้าห้องเรียนตามปกติ ทว่าสายตาทุกคู่กับเพ่งเล็งมาทางเขาแบบไม่ปกติเสียอย่างนั้น อีกทั้งเสียงกระซิบกระซาบที่ดังระงม จนกระทั่งเขาเดินไปถึงที่นั่งประจำตรงหลังห้องและทันทีที่เขานั่งลง ขาประจำพูดมากอย่างนิวก็รีบปรี่เข้ามานั่งข้างเขาทันที

                “ไงจ๊ะ น้องสาว”

                “น้องสาวพ่อง” ฮ่องเต้หันไปด่าพลางชักสีหน้าหงุดหงิดใส่เหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนเก่า คงจะเป็นสีหน้าของเขาที่ดูตึงเครียดมากกว่าหงุดหงิด จนนิวสามารถเห็นได้ชัดแบบไม่ต้องอาศัยการสังเกต ทว่าคนพูดมากก็คงมาด ทำเป็นพูดจากวนประสาทเพื่อนตามประสา

                “โหย ไอ้กูก็นึกว่าความรักจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น นี่กูเข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอวะเนี่ย”

                “เป็นบ้าอะไรของมึงแต่เช้า” ฮ่องเต้ขณะเปิดกระเป๋า ล้วงเอาอุปกรณ์การเรียนและหนังสือออกมา พลันสายตาก็เหลือบไปมองเก้าอี้ข้างๆ ที่ปกติจะมีเพื่อนรักอย่างซันนั่งอยู่ตลอด ทว่าวันนี้ มันกลับว่างเปล่า ทั้งที่นิวก็มาแล้วแท้ๆ  จนสองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเสียยิ่งกว่าเก่า

                “ไอ้ซันไปไหน” 

                “ลากิจ” ทว่านิวกลับตอบมาสั้นๆ แต่มันก็พอจะทำให้คนถามชะงักงันไปชั่วครู่และพยักหน้าอย่างเข้าใจในสถานการณ์ในวินาทีต่อมา ก่อนที่นิวจะหันมากอดคอเขา

                “ไอ้ข่าวลือนั่น จริงป่ะ”

                ฮ่องเต้หันไปมองหน้าอีกฝ่ายแบบงงๆ ที่จู่ๆ ก็เปิดประเด็นอะไรที่เขาไม่เข้าใจ “ข่าวลืออะไรวะ”

                “ก็ข่าวลือเรื่องระหว่างมึง สายรหัสแล้วก็สายเทคปีหนึ่งไงวะ”

                คำพูดของนิวยิ่งกระตุ้นต่อมสงสัยของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันคงหนีไม่พ้นเรื่องอาถรรพ์สายรหัส แต่ไอ้ที่ทำให้เขาสงสัยก็คือว่ามันจะมีข่าวลืออะไรที่ทำให้คนทั้งห้องต้องหันมามองเขากันขนาดนี้

                “โว๊ะ ก็ไอ้เรื่องที่มึงออกตัวปกป้องไอ้นัทจากพวกทวงหนี้ไง มีคนบอกมาว่ามึงออกหน้ารับแทนจ่ายให้น้องมันไปเป็นหมื่นๆ เลยนะเว้ย แถมตอนบ่ายก็ยังมายืนกอดดันอยู่ใต้หอกับไอ้โฟโต้แบบไม่เกรงใจสายตาชาวบ้านอีก”

                “...”

                “สรุปว่ามันยังไงวะ ตอนกลางคืนก็อยู่เทคแคร์ไอ้นัท พอมาอีกวัน ก็ไปก็มากกอยู่กับไอ้โฟโต้ เขาลือกันไปทั่วแล้วนะเว้ย”

                “เชี้ย...” ฮ่องเต้อุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เหตุเพราะเรื่องที่นิวเล่ามามันจริงเสียยิ่งกว่าใครไปตามติดชีวิตเขาเสียอีก

                แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด เห็นจะเป็นโฟโต้...ไม่รู้ว่ารายนั้นจะรู้เรื่องข่าวลือนี้กับชาวบ้านเขาหรือเปล่า แล้วถ้ามันรู้...มันจะคิดยังไง ที่สำคัญ มันจะพาลไปทะเลาะกับนัทไหม

                “ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าเรื่องจริงใช่ไหมวะเนี่ย!”

                “ไอ้เชี้ยนิว เสียงดังทำพ่อง!” ฮ่องเต้หันไปด่าตัวการที่แหกปากลั่นห้อง แบบที่ทำให้เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องมากกว่าเดิม

                “แล้วสรุปมึงเลือกได้ยังวะ”

                ฮ่องเต้หันมาเลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็ถามไปเรื่อย “เลือกอะไรของมึง”

                “โว้ยยย ก็เลือกว่ามึงจะคบใครไง” ทว่ามันกลับทำให้นิวต้องร้องออกมาอย่างเหลืออด ขณะที่ฮ่องเต้รู้สึกเหมือนมีใครเอาอะไรมันฟาดเข้าทีหลังดังอั๊ก

                “นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงจะควบสอง”

                “ก็เชี้ยละ...” ฮ่องเต้ร้องออกมาอย่างหัวเสียกับคำพูดไม่รู้จักคิดของคิดฝ่าย 

                “อะไรว้า แล้วสรุปความสัมพันธ์ของพวกมึงนี่มันยังไงกันแน่วะ”

                ฮ่องเต้หันไปหานิวพลางขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง ทว่ากลับไม่กล้าจะเอ่ยปากออกไปเสียที ได้แต่เลิกลัก ช่างใจอยู่อย่างนั้น

                “มึงเปลี่ยนไป...”

                เขาสะดุ้ง มองหน้านิวที่จู่ๆ ก็ทำหน้าซีเรียสขึ้นมา “อะไร”

                “มึงมีอะไรจะเล่าไหม”

                “กู...”

                “นั่งที่ได้แล้ว นักศึกษา” ทว่าเสียงอาจารย์นัยนาก็ดังเรียกความสนใจเสียก่อน ก่อนที่นักศึกษาจะกระจายตัวกันไปนั่งที่ของตัวเอง ไม่นานนักคาบเรียนแรกของวันก็เริ่มต้นขึ้น ทำให้นิวไม่มีโอกาสได้เซ้าซี้เขาต่อ ในขณะที่เขาได้แต่นั่งเครียดทั้งคาบจนไม่เป็นอันเรียน จนกระทั่งหมดคาบ...

                วันนี้ อาจารย์นัยนาปล่อยเร็วกว่าทุกวันเพราะแกมีธุระต่อ นักศึกษาส่วนใหญ่จึงยังคงจับเจ่ากันอยู่ในห้องอย่างไม่เร่งรีบ

                “ขอยืมหน่อยดิ”

                “เฮ้ย..!” ฮ่องเต้ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ไอ้นิวก็หันมาคว้าสมุดเลกเชอร์ไปจากโต๊ะของเขา ก่อนที่มันจะทำหน้านิ่งและหันมาขมวดคิ้วเพราะเขาแทบจะไม่ได้จดอะไรลงไปเลย

                “นี่มันไม่ใช่มึงเลยนะ” นิวหันมาพูด ในขณะที่ฮ่องเต้ดึงเลกเชอร์คืนมาจากมัน

                “กูแค่...”

                “กูต้องการความจริงจากปากมึง ไม่ใช่ข้ออ้าง”

                นั่นทำให้ฮ่องเต้ต้องมองหน้าไอ้นิวด้วยความรู้สึกอึดอัดเต็มทน หลากหลายเรื่องราวที่มันยังค้างคาใจและยังไม่มั่นใจ ไหนจะเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานอีก ยอมรับว่าเรื่องของซันเมื่อวานก็มีส่วนให้เขาคิดหนักกว่าเดิม...

               

                “ไอ้เต้...กูไม่เคยคิดจะห้าม ถ้ามึงจะเริ่มต้นกับใครใหม่ แต่กูขอได้หรือเปล่าวะ ว่ามึงจะเลือกใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ไอ้โฟโต้...”

            ซันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ดวงตาที่แดงก่ำจากแรงอารมณ์ภายในใจจับจ้องไปยังใบหน้าเป็นกังวลของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมละสายตา เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ได้รับฟังซันพูดแบบนี้ออกมา เดิมที ซันเป็นพวกไม่ชอบปริปากพูดเรื่องทำนองนี้กับใครอยู่แล้วเพราะคิดเสมอว่าควรจะให้เกียรติเพื่อน แต่กับโฟโต้...เป็นคนแรกที่ซันเอ่ยปากขอร้องเขาด้วยตนเอง จนฮ่องเต้เริ่มจะลังเลตามเพราะคนที่ทำให้ซันเป็นแบบนี้คือเปรม...เปรมที่เป็นเพื่อนของโฟโต้ เด็กที่อาจจะสมรู้ร่วมคิดกันทำร้ายพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นได้

            เพราะแบบนั้น ฮ่องเต้จึงคิดไปว่าซันคงจะกลัวว่าโฟโต้จะทำร้ายเขาอีกคน เลยเอ่ยปากขอร้องและคอยขัดขวางโฟโต้มาตลอด...

            รวมถึง...คนที่อาจจะเป็นคนบอกเรื่องที่เขาเป็นพี่รหัสปีสี่กับโฟโต้ อาจจะเป็นซัน ไม่ใช่นิวอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก แต่จะให้เขาทำยังไงได้ ในเมื่อใจของเขามันดันไปรู้สึกกับโฟโต้ไปแล้ว...และมันก็มากจนเขาไม่กล้าตัดใจ แต่จะให้เดินหน้าต่อไป ขาของเขาก็เอาแต่สั่นจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน

                “กูถามได้ไหม ทำไมมึงถึงไม่อยากให้เป็นโฟโต้”

            แม้จะคาดเดาได้ แต่เขาก็อยากจะแน่ใจในความรู้สึกจากอีกฝ่าย

            “มึงไม่เห็นที่มันทำกับซิน...ที่มัน...ทำ...กับกู วันนี้เหรอวะ” ซันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น...ที่สำคัญ มันไม่ใช่เพียงแค่ครั้งแรก แต่มัน...เป็นครั้งที่สอง มันทำให้เขาแทบคลั่งและไม่มีวันให้อภัยอีกฝ่ายได้ลง

            “กูแค่ไม่อยากให้มึงเจอแบบที่กูเจอ เด็กพวกนั้น ไม่มีใครไว้ใจได้หรอก”

            ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยหลากอารมณ์ทั้งเจ็บปวดและแค้นใจ ผสมปนเปจนใบหน้าของซันตึงเครียดไปหมด จนฮ่องเต้อดยกมือขึ้นลูบหลังอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลมไม่ได้ แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะเขาเองก็ยังลังเลใจกับความรู้สึกของตนเอง

 

            “ไอ้เต้...ไอ้เต้!”

                “หะ...หะ” ฮ่องเต้สะดุ้งหันไปมองตามเสียงเรียก

                “อะไรของมึง จู่ๆ ก็เงียบไปเฉย กูนึกว่าหลับใน” นิวอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ หลังจากที่เห็นเพื่อนของเขากลับมามีสติครบถ้วน หลังจากนิ่งไปอย่างกับวิญญาณออกจากร่าง

                “แล้วถ้ามึงจะคิดมากจนสติหลุดขนาดนี้นะ มึงบอกกูมาเหอะ กูจะได้ช่วย” นิวว่างอย่างเป็นห่วง สายตาจริงจังที่ส่งไปทำเอาอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาไม่ได้

                “กู...ขอเวลาหน่อยได้ไหมวะ” ทว่าฮ่องเต้กลับตอบปัดไปแบบนั้น จนคนที่ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงกับถอนหายใจใส่หนักๆ ไปที

                “ไอ้เต้...กูให้เวลามึงแค่คืนนี้ ถ้ามึงไม่ยอมเล่าล่ะก็...กูก็จะจัดการทุกอย่างตามวิธีของกู”

                “มึงจะทำอะไร”

                “กูบอกแล้วไงว่าตามวิธีของกู ดังนั้น มันก็ไม่จำเป็นที่กูจะต้องบอกมึง” พูดจบเจ้าตัวก็รีบเก็บข้าวของและเดินดุ่มๆออกจากห้องเรียนไปในทันที ทำเอาคนมองตามถึงกลับหน้าเครียดกว่าเก่า

                “อะไรของแม่งอีกวะ!”

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:47:04
ตอนที่ 37 การแทรกแซง

                ตอนเย็น มีประชุมดาวเดือนครั้งสุดท้าย ก่อนจะถึงวันประกวดจริงในสัปดาห์หน้า ฮ่องเต้จึงต้องตามมาดูแลโฟโต้เหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ มันจะทำให้เขา...หงุดหงิดใจ

                เพราะท่าทีสนิทสนมจนเกินขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ ของโฟโต้กับฝ้าย ตั้งแต่เข้ามาที่ลานกิจกรรม สายตาของเขาก็ไม่สามารถละไปจากเด็กปีหนึ่งสองคนนั้นได้เลยสักนิด เขาพยายามจะมองในแง่ดีว่าทั้งคู่ก็แค่หยอกล้อกันตามประสาเพื่อน แต่เพราะความรู้สึกในใจที่มีต่อโฟโต้ มันทำให้ความคิดในแง่ลบประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน

                “หมาหวงก้าง”

                เสียงของใครบางคนดังฉุดสายตาของฮ่องเต้ เขาหันไปมองอีกฝ่าย กึ่งๆ จะหงุดหงิด แต่ก็ปนความไม่เข้าใจในคำพูดนั้น จนต้องถามออกไปเสียงห้วน

                “อะไร”

                “ก็มึงไง หมาหวงก้าง” เจมส์ว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นึกขำกับท่าทางหึงหวงของอีกฝ่ายที่เขาสังเกตเห็นมานานสองนาน แต่สุดท้ายก็ไม่ยักจะเข้าไปทำอะไรเสียที

                “อะไรของมึง” ทว่าฮ่องเต้ยังคงไม่เข้าใจในความหมายที่เดือนคณะปีเขาต้องการจะสื่อ

                “มึงหึงไอ้โฟโต้กับน้องฝ้ายใช่ไหม” จนเจมส์ต้องเอ่ยออกมาตามตรง ให้คนหน้าบึ้งชักสีหน้าให้ตึงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเพราะปากที่หนักเกินกว่าจะยอมรับ เขาจึงเข้าไปนั่งข้างๆ  และพูดออกไปตามความคิด

                “หึงทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์แบบนี้ มันจะไปมีประโยชน์อะไรวะ ในเมื่อมึงเป็นคนเลือกที่จะไม่เดินความสัมพันธ์ไปข้างหน้าเอง”

                คำพูดของเจมส์ ทำเอาคิ้วสองข้างของคนฟังขมวดเข้าหากันแน่น ไม่รู้เพราะคำพูดนั้นแทงใจดำเขาเข้าหรือเพราะเขาหงุดหงิดเรื่องฝ้ายกับโฟโต้เป็นเดิมทีอยู่ เลยพาลไม่อยากจะรับรู้หรือได้ยินใครพูดอะไรตอนนี้

                “ระวังไว้เหอะ มัวแต่ชักช้าร่ำไรอยู่นั่น จะโดนทิ้งไม่รู้ตัวนะ”

                “มึงก็รู้ว่ากู...”

                “เออ กูรู้ว่ามึงกลัวไอ้โฟโต้มันหลอก แต่มึงจะปล่อยให้ทุกอย่างคารังคาซังอยู่แบบนี้เหรอวะ กูว่ามันไม่เวิร์คนะ”

                ยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยจนต้องถอนหายใจทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                “รู้ไหมว่าไอ้การที่มึงไม่ยอมคบกับน้องมัน มันหมายความว่าไง”

                ฮ่องเต้หันใบหน้าหงุดหงิดไปหาแทนการตอบ ทำให้เจมส์หัวเราะในลำคอออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า

                “มันก็หมายความว่าน้องมันก็มีสิทธิ์ที่จะเทมึงไปเมื่อไหร่ก็ได้ไง สุดท้ายคนเราก็มักจะเลือกตัดใจจากคนที่เขาไม่รักเราเสมอ”

                ก่อนจะเอามือจับเข้าที่บ่าของอีกฝ่ายและพูดให้คิดตาม

                “ไม่มีใครหรอก ที่วิ่งตามใครแล้วไม่เหนื่อย พอเหนื่อยมากๆ มันอาจจะเลิกวิ่งตามมึงเข้าสักวันและอาจจะเป็นเร็วๆ นี้ด้วย”

                ความร้อนรนใจยิ่งเพิ่มขึ้นไปเท่าทวีคูณ แทนที่จะคลายความกังวล ครั้นได้คุยกับเพื่อน ทว่าเขากลับยิ่งเครียดหนักกว่าเก่า เหมือนถูกหินก้อนใหญ่ทับจนหลังแทบหัก

                “กูถึงได้บอกไง ว่าการกระทำของมึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรจากหมาหวงก้างหรอก ไม่ยอมกิน แต่ก็ไม่ยอมปล่อย แต่ก็ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน ก้างอย่างไอ้โฟโต้เนี่ย กูว่าทั้งหมาทั้งแมวจ้องแต่จะคาบกันเยอะชนิดที่มึงคาดไม่ถึงเลยเหอะ”

                พูดจบ เจมส์ก็มองหน้าคนฟังที่นิ่งงันไปอย่างคนคิดมาก จึงทำทีเป็นลุกขึ้นยืนแล้วหยิบขมวดน้ำที่เขาหยิบติดมือมาด้วยส่งให้กับอีกฝ่าย

                “อะไรมึง กูไม่หิว” ฮ่องเต้ว่าอย่างไม่เข้าใจ ดูเหมือนสมองของเขาจะประมวลผลช้าลงกว่าปกติ จนตีความอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ

                “เอาไปให้ไอ้โฟโต้” และเจมส์ก็ต้องพูดจาตรงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ

                ฮ่องเต้มุ่นคิ้วใส่อย่างไม่ยอมรับ สุดท้ายเจมส์จึงต้องเอาขวดน้ำยัดใส่มือและสำทับต่อว่า

                “อย่างน้อยก็ในฐานะที่มึงเป็นพี่เทคเดือนของมัน” ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆ ว่า “เป็นพี่เทคเดือนทั้งที ก็อย่าให้ใครมาดูแลเดือนแทนตัวเองดิวะ”

                ก่อนจะขยิบตามาให้และเดินออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความคิด ฮ่องเต้หันกลับไปมองทางฝ้ายกับโฟโต้อีกครั้ง กระทั่งฝ้ายเป็นฝ่ายเดินแยกไปเพราะถูกเรียกตัว ฮ่องเต้จึงตัดสินใจลุกเดินเข้าไปหาโฟโต้...

                 นั่นทำให้โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างมองคนที่เดินตรงดิ่งเข้ามาหาเขา ทว่ารอยยิ้มนั้นก็ชะงักไปเพราะดันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของอีกฝ่าย

                “กูเอาน้ำมาให้” ฮ่องเต้ว่าเสียงเรียบ แต่มันก็ทำให้หัวใจของหนุ่มรุ่นน้องระริกระรี้ด้วยความดีใจ มองหนุ่มรุ่นพี่เปิดฝาและเสียบหลอดเข้าไปในขวด ก่อนจะยื่นขวดน้ำมาตรงหน้าเขา

                หากแต่พอมือจะยื่นออกไปคว้า ฮ่องเต้กลับเบี่ยงหลบและพูดเสียงเรียบ

                “เดี๋ยวกูถือให้” ไม่ว่าเปล่ามือของเขาก็ยังยกขึ้นให้หลอดจ่ออยู่ตรงปากของอีกฝ่ายพอดี ก่อนจะพูดอธิบายเสริมว่า “มือมึงเปื้อน”

                ทว่าโฟโต้กลับรู้สึกดีกับข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นของหนุ่มรุ่นพี่อย่างบอกไม่ถูก จนอดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะโน้มตัวเล็กน้อยจนปากแตะเข้าที่หลอดดูดและกินน้ำจากขวดในมือของหนุ่มรุ่นพี่ พลางสายตาก็อดมองหยอดคนตรงหน้า หากแต่ครั้งนี้ ฮ่องเต้กลับไม่หลบสายตาเหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่กลับจ้องตาเขากลับด้วยสายตาที่เขาเองก็คาดไม่ถึง

                เหมือนจะเขินอาย แต่ก็แฝงไปด้วยความหวานอยู่ในที...

                กลับกลายเป็นเขาเองที่ในเต้นไม่เป็นระส่ำ เพราะสายตาที่เขาเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากหลอดดูด จังจ้องใบหน้าของคนที่กำลังปิดฝาขวด แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร สัมผัสบนใบหน้ากลับแทรกเข้ามาเสียจนเขาแอบตกใจ

                เป็นเพราะฮ่องเต้กำลังใช้ผ้าซับเหงื่อบนใบหน้าให้อย่างเบามือ นั่นเป็นการกระทำที่เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอ มันทำให้เขา...แทบจะทนไม่ไหว

                ทำไม...ต้องมาน่ารักใส่ตอนนี้ด้วย

            หมายถึงตอนที่มีคนพลุกพล่านอยู่ในลานกิจกรรมอย่างในตอนนี้ แล้วแบบนี้ ใครมันจะไปทนไหว ยิ่งวันนี้ต้องขับรถพาอีกฝ่ายไปส่งให้ถึงหอด้วยแล้ว เขาจะทนไม่ทำอะไรก่อนหน้านั้นได้หรือเปล่านะ

                สายตายังคงมองสำรวจหนุ่มรุ่นพี่ที่เอาแต่จับจ้องและซับเหงื่อบนใบหน้าของเขาจนเสร็จ พลันรอยยิ้มละมุนก็ปรากฏบนใบหน้า...เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกมีความสุขจริงๆ

                “ไม่กลัวคนมองเหรอครับ”

                แม้จะเป็นคำพูดเย้าแหย่ แต่ก็แฝงไปด้วยความจริงจังอยู่ในที ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็อยากให้ฮ่องเต้อยู่กับเขาแบบสบายใจ ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่อยากให้ใครรู้ เขาก็ไม่อยากจะไปบังคับให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจ

                ฮ่องเต้เหลือบตาขึ้นมามองคนตรงหน้าเล็กน้อย พลันสายตาก็มองไปรอบด้าน ซึ่งก็มีหลายคนที่เอาแต่จับจ้องมาทางพวกเขาอย่างไม่วางตา ก่อนจะหันกลับมาสบสายตาคนตรงหน้า

                “มึงอายหรือเปล่า ที่มาตามจีบคนอย่างกู”

                โฟโต้ชะงักงันไปกับคำถามนั้น เพราะดูเหมือนว่าวันนี้ พี่ฮ่องเต้ของเขาจะแปลกไป  ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มแบบจริงใจที่ฮ่องเต้ก็พอจะสัมผัสได้

                “ผมไม่เคยอาย มันไม่เคยอยู่ในความรู้สึกของผมตั้งแต่แรก ตรงกันข้าม ยิ่งคนรู้มากเท่าไหร่ ผมยิ่งดีใจเพราะพวกเขาจะได้รู้ว่าพี่กำลังจะมีเจ้าของ” สุดท้ายก็ยังคงหยอดเสียงหวานใส่อีกฝ่ายอย่างสบโอกาส

                “และคนๆ นั้นก็คือผม”

                พลันสบสายตาให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาจริงจังกับคำพูดของตนมากแค่ไหน

                “ถ้าผมอายที่จะคบกับพี่ ผมคงไม่เลือกที่จะจีบพี่ตั้งแต่แรก”

                “...”

                “แต่ที่ผมจีบเพราะผมชอบ...ชอบแบบที่พร้อมจะรักแต่พี่เพียงแค่คนเดียว ขอแค่พี่ยอมตกลง”

                ฮ่องเต้ใจเต้นแรงขึ้นกว่าเก่า มองสบสายตาอีกฝ่ายอย่างพยายามไม่หลีกเลี่ยง แม้ว่าจะเขินอายมากแค่ไหนก็ตาม

                “อืม กูก็เหมือนกัน”

                “ครับ?”

                “ถ้ามึงไม่อายที่มาชอบคนอย่างกู กูก็ไม่อายและไม่สนใจสายตาของคนอื่นเหมือนกัน”

                โฟโต้ชะงักไปกับคำพูดของฮ่องเต้ หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเองว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมา ทั้งที่ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในที่สาธารณะและท่ามกลางรุ่นพี่รุ่นน้องแบบนี้

                ไม่สิ ในเมื่อพี่ฮ่องเต้บอกว่าเขาไม่สนใจสายตาใคร เงื่อนไขเรื่องคนอื่นจะมองยังไงก็คงถูกละทิ้งไปแล้ว

                “ขอบคุณนะครับ” พลันส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอีกหน ก่อนต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนต่อ

 

                เพราะเป็นการประชุมรอบสุดท้าย กิจกรรมจึงเลยเวลาเข้าไปเกือบสามทุ่ม ฮ่องเต้ยังคงยืนรอกระทั่งโฟโต้เดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน

                “กลับกันเถอะครับ”

                ฮ่องเต้ทำเพียงแค่พยักหน้ามาให้อย่างไม่คิดอะไร และพวกเขาคงจะเดินออกไปจากลานกิจกรรม หากไม่ติดที่เสียงเรียกจากทางด้านหลัง

                “คือเรามีเรื่องจะขอรบกวน” เป็นฝ้ายที่เอ่ยออกมาพลางเหลือบมามองฮ่องเต้อย่างเกรงใจ ทำให้คนถูกมองได้แต่ฝืนยิ้มไปให้

                “มีอะไรหรือเปล่าฝ้าย” แม้จะพูดกับฝ้าย แต่สายตากลับเหลือบไปมองคนข้างๆ อย่างห่วงความรู้สึก ยิ่งเห็นสายตาเรียบเฉยด้วยแล้ว เขายิ่งใจคอไม่ดีเท่าไหร่

                “เราจะขอติดรถไปที่โรงพยาบาลหน่อยได้หรือเปล่า พอดีรถเรายังไม่ออกจากศูนย์เลย” ฝ้ายยังคงพูดจานอบน้อมและนั่นทำให้โฟโต้ต้องหันไปมองฮ่องเต้อย่างต้องการความเห็น

                ในเมื่อเขารู้อยู่เต็มอกว่าแม่ของฝ้ายป่วย จะให้เขาใจร้ายยังไงได้ลงคอ

            “เอาสิ ถือโอกาสไปเยี่ยมแม่ฝ้ายด้วยเลยก็แล้วกัน” ฮ่องเต้เอ่ยปากบอกพร้อมรอยยิ้ม แบบที่โฟโต้ก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนใจอยู่

                “พี่เต้...” จึงเอ่ยปากเรียกเบาๆ

                “ไปเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย” พูดจบคนที่โตกว่าก็ออกเดินนำไป ทิ้งให้โฟโต้กับฝ้ายมองตาม คนหนึ่งเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะคิดมากและน้อยใจ ขณะที่อีกคนกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธ

                “พี่เต้...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ฝ้ายเอ่ยปากถามออกมาด้วยความกังวล เธอพอจะเดาออกอยู่หรอกว่าระหว่างโฟโต้กับฮ่องเต้ มันมีอะไรมากเกินกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง

                “เราไปกับนัทก็ได้นะ”

                “ได้ยังไงล่ะ มอเตอร์ไซค์มันอันตรายจะตายไป”

                โฟโต้ว่าออกไปเช่นนั้น เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง จะให้ไปกับนัท...ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อใจได้หรือเปล่า มันก็กะไรอยู่...ยิ่งกับข่าวลือเรื่องที่นัทถูกแก๊งทวงหนี้มาทำร้ายร่างกายเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขาไม่อยากจะไว้วางใจอีกฝ่ายเลยสักนิด

            “พี่ฮ่องเต้ไม่ว่าอะไรหรอก” เขาปลอบใจอีกฝ่าย “ไปเถอะ”

                ก่อนที่โฟโต้จะเดินนำออกไป อย่างไม่ทันได้สังเกตแววตารู้สึกผิดของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาด้วยความรู้สึกภายในใจที่ไม่มีวันที่ใครจะมาเข้าใจเธอได้

               

                โฟโต้ติดจะหงุดหงิดมาตลอดทาง เพราะฮ่องเต้ดันให้ฝ้ายมานั่งหน้ารถกับเขา ส่วนตัวเองก็เลือกที่จะไปนั่งด้านหลัง แถมยังเสียบหูฟังและไม่ยอมพูดยอมจากับใคร ปล่อยให้ฝ้ายกับเขาคุยกันแค่สองคนเท่านั้น กระทั่งมาถึงโรงพยาบาล ทั้งสามคนก็เข้าไปห้องพักฟื้นผู้ป่วยเพื่อไปเยี่ยมแม่ของฝ้ายตามที่ฮ่องเต้ได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านั้น

                และเขาคงจะไม่คิดอะไร หากสายตาของ ฟ้าระดา แม่ของฝ้ายที่มองมาทางเขาจะเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด เสียจนเขาเริ่มใจเสีย

                “นั่นเพื่อนของโฟโต้เหรอจ๊ะ” เธอเอ่ยถามพร้อมกับมองไปทางฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง จนฝ้ายต้องรีบแก้ต่าง

                “เปล่าค่ะแม่ นั่น พี่ฮ่องเต้ เป็นรุ่นพี่ที่คณะ” ฝ้ายได้แต่ยิ้มแหยๆ ไปให้ ส่วนฮ่องเต้ก็ยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ไปตามประสา ทว่าฟ้าระดากลับเอาแต่มองฮ่องเต้สลับกับโฟโต้อย่างประเมินสถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ ก่อนจะทำทีเมินเฉย หันไปสนใจแค่โฟโต้เพียงแค่คนเดียว

                “ลำบากแย่เลยเนอะ ต้องมาส่งยายฝ้ายมาหาน้าบ่อยๆ แบบนี้”

                เธอหัวเราะออกมาเบาๆ หากแต่กลับเป็นประโยคที่ทำให้โฟโต้ต้องเหลือบไปมองหน้าฮ่องเต้ ก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อไปยืนข้างๆ หนุ่มรุ่นพี่ หากแต่กลับถูกอีกฝ่ายส่งสายตาดุมาให้ ทว่าโฟโต้กลับยังเอาแต่ยืนยิ้มหน้าระรื่น

                “ไม่ลำบากหรอกครับ เพราะต้องไปรับไปส่งพี่ฮ่องเต้ทุกวันอยู่แล้ว อีกอย่างโรงพยา’บาลก็ทางผ่านหอของเราสองคนพอดี” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังกระชับมืออีกฝ่ายที่พยายามดึงมือหนีแน่น จนฟ้าระดาถึงกับไม่พอใจ หากแต่ยังคงรักษามาดของผู้ใหญ่เอาไว้ กระทั่งมีสายเรียกเข้าจากมือถือของฮ่องเต้ หนุ่มรุ่นพี่จึงได้โอกาสเลี่ยงสถานการณ์น่าอึดอัดตรงหน้า

                “เออ ผมขอไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ” เขาว่าอย่างนอบน้อมและผละออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกห้อง ท่ามกลางสายตาของคนทั้งสามที่มองตาม

                พลันฟ้าระดาก็สะกิดลูกสาวของตนที่เอาแต่เหม่อลอยไม่เข้าท่า ให้หันไปสนใจโฟโต้

                “ยังไงก็ขอบคุณโฟโต้อีกครั้งนะ ที่ยอมมาส่งเรา แถมยังมาเยี่ยมแม่เราด้วย”

                โฟโต้ยิ้มให้กับฝ้ายอย่างไม่คิดอะไร ส่วนใหญ่สายตาก็เอาแต่โฟกัสไปทางคนที่เพิ่งจะหายออกจากห้องไปเมื่อครู่ กลัวใจเหลือเกินว่าจะเป็นนัทที่โทรหาและมาเรียกร้องอะไรจากพี่ฮ่องเต้ของเขาอีก

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” จังหวะนั้นเองที่ฝ้ายฉวยโอกาสเดินมาจับแขนคนที่เอาแต่เหม่อลอยอย่างจงใจ สายตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าของร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่วางตา ท่ามกลางสายตาของฟ้าระดาที่มองมาด้วยความพออกพอใจ

                ขณะเดียวกัน...ที่ด้านนอกห้องพัก

                “กูก็แค่ช่วยรุ่นน้อง มันผิดปกติตรงไหนวะ” ฮ่องเต้ถามปลายสายอย่างไม่เข้าใจ เพราะจู่ๆ สีฝุ่นก็โทรมาหาเขาเรื่องที่เขาช่วยนัทเอาไว้และเพราะน้ำเสียงร้อนรนใจของอีกฝ่าย ทำให้ฮ่องเต้ต้องยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ว่ายังมีอะไรที่เขาไม่รู้หรือเปล่า

                ทว่า...อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปริปากบอกอะไร แถมยังทิ้งท้ายเอาไว้แค่ว่าคืนนี้จะไปหาเขาที่ห้องแค่นั้น ก่อนจะวางสายไปแบบที่ทิ้งให้คนเป็นพี่ต้องสงสัย

                “อะไรของมัน”

                ก่อนที่ฮ่องเต้เปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่มือกลับชะงักค้างเอาไว้เพียงเท่านั้น เพราะเสียงที่ดังเล็ดลอดออกมา

                “ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้ หืม”

                เป็นเสียงของฝ้ายที่กำลังหยอกล้ออยู่กับโฟโต้ โดยที่เจ้าของร่างสูงไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด สองมือของเขาจับเข้าที่มือของฝ้ายซึ่งถือวิสาสะมาหยิกแก้มเขาอย่างหมั่นเขี้ยว เขาไม่รู้ว่าฝ้ายจะจงใจหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่อยากให้พี่ฮ่องเต้ของเขาต้องมาเห็น จึงรีบดึงมือของเธอออกไปอย่างพยายามรักษามารยาท หากแต่ภาพเหล่านั้น กลับปรากฏท่ามกลางสายตาของหนุ่มรุ่นพี่เข้าให้ อย่างที่หนุ่มรุ่นน้องเองก็ไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ

             “...การกระทำของมึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรจาก หมาหวงก้าง หรอก ไม่ยอมกิน แต่ก็ไม่ยอมปล่อย แต่ก็ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน ก้างอย่างไอ้โฟโต้เนี่ย กูว่าทั้งหมาทั้งแมวจ้องแต่จะคาบกันเยอะชนิดที่มึงคาดไม่ถึงเลยเหอะ”   

            คำพูดของเจมส์ดังสวนเข้ามากระแทกใจเข้าดังปั๊ก แถมไอ้หมาแมวที่เจมส์พูดถึง ยังเป็นถึงว่าที่ดาวคณะ ดีไม่ดี อาจจะเป็นถึงว่าที่ดาวมหา’ลัยปีนี้ด้วยก็ได้ แถมยังเพียบพร้อมครบสูตรตามแบบฉบับที่ผู้ชายคนไหนต้องรักต้องหลงอีก จะไม่ให้เขาคิดมากได้ยังไงกัน

                แล้วดูสายตาของแม่ของฝ้ายที่มองเขาเข้าสิ ดูก็รู้ว่าเกลียดขี้หน้าเพราะเขาเป็นคู่แข่งลูกสาวเธอชัดๆ

            “พอๆ เลิกเล่นได้แล้ว รุ่นพี่เราเขามาแล้วน่ะ”  ฟ้าระดาว่าอย่างจงใจ จนโฟโต้รีบผละออกจากฝ้ายและหันไปยกมือไหว้เธอแบบลวกๆ

                “ถ้าอย่างนั้น ผมขอกลับก่อนนะครับ ต้องไปกินข้าวกับพี่เต้”

                และก็ไม่รีรอฟังคำตอบใด แม้กระทั่งเสียงเรียกจากฝ้าย ตรงกันข้ามกลับเดินดิ่งไปหาหนุ่มรุ่นพี่และพาออกไปจากห้องพักผู้ป่วยทันที

 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:49:22
ตอนที่ 39 การเปลี่ยนแปลง

                ฮ่องเต้เดินเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าเดิมที่เคยมาคราวก่อนพร้อมกับนิวและซัน เพื่อเลือกของสำหรับงานเปิดสายรหัสของคณะในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ อย่างที่ทุกคนรู้ว่างานเปิดสายรหัสเลื่อนขึ้นมาหนึ่งสัปดาห์ แล้วเผอิญว่าของที่เขาสั่งดันได้ช้ากว่ากำหนด ก็เลยต้องมาเดินซื้อของให้กับสายรหัสและสายเทคอีกครั้ง ซึ่งเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ไปทั่ว จนกระทั่งได้ของจนครบตามที่ต้องการ ซึ่งไอ้ของที่เขาเลือกก็เน้นไปทางของกินเสียส่วนใหญ่ (พวกนมกล่อง ขนมถุงอะไรเถือกนี้แหละครับ) และซื้ออย่างละสองเพื่อที่สายรหัสกับสายเทคจะได้ของเหมือนกันพอดี

                แต่เพราะเวลาที่เหลืออีกตั้งครึ่งค่อนวัน เขาก็เลยเดินเอื่อยๆ ไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลาไปพลาง พอดีวันนี้เป็นวันศุกร์เป็นวันที่มหาวิทยาลัยงดการเรียนการสอนตามตารางตลอดทั้งวัน เพื่อที่นักศึกษาจะมีเวลาว่างสำหรับทำกิจกรรม สอบย่อย พรีเซนงานหรือไม่ก็เมคอัพ (เมคอัพในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้มานั่งแต่งหน้ากันนะ แต่หมายถึงการเรียนหรือทำกิจกรรมนอกตาราง เนื่องจากในคาบเรียนปกติ อาจารย์อาจจะติดธุระหรือชั่วโมงเรียนอาจจะไม่เพียงพอต่อเนื้อหา ก็จะมีการเรียนเมคอัพรายวิชานั้นๆ ขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องพกเครื่องสำอางไปนั่งเรียนด้วยก็ได้) ดังนั้น เขาก็เลยพอจะมีเวลาว่างกับชาวบ้านเขาบ้าง

                ส่วนโฟโต้...

                จะเจอกันก็เฉพาะตอนเช้าที่มันมารับมาส่งที่หอเท่านั้นแหละ มีไปกินข้าวด้วยกันบ้างประปรายเพราะสองสามวันมานี้แทบจะยุ่งๆ เหมือนกันทั้งสองฝ่าย ส่วนใหญ่จะมีก็แต่ข้อความที่ส่งมาให้ได้รู้ว่ามันทำอะไร อยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้าง ก็ช่วงนี้มันต้องทำอะไรหลายอย่างทั้งสอบย่อย ทั้งรายงาน ทั้งเข้าห้องเชียร์ ล่าสุดที่เจอกัน หน้าตามันนี่แทบจะกลายเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว เขาไม่รู้ว่ามันได้ดูแลตัวเองบ้างไหม

                อันที่จริง อย่าว่ามันจะดูแลตัวเองเลย แค่เวลาพักผ่อนมันจะมีเหมือนกับชาวบ้านเขาไหมก็ไม่รู้ แต่นั่นก็คงไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับเรื่องการประกวดดาวเดือนคณะหรอก ไม่รู้ว่ามันจะเตรียมการแสดงอะไรไว้หรือยัง จะซ้อมเดินบ้างหรือเปล่า เขาก็ได้แต่หวังว่ามันคงไม่เดินสะดุดอะไรบนเวทีจนหน้าทิ่มหรือไม่ก็ทำอะไรเอือมๆ บนเวที ไม่อย่างนั้น เสียชื่อพี่เทคอย่างเขาหมด

                ส่วนนัท...

                จะว่าไป เขาก็ไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ รายนั้นเป็นนายแบบอยู่แล้ว เรื่องเดินคงเป็นอะไรที่สบายๆ สำหรับมัน ส่วนเรื่องการแสดงก็ได้ยินมาว่ามันก็เตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ถ้าจะห่วงก็คงแผลที่หน้า แล้วก็แผลตามตัวของมัน ไม่รู้ว่าจะหายดีหรือยัง (ถึงรอยข้างนอกจะหาย แต่ข้างในมันก็ไม่แน่หรอก)  ที่สำคัญ มันจะหาเงินมาใช้คืนไอ้พวกแก๊งทวงนี้ได้หรือเปล่า

                และระหว่างที่ฮ่องเต้กำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร้านเครื่องสำอาง นิ่งคิดอะไรไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปข้างในร้านนั้นและตรงเข้าไปที่แผนกสินค้าสำหรับผู้ชาย ก่อนที่เขาจะเลือกซื้อที่มาส์กหน้าและครีมสำหรับบำรุงผิวที่เขาเคยใช้ตอนประกวดเดือนคณะใส่ตะกร้าจนครบ แล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ของร้าน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปดังเช่นชีวิตประจำวันปกติของเขา จนกระทั่ง...

                สายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า...

                พลันคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันทันที มองไปที่รุ่นน้องปีหนึ่งที่เขาพอจะจำได้ว่าคือกาฟิวด์กำลังเดินกดมือถือยิกๆ อยู่ตรงด้านนอกร้าน แต่นั่นมันไม่ได้ดึงดูดสายตาได้เท่ากับชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามบันไดเลื่อนนั่นหรอก สองคนนั้นเหมือนกำลังวางแผนอะไรกันสักอย่าง พร้อมมองมาทางกาฟิวด์ที่กำลังยืนก้มหน้ากดมือถืออย่างไม่รับรู้ถึงอันตรายใดๆ เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะเดินมาทางที่กาฟิวด์ยืนอยู่

                “ทั้งหมดห้าร้อยเก้าสิบสามบาทค่ะ”               

                เสียงขัดจังหวะ ทำให้ฮ่องเต้ต้องละสายตาหันกลับมามองที่พนักงานและจ่ายเงินให้ ก่อนจะรีบหยิบถุงและเดินออกมาจากร้าน มองหาพวกเขาก่อนจะเห็นหลังไวๆ เลยรีบเดินตามไปทันทีด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งถึงมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นมุมที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านมาทางนี้เท่าไหร่นัก เนื่องจากตรงนี้เป็นเขตปิดปรับปรุง เลยแอบมองสองคนนั้นพร้อมกับยกมือถือขึ้นมาถ่ายเอาไว้เป็นหลักฐาน เผื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

                “ไหนๆ เราก็ได้เจอกันแล้ว พี่ขอถามตรงๆ เลยก็แล้วกัน น้องเป็นอะไรกับสีฝุ่น”

                ท่าทางหึงหวงแสดงออกมาชัดเจนทางสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นจนอดสงสัยไม่ได้ ตอนนี้ในหัวเริ่มประมวลผลไปต่างๆ นานาถึงสาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาพูดจาอะไรแบบนี้กับกาฟิวด์ มิหนำซ้ำ ยังพาดพิงไปถึงลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยอีกต่างหาก

                “ผมเป็นแค่รุ่นน้องที่คณะของพี่เขาครับ”

                “แน่ใจนะว่าแค่รุ่นน้อง ไม่ใช่ว่าเธอกำลังคิดจะเป็นมากกว่านั้น”

                คำพูดของผู้หญิงคนนั้น ทำเอากาฟิวด์ถึงกับชะงักนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ทว่าแววตากลับสั่นระริกออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

                “ผมไม่ได้...”

                “จะปฏิเสธว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับสีฝุ่นเหรอ จะบอกว่าเธอไม่ได้พยายามจะอ่อยสีฝุ่นงั้นสิ อย่ามาตอแหลหน่อยเลย!”

                “พี่จะคิดยังไงก็เรื่องของพี่เถอะครับ”

                “พูดง่ายดีนี่ เอาเหอะ จะยังไงก็ช่าง ฉันแค่จะมาเตือนให้เธออยู่ห่างจากสีฝุ่นเอาไว้ซะ เพราะเขามีเจ้าของแล้ว”

                เจ้าของ?

                ใครวะ...เจ้าของไอ้สีฝุ่น

                ฮ่องเต้สงสัยหนักกว่าเก่าเพราะจำได้ว่าสีฝุ่นเพิ่งจะอกหักมาจากอ้น แล้วจะเอาเวลาไหนไปมีแฟน เรื่องนี้มันชักจะไม่ชอบมาพากลเข้าเสียแล้ว

                “ครับ” กาฟิวด์ที่ก้มหน้าก้มตาตอบรับไปด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”

                “เดี๋ยว...” ผู้หญิงคนนั้นเรียกกาฟิวด์เอาไว้ ก่อนที่เธอจะทำในสิ่งที่ฮ่องเต้เองก็คาดไม่ถึง

                ฝ่ามือของเธอตบเข้าที่หน้าของกาฟิวด์ฉาดใหญ่ ตามมาด้วยน้ำหวานในแก้วที่ถูกสาดเข้าใส่คนที่กำลังยืนอึ้งอีกระรอก ทุกอย่างมันรวดเร็วจนต่างคนต่างจับอะไรไม่ทัน

                “สำเหนียกเอาไว้ด้วยนะ ว่า ผู้ชาย อย่างเธอ ยังไงก็ไม่มีวันสู้ ผู้หญิง อย่างฉันได้หรอก”

                ทว่าก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้เข้าไป กาฟิวด์ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะขยับปากพูดไปทั้งที่ร่างกายสั่นเทาอยู่แบบนั้น

                “พี่รู้ได้ยังไงครับ ว่า ผู้ชาย จะสู้ ผู้หญิง ไม่ได้...”

                “ทำไม!”

                “...ถ้าผู้หญิงอย่างพี่ดีจริง พี่สีฝุ่นคงไม่ตามวอแวผมหรอก”

                “กรี๊ด!! ไอ้เด็กบ้านี่! แก๊...”

                “เอาสิครับ ตบผมอีกสิ ผมจะได้เอาไปฟ้องพี่สีฝุ่น เขาจะได้เกลียดพี่ไปเลย! เพราะผมก็ไม่อยากเห็นคนที่ผมรัก ต้องคบกับคนที่นิสัยเสียแบบพี่เหมือนกัน!”

                “รักเหรอ...แกมีสิทธิ์อะไรมารักสีฝุ่นหา!”

                “ก็สิทธิ์...ของ...คนที่อยากจะรัก”

                “แกจะไม่ยอมเลิกยุ่งกับสีฝุ่นใช่ไหม!”

                และก่อนที่เธอจะได้ตบหน้ากาฟิวด์เข้าอีกระรอก ฮ่องเต้ก็เข้ารวบตัวของเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง เธอหันมามองเขาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะกรีดร้องลั่นและบังคับให้เขาปล่อย

                “ไปเคลียร์กันที่โรงพัก”

                เธอหยุดชะงักตามคำพูดของฮ่องเต้และเพราะสีหน้า แววตาที่ดุดันทำให้เธอคิดว่าคนตรงหน้าเอาจริงแน่ จึงได้แต่หอบหายใจ กระฟัดกระเฟียดใส่ ก่อนจะสะบัดตัวเดินหนี เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปทันที ให้ฮ่องเต้ได้มีโอกาสเข้าไปเด็กปีหนึ่งที่ยืนสั่นระริก สั่นด้วยความโกรธแค้นในใจและสั่นเพราะความเสียใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ

                “เป็นอะไรไหม” ฮ่องเต้ถามพร้อมกับล้วงผ้าเช็ดหน้ายื่นให้

                “ไม่เป็นไรครับ” กาฟิวด์ตอบเสียงนิ่ง หน้าตาดูเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาก ก่อนจะหันมาถามหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความแปลกใจ “พี่เต้มาได้ไงครับ”

                “เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ ไปล้างหน้าล้างตาก่อน” ฮ่องเต้ร้องบอกก่อนจะพากาฟิวด์ไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องน้ำ

                หากแต่ระหว่างนั้น ขณะที่กาฟิวด์กำลังก้มตัวล้างหน้าอยู่นั่นเอง สายตาของฮ่องเต้ก็ดันไปเห็นน้ำตาที่ไหลออกมา ทำเอาใจของเขากระตุกวูบ ก่อนจะเต้นแรงขึ้นมา ทั้งสงสารและเจ็บปวดไปตามๆ กันตามประสาคนหวั่นไหวง่ายเป็นเดิมที่อยู่แล้ว หากแต่เพราะกาฟิวด์ต้องการจะกลบเกลื่อนความรู้สึกทั้งหมด จึงรีบเอามือปาดน้ำตาออกไปและพยายามทำตัวปกติ ซึ่งฮ่องเต้เองก็ยังคงไม่พูดอะไรออกไปเพราะเขาต้องการจัดการเรื่องนี้ทีเดียว อีกอย่าง ดูเหมือนกาฟิวด์ไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ด้วย

                “ขอบคุณพี่เต้มากนะครับ ที่เข้ามาช่วย”

                “อืม ว่าแต่...มาทำอะไรที่ห้าง”

                กาฟิวด์เหลือบตามองเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มออกมา “มีคนบอกให้ผมมาหาพี่สีฝุ่นที่นี่เพราะพี่สีฝุ่นอยากมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับผม แต่ผมคงโง่เองแหละครับ ที่เชื่อ...”

                ท้ายประโยคกาฟิวด์ได้แต่แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับกำลังประชดตัวเองอยู่

                หรือว่า...น้องมันจะชอบไอ้สีฝุ่น

                ฮ่องเต้มองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะถามอะไรออกไป “แล้วเราไปไหนต่อหรือเปล่า”

                “ไม่นะครับ”

                “ถ้าอย่างนั้น ไปกับพี่หน่อยได้ไหม พอดีพี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

                กาฟิวด์หันมามองหน้าเขาอย่างสงสัยในคำชวน ขณะที่เขาได้แต่ยิ้มไปให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจให้คำตอบ

                “ก็ได้ครับ”

                “งั้นตามมาเลย” ฮ่องเต้เดินนำหนุ่มรุ่นน้องออกไปจากห้องน้ำและตรงไปที่ลานจอดรถ หลังจากที่เก็บข้าวของใส่หลังรถแล้ว ก็ขึ้นรถและขับพาออกจากห้างสรรพสินค้าทันที 

               

                ไม่นานฮ่องเต้ก็ขับรถมาถึงหอพักของไอ้สีฝุ่น (ที่เขาแอบส่งข้อความหามันเพื่อเช็คว่ามันอยู่หอแล้ว) เขาขับรถเข้าไปจอดใต้หอ ขณะที่กาฟิวด์ได้แต่มองไปที่อาคารหอพักแบบงงๆ

                “นี่...หอพี่เต้เหรอครับ”

                “ก็ไม่เชิงอ่ะ” ฮ่องเต้เลี่ยงที่จะบอกความจริง พลางเกาหัวแก้เก้อเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปเสียก่อน ถ้ารู้ว่าเขาพามาหาสีฝุ่นถึงที่

                ก่อนจะลงจากรถและพากาฟิวด์ขึ้นมาบนห้อง เคาะประตูสองสามครั้งและยืนรอสักพัก ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกโดยเจ้าของห้อง กาฟิวด์ดูเหมือนจะอึ้งกิมกี่ที่รู้ว่าฮ่องเต้พามาหาใคร

                “อ้าว น้องฟิวด์?” สีฝุ่นหันมามองด้วยความตื่นเต้นทันทีที่เห็นหน้าคนที่มาหา ก่อนที่หน้าตาจะเคร่งเครียดขึ้นมาทันตาเห็น เมื่อเห็นสภาพของกาฟิวด์ที่เละเทะเพราะคราบน้ำหวาน

                “เข้ามาก่อนครับ” มันร้องบอกและรีบดึงกาฟิวด์เข้าไปในห้องทันที โดยไม่สนใจไอ้พี่ของมันที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย ในสายตามันนี่คงไม่มีเขาอยู่แล้วล่ะมั้ง

                ฮ่องเต้จึงจัดการปิดประตูและเดินตามเข้ามาก็เห็นสีฝุ่นจัดการพากาฟิวด์ไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า และได้แต่มองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ จึงหันมาหาสีฝุ่นที่เหมือนกำลังจะรอฟังอยู่แล้ว

                “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องฟิวด์ถึงได้เป็นแบบนั้น”

                ฮ่องเต้มองหน้าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองไปพลางล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา เปิดคลิปและส่งให้ดู

                “มึงรู้จักเขาไหม” เขาหมายถึงผู้หญิงในคลิป

                ทว่าสีฝุ่นกลับส่ายหน้ามาให้ “ผมไม่เคยเจอเธอเลยด้วยซ้ำ เฮียก็รู้ว่าผมไม่เคยคบผู้หญิง แล้วไม่คิดที่จะคบด้วย”

                “แต่เขาอาจจะชอบมึงก็ได้”

                “แต่ก็ไม่ควรทำรุนแรงกับกาฟิวด์ขนาดนี้ป่ะ แบบนี้ ผมว่ามันไม่ปกติแล้ว”

                คำพูดของสีฝุ่นทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “แต่ก่อนหน้านั้น กูเห็นว่าเขาคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางเหมือนวางแผนกันมาดี ก่อนที่จะเข้ามาทำร้ายกาฟิวด์”

                 ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาสบตากันอย่างสื่อความหมาย “เฮียว่าจะใช่พี่อ้นหรือเปล่า”

                “แล้วมีใครบ้างที่รู้เรื่องระหว่างมึงกับน้องฟิวด์”

                “เชี้ย...ผมลืมไปเลย ผมไม่ควรจะปล่อยให้น้องมันคลาดสายตา”

                “มีอะไรวะ”

                “วันนั้น ที่คณะ ผมจูบน้องมันประชดไอ้พี่นั่น ตอนนั้น เขาโกรธมากและพูดจาเหมือนว่าจะไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ” ก่อนที่สีฝุ่นจะทึ้งหัวตัวเองด้วยความโมโหและนั่งลงที่ปลายเตียง

                แต่ผมว่า...มีอีกเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้รู้เรื่อง

                “สรุปว่าเรื่องกาฟิวด์ มึงแค่ประชดไอ้อ้น...แค่นั้น?”

                สีฝุ่นถอนหายใจออกมาอย่างลำบากใจ “มันก็ไม่เชิงหรอกเฮีย ผมยอมรับตรงๆ เลยก็ได้ ว่าตอนนั้น ผมแค่คิดว่าอยากให้เขาเจ็บเหมือนที่ผมเจ็บบ้าง แต่ระยะหลังมา...ใจของผมมันก็...”

                “ก็อะไรของมึง”

                “ก็เอาแต่คิดถึงน้องมันอ่ะ ตอนนั้น ผมก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะน้องมันน่ารัก แล้วก็ดูซื่อๆ แต่ตอนนี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจแล้วว่าผมคิดกับน้องเขาแค่นั้น”

                ดูเหมือนว่า...ผมจะเริ่มมีหวังที่จะทำให้ไอ้สีฝุ่นมันตัดใจจากไอ้อ้นได้

                “แล้วไอ้การที่มึงไปจูบเขาแบบนั้น มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะรู้สึกยังไง ถึงมึงจะบอกว่าทำไปเพราะประชดก็เถอะ แล้วถ้าน้องมันเกิดหวั่นไหวขึ้นมา มึงจะรับผิดชอบความรู้สึกเขาได้ไหม อีกอย่างที่น้องมันโดนทำร้ายมาวันนี้ก็เพราะมึงไม่ใช่หรือไง ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอวะ”

                คราวนี้สีฝุ่นเงียบไปนานมาก หน้าตาของมันแสดงถึงความสับสนภายในใจออกมาอย่างชัดเจน เขาแค่หวังว่ามันจะคิดอะไรได้บ้าง

                “ผมก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้เหมือนกันนั่นแหละ” ในที่สุด สีฝุ่นมันก็ยอมรับออกมาตรงๆ “เรื่องพวกนี้ มันทำให้ผมปล่อยฟิวด์ไปไม่ได้ ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องต้องมาเจออะไรแบบนี้เพราะผมอีกแล้ว”

                “แล้ว?”

                “ผมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาในฐานะที่ผมเป็นคนเริ่มเกมนี้ก่อน ส่วนเรื่อง...ความรู้สึก ผมคงต้องค่อยเป็นค่อยไป”

                ฮ่องเต้พยักหน้าและยิ้มออกมาน้อยๆ “เออ เอาเป็นว่า...กูขอให้มึงโชคดีก็แล้วกัน”

                สีฝุ่นหันมายิ้มให้กับเขา ดวงตาฉายแววความเศร้าออกมา แต่ก็เพียงแค่น้อยนิด อาจจะเป็นเพราะยังกลัวใจเรื่องที่เคยผิดหวังในความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                “ผมหวังว่า...ผมคงจะโชคดีกับเขาบ้างนะเฮีย”

                ทั้งคู่มองหน้ากันสักพัก เสียงประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นพร้อมกับกาฟิวด์ที่ออกมาในเสื้อผ้าของสีฝุ่น

                “อย่าไปปล้ำเขาล่ะ” ฮ่องเต้หันไปกระซิบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่าสีฝุ่นกลับยักไหล่มาให้

                “ถ้าเฮียเห็นว่าน้องมันน่ารักเหมือนที่ผมเห็นล่ะก็...เฮียคงรู้ว่าผมคงห้ามตัวเองไม่ได้หรอก”

                ฮ่องเต้ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก่อนปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่กับกาฟิวด์กัน ส่วนเขาก็แยกตัวออกมาและกลับหอตัวเองอย่างไม่อยากจะอยู่ขวางทาง

            ก็แค่หวังว่า...ช่วงเวลาเพียงน้อยนิดจะสร้างเรื่องดีๆ ระหว่างคนสองคน

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:50:24
ตอนที่ 40 ตัดสินใจ

                วันนี้เป็นวันเปิดสายรหัส...

                และฮ่องเต้ก็มาในชุดของซาตาน เช่นเดียวกับหลายคนในงาน เขาสอดสายตามองไปทั่วงานที่ถูกจัดขึ้นในลานซ้อมกิจกรรมประจำคณะ ซึ่งถูกตกแต่งผสานกันระหว่างความเป็นซานต้าคลอสและซาตานด้วยความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ

                ไม่รู้ว่าไอ้โฟโต้จะได้อ่านคำใบ้สายรหัสฉบับสุดท้ายหรือเปล่า...

                และเขาก็ได้แต่เดินแบกข้าวของไปที่โต๊ะลงทะเบียนตรงทางเข้างานและจัดการเซ็นชื่อลงไปในใบรายชื่อของปีสี่ เสร็จสรรพก็รับสายสิญจน์มา ก่อนจะแบกไปนั่งที่โต๊ะตามคำเชิญของเด็กปีสองทันที

                “สวัสดีค่ะ พี่เต้” เสียงสดใสของยิ้ม น้องรหัสปีสามที่อยู่ในชุดของซานต้าสาวเอ่ยทักทันทีที่เห็นเขาเดินมาที่โต๊ะ ซึ่งถูกจัดแยกตามสายรหัส โดยแบ่งเป็นหนึ่งโต๊ะต่อสองสาย

                “กะไว้แล้วว่าพี่เต้ต้องมาในธีมซาตาน” เธอเอ่ยแซวพลางมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาเขาเผลอเอามือเกาหัวอย่างเขินๆ เพราะความไม่เคยชินกับการทำอะไรแบบนี้เสียเท่าไหร่

                “มัน...ไม่ได้น่าเกลียดใช่ไหม”

                “ไม่หรอกค่ะ ดูดีมากเลยต่างหาก” เธอว่าพร้อมกับยกนิ้วให้เพื่อยืนยันในสิ่งที่เธอพูด ซึ่งไอ้เขาก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา

                “แล้วเป็นไงบ้างน่ะเรา ตั้งแต่ไปแลกเปลี่ยนก็ไม่ได้เจอกันเลยนะ” ฮ่องเต้เอ่ยทักตามประสารุ่นพี่ เพราะยิ้มได้ทุนไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศสามเดือน เลยกลับมาช้ากว่ากำหนดการเปิดเทอมไปเกือบสองสัปดาห์

                “เหนื่อยมากเลยค่ะ แต่ก็สนุกดีนะคะ ยิ้มยังคิดอยู่เลยว่าจะไปต่อโทที่นั่นหลังจากเรียนจบ”

                “เออ ก็ดีนะ จะได้เรียนรู้ภาษาไปในตัวด้วย”

                “ไม่ต้องมาสนับสนุนพี่ยิ้มเลยนะเฮีย” เสียงของลัคกี้ดังมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามเสียงมาด้วยใบหน้าบูดๆ ท่าทางเหมือนกำลังงอนยิ้มอยู่

                “เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า เดี๋ยวบรรยากาศในงานก็เสียตามหน้าเราพอดี”

                ฮ่องเต้เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ตามคำพูดของยิ้ม ก่อนที่ลัคกี้จะนั่งลงข้างแฟนของตนไม่นานัก สายรหัส 177 ที่รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีอย่างสายของนิวก็โผล่หน้าเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ

                “ไอ้ย๊ะ  ลูกพี่กูมาในชุดซาตานซะด้วย”

                เขามองอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดซานต้าคลอสอย่างเอือมระอา ก่อนที่นิวจะเดินมานั่งข้างๆ และกระซิบกระซาบ

                “นี่ของที่จะให้น้องมันก็กะจะเป็นมึงในชุดนี้เลยป่ะ”

                “ไอ้สัสนิว!” ฮ่องเต้โบกหัวคนพูดมากไปทีอย่างเหลืออด “แซวกูอยู่นั่น”

                “ก็เผื่อคืนนี้จะมีอะไรดีๆ ไงวะ”

                และเขาก็ทำได้เพียงแค่มองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้

                อย่าให้มันมีใครตามจีบบ้างก็แล้วกัน จะล้อยันหลังงานแต่งเลยเหอะ

                “โอ๊ะ กูลืมไปว่ะ”

                ฮ่องเต้ส่งสายตาให้คนข้างกายแทนคำพูดว่า อะไรของมึงอีก

                “ตรงนี้มันที่นั่งสามีเพื่อน กูไปนั่งตรงโน้นดีกว่า”

                “จะไปไหนก็ไปเลยมึง” เขาพูดจบ นิวก็หัวเราะร่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งกับสายรหัสตัวเองทันที

                “สวัสดีค่า” เสียงพิธีกรปีสอง คู่หูประจำเวทีในหลายๆ งานดังเรียกความสนใจจากทุกคนภายในงาน “ขอต้อนรับพี่ๆ เข้าสู่งานเปิดสายรหัสของคณะนิติศาสตร์ในวันนี้นะคะ”

                “แหม จะว่าไปแล้ว งานวันนี้เหมือนจะมีซาตานเยอะกว่าซานต้าอีกนะคะเนี่ย เรียกได้วาเตรียมตัวมาลงโทษน้องมากกว่าจะมาแจกของให้น้องอีกนะคะ”

                “ใครจะลงโทษหรือใครจะแจกของใครก็ไม่รู้นะคะ เอาเป็นว่าตอนนี้ เราจะทยอยให้เด็กปีหนึ่งตามหาพี่รหัสของตัวเองที่โต๊ะ ถ้าเกิดน้องคนไหนหาพี่เจอแล้ว ก็รบกวนพี่ๆ ชวนน้องนั่งที่โต๊ะของตัวเองได้เลยค่า”

                ไม่นานนัก เด็กปีหนึ่งก็ทยอยเดินเข้ามาภายงาน ความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายพอสมควร ขณะที่ใจของเขาเองก็เต้นไม่หยุดเช่นกัน จนต้องสอดสายตามองหาโฟโต้และนัทท่ามกลางบรรดาเด็กปีหนึ่งในงาน แต่ก็ไม่ยักกะเจอสักที แถมไม่มีทีท่าว่าจะไม่ใครเดินมาทางที่เขานั่งอยู่เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่ง สายรหัสของนิวมาจนครบแล้ว แต่สายรหัสกับสายเทคของเขาก็ยังคงไม่โผล่หน้ามา

                ไปไหนของมันวะ

            เขาอดสงสัยไม่ได้ เพราะโฟโต้เองก็รู้อยู่แล้วว่าเขาคือพี่รหัสปีสี่ ก็น่าจะต้องมองหาเขาเจอแล้วสิ

                “เฮีย น้องมันจะหาสายรหัสตัวเองไม่เจอจริงๆ เหรอ” ลัคกี้หันมากระซิบถาม แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไร ก็มีใครบางคนโผล่เข้ามาทางด้านหลังเสียก่อนและเมื่อทั้งเขา ลัคกี้และยิ้มหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง ก็พบว่าเป็นนัทที่อยู่ในชุดซาตานกำลังยืนส่งยิ้มละมุนมาให้

                “พี่ลัคกี้ พี่ยิ้ม พี่ฮ่องเต้ครับ...”

                “...”

                “พวกพี่เป็นพี่เทคของผมใช่ไหมครับ?”

                พวกเขาหันมามองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง ก่อนที่จะลัคกี้จะเป็นคนหันไปพูด

                “ถ้าน้องไม่แนะนำตัว พี่จะรู้ได้ยังไงว่าน้องเป็นน้องเทคของพี่”

                นัทยิ้มกริ่มกับคำพูดของลัคกี้และเริ่มแนะนำตัว “ผม นายนายนัฐวุฒิ สุทธิกรณ์ ชื่อเล่นชื่อนัท รหัส 204 ครับ”

                “อืม...” เป็นน้องยิ้มที่หันไปมองนัทอย่างพิจารณา ก่อนที่เธอจะคลี่ยิ้มออกมา “...ถ้าอย่างนั้นก็คงใช่แล้วแหละ เพราะพวกพี่ก็มีน้องเทคชื่อนัท รหัส 204 เหมือนกัน”

                “เชิญนั่งเลยคร้าบบบ” และลัคกี้ลุกขึ้นและดันตัวน้องให้มานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างฮ่องเต้ ก่อนที่พวกทั้งสามคนจะหันมาชะโงกหน้ามองหาสายรหัสของตัวเองต่อ

                “ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สิบวินาทีเท่านั้นนะคะ น้องคนไหนที่ยังหาพี่ไม่เจอก็รีบหน่อยน้า” เสียงพิธีกรเริ่มเขย่าโสตประสาตคนเป็นพี่ทั้งสามให้กังวลมากขึ้น ก่อนที่สายตาจะหันไปสบกับร่างของโฟโต้ที่เอาแต่ก้มมองกระดาษในมือ

                “น้องมันไม่รู้จริงๆ เหรอคะ” ยิ้มเองก็เห็นเหมือนกันกับเขา

                “นี่เฮียเขียนอะไรแปลกๆ ลงไปในจดหมายใบ้หรือเปล่า น้องมันเลยหาไม่เจอเนี่ย” ลัคกี้หันมามองหน้าเขาอย่างคาดโทษ จนคนโดนกล่าวหาฟาดมือใส่ไปที

                “เขียนเชี้ยอะไรล่ะ กูก็ใบ้ให้มันเหมือนที่เคยใบ้ให้มึงนั่นแหละ”

                แถมมันยังรู้ตั้งนานแล้วด้วยว่าใครคือพี่รหัสปีสี่ของมัน

            หากแต่เขาก็พูดได้แค่ในใจเพราะเกิดบอกไปเดี๋ยวได้โดนดุ หาว่าไม่ยอมทำตามกฎพอดี

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ เหลืออีกแค่ห้าวินาทีแล้ว เราจะมาเริ่มนับถอยกันเลยนะคะ”

                เชี้ยละไง!

                ฮ่องเต้ร้อนรนนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ ขืนโฟโต้หาไม่เจอแบบนี้ มีหวัง...ได้โดนทำโทษแน่ๆ แล้วไอ้คนที่จะซวยไปด้วยก็คือพี่มันเนี่ยแหละ จะได้โดนทำโทษฐานที่ทำให้น้องหาไม่เจอ

                เอ๊ะ หรือมันจะมองไม่เห็นผมวะ 

                “ห้า...”

                “เฮีย เราโบกมือเรียกน้องมันดีป่ะ” ลัคกี้ออกความเห็น

                “สี่...”

                “ทำแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้โดนลงโทษยกสายหรอก กติกาเขาก็บอกอยู่ว่าห้ามรุ่นพี่ส่งซิกน์ให้น้อง” ยิ้มที่หันไปเอ็ดใส่

                “สาม...”

                “แต่ถ้าโดนลงโทษเพราะน้องหาไม่เจอ ผมไม่ออกไปนะ” ลัคกี้เริ่มโวยวาย ท่าทางร้อนรนพอกับรุ่นพี่ปีสี่อย่างฮ่องเต้ กระทั่ง...

                “สอง...” เสียงพิธีกรเอ่ยนับสองออกมา

                หายนะมาเยือนสายรหัส 178 แล้วครับ

                “หนึ่ง...หมดเวลาค่า!!”

                และฮ่องเต้ก็ต้องถอนหายใจแรงๆ 

                “ขอเชิญน้องปีหนึ่งที่ยังหาพี่ไม่เจอขึ้นมาบนเวทีด้วยค่า” สิ้นเสียงพิธีกร เขาก็ได้แต่มองตามโฟโต้ที่เดินเตร็ดเตร่ขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆ อีกประมาณห้าหกคน ก่อนที่พิธีกรจะประกาศเรียกให้รุ่นพี่ปีสี่แต่ละสายของเด็กปีหนึ่งพวกนั้นให้ขึ้นไปยืนบนเวทีเพื่อทำการตามหาสายรหัสที่เหลือเป็นลำดับต่อไป

                “ออกไปดิเฮีย” ไม่ว่าเปล่า ลัคกี้ยังหันมาดันตัวรุ่นพี่ปีสี่อย่างเขาให้ลุกอีก

                “มึงไปแทนกูไม่ได้เหรอวะ”

                “เขาให้ปีสี่ไปไหมล่ะ”

                พูดจบอีกฝ่ายก็ทั้งผลักทั้งดันให้เขาลุกขึ้น จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมออกไปแต่โดยดี

                ฮ่องเต้เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างเซ็งๆ เหลือบมองโฟโต้ที่ไม่แม้แต่จะมองมาทางเขาเลยสักนิด สายตาของมันเอาแต่โฟกัสไปทางรุ่นพี่ปีสี่คนอื่น...อย่างจงใจ

                นี่มันไม่รู้จริงๆ เหรอวะ ว่าไอ้คนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เนี่ย เป็นพี่ปีสี่ของมันน่ะหา!!

 

                มันน่าโมโหชะมัด!

 

            จะแกล้งอะไรกูอีกกกกก

 

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ ในมือของน้องๆ จะมีจดหมายคำใบ้สายรหัสฉบับสุดท้ายที่พี่ปีสี่เขียนไว้ให้นะคะ สองคนสุดท้ายที่หาพี่รหัสไม่เจอ เราจะให้น้องอ่านจดหมายให้คนทั้งคณะฟัง...”

                ฉิบหาย!

                ฮ่องเต้จ้องจดหมายในมือของโฟโต้ตาไม่กระพริบ ในใจก็เอาแต่กู่ร้องว่า ไม่ได้ๆๆๆ  เพราะทุกคนจะมารับรู้ข้อความในจดหมายฉบับนั้นไม่ได้เป็นอันขาด

                ไอ้โฟโต้เอ้ยยย แม่ง หาเรื่องเดือดร้อนมาให้กูอีกแล้ว!!

                “...และหลังจากนั้น เราจะให้พี่ปีสี่ออกมาเฉลยคำตอบว่าใครเป็นน้องรหัสของตัวเองบ้างนะคะ

                พิธีกรยังคงอธิบายกติกาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฮ่องเต้เริ่มเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกังวลใจ

                “ขอให้พี่ปีสี่ออกมายืนข้างหน้าด้วยนะคะ...”

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปยืนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าโดยหันหน้าออกไปทางหน้าเวทีด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เพราะถ้าโฟโต้มันจงใจเลือกผิดคนแล้วล่ะก็...ชีวิตของเขาได้จบเห่แน่

                และถ้ามันจงใจให้เป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็...

                เขาก็จะจงใจทำ...ทำ...เออ! ตอนนี้ ยังคิดไม่ออก ไว้คิดออกแล้วจะจัดการมันก็แล้วกัน ชิส์

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ ขอให้น้องๆ ทั้งเจ็ดคนมายืนอยู่ด้านหลังรุ่นพี่ที่เราคิดว่าเป็นซานต้าของตัวเองได้เลยค่า แต่ระวังนิดหนึ่งนะคะ ถ้าหลงไปเลือกซาตานขึ้นมาเนี่ย จะโดนลงโทษทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ”

                บรรยากาศรอบข้างชวนให้ลุ้นระทึก ขณะที่หูของเขามีเพียงแค่เสียงรองเท้าที่ดังกระทบพื้นเวทีดังก้องอย่างชัดเจน แถมด้วยพิธีกรที่ไม่รู้จะบิ้วอะไรกันนักกันหนา

                หัวใจจะวายแล้วนะเฮ้ย!!

                “โอเคค่ะ น้องๆ ก็ได้เลือกซานต้าของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ ต่อไปเราจะมาเฉลยทีละคนว่าพี่คนไหนเป็นซานต้าหรือเป็นซาตานนะคะ”

            เชี้ยละ...

            แล้วทำไมเขาต้องเป็นรองอันดับสุดท้ายด้วยฟระ!

                แอบหันไปดูจะเป็นอะไรไหมครับ

                “อ๊ะๆ อย่าแอบดูนะคะพี่ปีสี่”

                ฮ่องเต้แทบจะหันขวับกลับมาไม่ทัน หลังจากถูกพิธีกรทัก ก่อนที่พิธีกรคู่หูคู่ฮาประจำคณะจะหันไปทำหน้าที่ของตน โดยการเฉลยสายรหัสทีละคน ส่วนไอ้เขาก็รอลุ้นใจจะขาดอยู่รอมร่อ ซึ่งห้าคู่แรกก็ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะรุ่นน้องสามารถเลือกรุ่นพี่ได้ตรงกับสายรหัสของตัวเองพอดีเปะ ทำให้ยังไม่มีใครถูกลงโทษ ตอนนี้ เลยเหลือไอ้สองคู่ที่ยืนหัวโด่อย่างเขาและคนข้างๆ นี่แหละครับ

                “มาที่คู่รองสุดท้ายของเราบ้างแล้วนะคะ”

                และทุกสายตาก็โฟกัสมาที่เขาเป็นจุดเดียว บอกเลยตอนนี้ เขาทั้งลุ้นจนใจจะออกมาเต้นข้างนอกได้แล้ว อีกใจหนึ่งก็อายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด

                “ขอถามสักนิดนะคะ ว่าตอนนี้พี่ฮ่องเต้ของเรารู้สึกยังไงบ้าง”

                อ้าว สัส! จะมาถงมาถามอะไรกันเวลาแบบนี้ละเว้ย

                 ไม่เห็นสีหน้าเขาตอนนี้เลยหรือไง แทบจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด พ่นไฟ ทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้อยู่แล้ว

                และเขาก็ได้แต่หันไปมองพิธีกรด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอดกลั้น

                “ก็ดีครับ”

                คำตอบของเขาทำเอาพิธีกรหน้าเหวอไปเล็กน้อย “เออ สงสัยว่าจะตื่นเต้นไปนิดนึงนะคะ ถ้าอย่างนั้น น้องปีหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินขึ้นมาเลยค่ะ”

                พูดจบ ผมก็สัมผัสได้ถึงร่างของใครบางคนที่เขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนที่มันจะขึ้นมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ และเมื่อเขาหันไปมอง...

                มันก็ยิ้มจนตาหยีเหมือนอย่างที่มันเคยทำเวลาเห็นเขาทุกครั้ง

                ขอบใจมึงมาก ที่ยังอุตส่าห์เลือกเดินมาหากูนะ

                “พี่เป็นซานต้าของผมใช่หรือเปล่าครับ” มันถามจบก็ยื่นไมโครโฟนมาจ่อที่ปากของเขาอย่างต้องการคำตอบทันที

                ฮ่องเต้จ้องหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อยท่ามกลางเสียงโห่แซวของรุ่นเพื่อนและรุ่นน้อง ทั้งที่อยู่ด้านบนและด้านล่างเวที เขาเองก็อยากจะหันไปถามเหมือนกันว่ามันจะส่งเสียงอะไรกันนักหนา แค่เฉลยสายรหัสเองไหม ทำอย่างกับโฟโต้มาขอเขาเป็นแฟนไปได้

                “อืม ผมเป็นซานต้าของคุณ”

                และทันทีที่เขาตอบกลับ เสียงกรี๊ดของผู้หญิงและเสียงโห่ของพวกผู้ชายก็ดังขึ้นเทียบเท่าทวีคูณขึ้นมาทันตาเห็น

            พวกมันไม่เจ็บคอกันบ้างหรือไง

                “ตอนนี้น้องก็ได้เจอซานต้าของตัวเองแล้ว อยากขออะไรจากซานต้าของตัวเองไหมคะ”

                ฮ่องเต้หันขวับไปมองพิธีกรที่ยิ้มหน้าระรื่นทันที ก็นี่มันพูดนอกสคริปต์แล้วนะ ทีกับคู่อื่นก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีเลย! ส่วนโฟโต้ ไม่ต้องไปพูดถึง หน้าตามันนี่ดีใจจนออกนอกหน้า ดวงตาของมันฉายแววความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที

                นี่อย่าบอกนะว่ามันคิดจะทำอะไรผมต่อหน้าประชาชีทั้งคณะน่ะ!

                “ครับ สำหรับซานต้าคนนี้ ผมอยากจะขอ...” โฟโต้เว้นจังหวะก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนเขาใจหายวาบไปตามๆ กัน ขณะที่คนทั้งคณะก็พร้อมใจกันเงียบกริบขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                อะไร เจ็บคอกะทันหันขึ้นมาหรือไงวะ เมื่อกี้ยังเสียงดังได้ดังดีอยู่เลย

                และก่อนที่เขาจะเผลอลืมหายใจไปชั่วขณะนั้นเอง โฟโต้ก็กระซิบที่ข้างหู

                “...ขอให้พี่เป็นแฟนผมได้ไหมครับ”

                เขาสตัน...ร่างกายเหมือนเพิ่งผ่านการถูกไฟช็อตมาก็ไม่ปาน ส่วนใจของเขาเองมันก็เอาแต่สั่นไม่หยุด เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปตอนนี้และไม่คิดด้วยว่าคนตรงหน้าจะมาพูดขอกับเขาแบบนี้ ในเวลานี้

                ตรงข้ามกับหนุ่มรุ่นน้องที่ผละออกไปยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า สายตาเอาจับจ้องมาที่หนุ่มรุ่นพี่อยากนึกขำในท่าทาง แต่ก็ทำทีว่ากำลังรอคอยคำตอบ ในขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่ยืนนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ถูกขอเป็นแฟนต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายขอก็ตาม แต่เพียงแค่เสียงกระซิบก็สามารถทำลายล้างทุกสิ่งตรงหน้าได้

                “ได้ไหมครับ” โฟโต้จงใจพูดออกไมค์ ทำให้หลายคนในงานยิ่งอยากรู้อยากเห็นเข้าไปกันใหญ่ แบบนี้มันก็ยิ่งเป็นการกดดันเขาเข้าไปอีกสิ

                “ว่าไงครับ พี่ซานต้าของผม”

                “ขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน” หนุ่มรุ่นพี่พูดจบก็หันไปส่งสายตาดุให้พิธีกรพร้อมขยับปากเป็นเชิงบอกให้ทำอะไรต่อ จนพิธีกรสองคนสะดุ้งหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำลายความเงียบ

                “เออ ดูเหมือนว่าพี่น้องคู่นี้เขาอยากได้ของขวัญกันแบบลับๆ นะคะ ฮ่าๆ เอาเป็นว่าเรามาดูคู่สุดท้ายกันต่อเลยดีกว่าเนอะ”

                ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ...

                สรุปว่าวันนี้ปีหนึ่งทุกคนต่างก็หาตัวพี่รหัสของตัวเองเจอ จึงไม่มีใครที่ถูกลงโทษ ส่วนฮ่องเต้...หลังจากลงมาจากเวทีได้ ก็รีบปรี่เข้ามานั่งที่โต๊ะทันที

                “สวัสดีครับ”

                โฟโต้หันไปทักทายรุ่นพี่คนอื่นที่เหลืออยู่ที่โต๊ะก่อนจะนั่งลงด้านซ้ายมือของฮ่องเต้ เพราะลัคกี้ดันทะลึ่งย้ายที่นั่งให้เสร็จสรรพ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ คนที่นั่งด้านซ้ายของเขาคือโฟโต้ ส่วนด้านขวาก็คือนัท แม้ว่าสองคนจะหันมามองหน้ากันเงียบๆ แต่สายตากลับไม่เงียบตาม

                “เออ แผลมึงเป็นไงบ้าง” ฮ่องเต้หันไปถามนัทเพื่อทำลายความเงียบ นัทจึงหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะตอบ

                “ก็...หายดีแล้วครับ คงเป็นเพราะว่าได้พี่เต้ช่วยทำแผลให้ ขอบคุณมากนะครับ”

                ทว่าคำตอบที่ได้กลับทำเอาเขาถึงชะงักงันไป แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เพราะสายตาของนัทที่หันไปสบตากับโฟโต้อย่างจงใจ จนอีกฝ่ายเหมือนจะเริ่มหัวร้อนตาม ทำให้คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่อย่างฮ่องเต้ชักจะหวาดระแวงเข้าไปทุกที

                มึงอย่ามาตีกันแถวนี้นะเว้ย กูอายเขา!

                “เออนี่ โฟโต้กับนัทเป็นคนเชียงใหม่เลยป่ะ ถึงได้เลือกเรียนที่นี่” ยิ้มหันมาถาม หลังจากเห็นว่าฮ่องเต้กับปีหนึ่งทั้งสองคนเอาแต่เงียบ

                “เปล่าครับ ผมเป็นคนภูเก็ตครับ แต่พอดีมีคนชวนให้มาทำงานที่นี่ตั้งแต่เด็ก ก็เลยอยู่ยาวแล้วก็สอบเข้าที่นี่เพราะสะดวกกับเรื่องงาน” นัทตอบพร้อมกับยิ้มด้วยความเกรงใจ

                “แล้วเราล่ะ โฟโต้”               

                “ผมเป็นคนเชียงรายครับ แต่พอดีสอบติดที่นี่เป็นที่แรก แล้วขี้เกียจไปสอบรอบอื่นก็เลยเลือกที่นี่น่ะครับ” โฟโต้หันไปตอบ ก่อนจะปรายตามามองทางสายรหัสปีสี่ของตนและยิ้มกริ่ม

                “และผมก็ได้รู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่ผมเลือกที่นี่”

                เท่านั้น ฮ่องเต้เลยแกล้งกระแอมไอและยกแก้วน้ำเปล่าตรงหน้าขึ้นมาดื่ม                 

                “แล้วแบบนี้ พี่เต้เคยเจอน้องหรือเปล่าคะ”

                ฮ่องเต้แอบตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ คำถามก็ถูกโยนมาที่เขาแบบงงๆ

                “เกี่ยวอะไรกับพี่?”

                “อ้าว พี่ฮ่องเต้เองก็ย้ายมาจากเชียงรายไม่ใช่เหรอคะ” ยิ้มหันมาถามอย่างไม่คิดอะไร ทว่าโฟโต้กลับแสดงสีหน้าเหมือนมันกำลังลุ้นให้ฮ่องเต้พูดอะไรบางอย่างตามที่ตนคิดเสียอย่างนั้น

                “เชียงรายออกจะกว้าง จะไปเคยเจอได้ไงเล่า” ฮ่องเต้ตอบปฏิเสธ ทำเอาโฟโต้หน้าจ๋อย

                ก็ผมไม่เคยเจอมันจริงๆ  นี่ครับ ขนาดไอ้น้องเปรมที่มีเรื่องกับไอ้ซัน ผมยังเพิ่งจะเคยเจอเอาตอนเข้ามหา’ลัยเลยเถอะ นับประสาอะไรกับไอ้โฟโต้

                “เสียดายนะครับ” ทว่าโฟโต้กลับหันมากระซิบที่ข้างหูเขาต่อ

                “เสียดายอะไร”

                “ก็เสียดายที่เราไม่ได้เจอกันก่อนหน้านั้น ไม่อย่างนั้นนี่ผมคิดว่าการที่เราได้มารู้จักกันในวันนี้เป็นเพราะพรหมลิขิต”

                “หึ ฝันไปเหอะมึง”

                “ครับ ผมฝันถึงพี่ตลอด”

                ฮ่องเต้หันหน้าหนีมันอย่างหงุดหงิดที่ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายไม่ชนะสักที เป็นจังหวะเดียวกันกับอาหารถูกทยอยยกมาวางบนโต๊ะพอดี ทุกคนก็เลยได้แต่ตักอาหารกินกัน ส่วนลัคกี้ กินได้แปปเดียว ก็ขอแยกตัวออกไปก่อนเพราะต้องไปเตรียมตัว (ตามประสาเด็กปีสองที่เป็นแม่งาน) ระหว่างนั้นรุ่นพี่คนอื่นก็ชวนรุ่นน้องคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องไปพลางๆ  จนกระทั่งมาถึงช่วงสุดท้ายของงาน

                ไฟทั้งลานกิจกรรมก็ถูกดับลง ทิ้งไว้แต่เพียงความมืดและบรรยากาศรอบข้างที่เงียบกริบ ก่อนที่แสงสว่างจากเปลวเทียนรอบข้างจะค่อยๆ สว่างขึ้นจนครบ พร้อมกับเสียงเพลงประจำคณะที่ถูกขับร้องโดยนักศึกษาชั้นปีที่สองจะดังตามมา ทำให้คนที่เหลือภายในงานต่างก็เงียบกริบราวกับถูกสะกดเอาไว้

                “เอามือมา...” ฮ่องเต้หันไปบอกนัท ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับมามองหน้าเขาแบบงงๆ เขาจึงดึงแขนมาและจัดการผูกข้อมือให้

                “จากนี้ไปก็ขอให้ตั้งใจเรียน สั่งสมประสบการณ์ในรั้วมหา’ลัยเอาไว้ให้มากๆ นะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกเพราะรุ่นพี่อย่างกูพร้อมที่จะช่วยรุ่นน้องอย่างมึงเสมอ แล้วก็ขอให้ได้โชคดีกับชีวิตสี่ปีในมหา’ลัยนะเว้ย”

                ฮ่องเต้เงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายที่มองมาทางเขาด้วยแววตาซึ้งใจ ทีแรกนัทก็อึ้งไปเล็กน้อยกับคำอวยพรนั้น ดวงตาคมฉายแววประหลาดออกมา จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ จะว่าดีใจก็ไม่เชิง แถมยังแฝงไปด้วยความเจ็บปวดจากอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางที่ใครจะมารับรู้ได้

                แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มออกมา...

                “ขอบคุณมากนะครับ ผมจะจำทุกคำพูดของพี่ไว้”

                อาจจะเป็นครั้งแรก ที่หัวใจของเขาได้รับความรู้สึกดีๆ เหมือนคนอื่นบ้าง

                “มา ตาพี่บ้างแล้ว” ยิ้มเดินมาสมทบจากทางด้านหลังและจัดการผูกด้ายให้กับนัทต่อ ฮ่องเต้เลยหันหลังกลับไปหาโฟโต้

                “เอามือมาดิ”

                ฮ่องเต้มองข้อมือของอีกฝ่ายที่มีด้ายของยิ้มอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและจัดการผูกข้อมือให้

                “ตั้งใจเรียน ทำคะแนนให้ได้เยอะๆ เข้าไว้ หาประสบการณ์จากชีวิตมหา’ลัยให้ได้เยอะๆ  นะ สี่ปีมันผ่านไปเร็วมาก อย่ามัวแต่เล่นจนลืมเวลา ขอให้มึงโชคดีตลอดทั้งสี่ปี”

                “ผมคงไม่โชคดีหรอกครับ”

                ฮ่องเต้เงยหน้าสบตากับหนุ่มรุ่นน้องที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา ดวงของคนตรงหน้าไม่มีคำว่าล้อเล่นอยู่ในนั้นเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด

                “ถ้าพี่ไม่ยอมคบกับผม”

                ฮ่องเต้สตันไปทันทีที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็วกเข้าเรื่องนี้อีกครั้ง เหมือนกับว่ามันพยายามจะให้เขาตอบกลับมันให้ได้ก่อนที่งานจะจบอย่างนั้น

            แล้ว...มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เขาจะตอบตกลง

                “คบกับผมนะครับ พี่เต้...”

                ฮ่องเต้ละสายตาพลางมองไปทางอื่นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันหน้ากลับมาสบสายตากับคนตรงหน้า

                “หลังงานดาวเดือน กูสัญญาว่าจะให้คำตอบกับมึง”
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:51:51
ตอนที่ 41 เปิดเผย

                หลังจากงานเปิดสายรหัสสิ้นสุดลง โฟโต้ก็เดินมาส่งเขาที่รถ...

                หากแต่เพราะระหว่างทางที่เดินมา หนุ่มรุ่นน้องเอาแต่แซวเขาเรื่องชุดซาตานที่ใส่มาวันนี้ไม่หยุดหย่อน แถมแต่ละคำที่พูดออกมาก็ชวนให้เขาขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกต่างหาก กระทั่งมาถึงลานจอดรถ ทำเอาคนถูกแซวถึงกับหน้าหงิกงออย่างที่เห็น หากแต่อีกฝ่ายกับเอาแต่ยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้น

                เพราะมัน...น่ารักดี 

            “ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ” โฟโต้ถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ อันเนื่องมาจากหลังจากงานเลิก พวกเพื่อนของฮ่องเต้ก็ชวนไปต่อที่ร้านเหล้า เขาเลยเป็นห่วง ไม่อยากให้อีกฝ่ายขับรถกลับเองทั้งที่มีแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกายแบบนั้น

                หากแต่เพราะตอนนี้ มันดึกมากแล้ว คนที่โตกว่าจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องไปลำบาก อันที่จริง ที่เขาไปก็เพราะพวกแก๊งพี่รหัสของเขาที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนด้วยแหละ เขาเลยกะจะไปพบปะสังสรรค์แค่เบาๆ แล้วกลับ อาจจะสักแก้วพอเป็นพิธีเท่านั้น

                “ไม่เป็นไรหรอก มึงกลับไปพักเถอะ” ปากก็ว่าไปพลางสอดสายตาสำรวจใบหน้าที่ซูบลงไปกว่าเดิม แม้ว่าหนุ่มรุ่นน้องจะพยายามทำตัวร่าเริงเพื่อให้เขาเชื่อว่ามันยังคงสบายดีแค่ไหน แต่ดวงตาที่ดูอ่อนล้ากับสภาพหน้ามันในตอนนี้ ปกปิดเขาเอาไว้ไม่ได้หรอก

                และที่สำคัญ เพราะรอยยิ้มที่เคยสดใส กลับดูอ่อนแรงลงไป มันทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดีตาม 

                รู้หรอกครับ ผมเองก็เคยผ่านช่วงประกวดดาวเดือนคณะ ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับเรื่องเรียนและกิจกรรม ทำไมจะไม่รู้ว่ามันเหนื่อยแค่ไหน

            “ผมแค่เป็นห่วง อยากดูแลพี่” ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเสียงอ้อนเหมือนเช่นทุกครั้ง

                แม้แต่เสียงยังฟังดูเหนื่อยเลย

            “ห่วงตัวเองก่อนเถอะ มึงอ่ะ” เขาส่ายหน้า เอือมระอากับอาการงอแงของเด็กตรงหน้า ก่อนจะร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้ “รอตรงนี้ก่อนนะ”

                ว่าออกไปเสร็จ ก็เดินไปเปิดประตูหลังรถและหยิบถุงใส่ของที่ซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อนออกมา ท่ามกลางสายตามึนงงของหนุ่มรุ่นน้องที่มองทุกท่วงท่าการกระทำของเขาอย่างไม่วางตา ก่อนที่ถุงในมือจะถูกยื่นมาตรงหน้า

                “อะไรครับ”

                “เปิดดูดิ”

                ฮ่องเต้ยิ้มขำกับท่าทางของคนกำลังฝืนความเหนื่อย มือหนึ่งก็ถือถุงเอาไว้ ขณะที่อีกมือก็ค้นข้าวของ ทั้งที่มาส์กหน้า ครีมและของจิปาถะออกมาดูด้วยท่าทีมึนงง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้าง รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นมาบนใบหน้าครั้นนึกอะไรขึ้นได้

                ตอนนี้ มันดูเหมือนเด็กจริงๆ ในสายตาของเขาและมันก็เป็นภาพที่เขาเพิ่งจะมองเห็น...ความน่ารัก...ไปอีกแบบ ในตัวของเด็กคนนี้

                “พี่ให้ผมเหรอ” มันถามย้ำเพื่อความแน่ใจ สายตาดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ จนหนุ่มรุ่นพี่ต้องพยักหน้าไปให้

                “อืม กูเห็นช่วงนี้มึงยุ่งๆ ทั้งเรื่องเรียน ทั้งกิจกรรม...” เว้นจังหวะไปชั่วครู่อย่างช่างใจในการกระทำต่อมา จนหนุ่มรุ่นน้องต้องสบตามองด้วยความสงสัย กระทั่งหนุ่มรุ่นพี่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ พลันสองมือก็ลูบเบาๆ ที่แก้ม

                “...ดูแลตัวเองบ้าง มึงซูบเกินไปแล้ว รู้ตัวบ้างไหม”

                พลันรอยยิ้มแสนอบอุ่นก็ปรากฏ เป็นอีกครั้งที่หนุ่มรุ่นน้องยิ้มออกมาจากหัวใจที่กำลังพองโตด้วยความสุข

                สุข...ที่ได้เลือกรักคนอย่างฮ่องเต้

            ชาตินี้ เขาคงไม่ปล่อยให้รุ่นพี่ปีสี่คนนี้ ไปเป็นของใครแน่เพราะถ้าเขาไม่ได้ครอบครอง คงได้ขาดใจตายไปชั่วชีวิต

                “ผมดีใจที่พี่เป็นห่วงผม” เอ่ยออกไปเสียงหวาน มันหาใช่การพูดจาเย้าหยอกเหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่มันมาจากความรู้สึกจริงๆ ข้างในใจของเขา

                ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มอย่างดีใจอยู่แบบนั้น โดยไม่พูดอะไรออกไปเพราะเขาเต็มใจที่จะพูดและสัมผัสแก้มของหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า อย่างเป็นห่วงอีกฝ่ายจากใจ

                พลันมือหนาก็ขยับขึ้นมากุมมือของเขาไว้...

                “พี่รู้ไหม ว่ามือนิ่มๆ ของพี่ มันดีกว่ามาส์กชิ้นไหนที่มีบนโลกนี้เสียอีก”

                เป็นคำพูดที่ทำเอาคนฟังอดยิ้มตามไม่ได้...

                ก่อนร่างสูงจะทิ้งตัวลงมาหา สองแขนโอบร่างของหนุ่มรุ่นพี่เอาไว้อย่างโหยหา

                “ร่างกายของพี่ก็เหมือนกัน มันดีกว่าหมอข้างแพงๆ อีกแหนะ”

                “หยุดเว่อร์ได้แล้วน่า” หนุ่มรุ่นพี่เอ่ยปากบอก

                “ไม่ได้เว่อร์สักหน่อย...” ทว่าหนุ่มรุ่นน้องกลับตอบกลับมาเสียงอ้อแอ้ “...ก็หมอนข้างแพงๆ มันกอดผมคืนไม่ได้นี่ครับ”

                ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแบบที่คนฟังต้องใจระทวยตามว่า “กอดผมหน่อยนะครับ”

                ฮ่องเต้นิ่งงันไปอย่างช่างใจ ก่อนสองแขนก็ยกขึ้นมา ทำทีค้างคาอยู่ชั่วครู่ ทว่าสุดท้ายก็ยอมสวมกอดอีกฝ่ายกลับคืนแต่โดยดี

                พอได้รับสัมผัสจากอีกฝ่ายเช่นนั้น โฟโต้ก็ลอบยิ้มออกมา หากแต่เป็นรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเหนื่อยล้า ก่อนสองแขนจะกระชับกอดคนในอ้อมแขนให้เข้ามาแนบชิดอกเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว ราวกับอยากจะซึมซับพลังงานทั้งหมด หลังจากผ่านเรื่องราวบางอย่างมา เพียงก่อนหน้าที่จะมาเจอคนในอ้อมกอดไม่กี่ชั่วโมง...

                มีบางอย่าง ที่ฮ่องเต้ยังไม่รู้และเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้เช่นกัน

            ความเหนื่อยล้าทางใจส่งผลให้ใบหน้าคมซบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย สูดกลิ่นกายที่หอมเย้ายวนชวนสัมผัสมากที่สุดสำหรับเขา ราวกับว่ามันสามารถบรรเทาความอ่อนแอภายในใจได้ดีแบบที่ยาชนิดไหนก็คงไม่มีวันทำได้

                ขณะที่สองมือของคนที่โตกว่าก็ขยับลูบแผ่นหลังกว้างอย่างเบามือๆ  จนอีกฝ่าย...สองตาหลับพริ้ม อย่างพยายามซึบซับความสุขจากห้วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เขามอบให้

                หากแต่เพราะริมฝีปากร้อนที่เผลอไผลไปสัมผัสกับต้นคอเบาๆ จนเขาเสียวสันหลังวาบ จึงต้องรีบผละออกมา

                “อื้อ พอได้แล้ว” ปากก็ร้องบอกไปแบบนั้น พร้อมทั้งหัวใจที่มันอิ่มไออุ่นจากอีกฝ่ายจนใจสั่น

                “โอเคครับ...” โฟโต้ผละออกมาอย่างว่างง่าย หากแต่ยังคงรั้งเอวของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้อย่างไม่อยากจะจาก ก่อนจะพูดอีกเรื่องสำคัญ “...พี่เต้ เรื่องจดหมาย ผมได้อ่านทุกข้อความของพี่หมดแล้วนะครับ”

                ฮ่องเต้กลับมาใจเต้นแรงอีกครั้ง ยอมรับว่าเขาเกือบจะลืมเรื่องจดหมายได้แล้ว แต่พอที่อีกฝ่ายโพล่งออกมาแบบนี้ มันก็ทำให้หน้าใสถูกแต้มไปด้วยสีระเรื่อ

                “ขอบคุณนะครับ ที่ให้โอกาสผมได้เข้าไปในชีวิตพี่ ถึงแม้จะยังไม่ใช่ในฐานะแฟน แต่ผมก็มีความสุขมากจริงๆ”

                เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข มันดูสดใส...ฮ่องเต้จึงได้แต่เงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากอะไรออกไป แต่ยังคงมองสบสายตากับอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น

                บางที...เขาก็คิดว่าการเปิดใจยอมรับความรู้สึกของตัวเองแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจว่าเขาเองควรจะเชื่อใจคนตรงหน้าไหม แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้เขามีความสุข...

                ถึงแม้จะเป็นแค่ความสุข...ในช่วงเวลานี้...ก็ตาม

            “พี่ฮ่องเต้ครับ...” หนุ่มรุ่นน้องเรียกเสียงอ้อนพร้อมกับดึงมือเขามากุมเอาไว้ “...เรื่องไอ้นัท”

                “กูคิดกับมันแค่พี่น้อง” เขาโพล่งออกไปอย่างที่ใจคิด ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายขยายความ เขาก็รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังกังวลใจเรื่องอะไร

                “ครับ ผมเชื่อใจพี่นะ”

                หากแต่การตอบกลับมาเช่นนั้น กลับทำเอาคนฟังหน้าชา คำว่า เชื่อใจ ที่ออกมาจากปากรุ่นน้องตรงหน้า ทำเอาเขาจุกอกไม่น้อย

                ทั้งๆ ที่โฟโต้ทั้งเชื่อใจและทำทุกอย่างเพื่อเขามามากมาย แต่เขากลับเอาแต่คิดมาก แถมยังไม่ยอมเชื่อใจมันเสียที ยิ่งได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายตอนนี้ ยิ่งทำให้เขาอ่อนไหวเข้าไปใหญ่  โดยเฉพาะกับรอยยิ้ม...ที่มักจะทำให้เขาใจอ่อน อย่างที่เขาไม่เคยจะรู้ตัวเลยสักครั้ง กว่าจะรับรู้อะไร เขาก็หลงใหลรอยยิ้มสดใสและแววตาที่เขามองว่ามันเจ้าเล่ห์มาตลอดเข้าแล้ว และเขาก็ไม่อยากให้มันหายไปจากใบหน้าแสนทะเล้นนั้นเลยสักนิด

            “ขอบใจนะ ที่เชื่อใจกู...” จนต้องเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเว้าวอนคนตรงหน้า “...กูสัญญาว่าจะเชื่อใจมึงกลับให้ได้ อีกแค่นิดเดียว...ให้เวลากูหน่อยได้ไหม”

                โฟโต้สบสายตากับหนุ่มรุ่นพี่ อาจจะครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาแบบนี้ แบบที่กำลังสื่อออกมาว่าฮ่องเต้กำลังพยายามมากแค่ไหน ที่จะเชื่อใจและเดินไปกับเขา และมันก็ทำให้เขาพลอยใจอ่อนไปด้วย

                “ครับ ผมรอพี่ได้เสมอ ไม่ว่าจะหลังงานดาวเดือนหรือจะตลอดชีวิต”

                ที่พูดออกไป มันคือความจริงจากใจของเขา ที่ส่งผ่านน้ำเสียงและแววตาจนคนฟังแทบไม่อยากจะเชื่อกับหูว่าจะได้ยินหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา โดยเฉพาะ...มันกำลังพูดกับเขา...เขาที่หมดหวังไปกับการรอคอยใครสักคนมาใส่ใจ

                มันเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้มันมา...มันทำให้เขามีความสุขมากจริงๆ  เป็นความสุขแบบที่เขาเคยคาดหวังจากใครสักคน ก่อนที่เขาจะผิดหวังในวันที่ได้รู้ความจริงว่าใครคนนั้นไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขาเลย

                แต่วันนี้...กลับเป็นคนๆ นี้

                สายรหัสปีหนึ่งของเขา...ที่เป็นคนหยิบยื่นความสุขนั้นมาให้อีกครั้ง

                เขาไม่อยากให้มันหายไปเลยจริงๆ  ไม่อยากให้ทุกอย่างมันกลายเป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนอย่างที่ผ่านมา

                “อย่าไปแต่งให้ใครเห็นอีกนะครับ ลุคนี้”

                โฟโต้เอ่ยทำลายความเงียบ เลื่อนสายตามามองที่แผ่นอกของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา

                “ทำไมวะ มันน่าเกลียดเหรอ” หากคนฟังถึงกับเหลอหลา ความมั่นใจหดหายไปหมดเสียจนสื่อออกมาทางสีหน้าอย่างปิดไว้ไม่มิด

                แต่มันกลับทำให้หนุ่มรุ่นน้อง...ยิ้มขำ

                แม้อีกฝ่ายจะโตกว่า แต่เขากลับมองเห็นถึงความไร้เดียงสาและความใสซื่อในแบบฉบับของลูกแมวตาโต

                “เปล่าครับ...” โฟโต้ว่าพลางกระเถิบเข้าไปใกล้ สองมือกลับยกขึ้นมาตรงอก ปากก็กระซิบกระซาบให้พอให้ยินกันแค่สองคนว่า “...มันมากเกินไปต่างหาก”

                พลันมือจัดการติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกมาสองเม็ด ซึ่งเผยให้เห็นผิวเนียนใสของหนุ่มรุ่นพี่ ที่กำลังเขินอายกับการกระทำของหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า

                “มันหลุดเองต่างหาก กูไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย” ว่าเสียงอ้อมแอ้ม ให้อีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมามอง...อย่างนึกเอ็นดู

                เอ็นดู...จนอดแกล้งไม่ได้

                คิ้วสองข้างของหนุ่มรุ่นพี่ขมวดฉับเข้าหากัน ชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย

                “เอาผ้ามาพันคอกูด้วยไหมล่ะ”

                นั่นก็เพราะโฟโต้ทะลึ่งติดกระดุมเชิ้ตให้เขายันเม็ดบนสุด ชนิดปิดไปยันคอหอย ทำเอาอีกฝ่ายอดประชดออกมาไม่ได้ แต่พอเอามือไปแกะ กลับถูกอีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้           

                “ไปแบบนี้นั่นแหละครับ ผมหวง”

                “กูหายใจไม่ออก” ฮ่องเต้ว่าพลางนิ่วหน้า

                “เม็ดเดียว...”

                “หะ?”

                “ผมให้แค่กระดุมเม็ดเดียว” โฟโต้ร้องบอกและเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ทว่ากลับทิ้งท้ายด้วยการเย้าหยอกให้อีกฝ่ายเขินอายว่า “แผ่นอกพี่มันขาวเนียนเกินไป ผมไม่อยากให้ใครเห็น”

                “พอเลย หยุดมองด้วย!”

                นั่นก็เพราะแววตาหื่นกระหายที่เอาแต่จับจ้องผ่านเสื้อสีขาวอย่างจาบจ้วง ให้คนถูกจ้องต้องแหวใส่

 

                “ถ้าอย่างนั้น ขับรถดีๆ นะครับ ถ้าเมาก็ให้เพื่อนมาส่งหรือไม่ก็โทรเรียกให้ผมไปรับนะครับ” โฟโต้กำชับเสียงเครียด มองด้วยสายตาดุๆ

                “รู้แล้วน่า ทำเหมือนกูเป็นเด็กไปได้”

                “เป็นคนที่ผมรักต่างหาก”

                “พอได้แล้ว” ฮ่องเต้หันไปทำเสียงดุใส่บ้าง ทว่าโฟโต้กลับหัวเราะออกมา “กูไปแล้วนะ”

                “กลับถึงหอเมื่อไหร่ อย่าลืมส่งข้อความบอกผมด้วยนะ”

                “อืม!” รับคำเสร็จ เขาก็ขึ้นรถและขับออกมาโดยมีโฟโต้ยืนมองส่งจนลับสายตา อย่างที่ไม่รู้ว่าคนบนรถกำลังฉีกยิ้มกว้าง...ครั้งแรกในหลายรอบปี 

                ก่อนที่ความสุขจะถูกทำลายไปในชั่วพริบตา ครั้นเสียงเรียกเข้าที่ดังเข้ามาเพื่อย้ำเตือนอะไรบางอย่าง

               

                “มาแล้วเว้ยๆ” เสียงนิวร้องลั่น ทันทีที่เห็นเพื่อนรักของตนโผล่หน้ามา ท่าทางดูร่าเริงเสียจนคนถูกทักอยากจะเข้าไปโบกหัวสักทีสองที หากแต่ก็ได้แต่เดินเข้าไปยกมือไหว้พวกรุ่นพี่เท่านั้น

                “ว่าไงครับ คุณฮ่องเต้ หนึ่งเจ็ดแปด มีอะไรจะเล่าไหมวะ”

                “ไม่-มี” เขาเน้นคำ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ

                “กูไม่เชื่อ” นิวร้องลั่น ก่อนจะหันไปหาพรรคพวก “วันนี้ มันขึ้นไปจู๋จี๋กันบนเวทีด้วยนะ พี่เมฆ”

                และคนฟังก็ถึงกับตาแทบถลน แทบจะสำลักเหล้าที่กำลังกรอกเข้าปาก

                “นี่คือ อะไรยังไงวะ คบกันแล้ว เป็นแฟนกัน แล้วใครผัวใครเมียวะ”

                “พี่เมฆ!!” ฮ่องเต้ร้องปรามพี่รหัสตนดังลั่น

                “ดูจากสภาพก็ไม่น่าถามนะครับ ว่าใครผัว...” เว้นจังหวะและหันไปพูดใส่หน้าคนข้างๆ แบบเน้นๆ ว่า”...ใครเมีย”

                “เฮ้ย นี่จริงดิ” หากแต่เมฆก็ต้องหันมาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

                จนคนตกเป็นเป้าถึงกับหนักใจกับแรงกดดันรอบข้างที่มาเต็มสตรีม ชนิดที่ไม่ให้เขาไปผุดไปเกิดแน่ๆ ถ้าไม่ยอมตอบคำถามนี้

                “ไม่ต้องถามแล้วพี่! มาๆ มาครับ! มาชนให้กับฮ่องเต้ที่สละโสดเลยดีกว่า เอ้า ชนนนนนนน”

                และเสียงแก้วชนกันก็ดังลั่นท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนทั้งโต๊ะ ที่เอาแต่พูดถึงอาถรรพ์สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด และในเมื่อคนถูกกล่าวหาทำอะไรไม่ได้ จึงหันไปจัดการโบกหัวคนพูดมากแทน โทษฐานที่พูดจาไปเรื่อย แถมยังเป็นต้นตอของการตั้งประเด็นเรื่องของเขาอีก

                และมันทำให้คนเจ็บตัวต้องหันมาโวยลั่น

                “ตบหัวกูทำไมเนี่ย” ก่อนจะมองหน้าหงุดหงิดของอีกฝ่ายแบบอึ้งๆ เหมือนเพิ่งจะนึกได้ “นี่มึงอย่าบอกนะ ว่ายังไม่ได้คบกับน้องมันอ่ะ”

                “ก็เออดิวะ มึงจะโวยวายทำเชี้ยไรเนี่ย” ฮ่องเต้ชักสีหน้าพลางหันไปกระดกแก้วกรอกเหล้าเข้าปากอย่างหัวเสีย

                “แล้วไอ้ตอนที่น้องมันกระซิบขอของขวัญจากซานต้าบนเวทีอ่ะ น้องมันไม่ได้ของมึงเป็นแฟนเหรอวะ”

                “แค่กๆๆ” เป็นอันสำลักออกมาทันทีที่นิวพูดจบ เพราะแทงใจเขาเข้าเต็มๆ ชนิดที่แม่นกว่าจับวางเสียอีก จนฮ่องเต้แทบจะกระอักเหล้าแทนเลือด

            ก็ดูแม่งพูดเข้าสิครับ อย่างกับมันได้ยินตอนที่ไอ้โฟโต้พูดกับผมบนเวทีอย่างนั้นแหละ

                “พอเหอะน่า ไอ้นิว เดี๋ยวมันคบกันเมื่อไหร่ มันก็บอกเองล่ะน่า”

                ต้องขอบคุณเจมส์ที่เข้ามาเบรกนิว  ทำให้เขาโล่งใจไปบ้างที่อย่างน้อยก็มีคนเห็นใจ ช่วยยุติประเด็นเรื่องของเขาได้เสียที...หรือเปล่า?

                “เออ ไอ้เต้ สักเดือนหน้า กูว่าจะเลี้ยงสายว่ะ ยังไงมึงก็พาสายรหัสกับสายเทคปีนี้มาด้วยนะเว้ย” เมฆหันมาบอก ซึ่งฮ่องเต้ก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ โดยไม่ทันได้ตั้งตัวกับประโยคหลังที่ว่า “พาผัวมึงมาให้ได้นะ กูอยากเจอ”

                “ไอ้พี่เมฆ!!” ฮ่องเต้ร้องลั่น แทบจะหน้าทิ่มกับสิ่งที่ได้ยิน หากแต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่าและหันไปส่งเสียงเจี้ยวจ้าวกับเพื่อนต่อ

               

                ฮ่องเต้นั่งดื่มต่อได้สักพัก ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะไม่อยากกลับดึกเสียเท่าไหร่ หากแต่พอเดินเข้ามาที่ลานจอดรถได้ไม่กี่ก้าว ไหล่ของเขาก็ถูกใครบางคนชนเข้าอย่างจัง กระทั่งกุญแจรถในมือที่เพิ่งจะล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงร่วงลงไปที่พื้น

                “ขอโทษครับ” เสียงอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น พร้อมกับร่างที่ก้มลงไปเก็บกุญแจให้

                หากแต่พอใครคนนั้นยืนขึ้นเต็มความสูงและยื่นกุญแจกลับมาให้ เพียงแค่เสี้ยววินาที ก็ทำเอาคนที่เพิ่งจะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครถึงกับใจกระตุกวูบ...

                แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันสามปี...แต่เขาก็ยังคงจำได้ดีว่าคนตรงหน้าคือใคร

                “ฮ่องเต้...” เป็นอีกฝ่ายที่เอ่ยเรียกชื่อเขาก่อน ทั้งที่เขาอยากจะทำเป็นตีเนียน ขอบคุณเสร็จและเดินหนี แต่ร่างของเขากลับถูกกระชากเข้าสู่อ้อมกอดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

                ...จนฮ่องเต้ถึงกับเบิกตากว้าง แววตาสั่นระริกจนก่อเกิดน้ำใสที่หลั่งไหลมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่

                อ้อมแขนของคนที่เขา เคย รักมากที่สุด รักยิ่งเสียกว่าชีวิต รักแบบที่เคยยอมให้ได้หมดทุกอย่างและอ้อมแขนที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานถึงสามปี   

                แต่ตอนนี้...เขากำลังถูกโอบกอดด้วยใครคนนั้น

            “กอดผมหน่อยนะครับ”

            ฮ่องเต้รีบผลักคนตรงหน้าออกทันทีที่เสียงของโฟโต้ดังแทรกเข้ามาในความคิด ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะมีสติ เพิ่งจะรู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น

                “เต้...โกรธพี่อยู่เหรอครับ”

                ภาคินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด พร้อมทั้งแววตาที่สื่อออกมาอย่างต้องการให้หนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าใจอ่อน

                แต่เขาคงไม่รู้ว่าในหัวใจของคนตรงหน้า ได้ถูกเติมเต็มจนไม่เหลือพื้นที่ว่างให้ใจอ่อนกับเขาอีกแล้ว...

                “ผมขอกุญแจรถด้วยครับ” ฮ่องเต้เอ่ยออกไปเสียงเรียบ ทำทีเป็นไม่รู้จักคนตรงหน้าเพราะเขาไม่อยากจะเสวนาให้บั่นทอนความรู้สึกข้างในของตัวเอง

                “ฮ่องเต้...” ภาคินส่งเสียงเว้าวอน แต่แววตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา เพียงชั่วครู่ ก่อนจะทำตัวน่าสงสาร “...คุยกับพี่ก่อนสิครับ พี่คิดถึงเต้มากเลยนะ”

                “ขอกุญแจรถด้วยครับ” ฮ่องเต้เน้นย้ำอย่างต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ต้องการคุยด้วย จนคนเจ้าเล่ห์ต้องถอนหายใจออกมา

                “นี่ครับ กุญแจ”

                หากแต่พอฮ่องเต้ยื่นมือออกไปคว้า  ภาคินกลับใช้โอกาสนั้นฉุดมือให้หนุ่มรุ่นน้องเข้าหาและประกบปากจูบทันที แบบที่ฮ่องเต้ถึงกับเลือดขึ้นหน้า ซัดหมัดใส่จนอีกฝ่ายเซไปที

                “ไอ้พี่คิน!!”

                “จำพี่ได้แล้วเหรอครับ” แต่ภาคินกลับหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก “ไหนๆ ก็จำพี่ได้แล้ว ไม่ลอง...หน่อยเหรอ”

                ร่างสูงไม่ว่าเปล่า แต่ขยับร่างเข้าไปใกล้ หมายจะฉวยโอกาสกับเจ้าของเรือนร่างที่เขาเคย เกือบ จะได้ลิ้มลองมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้น โชคดันไม่เข้าข้าง ก็เลยอดไปก็เท่านั้น

                “ไอ้เหี้ยเอ้ย!!”

                ความอดทนของฮ่องเต้หมดลงแค่นั้น แต่เพราะไม่อยากต่อความยาว จึงปรี่เข้าไปหยิบกุญแจที่หล่นอยู่บนพื้นและรีบสาวท้าวหนีทันที ปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่มองตาม แววตาก็ฉายแววมาดร้ายออกมาอย่างมุ่งมั่น แบบที่ไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมืออีก...ถ้าเขาไม่ได้ลอง

                “ยิ่งโต ยิ่งน่าเอาว่ะ”

                แค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง...และดูเหมือนว่าเขาจะมีแผนร้ายอยู่ในหัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

               

                ขณะที่...

                “ไอ้เหี้ย! มึงมันเหี้ย!! ฮึก”

                ฮ่องเต้ระบายความโกรธออกมา พลันน้ำตาจากความอัดอั้นก็พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ราวกับต้องการจะชดเชยความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดในวันเวลาที่ผ่านมา...ที่เขาพยายามจะไม่ร้องไห้ ไม่รู้สึกอะไร แต่เพียงแค่จูบเดียว...เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว มันก็บีบเค้นหัวใจเจียนตาย

                เขาไม่ได้รู้สึกดี...เขาไม่ได้คิดถึงและไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่าย

                แต่เป็นเพราะเขารับไม่ได้กับการกระทำทั้งเมื่อสามปีก่อนและเมื่อครู่ ทั้งอ้อมกอดและจูบ มันทำให้เขารู้สึกรังเกียจจนต้องยกมือขึ้นมาถูปากตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

                จนริมฝีปากเริ่มบวมแดงจากแรงกระทำ...

                “มึง...มัน...เหี้ย”

                เอ่ยออกมาพลางสะอื้นไห้

                “ผมเกลียดพี่...”

                ก่อนจะทิ้งร่าง ฟุบลงไปกับพวงมาลัยรถและปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้า ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น อีกทั้งเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความเจ็บปวดที่สะสมมานานนับแรมปี

                แต่ในหัวใจของเขา...ก็ยังคงหวนนึกใครบางคนที่เขาหวังจะให้เป็นที่พึ่งของเขาในเวลานี้

            สายรหัสปีหนึ่งของเขา...ตอนนี้ มีเพียงแค่โฟโต้เท่านั้น ที่เขาอยากจะเข้าไปกอดและจูบสักครั้ง

            ขอแค่นั้น...จริงๆ

           
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:53:38
ตอนที่ 42 ครั้งสุดท้าย

                เพราะนิวเห็นทุกการกระทำ เขาจึงรีบโทรบอกให้โฟโต้มารับฮ่องเต้กลับไป...

            หลังจากพาหนุ่มรุ่นพี่ออกมาสูดอากาศที่ระเบียงหอพักของเขา กระทั่งอีกฝ่ายหมดเรี่ยวแรงและผล็อยหลับไปพร้อมกับใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตา อย่างที่อีกฝ่ายต้องบรรจงใช้นิ้วเช็ดให้อย่างเบามือ ดวงตาคู่สวยมองสำรวจใบหน้าของคนที่หลับไปแล้ว ทิ้งเพียงแค่ลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอต่อกัน หากแต่สีหน้ายังคงความเจ็บปวดอยู่เช่นนั้น 

                ...จนมือหน้าต้องเอื้อมไปลูบเบาๆ ที่แก้ม ขยับเลื่อนไปที่เส้นผม

                ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้และบรรจงจูบลงบนหน้าผากนั้น ให้คิ้วสองข้างคลายความกังวลออกไป

                “ผมอยู่นี่แล้ว...พี่ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะครับ”

                พึมพำออกไปเสียงแผ่วด้วยความสงสารคนตรงหน้าจับใจ นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาไปรับที่ร้าน...ตอนที่คนตรงหน้าเอาแต่ฟุบหน้า ร่างกายสั่นสะท้านอยู่บนรถไม่ยอมไปไหน แต่ทันทีที่เห็นว่าเขาไปเคาะกระจก อีกฝ่ายก็รีบเปิดประตูออกมาหาราวกับคนไร้ที่พึ่ง

                เพราะทันทีที่เห็นใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องเข้ามาใกล้ ร่างทั้งร่างก็ร่วงหล่นลงไปในพริบตา โหยหาที่พึ่งพาอย่างไม่อาจจะต้านทานและฝืนตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว

                ...และนั่น มันทำให้คนที่เด็กกว่าต้องรับอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขน กระชับกอดร่างกายที่สั่นเทานั่นแนบกับแผ่นอกกว้างที่พยายามแผ่ความอบอุ่นไปให้ถึงหัวใจของอีกฝ่าย มือหนาขยับลูบเบาๆ ที่เส้นผมและแผ่นหลังที่กำลังสั่นสะท้าน โดยไม่ปริปากออกไปแม้แต่คำเดียว

                เพราะเขาเองก็อยากให้หนุ่มรุ่นพี่ร้องออกมาให้พอ...พอแบบที่จะไม่ต้องกลับมาร้องซ้ำอีกครั้ง

            แต่ตอนนี้...คนไร้เรี่ยวแรงหลับใหลไปแล้ว เพราะอากาศที่เริ่มจะเย็นตัวลงทุกที กอปรกับไม่อยากปลุกให้คนข้างกายตื่นมารับรู้สิ่งใดในตอนนี้ จึงค่อยลุกไปหยิบผ้าห่มในห้องมาคลุมร่างกายคุดคู้ของอีกฝ่ายอย่างเบามือ พลันขยับลงนั่งข้างๆ ก่อนที่ศีรษะของหนุ่มรุ่นพี่จะซบลงบนไหล่ของคนๆ เดียวที่อยู่ข้างกายเขาในเวลาเช่นนี้

                และเพราะมีเพียงแค่ คนเดียว เท่านั้น ริมฝีปากระเรื่อจึงค่อยขยับเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้ตัว

                “กูเชื่อใจมึงได้ไหม มึงจะทิ้งกูไหม”

                สายตาในยามนี้ของหนุ่มรุ่นน้อง ดูอ่อนลงไปถนัดตา แบบที่หนุ่มรุ่นพี่เองก็ไม่มีทางได้เห็น ครั้นที่ได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย แขนยาวพาดผ่านและดึงตัวคนที่โตกว่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเพียงหวังจะช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวในใจของคนที่แม้จะหลับใหล แต่ความว้าวุ่นยังไม่จางหายไปจากใจ

                “ไม่มีวันนั้นหรอก ถึงผมจะเคยทิ้งใคร...แต่ไม่ใช่กับพี่” โฟโต้ว่าเสียงหนักแน่น “ในเมื่อใจของผมอยู่กับพี่แล้ว ผมคงไปอยู่กับคนอื่นไม่ได้แล้วล่ะครับ”

                ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “รักของผมอยู่ตรงนี้ ผมก็ต้องอยู่ตรงนี้”

                พลันแขนของคนที่หลับใหลก็สวมกอดเข้าที่ร่างของคนข้างกาย ราวกับทุกความรู้สึกและทุกคำพูดส่งถึงหัวใจของเขาแล้ว ริมฝีปากของหนุ่มรุ่นน้องจึงขยับจูบลงผมเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ มือหนาขยับลูบศีรษะ ค่อยเลื่อนลงมาที่แขนอย่างถะนุถนอม จนร่างของคนในอ้อมแขนเคลื่อนลงไปนอนบนตักและหลับไปท่ามกลางไออุ่นจากหนุ่มรุ่นน้องที่คอยโอบกอดเขาเอาไว้ทั้งคืน...

 

                “พี่ตั้งใจจะทำร้ายเพื่อนผม”

                คนที่ตัวเล็กกว่า หากแต่ใจไม่เล็กตามส่งเสียงออกไปพร้อมกับสายตาไม่เป็นมิตร

                “เพื่ออะไรวะ ที่ผ่านมามันยังไม่พออีกหรือไง”

                “นิวครับ พี่ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น” จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยออกไปเสียงเศร้า ทำราวกับว่าคนตรงหน้ากำลังเข้าใจผิด

                “แล้วเจตนาแบบไหนกันล่ะครับ ที่ทำให้คนที่มีลูก มีเมียเป็นตัวเป็นตน ดึงคนอื่นเข้ามาจูบแบบไม่ละอายใจ”

                เขายังจำภาพนั้นได้ติดตา มองเห็นแม้กระทั่งสายตาที่คนตรงหน้ามองเพื่อนของเขา สายตาร้ายๆ ที่ใครก็ดูออกว่าต้องการอะไร นั่นทำให้นิวต้องยิ้มเยาะออกไปและเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

                “ผมลืมไปว่าคนที่ เอาไปทั่ว แบบพี่ มันไม่เคยคิดถึงคนอื่นอยู่แล้ว”

                แต่มันกลับทำให้ภาคินหัวเราะออกมาน้อยๆ ไล่ต้อนอีกฝ่ายจนจนกำแพงหลังร้าน

                “จะไปคิดถึงคนอื่นทำไม ในเมื่อพี่คิดถึงแต่น้องนิว” ท้ายประโยคหยอดเสียงหวาน ส่งสายตาหยอกเย้าเสียจนคนฟัง...อาจจะเคลิ้มไป ถ้าเป็นเมื่อก่อน...แต่กับตอนนี้ มันทั้งน่ารังเกียจและขยะแขยงไปเสียหมด

                “ไอ้เหี้ย!” นิวร้องลั่น ปัดมือคนตรงหน้าออกทันทีที่ถูกอีกฝ่ายกำลังจู่โจมเข้าที่เป้ากางเกง

                “แต่นิวก็เคยหลงเหี้ยแบบพี่ไม่ใช่เหรอครับ”

                นิวเริ่มตัวสั่น หาด้วยความกลัว แต่เป็นความแค้น...แค้นใจที่อีกฝ่ายยังกล้าพูดถึงเรื่องนั้นอีก

                “ที่งานเปิดบ้านนิติศาสตร์วันนั้น พี่ยังจำได้นะ” ภาคินว่าไปพลางใช้นิ้วโป้งสัมผัสเกลี่ยริมฝีปากของอีกฝ่ายเบา ก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองหน้าและยกยิ้มที่มุมปาก ให้อีกฝ่ายต้องกำหมัดแน่นและ...

                ซัดเข้าใส่จนคนได้รับหน้าหันไปตามแรง!

                “ที่ผมยังยืนยันที่จะสอบเขานิติฯ ก็เพราะความตั้งใจของผมแต่แรก ไม่ใช่เพราะพี่!”

                “พี่ไม่เชื่อหรอก” ภาคินหันกลับมาพูดต่อ ภายในใจเริ่มจะต้านแรงไม่ไหวเพราะถูกต่อยหน้ามาสองครั้งสองหนภายในวันเดียวกัน “ลองพิสูจน์ดูไหมล่ะ ว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่แล้วจริงๆ”

                พลันสิ้นเสียง ร่างของนิวก็ถูกกระชากเข้าไปหาพร้อมทั้งถูกล็อคตัวเอาไว้แน่น ด้วยแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ส่งผลให้พละกำลังมากขึ้น จนใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องต้องเบนหนีริมฝีปากร้อนเป็นพัลวัน มือก็ทั้งผลักทั้งดันอีกฝ่ายออกไปชนิดที่ไม่รู้ว่าปัดป่ายไปโดนอะไรบ้าง

                “ปล่อยกู! ปล่อย! ไอ้เหี้ยคิน!”

                ปากที่ว่างเริ่มร้องประท้วง ก่นด่าให้อีกฝ่ายอารมณ์ร้อนมากกว่าเดิม อย่างไม่รู้ว่ามันจะส่งผลเสียให้ตนตกอยู่ภายใต้อาณัติของหนุ่มรุ่นพี่มากขึ้น  กระทั่ง...

                พลั่ก!

                ร่างของภาคินถูกกระชากและตามมาด้วยหมัดที่ซัดเข้าหน้าแรงๆ ไปที จนเซถอยออกห่างจากนิว...ที่ยืนอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไม่ทันได้เข้าไปห้ามร่างสูงของคนที่เข้ามาช่วย จนอีกฝ่ายซัดหมัดใส่ภาคินไม่หยุด

                กว่าจะรู้ตัวและเข้าไปหยุดยั้งการกระทำนั้น ใบหน้าของภาคินก็เกิดรอยเลือดซิบ

                “พอแล้ว กูบอกให้พอไง!” นิวตะคอกใส่ทั้งดึงให้อีกฝ่ายออกห่างจากคนที่ล่วงเกินเขา กระทั่งหนุ่มรุ่นน้องกลับมายืนเต็มความสูงและเอาแต่หายใจอย่างเหนื่อยหอบ

                “มึงทำอะไรรุ่นพี่กูอีกล่ะก็ กูไม่เอามึงไว้แน่!!” แต่ปากก็ว่ากราดใส่เช่นนั้น พร้อมทั้งสายตาที่จ้องคนที่กำลังยืนขึ้นมาอย่างไม่วางตา

                “อะไร ไม่เจอกันไม่กี่ปี มีผัวใหม่แล้วเหรอครับ”

                “ไอ้สันดานเหี้ย!”

                นิวรีบกระชากอีกฝ่ายไว้แทบไม่ทัน เมื่อหนุ่มรุ่นน้องทำท่าจะกระโจนเข้าใส่คนพูดอีกหน

                “ต่อให้กูเป็นผัวใหม่ของพี่นิว กูก็จะเอากับเขาแค่คนเดียว ไม่ได้เอากับคนอื่นไปทั่วเหมือนมึง...” ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก “...ป่วยมากี่โรคแล้วล่ะ ชอบนักไม่ใช่เหรอวะ ฉีดยาสด ไม่เช็ด ไม่ล้าง แถมไม่เลือกแบบมึง”

                “ปากดีนักนะมึง”

                “พูดแทงใจดำมึงต่างหาก”

                คำพูดที่ทำเอาภาคินกำหมัดแน่น หากแต่พอจะย่างสามขุมเข้ามาหา นิวกับออกตัวปกป้องรุ่นน้องของตน

                “ถ้าพี่จะทำน้องมัน ผมก็ไม่เอาพี่ไว้เหมือนกัน” นิวกราดใส่คนตรงหน้าอย่างไม่นึกกลัว “ผมเคยบอกแล้วว่าพี่จะทำผม ผมไม่เคยว่า แต่อย่ามาทำคนของผม”

                เขาหมายถึงทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน ทั้งในฐานะเพื่อนและรุ่นน้องอย่างร่างสูงที่เขากำลังดึงตัวเอาไว้

                “พอเหอะ ไปได้แล้ว”

                นิวก็ร้องบอกพร้อมกับดึงตัวหนุ่มรุ่นน้องออกมา เมื่อเห็นว่าเรื่องราวเริ่มจะบานปลายไปกันใหญ่ ทิ้งให้ภาคินแค้นใจอยู่เช่นนั้น หากแต่ก็เพียงชั่วครู่ เมื่อในหัวของเขามีแผนการบางอย่างผุดขึ้นมา

                “หรือจะบอกเรื่องนิว ให้ฮ่องเต้รู้ดีนะ...” ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะ ยกยิ้มที่มุมปาก “...เพื่อนรักแตกคอกันเพราะผู้ชาย คงได้เป็นข่าวดังในคณะ...เหอะ คงสนุกน่าดู”   

 

                รุ่นพี่รุ่นน้องพากันเดินออกมาไกลสมควร ในบริเวณลานจอดรถของพนักงานร้าน หนุ่มรุ่นน้องจึงเป็นฝ่ายหันกลับมาพูด

                “ขอโทษนะครับ ที่พูดถึงพี่แบบนั้น”

                นิวมองสำรวจสีหน้าที่อ่อนลงของคนตรงหน้าอย่างรู้ดีว่ากำลังหมายถึงเรื่อง ผัวใหม่ แต่เพราะเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายอารมณ์ร้อนจึงไม่ได้ติดใจโกรธ ตรงกันข้าม เขากลับแปลกใจที่ได้เห็นคนที่นิ่งเงียบมาตลอดอย่าง นัท  พูดจาแรงๆ และเข้าไปเอาเรื่องจนภาคินเจ็บตัวได้ขนาดนั้น

                “กูเข้าใจ...” นิวว่าก่อนจะสบตากับอีกฝ่าย “...มึงนั่นแหละ เป็นอะไรหรือเปล่า”

                สายตาที่ส่งมาทำเอานัทเงียบงันไป เขารู้ดีว่านิวไม่ได้หมายถึงอาการบาดเจ็บตามร่างกาย แต่หากเป็นอารมณ์ของเขาในเวลานี้ต่างหาก

                “มึงรู้จักกันเหรอวะ” นิวค่อยตะล่อมถาม คนพูดมากกลับกลายเป็นคนปากหนักขึ้นมาบ้างเพราะเกรงว่ามันจะกระทบความรู้สึกของคนตรงหน้ามากเกินไป

                หากแต่นัทกลับหันมามองหน้าเขา ก่อนจะค่อยเอ่ยปากออกมา

                “ไม่เชิงหรอกครับ ผมกับเขาก็แค่...เคยมีเรื่องกันนิดหน่อย”

                “แต่มึงดูโมโหมากเลยนะ” นิวยังคงค้างคาใจกับสายตาของนัทไม่หาย มันเป็นสายตาที่เหมือนจะโกรธกันมาเป็นสิบชาติ แบบที่ไม่ยอมอโหสิกรรมให้กัน

                และนัทก็ทำเพียงแค่มองหน้าเขานิ่ง

                “ก็เพราะว่ามันทำร้ายพี่ ผมเลยโมโห”

                คำตอบที่ได้ฟังทำเอานิวอ้าปากค้าง “หะ...เพราะกู...”

                กระทั่งหนุ่มรุ่นน้องเอื้อมไปจับมือเขาขึ้นมากุมเอาไว้พร้อมมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง...จากใจจริง

                “พี่ควรจะอยู่ห่างคนแบบนั้นเอาไว้นะครับ มันเป็นตัวอันตราย”

                เขาแค่ไม่อยากให้นิวต้องถูกทำร้ายไปอีกคนด้วยฝีมือของภาคินก็เท่านั้น

                เพราะที่เป็นอยู่...มันก็เกินพอแล้ว อย่าให้อะไรมันเลยเถิดไปมากกว่านี้

            โดยที่นัทไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังสร้างปัญหาเพิ่ม...กับหัวใจ

                นิวได้แต่มองคนตรงหน้านิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ปากที่เคยทำหน้าที่โพล่งอะไรออกไปตลอดเวลาก็ไม่ยอมขยับ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

                “พี่นิวมากับใครครับ” จนนัทต้องเอ่ยปากถามออกไป

                “เอ่อ มา...คนเดียว”

                “งั้นผมไปส่ง”

                “หะ...ส่ง...ส่งกู?” ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เมื่อได้ยินคนที่ไม่เคยคิดจะเข้ามาคลุกคลีทั้งที่อยู่คณะเดียวกันมาเป็นเดือนพูดแบบนั้น             

                “ครับ ผมเลิกงานแล้ว นี่ก็จะตีหนึ่งแล้วด้วย ให้ผมไปส่งเถอะครับ” นัทว่าเสียงหนักแน่นและรวบรัดตัดความ “เดี๋ยวผมไปเก็บของก่อน รออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนนะครับ”

                กำชับกับอีกฝ่ายเสร็จก็เดินไปทางหลังร้านตามที่พูด ทิ้งให้หนุ่มรุ่นพี่ยืนเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่เท่าไหร่นัก

                “มัน...ก็...ก็เป็นคนดี”

                เอ่ยสรุปเพื่อคลายความมึนงงให้กับตัวเองเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่สมเหตุสมผลจนไม่ค้างคาใจอยู่นะ

 

                เปลือกตาค่อยลืมขึ้นตามแสงสว่างที่สาดเข้ามากระทบ ทุกอย่างดูหนักอึ้งไปเสียหมด แม้แต่ร่างกายของเขาเองก็ยังคงปวดไปทั่วทุกครั้งที่ขยับ ก่อนสายตาจะค่อยมองสำรวจทัศนียภาพที่ไม่คุ้นตาไปทั่วและเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงมือหนาที่กุมมือของเขาเอาไว้ จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของคนด้านบนที่ยังคงหลับตาพริ้ม

                ฝันเหรอวะ...

            พลันมือข้างที่ว่างก็เอื้อมขึ้นไปสัมผัสกับแก้มของคนด้านบนเบาๆ  สายตามองสำรวจใบหน้านั้นจากด้านล่างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นโฟโต้จริงๆ ที่อยู่กับเขา

                เพราะเมื่อคืน...เท่าที่พอจะจำได้ ผมก็เอาแต่คิดถึงโฟโต้...

            แต่ก็เพียงแค่ร้องไห้อย่างบ้าคลั่งอยู่ในรถอย่างนั้น อย่างไม่รู้ว่าสติของเขาเริ่มเลอะเลือนไปตอนไหน กระทั่งโฟโต้โผล่เข้ามา...เขาก็ทิ้งทุกอย่างและโผกอดหนุ่มรุ่นน้องทันที โดยไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

                รู้แค่ว่าตอนนั้น ผมดีใจมาก...มากจนลืมเลือนทุกสิ่ง ไม่แม้กระทั่งจะคิดอะไรอีกต่อไป

            เพียงแค่โฟโต้ก้าวเข้ามาหาและกอดเขาเอาไว้ ความอ้างว้างที่มีมาตลอดสามปี แม้แต่กับความอัดอั้นกับเหตุการณ์เมื่อคืน ก็ถูกทลายลงไปในชั่วพริบตา มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่อยากจะเสียมันไปจริงๆ และมันยิ่งทำให้เขาตื้นตันใจที่ยังเห็นหนุ่มรุ่นน้องคนนี้...ยังอยู่กับเขาตรงนี้

                แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน...ผมก็ยอม

            เพราะมันอบอุ่นและสุขใจมากเสียจนเขาไม่กล้าจะหลับตา จนน้ำตามันเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง หลังจากแห้งเหือดไปเมื่อคืน หลากหลายความรู้สึกที่ถาโถเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งเจ็บปวดจากอดีตคนเคยรัก ทั้งอุ่นใจกับการเคียงข้างจากคนที่เขารัก...

                ใช่...รัก

                เขาคงปฏิเสธความรู้สึกของตนเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และเขาคงจะปฏิเสธหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ไม่ได้อีกต่อไปเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าเขาเคยสูญเสีย เขาจึงไม่อยากจะสูญเสียอีกเป็นครั้งที่สอง

 

                นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เขาจะเลิกหนีและหันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียที...ความจริงที่เป็น ปัจจุบัน ของเขา

 

 

หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:54:42
ตอนที่ 43 วันใหม่

                หลังจากคืนนั้น...ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหนุ่มรุ่นน้องก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

                โฟโต้เทียวรับเทียวส่งเขาทุกวันและตัวติดกันกับเขาแทบจะตลอดเวลาที่ไม่มีเรียน นั่นก็เพราะนอกจากเรื่องที่โฟโต้เป็นห่วงว่าภาคินจะย้อนกลับมาหาแล้ว ฮ่องเต้ยังต้องคอยตามดูแลโฟโต้ในฐานะพี่เทคเดือนอีก ซึ่งหนุ่มรุ่นพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการที่ต้องอยู่กับอีกฝ่ายนานๆ อยู่แล้ว ดีเสียอีก เพราะมันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจกับการมีคนคอยอยู่เคียงข้างแบบนี้

                ฮ่องเต้รอโฟโต้กับนัทซ้อมการแสดงดาวเดือนที่ใกล้จะถึงในอีกสองสามวันนี้ ที่ลานซ้อมกิจกรรมเต็มไปด้วยรุ่นพี่ที่เข้ามาช่วยรุ่นน้องเตรียมพร้อมเรื่องการแสดง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี โฟโต้เองก็ดูเหมือนจะเริ่มชินกับการเดินมากขึ้น (หลังจากที่เดินเหมือนนกกระจอกเทศมาตั้งนานสองนาน) แถมหน้าตาก็ยังดูสดใสขึ้นเป็นกองเพราะเริ่มกลับมาดูแลตัวเอง

                เขาได้แต่นั่งมองดูรุ่นน้องซ้อมบ้าง เข้าไปช่วยบ้างตามประสา ก่อนจะปลีกตัวมานั่งรอที่เก้าอี้ด้านหลัง สักพัก ขณะที่เขากำลังกดมือถือเล่นไปพลางนั้นเอง นิวก็เดินเตร็ดเตร่เข้ามาทางที่เขานั่งอยู่ ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะโผล่หน้าเข้ามาดูพวกดาวเดือนเลยสักครั้ง (มันชอบหนีกลับไปเล่นเกมส์ที่หอหรอก)

                “คิดไงมานี่วะ” ฮ่องเต้หันไปถามอีกฝ่ายที่หย่อนก้นนั่งลงข้างๆ

                “มารอไอ้นัท...”

                “ไอ้นัท? มีไรวะ”

                “พอดีพี่ที่กูรู้จักอยากได้คนช่วยโปโมทร้าน เห็นช่วงนี้ไอ้นัทมันร้อนเงิน เลยกะจะชวนมันไปถ่าย” มันตอบอย่างไม่คิดอะไร แต่มันกลับทำให้ฮ่องเต้สงสัยยิ่งไปกว่าเก่า

                “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันร้อนเงิน”

                ก็เขาไม่เห็นเลยว่าสองคนไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน ตอนอยู่ที่คณะเขายังไม่เคยเห็นทั้งคู่คุยกันเลยสักครั้ง แต่นิวดันไปรู้เรื่องที่นัทร้อนเงินเสียได้ และยิ่งน่าแปลกเข้าไปใหญ่ ที่คนถูกถามไปแบบนั้น ก็นิ่งไปสักพักเหมือนกัน ก่อนที่มันจะหันมาตอบ

                “พอดี ช่วงนี้กูไปดื่มบ่อย เลยได้เจอน้องมันที่ทำงานที่นั่นพอดี”

                เป็นอันต้องมองหน้าคนพูดด้วยสายตาที่อ่อนลงเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีเรื่องหนักใจ “มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”

                “กูจะเป็นอะไรเล่า ช่วงนี้พวกเพื่อนต่างคณะมันชวนไปสังสรรค์บ่อยก็เท่านั้น” นิวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมกับพยายามฝืนยิ้มออกมา แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายจนเขาอึดอัดแทบทนไม่ไหวก็ตาม

                แต่เพราะเป็นฮ่องเต้ เขาจึงบอกให้รู้ไม่ได้...

                จนฮ่องเต้ได้แต่มองหน้าอย่างช่างใจ จนสุดท้าย ก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ ในเมื่อนิวไม่อยากเล่า เขาเองก็ไม่อยากจะไปเซ้าซี้ให้อีกฝ่ายรำคาญใจเพราะคนที่สามารถปรับทุกข์ให้นิวได้ดีที่สุดก็คือซัน

                ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสองคนนี้ มันมีอะไรเกินกว่าคำว่า...เพื่อนสนิท

            หากแต่ว่าช่วงนี้ คนที่เขานึกถึงดันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้เสียได้ เขาเองก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเข้าเรียนมาสองวันเต็มแล้ว

                “เออ มึงเห็นไอ้ซันบ้างไหม” จนต้องเปลี่ยนเรื่องและชวนนิวคุยต่อ ทว่าอีกฝ่ายกลับชักสีหน้าไม่เข้าใจใส่

                “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็กะว่าจะไปตามมันที่บ้านอยู่ มันไม่ยอมกลับมานอนที่ห้องเลยเหอะ โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย แถมข้อความก็ไม่ยอมอ่านอีก”

                “มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ” ฮ่องเต้กังวลใจขึ้นเท่าตัว เพราะตั้งแต่ที่ซันมีเรื่องกับเปรมหนก่อน ซันก็เอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ มาเรียนบ้าง ไม่มาบ้าง แถมมันยังเอาแต่เหม่อลอยจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกต่างหาก

                “กูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ะ” นิวนิ่งไปอย่างคนใช้ความคิด ก่อนจะหันหน้ากลับมามองฮ่องเต้ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “มึงลองถามไอ้โฟโต้ดูดิ มันเป็นเพื่อนไอ้เปรมไม่ใช่เหรอ”

                คำพูดของนิว ทำเอาอีกฝ่ายต้องหันไปมองหนุ่มรุ่นน้องที่ซ้อมการแสดงเสร็จพอดี ก่อนจะหันกลับมาบอกเพื่อน “เออว่ะ เดี๋ยวกูลองถามดู”

                แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้ลุกออกไปนั้น เพื่อนยากของเขา คนที่เพิ่งจะตกเป็นประเด็นการสนทนาก็โผล่หน้าเข้ามาเสียก่อน ทำเอาสองคนหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย

                ก็ดูหน้ามันสิครับ เหมือนคนไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา

            “หายไปไหนมาวะ” ฮ่องเต้หันไปถามทันทีที่ซันนั่งลงข้างๆ นิว ก่อนซันจะหันหน้ามามองพวกเขาสองคนพร้อมทั้งถอนหายใจออกมายาวเหยียด สภาพร่างกายเหมือนเพิ่งจะผ่านสงครามมาก็ไม่ปาน

                “กู...”

                และสองคนที่เหลือก็ได้แต่รอฟังอยู่เช่นนั้น  ทว่าซันกลับเอาแต่นิ่งเงียบเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้ถามอะไรต่อ สายตาของซันก็เลื่อนไปมองคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาหา ทำเอาสองคนต้องเบนสายตาไปมองตาม

                เขาสังเกตเห็นว่าซันกำลังมองหน้าโฟโต้แบบแปลกๆ  ไม่ใช่สายตาแบบที่กำลังไม่พอใจอีกฝ่ายเหมือนครั้งก่อน แต่เป็นสายตาที่ดูเหมือนคนกำลังช่างใจ...เหมือนมันมีอะไรบางอย่างอยากจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาเสียที  และถ้าจะให้เขาเดาล่ะก็...คงหนีไม่พ้นเรื่องเปรมเป็นแน่

                “พี่เต้ครับ ผมขอโทษด้วยนะครับ ผมคงไปกับพี่ไม่ได้แล้ว”

                จนนัทเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน ซึ่งเขาก็ได้แต่หันไปพยักหน้าอย่างเข้าใจที่อีกฝ่ายไปตามคำชวนของเขาไม่ได้...

                และที่เขาต้องชวนนัทไปด้วยก็เพราะเมฆฝากมาชวนพวกน้องๆ ไปเยี่ยมหลานด้วยกัน จะได้แนะนำให้รู้จักกับรุ่นพี่ปีก่อนๆ  แต่ในเมื่อโอกาสของนัทมาแล้วทั้งที เขาก็อยากให้อีกฝ่ายไปเพราะอย่างน้อย หนี้ที่มีอยู่จะได้ลดลงบ้าง

                “ยังไงผมก็ฝากแสดงความยินดีกับพวกพี่เขาด้วยนะครับ” นัทเว้นจังหวะก่อนจะล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา “ผมขอคืนแค่นี้ก่อนนะครับ สัญญาว่าจะรีบหาที่เหลือมาคืน”

                “แล้วมึงมีเงินพอใช้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเอามาคืนกูหมดนะ”

                พอได้ยินแบบนั้น นัทก็ได้แต่ส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า “พอครับ พี่รับไปเถอะ”

                ฮ่องเต้พยักหน้ารับเงินจำนวนห้าพันบาทมา “งั้นมึงก็รีบไปเหอะ ไอ้นิวมารอนานแล้ว”

                ก่อนที่นัทกับนิวจะแยกตัวออกไปเพราะเวลานัดเริ่มกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ซันกับโฟโต้ที่ยืนอยู่กับเขาสองคนเท่านั้น

                “พี่ซันมีอะไรหรือเปล่าครับ”

                โฟโต้ยิ้มให้กับซันอย่างอ่อนโยน เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องหนก่อน เขาก็อดสงสารซันไม่ได้ที่ต้องมารองรับอารมณ์ร้อนของเพื่อนเขา แม้อีกฝ่ายจะคอยกีดกันและหาทางกำจัดเขาให้พ้นทางก็ตาม...แต่เพราะเขาเข้าใจว่ามันเป็นเพราะความหวงน้องและพาลมาหวงเพื่อนของหนุ่มรุ่นพี่ จึงไม่คิดจะติดใจเอาความหรือโกรธอะไร

                ที่เหลือคงต้องรอเวลาและรอให้เปรมเป็นคนจัดการ

            คนที่ผูกเรื่องคือเปรมกับซัน ไม่ใช่เขากับฮ่องเต้เสียหน่อย ดังนั้น เขาคงจะช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้มากนัก แค่ไกล่เกลี่ยในเวลาที่พอจะไกล่เกลี่ยได้และเป็นสื่อกลางที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกินไปก็เท่านั้น

                “ช่วงนี้...” ซันค่อยเปิดปากพูดออกมา หลังจากเอาแต่เงียบมานานสองนาน ก่อนจะพูดรวบทีเดียวในตอนท้ายว่า “ช่วงนี้ไอ้เปรมเป็นยังไงบ้าง”

                คำถามนั้น ทำเอาทั้งฮ่องเต้และคนถูกถามอย่างโฟโต้ถึงต้องเป็นฝ่ายเงียบบ้าง กับโฟโต้ เขาเข้าใจซันดี แต่กับฮ่องเต้ เขายังคงไม่คาดคิดว่าจะเป็นซันที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามถึงเปรมก่อน

                หรือว่า...ยังมีอะไรที่ผมไม่รู้

            “ตอบดิวะ กูถามมึงอยู่นะ” ซันเร่งรัดเอาคำตอบ เพราะก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ก็ต้องข่มอารมณ์หงุดหงิดใจเอาไว้

                หงุดหงิดใจ...ที่ไอ้เปรมหายหน้าไปเสียดื้อๆ หลังจากมีเรื่องกันอีกครั้ง เมื่อไม่กี่วันก่อน...

            “มันก็ปกติดี...มั้งครับ จะมีแปลกไปก็แค่ช่วงนี้มันคลุกตัวอยู่แต่ในห้องบ่อย ไม่ได้ออกไปดื่มกับสาวๆ เหมือนทุกครั้งก็เท่านั้นเอง” โฟโต้ว่างพลางลอบสังเกตอาการของอีกฝ่าย ก่อนจะทำทีพูดติดตลกว่า...

                “อันที่จริง ผมก็ยังเป็นห่วงมันอยู่เลยนะครับ ที่มันเป็นแบบนั้น แถมมันยังดูซึมๆ เหมือนคนอกหักยังไงก็ไม่รู้”

                คำพูดของโฟโต้ทำเอาคนฟังถึงกับชาวาบไปทั่วทั้งร่าง แม้จะพยายามแสดงออกว่าไม่ได้คิดอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่โฟโต้พอจะมองออกว่าซันเองก็เริ่มใจอ่อนบ้างแล้ว

                “ว่าแต่...พี่ซันมีอะไรหรือเปล่าครับ จะให้ผมช่วย...อะไร...หรือเปล่า” โฟโต้พยายามยิ้มอย่างใจดีไปให้ แบบที่คนฟังพอจะมองออกว่ากำลังหมายถึงเรื่องอะไร

                “ไม่...ไม่มี” จนต้องรีบร้องออกมาแบบนั้น  ก่อนจะหันไปทางเพื่อนตน “กูกลับก่อนนะเว้ย”

                “เดี๋ยว มึงโอเคแน่นะ” ฮ่องเต้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง หากแต่ซันกลับไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยสักนิด

                “กูโอเค...” และตอบกลับมาแค่นั้น ก่อนจะเดินออกไปแบบมึนๆ เบลอๆ ให้ฮ่องเต้ยิ่งเป็นห่วง

                “ไปกันเถอะครับ พี่เต้”

                พูดจบ มือของหนุ่มรุ่นพี่ก็ถูกคว้ามาจับเอาไว้ จนต้องก้มลงไปมองที่มือและเงยหน้าขึ้นมามองคนจับอีกที

                “ไม่ต้องจับก็ได้ กูไม่ใช่เด็กนะเว้ย จะได้ให้ใครต้องมาคอยจูงมือ”

                แม้จะทำทีเป็นเอ็ดใส่ แต่โฟโต้ก็พอจะเดาอาการของอีกฝ่ายได้จากใบหูที่เริ่มขึ้นสี

                “ไม่อยากให้ใครมาคอยจูงมือหรือว่าเขินผมกันแน่ครับ” จนต้องหยอกล้อเหมือนอย่างที่เคยทำ ทำเอาอีกฝ่ายหันไปมองด้วยความหมั่นไส้

                “ทำไมกูต้องเขินด้วย”

                “ก็ผมหล่อไง”

                “มั่นหน้าเนอะ มึงอะ”

                “ครับ แต่ผม...หมั้น...กับพี่แค่คนเดียวนะ”

                “กูไม่...” ฮ่องเต้ชะงักคำพูดแทบไม่ทัน หลังจากสมองประมวลผลออกมา จนต้องหันไปมองหน้าอีกฝ่ายเลิกลัก อย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่หนุ่มรุ่นน้องพูดออกมามากนัก ก่อนที่โฟโต้จะพูดออกมาอีกครั้งเพื่อตอกย้ำความคิดของเขา

                “แต่ไม่เอาหรอก กับพี่...ผมว่าแต่งเลยดีว่าเนอะ”

                “ใครบอกว่ากูจะแต่งกับมึง” คนฟังแหวใส่ทันทีและเดินหนี หากแต่หนุ่มรุ่นน้องยังไม่วายจะเดินตามกวนประสาตเขาต่อ

                “ทำไมครับ พี่จะไม่ยอมแต่งกับผมว่างั้น” ว่าไปพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่หนุ่มรุ่นพี่ทำเพียงแค่หยุดยืนล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง

                แต่ยังไม่ทันที่จะกดเปิดประตู ก็ต้องสะดุ้งจนเผลอทำกุญแจหลุดมือเพราะโฟโต้เล่นจับเขาหมุนตัวและดันจนหลังแนบไปกับประตูรถ ก่อนจะขยับเบียดเข้ามาใกล้และใช้แขนของกักเอาไว้จนเขาหมดทางหนี

                “เล่นอะไรของมึงเนี่ย”

                “ผมแค่อยากรู้ว่าถ้าผมจับพี่กดตรงนี้ พี่ยังจะดื้อไม่ยอมแต่งงานกับผมหรือเปล่า”

                พร้อมทำหน้าเจ้าเล่ห์ จนฮ่องเต้อดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้นับวันยิ่งเอาแต่ใจ คิดจะทำอะไรกับเขาก็ทำ แต่มันน่าหงุดหงิดตรงที่เขาดันขัดขืนมันไม่ลงด้วยนี่สิ

                “ออกไปเลย” เขาพยายามดันตัวอีกฝ่ายให้ออกไป แต่ก็เท่านั้น เพราะโฟโต้เด้งตัวกลับมากักเขาเอาไว้เหมือนเดิม

                “ไอ้โฟโต้!” จนเรียกเสียงดุ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าแบบว่า...กลัวเขาเสียที่ไหน

                “เรียกผมแบบนี้ ยอมแต่งกับผมแล้วใช่ป่ะ”

            นอกจากมันจะมั่นหน้า มันยังมโนเก่งอีกครับ

                “เป็นแฟนกูให้ได้ก่อนเถอะ” ฮ่องเต้ยักคิ้วใส่อีกฝ่ายอย่างล้อเลียน จนหนุ่มรุ่นน้องต้องทำหน้ายู่

                “เป็นคืนนี้เลยไหมล่ะ พรุ่งนี้ผมจะได้ให้พ่อแม่มาขอเลย”

                “ไม่เว้ย ปล่อยกูได้แล้ว!” ฮ่องเต้ร้องบอกพร้อมกับมองด้วยสายตาเรียบดุ แต่โฟโต้กลับทำเพียงแค่หัวเราะออกมา

                “โอเคครับ”

                แม้จะยอมปล่อยอีกฝ่ายแต่โดยดี แต่เพราะความหมั่นเขี้ยวจนอยากจะแกล้งต่อ... โฟโต้จึงเอาแต่จ้องหน้าด้วยสายตาหยอกเอน พลันร่างสูงค่อยลดตัวลงไปนั่งช้าๆ  ทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านบนของอีกฝ่าย

                การกระทำนั้น...ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะจมูกและริมฝีปากที่เฉียดเข้าใกล้ตรงเป้ากางเกงนักศึกษา มันทำเอาเขาแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ แถมยังเกร็งร่างแบบที่ไม่กล้าขยับเพราะกลัวใจว่าใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องจะไปโดนจุดอันตรายเข้า

                แต่นั่นกลับทำให้หนุ่มรุ่นน้องพออกพอใจจนยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะช่วยคลายความหวาดระแวงให้อีกฝ่าย ที่ใกล้จะหัวใจวาย ด้วยการค่อยยันกายลุกขึ้นมาและชูกุญแจรถขึ้นมาตรงหน้าหนุ่มรุ่นพี่

                “เดี๋ยวผมขับรถให้นะครับ” โฟโต้จูงมือเขาไปยังอีกฝั่ง จัดการเปิดประตูให้เสร็จสรรพ

                “เชิญครับ” และบอกพร้อมกับผายมือไปข้างหน้า

                ทำอย่างกับว่าเป็นรถของมันไปซะฉิบ

            ทีแรก เขาก็กะจะเอารถตัวเองขับไปทำธุระวันนี้ แต่ในตอนนี้ กลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่ดื้อดึงจะขับรถให้เขา (อันที่จริงมันดื้อมาตั้งแต่หลายวันก่อนที่เขาขอให้ไปทำธุระด้วยแล้วล่ะ) แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้นั่งแบบสบายๆ เพราะต้องไปทำธุระที่ลำพูน กว่าจะขับไปถึงก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงโน่นแหละ             

                แต่กระนั้น...ก็อดหันไปมองค้อนใส่อีกฝ่ายทีหนึ่งไม่ได ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ ทำเอาหนุ่มรุ่นน้องต้องหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีเช่นนั้นและปิดประตู

                “เออ เดี๋ยวแวะซื้อของด้วยนะ” ฮ่องเต้หันไปบอกหลังจากโฟโต้ขึ้นมาบนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                “โอเคครับ”

                หนุ่มรุ่นน้องรับคำอย่างว่าง่ายพร้อมทั้งส่งยิ้มให้กับเขา ก่อนจะขับรถออกไปจากลานซ้อนกิจกรรมของคณะ...

 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:56:59
ตอนที่ 44 ข้างกัน

                เมื่อสองวันก่อน...

            [ถือว่าพี่ขอร้องนะ พี่แค่อยากเจอ...อยากจะขอโทษกับสิ่งที่พี่เคยทำไว้กับเรา]

                แม้ว่าเขาจะพยายามปฏิเสธที่จะไปตามคำชวนของเมฆ แต่ ขวัญ ยังคงไม่ยอมที่จะโทรมาขอร้องให้เขาไปเยี่ยมหลานที่บ้าน...หลานที่เกิดจากเธอและภาคิน

                ทั้งที่ไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากจะมารับรู้อะไรอีก ยิ่งกับเหตุการณ์ที่ร้านวันนั้น...การกระทำของภาคินมันทำให้เขาไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้อีกเป็นซ้ำสอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะความใจอ่อนหรือภาพความทรงจำเมื่อครั้งยังอยู่ปีหนึ่งยังฝังใจไม่ไปไหนกันแน่ สุดท้ายจึงตกปากรับคำเข้าจนได้

                และมันก็ทำให้เขาต้องเดินทางไปตามคำร้องขอในวันนี้

            อย่างน้อย...ก็ไม่ได้อยู่กันตามลำพังเสียหน่อย

                นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้โล่งใจไปบ้าง กับการต้องไปเยี่ยมหลานที่บ้านในวันนี้

                และเขาก็ยังมีโฟโต้...

                และขอแค่หนุ่มรุ่นน้องไม่ทิ้งเขาไปไหน เขาก็อุ่นใจและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง

                “แน่ใจนะครับ ว่าไม่เป็นไรจริงๆ ที่จะกลับไปเจออีก” คนขับรถประจำตัวหันมาเอ่ยถามคนข้างกายอย่างกังวลใจ เพราะตั้งแต่ขับรถมา ฮ่องเต้ก็เอาแต่เงียบไปเป็นพักๆ  คล้ายว่ามีเรื่องให้คิดจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

                หากแต่ไม่มีแม้แต่คำพูดใดตอบกลับมาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งระติดสัญญาไฟจราจร

                “พี่เต้ครับ” โฟโต้จึงเรียกคนที่เหม่อจนไม่ได้ยินคำถามของเขาอีกครั้ง พลางมือหนาเลื่อนไปจับไหล่จนหนุ่มรุ่นพี่ได้สติหันกลับมามอง

                “หะ?” ใบหน้านั้นกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น หันไปมองรุ่นน้องที่ทำหน้ากังวลใจตามเขาอย่างไม่เข้าใจ

                “จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ ที่จะไปหาพี่ขวัญกับลูกแบบนั้น”

                คำพูดนั้นทำเอาคนฟังถึงกับนิ่งงัน ดวงตาฉายแววความเศร้าออกมา เพียงแวบเดียว ก่อนจะรีบปรับสีหน้า

                “จะเป็นอะไรเล่า ดีเสียอีก จะได้ถือโอกาสรู้จักรุ่นพี่ไปด้วยไง”

                แม้จะเป็นคำแก้ต่างที่ฟังดูไม่ขึ้น แต่โฟโต้ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป แม้วันนี้ เหตุการณ์ร้ายๆ จะเกิดขึ้นหรือไม่ เขาก็พร้อมที่จะปกป้องอีกฝ่ายอยู่แล้ว เขาไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนข้างกายเขาได้หรอก ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือทางจิตใจก็ตาม

                เพราะต่อให้พี่บอบช้ำแค่ไหน ผมก็จะดูแลรักษาพี่ไปตลอดชีวิต

            ไม่รู้ว่าโฟโต้จะรู้ตัวหรือเปล่าว่าสายตาที่เขากำลังสบกับดวงตากลมโตของคนตรงหน้า ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกภายในใจของตนได้ เป็นแววตาที่เกิดจากความรู้สึกของการคาดหวังที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัว

                และมันทำให้หนุ่มรุ่นพี่ถึงกับนิ่งเงียบอย่างกังวลใจ คิดไปว่าโฟโต้เองก็คงจะกลัวว่าเขาจะลืมอดีตไม่ลงและเริ่มต้นใหม่กับตนไม่ได้ มันทำให้เขา...

                ต้องขยับกายและเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือหนาที่จับไหล่ของเขาเอาไว้เมื่อครู่ ส่วนอีกข้างก็เลื่อนไปกุมใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องเอาไว้

                “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มึงก็อยู่ตรงนี้กับกูแล้วไง กูยังจะต้องกลัวอะไรอีก”

                คำพูดนั้นราวกับน้ำชโลมจนอีกฝ่ายใจชื้น พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องอย่างเบาบาง หากแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น มือหนากระชับมือของหนุ่มรุ่นพี่แน่น

                “ครับ ถ้าพี่ไม่มีอะไรต้องกลัว ก็ยิ้มได้แล้วนะครับ หน้าพี่ตอนเครียดมันไม่ได้ดูน่ารักเท่าตอนพี่ยิ้มหรอก”

                ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดนั้นหรือเพราะความรู้สึกอบอุ่นที่วนเวียนอยู่ภายในใจกันแน่ แต่มันก็ทำให้คนฟังถึงกับอดยิ้มไม่ได้

                “ขับรถต่อเถอะ ไฟเขียวแล้ว” ปากว่าออกไปเช่นนั้น ขณะที่หนุ่มรุ่นน้องเอาแต่มองตาละห้อย เสียดายกับช่วงเวลาแห่งความสุขที่เขายังไม่ทันจะได้ตักตวงจนอิ่ม แต่ก็ต้องยอมทำตามแต่โดยดี

                นั่นก็เพราะรถคันข้างหลังเริ่มบีบแตรไล่แล้วน่ะสิ

               

                “ฮัลโหลครับ...” ฮ่องเต้กรอกเสียงลงไปทันทีที่เมฆรับสาย หลังจากที่พวกเขาวนรถอยู่แต่ทางเดิมมาสองรอบแล้ว เลยต้องโทรถามทางเพราะเมฆล่วงหน้าไปก่อนแล้วครับ

                “ขับตรงไปเลยใช่ไหมครับ” ฮ่องเต้ถามไปพลางบอกทางโฟโต้ไปพลาง หนุ่มรุ่นน้องเองก็หันมามองหน้าเขาเป็นระยะๆ ก่อนจะขับไปตามที่เขาบอก

                “โอเคครับพี่ ผมเห็นละ” ก่อนจะวางสายหลังจากที่คนข้างๆ เลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กๆ

                “หลังนี้ใช่ไหมครับ”

                ครั้นละสายตาจากหน้าจอมือถือขึ้นมามองตามสายตาของหนุ่มรุ่นน้อง เพียงเท่านั้น มือเรียวก็แทบจะเผลอปล่อยให้มือถือหลุดจากมือไป...

                “ใช่...”

                ตอบกลับไปเสียงแผ่ว ครั้นสายตาสบเข้ากับเลขที่บ้านตามที่เมฆบอกเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนกลับไปมองบ้านหลังเล็กตรงหน้าของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

                มัน...เกินไป...เกินไปแล้ว

            ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ราวกับก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอจนคนที่เอาแต่จับจ้องไปทางบ้านหลังเล็กนั่น ขยับปากพูดอะไรออกไปได้ยากขึ้นมาเสียดื้อๆ  ภาพสะท้อนในแววตาตรงหน้า มันยิ่งเสียกว่าถูกใครเอาอะไรมาทุบเข้าที่หลังเสียอีก ทั้งจุกและเจ็บปวดแบบมากกว่าที่เขาเคยเป็น

                จะเรียกว่าจงใจได้หรือเปล่า กับการชวนเขามาในครั้งนี้

                เพราะบ้านหลังนี้ เป็นบ้านที่เขาได้ออกแบบเอาไว้เมื่อสามปีก่อน บ้านที่หมั้นหมายเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับคนบางคน...เพียงแค่สองคนไปตลอดชีวิต วันที่ใครคนนั้น ได้เห็นแบบบ้านครั้งแรก เขายังจำได้ดีว่าใบหน้านั้นแสดงความดีใจมากแค่ไหน...

                แต่สุดท้าย บ้านหลังนี้...กลับเป็นเพียงบ้านหลังหนึ่งที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะแตะต้องมัน

                เหมือนกับใครคนนั้น...ที่กลายเป็นของคนอื่น แบบที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะรัก

                ได้เพียงแค่มองเหมือนกับที่เขากำลังมองบ้านหลังเล็กนั่น ในเวลานี้...เวลาที่เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนกำลังจมดิ่ง ตกอยู่ภายใต้อาณัติของห้วงความคิด แบบที่หนุ่มรุ่นน้องเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้เลยแม้แต่น้อย

                “พี่เต้...” จนต้องเอ่ยเรียกออกมาอีกครั้งและ...

                ฟอดดดด

                กดจูบลงบนแก้มใสและสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด จนฮ่องเต้ต้องสะดุ้ง หันขวับกลับมามองหน้ารุ่นน้องที่ยิ้มระรื่น อย่างที่ทำตัวไม่ถูก

                “ทำอะไรวะ”

                “ก็ผมเรียกพี่ตั้งนานแล้ว แต่พี่ไม่ยอมหันมาเสียทีนี่ครับ” แถมยังว่าออกมาหน้าตาเฉย แม้ในใจจะรู้ดีว่าที่คนข้างกายของเขาเหม่อลอยเช่นนั้น เป็นเพราะการมาเยี่ยมรุ่นพี่ที่บ้านหลังนี้ แต่เขาก็ไม่อยากเอ่ยอะไรออกมานักเพราะไม่อยากตอกย้ำให้คนข้างกายรู้สึกมากไปกว่านี้

                ขอเพียงแค่เขาได้สร้างบรรยากาศดีๆ ให้อีกฝ่ายก็พอ...

                “ก็ไม่เห็นต้อง...หอม...แก้มกูเลย” ท้ายประโยคเป็นเพียงแค่เสียงอ้อมแอ้มที่คนหน้าแดงเอ่ยออกมา

                จนโฟโต้ยิ้มกว้าง มองใบหน้าเขินอายของคนข้างกายอย่างพออกพอใจ

                “มองอะไรเล่า” เพราะโฟโต้เอาแต่จ้องเขาไม่วางตา ขนาดที่ว่าเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วก็ยังไม่เลิกจ้อง แถมรอยยิ้มนั้นอีก...มันทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ

                “ผมแค่ชอบเวลาพี่เขิน...” ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย “...มันน่ารักดี”

                “บอกแล้วไงว่าอย่าพูดว่า...” คำพูดนั้นชะงักงันไปเพราะนิ้วชี้ของหนุ่มรุ่นน้องแตะเข้าที่ปาก

                “ชู่ว...” พร้อมส่งเสียงเช่นนั้น “...อย่าห้ามเลยครับ เพราะว่าพี่น่ารักจริงๆ น่ารักแบบที่ทำให้ผมต้องอดทน”

                สองคิ้วของหนุ่มรุ่นพี่ขมวดฉับเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “อดทนอะไร” และถามออกไปอย่างลืมตัว นั่นก็เพราะสติที่ลดน้อยลงไป ทั้งจากเรื่องบ้านและเรื่องที่เขาถูกขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่ จนเขาไม่ทันได้คิดอะไรที่มันสื่อความหมายได้ง่ายแบบที่ไม่ต้องใช้ความคิด

                หากแต่โฟโต้กลับละสายตาจากแววตาสงสัยและค่อยเลื่อนลงมาช้าๆ

                “ก็อดทนที่จะไม่ทำอะไรพี่ตอนนี้ไงครับ” ไม่ว่าเปล่านิ้วโป้งขยับเกลี่ยเข้าที่ริมฝีปากระเรื่อให้อีกฝ่ายสะดุ้ง “ผมอยากจูบพี่จัง”

                ส่งเสียงออดอ้อนออกไปเช่นนั้น ทั้งที่ในใจก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเป็นแน่...เลยได้แต่คาดหวังไปแบบนั้น จะได้หรือไม่ก็...

                พรึบ!

                พลันความคิดก็สะดุดลงเมื่อถูกจู่โจมกะทันหัน...

                พี่เต้...

            ร้องออกมาในใจเบาๆ สองตาจับจ้องไปยังคนที่โผเข้ามาจูบเขาแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว จนต้องลอบยิ้มและค่อยปิดเปลือกตาลงอย่างต้องการซึมซับรสหวานที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้เขาเป็น...ครั้งแรก ริมฝีปากขยับตอบสนองอย่างรู้งาน ลิ้นร้อนทำหน้าที่ผสานรสชาติระหว่างเขาและหนุ่มรุ่นพี่จนกลมกล่อม กระทั่งอีกฝ่ายทำท่าจะอิ่ม จึงรีบกลับฝั่ง เป็นฝ่ายป้อนความหวานและไออุ่นจากลิ้นร้อนผ่านริมฝีปาก ตวัดเกี่ยวให้หนุ่มรุ่นพี่สะดุ้งและค่อยเบาลงอย่างละมุนละไมให้คนรับเคลิ้มไปอย่างง่ายดาย

                ก่อนจะถอนจูบออกมาอย่างเกิดเสียงเบาๆ ให้ใจเต้น...แตะหน้าผากเข้ากับคนตรงหน้า สักพัก ก่อนจะผละออกมาสบตากันอย่างสื่อความหมายและค่อยผละออกห่างด้วยรอยยิ้มอิ่มเอิบ

                “ชาร์ตแบตเต็มแล้ว เอาไงต่อดีครับ” โฟโต้หยอกล้อคนที่หน้าแดงยันไปลามยันหู

                “ขะ...เข้าไปข้างในเหอะ” ฮ่องเต้ร้องบอกออกไปเช่นนั้นและลงจากรถ จนคนฟังที่เอาแต่ยิ้มกว้างต้องทำตาม

                โฟโต้ช่วยหยิบตะกร้าผลไม้และถุงใส่หนังสือนิทานออกมาจากเบาะหลัง ซึ่งฮ่องเต้ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายช่วยถือไปแบบนั้น

                หากแต่จังหวะนั้นเอง ที่มีรถมาจอดเทียบข้างรถเขาพอดี ก่อนที่เจ้าของรถจะเยี่ยมหน้าออกมาบอก

                “รอผมด้วยดิเฮีย”

                ก่อนที่ลัคกี้จะจัดการถอยรถจอดให้เข้าที่เข้าทางและทยอยขนข้าวของลงมาจากรถพร้อมกับสายรหัสปีสาม

                “สวัสดีครับ” โฟโต้เองก็หันไปยกมือไหว้ตามประสารุ่นน้อง

                “เออๆ เข้าไปข้างในกัน พี่เมฆโทรเร่งผมยิกๆ แล้วเนี่ย” ลัคกี้ตีหน้ายุ่งเพราะโดนโทรตามมาตั้งแต่ก่อนออกเชียงใหม่กระทั่งเข้าลำพูนแล้ว เมฆก็ไม่วายโทรตามเข้าอีกยังกับจะแกล้งเขาอย่างนั้นแหละ ก่อนจะเดินนำเข้าไปข้างในบ้าน

                แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้เดินตาม ก็เป็นอันต้องชะงักและหันกลับมามองคนข้างกายที่จู่ๆ หันมาคว้ามือเขาไปจับ จึงได้แต่หันไปส่งสายตาเป็นเชิงถามว่า อะไร ออกไป ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่ยืนยิ้มละมุนมาให้ ก่อนจะจูงมือเขาให้เดินตามเข้าไปข้างในบ้าน

                แต่มือของมัน...อุ่นจริงๆ นะ อุ่นจนผมไม่อยากไม่มันปล่อยเลย

            เลยได้แต่ปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องแบบนั้นต่อไปเพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขามั่นใจว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น เขาจะยังมีคนคอยอยู่เคียงข้างและคนๆ นั้นก็คือ...โฟโต้

                เสียงหัวเราะปะปนกับเสียงเด็กเล็กค่อยๆ ดังขึ้นตามระยะทางที่กระชั้นชิดเข้าไปทุกที ขณะที่ฮ่องเต้เองก็ได้แต่ลอบมองผ่อนลมหายใจเพื่อคลายความกังวลแทบจะทุกครั้งที่เท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นบ้าน และแม้ว่าเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมองไปรอบกายมากเพียงใด สายตากลับเอาแต่ดื้อดึง สำรวจไปทุกส่วนภายในตัวบ้านที่ไปกระตุ้นความรู้สึกเมื่อครั้งวันวานของเขามากขึ้นไปอีก

                เมื่อทุกอย่างที่ผมเคยวาดฝันเอาไว้ ได้กลับกลายมาเป็นความจริง...อันแสนเจ็บปวด

            เพราะไม่ใช่เพียงแค่ตัวบ้าน แต่การออกแบบภายใน...ต่างก็ล้วนมาจากความคิดของเขาทั้งนั้น

                ยอมรับว่ามันทำให้จิตใจของเขาในตอนนี้ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ หากแต่ยังคงอยู่ได้เพราะแรงกระชับมือจากหนุ่มรุ่นน้องข้างกาย มันทำให้หัวใจที่เอาแต่บีบเค้นอยู่ตลอดเวลากลับคลายความเจ็บปวดลงไป

                ก่อนที่ทุกคนจะเดินมาถึงมุมนั่งเล่นของบ้าน ซึ่งเมฆกำลังคุยจ้ออยู่กับขวัญกับลูกชายของเธอ

                ลูกชายคนโต...ที่ฮ่องเต้เคยเจอที่ห้างฯ

                แม้จะจำได้ดี แต่ก็ต้องทำเป็นลืมเลือนไปอย่างไม่อยากให้ทุกอย่างวนเวียนกลับมาอีก

                “อ้าว มากันพอดีเลย” ขวัญหันมาทักทายพร้อมกับรอยยิ้มสดใส หากแต่พอหันมาสบตากับฮ่องเต้ รอยยิ้มนั้นก็กลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและคงมีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น ที่พอจะรู้ที่มาของความรู้สึกเช่นนั้น

                ส่วนพวกรุ่นน้องต่างก็เอาของฝากวางไว้บนโต๊ะข้างเก้าอี้ที่เจ้าของบ้านนั่งอยู่ พร้อมกันกับเมฆที่เริ่มหันมาแนะนำสายรหัสปีหนึ่งให้รู้จัก ซึ่งโฟโต้ก็ได้รับคำชมตามประสาผู้ผ่านเข้ารอบการคัดเลือกเดือน ก่อนจะต่างคนต่างบ่นเสียดายที่นัทไม่ได้มาด้วยเพราะลัคกี้คุยโวเอาไว้ว่าต้องได้ตำแหน่งเดือนคณะปีนี้แน่ๆ

                ทุกอย่างยังคงดำเนินไปด้วยดี กระทั่ง...

                ลูกชายคนโตของบ้านจะเดินมาดึงมืออีกข้างของโฟโต้ยิกๆ จนคนถูกดึงต้องหันไปมองด้วยรอยยิ้ม

                “แฟนกันๆๆๆ” เด็กน้อยร้องบอกออกมาติดกันรัวๆ เสียจนรุ่นพี่ปีสี่กับน้องปีหนึ่งตกเป็นเป้าสายตา

                จนฮ่องเต้ต้องรีบชักมือออกจากโฟโต้ แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่รีบกระชับมือเขาแน่น แถมยังหันไปยิ้มให้กับเด็กน้อยตรงหน้าพร้อมทั้งยีหัวเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู

                “ไม่ใช่แฟนกันครับ ว่าที่แฟน...”

                “มันไม่เหมือนกันหยอ” เจ้าตัวเล็กร้องบอกพร้อมสีหน้ามึนงง กับประโยคที่ซับซ้อนสำหรับเด็กเล็ก หากแต่หนุ่มรุ่นน้องจะพูดอะไรต่อ ก็ถูกแทรกขึ้นมาเสียก่อน                                   

                “โอ้โห ไอ้เต้ ไหนบอกไม่มีอะไรไง กะเอาไว้มาเซอร์ไพรส์พวกพี่มึงทีเดียวงี้”

                “ไม่ใช่สักหน่อย” ฮ่องเต้ว่าพร้อมกับทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

                สถานการณ์ที่ทำให้ขวัญต้องมองมาอย่างชั่งใจ ยิ่งเห็นมือของโฟโต้ที่จับมือของฮ่องเต้แบบไม่ยอมปล่อยกับสีหน้า แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของสายรหัสปีหนึ่งปีนี้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เธอต้องทบทวนสิ่งที่วนเวียนอยู่ภายในหัวเสียใหม่และครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเอ่ยปากขอให้ฮ่องเต้มาที่นี่

                “แหม มากันเป็นคู่แบบนี้ เมฆคงเหงาแย่เลยเนอะ” ก่อนจะเอ่ยปากแซวออกไปแบบนั้น หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับปรากฏแววตาประหลาดขึ้นมาแบบที่ฮ่องเต้ทันสังเกต

                แต่ก็ไม่ทันได้คิดว่าจะมีอะไรแอบแฝง...           

                “ผมอุตส่าห์ไม่คิดอะไรแล้วนะเนี่ย แซวซะผมไปไม่เป็นเลยนะครับ” ก่อนที่ทุกคนจะพากันหัวเราะออกมา

                “เนี่ย เดี๋ยวอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ นานๆ จะมาเจอกันที นี่พี่เพิ่งจะให้คินออกไปซื้อกับข้าวมาเพิ่มเอง” และขวัญก็ทำทีเอ่ยชวนออกมาแบบนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องอาหารเย็นมากนัก   

                “เต้เองก็ไม่ได้เจอพี่คินนานแล้ว จะได้มีเวลาคุยกันเยอะหน่อย เมื่อก่อนเราก็สนิทกับคินมากเลยไม่ใช่เหรอ”

                “...”

                “อีกอย่าง จะได้แนะนำ ว่าที่แฟนใหม่ ของเต้ให้คินรู้จักด้วย ดูท่าทางจะคุยกันถูกคอ”

                ฮ่องเต้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขาหรือเปล่า แต่เพราะสีหน้าที่ยังคงดูปกติดีของขวัญ เขาจึงทำได้เพียงยิ้มกลับไปให้

                ยิ้มออกไปทั้งๆ ที่ในใจตอนนี้อึดอัดเหมือนมีใครเอาอะไรมายัดใส่เข้าไปข้างในอกจนมันแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง...

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:58:32
ตอนที่ 45 มือของรุ่นน้องปีหนึ่ง

                เพราะ เจ้าขุน ลูกชายคนโตของพี่ขวัญเอาแต่งอแงอยากเล่นของเล่น กอปรความอึดอัดจนไม่อยากจะอยู่ในห้องนั่งเล่นต่อ จึงอาสาออกมาเล่นเป็นเพื่อนหลานที่ห้องของเล่นอีกห้องหนึ่ง ปล่อยให้คนอื่นคุยเล่นกับขวัญไปพลาง

                “อาเต้ๆ ดูนี่สิครับ”

                ฮ่องเต้หันไปมองหน้าหลานด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอามือลูบหัวเจ้าตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ถึงจะอายุได้เพียงแค่สี่ขวบเศษ แต่เจ้าขุนก็คุยเก่งทีเดียว แถมยังเป็นเด็กน่ารักอีกต่างหาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ถอดแบบพ่อของเขามาเต็มๆ แบบที่ฮ่องเต้ต้องไหววูบทุกครั้งที่เจ้าตัวเล็กหันมามอง

                “อาเต้ครับ ผมปวดฉี่”

                เขายิ้มน้อยๆ ให้กับเจ้าขุน ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

                “เดี๋ยวอาพาไปนะครับ” บอกก่อนจะพาหลานลุกขึ้น

                “อาเต้ อุ้มผมหน่อยได้ไหมครับ” ฮ่องเต้ก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังมองผมตาแป๋ว สายตาของที่ส่งมาดูเหมือนเกรงใจเขา แต่อีกนัยหนึ่งก็อยากให้เขาทำเช่นนั้น

                “ได้สิครับ” มันทำให้ฮ่องเต้อดยิ้มออกมาไม่ได้ให้กับความน่ารักนั้นและอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา นั่นทำให้เจ้าตัวยิ้มว้างออกมาทันที

                “อาเต้ใจดีจัง”

                และฮ่องเต้ก็ได้แต่หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะพาเจ้าขุนไปเข้าห้องน้ำและระหว่างที่ฮ่องเต้กำลังถอดกางเกงให้กับเจ้าขุนนั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยช้ำที่ขา ก่อนที่จะเลิกแขนเสื้อขึ้น ถึงได้รู้ว่าที่ต้นแขนของเจ้าขุนเองก็มีรอยช้ำแบบเดียวกัน

                “ไปหกล้มที่ไหนมาครับ” จึงแสร้งถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ทำเหมือนว่าไม่ได้เอะใจอะไรกับเรื่องรอยช้ำพวกนั้นมากนัก ถึงแม้จะรู้แก่ใจดีว่ารอยพวกนั้นมันไม่ได้มาจากการหกล้ม ดูก็รู้ว่ามามาจากน้ำมือของคน

                เจ้าขุนเงียบ หน้าตาดูหวาดกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ  จนคนถามอดเป็นห่วงไม่ได้และนั่นทำให้เขาได้แต่ดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดปลอบประโลม ทำให้เจ้าขุนเริ่มสะอึกสะอื้น

                “น้ำตามันไม่ช่วยให้แผลหายหรอกนะครับ ดังนั้น อย่าร้องเลยนะ” ว่าออกไปเสียงอ่อนโยนที่สุด พร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาให้กับเจ้าตัวเล็กที่น้ำตาเริ่มร่วงเผาะลงมาทีละเล็กทีละน้อย 

                “อาเต้...”

                “เจ้าขุนปวดฉี่ไม่ใช่เหรอครับ ฉี่ก่อนนะ”

                ฮ่องเต้เบี่ยงประเด็นและจัดการให้เจ้าตัวเล็กทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อย ก่อนจะใส่กางเกงให้ดังเดิม

                “ผมเจ็บ...”

                หากแต่เสียงนั้นกลับทำเอาเขาต้องชะงักอีกระรอก มือที่กำลังจะอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาก็หยุดการกระทำไปตามๆ กัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา เอามือขยี้ตาอยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกสารจับใจ เขาไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรเจ้าขุนถึงเลือกที่จะบอกเขาแบบนั้น ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันเองแท้ๆ แต่ด้วยความสงสาร ทำให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างในเวลาแบบนี้

                “ไม่เป็นไรนะครับ ไหน รอยช้ำอยู่ตรงไหนบ้างน้า เดี๋ยวอาเต้เป่าให้ดีไหมครับ”

                “มันไม่หาย...”

                “...” ฮ่องเต้นิ่งไปเล็กน้อย มองคนที่เริ่มจะระบายความอัดอั้นตันใจของตัวเองออกมากับคนแปลกหน้าอย่างเขา หากแต่ในความคิดของเจ้าขุน เขาเพียงแค่อึดอัดและเจ็บปวดกับสิ่งที่ต้องเผชิญตามลำพัง เขาบอกใครไม่ได้ แม้แต่กับพ่อแม่ที่คิดว่าเป็นที่พึ่งพาได้ดีที่สุด เขาก็ไม่กล้าที่จะบอกเพราะไม่มีใครยอมรับฟังเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครถามไถ่ถึงแผลที่ตัวเขาเลยสักครั้ง

                แต่พอมีใครสักคนเข้ามาแสดงความห่วงใยและพูดจาดีๆ ด้วย มันก็ทำให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกปลอดภัยจนอยากจะพูดทุกอย่างออกมาจนหมด   

                “เป่ายังไงก็ไม่หาย ฮึก เขาทำผมทุกวัน มันไม่หาย”

                “ใครครับ” เขาถามออกไปด้วยความอยากรู้เต็มที่เพราะเจ้าขุนเพิ่งจะสี่ขวบเอง คนที่มันกล้าทำต้องใจไม้ไส้ระกำขนาดไหนถึงทำเด็กตัวเล็กๆ ลงคอได้     

                เจ้าขุนเงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งน้ำตา “ผมไม่อยากไปโรงเรียน ฮึก”

                โรงเรียน? หรือจะถูกเพื่อนแกล้ง

                “แต่แม่ให้ผมไป ถ้าผมไม่ไป ผมจะถูกตี” เจ้าขุนพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ ตัวของเขาสั่นกลัวไปหมดจนฮ่องเต้ต้องดึงเขาเข้ามากอดอีกครั้ง

                “อาเต้ใจดี อาเต้อยู่กับผมที่นี่ได้ไหม”

                คำพูดของเจ้าขุนทำเอาใจของคนฟังหล่นวูบ คิดไปว่าอย่างเขาจะช่วยอะไรเจ้าตัวเล็กได้ ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์อะไรมาตั้งแต่แรก

                “ไปล้างมือก่อนนะครับ”

                จึงเอ่ยบอกกับหลานเช่นนั้น ก่อนจะอุ้มเจ้าขุนไปที่อ่างล้างหน้าและจัดการให้ล้างมือจนเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่ฮ่องเต้กำลังจะอุ้มเจ้าตัวเล็กลงมานั้นเอง มือเล็กๆ ก็เอื้อมมาจับเสื้อของเขาเอาไว้พร้อมกับสบสายตาอย่างคนร้องขอความช่วยเหลือ

                “ผมไม่อยากไป”

                “อาสัญญาว่าอาจะช่วย อย่ากลัวไปเลยนะครับ” จนต้องพูดเสียงเบาและลูบเส้นผมอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ไม่ร้องนะครับ คนเก่ง”

                “ฮ่องเต้...”

                เสียงของใครบางทำให้คนที่กำลังปลอบใจเจ้าตัวเล็กอยู่ต้องชะงักและหันไปมอง ก่อนจะพบร่างสูงของคนที่เขารู้จักดียืนมองอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ ใครคนนั้นสบสายตากับเขาเนิ่นนาน จนเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายละสายตาออกจากอีกฝ่ายก่อน

                “คุณพ่อมาแล้ว เจ้าขุนไปอยู่กับคุณพ่อนะครับ”

                ฮ่องเต้หันไปหาภาคิน เป็นเชิงบอกให้เขามารับช่วงต่อ

                “เป็นอะไรไปครับ ลูกพ่อ” ภาคินเอ่ยออกมาเสียงนุ่มและเดินเข้ามาหาเจ้าขุนที่นั่งอยู่บนอ่างล้างหน้า ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำลูกชายคนโต

                ขณะที่ฮ่องเต้แทบจะคลั่งตายอยู่ตรงนั้นกับคำว่า ลูกพ่อ ที่ออกมาจากปากของหนุ่มรุ่นพี่

                “ผมขอตัวก่อนนะครับ” จนต้องรีบบอก กะจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างไม่คิดที่จะเหลียวหลังกลับมา 

                “อาเต้ อย่าไป...”

                เสียงเรียกนั้นทำใจเขากระตุกวูบ จนสองเท้าชะงักอย่างไม่กล้าจะเดินออกไปจากห้องน้ำ ฮ่องเต้ได้แต่หันหลังให้กับสองพ่อลูกและนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด กับความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจที่เขาแทบจะกระอักมันออกมาอยู่รอมร่อ จนในที่สุดความสงสารมันก็พ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวดในใจ

                และต้องหันกลับไปมองเจ้าขุนที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดกับคนข้างๆ

                “ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

                อย่างน้อย...ก็เพื่อเด็กคนหนึ่ง

                หากแต่มันทำให้ภาคินตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง หลงระเริงใจไปว่าฮ่องเต้กำลังจะใจอ่อนให้เขาอีกครั้ง 

                “เอาสิ พี่เองก็มีเรื่อง...ที่อยากจะพูดกับเต้เหมือนกัน” และพูดกับฮ่องเต้แบบนั้นอย่างจงใจจะเน้นคำในประโยคสุดท้าย ให้อีกฝ่ายหวาดระแวงไปจนใจกระตุกวูบ

 

                ฮ่องเต้จำเป็นต้องขึ้นไปบนห้องนอนกับภาคินเพราะเจ้าขุนงอแงจะให้เขาเป็นคนอุ้มอย่างเดียว กระทั่งฮ่องเต้พยายามกล่อมจนเจ้าขุนหลับไป ท่ามกลางสายตาที่มองสำรวจใบหน้าของเจ้าตัวเล็กด้วยความเอ็นดู พร้อมทั้งมือเรียวที่ขยับผ้าห่มให้กับคนที่หลับไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

                ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปจากห้องนอน ทันทีที่ประตูปิดลง สองเท้าของหนุ่มรุ่นน้องก็ชะงัก

                “พี่ควรจะดูแลแกให้ดีกว่านี้นะครับ” และก็หันกลับมาพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                “มีอะไรหรือเปล่า”

                “วันนี้ ผมเห็นรอยช้ำตามตัวเหมือนถูกใครหยิกหรือตีมา เจ้าขุนเอาแต่พูดว่าเขาไม่อยากไม่ไปโรงเรียน ผมบอกพี่ได้แค่นี้แหละครับ”

                “เดี๋ยวสิเต้...”

                แม้ว่าอยากจะรีบหนีไปให้ไกลแค่ไหน ก็กลับถูกภาคินฉวยโอกาสคว้าเข้าที่แขนและดึงเขาเข้าไปกอด ให้หนุ่มรุ่นน้องถึงกับชะงัก...สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ชักสีหน้าไม่พอใจออกมาแทบจะทันที

                “รู้ไหมว่าพี่คิดถึงเต้มากแค่ไหน”

                ภาคินเอ่ยออกมาเสียงหวานอย่างที่เคยทำ จนฮ่องเต้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกพลางหลับตาลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดที่มันพลุ่กพล่านอยู่ภายในใจเอาไว้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ...

                “แต่ผมไม่เคยคิดถึงพี่” แล้วขยับปากพูดออกไปอย่างยากลำบาก ตอนนี้ ความเจ็บปวดเป็นเพียงความรู้สึกเดียวที่อยู่ในใจของเขาตอนนี้ และนั่นทำให้ภาคินต้องผละออกห่างจากหนุ่มรุ่นน้องเล็กน้อย พร้อมทั้งสบสายตา มองสำรวจใบหน้าและแววตาที่กำลังสั่นระริก

                “พี่ไม่เชื่อหรอกว่าเต้จะลืมพี่ได้จริงๆ  พี่เป็นผู้ชายคนเดียวที่เต้รักไม่ใช่เหรอ”

                พูดแบบนี้...เขายังกล้าที่จะพูดแบบนี้ต่อหน้าผมได้ยังไงกัน

                ยิ่งภาคินพูดแบบนี้ มันก็ยิ่งทำร้ายจิตใจคนฟังมากขึ้น นั่นก็เพราะเขารุ้ดีว่าหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ทั้งขี้สงสารและอ่อนไหวง่าย ที่สำคัญ เขายังจำได้ว่าอีกฝ่ายรักเขามากขนาดไหน มันจึงทำให้เขากล้าที่จะทวงคืนทุกอย่างที่เขายังไม่เคยได้จากอีกฝ่ายอย่างไม่นึกหวั่นกลัวสิ่งใด

                แต่กับคนที่ถูกเอาเปรียบ...ก็ต้องพยายามฝืนทน กลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ที่คอลงไปและเงยหน้าขึ้นสบสายตา เผชิญหน้ากับหนุ่มรุ่นพี่ 

                “ครับ ผมลืมพี่ไม่ได้หรอก พี่เป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ผมรักมาตลอด”

                คำพูดของเขาทำให้คนตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมา

                “จนกระทั่งวันที่ผมได้รู้ความจริงว่าความรักของผมมันไม่เคยมีค่าสำหรับพี่เลย”

                หากแต่ประโยคถัดมาก็ทำให้ภาคินอึ้งไป ทั้งพยายามเอื้อมมือมาจับมือ แต่ฮ่องเต้ก็เลือกที่จะดึงมือให้ออกห่าง อย่างที่ภาคินต้องแสร้งเล่นละครตบตาอย่างจงใจจะให้อีกฝ่ายสงสารเขาให้ได้

                “แต่พี่รักเต้มากนะ เต้ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าทุกอย่างในตอนนั้น มันเป็นเพราะความผิดพลาด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พี่ต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนที่ต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีเต้ เมื่อก่อน พี่อาจจะไม่เชื่อว่าอาถรรพ์สายรหัสมันมีจริง แต่ตอนนี้ พี่เชื่อ...พี่เชื่อแล้ว”

                ฮ่องเต้มองคนตรงหน้าที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเต็มที่ราวกับไม่ต้องการปิดบังความรู้สึกใดๆ อีกต่อไป แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับความจริงทั้งหมดเท่านั้น     

                ความจริงที่ว่า...ทุกอย่างมันสายเกินแก้

                “ความรู้สึกมันไม่สำคัญเท่ากับสถานะของพี่ในตอนนี้หรอก...”

                กลั้นก้อนสะอึกเอาไว้และพยายามพูดออกไปด้วยความรู้สึกปวดในอก “...พี่เป็นพ่อคนแล้วนะครับ”

                “อีกอย่าง เราต่างก็ควรจะอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต สิ่งที่พี่ควรทำในตอนนี้ คือทำให้พี่ขวัญกับลูกมีความสุข อย่าให้พวกเขาต้องเจ็บปวดเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของพี่เลย”

                “พี่ขอร้อง พี่รู้ว่าเต้โกรธพี่ แต่ว่าพี่...”

                “เราต่างคนต่างอยู่เถอะครับ พี่เป็นคนเลือกที่จะจากผมไปเองไม่ใช่เหรอ อย่าหันหลังกลับมาเลย เพราะตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมอีกแล้ว”

                แม้จะพยายามพูดให้เข้าใจ แต่มันก็ทำให้ภาคินนิ่งไปเพียงเล็กน้อยเพราะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ สายตาของเเอาแต่เหม่อมองผ่านหนุ่มรุ่นน้องไป ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมา

                “เพราะไอ้เด็กนั่นใช่ไหม คนที่ชื่อโฟโต้...”

                ฮ่องเต้เหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เริ่มเปลี่ยนสีเพราะอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายในใจ

                “...เต้คิดเหรอว่าคนแบบนั้น มันจะรักเต้จริงๆ บางทีมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความสับสนของเด็กปีหนึ่งคนหนึ่งก็ได้ เหมือนที่เต้เคยเป็นไง”

                ท้ายประโยคทำเอาคนฟังถึงกับสะอึก แม้จะเจ็บปวดเพียงใด แต่ลึกๆ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขากันแน่

                “พี่ต้องการอะไร”

                “กลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับมารักพี่เหมือนเดิมได้ไหม”

                นั่นทำให้คนฟังเบือนหน้าหนีพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้อย่างถึงที่สุด

                “ไม่มีใครรักเต้ได้เท่าพี่อีกแล้วนะ”

                ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน...พร้อมทั้งความรู้สึกทั้งหลายที่ก่อตัวขึ้นมาแบบเงียบๆ จนอัดแน่นเต็มอก อย่างที่หนุ่มรุ่นน้องอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับอย่างไม่อาจจะรั้งความอดทนเอาไว้กับตัวได้อีกต่อไปแล้ว

                “หึ รัก...พี่พูดออกมาได้ยังไงว่ารักผม ทั้งๆ ที่วันนั้น พี่เป็นคนเลือกที่จะไปเอง!”

                เขาเป็นคนบังคับให้ผมต้องพูดเอง...

                “พี่เองไม่ใช่หรือไง ที่เอาเรื่องอาถรรพ์สายรหัสมาล้อเล่น มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอครับ ที่พี่จะทนทุกข์ทรมานแบบนี้...เหมือนที่ผมเคยเป็นมาตลอดระยะเวลาเกือบสามปีเต็ม!”

                ทั้งที่ผมอุตส่าห์ปล่อยมันไปแล้วแท้ๆ แต่เขากลับเลือกใช้โอกาสมาบังคับให้เขาพูดเอง

                “พี่คิดว่าผมคงไม่รู้สินะ ว่าไอ้การที่พี่เข้าหาผมแบบนั้นเป็นเพราะพี่แค่อยากใช้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองอะไรนั่นกลบข่าวที่พี่ทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับไง!”

                “ฮ่องเต้!” หนุ่มรุ่นพี่ตวาดใส่คนตรงหน้าอย่างไม่อาจจะต้านความรู้สึกได้อีกต่อไป เขาเองก็เป็นเช่นนั้น

                พอกันที! ผมจะไม่มีวันพูดจาดีๆ กับคนๆ นี้อีกแล้ว

                “เพราะข่าวพวกนั้น ทำให้ชื่อเสียงของพี่ดรอปลงไป พี่เลยหันมาจีบผมแทน เพื่อที่จะให้ตัวเองได้อยู่ในกระแสสังคมต่อไป พี่เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่  แต่น่าเสียดายนะครับ ที่กรรมมันดันตามเร็วไปหน่อย พ่อแม่ของพี่ขวัญก็เลยมาเอาเรื่องพี่ถึงที่บ้าน”

                ฮ่องเต้จ้องหน้าหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความโมโหเดือดดาล สิ่งเหล่านี้ มันคือสิ่งที่เขาต้องรับรู้และเอาแต่เก็บเงียบมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเพราะความอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร แต่ตอนนี้มันเกินจะทนอีกต่อไปแล้ว ภาคินเลือกที่จะทำให้เขาต้องพูดออกมาเอง

                “เต้...รู้เรื่องนั้นได้ยังไง”

                ภาคินอึ้งไป เมื่อได้ยินหนุ่มรุ่นน้องพูดเรื่องขวัญออกมา อย่างคิดมาตลอดว่าจะปิดบังเรื่องนี้กับอีกฝ่ายได้แล้วแท้ๆ

                “ก็วันนั้น มันเป็นวันเดียวกันกับที่พี่รับปากเอาไว้ว่าจะไปหาพ่อแม่ผมที่บ้านไม่ใช่เหรอครับ”

                ฮ่องเต้ตอบกลับเสียงนิ่ง มองคนที่เริ่มเซไปเล็กน้อยเพราะไม่อาจจะต้านความจริงที่ตนได้รับรู้ได้

                “แต่ที่พี่ไม่ได้ไปเพราะถูกพ่อแม่ลากไปขอขมาและคุยกันเรื่องงานหมั้นที่บ้านพี่ขวัญนี่ครับ”

                อันที่จริง มันยังมีเรื่องที่ขวัญจ้างคนมาทำร้ายเขาอีกสารพัดเพื่อขู่ให้เขาเลิกยุ่งกับภาคินอีก ตอนนั้น เขาคิดไปว่าอาจจะเป็นคนอื่นที่ไม่พอใจที่เขาดันไปคบกับเดือนคณะ จนกระทั่งวันที่ขวัญมาหาเขาถึงบ้านพร้อมกับหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเธอท้องกับภาคิน เธอเอ่ยปากขอโทษกับเรื่องทั้งหมดที่ทำลงไปเพราะความหึงหวงพร้อมทั้งขอร้องทั้งน้ำตาอย่างต้องการการรับผิดชอบเรื่องลูก มันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ภาคินจะมาบอกเลิกเขาและนั่นทำให้เขาไม่คิดจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้

                 แต่ผมเลือกที่จะไม่พูดออกไปเพราะผมเองก็ไม่อยากให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยกกัน

                “เชี้ยยยยย”

                ฮ่องเต้ร้องลั่น เมื่อคนที่เอาแต่นิ่งเงียบไปนานสองนานกระโจนเข้าใส่ ผลักเขาจนหลังชนกำแพงดังอั้ก ก่อนจะกดแขนของเขาติดกับกำแพง

                “ในเมื่อเต้รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ก็คงไม่ต้องบอกแล้วนะว่าพี่ต้องการอะไร”

                “ปล่อยนะเว้ย!”

                ฮ่องเต้โวยวายลั่นพร้อมทั้งบ่ายเบี่ยงริมฝีปากร้อนที่พยายามจะจูบเขาอย่างเต็มแรง ในเวลานี้ ภาคินสติขาดผึงจนมุ่งแต่จะเอาชนะหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการมาตลอดให้ได้ ใบหน้าซุกไซ้ไปทั่วทั้งแก้มของรุ่นน้องและลำคอขาวอย่างจงใจจะสร้างรอยที่เกิดจากแรงปรารถนาขึ้นมา ขณะที่ขาข้างหนึ่งพยายามเน้นย้ำไปยังเป้ากางเกงให้อีกฝ่ายตื่นตัวเพื่อจะลดทอนแรงกำลังที่กำลังต่อต้านตนในเวลานี้

                พลั่ก!

                กระทั่งฮ่องเต้ใช้แรงลักอีกฝ่ายให้ออกห่างพร้อมกับเตะเข้าที่หน้าขาจนหนุ่มรุ่นพี่เสียหลักเกือบล้ม แต่ไม่วายที่คนข้างหลังจะตามมากระชากตัวเขาจนล้มลงไปกับพื้น ทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่อย่างนั้นจนฮ่องเต้เองก็เริ่มปวดตามเนื้อตัวไปหมด แต่ก่อนที่ภาคินจะทันได้ฉวยโอกาสทำอะไรดังใจ ร่างกายก็กระเด็นออกไปด้วยแรงถีบของโฟโต้ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ หนุ่มรุ่นน้องพุ่งเข้าใส่ภาคินไม่ยั้งพร้อมกับชกเข้าที่หน้าอย่างคนควบคุมอารมณ์ไม่ได้

                “มึงมันเหี้ย!”

                “ไอ้เด็กเวร! มึงเองก็ไม่ได้รักไอ้เต้หรอกวะ อย่าสับสนไปหน่อยเลย!”

                ยิ่งได้ฟัง ยิ่งทำให้โฟโต้ถึงกับเดือดดาลเข้าไปใหญ่ จนรัวหมัดเข้าใส่หน้าคนที่อยู่ใต้ร่างอีกครั้งอย่างเหลืออด

                “คนอย่างมึงจะไปเข้าใจอะไรวะ กูรักเขา รักแค่เขาคนเดียวเว้ย!”

                ขณะที่ฮ่องเต้ก็ได้แต่มองโฟโต้อย่างไม่รู้จะเข้าไปห้ามยังไง อีกทั้งคำพูดของมันยังทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นระส่ำไปตามๆ กัน

                “เดี๋ยวพอมึงได้ มึงก็ทิ้งมัน เหมือนที่กูคิดจะทำไง” ภาคินผงกหัวขึ้นมาแค่นเสียงหัวเราะใส่และนั่นยิ่งเป็นการกระตุ้นอารมณ์โกรธหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปใหญ่

                “มึงอย่าเอาตัวเองมาวัดกับคนอย่างกู! เพราะมึงมันเหี้ย!!”

                “พอแล้ว โฟโต้!” ฮ่องเต้ถลาเข้าไปห้ามทันทีที่เห็นช่องว่างระห่างคนทั้งคู่พร้อมกับพยายามดึงตัวโฟโต้ให้ลุกขึ้นมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมทำตามแต่โดยดี ทิ้งให้ภาคินผงกตัวลุกขึ้นมานั่งเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเอง สภาพหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ตอนนี้ยับเยินจนไม่หลงเหลือความเป็น (อดีต) เดือนคณะเลยแม้แต่น้อย

                “มึงจำใส่สันดารชั่วๆ ของมึงเอาไว้ด้วยนะ ว่าพี่ฮ่องเต้จะเป็นคนเดียวที่กูรักตลอดทั้งชีวิตของกู ต่อให้เขาทิ้งกูไปเป็นร้อยเป็นพันครั้ง กูก็จะตามง้อเขาไปจนวันตาย ดังนั้น ถ้ามึงพูดออกมาว่ากูไม่ได้รักเขาอีก กูเล่นมึงถึงตายแน่!!”

                ก่อนหนุ่มรุ่นน้องซึ่งกำลังหอบหายใจจนตัวโยนจะหันหน้ามาหาเขา

                “ไปเถอะครับ พี่เต้...” โฟโต้ว่าออกมาพลางสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมากที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินว่า

                “...ทิ้งอดีตไว้ตรงนี้ แล้วก้าวไปข้างหน้ากับผม ไปสร้างอนาคตของเราด้วยกันนะครับ”

                และมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่มือของอีกฝ่าย ส่งผ่านความอบอุ่นเสียงจนฮ่องเต้ถึงกับกระชับมือหนุ่มรุ่นน้องแน่นอย่างโหยหาย ก่อนที่โฟโต้จะฉุดให้หนุ่มรุ่นพี่เดินตามตนไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอให้เกิดอะไรขึ้นอีกเป็นซ้ำสอง ทิ้งให้ภาคินมองตามด้วยความโกรธเคืองอยู่ข้างหลังอย่างต้องการจะทิ้งให้อดีตให้กองอยู่ตรงนั้น แบบที่ทำให้ฮ่องเต้ใจชื้นขึ้นมาจนน้ำตาคลอตาม อย่างไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาช่วยเขาและฉุดเขาให้ออกจากอดีตอันแสนเจ็บปวดได้...

                มันเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่า อดีต ได้ตายจากผมไปแล้วจริงๆ


หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 19:59:47
ตอนที่ 46 ความมั่นใจ

                พาร์ทฮ่องเต้

                “โอ๊ยยยยย”

                ไอ้โฟโต้ร้องเสียงดังลั่นห้อง หลังจากที่ผมใช้สำลีชุบยาจิ้มไปที่แผลมัน เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าห้องไอ้โฟโต้ (หมายถึงตอนที่มีสติครบถ้วนดีนะครับ) ซึ่งเป็นห้องที่ของน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะว่ามันเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ ข้าวของในห้องเลยไม่มากเท่าคนที่อยู่หอมาสี่ปีอย่างผม

                “สำออยนะ” ผมแซวขณะที่พยายามจะเบามือที่กำลังทำแผลให้คนตรงหน้า

                “ก็มันเจ็บนี่ครับ” ผมพูดเสียงอ่อย

                “ใครใช้ให้มึงไปฟัดกับเขาล่ะ”

                นี่ดีนะครับ ที่ปากแตกแค่นิดหน่อย นอกนั้นก็มีแค่ช้ำบ้าง คาดว่าน่าจะหายทันงานประกวดอยู่หรือไม่ก็อาจจะต้องเพิ่งเครื่องสำอางนิดหน่อย

                “อะไร...” ผมหันไปมองมันแบบงงๆ  เมื่อจู่ๆ  มันก็ดึงสำลีออกไปและใช้มือของมันมาจับมือของผมเอาไว้แทน ก่อนที่มันจะมองสำรวจไปตามแขนของผม

                “ผมไม่อยากให้ใครมาทำอะไรพี่นี่ครับ ดูสิ ผิวขาวๆ ของพี่มีแต่รอยหมดเลย”

                ก่อนที่มันจะหยิบยามาทาที่แขนให้กับผมอย่างเบามือ ซึ่งผมก็ได้แต่ปล่อยให้มันทำแบบนั้น โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกไปสักคำ มันเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมได้มีโอกาสได้มองสำรวจมันใกล้ๆ แบบนี้ (ไอ้ที่ผ่านมาไม่นับครับ เพราะมันจู่โจมจนผมกลัว) มันเองก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาคมคายใช้ได้ แม้ว่าผิวของมันจะไม่ได้ขาวมาก แต่ทุกส่วนผสมบนใบหน้าของมันกลับมีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกๆ โดยเฉพาะริมฝีปากและดวงตาของมันที่มักจะสร้างความสดใสให้กับคนรอบตัวได้เสมอ

                “ยิ้มอะไรอยู่คนเดียวครับ”

                ผมหลุดออกจากภวังค์มองหน้าคนที่กำลังยิ้มอย่างล้อเลียน ก่อนที่มันจะใช้มือป้ายยาและบรรจงทาบนใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา แม้ว่าผมจะพยายามทำเป็นไม่มองหน้ามันมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายสายตามันกลับเอาแต่ใจเหลือบไปมองใบหน้าของมันกำลังเข้าใกล้ผมมากเข้าไปทุกที

                ก่อนที่สายตาของมันจะเหลือบขึ้นมาประสานเข้ากับสายตาของผมที่มองมันอยู่ก่อนหน้า...

                เพียงชั่ววินาที มันก็ค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราเฉียดกัน ก่อนที่ริมฝีปากของมันจะสัมผัสกับริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา โฟโต้ผละออกไปเพียงแค่เล็กน้อยพร้อมกับสายตาที่จดจ้องมาที่ริมฝีปากของผมอีกครั้ง ก่อนที่มันจะบรรจงจูบผมด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะหักห้ามใจได้อีกต่อไป

                มันค่อยๆ พาผมด่ำดิ่งลงไปในห้วงความรู้สึกอันลึกซึ้งเกินกว่าจะใช้คำพูดใดมาพรรณนา แม้ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยรสหวานอันบางเบา แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงในตอนท้าย 

                กว่าจะรู้ตัว ร่างของผมก็แนบลงไปกับเตียงแล้วเรียบร้อย ไอ้โฟโต้ผละออกมามองหน้าผมพร้อมกับยิ้มละมุน ก่อนที่มันจะจรดริมฝีปากบนหน้าผากของผมอีกครั้ง ผมหลับตาพริ้มอย่างไม่อาจจะต้านทานสัมผัสที่คนตรงหน้ามอบให้ได้ ก่อนที่ผมจะลืมตาขึ้นมามองใบหน้าของโฟโต้ เด็กปีหนึ่งเพียงคนเดียวที่มีอิทธิพลกับหัวใจของผมมากที่สุดในตอนนี้

                “ขอบคุณนะครับ ผมมีความสุขมากจริงๆ”

                มือของมันสัมผัสเส้นผมที่ปรกลงบนใบหน้าของผมด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขเหมือนอย่างที่มันพูดจริงๆ

                “ผมยาวแล้วนะครับ พรุ่งนี้ ผมพาไปตัดที่ร้านนะ”

                ผมอกยิ้มออกมาไม่ได้ ความเอาใจใส่ของมันทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับการเอาใจใส่จากคนใกล้ตัว นอกเหนือจากคนในครอบครัวของผมเอง

                “พี่เต้...?”

                ผมแอบสะดุ้งที่จู่ๆ มันก็เรียกผมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เหมือนมันกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนที่นิ้วของมันจะสัมผัสลงที่หางตาของผมและบรรจงเช็ดน้ำตาออกมาเบาๆ

                “ร้องไห้ทำไมครับ”

                ผมมองหน้ามันแบบมึนๆ เพราะเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองน้ำตาไหล

                “เปล่า ไม่มีอะไร” ผมร้องบอกพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างนึกขำตัวเองที่จู่ๆ ก็น้ำตาไหลออกมาเสียได้ ก่อนที่ผมจะผงกตัวลุกขึ้นมานั่ง

                “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับก่อนนะ”

                “เดี๋ยวสิครับ...” ผมหันไปมองไอ้โฟโต้ที่คว้าแขนผมที่กำลังจะลุกไว้ “...นี่ก็ทุ่มกว่าแล้วนะครับ อย่าเพิ่งขับรถกลับหอเองเลย”

                “ไม่เป็นไรหรอกน่า กูโอเคขึ้นเยอะแล้ว” ผมพยายามยิ้มให้มันเห็นว่าผมไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นแล้ว

                “แต่ผมเป็นห่วง”   

                ประโยคสั้นๆ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ทำให้ผมลังเลใจไปได้

                “นะครับ อย่างน้อยเราจะได้ผ่านคืนนี้ไปด้วยกันไง”

                ฟังทีแรกก็ซึ้งใจดีหรอกครับ แต่ทำไมผมถึงได้ตงิดๆ กับไอ้ประโยคนี้อยู่

                “ไอ้คืนนี้ที่ว่าเนี่ย หมายถึงอะไรไม่ทราบ” ผมหันไปถามมันอย่างจับพิรุธ

                “ผมแค่อยากแน่ใจว่าพี่โอเคแล้วจริงๆ แล้วก็...” มันเว้นจังหวะพลางเดินมากอดผมจากทางด้านหลัง “...จะได้ใช้ช่วงเวลานี้สร้างความทรงจำดีๆ ให้กับก้าวแรกของเราไงครับ”

                ไอ้เด็กนี่...ทำไมชอบทำให้คนอื่นใจเต้นอยู่เรื่อย

                “ไม่ต้องเลย...”

                “ต้องสิครับ พี่ต้องนอนที่ห้องผม”

                “ปล่อยได้แล้ว” ผมบอกพร้อมกับพยายามผลักมันออก แต่มันกลับเพิ่มแรงกอดกระชับผมแน่นกว่าเดิมเสียอีก

                “ไม่ครับ จนกว่าพี่จะยอมนอนที่ห้องผมคืนนี้”

                “ชักจะเอาใหญ่แล้วนะมึง ปล่อย”

                “พี่ยังจำที่ผมเคยเตือนพี่เอาไว้ว่าอย่าดื้อกับผมได้ไหมครับ ผมบอกแล้วนะครับ ว่าถ้าพี่ดื้อเมื่อไหร่ ผมจะอัพสกิลการจีบไปตามความดื้อของพี่...”

                ผมนิ่งทันทีที่มันโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหู

                “...แล้วไอ้การที่พี่ไม่ยอมนอนที่ห้องผมคืนนี้ จะเรียกว่าพี่กำลังดื้อกับผมได้หรือเปล่าน้า”

                สรุปว่ามันจะให้ผมนอนที่นี่ให้ได้เลยใช่ไหม แล้วถ้าผมปฏิเสธมันก็จะทำทุกทางเพื่อให้ยอมนอนที่นี่กับมันอย่างนั้นใช่ไหม เอาเป็นว่าผมไม่สามารถจะหนีมันได้ใช่ไหมครับ

                “ว่าไงครับ จะยอมตั้งแต่ตอนนี้หรือรอให้ผมทำมากกว่านี้”

                “เออ กูนอนนี่ก็ได้!” ผมนี่โพล่งออกไปแทบไม่ทัน ก็เพราะมันเล่นเอามือมาจับเข้าที่ต้นขาของผมด้วยน่ะสิ เลยเป็นเหตุให้ไอ้โฟโต้หัวเราะร่วนเลยครับ

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ ผมจะลงไปซื้อข้าวเย็นมาให้”

                ผมมองตามมันที่เดินไปค้นตู้เสื้อผ้าและเดินกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ

                “สบายใจได้ครับ ชุดพวกนี้ผมยังไม่เคยใส่”

                “กูไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้น”

                เว้นเสียแต่ว่ามันจะเอาเชื้ออะไรมาแพร่ใส่ผมเท่านั้นแหละครับ

                “ครับ งั้น...เดี๋ยวผมมานะ”

                ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่มันจะออกไปจากห้อง ส่วนผมก็อาบน้ำสิครับ

 

                หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมไปนั่งเช็ดผมที่ปลายเตียงของไอ้โฟโต้และจังหวะนั้นเอง ที่ผมเหลือบไปเห็นกล่องใส่ของที่มีข้อความเขียนติดเอาไว้ว่า ของขวัญจากพี่รหัสปีสี่ ที่ถูกวางเอาไว้ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ ผมจึงลุกขึ้นเดินไปดูด้วยความอยากรู้ ผมถือวิสาสะเปิดกล่องนั้นดูและก็พบว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือสิ่งที่ผมเคยให้ไอ้โฟโต้เอาไว้ และของพวกนั้นก็มีกระดาษข้อความแปะติดครบหมดทุกอัน

                ทั้งรองเท้าแตะสีน้ำตาล...ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า รองเท้าแตะที่ใส่แล้วสบายที่สุดในโลก

             ถุงเท้าคู่ใหม่ซึ่งยังไม่ได้แกะแม้กระทั่งถุง...ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ถุงเท้าคู่ใหม่ที่ผมไม่อยากใส่ แต่อยากเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำดีๆ

            รองเท้าผ้าใบของไอ้โฟโต้...ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ผมเป็นพวกไม่ค่อยรักษาของ แต่พี่ทำให้ผมเริ่มที่จะรักษารองเท้าคู่นี้เอาไว้เพราะเป็นรองเท้าคู่แรกที่พี่ซักให้ผม

            ผมได้แต่อมยิ้มกับข้อความพวกนั้นอย่างไม่อาจจะหยุดได้ ในหัวของผมนึกย้อนกลับไปถึงวันแรกที่ผมกับมันได้เจอกัน แม้ว่าจะเป็นการเจอกันที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ (เด็กปีหนึ่งกับคลิปอย่างว่าในห้องน้ำ) แต่มันกลับทำให้ผมจดจำมันได้ขึ้นใจ หลังจากนั้น มันก็เอาแต่ตามตื๊อผมเป็นบ้าเป็นหลัง ขณะที่ผมก็เอาแต่หนีมันอยู่ตลอด โดยที่ผมไม่ทันได้คิดว่ามันจะเหนื่อยกับการต้องมานั่งอดทนหรือพยายามวิ่งตามผมมากแค่ไหน เพราะความงี่เง่าและเอาแต่กลัวเรื่องอาถรรพ์สายรหัสของตัวเอง จนมองข้ามความจริงใจที่ไอ้โฟโต้พยายามจะแสดงให้ผมเห็นอยู่เรื่อยมา

                แต่ตอนนี้  ผมมองเห็นมันแล้วครับ ที่สำคัญ ผมก็พร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ เพียงแค่มันคอยจับมือและอยู่ข้างผมแบบนี้ ผมเองก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไป

                เสียงประตูทำให้ผมสะดุ้งและรีบเก็บของเข้ากล่อง จัดแจงให้ทุกอย่างเหมือนเดิม

                “ทำอะไรอยู่ครับ”

                ผมหันไปมองคนที่หิ้วของพะรุงพะรังเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มสดใสของมัน

                “มากินข้าวกันครับ” มันว่าพร้อมกับชูถุงกับข้าวให้ผมดู ก่อนที่มันจะเดินไปหยิบจานชามมาจัดโต๊ะให้

                “เดี๋ยวกูช่วย” ผมบอกพร้อมกับเข้าไปช่วยมัน ทว่ามันกลับแย่งกล่องใส่ข้าวไปจากมือผม

                “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมทำให้” ก่อนที่มันจะดันตัวผมให้นั่งลงที่เก้าอี้และปล่อยให้ผมนั่งมองมันที่จัดการเอาข้าวใส่จานจนเสร็จสรรพ

                ผมมองการกระทำนั้นด้วยความรู้สึกดีไม่น้อยเพราะด้วยความเป็นพี่...ทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายดูแลคนอื่น มากกว่าให้คนอื่นมาดูแล ทำให้เกิดความเคยชินในการทำตัวเป็นพี่เสียส่วนใหญ่ จะมีบ้างประปรายที่มีคนที่โตกว่าเข้ามาดูแล แต่กับตอนนี้...อาจจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่มีคนมาเอาใจใส่เขา แม้แต่กับเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ก็ไม่ยอมปล่อย

                ...และนั่นทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

                “ยิ้มบ่อยไปแล้วนะครับ”

                “ทำไม ยิ้มไม่ได้หรือไง”

                “ได้ครับ แต่ยิ้มแค่เฉพาะตอนอยู่กับผมนะครับ ผมหวงอ่ะ”

                “จะให้กูทำหน้าบึ้งใส่ทุกคนหรือไง” ผมส่ายหน้าให้มัน เด็กก็คือเด็กนั่นล่ะครับ งอแงไปเสียหมด

                “ก็ดีนะครับ จะได้ไม่ต้องมีคนมาจีบพี่”

                ผมขมวดคิ้วพลางมองหน้ามัน “กูก็ไม่เคยยิ้มให้มึงนะ ทำไมมึงยังมาจีบกูอีก”

                “ที่พูดนี่ไม่รู้ตัวจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ครับ ว่าที่ผมจีบเนี่ยก็เพราะความน่ารักของพี่ล้วนๆ”

                “เลิกพูดว่ากูน่ารักได้แล้วน่า” ผมทำเป็นมองกับข้าวตรงหน้า

                “เลิกพูดว่าน่ารัก แต่พูดว่าที่รักแทนได้ใช่ไหมครับ”

                ผมชะงักมือทันทีที่มันพูดออกมา เงยหน้าขึ้นสบตากับไอ้คนที่เอาแต่มองผมเล็กน้อย ก่อนจะรีบกินข้าวในจานต่อให้เสร็จเพราะผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับมันแล้วครับ พูดอะไรไป มันก็ปรับเปลี่ยนคำจนผมตอบโต้อะไรมันไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ สู้เงียบเอาไว้ดีกว่า

               

                ผมกินข้าวจนเสร็จก็ไปช่วยไอ้โฟโต้ล้างจาน ก่อนจะไล่ให้มันไปอาบน้ำอาบท่า ส่วนผมก็กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง กดเล่นมือถือไปพลางๆ  ก่อนที่ผมจะเลื้อยตัวลงไปนอนเพราะความง่วง

                ไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมจึงแสร้งทำเป็นหลับทันที

                “นอนเร็วแบบนี้ สงสัยจะเหนื่อย”

                ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นบนหน้าผากของตัวเองและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพู ไม่ก็สบู่ของคนที่แอบเข้ามาใกล้ผม ก่อนที่แสงสว่างในห้องจะหายไปพร้อมกับการขยับตัวของใครบางคนบนเตียง

                “ฝันดีนะครับ พี่เต้”

                ผมได้ยินมันพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้ความเงียบ ขณะที่ผมได้แต่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวไปทางไอ้โฟโต้และเอื้อมมือไปกอดมันเอาไว้ อีกฝ่ายดูเหมือนจะนิ่งไปกับการกระทำของผม เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่มันจะกระเถิบเข้ามาใกล้และดึงผมเข้าไปสู่อ้อมแขน

                คืนนี้คงเป็นคืนที่อบอุ่นที่สุดสำหรับผม

 

               

 

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 20:01:54
ตอนที่ 47 ภาพสุดท้าย

                เพราะวันนี้เป็นวันประกวดดาวเดือนคณะ ทำให้ช่วงสองสามวันก่อนหน้านั้น ไอ้โฟโต้ต้องซ้อมหนักเป็นพิเศษ ผมกับมันไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกันเท่าไหร่นัก จะมีบ้างก็แค่ช่วงเวลาก่อนไปเรียน ไม่ก็ช่วงที่มันพักซ้อม มันเองก็เอาแต่พูดว่าตื่นเต้นมาตลอด โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้ผมเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้มัน

                “สรุปว่ายังไงครับ ท่านฮ่องเต้” ไอ้นิวหันมาถามผมเสียงระรื่น ขณะที่รอดูพวกดาวเดือนอยู่หน้าเวที

                “อะไรยังไงของมึง”

                “เอ้า ก็เรื่องไอ้น้องโฟโต้นั่นไง สรุปว่ายังไงครับ”

                “ก็...ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะน่า” ผมหันไปตอบพลางเสมองไปทางอื่น ทว่าไอ้นิวกลับเอามือจับหน้าผมให้กันกลับมามองหน้ามัน

                “ถ้าไม่มีอะไร ทำไมวันนี้มึงถึงได้มายืนอยู่หน้าเวที รอดูน้องมันด้วยล่ะ”

                ผมหันไปปัดมือมันออก “ทั้งสายรหัสทั้งสายเทคกูได้เป็นตัวแทนทั้งที กูก็ต้องมาให้กำลังใจน้องมันสิวะ”

                “เหรออออออ” มันลากเสียงจนน่าหมั่นไส้ “รอเจอเซอร์ไพรส์ก่อนเหอะมึง”

                “เซอร์ไพรส์ไรวะ”

                ไอ้นี่ก็มีพิรุธซะจนผมอยากรู้ แต่มันกลับยักไหล่ใส่ผมเฉย ก่อนที่พิธีกรจะเริ่มทำหน้าที่ในงานประกวดดาวเดือน

                ตัวแทนของคณะแต่ละคนต่างก็ออกมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะไอ้โฟโต้กับไอ้นัทที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเก็งเดือนคณะในค่ำคืนนี้ ส่วนตัวเก็งฝ่ายหญิงคงหนีไม่พ้นน้องฝ้าย สาวสวยปีหนึ่งซึ่งเป็นที่หมายตาและพูดถึงมากที่สุดตั้งแต่วันรายงานตัวเข้าคณะ จนกระทั่งมาถึงช่วงเวลาการแสดงความสามารถของแต่ละคน ส่วนใหญ่ไม่ร้องเพลง เต้น เล่นดนตรี ก็ความสามารทางนาฏศิลป์เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับนำมาแสดงบนเวทีที่สุดแล้วล่ะครับ

                หลังจากการแสดงของดาวเดือนจบไปคนแล้วคนเล่า ในที่สุดก็มาถึงคิวของไอ้นัทแล้วครับ ยอมรับว่ามันดูดีมากเพราะออร่าของมันนี่นับว่าเป็นนายแบบแนวหน้าได้สบายๆ แต่ที่ดูแปลกตาออกไปเห็นจะเป็นเสื้อผ้าที่คุมโทนมืดอย่างไม่ผมไม่เคยเห็นมันใส่เลยสักครั้ง ทำให้มันดูหล่อร้ายไปอีกแบบ

                ผมมองมันที่เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกีต้าร์ในมือ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่จะได้เห็นมันในมุมนี้ มันจัดแจงทุกอย่างจนเรียบร้อยก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ แนะนำตัวเองเล็กน้อยและเริ่มการแสดง

                “เสียงของผมอาจจะไม่เพราะจนสามารถกุมหัวใจใครได้ แต่ที่ผมยังคงเลือกที่ร้องเพลงเพราะผมแอบหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าความรู้สึกของผมที่ได้ถ่ายทอดผ่านบทเพลงต่อไปนี้ จะส่งถึงหัวใจของเขาได้...แม้จะเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตาม”

                ใจของผมแอบกระตุกเล็กน้อยกับคำพูดของไอ้นัท ก่อนที่ผมจะเหลือบหันไปมองคนข้างๆ ของผมที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอการแสดงของน้องมันเอาไว้ สายตาของมันที่กำลังมองน้องอยู่ทำให้ผมเอะใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ผมจะหันกลับไปมองไอ้นัทบนเวทีที่กำลังเล่นกีต้าร์อยู่

                ฉันเองไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เธอได้เดินเข้ามาในสายตา

            หากแต่เพียงได้รักเธอไป

            เพราะว่าฉันนั้นไม่อาจจะห้ามใจ มันเอาแต่คิดถึงเพียงเรื่องของเธอ

            คงไม่ผิดอะไรใช่ไหม หากว่าฉันจะเข้าไปบอกเธอ

            บอกคำว่ารักให้เธอได้ยิน เผื่อหัวใจเราตรงกัน

            จะเดินไปบอกรักเธอ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฉันรัก

            แม้เวลาจะเปลี่ยนเท่าไหร่

            ไม่ว่าเธอจะเลือกใคร ฉันเลือกเธอ

            เป็นแบบนั้นเสมอ ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนใจฉันได้

            ขอให้เธอได้รับรู้ ในวันที่เธอเจ็บช้ำจากใคร

                 ได้โปรดหันกลับมาเพราะฉันจะอยู่ตรงนี้เพื่อเฝ้ามองเธอไปตลอดกาล

            ทั้งดนตรีและเสียงร้องที่เจือไปด้วยความรู้สึกบางอย่างสร้างความใจหายให้กับคนฟังได้เป็นอย่างดี ไอ้นัทอาจจะไม่ใช่คนที่ร้องเพลงเพราะที่สุด แต่เสียงของมันกลับกุมใจคนฟังเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด ก่อนที่มันจะจบการแสดงและทยอยเก็บอุปกรณ์

                “ความรักที่มันน่ากลัวเนอะ”

                ผมหันไปมองไอ้นิวอีกครั้ง มันเองก็หันมามองผมเช่นเดียวกัน หน้าตามันดูซึมๆ เหมือนเพิ่งจะผ่านเรื่องเจ็บปวดมาก็ไม่ปาน แต่ผมก็ยังคงรับฟังในสิ่งที่มันกำลังจะพูดต่อ

                “ไอ้นัทมันจะรู้สึกเหมือนกับเพลงที่มันร้องหรือเปล่า”

                ผมนิ่งไปเล็กน้อยพลางหันกลับไปมองคนที่กำลังเดินลงจากเวที “ไม่รู้สิ มันอาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกอะไรก็ได้”

                ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้ง เมื่อไอ้โฟโต้เดินขึ้นมาบนเวที วันนี้มันดูดีผิดหูผิดตาไปถนัดเลยครับ เพราะปกติ มันจะแต่งตัวสบายๆ ไม่ค่อยใส่ใจเสื้อผ้าหน้าผมอะไรมาก (แต่มันก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดีนั่นแหละ) มันมาพร้อมกับลูกทีมอีกหลายคน ขณะที่ผมเองก็ได้แต่คาดหวังว่ามันจะแสดงอะไรเพราะที่ผ่านมามันเอาแต่เงียบ ถามกี่ทีก็ไม่ยอมบอกหรือแม้กระทั่งหลุดปากออกมาเลยครับ

                ก่อนที่ไฟทั้งหมดจะดับลง ไม่นานนักเสียงไวโอลินก็ค่อยๆ ดังพร้อมกับแสงไฟที่สว่างขึ้นทีละนิด ภายตรงหน้าคือภาพของไอ้โฟโต้ที่กำลังยืนเล่นไวโอลินท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกก่อนที่จังหวะจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนจนกระทั่งมันหยุดสีไวโอลิน ทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ มันเงยหน้าขึ้นมามองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาเศร้าๆ และนั่งลงบนเก้าอี้ยาวบนเวที ก่อนที่ไฟจะดับลงและเปิดพรึบขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับฉากที่เปลี่ยนไป เหลือเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะโผล่เข้ามาจากทางด้านหลังและเซอร์ไพรส์เธอด้วยการเล่นมายากลเสกดอกกุหลาบให้กับผู้หญิงคนนั้น และมันก็เล่นกลอีกหลายอย่างก่อนที่จะลงท้ายด้วยการขอผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟน

                “คุณยังจำได้ไหม ในวันที่ผมขอคุณเป็นแฟน คุณได้ให้สัญญากับผมเอาไว้ว่าวันนี้ คุณจะให้คำตอบกับผม...”

                ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมากับคำพูดของไอ้โฟโต้ ก็มันคับคล้ายคับคลากับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผมนี่ครับ

                “...แล้วถ้าผมจะขอคุณเป็นแฟนตอนนี้ คุณจะยอมคบกับผมไหม”

                ผมมองไอ้โฟโต้ที่นั่งคุกเข่าลงไปตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น ขณะที่เธอเองก็มองมันด้วยความเขินอาย ก่อนที่เสียงดนตรีจะดังขึ้นและไอ้โฟโต้ก็เริ่มร้องเพลง

 

                เธออาจจะคิดว่าวันนั้น เป็นวันที่เราได้เจอกันครั้งแรก

            แล้วฉันจึงตกหลุมรักเธอ จนยากจะถอนตัวเช่นนี้

            แต่เธอรู้ไหมว่าวันนั้น เป็นอีกครั้งที่ฉันได้เจอกับเธอ

            เพราะฟ้ากำหนดให้เราได้มาใกล้กัน โดยที่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธหัวใจของตัวเองได้อีก

            นานแค่ไหนที่เราไกลห่าง ใจของฉันเฝ้าแต่โหยหาเธอมานานแสนนาน เพื่อตามหาคำตอบของหัวใจเธอ

            แล้วเธอคิดเหมือนกันไหม ฉันอาจจะไม่ได้ดีเหมือนใคร

            แต่ฉันก็รักเธอเพียงคนเดียว จวบจนวันนี้ที่ฉันได้มีโอกาสที่จะรัก

 

            “แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะมอบคำตอบนั้นให้กับผมหรือยัง”

                ทั้งคู่มองหน้าสบตากันอยู่สักพัก ผู้หญิงขยับปากเหมือนพูดอะไรไปสักอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย ก่อนที่ไฟจะดับลงและเปิดขึ้นมาพร้อมกับฉากที่ไอ้โฟโต้นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดิม มันเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ สายตาของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาบางอย่าง

                “หากในวันนั้น เธอไม่ปฏิเสธ...ผมคงได้มีโอกาสเล่นไวโอลินที่ผมรักมากที่สุด ให้กับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด”

                ผมมองมันที่นิ่งไปอย่างใจหาย ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นมาและพูดต่อ

                “และถ้าวันนี้ ผมมีโอกาสอีกครั้ง ผมก็หวังเอาไว้ว่าเธอจะตอบตกลง”

                เพียงเท่านั้น ก่อนที่ไฟจะดับพรึบและการแสดงของไอ้โฟโต้ก็จบลงไป ท่ามกลางใจของผมที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ผมก็ทำได้เพียงดูการแสดงของน้องๆ คนอื่นจนครบ จนกระทั่งมาถึงการประกาศผู้เข้ารอบหกคนสุดท้าย ซึ่งไอ้โฟโต้กับไอ้นัทก็เข้ารอบไปตามระเบียบ ผมปรบมือแสดงความยินดีให้กับพวกมันทั้งคู่ ก่อนที่จะมีการเริ่มตอบคำถาม ซึ่งเป็นช่วงที่วัดปฏิภาณไวพริบเอามากๆ  ผมเองก็เคยเกือบตายกับคำถามพวกนั้นตอนลงประกวดเช่นกัน

                “คำถามสำหรับหมายเลขสาม น้องนัทของเรานะคะ ถามว่า หากคุณได้เป็นเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้ คุณจะทำอะไรบ้างคะ”

                ก่อนที่กรรมการจะทวนคำถามและไอ้นัทจะเริ่มตอบคำถามของตัวเอง

                “ก่อนอื่น ผมคงต้องขอบคุณสำหรับตำแหน่งอันมีค่าที่ผมได้รับครับ ผมจะใช้ช่วงเวลาทั้งหมดในรั้วมหาวิทยาลัยในการทำประโยชน์เท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมและการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักศึกษา รวมถึงสร้างชื่อเสียงในด้านต่างๆ ให้กับมหาวิทยาลัยต่อไปในอนาคตครับ”

                เสียงปรบมือดังขึ้นแทบจะทันทีที่ไอ้นัทพูดจบ คำตอบของมันใช้ได้เลยทีเดียวครับ มีแต่คนชมมันกันใหญ่ ก่อนที่น้องๆ คนต่อไปจะตอบคำถามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงคิวของไอ้โฟโต้

                “ต่อไปนะคะ หมายเลขเจ็ด น้องโฟโต้นะคะ คำถามถามว่า หากคุณได้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย คุณจะสร้างระเบียบวินัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ในมหาวิทยาลัยอย่างไรบ้างคะ”

                ผมมองไอ้โฟโต้ที่พยายามตั้งสติฟังพิธีกรทวนคำถามอีกครั้ง ก่อนที่มันจะนิ่งเงียบไปจนใจคอผมไม่ดีตาม

                “ขอบคุณสำหรับคำถามครับ”

                มันค่อยๆ พูดออกมาพร้อมกับพยายามยิ้มให้ดูปกติมากที่สุดจนเรียกได้ว่าถ้าใครไม่เป็นมันคงไม่มีทางรู้แน่ว่าไอ้การที่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น มันทั้งตื่นเต้นและกดดันมากแค่ไหน

                “ถ้าผมได้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ผมจะเชิญชวนให้นักศึกษาหันมาใส่ใจความปลอดภัยบนท้องถนน จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ ทั้งประโยชน์และภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากไม่ระมัดระวังในการขับรถ โดยทั้งนี้ ผมจะเริ่มจากตัวเอง ผมจะแสดงให้นักศึกษาเห็นครับ ว่าการขับขี่อย่างปลอดภัยต้องทำอย่างไรครับ”

                ถึงแม้จะฟังดูแปร่งๆ ไปบ้าง แต่ถือว่ามันก็เอาตัวรอดได้ดีกับคำถาม นั่นทำให้คนที่คอยตามเชียร์มันโล่งใจไปไม่มากก็น้อย ก่อนที่จะมีการประกาศผู้เข้ารอบสามคนสุดท้าย แน่นอนว่าไอ้ตัวเก็งของคณะอย่างไอ้โฟโต้และไอ้นัทต้องเป็นหนึ่งในนั้น แต่จะได้ตำแหน่งไหนคงต้องลุ้นต่อจากนี้แล้วล่ะครับ

                การประกาศรางวัลถูกคั่นด้วยการตอบคำถามดาวเทียมที่เรียกเสียงเฮฮาและความเกี้ยวกราดในการตอบคำถามได้เป็นอย่างดี นี่อาจจะเป็นอีกสีสันหนึ่งในการประกวดเลยก็ว่าได้ครับ

                ก่อนที่เวลาจะล่วงเลยมาถึงการประกาศรางวัลดาวเดือนคณะ ฝ่ายชายมีไอ้นัทกับไอ้โฟโต้ที่เข้ารอบสองคนสุดท้ายไปอย่างลุ้นๆ ส่วนฝ่ายหญิงมีน้องฝ้ายและน้องมิ้นตามเสียงเชียร์ที่มีมาตลอดของพวกผู้ชายนั่นแหละครับ

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ เราจะมาประกาศรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งกันนะคะ”

                เสียงพิธีกรทำเอาท้องไส้ผมปั่นป่วนขึ้นมาแบบสุด ตั้งแต่เกิดมา นี่อาจจะเป็นครั้งที่สามก็ว่าได้ที่ผมตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้  (ครั้งแรกตอนสอบเข้ามหา’ลัย ส่วนครั้งที่สองตอนประกวดเดือนตอนปีหนึ่งนั่นแหละครับ)

                “ชนะเลิศอันดับหนึ่งได้แก่...”

                จะเว้ยจังหวะให้กูหยุดหายใจทำไมวะเนี่ย ผมกลืนน้ำลายลงคอ มือไม้เกร็งไปหมดแล้วครับ

                “...น้องฝ้ายและน้องนัทค่า!”

                ผลประกาศของพิธีกรเป็นไปตามที่แอบคิดเอาไว้ กะไว้แล้วเชียวว่าไอ้นัทต้องได้ตำแหน่งเดือนคณะแน่ๆ ผมรู้สไตล์กรรมการดีครับ ไม่ว่าจะไอ้นัท ไอ้กรีนหรือเดือนปีผมอย่างไอ้เจมส์ ก็ออร่าแบบเดียวกันเป๊ะ ดีไม่ดี ปีนี้นิติศาสตร์อาจจะคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยอีกปีหนึ่งก็ได้นะครับ

                “แน่นอนนะคะว่าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับหนึ่งก็ตกเป็นของน้องโฟโต้และน้องมิ้น ขอเชิญทั้งคู่ออกมารับรางวัลด้วยค่า”

                ผมมองไอ้โฟโต้ที่เดินออกมารับรางวัลจากรองเดือนปีที่แล้วอย่างอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก็วันนี้มันทำออกมาได้ดีเลยนี่ครับ ถ้าไม่มีไอ้นัท ตำแหน่งเดือนคณะก็คงไม่พ้นมันอยู่ดี ก่อนที่งานจะเสร็จสิ้นลงไปท่ามกลางความปีติยินดีของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ

                ผมเดินฝ่าฝูงชนออกไปจากบริเวณหน้าเวทีและไปรอไอ้โฟโต้ที่ด้านหลัง ตอนนี้ มันกำลังชุลมุนกับการถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้ไปทั่วตามประสาคนได้ตำแหน่งนั่นแหละครับ ผมก็เลยไปหาที่นั่งรอมันไปพลางๆ แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกันครับ กว่าไอ้รองเดือนคณะปีหกศูนย์จะเดินกลับเข้ามาด้านหลังเวที

                “พี่ฮ่องเต้...”

                ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก็เห็นไอ้โฟโต้หอบของขวัญพะรุงพะรังเข้ามาพร้อมๆ กันกับไอ้นัท ฝ่ายหลังได้แต่มองผมสลับกับไอ้โฟโต้และยิ้มบางๆ ออกมา

                “พี่ฮ่องเต้! มาด้วยเหรอคะเนี่ย” เสียงกระเทยรุ่นพี่เรียกให้ผมหันไปมอง ก่อนจะยิ้มให้กับพวกเธอ

                “ไหนๆ ก็อยู่กับสายรหัสแล้ว ขอถ่ายรูปคู่หน่อยได้ไหมคะ”

                ผมชะงักพลางหันไปมองหน้าไอ้โฟโต้ ก่อนจะหันกลับมามองพวกเธอเลิกลัก ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาโอบไหล่ผมพร้อมกับยิ้มหน้าระรื่น

                “ได้สิครับ ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ ก็ควรเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึกสิ”

                ที่ระลึก...แบบไม่ถามกูสักคำเลยนะ

                แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของไอ้โฟโต้จะทำให้คนรอบข้างส่งเสียงดีใจกันยกใจอย่างถูกอกถูกใจ จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นไอ้นัท มันทำเป็นหลบสายตาด้วยใบหน้าที่ดูก็รู้ว่ามันกำลังรู้สึกน้อยใจมากขนาดไหน และนั่นมันก็ทำให้ผมต้องทำอะไรบางอย่าง

                “จะถ่ายสายรหัสอย่างเดียวได้ยังไง สายเทคพี่ก็ได้ตำแหน่งนะ” ก่อนที่ผมจะหันไปเรียกไอ้นัท “มาถ่ายรูปกับกูหน่อยดิ”

                ไอ้นัทดูเหมือนจะอึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่มันจะทำท่าปฏิเสธ ผมเลยเดินเข้าไปลากมันมาถ่ายด้วย ส่วนไอ้โฟโต้นี่นิ่งเงียบไปเลยครับ มันคงน้อยใจที่ผมไปลากไอ้นัทมา แต่ผมเองก็จะปล่อยให้สายเทคตัวเองน้อยใจไปได้ยังไงกัน ถ้าเป็นผม...ผมเองก็คงน้อยใจเหมือนกันนั่นแหละครับ ไม่มีสายรหัสก็ว่าเฟลแล้ว แต่พี่เทคไม่สนใจมันเฟลกว่าร้อยเท่า

                พวกผมสามคนถ่ายรูปกันจนเสร็จ ผมก็พูดคุยแสดงความยินดีกับไอ้นัทต่ออีกเล็กน้อย

                “กูดีใจด้วยนะเว้ย มึงเหมาะสมแล้วกับตำแหน่งนี้”

                “ขอบคุณนะครับ” ไอ้นัทยิ้มพร้อมกับมองหน้าผมเพื่อแสดงความจริงใจ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ ผมมีความสุขมากที่มีพี่เป็นพี่เทคของผม”

                วูบหนึ่งที่ผมเห็นแววตานั้นสั่นระริก มันทำให้ใจของผมไหววูบไปตามๆ กัน

                “ขอบคุณมึงเหมือนกันนะ ที่เลือกเรียนที่นี่ ไม่อย่างนั้น กูคงไม่ได้มีน้องเทคหล่อๆ แถมพ่วงตำแหน่งเดือนแบบมึง”

                พูดจบ คนตรงหน้าก็หัวเราะออกมาเบาๆ

                “นั่นสิครับ ผมเป็นถึงเดือน แต่พี่กลับมองข้ามผมไปได้”

                เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นมันกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

                “เอาน่า สักวันคนที่ใช่ จะเข้ามาหาในเวลาที่ใช่เอง”

                ผมปลอบใจมันได้ดีที่สุดก็เท่านี้แหละครับ ก่อนที่เพื่อนรักของผมจะเดินเข้ามาที่หลังเวที มันชะงักมองผมกับไอ้นัทเหมือนว่าทันกำลังเข้ามาขัดจังหวะ

                “เดี๋ยวกูไปรอที่รถนะ” มันหันไปบอกไอ้นัทก่อนจะรีบชิ่งออกไปโดยมไม่สนใจไอ้ผมที่กำลังจะอ้าปากคุยกับมันเลย ทำให้ผมต้องหันกลับมาถามไอ้นัทแทน

                “ช่วงนี้มึงดูสนิทกับมันนะ”

                ไอ้นัทหัวเราะออกมาน้อยๆ พลางมองไปทางที่ไอ้นิวเพิ่งจะเดินไป “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกับพี่นิวสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน”

                “ไอ้นิวมันเฟรนลี่ล่ะมั้ง ปกติมันก็เข้ากับคนง่ายจะตายไป มึงก็ไปทำงานกับมันด้วยไม่ใช่เหรอ”

                “ครับ” ไอ้นัทหันมาตอบ “แต่ที่ผมสนิทกับพี่เขา บางทีอาจจะเป็นเพราะความเหมือนของผมกับพี่นิวก็ได้”

                ผมฟังคำตอบของมันแล้วได้แต่อมยิ้มกับตัวเอง ดูเหมือนว่าไอ้ซันจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวซะแล้วล่ะครับ

                เออ จะว่าไป...ไอ้ซันมันก็หายหัวหายตัวไปไหนของมันกัน นอกจากในคาบเรียนแล้ว ผมก็แทบจะไม่เจอมันเลย

                “ผมว่าพี่ฮ่องเต้รีบไปดีกว่านะครับ ท่าทางคนทางนั้นจะงอนใหญ่แล้ว”

                ผมหันไปมองตามสายตาของไอ้นัท ก็เห็นไอ้โฟโต้ทำหน้ามุ่ยเก็บข้าวของอยู่

                “อืม กูหาเรื่องให้มันงอนเองแหละ คงต้องง้อยาวแน่”

                “ก็ไม่แน่หรอกครับ สุดท้ายคนที่ง้อพี่เต้ก็คือไอ้โฟโต้อยู่วันยังค่ำ ไม่เชื่อพี่ก็รอดูได้เลย”

                ผมหันไปมองหน้าไอ้นัทอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ทันได้ถามอะไรต่อเพราะไอ้นัทขอตัวไปตามไอ้นิว ผมเลยได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปหาคนที่เพิ่งจะเก็บของเสร็จ มันหันมามองหน้าผมด้วยสายตานิ่งเรียบ

                “จะกลับเลยป่ะ”

                “ครับ แต่ถ้าพี่อยากอยู่ต่อ เดี๋ยวผมกลับก่อนก็ได้นะครับ”

                ฮั่นแน่ ทำเป็นงอน ทำตัวเป็นเด็กไปได้

                “กูไม่อยากอยู่ต่อหรอก ถ้ามึงไม่อยู่” ผมมองหน้ามันพร้อมกับอมยิ้มไปด้วยและนั่นทำให้ไอ้โฟโต้มีสีหน้าดีขึ้นมานิดหน่อย แต่มันยังคงดึงหน้าทำเป็นโกรธผมอยู่

                “กลับกันเถอะ” ผมบอกก่อนจะหันไปช่วยมันถือของและเดินนำหน้ามันไป แต่เป็นอันต้องหันหลังกลับมาอีกรอบเพราะไร้วี่แววของคนข้างหลังว่าจะเดินตามมานี่แหละครับ

                “ไม่รีบกลับเหรอ เลยเที่ยงคืนวันนี้ไป กูไม่ให้คำตอบมึงแล้วนะเว้ย”

                ไอ้โฟโต้ขมวดคิ้วเป็นปมอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของผม

                “คำตอบ...?” ก่อนที่มันจะเบิกตากว้างอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

                “เฮ้ย!! ได้ไงเล่า พี่สัญญาแล้วนี่ว่าจะตอบผม”

                “ก็รีบตามมาดิ” พูดจบ ผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินหนีมันไปที่รถ ระหว่างที่ไอ้โฟโต้รีบวิ่งตามผมมาติดๆ

                ถึงเวลาสักทีสินะครับ ที่ผมจะให้คำตอบกับมัน

 
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 20:05:34
ตอนที่ 48 ตอนจบ

                ไอ้โฟโต้ขับรถไปฮัมเพลงไปพลางอย่างอารมณ์ดีจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าคิดของอะไรของมันอยู่

                “อารมณ์ดีอะไรเบอร์นั้นวะ” ในที่สุดผมก็อดใจที่จะหันไปถามมันไม่ได้

                มันชำเลืองตามามองผมก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้า “คนกำลังจะมีเมีย...”

                ผมสะดุ้งหันขวับไปมองด้วยความตกใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา

                “กูได้ยินนะ ไอ้คำว่าเมียน่ะ”

                “ผมหมายถึง แฟน ต่างหากล่ะครับ คนกำลังจะมีแฟน ก็ต้องอารมณ์ดีเบอร์นี้นั่นแหละ” และมันก็เอาแต่ยิ้มหน้าระรื่น ขณะที่ผมได้แต่คิดว่าเจ้าเล่ห์อย่างมัน ผมเผลอไปมีใจให้ได้ยังไงกัน

                แต่ก็นั่นแหละครับ ในเมื่อคนมันรักไปแล้ว เรื่องความเจ้าเล่ห์ใดๆ ที่มันใช้กับผม ค่อยหาทางรับมือกันทีหลัง

                “แต่จะใช้คำไหน มันก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ” มันหันมายิ้มอย่างมีเลสนัย “คืนนี้ ยังไงๆ พี่ก็ต้องยอมผม”

                “ขับรถไปเลย!” ผมผลักหน้ามันไปทีหนึ่งอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้

                “ทำไมครับ หรือพี่จะไม่ยอม คราวนี้เนี่ยผมไม่ปล่อยพี่ไปแล้วนะครับ”

                “แล้วใครบอกว่ากูจะยอม”

                ในเมื่อมันยังไม่หยุด ผมก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายหยุดหรอกนะเว้ย เสียเชิงรุ่นพี่หมด อย่าลืมว่าผมอยู่ปีสี่ ส่วนไอ้เด็กนี่ มันเป็นเด็กปีหนึ่งนะครับ

                “พี่ไม่ยอม ผมก็พร้อมจะจับพี่กดนะครับ”

                “ไอ้โฟโต้!”

                “ส่วนกดแล้วจะทำอะไรถึงขั้นไหน คงต้องรอดูความประพฤติของพี่ก่อนว่าจะยอมตั้งแต่ขั้นแรกหรือต้องรอให้ถึงขั้นสุดท้าย”

                “ถ้าอย่างนั้น มึงปล่อยกูลงตรงนี้เลย!”

                นับวันแม่งยิ่งเป็นเด็กอันตรายฉิบหาย

                “เอาสิครับ ทางเปลี่ยวๆ แบบนี้ กับบรรยากาศในรถนี่...คงจะได้ฟีลเนอะ แถมยังไม่มีคนมาขัดจังหวะเราสองคนอีกด้วย”

                “ขับรถต่อไปเถอะ มึงอ่ะ” ผมว่าหน้านิ่งพลางชำเลืองมองออกไปข้างนอกรถด้วยความเสียวสันหลังวาบๆ เพราะความที่รถติดมา ไอ้โฟโต้เลยต้องขับเลี่ยงการจราจรมาทางนี้ ที่โคตรจะมืดและโคตรจะเปลี่ยว

                ไอ้โฟโต้หัวเราะชอบใจยกใหญ่

                “แบบนี้ แสดงว่าพี่ยอมผมแล้วใช่ป่ะ”

                “ยอมอะไร ใครว่ากูจะยอม” ผมหันไปแหวใส่มัน ก็ผมไม่ยอมอ่ะ ผมไม่ยอม!

                “ยอมเป็นเมียผมไงครับ ยังไงพี่ก็ต้องยอม”

                ยิ่งยอมเป็นเมียด้วยแล้ว ผมยิ่งต้องไม่ยอม เป็นพี่ใหญ่ผมก็ต้องเป็นฝ่ายได้ (เปรียบ) มากกว่าเสีย (เปรียบ) สิครับ

                “กูบอกเมื่อไหร่ว่ากูจะเป็นเมีย”

                “ทำไมครับ หรือพี่จะจับผมทำเมีย”

                “เออ!” ผมหันไปยิ้มอย่างมีแผนการร้ายในหัว แต่ทว่ามันกลับหัวเราะร่าออกมาเหมือนเห็นผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่กำลังพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้

                “ถนัดเหรอครับ รุกน่ะ”

                “เดี๋ยวมึงก็รู้”

                “ใช้คำว่า ‘เดี๋ยว’ แบบนี้ หมายความว่าพี่จะจัดคืนนี้เลยใช่ป่ะ”

                “ไม่ใช่เว้ย!!” ผมหันไปปฏิเสธมันทันที ดูเหมือนบทสนทนาในวันนี้จะมีแต่เรื่องเมียๆ ยังไงก็ไม่รู้ มันทำให้ผมคิดได้ว่าวันนี้ผมจะไม่มีทางอยู่กับไอ้โฟโต้สองคนในสถานที่ที่เป็นใจแน่ๆ

                “เอาเถอะครับ ไม่ว่าพี่จะจัดให้ผมวันไหน ยังไงผมก็ไม่ยอมให้พี่จับผมทำเมียได้ง่ายๆ หรอกครับ”

                มันยังไม่ยอมจบยอมสิ้นกับเรื่องเมียๆ อีกนะเฮ้ย ผมหันไปมองหน้ามันที่หันมาทำหน้ายู่ใส่ผม

                “ก็ผมไม่ถนัดเป็นเมียใครนี่ อีกอย่าง พี่น่ารักขนาดนี้ ต่อให้ผมจะยอมยังไง สุดท้ายผมก็อดใจไม่ไหวรุกพี่กลับอยู่ดีนั่นแหละ”

                และมันก็เว้นจังหวะ ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับผมระหว่างที่กำลังจะขับออกจากซอยทางลัด

                “ผิวขาวๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ แถมยังหุ่นของพี่นั่นอีก มันโคตรน่าจับฟัดเลยรู้ไหมครับ”

                “มึงถอยออกไปเลย!!” ผมแหวใส่พร้อมกับเอามือดันตัวมันออกไป

                “พี่ก็เลิกน่ารักก่อนสิครับ ไม่อย่างนั้นผมคงอดใจไม่ไหวแน่ๆ”

                “มึงนี่มัน...กูจะไม่เป็นแฟนมึงก็เพราะแบบเนี่ย!!”

                “พี่ว่าไงนะครับ” มันยิ้มอย่างล้อเลียน ทำให้ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ก่อนที่มันจะเงียบและหันไปขับรถต่อ แต่เป็นอันที่ผมต้องแปลกใจเพราะไอ้ทางที่มันขับมาดันไม่ใช่ทางกลับหอพักของผมเสียอย่างนั้น แถมมันยังไม่ใช่ทางไปหอพักมันอีกด้วย

                “มึงจะพากูไปไหนเนี่ย”

                ผมมองตามทางที่มันขับผ่านไปแบบงงๆ ทางนี้มันออกนอกโซนมหา’ลัยนี่หว่า จะไปไหนของมันกันเฮ้ย

                “ก็พาพี่ไปสารภาพความในใจไงครับ”

                มันยิ้มก่อนจะขับรถต่อจนกระทั่งถึงที่หมาย...

                มันคือร้านของพี่กราฟฟิกครับ ร้านอาหารที่ผมมากินหลายครั้งหลายหน แต่เพิ่งจะมีโอกาสมารู้ว่ามันเป็นร้านของพี่ชายไอ้คนที่นั่งข้างๆ ผมนี่แหละครับ และก็ได้แต่มองมันที่เลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหลังร้านและดับเครื่อง ก่อนที่มันจะลงไปเปิดประตูรถให้ผม

                “เชิญครับ พี่ฮ่องเต้”

                ผมขมวดคิ้วเป็นปมมองมันแบบงงๆ “ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย”

                “พาพี่มา กิน ของอร่อยไงครับ” ก่อนที่มันจะพยายามฉุดผมให้ลงจากรถ “เอาน่า ไหนๆ ผมก็พาพี่มาถึงที่นี่แล้ว ลงมาเถอะครับ”

                ผมมองมันอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจลงจากรถและตามมันเข้าไปในร้าน ซึ่งต้องเข้าทางประตูหลังร้านนะครับ เพราะร้านเปิดถึงแค่สามทุ่ม ส่วนตอนนี้ปาเข้าไปถึงห้าทุ่มกว่าแล้วครับ

                “มาครับ” ไอ้โฟโต้จูงมือผมให้เดินขึ้นบันไดตามมันไปจนกระทั่งถึงชั้นข้างบนสุดของร้าน มันพาผมมาหยุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่งก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างสื่อความหมาย

                “พร้อมหรือยังครับ”

                ผมหันไปมองหน้ามันแบบงงๆ

                “พร้อมอะไร”

                “พร้อมที่จะให้คำตอบผมหรือยัง”

                ใจของผมกระตุกวูบขึ้นมาทันทีอย่างกับว่ามีอะไรอยู่หลังประตูบานนั้น

                “ถ้าพี่พร้อมแล้ว ก็เปิดเลยครับ”

                ผมหยุดนิ่งมองหน้ามัน ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองประตูบานนั้นด้วยความตื่นเต้น มือของผมที่เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อเอื้อมไปจับลูกบิดช้าๆ ก่อนจะกลั้นใจและเปิดประตูเข้าไป!

                ...

                เงียบ

                มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้นที่กำลังครอบครองทุกอย่างตรงหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด เท้าของผมขยับก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว...สองก้าว... ขณะที่สายตาก็จับจ้องไปยังดอกไม้ แสงไฟและของตกแต่งมากมายที่รายล้อมไปทั่วบริเวณชั้นดาดฟ้าของร้านอาหาร ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะเดินตามเข้ามา มันหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับยิ้มละมุนออกมา

                “พี่ฮ่องเต้ครับ ยังจำได้ไหม ในวันงานเปิดสายรหัส ผมขอพี่เป็นแฟน และพี่ก็ได้ให้สัญญากับผมเอาไว้ว่าหลังจากงานดาวเดือนจบลง พี่จะให้คำตอบกับผม...”

                ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยใจที่เต้นแรงขึ้นอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ แม้ผมจะบอกให้ตัวเองใจเย็นแค่ไหนก็ตาม

                “...ตอนนี้ผมมีโอกาสอีกครั้งที่จะขอพี่เป็นแฟน พี่จะยอมคบกับผมไหม”

                ก่อนที่ผมจะเบิกตากว้างด้วยความอึ้งเมื่อจู่ๆ มันก็คุกเข่าลงตรงหน้าผมและยื่นช่อดอกไม้มาให้ ทำเอาใจผมสั่นมากขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า มันชักจะทำให้ผมเริ่มควบคุมสติอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้วนะครับ ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะบ้าตายไปกับการกระทำของมัน ทั้งอยากจะยิ้ม หัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน

                ผมมองคนตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มและรอคอยคำตอบจากผมอยู่อย่างนั้น ก่อนที่มันจะร้องเพลงออกมา เพลงเดียวกันกับที่มันร้องบนเวที แม้ว่าผมจะได้ยินเพลงนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้มันกลับแตกต่างเพราะเสียงของมันเปล่งออกมาโดยไม่มีเสียงดนตรีใดคอยบรรเลงให้ มันทำให้ผมสัมผัสความรู้สึกผ่านน้ำเสียงของมันได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญ ตอนนี้ ผมยังได้เห็บสีหน้า รอยยิ้มและแววตาของมันใกล้ๆ  ทำให้ผมรู้สึกมากกว่าตอนที่เห็นมันอยู่บนเวที

 

                เธออาจจะคิดว่าวันนั้น เป็นวันที่เราได้เจอกันครั้งแรก

                แล้วฉันจึงตกหลุมรักเธอ จนยากจะถอนตัวเช่นนี้

                แต่เธอรู้ไหมว่าวันนั้น เป็นอีกครั้งที่ฉันได้เจอกับเธอ

                เพราะฟ้ากำหนดให้เราได้มาใกล้กัน โดยที่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธหัวใจของตัวเองได้อีก

                นานแค่ไหนที่เราไกลห่าง ใจของฉันเฝ้าแต่โหยหาเธอมานานแสนนาน เพื่อตามหาคำตอบของหัวใจเธอ

                แล้วเธอคิดเหมือนกันไหม ฉันอาจจะไม่ได้ดีเหมือนใคร

                แต่ฉันก็รักเธอเพียงคนเดียว จวบจนวันนี้ที่ฉันได้มีโอกาสที่จะรัก

 

                “แล้วพี่ฮ่องเต้ล่ะครับ พร้อมที่จะมอบคำตอบนั้นให้กับผมหรือยัง”

                ผมอดยิ้มออกมาด้วยความตื้นตันใจไม่ได้จริงๆ

                “ผมรักพี่นะครับ พี่ฮ่องเต้”

                ผมมองมันที่ส่งยิ้มละมุนมาให้ สบสายตากับไอ้เด็กปีหนึ่งที่คอยตามตื๊อรุ่นพี่ปีสี่อย่างผมมาตั้งแต่ตอนรับน้อง จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ที่มันกำลังขอคบกับผมและผมเองก็ดันรู้สึกกับไอ้เด็กคนนี้ไปแล้วด้วยสิครับ

                “ที่ผ่านมา กูอาจจะงี่เง่าและเอาแต่หนีมาโดยตลอด ทีแรก กูก็เอาแต่คิดนะเว้ย ว่าไอ้ที่มึงตามจีบกู เป็นเพราะว่ามึงอาจจะแค่สับสนและสักวัน มึงก็อาจจะเบื่อและเลือกที่จะทิ้งกูไป”

                ผมเว้นจังหวะ มองหน้าคนที่กำลังตั้งใจฟังผม

                “กูขอบคุณมึงมากนะ ขอบคุณมากจริงๆ ที่เข้ามาในชีวิต ที่ทำให้กูรู้ว่า...อาถรรพ์สายรหัสไม่ได้มีแค่ด้านมืด แต่ยังมีความรักที่เป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต มอบให้คนอย่างกู”

                “...”

                “กูรักมึงนะและกูก็พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้ากับมึง ไม่ว่าทางข้างหน้ามันจะเป็นยังไงก็ตาม”

                “ในเมื่อพี่รักและก็พร้อมจะเดินไปกับผม ถ้าอย่างนั้น...” มันเว้นจังหวะมองผมด้วยความตื่นเต้นที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน “เป็นแฟนกันนะครับ”

                ผมยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มออกมาเต็มที่ด้วยความสุขที่ก่อตัวขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะรับช่อดอกไม้มาและเอ่ยปากพูดกับคนตรงหน้า

                “เออ...” ผมมองหน้ามันด้วยแววตาจริง “...นับตั้งแต่วินาทีนี้ไป มึงกับกูเป็นมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องแล้วนะ เราจะอยู่ในฐานะแฟน...ตลอดไป”

                ไอ้โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น มันลุกขึ้นและเข้ามากอดผมเอาไว้แน่น ผมเองก็ยกแขนขึ้นกอดมันอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ เช่นกัน ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะคลายอ้อมกอดและมองหน้าผมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความตื้นตันอย่างปิดไว้ไม่มิด

                “ขอบคุณนะครับ ที่เลือกผม...”

                “...”

                “แล้วผมจะทำให้พี่เห็นว่าพี่เลือกคนไม่ผิด”

                ผมอมยิ้ม ส่งสายตาจริงจังไปให้กับมัน “กูก็ขอบคุณมึงเหมือนกันนะ ขอบคุณที่มึงเลือกที่จะรักคนอย่างกู โดยไม่มีเงื่อนไขอะไร”

                “ผมรักพี่นะครับและจะรักไปตลอดชีวิตของผม แล้วพี่ล่ะ รักผมหรือเปล่า”

                ผมทำหน้ายู่พลางหลบสายตามัน “กูก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

                “บอกอีกไม่ได้เหรอครับ ผมอยากได้ยินให้ชื่นใจนี่นา”

                “ได้คืบเอาศอกนะ”

                “ไม่ได้จะเอาศอกครับ จะเอา...คำว่ารัก...จากพี่ต่างหาก”

                ผมมองหมั่นด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้าเล็กน้อย (บอกรักมันทั้งทีก็ขอให้มันพิเศษหน่อยสิครับ) และตะโกนออกไปดังๆ ว่า

                “ฮ่องเต้รักโฟโต้ครับ!!”

                ทันทีที่ผมพูดจบ เสียงโห่แซวก็ดังมาแต่ไกล เล่นเอาซะจนผมหันกลับไปมองแทบไม่ทัน ก่อนที่หน้าของผมจะร้อนผ่าวด้วยความเขินอายเมื่อนิวกับสีฝุ่น เดินเข้ามาหาพร้อมกับเพื่อนของโฟโต้อย่างเปรมและกาฟิวด์ รวมถึง...พี่กราฟฟิก

                มากันพร้อมหน้าขนาดนี้ ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันล่ะโว้ยยยย

                “หน้าแดงหมดแล้ว ไอ้เต้” ไอ้นิวหันมาแซวผมทันที ไอ้นี่ก็แซวกูตั้งแต่เริ่มยันจบเลยนะ

                “ในที่สุดเพื่อนเราก็มีแฟนกับเขาสักทีวะ” ไอ้ซันตามมาติดๆ

                “กูดีใจกับมึงด้วยนะ” น้องกาฟิวด์หันไปบอกไอ้โฟโต้ ก่อนที่ไอ้น้องเปรมจะพูดเสริม

                “คบกันแล้ว ก็รักกันไปนานๆ นะเว้ย”

                “ผมอิจฉาอยู่นะเฮีย รู้บ้างไหมเนี่ย”

                ผมหันไปมองไอ้สีฝุ่นที่ทำหน้าตาน่าหมั่นไส้แบบงงๆ

                “อิจฉาอะไรของมึง”

                มันปลายตาไปมองคนข้างกายอย่างน้องกาฟิวด์เล็กน้อยก่อนจะตอบ

                “อิจฉาที่เฮียได้คบกับโฟโต้ไง แต่ไม่รู้ทำไมเพื่อนของแฟนเฮียเนี่ย ยังไม่ใจอ่อนสักที” ก่อนที่มันจะหันหน้าไปหาไอ้โฟโต้ “ในฐานะแฟนเฮีย พี่คงต้องขอความช่วยเหลือจากเราแล้วล่ะมั้ง”

                คำพูดของไอ้สีฝุ่นทำเอาไอ้โฟโต้นิ่งไปสักพัก หน้าตาของมันเหมือนกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ สงสัยจะยังงงๆ  กับเรื่องระหว่างลูกพี่ลูกน้องของผมกับเพื่อนของมัน แต่ก็นั่นแหละครับ สักพักมันก็หัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้

                “ได้สิครับ แต่คง...” มันเว้นจังหวะและหันมามองหน้าผม “...ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสักหน่อย”

                ผมมองหน้ามันสลับกับไอ้สีฝุ่น สายตาของพวกแม่งสองคนที่กำลังเหลือบมามองผมอยู่นี่โคตรของโคตรไม่น่าไว้วางใจเลยครับ

                “พอเลยพวกมึง! ห้ามทำอะไรแผลงๆ แกล้งกูเด็ดขาดนะเว้ย” ผมหันไปขู่พวกมัน แม่ง ยังไม่ทันได้รู้จักกันดีก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียแล้ว แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ครับ

                 (มีต่อ....)
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Salisa-อ่านว่า-สาริสา ที่ 09-12-2018 20:08:29
 พวกผมยืนคุยกันได้สักพัก พี่กราฟฟิกก็ชวนให้ทุกคนให้ไปนั่งชิล คุยไปกินไปที่โต๊ะซึ่งพี่กราฟฟิกเป็นคนจัดเตรียมเอาไว้ให้ รวมถึงอาหารทุกอย่างที่อร่อยสมกับเป็นร้านอาหารชื่อดังในย่านนี้เลยครับ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเดินรับลมชมวิวกันคนละมุม

                รวมถึงผมกับไอ้โฟโต้...

                ผมกับมันยืนดูวิวตอนกลางคืนด้วยกัน สายลมพัดพาความหนาวเย็นมาปะทะร่างกายของผม อากาศอันบริสุทธิ์แบบนี้ มันช่วยให้ผ่อนคลายได้มากเลยครับ ยิ่งได้เห็นดวงดาวที่เกลื่อนฟ้ากับดวงจันทร์ที่คล้อยไปตามช่วงเวลาด้วยแล้ว นับว่าเป็นวิวที่ราคาแพงได้เหมือนกันครับ

                “พี่เต้...”

                “ว่าไง” ผมพูดโดยไม่หันไปมองหน้ามัน

                “...ผิดหวังหรือเปล่าครับ ที่ผมไม่ได้เป็นเดือนคณะ”

                ผมชะงักไปกับน้ำเสียงปนเศร้าของมัน ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่กำลังมองผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว ผมยิ้มแบบสบายๆ และพูดกับมันเหมือนไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับเรื่องนี้

                “ไม่หรอก กูดีใจเสียด้วยซ้ำ ไอ้ตอนที่พิธีกรประกาศให้ไอ้นัทได้ตำแหน่งเดือนคณะ”

                “แปลว่าพี่ไม่อยากให้ผมได้ตำแหน่งนั้นตั้งแต่แรก แต่อยากให้ไอ้นัทได้แบบนั้นใช่ไหมครับ”

                ผมแอบขำเบาๆ กับสีหน้าที่ดูเหมือนเด็กกำลังน้อยใจของมัน

                “ก็เออดิ ขืนมึงได้ไปต่อ มีหวังได้ทำกองประกวดของมหา’ลัยเขาวุ่นวายกันพอดี”

                “ผมดูเป็นคนวุ่นวายขนาดนั้นเลยหรือไงกัน”

                ผมมองดูคนที่ละสายตาไปมองวิวด้านล่าง ชักสีหน้าบึ้งตึงใส่ผมอีกแหนะ มันคงไม่รู้หรอกครับ ว่าไอ้การทำหน้าตาเหมือนเด็กเล็กโคตรจะขัดกับหน้าของมันจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้เลย แถมยังดูน่าแกล้งเข้าไปอีก

                “หัวเราะอะไรของพี่เนี่ย”

                มันหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ผมจะหยุดหัวเราะและยิ้มกริ่มอย่างนึกอะไรขึ้นได้

                “มึงจะคิดมากทำไมกับเรื่องพวกนี้วะ...”

                ผมเหลือบไปมองไอ้โฟโต้ที่ยังคงมึนงงกับสิ่งที่ผมกำลังพูดออกไป ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจเข้าลึก แสร้งมองไปข้างหน้าและพูดต่อ

                “...อันที่จริง ตำแหน่งรองเดือนคณะมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก” ก่อนที่ผมจะหันไปสบตากับมันที่รอคอยประโยคถัดไปจากผม

                “เพราะอย่างน้อยมึงก็จะได้เป็นรองเดือนคณะคู่กับกูไง”

                มันยิ้มแก้มปริทันทีที่ผมพูดจบ ขณะที่ผมแกล้งหันไปมองทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย

                “พี่ฮ่องเต้...” ไอ้โฟโต้เรียกผมเสียงดุ

                “อะไร?”

                “...หยุดทำตัวน่ารักสักพักเถอะครับ ผมจะคลั่งตายอยู่แล้วนะ”

                ผมย่นจมูกใส่มันอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่มันจะเอาแต่จ้องมาที่หัวของผมเหมือนกับว่ามีอะไรผิดปกติ จนผมอดหันไปมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่ามีอะไรอย่างเสียไม่ได้

                “มีอะไรติดอยู่ที่ผมของพี่ไม่รู้ เดี๋ยวผมเอาออกให้นะครับ”

                พูดจบมันก็เอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างออกจากผมด้านข้างของผม ก่อนที่มันจะชักมือกลับมา ผมมองตามกำปั้นของมันแบบงงๆ

                “อะไรติดผมกูวะ”

                มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะตอบ “ความรักครับ”

                “...”

                “พอดีความรักของผมมันติดผมพี่ ผมเลยช่วยเอาออกให้”

                “กวนตีน”

                มันหัวเราะออกมาเบาๆ “พี่ไม่เชื่อผมเหรอ”

                “ไม่...” ผมตอบก่อนจะหมุนตัวกะจะเดินหนีมุกเอือมๆ ของมัน ทว่าไอ้โฟโต้กลับเอามือมารั้งแขนผมไว้ให้หันกลับมา

                “เดี๋ยวก่อนสิครับ ถ้าพี่ไม่เชื่อเนี่ย ผมพิสูจน์ให้พี่ดูก็ได้นะครับ ว่าไอ้ที่ติดอยู่ที่ผมพี่เนี่ย มันคือความรักของผมจริงๆ หรือเปล่า”

                ผมชะงักอย่างช่างใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยืนกอดอกมองหน้าอย่างท้าทาย

                เอาสิครับ จะเล่นอะไรอีก เอาเล้ย เอาให้เต็มที่!

                “ไหน พิสูจน์มาดิ”

                มันมองผมด้วยสีหน้าพอใจสุดๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปที่หลังหูของผมอีกครั้ง ผมมองตามการกระทำนั้นอย่างไม่คิดอะไร จนกระทั่งมันดึงมือกลับมาพร้อมกับกำมือขึ้นมาตรงหน้าของผม

                “นี่ไงครับ ความรักของผม”

                ก่อนที่มันจะขยับมือและปล่อยให้สร้อยเส้นหนึ่งทิ้งตัวลงมาตรงหน้าผม มันเป็นสร้อยตัวอักษรย่อธรรมดานี่แหละครับ แต่มันกลับทำให้ใจของผมเต้นไม่หยุด ผมได้แต่มองหน้ามันสลับกับสร้อยเส้นนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก

                “อะ...อะไร”

                “ของขวัญชิ้นแรกสำหรับพี่ ในฐานะแฟนยังไงล่ะครับ” ก่อนที่มันจะเดินอ้อมไปข้างหลังและสวมสร้อยเส้นนั้นให้ผมอย่างเบามือ

                “ผมไม่รู้ว่าพี่จะชอบมันไหม แต่ผมก็ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อพี่...มันมีแค่เส้นเดียวบนโลก”

                ไอ้โฟโต้เดินกลับมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง มันมองสร้อยเส้นนั้นก่อนที่จะเลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้าผมที่ยิ้มแล้วยิ้มอีก ก็มันอดยิ้มไม่ได้จริงๆ นี่ครับ

                “มึงแย่งแผนเซอร์ไพรส์กูไปหมดแล้ว รู้ตัวไหม” ผมว่าอย่างขำๆ ก่อนจะล้วงกล่องในกระเป๋ากางเกงออกมาและหันไปสบตากับคนตรงหน้า

                “ไหนๆ มึงก็เซอร์ไพรส์กูมาเยอะแล้ว กูให้มึงตรงๆ เลยก็แล้วกันเนอะ”

                ผมยื่นกล่องเล็กให้ไอ้โฟโต้ มันมองผมด้วยความตื่นเต้นก่อนจะรับกล่องนั้นไปถือไว้

                “เปิดดูดิ” ผมบอก

                “อะไรครับเนี่ย พี่กำลังทำให้ผมตื่นเต้นนะ”

                ผมมองมันที่ค่อยๆ เปิดกล่อง ก่อนที่มันจะทำตาโตเมื่อเห็นของในนั้น มันเป็นที่คั่นหนังสือที่ทำจากเหล็กพร้อมกับที่ห้อยเล็กๆ เป็นรูปการ์ตูนผู้ชายสองคนและตัวอักษรย่อของผมกับมัน

                “ตอนแรกกูกะจะให้เป็นของขวัญวันเปิดสายรหัส แต่พอดีกูเพิ่งได้ของ เลยเอามาให้วันนี้แทน”

                ไอ้โฟโต้ยิ้มดีใจได้แค่นิดเดียว มันก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาให้ผมแทน

                “หมายความว่าพี่ก็ให้ที่คั่นหนังสือกับไอ้นัทด้วยสิครับ”

                ผมมองหน้ามันอย่างเหลืออด อะไรๆ ก็น้อยใจไอ้นัทไปเสียหมด มันนี่จริงๆ เลย

                “ใช่...” ผมตอบไปตามความจริง ก่อนที่จะมองหน้ามันแบบเขินๆ “...แต่ที่ห้อยของไอ้นัท มีแค่มันคนเดียวนะ”

                ไอ้โฟโต้เงยหน้าขึ้นมามองผมแทบจะทันที “แสดงว่าพี่เลือกผมตั้งแต่แรก”

                “ที่เป็นอยู่นี่ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือไง”

                “พี่เต้...”

                “อะไรอีก!?” เรียกกูอยู่นั่นแหละเฮ้ย

                “...น่ารักกับผมอีกแล้วนะครับ” มันเว้นจังหวะก่อนจะเดินเข้ามาเบียดผม...ทำบ้าอะไรวะเนี่ย “...ถ้าผมอดใจไม่ไหวแล้วทำอะไรพี่ตรงนี้ พี่จะมาโวยวายทีหลังไม่ได้แล้วนะครับ”

                และมันก็ดันผมจนหลังชิดขอบกำแพง (ไอ้ที่กั้นไม่ให้ผมร่วงลงไปจากดาดฟ้าลั่นและครับ) ผมเผลอมองลงไปข้างล่างอย่างนึกกลัว ก่อนที่จะสะดุ้ง เมื่อไอ้โฟโต้มันทะลึ่งเอามือมาคว้าเอวผมไว้และดึงตัวผมให้เข้าไปชิดกับตัวมัน ทำให้หน้าของเราตอนนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

                มันยิ้ม ขณะที่ผมใจกระตุกวูบ...

                สายตาของมันมองสำรวจใบหน้าของผมตั้งแต่หน้าผากจนกระทั่งริมฝีปากของผม ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบก่อนที่มันจะค่อยๆ จรดริมฝีปากทาบทับลงมาจูบผมอย่างแผ่วเบา มันขยับริมฝีปากไปเรื่อยๆ และร้อนแรงขึ้นราวกับต้องการแสดงให้ผมเห็นถึงความต้องการของมันที่เอ่อล้น ผมเองก็ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเช่นนั้น ก่อนที่ผมจะขยับรับรสจูบจากคนตรงหน้า ทว่า...

                เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นทำให้เราต้องผละออกจากกันด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองไอ้สีฝุ่นที่เป็นตัวการในการสร้างความอับอายให้กับผม พร้อมกับสายตาอีกหลายคู่ที่มองมาทางผมสองคนอย่างล้อเลียน

                พวกแม่งนี่...ขัดจังหวะผมดีแท้ อย่าให้ถึงตาพวกมันบ้างนะ ผมสาบานได้เลยว่าจะเข้าไปขัดจังหวะพวกมันยันบนเตียงเลยเหอะ

                “สวีทกันไม่เกรงใจพวกกูแบบนี้ พรุ่งนี้พวกมึงไปตรวจสุขภาพด้วยนะเว้ย” ไอ้นิวยังคงเป็นตัวตั้งตัวตีในการแซวผมไม่หยุดไม่หย่อน ก่อนจะพ่วงมาด้วยสีฝุ่นที่กลายเป็นน้องรักไอ้นิวมาแต่ไหนแต่ไร

                “ทำไมอ่ะ เฮียนิว”

                “ก็เผื่อเบาหวานจะขึ้นตา มองไม่เห็นอะไร จนนึกว่าพวกมันอยู่บนโลกกันแค่สองคนไง”

                และเสียงโห่แซวก็ดังตามมาอีกเพียบ

                “ผมว่าเราอย่าไปขัดจังหวะเขาสองคนเลยครับ เดี๋ยวขาดความหวานต่อเนื่องพอดี”

                 เป็นครั้งแรกที่ได้ยินน้องกาฟิวด์พูดอะไรทำนองนี้กับเขา แต่มันกลับไปเข้าทางไอ้สีฝุ่นเข้าเสียอย่างนั้น

                “นั่นสิครับ เราอย่าไปขัดจังหวะเขาเลยเนอะ พี่ว่า...เราไปหาจังหวะของเราเองดีกว่า” พูดจบไอ้สีฝุ่นก็หันไปคว้าแขนน้องกาฟิวด์ทันที แถมยังออกแรงลากพาน้องเขาไปโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเจ้าตัวเขาเลยแม้แต่น้อย

                ขณะที่พวกผมได้แต่มองตามพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ก่อนที่ไอ้นิวจะหันหน้ามามองผมและยิ้มกริ่ม

                “ไงมึง จะสวีทกันต่อป่ะ กูจะได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก”

                ดูมันพูดเข้า แถมยังทำหน้าท้าทายผมอีกต่างหาก เดี๋ยวเหอะ ไอ้นี่หนิ...

                “พอได้แล้วไหม” ผมอดหันไปค้อนใส่มันไม่ได้

                “เออๆ ไม่ขัดความสุขมึงก็ได้วะ เอาเป็นว่าอย่าสวีทกันจนตื่นสายนะเว้ย อย่าลืมว่าพรุ่งนี้มีเรียน” พูดเสร็จก็รีบทิ้งเพื่อนอย่างผมไว้กับแฟนหมาดๆ อย่างไอ้โฟโต้ทันที

                ดีครับ คิดจะไปก็ไปกันแบบนี้เลย

                ตอนนี้ เลยกลายเป็นว่า เหลือแค่ผมกับไอ้โฟโต้กันสองคน ไม่สิ ยังเหลือพี่กราฟฟิกอีกคนหนึ่งครับ

                “พี่เตรียมห้องไว้ให้แล้วนะ ไหนๆ ก็เป็นแฟนกันแล้ว นอนด้วยกันคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”

                พี่กราฟฟิกทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินจากไป สงสัยพี่คงยังไม่รู้ว่าน้องชายของพี่มันบังคับผมนอนที่ห้องมันสินะ

                แต่เดี๋ยว...เตรียมห้อง? นอนด้วยกัน?

                “นี่กูต้องนอนที่นี่? กับมึง?”

                แบบที่ไม่บอกกูล่วงหน้าเลยด้วย

                “ใช่ครับ...”

                ยังมีหน้ามายิ้มอีก

                “แต่กูไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะ แล้วอีกอย่างทำไมกูต้องนอนกับมึงด้วย”

                ผมเริ่มโวยวายที่มันทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวผมก่อนเลยสักนิด ไม่ถงไม่ถามสภาพจิตใจของผมเลยสักคำ ก็ตอนนี้ ดูเหมือนผมจะใจอ่อนง่ายๆ กับมันไปเสียหมดนี่ครับ ขืนมัน...เกิดขอ...อะไร...

                ผมจะทนใจร้ายกับมันได้นานแค่ไหนกัน!

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมเตรียมทุกอย่างไว้ให้พี่หมดแล้ว” มันเว้นจังหวะแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “หรือว่าพี่ไม่อยากนอนกับผมเหรอครับ”

                มันมาแล้วครับ ไอ้สายตาแบบนี้...เหมือนจะอ้อน แต่ก็เจ้าเล่ห์

                “ใครจะไปอยากนอนกับมึง”

                “แต่พี่ก็นอนมาแล้วนี่ครับ”

                “นั่นมึงบังคับกูไหมล่ะ”

                “งั้นครั้งนี้ผมก็บังคับพี่”

                “เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่...” จะด่าอะไรไปก็ด่าไม่ลงเสียอย่างนั้น ยิ่งเห็นหน้ามันที่กำลังพยายามออดอ้อนผมด้วยแล้ว ยิ่งพาลให้ผมพูดอะไรไม่ออกเลยครับ

                “ไม่ต้องเขินหรอกน่า” มันว่าก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองผมด้วยแววตาจริงจัง “ผมไม่ทำอะไรพี่หรอกครับ ถ้าพี่ไม่เต็มใจ”

                ผมมองหน้ามันอย่างชั่งใจ จะเชื่อได้ไหมครับ กับคำพูดของไอ้คนเจ้าเล่ห์ที่อยู่ตรงหน้าผม อันที่จริง ผมไม่ไว้ใจตัวเองมากกว่าครับ กลัวว่าจะใจอ่อนยอมตามใจมันง่ายๆ

                “เออ ถ้ามึงไม่ทำตามที่พูด กูถีบมึงแน่”

                คำพูดของผมทำให้ไอ้โฟโต้หัวเราะออกมาอย่างนึกขำก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาจับมือผม

                “ไปกันเถอะครับ”

                และผมก็ได้แต่ปล่อยให้เด็กปีหนึ่งอย่างไอ้โฟโต้ฉุดผมให้ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน มือของมันส่งผ่านความอบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจของผม มันกระชับมือผมแน่นเพื่อพิสูจน์ว่ามันจะไม่มีทางปล่อยมือจากผมไปอย่างแน่นอนและเพราะผมเองก็เชื่อแบบนั้น ผมจึงกระชับมือของตัวเองและก้าวไปข้างหน้าอย่างด้วยความมั่นใจ

                จนกระทั่ง ถึงประตูทางออกของดาดฟ้า โฟโต้หันมามองผมพร้อมกับรอยยิ้มของมัน ก่อนจะหันไปเปิดประตูและพาผมออกไปจากความทรงจำอันสวยงาม ณ สถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าผมจะเจออะไร สายใยแห่งความทรงจำจะนำพาให้ผมผ่านพ้นทุกเรื่องราวไปพร้อมกับคนที่รักผมมากที่สุด

                ผมมีความสุขและอยากจะขอบคุณมันด้วยใจจริง ที่มันตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของผม โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

                นับจากนี้และตลอดไป เพียงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด คือผู้ชายที่ชื่อ... โฟโต้ รหัส 178 

               

 

 

 

 
SS2 Coming Soon

จบแล้ว จบแล้วอ่าาาา
ใจหายเหมือนกันนะ ขอบอกเลย แต่อย่าลืมติดตาม SS2 กันด้วยนะ ตอนนี้ขอพักหายใจหายคอให้ทั่วท้องก่อนนน ฮ่าๆ
ขอบคุ๊นักอ่านที่คอยติดตาม ช่วยอุดหนุนและให้กำลังใจกันมาตั้งแต่ตอนแรกนะคะ เรื่งนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนมาได้ขนาดนี้ (หลังจากที่ผ่านมาคือไม่เคยถึงสิบตอน ฮ่าๆ ) เอาไว้ไปเม้ามอยกันในทวิตเตอร์กันได้น้า และจะกลับมาพร้อมกับเรื่องใหม่ จะเป็นเรื่องอะไร รอติดตามกันได้เลยจ้าาาา
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Fengfang ที่ 09-12-2018 20:40:37
ในที่สุดก็สมหวังนะโฟโต้  :man1: ขอบคุณไรท์ที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านงับ
หัวข้อ: Re: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 10-03-2019 21:26:41
 :jul3: