พิมพ์หน้านี้ - BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: thanatcha ที่ 08-11-2018 21:33:12

หัวข้อ: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 08-11-2018 21:33:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

**********************************************




Boy in luv




นิยายเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากแฟนฟิคของผู้เขียนนะคะ



#คนแมนคินเซ็ท







    เคยรู้สึกเกลียดใครตั้งแต่แรกพบมั้ยครับ

 

ผมนี่แหล่ะคือคนประเภทนั้น ผมหมุนคอไปมากระชับไม้ในมือแน่น ลมหายใจถูกถอนออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ด้านข้างของผมสองคนเป็นเพื่อนฝาแฝด จิน จีน ถัดไปคือไอ้อิ้งค์ ไอ้ย้ง ไอ้ยิม ท้ายสุดคือไอ้วีที่จริงๆพวกผมไม่อยากให้มันมาร่วมวงด้วยเท่าไหร่ เพราะมันตัวเล็กที่สุดในกลุ่มพวกเรานั่นแหละ

 

ตรงหน้าของผมก็มีจำนวนคนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ส่วนมากก็คุ้นๆหน้ากันดีอยู่แล้ว หน้าสุดนั่นที่หน้าตาเจ๊กๆชื่อไอ้คิน ข้างๆมันคือไอ้แดน ไอ้แพท ไอ้แพร ไอ้ว่าน ไอ้ตัวใหญ่ๆนั่นชื่อไอ้เด่นพี่ของไอ้แดน ปิดท้ายด้วยไอ้อ้นที่ตัวเล็กพอกับไอ้วีฝั่งผม

 

                “มึงจะเอาไง”ผมตะโกนถามไอ้คินที่ยืนถือไม้ทีประจันหน้ากับผม มันถ่มน้ำลายลงบนพื้นยกไม้ทีชี้หน้าพวกผม

 

                “กูบอกพวกมึงแล้วว่าอย่าให้กูเจอพวกมึงเสนอหน้าในเมืองไงไม่งั้นกูไม่เอาพวกมึงไว้แน่”

 

                “พ่อมึงซื้อเมืองไว้เหรอหวงแท้ไอ้สัด จังหวัดนี้ใครจะไปไหนก็ได้ต้องขออนุญาตมึงเหรอ”ผมเถียงมันอย่างไม่กลัวเกรง ไม่หลบสายตา มีอย่างที่ไหนมากำหนดพื้นที่ไม่ให้คนนั้นคนนี้ไปที่นั่นที่นี่

 

ผมมีสิทธิ์ที่จะไปที่ไหนก็ได้ในประเทศนี้นี่หว่า แต่ดูท่าทางมันจะไม่ชอบใจคำตอบผมเท่าไหร่ เพราะหน้าที่บึ้งของมันยิ่งบึ้งเข้าไปใหญ่

 

                “กูถือว่าพวกกุเตือนมึงแล้วนะ แต่ในเมื่อมึงเข้ามาให้พวกกูตีถึงที่งั้นกูก็ไม่เกรงใจล่ะ”ทันทีที่ไอ้คินพูดจบ เราทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องรีรอสัญญาณอะไร เราต่างฝ่ายต่างวิ่งปรี่เข้าหาฝ่ายตรงข้ามโดยที่ผมวิ่งเข้าไปปะทะไอ้คินก่อนคนแรก ส่วนใครจะสู้กับใครตอนนี้ผมไม่มีเวลาหันไปมอง ผมหวดไม้ในมือใส่คนตรงหน้าถือว่ามันโชคดีมากที่หลบได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปดแล้วมันก็เหวี่ยงไม้ทีในมือของมันลงเต็มๆกลางหลังของผม

 

เจ็บชิบหายเลยไอ้เหี้ย...

 

ผมกัดฟันข่มความเจ็บก่อนจะหมุดตัวฟาดหมัดใส่ใบหน้าของมัน คราวนี้ไม่มีทางพลาดเป้า มันเซไปตามความแรงของหมัด ผมกระตุกยิ้มใส่มันก่อนจะกระโดดถีบลงไปที่กลางอกของมัน มันถอยหลังหลบทันเท้าของผมจึงแปะโดนมันแค่ถากๆ

 

พวกเราต่างชุลมุนแลกหมัดกัน บางครั้งผมก็พลาดพลั้งโดนทั้งหมัดทั้งตีนมัน บางทีมันก็โดนหมัดโดนตีนผมกลับเช่นกัน ซักพักเสียงนกหวีดก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าปาร์ตี้ครั้งนี้จบลงแล้ว พวกเราต่างแยกย้ายกันไปยังมอเตอร์ไซค์ของตัวเองพลางขับกลับบ้านใครบ้านมัน

 

                “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง เจอกันคราวหน้ากูเอาเลือดหัวมึงออกแน่” ผมไม่วายตะโกนท้าทายมันอีกรอบหลังจากไอ้จินกระโดดขึ้นคร่อมรถของผมเรียบร้อยแล้วพวกเราก็บิดออกจากหลังตลาดที่มีเรื่องกันเมื่อกี๊ ดูสภาพแต่ละคนบอกได้เลยว่าพวกผมก็แซ่บนะครับ #ดูไม่จืด








........................................

ฝากเนื้อฝากตัวและฝากพี่คินไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ :z6:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 08-11-2018 21:48:58

Boy in luv #1



            “ไหนหมาตัวไหนมันบอกวะว่าเรียนจัดสวนไม่ต้องเรียนเลข ไอ้สัด ตั้งแต่เรียนมากูเรียนเลขมากกว่าทั้งชีวิตที่เคยเรียนมาอีกไอ้เหี้ยเอ๊ย”เสียงไอ้จีนโวยวายเมื่อเรากำลังนั่งทำโจทย์วิชาสถิติที่อาจารย์ธงชัยสั่งให้ทำด้วยชีทหนาเตอะ ไอ้วีส่งยิ้มแห้งๆให้ไปเพราะประโยคนั้นแหล่ะที่มันเป็นคนพูดเอง

 

ไม่รู้มันไปเอาความคิดผิดๆนั่นมาจากไหน

 

                “กูแม่งแดกขนมดอกจอกของห้องอุตจนปวดกรามไปหมดแล้ว”ไอ้อิ้งค์บ่นพลางทำท่าขยับกรามไปด้วย

 

เออ อันนี้ผมเห็นด้วยกับมัน ก็อาจารย์บอกให้ห้องอุตสาหกรรมอาหารจดสถิติด้วยการให้แบ่งกลุ่มทำขนมด้วยสูตรสามสูตรแล้วดูว่าคนกินชอบแบบไหนมากที่สุด เท่ากับขนมดอกจอกก็ต้องทำสามสูตร แล้วมันดันมีสูตรหนึ่งที่แข็งมาก แข็งชนิดที่ว่าอาจทำให้ฟันคนแตกได้

 

                “มึงทำเป็นบ่น วันก่อนพวกไอ้สร้างเอาถั่วเคลือบมาให้กูแดก ไอ้สัด นึกว่าแดกก้อนหิน แข็งจนกูแทบจะเอาไปทำหนังสติ๊กยิงนก”ผมหันไปบ่นกับไอ้อิงค์ ถ้าไม่ติดว่าพวกห้องอุตทำสถิติผมก็จะคิดว่าพวกมันวางแผนฆาตกรรมผมอยู่ ขนมแต่ละอย่างที่ทำมาให้กินสามารถฆ่าคุณได้

 

ในที่สุดชั่วโมงสถิติที่แสนน่าเบื่อหน่ายก็จบลง พวกเรารีบเก็บข้าวของก่อนจะตะโกนถามกันว่ามื้อกลางวันจะกินอะไรดี

 

                “ออกไปแดกเตี๋ยวร้านพี่รินกันดีกว่า เบื่อกับข้าวร้านป้าเพ็ญ คนเยอะเหี้ยๆขี้เกียจรอ”เป็นไอ้จีนอีกนั่นแหล่ะที่เสนอ ซึ่งพวกผมก็เห็นจริงตามมันว่า โรงอาหารของวิทยาลัยเราไม่ได้กว้างมากมีร้านขายข้าวแค่ 3 ร้าน ส่วนมากเป็นเด็ก ปวส.1-2 ที่อยู่หอนอกเท่านั้นที่กิน เพราะ ปวช.1-3 และ ปวส.บางคนที่อยู่หอในจะไปกินข้าวที่โรงอาหารเด็กหอที่แยกไปอยู่อีกที่ใกล้แปลงผักอาจารย์นวล พวกผมเคยไปมั่วนิ่มกินข้าวที่นั่นพักหนึ่งแล้วก็ลงความเห็นว่าซื้อกินเองดีกว่า

 

ถ้าไอ้พวกหอในไม่ใช่เต่าก็คงเป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่าย เพราะในหนึ่งอาทิตย์เมนูหอในจะมีแกงเทโพที่อุดมไปด้วยผักบุ้งซะ 4-5 วัน เลยทีเดียว แต่อย่างว่าแหละ เพราะมันเป็นข้าวฟรีที่กินแล้วไม่เสียเงินทั้งสามมื้อและเด็กส่วนมากที่เรียนที่นี่ก็เป็นเด็กที่ฐานะค่อนข้างยากจน การมีข้าวให้กินฟรีก็ดีกว่าต้องเสียเงินมื้อละ 30-40 บาท

 

ผมรอไอ้จินส่งชีทเสร็จก็ขับรถพามันนำไปร้านพี่รินที่อยู่ห่างจากวิทยาลัยไปราวๆครึ่งกิโล

 

          “เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อสดน้ำตกพิเศษ 2 บะหมี่แห้งเพิ่มลูกชิ้นพิเศษ 1 เล็กน้ำใสไม่ใส่ผัก 1 เล็กชิ้นสดน้ำตกใส่ถั่วงอกดิบ 1 ของผมเอาเส้นใหญ่โฟพิเศษ”จัดการสั่งเมนูให้ไอ้พวกนั้นตามเมนูไม่นานก๋วยเตี๋ยวยังไม่ทันเสิร์ฟไอ้จีนที่มีไอ้วีซ้อนท้าย ไอ้อิงค์ที่พ่วงไอ้ย้งมาด้วย ส่วนไอ้ยิมฉายเดี่ยวก็ตามมาสมทบก๋วยเตี๋ยวสารพัดเมนูที่พวกเราสั่งก็มาเสิร์ฟและแน่นอนพวกเราไม่เคยจบที่ชามเดียว แต่ละคนเบิ้ล  2-3 ชาม ตลอด บางครั้งก็ต้องใช้ตะเกียบตีมือไอ้วีที่ชอบทำตัวเป็นจอมโจรขโมยลูกชิ้น มันคีบของคนนู้นทีคนนี้ทีไปจนชามมันเต็มไปด้วยลูกชิ้น

 

                “อย่าแดกเยอะนะมึงคาบบ่ายของอาจารย์สุทธิทั้งบ่ายเดี๋ยวแม่งก็ง่วงอีก”ไอ้จินเอ่ยทักเมื่อผมกำลังจะอ้าปากสั่งก๋วยเตี๋ยวชามที่ 4

 

                “เออ แม่ง ถ้าไม่ใช่อาจารย์กูจะนึกว่าเป็นพระมหาปลอมตัวมาสอนได้ง่วงมาก”ไอ้ย้งเอ่ยนินทาอาจารย์ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับมัน อาจารย์สุทธิเป็นผู้ชายตัวเล็กๆท่าทางใจดี เวลาสอนอาจารย์จะใช้น้ำเสียงนุ่มๆสอนแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ เทอมที่แล้วผมมีประเด็นกับอาจารย์เพราะความนุ่มทุ้มของน้ำเสียงและคาบเรียนของอาจารย์มักจะลากยาว 3 ชั่วโมงของตอนบ่าย ชอปที่เราเรียนวิชาช่างสำรวจนั้นติดภูเขาและมีลมเย็นพัดเอื่อยๆตลอดทั้งวัน

 

บรรยากาศดี น้ำเสียงอาจารย์ดี ลมพัดเย็นดี

 

ใช่ครับ ดีทุกอย่าง

 

ใช่ครับ

 

กูหลับ...

 

หลับแม่งทุกคาบจนเรียนไม่รู้เรื่อง ค่าอลิเวคูณอะไรบวกอะไรแม่งไม่เข้าสมองผมเลยซักนิด พอถึงเวลาสอบผมไม่เข้าใจเลยครับ ค่าสูงต่างอะไรบวกอะไรคูณอะไรได้อะไรผมไม่เข้าใจเลยซักนิด สรุปวิชานั้นผมส่งกระดาษเปล่าพร้อมกับวาดรูปหน้ายิ้มให้อาจารย์ไป

 

เช้าของอีกวันผมก็โดนอาจารย์เรียกครับ

 

                “เศรษฐพงศ์ คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”อาจารย์ตั้งคำถามที่ทำให้ผมงงแดกทันที่ที่ตูดของผมหย่อนลงบนเก้าอี้ตรงข้ามอาจารย์

 

                “ครับ?”ผมส่งคำถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ

 

                “คุณไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า? ผมทำอะไรให้คุณโกรธเคืองมั้ย?”

 

                “ไม่นี่ครับ อาจารย์ไม่ได้ทำอะไรผมเลย”

 

                “แล้วทำไมคุณไม่ยอมทำข้อสอบของผมเลยซักข้อ”อาจารย์เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและสายตาที่แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจนผมต้องเกาจมูกแก้เก้อ

 

                “อาจารย์ไม่ได้ทำอะไรให้ผมไม่พอใจหรอกครับ ผมโง่เอง ผมแค่ไม่เข้าใจโจทย์ ผมทำไม่ได้”

 

                “ผมออกข้อสอบยากไปเหรอ?” อาจารย์ยังไม่ลดละที่จะตั้งคำถามกับผม

 

                “ไม่ใช่ครับ ข้อสอบอาจารย์ไม่ยาก เพื่อนๆบางคนก็ทำได้ แต่ผมหลับในห้องเรียนตลอดเลยตามไม่ทันเองครับ”

 

                “ถ้างั้นผมจะให้โอกาสคุณแก้ตัว ไปติวมาครึ่งวันนี้แล้วบ่ายคุณมาสอบกับผมใหม่” นั่นแหละฮะ อาจารย์สุทธิผู้แสนจะใจดีของพวกเรา เพราะการให้โอกาสของอาจารย์ในครั้งนั้นทำให้ครึ่งวันเช้าพวกหัวกะทิของห้องเช่นคู่รักคนแคระอย่างไอ้ปัดกับเนยมาติวเข้มให้ผม

 

พอไม่หลับและได้รับการติวขั้นสูงมันก็ทำให้ผมรู้ว่าการคำนวณพื้นที่ไม่ได้ยากเลยถ้าผมไม่หลับถ้าผมตั้งใจเรียนผมก็ทำได้ และวิชานั้นผมก็ได้เกรด 3.5 มาครองอย่างไม่ยากเย็น

 

                “งั้นเดี๋ยวแวะร้านค้าซื้อบ๊วยไปกินด้วยดีกว่ากูว่าหลับชัวร์”ไอ้จีนเสนอแนะซึ่งเราก็เห็นด้วย หลังจากจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวพวกเราก็ขับรถกลับมาทางวิทยาลัยแวะร้านค้ากระดกกาแฟกระป๋องกันคนละกระป๋อง เอ็มร้อยห้าสิบอีกคนละขวดแล้วดึงบ๊วยสารพัดชนิดกำๆแล้วไปจ่ายตังค์

 

                “จินแดกติมป่าว”ไอ้จีนที่เดินไปเปิดตู้ไอติมหันไปถามน้องแฝดของมัน ไอ้จินพยักหน้ารับไอติมรสสตอเบอรี่ก็ถูกโยนมาให้ซึ่งมันก็รับได้เหมาะเหม็ง

 

ไอ้แฝดคู่นี้มันเป็นคู่บ้าพลังครับไอ้จีนแฝดพี่นั่นหน้าหวานใครไม่รู้คิดว่ามันเป็นตุ๊ดเคยมีคนแกล้งมาแซวมันสมัยเรียนมัธยมแซวไม่พอขยำตูดมันด้วยผลสรุปรุ่นพี่คนนั้นคิ้วแตกเย็บไปสามเข็มแถมโดนไอ้จินแฝดน้องที่ผิวเข้มกว่ากระทืบยอดอกไปอีก 1 ที โทษฐานมาลวนลามพี่แฝดของมัน

 

แต่ถึงไอ้จินจะบ้าพลังแต่มันยังมีมุมมุมิของมันอยู่มันชอบกินนมสตอเบอร์รี่ ไอ้ติมสตอเบอร์รี่ เค้กสตอร์บอร์รี่ ทุกอย่างที่เป็นสตอร์เบอร์รี่นั่นแหล่ะ ส่วนไอ้จีนจะชอบพวกรสกาแฟนิสัยก็จะห่ามกว่าไอ้จินเยอะ ไอ้จีนนะมันสายไฝว้ส่วนไอ้จินเป็นกองกำลังเสริม ไอ้จีนเป็นคนใจร้อนแต่ไอ้จินมันเป็นคนใจเย็น ที่ตลกก็คือไอ้จีนขับมอร์ไซค์เป็นแต่ไอ้จินขับไม่เป็นและมันก็ไม่ค่อยยอมพ่วงน้องแฝดของมันผมเลยต้องเป็นคนขับรถให้ไอ้จินแทนตลอดมันให้เหตุผลว่าถ้าเกิดไปเจอโจทย์ไล่ตีหรือถ้ามันไปรถล้มตายที่ไหนน้องแฝดมันจะได้ไม่ต้องมาเจ็บมาตายพร้อมมันด้วย  ส่วนไอ้จินปั่นจักรยานเป็นแต่เสือกขับมอร์ไซค์ไม่เป็น แต่ไอ้จีนดันปั่นจักรยานไม่เป็นซะอย่างนั้นเคยถามมันว่าทำไมไม่หัด

 

                “กูเคยหัดเว้ย แล้วปู่กูกลับมาพอดีเรียกกูเสียงดังกูตกใจเลยบิดเข้าดงกระถิน หลังจากวันนั้นกูเลยไม่หัดอีกเลย”ไอ้จินมันให้เหตุผล

 

                “แล้วมึงล่ะไอ้จีนทำไมปั่นจักรยานไม่เป็น”

 

                “กูเคยหัดแล้วไอ้สัด ตอน ป.2 กูเอาจักรยานย่ามาหัดขึ้นถนนแล้วด้วย แต่อีขวัญวัวบ้านตาเบิ้มหลุดมาจากไหนไม่รู้อีเหี้ย วิ่งไล่กวดกูกูปั่นหนีแล้วไปแหกโค้งเข้าดงมะขามเทศ หนามตำกุทั้งตัวเลย อีวัวเหี้ยนึกถึงแล้วยังแค้น”ไอ้จีนเล่าอย่างมีอารมณ์ ผม ไอ้อิ้งค์ ไอ้วี ไอ้ย้ง ไอ้ยิม ต่างระเบิดเสียงหัวเราะใส่มันกันเต็มที่

 

เรามานั่งที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นมะขามรอเวลาเข้าเรียนเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆจับกลุ่มคุยกัน บางคนก็นั่งลอกงานวิชาของอาจารย์ท่านอื่นไปด้วยส่วนพวกผมทำเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเลยไม่ต้องเร่งรีบอะไร

 

                “เซ็ท งาน อกท.เธอจะลงแข่งจัดสวนหย่อมมั้ย?” เนยรองหัวหน้าห้องที่เป็นคนช่วยติวให้ผมเดินมาถาม งาน อกท.คืองานที่เด็กเกษตรจะแข่งขันทักษะวิชาชีพต่างๆกับต่างสถาบัน เราจัดกันเป็น 3 ระดับ คือระดับหน่วย แข่งกันเองในวิทยาลัย ระดับภาค คือเอาคนชนะระดับหน่วยไปแข่งกับวิทยาลัยอื่นในระดับภาค และถ้าติด 1 ใน 3 ของระดับภาค ก็จะได้ไปแข่งระดับชาติ ตอนนี้อาจารย์เริ่มหาตัวแทนระดับหน่วยเพื่อคัดไประดับชาติกันแล้ว

 

                “พวกมึงใครจะลงสวนหย่อมกับกูมั่ง”ผมหันไปถามพวกเพื่อนๆ

 

                “กูกับไอ้ย้งลง”ไอ้อิ้งค์เอ่ยตอบรับ ผมเลยหันไปพยักหน้าให้กับเนย

 

                “เออ ตามนี้เลยเนย”

 

                แล้วคนอื่นๆละมีใครจะลงอะไรมั้ย?”

 

                “เราลงจัดดอกไม้สด”ไอ้วีตอบรับคำถามของเนย แน่ล่ะว่ามันต้องลงทักษะนี้และคงไม่มีใครกล้าแย่งเพราะบ้านมันเปิดร้านจัดดอกไม้ ทักษะแน่นจนแทบไม่ต้องติว

 

                “เรา จีน จิน ลงทักษะช่างสำรวจ”ยิมเอ่ยตอบเนยที่จดชื่อเพื่อนๆทีละคน

 

                “โอเคกลุ่มช่างครบล่ะ พวกเธอก็ซ้อมๆกันบ้างนะถึงจะแข่งในวิทยาลัยก็อย่าให้เสียชื่อกวาดรางวัลมาให้หมดล่ะ”

 

                “แล้วเนยลงอะไรอ่ะ?”จีนเอ่ยถามด้วยสายตาระยิบระยับ มันชอบเนยพวกผมรู้ดี เนยเป็นผู้หญิงพูดจาน่ารักนิสัยดีอ่อนหวานเรียนเก่งและสนิทกับเพื่อนทุกคน

 

                “เนยลงประกวดธิดา อกท. กับแข่งสวนขวดน่ะ อย่าลืมไปเชียร์นะ”

 

                “โหยจะไปได้ยังไง แข่งพร้อมกันหมด แต่เนยชนะอยู่แล้วแหล่ะ แต่ประกวดธิดานี่เชียร์รอฟังเสียงเชียร์ได้เลย”

 

                “ขอบใจ เราไปถามเพื่อนคนอื่นๆต่อนะ เหลือสวนถาดกับสวนตู้กระจกบอลน่าจะลงสวนตู้กระจกส่วนปัดน่าจะสวนถาด เออเข้าห้องได้แล้วออกดังแล้ว”เยแยกไปหาพวกไอ้บอลกับไอ้ปัด พวกผมมองนาฬิกาก็พากันย้ายตูดเข้ามานั่งในชอป และทันทีที่อาจารย์เริ่มสอน หนังตาของพวกผมก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ...









 

 

                                “เซ็ทศุกร์นี้กลับบ้านได้มั้ยลูก”ผมเดินเลี่ยงออกมาจากวงเหล้าที่เราเปิดกันในหอไอ้ยิมสวมอีแตะช้างดาวที่น่าจะเป็นของไอ้จีนเดินแยกออกมาคุยด้านนอก

 

                “แม่อยากให้เซ็ทมาทำความรู้จักกับครอบครัวทางนี้บ้างเซ็ทจะเลี่ยงตลอดไปไม่ได้ลูกก็รู้”ผมขมวดคิ้วจนมันแทบจะผูกกันเป็นโบว์

 

                “ผมรู้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับครอบครัวคนอื่น แม่คิดว่าถ้าผมไปแล้วเจอกับไอ้เหี้ยคินผมกับมันจะไม่ตีกันตาย”

 

                “ไม่เรียกพี่เค้าอย่างนั้นสิลูก ก็แค่มากินข้าว”แม่ยังคงขอร้องผมอยู่ ผมจุดบุหรี่ขึ้นสูบอัดควันฉุนๆเข้าปอดก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักให้สมกับความหนักใจที่อัดแน่นอยู่ภายใน

 

                “ก็ได้แม่วันศุกร์เซ็ทจะกลับบ้าน”ผมคุยกับแม่อีกไม่กี่คำก็วางสาย ลมเย็นๆพัดมาให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างนั่งปล่อยใจคิดถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมา

 

ผมกับไอ้คินตีกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ครึ่งปีหรือมากกว่านั้น เราเริ่มเขม่นกันตั้งแต่ที่พ่อของมันกับแม่ของผมพาเราไปกินข้าวที่แพอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว แม้บรรยากาศจะดี อาหารจะอร่อยแต่ตอนนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจรวมทั้งความเกลียดชังที่ส่งผ่านจากแววตาภายใต้ขอบตาคล้ำๆของมัน

 

ผมเองก็ตกใจที่อยู่ๆก็ถูกแม่พาไปรู้จักแฟนใหม่ลุงคณิตเป็นเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในตัวเมืองผู้ชายตัวสูงผิวขาวดูก็รู้ว่ามีเชื้อสายจีนเป็นคนใจดี ผมไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนในละครทีวีน้ำเน่าที่จะต้องกีดกันความรักของแม่ ถึงแม้ผมจะอายุ 18 แต่ผมก็เข้าใจว่าไม่มีอะไรจะคงอยู่ตลอดไป ความรักที่แม่มีต่อพ่อก็เช่นกัน

 

เพราะพ่อผมเสียไปนานแล้ว ตั้งแต่ผมเรียนอนุบาล ยังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ไม่เคยลืมแม้จะจะพยายามลบมันออกจากใจแต่กลับจำได้ตลอดเวลา

 

ผมเป็นคนทำให้พ่อตายเอง เพราะคืนนั้นผมเป็นคนรบเร้าให้พ่อพาไปซื้อขนมที่เซเว่น เราสองคนพ่อลูกขับรถกะบะออกจากบ้านไปแม้ว่าแม่จะห้ามเพราะเห็นว่ามันเกือบจะห้าทุ่มแล้วแต่พ่อก็ยังเลือกที่จะตามใจผม ผมจำไม่ได้หรอกว่าวันนั้นซื้อขนมอะไรมาบ้างแต่ระหว่างทางที่ขับกลับผมทำของเล่นหล่นไปใต้เท้าพ่อ พ่อเลยก้มจะเก็บให้ จังหวะที่เงยหน้าขึ้นมา รถของเราก็ประสานงากับสิบล้อที่เร่งเครื่องตัดหน้ารถของผม โลกของผมกับพ่อสั่นสะเทือน พ่อกดตัวผมลงกับพื้นรถแล้วทุกอย่างมันก็ดับไป

 

ดับไปพร้อมกับที่พ่อไม่ตื่นตลอดกาล ผมฟื้นในรถนั่นแหละได้ยินเสียงคนพูดกันมากมายแต่จับเป็นคำไม่ได้ ผมแหงนหน้ามองพ่อพ่อถูกอัดก็อปปี้กับพวงมาลัย ทั้งจมูกและปากของพ่อมีเลือดไหลออกมา  จำได้แค่ว่าผมพยายามร้องเรียกพ่อ เพราะเสียงของผมที่ดังออกมาคนด้านนอกถึงรู้ว่าผมยังคงมีชีวิต การช่วยเหลือผมถูกทำอย่างเร่งด่วนได้ยินเสียงใครบางคนบอกว่าให้เอาเด็กออกมาก่อน ผมถูกช่วยออกมาพร้อมๆกับที่พวกเค้าดึงร่างของพ่อผมออกไปได้

 

                “ไม่หายใจ”ตอนนั้นผมไม่เข้าใจคำนี้มากนักผมนอนมองพ่อถูกกู้ภัยปั๊มหัวใจก่อนที่จะสลบไปอีกครั้ง

 

กว่าจะเข้าใจว่าพ่อตายแล้วก็ตอนที่พ่อไม่กลับมาหาผมอีกเลย  พ่อของผมทิ้งสมบัติไว้ให้เป็นที่ดินแปลงหนึ่งแถวหนองหญ้าปลูกไม้ประดับเต็มพื้นที่กับร้านขายต้นไม้ในเมืองพ่อของผมรับออกแบบจัดสวนกับขายต้นไม้ แม่พยายามประคับประคองกิจการของพ่อเสมอมาแต่เพราะไม่มีความรู้อะไรสุดท้ายก็เหลือแค่ขายต้นไม้อย่างเดียวไม่ได้รับออกแบบจัดสวนอีก ผมจึงตั้งใจที่จะฟื้นฟูกิจการของพ่อกลับมาอีกครั้ง ผมถึงเลือกเรียนที่นี่ เป็นวิทยาลัยที่อยู่ทางบ้านเดิมของพ่อแม้จะไม่โด่งดังแต่เป็นที่เดียวที่เปิดคณะเทคโนโลยีภูมิทัศน์ เมื่อก่อนผมก็ขับรถไปกลับระหว่างบ้านกับวิทยาลัยทุกวัน แต่หลังจากวันนั้นที่เราไปกินข้าวกับครอบครัวลุงคณิตระหว่างที่ผมขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำไอ้คินก็เดินตามมา

 

           “คิดว่าจะมาเกาะพ่อกูกินก็ฝันเอานะ”ผมหันไปมองไอ้คนที่มันตัวสูงกว่าผมนิดหน่อยอย่างไม่เข้าใจคำพูดนั้น

 

           “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ จนๆแบบนี้หาผัวรวยแบบพ่อกูนี่จะพูดว่าไม่หวังอะไรสินะ เหอะ”มันแค่นยิ้มทำเสียงขึ้นจมูก ส่วนผมน่ะเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว มันดูถูกแม่ของผม ผมกระชากคอเสื้อของมันตอนที่มันยังไม่ทันตั้งตัว

 

         “อย่ามาพูดพล่อยๆอย่ามาดูถูกแม่กู พ่อมึงจะรวยวิเศษวิโสมาจากไหนกูไม่รู้ แต่แม่กูไม่เคยคิดเกาะใครกิน”มันยิ้มเหยียดให้กับคำพูดของผมก่อนจะกระชากมือผมออก

 

           “กูจะคอยดู”มันหันหลังกลับไปปั้นหน้าบูดๆที่โต๊ะตามเดิม และวินาทีนั้นคำว่าเป็นมิตรระหว่างผมกับมันก็ถูกพับเก็บเตะลงโถส้วมทันที

 

อีกสองเดือนต่อมาแม่กับลุงคณิตก็แต่งงานกันแม้ญาติๆบางคนของลุงจะไม่ชอบแม่หาว่าแม่ของผมจะเข้าไปเกาะลุงกินผมก็อดทนแม่เอาแต่ยิ้มรับกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต เราย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านของลุงคณิตหลังจากงานแต่งแม่ ทั้งๆที่ผมบอกว่าผมอยู่บ้านเดิมได้แต่ลุงกลับให้เหตุผลว่าผมคือลูกชายคนหนึ่งของลุงแล้วยังไงก็อยากให้อยู่ด้วยกันบวกกับสายตาขอร้องของแม่ทำให้ผมจำใจต้องแบกกระเป๋าเข้าบ้านอคาเดมี่ไปแบบเอเอฟ

 

บ้านของลุงเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่มาก ใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าทั้งหลังจะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูก เข้ามาในห้องรับแขกที่ดูจะหรูหราสุดเพราะเป็นห้องขนาดใหญ่ทีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

 

                “เวลาแขกไปใครมามันเป็นหน้าเป็นตา”ลุงแกให้เหตุผลอย่างนั้น การอยู่ในบ้านหลังนั้นไม่ได้อึดอัดอะไรมาก ลุงเป็นคนดี ใจดี นิสัยดี น่าเสียดายที่ไอ้คินไม่เคยรับส่วนดีๆของพ่อมันเข้ามาในตัวบ้างเลย เพราะมันทำทุกอย่างที่จะยั่วโมโหผม ทั้งคำพูดและการกระทำ ซวยสุดๆคงเป็นเพราะห้องนอนผมกับมันอยู่ติดกัน บางคืนนอนๆอยู่ก็จะได้ยินเสียงอะไรซักอย่างกระทบกำแพง  ครับ ไอ้สันดานคินมันแกล้งโยนลูกบาสใส่กำแพงห้องให้ผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน

 

บางวันไปเรียนกลับมาพอเปิดประตูห้องมา หนังสือหนังหาเสื้อผ้าของผมเละกระจายเกลื่อนห้องด้วยฝีมือมัน ไอ้เหี้ยคินเอากุญแจสำรองมาไขเพื่อแกล้งผมโดยเฉพาะ หนักสุดคงเป็นตอนผมขับรถเข้าบ้านมันก็ขับรถยนต์ของมันพุ่งชนผมจนเฟรมรถผมแตก ตัวผมขาเจ็บไปหลายวัน พอแม่กับลุงถามมันก็บอกว่าอุบัติเหตุมันไม่เห็นว่าผมกำลังจะเข้าบ้าน

 

แต่สิ่งที่ทำให้ผมกับมันแตกหักก็คือวันที่ผมกับพวกเพื่อนๆไปเดินเล่นที่ห้างแล้วเดินสวนกับกลุ่มมัน แม้ผมกับมันจะเมินใส่กันราวกับไม่รู้จักแต่ไอ้วีดันเดินไปชนไอ้เด่น น้ำเป๊บซี่รีฟิวที่กดมาจากเคเอฟซีราดใส่เต็มเสื้อชอปของไอ้เด่น ไอ้วีที่ทำหน้าเหรอหราคงกำลังอึ้งกลับโดนไอ้เด่นผลักซะจนกระเด็น

 

เพื่อนผมตัวเล็กนิดเดียว เล็กกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก ส่วนไอ้เหี้ยนั่นตัวยังกับตอหม้อสะพานข้ามแม่น้ำแควเล่นผลักซะเต็มแรงจนไอ้วีล้มตูดจ้ำเบ้าไปกับพื้น ไอ้จีนไม่รอช้าเปิดงานก่อนใครเพื่อนด้วยการกระโดดถีบไอ้เด่นที่บังอาจมาทำเพื่อนรักมัน นั่นแหละครับเพื่อนช่วยเพื่อนพอมีคนเปิดก็ต้องมีคนร่วม พวกผมปะทะกับพวกมันกลางห้างแล้วไอ้คินที่คงรอโอกาสมานานก็ปรี่เข้ามาต่อยผม

 

นั่นคือการตีกันครั้งแรกของพวกผมกับพวกมัน

 

หลังจากนั้นเจอกันเมื่อไหร่อย่างเบาหน่อยก็คือด่ากันไปด่ากันมา ปลอดคนหน่อยก็ตีกันเลือดตกยางออกมานับครั้งไม่ถ้วน หนักสุดที่ผมตีกับไอ้คินคือผมพลั้งมือฟาดมันแขนเดาะไปสองเดือนต้องเข้าเฝือก กลับถึงบ้านก็เจอกับการกลั่นแกล้งสารพัดจนในที่สุดผมก็ลากกระเป๋าออกจากบ้านเอเอฟมาเช้าหอแถววิทยาลัยอยู่กับไอ้พวกนี้แทนโดยให้เหตุผลกับแม่และลุงว่า

 

                “ที่นี่ไกลกว่าบ้านหลังเก่าผมต้องไปเรียนทุกเช้าอยู่หอสะดวกกว่า”

 

 

                “ไอ้เซ็ทคุยกับแม่มึงเสร็จแล้วทำไมไม่เข้าไปแดกเหล้าต่อวะเดี๋ยวไอ้จีนก็แดกหมด”ไอ้ย้งที่คงเห็นว่าผมหายไปนานออกมาตาม ผมชูบุหรี่ที่คีบไว้ให้มันดูมันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ

 

                “ขอกูมวน”ผมยื่นซองบุหรี่ให้มัน มันรับไปเคาะให้ก้นบุหรี่โผล่ขึ้นมาแล้วคาบไว้ในปากไฟแชคราคาถูกสว่างวาบแล้วถูกจ่อลงบนปลายมวน

 

                “ศุกร์นี้เลิกเรียนกูต้องกลับบ้านนะ”

 

                “มึงก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน กูว่ามันแกล้งมึงอีกแน่ๆ”

 

                “กูไม่ยอมให้มันแกล้งกูฝ่ายเดียวหรอก”

 

                “ไม่ไหวมึงก็โทรมาแล้วกันพวกกูบิดรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก”

 

                “มึงจะบ้าเหรอจะไปตีมันที่บ้านพ่อมันเลยเหรอ”ผมแกล้งหยอกไอ้ย้ง

 

                “ส้นตีนสิพ่อมันจะได้แจ้งตำรวจไปลากกูเข้าคุกสิ”มันผลักหัวผมเบาๆ

 

                “แล้วแม่งพ่อมันกับป๊ากูเสือกเป็นเพื่อนกันอีก เวลาเจอกันตามงานเลี้ยงกูต้องแกล้งปั้นหน้ายิ้มให้ไอ้เหี้ยคินโคตรตลก”นั่นแหล่ะครับ ความอีรุงตุงนังของพวกเรา พ่อคนนั้นเป็นเพื่อนพ่อคนนี้อย่างเช่นพ่อไอ้คินกับพ่อไอ้ย้ง แม่คนนั้นรู้จักกับแม่คนนี้ ไอ้ย้งอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนจะปาก้นกรองลงพื้นใช้เท้าเขี่ยแล้วชวนผมกลับเข้าไปในหอ

 


วันศุกร์และวันหยุดที่จะถึงนี้จะเป็นยังไงก็ช่างแม่งตอนนี้ขอตัวไปแดกเหล้าก่อนนะครับ



..........................................



อกท.ย่อมาจากองค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

(Future Farmers of Thailand) คือองค์การวิชาชีพเกษตร เป็นองค์การของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาเกษตร ผู้ซึ่งจะเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ของประเทศไทย องค์การนี้นำรูปแบบมาจากองค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (FFA.) อกท. เป็นองค์การที่ดำเนินภายในและระหว่างวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมงที่จัดตั้งกระจายอยู่ทั่วประเทศแทบทุกจังหวัด
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 09-11-2018 19:55:07



#BOY IN LUV

#คนแมนคินเซ็ท

  เศรษฐพงศ์ :: Say

 

 

บ่ายสามผมเลิกเรียนคาบสุดท้าย จัดการตามงานที่อาจารย์สั่งจากไอ้ปัดแฟนเนยเสร็จก็เก็บแบบใส่กระบอก สะพายทั้งกระบอกใส่แปลนและกระเป๋าเป้ฝากไว้ให้ไอ้จินสะพายกลับหอผมไม่จำเป็นต้องเอากลับไปบ้านด้วยกะว่ากินข้าวเสร็จถ้าไม่ดึกเกินไปก็จะขับรถกลับหอเลย โบกมือลาไอ้พวกเพื่อนๆที่อวยพรให้ผมโชคดีแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายในบ้าน

 

ใช่ครับ วันนี้วันศุกร์ วันที่แม่นัดผมกลับไปกินข้าว เมื่อตอนเที่ยงแม่โทรมาย้ำอีกรอบ ผมจำใจรับคำอย่างแกนๆ อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทำให้ผมต้องรีบบิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจกลับมาที่บ้าน ใช้เวลาเดินทางราว 20 นาที โชคไม่ดีตรงที่ว่าระหว่างขึ้นเขาปูนฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาห่าใหญ่รถของผมก็เข้ามาจอดในโรงรถข้างบ้าน บ้านเงียบสงบล็อคกุญแจไว้เป็นสัญญาณที่ดีว่าในตอนนี้ไม่มีใครอยู่รวมทั้งไอ้เหี้ยคินด้วย ผมไขกุญแจเดินเข้าไปในตัวบ้าน ความเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านบ่งบอกว่าแม่บ้านที่ลุงจ้างเป็นรายวันให้เข้ามาทำความสะอาดทุก 2-3 วัน มาทำหน้าที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ผมเปิดประตูห้องนอนของผมไม่ลืมที่จะกดล็อคตามวามเคยชินโต๊ะดราฟยังคงเป็นระเบียบ อุปกรณ์การเรียนรวมทั้งเสื้อผ้าของผมยังอยู่ดีแสดงว่าไอ้คินคงไม่ได้เข้ามาวุ่นวายก่อกวนอะไรอีกนับตั้งแต่ผมออกจากบ้านไปแม้จะกลับมาบ้างเป็

นครั้งคราวเวลาที่ลุงหรือแม่นัดกินข้าว ผมถอดเสื้อผ้าเปียกใส่ตะกร้าแล้วเข้าไปอาบน้ำตอนนี้ยังไม่สี่โมงเย็นกว่าแม่จะโทรมาตามก็คงจะเย็นๆเกือบค่ำเพราะกว่าจะปิดร้านก็หลังหกโมงผมยังมีเวลาอีกราวๆ 2 ชั่วโมงดังนั้นพออาบน้ำเสร็จผมก็จัดแจงใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด ปิดม่านให้มืดแม้บรรยากาศภายนอกจะมืดครึ้มเพราะสายฝนที่กระหน่ำลงมาแบบมืดฟ้ามัวดินแล้วก็ตามเถอะ เปิดแอร์ปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนหลังจากที่แทบไม่ได้นอนมาสองวันเพราะรายงานวิชาการออกแบบดูดพลังไปมากโข ตั้งนาฬิกาปลุกในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า ปิดเปลือกตาที่แสนเหนื่อยล้าลงไม่นานผมก็เข้าสู่นิทราแสนสุข

 

                อึดอัด...

 

ไม่สบายตัว...

 

ความรู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออกนี้คืออะไร ผมกำลังฝันหรือว่าผีอำ ผมพยายามจะขยับตัวแต่ร่างกายกลับขยับไม่ได้ ความหนักอึ้งที่ทับตัวผมอยู่ทำให้ผมต้องเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ผมยังนอนไม่เต็มอิ่ม ในห้องมืดสนิทเพราะผมปิดไฟก่อนนอน มีเพียงแสงวาบๆจากฟ้าแลบด้านนอกเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าอันคุ้นเคย

 

ใบหน้าที่เรียบตึงอยู่ตลอดเวลาที่พบเจอ ริมฝีปากของมันเหยียดยิ้มใส่ผม

 

“ไอ้เหี้ยคิน!!!”ผมเรียกชื่อมันด้วยเสียงอันดัง พยายามจะหยัดกายลุกขึ้นแต่ไอ้สัดนี่แม่งมันนั่งคร่อมทับอกผมอยู่เข่าสองข้างของมันทับแขนของผมจนขยับไม่ได้ เสียงมันหัวเราะ หึหึ อย่างสะใจยามที่ผมไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

 

                “มึงเข้ามาห้องกูทำไมไอ้สัด ลุกออกไปจากตัวกูเดี๋ยวนี้ไอ้เหี้ย”ผมตะโกนด่าใส่มันที่ไม่ยอมขยับไปไหน

 

                “มึงมันไอ้หมาลอบกัด ไม่กล้าสู้กันซึ่งๆหน้าเหรอถึงมาทำกูตอนหลับเนี่ยไอ้หน้าด้าน”ผมพยายามขยับตัวเพื่อให้ไอ้คินหล่นลงไปจากตัวของผมเสียที แต่เหมือนยิ่งดิ้นมันยิ่งกดแรงมามากขึ้นกว่าเดิม แขนผมชาเพราะเลือดไม่เดินแสดงว่ามันทับผมมาซักพักแล้วแน่ๆ ในเมื่อดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดสิ่งเดียวที่เป็นอาวุธของผมได้ในตอนนี้ก็คือขาทั้งสองข้างผมรวบรวมแรงตวัดขาขึ้นมาคล้องคอมัน มันผงะด้วยความตกใจผมใช้แรงขาทั้งหมดที่มีโน้มตัวมันจนมันหงายหลัง แน่นอนคนอย่างเศรษฐพงศ์ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือผมรีบลุกขึ้นคร่อมใช้ฝ่ามือบีบลงไปบนคอมันทันที และเช่นเดียวกันคนอย่างไอ้คินมันคงไม่ยอมพลาดท่าผมง่ายๆมันสวนหมัดใส่ผมโชคดีที่ผมไหวตัวทันใช้มืออีกข้างรับหมัดของมัน ไอ้คินจึงเปลี่ยนจากต่อยเป็นคว้าหมับเข้าที่คอของผมแทน แถมไอ้เหี้ยบีบผมแรงราวกับตั้งใจทำให้ตายทั้งๆที่ผมแค่บีบมันไม่ถึงครึ่งของแรงที่มี มันอาศัยจังหวะที่ผมปล่อยมือจากคอมันเพื่อแกะมือที่แข็งราวคีมเหล็กเหวี่ยงผมลงจากเตียงแถมยังกระโจนลงมาเงื้อเท้าขึ้นสูงหวังจะกระทืบยอกอกของผม แน่นอนผมคงไม่นอนโง่ให้มันกระทืบเล่นผมกลิ้งตัวหลบได้ทันก่อนตีนของมันจะประทับลงมา  โชคดีอีกอย่างคือในนี้มันห้องของผมในขณะที่มันอาศัยแสงเลือนลางเพื่อเข้ามาทำร้ายผมผมก็ถลาไปที่โต๊ะดราฟก่อนจะหยิบกล่องใส่ไม้สเกลมาถือไว้แล้วฟาดใส่มันทันที มันยกแขนขึ้นมาบังไว้ในขณะที่ผมก็ฟาดไม่ยั้ง มันเดินตามไล่ตีผมไปรอบห้อง ถ้าเปิดไฟผมคงเห็นสภาพห้องที่เรียกได้ว่าพังพินาศแน่ๆ เพราะไม่ว่าอะไรที่อยู่ใกล้มือกลายมาเป็นอาวุธให้ผมกับมันใช้ฟาดฟันกันได้เสมอ แต่อาวุธคู่มือของผมยังคงเป็นไม้สเกลคู่ชีพพอมันตั้งหลักได้ก็กระชากไม้สเกลออกจากมือผมแล้วสวนหมัดเข้าเต็มๆแก้มผมทันที กลิ่นคาวปนกลิ่นสนิมอบอวลในกระพุ้งแก้ม ผมถุยน้ำลายปนเลือดใส่หน้ามันก่อนที่มันจะกระโจนใส่ผมอีกครั้งเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหนังสือข้างเตียงขึ้นดูก่อนจะยกมือห้ามมันที่เดินตามมาจะเอาเรื่องผม

 

                “พ่อมึงโทรมา”นั่นแหล่ะสงครามระหว่างผมกับมันเป็นอันยุติพร้อมรอยฟกช้ำตามร่างกายพอหอมปากหอมคอ

 

                “ครับลุง”และเมื่อผมกรอกเสียงตอบกลับปลายสายไอ้คินก็เดินปึงปังออกจากห้องผมไปในทันที

 

เจ็บชิบหายเลย...ปากกูเนี่ยไอ้สัด

 

               

 

                เพราะฝนที่ตกหนักตกแบบไม่ลืมหูลืมตาทำให้ลุงคณิตโทรมาบอกให้ผมออกไปร้านอาหารพร้อมไอ้คินทำให้ตอนนี้เราทั้งคู่ต้องมายืนประจันหน้ากันอีกครั้งหลังจากแยกกันไป ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วโดยการหยิบเสื้อสีชมพูอ่อนที่แม่ซื้อให้มาใส่กับกางเกงยีนส์เข่าขาดตัวเก่ง ส่วนไอ้คินน่ะเหรอ จัดเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งกางเกงยีนส์ยี่ห้อดัง เสื้อเชิ้ตลายทางสีฟ้าขาว ผมถูกเซตมาอย่างดี

 

                “ไปแดกข้าวแค่นี้มึงต้องแต่งตัวเต็มขนาดนี้เลยเหรอ สะเหล่อ”ผมอดที่จะพูดจาค่อนขอดมันไม่ได้ มันปลายตามองผมพร้อมเบะปากใส่ด้วยท่าทางและสายตาเหยียดๆของมัน

 

                “ใครจะไปเหมือนมึงล่ะชุดนอนชุดเที่ยวชุดเดียวกัน แต่งตัวเหมือนขอทาน”น้ำเสียงต่ำๆของมันน่ะเวลาด่าผมที่ไรเหมือนเพิ่มกิมมิคความเหยียดไปอีก 100 เท่า

 

                “พรุ่งนี้กูคงต้องเอารถไปล้างซักสองรอบ”มันพูดลอยๆหลังจากผมเข้ามานั่งในรถมันแล้ว ไอ้คินมองกระจกหลังไปถอยรถไปผมก็เบะปากใส่มันไป พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นไอ้แดงลูกรักมีบางอย่างผิดปกติไป

 

รถของผม...กระจกขวาหัก...

 

ไอ้สัดคิน  แค้นนี้ชำระ 10 ปี ก็ยังไม่สาย

 

ผมเก็บความคั่งแค้นไว้ในใจ ไม่มีหมาตัวไหนทำหรอกครับ มันนี่แหล่ะ ไอ้เรื่องทำลายข้าวของ((ของกู))เนี่ย ถนัดนักไอ้เหี้ย

 

 

คณิน:: say

 

ผมเหลือบมองใบหน้าที่ฉาบด้วยผิวสีน้ำผึ้งของไอ้เซ็ทที่ตอนนี้คงโกรธจนหน้าดำหน้าแดงเมื่อเห็นอีแดงลูกรักของมันกระจกหลุดไปข้าง มือของมันจิกกับหน้าขาแน่นแสดงว่ามันกำลังระงับสติอารมณ์อยู่ ผมไม่ได้ทำอะไรมากเลยนะ แค่เอาแป๊บเหล็กฟาดกระจกรถมันไปเบาๆเพื่อทดสอบคุณภาพ หูขวาของอีแดงลูกรักมันก็กระเด็นหลุดในทีเดียว   มันไม่พูดไม่ด่าอะไรออกมาซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะผมเองก็ไม่อยากตีกับมันบนรถหรอก เดี๋ยวพลาดพลั้งลูกรักของผมเป็นรอยขึ้นมาคงไม่ดีแน่  อันที่จริงผมไม่ได้คาดคิดหรอกว่าจะเจอมันที่บ้าน ผมแค่จะแวะมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พอเห็นอีแดงลูกรักของมันจอดที่โรงรถกะแค่ว่าจะแวะไปกวนตีนมันเล่นนิดๆหน่อยๆพอให้เป็นสีสันของชีวิต แต่พอเข้าบ้านไปบ้านกลับเงียบกริบ ห้องของมันไร้เสียงเพลงผิดปกติเวลาที่มันกลับบ้าน มันจะชอบเปิดเพลงแม้จะไม่ดังมากแต่ก็ได้ยินออกมาแผ่วๆด้านนอก ลองหมุนลูกบิดแต่ก็เปิดไม่ได้

 

มันหลับ...ผมไม่รอช้ายอมเสียเวลาเดินลงไปหยิบกุญแจสำรองข้างล่างแล้วไขเข้าไปในห้องของมัน โชคดีที่แสงสว่างยังพอมีให้เห็น

 

ไม่เคยมีใครสอนมันเหรอว่าห้ามนอนช่วงโพล้เพล้ ช่วงผีตากผ้าอ้อม ไม่งั้นผีจะอำ

 

ผมก้าวขึ้นเตียงของมันมองร่างเหยียดยาวที่หลับสนิทดูไร้พิษภัยของมันอย่างช่างใจว่าจะแกล้งมันยังไงดี ตอนมันหลับก็ดูไม่กวนตีนดี จริงๆมันเป็นคนค่อนข้างนิ่งเลยด้วยซ้ำ ถ้ารู้จักกันก่อนหน้านี้ก่อนที่แม่ของมันจะมาจับพ่อของผมทำผัวผมกับมันอาจเป็นเพื่อนกันก็ได้

 

ผมเกลียดมันสองแม่ลูก บ้านที่เคยมีแค่พ่อกับผม บ้านที่เงียบสงบกลับต้องมีใครไม่รู้มาอาศัยอยู่ด้วย

 

คนหนึ่งนอนทับที่แม่ของผม  เมื่อก่อนพ่อกับแม่ของผมรักกันมาก รักจนผมคิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งพ่อจะมีคนอื่นมาแทนที่แม่ของผม

 

แม่จากไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง ผมกับพ่อเศร้าและเสียใจมาก ปกติเวลาที่พ่อไปทำงานกลับดึกผมก็มีแค่แม่เท่านั้นที่คอยดูแล พอแม่จากไปพ่อเสียศูนย์ไปพักใหญ่ส่วนผมเองก็เคว้งคว้าง เด็กอายุ 14 ที่เพิ่งข้ามผ่านวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นอย่างผมเคว้งคว้าง บรรดาญาติๆทั้งทางพ่อทางแม่แย่งกันเลี้ยงดูผม เพราะว่าสมบัติส่วนตัวของแม่นั้นก็มีเยอะ ตระกูลของแม่เป็นเศรษฐีที่ดิน มีที่ดินรวมๆกันหลายร้อยไร่กระจายตามจังหวัดต่างๆ  ญาติทางพ่อก็บอกว่าสิทธิ์เลี้ยงดูผมต้องเป็นของพ่อ และแน่นอนผมเลือกที่จะอยู่กับพ่อ เพราะอย่างน้อยพ่อคงไม่คิดจะฮุบสมบัติที่แม่ยกให้ผมแน่นอน

 

เราอยู่กันมาได้อย่างสุขสงบจนกระทั่งพ่อเดินมาบอกกับผมว่าพ่อจะแต่งงานใหม่กับแม่หม้ายขายต้นไม้จนๆคนหนึ่ง

 

ผมลงทุนขับรถไปแอบดู หน้าตาก็กลางๆไม่ได้ขี้เหร่แต่ก็ไม่ได้สวยเหมือนแม่ของผม ร้านขายต้นไม้เล็กๆนั่นก็ไม่ขายดิบขายดีอะไร หน้าร้านเปิดเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง

 

ไม่มีอะไรเทียบเคียงแม่ของผมได้เลย มีเพียงใบหน้าฉาบรอยยิ้มแทบจะตลอดเวลานั่นแหล่ะ

 

มาแต่ตัวจริงๆพ่วงลูกติดตัวเท่าควายมาด้วย 1 คน

 

ผมช่างใจอยู่พักหนึ่งตอนแรกกะจะทุบท้องมันให้มันจุกแต่ไม่เอาดีกว่าผมยังไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงอย่างนั้นผมแค่อยากแกล้งให้มันกลัวเฉยๆ คิดได้ดังนั้นผมเลยก้าวขาคร่อมร่างมันก่อนจะนั่งทับตัวด้านบนของมันใช้เข่ากดแขนทั้งสองข้างของมันไว้

 

มันยังคงหลับไม่ขยับเขยื้อนทำให้ผมรู้เกี่ยวกับมันอีกข้อว่าไอ้เซ็ทเป็นคนหลับลึกมาก แต่ผมก็เป็นคนมีความอดทนพอ ผ่านไปราว 15-20 นาที นั่นแหล่ะมันถึงเริ่มขยับตัว ฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้วมีเพียงแสงจากฟ้าแลบที่สาดเข้ามาให้ได้มองเห็น มันขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ มือสองข้างของมันพยายามยกแต่ก็ยกไม่ขึ้นทันทีที่มันลืมตาขึ้นสบตากับผม ผมก็ส่งเสียงหัวเราะเย็นๆใส่มัน แล้วก็นั่นแหล่ะ เราตีกันทั้งๆที่ผมกะจะแค่ไปยั่วประสาทมันเล่น

 

ผมเป็นคนไม่ออมแรงหมัดสุดท้ายจึงฟาดปากมันไปเต็มๆ ตอนนี้มันอาจจะยังไม่มีรอยอะไรเพียงแค่แดงๆ นั่นก็ถือเป็นข้อดีเพราะพ่อผมกับแม่มันจะได้ไม่สงสัย

 

ในที่สุดผมก็ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของร้านอาหารพนักงานรีบวิ่งมากางร่มให้ผมกับมัน เราเดินเร็วๆเข้าไปด้านในด้ยินเสียงมันเอ่ยขอบคุณพนักงานที่กางร่มให้

 

เฮ๊อะ ทำเป็นมารยาทดี นั่นมันหน้าที่คนพวกนั้นป่าววะ ทำไมต้องขอบคุณ ผมไม่สนใจจะรอมันก้าวยาวๆเข้าไปในร้านกวาดสายตามองหาพ่อของผมแล้วก็พบว่าพ่อนั่งอยู่โต๊ะด้านในสุดติดหน้าต่างที่เป็นฝ้าขาวด้วยความเย็นของเม็ดฝนด้านนอก ผมพยักหน้ารับเมื่อพ่อยกมือให้ผม

 

                “มาช้าจังคิน”พ่อเอ่ยทักหลังจากผมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามพ่อและแม่ของไอ้เซ็ท ผมตอบไปแค่ว่าถนนลื่นไม่อยากขับเร็ว  น้าลดาหยิบจานกับข้อนส้อมของผมไปจัดการใช้ทิชชู่เช็ดแล้วส่งคืนกลับมา สายตาของเขาก็มองไปทางเข้าที่ไอ้เซ็ทเดินตามทิ้งห่างผมมา รอยยิ้มหวานส่งให้ลูกชายของเธอเหมือนที่เธอส่งยิ้มให้ผมแต่ผมทำเมินไปนั่นแหล่ะ

 

ไอ้เซ็ทยกมือไหว้พ่อผมกับแม่มันแล้วนั่งลงเก้าอี้ข้างผม เช่นเดียวกับที่ทำให้ผมแม่ของมันหยิบจานกับช้อนของมันไปเช็ดแล้วส่งคืนมาให้

 

      มื้ออาหารมื้อนั้นผ่านไปแบบไม่ยากเย็นอะไร พ่อถามผมกับมันเกี่ยวกับเรื่องเรียนของผมตอนนี้แค่ทำโปรเจ็คเตรียมจบเพราะฝึกงานไปเมื่อเทอมที่แล้ว ส่วนไอ้เซ็ทมันกำลังจะลงแข่งจัดสวนงานอะไรซักอย่างซึ่งผมไม่รู้จัก มันบอกว่าถ้าผ่านระดับภาคที่ต้องไปแข่งที่ราชบุรีแล้วก็จะได้ไปแข่งระดับชาติที่ลพบุรีต่อ  ผมเผลอหันไปมองหน้ามันด้วยสายตาดูถูกเต็มที่อย่างไม่ปิดบัง

 

หน้าอย่างมันคงตกรอบตั้งแต่ระดับภาคแล้วแหล่ะ

 

“ไปเมื่อไหร่บอกลุงนะ เบี้ยเลี้ยงไม่น่าจะพอกิน”ผมหันไปมองหน้าพ่อที่พูดแบบนั้น

 

ทำไม เบี้ยเลี้ยงมันไม่พอแล้วพ่อจะทำไม จะให้เงินมันไปเหรอ ผมไม่ได้ถามออกไปหรอกแต่พ่อน่าจะรู้สายตาที่ผมส่งไปให้

 

“พอครับลุง เค้าก็ให้เยอะอยู่นะครับ 3 วัน 500 เงินส่วนตัวก็พอมีไม่อดตายแน่ๆ”มันพูดพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะนั่งดู นอนดู ตะแคงดู ก็มองว่าเสแสร้ง

 

ดี...อย่าให้เดือดร้อนเงินพ่อกู

 

“เซ็ทเดี๋ยวกลับพร้อมคินไปเลยนะ ลุงกับแม่จะแวะไปเอาของที่ร้านก่อนแล้วจะกลับดึกๆ”

 

“ผมไปรอก็ได้ครับ”มันยื่นข้อเสนอเมื่อมันขอกลับพร้อมพ่อผม พ่อส่ายหน้าพลางโบกมือไล่

 

“ไปกับคินก่อนเลย ลุงแวะนานเดี่ยวเซ็ทจะเบื่อ พูดจบพ่อก็ออกรถไปเลยทิ้งให้มันยืนเอ๋ออยู่คนเดียว ผมไม่รอให้มันคิดอะไรผมเดินมาที่รถพลางสตาร์ทรถ กะจะทิ้งแม่งให้กลับเองแต่ไอ้เวรนี่ก็ไวทายาดวิ่งมาขึ้นรถได้ทัน

 

“อย่าหวังว่ามึงจะทิ้งกูได้”มันหันมายักคิ้วให้ผมทีหนึ่งแล้วนั่งหันหน้ามองข้างทางตลอดจนถึงบ้าน พอรถจอดสนิทมันก็ลงจากรถแถมปิดประตูรถดังปังใหญ่

 

“ไอ้เหี้ยนี่”ผมสบถออกมาอย่างหงุดหงิด ครั้งสุดท้ายที่ไอ้แดนนั่งรถผมแล้วปิดเสียงดังมันแดกตีนผมไปทีหนึ่ง

 

ผมน่ะหวงรถยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดซะอีก  ผมเดินเข้าบ้านและตรงขึ้นห้องนอนเลย คืนนี้พอแค่นี้แล้วกัน แขนที่โดนมันตีเริ่มเจ็บหน่อยๆล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีว่าจะแกล้งอะไรมันดี

 

ผมตื่นขึ้นมาตอนใกล้จะ 11 โมง เพราะท้องร้อง ห้องสว่างด้วยแสงแดดที่ส่องมาตามหน้าต่าง จัดการทำธุระส่วนตัวแล้วลงมาข้างล่าง แม่บ้านที่พ่อจ้างมาพอเห็นผมก็ถามว่าจะกินข้าวเลยมั้ย ผมพยักหน้าพลางเดินแคะขี้ตาออกไปที่โรงรถจะไปเอาสายชาร์ตที่ลืมไว้ในรถแล้วผมก็ตื่นเต็มตาทันทีเมื่อสภาพกระจกรถ BMW  แสนรักของผมมันห้อยร่องแร่งราวกับจะขาดใจ

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท!!!”

 

 


 



......................



เค้าหยอกกันน่ารักดีนะคะ 555555555555



ตีกันๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 10-11-2018 13:21:33
Boy in luv 3
#คนแมนคินเซ็ท



เศรษฐพงศ์::
 

 

กว่าผมจะเอารถออกจากอู่ก็เกือบบ่าย ผมรีบขับกลับไปที่หอเพื่อรอไอ้ยิมที่กลับไปเอากะบะที่บ้านมาขนต้นไม้ที่พวกเราปลูกไว้ ทุกบ่ายวันเสาร์พวกผมจะเอาไม้กระถางเล็กๆไปวางขายที่ถนนคนเดินตรงหน้าเมือง เพราะเป็นไม้กระจุ๊กกระจิ๊กบวกกับที่ในกลุ่มก็มีตัวเรียกแขกอยู่เลยทำให้พ่อขายได้ไม่ขี้เหร่อะไร ผมกับไอ้วีจัดกระบองเพชรต้นจิ๋วลงในถาดแพ็คอย่างดีก่อนจะไปนับพวกไม้ใบที่มีชื่อมงคลทั้งหลายแหล่ ส่วนไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งกำลังนั่งแพ็คพวกปุ๋ยใส่ซองพลาสติกหลากขนาดหลายราคา  ไอ้จีนกับไอ้จินเตรียมพวกดินปลูกกับกรวดเล็กๆรวมทั้งกระถางแพ็คใส่ตะกร้าอย่างดี ได้ยินเสียงมันเถียงกันเป็นระยะๆ

 

บ่ายโมงครึ่งไอ้ยิมก็ขับรถกะบะของพ่อมันเข้ามาจอดหน้าหอพวกผมช่วยกันขนของขึ้นรถกว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง เรายกขโยงกันกระโดดขึ้นรถ ผมเลือกที่จะนั่งด้านหลังรวมกับพวกไอ้อิ้งค์สองแฝดจีนจินไอ้ย้งแล้วให้ไอ้วีไปนั่งหน้า  บอกตามตรงผมไม่ค่อยชอบนั่งรถกะบะเท่าไหร่ตั้งแต่รอดจากอุบัติเหตุคราวนั้นเลี่ยงได้ก็ขอนั่งท้ายนี่แหล่ะสบายใจดี พวกเราใช้เวลาเดินทางราว 15 นาทีก็ถึงล็อคที่ขายของ จัดการเอาตระกร้าและไม้กระดานที่เตรียมมาเรียงต่อกันทำเป็นชั้นวางต้นไม้โดยเอากระบองเพชรและแคคตัสเรียงด้านหน้าเรียกลูกค้า

 

สาวๆสมัยนี้ชอบซื้อไปปลูกเพราะความน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มของมัน ถัดขึ้นมาเป็นพวกไม้ใบไม้มงคลที่พวกคนมีอายุชอบซื้อไปปลูกหวังให้ต้นไม้ช่วยเรียกโชคเรียกลาภตามความเชื่อโบราณคร่ำครึ  ผมมองฟ้าแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้

 

            “จะรอดมั้ยวะมึง”ไอ้จีนที่เหมือนจะกังวลเช่นเดียวกับผมมายืนเท้าสะเอวมองฟ้า

 

            “รอดดิ่วะ ไม่ตกหรอก”ไอ้อิ้งค์ตบไหล่พวกผมก่อนจะเดินหายไปทางโซนของกินด้านหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 3

 

            “มึงวันนี้กูอยู่ไม่ดึกนะเดี๋ยวหกโมงแม่จะมารับ”ไอ้วีที่จัดร้านเสร็จเรียบร้อยเอ่ยปากบอกพวกผมที่นั่งซัดข้าวก่องกันอยู่ริมรั้วโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด สองแฝดยกมือรวมทั้งไอ้ย้งกับไอ้อิ้งค์ด้วย เท่ากับเหลือผมคนเดียวที่จะกลับไปนอนที่หอ

 

            “อ่าว เหลือไอ้เซ็ทคนเดียวเลยทีนี้ ทำไงอ่ะ พ่อกูจะใช้รถตอนสี่ทุ่มด้วย”ไอ้ยิมทำหน้าลำบากใจเมื่อมันต้องเอารถกลับไปคืนพ่อที่จะออกต่างจังหวัดกะทันหันคืนนี้

 

            “เฮ้ยไม่เป็นไรมึงกลับบ้านเลยเดี๋ยวก็เรียกวินไปส่ง”

 

            “ใครจะไปให้มึงทางไปหอเราพอมืดแล้วเปลี่ยนวินไม่ค่อยไปหรอก”

 

          “มึงกลับไปนอนบ้านอีกซักคืนไม่ดีเหรอวะพรุ่งนี้เดี๋ยวกูแวะไปรับกลับหอตอนเย็นๆ”ไอ้ยิมมันหันมาพูดกับผมสีหน้าและแววตามันบอกชัดเลยว่าห่วงผมมาก เพราะทางกลับหอของผมน่ะต้องข้ามไปฝั่งหนองหญ้า ระหว่างทางเป็นป่าและถนนที่ตัดกลางขึ้นภูเขาทั้งมืดและเปลี่ยวการขับรถกลับคนเดียวสำหรับผู้ชายอาจจะไม่น่ากลัวเพราะเป็นตำบลที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 12 ก.ม. แต่ถ้ากลับคนเดียวในตอนดึกก็น่ากลัวอยู่มาก

 

แต่ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าทางเปลี่ยวก็คือการต้องกลับไปนอนบ้านในคืนนี้  ป่านนี้ไอ้เหี้ยคินคงวางแผน 108 วิธี ฆ่าผมอยู่แน่ๆ

 

ถึงผมจะแข็งแรงแต่การต้องสู้รบปรบมือกับไอ้คินที่แรงควายขนาดนั้นมันก็เหนื่อยอยู่มากโขแถมเจ็บตัวอีกต่างหาก แต่ครั้นจะให้เพื่อนขับรถไปส่งทั้งๆที่พ่อมันจะรีบใช้รถก็ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายผมจำต้องพยักหน้าให้พวกมันสบายใจไป เดี๋ยวไอ้คินค่อยว่ากันทีหลัง เคราะห์หามยามดีมันอาจจะไม่กลับบ้าน ผมโทรหาแม่นัดให้แม่มารับตอนสามทุ่มครึ่งแม่บ่นมาเล็กน้อยที่ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดไม่ยอมบอกก่อนจะวางสายไป

 

คืนนี้ต้นไม้ก็ยังคงขายดีเช่นไอ้อิ้งค์เป็นคนคอยเรียกลูกค้าซึ่งส่วนมากจะเป็นสาวๆ แม้ว่าหูตามันจะแพรวพราวและมีลูกล่อลูกชนแต่มันก็ไม่เคยใช้คำที่ส่อไปในเชิงชู้สาว อิ้งค์เป็นคนฉลาดเวลาจะเลือกใช้คำพูดกับใคร ไอ้วีเป็นคนคอยเก็บเงินและทำบัญชีส่วนสองแฝดแยกกลับไปตอนที่พ่อกับแม่มันแวะมารับพร้อมหิ้วขนมหอบใหญ่มาให้เรากินเล่นไปด้วย พอสามทุ่มเราก็ช่วยกันเก็บแพ็คต้นมืที่เหลือใส่กล่องใส่ถาดตามเดิมเพราะเดี๋ยวไอ้ยิมต้องขับกลับบ้านมันตามที่นัดกับพ่อมันไว้

 

            “ยิมให้กูไปช่วยขนลงป่าววะ”ผมถามมันเมื่อเราขนต้นไม้ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว

 

            “เฮ๊ยไม่ต้องเดี๋ยวกูให้ลูกจ้างช่วยยกลง”มันโบกมือปฎิเสธนั่นแหล่ะเราถึงแยกย้ายกันโดยที่ไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งติดรถมันไปด้วยเพราะเป็นทางผ่านบ้านของพวกมัน ส่วนวีแม่มารับกลับไปแล้ว ผมเดินไปดูพวกขนมและอาหารตามร้านต่างๆเพื่อรอแม่มารับ พอสามทุ่มครึ่งแม่ก็โทรมาหาพอดีผมถึงได้แบกถุงของกินที่หิ้วจนข้อเขียวขึ้นรถไป

 

            “ซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะเซ็ท”ลุงคณิตเอ่ยถามเมื่อเห็นถุงพะรุงพะรังที่ผมวางไว้ข้างตัว

 

            “พวกของกินเล่นน่ะครับซื้อมาฝากลุงกับแม่ด้วย”

 

            “แล้วไม่ได้ซื้อมาฝากพี่คินด้วยเหรอลูกเห็นพี่เค้าถามหาเมื่อเที่ยง”แม่หันมาถามผมด้วยสีหน้าตำหนิ ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความฝืดเฝือเต็มที

 

ไอ้คินถามหาผมคงไม่ได้ถามหาด้วยความพิศวาสเป็นแน่มันคงกะจะเล่นงานที่ผมไปตีกระจกรถมันแตกนั่นแหล่ะ

 

ก็มึงทำรถกูก่อนป่าววะ

 

แรงมาแรงกลับไม่โกง

 

            “โธ่แม่ก็ซื้อมากินด้วยกันทั้งบ้านแหล่ะ”ผมตัดบทกับคำถามของแม่ อันที่จริงผมไม่ได้นึกถึงมันเลยซักนิดแต่จะให้บอกว่าผมไม่มีวันเสียเงินซื้อของกินไปฝากคนอย่างมันให้เสียมือก็สงสารลุงคณิตเค้า

 

ทำไมลุงต้องเป็นคนดีสวนทางกับสันดานลูกชายด้วยครับ ผมอยากจะด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนก็ไม่ได้อีกเพราะผมเชื่อว่าลุงสอนมันมาดีแล้วแต่คนสมองหมาปัญญาควายอย่างมันน่ะไม่จดไม่จำหลักธรรมคำสอนความดีที่ลุงมีคงไม่เจาะกะโหลกหนาๆของมันแน่ๆ

 

หลังจากที่เรากลับถึงบ้านผมหอบถุงของกินที่ซื้อมาลงจากรถ รู้สึกอากาศมันสดชื่นบริสุทธิ์ก็ตอนที่ไม่เห็นรถของไอ้คินจอดอยู่ในโรงรถเนี่ยล่ะ มันคงไปนอนหอเพื่อนหรือไม่ก็กลับเกือบเช้าตามปกติเพราะมันต้องทำโปรเจคจบ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องดี ผมเดินเข้าบ้านอย่างสบายอารมณ์ถามลุงกับแม่ว่าจะกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่แวะซื้อมาเพิ่มอีกมั้ย ลุงขอแค่น้ำเต้าหู้ส่วนปาท่องโก๋หนักท้องไปจึงไม่เอา แม่เองก็กินแค่น้ำเต้าหู้เหมือนกัน ผมเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้วมาเสิร์ฟให้ลุงกับแม่ที่นั่งรออยู่แล้วจัดการเทน้ำเต้าหู้หวานกลางๆใส่สาคูใส่ชาม ยกถุงปาท่องโก๋มาวางเพราะใส่จานไปก็เปื้อนเปล่าๆยังไงเดี๋ยวมันก็หมดอยู่ดี ผมจัดแจงฉีกปาท่องโก๋แช่ลงไปในน้ำเต้าหู้เพราะผมชอบกินเวลาตัวแป้งของปาท่องโก๋อมน้ำเวลากัดมันจะมันๆหวานๆฉ่ำๆโคตรจะฟิน

 

            “กินอะไรกันน่ะ ขอผมกินด้วยสิ” อยู่ๆก็มีเสียงทุ้มๆดังอยู่ด้านหลังพร้อมกับร่างของไอ้คินที่ผมคิดว่ามันไม่อยู่บ้านกำลังยืนจับพนักเก้าอี้ของผมอยู่ มันโน้มหน้าเข้ามามองในชามของผมก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบปาท่องโก๋ตรงหน้าของผมขึ้นมากิน

 

            “กินน้ำเต้าหู้น่ะ ถ้าจะกินก็ไปเทมา นั่นของเซ็ทเค้าแกจะไปแย่งน้องทำไม”ลุงคณิตบุ้ยปากเข้าไปในครัวที่ยังคงมีน้ำเต้าหู้อีกถุงวางไว้

 

รู้งี้แกะแดกซะให้หมดก็ดี

 

            “เทให้หน่อย”อ่ะไอ้สัดนี่ อยู่ๆก็จับไหล่ผมแล้วบีบเป็นเชิงบังคับว่าผมควรจะทำตามที่มันสั่ง

 

            “เทเองดิ่”ผมไม่สนใจคำขอของมันตักน้ำเต้าหู้เข้าปากอย่างไม่ใยดี รีบๆกินรีบๆชิ่งขึ้นห้องดีกว่า

 

            “เอ๊ะเซ็ทนี่ ก็ไปทำให้พี่เค้าหน่อย ยังไงก็ตั้งใจซื้อมาฝากอยู่แล้วนี่นา”ผมอยากจะถอนหายใจให้ดังไปยั้นดาวอังคารเมื่อแม่กลับไปเข้าข้างไอ้คินซะดื้อๆอย่างนั้น เพราะเกรงใจลุงผมเลยจำใจต้องลุกขึ้นยืนแต่ก็ยังไปไหนไม่ได้เมื่อไอ้ควายคินมันไม่ยอมขยับ

 

            “หลบดิ่จะแด่ะ....เอ่อ จะกินมั้ย จะไปเทให้” นั่นแหล่ะมันถึงยอมปล่อยมือจากพนักเก้าอี้แล้วถอยไปยืนข้างๆแทน     



          “จะใส่แก้วหรือใส่ชาม”ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้ห้วนเพราะอย่างน้อยก็ยังเกรงใจลุง เรื่องความขัดแย้งบาดหมางควรจะรู้แค่ผมกับมันสองคน

 

            “กินแบบมึง”มันตอบกลับมาเรียบๆ เพราะหันหลังให้ลุงกับแม่อยู่ผมจึงถลึงตากัดฟันพูดกับมัน

 

            “รอแป๊บนะเดี๋ยวไปเทมาให้((แดก))”มันไม่ได้ตอบกลับอะไรมาอีกทำเพียงเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างๆของผมแล้วนั่งลง

 

            “เออ พ่อไม่เห็นรถของเราไปไหนซะล่ะ?” เสียงลุงคณิตถามหารถของมันทำเอาตัวผมชาวูบ กระจกบานนั้นกี่ตังค์นะ

 

            “เด็กเหี้ยที่ไหนไม่รู้มันขับรถชนกระจกหลุดเลยเอาเข้าอู่อ่ะ รออะหลั่ย”

 

อ่อ เด็กเหี้ยคนนั้นคือนายานา นายานา กูเองครับ

 

          “แล้วจับตัวได้หรือเปล่า”

 

            “จับไม่ได้หรอกป๊า แต่ถ้าจับได้ต้องตีให้แขนหัก”









หลังจากจัดการกับน้ำเต้าหู้ที่ไอ้คินมันกวนตีนผมด้วยการแย่งปาท่องโก๋ไป 7 ตัวในจำนวน 10 ตัว ที่ผมซื้อมาเสร็จหน้าที่การเก็บล้างก็ยังคงเป็นของผม ไอ้คินเหมือนมันพอใจที่ได้หลอกด่าผม ได้แย่งปาท่องโก๋ของผม ตบท้ายด้วยข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ผมตั้งใจจะเอาขึ้นไปกินบนห้องอีก มึงจะทำตัวเป็นศัตรูกับกูได้ทุกเรื่องแบบนี้จริงๆใช่มั้ยแดกทุกอย่างของกูเกินครึ่งทั้งนั้นเลย

 

ผมเก็บแก้วกับชามของทั้งผมและมันไปล้างเอาผ้ามาเช็ดโต๊ะตรวจตราจนเรียบร้อยแล้วก็ปิดไฟเตรียมขึ้นนอนได้ยินเสียงทีวีลอดออกมาจากในห้องมันน่าจะกำลังดูถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกของต่างประเทศอยู่ ปกติผมก็ดูนะเวลาอยู่หอกับเพื่อนๆแต่ไม่ได้ติดอะไร ในห้องของผมไม่มีทีวีเพราะผมถือว่าห้องนอนเอาไว้นอนถ้ามีรายการอะไรที่อยากดูจริงๆผมจะดูจากข้างล่างให้จบแล้วค่อยกลับขึ้นมานอนสภาพห้องของผมยังคงอยู่แบบเมื่อวาน ข้าวของที่โดนขว้างปาเป็นอาวุธกระจัดกระจายเกลื่อน ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะค่อยๆจัดห้องใหม่ ของอะไรที่พังจนใช้ไม่ได้ก็รวบรวมใส่ถุงเตรียมแอบเอาไปทิ้งพรุ่งนี้ หนังสือที่ถูกเขวี้ยงบางเล่มปกหลุดบางหน้าขาดผมก็เอาเทปใสมาแปะให้มันยังใช้งานใช้การได้ตามเดิม ผมไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยที่อะไรพังนิดหน่อยก็จะทิ้งแล้วซื้อใหม่ไม่เหมือนไอ้จอมล้างผลาญนั่นหรอกผมเคยเห็นแม้กระทั่งมันเขวี้ยงโทรศัพท์เครื่องแพงใส่แม่บ้านที่ทำห้องให้มันไม่ถูกใจจนพังกระจาย

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรมันถึงเป็นคนก้าวร้าวแบบนั้น จะว่าเพราะมันขาดแม่แต่ผมก็ขาดพ่อเหมือนกัน แถมมันขาดแม่ตอนอายุ 14 ถือว่าโตพอรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ส่วนผมพ่อตายตอน 5-6 ขวบ คนที่ควรมีปัญหาน่าจะเป็นผมป่าววะ มันจะทำตัวมีปัญหาแบบนี้กับทุกคนมั้ยผมก็ไม่รู้แต่ที่รู้ๆคือไม่ว่าใครจะไปจะมาที่บ้านมันก็ดึงหน้าใส่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพี่ป้าน้าอาฝั่งพ่อฝั่งแม่มันยกเว้นอากงอาม่าที่มันจะยิ้มแย้มเข้าใส่ตลอด ไอ้คินคือหลานรักของกงกับม่าแล้วก็ตากับยาย มันจะกลายร่างเป็นลูกหมาขี้อ้อนทันที ไอ้คินมันเป็นคนติดหรูครับเสื้อผ้าตามตลาดนัดถูกๆหรือของก็อปไม่มียี่ห้อมันไม่เคยซื้อใส่หรอกของๆมันต้องแบรนด์เนมทุกอย่าง รถที่มันขับนั่นมันซื้อเมื่อปีที่แล้วราคาน่าขนลุกเกือบสี่ล้าน  ผมไม่รู้สึกถึงความจำเป็นต้องใช้อะไรแพงขนาดนั้น  อีแดงของผมยังผ่อนอยู่เลย เสื้อผ้าข้าวของๆผมไม่ติดแบรนด์คือมีอะไรก็ใส่ถูกใจตัวไหนก็ซื้อผมเอาเงินไปทุ่มกับอุปกรณ์การเรียนซะมากกว่าเพราะของที่ใช้ล้วนแต่ราคาสูงทั้งนั้น ที่วิทยาลัยของผมมีของให้นักศึกษายืมใช้น้อยมาก ยังไงผมก็กะจะยึดเป็นอาชีพอยู่แล้วก็ลงทุนซื้อใช้เองดีกว่า กว่าผมจะเก็บห้องเสร็จก็เกือบตีหนึ่ง นั่งทบทวนบทเรียนไปหูก็ได้ยินเสียงบอลในห้องมันไปจนตีสองกว่าผมก็ถอดแว่นแล้วก็เข้านอน เป็นอันจบวันที่เหมือนจะสงบลงไปได้

 

พรุ่งนี้ผมคงต้องเอาผ้าลงไปซักล่ะผ้าที่เปียกฝนจากเมื่อวานเริ่มส่งกลิ่นอับแล้ว

 

ผมตื่นนอนตอนเช้ามืดเพราะแม่เข้ามาหาในห้องขณะที่ผมหลับ แรงยวบข้างเตียงพร้อมกลิ่นน้ำหอมอันคุ้นชินทำให้ผมงัวเงียบิดขี้เกียจแล้วกอดเอวแม่ให้แม่ขยับเข้าหาตัวอีกหน่อย ผมกับแม่สนิทกันมาก มากขนาดว่าสามารถกอดหอมหรือจุ๊บแม่ในที่สาธารณะได้ผมไม่เคยอายเวลาเพื่อนๆแซวว่าทำตัวติดแม่เป็นลูกแหง่ อะไรที่แม่ทำแล้วมีความสุขผมไม่เคยห้ามและไม่เคยมองว่าแม่ทำผิด เพราะแม่เลี้ยงผมมาเพียงลำพังตั้งแต่พ่อเสีย แม่ทุ่มเทความรักและความเอาใจใส่ให้ผมมามากแล้ว ผมถอนหายใจให้จมูกโล่งเพราะยังนอนไม่เต็มอิ่มผมจึงไม่ได้พูดอะไรทำเพียงกอดเอวแม่ไว้หลวมๆ

 

            “เดี๋ยวแม่ออกไปทำงานกับลุงก่อน เซ็ทตื่นแล้วลงไปกินข้าวนะลูกแม่ต้มข้าวต้มกุ้งที่หนูชอบไว้ให้ รู้เรื่องมั้ยเนี่ยเด็กขี้เซา”แม่ใช้นิ้วจิ้มแก้มผมเบาๆ ผมรวบมือแม่ไว้แล้วจุ๊บลงบนหลังมือของแม่พยักหน้ารับทั้งที่ตายังลืมไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ แม่ขยับตัวแล้วจูบลงบนแก้มของผม

 

            “งั้นแม่ไปล่ะ อย่าทะเลาะกับพี่คินเค้านะลูก อะไรยอมได้ก็ยอมๆเค้าไป แม่เอาเงินใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ให้ห้าพันนะลูก ขาดเหลืออะไรโทรมาบอกแม่จะโอนให้”ผมพยักหน้ารับคำของแม่ไม่ได้ตอบรับอะไร แม่ออกไปแล้วผมจึงนอนต่อแล้วตื่นมาในตอนสาย ผมจำที่แม่บอกได้ทุกประโยค แม่ใส่เงินไว้ให้ห้าพัน แม่ทำข้าวต้มกุ้งไว้ให้ แค่นั้นเนอะๆ อันอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่จำ

 

ผมยืนแยกผ้าขาวกับผ้าสีออกจากกันรวมทั้งแยกเสื้อกับกางเกงไม่ซักปนกันก่อนจะยกตะกร้าออกจากห้องก็เห็นไอ้คินโหวกเหวกโวยวายกับเด็กที่มาทำงานบ้านแต่เช้า จับใจความได้ว่าเด็กเอารองเท้ามันไปขัดแต่ขัดอีท่าไหนไม่รู้แทนที่จะเงาว๊าบดันทำเป็นรอย

 

            “ทีหลังถ้าทำไม่เป็นก็ไม่ต้องทำ โง่ มีที่ไหนขัดรองเท้ากูเป็นรอย คู่หนึ่งกี่พันมึงรู้มั่งป่าววะมึงเอาแปรงเหี้ยอะไรขัดแปรงลวดหรือไง” แล้วอีรองเท้าส้นตีนคู่นั้นก็ลอยหวือผ่านหน้าผมที่เปิดประตูออกมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

 

            “แค่รองเท้าคู่เดียว เด็กมันไม่รู้จะหักเงินหรืออะไรก็พูดกับเขาดีๆสิวะ มึงจะด่าเขาทำไม ค่าของคนมันน้อยกว่ารองเท้ามึงหรือไง”ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปยุ่ง ก็เด็กลูกจ้างหน้าใหม่นี่กำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่ ไอ้ห่าคินก็ทำตาโปนราวกับจะส่งไฟนรกเผาเด็กให้ตาคาบันไดซะแบบนั้นบอกตามตรงผมสงสาร

 

“รองเท้าน่ะมันซื้อใหม่ได้ แต่ความรู้สึกของคนเสียแล้วมันซ่อมไม่ได้ เขาไม่รู้มึงก็บอกเขาดีๆสิวะ”

 

“แล้วมึงมาเสือกอะไรด้วย”อ่ะ ไอ้สัดนี่เปลี่ยนเป้าหมายจากลูกจ้างมาใส่กูแทนแล้วสินะ ผมเบะปากใส่มันอย่างเบื่อๆ พูดกับกำแพงยังคุยง่ายกว่าคุยกับคนอย่างมัน ผมหันหลังจะเดินลงบันไดแต่ไอ้คินมันนึกยังไงไม่รู้มาตะปบไหล่ของผมไว้

 

            “กูถามว่ามึงมาเสือกอะไรด้วย”มันยังคงถามย้ำคำนั้น

 

            “กูไม่ได้อยากเสือกหรอก แต่มึงคิดดูมั่งนั่นอ่ะผู้หญิงจะทำผิดยังไงมึงก็พูดดีๆกับเขาหน่อย”ผมมองตามันที่ราบเรียบจนเดาอารมณ์ไม่ออกรู้แต่ว่าคิ้วมันขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์

 

 



            “หัดอ่อนโยนกับคนอื่นมั่งเถอะมึงน่ะ”ผมสะบัดไหล่ออกจากมือไอ้คินด้วยความรำคาญ

 

            “กูไม่ใช่แลคตาซิต”มันว่ากลับมาเสียงเรียบ แลคตาซิตคืออะไรวะเกิดมากูเคยแดกแต่แลคตาซอย  เอ๊ะหรือจะเป็นชื่อยี่ห้อน้ำยากลั้วปากวะ

 

            “เอาไว้กลั้วปากเหรอ?”ผมเอ่ยถามมันด้วยความสงสัย วูบหนึ่งผมเห็นเหมือนมันทำจมูกบานมุมปากมันกระตุกเหมือนจะยิ้มแต่มันก็เก็บสีหน้านั้นของมันไปอย่างรวดเร็ว

 

            “แลคตาซิตบ้านมึงเอาไว้กลั้วปากเหรอไอ้ควาย”มันว่าแค่นั้นก่อนจะผลักไหล่ผมจนแทบตกบันไดแล้วเดินตัวปลิวลงไปข้างล่าง

 

อ่ะไอ้เหี้ยกลับมาเฉลยกูก่อนว่าตกลงมันเอาไว้ทำอะไรวะล้างหน้าอ่อ?

 

 

            คณิน::

 

ผมเดินลงมาจากข้างบนบ้านอย่างหัวเสีย ลูกจ้างต่างด้าวที่แม่ไอ้เซ็ทรับมาทำงานได้ไม่กี่วันทำรองเท้าหนังของผมเป็นรอยด้วยความโง่ มันขัดยังไงของมันรองเท้าของผมถึงได้เป็นรอย แม้จะไม่ใช่รอยใหญ่เป็นเพียงเส้นเล็กๆ แต่ผมชอบความสมบูรณ์แบบ อดหัวเสียไม่ได้ที่ไอ้ลูกเลี้ยงของพ่อทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแม่สาวต่างด้าวนั่น ผมกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เด็กลูกจ้างตัวต้นเหตุที่ทำผมอารมณ์เสียเดินเอาข้าวต้มมาเสิร์ฟอย่างกล้าๆกลัวๆ ผมตวัดสายตามองอีกครั้งเด็กนั่นก็วางชามฉึ่บแล้ววิ่งหนีไปหลังบ้านไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็นอีก ซึ่งก็ดี ผมกินข้าวต้มตรงหน้าแม้ใจจะขุ่นมัวแต่รสมืออันดีของเมียพ่อก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

 

ต้องยอมรับข้อหนึ่งคือน้าลดาทำกับข้าวอร่อย รสไม่จัดและไม่จืดจนเกินไป อร่อยกว่าที่แม่บ้านทำทิ้งไว้ให้ ผมกินข้าวต้มหมดชามก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทเดินเข้ามาผมไม่อยากทะเลาะอะไรกับมันตอนนี้วันหยุดก็อยากพักผ่อนแบบไม่มีอะไรมากวนสมองบ้างเลยกะว่าจะไปทำโมเดลบ้านต่อที่ห้องด้านหลัง

 

ราวชั่วโมงหนึ่งที่ผมตั้งใจทำโมเดลที่เป็นโครงงานของผมผมก็วางมือเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เสียงเครื่องซักผ้าดังครืดๆผมเห็นตะกร้าผ้าไอ้เซ็ทวางทิ้งไว้ พวกเสื้อผ้าขาวและผ้าสีอ่อนถูกแขวนไว้ที่นอกลานซักล้าง ผมเดินไปหยุดหน้าเครื่องซักผ้าอยู่ๆปากของผมมันก็กระตุกยิ้มเอง

 

แหม...ช่วยมันซักผ้าหน่อยก็ดีเนอะ

 

ผ้าสีซะด้วยคราบคงเยอะน่าดู

 

คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบขวดไฮเตอร์ขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนจะเปิดฝาเครื่องซักผ้าที่กำลังทำงานอยู่ แล้วเทไฮเตอร์ลงไปทั้งหมดที่มีอยู่เกือบครึ่งขวด

 

ไม่ต้องซาบซึ้งในความมีน้ำใจของกูหรอกนะไอ้เซ็ท

 

ผมโยนขวดไฮเตอร์ทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำตามความตั้งใจเดิม

 


เรียกไอ้แดนมารับออกไปหาอะไรกินที่ห้างดีกว่า สบายใจล่ะ

 

 ........................................



พี่คินเรียกน้องด้วยความเอ็นดูดีนะคะ น่ารักมุ้งมิ้งเชียว จ้างคนพี่ซักผ้าได้นะคะ รับประกันความพินาศ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 11-11-2018 18:00:38
Boy in luv

#คนแมนคินเซ็ท


 เศรษฐพงศ์::

 

ผมกำลังระงับความโกรธไม่ให้ไปลงกับข้าวของรอบๆตัว ผ้าสีที่ผมซักทิ้งไว้เป็นด่างเป็นดวงทุกตัวทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมันก็ยังปกติอยู่แท้ๆ มองรอบๆหาต้นเหตุก็พบขวดไฮเตอร์นอนกลิ้งเค้เร่อยู่มุมหนึ่งไม่ไกลกันนัก

 

ไม่ต้องสืบให้เปลืองสมองเลยว่าใครทำเพราะผมคงไม่บ้าเอาน้ำยาซักผ้าขาวใส่ลงไปแน่ๆ เช่นเดียวกับเด็กที่มาทำงานบ้านก็คงไม่โง่พอที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน

 

ผมเบื่อการกลั่นแกล้งให้ข้าวของเสียหายแบบนี้เต็มที ผมเอาเสื้อผ้าที่เสียหายใส่ตะกร้าแล้วเดินขึ้นไปหยุดที่หน้าห้องไอ้คิน เคาะประตูบานที่ผมไม่เคยคิดจะเดินเลยมาแตะต้องให้เสนียดติดมือนั้นอย่างโกรธจัด

 

เงียบไร้เสียงตอบรับ

 

                “น้องเซ็ทจะเอาอะไรคะ คุณคินออกไปกับเพื่อนแล้วค่ะ” เสียงแม่บ้านเอ่ยถามเมื่อผมทุบประตูห้องไอ้คินแรงขึ้น

 

อ่อ ทำความผิดเสร็จแล้วชิ่งเหรอไอ้สัด ผมเกาหัวอย่างหงุดหงิด

 

ได้มึงเอางี้ใช่ป่ะ

 

                “พี่เรียมผมขอกุญแจสำรองห้องไอ้...เอ่อ พี่คินหน่อย”ผมร้องขอแม่บ้านที่รับคำอย่างว่าง่าย ไม่นานกุญแจสำรองห้องไอ้คินก็มาอยู่ในมือผม

 

ผมไขเข้าไปในห้องของมัน  ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านนี้ผมไม่เคยเฉียดใกล้กับห้องมันไม่เคยได้เห็นภายในห้องของมันเลยนี่เป็นครั้งแรก ห้องของมันตกแต่งด้วยโทนสีเทาดูดีมากเลยครับ ก็สมกับรสนิยมของมัน มีโต๊ะดราฟเหมือนห้องของผม ห้องมันเป็นระเบียบเรียบร้อยมีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่แบบบิลอินอยู่ติดกับห้องน้ำผมไม่รอช้าสาวเท้าเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าของมันทันที

 

เสื้อผ้าของมันแยกขาวดำชุดนักศึกษาชุดนอน เสื้อกางเกงแยกเป็นระเบียบมากจนน่าแปลกใจ อ่อ แม่บ้านทำให้แหล่ะผมลืมไป ผมกระชากเสื้อผ้าของมันออกมาส่วนหนึ่งไม่เว้นแม้แต่อีเสื้อกุชชี่ตัวละหกหมื่นที่มันรักนักรักหนาเว้นชุดนักศึกษาจากนั้นก็เอามากองๆไว้กับพื้นห้องกระทืบๆจนพอใจแล้วผมก็ควักไฮเตอร์ที่มีอีกขวดออกมาก่อนจะเทจนชุ่มเสื้อผ้ากองนั้นของมัน จัดการโยนผ้าหมาดๆของผมที่มันทำพังจนกระจายเต็มห้องแล้วกระแทกประตูปิดดังปังใหญ่

 

ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หน้าตาของผมจะเป็นยังไง รู้แค่ว่าผมแค่นยิ้มด้วยความสะใจ

 

แต่ยังหรอกความคุกรุ่นในใจของผมมันยังไม่หายไปผมเดินไปที่ห้องด้านหลังที่มันเอาไว้ทำงานส่งอาจารย์ โมเดลแสนสวยที่มันตั้งอกตั้งใจต่อมาทั้งอาทิตย์ตั้งตระหง่านผมไม่รอช้าชื่นชมความสวยงามนั้นด้วยดวงตาที่ลุกโชนด้วยไฟอาฆาต

 

ในเมื่ออยู่กันดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องดีแม่งแล้ว

 

ผมกระทืบตีนลงไปบนหลังคาโมเดลแล้วขยี้ๆจนหนำใจเตะรถของเล่นที่จอดอยู่สองคันจนกระเด็น

 

อ่าห์  อารมณ์ค่อยเย็นขึ้นมาหน่อยแล้ว ก่อนออกจากห้องนี้ไปผมไม่วายหันหลังไปเตะตัวบ้านที่ยังไม่พังอีกที

 

โอเค กูสบายใจล่ะ

 

                “ยิม มึงมารับกูกลับหอตอนนี้เลยได้มั้ย มาเร็วๆ” ผมรีบต่อสายหาไอ้ยิมเมื่อทำลายข้าวของของไอ้คินจนแหลกคาตีน

 

ตอนนี้ถึงเวลาชิ่งแล้วไอ้สัด  ขืนอยู่ถ้าไอ้คินกลับมาคงได้ตีกันบ้านแตกแน่ๆ

 

 

                คณิณ::

 

ผมกลับถึงบ้านตอนทุ่มกว่าหลังจากนัดพวกไอ้แดนไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ห้างแถววิทยาลัย เลือกกลับให้มืดๆหน่อยจะได้ไม่เจอหน้าไอเซ็ท พอทำลงไปแล้วนึกไปนึกมาผมก็รู้สึกว่าเล่นแรงไปหน่อยแต่ทำไงได้ล่ะ ตอนนั้นผมแค่อยากแกล้งมัน ถ้ามันจะเรียกร้องค่าเสียหายผมก็โยนเงินให้มันไปหาซื้อเสื้อผ้าดีๆใส่ได้ถือว่าเจ๊ากันไป

 

บ้านทั้งหลังเงียบสนิทซึ่งผมก็ชินแล้วกว่าพ่อจะกลับมาก็ 3-4 ทุ่ม นั่นแหล่ะ ผมวิ่งขึ้นห้องด้วยจังหวะช้าๆห้องไอ้เซ็ทเงียบกริบตามปกติที่มันไม่อยู่ ผมไขกุญแจเปิดเข้าไปในห้อง

 

กึ่ก...กลิ่นเหม็นๆของอะไรบางอย่างลอยเข้ามากระทบโสตประสาท กลลิ่นเหมือนน้ำยาอะไรซักอย่าง ผมรีบเปิดสวิตซ์ไฟในห้องและเมื่อกวาดสายตามองเข้าไปเส้นประสาททั้งหมดของผมก็เต้นตุบ

 

นี่มันเหี้ยอะไร?

 

เสื้อผ้าไอ้เซ็ทกระจายเกลื่อนเต็มห้อง ไม่พอยังมีเสื้อผ้าที่คุ้นตากองใหญ่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าของผม ผมรีบสาวเท้าเข้าไปดูหยิบเสื้อตัวโปรดขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท ทำเกินไปมั้ยไอ้สัด”ผมน้ำตาแทบร่วงเมื่อกุชชี่ตัวละหกหมื่นกว่าที่เพิ่งซื้อมาไม่นานบัดนี้ลายสดสวยบนเนื้อผ้ากลับถูกไฮเตอร์กัดจนเป็นด่างดวงรวมไปถึงเสื้อผ้าตัวอื่นๆในกองด้วย

 

ไอ้เหี้ยเซ็ทเอาคืนผมได้เจ็บแสบมากถึงมากที่สุด ทั้งกองรวมกันนี่กี่แสน!!

 

ผมที่โกรธจนมือสั่นทำได้เพียงเขวี้ยงเสื้อในมือทิ้งแล้วยืนขึ้นเตะกองผ้าระบายอารมณ์ ผมนั่งสงบสติอารมณ์ที่คุกรุ่นเพราะตามไปกระทืบมันไม่ได้ อารมณ์ค่อยเย็นลงเมื่อนั่งนิ่งๆได้ซัก 20 นาที

 

รอชำระแค้นตอนมันกลับมาก็ยังไม่สาย คิดได้ดังนั้นผมก็จำใจต้องเก็บเสื้อผ้าพวกนั้นใส่ถุงดำรวมทั้งผ้าของไอ้เซ็ทที่มันคงเอามาโยนใส่ห้องผมระบายแค้นด้วย

 

เสร็จเรียบร้อยแบบลวกๆผมก็อาบน้ำ เรียบร้อยก็คว้ากล้องขึ้นมาจะไปถ่ายรูปโมเดลที่ผมเพิ่งทำเสร็จเพื่ออวดเพื่อนๆในกลุ่ม งานที่ต้องส่งพุธนี้ผมทำเสร็จเร็วกว่าเพื่อนในกลุ่ม ป่านนี้พวกมันคงกำลังกลับไปต่อกันตาเหลือกแน่ๆ ผมเดินไปห้องทำงานอย่างไม่เร่งรีบนักเพื่อนบางคนส่งรูปโมเดลที่มันเพิ่งทำเสร็จสดๆร้อนๆมาอวด บอกได้เลยของผมน่ะเจ๋งที่สุดแล้ว ผมเลี้ยวเข้าประตูห้องมาเปิดไฟในห้องให้สว่างพลันสายตาของผมก็พบกับเศษซากอะไรบางอย่าง

 

ซากของอะไรบางอย่างที่ว่ากองพังยับเยินอยู่ตรงจุดที่ผมตั้งโมเดลไว้

 

มือผมสั่นมากกว่าตอนเห็นกองเสื้อผ้าในห้องเมื่อชั่วโมงก่อน

 

ผมโกรธจนรู้สึกว่าหน้าของผมมันเปลี่ยนไปมาระหว่างซีดกับสีแดง

 

โมเดลกู!!!

 

โมเดลกู!!!!

 

โมเดลของกู!!!

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ทมึงไม่ตายดีแน่ไอ้เด็กเหี้ย!!!”

 

 

 

                เศรษฐพงษ์::

 

                “ฮั๊ดเช้ยยยยยยยย!!!!”

 

ใครบ่นหากูวะ จามไม่หยุดเบย









 

 

                คณิตและลดากลับเข้าบ้านตอนเกือบห้าทุ่ม เพราะวันนี้ต้องไปกินเลี้ยงงานแต่งของคู่ค้าทำให้กลับมาช้ากว่าปกติ แต่ชายวัยกลางคนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถยนต์และมอเตอร์ไซค์อีก 2-3 คัน จอดเรียงกันในโรงรถ

 

                “รถเพื่อนเจ้าคินมัน”คณิตเอ่ยบอกภรรยาเพราะจำรถยนต์ของแดนกับเด่นได้ ผู้เป็นภารยาพยักหน้ารับก่อนจะขอตัวขึ้นไปอาบน้ำบนห้อง คณิตแยกเดินไปห้องด้านหลังที่คินใช้เป็นห้องสำหรับทำงานส่งอาจารย์ ในนั้นบรรดาเพื่อนๆของคินอยู่กันครบต่างคนต่างขมักเขม้นกับการตัดโมเดลจนไม่มีใครรับรู้ถึงการมาของเจ้าของบ้าน  ในขณะที่คินกำลังประกอบโมเดลด้วยใบหน้าบึ้งตึงขั้นสุด

 

                “ทำอะไรกันหนุ่มๆ”คณิตเอ่ยทัก บรรดาเพื่อนๆของคินต่างวางงานในมือแล้วยกมือไหว้พ่อของเพื่อน คินละสายตาจากโมเดลที่ต้องเริ่มทำใหม่ทั้งหมดมองพ่อพยักหน้าให้เป็นการทักทายแล้วก้มลงประกอบโมเดลต่อปไม่ได้พูดจาอะไรกับคนเป็นพ่ออีก

 

                “ทำไมประกอบใหม่ล่ะคิน วันก่อนพ่อเห็นเราต่อไฟอะไรเรียบร้อยจวนเสร็จแล้วนี่”

 

                “อันนั้นมันพังไปแล้วพ่อ”ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

                “อ่าว ทำไมพังล่ะ “คนเป็นพ่อเมื่อได้ยินคำตอบของลูกชายก็แสดงความเป็นห่วงทันที คินถอนหายใจขบฟันจนสันกรามนูน

 

                “ช่างมันเถอะพ่อ พังก็คือพังอย่าไปสนใจเลยว่ามันพังยังไง กลับมาดึกๆพ่อไปนอนก่อนเถอะแล้วคืนนี้ไอ้พวกนี้ค้างนี่นะ”

 

                “อืมๆ ยังไงก็อย่านอนดึกนักนะพรุ่งนี้มีเรียนเช้านี่ แล้วก็เด็กๆถ้าอยากกินอะไรก็หาในตู้เย็นเอามาอุ่นเอานะ น้าเค้าทำอาหารแช่ไว้หลายอย่างอยู่” พวกเพื่อนๆของคินต่างรับคำคนเป็นพ่อ คณิตจึงแยกกลับขึ้นไปนอนพักผ่อน

 

                “ทำไมมึงไปบอกพ่อมึงไปวะว่าน้องมึงทำ”แพรที่นั่งตัดโมเดลใกล้คินที่สุดเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

                “เออนั่นสิ เรื่องใหญ่แบบนี้ไอ้เด็กนั่นมันควรโดนด่านะ ไอ้เหี้ยจะทำลายอะไรก็ทำไปเสือกมาทำอุปกรณ์การเรียน”แพทเอ่ยต่ออย่างหัวเสีย เพราะต้องมาช่วยคินทำให้เขาต้องยกเลิกนัดกับแฟนสาว

 

                “ไอ้เด่นบ่นกูชิบหายเลยที่กูเอารถมา”แดนกล่าวต่ออย่างหงุดหงิด

 

“ก่อนอื่นนะ ไอ้เหี้ยเซ็ทไม่ใช่น้องกู กูไม่มีทางนับญาติกับคนอย่างมัน”คินตอบกลับอย่างหัวเสีย เนี่ยเพียงแค่ได้ยินชื่อของมันหนังหัวก็ตึงปานโดนดึงทึ้ง

 

อยากจะตามไปกระทืบมันที่หอแต่ติดว่าเขาต้องรีบทำโมเดลตัวใหม่ ต้องไหว้วานบรรดาเพื่อนๆที่ทำโมเดลเสร็จแล้วให้มาช่วยโดยเมื่อเสร็จแล้วคินต้องเสียเงินเลี้ยงเหล้าไอ้พวกนี้แบบชุดใหญ่

 

                “ที่กูไม่บอกพ่อ เพราะกูจะกระทืบมันเอง ไอ้เด็กเหี้ย”คินตอบกลับด้วยความหมายมั่นปั้นมือ ยังไงเรื่องนี้เขาไม่มีทางยอมให้เซ็ทมาทำลายโมเดลของเขาแล้วจะลอยนวลไปได้ง่ายๆเหมือนกระจกรถแน่ๆ

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

                “กูไม่เข้าใจ”ผมหันไปมองไอ้จีนที่เหงื่อซึมเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากนักศึกษาคนอื่นๆที่ยืนกระจายกันไป

 

                “เราแม่งเรียนภูมิทัศน์จริงๆใช่ป่าววะ”

 

                “เออ มึงเรียนภูมิทัศน์ ส่วนกูเรียนสัตว์”ไอ้ปิ๊กห้องสัตว์เอ่ยตอบไอ้จีน

 

                “กูเรียนคณะอุต”ไอ้สร้างเจ้าของถั่วเคลือบพิฆาตตอบกลับมา

 

                “เออ ไอ้สัด เราแม่งต่างเรียนคนละคณะ ต่างสาขา กูข้องใจว่าแล้วทำไมเราต้องมาถางอีหญ้าเหี้ยในดงอ้อยวิทยาลัยด้วยกันด้วย แม่งไม่มาก็ติด 0 วิชา อกท.”ไอ้จีนใช้จอบดายหญ้าในร่องอ้อยด้วยอารมณ์โคตรครุกรุ่น แรงมันตอนนี้เหมือนหมูบ้ามันถางเอาถางเอาจนพวกผมกลัว

 

                “อาจารย์แม่ง สั่งๆแล้วก็ไปนู้น นั่งในร่ม ไม่ยุติธรรม”ไอ้ยิมกลายเป็นลูกขุนพลอยพยักไปกับไอ้จีนด้วย

 

บ่ายวันพุธที่ร้อนระอุ พวกผมในเสื้อยืดสกรีนคำว่า กาญจนบุรี หน้ากระเป๋าปักสัญลักษณ์ อกท. กำลังถากหญ้าในดงอ้อยที่พอโดนฝนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนก็พากันโตไว๊ไว

 

รู้สึกว่าหญ้ายังโตไวกว่าอนาคตของพวกผมอีก

 

                “เซ็ทแล้วศุกร์นี้มึงกลับบ้านป่าววะ”ไอ้อิ้งค์หันมาถามผมขณะที่เดินไปกินน้ำในกระติก

 

                “กลับให้โง่สิ จ้างให้กูก็ไม่กลับ กูจะสิงอยู่ที่หอนี่แหล่ะ”ผมตอบมันแบบไม่ต้องคิดเลยครับ ผมกะว่าจะไม่กลับบ้านซักระยะ ขืนกลับไปตอนนี้ไอ้คินต้องกำลังวางแผนเล่นงานผมอยู่แน่ๆ รอให้คดีระหว่างผมกับมันผ่านไปซํกเดือนก่อนค่อยกลับไป

 

                “แล้วถ้าแม่มึงโทรมาตามล่ะ”

 

                “กูก็จะบอกแม่ว่าอาจารย์สั่งให้อยู่ซ้อมจัดสวนไปแข่งภาค”

 

                “อ่าวแล้วถ้าแม่มึงไปสั่งดอกไม้ร้านแม่กูแล้วเจอกูทำไงเขาก็ต้องถามกูป่าววะว่าทำไมกูไม่อยู่ทำงานกับมึง”ไอ้วีมันเอ่ยถามด้วยสีหน้ายุ่งๆ

 

                “มึงก็บอกแม่กูไปว่าร้านแม่มึงอุปกรณ์ครบง่ายต่อการแข่งจัดดอกไม้สดของมึง” เห็นมั้ยผมเป็นคนรอบคอบหาทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว

 

เอาจริงๆหลังจากกลับมาสงบสติอารมณ์ที่หอแล้วใจผมก็เย็นลง แล้วก็เริ่มเกิดสำนึกว่าคราวนี้ผมตอกกลับมาแรงเกินไป  แค่เอาไฮเตอร์ไปเทใส่เสื้อผ้าตัวแพงของมันก็มากพอแล้วยังไปทำลายโมเดลมชองมันอีก

 

ถ้ามันโกรธจัดจนเอาปืนมายิงเอามีดมาจ้วงผมก็ไม่เห็นว่ามันทำผิดอ่ะเพราะถ้างานของผมโดนใครมาทำแบบนั้นผมก็คงโกรธจัดเหมือนกัน

 

ถ้าจำไม่ผิดวันนี้คือวันที่มันต้องส่งงานด้วยใช่ป่าววะ ได้ยินมันคุยโทรศัพท์กับเพื่อนมันตอนที่มันออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง

 

แต่ทำไงได้ล่ะ ผมทำลงไปแล้ว แม้จะรู้สึกผิดแต่ผมไม่มีทางไปขอโทษมันแน่ๆ

 

ความผิดครั้งนี้ถ้าจะถามว่าใครเป็นฝ่ายผิดก็ต้องบอกว่าไอ้คินนั่นแหล่ะผิด ถ้ามันอยู่แบบต่างคนต่างอยู่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ในที่สุด สี่โมงเย็น วิชา อกท.ของเราก็สิ้นสุด พวกผมแบกสภาพตัวชื้นชุ่มไปด้วยเหงื่อกลับมาที่ตึกพืชเพื่อเอากระเป๋าที่ทิ้งไว้

 

                “มึงกูอยากกินหมูกะทะหว่ะ”อยู่ๆไอ้จินแฝดน้องก็พูดขึ้นมา

 

                “ควายแถวนี้มีที่ไหนล่ะ จะทำเองกูก็ขี้เกียจเก็บล้าง”ไอ้ย้งผลักหัวไอ้จินที่อยู่ๆมาอยากกินหมูกระทะอะไรเอาตอนนี้

 

                “มึงอย่ามาทำน้อวงกู”ไอ้จีนผู้มีท่อนขาล่ำบึ้กปานเสาเข็มตวัดตีนถีบไอ้ย้งที่บังอาจมาทำร้ายแฝดน้องของมัน

 

                “ก็กูอยากอ่ะ ตอนกลับบ้านแม่พาพวกกูไปหาอากงอาม่าไม่ได้แดกอะไรเลยนอกจากหมี่ซั่วกับไก่ต้ม”

 

                “เออกูก็อยากอยู่นะ ไปกันมั้ย?”ไอ้วีพลอยเห็นดีเห็นงามไปกับไอ้สองแฝด

 

                “ถ้าจะกินก็ต้องเข้าเมืองป่าววะ”ผมถามอย่างลังเล

 

                “เออดิ่ไปกินแถวเทคนิคก็ได้”ไอ้อิ้งค์เสนอ

 

                “ส้นตีน ร้านมีเยอะแยะเสือกจะไปอะไรแถวนั้น”ผมด่าไอ้อิ้งค์ กูยิ่งจะเลี่ยงๆเทคนิคมึงยังเสือกจะไปแดกแถวนั้นอีก ถ้าเจอไอ้เหี้ยคินขึ้นมาทำไง

 

                “เออ โทดทีกูลืมไปว่ามึงหลบหน้าพี่มึงอยู่”ไอ้อิ้งค์ว่าก่อนจะเด้งตัวหลบตีนผมที่ตวัดจะถีบมันพอดี

 

                “มันไม่ใช่พี่กู!!”

 

                “พอๆพวกมึงอย่าเพิ่งกัดกัน ตกลงเอาไงไปไม่ไป”ไอ้วีรีบห้ามทัพเมื่อผมทำท่าจะไล่เตะไอ้อิ้งค์

 

                “ออไปก็ไป แต่ไปร้านอื่นกูไม่อยากเสี่ยงเจอมันตอนนี้ แทนที่จะได้แดกหมูกระทะอาจจะได้แดกลาบเลือดแทน”พวกผมเก็บของเสร็จก็พากันกลับหอเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าห้าโมงกว่าเราก็พร้อมสำหรับการยกขโยงเข้าเมือง ผมเลี่ยงที่จะไม่ไปร้านแถววิทยาลัยไอ้คินแต่เปลี่ยนมาร้านที่ไปทางสะพานข้ามแม่น้ำแควแทน ผมเคยมาร้านนี้กันหลายครั้งแล้วของเยอะพอๆกับร้านที่ไอ้อิ้งค์เสนอ เมื่อมาถึงเราไม่รอช้าที่จะกระจายตัวกันไปตักอาหารเตาปิ้งย่างถูกสั่งมาสองชุดเพราะเตาเดียวคงไม่พอพวกผมกิน ไอ้จินดูมีความสุขกับกองกุ้งที่มันไปคีบมา ผมคีบหมูสามชั้นวางบนกระทะรอจนมันแห้งกรอบจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดบอกเลยว่าโคตรเด็ด แมงกะพรุนจุ่มในน้ำซุปเดือดๆแล้วจิ้มน้ำจิ้มก็ฟินมาก จิบเบียร์เย็นๆไปด้วยทำให้ความเหนื่อยล้าจากการถางหญ้าเมื่อช่วงบ่ายคลายลงไปมาก บอลลีกในทีวีจอยักษ์ที่ทางร้านเปิดทำให้พวกเรากินไปคุยไปดูไปอย่างออกรส อากาศอบอ้าวเมื่อตอนบ่ายเย้นลงเล็กน้อยไม่อึดอัดจนเกินไป

 

 

 

 

 

 

                “โอ๊ะโอ...ไอ้คิน ดูซิ๊ เราเจอใครกันเอ่ย?”







......................................................



พี่คินจะโกรธน้องก็ไม่ได้นะคะ พี่ทำน้องก่อน



ส่วนน้องเซ็ทลูกไม่มีใครบ่นถึงค่ะ พี่เค้าเรียกด้วยความคิดถึง



ไหนๆก็มาแล้วกินหมูกะทะกับน้องมั้ยคะพี่คิน



กระหนุงกระหนิง กระหนุงกระหนิงดีจริง
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 12-11-2018 22:07:37
Boy in luv
#คนแมนคินเซ็ท


เศรษฐพงศ์::


พรหมลิขิต ขีดเขี่ย ให้เหี้ยเดิน
เหี้ยก็เพลิน เดินตาม ไม่สงสัย
เหี้ยกับเหี้ย เจอกัน ก็บรรลัย
เหี้ยหนึ่งตาย เหี้ยหนึ่งอยู่ ดูฟ้าดิน

 

ครับ สงสัยคราวนี้จะเป็นเหี้ยเซ็ทนี่ล่ะครับที่ตาย  พวกผมหันไปมองตามเสียงที่ได้ยินด้านหลัง หมูสามชั้นที่เพิ่งย่างเกรียมแบบที่ผมชอบถึงขั้นร่วงจากตะเกียบ

 

ครบเลยครับ  ครบแก็งค์เลยครับ  พวกไอ้คิน  มากันครบองค์ประชุม

 

 

ผมไม่รู้จะเรียกพรหมลิขิตหรือเรียกว่าซวยดี  ดูเถอะอุตส่าห์หนีมันไม่ไปกินแถววิทยาลัยของมัน พวกมันยังดั้นด้นมาแดกร้านนี้โอ้โหเศรษฐพงศ์น้ำตาแทบร่วง

 

แล้วดูหน้ามันสิ  จากปกติก็บึ้งตึงอยู่แล้วตอนนี้บึ้งหนักกว่าทุกทีที่ตีกัน

 

คินมีอะไรไปคุยกันข้างน่อ...อ๊อก!!!” โดยไม่ทันตั้งตัวไอ้คินที่ยืนหน้าบูดเป็นตูดลิงที่ตรงนั้นก็กระโดดมาถีบหลังผมที่นั่งอยู่ตรงนี้ ตะเกิ่งตะเกียบในมือผมกระเด็นหวือ หมูสามชั้นของผมกระจาย และนั่นเหมือนเป็นสัญญาณเปิดงาน เพราะพวกผมจับจองพื้นที่ใกล้กับจุดตักอาหาร ตอนนี้กุ้งเอย หอยเอย แมงดาทะเลเอย หมึกเอยกลายเป็นอาวุธของพวกเราทั้งสั่งฝ่าย ท่ามกลางเสียงหวีดร้องและการเข้ามาห้ามปรามแยกพวกเราทั้งสองฝ่ายไม่ให้สร้างความวุ่นวายในร้าน ลูกค้าต่างทยอยหนีออกจากร้าน

 

“ไอ้คินมึงใจเย็นฟังกูอธิบายก่อน”ผมพยายามใช้น้ำเสียงดีๆกับมันเมื่อมันตะครุบคอเสื้อของผมเอาไว้

 

“กูยังต้องฟังอะไรอีก มึงทำเสื้อผ้ากูคืนกูไม่ว่าแต่มึงพังงานของกู มึงมันเหี้ย”ไอ้คินเหวี่ยงหมัดใส่แก้มผมเต็มๆ เจ็บจนสมองแทบเบลอเลย  ผมพยายามหลบเลี่ยงการทำร้ายของมัน เอาจริงๆผมผิด ผมพร้อมจะขอโทษมันนะ แต่เหมือนไอ้คินมันจะไม่ต้องการอย่างนั้น แม้ว่าผมพยายามจะอธิบายแค่ไหนก็ดูเหมือนว่ามันก็มีความพยายามเหวี่ยงหมัดมาหยุดคำพูดของผมซะทุกครั้ง ในที่สุดผมก็หมดความอดทน ในเมื่อเหตุผลมันใช้ไม่ได้ผลผมก็ใช้กำลังตัดสินกับมัน  ผมกับไอ้คินผลัดกันรุกผลัดกันรับแบบไม่มีใครยอมใคร เพื่อนๆของผมก็มะรุมมะตุ้มอยู่กับกองอาหารที่กลายเป็นอาวุธจำเป็น

 

 

“หยุ๊ดดดดดดด.......”เสียงผู้จัดการร้านร้องห้ามพวกเรา แต่พี่ครับพอเครื่องฟิตแล้วมันก็ยากจะหยุด พวกผมขว้างปาข้าวของรวมทั้งตะลุมบอนกันแบบไม่มีใครยอมใคร  เหลือบตาเห็นไอ้จีนรับหมัดจากไอ้แดนแทนไอ้จิน ตัวผมเองก็หลบหมัดไอ้คินได้อย่างเส้นยาแพดงผ่าแปด แต่ เก้า สิบ สิบเอ็ด โดนกูเต็มๆเลยครับท่านผู้ชม กว่า 10-20 นาที ที่เราตะลุมบอนกัน ในที่สุด

 

เอ๊ะ แสงอะไรแว๊บๆ

 

อาจจะมียูเอฟโอ...

 

หรืออาจจะเป็นแสงจากกระสือ

 

            “ชิบหาย ตำรวจมา!!!”เสียงไอ้อิ้งค์ตะโกนมาดังลั่น ผมที่กำลังบีบคอไอ้คินถึงกับชะงักกึก

 

            “เหี้ย  ซวยแล้ว”

 

ใช่ครับซวยแล้ว โดยไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัวเสียงดังกริ๊กพร้อมกับโลหะเย็นๆก็คล้อวงปั๊บเข้ากับข้อมือของผมกับไอ้คินคนละข้าง

 

อ่ะไอ้สัด เนื้อคู่หนังคู่กระดูกคู่กับกูไปอีก

 

เราทุกคนโดนพี่ๆตำรวจเข้าชาร์จแบบสายฟ้าแล่บ แบบที่ยังไม่ทันคิดหนีก็โดนสั่งให้นั่งคุกเข่ากับพื้นเรียงกันเป็นหน้ากระดานไปซะแล้ว ตำรวจสองนายไปตรวจสอบความเสียหาย ส่วนหนึ่งไปสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ

 

            “เหี้ย ถ้าป๊ากูรู้ป๊ากูตีหัวแตกแน่”เสียงไอ้ยิมที่นั่งใกล้ผมกระซิบ

 

            “ใจเย็นมึงปกติกูเห็นป๊ามึงใจดี”

 

            “ไอ้เหี้ย ป๊ากูสร้างภาพ”

 

สุดท้ายพวกเราเลยได้เดินทางไปทัศนศึกษาด้วยรถกะบะตราโล่  ตอนนี้ทุกคนตึงเครียดกันมาก ไอ้ปากเก่งๆ ปากดีๆปานนักโต้วาทีตอนนี้เงียบกริบโคฟเว่อร์นางพิกุลทองกันไปหมด  พวกผมถูกพาไปทำประวัติ  สอบถามเบอร์โทรผู้ปกครองก่อนจะถูกพาไปพักผ่อนตามอัธยาศัยในห้องพักรับรองที่มีลูกกรงล้อมรอบ

 

เกิดมาผมเพิ่งเคยเข้าคุก

 

แม่ครับอย่าลืมข้าวผัดกับโอเลี้ยงมาเยี่ยมผมนะครับ

 

ใช่เวลามาตลกป่ะ??  ไอ้คินกับพวกมันแยกกันไปนั่งมุมหนึ่ง  พวกมันพูดคุยกันเบาๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ส่วนพวกผมเองก็ไม่ต่างจากมันเท่าไหร่  ไอ้วีทำท่าจะร้องไห้จนพวกผมต้องกอดปลอบมัน

 

“วีมึงอย่าร้องไห้”ไอ้ยิมขยี้หัวไอ้วีเบาๆ

 

“กูไม่อยากให้แม่มาเห็นกูสภาพแบบนี้ กูกลัวแม่กูผิดหวัง”

 

“ครั้งนี้เราไม่ผิดนะเว้ยไอ้เหี้ยนั่นเริ่มก่อน”ไอ้จีนที่นั่งเอามือเป่าถูๆแล้วอังกบาลไอ้จินที่โนเป็นลูกมะกรูดหันมาพูดเสียงไม่เบาเลยซักนิด แน่นอนไอ้ฝั่งนู้นหันมามองพวกผมพลางชูนิ้วกลางให้

 

“จะเอาอีกใช่มั้ยไอ้สัด กูอยู่ของพวกกูดีๆเข้ามาหาเรื่องจนเป็นปัญหาอ่ะ”

 

“มึงเงียบไปเลยไอ้หน้าตุ๊ด”เสียงไอ้แพทเอ่ยตอบกลับมา ไอ้จินก็ไวทายาดมันถอดรองเท้าเขวี้ยงใส่หัวไอ้แพททันที

 

“อย่ามาว่าพี่กูไอ้ปากห้อย ไอ้เปรต ไอ้เสียงเหมือนควายออกลูก”ยังจำวีรกรรมของไอ้จินที่กระทืบยอดอกคนที่มาว่าแฝดพี่มันเป็นตุ๊ดได้มั้ยครับ

 

ตอนนี้ไอ้แพทอาจจะกำลังได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้เมื่อไอ้จินลุกขึ้นทำท่าจะปรี่เข้าไปกระทืบไอ้แพทจริงๆ

 

พี่ข้าใครอย่าแตะ แตะได้ถ้าไม่กลัวปากแตกนั่นคือคติของมัน

 

“เงียบๆกันหน่อยอยากอยู่ยาวหรือไงเสียงร้อยเวรที่อยู่หน้าห้องขังดังเข้ามาเหมือนกรรมการมวยพวกผมรั้งไอ้จินไว้พามันกลับมานั่งสงบสติอารมณ์

 

“จินมึงใจเย็นเดี๋ยวก็โดนอีกกระทงหรอก”

 

“ก็มันว่าพี่กู”

 

“เออกูเห็นแต่ตอนนี้มึงต้องใจเย็นๆก่อนโว๊ย”พวกผมพยายามกล่อมให้มันเย็นลงได้ในที่สุด

 

“จิรนนท์ จิระนันท์ ผู้ปกครองมาประกันตัวแล้ว” ในที่สุดแม่ของไอ้สองแฝดก็มาประกันตัวลูกแฝด มันสองคนหันมามองพวกผมเหมือนว่ายังไม่อยากออกไปก่อนพวกผม

 

“พวกมึงไปกันก่อนไม่ต้องห่วงพวกกู”นั่นแหล่ะมันสองคนถึงได้ยอมออกไป เสียงแม่ของมันดุดังลั่น น่าจะมาแบบโมโหสุดขีด  พวกเรานั่งเงียบๆกันซักพักเสียงเรียกชื่อ โอบนิธิ(ไอ้อิ้งค์) ยงศกร(ไอ้ยิม) ยงวิสุทธิ์(ไอ้ย้ง) มันสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั่นแหล่ะ แม่ๆมันน่าจะรอมาด้วยกัน วีรดนัยคือชื่อถัดไป หูของผมยังได้ยินเสียงเรียกชื่อของไอ้ฝั่งนู้น จนในที่สุดเพื่อนของผมกับเพื่อนของไอ้คินก็ทยอยออกจากห้องขังไปกันหมด เหลือแค่ผมกับมัน

 

“........”

 

“........”

 

เงียบเหงาวังเวงจุงเบย  จากตอนที่เพื่อนยังอยู่ก็ยังคุยกันไม่ให้น้ำลายบูดได้แต่ตอนนี้เหลือผมกับมันนั่งอยู่คนละมุม  เราสองคนต่างก็นั่งกอดเข่าเจ้าจุกรอลุงกับแม่มารับ ในที่สุดประตูห้องขังก็เปิดออก ชื่อของผมกับมันถูกเรียกพร้อมกัน

 

 

จากตอนแรกที่รอคอยตอนนี้พอถึงเวลาที่ตัวเองได้รับการประกันตัวใจของผมกลับหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหิน

 

ผมไม่อยากให้แม่ต้องมาผิดหวังในตัวผมเลยซักนิด  เราสองคนไปเซ็นต์เอกสารต่างๆ ฟังคุณตำรวจให้โอวาทพร้อมกับเสียงของลุงที่เอ่ยขอโทษเจ้าของร้านเป็นร้อยๆครั้งด้วยหวใจที่ละอายสุดชีวิต

 

ลุงยื่นซองใส่เงินค่าเสียหายที่เตรียมมาให้กับเจ้าของร้านหมูกระทะ  มองจากสายตาคร่าวๆยังไงก็เกินสองหมื่น

 

มองแม่ที่นั่งเงียบข้างลุงแล้วผมก็อยากจะลงไปกราบแทบเท้าแม่  แม่ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมาเหมือนแม่คนอื่น  แต่สายตาที่แม่มองมามันทำให้ผมรู้ว่าแม่นั้นทุกข์ใจขนาดไหน

 

“ไปลูกกลับบ้านกัน”เมื่อลุงจัดการปัญหาทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็หันมาเรียกผมสองคนให้ลุกตามไปที่รถ  ผมสองคนเดินตามลุงกับแม่มาที่รถโดยไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากพวกเราทั้งสี่คน ผมกับไอ้คินเข้ามานั่งที่เบาะหลัง หันหน้ามองข้างทางโดยไม่ได้หันมามองกันอีก ลุงกับแม่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเลยซักคน บรรยากาศอึดอัดโอบล้อมเราทั้งหมด

 

“ลุงครับ แม่ครับ  ผมขอโทษที่ทำให้ต้องเดือดร้อนนะครับ”ในที่สุดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรผมจึงเอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจออกไป ผมยกมือไหว้ขอโทษลุงกับแม่อย่างสำนึกผิดจริงๆ

 

“อืม ค่อยพูดกัน”เสียงลุงตอบกลับมาเป็นการตัดบทสนทนา

 

ผมอยากให้ลุงกับแม่ด่าผม ตีผมเหมือนแม่ของเพื่อนๆดีกว่าเงียบกันไปหมดแบบนี้ มันยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจของผมเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณไปอีก

 

ไม่ชอบความรู้สึกอย่างนี้เลยซักนิด

 

 

 

 

ตอนเข้าผมตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน มึนหัวและเจ็บแผลที่มุมปากนิดหน่อย ตามตัวก็ระบมนิดๆแต่ผมก็ทนได้  ผมเก็บที่นอนพับผ้าห่มแล้วเดินลากเท้าลงมาข้างล่าง  กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากในครัว เมื่อเดินตามกลิ่นเข้าไปแม่ของผมก็กำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหาร  ผมเดินเข้าไปสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง จูบแก้มแม่ไปสองฟอดใหญ่  แม่เบี่ยงตัวหนีก่อนจะทำทีเป็นสนใจกับข้าวในหม้อต่อไป เศรษฐพงศ์คนนก 2017

 

“แม่”ผมลองใจกล้าหน้าด้านเรียกแม่ แต่ปฎิกริยาที่ได้รับก็คือแม่ยังทำเมินเฉยราวกับผมเป็นอากาศธาตุ  แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะยอมแพ้ ผมเข้าไปนัวเนียวอแวแม่อีกครั้ง

 

ผมรู้ดีว่าความผิดเมื่อคืนมันค่อนข้างใหญ่ แต่ถ้าผมทำผิดมากๆผมก็อยากให้แม่ดุด่าผมมากกว่าเมินเฉยแบบนี้ มันเหมือนว่าผมนั้นเกินเยียวยาจนแม่ไม่สามารถพูดอะไรตรงๆกับผมได้อีกต่อไป

 

“แม่โกรธผมแม่ก็ดุผมสิครับ”

 

“ออกไป แม่ทำกับข้าวอยู่อย่ามาเกะกะ”นอกจากแม่จะไม่สนใจที่ผมพูดแล้วแม่ยังไล่ผมอีกต่างหาก

 

“เซ็ททำผิดไปแล้วเซ็ทขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวังแต่แม่อย่าโกรธเซ็ทนานเลยนะ เขาบอกว่าถ้าโกรธนานเดี๋ยวหน้าเหี่ยวแก่ก่อนวัยน๊า เนี่ยแม่ของเซ็ทส้วยสวยตัวก็ห๊อมหอมถ้าเหี่ยวไปเสียดายแย่เลย”ผมยังคงกอดแม่อยู่เหมือนลูกหมาที่เฝ้าคลอเคลียเจ้าของ  แม่ถอนหายใจก่อนจะปิดแก๊สแล้วหันมาหาผม  แม่ยกมือขึ้นประคองหน้าของผมไว้ก่อนใช้ปลายนิ้วเกลี่ยตรงจุดที่เป็นรอยช้ำ

 

“แต่เล็กจนโตตั้งแต่ที่พ่อของเซ็ทเสียไปแม่เลี้ยงดูลูกทะนุถนอมคำน้อยก็ไม่เคยพูดให้ลูกต้องเสียใจ ตีซักแปะก็ไม่เคย แม่เลี้ยงลูกดีมากพอหรือยังครับ”

 

“ดีสิครับแม่เลี้ยงเซ็ทให้โตมาได้อย่างดีเลยครับ”

 

“ในเมื่อแม่เลี้ยงลูกมาอย่างดีไม่เคยทำให้ลูกต้องเจ็บแล้วทำไมลูกถึงเอาตัวเองไปทะเลาะต่อยตีกับพี่เค้าล่ะลูก”

 

“แม่ เซ็ทไม่ได้อยากทะเลาะกับมัน...”ผมชะงักปากเมื่อแม่ตวัดสายตามองผมอย่างไม่ชอบใจกับสรรพนามที่ผมใช้เรียกไอ้คิน

 

“เซ็ทไม่ได้อยากทะเลาะกับพี่มันนะแม่ แม่เลี้ยงเซ็ทมาแม่น่าจะรู้ว่าเซ็ทไม่ทำใครก่อน พูดไปก็เหมือนแก้ตัวแต่ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ทะเลาะกันให้แม่รู้ไว้ว่าเซ็ทแค่ป้องกันตัวเอง”

 

“แต่มันมีวิธีหลีกเลี่ยงไม่ใช่เหรอลูก”

 

“เซ็ทพยายามเลี่ยงแล้วแม่ แต่ครั้งนี้เซ็ทโกรธจนขาดสติไปหน่อยก็เลยเอาคืนแรงไปแต่เซ็ทขอโทษมันแล้วคินมันไม่ยอมเรื่องก็เลยเลยเถิดไปจนถึงโรงพัก”

 

“มันก็เสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย  ลุงเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น  มันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอลูกที่จะคุยกันดีๆ เคยลองคุยกับพี่เค้าหรือยังว่าอย่าทำอะไรเซ็ท” ผมถอนหายใจอย่างหนักใจ

 

ไม่...ผมไม่เคยพูดกับไอ้คินเรื่องการกลั่นแกล้งไร้สาระ มันแรงมาผมก็แรงกลับ มันทำอะไรมาผมก็ทำกลับไป  เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้

 

ผมถือคติตาต่อตาฟันต่อฟัน

 

“ตอบแม่ได้มั้ยลูกเคยพูดกับพี่เค้าไปตรงๆบ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่เค้าทำลูกไม่ชอบ”

 

“ไม่เคย  แต่แม่ ถึงพูดไปมันก็ไม่ฟังหรอก เจอกันทีไรด่ากันทุกที”

 

“แล้วต้องอยู่ร่วมกันแบบนี้มีปัญหากันจะมีความสุขได้ยังไง ยอมลงให้พี่เค้าได้มั้ยลูก เขาทำอะไรมาก็ไม่ต้องไปตอบโต้ นานๆไปเดี๋ยวเค้าก็เบื่อไปเอง”

 

“คนอย่างมันมีแต่จะย่ามใจสิแม่”

 

“ลองดูก่อนนะลูกนะไม่เห็นแก่แม่ก็เห็นแก่ลุงณิตเค้าหน่อย อายุเค้ามากแล้วแม่ไม่อยากให้ลุงเค้าเครียด แค่ทำงานทุกวันนี้ก็เหนื่อยจะย่แล้ว อย่าให้ลุงเค้าต้องมาเหนื่อยกับเรื่องในบ้านเลยนะลูกนะ”ผมเงียบไปไม่ได้ตอบรับแม่

 

ในใจของผมมีแต่คำค้านเต็มจนล้น

 

ทำไมผมต้องยอมลงให้กับมัน  ทำไมแม่ต้องให้ผมยอมตลอด

 

“แม่รู้ว่าเซ็ทไม่ชอบใจ แต่ที่แม่ขอให้เซ็ทยอมแม่ไม่ได้ให้เซ็ทรู้สึกว่าเซ็ทแพ้เค้า เรายอมไม่ได้หมายความว่าเราแพ้ เราควบคุมสติตัวเองได้นั่นแปลว่าเราชนะอารมณ์ตัวเอง  ทำให้แม่ได้มั้ยลูก”

 

“เซ็ทไม่รับปากนะแม่ แต่เซ็ทจะพยายามไม่ตอบโต้มันก็แล้วกัน”

 

“ได้ลูก ทำเท่าที่ทำได้แต่ขอให้พยายามดูก่อน แล้วเดี๋ยวทานข้าวเสร็จเซ็ทค่อยไปขอโทษลุงเค้าอีกครั้งนะ”

 

“ได้ครับ”ผมตอบรับคำพูดของแม่ก่อนจะช่วยแม่หยิบจับในครัวจนแม่ทำกับข้าวเสร็จ ผมเก็บล้างอุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อยแล้วก็ช่วยแม่ยกอาหารไปวางบนโต๊ะ เกือบ 9 โมงแล้ว วันนี้เป็นวันที่แม่กับลุงคณิตไปทำงานสายที่สุดเสียงเปิดประตูห้องดังพร้อมกันด้านบนทำให้รู้ว่าลุงคณิตกับไอ้คินตื่นและเตรียมพร้อมลงมากินข้าวแล้ว

 

เราสี่คนกินข้าวกันไปเงียบๆมีเพียงเสียงพูดคุยของลุงกับแม่เกี่ยวกับงานเป็นบางครั้ง จนกระทั่งลุงอิ่มเรียบร้อยแล้วก็หันไปพูดกับไอ้คิน

 

“เอ้อ คิน เดี๋ยวขับรถพาเซ็ทไปเอารถที่ร้านหมูกระทะด้วยนะ”

 

“ทำไมไม่ให้มันโบกวินไปเองล่ะพ่อ”ไอ้คินตอบพ่อของมันแบบไม่มองหน้า มันก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากในขณะที่ผมนั่งข้างแม่ตวัดตามองมันแวบเดียวก็หันมาสนใจข้าวในจานต่อราวกับมีหน้าพี่อั้ม พัชราภาโปรยยิ้มให้ผมอยู่ในนั้น

 

“อย่าทำตัวงี่เง่านะคิน  เรื่องเมื่อคืนเราเป็นคนเริ่มก่อน รถน้องจอดทิ้งไว้ที่ร้านเราก็ต้องรับผิดชอบความผิดของตัวเองบ้าง พ่อไม่ดุไม่ว่าก็เพราะเห็นว่าคินโตแล้วทำอะไรลงไปก็ต้องมีสำนึกบ้างว่าอะไรผิดอะไรถูก ดีเท่าไหร่แล้วที่เรื่องนี้ไม่กระทบถึงวิทยาลัยไม่งั้นจะโดนทัณฑ์บนหรือเปล่าก็ไม่รู้”

 

“แต่มันทำโมเดลคินพังนะพ่อ ใครไม่โกรธก็บ้าแล้ว”ไอ้คินโยนขี้มาทางผม

 

“จริงเหรอเซ็ท? ลูกทำโมเดลพี่เค้าพังจริงๆเหรอ”ลุงหันมาถามผม

 

“จริงครับ ผมเป็นคนพังโมเดลของคินเองครับ”

 

“ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ”ลุงถามผมด้วยสีหน้าค่อนข้างผิดหวัง

 

“เราดูไม่น่าเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนั้น”

 

“ผมแค่โกรธที่โดนคินแกล้งก็เลยไปพังโมเดลจนพังครับ แต่ผมพยายามขอโทษแล้ว”

 

“ขอโทษแล้วงานกูกลับมาดีเหมือนเดิมได้ป่าวล่ะ  ถ้ากูไม่มีพวกไอ้แดนไอ้แพทมาช่วยมึงคิดว่ากูจะมีงานไปส่งอาจารย์มั้ย มึงจะตีกระจกรถกู จะพังเสื้อผ้ากู กูไม่ว่าแต่มึงจะมาทำลายงานของกูแบบนี้ไม่ได้”

 

“มึงก็เลิกหาเรื่องแกล้งกูสิ ครั้งนี้กูทำเกินไปกูก็ขอโทษมึงแล้วไง ถ้าเมื่อคืนมึงฟังกูแล้วมาเคลียร์กันดีๆมันก็ไม่มีปัญหาหรอก”ผมหันกลับไปเถียงมัน แม่พยายามดึงแขนลูบหลังผมอย่างปรามๆ

 

“นี่มึงจะโทษว่าเป็นความผิดของกูเหรอ”ไอ้คินลุกขึ้นยืนชี้หน้าผม

 

“พอๆ นี่ต่อหน้าพ่อนะคิน ทำไมไม่รู้จักโต เรื่องที่คินกับเซ็ททะเลาะกันพ่อรู้ตลอดแต่ที่ไม่พูดอะไรเพราะคิดว่าเด็กผู้ชายทะเลาะกันมันก็ต้องมีบ้าง แต่ทะเลาะกันจนถึงขั้นไปนั่งรอให้พ่อประกันตัวแบบนี้มันใช้ไม่ได้ พ่ออายแค่ไหนรู้มั้ยตอนที่ไปบอกว่าเด็กสองคนในห้องขังนั่นน่ะเป็นลูกพ่อกับแม่ทั้งสองคน พี่น้องตีกันเองรู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

 

“ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่ใช่น้องผม”ไอ้คินเถียงพ่อมันคอเป็นเอ็น กูก็อยากตะโกนแบบมึงเหมือนกันว่ามึงก็ไม่ใช่พี่กูเหมือนกัน แต่สิ่งที่ผมทำคือนั่งเงียบๆ

 

ก็พอจะรู้สันดานมันอยู่หรอกว่าไอ้คินมันเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แต่ไม่คิดว่ามันจะกล้าเถียงพ่อมันฉอดๆขนาดนี้

 

“เอาล่ะๆ คุณพอเถอะค่ะ คินจ๊ะ ที่น้องทำลงไปน้าต้องขอโทษแทนน้องด้วยนะจ๊ะ ต่อไปน้าจะคอยเตือนเซ็ทไม่ให้ทะเลาะกับคินอีกแบบนี้ดีมั้ย จะได้ไม่ต้องตีกันอีก”

 

“ได้แบบนั้นก็ดี”ไอ้คินพูดกับแม่ผมด้วยน้ำเสียงจองหองจนน่าจะเอาส้นตีนตบปากซักที

 

“พูดกับน้าลดาให้มันดีๆหน่อยคิน”

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าให้ถึงกับต้องบังคับใจกันเลยคุณ”เนี่ย แม่ของผมนี่โคตรนางเอกละครช่อง 7 เลย แสนดีอะไรขนาดนี้

 

“ตกลงตามนั้นนะคินพาเซ็ทกลับไปเอารถที่ร้าน พ่อสั่งกระเช้าไว้แล้ว เข้าไปขอโทษเจ้าของร้านเค้าอีกที พูดกับเขาให้ดีๆลดอีโก้ลงบ้างมันไม่เสียศักดิ์ศรีหรอก ผิดก็ต้องยอมรับผิด ผิดก็ต้องรู้สำนึกแล้วแก้ไข นั่นถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายที่แท้จริง เข้าใจมั้ย” ลุงกวาดสายตามองทั้งผมและไอ้คิน ผมรีบรับปากลุงทันทีแต่ไอ้คินมันมองไปทางอื่นซะงั้น

 


เออ กูเข้าใจคนเดียวก็ได้ ไอ้สันขวาน  เห็นแก่ความดีของพ่อมึงหรอกนะ







.........................



อ่าว ดราม่าเช๊ย!!!



ไม่ครับ คินไม่เคยผิดครับ



น่าเอาไม้ดีดปากพี่เค้านะคะ









ไม้หน้าสาม
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 13-11-2018 18:40:47
Boy in luv

#คนแมนคินเซ็ท




เศรษฐพงศ์::
 

แอบมองเธออยู่นะจ๊ะแต่เธอไม่รู้บ้างเลย

แอบส่งตีนให้นิดนิดแต่ดูเธอช่างเฉยเมย

เอาหละเตรียมใจไว้หน่อยมันจะหัวก้อยต้องเสี่ยงตีน

Yeah Yeah Yeah


คนน่ารักก็เยอะนะที่เดินอยู่ทั่วๆไป

แต่คนหล่อล่อตีนกูมีแค่มึงเพียงแค่คนเดียว

เอาหละเตรียมใจไว้เถอะเราคงไอ้แดกตีนกันในอีกซักวัน

Yeah Yeah Yeah


เหมือนว่าฉันนั้นเคว้งคว้างลอยไปตามแรงตีน

ยังคงแจกตีนไม่ห่างไม่ร้างไม่ลา

เพราะไม่รู้ว่าเค้านั้นในใจแอบคิดแผนฆ่ากูหรือไม่

ยังคงกังวลไม่แน่ใจในคำตอบนั้น

เพราะยังไงก็ต้องเสี่ยง(ตีน)ไม่รักก็ต้องเสี่ยง(ตีน)

Come on Come on Come on Come on Sonteen

ให้ส้นตีนของกูทักทายเบาๆที่หน้าของมึง


Sonteen Fortune Cookie

มาลุ้นดูสิอาจจะเจอส้นตีนที่ยังรออยู่

ตีน ตีน ตีน

เผื่อจะดีลองวัดกันดู

เสี่ยงตีนแต่คงต้องยิ้มต้องสู้กันไป

 

 

ผมนั่งร้องเพลงที่คิดเนื้อขึ้นมาใหม่บรรยากาศบนรถเงียบเพลงที่วิทยุเปิดก็คิขุเสียเหลือเกิน จากคุกกี้เสี่ยงทายก็กลายเป็นคุกกี้เสี่ยงตีนไป ในขณะที่ไอ้คินก็ทำหน้าเป็นจวักขับรถไปร้านหมูกะทะ  ผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยตั้งแต่บนโต๊ะอาหาร

 

คนเกลียดขี้หน้ากันอยู่ๆจะมาให้เปิดบทสนทนาระหว่างทางคงไม่ถูกนัก

 

กลัวพูดไปจะด่ากันเสียมากกว่า  ในที่สุดหลังจากทนนั่งน้ำลายบูดมาหลายนาทีไอ้คินก็เลี้ยวรถเข้ามาที่ลานจอดรถของร้านหมูกระทะสังเวียนการต่อสู้แม่ไม้มวยหมู่ของพวกเราเมื่อวาน พนักงานต่างกำลังเตรียมอาหารกันอยู่อย่างขมักเขม่น

 

นึกแล้วเสียดายหมูสามชั้นเตานั้นชิบหาย

 

ไอ้คินจอดรถแล้วหันมามองผมที่กำลังปลดเข็ดขัดนิรภัย

 

            “ยกกระเช้าลงไปด้วย”มันสั่งผมก่อนจะลงจากรถ  ผมขยับปากอวยพรมันแบบไม่ให้มีเสียง

 

            ไอ้เหี้ยใช้กูเป็นขี้ข้าเลย”ถึงผมจะบ่นแต่สุดท้ายผมก็ลงมาเปิดประตูหลังหยิบกระเช้าใบใหญ่ที่มูลค่าหลายพันมาถือไว้  ไอ้คินรีรอไม่ยอมเดินเข้าไปซักที

 

            “มึงรอไรอ่ะ?”ผมหันไปถามมันเมื่อไม่เห็นว่ามันจะเดินซักที

 

“มึงนำเข้าไปก่อน”

 

อ่อไอ้สัดโยนขี้มาให้กูซะงั้น

 

อาการแบบนี้แถวบ้านเรียกว่า

 

“ป๊อดเหรอ?”ผมยักคิ้วข้างเดียวเป็นเชิงท้าทายมัน ไอ้คินเตะหินก้อนเล็กๆที่ปลายเท้าของมันก่อนจะเดินชนไหล่ผมนำเข้าไปในร้าน

 

“หึ...ยั่วง่ายชิบหาย”เอาจริงๆผมนี่แหล่ะที่ป๊อด  ใจนี่ฝ่อยิ่งกว่าถั่วเม็ดลีบๆอีกเลยต้องยั่วให้มันนำเข้าไป

 

บรรดาพนักงานในร้านเมื่อเห็นผมสองคนก็จ้องตาไม่กระพริบ

 

“ผมมาหาเจ้าของร้าน”ไอ้คินบอกกับพนักงานที่ดูจะเป็นหัวหน้า พี่คนนั้นเดินไปหลังร้านแป๊บหนึ่ง พี่เจ้าของร้านที่เจอกันเมื่อคืนที่รงพักก็เดินตามออกมา พวกผมรีบยกมือไหว้

 

“วันนี้ผมแวะเอากระเช้ามามอบให้แล้วก็จะมาขอโทษที่ผมกับ...เอ่อ...กับน้องชายมาทะเลาะกันในร้านของพี่เมื่อคืนทำให้ร้านเกิดความเสียหาย ยังไงพี่กรุณาช่วยรับคำขอโทษจากเราสองคนด้วยนะครับ”ผมถึงกับหูผึ่งกับสรรพนามที่ไอ้คินเรียกผม แต่ยังไม่ทันได้ตะลึงอะไรมากไอ้คินก็ใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของผมให้รีบยื่นกระเช้าให้พี่เจ้าของร้านพลางยกมือไหว้ขอโทษพี่เค้าตามไอ้คินที่กลายร่างเป็นหนุ่มมารยาทงามประจำเมืองกาญจน์ไปซะอย่างนั้น

 

“ไม่เป็นไรไอ้หนุ่ม เห็นแก่พ่อเราที่รับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดเมื่อคืน พ่อบอกเราเป็นพี่น้องกันโกรธกันนิดหน่อย นี่ขนาดนิดหน่อยล่อซะร้านพี่เกือบพัง ยังไงเป็นพี่น้องกันโกรธอะไรกันก็คุยกันดีๆโตแล้วอย่าใช้อารมณ์เยอะใช้เหตุผลให้มากๆนะไอ้หนุ่ม อีกหน่อยไปทำงานร่วมกับคนอื่นหัวร้อนง่ายมีแต่พังกับพัง”ผมยืนฟังการบรรยายพิเศษของเจ้าของร้านหมูกระทะด้วยท่าทางนอบน้อม

 

“ยังไงผมกับ...เอ่อ..พี่ชายต้องขอขอบคุณที่ให้อภัยพวกเรานะครับ งั้นเดี๋ยวพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับจะรีบกลับไปให้ทันเรียนตอนบ่าย” ผมรีบตัดบทเมื่อพี่เค้าทำท่าจะร่ายยาวอีกรอบ พี่เจ้าของร้านอวยพรให้เราโชคดีผมรีบจับแขนไอ้คินให้เดินออกมาจากร้าน พอถึงรถก็ปล่อยแบบไม่ใยดี

 

กลับถึงหอจะเอาแอลกอฮอล์ล้างมือ

 

ยี๊

 

“มึงกับกูแยกกันตรงนี้แล้วกัน”ผมเดินไปหาไอ้แดงลูกรัก  ไอ้คินชูนิ้วกลางให้ผมก่อนจะขึ้นรถขับออกไป

 

แหม...นี่ถ้าไม่ติว่าอยู่ในร้านหมูกระทะที่เพิ่งก่อเรื่องพ่อจะเดินไปกระโดดถีบซักที

 

 

 

คณิณ::

 

ผมขับรถออกจากร้านหมูกระทะ เหลือบตามองกระจกหลังก็เห็นไอ้เซ็ทขับอีแดงลูกรักของมันตามหลังมาก่อนจะแยกเข้าสะพานสุดใจไป

 

ผมกระตุกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ตลกหน้ามันตอนที่ผมเรียกมันว่าน้องชาย หน้ามันเหวออย่างเห็นได้ชัดแถมยังทำจมูกบานอีกต่างหาก

 

แม้เมื่อคืนผมจะตีกับมันแต่เมื่อเช้าผมตื่นเร็วกว่าปกติ  ผมได้กลิ่นหอมของอาหารแต่ก็ไม่ได้จะสนใจอะไรถ้าไม่บังเอิญได้ยินมันคุยกับแม่ของมัน

 

ทัศนคติของน้าลดาเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกดีเล็กน้อย เขาไม่ได้สอนให้ไอ้เซ็ทสู้ผม แต่เขาสอนให้มันรู้จักยอมถอยให้ผม ซึ่งนั่นมันดีมาก มันแสดงให้รู้ว่าน้าลดารู้จักสอนให้ลูกชายของเขาเจียมตัว และคำพูดของน้าลดาที่พูดออกมานั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับพ่อของผมมากแค่ไหน

 

ผมเคยเป็นที่หนึ่งในบ้านมาตลอด เหล่าพี่ป้าน้าอาทั้งฝ่ายแม่ฝ่ายพ่อเอาอกเอาใจผมปานเจ้าชายน้อยมาตั้งแต่แม่ตาย

 

สิ่งที่ดีที่สุดมักจะเป็นของผม ไม่สิ สิ่งที่ดีที่สุดตกเป็นของผมก่อนใครตลอดนอกจากว่าผมจะเบื่อแล้วใช้เท้าเขี่ยให้ใครรับต่อนั่นมันอีกเรื่อง

 

แต่อย่าคิดนะว่าแค่คำพูดไม่กี่ประโยคนั่นจะทำให้ผมใจอ่อนลง  อย่างน้อยช่วงนี้ผมจะพยายามไม่หาเรื่องมันไปก่อนซักระยะหนึ่งก็แล้วกัน แค่เรื่องเมื่อคืนผมก็ทำให้พ่อผิดหวังไปมากโข อีกอย่างตอนนี้ผมมีสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญมากกว่ามาคอยหาเรื่องแกล้งไอ้เซ็ทนั่นคือผมต้องทำปัญหาพิเศษเพื่อเตรียมจบ

 

อาจจะเหงานิดหน่อยแต่หลังจากผมเคลียร์งานเสร็จแล้วรับรองไอ้เซ็ทน่วมแน่

 

ผมยังมีอะไรอยากจะแกล้งมันอีกตั้งเยอะแยะเลย







            เศรษฐพงศ์;;

 

ผมขับไอ้แดงกลับมาที่หอเพื่อแต่งตัวไปเรียนคาบบ่าย เป็นอันว่าผมเสียเวลาเรียนคาบเช้าไปเต็มๆ วันนี้อาจารย์นัดพวกผมไปซ้อมจัดสวนหย่อมเพื่อไปแข่ง อกท.ภาคที่ราชบุรี  เอาสมุดกับกล่องดินสอที่ข้างในอัดแน่นด้วยปากกาเขียนแบบสารพัดเบอร์เรียบร้อยแล้ว เซ็คใบหน้าอีกที มีรอยเขียวๆม่วงราวบลูเบอรี่ขึ้นรานิดหน่อย  หอทั้งแถบเงียบกริบแปลว่าถ้าไอ้พวกนั้นยังไม่กลับก็คงไปเรียนแล้ว แต่ให้เดามันคงรีบชิ่งไม่อยู่ฟังพ่อแม่ด่ากับบ้านแน่ๆ เจ็บหรือปวดเมื่อยเนื้อตัวแค่ไหนพวกมันก็จะกระเสือกกระสนกลับมาหอแล้วอ้างว่ามีเรียนแน่ๆ

 

ผมขับรถเข้าวิทยาลัยไม่ลืมจอดแวะเอาเอ็ม 150 ให้ลุงศักดิ์ยามที่สนิทกันขวดนึง ช่วงบ่ายมีชั่วโมงการจัดสวนของอาจารย์บุตรที่สวนหิน ผมขับรถผ่านชอปช่าง หอชาย คณะสัตว์ บรรยากาศดีจนอดที่จะสูดหายใจลึกๆเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติให้เต็มปอด

 

อ่ะ ไอ้สัด กลิ่นขี้หมู

 

ผมสบถอย่างหัวเสียนิดหน่อยเมื่อลืมไปว่าขับผ่านคอกหมูของคณะสัตว์ศาสตร์อยู่ เมื่อถึงสวนหินหรือชื่อเต็มก็คือสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ก็ลัดเข้าไปยังส่วนของเรือนเพาะชำ บริเวณโดยรอยก็พบกับเพื่อนๆในห้องนั่งกันอยู่ตรงนั้นตรงนี้ประปรายกระจายไปทั่ว ใบไผ่กำลังเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง ต้นไม้บนภูเขาหลังโรงเพาะชำของเรากำลังผลัดใบ  วิทยาลัยของผมมีเนื้อที่สองพันกว่าไร่ครอบคลุมภูเขาเตี้ยๆ 2-3 ลูก เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีให้กับพวกเรา เมื่อปลายฤดูร้อนผ่านไปหน้าฝนมาเยือนเห็ดโคนดอกใหญ่กลายเป็นอาหารอันเลิศรส คือมันอร่อยด้วยตัวมันเอง เอาไปหั่นบางๆต้มกับมาม่า จากมาม่าซองละหกบาทก็กลายเป็นมาม่าจากสรวงสวรรค์ไปในทันที

 

            “ไงมึง เป็นไงมั่ง”ไอ้จีนที่กำลังใช้เท้าเดาะกระดาษที่มันเอาปั้นๆเป็นก้อนกลมๆกับไอ้จินหันมาถามผม

 

            “ไม่ไง แม่ดุนิดหน่อย ค่าเสียหายลุงจ่ายให้ เมื่อเช้าเอากระเช้าไปขอโทษเจ้าของร้านเรื่องก็เลยจบ โชคดีที่ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาหรือชอปไปเลยไม่กระทบถึงวิทยาลัย”

 

            “เออ ดีที่ไม่โดนอะไรมาก กูสองคนกลับบ้านไปโดนแม่ตีไอ้จินโดนสองทีก็โดนสาม”

 

            “เอ่า ทำไมมึงโดนมากกว่าไอ้จินล่ะ”ผมถามอย่างแปลกใจที่แม่มันตีลูกไม่เท่ากัน

 

            “แม่บอกกูเป็นพี่นำน้องไปทำเรื่องเสี่ยงอันตราย  ไอ้สัดเกิดก่อนสามนาทีภาระโคตรยิ่งใหญ่”ไอ้จีนพูดจบก็ตวัดตีนเตะก้อนกระดาษใส่หัวไอ้จิน แล้วไอ้สองแฝดก็ไล่เตะกัน

 

            “เซ็ทๆ”ในขณะที่พวกผมกำลังนั่งหัวเราะไอ้สองแฝดเนยหัวหน้าห้องที่เป็นตัวแทนประกวดธิดา อกท.ของวิทยาลัยก็เดินมาหาผม  ผมหันไปมองด้วยสายตามีคำถาม

 

            “มีไรอ่ะเนย?”

 

            “คือตอนประกวดความสามารถพิเศษเนยจะเต้นลีลาศเซ็ทมาเป็นคู่เต้นให้เนยได้มั้ย”

 

            “เราเนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะคนเยอะ อาย เต้นกับไอ้ปัดดิ่”ผมโบ้ยให้เนยไปเต้นรำกับไอ้ปัดแฟนเนยนั่นแหล่ะ

 

            “ปัดตัวไม่สูงน่ะ ตัวเท่าเราเลย เราอยากได้แบบลุคเจ้าหญิงเจ้าชายในนิยายให้คนดูเคลิ้มไปเลยเซ็ทสูงหน้าตาก็ดีด้วย นะ ช่วยเราหน่อย เพื่อวิทยาลัยของเรา”

 

            “ไอ้จีนก็เต้นเป็นเนยเต้นกับไอ้จีนดีมั้ย”ผมหาตัวช่วย จริงอยู่ว่าผมเต้นลีลาศเป็นแต่จะให้ไปเต้นท่ามกลางสายตาคนเป็นพันผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด

 

            “จีนหน้าหวานอ่ะ ขืนไปเต้นคู่เราเค้าจะนึกว่าคู่เบี้ยนอ่ะสิ่ แทนที่เนยจะได้ตำแหน่งจีนคงได้แทนอ่ะ นะเซ็ทช่วยเราหน่อยนะ”

 

            “แต่เราต้องซ้อมจัดสวนหย่อมนะ”ผมยังหาทางบ่ายเบี่ยง

 

            “ก็ซ้อมระหว่างรอเปลี่ยนคาบกับพักเที่ยงก็ได้ เซ็ทเต้นเป็นอยู่แล้วไม่น่ายากอะไร แค่เต้นให้เข้าขากันก็พอ”เนยยังพยายามรบเร้าผม ซึ่งผมหมดหนทางจะปฏิเสธเมื่อมองสายตาเนยที่ส่งมาอย่างขอร้อง

 

            “อือ...ก็ได้ๆ”ในที่สุดผมก็จำใจรับปากเนยไป จะทำไงได้ล่ะ เนยมันก็เพื่อน ตอนที่ผมส่งกระดาษเปล่าวิชาคำนวณพื้นที่ก็ได้เนยช่วยติวหลักสูตรเร่งรัดให้ คราวนี้มันขอก็ต้องช่วยมันหน่อย พวกผมนั่งเล่นกันอีกพักเสียงรถของอาจารย์บุตรก็ดังใกล้เข้ามาเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพัก

 

คาบนี้พวกเราเรียนการจัดสวนตู้กระจกโดยแบ่งกันเป็นกลุ่มๆละ 4 คน  พวกผมไม่มีปัญหาอะไรกับการต้องแยกกลุ่มกันทำงานอยู่แล้ว อาจารย์เป็นคนกระจายกลุ่มให้ เราใช้เวลทั้งคาบบ่าย 3 ชั่วโมงในการเรียนรู้การออกแบบ การใช้ต้นไม้ให้เหมาะกับสวนตู้กระจก การดูแลรักษา ท้ายคาบเป็นการตรวจสวนตู้กระจก อาจารย์บุตรเป็นคนที่วิจารย์และให้คำแนะนำได้ดี  ใครทำอะไรมากไปหรือน้อยไป บกพร่องตรงไหนอาจารย์จะบอกกับเราตรงจุดนั้นๆว่าควรแก้ไขอย่างไร ซึ่งผมชอบเรียนกับแกครับ

 

            “เออ ไอ้กลุ่มสวนหย่อม 5 โมงเย็นห้ามเลทนะโว้ย จะให้ช่วยกันเดินสายไฟติดสปอร์ตไลท์ ส่วนเนย วี ซ้อมในบ้าน” ผม ไอ้ย้ง ไอ้อิ้งค์ตอบรับอาจารย์โดยพร้อมเพรียงกัน พวกเราทำความเคารพอาจารย์หลังหมดคาบแล้วช่วยกันยกตู้กระจกที่จัดสวนเสร็จไปไว้ในรียงเพาะชำ ทำความสะอาดบริเวรที่เรียนเรียบร้อยแล้วก็ไปล้างไม้ล้างมือแล้วพากันขับรถออกนอกวิทยาลัยไปตลาดนัดที่อยู่ไกลออกไป 2-3 กม. หาซื้อกับข้าวง่ายๆ ไอ้ยิมมันไม่ได้มาด้วยกลับหอไปก่อนเพื่อไปหุงข้าวรอ

 

เราจัดการกับมื้อเย็นที่เราเรียกว่ามื้อรองท้องด้วยความรวดเร็ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เก่าๆหน่อยเพราะกลุ่มผมต้องคลุกขี้ดินกันมากกว่าคนอื่น

 

            “ไอ้วี มึงเอายาทากันยุงไปด้วย กลางคืนยุงแม่งเยอะ”

 

            “เออๆ กูมีสเปร์ตะไคร้หอม เดี๋ยวพกไป”มันว่าก่อนจะรวบรวมจานชามออกไปนั่งล้างหลังบ้านโดยมีไอ้จินไปช่วย

 

            “วีมึงไม่ต้องล้างหรอกเดี๋ยวพวกกูล้างให้”ไอ้จีนตะโกนบอก  พวกผมนั่งคุยกันได้พักหนึ่งเมื่อเห็นว่าใกล้ห้าโมงก็พากันกลับเข้าไปในวิทยาลัยอีกครั้ง บ้านพักของอาจารย์บุตรอยู่ไม่ไกลจากสวนหินนัก เป็นบ้านพักอาจารย์สองชั้นก่ออิฐถือปูน มีเรือนเพาะชำขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวบ้าน อาจารย์ปลูกพวกไม้ประดับขายเป็นอาชีพเสริม บ้านอาจารย์มักจะไม่เคยขาดนักศึกษา พวกเด็กกะเหรี่ยงที่หารายได้พิเศษมักจะมาของานอาจารย์ทำทุกวันหยุด

 

เมื่อพวกผมไปถึงก็เข้าไปทักทายอาจารย์นวลที่เป็นภรรยาของอาจารย์บุตร เนยมาถึงได้ซักพักแล้วเพราะอยู่หอใน ไอ้วีเข้าไปดูอุปกรณ์ที่อาจารย์วางกองๆไว้ให้ไม่เป็นระเบียบนัก ส่วนพวกผมสามคนก็ช่วยอาจารย์กับพี่ๆที่เป็นพนักงานในวิทยาลัยจัดเตรียมสปอร์ตไลท์ที่จะใช้ส่องสว่างให้เราตอนซ้อม ไม่นานก็เสร็จ พวกผมถูกอาจารย์เรียกไปทำความเข้าใจกับกฎกติกาการแข่งขัน

 

            “ในกลุ่มนี้ใครเขียนแบบเก่งสุด เป๊ะสุด”อาจารย์เอ่ยถามพวกเราที่นั่งฟังการอธิบายรูปแบบสวนที่จะจัดคร่าวๆ เรื่องเล่นใหญ่ไว้ใจเราครับ วิทยาลัยผมไม่เคยจัดแบบไม้เบาๆสบายๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน อาจารย์จะให้เราจัดแบบสวนหย่อมที่มีศาลาไว้นั่งเล่นท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้า ไม่พอ ศาลาที่ว่าต้องล้อมรอบด้วยระแนงไม้ ที่มีต้นไม้เกาะพันห้อยตัวลงมาอ่อนช้อยและมุมศาลาต้องมีผ้าม่านผู้ไว้เพื่อความสวยงาม มีอ่างน้ำไหล

 

ครับ  เหล่านั้นที่พูดมาเราต้อองจัดมันให้เสร็จตั้งแต่เตรียมดินเตรียมต้นไม้จนกระทั่งเก็บรายละเอียด รวมทั้งเขียนแบบด้วยภายในเวลา 4 ชั่วโมง

 

ครับ ทั้งหมดต้องเสร็จแบบจริงๆก่อนหมดเวลาอย่างน้อย 20 นาทีเพื่อเก็บรายละเอียด

 

            “ถ้าในพวกผมสามคนไอ้เซ็ทเก่งสุดครับ ส่วนผมประเมินราคาได้”ไอ้ย้งตอบอาจารย์

 

            “โอเคงั้นเศรษฐพงศ์เธอรับหน้าที่เขียนแบบ ส่วนยงวิสุทธิ์เธอประเมินราคา โอบนิธิเธอช่วยยงวิสุทธิ์ตรวจทานห้ามลืมอะไรโดยเด็ดขาดเพราะกรรมการจะเก็บคะแนนทั้งหมด พอส่งแบบเสร็จต้องรีบไปลงมือจัดสวนในที่ของตัวเองทันที ที่ให้มาซ้อมเพราะเวลามันจำกัดยิ่งเธอขยันซ้อมความชำนาญก็จะเพิ่มมากขึ้น วันนี้คงไม่ได้ซ้อมอะไรมากเอาแบบที่ครูเขียนคร่าวๆให้ไปดูแล้วลองเขียนแบบสเกล 1:100 มาให้ครูดู เดี๋ยวช่วยกันเตรียมพื้นที่สำหรับซ้อมตามขนาดที่กำหนดนะ พอเตรียมพื้นที่แล้วพรุ่งนี้ค่อยเตรียมอุปกรณ์โอเคมั้ย”พวกเรารับคำอาจารย์ ผมรับกระดาษที่อาจารย์ร่างแบบคร่าวๆมาใส่กระเป๋าก่อนจะแบกจอบคนละด้ามไปขุดดินหน้าบ้านอาจารย์

 

            “ไอ้สัดดินแม่งแข็งจนจอบแทบเด้งฟาดหน้ากู”ไอ้อิ้งค์บ่นอุบเมื่อเราเหวี่ยงจอบลงดินเสียงดังตั่บ

 

ด้วยสภาพดินติดภูเขาแน่นอนครับ ไอ้เหี้ย หินทั้งนั้นเลย ผมขุดดินเตรียมแปลงจัดสวนกันจนเกือบสองทุ่ม มือเมือแทบพังในที่สุดไอ้วีก็เดินมาบอกให้พวกเราเก็บของเพื่อกลับไปพัก

 

            “เด็กๆ พรุ่งนี้ห้ามเลทนะ”อาจารย์ไม่วายตะโกนมาสำทับพวกเรา

 

            “คร๊าบ”พวกผมรับคำอย่างหนักแน่น

 

            “เดี๋ยวพวกมึงกลับไปก่อนเลยกูขับรถไปส่งเนยที่หน้าหอแล้วตามไป”ผมหันไปบอกไอ้อิ้งค์กับไอ้วีให้กลับไปก่อน ส่วนไอ้ย้งจะเก็บของรอ ผมต้องไปส่งเนยก่อนเพราะหอหญิงอยู่ห่างจากบ้านอาจารย์กิโลกว่าๆ ไม่นานผมก็กลับมารับไอ้ย้งแล้วกลับหอ

 

สรุปคืนนั้นหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายรวดเดียวยั้นเช้า

 


เหนื่อยสัด




..................


ไม่เม้นท์ก็จะลง 5555555555555555555555
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 6 13/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-11-2018 13:25:14
Boy in luv

#คนแมนคินเซ็ท






หงุดหงิด คณิณหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมพักนี้เขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดนัก  อาจจะเป็นเพราะการทำปัญหาพิเศษเครียด แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร แม้จะยากแม้จะโดนอาจารย์สั่งแก้งานจนต้นฉบับมีแต่รอยขีดเขียนเขาก็เชื่อว่าเดี๋ยวมันก็จะสมบูรณ์แบบได้เอง กระดาษดราฟถูกกระชากทิ้งออกจากทีสไลด์แผ่นแล้วแผ่นเล่า

 

ไม่ได้ดั่งใจไปซะทุกสิ่งอย่าง

 

                “แม่ง”ที่สุดคณิณก็ลุกจากโต๊ะเขียนแบบหยิบซองบุหรี่ที่วางไว้โต๊ะข้างเตียงแล้วเปิดประตูระเบียงออกไปนั่งสูบบุหรี่ข้างนอก  มองลงไปที่สวนหน้าบ้านต้นไม้ร่มรื่นผิดจากเมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่เพียงลำพังกับพ่อ ทุกวันหยุดเขามักจะเห็นไอ้เด็กนั่นมันก้มๆเงยรดน้ำพรวนดินถอนหญ้าใส่ปุ๋ยเล็มใบไม้แห้ง บางทีก็เห็นมันขนเอาต้นไม้มาปลูกตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไอ้เด็กนั่นมีหัวด้านการจัดสวนอยู่ไม่น้อย

 

แต่ตอนนี้ภาพชินตานั้นหายไปร่วมสองอาทิตย์แล้ว  เศรษฐพงศ์ไม่กลับมานอนบ้านอีกเลยนับจากวันนั้น นี่มันโกรธเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ

 

คณิณเอาความหงุดหงิดไปลงกับบุหรี่นอกราคาแพงเด็กหนุ่มอัดควันเข้าปอดแบบไม่กลัวมะเร็งจะถามหา นั่งมองพระอาทิตย์สีส้มค่อยๆถูกภูเขาลูกใหญ่กลืนหายไป เมื่อสูบบุหรี่จนพอใจแล้วถูงได้เดินกลับเข้าห้องไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่

 

ทั้งเหนื่อย ทั้งเบื่อ แถมยังรู้สึกเหงาแบบแปลกๆ  คณิณปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า เขาวาดแปลนมาหลายวันแล้วมีบางจุดที่บกพร่องเขาก็แก้จนกว่าจะพอใจไหล่ทั้งสองข้างปวดราวกับมีใครมานั่งทับเพราะความอ่อนเพลียที่สะสมมานานนับสัปดาห์

 

คณิณรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักภายในห้องนอนข้างๆรอยยิ้มที่มุมปากกระตุกขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเองเลยซักนิด คณิณลุกขึ้นนั่งบิดคอไล่ความเมื่อขบก่อนจะย่องออกจากห้อง  ประตูห้องนอนของเศรษฐพงศ์เปิดไว้คณิณเดินไปยืนหน้าประตูก็ต้องพบกับความผิดหวัง

 

                “อ้าวคิน ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่า?”ลดาหันไปมองหน้าประตูห้องเมื่อรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นลูกเลี้ยงจอมเหวี่ยงที่เธอพยายามทำดีด้วยมาตลอด

 

หล่อนเชื่อว่าคณิณไม่ใช่เด็กเลวร้ายอะไรที่ดื้อที่หัวแข็งแบบทุกวันนี้เพราะมีแต่คนรุมรักรุมเอาใจเมื่อก่อนคินเติบโตมาได้จากการไปอยู่บ้านนู้นทีบ้านนี้ทีจนกระทั่งขึ้นชั้น ปวช.โตพอจะดูแลตัวเองได้จึงได้กลับมาอยู่กับพ่ออย่างถาวร แต่ความยุ่งอยู่กับงานทำให้คณิตไม่มีเวลาอยู่กับลูกมากนัก คินโตมาได้เพราะเงินที่พ่อปรนเปรอให้ อยากได้อะไรขอแค่เอ่ยปากบอกพ่อก็จะสนองให้ไม่เคยขาด

 

ข้อนี้หากหล่อนเป็นแม่ของคินหล่อนก็อยากจะดุสามีเหลือเกินว่าคณิตแก้ปัญหาด้วยวิธีตื้นๆ เขาคิดว่าเงินแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่คณิตอาจจะลืมไปว่าความเหงาความว้าเหว่ในใจของเด็กที่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นก็น่ากลัวเกินกว่าอำนาจเงินจะประทานให้ได้

 

คินกลายเป็นเด็กหยาบกระด้างส่วนหนึ่งก็ต้องโทษการอบรมเลี้ยงดูของบรรดาอากงอาม่าที่ตามใจหลานชายกำพร้าจนเสียเด็ก

 

                “หาไรอ่ะ?”คินไม่ได้ตอบคำถามเธอแต่กลับตั้งคำถามกลับ

 

                “เซ็ทโทรมาบอกให้น้าเอาหนังสือการจัดสวนเบื้องต้นกับพวกนิตยสารบ้านและสวนไปให้น่ะค่ะ พอดีน้องซ้อมจัดสวนที่บ้านอาจารย์มาเอาเองไม่ได้”ลดาตอบคำถามก่อนจะรื้อตามลิ้นชัก

 

                “หลบ หาให้ เคยเห็นมันเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า”คณิณว่าพลางถือวิสาสะเดินเข้ามาเปิดตู้เสื้อผ้าของเศรษฐพงศ์ ชั้นด้านบนมีหนังสือวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ หนังสือที่เศรษฐพงศ์ต้องซื้อใหม่ยกชุดเพราะของเดิมเขาเป็นคนเอามาเผาเล่นนั่นเอง

 

                “ขอบใจมากเลยนะจ๊ะ ว่าแต่คินทานข้าวหรือยัง น้าทำกับข้าวแบ่งไว้ให้แล้วนะเดี๋ยวน้าจะเอาของกินไปฝากน้องที่วิทยาลัยคินทานได้เลยนะคะไม่ต้องรอ”

 

                “แล้วไม่ไปงานเลี้ยงกับพ่อเหรอ?”คณิณจำได้ว่าวันนี้พ่อต้องไปงานแต่งลูกของคู่ค้าคนสำคัญ

 

                “น้องจะรีบใช้น่ะค่ะ โทรมาบ่นด้วยว่าไม่มีเวลาออกไปหาซื้ออะไรกินเลย เบื่อกับข้าวแถวนั้น สงสารน้องไม่อยากให้อด”

 

                “งั้นน้าไปกับพ่อเถอะเดี๋ยวผมเอาของไปให้มันเอง”

 

ลดาว่าคณิณอาจจะกำลังเมาขี้ตาแน่ๆ

 

                “เอ่อ จะดีเหรอคะ?”

 

                “เอาตามนี้แหล่ะ ให้พ่อไปคนเดียวคนนู้นคนนี้มาชวนดื่มเดี๋ยวเมาขับรถกลับบ้านไม่ไหว”คณิณว่าพลางฉวยหนังสือในมือของลดามาถือไว้

 

                “แต่งตัวแป๊บ จะฝากอะไรให้มันก็เอามาเตรียมไว้”คณิณว่าจบก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปเมื่อลงมาด้านล่างขนมนมเนยที่คนเป็นแม่เตรียมไว้ให้ลูกชายก็ถูกนำมาวางรวมไว้บนโต๊ะ

 

                “ถุงนี้เป็นแกงส้มหน่อไม้ดองนะคะบอกน้องว่าถ้ายังไม่กินให้แช่ตู้เย็นไว้จะกินค่อยเอาออกมาอุ่น แล้วพวกนี้เป็นหมูฝอยน้องอยากกิน ไก่รวนหมูหวานกับเนื้อแดดเดียวกินได้นานไม่ต้องแช่ตู้ น้าทำไว้เยอะแบ่งเพื่อนๆกิน พวกขนมนี้ด้วย”





 

                คณิณ::

 

ผมมองบรรดาอาหารคาวหวานที่น้าลดาเตรียมไว้ให้ไอ้เซ็ทด้วยความทึ่งจัด ผู้หญิงตัวเล็กๆสามารถเตรียมของมากมายขนาดนี้ได้ยังไง นี่เตรียมให้ลูกกินหรือจะเอาไปเลี้ยงเด็กกำพร้าตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากันแน่ ปริมาณมันโคตรเยอะเลย

 

                “น้องกินจุน่ะค่ะ ยิ่งเวลาเหนื่อยหรือหิวจะกินเยอะกว่าปกติ เพื่อนๆน้องก็ซ้อมหนักกันทุกคน”และเหมือนน้าลดาจะอ่านความคิดผ่านสายตาของผมออกเจ้าตัวเลยแก้ต่างแทนลูกชายสุดที่รักให้ ผมพยักหน้ารับก่อนจะรวบถุงสารพัดถุงมาถือโดยน้าลดาก็หิ้วบางส่วนตามมา ท้ายรถถูกเปิดบรรดาของกินถูกลำเลียงมาใส่จนเต็ม

 

                “แล้วก็ถ้าน้องพูดจาให้โมโหคินช่วยใจเย็นๆนะคะ อย่าถือสาน้องเลย”



 

                “ผมเอาของไปให้มันไม่ได้จะไปชวนทะเลาะ น้ารีบไปหาพ่อเถอะ”ผมว่าก่อนจะเปิดประตูรถให้น้าลดาขึ้นไปนั่ง ผมแวะส่งน้าลดาไปที่งานเลี้ยงก่อนแล้วถึงวกกลับมาในเมือง แวะจอดที่ตลาดโต้รุ่งซื้อของกินเล่นเพิ่มอีก 4-5 อย่าง แล้วมุ่งหน้าไปที่หอของไอ้เซ็ท ผมขับรถขึ้นมาบนสะพานสมเด็จพระสังฆราช เลี้ยวขวาทางโรงเรียนศึกษาพิเศษผ่านสุสานทหารสัมพันธมิตรตรงเขาช่องไก่ อีกที่ๆไม่ใช่ในตัวเมืองขับไปเรื่อยๆจนถึงเขาปูน พอพ้นเขาปูนไฟฟ้าที่เคยส่องสว่างกลับมืดลงเรื่อยๆทางขึ้นเขาปูนนั้นยิ่งน่ากลัวเพราะเป็นทางที่ตัดกลางถูเขาสองข้างทางเป็นป่าด้านบนเป็นวัดที่สร้างเมรุไว้หน้าวัดพอขับขึ้นมาเหมือนเรากำลังมุ่งหน้าเขาเมรุแปลกๆ



 

แล้วคิดดูไอ้เซ็ทเคยขับรถไปกลับตอนดึกๆด้วยอีแดงของมัน ไม่กลัวโดนดักปล้นเหรอวะ สองข้างทางมีแต่ป่าขนาดนี้ ผมขับมาอีกราวๆ 15 นาทีก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าหอของมัน เห็นพวกมันกำลังนั่งเหมือนหมาหอบอยู่หน้าหอผมแกล้งสาดไฟสูงใส่มัน ไอ้เซ็ทยกมือขึ้นบังสายตาก่อนจะเพ่งมองมาที่รถของผม คิ้วมันขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เป็นภาพที่ผมชอบที่จะเห็น เมื่อมันแน่ใจแล้วว่ารถที่จอดด้านหน้าคือรถของผมมันก็เดินปรี่มาเคาะกระจกข้างผม ผมลดกระจกลงโดยไม่มองหน้ามัน

 

 

                “มาทำเหี้ยอะไร?”



 

                “เอาข้าวมาเลี้ยงหมาเห็นว่าหิวโซ อยู่ท้ายรถ”ผมตอบกลับไปก่อนจะเปิดท้ายรถให้มัน



 

                “ไอ้ส้นตีน ทำไมแม่กูไม่มาเอง”



 

                “จะแดกไม่แดกถ้าไม่ขนลงกูกลับแล้วนะ”





 

                “แดก!!”













 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

                หงุดหงิด

 

เซ็ง กินข้าวฝืดคอ

 

 

15 นาทีที่แล้ว

 

                “อ่าว พวกกูขนของเสร็จแล้วมึงกลับไปได้ล่ะ” ผมปิดท้ายรถมันเมื่อพวกเรามาช่วยกันขนของที่แม่ฝากมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไอ้คินโน้มตัวเข้าไปในรถก่อนจะหยิบหนังสือหนาๆ 4-5 เล่ม ที่บอกให้แม่เอามาให้ยื่นให้ผม

 

                “กูอุตส่าห์ขับรถเอาของมาให้มึง”อยู่ๆมันก็พูดลอยๆออกมา

 

                “ห๊ะ??”ผมหันไปร้องห๊ะใส่มัน

 

                “ไกลชิบหาย เปลี่ยวก็เปลี่ยว”

 

                “จะสื่ออะไรของมึง?”

 

                “ตั้งแต่เที่ยงข้าวก็ยังไม่ได้แดก”

 

                “อ๊าวมึงก็รีบๆกลับไปแดกที่บ้านสิ”

 

                “กูคงเป็นลมก่อนถึงบ้าน”

 

                “มึงถึกอย่างกับควายไม่เป็นลมง่ายๆหรอกกูรู้”

 

                “ที่บ้านไม่มีอะไรแดกแล้วแม่มึงเล่นตักมาไม่เหลือให้กูแดกเลย”

 

                “มึงก็ไปซื้อกินดิ่”

 

                “ดึกป่านนี้ใครจะมาขายให้”

 

                “มาม่าก็มีมึงก็แดกๆไปก่อน”

 

                “คนเราน่ะมารยาทไม่มีไม่เท่าไหร่แต่ไม่มีน้ำใจนี่มึงคนไทยป่าววะ”

 

                “อ่ะไอ้สัดจะแดกก็ตามมารำคาญทำเป็นอ้างนู่นอ้างนี่”

 

นั่นแหล่ะครับผมจำใจต้องยอมให้แขกไม่ได้รับเชิญและไม่คิดจะเชิญให้เข้ามาในห้องของผม ไอ้ยิม ไอ้ย้ง ไอ้วี ไอ้อิ้งค์ สองแฝดที่กำลังกุลีกุจอเตรียมกับข้าวถึงกับมองอย่างไม่เข้าใจ

 

                “ไอ้เซ็ทมึงให้มันเข้ามาทำไมวะ?”เป็นไอ้ยิมที่กำลังตักข้าวแจกเอ่ยถาม ไอ้คินปรายตามองอย่างไม่สนใจ

 

                “เออ ให้มันแดกด้วยที่บ้านไม่มีกับข้าวเหลืออยู่แล้วมันบอกว่าแม่ตักมาให้กูหมด”ผมอธิบายให้เพื่อนฟังคร่าวๆก่อนจะนั่งจุมปุกลงกับพื้นที่มีกับข้าวรายล้อม

 

                “อ่าว ไม่นั่งอ่ะ ลืมเอาตูดมาเหรอ?”ผมกันไปถามไอ้คนที่ยืนคอแข็งไม่ยอมนั่งลงมาซักที

 

                “นี่พวกมึงนั่งกินข้าวกับพื้นเหรอ ไหนโต๊ะวางอาหารล่ะ?”มันเอ่ยถามราวกับเจอสิงมหัศจรรย์ของโลก

 

                “โอ๊ย คุณชายมาจากไหนวะ ใครๆเขาก็นั่งแดกข้าวกับพื้นกันทั้งนั้นนี่หอไม่ใช่ภัตตาคารถึงจะต้องมีโต๊ะหรูๆ”ไอ้จีนเอ่ยออกมาอย่างรำคาญ

 

                “เออ พวกกูก็นั่งแดกข้าวกันแบบนี้ทุกวันไม่เห็นตาย แดกได้ก็แดก แดกไม่ได้ก็กลับบ้านไป”ไอ้อิ้งค์สวนขึ้นราวคอหอยกับลูกกระเดือก ไม่ถึงอึดใจไอ้คินก็นั่งปุกลงข้างๆผม

 

                “ขยับหน่อยสิวะ กูอึดอัด” ผมบอกพวกเพื่อนๆให้ขยายวงเมื่อขาของพวกผมเกยจนแทบจะขี่กัน

 

                “จะขยับห่าอะไรหอแม่งแคบแค่นี้ กูจะขึ้นไปนั่งตักไอ้ย้งอยู่แล้ว”ไอ้วีมันบ่นเมื่อวงของพวกเราขยายใหญ่จนสุดพื้นที่แล้ว

 

                “งั้นนั่งตามยาวมั้ย”ผมเสนอ

 

                “ตามยาวห่าอะไรตักกับข้าวไม่ถนัด”ไอ้ย้งว่า

 

                “เอาเหอะรีบๆแดก จะห้าทุ่มอยู่แล้วยังไม่ได้แดกซักที กูทั้งหิวทั้งง่วงแล้ว”ไอ้จีนมันตัดบท จานข้าวถูกแจกจ่ายให้พวกเราทุกคนรวมทั้งไอ้กาฝากนี่ด้วย

 

                “มึงมีน้ำมั้ย”ไอ้คินที่นั่งข้างผมเอ่ยถาม ผมหันไปมองมันหน้าเน่อมันแดงจัดยั้นลำคอ ปากเจ่อแดงไปหมด มันสูดปากทำหน้าแย่มาก

 

                “เป็นไร?”

 

                “แกงส้มแม่มึงเผ็ดมาก”มันว่าพลางพยักหน้าไปที่แกงส้ม

 

                “อ่ะไอ้สัดแดกเผ็ดไม่ได้แล้วจะแดกทำไม เดือดร้อนกูอีก ไอ้วีมึงนั่งติดตู้เย็นหยิบน้ำให้มันขวดดิ๊”

 

                “อ่ะ ภาระกูอีก”ไอ้วีค้อนขวับมาให้ไม่รู้ว่าค้อนผมหรือค้อนไอ้เหี้ยคินที่นั่งเก็กหน้าเต็มที่ไม่ให้แสดงความเผ็ดออกมา ผมก็ลืมไปว่ามันกินเผ็ดไม่ได้ อารมณ์ดีใจที่ได้กินแกงส้มหน่อไม้ดองฝีมือแม่เลยลืมทันไปซะสนิทเพราะผมชอบอาหารรสจัดยิ่งแกงส้มกินแกล้มกับปลาเค็มทอดนี่อร่อยจนวูบอ่ะ จมูกผมบานจนเพื่อนๆแซวเลย กว่าจะรู้ว่ามันแดกแกงส้มไปแล้วก็ตอนที่มันเรียกนี่แหล่ะ มันรับขวดน้ำที่วียื่นมาให้อย่างลืมฟอร์มเปิดขวดได้ก็กรอกอั่กๆเข้าปาก

 

                “เอ้าแดกนี่”ผมโยนหมูหวานใส่จานให้มัน

 

                “กินไม่ได้ก็อย่าฝืนกินปวดท้องขี้แตกขึ้นมาจะมาโทษแม่กูว่าทำให้มึงป่วย”ผมตักไก่รวน หมูทอดใส่จานให้มัน มันนั่งกินข้าวต่ออย่างเงียบๆส่วนพวกผมนั่งคุยกันเรื่องแข่งที่ราชบุรี จนกระทั่งพวกเราอิ่มข้าวมันยกน้ำขวดที่ผมกินเหลือกระดกตบท้ายส่วนน้ำของมันน่ะแดกหมดตั้งแต่ที่เผ็ดแกงส้มแล้ว

 

                “อิ่มแล้วก็กลับไปได้แล้วกูจะนอนแล้ว เหนื่อย”ผมไล่มันอย่างไม่อ้อมค้อม ไอ้คินมันลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปโดยไม่อิดออดอีก

 

เออสงสัยแม่งหิวจริงแดกเสร็จแล้วไปเลย

 

                “กูว่าไอ้เหี้ยนี่แม่งเมา”ไอ้จีนว่าหลังจากท้ายรถของไอ้คินออกพ้นบริเวณหอไป

 

                “นั่นสิ ทุกทีเจอหน้ากันต้องหาเรื่องด่าหาเรื่องทะเลาะกับมึงวันนี้มานั่งแดกข้าวด้วยกันเฉย”

 

                “มันกลัวพวกเราป่าววะแบบมาคนเดียวไม่กล้าเปรี้ยวตีนไรเงี๊ยะ”ไอ้ย้งมันสันนิษฐาน

 

                “กูว่าไม่หรอก เราก็เคยเจอมันเวลามันไปห้างคนเดียวมันยังด่าพวกเราอยู่เลยกูว่าแม่งกินยาลืมเขย่าขวด อาจจะปวดท้องเลยจะกินยาธาตุแต่เสือกหยิบกรัมมอคโซนมากิน”

 

                “พวกมึงเลิกพูดถึงมันเหอะไปอาบน้ำอาบท่านอนเถอะรุ่งนี้มีเรียนเช้า ร่างกูจะสลายแทนพี่ตูนที่วิ่งจากใต้ไปเหนืออีก”ผมตัดบทพวกมันที่เริ่มออกอ่าวไทยไปเรื่อยๆ

 

                “เออๆแยกๆห้องใครห้องมัน”นั่นแหล่ะพวกเราถึงได้แยกย้ายกันไปนอนห้องตัวเอง

 

 

                คณิณ::

 

ผมกลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่มครึ่งพ่อกับน้าลดายังคงไม่ถึงบ้าน ผมเดินผ่านห้องครัว บรรดากับข้าวสารพัดอย่างถูกใส่จานวางไว้มีฝาชีครอบเพราะน้าลดาคิดว่าผมจะรีบกลับมากิน ผมหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะเดินเหวี่ยงกุญแจรถเล่นขึ้นห้องไป

 

อาบน้ำอาบท่าจนรู้สึกสดชื่นผมก็มานั่งประจำโต๊ะเขียนแบบแล้วเริ่มวาดแบบต่อ น่าแปลกที่ตอนนี้สมองผมลื่นมากเขียนได้คล่องราวกับไอ้กระดาษดราฟที่ปาทิ้งไว้เกลื่อนห้องไม่ใช่เรื่องจริง พ่อกับน้าลดากลับมาถึงบ้านตอนเที่ยงคืนกว่า เสียงคุยกันเบาๆผ่านห้องของผมไปแล้วก็เงียบสนิทในเวลาไม่นานเป็นอันว่าพ่อผมกลับบ้านอย่างปลอดภัยและเข้านอนแล้ว ผมนั่งทำงานถึงตีสามก็เป็นอันเลิก แปรงฟันอีกรอบทาครีมก่อนนอนแล้วก็หลับรวดเดียวยั้นเช้า เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมงัวเงียตื่น มองนาฬิกาแล้วให้หงุดหงิดเล็กน้อย

 

7 โมงครึ่ง ไม่ควรเป็นเวลาที่ผมตื่นผมเดินขยี้ผมไปเปิดประตูห้อง น้าลดายืนยิ้มเจื่อนๆอยู่หน้าห้อง

 

                “ยังไม่ตื่นเหรอคะ น้าขอโทษด้วยแต่น้าเห็นว่ากับข้าวบนโต๊ะไม่พร่องลงเลยคินไม่ได้กินข้าวเหรอคะ น้ามาตามลงไปกินข้าวพร้อมพ่อน่ะ”

 

                “แป๊บนะขอล้างหน้าก่อนบอกพ่อให้กินไปก่อนเลยไม่ต้องรอ”

 

                “ได้ค่ะ ว่าแต่ทำไมไม่ทานข้าวล่ะคะ น้าเก็บแต่ของไม่เผ็ดไว้ให้หรือไม่ชอบ”

 

                “ไปกินที่หอกับไอ้เซ็ทก็อร่อยดี”ผมว่าก่อนจะปิดประตูห้องใส่หน้าน้าลดา



............................................
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 7 17/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 18-11-2018 13:52:35


ตอนที่ 8


                คณิณ::

 

ผมขับรถเข้ามาจอดแล้วรีบเดินฝ่าแดดที่ร้อนปานขุมนรกไปที่คณะ พวกไอ้แดนนั่งคุยกันบ้างก็นั่งดูแบบที่เขียนไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปัญหาพิเศษนี่มันปัญหาพิเศษสมชื่อจริงๆครับ

 

                “ไงมึง เมื่อคืนไปไหนมาวะ กูไปที่บ้านแม่งไม่มีใครอยู่โทรไปก็ไม่รับโทรศัพท์มีไว้ทำไมวะ”

 

                “มีไว้ให้หมาถาม”ผมตอบอย่างไม่ใส่นัก ไอ้แดนชูนิ้วกลางให้ผมเป็นรางวัลที่ตอบคำถามได้ดี

 

                “แล้วตกลงเมื่อคืนมึงไปไหนมากูจะเอาเล่มไปให้ดูแม่งไม่มีใครอยู่บ้านเลย”

 

                “ไม่เสือกดิ่”เป็นอีกครั้งที่ไอ้แดนชูนิ้วกลางให้ผม ผมนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์แบมือรับเล่มที่ไอ้แดนมันเอาไปรับผิดชอบตรวจดูเทียบกับเล่มที่แล้ว

 

                “กูว่าโอเคแล้ว ตรงที่อาจารย์สั่งแก้ก็แก้หมดแล้ว เดี๋ยวบ่ายๆค่อยเอาไปให้แกดู”ผมยื่นกระบอกแบบให้ไอ้แดน คาบเช้าไม่มีอะไรมากตอนเที่ยงเราจึงยกขโมงกันไปหาอะไรกินที่ห้างใกล้วิทยาลัยเป็นห้างใหม่เปิดได้ไม่กี่ปี

 

                “วันนี้กูอยากว่ายทวนน้ำ”ไอ้แพรมันว่าก่อนทำท่ากระดุ๊กกระดิ๊ก

 

                “เหี้ยอะไรของมึง?”ไอ้แพทมันถามกลับอย่างสงสัย

 

                “นอกจากสูงมึงมีอะไรดีมั่งไอ้แพท ความโง่เนี่ยเอามาเยอะๆไอ้แพรมันเอานิ้วจิ้มหน้าไอ้แพท ใจจริงมันคงอยากจิ้มหน้าผากแต่ไอ้แพทก็เสือกสูงเกิน ผมว่าผมสูงแล้วมันสูงกว่าผมอีก

 

                “มึงจะแดกแซลมอนว่างั้น?”ผมหันไปถามไอ้แพร

 

                “เออ นี่ ดูคุณคณิณเป็นตัวอย่าง หล่อแล้วฉลาดสมเป็นสมบัติของชาติ นอกจากหล่อ รวย แล้วยังฉลาด”

 

                “อ่ะ อวย อวยเหมือนเป็นเมียไอ้คินเลยนะมึง”

 

                “ถ้าเป็นเมียมันแล้วก็ได้สมบัติครึ่งหนึ่งของมันกูก็ยอม”

 

                “มึงถามกูยังว่ากูอยากได้มึงมั้ย?”ผมผลักหัวไอ้แพรที่ทำหน้าระรื่น ที่สุดเราก็เลือกที่จะตามใจมันเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น อาหารเรียงรายเต็มโต๊ะถูกสวาปามโดยผู้ชาย 5 คน ก็หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว

 

                “เออไอ้ว่านงานมึงอ่ะเสร็จยัง อย่าให้ช้านะเดี๋ยวไม่ผ่านขึ้นมาจะหนาว”ไอ้แพทหันไปถามไอ้ว่านที่นั่งเล็มผักในจานที่เหลือกิน

 

                “เออน่า ไม่ต้องห่วงกูหรอก”

 

                “ไม่ห่วงได้ไง มึงแม่งชอบดองงาน จริงๆมึงทำแปลนให้เสร็จ เนี่ยเดี๋ยวพวกกูว่างไปช่วยทำเล่ม”ไอ้แพรเสนอ เพราะไอ้ว่านไอ้คู่กับคนนอกกลุ่ม แล้วมันกับคู่ของมันเป็นคนเอื่อยเฉื่อยทั้งคู่ทำให้พวกผมห่วงมันที่สุด

 

                “เออๆกูก็ทำแบบอยู่ ส่วนไอ้เตอร์ทำเล่ม”

 

                “แล้วมึงขอดูบ้างหรือเปล่าว่ามันทำถึงไหนแล้ว เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวอย่าทำเป็นเล่นนะมึง ไม่จบเอานะ เดี๋ยวต้องส่งเกรดขอโควตาเข้ามหาลัยด้วย กูอยากให้มึงไปกับพวกกูนะเว้ย”

 

                “เบื่อหน้ากูบ้างก็ได้ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ม.ต้น”มันว่าอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนทำให้พวกผมนี่คันตีนยึกๆ ขณะที่กำลังด่ามันเหมือนพ่ออบรมลูกชายสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นช็อปสีเทาอมฟ้าคุ้นๆตาเดินผ่านไป

 

                                “พวกมึงเดี๋ยวกูมา”

 

 

คณิณไม่รอให้เพื่อนๆถามร่างสูงปากระดาษทิชชู่ทิ้งลงบนโต๊ะแล้วสาวเท้าออกจากร้านไปทันที ดวงตาคมกวาดมองไปยังทิศทางที่เห็นใครบางคนแวบๆเมื่อครู่ ไม่นานบรรดาเด็กหนุ่มในชอปสีเทาอมฟ้าก็ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง คณิณกระตุกยิ้มเมื่อเจอร่างของคนที่คุ้นเคยกำลังก้มๆเงยๆเลือกของในร้านทุกอย่าง 60 บาท อยู่ แต่คราวนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มของเศรษฐพงศ์เท่านั้นยังมีนักศึกษาที่ใส่ชอปสีเขียวและชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นอาจารย์ กลุ่มของเศรษฐพงศ์เดินตามอาจารย์ไปตลอดจนคณิณไม่มีโอกาสได้เข้าไปหาเรื่องเศรษฐพงศ์ได้เลย

 

“ฝากไว้ก่อนเถอะ”คณิณหมุนตัวกลับไปทางเดิม

 

วันนี้ทางไม่สะดวกอีกอย่างเขาใส่ชอปของวิทยาลัย ถ้าเข้าไปหาเรื่องตอนนี้มีแต่เสียกับเสีย

 

“มึงไปไหนมาวะ?”แดนธรรมถามเมื่อคณิณกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม

 

“เยี่ยว”

 

“อ๊าวไปไม่บอก”จิณณวัตรร้องใส่คณิณเสียงสูง อันที่จริงเจ้าตัวก็ปวดฉี่อยู่แล้วแต่ยังห่วงกินอยู่กะว่าจะชวนเพื่อนๆไปเข้าหลังจ่ายเงินเสร็จแล้วแท้ๆแต่คณิณดันหนีไปเข้าห้องน้ำคนเดียวซะนี่

 

“มึงจะตามไปประคองเจี๊ยวกูหรือไง?”

 

“แหม!!! ไอ้ยิ่งใหญ่!!! กูแค่จะไปเยี่ยวด้วย”

 

“ถึงมึงอยากจับกูก็ไม่ให้มึงจับหรอก”เป็นอีกครั้งที่คณิณได้นิ้วกลางเป็นรางวัลแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ พวกเขาคบกันมานานจนเกินกว่าจะมาใส่ใจคำด่าเล็กๆน้อยๆพวกนี้แล้ว เมื่ออาหารบนโต๊ะหมดลงคณิณก็เรียกพนักงานมาคิดเงิน เป็นปกติที่ชายหนุ่มจะเป็นคนออกเงินจ่ายก่อนแล้วค่อยมาหารกันทีหลัง หลังออกจากร้านแล้ว

 

แม้จะเสียดายที่เจอเศรษฐพงศ์แล้วแตไม่สามารถเข้าไปพูดจาหาเรื่องเหมือนที่เคยทำได้แต่คณิณกลับรู้สึกอารมณ์ดีจนทำให้การเรียนคาบบ่ายไม่รู้สึกน่าเบื่ออีกต่อไป

 

เขาเองก็บอกความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะตลอดปีกว่าที่ผ่านมาเขาแกล้งไอ้เด็กนั่นจนติดเป็นนิสัย แค่นึกแผนแกล้งให้มันโกรธเขาก็สนุกแล้วแม้ว่าผลลัพท์เป็นเขาเองที่เสียหายมากกว่าแต่คณิณก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย

 

เขามีเงินเหลือกินเหลือใช้จนคิดว่าอย่างน้อยสิ่งที่เสียไปในช่วงนี้แค่ซื้อประสบการณ์ให้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น หากอายุมากไปกว่านี้ก็คงมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ได้แล้ว

 

“เย็นนี้ไปบ้านมึงหรือบ้านกู?”แดนธรรมหามาถามคณิณที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าเป้หลังคาบบ่ายอันน่าเบื่อจบลง

 

“บ้านกู”

 

 







คณิณ::

 

ผมขับรถนำไอ้แดนมุ่งกลับมาที่บ้าน พลันสายตาก็มองเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังขมักเขม้นกับการประกอบอะไรซักอย่างที่สนามหน้าบ้าน

 

ไอ้แดนขับรถมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน สายตามันจับจ้องไปที่ไอ้กลุ่มๆก้อนๆพวกนั้นเช่นเดียวกับผม

 

“ไอ้คินน้องชายสุดที่รักมึงมาว่ะ”

 

“น้องพ่อมึงสิ”ผมหันไปด่ามัน แต่ไม่รู้ทำไมมุมปากของผมมันกลับกระตุกยิ้มเองซะอย่างนั้น

 

สาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากจะยิ้มเลยซักนิด









 

คณิณเดินผ่านพวกของเศรษฐพงศ์ราวกับคนพวกนั้นเป็นอากาศธาตุ แดนธรรมเองเมื่อเห็นเพื่อนไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกของเศรษฐพงศ์อีก แม้ว่าจิรนันท์จะหันมาเบะปากใส่ก็ตาม สองหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน บนโต๊ะมีกระติกน้ำแข็งวางอยู่

 

                “มึงขึ้นไปก่อนเดี๋ยวกูตามไป”คณิณหันไปบอกแดนธรรมที่เดินตามหลังมาติดๆก่อนจะยื่นกุญแจห้องไปให้แดนธรรมรับแล้วเดินขึ้นห้องของคณิณไปอย่างคุ้นชิน บ้านหลังนี้พวกเขาทั้งกลุ่มเข้านอกออกในมาตั้งแต่อยู่ ม.ต้นแล้ว

 

คณิณเดินเขาม้าในครัวก่อนจะกวาดตาหาของบางอย่างกระติกน้ำร้อนถูกเสียบทิ้งไว้ เมื่อเจอของที่ต้องการแล้วรอยยิ้มร้ายก็ผุดขึ้นทันที

 

               

เศรษฐพงศ์::

 

ตอนนี้พวกผมมารวมตัวกันที่บ้านหลังจากแยกกับอาจารย์ เรากำลังช่วยกันต่อระแนงไม้ที่จะเอาไว้ประดับในสวนหย่อมที่ผมจะไปแข่ง ไอ้จีนกับไอ้จินช่วยกันทาสี ไอ้อิ้งค์กำลังใช้เชือกพันประดับปลายเสาไม้ไอ้ย้งกับผมช่วยกันตอกตะปู อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวเดาว่าอีกวันสองวันฝนคงตกลงมาแน่ๆ

 

                “หิวน้ำหว่ะ ไอ้เซ็ทไปยกน้ำให้กินหน่อย”ไอ้จีนหันมาสั่งผม แก้มมันแดงปลั่ง อากาศร้อนทำให้มันหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ผมวางค้อนในมือ ลงแล้วเดินกลับเข้ามาในบ้านผมกระพือคอเสื้อไปมาไล่อากาศร้อน คอแห้งผากราวกับกินทรายเข้าไป ผมเปิดกระติกน้ำก่อนใช้แก้วพลาสติกที่คว่ำอยู่บนฝากระติกจ้วงน้ำมาเต็มแล้วดื่มอย่างหิวกระหาย

 

พรวด!!!!

 

ผมพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปอึกใหญ่ราวช้างพ่นน้ำ  เสียงหัวเราะดังจากข้างบนบ้าน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นปลายเสื้อชอปแว๊บๆแล้วตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องดังปังใหญ่

 

“ไอ้เหี้ยคิน!!!!”ผมตะโกนเรียกไอ้ตัวการณ์ที่ทำให้ผมถึงขั้นกับไอค่อกแค่กในตอนนี้

 

แม่ง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนผมแดกน้ำที่นำเข้ามาจากทะเลทั่วทั้งโลก

 

ไอ้สันดาน นิดๆหน่อยๆ ก็เอาอ่ะ ในหัวมันนี่คงมีแต่เรื่องที่ว่าจะแกล้งผมยังไงแน่ๆ

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท น้ำน่ะกูแดกวันนี้นะ ไม่ได้แดกพรุ่งนี้ นี่มึงไปโพงน้ำจากบ่อบาดาลหรือไงถึงนานแท้”เสียงไอ้จีนตะโกนเข้ามาในบ้าน ผมสบถอย่างหัวเสียก่อนจะหิ้วกระติกน้ำเข้าไปเททิ้งที่ซิ้งค์ล้างจาน  บนโต๊ะในครัวมีถุงเกลือป่นวางอยู่นับสิบถุง

 

ไอ้คนเลว ไอ้สันดานไม่ดี ไอ้ชั่ว ผมกร่นด่ามันซ้ำๆในขณะที่ล้างกระติก โชคดีที่น้ำแข็งยูนิตยังเหลืออีกถุง ผมทุบแล้วเทมันลงไป น้ำเป๊ปซี่ขวดลิตรที่ซื้อมาแช่ติดตู้ไว้ประจำเพราะผมติดน้ำอัดลมถูกเทลงไปก่อนจะหิ้วไปให้ไอ้พวกที่ทำงานอยู่ข้างนอก

 

                “ใช้ให้ไปเอาน้ำแค่นี้หายไปเป็นชาติ”ไอ้จีนมันบ่นไม่เลิก มันน่าหิ้วน้ำเกลือกระติกเมื่อกี๊มาให้แดกจริงๆ พอเห็นกระติกน้ำก็เหมือนอุปทานหมู เพื่อนๆของผมกรูกันเข้ามาไอ้จีนแม้จะหิวแค่ไหนมันก็เสียสละตักน้ำให้ไอ้จินกินก่อน ผมไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ของมันสองคนจริงๆ บางทีก็ตีกันแทบตาย อย่างวันก่อนไอ้จีนนึกคึกอย่างเป็นนักบอล ไอ้จินมันเก่งบอลอยู่แล้วเลยสอนให้ พอโหม่งที ก็แหกปากร้องว่าเจ็บ พอไอ้แฝดน้องโยนบอลให้ใช้อกรับก็บ่นว่าจุก ทีเด็ดคือไอ้จินนึกยังไงไม่รู้เตะบอลป๊าบ เข้ากลางเป้าไอ้จีนถึงขั้นจุกจนตัวงอ จุกจนต้องร้องขอชีวิต พอหายจุกหายเจ็บกล่องดวงใจไม่บุบสลายไอ้จินที่ยืนหัวเราะร่าก็ต้องเป็นฝ่ายวิ่งหนีลูกเตะพายุหมูแทนครับ คุณอ่านไม่ผิดครับ ลูกเตะพายุหมูจริงๆ ไอ้แฝดสองคนนี่มันแข่งกันตัวตันครับ บ้าพลังทั้งคู่ด้วย

 

                “แม่กูบอกว่าเย็นนี้ให้อยู่รอกินข้าว แม่จะกลับมาทำกับข้าวให้กิน เดี๋ยวก็คงใกล้มาแล้ว”ผมบอกกับเพื่อนๆ ไอ้พวกนี้แหกปากร้องเฮดังลั่นอย่างกับเชียร์บอล ไม่นานรถยนต์ของแม่ก็แล่นเข้ามาในบ้าน

 

                “เอ้าหนุ่มๆมาช่วยแม่ยกของลงหน่อยเร็ว ใครว่างพอจะวางมือได้มาช่วยแม่ทำกับข้าวซักคนสองคนจะดีมาก”แม่กวักมือเรียกให้พวกผมไปขนของท้ายรถลง

 

                “งั้นเดี๋ยวให้จินช่วยก็ได้แม่”ไอ้จินรับอาสาส่วนอีกคนคงเป็นใครไม่ได้นอกจากผม ในบรรดาพวกเราก็มีแค่ผม ไอ้จิน ไอ้วี ที่พอจะทำกับข้าวเป็น เสียดายที่วันนี้ไอ้ยิมต้องไปช่วยอาจารย์ลงต้นไม้ ไอ้ยิมมันเก่งเรื่องทำกับข้าว บรรดาอาหารสดถูกวางลงบนโต๊ะในครัว ดีนะที่ผมเก็บถุงเกลือทิ้งไปเรียบร้อยแล้วแม่จึงไม่รู้ว่าไอ้ลูกเลี้ยงคนดีของแม่มันแกล้งดาวพระศุกร์อีกแล้วค่ะคุณแม่ขา

 

ผมจัดการล้างผักตามที่แม่สั่ง ผ้ากันเปื้อนถูกยื่นให้ผมกับไอ้จิน ส่วนคนอื่นๆยังคงทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อไป

 

                “แม่ทำแกงป่าซักชามได้ป่าว เซ็ทอยากกินแกงป่า”ผมเสนอเมนูพิเศษให้แม่เมื่อเห็นว่ากับข้าวที่แม่ทำมีแต่จืดๆ แกงจืดเต้าหู้อ่อนหมูสับ ไข่เจียว ผัดผักรวมมิตร แถมมีหมูทอดของโปรดไอ้คินอีกจานเบ้อเริ่ม

 

                “เดี๋ยวแม่ดูมะเขือเหลืองกับกะเพราก่อนนะลูกว่ามีมั้ย” แม่วางมือจากการปรุงต้มจืดแล้วรื้อของในตู้เย็น

 

                “โอเค เดี๋ยวแม่ทำให้นะ ว่าแต่เพื่อนๆกินเผ็ดได้ใช่มั้ย?”

 

                “กินได้แม่ ใส่ไปเลยพวกผมจกส้มตำปูปลาร้าพริกสิบเม็ดแทบทุกวัน”ไอ้จินมันตอบกลับหน้าระรื่น ในที่สุดอาหารหลายอย่างก็ถูกทยอยมาวางบนโต๊ะพอดีกับที่รถของลุงแล่นกลับมาจอดในบ้าน

 

                “วันนี้ลุงเขากลับเร็วน่ะ เห็นบอกดีใจเซ็ทกลับบ้านไม่ได้เจอนานลุงเขาคิดถึง”แม่บอกผมอย่างอารมณ์ดีพลางเดินไปรับลุงที่หน้าบ้าน พวกเพื่อนๆผมต่างยกมือไหว้ลุงอย่างมีมารยาท

 

                “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะคุณแล้วค่อยมาทานข้าว อาหารเพิ่งเสร็จยังร้อนๆ”

 

                “แล้วนี่คินกลับมาแล้วใช่มั้ยเห็นรถจอดอยู่”

 

                “กลับมาแล้วครับ มากับเพื่อน”ผมตอบคำถามเมื่อลุงหันมาถามผม

 

                “งั้นเดี๋ยวเซ็ทช่วยไปตามคินมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทีเถอะ เรียกเพื่อนๆเข้ามาได้เลยกินหลายๆคนสนุกดี”ลุงวานให้ผมไปตามไอ้เหี้ยคิน ผมนี่อยากจะแย้งลุงแต่แม่ก็หันมาพยักหน้าให้ผม

 

                “ก็ได้ครับ”ที่สุดผมก็ต้องยอมรับปากอย่างเสียมิได้ ผมลากขาอันแสนหนักอึ้งขึ้นมาหยุดยืนที่หน้าห้องของมัน เสียงมันกับไอ้แดนคุยกัน น่าจะเกี่ยวกับรื่องเรียนเพราะดูมีสาระดังออกมาแว่วๆ ผมใช้มือเคาะประตูห้องอันที่จริงอยากใช้ตีนซักพักประตูห้องของมันก็เปิด ไอ้คินทำสีหน้าเรียบนิ่งราวกับรำคาญผมเสียเต็มประดา

 

                “มีไร?”

 

                “แดกข้าว!!”ผมพูดจบก็ไม่รอคำตอบเดินลงส้นตึงๆลงมาข้างล่าง

 

                “เซ็ตไปเตรียมแก้วเตรียมน้ำมาวางบนโต๊ะทีลูก เอ้าเด็กๆนั่งเลยจ้า”แม่กวักมือเรียกพวกเพื่อนๆของผมที่ล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยให้มานั่งเรียงกันที่โต๊ะ

 

                “กูไม่นั่งตรงนี้”ไอ้จีนโวยวายเมื่อเก้าอี้ที่เหลือเป็นของมันซึ่งเป็นที่นั่งติดกับไอ้แดน ฝ่ายนั้นทำหน้าเหมือนจะถามว่านั่งข้างกูแล้วมันเป็นยังไง

 

                “ไอ้ย้งมึงแลกที่นั่งกับกู”ไอ้จีนหันไปเรียกไอ้ย้งที่นั่งริมสุด

 

                “ไม่เอา กูก็ไม่อยากนั่งใกล้มัน”

 

                “งั้นไอ้อิ้งค์มึงมา”มันยังไม่เลิกหาเหยื่อ

 

                “จะแดกมั้ยข้าว?”ไอ้คินเอ่ยถามอย่างรำคาญก่อนที่มันจะลุกขึ้นยืน

 

                “ไอ้แดนมึงมานั่งที่กู ส่วนมึงไอ้อ้วนไปนั่งที่ไอ้เซ็ท ไอ้เซ็ทมึงมานั่งนี่ จะได้จบๆปัญหาไปเร็วๆก่อนพ่อกูกับแม่มึงจะมา”ผมที่กำลังรินน้ำแจกเพื่อนๆถึงกับชักสีหน้าทันที

 

ทำไมกูต้องไปนั่งใกล้มึงด้วยอ่ะ?

 

                “เออไอ้เซ็ทมึงไปนั่งคั่นมันไว้ กูไม่อยากจะอยู่ใกล้มัน”ไอ้จีนรีบเออออห่อหมกไปกับไอ้คิน

 

                “เออๆกูนั่งก็ได้ รอกูแป๊บน้ำหมด”น้ำในเหยื่อกหมดก่อนที่จะถึงแก้วของไอ้คินผมถือเหยือกน้ำติดมือเข้าครัว ก่อนความคิดบางอย่างจะแวบเข้ามาในหัว ผมเดินกลับไปที่โต๊ะก่อนจะหยิบแก้วของไอ้คินกับไอ้แดนขึ้นมา

 

                “เทใส่แก้วมาเลยแล้วกันจะได้ไม่ต้องวางเหยือกเกะกะ”ไม่นานผมก็วางแก้วน้ำให้ไอ้แดนกับไอ้คิน ลุงที่ล้างหน้าล้างตาลงมาจากห้องก็มานั่งประจำที่ๆหัวโต๊ะพลางเชื้อเชิญให้พวกผมลงมือกินข้าวได้เลย พวกเรากินไปตอบคำถามของลุงไป ลุงถามเรื่องการแข่งขของพวกผมเช่นใครแข่งอะไรทำอะไรบ้างแล้วก็หันไปถามเรื่องงานคู่ของไอ้คินกับไอ้แดน ผมก็เพลิดเพลินกับแกงป่ารสเด็ด อารามรีบกินจนเกินไปทำให้ผมสำลัก ผมคว้าแก้วน้ำใกล้มือขึ้นมาดื่มก่อนจะรีบตะครุบปากของตัวเองไว้

 

                “อ่าวเป็นอะไรเหรอลูก?” แม่ถามเมื่อเห็นผมทำตาเหลือก ผมรีบลุกจากเก้าอี้มองหน้าไอ้คินที่ส่งยิ้มจนเหงือกบานมาให้ผม

 

                “สำลักเหรอ กินน้ำเยอะๆสิ แหมเย็นเจี๊ยบจนแก้วขึ้นไอชื่นใจน่าดู”ผมรีบยกมือเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะรีบพุ่งไปห้องน้ำแล้วคายทั้งข้าวทั้งน้ำที่เค็มปี๋ลงในโถส้วม

 

                “ไอ้เหี้นคิน แอบเปลี่ยนแก้วกูตอนไหนวะไอ้สัดเอ้ย”

 

คุณเคยได้ยินคำพระคำนี้มั้ยครับ  ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

 

ผมแค่จะแก้แค้นที่ไอ้คินเอาน้ำเกลือใส่กระติกน้ำให้ผมกิน ผมแค่ผสมน้ำเกลือในแก้วให้มัน แล้วมันรู้ทันได้ยังไงวะ??

 

 

 


 

 

 

 

                ......................



โอ๊ะโอ น้องกลับบ้าน



น้องกลับบ้าน



น้องกลับบ้านนนนนนนนน





ดับเบิ้ลคิล!!



ยกนี้คนพี่ชนะแบบใสสะอาดอิอิ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 8 18/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 19-11-2018 19:30:58

Boy in luv 9



เศรษฐพงศ์::             
 

 

หลังอาหารมื้อเย็นก็เป็นเวลาทุ่มกว่า รถของวิทยาลัยก็ยังไม่มารับเราซักที ผมโทรไปเช็คกับอาจารย์ก็ได้ความว่ารถที่จะมารับเสีย

 

            “อ่าว ไอ้ห่าต้องรีบกลับไปทำรายงานด้วยป่าววะ”ไอ้จีนบ่นอุบหลังจากรู้ว่ารถที่มารับพวกเราเสียละอาจจะต้องซ่อมนาน

 

            “จะต้องกลับคืนนี้เลยเหรอลูก?”แม่ถามผมเมื่อเห็นพวกเราเริ่มออกอาการหงุดหงิด

 

            “ใช่แม่ มีรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้เช้า พวกเซ็ทยังทำไม่เสร็จเลย ซ้อมหนักทุกวัน”

 

            “ทำไงดี วันนี้แม่กับลุงเอารถกลับมาแค่คันเดียว”แม่มีสีหน้ากังวล

 

            “ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวให้พวกไอ้ยิมมารับ”

 

            “ป่านนี้มันยังซ้อมไม่เสร็จหรอกพวกไอ้ยิมเลิกสามทุ่ม”

 

            “เออ แล้วลุงแม่งแทนที่รถเสียจะโทรมาบอกก่อนนี่ถ้ามึงไม่โทรไปไม่รอแหง่กเลยเหรอวะ?”ไอ้จินที่ปกติอารมณ์เย็นกว่าแฝดพี่มันโวยวายขึ้นมาบ้าง

 

รายงานวิชานี้เป็นรายงานของอาจารย์เดชที่ค่อนข้างจะลำเอียงกับกลุ่มผมเล็กน้อย((มาก)) ถ้าไม่ส่งถึงขั้นเกรอเหลือ 0 ได้ง่ายๆ ยืนยันจากเทอมที่แล้วที่ผมลืมส่งงานแค่งานเดียวจาก 3.5 เหลือ 0 แบบสวยๆกลมๆ

 

            “ลุก”อยู่ๆไอ้คินที่ดินมาจากไหนก็ไม่รู้ก็มาบอกให้ผมลุก

 

            “เก้าอี้มีเยอะแยะมึง...เอ่อ  พี่ก็เลือกนั่งซักตัวดิ่”ผมรีบเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกไอ้คินทันควันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลุงยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้

 

            “กูให้พวกมึงลุก กูกับไอ้แดนจะไปส่ง”

 

            “หืม?” เสียงไอ้แดนร้องหื๊มแบบแปลกใจก่อนจะตอบรับ

 

            “เออ จะไปส่ง รีบๆลุกกูก็มีงานทำเหมือนกัน”

 

 

            คณิณ::

 

ผมยังคงวางสีหน้าบึ้งตึงจนเมื่อยคิ้วตามเดิม ไอ้แดนที่เหมือนจะเข้าใจอะไรง่ายรีบรับลูกต่อจากผมแบบแทบไม่ต้องคิดอะไรมาก ไอ้เด็กพวกนั้นมองหน้ากันพลางใช้สายตาสื่อสารกันเงียบๆ

 

ไอ้สองแฝดนั้นจ้องไอ้เซ็ทเขม็งประมาณว่า

 

            “กูไม่ไปกับพวกมัน”

 

            “เอาไง จะรีบไปทำรายงานไม่ใช่เหรอ ไม่ไปกูกับไอ้แดนจะได้ไป”ผมหันไปกดดันพวกมัน

 

            “เซ็ทกับเพื่อนๆก็ให้พี่เค้าไปส่งเถอะลูก รถของวิทยาลัยจะเสร็จเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ดีกว่ารอแบบไม่มีจุดหมายแบบนี้”แม่ของมันสนับสนุนข้อเสนอของผม

 

            “ก็ได้”ที่สุดมันก็ยอมตกลง ผมเดินนำพวกมันมาที่รถ พวกมันเดินตามมาแบบอิดออด

 

            “ใครจะไปคันไหนบ้างอ่ะ”ผมหหันไปถามเพื่อนๆ

 

            “กูไม่อยากไปซักคัน”เสียงไอ้แฝดตัวอ้วนๆขาวๆมันพูด ไอ้จีนใช่มั้ย เพราะไอ้ตัวคล้ำกว่าชื่อไอ้จิน

 

            “กูก็ไม่อยากไปมั้ยล่ะ”ไอ้เซ็ทหันไปโวยวายกับเพื่อนมัน ผมกับไอ้แดนกดปลดล็อครถพวกมันก็ยังเถียงกันไม่จบ

 

            “ไอ้แดนมึงเอาไอ้สองแฝนกับไอ้คนนั้นไปนะ ไอ้เซ็ทมึงมากับกูไอ้ย้งมึงมาคันนี้”ผมจัดแจงแบ่งคนให้แยกไปคนละคัน

 

            “ทำไมกูต้องเอาไอ้แฝดนรกนี่ไปด้วยวะ”ไอ้แดนถามผมอย่างประท้วง

 

            “มันพูดมากกูหนวกหู”

 

            “ไอ้เหี้ย”ไอ้จีนอวยพรอวยชัยให้ผม ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ

 

            “เออ มึง ทนๆนั่งไปเหอะ กูอยากกลับไปทำรายงานแล้ว เดี๋ยวเดชแดกหัว”ในที่สุดหลังจากเถียงกันอีกสองสามคำไอ้คนชื่ออิ้งค์ก็ตัดปัญหา

 

            “มึงมานั่งหน้ากับกูไอ้สองแฝดนรกไปนั่งหลังแล้วเงียบๆด้วย มึงพูดมากกูรำคาญเดี๋ยวเสียสมาธิขับรถไอ้แดนจัดที่นั่งให้คันของมันเสร็จสรรพ ส่วนไอ้เซ็ทเดินไปเปิดประตูหลังเตรียมเข้าไปนั่งกับไอ้ย้ง ผมมองมันอย่างเคืองๆ

 

            “มึงมานั่งหน้ากับกูไอ้เซ็ทกูไม่ใช่คนขับรถของมึงนะไอ้เหี้ย”

 

            “อ่าวกูอยากนั่งกับเพื่อนกู”มันเถียงครับ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อถอนความหงุดหงิด

 

ทำไมไอ้เด็กเหี้ยนี่มันต้องดื้อต้องต่อต้านผมไปทุกสิ่งอย่าง ผมกระแทกประตูฝั่งตัวเองปิดก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งมันแล้วลากมันออกมา

 

            “โอ๊ยไอ้เหี้ยคิน อะไรของมึงเนี่ย”มันโวยวายขืนตัวจะไม่ยอมมานั่งหน้าจนผมต้องชี้หน้าคาดโทษมันอีกคน

 

            “ถ้ามึงไม่ยอมนั่งเฉยๆคืนนี้มึงก็ไม่ต้องกลับ”

 

            “ไอ้เซ็ทมึงก็นั่งๆไปเถอะ กูอยากกลับหอแล้ว”ไอ้ย้งมันบีบไหล่ไอ้เซ็ทไว้ทำให้ไอ้เด็กเวรนั่นยอมนั่งนิ่งๆได้ซักที

 

            “มึงนี่ก็พิลึกคนนะไอ้คิน เกลียดกูจะเป็นจะตายแต่เสือกมาวอแวกูจัง”

 

 

 

คณิณที่กำลังสตาร์ทรถถึงกับชะงักกึกกับคำพูดประโยคนั้นของเศรษฐพงศ์ เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าเลือกที่จะเมินหน้าหนีเขาไปอีกทางแบบที่ชอบทำเวลาจำใจต้องนั่งรถไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมา

 

นั่นสิ...ทั้งๆที่เขาเกลียดแสนเกลียดไอ้เกเลวตรงหน้านี่แต่เวลามันหายไปเขาก็หงุดหงิด  พอมันกลับมาเขาก็ดีใจ  ดีใจในที่นี้ก็เหมือนเสือที่เจอเหยื่อเหมือนแมววัยเปรียวที่ชอบตบเหยื่อให้วิ่งไปทางนู้นทีวิ่งไปทางนี้ทีจนหัวหมุน

 

            “ใครบอกมึงว่ากูวอแวมึง ที่กูไปส่งก็เพราะพวกมึงคุยกันเสียงดังถ้ายังไม่กลับเดี๋ยวพ่อกูก็นั่งแหกขี้ตาอยู่คุยด้วยแทนที่พ่อกูกับแม่มึงจะได้พักผ่อน”

 

            “อ่อ ทำตัวเป็นลูกกตัญญูว่างั้น”

 

            “แล้วมึงคิดว่ากูทำไปทำไม คิดว่ากูชอบมึงเหรอ”คณิณแกล้งหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ยงวิสุทธิ์นั่งทำตัวให้ลีบที่สุด

 

            “นึกซะว่ากูเป็นไรฝุ่นไปก็แล้วกันนะ”เด็กหนุ่มที่นั่งคนเดียวที่เบาะหลังคิดในใจ

 

            “แล้วมึงชอบกูป่าววะ”เศรษฐพงศ์ผู้ไม่เคยยอมลดราวาศอกให้หันกลับไปถามอย่างคนอวดดี

 

            “กูเกลียดมึงยังกับอะไรดี คิดว่ากูจะชอบมึงลงมั้ยล่ะ” ทั้งๆที่พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินเต็มสองหูเศรษฐพงศ์ก็รู้สึกจุกๆในอก

 

ทำไมวะ ทั้งๆที่เขาทำดีทุกอย่างแล้ว ไม่เคยหาเรื่องคนปากหมานี่ก่อนเลยซํกครั้งแต่เขายังคงได้รับความเกลียดชังอย่างสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

ไม่ต้องมาชอบหรือมาญาติดีกันก็ได้ แค่อย่ามาหาเรื่องกันของง่ายๆแค่นี้คณิณยังทำไม่ได้ซักนิด

 

            “เงียบทำไม? ไม่ปากดีเถียงกูต่อเหรอ”

 

            “ไม่ล่ะ เปลืองน้ำลาย กูไม่อยากพูดกับคนที่เกลียดกูและกูก็เกลียดมึงเหมือนกัน”

 

ตอนแรกคณิณคิดพียงแค่จะพูดให้เศรษฐพงศ์โกรธแต่ตอนนี้กลายเป็นตัวเขาเองที่โกรธจนควันแทบจะออกหูอยู่แล้ว ร่างสูงรีบขับรถไปหอของเศรษฐพงศ์ อีก 20 นาทีต่อมารถยนต์คันหรูก็มาจอดหน้าหอ ยงวิสุทธิ์กับเศรษฐพงศ์เปิดประตูรถลงมาโดยไม่หันไปขอบคุณคนที่มาส่งซักคำ ส่วนคณิณเองก็ออกรถไปอย่างรวดเร็วจนแดนธรรมที่เพิ่งจะตามมาติดๆได้แต่บ่นตามหลัง

 

            “ขับรถอะไรของมึงเนี่ย ขับอย่างกับเหาะ” ชายหนุ่มจอดรถให้สองแฝดและโอบนิธิลง จิรนนันท์กับจิรนนท์เดินเข้าหอไปโดยไม่คิดจะเอ่ยคำขอบคุณ โอบนิธิที่กำลังจะเดินตามไปวกกลับมาเปิดประตูรถแล้วโน้มตัวลงมาพูดกับเขาเป็นประโยคแรก

 

            “ขอบใจ” จากนั้นประตูรถก็ปิดลงอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงที่เดินตามสองแฝดกลับเข้าหอไป

 

            “ตอนไม่ตีกันมันก็ดีนี่หว่า ทำไมไอ้คินชอบยุให้พวกกูตีกับพวกมึงแท้วะ กูงง”









 

 

 

            หลังจากวันที่ไปทำระแนงไม้ที่บ้านแล้วอีกสองวันต่อมาเศรษฐพงศ์กับพาเพื่อนๆไปขนของกลับมาไว้ที่วิทยาลัย โชคดีที่วันนั้นคณิณไม่อยู่บ้านอาจจะเพราะมีตารางเรียนมันเลยทำให้เศรษฐพงศ์ไม่ต้องมาอารมณ์เสียจากการถูกกลั่นแกล้งหรือปะทะคารมกัน เมื่อขึ้นมาเอาของบนห้องก็ไม่มีร่องรอยของการรื้อค้นหรือมีสิ่งใดบุบสลายมันเลยทำให้เด็กหนุ่มอารมณ์ดีไปทั้งวัน

 

อาจจะเป็นเพราะคณิณกำลังคร่ำเคร่งกับการส่งปัญญาพิเศษช่วงโค้งสุดท้ายก่อนพรีเซ้นต์จึงทำให้ไม่มีเวลามากลั่นแกล้งเขา เด็กหนุ่มเอาของที่ขนมาไปเก็บไว้ที่บ้านอาจารย์ก่อนจะกลับมาที่อาคารอเนกประสงค์ที่เนยรออยู่ก่อนแล้ว การซ้อมลีลาศถูกจัดขึ้นทุกวันช่วงคาบว่างหรือช่วงพักเที่ยง มีอาจารย์มาคอยดูแลบ้างเป็นครั้งคราว ที่ที่มาทุกวันไม่เคยขาดคือปฐพีแฟนหนุ่มของเนย

 

ก่อนการเริ่มซ้อมจะเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนเศรษฐพงศ์พูดกับปฐพีว่า

 

            “ห้ามมาหึงอะไรปัญญาอ่อนกับกูนะมึง”

 

            “เออน่าเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรน่า”

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

วันแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าสวนทางกับฝีมือของทีมทั้งสามคนที่ชำนาญขึ้นเรื่อยๆสองอาทิตย์ก่อนแข่งการจับเวลาของอาจารย์บอกจำนวนเวลาที่เขาใช้น้อยกว่าที่ผ่านๆมา

 

            “ดีมาก เนี่ยวันนี้พวกเธอใช้เวลาทั้งหมดในการจัดสวนแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง วันแข่งจริงเอาให้ได้อย่างนี้นะ แล้วเดี๋ยวก่อนวันแข่งซัก 3 วันครูจะพาไปซื้อต้นไม้ที่จตุจักรกับบ้านอาจารย์วสุ”พวกผมยิ้มกันอย่างดีใจ เวลาเกือบสองเดือนที่ซ้อมกันมามันไม่เสียเปล่าเลยซักนิด ในที่สุดวันนี้เราก็ได้กลับหอเร็วกว่าเดิมเกือบชั่วโมง

 

            “พวกมึงๆ รอก่อน” ไอ้จีนร้องเรียกขณะที่เรากำลังจะขับอ้อมเสากั้นรั้ว

 

            “อะไรวะ”ไอ้ยิมที่เบรกรถกะทันหันเพราะเสียงเรียกของไอ้จีนหันไปถามอย่างหงุดหงิด คือถ้าแม่งเรียกช้ากว่านี้สองวิไอ้ยิมชนแผงกั้นแน่ๆ

 

            “แวะแป๊บกูจะไปไหว้พระพิรุณ”พวกผมหันรถวกไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นที่ปะทับของพระพิรุณสิ่งศักดิ์ของพวกเราชาวเกษตร

 

            “อารมณ์ไหนของมึงวะ?”ผมหันไปถามไอ้จีนที่กำลังนั่งคุกเข่ายกมือพนมแล้วทำปากขมุบขมิบ มันหันมามองตาเขียวประมาณว่าผมกำลังกวนใจมันที่กำลังสวดคาถาใส่พระพิรุณ

 

            “กูมาบนท่านขอให้พวกเราติดอันดับไป อกท.ชาติกันทุกคน”หลังจากมันบริกรรมคาถาของมันไปซักพักมันก็ยกมือไหว้เหนือหัวทีหนึ่งแล้วหันมาตอบพวกผม พวกเรารีบยกมือไหว้ลาท่าน((ซึ่งก็ไม่รู้จะลาทำไม))แล้วขับรถกลับหอ ไม่ได้ติดใจสงสัยถามไถ่ว่ามันบนอะไรไว้บ้าง  ก็คงไม่พ้นผลไม้ หัวหมู ไข่ต้มแบบเบสิคๆทั่วๆไปนั่นแหล่ะ

 

ผมกลับมาถึงหอก็จัดการรวบรวมเสื้อผ้าใส่แล้ว วันนี้ไหนๆก็พอจะมีเวลาก็เลยเอาผ้าในตะกร้าไปปั่นหน้าหอ หยิบโทรศัพท์ไปกะว่าจะนั่งเล่นเกมส์ระหว่างรอผ้าเพราะขี้เกียจเดินไปเดินมา ระหว่างที่กำลังจะเข้าเกมส์อยู่ๆก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา เป็นเบอร์ไม่คุ้นเคย ผมกดรับแล้วเสียงที่ได้ยินมาครั้งแรกคือเสียงผู้หญิงร้องไห้ ผมรีบดึงโทรศัพท์มาดูเผื่อเป็นคนรู้จักแต่ก็ยังไม่คุ้นเบอร์อยู่ดี

 

            “ฮึก....ไม่เลิกกันได้มั้ย?”ปลายสายเอ่ยประโยดถัดมาหลังจากเสียงสะอื้นครั้งแรก

 

            “เอิร์นทำอะไรผิดอ่ะ ทำไมถึงบอกเลิกเอิร์น เอิร์นเสียใจนะ ถ้าไม่มีปุ้มเอิร์นอยู่ไม่ได้หรอก เอิร์นไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้วเหมือนกัน”ปลายสายยังคงไม่รู้ตัวว่าอาจจะกำลังต่อสายผิด

 

            “เอ่อ...ขอโทษนะครับ โทรผิดหรือเปล่าครับ?”ในที่สุดผมก็ตัดสินใจตอบกลับทางฝั่งนั้น เสียงสะอื้นชะงักไปก่อนที่เสียงอู้อี้ของผู้หญิงคนเดิมจะตอบกลับมา

 

            “ขอโทษนะคะ...ฮึก...ไม่ทันดูให้ดี”

 

            “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ใจเย็นๆนะครับ อย่าคิดสั้นซะล่ะ”ผมอดไม่ได้ที่จะปลอบเธอ ท่าทางจะอกหักแล้วไอ้ประโยคที่ว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีอีกฝ่ายนี่อยากจะขอซื้อแล้วเตะลงแม่น้ำแควน้อยไปเลย

 

 

 

 

            “เรา...เราคิดอะไรไม่ออกแล้ว เรางง เราทำอะไรผิดเหรอทำไมเขามาบอกเลิกเราล่ะ”เหมือนคนปลายสายจะหาที่ระบาย หญิงสาวไม่ได้วางสายอย่างที่ควรจะทำแต่กลับตั้งคำถามกลับมา เศรษฐพงศ์มีสีหน้าลำบากใจ เกิดมา 18 ปี เขาเองยังไม่เคยมีความรักซักครั้ง อยู่ๆก็ถูกใครที่ไหนไม่รู้มาตั้งคำถามปลายเปิดแบบนี้ก็เล่นเอาเขาไปไม่เป็นเหมือนกัน  ไอ้ครั้นจะตัดสายทิ้งก็ดูจะใจร้ายเกินไป เด็กหนุ่มนั่งฟังหญิงสาวคนนั้นระบายเรื่องความรักปนเสียงสะอื้น

 

            “ก็ถ้าเขาไม่รักแล้วหมดใจแล้วจะยื้อไว้ทำไมล่ะ”ที่สุดหลังจากทนฟังความคร่ำครวญประเด็นคืออีกฝ่ายทิ้งไปเพราะรักไม่เท่าเดิมและเจอคนใหม่ที่คิดว่ารักมากกว่า คนที่เหนี่ยวรั้งไว้กลับเป็นเธอที่ไม่ยอมตัดใจ

 

            “เลิกกับเขามานานยังอ่ะ?”

 

            “เราไม่ได้เลิกนะ”ปลายสายส่งเสียงเถียงกลับมา

 

            “หมายถึงห่างกันไปนานยัง”

 

            “เกือบเดือนแล้ว”

 

            “มันก็นานอยู่นะ ทำไมทำใจไม่ได้ซักทีล่ะ”

 

            “พูดแบบนี้แสดงว่าเซ็ทยังไม่เคยมีแฟนใช่มั้ยล่ะ” เมื่อคุยกันนานนับชั่วโมงแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวกันแล้วสรรพนามที่เรียกกันก็เริ่มเปลี่ยนไป อันที่จริงเศรษฐพงศ์ไม่ถนัดที่จะเป็นที่ปรึกษาให้ใครแต่ก็นั่งคุยยาวกับเอิร์นจนผ้าซักเสร็จ

 

คำถามที่เอิร์นถามกลับมาทำให้เศรษฐพงศ์ส่งเสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับไป

 

            “นึกแล้วเชียว รอเซ็ทรักใครซักคนเซ็ทจะรู้ว่าการเลิกรักใครซักคนน่ะยากกว่าทำเกรดให้ได้เอหมดซะอีก”

 

            “ขนาดนั้นเชียว?”เศรษฐพงศ์แกล้งถามเสียงสูง

 

            “เซ็ทนี่คุยสนุกดีเนอะ”อารดาหัวเราะเสียงใสเมื่อหล่อนรู้ดีว่าคำถามนั้นเศรษฐพงศ์เย้าเธอเล่น

 

            “หายเศร้าบ้างหรือยัง?”

 

            “อื้ม ก็ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณนะที่ช่วยรับฟังคนเวิ่นเว้อ”

 

            “เฮ้ย ไม่เป็นไร เราไม่ชอบเห็นใครร้องไห้ แล้วนี่สบายใจแล้วใช่มั้ย?”เศรษฐพงศ์ยังอดห่วงไม่ได้ แม้จะเพิ่งได้คุยกันแต่เขากลับรู้สึกห่วงใยเพื่อนใหม่คนนี้ ฟังจากน้ำเสียงและทัศนคติของอารดาเศรษฐพงศ์รู้สึกได้ว่าเธอเป็นคนดี เขาไม่อยากให้คนดีๆคนหนึ่งต้องมาเศร้าโศรกเพราะความรักจากคนที่ไม่จริงใจ

 

            “ก็ดีขึ้นตามที่บอกนั่นแหล่ะ จะให้ดีขึ้นเลยแบบปุบปับก็ไม่ได้หรอกจริงมั้ย คบกับเค้ามาตั้ง 4 ปี”

 

            “ก็ค่อยๆทำใจไปแล้วกัน แล้วอย่าคิดสั้นอีกล่ะ”

 

            “เป็นห่วงเราเหรอ?”

 

            “อื้ม เป็นห่วงสิ”

 

            “เซ็ทน่ารักจังใครได้เซ็ทเป็นแฟนคงจะโชคดีมากแน่ๆ ทั้งนิสัยดี คุยสนุก เป็นห่วงเป้นใยคนอื่น ขนาดเราเพิ่งจะรู้จักเพราะโทรผิดยังอยู่คุยเป็นเพื่อนเลย ยังไงเดี๋ยวเราวางก่อนนะ เมทมาตามไปกินข้าวแล้ว”

 

            “อื้ม กินข้าวให้อร่อย”เศรษฐพงศ์ตอบรับ

 

            “เอ้อ เซ็ท”อารดาที่กล่าวลาไปแล้วส่งเสียงเรียกเด็กหนุ่มอีกครั้ง

 

            “หืม?”

 

            “วันหลังเราโทรมาเล่นกับเซ็ทอีกได้มั้ย?”

 

            “ได้สิ โทรมาเล่นได้ เป็นเพื่อนกันแล้วนี่เนอะ”

 

            “อื้มๆ ขอบใจนะ เราไปก่อนไว้คุยกันใหม่นะ”

 

            “เคๆ ไว้คุยกัน”เศรษฐพงศ์วางสายจากเพื่อนใหม่ รอยยิ้มเล็กๆจุดที่มุมปากเด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อเสียงเรียกชื่อดังมาจากหน้าหอ

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

            “อ้าวเฮ๊ย นั่นไปซักผ้าหรือไปทอผ้าวะไอ้ห่าจะสองชั่วโมงแล้วไม่แดกข้าวหรือไง พวกกูรอจนแหงกแล้วเนี่ยคุณชายเศรษฐพงศ์” ไอ้จีนยืนท้าวสะเอวแหกปากเรียกผมเหยงๆที่หน้าหอ ผมมองนาฬิกาถึงได้รู้ว่าวันนี้ผมคุยโทรศัพท์กับคนไม่รู้จักตั้งเกือบสองชั่วโมง มันผิดวิสัยของผมมาก ผมเป็นคนไม่ชอบคุยโทรศัพท์นานแต่วันนี้ผมกลับคุยจนลืมเวลาไปเลย

 

            “เออๆ กำลังไป”ผมรีบตอบรับแล้วรีบเดินไปเอาผ้ามาใส่ตะกร้า ไอ้ห้าตัวบ่นผมเสียงขรมเพราะมันหิ้วท้องรอกินข้าวพร้อมผมด้วย

 

            “คุยโทรศัพท์กับใครวะ กูเห็นมึงคุยนานมาก”

 

            “ไม่เสือกสิครับ”ผมสะบัดผ้าใส่ไม้แขวนหันไปตอบไอ้ย้ง

 

วันเวลาผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ เหลืออีกไม่กี่วันพวกผมต้องไปแข่งที่ราชบุรีแล้ว การซ้อมของพวกเราอยู่ตัวแล้วอีก 2 วันพวกผมจะเข้าไปซื้อต้นไม้ที่กรุงเทพหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทั้งการเรียนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ งานที่ต้องส่งอาจารย์ฉกชิงเวลานอนของพวกเราไปเกินครึ่งขนาดแฝดจีนจินที่โหวกเหวกโวยวายยังเงียบไปสนิทตา

 

ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตคือทุกวันเอิร์นจะโทรมาคุยเล่นกับผม ความสัมพันธ์ของเราพัฒนาไปเรื่อยๆ แม้จะเพิ่งคุยกันแค่อาทิตย์กว่าๆแต่เรากลับสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ข้อมูลส่วนตัวที่ลึกขึ้นถูกแลกเปลี่ยนกัน เอิร์นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยหนึ่งในขอนแก่น และเอิร์นอายุมากกว่าผม 1 ปี เราคุยกันเรื่อยๆทุกวัน ความรู้สึกบางอย่างก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นในจิตใจของผม ทุกวันเอิร์นจะโทรมาหาผมคอยเล่านู่นเล่านี่ให้ฟังและชื่อของคนชื่อปุ้มก็ค่อยๆหายไปจนในที่สุดก็เหลือเพียงเรื่องของผมกับเอิร์นเท่านั้น

 

            “อาจารย์สั่งงานเหมือนแก้แค้นที่สมัยก่อนตัวเองก็โดนสั่งให้ทำแบบนี้”ขนาดไอ้ยิมที่ไม่ค่อยจะนินทาอาจารย์ยังบ่น

 

            “ซ้อมก็ต้องซ้อม งานก็ต้องส่ง ไหนอาจารย์บอกว่าจะช่วยไงวะ”

 

            “นี่ไง ช่วยสั่งงานมึงเยอะแยะ”ไอ้วีหันไปหยอกใส่ไอ้ยิม

 

            “แบบนี้ไม่ต้องช่วยกูก็ได้ ซึ้งน้ำตาจะไหลเลยไอ้สัด”

 

            “มึงบ่นไปแล้วงานมึงเดินมั้ย?”ไอ้ย้งหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของมัน

 

            “ไม่เดินแต่กูโล่งที่ได้บ่น”

 

            “หัดทำตัวแบบไอ้เซ็ทมันมั่งสิ อาจารย์สั่งงานอะไรมาก็ยิ้มหวานอย่างเดียว ช่วงนี้พี่รินผสมกัญชาในน้ำก๋วยเตี๋ยวหรือไงวะเพื่อนเราดูอารมณ์ดีตาหวานทุกวันเลย”

 

            “ทำตัวเหมือนคนมีความรัก”

 

อ่ะ แซ็วกูกันเข้าไปไอ้พวกเหี้ย

 

ความรักคืออะไรเหรอ? ผมยัวงไม่รู้จักเลย

 


ถ้าความรักคือการรอคอยโทรศัพท์จากใครซักคน ถ้าความรักคือการดีใจเวลาที่เขาคนนั้นโทรหา ถ้าความรักคือการเอาแต่นึกถึงเสียงหวานใส ถ้าความรักคือการไม่อยากวางสายเลย ถ้าทั้งหมดนั่นคือความรัก ผมเองก็อาจจะกำลังมีความรักอย่างที่เพื่อนๆแซ็วก็เป็นได้







.....................



หัวใจใครบางคนกำลังจะเป็นสีจมปู อิ๊อ๊าง



เรื่องปากเสียไว้ใจคิน

 
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 9 19/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-11-2018 08:01:27
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 9 19/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 20-11-2018 11:49:07
Boy in luv 10


วันหยุดสุดสัปดาห์นี้เศรษฐพงศ์กลับมานอนที่บ้านเพราะอาจารย์ไม่ซ้อมแล้ว วันมะรืนเขาก็ต้องเดินทางไปแข่งที่ราชบุรีแล้ว เศรษฐพงศ์ขับไอ้แดงเข้ามาจอด บ้านทั้งบ้านเงียบกริบเหลือเพียงแม่บ้านที่ยังคงทำงานบ้านอยู่ยังไม่ได้กลับออกไป

 

เศรษฐพงศ์เดินไปตรวจตราบรรดาต้นไม้ที่เขาจัดไว้ในสวน ไล่เก็บใบเน่าใบแห้งออก หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เน่าและต้นไม้จะติดเชื้อทำให้ตายได้ เด็กหนุ่มรดน้ำจนชุ่มแล้วไปผสมยาป้องกันโรคใบไหม้ ป้องกันแมลงต่างๆแล้วใส่ฟ็อกกี้มาไล่ฉีดตรงจุดที่เริ่มถูกเชื้อโรครบกวน บางต้นเกินเยียวยาก็ต้องตัดทิ้งจนตะวันตกดินนั่นแหล่ะเด็กหนุ่มถึงล้างไม้ล้างมือเข้าบ้าน

 

คงอีกนานกว่าแม่จะกลับ เศรษฐพงศ์ตรงขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบนของตนเองอาบน้ำชำระเหงื่อไคลเรียบร้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานแรมเดือนทำให้เด็กหนุ่มหลับสนิทแทบจะทันที

 

สามทุ่มคณิณขับรถเข้ามาจอดในบ้าน สายตาก็สะดุดกับมอเตอร์ไซค์ของเศรษฐพงศ์  ตั้งแต่วันนั้นที่ไปส่งเด็กนั่นที่หอมันก็ไม่กลับมานอนที่บ้านอีกเลย

 

เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรในห้องของเด็กนั่นอีก ปัญหาพิเศษและแบบที่ต้องแก้อีกรอบสูบเวลาเขาไปจนหมด คณิณหอบแบบลงจากรถ ในบ้านก็ยังเป็นเหมือนเช่นทุกวัน บ้านหลังใหญ่มีแต่เฟอร์นิเจอร์หรู แม้จะไม่ชอบใจนักแต่คณิณก็รู้ดีว่าในอนาคตเขาก็คงเป็นเหมือนพ่อ คือมีบ้านไว้นอนจริงๆไม่ได้มีบ้านไว้อยู่กับครอบครัว

 

หากในอนาคตเขาแต่งงานมีลูก ลูกของเขาก็จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านหลังใหญ่นี้ ชายหนุ่มสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง   ขายาวก้าวขึ้นชั้นสองเพื่ออาบน้ำพักผ่อนแต่กลับหยุดยืนนิ่งที่หน้าห้องของเศรษฐพงศ์ ความรู้สึกบางอย่างตีรวนอยู่ในอก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม้จะเกลียดเศรษฐพงศ์เหมือนที่บอกกับตัวเองมาตลอดเกือบสองปี แต่พอเห็นว่าอีกคนกลับมาบ้านในใจเขากลับยินดี

 

อาจจะเป็นเพราะเขาจะได้แกล้งให้เด็กนั่นโกรธ

 

คณิณชอบเวลาเศรษฐพงศ์โกรธมันเหมือนกับว่าเขาทำให้ไอ้เด็กที่ทำตัวดีมีมารยาทน๊อตหลุดได้

 

เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในห้องก็พบว่ามันเงียบกริบ

 

เศรษฐพงศ์รักการนอน เด็กนั่นนอนได้ตลอดและนอนได้ครั้งละนาน ๆ เสมอ คณิณก้าวเท้าออกจากหน้าห้องของเศรษฐพงศ์ตอนแรกก็คิดจะเข้าไปแกล้ง แต่เห็นว่าเด็กนั่นซ้อมหนักมาร่วมสองเดือนครั้งนี้เขาจะปล่อยไปก่อนแล้วกัน เพราะเขาเองก็เหนื่อยจากการโหมทำปัญหาพิเศษ เพราะอยากทำให้มันเสร็จเร็วๆกลุ่มของคณิณทำเร็วสุดในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่บางคนยังเอาแต่เตร่ดเตร่ไร้สาระไปวันๆ

 

ถ้าทำตัวไร้จุดหมายอย่างนั้นแล้วจะเรียนไปทำไม

 

ชายหนุ่มเปิดประตูห้องแล้วใช้เท้าปิด วางแปลนและหนังสือเรียนลงบนโต๊ะหนังสือก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนหลังใหญ่ ดวงตาคมจ้องมองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย

 

เหนื่อย

 

อยากจะปิดเปลือกตานอนแต่ทว่าท้องกลับร้องประท้วง ตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีข้าวตกถึงท้องเลยซักเม็ด ชายหนุ่มถอนหายใจฝืนลุกขึ้นนั่ง พ่อกับน้าลดาก็ยังไม่กลับนั่นแปลว่าคงจะไม่มีกับข้าวอะไรไว้ให้กินแน่ๆ คณิณเดินลงมาข้างล่างตรวจตราดูว่าพอจะมีอะไรกินได้มั้ย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เคยมีติคครัวบัดนี้กลับว่างเปล่า ซองสุดท้ายเขาเพิ่งกินมันไปเมื่อคืนวาน ในหม้อข้าวมีข้าวอยู่แต่ไม่มีกับข้าว ชายหนุ่มหงุดหงิดพอสมควร เดินไปที่ตู้เก็บกุญแจก็หยิบเอาดอกประจำที่คุ้นชินขึ้นมาก่อนจะไปหยุดที่หน้าประตูห้องของเศรษฐพงศ์แล้วไขเข้าไปอย่างไม่ลังเล ภายในห้องมีเพียงแสงจากโคมไฟหัวเตียงที่เจ้าของห้องปรับไว้เพียงสลัวๆ  เศรษฐพงศ์นอนกอดหมอนข้างหลับสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ

 

หล่อ...เศรษฐพงษ์เป็นเด็กที่จัดว่าหล่อเวลาอยู่แบบนิ่งๆข้อนี้คณิณยอมรับ แต่เวลาเด็กนี่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงเขาเหมือนลูกแมวผอมๆที่เอาแต่พองขนขู่เขาแง้วๆตลอดเวลา

 

ถ้ามันยอมลงให้กับเขาซักนิดอาจจะไม่ต้องมีเรื่องชกต่อยกันให้ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย แต่ไอ้เด็กนี่แค่ครั้งแรกที่เขาเข้าไปหาเรื่องมันก็สวนกลับเขามาอย่างเจ็บแสบแล้วเช่นเดียวกับที่เขาทำ ไม่ว่าจะแกล้งอะไรมัน มันก็เอาคืนเขาอย่างสาสมทุกทีไป

 

คณิณไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าตัวเองนั้นยื่นมือไปลูบแก้มของเศรษฐพงศ์ตอนไหน ปลายนิ้วสัมผัสแผ่วเบาแต่กลับรู้สึกได้ถึงความนุ่มลื่นมือ อาจจะเป็นเพราะเพิ่งผ่านวัยเด็กมาได้ไม่นานแก้มของเศรษฐพงศ์ยังนุ่มอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเด็กนี่ดูแลรักษาผิวดีเขาก็ไม่รู้ เขาลากปลายนิ้วไปแตะที่เปลือกตาปิดสนิทนั้น ในเวลาปกติเศรษฐพงศ์มักใช้สายตาคู่นี้มองเขาอย่างเกลียดชังเสมอ เขาไม่สามารถมาจับเนื้อต้องตัวไอ้เด็กนี่ได้นอกจากตอนเหวี่ยงหมัดใส่กัน ไล้ปลายนิ้วมาที่จมูกโด่งรั้นนั้นและกว่าจะรู้ตัวปลายนิ้วก็เลื่อนมาแตะที่ริมฝีปากนุ่มเหมือนเยลลี่นั้น มันทั้งนุ่ม ทั้งอุ่นจนเผลอใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบาๆ

 

น่าจูบ...อยู่ๆความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเตียงค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปหาคนที่หลับสนิทนั้นอย่างช้าๆ

 

นี่เรากำลังทำอะไรอยู่...

 

 

 

 คณิณ::

 

 

ผมชะงักมือที่กำลังเกลี่ยปากของไอ้เซ็ทเล่นดึงตัวกลับมาเมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้มันแปลกๆ  ความรู้สึกบางอย่างตีรวนขึ้นมาในจิตใจ ผมไม่ควรมานั่งพิจารณารูปร่างหน้าตามันแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ปากเนิ่งปากนุ่มอะไร ไอ้เด็กปากหมานี่มีแต่พ่นคำร้ายๆตอบกลับผมมาให้ได้เจ็บใจโมโหอยู่เสมอ ผมลุกขึ้นยืนที่ข้างเตียงมันอีกครั้ง ขับไล่ความรู้สึกแปลกๆที่เริ่มเข้ามาเกาะกินใจผมอย่างช้าๆมาระยะหนึ่งแล้ว

 

                “ไอ้เซ็ท”ผมส่งเสียงเรียกมันเบาๆ  นิ่งสนิทไม่มีทีท่าจะขยับ

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท”ผมเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น แต่มันทำเพียงพลิกตัวไปอีกข้าง  ผมเดินไปเปิดไฟในห้องของมันจนสว่างจ้า แล้วเรียกชื่อมันอีกครั้ง

 

                “ไอ้เหี้ยเซ็ท”แถมคำสร้อยนำหน้าให้ด้วย คราวนี้มันค่อยๆขยับตัวงัวเงียลุกขึ้นมานั่งหยีตา

 

                “เฮ๊ย!!! มึงเข้ามาห้องกูทำไม?”มันสะดุ้งเมื่อเห็นผมยืนหน้าตึงอยู่ข้างเตียงของมัน

 

                “ลุก”ผมไม่ตอบคำถามของมันแต่กลับสั่งมันแทน

 

                “ลุกไปไหน กูจะนอน”มันไม่พูดเปล่ายังล้มตัวลงไปนอนเอาหมอนข้างอุดหน้าอุดตาปิดหูหนีผมซะอย่างนั้น

 

                “ลุก ไปทำกับข้าวให้กูกินหน่อย กูหิวข้าว”ผมดึงหมอนข้างที่มันพยายามยื้อออก

 

                “มึงก็ไปทำกินเองสิวะมาใช้กูทำไมไอ้เหี้ย กูจะนอนกูง่วง”

 

                “ถ้ากูทำเป็นกูคงไม่มาตามมึงหรอก มึงจะลุกไม่ลุก นี่มันสามทุ่มกว่าแล้วมึงไม่หิวหรือไง”ผมไม่ยามแพ้ยังพยายามดึงตัวมันขึ้นมา มันขืนตัวไว้ก่อนจะนอนคว่ำหนีผม

 

ได้ มึงเอางี้ใช่ป่ะ ผมเริ่มโมโหที่มันไม่ยอมทำตามคำสั่งผม ไวเท่าความคิด ผมกระโดดขึ้นเตียงมันแล้วนั่งทับตัวของมันไว้ทันที มันดิ้นขลุกขลักอย่างไม่ยอมแพ้ผม แต่ผมที่คร่อมทับตัวมันอยู่แรงเยอะกว่าผมกดหัวมันให้แนบกับหมอน

 

                “ไอ้เอี้ยอ่อยอูอ๊ะ”เสียงมันอู้อี้

 

                “มึงจะลุกไม่ลุก”ผมยังไม่ปล่อยมันในทันทีแต่ผ่อนแรงกดลงเล็กน้อยก่อนที่มันจะหายใจไม่ออกตายไปซะก่อน

 

                “ปล่อยกูไอ้เหี้ยคิน “ เมื่อเงยหน้าออกจากหมอนมันก็โกยอากาศเข้าปอดแล้วเอี้ยวหน้ามาด่าผม

 

                “มึงจะลงไปทำกับข้าวให้กูกินได้ยัง”

 

                “เออ แม่ง ลุกดิ่ไอ้เหี้ย”ที่สุดมันก็ต้องยอม ผมลุกออกจากตัวมันพลางกระโดดลงจากเตียงเพราะผมรู้ดีว่าถ้ามันเป็นอิสระเมื่อไหร่มันต้องถีบผมแน่ และก็เป็นดังคาด เมื่อมันหลุดจากตัวผมมันก็พลิกตัวพลางถีบเท้ามาทางผม แต่ว๊ายๆ ไม่ได้แดกกูหรอกไอ้เหี้ยเซ็ทเอ๋ย

 

ตุ่บ

 

                “โอ๊ยไอ้เหี้ย”ผมตะโกนด่าเมื่อมันโยนหมอนมาอัดหน้าผม ผมปาหมอนคืนมันที่นั่งทำตาเขียวปั๊ดมาให้

 

                “เร็วๆกูหิวจนจะกินมึงได้ทั้งตัวแล้ว”

 

                “แดกตีนกูนี่”

 

 

 

 

หลังจากประทะคารมกันเรียบร้อยในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็มายืนตีไข่อย่างหัวเสียอยู่ในครัว เด็กหนุ่มตั้งน้ำมันจนร้อนจัดแล้วเทไข่ที่ปรุงเรียบร้อยลงไป กลิ่นหอมของไข่เจียวทำให้คณิณที่นั่งรออยู่อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มร้องประท้วง เศรษฐพงศ์ตักไข่ที่เจียวจนเหลืองสวยข้นฟูน่าทานใส่จาน

 

                “พริกหรือมะเขือ”

 

                “มะเขือ”เศรษฐพงศ์หยิบขวดซอสมะเขือเทศมาบีบลงบนไข่เจียวก่อนจะเอาไปวางตรงหน้าคณิณ  เด็กหนุ่มหันกลับไปเปิดปลากระป๋องใส่จาน ซอยพริก หอมแดง ใบผักชีฝรั่ง แตงกวา ต้นหอมผักชี ตะไคร้ ใบมะกรูดซอยฝอย บีบมะนาวแล้วเหยาะน้ำปลานิดหน่อยก็ได้ยำปลากระป๋องเพิ่มมาอีกจาน จัดการคลุกส่วนผสมให้เข้ากันแล้วเอามาวางบนโต๊ะที่คณิณตักข้าวไว้รอแล้ว

 

                “หิวนักก็แดกๆเข้าไปสิ”นั่นแหล่ะไอ้คนที่เข้าไปรบกวนเวลานอนของเขาถึงได้ลงมือกินข้าวพร้อมกับเขาแถมไม่บ่นอะไรออกมาซักคำ

               





                 "แล้ววันนี้เอิร์นกินข้าวกับอะไรเหรอ"คณิณที่นั่งเขียนแบบอยู่ถึงกับเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเสียงของคนห้องข้างพูดคุยกับใครซักคน ที่สำคัญชื่อเอิร์นนั่น...



ผู้หญิง?



ปกติด้วยนิสัยของชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ชอบใส่ใจเรื่องของชาวบ้านเท่าไหร่นัก แต่เสียงพูดคุยที่ดังมาเรื่อยๆทำให้คณิณวางปากกาเขียนแบบลงแล้วค่อยๆเปิดมุ้งลวดออกไปนั่งที่ระเบียง



        "คืนนี้ดาวสวยนะเอิร์น เอิร์นออกมาดูสิ"เสียงของเศรษฐพงศ์ยังคงพูดคุยดังมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง คณิณเผลอมองดวงดาวบนฟ้า เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วท้องฟ้าจึงปลอดโปร่งดาวดวงเล็กๆระยิบระยับพราวเต็มฟ้าไร้เมฆบัง





          "ดาวสวยแต่เราว่าเอิร์นสวยกว่า มองดาวแล้วคิดถึงเอิร์น"คนที่แอบฟังทำท่าจะอ้วกกับประโยคเลี่ยนๆนั้น ตวัดตามองดาวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ อยู่ๆคณิณก็รู้สึกเกลียดดวงดาวบนท้องฟ้าไปซะอย่างนั้น





เอิร์นแอนอะไรนี่คือใคร? เพื่อนในห้องหรืออะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะใช่เพื่อน





ไอ้เด็กนี่กำลังมีแฟน?





มีตอนไหนวะ  มีได้ยังไง  ใครจะมาชอบคนอย่างมัน?





คณิณนั่งคิดนั่นคิดนี่ในหัวจนตอนนี้เริ่มรู้สึกหัวร้อนแปลกๆ  ยิ่งฟังยิ่งชัดเจนว่าเศรษฐพงศ์กำลังจีบยันผู้หญิงที่ชื่อเอิร์นอะไรนี่อยู่แน่ๆ





          "ทำไมเราต้องอยู่ไกลกันด้วยเนอะ ถ้าอยู่ใกล้ๆเซ็จจะไปหาเอิร์น"





คณิณ::





อ๋อ...ไม่ใช่เพื่อนในห้อง





          "ขอนแก่นไปยังไงเครื่องบินหรือรถทัวร์"





อ่ะ โง่อีก มันไปได้ทุกทางป่าววะ





          "เอิร์นรอเซ็ทเรียนจบก่อนนะเซ็ทจะไปหาเอิร์น"





กูขอแช่งให้มึงติดปัญหาพิเศษ





          "เซ็ทคิดถึงเอิร์นนะแล้วเอิร์นล่ะคิดถึงเซ็ทหรือเปล่า?"





แหม...กูจะอ้วก ไปรักกันไกลๆไป๊ รำคาญ!!!





          "เดี๋ยวมะรืนเซ็ทเข้ากรุงเทพ  อือ  ใช่ ซื้อต้นไม้กับอาจารย์นั่นแหล่ะ เดี๋ยวถ้าเจออะไรสวยเซ็ทจะซื้อส่งไปให้นะ"





อ่ะ  รวยอีก  เป็นสายเปย์เหรอมึงอ่ะ รวยนักหรือไง?





          "ไม่รบกวนหรอก เงินเซ็ทหามาเองไม่ใช่เงินของลุงกับแม่ ใช่ ที่เซ็ทเคยเล่าให้ฟังไง ก็ที่เซ็ทไปขายต้นไม้กับเพื่อนที่ถนนคนเดิน ก็ขายดีนะ"





อ๋อ...มีรายได้เสริมไว้กูจะไปดูว่ามึงขายดีอย่างที่โม้ไว้มั้ย



กว่าผมจะรู้ตัวว่านั่งใส่ใจมันก็ตอนที่ได้ยินเสียงมันปิดประตูห้องแล้ว ส่วนตัวผมก็นั่งบริจาคเลือดให้ยุงไปพอสมควรเพราะว่าจบไม่ได้





สภากาชาดไทยต้องมอบเหรียญให้ผมอ่ะนี่พูดเลย





ความหงุดหงิดแล่นริ้วเข้ามาในหัวจนผมไม่สามารถเขียนแบบต่อไปได้แม้จะพยายามดึงสมาธิเพ่งไปกับแบบแค่ไหนก็ตามที





ทำไมผมต้องหงุดหงิดกับอีแค่ไอ้เด็กเหี้ยนั่นมันมีแฟนด้วย





หรือเป็นเพราะว่าผมยังโสดยังไม่ได้คบใครมันเลยทำให้ผมรู้สึกเสียหน้า





แต่ก็ไม่นี่...ผู้หญิงมาอ่อยผมก็ตั้งเยอะแต่ผมไม่ใส่ใจเองเท่านั้น อาจจะมีบ้างที่ไปสนุกกันแต่พอจบแล้วก็จบไป  ผมเป็นคนระวังตัวมากพอสมควร เพราะฉะนั้นไร้รูปไร้คลิปไร้ร่องรอยใดใดแน่นอน





ผมเขวี้ยงปากกาเขียนแบบทิ้ง





ไม่เทิงไม่ทำแม่งแล้วไม่มีอารมณ์





ผมรู้สึกตัวตื่นตอนเช้าเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น  เคาะดังเหมือนจะพังห้องของผมมีแค่มันคนเดียวแหล่ะ ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูอย่างไม่รีบร้อนก็เจอมันยืนหน้างออยู่หน้าห้อง





          "เคาะทำเหี้ยอะไร?"





          "นี่มึงนอนหรือซ้อมตายไอ้สัด"มันพ่นคำไม่น่าฟังออกมาตั้งแต่เช้าด้วยน้ำเสียงกระซิบเดาว่าพ่อผมกับแม่ของมันคงใช้ให้มันมาตามผมลงไปกินข้าว นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วผมพาลอารมณ์เสียเห็นหน้ามันแล้วรู้สึกโกรธแบบแปลกๆ





ไอ้เด็กเวรอายุเพิ่งจะ 18  ริอาจจะมีเมีย ข้ามหน้าข้ามตากูเกินไปแล้ว((ถึงผมจะมีเซ็กส์ครั้งแรกตอน 15 นั่นถือเป็นข้อยกเว้น))





          "นี่!!! มึงได้ยินที่กูพูดมั้ย?"ผมหลุดจากภวังค์เมื่อมันยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ ปากแดงของมันขยับขึ้นลงไม่หยุดอยู่ตรงหน้าของผม  กลิ่นน้ำหอมของมันลอยเตะจมูกของผมจนรู้สึกมึน รู้ตัวอีกทีผมก็คว้าเอาต้นคอของมันแล้วดึงเข้ามาใกล้ตัวก่อนจะกดปากของผมลงบนปากของมันที่กำลังโวยวายด่า





มันหยุดนิ่งดวงตาเบิกกว้างผมเองก็หยุดนิ่งจ้องเข้าไปในตาของมันแล้วกดจูบให้แนบแน่นขึ้น ตัวของมันสั่นราวกับถูกไฟช๊อต ไม่นานมันก็ตั้งสติได้สองมือของมันออกแรงผลักจนผมเซถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง ไอ้เซ็ทตามเข้ามาก่อนจะฟาดหมัดเปรี้ยงเข้าที่แก้มของผม ตาของมันเขียวปั๊ดอย่างโกรธจัด





          "ทำเหี้ยอะไรของมึง  เล่นเหี้ยอะไรของมึง แกล้งแบบนี้กูไม่สนุกด้วยหรอกนะไอ้สัด"ผมที่เซไปตามแรงต่อยใช้ปลายนิ้วแตะมุมปากเบาๆ





แน่นอนครับไอ้เซ็ทเป็นเด็กแรงเยอะ ยิ่งเมื่อครู่มันคงทั้งโกรธทั้งตกใจหมัดของมันจึงหนักกว่าปกติ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้สวนกลับไป มันไม่รอให้ผมตอบอะไรกลับไปด้วยซ้ำหันหลังเดินลงส้นตึงๆลงไปข้างล่างทันที





เออ...ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนั้นทำไม





ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในหัวของผมมันคิดอะไรอยู่อาจจะเป็นช่วงฮอร์โมนพลุ่งพล่าน หรืออาจจะเป็นเพราะปากของมันลอยยั่วผมเอง





ก็แค่หาวิธีปิดปากไม่ให้มันบ่นผมได้อีกก็แค่นั้น





ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นรู้อย่างเดียวว่าเวลาเอาปากแตะกับปากของมันน่ะนุ่มกว่าตอนที่ผมใช้นิ้วลูบเมื่อคืนซะอีก





อีกสิบนาทีต่อมาผมก็เดินลงมาข้างล่าง พ่อเริ่มกินข้าวไปก่อนแล้วส่วนไอ้เซ็ทมันก็นั่งใกล้แม่มันเหมือนเดิม มันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยซ้ำทำเพียงเขี่ยข้าวในจานไปมาผิดปกติของมันที่ชอบมากเวลากินข้าว กินเร็วกินไวไว้ใจมันได้  น้าลดาเรียกให้ผมนั่งลงทานข้าวทันทีที่เห็นผม





แม้ว่ามุมปากของผมจะเจ็บจากหมัดของมันแต่ข้าวมื้อเช้าก็อร่อยถูกปากดี





เศรษฐพงศ์::





ผมนั่งมองหน้าไอ้คนที่ชักจะเล่นอะไรเหิมเกริมขึ้นทุกวันด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างชัดเจน สัมผัสน่าขยะแขยงยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดภาพที่มันจูบผมลอยเข้ามาในหัวเป็นพักๆอย่างยากที่จะสลัดออก





ทั้งๆที่แสดงออกชัดเจนว่าเกลียดผมมากมายขนาดไหนแตามันยังเลือกที่จะแกล้งผมด้วยวิธีทุเรศๆนี่มันน่าต่อยให้ดรามโยกไปเลย





จูบแรกของกูไม่ควรที่จะเสียให้คนใจหมาอย่างมึงเลยซักนิด





มึงมันไอ้คนเหี้ยไอ้คนฉวยโอกาสถ้ารู้ว่ามันจะทำแบบนั้นผมจะรีบยกตีนให้มันจูบแทนที่จะเป็นปากของผม





เกลียดจนอยากจะยกถ้วยต้มจืดสาดหน้ามัน





สำนึกความผิดของตัวเองบ้างมั้ยยังมีหน้ามากินข้าวไปยิ้มไปอีก ไอ้ควาย!!!;



......................................






หิวไหม ทานอะไรมาหรือยัง 555555555555555555



เม้นท์ซักนิดจิตแจ่มใส หัวใจไรเตอร์สดรื่นชื่นบาน อิ๊อ๊าง
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 11 21/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 21-11-2018 01:43:20

Boy in luv 11

เพราะวันนี้สองสามีภรรยาวัยกลางคน เพิ่งมีเวลาได้พักผ่อนใช้วันหยุดอยู่กับบ้านพร้อมลูกๆทำให้คณิตบ่นอยากกินราดหน้ายอดผัก แต่เพราะวัตถุดิบหลักที่มีในบ้านไม่พอหน้าที่หลักในการซื้อของจึงตกเป็นของเศรษฐพงศ์


          "คินไปกับเซ็ทสิจะได้ช่วยกันถือของ"คนเป็นพ่อที่สังเกตเห็นความบึ้งตึงของคนเด็กกว่าโยนไม้ให้ลูกชาย


ถึงแม้ว่าคณิตจะไม่ได้อยู่คลุกคลีกับลูกแต่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงของลูกชาย  หลังเหตุการณ์ระเบิดภูเขาเผาร้านหมูกะทะตามแบบฉบับอาฉลองแล้วคณินดูมีท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้คำพูดคำจาจะน่าเอาไม้หน้าสามฟาดปากแต่ก็ไม่ได้หาเรื่องด่าเศรษฐพงศ์อย่างที่เคยทำ


วันนี้ก็เช่นกัน ตลอดทั้งเช้าจนถึงตอนนี้ที่คนเป็นลูกนั่งโขกหมากฮอสเป็นเพื่อนเขาคณินกับเศรษฐพงศ์ยังไม่ปริปากพูดกันซักประโยคเดียว


          "ไม่เป็นไรครับลุงผมไปคนเดียวสะดวกกว่า"เศรษฐพงศ์รีบปฏิเสธข้อเสนอของคณิตทันที หากแต่ว่าไอ้คนที่เขาพยายามไม่มองหน้ากลับลุกพรวดโดยไม่อิดออด


          "จะไปซื้อของก็รีบมาอย่าลีลา"เศรษฐพงศ์ถอนหายใจพรืดอย่างหงุดหงิดใจ  จำใจต้องเดินไปรับใบจดรายการที่ต้องซื้อเข้าบ้านตามที่แม่สั่ง


          "โหแม่ ซื้อเยอะขนาดนี้เลยเหรอ"รายการยาวเหยียดทำให้เศรษฐพงศ์ตาเหลือก คนเป็นแม่หัวเราะเสียงใสตีแขนลูกชายเบากับรีแอคชั่นแสนโอเวอร์นั้น


          "ก็ของสดมันหมดพอดีซื้อไว้ทำมื้ออื่นๆด้วย"หล่อนยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ลูกชาย ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเพิ่มเสียงบีบแตรรถเร่งจากคณินก็ดังขึ้น


          "ไปเร็วๆลูกอย่าให้พี่เขารอนาน"เศรษฐพงศ์ถอนหายใจพรืดอย่างเบื่อหน่าย


ให้ตายเถอะ  อยากจะหนีหน้ายังไงก็ไม่พ้นสินะ




          เศรษฐพงศ์::


ผมลากเดินลากเท้าไปขึ้นรถที่ไอ้คินมันสตาร์ทรอ  หน้าของมันบูดบึ้งราวม้าหมากรุก ทันทีที่ผมขึ้นมานั่งบนรถยังไม่ทันปิดประตูดีด้วยซ้ำไอ้เหี้ยคินก็กระชากรถออกทันที



          "จะรีบไปตายโหงที่ไหน!!"  ผมหันหน้าไปตวาดมันด้วยเสียงอันดังจนแม้แต่ขี้หูของผมเองยังสั่นระริก


        "พูดได้แล้วเหรอนึกว่าถูกกูจูบปิดปากจนพูดอะไรไม่ออก"มันพ่นคำแสลงหูใส่ผมทันทีเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง


          "มึงเลิกพูดเรื่องทุเรศแบบนี้ซักทีเถอะ กูขยะแขยง"


          "แต่กูชอบนะ"อยู่ๆมันก็สวนกลับมาด้วยคำที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง


          "กูรู้วิธีที่จะทำให้มึงหุบปากได้โดยไม่ต้องใช้กำลังได้แล้ว"


          "ลองมึงมายุ่งกับกูอีกสิกูเอาเลือดหัวมึงออกแน่"


          "นี่มึงท้ากู?"


          "กูไม่ได้ท้า กูพูดจริง"




          คณิน::


ผมตบไฟเลี้ยวแล้วหักรถเข้าข้างทางทันที ก่อนที่ไอ้เซ็ทจะตั้งตัวผมก็กดล็อคประตูรถแล้วข้ามเบาะไปนั่งคร่อมมันทันที ยื่นมือไปปรับเบาะจนตัวมันเอนไปด้านหลัง  เพราะขาที่ยาวของมันติดกับคอนโซลรถทำให้มันขยับไม่สะดวกมันรีบยกมือขึ้นผลักผมแต่ผมก็ตรึงมือมันไว้ได้ทัน


คิดว่าตัวเองแรงเยอะคนเดียวหรือไง


แรงกูก็เยอะเหมือนกัน


          "จะทำเหี้ยอะไร มึงกลับไปนั่งที่มึงเลยไอ้สัด"


          "กูเพิ่งบอกมึงไปใช่มั้ยว่ากูรู้วิธีปิดปากไม่ให้มึงพูดมากแล้วมึงยังจะท้าทายกู กูก็จะทำตามที่พูดไง"


          "ออกไปจากตัวกูไอ้เหี้ย กูไม่เล่น"


          "กูก็ไม่เคยเล่นกับมึงอยู่แล้วนี่"ผมมองมันด้วยสายตามาดร้ายมันเองก็ไม่เคยลดราวาศอกยอมลงใหัผมเลยซักนิด  ปากแดงๆเนี่ยคอยพ่นคำด่าระคายหูกลับมาได้ตลอดเวลา


ผมอยากปราบพยศให้มันรู้ว่าใครกันที่มันควรจะเกรงกลัว


ใครกันที่มันควรจะยอมลงให้


ผมไม่เปิดโอกาสให้มันอ้าปากด่าซ้ำสิ่งที่ผมทำคือการตะโบมจูบลงไปบนปากของมัน


แต่ครั้งนี้มันไม่ง่ายเลย  ไอ้เซ็ททั้งด่าทัังสะบัดหน้าหนีไปทุกทิศทุกทางที่ตัวมันจะทำได้


แต่นั่นถือเป็นกำไรชีวิตของผมในเมื่อมันหลบผมก็พรมจูบทั่วทั้งแก้ม ซอกคอ  ผมจูบมันทุกทึ่เท่าที่จะจูบไดัในที่สุดมันก็หนีผมไม่พ้นเมื่อปากของผมกับมันแตะกันผมก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ ผมบีบคางมันล็อคไว้ไม่ให้มันหันหนี ไอ้เซ็ทเม้มปากแน่นแขนข้างที่เป็นอิสระก็ทั้งทุบทั้งตีผมอย่างไม่ออมแรง


แล้วใครสนกันล่ะ  ผมสนใจไอ้ปากแดงๆที่เม้มสนิทนี่ต่างหากใบหน้าที่แสดงความรังเกียจเขาอย่างชัดเจนนี่ต่างหากล่ะ ผมบีบกรามมันอย่างไม่ออมมือจนปากมันเผยอ แน่นอนผมที่เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้มากกว่ามันย่อมหาทางสอดลิ้นเข้าไปในปากของมันได้อยู่แล้ว

ผมจะทำให้มันรู้ว่าจูบของจริงน่ะเป็นยังไง


ปลายลิ้นของผมกวาดต้อนรุกไล่ลิ้นของมันที่พยายามต่อต้านพลางหลบหนี  ผมทั้งจูบทั้งดูดจนเกิดเสียง  แรงที่มันให้ผลักผมค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ น้ำลายใส่ไหลออกจากมุมปากผมใช้ปลายลิ้นจัดการจนมันหายไป


มองใบหน้าแดงจัดที่โกยเอาอากาศเข้าปาก ริมฝีปากแดงของมันบวมเจ่อเล็กน้อย ผมกระตุกยิ้มเยาะมันก่อนจะกลับมานั่งประจำที่จัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่แล้วขับรถมุ่งตรงไปตลาดสด ส่วนไอ้เซ็ทนิ่งเงียบไปตลอดทาง มันหันหน้าออกไปมองข้างทางมือของมันกำแน่นจนเห็นเส้นเลือด มันคงแค้นผมน่าดูและคงเกลียดผมสุดหัวใจ


แต่ใครจะสนล่ะ  ผมเองก็เกลียดมันเหมือนกัน


ไอ้เด็กกระจอกแม้แต่จูบยังทำไม่เป็นแต่ริอาจจะมีแฟน


ผมแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก  ไม่รู้มโนไปเองหรือผมรู้สึกจริงกันแน่ว่าเหมือนมีความหวานติดอยู่ที่ปลายลิ้น


ทั้งที่ผมควรจะรังเกียจที่ต้องมาจูบกับผู้ชายเหมือนกันแต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยซักนิด


ผมชอบจูบที่โดนต่อต้านมันทำให้ผมอยากเอาชนะมันไปเรื่อยๆ


คนอย่างมันไม่มีทางชนะผมได้หรอก


ถ้ามันคิดจะสู้มันก็ต้องแพ้แบบนี้ตลอดไป





          ไม่นานเราสองคนก็มาถึงตลาดสดผมก็หาที่จอดก่อนถึงตลาดพอสมควรเพราะในตลาดพื้นที่คับแคบไม่สามารถจอดรถได้  ไอ้เซ็ทออกจากรถไปแถมปิดประตูเสียงดังปังจนรถสะเทือน  แต่ไม่เป็นไรวันนี้ผมอารมณ์ดีจากการได้กำไรเล็กๆน้อยๆไปแล้ว จัดการล็อครถก็เดินตามมันเข้าไปในตลาดมันแวะเขียงหมู เห็นมันพลิกชิ้นนั้นชิ้นนี้ก่อนจะชี้หมูก้อนขนาดกลางก้อนหนึ่ง เมื่อได้ยินราคาผมก็ยื่นเงินให้แม่ค้า


          "ไม่ต้องแม่ให้เงินมา"น้ำเสียงห้วนของมันดังขึ้นโดยไม่หันมามองผมซักนิด  ผมไม่สนยังคงบอกให้แม่ค้ารับเงินจากผมไป  เมื่อได้เงินทอนผมก็รีบตามมันไปแผงขายอาหารทะเล  มันซื้อกุ้งกับหมึกอย่างละโลผมยื่นเงินจ่ายให้อีก  คราวนี้มันหันมาทำตาเขียวใส่แต่ผมก็ยักคิ้วใส่มัน ไอ้เซ็ทรับถุงมาถือแล้วเดินทิ้งผมไปแผงผัก บรรดาผักที่แม่ของมันสั่งถูกมันเลือกทีละอย่างด้วยความรอบคอบซึ่งผมดูแล้วอันไหนก็เหมือนกันมันจะเลือกทำไมเยอะแยะ


          "มึงก็หยิบๆไปสิเลือกทำไม"ที่สุดผมก็ทนรำคาญไม่ไหวเมื่อมันเอาแต่พลิกผักคะน้าส่องตั้งแต่ยอดยันโคนต้นผมขยุ้มผักคะน้ากองใหญ่ให้แม่ค้ามันรีบตะครุบกลับ


          "เยอะขนาดนี้มึงจะผัดแดกทั้งหมู่บ้านหรือไงไอ้สัด"มันวางกองคะน้าไว้ที่เดิมยังคงเลือกของอย่างใจเย็นบรรดาถุงหมูกับหมึกกุ้งดูจะเกะกะมันไม่น้อยผมเห็นแล้วรำคาญจึงดึงมาถือไว้เองมันไม่ได้ว่าอะไรผ่านไปราว 15 นาทีบรรดาผักที่มันเลือกก็ถูกทยอยใส่ถุงผมหยิบเอาถุงส่วนใหญ่มาถือไว้เองแล้วเดินตามมันไปแวะแผงขายเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นที่สุดท้าย


          "หิวน้ำ"ผมส่งเสียงเรียกมันเมื่ออากาศอบอ้าวทำให้ผมคอแห้ง มันหันมามองด้วยสายตาเป็นคำถาม



          "แล้วไง?"


          "มาซื้อน้ำให้กูแดกหน่อย"มันถอนหายใจก่อนจะเดินมาสั่งน้ำให้ผม


          "ป้าครับเอาสไปร์ทแก้วนึงครับ"ผมแอบยิ้มนิดๆเมื่อมันสั่งเครื่องดื่มที่ผมชอบกิน มันจ่ายตังค์แล้วยื่นแก้วมาให้ผม


          "อ่ะ ไม่ถือแดกล่ะ"มันยังคงทำเสียงหงุดหงิดใส่ผมไม่หยุด  ผมยกถุงของพะรุงพะรังหนักอึ้งให้มันดูเป็นคำตอบมันสบถออกมาเบาก่อนจะยื่นแก้วจนแทบจะกระแทกหน้าของผม  ผมงับหลอดดูดน้ำด้วยความพอใจ


อุตส่าห์ยอมหนักได้การปรนนิบัติแบบนี้ก็ถือว่าคุ้ม


ผมลอบมองสองแม่ลูกที่กำลังสาละวนกับการเตรียมวัตถุดิบทำราดหน้าเป็นมื้อกลางวันของพวกเราอยู่ ในมือก็กดเกมส์ไปด้วย เสียงไอ้แดนด่าที่ผมแทบไม่ขยับไปช่วยทีมเลยด้วย


ไอ้เซ็ทกำลังตั้งอกตั้งใจลอกเปลือกแก่ของคะน้าพลางหั่นเฉียงไปตามที่แม่ของมันสั่ง มันแยกก้านกับใบออกไว้คนละฝั่งกันพอเสร็จมันก็จัดการหมักหมูที่แม่มันหั่นไว้ให้ ท่าทางของมันถึงจะไม่ได้แคล่วคล่องเหมือนแม่ของมันแต่ก็ไม่ได้ขัดตา ไม่นานราดหน้ายอดผักหมูหมักก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะอาหารไอ้เซ็ทมันเป็นคนตักเสิร์ฟผมเดินไปล้างมือล้างไม้ในห้องน้ำแล้วจึงกลับมานั่งประจำที่


ผมมองราดหน้าในจานนิ่งไม่ได้ขยับมือขึ้นมาตักกินเป็นน้าลดาที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ


          "อ้าว คิน ไม่ทานเหรอลูก"


          "ผมไม่กินก้านคะน้า"ผมตอบกลับเสียงเรียบ สายตามองก้านคะน้าหั่นบางในจานด้วยดวงตาว่างเปล่า


ผมไม่ใช่คนกินยากอะไรผมแค่ไม่กินเผ็ด ไม่กินหนังเป็ดหนังไก่หนังหมูหนังปลา เนื้อหมูต้องไม่ติดมัน ผมไม่กินก้านคะน้าเพราะมันเหม็นเขียว ผมไม่กินมะระ ไม่กินน้ำพริกใส่แมงดา ไม่กินขนมใส่กะทิ เมล่อน แตงไทย แคนตาลูป ผมไม่กิน เห็นมั้ยผมเป็นคนง่ายๆ


          "เอ้อ ลุงก็ลืมบอกไปว่าคินมันไม่กินก้านคะน้า"พ่อผมสำทับความกินง่ายอยู่ง่ายของผม


อันที่จริงตอนเด็กๆผมก็เคยกินนะไอ้ก้านคะน้าเนี่ยผมชอบกินผัดคะน้าปลาเค็มแต่พ่อพาไปกินข้าวต้มโต้รุ่งร้านหนึ่งปรากฏว่าคนผัดไม่ได้แยกผัดก้านก่อนค่อยผัดใบตามผัแคะน้าปลาเค็มจานนั้นจึงเหม็นเขียวมาก


          "เซ็ทตักก้านออกให้พี่เค้าหน่อยสิลูก"น้าลดาหันไปบอกไอ้เซ็ทที่นั่งก้มหน้าก้มตากินราวตายอดตายอยากมาจากไหน


ผมว่าผมเริ่มชอบน้าลดาแล้วล่ะ




     เศรษฐพงศ์ชะงักมือที่กำลังกวาดราดหน้าเข้าปาก  เด็กหนุ่มจ้องหน้าคณินราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  ถ้าอยู่กันเพียงลำพังเศรษฐพงศ์รับรองได้ว่าเขาจะเทราดหน้าร้อนจานนี้ราดหัวคณินแน่ๆ


สารพัดความเรื่องมาก สารพัดที่จะหาเรื่องมาทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ


แอบกร่นด่าโชคชะตา


ทำไมเขาไม่เกิดก่อนคณิน  เพราะอายุที่น้อยกว่าแม่จึงชอบสั่งให้เขาดูแลปรนนิบัติไอ้เด็กโข่งนี่


โตกว่าควายแล้วยังดูแลตัวเองไม่ได้


ไม่กินก็แค่ตักออกมันจะไปยากเย็นอะไรนักหนาวะ


           "แกโตแล้วนะคินทำไมไม่หัดทำเอง"คณิตที่รู้สึกว่าลดาจะตามใจลูกชายของตนเองเกินไปเอ่ยเอ็ดลูกชาย เขารู้สึกเห็นใจเศรษฐพงศ์ไม่น้อยที่ต้องตกเป็นลูกไล่ให้กับลูกชายแสนเอาแต่ใจของเขา


          "ไม่ได้พ่อ กลิ่นเหม็นเขียวมันลอยเข้าจมูก"คณินหันไปตอบพ่อตามตรง เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเหม็นจริงหรือจิตใต้สำนึกมันสั่งให้เขาหลอกตัวเองว่าเหม็นแต่เมื่อไหร่ที่เห็นก้านคะน้าในอาหารเขาก็รู้สึกคลื่นไส้แทบจะทันที





เศรษฐพงศ์ตักก้านคะน้าออกจากจานของคณินมาใส่ในจานของตัวเองจนหมดแล้ววางจานคืนให้จากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับคณินอีกเลย  เด็กหนุ่มทำราวกับว่าไม่มีคณินอยู่ในที่นี้


หลังจากอิ่มแล้วเศรษฐพงศ์ก็ช่วยแม่เก็บจานชามไปล้าง คณินเห็นไอ้เด็กนั่นยืนล้างจานกับแม่แล้วหยอกล้อแม่ไปด้วย เสียงหัวเราะนุ่มทุ้มดังแว่วมาเป็นระยะ


ถ้าแม่ของเขายังอยู่บ้านก็คงจะมีเสียงหัวเราะแบบนี้เหมือนกัน


          "คิน ทำดีกับน้าลดากับเซ็ทบ้างเถอะ  เขาดีแสนดีขนาดไหนแกก็เห็นแล้วนี่"คณินหันไปมองพ่อที่เดินมานั่งเก้าอี้ใกล้เขา


          "ทุกวันนี้ผมยังทำไม่ดีด้วยอีกเหรอ?"


          "แกทำตัวห่างเหินเหลือเกิน น้าลดาเขาก็รักก็เอ็นดูเหมือนแกเป็นลูกเขา มีใครบนโลกบ้างสอนลูกตัวเองให้ยอมลูกเลี้ยง  บอกตรงๆพ่อสงสารเซ็ท"


          "สงสาร? มันมีอะไรน่าสงสารเหรอพ่อ?"


          "เด็กผู้ชายทุกคนน่ะอีโก้สูง แกเองก็น่าจะเข้าใจ แต่เซ็ทยอมทำตามแม่สั่งถึงจะไม่เต็มใจแกก็ช่วยดีกับน้องมันบ้าง"


          "ให้มันยอมผมได้ตลอดเถอะแล้วผมจะรับพิจารณา"คณินเลือกที่จะเดินทิ้งบทสนทนากับพ่อขึ้นห้องไปเขียนแบบที่ค้างไว้  ช่วงบ่ายสามเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น คณินเห็นเศรษฐพงศ์วิ่งตัวกลมๆไปที่ประตูบรรดาเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ยกมือไหว้แม่ของเพื่อนพลางส่งเสียงทักทายกันเซ็งแซ่  คณินเห็นเศรษฐพงศ์กระโดดขึ้นกะบะหลังที่มีตะกร้าต้นไม้วางเรียงราย  เมื่อเศรษฐพงศ์ตบข้างรถคนขับก็ถอยรถแล้วขับออกไป  คณินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิตจัดการนัดแนะพวกเพื่อนเพื่อไปสังสรรค์เย็นนี้


อยู่ๆก็อยากไปเดินเล่นถนนคนเดินซะอย่างนั้น




          เศรษฐพงศ์::


พวกผมจัดการเรียงต้นไม้ที่เตรียมมาขึ้นชั้นที่ประกอบง่ายๆจากก้อนอิฐและไม้กระดานเรียบร้อยก่อนห้าโมงเย็นนิดหน่อย พอเสร็จไอ้อิ้งค์ก็ไม่รีรอที่จะเดินไปซื้อลูกชิ้นร้านโปรดของมันทันที


ไอ้วีเริ่มเรียกลูกค้าของมันด้วยน้ำเสียงสดใสวันนี้แฝดนรกไม่ได้มาด้วยเพราะแม่มันรับไปทำธุระตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้ยิมกับไอ้ย้งนั่งทำรายงานบนฟุตบาธหลังร้าน  ผมหยิบเก้าอี้มานั่งเอ่ยทักทายลูกค้าประจำที่แวะเวียนมาไม่ขาดสาย


หากจะให้เข้าข้างตัวเองส่วนหนึ่งที่ลูกค้าเข้าร้านของผมไม่ขาดสายและเป็นพวกผู้หญิงวัยรุ่นนั้นก็เพราะหน้าตาของพวกผมนี่แหล่ะ ผมบรรจงเอาต้นไม้ใส่ถุงใก้ลูกค้าแนะนำวิธีดูแลจนลูกค้าเข้าใจผมจึงเดินไปซื้อน้ำมะพร้าวกิน


พลันสายตาของผมก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง โดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่หน้าตาและความสูง มีผู้หญิงเกาะแขนคนในกลุ่มนั้นมาอีก 2-3 คน ที่สะดุดตาสุดคงหนีไม่พ้นไอ้คนที่ทำใบหน้าเรียบเฉยแขนของมันมีผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาจัดว่าสวยเกาะตามมา


          "คิน ดูสิต้นไม้น่ารักจังเลย"ผมที่นั่งดูดน้ำมะพร้าวทำไม่รู้ไม่ชี้จำเป็นต้องเดินไปต้อนรับลูกค้า  ผู้หญิงคนนั้นดึงมือไอ้คินให้เดินตามเข้าไปเลือกต้นไม้ในร้าน ไอ้ยิมกับไอ้ย้งเงยหน้าขึ้นมองผมผมส่ายหน้าให้มันเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร  ไอ้อิ้งค์กับไอ้วีมองกลุ่มของไอ้คินไม่วางตาไม่มีใครไว้วางใจไอ้พวกนี้ทั้งนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้พวกเราระวังตัว


          "คินว่าโบว์ซื้อไปเลี้ยงแล้วจะรอดมั้ยอ่ะ"


          "ไม่รู้สิ รอดมั้ง"สาบานว่านั่นมึงพูดกับแฟน? ทั้งน้ำเสียงเฉยเมินนั้น ทั้งท่าทางเย็นชานั้นถ้าผมเป็นน้องโบว์รักสีดำนั่นคงไม่เอามันทำผัวแน่นอน


นั่นแฟนหรือตอไม้วะ โคตรไร้อารมณ์


        "งั้นคินซื้อให้โบว์หน่อยนะ น๊าๆ"ผู้หญิงคนนั้นเขย่าแขนไอ้คินอย่างออดอ้อนไอ้คินถอนหายใจอย่างรำคาญมันพยักหน้าส่งๆไป

น้องโบว์รักสีดำรับกระดี๊กระด๊าเลือกต้นไม้โดยที่ไอ้คินดึงให้เดินตามเรื่อยไป  บรรดาเพื่อนของมันก็อยู่ตรงมุมนั้นมีมุมนี้



ไอ้คินมันเริ่มเดินเตร่รอบร้านของผมระหว่างรอแฟนของมัน


          "เฮ้ย!!!!"


โครม!!!! อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากไอ้คินตามมาด้วยชั้นวางต้นไม้ของผมโดนปลายตีนของมันเกี่ยวจนแหกจากกันบรรดาต้นไม้ของผมล้มระเนระนาด


ผมเขวี้ยงแก้วน้ำทิ้งก่อนจะถลาไปดันชั้นสูงที่ทำท่าจะล้มใส่มันไว้ได้ทัน เสียงกระถางต้นไม้หล่นดังเปรื่องปร่างไอ้คินหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยไอ้ยิมไอ้ย้งรีบโดดเข้ามาล้อมมันไว้ ไอ้วีรีบไปเก็บกระถางต้นไม้ที่หล่นระเนระนาดส่วนไอ้อิ้งค์เดินไปกันเพื่อนไอ้คินไม่ให้เดินเข้ามา


ผมมองหน้าไอ้คนที่พังร้านของผมด้วยสายตาที่บอกความเบื่อหน่ายในสันดานของมันเต็มทน


          "มันเป็นอุบัติเหตุกูไม่ได้ตั้งใจ"


          "มึงพาเพื่อนของมึงออกไปจากร้านกูเลย"ผมไม่สนใจฟังคำแก้ตัวของมัน


คนอย่างมันน่ะเหรอจะไม่ตั้งใจ


ผมเชื่อว่ามันน่ะวางแผนมาอย่างดีแล้วด้วยซ้ำมองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าแม่งแกล้ง


          "ยังจะยืนทำเหี้ยอะไรอยู่อีก ออกไปกูจะเก็บของ"ผมหันไปไล่มันอีกครั้งมันยืนลังเลทำท่าจะพูดอะไรซักอย่างแต่ผมเลือกที่จะเมินใส่มันแล้วผลักชั้นให้ตั้งขึ้นไปตามเดิมมันทำท่าจะมาช่วยผมดันผมหันไปตวาดใส่มันด้วยเสียงอันดัง


           "ออกไป!!!"




         คณิน::


ผมชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปช่วยมันดันชั้นเมื่อมันหนมาตวาดใส่ผม



สารภาพตามตรงด้วยความสัตย์จริงว่าครั้งนี้มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆผมแค่จะเดินดูนู่นดูนี่ฆ่าเวลาแต่ปลายเท้าดันไปเกี่ยวเอาอิฐที่พวกมันใช้วางเป็นฐาน  บอกตามตรงมันใช้วัสดุที่แย่มากแล้วความซวยก็คือเสือกเป็นผมที่ไปเดินเตะชั้นของมันจนเสียหลักไปดึงเอาชั้นสูงข้างเพื่อประคองตัวไม่ให้ล้ม


ผมรู้สึกเสียหน้าที่ถูกมันตวาดใส่ต่อหน้าผู้หญิงที่ผมควงมาด้วย


แต่ความรู้สึกหน่วงในใจนี่มันคืออะไรผมกลับไม่เข้าใจตัวเองเลยซักนิด


แค่รู้สึกไม่ชอบให้มันไล่ผม...แค่นั้นล่ะมั้ง






          "ไงมึงเป็นไรเนี่ยทำหน้าเหมือนหมาโดนเจ้าของทิ้ง"แดนธรรมเอ่ยแซวคณินที่ยกแก้วเหล้าดื่มอย่างไม่สนใจใครแม้กระทั่งหญิงสาวที่นั่งบดเบียดร่างกายจนแทบจะสิงเขาอยู่+แล้ว คณินยื่นแก้วให้พชรพลชงเหล้าให้ตนเองอีกครั้ง


          "วันนี้มึงแดกดุมาก เดี๋ยวก็เมาหรอกมึง"ปากบ่นแต่มือก็ชงเหล้าให้ไม่ขาด


          "กูไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งมันเลยนะเว้ย"คนที่ยกไปหลายแก้วเริ่มมีน้ำเสียงอ้อแอ้


          "มึงก็ช่างมันเถอะอย่าไปคิดมาก"อานุพนธิ์ยื่นแก้วมาชนกับคณินพูดให้คณินไม่ต้องคิดมาก


          "มันแม่งไล่กูเหมือนหมา"


          "แล้วมึงจะไปแคร์ทำไมวะ  ปกติก็ตีกันชิบหายวันนี้มันไม่ต่อยมึงกลับมากูว่าโคตรแปลก"แดนธรรมตั้งคำถามอย่างไม่เข้าใจกับปฏิกิริยาของเพื่อนที่ปกติเจอเศรษฐพงศ์เมื่อไหร่เป็นต้องได้ฟาดปากกันเมื่อนั้น


          "เออ นั่นสิ พักนี้มึงแปลกไปนะไอ้คินปกติเจอน้องมึงได้ที่ไหนวะฟาดกันหัวร้างข้างแตก"


          "ทำไมวะแปลกตรงไหน  กูก็แค่เบื่อ"


          "ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้ป่าววะ"


          "แบบนี้แบบไหนวะ?"


          "ปกติมึงไม่ใช่คนที่จะปล่อยเหยื่อง่ายๆไง"แดนธรรมเอ่ยตอบอย่างคนที่รู้จักนิสัยของเพื่อนดี


คณินกระดกเหล้าเข้าปากมุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย


           "กูแค่เบื่อต่อยตีกับมันกูมีวิธีอื่นจัดการกับมันแล้ว"





      รถยนต์คันหรูขับเข้ามาจอดในโรงจอดรถ บ้านทั้งบ้านเงียบกริบมีเพียงแสงไฟส่องสว่าง  คณินเดินเซๆเข้ามาในบ้าน นาฬิกาเรือนใหญ่บอกเวลาตีสามกว่าๆ ชายหนุ่มไต่ราวบันไดขึ้นไปข้างบน ร่างสูงหยุดยืนหน้าห้องของคนเด็กกว่าก่อนจะล้วงเอากุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ไขมันเข้าไปอย่างเงียบกริบ


ภายในห้องมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างจากไฟที่สนามหญ้าส่งเข้ามาให้เห็นภายในห้องอย่างเลือนลาง  คณินลากเท้าเข้ามาที่เตียงนอนขนาด 5 ฟุต ที่มีร่างสูงของคนเด็กกว่านอนหลับสนิทอยู่บนนั้น  ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนข้างร่างที่หลับสนิทก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในผ้านวมผืนหนารวบร่างของเศรษฐพงศ์มากอดก่อนจะพิจารณาใบหน้าของคนหลับ


ตากลมๆนี่อ่ะเหรอที่คอยใช้มองเขาอย่างเกลียดชัง


ปากแดงๆนี่น่ะเหรอที่ตวาดไล่เขาเมื่อเย็น


          "ปากดี...มึงมันเด็กปากดี"ใช้ปลายนิ้วแตะลงบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา


เสียใจรู้มั้ย?


คนเด็กกว่าจะรู้บ้างมั้ยว่าเมื่อหัวค่ำที่เศรษฐพงศ์ไล่เขา เขาเสียใจจนเอาความหงุดหงิดไปลงกับเพื่อนสาว แต่มันกลับหยุดกลางทางเมื่อคณินเอาแต่คิดถึงหน้าของคนตรงหน้าในตอนนี้ ชายหนุ่มพาตัวเองกลับมาบ้านหลังจากถูกโบว์ด่าที่ทำให้เธออารมณ์ค้าง


          "มึงมันใจร้ายชิบหายเลยไอ้เซ็ท"คำกล่าวโทษถูกเปล่งออกมาในความมืดก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะหาเศษหาเลยกับคนที่หลับลึก 


ริมฝีปากอุ่นค่อยๆละเลียดชิมความหอมหวานจากกลีบปากนุ่มทีละนิด ปลายลิ้นค่อยๆแตะลงเบาๆราวกับกำลังชิมวิปครีมแสนอร่อย  รสจูบแสนนุ่มนวลค่อยดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ลมหายใจที่เจือกลิ่นเหล้าจางๆรินรดใส่คนหลับ คณินกดจูบซ้ำๆลงบนริมฝีปากนุ่นั้นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นจูบที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยคณินกระชับอ้อมกอดที่รั้งร่างของเศรษฐพงศ์ไว้ให้ร่างกายได้แนบสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม  ความปรารถนาบางอย่างตีตื้นขึ้นมาในหัวใจ


ต้องการมากกว่านี้


เขาต้องการมากกว่ารสจูบ  ปลายลิ้นสอดเข้าไปสำรวจโพรงปากของเศรษฐพงค์อย่างชำนาญดูดดึงลิ้นลื่นของอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจ   ฝ่ามือหนาลูบสะโพกกลมของคนที่เริ่มขยับตัวอย่างคนที่นอนไม่สบายตัว  เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังจะจมน้ำ ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างทำให้ร่างกายรู้สึกวาบหวามแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันทั้งรู้สึกดีและทรมานไปพร้อมกัน  เด็กหนุ่มค่อยเปิดเปลือกตาขึ้น

เขารู้สึกตัวตื่นแล้วแต่ก็ยังมึนเบลอคล้ายล่องลอยอยู่ในความฝัน  ความรู้สึกอุ่นชื้นที่ริมฝีปาก  เสียงจูบแสนน่าอาย และมีมือใครบางคนกำลังฟอนเฟ้นไปทั่วร่างของเขาทำให้เศรษฐพงศ์ตัวชา  เด็กหนุ่มยกแขนกอดร่างโปร่งของคนที่กำลังมัวเมาระดมจูบเขาไว้หลวมๆลูบผ่ามือผ่านเสื้อเนื้อดีราวกับโอนอ่อนตามสัมผัสหวิวนั้น มือเรียบลูบมาเรื่อยๆถึงเอวสอบของร่างที่ผอมบางกว่าเขาก่อนจะเลื่อนลงไปสัมผัสความหนานูนตึงตัวของบางสิ่งบางอย่างกลางหว่างขานั้น คณินส่งเสียงครางเบาๆเมื่อเศรษฐพงศ์ลูบฝ่ามือลงบนแกนกายเขาเบาๆ  ชายหนุ่มส่งยิ้มผ่านความมืดก่อนจะดูดปากบวมเจ่อนั้นแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว ความนุ่มนวลแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนเมื่อเศรษฐพงศ์เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นหลังจากกอบกุมจนเต็มไม้เต็มมือแล้วจากนั้นก็



          "อ๊าก!!!!!!!!!" เสียงทุ้มแหกปากร้องก่อนจะนอนตัวงอกุมเป้าของตัวเอง



          "กูจะบีบให้ไข่แตกเลยไอ้สัด เมาแล้วหื่นใช่มั้ยไอ้เหี้ย ตายซะเถอะ!!!"


บอกได้คำเดียวว่าจุกจนต้องร้องขอชีวิต


จุกจนหน้าดำหน้าแดง


บอกได้คำเดียวว่าที่แข็งก็แฟ่บในทันที


ใครก็ได้ช่วยคินด้วย!!!!                   






.................


สมน้ำหน้าเค้านะคะ เมาแล้วหื่นก็ต้องเจอแบบนี้แหล่ะค่า


เป็นง่อยอ่อพี่คิน  หนักจริงหรือมารยา

คนบว้าาาา


คนเลว


คนผีทะเล

คนฉวยโอกาส
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV [[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 12 23/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 23-11-2018 19:32:47



          คณิน::


ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนบ่ายแก่ๆ อาการปวดหัวแล่นเข้ามาทำงานอย่างทันท่วงทีเมื่อผมมีสติ ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงสำรวจตัวตนของตัวเองก็พบว่าผมยังคงอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมชุดเดียวกับเมื่อวาน


ผมคงเมามากจนไม่ได้สติกลับมาแน่ๆ  ขับรถมาถึงบ้านได้ยังไงผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน ผมขยับตัวเพื่อลงจากเตียงจะไปอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นซักหน่อย ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ทันทีที่ขยับตัวความเจ็บแปล๊บก็จู่โจมคินน้อยของผม ผมลองขยับอีกทีด้วยความไม่มั่นใจ


แปล๊บๆ


ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย  ทำไมมันเจ็บ?


ผมไปเล่นท่ายากอะไรกับใครมาหรือเปล่า? จำได้นิดๆว่าเกือบทำกับโบว์แต่ก็ไม่ได้ทำแล้วมันเจ็บได้ไงวะ ผมคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำทันทีที่ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดผมก็สำรวจสิ่งสำคัญของผมบอลใบน้อยของผมมีรอยช้ำหรือว่าผมไปเดินเมาแล้วชนอะไรมาวะ


ช่างแม่งเดี๋ยวทายาซักหน่อยคงหาย  ไม่เป็นไรนะลูกนะเดี๋ยวพ่อโอ๋หนูเองเดี๋ยวก็ใช้งานได้ตามเดิมแล้ว  ผมลูบมือลงเบาๆกับคินน้อยพลางเอ่ยปลอบใจ  นี่ถ้าใครมาเห็นผมกำลังปลอบเจี๊ยวตัวเองคงเอาไปล้อยั้นลูกบวชแน่ๆ


ทำไงได้ล่ะ  โลกนี้มีคณินแค่คนเดียว  คินน้อยที่แสนทรงพลังนี่ก็มีอันเดียวเหมือนกันผมก็ต้องทะนุถนอมมันให้มากๆคุณว่าจริงมั้ย


ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวราวๆ 20 นาทีก็เดินลงมาหาอะไรกินข้างล่าง บ้านเงียบกริบบ่งบอกว่าตอนนี้ผมอยู่คนเดียวอีกแล้ว ไอ้เซ็ทคงกลับหอมันไปแล้วผมตื่นไม่ทันแกล้งมันหรือมันจงใจที่จะไม่อยู่เจอผมก็ไม่รู้  มันคงจะโกรธที่ผมทำร้านของมันพัง ผมจัดการยัดข้าวกับต้มจืดเต้าหู้อ่อนลงท้อง ขึ้นไปหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์คว้ากุญแจรถแล้วขับออกจากบ้านมาจนถึงร้านขายไม้ของพ่อ  ลูกน้องในร้านต่างพากันทักทายผม ผมหยิบแมสขึ้นมาใส่เพราะฝุ่นโคตรเยอะเกินไปทักทายอาของผมที่มาช่วยพ่อดูแลร้านนี้โดยเฉพาะ

        "โกว คินขอไม้อัดยางหน่อยสิ เอาซัก 10 แผ่นให้คนไปส่งที่บ้านให้ด้วยคินเอาบีเอ็มมาขนไปเองไม่ได้"


          "แล้วคินเอาไปทำอะไรเยอะแยะ" อาโกวตะโกนสั่งไม้กับลูกน้องแล้วหันมาตั้งคำถากับผมที่กำลังเลือกเหล็กฉากกับพวกไม้เหลี่ยมอยู่ใกล้ๆ


          "คินจะทำงานส่งอาจารย์น่ะ"ตอแหลครับ ผมตอแหลใส่อาโกวด้วยใบหน้าใสซื่อ อาโกวร้องอ๋อเบาๆอย่างรับรู้แล้วหันไปสั่งลูกน้องให้ขนของขึ้นรถกะบะของร้านไปส่งที่บ้าน ผมยกมือไหว้ลาอาโกวแล้วขับนำกลับมาก่อน ไม่นานรถส่งของก็ตามมาผมสั่งให้คนงานขนของเข้าไปไว้ในห้องทำงานของผม



          ผมมองกองวัสดุแล้วไลน์เรียกให้เพื่อนที่พอจะมีเวลาว่างให้มาช่วยผมทำงาน พวกมันเรียกค่าจ้างนิดหน่อย ผมไม่เสียค่าวัสดุแต่ต้องเสียค่าแรงพวกมันเนี่ยโคตรไม่คุ้มเลย  ใครก็เรียกกลุ่มเราว่า ชส.แดกดุ  ชั่วโมงถัดมาไอ้แดนก็มาถึงพร้อมไอ้อ้นกับไอ้แพรส่วนไอ้แพทมันขับมอไซค์ตามมาทีหลัง


         "ไหนครับ ไม่ทราบว่าเสี่ยคินจะใช้ให้พวกผมทำอะไรครับ"ไอ้แพทที่หน้าระรื่นเข้ามาตอนที่พวกผมเริ่มงานกันไปได้ระยะหนึ่งเอ่ยถาม


          "มึงไปช่วยไอ้แดนใส่ไม้คั่นไป"ผมที่กำลังวัดไม้ให้ไอ้อ้นตัดพยักหน้าไปทางไอ้แดน ไอ้แพทถอดเสื้อเชิ๊ตตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามก็เข้าไปช่วยไอ้แดน


          "เออ เจ๋งดีว่ะ"ไอ้แพรเอ่ยปากชมเมื่อชั้นตัวแรกเสร็จผมลองประกอบเข้าแล้วถอดออกมันสะดวกสบายในการขนย้ายมากรวมทั้งการประกอบก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ผมใส่ลูกเล่นด้วยการทำให้มันเล่นระดับแบบขั้นบันไดเพื่อที่จะให้มันโชว์สินค้าได้และไม่ต้องเปลืองพื้นที่ 


          "ว่าแต่มึงทำไปทำไมวะ?"ไอ้แดนเอ่ยถามหลังจากยกน้ำขึ้นดื่ม ผมยักไหล่ไม่ยอมตอบ


          "หรือทำไถ่โทษให้น้องมึงที่ไปพังร้านมันเมื่อคืน?"อยู่ๆไอ้ห่าอ้นก็พูดขึ้นมา บรรดาไอ้พวกที่เหลือก็หูผึ่งขึ้นมาทันที


          "ยังไงครับคุณคณินยังไงกันเอ่ย?"ไอ้แพรทำสีหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มแสนกวนตีน


          "ไถ่โทษเหี้ยอะไรกูแค่สมเพชเวทนาความอนาถาของร้านมัน"


          "หราเพื่อหรา"ไอ้แพทลอยหน้าลอยตาทำลิ้นเปลี้ยใส่ผม


          "จะแดกมั้ยเหล้าอ่ะถ้าจะแดกก็เก็บของแล้วขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวบนห้องกูได้แล้วพูดมากรำคาญ"ผมเดินหนีพวกมันออกจากห้องอย่างหัวเสีย


ไถ่โทษบ้าบออะไรผมทำอะไรผิด?







         เศรษฐพงศ์::


ผมกลับมาถึงหอเร็วกว่าปกติ  เพิ่งจะสิบโมงหอเงียบสนิทเพราะเพื่อนของผมมันยังไม่กลับมา  ผมเปิดพัดลมไล่ความร้อนแล้วล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า  อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเองไม่ได้  ภาพน่ารังเกียจตามมารบกวนจิตใจ  สัมผัสน่าขยะแขยงคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนทำให้ใบหน้าของผมร้อนผ่าว


ผมไม่รู้ว่าไอ้คินมันคิดอะไรอยู่  ตอนแรกก็แค่รู้สึกมันแปลกไปไม่หาเรื่องทะเลาะต่อยตีกับผมแม้ว่าจะยังหาเรื่องกลั่นแกล้งบ้างพอหอมปากหอมคอ  จูบครั้งแรกผมก็ยังคิดว่ามันคงแกล้งเล่นเหมือนเดิม จูบครั้งที่สอง ผมก็ยังคิดว่ามันแค่สั่งสอนผมที่ผมยังไปปากดีกับมัน  แต่จูบเมื่อคืนมันไม่ใช่...มันไม่มีเหตุผลเลยซักนิด  ถ้าผมตื่นไม่ทันหรือถ้าผมเคลิ้มไปกับอารมณ์ตามประสาวัยรุ่นที่มีความอยากรู้อยากลองอะไรจะเกิดขึ้น  ที่ผมไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือตัวของไอ้คินที่บอกเกลียดผมตลอดเวลาแต่ก็เอาตัวเองเข้ามาข้องเกี่ยวกับผมเหลือเกิน  บอกตรงๆบางทีผมก็ตามความคิดของมันไม่ทัน


ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือมันไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ  ผู้ชายที่ไหนจะมาจูบผู้ชายด้วยกันวะผมไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อยที่จะไปเร้าอารมณ์ทางเพศใครได้  และผมไม่ใช่เกย์ด้วย  ไอ้คินเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะชอบเพศเดียวกัน  แล้วมันมาทำกับผมแบบนั้นทำไม  ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงอยากจะข่มตานอนแต่ก็นอนไม่หลับแม้ว่าเมื่อคืนหลังจากที่ผมบีบไข่มันจนลงไปนอนร้องโอดโอยผมก็ใช้เข่ากระทุ้งตามไปอีก 1 ที แล้วหิ้วปีกมันกลับไปนอนในห้องของมันจากนั้นผมก็นอนไม่หลับอีกเลย


ภาพมันวนซ้ำในสมองจนผมหงุดหงิด  ยกฝ่ามือขึ้นมาถูลงบนปากจนรู้สึกเจ็บ


จะทำให้กูเกลียดไปอีกนานแค่ไหนกันวะ  คิดแล้วก็หงุดหงิด ผมระบายอารม์ด้วยการหยิบหมอนข้างมารัวกำปั้นใส่ติ๊ต่างว่าเป็นหน้าไอ้คินจนรู้สึกดีขึ้นถึงได้เคลิ้มหลับไปในที่สุด


เสียงพูดคุยกันด้านนอกปลูกให้ผมตื่นขึ้นตอนบ่ายสามกว่าผมบิดคอไล่ความเมื่อยขบเดินไปเปิดประตูตามเสียงเคาะเรียกของไอ้วี


          "ไรมึง"ผมเกาหัวจนผมยุ่งเมื่อเปิดประตูให้ไอ้วีเรียบร้อยแล้วไม่ได้สนใจมันอีกแต่เตรียมตัวนอนอีกรอบ


          "จะสี่โมงเย็นแล้วมึงยังจะนอนอีกเหรอ  ลุกๆแม่กูฝากขนมมาให้"ไอ้วีมันไม่ยอมให้ผมได้นอนต่อมันดึงแชนจนผมต้องลุกตามที่มันบอกถุงขนมสอดไส้ถูกยื่นมาให้ถุงใหญ่


ผมรีบคว้ามาไว้กับตัก เป็นที่รู้กันดีว่าแม่ไอ้วีนั้นขึ้นชื่อเรื่องขนมไทยขนาดไหนผมเอ่ยปากขอบคุณมันพลางแกะขนมเข้าปากความหอมมันเค็มนิดๆผสมกับไส้มะพร้าวผัดรสหวานให้ความกลมกล่อม ผมแกะขนมสอดไส้ใส่ปากห่อแล้วห่อเล่า นี่ถ้าเป็นไอ้คินมันคงจะนั่งกอดอกรอให้ผมเขี่ยเอาส่วนที่เป็นแป้งผสมกะทิออกแน่ๆเพราะมันไม่กินกะทิมันจะเลือกกินแต่ส่วนที่เป็นแป้งบางๆกับไส้ด้านใน



อ่าว...


แล้วนี่กูจะไปคิดถึง...เฮ้ย...นึกถึงมันทำไมวะ



หมดอารมณ์แดกเลย



ผมวางถุงขนมที่กินไปเกินครึ่งลงเมื่อดันไปนึกถึงไอ้คนที่ทำให้อารมณ์เสียมาตลอดทั้งวัน  เดินออกไปช่วยพวกไอ้ยิมเอาต้นไม้ลงจากท้ายกะบะ


          "ดีนะเมื่อคืนที่หล่นไม่เสียหายจนถึงกับปลูกซ่อมไม่ได้"ไอ้ย้งมันแยกต้นที่หล่นออกจากถาดมาเรียงไว้เพื่อนเตรียมปลูกซ่อม


          "ไอ้เซ็ทเมื่อคืนกูว่ามันไม่ได้ตั้งใจว่ะ"ไอ้ยิมที่เดินถือตะกร้าใส่กระถางพูดกับผม


          "คนอย่างมันแกล้งกูมาตลอดจะมีคำว่าไม่ตั้งใจอยู่ในหัวเหรอวะ"


          "กูว่าเมื่อคืนอุบัติเหตุจริงๆมึง กูมองมันอยู่ มันเดินๆแล้วสะดุดตีนมันเลยไปเกี่ยวกับไม้กระดานทีนี้มันจะล้มมันเลยจับชั้นวางของเลยหล่นหน้ามันโคตรเหวอเลยมึง"


          "จริงดิ่?"


          "เออ จริง ถ้ามันแกล้งมันพังร้านเราโต้งๆเลยไม่ง่ายกว่าเหรอวะปกติมันทำอะไรก็ทำตรงๆอยู่แล้วแล้วเมื่อคืนตอนมึงไล่มันหน้ามันอย่างสลดอ่ะ"


          "ก็กูโมโห ยังไงมันก็ผิด เดินประสาอะไรของเสียหายมันไม่ได้มารับผิดชอบให้"


          "ก็แค่เปลี่ยนดินนิดหน่อยเองมึง  มึงก็ไม่ต้องไปอะไรกับมันมากนักหรอก  กูว่าเป็นแบบนี้ก็ดีนะ"


          "ยังไง?"ผมหันไปถามไอ้ยิมอย่างแปลกใจ


          "ก็พักหลังๆมานี่พวกเราไม่ได้ตีกับพวกมันเลยนะหลังจากหมูกะทะ ปกติเจอกันที่ไหนตีกันที่นั่น บอกตรงๆนะกูก็ไม่เข้าใจทำไมพวกมึงจงเกลียดจงชังกันได้ขนาดนี้  พอไม่ตีกันกูก็ไม่ต้องระแวงว่าจะต้องเข้าไปสำนึกตนในคุกตอนไหนอีกขอเป็นประสบการณ์ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายไป"


          "กูขอโทษนะเว้ยที่ทำให้พวกมึงต้องมาเดือดร้อนกับปัญหางี่เง่าระหว่างกูกับมัน"ผมเอ่ยขอโทษออกมาจากใจจริง  ยังรู้สึกผิดไม่หายที่ลากเพื่อนๆเข้ามาวังวลการทะเลาะของเขากับไอ้คิน


          "ต่อไปกูจะพยายามไม่หัวร้อนง่ายแบบนี้อีกก็แล้วกันนะ"


          "เออ  ทำได้ก็ดี ไม่ได้ดีกับพวกกูแต่ดีกับตัวมึงเอง  โดนต่อยมาแต่ละที ฟันแทบโยก"


          "ถ้าแตกแอนตาซินแจก 500 นะมึง"ผมแซวมันเมื่อมันบ่นจบ มันเอาหินก้อนเล็กไปมาใส่ผมที่ผมบังอาจไปกวนตีนมัน  พวกเราช่วยกันเปลี่ยนดินให้ต้นไม้อย่างเร่งรีบในที่สุดก็เสร็จตอนห้าโมงกว่า  พวกผมอาบน้ำอาบท่าแล้วถึงได้ขับรถไปหาอะไรกินแถวนี้พอเย็นแล้วก็หาของกินยากดังนั้นกับข้าวที่ทางบ้านทำมาให้จึงมีความหมายมากๆเสียดายวันนี้ผมรีบชิ่งออกมาเพราะไม่อยากเจอหน้าไอ้คินทำให้แม่ไม่มีเวลาทำกับข้าวให้ผม



          "อย่ากินรสจัดเกินนะมึงพรุ่งนี้เข้ากรุงเทพคนขับแม่งไม่แวะปั๊ม"ไอ้ยิมเอ่ยเตือนเมื่อพวกเรานั่งดูเมนูอาหารตามสั่งง่ายๆ


          "กูอิจฉาพวกมึงได้ไปกรุงเทพส่วนพวกกูสามคนต้องอยู่เตรียมของไปราชบุรี"ไอ้อิ้งค์บ่นอุบผมแกล้งตบไหล่มันเบาๆอย่างปลอบใจ


          "โอ๋ๆ ไม่เศร้านะเดี๋ยวเฮียซื้อหนมมาฝาก"


          "พวกแต้มบุญน้อยก็อย่างนี้แหละ บอกแล้วให้ทำบุญเยอะไป"ไอ้วีหันไปเบะปากใส่ไอ้อิ้งค์กับสองแฝด บอกเลยว่าท่าทางนั้นต้องได้รางวัลออสการ์


          "ว่าแต่เซ็ทมึงไม่สบายป่าววะดูซึมๆ"


          "ป่าว...กูสบายดี"ผมบอกปัดก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวไป  ไอ้วีไม่ได้มาเซ้าซี้อะไรอีกซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องดีทำให้กินข้าวได้คล่องคอขึ้นมาหน่อย


          หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็มานั่งจัดการรีดชุดนักศึกษาไว้พอเสร็จก็เตรียมตัวเข้านอน เสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นผมกดคุยกับเอิร์นที่ทักมา

          "ไอ้เหี้ย"การแจ้งเตือนที่เด้งแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของผมกับเอิร์นทำให้ผมหัวเสียไม่น้อยผมรีบกดเข้าไปตอบกลับมันทันทีด้วยความหัวร้อน


          "ไอ้หน้าส้นตีน"ผมปิดเน็ตแล้วล้มตัวนอนทันทีด้วยความหงุดหงิด






เช้าอันวุ่ยวายเสียงตะโกนด่าโหวกเหวกดังมาจากห้องน้ำ ไม่นานเศรษฐพงศ์ ยงศกร ยงวิสุทธิ์ วีรดนัยก็เดินหน้าบูดออกมาจากห้องน้ำ


          "ไอ้เหี้ย ใครเอาไลป้อนเอฟมาใส่ในขวดยาสระผมวะ"หลังจากแต่งตัวเสร็จออกมารอเพื่อนหน้าหอเศรษฐพงศ์ก็บ่นอุบ


          "อ้าว มึงก็โดนเหรอ กูก็โดน"ยงวิสุทธิ์กำลังใส่เข็มขัดหันมาบอกอย่างหงุดหงิด



          "กูสองคนก็โดน"


          "ไอ้เหี้ยอิ้งค์กับแฝดนรกแน่ๆไม่เชื่อลองถามในไลน์" เศรษฐพงศ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ สบถอย่างขำๆเมื่อโอบนิธิกับสองแฝดสารภาพว่าเป็นคนเอาน้ำยาล้างจานมาเปลี่ยนใส่ขวดยาสระผมในห้องของเพื่อนๆ


          "หัวกูยังมีกลิ่นมะนาวอยู่เลย"ยงศกรจับปลายผมพยายามสูดกลิ่น


          "ไปกินข้าวกันก่อนมั้ยอีกครึ่งชั่วโมงรถถึงมารับ"วีรดนัยยกนาฬิกาขึ้นมาดูเพิ่งจะ 7 โมง 20 ยังพอมีเวลาหาอะไรรองท้องเพื่อนอีกสามคนต่างเห็นด้วย  เพราะคนขับรถคนนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องการไม่แวะระหว่างทาง เด็กๆทั้งสี่คนเคลื่อนทัพไปสั่งข้าวผัดกินเพราะจะได้ทำทีเดียว เมื่อได้อาหารทุกคนก็ทำตัวราวเครื่องจักรคือรีบกินข้าวจนหมดจานภายในเวลาอันรวดเร็ว


          "มึงๆ ซื้อหนมไปกินบนรถด้วย กูจะซื้อบ๊วยเผื่อเมารถ"วีรดนัยส่งเสียงสั่งเพื่อนๆในขณะที่ตัวเองยืนเลือกบ๊วยสารพัดแบบอยู่


          "บุหรี่ไม่ต้องนะมึง ใส่ชอปวิทยาลัยไปมันดูไม่ดี"เศรษฐพงศ์ร้องค้านเมื่อยงศกรทำท่าจะก้มลงไปเลือกบุหรี่  ร่างสูงชะงักมือเมื่อคิดตามที่เพื่อนบอก ชายหนุ่มเลือกที่จะฟังเศรษฐพงศ์ อย่างน้อยเขาก็รักชื่อเสียงของสถาบันมากกว่าความต้องกทรของตนเองคงจะไม่ดีแน่ถ้าใครมาเห็นพวกเขาสูบบุหรี่ในขณะที่สวมเครื่องแบบสถาบัน


ก่อนแปดนาฬิกาเพียงไม่กี่นาทีรถหกล้อทาสีน้ำตาลข้างตัวรถมีชื่อและตราสถาบันเด่นหราก็มาจอดหน้าหอและบีบแตรเรียก เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปที่รถยกมือไหว้อาจารย์และคนขับรถก่อนจะปีนขึ้นบนรถอย่างคล่องแคล่ว  พอรถเคลื่อนตัวยงวิสุทธิ์ก็เอาเปลยวนมาผูกระหว่างโครงรถทั้งสองด้าน เพื่อนที่เหลือต่างก็ทำตามไม่แพ้กัน เรื่องอะไรจะนั่งให้เมื่อยเขาเสียเวลาอันมีค่าในยามเช้าเพราะต้องตื่นมาเตรียมตัวไวการนั่งรถนิ่งๆจึงเป็นกำไร ไม่นานดักแด้ยักษ์สี่ตัวก็หลับสนิทและตื่นขึ้นไล่เลี่ยกันเมื่อใกล้ถึงตลาดนัดสวนจตุจักร ทั้งสี่คนเก็บอุปกรณ์การนอนแล้วซุกๆไว้ใต้เบาะนั่ง จัดแต่งเสื้อผ้าและทรงผมก่อนจะโดดลงมายืนรวมกัน อาจารย์พาพวกเขาเข้าร้านนู้นออกร้านนี้เลือกซื้อทั้งไม้ต้นเล็กเช่นปีกแมลงสาบ โปร่งฟ้า เฟิร์น มอสที่ขายเป็นถาดๆ ถาดหินอ่อนสำหรับใช้แข่งจัดสสนถาดรวมทั้งกิ่งไม้อันสวยๆ ตุ๊กตาและของกระจุกกระจิกสำหรับจัดสวนขวด สวนถาด สวนตู้กระจก ตลอดเวลาในการเลือกซื้อเหมือนพวกเขากำลังเล่นเกมส์โชว์ เพราะไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่ต้องการต้นไม้เหล่านี้  วิทยาลัยอื่นก็ต้องการเช่นเดียวกันเพราะฉะนั้นตอนที่พวกเขากำลังรออาจารย์เลือกต้นไม้อยู่ อาจารย์ของวิทยาลัยอื่นก็พานักศึกษามาเลือกซื้อต้นไม้เช่นเดียวกัน  พวกเศรษฐพงศ์ต้องยกมือไหว้อาจารย์ทุกคนที่เข้ามาทักทายอาจารย์ของเขาอยู่เนืองๆ ของที่ถืออยู่ก็หนักขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน อากาศก็ร้อนอบอ้าวมันทำให้กลุ่มเด็กหนุ่มแอบหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย  แต่เด็กไปทั้งสี่คนก็เก็บอาการได้อย่างแนบเนียน เศรษฐพงศ์กับวงวิสุทธิ์ลองสังเกตุนักศึกษาต่างสถาบันที่แข่งจัดสวนหย่อมเหมือนกัน จนกระทั่งบ่ายการเลือกซื้อต้นไม้ที่จตุจักรก็จบสิ้นลง อาจารย์สั่งคนขับรถมุ่งหน้าไปบ้านอาจารย์วิรัชที่เคยสอนอาจารย์ของพวกเขาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา ทั้งหมดแวะกินข้าวกลางวันกันตอนบ่ายกว่า แทบไม่มีใครเอ่ยปากพูดคุยกันเลยเพราะต่างคนต่างหิวจัดหลังจากอิ่มแล้วก็เดินทางต่อจนถึงจุดหมาย สถานที่ๆมาห่างไกลจากคำว่าสวนมากเพราะด้านหน้าถูกตกแต่งอย่างสวยงามเป็นทั้งร้านอาหารและสถานที่จัดงานเลี้ยง มีต้นไม้ประดับประดาร่มรื่น อาจารย์พานักศึกษาอ้อมไปอีกด้านเพื่อไปหาอาจารย์วิรัช ทั้งสองท่านทักทายกันด้วยความสนิทสนมเศรษฐพงศ์เคยเห็นอาจารย์วิรัชจากหนังสือเกี่ยวกับต้นไม้หลายเล่ม ตลอดทั้งบ่ายเด็กสี่คนวิ่งกันหัวหมุนเพราะถูกสั่งให้หยิบต้นไม้ต้นนู้นต้นนี้ไม่ได้หยุด  เหนื่อยจนเหมือนร่างจะแหลก ในที่สุดหลังจากผ่านสี่โมงเย็นต้นไม้ที่ห่อใบเรียบร้อยก็ถูกลำเลียงขึ้นรถจนเสร็จ เข้าไปไหว้ลาเจ้าของสวนพวกเขาจึงได้เดินทางกลับวิทยาลัย


เศรษฐพงศ์หมดแรงจนหลับแบบไม่สนใจอะไร  ไม่สนแม้กระทั่งแรงสั่นจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง


          เอาล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน"อาจารย์เอ่ยลาเด็กๆเมื่อมาจอดรถส่งเด็กทั้งสี่คนลงหน้าหอเรียบร้อยตอนเกือบสองทุ่ม โทรศัพท์สั่นไม่หยุดทำให้เศรษฐพงศ์ต้องหยิบขึ้นมาดูเพราะคิดว่าเอิร์นทักมาหา แต่พอดูหน้าจอแล้วก็ถอนหายใจพรืดใหญ่ตัดสินใจเปิดอ่านแม้จะไม่เต็มใจ




          คณิน:


ผมจ้องมองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด  ผมทักไลน์ไปหาไอ้เด็กเหี้ยนั้นตั้งแต่ห้าโมงกว่า  มันไม่อ่านไม่ตอบผมเลยซักครั้งจนกระทั่งเกือบสองทุ่มมันถึงตอบผมกลับมา  ผมมองชั้นไม้ที่ต่อให้มันกะจะบอกให้มันรีบมาขนๆไปแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวมันจะไปแข่งแล้วคงไม่มีเวลามาเอาไป


"มึงจะไปแข่งวันไหน"จึงเป็นคำถามที่ผมพิมพ์ลงไป  แน่นอนว่าคนอย่างไอ้เซ็ทไม่มีทางที่จะตอบคำถามของผมดีๆโดยไม่โดนด่า  มันพยายามบ่ายเบี่ยงและจะนอนท่าเดียวจนผมต้องบอกว่าแค่มันบอกมามันจะไปนอนหรือไปตายที่ไหนก็ไป


        "วันพฤหัส"นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับ ผมด่ามันส่งท้ายและมันตอบกลับมาคำเดิมเหมือนทุกครั้งที่ผมส่งไปด่ามัน ผมกดเข้ากรุ๊ปไลน์ไอ้พวกเพื่อนๆว่าวันพฤหัสผมมีเรียนหรือมีสอบอะไรมั้ย คำตอบที่ได้ทำให้ผมอารมณ์ดีไม่น้อย  วันพฤหัสผมสามารถโดดเรียนได้


ราชบุรีก็ไม่ได้ไกลอะไรเยอะขับรถชั่วโมงหนึ่งก็ถึง


รู้สึกอยากขับรถเล่นจังเลย






..............


อยากนั่งรถไปเที่ยวกับพี่คินจุงเบย

พี่น้องเขาบอกฝันดีกันอย่างนุ่มนวล

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 13 26/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-11-2018 01:14:07



B
E
R
L
I
N
?  Faded Red Hand Blue Bow Heart





          บริเวณหน้าตึกอำนวยการในตอนหกโมงเช้าคราคร่ำไปด้วยนักศึกษาที่ใส่ชุด อกท.หน่วย ทุกคนยืนแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง อาจารย์เดชอาจารย์ที่ปรึกษากิจการ อกท.เดินแจกเบี้ยเลี้ยงให้กับตัวแทนที่เข้าร่วมแข่งขันทุกคน


          "3 วัน ให้ 500 กูหายใจทีเงินก็ปลิวหายแล้ว"ยงศกรบ่นอุบเมื่อเห็นจำนวนเงินในมือ


          "เอาน่ามึง มีให้ก็บุญแล้วก็รู้อยู่วิทยาลัยเรางบน้อย"วีรดนัยพับเงินเก็บใส่กระเป๋า บรรดานักศึกษาทยอยกันขึ้นรถหกล้อจนเต็ม ขณะที่กลุ่มของเศรษฐพงศ์จะปีนขึ้นรถเสียงบีบแตรก็ดังขึ้น รถกะบะโฟท์วีลของอาจารย์บุตรแล่นมาจอดจ่อท้ายรถหกล้อ


           "ภูมิทัศน์พวกจัดสวนไปกับครู"อาจารย์ส่งเสียงเรียกกลุ่มของเศรษฐพงศ์ ทำให้ตอนนี้พวกเขาต้องแยกเป็นสองกลุ่ม โอบนิธิ เศรษฐพงศ์ วีรดนัย กับยงวิสุทธิ์ นวิดา ต้องเดินมาขึ้นรถอาจารย์


          "เนยกับวีไปนั่งหน้ากับอาจารย์นะ"เศรษฐพงศ์เปิดประตูรถให้วีรดัยกับนวิดาหรือเนยเข้าไปนั่งในรถ


          "เอ้าเฮ้ย แคปหลังยังนั่งได้อีกเข้ามานั่งในรถด้วยกันนี่แหล่ะ"อาจารย์ส่งเสียงเรียกอีกครั้งเมื่อคนที่เหลือเตรียมไปนั่งกะบะด้านหลัง


          "ไอ้ย้งมึงไป กูนั่งกับไอ้เซ็ทข้างหลังเอง"โอบนิธิดันให้ยงวิสุทธิ์เข้าไปนั่งกับวีรดนัย เพื่อนทุกคนรู้ดีว่าเศรษฐพงศ์ไม่ชอบนั่งในรถกะบะ ภาพเหตุการณ์วันที่เสียพ่อไปแม้พยายามจะฝังกลบเข้าไปให้ลึกที่สุดของก้นบึ้งหัวใจแต่ความกลัวฝังใจของเศรษฐพงศ์ไม่เคยจางหายหรือลบเลือนไปไหน


ทั้งสองคนมานั่งท้ายกะบะอาจารย์ก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ราชบุรีทันทีเศรษฐพงศ์หายใจไม่ทั่วท้องเลยซักนิดเหงื่อออกเต็มสองมือของเขาเมื่ออาจารย์ใช้ความเร็วค่อนข้างสูง


เด็กหนุ่มพยายามสูดหายใจลึกเพื่อลดความกลัวในใจ



ไม่ชอบ


เศรษฐพงศ์ไม่ชอบนั่งรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูงแบบนี้  ยิ่งอาจารย์เพิ่มความเร็วความกระอักกระอ่วนยิ่งตีตื้นจากช่วงท้องสู่ลำคอเขาอยากจะอาเจียนแต่ก็ต้องกลั้นไว้ ไม่อยากแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็น


          "มึงไหวมั้ยวะเซ็ท"โอบนิธิที่สังเกตอาการของเพื่อนเอ่ยถาม เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบเป็นคำพูดทำเพียงพยักหน้ารับ แม้มือจะเย็นเฉียบเหงื่อไหลจากขมับลงมาจนถึงคอก็ยังไม่ยอมปริปากบ่นให้ตัวเองต้องมาเป็นภาระของเพื่อน


          "ไม่ไหวมึงต้องบอกกูนะมึงพกยาดมมาป่าว"คราวนี้คนที่นั่งหน้าซีดส่ายหน้า  เขาไม่คิดว่าอาจารย์จะแวะมารับนี่นาจึงไม่ได้เตรียมมา อันที่จริงใช่ว่าเขาจะนั่งรถกะบะไม่ได้ เขานั่งได้เพียงแต่อย่าขับเร็ว


แต่สำหรับรถอาจารย์นั้นอย่าเรียกขับเลยให้เรียกเหาะจะเหมาะกว่า




          เศรษฐพงศ์::


     ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่วิทยาลัยที่ราชบุรีผมภาวนาให้อาจารย์หยุดรถซักที  อาจารย์นำรถมาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆกับซุ้มของวิทยาลัยพอรถจอดสนิทผม็พุ่งตัวราวสิงโตเข้าตะครุบเหยื่อพอถึงโคนต้นไม้ผมก็อ้วกแตกครับ


          "อะไรวะเมารถเหรอ"อาจารย์เอ่ยถามผมเมื่อผมยังอ้วกไม่หยุดไอ้อิ้งค์มันตามมาลูบหลังให้ผม


          "ไงเดี๋ยวพวกเธอไปหาอะไรกินแล้วเดินดูงานรอบๆนะซัก 10 โมงมาเจอครูที่นี่"อาจารย์หันมานัดแนะจนพวกผมรับคำแล้วก็แยกไป บรรดาเพื่อนๆต่างรีบเดินมาหาผมด้วยความเป็นห่วง


          "เซ็ทมึงไหวป่าววะหน้ามึงอย่างซีด"ไอ้วีใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเช็ดเหงื่อที่ขมับ ผมยื่นมือไปรับยาดมจากเนยมาอัดเข้าปอดหนักๆ


          "กูนึกว่าวิญญาณกูจะออกจากร่างแล้วตอนอาจารย์ตีโค้งหักศอก ขับเหมือนรถแข่ง"ผมทำหน้าสยองเมื่อคิดถึงตอนที่อาจารย์เลี้ยวรถด้วยความเร็วสูงจนผมกับไอ้อิ้งค์ถึงขั้นกลิ้งเป็นลูกขนุนเเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

          "ไปหาข้าวกินกันเผื่อดีขึ้น"ไอ้ย้งเสนอซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย พวกผมสี่คนแยกกับเนยที่ต้องไปช่วยทำซุ้มเดินตัดสนามตรงไหนอีกฝั่งที่เป็นโซนร้านอาหาร


          "เทียบกับวิทยาลัยเราของเขาเล็กไปเลย"ไอ้อิ้งค์กวาดตาไปรอบๆเพราะชินกับพื้นที่ของวิทยาลัยตัวเองที่ราชบุรีนี้ใหญ่ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำพวกผมสี่คนเลือกเข้าร้านอาหารตามสั่งสั่งข้าวคนละจานกับน้ำอัดลมคนละขวด ไอ้ยิมไอ้จีนกับไอ้จินยังมาไม่ถึงคงอีกซักพักใหญ่ เมื่อทานข้าวจนอิ่มแล้วไอ้วีก็ชวนไปดูการแข่งขันต่างๆที่เริ่มไปก่อนหน้านี้


          "วีมึงแข่งกี่โมง"ไอ้อิ้งค์หันไปถามไอ้วีตอนที่เรามาหยุดดูทักษะจัดตู้ปลา


          "กูแข่งบ่ายสาม"


          "ไม่ต้องตื่นเต้นนะมึง เดี๋ยวพวกกูไปเชียร์"


          "เออ พวกมึงก็สู้ๆนะกูจะไปยืนดูใกล้ๆเลย"


           "เสียดายพวกกูไปเชียร์ไอ้ยิมกับไอ้แฝดไม่ได้เสือกแข่งเวลาเดียวกัน"


           "เดี๋ยวกูวิ่งสลับไปมาเชียร์พวกมึงเอง พอมันผ่านตรงมึงๆค่อยทักพวกมันก็ได้"ไอ้วีรับอาสาในการเชียร์พวกเราที่แข่งพร้อมกัน


          "เดี๋ยวมึงได้วิ่งตับแล่บ แดดก็ร้อนชิบหาย"ผมเงยหน้ามองแดดตอนแปดโมงเช้าอย่างหงุดหงิด เพราะพวกผมต้องแข่งกลางแจ้งอีแดดนรกนี่จะทำให้เราเหนื่อยกว่าปกติ


           "ตื่นเต้นเหมือนกันว่ะ"อยู่ๆไอ้ย้งก็พูดออกมาเบาๆ  ใช่ครับเราทุกคนตื่นเต้นกันจนนอนไม่หลับเพราะนี่คือการแข่งขันสายวิชาชีพระดับภาคครั้งแรกของเรา ถ้าเราชนะติด 1 ใน 3 มันก็เหมือนมีใบเบิกทางให้อนาคตเราง่ายกว่าคนอื่น


          "เราทำได้"ผมตบไหล่ไอ้ย้งที่เริ่แสดงอาการตื่นเต้นจนสังเกตได้ เราเดินสำรวจบริเวณโดยรอบแล้วไปจบที่ซุ้มนิทรรศการพอเก้าโมงกว่าพวกเราก็กลับไปรออาจารย์ตามที่นัดไว้ พวกไอ้ยิมไอ้จีนไอ้จินมารออยู่ก่อนหน้าแล้ว


          "เอาล่ะมาครบแล้วเดี๋ยวเราไปลงทะเบียนกัน ทำให้เต็มที่ ทำให้ได้เหมือนตอนซ้อม ตรวจตราให้ละเอียดรอบคอบ อย่าลืมอะไร อย่าเสียสมาธิไม่ต้องไปมองทีมอื่นเข้าใจมั้ยทำส่วนของตัวเองให้ดีก็พอ"

         "ครับ"พวกเรารับคำอาจารย์ อาจารย์เดินมาลูบผมของผมแล้วโคลงหัวผมเล่นรอยยิ้มแสนอบอุ่นถูกมอบให้ ความอุ่นใจแล่นเข้ามาในอกของผม ความประหม่าความตื่นเต้นลดลงเพียงแค่สำผัสอ่อนโยนที่เหมือนพ่อคนหนึ่งมอบให้กับลูกของเขา


           "ฝากด้วยนะเซ็ท"


           "ครับ ผมกับเพื่อนๆจะชนะ"


           "ดีงั้นไปกัน"พวกเราเดินตามอาจารย์มาลงชื่อที่กองอำนวยการ ผมหันไปมองทีมช่างสำรวจของไอ้ยิมกับสองแฝดยกกำปั้นให้พวกมันปากก็ขยับเป็นคำว่าสู้ๆ และแน่นอนพวกมันก็ส่งพลังใจกลับมาด้วยเช่นกัน


ผมนั่งประจำที่ที่โต๊ะเขียนแบบรอบรรดากรรมการซึ่งก็คืออาจารย์จากวิทยาลัยต่างไปตรวจเช็ครายชื่อผู้แข่ง เหงื่อออกเต็มสองมือของผมผมรีบถูมันออกพยายามสูดหายใจลึกเรียกสติให้ตัวเอง ผมหลับตาพลางนับเลขในใจเพื่อให้จิตใจสงบลงเป็นวิธีที่ผมใช้ประจำจนได้ยินเสียงกรรมการบอกให้เตรียมตัวนั่นแหล่ะผมถึงลืมตาขึ้น


แต่...


เอ๊ะ!!??...


ในบรรดาคนที่มาดูการแข่งขัน


สายตาของผมสะดุดกับร่างของใครบางคน  ใครคนนั้นสวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวสีแดง สวมหมวกและใส่แมสปิดบังใบหน้าไว้


ด้วยส่วนสูงที่พุ่งกว่าคนอื่น ไหนจะผิวขาวๆนั่นอีกสายตาที่มองจ้องมาที่ผมไม่หลบตาไปไหน


คือต่อให้เห็นแค่เงาผมก็จำได้อ่ะ


           "ไอ้เหี้ยคิน!!!"


มันมาทำไมวะ แล้วแต่งตัวแบบนี้มึงเช็คสภาพอากาศมามั่งมั้ยไอ้ควาย!!!!  เป็นลมตายอย่ามาร้องให้กูช่วยเชียวไอ้เหี้ย




     ในที่สุดช่วงเวลาของการแข่งขันก็เริ่มขึ้นหลังหัวหน้ากรรมการเปล่งคำว่าเริ่มการแข่งขัน จับเวลา ผมเริ่มวาดแบบตามที่ซ้อมมานานนับเดือนอย่างใจเย็น  ผมพยายามบอกตัวเองว่าให้เพ่งสมาธิกับงานที่กำลังทำตรงหน้าอย่าวอกแวกแม้จะมีใครบางคนมายืนจ้องให้รำคาญใจ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแข่งขันที่ผมมาในฐานะตัวแทนของวิทยาลัยของผม  เหลือบมองไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งที่ช่วยกันทำใบประเมิณราคา มือของไอ้อิ้งก็เขียนชื่อรายการส่วนมือของไอ้ยิ้งนั้นกดเครื่องคิดเลขรัวเร็วคล่องแคล่วสมกับที่บ้านเปิดร้านขายวัสดุอุปกรณ์จับเงินจับทองมาตั้งแต่เด็กๆ


ความเคร่งเครียดกดดันคล้ายจะลอยอบอวลในอากาศแต่ผมกลับชอบบรรยากาศแบบนี้ ความรู้สึกอยากเอาชนะพุ่งพล่านจนในที่สุดการตรวจตราแบบรอบสุดท้ายก็จบลงผมวางปากกาแล้วนั่งรอไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้งที่ตรวจใบประเมินราคารอบที่ร้อยได้ เรายังไม่สามารถลุกจากตรงนี้เพื่อไปหยิบอุปกรณ์จัดสวนได้จนกว่าจะครบ 1 ชั่วโมง คราวนี้ผมจึงมีเวลากวาดตามองรอบๆ ไอ้คินไม่ได้อยู่ตรงที่เดิมแล้วแต่นู่น มันไปยืนทำห่าอะไรกลางแดดตรงที่ผมจะต้องไปจัดสวน  ผมเห็นมันกระพือเสื้อไล่ความร้อนแล้วอยากจะเขวี้ยงแก้วน้ำจากมือไอ้วีใส่หัวมันซะจริงๆ


     "เริ่มการจัดสวนภาคปฎิบัติ"หลังจากได้ยินสัญญาณนี้พวกเราสามคนก็วิ่งครับ เพราะว่าทางนี้ไม่ได้จัดอุปกรณ์ให้เป็นสัดส่วนเราจึงต้องไปแย่งกันเองครับ นี่อีกนิดจะนึกว่าตัวเองอยู่เขต 12 ล่ะ ไอ้วีมาส่งเสียงเชียร์ดังเย้วๆใกล้ๆทำให้ผมฮึกเหิมราวจะไปออกศึก


เราเริ่มงานกันอย่างเร่งรีบแต่เป็นระบบการเตรียมดินคือขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุดไหนจะต้องขุดหลุมเพื่อฝังอ่างรองน้ำพุไอ้อิ้งค์รับหน้าที่ตรงส่วนนั้น ผมสงสารมันนะครับเพราะดินที่ราชบุรีก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าดินที่บ้านอาจารย์เลย แต่มันก็ไม่ปริปากบ่นตั้งหน้าตั้งตาขุดเพียงไม่นานมันก็สามารถฝังอ่างลงไปต่อท่อและสายไฟขึ้นมาใช้ตะแกรงปิดแล้วโรยหินทับลงไป ส่วนผมกับไอ้ย้งก็เริ่มประกอบศาลา วางพื้นไม้ เมื่อไอ้อิ้งค์จัดการกับน้ำพุเสร็จมันจึงเข้ามาช่วยพวกผมวางต้นไม้ เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที จาก 1 ชั่วโมงสู่ชั่วโมงที่สอง พวกเราเริ่มเก็บรายละเอียด ผูดผ้าม่านขาวตามเสาทุกต้นของศาลา วางเก้าอี้ไอ้อิ้งค์เปิดมอร์เตอร์ให้น้ำพุทำงาน เราเก็บรายละเอียดของต้นไม้ กวาดดินที่เลอะเทอะ เช็คความเรียบร้อยอีกครั้งในที่สุดมันก็จบในเวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที  พวกเรามองหน่วยอื่นๆก็อดภูมิใจไม่ได้ งานของเรามากกว่า ยากกว่า และเยอะกว่า ผู้คนเริ่มมาถ่ายรูปสวนของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ผมอดไม่ได้ที่จะมองหาไอ้แฟชั่นนิสต้าผิดที่ผิดทางอีกครั้ง คราวนี้เห็นมันกำลังยกมือถือเครื่องละสามหมื่นกว่าของมันถ่ายรูปตรงนู้นตรงนี้


แหม...ทำฟอร์มไอ้สัด อยากถ่ายรูปสวนกูก็มาถ่ายสิ


     "พวกมึงมีลุ้นแน่ๆกูมั่นใจ ของพวกมึงโคตรสวย"ไอ้วีมากระซิบกระซาบใกล้ๆผม ซึ่งผมก็ไม่เถียง ถ้าไม่ได้นี่ให้ถีบหน้าเลย หันไปมองอาจารย์บุตรท่านก็ยิ้มให้กับพวกเราด้วยดวงตาเป็นประกาย มันคือประกายของความภาคภูมิใจและความสุข นิ้วโป้งถูกยกให้พวกเรา  เสียงบอกหมดเวลาดังขึ้น พวกเรายืนรอให้กรรมการมาตรวจไล่มาเรื่อยๆ การพรีเซ้นต์สวนของพวกเราผมยกหน้าที่ให้ไอ้อิ้งค์ที่นำเสนอเก่่ง มันอธิบายคอนเซปสวนได้อย่างไหลลื่นน้ำเสียงน่าฟัง กรรมการตรวจแบบโดยการวัดอย่างละเอียดและเทียบกับของจริงที่จัด เราถอนหายใจอย่างโล่งอก  เมื่อการตรวจแบบเสร็จสิ้นผมทั้งสามคนก็นั่งลงกับพื้นหญ้าในทันที

   

          "จบแล้วมึง จบแล้ว"ผมรำพึงเบาๆ ที่เหนื่อยที่ทุ่มเทมาตลอดสองเดือนจบลงแล้วพร้อมความรู้สึกโล่งไปหมด ต่อไปนี้ไม่ต้องไปซ้อมอีกแล้ว


          "เหนื่อยชิบหายเลยมึง"


          "เออ หิวน้ำเหี้ยๆ"ผมบ่นเมื่อความรู้สึกคอแห้งเหมือนกลืนทรายร้อนๆกำลังเข้าเล่นงานพวกเรา


          "เอ๊ย"ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมีอะไรบางอย่างถูกโยนใส่ลงมาในตักเมื่อมองดูก็พบว่าเป็นถุงพลาสติกที่ด้านในมีน้ำเปล่า 3 ขวดเย็นเจี๊ยบ ส่วนไอ้คนโยนมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ลอยหน้าลอยตามองไปทางอื่น


          "ไม่แดก"ผมว่าก่อนจะโยนถุงน้ำทั้งถุงใส่มัน น้ำสามขวดหล่นตุบลงบนพื้นหญ้า


          "อ๊าวไอ้นี่ ปฎิเสธไม่ถามเพื่อนถามฝูง"ไอ้อิ้งค์มันว่าก่อนตบหัวผมดังป้าบแล้วหยิบถุงน้ำมาเปิดกินกับไอ้ย้งหน้าตาเฉย"


          "มาทำเหี้ยอะไร"


          "กูแค่บังเอิญขับรถผ่านมาทางนี้เลยแวะมาดูน้ำหน้าคนขี้คุยซักหน่อยว่าจะเก่งจริงมั้ย"


          "แหม...มึงบังเอิญผ่านมาไกลจัง เมืองกาญจน์กับราชบุรี"เสียงไอ้อิ้งค์เอ่ยมาลอยๆ  ผมจ้องหน้าไอ้คินอย่างคาดคั้น


          "หรือมึงจะมาแกล้งทำลายสวนกู?"


          "กูก็ไม่เหี้ยขนาดนั้นป่ะ กูบอกว่าบังเอิญผ่านมาก็บังเอิญผ่านมาสิ"มันเริ่มขึ้นเสียงใส่ผมเมื่อผมยังทำสีหน้าไม่เชื่อคำพูดของมัน ซึ่งก็เออ กูไม่เชื่อไง อย่ามาตอแหล โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่


          "นี่มึงเสร็จหรือยัง"มันหันมาตวัดเสียงถาม


          "เสือกไรด้วยอ่ะ?"


          "กูหิวข้าวไปกินข้าวเป็นเพื่อนกูหน่อย"


          "ไม่มีตีนเหรอ?"


          "มี"


          "งั้นเดินไปแดกเองสิ นู่นอ่ะไอ้สัดจะแดกอะไรก็ไปซื้อ"ผมชี้ๆนิ้วไปทางโซนอาหาร


          "จะให้กูไปคนเดียวได้ยังไงมีแต่ใครก็ไม่รู้"มันกวาดตาไปรอบๆด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


แม่งเที่ยวไปมองชาวบ้านเขาแบบนั้นเดี๋ยวแทนที่จะได้กินข้าวคงได้กินตีนแทน แล้วเนี่ยไม่รู้กี่ตีนต่อกี่ตีน


          "พวกมึงไปกินข้าวกันมั้ย?"ผมหันไปหาไอ้อิ้งค์กับไอ้ย้ง


          "กูกินอะไรไม่ไหวแล้วตอนนี้ ตื้อจนจะอ้วกแล้ว กินอะไรไม่ลง"


          "กูก็เหมือนกัน เหนื่อยชิบหายเลยมึงไปกับมันเถอะ"ไอ้มดทอระยิดทั้งสองมันโบกไม้โบกมือไล่ผม


          "แม่งจะมาทำไมให้เป็นภาระกูเนี่ย"ผมบ่นอุบก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำมันมาโดยไม่รอมันเลยซักนิด


          "เลือก จะแดกอะไร"ผมหันไปกระแทกเสียงใส่มัน


          "อะไรก็ได้"


          "งั้นแดกก๋วยเตี๋ยว"


          "ปรุงไม่เป็น"


          "งั้นแดกอาหารตามสั่ง"


          "ท่าทางร้านไม่ค่อยสะอาด


          "ขนมจีน"


          "คนเยอะ"


          "แล้วมึงจะแดกอะไร?"


          "อะไรก็ได้"


          "โว้ย!!! ไอ้เหี้ย ระบุมาซักอย่าง ไอ้นั่นก็ไม่แดกไอ้นี่ก็ไม่เอา แดกอะไร!!"ผมหันไปด่ามันเมื่อเสนออะไรให้ไปมันก็มีข้ออ้างมาปฏิเสธได้ตลอด


          "มึงเลือกมาเลยแล้วกัน"มันเลือกที่จะปัดการตัดสินใจมาให้ผมอีกครั้ง


          "งั้นแดเกข้าวขาหมูกูต้องการพลังงานผมไม่รอให้มันปธิเสธก็ลงไปนั่งฉึ่บบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง มันจำใจต้องเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับผม


          "ป้าครับเอาข้าวขาหมูสอง จานหนึ่งเอาเนื้อๆคะน้าเอาแต่ใบไม่เอาก้าน อีกจานเอาพิเศษเนื้อหนังคากิใส่ไข่ โค้กกลาง 1 ขวด สไปร์ทกลาง 1 ขวด น้ำแข็งเปล่าสองครับ"ผมตะโกนสั่งอาหารรวดเดียวจบเมื่อหันหน้ามาก็เห็นไอ้คินจ้องมาที่หน้าผม ตามันราวรูปพระจันทร์เสี้ยวราวกับว่ามันกำลังฉีกยิ้มให้ผมอยู่


     คณิณ::


ผมฟังมันสั่งข้าวด้วยความมั่นใจก็อดจะลอบยิ้มไม่ได้ ทั้งๆที่ผมไม่ได้บอกมันเลยด้วยซ้ำว่าผมกินอะไรแบบไหนแต่มันกลับสั่งให้ผมได้อย่างถูกต้องแม่นยำ


อย่างน้อยก็แสดงว่ามันใส่ใจผม  ระยะเวลากว่าสองปีที่มันถูกแม่มันปลูกฝังให้ยอมอ่อนข้อให้ผมอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือมันจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของผมได้ ไม่นานข้าวขาหมูหน้าตาน่ากินก็ถูกน้ำมาเสิร์ฟ ไอ้เซ็ทดึุงจานข้าวของผมไปไว้ตรงหน้ามันก่อนที่มันจะใช้ช้อนส้อมไล่เลาะพังผืดมันๆที่ยังติดเนื้อหมูมานิดหน่อยออกใส่จานมัน ก้านคะน้าชิ้นเล็กๆก็ถูกเลือกออกไปด้วย ไข่แดงถูกตักออกไปใส่จานมันเพราะผมไม่ชอบกินไข่แดงผมไม่ชอบกลิ่นคาวของมันนอกจากไข่เจียวอันนั้นผมกินได้


บ้าจริง


ทำยังไงดี ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย


          "จะแดกมั้ยข้าว ถ้าจะแดกก็ถอดแมสออกไอ้ควาย"มันเงยหน้ามาด่าผมอีกรอบแล้วเลื่อนจานข้าวคืนมาให้ผม ผมรีบปั้นหน้าขรึมก่อนจะถอดแมสแล้วเริ่มลงมือกินข้าว



ขาหมูร้านนี้หว๊านหวานจังเลยครับท่านผู้ชม








.................


ยี๊ ขิง ข่า ตะไคร้ ลำไย!!!


         





         
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 14 26/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-11-2018 23:50:16
หลังจากกินข้าวตอนบ่ายสองกว่าๆอิ่มคณิณก็เดินตามเศรษฐพงศ์ที่หันหลังมาไล่อยู่เป็นระยะต้อยๆ

 

 

ชายหนุ่มรู้สึกขบขันก็ท่าทางเหมือนลูกหมาที่เขี้ยวเพิ่งจะขึ้นแล้วทำกร่างไล่แง๊บไล่กัดคางหมาใหญ่ของเศรษฐพงศ์ยิ่งนัก

 

 

            “กลับบ้านมึงไปไป๊ จะมาเดินตามเป็นหมาตามเกวียนทำไม”คนเด็กกว่าหันไปไล่รอบที่ร้อย เศรษฐพงศ์เพิ่งรู้วันนี้นี่เองว่านอกจากคณิณจะชอบกวนอารมณ์แล้วคนตัวสูงกว่ายังดื้อด้านและดื้อดึงเป็นที่หนึ่ง เขาเอ่ยปากไล่จนเหนื่อยใจ ร่างสูงก้าวฉับๆเพื่อทิ้งระยะห่างจากคนพี่ สายตาสอดส่ายหาเพื่อนๆเพื่อที่จะไปเชียร์วีรดนัยที่กำลังจะลงแข่งทักษะการจัดดอกไม้

 

 

หลังจากมองหาอยู่ชั่วขณะจีรนันท์ก็กระโดดเหย๋งๆโบกมือเป็นสัญญาณ เศรษฐพงศ์รีบเดินลัดสนามเข้ามายังเต็นท์แข่งขันที่กรรมการเอาเชือกฟางโง่ๆมากั้นพื้นที่ไว้ วีรดนัยนั่งประจำโต๊ะของตัวเองเรียบร้อย ร่างบางดูนิ่งสงบผิดกับตัวจริงที่ปกติเป็นเด็กไฮเปอร์

 

 

            “เพชรบุรีแม่งน่ากลัวคนนั้นแชมป์เก่า”จีรนนท์แฝดคนน้องที่ยืนกอดอกยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบคางราวกับขงเบ้งกระซิบบอกโดยไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา

 

            “มึงว่าไอ้วีมีสิทธิ์จะชนะป่าววะ พวกนั้นแม่ง ปวส.2 หมดเลย”

 

            “น่ากลัวมากเลยเหรอ?”เสียงทุ้มเอ่ยถามกลับไป

 

            “เออดิ่พวกแม่งมีประสบการณ์มึงก็น่าจะรู้มันเจนสนามกันหมดแล้วมีแต่เพื่อนเราอ่ะที่มือใหม่”

 

            “กูว่ากูไม่รู้อ่ะ แล้วไอ้กุ้งแห้งนั่นก็ไม่ใช่เพื่อนกู” จิรนนท์โคลงศีรษะอย่างแปลกใจเมื่อรู้สึกว่าเนื้อเสียงของเศรษฐพงศ์แปลกๆไปเด็กหนุ่มแฝดคนน้องหันมามองคู่สนทนาของตัวเองก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนสนิทกลับกลายเป็นคณิณที่ยืนทำหน้านิ่ง

 

            “ไอ้ชิบหายไม่ใช่ไอ้เซ็ทก็ไม่บอก”จิรนนท์มูฟตัวเองหนีคณิณที่ยืนกอดอกมองนิ่งๆ ส่วนตัวเศรษฐพงศ์ยืนคุยกับโอบนิธิและยงวิสุทธิ์อยู่ถัดไป  เมื่อสัญาญการแข่งขันเริ่มขึ้นเพื่อนๆต่างส่งกำลังใจให้วีรดนัยบางครั้งก็หันมาวิจารณ์งานทีมนู้นทีมนี้กันเป็นระยะๆเบาๆ คณิณต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีความสามารถ ผู้เข้าแข่งขันเองก็มุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาไปแข่งที่วิทยาลัยเหมือนกัน

 

 “เฮ๊ยมึง กรรมการเริ่มเดินที่สวนแล้วหว่ะ”ยงวิสุทธิ์บอกกับเศรษฐพงศ์ที่ยืนดูเพื่อนจัดดอกไม้อยู่

 

            “ผลออกแล้วเหรอวะ ไปดูกันเลยมั๊ยเศรษฐพงศ์เก็บความตื่นเต้นไว้ไม่มิดชะเง้อคอไปดูตรงบริเวณสนามแข่งสวนหย่อม

 

            “เออไปๆ ทิ้งไอ้วีไว้แป๊บหนึ่งเดี๋ยวค่อยกลับมา”หลังจากตกลงกันเสร็จสรรพภายในสองวินาทียงศกรก็ทำมือทำไม้ให้วีรดนัยที่เงยหน้าขึ้นมามองพอดีดูว่าจะไปดูผลการแข่งขัน วีรดนัยทำท่าตื่นเต้นก่อนจะโบกไม้โบกมือให้เพื่อนรีบไป 6 หนุ่ม+ตัวแถมอีก 1 คน เคลื่อนขบวนกันตรงไปยังหน้าสวนของตัวเอง ในใจของเศรษฐพงศ์มีทั้งความหวังและความกังวล เพราะกรรมการแต่ละคนรสนิยมไม่เหมือนกัน สวนที่ว่าสวยของเขาอาจจะมีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ แล้วกรรมการมี 5 คน ถ้าชอบสวนสไตล์อื่นซัก 3 คน เขาก็จบการแข่งขันแล้ว

 

            “กลัวเหี้ยอะไรถ้ามึงทำเต็มที่แล้ว”อยู่ๆคนที่เดินเยื้องอยู่ข้างหลังก็พูดลอยๆออกมาให้ได้ยิน แม้จะเพียงแผ่วเบาแต่เศรษฐพงศ์ก็ได้ยินอย่างชัดเจน เศรษฐพงศ์หันไปมองคณิณซึ่งยังคงทำหน้านิ่งไม่มองตอบกลับ คำพูดนั้นแม้มันจะไม่ได้เพราะหรือสุภาพแต่มันก็ทำให้เศรษฐพงศ์รู้สึกดีขึ้น

 

ใช่ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเพราะวันนี้เขาทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ความทุ่มเทของเขามันแสดงผลงานอยู่ตรงหน้า แปลนเขียนแบบมีบางสิ่งบางอย่างแปะทับอยู่

 

            “ที่ 1 หว่ะมึง!!!”เสียงโอบนิธิตะโกนดังลั่นก่อนเสียงเฮจะดังขึ้น เศรษฐพงศ์รีบวิ่งไปดูป้ายประกาศอันดับที่แปะทับไว้บนแปลนที่เขาเขียน เด็กหนุ่มกระโดดโลดเต้นกับบรรดาเพื่อนๆ

 

            “ถ่ายรูปมึงถ่ายรูปๆ”เสียงยงวิสุทธิ์เอ่ยเรียกเพื่อนๆมาถ่ายรูป

 

            “ถ่ายพวกมึงก่อน”จีรนันท์ผลักทีมสวนหย่อมไปยืนด้านหน้าก่อนจะยกกล้องขึ้นมาเก็บรูปเพื่อนนับสิบรูป แล้วก็ทยอยกันวิ่งเข้าวิ่งออกเก๊กท่าตรงมุมนั้นมุมนี้อย่างสนุกสนาน คณิณมองใบหน้าของเศรษฐพงศ์ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกับกลุ่มเพื่อน เศรษฐพงศ์ยิ้มแย้มพูดคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน มือถือเครื่องแพงถูกยกขึ้นมาเก็บรูปก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าอย่างแนบเนียน

 

            “ไปๆกลับไปเชียร์ไอ้วีกัน”เมื่อถ่ายรูปจนจุใจแล้วเด็กๆทั้งหมดก็ยกกลุ่มกลับไปเชียร์วีรดนัยที่เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการแข่ง วีรดนัยชะเง้อคอมองหาเพื่อนอยู่ตลอดเวลาก็ทำสีหน้าตื่นเต้นเป็นคำถาม เศรษฐพงศ์ยกนิ้วชี้ให้ดูจนเพื่อนตัวเล็กกระทืบเท้ากลั้นเสียงกรี๊ดไว้

 

            “ตั้งใจๆ”เศรษฐพงศ์ทำปากกให้วีรดนัยหันไปตั้งใจกับการจัดดอกไม้ต่อไปจนเมื่อหมดเวลาการแข่งขันทุกคนก็มารวมตัวกันอีกครั้ง

 

            “มึง ทำไมยังไม่กลับอีกเนี่ยจะมาเดินตามพวกกูทำไม”เศรษฐพงศ์หันไปถามคนที่โคฟเวอร์เหาฉลามตามติดเขามาตั้งแต่บ่ายสองจนตอนนี้จะทุ่มแล้วคณิณก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ

 

            “แล้วมึงกลับยังไง?”คนพี่ส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เศรษฐพงศ์ปรายตามองพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาอึดอัดที่คณิณมาคอยตามติดแบบนี้ เพื่อนๆเองก็อึดอัดเหมือนกัน จะคุยเล่นอะไรกันแต่ละทีก็ต้องเหลือบมองตัวแถมที่ติดสอยห้อยตามมาตลอด เกิดเดดแอร์ขึ้นในวงสนทนาหลายต่อหลายครั้งแต่คณิณก็ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน

 

หน้าด้านหน้าทนจริงๆคนเรา

 

            “กูรอกลับกับอาจารย์”

 

            “อาจารย์มึงกลับกี่โมง?”

 

            “ไม่รู้สามสี่ทุ่มมั้ง”

 

 

คณิณ::

 

ผมฟังตอบตอบแบบส่งๆของมันแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ 3-4 ทุ่ม กว่าจะถึงเมืองกาญจน์ก็ 5 ทุ่ม กว่ามันจะได้นอนได้พักจะกี่ทุ่มกี่ยาม ท่าทางมันเองก็เหนื่อยเหมือนดอกไม้ที่โดนลมโดนแดดจนกลีบจะร่วงอยู่แล้วแต่ยังทำตัวดีดไปช่วยงานซุ้ม ผมกวาดตามองหาอาจารย์ของมัน ผมจำได้คนที่พาพวกมันไปแข่งจัดสวนเมื่อเจอเป้าหมายผมเองก็ไม่รอช้า

 

            “อาจารย์ครับสวัสดีครับ”ผมถอดแมสออกแล้วเดินไปทักทายอาจารย์ของไอ้เซ็ท ไอ้เด็กเหี้ยมันถลึงตาใส่ผมก่อนจะวิ่งมายืนข้างๆ

 

            “มึงจะทำอะไร”มันกระซิบเสียงเบาในขณะที่อาจารย์ของมันหันมามองผมแล้วรับไหว้อย่าง งงๆ

 

            “อ่า มีอะไรหรือเปล่าเศรษฐพงศ์”

 

            “ไม่มะ...”

 

            “ผมจะขออนุญาตพาเศรษฐพงศ์กลับก่อนครับ”ผมรีบพูดแทรกขณะที่ไอ้เซ็ทเตรียมจะปฏิเสธ อาจารย์ของมันมองหน้าผมอย่าง งงๆ

 

            “ผมเป็นพี่ชายของเซ็ทครับ อยู่บ้านเดียวกัน พอดีจะกลับแล้วเลยอยากพาน้องกลับไปด้วยกันเลย”มันทำตาเหลือกใส่ผมเมื่อผมโมเมเอาเองโดยไม่ถามความสมัครใจของมัน

 

“แต่เมื่อเช้าเศรษฐพงศ์มากับครูนะครูก็ต้องเอาเด็กกลับไปเองสิ”

 

“เศรษฐพงศ์กลัวการนั่งรถกะบะครับ ผมเลยขอพาน้องกลับเองจะดีกว่า

 

“อ้าว จริงเหรอ ครูไม่รู้เลย ถึงว่าเมื่อเช้าถึงได้เมารถ”อาจารย์มีสีหน้ารู้สึกผิด พอดีกับที่มีนักเรียนทำของหล่นเสียงดังโครมใหญ่อาจารย์จึงหันไปดุเด็กคนนั้นที่ทำงานไม่ระวังมันใช้โอกาสที่อาจารย์หันไปสั่งงานเด็กหยิกเอวผมเต็มแรงจนผมหน้าเบ้

 

            “ใครจะกลับกับมึง”มันเพิ่มแรงบิดจนผมต้องเขย่งเท้าเพื่อผ่อนแรงของมันแล้วพออาจารย์หันมามันก็ส่งยิ้มแหยๆไปให้อาจารย์ของมันมือก็ปล่อยออกจากเอวของผมอย่างรวดเร็ว

 

            “ตกลงผมพาน้องกลับไปด้วยเลยได้มั้ยครับนี่ก็มืดแล้ว”

 

            “ได้สิ เศรษฐพงศ์เธอกลับไปก่อนได้เลยทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้เธอมาช่วง บ่ายสามก็ได้เพราะเนยมันประกวดตอนสองทุ่ม อย่าลืมชุดสูทที่จะใส่แสดงล่ะ”

 

ชุดสูท??

 

แสดงอะไรอ่ะ??

 

สองทุ่มเหรอ??

 

มันรับคำอาจารย์ด้วยสีหน้าตูมๆเหมือนลูกหมาที่โดนแย่งกระดูกปลอม ผมรีบยกมือไหว้ของคุณอาจารย์ของมัน อาจารย์แยกกลับไปจัดซุ้มแล้วแต่มันไม่มีทีท่าว่าจะขยับ

 

            “ไปกลับ”ผมดึงมือมันให้เดินตามเมื่อมันทำตัวเป็นคนโดนหินถ่วงขา และแน่นอนไอ้เซ็ทไม่เคยทำตามคำสั่งของผมแบบดีๆ มันสะบัดมือออกจากการจับของผมและผมก็ไวกว่าที่มันคิดเพราะคราวนี้ผมกึ่งจูงกึ่งลากมันไปจนถึงรถกดหัวดันมันจนเข้าไปนั่งฟึดฟัดได้สำเร็จ มันนั่งบ่นพึมพำด่าผมไม่ยอมหยุด ผมตัดรำคาญด้วยการเปิดเพลงฟังกลบเสียงของมันแล้วเริ่มออกดรถมุ่งหน้ากลับเมืองกาญจน์

 





คอยห้ามใจทีไรมันก็ยาก ทนไม่ไหว
ทุกครั้งที่เราใกล้ชิดกัน ฉันเพ้อฝันไปถึงไหน

อย่าไปอยู่ใกล้เธอ เตือนหัวใจตัวเอง
อย่ามัวฝันถึงเธอ แล้วฉันจะทำได้ไหม
อย่าคอยส่งยิ้มให้เธอ เธอคงไม่สนใจฉันสักนิดเลย

แล้วฉันจะฝืน ฝืนหัวใจตัวเองได้ไหม
แล้วฉันจะฝืนความรู้สึกของฉันได้ยังไง
ไม่อาจจะฝืนความรักที่มันเอ่อล้น
ฉันนั้นต้องฝืนทนกล้ำกลืน
อยู่กับความขื่นขม ที่เธอมองว่าฉันไม่มีตัวตน
ถึงจะยากเย็นเพียงใด ฉันก็คงต้องฝืนต่อไป

อย่าไปอยู่ใกล้เธอ เตือนหัวใจตัวเอง
อย่ามัวฝันถึงเธอ แล้วฉันจะทำได้ไหม
อย่าคอยส่งยิ้มให้เธอ เธอคงไม่สนใจฉันสักนิดเลย

แล้วฉันจะฝืน ฝืนหัวใจตัวเองได้ไหม
แล้วฉันจะฝืนความรู้สึกของฉันได้ยังไง
ไม่อาจจะฝืนความรักที่มันเอ่อล้น
ฉันนั้นต้องฝืนทนกล้ำกลืน
อยู่กับความขื่นขม ที่เธอมองว่าฉันไม่มีตัวตน
ถึงจะยากเย็นเพียงใด ต่อให้ฉันต้องทำอย่างไร
ฉันต้องทำให้ได้ ฉันต้องฝืนหยุดรักเธอ

แล้วฉันจะฝืน ฝืนหัวใจตัวเองได้ไหม
แล้วจะฝืนความรู้สึกของฉันได้ยังไง
ไม่อาจจะฝืนความรักที่มันเอ่อล้น
ฉันนั้นต้องฝืนทนกล้ำกลืน
อยู่กับความขื่นขม ที่เธอมองว่าฉันไม่มีตัวตน
ถึงจะยากเย็นเพียงใด ฉันก็คงต้องฝืนต่อไป

ถึงจะยากเย็นเพียงใด ฉันก็คงต้องฝืนต่อไป
แล้วฉันจะฝืนได้ไหม
ฉันนั้นต้องฝืนต่อไป
 

ผมขับรถด้วยความเร็วไม่มากนักเมื่อหันไปมองไอ้คนปากดีก็พบว่ามันนั่งหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว เหนื่อยแสนเหนื่อย ง่วงแสนง่วง แต่ก็ยังทำอวดเก่ง ผมส่ายหน้าให้กับท่าทางเหมือนลูกไก่คอหักนั่นก่อนจะจอดรถข้างทาง ท่าทางจะเหนื่อยจัดมันหลับสนิท แขนสองข้างของมันกอดอกไว้ป้องกันความเย็นของแอร์ที่ผมเปิดไว้ค่อนข้างหนาว ผมเอื้อมตัวไปกดปรับระดับเบาะรถให้เอนไปด้านหลังมันจะได้นอนได้สบายตัวขึ้น นึกได้ว่าไอ้แพรเคยเอาหมอนรองคอมาลืมทิ้งไว้ที่เบาะหลังเมื่อวันก่อนและแน่นอนมันยังคงอยู่ที่เดิม ผมค่อยๆประคองคอของมันให้ยกขึ้นแล้วสอดหมอนเข้าไปที่คอของมัน ถอดแจ็คเก็ตของผมคลุมตัวมันและหรี่แอร์ลงเล็กน้อย ที่ทำไปทั้งหมดเนี่ย สมเพชนะไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ







 

 

            สามทุ่มผมก็ขับรถเข้าตัวเมืองกาญจน์ วนรถหาที่จอดแถวตลาดโต้รุ่งเพื่อหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรให้กินแน่ๆ ไอ้เซ็ทลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงผมเปิดประตูรถ หน้าตามันงงๆเมื่อผมดึงเอาเสื้อแจ็คเก็ตของผมคืนมาสวมทับเสื้อกล้ามสีขาวที่ผมใส่ไว้ด้านใน

 

            “ถึงแล้วเหรอวะ?” มันยังคงจูนสมองกลับมาได้ไม่เต็มร้อยกวาดตามองไปรอบๆเจอแต่รถเข็นขายอาหาร

 

            “เออ ลงมา ไม่แดกข้าวหรือไง”ผมกลัดกระดุมเสื้อเสร็จก็หันหลังเตรียมเดินทิ้งมันไอ้เซ็ทเหมือนจะจูนสมองได้แล้วก็รีบลงจากรถ ผมกดล็อคแล้วเดินไปร้านประจำเป็นร้านอาหารตามสั่งที่รสชาติดี มันตามมานั่งโดยไม่ปริปากพูดอะไร

 

            “กินอะไรก็สั่ง”ผมเหลือบตามองมันที่นั่งทำหน้านิ่งเลื่อนเมนูอีกใบให้มัน มันกวาดตาดูครู่เดียวก่อนจะเลื่อนคืน

 

            “สั่งข้าวราดมาเลยก็ได้”มันตอบกลับส่งๆ ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

 

            “กูจะกินกับข้าวเป็นจานๆ”

 

            “เปลือง มีอะไรก็กินๆไปเถอะ กูไม่ค่อยหิว”มันเงยหน้ามาเอ็ดผมซะงั้น

 

            “มีตังค์ไงเลยจะกินกับเป็นอย่างๆ สั่งมาของมึงเอาอะไร”

 

            “ต้มยำรวมมิตรน้ำข้น!!”

 

            “มึงจะตวาดทำไมเนี่ยเดี๋ยวป้าเขาตกใจ”ผมเอ็ดมันกลับมั่งเมื่อมันเสียงดังใส่ผม ร้านนี้ผมค่อนข้างสนิทกับป้าเพราะเวลาไม่รู้จะกินอะไรหลังทำงานเสร็จก็จะยกขโยงกันมากินที่นี่

 

            “ป้าเอาต้มยำทะเลรวมมิตรน้ำข้นหม้อหนึ่ง แล้วก็ทอดมันปลากราย ต้มจืดเต้าหู้อ่อน หมูทอดกระเทียมพริกไทย ข้าวโถหนึ่ง โค้กขวด สไปร์ทขวด แข็ง 2” ผมสั่งอาหารรวดเดียว เรานั่งกันเงียบๆไม่มีบทสนทนาอะไร ไอ้เซ็ทเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์เป็นพักๆแต่ก็ไม่ได้กดตอบอะไรกลับไป ประมาณ 20 นาที กับข้าวก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมมองหม้อต้มยำของมันที่เดือดพล่านๆ และคนที่นั่งหยิ่งมาตั้งนานก็ไม่รอให้ผมกล่าวเปิดงาน พออาหารวางปุ๊บอาวุธในมือของมันก็จ้วงแบบไม่ต้องเอ่ยอนุญาต

 

สภาพของคนไม่ค่อยหิวเป็นอย่างนี้นี่เอง

 

            “ไม่กินล่ะ หรือกินข้าวแบบศาลพระภูมิต้องเอาธูปมาจุดเรียก”มีข้อหนึ่งที่ผมต้องยอมรับก็คือไอ้เซ็ทมันสรรหาคำมาด่าผมได้ตลอดเวลาเหมือนกับผมที่หาทางแกล้งมันได้ตลอดเช่นกัน ผมตักหมูทอดกระเทียมพริกไทยกินอย่างไม่รีบร้อน แค่เห็นมันยัดเอาๆผมก็รู้สึกอิ่มแทนแล้ว

 

ผมยกแก้วสไปร์ทขึ้นดื่มจนหมดแก้วเมื่อลองชิมต้มยำด้วยความอยากรู้ว่าอร่อยแค่ไหน ปกติเวลามากับเพื่อนๆเราจะสั่งสองหม้อคทอแบบเผ็ดกับไม่เผ็ด คือใส่พริกแค่เม็ดเดียว แต่ของไอ้เซ็ทคือป้าแกก็ทำแบบปกติแหล่ะ แต่ผมกินเผ็ดไม่ได้เลยลองไปแค่คำเดียวผมก็สำลักความเผ็ดความฉุนของพริกขี้หนูจนหน้าดำหน้าแดง

 

            “กินเผ็ดไม่ได้แล้วมึงจะกินทำไม”มันส่งเสียงบ่นผมอีกครั้งพลางยื่นกระดาษทิชชู่ให้ผมเช็ดปาก

 

แสบร้อนปากไปหมด มันกินเข้าไปได้ยังไงวะ

 

            “กูเห็นมึงกินเอร่ดอร่อยกูเลยอยากลองชิมบ้าง”

 

            “อะไรถ้ามึงทำไม่ได้มึงก็ไม่ต้องพยายามหรอก ทำแล้วเดือดร้อนตัวเองเดือดร้อนคนอื่นอย่าทำ”มันยื่นแก้วน้ำของมันให้กับผม ผมรับมาดื่มดับความเผ็ดไม่ได้โต้เถียงอะไรกลับไป

 

สิ่งที่มันพูดมันมีส่วนถูกและผมเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ต่อปากต่อคำกับมัน ไอ้เซ็ทคุ้ยๆกระเป๋าของมันแล้วเดินตรงไปเซเว่น ผมงงว่ามันจะไปซื้ออะไรซักพักมันก็เดินกลับมาพร้อมนมจืดขวดใหญ่มันวางนมลงตรงหน้าผมไม่พูดไม่จาก้มหน้าก้มตากินข้าวที่เหลือต่อ

 

            “อะไร?”ผมแกล้งถามหยั่งเชิง

 

            “ไม่รู้จักนมเหรอ โตมาขนาดนี้ได้ยังไงโง่จัง” อีกครั้งที่มันเงยหน้าขึ้นมาด่าผม

 

            “แดกไปซะนมมันช่วยให้หายเผ็ด”มันว่าจบก็ไม่สนใจผมอีก ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำหน้าขรึมตามเดิมเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมองแล้วคว้าขวดนมไปเปิดฝาแล้ววางกลับมาให้ผม

 

            “แดกซะ มานั่งเผ็ดให้กูรำคาญ”ผมยกนมขึ้นดื่มโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งเออ มันได้ผลหว่ะ ผมหายเผ็ดได้ในไม่กี่นาทีต่อมาและไอ้เซ็ทก็สวาปามกับข้าวเกลี้ยงจนแทบจะเลียจาน ผมเรียกป้ามาคิดเงิน ค่าอาหารสามร้อยกว่าบาทไอ้เซ็ทยื่นแบงค์ร้อยมาให้ผม 2 ใบ ผมไม่สนใจเงินที่มันพยายามยัดใส่มือให้

 

            “เอาไปสิวะหารกัน กูกินเยอะกว่ามึงกูให้สองร้อย”มันว่าก่อนจะยัดเงินใส่มือผมอีกรอบ ผมจับมือมันดึงเข้าหาตัวก่อนจะยัดเงินกลับคืนมัน

 

            “มึงจ่ายให้กูแล้วด้วยนมขวดนี้ พอ”ผมยกขวดนมโคลงๆให้มันดูก่อนจะลุกเดินนำมันกลับมาที่รถ ไอ้เซ็ทมันไม่ได้พูดอะไรอีกซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดี ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ดีก็ไม่อยากให้มันพูดอะไรให้หงุดหงิดใจอีก ผมขับรถอีกเกือบ 20 นาที ก็กลับถึงบ้าน ไอ้เซ็ทเดินตัวปลิวกลับเข้าห้องของมัน ส่วนผมก็กลับเข้าห้องของผมซํกพักผมก็ได้ยินเสียงมันคุยโทรศัพท์ แน่นอนคงเป็นใครไปไม่ได้

 

เสียงเรียกชื่อชัดเจน น้ำเสียงเริงร่าขนาดนั้น

 

คนทื่ชื่อเอิร์น ถึงแม้ไม่อยากฟังแต่หูกลับได้ยินเสียงสนทนาแว่วๆดังมาแสดงว่าไอ้เซ็ทออกมาคุยที่ระเบียงแบบที่มันชอบทำ ราวๆครึ่งชั่วโมงเสียงพพูดคุยก็เงียบเสียงลงไปผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนไลน์ไปหามัน

 

แน่นอนมันด่าผมกลับมาอีกครั้ง แต่ผมไม่แคร์หรอก ที่รู้ๆยังไงซะพรุ่งนี้มันก็ต้องไปกับผมอยู่ดี  ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องหงุดหงิดเวลาได้ยินไอ้เซ็ทคุยกับแฟนมัน ผมรำคาญคำพูดดีๆที่มันมีให้กับยัยผู้หญิงคนนั้น ผมรำคาญเวลามันพูดว่ามันจะไปหาผู้หญิงคนนั้นถึงขอนแก่น ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่เวลาได้ยินมันพูดว่ามันจะพยายามเรียนให้ได้เกรดเยอะๆแล้วขอโควตาไปเรียนที่ขอนแก่น

 

ผมเกลียดอนาคตที่มันวาดหวังไว้กับผู้หญิงคนนั้น

 

เกลียดชิบหาย

 

ไม่ชอบใจมากๆ

 

 

            เศรษฐพงศ์::

 

ตอนนี้ผมหงุดหงิดปนตื่นเต้นมากๆ ผมนั่งให้อาจารย์แต่งหน้าให้ คืนนี้เนยจะขึ้นประกวดธิดา อกท.ระดับภาค เพื่อนของผมอยู่ในชุดสีขาวตัดเย็บด้วยลูกไม้สวยสมตัวส่วนผมอยู่ในชุดสูทสีดำผมถูกจัดแต่งจนเรียบแปล้ราวคุณชายจุฑาเทพ ผมไม่รู้หรอกว่าแบบไหนเรียกว่าหล่อ รู้แค่ว่าตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องแต่งหน้านี่บรรดาตัวแทนประกวดจากวิทยาลัยต่างๆพากันมาขอถ่ายรูปกับผมไม่ได้หยุดจนอาจารย์ต้องเรียกมาเติมแป้ง

 

            “เนย อย่าตื่นเต้น” เสียงไอ้จีนที่กำลังใช้กระดาษพัดๆให้เนยเอ่ยปลอบ ถึงผมจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำข้ามหน้าข้ามตาของเพื่อนแต่ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรหักหน้ามันตอนนี้

 

รู้ทั้งรู้ว่าเนยเป็นแฟนไอ้ปัดแต่จีนมันก็ยังทำราวกับว่าเนยเป็นสาวโสดไม่มีใคร แม้จะเคยเตือนกันหลายครั้งแต่มันก็ทำตีมึน

 

            “เนยไม่ตื่นเต้นหรอก แต่กังวลมากกว่า กลัวทำได้ไม่ดี”

 

            “ถ้าทำพลาดก็โทษไอ้เซ็ท”มันหันมาโบ้ยความผิดให้ผม

 

            “ส้นตีนสิ ทำไมโยนความผิดมาให้กู”

 

            “สำหรับกูเนยไม่เคยผิดเว้ย”มันลอยหน้าลอยตาใส่ก่อนหันไปพัดให้เนยอีกครั้ง

 

            “มีใครเห็นปัดมั่งอ่ะ เนยไม่เจอปัดเลย”

 

            “อาจารย์ให้มันไปคุยซุ้มน่ะ เดี๋ยวตอนประกวดมันคงแว่บๆมา”ผมตอบคำถามเนยที่ถามหาแฟน ไอ้จีนหน้าขรึมลงไปถนัดตาแต่ก็เพียงไม่นานมันก็กลับมาคุยเล่นต่อได้อีก

 

สองทุ่มกว่าก็ได้เวลาแสดงความสามารถพิเศษ ทันทีที่บนเวทีส่งสัญญาณ ผมก็เดินขึ้นเวทีอีกฝั่งหนึ่งค่อยๆก้าวไปหาเนย โค้งให้เนยก่อนจะส่งมือไปให้ จากนั้นเราสองคนก็โลดแล่นอยู่บนเวทีตามจังหวะที่ซ้อมมา  การแสดงของเราสองคนคล้ายจะสะกดคนดูให้หยุดนิ่ง เสียงพูดคุยเงียบหายไป โลกทั้งโลกคล้ายมีเพียงเราสองคน จนกระทั่งเพลงหยุดลง ผมจับมือเนยโค้งให้คนดู แน่นอน หน้าเวที มีทั้งบรรดาเพื่อนๆผมที่ส่งเสียงเชียร์ดังลั่น และถัดไปไม่ไกล ไอ้คินนั่งจ้องหน้าผมนิ่งด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก

 

ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างบอกให้ผมหลบตามัน อากาศคงร้อนจนทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวไปด้วย เมื่อการแสดงจบลงผมก็กลับเข้าไปหลังเวที ถ่ายรูปกับเพื่อนๆและเนยอีกครั้ง ปลายตามองเห็นไอ้คินยืนเก้ๆกังๆอยู่

 

            “เซ็ท พี่ชายเซ็ทมาน่ะ”เนยที่หันไปเห็นไอ้คินก็จำได้ทันที

 

            “มาถ่ายรูปด้วยกันมั้ยคะพี่เซ็ท”ด้วยความมนุษย์สัมพันธ์ดีเว่อร์ของเนย เสียงใสๆก็เอ่ยเรียกไอ้คินทันที แน่นอนว่ามันไม่ได้เดินมาหาแต่เป็นเนยนั่นแหล่ะที่เดินไปดึงแขนไอ้เซ็ทเข้ามาหาผม

 

            “เดี๋ยวเนยถ่ายรูปคู่พี่น้องให้นะ เอาโทรศัพทำพี่มาได้เลย” เนยแบมือขอทรศัพท์ที่ไอ้คินถืออยู่ มันยืนให้ด้วยหน้าตานิ่งแสนนิ่ง

 

            “ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิเซ็ทถ่ายรูปครอบครัวทั้งที”เนยละสายตาจากหน้าจอโทณศัพท์พลางทำมือให้ผมกับไอ้คินยืนชิดกันอีกนิดผมขยับตามที่เนยบอกแบบตัดรำคาญ

 

            “อ่ะ เสร็จแล้ว”เนยยื่นโทรศัพท์คืนไอ้คินก่อนจะขอตัวแยกไปเพื่อเตรียมตัวในรอบต่อไป

 

            “มึงเสร็จยัง”

 

            “เสร็จแล้ว เดี๋ยวกูจะไปเปลี่ยนชุด มึงออกไปรอข้างนอก ในนี้ไม่ให้คนนอกเข้า”ผมพยักหน้าให้มันเดินกลับไปทางเดิมก่อนจะแยกไปถอดชุดสูทแล้วใส่เสื้อยืดกับชอปตามเดิม

 

            “ไอ้เซ็ททางนี้ๆ” เมื่อผมออกมาด้านนอกพวกไอ้อิ้งค์ก็โบกมือเรียกผมเดินผ่านไอ้คินไปนั่งเก้าอี้ที่ไอ้ย้งมันเอาของวางครั่นไว้ พวกเรานั่งเชียร์เนยประกวดจนจบ เนยได้อันดับ 3 ไม่ใช่ไม่สวยหรือไม่มีความสามารถเพียงแต่ความสูงของเนยนั้นด้อยกว่าคนอื่น แต่ยังไงเนยก็ได้ไปแข่งระดับชาติกับพวกผมอยู่ดี

 

            “พวกมึงกลับยังไงกันวะ”ผมหันไปถามพวกไอ้อิ้งค์ทันทีอย่างหาคนจะอาศัยกลับด้วย

 

            “กูเอามอไซค์มากัน เนี่ย ครบคู่พอดีมึงก็กลับๆไอ้คินเหอะ ดึกแล้วด้วย”ไอ้ยิมมันตอบกลับปิดความหวังที่จะอาศัยพวกมันติดรถกลับไปด้วยทันที

 

            “ทำหน้าเป็นตูดเลยมึง นั่งรถยนต์สบายๆอ่ะดีแล้ว ขามาพวกกูนั่งจนเหน็บแดกตูด พรุ่งนี้ปิดงานแล้วเราไม่ต้องมาก็ได้มึงก็นอนพักอยู่บ้านนั่นแหล่ะ”

 

            “เออๆ แล้วเย็นโทรมานะไปเจอกันที่งานสะพานเลยแล้วกัน”ผมนัดแนะกับเพื่อนถึงโปรแกรมเที่ยวคืนวันพรุ่งนี้ พวกมันตอบรับแล้วพากันแยกไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ผมหอบชุดสูทเดินตามไอ้คินกลับมาที่รถเงียบๆ

 

            “ถ้ามึงง่วงก็นอนไปก่อนเดี๋ยวถึงกูปลุก”มันออกรถแล้วหันมาพูดกับผม ผมค่อยๆปิดเปลือกตาลงด้วยความเคยชินแล้วก็หลับไปในที่สุด

 

            “มึงเต้นเก่งนะ กูชอบ..”เสียงสุดท้ายคล้ายดังมาจากที่อันไกลแสนไกลดังมาให้ได้ยินแว่วๆแล้วผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย







..............................

ชอบอะไรทำไมมี ..

พี่ไม่คิดอะไรบอกเลยว่าพี่ไม่คิดอะไร พี่ไม่คิดอะไรกับเธอเลยซักนิดนึง
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 14 26/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 27-11-2018 16:35:19
งี้ดดดด น่ารัก มุ้งมิ้งๆ

แมนๆคุยกันครัชสุดๆ

แต่ต่อไปจะดราม่ามั้ยไม่รู่ ฮืออออ

รอติดตามค้าบบบ

 :pig4: o13
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 15 27/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 28-11-2018 00:10:33


     คณินตื่นนอนในตอนเช้า ชายหนุ่มแต่งตัวด้วยชุดกีฬาก่อนจะเริ่มออกวิ่งไปนอกบ้าน เป็นปกติที่ถ้าเขาว่างเขาก็จะออกกำลังกาย  วันนี้วันเสาร์ไม่มีเรียนแต่เดี๋ยวเขาจะออกไปช่วยว่านแก้ปัญหาพิเศษที่ถูกอาจารย์ตีกลับมาอีกรอบ พุธนี้ก็ต้องพรีเซ้นท์งานแล้ว ถ้าผ่านก็เท่ากับว่าเขาจบชั้น ปวส.2 เป็นที่แน่นอน

ความตึงเครียดนานนับเดือนๆกำลังจะจบลง คณินวิ่งไปเรื่อยๆจนรอบหมูบ้านแล้วจึงวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน สายตาเหลือบไปเห็นเศรษฐพงศ์กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ร่างสูงโปร่งของเศรษฐพงศ์เดินหน้าถอยหลังตามจังหวะการเอื้อมมือรดน้ำยังต้นไม้ทั้งใกล้และไกล บ้างก็ก้มๆเงยๆเมื่อเจอวัชพืชให้ต้องกำจัด คณินเดินขึ้นห้องด้วยท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจก่อนจะสาวเท้าก้าวไปแย้มม่านในห้องนอนดูกิจวัตรที่เศรษฐพงศ์ทำบ่อยๆยามกลับมาอยู่บ้าน

เมื่อก่อนเขารู้สึกขัดหูขัดตารวมทั้งขัดใจยามเห็นเด็กในกรอบสายตาใช้ชีวิตในบ้าน ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการเห็นหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งหลงเข้ามาวิ่งพล่านในบ้าน มันน่ารังเกียจและน่ารำคาญ แต่วันนี้ความรู้สึกเกลียดชังเหมือนจะค่อยๆถูกบางสิ่งบางอย่างค่อยๆชะล้างจนเริ่มพังทลาย คณินไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่รู้สึกอยากทำร้ายร่างกาย ไม่รู้สึกอยากตีเศรษฐพงศ์แรงๆแบบเมื่อก่อน

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่รอคอยวันศุกร์ให้มาถึงไวๆ แต่ถ้าศุกร์ไหนไม่มีรถอีแดงจอดอยู่ในโรงรถจิตใจของคณินก็จะขุ่นราวกับน้ำที่ถูกกวนจนเป็นโคลน

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สนใจเรื่องราวของเด็กนั่น

หลังจากตีกันจนถึงขั้นเข้าโรงพัก หลังจากนั้นเศรษฐพงศ์ไม่กลับบ้าน

บ้านทั้งบ้านมันก็เงียบเหงาจนสัมผัสได้

แม้จะบอกตัวเองว่าชินแล้วกับการต้องอยู่บ้านคนเดียวตั้งแต่ที่แม่เสียชีวิตไป แต่พอมีสองแม่ลูกก้าวเข้ามาในชีวิตบ้านมันมีชีวิตชีวาขึ้น ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว

และกว่าจะรู้ตัวคณินก็เอาแต่มองหาและเอาตัวไปใกล้ชิดกับเศรษฐพงศ์ไปซะแล้ว แม้ว่าปฏิกริยาตอบกลับของคนเด็กกว่าจะมาในทางลบทั้งด่าทั้งเหน็บแนมแต่แปลกที่คณินกลับไม่รู้สึกเกลียดหรือโกรธเหมือนเมื่อก่อน

หลายครั้งที่เพื่อนๆเอ่ยแซวว่าคณินชอบเศรษฐพงศ์ เขาทำได้เพียงกล่าวบ่ายเบี่ยงหนักข้อก็คือด่ากลับและก็ไม่เคยมาคิดหาเหตุผลเรื่องความรู้สึกของตัวเอง ยังคงปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างเรื่อยๆแบบนี้

คณินลองถามตัวเองในบางครั้งว่าตัวเองนั้นรู้สึกยังไงกับคนที่ก้มๆเงยๆรดน้ำพรวนดินกอมะลิลาด้านล่างที่ส่งกลิ่นหอมเกือบตลอดเวลานั้น

คณินก็ตอบได้ในตอนนี้แค่ว่าเขาไม่ได้เกลียดมันเท่าแต่ก่อนแล้ว แต่ถามว่าชอบมั้ย ข้อนี้คณินตอบตัวเองไม่ได้ ทั้งๆที่เขาเองเป็นคนชัดเจนคนหนึ่งไม่ว่าจะอารมณ์ไหน รัก หรือเกลียดมักจะแสดงออกด้วยความซื่อตรง แต่เศรษฐพงศ์ทำให้การตัดสินทางอารมณ์ของเขาไขว้เขว  ทั้งๆที่ก็ผ่านการมีความรักมาหลายครั้งแล้วแต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่คณินรู้สึกเสียความมั่นใจมากที่สุด

จริงๆส่วนลึกของจิตใจเขาอาจจะไม่ยอมรับใจตัวเองก็ได้ว่าตนเองรู้สึกยังไงกับคนที่สะกดจิตตัวเองมานานนับปีว่าเกลียดนักเกลียดหนา

คล้ายการโยนก้อนหินลงน้ำผลที่ได้คือเกิดระลอกคลื่นชั่วขณะแล้วจางหายจนนิ่งสนิทไปในที่สุด

คณินไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าสองวันที่ผ่านมาเขาจะขับรถไปกลับเมืองกาญจน์กับราชบุรีทำไม รู้แค่ว่าอยากไปดู อยากไปเห็นหน้า อยากไปหา แต่ถ้าถามว่าไปเพื่ออะไร เขาไม่รู้คำตอบที่ได้คือแค่อยากไป ทั้งๆที่ปกติเขาเป็นคนไม่มีความอดทนที่จะรอคอยอะไร แต่เขาก็ยอมอดทนยืนรอจนกว่าเศรษฐพงศ์จะแข่ง ทั้งๆที่ปกติเขาเป็นคนขี้ร้อนมากแต่สองวันมานี้เขายอมยืนตากแดดกลางแจ้งเพื่อจะดูเศรษฐพงศ์แข่งแบบใกล้ๆ คณินอาจจะเป็นคนเรียนเก่ง ฉลาด และทันคน แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่งี่เง่าคนหนึ่งเข้ามารบกวนจิตใจ

ไหนจะเรื่องที่เศรษฐพงศ์กำลังคบหากับผู้หญิงคนนั้นอีก ทั้งๆที่ไม่ว่าเศรษฐพงศ์จะมีแฟนหรือคบหากับใครนั้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเด็กนั่น แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเศรษฐพงศ์คุยโทรศัพท์กับเอิร์น คณินก็รู้สึกอารมณ์เสียทุกที

ทั้งๆที่เอิร์นไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย ไม่รู้จักและไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาเลยด้วยซ้ำแต่คณินก็เกิดความไม่ชอบขี้หน้า((แม้จะไม่เคยเห็นแม้แต่รูปถ่าย)) ช่วงนี้เขาเลยพาลเกลียดคนชื่อเอิร์นทุกคนบนโลกไปด้วย คณินรู้สึกว่าผู้หญิงชื่อนี้ต้องเป็นคนน่ารำคาญมากแน่ๆ  บ่อยครั้งอยากจะตะโกนแทรกเวลาเศรษฐพงศ์พูดคุยด้วยถ้อยคำหวานๆใส่แฟนสาวแต่ชายหนุ่มก็ต้องสะกดกลั้นตัวเองไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น  ไม่ได้กลัวเศรษฐพงศ์ด่ากลับมาแต่เขากลัวว่าถ้าเศรษฐพงศ์รู้ว่าเขาแอบฟังเด็กนั่นจะไม่ออกมาคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงอีกต่างหากเขาจึงต้องเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้

หลังๆมานี้คณินจึงไม่ได้คิดแผนแกล้งเศรษฐพงศ์เลยเพราะเอาแต่แช่งชักหักกระดูกขอให้เศรษฐพงศ์กับเอิร์นเลิกคุยกันเร็วๆ

ไม่ได้คิดอะไรนะ แค่รำคาญเฉยๆ

นอกจากเรื่องเรียนแล้วเขาไม่เคยต้องมาคิดอะไรมากมายขนาดนี้เลย แล้วเศรษฐพงศ์เป็นใครมาทำให้เขาใช้สมองคิดเรื่อยเปื่อยให้เปลืองพื้นที่

หลังจากอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคลเสร็จคณินก็แต่งตัวเพื่อเตรียมไปบ้านของจิณณวัตร ชายหนุ่มเดินออกมาหยุดที่หน้าห้องของเศรษฐพงศ์ก่อนจะเอาโพสต์อิทแปะป้าบลงไปแล้วสับเท้าก้าวยาวๆขึ้นรถขับออกไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของแม่บ้านที่ถามว่าเขาจะไม่กินข้าวเช้าหรอกเหรอ

คือตอนนี้เขาขอไปไหนก็ได้จนกว่าเศรษฐพงศ์จะได้เห็นโพสต์อิทแผ่นนั้นอ่ะ


 

                เศรษฐพงศ์จัดการเก็บสายยางจนเรียบร้อยโกยใบไม้กับต้นหญ้าที่ถอนออกมากองไว้ใส่ตะเข่งเรียบร้อยแล้วก็ล้างไม้ล้างมือเดินเข้าบ้าน กลิ่นกับข้าวหอมฟุ้งฝีมือแม่ลอยมาให้ได้ทำจมูกฟุดฟิด เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในครัวแล้วสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง จมูกโด่งกดลงบนแก้มแม่แรงๆสูดความหอมหวานจนดังฟอดใหญ่ คนเป็นแม่แกล้งตีลงบนมือลูกชายที่ฉวยหมูทอดชิ้นใหญ่เข้าปาก

                “รดน้ำต้นไม้เสร็จแล้วเหรอลูก”

                “เสร็จแล้วแม่ งวดนี้หญ้าขึ้นเยอะ สงสัยได้น้ำได้ฝนดี โตจะสูงกว่าต้นไม้ปลูกซะอีก”

                “งั้นเซ็ทไปอาบน้ำก่อนไปลูกออกแรงแต่เช้าตัวเหม็นเหงื่อ เสร็จแล้วจะได้ลงมาทานข้าว”

                “โอเคครับ เดี๋ยวเซ็ทลงมาช่วยจัดโต๊ะ วันนี้คงกินข้าวคล่องคอเห็นไอ้คินขับรถออกไปแล้ว”

                “ขี้แซะใหญ่แล้วนะเราน่ะ ไปไป๊ เหม็น”คนเป็นแม่แกล้งว่าลูกชายที่ยืนจ้องหมูในจานอีกชิ้น เศรษฐพงศ์ทำท่าจะเอื้อมมือหยิบเข้าปากอีกซักชิ้นแต่โดนแม่เงื้อตะหลิวใส่เลยต้องยกมือยอมแพ้แล้ววิ่งปรู๊ดขึ้นบันไดไป เศรษฐพงศ์ที่กำลังจะเปิดประตูห้องชะงักกับโพสต์อิทใบเล็กๆที่แปะอยู่หน้าห้อง มือเรียวหยิบออกมาอ่านเนื้อความแค่ไม่กี่ประโยคแต่กลับทำให้เด็กหนุ่มหลุดรอยยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว

            “กูต่อชั้นวางต้นไม้ไว้ให้มึงวางไว้ในห้องเก็บของ ขอโทษที่ทำร้านมึงพัง”

ตั้งแต่อยู่บ้านนี้มาสองปี โดนคณินกลั่นแกล้งมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน นี่คือครั้งแรกที่คณินขอโทษเขา เด็กหนุ่มเก็บโพสต์อิทเข้าห้อง

เดี๋ยวคงต้องเอาไปเคลือบแล้วใส่กรอบอย่างดี เก็บไว้ดูชั่วลูกชั่วหลานว่าไอ้คนสันดานเสียแบบคณิน  ไลลิขิตสกุล ขอโทษ เศรษฐพงศ์ วงศ์บริสุทธิ์ คนนี้

โลกต้องจารึกไว้นี่พูดเลย

 

                หลังกินข้าวเช้าเสร็จคณิตกับแม่ของเศรษฐพงศ์ก็ออกไปหาลูกค้า เศรษฐพงศ์จึงมีเวลาว่างมากพอจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของคณิน เข้ามาครั้งสุดท้ายก็นั่นแหล่ะ วันที่เข้ามากระทืบโมเดลของคณินจนแหลกคาเท้า เศรษฐพงศ์มองหาชั้นไม้ที่คณินบอกก็พบว่ามันวางพิงผนังอยู่มุมหนึ่ง เด็กหนุ่มมองแผ่นไม้ที่ไม่น่าจะใช่ชั้นไม้ที่คณินบอก ติดจะหงุดหงิดเพราะคิดว่าโดนหลอกอีกแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไลน์หาคณิน ต่อว่าเรื่องที่ให้ตนเองเข้ามาดูซากกองไม้ แต่คณินก็ตอบกลับมาอธิบายวิธีการประกอบและเมื่อเศรษฐพงศ์ทำตามที่คณินบอก ชั้นไม้ 3 ชั้นก็ปรากฏสู่สายตา

                “เจ๋งสัด” แม้ไม่อยากจะชมแต่ก็ต้องยอมรับว่าชั้นแบบถอดได้ของมันดีมากๆ ด้านล่างฐานรองกว้างและใหญ่ที่สุดเวลาวางกระถางก็จะถ่วงไม่ให้ล้มแถมถอดออกเก็บและขนย้ายง่าย

                “นิสัยเหี้ยแต่ไอเดียดี”ถ้าจะนิยามคำชมให้กับคนที่ชอบกวนประสาทตนเองอยู่เสมอก็คงจะเป็นคำนี้ เศรษฐพงศ์ถอดชั้นไม้แล้ววางเรียงตามเดิมยังไงวันนี้เขากับเพื่อนๆก็ไม่ได้ไปเปิดร้านเดี๋ยวค่อยเอารถพ่อของยงศกรมาขนไปไว้ที่หอวันหลัง เพราะว่าเข้าสู่ช่วงที่มีงานปีประจำจังหวัดนั่นก็คืองานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควตลาดนัดต่างๆจะเงียบเหงารวมทั้งถนนคนเดินก็ด้วยพวกของเศรษฐพงศ์จึงตกลงกันว่าจะหยุดจนกว่างานสะพานจะหมดแล้วนัดเจอกันที่งานในเย็นวันนี้เพื่อเที่ยวเล่นปลดปล่อยจากการตรากตรำซ้อมแข่งมานานเกือบสามเดือนที่ผ่านมา

                เศรษฐพงศ์ใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายด้วยการนั่งๆนอนๆคุยกับเอิร์นและเคลิ้มหลับไปตอนบ่ายสาม หนังสือเรียนที่นอนท่องอยู่บนเปลญวณที่เอามาผูกใต้ต้นมะม่วงคลุมไว้ที่หน้า จนเกือบหกโมงเย็นนั่นแหล่ะเด็กหนุ่มถึงรู้สึกตัวตื่นเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น

                “โหล...”เศรษฐพงศ์กรอกเสียงลงไปเมื่อกดรับสายจากยงศกรเรียบร้อยแล้ว

                “มึงจะให้พวกกูไปเจอตรงไหนกี่โมง”

                “เจอกันทางเข้าข้างหน้าเลยก็ได้มึง”

                “ติดถนนใหญ่อ่ะนะ”

                “เออ ไปยืนรอๆกันแถวนั้นค่อยเข้าไปพร้อมกัน”

                “แล้วจะไปเจอกันกี่โมง”เสียงปลายสายถามเวลานัดแนะกลับมาอีกครั้งเศรษฐพงศ์ยกนาฬิากาขึ้นดู

                “ทุ่มนึงเจอกันกูขออาบน้ำแต่งตัวก่อนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้เพิ่งตื่น”เมื่อตกลงนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยเศรษฐพงษ์ก็ลงจากเปลเก็บหนงสือที่อ่านได้ไม่ถึงครึ่งเล่มเสียด้วยซ้ำเข้าบ้าน อาบน้ำแต่งตัวคุยแชทกับเอิร์นรายงานว่าตัวเองกำลังจะไปไหนเสร็จก็คว้ากุญแจรถขับออกจากบ้านไปตอนหกโมงครึ่ง

 
                คณิน::

                ผมวนรถเพื่อหาที่จอดรถอันแสนคับคั่งราวกับว่ารถทุกคันในจังหวัดมุ่งหน้ามาที่งานสะพานนี้ ผู้คนขวักไขว่เดินกันจนเบียดแน่นไปหมดเพราะเป็นวันหยุดด้วยปริมาณคนมหาศาลที่เดินไหลกันไปเรื่อยๆทำเอาผมย่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก

                “เสี่ยๆตรงนั้นว่างจอดได้”ไอ้ว่านที่นั่งอยู่เบาะหลังมันนั่งกอดเบาะของผมเพื่อช่วยดูล็อคว่างรีบตบไหล่ผมพลางชี้ไปที่ช่องว่างช่องหนึ่งผมหมุนพวงมาลัยเข้าไปจอด ก่อนที่ผม ไอ้ว่าน ไอ้แพท กับไอ้แพรจะลงมาจากรถ

                “ไอ้แดนกับไอ้อ้นมันมาถึงแล้วใช่ป่าววะ”ผมล็อครถแล้วหันไปถามเพื่อนที่เดินตามกันออกมา หลังจากจ่ายค่าที่จอดรถแล้วพวกเราก็เริ่มเดินเข้างานโดยการซื้อบัตรผ่านประตู

                “มันบอกรอแถวๆช้อนไข่กาชาด”ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนที่พวกเราจะค่อยๆเดินไหลตามฝูงชนมหาศาลไปเรื่อยๆเพื่อไปเจอกับไอ้แดนไอ้อ้นที่ซุ้มของกาขาด บรรดาผู้คนต่างเดินเข้าออกที่ซุ้มนี้ไม่ขาดสายเพราะมีของรางวัลมากมายหลอกล่อคนที่โลภอยากได้ของดีๆจะเสียซักกี่พันกี่ร้อยก็ไม่สนใจทั้งที่ถ้ามานับมูลค่าของๆที่ช้อนมาได้ มาม่า 6 บาท เงี้ย มันคุ้มกันมั้ย

คำตอบสำหรับผมคือก็ไม่ แต่พอไอ้แพรกับไอ้ว่านแบมือขอเงินแบงค์ 500 ในกระเป๋าของผมก็ปลิวไปอยู่ในมือมันสองคนแบบง่ายๆ

                “ถือว่าทำบุญ”เป็นเหตุผลง่ายๆที่ทำให้เราดูหล่อขึ้น

ช้อนเหมือนจะสะสมแต้มบุญไว้หล่อยั้นชาติหน้า

                “เดือนนี้กูรอดตายล่ะ มีมาม่าตุนเต็มเลย”ไอ้ว่านหอบถุงมาม่าเดินมาอวดพวกผมที่ทำหน้าระอาใจ

                “ความจริงถ้ามึงเอา 500 ของกูไปซื้อยกลังมึงจะกินได้ 2 เดือน”

                “น่า มึงก็ ทำบุญๆ”มันหันมาโบกไม้โบกมือแบบให้ผมทำใจหยวนๆไป

                “แล้วนี่ไปไหนต่อ”

                “กูอยากดูคอนเสิร์ต”ไอ้แพทมันว่า

                “วันนี้ใครมาวะ?”ไอ้แดนที่วันนี้มาพร้อมพี่เด่นที่กลับมาเยี่ยมบ้านหันไปถามชื่อศิลปิน

                “ลองกอง หอยฝังเพชร”

                “สาบานว่านั่นชื่อศิลปิน?”ผมหันกลับไปมองไอ้แพทอย่างไม่เชื่อหู นักร้องที่ไหนวะชื่อส่อไปในทางลามกขนาดนั้น

                “ว้ายเสี่ย มึงไปอยู่ไหนมา น้องลองกองออกจะดัง”ไอ้ว่านหันมาทำหน้าอ้อล้อพร้อมกับส่งเสียงเยาะเย้ยผมแหลมปรี๊ด

                “ร้องเพลงอะไรวะทำไมกูไม่รู้จัก”

                “ผู้สาวขาลาย”

                “ท่าทางจะไม่ทาครีมบำรุง”

                “เพลงเขาดังทั่วบ้านทั่วเมืองมึงอ่ะเชยไอ้คิน พี่เด่นมันยังรู้จักเลย”ไอ้แดนช่วยยืนยันอีกเสียงว่าน้องลองกองนี่ดังจริง

                “ใช่ เวลากูดูบันทึกการแสดงสดของน้องเค้ามือกูเลอะเปลืองทิชชู่ตลอดเลย”พี่เด่นมันรับมุกของไอ้แดน

                “นั่นพี่มึงก็จังไรไปแล้วไอ้เหี้ย”ผมชูนิ้วกลางให้กับคำพูดสื่อไปในทางลามกนั่น หลังจากซื้อนู่นซื้อนี่กินจนมาถึงบริเวณหน้าสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่มีรั้วสังกะสีล้อมสูงกว่าหัวเพื่อบังสายตาจากคนด้านนอกหางตาผมก็เหลือบเห็นเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในสถานที่จัดคอนเสิร์ต

เห็นจากด้านหลังยังจำได้เลย

                “ตกลงใครจะดูมั่งเอาเงินไปซื้อตั๋วสิ”ผมหยิบแบงค์พันยื่นให้ไอ้แดนรีบรับแล้วมุ่งตรงไปซื้อตั๋วทันที มันรอเงินทอนก็หอบตั๋ว 7 ใบมาแจกพวกเรา พวกเราเดินเข้ามาด้านในลานคอนเสิร์ตที่เป็นลานโล่งๆไม่มีเก้าอี้ คือต้องยืนดูอย่างเดียว จำนวนคนมีเยอะจนน่าตกใจ แสดงว่าน้องลองกองละมุดมังคุดลำไยอะไรนี่ดังจริง ผมพยายามกวาดสายตามองหากลุ่มไอ้เซ็ทแต่เพราะปริมาณคนที่เยอะมากแถมยังค่อนข้างมืดจึงหาไม่เจอ

เวลายิ่งผ่านไปก่อนการแสดงเริ่มผู้คนก็เริ่มทยอยเข้ามา ดูจากสายตาแล้วจะเป็นวัยรุ่นผู้ชายซะมากกว่า บางคนก็เมากรึ่ม บางกลุ่มก็แหกปากเสียงดังพูดคุยกนข้ามหัวคนอื่นๆ  ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก เห็นหลายคนใส่เสื้อช็อปของสถาบันการศึกษาต่างๆเข้ามาแล้วนึกตำหนิในใจ ทำไมไม่เปลี่ยนเสื้อก่อนมางานแบบนี้วะ  ยืนเมื่อจนรู้สึกเหนื่อยในที่สุดเสียงดนตรีก็ดังกระหึ่มขึ้น เสียงโห่ร้องของบรรดาชายหนุ่มกึกก้องเมื่อร่างสะโอดสะองของนักร้องสาวในชุดสีทองปิดล่างนิดปิดบนหน่อยย่างกรายออกมา สียงเพลงยอดฮิตของน้องลองกองดังขึ้นพร้อมเสียงโห่แซ็วเป่าปากของคนด้านล่างเวที บ้างก็เต้นวาดลวดลายกันมันเกินเบอร์  ซํกพักผมก็สังเกตว่าด้านหน้าเวทีวงคนดูเริ่มกระจายตัว

                “ตีกันหรือไงวะ”ไอ้แพทมันชะเง้อพลางเขย่งเท้ามอง เสียงนักร้องสาวพูดออกไมค์ให้ใจเย็นๆ ผมร้อนใจขึ้นมาทันที

ไอ้เซ็ทอยู่ตรงไหน ถ้าพวกมันอยู่หน้าเวทีอาจจะเจอลูกหลง วงที่ตีกันเริ่มมั่วเข้าไปใหญ่เมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกันเพิ่มขึ้น ด้วยจำนวนคน อีกครั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้มีการตะลุมบอนเกิดคลื่น คลื่นมนุษย์ที่รักตัวกลัวตายเริ่มดันและเบียดบ้างก็วิ่งหนีกันออกมา

                “ไอ้คิน หนีก่อนเผื่อพวกแม่งยิงกัน”

                “พวกมึง พวกไอ้เซ็ทอยู่ในนี้ หามันก่อน”ผมตะโกนบอกเพื่อนๆเมื่อพวกมึนพยายามดึงมือผมให้หนีออกจากคอนเสิร์ต ผู้คนนับพันเริ่มแตกตื่นโกลาหล ผมสะบัดมือเพื่อนก่อนวิ่งสวนผู้คนเข้าไป สายตาพยายามมองหาหน้าของไอ้เด็กน่ารำคาญนั้น ผมผลักผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาทางผมให้พ้นทาง ผู้ชายตัวเล็กคุ้นตาคนหนึ่งกับไอ้แฝดน้องวิ่งสวนผมออกมา ผมรีบคว้าแขนมันไว้ในขณะที่ไอ้แฝดคนพี่ปล่อยหมัดใส่ใครซักคนที่จะเข้ามาทำร้ายน้องแฝดและไอ้วี

                “วี ไอ้เซ็ทอยู่ไหน”ผมตะโกนถามเมื่อวีเอาแต่ทำท่าจะวิ่งอย่างเดียว มันรีบเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงของผม

                “มันกำลังจะออกมาแต่ไอ้ย้งโดนลูกหลงเลยวิ่งกลับไปช่วยตรงนู้นน่ะ มึงไปช่วยมันที”

คณินร้อนใจในทันที่ที่รับรู้ว่าเศรษฐพงศ์ติดอยู่ในวงที่ตีกันนั้น ชายหนุ่มปล่อยมือวีรดนัยก่อนจะวิ่งฝ่าเข้าไป เพราะรูปร่างของเศรษฐพงศ์กับเพื่อนค่อนข้างโดดเด่นเมื่อเข้ามาอยู่ใกล้ๆทำให้สังเกตหาได้ไม่ยาก ร่างสูงโปรงเอี้ยวตัวหลบหมัดของผู้ชายผอมแห้งคนหนึ่งแล้วกระชากมือยงวิสุทธิ์ให้ออกจากวงล้อมไปพร้อมกับยงศกร คณินรีบวิ่งเข้าไปกระโดดถีบกลางลำตัวของใครซักคนที่จะเข้ามาทำร้ายเศรษฐพงศ์ด้านหลัง

                “ไอ้คิน มึงมาไงเนี่ย”

                “อย่าเพิ่งพูดมากหนีก่อนไอ้สัด มาตีกับเค้าได้ไง” คณินไม่รอช้าหลังจากเหวี่ยงหมัดใส่ผู้ชายที่ตนเพิ่งจะกระโดดถีบไปก็คว้ามือของเศรษฐพงศ์วิ่งออกมา แม้จะเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะจำนวนคนที่ขวางทางอยู่ค่อนข้างมากแถมคนที่ตีกันก็ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรเหวี่ยงไม้เหวี่ยงหมัดมั่วไปหมดจึงทำให้เขาทั้งคู่ไม่สามารถวิ่งหนีได้ดั่งใจนึกทำได้เพียงก้าวเร็วๆเพื่อให้พ้นไปจากตรงนี้  โชคดีที่ยงศกรกับยงวิสุทธิ์แยกไปอีกทางหนึ่งแล้วเศรษฐพงศ์จึงไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังมากนัก วัยรุ่นหลายคนวิ่งผ่านพวกเขาไปพลางหันไปส่งเสียงด่าทอท้าทายคนที่ตามมาจากด้านหลังเป็นการยั่วยุ
                “เก่งนักใช่มั้ยมึง”อยู่ๆก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง  ด้วยสัญชาติญาณ คณินหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นว่าอะไรเป็นอะไรคณินก็เอาตัวเข้าบังร่างของเศรษฐพงศ์ไว้ในทันที

ปัง!!!!

เศรษฐพงศ์ที่กำลัง งงๆว่าคณินจะมาสวมกอดตนจากด้านหลังทำไมล้มลงกับพื้นเมื่อร่างหนาของคณินกระตุกแล้วโถมแรงใส่เขา เสียงปังดังลั่นเมื่อครู่พร้อมกลิ่นดินปืนทำให้เด็กหนุ่มใจหายวาบ เศรษฐพงศ์หันหลังกลับไปดูก็พบว่าคณินจ้องมองมาที่ตน หัวคิ้วคู่นั้นขมวดจนแทบจะผูกโบว์ได้

                “เสียงอะไรวะ?”ถามออกไปอย่างคนที่ยังไม่หายตกใจ

                “มึงไม่เป็นไรใช่มั้ย?”คณินเอ่ยถามคนตรงหน้าสายตาสำรวจร่างกายของเศรษฐพงศ์แล้วก็ส่งยิ้มอย่างพอใจที่ไม่พบร่องรอยหรือความบุบสลายบนผิวกายของเศรษฐพงศ์อยู่ๆคณินก็ทรุดลงซบกับอกของคนเป็นน้อง เศรษฐพงศ์ตกใจกับอากัปกริยานั้น รีบใช้มือตบลงบนหลังคณินเพราะคิดว่าคนพี่แกล้งทำแต่ความชื้นหนืดที่ติดมือตามมาทำให้เศรษฐพงศ์ตัวชาวาบ

อยากจะบอกกับตัวเองว่ามันแค่เหงื่อ แต่เมื่อยกมือขึ้นมาดูสีแดงฉานที่ติดมือมาเป็นคำตอบได้ดีว่า

                “คิน มึงโดนยิง”

                “เออ กูรู้แล้ว”คนพี่ที่พยายามข่มความเจ็บตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

                “มึงลุกไหวมั้ย ไปโรงพยาบาลกัน”เศรษฐพงศ์พยายามประคองคณินให้ลุกขึ้นยืน คณินทำตามอย่างว่าง่ายแต่พลันร่างสูงก็ล้มลงไปอีก เขาเสียเลือดมากจนหน้ามืด เศรษฐพงศ์รีบประคองร่างที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่นั้นไว้ก่อนจะสั่งให้คณินเกาะหลังของตัวเองไว้ ร่างโปร่งออกแรงแบกร่างสูงของคนที่ซบหน้าลงกับซอกคอตนวิ่งออกไปด้านนอก บรรยากาศโดยรอบวุ่นวายเพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และ อปภร.เริ่มเข้ามาคุมพื้นที่ ภาพวัยรุ่นหลายคนถูกจับไปนั่งกองรวมกันบนรถห้องขังทำให้เศรษฐพงศ์ต้องเบือนหน้าหนี

                “ไอ้คิน!!!”เสียงเพื่อนๆของคณินร้องเรียกเมื่อเห็นเศรษฐพงศ์แบกคณินขี่หลังออกมา ใบหน้าหล่อเหลาที่ปกติขาวจนแทบจะเรืองแสงตอนนี้ซีดเผือด เปลือกตาปิดสนิท บรรดาเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ที่ยืนรอรวมกลุ่มกับพวกของแดนธรรมกรูกันเข้ามาจะช่วย

                “หลบไป ใครเอารถยนต์มาบ้าง”เศรษฐพงศ์เอี้ยวตัวหลบคนที่จะเข้ามายุ่งกับคณินใบหน้าหล่อเครียดขึงสายตาสื่อให้รับรู้ว่าตนเองนั้นห่วงคนที่กำลังแบกมากแค่ไหน

                “กูเอามา มึงตามมาทางนี้”เด่นคุณรีบเดินนำเศรษฐพงศ์ไปที่ลานจอดรถ

                “พี่เคลียร์ทางให้ทีมีคนโดนยิง”เศรษฐพงศ์ร้องบอกคนที่รับฝากรถให้ช่วยเคลียร์ทางให้โล่งเพื่อที่พวกเขาจะได้ออกไปได้ง่ายที่สุด

                “ไอ้ยิมมึงขับรถกูกลับที ส่วนมึงไอ้สูงๆน่ะขับรถไอ้คินกลับไปด้วย”เศรษฐพงศ์ประคองศีรษะของคณินให้หนุนลงบนตักของตัวเองก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงโยนกุญแจรถให้พชรพล เด่นคุณปิดประตูรถให้ก่อนจะขึ้นมาประจำตำแหน่งคนขับรถโดยมีแดนธรรมนั่งหน้าคู่มาด้วย  เศรษฐพงศ์ใช้ปลายนิ้วลูบลงบนผิวแก้มของคณิน กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อเห็นคณินปิดเปลือกตาสนิทไม่ได้จ้องมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองแบบเมื่อก่อน

ความรู้สึกใจหายแล่นเข้าจู่โจมอย่างน่ากลัว

                “มึง  อย่าตายนะไอ้เหี้ย ตื่นมาทะเลาะกับกูต่อก่อนนะไอ้คิน ห้ามตายนะ”


...............................



อย่าตายนะพ่อพระเอกของช้อย



ปล.เคยเข้าไปดูคอนในงานสะพานและเจอคนตีกันจริงๆ โชคดีที่ดูอยู่ตรงกลางๆบวกกับสกิลนักวิ่งทีมชาติเลยรอดออกมาได้ เป็นการดูคอนที่เร้าใจที่สุดในชีวิต

วันศุกร์นี้เปิดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคววันแรกนะคะ ใครอยากมาเที่ยวชมมาได้เล้ยยยยยย
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 16 30/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 30-11-2018 10:51:20


                               เด่นคุณขับรถพาร่างโชกเลือดของคณิณมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล แม้จะมีเอกชนที่ใกล้ที่สุดแต่คนเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มไม่แน่ใจว่าที่นั่นจะมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบถ้วนมั้ยเขาจึงยอมเสี่ยงที่จะขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด เหลือบมองเบาะหลังเศรษฐพงษ์พลิกร่างของคณินให้ตะแคงเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตที่ใส่ตัวนอกถูกถอดออกแล้วปิดลงบนปากแผล เลือดสีแดงฉานไหลออกมามากจนเศรษฐพงศ์รู้สึกใจเสีย  ตั้งแต่อยู่ร่วมบ้านกันมา ใช้ชีวิตอยู่ในวงโคจรของกันและกันมาสองปีไม่มีครั้งไหนเลยที่คณิณจะนิ่งสนิทได้เช่นวันนี้

 

ให้ลืมตามาด่า

 

ให้ตื่นขึ้นมาหาเรื่องแกล้งเขา

 

ให้ฟื้นขึ้นมาท้าตีท้าต่อยก็ยังดีกว่านอนหน้าซีดเผือดไม่ได้สติแบบตอนนี้

 

ไม่ชินเลยกับความรู้สึกหวิวๆในใจแบบนี้

 

มันไม่มีเหตุผลเลยซักนิดที่คณิณจะต้องมาปกป้องเขาจากกระสุนปืน

 

โง่...คณิณนั้นโง่นัก

 

ทั้งๆที่เกลียดกันจะตายจะเอาตัวเองมารับกระสุนแทนเขาทำไม

 

                “ฟื้นขึ้นมาเร็วๆนะ ฟื้นมาให้กูด่า”

 

เด่นคุณเลี้ยวรถมาจอดหน้าตึก OPD ชายหนุ่มและแดนธรรมเปิดประตูรถขอความช่วยเหลือจากเวรเปล

 

                “พี่ครับมีคนโดนยิงมา” แดนธรรมเปิดประตูตอนหลังเศรษฐพงศ์ประคองร่างของคณิณเพื่อส่งให้กับเวรเปล ทุกคนต่างเร่งรีบเข็นร่างอ่อนปวกเปียกของคณิณนำไปที่ห้องฉุกเฉิน เศรษฐพงศ์เข้าช่วยโดยไม่ยอมละทิ้งไปไหน ไม่ห่างกันแดนธรรมเองก็ตามมาติดๆ

 

                “ญาติรอข้างนอกนะคะ”พยาบาลหันมาบอกอย่างสุภาพ เศรษฐพงศ์หอบหายใจอย่างหนักเด็กหนุ่มก้มลงมองสองมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน กลิ่นคาวคละคลุ้งจนรู้สึกเวียนหัว

 

แดนธรรมเงยหน้าจากโทรศัพท์ที่กดรายงานสถานการณ์ให้เพื่อนๆที่กำลังตามมาเมื่อไห้ยินเสียงเหมือนของหนักหล่นลงพื้น ทันทีที่เงยหน้ามองก็เห็นร่างของเศรษฐพงศ์ร่วงลงกับพื้น

 

                “เฮ้ย!!!”ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะเข้าไปหิ้วปีกร่างที่นั่งสั่นอยู่กับพื้น

 

                “มึงเป็นอะไรวะ ไหวมั้ย”แดนธรรมประคองร่างที่สั่นเทาของเศรษฐพงศ์แต่คนเด็กกว่ากลับยกมือห้าม ร่างกายสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ใช้มือสองข้างของตัวเองลูบเลือดบนฝ่ามือไปมา

 

                “มึงใจเย็นๆนะ ไอ้คินมันหนังหนาจะตายมันไม่ตายง่ายๆหรอก”

 

                “ถ้าหนังหนา...”เศรษฐพงศ์เงยหน้ามองแดนธรรม ดวงตาที่เคยมองพวกเขาด้วยสายตาแกร่งกล้ามาตลอดบัดนี้เต็มไปด้วยน้ำใสคลอหน่วย

 

                “ถ้าหนังมันหนาจริงอย่างที่มึงพูด แล้วทำไมไอ้คนนั้นถึงยิงมันเข้าล่ะ?” เด่นคุณนั่งลงบนเข่าของตัวเอง เขาเดินมาทันเห็นเศรษฐพงศ์ทิ้งตัวลงกับพื้นชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาก่อนจะคว้ามือของเศรษฐพงศ์มาเช็ดเลือดที่มือนั้นออกโดยไม่พูดอะไร

 

                “ไม่ทราบว่าใครเป็นญาติคนไข้ที่โดนยิงคะ”พยาบาลที่อยู่ในห้องฉุกเฉินออกมาร้องถามหาญาติคนไข้ เศรษฐพงศ์รีบสะบัดมือที่เด่นคุณกำลังเช็ดเลือดให้ออกแล้วลุกขึ้นไปหาพยาบาลคนนั้น

 

                “ผมครับ ผมเป็นญาติคนไข้”

 

                “คือเดี๋ยวหมอต้องผ่าตัดด่วนรบกวนญาติไปทำประวัติคนไข้ให้ด้วยนะคะ”พยาบาลสาวอธิบายขั้นตอนต่างๆให้เศรษฐพงศ์ก็พอดีกับที่คณิตกับลดามาถึงโรงพยาบาลพอดี เรื่องการกรอกประวัติจึงเป็นหน้าที่ของคณิตไป ลดาคว้าตัวลูกชายไปกอดทันทีที่เจอหน้า

 

                “แม่...แม่ครับ”

 

                “ใจเย็นๆ พี่เค้าไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อแม่”

 

หลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่างๆรวมทั้งการจองห้องพิเศษเรียบร้อยทั้งหมดก็ตามพนักงานเปลที่เข็นร่างของคณิณไปห้องผ่าตัด เพื่อนๆของคณิณเริ่มทยอยมาถึงรวมทั้งเพื่อนของเศรษฐพงศ์ด้วย กลุ่มคนสิบกว่าชีวิตต่างนั่งเงียบไร้เสียงพูดคุย

 

                “พ่อว่าเด็กๆกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้นหมอบอกว่ากระสุนไม่ถูกจุดสำคัญผ่าออกก็ปลอดภัยแล้ว”หลังจากรอกันมาร่วมชั่วโมงคณิตจึงบอกให้เด็กๆแยกย้ายกันกลับบ้านไปก่อน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าคณิณจะถูกส่งตัวออกมาเมื่อไหร่ เด็กๆมีท่าทางลังเลเพราะเขาเองก็เป็นห่วงเพื่อน บรรดาเพื่อนของเศรษฐพงศ์ก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนด้วย เพราะระหว่างนั่งรอก็ได้ฟังที่เด่นคุณเล่าให้เศรษฐพงศ์ฟังว่าที่คณิณกลับเข้าไปก็เพราะจะเข้าไปตามเศรษฐพงศ์ออกมา

 

ในที่สุดเด็กทั้งหมดก็ตัดสินใจกลับเพราะอยู่กลุ่มใหญ่ค่อนข้างจะเกะกะดังนั้นทุกคนจึงไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองคนและบอกลาคนเด็กสุดที่นั่งคอตกอยู่หน้าห้องไม่พูดไม่จาอะไร

 

มันไม่มีเหตุผลเลยซักนิดที่คณิณจะกลับเข้าไปตามหาเขา  ทั้งๆที่เกลียดกันยิ่งกว่าอะไรแต่ทำไมถึงเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง จากการบอกเล่าของเพื่อนๆคนเจ็บแล้วพวกเขาอยู่เกือบท้ายเวทีด้วยซ้ำ แต่กลุ่มของเศรษฐพงศ์อยู่เกือบหน้าเวทีเลยจับพลัดจับพลูโดนลูกหลงไปด้วย

 

ถ้าคณิณไม่กลับเข้าไปหาเขาคณิณก็ไม่ต้องมาเจ็บแบบนี้

 

ไม่สิ

 

จริงๆ...

 

ถ้าคณิณไม่เอาตัวเองเข้ามาบังตัวเขาไว้คนที่อยู่ในห้องผ่าตัดตอนนี้ก็คือเขาเอง ที่เขาได้มานั่งอยู่รอดปลอดภัยตรงนี้ในขณะที่ไอ้คนปากดีตอนนี้อยู่ในห้องนั้นเพราะคณิณปกป้องเขา

 

ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกคณิณถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปนอนในห้องพิเศษ ใบหน้าซีดขาวหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาสลบ พยาบาลเข้ามาจัดการใส่ชุดคนป่วยของโรงพยาบาลให้ เช็คความเรียบร้อยของน้ำเกลือและสายให้เลือดอีกครั้งก่อนจะออกไป

 

                “แม่กับลุงกลับไปพักผ่อนเถอะครับเดี๋ยวเซ็ทเฝ้าให้เอง กว่าจะฟื้นดีคงพรุ่งนี้”เศรษฐพงศ์บอกกับคณิตที่ยืนลูบผมของลูกชายคนเดียวอยู่ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่คณิณเจ็บป่วยคนเป็นพ่อกลับดูแก่ลงไปถนัดตา

 

                “ลุงอยากเฝ้าคิน”

 

                “เชื่อผมเถอะครับ โซฟามันแคบลุงกลับไปนอนพักที่บ้านแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาดีกว่าครับ เดี๋ยวถ้าพี่มันฟื้นผมจะโทรบอก”

 

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ยังไงลุงฝากเซ็ทดูพี่ด้วยนะ”ที่สุดคณิตก็จำยอม

 

“ลุงครับ”เศรษฐพงศ์เอ่ยเรียกพ่อเลี้ยงด้วยน้ำเสียงลังเล

 

“ว่าไง?”

 

“ผมขอเฝ้าคินเองนะครับ พรุ่งนี้วันหยุด ส่วนวันธรรมดาผมจะมาเฝ้าตอนเย็นๆหลังเลิกเรียน”

 

“เอางั้นเหรอ มันจะหนักเกินไปหรือเปล่าเซ็ทก็ต้องเรียน”

 

“ไม่ครับไม่หนักเลย ช่วงนี้ไม่ได้มีงานอะไรมากไม่ได้ซ้อมแล้ว”เศรษฐพงศ์รีบตอบอย่างเต็มใจ อย่างน้อยเขาเองก็อยากทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนคณิณที่ช่วยชีวิตเขาบ้าง ความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจคล้ายแผ่นน้ำแข็งที่จับตัวหน้าในช่องฟรีซหากเขาไม่ทำอะไรเพื่อคณิณบ้างความรู้สึกผิดก็ไม่มีทางหายออกไปซักที

 

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้แม่เอาเสื้อผ้าของใช้มาให้นะลูก”ลดาเข้าไปลูบหลังลูกชายอีกครั้ง

 

“ครับ”เด็กหนุ่มกอดลาแม่ก่อนจะเดินไปส่งสองสามีภรรยาที่หน้าประตูเมื่อคนทั้งคู่ไปแล้วเด็กหนุ่มก็เดินกลับมาที่เตียงคนป่วย คณิณหลับสนิท

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมมองร่างที่หลับสนิทบนเตียงคนไข้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง นี่มันไม่ใช่ไอ้คินที่ผมรู้จักเลยซักนิด

 

ไอ้คินตัวจริงต้องปากดีด่าผมได้ตลอดเวลา

 

ไอ้คินตัวจริงต้องยียวนกวนส้นตีนได้แม้ว่าผมจะอยู่นิ่งๆ

 

แต่คนๆนี้ที่หลับตานิ่งหน้าตาไร้สีเลือดนี่คือใครกัน??

 

ผมยื่นมือเข้าไปลูบกลุ่มผมที่ปรกหน้าปรกตามันเบาๆ

 

สงสารมัน...ปกติตีกันหนักสุดก็แค่แขนหัก แต่นี่มันถูกยิงเลยนะเว้ย มันเจ็บตัวคราวนี้ไม่ได้เกิดจากการที่มันตีกับผม แต่มันเจ็บตัวคราวนี้เพราะมันปกป้องผม

 

“มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”ผมไม่เข้าใจมันจริงๆ ผมเลื่อนมือมาลูบใบหน้าของมัน น่าแปลกที่ปกตินอกจากหมัดแล้วผมก็ไม่เคยสัมผัสใบหน้าของมันใกล้ๆแบบนี้เลย ผิวของมันนุ่มลื่นไม่เหมาะกับการเป็นผิวผู้ชายเลยซักนิด ใช้ปลายนิ้วเขี่ยขนตายาวหนาเป็นแพของมันเบาๆขนตาที่เหมือนกวางดาว...

 

“รีบๆตื่นมากวนตีนกูนะอย่านอนนานเดี๋ยวรากงอก”ผมเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงมองสายน้ำเกลือที่โยงมาหยุดที่ข้อมือของมันแล้วก็ได้แต่คว้ามือของมันมากุมไว้เบาๆ

 

“ถ้ามึงตื่นมากูจะพูดดีๆกับมึงจะไม่กวนตีนมึง กูสัญญา”

 

 

((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 16 30/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 30-11-2018 10:51:49
เกือบตีสามร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงเริ่มขยับตัว คณิณทำหน้าตาเหยเกเมื่อความเจ็บปวดแล่นปล๊าบตรงสะบัก ลืมตามองห้องที่สว่างด้วยแสงไฟแล้วก็ได้แต่หลับตาหนีแสงจ้านั่นอีกครั้ง ยกมือจะลูบหน้าตัวเองก็พบว่ามันถูกกุมไว้ด้วยมืออุ่นๆของใครอีกคน คณิณขมวดคิ้วก่อนเปิดเปลือกตาอีกครั้ง คราวนี้เขามองตามมือที่กุมมือตัวเองไว้ก็พบว่านิ้วอูมๆนิ่มๆนั้นเป็นของเศรษฐพงศ์ที่นั่งฟุบหน้าหลับสนิทอยู่ข้างเตียง

 

อยากจะสะบัดออกแต่ความอบอุ่นที่กุมไว้ก็คล้ายกับแม่เหล็กที่ดูดไว้ด้วยแรงดูดมาหาศาล

 

นอนมองหน้านั้นนิ่งๆก่อนจะหลุดขำออกมาเมื่อเศรษฐพงศ์นอนฟุบหันมาทางเขา แก้มที่ถูกเบียดย้อยจนมองดูน่ารัก...

 

บ้าๆ...

 

ใครน่ารัก...

 

หน้าตาก็โคตรขี้เหร่เลยเอาตรงไหนมาน่ารัก

 

ในใจของชายหนุ่มตีรวนกันจนน่าโมโห ใจหนึ่งก็บอกว่าเกลียดแต่อีกใจดันไปมองว่ามันน่ารัก ตัวสูงยังกะเปตรดันมองว่านารักไปได้ยังไง นอนปากห้อยน้ำลายแทบจะหยดแล้วเอาตรงไหนมาน่ารักวะ คณิณรีบหลับตาลงแกล้งทำเหมือนว่ายังหลับอยู่ทันทีที่เศรษฐพงศ์ขยับตัว พยายามห้าใจไม่ให้เต้นแรงเพื่อรอดูว่าเศรษฐพงศ์จะทำอะไรต่อ ความอุ่นที่มือยังคงไม่จางหายไปไหนแต่บนหน้าผากกลับมีความอุ่นเพิ่ม

 

“มีไข้ด้วยเหรอวะ”เสียงพึมพำเบาๆดังขึ้นก่อนที่ฝ่ามือจะถูกปล่อยให้ว่างเปล่าตามที่ควรจะเป็น

 

เสียดาย...คือความรู้สึกที่ผุดเข้ามาในใจของคณิณตอนนี้ เสียงน้ำไหลเบาๆในห้องน้ำทำให้ต้องแอบหรี่ตามอง เศรษฐพงศ์ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำใบเล็ก ผ้าขนหนูผืนบางถูกแช่ลงในน้ำแล้วบิดจนหมาดก่อนจะถูกเช็ดลงบนใบหน้าที่ยังซีดอยู่

 

“นี่หมอเค้าให้ยาสลบหรือฟอร์มาลีนกับมึงกันแน่วะ หลับนานชิบหาย”เสียงบ่นงุ้งงิ้งเบาๆทำเอาคณิณเกือบหลุดหัวเราะ เศรษฐพงศ์ยังคงเช็ดตัวเขาต่อไปจนเสร็จผ้าห่มถูกขยับเข้าคลุมร่างของเขาไว้จนเรียบร้อยแล้วจึงเอากะละมังน้ำไปล้างเก็บ เด็กหนุ่มเดินกลับมาดูคณิณอีกครั้งแล้วจึงเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา

 

เศรษฐพงศ์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็ตอนได้ยินเสียงพูดคุยกันใกล้ๆเมื่อลืมตาก็เห็นคนป่วยกำลังคุยกับพยาบาลอยู่ วูบแรกนั้นเค้าหลุดยิ้มออกมาอย่างดีใจแต่พอรู้สึกตัวก็ปั้นหน้าให้นิ่งที่สุดแล้วลุกขึ้นมายืนข้างๆพยาบาลสาว

 

“เดี๋ยวสายๆคุณหมอจะมาดูอาการนะคะ ตอนนี้ให้ยาแก้ปวดแล้วอาจจะปวดๆตึงๆแผลหน่อยถ้ามีอะไรก็กดออดเรียกพยาบาลนะคะ”พยาบาลท่าทางใจดีออกไปแล้วพร้อมอุปกรณ์ทำแผลและฉีดยา คนป่วยบนเตียงปรายตามองคนที่เพิ่งตื่นหัวฟูด้วยสายตาเอือมๆ

 

“นี่มานอนเฝ้าไข้หรือมานอนพักตากอากาศ”น้ำเสียงมึนตึงถูกส่งให้คนที่ขยี้ตาอยู่ปลายเตียง

 

“ปากดีแบบนี้แสดงว่าไม่ตายแล้วสินะไอ้สัด”คำทักทายยามเช้าถูกตอบกลับไป คนป่วยยักไหล่ก่อนจะเบ้หน้าเมื่อความเจ็บแล่นปล๊าบเข้าจู่โจม

 

“เป็นไรมึงเจ็บเหรอ”เศรษฐพงศ์รีบเดินเข้าไปจับแขนคนป่วย

 

ไอ้สัดเอ๊ย เหมือนไฟช๊อตเลย คณิณสะดุ้งเมื่อฝ่ามือของเศรษฐพงศ์บีบมาที่แขน ความรู้สึกราวถูกไฟฟ้าช๊อตนั่นคืออะไรกันวะ มันอึนๆ เบลอๆ แต่ก็ไม่อยากให้ปล่อยออก

 

“เออสิ โดนยิงนะไม่ได่เข็มทิ่ม”คนป่วยบ่นอุบขยับตัวทำท่าจะลงจากเตียง เศรษฐพงศ์มองอย่างไม่เข้าใจ

 

“อ่าว เฮ้ยๆ นั่นมึงจะไปไหน แผลมึงยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอวะ”รีบเดินไปประคองเมื่อคณิณเซลงจากเตียง

 

“กูปวดเยี่ยวมั้ยล่ะ “คนป่วยเบี่ยงตัวออกจากการประคองเอื้อมมือจะหยิบเสาน้ำเกลือแต่ก็ต้องหยุดกึกโดยไม่วายจะวางฟอร์มทำหน้านิ่ง

 

เจ็บชิบหาย

 

“อ่ะ อวดเก่งไอ้สัด เดี้ยงแล้วไม่เจียม”เศรษฐพงศ์เอ่ยด่าเมื่อเห็นคนอวดดีทำเป็นเก่งแต่ต้องดึงหน้าสุดชีวิตก่อนจะคว้าเสาน้ำเกลือไว้ซะเอง

 

“ไปสิ จะเข็นไปให้”ว่าจบก็แตะแขนแล้วประคองคนเจ็บปลดขวดน้ำเกลือและถุงเลือดที่ใกล้หมดยกสูงแล้วเดินประคองพาคนเจ็บเข้าห้องน้ำไป ทันทีที่เอาคนเจ็บมายืนตรงโถได้แล้วเศรษฐพงศ์ก็เตรียมจะออกไปรอข้างนอกเด็กหนุ่มเอาขวดน้ำเกลือและถุงเลือดแขวนไว้กับที่แขวนในห้องน้ำ

 

“แขนกูเจ็บช่วยประคองจู๋กูทีได้มั้ย”

 

“ส้นตีนเหอะไอ้เหี้ย!!”สาบานได้ว่าถ้าคณิณไม่เจ็บอยู่เขาจะเตะให้ไข่แตกเลย

 

“มึงนี่น่าโดนยิงปากมากกว่าที่สะบักนะไอ้สันดาน”คณิณส่งเสียงหัวเราะหึหึเมื่อคนน้องเดินออกไปด้านนอกแล้วยังส่งเสียงบ่นให้ได้ยิน คนเจ็บทำธุรัส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็ร้องเรียกเศรษฐพงศ์เข้ามาในห้องน้ำ

 

“อยากแปรงฟัน”บอกความต้องการอีกอย่าง

 

“ดีนะเมื่อคืนกูลงไปซื้อยาสีฟันแปรงสีฟันไว้แล้ว”พูดเหมือนบอกเล่าแล้วก็แกะแปรงสีฟันออกจากกล่องบีบยาสีฟันให้เอาแก้วรองน้ำให้เสร็จสรรพ

 

“แปรงเองได้ใช่มั้ย?”

 

“ได้ดิ่”คนป่วยใช้มือซ้ายข้างที่ไม่เจ็บรับแปรงสีฟันมาจัดการตัวเองจนเรียบร้อยล้างหน้าล้างตาเสร็จก็กลับมานั่งที่เตียง

 

“เดี๋ยวสายๆลุงกับแม่ก็คงมา”เศรษฐพงศ์ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆซับน้ำออกจากหน้าให้คณิณก่อนจะเปิดแป้งเด็กมาเทใส่มือถูจนแป้งละเอียดติดฝ่ามือแล้วทำท่าเม้มปากให้คณิณทำตามราวกับทาแป้งให้เด็กๆ เศรษฐพงศ์ทาแป้งให้คณิณจนหน้าซีดๆขาวผ่องหยิบหวีมาหวีผมให้จนเรียบแปล้

 

“ไอ้สัด เหมือนเด็กอนุบาลเพิ่งตื่นนอน ฮ่าๆๆๆ”

 

“สนุก สนุกมาก สนุกมากเลยมั้ย”คนป่วยคว้าแก้วพลาสติกใหล้มือเขวี้ยงใส่เศรษฐพงศ์เบาๆ

 

“อ๊ะๆ น้องคินไม่เขินนะครับ มาๆเดี๋ยวพี่เซ็ทป้อนกล้วยบด”

 

“กวนตีนไอ้เหี้ย!!!”









 

 

หลังจากปะทะฝีปากกันในช่วงเช้าตรู่ไปแล้วตอนนี้คณิณก็ได้แต่นั่งทำหน้าเมื่อยกล่าวขอบคุณบรรดาลูกค้าและคู่ค้าของพ่อที่หอบเอากระเช้ามาเยี่ยม มีตั้งแต่รังนก ผลไม้ ขนม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง นมสดสารพัดชนิด ชายหนุ่มเผลอยกมือไหว้จนเจ็บแผลไปก็หลายหน บนพื้น โต๊ะ โซฟาเต็มไปด้วยตะกร้าเยี่ยม พ่อและลดามาหาตั้งแต่ 9 โมง ลดาทำข้าวต้มมาให้แต่เศรษฐพงศ์บอกว่าคณิณกินไปแล้วตั้งแต่ 8 โมงกว่าๆตามที่โรงพยาบาลจัดมาให้เพราะฉะนั้นข้าวต้มหม้อนั้นจึงถูกกวาดลงกระเพาะคนเฝ้าแทน เศรษฐพงศ์อาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนชุดที่แม่นำมาให้แล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นเขาคอยดูแลคนป่วยเล็กๆน้อยๆเช่นหยิบของ เปิดทีวี หรี่แอร์ ตามแต่คนป่วยจะเอ่ยปาก

 

“พ่อ คินเหนื่อยแล้วนะ”คนเป็นลูกหันไปบอกกับผู้เป็นพ่อหลังแขกกลุ่มล่าสุดออกไปจากห้อง มองบรรดากระเช้าของเยี่ยมแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

 

ใครจะไปกินหมดวะ

 

“โอเคเดี๋ยวพ่อจะบอคนที่จะมาเยี่ยมว่าขอให้คินพักผ่อนก่อน แล้วก็เดี๋ยวบ่ายพ่อกับน้าลดาต้องเข้ากรุงเทพไปกินเลี้ยง เซ็ทอยู่กับคินได้ใช่มั้ย?”

 

“ได้ครับ แล้วนี่กลับกันกี่โมงอ่ะครับ”

 

“กลับพรุ่งนี้เย็นๆน่ะ เพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าไปดูของที่บริษัทใหญ่ คินพรุ่งนี้อยู่คนเดียวได้มั้ย ถ้าไม่ได้พ่อจะให้พี่เรียมมาอยู่เฝ้า”คณิตหันไปถามคณิณที่นั่งเปลี่ยนช่องทีวีอยู่บนเตียง

 

“ไม่ต้องให้ใครมาเฝ้าทั้งนั้นหรอกพ่อ ผมรำคาญพี่เรียม ทำอะไรช้าไม่ได้ดังใจ”คนป่วยตอบอย่างเอาแต่ใจ

 

“แต่คินยังเจ็บอยู่นะ”

 

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมหยุดเรียนมาดูให้ก็ได้ครับ”เศรษฐพงศ์รับอาสาที่จะดูแลคนเจ็บให้ทั้งๆที่ตัวเองก็มีเรียน

 

“แต่เซ็ทมีเรียนมันจะดีเหรอขาดเรียนน่ะ”

 

“พอดีช่วงนี้อาจารย์ให้เคลียร์งานที่ค้างไว้ก่อนไปแข่งครับ ผมไม่เคยขาดเรียนขาดซักวันสองวันไม่เป็นไรเดี๋ยวให้พวกไอ้ยิมเก็บเลคเชอร์ให้ได้ครับ”

 

“อืม เอางั้นก็ได้ แล้วอยู่กันดีๆล่ะอย่าตีกัน”ปลายประโยคเอ่ยแซ็วคนเป็นลูกที่นอนหน้าบูดอยู่บนเตียงกับลูกลี้ยงด้วยน้ำเสียงติดจะขำขันแบบคนอารมณ์ดี

 

ช่วงบ่ายหลังจากพ่อแม่ออกเดินทางแล้วห้องทั้งห้องก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เศรษฐพงศ์นั่งปั่นรายงานเล่มหนาที่อาจารย์สั่งให้เขียนด้วยมืออยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างคณิณนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาไปได้ซํกพักหนึ่งแล้วอยู่ๆคนป่วยก็ตื่นขึ้นมาลืมตามองคนน้องที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับรายงาน

 

“มึง”ส่งเสียงเรียกเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้สังเกตถึงการตื่นนอนของเขา เศรษฐพงศ์วางปากกาแล้วรีบมาที่เตียง

 

“เป็นไรมึง เจ็บแผลมั้ย หรืออยากเข้าห้องน้ำ?”

 

“เปล่าๆ กูหิวน่ะ”คนป่วยบอกเสียงอ่อย

 

“หิว? มึงเพิ่งกินข้าวไปตอน 11 โมง”

 

“เออ กูหิว ข้าวโรงบาลน้อยแถมไม่อร่อยกูกินไปไม่กี่คำ มึงไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้กูกินที”

 

“เอางั้นเหรอวะ มึงอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย?”

 

“เออ กูไม่ใช่เด็กสามขวบ ไปๆ ซื้อให้กูหน่อย อยากกินสไปร์ทด้วย”

 

“เอาเส้นอะไร?”

 

“เส้นเล็กหมูเพิ่มลูกชิ้น”

 

“ รอกูแป๊บเดี๋ยวมา” เศรษฐพงศ์คว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไปหาซื้อก๋วยเตี๋ยวให้คณิณ  เด็กหนุ่มเดินออกมานอกโรงพยาบาลเลี้ยวไปทางรงเรียนเทศบาลใกล้ๆ เขาจำได้ว่าแถวนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ โชคดดีที่คณิณไม่ร้องกินตอนเที่ยงๆ เพราะร้านนี้ลูกค้าเยอะมาก ขนาดตอนนี้บ่ายกว่าๆแล้วคนก็ยังเยอะพอสมควร เด็กหนุ่มสั่งก๋วยเตี๋ยว 2 ถุงแล้วนั่งรอจนได้ตามต้องการก็เดินฝ่าแดดร้อนระอุท่ามกลางเดือนธันวาคมที่ควรจะหนาวกลับโรงพยาบาล เมื่อกลับเข้ามาให้ห้องก็กางแขนรับไอเย็นจากแอร์ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

 

 

“จะยืนโพสต์อีกนานมั้ยกูหิว”เสียงคนป่วยร้องประท้วงออกมาเมื่อเห็นท่าทางเวอร์วังนั้นของเศรษฐพงศ์ เด็กหนุ่มแทบอยากจะเขวี้ยงถุงก๋วยเตี๋ยวอัดหน้า นอนกระดิกเท้ารอในห้องแอร์สบายๆจะไปรับรู้อะไรกับอีแดดนรกนั่น ตวัดสายตามองค้อนไปทีหนึ่งก่อนจะแกะก๋วยเตี๋ยวใส่ชามให้ นึกชมในความฉลาดของตัวเองที่ขอซื้อตะเกียบของร้านมาด้วยเพราะในห้องนี้ไม่มีช่อนส้อมอะไรไว้ให้เลยที่แม่เอามาให้มีเพียงช้อนสั้น 2-3 คนเท่านั้น โต๊ะเมโยถูกเลื่อนคร่อมเตียงคนป่วยเศรษฐพงศ์ปรับเตียงให้ตั้งขึ้นใช้หมอนรองหลังให้อย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าคณิณจะเผลอพิงจนกกระทบกับแผลผ่าตัดด้านหลัง

 

แล้วปัญหาใหม่ก็ตามมา เพราะร่างกายด้านขวาเจ็บคณิณจึงใช้ได้เพียงข้างซ้าย แน่นอนเขาไม่ถนัด การกินก๋วยเตี๋ยวด้วยตะเกียบกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขาไปเสียแล้ว เส้นที่ลื่นบวกกับตะเกียบพลาสติกยาวเมื่อคีบขึ้นมาก็หลุดหล่นกลับลงไปในชามให้หัวเสีย เศรษฐพงศ์สะดุ้งเมื่ออยู่ๆคนป่วยก็กระแทกตะเกียบกับช้อนลงชามแล้วล้มตัวลงนอนตะแคงข้างใส่ซะอย่างนั้น

 

“อ่าว เป็นไรไม่กินแล้วเหรอ?”ละสายตาจากหนังเก่าๆในทีวีมาถามคนป่วย

 

“ไม่แดกแล้ว!!!”คนป่วยตะคอกเสียงใส่พลางขยับตัวนอนตะแคงมากกว่าเดิม

 

“ทำไม กูอุตส่าห์เดินตากแดดไปซื้อตั้งไกลนะมึง”

 

“กูรำคาญตัวเอง แค่จะแดกก๋วยเตี๋ยวแค่นี้ยังทำไม่ได้ดั่งใจเลยไอ้เหี้ย”คนป่วยพูดอย่างหงุดหงิดตอนนี้คณิณเหมือนเด็กสามขวบที่กำลังหงุดหงิดความไม่ได้ดั่งใจต่างๆของตัวเอง เขาไม่เคยต้องล้มหมอนนอนเสื่อเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงขั้นดูแลตัวเองไม่ได้ มันน่ารำคาญใจที่คนคล่องแคล่วอย่างเขาต้องมานอนเป็นผัก แผลก็ปวด ร่างกายก็ใช้งานไม่ได้ดั่งใจ กับข้าวโรงพยาบาลก็ไม่อร่อย มีแต่เรื่องให้หงุดหงิดจนปวดหัว เสียงเลื่อนโต๊ะเมโยออกไปแต่คณิณก็ไม่ได้สนใจยังคงนอนมองผนังที่ว่างเปล่าอย่างเงียบๆ

 

“หันมานั่งดีๆ”เศรษฐพงศ์บอกกกับคนป่วยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าที่เคยแต่คณิณยังคงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

 

“บอกให้หันมาดีๆไง”ย้ำอีกครั้งแต่ผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิมร่างสูงในชุดคนป่วยไม่ไหวติง

 

“จะแดกมั้ยเนี่ยจะป้อน”เศรษฐพงศ์อยากจะทุบไอ้คนเอาแต่ใจที่ตอนนี้พลิกตัวกลับมานั่งดีๆอย่างที่บอกแทบจะทันที

 

“โตเป็นควายแล้วงอแงเป็นเด็กๆเลยไอ้สัด”ปากบ่นแต่ก็คีบเส้นก๋วยเตี๋ยววางลงบนช้อนแล้วยื่นไปจ่อปากคนพี่ คณิณอดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้กับบริการนี้ลักยิ้มบนแก้มซ้ายบุ๋มจนเศรษฐพงศ์อยากจะเอานิ้วจิ้มด้วยความหมั่นไส้

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เศรษฐพงศ์รู้สึกอยากตีคณิณให้ปากแตกเพราะผ่านมาร่วมสิบนาทีแล้วก๋วยเตี๋ยวชามนี้ก็ยังกินไม่หมด คนป่วยเอาแต่ค่อยๆเคี้ยวอย่างช้าๆ เหนื่อยใจราวป้อนข้าวเด็ก

 

“มึงกินเร็วๆหน่อยไม่ได้เหรอวะ”

 

“กูจะกินช้าๆแบบนี้มึงจะทำไม ไม่เคยอ่านที่ สสส.บอกเหรอว่าให้เคี้ยวข้าว 30 ครั้ง ต่อ 1 คำอ่ะไอ้โง่”คนป่วยหันมาเถียงคอเป็นเอ็น

 

“งั้นมึงก็ให้ สสส.พ่อมึงมาป้อนแล้วกันไอ้เหี้ย รำคาญ เคี้ยวเอื้องเป็นควายเลย”เศรษฐพงศ์วางชามลงบนโต๊ะข้างเตียงด้วยความหงุดหงุดทำท่าจะผละไปก็พอดีกับที่คณิณใช้มือข้างซ้ายจับข้อมือของเศรษฐพงศ์ไว้

 

“เฮ้ย มึงอ่ะ จะป้อนก็ป้อนให้เสร็จสิวะ เนี่ยกูยังไม่อิ่มเลย”

 

“แดกเอง!!!”คนเป็นน้องกระแทกเสียงใส่อย่างหงุดหงิด

 

“นะ ป้อนคินหน่อยนะเซ็ท นะ”น้ำเสียงออดอ้อนพร้อมสรรพนามที่เปลี่ยนไปทำเอาเศรษฐพงศ์เกือบขาอ่อน ใบหน้าร้อนผ่าวยามหันไปมองคนป่วยที่ทำตาใสแป๋วใส่

 

ไอ้เหี้ย

 

ไอ้เหี้ย

 

ไอ้คินมันมีโหมดนี้ด้วยเหรอวะ

 

ตายกูตาย

 

ใครสั่งใครสอนให้แม่งอ้อนแบบนี้วะไอ้เหี้ย

 

พัง  พังหมดเลยฟอร์มกูเนี่ย

 

สุดท้ายเศรษฐพงศ์ก็ต้องมานั่งป้อนอาหารให้ลูกนกปีกหักจนหมดชามอยู่ดี







.................................



ลูกนกปีกหักเขาก็อ้อนเป็นอะไรเป็น แต่ว่าเป็นแฟนอ่อ มาเอิ้งมาอ้อน ยี๊ ลำไย

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 17 05/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 06-12-2018 00:17:12
คณิน::
 
            “ไงมึงไอ้คนเหล็ก” เสียงทักทายทุ้มๆดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องเปิดเข้ามา ไอ้แพทยื่นหน้าเข้ามาสำรวจก่อนจะตามด้วยไอ้แพร ไอ้อ้น ไอ้ว่าน ไอ้แดน ปิดท้ายด้วยพี่โด่ง ผมขยับลุกขึ้นนั่งทันทีที่เพื่อนๆโผล่หัวเข้ามาในตอนเกือบสี่โมงเย็น ไอ้เซ็ทหลบหอบเอารายงานที่มันนั่งป่นอยู่บนโซฟาไปเขียนต่อที่โต๊ะริมหน้าต่างเงียบๆ
 
            “หน้าตาผ่องใสไม่ตายแล้วสินะ”ไอ้แพรแกล้งลูบหน้าผมเบาๆ
 
            “มาทำเหี้ยอะไรกัน”ผมแกล้งถาม ไอ้ว่านกับไอ้อ้นไม่สนใจที่จะตอบคำถามผมมันหันไปให้ความสนใจกับกระเช้าเยี่ยมแทน เมื่อได้ของที่พอใจแล้วไอ้ว่านกับไอ้อ้นก็แกะกินทันทีโดยไม่ขออนุญาตผมเลยซักคำ
 
            “มึงสองคนมาทำอะไรวะ?”ผมถามไอ้สองตัวที่ยัดกล้วยหอมเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
 
            “เยี่ยมมึงไงเพื่อนรัก”
 
            “ไหนของเยี่ยม?”
 
            “เอาไปทำเหี้ยอะไรกูเอาแค่ความรักความห่วงใยมาฝากมึงก็พอแล้ว”
 
แถหน้าด้านๆ
 
            “แล้วนี่มึงกินอะไรหรือยังวะ แขนเจ็บแบบนี้กินถนัดมั้ย”ไอ้แดนแตะๆไหล่ผมพลางพลิกดูหลังผมเบาๆ
 
            “กินแล้ว กินได้สบายมากกูไม่ได้ตักเอง”ผมพูดพลางเลื่อนสายตาไปมองไอ้คนที่คงไม่ได้สนใจฟังที่พวกผมคุยกันมันเสียบหูฟังฟังเพลงไปทำรายงานไปตั้งแต่ป้อนข้าวผมเสร็จแล้ว
 
          “ไม่ต้องเรียกกูแล้วนะถ้าไม่จำเป็นกูต้องปั่นรายงาน 3 เล่มเนี่ยไอ้เหี้ย”
 
            “แดน พุธนี้พรีเซ้นท์งานทำไงดีวะ กูมาเจ็บแบบนี้หมอยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล”ผมหันไปพูดกับไอ้แดนที่เริ่มหาของกินจากกระเช้าเยี่ยมของผมตามไอ้พวกนั้นไปอีกคน
 
            “เหลือแค่พรีเซ้นท์คือกูคนเดียวก็ไหวมั้งมึง เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูไปคุยกับอาจารย์อีกที”มันยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
 
            “แต่ส่วนของกูมึงจะจำไหวเหรอวะ”ผมยังกังวลเรื่องนี้อยู่ด้วยเนื้อหาที่ผมต้องอธิบายคือส่วนของแปลน
 
            “กูว่ากูไหว จากที่ซ้อมมากูก็พอจะจำส่วนของมึงได้ เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูหอบแบบมาลองพรีเซ้นต์ให้มึงดูถ้าตรงไหนไม่โอเคมึงก็เสริมให้กูก็ได้”
 
            “ฟังคนเรียนเก่งเค้าคุยกันแล้วปวดหัว”ไอ้ว่านมันกระแนะกระแหนก่อนจะลุกเดินไปเปิดตู้เย็น
 
            “โอ๊ะ องุ่น” มันตาลุกวาวเมื่อเห็นองุ่นราคาแพงจานใหญ่แช่ไว้ในตู้เย็น
 
            “วางไว้ที่เดิม”ผมบอกมันสียงเรียบเมื่อไอ้ว่านบังอาจยื่นมือไปหยิบจานองุ่นขึ้นมาถือ
 
            “ไมอ่ะเสี่ย มึงหวงกินอ่อ?”มันหันมาถามด้วยสายตาตัดพ้อ
 
            “ในกระเช้าเยอะแยะไปล้างแดกเอง”
 
            “แต่อันนี้มันแช่เย็นนะเสี่ย”
 
            “จานนั้นไม่ได้”ผมยังยืนยันคำเดิม ออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อไอ้ว่านทำท่าดื้อดึง ผมรู้ว่ามันแกล้งแต่ความหงุดหงิดกลับปิดไม่มิดไปซะอย่างนั้น
 
            “ไหนบอกซิทำไมกินไม่ได้”
 
            “จานนั้นของไอ้เซ็ทมันห้ามยุ่ง วางเก็บกลับไปที่เดิม”ผมพูดจบก็ถูกสายตา 6 คู่มองกลับมา
 
            “น่อออออออ......หวงน้อออ”
 
            “น่อออออออ.....ห้ามยุ่งของน้องเค้าน่อออออออ”
 
            “น่อออออออ....”
 
            “น่อที่หน้าพวกมึงไอ้เหี้ย ของแดกเยอะแยะจะแดกอะไรก็แดกไป”ผมคว้าแก้วน้ำเตรียมจะเขวี้ยงก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทหันมาพอดี มันเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมถือแก้วน้ำไว้ มืออูมๆของมันที่โคตรนุ่มตอนที่มันจับมือผมเมื่อคืนปลดหูฟังออกจากหู
 
            “มึงหิวน้ำเหรอ” มือที่กำลังจะเขวี้ยงแก้วใส่เพื่อนตกลงข้างตัวทันทีราวกับไม่มีแรง
 
            “เออ หิวน้ำ”ผมทำท่าไอให้ดูสมจริงนิดหน่อยไอ้เซ็ทลุกจากเก้าอี้เดินมาหยิบแก้วไปรินน้ำแล้วเสียบหลอดให้ผมดื่ม ผมมองสายตาเพื่อนๆที่จ้องเขม็ง พี่เด่นทำปากขมุบขมิบให้ผมอ่าน
 
            “ตอแหล”ผมดื่มน้ำที่ไอ้เซ็ทป้อนจนหมดครึ่งแก้วนั้น พอมันป้อนผมเสร็จก็ยัดหูฟังใส่หูแล้วกลับไปนั่งทำรายงานตามเดิมตัดขาดพวกผมออกจากโลกของมันอย่างสิ้นเชิง แล้วแม่งเปิดดังจนเสียงเพลงลอดออกมาจากหูฟังให้ได้ยินแว่วๆ
 
            “เหม็นโว้ยเหม็น”ไอ้อ้นทำท่าปัดจมูกไปมา
 
            “เหม็นอะไรน๊า”คราวนี้ไอ้ว่านทำจมูกฟุดฟิด
 
            “เหม็นความรักไงไอ้พวกโง่”ไอ้แพทตบหัวไอ้คอหอยกับลูกกระเดือกสองตัวก่อนจะลอยหน้าลอยตามาพูดใกล้ๆผม ผมสะบัดปลายเท้าใส่มันโชคดีที่มันหลบได้อย่างฉิวเฉียด
 
            “แหม เขินแรงนะไอ้สัด หน้าเบ้เจ็บสิ สมน้ำหน้า” มันเยาะเย้ยผมที่เอามือจับไหล่เบ้หน้าก่อนจะแหกปากหัวเราะอย่างสนุกสนาน
 
นี่สินะเพื่อนแท้ เพื่อนต้องล้อเลียนเพื่อนถากถางเพื่อนจนกว่าจะพอใจสินะ
 
ไอ้พวกชั่ว  พวกมันมาคุยเล่นกับผมจนถึงสี่โมงกว่าๆก็พากันกลับเพราะบางคนยังต้องเคลียร์งานที่อาจารย์สั่ง
 
พยาบาลเข้ามาฉีดยากับวัดไข้ก่อนจะหันไปบอกกับไอ้เซ็ทว่า
 
            “เดี๋ยวเช็ดตัวให้คนไข้ได้นะคะ”ไอ้เซ็ทรับคำอย่างว่าง่าย หลังจากพยาบาลตรวจนั่นตรวจนี่วัดไข้วัดความดันเสร็จแล้วไอ้เซ็ทก็เอาน้ำใส่กะละมังมาวางไว้ข้างเตียง ไม่ลืมที่จะรูดม่านปิดเผื่อมีใครเข้ามาเยี่ยม
 
            “เช็ดตัว”มันว่าพลางค่อยๆดึงสายเชือกที่ผูกเสื้อออกถอดเสื้อลอดสายน้ำเกลือออกจนเรียบร้อยแล้วจัดการเช็ดตัวให้ผมตั้งแต่หน้าจนถึงช่วงท้องแล้วก็เช็ดขา ผมรู้สึกปวดแผลนิดหน่อยตอนขยับตัว ไม่นานมันก็เช็ดตัวให้ผมเสร็จ เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกนำมาวางไว้ก่อนที่มันจะเริ่มใส่เสื้อให้ผมจนเรียบร้อย
 
            “เดี๋ยวมึง”ผมเรียกมันไว้เมื่อมันทำท่าจะเอากะละมังน้ำกับกางเกงที่ยังไม่ได้ผลัดให้ผมไปเก็บ
 
            “อะไร”มันทำหน้าเหวี่ยงใส่ผม
 
            “มึงยังไม่ได้เปลี่ยนกางเกงให้กูมั้ยล่ะจะเน่าแล้วเนี่ย”ผมร้องท้วงมันเมื่อตอนนี้ผมยังใส่กางเกงตัวเดิม ไอ้นี่ตอนเช็ดตัวก็ข้ามบางส่วนไปนี่ยังจะใจดำไม่เปลี่ยนกางเกงให้ผมอีก
 
            “ไม่ได้เปื้อนอะไรก็ใส่ๆตัวเดิมไปนั่นแหละ”มันว่าอย่างไม่ให้ความสำคัญกับสุขลักษณะอนามัยของผม
 
            “ไม่ได้ กูไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำมันสกปรก กูนอนไม่หลับหรอกแบบนี้อ่ะ”ผมยังคงไม่ยอม คราวนี้ไม่มีทางยอมแน่ๆ
 
            “โอ๊ย มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ”มันขึ้นเสียงใส่ผมอย่างหงุดหงิด ผมชักสีหน้าใส่มันทันที
 
            “ถ้ากูไม่ไปช่วยมึงจนตัวเองต้องมาเจ็บตัวกูก็ไม่ต้องพึ่งมึงหรอก ถ้ามึงไม่เต็มใจทำก็ไปเรียกพยาบาลมาแล้วมึงกลับบ้านไป”ผมพูดกับมันด้วยน้ำเสียงที่ตึงยิ่งกว่าหน้า ไอ้เซ็ทชะงักไปหน้ามันเจื่อนอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ มันเอากะละมังน้ำเข้าไปเก็บในห้องน้ำแล้วถือกางเกงตัวใหม่มาหยุดที่ผม
 
            “ที่กูทำเนี่ยเพราะมึงเจ็บตัวเพื่อกูทั้งๆที่กูไม่ได้ต้องการหรอกนะ”มันบ่นเบาๆก่อนจะค่อยๆถอดกางเกงตัวที่ผมใส่ออก แก้มกับหูมันแดงนิดๆ ตาของมันเสมองไปทางอื่นก่อนจะสวมกางเกงตัวใหม่ให้อย่างรวดเร็ว มันรูดม่านเปิดตามเดิมไม่นานอาหารเย็นก็ถูกนำเข้ามาให้ไอ้เซ็ททำหน้าที่หยิบจับบริการผมเหมือนที่ทำมา 2 มื้อ คราวนี้เป็นข้าวสวยกับกับข้าว 2 อย่างผมตักกินเองได้ด้วยมือซ้ายของผม เสียดายนิดหน่อยน่าจะเป็นอาหารเส้นๆอีกเนอะจะได้กินลำบากๆหน่อย
 
เอ๊ะ...
 
 
ผมจัดการกับอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้ด้วยความจำใจ มันไม่ถูกปากผมเลยซักนิดกินได้ไม่กี่คำผมก็วางช้อนลง ไอ้เซ็ทมองผมด้วยสายตาตำหนิที่เห็นข้าวเหลือเต็มถาด
 
            “ข้าวทุกจานอาหารทุกอย่างอย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่าสงสารบรรดาเด็กตาดำๆ”มันท่องประโยคคุ้นหูออกมาราวกับจะประชดก่อนจะจัดการเลื่อนโต๊ะเมโยกับถาดอาหารออกไปวางข้างเตียง ผมไม่ได้ตอบโต้มันเพราะยังเคืองๆมันอยู่กับเรื่องเมื่อเย็นเมื่อพยาบาลเข้ามาจัดยาหลังอาหารให้กับฉีดยาแก้อักเสบในที่สุดผมก็เคลิ้มหลับไป
 
 
ผมรู้สึกตัวตื่นตอนสองทุ่มกว่าๆ ไอ้เซ็ทนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา มันหัวเราะเบาๆเมื่อหนังที่ดูตลกบนตักของมันมีจานองุ่นจานใหญ่ที่ผมพิทักษ์ไว้ให้มันเมื่อตอนบ่ายวางอยู่ มือนุ่มๆของมันก็ส่งองุ่นเข้าปากเคี้ยวช้าๆลูกแล้วลูกเล่า
 
            “กินมั่งดิ่วะ”ผมร้องบอกมันเมื่อมันไม่หันมาสนใจผมซักที ไอ้เซ็ทหันมามองผมก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาผมอย่างว่าง่าย สายตามันก็จดจ่ออยู่กับหนังเรื่องดังที่ค่อนข้างเก่าแล้ว มันยื่นจานองุ่นให้ผมแต่ผมยังคงนิ่งไม่ขยับตัว
 
            “อ่าว หยิบกินดิ่”มันหันมาบอกกับผม
 
            “ป้อนหน่อย”คราวนี้มันละสายตาจากทีวีมามองผมด้วยสายตาขุ่นๆ
 
            “ปวดแผลไม่อยากขยับ”ผมบอกมันตามจริง มันยื่นหลังมือมาอังที่หน้าผากของผม
 
            “ตัวมึงร้อนๆว่ะ เรียกพยาบาลมั้ย?”มันวางจานองุ่นลงบนโต๊ะข้างเตียง ผมส่ายหน้าปฎิเสธ
 
            “ไม่เอา ตอนนี้กูหิว มึงป้อนกูหน่อย”
 
            “กินนมมั้ยเดี๋ยวกูหยิบให้”
 
            “ไม่เอากูจะกินองุ่นกับมึง”มันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
 
            “เออๆ กูป้อนให้ก็ได้”มันปลิดผลองุ่นออกจากพวงก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากของผม
 
            “ปอกเปลือกด้วย”
 
            “องุ่นบ้านมึงแดกต้องปอกเปลือก เขาแดกกันทั้งเปลือกมั้ย?”มันแหวใส่ผมอีกรอบ
 
            “ก็ตอนแม่กูอยู่ แม่ก็ปอกเปลือกให้กู แม่บอกว่าเปลือกมันยาฆ่าแมลงเยอะ”อันนี้ผมไม่ได้ตอแหลจริงๆนะครับ ตอนแม่ของผมยังอยู่ท่านจะค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วป้อนให้ผมกินทีละลูก ตั้งแต่แม่เสียผมก็ไม่เคยซื้อกินเองอีกเลย ถึงแม้ในบ้านมีวางไว้ผมก็ไม่กิน มีบางครั้งที่น้าลดาว่างแกก็จะนั่งปอกเปลือกใส่กล่องทัพเพอร์แวร์แช่ตู้เย็นไว้ให้ นั่นแหละผมถึงได้กิน
 
มันถอนหายใจเบาๆ สายตาที่มันมองมาที่ผมดูอ่อนลงไปมากโขจากนั้นมันจึงค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วยื่นใส่ปากให้ผม พอผมงับองุ่นเข้าปากมันก็ส่งอีกลูกเข้าปากตัวเองทำแบบนี้สลับกันผมถามเนื้อหาหนังจากมันเมื่อมีฉากที่ไม่เข้าใจ บางฉากก็ด่าตัวละครบางฉากก็หัวเราะประสานเสียงไปกับมัน องุ่นลูกแล้วลูกเล่าถูกป้อนเข้าปากของผมกับมันสลับกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งองุ่นหมดจานและหนังก็จบเรื่องพอดี
 
ผมแอบยิ้มบางๆ องุ่นที่รสชาติหวานอยู่แล้วพอมันปอกให้กินกลับหวานมากกว่าเดิม
 
สงสัยกว่าจะหายเจ็บคงได้เบาหวานเป็นของแถมแน่ๆ



 
            คณินนอนมองคนที่ซุกกายกับผ้าห่มผืนบางร่างโปร่งของเศรษฐพงศ์นอนราบยาวกับโซฟาตัวยาวมุมห้องไม่ห่างจากเตียงของเขาแพขนตาหนาเหมือนลูกกวางยามกระพริบตาส่งให้ดวงตากลมโตนั้นหวานขึ้น สันจมูกโด่งรับกับโครงหน้าที่มีสันกรามชัดเจน ริมฝีปากอิ่มนั้นคณินจำได้ดีว่ามันนุ่มหยุ่นเหมือนเยลลี่รสชาติดีราคาแพงขนาดไหน
 
            “มึงแม่งมาทำอะไรกับใจกูวะไอ้เซ็ทไอ้เด็กเหี้ย”คนป่วยพึมพำเบาๆก่อนจะปิดเปลือกตาลง
 
 
   เช้าวันใหม่กิจวัตรประจำวันก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ช่วงสายหมอมาตรวจและพูดคุยเกี่ยวกับอาการของเขา ชายหนุ่มอาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานสองสัปดาห์นั่นเป็นคำพูดที่น่าเบื่อที่สุดในโลก คณินเบื่อทุกอย่างที่เป็นโรงพยาบาล เบื่ออาหารจืดๆ เบื่อพยาบาลที่เดินเข้าออก เบื่อที่ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนตามที่อยากไปแต่อย่างน้อยคณินก็ไม่เบื่อที่มีเศรษฐพงศ์เดินไปเดินมาวนเวียนอยู่ในห้อง เป็นสิ่งๆเดียวที่ทำให้คณินยังพอมีอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เศรษฐพงศ์จะหายออกไปจากห้องก็ตอนที่เขากินข้าวกินยาเสร็จแล้วเด็กหนุ่มถึงจะลงไปหาอะไรง่ายๆที่ร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาลและจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดเพราะคณินบอกว่าไม่อยากอยู่ในห้องพักคนเดียว  รายงานสามเล่มถูกทำเสร็จเรียบร้อยเอาในตอนบ่าย สีหน้าของคณินดีขึ้นแล้วไม่ได้ซีดเหมือนเมื่อวานซึ่งนั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย การอยู่ร่วมกันในห้องพิเศษนี้ไม่ได้อึดอัดตามที่คิดเอาไว้ในตอนแรก นอกจากด่ากันลับฝีปากกันเล็กๆน้อยให้พอหอมปากหอมคอแล้วคณินก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือดูถูกเขาแบบเมื่อก่อนแล้ว
 
เศรษฐพงศ์รู้สึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้คณินไม่ทำความรู้จักกับเขาแบบในตอนนี้ เสียดายเวลาร่วมสองปีที่ทะเลาะต่อยตีกันจนความรู้สึกในใจกลายเป็นเกลียดกันไปในที่สุด ถ้าไม่เอาแต่ทะเลาะกันสองปีที่ผ่านมาเขาและคณินอาจจะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ดูได้จากเมื่อวานที่เพื่อนๆของคณินมาพวกเขาดูรักใคร่กลมเกลียวกันดีแม้จะมีแกล้งกันบ้าง ถึงเขาจะเสียบหูฟังแต่ก็แอบมองอยู่เป็นระยะ คณินยิ้มกว้างหัวเราะเสียงดังเมื่ออยู่กับเพื่อน ดูแล้วไม่ได้ต่างจากตอนที่เศรษฐพงศ์อยู่กับเพื่อนเลย
 
ตัดความกวนประสาทและเอาแต่ใจออกไปคณินก็คือเด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ธรรมดาๆคนหนึ่ง
 
แล้วทำไมมันชอบกวนตีนเขาแท้วะ
 
ระหว่างวันยังคงมีเพื่อนๆของพ่อแวะมาเยี่ยมเยือนคณินอยู่เรื่อยๆ แม้เด็กหนุ่มจะเบื่อแสนเบื่อขนาดไหนเขาก็ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มต้อนรับคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าเป็นมิตร คณินโตพอที่จะรู้ว่าคนเหล่านี้คือผลประโยชน์และรายได้ที่เขาจะมีในอนาคต เด็กหนุ่มรู้จักใช้คำพูดคำจาให้ผู้ใหญ่เอ็นดูแต่ก็ไม่ได้ใสซื่อจนดูตามไม่ทัน ตกบ่ายนั่นแหละถึงได้พักอย่างจริงๆจังๆ เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังออกมาจากคนสองคนพร้อมกัน เศรษฐพงศ์เองก็เหนื่อยไม่แพ้คณิน เด็กหนุ่มเหนื่อยกับการกลายเป็นที่จับจ้องและตอบคำถามน่าเบื่อซ้ำๆเพียงเพราะเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของคณิตสายตาดูถูกเลยถูกส่งมาให้อย่างไม่คิดจะปิด
 
ทำดีกับเขาไปก็ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน ยังดีที่มีบางคนยังคงหลงเหลือคำว่ามารยาททักทายเขาอย่างห่างเหินแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายนัก เศรษฐพงศ์จัดการห่มผ้าให้กับคนป่วยที่หลับไปอีกรอบจ้องมองใบหน้าหล่อสะอาดนั้นแล้วก็ยื่นมือไปลูบผมคนป่วยเบาๆ
 
ความรู้สึกสงสารแล่นเข้ามาในใจของเศรษฐพงศ์คล้ายๆหมอกในยามเช้ามันก่อตัวอย่างช้าๆ
 
คณินคือสะพานที่คนเหล่านั้นใช้เดินเพื่อเขเหาผลประโยชน์ และเช่นกัน คณินคือสะพานที่พ่อก้าวข้ามไปตักตวงจากคนพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ บรรดากระเช้าของฝากต่างมีนามบัตรบริษัทตัวเองติดไว้เด่นหรา
 
โลกของผู้ใหญ่มันน่ากลัว ผลประโยชน์ทำให้มองข้ามหัวใจอันบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งไปตั้งแต่ต้น จะมีใครซักคนมั้ยที่มาเยี่ยมคณินอย่างจริงใจนอกจากกลุ่มเพื่อน คำตอบคือไม่มี ยิ่งพอรู้ว่าคณิตไม่ได้อยู่กับลูกชายคนเหล่านั้นมาฝากเนื้อฝากตัวแล้วก็จากไป เศรษฐพงศ์อยากจะเอาป้ายห้ามเยี่ยมไปติดให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีสิทธิ์มากมายขนาดนั้น เด็กหนุ่มใช้ช่วงเวลาที่คนป่วยหลับแกะเอาผลไม้พวกแอปเปิ้ล ฝรั่ง องุ่นไปล้างแล้วปอกเปลือกแช่เย็นไว้ หลังจากได้อยู่ด้วยกันมา 2 วันเศรษฐพงศ์รับรู้อีกอย่างว่าคณินกินผลไม้ต้องปอกเปลือกทุกชนิด แม้แต่ส้มก็ต้องลอกใยออก ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยเห็นคนป่วยกินผลไม้เพียงเพราะว่าไม่มีใครเตรียมไว้ให้
 
คณินถูกแม่เลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน ลูกชายของเธอจะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด สะอาดที่สุด ปลอดภัยที่สุด ส่วนคณิตเลี้ยงลูกอย่างผู้ชายเลี้ยงไม่มีความละเอียดอ่อนบ่อยครั้งเต็มไปด้วยความละเลยปล่อยปละ ไม่แปลกถ้าคณินจะมีนิสัยหยาบกระด้างในบางครั้ง เศรษฐพงศ์ปอกผลไม้เรียงใส่กล่องอย่างตั้งใจ แยกชนิดแล้วแช่ตู้เย็นก่อนจะคว้ากุญแจรถออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มขับออกมาไกลจนถึงตลาดเรดซิตี้เพื่อหาข้าวไว้กินตอนเย็น ขนมกินเล่น ลูกชิ้น ไส้กรอกย่างถูกสั่งมาในปริมาณที่พอกินกัน 2-3 คน เพราะจำได้ว่าเย็นนี้แดนธรรมจะหอบปัญหาพิเศษมาซ้อมพรีเซ้นท์กับคณิน แวะซื้อข้าว 3 กล่องทุกกล่องสั่งพิเศษทั้งหมด ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทยนั้นของคณินเพราะคนตัวสูงกินเผ็ดไม่ได้แถมแผลก็ยังใหม่จะสั่งข้าวผัดก็มีไข่เป็นส่วนผสมเศรษฐพงศ์ไม่อยากให้กินเพราะกลัวแผลจะหายช้า เขาจำได้ว่ายายเคยสอนว่าถ้าเป็นแผลแล้วกินไข่จะหายช้าและแผลเป็นจะชัด ผิวของคณินไม่ควรต้องมามีแผลเป็นน่าเกลียดเพราะเขาเลยด้วยซ้ำ ส่วนข้าวผัดกะเพราอีก 2 กล่อง สำหรับเขาและแดนธรรม เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้วเศรษฐพงศ์ก็ขับรถกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คนป่วยยังคงหลับอยู่อาจจะด้วยความเพลียหรือฤทธิ์ยาเศรษฐพงศ์ก็ไม่รู้ วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วเดินมาหยุดข้างเตียง ยื่นมือไปแตะผิวแก้มนั้นเบาๆก็พบว่าไข้ของคนป่วยลดลงแล้วตัวไม่ร้อนรุมๆแบบเมื่อคืนแต่ตอนจะชักมือออกคนป่วยกลับจับมือของเขาไว้แล้วซุกแก้มราวกับลูกแมวขี้อ้อน คณินไม่ได้พูดอะไรออกมานั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้ว่าคนตัวสูงแค่ละเมอหรืออาจจะกำลังฝันหวานถึงใครซักคน ริมฝีปากที่ชอบพ่นคำพูดร้ายกาจนั้นยิ้มบางๆราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลับฝันดีและเขาเองก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทำลายความฝันนั้นของใครจึงปล่อยให้คณินยึดมือของตัวเองไว้อย่างนั้น ร่างโปร่งนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองคนป่วยจนความง่วงเข้าควบคุมเขาไปอีกคน
 
            แดนธรรมมาหาคณินตอนเลิกเรียนเมื่อเปิดห้องเข้าไปก็พบคนป่วยและคนเฝ้านอนหลับโดยคนเฝ้านั่งหลับอยู่ข้างๆเตียงมือของเศรษฐพงศ์ถูกคณินกุมไว้โดยมีใบหน้าซบลงไปอีกที
 
ไอ้คนปากแข็งเอ้ย หลงเขาหัวปักหัวปำแต่ดันไม่รู้ตัว แดนธรรมไม่ปล่อยโมเม้นท์นี้ให้พลาดไปอย่างเปล่าประโยชน์ร่างสูงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปก่อนส่งให้เพื่อนๆดูในกรุ๊ปไลน์ ข้อความกระแนะกระแหนถูกส่งกลับมาราวกับหางว่าว ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆกับข้อความของเพื่อนๆก่อนจะแกล้งเดินออกไปจากห้องแล้วเคาะประตู เศรษฐพงศ์สะดุ้งๆน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงเคาะเด็กหนุ่มลืมตาตื่นพลางดึงมือออกจากมือคณินเช็ดหน้าเช็ดตายืนขึ้นบิดขี้เกียจก็พอดีกับที่แดนธรรมเปิดประตูเข้ามาพอดี
 
            “หลับเหรอ?”ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วแต่แกล้งถามเพื่อความเนียน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ
 
            “หลับนานยัง?”
 
            “ตั้งแต่บ่ายสาม วันนี้คนมาเยี่ยมเยอะเมื่อคืนไข้ขึ้นหมอให้ยาแล้วก็หลับเลย จะปลุกมั้ย?”
 
            “ไม่เป็นไรให้มันนอนไปก่อน รอได้ แล้วนี่มึงกินอะไรยัง?”แดนธรรมเอ่ยถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงๆพวกเขาเองไม่ได้เกลียดพวกของเศรษฐพงศ์ ที่ผ่านๆมาเขาแค่เป็นพวกเพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ
 
            “กูกินไปแล้วเมื่อบ่าย เออ กูซื้อข้าวมาเผื่อมึงด้วยนะถ้าหิวก็กินได้เลย”เศรษฐพงศ์ชี้ๆไปยังกองของกินที่วางไว้ แดนธรรมพยักหน้ารับเอ่ยขอบใจเบาๆ
 
            “มึงอยู่เป็นเพื่อนมันก่อนได้มั้ยกูขอกลับบ้านหน่อย พรุ่งนี้กูมีเรียนจะกลับไปเอาชุดนักศึกษา”
 
            “เออได้ๆมึงไปเถอะ”
 
            “ถ้าข้าวเย็นมามึงบอกให้มันกินเยอะๆหน่อยนะ ข้าวในกล่องอย่าเพิ่งให้มันกิน แล้วก็ถ้ามันไม่อิ่มเอาผลไม้ในตู้เย็นให้มันกินล้างปากนะ”เศรษฐพงศ์สั่งสำทับเมื่อแดนธรรมพยักหน้ารับเด็กหนุ่มจึงคว้าเป้สะพายหลังออกจากห้องไป ราวๆ 20 นาทีพยาบาลก็เข้ามาวัดไข้แล้วให้ยาก่อนข้าวคณินถึงได้รู้สึกตัวตื่น สายตาคมกวาดตามองหาคนเฝ้าแต่ก็พบเพียงแดนธรรมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว
 
            “ไอ้เซ็ทล่ะ”
 
            “แหม ตื่นมาก็ถามหาเลยนะ เป็นอะไรกับเค้าอ่ะ”เก็บโทรศัพท์พลางเอ่ยแซวเสียงเรียบแต่ดวงตาของแดนธรรมนั้นเป็นประกายอย่างนึกสนุก
 
            “ไม่เสือกดิ่”คนป่วยบริภาษกลับอย่างชินปาก
 
            “กูว่าไอ้เซ็ทมันน่ารักดีว่ะ ดูสิมันซื้อของกินมาเตรียมไว้รอกู กูถามจริงๆนะไอ้คินมึงชอบมันป่าววะ”แดนธรรมแกล้งหยั่งเชิง เค้ารู้ว่าคณินน่ะเป็นพวกปากแข็งชนิดว่าเอาคีมมาง้างก็ไม่ออก
 
            “ชอบเหี้ยอะไร”
 
            “ก็ดี ถ้ามึงไม่ชอบกูว่าจะจีบแม่ง น่ารักดี”
 
            “อย่ามายุ่งกับมัน”คณินเอ่ยเสียงตึงหัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้
 
            “มึงเอาสิทธิ์อะไรมาห้ามกูวะ ในเมื่อมึงไม่ชอบกูมีสิทธิ์จะจีบมันป่าววะ กูถือคติไม่ยุ่งกับคนที่เพื่อนชอบมึงก็รู้กูถึงได้ถามมึงก่อนถ้ามึงชอบมันกูจะได้ถอย”แดนธรรมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่สายตาขี้เล่นกลับดูจริงจัง เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มอยู่แล้วถ้าเพื่อนคนใดคนหนึ่งไปชอบใครคนที่เหลือจะไม่จีบแข่งเด็ดขาด คณินมองแดนธรรมด้วยสายตาอ่านไม่ออกก่อนน้ำเสียงทุ้มจะเอ่ยชัดทุกถ้อยคำ
 
            “เออ กูชอบมัน พอใจมึงยัง?”




หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 17 06/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 06-12-2018 02:25:29
สนุกดีครับ มาแบบยาวๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 18 07/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 07-12-2018 10:45:57

            หงุดหงิด ไม่มีคำไหนนิยามสภาวะอารมณ์ของคณินในตอนนี้ได้มากกว่าคำว่าหงุดหงิด มือซ้ายกดรีโมทเปลี่ยนช่องอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะกดปิดเมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจ  เหลือบตามองนาฬิกาที่ติดอบู่บนผนังแล้วอารมณ์ยิ่งขุ่นมากกว่าเดิม
 
ทำไมเวลามันเดินช้าแท้วะ นี่เพิ่งจะบ่ายกว่าเอง
 
คณินหยิบโทรศัพท์มากดหาเบอร์ที่ต้องการก่อนจะกดโทรออก รอสายไม่กี่อึดใจปลายสายก็ตอบรับ
 
                “โทรมาทำไมกูกำลังจะเข้าเรียน”
 
                “มึงเลิกเรียนกี่โมง?”น้ำเสียงเอาแต่ใจเอ่ยถามออกไปอย่างหหงุดหงิดสุดๆ
 
                “บ่ายสามครึ่ง ทำไมมึงมีอะไร”
 
                “กูเบื่อ”
 
                “เบื่อก็ดูหนัง”
 
                “ไม่มีเหี้ยอะไรน่าดูเลย”
 
                “งั้นนอนไป”
 
                “กูนอนมาหลายวันแล้วมั้ยล่ะ มึงรีบเรียนรีบกลับมาเร็วๆเลย กูหิวด้วยเนี่ย”
 
                “แล้วเมื่อกลางวันมึงแดกข้าวหรือเปล่า”
 
                “กูกินแต่มันไม่อร่อย”
 
                “มึงมันเรื่องมาก ถ้าหิวก็ให้พี่เรียมไปซื้อมาให้สิ”
 
                “กูไล่กลับบ้านไปตั้งแต่เที่ยงแล้ว รำคาญ”
 
                “มึงก็เป็นซะอย่างนี้ไอ้เหี้ย หัดอดทนอะไรซะบ้างทำไมชอบเอาแต่ใจ”
 
                “แล้วมึงจะกลับมาเมื่อไหร่”
 
                “ก็เลิกเรียนไง มึงนี่งอแงจังไอ้สัด”
 
                “กลับมาเร็วๆนะกูรออยู่”
 
                “รอกู?”
 
                “รอให้มึงซื้อข้าวให้กูแดกไอ้เหี้ย”
 
 
คณิน::
 
ผมวางสายจากไอ้เซ็ทด้วยความหงุดหงิด เหลือบตามองนาฬิกาอีกรอบอย่างไม่มีอะไรทำ วันนี้ไอ้เซ็ทไปเรียนตามปกติของมัน ผมจึงถูกทิ้งไว้กับพี่เรียมที่น้าลดาขับรถพามาส่งตั้งแต่เมื่อเช้า
 
ผมหงุดหงิด ผมรำคาญ พี่เรียมเอาแต่ถามนู่นถามนี่และเอาอกเอาใจผมจนดูโอเว่อร์ กับข้าวที่โรงพยาบาลก็ไม่ถูกปาก ไม่มีคนปอกองุ่นให้กินด้วย ไม่มีตัวสูงๆขายาวๆเดินไปเดินมามันก็จะเหงาๆหน่อย
 
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นที่สารภาพกับไอ้แดนไปตอนนี้ก็อาทิตย์กว่ามาแล้วไอ้แดนยังคงรักษาคำพูดที่สัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครได้อย่างดีเยี่ยม การพรีเซ้นท์งานของเราสองคนก็ผ่าน เมื่อวันก่อนอาจารย์ที่ปรึกษาที่มาเยี่ยมผมพร้อมเพื่อนในคณะอีก 3-4 คน ผมคุยไลน์กับไอ้แดนโดยการแชทแยกระบายความหงุดหงิดที่มีใส่มันแบบไม่ยั้ง มันแซวผมกลับมาพอหอมปากหอมคอ
 
                “ถ้ามึงชอบมันมึงก็หัดอ่อนโยนกับมันซะบ้าง เอาแต่ปากหมาใส่ใครจะไปชอบวะ”
 
ผมสบายใจที่จะคุยกับมัน ไอ้แดนบอกให้ผมทำตัวดีๆพูดดีๆกับไอ้เซ็ท แต่ผมกับมันด่ากันมาตั้งแต่แรกการจะมาพูดดีๆใส่กันด้วยภาษาดอกไม้เป็นเรื่องยากและผมก็คิดว่าผมเป็นตัวของตัวเองแบบนี้น่ะดีแล้ว
 
ตอนนี้ผมก็แค่ได้แต่ชอบมัน คนแอบชอบก็ต้องแอบชอบไปวันยันค่ำ ผมไม่ลืมว่าไอ้เซ็ทมันมีคนคุยด้วยแล้ว ตอนกลางคืนก่อนนอนมันก็ยังโทรคุยหรือไม่ก็ไลน์คุยกับผู้หญิงคนนั้นตลอด
 
ผมได้แต่ภาวนาแช่งให้มันเลิกกันแม้ว่าผมจะไม่มีโอกาสได้บอกชอบมันแต่ผมก็ไม่อยากให้มันไปชอบใครเหมือนกัน
 
อยากจะแช่งวันละ 100 รอบ แค่เห็นมันยิ้มให้โทรศัพท์เวลาที่คุยกับผู้หญิงคนนั้น แทนตัวเองว่าเซ็ทอย่างนั้นเซ็ทอย่างนี้ เสียงหัวเราะสดใสที่ไม่เคยมีให้ผม แค่นี้ผมก็อิจฉาจนของทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมองแทบจะมอดไหม้อยู่แล้ว
 
ผมต้องบนกับอะไรวัดไหนเหรอมันถึงจะเลิกกัน เดี๋ยวจะบนด้วยหัวหมู 10 หัว ไก่ต้ม 10 ตัว ไข่ต้ม 100 ฟองเลยเอ้า
 
 
                เศรษฐพงศ์เหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นระยะ เกือบบ่ายสามแล้วตอนนี้ไอ้คนป่วยมันจะนอนหิวอยู่หรือเปล่านะ แผลที่หลังดีขึ้นมากและแห้งแล้วเพราะควบคุมอาหารของแสลงไม่ได้ให้กินเลย  นั่งฟังอาจารย์สอนไปก็ง่วงไป บรรดาเพื่อนๆก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ อาจารย์ยังคงเส้นคงวาเรื่องน้ำเสียงนุ่มละมุนประดุจชรินทร์ นันทนาคร ยังไงก็ยังงั้น
 
                “เอาล่ะ เดี๋ยวคราวหน้าจะให้ลงมือปฏิบัติดูนะ เริ่มจากงานฮาร์ดสเคปพื้นฐานครูจะให้พวกเธอทำลานนั่งอ่านหนังสือหน้าช็อปเพราะฉะนั้นพวกเธอต้องผสมปูนเอง เทพื้นเอง เข้าใจมั้ย” อาจารย์หันมาสั่งงานของคาบหน้าซึ่งก็คือพรุ่งนี้ นักศึกษารับคำตามที่อาจารย์บอก
 
เป็นปกติธรรมดาอยู่แล้วที่เด็กภูมิทัศน์จะต้องเรียนการที่งานฮาร์ดสเคปเริ่มตั้งแต่การเทปูน การต่อไฟ การเชื่อมเหล็กไปตามลำดับ และไม่มีการแบ่งแยกผู้ชายผู้หญิง อาจารย์สอนการผสมปูนไปอีกราวๆครึ่งชั่วโมงก็สั่งเลิกคลาส เศรษฐพงศ์รีบเก็บของใส่กระเป๋าเป้ทันที
 
                “ไอ้เซ็ท รีบไปไหนวะ”ยงวิสุทธิ์เอ่ยถามเมื่อเห็นเศรษฐพงศ์ยกนาฬิกาขึ้นดู
 
                “จะรีบไปดูไอ้คิน ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง”
 
                “อะไรวะ นี่มันก็ไม่ได้เจ็บอะไรแล้วไม่ใช่เหรอทำไมมึงยังต้องไปเฝ้ามันอีกวะ มึงขับรถไปกลับวิทลัยกับโรงบาลมาจะสองอาทิตย์แล้วนะเว้ย”วีรดนัยเอ่ยท้วง
 
                “ไม่เป็นไรหรอกมันเจ็บก็เพราะช่วยกู พวกมึงก็อย่าไปอะไรกับมันเลย”
 
                “กูว่ามันอ้อนมึงแปลกๆมีอย่างที่ไหนวะรัวไลน์มาทั้งวัน ไม่อ่านก็โทรตาม”
 
                “มันอยู่โรงบาลคนเดียวมันก็เหงาอ่ะสิ”
 
                “มึงดูเข้าข้างมันจังวะ”จีรนันท์จ้องหน้าเพื่อนที่ปิดกระเป๋าเป้
 
                “ลองเป็นมึงนอนอยู่โรงพยาบาลคนเดียวสิจีน มึงก็ต้องบ่นแบบมัน นอกจากกูมันก็แทบไม่มีใครแล้ว”เศรษฐพงศ์เอ่ยเสียงเรียบสบตาเพื่อนไม่ได้หลบตา จีรนันท์ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่า กูก็ไม่ได้ว่าอะไร
 
เศรษฐพงศ์รู้ดีว่าคณินน่ะเหงาแค่ไหน คณิตเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาอยู่กับลูกมากนักยิ่งใกล้ปลายปีต้องรีบเคลียร์ยอดเคลียร์งบลุงกับแม่ของเขาแทบไม่ได้หยุด ญาติๆของคณินเองก็มีงานที่ต้องสะสางเช่นกัน จะมีมาหาบ่อยหน่อยก็คืออากงอาม่าที่มาเกือบทุกวันตอนเย็นๆที่ลูกคนใดคนหนึ่งว่างมาส่ง สารพัดอาหารบำรุงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนถูกนำมาเยี่ยมไม่ได้ขาด แต่คณินกลับไม่ค่อยกินของเหล่านั้นเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นไก่ดำตุ๋นยาจีนแสนแพงใช้เวลาและการพิถีพิถันในการเคี่ยวการตุ๋นแค่ไหนชายหนุ่มก็ทำเพียงซดน้ำซุบเล็กๆน้อยๆนอกนั้นกลายเป็นเศรษฐพงศ์นั่นแหล่ะที่ต้องกินแทน คณินชอบกินก๋วยเตี๋ยวหรือไม่ก็ข้าวต้มกุ้งมากกว่าแต่เขาก็ยังไม่ให้คณินกินอาหารทะเลข้าวต้มที่ซื้อให้กินจึงเป็นข้าวต้มหมูไม่ใส่ขิงซอย
 
เศรษฐพงศ์ส่งจิรนนท์ลงที่หน้าหอก่อนพยักหน้าลาเพื่อนๆ ขับรถเข้าเมืองด้วยความเร็วพอสมควรกลับบ้านจัดการบอกให้พี่เรียมที่ถูกคณินไล่กลับต้มข้าวต้มให้แล้วตัวเองก็ขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปโรงพยาบาลในตอนเย็น
 
เสียงโทรศัพท์ดังลั่นห้องตอนที่เขากำลังเตรียมกระดาษรายงานใส่กระเป๋า กรอกตามองบนนิดหนึ่งก่อนจะกดรับ
 
                “เลิกเรียนนานล้วทำไมมึงยังมาไม่ถึงโรงบาลอีกไอ้เหี้ยเซ็ท”
 
                “กูกลับมาเตรียมข้าวต้มไปให้หมามันกิน”
 
                “มาเร็วๆ กูเบื่อ”เสียงคนป่วยงอแงมาในสาย
 
                “เออ เดี๋ยวกูไป เอาอะไรอีกมั้ย”
 
                “เอามึง แค่มึงก็พอ” เศรษฐพงศ์แทบทำโทรศัพท์ร่วงออกจากมือกับคำพูดชวนคิดนั่น แก้มฟูเกิดริ้วแดงจางๆก่อนจะลามถึงใบหูในไม่กี่วินาที
 
                “ไอ้เหี้ย”สบถตอบกลับไปแต่ก็ได้เสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา
 
                “มึงมาเร็วๆ พยาบาลเข้ามาฉีดยากูเสร็จแล้ว ข้าวก็ไม่อร่อย กูเหนียวตัวอยากเช็ดตัวแล้ว”
 
                “เออๆ รู้แล้ว อีก 20 นาทีถึง เร่งกูจัง ซักวันคนที่นอนโรงบาลคงเป็นกูอ่ะไอ้เหี้ย”
 
                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเฝ้ามึงเอง”
 
                “กูคงกระดูกหักตายถ้ามึงเป็นคนเฝ้า”
 
                “แหมไอ้สัดกูก็มีมุมอ่อนโยนมั้ยล่ะ อย่าพูดมาก มาไวๆ กูหิวไส้จะขาดแล้ว เออ แวะซื้อน้ำเต้าหู้มาแดกด้วยเอาปาท่องโก๋ 5 ตัว”
 
                “โอเค ได้ แดกเก่งนะมึงน่ะ จะลงพุงอยู่แล้วไม่รู้ตัวมั่งหรือไง”
 
                “แน๊....ไอ้คนฉวยโอกาส แอบมาลวนลามกูจนรู้เลยสินะว่ากูลงพุง”คนป่วยส่งเสียงล้อเลียนมาตามสายจนเศรษฐพงศ์หาคำเถียงแทบไม่ถูก
 
                “โธ่ ไอ้สัด ก็กูเป็นคนเช็ดตัวมึงลืมไปแล้วเหรอไอ้ส้นตีน!!”


 
                พรุ่งนี้มึงต้องไปเรียนป่าว”คณินเอ่ยถามเศรษฐพงศ์ที่กำลังล้างชามอยู่ในห้องน้ำ เด็กหนุ่มสะบัดน้ำออกจากชามก่อนเอามาคว่ำบนโต๊ะ
 
                “พรุ่งนี้วันเสาร์มั้ย?”
 
                “ดี กูอยากโกนหนวด หน้ากูเหมือนโจรแล้วเนี่ย”คณินยกมือลูบคางตัวเอง ตอหนวดเขียวเริ่มสีเข้มเพราะไม่ได้โกนมาหลายวัน ปกติเขาไม่เคยปล่อยให้หน้าตัวเองรก เป็นอีกอย่างที่สร้างความหงุดหงิด
 
                “ที่พูดนี่?”เศรษฐพงศ์ปลายตาหยั่งเชิง
 
                “เออ ไง ให้มึงโกนหนวดให้กูเนี่ย”
 
                “กูทำทุกอย่างให้มึงแล้วเหลือแค่เป็นเมียมึงเนี่ย”คนเป็นน้องแหวใส่แบบไม่คิดอะไรแต่ไอ้คนป่วยกลับยิ้มกริ่มพลางพูดประโยคที่เศรษฐพงศ์อยากจะทุบให้กระอักเลือด
 
                “แล้วอยากทำให้มันครบหรือเปล่าล่ะ กูพร้อมนะ”คนป่วยทำหน้าทะเล้นจึงได้รางวัลเป็นนิ้วกลางส่งมารัวๆจากเศรษฐพงศ์
 
แล้วคนหน้าด้านอย่างคณินมีหรือจะสะทกสะท้าน
 
ตอบเลยว่าไม่
 
 
เช้าวันเสาร์หลังจากพยาบาลวัดไข้ ความดันและให้ยาเรียบร้อยแล้วเศรษฐพงษ์ก็เดินนำคณินเข้ามาในห้องน้ำ ร่างโปร่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมมีดโกนและโฟมคณินหันไปปิดประตูห้องน้ำจนเรียบร้อยก็ยืนทำหน้าตาแป้นแร้นรอเศรษฐพงศ์ด้วยความสงบ ปลายนิ้วนุ่มค่อยๆบรรจงป้ายครีมโกนหนวดอย่างตั้งใจ
 
                “อยู่นิ่งๆนะมึง กูไม่เคยโกนหนวดให้ใครมีดปาดคอขาดอย่ามาโทษกูนะ”
 
                “นั่นมีดโกนไอ้สัดไม่ใช่ปังตอ”
 
                “กูพูดเผื่อไว้มั้ยล่ะ เงยหน้า”คณินเงยหน้าตามที่ปลายนิ้วของเศรษฐพงศ์ดันขึ้น ฝ่ามืออุ่นประคองต้นคอของคณินไว้ล็อกไม่ให้ศีรษะขยับเขยื้อนได้ก่อนจะค่อยๆบรรจงโกนหนวดด้วยความตั้งใจ คณินมองใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจร้อนรินรดกันและกัน จ้องมองริมฝีปากอิ่มที่บางทั้งเม้มเข้าหากันด้วยความตั้งใจในสิ่งที่ทำ ขนตายาวกระพริบเป็นจังหวะ
 
น่าหลงใหล...
 
คณินจ้องมองริมฝีปากของเศรษฐพงศ์ไม่วางตาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สังเกตความนิ่งเงียบผิดปกตินั้นเลยจนกระทั่งปลายคางถูกจับเพียงแผ่วเบา ร่างโปร่ช้อนสายตาขึ้นสบตาคนป่วยที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว...
 
                “จะทำอะไร?”เอ่ยถามเสียงเย็น มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข อยากจะผลักแต่ก็กลัวคณินจะเจ็บจึงได้เพียงจ้องตากลับอย่างไม่ยอมแพ้
 
คณินไม่ได้ตอบแต่ทว่ากลับไล้ปลายนิ้วจากปลายคางมาสัมผัสริมฝีปากอุ่นนุ่มนั้นเบาๆ ความรู้สึกแปลกๆแล่นเข้าจู่โจมคนทั้งคู่แบบไม่ทันตั้งตัว
 
อยากผลักไสแต่กลับทำไม่ลง อยากเดินหนีแต่เท้ากลับไม่ยอมก้าวออกไปไหน อยากกร่นด่าแต่เหมือนเสียงที่มีทั้งหมดถูกกักขังไว้และกลืนหายเข้าไปในลำคอ
 
เหมือนเวลาหยุดหมุน คณินทำเพียงขยับกายเข้าใกล้ เสียงหัวใจเต้นดังจนได้ยินชัดเศรษฐพงศ์ทำเพียงยืนนิ่งจ้องตาตอบกลับก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลงช้าๆเมื่อใบหน้าของคณินเคลื่อนเข้ามาใกล้ ริมฝีปากถูกสัมผัสเบาๆแล้วผละออก เศรษฐพงศ์ลืมตาขึ้นมองก็พบว่าตัวเองนั้นพลาดไปถนัดตาเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ความนุ่มหยุ่นคล้ายเยลลี่ที่ชอบกินละเลียดที่ริมฝีปากของเขาราวกับว่าคณินกำลังทดสอบความหอมหวานนั้นอย่างเชื่องช้า มันไม่ตระกรุมตะกรามแบบสองครั้งนั้นหากแต่เต็มไปด้วยความละเมียดละไมละมุนคล้ายกับว่าคณินกำลังละเลียดชิมเค้กแสนอร่อย ราวบัตเตอร์ครีมเนื้อละเอียดที่ไม่หวานจนแสบไส้แต่หวานกลางๆช่วยให้อยากอาหารมากขึ้น ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นประคองศีรษะของคนน้องไว้ก่อนปรับองศาให้ริมฝีปากของตนเองแนบแน่นมากยิ่งขึ้น
 
หัวใจของเศรษฐพงศ์เต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะร่างบางถูกดันให้ถอยไปจนติดอ่างล้างหน้าและโดยไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำสองแขนก็ยกขึ้นกอดเอวคณินไว้หลวมๆยามที่ริมฝีปากล่างถูกกลืนกินดูดดึงจนเกิดเสียงน่าอาย ลิ้นชิ้นถูกส่งออกมาทักทายราวเชื้อเชิญให้คนอ่อนประสบการณ์ตกบ่วงที่ขุดไว้หลอกล่อ ซึ่งแน่นอนมันได้ผล เศรษฐพงศ์ยอมเปิดปากต้อนรับเพื่อนบ้านด้วยความเผลอไผลนั่นยิ่งทำให้ห้วงอารมณ์ดำดึ่งสู่หลุมที่ลึกที่สุดที่คณินขุดไว้ เกลียวลิ้นถูกกวาดต้อนจนสิ้นหนทางหนี ได้แต่โต้ตอบด้วยความไร้เดียงสา
 
น่ารัก...
 
ความไร้เดียงสาที่ดูโง่งมนี้ช่างแสนน่ารักจนอยากจะเอาเปรียบให้มากขึ้น ช่วงชิงให้มากขึ้น ดูดกลืนน้ำหวานเลิศรสให้มากขึ้นจนจากความนุ่มนวลอ่อนโยนกลับกลายเป็นความวาบหวามจนแข้งขาอ่อน ยามเมื่อลมหายใจใกล้หมดเศรษฐพงศ์ได้แต่ครางอือในลำคอ คณินถอนจูบอย่างเสียดายมองใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดของคนที่ยังทำตาลอยๆคล้ายกำลังเมานั้นหอบหายใจจนอกบางกระเพื่อม คนเป็นพี่ใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆบนกลีบปากแดงช้ำนั้นอย่างอ่อนโยนแต่ก่อนที่จะขโมยจูบคนตรงหน้าต่อ ฝ่ามือของเศรษฐพงศ์ก็ดันอกของเขาไว้ สายตาเลื่อนลอยเมื่อครู่กลับมาเป็นเศรษฐพงศ์คนเดิมอีกครั้ง
 
                “อย่า...”มือเรียวค่อยๆกำอกเสื้อของคณินไว้ ร่างสูงส่งสายตาเป็นคำถามว่าทำไมไปให้
 
ทั้งๆที่เมื่อกี๊เศรษฐพงศ์ก็ตอบสนองเขาดีมากแท้ๆทำไมถึงห้ามไม่ให้ทำต่อ
 
                “กูไม่รู้หรอกนะว่าที่มึงทำไปเพราะอยากแกล้งหรือเผลอไป กูไม่รู้ว่าเพราะมึงต้องนอนโรงพยาบาลนอนทำให้มึงมีอารมณ์ แต่กูเป็นผู้ชาย”
 
                “กูก็ผู้ชาย”
 
                “ใช่มึงก็ผู้ชาย แต่มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอวะที่มึงเอาความต้องการของมึงมาลงที่กู กูไม่ใช่เครื่องระบายความใคร่ของใคร ถ้ามึงอยากมากมึงก็จัดการตัวเองซะเดี๋ยวกูออกไปรอข้างนอก”
 
                “มันไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบไอ้เซ็ท กูไม่ได้ทำเพราะอยากตามแบบผู้ชาย”
 
                “แล้วมึงทำไปทำไมวะ?”เศรษฐพงศ์มองคณินด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจเลยซักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบแล้วเหตุการณ์เมื่อครู่นี้คืออะไร
 
เศรษฐพงศ์จะคิดซะว่าแค่อารมณ์มันพาไปเช่นกับที่อารมณ์ของเขาที่คล้อยตามไปแล้วไม่ห้ามใจตัวเองเมื่อครู่
 
                “กูชอบมึง...”ตัดสินใจพูดคำๆนั้นออกใป ใบหน้าของคณินพลันเห่อร้อนขึ้นมาจนตอนนี้มันแดงยิ่งกว่าหน้าของเศรษฐพงศ์เมื่อครู่เสียอีก ความเห่อร้อนครอบคลุมไปถึงใบหูและลำคอ
 
                “มึงแค่เหงา เพราะตอนนี้มีแค่กูอยู่กับมึงมันไม่ใช่ความชอบหรอก มึงอาจจะรู้สึกดีกับกูเหมือนที่มึงรู้สึกดีกับไอ้แดนกับพวกเพื่อนๆมของมึง”เศรษฐพงศ์พยายามหาเหตุผลมาหักล้างการกระทำของคณิน
 
ตีกันมาจะสองปีอยู่ดีๆจะมาเปลี่ยนความรู้สึกในช่วงเวลาไม่กี่วันได้ยังไง
 
                “กูไม่เคยจูบพวกไอ้แดนนะ”
 
                “.........”
 
                “มึงไม่รู้เหรอว่าเพื่อนกันเขาไม่จูบกัน ถ้าจูบกันมันก็เกินเพื่อนไปแล้ว และก็ไม่ได้เหงาเพียงแค่เวลาไม่กี่วัน กูชอบมึงมาซักพักแล้ว ตั้งแต่ก่อนมึงไปแข่งจัดสวน...” คณินหยุดพูดเมื่อเศรษฐพงศ์หันหน้าหนี ริมฝีปากที่เขาชื่นชอบ ริมฝีปากที่เขาเสพติดนั้นเม้มเข้าหากันราวคนไม่มั่นใจ
 
                “อย่าพยายามเลย กูมีคนที่ชอบแล้ว ขอบใจแล้วกันสำหรับความรู้สึกที่มึงมีให้กู ต่อไปนี้ก็เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันเถอะ กูคงให้มึงมากกว่านี้ไม่ได้ ขอโทษนะ”เศรษฐพงศ์เบี่ยงตัวเดินออกจากห้องน้ำไปเหลือทิ้งไว้เพียงคณินให้ยืนมองเงาตัวเองในกระจก คำพูดเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มแค่นยิ้มออกมาบางๆอย่างสมเพชตัวเอง
 
อกหักทั้งๆที่เพิ่งเริ่มเลยเหรอวะ...
 
 
 
                หลังจากพักรักษาและทำกายภาพบำบัดอยู่ในโรงพยาบาลร่วมเดือนในที่สุดคณินก็สามารถกลับบ้านได้ ชายหนุ่มไปเรียนตามปกติโดยที่เพื่อนๆผลัดกันมารับในช่วงที่ยังใช้แขนขวาไม่ถนัด  เด็กหนุ่มยังคงวอแวเศรษฐพงศ์บ้างบางโอกาส แม้ว่าหลังเหตุการณ์วันนั้นพวกเขาจะยังทำตัวเหมือนปกติ ทะเลาะกัน ด่ากัน แต่มันก็เหมือนมีเส้นบางๆกั้นอยู่ ยาวที่เขาก้าวเข้าหาเศรษฐพงศ์จะถอยหนึ่งก้าวเสมอ  คณินวุ่นวายกับการเตรียมเอกสารเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ยื่นโควต้าไปแล้วติดยกกลุ่มจนไม่มีเวลามาวอแวกับเศรษฐพงศ์เท่าไหร่นัก อีกทั้งพวกเขายังต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบปลายภาคเศรษฐพงศ์กลับไปอยู่หอกับเพื่อนๆตามเดิม ยังคงเรียนหนักเหมือนเดิมเขาไม่คิดเลยว่าแค่ปี 1 จะต้องเรียนหนักขนาดนี้ การกลับบ้านไม่สามารถทำได้ถี่แบบที่ผ่านมาทั้งงานกลุ่มงานเดี่ยวสุมกันมาจนเด็กหนุ่มแทบไม่มีเวลาหายใจ
 
                “อาจารย์สั่งงานเหมือนเก็บกดที่สมัยเป็นนักศึกษาก็โดนสั่งงานแบบนี้”โอบนิธิบ่นอุบขณะลงแสงและเงาให้แปลน
 
                “เดชแม่งเหมือนแกล้ง สั่งแต่งานชิ้นใหญ่ๆกูจะเอาตีนขึ้นมาเขียนแล้วเนี่ยสองมือแม่งไม่พอ”จีรนันท์เอามือทึ้งผมตัวเองเมื่อตัวเองลงสีพลาดไปจุดหนึ่ง
 
                “โอ๊ยไอ้เหี้ย ทำใหม่!!”
 
                “จีนมึงใจเย็นสิวะ”แฝดน้องเรียกสติแฝดพี่ที่รนจนมือสั่น ยิ่งเส้นตายใกล้เข้ามาเท่าไหร่เด็กๆยิ่งเหมือนคนสติแตก
 
                “ไหนใครมันบอกวะว่าให้ช่วยวิทยาลัยแล้วครูจะช่วยพวกเธอ แม่งตอแหลชัดๆ”บรรดานักศึกษาในคณะต่างเร่งมือทำงานของตนโดยแทบจะไม่พูดไม่จากันเลย ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องเขียนแบบอย่างช้าๆ จนกระทั่งเศรษฐพงศ์ค่อยๆฮัมเพลงขึ้นมาเบาๆ
 
**ลมเพลมพัด ร้องขับขานเป็นลำนำ
ว่าพี่นี้เป็นคนจรมาจากดินแดน ด้ามขวาน
มาหาความรักแม่คนงาม
 
บรรดาเพื่อนๆเมื่อได้ยินเพลงนี้ต่างก็ร่วมกันร้องประสานเสียงขึ้นมาทีละคนสองคน

* แค่อยากให้เจ้ารับรู้
เพียงอยากให้เจ้ารับฟัง
แค่อยากให้เจ้ารับรู้
เพียงอยากให้เจ้ารับฟัง
 
จนกระทั่งในที่สุดเสียงเพลงก็ดังกระหึ่มห้องเขียนแบบเพราะเพลงนี้เปรียบเสมือนเพลงแทนใจของเด็กช่างทุกคน
 

พี่สร้างศิลปะ ศิลป์ ศิลป์ ศิลป์ ศิลปะ
เนื้อตัวมอมแมมผมยาวรุงรัง จะเดินไปไหน
ไร้คนสนใจ

ซ้ำ (*)

ลมเพลมผวนหวนให้คิดคำนึง ถึงบท
เพลงแห่งความฝัน ให้ตัวเจ้าด้วยใจหวัง
เกินกว่าตัวฉันจะพรรณนา

ซ้ำ (*)

*** ลมเพลมพัดใช่โกหก
บทเพลงขับขานที่ยาวไกล
และสดุดีความจน
 
ซ้ำ (*)

ซ้ำ (**, *, ***, *)
 
 
                “น้ำตากูจะไหลจริงๆแล้วเนี่ย”วีรดนัยทำท่าปาดน้ำตา ความเหนื่อยล้าสะสมมามากมายเหลือเกินพวกเขาต้องเคลียร์งานให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้เพื่อเตรียมตัวสอบปลายภาคในอาทิตย์หน้า เศรษฐพงศ์สะดุ้งเมื่อริงโทรโทรศัพท์ดังขึ้นเด็กหนุ่มวางปากกาเขียนแบบลงก่อนจะกดรับ
 
                “มึงไม่กลับบ้านเหรอวะ”เสียงปลายสายของคนเจ้าอารมณ์ดังลั่นทันทีเมื่อเขากดรับ เศรษฐพงศ์เบ้หน้าเอาหูออกห่างก่อนจะแนบกลับเข้าไปใหม่
 
                “มึงจะแหกปากทำเหี้ยอะไรหูก็แทบแตก”
 
                “แม่มึงบ่นคิดถึง จะกลับมั้ยหรือหาทางกลับไม่เจอแล้ว” คนเป็นพี่โวยวายผ่านสาย หลังจากถูกยิงคณินพูดคุยกับลดามากขึ้น เด็กหนุ่มค่อยๆยอมรับในตัวแม่เลี้ยงทีละน้อยจนตอนนี้สามารถพูดคุยด้วยได้แม้บางครั้งจะเขินๆอยู่บ้าง นั่นกลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะตามเศรษฐพงศ์กลับบ้านได้
 
                “กูเขียนแบบส่งเดชยังไม่เสร็จเลย ส่งจันทร์นี้”เศรษฐพงศ์ตอบเสียงเหมือนจะร้องไห้ เขายังเหลือแปลนสวนและงานฮาร์ดเสคปอีก 3 ชิ้นที่ต้องทำจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
 
                “กลับมา”คณินยังคงร้องบอกอย่างเอาแต่ใจ
 
                “ก็กูบอกว่า...”
 
                “เดี๋ยวกูช่วยทำ”น้ำเสียงเรียบตึงตอบสวนกลับมาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
 
นั่นแหล่ะ สรุปเย็นวันนั้นเศรษฐพงศ์ก็ขับอีแดงกลับบ้านพร้อมกับกระบอกใส่แบบสะพายไว้ด้านหลัง



....................................


โถ....แห้ว....รับโดเนทแห้วให้พี่คินซัก 3 ตะเข่ง พร้อมน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในซัก 3 โอ่งค่ะ

น้องไม่รักว่าเศร้าแล้ว น้องมีคนที่ชอบแล้วยิ่งเศร้ากว่า

เชิญย้ายใจตัวเองไปอยู่ในพราเธอร์โซนค่ะ สวัสดี

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 18 07/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 11-12-2018 13:35:03
งือออออ พี่คินจะไปเรียนไกลจากน้องมั้ยยย แล้วทำไมน้องเซ็ทไม่ยอมรับเสียงหัวใจตัวเองเลยน้ออออ

รอตอนต่อไปปปปน้าาาา

 :-[
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 19 13/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 13-12-2018 19:43:05
 เศรษฐพงศ์::

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ ผมแอบมองเสี้ยวหน้าของไอ้คินที่กำลังขะมักเขม้นกับการวาดแบบให้ผมอย่างไม่อยากเชื่อ

 

ก็รู้ว่ามันเรียนช่าง แต่ไม่คิดว่าฝีมือการเขียนแบบของมันจะเฉียบขนาดนี้

 

ย้อนไปเมื่อตอนเย็นหลังจากที่ผมกลับมาถึงบ้านไอ้คินก็รออยู่ก่อนแล้ว แขนขวาของมันใช้งานได้เป็นปกติแต่ยังมีเสียวๆตึงๆอยู่บ้างซึ่งมันจะหายในไม่ช้านี้ถ้ามันขยันทำกายภาพบำบัดตามที่หมอบอก หลังจากอาบน้ำอาบท่าไอ้คินก็มาเคาะประตูห้องของผม

 

                “มาช่วยกูยกโต๊ะดราฟ”มันว่าเสียงเรียบๆก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในห้องของมัน เป็นครั้งที่สองหลังจากผมเข้ามาทำลายข้าวของของมันคราวนั้น ห้องของมันยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม โต๊ะดราฟของมันสะอาดเอี่ยมผิดกับของผมที่ผมมักจะจดตัวเลขบางครั้งก็วาดรูปเล่นลงไป มันใช้แขนซ้ายข้างเดียวยกทำหน้าเบ้นิดหน่อยตอนออกแรงครั้งแรก เราช่วยกันยกมาในห้องของผม จัดวางให้ใกล้ๆกัน  มันเริ่มถามรายละเอียดงานที่ผมต้องทำ ส่วนของตัวอาคารและงาน Perspective (ภาพทัศนีภาพแบบสามมิติ คือมองแล้วเหมือนของจริง ไอ้คินรับอาสาเป็นคนวาดเอง

 

ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าทำงานเร็วอย่างเป็นระบบ ทำงานแบบมืออาชีพก็วันนี้เอง ไอ้คินจัดการแบบแบบ  Bird eye view เสร็จก็ส่งแบบแผ่นนั้นให้ผม มันใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ เหลือแค่ผมลงต้นไม้ก็เรียบร้อยแล้วมันก็ถามรายละเอียดและแบบร่างคร่าวๆของผมไปเขียนเปอร์สเปคทีฟต่อ ตอนนี้ผ่านมาสองชั่วโมงไอ้คินกำลังลงสี

 

มัน...สวยมากๆ

 

ละเอียดยิบราวกับมานั่งใจใจว่าผมต้องการอะไรแบบไหน บนโต๊ะดราฟของมันมีรูปต้นไม้ของจริงที่ผมเอาให้มันดูแปะไว้ เวลาไม่ถึงสามช่วโมงงานของผมเสร็จไป 2 ชิ้น ทั้งๆที่ถ้าผมทำเองอาจใช้เวลาไม่ต่ำว่า 5-6 ชั่วโมงแน่ๆ

 

                “นั่งจ้องหน้ากูก็ไม่ช่วยให้งานมึงเสร็จ”มันเอ่ยเรียบๆขณะที่กำลังลงสีของต้นไม้อยู่

 

                “เคยมีใครชมมึงป่าววะ ว่ามึงโคตรเจ๋งเลย” ไอ้คินยักไหล่อย่างไม่สนใจ

 

                “กูฟังจนเบื่อแล้ว”

 

                “ถ่อมตัวบ้างก็ได้”ผมว่าอย่างหมั่นไส้

 

                “ถ้ามันคือเรื่องจริงก็ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวอ่ะ”

 

          “เกลียดความมั่นหน้าของมึงมาก”ผมยกเท้าถีบขามันไปทีหนึ่ง มันหันมาถลึงตาใส่ก่อนจะเหวี่ยงแขนขวาไปมาเบาๆ

 

                “เมื่อยเหรอ มึงพักแขนบ้างก็ได้”ผมบอกกับมันอย่างเป็นห่วง

 

ใช่ครับผมเป็นห่วงมัน ยังไงตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับมันก็เหมือนเพื่อนกันไปแล้ว มันต้องเจ็บตัว แขนมันต้องใช้งานใช้การไม่สะดวกก็เพราะผม มันยังมีน้ำใจมาช่วยผมเขียนแบบอีกในฐานะเพื่อนมันเป็นเพื่อนที่ดี 100% ผมไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนๆของมันจะรักมันมาก  เสียงรัวไลน์ของผมดังขึ้นจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู การโอดครวญของเพื่อนๆทำเอาผมทั้งสงสารแต่ก็ขำไปด้วย

 

ไอ้จีนทำแบบพังเป็นแผ่นที่ 5  พลอยทำให้ไอ้จินแฝดน้องผู้แสนจะใจเย็นสติแตกตามไปด้วย

 

ไอ้ยิมบอกว่าปีหน้าจะลาออก 555555555555

 

ส่วนไอ้ย้งโอดครวญว่าตาตี่ๆของมันจะปิดอยู่แล้ว

 

ไอ้อิ้งค์บอกว่ามันจะแอบไปตัดสายเบรคของเดชโทษฐานสั่งงานโหด

 

ไอ้วียิ่งไม่ต้องพูดถึงเห็นไอ้อิ้งค์บอกว่าหลบไปนั่งกอดเข่าร้องไห้มุมห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

                “ขำอะไรของมึง ไม่รีบทำเหรอ?” ไอ้คนที่นั่งลงสีข้างๆหันมาถามเมื่อเห็นผมนั่งไถโทรศัพท์แล้วหัวเราะขำ

 

                “ขำพวกไอ้อิ้งค์ จะตายคาห้องเขียนแบบแล้ว”

 

                “พวกมันก็ยังทำไม่เสร็จ?”

 

                “ใช่ ไอ้จีนแย่สุด มันเป็นคนทำอะไรรีบๆแล้วรน ตอนนี้แบบพังไป 5 แผ่นแล้ว”

 

                “ให้เพื่อนกูช่วยมั้ย?”ผมหันไปมองหน้าไอ้คินอย่างไม่เชื่อหู

 

                “คือมึง เมื่อก่อนตีกันจะตาย”

 

                “นั่นมันเมื่อก่อนมั้ยไอ้สัด เดี๋ยวนี้ไม่ได้ตีกันแล้ว มึงกับกูยังคุยกันได้ กูว่าเพื่อนกูกับเพื่อนมึงก็น่าจะคุยกันได้อยู่”

 

                “หมาสองฝูงอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”ผมว่าคติธรรมคำพังเพยให้มันฟัง ไอ้คินกรอกตามองบนก่อนจะยื่นมือมาดีดกระโหลกผมแรงๆ 1 ที

 

                “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ไอ้เหี้ย มึงตกวิชาภาษาไทยป่าวเนี่ย”

 

                “อ่าวเหรอ ซอรี่ๆ สงสัยกูอดนอนมากเลยมึน”ผมลูบหน้าผากป้อยๆพลางส่งยิ้มแห้งๆให้มัน

 

                “ลองถามพวกมันดูว่าจะให้ช่วยมั้ย ช่วงนี้พวกกูว่างพอจะสงเคราะห์ให้ได้”

 

                “อื้อหือ ใช้คำพูดคำจาได้เหี้ยมาก แต่รอแป๊บ”ผมเบะปากใส่มันเมื่อมันใช้คำได้น่าเอาตีนลูบปากเสียเหลือเกิน ส่วนไอ้คินก็วางมือจากงานหยิบโทรศัพท์มากดไลน์ยิกๆพอกันกับผม

 

ไอ้พวกเพื่อนๆของผมโวยวายกับข้อเสนอกันซักพักหนึ่ง เพราะอดีตของพวกเราไม่น่ารักเท่าไหร่นัก คือเจอกันด่ากันตีกัน อยู่ๆจะมาให้พวกไอ้คินช่วยมันเหมือนเสียศักดิ์ศรีแปลกๆ ผมถ่ายรูปแบบที่ไอ้คินเขียนให้พวกมันดูซักพักไลน์ของผมก็เด้งรัวขึ้นมาทันที

 

                “เอา พวกกูให้พวกมันช่วยก็ได้ ไอ้เหี้ยงานละเอียดสัด”ไอ้จีนเป็นคนแรกที่ไลน์ตอบกลับมาผมคุยกับพวกมันอีกพักก็วางโทรศัพท์ลง

 

                “ว่าไง?”ไอ้คินเอ่ยถามขณะที่ยังไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอ

 

                “โอเค แต่จะไปเขียนกันยังไงวะ?”

 

                “ก็ให้พวกไอ้แดนไปช่วยเพื่อนมึงที่วิทยาลัย โต๊ะดราฟมีพอหรือเปล่า”

 

                “กูว่าไม่เวิร์ค เดี๋ยวเดชเห็น ไหนจะเพื่อนคนอื่นอีก”

 

                “งั้นก็เอากะบะไปขนโต๊ะดราฟพวกมึงไปบ้านเพื่อนกู มันมีโต๊ะดราฟกันทุกคนป่าว?”

 

                “ก็มีของใครของมันคนละตัวนะ แต่มันจะดีเหรอวะ?”

 

                “เพื่อนกูโอเคนะ “

 

                “แล้วจะแบ่งกันยังไงว่าใครคู่ใคร?”ผมยังคิดปัญหาไม่ตก

 

                “จับฉลากแม่ง ง่ายดี แต่กูว่านาทีนี้ใครคู่ใครก็ได้อ่ะกูว่า  งานพวกมึงเยอะสัดๆ อัดงานแบบนี้ได้ไงวะไม่สงสารเด็ก”

 

                “งั้นเดี๋ยวกูจับเองว่าใครจะได้คู่กับใคร”ผมเสนอมันก่อนจะทำรายชื่อของเพื่อนแต่ละฝั่ง คือกลุ่มแม่งมี 7 คนเท่ากันอีก รายชื่อ 12 รายชื่อแบ่งแยกคนละฝั่ง ผมจับชื่อเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมาแล้วก็จับชื่อเพื่อนฝั่งไอ้คินขึ้นมา ไอ้อิ้งค์ได้คู่กับไอ้แดน ไอ้ยิมได้คู่กับไอ้อ้น ไอ้ย้งได้คู่กับไอ้คนชื่อว่าน ส่วนไอ้จีนได้คู่กับคนชื่อแพร ไอ้จินได้คู่กับคนชื่อแพท ไอ้วีได้รุ่นพี่ของไอ้คินที่เป็นคนขับรถพาไปส่งโรงพยาบาลชื่อพี่เด่น ผมไลน์ไปบอกเพื่อนๆของผม ส่วนไอ้คินก็ไลน์ไปบอกเพื่อนๆของมัน ทั้งหมดจึงได้ข้อสรุปว่าจะไปรับเพื่อนๆของผมตอน 6 โมงเช้า แล้วจะตระเวนไปขนโต๊ะดราฟไปบ้านของแต่ละคน

 

ดูเป็นงานที่แสนจะยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน

 

 

คณิณ::

 

ผมมองไอ้เซ็ทที่เริ่มตาปรือ ปากกาเขียนแบบร่วงออกจากมือของมัน แว่นตาถูกขยับเมื่อเจ้าตัวทำท่าบิดคอไล่ความง่วง เกือบตี 1 แล้ว งานของมันก็ยังไม่เสร็จ

 

                “มึงไปนอนก่อนไป”ผมดึงปากกาออกจากมือของมันเมื่อมันดื้อดึงจะเขียนต่อ

 

                “งานกูยังไม่เสร็จเลย”

 

                “ไอ้เซ็ทมึงไม่สามารถทำแบบ 7 ชิ้นเสร็จได้ในวันเดียว”ผมเอ่ยปากดุมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง มันยังคงดื้อดึงที่จะทำ

 

                “ถ้ามึงทำต่อ ร่างกายมึงจะไม่ไหว ตามึงจะล้าแทนที่งานจะเสร็จ มือมึงจะเขียนเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ลงในแบบ มึงจะได้ทำใหม่หมด”

 

                “อือๆ งั้นกูไปพักสายตาแป๊บหนึ่งเดี่ยวตื่นมาเขียนต่อ มึงก็ไปนอนได้แล้วนะเว้ย อากาศหนาวชิบหายเลย”มันบ่นพลางยกมือลูบแขนเบาๆ แว่นสายตาของมันถูกถอดออกเมื่อมันเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาห่มจนคลุมอก ไม่นานเสียงลมหายใจของมันก็สม่ำเสมอ ผมหันกลับไปลงสีแบบต่อจนกระทั่งเสร็จตอนเกือบตีสาม นวดแขนเบาๆด้วยความเมื่อยล้าสะสมก่อนจะเดินไปปิดไฟ ผมเดินโดยอาศัยแสงเลือนลางจากโคมไฟสนามหญ้าค่อยๆแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มอุ่นจากอุณหภูมิของร่างกายไอ้เซ็ท มันหลับสนิทโดยไม่กระดิกตัวเลยซักนิด พอเข้าใจได้เพราะมันทำรายงานและเขียนแบบโดยแทบไม่ได้พักเลย 3 วันแล้ว ผมค่อยๆลูบแก้มนุ่มๆของมันเบาๆก่อนจะเลื่อนมาลูบริมฝีปากนุ่มๆที่ผมชอบ

 

ไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจ

 

หลังจากเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้นผมต้องกดใจตัวเองไว้ว่าอย่าล่วงเกินมันอีกถ้าไม่อยากให้มันถอยห่างจากผมไปมากกว่านี้

 

ผมค่อยๆจรดริมฝีปากลงบนนิ้วที่แตะริมฝีปากมันอยู่

 

ไม่กล้าแม้แต่จะจูบลงไปบนปากตรงๆ  ผมดึงร่างที่ขดคุดคู้เพราะความหนาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และเหมือนมันจะค้นพบความอบอุ่นที่โอบรัดมันไว้ ไอ้เซ็ทค่อยๆซุกกายเข้าใกล้ผมมากขึ้น ผมกอดมันไว้ด้วยหัวใจที่เต็มตื้น จูบลงบนกลุ่มผมนุ่มของมันเบาๆพยายามบอกหัวใจว่าอย่าเต้นแรงและดังนักเดี๋ยวมันตื่นแล้วจะผลักไสผมแบบที่ชอบทำ

 

นี่คงเป็นโอกาสครั้งเดียวที่ผมจะทำอะไรตามใจตัวเองได้ อีกไม่นานผมก็ต้องย้ายออกไปอยู่หอแล้วเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ และตัวมันก็ต้องไปฝึกงาน 3 เดือน เมื่อขึ้นชั้น ปวส.2 คงจะไม่ได้เจอมันบ่อยๆอีกแล้ว เวลาของผมกับมันค่อยๆถูกภาระและหน้าที่รวมทั้งความห่างไกลดึงให้ห่างกันเรื่อยๆ

 

ขอค่าจ้างเป็นกำไรเล็กๆน้อยๆแค่นี้จะได้มั้ย

 

มึงคงไม่ว่าอะไรกูนะไอ้เซ็ท

 

แค่นี้กูก็รักมึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

 

กูจะทำยังไงกับใจของกูดี


ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 19 13/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 13-12-2018 19:46:37
 

                “ทำหน้าเหมือนปวดขี้”ผมเอ่ยแซ็วมันเบาๆเมื่อหัวคิ้วมันขมวดเข้าหากันมากขึ้น

 

                “กูกำลังคิด”

 

                “ว่า?”

 

                “เหมือนกูเอาเปรียบเพื่อนๆในห้องคนอื่นๆที่เขาทำงานกันเอง อีกอย่างถ้าได้เกรดมากูก็ไม่สามารถภูมิใจได้เต็มที่เพราะงานของกูครึ่งหนึ่งมีมึงช่วย”

 

                “แต่งานทั้งหมดมาจากความคิดถึง แบบที่กูวาดมันก็แค่ 1%  กูดีใจนะที่มีโอกาสได้เป็นหนึ่งในความสำเร็จของมึง”

 

                “แค่กๆ”ไอ้เซ็ทสำลักกาแฟที่กำลังกินอยู่ โชคดีที่มันเอามืออุดปากแล้วหันไปทางอื่นพอดีกาแฟเลยไม่โดนพ่นใส่แปลนบนโต๊ะดราฟ ผมรีบดึงทิชชู่ไปเช็ดปากเช็ดมือให้มัน มันวางแก้วกาแฟแล้วแย่งเอาทิชชู่ในมือผมไปเช็ดเองแก้มมันขึ้นสีแดงระเรื่อ ปากงุ้ยๆของมันบ่นอะไรมุบมิบที่ผมฟังไม่ได้ยิน ขนตายาวๆของมันก็กระพริบขึ้นลงจนดูน่ารัก น่ารักมากๆจนใจผมแกว่ง

 

ไอ้เหี้ยนี่ มาน่ารักน่าเอาทำห่าอะไรแต่เช้าวะ

 

                “กะ..กูไปห้องน้ำก่อนนะ”ผมตะกุกตะกักบอกกับมันก่อนจะรีบก้าวยาวๆกลับห้องของตัวเอง

 

ผมต้องเอาความร้อนรุ่มพลุ่งพล่านออกจากตัวก่อนที่มันจะอัดแน่นจนมันน่าหงุดหงิดไปมากกว่านี้

 

 

 

                หลังจากผมไปปลดปล่อยความเป็นตัวคินเรียบร้อยความง่วงงุนก็พลอยหายไปด้วย ไม่นานเสียงบีบแตรหน้าบ้านก็ดังขึ้น ไอ้แดนมากับพี่เด่น มีไอ้ว่านกับไอ้แพรนั่งหลัง ส่วนอีกคันไอ้อ้นเอาวีโก้ของมันมามีไอ้แพทนั่งคู่มาข้างหน้า

 

                “ไอ้แดนมึงขับนำไปเลยเดี๋ยวกูเอารถกูตามไปกับไอ้เซ็ท”ผมตะโกนบอกไอ้แดนซึ่งมันพยักหน้ารับ ผมเดินนำไอ้เซ็ทไปที่บีเอ็มของผม ไอ้เซ็ทเดินไปเปิดประตูรั้วพวกไอ้แดนออกรถนำไปก่อนเมื่อผมนำรถออกมาไอ้เซ็ทก็จัดการปิดประตูแล้วมานั่งหน้าคู่กับผม ผมขับรถไปอย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศยามเช้าดีจนสมองปลอดโปร่ง

 

                “มึงๆ แวะซื้อข้าวตักบาตรกัน”ไอ้เซ็ทร้องบอกเมื่อเราขับผ่านโค้งประปา พระสงฆ์และเณรหลายรูปเดินบิณฑบาตกันเป็นแถว ผมตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อแวะซื้อข้าวและกับข้าวเป็นถุงๆที่แม่ค้าทำมาขายคนรอใส่บาตร ลมหนาวยะเยือกพัดวูบมาให้ขนลุกเล่น ผมยืนด้านหลังไอ้เซ็ทเล็กน้อยรอให้มันใส่ข้าวและกับข้าวลงไป ส่วนผมใส่น้ำและดอกไม้ทีหลังจนครบทุกรูป เราไหว้พระอธิฐานผลบุญที่ทำวันนี้ให้พ่อและแม่ผู้ล่วงลับก่อนจะพากันขับรถตามพวกไอ้แดนไป  บรรยากาศข้างทางในตอนเช้าดีจนอยากจะเก็บภาพนี้ไว้ในใจนานๆ

 

สองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หมอกบางๆลอยคละคลุ้งปกคลุมยอดเขาและถนน คล้ายกำลังขับเข้าไปสู้สรวงสรรค์ สวยงามจนดูลวงหลอก  ดูเข้าถึงง่ายแต่กลับเข้าใจยาก

 

เข้าใจยากเหมือนจิตใจของไอ้เซ็ท

 

ที่ผ่านมามันทำเหมือนระหว่างเราไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ดวงตาที่มันมองผมนิ่งสนิทจนเดาไม่ถูกว่าตอนนี้มันรู้สึกกับผมอย่างไร แต่การกระทำของมันไม่มีท่าทีรังเกียจหรือโกรธชังผมแล้ว

 

จริงๆผมอยากให้มันชัดเจนไปเลย

 

ถ้ามันไม่ชอบผม ผมก็อยากให้มันแสดงออกมาให้ผมรู้เลยว่าที่เป็นอยู่ของเรานั้นมันไม่โอเค

 

แต่มันกลับไม่ทำอย่างนั้น มันยังใช้ชีวิตและปฎิบัติกับผมราวกับที่ผ่านมาผมไม่เคยบอกว่าชอบมัน

 

คล้ายให้ความหวังแต่ก็ไม่ไปต่อและผมเองก็ใจไม่แข็งพอที่จะถอยออกไปเอง

 

ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยซักนิดว่ามาชอบมันได้ยังไงทั้งๆที่เมื่อก่อนผมเกลียดแสนเกลียดมันแต่พอวันหนึ่งมันหายไปผมกลับคอยแต่ชะเง้อหามันทุกเย็นวันศุกร์

 

ตอนมันอยู่ในบ้านก็รำคาญ พอมันไม่มาดันนึกถึงมันจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร พอไม่เห็นหน้าผมเอาแต่หงุดหงิด

 

ไม่โอเคเลยซักนิดแต่ต้องปั้นหน้าว่าผมไม่เป็นไร

 

ผมตบไฟเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าหอมัน เพื่อนๆของเราสองคนนั่งรอเราที่โต๊ะม้านั่งนั่งเล่นหน้าหอของมัน

 

                “แหม ขับตามๆกันมาอยู่ๆไหงเสี่ยทิ้งห่างไปได้ล่ะครับ”ไอ้ว่านเอ่ยแซ็วผมทันทีที่เราลงจากรถ

 

                “เสือก”ผมเอ่ยคำสั้นๆ

 

                “อ่ะ กูได้รับศีลรับพรแต่เช้าเลย”

 

                “กูว่าไปกันได้แล้วรีบทำจะได้เสร็จๆ”ไอ้แพทอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนจะพ่นควันออกมาแล้วทิ้งก้นกรองลงพื้น ใช้เท้าเขี่ยจนไฟดับ เสียงไอ้แฝดคนน้องไอโขลกพลางใช้มือปัดควันไปมา ไอ้แฝดพี่ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำด่ามาให้ไอ้แพทก่อนที่แต่ละคนจะกระโดดขึ้นท้ายกะบะ

 

                “ไอ้วีกับไอ้จินมึงเข้าไปนั่งในรถ อากาศมันหนาว”แฝดพี่มันสั่งน้องกับเพื่อนมัน ซึ่งไอ้สองคนก็ทำตามอย่างว่าง่าย พวกผมขับรถเข้าเมืองอีกครั้งโดยตกลงกันว่าบ้านใครบ้านมันให้แยกกันไปเลยผมจะกลับไปช่วยไอ้เซ็ทให้มันเสร็จๆอีกครั้ง ดังนั้นเราจึงขับรถแยกกันที่แยกวัดเหนือ ผมจอดแวะกินโจ๊กตรงหลังป่าช้าอังกฤษ เรากินกันคนละ 2 ชาม เพราะโจ๊กให้น้อย ไอ้เซ็ทตักขิงในชามของผมไปใส่ชามตัวเอง เราใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน ผมกับมันเริ่มเขียนแบบกันอีกครั้ง จนในที่สุดบ่ายสองแปลนทั้งหมดก็เสร็จลง ไอ้เซ็ทถึงขั้นลงไปหงายตัวนอนบนที่นอนอย่างหมดแรงผมใช้ความเนียนลงไปนอนแผ่คู่กับมัน หลับตาอย่างเหนื่อยล้าเช่นเดียวกันมันที่คงจะเหนื่อยจนลืมนึกไปว่าตอนนี้เรานอนบนเตียงเดียวกัน  ไม่นานเปลือกตาของผมก็หนักอึ้งด้วยความเหนื่อยล้าจากการไม่ได้พักมาเลยตลอดทั้งคืน

 

 

 

           คณิณขยับตัวตื่นในตอนเกือบห้าโมงเย็น สายตาคมหลุบมองคนที่หลับอยู่ในอ้อมกอด แขนของเศรษฐพงศ์กอดเอวสอบของเขาไว้อย่างหลวมๆ

 

มากอดกันได้ไงวะ? ชายหนุ่มอดยิ้มให้กับใบหน้างุ้ยๆนั่นไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบเบาๆก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนในอ้อมกอด เศรษฐพงศ์ขยับตัวเล็กน้อยคณิณรีบนอนนิ่งๆหลับตาราวกับว่าตัวเองยังไม่ตื่นเอามือออกจากตัวของเศรษฐพงศ์กอดอกตัวเองไว้หลวมๆทำเหมือนกับว่าตนเป็นฝ่ายโดนคนเด็กกว่ากอดอยู่ฝ่ายเดียว

 

เศรษฐพงศ์ถอนหายใจยาวเมื่อรู้สึกตัวตื่น เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นก็พบกับอกของคณิณ เมื่อมองสำรวจดูก็พบว่าตัวเองนอนกอดคนตรงหน้าแน่น เศรษฐพงศ์สะดุ้งจนตัวโยนร่างสั่นสะท้านราวโดนไฟช๊อตเด็กหนุ่มกุมใจตัวเองก่อนจะดึงมือตัวเองออกมาแล้วลุกขึ้นยืน

 

บ้าชิบ

 

ไปนอนกอดมันตอนไหนวะ

 

เศรษฐพงศ์ทำไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าตลอด 2 ชั่วโมงที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้แตะตัวของคณิณเลยซักนิด เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ คณิณค่อยๆหรี่ตาขึ้นมองเมื่อเห็นคนที่เด็กกว่าเข้าห้องน้ำไปแล้วรอยยิ้มกว้างแสนสดใสกว่าพระอาทิตย์ตอนเที่ยงก็เผยออกมาอย่างหุบไม่อยู่ ดวงตาที่ชอบมองจิกทุกสิ่งอย่างโค้งจนเป็นสระอิ

 

ไอ้สัด

 

ท่าเขินมันเมื่อกี๊โคตรน่ารักเลยไอ้เหี้ย

 

อยากได้

 

อยากได้มากๆ

 

อยากได้สัดๆ

 

ปล้ำเลยดีมั้ย

 

โอ้ย...

 

ทำไงดีวะกูเนี่ย!!!

 

 

                หลังจากจัดการล้างหนาล้างตาทำธุระส่วนตัวเสร็จเมื่อออกมาจากห้องน้ำเศรษฐพงศ์ก็พบว่าคณิณตื่นนอนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มนั่งหัวยุ่งอยู่ปลายเตียง

 

                “ไปล้างหน้าสิมึง”

 

                “ใช้ห้องน้ำห้องมึงนะ เดี๋ยวไปหาข้าวแดกกันกูหิวแล้ว”เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ เขาเองก็หิวเหมือนกัน โจ๊ก 2 ชาม สลายเป็นสสารไปนานแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คไลน์กลุ่มแล้วก็ได้แต่ขำเพื่อนๆแต่ละคนที่บ่นกันมายาวยืด

 

ยงวิสุทธิ์บ่นยาวที่สุดในกลุ่มทั้งที่จริงๆแล้วเขาคิดว่าจีรนันท์จะเป็นฝ่ายขี้วีน ไม่กี่นาทีต่อมาคณิณก็ออกมาจากห้องน้ำร่างสูงดูมีสีหน้าสดใสขึ้นกว่าตอนตื่น ผมยุ่งๆถูกหวีอย่างดี

 

                “ป่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนเด็กกว่า ไม่นานคณิณก็ขับรถมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ชายหนุ่มขับรถจอดตามที่พนักงานของแพอาหารติดกับสะพานข้ามแม่น้ำแควโบกให้ เศรษฐพงศ์เคยเห็นแพอาหารริมน้ำหลังนี้แต่ไม่เคยแวะมากินซักครั้ง เด็กหนุ่มเดินตามคณิณลงบันไดชันสู่ด้านล่างที่มีแพ  2 หลังติดกัน คณิณเดินนำไปเลือกที่นั่งริมสุดที่สามารถมองเห็นตัวสะพานข้ามแม่น้ำแควได้ชัดที่สุด ด้านบนสะพานนักท่องเที่ยวเดินเล่นกันบ้างก็ถ่ายรูปบ้างก็ยืนชมวิวตรงจุดพัก พนักงานเสิร์ฟนำเมนูมาให้

 

                “สั่งเลยมึงจะกินอะไรก็สั่ง”

 

                “ท่าทางมึงจะมาบ่อยงั้นมึงสั่งเถอะกูกินได้ทุกอย่าง” เศรษฐพงศ์มองเมนูละลานตาตรงหน้าก่อนจะดันคืนให้คณิณ ชายหนุ่มเปิดเมนูดูพลิกไปพลิกมา 2-3 ครั้ง

 

                “เอาห่อหมกทะเลในลูกมะพร้าวอ่อน ทอดมันกุ้ง ต้มยำเห็ดโคน  ปูหลน  ยำรวมมิตรไม่เผ็ด ไก่ทอดสมุนไพร ผัดผักรวมมิตรแล้วก็ข้าวโถหนึ่ง เอาโค้กลิตร 1 ขวดครับ”เศรษฐพงศ์มองคณิณที่สั่งอาหารแบบน้ำไหลไฟดับ เมื่อพนักงานเสร์ฟเก็บเมนูเดินไปแล้วเศรษฐพงศ์ก็ส่งเสียงดุใส่คณิณในทันที

 

                “มึง มึงลืมไปป่าววะว่าเรามากันสองคน มึงสั่งเหมือนจะเอาไปเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน”

 

                “กูเชื่อในศักยภาพของมึงว่ามึงสามารถกินหมด”

 

                “กูไม่ใช่ชูชกมั้ยล่ะ”คนน้องส่งเสียงแหวใส่อย่างลืมตัวก่อนจะหุบปากฉับเมื่อพนักงานเอาน้ำมาเสิร์ฟ ไม่นานเศรษฐพงศ์ก็ลืมเรื่องที่เถียงกันเมื่อครู่ เด็กหนุ่มหันไปมองวิวทิวทัศน์รอบๆ ลมเย็นพัดมาปะทะผิวหน้าให้รู้สึกสดชื่น ผิวน้ำไหวเป็นคลื่นตามแรงลม เสียงหวูดรถไฟดังมาให้ได้ยินผู้คนบนสะพานต่างพากันเดินเข้าจุดพักด้านข้าง รถไฟล่องรอบสุดท้ายค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาบนสะพาน พระอาทิตย์สีส้มทอแสงโรยอ่อนรับกับผิวน้ำเบื้องล่างเป็นภาพที่สวยติดตาตรึงใจจนเด็กหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ เด็กน้อยบนรถไฟโบกมือทักทายเศรษฐพงศ์เผลอตัวโบกมือกลับก่อนจะหัวเราะเบาๆด้วยความขำกับสิ่งที่ตัวเองทำ ราวๆ 15-20 นาที อาหารที่สั่งไว้ก็ค่อยๆทยอยนำมาเสิร์ฟ คณิณและเศรษฐพงศ์ลงมือรับประทานอาหารไปคุยกันไปเรื่องสัพเพเหระ โคมไฟสีส้มนวลถูกเปิดหลังจากความมืดเริ่มโรยตัว เสียงไวโอลีนแสนหวานค่อยๆดังขึ้น นักดนตรีเดินมาหยุดเล่นที่โต๊ะของเด็กหนุ่มทั้งคู่ เพลงทำนองคุ้นหูหวานแว่วดังถูกเล่นจนจบ คณิณหยิบธนบัตรใบละ 100 มอบให้กับนักดนตรีเป็นรางวัล

 

มื้ออาหารแสนอร่อยกับบรรยากาศดีๆดำเนินไปเรื่อยๆ

 

คณิณอยากให้มันหยุดอยู่ตรงนี้ ตรงที่เศรษฐพงศ์มอบรอยยิ้มให้กับเขาเพียงคนเดียวโดยไมมีใครมากั้นกลาง

 


อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันแม้รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ก็ตาม



หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 19 13/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 13-12-2018 21:07:10
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 20 14/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 14-12-2018 18:30:33




            บรรยากาศการรับประทานอาหารยามเย็นจบลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ของเศรษฐพงศ์ดังขึ้นขณะที่ทั้งคู่กำลังกินผลไม้ล้างปากในเมนูสุดท้าย  คณิณวางส้อมลงกับจานทันทีเมื่อได้ยินเศรษฐพงศ์เรียกชื่อเอิร์น ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้พลางมองเหม่อไปยังสายน้ำเบื้องหน้า พยายามไม่สนใจบทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำหวานของเศรษฐพงศ์กับอารดา แต่กลับจำได้ทุกถ้อยคำ ยิ่งตอกย้ำลงไปว่าเศรษฐพงศ์ไม่ได้มีใจให้เขาซักนิดเดียว

 

ใจของคณิณตอนนี้ไม่ต่างจากลูกบอลที่เหมือนจะสำคัญแต่สุดท้ายเศรษฐพงศ์ก็เตะเขาออกไปไกลตัว พยายามเท่าไหร่สุดท้ายก็ถูกเขี่ยทิ้ง





 

            “อื้อ เซ็ทออกมากินข้าวกับพี่ชายน่ะ แล้วเอิร์นล่ะกินอะไรแล้วหรือยัง”

 

            “คิดถึงสิ เซ็ทคิดถึงเอิร์นมากๆ”

 

            “อยากไปหาเอิร์นแล้ว ไม่รอเรียนจบได้มั้ยอ่ะ”

 

        “หนาวแล้วถ้าผ้าห่มไม่อุ่นพอเดี๋ยวเซ้ทไปกอดเอิร์นก็ได้นะ”

 

               “กอดๆเอิร์นนะครับ”

 

 

 

แต่ละประโยคที่ด้ยินเหมือนฟ้าที่สดใสค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา และจากสีเทากลายเป็นสีดำสนิท ดวงตาขี้เล่นของคณิณกลับมาเป็นดวงตาของคณิณคนเดิมที่ไร้แววพราวระยิบคล้ายมีดวงดาวอยู่ในนั้น

 

ใจของคณิณก็เช่นกัน จากที่เหมือนจะพองฟูกลับค่อยๆแฟ่บลงทีละน้อยคล้ายลูกโป่งที่อัดก๊าซมาจนเต็มปริแล้วเมื่อวันเวลาผ่านไปก็ค่อยๆแฟ่บลงจนไม่เหลือก๊าซอยู่ในนั้นแล้ว

 

ในที่สุดหลังจากเศรษฐพงศ์วางส้อมในมือลงคณิณก็เรียกพนักงานมาเก็บเงิน ธนบัตรใบละพันบาทสองใบถูกวางลงบนถาดก่อนที่เจ้าตัวจะลุกเดินออกไปโดยไม่คิดรอเงินทอนหลายร้อยบาทที่เหลือซักนิด เศรษฐพงศ์รีบเดินตามร่างสูงที่ไม่พูดไม่จาต่างจากตอนแรกที่มาชนิดที่เรียกว่าจากหน้ามือพลิกเป็นหลังมืออย่างสังเกตได้

 

บรรยากาศบนรถเงียบจนเศรษฐพงศ์อึดอัด คนเด็กกว่าลอบถอนหายใจเบาๆ คณิณขับรถด้วยความเร็วค่อนข้างมากจนเศรษฐพงศ์เผลอจิกเบาะด้วยความหวาดเสียว ในที่สุดก็เป็นคนเด็กกว่าที่ทนความอึดอัดใจนี้ไม่ไหว

 

            “มึง....มึงโกรธอะไรกูป่าววะ”



 

 

          คณิณ::

 

ผมหักพวงมาลัยเข้าข้างทางทันทีที่ประโยคคำถามของไอ้เซ็ทจบลง ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ของผมอยู่แล้วทำให้ผมทุบลงบนพวงมาลัยรถซ้ำๆหลายๆครั้งอย่างระบายอารมณ์แล้วฟุบหน้าลงไปเพื่อระงับอารมณ์โกรธ อารมณ์อิจฉาในใจ

 

            “กูไปทำอะไรให้มึงไม่พอใจเหรอวะ”

 

คำถามโง่ๆของมันถูกส่งมาอีกครั้ง ผมเหยียดตัวที่ฟุบลงบนพวงมาลัยขึ้นนั่งตัวตรงอีกครั้ง หันไปมองหน้ามันที่มองผมด้วยสายตาคาดคั้น

 

            “ที่ผ่านมามีซักนิดมั้ยที่มึงรู้สึกดีๆกับกู”ผมตัดสินใจถามคำถามที่เคยคิดไว้ว่าจะไม่ปริปากพูดแบบนี้ออกไป ไอ้เซ็ทมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีดวงตากลมของมันเปลี่ยนเป็นนิ่งสนิทราวผืนน้ำยามไร้คลื่นลม

 

            “เคยบ้างมั้ยซักเสี้ยววินาทีที่มึงจะคิดถึงกู?"



            "........"

 

“ หรือมีแค่กูที่คิดถึงมึงอยู่ฝ่ายเดียว?”



"........"

 

“ มึงบอกกูหน่อยว่ามีซักนิดมั้ยที่จะมีกูอยู่ในใจของมึง”

 

 

 

            “ไม่มี...”น้ำเสียงราบเรียบของมัน สายตาว่างเปล่าของมันทำให้ใจของผมสะท้านเหมือนถูกก้อนน้ำแข็งที่ค่อยๆก่อตัวจนแช่แข็งหัวใจของผมจนเหน็บหนาว ไอ้เซ็ทถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถ

 

            “กูคิดว่าเราสองคนคุยกันเรื่องนี้รู้เรื่องแล้วซะอีกนะ”หลังจากปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมเรามานานหลายนาทีในที่สุดมันก็เปิดปากพูดออกมา

 

            “กูคิดว่ามึงตัดใจได้แล้ว กูไม่มีทางรักมึงแบบนั้นได้ ที่กูให้มึงได้ก็คือเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกัน แต่ถ้ามากกว่านั้นกูคงต้องบอกมึงให้ชัดๆเลยว่าไม่มีทาง”

 

 

 

          คณิณพยายามกล้ำกลืนความปวดร้าวที่แล่นเข้าจู่โจมก้อนเนื้อในอก ฝ่ามือกำแน่นอย่างระงับอารมณ์โกรธที่ก่อตัวหนาราวกับควันพิษ เศรษฐพงศ์ปล่อยให้ความเงียบกลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง เขาไม่อยากให้เรื่องนี้มันค้างคาในใจของทั้งฝ่ายอีกต่อไปแล้ว ถ้าคณิณไม่ตัดใจเขาจะเป็นคนจบความสัมพันธ์แบบนี้เอง

 

เขาไม่มีทางนอกใจอารดา

 

และเขาไม่เคยคิดอะไรกับคณิณเกินเลยไปกว่าเพื่อนหรือพี่น้องเลยซักนิด

 

เขาอาจจะผิดที่ไม่เด็ดขาดแต่แรกปล่อยให้คณิณมีความหวังเพียงเพราะคิดว่าหลังจากเหตุการณ์วันนั้นแล้วคณิณจะตัดใจได้

 

แต่เปล่าเลย...คณิณไม่เคยคิดที่จะตัดใจจากเขาเลยซักนิด

 

เศรษฐพงษ์ไม่รู้หรอกว่าคณิณมาชอบตัวเองด้วยเหตุผลอะไร แต่เหมือนคณิณจะดำดิ่งกับห้วงความรู้สึกนี้มากเกินไปจนอยากจะผูกมัดตัวเขา ซึ่งเด็กหนุ่มไม่ต้องการแบบนี้

 

            “กูไม่ได้อยากเป็นพี่เป็นน้องกับมึงตั้งแต่แรกแล้วป่าววะ”

 

            “ถ้าเป็นพี่เป็นน้องกันไม่ได้ก็ไม่ต้องคุยกัน”

 

            “ไม่เอา!!” คณิณรวบตัวของเศรษฐพงศ์มากอดอย่างหวงแหน

 

            “ไม่เอาแบบนี้”น้ำเสียงที่เคยแข็งกระด้างกลับอ่อนลงอย่างเว้าวอน

 

            “แล้วมึงจะเอายังไง พี่น้องมึงก็ไม่อยากเป็น ตอนนี้แม้แต่ความเป็นเพื่อนกูก็เริ่มคิดว่ามันยากแล้ว”

 

            “แบ่งใจมาให้กูซักนิดไม่ได้เลยเหรอวะ กูชอบมึงจริงๆนะ”คณิณกระชับอ้อมกอดร่างโปร่งบางที่ขืนตัวไว้อย่างหวงแหน เศรษฐพงศ์ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าเด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบหลังคณิณราวปลอบโยนเด็กเล็กๆที่กำลังร้องไห้งอแงยามไม่ได้สิ่งที่ถูกใจ

 

            “ถ้าเราต้องรับรักทุกคนบนโลก โลกนี้คงไม่มีคนอกหัก แต่จะมีแต่คนคบซ้อนเต็มไปหมด กูคบกับเอิร์นก็เพราะกูรักเอิร์นจริงๆ แล้วถ้ากูต้องมาคบกับมึงนั่นมันคงไม่ใช่ความรัก มันคงเป็นความสงสาร แบบนี้มันจะดีกับตัวมึงเหรอวะ ตัดใจจากกูต่อจากนี้ทำเป็นไม่รู้จักกันหรือกลับไปเกลียดกันแบบเดิมก็ได้ กูจะยอมรับการตัดสินใจของมึงและมึงควรเคารพการตัดสินใจของกูด้วย”

 

            “ยังไงก็ไม่ได้ใช่มั้ยวะเรื่องของกูกับมึงไม่มีทางไปต่อได้จริงๆเหรอวะ”รู้ว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจะเป็นยังไงแต่คณิณก็ยังเลือกที่จะถามกลับไปอีกครั้ง หลอกตัวเองอีกครั้งว่าเศรษฐพงศ์อาจจะมีช่วงเวลาที่ลังเลใจบ้างซักนิดหนึ่ง

 

            “ไม่ได้ เลิกหวังเถอะ ต่อจากนี้ไปกูจะถอยห่างจากมึงเอง อีกหน่อยมึงไปเรียนที่นู่นมึงจะได้เจอคนดีๆมึงอาจจะรักใครซักคน ถึงเวลานั้นมึงจะลืมกูได้เอง ตัดใจจากกูซะ นะ มึงเชื่อกูเถอะคิน” ร่างสูงแค่นยิ้มขื่นๆให้กับตัวเอง ก่อนจะคลายอ้อมแขนที่โอบรัดร่างของเศรษฐพงศ์ไว้

 

ตัดใจ...

 

สองคำสั้นๆแค่นี้เองแต่ทำไมพอได้ฟังมันออกจากปากของเศรษฐพงศ์คนที่ขาดใจคือเขาเอง  คณิณจับพวงมาลัยแล้วออกรถราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันทีที่รถเข้ามาจอดในโรงรถเศรษฐพงศ์ก็เปิดประตูออกแล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้านทันที คนโตกว่าไม่ได้เดินตามไปวอแวเช่นทุกครั้ง คณิณทำเพียงออกรถไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาอยากไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องก็ใกล้เศรษฐพงศ์อีก เขาอยากทบทวนความรู้สึกของตัวเอง อยากจะหนีหน้าใครต่อใครด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง คนมีมากมายไม่ไปตกหลุมรัก มีคนเยอะแยะที่อยากเข้าหาเขาใจจะจาดแล้วทำไมเขาต้องมาชอบไอ้เด็กนี่ด้วย

 

  คล้อยหลังได้ไม่นานเศรษฐพงศ์ก็ขับไอ้แดงมอเตอร์ไซค์คู่ใจพร้อมกระบอกแปลนและกระเป๋าเสื้อผ้าออกไปเช่นกัน

 

คงจะไม่กลับบ้านซักระยะหนึ่งจนกว่าจะสอบเสร็จเพราะเขาไม่อยากอยู่ใกล้กับคณิณในเวลาแบบนี้

 

ปล่อยให้ความห่างทิ้งระยะให้คณิณได้ทบทวนความสัมพันธ์ไปก่อน เดี๋ยวอะไรๆมันคงจะดีขึ้นเอง...

 

เศรษฐพงศ์จะไม่ทำตัวให้ความหวังคณิณอีกต่อไป ไม่รักก็คือไม่รัก และไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ

 

แต่ทำไมพอคิดแบบนั้นแล้วใจกลับรู้สึกหวิวๆแปลกๆ

 

มันคล้ายๆว่าจะใจหาย...ทำไมหัวใจของเขากลับรู้สึกเหมือนโดนบีบรัดจนรู้สึกอึดอัดไปหมดแบบนี้นะ





 

 

                “มึงไหวป่าววะไอ้คิน”แดนธรรมยื่นมือไปยึดแก้วเหล้าที่คณิณเตรียมจะส่งเข้าปากอีกครั้ง แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกราวน้ำเปล่า ดวงตาคมติดแววดุอยู่ตลอดเวลานั้นเหมือนมีหยาดน้ำคลออยู่ คณิณใช้ความพยายามอย่างมากที่จะห้ามไม่ให้มันไหลออกมา

 

เจ็บจนหัวใจชา

 

คณิณดึงมือตัวเองออกจากแดนธรรมด้วยความดื้อดึงแล้วยกเหล้าเข้าปากรวดเดียวจนหมดแก้ว

 

            “พอเถอะมึง พรุ่งนี้มีเรียนนะไอ้เหี้ย”แดนธรรมดึงขวดโซดาที่เพื่อนเทพรวดๆลงแก้วออกจากมือคณิณ  ก็พอจะรู้อยู่ว่าคณิณเป็นคนดื้อด้านแค่ไหน แต่ครั้งนี้ดูจะปลอบยากเต็มที  เด็กหนุ่มที่ยังคงครองสติได้ดีกวักมือเรียกบริกรเพื่อคิดเงินรอจนคณิณยกเหล้าที่เหลือซัดอั่กๆจนเกือบหมดนั่นแหล่ะบิลค่าเหล้าถึงจะมา ชายหนุ่มหยิบเงินวางลงถาดยกมือเชิงบอกว่าไม่ต้องทอนก่อนจะหิ้วปีกร่างที่บางกว่าตนเองมากโขโซซัดโซเซจนมาถึงรถ

 

            “เข้าไปไอ้เหี้ย”จับหัวเพื่อนตัวสูงยัดเข้าไปในรถแล้วอ้อมมานั่งที่คนขับ แดนธรรมรีบคว้าร่างของคณิณที่ทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถไปอีกรอบ อยากจะจับหัวโขกกับกระจกให้มันหลับไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็สงสารไอ้เพื่อนหน้าหมาที่ขับรถไปรับเขาออกจากบ้านตอนสองทุ่มพร้อมดวงตาแดงก่ำนั่น ดีว่าโอบนิธิที่มาทำงานที่บ้านเขากลับไปแล้วพร้อมวีรดนัย ไม่งั้นสองคนนั่นต้องแปลกใจแน่ๆว่าทำไมถึงทิ้งเศรษฐพงศ์มา

 

คำพูดของความตัดพ้อน้อยใจพรุ่งพรูราวกับกระแสน้ำแสนเชี่ยวกราก

 

            “กูยอมลงให้กับมันขนาดนี้แล้วมันยังไม่แลกูซักนิด”

 

            “ทำเหมือนใจของกูไม่มีค่า”

 

            “กูอยู่ใกล้มันแค่นี้แต่ตามันมองหาแต่คนที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยไอ้เหี้ย”

 

            “ผู้หญิงชื่อเอิร์นแม่งมีอะไรดีวะ หน้าตาก็ไม่เคยเห็นแต่เสือกมัดใจไอ้เด็กเหี้ยนี่ได้”

 

            “ผู้หญิงคนนั้นจะมาดีมาร้ายอะไรยังไงก็ไม่รู้ทำไมมันถึงรักเขาขนาดนั้นวะ”

 

            “กูต้องทำดีขนาดไหนมันถึงจะชอบกูบ้างวะ ซักนิดก็ยังดี”

 

            “กูแม่งหลงมันจะตายห่าอยู่แล้ว รักมันมากจนบางครั้งก็เหมือนจะหายใจไม่ออก กูจะทำยังไงดี”

 

            “ฮึก...”แดนธรรมถึงกับชะลอรถเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ  เหลือบมองคณิณก็เห็นคนเมาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาลวกๆ

 

มันไม่เคยรักใคร...

 

ข้อนี้เพื่อนๆรู้ดี ที่ผ่านมาแม้จะควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าแต่คนเหล่านั้นไม่เคยได้รับความรักจากคณิณเลยซักคน เหมือนควงเพื่อสนุกวันไนท์แสตนด์พอเสร็จก็แยกย้าย ไม่ผูกมัดไม่ผูกพันถ้าติดใจก็อาจจะมีเจอกันซ้ำ 2-3 ครั้ง

 

เศรษฐพงศ์คือรักแรกของคณิณก็ว่าได้

 

แน่นอนสำหรับเศรษฐพงศ์น่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องค่อนข้างจะเหลือเชื่อไปซักหน่อยเพราะที่ผ่านมาคณิณไม่เคยทำดีด้วยซักครั้ง  ตัวแดนธรรมเองก็แปลกใจ เพราะที่ผ่านมาคณิณไม่เคยมองผู้ชายคนไหน เพื่อนของเขาไม่ใช่เกย์นั่นคือสิ่งที่มั่นใจกันมาตลอด กลุ่มของเขาไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน เขาคิดว่าคณิณนั้นแพ้ความดีของเศรษฐพงศ์โดยไม่รู้ตัว นอกจากนั้นความใกล้ชิดก็มีส่วนให้เพื่อนของเขาเผลอใจรักเด็กนั่นในที่สุด

 

คณิณไม่เคยดูเสียศูนย์ขนาดนี้ เขาไม่เคยต้องมาเสียน้ำตาให้กับใคร และนี่คือครั้งแรก  ในตอนนี้คณิณเหมือนเด็กที่สูญเสียของเล่นชิ้นโปรดไปมีทั้งความเจ็บใจและเสียใจปนเปอยู่ในนั้น

 

คนที่เคยหยิ่งและทรนงในตัวเองอย่างคณิณการที่ยอมลงให้เศรษฐพงศ์ได้ถึงขนาดนี้ ถ้าจะใช้คำว่าลดตัวก็ไม่ได้ดูเกินความจริงไปเลยซักนิด

 

ในฐานะของความเป็นเพื่อนแน่นอนเขาแอบนึกเคืองเด็กนั่นที่ทำให้เพื่อนของเขาเสียใจ แต่ในฐานะคนนอกสิ่งที่เศรษฐพงศ์ทำไม่ได้ผิดเลยซักนิด การรักและซื่อสัตย์ต่อคนที่ตนเองรักนั่นเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง ไม่รู้จะปลอบเพื่อนยังไงชายหนุ่มทำได้เพี่ยงยื่นมือไปยีหัวคนเมาที่พยายามเช็ดน้ำตาออกจากหน้าเงียบๆ คณิณเบี่ยงหัวหลบพลางปัดมือของแดนธรรมออกอย่างไม่ชอบใจ

 

           " ถ้าใครมาเห็นมึงตอนนี้คงหัวเราะเยาะ พี่คินคนที่หยิ่งๆมานั่งร้องไห้เหมือนลูกหมาถูกทิ้งแบบนี้ไม่คูลเลย”

 

            “รักเขามากขนาดนี้เลยเหรอวะ”เอ่ยถามด้วยเสียงที่อ่อนลงเมื่อคณิณทิ้งตัวลงเอนพิงเบาะรถ

 

            “รักสิ...ตอนแรกกูคิดว่ากูแกล้งมันเพราะกูเกลียด แต่พอมันหายไปกูก็เหงา กูอยากแกล้งมันไปเรื่อยๆเวลามันโกรธแม่งโคตรน่ารักเลย กว่าจะรู้ตัวกูก็ไม่อยากให้มันไปไหนเลย ไม่ว่าจะราชบุรี ไม่ว่าจะเป็นที่หอของมันก็ก็ไม่อยากให้อยู่”

 

            “มึงไม่เคยเป็นขนาดนี้เลยนะไอ้คิน ถึงกูจะเป็นเพื่อนมึง แต่กูว่าที่ไอ้เซ็ทมันพูดก็ถูกของมัน มึงลองมองกลับกันสิวะ สมมติว่ามันคบกับมึงอยู่แล้วเอิร์นอะไรนั่นมาขอให้ไอ้เซ็ทแอบคบซ้อนเป็นมึงๆจะยอมแบ่งคนรักให้ใครมั้ย?”

 

            “ไม่!! ถ้ามันเป็นของกูใครก็ห้ามมายุ่งกับมัน มันก็ห้ามไปคุยกับใคร!!”คณิณหันมามองแดนธรรมตาเขียวด้วยความไม่พอใจ

 

            “น่ะ...เป็นมึงๆก็ไม่ยอม แล้วมึงยังไปขอให้มันมาคบกับมึงทั้งๆที่มันรักกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ ถ้ากูบอกอะไรมึงๆจะฟังกูมั้ย?”แดนธรรมมองปฎิกริยาตอบกลับของคณิณ ชายหนุ่มไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธร่างสูงนั่งนิ่งดวงตาไหววูบไปมาเล็กน้อยก่อนจะนิ่งสนิท

 

ในกลุ่มของเขาคณิณอาจจะเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มด้วยบุคลิคเหมือนองค์ชายน้ำแข็งนั้นแต่จริงๆแล้วคณิณก็แค่ไอ้ตี๋น้อยๆของอากงอาม่าเป็นน้องน้อยที่พี่ๆในกลุ่มที่แก่เดือนกว่าต้องคอยดูแลเอาอกเอาใจนั่นแหล่ะ

 

            “มึงต้องเปลี่ยนตัวเองซะใหม่ มึงไล่ตามไอ้เซ็ทมันมากเกินไป แสดงออกว่ายอมลงให้มันมากเกินไป แสดงออกว่าอยากได้มันมากเกินไปจนตอนนี้มึงแม่งโคตรของตาย ต่อไปนี้กูขอให้มึงทำตัวเว้นระยะห่างกับไอ้เซ็ทไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปพูดไปแหย่มัน มันจะคบใครก็ปล่อยมันไม่ต้องไปอ้อนวอนขอความรักจากมันแล้ว  ถ้ามึงรักมันอยากได้มันจริงๆมึงต้องรู้จักที่จะรอ”

 

            “รอ?..รออะไรวะ?”

 

            “มึงเคยบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าตั้งแต่ที่มึงเห็นมันคุยกับผู้หญิงคนนั้นน่ะมันไม่เคยวีดีโอคอลกันเลย ผู้หญิงคนนั้นหลบเลี่ยงที่จะเจอหน้ากับไอ้เซ็ทมาตลอด มึงว่ามันไม่แปลกเหรอวะ?”แดนนธรรมหันไปจ้องตาเพื่อนเป็นเครื่องหมายคำถาม คณิณคิดไปถึงเวลาที่เศรษฐพงศ์คุยกับอารดา

 

ใช่ ทั้งสองคนแชทไลน์กัน คอลกัน แต่ไม่เคยเปิดวีดีโอคอลเลยซักครั้ง เวลาเศรษฐพงศ์ของวีดีโอคอลอารดาจะบ่ายเบี่ยงเสมอ

 

            “คนรักกันชอบกันที่ไหนจะไม่อยากเห็นหน้ากันวะกูถามหน่อย ขนาดมึงยังกระเสือกกระสนไปเฝ้าเค้ายั้นราชบุรี ไอ้เซ็ทเองก็อยากจะไปหาผู้หญิงคนนั้นจะแย่”

 

            “จะย้ำทำเหี้ยอะไรเนี่ย”คนเมาตะคอกเสียงใส่เมื่อได้ยินประโยคแสลงใจ

 

            “กูว่าผู้หญิงคนนี้แปลก กูอยากให้มึงใจเย็น ระหว่างนี้มึงไปใช้ชีวิตของมึงปล่อยให้มันใช้ชีวิตของมัน พอถึงวันหนึ่งถ้าเป็นไปตามที่กูเดา มึงจะมีโอกาสได้ไอ้เซ็ทสูงมาก”

 

            “มึงคิดว่ามันจะเลิกกันเหรอ?”

 

            “ใช่ กูว่ามันจะเลิกกันแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นมึงเลิกนอยด์ เลิกพร่ำเพ้อ ทำตัวเองให้มีความสุข มึงเป็นเสือ ไม่ใช่หมา เจ็บก็ไปเลียแผลเงียบๆ อย่าหอน กูรำคาญ”

 

            “ไอ้เหี้ยแดน!!”แดนธรรมถึงกลับสะดุ้งเมื่ออยู่ๆคณิณก็แหกปากเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่นรถ

 

            “เหี้ยไรของมึงจะตะโกนทำไมกูตกใจ โอ๊ยไอ้เหี้ยใจกูกระตุกวูบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระถังซัมจั๋งช่วยกูด้วย”ชายหนุ่มเอามือกุมใจพลางเรียกขวัญที่กระเจิงของตัวเองให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

 

            “กูขอบใจมึงมากไอ้สัด เนี่ย มาแล้วๆ”

 

            “อะไรของมึง? อะไรมา?  ”แดนธรรมมองหน้าคณิณที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปจากหมาหงอยกลายเป็นสิงโตหนุ่มภายในชั่วพริบตา

 

            “ความฮึกเหิมไงไอ้สัด  เนี่ย กำลังใจกูมาแล้ว ได้ มึงรักกันนักใช่มั้ย ไปรักกันให้จุกอกเลย กูจะรอแดกอยู่ในพุ่มไม้เอง ถึงเวลากูจะแดกตั้งแต่หัวยั้นตีนไม่ให้หนีกูไปได้เลยไอ้เด็กเหี้ย” แดนธรรมมองหน้าตาและท่าทางมุ่งมั่นของคณิณแล้วก็ได้แต่ภาวนาขอให้เพื่อนของเขาไม่เป็นบ้าเพราะความรักมันจุกอกตายไปซะก่อน

 

แต่เห็นคณิณกลับมาฮึกเหิมได้แบบนี้เขาก็ค่อยเบาใจ

 

อย่างน้อยมันเป็นบ้าก็ดีกว่ามันร้องไห้ล่ะวะ

 

ฟูมฟายสัด

 


น่ามคาน...





.........................................



วรั๊ย......แห้ว!!





ไปลูก ไปสู้ รุกมากเขาไม่ชอบเราต้องเปลี่ยนแผน  แค่นี้เอง สู้เค้า รอย่างอดทนนะลูกนะ อาจจะซัก 10-20 ปี เดี๋ยวน้องคงใจอ่อน 55555555555555555









หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 20 14/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 14-12-2018 21:08:36
อ่านแล้วชอบอ่ะ ขำ  รอแดกในพุ่มไม้  คือพี่เป็นตัวอะรัยคะ 55555
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 21 17/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-12-2018 00:29:50

            คณิน::

 

            “ไงมึงไอ้คนเหล็ก” เสียงทักทายทุ้มๆดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องเปิดเข้ามา ไอ้แพทยื่นหน้าเข้ามาสำรวจก่อนจะตามด้วยไอ้แพร ไอ้อ้น ไอ้ว่าน ไอ้แดน ปิดท้ายด้วยพี่โด่ง ผมขยับลุกขึ้นนั่งทันทีที่เพื่อนๆโผล่หัวเข้ามาในตอนเกือบสี่โมงเย็น ไอ้เซ็ทหลบหอบเอารายงานที่มันนั่งป่นอยู่บนโซฟาไปเขียนต่อที่โต๊ะริมหน้าต่างเงียบๆ

 

            “หน้าตาผ่องใสไม่ตายแล้วสินะ”ไอ้แพรแกล้งลูบหน้าผมเบาๆ

 

            “มาทำเหี้ยอะไรกัน”ผมแกล้งถาม ไอ้ว่านกับไอ้อ้นไม่สนใจที่จะตอบคำถามผมมันหันไปให้ความสนใจกับกระเช้าเยี่ยมแทน เมื่อได้ของที่พอใจแล้วไอ้ว่านกับไอ้อ้นก็แกะกินทันทีโดยไม่ขออนุญาตผมเลยซักคำ

 

            “มึงสองคนมาทำอะไรวะ?”ผมถามไอ้สองตัวที่ยัดกล้วยหอมเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย

 

            “เยี่ยมมึงไงเพื่อนรัก”

 

            “ไหนของเยี่ยม?”

 

            “เอาไปทำเหี้ยอะไรกูเอาแค่ความรักความห่วงใยมาฝากมึงก็พอแล้ว”

 

แถหน้าด้านๆ

 

            “แล้วนี่มึงกินอะไรหรือยังวะ แขนเจ็บแบบนี้กินถนัดมั้ย”ไอ้แดนแตะๆไหล่ผมพลางพลิกดูหลังผมเบาๆ

 

            “กินแล้ว กินได้สบายมากกูไม่ได้ตักเอง”ผมพูดพลางเลื่อนสายตาไปมองไอ้คนที่คงไม่ได้สนใจฟังที่พวกผมคุยกันมันเสียบหูฟังฟังเพลงไปทำรายงานไปตั้งแต่ป้อนข้าวผมเสร็จแล้ว

 

          “ไม่ต้องเรียกกูแล้วนะถ้าไม่จำเป็นกูต้องปั่นรายงาน 3 เล่มเนี่ยไอ้เหี้ย”

 

            “แดน พุธนี้พรีเซ้นท์งานทำไงดีวะ กูมาเจ็บแบบนี้หมอยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล”ผมหันไปพูดกับไอ้แดนที่เริ่มหาของกินจากกระเช้าเยี่ยมของผมตามไอ้พวกนั้นไปอีกคน

 

            “เหลือแค่พรีเซ้นท์คือกูคนเดียวก็ไหวมั้งมึง เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูไปคุยกับอาจารย์อีกที”มันยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

 

            “แต่ส่วนของกูมึงจะจำไหวเหรอวะ”ผมยังกังวลเรื่องนี้อยู่ด้วยเนื้อหาที่ผมต้องอธิบายคือส่วนของแปลน

 

            “กูว่ากูไหว จากที่ซ้อมมากูก็พอจะจำส่วนของมึงได้ เดี๋ยวไงพรุ่งนี้กูหอบแบบมาลองพรีเซ้นต์ให้มึงดูถ้าตรงไหนไม่โอเคมึงก็เสริมให้กูก็ได้”

 

            “ฟังคนเรียนเก่งเค้าคุยกันแล้วปวดหัว”ไอ้ว่านมันกระแนะกระแหนก่อนจะลุกเดินไปเปิดตู้เย็น

 

            “โอ๊ะ องุ่น” มันตาลุกวาวเมื่อเห็นองุ่นราคาแพงจานใหญ่แช่ไว้ในตู้เย็น

 

            “วางไว้ที่เดิม”ผมบอกมันสียงเรียบเมื่อไอ้ว่านบังอาจยื่นมือไปหยิบจานองุ่นขึ้นมาถือ

 

            “ไมอ่ะเสี่ย มึงหวงกินอ่อ?”มันหันมาถามด้วยสายตาตัดพ้อ

 

            “ในกระเช้าเยอะแยะไปล้างแดกเอง”

 

            “แต่อันนี้มันแช่เย็นนะเสี่ย”

 

            “จานนั้นไม่ได้”ผมยังยืนยันคำเดิม ออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อไอ้ว่านทำท่าดื้อดึง ผมรู้ว่ามันแกล้งแต่ความหงุดหงิดกลับปิดไม่มิดไปซะอย่างนั้น

 

            “ไหนบอกซิทำไมกินไม่ได้”

 

            “จานนั้นของไอ้เซ็ทมันห้ามยุ่ง วางเก็บกลับไปที่เดิม”ผมพูดจบก็ถูกสายตา 6 คู่มองกลับมา

 

            “น่อออออออ......หวงน้อออ”

 

            “น่อออออออ.....ห้ามยุ่งของน้องเค้าน่อออออออ”

 

            “น่อออออออ....”

 

            “น่อที่หน้าพวกมึงไอ้เหี้ย ของแดกเยอะแยะจะแดกอะไรก็แดกไป”ผมคว้าแก้วน้ำเตรียมจะเขวี้ยงก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทหันมาพอดี มันเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมถือแก้วน้ำไว้ มืออูมๆของมันที่โคตรนุ่มตอนที่มันจับมือผมเมื่อคืนปลดหูฟังออกจากหู

 

            “มึงหิวน้ำเหรอ” มือที่กำลังจะเขวี้ยงแก้วใส่เพื่อนตกลงข้างตัวทันทีราวกับไม่มีแรง

 

            “เออ หิวน้ำ”ผมทำท่าไอให้ดูสมจริงนิดหน่อยไอ้เซ็ทลุกจากเก้าอี้เดินมาหยิบแก้วไปรินน้ำแล้วเสียบหลอดให้ผมดื่ม ผมมองสายตาเพื่อนๆที่จ้องเขม็ง พี่เด่นทำปากขมุบขมิบให้ผมอ่าน

 

            “ตอแหล”ผมดื่มน้ำที่ไอ้เซ็ทป้อนจนหมดครึ่งแก้วนั้น พอมันป้อนผมเสร็จก็ยัดหูฟังใส่หูแล้วกลับไปนั่งทำรายงานตามเดิมตัดขาดพวกผมออกจากโลกของมันอย่างสิ้นเชิง แล้วแม่งเปิดดังจนเสียงเพลงลอดออกมาจากหูฟังให้ได้ยินแว่วๆ

 

            “เหม็นโว้ยเหม็น”ไอ้อ้นทำท่าปัดจมูกไปมา

 

            “เหม็นอะไรน๊า”คราวนี้ไอ้ว่านทำจมูกฟุดฟิด

 

            “เหม็นความรักไงไอ้พวกโง่”ไอ้แพทตบหัวไอ้คอหอยกับลูกกระเดือกสองตัวก่อนจะลอยหน้าลอยตามาพูดใกล้ๆผม ผมสะบัดปลายเท้าใส่มันโชคดีที่มันหลบได้อย่างฉิวเฉียด

 

            “แหม เขินแรงนะไอ้สัด หน้าเบ้เจ็บสิ สมน้ำหน้า” มันเยาะเย้ยผมที่เอามือจับไหล่เบ้หน้าก่อนจะแหกปากหัวเราะอย่างสนุกสนาน

 

นี่สินะเพื่อนแท้ เพื่อนต้องล้อเลียนเพื่อนถากถางเพื่อนจนกว่าจะพอใจสินะ

 

ไอ้พวกชั่ว  พวกมันมาคุยเล่นกับผมจนถึงสี่โมงกว่าๆก็พากันกลับเพราะบางคนยังต้องเคลียร์งานที่อาจารย์สั่ง

 

พยาบาลเข้ามาฉีดยากับวัดไข้ก่อนจะหันไปบอกกับไอ้เซ็ทว่า

 

            “เดี๋ยวเช็ดตัวให้คนไข้ได้นะคะ”ไอ้เซ็ทรับคำอย่างว่าง่าย หลังจากพยาบาลตรวจนั่นตรวจนี่วัดไข้วัดความดันเสร็จแล้วไอ้เซ็ทก็เอาน้ำใส่กะละมังมาวางไว้ข้างเตียง ไม่ลืมที่จะรูดม่านปิดเผื่อมีใครเข้ามาเยี่ยม

 

            “เช็ดตัว”มันว่าพลางค่อยๆดึงสายเชือกที่ผูกเสื้อออกถอดเสื้อลอดสายน้ำเกลือออกจนเรียบร้อยแล้วจัดการเช็ดตัวให้ผมตั้งแต่หน้าจนถึงช่วงท้องแล้วก็เช็ดขา ผมรู้สึกปวดแผลนิดหน่อยตอนขยับตัว ไม่นานมันก็เช็ดตัวให้ผมเสร็จ เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกนำมาวางไว้ก่อนที่มันจะเริ่มใส่เสื้อให้ผมจนเรียบร้อย

 

            “เดี๋ยวมึง”ผมเรียกมันไว้เมื่อมันทำท่าจะเอากะละมังน้ำกับกางเกงที่ยังไม่ได้ผลัดให้ผมไปเก็บ

 

            “อะไร”มันทำหน้าเหวี่ยงใส่ผม

 

            “มึงยังไม่ได้เปลี่ยนกางเกงให้กูมั้ยล่ะจะเน่าแล้วเนี่ย”ผมร้องท้วงมันเมื่อตอนนี้ผมยังใส่กางเกงตัวเดิม ไอ้นี่ตอนเช็ดตัวก็ข้ามบางส่วนไปนี่ยังจะใจดำไม่เปลี่ยนกางเกงให้ผมอีก

 

            “ไม่ได้เปื้อนอะไรก็ใส่ๆตัวเดิมไปนั่นแหละ”มันว่าอย่างไม่ให้ความสำคัญกับสุขลักษณะอนามัยของผม

 

            “ไม่ได้ กูไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำมันสกปรก กูนอนไม่หลับหรอกแบบนี้อ่ะ”ผมยังคงไม่ยอม คราวนี้ไม่มีทางยอมแน่ๆ

 

            “โอ๊ย มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ”มันขึ้นเสียงใส่ผมอย่างหงุดหงิด ผมชักสีหน้าใส่มันทันที

 

            “ถ้ากูไม่ไปช่วยมึงจนตัวเองต้องมาเจ็บตัวกูก็ไม่ต้องพึ่งมึงหรอก ถ้ามึงไม่เต็มใจทำก็ไปเรียกพยาบาลมาแล้วมึงกลับบ้านไป”ผมพูดกับมันด้วยน้ำเสียงที่ตึงยิ่งกว่าหน้า ไอ้เซ็ทชะงักไปหน้ามันเจื่อนอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ มันเอากะละมังน้ำเข้าไปเก็บในห้องน้ำแล้วถือกางเกงตัวใหม่มาหยุดที่ผม

 

            “ที่กูทำเนี่ยเพราะมึงเจ็บตัวเพื่อกูทั้งๆที่กูไม่ได้ต้องการหรอกนะ”มันบ่นเบาๆก่อนจะค่อยๆถอดกางเกงตัวที่ผมใส่ออก แก้มกับหูมันแดงนิดๆ ตาของมันเสมองไปทางอื่นก่อนจะสวมกางเกงตัวใหม่ให้อย่างรวดเร็ว มันรูดม่านเปิดตามเดิมไม่นานอาหารเย็นก็ถูกนำเข้ามาให้ไอ้เซ็ททำหน้าที่หยิบจับบริการผมเหมือนที่ทำมา 2 มื้อ คราวนี้เป็นข้าวสวยกับกับข้าว 2 อย่างผมตักกินเองได้ด้วยมือซ้ายของผม เสียดายนิดหน่อยน่าจะเป็นอาหารเส้นๆอีกเนอะจะได้กินลำบากๆหน่อย

 

เอ๊ะ...

 

 

ผมจัดการกับอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้ด้วยความจำใจ มันไม่ถูกปากผมเลยซักนิดกินได้ไม่กี่คำผมก็วางช้อนลง ไอ้เซ็ทมองผมด้วยสายตาตำหนิที่เห็นข้าวเหลือเต็มถาด

 

            “ข้าวทุกจานอาหารทุกอย่างอย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่าสงสารบรรดาเด็กตาดำๆ”มันท่องประโยคคุ้นหูออกมาราวกับจะประชดก่อนจะจัดการเลื่อนโต๊ะเมโยกับถาดอาหารออกไปวางข้างเตียง ผมไม่ได้ตอบโต้มันเพราะยังเคืองๆมันอยู่กับเรื่องเมื่อเย็นเมื่อพยาบาลเข้ามาจัดยาหลังอาหารให้กับฉีดยาแก้อักเสบในที่สุดผมก็เคลิ้มหลับไป

 

 

ผมรู้สึกตัวตื่นตอนสองทุ่มกว่าๆ ไอ้เซ็ทนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา มันหัวเราะเบาๆเมื่อหนังที่ดูตลกบนตักของมันมีจานองุ่นจานใหญ่ที่ผมพิทักษ์ไว้ให้มันเมื่อตอนบ่ายวางอยู่ มือนุ่มๆของมันก็ส่งองุ่นเข้าปากเคี้ยวช้าๆลูกแล้วลูกเล่า

 

            “กินมั่งดิ่วะ”ผมร้องบอกมันเมื่อมันไม่หันมาสนใจผมซักที ไอ้เซ็ทหันมามองผมก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาผมอย่างว่าง่าย สายตามันก็จดจ่ออยู่กับหนังเรื่องดังที่ค่อนข้างเก่าแล้ว มันยื่นจานองุ่นให้ผมแต่ผมยังคงนิ่งไม่ขยับตัว

 

            “อ่าว หยิบกินดิ่”มันหันมาบอกกับผม

 

            “ป้อนหน่อย”คราวนี้มันละสายตาจากทีวีมามองผมด้วยสายตาขุ่นๆ

 

            “ปวดแผลไม่อยากขยับ”ผมบอกมันตามจริง มันยื่นหลังมือมาอังที่หน้าผากของผม

 

            “ตัวมึงร้อนๆว่ะ เรียกพยาบาลมั้ย?”มันวางจานองุ่นลงบนโต๊ะข้างเตียง ผมส่ายหน้าปฎิเสธ

 

            “ไม่เอา ตอนนี้กูหิว มึงป้อนกูหน่อย”

 

            “กินนมมั้ยเดี๋ยวกูหยิบให้”

 

            “ไม่เอากูจะกินองุ่นกับมึง”มันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง

 

            “เออๆ กูป้อนให้ก็ได้”มันปลิดผลองุ่นออกจากพวงก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากของผม

 

            “ปอกเปลือกด้วย”

 

            “องุ่นบ้านมึงแดกต้องปอกเปลือก เขาแดกกันทั้งเปลือกมั้ย?”มันแหวใส่ผมอีกรอบ

 

            “ก็ตอนแม่กูอยู่ แม่ก็ปอกเปลือกให้กู แม่บอกว่าเปลือกมันยาฆ่าแมลงเยอะ”อันนี้ผมไม่ได้ตอแหลจริงๆนะครับ ตอนแม่ของผมยังอยู่ท่านจะค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วป้อนให้ผมกินทีละลูก ตั้งแต่แม่เสียผมก็ไม่เคยซื้อกินเองอีกเลย ถึงแม้ในบ้านมีวางไว้ผมก็ไม่กิน มีบางครั้งที่น้าลดาว่างแกก็จะนั่งปอกเปลือกใส่กล่องทัพเพอร์แวร์แช่ตู้เย็นไว้ให้ นั่นแหละผมถึงได้กิน

 

มันถอนหายใจเบาๆ สายตาที่มันมองมาที่ผมดูอ่อนลงไปมากโขจากนั้นมันจึงค่อยๆปอกเปลือกองุ่นแล้วยื่นใส่ปากให้ผม พอผมงับองุ่นเข้าปากมันก็ส่งอีกลูกเข้าปากตัวเองทำแบบนี้สลับกันผมถามเนื้อหาหนังจากมันเมื่อมีฉากที่ไม่เข้าใจ บางฉากก็ด่าตัวละครบางฉากก็หัวเราะประสานเสียงไปกับมัน องุ่นลูกแล้วลูกเล่าถูกป้อนเข้าปากของผมกับมันสลับกันไปเรื่อยๆจนกระทั่งองุ่นหมดจานและหนังก็จบเรื่องพอดี

 

ผมแอบยิ้มบางๆ องุ่นที่รสชาติหวานอยู่แล้วพอมันปอกให้กินกลับหวานมากกว่าเดิม

 

สงสัยกว่าจะหายเจ็บคงได้เบาหวานเป็นของแถมแน่ๆ

 

 

 

 

            คณินนอนมองคนที่ซุกกายกับผ้าห่มผืนบางร่างโปร่งของเศรษฐพงศ์นอนราบยาวกับโซฟาตัวยาวมุมห้องไม่ห่างจากเตียงของเขาแพขนตาหนาเหมือนลูกกวางยามกระพริบตาส่งให้ดวงตากลมโตนั้นหวานขึ้น สันจมูกโด่งรับกับโครงหน้าที่มีสันกรามชัดเจน ริมฝีปากอิ่มนั้นคณินจำได้ดีว่ามันนุ่มหยุ่นเหมือนเยลลี่รสชาติดีราคาแพงขนาดไหน

 

            “มึงแม่งมาทำอะไรกับใจกูวะไอ้เซ็ทไอ้เด็กเหี้ย”คนป่วยพึมพำเบาๆก่อนจะปิดเปลือกตาลง

 

 

            เช้าวันใหม่กิจวัตรประจำวันก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ช่วงสายหมอมาตรวจและพูดคุยเกี่ยวกับอาการของเขา ชายหนุ่มอาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนานสองสัปดาห์นั่นเป็นคำพูดที่น่าเบื่อที่สุดในโลก คณินเบื่อทุกอย่างที่เป็นโรงพยาบาล เบื่ออาหารจืดๆ เบื่อพยาบาลที่เดินเข้าออก เบื่อที่ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนตามที่อยากไปแต่อย่างน้อยคณินก็ไม่เบื่อที่มีเศรษฐพงศ์เดินไปเดินมาวนเวียนอยู่ในห้อง เป็นสิ่งๆเดียวที่ทำให้คณินยังพอมีอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เศรษฐพงศ์จะหายออกไปจากห้องก็ตอนที่เขากินข้าวกินยาเสร็จแล้วเด็กหนุ่มถึงจะลงไปหาอะไรง่ายๆที่ร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาลและจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดเพราะคณินบอกว่าไม่อยากอยู่ในห้องพักคนเดียว  รายงานสามเล่มถูกทำเสร็จเรียบร้อยเอาในตอนบ่าย สีหน้าของคณินดีขึ้นแล้วไม่ได้ซีดเหมือนเมื่อวานซึ่งนั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย การอยู่ร่วมกันในห้องพิเศษนี้ไม่ได้อึดอัดตามที่คิดเอาไว้ในตอนแรก นอกจากด่ากันลับฝีปากกันเล็กๆน้อยให้พอหอมปากหอมคอแล้วคณินก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือดูถูกเขาแบบเมื่อก่อนแล้ว

 

เศรษฐพงศ์รู้สึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้คณินไม่ทำความรู้จักกับเขาแบบในตอนนี้ เสียดายเวลาร่วมสองปีที่ทะเลาะต่อยตีกันจนความรู้สึกในใจกลายเป็นเกลียดกันไปในที่สุด ถ้าไม่เอาแต่ทะเลาะกันสองปีที่ผ่านมาเขาและคณินอาจจะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ดูได้จากเมื่อวานที่เพื่อนๆของคณินมาพวกเขาดูรักใคร่กลมเกลียวกันดีแม้จะมีแกล้งกันบ้าง ถึงเขาจะเสียบหูฟังแต่ก็แอบมองอยู่เป็นระยะ คณินยิ้มกว้างหัวเราะเสียงดังเมื่ออยู่กับเพื่อน ดูแล้วไม่ได้ต่างจากตอนที่เศรษฐพงศ์อยู่กับเพื่อนเลย

 

ตัดความกวนประสาทและเอาแต่ใจออกไปคณินก็คือเด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ธรรมดาๆคนหนึ่ง

 

แล้วทำไมมันชอบกวนตีนเขาแท้วะ

 

ระหว่างวันยังคงมีเพื่อนๆของพ่อแวะมาเยี่ยมเยือนคณินอยู่เรื่อยๆ แม้เด็กหนุ่มจะเบื่อแสนเบื่อขนาดไหนเขาก็ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มต้อนรับคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าเป็นมิตร คณินโตพอที่จะรู้ว่าคนเหล่านี้คือผลประโยชน์และรายได้ที่เขาจะมีในอนาคต เด็กหนุ่มรู้จักใช้คำพูดคำจาให้ผู้ใหญ่เอ็นดูแต่ก็ไม่ได้ใสซื่อจนดูตามไม่ทัน ตกบ่ายนั่นแหละถึงได้พักอย่างจริงๆจังๆ เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังออกมาจากคนสองคนพร้อมกัน เศรษฐพงศ์เองก็เหนื่อยไม่แพ้คณิน เด็กหนุ่มเหนื่อยกับการกลายเป็นที่จับจ้องและตอบคำถามน่าเบื่อซ้ำๆเพียงเพราะเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของคณิตสายตาดูถูกเลยถูกส่งมาให้อย่างไม่คิดจะปิด

 

ทำดีกับเขาไปก็ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน ยังดีที่มีบางคนยังคงหลงเหลือคำว่ามารยาททักทายเขาอย่างห่างเหินแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายนัก เศรษฐพงศ์จัดการห่มผ้าให้กับคนป่วยที่หลับไปอีกรอบจ้องมองใบหน้าหล่อสะอาดนั้นแล้วก็ยื่นมือไปลูบผมคนป่วยเบาๆ

 

ความรู้สึกสงสารแล่นเข้ามาในใจของเศรษฐพงศ์คล้ายๆหมอกในยามเช้ามันก่อตัวอย่างช้าๆ

 

คณินคือสะพานที่คนเหล่านั้นใช้เดินเพื่อเขเหาผลประโยชน์ และเช่นกัน คณินคือสะพานที่พ่อก้าวข้ามไปตักตวงจากคนพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ บรรดากระเช้าของฝากต่างมีนามบัตรบริษัทตัวเองติดไว้เด่นหรา

 

โลกของผู้ใหญ่มันน่ากลัว ผลประโยชน์ทำให้มองข้ามหัวใจอันบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งไปตั้งแต่ต้น จะมีใครซักคนมั้ยที่มาเยี่ยมคณินอย่างจริงใจนอกจากกลุ่มเพื่อน คำตอบคือไม่มี ยิ่งพอรู้ว่าคณิตไม่ได้อยู่กับลูกชายคนเหล่านั้นมาฝากเนื้อฝากตัวแล้วก็จากไป เศรษฐพงศ์อยากจะเอาป้ายห้ามเยี่ยมไปติดให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีสิทธิ์มากมายขนาดนั้น เด็กหนุ่มใช้ช่วงเวลาที่คนป่วยหลับแกะเอาผลไม้พวกแอปเปิ้ล ฝรั่ง องุ่นไปล้างแล้วปอกเปลือกแช่เย็นไว้ หลังจากได้อยู่ด้วยกันมา 2 วันเศรษฐพงศ์รับรู้อีกอย่างว่าคณินกินผลไม้ต้องปอกเปลือกทุกชนิด แม้แต่ส้มก็ต้องลอกใยออก ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยเห็นคนป่วยกินผลไม้เพียงเพราะว่าไม่มีใครเตรียมไว้ให้

 

คณินถูกแม่เลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน ลูกชายของเธอจะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด สะอาดที่สุด ปลอดภัยที่สุด ส่วนคณิตเลี้ยงลูกอย่างผู้ชายเลี้ยงไม่มีความละเอียดอ่อนบ่อยครั้งเต็มไปด้วยความละเลยปล่อยปละ ไม่แปลกถ้าคณินจะมีนิสัยหยาบกระด้างในบางครั้ง เศรษฐพงศ์ปอกผลไม้เรียงใส่กล่องอย่างตั้งใจ แยกชนิดแล้วแช่ตู้เย็นก่อนจะคว้ากุญแจรถออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มขับออกมาไกลจนถึงตลาดเรดซิตี้เพื่อหาข้าวไว้กินตอนเย็น ขนมกินเล่น ลูกชิ้น ไส้กรอกย่างถูกสั่งมาในปริมาณที่พอกินกัน 2-3 คน เพราะจำได้ว่าเย็นนี้แดนธรรมจะหอบปัญหาพิเศษมาซ้อมพรีเซ้นท์กับคณิน แวะซื้อข้าว 3 กล่องทุกกล่องสั่งพิเศษทั้งหมด ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทยนั้นของคณินเพราะคนตัวสูงกินเผ็ดไม่ได้แถมแผลก็ยังใหม่จะสั่งข้าวผัดก็มีไข่เป็นส่วนผสมเศรษฐพงศ์ไม่อยากให้กินเพราะกลัวแผลจะหายช้า เขาจำได้ว่ายายเคยสอนว่าถ้าเป็นแผลแล้วกินไข่จะหายช้าและแผลเป็นจะชัด ผิวของคณินไม่ควรต้องมามีแผลเป็นน่าเกลียดเพราะเขาเลยด้วยซ้ำ ส่วนข้าวผัดกะเพราอีก 2 กล่อง สำหรับเขาและแดนธรรม เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้วเศรษฐพงศ์ก็ขับรถกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คนป่วยยังคงหลับอยู่อาจจะด้วยความเพลียหรือฤทธิ์ยาเศรษฐพงศ์ก็ไม่รู้ วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วเดินมาหยุดข้างเตียง ยื่นมือไปแตะผิวแก้มนั้นเบาๆก็พบว่าไข้ของคนป่วยลดลงแล้วตัวไม่ร้อนรุมๆแบบเมื่อคืนแต่ตอนจะชักมือออกคนป่วยกลับจับมือของเขาไว้แล้วซุกแก้มราวกับลูกแมวขี้อ้อน คณินไม่ได้พูดอะไรออกมานั่นทำให้เศรษฐพงศ์รู้ว่าคนตัวสูงแค่ละเมอหรืออาจจะกำลังฝันหวานถึงใครซักคน ริมฝีปากที่ชอบพ่นคำพูดร้ายกาจนั้นยิ้มบางๆราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลับฝันดีและเขาเองก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทำลายความฝันนั้นของใครจึงปล่อยให้คณินยึดมือของตัวเองไว้อย่างนั้น ร่างโปร่งนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองคนป่วยจนความง่วงเข้าควบคุมเขาไปอีกคน

 

            แดนธรรมมาหาคณินตอนเลิกเรียนเมื่อเปิดห้องเข้าไปก็พบคนป่วยและคนเฝ้านอนหลับโดยคนเฝ้านั่งหลับอยู่ข้างๆเตียงมือของเศรษฐพงศ์ถูกคณินกุมไว้โดยมีใบหน้าซบลงไปอีกที

 

ไอ้คนปากแข็งเอ้ย หลงเขาหัวปักหัวปำแต่ดันไม่รู้ตัว แดนธรรมไม่ปล่อยโมเม้นท์นี้ให้พลาดไปอย่างเปล่าประโยชน์ร่างสูงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปก่อนส่งให้เพื่อนๆดูในกรุ๊ปไลน์ ข้อความกระแนะกระแหนถูกส่งกลับมาราวกับหางว่าว ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆกับข้อความของเพื่อนๆก่อนจะแกล้งเดินออกไปจากห้องแล้วเคาะประตู เศรษฐพงศ์สะดุ้งๆน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงเคาะเด็กหนุ่มลืมตาตื่นพลางดึงมือออกจากมือคณินเช็ดหน้าเช็ดตายืนขึ้นบิดขี้เกียจก็พอดีกับที่แดนธรรมเปิดประตูเข้ามาพอดี

 

            “หลับเหรอ?”ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วแต่แกล้งถามเพื่อความเนียน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ

 

            “หลับนานยัง?”

 

            “ตั้งแต่บ่ายสาม วันนี้คนมาเยี่ยมเยอะเมื่อคืนไข้ขึ้นหมอให้ยาแล้วก็หลับเลย จะปลุกมั้ย?”

 

            “ไม่เป็นไรให้มันนอนไปก่อน รอได้ แล้วนี่มึงกินอะไรยัง?”แดนธรรมเอ่ยถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงๆพวกเขาเองไม่ได้เกลียดพวกของเศรษฐพงศ์ ที่ผ่านๆมาเขาแค่เป็นพวกเพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ

 

            “กูกินไปแล้วเมื่อบ่าย เออ กูซื้อข้าวมาเผื่อมึงด้วยนะถ้าหิวก็กินได้เลย”เศรษฐพงศ์ชี้ๆไปยังกองของกินที่วางไว้ แดนธรรมพยักหน้ารับเอ่ยขอบใจเบาๆ

 

            “มึงอยู่เป็นเพื่อนมันก่อนได้มั้ยกูขอกลับบ้านหน่อย พรุ่งนี้กูมีเรียนจะกลับไปเอาชุดนักศึกษา”

 

            “เออได้ๆมึงไปเถอะ”

 

            “ถ้าข้าวเย็นมามึงบอกให้มันกินเยอะๆหน่อยนะ ข้าวในกล่องอย่าเพิ่งให้มันกิน แล้วก็ถ้ามันไม่อิ่มเอาผลไม้ในตู้เย็นให้มันกินล้างปากนะ”เศรษฐพงศ์สั่งสำทับเมื่อแดนธรรมพยักหน้ารับเด็กหนุ่มจึงคว้าเป้สะพายหลังออกจากห้องไป ราวๆ 20 นาทีพยาบาลก็เข้ามาวัดไข้แล้วให้ยาก่อนข้าวคณินถึงได้รู้สึกตัวตื่น สายตาคมกวาดตามองหาคนเฝ้าแต่ก็พบเพียงแดนธรรมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว

 

            “ไอ้เซ็ทล่ะ”

 

            “แหม ตื่นมาก็ถามหาเลยนะ เป็นอะไรกับเค้าอ่ะ”เก็บโทรศัพท์พลางเอ่ยแซวเสียงเรียบแต่ดวงตาของแดนธรรมนั้นเป็นประกายอย่างนึกสนุก

 

            “ไม่เสือกดิ่”คนป่วยบริภาษกลับอย่างชินปาก

 

            “กูว่าไอ้เซ็ทมันน่ารักดีว่ะ ดูสิมันซื้อของกินมาเตรียมไว้รอกู กูถามจริงๆนะไอ้คินมึงชอบมันป่าววะ”แดนธรรมแกล้งหยั่งเชิง เค้ารู้ว่าคณินน่ะเป็นพวกปากแข็งชนิดว่าเอาคีมมาง้างก็ไม่ออก

 

            “ชอบเหี้ยอะไร”

 

            “ก็ดี ถ้ามึงไม่ชอบกูว่าจะจีบแม่ง น่ารักดี”

 

            “อย่ามายุ่งกับมัน”คณินเอ่ยเสียงตึงหัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้

 

            “มึงเอาสิทธิ์อะไรมาห้ามกูวะ ในเมื่อมึงไม่ชอบกูมีสิทธิ์จะจีบมันป่าววะ กูถือคติไม่ยุ่งกับคนที่เพื่อนชอบมึงก็รู้กูถึงได้ถามมึงก่อนถ้ามึงชอบมันกูจะได้ถอย”แดนธรรมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่สายตาขี้เล่นกลับดูจริงจัง เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในกลุ่มอยู่แล้วถ้าเพื่อนคนใดคนหนึ่งไปชอบใครคนที่เหลือจะไม่จีบแข่งเด็ดขาด คณินมองแดนธรรมด้วยสายตาอ่านไม่ออกก่อนน้ำเสียงทุ้มจะเอ่ยชัดทุกถ้อยคำ

 

            “เออ กูชอบมัน พอใจมึงยัง?”

 

 

 

 

......................

10 แต้มให้แดนธรรมค่ะ



อากีล่าเราจะทำดีที่สุด เฮ๊!!!



ช่วงไหนอ้อนได้ก็ตักตวงไว้เยอะๆ เดี๋ยวหายก็ไม่ได้อ้อนแล้ว



ปล.มันมีจริงๆนะคนที่กินองุ่นต้องปอกเปลือกน่ะ พี่คินไม่ได้ดัดจริต



ปกติคือถ้าต้องปอกเองพี่คินถือคติแดกยากก็ไม่แดกแม่งแล้ว 55555555555
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 21 17/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 17-12-2018 18:00:10
เนี่ย มังต้องอย่างนี้ พี่คิณอ่ะต้องใจแข็งบ้าง

เซ็ทมันต้องซมซานกลับมาหาแน่นวล

รอออออออนะค้าาาา  :bye2:

ปล. ตอนล่าสุดเหมือนลงซ้ำรึเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 21 17/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-12-2018 20:24:54
อุแง...ไม่ซ้ำนะคะ
เนี่ย มังต้องอย่างนี้ พี่คิณอ่ะต้องใจแข็งบ้าง

เซ็ทมันต้องซมซานกลับมาหาแน่นวล

รอออออออนะค้าาาา  :bye2:

ปล. ตอนล่าสุดเหมือนลงซ้ำรึเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 22 19/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 19-12-2018 22:08:33

                คณิน::

 

ผมลืมตาตื่นในตอนเช้า เสียงพูดคุยดังแว่วๆจากด้านล่างที่เป็นสวนหย่อมที่เราเอาไว้นั่งเล่นหรือจัดเลี้ยงสังสรรค์กันในบางโอกาส เสียงที่คุ้นเคยดังมาให้ผมใจเต้นแรงเล่นเสียอย่างนั้น

 

เสียงหัวเราะของไอ้เซ็ท อีกเสียงหนึ่งที่พูดคุยกับมันก็คือน้าลดา วันนี้คงไม่มีงานที่ต้องรีบไปตอนเช้าน้าลดาถึงได้มีเวลามานั่งเล่นพูดคุยกับลูกชายได้ ผมเดินไปแอบแง้มม่านดูเห็นมันนั่งกินสาคูไส้หมูอยู่ แก้มมันตุ่ยเป็นก้อนเหมือนหนูแฮมสเตอร์ยามที่ยัดสาคูไส้หมูไปทั้งลูก

 

น่ารักชิบหายเลย

 

น่ารักจนเลือดกำเดาเกือบไหล

 

แก้มฟูๆของมันที่นุ่มกว่าใคร ปากงุ้ยๆของมันยามเคี้ยวตุ้ยๆนั่นก็นิ่มตรึงใจ

 

ความรักทำไมมันทรมานขนาดนี้นะ อยากพูดคุย อยากได้รับเสียงหัวเราะนั้นแต่สิ่งที่ทำได้คือแอบมอง เข้าใกล้มาไปก็โดนถอยห่าง อยู่ไกลๆก็ทรมาน เจ็บจนต้องยกมือขึ้นมากุมอกซ้ายไว้

 

เจ็บจนตัวงอ

 

ผมหมกตัวเองอยู่ในห้องจนเกือบเที่ยง ปฏิเสธการลงไปกินข้าวร่วมโต๊ะในตอนเช้าด้วยข้ออ้างว่าง่วงอยากนอน เมื่อลงมาข้างล่าง น้าลดากำลังเตรียมอาหารกลางวันอยู่ และแน่นอนไอ้เซ็ทกับพี่เรียมเป็นลูกมือ

 

                “อ้าวคิน จะไปไหนคะ ไม่อยู่กินกลางวันเหรอลูก วันนี้น้าทำขนมเบื้องญวนเห็นคินบอกอยากกินนี่นา”ผมชะงักกับเสียงร้องทักของน้าลดา ส่งยิ้มพลางส่ายหน้าให้

 

                “ไม่ล่ะครับ น้าลดาทานกับป๊าเลยคินจะออกไปธุระกับพวกไอ้แดน”

 

                “เสียดายจัง นานๆจะว่างอยู่บ้านได้ งั้นไปเถอะค่ะ ขับรถดีๆนะ”น้าลดาบ่นเสียดายที่ผมไม่อยู่กินขนมเบื้องญวณกับแกอีกสองสามคำกับไอ้เซ็ทซึ่งผมก็ไม่ได้อยู่ฟังรีบขับรถออกมาก่อน

 

และแน่นอนผมคงไปไหนไม่ได้นอกจากบ้านไอ้แดน ผมใช้เวลาขลุกอยู่ที่บ้านไอ้แดนหลายชั่วโมง ไม่ได้ทำอะไรมากแค่นั่งๆนอนๆ ดูหนัง เล่นเกมส์ ช่วยมันจัดกระเป๋าที่จะย้ายไปอยู่หอที่กรุงเทพ ไอ้แดนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยมีพี่เด่นช่วย มันจะย้ายไปอยู่กับพี่เด่น ส่วนผมติดต่อเช่าคอนโดใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยไว้แล้วเหลือแค่รอย้ายเข้า พวกไอ้แพร ไอ้ว่าน ไอ้แพท ไอ้อ้นตกลงแชร์ห้องกันใกล้ๆกับคอนโดของผม ป๊าบอกว่าถ้าชอบป๊าจะซื้อให้แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นั่นถาวรอยู่จนถึงเรียนจบก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ ผมนอนดูหนัง นอนคุยกับไอ้แดนด้วยเรื่องสัพเพเหระ แน่นอนเรื่องไอ้เซ็ทเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา  ความอัดอั้นต่างๆถูกระบายให้ไอ้แดนฟัง

 

แน่นอนคนเจ้าแผนการณ์อย่างไอ้แดนสามารถให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อผมได้  อย่างน้อยถึงมันจะลำบากใจแต่คำพูดดีๆของมันก็ช่วยเยียวยาจิตใจอันอ่อนล้าของผมให้พอมีแรงฮึดขึ้นมาได้บ้าง

 

บางทีผมก็คิดนะว่าผมควรพอ

 

มันไม่มีทีท่าว่าจะมีใจให้ผมเลยซักนิดแล้วผมจะยื้อความรู้สึกนี้ไว้ทำไม

 

ไม่แน่ถ้าไปเรียนที่กรุงเทพ ต้องห่างกับมัน หัวใจของผมอาจจะเยียวยาตัวเองฟื้นฟูความรู้สึกตัวเองให้ดีขึ้นมาได้

 

บางทีผมอาจจะเลิกรักเลิกชอบมันได้ในไม่ช้า  หวังว่าถึงตอนนั้นใจของผมคงจะยังไม่พังมากไปกว่านี้แล้ว

 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมนอนมองนาฬิกาที่ผนัง สองทุ่มกว่าแล้วไอ้คินยังไม่กลับมา  ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่ามันพยายามหลบหน้าผมหรือว่ายังไง  แต่ตอนนี้เหมือนผมจะมั่นใจหน่อยๆล่ะ

 

ใช่ ไอ้คินหลบหน้าผม

 

ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดี แต่การที่ต้องอยู่ในบ้านด้วยกันแล้วลุงมาจับสังเกตได้ว่าผมกับมันตึงๆกันอยู่อันนี้ก็ไม่เวิร์คแฮะ  ผมนอนคุยไลน์กับเพื่อนๆเรื่อยเปื่อยจนเกือบสามทุ่ม เสียงรถยนต์ก็มาจอดหน้าบ้าน

 

แน่นอนเสียงคุ้นหูนี่ไม่ใช่รถใครหรอก ผมรีบวิ่งไปแอบดูตรงหน้าต่าง ไอ้คินลงมาเปิดประตูรั้วด้วยตัวเอง หน้าตาบึ้งๆของมันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนผมหลุดขำ

 

คนอะไรชอบทำหน้าเหมือนมีขี้ติดปลายจมูกอยู่ตลอดเวลา มันขับรถเข้ามาในบ้าน วกกลับไปปิดประตูอีกรอบไม่นานเสียงเปิดประตูและปิดลงก็ดังจากห้องของมัน

 

มันขึ้นห้องมาเร็วอย่างนี้แสดงว่าไม่กินข้าวที่แม่ครอบไว้ให้ในครัว  ผมเดินลงไปข้างล่างเปิดตู้เย็นแล้วเอาไส้ขนมเบื้องญวนออกมาอุ่น  เอาไข่ที่แม่ทำไว้ให้เวฟนิดหน่อยให้พออุ่นแล้วห่อไส้ที่เตรียมไว้ จัดจานแบบที่คิดว่าน่ากินที่สุดตักอาจาดใส่ถ้วยเล็กๆแล้วถือขึ้นมาด้านบน

 

                “คินเค้าเปรยๆว่าอยากกินขนมเบื้องญวนมาหลายวันแล้ว บอกว่าตอนเด็กๆแม่ทำให้กิน หลังแม่เสียก็แทบจะไม่ได้กินอีกเลย เคยไปซื้อกินแต่ไม่อร่อยแม่เลยจะทำให้ไหนๆก็อยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตาแต่เจ้าตัวดันมีธุระซะนี่ ขนมเบื้องของแม่เลยเป็นหม้ายเลย” ผมฟังแม่บ่นด้วยเสียงงุ้งงิ้งตามแบบของแม่ ก่อนจะขอให้แม่ทำเผื่อไว้อีกชุด

 

                “ทำไว้ทำไมล่ะลูก?”

 

                “เซ็ทเอาไว้กินตอนกลางคืนน่ะแม่เผื่อหิว”ผมตอบแม่พลางส่งยิ้มการค้าไปให้อีกทีหนึ่ง แม่ไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงผัดไส้แล้วทอดไข่ให้ใหม่ บอกวิธีการอุ่นให้ผมเรียบร้อย  ตกเย็นผมก็อยู่บ้านเพียงคนเดียวเพราะลุงกับแม่ออกไปงานเลี้ยงที่โรงแรม

 

ผมเดินมาหยุดหน้าห้องของไอ้คิน หยุดคิดอย่างช่างใจนิดหนึ่ง

 

แบบนี้มันจะดีมั้ยวะ

 

ทำแบบนี้จะไปให้ความหวังมันอีกหรือเปล่า

 

ถ้าตอนนี้ไอ้คินมันกำลังตัดใจจากผมอยู่การที่มันหมางเมินใส่ผมแบบนี้ก็ดีแล้วนี่ แล้วผมจะมาห่วงความรู้สึก ห่วงตัวมัน เอาตัวเข้ามาใกล้ชิดกับมันอีกทำไม แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นผมเองเหรอที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างเราเข้ามาหามันเอง

 

คิดได้ดังนั้นผมมองขนมเบื้องญวนในมือถอนหายใจเบาๆ

 

ขอโทษน๊า สงสัยฉันคงต้องกินแกเองตามที่บอกแม่แล้วล่ะ

 

ผมก้าวขาเตรียมจะกลับห้องก็พอดีกับประตูห้องของไอ้คินเปิดออกมา...

 

 

 

คณินเหลือบตามองเศรษฐพงศ์ที่ยืนหน้าตาตื่นท่าทางเก้ๆกังๆนั้นดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังลนลาน ในมือมีจานขนมเบื้องญวนชิ้นใหญ่ถืออยู่

 

                “มีอะไร?”น้ำเสียงเย็นชาหมางเมินถูกส่งไปให้ เจ้าของเสียงกลั้นใจทำเข้มแทบตายเพื่อรักษาภาพขรึมของตัวเองไว้ แม้ในใจจะเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ดูก็รู้ว่าคนเป็นน้องเอาของที่ถือมาให้เขา  อยากจะยิ้มให้เหงือกแห้งแทบแย่แต่ก็ต้องดึงหน้าไว้

 

คลามดาวน์คณินเอ็งต้องฮึ๊บไว้ คลามดาวน์นาววววว

 

                “เอ่อ..คือ...กู...”เศรษฐพงศ์หลุบตามองเท้าตัวเองต่ำพูดจาตะกุกตะกักราวกับคนที่ลืมวิธีการพูด

 

                “ถ้าไม่มีอะไรก็ช่วยหลบด้วยกูจะลงไปกินข้าว”คณินยังคงส่งน้ำเสียงเรียบสนิทไปให้ ทำท่าจะเดินเลยผ่านคนน้องไปจนเศรษฐพงศ์ต้องคว้าต้นแขนไว้  คณินมองมืออูมๆที่จับแขนตัวเองไว้ ในใจราวกับมีสล็อตออกมาเต้นระบำเริงรื่นนับล้านตัว

 

แม่ครับไอ้เซ็ทจับแขนผม มันแตะเนื้อต้องตัวผมแบบนี้ผิดผีมั้ยครับ แง้ มารับผิดชอบกูเลยไอ้สัด  อย่า อย่ายิ้มนะไอ้เหี้ยคินมึงต้องคีพลุค คลามดาวน์ คลามดาวน์นะไอ้คิน

 

                “เดี๋ยวสิ...”เศรษฐพงศ์รั้งต้นแขนของอีกฝ่ายเมื่อคณินจะดึงออก

 

                “กูเก็บไว้ให้มึง เห็นแม่บอกมึงอยากกิน”

 

                ไม่จำเป็นป่าววะ”

 

                “จำเป็นสิ กินก็อยากให้ได้กินด้วยกันทั้งบ้านมึงรีบกินนะกูเพิ่งอุ่นมาให้ยังร้อนๆอยู่ กูไปล่ะ” เศรษฐพงศ์ยัดจานใส่มือคณินก่อนจะหมุนตัวก้าวฉับๆกลับห้องของตัวเองไป  คณินมองจานขนมเบื้องญวนชิ้นใหญ่ในมือก่อนที่ริมฝีปากจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ  ชายหนุ่มรีบประคองจานเข้าห้องล็อคประตูอย่างดีพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปคู่กับจานขนมเบื้องญวนไปประมาณร้อยกว่ารูป ส่งรัวๆไปให้แดนธรรมจนเพื่อนคนสนิทโทรมาด่าจนหูแทบชา

 

                “พอแล้วไอ้สัดคินปลื้มขนาดนี้อย่าแดกเลยถ้าแดกไปแล้วก็อย่าขี้เก็บไว้กราบเถอะไอ้สัดแค่ขนมเบื้องญวนจานเดียวทำยังกะเค้ายอมให้เยไอ้เหี้ย”

 

 

 

 

 

 

          คณินเอาข้าวของที่เตรียมจะเอาไปใช้ที่กรุงเทพมาวางลงบนเตียงพลางตรวจเช็คสิ่งที่ยังขาด ชายหนุ่มเปิดประตูห้องทิ้งไว้เพื่อให้แม่บ้านมาทยอยขนไปใส่รถ ลดาเดินมาดูเผื่อคณินจะมีอะไรให้ช่วย ชายหนุ่มเอ่ยปฎิเสธน้ำใจนั้นของแม่เลี้ยงด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีอะไรมากแล้วที่เหลือก็แค่แบกข้าวของพวกนี้ไปใส่รถ

 

            “งั้นเดี๋ยวน้าเรียกเซ็ทมาช่วยยกนะคะ”

 

            “ไม่เป็นไรครับน้า เดี๋ยวผมยกลงไปเองดีกว่า”คณินรีบร้องห้ามเมื่อลดาบอกว่าจะไปตามลูกชายให้มาช่วยยกของ

 

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะอีกอย่างแขนคินเวลายกของหนักจะเสียวแปล๊บๆไม่ใช่เหรอคะ ให้เซ็ทช่วยยกนั่นแหละค่ะ”ลดาสรุปเสร็จสรรพด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่คณินโดนยิงมาหล่อนก็รู้สึกขอบคุณที่เด็กหนุ่มช่วยชีวิตลูกของหล่อนไว้ เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆไม่ถือเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง คนเป็นแม่ก้าวเร็วๆไปหยุดหน้าห้องลูกชายที่ยังคงเงียบกริบก่อนเคาะประตูเบาๆ รอไม่นานเศรษฐพงศ์ก็เปิดประตูออกมา

 

            “มีอะไรครับแม่?”ชายหนุ่มสวมแว่นสายตาแสดงว่ากำลังอ่านหนังสือหรือไม่ก็เล่นคอมพ์ เศรษฐพงศ์อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตลายสก๊อตสีแดงกับกางเกงยีนส์เข้ารูปเผยช่วงขาเรียวยาวเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในช่วงบ่ายนี้

 

            “เซ็ทไปช่วยพี่คินยกกระเป๋าทีลูก แขนพี่เค้าไม่ค่อยดี เดี๋ยวแม่จะลงไปดูเรื่องของกินที่จะเอาไปไว้ที่คอนโดพี่เค้าข้างล่าง ไม่รู้เด็กๆเตรียมเสร็จยัง”

 

            “อ่อ ครับๆ เดี๋ยวเซ็ทไปช่วยเอง”เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย มองไปที่ห้องของคณินก็เห็นเงาร่างของเจ้าของห้องเดินไปเดินมาผ่านบานประตูนั้น เศรษฐพงศ์ขยับแว่นให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปยืนพิงกรอบประตูห้องของคนที่แก่กว่า คณินทำเพียงปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าต่อราวกับไม่มีเศรษฐพงศ์อยู่ในสายตา

 

            "มีอะไรให้ช่วยมั้ย?”เมื่อทนความอึดอัดไม่ไหวสุดท้ายคนเป็นน้องก็เอ่ยปากก่อน เศรษฐพงศ์หน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อคณินยังคงไม่สนใจเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องนอนของคนพี่ เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าคณินนั้นช่างงี่เง่ากวนใจเขาเสียเหลือเกิน ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าๆที่กลับมาอยู่บ้านคณินสร้างกำแพงแข็งแกร่งใส่ทุกคนไม่เพียงแต่เขาที่โดน กำแพงนั้นเหมือนจะปิดกั้นทุกคนในบ้านไม่ให้เข้ามาถึงรวมทั้งพ่อของเจ้าตัวด้วย บรรยากาศในบ้านมันแย่ลงไปมากจากที่มันดีขึ้นมากๆหลังที่คณินโดนยิง

 

และแน่นอน คนที่ทำให้มันแย่ลงไปคือเขาเอง

 

เขาไม่รู้หรอกว่าคณินจะรู้สึกแย่มากแค่ไหนกับคำพูดวันนั้น แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

 

ไม่ดีเลย

 

ไม่ชอบแบบนี้เลยซักนิด

 

เศรษฐพงศ์ปิดประตูห้องของคณินแล้วกดล็อค

 

เขาอยากเคลียร์เรื่องนี้ให้มันรู้เรื่อง  อย่างน้อยก็ไม่อยากให้คณินทำท่าทางเย็นชาใส่คนในบ้านก่อนจะไป

 

            “ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย?”เอ่ยคำถามออกไปโดยที่ไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะถึงคณิณจะไม่คุยแต่เศรษฐพงศ์ก็จะพูด เขาคิดมาหลายวันแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

            “ระหว่างกูกับมึงยังมีอะไรต้องคุย?”คณินหันมาตั้งคำถามกลับก่อนจะแค่นยิ้มเมื่อเศรษฐพงศ์เงียบไป

 

            “มึงอย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ยวะคิน”

 

            “แบบนี้...แบบนี้คือแบบไหนวะ”

 

            “ก็มึงเล่นไม่พูดไม่จากับใครเลย มึงไม่เห็นเหรอบรรยากาศในบ้านมันอึดอัดไปหมด ทั้งกับกู กับลุง กับแม่กู หรือลูกจ้างในบ้านอ่ะ มึงกลับมาคุยมาพูดกับพวกเค้าเหมือนตอนออกจากโรงพยาบาลไม่ได้เหรอวะ แบบนั้นอ่ะมันดีมากๆเลยนะเว้ย”

 

            “หึ...”คณินแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆราวกับสิ่งที่ได้ยินคือเรื่องตลก หมุนกายหาคนเด็กกว่าที่ยืนอยู่กลางห้อง สายตาคมจ้องใบหน้าที่ยืนมองเขาอยู่ไม่วางตา

 

            “มึงต้องการอะไรจากกูอีก? มึงบอกให้กูกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทำเหมือนเกลียดกันไปเลยก็ได้ แล้วตอนนี้มึงมาขอให้กูทำตัวเหมือนตอนหลังออกจากโรงพยาบาล มึงโง่จริงๆหรือมึงแกล้งโง่กันแน่ไอ้เซ็ท หลังออกจากโรงพยาบาลคือกูชอบมึงไปแล้ว”

 

            “กูไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่กูพูดวันนั้นกูอยากให้มึงทำกับกูแค่คนเดียว มึงแม่งงี่เง่าว่ะ”เศรษฐพงศ์ยีผมตัวเองอย่างหงุดหงิด คณินตวัดสายตากลับมามองคนน้องอีกครั้ง

 

รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวขายาวก็ก้าวพรวดๆมือแกร่งคว้าคอของเศรษฐพงศ์ดันจนเด็กหนุ่มถอยไปติดกับกำแพงมืออีกข้างของคณินทาบกับกำแพงไว้กักคนเด็กกว่าไว้ในอาณัติโดยสมบูรณ์ ใบหน้าหล่อห่างจากเศรษฐพงศ์ไม่ถึงคืบ น้ำเสียงทุ้มกดต่ำอย่างคนพยายามข่มกลั้นอารมณ์หลากหลายที่ตีรวนอยู่ในหัวใจ

 

เขาควรรู้สึกยังไง ดีใจ เสียใจ โกรธ  เขาตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าควรอยู่ในอารมณ์แบบไหนกับเด็กคนนี้

 

            “มึงบอกกูมาหน่อยว่ามึงจะเอายังไงกันแน่ มึงบอกให้กูถอยห่างจากมึง เลิกยุ่งกับมึงกูก็ทำให้แล้ว แล้วนี่มึงจะเอายังไงกับกูอีก มึงจะเล่นอะไรกับใจกูกันแน่วะ กูพยายามที่สุดแล้วนะแต่มึงก็ยังมายุ่งวุ่นวายกับกู กูถามมึงจริงๆเถอะมึงทำแบบนี้ทำไม ปล่อยกูอยู่ของกูเงียบๆไปสิวะ มาเล่นอะไรกับใจกู มึงทำแบบนี้เหมือนมึงให้ความหวังกูแล้วก็ถีบกูตกเหวซ้ำๆแบบนั้นใจก็พัง บ่อยขนาดนั้นมันรับไม่ไหวหรอกนะไอ้เหี้ย”

 

            “กูไม่ได้อยากให้มึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่กูก็ไม่ได้อยากให้มึงมาชอบกู มึงก็รู้มันเป็นไปไม่ไ...”น้ำเสียงถูกกลืนหายเมื่อริมฝีปากอุ่นถูกประกบอย่างกะทันหัน เศรษฐพงศ์เบิกตากว้างด้วยความตกใจคณินกดริมฝีปากแน่บแน่นบนกลีบปากอิ่มเนิ่นนานไร้การล่วงล้ำ สายตาคมเหลือบขึ้นสบตาคนเด็กกว่า ภายใต้กรอบแว่นหนาสีดำดวงตาของเศรษฐพงศ์สั่นไหวราวกับคนไม่มั่นใจตัวเอง เศรษฐพงศ์ไม่ได้ผลักเขา ไม่ได้ขัดขืนเด็กหนุ่มเพียงตกตะลึงกับการกระทำนั้นของคณิน ร่างสูงถอนจูบออกจากริมฝีปากอิ่มอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะประกบจูบลงไปใหม่อีกครั้ง เศรษฐพงศ์กำลังสับสนว่าทำไมเขาไม่ผลักคณินออก ทำไมไม่ขัดขืน แถมยังเงยหน้ารับจูบของอีกฝ่ายอีกต่างหาก ลมหายใจร้อนที่รินรดแลกเปลี่ยนกันยืนยันได้ดีว่าเขาไม่ได้ฝันฝ่ามือหนาของคณินที่ประคองใบหน้าของเขาอยู่มันอุ่นจนใจหวิว กลีบปากถูกดูดดึงจนเกิดเสียง จมูกโด่งของคณิคลอเคลียอยู่กับจมูกของเขา คณินรั้งเอวของเศรษฐพงศ์เข้ามาชิดส่งเรียวลิ้นเข้าไปกวาดต้อนความหวานจากโพรงปากคนเด็กกว่าอย่างย่ามใจ

 

หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะวายตายไปเสียก่อน

 

แต่ไม่เป็นไรหรอกถึงเขาจะต้องตายก็จะเอาไปคุยตั้งแต่นรกขุมที่ลึกที่สุดจนดังไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ว่าเขาได้จูบคนตรงหน้านี้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขัดขืนเลยซักนิด

 

คณินถอนจูบจากริมฝีปากของเศรษฐพงศ์ ใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากอิ่มที่ยังคงเผยอน้อยๆนั้นเบาๆ

 

            “ถ้าไม่อยากให้กูรักก็อย่ามาให้ความหวังกันอีก กว่ากูจะทำใจให้ไม่พูดไม่มองไม่สนใจมึงได้กูใช้เวลาตั้งนาน แต่พอมึงมาทำดีกับกูกูก็เก็บเอาไปนอนดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลังคนเดียว มึงทำให้กูเสียความเป็นตัวของตัวเองมามากเกินไปแล้ว ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับกูก็ทำเหมือนที่มึงบอกกับกูนั่นแหละ ต่างคนต่างอยู่ มึงก็ไปมีความสุขกับแฟนของมึง แต่กูอยากบอกกับมึงว่าอย่ามาห้ามไม่ให้กูรักมึงอีกเพราะนี่มันใจกูความรู้สึกของกูไม่เกี่ยวกับมึง เพราะฉะนั้นกูจะไม่เลิกรักมึงแต่อยากให้มึงฟังกูพูดหน่อย ถ้าวันไหนเลิกรักกับเค้าแล้วให้มองกลับมากูยังอยู่ อยู่ตรงนี้จะได้มั้ย? ถ้าที่ผ่านมามึงไม่คิดอะไรก็ช่างมันแต่ต่อจากนี้ให้จำไว้ว่ามึงยังมีกูที่รอมึงอยู่ที่เดิมแค่มึงหันกลับมาก็เจอ”

 

            “อย่าหวังสิวะ กูแค่อยากให้เราเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกัน...”

 

            “มึงไม่เข้าใจเหรอวะ กูไม่ได้มองมึงเป็นน้องมาตั้งแต่แรกแล้ว และกูก็ไม่ได้วางมึงไว้ในฐานะเพื่อนแบบพวกไอ้แดน มึงพิเศษกว่านั้นแต่กูก็ก้าวไปไม่ถึงมึงซักที ทำไมวะ มึงเปิดใจมองกูบ้างไม่ได้เหรอ กูไม่ได้จะแย่งมึงจากเขาแค่มึงอย่าผลักไสกู”

 

            “มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ เราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ โลกสร้างผู้ชายให้คู่กับผู้หญิงนะเว้ย”

 

            “โลกไม่ได้สร้างผู้ชายให้คู่กับผู้หญิงซักหน่อยไอ้โง่ โลกแค่สร้างให้คนสองคนรักกัน”

 

            “แต่กูไม่ได้รักมึง”เศรษฐพงศ์เอ่ยประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

 

มันไม่ได้หนักแน่นเหมือนเมื่อเดือนก่อนอีกต่อไปแล้ว คณินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้า

 

            “กูรู้แล้ว กูรู้แล้วว่ามึงไม่ได้รักกู กูรู้แล้วไม่ต้องย้ำบ่อย”

 

            “แต่กูก็ไม่ได้เกลียดมึง ไม่ได้อยากให้มึงเย็นชาใส่กูไม่พูดกับกู กูอยากให้มึงคุยกับกู เอาแต่ใจใส่กูแบบเมื่อก่อนก็ได้ ด่ากู ตีกูแบบเมื่อก่อนก็ได้ กูก็ไม่รู้กูต้องการเหี้ยอะไรจากมึงกันแน่ หรือเพราะกูไม่เคยมีพี่มีน้องพอมึงหายไปกูก็เหงา กูจะทำยังไงดีวะ กูไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกูเป็นแบบนี้ไอ้เหี้ยเอ้ย” เศรษฐพงศ์ระบายความหงุดหงิดลงในคำพูดนั้นก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ

 

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร มันคล้ายกับเวลาที่เอิร์นหายไปไม่ตอบไลน์ ไม่โทรหาหรือโทรไปไม่รับ ทั้งรอคอยและหงุดหงิด แต่คือคณินไม่ใช่คนรักของเขาไงมันก็เลยสับสนว่าตกลงความรู้สึกนี้คืออะไร คณินรวบตัวคนน้องมากอดจนจมอก รอยยิ้มขื่นๆถูกระบายบนใบหน้า ปากยิ้มแต่ดวงตากลับเศร้าจนน่าสงสาร

 

            “คิดถึงไง มึงคิดถึงกู เหมือนกับที่กูคิดถึงมึง เพราะฉะนั้นอย่าห้ามไม่ให้กูรักมึง มึงเองก็อย่าให้ความหวังกู อยากให้กูกลับไปคุยเล่นแบบเดิมกูก็ทำให้ได้กูก็อึดอัดเหมือนกันที่เราต้องเป็นแบบนี้ ถือเป็นความผิดของกูก็แล้วกันที่แม่งไม่ห้ามใจตัวเอง มึงรู้มั้ยว่ามึงทั้งเก่งทั้งใจร้ายเลยไอ้เด็กเหี้ย มาทำใจกูให้พังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนตอนนี้กูซ่อมใจตัวเองเก่งแล้วนะ"



           "กู...ขอโทษ"



               "ไม่ต้องขอโทษกูหรอก มึงไม่ได้บังคับให้กูไปรักมึง กูมันเสือกไปรักมึงเอง กูยอมเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนกับมึงก็ได้ แต่อย่าบังคับให้กูเลิกรู้สึกดีๆกับมึงเลย กูไม่เคยรักใคร นอกจากพ่อแม่อากงอาม่าแล้วกูก็รักแค่มึง  กูเฝ้าถามตัวเองตลอดว่ากูรักมึงที่ตรงไหน กูสรุปไม่ได้กูรู้แค่ว่าพอเป็นมึงอะไรๆมันก็ดีกับใจกูไปหมด เพราะฉะนั้นมึงอย่ามาห้ามความสุขเล็กๆน้อยๆของกูเลยจะได้มั้ยวะ"



               "อืม...ถ้ามึงเหนื่อยตอนไหนก็เลิกชอบกูไปได้เลยนะ กูจะไม่ด่าไม่ล้อเลียนมึง"ที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ยกมือขึ้นมาลูบหลังคณิณเบาๆ



สงสาร...นี่คือความรู้สึกที่เศรษฐพงศ์มีให้กับคณินในตอนนี้



หวงแหน...ไม่อยากเสียความรู้สึกดีๆแบบนี้ไป



คณินหลับตาซึมซับความอ่อนโยนครั้งนี้ของเศรษฐพงศ์ไว้ราวกับจะสลักไว้ในตราตรึงในหัวใจ เสียงเคาะประตูทำให้คนทั้งคู่แยกกายออกจากกัน เศรษฐพงศ์ขยับไปยืนตรงกระเป่าเดินทางใบใหญ่ในขณะที่คณินเดินไปเปิดประตูห้อง



               "เด็กๆจัดกระเป๋ากันเสร็จหรือยังลูก พ่อจะออกเดินทางแล้วเดี๋ยวถึงเย็นรถติดนะคะ"



               "เสร็จแล้วครับแม่กำลังจะลงไป"เศรษฐพงศ์ฉวยกระเป่าเดินทางใบใหญ่มาถือก่อนจะลากผ่านหน้าคณินไป  ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะปิดห้องแล้วเดินตามลงไปด้านล่าง เศรษฐพงศ์เอากระเป๋าใส่ท้ายรถกะบะที่คณิตติดเครื่องรอยู่



               "เดี๋ยวเซ็ทไปนั่งเป็นเพื่อนคินนะ"คณิตเอ่ยปากบอกลูกเลี้ยง ก่อนจะเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง เศรษฐพงศ์ยิ้มรับก่อนจะเดินไปหาคณินที่รถของคนเป็นพี่ คณิตขับกะบะนำไปก่อนตามด้วยคณินที่ขับรถตัวเองไป



เจ้าของรถอารมณ์ดีจนถึงขนาดเปิดเพลงแล้วร้องตามเบาๆ บรรยากาศอึดอัดคล้ายจะค่อยๆสลายไป



คณินบอกกับใจตัวเองว่าถึงแม้เศรษฐพงศ์จะไม่ให้ความหวังแต่เหตุการณ์วันนี้เขายังพอมีหวัง



หวังแม้จะมีหวังแค่ 0.01 % ก็ยังดี



หวังเหมือนคนโง่ แต่ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ไปหวังบนหัวใครนี่หว่า





 ................................


หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 23 23/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 23-12-2018 18:58:24


 




                คณินใช้ปลายนิ้วเรียวสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด คิ้วเรียวขมวดมุ่นหน้าจอปรากฏแอพพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊ค

 

อัพเดทล่าสุดของเศรษฐพงศ์คือเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว

 

                “ชาติหนึ่งอัพทีหรือไงวะไอ้ห่า”สบถออกมาอย่างหงุดหงิด ก็เข้าใจว่าเศรษฐพงศ์ไม่ใช่คนติดโซเชียลแบบเด็กวัยรุ่นทั่วๆไปแต่ใครจะคิดว่าเด็กนั่นจะอัพเดทชีวิตปีละไม่ถึง 10 หน

 

เขาไล่เซฟรูปของเศรษฐพงศ์ที่เจ้าตัวเคยโพสต์ไว้จนไม่มีอะไรจะเซฟแล้ว

 

                “ไปส่องเฟซเพื่อนมันก็ได้วะ”มือไวเท่าความคิด คณินกดดูรายชื่อเพื่อนของเศรษฐพงศ์ซึ่งเจ้าตัวแอดอยู่แค่ไม่กี่คนมันจึงหาได้ไม่ยาก หงุดหงิดนิดหน่อยที่ยงศกรตั้งค่าส่วนตัวเขาจึงเข้าไปส่องของคนอื่นๆ สองแฝดก็ให้คนเข้าดูได้เฉพาะเพื่อน

 

                “ไอ้พวกเวรไม่คิดจะอวดชีวิตส่วนตัวให้ชาวโลกเขาดูมั่งหรือไง ไอ้พวกโลวเทค”ปากบ่นอุบแต่ก็ยังไล่กดเข้าไปดูในรายชื่อเพื่อนคนอื่นๆ แล้วก็พบว่าวีรดนัยนั้นไม่ได้ล็อคแอค รอยยิ้มสมใจผุดพรายขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั้น

 

ปาร์ตี้หมูกระทะหลังจากครั้งล่าสุดไม่ทันได้กินอิ่ม ฉลองก่อนที่จะไม่ได้กินไปอีก 3 เดือน สวัสดีเทศกาลฝึกงาน

 

โพสต์ล่าสุดของวีรดนัยเช็คอินที่ร้านหมูกระทะที่ครั้งล่าสุดพวกเขาไปเหมาร้านด้วยการตีกันเมื่อหลายเดือนก่อน คณินกวาดสายตามองก็พบว่าเศรษฐพงศ์โพสต์ท่าด้วยการใช้ตะเกียบคีบหมูสามชั้นย่างพลางอ้าปากกว้างทำท่าราวกับกำลังจะกินหมูชิ้นนั้น

 

                “น่าเกลียดชิบหาย อ้าปากกว้างเหมือนจะแดกหมูได้ทั้งตัว”ปากบ่นแต่ก็หลุดหัวเราะขำมือก็ไวกว่าความคิดกดเซฟอย่างไว แต่ละภาพที่วีรดนัยโพสต์ไว้มีการคอมเม้นท์อย่างสนุกสนาน แน่นอนเศรษฐพงศ์คือ 1 ในคอมเม้นท์นั้น คณินนั่งอ่านตัวอักษรสั้นๆนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะชดเชยความคิดถึงตลอดระยะเวลา 2 อาทิตย์กว่าที่ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพ แม้จะไม่เหงาเพราะเพื่อนๆก็มาอยู่ละแวกเดียวกันทั้งกลุ่มพบเจอกันทุกวันแต่เพื่อนๆทั้ง 5 คนไม่สามารถแทนความคิดถึงที่คณินมีต่อคนเด็กกว่าได้เลย หลังจากที่พ่อกับลดารวมทั้งเศรษฐพงศ์มาส่งเขาที่กรุงเทพทั้งสามคนค้างคืนด้วยคืนหนึ่งโดยคณินให้พ่อกับลดานอนในห้องนอนใหญ่ส่วนตัวเองออกมานอนที่ห้องรับแขกกับเศรษฐพงศ์ คืนนั้นคณินไม่ได้นอนทั้งคืนชายหนุ่มเอาแต่นอนจ้องหน้าคนเด็กกว่าที่หลับพริ้มแบบไม่สนใจโลกจนถึงเช้า

 

มองราวกับจะจดจำให้ใบหน้าของคนที่นอนหลับสนิทข้างๆนี่บันทึกเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจ

 

เศรษฐพงศ์มีขนตายาวหนาเป็นแพสวย สันจมูกโด่งได้รูปนั้นรับกับริมฝีปากอิ่ม แก้มเนียนฟูนุ่มราวมาชเมลโล่ ทุกส่วนของใบหน้าของคนเด็กกว่านั้นติดตรึงที่ปลายลิ้น ความนุ่มหยุ่นประทับใจทุกครั้งที่ริมฝีปากได้สัมผัส กว่าจะรู้ตัวแสงอาทิตย์ก็ค่อยๆทอแสงสีอ่อนเข้ามาทางผ้าม่าน เวลาแห่งความสุขของคณินก็จบลงชายหนุ่มแสร้งหลับตายามที่ประตูห้องนอนเปิดออก ลดาตื่นมาเตรียมอาหารเช้าและคณินก็เคลิ้มหลับไปตอนนั้นเอง

 

                หลังจากการพูดคุยกันก่อนเดินทางบรรยากาศเหมือนจะดีขึ้นแต่คณินก็รู้ว่ามันไม่ได้ดีมากกว่าเดิมเท่าไหร่ แม้ว่าเขาจะหยุดทำหน้าบึ้งตึงและพูดคุยกับพ่อและลดามากขึ้นแต่กับคนเด็กกว่าก็กลายเป็นว่าคนทั้งคู่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกัน บรรยากาศอึมครึมจนกระทั่งสมาชิกในครอบครัวทั้งสามคนเดินทางกลับเมืองกาญจน์ หลังจากนั้นงานอดิเรกของคณินก็คือตามดูเฟสและอัพเดทไลน์ของเศรษฐพงศ์แต่กลับไม่กล้าที่จะไลน์ไปหาคนเด็กกว่าแล้วก็มานั่งหัวร้อนเองแบบนี้



ผมคิดถึงไอ้เซ็ท...

 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาอย่างไม่ขาดสายจากบรรดาเพื่อนร่วมห้องของผม เราทุกคนใส่ชอปสีเทาอมฟ้าประจำระดับชั้น ปวส. ตอนนี้ผมอยู่ชั้นปีที่ 2 แล้ว และแน่นอนเทศกาลแห่งการฝึกงานก็เวียนมาถึงซักที

 

ตื่นเต้นและกังวลคงไม่เว่อร์ไปสำหรับความรู้สึกนี้ พวกเราโอดครวญอยากจะฝึกในวิทยาลัยมากกว่าแต่อาจารย์กลับบอกว่าอยากให้นักศึกษาไปฝึกกับสถานประกอบการขนาดใหญ่มากกว่าฝึกในวิทยาลัยที่มีแต่คนกันเอง

 

                “แม่กูแทบจะขับรถไปส่งเองแล้วอ่ะ ก่อนออกจากบ้านนี่แพ็คกระเป๋าให้กูเหมือนกูจะหนีออกนอกประเทศแบบนักการเมือง”ไอ้ยิมบ่นอุบหลังวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่น่าจะยัดแน่นด้วยเสื้อผ้าหยูกยาและของใช้ทั้งจำเป็นและเกินความจำเป็น

 

                “พ่อกูบอกว่าถ้ามันไม่สะดวกสบายก็ขอให้บอกเดี๋ยวพ่อจะซื้อสนามกอล์ฟนั้นมาบริหารเอง”ไอ้อิ้งค์มันคุยโวจนได้รับเสียงด่าและส้นตีนจากเพื่อนๆถ้วนหน้า เรานั่งรออาจารย์จนถึง 9 โมงเช้า อาจารย์มาเช็คชื่อและสั่งให้พวกเราขนของขึ้นรถหกล้อที่ใช้ไว้รับส่งนักศึกษาจนเสร็จแล้วจึงเริ่มเดินทางโดยใช้เส้นทางไปทางด่านมะขามเตี้ยแล้วเข้าท่าม่วงใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ช.ม รถก็เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าประตูสนามกอล์ฟ อาจารย์ลงไปคุยกับ รปภ.ที่ป้อมเพื่อถามทางก่อนที่จะกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง ประตูรั้วถูกเปิดผ่านให้พวกเราได้เข้าไปด้านใน ถนนในสนามกอล์ฟคดเคี้ยวทอดยาวข้างทางประดับประดาด้วยต้นหางนกยูงขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา บนกรีนปรากฎภาพของแขกที่กำลังตีกอล์ฟรวมถึงบรรดาแคดดี้ที่แบกถุงกอล์ฟตามนายขวักไขว่ รถเลี้ยวผ่านบึงน้ำขนาดใหญ่ริมแนวเขา นกเป็ดน้ำฝูงใหญ่บินจากฝั่งลงสู่ฝืนน้ำด้วยท่วงท่าแสนน่ารัก

 

                “ผัดเผ็ดเป็ดน้ำ”เสียงไอ้จีนลอยมาผมหันไปมองมันไอ้สองแฝดจ้องฝูงเป็ดน้ำไม่วางตาไอ้จีนถึงขั้นแลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางกลืนน้ำลายดังเอื้อกใหญ่

 

                “เป็ดย่างเกลือ”ไอ้จินเอ่ยต่อจากแฝดพี่

 

                “โถ้ ไอ้เหี้ย ไอ้คนใจบาป”ผมอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงด่าไอ้แฝดใจบาปที่คิดจะกินสิ่งมีชีวิตแสนน่ารักฝูงนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้พอสมควร

 

                “ใหญ่ชิบหายเลยว่ะ”

 

                “งานคงเยอะน่าดู”

 

รถพาเราเข้ามาลึกเรื่อยๆ สนามกอล์ฟกว้างใหญ่มีศาลานั่งพักอยู่ตามจุดต่างๆ มีอาหารและเครื่องดื่มบริการ บรรดารถกอล์ฟขับผ่านไปผ่านมาให้เห็นมากพอๆกับรถอีแต๋นไม่กี่นาทีต่อมาเราก็มาถึงหน้าคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ อาจารย์พาเราเดินเข้าไปในห้องอาหารของคลับเฮ้าส์ที่นั่นมีผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาดุยืนรอรับเราอยู่พร้อมผู้ชายผิวขาวที่ดูท่าทางหน้าตาคงอายุราวๆ 30 ต้นๆ อาจารย์บุญธรรมและอาจารย์เดชตรงเข้าไปสวัสดีทักทายรวมทั้งพวกเราที่ยกมือไหว้พี่ทั้งสองคนอย่างรู้มารยาท

 

                “สวัสดีนักศึกษาทุกคนนะ พี่ชื่อพี่ต๋องเป็นผู้จัดการของที่นี่ ส่วนคนนี้ชื่อพี่โอเป็นฝ่ายบุคคล เอาล่ะมานั่งกันก่อนแล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน”พี่ต๋องที่หน้าดุๆเอ่ยทักทายพวกเราด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงเป็นกันเองขัดกับหน้าดุๆของเขาพวกเราค่อยหายใจทั่วท้องก่อนจะเลือกที่นั่งที่เป็นเหมือนโต๊ะอาหารยาวตัวใหญ่นั่งได้ 20 คนพอดี

 

รายละเอียดการฝึกงานคร่าวๆถูกถ่ายทอดให้เราฟังโดยเราจะมีหอพัก 2 หลัง ห่างกันราว 50 เมตร แยกเป็นของหญิงและชายไม่พักรวมกัน อาหารการกินทางสนามกอล์ฟผูกปิ่นโตให้พวกเราไปกินที่ร้านหน้าหอได้เลยทางร้านจะจัดเมนูให้เราในแต่ละมื้อแต่ละวันเองหรือถ้าอยากกินอะไรพิเศษขอให้บอกล่วงหน้า  การเดินทางมาทำงานจะมีรถมารับส่งจากหอจนถึงคลับเฮ้าส์ซึ่งถือว่าสะดวกสบายพอสมควร ราวเที่ยงอาจารย์ก็กลับออกไปคงเหลือพวกเราที่ถูกเอามาส่งที่หอพักด้านหน้าใกล้ทางเข้าวันแรกของพวกเราคือการย้ายเข้าหอและพักผ่อนตามอัธยาศัย ผมแบกกระเป๋าเข้าบ้านเอเอฟ ภายในไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเป็นห้องแถว 4 ห้อง เราได้ห้องริมสุด ตัวห้องเป็นห้องโล่งๆมุมในสุดมีเบาะปูนอนบางๆทับซ้อนกันอยู่ตามจำนวนคน เครื่องนอนถูกวางไว้ให้อย่างเป็นระเบียบมีห้องน้ำภายใน 1 ห้อง แต่ถ้าไม่พอใกล้หอหญิงจะมีห้องน้ำรวมอีก 5 ห้อง ด้านหน้าหอหญิงเป็นสนามหญ้ากว้างไว้ให้พวกเราเตะบอลหรือเล่นกีฬาได้ พวกผมเริ่มจัดระเบียบห้องนอนใครนอนตรงไหน เกือบบ่ายพี่ต๋องก็ขับรถกอล์ฟมาหาพวกเราแล้วพาไปร้านข้าวตามที่บอก พวกเราไปกราบสวัสดีฝากเนื้อฝากตัวและได้ฝากท้องกับอาหารมื้อแรกที่ร้านเจ๊แก้วในตอนนั้นเอง

 

หลังจากอิ่มหนำสำราญรสชาติอาหารถูกปากจนเราชมกันไม่หยุดปากพวกเราก็กลับเข้ามานอนเล่นในหอ โชคดีที่ไอ้ยิมมันมองการณ์ไกลหอบเอาเครื่องเล่นซีดีและลำโพงมาด้วยเราจึงไม่ขาดเสียงเพลงผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไลน์หาเอิร์นรายงานว่าผมมาถึงที่ฝึกงานแล้ว ไร้การตอบกลับซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าเอิร์นน่าจะเรียนอยู่ ผมโทรไปหาแม่รายงานแม่เช่นเดียวกัน แม่ถามถึงความเป็นอยู่เมื่อรู้ว่าผมไม่ได้ลำบากแม่ก็สบายใจและบอกว่าถ้าวันไหนว่างแม่จะทำกับข้าวมาเยี่ยมพวกผม

 

วันที่ 1 ของการมาฝึกงาน เอิร์นไม่อ่านและไม่ตอบไลน์ผม นั่นทำให้ผมเศร้าเล็กน้อย

 

ผมคิดถึงเอิร์น...











 

                คณิน::

 

ช่วงเวลาเปิดเทอมในรั้วมหาวิทยาลัยของผมการรับน้องเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อน่ารำคาญที่สุด ทุกเลิกเรียนต้องเข้ากิจกรรม

 

ผมเกลียดการโดนบังคับ การนั่งโง่ๆฟังรุ่นพี่ที่บางคนก็รุ่นเดียวกันพล่ามยืดยาว การต้องออกไปเต้นเป็นลิงเป็นค่างด้วยท่าบ้าๆบอๆ

 

ตั้งแต่รับน้องมาผมวิ่งเยอะกว่าระยะทางที่ผมเคยวิ่งมาตลอด 19 ปี ซะอีก โชคดีอย่างคือปกติผมออกกำลังกายอยู่แล้วร่างกายจึงไม่ล้าแต่ไอ้แพรกับไอ้ว่านทำท่าเหมือนจะตายให้ได้

 

นี่กูมาเรียนนะไม่ได้มาฝึก ร.ด

 

หลังการรับน้องสิ้นสุดลงพวกเราทยอยกันเดินออกมาจากห้องเชียร์ ท้องร้องระงมเพราะความหิวทำให้พวกเรา 6 คน เคลื่อนกำลังพลไปหน้า ม. ที่มีร้านอาหารตามสั่งตั้งอยู่ เมนูง่ายๆถูกสั่งมาแม้ว่าจะไม่อร่อยเท่าที่เมืองกาญจน์แต่ในสถานการณ์ที่หิวจัดพวกเราก็ซัดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที  กระพือคอเสื้อขับไล่ความร้อนอบอ้าวอย่างหงุดหงิด

 

                “กินเสร็จแล้วกูกลับก่อนนะ ร้อนชิบหายเลยไอ้สัด”ผมวางเงินไว้เป็นค่าอาหารก่อนจะก้าวฉับๆกลับไปที่รถ เพื่อนๆโบกมือลาผมโดยที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นมาเพราะมันจะไปหาขนมกินกันต่อ เพียงไม่นานผมก็กลับถึงคอนโด เปิดแอร์รอไว้แล้วเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายล้างคราบเหงื่อไคลที่หมักหมมมาทั้งวัน สายน้ำเย็นทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย ปล่อยให้สายน้ำเย็นริดรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่พบเจอมาทั้งวันถึงได้คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันเอวไว้เพียงหลวมๆ  ผมเดินไปหยิบรีโมทกดฟังเพลงหรี่ไฟให้สลัวแล้วมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนนุ่ม คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดูนั่นดูนี่ตามปกติแล้วก็ได้แต่เด้งตัวขึ้นนั่ง

 

ไอ้เซ็ทอัพเดทรูปในเฟซบุ๊ค ในภาพเป็นตัวมันไปนั่งกอดเข่าอยู่ข้างหน้าต่างห้องราวกับกำลังงอนใครซักคนอยู่ เมื่ออ่านแคปชั่นผมแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง

 

            “งอนแฟน แฟนไม่รับโทรศัพท์ มาง้อเลย ถ้าง้อภายในคืนนี้แถมจุ๊บฟรี 2 จุ๊บ”

 

เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน เลิกกัน.... เลิกกัน

 

ผมภาวนาคำนี้เป็นร้อยเป็นพันคำในใจ  แม้จะรู้ดีว่าถ้าหากสองคนนั้นเลิกกันจริงๆไอ้เซ็ทจะต้องเสียใจมากแต่ไม่เป็นไรผมนี่แหละจะเป็นคนคอยอยู่ข้างๆปลอบใจและดามใจมันเอง  ผมกดออกจากเฟซบุ๊คก่อนจะเข้าไลน์ ชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าจะพิมพ์ข้อความลงไปในแชทของผมกับไอ้เซ็ทดีมั้ย

 

วันสุดท้ายที่คุยไลน์กับมันก็เกือบสองเดือนแล้ว

 

ไม่รู้ว่าป่านนี้มันคุยกับเอิร์นแล้วหรือยัง

 

จะมีเวลามาตอบไลน์ผมมั้ย

 

ผมไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง ที่รู้ตอนนี้คือผมไม่อยากให้มันรู้สึกโดดเดี่ยวหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งไว้คนเดียวในตอนนี้

 

แต่ในที่สุดผมก็ทำได้แค่เพียงโยนโทรศัพท์ลงบนพื้นที่ว่างใกล้ๆตัว  ไม่กล้าที่จะโทรไปหรือทักทายไปเพราะถ้าตอนนี้มันคุยกับเอิร์นอยู่ผมก็หมาอีกตามเคย

 

 







                เศรษฐพงษ์นอนจ้องหน้าจอโทรศัพท์นิ่งนานก่อนจะถอนหายใจอย่างหงุดหงิด

 

                “ป่านนี้เค้านอนแล้วมั้ง มึงก็เลิกรอแล้วนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปปลูกต้นไม้ที่หลุม 18 เขาไม่ตอบก็คือไม่ตอบมึงรอไปก็ไม่มีประโยชน์”โอบนิธิดึงโทรศัพท์ออกจากมือเพื่อน เขาเองก็หงุดหงิดที่เศรษฐพงศ์เอาแต่รอโทรศัพท์หรือรอการตอบไลน์จากเอิร์น อยากจะตีเพื่อนตัวบางแรงๆวันละหลายๆครั้ง

 

เศรษฐพงศ์ทำตัวเหมือนหมาเชื่องๆที่รอเจ้าของโยนเศษอาหารให้ ยามเขาเรียกชื่อก็รีบกระดิกหางหูลู่ไปหาเขา ยามเขาหายไปก็เอาแต่เซื่องซึม

 

โอบนิธิไม่เข้าใจนักหรอกว่าเศรษฐพงศ์จะรักอะไรผู้หญิงที่ชื่อเอิร์นนักหนาหน้าตาจริงๆก็ไม่เคยเห็นแถมบ่ายเบี่ยงที่จะวีดีโอคอลกับเศรษฐพงศ์ทุกครั้ง

 

รักกันประสาอะไร

 

เหมือนมาให้ความหวังเพื่อนเขาโดยไม่มีหลักประกันอะไรได้เลยว่าจะคบกันไปยืดยาวจริงๆ เศรษฐพงศ์ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งกอดเข่ามองพระจันทร์อยู่ข้างหน้าต่าง เป็นการสงบสติอารมณ์ที่มักจะทำบ่อยๆยามเขาอารมณ์ไม่ดี เขาไม่คิดหรอกว่าโอบนิธิวุ่นวาย รู้ว่าเพื่อนหวังดีถึงได้พูดเตือนกันแต่ตอนนี้เศรษฐพงศ์ไม่อยู่ในอารมณ์จะฟังใครสอนหรือบ่นทั้งนั้น

 

ขออยู่เงียบๆกับตัวเองดีกว่า

 

และเพราะคบหากันมานานเพื่อนๆจึงไม่มีใครเข้ามายุ่งกับเขาทำเพียงปล่อยให้เศรษฐพงศ์นั่งเงียบๆอยู่ตรงนั้นแต่ไม่วายที่แฝดพี่จะหยิบโทรศัพท์ของเศรษฐพงศ์มาถ่ายรูปของเจ้าตัวไว้แล้วอัพเฟซบุ๊คติดแคปชั่นให้เสร็จสรรพโดยที่เจ้าของเฟซไม่รู้ตัวเลยซักนิด

 

 

                “วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากนะเด็กๆ ก็ปรับปรุงภูมิทัศน์ที่หลุม 18 เดี๋ยวส่งตัวแทนเพื่อนไปเลือกต้นไม้ที่โรงเพาะชำแล้วก็ขนใส่อีแต๋นไปนะ”หลังจากตอกบัตรเข้างานและมายืนรวมกับพนักงานประจำของสนามกอล์ฟแล้วพี่ต๋องผู้จัดการก็มากระจายงานให้กับคนงานของตัวเองก่อนจึงมาสั่งงานนักศึกษาเมื่อได้รับงานแล้วเศรษฐพงศ์กับปัดก็แบ่งงานให้กับเพื่อนๆทันที

 

                “ไอ้ยิมกับไอ้โอบขับอีแต๋นเป็นมึงไปเบิกรถมาสองคัน ส่วนพวกผู้หญิงมาช่วยกันขนต้นไม้ก่อน ไอ้จีนมึงพาพวกผู้ชายไปเตรียมดินรอกูกับไอ้ปัดจะไปเลือกต้นไม้”เมื่อแบ่งงานกันเรียบร้อยแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปหยิบจอบหยิบพลั่วตะเข่งสำหรับเก็บเศษหญ้า เศรษฐพงศ์ได้รับอนุญาตให้ใช้รถกอล์ฟได้เด็กหนุ่มจึงไปขับมารับปัดไปโรงเพาะชำเล็กๆของสนามกอล์ฟ เลือกต้นไม้ที่ทนแดดเพราะมันจะถูกปลูกกลางแจ้งที่แดดจัดไม่นานเสียงรถอีแต๋นก็แล่นเข้ามาพวกผู้หญิงโดดลงมายงศกรกับโอบนิธิโดดตามลงมาสมทบแล้วทยอยลำเลียงต้นไม้ 4-5 ชนิด โดยที่เศรษฐพงศ์เลือกที่มีสีสันสะดุดตาต่างกันใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ได้ต้นไม้เต็มคันรถ

 

                “ไอ้ยิมมึงเอาปูนขาวไปยัง?”เอ่ยถามหาปูนขาวจากยงศกรซึ่งรายนั้นกำลังควงสายพานหน้ารถเพื่อสตาร์ทอยู่หันมาส่ายหน้าให้

 

                “เออเดี๋ยวกูแวะไปเอาเองมึงขับไปก่อน”เศรษฐพงศ์ขับรถกอล์ฟออกไปที่ห้องเก็บของหยิบปูนขาวใส่ท้ายรถแล้วขับตัดสนามหลุมต่างๆลัดเลาะไปจนถึงหลุม 18 ที่จีรนันท์กับจิรนนท์เกณฑ์บรรดาเพื่อนๆขุดดินรอ กระดาษเอสี่ถูกวาดเป็นแปลนง่ายๆว่าจะเอาต้นไม้ชนิดไหนลงตรงไหน เด็กๆทั้ง 16 คนเริ่มงานอย่างเป็นระบบโดยมีคนงานของสนามกอล์ฟแวะมาด้อมๆมองๆอยู่เรื่อยๆด้วยความสนใจ หลังจากผ่านไปจนกระทั่งเที่ยงเด็กๆจึงปีบขึ้นอีแต๋นออกไปกินข้าวที่ร้านเจ๊แก้ว อาหาร 3 อย่างถูกตั้งเป็นสองสำรับรอเด็กๆอยู่ก่อนแล้ว พวกของเศรษฐพงศ์เข้าไปช่วยหยิบจับจานชามแก้วน้ำด้วยตัวเอง หลังจากลงมือกินมื้อเที่ยงจนหมดไปอย่างรวดเร็วยังพอมีเวลาเหลือก่อนจะเริ่มงานในตอนบ่ายพวกเขาจึงตกลงที่จะไปนอนพักเอาแรงให้หายเพลียแดดยังไม่ทันได้เคลิ้มหลับเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูเศรษฐพงศ์ก็ยิ้มออก

 

                “ฮัลโหลเอิร์น”

 

                “เซ็ทกินข้าวยัง”

 

                “อื้อเพิ่งกินเสร็จ เอิร์นเรียนหนักเหรอไม่เห็นอ่านไลน์เลย”

 

                “อื้อเรียนหนักเอิร์นก็จะไปฝึกงานแล้วเหมือนกัน อีกอย่างโทรศัพท์เอิร์นพังเพิ่งซื้อใหม่พอได้เครื่องก็โทรหาเซ็ทก่อนเลย”เศรษฐพงศ์ถึงกับยิ้มออกเมื่อได้ฟังเหตุผลของเอิร์นความขุ่นมัวในใจถูกปัดเป่าออกไปราวหมอกควันหนาที่ทำให้อึดอัดมาหลายวันสลายไปยามที่พระอาทิตย์ขึ้น

 

                “เซ็ทนึกว่าเอิร์นเบื่อเซ็ทแล้วซะอีก”

 

                “คิดไปเอง เอิร์นจะเบื่อเซ็ทได้ยังไงล่ะ”น้ำเสียงหวานกลั้วเสียงหัวเราะมาเบาๆทำให้เศรษฐพงษ์ยิ้มได้ สัญญาณสายเรียกซ้อนดังขึ้นเศรษฐพงศ์ขอให้เอิร์นรอเมื่อดูรายชื่อก็พบว่าเป็นคณินโทรมาเศรษฐพงศ์ปล่อยเบลอเมินใส่สายของคนแก่กว่า ในตอนนี้เขาอยากคุยกับอารดาให้สมกับความคิดถึงที่มีมาหลายวันมากกว่า สายเรียกซ้อนยังคงติดอยู่อีก 2-3 ครั้งก่อนจะเงียบหายไป

 

                “เซ็ทคิดถึงเอิร์นนะแล้วเอิร์นคิดถึงเซ็ทมั้ย?”

 

                “เอิร์นคุยกับใครจะไปได้หรือยัง”

 

“เพื่อนน่ะ ไปแล้วๆรอก่อน”เสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในสายเป็นเสียงของผู้หญิงเอ่ยเรียกเอิร์นด้วยน้ำเสียงห้วนๆ  หญิงสาวหันไปตอบรับโดยไม่ได้ตอบกลับคำถามของเศรษฐพงศ์เหมือนเช่นเคย

 

                “เซ็ทเดี๋ยวเอิร์นวางก่อนนะเพื่อนมาตามแล้ว ตั้งใจทำงานนะ”ไม่มีคำบอกลาและไม่รอให้เศรษฐพงศ์บอกลาเช่นกันอารดาก็วางสายไป เศรษฐพงศ์ถอนหายใจรอบที่ล้านของวัน ความหงุดหงิดเกิดขึ้นราวกับมีใครมากวนตะกอนให้ขุ่นเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะหงุดหงิดเรื่องอะไร เหลืออีก 10 กว่านาทีจะได้เวลาเริ่มงานในช่วงบ่ายเศรษฐพงศ์โยนโทรศัพท์ไว้บนหมอนก่อนจะเดินออกไปสมทบกับพวกเพื่อนๆที่เตรียมตัวขึ้นรถกลับไปทำงานต่อ คล้อยหลังไม่นานสายเรียกเข้าจากคณินก็สว่างวาบที่หน้าจออีกครั้งจนกระทั่งดับไปในที่สุด

 

 

คณินกดตัดสายที่โทรหาเศรษฐพงศ์ ใบหน้าหล่ององ้ำจนคิ้วขมวด

 

                “ไง ไม่รับสายเหรอวะ”แดนธรรมที่มานั่งเล่นในห้องของคณินเอ่ยถาม ซึ่งคนตัวขาวก็พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร

 

                “เหนื่อยป่าววะ วิ่งตามเขาแบบนี้ แม่งจุดหมายก็ไม่มีเส้นชัยก็ไม่เจอ”แดนธรรมเอ่ยถามคนที่เลี่ยงไปยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียง คณินอัดควันสีขาวเข้าปอดก่อนจะพ่นออกมาช้าๆ ดวงตาคมมองเหม่อไปด้านหน้าโดยไม่ได้โฟกัสกับสิ่งใดเป็นพิเศษ ปล่อยให้ความเงียบกับกลุ่มควันโอบล้อมชั่วอึดใจ

 

                “เหนื่อยสิวะ เหนื่อยจนกูรู้สึกอยากจะพอ”

 

                “แล้วทำไมมึงไม่หยุดวะ เป็นกูถ้ามันไม่รักไม่ชอบมึงกูคงถอยนานแล้วโลกนี้มีคนเยอะแยะมันต้องมีซักคนสิวะที่รักมึง”

 

                “ก็เพราะกูรักแค่มันไงกูไม่ได้รักคนอื่น ไม่เป็นไรกูรอได้ มึงเป็นคนบอกให้กูรอเองไม่ใช่เหรอวะ?”

 

                “กูสงสารมึงไอ้เหี้ย มึงไม่เคยต้องวิ่งตามใครขนาดนี้ แล้วดูท่าทางน้องมึงมันก็ไม่ได้รักไม่ได้สนใจมึงเลยนะ”

 

                “ใครบอกมึงกูว่าถ้ามันเลิกกันกูก็มีหวังนะ วันที่ขนของย้ายมานี่มันเข้ามาคุยกับกูขอให้กูอย่ามึนอย่าเมินมัน กูยังจูบมันอยู่เลยมันไม่ได้ขัดขืนไม่ด่ากูซักคำ”

 

                “มันอาจจะแค่สับสนก็ได้ กูอยากให้มึงลองมองคนอื่นดูบ้าง ถ้ามันไม่เลิกกันมึงก็รอแบบเปล่าประโยชน์เลยนะ”

 

                “ไม่เป็นไรไอ้แดน ปล่อยกูเถอะกูเหนื่อยเมื่อไหร่เดี๋ยวกูหยุดเอง ตอนนี้กูยังไม่เหนื่อยมึงก็เป็นกำลังใจให้กูก็แล้วกัน”คณิณอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งแล้วขยี้ก้นกรองด้วยเท้า

 

แม้จะตอบแดนธรรมไปแบบนั้นแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทนรอแบบไม่มีจุดหมายแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่

 

อาจจะเป็นเดือน เป็นปี เป็นสิบปี

 

แต่ถ้าถึงวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่าไม่อยากรอหรือวันที่เศรษฐพงศ์แต่งงานมีครอบครัวเขาก็คงจะพอและหยุดไปเอง

 


แต่ตอนนี้ขอรอแบบนี้ไปก่อนถึงจะดูเหมือนคนโง่ก็ตามทีเถอะ







.........................................

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 23 23/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 27-12-2018 22:40:11
เซ็ทเอ๋ยหวังว่าจะรู้ใจตัวเองตอนที่ยังไม่สายนะ

สนุกค่ะตีกันไปต่อยกันมารักกันเฉย

เป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 24 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 04-01-2019 10:34:04



เศรษฐพงศ์::

 

 

                “กูเชื่อแล้วว่าเมืองกาญจน์มีลักษณะเป็นแอ่งกะทะ”เสียงไอ้ย้งแหกปากตัดพ้อสภาพภุมิอากาศของบ้านเรายามที่แสงอาทิตย์ตอนบ่ายสามไม่ได้ปราณีพวกเราที่ทำงานอยู่ข้างหลุม 18 เลย แสงแดดจ้าแผดเผาจนหน้าแทบไหม้ พวกเรายังคงลงต้นไม้ตามแบบ น่าแปลกหลังจากได้คุยโทรศัพท์จากเอิร์นแล้วอารมณ์ของผมก็ดีขึ้นจนสามารถตลกไปกับคำบ่นราวหมีกินผึ้งของไอ้ย้งได้ เหมือนพอมีเอิร์นเข้ามาในชีวิตอะไรๆก็ดีไปหมดสำหรับผม

 

                “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยิ้มกับลมกับแล้งก็ได้นะมึง”ไอ้อิ้งค์ผลักหัวของผมทั้งๆที่มือของมันยังมีขี้ดินติดอยู่

 

แต่ไม่เป็นไร กูอารมณ์ดีกูจะม่ายโกด

 

                “เสือก”เอ่ยตอบกลับมันไปเบาๆ

 

                “แน๊ หยาบคาย กับเพื่อนกับฝูงนี่คุณเศรษฐพงศ์ทำไมหยาบคายจังเลยครับ ต้องทำยังไงถึงจะนุ่มนวลกับเพื่อนบ้าง”

 

                “ไปเปลี่ยนชื่อเป็นเอิร์นสิแล้วกูจะอ่อนโยนให้”

 

                “โอ้ย!!! รำคาญ!!!”คราวนี้เป็นเสียงไอ้วีที่พูดใส่หน้าผมพลางเบะปากทำท่าราวเอือมระอาเต็มที ผมหัวเราะใส่มันจนตาหยี แน่นอนว่าผมไม่โกรธไอ้วีอีกเช่นกัน บรรยากาศการทำงานในครึ่งบ่ายทำไมมันสนุกจังนะ จะให้ปลูกต้นไม้ครบทั้ง 18 หลุมก็ยังได้เลยนี่พูดจริงๆ ในที่สุดหลังจากตากแดดหน้าดำกันมาตั้งแต่เช้างานของพวกเราก็เสร็จสิ้นในตอนสี่โมงเย็นนิดๆ เราเคลียร์ขยะเก็บอุปกรณ์ขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งเล่นกันอยู่รมสนาม ทิวต้นสนไหวลู่ยามลมพัดมา น้ำในสระกลายเป็นระลอกคลื่นบางๆ พวกเราบางคนหยอกเล่นกันตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย เสียงหัวเราะและเสียงกรีดร้องของบรรดาสาวๆดังขึ้น เมื่อหันไปดูก็พบว่าแฝดนรกกำลังวิ่งไว้จับอะไรซักอย่างอยู่อย่างสนุกสนานพอจับได้ก็วิ่งเข้าในส่เพื่อนผู้หญิง เมื่อเพ่งมองถึงได้เห็นว่า

 

ในมือของไอ้จีน...มีงูดิ้นกระแด่วๆอยู่

 

ส่วนในมือของไอ้จิน...มีกิ้งก่า

 

                “โอ้ย ไอ้แฝดเหี้ย เล่นอะไรแผลงๆอีกแล้ว”ไอ้วีโวยวายก่อนจะวิ่งมาหลบข้างหลังผมด้วยสีหน้าตื่นๆ ไอ้สองแฝดวิ่งไล่เอางูกับกิ้งก่าหลอกเพื่อนๆด้วยความสนุกสนาน ส่วนไอ้ยิมกับไอ้ย้งไปก้มๆเงยๆอยู่แถวริมบึงน้ำเก็บอะไรซักอย่างใส่ถุงพลาสติกคนละลูก

 

                “ไอ้ยิมไอ้ย้งมึงทำอะไร?”ผมตะโกนถามเมื่อเห็นว่ามันก้มๆเงยๆมาซักพักแล้ว

 

                “ลูกกอล์ฟ พี่แคดดี้บอกว่าเอาไปขายได้ถุงละ 20”เพื่อนๆหลายคนพอได้ยินดังนั้นก็เริ่มเบนเข็มไปที่บึงน้ำกันบ้าง

 

                “ระวังไอ้เข้ขึ้นมาคาบลงไปแดกนะ”ผมส่ายหน้าใส่พวกเพื่อนๆที่เริ่มแย่งกันเก็บลูกกอล์ฟ ไม่นานไอ้ยิมกับไอ้ย้งก็กลับมาพร้อมลูกกอล์ฟเกือบ 50 ลูก

 

                “ลองผ่าดูมั้ยวะว่าข้างในมีอะไร”ไอ้วีเสนอ

 

                “เออ ลองดูก็ได้ เลือกลูกที่ยี่ห้อไม่เหมือนกัน เอาพร้าสับ”ผมเห็นด้วยกับไอ้วีหลังจากนั้นพวกเราก็ช่วยกันคัดลูกกอล์ฟคละยี่ห้อ ไอ้ยิมกับไอ้อิ้งค์รับหน้าที่ผ่า แน่นอนว่าลูกกอล์ฟแข็งมาก แต่ละยี่ห้อวัสดุข้างในสีสันต่างกัน บางชนิดเนื้อเนียนบางชนิดก็ดูหยาบ เมื่อผ่าครบหมดทุกลูกแล้วก็รวบรวมใส่ถุงไปทิ้ง

 

                “ไม่หนุกเลย มือแทบหัก”ไอ้ยิมบ่นอุบ หลังจากเล่นสนุกกันจนเวลา 5 โมงพวกเราก็กลับไปหน้าคลับเฮ้าส์เพื่อไปตอกบัตรเลิกงาน ผมขับรถกอล์ฟกลับไปเก็บที่ก่อนจะรีบวิ่งมาขึ้นท้ายกะบะกลับหอพัก  กิจวัตรประจำวันของพวกเราก็ยังคงซ้ำๆเดิมๆ ทำงาน เลิก กินข้าว นั่งเล่น และนอน

 

และเย็นนี้เป็นอีกวันที่เอิร์นไม่อ่านและไม่ตอบไลน์ของผม...

 

 

                คณิน::

               

                “ไอ้คินพรุ่งนี้มึงจะกลับกาญจน์เหรอวะ?”ไอ้ว่านเอ่ยถามผมเมื่อได้ยินผมคุยโทรศัพท์กับป๊า

 

                “เออ”ผมตอบรับส่งๆก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วเหล้าจากไอ้แดนที่ชงส่งมาให้

 

                “กลับไปทำไมวะ?”ไอ้ว่านที่เพิ่งจะตักพล่ากุ้งเข้าปากเอ่ยถาม ผมทอดสายตามองนักดนตรีที่เล่นเพลงเบาๆอย่างเมินคำถามเพื่อน จิบเหล้าที่ชงเข้มอย่างรู้ใจของไอ้แดนปล่อยใจไปกับบรรยากาศเบาๆไปเรื่อยๆ

 

เพราะพรุ่งนี้มีเรียนบ่ายเราจึงแวะมาสังสรรค์กันได้ การได้ดื่มทำให้ผมเอาใจออกห่างจากการตามติดชีวิตของใครบางคนทางนู้นได้

 

                “มึงจะไปถามอะไรมันนักหนาวะ มีเหล้าฟรีให้แดกก็แดกๆไปเถอะ”ไอ้แพทเขวี้ยงถั่วเม็ดใหญ่ใส่หน้าผากไอ้ว่านด้วยสีหน้าเอือมระอา

 

                “ก็กูเป็นคนใส่ใจเพื่อน”

 

                “ใส่ใจหรือเสือกเอาดีๆ”ไอ้แพรเงยหน้าจากเอ็นไก่ทอดขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูก็รู้ว่าจงใจกวนส้นตีน

 

                “เสือก”ผมต่อประโยคให้มันด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  พวกเรายกแก้วชนกันแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างไม่มีใครยอมใคร เกือบห้าทุ่มผมก็เริ่มมึนๆ ตอนนี้ในโต๊ะของเราไม่ได้มีแค่พวกผมแล้ว ผู้หญิง 5 คนมาแจมที่โต๊ะจับคู่เพื่อนๆผมจนครบ ถ้าจะให้เดาคืนนี้คงไม่กลับห้องอาจจะไปต่อที่โรงแรมใดโรงแรมหนึ่งแถวๆนี้ ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบอย่างไม่สนใจ แต่ไม่นานก็มีผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งเดินมาหาผม ในมือถือเครื่องดื่มสำหรับผู้หญิงมาด้วย ผมเมินสายตาและรอยยิ้มนั้นแต่ทว่าเจ้าหล่อนกลับเดินมาหยุดข้างหน้าผม เรียวขาขาวผ่องที่โผล่พ้นกระโปรงเข้ารูปสีดำสูงเลยเข่าเกินคืบทำให้ผมต้องตวัดสายตาขึ้นมอง

 

                “นั่งด้วยได้มั้ยคะ”น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยถามผม ผมมองบรรดาเพื่อนๆที่ตอนนี้เริ่มไม่สนใจโลกรอบตัวแล้วก็ได้แต่พยักหน้าแกนๆ ผู้หญิงคนนั้นทรุดตัวลงนั่งข้างผม ต้นขาเรียวนั้นเบียดกับต้นขาของผม แก้วเครื่องดื่มสีสวยถูกยื่นมาตรงหน้า

 

                “เราชื่อลูกแก้วนะยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”ผมมองหน้าลูกแก้วก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนแก้วกับเธอ

 

                “คิน ชื่อคิน”

 

 

                ภายในคอนโดหรูของคณิณประตูห้องถูกเปิดออกก่อนร่างของชายหญิงสองคนจะนัวเนียกันอย่างไม่มีใครยอมใครเข้ามา รองเท้าส้นสูงถูกสลัดออกอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง ริมฝีปากดูดดึงกันจนเกิดเสียง ชุดเดรสสีดำแขนเสื้อหลุดร่วงลงมาจนไม่เป็นทรง มือเรียวของคณิณสอดลึกเข้าไปในกระโปรงสั้นกุดบีบเค้นต้นขาขาวนั้นอย่างมัวเมา หญิงสาวจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตราคาแพงของคณิณออกอย่างรวดเร็วก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปให้พ้นทางราวกับนั่นคือสิ่งที่แสนจะเกะกะ คณิณดันร่างเพรียวระหงให้ล้มลงบนโซฟาหนังในห้องนั่งเล่นก่อนจะขึ้นคร่อมร่างบางนั้นกักไม่ให้เจ้าหล่อนหนีไปไหน ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเยอะทำให้คณิณเมาจนแทบไม่เหลือสติ ร่างสูงปลดเข็มขัดกางเกงออกก่อนจะตะโบมจูบลงบนกลีบปากเคลือบสีสวยนั้นราวหิวกระหาย สองมือไม่ได้ปล่อยให้ว่างบีบขยำก้อนเนื้อนุ่มอีกมือก็ลูบไล้ต้นขาขาวขึ้นมาจนถึงขอบชั้นในลูกไม้ตัวเล็ก ค่อยๆเกี่ยวมันลงมาโดยที่หญิงสาวก็ขยับบั้นท้ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

 

ริมฝีปากอุ่นกดจูบและดูดดึงกลีบปากอิ่มนั้นราวหิวกระหาย ดวงตาปรือจ้องหน้าคนใต้ร่างด้วยสายตาพร่าเลือน จากใบหน้าสะสวยของหญิงสาวกลับค่อยๆบิดเบี้ยว คณิณพยายามสะบัดหน้าเพื่อปรับโฟกัส ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับกลายเปลี่ยนเป็นใครอีกคน

 

เศรษฐพงศ์จ้องหน้าเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง คณิณสะบัดหัวอีกครั้ง มือที่บีบขยำก้อนเนื้อและลูบไล้กลางตัวของใครอีกคนหยุดนิ่ง

 

                “ไอ้เซ็ท?”เศรษฐพงศ์ใช้แขนคล้องคอคณิณดึงตัวขึ้นมากดจูบอย่างร้องขอ คณิณหัวใจเต้นแรงกับภาพที่เห็นตรงหน้า

 

อย่างเศรษฐพงศ์นี่น่ะเหรอจะมาจูบเขาก่อน ชายหนุ่มเบือนหน้าหลบก่อนจะเพ่งมองคนใต้ร่างอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เศรษฐพงศ์แต่เป็นหญิงสาวที่ปรือตามองเขาอย่างเชื้อเชิญ สติที่ขาดหายกลับเข้ามาอีกครั้ง คณิณรีบผละตัวออกจากหญิงสาว

 

                “คินคะ ทำไมล่ะ ทำไมไม่ต่อล่ะคะ”ลูกแก้วรีบวิ่งมาเกาะแขนเขาไว้ หญิงสาวอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยใช้หน้าอกอวบอิ่มถูไถต้นแขนของคณิณอย่างปลุกเร้า

 

                “ขอโทษนะ เธอกลับไปเถอะเราคงทำไม่ได้แล้ว”คณิณหันไปบอกผู้หญิงที่เขาขาดสติหิ้วกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

 

                “ทำไมล่ะ เมื่อกี๊ยังดีอยู่เลยนะ แก้วทำอะไรให้คินโกรธหรือเปล่าบอกแก้วได้นะ หรือคินอยากนอนนิ่งๆก็ได้เดี๋ยวแก้วทำให้เอง เอามั้ยอ่า”

 

                “ไม่เอา เธอกลับไปเถอะ เราไม่มีอารมณ์แล้ว”

 

                “ทำไมอ่ะ คินเป็นคนพาเรามาเองนะแล้วจะมาไล่แบบนี้ได้ไงอ่ะ”ลูกแก้วขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจเมื่อคณิณแกะมือที่คล้องแขนไว้แน่นของเจ้าหล่อนออก

 

                “เราเมาน่ะ แต่ตอนนี้เราหายเมาแล้ว ขอโทษด้วยนะ เธอกลับไปเถอะ เรามีคนที่ชอบแล้วไม่อยากนอกใจเขา”

 

                “เฮงซวย เธอมันผู้ชายเฮงซวย”ลูกแก้วผลักแขนของคณิณออกอย่างหัวเสีย หญิงสาวแต่งตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินไปเก็บรองเท้าที่สลัดทิ้งไปไม่ถึงสิบนาทีก่อนมาใส่ หันมามองค้อนชายหนุ่มเจ้าของห้องที่ตอนแรกเห็นรถที่ขับก็ตาโตยิ่งพอมาเห็นคอนโดยิ่งลิงโลดใจคิดว่าตัวเองคงตกถังข้าวสารแน่แล้ว

 

แต่ดูสิ หล่อนไม่เคยพลาดเหยื่อ แต่ไอ้คนหน้าหล่อๆหยิ่งๆนี่กลับทำให้หล่อนค้างเติ่งไปซะอย่างนั้น

 

                “กลับเองนะเราไม่ไปส่ง”ชายหนุ่มเอ่ยลาด้วยประโยคที่ทำให้เจ้าหล่อนยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ นิ้วกลางถูกส่งให้ก่อนที่จะเดินกระแทกเท้าพลางปิดประตูดังปังสนั่นจากไป คณิณยกมือขึ้นลูบหน้าพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

เกือบไปแล้ว

 

เกือบทำอะไรเกินเลยไปแล้ว ชายหนุ่มมองเป้ากางเกงที่นูนเด่นขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

 

ยังไงซะก็ต้องปลดปล่อยออกมาไม่งั้นคงนอนไม่หลับ ชายหนุ่มถอดกางเกงออกเปิดฝักบัวรดตัวดวงตาคู่สวยหลับตาลง จินตนาการภาพใครบางคนในสมองก่อนจะค่อยๆขยับข้อมือตัวเองช้าๆ

 

                “อ่า...”เสียงครางเบาๆดังขึ้น ภาพของเศรษฐพงศ์ที่ส่งยิ้มมาให้ ร่างกายเปลือยเปล่าที่ขยับไปมาในอริยาบทต่างๆยิ่งส่งให้คณิณเร่งข้อมือเร็วขึ้น

 

เร็วขึ้น

 

และเร็วขึ้นเรื่อยๆ

 

เร็วจนในที่สุดมวลความรู้สึกที่มีก็แล่นปราดเข้าสู่ปลายทางก่อนจะกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำขาวขุ่น เสียงหอบหายใจดังสะท้านก้องห้องน้ำ แข้งขาแทบอ่อนในขณะที่ยังขยับข้อมือช้าๆอีก 3-4 ครั้งเพื่อรีดเอาทุกหยาดหยดที่ยังคั่งค้างออกมา ใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหูและต้นคอ คณิณปล่อยตัวเองให้ยืนใต้ฝักบัวอีกพักใหญ่ก่อนจะอาบน้ำแล้วแต่งตัวเข้านอนไปพร้อมมโนภาพว่าตัวเองนอนกอดเศรษฐพงศ์อยู่ในอ้อมแขน ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งที่กอดอยู่ก็เป็นแค่เพียงหมอนข้างเท่านั้น









                เช้าวันนี้ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินเหมือนเช่นทุกวัน หลังจากกินข้าวเช้าเด็กฝึกงานก็เดินทางมาตอกบัตร รับมอบหมายงานที่จะต้องทำในวันนี้

 

                “เอาล่ะวันนี้พี่จะให้พวกเธอไปตัดกิ่งหางนกยูงฝรั่งนะ มันระเกะระกะเวลารถทัวร์เข้ามากิ่งมันฟาดหลังคารถ ดูให้มันพ้นหลังคารถตัดตั้งแต่ทางเข้าๆมาเลยนะ จะใช้เวลากี่วัน”

 

                “ไม่เกิน 3 วันครับ”ผมตอบอย่างมั่นใจเพราะงานไม่ได้ยากอะไร พี่ต๋องพยักหน้าเข้าใจและอนุญาตให้เราเบิกรถอีแต๋นมาใช้ได้ 2 คัน พร้อมให้คนงานอีกกลุ่มหนึ่งมาช่วย

 

                “เดี๋ยวพวกผู้หญิงอยู่ข้างล่างนะ คอยเก็บกิ่งไม้ที่ตัดแล้วใส่รถ”ผมบอกกับเพื่อนผู้หญิงที่มีกันอยู่ 9 คน ก่อนจะแจกจ่ายงานให้พวกเพื่อน ๆ เราเริ่มงานกันด้วยความขะมักเขม้น ไอ้สองแฝดปีนขึ้นไปต้นเดียวกันด้วยความคล่องแคล่ว มันเหน็บมีดอีโต้ไว้ที่ขอบกางเกง แขนก็คล้องเลื่อยตัดกิ่งไว้ ตัวผมก็เช่นกัน

 

                “น้องๆ ทำกันช้าๆหน่อยก็ได้”เสียงคนงานของสนรามกอล์ฟเอ่ยบอกกับพวกเราเมื่อเราตัดมาได้เกิน 10 ต้นแล้ว ผมมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ทำไมถึงให้ตัดช้าๆในเมื่อถ้าทำเสร็จเร็วจะได้ไปทำงานอื่นต่อ

 

                “คือพวกน้องบ้าพลังกันเกินไปอ่ะ ทำๆเล่นๆมั่งก็ไม่มีใครว่าหรอก”

 

                “งี้งานมันก็เดินช้าดิ่พี่”ผมท้วงอย่างไม่เห็นด้วย

 

                “ช้าก็ช่างมัน นี่น้องรู้ป่ะตัดกิ่งเนี่ยปกติพี่ทำกันเป็นเดือนถึงจะเสร็จน้องไปบอกผู้จัดการได้ไงว่าสามวันเสร็จ”

 

                “บ้าเหรอพี่ ทำไมทำช้าขนาดนั้นสามวันผมก็ว่านานไป”ผมเถียงใจขาดดิ้นกับระยะเวลาการทำงานตามที่พี่เค้าว่า

 

                “น้องจะทำให้พวกพี่ลำบากหลังน้องกลับไปแล้วรู้หรือเปล่า?”พี่คนดูเป็นหัวโจกยังคงกล่าวโทษเราอย่างไร้สาเหตุ

 

ผมไม่เข้าใจหรอกนะว่าการที่พวกผมตั้งใจทำงานมันจะไปกระทบกับอนาคตของพวกเขายังไง แต่การที่ผมมาฝึกงานที่นี่การตั้งใจทำงานและปฏิบัติงานตามคำสั่งได้อย่างเป็นระบบมีระเบียบและมีประสิทธิภาพนั่นจะทำให้สถานประกอบการพอใจมันจะเป็นผลดีกับรุ่นน้องรุ่นต่อๆไปที่จะต้องมาฝึกงาน อีกอย่างสิ่งที่เขาตั้งใจทำนี้มันก็เป็นหน้าเป็นตาให้วิทยาลัยด้วยว่าสอนพวกผมมาดีผมยังจำวันแรกที่พี่ต๋องพาไปนะนำกับพี่ๆฝ่ายประสานงานได้ รายนั้นพูดถึงเด็กฝึกงานจากวิทยาลัยหนึ่งได้ดี

 

ถ้าผมเป็นเด็กกลุ่มนั้นมาได้ยินคงหน้าชาเหมือนโดนตบด้วยเท้าแน่ๆ

 

                “ถ้าน้องทำได้เร็วมันจะเป็นมาตรฐานที่ผู้จัดการจะเอามาใช้กับพวกพี่ งานในนี้เยอะจะตายแต่ละงานหนักๆทั้งนั้นอ่ะจะรีบทำไปทำไม”

 

                “ถ้าพี่กลัวงานหนักกลัวลำบากทำไมไม่ลาออกไปอยู่บ้านอ่ะ จะมาทำให้มันเหนื่อยทำไม”เสียงไอ้จีนตะโกนถาม ผมคิดว่ามันเองก็คงคิดเหมือนผม

 

เรารักสถาบัน

 

เราจะรักษาหน้าตาของสถาบันเราไว้ ไม่ยอมให้ความขี้เกียจของใครบางคนมาทำให้ชื่อเสียงมันมัวหมองลง

 

                “พี่พูดอะไรก็ฟังๆกันหน่อย”

 

                “เอาเป็นว่าผมรับทราบครับ แค่นี้นะผมจะทำงานต่อ”ผมเอ่ยตัดบทเมื่อพี่เมฆดูท่าจะไม่จบซักที ผมมองหน้าสองแฝดส่ายหน้าเบาๆไม่ให้มันต่อความยาวสาวความยืด

 

จากนั้นเราทั้งหมดก็เร่งสปีดกันยิ่งกว่าเดิม

 

ใช่ครับผมฟังแต่ผมไม่จำเป็นต้องทำตาม นั่นก็สร้างความไม่พอใจเล็กๆให้กับคนงานในนั้นเล็กน้อย

 

ช่วงเที่ยงหลังจากกลับหอมาล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วพวกเรราก็ตรงดิ่งไปร้านเจ๊แก้วทันที เพราะเสียเหงื่อกับออกแรงไปมากเมื่อมาถึงช่วยเจ๊แก้วยกกับข้าวกับปลาเสร็จเราก็จ้วงกันแบบไม่มีใครมองหน้าใคร ข้าวถูกขอเพิ่มจนเจ๊แก้วเอ่ยแซวแม้แต่กลุ่มผู้หญิงที่ว่ากินไม่เยอะวันนี้ยังกินได้มากกว่าปกติ เมื่อล้างถ้วยล้างชามเสร็จแล้วผมก็แยกตัวไปนั่งใต้ต้นสนห่างจากหอเพื่อโทรหาเอิร์น สายถูกตัดไป 2 ครั้ง ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนที่จะหัวใจฟูขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเอิร์นโทรกลับมาหาผมเอง ผมรีบกดรับกรอกเสียงทักทายลงไปในทันที

 

                “ฮัลโหลเอิร์น เมื่อกี้ทำไมตั...”











 

                “เซ็ท ต่อไปนี้ไม่ต้องโทรหาเอิร์นแล้วนะ”









ผมหุบปากลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเอิร์น



ผมทำอะไรให้เอิร์นโกรธหรือเปล่า?

 

                “เอิร์นเป็นอะไรอ่ะ? เซ็ทโทรไปกวนตอนเอิร์นเรียนอยู่เหรอ”

 

                “ไม่ใช่ เซ็ทไม่ได้กวนอะไรเอิร์น แต่เอิร์นอยากจะบอกเซ็ทว่าต่อไปนี้เราเลิกคุยกันเถอะนะ”

 

                “เซ็ทไม่เข้าใจ...มันเกิดอะไรระหว่างเราอ่ะเอิร์น”ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโรยแรงแบบสุดๆ

 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ผมไม่เข้าใจ คำพูดของเอิร์นเหมือนมีใครซักคนมากระชากหัวใจของผมจนมันโหวงวูบราวกับหัวใจจะหยุดเต้น

 

ผมทำอะไรให้เอิร์นไม่พอใจ

 

เราทะเลาะกันเหรอ?คำตอบคือไม่ เราไม่เคยทะเลาะหรือพูดจาไม่ดีใส่กันเลยซักครั้ง เราต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทุกครั้งที่พูดคุยจะเต็มไปด้วยความห่วงใยซึ่งกันและกันเสมอ

 

                “เอิร์นคุยกับเซ็ทต่อไปไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเอิร์นขอบคุณเซ็ทนะที่อยู่เป็นเพื่อกันมาตลอด”

 

                “เอิร์นครับ เซ็ทขอเหตุผลจริงๆได้มั้ย เซ็ทไม่เข้าใจเซ็ทเป็นแฟนเอิร์นไม่ใช่เหรอ?”

 

                “ไม่ เราไม่เคยเป็นแฟนกัน เอิร์นขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ ที่ผ่านมาเอิร์นคิดว่าเราน่าจะไปด้วยกันได้ เซ็ทเป็นคนดี เป็นคนที่เอิร์นคุยด้วยแล้วสบายใจ เอิร์นคิดว่าวันหนึ่งเอิร์นคงรักเซ็ทได้เหมือนที่เอิร์นรักพี่ปุ้ม จนกระทั่งพี่ปุ้มกลับมาหาเอิร์น เอิร์นก็คงลังเลว่าระหว่างเซ็ทกับพี่ปุ้มเอิร์นชอบใครมากกว่ากัน เอิร์นชอบเซ็ทนะแต่เอิร์นลืมพี่ปุ้มไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นเอิร์นเลยรู้สึกว่าเอิร์นไม่ควรจะคุยกับเซ็ทแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว เอิร์นคืนดีกับพี่ปุ้มแล้ว”

 

 

 

                เศรษฐพงศ์ไม่เคยรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มเหมือนเช่นวันนี้เลย เด็กหนุ่มนั่งฟังสิ่งที่อารดาพูดด้วยหัวใจที่เจ็บจนชา

 

ที่ผ่านมาอารดาเห็นเขาเป็นแค่คนคั่นเวลา?

 

ที่ผ่านมาอารดาไม่เคยลืมแฟนเก่าที่ทำให้เจ้าหล่อนเจ็บช้ำน้ำใจเลย

 

ที่ผ่านมาอารดาไม่เคยเห็นคุณค่าของคนที่นั่งรับฟังความทุกข์ใจของตนเองเลย

 

มีแต่เขา

 

เขาเองที่ให้ใจกับหญิงสาวเสียงหวานคนนี้ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้า

 

โดนเพื่อนๆด่าก็หลายครั้งเรื่องที่เขารักอารดาแบบหัวปักหัวปำ

 

โอบนิธิเคยถามเขาเสมอว่าทำไมเขาถึงรักผู้หญิงคนนี้นักทั้งๆที่ได้ยินแค่เสียงเห็นแค่รูปโปรไฟล์ในไลน์ รักแม้จะไม่เคยเห็นหน้าจริงๆด้วยซ้ำ

 

ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา อารดาเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับเขา

 

ไม่ว่าจะเรียนหนักจนท้อมากมายขนาดไหนอารดาจะคอยให้กำลังใจบอกให้เขาสู้ๆและตั้งใจเรียนเพื่ออนาคต

 

ไม่ว่าเขาจะเหงามากแค่ไหนบ่นเรื่องแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้เหมือนเมื่อก่อนอารดาเป็นคนปลอบใจเขาว่าเพราะแม่กำลังสร้างรากฐานให้เขาไว้ใช้ในอนาคตบอกให้เขาเชื่อใจและมั่นใจในตัวแม่

 

ไม่ว่ากี่ครั้งที่ทะเลาะกับคณิณทั้งหนักและเบาอารดาจะเป็นคนบอกให้เขาใจเย็นรู้จักปล่อยวางและให้อภัย

 

ในจักรวาลมีดวงดาวมากมายแต่อารดาเป็นเสมือนโลกทั้งใบของเศรษฐพงศ์

 

เด็กหนุ่มไม่เคยมีความรัก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเป็นคนขี้กลัว

 

กลัวความสูญเสียกลัวตัวเองจะเสียใจหากต้องสูญเสียความรักไป

 

เศรษฐพงศ์ไม่เคยจินตนาการความรู้สึกของการอกหักเลยซักครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเฝ้าระวังตัวระวังใจไม่ให้เผลอไผลไปรักใครได้ง่ายๆจนกระทั่งเจออารดา

 

                “ถ้าเอิร์นไม่เคยรักเซ็ทเลยเอิร์นจะมาคุยกับเซ้ททำไม?”น้ำเสียงที่พยายามห้ามไม่ให้สั่นถูกส่งกลับไป เสียงสะอื้นเบาๆจากปลายสายยิ่งบีบหัวใจของเศรษฐพงศ์ให้เจ็บ

 

                “มาทำให้เซ็ทรักเอิร์นทำไมในเมื่อเอิร์นไม่เคยรักเซ็ทเลย”พยายามกระพริบตาเพื่อไล่ความผ่าวร้อนที่กระบอกตา สายตาเริ่มพร่าเลือนลงไปทุกที

 

                “แบบนี้สินะเพราะแบบนี้สินะทุกครั้งที่เซ็ทบอกว่ารักบอกว่าคิดถึงเอิร์นๆถึงปล่อยเบลอเซ็ทมาตลอด เอิร์นไม่สงสารเซ็ทเหรอ เซ็ทให้ใจเอิร์นไปหมดแล้วนะ ให้จนไม่เหลือให้ใครเลยทำไมเอิร์นใจร้าย”

 

                “เอิร์นขอโทษ  นี่ไงเอิร์นกำลังทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง เซ็ทยังเด็กยังต้องเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิตอีกมากไม่นานเซ็ทก็จะลืมเอิร์นได้เอง”

 

                “มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกเอิร์น เซ็ทไม่ใช่คนที่จะลืมอะไรได้ง่ายๆหรอกนะ เอิร์นบอกเซ็ทหน่อยได้มั้ยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

                “....”

 

                “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขากลับมา?”

 

                “เขาไม่เคยไปไหนหรอกเซ็ท พี่ปุ้มเป็นรูมเมทกับเอิร์นเอง”

 

                “....”

 

                “เอิร์นขอโทษนะเซ็ท อย่าร้องไห้อย่าเสียใจกับคนไม่ดีอย่างเอิร์นเลย ต่อไปนี้เซ็ทไม่ต้องโทรมาไม่ต้องทักไลน์เอิร์นมาแล้วนะ เอิร์นไม่อยากมีปัญหากับแฟนแล้ว พี่ปุ้มเค้าไม่พอใจที่เอิร์นคุยกับเซ็ท เอิร์นไปก่อนนะเซ็ทดูแลตัวเองด้วยนะคะ”

 

สัญญาณจากปลายสายตัดไปแล้ว...เศรษฐพงศ์นั่งนิ่งราวกับกำลังทบทวนว่าเมื่อครู่สิ่งที่ได้ยินมันเกิดขึ้นจริงๆเหรอ เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล

 

อย่าอ่อนแอ

 

บอกกับใจตัวเองที่หวิวๆเหมือนจะเป็นลมนั้นให้อดทนไว้ ก็แค่โดนบอกเลิกกลางอากาศเองเว้ย มึงต้องทนได้สิวะไอ้เซ็ท

 

เสียงเรียกดังมาจากทางหอบอกเวลาว่าเขาต้องกลับไปทำงานต่อแล้วเด็กหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าด้วยความแศร้าซึม

 

ใบหน้าที่ระบายรอยยิ้มตั้งแต่บ่ายเมื่อวานตอนนี้กลับไร้สีเลือดอีกทั้งบึ้งตึงเครียดขรึมจนเพื่อนๆรู้สึกได้ จีรนันท์ทำท่าจะเอ่ยปากถามแต่ก็ถูกโอบนิธิดึงบ่าห้ามไว้ ตลอดระยะทางที่จะเข้าสนามกอล์ฟเศรษฐพงศ์สร้างพื้นที่ส่วนตัวให้ตัวเองโดยไม่พูดคุยกับใครไปตลอดทาง

 

ไม่ใช่อยากจะทำแบบนี้เพียงแต่ว่าถ้าเขาพูดไปกลัวความรู้สึกที่อัดอยู่ข้างในจะล้นทะลักออกมา

 

ถ้าเขาพูดอะไรไปในตอนนี้เขาคงร้องไห้

 

ความทุกข์ความผิดหวังความเสียใจมันอัดอั้นอยู่ในอกเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะประทุ

 

ตอนนี้สิ่งที่เศรษฐพงศ์ต้องการคือขออยู่เงียบๆกับตัวเองโดยที่ไม่มีใครก้าวเข้ามาวุ่นวายในส่วนนี้

 

ตลอดช่วงบ่ายนั้นเศรษฐพงศ์ทำงานเร็วกว่าตอนเช้าจังหวะการฟันกิ่งไม้หนักหน่วงรุนแรงเกรี้ยวกราดและไม่พูดคุยกับใครเลย

 

เพื่อนๆทั้ง 6 คนไม่มีใครเข้าหน้าเด็กหนุ่มติดซักคน

 

รู้แค่ว่าเศรษฐพงศ์อารมณ์ไม่ดีแต่ไม่รู้ว่าไม่ดีเพราะเรื่องอะไร







 

ตกเย็นหลังเลิกงานเศรษฐพงศ์อาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินไปนั่งอยู่หน้าป้อมยามโดยไม่บอกไม่กล่าวเพื่อๆ ชายหนุ่มไปขอผู้จัดการสนามกอล์ฟที่มีธุระเข้าตัวเองติดรถไปด้วย ยื่นใบลาหยุด 1 วันโดยอ้างว่าที่บ้านมีธระต้องไปร่วมเมื่อถึงตัวเมืองเศรษฐพงศ์ก็ลงจากรถแล้วเดินไปเรื่อยเปื่อยจากท่ารถเรื่อยๆลัดเลาะเส้นตลาดสดจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่โค้งปะปายามพลบค่ำแสงสีถูกประดับประดาหลากหลายด้วยโคมไฟหลากสีเสียงเพลงดังกระหึ่มแข่งขันประชันกันจากร้านรวงข้างทาง เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในร้านกึ่งผับร้านหนึ่งก่อนจะเริ่มสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มานั่งดื่มโดยไม่สนใจใคร

 

ดื่มให้มันลืมความเจ็บปวด

 

หวังให้เหล้าช่วยชะล้างความหม่นหมองในหัวใจแค่ซักช่วงเวลาหนึ่งก็ยังดี

 

ขอเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้แค่วันเดียวแล้วพรุ่งนี้เขาจะเยียวยาตัวเอง

 


สัญญว่าพรุ่งนี้จะดีขึ้น...







.................................

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 24 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 04-01-2019 11:24:16
คิมจะกลับมาปลอบมั้ย ในที่สุดคำแช่งของคิมก็เป็นจริงเขาเลิกกันแล้วเขาเลิกคุยกัน
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 24 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 05-01-2019 22:43:03
คือพีคที่สุคือเอิร์นกับเป็นแฟนกลับรูมเมทตัวเอง...
สงสารน้องสุดแต่อิคินนี่รีบกลับมาเลยนะก่อนน้องเปลี่ยนใจ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 24 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 15-01-2019 09:48:25
นั่นเชื่อเพื่อนมั่งเถอะเซ็ท

เป็นพี่คินนี่เหนื่อยเนอะ เห้ออออ

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 25 15/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 15-01-2019 20:36:29
Boy in luv #25



คณิณขับรถเข้าเขตจังหวัดกาญจนบุรีในตอนเกือบสองทุ่ม การจราจรในเย็นวันศุกร์แม้ไม่ติดขัดแต่ก็ไม่คล่องตัวนัก ชายหนุ่มเบนรถเข้าสู่เขตหนองตากยาเพื่อมุ่งหน้าไปสู่สนามกอล์ฟที่เศรษฐพงศ์ฝึกงานอยู่ ของกินของฝากที่ชายหนุ่มแวะซื้อรายทางตั้งแต่กรุงเทพ นครปฐม ราชบุรี จนกระทั่งถึงเมืองกาญจน์วางอยู่ท้ายรถมากมายหลายถุง  เขาเลือกซื้อแต่ของที่เศรษฐพงศ์ชอบกิน ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะทั้งหมดนั่นหรือไม่ที่คนเด็กกว่าชอบแต่นี่คือสิ่งที่เห็นเศรษฐพงศ์กินบ่อยๆ

 

            “ขอโทษนะครับพวกเด็กฝึกงานพักกันอยู่ตรงไหนครับ”คณิณลดกระจกรถถามยามที่นั่งเฝ้าป้อมหน้าสนามกอล์ฟ

 

            “เด็กเกษตรเหรอมีอะไรหรือเปล่าคุณ”

 

            “ใช่ครับไม่ทราบว่าพักแถวไหนผมเป็นพี่ของเศรษฐพงศ์เพิ่งกลับจากกรุงเทพเลยแวะเอาของกินมาฝากน้อง”

 

            “อ้อ พี่ของเซ็ทเหรอครับ ขับเข้าไปเห็นซอยตรงนั้นเลี้ยวเข้าไปเลยครับอยู่ห้องแรก”คณิณเอ่ยขอบคุณพลางยื่นถุงขนมให้ยามไปถุงหนึ่งก่อนจะเลี้ยวรถไปตามที่ยามบอก บริเวณหน้าหอกลุ่มนักศึกษาล้อมวงกันดีดกีต้าร์ร้องเพลงอย่างสนุกสนานมีทั้งที่คุ้นหน้าคือกลุ่มเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ที่นั่งร่วมวงแต่ท่าทางไม่ได้สนุกตามเพื่อนเท่าไหร่นักและที่ไม่คุ้นหน้าอีกเกือบสิบคน ทั้งหมดชะเง้อมองดูรถที่แล่นเข้ามาจอด คณิณเปิดประตูรถก่อนกวักมือเรียกโอบนิธิและยงศกรที่เดินมามองใกล้ๆ

 

            “มึง ไอ้อิ้งค์ไอ้ยิมมาช่วยขนของท้ายรถลงหน่อยกูซื้อมาฝาก”คณิณเปิดท้ายรถเผยให้เห็นของกินอัดแน่น

 

            “พี่มึงไม่ซื้อข้าวสารมาซักกระสอบด้วยเลยล่ะถ้าจะซื้อมาเยอะขนาดนี้”โอบนิธิว่าแดกเข้าให้ 1 ดอกเมื่อเห็นถุงของกินของใช้ที่อัดแน่นแถมคณิณยังเปิดประตูเบาะหลังเป็นเชิงบอกว่าในนี้ยังมีอีก

 

            “ไอ้เซ็ทล่ะ?”เอ่ยถามหาคนที่อยากเห็นหน้าในขณะที่พวกวีรดนัย สองแฝด ยงศวิสุทธิ์และเพื่อนๆผู้ชายอีก 2-3 คนมาช่วยขนของจนเสร็จ

 

            “มันติดรถพี่ต๋องเข้าเมืองไปตั้งแต่เลิกงานแล้ว”

 

            “อ่าว ไปทำไมวะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”คณิณขมวดคิ้วอย่างสงสัย

 

            “กูก็ไม่รู้นะ แต่ตอนบ่ายอ่ะมันดูอารมณ์ไม่ดีพวกกูเข้าหน้ามันไม่ติดซักคนมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้กูโทรไปสายจะไหม้แล้วแม่งยังไม่รับสายเลย ถ้าให้เดาคงเป็นเรื่องแฟนมันอ่ะ เห็นคุยโทรศัพท์พักใหญ่แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันจากนั้นก็อย่างที่บอก”โอบนิธิรีบรายงานพฤติกรรมของเพื่อนให้คณิณฟัง เอาจริงๆพวกเขาเป็นห่วงเศรษฐพงศ์ จะไปตามก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครมีรถกันเลยซักคนสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงพยายามไลน์หา แต่เศรษฐพงศ์ทำเพียงแค่อ่านแต่ไม่ตอบ โทรหาก็ตัดสายทิ้ง

 

            “เหมือนมันทะเลาะกับเอิร์น”คราวนี้เป็นวีรดนัยที่ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมา คณิณโทรกลับไปที่บ้านเจอแม่บ้านรับโทรศัพท์จึงแกล้งถามว่ามีใครอยู่บ้านอีกมั้ยปรากฏว่ายังไม่มีใครกลับไปที่บ้านเลยซักคนชายหนุ่มเร่งให้เด็กๆที่เหลือเอาของลงจากรถให้หมดไวๆ

 

คณิณขับรถเข้าตัวเมืองด้วยจิตใจที่คล้ายมีไฟมาสุม เขารู้สึกห่วงคนเด็กกว่าที่ขาดการติดต่อจากเพื่อนๆ ชายหนุ่มกดโทรหานับร้อยสาย...แน่นอน เศรษฐพงศ์ไม่รับ  ผิดปกตินิสัยของเศรษฐพงศ์มากเพราะปกติไม่ว่าจะโกรธหรือเกลียดกันยังไงถ้าคนที่บ้านโทรหาเด็กนั่นไม่เคยเมินสายเลยซักครั้ง  อยากไปให้ถึงตัวเมืองไวๆ

 

 

เศรษฐพงศ์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มราวน้ำเปล่าตั้งแต่หัวค่ำ ดวงตาฉ่ำน้ำปรือปรอยมองชาวต่างชาติที่แวะเวียนเข้ามาดื่มกันในบาร์แห่งนี้ด้วยความอิจฉา

 

คู่รักแลกจูบกันอย่างไม่ปิดบัง

 

ใจของเขาเจ็บ คล้ายกับมีเข็มมาทิ่มแทง

 

เหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำมาจนเต็มอยู่ๆก็มีใครไม่รู้เอาเข็มมาทิ่มจนเกิดรอยรั่ว น้ำที่บรรจุด้านในค่อยๆไหลออกตามรูที่ถูกแทงจนพรุน

 

เจ็บจังเลย

 

ทำไมมันทรมานอย่างนี้นะ

 

เหมือนจะหายใจไม่ออก

 

หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยดวงตาที่พร่าเลือน สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมินทุกสายที่โทรเข้ามาเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งเข้าปากกลืนหายไปราวกับมันระเหย  ข้อความมากมายถูกส่งไปหาอารดา ขอร้องให้ฝ่ายหญิงทบทวนเรื่องราวใหม่

 

ในที่สุด อารดาก็บลอคไลน์เขา

 

เศรษฐพงศ์ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเท่าวันนี้มาก่อน  เพราะความเมาทำให้เศรษฐพงศ์ละทิ้งซึ่งสติและความคิดที่เคยโตเป็นผู้ใหญ่เอาไว้เบื้องหลัง

 

ตอนนี้

 

ขณะนี้

 

เวลานี้

 

เขาอยากจะเป็นคนเอาแต่ใจ เศรษฐพงศ์ใช้สมองอันพร่าเลือนกดเบอร์พื่อโทรหาอารดาอีกครั้ง คราวนี้ปลายสายกดรับ เด็กหนุ่มรีบระล่ำระลักอ้อนวอนขอร้องไม่ให้อารดาตัดสายทิ้ง

 

            “เอิร์น เอิร์นอย่าเพิ่งวางนะ เซ็ทขอโทษ ถึงเซ็ทจะไม่รู้ว่าเซ็ททำผิดตรงไหนแต่เอิร์นอย่าเลิกกับเซ็ทเลยนะ เซ็ทสัญญาว่าเซ็ทจะไม่ทำให้เอิร์นเสียใจเหมือนอย่างที่เค้าทำ เอิร์นอย่ากลับไปคบกับเค้าเลยนะ เซ็ทชอบเอิร์น ชอบเอิร์นมากจริงๆนะ”

 

            “มึงอยู่ไหน?”ปลายสายเอ่ยถามด้วยน้ำเรียบเรียบนิ่ง นิ่งจนน่ากลัว เศรษฐพงศ์นิ่งฟังอย่างใช้ความคิด น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยแม้ว่าจะเมาก็ยังคงจำได้

 

เขาโทรผิด...

 

            “กูถามว่ามึงอยู่ที่ไหนไอ้เซ็ท?”คำถามคำเดิมยังคงย้ำอีกครั้ง

 

            “ไม่ต้องมายุ่งกับกู”เศรษฐพงศ์ตัดสายพลางสั่งเหล้าเพิ่มอีกแก้ว

 

คณิณโยนโทรศัพท์ไว้บนเบาะข้างๆอย่างหัวเสียพยายามคิดว่าเศรษฐพงศ์จะไปกินเหล้าที่ไหนได้ น้ำเสียงยานคางอย่างนั้นแปลว่าเมาเต็มที่แล้ว ดูเอาเถอะขนาดสติไม่ครบยังเมินเขาเหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง น่าตลกที่เขาเป็นห่วงไอ้เด็กบ้านี่แทบแย่  คณิณพยายามทบทวนว่าตนเองได้ยินเสียงอะไรบ้างในขณะที่ฟังเศรษฐพงศ์คร่ำครวญถึงความรักที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น

 

เสียงเพลงที่ดัง เสียงพูดคุยรอบกาย เสียงชาวต่างชาติ...ในเมืองกาญจน์ตรงไหนที่ฝรั่งชอบไปดื่มกันนะ...

 

โค้งประปา?

 

คณิณขับรถมุ่งตรงไปสู่เส้นโค้งประปา ชายหนุ่มเลือกเอารถไปจอดในซอยใกล้ๆกับที่ทำการปะปาเพราะถนนเส้นนี้ตอนกลางคืนคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชอบมาดื่ม เพราะเป็นถนนเส้นเล็กๆอีกทั้งปริมาณคนและปริมาณรถที่ใช้สัญจรไปมามีมากจึงทำให้เส้นนี้รถติดพอสมควร  คณิณเดินมุ่งหน้าข้ามมาอีกฝั่งของถนนที่ประกอบด้วยบาร์ชั้นล่างไปจนถึงชั้นกลาง บรรดาสาวๆที่คอยเรียกลูกค้าส่งเสียงโห่แซวยามชายหนุ่มตัวขาวหน้าตาหล่อเหลาในชุดนักศึกษาเดินผ่านคณิณไม่ได้สนใจพวกหล่อนเหล่านั้นเลย สายตาคมสอดส่ายมองหาคนเด็กกว่า เดินไปไกลราวๆ 500 เมตร ในร้านที่เต็มไปด้วยนักดื่ม เศรษฐพงศ์นั่งอยู่บนโต๊ะยาวหน้าร้านเด็กหนุ่มกำลังยกมือสั่งเหล้าแก้วใหม่ ใบหน้าที่มีแก้มฟูๆขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาปรือเยิ้ม ข้างกายมีผู้ชายต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่พยายามชวนคุย คณิณไม่รอช้าสองเท้าก้าวยาวๆเข้าไปหาคนน้องทันที

 

            “เซ็ทกลับบ้าน”ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มยังถือวิสาสะดึงแขนคนน้องให้ลุกขึ้น แต่เศรษฐพงศ์กลับขืนตัวไว้พลางใช้มืออีกข้างปัดแขนเขาอย่างไม่ใยดี

 

            “อย่ามายุ่ง จะไปไหนก็ไปกูจะกินเหล้า”เด็กหนุ่มหยิบแก้วเหล้าที่พนักงานเพิ่งเอามาเสิร์ฟแต่ยังไม่ทันได้ยกดื่มคณิณก็แย่งไปจากมือแล้วเทเหล้าทิ้งลงพื้น ชายหนุ่มควักเงินจ่ายค่าเหล้าแก้วนั้นก่อนจะออกแรงดึงคนน้องให้เดินตามมา เศรษฐพงศ์แทบจะปลิวถลาตามแรงดึงของคนแก่กว่า เมื่อต้องก้าวเร็วกึ่งเดินกึ่งวิ่งก็รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องโก่งคออ้วกออกมา คณิณลูบหลังเด็กหนุ่มเบาๆจนเศรษฐพงศ์อาเจียนออกจนหมด

 

            “เดินไหวมั้ย?”เอ่ยถามเด็กที่ดวงตาปรือจนแทบจะปิด ใบหน้าซีดมีเหงื่อผุดจนน่าสงสาร เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับเบะหน้าขึ้นเรื่อยๆ อาการพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ถูกทำลายลงเพราะฤทธิ์เหล้า ความเศร้าเสียใจที่ถาโถมกลั่นออกมาเป็นน้ำตาและเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นราวเด็กน้อยที่ถูกแย่งของเล่นชิ้นโปรดไป เศรษฐพงศ์ร้องไห้ น้ำตาของคนเป็นน้องไหลเป็นสาย

 

นั่นมันทำให้ใจของคณิณเจ็บ

 

เศรษฐพงศ์ยังเด็กเกินไปที่จะรับมือกับความผิดหวังและความเจ็บปวดจากการไม่สมหวังในความรัก

 

            “มานี่เถอะ มึงเดินไม่ไหวหรอก ขี่คอกูเดี๋ยวจะแบกเอง”

 

            “กูเจ็บ...ฮึก...”คนเมายังคงไม่ทำตามที่เขาบอกแต่กลับเอ่ยประโยคที่ทำให้คณิณต้องกัดฟันแน่น ชายหนุ่มจัดการเอาเศรษฐพงศ์ขึ้นหลังได้สำเร็จ เสียงคนเมายังคงคร่ำครวญชิดใบหู เสียงร้องไห้บาดเข้าไปในใจของคนฟัง เต็มไปด้วยความเศร้าและความผิดหวัง คำถามซ้ำๆพร่ำถามออกมาว่าตัวเขาไม่ดีตรงไหนทำไมถึงไม่รักเขาทำไมยังไปรักคนที่เคยทิ้งไป

 

“กูรู้ว่าการไม่เป็นที่รักมันรู้สึกยังไง กูรู้ตั้งแต่ที่เริ่มรักมึง กูเข้าใจความรู้สึกของมึงดีเลยล่ะไอ้เด็กโง่เอ้ย”

คณิณแบกเศรษฐพงศ์มาจนถึงรถ ร่างสูงวางคนเป็นน้องลงบนเบาะรถอย่างแผ่วเบาที่สุดจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพแล้วจึงอ้อมมานั่งประจำที่คนขับ มองคนเมาที่ยังคงพร่ำเพ้อไม่ได้สรรพก่อนจะคิดหนัก

 

เขาควรพาเศรษฐพงศ์ที่เมาแอ๋กลับบ้านหรือควรพาไปเปิดโรงแรมนอนดี เพราะถ้ากลับบ้านลดาจะต้องเป็นห่วงลูกชายมากแน่ๆ

 

เศรษฐพงศ์คงยังไม่อยากให้ใครรูว่าตัวเองอกหัก

 

เด็กคนนี้คาดหวังและมองอนาคตที่มีอารดาไว้สูงมากแต่ตอนนี้ความรักความหวังมันพังลงอย่างไม่เป็นท่าคงต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาแผลใจที่ถูกอารดาทำไว้จนใหญ่เป็นรูรั่วนี้ซักระยะ

 

คิดได้ดังนั้นคณิณจึงขับรถเข้ามาในซอย โชคดีที่มีรีสอร์ทเปิดใหม่อยู่ในซอยคณิณจึงตัดสินใจพาเศรษฐพงศ์เปิดห้องที่นี่ ร่างสูงประคองคนเมาเข้ามาในห้องสำเร็จอย่างทุลักทุเล ทิ้งร่างของเศรษฐพงศ์ลงบนเตียงนอนนุ่มหลังใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน เท้าเอวมองคนเมาที่เอาแต่ร้องไห้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

 

น่าแปลกที่เขาแช่งให้คนทั้งคู่เลิกกันมาตลอด แต่พอเห็นเศรษฐพงศ์ที่มีสภาพแบบนี้ใจของเขาก็เจ็บแทนคนน้อง

 

ไม่อยากให้คนๆนี้ต้องเสียใจกับอะไรแบบนี้เลยซักนิด

 

            “เป็นอะไร จะอ้วกเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อเศรษฐพงศ์เด้งตัวลุกขึ้นนั่งเอามือปิดปากตัวเองไว้ เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะโก่งคออาเจียนออกมาพร้อมๆกับที่คณิณที่หันรีหันขวางหาถังขยะแต่ก็ไม่เจอไวเท่าความคิดคณิณยื่นมือออกมารองรับเศษอาเจียนของคนน้อง ของเหลวอุณหภูมิอุ่นคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้าผสมกลิ่นเปรี้ยวๆถูกคณิณค่อยๆประคองไปทิ้งในโถส้วม ชายหนุ่มล้างมือและล้างตัวที่ถูกอ้วกกระเด็นใส่ก่อนจะเอาน้ำใส่กะละมังใบเล็กกลับมาเช็ดตัวให้คนเป็นน้อง

 

ร่างสูงนั่งลงบนขอบเตียงที่ว่างประคองร่างอ่อนปวกเปียกของคนเมามาไว้ในอ้อมกอดแล้วค่อยๆถอดเสื้อยืดออกให้พ้นตัววางร่างบอบบางของเศรษฐพงศ์ลงตามเดิมแล้วค่อยๆเอาผ้าเช็ดตามเนื้อตามตัวของคนเมา  พยายามข่มใจยามที่เศรษฐพงศ์เอาแต่อ้อนวอนขอความรักความเห็นใจจากเด็กคนนั้นจนคณิณรู้สึกหงุดหงิด ผ้าชุบน้ำถูกลูบไล้บนตัวของเศรษฐพงศ์ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด

 

หมับ..

 

อยู่ๆคนที่เมาจนครองสติตัวเองไม่อยู่ก็จับข้อมือข้างที่เขากำลังเช็ดตัวให้เด็กหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นนั่งฝ่ามืออุ่นถูกจับให้มาแนบแก้มของตน

 

            “เซ็ทรักเอิร์นนะครับ”คนเมาว่าเสียงเจือสะอื้น

 

ไม่อยากฟังแล้ว

 

ไม่อยากฟังคำพูดที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บช้ำ

 

“กลับมาหาเซ็....อื้อ!!...”







 

 

คณิณ::

 

ผมปิดเสียงร่ำร้องพร่ำเพ้อด้วยการรั้งต้นคอของมันมาประกบจูบ ไอ้เซ็ทไม่ได้ปัดป้องขัดขืนแต่ก็ไม่ได้ตอบรับ มันนั่งนิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างเงียบๆไร้เสียงพร่ำเพ้อเหมือนก่อนหน้านี้ ผมกดจูบลงไปซ้ำๆย้ำๆอย่างเชื่องช้าก่อนจะผละออกมาใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากของมันอย่างช้าๆและแผ่วเบา

 

เลิกพูดซักที เลิกพูดถึงคนอื่นคนที่ทำให้มึงต้องมานอนร้องไห้แบบนี้ซักที

 

มึงเจ็บ ใจกูก็เจ็บ เจ็บเพราะมึงร้องไห้ให้เขาคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของมึง

 

คนดีๆแบบมึงไม่ควรต้องมาโดนทำร้ายจิตใจด้วยเรื่องแบบนี้

 

            “อย่าร้อง...กูจะทนไม่ไหวแล้วนะ”ผมดึงมันมากอดพลางลูบแผ่นหลังที่ยิ่งปลอบยิ่งสั่นระริก

 

            “เขาไม่รักมึงก็ปล่อยเขาไป กูอยู่ตรงนี้อยู่กับมึงทั้งคนมึงไม่เห็นเหรอ?”ทั้งๆที่เป็นคนบอกไม่ให้มันร้องเองแท้ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับอยากจะร้องไห้เสียเอง

 

            “กูไม่ได้รักมึง...กูไม่ได้รักมึงเข้าใจป่ะ?”ผมหลุดรอยยิ้มขื่นๆให้กับคำพูดของคนเมา

 

ดูเอาเถอะขนาดไม่มีสติมันยังไม่ลืมความรู้สึกของตัวเอง

 

            “มึงแม่งใจร้ายชิบหายเลย  น่าทิ้งให้อยู่คนเดียวนักไอ้เหี้ย” ผมผลักหัวคนเมาจนร่างโงนเงนของมันหงายหลังลงบนที่นอนไอ้เซ็ทคว้าคอเสื้อของผมไว้จนตัวของผมพลอยล้มลงไปด้วย ลมหายใจของเราห่างกันไม่ถึงคืบ ริมฝีปากแดงๆของมันลอยยั่วอยู่ตรงหน้า ผิวแก้มของมันขึ้นสีเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์มันเลื่อนมือของมันที่จับคอเสื้อของผมมาคล้องรอบลำคอของผม ดวงตาปรือปรอยของมันยังคงมีน้ำตาไหลไม่ขาดสาย

 

ความเจ็บช้ำของมันคงมีมากจนล้นอก

 

            “ไม่เอา อย่าทิ้งกู มึงชอบกูจริงๆเหรอ?  อยากได้กูมั้ย  ถ้าอยากได้กูจะให้”ไอ้เซ็ทเอ่ยถามราวกับไม่เชื่อว่าความรู้สึกที่ผมมีให้มันคือเรื่องจริง มันค่อยๆดันตัวขึ้นมาก่อนจะเป็นฝ่ายกดจูบลงมาบนริมฝีปากของผมมือที่คล้องคอของผมไว้ก็ออกแรงดึงให้ผมโน้มหามันมากขึ้น ไอ้เซ็ทนอนราบลงกับเตียงอีกครั้งเรียกร้องจูบจากผมมากขึ้น กกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งมากับลมหายใจ รสขมปร่าเคลือบลิ้นของมันที่ผมเผลอดูดดึงเกี่ยวพันทำเอาผมแทบจะมึนตามมัน

 

ในใจของผมราวกับมีแมลงนับล้านๆตัวบินวนมันไม่ได้วูบวาบหวามไหวแต่มันกลับเจ็บจี๊ดๆเพราะแมลงเหล่านั้นกกำลังกัดกร่อนหัวใจของผมอย่างช้าๆ

 

จูบของเรา จูบที่มันเริ่มมีทั้งรสขมและรสหวานเจือปนกันอยู่ ฝ่ามือของผมเริ่มลูบไล้ลงบนร่างกายส่วนต่างๆของมัน ท่อนบนเปลือยเปล่าล่อลวงตาราวกับดอกไม้สีสวยที่กำลังไหวลู่ลมล่อแมลงให้บินเข้าไปดูดดึงแอ่งน้ำหวาน  ผมกดจูบปลายคางสูดดมความหอมหวานที่ลำคอไล้เลียชิมผิวผ่องตรงแนวไหปลาร้าอย่าตะกละตะกลาม ยอดอกเม็ดเล็กๆลอยเด่นอยู่ตรงหน้ายั่วยวนจนสติแทบจะกระเจิง ผมเลื่อนตัวขึ้นไปกดจูบลงบนปากอิ่มของมันอีกครั้ง

 

น้ำตาของมันยังไม่หยุดไหล

 

ถ้าจูบกันแล้วมีความสุขต้องไม่ร้องไห้สิ

 

นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่??

 

ในขณะที่ไอ้เซ็ทเอ่ยเชิญชวนผม นั่นเป็นเพราะมันเมาไม่มีสติ

 

แล้วผมล่ะ? แน่นอนสติสัมปัชชัญญะของผมยังคงครบถ้วนผมสามารถปฏิเสธมันได้

 

ผมไม่ควรฉวยโอกาสตอนที่จิตใจของมันเปราะบางบอบช้ำเพื่อความสุขของตัวเองเลยซักนิด ใจคนเจ็บต้องการเพียงแค่ใครซักคนมาเติมเต็มเยียวยาความเจ็บปวดที่ได้รับ

 

นั่นมันไม่ใช่เพราะความรัก ในตอนนี้สำหรับไอ้เซ็ทที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่านั้นมันแค่จะหาใครซักคนที่เห็นคุณค่าในตัวมันซึ่งบังเอิญว่าในตอนนี้ข้างกายของมันคือผม

 

เมื่อสร่างเมามันอาจจะปล่อยเลยตามเลยหรือไม่ก็คงเกลียดผมไปเลย

 

ผมไม่ต้องการแบบนั้น

 

ผมอยากให้มันเปิดใจให้ผมเพราะเห็นถึงความดีของผมไม่ใช่ยอมคบยอมนอนด้วยกันให้มันจบๆเพราะว่าเห็นใจผมหรือทำไปเพื่อประชดใคร

 

มันมีค่ากว่านั้น มีค่าเกินกว่าที่จะทำให้ทั้งกายและใจของมันต้องแปดเปื้อน

 

ผมถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เช็ดคราบน้ำสีใสที่เคลือบริมฝีปากของมันอย่างแสนเสียดายกอดมันไว้จนใบหน้าของมันแนบลงบนอกผม

 

            “นอนนะเด็กดี กูจะกอดมึงไว้เอง ไม่ต้องร้องแล้วนะกูเห็นแล้วปวดใจ”ผมลูบหัวมันเบาๆราวผู้ใหญ่ที่กำลังปลอบเด็กน้อยให้เข้าสู่นิทรา มันกำมือกับขอบกางเกงของผมแน่น น้ำอุ่นๆซึมอยู่บนแผงอกของผม เสียงสะอื้นยังคงดังไปอีกซักพัก ไหล่กับแผ่นหลังของมันสั่นสะท้านแล้วค่อยๆสงบลง

 


สาบานได้เลยว่าถ้าเอิร์นเป็นผู้ชายผมจะเหมาเครื่องบินตามไปกระทืบให้ตายคาตีนยั้นขอนแก่นเลยโทษฐานที่ทำให้ไอ้เซ็ทของผมต้องร้องไห้







แสงแดดยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีทึบเศรษฐพงศ์เริ่มขยับตัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน อาการปวดศีรษะเข้าจู่โจมทันทีที่รู้สึกตัว เด็กหนุ่มหลับๆตื่นๆแทบจะทั้งคืนอาการเมาสร่างลงไปแล้วที่คงเหลือไว้ในตอนนี้คล้ายจะทำโทษที่เขาทำร้ายตัวเองด้วยการกินเหล้าหนักทั้งๆที่ปกติถ้ามีสังสรรค์กับเพื่อนๆก็แค่จิบๆแบบเลี้ยงแก้วไม่เกิน 2-3 แก้วผสมจางจนแทบไม่รู้รสเหล้าเลยด้วยซ้ำ ไม่ก็ผสมโค้กจิบๆพอหวานลิ้น ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นก็พบว่าใครบางคนยืนกอดอกมองเขาอยู่ เศรษฐพงศ์กระพริบตาเพื่อปรับโฟกัสเพราะคิดว่าตาฝาดแต่เมื่อลืมตาขึ้นมองก็ยังคงเป็นคนๆเดิม

 

            “ตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำอาบท่า”คนพี่ที่ยืนกอดอกมองคนน้องมาซักพักเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะยื่นวิตามินซีแบบขวดที่ซื้อมาจากเซเว่นละน้ำเปล่าให้ทั้งขวด

 

            “กินไปเยอะๆ หิวหรือยัง กูไม่รู้ว่ามึงจะตื่นกี่โมงเลยไม่ได้ซื้อโจ้กให้แต่กูซื้อโจ๊กคัพไว้ เดี๋ยวอาบน้ำอาบท่าก่อนกูจะต้มให้ เสื้อผ้าใส่ของกูไปก่อนมึงอ้วกรดชุดตัวเองเมื่อคืน” คณิณส่งเสื้อผ้าของตัวเองที่ติดรถมาด้วยให้เศรษฐพงศ์

 

            “ปวดหัว”คนน้องบ่นออกมาเบาๆพลางสะบัดหัวไปมา

 

           “กินเข้าไปสิที่ให้น่ะ มันแก้แฮ้งก์”

 

          “กูเมามากเลยเหรอวะ?”เปิดขวดวิตามินกระดกเข้าปากพลางถามคำถามที่คณิณรู้สึกว่าโง่พอๆกับถามว่าสบายดีมั้ยอะไรแนวๆนั้น

 

          “จำได้หรือเปล่าล่ะว่ามาที่นี่ได้ยังไง อ้วกใส่กูไปกี่รอบ อ้วกจนกูหาถังขยะไม่เจอจนต้องเอามือกูรองอ้วกให้มึงน่ะ”

 

           “กูทำอะไรน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”คนที่เพิ่งสร่างเมาเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

 

          “มึงทำยิ่งไปกว่านั้นอีกไอ้เซ็ท”คนพี่เอ่ยตอบก่อนจะหันหลังไปแกะฝาปิดโจ้กคัพที่ซื้อมาจากเซเว่นกดน้ำร้อนใส่แล้วคนจนเข้ากันดีเดินกลับมาหาเศรษฐพงศ์แล้วยื่นให้ซึ่งรายนั้นเพราะตั้งแต่เย็นวานยังไม่ได้กินข้าวซักคำก็รับไปอย่างไม่ลังเลอิดออด

 

           “กูทำอะไรไปมั่งอ่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”เป่าโจ๊กก่อนตักเข้าปาก ความร้อนช่วยทำให้คล่องคอและรู้สึกดีขึ้นจนต้องรีบตักกินอีกคำ

 

          “อยากรู้จริงๆ?”คนพี่ถามพลางทำหน้าจริงจัง

 

          “เออ บอกหน่อยกูทำอะไรน่าเกลียดไปมั่งวะ แม่ง ดีนะไม่มีใครมาเห็นสภาพกูตอนนั้นมันต้องน่าเกลียดมากแน่ๆเลย”

 

          “มึงร้องไห้คร่ำครวญ อ้อนวอน พร่ำเพ้อ น่ารำคาญมากไอ้เหี้ย เมาเหมือนหมาหมดสภาพแถมไอ้ฝรั่งนี่นั่งข้างๆมึงจ้องมึงตาเป็นมันถ้ากูไปไม่ทันมันคงหิ้วมึงไปแดกแล้ว”

 

           “เออๆ กูขอบใจมึงก็แล้วกัน”คนน้องเอ่ยขอบใจส่งๆยังไม่ละความสนใจไปจากถ้วยโจ๊ก

 

           “มันมีมากกว่านั้นอีกนะ”

 

           “ห๊ะ!!! มีอีกเหรอวะ?”

 

           “เออ มีอีก มึงถามกูว่ากูอยากได้มึงมั้ย ถ้าอยากได้มึงจะให้กูเอา”

 

พรวดดดดดดดดด!!!!

 

โจ๊กที่เพิ่งตักเข้าปากถึงกับพุ่งออกทั้งทางปากและทางจมูกเมื่อได้ยินประโยคล่าสุด เศรษฐพงศ์ไอโขลกจนหน้าดำหน้าแดง

 

          “ไอ้เหี้ยมึงโกหก กูไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก อย่ามาตอแหล”คณิณเบะปากใส่คนที่ส่งค้อนมาให้ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดปากเช็ดจมูกให้

 

          “มึงจะคิดว่ากูตอแหลก็ช่าง แต่บุญเท่าไหร่แล้วที่คนมาเจอมึงคือกู บุญเท่าไหร่แล้วที่กูไม่เอาเปรียบมึง ทีหลังแดกเหล้าไม่เก่งก็อย่าแดกกูไม่ใช่ GPS จะได้ตามหามึงเจอตลอดเวลา มึงมีปัญหาอะไรมึงบอกกูได้ หรือถ้าไม่อยากบอกกูเพื่อนๆมึงก็มี พวกมันเป็นห่วงมึงชิบหายเลย ไลน์มาก็ไม่ตอบโทรมาก็ไม่รับ ถึงเมื่อก่อนกูจะเหี้ยกับมึงมาเยอะแต่กูน่ะ...”เศรษฐพงศ์ช้อนตาขึ้นมองคนที่ยืนอยู่เหนือกว่าตนเอง คณิณใช้ปลายนิ้วเกลี่ยถุงใต้ตาที่บวมจนเห็นได้ชัดของคนน้องอย่างแผ่วเบา

 

           “ไม่อยากเห็นมึงร้องไห้เลย มึงแม่งโคตรน่าสงสาร กูเองก็แม่งเสือกปลอบใจใครไม่เก่ง”

 

          “.......”

 

          “ถ้าเขาไม่รักมึงก็ต้องเข้มแข็งรู้มั้ย?”

 

          “.........”

 

          “ถ้าเขาทำมึงเจ็บ มึงก็เลิกรักเค้าเถอะ”

 

          “............”

 

          “ตอนที่มึงร้องไห้น่ะ เค้าไม่มารับรู้กับมึงหรอกนะ แต่คนที่เห็นมึงร้องไห้สะอึกสะอื้นน่ะคือกู ใจกูเจ็บยิ่งกว่ามึงอีก อยากปกป้องมึงแต่กูก็ทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย”

 

           “............”

 

           “ถ้าเขาเป็นโลกทั้งใบของมึง งั้นกูเป็นดาวหางก็ได้ถ้ามันจะทำให้มึงหันมามองกูบ้างซักนาทีก็ยังดี”คณิณจ้องลึกเข้าไปในลูกแก้วสีน้ำตาลที่จ้องเขาเขม็ง ดวงตาของเศรษฐพงศ์ไหววูบน้ำใสคลอหน่วยก่อนที่เจ้าของดวงตาคู่โศกนั้นจะกระพริบไล่มันออกไปในทันที

 

           “ขอบใจมึงนะ แต่ตอนนี้กูคงเปิดใจให้ใครไม่ได้จริงๆ”

 

           “กูก็ไม่ได้หวังให้มึงมาชอบกูแบบปุบปับอยู่แล้ว”คณิณส่งยิ้มชืดๆให้กับเศรษฐพงศ์  เขารู้คำตอบของคนน้องอยู่แล้วว่าจะตอบมาในแนวไหน

 

ทำใจรอบที่ล้านแล้วล่ะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงสุดท้ายก็ยังไม่ชินอยู่ดี ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆก่อนจะหันหลังให้คนน้อง เศรษฐพงศ์มองแผ่นหลังกว้างนั้นก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาให้คนพี่ต้องหันกลับมามองด้วยหัวใจที่พองโต

 

 

 

            “กูอาจจะยังไม่ชอบมึงตอนนี้...แต่ช่วยอยู่เป็นดาวหางให้กูก่อนได้มั้ยวะ?”


 



................................................



ดางหางในที่นี้ก็คือดาวตก แต่ดาวหางจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่นานๆจะมีซักครั้งหนึ่ง อาจจะหลัก 10 หลัก 100 ปี เป็นดาวที่ใครๆต่างก็เฝ้าดู พี่คินก็อยากให้ซักครั้งหนึ่งที่น้องเซ็ทจะเห็นความสำคัญของเขาบ้าง แม้ว่าความรู้สึกนั้นจะมีและหายไปเพียงชั่วพริบตาก็ตาม ถึงแม้ว่าเซ็ทอาจจะภาวนายามดาวตกขอให้เอิร์นกลับมาก็ช่างมัน

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 25 15/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-01-2019 10:49:24
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 25 15/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Mizunoe ที่ 17-01-2019 01:32:17
โอโห รวดเดียวยาวๆ
ตอนดีกันน่ารักมากกกก
ส่วนมาถึงตอนนี้.....เอาใจช่วยทั้งคู่เลยนะคะ
ของคุณคนแต่งด้วยค่ะ รายละเอียดอย่างแน่น
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 25 15/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 17-01-2019 21:23:13
สู้ๆนะคิมน้องมันยังเจ็บอยู่ค่อยๆปลอบค่อยเอาใจ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 26 21/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 21-01-2019 18:40:11


ตอนที่ 26

 “มันไม่สบายป่าววะ”

 

                “นั่นสิ ตั้งแต่กลับมาแม่งทำตัวแปลกๆ”

 

                “คนเหี้ยอะไรตัดโมไปยิ้มไปท่าจะบ้า”

 

                “อารมณ์ดีเว่อร์แบบผิดปกติ”

 

                “มันแอบไปปุ๊นกัญชามาป่าววะ”

 

คณิณทำหูทวนลมกับเสียงซุบซิบนินทาระยะเผาขนของบรรดาเพื่อนๆที่นั่งตัดโมใกล้ๆกัน

 

ไม่โกรธ

 

ไม่ด่า

 

ไม่สน

 

เพราะคณิณอารมณ์ดี๊ดีย์นี่พูดเลย ในใจตอนนี้เหมือนมีกองทัพสล๊อตมาเต้นดิสนี่ย์ออนไอซ์ให้ดูด้วยเพลงเลสอิทโก เลทอิ๊สโก๊ววววววของเอลซ่า

 

ต่อให้พวกมันเอาตีนมาลูบหน้าตอนนี้ก็ไม่โกรธ คณิณตั้งหน้าตั้งตาตัดโมไปเงียบๆ บางครั้งก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

                “มึงเป็นแบบนี้กูกลัวนะไอ้เหี้ย”ที่สุดแดนธรรมก็ยื่นเท้าไปถีบเข่าของคณิณเบาๆ

 

                “อะไร? กูเป็นอะไร กูก็ปกติ”คณิณหันมาทำหน้าเหรอหรา

 

                “ปกติกับผีสิ ตั้งแต่มึงกลับมามึงเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่งหัวเราะหึหึอยู่คนเดียว ไปโดนตัวไหนมาไหนบอกกูซิ๊”แดนธรรมวางงานในมือของตัวเองลงพลางจ้องหน้าเพื่อนสนิทด้วยความคาดคั้นและจริงจัง คณิณหลบตาหันหนีไปอีกทางก็ต้องสะดุ้งเมื่อพชรพล จักรภัทร จิณณวัตร และอานุพนธิ์นั่งจ้องตาเขม็งอยู่

 

                “อะไรของพวกมึงเนี่ยกูไม่มีอะไรจริงจริ้งงง”คณิณหลบตาทำเสียงสูงจนเพื่อนๆเบะปากใส่

 

                “เสี่ย มีใครเคยบอกป่ะว่ามึงตอแหลไม่เนียน”

 

                “ก็กูไม่มีอะไรจริงๆ แค่อารมณ์ดีพวกมึงไม่ชอบเหรอ”

 

                “ก็แล้วแต่นะ แต่มึงช่วยหยุดหัวเราะหึหึซักทีกูหลอนไอ้เหี้ย ตั้งแต่นั่งทำงานมามึงหัวเราะไปเป็นร้อยรอบแล้ว กูนึกว่ามึงไปเยี่ยวรดจอมปลวกมาเลยโดนผีเข้า”จักรภัทรว่าก่อนจะเลิกให้ความสนใจเพื่อนสนิท ตอนนี้ที่น่าสนใจกว่าชีวิตชาวบ้านก็คืองานตรงหน้านี้มากกว่า

 

                “สั่งงานเหมือนกูเรียนปริญญาเอก”จิณณวัตรบ่นอุบ

 

                “มืออันแสนอ่อนนุ่มของกูด้านกว่าหน้ามึงแล้วไอ้เหี้ยว่าน”พชรพลยกมือขึ้นมาแตะๆด้วยท่าทางแสนดัดจริต

 

                “บ่นอยู่นั่นแหล่ะไอ้สัดที่โตกตัวเองไม่ยักบ่นว่ามือจะด้าน”อานุพนธิ์เขวี้ยงเศษโมเดลใส่เพื่อนที่บ่นหนักกว่าใครเพื่อน

 

                “เลิกเถียงกันซักที แล้วนี่ไม่คิดจะไปหาข้าวแดกกันเหรอกูหิวแล้วเนี่ย”แดนธรรมยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา บ่ายสามกว่าเข้าไปแล้วนอกจากกาแฟกับปาท่องโก๋เมื่อตอน 7 โมงเช้าก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย

 

                “ไปกินที่หน้ามอมั้ยเดี๋ยวกูเลี้ยง”คนอารมณ์ดีขันอาสาที่จะเลี้ยงเพื่อนทั้ง 5 คน

 

                “เลี้ยงทั้งทีเลี้ยงปิ้งย่างหรืออาหารแพงๆไม่ได้เหรอวะ มึงนี่ทำตัวไม่สมกับเป็นคนรวยเลยไอ้ห่า แดกแต่ของพื้นๆ”พชรพลค่อนขอดคณิณ

 

                “มึงดูงานที่กองสุมหัวมึงด้วยไอ้แพทรีบแดกรีบกลับมาทำงาน เอาไง ตกลงจะไปไม่ไป ไม่ไปกูไปแล้วนะ”คนอาสาเป็นเจ้ามือวางชิ้นส่วนโมเดลที่เพิ่งจะตัดเสร็จลงก่อนลุกขึ้นยืนปัดเศษผงออกจากกางเกงอย่างลวกๆก่อนจะช่วยดึงแขนแดนธรรมให้ลุกขึ้น

 

                “เดี๋ยวพวกมึงจับคู่กันไปนะ ไอ้แดนมากับกู”

 

                “อ๊าวเสี่ย หนูก็อยากนั่งรถแอร์เย็นๆเหมือนกันนะ ทำไมต้องไอ้แดนด้วย”จิณณวัตรเอ่ยท้วงอย่างงอนๆพลางทำปากคว่ำ



               " ถ้าจะให้กูเลี้ยงอย่าเรื่องมาก ถ้ามารถกูจ่ายเอง”

 

                “อ่ะ ไอ้อ้นกูไปกับมึงนะ ได้ข่าวว่าปาดเบาะมาใหม่อยากสัมผัสบรรยากาศลื่นปรื๊ด ลื่นปรื๊ด”

 

                “เปลี่ยนสีไวกว่ากิ้งก่าก็มึงนี่แหล่ะ”อานุพนธิ์ด่าเพื่อนแก้มบวมที่กระโดดหมับมาสิงเขาทันที

 

         “ไปถึงสั่งข้าวผัดกุ้งคะน้าใส่แต่ใบไม่เอาก้านให้กูด้วย ไอ้แดนมึงเอาอะไร”คณิณหันมาถามแดนธรรม

 

                “กูเอาราดหน้าหมี่กรอบหมูไม่ใส่ของทะเลทุกอย่างเอาก้านคะน้าของไอ้คินมาใส่ให้กูก็ได้”

 

                “โอเคตามนั้น”

 

                “ให้กูเดาการที่มึงเอากูมาด้วยน่าจะมีเรื่องมาเล่า”แดนธรรมที่เดินตามคณิณมาที่ลานจอดรถเปิดประเด็นทันที

 

                “และเรื่องที่จะเล่าคือเรื่องที่ทำให้มึงอารมณ์ดีเหมือนผีเข้า”

 

                “มึงนี่แม่กว่าหมอหยอยอีก”

 

                “และถ้าให้กูเดาเกี่ยวกับไอ้เซ็ท”

 

                “กูว่ามึงเปิดเว็บดูหมอมั้ย พวกดูลายตีนอะไรแบบนี้ท่าทางจะรุ่ง”

 

                “ถ้าอยากจะเล่าก็รีบเล่าเดี๋ยวถึงร้านเจอไอ้พวกนั้นมึงก็จะต้องเก็บไว้ในใจคนเดียวนั่งเป็นบ้าเป็นหลังคนเดียว”แดนธรรมรีบดักทางก่อนที่คณิณจะพาออกทะเลไปมากกว่านี้

 

                “ไอ้เซ็ทมันเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วนะ กูเป็นคนไปหิ้วมันออกมาจากบาร์เอง อยู่ดูแลมันทั้งสองวันเลย ตอนแรกที่ไปเจอมันเมาเหมือนหมาเลย ร้องไห้น่าสงสารชิบหาย”

 

                “แล้วมึงทำไง?”

 

                “กูก็แบกมันไปเปิดห้อง”

 

                “เยกันยัง?”แดนธรรมเอ่ยถามด้วยหน้าตาเรียบเฉยแต่คนที่กำลังออกรถแทบจะยกเท้าขึ้นถีบ

 

                “ส้นตีนสิ สถานการณ์แบบนั้นใครจะเอาลง มันทั้งร้องไห้ทั้งอ้วกแตก เหมือนมันผิดหวังมันเสียใจมันเลยถามกูว่ากูอยากเอามันมั้ยมันจะให้”คราวนี้แดนธรรมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่รู้จักเศรษฐพงศ์มาเด็กนั่นน่ะไว้ตัวจะตายแถมยังแมนชายแท้ๆอีกต่างหาก

 

                “นั่นแหล่ะ กูก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนกูก็คนธรรมดา ตอนแรกก็เกือบไปแต่เหมือนสำนึกฝ่ายดีของกูมันมากระชากหนังหัวกูกลับมาเว้ย กูคิดว่าถ้ากูฉวยโอกาสมันตอนนั้นกูได้มัน กูมีความสุข แล้วตัวไอ้เซ็ทล่ะถ้าสร่างเมามันจะเสียใจมั้ย มันจะรู้สึกแย่หรือเปล่า แม้ว่ามันจะเป็นคนเสนอให้กูเองก็ตามเถอะ กูทำมันไม่ลงหรอก”

 

                “มึงแม่ง โคตรพระเอกเลยหว่ะ โคตรคนดี ดีแบบไม่น่าเชื่อว่า 2 ปีก่อน มึงจะกวนตีนหาเรื่องน้องมันชิบหาย”

 

                “กูจะถือเป็นคำชมนะ ทุกวันนี้กูก็ยังคิดเลยว่าเมื่อก่อนกูโดนเหี้ยอะไรบังตาอยู่วะถึงมองไม่เห็นความดีของมัน พอมาตอนนี้มันก็เลยเอาคืนกู ตอนมันตื่นขึ้นมา มันทำเหมือนตัวมันไม่เป็นอะไร ไม่ร้องไห้ฟูมฟายกูให้อาบน้ำมันก็อาบให้กินโจ๊กมันก็กิน ซึ่งนั่นแหล่ะมึงก็รู้ปกติมันดื้อกับกูจะตาย กุรู้มันไม่โอเคแต่มันทำฟร์ม กูเลยขอโอกาสมันอีกครั้ง ให้กูเป็นเหี้ยอะไรก็ได้เป็นดาวหางที่มันจะสนใจมองกูบ้างซักแป๊บหนึ่งก็ยังดีมึงรู้มั้ยมันพูดกับกูว่ายังไง”คณิณหันไปยิ้มให้แดนธรรมก่อนจะหมุนพวงมาลัยเข้าจอดริมฟุตบาธเมื่อมาถึงหน้าร้าน

 

                “มันบอกกับกูว่าตอนนี้มันคงยังรักใครไม่ได้ แต่มันขอให้กูอยู่เป็นดาวหางให้มันก่อน”

 

                “เชี่ย...โคตรโรแมนติกเลยสัด นี่สินะมึงถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้าได้ขนาดนี้”

 

                “เออสิ มันไม่ปฏิเสธกูแบบเมื่อก่อนกูก็พอใจแล้ว”

 

                “แล้วมึงไม่มองกลับกันมั่งเหรอวะ มันพูดเหมือนให้ความหวังกับมึงแล้วถ้าวันหนึ่งมันเจอคนอื่นที่ชอบมากกว่ามึงมันจะทิ้งมึง”แดนธรรมตั้งคำถามที่คณิณเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน ชายหนุ่มนิ่งไปเพียงอึดใจก่อนจะหันไปสบตากับคนถาม

 

                “ไม่หรอก เจ็บครั้งนี้ไอ้เซ็ทจะตั้งกำแพงสูงมาก มันจะไม่เปิดใจให้ใครได้ง่ายๆอีกแล้วกูรู้จักมันดี ตอนนี้คนที่เข้าใจมันมากที่สุดก็คือกู กูจะใช้โอกาสนี้ทำดีๆกับมันให้มันเห็นว่ากูรักมันจริงและจะไม่มีวันทำให้มันเสียใจ กูไม่ได้คาดคั้นให้มันมาชอบกูปุบปับ กูพามันไปกินข้าวไปให้อาหารปลา พามันไปเที่ยวที่ใกล้ๆ อย่างน้อยให้มันยุ่งๆทั้งวันจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านกูว่ามันก็คงคิดอะไรได้บ้างแหล่ะ กูแค่รอเวลาอย่างที่มึงบอก อยู่เป็นดาวหางให้มันตามที่มันขอ”

 

                “ถ้ามึงมีความสุขกับสถานะนี้งั้นกูก็เอาใจช่วยมึงก็แล้วกัน ป่ะ ลงไปกันเถอะพวกไอ้อ้นมองเขม็งแล้ว”แดนธรรมเปิดประตูรถเดินนำเข้าไปในร้านในขณะที่คณิณเองก็กดโทรศัพท์ยิกๆตามมาติดๆ

 

                “กูนึกว่าจะต้องส่งราชทูตกับเสลี่ยงหลวงของเจ้านางอนัญทิพย์ไปรับพวกมึงสองคนซะแล้ว คุยเหี้ยไรกันน๊านนาน”จักรภัทรเอ่ยปากถามไอ้เพื่อนสองคนที่เดินมาที่โต๊ะแบบไม่รีบไม่ร้อนเอาเสียเลย คณิณเก็บโทรศัพท์ก่อนนั่งประจำที่อาหารที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟแทบจะทันทีเด็กหนุ่มทั้ง 6 คนพูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย ส่วนมากจะเป็นเรื่องวิชาเรียน งานที่ต้องส่งหลังจากกินอิ่มคณิณก็เป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนั้นตามที่รับปากเพื่อนไว้ แดนธรรมเอ่ยเรียกเพื่อนที่ยังคงนั่งเอ้อระเหยอยู่ในร้านให้กลับไปทำงานที่ค้างคาไว้

 

                “ไปๆไอ้เหี้ย ตัดโมวนไป คืนนี้แม่งก็คงไม่ได้นอนอีกตามเคย”











 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

1 สัปดาห์แล้วที่เอิร์นได้หายไปจากชีวิตของผมแต่กลับมีใครอีกคนเข้ามาแทนที่

 

จริงๆเรียกว่าแทนที่ก็ไม่ถูก ไอ้คินมันอยู่ใกล้ตัวผมมาตั้งนานแล้วแต่ผมไม่เห็นคุณค่าความรักที่มันมีให้กับผมเองน่าแปลกที่พอมาคิดทบทวนอะไรในตอนนี้แล้วผมก็ได้แต่หัวเราะเยาะความโง่เขลาของตัวเอง

 

ในขณะที่ผมบอกรักเอิร์นทุกครั้งที่มีโอกาสเอิร์นกลับเมินคำพูดของผมแต่กลายเป็นไอ้คินที่พูดคำนั้นกับผมแทน

 

ในขณะที่ผมอยากเจอเอิร์น วาดฝันอนาคตร่วมกับเอิร์น แต่อนาคตของเอิร์นไม่มีผมในนั้นกลายเป็นว่าผมไปมีตัวตนในอนาคตของไอ้คินแทน สิ่งที่น่าตลกอีกอย่างก็คือในวันที่ผมมีความสุขที่สุดผมมีเอิร์นอยู่ในความสุขนั้นแต่ในวันที่ผมมีความทุกข์ที่สุดคนที่คอยอยู่เคียงข้างผมกลับเป็นไอ้คิน

 

หลังจากที่ผมอาบน้ำอาบท่าเสร็จผมใส่เสื้อผ้าที่ไอ้คินเตรียมให้ ไอ้คินพาผมออกจากห้องพักแล้วขับรถพาผมแวะที่วัดใต้เราสองคนเข้าไปไหว้พระทำบุญเสร็จเรียบร้อยก็แวะไปนั่งกินกาแฟสดริมน้ำที่วัดเปิดไว้ใหม่ ลมเย็นๆริมแม่น้ำทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น เรานั่งเล่นกันพักหนึ่งไอ้คินก็ชวนผมไปให้อาหารปลา ผมมองปลาที่ขึ้นมาแย่งกันกินอาหารเม็ดที่เราโยนลงไปแล้วอดขำไม่ได้

 

ทั้งๆที่ก็มีคนแวะเวียนมาเลี้ยงทั้งวันแต่มันก็ทำเหมือนนี่คืออาหารมื้อแรกของวันไอ้คินบ่นอุบเรื่องกลิ่นอาหารปลาที่ติดมือตามสไตล์คุณชายเจ้าสำอางค์จนผมต้องพามันไปล้างมือในห้องน้ำ และพอเข้ามาในห้องน้ำมันก็บ่นยิ่งกว่าเดิมเพราะคนใช้เยอะแล้วทำให้ห้องน้ำสกปรก สุดท้ายผมก็ต้องจับมือมันมาล้างน้ำซะเองนั่นแหล่ะมันถึงได้หยุดบ่น

 

                “บ่นห่าอะไรนักหนาแค่มาล้างมือ เดี๋ยวกลับขึ้นรถกูเห็นมึงมีทิชชู่เปียกก็ค่อยเอามาเช็ดอีกที”ผมถูมือให้มันไปก็บ่นไปพอเงยหน้ามองก็เห็นมันยิ้มกรุ้มกริ่มแบบน่าจับหัวจุ่มน้ำมาก ผมปล่อยมือมันทันทีที่ล้างเสร็จ เกือบเที่ยงมันก็พาผมมากินชาบูที่หลังห้างแถว บขส.

 

                “มึงนั่งนี่แหล่ะเดี๋ยวกูไปตักของเอง”มันบอกให้ผมนั่งที่โต๊ะส่วนตัวมันเดินไปยืนหน้าโซนบุฟเฟต์ท่าทางของมันเหมือนกำลังคิดว่าควรจะตักหรือหบิยอะไรมาดี ส่วนผมทำหน้าที่ติ๊กพวกเนื้อกับหมูรวมไปถึงอาหารทะเล

 

                “ไหนดูดิ๊หยิบอะไรมา”ผมชะเง้อมองจานที่มันตักของมามีแมงกะพรุน เต้าหู้ไข่  หมูสับ ลูกชิ้นกุ้ง ส่วนจานผักมีผักกาดขาว เห็นออรินจิ เห็ดเข็มทอง แครอทและข้าวโพดอ่อน

 

                “คือกูไม่รู้ว่ามึงชอบกินอะไรเลยหยิบมาแค่นี้”

 

                “เออ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนมากกูก็กินแนวๆนี้แหล่ะแต่กูไม่ชอบลูกชิ้นกุ้ง ปูอัดก็ไม่ชอบ”

 

                “เออ ไม่ชอบอะไรมึงก็บอกกูแล้วกัน กูจะได้จำไว้”

 

                “กูเดินไปตักเองก็ได้ป่าววะ”ผมเงยหน้าไปพูดกับมันหลังจากเทผักใส่หม้อไปเรียบร้อยแล้ว

 

                “กูอยากทำความรู้จักมึงบ้างว่ามึงชอบอะไรไม่ชอบอะไร ที่ผ่านมามึงทำให้กูมาตลอด ต่อไปกูอยากดูแลมึงบ้าง”มึงคีบแมงกะพรุนที่เอาไปแกว่งๆในน้ำซุปใส่ถ้วยให้ผม ส่วนผมก็สั่งน้ำจิ้มเด็กมาเผื่อมันถ้วยหนึ่ง พนักงานเสิร์ฟมองหน้ามันแล้วอมยิ้มสุดๆเพราะผมเลื่อนถ้วยน้ำจิ้มนั้นให้มันต่อหน้าพนักงานเป็นการแกล้งมัน

 

                “กวนตีน”มันทำท่าเหมือนจะเอาตะเกียบตีหัวผมแต่ก็ไม่ได้ทำ ผมหัวเราะให้กับท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของมัน

 

                “แดกๆเข้าไป”ผมตักชาบูใส่ถ้วยให้มันแล้วจัดการกับของๆตัวเอง ในชามของผมอัดแน่นไปด้วยหมู เนื้อปลาหมึก กุ้งสารพัดที่ไอ้คินคีบมาให้

 

                “กูตักเองก็ได้มั้ย มึงเล่นกวาดมาทั้งหม้อให้กูตอนไหนเนี่ย”

 

                “ทีมึงยังตักให้กูเลย เจ๊ากัน แดกเข้าไปเยอะๆ เวลามึงแดกมึงจะมีฟีโรโมนของความสุข” ผมขำพรืดกับคำพูดของมัน

 

                “สารหลั่งความสุขนั่นเอ็นโดรฟินมั้ยไอ้โง่”มันหัวเราะใส่ผมเสียงแหลมพลางตบมือแปะๆอย่างชอบอกชอบใจเหงือกแดงๆของมันส่องประกายยิ่งกว่าพระอาทิตย์ด้านนอกจนทำให้ผมพลอยหัวเราะตามมันไปด้วย

 

                “กูนึกว่ามึงจะไม่แก้แล้วไอ้เหี้ย ฉลาดเหมือนกันนะเรา”มันว่าพลางยื่นนิ้วมาเกาคางผมเบาๆ

 

                “ไอ้ส้นตีนแดกๆเข้าไปเลย รำคาญ”

 

ผมต้องยอมรับเลยว่าตลอดทั้งวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผมอกหักการที่มีไอ้คินอยู่ด้วยมันทำให้ผมแทบไม่มีเวลาเหงาหรือคิดมากเรื่องของเอิร์น มันพาผมไปกินข้าว ไปเที่ยว ไปเดินซื้อของ ผมได้เห็นไอ้คินในอีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาเลยตลอดสองปี

 

ไอ้คินเป็นคนหัวเราะง่ายพอๆกับความหัวร้อนง่าย

 

ไอ้คินเป็นคนขี้สงสารคนที่ด้อยกว่าเช่นถ้ามีคนแก่เดินมาขอเงินแม้จะเป็นมิจฉาชีพมันก็ยังควักเงินให้เค้า

 

                “เค้าแก่แล้วบางทีการมีเงินติดกระเป๋าก็อาจจะเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของคนแก่”

 

ไอ้คินเป็นคนตลกหน้าตายมากบางทีมันพูดด้วยสีหน้านิ่งๆแต่พอคิดตามกลับขำชิบหายผมหัวเราะจนท้องแข็งในหลายๆรอบต่อวัน

 

ไอ้คินชอบฟังเพลง เวลามันขับรถมันจะเปิดเพลงฟังและร้องตามคลอไปด้วย

 

ไอ้คินร้องเพลงได้ห่วยแตกมากจนผมต้องร้องกลบและกลายเป็นว่าผมกับมันร้องเพลงด้วยกันไปตลอดทาง

 

ไอ้คินเป็นคนชอบสกินชิพ

 

เวลานอนไอ้คินติดหมอนข้างแต่เพราะว่าผมก็ชอบกอดหมอนข้างเช่นกันมันจึงเสียสละให้ผมแต่พอตื่นมาในตอนเช้าผมก็พบว่ามันนอนกอดผมไว้ซะอย่างนั้น...ไอ้คนฉวยโอกาส

 

เช้าวันอาทิตย์ไอ้คินชวนผมออกไปใส่บาตรแล้วขับรถยิงยาวเข้าไทรโยคมันพาผมไปเที่ยวที่ไทรโยคน้อยมื้อเช้าควบเที่ยงของเราก็คืออาหารง่ายๆที่ร้านมากมายหน้าน้ำตก บริเวณโดยรอบของน้ำตกคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวไอ้คินเรียกผมให้เดินตามมันขึ้นไปด้านบนเดินตามทางเล็กๆขึ้นไปราวๆ 1 กม.ก็พบว่าด้านบนพอมีนักท่องเที่ยวอยู่บ้างแต่ไม่เยอะเท่าด้านล่าง

 

                “ข้างบนเป็นตาน้ำ คนไม่ค่อยรู้ก็เลยยังไม่ค่อยมีใครขึ้นมา เมื่อก่อนคนน้อยกว่านี้ นี่น่าจะมีคนรู้เยอะแล้ว”มันหันมาอธิบายกับผมเบาๆ ผมใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแต่ไอ้คินกลับดันหัวผมออกก่อนที่มันจะลูบผมหน้าของผมขึ้นแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของมันซับลงมาเบาๆ

 

                “มึงเช็ดแบบนั้นสกปรกเดี๋ยวสิวขึ้น”ผมเบี่ยงหน้าออกสะบัดผมให้เข้าที่

 

                “อย่าทำอะไรแบบนี้บ่อยสิวะ”ผมเอ็ดมันเบาๆสายตามองซ้ายขวาเพื่อเช็คว่าเมื่อกี๊มีใครสนใจมองเราสองคนมั้ยโชคดีที่ไม่มีใครมองมาที่เรา

 

                “ผู้ชายที่ไหนเขามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้กัน”

 

                “ผู้ชายที่ชื่อคณิณไง หล่อด้วย รวยด้วย”มันตอบกลับหน้าตาเฉย

 

                “โถ้  ไอ้เหี้ย มีโอกาสไม่ได้ต้องอวยตัวเอง”ผมด่าก่อนจะเดินหนีมันไปนั่งบนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจเอากลิ่นเย็นๆของน้ำและกลิ่นดินชุ่มชื้นเขาปอดอย่างรู้สึกสบายใจ  เหมือนธรรมชาติจะช่วยบำบัดความเหนื่อยล้าและหนักอึ้งออกไปจากใจได้พอสมควร เสียงน้ำไหล สายลมเอื่อยๆที่พัดมาเป็นระยะ ต้นไม้ใหญ่น้อยสีเขียวขจีทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ  ไอ้คินมานั่งข้างๆไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาให้ผมรำคาญหู ผมหลับตาใช้หูฟังเสียงต่างๆรอบข้างพลันฝ่ามือของผมก็อุ่นขึ้น นิ้วเรียวของมันสอดประสานกับนิ้วมือของผม มันกระชับเบาๆ

 

                “กูอยู่ใกล้ๆมึงนะ จะอยู่ใกล้ๆมึงตลอดไป กูจะไม่เดินตามมึงที่ข้างหลังแล้วนะ กูไม่อยากให้มึงเดินอยู่ข้างหน้าลำพังอีกแล้ว กูจะเดินข้างๆมึง เวลามึงเหงามึงจะได้ไม่รู้สึกเคว้งคว้างไม่ต้องคอยมองหาใคร”ไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงผมรู้แค่ว่าผมคลี่ยิ้มอ่อนๆออกไปแต่น้ำตาของผมมันดันไหล

 

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกเศร้าหรือว่าผมมีความสุขกันแน่ ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยซักนิด

 

 

                “เซ็ท มึงโอเคแน่นะ ถ้ามึงยังไม่โอเคไปพักก่อนก็ได้ เหลือนิดเดียวที่เหลือพวกกูทำได้”ไอ้ยิมถามผมที่ริดกิ่งหางนกยูงฝรั่งกิ่งใหญ่เบาๆ เพื่อนๆต่างเข้ามาแสดงความห่วงใยที่ผมหายไปสองวัน

 

เรื่องของผมกับเอิร์นผมคิดว่าเพื่อนๆของผมคงรู้แล้วโดยไม่ต้องถามกับผมเลยซักคำ ทันทีที่ไอ้คินมาส่งผมในช่วงพลบค่ำของวันอาทิตย์ผมหอบของฝากที่ไอ้คินแวะซื้อหน้าน้ำตกไล่มาจนถึงท่าเสาให้เพื่อนๆ พอเข้ามาถึงห้องก็ได้รู้ว่าเมื่อวันศุกร์ไอ้คินแวะมาหาผม ขนมและของกินยังเต็มห้องมีบางส่วนถูกเปิดกินไปบ้างแล้ว

 

ไม่มีใครถามว่าเกิดอะไรขึ้น และแน่นอนผมไม่ได้อยากบอกกับใคร

 

ผมสมเพชตัวเองที่ก่อนหน้านั้นที่เพื่อนๆคอยเตือนคอยดึงสติของผมเรื่องเอิร์นผมไม่เคยเชื่อไม่คิดจะฟังคำเตือนของพวกมัน แต่มาตอนนี้พวกมันกลับเห็นอกเห็นใจผมคอยดูแลห่วงใยจนผมรู้สึกว่าในเมื่อมีคนห่วงผมมากมายผมก็ไม่ควรเศร้าอะไรมากมายอีก

 

อย่างน้อยช่วงที่ได้คุยกับเอิร์นมันก็เป็นช่วงเวลาดีๆ  เป็นความรักอันงดงามเพราะฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะลืมเอิร์นที่ทำให้ผมเจ็บช้ำแต่จะเก็บเอาความดีของเอิร์นไว้ในความทรงจำตลอดไป

 

ชีวิตยังต้องเดินต่อไป

 

                “กูไม่ได้เจ็บมือกูเจ็บที่ใจ มึงไม่ต้องมาโอ๋กูกันนักหรอกไอ้เหี้ย เนี่ยกูปกติดีทุกอย่าง”ผมตอบมันแถมฟันกิ่งไม้ฉับๆให้มันเห็นว่าเนี่ยผมโอเคจริงๆ

 

                “เออ มึงโอเคกูก็ดีใจ ไอ้คินแม่งโคตรห่วงมึงอ่ะ มันไลน์มาถามกูว่ามึงกินข้าวหรือเปล่า มึงเหม่อมั้ย มึงเศร้าหรือเปล่า”ไอ้อิ้งค์เดินเข้ามาสมทบพลางบ่นงุ้งงิ้ง

 

                “นี่มึงไปแลกไลน์กันตอนไหนวะ?”ผมหันไปถามมันอย่าง งงๆ

 

                “อ่อ ก็ตอนที่พวกมันมาช่วยเขียนแบบไง กูกับไอ้แดนแลกไลน์กันไอ้คินมันไปขอไลน์กูกับไอ้แดนอีกที”

 

                “แล้วทำไมมันไม่ทักมาคุยกับกูเองวะ ไลน์กูนี่นิ่งสนิทเลย ไอ้เหี้ยนี่ทำตัวแปลก”

 

                “มันไม่ทักมามึงก็ทักไปหามันสิ”ไอ้ยิมบอกกับผม

 

                “กูไม่รู้จะทักอะไรมันหว่ะ”

 

                “ถามมันก็ได้แดกข้าวยังอะไรก็ทักไป มันดูแลมึงมาตั้งสองวันมึงก็แสดงความห่วงใยมันหน่อย”

 

นั่นแหล่ะหลังจากนั้นผมก็ทักไปถามมันตอนเกือบบ่ายสามว่ามันกินข้าวหรือยังซึ่งไอ้คินตอบมาอย่างไวแถมรายงานด้วยว่ากำลังจะไปกินข้าวหลังจากนั่งตัดโมมาตั้งแต่เช้ารายงานถึงขนาดว่าสั่งข้าวผัดกุ้งร้านหน้ามอไม่อร่อยหรอกแค่กินให้ท้องไม่หิว

 

คือมึงตอบแค่กินแล้วหรือยังไม่กินก็พอมั้ยรายงานยซะยังกะเป็นเมียกูเลยไอ้ขี้เว่อร์

 


ไอ้ดาวหางของผม...



หลังจากวันนั้นการรับส่งไลน์ของผมกับมันก็มีทุกวันไม่รู้มันไปสรรหาคำถามกากๆเกรียนที่ไหนมาถามผมได้ทุกวัน



แต่ก็ดีนะ อย่างน้อยคำถามโง่ๆขำบ้างแป้กบ้างของมันก็ทำให้ผมค่อยๆคิดถึงเอิร์นน้อยลงเรื่อยๆ







......................................
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 26 21/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 22-01-2019 06:35:23
ดาวหางสู้ๆ :ped149:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 27 22/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 22-01-2019 23:20:07
ตอนที่ 27


“โห่ พวกมึงอ่ะ นะๆ อาทิตย์หน้าฝึกงานเสร็จแล้วไปกัน” เศรษฐพงศ์ร้องงอแงใส่เพื่อนๆที่เร่งสปีดเดินหนีแบบพยายามไม่หันมามองน้องเล็กของกลุ่มอย่างเขาเลยซักนิด

 

มีอย่างที่ไหนล่ะ มาชวนเพื่อนๆไปเที่ยวที่อยุธยา ตอนแรกนึกว่าจะชวนไปไหว้เพิ้งไหว้พระ ที่ไหนได้ มันจะชวนพวกเขาไปกินกุ้งแม่น้ำเผา ถ้าโลละ 300-400 แบบกุ้งเลี้ยงจะไม่ว่าเลย

 

            “กุ้งเหี้ยอะไรโลละ 2200 เลี้ยงด้วยทองบริสุทธิ์หรือไงอีเหี้ย”แฝดพี่หันมากรีดร้องใส่เศรษฐพงศ์

 

            “ก็ของมันหายากก็ต้องแพงป่าววะแล้วมึงดูดิ่ในรีวิวตัวใหญ่เท่าฝ่ามือมันใช่ไซส์เล็กๆแบบของบ้านเราอ่ะ มึงดูมันที่หัวมันสิ”

 

            “กูเสียดายเงินโลหนึ่งแม่งจะได้ซักกี่ตัววะคือกระเพาะหลุมดำอย่างพวกเราอ่ะแม่งต้องมีสิบโลอย่างต่ำ ไม่เอาๆ”คราวนี้วีรดนัยเป็นฝ่ายโวยวายแทน

 

            “แค่มึงคนเดียวก็กินไป 5 โลแล้วมั้งไอ้เซ็ท ไม่ต้องมาทำแอ๊ะแอ๋ พวกกูไม่ใจอ่อน”โอบนิธิหันมาดับฝันเศรษฐพงศ์ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินหนีไป

 

            “พวกมึงแม่งไม่เข้าใจ มึงไม่เคยอยากกินอะไรมากๆจนจะร้องไห้เหรอวะ?”

 

            “กูเคยนะเซ็ท”แฝดน้องหันมาตบบ่าเพื่อนที่ตัวสูงกว่า

 

            “แต่พอนึกถึงเงินในกระเป๋ากูก็หักใจได้”จิรนนท์ว่าจบก็หันหลังเดินทิ้งไปอีกคน ยงศกรกับยงวิสุทธิ์ที่มีฐานะดีกว่าเพื่อนในกลุ่มก็ส่งยิ้มแห้งให้

 

            “บ้านกูรวยก็จริงแต่เงินนั้นของพ่อแม่ไม่ใช่ของกู ลาก่อย”

 

            พวกมึงแม่ง ไม่เข้าใจกู ไม่รักกู ไม่สงสารกู ไอ้เพื่อนเหี้ย”เศรษฐพงศ์ตะโกนด่าตามหลังเพื่อนๆไป โอบนิธิยกมือขึ้นปัดอากาศประมาณว่าเรื่องของมึงจะตัดพ้อเบอร์ไหนก็เรื่องของมึงเถอะเพื่อน

 

การฝึกงานของนักศึกษาคณะพืชศาสตร์สาขาเทคโนโลยีภูมิทัศน์ดำเนินไปจนเกือบจะสิ้นสุดระยะเวลาแล้ว เสียงชื่นชมในความขยันและตั้งใจทำงานของเด็กๆถูกส่งตรงไปให้กับหัวหน้าภาคที่วิทยาลัย

 

เศรษฐพงศ์เองแม้ว่าช่วงเดือนกว่าที่ผ่านมาจะเจอมรสุมชีวิตรักแต่เด็กหนุ่มไม่เคยเอามาทำให้เรื่องส่วนตัวมีผลกระทบกับงานอีกเลย เด็กหนุ่มตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ๆได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลัง ความสำพันธ์กับคนงานก็ค่อยๆดีขึ้นเมื่อพวกเขาเปิดใจคุยกันได้ทำงานด้วยกันบ่อยๆ แม้ว่าคนงานบางคนจะยังอคติอยู่บ้างแต่คนที่เข้าใจก็จะช่วยปรามเพื่อนร่วมงานให้

 

            “เด็กมันก็ทำหน้าที่ของมัน เราเองก็อย่าทำตัวให้อายเด็ก”ลุงเปี๊ยะที่เป็นหัวหน้าคนงานแก่ๆบอกกับลูกน้องซึ่งก็เป็นลูกๆหลานๆรวมทั้งคนรู้จักกันในวันที่ช่วยกันโค่นต้นไม้ต้นยักษ์บริเวณหน้าโรงแรม

 

หลังจากเหตุการณ์ที่เอิร์นบอกเลิกเศรษฐพงศ์ผ่านมาได้เกือบสองเดือนความคิดถึงก็ยังคงมีอยู่แต่ก็ไม่ได้ทรมานเหมือนครั้งแรกๆ เวลาว่างๆยังแอบเอาแชทไลน์ในอดีตมาอ่าน แต่เขาก็ไม่ได้ว่างมากมายหรือเหงามากนักเพราะบรรดาเพื่อนๆแม้จะไม่ได้ปลอบใจด้วยคำพูดหวานเลี่ยนแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่ลำพัง ยามว่างชวนไปเตะบอล เล่นบาสในสนามของสนามกอล์ฟ บางทีก็ไปนั่งดูทีวีร้านเจ๊แก้ว สอนการบ้านลูกๆเจ๊ที่เป็นสาวสามใบเถา ว่างก็มานั่งพูดคุย และเหมือนว่ายงศกรกับจิรนนท์จะแอบปลูกต้นรักกับเด็กสาวบ้านนี้เข้าซะแล้ว เศรษฐพงศ์อดคิดไม่ได้ว่าถ้าลูกสาวคนเล็กไม่ใช่เด็ก ม.1 อาจจะโดนเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเค้าจองก็ได้ ยงศกรคุยกับลูกสาวคนโตของเจ๊ที่เรียนปี 2 มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดซึ่งก็อายุเท่ากัน ส่วนจิรนนท์แฝดน้องก็คุยกับลูกสาวคนกลางที่เรียนชั้น ม.5 โรงเรียนดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนๆก็ลงความเห็นว่าก็ดูเหมาะสมน่ารักดี เพราะพี่สาวคนโตเรียนบริหารมินิสัยน่ารักตัวเล็กๆขาวๆ รูปร่างสูงโปร่ง ส่วนคนน้องก็เป็นเด็กเรียบร้อยชอบเข้ามาช่วยแม่ทำกับข้าวซึ่งนิสัยไปด้วยกันได้กับไอ้จินที่ถนัดงานครัวพอตัว เวลาสองคนคุยกันเรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดก็จะเป็นเรื่องของอาหารการกินรวมทั้งสูตรอาหารต่างๆ เรื่องนี้เป็นที่โห่แซวของเพื่อนๆ ไอ้แฝดพี่ซึมไปพักหนึ่งช่วงที่แฝดน้องมีความรัก

 

“จินมึงทิ้งกู”แฝดพี่ตัดพ้อแฝดน้องในวันหนึ่งที่จิรนนท์ไปขอแพรวาเป็นแฟน ซึ่งเด็กสาวก็ตอบตกลง

           

“ไอ้ยิมมึงก็ทิ้งกู”ยงวิสุทธิ์แกล้งตัดพ้อยงศกรที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเมื่อรายนั้นก็ยอมรับว่ามัดหมี่คนพี่ก็ตกลงคบด้วยเช่นกัน

 

“คู่พวกมึงนี่แบบ คนพี่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่ชิบหาย คนน้องก็เรียบร้อยชิบหาย แล้วไอ้จินก็ขี้อายแบบนี้ก็นึกภาพมันขอจับมือน้องไม่ได้เลย”โอบนิธิเอ่ยแซวเพื่อนเมื่อทั้งสองคนยอมรับว่าคบกันแล้วกับสองพี่น้อง

 

“กูว่าคงเขินกันไปเขินกันมาจนไม่ได้จับ”จีรนันท์แซวแฝดน้องที่นั่งยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเสน่ห์

 

“ยังไงก็ลูกเค้ามีพ่อมีแม่ อย่าทำอะไรไม่เหมาะก็แล้วกันนะมึง อีกอย่างแพรวายังเด็กเพิ่งจะ ม.5 คุกนะมึง”

 

“กูจะไปทำอะไรน้องเค้าได้ ตอนนี้มองหน้ากันตรงๆยังเขินเลย”

 

“กูกับหมี่ก็เรื่อยๆคุยกันแบบคนโตๆแล้ว หมี่เองก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากด้วย”

 

“มึงก็มีไอ้ยิม ในบรรดาพวกเราทั้งหมดมึงมีความเป็นผู้ใหญ่สุด ให้คำปรึกษาเพื่อนๆได้ดีสุด ยังไงก็คบๆดูๆกันไปก่อน อายุยังน้อยอย่าเพิ่งรีบร้อนวู่วาม”เศรษฐพงศ์ให้คำปรึกษากับเพื่อน

 

อย่ารีบร้อนวู่วามรักจนหมดใจ เผื่อวันหนึ่งไปกันไม่ได้จะได้ไม่เจ็บจนแทบกระอักแบบกู

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในคืนวันเสาร์หลังจากอาบน้ำอาบท่านั่งเล่นกันพักหนึ่งผมก็แยกตัวกลับเข้ามาเตรียมนอน หน้าจอขึ้นชื่อและรูปของไอ้คิน((มันเป็นคนสาระแนเอาโทรศัพท์ของผมไปตั้งค่าเอง)) ผมกดรับแทบจะทันที

 

“ว่าไงมึง”

 

“ออกมา”เสียงมันสั่งเรียบๆ

 

“ห๊ะ? อะไรของมึง?”

 

“กูอยู่หน้าหอมึงแล้ว ออกมา” ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนก่อนจะเดินไปชะโงกหน้ามองที่หน้าหอ และแน่นอนครับ บีเอ็มคันสีดำแสนคุ้นตาราคาสี่ล้านนิดๆของมันจอดอยู่

 

“มึงมาทำไม”ผมถามมันกลับไปในโทรศัพท์

 

“ว่าจะไปเที่ยวอยุธยาเลยจะพามึงไปด้วย ออกมาเร็วๆ สื้อผ้าไม่ต้องของกูมี”

 

“ใครจะไปกับมึง?”

 

“กูว่าเที่ยงๆจะไปนั่งกินข้าวริมน้ำกินกุ้งแม่น้ำเผาซัก 2-3 โล ตามประสาคนรวย”

 

“รอกูแป๊บ กูหยิบของก่อน”

 

“ที่รีบนี่อยากไปกับกู?”

 

“ป่าว กูอยากแดกกุ้ง ไอ้เหี้ย รอแป๊บๆ กำลังออกไป”ผมรีบหยิบเสื้อวอร์มมาใส่ก่อนจะลนลานสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่า พวกไอ้ยิมหันมาถามว่าผมจะไปไหนทั้งๆที่พวกมันก็เห็นรถไอ้คินแถมกลางวงที่นั่งเล่นกันก็เต็มไปด้วยถุงขนมและของกินมากมาย

 

ไอ้พวกขายวิญญาณให้ของกินพวกนี้กลายเป็นเพื่อนกับไอ้คินไปแล้ว

 

“กูไปธุระ พรุ่งนี้กลับ”

 

“เดี๋ยวนี้ธุระเยอะเน้อ”

 

“นั่นสิ คนอะไรมีธุระไปทำกันได้ทุกอาทิตย์ๆ”

 

“คราวนี้สงสัยด่วนมากเพื่อนกูแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลย”

 

“อ่ะ จะไปก็รีบไป พ่อมึงคิ้วขมวดอีกแล้วไอ้สัดถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเอาส้นตีนคลึงให้”

 

“อ่าวเดี๋ยวนี้ทำไมไม่คลึงล่ะ”

 

“คลึงไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นว่าที่เพื่อนเขย”

 

“เขยที่หน้ามึงสิ”ผมยกปลายเท้าทำทีจะเตะปากไอ้ย้งกับไอ้สองแฝดที่แซ็วผมสนุกปาก เสียงแตรรถดังสั้นๆขึ้นครั้งหนึ่งผมจึงต้องผละจากกลุ่มเพื่อนแล้วก้าวยาวๆมาหามัน

 

“บีบทำไม”

 

“ช้า”มันบ่นเบาๆก่อนจะออกรถ

 

“นึกยังไงไปอยุธยาวะ

 

“เห็นหมามันบ่นว่าอยากกินกุ้งเผาเลยจะพาไปกิน” ผมเลิกคิ้วสูงกับคำตอบของมัน

 

นี่มันขับรถจากกรุงเทพมารับผมเพราะผมอยากกินกุ้งเผาเนี่ยนะ

 

แต่เอ๊ะ...

 

“มึงรู้ได้ไงว่ากูอยากกินกุ้งเผา?”

 

“กูรู้ทุกเรื่องแหละที่เกี่ยวกับมึง”มันว่าก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวขึ้นถนนใหญ่

 

“หลับไปก่อนก็ได้นะ กูว่าจะขับยาวไปเลยเดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก”

 

“ห๊ะ?? อย่าบอกนะว่ามึงจะตีรถเข้าอยุธยาเลย”

 

“อือ มึงนอนไปเลยก็ได้ นั่งรถนานๆมึงเมารถนี่”ผมมองหน้ามันด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ตื้อในอก

 

เป็นอีกครั้งที่ไอ้คินขับรถมาหาผม เพียงเพราะผมบ่นอยากกินอะไรซักอย่าง หรือเพียงเพราะผมบ่นว่าอยากได้ของอะไรซักชิ้น จากลาดกระบังตีรถมาหาผมถึงท่าม่วงระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ แล้วมันเองก็มีเรียนบางครั้งก็มาทั้งชุดนักศึกษาเช่นตอนนี้

 

ใจหนึ่งก็รู้สึกดี ความรู้สึกนี้มันก่อตัวขึ้นทีละน้อยจนตอนนี้มันมากขึ้นทุกวัน

 

ไม่มีอีกแล้วไอ้คินจอมงี่เง่าที่หาเรื่องทะเลาะกับผมได้ตลอดเวลา คินเวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ผมไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

 

เหมือนในตัวมันมีละอองของความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมา

 

“มึงไม่ต้องเอาใจกูขนาดนี้ก็ได้นะ บางทีก็รู้สึกว่ากูเป็นภาระมึง กูบ่นไปยังงั้นเดี๋ยวพอผ่านไปเดี๋ยวกูก็ลืมเอง”

 

“ไม่เป็นไรหรอกกูว่างๆอยู่พอดี อีกอย่างครบกำหนดไปเก็บค่าเช่าที่ของแม่ที่อยุธยาด้วย ก็เลยพามึงไปกินกุ้งดีกว่า”

 

“อ่ะ พรุ่งนี้รวยโดยไม่ต้องถูกหวยว่างั้น?”

 

“ก็ได้พอกินกุ้งซัก 10 กิโล บังเอิญรวยช่วยไม่ได้”

 

“ปากดีพรุ่งนี้จะสูบให้ซีดเลยมึง”

 

“สูบกู? ถ้าสูบกูคืนนี้เลยก็ได้นะ กูพร้อม”ไอ้เหี้ยคินยื่นหน้ามาพูดกระซิบใกล้ๆหูของผมตอนที่เราติดไฟแดงพอดี สายตามันเป็นประกายม๊อบแม๊บๆราวกับมีกาแลคซี่ลอยอยู่ในนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันผุดพรายเต็มดวงหน้า

 

“กูหมายถึงกุ้งมั้ยล่ะไอ้เหี้ย ลามก สัปดนไอ้คนเลว”ผมใช้มือผลักหน้ามันออกไปแรงๆ ไอ้คินส่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจที่กวนตีนผมสำเร็จ ผมยื่นมือไปหยิบมือถือของมันด้วยความเคยชิน กดเลือกเพลงในเพลย์ลิสต์ของมัน เพลงเดิมๆที่เราเคยฟังทุกครั้งยามเดินทางถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เครื่องเสียงชั้นดีที่มันติดตั้งยิ่งทำให้เพลงเพราะขึ้นกว่าที่ฟังผ่านโทรศัพท์ตรงๆ เราร่วมร้องเพลงคลอเบาๆสลับพูดคุยไปด้วยกัน เรื่องราวชีวิตในแต่ละวันถูกบอกเล่าแลกเปลี่ยน บางครั้งก็ถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ แล้วเราก็วนลูปกลับมาร้องเพลงเดียวกันอีกครั้ง

 

บางทีชีวิตก็ไม่ได้ต้องการอะไรหวือหวา แค่มีเพื่อนร่วมทางดีๆซักคนก็พอ

 

((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 27 22/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 22-01-2019 23:20:39
ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ของมันไปเรื่อยๆแล้วไอ้คินก็แย่งมือถือมันกลับไป

 

“อะไรวะ เล่นแค่นี้หวงเหรอวะ?”

 

“กูจะเปิดเพลงนี้ให้มึง”มันว่าก่อนจะกดเลื่อนหาเพลงที่มันต้องการ ทำนองเพลงดังขึ้นในไม่กี่วินาทีต่อมา ผมนั่งฟังเงียบๆ ไอ้คินร้องคลอตามบางช่วงบางตอนก็หันมามองหน้าผมร้องไปยิ้มไปเหมือนคนบ้า

 

 

แต่ว่า...

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้ยิ้ม

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรหน้าผมถึงได้ร้อน

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรหัวใจของผมถึงได้พองฟูขนาดนี้

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรจริงๆ

 



เริ่มจากแค่เป็นคนรู้จัก
แล้วก็กลายเป็นคนรู้ใจ
ชอบที่เธอเป็นเธอ ไม่ต้องแต่งเติมอะไร
ชอบที่เราเป็นเรา เมื่ออยู่ข้างเค้า

จะดูแลเธอไปจนตาย เคียงข้างจนวันสุดท้าย
ที่ฉันคนนี้ยังหายใจอยู่
ให้เธอรู้มีเธอคนเดียว ที่ฉันรักหมดใจ
ถ้าเธอให้สัญญาด้วยหัวใจ
ข้อเดียวเพียงเท่านี้ได้หรือไม่..อย่าเปลี่ยนไป

มันมากกว่ารักที่เธอได้ให้ฉันมา
อยากใช้เวลา ที่เหลืออีกครึ่งทางเพื่อเธอ
หากเธอเดินไม่ไหว ฉันจะอุ้มเธอเดินไป
หากเธอล้มจะมีฉันคอยกอดไว้

จะดูแลเธอไปจนตาย เคียงข้างจนวันสุดท้าย
ที่ฉันคนนี้ยังหายใจอยู่
ให้เธอรู้มีเธอคนเดียว ที่ฉันรักหมดใจ
ถ้าเธอให้สัญญาด้วยหัวใจ
ข้อเดียวเพียงเท่านี้ได้หรือไม่..อย่าเปลี่ยนไป

จะดูแลเธอไปจนตาย เคียงข้างจนวันสุดท้าย
ที่ฉันคนนี้ยังหายใจอยู่
อยากจะบอกให้ฟังทุกวัน จากหัวใจของฉัน
ก็เพราะมันยากกว่าจะรักกัน
และเพราะว่าชีวิตนี้มันสั้น..ว่าฉันรักเธอ

ตลอดไปนะ ( ตลอดไปนะ )
ไม่มีวันเปลี่ยน ( ไม่มีวันเปลี่ยน )
อยากจะพูด อยากจะพูด ว่าฉันรัก รักทุกๆวัน

รักเธอ..ก็เพราะมันยากกว่าจะรักกัน
และเพราะว่าชีวิตนี้มันสั้น
จะรักเธอตลอดไป





 









 

 

คณิณ::

 

ผมขับรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่งในอยุธยาเที่ยงคืนกว่าเกือบตีหนึ่งรอบข้างเงียบสงบรวมทั้งไอ้เซ็ทที่หลับไม่รู้เรื่องตั้งแต่ขับเข้าเขตสุพรรณบุรี ผมมองมันที่หลับไม่รู้เรื่องว่ารถมันจอดตั้งนานแล้ว แต่ก็พอจะเข้าใจเพราะมันบอกว่าวันนี้พวกมันไปขุดหลุมปลูกต้นไม้หลังโรงแรมมาเหนื่อยมาก ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้มันหลับสนิท ผมเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าปรกตามันอยู่เบาๆ แพขนตาของมันเป็นสิ่งที่ผมชอบมองมาก เหมือนเกิดมาเพื่อมีขนตาน่ารักน่าเอ็นดู ยามลืมตาเวลากระพริบก็น่ารัก ยามหลับขนตาเรียงตัวสนิทกับกรอบตาก็น่าเอ็นดู

 

นี่ผมหลงแม้กระทั่งขนตามันเลยเหรอวะ

 

แล้วแบบคุณเข้าใจป่าววะเกือบสองเดือนมานี่ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้เซ็ทคืบหน้าขึ้นแบบดีมากๆ ไลน์หามันก็ตอบ โทรหามันก็รับ มารับมันก็มาด้วย ผมยอมเหนื่อยเพื่อที่จะขับรถมากาญจน์หลังเลิกเรียนฝ่ารถติดนรกเพื่อที่จะมีเวลาได้อยู่กับมันในวันหยุดอันแสนสั้นก็เหมือนว่าผมได้เติมพลังจากการเรียนอันแสนเหนื่อยล้าแล้ว ผมลูบแก้มนิ่มของมันก่อนจะโน้มตัวลงไปกดจูบที่แพขนตาของมันเบาๆ

 

บางครั้งผมก็คิดว่าร่างกายของไอ้เซ็ทมีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งกว่าสารเสพติดประเภทกล่อมประสาท

 

เพราะถ้าคุณจูบอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าของมันแล้วล่ะก็มันจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น

 

ตอนนี้ก็เช่นกัน  กลิ่นสบู่จางๆที่ติดตัวมันกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มของมันคล้ายฟีโรโมนที่ยิ่งสูดดมยิ่งดึงดูดผมเลื่อนริมฝีปากลงมาจูบที่ปลายจมูกรั้นๆของมันรับรู้ถึงลมหายใจอันอุ่นร้อนที่รินรดซึ่งกันและกันผละจากปลายจมูกแล้วมองสิ่งที่ดึงดูดใจมากกว่านั้นริมฝีปากอิ่มๆที่เวลาปกติมักจะเถียงผมฉอดๆและเช่นเดิม ผมไม่เคยหักห้ามใจให้ทอดทิ้งมันไปได้เลยซักครั้งที่มีโอกาส ผมกดจูบลงไปเพียงแผ่วเบาแตะย้ำๆซ้ำๆโดยไม่มีการรุกล้ำใดใด ภายในรถเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงและดังของผมสอดประสานกับหัวใจของมัน....ที่เต้นดังไม่แพ้กัน

 

ไอ้เซ็ทตื่นแล้ว...แต่ยังคงแกล้งหลับอยู่  ผมหลุดยิ้มขำกับมันที่นอนหลับตานิ่ง

 

โกหกไม่เนียนเลยนะมึงไอ้สันดาน

 

ผมผละจูบจากมันอย่างอ้อยอิ่งและเสียดายใบหน้าของมันแดงก่ำจนน่าสงสาร ผมแกล้งนั่งนิ่งๆซักพักแล้วค่อยเรียกมันเมื่อหน้ามันเริ่มหายแดงแล้ว

 

“ตื่นได้แล้วมึงถึงแล้ว”มันแกล้งงัวเงียตื่นขึ้นมาราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

“ถ...ถึงแล้วเหรอ” ถึงตั้งแต่กูจูบมึงแล้วมั้ยล่ะ

 

“อือ..ป่ะ ลง”ผมรับคำมันราวกับที่ผ่านมาไม่ได้ล่วงเกินอะไรมันซักนิด เดินย้อนไปท้ายรถหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ผมเตรียมใส่ท้ายรถไว้ตลอดขึ้นมาหิ้ว ไปจัดการเปิดห้องพักและเหมือนโชคเข้าข้างเมื่อห้องที่เหลือเป็นห้องแบบเตียงเดี่ยว เราสองคนตามพนักงานขึ้นมาจนถึงห้องพักของเราที่อยู่บนชั้น 4 ไอ้เซ็ทเดินตัวปลิวเข้าไปหาเตียงนอนก่อนเป็นอันดับแรก

 

“จะอาบน้ำอีกรอบมั้ย?”ผมถามมันในขณะที่ยกเท้าขึ้นมาเพื่อถอดถุงเท้า

 

“กูอาบมาแล้วมึงไปอาบเถอะกูง่วงอยากนอน”มันว่าตาปรือๆก่อนจะหันไปคว้าหมอนข้างมานอนกอดเฉย ผมไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเคยชินซะแล้วที่เวลาไปเปิดห้องพักด้วยกันมันจะยึดหมอนข้างไปกอดไปก่ายเพราะยังไงเสียเดี๋ยวผมก็กอดมันอยู่ดี

 

นี่กลายเป็นอีกความเคยชินอีกอย่างหนึ่งของเราสองคน ยังจำได้ว่าช่วงแรกๆนั้นเวลามันตื่นมาเจอผมนอนกอดมันอยู่มันจะโวยวาย ถีบผมแทบตกเตียงยังเคยมาแล้วแต่หลังจากผ่านไป 2 ครั้งมันก็เลิกโวยวายแล้วนอนนิ่งๆให้ผมกอดจนกว่าผมจะตื่น บางครั้งผมน่ะตื่นก่อนมันซะอีกแต่ก็แกล้งหลับตาไว้เฉยๆได้ยินเสียงมันด่าผมเบาๆก็บ่อยแต่มันก็ยังปล่อยให้ผมกอดมันอยู่อย่างนั้น พักหลังๆเวลาผมพามันไปเที่ยวหรือนอนค้างที่ไหนผมก็จะกลายเป็นคนตื่นสายไปโดยปริยาย

 

หลังจากออกมาจากห้องน้ำไอ้ตัวดีก็หลับไปแล้ว  สังเกตได้จากลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอนั่น ไอ้เซ็ทเป็นคนหลับง่ายไม่ว่าจะไปพักที่ไหนถ้ามันง่วงหัวถึงหมอนไม่เกิน 5 นาที มันก็หลับแล้ว ผมถอดชุดคลุมอาบน้ำออกไปแขวนผึ่งไว้ที่ราวเตี้ยๆหน้าห้องน้ำ หยิบเสื้อยืดสีขาวที่ใช้ใส่นอนประจำมาใส่ ทาครีมกันผิวแห้งซักพักแล้วจึงเดินไปปิดไฟจากนั้นค่อยๆนอนลงบนเตียงที่ว่างดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเราทั้งสองคนไว้ หัวเราะขำกับการที่มันกอดยึดหมอนข้างไว้คนเดียวมันหนุนปลายด้านบนของหมอนข้างไว้จนแก้มเบียด ผมปิดไฟจากโคมหัวเตียงเป็นอันดับสุดท้ายก่อนจะดึงตัวไอ้เซ็ทมากอด นอนมองหน้าของมันที่ห่างจากผมไม่ถึงคืบผ่านความมืด ดูเอาเถอะแม้ในห้องจะมืดแต่พอนอนมองมันไปเรื่อยๆหน้ามันกับกระจ่างชัดขึ้นมาซะอย่างนั้น

 

“ฝันดีนะไอ้เด็กเหี้ย”

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นผมกับไอ้เซ็ทตื่นขึ้นมาในตอนเกือบ 8 โมง ลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมตามคำคะยั้นคะยอของไอ้เซ็ทเพราะเรามีคูปองจากการเปิดห้องคือบุฟเฟต์อาหารเช้าฟรี ผมกินเพียงกาแฟแก้วหนึ่งกับพวกขนมปังทาเนย เบคอน 2 ชิ้น และไข่ดาว 1 ฟอง ส่วนไอ้เซ็ทนั้น...

 

“มึงกินเหมือนสูบ”ผมบ่นมันในขณะที่มันยกน้ำส้มคั้นขึ้นดื่มหลังจากจัดการข้าวต้มปลาไปถ้วยใหญ่ อาหารหลายอย่างวางบนโต๊ะและถูกมันกวาดเข้าท้องจนเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที

 

“นี่กูแค่ชิมๆนะ”

 

“อีกนิดโรงแรมเขาก็จะเจ๊งแล้ว”

 

“บ่นไปได้ไอ้ห่า ค่าห้องก็ตั้งแพงกูแค่ช่วยทำให้เงินที่จ่ายไปของมึงเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด”มันอ้างหน้าตาเฉยก่อนจะยัดเบค่อนชิ้นที่ 5 เข้าปาก

 

“แดกยังไงให้เลอะเทอะ”ผมใช้นิ้วปาดเอาซอสมะเขือเทศออกจากมุมปากของคนตะกละ แล้วเช็ดมือกับกระดาษทิชชู่

 

แหน่ะ...หวังอะไรกันอยู่ครับ?

 

หวังว่าผมจะเลียนิ้วที่ปาดซอสให้มันเหมือนพวกนิยายตลาดๆใช่มั้ยครับ

 

ไม่เอาอ่ะ

 

มุกเกร่อ คนอย่างคณิณไม่ทำ

 

วรั๊ย!!!

 

หลังจากปล่อยให้ไอ้เซ็ทเพลิดเพลินกับอาหารเช้าไปอีกซักพักเราสองคนก็กลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมเดินทาง  ไอ้เซ็ทแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตลายทางสีฟ้าขาวเหมือนกันกับผม

 

คัพเพอร์สุดๆ อิอิ

 

“ทำไมเสื้อแม่งเหมือนกันวะ?”มันหันมาถามเมื่อเห็นผมออกมาจากในห้องน้ำด้วยเสื้อแบบเดียวกับมัน

 

“กูซื้อตอนมีโปรซื้อ 1 แถม 1”ผมโกหกครับ จริงๆตั้งใจซื้อมาใส่คู่กับมัน เราจัดการเก็บของลงกระเป๋าสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกนิดก็ลงมาคืนห้องพัก ผมขับรถพามันมุ่งหน้าไปเก็บค่าเช่าที่ อันที่จริงไม่ต้องมาเองก็ได้เพราะยังไงโดยปกติพวกคนที่เช่าที่จะโอนเงินเข้าธนาคารอยู่แล้วเป็นประจำทุกปี แต่เมื่อ 2 วันก่อนผมโทรมาบอกว่าจะมาเองจุดประสงค์หลักของผมก็คือจะพาไอ้เซ็ทมากินกุ้งแม่น้ำตามที่มันอยาก พวกไอ้อิ้งค์มาโวยวายใส่กลุ่มผมว่าไอ้เซ็ทงอแงมากทำตัวเหมือนพายุหมูบ้าเวลาไม่ได้ดั่งใจที่เพื่อนๆไม่ยอมตกลงมากับมัน ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมพามันมาจอดหน้าบ้านเรือนไทยเก่าๆหลังหนึ่ง

 

ผมหยิบสมุดบัญชีเล่มหนาขึ้นมาอธิบายให้ไอ้เซ็ทฟังว่าบ้านนี้ช่ออะไร เช่าที่กี่ไร่ ค่าเช่ากี่บาทถ้าได้รับเงินมาแล้วให้ไอ้เซ็ทลงบันทึกไว้ให้ละเอียด

 

 ลุงเจ้าของบ้านที่ใส่กางเกงเลสีกรมท่าไม่สวมเสื้อผิวคร้ามแดดบนบ่ามีผ้าขาวม้าเก่าๆพาดอยู่รีบออกมาดูเราสองคน ผมลงจากรถแล้วยกมือสวัสดี

 

“หวัดดีลุงอ่วม ผมมาเก็บค่าเช่าที่ครับ”

 

“รอเดี๋ยวๆ เดี๋ยวขึ้นไปเอาเงินให้”ลุงว่าก่อนจะหายขึ้นไปบนบ้าน ธนบัตรใบละพันบาทหลายใบถูกส่งมาให้ผมและผมก็ส่งต่อไปให้ไอ้เซ็ท มันจัดการเก็บเงินเข้ากระเป๋าสะพายที่ผมยื่นให้มัน มือก็จดรายละเอียดตามที่ผมสอน ลุงอ่วมชวนผมคุยอีกเล็กน้อยผมก็ขอตัวกลับออกมาเพราะยังต้องไปเก็บอีกหลายคน

 

ผมไล่เก็บค่าเช่าที่มาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงบ้านของลุงพงศ์ รายนี้ขึ้นชื่อเรื่องการขอผัดผ่อนค่าเช่า โอนช้าเป็นนิจ

 

และครั้งนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่ผมบอกว่ามาเก็บค่าเช่า ลุงพงศ์ก็อ้างนู่นอ้างนี่จนผมรำคาญ เวลาตอนนี้ก็บ่ายกว่าเข้าไปแล้ว

 

“ลุงขอผลัดไปก่อนไม่ได้เหรอ เนี่ยน้ำก็ท่วมนาล่มลุงแทบไม่ได้เงินเลย”

 

“อันนั้นมันเป็นปัญหาของลุงไม่ใช่ปัญหาของผม ลุงก็รู้ดีว่าทุกวันที่เท่านี้เดือนนี้ของทุกปีลุงต้องจ่ายค่าเช่าทำไมลุงไม่กันเงินเก็บไว้ทุกเดือนไม่ใช่รอเงินก้อนไว้ให้ผมล่ะครับ”

 

“ก็กันแล้วแต่พอทำนาแต่ละทีมันก็ต้องใช้ทุน”

 

“เริ่องนั้นผมไม่สนใจถึงเวลาจ่ายลุงก็ต้องจ่ายครับ”

 

“ขอผลัดไปก่อนไม่ได้เหรอ”

 

“ไม่ได้ครับ ผมไม่ได้ขับรถมาจากกรุงเทพเพื่อกลับไปมือเปล่าครับ”

 

“แต่...”

 

“ลุงรู้มั้ยครับ ที่ดินตรงนี้มีคนมาขอซื้อผมหลายเจ้ามากแต่ละคนให้ราคาดีๆทั้งนั้นเพราะที่มันสวยติดถนนใหญ่ใกล้แม่น้ำทำเลดี ถ้าผมขายน่ะผมจะมีเงินก้อนมาวางกองข้างหน้ากี่สิบกี่ร้อยล้าน ลุงคงเดาไม่ออกใช่มั้ยครับ”ผมเอ่ยคำขู่ที่พวกคนเช่าที่กลัวมาก ซึ่งสิ่งที่ผมพูดมันไม่ได้เกินความจริงเลยซักนิด ลุงพงศ์หน้าถอดสีก่อนจะฟึดฟัดขึ้นไปบนบ้านแล้วกลับลงมาพร้อมเงิน ผมยื่นให้ไอ้เซ็ทรับไปจัดการ

 

“อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะลุง แต่สัญญามันว่าไว้ยังไงผมก็ทำตามนั้นคนอื่นเขายังไม่ค้างลุงก็ไม่ควรค้าง ยังไงของปีนี้ลุงก็เริ่มเก็บไว้แต่เนิ่นๆเลยนะครับเราจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะหรือผิดใจกันอีก”

 

ผมกลับขึ้นรถโดยที่ไอ้เซ็ทยังไม่ลืมที่จะหันไปไหว้ลาลุงพงศ์ มันนั่งเงียบมาตลอดทางบนตักยังมีสมุดบัญชีวางอยู่

 

“เป็นไรมึง”ผมเอ่ยถามหลังจากมันไม่พูดไม่จาอะไร

 

“คือเมื่อกี้มึงน่ากลัว”

 

“โอ้ย มึงจะมากลัวเหี้ยอะไรกูตอนนี้วะ”ผมหัวเราะขำมัน ตีกันแทบตายมันไม่เคยกลัวผมเลยซักนิด มากลัวอะไรตอนผมทวงค่าเช่าที่

 

“ก็เวลามึงใช้เหตุผมมันดูมีรังสีอำมหิต”

 

“กูก็แสดงไปงั้นแหล่ะ จริงๆกูกลัวลุงเขาเอาลูกซองมาเป่าแทบตาย แต่ถ้าไม่เข้มใส่ลุงแกก็จะผัดผ่อนไปเรื่อยมันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู กูไม่อยากไปอะไรกับแกมากคนเก่าคนแก่เช่าที่แม่กูมานาน”

 

“นี่มึงต้องเก็บค่าเช่าแบบนี้ทุกปีเลยเหรอวะ?”

 

“ก็ทุกปีนะ แต่ละที่ค่าเช่าก็ไม่เท่ากัน ปีหนึ่งก็ได้หลายตังค์อยู่ แม่กูเขาชอบซื้อที่ดินทิ้งไว้ไปเจอตรงไหนสวยๆก็ซื้อเก็บไว้วันหนึ่งถนนหลวงตัดผ่านราคาจากไร่ละไม่กี่หมื่นก็ขึ้นมาไร่นึงเป็นล้านๆ จะทิ้งไว้ก็ไม่มีประโยชน์แกเลยปล่อยให้เช่ากินค่าเช่าไปเป็นปีๆ”

 

“แม่มึงนี่ฉลาดเนอะ”

 

“เค้าฉลาดกันทั้งบ้านอ่ะ อากงอาม่ากูหัวการค้าแล้วก็สอนลูกๆให้มีหัวด้านการลงทุนเหมือนแก กูก็แค่เก็บเกี่ยวดอกผลที่แม่กูสร้างไว้”

 

“แล้วแบบนี้เมื่อก่อนมึงมาเก็บเองแบบนี้ป่าววะ”

 

“ไม่อ่ะ เมื่อก่อนเจ๊กเพ้งมาเก็บให้ แต่ตอนหลังก็ให้โอนเข้าบัญชีกู”

 

“อ่าวแล้วไมวันนี้มาเก็บเอง”

 

“กูอยากให้มึงเห็นว่าถ้ามึงคบกับกูมึงต้องทำอะไรบ้าง อย่างแรกคือบริหารเงินให้กู”ผมหันไปพุดกับมันหน้าตาเฉย ไอ้เซ็ทโยนกระเป๋าเงินมาให้ผมทันที

 

“ใครจะไปคบกับมึง เอาเงินมึงคืนไปเลย”

 

“แน๊ๆ เขินก็บอก”

 

“เขินอะไร มึงอย่ามามั่ว ชอบพูดจาไร้สาระ”มันหันมาเถียงผมฉอดๆตามสไตล์ ผมไม่สนใจหักพวงมาลัยเข้ามาจอดหน้าร้านอาหารที่เป็นแพติดริมน้ำ

 

“ลง แดกข้าวกัน หิว”ผมเดินนำมันลงมาจากรถ

 

“เอากระเป๋าตังค์ลงมาด้วย”หันกลับไปสั่งมันให้หยิบกระเป๋าใบที่มันโยนใส่ผมมันทำตามแม้ปากจะขมุบขมิบบ่นอะไรของมันเบาๆ รอจนมันออกมาจากรถแล้วจึงกดล็อคผมเดินนำไอ้เซ็ทเข้ามาในร้าน พนักงานเดินมาทักทายพลางพาเราเดินมานั่งริมในสุดติดแม่น้ำ ลมเย็นช่วยให้ความร้อนอบอ้าวบรรเทาลงบ้าง เมนูถูกส่งมาให้เราสองคนเลือกดู

 

“เอากุ้งเผาไซส์ใหญ่ 2 กิโลนะครับ แล้วก็ปลากะพงราดซอสน้ำปลา ปลาหมึกผัดไข่เค็ม กุ้งทอดเกลือ ข้าว 1 โถ แล้วก็เอาน้ำโค้กครับ” ผมสั่งอาหารหลังจากปรึกษากันว่าจะกินอะไร ไอ้เซ็ทนั่งมองบรรยากาศรอบๆด้วยสีหน้ามีความสุข ลมเย็นๆพัดจนผมของมันพลิ้วปรกหน้า

 

“ปิดเทอมมึงไปเที่ยวที่หอกูมั้ยเซ็ท”ผมเอ่ยปากชวนมันไปที่หอของผม ปิดเทอมของผมมันไม่มีจริงโปรเจกต์งานแทบจะทับพวกผมตาย และผมคงไม่ได้กลับบ้าน

 

“ทำไมกูต้องไปอ่ะ กูอยู่บ้านกับลุงกับแม่ดีกว่า”

 

“กูอยากให้มึงไป กูคงไม่ได้กลับบ้าน งานกูเยอะมาก”

 

“แต่...”

 

“นะ ไปเที่ยวห้องกู ไปอยู่กับกูซักอาทิตย์ วันไหนว่างกูจะพามึงไปกินอาหารเกาหลี ที่กรุงเทพร้านอาหารเยอะมากมึงต้องชอบแน่ๆ”

 

“นี่มึงคิดจะเอาของกินมาล่อลวงกูใช่มั้ยวะ”

 

“กูแค่อยากมีเวลาอยู่กับมึงบ้าง เผื่อเราอยู่ด้วยกันมึงจะพิจารณากูได้มากกว่านี้”

 

“ขอกูคิดดูก่อนก็แล้วกัน”มันไม่ตอบรับแต่ไม่ปฏิเสธคำชวนของผม เรานั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระอีกซักพักอาหารก็ทยอยเอามาเสิร์ฟ ไอ้เซ็ทดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงของที่มันอยากกินก็ถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ขนาดเท่าฝ่ามือย่างบนเตาถ่านร้อนๆกลิ่นหอมเตะจมูกมาแต่ไกล สองมือของมันถูกนำมาสั่นเหนืออกท่าทางเหมือนเด็กได้ของที่ถูกใจนี่แม่งโคตรน่ารักเลยไอ้เหี้ย แล้วเสียงงุ๊งงิ้งของมันที่พูดกับมันกุ้งสีส้มสดนั่นผมล่ะอยากจะอัดวีดีโอไว้ดูเล่น

 

“มึงดูสิ มึงดู๊ โอ้ย มันกุ้ง ไอ้เหี้ย ตัวเท่าฝ่ามือ แล้วแบบมึงดูชั้นเนื้อมันสิ โอ้ยน้ำตากูจะไหล”ไอ้เซ็ทใช้ส้อมค่อยๆดึงเนื้อกุ้งออกจากเปลือกก่อนที่จะวางใส่จานให้ผม

 

“มึงกินๆ อ่ะกูตักให้”ผมมองการกระทำของมันก่อนจะส่งยิ้มให้มัน ดูเถอะมันดีใจจนตาเป็นประกายที่ได้กินของที่อยากกินขนาดนี้แต่ยังตักให้ผมก่อน จากนั้นมันก็จัดการกุ้งที่เหลืออีกครึ่งใส่จานมันเองน้ำจิ้มถูกตักไปใส่ก่อนที่มันจะอ้าปากกว้างแล้วยัดกุ้งเข้าปากทั้งชิ้น

 

ถ้าเป็นคนอื่นผมจะด่าว่าตะกละ  แต่พอเป็นมันปุ๊บโอ้ยอีเหี้ยน่ารักขึ้นมาทันทีเลย

 

“แง้ เนื้อเด้งมาก หวานมาก สดมาก อยากให้แม่ได้มากินด้วย อร่อยโคตรๆ”มันกินไปพูดไปหยิบเปลือกกุ้งตรงส่วนหัวที่ยังมีมันกุ้งหลงเหลืออยู่เอาข้าวสวยคลุกๆแล้วตักเข้าปากอย่างคนเจริญอาหาร คือแค่ดูมันกินผมก็อิ่มแล้วอ่ะ ผมขำที่มันได้กินของอร่อยทีไรมันมักจะพูดเสมอว่าอยากให้แม่ได้มากินด้วย มันต้องรักแม่ของมันมากแค่ไหนนะ

 

คงมากพอๆกับที่ผมรักแม่ของผมสินะ

 

อ่า..แม่ครับ ขอบคุณสำหรับค่าอาหารมื้อนี้นะครับ

 

ผมก็อยากให้แม่ได้กินของอร่อยอย่างนี้เหมือนกัน ผมจะใช้ชีวิตที่แม่ให้กำเนิดมาอย่างดีเลยครับ

 


เริ่มด้วยมีแฟนดีๆแบบไอ้เซ็ท แม่ว่าดีมั้ยครับ







..............................

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 27 22/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 23-01-2019 03:04:45
อยากมีความรู้สึก กองทัพสล๊อตออกมาเต้นดิสนีย์ออนไอซ์บ้างอะ  หลังๆมานี่ทำคะแนนตลอดเลยนะคิน อ่านเรื่องแล้วนึกตามเลยเพราะเป็นคนชอบเที่ยว ทั้งเมืองกาญจน์ ทั้งอยุธยา
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 27 22/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 23-01-2019 13:39:38
พอคณินได้ตั้งสติ มีจังหวะทำคะแนนแล้วท้อปฟอร์มมากๆค่ะ
เอาใจช่วยให้น้องเขาใจอ่อนเร็วๆทุกตอนเลย

ปล.อ่านตอนนี้แล้วอยากกินกุ้งเผามาก จินตนาการภาพตามแล้วยิ่งทรมาน
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 28 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 23-01-2019 23:09:11
ตอนที่ 28


      “ไอ้เซ็ทรถล้ม”ข้อความแจ้งเตือนไลน์จากยงศกรเด้งขึ้นหน้าจอโทรศัพท์ของคณิณในช่วงสายของวันอังคาร คณิณที่นั่งเรียนอยู่ถึงกับนั่งไม่ติด ชายหนุ่มหุนหันออกจากห้องเรียนโดยไม่รีรอที่จะคิดอะไรทั้งนั้นในใจของเขากรุ่นโกรธจนควันแทบจะออกหู

 

มันรถล้มได้ยังไงวะ ทั้งๆที่มันไม่ได้เอาอีแดงไปที่ฝึกงานซักหน่อย

 

ชายหนุ่มเดินหน้าบึ้งไม่พูดไม่จากับใครแม้เพื่อนต่างคณะจะตะโกนทักทายแต่คณิณเหมือนจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ตอนนี้บอกเลยว่าหูอื้อตาลายมาก อยากจะรู้ว่าอีรถเหี้ยคันนั้นมันของใครจะกระทืบให้พังแล้วโปรยเงินให้เจ้าของมันไปซื้อคันใหม่

 

รถที่บังอาจทำไอ้เซ็ทเจ็บตัวไม่ควรมีสภาพอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป คณิณพูดเลย

 

เกือบสามชั่วโมงบีเอ็มคันแพงก็มาจอดหน้าหอของเศรษฐพงศ์ คณิณถือวิสาสะเดินไปเปิดประตูหอที่แง้มๆอยู่ เศรษฐพงศ์นอนหลับอยู่มุมในสุดของห้อง พัดลมตัวใหญ่เปิดจ่อ ขาข้างหนึ่งถูกพาดกับโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยที่มีผ้าขนหนูวางซ้อนไว้อีกชั้นหนึ่ง

 

สายตาคมกวาดมองร่างของเศรษฐพงศ์ก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ไม่มีแผลใหญ่ มีเพียงรอยถลอกตรงแขน ที่หัวเข่ามีแผลที่ยังสดๆอยู่ ชายหนุ่มนั่งลงบนฟูกแข็งๆที่เศรษฐพงศ์นอนอยู่

 

นี่เหรอวะคุณภาพเด็กฝึกงาน คือมันควรดีกว่านี้ป่าววะ คณิณยื่นมือไปแตะเบาๆที่หน้าผากของเศรษฐพงศ์ ไอร้อนผะผ่าวบ่งบอกว่าคนน้องมีไข้ กวาดตาสำรวจรอบข้างพบขวดน้ำและซองยาพาราวางอยู่คาดว่าคนเด็กกว่าคงกินมันแล้วนอนหลับ

 

                “ทำไมไม่ระวังตัวเองวะมึงนี่แม่ง”น้ำเสียงไม่ดังแต่ก็ไม่ได้เบานั้นปลุกคนที่หลับไม่สนิทเพราะเจ็บข้อเท้าลืมตาตื่นขึ้น

 

บ้าจริง...ทำไมในฝันของเขามีคณิณอยู่ด้วยนะ หรือเพราะช่วงนี้ใช้ชีวิตโดยมีคณิณอยู่ด้วยตลอดเลยคิดถึงนะ?  เศรษฐพงศ์หลับตาลงอีกครั้งเพราะคิดว่าตัวเองตาฝาด

 

                “มึงลุกเดินไหวมั้ย ไปหาหมอกัน”คราวนี้เศรษฐพงศ์ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที

 

ไม่ใช่ความฝันแล้วแบบนี้ เด็กหนุ่มหันไปมองไอ้คนที่นั่งข้างๆในชุดนักศึกษา

 

เดี๋ยวนะ มึงมาได้ไงวะ ไหนว่าวันนี้มีเรียนทั้งวัน

 

                “ไอ้คิน?”

 

                “เออ กูจำชื่อกูได้ ลุกเร็วกูจะพาไปหาหมอ”คนเจ็บไม่ได้ทำตามที่คณิณบอก เรียกง่ายๆว่าไม่ให้ความร่วมมือเลยซักนิด เศรษฐพงศ์ยังคงนอนนิ่งดวงตากลมมองเพดานเขม็งราวกับมันมีอะไรน่าสนใจมากกว่าคนที่นั่งข้างๆซะอย่างนั้น

 

                “มึงแม่ง โดดเรียนมาทำไมวะ?”เศรษฐพงศ์กำลังหงุดหงิด ปกติคณิณขับรถจากลาดกระบังมารับเขาทุกเย็นวันเสาร์เขาก็กลัวว่าอีกคนจะเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว แต่วันนี้ วันอังคารที่ตารางเรียนของคนพี่เต็มทั้งวัน การมาปรากฏตัวในตอนนี้หมายความว่าคณิณโดเรียนมา

 

ไม่ชอบ

 

ไม่ชอบแบบนี้

 

                “กูไม่อยากให้มึงโดดเรียน มึงต้องตั้งใจเรียนสิวะไม่ใช่เอะอะก็มาหากู”

 

                “.......”

 

                “มึงโตแล้วนะเว้ยไอ้คิน มึงต้องรู้จักแยกแยะอะไรก่อนอะไรหลังอะไรสำคัญ”

 

                “ก็มึงไงสำคัญที่สุดสำหรับกู”คณิณตอบกลับในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น แต่คนน้องกลับหันมาค้อนจนตาคว่ำ

 

                “กูไม่ซึ้งหรอกนะกับคำพูดแบบนี้อ่ะ คบกันกูก็อยากพากันเจริญป่าววะ ไม่ใช่พอคบกันปุ๊บชีวิตตกต่ำปั๊บ รวยแต่โง่กูก็ไม่เอาหรอกนะ”







 

คณิณ::

 

เอ๊ะ....เอ๊ะ...เอ...ไม่ใช่เพลงเอของก๊อตเซเว่น แต่เป็นเสียงอุทานในใจของผม

 

เอ๊ะๆๆๆๆๆๆ

 

เมื่อกี๊ไอ้เซ็ทพูดว่าอะไรนะ???

 

คบกัน...ขีดเส้นใต้รัวๆด้วยปากกาแดงขนาด 0.3 ว่าคบกันแล้ว

 

                “ยิ้มห่าอะไรกูด่ามึงอยู่เนี่ยไม่ได้ยินหรอไง”ดูเหมือนไอ้คนที่หลุดพูดคำบางคำออกมายังไม่รู้ตัว ปากงุ้ยๆของมันยังคงบ่นผมไม่หยุด ผมเอาหูทวนลมฟังว่ามันร้องเพลงให้ฟังไป บางครั้งก็เออออบอกกับมากลับไปว่ารู้แล้วๆ

 

                “บ่นเป็นแม่กูตอนยังไม่ตายเลย”ผมว่ากลับมันไป ไอ้เซ็ทถอนหายใจพรืดใหญ่

 

                “แล้วมึงเป็นไงมั่งเนี่ย เจ็บตรงไหนมั่ง?”

 

                “ก็ไม่เจ็บตรงไหน ปวดข้อเท้ากับเข่าเฉยๆ”มันใช้มือจับลงไปบนขาข้างขวาที่มีแผลอยู่ที่เข่า

 

                “กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บตัวเลย...”ผมใช้ปลายนิ้วแตะลงเบาๆตรงข้อเท้าของมัน ไอ้เซ็ทลืมตัวหดขาหนีก่อนจะซี๊ดปากแสดงความเจ็บออกมา

 

                “ทำเป็นพูดดี เมื่อก่อนหมาตัวไหนมันไล่กัดกูไม่เว้นแต่ละวัน”ไอ้คนเจ็บมันไม่วายขุดเรื่องในอดีตขึ้นมาแขวะผม

 

                “ก็นั่นมันเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้กูกลายเป็นหมาเชื่องๆของมึงแล้วไง”

 

                “ไหนขอมือซิ๊”มันยื่นมือแบมาข้างหน้าผมซึ่งผมเองก็รับมุกมันโดยการยื่นมือไปวางลงบนฝ่ามือของมัน ไอ้เซ็ทหัวเราะชอบใจ

 

                “ไปเถอะมึง ลุก ไปหาหมอกัน”ผมถือโอกาสดึงมือมันให้มันลุกขึ้นยืนตามผม

 

                “โอ้ย!!!”เสียงมันร้องขึ้นมาทันทีที่ทรงตัวขึ้นยืน มันทรุดตัวลงไปนั่งอีกครั้ง หน้าตามันตอนนี้บ่งบอกชัดเจนว่ามันเจ็บข้อเท้ามากแค่ไหน

 

                “มึงเจ็บขนาดนี้แล้วยังจะโกหกว่าไม่เจ็บอีกเหรอไอ้เด็กเหี้ยนี่”ผมจับข้อเท้ามันพลิกดู ข้อเท้าของมันเริ่มบวมอย่างเห็นได้ชัด

 

                “เจ็บขนาดนี้แล้วยังจะโกหก เด็กไม่ดี”ผมว่ามันอีกรอบไอ้เซ็ทเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่มันก็ยังมิวายปากดี

 

                “ตีกับมึงเมื่อก่อนเจ็บกว่านี้อีก แค่นี้ไม่ตายหรอก”

 

                “แล้วนี่มึงเดินไหวมั้ย มึงเอารถใครเขามาขับให้ล้มวะ”ผมประคองมันให้ลุกขึ้นยืนโอบเอวบางๆของมันไว้เป็นหลักยึดไม่ให้มันต้องลงน้ำหนักที่ข้อเท้ามากจนเกินไป

 

                “เมื่อเช้าฝนตกถนนลื่นกูลืมไม่สเกลเลยยืมรถพี่ที่ทำงานออกมาเอา มันมีโค้งหักศอกอยู่กูเลยเสียหลักรถล้มพุ่งไปฟาดกับหลักกิโล ขากูยังเจ็บอยู่เลย”

 

                “อีถนนเหี้ยเส้นนั้นมันราคาเท่าไหร่ กูจะซื้อแล้วทุบทิ้ง”

 

                “มึงรู้ตัวป่าวว่ามึงเป็นคนอวดรวยได้น่ากระโดดเตะปากมาก”

 

                “ก่อนเตะปากกูเดินเองให้ได้ก่อนเถอะไอ้เป๋ โอ้ย!!” ผมเด้งเอวทันทีเมื่อไอ้เซ็ทมันหยิกแรงๆเข้าที่เอวของผม

 

ไอ้เด็กเหี้ยนี่ตีนเจ็บแต่มือไวทายาด ผมประคองตัวผอมๆที่เดินขโยกเขยกมานั่งในรถ จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้มันจนเรียบร้อยถึงได้กลับมานั่งประจำที่คนขับ

 

                “เข้าไปที่คลับเฮ้าส์ก่อน” มันหันมาร้องสั่งผม ผมหันไปมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ

 

                “กูต้องไปลางานกับเขาก่อน จะหายไปโดยพละการได้ยังไง”

 

                “ก็มึงเจ็บ เขาก็รู้”

 

                “มันเป็นมารยาทป่าววะมึง อีกอย่างมะรืนก็หมดระยะฝึกงานแล้ว กูทำรถพี่ในนั้นพัง...”

 

                “โอเคๆ บอกทางมาแล้วกัน”

 

                “ตรงเข้าไปเลยไม่มีทางแยก”ผมขับรถตรงเข้าไปในสนามกอล์ฟตามบัญชาของเด็กขาเป๋ บรรยากาศทางเข้าร่มรื่นดีจนกระทั่งขับมาจนถึงโค้งอันตรายที่มันว่า รอยถลอกของผิวถนน หลักกิโลที่พังยับ เศษซากบางส่วนของรถมอเตอร์ไซค์กระจัดกระจาย พื้นหญ้าเป็นแนวลู่ ผมหันไปมองมันอย่างไม่เชื่อสายตาว่ามันจะเจ็บเพียงแค่นี้

 

                “เหี้ย รอยมันอลังการมากเลยนะ มึงเจ็บหัวมั้ย เลือกคั่งในสมองหรือเปล่า หรือซี่โครงหัก ช้ำในอะไรแบบยังไม่ออกอาการมั้ย”ผมหันหน้าไปถามมันทันที ไอ้เซ็ทผลักหัวผมอย่างแรงพลางหัวเราะลั่น

 

                “มึงแม่งโอเว่อร์แอคติ้งมากไอ้สัด กูไม่เป็นไรจริงๆ พอล้มแล้วรถก็เหวี่ยงกูลงข้างทางขากูก็ฟาดกับหลักกิโลนั่นแหล่ะ แล้วทีนี้เว้ย หญ้ามันลื่นกูเลยไถลลงไป มึงเห็นตอกระถินนั่นมั้ย นั่นน่ะ ถ้ากูเบี่ยงตัวหลบไม่ทันป่านนี้คงได้ทำศพอ่ะ เจ็บแค่นี้คือโชคดีมาก”ผมขับรถไปฟังมันเล่านู่นเล่านี่ไปแป๊บเดี๋ยวก็พารถมาจอดหน้าคลับเฮ้าส์ ที่นั่นบรรดาเพื่อนๆของมันกฎลังก้มๆเงยๆปลูกต้นไม้อยู่ ไอ้เซ็ทเปิดกระจกเรียกไอ้อิงค์ที่อยู่ใกล้สุด

 

                “อิ้งค์ๆ”

 

                “อ้าว มึง เป็นไงมั่ง เจ็บตรงไหนปวดตรงไหนป่าววะ”ไอ้อิ้งค์และเพื่อนๆของมันรีบกรูกันมาสอบถามอาการ เซ็ทมันส่ายหน้าปฏิเสธพลางบอกให้เพื่อนช่วยประคองมันลงจากรถเพื่อไปพบผู้จัดการ ผมอ้าปากจะร้องห้ามแต่ว่าพอดีกับที่คนที่ชื่อพี่ต๋องผู้จัดการสนามกอล์ฟออกมาจากด้านในที่เป็นสำนักงานพอดีไอ้เซ็ทยกมือไหว้พี่ผู้จัดการพร้อมๆกับผมที่ก็ไหว้ตามมันไปด้วย พี่ต๋องรับไหว้เราสองคนก่อนจะเกาะประตูรถโน้มหน้าเข้ามาคุยกับมันอย่างเป็นกันเอง

 

                “ว่าไง เป็นไงมั่งไอ้เสือ”

 

                “ผมจะมาลางานไปหาหมอครับพี่”

 

                “เป็นมากมั้ยล่ะเรา พี่ไปดูที่โค้งสภาพแบบไม่น่ารอด จริงๆเอารถทางสนามไปส่งก็ได้นะ”

 

                “ไม่เป็นไรครับพอดีพี่ชายผมมารับแล้ว ก็เลยมาบอกพี่ก่อน ข้อเท้าผมเหมือนจะมีปัญหา”

 

                “ไปเลยๆ ลายาวจนจบฝึกงานเลยก็ได้ งานก็ไม่มีอะไรแล้ว”

 

                “เดี๋ยวก็คงกลับมานอนที่หอครับ เกรงใจเพื่อนๆ อีกอย่างต้องมาคุยเรื่องค่าเสียหายเรื่องรถกับพี่สิด้วย”

 

                “เห็นสิเค้าเอาเข้าอู่แล้วเย็นนี้คงรู้ราคาค่าซ่อม แย่หน่อยนะ”พี่ต๋องตบไหล่มันเบาๆสองสามที คุยกันอีกนิดหน่อยก็ขอตัวไปทำงาน

 

                “มึงไม่เป็นอะไรแน่นะไอ้เซ็ท”ไอ้สองแฝดถามผมด้วยความห่วงใย

 

                “เออกูไม่เป็นอะไร พวกมึงไปทำงานต่อเถอะ วางต้นไม้ตามแบบที่กูเขียนไว้นะตรงไหนไม่เข้าใจถามไอ้ยิมดูมันรู้ เดี๋ยวเย็นๆกูกลับมา”หลังจากที่มันสั่งงานเพื่อนอีกนิดหน่อยเราสองคนก็ได้ฤกษ์ขับรถเข้ามาในเมือง ปกติเวลาไม่สบายที่บ้านจะมีคลินิคที่มาหาเป็นประจำอยู่แล้ว ตอนที่โดนมันเอาไม้สเกลฟาดจนแขนเดาะผมก็มาหาหมอท่านนี้เป็นหมอที่เก่งเกี่ยวกับกระดูกโดยตรง

 

ผมนั่งรอไอ้เซ็ทเข้าไปเอ็กเรย์ข้อเท้าพักใหญ่ๆพยาบาลก็เข็นมันออกมาผมตามเข้าไปฟังอาการของมันในห้องตรวจ

 

                “โดยรวมไม่เป็นอะไรมาก มีการอักเสบตรงเอ็นร้อยหวายช่วงนี้ก็งดลงน้ำหนักที่เท้าขวาไปก่อน ส่วนที่ฟกช้ำเดี๋ยวหมอให้ยาไปทานกับยาทานะ”ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่งที่มันไม่เป็นอะไรมาก

 

เพราะหากเป็นมากกว่านี้คงรับไม่ไหวแน่ๆ

 

ผมพามันแวะกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารระหว่างทางกลับ การดูแลมันไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรออกจะได้กำไรนิดหน่อยด้วยซ้ำ ตัวมันนุ่มนิ่มกว่าที่คิด เมื่อก่อนตอนต่อยตีกันผมไม่มีเวลาได้สำรวจร่างกายอะไรมันหรอก แต่ตอนนี้เอวคอดๆของมันที่ผมสัมผัสอยู่ไม่ได้ต่างไปจากเอวของผู้หญิงเลย แขนของมันแม้ไม่นุ่มนิ่มแต่ก็ไม่ได้ครัดแกร่งแบบผู้ชายล่ำๆ ไหนจะกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ติดตามเสื้อผ้ามันอีก

 

อ๊า ฟิน...

 

                “ทำหน้าเคลิบเคลิ้มอะไรของมึง คิดอะไรลามกอยู่หรือเปล่า”ผมดึงสติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงทักจากมัน ตอนนี้ผมพามันมานั่งในรถแล้วขาของมันถูกพันด้วยผ้ายืดที่เอาไว้พยุงข้อเท้า บริเวณลานจอดรถเงียบสงบไม่มีใครผ่านมาทางนี้เลย  หน้าของผมห่างจากหน้าของมันไม่ถึงสองคืบ

 

ความรู้สึกบางอย่างแม่งตื้นเข้ามาในหัวใจแล่นปรู๊ดมาที่สะดือจนรู้สึกโหวงๆ

 

                “มึง...”ผมกลืนน้ำลายลงคอราวกับคนที่วิ่งผ่านทะเลทรายจนคอแห้งผากแล้วมาเจอกับซาฮาร่าที่เต็มไปด้วยน้ำสีใสสะอาด

 

                “อ...อะไร?”

 

                “จูบได้มั้ย?...”ผมจ้องริมฝีปากของมันนิ่ง ไอ้เซ็ททำหน้าตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ

 

                “ไม่...”มันเอ่ยปฏิเสธผมด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

 

                “ไม่มีใครเคยสอนมึงเหรอวะ ว่าเวลาจะปฏิเสธอะไรใครก็พูดให้มันหนักแน่นหน่อย ไม่งั้นผลลัพท์มันจะไม่ตรงกับที่มึงบอก”ผมไม่รอให้มันปฏิเสธอีกครั้งริมฝีปากของมันนุ่มหยุนคล้ายเยลลี่ไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด ไอ้เซ็ทคล้ายจะดึงหัวหนีแต่ผมก็ใช้มือข้างหนึ่งล็อคไว้ อีกข้างก็ประคองปลายคางของมันให้เชิดหน้าขึ้นรับจูบจากผม

 

ผมค่อยๆดูดดึงริมฝีปากล่างของมันช้าๆ ละเมียดละไมคล้ายกำลังชิมครีมจากเค้กรสโปรด

 

ไม่ว่าจะจูบมันกี่ครั้งรสหวานจากกลีบปากของมันก็ยังคงทำให้ผมติดใจอยู่เสมอ ผมเอียงปรับมุมให้จูบของเราแนบสนิทกันมากขึ้น ไอ้เซ็ทหยุดดึงหัวหนีมือของมันที่วางไว้ข้างตัวยกขึ้นมากอดเอวของผมไว้ฝ่ามือทั้งสองข้างของมันขยำเสื้อของผมจนยับย่น

 

คราวนี้จูบของผมเป็นเหมือนจูบของคนที่ละโมบโลภมาก ผมดูดริมฝีปากล่างของมันอีกครั้งจนเกิดเสียงก่อนจะถอนจูบออกมามองหน้ามัน

 

ไอ้เซ็ทใบหน้าแดงก่ำ แดงจนน่าสงสาร ดวงตาของมันปรือเยิ้มบ่งบอกว่ามันกำลังเมาจูบที่ผมมอบให้

 

น่ารักพร้อมๆกับน่ารังแก

 

ผมไม่ปล่อยให้มันมีสติไปมากกว่านี้บดเบียดริมฝีปากเข้าไปใหม่อีกครั้ง คราวนี้ไอ้เซ็ทครางอือในลำคอเมื่อผมสอดลิ้นเข้าไปกวาดต้อนลิ้นเล็กของมัน

 

หวาน...หวานกว่าจูบครั้งไหนๆที่เคยจูบมา

 

ลึกล้ำดื่มด่ำหอมหวานเหมือนต้องมนต์สะกดหลงเข้าไปในดงไม้หอม

 

ตักตวงอย่างละโมบ ดูดกลืนราวเจอแอ่งน้ำหวานเลิศรส

 

ไม่นานไอ้เซ้ทก็ตอบสนอง มันเลิกพลิกลิ้นหนีหันมาเกี่ยวกระหวัดตอบโต้อย่างไร้เดียงสา

 

แม่มันต้องเลี้ยงลูกมาอย่างใสสะอาดขนาดไหนกันนะ ขนาดจูบยังดูไม่ประสาขนาดนี้ ผมเกี่ยวพันดูดดึงเรียวลิ้นของมันราวกับกำลังเล่นกับก้านเชอร์รี่ หวังจะผูกให้มันเป็นปมแต่ก็ต้องถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่งเมื่อไอ้เซ็ทเริ่มจะหายใจไม่ทัน

 

                “มึงหวานชิบหายเลยหว่ะเซ็ท กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ย”ผมใช้ปลายนิ้วเช็ดริมฝีปากที่เจ่อบวมน้อยๆของมัน ไอ้เซ็ทคล้ายได้สติมันกระพริบตาปริบๆก่อนจะหันหน้าหนีผมไปอีกทาง ไร้เสียงโวยวาย ไร้เสียงด่า มีเพียงใบหน้าและสีผิวของมันที่ยังคงแดงเรื่ออย่างน่ารัก มันซุกหน้ากับเบาะรถไม่มองมาทางผมเลยซักนิด น่ารักชิบหายเลยอ่ะ อากัปกริยาแบบนี้แสดงให้รู้ได้ในทันทีเลยว่ามันกำลังเขินผม

 

มันไม่ปฏิเสธผมนี่ถือเป็นสัญญาณอันดีมากๆเลยอ่ะ

 

อยากจะวิ่งให้ทั่วเมืองกาญจน์แข่งกับโครงการก้าวคนละก้าวของพี่ตูนแล้วตะโกนดังๆว่า

 

อยากได้

 

อยากได้

 

อยากได้มากๆ

 

อยากได้สุดๆ

 

อยากได้ชิบหายเลยโอ้ยยยย

 

พี่ตูนวิ่งเพื่อหาเงินช่วยโรงพยาบาลแต่ผมจะวิ่งเพื่ออวดว่าที่เมียในอนาคตของผม

 

อยากจะจับมันปั้นเป็นก้อนกลมๆแล้วจับแดกแม่งทั้งตัวจริงๆไอ้ห่าเอ้ย!!!









 

 

 เศรษฐพงศ์::

 

ผมทำอะไรลงไป? อยู่ๆร่างกายก็ตอบสนองกับสัมผัสนั้นของไอ้คินไปแบบง่ายๆ

 

มันรู้สึกดีแบบแปลกๆ แต่ผมก็รู้สึกกระดากอายด้วยใจหนึ่งก็อยากตอบสนองมันให้มากกว่านั้น แต่อีกใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธมัน  ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงกับใจตัวเองดี

 

ไอ้คินเวอร์ชั่นนี้มันดี ดีมากๆ ดีจนปฏิเสธไม่ลง

 

แต่อีกใจหนึ่ง

 

เราเป็นผู้ชาย สิ่งที่ทำอยู่มันสมควรจริงหรือเปล่า แม้ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนี้จะจางบางลงไปมากแล้ว แต่พอมันแวบเข้ามาในหัวผมก็อดที่จะรู้สึกอายไม่ได้

 

ผมไม่เคยจูบกับใครเพราะฉะนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเวลาจูบกันมันต้องรู้สึกยังไง แต่ตอนที่ไอ้คินจูบผมครั้งแรกความรู้สึกแรกคือตกใจและขยะแขยงแต่หลังจากเลิกกับเอิร์น ผมยอมรับว่าตอนแรกรั้งมันไว้ขอให้มันอยู่ใกล้ๆเพราะตอนนั้นผมเคว้งคว้าง ผมแค่ต้องการใครซักคนคอยอยู่ข้างๆปลอบใจผม ไม่ต้องใช้คำพูดดีๆหรอกแค่บอกว่าจะไม่ทิ้งไปไหนผมก็อุ่นใจแล้ว

 

จนกระทั่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมสนิทกับมันไปไหนมาไหนกับมันคุยโทรศัพท์กันทุกวัน

 

และแน่นอน ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าไอ้คินหาเศษหาเลยกับผมทุกครั้งที่ผมหลับ

 

แต่ผมกลับนอนนิ่งให้มันจูบ

 

คล้ายจะเสพติด...ไม่ตีไม่ด่ามันกลับไปเช่นตอนนี้

 

ผมหันหน้าหนีมันเพราะไม่อาจทนสู้สายตาที่มองมาอย่างกรุ้มกริ่มนั้นได้

 

ตอนนี้ดาวหางคล้ายจะกลายเป็นดาวเหนือ

 

จากที่ไม่เคยส่องแสงสว่างไสวแต่ตอนนี้กลับกระจ่างชัดทั้งในสายตาและความทรงจำ

 

            “เขินเหรอ?”มันลูบผมของผมด้วยฝ่ามืออุ่นๆของมัน ผมแกล้งหลับตาเพื่อตัดบทสนทนาของมัน

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตอบกลับไปว่าเขินพ่อง  แต่ตอนนี้ถ้ามุดตัวเข้าไปในเบาะรถได้ผมคงทำไปแล้ว

 

            “หุบปากแล้วขับรถไปเลยมึง เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่”

 

            “แล้วชอบป่าวล่ะ?” ยัง มันยังไม่หยุดแถมหันมายิ้มกวนส้นตีนใส่อีก

 

            “รำค๊าน!!”

 

            “แต่ว่า...”ไอ้คินมันยังไม่ยอมหยุดพูด แถมหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ

 

            “เมื่อไหร่จะยอมให้เอาล่ะ รออยู่นะ”

 

            “โอ้ยไอ้เหี้ยนี่ เงียบไปเลยนะ ฝันไปเถอะชาติหน้าตอนบ่ายๆนู่นแหล่ะ”

 

            “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำบุญกันชาติหน้าจะได้เกิดมาเจอกัน”

 

            “โอ้ย!!! กูไม่คุยกับมึงแล้ว ไอ้ลามก” ผมหันหน้าหนีมันมาทางหน้าต่างรถทันที  แล้วอีปากเหี้ยนี่ก็เป็นอะไรเนี่ย มึงจะยิ้มทำไม หุบยิ้มสิ เดี๋ยวมันเห็นก็ล้อเอาอีกหรอก

 

            “มีใครเคยบอกมึงมั้นเซ็ท?...”

 

อะไรอีกล่ะ...คราวนี้จะกวนตีนอะไรกูอีก

 

            “ว่าเวลามึงแอบยิ้มอ่ะ มึงน่าร๊ากน่ารัก โทษนะ กระจกรถกูใสมาก พอดีล้างบ่อย”ไม่พูดเปล่ามันยังเอื้อมมือมาบีบแก้มผมอีกด้วย ผมผลักมือมันทิ้งอย่างไม่ใยดี

 

          “ไอ้สัด!!!”

 

            แม่!!! เซ็ทอยากกลับบ้าน!!!!

 

 

((ต่อข้างล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 28 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 23-01-2019 23:09:40
เกือบสองทุ่มในที่สุดรถของคณิณก็เข้ามาจอดที่หน้าหอ พวกของโอบนิธิรีบเข้าไปรับเพื่อนแฝดพี่เข้าประคองซ้ายแฝดน้องเข้าประคองขวาหิ้วปีกราวเศรษฐพงศ์เจ็บหนักนักหนา คนเจ็บพยายามห้ามกับการเทคแคร์แสนโอเวอร์ของเพื่อนๆแต่ก็ระอาใจเกินกว่าจะเอ่ยห้าม

 

จริงๆก็ซาบซึ้งที่เพื่อนๆเป็นห่วงเป็นใยตนเองมากขนาดนี้

 

            “เซ็ททำไมมึงหาหมอนานจัง มึงเป็นอะไรมากหรือเปล่าวะ”ยงวิสุทธิ์คุกเข่าลงพลางจับข้อเท้าเพื่อนพลิกไปพลิกมาเพื่อเช็คสภาพ

 

          “กูไม่ได้เป็นอะไรมาก พอดีหมอเค้าเข้าคลินิกตอนห้าโมงเย็นเลยต้องรอ”

 

            “แล้วมึงกินข้าวมายัง มึงหิวข้าวป่าวเดี๋ยวกูไปบอกเจ๊แก้วให้ทำข้าวให้มึงสองคนกินดีมั้ย”วีรดนัยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงแถมยังเผื่อแผ่ความเป็นห่วงมาถึงคณิณที่ถือถุงยาตามมาด้วย

 

            “กินมาแล้ว คินพาแวะกินก่อนกลับ”คนเจ็บเอ่ยตอบเพื่อนๆ

 

            “แล้วนี่เอาไงอ่ะมึง จะกลับไปนอนบ้านหรือกลับลาดกระบังเลย?”ยงศกรหันมาถามคนที่ยืนเก้ๆกังๆข้างๆ คณิณมองหน้าเศรษฐพงศ์ รอยความห่วงใยปรากฏในดวงตาอย่างปิดไม่มิด

 

            “มันก็มืดแล้วนะเว้ย ให้มันค้างที่หอพวกเราก็ได้”โอบนิธิออกความเห็น

 

            “แต่..”คนป่วยเอ่ยปากจะท้วงแต่คนเป็นเพื่อนกลับหันไปหาเศรษฐพงศ์แทน

 

            “พรุ่งนี้มึงมีเรียนหรือเปล่า กูว่าพรุ่งนี้ไอ้เซ็ทแม่งต้องระบมพวกกูต้องไปทำงานไม่มีใครอยู่ดูมันด้วย”

 

            “ไม่มี กูว่างยาวถึงวันศุกร์”

 

            “เออดีงั้นมึงค้างนี่แหล่ะพวกกูจะได้ฝากมึงดูไอ้เซ็ทด้วย พรุ่งนี้มึงพามันกลับบ้านได้เลยพี่ต๋องโทรไปบอกที่วิทยาลัยแล้วอาจารย์อนุญาตให้มันกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้”

 

            “งั้นมึงรอแป๊บ เดี๋ยวกูจัดที่นอนให้ ฝนทำท่าจะตกแล้วจะได้รีบเข้าห้อง”วีรดนัยแยกตัวกลับเข้าไปในห้อง โชคดีที่ยังมีเบาะสำรองกับเครื่องนอนเหลืออยู่ เพื่อนๆทุกคนต่างกุลีกุจอกันเข้าไปช่วย

 

            ห้ามทำลามกกับกูนะ”คนป่วยหันไปทำตาเขียวใส่คนที่มานั่งข้างๆ

 

            “อะไร กูยังไม่ได้คิดจะทำเลยนะ”

 

            “มึงมันไว้ใจไม่ได้”

 

            “บ้า มึงเนี่ยมองโลกในแง่ร้าย กูเคยไปทำลามกอะไรใส่มึง?”

 

            “ก็มึงอ่ะชอบแอบจูบกู...เชี่ย!!”คนเจ็บรีบยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป คณิณฉีกยิ้มกว้างพลางยกนิ้วชี้หน้าคนที่กำลังหน้าแดงลามไปถึงลำคออีกครั้ง

 

            “แหน่ะๆ รู้ด้วยว่าโดนแอบจูบแต่ก็ไม่เคยจะห้าม ติดใจล่ะสิ”พูดยังไม่ทันขาดคำคณิณก็มีอันกระเด็นตกแคร่ที่นั่งลงไปจุมปุ๊กกับพื้นดิน

 

            “แหม  เขินรุนแรงนะเรา”ปัดฝุ่นออกจากตูดก่อนจะใจกล้าหน้าด้านกลับไปนั่งข้างๆคนเจ็บที่หน้าแดงแจ๋อีกครั้ง

 

เศรษฐพงศ์อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้วนึกโมโหที่ไอ้คนหน้าด้านไม่ยอมหยุดที่จะพูดให้เขาเขินซักที  เขินจนไม่กกล้าหันไปมองหน้าคนที่นั่งข้างๆเลยซักนิด  คณิณมองท่าทางตลกๆนั้นอย่างชอบอกชอบใจ

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่มีซะหรอกที่มันจะมานั่งเขินเขาแบบนี้  ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้ามองดาวแต่ฝ่ามือค่อยๆเคลื่อนมากอบกุมมือของคนน้อง เศรษฐพงศ์หันมามองพยายามดึงมือออกเพราะกลัวว่าเพื่อนๆที่วุ่นวายกับการเก็บกวาดห้องจะออกมาเจอแต่คณิณกลับยึดไว้แน่น

 

            “อยู่แบบนี้ซักแป๊บหนึ่งสิ”น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขออย่างเว้าวอน

 

            “เซ็ท...”เสียงเรียกแผ่วเบานั้นทำให้เศรษฐพงศ์ต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ เมื่อหันไปมองหน้าคนพี่แล้วก็พบว่าคณิณจ้องหน้าตนอยู่ด้วยสายตาจริงจังและจริงใจ

 

            “กูชอบมึงจริงๆนะ”

 

            “เออ...กูรู้แล้วน่า”เศรษฐพงศ์แหงนหน้าขึ้นรับลมเย็นที่พัดไอฝนปะปนมาด้วย

 

            “ที่กูบอกชอบมึงตอนนี้กูก็อยากได้คำตอบจากมึงเหมือนกัน ว่ามึงชอบกูมั่งหรือเปล่า?”เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ในทันที เศรษฐพงศ์ไม่แม้แต่จะปริปากพูดตอบอะไรกลับไป คณิณกระชับมือที่กอบกุมมือเรียบของเศรษฐพงศ์อีกครั้ง ก้อนความน้อยใจแล่นจุกขึ้นมาในอก

 

            “ทุกวันนี้กูก็หวังมาตลอดนะ ว่าที่ผ่านมามึงคงจะรู้สึกดีๆกับกูบ้าง กูคิดถูกใช่มั้ยวะ? ตอนแรกกูกะจะรอให้มึงลืมเขาให้ได้สนิทก่อน แต่ที่ผ่านมาของเราสองคนมันดีจนกูเผลอคิดไปเองว่ามึงคงรู้สึกชอบกูขึ้นมาบ้างแล้ว มึงช่วยตอบกูทีได้มั้ยวะ ว่าที่กูคิดน่ะ มันผิดหรือถูก”เศรษฐพงศ์เหมือนกำลังจะจมน้ำ เด็กหนุ่มตอบความรู้สึกที่มีต่อคณิณในตอนนี้ไม่ได้ จริงอยู่ว่าแผลของเขามันไม่ได้เจ็บปวดแบบตอนแรกแล้ว แต่มันก็ยังไม่หายดี

 

อีกอย่างระหว่างเขากับคณิณมันกลายเป็นความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียกมาได้ร่วมสองเดือนและเขาเองก็มีความสุขกับปัจจุบันที่เป็นอยู่แบบนี้

 

ก่อนที่เศรษฐพงศ์จะเข้าตาจนจากคำถามของคณิณโอบนิธิก็ส่งเสียงเรียกออกมาจากในหอ

 

            “ไอ้คินมึงประคองมันเข้ามาได้แล้วพวกกูจัดที่นอนให้มึงเสร็จแล้ว”ราวกับระฆังช่วยชีวิต คณิณมองหน้าคนที่เมินเฉยกับคำถามของเขาก่อนจะถอนหายใจช้าๆ จำต้องประคองคนเจ็บเข้าไปในหอโดยไม่ได้พูดได้จาอะไรกันอีก

 

            “เอาเสื้อผ้ามาหรือเปล่า”เศรษฐพงศ์เอ่ยถามคนที่กำลังเตรียมตัวอาบน้ำ

 

            “เอาของกูไปใส่ก่อนก็ได้ แขวนอยู่นั่นอ่ะ”เศรษฐพงศ์ชี้ไปที่ราวตากผ้าที่ขึงด้วยลวดแบบง่ายๆ คณิณเดินไปเลือกกางเกงบอลกับเสื้อยืดบางๆเพื่อใส่สำหรับนอนก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำหลังจากรับตะกร้าใส่สบู่ ยาสระผมที่เศรษฐพงศ์ยื่นให้

 

            “มึงงอนอะไรกันอีกหรือเปล่าวะ ทำไมมันดูตึงๆ”ยงศกรมานั่งข้างๆเศรษฐพงศ์แล้วเอ่ยถามคนน้องที่นั่งทำหน้านิ่งพิงหมอน เช่นกันกับคณิณคือเศรษฐพงศ์เองก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นเดียวกับเศรษฐพงศ์

 

            “ป่าว ไม่ได้งอนอะไรกัน กูจะไปงอนอะไรมันได้วะ”

 

            “กูก็ไม่ได้ถามว่ามึงงอนอะไรมัน เพราะดูจากท่าทางแล้วมันงอนมึงชัวร์”

 

            “เออ แม่ง เมนส์มามั้ง”เศรษฐพงศ์ตัดบทพลางเลื่อนตัวลงนอนอย่างหงุดหงิด

 

มางอนอะไรกูล่ะ แค่ยังตอบคำถามไม่ได้เนี่ยนะ ประสาท

 

คณิณออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าไฟในห้องถูกปิดลงแล้วอาศัยแสงสว่างจากในห้องน้ำที่โอบนิธิบอกไว้ว่าให้เปิดทิ้งไว้เป็นแสงสว่างพอให้เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนที่นอนว่างติดกำแพงที่เศรษฐพงศ์ขยับไว้ให้ส่วนตัวคนเจ็บนอนถัดจากเขา ร่างโปร่งนอนนิ่งราวกับหลับสนิท วูบหนึ่งคณิณอยากจะทุบลงไปบนอกของเศรษฐพงศ์แรง

 

อยากจะรู้นักตัวแม่งก็บางแค่นี้ทำไมใจแข็งนักวะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์แล้วส่งข้อความบางอย่างไปหาแดนธรรม

 

คณิณ:

กูเหนื่อย

แด่นแด๊น ทาสแมว:

เหนื่อยก็กลับมา

คณิณ:

อืม บางทีกูก็ควรพอ

เหมือนกูพยายามอยู่ฝ่ายเดียว

ทำเหมือนมีใจให้กูพอกูถามแม่งก็ไม่ตอบ

กูแม่งสมเพชตัวเอง

แด่นแด๊น ทาสแมว:

แล้วถ้ามันตอบกลับมาแล้วไม่ตรงใจมึงล่ะมึงจะทำไง

ถ้ามึงถามมันมึงก็ต้องเตรียมใจกับคำตอบที่จพได้ด้วย

คณิณ:

อืม

กูนอนล่ะ

 

คณิณเก็บโทรศัพท์วางไว้บนหัวนอน หลับตาลงเพื่อข่มความหงุดหงิดโดยมี่รู้เลยซักนิดว่าเศรษฐพงศ์ที่นอนอยู่ข้างๆแอบลืมตามองอย่างคาดหวังก่อนจะกร่นด่าตัวเองในใจ

 

มึงรออะไรอยู่วะไอ้เซ็ท มันโกรธมึงแล้วมันคงจะกอดมึงเหมือนทุกทีหรอกนะไอ้โง่

 

 

            เศรษฐพงศ์::

 

ผมตื่นเช้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่หน้าหอ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นไอ้คินอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มันเดินไปเปิดประตูคนที่มาเคาะห้องคือพี่สิเจ้าของรถที่ผมเอาไปล้ม ผมยกมือไหว้ก่อนจะเชิญพี่สิให้เข้ามาด้านใน

 

            “คือพี่ทราบว่าน้องเซ็ทจะกลับบ้านวันนี้ ก็เลยจะมาคุยเรื่องค่าซ่อมรถ”

 

            “อ่อครับ ผมขอโทษด้วยนะพี่ ทำรถพี่พังลำบากแย่”

 

            “ไม่ลำบากอะไรพี่ติดรถพี่เมฆมาทำงานได้ ส่วนนี่เป็นบิลค่าซ่อมรถทั้งหมด” พี่สิยื่นแผ่นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหยาบๆมาให้ผม ผมกวาดตามองรายการนับสิบที่จะต้องซ่อมแล้วได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

 

            “คืออะไหล่ของแท้มันแพง”พี่สิเหมือนจะเห็นว่าผมหน้าซีดกับราคาค่าซ่อม

 

            “นี่ร้านเค้าลดให้แล้วนะ”

 

            “เอามาดูซิ”ไอ้คินแย่งบิลดูก่อนจะขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นโบว์

 

            “ราคาขนาดนี้ดาวน์ใหม่ได้คันหนึ่งเลยนะครับ”มันหันไปพูดกับพี่สิด้วยน้ำเสียงตึงๆจนผมต้องแย่งบิลในมือมันกลับมาถือไว้

 

            คือพี่สิครับรอให้ผมกลับบ้านก่อนได้มั้ยเดี๋ยวผมโอนเงินมาให้ตอนนี้ในตัวผมเงินสดไม่พอ”ไอ้คินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงินที่หัวนอน กระชากบิลในมือไปดูอีกที

 

            “ 7580 บาท”มันทวนราคาในบิลก่อนจะนับเงินในกระเป๋ายื่นให้พี่สิ

 

            “ผมชดเชยให้หมื่นหนึ่งไหนๆก็ซ่อมขนาดนั้นแล้วก็เปลี่ยนเบาะ เปลี่ยนไฟเลี้ยวไฟท้ายทำสีให้มันครบทั้งคันไปเลยนะครับ”ผมอยากจะหันไปด่าไอ้คินที่พูดจาไม่ดี แต่พี่สิกลับรับเงินจากมือมันด้วยท่าทางดีอกดีใจความรู้สึกผิดที่ทำรถเขาพังก็แทบจะปลิวไปตามสายลม พี่สิแสดงความเป็นห่วงเป็นใยผมอีก 2-3 คำ ก้ลากลับ บรยากาศระหว่างผมกับมันกลับมาอึมครึมอีกครั้ง

 

            “อันไหนของๆมึงบ้างจะได้ขนกลับไป”มันหันมาถามผมเรียบๆผิดจากเมื่อวานที่ยังทำท่าระริกระรี้

 

            “ทิ้งไว้นี่แหล่ะเดี๋ยวให้พวกไอ้อิ้งค์ขนไปไว้ที่หอ”ผมตอบมันด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นกัน ออกจะหงุดหงิดที่มันกลับมาทำมึนตึงใส่

 

ง้อกูตื้อกูอีกหน่อยก็ไม่ได้

 

ไอ้โง่

 

มันเก็บข้าวของของมันซึ่งก็คือเสื้อผ้าชุดที่ใส่เมื่อวานไปใส่รถก่อนจะกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

 

            “ลุกไหวมั้ย? เพื่อนมึงบอกว่าให้ล็อคห้องได้เลย”

 

            ไม่ไหว...เจ็บ”ตอแหลครับ ผมไม่ได้เจ็บขนาดนั้น เพียงแต่ผม...แค่อยากได้รับสัมผัสจากมันเหมือนที่เคย ไอ้คินเดินมาประคองผมเหมือนเมื่อวานเพื่อพาไปขึ้นรถ ผมหันไปมองหอพักกวาดตามองสถานที่ฝึกงานที่กินอยู่หลับนอนคลุกคลีมาตลอดสามเดือนอย่างใจหายไอ้คินคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม ใบหน้าของมันห่างออกไปเพียงไม่กี่เซ็นต์แต่มันกลับไม่หันมามองผมเลย ตลอดระยะทางไม่มีบทสนทนาเหมือนที่ผ่านมา

 

ใจของผมก็รู้สึกห่อเหี่ยวเพิ่มมากขึ้นทุกที

 

จนกระทั่งถึงบ้าน มันก็ยังคงมาประคองผมขึ้นมาบนห้อง จัดการเอาหมอนข้างมารองข้อเท้าให้ผม

 

            “เดี๋ยวกูจะโทรบอกแม่มึงให้นะ ยากูวางไว้บนโต๊ะอย่าลืมกินให้ตรงเวลา”มันหันมาสั่งผมก่อนจะหันหลังเตรียมกลับออกไป ผมตัดสินใจเรียกมันไว้

 

            “เดี๋ยวมึง...”มันหันกลับมามองผมด้วยสายตาราบเรียบ

 

            “ไม่เป็นอย่างนี้ได้มั้ยวะ”

 

            “งั้นมึงก็ตอบกูมาสิว่าตอนนี้มึงกับกูเป็นอะไรกัน มึงรู้สึกยังไงกับกู ตกลงเราเป็นอะไรกัน?”ผมเม้มปากเข้าหากันอีกครั้งเมื่อมันยังย้ำคำถามที่ถามค้างไว้เมื่อคืน

 

ผมใช้ความคิดมากมายในการหาคำตอบ สุดท้ายสิ่งที่ออกมาจากปากของผมก็ทำให้มันหัวเราะขื่นๆแล้วหมุนตัวออกจากห้องไป

 

            “กูไม่รู้...”

 

 

            กว่าสองอาทิตย์แล้วที่คณิณไม่ได้กลับบ้านนับตั้งแต่วันที่ไปส่งคนน้องกลับบ้าน คำตอบที่เศรษฐพงศ์ตอบเขามันทำให้เขาหงุดหงิดและเสียความรู้สึก ชายหนุ่มตีรถกลับกรุงเทพทันที หลังจากนั้นคณิณก็ไม่ไลน์หารวมทั้งไม่โทรหาคนน้องอีก บรรดากองกำลังเสริมอย่างพวกเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์แวะเวียนมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ แต่คณิณเลือกที่จะไม่ตอบใครเลย

 

ทำไมวะ ทั้งๆที่เขาชัดเจนกับเศรษฐพงศ์ขนาดนั้นแล้วแต่เศรษฐพงศ์กลับไม่มั่นใจในตัวเองและตัวเขาเลยซักนิด

 

เหมือนเขาโยนหินลงน้ำเกิดเพียงรอยกระเพื่อมเพียงชั่วครู่แล้วจางหายไป

 

เศรษฐพงศ์เหมือนโจทย์แคลคูลัสที่เขาแก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้

 

           
            “เพราะมึงใกล้มันมากเกินไปมันเลยชินกับการมีมึงอยู่ข้างตัว”แดนธรรมเคยพูดกับเขาเมื่อหลายวันก่อน

 

            “ถ้ามันชอบมึง เดี๋ยวมันก็เข้าหามึงเอง”

 

            “แต่กูเหนื่อยแล้ว”

 

            “เพราะมึงพยายามมากเกินไป พยายามอยู่ฝ่ายเดียวไงมึงถึงเหนื่อย ความรักอ่ะ ถ้าคนพยายามคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสุดท้ายคนที่ทำมากกว่ามันจะท้อ”เขาไม่ได้เชื่อคำของแดนธรรมนักหรอก เขาแค่รู้สึกว่าอยากจะลองดึงใจกลบมาซ่อมตัวเองอีกครั้ง รวมกับการสอบปลายภาคทำให้เขาต้องเบนความสนใจมาที่การเรียนก่อนจนกระทั่งสอบเสร็จ

 

            “เสี่ยไปฉลองห้องมึงนะ”จิณณวัตรเสนอสถานที่การเลี้ยงฉลอง คณิณพยักหน้าส่งๆนั่นแหล่ะ บรรดาเหล้ายาปลาปิ้งกับแกล้มทั้งหลายจึงถูกลำเลียงมาที่คอนโดของคณิณในตอนบ่ายสามกว่าๆ เครื่องเสียงชั้นดีถูกเปิดเพลงสากลยอดฮิตตามแบบสมัยนิยม แก้วเหล้าถูกวางลงกลางวง กลับแกล้มถูกเทใส่จานอันไหนอยู่ในกล่องก็เปิดฝากล่องวางลงกับพื้น กระติกน้ำแข็งถูกเติมจนเกือบเต็ม

 

            “เอ้าชน!!”แก้ว 6 ใบถูกแตะกันเพื่อเริ่มการฉลอง คณิณจิบเหล้าที่ชงเข้มไปอึกหนึ่งก็ต้องวางแก้วลงเมื่อโทรศัพท์เครื่องแพงดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูก็แทบสำลักเหล้าเพราะชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคือชื่อของคนที่เขาพยายามหนีมาตลอดสองอาทิตย์

 

เอาไงดีวะ

 

รับ....ไม่รับ...รับ...ไม่รับ...

 

            “ฮัลโหล”อ๊าวอีเหี้ย รับตอนไหนวะ กร่นด่าตัวเองในใจ

 

            “คือ...”ปลายสายทำเสียงอึกอักก่อนจะเงียบไป

 

            “ลงรถที่สายใต้แล้วต้องไปยังไงต่อ?”คำถามที่ทำให้คณิณงงถูกถามออกมา

 

            “มึงหมายถึงอะไร? มึงเข้ากรุงเทพเหรอแล้วจะไปไหน?

 

 

 

 

 

            “มาหาแฟน...แฟนงอนไม่ยอมโทรหาสองอาทิตย์แล้ว ตกลง...กูต้องไปคอนโดมึงยังไง? ถ้าไม่ตอบกูนั่งรถกลับเมืองกาญจน์แล้วนะ”

 

 

 

 

            “มึงรอกูอยู่นั่นนั่งแดกเคเอฟซีรอก็ได้เดี๋ยวกูขับรถไปรับ ห้ามกลับนะไอ้เหี้ยเซ็ท ห้ามกลับเด็ดขาด” คณิณระล่ำระลักบอกปลายสาย ตอนนี้สิ่งที่เพื่อนๆเห็นคือไอ้หล่อประจำกลุ่มยิ้มจนปากแทบจะฉีกวิ่งวุ่นรอบห้องแต่งตัวด้วยความรีบร้อนก่อนจะมาหยุดหน้าประตู

 

            “พวกมึงเก็บของกลับห้องมึงไปเลย เก็บให้เกลี้ยงเลยนะ”

 

            “อะไรของมึงวะเสี่ย?”จิณณวัตรมองท่าทางของเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ

 

            “กลับห้องพวกมึงไปไปแดกห้องไอ้แพรก็ได้ วันนี้กูมีคนจะฉลองด้วยแล้ว ไปล่ะ ล็อคห้องให้กูด้วยไอ้สัด” คณิณไม่รอตอบคำถามของเพื่อนๆ ร่างสูงแทบจะกระโดดจากชั้นสิบลงไปที่ลานจอดรถติดแต่ว่ากลัวตายก่อนไปรับ “แฟน”ที่รออยู่ที่ท่ารถนะสิ



ขอมิวสิคหน่อย สล็อตในใจอยากออกมาเต้นจังหวะรุมบ้า



แวะร้านทำป้ายสั่งทำป้ายไวนิลซักสิบเมตรสกรีนคำว่าเศรษฐพงศ์แฟนคณิณได้มั้ย ฮิฮิ







......................





อะไรนะ ใครเป็นแฟนใคร??



อ่อ เศรษฐพงศ์แฟนคณิณไงล่ะ







น่ามคาน เอะอะจูบๆ ปากน้องจะเปื่อยหมดแล้ว



แล้วคนน้องอ่ะ ไปกอดเอวมันทำม๊าย หนูต้องหวงเนื้อหวงตัวสิลู๊กกกก  อะไรที่ได้ยากๆมันเร้าใจดี ต้องใช้จริตสิลูกไม่มีก็ต้องสร้าง เดี๋ยวคูมแม่ตีเลย แมนๆลูก จูบมาก็กระชากมาจูบกลับไม่โกง #เดี๋ยวๆ



หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 28 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 24-01-2019 00:35:37
น้องเปิดใจแล้วอิตาคนพี่อย่าทำร้ายจิตใจน้องอีกเชียวนะเดี๋ยวจะหาบรรดาเจเจ้ไม่เตือน  :angry2:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 28 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 24-01-2019 04:26:38
สล็อตออกมาเต้นระบำอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 28 23/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 24-01-2019 13:01:29
 :mc3: :mc3: อย่างนี้มันต้องฉลอง เขาเป็น"แฟน"กันแล้ว :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 29 24/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 24-01-2019 18:15:04
ตอนที่ 29


   เศรษฐพงศ์กำลังรู้สึกว่าการตัดสินใจมาง้อคณิณที่กรุงเทพเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์

 

เพราะการไม่มีคณิณมาคอยวอแวกวนใจกว่าสองสัปดาห์ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มพิจารณาความรู้สึกของหัวใจตัวเอง

 

เศรษฐพงศ์เหงาเวลาที่ไม่มีคณิณมาคอยกวนใจ เศรษฐพงศ์หงุดหงิดทุกครั้งเวลามองโทรศัพท์แต่ไร้สายเรียกเข้าของคณิณ อารมณ์ขึ้นๆลงๆของเด็กหนุ่มถูกเผื่อแผ่ไปยังบรรดาเพื่อนๆจนโดนเพื่อนบ่นไปหลายครั้ง แม้ใจอยากจะโทรหาคณิณก่อนมากแค่ไหน แต่เศรษฐพงศ์ก็ยังคงมั่นในว่าเดี๋ยวคณิณก็จะเป็นฝ่ายโทรหาเขาเองแบบทุกครั้ง

 

จนกระทั่งผ่านไป 1 อาทิตย์ คณิณก็ไม่โทรกลับมา

 

วันเสาร์ที่เคยเจอกันทุกอาทิตย์ก็ไร้เงาคณิณ

 

ไลน์ที่เคยส่งข้อความมากวนประสาทเศรษฐพงศ์ก็อ่านข้อความเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาจนจำได้ขึ้นใจ

 

แล้วเศรษฐพงศ์ก็รู้ได้ในตอนนั้นแหล่ะว่าการที่ชีวิตขาดคณิณไปมันเหงามากแค่ไหน

 

ตอนแรกเศรษฐพงศ์มั่นใจอยู่เสมอว่าไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าตัวเองจะทำตัวงี่เง่าไม่ชัดเจนซักแค่ไหนยังไงคณิณก็จะยอมได้

 

เศรษฐพงศ์ลืมคิดไปว่าคนเรามีขีดจำกัด เมื่อวันที่คณิณหายไปจากชีวิตมันไม่ใช่แค่ความเหงา แต่มันมีความรู้สึกที่พิเศษลึกซึ้งมากกว่านั้น

 

อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงหัวเราะของอีกคนหนึ่ง

 

ความรู้สึกนั้นทวีคูณมากขึ้นทุกวันจนกระทั่งเศรษฐพงศ์ก็ให้คำตอบอาการของตัวเองได้ว่า

 

                “คิดถึง”เสียงหอบกระเส่าของคณิณดังขึ้นเรียกสติที่เริ่มกระเจิดกระเจิงของเศรษฐพงศ์ให้กลับมา เด็กหนุ่มเอียงคอให้คนพี่ได้ฝังจมูกโด่งลงบนซอกคอของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ริมฝีปากบวมเจ่อจากการถูกกดจูบและดูดดึงซ้ำแล้วซ้ำอีก ดวงตาปรือปรอยฉ่ำน้ำด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เริ่มก่อตัวมวนวนอยู่ที่ช่องท้องน้อย รอยระเรื่อสีแดงจางๆถูกแต่งแต้มจนทั่วลำคอแขนสองข้างถูกตรึงกับกำแพงเย็นเฉียบในขณะที่คณิณเอาแต่ฟัดเขาไปทั่วใบหน้าลำคอจนถึงแผงอก

 

                “ค...คิน..หยุดก่อน”เสียงสั่นร้องขอคนที่จับตัวเองฟัดตั้งแต่ปิดประตูห้องแล้ว แต่คณิณเหมือนกำลังเมากลิ่นของคนน้อง

 

ตรงนั้นก็หอม ตรงนี้ก็หอม หอมจนอยากจะจับแก้ผ้าแล้วดมทั้งตัว แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากกลืนกินไปทั้งตัวได้ยังไง คณิณใช้จมูกฟัดซอกคออุ่นๆของเศรษฐพงศ์อย่างหมั่นเขี้ยว

 

                “คิน ไอ้คิน พอก่อน นะ กูเหนื่อย ขอพักก่อนได้มั้ย”

 

                “พูดกับกูเพราะๆก่อนสิ แล้วจะปล่อย”คณิณเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาคนน้องที่ตัวแดงเป็นกุ้งด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เศรษฐพงศ์อยากจะต่อยให้ตาแตกแต่ติดที่ว่าคณิณกดแขนเขาไว้แน่นหนาจนแทบจะขยับไม่ได้  เด็กหนุ่มหุบปากสนิทเป็นเชิงค้านคำขอของคนพี่

 

บ้าบอ...จะให้มาพูดเพริ้งพูดเพราะอะไรตอนนี้ กระดากปากชิบหาย หลบสายตาที่จ้องจนผิวหน้าแทบจะมอดไหม้เสไปมองตู้เก็บรองเท้าแทนที่จะมองหน้าคนพี่

 

                “ว่าไงครับ เซ็ทจะพูดเพราะๆกับพี่ได้มั้ยครับ หื๊ม?”

 

พ่อง!!! มาทำเสียงอ่อนเสียงละมุนแทนตัวเองว่าพี่แบบนี้ได้ยังไงวะ รุนแรงกับใจมากอ่ะพูดเลย เศรษฐพงศ์รู้สึกหวิวๆคล้ายตัวเองจะเป็นลมซะให้ได้ คนเขินยิ่งเขินเข้าไปใหญ่

 

                “ไม่”แต่นั่นแหล่ะ เศรษฐพงศ์ก็ยังคงเป็นเศรษฐพงศ์อยู่วันยันค่ำ

 

                “ดื้อหว่ะ”คนพี่เอ่ยว่าคนน้องที่เม้มปากแน่นอย่างไม่จริงจัง

 

                “รู้มั้ยเด็กดื้อเด็กปากหนักต้องเจออะไร?”เศรษฐพงศ์ตกใจสุดขีดเมื่อคณิณก้มตัวลงใช้ไหล่ดันเอวเขาจนลำตัวพาดกับไหล่กว้างของคนพี่ ปลายเท้าลอยหวือพ้นพื้นห้อง ทั้งๆที่ขนาดร่างกายของเศรษฐพงศ์ไม่ได้ต่างจากคณิณเท่าไหร่นัก แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คณิณมีกำลังเหนือกว่าเขาจนตามไม่ทันซะอย่างนั้น

 

                “ทำอะไรของมึงเนี่ย ปล่อยกูนะ กูไม่อยู่กับมึงแล้วกูจะกลับบ้าน”ใช้ฝ่ามือที่เพิ่งได้รับอิสรภาพทุบลงไปบนแผ่นหลังของคณิณไม่นานร่างทั้งร่างก็ถูกโยนลงบนเตียงนอนหลังใหญ่และก่อนที่จะพลิกตัวหนีได้ทันคณิณก็ตามขึ้นมาคร่อมร่างบางๆของคนน้องไว้ราวเสือที่เข้าตะครุบลูกกวางตัวน้อย

 

                “เด็กดีไม่ดื้อ เด็กดื้อไม่ดี เด็กดื้อถูกตี...รู้มั้ย หื๊ม? กูจะลงโทษมึงโทษฐานที่มึงแม่งใจร้ายทำกูเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก กูจะตีมึงด้วยปากให้ปากมึงระบมจนกินข้าวไม่อร่อยเลยไอ้เด็กเหี้ย”คณิณโน้มใบหน้าลงไปกดจูบพลางขยี้เบาๆจนเศรษฐพงศ์จั๊กจี้ เด็กหนุ่มใช้มือดันไหล่คนหน้าด้านที่ปล้ำจูบเบาๆไม่จริงจังนักเมื่อคนพี่เปลี่ยนมาเป็นจูบที่ค่อยๆลึกล้ำขึ้นไม่ได้ทีเล่นทีหยอกแบบเมื่อซักครู่ ริมฝีปากอุ่นค่อยๆกดจูบดูดดึงไปทั่วปากอิ่มของคนน้องอย่างเอาแต่ใจ จากที่แค่แตะๆกลับค่อยๆเพิ่มความคิดถึงความโหยหาใส่ลงไปในรสจูบนั้น เศรษฐพงศ์เผลอเผยอริมฝีปากเมื่อคณิณไซร้เบาๆอย่างออดอ้อน

 

                “คิดถึง”ปากพร่ำพูดแต่คำว่าคิดถึงซ้ำๆจนคนฟังใจกระตุก มือที่เกาะไหล่กว้างไว้ก็เปลี่ยนมาคล้องคอไว้แบบไม่รู้ตัว คณิณกดจูบย้ำๆแบบที่ชอบทำกับเศรษฐพงศ์บ่อยๆเพราะรู้ดีว่าต้องจูบยังไงเศรษฐพงศ์ถึงจะยอมโอนอ่อน ดูดดึงกลีบปากทั้งบนและล่างอย่างโหยหา คลื่นความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบจากริมฝีปากกระจายไปทั่วตัวจนรู้สึกขนลุก มือหนาลูบเบาๆตรงเอวบางของคนเป็นน้อง เศรษฐพงศ์รู้สึกใจโหวงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งคราที่ลิ้นชื้นสอดเข้าไปกวาดต้อนเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของตัวเองข่องท้องก็รู้สึกวูบโหวงจนต้องเกร็งตัว

 

                “อือ...”เสียงครางเบาๆดังออกมาจากลำคอ เศรษฐพงศ์ตอบรับจูบที่เริ่มดุดันขึ้นเรื่อยๆของคณิณอย่างไม่รู้ตัว ปลายลิ้นโรมรันหลอกล่อจนคนด้อยประสบการณ์เวียนหัว แต่ก็อยากจะเอาชนะในคราเดียวกับ ปลายนิ้วที่คล้องคอไว้ก็เลื่อนมาสอดขยุ้มกลุ่มผมบริเวณท้ายทอยอย่างไม่รู้ตัว คณิณประคองหลังคนน้องให้ลอยขึ้นมารับจูบตัวเองได้มากขึ้น ดูดกลืนดื่มด่ำกับน้ำหวานเลิศรสที่ตักตวงอย่างไม่รู้เบื่อจนเศรษฐพงศ์ขยำกลุ่มผมตนเองแรงยิ่งขึ้นเพราะหายใจไม่ทันนั่นแหล่ะ คณิณถึงถอนจูบและฟัดแก้มพองๆนั้นอย่างแสนเสียดาย ยกฝ่ามือขึ้นมาเกลี่ยริมฝีปากบวมเจ่อของคนน้องที่เผยอหอบหายใจเล็กๆนั้นอย่างหลงใหล

 

               " กูอยากจะกินมึงทั้งตัวเลยว่ะเซ็ท ทำไงดี กูไม่ปล่อยมึงไปให้ใครแล้วนะต่อไปนี้น่ะ มึงเป็นคนพูดเองนะว่ากูเป็นแฟนมึง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ต่อให้โกรธกันหรือไม่พอใจอะไร กูจะไม่หนีมึง หรือถึงมึงโกรธอยากจะหนีกูยังไงมึงก็หนีไม่พ้นเข้าใจมั้ย?”

 

                “......”คนที่นอนจ้องใต้ร่างด้วยดวงตาแป๋วนั้นไม่ตอบอะไรกลับมา นั่นยิ่งทำให้คณิณอยากจะแกล้ง ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะจูบลงไปอีกครั้งแต่คราวนี้เศรษฐพงศ์รีบผลักอกแกร่งนั้นไว้ ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดจนลามไปถึงใบหูและลำคอที่โผล่พ้นเสื้อที่ยับย่นเพราะร่างกายที่ถูกริมฝีปากแทะโลมเมื่อซักครู่

 

                “พอก่อนได้มั้ยคิน  เซ็ทเหนื่อย นะครับ เซ็ทอยากนอนเนี่ยเซ็ทสอบเสร็จก็ขึ้นรถมาหาคินเลยน๊า ถ้าไม่ยอมเซ็ทจะงอแงแล้วด้วย”น้ำเสียงออดอ้อนพร้อมสายตาเว้าวอนที่พยายามทำให้ดีที่สุด  ออดอ้อนที่สุดถูกส่งออกไปอย่างขัดเขินแต่กลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อคนฟังสตั๊นท์ไปในทันที

 

                “แม่งเอ้ย มึงมันร้าย ไอ้เซ็ท มึงร้ายกาจมาก”

 

ยกที่ 1 เศรษฐพงศ์ชนะน็อค เพราะคณิณสบถออกมาเบาๆก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นยืนข้างเตียงราวคนสติหลุด

 

                “มึงนอนไปเลยนะ กูไปเข้าห้องน้ำก่อน”คนพี่ยีหัวอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านก่อนจะคว้ากล่องทิชชู่ติดมือเข้าไปในห้องน้ำด้วย เสียงบานประตูปิดปัง ไม่นานเสียงบางอย่างที่หลุดลอดออกมาก็ทำให้เศรษฐพงศ์ที่นอนแผ่หราอยู่บนเตียงถึงกับหน้าแดงแปร๊ดด้วยความอายทันที

 

                “เซ็ท....อ่า....เซ็ท...”

 

เขาก็ผู้ชาย ทำไมจะไม่รู้ว่าเสียงที่ดังออกมาน่ะไอ้คนลามกกำลังทำอะไรกับตัวเองอยู่ เศรษฐพงศ์คว้าเอาหมอนใบโตขึ้นมาปิดหน้าปิดหูหนีเสียงครางกระเส่านั่นในทันที

 

                “ไอ้บ้า...ไอ้ลามก”

 

 

ฮือ...แม่ครับ เซ็ทจะรอดปลอดภัยตลอดปิดเทอมนี้ใช่มั้ยครับแม่

 

หนีกลับบ้านทันมั้ยวะ??









 

            “เสร็จหรือยัง มันสายแล้วนะ”คณิณรีบจัดทรงผมเมื่อเสียงคนรอด้านนอกเริ่มจะขุ่นอย่างหงุดหงิด เศรษฐพงศ์มาอยู่กับเขาได้สองวันแล้ว เมื่อวานเขาพาคนน้องไปท่องสยามมาเพราะเศรษฐพงศ์ไม่เคยไป พาตระเวนกินอาหารทั้งเกาหลี และญี่ปุ่นจนแทบจะร้องไฮ้ แต่กว่าจะหมดวันกับสยามคณิณก็โดนคนน้องด่าจนหูชาเพราะทั้งคู่ตัดสินใจใช้บริการรถสาธารณะเช่นแอร์พอร์ตลิ้งค์จากนั้นคณิณก็พาน้องมาต่อบีทีเอสที่พญาไทเพื่อต่อรถไปสยาม ขาไปราบรื่นจนคณิณกระหยิ่มยิ้มย่อง ตัวเขาเองไม่ค่อยได้ใช้บริการรถสาธารณะเท่าไหร่นักเพราะชายหนุ่มชอบที่จะขับรถไปไหนมาไหนเองมากกว่า

 

            “อยากนั่งรถไฟฟ้า”แค่ประโยคเดียวคณิณก็โยนกุญแจรถทิ้งไว้ที่โต๊ะข้างเตียงนอนแล้วพาคนน้องดั้นด้นมาถึงสยามแหล่งรวมวัยรุ่น หลังจากพาน้องกินนู่นกินนี่คณิณก็เสนอ

 

            “ไปไหว้พระพรหม พระพิฆเณศวรกับพระตรีมูรติที่เซนทรัลเวิลด์กันมั้ย?”

 

            “เอาดิ่”เศรษฐพงศ์ตอบรับทันที เพราะยังไงซะเด็กที่เรียนศิลปะยังไงก็เคารพพระพิฆเณศวรกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย คณิณจึงพาน้องเดินขึ้นสกายวอร์ค เด็กหนุ่มทั้งสองไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม คนพี่อธิฐานเกี่ยวกับเรื่องความรักยาวเหยียดจนคนน้องบ่นว่าจะขอพรอะไรนักหนา

เสร็จจากการตรงนั้นแล้วบริเวณลานใกล้ๆมีซุ้มขายอาหารและคอนเสิร์ตจากค่ายดังค่ายหนึ่ง แม้จะเป็นงานเก
บค่าเข้าชมแต่ก็มีจอให้ดูด้านนอก เศรษฐพงศ์หยุดดูด้วยความสนใจราวๆครึ่งชั่วโมงคณิณก็ชวนเข้าไปเดินเล่นด้านใน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่คณิณโดนด่า เพราะชายหนุ่มพาเศรษฐพงศ์เดินหลงในเซนทรัลเวิลด์...

 

            “คราวหลังไม่ต้องพามาแล้วนะ เดินบ้าเดินบออะไรหลงกลับมาแต่ที่เดิม”เสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งดังขึ้นไม่หยุดปากเมื่อเขาพาเศรษฐพงศ์เดินวนในห้างเกือบสองชั่วโมงก็ยังหาร้านที่ต้องการไม่เจอ ถุงนับสิบใบที่หิ้วอยู่ก็เหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆจนข้อนิ้วเริ่มเขียว นั่นแหล่ะถึงได้ตกลงจะเดินทางกลับ

 

และคณิณก็ทำพลาดเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มพาเศรษฐพงศ์ไปต่อแถวเพื่อแลกเหรียญ

 

            “ไม่มีบัตรแรบบิทเหรอ?”เศรษฐพงศ์เคยเห็นในเน็ตว่าคนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนมากจะใช้บัตรแรบบิท คณิณทำหน้างงๆ มันเอาไว้ทำอะไรวะ?

 

            “ไม่เท่ห์เลย...”เสียงบ่นมุบมิบเบาๆดังแว่วๆมา

 

ไหน อีบัตรเหี้ยนั่นมันขายตรงไหน ใบละเท่าไหร่ เดี๋ยวกูซื้อ 100 ใบเลย จะได้รู้ว่ากูเนี่ยโคตรเท่ห์โคตรคูลเหมาะจะเป็นผัวมึงได้เนี่ย!!!

 

คณิณได้แต่คิดในใจเพราะถ้าพูดออกไปคงโดนคนตรงหน้าที่ทำหน้าผิดหวังเล็กๆที่เขาไม่มีบัตรแรบบิทต่อยปากแตก

 

            “คือเซ็ทบัตรนั่นมันไว้ให้คนที่เขาใช้รถไฟฟ้าบ่อยๆใช้เว้ย อย่างกูไม่ค่อยได้ขึ้นก็ไม่จำเป็น”

 

            “แต่กูอยากได้เป็นที่ระลึก”เศรษฐพงศ์พูดอย่างเสียดาย สายตามองคนที่ถือบัตรแรบบิทด้วยดวงตาละห้อย

 

ก็ที่เมืองกาญจน์มันไม่มีนี่หว่า

 

ที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ยิ้มจนหน้าบานเมื่อในมือมีบัตรแรบบิทวางแหม่ะโดยคนที่เดินไปซื้อมาให้

 

            “พอใจยัง”คนพี่หันมาถามอย่างเอือมๆ อยากได้อะไรไม่อยากเสือกมาอยากได้บัตรแรบบิท เห้อมมมมมม

 

            “อื้อ...”เศรษฐพงศ์พยักหน้ารัวๆเหมือนเด็กที่ได้ของที่ถูกใจ

 

โอเค กูยอม ยอมแล้วทูนหัวอยากได้สีอื่นเพิ่มมั้ยเดี๋ยวกูเปย์เอง

 

สายตาคมจ้องมองชื่อสถานีที่ค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ หัวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันโดยคนที่ยืนสไลด์โทรศัพท์ไม่ทันได้สังเกต

 

            “ไอ้คิน...”

 

            “หืม?”

 

            “เรากำลังจะไปไหนกัน?”

 

            “กลับบ้านไง”

 

            “เราต้องลงสถานีไหนเหรอ?”

 

            “ก็พญาไทไง”

 

            “แต่นี่มันวงเวียนใหญ่?”



            “ห๊ะ!!”คณิณเงยหน้าจากโทรศัพท์ทันทีที่ได้ยินชื่อสถานี

 

            “มึงพากูหลงเหรอ?

 

ชิบหาย...เขาพาไอ้เซ็ทขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่ง

 

ไม่ได้ๆ จะบอกมันว่าพาหลงไม่ได้

 

            “ไม่ใช่เว้ย คือมันต้องต่อรถ”ตอแหลไปก่อน พอประตูเปิดคณิณก็ฉวยข้อมือของคนน้องแล้วลากลงทันที ชายหนุ่มลากน้องมาหยุดที่อีกฝั่งเพื่อรอรถขบวนถัดไป

 

เศรษฐพงศ์จ้องรายชื่อสถานีตาไม่กระพริบ

 

นั่นไง มันย้อนกลับเพื่อมุ่งหน้าไปพญาไทตามแบบขามาเป๊ะๆ แล้วยังจะตอแหลว่าไม่ได้พาหลง กะจะอ้าปากด่าก็พอดีกับที่รถไฟฟ้ามาถึงสยามอีกครั้ง คณิณไม่พูดไม่จาเหมือนๆกับคนบนรถส่วนมากที่พอประตูเปิดปุ๊บก็กรูกันวิ่งไปขึ้นรถฝั่งตรงข้าม เศรษฐพงศ์ถูกดึงมือให้วิ่งตามมาด้วยเช่นกัน

 

            “ยังไง?”หันไปถามไอ้คนที่ยิ้มแห้ง

 

            “นี่ไง มาต่อรถ”

 

            “เอาความจริง”

 

            “พาขึ้นผิดฝั่ง แห่ะๆ”

 

            “มึงนี่แม่ง...จริงๆเล้ย!!!”

 

 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมนั่งรอไอ้คินแต่งตัวจนรู้สึกหงุดหงิด คือแค่จะไปเที่ยวสวนสนุกทำไมต้องแต่งตัวนาน ผมใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็เป็นอันจบแล้ว คือเราควรรีบออกแต่เช้าป่าววะจะได้มีเวลาเล่นเครื่องเล่นได้นานๆ หลังจากคำว่าแป๊บหนึ่งของมันผ่านไปราว 10 นาที ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ไอ้คินออกมาในชุดเสื้อผ้าที่แบบว่า





     “จะไปเดินแบบที่ไหนเหรอ?”ผมอดที่จะแซะมันไม่ได้ ก็ไอ้คินแม่งเล่นใส่เดนิม แจ็คเก็ตราคาเบาๆแค่ 62,000 บาท กับกางเกงยีนส์ Giorgio Armani ผมจำได้เพราะมันเพิ่งพาผมเข้าไปซื้อเมื่อวาน ซึ่งทั้งเสื้อและกางเกงราคารวมกันทำเอาผมแทบเป็นลม ยังไม่รวมรองเท้าที่มันเลือกมาใส่ในวันนี้ยี่ห้อ LOUIS VUITTON





“ไปสวนสนุกแค่นี้มึงแต่งตัวเรือนแสน...”

 

 

“ออกจากบ้านทั้งทีก็ต้องดูดีเล็กน้อย”มันโยนกระเป๋าเป้มาให้ผมสะพาย คือแทบไม่อยากจับกลัวทำของมันเสียหายราคาแสนสองอาจทำมาจากหนังไดโนเสาร์  จำได้ว่าหลังจากเดินเข้าชอปแบรนด์เนมที่พารากอนเมื่อวานผมถามมันว่าทำไมต้องซื้อแต่ของแพงๆดีๆมียี่ห้อด้วย ผมเสียดายเงิน

 

 

            “ของมันต้องมี พี่สู่ขวัญสอนไว้”มันตอบออกมาหน้าตาเฉย ผมนี่ถึงกับอึ้งแดกไปแป๊บหนึ่งก่อนที่มันจะหัวเราะก๊ากใหญ่ ไอ้คินยื่นมือมาลูบหัวของผมหัวเราะจนตาปิด

 

 

            “ของแบรนด์เนมอ่ะ วัสดุที่เขาเอามาทำขายอ่ะมันดี ใส่ได้นานใช้ได้ทน  กูซื้อทีหนึ่งก็ใส่ได้เป็นปีๆ อีกอย่างถ้าเบื่อแล้วพอเป็นของแบรนด์เนมมันจะมีคุณค่าในตัวมันเอง เราเก็บรักษาดูแลให้สภาพมันดีอยู่เสมอวันหนึ่งก็เอามาขายต่อได้โดยราคายังไม่ตกมากนัก”ผมฟังมันอธิบายแล้วก็ได้แต่แหม...เบาๆในใจ

 

 

อย่างมึงคงขายล่ะเห็นตู้เสื้อผ้าขยับขยายมาอีก 2 หลัง หลังจากมาส่งมันเข้าหอคราวที่แล้ว

 

 

 

เรามาถึงสวนสนุกตอนเกือบ 11 โมง หลังจากซื้อบัตรเรียบร้อยแล้วไอ้คินก็พาผมเข้ามาด้านใน ผู้คนต่างพากันพาลูกหลานมาเที่ยวกันหนาตาอาจจะเป็นเพราะเป็นวันหยุดปิดเทอมด้วย ผมเดินตามไอ้คินเข้ามาด้านในเครื่องเล่นหลายอย่างละลานตาจนอดตื่นเต้นไม่ได้

 

 

            “อยากเล่นอะไร?”ไอ้คินยืนอ่านรายละเอียดในบัตร เราซื้อแบบวีไอพีมาราคาแพงกว่าบัตรธรรมดาที่สามารถเล่นเครื่องเล่นได้อย่างละรอบแต่ที่ไอ้คินซื้อมาคือเราสามารถเล่นกี่รอบก็ได้ ผมหันไปมองตามเสียงกรี๊ดด้านหลังก่อนจะชี้ให้ไอ้คินดู

 

 

            “มึงๆ เล่นอันนั้น”

 

 

คณิณ:

 

ผมหันหน้ามองสิ่งที่ไอ้เซ็ทชี้ยิกๆ ภาพกลุ่มคนที่ถูกตรึงติดกับที่นั่งถูกเฮริเคนหมุนไปหมุนมาปรากฏชัดในกรอบสายตา

 

 

ชิบหาย...อย่างแรกมึงก็ชี้อีนี่เลยเหรอไอ้เซ็ท ไม่คิดจะนั่งรถเฟิงรถไฟชมวิวให้อุ่นใจก่อนหรือไงวะ

 

 

            “เล่นอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ มึงเล่นครั้งแรกเดี่ยวก็อ้วกแตกหรอก เวียนหัวจะตาย”ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงหว่านล้อม เนี่ยผมห่วงมันจริงๆนะ

 

 

            “ไม่เอา กูจะเล่นอันนี้ นะๆ เล่นอันนี้ก่อน”

 

 

            “เดี๋ยวถ้าอ้วกแตกอ้วกแตนขึ้นมากูไม่เดินด้วยนา เกิดกลัวจนกรี๊ดแตกขึ้นมานี่อายเขา”

 

 

            “เออน่ากูไม่อ้วกหรอก”มันรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ สุดท้ายผมก็ต้องยอมตามใจมันอยู่ดี เราถูกล็อคด้วยระบบรักษาความปลอดภัยของเครื่องเล่น   ไอ้เซ็ทหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูประหว่างที่เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนจะรีบเก็บล็อคใส่กระเป๋าอย่างดี และทันทีที่เครื่องเล่นทำงาน

 

 

            “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!”

 

 

            “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!”

 

 

            “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!”

 

 

เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นแบบไล่ระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ผมหัวหมุนราวกับตัวเองกลายเป็นลูกข่าง เหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ในที่สุดมันก็จบลง  เสียงหัวเราะลั่นด้วยความสะใจก็ดังขึ้น ในตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ตอบโต้ใดใดทั้งนั้น ขาของผมสั่นพั่บๆราวกับเป็นพาร์กินสัน

 

 

            “ไหนหมาตัวไหนมันบอกกูไม่ให้กรี๊ดไง แต่เท่าที่กูเห็นมึงกรี๊ดดังกว่าน้องผู้หญิงข้างหลังอีกไอ้เหี้ย ฮ่าๆๆๆๆๆ”

 

 

อ่ะ ทับถมกูเข้าไป มึงมีความสุขกูก็ดีใจ

 

 

ผมนั่งพักได้ไม่กี่นาทีไอ้เด็กเวรข้างๆก็เริ่มสะกิดผมยิกๆอีกแล้ว

 

 

นี่ถ้าเปลี่ยนสถานที่จากสวนสนุกเป็นบนเตียงนอนเด้งๆของผมได้ก็คงจะดี

 

 

            “มึง เล่นอันนั้นกัน ดูไม่น่าเวียนหัวเท่าไหร่”ผมมองตามนิ้วเรียวๆที่ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปด้านหลัง เรือยักษ์ถูกเหวียงไปมา

 

 

เออ เข้าท่า อันนี้ดูไม่น่ากลัว  ผมเลือกที่จะตามใจมันด้วยการไปต่อแถวเพื่อขึ้นเล่นไวกิ้ง ไอ้เซ็ทดูกระตือรือร้นจนผมอดเอ็นดูไม่ได้ รอบนี้มีเด็กๆมาเล่นด้วยหลายคนผู้ปกครองส่วนมากจะเป็นคุณพ่อขึ้นมาดูแลลูกๆของตนเอง ในที่สุดตัวเรือก็ค่อยๆถูกเหวี่ยงไปมา

 

 

สูงขึ้น...สูงขึ้น...สูงขึ้น...จนกระทั่งมันเหวี่ยงจนตัวผมเป็นระนาบไปกับพื้นด้านล่าง

 

 

แรงขึ้น...เร็วขึ้น...จนรู้สึกมวนในช่องท้อง

 

 

ยิ่งไวกิ้งเหวี่ยงแรงเท่าไหร่ เสียยงกรี๊ดของผมก็ดังมากขึ้นเท่านั้น

 

 

เมื่อไหร่จะหมดรอบวะ...ได้โปรดหยุดซักที   นะๆขอร้อง  ช่วยหมดรอบซักทีเถอะอีเหี้ย

 

 

จะไม่ไหวแล้วนะ....ฮึบไว้คณิณฮึ๊บไว้  มึงจะอ้วกไม่ได้ อายเค้า  กลืนมันเข้าไปอีก้อนที่มาจุกที่คอยหอย  กลืนมันลงไปเดี๋ยวนี้ กลืนมันลงไป นั่นแหล่ะ มึงทำดีแล้วคณิณ มึงทำดีมาก

 

 

ได้โปรด หยุดซักที...อ่าๆ จะหยุดแล้วใช่มั้ย ใช่ไม่ใช่ ใช่เถอะ หยุดเถอะ หยุดก่อนที่กูจะอ้วกรดหัวอีเด็กข้างหน้านั่น...

 

 

ในที่สุด ช่วงเวลานรกแตกสำหรับผมก็หมดสิ้นลง ผมแทบจะคลานลงมาจากไวกิ้งก่อนจะพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงไปหาถังขยะโก่งคออ้วกเอาข้าวเช้าที่แวะกินก่อนมาทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ไอ้เซ็ทเดินมาช่วยลูบหลังผมเบาๆก่อนจะยื่นขวดน้ำให้ผมกลั้วปาก

 

 

กูเข้าใจความรู้สึกของเด็กเล็กที่หลับเวลาโดนไกวเปลแล้ว

 

 

ถ้าเด็กมันพูดได้ เด็กมันอาจจะบอกแม่มันว่าที่กูหลับกูไม่ได้ง่วงกูแค่เวียนหัวเว้ยแม่  ก็เป็นได้

 

 

ในที่สุดหลังจากที่ไอ้เซ็ทพาผมเล่นเครื่องนู้นเครื่องนี้จนผมอ้วกแตกและกรี๊ดจนคอแห้งเราก็มานั่งเล่นตรงทะเลสาป สายลมเย็นๆที่เข้ามาปะทะหน้าช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นผมมองภาพคู่รักที่ถีบจักรยานน้ำด้วยกันหลายคู่ก็หันไปมองหน้าไอ้เซ็ท แต่ว่า อ่ะ...อ้าว

 

 

ไอ้เซ็ทหายไปไหนวะ  กวาดตามองรอบๆก็พบว่ามันเดินไปกับเด็กผู้ชายน่าจะซักประมาณ ป.6 มันพาเด็กเดินไปต่อแถวซื้อบัตรเล่นจักรยานน้ำแล้วลงเรือเป็ดไปกับไอ้เด็กนั่น

 

 

อะไรวะ ทำไมไปไหนไม่บอก แล้วนั่นมึงไปเล่นกับไอ้เด็กเวรนั่นทำไม ทีของแบบนี้ล่ะไม่ชวนกูเล่น

 

 

ไวเท่าความคิดผมก้าวพรวดๆไปซื้อตั๋วเล่นมั่งกะว่าจะถีบเป็ดตามมัน

 

 

            “คนเดียวเหรอคะ?”พนักงานฉีกบัตรส่งให้ผม ผมพยักหน้ารับก่อนจะก้าวพรวดๆขึ้นบนเรือลำหนึ่ง ไอ้เซ็ทกับเด็กนั่นพากันถีบเป็ดไปจนถึงกลางทะเลสาบแล้ว ผมใส่สปีดเต็มที่หวังจะตามมัน แต่เหมือนไอ้เซ็ทจะไม่ได้รับรู้การแล่นเรือของผมเลย เพราะเมื่อผมถีบมาจนถึงพวกมัน ไอ้เซ็ทกับเด็กนั่นก็ถีบกลับเข้าฝั่งไปแล้ว

 

 

อ่า...แล้วนี่กูจะกลับยังไง เลี้ยวยังไงวะ ต้องหันหัวแบบไหน คืออีตอนปั่นมาผมก็ปั่นทางตรงตลอดไงจนมันมาถึงกลางสระ ผมพยายามมองหาพวงมาลัย เผื่อมันจะใช้บังคับแบบรถยนต์ แต่คือมันไม่มีไง

 

 

ชิบหายล่ะ...เกิดมากูก็เพิ่งเคยถีบมั๊ยอีเรือเหี้ยนี่ ผมยังคงปั่นไปเรื่อยๆพลางขยับตูดเบี่ยงตัวเผื่อมันจะใช้ระบบเซนเซอร์ แต่เรือก็ไปข้างหน้าอย่างเดียวเลยหว่ะ จนตอนนี้เรือของผมโดดออกมาจากคนอื่นแล้ว

 

 

แม่จ๋า  ช่วยคินด้วย จะทำยังไงดี  ผมเห็นไอ้เซ็ทเริ่มมองหาผมทางนู้นทีทางนี้ทีแล้วด้วยอ่ะ

 

 

หรือจะร้องให้คนช่วยดีวะ แล้วนั่นมึงจะไปไหนไอ้เซ็ท  หยุดอยู่ตรงนั้นเลย กูกำลังหาทางกลับฝั่งไปหามึงอยู่  ผมร่ำร้องในใจเมื่อไอ้เซ็ททำท่าจะเดินออกไปจากบริเวณนี้  สติจะแตกเพราะอีเรือเหี้ยนี่มันไม่วกกลับซักที มันต้องมีวิธีสิวะ!!!

 

 

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 29 24/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 24-01-2019 18:15:39
ผมลองปั่นถอยหลัง คราวนี้มันได้ผล เรือของผมแล่นแบบถอยหลังฝ่าเข้าไปในดงเรือเป็ดของคนอื่น  ผมยกแว่นดำขึ้นมาสวมพรางใบหน้า ก่อนเก๊กท่าเหมือนว่ากำลังสบายๆกับการเล่นเรือ  คู่รักหนุ่มสาวพากันชี้มาที่ผมที่หาญกล้ามาปั่นเรือเป็ดคนเดียวสายตาของผมสำรวจว่าคนพวกนั้นบังคับทิศทางของเรือยังไงก็พอว่ามันมีคันบังคับอยู่ด้านข้าง

 

 

อ๊าว  อีเหี้ย  มึงนี่ก็ไม่ร้องบอกกูเลยนะว่ามีมึงอยู่ตรงนี้  ผมลองโยกมันดูพร้อมกับปั่นมาข้างหน้าอีกรอบ  อ่อ...โยกซ้ายหันซ้าย โยกขวาหันขวา

 

 

พอเริ่มจับทิศทางได้ผมก็บังคับเรือให้กลับเข้าฝั่ง  ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน ไอ้เซ็ทก็มายืนเท้าสะเอวตาเขียวปั๊ดอยู่ริมฝั่ง

 

 

            “ไปไหนไม่บอกไอ้เหี้ย!!!”

 

 

            “มึงนั่นแหล่ะ ไปเล่นไม่บอก แล้วไปกับใครก็ไม่รู้แม่ง”ผมเถียงกลับมันอย่างหัวเสีย ขาแม่งล้าไปหมดแล้วเนี่ยยังมีหน้ามาดุกูอีก

 

 

            “ก็น้องเค้าอยากเล่นแต่พ่อแม่ไม่เล่นด้วยก็เลยมาชวนกู กูขอโทษมึงก็แล้วกัน ใครจะรู้ว่ามึงจะบ้าปั่นตามไปวะ”ผมทำตาอ้อนๆมาใส่ผมอีกแล้วเนี่ย

 

แล้วกูจะโกรธไหวมั้ยล่ะ  สุดท้ายก็ได้แต่จับหัวของมันโคลงไปมาอย่างไม่จริงจังนัก

 

 

            “แล้วนี่อยากเล่นอะไรต่อมั้ย?”ผมเอ่ยถามมันหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู เกือบสี่โมงเย็นแล้วที่เราขลุกอยู่ที่นี่  ไอ้เซ็ททำท่าคิดหนัก

 

 

            “ชิงช้าสวรรค์”

 

 

            “งั้นกูมีที่ๆดีกว่านี้ ไปกัน”

 

 

ผมคิดว่าผมตัดสินใจไม่ผิดเลยที่พาไอ้เซ็ทมาที่นี่ มันแสดงความตื่นเต้นทันทีที่เห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ผมขับรถวนหาที่จอดก่อนจะพามันเดินเข้ามาด้านใน ตอนนี้ห้าโมงกว่าหลังจากมื้อเช้าง่ายๆเราสองคนยังไม่ได้กินอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอันดังนั้นผมจึงพาไอ้เซ็ทไปกินอาหารญี่ปุ่นที่มีร้านอยู่ในนั้น แอบเห็นไอ้เซ็ทพลิกเมนูไปมาแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อผมสั่งอาหารไปหลายอย่างเรียบร้อยแล้วพอพนักงานคล้อยหลังไปไอ้เซ็ทก็บ่นทันที

 

 

            “แพงชิบหายเลย”

 

 

            “เออ น่า  กินๆไปเถอะ”ผมตัดบทก่อนที่มันจะบ่นไปมากกว่านี้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการกินอาหารที่สั่งมาหลังจากนั้นผมก็พาไอ้เซ็ทไปซื้อตั๋วเพื่อขึ้นชิงช้าสวรรค์ไอ้เซ็ทดูตื่นเต้นเพราะมันไม่เคยขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน  แต่ผมน่ะเฉยๆเพราะเคยไปนั่งที่ญี่ปุ่นมาแล้ว ไว้ค่อยพามันไปก็แล้วกัน  เรายืนรอคิวไม่นานก็ได้ขึ้นไปนั่งในกระเช้า พนักงานเข้ามาตรวจตั๋วพร้อมกับอธิบายการใช้ปุ่มฉุกเฉินเผื่อมีอะไรเสร็จ จากนั้นกระเช้าก็ค่อยๆลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ไอ้เซ็ทเกาะกระจกมองอย่างชอบใจ แสงของท้องฟ้ายามโพล้เพล้เล่นสีจนเหมือนภาพวาด ทั้งสีแดง ม่วง ส้ม ชมพูที่แต่งแต้มบนท้องฟ้าทำให้บรรยากาศโคตรจะโรแมนติก แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องด้านล่างส่องประกายระยิบระยับราวดวงดาวบนท้องฟ้า ไอ้เซ็ทเอาแต่พูดคำว่าสวยมากๆไม่หยุดปาก แต่ผมว่าตอนนี้สิ่งที่สวยที่สุดก็คือตัวของมันเองนั่นแหล่ะ ทุกการกระทำทุกอากัปกริยาของมันผมเฝ้ามองอย่างตั้งใจ ผมยื่นมือไปจับมือข้างซ้ายของมันไว้ไอ้เซ็ทไม่ได้ดึงออกในขณะที่ผมสอดประสานนิ้วของผมกับมันไว้ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมเราด้วยบรรยากาศสวยๆกับชิงช้าสวรรค์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ

 

 

เ          ศรษฐพงศ์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง วันนี้เขาใช้พลังจนแทบจะหมดหลอด คณิณที่ตามมาทีหลังก็ทิ้งตัวลงนอนคว่ำพาดกับลำตัวบอบบางของคนน้องอย่างหมดแรงยิ่งกว่ากอดเอวบางนั้นไว้หลวมๆ  ก่อนกลับเขาพาเศรษฐพงศ์ไปเล่นโกคาร์ท ปิดท้ายด้วยม้าหมุนซึ่งเป็นเครื่องเล่นเดียวที่คณิณมีความสุขที่สุดเพราะมันไม่หวาดเสียวไม่ต้องกรีดร้องและไม่ต้องอ้วก  สองทุ่มกว่าก็ฝ่ารถติดกลับมาคอนโด เศรษฐพงศ์ขยับตัวอย่างอึดอัด คณิณเหลือบตามองเอวที่โผล่พ้นชายเสื้อยามที่เศรษฐพงศ์ขยับตัวหนีเขาก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

 

            “นอนดีๆสิวะ ทับทำไมเนี่ยหนัก”คนน้องผลักหัวคนพี่ออกจนคณิณต้องยอมแพ้เคลื่อนตัวมานอนเคียงข้างกันอย่างว่าง่าย ทั้งสองคนปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมไว้อีกครั้ง

 

            “เซ็ท...วันนี้กูเหนื่อยจัง”

 

 

            “อือฮึ...ก็น่าเหนื่อยอยู่หรอกมึงต้องขับรถ แถมวันนี้อ้วกแตกอ้วกแตนไปอีกตั้งหลายรอบ อ่อนจังว่ะ”คนน้องเอ่ยล้อเลียนคนพี่ด้วยน้ำเสียงขบขัน คณิณพลอยหัวเราะตามไปด้วย

 

 

เขายอมอ่อนถ้านั่นมันทำให้เศรษฐพงศ์หัวเราะได้

 

 

            “จับมือได้มั้ยวะ?”อยู่ๆคณิณก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงอมยิ้มน้อยๆ คณิณถือว่านั่นเป็นคำอนุญาต ชายหนุ่มยื่นมือไปจับมือของเศรษฐพงศ์ที่ประสานกันหลวมๆอยู่ที่หน้าท้อง

 

            “กอดได้มั้ย”เมื่อเห็นว่าคนน้องไม่ปฏิเสธคำขอแรก คำขอที่สองจึงตามมา เพราะห้องมันเงียบคณิณจึงได้ยินเสียงเต้นของหัวใจคนถูกขอหลังจากวาดอ้อมแขนกอดกายบางนั้นไว้

 

 

เศรษฐพงศ์หัวใจเต้นแรงมากและยอมนอนนิ่งๆให้เขากอด

 

 

คณิณรั้งร่างบางให้หันหน้าเข้ามาหาเขาที่นอนตะแคงข้างอยู่เลื่อนปลายนิ้วมาดันคางมนให้เงยขึ้น เศรษฐพงศ์สบตาคณิณนิ่ง รอยยิ้มจากใบหน้าหล่อเหลาทำให้ตาของเศรษฐพงศ์พร่าราวกับคนสายตาสั้น

 

            “จูบได้มั้ย?”เป็นอีกครั้งที่คณิณถือว่าความเงียบเป็นคำอนุญาต เศรษฐพงศ์หลับตาลงเป็นคำตอบและเปิดโอกาสให้คณิณกดจูบลงมาอย่างถือสิทธิ์ครอบครอง ริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมคณิณกดไหล่ของเศรษฐพงศ์ให้นอนราบลงไปก่อนจะค่อยๆขยับกายขึ้นคร่อมร่างบางของน้องไว้ ฝ่ามือหนาลูบไล้ช่วงเอวคอดก่อนจะเลื่อนขึ้นมาลูบหน้าท้องแบนราบนั้นแผ่วเบา เบี่ยงเบนความสนใจด้วยเกลียวลิ้นที่กวาดตั้งแต่แนวแหงือกและฟันซี่เล็กๆน่ารักนั้นเปิดทางขอให้คนน้องรับเรียวลิ้นเข้าไปสำรวจด้านในกวาดต้อนช่วงชิมจนใจหวิวกว่าจะรู้สึกตัว ปลายนิ้วแสนร้ายกาจก็สะกิดเล่นกับเม็ดทับทิมเล็กๆที่อกข้างซ้ายจนเศรษฐพงศ์ครางอื้ออึงด้วยความรู้สึกหวามไหว

 

ร้ายกาจเกินไปแล้ว คณิณร้ายกาจจนเขาตามไม่ทัน เมื่อจับมือข้างที่กำลังเขี่ยยอดอกตัวเองเล่นอย่างเพลินมือเศรษฐพงศ์ก็รู้สึกถึงมืออีกข้างที่ค่อยๆปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของตัวเองอยู่ครั้นจะส่งมือลงไปห้ามปรามคณิณกลับจับมือของเขาไว้แล้วดึงให้มือของเขาไปสัมผัสกับกลางกายที่เริ่มดันตัวภายใต้กางเกงยีนส์ราคาแพงนั้นพลางบังคับให้เขาขยับมือลูบเบาๆ

 

เศรษฐพงศ์อายจนหน้าแทบไหม้ แม้ใจจะอยากดึงมือออกแต่สุดท้ายก็ยอมทำตามการชักนำของคนพี่อยู่ดี

 

 

สมองเริ่มพร่าเลือนเมื่อคณิณมอบจูบที่แสนล้ำลึกจนปลุกอารมณ์บางอย่างในกายของเขาให้โลดทะยานออกมา จากตอนแรกแค่จูบตอบเบาๆตอนนี้กลายเป็นว่าคนสองคนผลัดกันแลกจูบจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย ขอบปากเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำลาย คณิณยืดตัวขึ้นนั่งก่อนจะสอดมือเข้าไปในตัวเสื้อยืดตัวโคร่งของคนน้องแล้วรวบมันขึ้นถอดออกจากตัวของเศรษฐพงศ์ด้วยความรวดเร็ว แจ็คเก็ตหนังและเสื้อยืดราคาแพงของตัวเองก็ถูกถอดออกแล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างไม่ใยดีจากนั้นก็กดจูบลงบนลำคอสีน้ำผึ้งของคนน้องที่ยืดตัวตามขึ้นมารับจูบหวามนั้นด้วยความเต็มใจ...

 

 

คณิณกำลังชักจูงเศรษฐพงศ์ให้ก้าวข้ามความสัมพันธ์ที่ผ่านมาและเศรษฐพงศ์ก็ก้าวตามเข้ามาด้วยความเต็มใจ...



รู้ทั้งรู้ว่าถ้าก้าวข้ามจุดนี้ไปแล้วจะย้อนกลับไม่ได้แต่เศรษฐพงศ์กลับเต็มใจที่จะทำตามที่คณิณชักพา





ไปสิ...จะพาไปนรกหรือสรรค์ก็พาไปเลย...เค้าจะเชื่อฟังเอง


 

.......................................................

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 29 24/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 25-01-2019 13:38:35
น้องตามไปแล้วก็อย่าทิ้งน้องนะคิน
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 30 26/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-01-2019 00:17:08
ตอนที่ 30



   เศรษฐพงศ์ผวาเฮือกยามที่คณิณพรมจูบจากริมฝีปากพวงแก้มทั้งสองข้างขบเม้มที่ติ่งหูเบาๆพลางเป่าลมอุ่นๆจนต้องย่นคอหนี ความรู้สึกแปลกตีตื้นจากช่องท้องลงไปยังส่วนกลางกายจนรู้สึกปวดแปลกๆ ยิ่งคณิณป้อนจูบให้มากเท่าไหร่ความรู้สึกที่ก่อตัวยิ่งชัดมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มไม่เคยทำแบบนี้กับใคร

คณิณคือคนที่มอบจูบแรกให้กับเขา

คณิณคือคนที่ฝากรอยรักสีระเรื่อให้เขาเป็นคนแรก

เศรษฐพงศ์ไม่เคยทำแบบนี้กับใครถึงจะอายุ 19 ปีแล้วก็ตามที แม้ที่ผ่านมาจะมีอารมณ์ทางเพศตามประสาเด็กผู้ชายแต่เต็มที่เขาก็แค่ใช้มือช่วยตัวเอง แต่อีกนั่นแหล่ะก็ไม่ได้ทำบ่อยนัก

แนวซี่โครงหดเกร็งยามฝ่ามือร้อนลูบไล้จนกระทั่งยอดอกสีน้ำตาลอ่อนถูกครอบครองด้วยริมฝีปาก เศรษฐพงศ์ยืดตัวเผลอแอ่นอกรับด้วยความเสียวซ่าน สองมือเหมือนไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกตอนนี้ดี ทั้งผลักไหล่กว้างของคนพี่ออกแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็รั้งลำคอแกร่งให้สัมผัสเข้ามาได้แนบแน่นมากขึ้น คณิณใช้ริมฝีปากครอบครองเม็ดทับทิมเม็ดเล็กไว้ปลายลิ้นทำหน้าที่ได้อย่างร้ายกาจ ความชื้นแฉะบวกกับการขยับลิ้นรวมทั้งมืออีกข้างก็สะกิดเขี่ยยอดอกข้างที่เหลือทำให้เศรษฐพงศ์ครางฮือ เด็กหนุ่มถูกคนพี่ผลักให้นอนราบลงกับพื้นเตียงอีกครั้ง คณิณแทรกตัวนั่งลงตรงกลางหว่างขาของน้องก่อนจะใช้เข่าทั้งสองข้างดันขาให้คนน้องตั้งฉากขึ้น ปรนเปรอป้อนจูบสลับขบเม้มให้อารมณ์คนน้องกระเจิดกระเจิง ค่อยๆเลื่อนริมฝีปากกดจูบจากลำคอเรื่อยลงมาที่ยอดอกขบเม้มสลับกันไปมาจนกายน้องแอ่นไม่ติดพื้น สองมือดึงขยำผ้าปูเตียงจนยับย่น คณิณกดจูบไล่ลงมาที่หน้าท้องแบนราบ

   “หอมจังเลย หวานไปหมดทั้งตัวจริงๆด้วย”สายตาคมตวัดขึ้นมองหน้าน้องที่หลับตาปี๋ยามที่เขาตวัดปลายลิ้นวนรอบแอ่งสะดือบุ๋มก่อนจะลากปลายลิ้นลงมาหยุดตรงขอบกางเกงยีนส์ตัวเก่งคนพี่ใช้มือปลดกระดุมกางเกงออกก่อนจะใช้ฟันกัดหัวซิบค่อยๆเลื่อนลง เศรษฐพงศ์หดเกร็งหน้าท้องยามเผลอลืมตาขึ้นสบกับคนพี่ที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว ริ้วแดงจางๆปรากฏบนใบหน้ารอบที่ร้อย อยากจะหลบตาแต่ก็อยากรู้ว่าคณิณจะทำอะไรต่อไป ดังนั้นคนน้องจึงยังคงไม่ละสายตาไปไหน

อวดดีจริงๆเลยไอ้เด็กคนนี้ ในเมื่ออยากเล่นกับไฟเขาก็จะเผาให้มอดไหม้เอง

กางเกงยีนส์ค่อยๆถูกรั้งออกไปจากร่างกายก่อนจะถูกโยนไปตรงไหนซักที่ของมุมห้องอย่างไม่ใยดี คณิณจ้องเรียวขาที่คนน้องพยายามหุบเข้าหากันด้วยดวงตาที่พร่า

ภายนอกร่มผ้าผิวของเศรษฐพงศ์เป็นผิวสีน้ำผึ้งไม่คล้ำแต่ก็ไม่ได้ขาวจัดแบบผิวของเขาเป็นสีผิวที่นวลตาให้ความรู้สึกมีละอองความเย็นผุดออกมาจากผิวแต่พอไร้ผ้าไร้ผ่อนผิวใต้ร่มผ้าก็ขาวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

   “มองอะไรเล่า”คนน้องส่งเสียงเอ็ดเมื่อคณิณเอาแต่จ้องอันเดอร์แวร์สีขาวตาไม่กระพริบ เศรษฐพงศ์ชูมือไปข้างหน้าราวเด็กเล็กๆที่เรียกร้องกอดอบอุ่นจากคนเป็นแม่ คนพี่หัวเราะน้อยๆกับท่าทางช่างอ้อนที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีวาสนาได้เห็น

   “จูบ...จูบหน่อย”คำร้องขอถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับมีหรือที่คณิณจะไม่สนองตอบ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวขึ้นมากดจูบแรงๆที่ริมฝีปากบวมเจ่อ กัดเบาๆให้น้องเปิดปากรับลิ้นของเขาเข้าไป ตอนนี้เศรษฐพงศ์จูบเก่งขึ้นแล้วน้องจูบตอบเขาได้แบบไม่เคอะเขินเหมือนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าจัดได้ว่าเป็นเด็กหัวไวคนหนึ่งไม่ว่าจะสอนอะไรไปเศรษฐพงศ์สามารภจำมันและทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ คณิณถอนจูบออกมาก่อนจะกดจูบลงบนข้างแก้มที่มีขี้แมงวันเม็ดเล็กประดับอยู่ โอบกอดไหล่ของคนเด็กกว่าไว้ ลูบไล้ผิวเนียนอย่างเบามือ ค่อยๆพรมจูบลงบนทุกสัดส่วนของร่างกายน้อง เศรษฐพงศ์ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ยามที่คณิณเคลื่อนตัวลงไปด้านล่างอีกครั้ง ความร้อนแล่นปลาบขึ้นสู่ใบหน้าเมื่อคนพี่ใช้ฟันกัดขอบกางเกงในสีขาวของเขาแล้วค่อยๆดึงมันลงจนเห็นไรขน

   “อื้อ...”ส่งเสียงร้องเมื่อคณิณใช้ปลายเล็บข่วนเบาๆที่หน้าท้องความเสียวซ่านแล่นวาบจนต้องขยับสะโพกขึ้นเปิดทางให้คณิณดึงกางเกงในออกจากปลายเท้าได้สำเร็จ สองมือถูกนำมาปิดส่วนน่าอายโดยอัตโนมัติ คณิณใช้ปากคาบกางเกงในสีขาวจนถอดออกจากปลายเท้าของน้องได้สำเร็จก่อนจะค่อยๆพรมจูบจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงต้นขาอ่อน กดจูบดูดดึงทำรอยก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองสิ่งที่เศรษฐพงศ์ปิดอยู่ แม้คนน้องจะพยายามบีบขาเข้ามายังไงก็ไม่มีผล

   “อย่ามอง!!”นอกจากคณิณจะไม่ฟังแล้ว คนพี่ยังดึงมือคนน้องออกอีกต่างหาก เศรษฐพงศ์รู้สึกร้อนราวกับนอนแก้ผ้ากลางแดดจ้า สะดุ้งจนตัวโยนเมื่อความอุ่นและชื้นแฉะเข้าครอบครอง

   “อ๊า...ย...อย่า..”ร้องห้ามด้วยเสียงเบาหวิว จิกเท้ากับพื้นที่นอนนุ่มเชิดหน้าขึ้นสูงหอบเอาอากาศเข้าปอดทางปากเมื่อคณิณวนลิ้นที่ส่วนปลาย กดจูบตั้งแต่ปลายถึงโคนแล้วใช้ปากครอบเข้าไปใหม่ มือแกร่งช่วยรูดรั้งเบาๆ

เขาไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร ไม่เคยผ่านการมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน ที่ผ่านมาคณิณอาจจะมีเซ็กส์กับผู้หญิงมาหลายคนแต่ไม่เคยมีซักครั้งที่จะมาทำแบบนี้ให้ใคร

มันทั้งแปลกใหม่และตื่นเต้น รวมไปทั้งรู้สึกดียามได้ยินเสียงร้องครางของคนน้องนี่ตอนนี้แทบจะครองสติตัวเองไม่ได้

เนื้อตัวของน้องสั่นอย่างน่าสงสาร ยิ่งเขาลงลิ้นดูดแรงๆหรือแม้แต่แกล้งขบเบาๆตรงส่วนปลายเศรษฐพงศ์จะสะดุ้งเฮือกพลางส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษายิ่งทำให้กลางกายของเขาปวดหนึบ

ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้กับใครมาก่อน คณิณค่อยๆถอดกางเกงของตัวเองออกอย่างเชื่องช้า เศรษฐพงศ์ไม่ทันได้สังเกตคนพี่เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้สมองของเขาพร่าเลือนไปหมดไม่ว่าคณิณจะจับตรงไหน จะลูบตรงไหนก็เหมือนมีเปลวเพลิงร้อนแรงเผาไหม้ไปซะทุกที่ ยิ่งคนตรงหน้าปรนเปรอเขามากเท่าไหร่ เสียงร้องก็ถูกปล่อยออกมามากเท่านั้น หยาดน้ำใสปริ่มที่หางตา คณิณถอนริมฝีปากของมาจากกลางกายของเศรษฐพงศ์ จูบซับลงเบาๆบนแก้มที่ขึ้นสีเรื่อ

   “ทำไมตัวมึงสั่นจัง กลัวเหรอ”เอ่ยถามเสียงพร่ามือก็ยังไม่หยุดรูดรั้งเบาๆกระตุ้นอารมณ์คนน้องให้กระเจิดกระเจิง

   “อือ...ฮึก...อา..กลัว...กลัวสิ”เอ่ยรับอย่างสิ้นความอาย เขากลัวจริงๆนั่นแหล่ะ ดูจากการกระทำแล้วท่าทางคนที่ต้องยอมเจ็บตัวก็คงจะเป็นเขาเอง คณิณมีความเป็นผู้นำและเชี่ยวชาญมากจนเศรษฐพงศ์ต้านทานไม่ไหว เด็กหนุ่มรู้ดีว่าการคบกันแบบนี้มันก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งยอมลดศักดิ์ศรีและยอมเสียสละ คณิณกดจูบลงบนริมฝีปากของเศรษฐพงศ์แรงๆอีกครั้ง ลูบผมคนเด็กกว่าอย่างปลอบโยน

   “ไม่ต้องกลัวนะ กูจะอ่อนโยนกับมึงเอง”เชยคางน้องให้เงยขึ้นมาสบตาตนเองตรงๆเพราะน้องเอาแต่หลบไม่ยอมจ้องหน้ากันตรงๆซักที คณิณอยากให้น้องรู้ว่าเขาจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากแค่ไหน เศรษฐพงศ์ช้อนตาขึ้นสบภาพคนน้องที่กัดปากล่าวงเบาๆทำเอาสติของคณิณกระเจิดกระเจิงแม้เศรษฐพงศ์จะไม่รู้ตัวก็ตามทีว่าท่าทางแบบนั้นมันช่างอ้อนและยั่วยวนในคราเดียวกัน

ไม่ทน คณิณจะไม่ทนอีกต่อไป!!

   “ขอได้มั้ย...ได้มั้ยครับ”กระซิบถามชิดริมหูมือก็ปรนเปรอด้านล่างไม่หยุดจนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมลที่อัดแน่นของเศรษฐพงศ์แล่นริ้วจากช่องท้องสู่กลางกาย เด็กน้อยร้องครางไม่เป็นภาษา สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คำถามที่ดังเข้ามาไม่เข้าหัวเลยซักนิด หน้าขาสั่นพับราวกับถูกไฟช๊อต คณิณเร่งมือให้เร็วกว่าเดิมจนคนน้องกรีดร้องออกมา เรือนผมปรกหน้าพลิ้วไปตามแรงสั่น

   “อื้อ...”เอ่ยปากตอบรับก่อนที่ร่างกายจะกระตุกเกร็งยามธารน้ำไหลทะลักออกมาจนเปรอะหน้าท้อง คณิณเลื่อนกายลงไปกดจูบส่วนน่ารักสีชมพูเข้มที่อยู่ในมือ ใช้ปลายลิ้นเลียคราบขาวเข้าไปกลืนกินจนเศรษฐพงศ์ที่นอนมองอยู่ต้องเอาหน้าซุกหมอนหนีภาพน่าอายนั้น

และโดยไม่ทันตั้งตัว คณิณก็ใช้ปลายนิ้วที่ชุ่มไปด้วยคราบขาวของเศรษฐพงศ์แหย่เข้าไปในช่องจีบเพื่อหวังเปิดทางเศรษฐพงศ์สะดุ้งเฮือกและโดยไม่ทันคิด



ผลั่ก!!!!


“อั่ก!!!”

ร่างของคณิณกระเด็นหวือตกลงไปนอนเอ้งแม้งด้านล่างเตียงแบบที่เจ้าตัวยังงงว่าลงมานอนที่นี่ได้ยังไง คล้ายกำลังโบยบินขึ้นสวรรค์แล้วอยู่ๆก็ถูกกระชากลงมา มิหนำซ้ำหัวเขายังฟาดกับพื้นจนมึน ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นไปดูบนเตียงก็พบว่าเศรษฐพงศ์คลานเข่าอยู่บนนั้นพลางเรียกชื่อเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

   “คิน...คิน มึงเป็นไรมั้ยอ่ะ กูขอโทษ กูตกใจ กูไม่ได้ตั้งใจจะถีบมึงนะตีนกูมันลั่นไปเอง”คณิณยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรก่อนที่ห้องจะหมุนจนเวียนหัวราวกับว่าเขากลับไปล่นอีไวกิ้งนรกนั่นอีกร้อยรอบจากนั้นชายหนุ่มก็สลบเหมือดในทันที



สวรรค์ล่มคาตา....



((ต่อข้างล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 30 26/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 26-01-2019 00:21:37

                เศรษฐพงศ์::

 

ผมเพิ่งรู้ว่าเวลาไอ้คินโกรธหรืองอนน่ะมันง้อยากอย่างนี้นี่เอง  คราวนี้บรรยากาศมันแตกต่างจากคราวที่แล้วที่ผมลงทุนเดินทางมาหามันถึงกรุงเทพ  หลังจากผมถีบมันตกเตียงหัวฟาดพื้นไอ้คินก็สลบไปแป๊บหนึ่ง ผมจัดการเช็ดคราบที่หน้าท้องของตัวเองที่ไอ้คินมันทำไว้ให้สวมกางเกงลวกๆแล้วแบกคนพี่กลับขึ้นมานอนที่เตียง หัวมันแตกด้วยแปลว่าตอนฟาดกับพื้นคงแรงน่าดู เ





ศรษฐพงศ์จัดการทำแผลให้คณิณ โชคดีที่แผลไม่ได้ใหญ่มากนักแค่มีเลือดซึมๆ

 

โถ้วววว...พ่อคนหัวอ่อน แอนตาซินจะแจกกี่พันเนี่ย

 

 

 

 

เกือบสิบนาทีร่างสูงที่นอนสลบก็ฟื้น

 

ตะกี๊มันเกิดอะไรขึ้นนะ

 

ขณะที่เขากำลังขะมักเขม้นกับการกินไอศกรีมสตอเบอร์รี่สอดไว้วานิลาอยู่นั้น เขาทำการเตรียมการเพื่อที่เศรษฐพงศ์จะได้ไม่เจ็บ ยังไม่ทันจะแหย่เข้าไปลึกเลยด้วยซ้ำ แค่ข้อเดียวเท่านั้นเขาก็ถูกเศรษฐพงศ์ถีบซะลอยละล่องประดุจผู้คุมวิญญาณกับเศษผ้าเน่าๆ ตอนนั้นอ่ะคินน้อยพร้อมรบแล้วอ่ะ คือพยักหน้าสู้ศึกพร้อมบุกทะลวงฟันแล้วอ่ะ

 

แล้วดูที่เศรษฐพงศ์ทำกับเขาสิ

 

คณิณรู้สึกเหมือนตัวเองโดนโกงทั้งๆที่เขาปรนเปรอให้จนคนน้องเสร็จคามือไปรอบหนึ่งแล้วแต่เขาน่ะต้องทนอึดอัดจนตอนนี้แม้ว่ามันจะหดตัวกลับสู่สภาพเดิมแล้วแต่เขาก็ยังอึดอัดอยู่เลย ชายหนุ่มค่อยๆลุกจากเตียงนอนสูดลมเข้าปากเมื่อรู้สึกปวดตุบๆที่ศีรษะ

 

                “ฟื้นแล้วเหรอ”เศรษฐพงศ์หันมาตามเสียงประตูห้องที่เปิดออก มือเรียวกดรีโมทเพื่อปิดทีวี คณิณไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเมินมองไปที่ครัว เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาเทดื่มรวดเดียวแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง จัดการคว้าผ้าขนหนูเพื่อเข้าไปอาบน้ำและอาจจะต้องจัดการกับสิ่งที่ยังค้างคาอยู่จนภายในร้อนรุ่ม เศรษฐพงศ์ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

นอกจากเมื่อก่อนที่โดนเมินแล้วหลังจากคณิณจีบเขาก็มีครั้งที่แล้วแหล่ะที่คณิณไม่พูดกับเขา แล้ววันนี้ยังมามีคดีเกิดใหม่ขึ้นอีก

 

ก็จะให้ทำยังไงล่ะตัดขาทิ้งเลยมั้ย

 

ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า

 

เศรษฐพงศ์นั่งรอให้คณิณอาบน้ำเสร็จ กะจะขอโทษ แต่คราวนี้คณิณใช้เวลาในห้องน้ำนานเกินชั่วโมงแล้ว เพราะตะลอนเที่ยวมาตลอดทั้งวันที่สุดคนที่มานอนรอที่เตียงก็ปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งลงในตอนเกือบเที่ยงคืน

 

เศรษฐพงศ์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนสายเพราะเสียงพูดคุยที่ดังแว่วเข้ามาจากห้องนั่งเล่น เด็กหนุ่มขยี้ตามองพื้นที่ข้างๆ

 

ไร้เงาของคณิณ แต่ได้ยินเสียงหัวเราะของใครบางคนเข้ามาแทน

 

เสียงแหลมเล็กที่ฟังก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง เหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงเพิ่งจะ 9 โมง เช้านิดๆ เด็กหนุ่มจัดการเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว มองร่อยรอยสีแดงที่เข้มขึ้นตามร่างกายตนเองแล้วก็อดที่จะหน้าร้อนไม่ได้ คณิณทำรอยบนร่างกายของเขาไปทั่วตั้งแต่ลำคอ ไหปลาร้า ลาดไหล่ แผงอก ที่หน้าท้องก็มี ที่น่าอายมากที่สุดก็คือต้นขาก็มีอยู่ 2-3 รอย เศรษฐพงศ์รีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะเปิดประตูห้องนอนออกมา คณิณทำเพียงปรายตามองเล็กน้อยก่อนหันกลับไปคุยกับเพื่อนผู้หญิงต่อ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทาย เศรษฐพงศ์ได้แต่ยิ้มแหยๆส่งกลับไปก่อนจะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในครัว เสียงพูดคุยและหัวเราะยังคงดังเข้ามาให้ได้ยิน และเพราะครัวเป็นส่วนเปิดโล่งมีเพียงโต๊ะตัวใหญ่วางกั้นไว้จึงทำให้เศรษฐพงศ์เห็นทุกอย่างในห้องนั่งเล่น เศรษฐพงศ์ขมวดคิ้วให้กับภาพที่เห็น แขกของคณิณวันนี้คือผู้หญิงผิวขาวผมยาวหน้าตาสะสวยรูปร่างดีใส่เสื้อคอวีสีขาวหน้าอกหน้าใจครัดแน่นจนแทบจะปริออกจากเสื้อ ยามก้มเนินเนื้อออกมาล่อสายตาให้จ้องมองได้ไม่ยาก บนโต๊ะมีกระดาษวางอยู่กระจัดกระจาย จากการเงี่ยหูฟังสองคนทำงานกลุ่มร่วมกันและวันนี้คณิณนัดให้เพื่อนสาวมาทำงานที่ห้อง

 

แล้วเนี่ย...เหมือนคณิณลืมเขาไปเลย เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับตัวเองเป็นส่วนเกินยามที่สองคนนั้นใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เศรษฐพงศ์หยิบหม้อหุงข้าวมาจัดการหุงข้าวเพื่อเป็นมื้อเช้า คุ้ยของสดในตู้เย็นออกมาเพื่อทำกับข้าว หมูทอดกระเทียมพริกไทยส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้อง

 

                “หอมจัง เพื่อนคินท่าทางจะทำกับข้าวเก่งเนอะ”เสียงหญิงสาวเอ่ยชมมาให้ได้ยินเศรษฐพงศ์ทำหูทวนลมไม่มีเสียงตอบรับของคณิณ รายนั้นยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน ต้มจืดเต้าหู้หมูสับถูกทำเป็นเมนูต่อมา

 

เศรษฐพงศ์เป็นคนกินอาหารรสจัดแต่วันนี้เขาเลือกทำแต่อาหารรสอ่อนๆแบบที่คณิณชอบ

 

ไม่ได้ง้อนะ

 

ไม่ได้ง้อซักนิดเดียว

 

                “กินข้าว”เมื่ออาหารทุกอย่างเสร็จหมดทุกอย่างแล้วเศรษฐพงศ์ก็จัดโต๊ะ จานข้าวสามใบถูกวางลงพร้อมกับแก้วน้ำ คณิณเหลือบตาขึ้นมองคนน้องแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากเรียกให้เจนลุกขึ้นมากินข้าวด้วยกัน หญิงสาวชะโงกหน้าดูอาหารง่ายๆบนโต๊ะ มีไข่เจียวตามมาเสิร์ฟพร้อมพริกน้ำปลาถ้วยเล็กอีกถ้วย

 

                “โห กับข้าวน่ากินจังเลยค่ะ”เจนเงยหน้าขึ้นมาชมคนทำกับข้าวก่อนจะหันไปเอ่ยขอบคุณคณิณที่เลื่อนเก้าอี้ให้

 

ฝืดคอ...เป็นอาหารมื้อที่ฝืดคอที่สุดเท่าที่เคยกินร่วมกับคณิณมา รายนั้นเอาแต่พูดคุยกับเพื่อนและแทบไม่มองมาที่เขาเลย

 

ความน้อยใจแล่นขึ้นมาจุกจนแทบจะกลืนข้าวไม่ลงสุดท้ายคนที่เคยกินจุก็กินข้าวได้เพียงครึ่งจานก็ลุกเดินไปเทข้าวทิ้งลงถังขยะวางจานทิ้งไว้ในซิ้งค์

 

                “อ้าว เซ็ทอิ่มแล้วเหรอ กินไปนิดเดียวเอง”กลายเป็นเจนที่เอ่ยทักเมื่อเด็กหนุ่มลุกจากโต๊ะในขณะที่คณิณยังคงนั่งกินข้าวด้วยท่าทางนิ่งๆ

 

                “อิ่มแล้วครับ ขอตัวก่อน กินเสร็จวางทิ้งไว้เดี๋ยวเราออกมาเก็บล้างให้เอง”พูดจบเศรษฐพงศ์ก็เดินกลับเข้าห้องนอนไปเลย คณิณได้แต่หันไปมองตามประตูที่เพิ่งปิดจนเกิดเสียงนั้นด้วยสีหน้าอ่านยาก

 

 

                คณิณ::

 

วันนี้ทั้งวันผมได้เห็นหน้าไอ้เซ็ทแค่ตอนที่มันออกมากินข้าวเมื่อเช้า หลังจากนั้นมันก็หายเข้าไปในห้องไม่ออกมาอีกเลย จนกระทั่งบ่ายสองกว่าๆเจนก็กลับไป เจนเป็นเพื่อนในคณะงานชิ้นใหม่ผมถูกอาจารย์จับให้คู่กับเจน และเพราะห้องของเจนมีรูมเมทอยู่กันอีก 3 คน ผมเลยให้เธอมาทำงานกับผมที่ห้อง วันนี้เพราะมีไอ้เซ็ทอยู่ด้วยผมจึงไม่ได้เรียกเพื่อนๆคนอื่นมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะยังไงก็ถือว่ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วยยังไงเจนก็จะไม่ถูกนินทา

 

ผมไม่ได้อยากจะมึนตึงกับไอ้เซ็ทนะ เพียงแต่อยากให้มันรู้ว่าผมงอนมัน

 

ผมแค่อยากให้มันง้อ แต่จังหวะมันไม่ได้ ผมไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่กับมันเพียงลำพังเลย แถมตอนนี้ไอ้ตัวดีก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง  ผมยึดโซฟาหน้าทีวีเป็นที่นอนเล่นหยิบไอแพดออกมาเปิดหนังดูฆ่าเวลา เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอน เพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็นั่งสงบสติอารมณ์ดับความร้อนรุ่มที่กลางลำตัวอีกเป็นชั่วโมง พอออกมาจากห้องน้ำไอ้ตัวดีก็หลับไปแล้ว ผมห่มผ้าให้มัน กอดมันเหมือนที่เคยทำทุกคืนแต่ไอ้เซ็ทก็ไม่ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มันยังคงหลับลึก อาจจะเป็นเพราะผมได้สูบพลังของมันออกมาหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงทำได้แค่เพียงโอบกอดมันไว้จากด้านหลังแล้วกดจูบเบาๆลงที่หลังคอของมัน นอนมองมันหลับ ไปเรื่อยๆ มันขยับตัวหันหน้ากวาดมือหาหมอนข้างเมื่อไม่เจอมันจึงคว้าร่างของผมเข้าไปกอดแบบที่ทำอยู่ทุกครั้งซุกหน้าถูไถหาความอุ่น แค่นั้นก็ทำเอาผมตาค้างไปทั้งคืนจนไม่ได้นอนแล้ว

 

ผมรู้สึกตัวตื่นหลังจากเผลอหลับในตอนที่รู้สึกว่ามีอะไรมาแตะที่ริมฝีปาก เมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นไอ้เด็กขี้โกงนั่งคร่อมผมและกำลังกดจูบลงมาบนปากของผมย้ำๆ สายตาของมันจ้องมองผมไม่หลบไปไหน

 

                “ดีกันนะ”มันว่าเสียงเบาแล้วกดจูบลงมาใหม่

 

ผมนอนเฉยไม่ตอบสนองไอ้เด็กขี้โกงนั่น ก่อนที่มันจะกดจูบลงมาอีกครั้งเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ผมกดรับเมื่อเห็นหน้าจอว่าใครโทรมา

 

                “ว่าไงเจน”ไอ้เซ็ทชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อของปลายสาย ผมทำทีเป็นไม่สนใจมัน เจนโทรมาถามบางจุดของแบบที่ยังต้องแก้อีกนิดหน่อย ผมแกล้งพูดหยอกล้อกับเจน ดูก็รู้ว่าไอ้เซ็ทมันหึงเพราะเมื่อเช้าผมตักกับข้าวให้เจนมันก็กำจนช้อนส้อมแทบงอ

 


ผมไม่คาดคิดหรอกว่าการแกล้งคุยหวานๆกับเจนจะทำให้ไอ้เซ็ทมีปฎิกริยาบางอย่างเกิดขึ้น กว่าจะรู้ตัวมือของไอ้เซ็ทก็ล้วงเข้าไปในกางเกงของผมซะแล้ว...




ผมยังทำทีเป็นไม่สนใจมันเพราะอยากจะรู้ว่าไอ้เด็กแสบนี่จะทำยังไงต่อไป มือของมันค้างไว้ที่ขอบกางเกง ปรายตามองผมเล็กน้อย ผมยังคงคุยโทรศัพท์กับเจนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแถมยังเปิดลำโพงให้มันได้ยินอีกต่างหาก

   “แล้วพรุ่งนี้คินว่างมั้ยไปไหนหรือเปล่า”

   “พรุ่งนี้เหรอ?...”ผมแกล้งทำเป็นคิดก่อนจะตวัดสายตามองหน้ามันที่จ้องเขม็ง

   “อืม...เหมือนจะว่ะ...อ๊ะ...”คำว่าว่างถูกกลืนลงไปในลำคอแทบไม่ทันเมื่อไอ้เซ็ทคว้าเอาตัวตนใต้ร่มผ้าของผมไว้เต็มมือ ใบหน้าของมันแดงจัดยามที่ค่อยๆขยับข้อมือ

   “หืม?? คิดว่าอะไรนะ?”เจนถามกลับเมื่อรูปประโยคมันไม่เต็ม ผมมองหน้าไอ้เซ็ทอย่างท้าทายมันค่อยๆดึงกางเกงของผมลงด้วยสีหน้าอวดดีอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผมก็ขยับเปิดทางให้มันถอดกางเกงออกจากปลายขาได้แบบง่ายๆ((อ่อยอยู่ไม่รู้หรอกเพราะกูไม่บอก))

   “เดี๋ยวขอนึก...แฮ่ก...ก...ก่อนนะว่า...อื้อ...ว่างมั้ย”ผมตอบกลับเจนด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อไอ้เซ็ทกดจูบลงบนส่วนปลายไล่เรื่อยขึ้นไปจนถึงโคน ความรู้สึกขนลุกแล่นปลาบตั้งแต่หนังหัวจนถึงปลายเท้า

   “ว่าแต่เจนมีอะไรเหรอ?” ผมเอ่ยถามเป็นเชิงอ่อยเหยื่อ ไอ้เซ็ทจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ คิ้วมันขมวดมุ่นก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นมาช้าๆพรมจูบตั้งแต่ใต้สะดือไล่ขึ้นมาเลื่อนเสื้อของผมขึ้นทีละนิด ทีละนิด

จุ๊บ...มันจงใจจูบให้เกิดเสียง ขบเม้มที่หน้าท้องของผมทีละจุดๆ ฝากรอยสีแดงไว้จนทั่ว ตอนนี้ความรู้สึกเดียวของผมคือตื่นเต้น ไอ้เซ็ททำตัวเลียนแบบผมทุกอย่างที่ผมทำเมื่อคืน ตีตราความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวผมกระจายทั่วพื้นที่ ทั้งเจ็บทั้งเสียวในคราวเดียวกัน รู้สึกดีอีกต่างหากกับการง้อแบบนี้ของมัน และออกจะชอบใจเล็กน้อยเมื่อทันทั้งง้อทั้งหึงผมแบบนี้

เด็กน้อเด็ก ไอ้เซ็ทเหมือนเด็กที่กำลังยื้อแย่งหุ่นยนต์ตัวโปรดกลับมาด้วยการทำทุกวิถีทางที่จะแสดงความเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวได้

   “เจนว่าจะเอาแปลนไปให้ดูอีกครั้ง เหมือนเสามันลอยโดดออกมาจากภาพเกิน”

   “อ๊ะ...อื้ม...อ่อ ด่ะ...ได้สิ...”ผมสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อไอ้เซ็ทถกเสื้อของผมขึ้นจนแลยราวนม ริมฝีปากของมันครอบครองตุ่มเล็กๆที่อกของผม ตวัดลิ้นรัวเร็วจนผมแอ่นอกรับมันทั้งดูดทั้งขบเม้มจนประจุความรู้สึกทุกอย่างไปรวมกันที่คินน้อยของผม ไอ้เซ็ทขยับมือเร็วขึ้นจนผมเผลอครางใส่โทรศัพท์

   “เอ่อ...คินทำอะไรอยู่เหรอ ทำไมเสียงแปลกๆ”

   “ป..เปล่า”

   “ฟัดกับแฟนอยู่ครับ แค่นี้ก่อนนะ”ไอ้เซ็ทยืดตัวขึ้นมาพูดใส่โทรศัพท์มองหน้าผมด้วยสีหน้าอวดดีไม่เปลี่ยน กดยิ้มใส่จนผมอยากจะจับมันฟาดแรงๆกับความใจกล้านี้

   “ห๊ะ...อ่อ...อื้ม ได้ๆ งั้นเจนวางแล้วนะคินก็ไปทำอะไรๆให้มันเสร็จๆเถอะ”

   “อ๊ะ...อื้อ เดี๋ยวเสร็จแล้วโทรไปนะ”ผมเผลอเด้งเอวใส่เมื่อไอ้เซ็ทมันใช้ปากครอบลงไปที่กลางกายของผม กดตัดสายด้วยมืออันสั่นเทา นี่มันเล่นอะไรของมันเนี่ย ผมผงกหัวมองไอ้เด็กที่กำลังขยับปากเข้าออกกับส่วนนั้นของผม

ไอ้เซ็ทเหมือนเด็กที่กำลังกัดกินไส้กรอกพลางเลียซอสที่ไหลไปตามความยาวด้วยสีหน้าเอรดอร่อย ผมกำมือแน่นก่อนจะทนไม่ไหวต้องส่งไปจับหัวของมันให้ขยับจังหวะตามความต้องการของผม

   “อวดเก่ง...มึงมัน..อ๊ะ..ร้าย”ผมต่อว่ามันไม่จริงไม่จังนัก เชิดหน้าสูดอากาศเข้าปากยามมันแกล้งใช้ฟันขบลงมาบนส่วนปลายเบาๆ ลิ้นร้อนของมันหมุนวนจนผมเด้งเอวสวนเข้าปากมันอย่างแรง มันมองผมด้วยสายตาคาดโทษ ข้างขอบปากมีหยาดน้ำลายไหลเปรอะออกมา ไอ้เซ็ททั้งดูดทั้งใช้ลิ้นจนผมเริ่มตาพร่า ความเสียวจี๊ดจากท้องน้อยแล่นปราดเข้าสู้แกนกายจนผมต้องดึงหัวมันออก

   “จะออกแล้ว..”ผมบอกกับมันที่เพิ่มความเร็วในการขยับรูปปากเพื่อให้มันถอยออก

แต่เหมือนว่าวันนี้ไอ้เซ็ทจะดื้อกว่าปกติ นอกจากไม่ทำตามแล้วมันยังเร่งจังหวะทั้งปากทั้งมือเร็วขึ้นแรงขึ้นจนในที่สุดความอดทนของผมก็จบลง ของเหลวอุ่นๆถูกปล่อยพุ่งเข้าไปในปากของมัน ไอ้เซ็ทสำลักไอโขลกพลางใช้มือปาดข้างแก้มที่หยาดหยดบางส่วนพุ่งกระฉูดใส่

โคตรเอ็กซ์เลย ปากแดงๆ ดวงตาปริ่มน้ำของมันเป็นภาพที่ปลุกอารมณ์ได้เป็นอย่างดี มันกลืนของเหลวสีขาวนั้นเข้าไปด้วยสีหน้าแปลกๆ ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าต้นคอของมันแล้วดึงเข้ามาจูบหนักๆ

ไอ้เซ็ทไม่ได้ขัดขืน มันจูบตอบผมแบบที่ผู้ใหญ่สองคนจะทำกัน ลึกล้ำ ดื่มด่ำ ร้อนแรง และลึกซึ้ง มันสอดมือเข้ามาใต้เสื้อของผมแล้วดึงปลายเสื้อออกจากตัวผมในคราวเดียว

จากนั้นมันก็เป็นฝ่ายถอดเสื้อของตัวเองเหวี่ยงทิ้งออกไป

กางเกงบอลที่มันชอบใส่ถูกเหวี่ยงลงข้างโซฟาอย่างไม่ใยดี

ไอ้เด็กขี้ยั่วไม่ใส่กางเกงในออกมาจากห้องเหรอเนี่ย

นี่คิดมาดีแล้วใช่มั้ยวะ

แม่ง

ผมรั้งสะโพกของมันเข้ามาจนมันนั่งคร่อมใช้ขาโอบเอวของผมไว้มันโอบรอบลอคอของผมไว้อย่างรู้งาน

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือไอ้เซ็ทชอบเวลาผมจูบ

เวลานอนไอ้เซ็ทชอบให้ผมกอด

เราต่างเสพติดในสัมผัสของกันและกัน ผมกดจูบแรงๆที่ข้างแก้ม ตอหนวดไม่ได้ทำให้อารมณ์ลดหาย ยามมันจูบกลับทำให้ความรู้สึกที่มีตื่นเต้นและตื่นตัวมากขึ้น ผมไล่จูบลงมาจนถึงต้นคอไอ้เซ็ทเปิดทางให้ผมได้ฝังจมูกลงไปใกล้ขึ้น ดูดเม้มจนไอ้ตัวดีครางฮือก่อนจะประทับจูบลงบนรอยเดิมตรงไหปลาร้าสวยของมัน

   “รอยจางไปนะ”ผมตวัดสายตาบอกกับมันก่อนจะกัดแรงๆเป็นการทำโทษเด็กดื้อไอ้เซ็ทร้องเบาๆแต่กลับแอ่นตัวเข้าหาผมมากขึ้น ปลายเล็บข่วนหลังของผมจนรู้สึกแสบแต่ผมกลับชอบ

ข่วนมาเลย เอาให้หลังขาดเลยก็ได้ อ่า...ฟิน

ผมผลักมันให้นอนราบลงไปกับโซฟาไอ้เซ็ทไม่ลืมที่จะรั้งตัวผมตามลงไปด้วย

จับมันฟัดจนหนำใจเรียกเรียกหัวเราะยามที่ผมปัดจมูกลงบนหน้าท้องแบนราบของมันอย่างหมั่นเขี้ยว จากนั้นผมก็เลื่อนลงไปหยอกล้อกดจูบกับแกนกายของมันที่ตื่นตัวอย่างรวดเร็ว เสียงครางอื้ออึงดังตามมาเมื่อผมทำวิธีเดียวกับที่มันทำกับผม

   “อย่า...อย่ากัดสิ”มันผลักหน้าผากผมเบาๆเมื่อผมแกล้งกัดเบาๆจนร่างของมันผวาเฮือกไม่นานร่างของมันก็เกร็งกระตุกพลางปล่อยทุกหยาดหยดเข้ามาในปากของผม ผมกลืนมันลงไปราวกับเจอของอร่อย ไอ้เซ็ทหอบหายใจถี่ผมเขี่ยที่ช่องทางด้านหลังมันเบาๆเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน

ยังเจ็บหัวอยู่เลย เกิดแหย่เข้าไปแล้วมันตีนลั่นอีกวันนี้เลือดคงคั่งในสมอง

   “ขอได้มั้ย...เซ็ท คินขอได้มั้ย”ผมคลอเคลียอยู่ที่อกของมันเอ่ยขอเบาๆ ปลายนิ้วก็หมุนวนรอบรอยจีบที่เต้นตุบสู้มือ

   “ไม่พร้อม...ยังไม่พร้อม”มันตอบกลับมาด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น ใช้ฝ่ามือปิดหน้าด้วยความอาย

ผมเข้าใจมันนะ

ที่ผ่านมามันเป็นเด็กแมนๆลุยๆ การจะมีเซ็กส์แล้วเป็นฝ่ายถูกกระทำอาจจะต้องใช้เวลาทำใจ

แม้มันจะมีอารมณ์มากเท่าไหร่แต่ความกลัวทำให้มันไม่เปิดทางให้ผมแถมมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ค่อนข้างจะรุนแรง

ใจของมันน่ะพร้อมแล้วแต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนองเสียอย่างนั้น มันจึงปกป้องตัวเองด้วยการถีบผมเมื่อวาน ผมอยากครอบครองมันแต่ผมก้รักมันเกินกว่าที่จะเห็นแก่ตัวเอาแต่ความสุขของตัวเอง

“งั้นข้างนอกก็ได้ นะ...คินไม่ไหวแล้วจริงๆ ทำข้างนอกก็ได้”

“ไม่ใส่เข้าไปใช่เปล่า?”มันเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

“อื้อ ไม่ใส่”ผมตอบย้ำให้มันมั่นใจ ไอ้เซ็ทหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ผมกดจูบลงบนขี้แมงวันเล็กๆข้างมุมปากของมันก่อนจะดันสองขาของมันขึ้นตั้งฉากแล้วกดให้แนบชิด ใช้มือปลุกแกนกายให้ขยายขึ้นแล้วสอดแทรกเข้าไปที่ต้นขาทั้งสองข้างที่ประกบอยู่ของมัน

ไอ้เซ็ทมองการกระทำของผมด้วยใบหน้าที่แดงจัด ผมขยับเอวเข้าออกเป็นจังหวะในขณะที่ไอ้เซ็ทเองก็พยายามหุบขาเพื่อให้ต้นขาบีบรัดตัวตนของผมได้แน่นขึ้น ลมหายใจของผมติดขัดยามที่แรงอารมณ์ภายในพลุ่งพล่าน

แม้ไม่ได้ใส่เข้าไปในตัวของมันแต่ขอแค่เป็นร่างกายของมันไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนผมก็ชอบ ไอ้เซ็ทใช้มือช่วยตรงส่วนที่โผล่ทะลุหน้าขาของมัน ไม่นานนักผมก็เร่งจังหวะเมื่อความเสียวเริ่มเล่นงานผมจนตาพร่า ผมสวนเอวเข้าออกรัวเร็วถี่ยิบก่อนที่จะเงยคอครางเสียต่ำสะโพกกดแรงและหนักอยู่สองสามครั้งหยาดน้ำสีขาวก็กระฉูดจนเต็มหน้าท้องแผงอกเลยไปจนถึงปลายคางของไอ้เซ็ทมันคลายต้นขาออกจากกันก่อนจะรับร่างของผมที่ทรุดลงไปนอนแนบอกมันลมหายใจของผมหอบถี่ไอ้เซ็ทลูบหัวผมเบาๆราวกับจะบอกให้ผมค่อยๆผ่อนคลาย


     “เมื่อวานขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ”มันพูดในขณะที่ยังใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมของผมเล่น

 

                “ไม่ได้โกรธ”ผมตอบกลับมันด้วยความจริง

 

                “แต่ก็งอนกู”

 

                “อือ..ยอมรับว่างอน”

 

                “รอกูหน่อยนะ วันไหนกูพร้อมกูจะเป็นคนเริ่มเอง”

 

                “อย่ามาพูดให้ความหวังแบบนี้สิวะ มึงนี่แม่ง รู้ตัวมั้ยว่าขี้อ่อย”ผมลูบเอวมันเบาๆ

 

                “เอาจริงๆถึงมึงไม่ให้กูก็ไม่ได้ดึงดันที่จะเอามึงหรอกนะ ถ้ามึงไม่พร้อมหรือทำใจไม่ได้ แค่ได้กอดมึงตอนนอน จูบมึงได้โดยที่มึงไม่รังเกียจกูก็พอใจแล้ว ขอแค่มึงไม่ทิ้งกูไปไหนจะให้ทำอะไรก็ยอม”

 

                “ขนาดนั้นเชียว ก็ปกติเห็นมึงมือปลาหมึกตลอดกูก็นึกว่าในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่า”

 

                “กูชอบจูบมึง ชอบสัมผัสตัวมึงก็เพราะกูรักมึงไงเซ็ท กูอยากได้มึงก็จริงแต่กูจะไม่ฝืนใจมึง เพราะถ้าคิดแต่จะเอากันอย่างเดียวกูถือว่านั่นมันไม่ใช่ความรักแต่เป็นความใคร่ มึงไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์ทางเพศของกู แต่มึงคือความรัก เป็นความสุขของกู”

 

                “ขอบคุณนะที่มึงเข้าใจกู...ขอเวลากูหน่อย...กูจะค่อยๆเรียนรู้ มึงก็สอนกูหน่อยนะ กูไม่เคยกับเรื่องพวกนี้จริงๆ กูสัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ดี เป็นนักเรียนที่ดีของมึง”มันกอดผมไว้แนบอกจนแน่นผมขำกับคำพูดของมัน

 

                “ถ้าให้เกรดมึงคงได้เกรดเอ ก็ทำกูเสร็จไปซะสองรอบขนาดนี้ นักเรียนดีเด่น”

 

                “หุบปากไปเลยไอ้เหี้ย พูดแล้วอายกูไปอาบน้ำดีกว่า”มันว่าพลางผลักตัวผมออกก่อนจะลุกขึ้นกวาดเสื้อผ้าติดตัวไปด้วย ผมลุกแล้ววิ่งตามมันไปติดๆ

 

                “อาบด้วย”ท่าทางวันนี้ไอ้เซ็ทอาจจะได้เอสามตัวนะผมว่า...

 


 













...........................






หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 30 26/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 26-01-2019 10:27:17
พี่คินคนดี

พี่คินคนรวย

พี่คินของเรา อุ่ย ไม่ใช่
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 30 26/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 26-01-2019 11:16:28
วงงารอิคินมากน้องตกใจถีบขนาดนั้น  :laugh: :m20:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 30 26/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 26-01-2019 15:43:15
 :m25: เซ็ทมีอ่อย คินรอมาขนาดนี้แล้วรอน้องมันปรับตัวอีกนิดนะคินสู้ๆ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 30 26/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 26-01-2019 21:11:40
ทันแล้วๆ...ชอบๆๆ...รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 31 27/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 27-01-2019 00:04:19
ตอนที่ 31


 เศรษฐพงศ์ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า เอวบางถูกกอดไว้หลวมๆที่ไหล่ถูกคางวางเกยไว้ในมือถือกะทะที่มีไข่เจียวขึ้นฟูสีน่ากินไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เหมือนมีลูกลิงเกาะหลังไปด้วย

 

คณิณเป็นบุคคลน่ารำคาญที่สุดในโลก

 

                “มึงเลิกกอดกูซักทีได้มั้ยเนี่ยจะแดกมั้ยข้าวกูทำไม่ถนัดเลยเนี่ย”คนน้องเอี้ยวคอหันไปแหวใส่คนพี่แต่มีหรือที่คนแบบคณิณจะสะทกสะท้านนอกจากไม่ยอมปล่อยตามที่โดนสั่งแล้วเจ้าตัวกลับยื่นหน้าหน้ามาจุ๊บคนน้องอีกต่างหาก

 

                “ย่าห์!!!เดี๋ยวกูเอาตะหลิวฟาดปากแตกเลยมึงนี่”

 

                “ก็กูอยากอยู่ใกล้มึงตลอดเวลานี่นา”เหาฉลามทำหน้าตาน่าสงสารใส่จนเศรษฐพงศ์อ่อนใจ

 

                “ก็ตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันมึงอย่าเว่อร์ได้มั้ยวะ”

 

                “ก็เดี๋ยวมึงก็ต้องกลับกาญจน์แล้ว”คณิณทำเสียงอ่อยๆจนคนฟังใจหล่นวูบ

 

                “คนทุกคนมีหน้าที่ๆต้องทำ กูต้องกลับไปเรียนมึงก็ต้องเรียนเหมือนกัน”

 

                “อยากอยู่กับมึงตลอดเวลาเลย”ว่าพลางใช้จมูกถูไถกับซอกคอเศรษฐพงศ์จนคนน้องต้องหดคอหนี

 

                “ตอนนี้มันช่วงโปรโมชั่น มึงก็เลยติดกูเป็นธรรมดาเพราะมึงกำลังหลงกู ลองคบกันไปอีกซัก 2-3 เดือน มึงอาจจะเบื่อกูก็ได้”คณิณถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะคลายอ้อมแขนออกจับตัวคนที่ตักไข่เจียวใส่จานเรียบร้อยแล้วให้หันมาหาตนเอง นิ้วเรียวดีดแรงๆลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างไม่อออมแรงจนเศรษฐพงศ์เงื้อหมัดจะต่อย

 

                “อย่าดูถูกหัวใจกูนักเลยไอ้เซ็ท ก่อนที่มึงจะมาคบกับกู กูแอบชอบมึงมาเกือบปี มึงคิดว่ากูเป็นคนเปลี่ยนใจอะไรง่ายๆเหรอวะ”

 

                “กูไม่ได้ดูถูกใจมึง กูแค่พูดไว้ใจคนเรามันเปลี่ยนกันได้ ตอนนี้มึงอยู่ในช่วงเห่อ กูก็เห่อมึงเหมือนกัน แต่พอวันหนึ่งมึงกับกูกลายเป็นความเคยชินของกันและกันความหวานความอยากจะอยู่ด้วยกันมันก็จะน้อยลงเรื่อยๆ มึงเองก็อย่าทำให้กูเคยตัวมากนักนะเผื่อถึงวันนั้นขึ้นมากูจะได้ไม่น้อยใจ”

 

                “กูไม่มีทางรักมึงน้อยลงหรอกเซ็ท มีแต่จะรักมึงมากขึ้นๆ ยิ่งรู้จักมึงแบบคนรักกูก็ยิ่งรักมึง กูด่าตัวเองอยู่ตลอดว่าเมื่อก่อนกูกล้าตีมึงกล้าทำมึงเจ็บได้ยังไงทั้งๆที่มึงนุ่มนิ่มไปทั้งตัวแบบนี้”ไม่พูดเปล่าคณิณยังรวบร่างคนน้องมากอดก่อนจะกดจูบลงไปแรงๆบนพวงแก้มนุ่มของน้องด้วยความหมั่นเขี้ยว เลิกเสื้อยืดตัวโคร่งที่เศรษฐพงศ์ใส่ขึ้นแล้วตะปบหมับลงบนจุดเล็กๆบนหน้าอก เพราะนัวเนียคลอเคลียกันมาหลายวันจึงทำให้รู้ดีว่าจุดไหนจะทำให้คนน้องแข้งขาอ่อนหมดแรงได้ง่ายๆ เศรษฐพงศ์ที่ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อคณิณแต่ฝ่ายเดียวก็คว้าหมับเข้าที่แกนกายของคนเป็นพี่ก่อนจะแกล้งบีบเบาๆจนคณิณสะดุ้งโหยง

 

แกร่ก!!!

 

                “เสี่ย!!! คิดถึ....อึ๋ง....”อยู่ๆประตูห้องก็เปิดผลัวะเข้ามาพร้อมกับร่างของพื่อนๆทั้งห้าคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าห้องก่อนจะเปลี่ยนเป็นตาโตด้วยความตกใจถุงขนมนมเนยที่หิ้วมาหล่นพื้นดังปุ...

 

คณิณกับเศรษฐพงศ์ดีดตัวออกจากกันราวแม่เหล็กคนละขั้วในมือจิณณวัฒน์ยังมีคีย์การ์ดสำรองที่คณิณเคยให้แดนธรรมเก็บไว้คามือ

 

                “เอ่อ...”เกิดเดธแอร์ขึ้นจากคนในห้องและคนนอกห้อง เศรษฐพงศ์หน้าแดงจัดจนถึงลำคอใช้มือจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เรียบร้อย แดนธรรมกระแอมไอไล่ความอึดอัดที่เกิดขึ้น

 

                “จะเข้าก็เข้ามาจะยืนทำห่าอะไรเกะกะหน้าห้องกู”หลังจากตั้งสติได้แล้วคณิณก็หาเสียงของตัวเองเจอ เพื่อนๆที่ยืนสตั๊นท์หน้าห้องต่างรีบกุลีกุจอเก็บถุงขนมถุงของกินแล้วเดินเข้าห้องมา เศรษฐพงศ์ตอบรับคำทักทายอันแสนขัดเขินของเพื่อนๆคณิณ

 

                “ทำอะไรกันวะ”แพทเอ่ยถามขึ้นมาทื่อๆแต่กลับทำให้เจ้าของห้องสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แดนธรรมเห็นท่าทางอัดอัดของคนทั้งคู่จึงรีบแก้สถานการณ์ด้วยความว่องไว

 

                “ไอ้แพทมันหมายถึงว่ามึงสองคนทำอะไรกินกันวะ หอมเชียว”แดนธรรมเอาถุงของไปวางไว้บนโต
กินข้าวตัวใหญ่ เศรษฐพงศ์หลบหน้าเพื่อนๆของคณิณจนน่าสงสาร คณิณโอบเอวคนน้องไว้จนคนโดนโอบสะดุ้งเฮือกราวกับถูกไฟช๊อตแกะมือคณิณออกพลางหลบตาคนทั้งห้อง

 

                “ไม่ต้องเขินแล้ว”คณิณเอ่ยบอกเบาๆแถมกระชับอ้อมกอดให้มากขึ้นท่ามกลางสายตาของเพื่อนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอมุมนี้ของทั้งสองคน จริงอยู่แม้จะเคยแซวแต่คณิณก็ปฎิเสธมาโดยตลอดว่าไม่มีอะไร ไม่ได้ชอบ มีเพียงแดนธรรมที่ส่งยิ้มอย่างรู้กันให้กับไอ้เพื่อตัวแสบที่เขาเป็นที่ปรึกษามานานหลายเดือน  แต่ที่เขาไม่รู้คือหลายวันมานี้ที่มันซุ่มเงียบคือกกเด็กไว้ในห้องนี่เอง

 

                “เอ่อ...กินข้าวกันมาแล้วหรือยัง”ที่สุดเมื่อหนีไม่ได้เศรษฐพงศ์ก็หันไปเผชิญหน้ากับเพื่อนๆของคณิณ ยังไงก็ต้องรู้เข้าซํกวันและเขาเองก็คิดว่าในเมื่อคบกับคณิณแล้วเขาเองก็ควรต้องทำความรู้จักกับเพื่อนของคณิณไว้ด้วย การสนทนาจึงถูกเปิดขึ้นแม้จะไม่มั่นใจนักก็ตามที

 

                “ยังเลย มึงทำอะไรกินมั่งอ่ะ ข้าวพอเหลือให้พวกกูกินด้วยได้มั้ย?”

 

 

คณิณ::

 

ผมมองดูไอ้แพรเดินเข้ามาชะโงกหน้าดูอาหารบนโต๊ะ ผมรู้ว่าเพื่อนๆคงจะอึ้งไม่เว้นแม้แต่ไอ้แดนที่เป็นวงในที่สุดยังทำหน้าเหลือเชื่อใส่ผมในตอนแรก ตั้งแต่ไอ้เซ็ทมาที่ห้องผมไม่ได้บอกใครเลย แถมลืมไปซะสนิทว่าผมเอาคีย์การ์ดสำรองให้ไอ้แดนถือไว้ พวกมันเลยมาเซอร์ไพร์ทผมแบบในวันนี้

 

กลายเป็นว่าเซอร์ไพร์ททั้งผมและพวกมัน

 

                “เดี๋ยวคงต้องหุงข้าวเพิ่ม ไปนั่งรอกันที่หน้าทีวีก่อน กระจุกกันอยู่ในนี้กูทำไม่ถนัด”ไอ้เซ็ทจัดการไล่เพื่อนๆรวมทั้งตัวผมให้ออกไปนั่งที่หน้าทีวี ผมมองหน้าเพื่อนๆที่ส่งสายตาคาดคั้นกันมาแบบเรียงตัวแล้วรู้สึกคอแห้ง

 

                “กูรู้ว่าพวกมึงอยากเสือก”

 

                “ใส่ใจเถอะดูเบากว่าเสือก”ไอ้ว่านเอ่ยขัดเมื่อผมพูดประโยคก่อนหน้า

 

                “นั่นแหล่ะ แต่ช่วยเก็บความเสือกของพวกมึงไว้ก่อน อย่าเพิ่งถามอะไร แค่นี้มันก็เขินพวกมึงจะแย่แล้ว”

 

                “คือตอนนี้มึงจริงจังกับมันหรือว่าแกล้งคบมันหลอกมันมาเยแล้วเขี่ยทิ้ง?”ไอ้แพทเอ่ยถามคำถามที่ทำให้พวกมั้นกลั้นใจฟังคำตอบยิ่งกว่าตอนฟังอาจารย์สอน

 

                “มันจริงจัง มันชอบไอ้เซ็ทจริงๆ”เป็นไอ้แดนที่ตอบคำถามนั้นแทนผม

 

                “มึงรู้ได้ไงวะ?”ไอ้อ้นเบนเข็มไปที่ไอ้แดนทันที

 

                “ถ้ามึงเห็นไลน์ที่มันส่งมาพร่ำเพ้อกับกูเกือบปีมึงจะรู้ว่ากว่าไอ้เซ็ทจะมายืนทำกับข้าวให้มึงแดกอ่ะเพื่อนมึงสติแตกไปกี่รอบ”

 

                “สัด อย่าเผากู”ผมยื่นเท้าไปถีบหัวเข่าไอ้แดนเบาๆ

 

               
“พวกมึงมีใครกินเผ็ดได้บ้างกูจะตำน้ำพริกกะปิ?”ไอ้เซ็ทตะโกนถามมาจากในครัว

 

                “กูกินได้ ไอ้แพรก็กินได้”เป็นไอ้ว่านที่เอ่ยตอบ

 

                “จริงๆกินได้ทุกคนยกเว้นแฟนมึง”ไอ้แพทตอบกลับไปอีกคน

 

                “สัด”เสียงไอ้เซ็ทด่าเบาๆเรียกเสียงหัวเราะให้กับพวกเพื่อนๆของผม

 

                “มึงอย่าไปแซวมันเดี๋ยวมันเขิน”

 

                “น่ออออออ....ปกป้อง”

 

                “น่อออออออ....หลงเมีย”

 

                “น่อที่หน้ามึง แล้วก็เพิ่งคบกันยังไม่ได้เป็นเมีย”

 

                “ผิดวิสัยมึงมากเสี่ย ปกติเยก่อนค่อยคิดว่าจะคบไม่คบแต่ที่ผ่านมาคือน้ำแตกแล้วแยกทาง”

 

                “ก็คนนี้กูจริงจังจริงๆ มึงต้องอยู่กับมันมึงจะรู้มันแม่งน่ารัก ยิ่งเวลามันอ้อนนะไอ้เหี้ยกูอยากยกที่ดินของกูให้มันหมดเลย”

 

                “ไอ้เหี้ย โคตรหลง เหมือนไม่ใช่มึง”

 

                “กูอยากเห็นตอนมันอ้อนมึงจังว่ะเสี่ย”

 

                “ไม่มีทาง กูมีสิทธิ์เห็นมันโหมดนั้นคนเดียว คือแม่ง อ้อนเหมือนแมวคือโคตรดี”ผมอวดแฟนด้วยความภูมิใจ คือจะให้ไอ้พวกนี้เห็นตอนไอ้เซ็ทอ้อนผมไม่ได้เด็ดขาด เพราะเวลามันอ้อนน่ะต้องจัดไว้ในเรท 18+ ทุกวันนี้งานอดิเรกของผมคือการหาเรื่องงอนมันได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างแต่ทุกวันคือกำไร

 

ถ้าผมเป็นนักธุรกิจนี่เชื่อได้เลยว่ากิจการของผมจะต้องเจริญรุ่งเรืองมากแน่ๆ

 

ไม่นานกับข้าวง่ายๆอีก 2-3 อย่างก็ถูกวางลงบนโต๊ะกลิ่นหอมฉุยเรียกให้เพื่อนผู้หิวโหยของผมปรี่เข้าไปนั่งประจำโต๊ะ ไอ้ว่านใช้มือหยิบหมูทอดขึ้นมาหย่อนใส่ปากจนถูกไอ้แพทตีจนมือสั่น ไอ้อ้นจัดการยกหม้อข้าวมาวางก่อนรับหน้าที่ตักข้าวใส่จานเสิร์ฟให้พวกผม ไม่นานความเคอะเขินอึดอัดก็ค่อยๆจางไปทีละน้อยไอ้เซ็ทพูดคุยโต้ตอบฟังเพื่อนๆเผาผมจนแทบไหม้ หัวเราะลั่นยามได้ยินวีรกรรมสุดเกรียนที่พวกเราทำ ตอบคำถามเพื่อนๆของผมบ้างในบางคำตอบที่เจ้าตัวสามารถตอบได้

 

                “มึงทำกับข้าวอร่อยว่ะเซ็ท ใครสอนมึงวะ”

 

                “แม่กูสอน เมื่อก่อนแม่เปิดร้านขายอาหารตามสั่งกูช่วยแม่ตลอด”

 

                “แล้วมึงชอบทำเหรอวะ ปกติลูกชายจะไม่ค่อยช่วยงานครัวแม่ อย่างกูนี่แม่ใช้ไปซื้อน้ำปลากูยังบ่นเลย”

 

                “ก็ชอบนะ อย่างน้อยเวลากูอยู่หอคนเดียวเบื่อกับข้าวที่ร้านกูก็ทำกินเองได้”

 

                “ถ้าชอบงั้นก็อยู่ทำกับข้าวให้กูกินตลอดชีวิตเลยนะ”

 

                “โอ้ย รำคาญ มันใช่เวลามาจีบกันมั้ยเนี่ยไอ้เหี้ย”ไอ้แดนปามะเขือเปราะที่ใช้กินกับน้ำพริกกะปิใส่หัวผมในทันที เพื่อนๆคนอื่นก็ทำท่าเหมือนจะอ้วกใส่จานข้าวเสียให้ได้

 

ไอ้พวกจิตใจหยาบช้าสกปรกมองความรักของผมเป็นเรื่องน่ารำคาญได้ยังไงวะ

 

                ไม่อ่อนโยนเลยพวกเหี้ย

 

 

 

                “กูไม่เข้าใจว่ามึงจะพาตัวเองมาลำบากกันทำไม”แดนธรรมบ่นอุบเมื่อต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขับรถมาส่งคณิณกับเศรษฐพงศ์ที่สถานีรถไฟธนบุรี

 

                “ก็ไอ้เซ็ทมันอยากนั่งรถไฟกลับ”คณิณตอบกลับเสียงอ่อยในขณะที่หันไปมองเศรษฐพงศ์ที่กำลังต่อแถวซื้อตั๋วรถไฟอยู่กับแพรและอ้นสองเพื่อนที่อาสานั่งรถไฟเป็นเพื่อน ดังนั้นจึงเดือดร้อนแดนธรรมกับพชรพลต้องแหกขี้ตาตื่นเพื่อขับรถมาส่งและตีรถเข้ากาญจน์เพื่อไปดักรับที่สถานีดอนรัก

 

ก็ไม่คิดว่าพอคบกันแล้วมันจะขี้ขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูดใส่แฟนขนาดนี้

 

เรียกได้ว่าคณิณโคตรโอ๋โคตรตามใจเศรษฐพงศ์ สิ่งที่เขาคิดไม่ได้เกินจริงเลยซักนิดเพราะตั้งแต่วันที่เปิดประตูห้องไปเจอไอ้คนพี่กำลังสะกิดหัวนมน้องส่วนไอ้คนน้องกำลังกำเจี๊ยวคนพี่อยู่ วันต่อมาพวกเขาก็ติดสอยห้อยตามอิสองผัวเมีย(มโน)ไปท้องฟ้าจำลอง ที่ไปมีเหตุผลเพียงเพราะ

 

                “ไอ้เซ็ทมันอยากไป”เป็นคำตอบง่ายๆที่คณิณตอบกลับมาเมื่อเพื่อนๆเอ่ยถามว่านึกยังไงถึงอยากไปท้องฟ้าจำลอง

 

คือพวกกูเคยไปตั้งแต่ ป.5 แล้วป่ะ

 

                “เมียมึงนี่เด็กมาก อยากไปแต่ละที่ สวนสัตว์เงี้ยะ ท้องฟ้าจำลองอย่างเงี๊ยะ เหลือที่ไหนยังไม่ได้ไปอีกวะ เมืองโบราณ หุ่นขี้ผึ้งไปมายัง”

 

                “มึงก็ไปว่ามัน ตกลงเอาไงจะไปไม่ไป”แล้วคนที่ใส่ใจเพื่อนอย่างพวกเขาจะตอบอะไรได้นอกจากวันต่อมาก็ไปเดินแป้นแร้นที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ท้องฟ้าจำลองกันทั้งกลุ่ม

 

เหมือนเป็นการตัดสินใจที่โคตรผิดพลาดของแดนธรรมและผองเพื่อน เพราะการมาเที่ยวกับสองผัวเมียนี่เหมือนมาเดินในไร่ขิง กลิ่นขิงฉุนไปหมด น่ามคานสุดๆ เพราะไม่ว่าเศรษฐพงศ์จะเล่นอะไรคณิณก็เห็นดีเห็นงามตามไปหมด ยิ่งตอนดูดาวนี่เขาล่ะอยากสลายตัวเองให้ละลายซึมเข้าไปในเก้าอี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด

 

การฉายภาพดาวต่างๆพร้อมคำอธิบายบรรยายไปเรื่อยๆ เศรษฐพงศ์จ้องดูอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาไม่เคยมีโอกาสได้มาท้องฟ้าจำลองเลยซักครั้ง เพราะตอนเด็กๆฝังใจกับการนั่งรถ และแม่ก็เป็นห่วงเขามากเวลามีทัศนศึกษาวันที่เพื่อนๆไปเที่ยวเศรษฐพงศ์ก็นอนดูการ์ตูนอยู่บ้าน จนมัธยมต้นความอยากเที่ยวสถานที่พวกนี้ก็ลดน้อยลงไป เศรษฐพงศ์จ้องมองดาวดวงต่างๆอย่างตั้งใจ บางดวงที่เคยสงสัยว่าทำไมถึงตั้งชื่อแบบนั้นแบบนี้พอมีการร่างให้ดูเป็นรูปภาพก็ทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ คณิณแทบจะไม่ได้มองดาวบนเพดานนั่นเลยชายหนุ่มเอาแต่หันมามองคนน้อง

 

เขาจะต้องมองความสวยปลอมๆบนเพดานทำไม ในเมื่อดวงตาของเศรษฐพงศ์ที่ฉายชัดถึงความสุขน่นน่ะสวยงามยิ่งกว่าดาวดวงไหนๆบนโลกนี้ซะอีก

 

((ต่อข้างล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 31 27/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 27-01-2019 00:05:02


เศรษฐพงศ์หันหน้ามามองคณิณเมื่อฝ่ามือถูกสอดประสานและกุมไว้เบาๆ เด็กหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้คนรักก่อนจะละสายตากลับไปดูดาวดังเดิม ถภาพดาวหางปรากฏบนจอภาพเรียกรอยยิ้มให้กับคนน้องอีกครั้ง

 

                “ดาวหาง”

 

                “ครับ”

 

                “ไม่ๆ กูไม่ได้เรียกมึง กูให้มึงดูดาวหางนั่นไง”เศรษฐพงศ์ชี้ให้ดูดาวหางบนจอ

 

                “จะต้องไปดูมันทำไม ในเมื่อดาวหางของมึงนั่งกุมมือมึงอยู่นี่แล้ว”

 

                “กูไม่ให้มึงเป็นดาวหางแล้ว”เศรษฐพงศ์พูดออกมาเรียบๆ แต่คนพี่ถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งหลังตรงทำท่าเตรียมงอแง

 

                “ทำไมล่ะ ก็ไหนมึงเป็นคนขอให้กูอยู่เป็นดาวหางของมึงเองนะ”

 

                “นอนลง!!”เศรษฐพงศ์ใช้แขนดันร่างคณิณให้นอนลงตามเดิม

 

                “กูไม่ให้มึงเป็นดาวหางแล้วเพราะกูไม่อยากให้มึงหายไปนานๆ ตอนนี้มึงเป็นคนที่กูรัก เพราะฉะนั้นมึงเจิดจ้ากว่าสะเก็ดดาวพวกนั้น มึงเป็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ ท้องฟ้า มึงเป็นทุกๆอย่างในชีวิตของกูแล้วคินแล้วอย่างนี้มึงจะไปอยากเป็นดาวหางอีกทำไม”เศรษฐพงศ์รู้สึกได้ว่าคณิณเงียบและนิ่งไปเมื่อหันไปดูก็พบว่าคนพี่นอนน้ำตาไหลเป็นทาง

 

                “เฮ้ย...เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” กระซิบถามเสียงเบาพลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้

 

                “กู...กูตื้นตัน กูไม่คิดว่าวันหนึ่งมึงจะพูดอะไรแบบนี้กับกู”คณิณป้ายน้ำตาป้อยๆจนเศรษฐพงศ์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ โชคดีที่วันนี้คนไม่เยอะแต่พอหันไปข้างๆคณิณ แดนธรรมกำลังทำสีหน้าเอือมระอาสุดๆ

 

กูอยากเหวี่ยงอีสองผัวเมียนี่ออกไปนอกกาแลคซี่เลยอีเหี้ย ไปหวานกันไกลๆ กูอิจฉา!!!

 

                หลังจากดูดาวกันเสร็จออกมาเศรษฐพงศ์ก็คุยจ้อไม่หยุดเหมือนเด็กที่ได้ของถูกอกถูกใจ รอยยิ้มสดใสถูกกระจายเผื่อแผ่ให้กับเพื่อนทุกคน น่ารักจนคณิณอยากจะขอเข้าพบผู้อำนวยการแล้วขอซื้อท้องฟ้าจำลองไว้ให้คนน้องดูคนเดียว

 

กี่บาทบอกมาเลย เอาเช็คหรือเงินสดเดี๋ยวไปถอนมาให้

 

นี่ใคร คณิณสายเปย์ เปย์ไปให้สุดแล้วไปหยุดที่ส้นตีน

 

 

 

                “รถออกเจ็ดโมงห้าสิบ”ที่สุดหลังจากแดนธรรมกับพชรพลแยกตัวขับรถมุ่งเข้ากาญจน์ไปก่อนเศรษฐพงศ์ก็เดินถือตั๋วรถไฟเดินกลับมาหาคณิณ แพรกับอ้นเดินตามมาสมทบ

 

                “เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงไปหาอะไรกินกันเถอะมึง กูหิว”อานุพนธิ์ชะเง้อมองไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นตลาด ด้านหน้ามีร้านขายอาหารตั้งอยู่ เด็กหนุ่ม 4 คน จึงเคลื่อนขบวนข้ามไปฝั่งตรงข้าม

 

                “มีก๋วยจั๊บกับโจ๊กกินอะไรดีวะ”

 

                “โจ๊กก็ได้ง่ายๆดี”เศรษฐพงศ์ทำหน้าที่ไปสำรวจหน้าเค้าท์เตอร์ที่แม่ค้าจัดวางของอยู่ ด้านบนมีถ้วยใส่หมูสับ ไส้หมู ตับ และเครื่องในหมูวางอยู่

 

                “พี่ครับเอาโจ๊กพิเศษ 4 ชาม ชามหนึ่งเอาแต่หมูสับกับไข่นะครับ เครื่องในไม่ต้องใส่”เมื่อสั่งจบเด็กหนุ่มจึงกลับมานั่งที่โต๊ะ ไม่นานโจ๊กทั้งสี่ชามก็ถูกนำมาเสิร์ฟเศรษฐพงศ์เลื่อนชามที่ไม่ใส่เครื่องในให้คณิณคีบต้นหอมซอนใส่ชามให้โดยเว้นขิงสดไปเพราะรู้ดีว่าคณิณไม่กิน เทซอสใส่ให้เล็กน้อยจากนั้นก็จัดการส่วนของตัวเองในขณะที่แพรกับอ้นมองการกระทำที่เป็นธรรมชาติของทั้งสองคนด้วยสายตาปลื้มปริ่มเท้าแทบจะจิกกับพื้นซีเมนต์แข็งๆจนผ้าใบแทบขาด คณิณเดินไปซื้อน้ำมาให้เพราะไม่อยากกินน้ำแข็งจากแก้วของทางร้านเด็กหนุ่มไม่ลืมซื้อมาฝากเพื่อนๆอีกสองคนด้วย มื้อเช้าแสนเรียบง่ายจบลงก่อนที่รถไฟจะมาเพียง 10 นาที

 

                “เดี๋ยวเรานั่งฝั่งซ้ายมือติดสถานีนะ ตอนเช้าแดดจะได้ไม่โดนพระอาทิตย์มันขึ้นทางนี้จะได้ส่องไม่ถึง” เศรษฐพงศ์กะเกณฑ์ที่นั่งให้เรียบร้อยเมื่อขบวนรถเคลื่อนมาหยุดทั้งสี่คนก็ต้องรีบขึ้นเพราะจำนวนผู้โดยสารค่อนข้างเยอะถ้าช้าอาจจะไม่มีที่นั่งคณิณให้เศรษฐพงศ์ขึ้นไปก่อนเด็กหนุ่มเลือกนั่งริมหน้าต่างโดยมีคณิณนั่งติดกัน แพรกับอ้นนั่งฝั่งตรงข้าม ขบวนรถเริ่มเคลื่อนไปตามเวลาเศรษฐพงศ์มองวิวข้างทางด้วยความเพลิดเพลิน ลมเย็นตีปะทะใบหน้าผ่านทั้งเขตเมืองสลับกับทุ่งหญ้านาข้าวตามลำดับ ไม่นานความรู้สึกหนักก็สัมผัสลงบนไหล่เมื่อหันไปมองก็พบว่าคณิณนั่งหลับไปซะแล้ว คนน้องจึงดึงให้คนพี่นั่งซบกับไหล่ของตัวเองดีๆจะได้ไม่เมื่อยคอ


 

                “เด็กน้อย ตื่นเช้าเข้าหน่อยทำเป็นง่วง อ่อนหว่ะ”

 

แพรกับอ้นหันไปมองหน้ากันอย่างรู้กัน ช่างเป็นคำด่าที่ละมุนเสียเหลือเกินไอ้ห่าเอ๊ย

 

                “ไก่ย่างมั้ยคะไก่ย่าง หมูทอดข้าวเหนียวก็มีนะจ๊ะ”

 

            “น้ำเย็นมั้ยครับ ชากาแฟโอเลี้ยงก็มีนะครับ น้ำเย็นมั้ยครับน้ำเย็น”

 

            “สาคูไส้หมู มะม่วงมันก็มีนะจ๊ะ”

 

คณิณรู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกดังอยู่รอบตัว เมื่อลืมตาก็พบว่าขบวนรถจอดรับผู้โดยสารอยู่ที่สถานีรถไฟนครปฐม บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตางหอบหิ้วสินค้าขึ้นมาร้องขายบนรถ มีทั้งขาวเหนียวหมูปิ้งที่สภาพเหมือนหมูขาดสารอาหาร ไก่ทอด เฟร้นฟรายด์ สาคูไส้หมู หมูแดดเดียวทอดกับข้าวเหนียว น้ำเย็นที่ใส่กระป๋องหิ้วแช่น้ำแข็งมาราคาแพงกว่าข้างล่าง 1 เท่าตัว

 

                “กินอะไรมั้ย?”เศรษฐพงศ์เอ่ยถามคนที่ขยับตัวนั่งคณิณส่ายหัวในขณะที่แพรกับอ้นเรียกแม่ค้าทุกเจ้าที่เดินผ่าน

 

                “แดกเหมือนชูชก”คณิณค่อนขอดเพื่อนทั้งสองวคนที่ยัดอาหารทุกอย่างเข้าปาก

 

                “ก๋วยเตี๋ยวก็มีนะมึงลองมั้ย?”อานุพนธิ์คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวแห้งให้คณิณดู ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะเอนศีรษะกลับไปซบเศรษฐพงศ์ตามเดิม

 

                “ตื่นแล้วก็นั่งดีๆสิวะ”เศรษฐพงศ์ผลักหัวคณิณออก

 

                “ไม่เอา ยังง่วงอยู่เลย ขอนอนอีกแป๊บนะ”นอกจากไม่ยอมนั่งดีๆคณิณยังไถหัวไปมาบนไหล่ของเศรษฐพงศ์จนเด็กหนุ่มอ่อนใจ

 

                “มาทำให้กูเลี่ยนจนกินอะไรไม่ลงอีกแล้วไอ้เหี้ยนี่ กูไม่น่าตามพวกมึงมาเลย”

 

                ไทนไม่ไหวก็โดดหน้าต่างลงไปเลยไอ้สัด”

 

                “กับเพื่อนล่ะเกรี้ยวกราด”

 

                “กับแฟนนี่เหมือนลูกหมา”

 

                “เลือกเอาจะแดกไก่ทอดหรือแดกตีนกู”

 

หลังจากรถเคลื่อนออกจากสถานีนครปฐมอีกเกือบชั่วโมงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็ขึ้นมาบนรถเมื่อถึงสถานีหนองปลาดุก คราวนี้เศรษฐพงศ์ซื้อข้าวกระทงห่อเล็กๆที่ประกอบไปด้วยไข่พะโล้ แกงเขียวหวานและแกงพะแนงเนื้อ คณิณมองอาหารที่เศรษฐพงศ์ซื้อก่อนจะนึกสนุกจึงเอาด้วยแต่เว้นแพนงเนื้อเพราะชายหนุ่มไม่กิน เมื่อได้มาก็จัดการกินทีละอย่าง

 

                “อ่ะ ไอ้สัด ของจริงไม่ตรงปก”ชายหนุ่มบ่นอุบเมื่อตักไข่พะโล้ขึ้นมา ไข่ที่คิดว่าเต็มฟองแท้จริงแล้วมีเพียงครึ่งฟอง

 

                “เค็ม”เอ่ยบ่นเมื่อตักข้าวเข้าปากแล้วพบว่ารสชาติแทนที่จะหวานนำแต่กลับกลายเป็นเค็มแต่ก็นั่งกินจนหมดแม้จะบ่นกระปอดกระแปด จากนั้นก็จัดการกับแกงเขียวหวาน แต่กระทงนี้คณิณกินไปแค่ 2-3 คำ ก็วาง

 

                “เผ็ด”คณิณยกขวดน้ำขึ้นกระดกแล้วเมินใส่กระทงข้าวที่ยังเหลือ เศรษฐพงศ์รวบรวมขยะใส่ถุงพลาสติกแล้ววางไว้ใต้เก้าอี้เพื่อที่จะเก็บไว้ไปทิ้งตอนถึงกาญจน์ เมื่อรถแล่นเข้าจังหวัดกาญจนบุรีสภาพโดดยรอบก็เป็นทุ่งนาและสวนมีภูเขาล้อมรอบสุดลูกหูลูกตา ฝูงนกบินโฉบจากท้องฟ้าสู่นาข้าวด้านล่างกลิ่นหอมจากกลิ่นหญ้าโชยมาเป็นระยะ จากนั้นภาพก็ถูกเปลี่ยนเป็นบ้านช่องแน่นขนัด มีทั้งหลังสวยงามไปจนถึงสังกะสีผุพัง เมื่อรถเคลื่อนเข้าสู่สถานีกาญจนบุรีเด็กหนุ่มสี่คนก็เตรียมตัวลง ที่ปลายทางแดนธรรมนั่งรอด้วยท่าทางสบายๆอยู่กับพชรพลเรียบร้อยแล้ว

 

                “รอนานมั้ยวะ?”

 

                “ซักพักแล้ว เป็นไงอิ่มอกอิ่มใจดีมั้ย?”

 

                “อิ่มมากเลย เบาหวานจะแดกพวกกูแล้วเนี่ย”เป็นแพรที่ชิงตอบก่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนพลยกขโยงไปบ้านของคณิณ

 

ลดาชะโงกหน้าออกมาดูเมื่อรถของคณิณที่แดนธรรมเป็นคนขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน ในครัวคราคร่ำไปด้วยบรรดาเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์และคณิณกำลังขมักเขม้นช่วยลดาเตรียมอาหารอยู่ในครัว  ครัวที่เคยกว้างแคบลงไปถนัดตาเมื่อมีเด็กหนุ่มตัวใหญ่อัดแน่นกันจนเต็มพื้นที่

 

                “หิวมั้ยลูก รอก่อนนะเดี๋ยวทำเสร็จแล้วไปกินกันที่สนามหญ้าเนอะ”

 

                “ไม่หิวเลยแม่เซ็ทกินข้าวกระทงจากบนรถมาแล้ว”เศรษฐพงศ์ปรี่ไปกอดแม่ก่อนจะหอมแก้มซ้ายขวาของคนเป็นแม่ปิดท้ายด้วยการจุ๊บเบาๆลงบนปากของแม่ด้วยความเคยชินเรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆได้พอสมควร

 

                “ไรกันพวกมึงไม่เคยจุ๊บแม่กันเหรอวะ?”

 

                “ไม่อ่ะแม่กูไม่อ่อนโยนลองไปจุ๊บเดี๋ยวคุณมยุรีตีตายห่า”จิรนันท์หันกลับมาตอบในมือถือที่ปอกผลไม้กำลังปลุกปล้ำกับแตงกวาในกะละมัง

 

                “เซ็ทกับคินไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนไปลูกตัวเหม็นกลิ่นสนิมเต็มที”คนเป็นแม่ไล่ลูกชายกับลูกเลี้ยงให้ไปอาบน้ำเพราะหล่อนได้กลิ่นสนิมๆอันมาจากควันจากรถไฟที่นั่งมาเศรษฐพงศ์คุยเล่นกับเพื่อนอยู่สองสามคำก็แยกตัวขึ้นไปอาบน้ำ

 

                “กูอาบด้วย”อ้นกับแพรสองผู้ร่วมชะตากรรมเดินตามคณิณขึ้นไปบนห้อง ชายหนุ่มชี้ให้เพื่อนไปเลือกเสื้อผ้าในตู้เอาเองก่อนตัวเองจะคว้าชุดลำลองที่ใส่สบายแล้วเดินไปหาเศรษฐพงศ์ที่ห้อง เจ้าของห้องหันมามองเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก

 

                “ไอ้อ้นกับไอ้แพรไปอาบน้ำที่ห้องน่ะ”

 

                “แล้วไง?เศรษฐพงศ์ถามอย่างไม่เข้าใจ

 

                “กูขี้เกียจรอ เลยจะมาอาบกับมึง”

 

                “ไม่เอากลับไปอาบที่ห้องมึงเลย เดี๋ยวมึงทะลึ่ง”เศรษฐพงศ์เอ่ยปฎิเสธทันที

 

                “อาบน้ำจริงๆไม่ทำอะไรหรอกน่า ไปสิอาบพร้อมกันจะได้ไม่เสียเวลา เร็วๆเดี๋ยวแม่มึงรอนาน”คณิณดันหลังคนน้องให้เข้าไปในห้องน้ำโดยที่เศรษฐพงศ์เองก็พยายามฝืนตัวไว้

 

                “อื้อ...ไหนบอกว่าอาบน้ำเฉยๆไงวะ” เสียงโวยวายเบาๆดังลอดออกมา

 

          “กูไม่ได้ทำอะไรเลยนะแค่ช่วยฟอกสบู่เนี่ย”

 

                “มึงไม่ต้องเลยฟอกสบู่อะไรของมึงฟอกแม่งอยู่ที่เดียวจนมันแข็งแล้วเนี่ย”

 

                “มึงนี่มันลามกจริงๆไอ้เซ็ท อ่ะๆ กูให้ลูบคืนจะได้แข็งเหมือนกัน”

 

                “สัปดนไอ้เหี้ย รีบอาบแล้วรีบออกไปเลย”

 

ป้าบ!!

 

         “โอ้ย...มึงตีกูทำไมเนี่ยไอ้เซ็ท”

 

                “ใครใช้ให้มึงมาแหย่ตูดกูล่ะไอ้เหี้ย ออกไปเลยกูไม่ให้อาบด้วยแล้วสันดานนี่”

 

                “กูก็เผื่อมึงเคลิ้มเฉยๆไม่ได้ก็ไม่เป็นไรซักหน่อย”

 

กว่าจะอาบน้ำเสร็จห้องน้ำก็เกือบกลายเป็นสังเวียนให้เศรษฐพงศ์ได้ฟาดปากกับคณิณเมื่อคนพี่หาเศษหาเลยจับนั่นนิดนี่หน่อยตลอดการอาบน้ำ

 

                “เอ่อ...กูว่ามึงกับกูลงไปรอพวกมันข้างนอกเถอะ ไม่งั้นเราสองคนนี่แหล่ะจะแข็งไปกับพวกมันด้วย”แพรหันไปบอกกับอ้นที่เขาสองคนอาบน้ำเสร็จเลยแวะมาหาคณิณกับเศรษฐพงศ์ที่ห้องของคนน้อง แล้วก็ต้องยืนกลั้นหายใจกันทั้งคู่เมื่อได้ยินบทสนทนาทั้งหมดดังแว่วออกมาจากด้านใน

 

                “ทำไมกูต้องมาเจอกับอะไรพวกนี้ด้วยวะไอ้แพร”

 

                “เหมือนโดนมันสองคนฆ่าให้ตายซ้ำตายซากเลยไอ้สัด ล็อกห้องให้มันด้วยเผื่อใครเข้ามาอีก”

 

               ไม่ปราณีคนโสดเลยสัดเด้ย!!!



.......................................



อาบน้ำเฉยๆไม่มีอะไรจริงๆ สาบานด้วยเกียรติของยุวกาชาดหมูสี่สีเขียว
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 31 27/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 27-01-2019 09:39:09
อิพี่คินคนหื่น 2019

หื่นไม่เว้นช่องไฟ

หื่นไม่เกรงใจเพื่อน

หื่นจนเพื่อนเบาหวานขึ้นตา
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 32 28/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 28-01-2019 11:16:24
ตอนที่ 32


 สนามหญ้าหน้าบ้านที่เคยโล่งกว้างบัดนี้เต็มไปด้วยบรรดาเด็กหนุ่มนับสิบชีวิตกำลังสาละวนวุ่นวายกับการจัดเวทีเล็กๆที่ริมสุดติดกับตัวบ้าน เวทียกพื้นที่ถูกจัดอย่างง่ายๆ ผ้าม่านสีฟ้าถูกนำมาขึง โฟมที่ถูกตัดเป็นคำอวยพรวันเกิดและอวยพรฉลองครบรอบการแต่งงานของคณิตและลดาถูกติดหราเด่นเป็นสง่า กีต้าร์โปร่งสองตัวถูกนำขึ้นมาวางใกล้ๆคีบอร์ด เก้าอี้ถูกยกขึ้นมาเสริม 2 ตัว ขาไมค์ถูกจัดไว้สามตัว ลำโพงราคาแพงถูกลองด้วยการเปิดเพลงจากในคอม แดนพยักหน้าหงึกๆอย่างพอใจ คณิณเองก็ยืนมองภาพรวมของเวที แพทกับแพรกำลังวุ่นวายกับการสูบลมใส่ลูกโป่งแล้วนำไปผูกประดับทำเป็นซุ้มรอบเวที

 

ไม่ไกลกันพวกของเศรษฐพงศ์กำลังวุ่นวายกับการจัดดอกไม้สดเพื่อนประดับรอบงาน รวมทั้งตัดดอกกุหลาบหลากสีใส่แก้วทรงสวยวางบนโต๊ะกลมที่ปูทับด้วยผ้าลูกไม้สีขาว ทุกคนช่วยงานกันขะมักเขม้น ส่วนด้านริมสนามถูกตั้งเป็นครัวชั่วคราว บรรดาญาติๆของทั้งคู่ที่เป็นผู้หญิงต่างขมักเขม้นช่วยกันประกอบอาหารเพื่อจะเลี้ยงแขกทั้ง 20 โต๊ะ ซึ่งส่วนมากก็เป็นญาติพี่น้องลูกหลานรวมไปทั้งคู่ค้าและเพื่อนฝูงที่สนิทกันจริงๆเท่านั้น ภายในบ้านคณิตพูดคุยกับญาติที่เป็นผู้ชายอย่างออกรส นานๆครั้งคณิณที่เดินเข้าไปเอาของจะเข้าไปพูดคุยด้วยบ้าง คำถามที่ถูกถามก็มีทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว บ้านที่เคยเงียบสงบบัดนี้กลับครึกครื้นและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข

 

และเพราะเป็นหลานรักของทั้งอากงอามารวมทั้งบรรดาอาโกวอากู๋ทั้งหลายก็ต่างรักคณิณมาก ตอนนี้กระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงของเด็กหนุ่มก็อัดแน่นไปด้วยธนบัตรใบสีเทา ยังไม่รวมสร้อยทองหนัก 5 บาท ที่อาม่าถอดให้สดๆตอนคณิณเข้าไปกอดไปหอมไปฉอเลาะบอกคิดถึงอาม่าอย่างนั้นอย่างนี้ตอนท่านลงจากรถ

 

ดังนั้นตอนนี้คณิณก็กลายร่างเป็นแร๊พเปอร์หนุ่มมีสร้อยทองเส้นเท่าโซ่คล้องคอเดินร่อนไปรอบบ้านเพราะถอดไม่ได้เดี๋ยวอาม่าเคือง

 

แค่เงินในกระเป๋าก็ซื้อรองเท้าได้ 2 คู่ ล่ะ

 

            “คินๆ”ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียก จิณณวัตรกวักมือเรียกเขาจากนอกบ้านชายหนุ่มจึงขอตัวออกมาจากบรรดาพี่น้อง

 

            “ว่า?”

 

            “มึงจะซ้อมอีกรอบมั้ย?”

 

            “ไม่ต้องแล้ว แขกเริ่มมาเยอะแล้ว กูไม่อยากให้ใครรู้ด้วยว่ากูจะแสดงอะไร ไว้เล่นตอนขึ้นเวทีเลยแล้วกัน”

 

            “เออ เอาตามนั้นก็ได้ ว่าแต่เสี่ย มึงปวดต้นคอมั้ย ถ้าปวดถอยสร้อยมาฝากกูไว้กูได้นะ”จิณณวัตรมองสร้อยทองเส้นใหญ่บนคอเพื่อนด้วยตาเป็นประกาย

 

            “ไม่ได้อ่ะ อาม่ากูสอนไว้ ว่าอย่าฝากเนื้อไว้กับหมา”คณิณพูดจบก็เดินปรี่เข้าไปช่วยเศรษฐพงศ์ยกฟลอราโฟมที่เอาไว้จัดดอกไม้

 

            “ไม่ต้องช่วยก็ได้มึง มันไม่ได้หนักอะไร”เศรษฐพงศ์บอกกับคนที่รีบเข้ามาช่วยยกกะลังมันมีฟลอราโฟมแช่น้ำไว้จนเต็ม

 

            “ไม่หนักบ้าอะไร เดี๋ยวได้หลังหักล่ะมึง”คณิณส่งเสียงเอ็ดเบาๆเมื่อยื่นมือไปช่วยยกฟลอร่าโฟมที่แสนจะหนักอึ้ง

 

            “ถ้าจะหลังหักคนทำมึงต้องเป็นกูเท่านั้น”คำพูดสองแง่สองง่ามถูกกระซิบเบาๆจนคนฟังถึงกับหน้าร้อนหันรีหันขวางเพื่อดูว่ามีใครอยู่บริเวณนั้นมั้ยก่อนจะใช้มืออีกข้างฟาดป้าบลงบนหัวคณิณเต็มแรงเล่นเอาคนโดนฟาดถึงกับหัวชาไปพักหนึ่งคณิณใช้มืออีกข้างที่ว่างลูบหัวตัวเองป้อยๆอย่างน่าสงสาร

 

            “พูดเหี้ยไรเนี่ยถ้าใครมาได้ยินทำไง”

 

            “ดีสิเค้าจะได้รู้ว่ากูกับมึงรักกัน”

 

            “มึงหุบปากไปเลยนะ รีบๆขนมาเร็วๆจะห้าโมงเย็นอยู่แล้วงานยังไม่เสร็จ”

 

            “เขินก็บอกว่าเขินนะเซ็ทกูไม่แซ็วมึงหรอก”

 

            “เขินพ่อง!!”

 

            “กิ้วๆ”คณิณส่งเสียงแซ็วเศรษฐพงศ์ที่หน้าเริ่มแดงไม่รู้ว่าแดงเพราะเขินหรือเพราะเริ่มโกรธ

 

            “กิ้วที่หน้ามึงสิ ถ้ายังไม่เลิกแซ็วกูจะเอาฟลอรายัดปากมึง”

 

            “ทำไมไม่อ่อนโยนกับกูทำไมมึงลุนแลงตัลหลอด”

 

            “โอ้ย...ไอ้เหี้ย ปล่อยเลย กูยกคนเดียวไม่ต้องมาช่วยแล้ว”เศรษฐพงศ์ออกแรงดึงกะละมังจะยกคนเดียวแต่มีเหรอคนแบบคณิณจะยอม

 

            “น่าๆๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปๆยกดีๆสิ”

 

 

           

            “ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณพ่อคณิตด้วยนะครับ อาหารเราเป็นแบบบุพเฟต์ตั้งอยู่ทางด้านนี้นะครับบรรดาแม่ๆของพวกเราตั้งใจปรุงกันสุดฝีมือตั้งแต่เช้าหวังว่าจะถูกปากนะครับ”โอบนิธิกับจิณณวัตรรับหน้าที่เป็นพิธีกรในวันนี้เอ่ยทักทายแขกเหรื่อที่เริ่มทยอยมาร่วมงานด้วยความไหลรื่นด้วยเป็นเด็กช่างคุยและมีอารมณ์ขันจากนั้นไม่นานญาติที่มีอายุก็มารับช่วงต่อในการดำเนินรายการสร้างความสนุกสนานทั้งการรับมุกตบมุกราวกับรู้จักกันมานาน นักดนตรีจำเป็นเช่น แพร ว่าน และอ้น บรรเลงเพลงทั้งเก่าทั้งใหม่เพื่อสร้างบรรยากาศ ส่วนคนที่เหลือไปช่วยกันดูแลความเรียบร้อยตามจุดต่างๆ คณิณกับเศรษฐพงศ์มีหน้าที่ต้อนรับแขกใกล้ๆพ่อแม่ คำอวยพรมากมายถูกเอ่ยบอกเจ้าภาพ วันนี้ลดาสวยกว่าปกติ มือข้างหนึ่งถูกคณิตกุมไว้ไม่ได้ห่าง มืออีกข้างก็คล้องแขนลูกชายไว้อย่างรักใคร่ ข้างกายเธอมีทั้งสามีและลูกชายทั้งสองคนแค่นี้เธอก็พอใจแล้ว

 

หลังจากรอคอยมานานตอนนี้คณิณที่เคยตึงใส่เธอก็พูดคุยและทำดีกับเธอปฎิบัติกับเธอด้วยความเคารพมากขึ้น จริงอยู่ว่าบางครั้งจะยังมีความขัดเขินอยู่บ้างแต่แค่นี้เธอพอใจแล้ว ญาติๆของคณิตที่เคยตั้งแง่รังเกียจกล่าวหาว่าเธอจะมาเกาะคณิตกินตอนนี้ก็ปฏิบัติกับเธออย่างให้เกียรติสมกับเป็นพี่สะใภ้พ่อแม่ของคณิตก็ยอมรับเธอในฐานะลูกสะใภ้แม้ตอนแรกท่านทั้งสองแทบจะไม่สนใจเรียกได้ว่าแทบจะไม่แลมองมาทางเธอกับลูกเลยด้วยซ้ำแต่ลดาใช้ความอดทน แสดงให้คนเหล่านั้นดูว่าเธอรักและจริงใจกับคณิตและคณิณจริงๆรวมทั้งเธอยังให้ความสำคัญกับบุพการีของสามีคอยไปเยี่ยมหาไม่ได้ขาด อาหารดีๆมีประโยชน์ถูกหอบหิ้วไปให้ วันไหนที่หยุดที่ว่างเธอจะแวะเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบรวมทั้งบางครั้งก็พาท่านทั้งสองที่อายุมากแล้วไปหาหมอตามนัดตอนนี้ลดาจึงเลื่อนขั้นจากสะใภ้นอกสายตากลายเป็นสะใภ้ใหญ่คนโปรดเรียบร้อยแล้ว

 

ชีวิตของเธอตอนนี้มีความสุขมาก มากจนไม่รู้สึกว่าในอนาคตจะมีอะไรมาพรากมันไปได้ หล่อนกวาดสายตามองผู้คนที่เข้ามาแสดงความยินดีน้ำตาคลอเบ้าจนเศรษฐพงศ์ที่ถูกแม่กุมมือไว้สังเกตเห็น

 

            “เป็นอะไรครับคนสวย หืม?”

 

            “ไม่เป็นอะไรครับแม่แค่มีความสุข”

 

            “ขี้แยจังนะแม่สาวน้อย”ว่าพลางใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาที่ปริ่มขอบตาให้แม่เบาๆ คนเป็นแม่หัวเราะเบาๆกับคำพูดคำจาของลูกชาย

 

            “อย่าร้องให้ออกมานา เดี๋ยวเมคอัพเลอะไม่สวยนะ”

 

            “เรานี่จริงๆเลยชอบพูดให้แม่ขำ คนมาเยอะแล้วเซ็ทไปช่วยเพื่อนๆดูแลแขกเถอะ ดูซิมาช่วยกันตั้งแต่เช้ามืดไม่ได้หยุดกันเลย”

 

            “มันชอบแม่มีข้าวฟรีเหล้าฟรีมันทำงานถวายหัวเลย”

 

            “งั้นคินกับเซ็ทไปรวมตัวกับเพื่อนๆเถอะแขกน่าจะมาเกือบครบแล้ว ไปนั่งรวมกันนะเด็กๆ ไม่ต้องมานั่งโต๊ะเดียวกับพ่อแม่หรอกมีแต่ผู้ใหญ่เดี๋ยวจะไม่สนุก”คณิตหันไปบอกกับลูกชายเมื่อบรรดาแขกทยอยมากันจนเกือบครบแล้วกะจากสายตาแขกที่นั่งคุยกันตามโต๊ะ

 

            “เซ็ท เดี๋ยวไปกับกู”

 

            “ไปไหนอ่ะ?”

 

            “ไปเอาเค้กกูสั่งเค้กไว้นัดรับตอนหกโมงเดี๋ยวให้เพื่อนมึงคนหนึ่งไปด้วยกูสั่งไว้ 2 ก้อน วันเกิดป๊าก้อนหนึ่ง ครบรอบแต่งงานก้อนหนึ่งไปช่วยกันถือ”

 

            “เออ งั้นกูเอาไอ้จินไป”เศรษฐพงศ์เดินแยกไปหาแฝดน้องที่กำลังช่วยวีรดนัยผูกลูกโป่งอยู่แถวเวทีไม่นานทั้งเศรษฐพงศ์กับจิฃรนนท์ก็มานั่งหน้าแป้นบนรถที่คณิณขับออกไป

 

            “เอาล่ะครับตอนนี้ก็ขอเชิญบ่าวสาว เอ้ย ไม่ใช่ คุณพ่อคุณแม่ออกมาเป่าเค้กฉลองครบรอบแต่งงานได้เลยนะครับ”จิณณวัตรเอ่ยแซวพ่อแม่ของเพื่อนเรียกเสียงฮาให้คนรอบข้าง คณิตกับลดารับมีดพลาสติกมาถือไว้ เค้กก้อนใหญ่ด้านบนเป็นรูปคนแก่ถือไม้เท้าสองคนนั่งอยู่บนแคร่หน้าภูเขาใหญ่ คณิณสั่งทำเป็นพิเศษมาให้ เค้กถูกตัดแบ่งแจกจ่ายให้แขกรวมทั้งเค้กวันเกิดด้วยเช่นกันเสียงร้องเพลงอวยพรดังมาจากเวที คณิณกับจิณณวัตรประจำที่อยู่บนเก้าอี้เล่นกีต้าร์โปร่งกันคนละตัว มีแพรเล่นคีบอร์ดประสาน จิณณวัตรเป็นต้นเสียงในการร้องเพลง เมื่อเพลงอวยพรจบแล้วคณิตกับลดาก็ไปนั่งที่ ก่อนที่จิณณวัตรจะร้องเพลงพิเศษมอบให้เจ้าของงาน เริ่มตั้งแต่เพลงลมหายใจของกันและกัน ตามด้วยรักนิรันดร์ คณิณเล่นกีต้าร์โปร่งด้วยท่าทางตั้งใจ อันที่จริงเขาร้างการเล่นไปนานแล้วจนนิ้วเริ่มจะแข็งแต่ก็กลับมาเล่นอีกครั้งเพื่อเป็นของขวัญให้พ่อกับลดา  เศรษฐพงศ์มองภาพบนเวทีด้วยสายตาชื่นชม

 

เวลาคณิณตั้งใจทำอะไรซักอย่างคณิณจะมีความเท่ห์ออกมาโดยธรรมชาติ บุคลิกน่ามองทำให้ไม่สามารถละสายตาไปจากโชว์บนเวทีได้เลย แม้เสียงของว่านจะเพราะจนสะกดคนฟังได้แค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถดึงสายตาของเศรษฐพงศ์ออกไปจากคณิณได้เลย เสียงปรบมือดังลั่นพร้อมกับคำชื่นชมคณิตเดินไปยื่นแบงค์พันให้ลูกชายกับเพื่อนๆคนละใบเป็นการตบรางวัล ญ
ติคนอื่นๆเห็นดังนั้นก็ไม่ยอมน้อยหน้าลุกกันทยอยเอารางวัลไปให้นักดนตรีทั้งสามจนว่านกับแพรยิ้มกริ่ม

 

ถ้าปีหน้าจัดอีกกูก็จะมา ได้ค่าข้าวค่าเหล้าไปหลายมื้อ

 

            “ขอบคุณสำหรับรางวัลนะครับ ต่อไปเป็นการแสดงพิเศษของไอ้คินเพื่อนผมเองนะครับ เพลงนี้มันซ้อมมาหลายวันเพื่อเป็นของขวัญพิเศษให้คนที่มันรักที่สุดนั่นก็คือครอบครัวตรงหน้านะครับ”คณิณเงยหน้าจากโทรศัพท์ที่กดอะไรบางอย่างอยู่ยิ้มให้กับทุกคนที่ปรบมือส่งเสียงเชียร์เกียวกราว เศรษฐพงศ์หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูหลังจากเสียงไลน์ดังขึ้น

 

            “จับตาดูให้ดีนะ เพลงนี้กูตั้งใจมอบให้มึง”เศรษฐพงศ์เงยหน้ามองเวทีก็เห็นคณิณจ้องมองตัวเองอยู่ ชายหนุ่มปรับไมค์ให้พอดีกับปากตัวเอง เสียงกีต้าร์ของจิณณวัตรเล่นนำก่อนที่คณิณจะเล่นประสานเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยเนื้อร้องเพลงลูกทุ่งเก่าเพลงหนึ่งที่ถูกปรับทำนองให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น

 







เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้ว...กันไปได้
ถ้าเคยทำบุญร่วมไว้
ถึงจะยังไงก็ต้อง เจอะกัน
เขาเรียกบุพสันนิวาส สร้างสรรค์
คงเคยตักบาตรร่วมขัน
สร้างโบสถ์ร่วมกันไว้ในชาติก่อน
น้องสบตาพี่ ไม่หลบตาหนี...พี่รู้แน่
หัวใจของพี่พ่ายแพ้
รักน้องศรีแพเสียแล้วแน่นอน
รักเกิดจากใจ
ใครมิได้ เสี้ยมสอน
มิใช่ภาพลวงภาพหลอน
พี่รักบังอรก็เพราะบุพเพ
พี่เป็นคนจริงพูดจริงทําจริงน้องหญิง
อย่าพึ่งสนเท่ห์
อย่าเพิ่งขว้างทิ้ง
พี่คือเพชรจริง มิใช่เพชรเก๊
เมือรักพี่แล้ว อย่ารวนอย่าเร
นะน้องจ๋า
เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้ว คงไม่คลาด
ถ้าเราทำบุญร่วมชาติ
ขอยอมเป็นทาสแม่ดวงสุดา
เขาเรียกบุพเพสันนิวาสเรียกหา
พี่จึงมั่นใจแน่นหนา
แม่ขวัญชีวาคงไม่ตัดรอน

เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้ว...กันไปได้
ถ้าเคยทำบุญร่วมไว้
ถึงจะยังไงก็ต้อง เจอะกัน
เขาเรียกบุพเพสันนิวาส สร้างสรรค์
พี่จึงมันใจแน่นหนา
แม่ขวัญชีวาคงไม่ตัดรอน.

 

เศรษฐพงศ์นั่งฟังเนื้อหาเพลงแสนหวานนั้นในหัวพลันปรากฏภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาตลอดสามปี ทั้งการเจอกันครั้งแรก การปะทะคารมกันนับไม่ถ้วน ภาพการทะเลาะวิวาทการลงไม้ลงมือจนถึงขั้นเลือดตกยางออก หลุดขำเมื่อนึกถึงตอนสงครามหมูกะทะที่ลงท้ายด้วยการเข้าไปนั่งจ้องหน้าอาฆาตกันในคุก ภาพจูบแรกที่เกลียดแสนเกลียด คำพูดต่างๆของคณิณลอยเข้ามาเป็นฉากๆราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จนกระทั่งมารักกันในวันนี้

 

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นบุพเพอาละวาดมากกว่าบุพเพสันนิวาส

 

อยากจะขอบคุณคณิณที่กล้าที่จะเปิดเผยใจตัวเองสารภาพว่ารักเขาก่อนทั้งๆที่ตีกันแทบเป็นแทบตาย

 

ถ้าวันนั้นคณิณไม่มาเจอเขาไม่บอกว่าจะรอ ยอมเป็นดาวหางที่แทบจะไม่มีค่ามีความสำคัญอะไร ตอนนี้เศรษฐพงศ์คงไม่ได้มานั่งฟังเสียงร้องทุ้มๆเพี้ยนๆแบบนี้

 

ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าเพลงนี้เพราะแต่ต่อไปเพลย์ลิสต์ของเศรษฐพงศ์คงจะมีเพลงนี้ของทุกเวอร์ชั่นแน่นอน



((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 32 28/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 28-01-2019 11:16:56




 

            “ไอ้ยิม เดี๋ยวส่งคลิปนี้ให้กูด้วยนะ”หันไปบอกยงศกรที่ถือโทรศัพท์อัดคลิปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เศรษฐพงศ์มองไปหน้าเวทีแน่นอนอากงอาม่าญาติๆของคณิณต่าวงรุมล้อมมอบรางวัลให้หลานชายคนโตราวกับจะแข่งกันไม่เว้นแม้แต่แม่ของเขาที่ก็เดินไปตบรางวัลให้กับคณิณด้วย หลังจากรับรางวัลเสร็จคณิณก็เดินลงมาจากเวทีแล้วผลุบหายเข้าไปในบ้านเพื่อเอาเงินไปเก็บเศรษฐพงศ์ได้โอกาสจึงเดินตามเข้าไปอย่างเนียนๆโดยไม่มีใครสังเกตเด็กหนุ่มมาหยุดหน้าห้องนอนของคนพี่หลุดหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินเสียงฮัมเพลงที่เจ้าตัวเพิ่งร้องจบไปเมื่อซักครู่ เศรษฐพงศ์ดันประตูเข้าไปก่อนจะปิดลงเบาๆย่องไปด้านหลังแล้วสวมกอดเอวสอบไว้ คณิณสะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อหันมาพบว่าเป็นคนรักก็ยิ้มกริ่มหันมากอดตอบ

 

            “ทำอะไรเนี่ย” แกล้งถามคนที่กอดตัวเองนิ่ง

 

            “เพลงเพราะดีนะ”เอ่ยชมออกไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

 

เพราะแต่เพี้ยน ความคิดค้านในใจดังขึ้นแต่ไม่ได้พูดออกไป

 

            “แล้วชอบมั้ย?”

 

            “ชอบ...ชอบสิ ชอบมากๆ”

 

            “ชอบแล้วไหนล่ะรางวัล คนอื่นให้กูมาเยอะเลยแต่มึงไม่ให้”

 

            “ใครบอกมึง”เศรษฐพงศ์เอ่ยเถียงก่อนจะจ้องหน้าคนพี่ตาแป๋ว

 

            “ก็ตามมาให้รางวัลอยู่นี่ไง...ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่มึงทำให้กูเลย ขอบคุณที่รักกูเลือกกูทั้งๆที่หน้าตาแบบมึง ฐานะแบบมึงจะเลือกใครก็ได้แต่มึงก็ยังเลือกกู รอกู อดทนเพื่อกู”เศรษฐพงศ์ส่งยิ้มบางๆให้คณิณก่อนจะยกมือประคองกรอบหน้าของคนพี่ไว้ ใบหน้าของคนน้องค่อยๆเคลื่อนเข้าหาอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งริมฝีปากร้อนผ่าวประกบกับริมฝีปากของคนพี่ จูบแสนอ่อนหวานถูกมอบเป็นของรางวัลให้คณิณก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่งหัวแม่มือถูกเกลี่ยลงบนกลีบปากของคนเป็นพี่เบาๆ

 

            “กูรักมึงนะคิน รักมึงมากๆ รักมึงคนเดียว กูกล้าพูดคำนี้แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปช่วยอดทนกับกูให้มากๆนะ”

 

            “กูก็รักมึง รักมากๆเหมือนกัน ไม่ว่ามึงจะชอบด่ากู ตีกูยังไงกูก็ไม่โกรธ บอกรักกูแล้วรับผิดชอบใจกูด้วย ทนความเอาแต่ใจของกูให้ได้นะ อย่าเบื่อกู”

 

            “ไม่มีทางซะหรอก กูไม่ยอมทิ้งบ่อเงินบ่อทองแน่ๆ บนโต๊ะนั่นท่าทางหลายหมื่น”

 

            “อ่ะ รักกูหวังผลอีกไอ้เหี้ย”คณิณดีดหน้าผากคนน้องเบาๆ

 

            “บ้าเหรอ รักมึงอ่ะเรื่องจริงแต่เงินน่ะผลพลอยได้”

 

            “ยอมเป็นเมียกูสิ จะเอาอะไรกูจะประเคนให้เลย”

 

            “ส้นตีน เปิดช่องไม่ได้เลยไอ้สันดาน ไปๆ ลงไปข้างล่างได้แล้ว หายมานานเดี๋ยวพ่อกับแม่จะถามหา”

 

            “บ่ายเบี่ยงให้ได้ตลอดนะมึงอ่ะ”คณิณตบป้าบลงไปบนก้นของเศรษฐพงศ์แรงๆก่อนจะรีบยกมือขึ้นตั้งการ์ดเมื่อคนน้องหันมาเงื้อมือสูง

 

อย่านะมึง

 

กูเป็นมวยนะ เนี่ยเงื้อมือตั้งการ์ดและพนม สวัสดีครับเมีย

 

โถ...ไอ้สัดคิน  มึงจะออกลายกลัวเมียแบบนี้ไม่ได้นะ ไม่คูลเลย







 

 

            “ป๊า คินอยากทำหอพัก”ในตอนสายของวันรุ่งขึ้นคณิณเดินเข้าไปหาคนเป็นพ่อแล้วเอ่ยจุดประสงค์ที่ต้องการ ผู้เป็นพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องนำงานถึงกับลดหนังสือพิมพ์ลงแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกชายพูด

 

            “คือคินอยากเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ว่าสร้างหอพักต้องใช้เงินเยอะพอสมควรคินเลยอยากรบกวนป๊า”

 

            “จะยืมเงิน? เงินคินก็มีนี่ ที่ดินของแม่ก็เยอะตัดแบ่งขายไปบ้างก็ได้”

 

            “ป่าว คินไม่ได้จะยืมเงินป๊า แต่คินอยากรบกวนให้ป๊าช่วยออกหน้ายื่นกู้ธนาคารให้หน่อย จริงอยู่ที่เงินฝากคินมีเยอะแต่ถ้าเอามาลงทุนหมดเงินสำรองก็จะไม่เหลือถ้าเกิดมีอะไรต้องจ่ายมันจะไม่พอเอา อีกอย่างคินอยากเป็นหนี้คินจะได้มีความกระตือรือร้นที่จะทำงาน”

 

            “จริงๆคินเอาเงินป๊าไปลงทุนก่อนก็ได้นะ”ผู้เป็นพ่อยื่นข้อเสนอให้ ยังไงเงินของเขามันก็คือเงินในอนาคตของคณิณนั่นแหล่ะ

 

            “ไม่เอาครับ คินอยากเริ่มด้วยตัวของคินเอง ตอนนี้คิน 20 แล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย คินจำได้ที่ป๊าเคยเล่าให้ฟังว่าป๊าเริ่มมีธุรกิจของตัวเองตั้งแต่ 18-19 คินเริ่มช้ากว่าป๊า  ตอนนี้คินโตแล้วหมดเวลาที่ทุกคนจะมารุมเอาอกเอาใจแล้ว”

 

            “แล้วทำไมเลือกทำหอพักล่ะ มันลงทุนสูงนะ กว่าจะคืนทุนน่าจะหลายปี”

 

            “ที่คินทำหอพัก หนึ่งคินอยากออกแบบมันด้วยตัวเอง สองมันเก็บกินได้ในระยะยาว สามการดูแลไม่ยุ่งยาก สี่คินมีที่ดินผืนที่จะลงทุนอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้คินขาดแค่เงินทุน ถ้าป๊ายื่นกู้ให้คินผ่านคินก็จะเริ่มดำเนินงานทันที ส่วนวัสดุคินก็จะสั่งกับป๊านี่แหล่ะในราคาเต็มเพราะคินถือว่านี่มันคือธุรกิจ ที่คินต้องรบกวนป๊าให้ยื่นกู้ให้เพราะคินอายุยังน้อยความน่าเชื่อถือยังไม่มีป๊าจะช่วยคินได้มั้ยครับ”

 

            “มันจะยากนะคินเพราะป๊าอายุ 50 แล้ว ถ้าไปยื่นกู้จะไม่ผ่าน ปกติมันผ่อน 30 ปี เค้าจะไม่อนุมัติเอานะลูก เอางี้มั้ยคินออกเอง 10 ล้าน ป๊าออกให้ 10 ล้าน พอหอพักเสร็จคินค่อยทยอยคืนป๊าทุกเดือนมันจะง่ายกว่า”

 

“แต่คินกลัวเงินหมดบัญชีนะป๊า ถ้าเอาออกมา 10 ล้าน เงินในบัญชีก็จะเหลือไม่เท่าไหร่”คณิณมีท่าทางคิดหนัก เงินในบัญชีของเขามีเกินสิบล้านก็จริงแต่เขาพอใจที่ให้มันเป็นตัวเลขในบัญชีมากกว่าการเอาสมุดมาดูแล้วจำนวนหลักมันหายไป ทุกวันนี้ชายหนุ่มเรียนด้วยเงินที่อาก๋งอาม่าให้ เป็นคำพูดของอาก๋งอาม่าเองว่าจะออกค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนของหลานทุกคนให้แล้วแต่ว่าใครจะเรียนได้มากน้อยแค่ไหน จริงๆอาม่าอยากให้คณิณไปเรียนเมืองนอกเสียด้วยซ้ำแต่ชายหนุ่มขอเรียนที่เมืองไทยไปก่อนในขณะที่ญาติพี่น้องคนอื่น 2-3 คน เลือกที่จะเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ ส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนคณิตให้เป็นเงินเดือนแล้วให้เขาบริหารเงินเองยังมีพิเศษจากอาม่าที่แบ่งเงินชดเชยจากค่าเทอมพี่น้องคนอื่นได้เท่าไหร่คณิณก็จะได้เท่ากัน

 

เพราะเป็นหลานชายของลูกชายคนโต แถมยังมากำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเด็กทำให้อากงอาม่าทั้งสองบ้านรักและโอ๋เขามากแน่นอนคณิณจึงได้รับความรักความเอาใจใส่ในรูปแบบของเงินทองที่อาม่าทั้งสองฝั่งแทบจะแข่งกันประเคนให้หลาน ไหนจะสมบัติส่วนของแม่ที่ถูกยกให้เขาทั้งหมดอีก แม่ทิ้งของเหล่านั้นทั้งทรัพย์สินที่ดินเงินทองให้คณิณไว้ใช้ในแบบที่ว่าเขาไม่ต้องทำงานเลยก็ยังได้ เงิน 10 กว่าล้านในบัญชีแม่ตกเป็นของเขาทั้งหมดเมื่อพ่อไม่คิดที่จะมีส่วนได้ในทรัพย์สินนั้น เครื่องทองเครื่องเพชรก็เป็นของเขารวมทั้งที่ดินหลายร้อยไร่ที่ให้ดอกออกผลให้คณิณเก็บค่าเช่ากินได้สบายๆ ตอนแม่ตายคณิณกลายเป็นผู้รับผลประโยชน์จากประกันชีวิตที่แม่ทำไว้อีก 2 บริษัท แน่นอนแม่ทำประกันดีที่สุดผลตอบแทนหลังแม่ตายก็ได้มาอีกพอสมควร

 

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเป็นเพราะแม่ทิ้งไว้ให้

 

            “ถ้าคินอยากทำธุรกิจคินก็ต้องยอมรับความเสี่ยงนี้ มันลงทุนเยอะก็จริงแต่ถ้าทำเลดี คนเช่าเต็มไม่ค้างค่าเช่ายังไงไม่กี่ปีก็คืนทุนแล้วก็หลังจากนั้นก็เป็นกำไร ที่ดินตรงไหนที่มันไกลไปแล้วก็ไม่ได้สวยมากป๊าว่าคินก็แบ่งขายไปเก็บไว้แต่แปลงสวยๆก็พอ อีกอย่างถ้าอาก๋งอาม่ารู้ว่าคินจะทำหอพักยังไงเดี๋ยวก็มีสปอนเซอร์หลัก”

 

            “แต่คินไม่อยากให้ก๋งกับม่ามาช่วยคินแค่น้องก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

 

            “เพราะกงกับมารักคินไง ยิ่งคิดจะทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยแกน่าจะอยากสนับสนุนเพราะก๋งกับม่าชอบคนขยัน เอาตามนี้แหล่ะ คินก็ไปออกแบบตัวอาคารมา จะสร้างตรงไหน เดี๋ยวเอาไปให้เจ่กย้งช่วยดูแบบอีกที

 

            หลังจากปรึกษาเรื่องหอพักกับพ่อเสร็จคณิณก็แยกออกมาด้านนอก ชายหนุ่มชะเง้อมองหาตามห้องต่างๆตั้งแต่ห้องนอนของเศรษฐพงศ์ ลงไปด้านล่างส่วนห้องรับแขกที่ว่างเปล่า ในครัวมีเพียงลดาง่วนอยู่กับการทำอาหารกับแม่บ้านอีก 2 คน ขายาวก้าวออกไปนอกบ้านเร็วเท่าความคิด เศรษฐพงศ์กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการล้างรถมอเตอร์ไซค์คันโปรด

 

            “อีแดงกับกูมึงรักใครมากกว่ากัน”มือที่กำลังค่อยๆบรรจงใช้ฟองน้ำลูบไปตามซี่ล้อชะงักก่อนขมวดคิ้วทำหน้าปุเลี่ยนๆกับคำถามไร้เหตุผลนั้น

 

อะไรของมันวะ

 

            “ตอบ”

 

            “อะไรของมึง หิวข้าวจนงี่เง่าหรือไง”นอกจากไม่ตอบแล้วเศรษฐพงศ์ยังส่ายหัวทำหน้าเอือมใส่คนพี่อีกต่างหาก คณิณส่งเสียง ฮึ๊ ในลำคอเบาๆอย่างไม่ชอบใจ เขากำลังหงุดหงิดที่เศรษฐพงศ์ดูจะสนใจอีรถกากๆคันนั้นมากกว่าคณิณผู้แสนร่ำรวยหล่อเหลาและมีค่าคนนี้

 

            “ถ้าไฟไหม้บ้านมีกูติดอยู่กับรถมึง มึงจะเลือกช่วยใคร?”

 

            “ช่วยรถดิ่”คนน้องตอบกลับทันทีทันใดแบบไม่ต้องคิด แต่เหมือนว่าคำตอบนี้จะไม่เป็นที่พอใจของคณิณนักชายหนุ่มชักสีหน้าใส่ทันทีทันใดแบบไม่ต้องฟอร์ม

 

งอน...คณิณงอนคำตอบของเศรษฐพงศ์อย่างเต็มขั้น ชายหนุ่มสับหน้างอใส่คนน้องก่อนก้าวยาวๆไปฟาดฝ่ามือลงบนหัวเศรษฐพงศ์เต็มแรง

 

            “ไอ้เด็กเหี้ย”ตะโกนด่าอย่างโมโห

 

            “อ๊าว กูผิดอะไรเนี่ย?”เศรษฐพงศ์ร้องท้วงพลางคลำหัวป้อยๆ

 

ไอ้เหี้ยตบลงมาได้ไม่มีออมแรงเลยซักนิด  คนเด็กกว่าถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นใบหน้าบูดเป็นตูดหมาของคณิณ ออกแรงดึงให้คณิณมานั่งบนเก้าอี้นั่งตัวยาว ออกจะลำบากนิดหน่อยเพราะนั่งได้คนละครึ่งตูด ยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้คณิณถือก่อนจะพยักหน้าให้คนพี่ช่วยตัวเองล้างรถ

 

            “เวลามึงร้อนมึงอาบน้ำเองได้ใช่ป่ะ”คณิณหันมามองหน้าเศรษฐพงศ์อย่าง งงๆ แต่ก็ตอบรับเสียงสะบัด

 

            “ก็เออสิกูมีมีมีตีนทำเองได้”

 

            “แต่รถมันอาบน้ำเองไม่ได้”

 

            “แล้วไง? เกี่ยวกันตรงไหน?”

 

            “ถ้ากูไม่สตาร์ทรถ ถ้าไม่เข้าเกียร์ไอ้แดงมันก็แค่ซากพลาสติกซากอลูมิเนียมใช่ป่ะ?”

 

            “ก็ใช่”

 

            “งั้นถ้าไฟไหม้อย่างที่มึงพูดจริง ถ้ากูไม่ไปจูงมันออกมามึงคิดว่ามันจะเป็นยังไง ในขณะที่มึงมีขามึงดูแลตัวเองได้ กูไม่ได้รักรถมากกว่ามึงแต่กูมีเหตุผลที่จะเลือก ถ้ามึงบาดเจ็บหรือออกมาเองไม่ได้ กูก็เลือกมึงอยู่แล้วโดยไม่ต้องคิด อย่าขี้งอนนักเลย กูไม่ได้ง้อเก่ง”

 

            “เหย..จริงจัง กูก็แค่หยอกเล่น”คณิณใช้ศอกกระทุ้งแขนของเศรษฐพงศ์เบาๆ อารมณ์ดีขึ้นมาทันทีทันใดเหมือนเพิ่งแดกพระอาทิตย์ในเทเลทับบี้เข้าไปทั้งดวง



ต่อให้พวกอีโพอีลาล่าลูลู่อะไรนั่นไม่มีพระอาทิตย์เตือนให้กลับหลุมก็ช่างแม่งมัน ตอนนี้คณิณมีความสุขกับคำว่ารักของเศรษฐพงศ์ก็พอ



มีความสุขจนถึงขั้นแบ่งความเอ็นดูไปให้อีแดงด้วย



จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็ช่วยกันล้างรถจนเสร็จ อารมณ์ดีมากจนเผื่อแผ่ไปยังบีเอ็มดับบลิวคันหรูของคณิณรวมทั้งรถของคณิตด้วย กว่าจะเสร็จก็เลยเที่ยง เด็กทั้งคู่ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ก่อนจะแยกกันไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวในตอนเกือบบ่าย

 

คณิตมองบรรยากาศของครอบครัวด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความสุข หลังจากใช้ความพยายามมาถึงสามปีในที่สุดครอบครัวก็กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบซักที ลูกๆไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันแบบเมื่อก่อน ความสัมพันธ์ของคณิณกับลดาก็ดีขึ้น ตัวเขากับเศรษฐพงศ์นั้นยิ่งไม่มีปัญหาใหญ่ พ่อกับแม่ของเขาเองก็ไม่ได้รับเกียจสองแม่ลูกแบบเมื่อก่อนแล้ว เขายกความดีความชอบนี้ให้ลดากับเศรษฐพงศ์ไปทั้งหมด อยากจะพูดขอบคุณความอดทนที่สองแม่ลูกมีต่อครอบครัวของเขาวันละสามครั้งหลังอาหารเลยด้วยซ้ำ

 

เกือบเย็นบรรดาเด็กหนุ่มต่างทยอยมาที่บ้านของคณิณ วันนี้ชายหนุ่มขออนุญาตจัดปาร์ตี้เล็กๆในกลุ่มเพื่อนของเขาและเศรษฐพงศ์ แดนธรรมมาพร้อมเด่นคุณที่เพิ่งมีเวลาว่างตามมาสมทบหลังจากงานวันเกิดพ่อของเขารุ่นพี่หน้าโหดติดเคลียร์งานที่มหาวิทยาลัย แพทมาพร้อมแพรกับว่านโดยไม่ลืมหยิบเหล้าราคาแพงลงมาจากหลังรถอีกสามขวด บรรดาโซดาน้ำแข็งถูกเตรียมมาอย่างดี

 

            “อย่าให้เมาเรื้อนนะคินแล้วก็อย่าให้เสียงดังรบกวนบ้านอื่นเขานะ เสร็จแล้วเก็บของให้เรียบร้อยปิดบ้านให้ดีป๊ากับน้าลดากลับพรุ่งนี้บ่ายๆฝากบ้านด้วย”คณิตสั่งลูกชายก่อนออกจากบ้านเพื่อไปงานเลี้ยงที่กรุงเทพในตอนบ่ายสาม คณิณรับปากผู้เป็นพ่อก่อนจะสั่งให้แม่บ้านจุดเตาเพื่อย่างกุ้งที่สั่งมากับอาหารทะเลอีก 2-3 กิโลที่ไปซื้อมาเตรียมจาดตลาด เกือบห้าโมงเย็นเพื่อนๆก็มากันครบแต่ละคนช่วยกันเตรียมอาหารง่ายๆอย่างสามัคคีราวกับที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเลยซักนิดเดียว

 

            “วางลง ตัวเท่าลูกหมามึงจะยกของหนักทำไม”เด่นคุณรีบเข้าไปรับลังโฟมใบใหญ่ที่วีรดนัยยกออกมาจากครัว คนตัวเล็กเกร็งจนเส้นเลือดที่แขนปูดเพราะความหนัก ร่างสูงใหญ่บึกบึนรับหน้าที่ยกออกไปด้านนอกที่เพื่อนๆกำลังช่วยกันย่างกุ้งหอยปูปลาหลากหลาย คณิณยกแก้วเหล้ากระดกเข้าปากในขณะที่ยืนคุยกับเพื่อนๆถึงงานที่จะต้องส่งอาทิตย์หน้า

 

บรรดาครูบาอาจารย์ที่หยิบมาพูดถึง((อันที่จริงต้องใช้คำว่านินทาอย่างออกรส

 

            “คินไปซื้อรสดีให้หน่อยในครัวหมด”เศรษฐพงศ์เดินมายื่นกุญแจรถให้คณิณเมื่อจะหมักคอหมูแต่รสดีในครัวดันหมดเพื่อนๆของตัวเองก็ทำงานกันไม่ได้ว่างเพื่อนของคณิณเขาก็ไม่กล้าใช้

 

            “เดี๋ยวกูเอารถยนต์ไป”คนพี่วางแก้วเหล้าก่อนจะดันกุญแจอีแดงกลับคืนเจ้าของ

 

            “อย่าเว่อร์ไปแค่หน้าปากซอยแค่นี้มึงจะเอารถยนต์ไปทำไมวะ บิดมอไซค์ไปปึ๊ดเดียว”เศรษฐพงศ์ยัดกุญแจรถใส่มือคณิณอีกรอบ แดนธรรมที่ยืนอยู่ใกล้ๆส่ายหัวก่อนคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์มาถือซะเอง

 

            “มึงเป็นแฟนมันประสาอะไรวะไอ้เซ็ท อยู่บ้านเดียวกันมาตั้งนานมึงไม่รู้เหรอว่าไอ้คิน...”

 

            “ไอ้แดนหยุด”คณิณส่งเสียงห้ามเมื่อรู้ว่าแดนธรรมกำลังจะพูดอะไร

 

            “ขับรถมอไซค์ไม่เป็น...อ่าว ไม่ทันแล้วมึง”แดนธรรมหยุดพูดไม่ทันในขณะที่คณิณทำท่าเหมือนจะกระทืบเพื่อนสนิทเสียให้ได้ เศรษฐพงศ์ทำหน้ายุ่งครู่หนึ่งก่อนจะกลั้นขำจนจมูกบาน

 

หมดกันความลับที่ปกปิดมานาน

 

คณิณขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นเพราะไม่มีใครสอน  พวกอาๆพาคณิณไปหัดขับรถยนต์ตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่ได้สนใจไอ้ยานพาหนะที่ต้องใช้หนังหุ้มเหล็กนั่นเลย เขาชอบความสะดวกสบายไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องไปขับรถตากแดดให้ผิวเสียแบบที่เศรษฐพงศ์ชอบตรงไหน

 

            “อ่ะ ไอ้สัด ขำ ขำมากมั้ย?” คณิณเห็นสีหน้าปั้นยากของคนน้องก็ให้หงุดหงิด

 

เท่านั้นแหล่ะไอ้คนน้องที่พยายามกลั้นขำสุดความสามารถก็หัวเราะก๊ากออกมาอย่างสุดกลั้น

 

            โอ้ย.3..โตเป็นควายขับมอไซค์ไม่เป็น ทำไมมึงกากอย่างนี้วะคิน แม่ง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”สารพัดคำถากถางถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากงุ้ยๆนั่นอย่างขบขัน

 

เศรษฐพงศ์เห็นคณิณทำเท่ห์มาตั้งนานไม่คิดว่าแค่การขับมอเตอร์ไซค์ง่ายๆคณิณกลับขับไม่เป็น

 

คือเฮ้ย มันเป็นสกิลเบสิคของลูกผู้ชายเลยนะเว้ย ขับไม่เป็นได้ไงวะ

 

คือแบบโคตรรอเมซิ่งอ่ะ

 

คณิณมองคนเด็กกว่าหัวเราะจนตัวงอแถมแหกปากล้อเลียนเขาดังลั่นจนเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์พลอยมาหัวเราะเยาะเขาแล้วก็ให้หมั่นตับ

 

แม่งถนัดนักล่ะเรื่องทำให้เขาอับอายเนี่ย

 

แม่ง กูไม่เท่ห์อีกแล้วสินะ

 


คอยดูเถอะมึงคืนนี้กูจะจูบให้ปากระบมจนพูดมากไม่ได้อีกต่อไป ไอ้ตัวดีย์!!!





.......................................
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 32 28/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-01-2019 13:36:03
พี่คินจะล้างแค้น

แค้นนี้ต้องชำระ

555555555

เอ็นดูพี่คนคนเท่
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 32 28/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 28-01-2019 23:27:44
รอๆๆดูพี่คิน จะเอาคืนน้องได้สำเร็จมั้ย
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 33 29/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 29-01-2019 11:01:35
ตอนที่ 33


  คณิณ:

 

ผมนั่งมองไอ้เซ็ทยกเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าด้วยความกระหยิ่ม ไอ้เด็กโง่กินเหล้าไม่เก่งแต่โดนพวกไอ้แดนไอ้อ้นหลอกผสมกับโค้กให้มันชมว่าหวานอย่างนู้นหวานอย่างนี้

 

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่ากินแบบผสมน่ะมันจะเพลิน พอเพลินก็กินได้เรื่อยๆ เผลอๆปริมาณเหล้าจะเยอะกว่าพวกผมที่ผสมโซดาซะอีก

 

รอยยิ้มลูกหมาเจ้าเล่ห์ของไอ้แดนถูกส่งมาทางผม

 

ทำดีมากเพื่อนเลิ้บ ผมยกแก้วตอบรับไอ้แดน ไอ้อ้นยักคิ้วแผล่บให้อย่างรู้กัน ส่วนไอ้แพรนู่นไปตบมุขกับไอ้สองแฝดราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน ไอ้ว่านก็เอาแต่แหกปากร้องเพลงเล่นกีต้าร์ไม่หยุด

 

                “กูถามอะไรมึงหน่อยได้มั้ย?”ไอ้ยิมที่ยังคงมีทีท่าสบายๆหมุนแก้วเหล้าเบาๆ ส่ายตาของมันมองไปยังกลุ่มเพื่อนก่อนจะไปหยุดที่ไอ้เซ็ทที่หัวเราะลั่นกับมุกควายๆของไอ้แพท

 

                “ว่า?”ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ปล่อยอารมณ์ให้สบายๆกับเพลงเบาๆที่ไอ้ว่านเพิ่งเปลี่ยนมาเล่นเมื่อกี๊

 

                “มึงจริงจังกับเพื่อนกูมากแค่ไหนวะ?”สายตาของมันยังไม่ละไปจากไอ้เซ็ท นี่ถ้ามันยังไม่มีแฟนผมจะคิดแล้วนะว่ามันชอบแฟนผมอยู่

 

                “กูคบกับมันมาตั้งแต่ ม.ต้น มันไม่เคยมีแฟน กูจะไม่นับผู้หญิงคนนั้นว่าเป็นแฟนมันหรอกนะ เพื่อนกูเป็นคนดีถ้ามึงคิดว่าจีบมันคบกับมันเพื่อแกล้งมันมึงเลิกทำตอนนี้ยังไม่สายนะ”

 

                “พูดอะไรของมึง? เมาป่ะ กูไม่เคยคิดจะเลิกกับมัน และกูจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ของกูกับมันมาก กูก็ไม่เคยคบใครเหมือนกัน”

 

                “อย่างนั้นก็ดี อย่าทำเพื่อนกูเสียใจ นอกจากไอ้วีก็มีไอ้เซ็ทนี่แหล่ะที่พวกกูหวงยังกับไข่ในหิน มึงได้มันเป็นแฟนมึงต้องถนอมมันมากๆ ไอ้เซ็ทมันแข็งนอกอ่อนใน มันแคร์ความรู้สึกของทุกๆคน เมื่อก่อนมันแคร์ความรู้สึกแม่มันกับพ่อมึงถึงได้เลี่ยงที่จะไม่กลับมาบ้านวันหยุด คนรักแม่มากแบบมันยอมอยู่หอเพราะไอ้เหี้ยที่ไหนไม่รู้คอยหาเรื่องทะเลาะกับมันตลอด”

 

อ่ะ...ไอ้เหี้ยคนนั้นคือกูเองจ้า

 

                “ปวดฉี่ๆๆๆๆๆ”ผมประคองไอ้เด็กดื้อที่เมาจนเดินไม่ตรงทาง เพื่อนๆช่วยกันเก็บของอยู่ด้านล่าง ยกห้องรับแขกกับห้องของไอ้เซ็ทให้เพื่อนที่เมาจนกลับบ้านไม่ไหวนอน ผมประคองมันเข้ามาในห้องของผมก่อนจะพาเข้าไปในห้องน้ำ

 

                “ปวดฉี่อ่า...”ไอ้คนเมาพูดเสียงยานคาง ผมพามันมาหยุดหน้าชักโครกแต่มันยังคงยืนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้

 

                “ฉี่สิเนี่ย”ผมบอกมันที่ยืนโงนเงนไปมา ไอ้เด็กดื้อพยายามแกะกระดุมกางเกงแต่เหมือนมือมันไร้เรี่ยวแรงเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปเยอะ มันยู่ปากอย่างขัดใจก่อนจะกระทืบเท้าเร่าๆ

 

                “เป็นเหี้ยไรแกะม่ายออกเนี่ย คินเซ็ทแกะกระดุมไม่ออก แกะให้หน่อย”มันหันหน้ามาพูดกับผมริมฝีปากกฌคลอเคลียอยู่ตรงต้นคอของผม ผมอยากจะดีดหน้าผากให้กับความลูกแมวของมันเสียเหลือเกิน มือรั้งเอวมันแน่นกว่าเดิมส่วนอีกข้างก็ส่งลงไปปลดกระดุมกางเกงยืนให้มัน รูดซิปลงก่อนจะร่นกางเกงในสีขาวของมันลงจับเซ็ทน้อยของมันให้ตรงปากโถ

 

                “อื้อ...”ไอ้ตัวดีหดหน้าท้องเมื่อมือของผมจับส่วนนั้นของมัน ลมหายใจร้อนรดต้นคอของผมให้รู้สึกเสียววูบวาบ

 

                “ฉี่สิจับให้แล้ว”ผมกระซิบตอบกลับไปเบาๆ ไอ้เซ็ททำตามอย่างว่าง่าย ผมรอจนมันเสร็จก็กดน้ำ จากนั้นก็จัดการลอกคราบไอ้เด็กดื้อที่เอาแต่จับนู่นจับนี่ผมพูดภาษามนุษย์ต่างดาวใส่แถมหัวเราะเอิ๊กอ้ากเมื่อผมดุมันให้มันยืนนิ่งๆ ในห้องน้ำของผมมีอ่างอาบน้ำที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยลงไปนอนแช่เลยซักครั้ง จำได้ว่าครั้งล่าสุดผมเกิดอารมณ์สุนทรีย์อยากจะจิบไวน์เบาๆแล้วนอนแช่น้ำอุ่นให้ผ่อนคลายแต่พอผมเปิดน้ำใส่แล้วก้าวขาลงไปในอ่างผมก็เกือบสังเวยชีวิตเมื่อเท้าเปียกเหยียบลงบนอ่างลื่นๆ ครับ ผมล้มหัวเกือบฟาด

 

ผมจึงได้รู้ว่าอ่างอาบน้ำไม่ได้มีไว้นอนแช่มันมีไว้เพื่อวันหนึ่งเกิดอยากอาบน้ำแบบชาวบ้านจนๆก็แค่เปิดน้ำใส่อ่างแล้วใช่ขันตักราดผมถอดเสื้อผ้าตัวเองเสร็จก็เปิดน้ำลงบนอ่างจับเอวไอ้เซ็ทไว้ไม่ให้หน้ามันคะมำลงไปก่อนจะเอาตัวเองลงไปในอ่างก่อน ฟองสบู่ฟูฟ่องขาวราวปุยเมฆทำเอาไอ้เซ็ทร้องงอแงจะว้าเสียให้ได้ ผมต้องเอ็ดมันก่อนจะบอกให้มันตามลงมาจับมันนั่งซ้อนด้านหน้าไอ้เซ็ทเล่นฟองราวกับเด็กเล็กๆ

 

                “ก้อนเมฆสวยจัง มึงดูสิคินก้อนเมฆๆ”มันหันมายื่นฟองในมือให้ผมดูยิ้มกว้างจนเหงือกบานเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ

 

                “ใช่เมฆที่ไหนเล่าไอ้โง่ นี่ฟองสบู่ เมฆของจริงสวยกว่านี้อีกเหมือนเกล็ดน้ำแข็งใสแบบละเอียดๆ เวลาตอนเย็นแสงอาทิตย์เปลี่ยนมันก็จะส้มๆแดงๆปุยๆ”

 

                “จริงเหรอ อยากเห็นอ่ะ”มันทำตาโตตื่นเต้นกับคำบอกเล่าของผม ไว้ปิดเทอมหน้าผมคงต้องพาไอ้เด็กนี่ขึ้นเครื่องบินดูซักครั้ง ผมถูหลังให้มันเบาๆ ไอ้เซ็ทเป็นคนผิวดี ผิวของมันไม่ได้ขาวจัดแบบของผมแต่ก็ไม่ได้คล้ำ เป็นผิวสีน้ำผึ้งที่โคตรมีเสน่ห์ไม่มีสิวให้รกลูกตา ผมค่อยๆลูบลงไปเรื่อยๆจนไปหยุดอยู่ที่อะไรบางอย่างที่สงบนิ่งของมัน

 

วันนี้มันเมา...ถ้าจะทำอะไรๆมันจะง่ายขึ้นมั้ยนะ?

 

                “อื้อ...อย่าจับ”ไอ้เซ็ทเริ่มงอแงเมื่อผมเริ่มจับของๆมันแล้วขยับข้อมือ มือมันรีบตะครุบมือผมไว้ซุกปลายจมูกกับซอกคอผมอย่างออดอ้อนเมื่อผมไม่มีทีท่าว่าจะรามือ

 

                “มัน...ส...เสียวนะ อย่าจับ”นอกจากผมจะไม่ฟังแล้วผมยังเร่งมือให้เร็วขึ้น มืออีกข้างก็เขี่ยตุ่มเล็กๆบนอกของมันจนไอ้เซ็ทร้องครางไม่เป็นภาษากดจูบลงบนต้นคอของมัน ฝากร้อยไว้ด้านหลังของไหล่จนขึ้นสี

 

ไอ้เซ็ทแม้จะสูงน้อยกว่าผมนิดหน่อยแต่ก็นั่นแหล่ะความสูงของมันลวงตา ไหล่รึก็เล็กนิดเดียว ยิ่งเอวน่ะทั้งเล็กทั้งบางทั้งคอดที่เมื่อก่อนเห็นว่ามันตัวใหญ่ก็เพราะมันใส่เสื้อโอเว่อร์ไซส์ มือของมันก็อูมๆน่ารักๆ เสียงของมันเวลาบ่นหรือแม้แต่ตอนร้องครางแบบตอนนี้ก็งุ้งงิ้งๆน่ารัก ปากงุ้ยๆของมันเริ่มบวมเจ่อก็เพราะผมดูดดึงราวกับกำลังกัดกินเยลลี่อุ่นๆนั่นก็น่ารัก ขนตายาวเป็นแพของมันนั่นก็น่าจูบ

 

ผมหลงมันจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว

 

                “อ๊ะ...อื้อ...”เร่งมือไม่นานร่างของไอ้เซ็ทก็สั่นราวกับกำลังเผชิญกับอากาศหนาวแต่สายน้ำอุ่นกลับฉีดพุ่งออกจากตัวมัน ผมรีดออกมาจนหมดทุกหยาดหยด ความรู้สึกวูบๆที่ท้องน้อยพร้อมกับคณิณน้อยที่พร้อมโลดแล่นทำให้ผมรีบพามันขึ้นมาล้างตัวใต้ฝักบัวหลอกล่อมันจนมาถึงเตียง ไอ้เซ็ทล้มลงมาทับบนตัวผมมันยันตัวขึ้นพลางส่งเสียงหัวเราะตาของมันเยิ้มฉ่ำราวกับเชื่อมด้วยน้ำตาลทรายแดง

 

ถ้าเมาแล้วจะน่าเอา เอ้ย...น่ารักขนาดนี้กูก็อยากจะมอมให้มึงเมาทุกวันเลยไอ้เด็กเหี้ยเอ้ย

 

ไอ้ตัวน่ารัก

 

                “งื้อ...นี่อารายอ่ะ”อยู่ๆมันก็คว้าหมับเข้าที่คณิณน้อยของผมที่กำลังเต้นตุบอย่างเริงรื่นยามฝ่ามืออุ่นโอบรัด

 

                “บิ๊กไบท์ กินมั้ย อร่อยนะ”ผมแกล้งบอกคนเมาถึงอาหารขยะที่เจ้าตัวชอบซื้อกินเวลาไปร้านสะดวกซื้อ ไอ้เซ็ทกดหน้าหงึกหงัก

 

                “กินๆ หิวแล้ว”

 

                “งั้นก็กินสิ แต่ห้ามกัดนะ ไส้กรอกอันนี้ต้องอมกับดูดรู้ป่าว พอถึงที่จะมีชีสต์ไหลออกมา”ผมหลอกคนเมาซึ่งไม่น่าเชื่อว่าไอ้เซ็ทจะยอมฟังและทำตามอย่างว่าง่าย มันอ้าปากครอบครองไส้กรอกอันใหญ่เข้าปาก ปลายลิ้นเลียไปทั่วจนผมต้องสูดปาก

 

                “ไม่เห็นมีกลิ่นไส้กรอกเลย”มันเงยหน้าขึ้นมาตัดพ้อแต่ก็ยังกลับไปจัดการกับแท่งเนื้อตรงหน้าต่อ ผมสอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมของมันทั้งความอุ่นที่ครอบอยู่ทั้งปลายลิ้นเงอะงะนั่นทำเอาผมแทบคลั่ง บางครั้งฟันของมันก็ครูดมาเบาๆให้ได้สะดุ้งผมเด้งเอวสวนเมื่อปลายลิ้นของมันวนเวียนอยู่ตรงแอ่งตรงกลางจนเสียวจี๊ดไม่นานชีสต์ฉ่ำเยิ้มก็พุ่งเข้าโพรงปากของไอ้เซ็ทเพราะมันไม่ทันได้ตั้งตัวก็เลยไอโขลกอย่างน่าสงสาร

 

                “ไม่เห็นอร่อยเลย”มันตัดพ้อเมื่อเลียเอาคราบที่เลอะขอบปากจนเกลี้ยง ยู่หน้าอย่างขัดใจก่อนจะซบลงมาบนอกของผมในขณะที่ปลายนิ้วของผมกำลังวนเวียนอยู่บนปากทางของมัน

 

                “อื้อ..เจ็บ”มันร้องเมื่อผมลองสอดปลายนิ้วเข้าไป ผมดึงมันขึ้นมาจูบเพื่อหลอกล่อก่อนจะค่อยๆกดปลายนิ้วลึกเข้าไปเรื่อยๆจนสุดไอ้เซ็ทยืดตัวหนีแต่ผมก็ยังดึงดันขยับปลายนิ้วไปมา

 

ความรู้สึกตื่นเต้นผสมกับความย่ามใจในพัฒนาการความสัมพันธ์ของเราทำให้ผมชักปลายนิ้วออกมาแล้วสอดกลับเข้าไปใหม่เพิ่มอีกนิ้วไอ้เซ็ทร้องบอกว่าเจ็บอีกครั้งแต่คราวนี้ผมจะไม่ยอม ผมต้องได้ครอบครองมันให้สมกับที่อดทนมานาน คณิณน้อยของผมเริ่มเรียกร้องด้วยความเริงรื่นเมื่อไอ้เซ็ทกระตุกกายตอดรับกับนิ้วทั้งสองเหมือนว่าจะไปกดโดนจุดที่ทำให้มันรู้สึกดีผมกดย้ำหลายๆครั้งซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นที่น่ายินดีเสียงร้องครางของมันยั่วอารมณ์ให้ปะทุมากขึ้นเรื่อยๆ ผมดันร่างของมันให้นอนลงบนที่นอนก่อนจะช้อนข้อพับขาของมันขึ้นจัดการจ่อความใหญ่โตที่พร้อมบุกทะลวงฟันลงบนปากทางสีสดที่เต้นตุบก่อนจะกดกายลงไป

 

               
“อ๊า..เจ็บ......ไม่เอา..ฮืออออออ...เซ็ทเจ็บ ไม่เอาแล้วไม่สนุก ไม่ชอบ แง้ๆๆๆ”ยังไม่ทันจะไปถึงไหนเพียงแค่กดลงไปเบาๆไอ้เซ็ทก็แหกปากร้องไห้พลางผลักไสผมไม่ว่าจะทำยังไงไอ้ตัวดีก็ไม่ยอมท่าเดียวแถมสะอึกสะอื้นราวเด็กเล็กๆจนผมต้องคว้ามันขึ้นมากอดปลอบราวกับโอ๋เด็กน้อยที่โดนมีดบาด ผมลูบหัวมันเบาๆอย่างปลอบประโลม

 

                “โอ๋ๆ...ไม่ร้องนะ ชู่วๆ”ผมโยกตัวไปมาเมื่อมันพยายามผลักผมออกจนผมต้องยอมแพ้มากอดปลอบมันอย่างเดียว ไอ้เซ็ทค่อยๆสงบลงก่อนจะนิ่งไปในที่สุด เมื่อดันตัวมันออกก็พบว่าไอ้ตัวดีหลับไปแล้วพร้อมคราบน้ำตาบางๆที่สองข้างแก้ม ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับความไร้เดียงสาของมัน

 

อายุก็ตั้ง 19 แล้ว แต่มาร้องงอแงเพราะเจ็บตอนจะโดนเอาเนี่ยนะ

 

ไอ้เด็กเอ้ย  สุดท้ายผมก็ทำได้แค่จัดการหาเสื้อผ้าให้มันใส่ห่มผ้าแล้วดึงมันมากอดก่อนจะหลับไปด้วยกัน

 

ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้วันนี้วันหน้าก็ยังมี ผมมีเวลาให้มันเตรียมความพร้อมทั้งชีวิตแหล่ะ

 

แต่ถ้าได้เร็วหน่อยก็คงจะดีกูเบื่อจะใช้มือตัวเองเต็มทีแล้วเหมือนกัน









 

 

 

 

                แค่ก....แค่ก...ครืด

 

                “ไอ้สัด”เศรษฐพงษ์ละสายตาจากหนังสือที่อ่านอยู่มองฝ่าเปลวแดดร้อนแรงดุจไฟนรกในเดือนเมษายน ร่างของคณิณฃุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ผิวแก้มที่ไม่มีเครื่องป้องกันแดงจัดเพราะความร้อนและไอแดด ร่างสูงใส่เสื้อคลุมมิดแถมใส่ถุงมือกันแสงแดดบนหัวมีหมวกราคาแพงปิดบังลงมาจนเกือบปิดตาอยู่รอมร่อ เศรษฐพงศ์ถอนหายใจแรงๆ มองดูคณิณวุ่นวายกับการงัดเกียร์และสตาร์ทรถใหม่

 

รู้สึกสงสารอีแดงจับใจที่ต้องกลายมาเป็นครูฝึกให้คณิณหัดขับมอเตอร์ไซค์ เด็กหนุ่มเอนกายลงนอนราบไปกับเก้าอี้ตัวยาว คณิณหัดขับรถมาร่วมชั่วโมงแล้ว แต่นั่นแหล่ะ ออกตัวไปได้เกียร์เดียวพอจะเข้าเกียร์ 2 อีแดงก็ร้องแค่กๆราวกับรถสำลักน้ำ

 

รู้สึกอยากไปกราบล้อขอโทษอีแดงที่ทำให้มันต้องลำบาก

 

                “ไม่ขับแม่งแล้ว!!”เศรษฐพงศ์กรอกตามองบนเมื่อได้ยินประโยคเดียวซ้ำๆรอบที่ร้อยในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมง

 

                “ทำตามที่กูสอนสิมันจะไปยากอะไร”คนน้องตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ คนพี่เตะก้อนหินก้อนเล็กๆที่ดูจะเกะกะรกสายตาเสียเหลือเกินทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มาทำอะไรให้

 

พาล บอกเลยว่าตอนนี้คณิณพาลทุกสิ่งอย่าง อากาศแตะ 40 องศา แต่ไอ้ตัวดีกลับพาเขามาหัดขับมอเตอร์ไซค์ นี่ถ้าคบกันมานานเขาจะคิดว่าเศรษฐพงศ์เบื่อเขาจึงวางแผนฆ่าเพื่อไปหาผัวใหม่แน่ๆ

 

ย้อนกลับไปหนึ่งชั่วโมงก่อน

 

                “เนี่ยมึงก็กำคลัชท์ไว้จากนั้นก็กดเกียร์ 1 ค่อยๆปล่อยคลัชท์กับบิดคันเร่ง จากนั้นมึงก็งัดเข้าเกียร์ 2-3-4-5 ไป”

 

                “กูรู้แล้วน่า มึงจะย้ำอะไรบ่อยๆ ขับง่ายๆรถยนต์กูยังขับได้นับประสาอะไรกับมอไซค์วะ”เศรษฐพงษ์มองหน้าไอ้คนอวดดีที่เชิดอย่างอวดเก่ง คณิณกระพือเสื้อให้ลมเข้าอย่างหงุดหงิดแล้วสตาร์ทรถอีกรอบ ขายาวๆดูเก้งก้างยามใช้ประคองตัวเมื่อรถเริ่มออกตัว คอรถส่ายง่อกแง่กไปมาเพราะคณิณยังทรงตัวได้ไม่ดีนัก แต่หน้านั่นยังเชิดอย่างคนอวดดีอยู่

 

ไอ้สัด มึงโคฟเวอร์เป็นนากินีเหรอ?

 

คร่อกๆๆ...เสียงอีแดงสำลักอีกครั้งพร้อมกับรถที่กระตุกแล้วหยุดตัวลงเมื่อคณิณออกตัวไปได้ราว 3 เมตร ดูมีพัฒนาการขึ้นครึ่งเมตรได้

 

“ตัวกูจะไหม้แล้วเนี่ยแม่ง แดดหรือไฟนรกไอ้สัด”อีกครั้งที่คณิณส่งเสียงบ่น เหงื่อชุ่มตั้งแต่หนังหัวไหลลงไปยั้นง่ามตูด กีบตีนนี่ถ้าถอดรองเท้ากุชชี่ที่เพิ่งถอยมาใหม่ออกคงมีกลิ่นเค็มคล้ายปลาอินทรีย์ตากแห้งแน่ๆ

 

               
                “มึงก็ใส่เสื้อยาวจนจะคลุมลงไปถึงไส้เดือนใต้พื้นอยู่แล้วจะบ่นอะไร แล้วก็ไม่ต้องมางอแงด้วย หมาตัวไหนมันอ้อนให้กูหัดให้ไม่ใช่หมาคินเหรอ นะเซ็ทนะๆๆ หัดมอไซค์ให้กูหน่อย”ท้ายประโยคคนน้องคำเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบคนพี่ที่ตื่นมาอ้อนเขาแต่เช้า

 

ก็เข้าใจอยู่ว่ารถมีคลัชท์มันขับยาก  แต่ถ้าขับได้มันก็สนุกดี

 

 

                “กำคลัชท์เท่ากับเกียร์ว่างตบเกียร์ปล่อยคลัชท์บิด”ผมทวนขั้นตอนการขับให้มันอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงอย่างเบื่อหน่าย เสียงมันเบิ้ลเครื่องรถดังลั่นกำลังจะออกปากด่ามันก็พอดีกับ

 

บรื้นๆ...แค่กๆ...โครม!!!!

 

                เศรษฐพงศ์::

 

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงโครมสนั่นผมก็ผุดลุกราวกับร่างกายมีสปริง มองไปทางต้นเสียงอีแดงลูกรักของผมนอนเค้เร่เค้เก้จูบกับต้นไม้ใหญ่ ส่วนไอ้คนขับก็นอนคว่ำแอ่กอยู่ในพงหญ้าข้างทางผมรีบวิ่งไปหาไอ้คินที่นิ่วหน้าไม่ไหวติง

 

                “คิน มึงเป็นอะไรมั้ย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”ผมไม่กล้าจับตัวไอ้คินขึ้นมาเพราะกลัวว่ามันจะมีกระดูกกระเดี้ยวหักตรงไหน ไอ้คินค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆบ่งบอกว่ามันไม่ได้เจ็บหนัก ผมสำรวจสภาพของมัน กางเกงยีนส์ที่มันใส่ตรงเข่าขาดเป็นวง ผิวขาวๆของมันตรงเข่าที่ผมจำได้ว่ามันเนียนไร้ริ้วรอยขาวอมชมพูบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงของเลือดโชคดีหน่อยที่แขนของมันเสื้อที่ใส่หนาพอสมควรจึงได้แค่เจ็บขัดๆ อาจจะเป็นด้วยเพราะไม่ได้เอาไหล่ลงแต่มันก็เสียวแปล๊บๆตลอดหลังจากถูกยิง

 

                “หน้ากูมีแผลมั้ย เหมือนจะเอาหน้าลง”มันรีบเอามือแตะลงบนใบหน้าตัวเอง ผมเบะปากใส่ความเจ้าสำอางค์ของมันนิดหน่อย ตายไม่ว่าหน้ากูต้องหล่อ ผมประคองไอ้คินให้ลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นตามเนื้อตามตัวของมัน สีหน้าที่มันมองมาทางผมออกไปในทางสำนึกผิดหน่อยๆผมพามันไปนั่งก่อนจะเดินไปดูใจอีแดงลูกรัก

 

ขับประสาอะไรของมึ้ง รถไปทางคนไปทางไม่โง่จริงทำไม่ได้นะเนี่ย

 

ดูสิ

 

โถ...

 

กระจกแตกห้อยร่องแร่ง

 

อีแดงที่ผิวสดใสปานมะเขือเทศสุกของผมบัดนี้มีรอยถลอกตรงเฟรมเป็นแนวยาว

 

ไอ้คิน  ไอ้เหี้ย กูจะไปขูดสีอีแอนาตาเซียลูกรักของมึงมั่ง

 

                “ไอ้คิน ไอ้เหี้ย”ผมหันไปด่ามันก่อนจะพยุงอีแดงขึ้นมาตั้งขาตั้ง ลองสตาร์ทดูก็พบว่ายังไม่ตาย ร่างกายแค่ถลอก เดี๋ยวคงต้องพาไปเข้าอู่ ไอ้คินหน้าจ๋อยลงไปในพริบตา คงจะรู้สึกเสียใจอยู่นั่นแหล่ะ

 

เฮ้อ...ถึงผมจะรักรถมากแค่ไหนแต่ผมก็รักมันมากกว่า หันไปส่งเสียงหัวเราะใส่มันเบาๆ

 

                “มึงแม่งโคตรกากเลยว่ะฮ่าๆๆ”มันเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะหัวเราะตาม สีหน้ามันบ่งบอกว่าโล่งใจมากแค่ไหนที่ผมไม่ได้โกรธมัน ผมกวักมือเรียกมันให้เดินมาหาท่าทางเดินขโยกเขยกของมันช่างน่าสงสารซะเหลือเกิน

 

นี่ผมพาคุณชายคณิณมาตกระกำลำบากสินะ

 

                “กลับบ้านกัน”ผมขึ้นคร่อมอีแดงก่อนจะสตาร์ทเครื่องรอ ไอ้คินค่อยๆก้าวมานั่งซ้อนท้ายมือของมันจับเอวของผมไว้แน่น ผมค่อยๆพาอีแดงแล่นออกจากสนามพระสังฆราชมุ่งหน้ากลับบ้าน ไม่นานไอ้คินก็เปลี่ยนเป็นกอดเอวผมไว้แล้วซบหน้าลงมากับหลังของผม

 

                “อย่าหลับนะมึง ตกรถกูไม่เก็บด้วย”

 

                “แฟนทั้งหล่อทั้งรวยอย่างกูมึงกล้าทำตกเหรอ”

 

                “ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่กูจะถีบให้กระเด็นกลิ้งไปยั้นสะพานข้ามแม่น้ำแควเลยมึง”แรงถูไถเบาๆด้านหลังพร้อมกลับเสียงหงิ๋งๆเหมือนลูกหมาโดนดุดังมาให้ได้ยินแว่วๆ

 

                “ใจร้าย...”

 

 

                “ซี๊ด....อ่า...เซ็ท...”ผมหยุดมือทันทีที่ไอ้คินร้องซี๊ด สีหน้ามันเหยเกเพราะความเจ็บ ผมกรอกตามองบนกับรีแอคชั่นแสนอีโรติกของมัน

 

คือกูแค่ล้างแผลให้มั้ย

 

ทำไมต้องร้องซะเหมือนกูกำลังทำอะไร 18+ ให้ด้วยวะ

 

                “นั่งนิ่งๆได้ยัง?”ผมเงื้อหมัดขู่มันเมื่อไอ้คินถดขาหนี บอกจะพาไปคลินิกก็ไม่ยอมไปรบเร้าจะให้ผมทำแผลให้แล้วยังไง มานั่งโอดโอยแถมหดขาหนีทุก 30 วินาที

 

                “ก็มันแสบนี่นา”คนเจ็บร้องประท้วง

 

                “ไอ้แดงลูกกูก็เจ็บ”ผมตวัดสายตามองหน้ามันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง มันหุบปากฉับก่อนจะยื่นขามาวางพาดลงบนตักผมตามเดิม

 

                “อีแดงมันไม่มีความรู้สึกซักหน่อย” แหน่ะ ยังเสือกเถียงเดี๋ยวกูเอาแอลกอฮอล์ราดแม่งทั้งขวดเลยดีมั้ย ผมก็ได้แค่คิดแหล่ะครับ เอาเข้าจริงก็ทำมันไม่ลงหรอก ดูหน้ามันตอนนี้สิ แก้มเกิ้มปากเปิกแดงไปหมด สิ้นลายคณิณคนกากไปซะสนิท

 

เฮ้อ...อยากสลับโพซิชั่นชิบหาย

 

                “โอ้ะๆๆๆ”เสียงมันร้องรัวยามเมื่อผมค่อยๆแตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงไปบนแผลของมัน

 

                “เจ็บมากเลยเหรอ?”ผมอดสงสารมันไม่ได้เมื่อมันเม้มปากแน่นพยายามกลั้นเสียงร้องเต็มที่

 

                “ม...ไม่เจ็บหรอก แค่แสบๆ”มันรีบปฎิเสธว่าไม่เจ็บ ดูหน้าแม่งก็รู้ว่ามันอ่ะเจ็บชิบหายแต่ก็ยังคีพลุค

 

                “ถ้าเจ็บมึงก็ร้องออกมาดังๆก็ได้นะ นี่เนื้อมึงขามึง มีใครบ้างวะเป็นแผลจะไม่เจ็บ มึงไม่ใช่ยอดมนุษย์มาเวล ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปซะทุกเรื่องก็ได้ กูชอบนะที่มึงมีมุมกากๆแบบคนปกติเขาอ่ะ”ผมค่อยๆบรรจงแต้มยาแดงลงไปบนแผลตามด้วยผ้าก็อซและพลาสเตอร์ปิดท้าย

 

                “งื้อ...เซ็ท เนี่ยคินเจ็บมากๆเลย เจ็บทั้งขาทั้งไหล่เลยด้วยนะ”มันว่าก่อนจะขยับมาเอนศีรษะกับไหล่ของผมอ้อนๆ ผมหลุดยิ้มให้กับท่าทางออเซาะเกินเบอร์ของมันแต่ก็ยังเล่นตามน้ำกับมันไป ลูบกลุ่มผมของมันเบาๆ

 

                “โอ๋ๆ หายเพี้ยงนะ”ผมแกล้งเป่าลงบนไหล่ข้างที่มันล้มลงพื้นแต่ไอ้คินกลับขยับตัวขึ้นนั่งแล้วจับหน้าของผมให้หันไปหามัน

 

                “โตแล้วใครเขาเป่ากันเป็นเด็กๆแบบนั้นล่ะวะ โตแล้วเขาต้องปลอบกันแบบนี้เว้ย”มันดึงต้นคอของผมให้เข้าไปใกล้ก่อนจะประกบปากจูบลงมาเนิบนาบและเนิ่นนานไร้การจาบจ้วงเพียงแค่แตะกันไว้เฉยๆก่อนจะผละออก กดยิ้มร้ายแบบที่ผมเกลียดแสดงความชนะผ่านสีหน้าและแววตา

 

                “เนี่ย ถ้าปลอบกูแบบนี้ทุกวัน แผลกูคงหายดี”มันพูดอย่างคนเจ้าเล่ห์

 

                “งั้นก็ตัดขาทิ้งไปเหอะไอ้เหี้ย รำค๊าน”ผมผลักหัวของมันจนหงายหลังเมื่อมันทำท่าจะจูบลงมาอีก ผมรีบดีดตัวออกห่างมันรวบอุปกรณ์ทำแผลทั้งหมดมาไว้ในอ้อมแขนแล้ววิ่งหนีลงมาด้านล่าง ใบหน้าเห่อร้อนราวกับว่าเราเพิ่งเคยจูบกันครั้งแรกยังไงยังงั้นถึงแม้ว่าจะจูบกันอยู่ทุกวี่วันก็ตามที

 

ไอ้เวรตะไล มีโอกาสนิดหน่อยไม่ได้เลย จูบจนปากกูจะเปื่อยหมดแล้วเนี่ย

 

จริงๆมึงควรเอาปากลงถนนมากกว่าเข่านะ จะได้พักบ้างอะไรบ้าง หัวใจกูจะวายตายวันละหลายๆหนแล้วเนี่ย

 

แต่แบบแม่ง...ตอนมันอ้อนเหมือนลูกหมาน่ารักๆมากๆเลย

 

ผมชอบลูกหมาครับ

 

ชอบมากๆ

 

ชอบสุดๆ

 

ลูกหมาคณิณตัวนั้นยิ่งชอบมากกว่าหมาทุกตัวบนโลก

 

หมาที่ชอบเลียปาก

 

หมาของผมคนเดียว



........................



หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 33 29/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 29-01-2019 14:31:31
โอ้ย! เบาหนาวขึ้นตา
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 33 29/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-01-2019 20:28:36
เกลียดพี่คินคนอ้อน
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 34 30/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 30-01-2019 03:33:37
ตอนที่ 34

 เช้านี้ในครัววุ่นวายเพราะมีเด็กผู้ชายตัวโตสองคนเดินให้พล่านอยู่รอบครัว บนโต๊ะมีข้าวของวางไว้ระเกะระกะ เศรษฐพงศ์ง่วนอยู่กับกะทะใบใหญ่หน้าเตา ความร้อนทำให้หน้ามันแผล่บจากเหงื่อโดยมีคณิณคอยวอแวไม่ห่าง

 

            “กูร้อนมึงไปยืนไกลๆดิ๊”คนน้องออกปากไล่เมื่อคณิณยืนเบียดจนแทบจะสิงเขาอยู่รอมร่อ คนพี่บึนปากใส่อย่างขัดใจ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีแม่บ้านคอยยืนด้อมๆมองๆอยู่เป็นระยะๆเขาคงอดใจไม่ไหวคว้าเศรษฐพงศ์มาจูบแน่ๆ

 

เห็นแล้วอยากจะช่วยเลียเหงื่อให้

 

ฮิฮิ

 

คณิณกวาดตามองบนโต๊ะ ในกล่องทัพเพอร์แวร์อัดแน่นไปด้วยหมูรวน หมูหวาน ในกะทะใบใหญ่เศรษฐพงศ์กำลังรวนไก่รวนของโปรดของคณิณให้เขาเก็บไว้กินตอนกลับไปอยู่ที่คอนโดตามเดิม

 

ใช่แล้ว วันนี้คือวันหยุดวันสุดท้าย เย็นนี้เขาต้องกลับกรุงเทพแล้ว และอีก 2 วันเศรษฐพงศ์ก็จะเปิดเทอมแล้วเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว  แค่คิดก็แอบใจหาย ตั้งแต่ตกลงคบกันเขาไม่เคยห่างกันเลย มีคณิณที่ไหนมีเศรษฐพงศ์ที่นั่น จริงๆเป็นคณิณมากกว่าที่เอาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับเศรษฐพงศ์ในกิจกรรมทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำ

 

เขายอมรับโดยไม่กระดากใจเลยซักนิดว่าเขาหลงอีกฝ่ายจนถอนตัวไม่ขึ้น

 

หลงความมีน้ำใจ หลงความเป็นธรรมชาติ หลงความจริงใจที่เศรษฐพงศ์มีให้กับทุกคน

 

ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมอยู่ในเศรษฐพงศ์คือความน่าหลงใหล

 

            “ถ้ากินไม่หมดมึงต้องใส่ตู้เย็นไว้นะ”เศรษฐพงศ์ซึ่งไม่รู้เลยว่าคนพี่นั่งท้าวคางจ้องมองเขาอยู่จากด้านหลังเอาแต่ยิ้มกริ่ม

 

ทำกับข้าวไว้ให้เหมือนคู่สามีภรรยาเลยเนอะ

 

อ่า...ฟิน

 





            “มึงจะเอาอะไรไปมั่งอ่ะ”หลังจากจัดการกับอาหารโปรดให้คณิณเรียบร้อยทั้งคู่ก็ขึ้นมาบนห้องนอนของคนพี่ กระเป๋าเดินทางถูกคนน้องลากออกมาวางลงหน้าตู้เสื้อผ้า

 

            “เอามึงได้ป่ะ แค่มึง”คณิณทำหน้ากรุ้มกริ่มพลางยื่นหน้าเข้าไปหาคนน้อง

 

ผลั่วะ!!  เสียงฝ่ามือฟาดลงบนหัวของคณิณดังสนั่น คนพี่ใช้มือลูบกบาลตัวเองป้อยๆ อย่างที่รู้ๆ เศรษฐพงศ์น่ะมือหนักใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ตบมาแต่ละทีเหมือนสมองจะไหลไปรวมกันด้านใดด้านหนึ่งเลยทีเดียว

 

            “มึงตีกูทำไมเนี่ย อาม่าบอกว่าห้ามตีหัวไม่งั้นเดี๋ยวเยี่ยวรดที่นอนนะ” เศรษฐพงศ์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความหื่นของคนพี่

 

เหมือนในหัวจ้องแต่จะกดเขาอยู่ตลอดเวลา ถึงจะเคยอะไรๆข้ามขั้นการสัมผัสฉาบฉวยมาหลายครั้งแล้วยังไงก็ตามแต่เขาก็หน้าร้อนกับความทะลึ่งที่คณิณมีทุกครั้ง

 

ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าคืนนั้นที่เขาเมาน่ะ มันเกินจากครั้งก่อนๆไปตั้งเท่าไหร่ คือขั้นตอนที่คณิณทำเหลืออีกนิดเดียวก็จะรวมร่างกันอย่างสมบูรณ์แล้วเถอะ

 

เขาเขินทุกครั้งที่ต้องจูบกัน อายทุกครั้งที่คณิณพาเขาทำเรื่องลามก แต่เพราะรักนั่นแหล่ะถึงยอม

 

แต่ก็ใช่ว่าจะมาทะลึ่งใส่ตลอดเวลาอย่างนี้

 

            “มึงนี่มันลามกจริงๆ ในหัวคิดแต่เรื่องนั้นเหรอวะไอ้หื่น บ้ากาม โรคจิต วิตถาร”คนน้องเขวี้ยงเสื้อเชิ้ตในมือใส่หน้าคนพี่ คณิณเอาเสื้อออกจากหน้าแล้วยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากของเศรษฐพงศ์จนเกิดเสียง

 

            “ใครกันแน่ที่ลามก มึงคิดไปถึงไหนเนี่ย”

 

            “อ๊าว ก็มึงบอกจะเอากู มึงมันหื่น”

 

            “เซ็ท มึงใจเย็นนะ กูไม่ได้หมายความว่ากูจะเอามึงแบบนั้น กูหมายความว่ากูอยากจะจับมึงยัดใส่กระเป๋าเอามึงกลับกรุงเทพด้วย วู้ววววว ใครกันแน่ที่ลามก แน๊”ปลายเสียงลากสูงอย่างหยอกล้อเล่นเอาคนน้องเหวอไปกับความหมายของคำว่า “เอามึง” ของคนพี่

 

            “อ..อ่าว เหรอ กูก็นึกว่ามึงคิดหื่นๆใส่กูนี่”

 

            “ถามจริงๆเถอะ เวลาอยู่กับกูมึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ แบบอยากนัวเนียกันตลอดเวลาแบบที่กูอยากทำกับมึงอ่ะ”เศรษฐพงศ์เพิ่งรู้สึกว่าอยากเอาเท้ายันหน้าคณิณหลังจากไม่ได้รู้สึกมานานก็วันนี้แหล่ะ

 

ดูความหน้าด้านของคนเราสิวะแม่ง ถามอะไรแบบนี้ออกมาได้ไงวะ ไม่มีความกระดากอายเลยซักนิด ต่างกับเขาที่หน้าร้อนแล้วร้อนอีก มือไม้ดูเหมือนจะหาที่วางไม่ได้จนรู้สึกว่าแม่งโคตรจะเกะกะ

 

            “อยู่กับกูมึงไม่ต้องเขินหรอกเซ็ท แฟนกันรักกันมันก็ต้องมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้ว ว่าไง รู้สึกกับกูบ้างมั้ย หื้ม??”คณิณแกล้งคลานเข้าไปคร่อมร่างคนน้องไว้จนเศรษฐพงศ์ต้องเอนตัวหลบใช้ศอกยันพื้นเพื่อประคองตัว แก้มใสขึ้นสีเรื่ออย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งมองสายตาหวานๆที่ถูกจ้องมาที่ตนอย่างคาดคั้นหาคำตอบหัวใจพลันก็ทำงานหนักจนกลัวว่าตัวเองจะหัวใจวายตายไปเสียก่อน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงหลบตามองไปตรงอื่น ตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่หน้าของคณิณ

 

            “ว่าไง เวลามึงมองหน้ากูมึงมีอารมณ์เหมือนเวลากูมองหน้ามึงมั่งมั้ย?”เศรษฐพงศ์แทบจะเอาหน้ามุดพื้นห้องหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย อยากจะถีบคณิณให้กระเด็นทะลุกำแพงออกจากหน้าต่างไปเลยยิ่งดี ใครมันมาถามกันแบบนี้วะ แล้วมือที่เริ่มรุ่มร่ามกับชายเสื้อไต่ขึ้นมาเรื่อยเป็นแมงมุมนั่นมันอะไรกันวะ

 

แม่ง...ตั้งแต่คบกันมาเขาโคตรจะเปลืองตัว จับมือซุกซนนั้นไว้แน่เมื่อเริ่มจะไต่สูงขึ้นเรื่อยๆจนหวิวๆในช่องท้อง

 

            “มันก็มีบ้างแต่กูรู้จักวิธียับยั้งชั่งใจไงไม่ได้หื่นตลอดเวลาอย่างมึง”เมื่อหลีกเลี่ยงที่จะตอบไม่ได้คนน้องก็ตัดสินใจตอบไปตรงๆ เมื่อได้ฟังคำตอบรอยยิ้มก็กระตุกที่มุมปากอย่างได้ใจ

 

            “แล้วทำไมมึงไม่เห็นมาเกาะแกะกับกูเลย ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยซักนิดมีแต่กูที่อยากเข้าหามึงอยู่ตลอดเวลา”

 

            “ก...ก็กูเรียนมา”คณิณเลิกคิ้วสูงกับคำตอบนั้น จับใบหน้าของน้องให้หันมามองสบตากับตนตรงๆ

 

            “ยังไง?”

 

เศรษฐพงศ์จิ๊ปากอย่างขัดใจ ทำไมคณิณโง่จังเลยวะ

 

            “มึงนี่โง่หรือว่าไม่ตั้งใจเรียนวะ ตอน ม.ต้น หนังสือสุขศึกษาก็บอกไว้ว่าถ้ามีอารมณ์ทางเพศให้แก้ไขด้วยการไปออกกำลังกาย”ปากงุ้ยๆตอบคำถามคนพี่ด้วยความหงุดหงิด

 

เนี่ย คณิณแม่งต้องไม่ตั้งใจเรียนแน่ๆเลยถึงได้ไม่รู้วิธีการจัดการกับอารมณ์ทางเพศของตัวเอง คนพี่พอได้ฟังคำตอบก็หัวเราะลั่นอย่างสุดกลั้น

 

ใส...เศรษฐพงศ์ใสมาก ใสจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือไอ้เด็กที่ตอบโต้เขาทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ใสจนสงสัยว่ามันมีชีวิตรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ยังไงถึง 19 ปี รอดจนมาถึงปากเขาเนี่ย

 

            “เซ็ทเอ้ย...ทำไมมึงแม่งน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้วะ”คณิณยื่นมือไปยีผมน้องเบาๆจนยุ่งเหยิง เศรษฐพงศ์ซื่อเสียจนเขาเองรู้สึกผิดไปเลยที่หาเศษหาเลยกับน้องประจำ อยากจะห้ามใจแต่ก็เพราะรักมากนั่นแหล่ะจึงโหยหาสัมผัสอยากรักอยากกอดอยากแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของน้องตลอดเวลา เศรษฐพงศ์ยกเท้าถีบอกคนพี่เบาๆแก้เขิน

 

          “เขินเหรอ เขินเหรอครับ เซ็ทเขินพี่คินเหรอครับหื๊ม” ไอ้คนพี่นอกจากไม่โกรธที่โดนน้องถีบแล้วก็ยังแกล้งคร่อมลงไปทั้งตัวแถมใช้จมูกถูไถตรงซอกคอของน้องอย่างหมั่นเขี้ยวอีกต่างหาก เศรษฐพงศ์หดคอหนีเพราะจั๊กจี้ตอหนวดบางๆนั้นยามที่สัมผัสโดนจุดที่ทำให้เขาอ่อนไหวเช่นซอกคอแบบในตอนนี้  ทั้งดันหน้าทั้งดิ้นทั้งถีบสุดท้ายก็จบที่ห้องนอนกลายเป็นเวทีมวยปล้ำชั่วคราวไปซะอย่างนั้น เสียงโวยวายและเสียงหัวเราะดังสลับกันเป็นชั่วโมงก่อนจะหยุดลงเมื่อต่างคนต่างเหนื่อย

 

            “เวลากูไม่อยู่ถ้ามึงอยากใช้เสื้อผ้าตัวไหนของกูมึงก็มาหยิบไปใช้ได้เลยนะ”หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไประยะหนึ่งคณิณก็บอกกับคนน้อง เขาไม่ใช่คนหวงของแม้เสื้อผ้าจะราคาแพงขนาดไหนแต่ถ้าเศรษฐพงศ์อยากหยิบไปใส่เขาก็ยินดีให้น้องทุกเมื่อ ร่างสูงเดินไปเปิดตู้รองเท้าที่เจ้าตัวมีไว้ในห้องนอนกล่องรองเท้าใหม่เอี่ยมสองคู่ เป็นรองเท้า Sneakers ที่เจ้าตัวแอบสั่งมา ลายปักรูปงูด้านข้างสวยสะดุดตา

 

            “อะไรอ่ะ?”

 

            “รองเท้า สั่งมาสองคู่ได้เอาไว้ใส่คู่กันเวลาไปเที่ยว”คณิณตอบก่อนจะยื่นกล่องหนึ่งส่งให้เศรษฐพงศ์

 

            “ซื้อมาเท่าไหร่?”น้ำเสียงจับผิดถูกถามออกมาทันที คณิณกลอกตาเลิกลั่ก เขาลืมไปซะสนิทเลยว่าเศรษฐพงศ์ไม่ชอบให้เขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ถ้าบอกราคาที่เกินสองหมื่นของราคารองเท้าไปจ้างให้เศรษฐพงศ์ก็ไม่ยอมหยิบไปใส่แน่ๆ

 

            “270 ซื้อมา 270”

 

            “ตอแหลหรือเปล่า?”ส่งสายตาคมกริบยิ่งกว่ามีดคัทเตอร์ที่เอาไว้เหลาดินสอสองบี

 

            “บ้า กูพูดจริง กูสั่งของก็อปมา”คนพี่รีบตอบปั้นเสียงหนักแน่นใบหน้าไร้พิรุธเศรษฐพงศ์ก็ยิ้มออก

 

            “ดีเลย ไม่แพง งั้นกูเอาไว้ใส่ตอนผสมดินที่หอดีกว่า เปื้อนก็ไม่เสียดาย”

 

            “...............”แดกจุดครับ ณ จุดนี้

 

ขอโทษด้วยนะ Gucci  Snake Ace Sneakers แล้วกูจะคิดถึงความขาวสะอาดและราคาแพงของมึงตลอดไป...ลาก่อย
 
            คณิณ::
 
ผมช่วยไอ้เซ็ทขนของมาไว้ท้ายรถ บ่ายสามกว่าแล้วผมคงต้องไปแล้ว มองหน้ามันที่ยังคงมีสีหน้าเป็นปกติแล้วก็อยากจัจับมันมาจูบแรงๆแล้วด่ามันซักคำว่าไอ้เด็กใจร้าย
 
คือในขณะที่ผมไม่อยากไปพยายามยื้อเวลาที่จะใช้ร่วมกับมันให้มากที่สุด แต่ตัวมันกลับไล่ให้ผมรีบเดินทาง
 
            “ยิ่งเย็นรถยิ่งติด”นั่นเป็นเหตุผลที่มันบอกผม กล่องหมูรวนเค็ม หมูหวาน รวมทั้งไก่รวนถูกวางลงในมุมในสุดกระเป๋าเดินทางใบเล็กถูกยกขึ้นมาใส่ท้ายรถ มันผลักให้ผมเข้าไปนั่งประจำที่คนขับก่อนจะปิดประตูให้
 
            “ขับรถดีๆล่ะ”มันบอกกับผมก่อนจะโบกมือให้น้อยๆ แม่งโคตรไร้เยื่อใย ผมมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นจึงเรียกให้มันเดินเข้ามาหาใกล้ๆ
 
            “มานี่ๆ กูมีอะไรจะบอกเอาหูมาจะกระซิบ”ผมบอกกับมันเมื่อมันยืนนิ่ง ไอ้เซ็ทผู้มีความขี้เสือกพอประมาณก็ยื่นหน้าเข้ามาในรถ ผมไม่รอช้าจับหน้ามันล็อคไว้แล้วกดจูบลงไปแรงๆก่อนจะปล่อยให้มันเป็นอิสระ ไอ้เซ็ททำหน้าตาตื่นหันรีหันขวางเพราะกลัวใครจะมาเห็นก่อนจะซัดผลั่วะเข้ามาที่อกของผมเต็มแรง
 
ไอ้สัด จุก...
 
            “ทำเหี้ยอะไรถ้าใครมาเห็นทำไง”มันเอ็ดผมแต่หน้านี่แดงแจ๋เชียว
 
            “กูยังไม่ได้บอกมึงเลยนะ”
 
            “จะพูดอะไรก็พูด อย่าหวังจะหลอกกูเป็นรอบที่สอง”
 
            “กูรักมึงนะ”ผมรีบเอ่ยสวนกลับไป ไอ้เซ็ทหลุดยิ้มก่อนจะฮึ๊บกลับไปทำหน้านิ่งตามเดิม
 
แม่งโคตรน่ารักเลยไอ้เหี้ย กูไม่ไปแล้วได้ป่ะ ไม่เริงไม่เรียนแม่งแล้วได้มั้ย
 
จะเอาเมีย ปริญญาไม่ได้ก็ช่างแม่งแล้ว ณ จุดนี้
 
            “พูดมากไอ้สัด ไสหัวไปเร็วๆเลยรำคาญ”
 
น่ะ เขินทีไรหยาบคายกับกูทุกที
 
            “เออไปแล้วๆ” ที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้ สตาร์ทรถเตรียมเดินทาง ไอ้เซ็ทจับขอบประตูรถไว้ก่อนจะยื่นหน้ากลับเข้ามาในรถ ริมฝีปากอุ่นนุ่มของมันก็ทาบทับลงมาบนปากของผมแผ่วเบาและรวดเร็ว
 
            “ถึงแล้วโทรกลับมาหากูด้วยนะ”มันว่าเป็นประโยคสุดท้ายแล้วเดินหนีเข้าบ้านไปเลย
 
กูจะทำยังไงกับความน่ารักพร่ำเพรื่อของมึงดีวะเซ็ท กูหลงมึงจนหาทางกลับไปเป็นคณิณคนเดิมไม่ได้แล้วนะไอ้เด็กเหี้ย
 
น่ารักเหี้ยๆ...
 





     เศรษฐพงศ์ยืนรอออเดอร์ที่ตัวเองสั่งไว้ นิ้วมือก็สไลด์หน้าจอมือถือไปด้วยก่อนจะทำตาโต ดวงตาเป็นประกายม๊อบแม๊บๆขึ้นมาทันที



     "บัตรแรปบิทคอลเลคชั่นใหม่ลายมูมิน มีสี่แบบให้เลือกจับจองเป็นเจ้าของ"ริมฝีปากอิ่มอ่านรายละเอียดไม่กี่บรรทัดนั้นอย่างตื่นเต้น



คืออยากได้อ่ะ  คือแบบเนี่ยตอนนี้เขาเป็นผู้นำแฟชั่นของเพื่อนๆในกลุ่มเมื่อตอนที่เขาพาเพื่อนมาแวะแมคโดนัลด์คราวก่อนเศรษฐพงศ์บังเอิญเห็นว่าหน้าเค้าท์เตอร์รับบัตรแรปบิทและมันลด 10% เด็กหนุ่มจึงเอาบัตรใบที่คณิณซื้อให้ตอนไปกรุงเทพมาจ่าย



มันแปลกใหม่มากสำหรับเด็กต่างจังหวัด เพื่อนๆต่างให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม



บอกเลย ตอนนี้เขาน่ะเป็นผู้นำเทรนด์ เป็นผู้นำแฟชั่นการใช้บัตรแรปบิท และตอนนี้ทั้งวิทยาลัยมีเพียงเขาคนเดียวที่มีบัตรแรปบิทไว้ในครอบครอง



ความดีความชอบส่วนหนึ่งก็ต้องยกให้คณิณที่ทั้งซื้อและเติมเงินใส่ไว้ให้



และแน่นอน เศรษฐพงศ์ต้องมีมูมินครบทุกลาย!!!

 

 

 
            คณิณ::
 
            “มึง กูอยากได้บัตรแรปบิทลายมูมินนนนน”ผมขมวดคิ้วกับของที่ไอ้เซ็ทอยากได้อีกครั้ง อีบัตรเหี้ยนี่อีกแล้วเหรอวะ คราวก่อนกูก็ซื้อให้แล้วไงวันที่ไปสยามอ่ะ อีบัตรที่มีรูปกระต่ายกากๆอ่ะ แล้วนี่มาร้องเอาลายอะไรนะ มิน พีชญา?
 
            “ลายเหี้ยอะไรนะ เอาดีๆ”ผมกรอกเสียงถามกลับไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังเข้ามาในสาย เดี๋ยวเถอะนะ ไอ้เด็กเหี้ยนี่พออยู่ไกลกันชักจะเอาใหญ่ นึกว่าด่าผมก็ด่า นึกจะทำเสียงรำคาญก็ทำทีเวลาอยู่ด้วยกันนะทำเสียงแง้วๆยังกับลูกแมวหัดขู่
 
            “มูมินอ่ะ ไม่รู้จักเหรอทำไมไม่อินเทรนด์เลยวะ เนี่ยเพื่อนๆกูยังรู้จักเลย”
 
            “อ่ะ กูนอกจากจะไม่เท่ห์แล้วยังไม่อินเทรนด์ในสายตามึงอีกสินะ กูจะไปแสนรู้แบบมึงได้ยังไงล่ะ รู้จักไปหมด รู้ตั้งแต่เซเลอร์มูนยั้นมูมิน”ผมแขวะมันกลับในเรื่องที่มันเก็บเป็นความลับระหว่างเรา
 
ใครจะไปรู้ล่ะว่าไอ้เด็กที่เคยต่อยตีกับผมจนหัวร้างคางแตกอ่ะแม่งชอบดูเซเลอร์มูน อาโนเนะสัดๆ ถ้ามันไม่มาหาผมเมื่อตอนปิดเทอมผมก็คงไม่รู้หรอกว่ามันชอบอีการ์ตูนแก้ผ้าแปลงร่างนี่
 
            “แล้วมึงจะเอาไปทำไมวะ ใบเดิมกูก็เติมเงินใส่ให้แล้วพันหนึ่งอ่ะ”
 
            “ก็มันน่ารักอ่ะ แล้วแบบหน้ามันเหมือนมึงอ่ะ เดี๋ยวกูส่งูปให้ดู เห็นแล้วนึกถึงมึงเลย น๊ะๆ คินคนดี๊คนดีของน้องเซ็ทซื้อให้น้องเซ็ทหน่อยน๊า” มันทำเสียงเล็กเสียงน้อยเสียงสองใส่ผม ให้เดาตอนนี้คงนอนอยู่ที่หอถึงกล้าทำเสียงอ้อนใส่ผมได้
 
แล้วเหี้ยอะไรคือแทนตัวเองว่าน้องเซ็ท กูแม่งเหมือนจะตาย หัวใจเต้นหนักมาก หวิวๆเหมือนจะเป็นลม
 
อาการฟินจนวูบเป็นแบบนี้นี่เองสินะไอ้สัด
 
คิดว่าตัวเองน่ารักมากนักหรือไง
 
เออ น่ารักมาก น่ารัก น่ารัก น่ารักมากๆเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย อยากกลับเมืองกาญจน์ไม่อยากเรียนแล้ว อาจารย์ครับได้โปรดสั่งงานให้น้อยลงหน่อย ผมคิดถึงเมีย!!
 
ได้!! บอกมาเลยว่ามึงจะเอากี่ใบ นี่ใคร คณิณ ลิขิตสกุลกาญจน์  พร้อมเพย์หลบไป เพราะกูน่ะพร้อมเปย์มากบอกเลย
 
 
 
 
ผมกำลังยืนเคาะนิ้วลงบนเค้าท์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ มืออีกข้างก็ถือโทรศัพท์แนบหูในขณะที่พนักงานกำลังนับของที่ผมต้องการไปด้วย
 
            “ทั้งหมด 7960 บาท ค่ะ”พนักงานบอกราคาของที่ผมมาซื้อก่อนยื่นถุงมาให้ผม ผมจัดการจ่ายเงินจำนวนนั้นแล้วเดินออกมาด้านนอก
 
            “ได้ครบมั้ยวะ?”ปลายสายกรอกเสียงถามมาอย่างตื่นเต้น
 
            “ไหนทวนดิ๊มีอะไรมั่ง?”ผมถอนหายใจพรืดใหญ่กับความวอแวของไอ้เด็กที่โทรมารบเร้าให้ผมมาซื้อบัตรแรปบิทให้
 
            “บัตรแรปบิทลายมูมิน  4 ลาย ลายละ 10 ใบ”
 
            “โอเค ถูกต้อง แฟนใครเนี่ยเก่งจังเลย ราคารวมเท่าไหร่เดี๋ยวกูโอนเงินคืนไปให้เย็นๆวันศุกร์”
 
            “ไม่เป็นไรกูไม่เอาไม่ต้องโอนมากูซื้อให้”ผมบอกปัดอย่างไม่เห็นสำคัญเพราะมันไม่ได้แพงอะไรแต่ปลายสายกลับทำเสียงดุแหวกลับมาทันที
 
            “ส้นตีนดิ่ กูฝากมึงซื้อไม่ได้ขอให้มึงซื้อให้ แล้วอีกอย่างมันไม่ใช่แค่ของกู อีก 9 ชุดเพื่อนกูฝากซื้อ”
 
            “งั้นก็เก็บเงินไว้ที่มึง”ผมตอบกลับอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แค่เจ็ดพันกว่าบาทสำหรับผมก็เหมือนซื้อเสื้อตัวหนึ่ง เอาจริงๆผมไปกินเหล้าบางทียังหมดมากกว่านี้เลย
 
            "งั้นกูเอาเงินนี้ไปฝากธนาคารนะ วันไหนจะใช้ก็บอกแล้วกัน”
 
            “อืม จะเอาไปทำอะไรก็เอาไปเถอะ ว่าแต่นี่มึงได้พิมพ์เขียวจากโยธามายัง”
 
            “ยังเลยแม่ง กูไปที่ดินจังหวัดมา เขาให้กูนั่งรอเป็นครึ่งค่อนวันถึงได้บอกว่าต้องไปขอพิมพ์เขียวที่โยธาตรงเทศบาลหน้าเมือง กูแบบ โคตรเสียเวลาเลยไอ้สัด”ผมฟังไอ้เซ็ทบ่นเรื่องแปลนสวนสาธารณะตรงริมน้ำที่มันต้องทำปัญหาพิเศษส่งปลายเทอม
 
ระบบราชการไทยก็แบบนี้อ่ะเนอะ เรื่อยๆมาเรียงๆ สรุปไอ้เซ็ทไปนั่งรอครึ่งวันจนหมดเวลาราชการกองโยธาจึงต้องไปใหม่ในวันพรุ่งนี้
 
            “งั้นมึงก็ไปสำรวจพื้นที่ก่อนก็ได้ เอากล้องไปถ่ายแบบพาโนราม่าเก็บไว้ก่อน ไปลงจุดต้นไม้แบบคร่าวๆ ไปดูว่าในพื้นที่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรเตรียมไว้ มึงอย่าทำเป็นเล่นนะ แบบเสร็จเล่มไม่เสร็จเจอมาเยอะแล้ว”ผมแนะนำมันตามประสบการณ์ที่เคยผ่านมาเมื่อปีก่อน ของผมโชคดีที่ราบรื่นแต่ของไอ้ว่านเล่นเอาหืดขึ้นคอ
 
            “เออ เนี่ยกูกับไอ้ยิมก็มาแวะที่สวนอยู่ ลืมเรื่องถ่ายรูปไปซะสนิทเลย ขอบใจมากที่เตือน แล้วนี่มึงกลับห้องยัง?”
 
            “ยังกูต้องไปทำงานกลุ่มที่ห้องไอ้อ้น งานแทบจะทับตัวกูตายแล้วเนี่ย”
 
            “งั้นมึงขับรถดีๆนะ ตั้งใจทำงานล่ะ ทำเกรดสวยๆ กูไม่อยากอายเขาถ้ามีแฟนโง่”
 
            “แหม..เซ็ท แหม...นี่ใคร นี่คณิณนะครับ หล่อ รวย เก่ง ใจดี”
 
            “รำค๊าน เบื่อการขิงความรวยของมึงมากกูบอกเลย เออ แค่นี้นะกูทำงานก่อน”
 
“เดี๋ยวเซ็ท”ผมรีบเรียกมันไว้ก่อนที่มันจะวางสาย
 
            “มีอะไร?”
 
            “รักมึงนะ”ผมบอกคำที่พูดกับมันอยู่ทุกวันไปตามสาย เสียงมันพ่นลมออกจากปากก่อนจะเงียบไปอึดใจใหญ่ๆ
 
            “อือ...รักมึงเหมือนกัน”คำตอบรับกลับมาทำให้ผมชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ผมยิ้มจนปวดแก้มกับคำบอกรักง่ายๆของมัน
 
ในยามที่เราต้องห่างไกลกันผมอยากให้มันรู้ว่าผมไม่เคยเอาใจออกห่างจากมันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ต่อให้ผมงานยุ่งมากแค่ไหน หรือว่ามันจะเรียนหนักยังไง ทุกวันเราต้องได้คุยกัน แม้ไม่มีเวลาการได้ทักทายหรือไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันในแต่ละวันก็เป็นเหมือนกับยาชูกำลังให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
 
ผมคิดถึงมันและผมก็มั่นใจว่าเซ็ทก็คิดถึงผมเหมือนกัน
 
ถึงจะอยากไปหาอยากกลับไปกอดถึงจะคิดถึงตัวนุ่มๆผิวลื่นๆปากนิ่มๆของมันซักแค่ไหน แต่หน้าที่ของผมคือเรียนให้สำเร็จเสียก่อน
 
ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายที่สถาปัตย์เรียน 5 ปี เพราะฉะนั้นผมก็จะเรียนจบพร้อมไอ้เซ็ทอย่างพอดิบพอดี มันจะดีซักแค่ไหนนะที่เราได้อยู่ในช่วงเวลาประสบความสำเร็จของกันและกัน
 
ผมอยากให้เซ็ทได้อยู่เคียงข้างกับผมในทุกๆก้าวที่ผมเริ่มก่อร่างสร้างตัว
 
ผมอยากทำให้มันภูมิใจว่าผมสามารถทำงาน มีกิจการของตัวเอง เลี้ยงดูมันและดูแลครอบครัวของเราได้ ผมวาดฝันชีวิตคู่ของเราไว้อย่างสวยงาม ผมอยากจะหาสิ่งที่ดีที่สุดมากองแทบเท้ามันอยากให้มันเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก อยากให้มันรู้ว่านอกจากพ่อผู้ล่วงลับของมันแล้วก็จะมีผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ชื่อ คณิณ  ลิขิตสกุลกาญจน์ คอยดูแลและเคียงข้างมันไปจนกว่าจะตายจากกันในซักวันหนึ่ง
 
ผมขับรถเข้ามาจอดในลานจอดรถหน้าหอของไอ้อ้น หิ้วถุงของกินที่แวะซื้อไว้ตุนสำหรับเป็นเสบียงของพวกเราในคืนนี้ติดมือมาด้วย เมื่อขึ้นลิฟท์แล้วจอดที่ชั้น  4 ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆดังมา อดส่ายหัวให้กับความโหวกเหวกนั้นไม่ได้ แบบนี้สินะหอต่างๆถึงไม่อยากรับเด็กสถาปัตย์ให้เข้าพัก ก็ทั้งเสียงดัง ทั้งของเยอะ หมุนลูกบิดเข้าไปโดยไม่คิดจะเคาะ ไอ้แพรกับไอ้ว่านนอนทำท่าหมดอาลัยตายอยาก ส่วนไอ้แพทกับไอ้อ้นกำลังตัดโมกันด้วยท่าทางคร่ำเคร่ง ไอ้แดนนอนสลบอยู่บนเตียง ผมโยนถุงของกินลงบนโต๊ะไอ้พวกที่ทำท่าซังกะตายก็รีบมารุมทึ้งคล้ายตัวไฮยีน่าที่หิวโซ
 
            “เสี่ย มึงนี่รู้ใจเพื่อนๆมากเลย พวกกูจะตายอยู่แล้ว”ไอ้แพทคว้าแก้วกาแฟยี่ห้อดังไปดูดอย่างหิวกระหาย ส่วนไอ้แดนพอได้กลิ่นของกินก็ทำจมูกฟุดฟิดแล้วรีบเด้งตัวลุกขึ้นมาร่วมวงทันที พวกไอ้แพรกร่นด่าถึงสกิลการกวาดของกินเข้าไปไว้ในส่วนของตัวเองของไอ้แดนดังลั่น ผมไม่ได้พูดอะไร เริ่มลงมือทำงานส่วนของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ฟ้าด้านนอกเริ่มมืดครึ้ม ฤดูฝนเริ่มย่างกรายเข้ามาแต่ก็ไม่ได้พาความร้อนไปกลับทำให้อากาศร้อนอบอ้าวกว่าเดิมแถมพาความเหนียวตัวตามมาด้วย ถ้าห้องไม่มีแอร์ผมรับรองได้ว่าผมคงละลายไปกับพื้นห้องแน่ๆ แล้วไอ้ตัวดีของผมล่ะ ตอนนี้จะร้อนแค่ไหนนะ ใส่หมวกหรือเปล่า ผมเป็นห่วงมันจริงๆนะ ไอ้เซ็ทไม่ชอบใส่หมวก ต่อให้แดดร้อนแค่ไหนมันก็มักจะเดินท่อมๆฝ่าแดดร้อนระอุของจังหวัดกาญจนบุรีที่ขึ้นชื่อว่าร้อนที่สุดในประเทศอย่างไม่สะทกสะท้าน ครีมกันแดดซื้อให้มันไม่เคยทา บ่นว่าเหนียว บ่นว่าทาแล้วหน้าวอก
 
            “คนแมนๆที่ไหนเขาทากัน”มันให้เหตุผลเวลาที่ผมบ่นมัน
 
            “มะเร็งผิวหนังจะแดกมึงเข้าซักวัน”ผมบ่นมันจนขี้เกียจบ่นแล้ว ก็ได้แต่คอยเตือนให้มันพกหมวกไปด้วย แต่เด็กดื้ออย่างมันถ้าให้เดาก็คงไม่พกอีกตามเคย
 
            เศรษฐพงศ์::
 
            “ยิม เดี๋ยวมึงมาร์กจุดที่เป็นสิ่งปลูกสร้างกับพวกพื้นที่ว่าง อุปกรณ์ออกกำลังกายนะ ส่วนกูจะไปมาร์กต้นไม้ใหญ่”ผมแบ่งงานก็ไอ้ยิมก่อนจะขยับหมวกออกมาพัดไล่ความร้อน ฝนทำท่าจะตกยิ่งทำให้อากาศร้อนระอุกว่าทุกวัน มองไปบนสนามฟุตซอลแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือก ละอองแดดเต้นพลิ้วไหวอยู่บนอากาศพลิ้วจนตาพร่า ความร้อนสะท้อนจากพื้นซีเมนต์ขึ้นมาพาลให้หงุดหงิด หมวกในมือยิ่งกระพือหนักมากขึ้นกว่าตอนแรก
 
ป่านนี้ไอ้คินคงกำลังทำงานกลุ่มอยู่สินะ ตั้งแต่เปิดเทอมไอ้หมาของผมเอาแต่บ่นว่าอาจารย์สั่งงานเยอะเหมือนแก้แค้นตอนที่ตัวเองก็งานเยอะแบบนี้ มันชอบบอกให้ผมทาครีมใส่หมวกซึ่งผมไม่ค่อยทำตามที่มันบอกซักเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ผมสามารถเข้าไปหยิบของมันมาใช้ได้อย่างอภิสิทธิ์ หมวกใบเก่งที่มันใส่ไปเชียร์ผมที่ราชบุรีถูกยึดมาไว้กับตัว กลิ่นแชมพูสระผมของมันยังมีอยู่จางๆหรือว่าผมมโนไปเองก็ไม่รู้ หยิบมาเพราะคิดถึงเจ้าของหมวก สุดท้ายก็ยอมใส่ ถ้าเจ้าตัวรู้คงดีใจ
 
แต่อย่าไปบอกมันเชียวนะครับ เดี๋ยวมันได้ใจ
 
ผมมองดูลูกหมาสองตัวอายุน่าจะประมาณ 2-3 เดือน เล่นกันก็หลุดหัวเราะออกมา ไอ้ตัวที่เอาแต่ไล่งับนั่นโคตรเหมือนไอ้คินเลยครับ
 
อ่า...ทำไงดี ผมคิดถึงลูกหมาของผมเหลือเกิน
 
คิดถึงมากๆ
 
คิดถึงสุดๆ
 

 

 

 

 ................

สวัสดีอย่างเป็นทางการนะคะ นักเขียนไม่ได้คุยกับนักอ่านเลยมาอัพแล้วก็จากไปแต่เราอ่านทุกคอมเม้นท์นะคะแม้จะมีน้อยแต่ก็อ่านทุกอัน

ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ

ฝากพี่คินกับน้องเซ็ทไว้ในซอกใจลึกๆด้วยนะคะ

สามารถพูดคุยกับนักเขียนได้ที่ทวิตเตอร์นะคะ  @il_LoVe_li
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 34 30/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 30-01-2019 03:51:27
มีความน่ารักอะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 34 30/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 30-01-2019 05:15:28
ชอบๆพี่น้องคู่นี้ รอติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 35 31/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 31-01-2019 00:24:31
ตอนที่ 35




                “ตั้งแต่รู้จักกันมาวันนี้กูเห็นมึงยิ้มแห้งมากที่สุดในชีวิตแล้วไอ้เซ็ท"เศรษฐพงศ์โยนเล่มปัญหาพิเศษที่ทำเสร็จและเพิ่งไปส่งอาจารย์มาลงกับโต๊ะหินอ่อนอย่างอารมณ์เสีย เด็กหนุ่มหงุดหงิดจนไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไงแล้ว

 

                “แม่ง...”สบถออกมาก่อนพ่นลมออกจากปากอย่างพยายามข่มอารมณ์ เขาไม่อยากจะโมโหใส่เพื่อน แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเขาหัวเสียไม่น้อย รอบที่ 5 แล้วนะที่รูปเล่มของเขาถูกตีคืน ความหงุดหงิดก่อกวนเด็กหนุ่มสองคนมาร่วม 2 เดือนแล้ว เหมือนว่าสิ่งที่เขาตั้งใจทำไปส่งอาจารย์นั้นจะยังไม่ดีพอแม้จะแก้ข้อผิดพลาดตามที่อาจารย์ได้แนะนำแล้วแต่พอเอาไปส่งอาจารย์ก็ยังหาจุดบกพร่องมาทำให้เขาต้องแก้แล้วแก้อีกจนได้

 

                “คือกูขอโทษด้วยเว้ยเซ็ท”ยงศกรเอ่ยขอโทษคู่หูที่จับคู่กันทำปัญหาพิเศษชิ้นนี้โดยเขารับหน้าที่เป็นคนทำเนื้อหาในเล่ม ส่วนเศรษฐพงศ์เป็นคนเขียนแบบละเอียดจึงรับหน้าที่นั้นไป

 

                “กูว่าเดชแม่งเหมือนแกล้ง ไอ้เหี้ย คือพวกมึงในห้องอาจารย์ให้ใช้สีไม้ แต่กับกูเดชบอกให้กูใช้สีน้ำ แล้วไอ้เหี้ยกว่าจะแห้ง ลงผิดลงพังกูต้องทำใหม่ ทำไมแม่งทำกับกูงี้วะ แล้วอีเล่มส้นตีนเนี่ย ให้พวกกูแก้จะ 10 รอบแล้วนะเว้ย คือมีเหี้ยอะไรให้แก้อีกวะ”เศรษฐพงศ์พลิกๆหน้ารายงานดูอย่างละเอียด หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างคนหงุดหงิดเต็มที่

 

                “ทีพวกแอนทำไปส่งแม่งแทบจะไม่แก้ กูขอยืมมันมาดูแล้ว ห่วยมากงานเผางานลวก คือแม่ง คนโปรดทำเหี้ยอะไรไปส่งก็ผ่าน กูไปขับรถทับเงาน้องหนิมของเดชเหรอวะไอ้เหี้ย ตั้งแต่ปีหนึ่งล่ะ ดูจองล้างจองผลาญกับกูจัง”

 

                “เอาน่า มึงก็ใจเย็นๆ ยังไงมึงสองคนก็ไม่โดดเดี่ยว พวกกูก็แก้เหมือนกัน เอางี้มั้ยเราไปรวมตัวกันที่บ้านใครซักคนแล้วช่วยกันทำ เอาที่เดชสั่งแก้มาเทียบดูทีละจุดเลยแล้วแก้ให้มันถูกต้อง กูว่ายังไงคราวนี้แม่งก็ต้องผ่าน”จีรนันท์แฝดพี่เอ่ยข้อเสนอ บรรดาเพื่อนๆต่างก็เห็นด้วย

 

                “แม่ง ครึ้มมาอีกแล้ว ผ้ากูจะแห้งมั้ยให้ทายดู”วีระดนัยบ่นให้กับอากาศที่ร้อนจนหงุดหงิด ร้อนจนแสบผิว บรรดาเด็กๆต่างนั่งสุมหัวตรวจงานที่ต้องแก้ในคาบที่เหลือก่อนจะพากันกลับหอพักหลังหมดเวลาเรียน

 

เศรษฐพงศ์โยนกระเป๋าเป้ลงบนฟูกนอนก่อนจะทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง ยื่นเท้าไปกดเปิดพัดลมเบอร์แรงที่สุด ความร้อนอบอ้าวตลอดทั้งวันพาให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหงื่อไหลราวกับน้ำตกจนฟูกเปียกเป็นวง กระเบื้องมุงหลังคาคล้ายจะดึงเอาความร้อนเข้ามาในห้อง

 

อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะเรียนจบแล้วตอนนี้จะต้องเริ่มส่งคะแนนไปขอโควตามหาลัยที่เปิดรับนักศึกษาคณะนี้ เขาต้องรีบจบปัญหาพิเศษให้ทันกำหนดจะพลาดไม่ได้ เพราะถ้าวิชานี้ไม่ผ่านเกรดที่ผ่านมาก็ไม่มีความหมาย

 

ตารางชีวิตของเขาจะรวน ที่สำคัญแม่คงเสียใจ เรียนมาตั้งนานจะไม่จบเพราะวิชาเดียว

 

แม่ง ปัญหาพิเศษสมชื่อจริงๆ

 

ถอนหายใจทิ้งอย่างเหนื่อยๆหน่าย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูโปรแกรมแชท คณิณทิ้งข้อความไว้ตั้งแต่ก่อนเที่ยงแต่เขายุ่งจนแทบไม่มีเวลาแตะโทรศัพท์เลย จรดปลายนิ้วลงไปบนหน้าจอสัมผัสลงบนตัวอักษรต่างๆก่อนจะกดบันทึกเสียงแล้วเอาโทรศัพท์มาจ่อปาก

 

                “คิดถึงมึงจัง”เอ่ยคำที่อยู่ภายในใจก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างกายปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

 

แสงสว่างวาบที่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรูของคณิณไม่ได้ทำให้คนที่หลับฟุบกับกองงานรู้สึกตัวเลยซักนิด ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้ซีดเซียว ขอบตาที่คล้ำง่ายอยู่แล้วตอนนี้กลับคล้ำจนเห็นได้ชัด กล่องสีถูกเปิดทิ้งไว้ แท่งสีกระจัดกระจาย แก้วกาแฟวางไว้ตรงมุมนู้นมุมนี้ 4-5 ใบ ชายหนุ่มที่โดนงานกองท่วมหัวไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยด้วยซ้ำ ความเหนื่อยล้าทำให้เขาเผลอหลับไปด้วยร่างกายเกินจะต้านฝืนธรรมชาติที่คนต้องพักผ่อน

 

ต่างคนต่างสถานที่ ต่างหลับใหลด้วยภาระหน้าที่เหมือนกัน

 

มีเพียงความคิดถึงที่ถูกส่งผ่านตัวอักษรและเสียงให้เป็นดังยาชูกำลัง คณิณไม่ได้กลับบ้านมาสองเดือนแล้ว ทั้งรายงานและชิ้นงานถูกสั่งให้ทำจนมือแทบหงิก

 

ทุกวันนี้ขอแค่เวลานอนให้เต็มอิ่มซักวันยังยากเลย

 

                เศรษฐพงศ์กับเพื่อนๆและรุ่นน้องในวิทยาลัยมองพื้นที่เฉอะแฉะที่ได้รับมอบหมายให้มาถางหญ้าด้วยสีหน้าเจ็บปวด

 

อีฝนเหี้ยหลังจากเล่นเอาเถิดเจ้าล่อมาหลายวันวันนี้ตอนเที่ยงก็เทโครมลงมาราวฟ้ารั่ว จะไม่โมโหเลยถ้าวันนี้ไม่มีวิชา อกท.ที่ต้องมาถางหญ้าในแปลงข้าวโพดที่เพิ่งหยอดเม็ดได้ครึ่งเดือนเด็กหนุ่มขับรถกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอ คือถ้าใส่ชุด อกท.กับผ้าใบไป พรุ่งนี้คงต้องเดินตีนเปล่ารอบวิทยาลัย หันรีหัวขวางจะใส่รองเท้าแตะก็ไม่สุภาพสุดท้ายก็ดีดนิ้วเปาะเพราะนึกได้ว่าตนเองยังมีรองเท้าสำรองอีกคู่หนึ่ง เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบกล่องรองเท้าที่หอบหิ้วมาจากบ้านออกมา ผ้าใบขาวลายงูสะดุดตาถูกสวมก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากหอเพื่อกลับไปถางหญ้าที่แปลงข้าวโพด

 

                “โอ้ย ไอ้เหี้ย นั่นดินหรือบ่อโคลนดูดวะ”ยงวิสุทธิ์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นรุ่นน้องเริ่มลงแปลง บรรดารุ่นพี่ที่อยู่มานานอย่างพวกเขาถ้าไม่ได้เป็นคณะกรรมการของนายก อกท. ก็อย่าหวังว่าจะเห็นหัว จริงๆอยากโดด แต่ศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่เลยต้องมากันครบทุกคน โอบนิธิเริ่มลงมือถอนหญ้าด้วยใบหน้าบึ้งตึงราวกับไปแค้นใครมา

 

แม่ง อีหญ้าเหี้ย คนเขาไม่ต้องการยังจะเสนอหน้ามาขึ้น อีสัด

 

สวบ...เพียงแค่ก้าวแรกที่เหยียบย่างรองเท้าคู่ละ 270 ตามที่คนเป็นแฟนบอกก็หายวาบเข้าไปในดินโคลนซะครึ่งเท้า เศรษฐพงศ์ค่อยๆดึงเท้าตัวเองขึ้นก่อนจะโดดขึ้นคันดินที่เป็นยกร่อง แต่นั่นแหล่ะ เพราะฝนเพิ่งตกและดินก็ลื่นสุดท้ายร่างสูงก็เสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนโคลนแฉะๆ

 

                “มึงไม่ต้องสาธิตที่มาของคำว่าหล่อลื่นก็ได้นะไอ้เซ็ท ดูสิน้องๆมองมึงใหญ่แล้วไอ้ผัวรุ่นผัวของวิทยาลัย”วีรดนัยนอกจากไม่ช่วยแล้วยังแหกปากแซวเขาเสียงดังลั่น เรียกสายตาสนอกสนใจจากรุ่นน้องให้จ้องมาทางเขา

 

                “ไอ้เหี้ยแทนที่จะช่วยกู”

 

                “อย่ามาทำสำออย กูไม่ใช่แฟนมึงกูไม่โอ๋”วีรกดนัยอาศัยความเล็กกะทัดรัดของตัวเองเดินฉับๆทิ้งเพื่อนรักไปทันที แต่คนโดนทิ้งไว้น่ะนั่งหน้าแดงก่ำเพราะคำพูดของเพื่อนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

                “เอ้าลุก อายน้องมัน ตั้งแต่มีผัวนี่แข้งขาอ่อนนะไอ้สัด”เป็นยงศกรที่เข้ามาหิ้วปีกดึงเขาให้ลุกขึ้นกระซิบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน แต่เป็นอีกครั้งที่เพื่อนตัวแสบสาดกระสุนใส่เขาอีกคน

 

                “ผัวเหี้ยไร ไม่มีอะไรกันซักหน่อย”หันไปเถียงเพื่อนแต่คนโดนเถียงถึงขั้นเบะปากใส่

 

                “ไม่มีวันนี้อนาคตมึงก็ต้องมี มันไม่ปล่อยมึงไว้แน่ กูดูแล้วยังไงไอ้คินก็ไม่เป็นเมียแน่ๆ โถๆเพื่อนรัก ได้แฟนเป็นตัวเป็นตนทั้งทีแทนที่จะได้เมียเสือกได้ผัว ฮ่าๆๆๆๆๆ”ยงศกรรีบกระโดดข้ามท้องร่องเมื่อเพื่อนที่ตัวเล็กกว่าก้มลงไปคว้าขี้ดินขึ้นมาเต็มกำมือ

 

ฝากไว้ก่อนเถอะมึง นี่ถ้าเขวี้ยงทันกูจะเขวี้ยงใส่ปากมึงเลยไอ้ยิม ไอ้สันดาน รู้ดีนัก

 

แต่แม่ง...กูจะเถียงอะไรได้ล่ะ

 

ก็เลือกพูดถูกทุกคำ

 

                คณิณ::

 

ผมวางสีแท่งสุดท้ายลงก่อนจะบิดขี้เกียจ ด้านนอกฝนทิ้งตัวลงมาอย่างหนักหน่วง การจราจรยามเย็นคงกำลังคับคั่งวุ่นวาย โชคดีชะมัดที่ตัดสินใจหอบงานกลับมาทำที่คอนโด กระจกหน้าต่างกลายเป็นฝ้าจากเม็ดฝนและความชื้นของอากาศ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดข้อความเสียงที่ไอ้ตัวแสบส่งมาเมื่อวันก่อน

 

                “คิดถึงมึงจัง”แค่คำสี่คำก็ทำให้ผมดีดราวกับพี้ยามาได้จนกระทั่งทำงานเสร็จไปชิ้นหนึ่งเนี่ย ตอนแรกผมกะจะโทรไปแต่เมื่อมองนาฬิกาแล้วป่านนี้ไอ้ดื้อของผมคงยังไม่เลิกเรียนเลยพิมพ์ข้อความไปหามัน น่าแปลกที่มันขึ้นอ่านแล้วอย่างรวดเร็ว

 

                “ทำไมวันนี้อ่านไวมึงยังเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ”

 

                “วันนี้กูลงแปลง แม่งเฉอะแฉะเหี้ยๆ ฝนตกปานฟ้าถล่มอาจารย์ยังให้พวกกูมาถากหญ้า”

 

                “หัดเป็นคนขี้บ่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”

 

                “ก็มันน่าบ่นจริงๆนี่หว่า ดีนะกูกลับมาเปลี่ยนรองเท้าที่หอไม่งั้นกูไม่มีรองเท้าใส่เรียนแน่ๆ แต่คิน รองเท้าที่มึงซื้อให้แม่งใส่นุ่มสบายตีนมากคราวหลังมึงสั่งมาให้กูอีกคู่นะเดี๋ยวจ่ายตังค์ให้”ผมขมวดคิ้วกับคำว่ารองเท้าที่มึงซื้อให้ พลางใช้สมองประมวลคำพูดของไอ้เซ็ท

 

รองเท้าคู่ไหนวะ?

 

กูเคยซื้อรองเท้า....หืม???

 

รองเท้าที่กูซื้อให้...

 

กูจำได้ว่ากูเพิ่งซื้อให้มันไปคู่เดียว

 

อยู่ๆมือผมก็สั่น เหงื่ออกในฝ่ามือจนมันลื่น ผมตัดสินใจกลั้นใจพิมพ์คำถามลงไป

 

                “รองเท้าคู่ไหนวะ?”

 

                “ก็อีคู่ที่มันมีงูไง”ไอ้เซ็ทส่งสติ๊กเกอร์รูปเด็กแว่นเต้นมาให้ผมก่อนที่ภาพๆหนึ่งจะปรากฏบนหน้าจอ

 

นั้นคือเหี้ยอะไร? รองเท้าเก่าๆคลั่กๆแบบที่ชีวิตนี้ผมจะไม่มีทางเฉียดไปโดนใกล้ๆเด็ดขาด เมื่อลองเพ็งดูฝ่าดินโคลนที่ติดแกร่กก็พบว่า...สัญลักษณ์ของกุชชี่เด่นหรา มิหนำซ้ำไอ้ตัวดียังใส่แบบเหยียบส้น

 

อย่าบอกใครนะครับว่ารองเท้าคู่นั้นสองหมื่นกว่า คือตอนนี้ขายสองบาทก็ไม่มีใครซื้อ

 

แต่ตอนนี้ผมขอวิ่งไปกรี๊ดอัดหมอนก่อน

 

ไอ้เซ็ท  ไอ้เด็กเหี้ย กูคิดว่ามึงแกล้งโง่แกล้งไม่รู้ว่ากูโกหก นี่มึงเชื่อจริงๆเหรอไอ้สันดานว่าราคามันแค่ 270 บาท

 

โอ้ย....กูอยากจะเป็นลม

 

ไม่...คณิณต้องฮึ๊บบไว้ บอกให้ฮึ๊บไง ห้ามร้อง ห้ามงอแง คณิณต้องไม่โกรธ  ไม่โกรธ ต่อให้เอาขี้ดินมาดีดใส่หน้ากูก็ม่ายโกด แต่ทำไมหัวกูมันร้อนๆวะ แบบเหมือนมีควันออกหูหน่อยๆด้วย

 

น้องมันไม่รู้

 

คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด

 

สูดหายใจลึกๆ

 

คลามดาวน์นะคณิณ...คลามดาวน์

 

ดาวน์ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยย

 

                “อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก รองเท้ากู!!!!!!!!!!!”













 

 

 

                “ทางด้านทิศเหนือติดริมน้ำเราสร้างคลับเฮ้าส์ที่ด้านในมีศูนย์อาหารบริการอาหารและเครื่องดื่มให้สำหรับประชาชนที่มาใช้บริการ ติดกันนั้นเราทำเป็นท่าเรือมีเรือไว้ให้ได้เช่าปั่นครับ ส่วนด้านหน้าที่เป็นคอร์ดแบต เราปรับปรุงให้เป็นคอร์ดที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น จุดออกกำลังกลายพวกยืดกล้ามเนื้อปรับใหม่เป็นลานเด็กเล่นที่มีเครื่องเล่นเสริมพัฒนาการให้กับเด็กๆ ตรงจุดนี้ไม้ยืนต้นเดิมเราจะยังคงไว้เพื่อใช้ร่มเงาบังแดดในตอนเย็น ส่วนพื้นที่โล่งด้านริมสุดติดกับโรงเรียนศึกษาพิเศษเราทำเป็นสนามกีฬาเพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาต่างๆที่บ้านเราเป็นเจ้าภาพรวมทั้งการแข่งขันกีฬาต่างๆของโรงเรียนในตัวจังหวัดมาใช้สถานที่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น...”เศรษฐพงศ์ชี้ตามจุดต่างๆของแปลนแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่บนกระดานหน้าห้อง คณะกรรมการผู้ตัดสินปัญหาพิเศษประกอบด้วยอาจารย์ทั้งสามท่านต่างนั่งฟังอย่างตั้งใจ แปลนแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกอธิบายถึงส่วนต่างๆทั้งงานฮาร์ดสเคปและซอฟท์สเคป บรรดาเพื่อนร่วมชั้นต่างนั่งเงียบไม่รวมถึงเพื่อนต่างคณะที่เข้ามาร่วมฟังการพรีเซ้นต์ในครั้งนี้ เศรษฐพงศ์และยงศกรกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ปลายลิ้นถูกส่งออกมาเลียริมฝีปากเบาๆอย่างประหม่า

 

                “ราคาประเมินทุกอย่างที่คุณว่ามาอยู่ที่เท่าไหร่ครับ?”อาจารย์สุรเดชเจ้าของวิชาตั้งคำถามแรก

 

                “งบประมาณที่เราประเมินไว้อยู่ที่ 21 ล้าน ครับ”

 

                “มันไม่เยอะไปเหรอครับสำหรับการใช้งบประมาณจากทางราชการ อีกอย่างตรงส่วนท่าเรือที่เอาไว้ให้เรือเช่าผมไม่เห็นประโยชน์ หนึ่งทางด้านการรักษาความปลอดภัยถ้าให้เด็กขึ้นมาเล่นบนเรือเกิดตกน้ำตกท่าขึ้นมาตรงส่วนนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบครับ?”

 

                “ในส่วนนี้ผมคิดว่าการที่จะให้เด็กขึ้นไปบนเรืออย่างน้อยต้องผ่านความเห็นชอบและต้องได้รับการดูแลจากผู้ปกครองอยู่แล้วครับ และตรงจุดนี้”เศรษฐพงศ์ชี้ตรงจุดที่เป็นป้อมติดท่าเรือ

 

                “ตรงจุดนี้เรามีบริการเสื้อชูชีพของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไว้บริการครับ แต่ถ้าตัดตรงส่วนนี้ออกไปก็ไม่ได้ทำให้สวนขาดอะไรไปครับ สามารถตัดออกได้ถ้าลูกค้าไม่ต้องการแล้วเปลี่ยนมาเป็นเลนสำหรับใช้ปั่นจักรยานแทนได้”เศรษฐพงศ์ตอบแผนสำรองที่เขาได้คิดไว้แล้วในจุดนี้ให้คณะกรรการฟัง คำถามยากๆถูกถามจี้มาเป็นระยะคล้ายว่าอาจารย์จะต้อนให้เขาจนมุม เกิดความเครียดและความกดดันฉายชัดในสีหน้า

 

                “ดูจากแบบของคุณแล้วมันยังไม่ละเอียดพอ การลงสีไม่สมกับที่เป็นคุณเลย ที่ผมให้คุณใช้สีน้ำเพราะอยากให้คุณพิสูจน์ฝีมือตัวเองให้กลุ่มอื่นๆเห็นว่าคุณมีความสามารถมากกว่าเพื่อนคนอื่น แต่ผมดูแล้ว....ก็ไม่เท่าไหร่”อาจารย์เบะปากและยักไหล่ด้วยท่าทางดูถูกเศรษฐพงศ์สะกดกลั้นความไม่พอใจไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากยงศกรที่ยงคงส่งยิ้มแม้ว่าในใจจะเดือดกรุ่นๆ อาจารย์พูดแบบนี้เหมือนจงใจฉีกหน้าเศรษฐพงศ์กับคนทั้งหอประชุม

 

                “มีอะไรจะพูดอีกมั้ยครับ?”อาจารย์เอ่ยคำถามใส่ไมค์

 

                “ครับ ก่อนอื่นผมสองคนก็ขอขอบพระคุณท่านคณะกรรมการและเพื่อนๆนักศึกษาที่กรุณาสละเวลามาฟังการพรีเซ้นต์ของเราสองคนในวันนี้ และข้อเสนอแนะที่อาจารย์บอกมาผมจะเก็บไว้ปรับปรุงและพัฒนาตนเองในอนาคตข้างหน้าต่อไปครับ”

 

                “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เพื่อนๆคนอื่นมีอะไรจะถามอีกมั้ยครับ?”อาจารย์เดชหันไปหานักศึกษาด้านหลัง ซึ่งแน่นอนเมื่อเพื่อนๆเห็นรอยยิ้มเย็นๆของเศรษฐพงศ์ รอยยิ้มจากริมฝีปากสวยคล้ายจะสื่อสารว่า ถ้าพวกมึงบังอาจถามอะไรเพิ่มมึงเจอกูแน่ แค่นั้นเพื่อนๆก็เงียบกริบ

 

                “โอเค งั้นก็จบการพรีเซ้นต์แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณนักศึกษาทุกกลุ่มที่ทำงานกันอย่างหนัก”คณะกรรมการเดินออกจากหอประชุมไปแล้วเศรษฐพงศ์ถึงกับเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น

 

ไอ้เหี้ย..จบแล้ว...ตอนนี้เหลือแค่เล่มที่ต้องส่งทุกอย่างก็จะจบ บรรดาเพื่อนๆต่างกรูกันเข้ามาหาเขาส่งเสียงพูดคุยกันจอกแจกจอแจ ต่างคนต่างโล่งอกกันไปเปราะหนึ่ง ตอนนี้คือแบบผ่านทุกคนแม้จะมีข้อติบ้างแต่คืออาจารย์ให้ผ่านทุกคน แค่นี้เขาก็ดีใจมากแล้ว บรรดาเด็กๆต่างเก็บของพวกกระดาษแปลนและพิมพ์ต่างๆใส่กระบอกก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊รินที่อยู่นอกวิทยาลัย

 

ความตึงเครียดที่มีมาตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายถูกระบายลงกับก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อสดน้ำตกหลายสิบชาม กินเพื่อระบายความเครียดที่สะสมมาหลายเดือน

 

                “ตอนนี้ก็เหลือแค่ส่งเล่ม กูว่าคราวนี้แม่งไม่น่าจะโดนแก้แล้วเพราะเราแก้ทุกจุดที่เดชบอกแล้ว”ยิมบอกอย่างมั่นใจ

 

                “กลับหอกูจะนอน นอนให้สมกับที่ไม่ได้นอนมาทั้งอาทิตย์เลยไอ้เหี้ย”แฝดน้องประกาศกร้าวผิดคราบจินผู้อ่อนโยนไปเลย เขายอมรับเลยว่าปัญหาพิเศษชิ้นนี้ดูดพลังและความนุ่มนวลของเขาไปจนเกือบหมด 1 อาทิตย์เต็มๆที่พวกเขาไปสุมหัวกันอยู่ที่บ้านของเศรษฐพงศ์โดยที่คณิณอนุญาตให้ใช้ห้องทำงานของเขาได้ เด็กทั้ง 7 คนแทบไม่ได้นอน ยงวิสุทธิ์ได้คู่กับเพื่อนในห้องอีกคนก็มานั่งทำเล่มกับพวกเขาที่บ้านด้วย แบบก็เร่ง เล่มก็ต้องทำ เช้า 7 โมงต้องไปเรียน กลับมาก็ทำงานต่อกันจนถึงตี 5 ผลัดกันอาบน้ำแล้วขับรถมาเรียน คือวนเวียนแบบนี้จนแทบไม่มีวิญญาณสิงอยู่ในร่างอยู่แล้ว

 

                “แล้วนี่จะนอนที่หอหรือกลับบ้านกันวะ?”วีรดนัยเอ่ยถามหลังจากก๋วยเตี๋ยวชามสุดท้ายสิ้นสุดลง

 

                “กุกลับบ้านแล้วกัน หอร้อนอยากนอนตากแอร์แบบข้ามวัน เหนื่อยร่างจะแหลก”เศรษฐพงศ์ตอบในขณะที่แคะขนมถ้วยใส่ปากไปด้วย

 

                “เออ งั้นเดี๋ยวกลับเลยป่ะ กูก็คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่เหมือนกัน”โอบนิธิเอ่ยถามเพื่อนๆซ฿งทุกคนพยักหน้ารับ

 

                “งั้นก็แยกกันเลยแล้วกันบ้านใครบ้านมันเนอะ”เศรษฐพงศ์เรียกเจ้าของร้านมาคิดค่าเสียหายที่กินกันเหมือนแร้งลง หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยเด็กหนุ่มก็ขับรถกลับบ้านเลย ฝนครึ้มอยู่หลังเขามาแต่ไกลไม่นานก็คงจะตกลงมาเด็กหนุ่มใช้เวลา 20 นาทีก็พาอีแดงลูกรักกลับมาจอดที่ลานจอดรถในบ้าน

                “พี่เรียมตอนเย็นไม่ต้องเรียกกินข้าวนะครับเซ็ทกินมาจากวิทลัยแล้ว ขอนอนหน่อยถ้าแม่มาก็บอกว่าเซ็ทนอนไม่ต้องปลุกนะครับ”เศรษฐพงศ์แวะเข้าไปในห้องครัวเอ่ยบอกความต้องการของตัวเองกับแม่บ้านก่อนจะก้าวยาวๆกลับขึ้นห้องไป รีโมทแอร์ถูกหยิบเป็นสิ่งแรกปรับอุณหภูมิที่ชอบแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป เด็กหนุ่มเปิดสายน้ำเย็นชื่นใจราดรดตัวเองล้างคราบเหงื่อไคลที่หมักหมมมาทั้งวัน อาบน้ำให้สบายตัวเพื่อที่จะได้นอนหลับรวดเดียวไปเลย เมื่อเสร็จแล้วก็ทาครีมตามแขนขาแบบที่คณิณเคยสอนพอเป็นพิธี ทาครีมที่หน้าแบบลวกๆแล้วกระโดดขึ้นเตียงกะว่าจะเล่นโทรศัพท์ซักหน่อยแต่ความเย็นสบายและความเหนื่อยล้าก็ดึงให้เศรษฐพงศ์ปิดเปลือกตาลงในที่สุด

 

ประตูห้องนอนของเศรษฐพงศ์ถูกเปิดเข้ามาอย่างเบามือ แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้ามาเพียงครู่ก่อนจะหายวับไปยามที่ประตูห้องถูกปิดลงอีกครั้ง ลูกบิดถูกปิดล็อคและลงกลอนอย่างเรียบร้อย ร่างสูงค่อยๆเดินเข้ามาหาเจ้าตัวนุ่มนิ่มที่หลับสนิทบนเตียง ผ้าห่มนวมที่ถูกคลุมจนถึงต้นคอถูกเปิดออกก่อนที่ร่างสูงจะก้าวขึ้นไปนอนเคียงข้างเศรษฐพงศ์ขดตัวเข้าหาไออุ่นที่คุ้นเคยยามรู้สึกถึงความหนาวที่ปะทะผิวกาย คณิณดึงร่างน้องให้มาแนบชิดกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น กดจูบลงบนริมฝีปากนุ่มเบาๆย้ำๆ พรมจูบลงไปทั่วผิวหน้าของน้องอย่างรักใคร่ก่อนจะจับน้องนอนหงายแล้วตนเองก็ค่อยๆเลิกชายเสื้อน้องขึ้นแล้วมุดศีรษะเข้าไปด้านในตัวเสื้อ กดจูบหน้าท้องบางของน้องไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ เศรษฐพงศ์รู้สึกวูบโหวงที่ท้องน้อย สัมผัสนุ่มอุ่นที่ประทับลงมาทำให้ร่างบางรู้สึกตัวก่อนจะสะดุ้งด้วยความตกใจ

 

                “เฮ๊ย!!” ผลักหัวคนที่มุดเสื้อตัวเองออกอย่างแรงแต่เจ้าของร่างนั้นกลับยื่นมือมาจับแล้วส่งเสียงชู่วเบาๆ

 

                คิน?...”

 

                “อืม...อยู่นิ่งๆนะ ขอจูบหน่อย คิดถึงกลิ่นมึง"คณิณเลิกเสื้อน้องขึ้นจนถึงราวนมก่อนจะพรมจูบลงบนหน้าท้องของน้อง





                จุ๊บ

 

                “คิดถึง”

 

              จุ๊บ

 

                “คิดถึงมากๆนะ”

 

                “จุ๊บ

 

                “คิดถึงสุดๆเลย”

 

                จุ๊บ

 

                “รีบมาหาเลยรู้มั้ย”เลิกเสื้อน้องขึ้นอีกนิดก่อนจะกดจูบลงบนยอกอกเล็กๆนั้นอย่างรักใคร่ เศรฐพงศ์ดึงคนพี่ขึ้นมาให้นอนหนุนหมอนเดียวกันวาดแขนกอดเอวสอบไว้ก่อนจะซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นนั้น

 

                “คิดถึงเหมือนกัน อยากกอด กอดเฉยๆก่อนได้มั้ย เหนื่อยมากเลยกูไม่ได้นอนเลยทั้งอาทิตย์”น้ำเสียงงุ้งงิ้งเอ่ยดังอยู่บริเวณอกของคนพี่คณิณกดจูบลงบนกลุ่มผมหอมที่น้องเพิ่งสระเมื่อเย็น ความเหนื่อยล้าจากน้ำเสียงของน้องทำให้คณิณกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

 

                “นอนเถอะ กูจะกอดมึงไว้ไม่ไปไหนหรอก ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรด้วยแค่อยากจุ๊บมึงเฉยๆ”

 

                “ขอบคุณนะ กูรักมึงนะคิน ตื่นแล้วค่อยคุยกันนะ”เศรษฐพงศ์กระชับกอดพี่อีกครั้งแล้วปิดเปลือกตาเข้าสู่นิทราไปอีกครั้งคณิณใช้ปลายนิ้วลูบลงบนไหล่น้องราวกับจะกล่อมก่อนจะหลับตามกันไปในที่สุด

 

คืนนี้คงเป็นคืนแรกที่เขานอนหลับสนิทหลังจากตรากตรำทำงานส่งอาจารย์จนเสร็จหมดทุกชิ้น

 

และคืนนี้เขาคงจะนอนหลับฝันดีเพราะมีคนของหัวใจนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดของเขา

 

ได้กลับมาใช้อากาศร่วมกันแบบนี้ดีจังเลยนะ  ดีที่สุดเลย







 

                เศรษฐพงศ์ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองนอนไม่สบาย ร่างกายรู้สึกสะเทือนอยู่ตลอดเวลา เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าบรรยากาศโดยรอบกำลังถูกแสงสีส้มอ่อนทาบทับไปทั่ว

 

เขาอยู่บนรถ

 

                “นอนต่อไปก่อนได้เลยนะ อีกซักพักถึงจะถึง”เสียงของคณิณเอ่ยบอกเมื่อเห็นคนน้องทำหน้างงๆ อดหัวเราะเบาๆกับหน้าตาเด๋อด๋าอย่างคนที่ยังเรียกสติตัวเองไม่เจอ

 

เศรษฐพงศ์กำลังคิด

 

เมื่อคืนเขานอนอยู่ที่ห้องนี่หว่า แล้วตอนนี้ทำไมเขามานอนบนรถได้วะ แล้วตอนนี้กำลังจะไปไหน จำได้แค่เมื่อคืนฝันดีฝันว่าคณิณมาหามานอนกอดแต่ว่าตอนนี้...

 

เอ๊ะ

 

                เฮ๊ย!!!” คนน้องหันขวับไปมองด้านข้างก็พบกับคณิณหันมายิ้มให้จนตาหยี

 

จุ๊บ

 

                “มอร์นิ่งคิสครับคุณแฟน”ใบหน้าถูกดึงไปจูบก่อนจะพูดคำหวานออกมาเรียกสีแดงเป็นริ้วมาประดับลงบนผิวแก้มป่องๆของน้องได้ไม่ยาก

 

                “คือมึงมายังไงอ่ะ กูจำได้ว่ากูนอนอยู่ที่บ้าน”

 

                “อย่าบอกนะว่ามึงจำไม่ได้ เมื่อคืนกูไปนอนกับมึงที่ห้องไง”

 

                “คือกูคิดว่ากูฝัน”คนน้องว่าด้วยหน้าตาเด๋อด๋าสุดๆ

 

                “มึงนี่น๊า รู้งี้กูลักหลับก็ดีแหล่ะ”ยื่นมือไปยีผมน้องจนหัวฟู เศรษฐพงศ์ปัดมือออกอย่างเคืองๆ

 

                “แว่นกูล่ะ”เอ่ยถามหาแว่นก่อนจะหยีตามองบรรยากาศรอบข้าง คณิณเปิดลิ้นชักรถก่อนจะหยิบกล่องแว่นของเศรษฐพงศ์ยื่นให้ แว่นสายตากรอบหนาเตอะทรงเชยๆถูกสวมก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาพองลมใส่แก้มมองคนพี่เคืองๆ

 

                “แล้วนี่กูละเมอมาขึ้นรถเหรอ ทำไมไม่รู้ตัวเลย”

 

                “กูอุ้มมึงมาเองแหล่ะ”คนพี่ว่าอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่คนน้องกลับฟาดผลั่วะเข้าที่แขนเต็มแรงจนต้องร้องโอ๊ย

 

                “ตีกูทำไมเนี่ย”

 

                “มึงอุ้มกูมาได้ไงถ้าใครเห็นจะทำยังไง”

 

                “ใครจะไปเห็นกูอุ้มมึงออกมาตอนตีสาม”

 

                “ตัวกูหนักมึงไม่กลัวทุกกูหล่นบันไดเหรอไอ้เหี้ย”

 

                “ถ้าตกป่านนี้มึงคงไม่ได้มานั่งด่ากูอย่างนี้หรอก”

 

               

                “ขี้เถียง”

 

                “อ๊าว ก็มันจริง”

 

                “แล้วนี่จะพากูไปไหน คือกูไม่คุ้นเลย”

 

                “สัตหีบ จะพาไปเที่ยวทะเล”ตอบคำถามน้องก่อนจะออกรถเมื่อไฟเขียวปรากฏขึ้นเศรษฐพงศ์ยิ้มกว้างอย่างชอบอกชอบใจคณิณยื่นมือมากุมมืออูมๆน้อยๆของน้องไว้ก่อนจะผสานนิ้วมือไว้ด้วยกัน บีบเบาๆส่งผ่านความคิดถึงผ่านสัมผัสแทนคำพูด

 

ให้พูดความรู้สึกตอนนี้คงไม่ได้เพราะกว่าสองเดือนที่ไม่เจอกันความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายมันอัดแน่นอยู่ในอก

 

เพราะฉะนั้นขอทบไว้ก่อนแล้วเก็บเกี่ยวผ่านสัมผัสทั้งหลายที่จะมอบให้ไอ้เด็กที่บังอาจเอารองเท้าราคา 21000 บาท ไปลุยขี้โคลน รับรองว่าเขาจะเก็บให้ครบทุกบาททุกสตางค์พร้อมดอกเบี้ยจากตัวหอมๆของมันด้วย

 

แค่คิดก็อยากจะวาร์ปไปรีสอร์ทที่พักแล้วแม่งเอ้ย



หยุดสองวันคณิณตั้งใจแล้วว่าจะต้องใช้ให้คุ้ม แค่คิดก็ยิ้มกริ่มจนเก็บสีหน้าไม่อยู่แล้ว



หึหึหึหึหึหึ



ฟินล่วงหน้าได้มั้ย ฮิฮิ



....................................



ทะเลที่ว่าเค็มจะหวานเป็นน้ำตาลมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 35 31/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 31-01-2019 14:23:16
ฮ่าๆๆ ขำรองเท้าสองหมื่น กานหวานไม่พอจะมาหวานทำให้ชลอีกเหรอคินมาๆหวานให้ทะเลหายเค็มไปเลย :hao6:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 36 01/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 01-02-2019 21:51:08
ตอนที่ 36



          ในที่สุดรถยนต์คันหรูก็แล่นเข้ามาจอดหน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่งในตอนเกือบ 8 โมงเช้า เพราะเศรษฐพงศ์หลับคณิณจึงสามารถขับเร็วได้โดยไม่ต้องกลัวว่าน้องจะกลัว เศรษฐพงศ์ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อคนพี่สะกิดเรียกเบาๆ

 

            “น่าจะตื่นช้ากว่านี้อีกซักหน่อย”สายตากรุ้มกริ่มถูกส่งมาให้น้องรอยยิ้มการค้าที่ชอบกระตุกยิ้มโดยยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นทำเอาเศรษฐพงศ์รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาซะดื้อๆ แต่ก็ยังทำใจกล้าถามกลับไปทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคำตอบของคนข้างๆจะมาในแนวไหน

 

            “ทำไม ถ้าตื่นช้ามึงจะทำไม”แกล้งช้อนสายตาลอดแว่นกรอบหนาและก็ได้ผลเมื่อคนพี่ที่โน้มหน้าเข้ามาใกล้ถึงขั้นใจกระตุก ดวงตากลมโตที่ถูกแพขนตายาวหนายิ่งกว่าปัดด้วยมาสคาร่าจากเมเบอร์ลีนนิวหยวกของพี่เจนี่ช้อนขึ้นสบ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ลมหายใจของคณิณแทบจะขาดห้วงเอาเสียดื้อๆ

 

            “ก็ถ้าตื่นช้ากว่านี้ ทำอะไรๆบนรถที่แคบๆแบบนี้ก็น่าจะเร้าใจดี มึงว่าจริงมั้ย?”ท้ายประโยคแกล้งตวัดสายตาโลมเลียไปทั่วร่างจนเศรษฐพงศ์รู้สึกร้อนวูบราวกับเขากำลังแก้ผ้าเนื้อตัวเปล่าเปลือยให้คนหื่นมองยังไงยังงั้น

 

            “ทำกับตีนกูนี่”เศรษฐพงศ์ยกเท้าให้คนพี่ก็พบว่าตัวเองสวมถุงเท้าและรองเท้าเรียบร้อย คือก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหลับลึกขนาดนั้นและก็ไม่คิดว่าคณิณจะใส่ใจกับตัวเองได้ขนาดนี้

 

นี่ใช่ไอ้คนที่หาเรื่องทะเลาะกับเขาเป็นเด็กๆเมื่อสองปีก่อนมั้ยอ่ะ?

 

ถึงแม้จะแอบแซะคนตัวสูงที่กำลังก้มๆเงยๆขนของท้ายรถแต่ในหัวใจของเศรษฐพงศ์กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มเดินตามคนพี่ไปติดต่อเรื่องห้องพักก็ได้กุญแจห้องมา  รีสอร์ทเป็นห้องไม่ใหญ่มากแต่ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันคณิณวางกระเป๋าลงกับพื้นก่อนจะดึงคนน้องให้ล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มฝังจมูกลงบนซอกคอของน้องอย่างเว้าวอนกดจูบจนเศรษฐพงศ์ขนลุกซู่เลาะเล็มขบเม้มจนเกิดรอยเล็กๆ

 

            “อื้อ...ทำอะไรของมึงเนี่ย ปล่อย”ผลักหน้าคนพี่ออกเมื่อปลายลิ้นชักจะเลื้อยลงมาเรื่อยๆ

 

            “ขอหน่อยไม่ได้เหรอ ขับรถมาเหนื่อยมากเลยนะเนี่ย”คนโดนผลักหน้าทำเสียงเว้าวอนราวลูกหมากำลังอ้อนขออาหาร อยากจะใจอ่อนอยู่หรอกแต่ก็อยากให้คณิณได้นอนพักซักงีบมากกว่า ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยขอบตาดำคล้ำของคณิณเบาๆ

 

            “นอนพักก่อนมั้ย มึงดูล้ามากเลยคินหลับซักตื่นนะ”

 

            “ตื่นแล้วจะให้เหรอ?”

 

            “ให้ตีนกูนี่ไอ้หื่น นอนไปเลย”

 

            “ใจร้ายจังว่ะ”ส่งเสียงตัดพ้อก่อนจะดึงเอวของน้องให้ขยับมาใกล้กันมากขึ้นยังไม่วายที่จะฝังปลายจมูกลงบนอกเสื้อของน้องอย่างออดอ้อน

 

            “ก็หยุดหื่นซักทีสิเจอกันทีไรมึงจ้องจะกินกูทุกทีกูกลัวนะ”เอ่ยบอกเสียงอุบอิบในลำคอแต่ก็ปล่อยให้คนพี่สูดดมอกเสื้อตนพลางถูไถใบหน้าไปมาลูบกลุ่มผมสีเข้มนุ่มมืออย่างแผ่วเบาอ่อนโยน คณิณดูซูบลงไปเล็กน้อยจากที่เจอกันคราวที่แล้ว ไม่มีเสียงโต้ตอบใดใดกลับมาอีกเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอบอกให้รับรู้ว่าคณิณนั้นหลับไปแล้ว ค่อยๆขยับตัวให้ไปนอนระดับเดียวกับคนพี่ จ้องใบหน้าอิดโรยนั้นอย่างพิจารณา คณิณเป็นคนหล่อ หล่ออย่างร้ายกาจ ใบหน้าหล่อเหลาจนคนรอบข้างมักจะเหลียวมองจนคอแทบเคล็ดก็หลายครั้ง ตอนไปหาที่กรุงเทพบ่อยครั้งที่มีคนเข้ามาแนะนำตัวว่าเป็นคนจากโมเดลลิ่งนั้นนี้บ่อยๆ มาทาบทามให้ไปถ่ายแบบก็หลายหนแต่คณิณปฎิเสธทั้งหมดด้วยเหตุผลว่าไม่อยากดังและบ้านมีตังค์

 

คณิณเป็นคนปากร้ายและจองหองข้อนี้ใครๆก็รู้ดี

 

แต่ที่ใครๆเหล่านั้นไม่รู้ก็คือจริงๆแล้วคณิณเป็นคนใจดี เห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่ว่าเพื่อนคนไหนเดือดร้อนมา หรือขอให้ช่วยเรื่องงานคณิณจะลงมือช่วยทันทีโดยไม่มีอิดออด หรือแม้แต่ญาติๆพวกลูกพี่ลูกน้องคนไหนมาขอหยิบยืมเงินคณิณก็ให้โดยไม่ถามเช่นกัน

 

หลายคนอาจคิดว่าคณิณนั้นหน้าใหญ่ อวดรวยซึ่งเป็นบุคลิกของคณิณแต่คนเหล่านั้นกลับมองข้ามความมีน้ำใจและจิตใจที่ดีนี้ไป

 

หลายครั้งเศรษฐพงศ์ต้องปรามเรื่องการใช้เงินของคณิณเพราะคณิณนั้นใช้เงินมือเติบทั้งๆที่ยังหาเงินเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะกลางๆอย่างเขาคณิณจะใช้ชีวิตยังไงเศรษฐพงศ์ยังไม่เห็นทาง โชคดีเหลือเกินที่อาม่าทั้งสองบ้านประเคนความรักให้หลานกำพร้าคนนี้คณิณถึงได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ฟากแม่ก็เป็นเจ้าของโรงงานผลิตอาหารกระป๋องส่งออกขายหลายสิบประเทศทั่วโลก ฟากพ่อก็มีร้านวัสดุก่อสร้างแสนยิ่งใหญ่อลังการ อีกทั้งร้านขายไม้ ร้านขายเหล็กสารพัดชนิด คณิณนั้นแทบจะคาบช้อนทองฝังเพชรมาเกิดเลยทีเดียว

 

ตัวเลือกมีมาให้คณิณเลือกได้มากมาย แต่คณิณกลับมาเลือกคนปอนๆอย่างเขา คนที่แทบจะไม่มีอะไรเลย เขาไม่รู้ว่าจุดไหนที่ทำให้คณิณมาชอบเขา เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าตัวเองก็เป็นเพียงเด็กธรรมดาๆคนหนึ่ง เหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมันเหมือนฝัน ทั้งๆที่เขาปฎิเสธคณิณมาตลอดแต่คนๆนี้ก็ยังอดทนรอเขา ทั้งๆที่เขาพูดจาร้ายๆใส่ไปก็ตั้งเยอะ แต่คณิณก็ยังยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนใจ จนถึงวันนี้เศรษฐพงศ์มั่นใจแล้วว่าเขาสามารถฝากใจไว้กับคนๆนี้ได้และคณิณจะไม่ทำร้ายใจเขาเหมือนกับที่อารดาทำ คณิณเป็นคนที่รักใครรักจริงมีร้อยก็ให้เต็มร้อยชายหนุ่มไม่เคยวอกแวกหรือส่งสายตาว่าสนใจใครอื่น เศรษฐพงศ์กดจูบลงบนริมฝีปากอุ่นของคนพี่เบาๆอย่างรักใคร่แล้วกระชับวงแขนกอดเอวสอบของคนพี่ไว้ให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิมนอนมองคณิณหลับอย่างมีความสุข

 

ตอนหลับก็น่ารักดีทำไมพอตื่นถึงได้หื่นแท้วะ ไม่เข้าใจจริงๆ

 

            คณิณ::

 

            “คินๆ...ตื่นได้แล้ว”แรงสะกิดที่ต้นแขนทำให้ผมรู้สึกตัวหากแต่ยังไม่ขยับร่างกาย ทำเพียงปิดเปลือกตาไปเรื่อยๆเพื่อดูว่าคนที่เรียกผมจะทำยังไงต่อ แกล้งร้องอือเบาๆเมื่อเสียงเรียกยังคงดังอย่างต่อเนื่องแล้วคว้าเอาเอวกิ่วๆนั่นมากอดให้มากขึ้น

 

            “ตื่นได้แล้ว มันจะเที่ยงแล้วนะ”เสียงงุ้ยๆคล้ายจะงอนหน่อยๆดังใกล้ๆ มือของมันพยายามแกะมือของผมออก ผมเคลื่อนศีรษะขึ้นไปนอนบนตักของมัน เมื่อลืมตาขึ้นมองก็พบแก้มห้อยๆของมันเป็นอันดับแรก ไอ้เซ็ทอยู่ในชุดใหม่ตัวหอมกรุ่นด้วยผลิตภัณฑ์อาบน้ำเกรดดีของผม น้ำหอมกลิ่นแป้งเด็กที่ผมซื้อให้มันหอมกรุ่นจนอดใจไม่ไหวต้องยกหลังมือของมันขึ้นมาจูบ ผมส่งยิ้มให้มันเมื่อเห็นมันทำตาคว่ำ

 

งอแงขั้น 10 ถ้าให้เดาคือกำลังหิว

 

พายุหมูบ้ากำลังจะมาสินะ

 

            “ขออีก 10 นาทีได้มั้ย”ผมแกล้งซุกหน้าถูไถกับหน้าท้องนิ่มๆของมัน เอาจริงๆนอกจากปากกับซอกคอก็มีหน้าท้องของมันที่มีพุงน้อยๆนี่ล่ะที่ผมชอบที่จะหอมจะจุ๊บ ไอ้เซ็ทหดหน้าท้องหนีแทบจะทันที

 

            “ไม่ได้ นี่มันจะเที่ยงแล้วกูหิวข้าว ไปกินข้าวกันนะ”ผมแกล้งเอาหูแนบลงไปชิดหน้าท้องของมัน เสียงน้ำย่อยมันร้องประท้วงบอกให้รู้ว่าหิวจริงๆนะ ผมหลุดขำเบาๆก่อนจะปั้นสีหน้าเรียบนิ่ง

 

            “อ้อนวอนเราสิ”ยื่นข้อเสนอออกไปหน้าตาเฉย ไอ้เซ็ทแทบจะผลักหัวผมออกจากตักมันแต่ผมรีบชี้หน้ามันห้าม

 

            “อย่านะ ตอนนี้มึงไม่มีตังค์ซักบาทนะอย่าลืม ถ้าดื้อไม่พาไปกินข้าวด้วย เร็ว น้องเซ็ทอ้อนพี่คินก่อนเร็ว เดี๋ยวพี่คินพาไปกินซีฟู้ดอร่อยๆ”ไอ้เซ็ททำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท่าทางมันจะฝืนใจหน้าดูที่ต้องมาทำอะไรแบบนั้น

 

            “ว่าไง ไม่อ้อนพี่คินก็จะนอนอีกซัก 2-3 ชั่วโมงนะครับ”ผมทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนก่อนจะแกล้งปิดเปลือกตาลงอีกรอบ เสียงมันร้อง หึ เบาๆอย่างฮึดฮัด ผมลืมตามองมันอีกรอบพลางยักคิ้วกวนประสาทใส่มัน ไอ้เซ็ทจ้องหน้าผมตาเขียวปั๊ด แล้วโดยไม่ทันคาดคิดไอ้ตัวดีก็โน้มตัวลงมากดจูบแรงๆบนริมฝีปากของผม

 

อ่า....ได้มากกว่าที่คิดเว้ย

 

ผมไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือให้มือข้างหนึ่งกดต้นคอของมันไว้ก่อนจะกัดปากล่างดูดเบาๆพอให้เกิดเสียง จากนั้นก็ดึงมันกลับมาจูบใหม่อีกรอบสอดลิ้นเข้าไปลิ้มรสความหอมหวานจนพอใจแล้วจึงผละออกอย่างเชื่องช้า

 

แน่นอน ไอ้เซ็ทยังคงหลบตาและมีใบหน้าที่แดงเห่อลงไปถึงลำคอ

 

            “จ...จะไปกินข้าวได้ยังล่ะ”มันส่งเสียงถามในขณะที่มือทั้งสองข้างก็กำผ้าปูที่นอนจนยับย่น

 

            “พูดไม่เพราะเลย นี่ว่าจะใจอ่อนแล้วนะเนี่ยได้ยินแบบนี้คิดใหม่อีกรอบดีกว่า”

 

            “งื้อ....”มาแล้วครับ  ไอ้เสียงแบบนี้มันมาแล้วครับ อ้อนเลเวล 100



            "ไหนน้องเซ็ทลองอ้อนพี่สิครับเผื่อพี่จะใจอ่อนเร็วๆ"

 

            “คินครับ พาน้องเซ็ทไปกินข้าวหน่อยนะ น้องเซ็ทหิวไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย”ไอ้ตัวดีทำปากงุ้ยๆใส่ผมแถมแก้มห้อยๆของมันยังฟูไปฟูมาผ่านตาผม

 

น่ารักชิบหายเลยไอ้เหี้ยเอ้ย

 

อยากได้

 

อยากได้มากๆ

 

อยากกินมันมากกว่ากินข้าวอีก

 

            “ไหนน้องเซ็ทบอกพี่คินสิครับว่าอยากกินอะไร?”

 

            “จุ้งงงงงง.....น้องเซ็ทอยากกินจุ้งงงงงงงง นะๆๆ พาไปกินจุ้งหน่อยน๊า”

 

            “ได้ครับ เดี๋ยวจะพาไปกินให้อิ่มเลย น่ารักแบบนี้จะกินซักกี่ตันก็บอกมาเลย เดี๋ยวเหมาเรือออกไปจับให้จากกลางทะเลเลย” ผมลุกขึ้นฝังจมูกลงบนแก้มฟูๆของมันแรงๆก่อนจะคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแล้วพาไอ้ตัวดีไปกินข้าว

 

พาไปกินข้าวให้อิ่มๆก่อนแล้วผมค่อยกลับมากินมัน

 

คึคึคึ

 

จะกินให้พุงกางเลยคอยดู

 

ฮึ่ยๆ

 

ฮึกเหิมๆ

 

เดี๋ยวต้องแวะเซเว่นซักหน่อย จะเอาผิวเรียบ ผิวขรุขระ หรือบางพิเศษดีน๊า









คณิณนั่งมองคนน้องกินกุ้งจนแก้มอูมคล้ายแฮมเตอร์ยามตุนของกินไว้ในกระพุ้งแก้ม มือก็คอยแกะกุ้งวางใส่จานให้น้องไม่ได้หยุดรวมทั้งหอยและปูที่ถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ

 

ถ้าคนกินไม่ใช่เศรษฐพงศ์ก็อย่าหวังจะได้รับการบริการขั้นสุดยอดแบบนี้จากคณิณเลย

 

เขาเกลียดการต้องกินอาหารที่ใช้มือสัมผัสลงไปบนอาหารตรงๆที่สุด เขาไม่ชอบให้มีกลินคาวๆของอาหารติดมือ แต่พอคนที่ทำให้เป็นเศรษฐพงศ์ปุ๊บ ต่อให้เอามือไปจับขี้เขาก็ยอม

 

ขุนให้อ้วนๆ เขาชอบคนเนื้อนิ่มๆเวลาจับแรงๆแล้วมันเต็มไม้เต็มมือดี

 

            “คินมึงก็กินบ้างสิ”เศรษฐพงศ์เลื่อนกุ้งราดซอสมะขามมาจ่อปากคนพี่ที่ตั้งแต่มาก็เอาแต่แกะกุ้งเผาปูเผามาใส่ในจานของเขา ชายหนุ่มจิบเบียร์ไปแกะกุ้งไปแม้จะดูเก้งก้างแต่ก็ไม่ได้หยุดมือจนแทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารบนโต๊ะเลย

 

            “ป้อนได้มั้ย?”น้ำเสียงอ้อนๆถูกส่งไปให้คนตรงข้าม เศรษฐพงศ์ทำหน้าตาเลิกลั่กกวาดตามองไปรอบๆกาย แขกหลายโต๊ะกระจายตามมุมนั้นมุมมนี้ของร้าน พนักงานเดินสวนกันไปมาคอยบริการลูกค้ากันอย่างขวักไขว่ คณิณเห็นเศรษฐพงศืก้มหน้างุดแก้มตุ่ยหยุดเคี้ยวอาหารในทันที ท่าทางประหม่าแบบนี้ไม่สมกับเป็นเศรษฐพงศ์คนแมนเลยซักนิดมือที่ถือช้อนกับส้อมจับแล้วปล่อยอยู่หลายครั้ง จริงๆคณิณก็พอจะเดาใจคนน้องออกอยู่หรอก การจะให้เศรษฐพงศ์มาทำตัวหวานในที่สาธารณะนั้นเป็นเรื่องที่ฝืนใจเจ้าตัวมากที่สุด

 

เศรษฐพงศ์ยังแคร์สายตาคนรอบข้างอยู่เสมอ คิดมากคิดเยอะและแคร์คนอื่น รวมทั้งแคร์สายตาคนภายนอก แคร์สังคม

 

            “ล้อเล่นน่า ไม่ต้องทำท่าเครียดขนาดนั้น มึงกินเถอะเนี่ยกูแกะกุ้งใส่จานให้อีก 2 ตัวแล้ว”คณิณพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศแสนอึดอัดนั้น เศรษฐพงศ์ถอนหายใจอย่างโล่งอก รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้อีกครั้ง

 

จริงๆก็ไม่ได้ล้อเล่นหรอกแต่คณิณไม่เคยฝืนใจเศรษฐพงศ์

 

ไม่เป็นไร เวลาอยู่กันสองคนเศรษฐพงศ์ก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอของเขาเลยซักครั้ง

 

            “อ่ะ...รีบกินดิ่ เดี๋ยวคนอื่นเห็น” อยู่ๆช้อนที่มีกุ้งตัวใหญ่วางประดับอยู่ก็จ่อมาชิดริมฝีปากของคณิณ ชายหนุ่มยิ้มกว้างจนตาหยีก่อนจะรับอาหารช้อนนั้นเข้าปาก เศรษฐพงศ์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ทำอะไรลงไปซักนิด จากนั้นอาหารก็ถูกป้อนมาเป็นระยะคล้ายเส้นกั้นความอับอายที่มีค่อยๆถูกตัดลงทีละน้อย ปากงุ้ยๆก็ชวนพูดคุยไม่ได้หยุด

 

            “อยากไปไหนเป็นพิเศษป่าว”คณิณเอ่ยถามหลังจากของหวานมาเสิร์ฟส่วนของเขาเป็นผลไม้แต่มิวายที่เศรษฐพงศ์จะเอื้อมมือมาจิ้มเอาชมพู่ในจานของเขาไปกินหน้าตาเฉย

 

            “อยากไปตกปลา”คนน้องบอกอย่างกระตือรือร้น เขาเคยดูในรายการท่องเที่ยวเวลาออกเรือไปตกปลามันน่าสนุก ท่ามกลางท้องฟ้าตัดกับน้ำทะเลสีเขียวสวยงามจับตา

 

            “ถ้างั้นเดี๋ยวโทรไปยืมสปีดโบ๊ทจากกู๋เคี้ยง”คณิณยกโทรศัพท์ขึ้นมากดสายหาผู้เป็นลุงที่ทำท่าเรือสปีดโบ๊ทในทันที เศรษฐพงศ์ได้แต่ทำหน้าเหรอหราอย่างไม่เข้าใจ

 

คือคณิณมีญาติอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?

 

            “ครับ กู๋เหรอครับ คินมาเที่ยวครับเลยอยากจะยืมเรือกู๋ซักลำได้มั้ยครับ พอจะมีว่างมั้ย ใช่ครับ น่าจะนอนว่าจะไปตกปลา ไม่เอาคนขับครับเดี๋ยวคินขับเอง”เศรษฐพงศ์นั่งฟังคณิณคุยกับลุงด้วยความแปลกใจ

 

เขาเพิ่งรู้ว่าคณิณขับเรือเป็น

 

คือนี่มันแม่งโคตรพระเอกนิยายแจ่มใส หล่อ รวย ขับเป็นทุกอย่าง คณิณคุยกับปลายสายอีกครู่แล้ววางไป

 

            “ขับเครื่องบินเป็นมั้ย?”คำถามซื่อๆถูกถามทันทีที่คนพี่เบนสายตามามอง คณิณหัวเราะก๊ากยื่นปลายนิ้วมาดีดหน้าผากน้องเบาๆ

 

            “กูไม่ใช่คริสเตียน เกรย์ อิ่มยัง จะได้ไปเลย”คณิณหยิบทิชชู่เปียกมาเช็ดมือในขณะที่เศรษฐพงศ์รีบโกยทับทิมกรอบเข้าปากจนหมดถ้วย หลังจากจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้วคณิณก็ขับรถมุ่งหน้าไปหาผู้เป็นลุงแต่ก็ไม่ลืมพาน้องแวะฟาร์มปลาการ์ตูน เศรษฐพงศ์ที่รักการดูการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจตื่นเต้นมากที่ได้เห็นสัญลักษณ์ของปลานีโมตัวโปรดหลากหลายละลานตาขนาดนี้ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าก็พากันมุ่งหน้าไปท่าเรือที่กู๋เคี้ยงรออยู่

 

            “ยังขับเป็นอยู่แน่นะ”กู๋เค้ยงเอ่ยถามหลานชายเมื่อพากันไปสวัสดีเรียบร้อยแล้ว

 

            “สบายมากกู๋ ปีที่แล้วผมก็พาเพื่อนมาเถอะ กลับพรุ่งนี้เลยนะครับ”

 

“กู๋ให้เด็กเอาของกินใส่ตู้เย็นไว้ให้แล้ว เบ็ดตกปลาก็อยู่ในเรือแล้ว อย่าไปไกลเกินไปก็แล้วกัน”

 

“โอเคขอบคุณมากครับ”คณิณเดินตามกู๋มาที่เรือ เศรษฐพงศ์ก้าวลงมาในเรือตามหลังคณิณแว่นกันแดดราคาแพงถูกสวมก่อนที่คนพี่จะสาร์ทเครื่องพาเรืออกจากฝั่ง เศรษฐพงศ์มองภาพของคณิณที่บังคับเรือด้วยสายตาชื่นชม ออร่าความเป็นผู้นำส่องประกายตัดกับแสงสะท้อนของแสงอาทิตย์ที่ตกลงกระทบผิวน้ำจนคล้ายเกล็ดของอัญมณี คณิณขับอ้อมอ่าวไปอีกด้านหนึ่งที่เขามักจะมาตกปลากับพวกเพื่อนๆ เมื่อมองหันหลังกลับไปอาคารบ้านเรือนค่อยๆกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ มีเรือหาปลารวมทั้งเรือเร็วลำอื่นๆแล่นผ่านไปเป็นระยะ เมื่อถึงจุดที่จะจอดคณิณก็พาเศรษฐพงศ์เขามาในเคบิน คนน้องรบเร้าอยากออกไปตกปลาเต็มที่แล้ว เขาเมาเรือนิดหน่อยเพราะคลื่นค่อนข้างแรงแต่ความตื่นเต้นมีมากกว่า นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาเที่ยวทะเลเลย ครั้งสุดท้ายที่ไปทะเลคือชะอำไปกับญาติข้างแม่ แต่ผลลัพท์ไม่สนุกเท่าที่ควร เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าญาติๆพวกนั้นเอาเปรียบแม่ทั้งให้แม่จ่ายค่าน้ำมันรถ ทั้งใช้ให้แม่ของเขาทำอาหารให้กินสารพัดเศรษฐพงศ์จึงปฏิเสธการไปเที่ยวกับครอบครัวญาติๆของแม่นับตั้งแต่นั้น

 

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาทะเล

 

            “ออกไปตอนนี้ตัวมึงจะไหม้ ต้องทาครีมกันแดดก่อน”คณิณดึงแขนน้องให้นั่งลงบนเตียงเล็กๆกระเป๋าเป้ถูกเปิดออกครีมกันแดดหลอดใหญ่ถูกหยิบออกมา

 

            “ไม่ต้องทาก็ได้”เศรษฐพงศ์ยังคงเป็นเศรษฐพงศ์วันยันค่ำไม่สนใจสกินแคร์ใดใดทั้งสิ้น เขาเรียนออกแบบจัดสวนไม่ได้สนใจคิดจะปกป้องหรือบำรุงผิวอะไร

 

            “แดดทะเลมันร้ายกว่าแดดในแปลงต้นไม้ของมึงอีก ถ้าผิวมึงไหม้ ถ้ามะเร็งแดกจะทำไง มานั่งดีๆเลยกูจะทาให้”ดึงแขนน้องแล้วถอดเสื้อเชิ๊ตตัวโคร่งสีฟ้าที่น้องใส่ออกถลกแขนเสื้อยืดสีขาวขึ้นไปไว้บนไหล่แล้วชโลมครีมลงบนแขนเรียวนั้นช้าๆสายตาสังเกตคนน้องที่เอาแต่มองออกไปด้านนอกอย่างจดจ่อ เหมือนเด็กเล็กๆที่แม่บอกว่าให้กินข้าวให้หมดก่อนถึงจะออกไปเล่นได้

 

            “อ๊ะ...”เศรษฐพงศ์สะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆคณิณก็กดริมฝีปากลงบนต้นแขนด้านในแล้วดูดจนขึ้นรอย คนน้องดึงแขนหวังให้หลุดจากการเลาะเล็มลามปามของคนพี่ ใบหน้าขึ้นสีอย่างน่ากลัวเมื่อคณิณค่อยๆเลียลงบนผิวนวลเนียนของน้อง

 

            “ทำบ้าอะไรของมึง”

 

            “สาธิตให้ดูไงว่าถ้าไม่ทาครีมแดดจะเลีย”ไม่พูดเปล่าปลายลิ้นทั้งร้อนและลื่นแฉะยังไล่เลียกลับไปถึงปลายนิ้วแล้วดูดมันเข้าไปแรงๆ

 

เศรษฐพงศ์ยอมรับเลยว่าใจของเขาเต้นแรงทุกครั้งที่คณิณสัมผัสร่างกายไม่ว่าปลายลิ้นนั้นจะลากเลียไปตรงจุดไหนก็เหมือนมีเปลวไฟร้อนแรงไล่ลามเลียไปทั่ว


 

(((ต่อด้านล่าง)))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 36 01/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 01-02-2019 21:51:51




“อื้อ..”ส่งเสียงร้องออกมาเมื่อคณิณวนปลายลิ้นลงบนต้นคอขาวเชิดหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างลุ่มลึกเปิดโอกาสให้คณิณค่อยๆละเลียดชิมความหอมหวานอย่างย่ามใจ เขากำลังมัวเมากับการค่อยๆสั่งสอนให้เศรษฐพงศ์ค่อยๆซึมซับและจดจำสัมผัสต่างๆจากเขา ขบเม้มเบาๆลงบนติ่งหูของน้องจนเศรษฐพงศ์สะดุ้งร่างบางสั่นสะท้านหลับตาซึมซับสัมผัสที่คณิณทิ้งไว้ให้

“ลืมตาสิ มอง”ปลายนิ้วหัวกลางคลึงลงบนเปลือกตาเบาๆเพื่อเรียกให้เศรษฐพงศ์ลืมตาขึ้นมองการกระทำของเขา

เศรษฐพงศ์คือกระดาษเปล่าที่เขาค่อยๆเขียนบทรักต่างๆลงไปทีละเล็กทีละน้อย มันน่าสนุกตรงที่เศรษฐพงศำไร้ประสบการณ์จนเขาสามารถหลอกล่อและสอนสิ่งต่างๆได้โดยที่เจ้าตัวก็เรียนรู้ได้เป็นอย่างดี เสื้อยืดที่คณิณรู้สึกเกะกะถูกถอดออกจากร่างแล้วเหวี่ยงลงไปที่ไหนซักแห่งในห้อง

“จะทาที่ตัวให้นะกูไม่อยากให้ผิวสวยๆของมึงเป็นรอยเพราะคนที่จะทำมึงเป็นรอยได้มีแค่กูคนเดียวไม่ใช่แดดเหี้ยนั่นหรือใครหน้าไหน”คณิณพรมจูบลงบนลาดไหล่สวยไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบของเศรษฐพงศ์ทำรอยเล็กๆแล้วไล่วนปลายลิ้นลงมาบนไหปลาร้าปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายอย่างโหยหา แตะปลายลิ้นลงบนยอดอกสีเข้มนั้นตวัดเลียอย่างหยอกล้อแต่นั่นเป็นผลให้เศรษฐพงศ์ส่งเสียงครางออกมาอย่างลืมตัว หน้าท้องสวยหดเกร็งเพราะมวลความรู้สึกต่างๆเริ่มประจุอยู่ในนั้น แอ่นกายรับยามริมฝีปากครอบจนมิดลานนมสอดฝ่ามือลงบนกลุ่มผมของคณิณส่งเสียงร้องอย่างไม่อายเมื่อฟันคมกัดและดึงมันเบาๆอย่างเจ้าเล่ห์

“อึ่ก...แฮ่ก..”น้ำตาปริ่มที่หางตาเมื่อคณิณออกแรงดูดแรงๆ สูดปากเพราะความเสียวที่ได้รับ

“ชอบมั้ย?”ละริมฝีปากออกมาเอ่ยถาม หน้าอกที่กระเพื่อมอย่างแรงนั้นก็พอจะรู้ว่าเศรษฐพงศ์คงไม่มีกะจิตกะใจจะมาตอบอะไรตอนนี้ ริมฝีปากอิ่มแดงจัดเพราะเจ้าตัวใช้ฟันล่างกัดมันยามความเสียวพุ่งขึ้นสูง ปลายนิ้วแกร่งเลื่อนลงไปปลดกระดุมกางเกงยีนส์ขาสามส่วนที่คนน้องใส่มาแล้วรูดซิปลงถอดออกอย่างรวดเร็ว ชั้นในสีขาวตรงส่วนกลางเริ่มดันจนขึ้นรูปคณิณปล่อยหลอดครีมกันแดดลงข้างเตียงจับเอวบางให้แนบชิดยามไล้ริมฝีปากลงบนแอ่งสะดือสวยส่งปลายลิ้นไปชิมรสหลุมด้านในราวกับกำลังชิมครีมของลาเต้รสเลิศ

“จ...จูบ...จูบหน่อย”เสียงเว้าวอนร้องขอเมื่อความรู้สึกหวามเข้าเกาะกินไปทั่วร่าง เศรษฐพงศ์โหยหาทุกสัมผัสของคณิณ เวลากว่าสองเดือนที่ห่างกันเขาต้องการสัมผัสของคณิณมาเติมเต็มความคิดถึงที่มี คณิณดึงเศรษฐพงศ์ให้ขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตักของตนเอง เรียวขาของทั้งทู่ตั้งกับพื้นเตียง อ้อมแขนอุ่นกอดคอของคณิณไว้ราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป แลกจูบดูดดื่มผลัดกันรุกผลัดกันรับดูดดึงสัมผัสหวานล้ำราวแอ่งน้ำที่ดื่มกินได้อย่างไม่มีวันหมดเศรษฐพงศ์กำลังกลายเป็นเด็กละโมบเขาดูดริมฝีปากล่างของคณิณแล้วสอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดราวเด็กน้อยขี้เล่นกดสะโพกลงบนตักหนักๆเมื่อมืออุ่นของคณิณล้วงเข้าไปในชั้นใจตัวเล็กขยับเบาๆลูบปลายนิ้วกดคลึงวนไปมาลงบนส่วนปลายสะกิดถี่รัวลงบนรอยบุ๋มเล็กๆนั้นจนเศรษฐพงศ์ส่งเสียงร้องอย่างกลั้นไม่อยู่กายบางแนบชิดดึงศีรษะของคณิณให้กดจูบกกับตัวเองได้มากขึ้น ลมหายใจสะดุดเมื่อคณิณเร่งจังหวะมือเศรษฐพงศ์ผละจูบสูดลมหายใจเข้าปอด ดึงเสื้อของคณิณออกจากกายอย่างลนลานมือไม้สั่น เสียงครางลั่นอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร วิวทะเลด้านนอกตอนนี้เศรษฐพงศ์ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว สำรวจร่างกายขาวสว่างของคณิณอย่างเต็มตา

คราวนี้เขาเห็นทุกอย่างทุกการกระทำของคณิณ มันสว่างในเวลาเกือบสี่โมงเย็นเขาเห็นทุกอย่าง เห็นแม้กระทั่งเส้นเลือดตั้งแต่ต้นแขนกระทั่งหลังมือตามแบบฉบับลูกผู้ชาย เช็ดเหงื่อที่ขมับของคณิณในขณะที่คนน้องก็เลื่อนฝ่ามือลงไปปลดกระดุมและซิปกางเกงที่คณิณใส่ให้หลุดออกจากร่างไปเช่นเดียวกับตัวเอง แกนกายแข็งแรงดีดตัวออกมาโชว์โฉมทันทีที่เศรษฐพงศ์ดึงกางเกงในราคาแพงของคณิณออกพร้อมๆกับที่เศรษฐพงศ์ดึงกางเกงในของตัวเองออกจากปลายเท้าทิ้งไปเช่นกัน ร่างบางใช้มือผักคนพี่ให้นอนราบลงบนเตียงก่อนจะค่อยๆเลื่อนศีรษะลงไปเรื่อยๆจนริมฝีปากจูบทักทายกับแกนกายที่กำลังเชิญชวนให้ลิ้มลองตนเอง เศรษฐพงศ์ค่อยๆครอบริมฝีปากตัวเองเพื่อกลืนกินตัวตนของคณิณ เสียงดูดส่วนปลายเบาๆแล้วกดจูบจากนั้นครอบริมฝีปากลงไปอีกครั้งค่อยๆขยับศีรษะรับตัวตนของคณิณไปจนเกือบหมด ส่วนที่เหลือก็ไม่ยอมปล่อยให้ว่างเว้นใช้มือช่วยในการสร้างความสุขให้คณิณ

“ซี้ด...เซ็ท...อ่า..”เสียงคณิณร้องเรียกชื่อของตนเองยิ่งทำให้เศรษฐพงศ์ได้ใจเด็กหนุ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นปลายลิ้นไล้วนโลมเลียไปจนทั่วแกนร้อนนั้น

“เซ็ท...หันก้นมาทางนี้ นอนคร่อมกูไว้ หันมา”คณิณร้องสั่งพลางสูดปากเมื่อเศรษฐพงศ์ดูดแรงๆก่อนจะละริมฝีปากออกจากส่วนนั้นของตน เศรษฐพงศ์ทำตามอย่างว่าง่ายแล้วก้มตัวกลับลงมาลิ้มรสแกนร้อนแสนอร่อยนั้นอีกครั้ง คณิณเองก็ไม่รอช้าเขาฟาดผ่ามือลงบนก้นงอนนั้นแรงๆแหวกแก้มก้นนั้นออกแล้วส่งปลายลิ้นไปละเลงลงบนรอยจีบที่เต้นตุบตอบโต้ส่งบอลลูกน้อยนุ่มนิ่มเข้าปากดูดเบาๆจนเศรษฐพงศ์จังหวะสะดุดไปชั่วครู่ คณิณค่อยๆขบเม้มไปตามความยาวจนกระทั่งส่งแกนกายของเศรษฐพงศ์เข้าปากดูดและขบเบาๆจนเศรษฐพงศ์สะดุ้งเฮือก ความเสียวซ่านถูกผลัดกันปรนเปรอคณิณปล่อยให้น้ำลายไหลลงจากมุมปากอย่างไม่คิดจะเช็ดจังหวะที่สอดประสานกันอย่างไม่มีตกหล่นทำให้เขาทั้งเสียวซ่านและพึงพอใจ

นักเรียนของเขาทั้งเก่งและแสนซนเศรษฐพงศ์แทบจะเลียนแบบสิ่งที่เขาทำเกือบทุกอย่าง แต่ก็ยังคงอ่อนด้อยกว่าคณิณมากนักบ่อยครั้งที่เศรษฐพงศ์ละปากออกมาส่งเสียงครางเพราะเทคนิคที่คณิณมีมันมากกว่าความเสียวพุ่งขึ้นสูงจนหน้าท้องหดเกร็งกายบางกระตุกเป็นพักๆเป็นสัญญาณว่าเขาใกล้จะถึงฝั่งฝันเต็มที่แล้ว คณิณเร่งจังหวะปรนเปรอทั้งปากและมือจนกระทั่งเศรษฐพงศ์ส่งสียงครางลั่นมวลความรู้สึกพุ่งขึ้นสูงสุดความเสียวส่งผ่านตั้งแต่หนังศีรษะแล่นลงมาอย่างรวดเร็วถึงหน้าท้องและแล่นปราดสู่ปลายแกนกายส่งสายธารรสเผื่อนเข้าไปในโพรงปากอุ่นของคณิณ ชายหนุ่มใช้มือสาวชักหนักๆอีกหลายๆครั้งเพื่อรีดหยาดหยดแห่งความสุขของเศรษฐพงศ์ให้ออกมาจนหมดเศรษฐพงศ์ทิ้งตัวลงบนร่างของคณิณอย่างเหนื่อยอ่อน คณิณปาดเอาคราบขาวที่ไหลเปรอะออกมานอกปากมาชโลมที่ก้านนิ้วก่อนจะค่อยๆสอดแทรกเข้าไปในรอยจีบที่ยังคงเต้นตุบ

“อ๊ะ...อื้อ...”เศรษฐพงศ์ร้องออกมาเมื่อปลายนิ้วค่อยๆกดลึกเข้าไปในร่างกายของตนความรู้สึกแปลกๆระคนเขินอายกระอักกระอ่วนก่อเกิดขึ้น

แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งเขากับคณิณก็จะก้าวข้ามการสัมผัสแบบฉาบฉวยเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแต่เขาก็ยังรู้สึกอายอยู่ดี

ที่ผ่านมาเศรษฐพงศ์ภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชายของตัวเองมาก แต่ในขณะนี้เขายอมให้คณิณกลายเป็นผู้นำเขาอย่างสมบูรณ์ ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับจุดที่ทำให้เขาชาไปทั้งร่าง ชาจนทำให้ตัวสั่นคณิณรับรู้ความรู้สึกนั้นของเศรษฐพงศ์ได้ มือสั่นๆของเศรษฐพงศ์คว้าเอาแกนกายที่ยังคงแข็งตัวอยู่ตรงหน้าเข้าปากไปอีกครั้ง เสียงครางเหลือเพียงเสียงอื้ออึงในลำคอ ยิ่งคณิณจี้ย้ำลงไปตรงจุดมากเท่าไหร่เศรษฐพงศ์ก็ยิ่งลงน้ำหนักลิ้นและออกแรงดูดให้มากขึ้นจนคณิณเองถึงกับเป๋ไปชั่วครู่ ปลายนิ้วถูกถอนออกมาก่อนจะสอดเข้าไปใหม่แต่คราวนี้เขาเพิ่มจำนวนนิ้วเป็นสองนิ้วมันค่อนข้างคับแน่นแต่เขาก็ยังคงใจเย็น แกนกายถูกกระตุ้นจนเขาแทบทนไม่ไหวอยากจะปลดปล่อยแต่เขายังคงอดทน สอดใส่ปลายนิ้วอย่างใจเย็นซํกพักก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งดึงเศรษฐพงศ์ขึ้นมากดจูบเพื่อดึงความสนใจใช้มือรูดชักแกนกายของตนเองไปด้วย คุกเข่าลงไปแล้วหันก้นมาทางนี้”เศรษฐพงศ์ทำตามอย่างว่าง่าย คณิณดึงสะโพกของน้องให้สูงขึ้นเศรษฐพงศ์หลับตาปี๋ในขณะที่คณิณกำลังจ่อส่วนปลายที่ปากทางเตรียมกดแกนกายเข้าไปนั้นเศรษฐพงศ์ก็หันหน้ามาพูดกับเขาเบาๆ

“ถุง...ถุงยาง อย่าลืมใส่ถุงยางนะ”คณิณชะงักไปนิดก่อนจะส่งยิ้มประจบมาให้คนน้อง

“ขอโทษว่ะเซ็ท วันนี้ใส่สดได้มั้ยกูไม่ได้ซื้อมา”

“ไม่...ไม่ได้”เอ่ยปฏิเสธทันที เขาเคยอ่านมาว่าถ้าหากมีเพศสัมพันธ์แบบนี้มันเสี่ยงที่จะทำให้ติดเชื้อได้ถ้าช่องทางของเขาฉีกขาด เพื่อสุขอนามัยที่ดีเขาจะให้คณิณใช้มัน

“โธ่ แค่ครั้งเดียวนะเซ็ทกูทนไม่ไหวแล้ว ไม่เป็นไรหรอกตั้งแต่ที่ชอบมึงกูก็ไม่เคยไปเอากับใครเลยนะ”พูดพลางส่งมือไปปลุกเร้าแกนกายของเศรษฐพงศ์อีกครั้งเพื่อหลอกล่อโน้มนำ

“อื้อ...แต่...ฮึก””

“นะ...ให้กูลงโทษมึงโทษฐานที่มึงเอากุชชี่คู่ละสองหมื่นกว่าของกูไปย่ำโคลนหน่อยนะ”

“ฮ๊า....เอ๊ะ”เศรษฐพงศ์เชิดหน้าขึ้นร้องครางสติที่กำลังจะกระเจิดกระเจิงพลันกลับเข้าร่างอีกครั้งเมื่อหูที่กำลังอื้อได้ยินอะไรแว๊บๆนะ

อะไรคู่ละสองหมื่นกว่านะ

“ม...เมื่อกี๊มึงว่ารองเท้าคู่ละเท่าไหร่นะ”คณิณละปลายลิ้นที่กำลังเร่งเร้าที่ปากทางออกก่อนจะตอบอย่างไม่ทันคิด

“ก็สองหมื่นหนึ่งไง...อุ๊บส์”รับหุบปากตัวเองไว้เมื่อเศรษฐพงศ์ดึงตัวไปนั่งหนีการสัมผัสจากเขา

“เอ่อ...เรามาต่อกันเถอะนะเซ็ทนะ”ส่งยิ้มแหยๆใส่น้องเมื่อเห็นดวงตาลุกโชนราวมีไฟนรกของคนน้อง

ยิ้มไว้ ประจบเข้าไว้ ทำไม่รู้ไม่ชี้เข้าไว้

“ไปไกลๆตีนกูเลยไอ้เหี้ย รองเท้าคู่ละสองหมื่นกว่ามึงมาตอแหลว่าคู่ละ 270 ได้ไงไอ้เหี้ย!!” ไม่พูดเปล่าเศรษฐพงศ์ยังถีบโครมเข้าให้จนคนพี่กระเด็นตกเตียง โชคดีที่คราวนี้คณิณเก็บคองอเข่าตามหลักพื้นฐานของยิมนาสติกได้ทันหัวของเขาจึงยังปลอดภัยดีแต่เศรษฐพงศ์ไล่เก็บเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่เรียบร้อยแล้ว

“โถ่...เซ็ท มึงจะทำกับกูแบบนี้ไม่ได้นะกูยังค้างอยนู่เลยอ่ะ”ร้องประท้วงเมื่อเศรษฐพงศ์ปาเสื้อผ้าใส่หน้าเขาเต็มแรง

“มือมีก็ทำเองสิ กูจะออกไปตกปลา”เศรษฐพงศ์ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้หยอกด้วยเพราะเจ้าตัวออกไปที่กราบเรือเรียบร้อยทิ้งเขาไว้ในห้องอย่างเดียวดายกับคณิณน้อยที่ยังคงพร้อมสู้ศึกอย่างเต็มตัว

ฮือ...กูต้องใช้วิชาดัดชีนางอีกแล้วเหรอวะ

โลกสวยจริงๆเลยกูเนี่ย

โลกสวยด้วยมือเรา


.......................

อด 55555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 36 01/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 02-02-2019 00:22:21
อิคินจะหลุดปากทำไม!  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 36 01/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 02-02-2019 22:08:11
คินเอ๋ย!อดอีกตามเคย อันนี้เขาเรียก"ปากเป็นเหตุ"555+ โอ้ยขำอดเปรี้ยวไว้กินหวานนะคินนะ ถึงเวลาก็ไม่ต้องพูดอะไรใส่อย่างเดียว :z1:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 36 01/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 03-02-2019 01:55:37
มาเกาะขอบ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 36 01/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 03-02-2019 14:39:17
โอ้ยยย!!!......ปากพาอดสะจริงเชียว...พาเจ้อดไปด้วยอีก..ต้องรอลุ้นกันต่อไปอีก
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 37 03/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 03-02-2019 17:27:16
ตอนที่ 37


 เศรษฐพงศ์พาความหงุดหงิดออกมาด้านนอกกราบเรือ  เขาแทบจะร้องไห้เมื่อรู้ว่ารองเท้าคู่นั้นที่ตอนนี้เขาใช้แบบหัวหกก้นขวิดเพราะหลังจากที่เอาไปลงโคลนมันก็เยินเกินกว่าจะใส่เที่ยวเด็กหนุ่มเลยใส่ทำกิจกรรมสารพัด ทั้งเตะบอล เตะตะกร้อ ผสมดิน รวมถึงใส่ปีนขึ้นไปบนภูเขาที่สวนหินเพื่อตัดกิ่งไทรมาชำส่งอาจารย์

 

เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าราคามันแค่ 270 บาท เขาเชื่อเพราะคิดว่าคณินนั้นรู้ดีว่าเขาเป็นคนใช้เงินอย่างรู้ค่าขนาดไหน  ดังนั้นพอคนรักบอกราคาแค่นั้นเขาก็เชื่อเสียสนิทใจ

 

เหวี่ยงเบ็ดลงน้ำอย่างหงุดหงิดความอยากตกปลาปลิวหายไปพร้อมกับร่างของคณินที่ลอยละลิ่วตกเตียงเมื่อครู่  คิดไว้แล้วว่าอีกไม่กี่นาทีคณินจะต้องเดินออกมาง้องอนตนเองแบบเคยแต่ 20 นาที ผ่านไปทุกอย่างยังคงเงียบ คณินไม่ได้เดินตามออกมาอย่างที่คิดไว้

 

30 นาทีผ่านไป เศรษฐพงศ์ยังคงนั่งตกปลาอยู่คนเดียว

 

มันนานเกินไปแล้วนะ  ตอนนี้เขาไม่ได้โกรธคณินแล้ว แต่อยากให้คณินออกมาเคลียร์ความผิด  นั่งคิดหาเหตุผลที่คณินโกหกในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็สรุปได้ด้วยตัวเองว่า ที่คณินทำไปนั้นเป็นเพราะคณินรักและอยากมอบสิ่งดีๆให้กับเขา  แต่คณินลืมถามความต้องการของเขาไป หลังจากพยายามทำใจแข็งไม่สนใจคณินได้ราวๆ 1 ชั่วโมง เศรษฐพงศ์ก็ทนความเฉยเมยนั้นไม่ไหวเป็นฝ่ายเดินกลับเข้าไปในห้องเอง ร่างสูงของคณินหันหลังหนีเขาทันทีที่ก้าวเข้าไป

 

คืออะไร?

 

คณินงอนเขาอย่างนั้นเหรอ  เศรษฐพงศ์ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม

 

ร่างสูงที่นอนตะแคงหันหลังให้กับคนที่กลับเข้ามาในห้องเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ  คลื่นความน้อยใจในอกตอนนี้แรงกว่าคลื่นของทะเลด้านนอกเสียอีก

 

ทำไมเศรษฐพงศ์ชอบปฎิเสธน้ำใจของเขา ไม่ว่าจะซื้ออะไรให้คนเด็กกว่าก็จะดุด่ากลับมาเสมอ

เขาแค่อยากให้เศรษฐพงศ์ได้ใช้ของดีๆแบบที่เด็กคนอื่นๆได้ใช้บ้าง ทำไมความหวังดีของเขาที่มีต่อเศรษฐพงศ์มันกลับกลายเป็นความยากเย็นในการประคองความสัมพันธ์อย่างนี้ล่ะ  ทำไมเศรษฐพงศ์ไม่ยินดียินร้ายกับของขวัญราคาแพงที่เขาให้เหมือนคนอื่นๆที่เขาเคยให้ คิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาจนเศรษฐพงศ์ที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ริมเตียงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีจ๋อยสนิท

 

เขารู้ว่าเขาเองทำเกินไปกับคณิน  ตั้งแต่คบกันมาคณินไม่เคยทำให้เขาเจ็บตัวเลยซักครั้งหนึ่ง แต่กลับกันกลายเป็นว่าเศรษฐพงศ์ทำร้ายร่างกายคณินมาเรียกได้ว่านับครั้งไม่ถ้วน ครั้งก่อนเขาก็ถีบคณินตกเตียงแถมหัวยังฟาดพื้นจนถึงขั้นได้เลือด ครั้งนี้เขาก็ไม่ได้ออมแรงเลยซักนิด  ถือเป็นโชคดีที่คณินป้องกันศีรษะตัวเองได้เลยไม่ต้องมานั่งทำแผลแบบคราวก่อน  แต่ก็นะ อะไรๆที่มันยังคงค้างคาไม่ได้รับการปลดปล่อยคงทำให้อึดอัดและหงุดหงิดน่าดู ค่อยๆวางเข่าลงบนเตียงคลานเข้าไปใกล้ร่างสูงที่นอนนิ่งอย่างชั่งใจ

 

                “เจ็บมั้ย?”ยื่นมือไปแตะต้นแขนคนพี่เบาๆเอ่ยถามเสียงอ่อนแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคณินแกะมือของเขาพลางเบี่ยงตัวหนี กลายเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปเสียอย่างนั้น  เศรษฐพงศ์ย่นจมูกใส่คนพี่ที่หันหลังอยู่ก่อนจะค่อยๆเอนตัวลงนอนข้างๆ และเช่นเดิม คณินไม่แม้แต่จะหันมากอดรัดฟัดเหวี่ยงเขาแบบที่เคยทำ ร่างสูงยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง เศรษฐพงศ์รับรู้ได้ถึงคลื่นความงอนหนาแน่นของคนข้างๆ ค่อยๆเขยิบตัวเข้าไปใกล้ใช้แขนชนหลังของคนพี่ คณินยังคงนอนเฉย ตัดสินใจวาดแขนกอดเอวสอบนั้นไว้อย่างงอนง้อ คณินตัวแข็งขึ้นมาทันทีทันใด ลมหายใจติดขัดใบหน้าเริ่มมีสีแดงขึ้นด้วยความตื่นเต้น

 

                “โกรธเหรอ? ขอโทษน๊า”น้ำเสียงนุ่มถูกกระซิบข้างหูเจือแววออดอ้อนนิดๆทำเอาคนฟังถึงกับใจสั่นแต่คณินก็ยังคงนอนนิ่ง ไม่นานไรขนทั่วร่างก็ลุกซู่เมื่อความอุ่นนุ่มหยุ่นราวเยลลี่ทาบประทับลงบนต้นคอของเขาเบาๆซ้ำๆ

 

                “จะไม่หันมาคุยกันหน่อยเหรอ นี่ง้อแล้วนะ”พูดเบาๆกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกดจูบลงบนต้นคอของคณินอีกหลายครั้ง ใจคนพี่ที่พยายามจะทำให้มันแข็งอ่อนยวบราวกับขี้ผึ้งที่ถูกไฟลน  เศรษฐพงศ์ออกแรงดึงร่างของคณินให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับตนเอง ดวงตากลมฉายแววของความเสียใจชัดเจนเลื่อนมือนขึ้นมาลูบผิวหน้าของคนพี่ไว้แล้วจรดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอุ่นของคณินไว้กดจูบย้ำๆแล้วผละออกโดยที่คณินลืมตัวขยับหน้าตามอย่างโหยหา

 

                “ขอโทษนะที่โมโหใส่มึง กูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มึงเจ็บเลยนะ กูผิดเองที่ไม่ฟังมึงก่อน แต่คินมึงก็รู้ว่ากูไม่ได้ต้องการของขวัญราคาแพงอะไรจากมึงเลย”

 

                “กูไม่ได้คิดเลยนะว่าราคามันจะถูกหรือจะแพงแค่ไหน กูแค่อยากให้มึง กูเสียใจนะที่มึงโกรธเวลากูซื้อของให้มึง คนเป็นแฟนกันมันก็ต้องให้กันได้อยู่แล้วป่าววะ”ที่สุดคณินก็ยอมเปิดปากพูดกับคนน้องสายตามีแววตัดพ้อน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด เศรษฐพงศ์รีบสวมกอดเอวของคนพี่อีกครั้ง ซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างน้ำเสียงเย็นๆนิ่งๆถูกพูดออกมาอย่างเอาอกเอาใจ

 

                “กูรู้ว่ามึงอยากให้กู ไม่ได้คิดถึงเรื่องราคา แต่คินอายุเรายังน้อย ชีวิตเรายังต้องเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้ ตัวมึงอาจจะมีเงินเยอะแต่เรายังต้องโตขึ้นกูอยากให้มึงมีสติในการใช้จ่าย มึงไม่จำเป็นต้องซื้อของแพงให้กูเลย เพราะไม่ว่าอะไรบนโลกถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่ได้ต้องการอะไรแล้ว แค่มึงคนเดียวก็พอ กูรักมึงนะไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของมึง”

 

                “กูรู้ กูก็รักมึงกูถึงอยากให้สิ่งดีๆกับมึงชดเชยความยากลำบากที่มึงเคยเจอมา กูไม่คิดถึงมูลค่าของมันหรอก”

 

                “มึงไม่คิดแต่คนอื่นจะคิด มึงไม่ต้องมาซื้อนั่นซื้อนี่ให้กูหรอกคิน คนอื่นอาจจะมองเราไม่ดี เก็บเงินไว้บ้างใช้เงินอย่างมีสติหน่อยจะได้มั้ย สัญญากับกูได้มั้ย ต่อไปนี้จะไม่ซื้อของแพงๆให้กูอีก อย่าทำให้ใครต้องมาคิดว่าพอเราคบกันมึงก็มาสิ้นเปลืองกับกู”เศรษฐพงศ์เงยหน้าขึ้นไปจ้องคนที่ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว  คณินถอนให้ใจยาวก่อนจะพยักหน้าให้ เศรษฐพงศ์ให้รางวัลด้วยการยืดกายขึ้นไปกดจูบลงบนปลายคางของคณิน

 

สิ่งที่หนักใจตอนนี้ก็ได้พูดไปแล้วและเขาเชื่อว่าคณินจะสามารถทำตามที่รับปากได้

 

เศรษฐพงศ์เป็นคนคิดเยอะ ส่วนคณินเป็นคนไม่คิดอะไร การซื้ออะไรแค่หลักหมื่นไม่ถือว่าเหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลยสำหรับเขาต่างจากเศรษฐพงศ์ที่ต้องปากกัดตีนถีบกับแม่ตั้งแต่เขาเสียพ่อ เงินทุกบาททุกสตางค์จึงมีค่ามาก เศรษฐพงศ์รู้สึกดีที่ตัดสินใจเป็นฝ่ายง้อก่อน เขาไม่อยากให้ทริปดีๆแบบนี้จบลงด้วยความขุ่นเคืองใจกัน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าการพูดคุยกันตรงๆจะทำให้เข้าใจกันมากกว่าปล่อยผ่าน ที่ผ่านมาเวลามีปัญหากันเล็กๆน้อยๆเด็กทั้งคู่เลือกที่จะปล่อยผ่านและไม่กลับไปรื้อฟื้นอีก ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าคนคนหนึ่งจะเก็บไปคิดมากอีกหรือเปล่า อาจจะด้วยการต้องห่างกัน เวลาว่างก็ไม่ค่อยจะตรงกันทำให้แกล้งลืมไปว่าการปรับความเข้าใจหรือเปิดอกพูดคุยกันมันดีมากกว่าการทำเป็นลืมทำเป็นไม่สนกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา

 

คณินบอกว่าคณินจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้  เศรษฐพงศ์เองก็มั่นใจว่าตนเองนั้นก็จริงจังเหมือนกัน

 

                “ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เรามาดีกันนะ”กดจูบลงบนแผ่นอกผ่านเสื้อยืดตัวบางราคาแพงกระชับอ้อมกอดอีกนิดถ่ายทอดให้คณินรับรู้ถึงความรู้สึกผิดที่มี คณินกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มลูบหลังคนน้องอย่างปลอบโยน

 

                “กูไม่ได้โกรธมึงซักหน่อย โอเคอาจจะน้อยใจแต่เดี๋ยวกูก็หาย แต่พูดกันตรงๆแบบนี้ก็ดีจะได้รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ ที่รู้ๆมึงแม่งโคตรจะขี้โกงเลย”ตบหัวน้องเบาๆอย่างทำโทษ เศรษฐพงศ์ขมวดคิ้วฉับกับคำพูดนั้น

 

                “กูไปโกงอะไรมึงตอนไหน”เงยหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ

 

                “ก็มึงอ่ะ...มึงอ่ะเวลาทำๆกันมึงเสร็จตลอดแต่กูค้างตลอดไอ้เด็กขี้โกง”ดีดหน้าผากน้องเสียงดังจนหน้าผากแดง เศรษฐพงศ์อยากจะบิดให้หัวนมหลุดซะจริงๆ

 

พอปรับความเข้าใจกันได้ก็ลามเข้าเรื่องลามกทันที

 

                “ในหัวของมึงมีแต่เรื่องนี้เหรอวะ”

 

                “บ้าเหรอ มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย?”

 

                “เป็นคนเหี้ย”คนน้องตอบกลับทันควัน

 

                “เหี้ยเห้ออาร๊าย กูแค่เรียกร้องความเท่าเทียมกันเฉยๆ แต่เราก็คบกันจะครบปีแล้วนะ ทำไมไม่ใจอ่อนกับกูซักทีวะ มันเก้ๆกังๆค้างๆคาๆมาตลอดเลย”พูดพลางก็ดึงคนน้องให้ขึ้นมานั่งคร่อมตัวเองเพราะเขาอยากเห็นแววตาของน้องยามพูดคุยกับเขาในเรื่องแบบนี้ และแน่นอนสีหน้าของเศรษฐพงศ์เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คล้ายผืนผ้าที่ถูกแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ

 

                “กู...”ร่างโปร่งเม้มปากแล้วคลายอย่างประหม่า

 

                “กู?...”

 

                “ฮื่อ...ก็กูอาย กูไม่เคย แล้วกูก็กลัวด้วย อีกอย่างกูยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยนะ ถ้ามึงทำอะไรกูตอนนี้ก็เท่ากับมึงพรากผู้เยาว์เลยนะ ติดคุกเลยนะ เนี่ยกูเป็นห่วงมึงสุดๆ”คณินแทบจะกรอกตาเป็นรูปตีนเมื่อได้ยินเหตุผลหรือที่เรียกง่ายๆว่าข้ออ้างของเศรษฐพงศ์เรื่องอายุ ถ้าเป็นแบบที่เศรษฐพงศ์พูดจริงๆงั้นรุ่นพี่สาว ม.ปลายคนที่ขึ้นครูให้เขาตอนอายุ 15 คงติดคุกหัวโตไปแล้วมั้ง

 

                “แล้วมึงจะปล่อยให้กูค้างเติ่งทุกรอบอ่ะเหรอ มันปวดมันอึดอัดนะ”

 

                “ก็...มึงก็ใช้มือช่วยตลอดไม่ใช่หรือไงล่ะ”ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกล้อมแกล้มสุดอะไรสุด เขาอายจนตัวจะระเบิดอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ว่าจะลองมากี่ครั้งก็ยังไม่ชิน ทุกครั้งที่ปลดปล่อยความอับอายก็จะเข้ามาเล่นงานเขาอย่างหนักทุกรอบ แต่คณินกลับพูดถึงมันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเลยซักนิด

 

                “หลังๆใช้มือมันก็เสร็จช้า ก็อยากเสร็จเพราะมึงช่วยกูบ้างไม่ได้เหรอ”เศรษฐพงศ์กัดปากระงับความเขินก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองคนพี่

 

                “ขยับก้นสิ จะถอดกางเกงให้ แล้วอ้าขากว้างๆก็แล้วกัน...”











                เสียงคลื่นดังให้ได้ยินเป็นระยะๆ ลมทะเลยามค่ำคืนพัดมาให้เด็กหนุ่มที่นั่งจับมือกันคลี่ยิ้มจางๆอย่างพึงพอใจ เบียร์กระป๋องถูกยกขึ้นดื่ม เศรษฐพงศ์เงยหน้าขึ้นรับลม ความแรงของลมทำให้เส้นผมนุ่มพลิ้วน่ามอง เด็กหนุ่มทั้งสองคนออกมานั่งรับลมหลังจากเศรษฐพงศ์ไถ่โทษให้คณินด้วยการช่วยคนพี่ด้วยมือ เขายังไม่พร้อมที่จะลึกซึ้งมากไปกว่านี้ เพราะความกลัว ในใจของเศรษฐพงศ์มีความคิดมากมายตีรวนเต็มไปหมด แม้จะแน่ใจว่าคณินนั้นรักตนเองมากอย่างที่ปากพูดแน่ๆแต่เศรษฐพงศ์ก็ยังมีความกลัวว่าถ้ายอมให้กับคนพี่แล้ววันหนึ่งคณินอาจจะเบื่อแล้วทิ้งเขา บางความคิดเศรษฐพงศ์ก็กลัวว่าความรักครั้งนี้จะเป็นความรู้สึกวูบไหวตามแบบฉบับความรักของเด็กวัยรุ่น เมื่อเติบโตมากไปกว่านี้ความรู้สึกอาจจะแปรเปลี่ยนไป ดังนั้นเศรษฐพงศ์จึงให้คณินได้แค่เบื้องต้นนั้นก่อน



คณินลอบมองเสี้ยวหน้าของน้องที่แหงนมองดาวบนฟ้าด้วยความหลงใหลแล้วดึงมือคนน้องขึ้นมาก่อนจะจรดริมฝีปากลงไปอย่างแสนรัก

 

เสียดายที่วันหยุดของเขาช่างน้อยเสียเหลือเกิน อยากจะพาเศรษฐพงศ์เที่ยวเล่นพักผ่อนให้นานกว่านี้ แต่ความจริงที่เป็นคือพรุ่งนี้เขาต้องพาน้องกลับบ้าน เวลาของความสุขมักจะสั้นเสมอ เศรษฐพงศ์มองการกระทำของคณินด้วยใจที่ฟูฟ่อง

 

ดาวบนฟ้าไม่สวยเลยซักนิดเมื่อเทียบกับคณิน

 

                “เสียดายเนอะ พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว”เศรษฐพงศ์เอ่ยทำลายความเงียบเมื่อเขาทั้งคู่นั่งมองดาวกันมาซักพัก

 

                “อยากมาอีกเมื่อไหร่ก็บอก พามาได้เสมอแหละ”บีบกระชับมือน้องที่นั่งกุมไว้คล้ายจะบอกว่าขอให้เชื่อใจในทุกคำพูดที่บอกออกไป

 

                “ทำยังกับมีเวลาว่างมากมายงั้นแหละ เดี๋ยวก็ต้องไป อกท.ภาคอีกแล้ว ถ้าผ่านก็ต้องไประดับชาติ ต้องยื่นเรื่องขอโควตาเข้ามหา’ลัยอีก หลังจากนี้จะยุ่งมากเลย”

 

                “มึงขอโควตาเข้ามาเรียนที่เดียวกับกูสิ ที่นี่ก็มีคณะภูมิทัศน์ นะๆ เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”คราวนี้คณินหันมาทำตาใสเหมือนลูกหมาที่รอเจ้าของแบ่งขนมในมือให้รอยยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดงๆนั้นทำเอาเศรษฐพงศ์อดยิ้มตามไม่ได้

 

                “มึงมาอยู่กับกู กูจะพามึงไปเที่ยว วันไหนหยุดมึงอยากไปไหนมึงก็บอกกูมาได้เลย เลิกเรียนกูจะพามึงไปกินของอร่อยๆ หรือถ้าขี้เกียจไปกูจะสั่งพิซซ่ามาให้มึงนอนกินที่ห้อง กูอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีมึงอ่ะ”เศรษฐพงศ์นั่งฟังคณินวาดอนาคตของเขากับเจ้าตัวอย่างเงียบๆ คณินไม่ใช่คนพูดเก่งแต่จะพูดเยอะเมื่ออยู่กับเศรษฐพงศ์

 

คณินไม่ใช่คนยิ้มง่ายแต่ทุกครั้งที่มองมาที่เขาคณินจะมอบรอยยิ้มมาให้เสมอ

 

มีหลายแง่หลายมุมที่ก่อนหน้านี้เศรษฐพงศ์ไม่เคยรู้จัก ตอนนี้เขาก็ลังค่อยๆศึกษาแง่มุมพวกนั้นของคณินอย่างตั้งใจ เศรษฐพงศ์มองคนพี่ที่พูดนั่นพูดนี่ไม่หยุดก่อนที่คณินจะพูดไปมากกว่านี้ชายหนุ่มก็ถูกคนน้องรั้งต้นคอแล้วประกบปากเบียดแนบความนุ่มหยุ่นเข้าคลอเคลีย คณินชะงักไปเพียงครู่แล้วสอดฝ่ามือเข้ามาในกลุ่มผมสีเข้มของน้อง มอบจูบหวานปรนเปรอ ดูดดึงกลีบปากล่างบนสลับกันราวกับกำลังละเลียดขนมหวานรสเลิศ ถอนจูบออกพลางใช้นิ้วเกลี่ยคราบใสที่เคลือบริมฝีปากน้องไว้อย่างอ่อยโยน เศรษฐพงศ์ลูบแก้มของคณินเบาๆ ดวงตาหวานพราวระยิบแข่งกับดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้า

 

                “คิน...”

 

                “หื๊ม?...”ตอบรับเสียงเบา อบอุ่นจนคนเรียกรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าขึ้นมาดื้อๆ

 

เชี่ยแม่ง จะมาละมุนอะไรตอนนี้วะ

 

เศรษฐพงศ์รู้สึกอยากจะหยิกเอวของคณินให้ขาดนัก

 

ซีนนี้ตัวเด่นต้องเป็นเขาสิวะ

 

                “ว่าไง? เรียกแล้วก็ไม่พูดมีอะไรหรือเปล่า?”

 

                “กูรักมึงนะ...”

 

                “อารมณ์ไหนเนี่ยมาบอกรักกูก่อน”คนพี่เอ่ยแซวเมื่ออยู่ๆน้องก็บอกรักตัวเองก่อน คณินชินกับการไล่ตามเศรษฐพงศ์มากกว่า พอมาเจออะไรแบบนี้ยอมรับเลยว่าเขาดีใจ

 

                “ทำไมกูบอกรักมึงก่อนมั่งไม่ได้หรือไง ใครจดลิขสิทธิ์ให้มึงบอกรักกูก่อนฝ่ายเดียวไม่ทราบ”ข่มความเขินด้วยการทำเป็นเกรี้ยดกราดใส่ปากเหมือนจะด่าแต่แก้มกลับฟูเพราะกลั้นยิ้มสุดชีวิต

 

                “ป่าว ไม่มีใครจดลิขสิทธิ์หรอก  กูชอบนะบอกรักกูบ่อยๆได้ป่าวล่ะ”

 

                “ไม่ได้หรอกคำว่ารักของกูมีค่า”

 

                “อืมๆกูเชื่อ ค่าเคเอฟซี หมูกระทะ ชาบู เค้ก หมูปิ้ง กล้วยย่าง”

 

                “ไอ้สัด คนละค่าแล้วมั้ยล่ะนั่น”เศรษฐพงศ์ผลักหัวคณินที่บังอาจกวนตีนเขาไปแรงๆ หมดมู้ดจะสร้างความโรแมนติกชิบหาย

 

                “เซ็ท...”คณิณกระเถิบกายเข้ามานั่งเบียดคนน้องก่อนจะเอนหัวซบบ่าของน้องไว้

 

                “อะไร?”

 

                “กูก็รักมึงเหมือนกัน”คำบอกรักง่ายๆถูกส่งให้คนที่ตัวเองพิงไหล่อยู่ เศรษฐพงศ์ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ริมฝีปากสวยทำได้เพียงระบายรอยยิ้มกว้างโดยที่คนพี่แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองก็สามารถรับรู้ได้มือที่จับกันไว้ยิ่งกระชับกันให้แน่นมากขึ้น

 

 

                คณิน::

 

                “มึงไม่จำเป็นต้องซื้อของแพงให้กูเลย”

 

ประโยคนี้ของมันเมื่อเย็นวานกำลังก้องอยู่ในหัวในขณะที่เดินตามมันเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ตรงจุดที่ซื้อของฝาก ข้อนิ้วของผมเริ่มเป็นสีเขียวๆม่วงๆจากน้ำหนักของที่ผมหิ้วอยู่

 

ครับ ผมไม่ต้องซื้ออะไรแพงๆให้มันหรอก ผมมีหน้าที่จ่ายไอ้ของถูกๆปริมาณมากพวกนี้แทน

 

เซ็ทโว้ยยยยยยยยย นิ้วกูจะหลุดอยู่แล้วไอ้เหี้ย

 

                “คินๆ ซื้อข้าวหลามไปฝากพ่อแม่กับเพื่อนๆนะ”มันหันมาถามความเห็นของผม แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ

 

                “ครับ ซื้อเลยครับ”พร้อมเพย์ของรัฐบาลหลบไปครับ นี่พร้อมเปย์ คณินไง จะใครล่ะ

 

ผมเพิ่งรู้ว่าการพร้อมเปย์ของผมแม่งกลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวของผมเอง ผมคิดว่าไอ้เซ็ทจะซื้อข้าวหลามไม่เกิน 10 กระบอก แต่ตอนนี้ลูกจ้างในร้านกำลังเอาข้าวหลามกระบอกเบ้งๆ 20 กระบอกใส่ถุงอย่างขะมักเขม้น

 

                “เซ็ทมึงจะซื้อไปทำไมเยอะแยะ?”

 

                “อ๊าว ก็ของกู ของมึง ของเพื่อนๆพวกเรา ของพ่อของแม่ของพี่เรียมกับเล่อพอไง” อ่ะ...เป็นคนมีน้ำใจกับผู้อื่นตั้งแต่พ่อแม่เพื่อนๆยั้นลูกจ้างในบ้านแต่ไม่มีน้ำใจกับกูเลยไอ้สัด ตัวกูก็เล็กแค่นี้ แขนกูก็เล็กแค่นี้ มือกูก็เล็กแค่นี้ ให้กูแบกของอย่างกับกรรมกร แล้วมึงจะซื้อฝากเหี้ยอะไรเยอะแยะ กระบอกเดียวแบ่งกันแดกไม่ได้หรือไง เพื่อนๆกูมึงจะซื้อฝากทำไม ร้อน หงุดหงิด

 

                “เดี๋ยวพี่ช่วยหิ้วไปส่งที่รถด้วยได้ใช่มั้ยครับ”ไอ้ตัวดีมันหันไปถามเจ้าของร้านที่เอาเงินทอนกลับมาทอนให้ พอมันหันมาคืนเงินทอนให้ผม ผมรีบยิ้มกริ่มให้มันทันที ท่องไว้ กูม่ายโกรธ ต่อให้นิ้วหลุดกูก็ม่ายโก๊ดดดดดดดด

 

                “มานี่มากูช่วยถือ ของมันหนักมึงจะเอาไปถือหมดคนเดียวทำไมวะ”ไอ้เซ็ททำท่าจะมาดึงถุงของฝากไปช่วยถือ ผมรีบเบี่ยงตัวหลบมันทันที

 

                “ไม่เป็นไรกูถือได้ แค่นี้แม่งจิ๊บๆ จะเอาอะไรอีกมั้ยกูยังหิ้วไหว”

 

                “ไหวอะไร นิ้วมึงเป็นสีม่วงแล้ว พอเถอะ ไปหาข้าวกินกันดีกว่าหิวแล้ว ร้อนด้วย”อยากจะตะโกนออกไปดังๆว่า เยส!! แต่ผมยังคงต้องคีพลุคผัวดีเด่น แม้จะยังไม่เคยทิ่มแทงกันจริงๆซักครั้งก็ตามที ในที่สุดผมจะจะพ้นจากอิ่ขุมนรกนี่แล้ว ใจผมเร่งให้พนักงานผ่ากระบอกข้าวหลามให้มันเสร็จๆซักที นิ้วกูจะหลุดออกมาเป็นข้อๆอยู่แล้วเนี่ย ลีลาเหลือเกิ๊น กว่า 10 นาทีที่รอข้าวหลามตอนนี้ผมก็หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหลายแหล่มานั่งหอบแฮ่กๆบนรถ กระพือคอเสื้อเอาแอร์เข้าตัวให้มากที่สุด ไอ้เซ็ทเดินตามมาทีหลังพร้อมกระป๋องสไปรท์เปิดและเสียบหลอดมาให้เรียบร้อย มันยื่นหลอดจ่อมาให้ถึงปาก

 

เนี่ย บริการดีเลิศสุดประทับไต

 

                “อยากให้ใช้ปากป้อนมากกว่า”

 

                “ปากไม่ว่างกินหนมอยู่ เอาตีนป้อนแทนได้มั้ย จะแดกไม่แดก ลีลานัก”มันกระแทกหลอดมาจ่อปากให้ผมอีกรอบ

 

แม่งความอ่อนโยนอยู่ที่ไหนวะ รุนแรงกับกูตลอด

 

เราขับรถออกมาจากสัตหีบก่อนจะแวะหาอะไรกินง่ายๆเป็นมื้อกลางวัน เกือบบ่ายสามถึงได้กลับถึงบ้าน  เศรษฐพงศ์และคณินต่างช่วยกันขนบรรดาของฝากสารพัดอย่างเข้ามาไว้ในบ้านโดยมีพี่เรียมกับเล่อพอสาวใช้ชาวพม่ามาช่วยขน ลดาที่วันนี้อยู่บ้านเดินเข้ามาดูของที่สองหนุ่มขนเข้ามาอย่างสนใจ

 

                “ซื้ออะไรมาเยอะแยะลูก”คนเป็นแม่หยิบปลาตัวเล็กๆตากแห้งรวมทั้งปลาหมึกแห้งตัวใหญ่ขึ้นมาดู

 

                “พวกของทะเลแห้งน่ะแม่เซ็ทซื้อกุ้งแห้งตัวใหญ่มาให้แม่ด้วยนะ เห็นบ่นอยากกินยำกุ้งแห้งใช่ป่าว”

 

                “แล้วทำไมซื้อมาอย่างละ 3 ถุงล่ะลูก”ลดาถามอย่างแปลกใจเมื่อสังเกตว่าของที่เศรษฐพงศ์ซื้อมามีอย่างละ 3 ถุง

 

                “ก็อันนี้ของบ้านเรา อีกสองอันฝากอากงอาม่าทั้งสองบ้านไงแม่”เศรษฐพงศ์เริ่มแยกบรรดาของฝากออกทีละกอง คณินมองเศรษฐพงศ์ด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มจนเกือบจะปิดไม่มิด แต่เพราะอยู่ต่อหน้าลดาเขาจึงไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ได้

 

เศรษฐพงศ์คิดถึงคนรอบข้างเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกับอากงอาม่าทั้งสองบ้านของเขามากนักแต่ยังอุตส่าห์ซื้อของมาฝากครบทุกบ้าน

 

                “แต่ปลาหมึกคนแก่จะกินได้เหรอลูก”

 

                “ก็ให้พวกอากู๋อาอี้กินไงคนในบ้านเค้าตั้งเยอะแบ่งๆกันไปกินเดี๋ยวให้คินเอาไปให้”

 

                “ได้ไง ไปก็ไปด้วยกันสิวะ ตัวเองเป็นคนซื้อมาก็เอาไปให้เองดิ่”คณินนั่งพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย

 

                “ได้ไงล่ะมึงเป็นหลานเค้าก็เอาไปให้เค้าดิ่ เนี่ยไปให้เค้าเจอหน้าบ้าง ป่านนี้คิดถึงแย่แล้ว”เศรษฐพงศ์อยากจะปาถุงของฝากใส่หน้าคณินเมื่ออีกฝ่ายทำหูทวนลมไม่ตอบรับคำพูดของเค้า

 

คนไม่สนิทกันจะให้เขาเสนอหน้าไปด้วยทำไมวะ แล้วอาม่าฝั่งแม่ของคณินน่ะดุจะตาย มีรังสีซูสีไทเฮาล้อมรอบร่างเล็กๆนั่นเจอทีไรเสียวสันหลังไปซะทุกครั้ง

 

                “งั้นเดี๋ยวแม่เอาอันนี้ไปเก็บก่อนนะ จะทานข้าวที่บ้านหรือจะไปทานที่บ้านอากงอาม่าคะน้องคิน”

 

                “เดี๋ยวผมไปกินบ้านอาม่าก็ได้ครับน้าลดาไม่ต้องทำเผื่อ”คณินหันไปตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรแถมยิ้มการค้าไปให้อีกจึ่กหนึ่ง ทำเป็นไม่เห็นปากคนน้องที่ขมุบขมิบกร่นด่าแบบไม่มีเสียงแต่พอแม่หันมามองก็รีบส่งยิ้มแหยๆไปให้ได้อย่างทันท่วงที

 


สัดเด้ย...รู้งี้ไม่ซื้อของมาฝากก็ดีหรอก สร้างงานสร้างอาชีพให้ตัวเองแท้ๆไอ้เซ็ทเอ้ย





....................................................

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 38 04/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 04-02-2019 13:41:34
ตอนที่ 38



                “จะไปบ้านไหนก่อน?”คณินหันมาถามเศรษฐพงศ์หลังจากแยกของแบ่งเยี่ยมทั้งสองบ้านเสร็จ

 

                “บ้านอาม่ากิมเลี้ยงก่อนก็ได้”อาม่ากิมเลี้ยงคืออาม่าฝั่งแม่ที่เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าดุ

 

นี่คือความวางแผนมาดี ถ้าอาม่าชวนกินข้าวจะได้รีบชิ่งว่ายังมีของฝากไปบ้านอาม่าหงส์อีกชุด

 

เนี่ย คนฉลาดต้องวางแผนมาดีเดินเกมส์ฉลาดแบบนี้  อย่างน้อยอาม่าหงส์ก็มีรังสีนางฟ้านางสวรรค์แผ่ทั่วร่างอยู่บ้างล่ะ แถมอาม่ายังชอบแม่ของเขามากขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้วด้วย

 

                “กูรู้นะว่ามึงคิดอะไรอยู่ คนเรามันจะหลบเลี่ยงไปตลอดไม่ได้หรอกตอนนี้มึงไม่ยอมให้กูเปิดเผยแต่ซักวันเขาก็ต้องรู้อยู่ดีป่าววะ”เศรษฐพงศ์หันมามองหน้าคณินด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยบอกความกังวลข้อนี้ไปเลยซักนิด เด็กหนุ่มเป็นคนประเภทมีอะไรในใจเขาก็จะเก็บไปคิดเองคนเดียว แม้แต่เรื่องของความกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของคนรอบข้างว่าถ้าสักวันหนึ่งคนเหล่านั้นรู้ว่าเขากับคณินคบกันฉันท์ชู้สาวแบบนี้ คนพวกนั้นจะรู้สึกอย่างไร

 

ไม่กล้าบอกแม่ของตนเองเลยด้วยซ้ำ

 

                “อะไรที่มันเป็นเรื่องของอนาคตอ่ะมึงยังไม่ต้องไปนึกถึงมันมากนักหรอกและถึงต่อไปถ้าพวกเขารู้ ถ้าหากมันมีปัญหาอะไรกูจะจัดการเอง มองแค่ปัจจุบันพอ”

 

                “เป็นใครๆก็กลัววะ ถึงไม่กลัวก็ต้องมีหวั่นๆกันบ้าง”

 

                “ตีกันแทบตายกูไม่เห็นมึงจะกลัวอะไร ดันมากลัวอาม่าแก่ๆตัวเล็กๆของกูนี่นะ”

 

                “ควาย เกิดอาม่ารู้ว่าเราคบกันหัวใจวายตายขึ้นมาทำไง”

 

                “อาม่ากูแข็งแรงมากไม่ไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ง่ายๆหรอก อีกอย่างมึงไม่ต้องกลัวอะไรเลย เชื่อใจแค่กู แค่นั้นก็พอ”

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

                “เชื่อใจแค่กู”ผมล่ะอยากจะยกส้นตีนถีบไอ้คนที่พูดประโยคนั้นเมื่อชั่วโมงก่อนให้หัวทิ่มจริงๆ ก็แผนที่คิดไว้พังไม่เป็นท่าเมื่ออาม่าไม่ยอมปล่อยตัวพวกผมออกมาง่ายๆรั้งไว้บอกว่าคิดถึงพ่อหลานชายสุดสวาทขาดใจจริงๆ แถมมีซีนดราม่ากอดกันร้องไห้น้ำตาซึมเข้าไปอีกจนไอ้คินไม่กล้าลากลับเพื่อเอาของไปให้บ้านอาม่าฝั่งพ่อ นั่งกอดนั่งหอมนั่งคุยออเซาะฉอเลาะกันจนถึงเวลาอาหารเย็น ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งแล้วแห้งอีก คือพอไม่มีมันอยู่ด้วยผมนี่โคตรอากาศธาตุอ่ะ เลยไปช่วยแม่ครัวกับอาอี๊หยกเตรียมอาหารแก้เก้อไปจนเสร็จเรียบร้อยก็ออกไปช่วยดูต้นไม้ต้นไร่มีอากงมาเดินตามคอยมองว่าผมทำอะไรได้บ้าง ถามวิธีการปลูกกล้วยไม้และบอนสี อย่างน้อยผมว่าผมเข้ากับอากงแกได้มากกว่าอาม่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจกว่า บางช่วงที่ทางเดินลื่นผมก็ช่วยประคองพาแกเดิน อากงอายุ 86 แล้ว แต่ยังเดินคล่องอยู่นับว่าแข็งแรงมากสำหรับคนแก่อายุเท่านี้



 ผมช่วยเก็บใบแห้งตัดใบติดเชื้อของพวกอโกลนีม่าทิ้งแล้วจดรายชื่อยาที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคพวกใบเน่าใบไหม้กับเพลี้ยแป้งให้กับอากง จดวิธีการผสมยาให้อย่างละเอียดเพื่อที่ว่าแกจะได้ให้คนงานดูแลได้ต่อหลังจากนี้จึงได้เข้ามาล้างมือล้างไม้กลับเข้ามากินข้าวในบ้าน

 

ในมือของผมมีตะเกียบที่สั่นน้อยๆ อาหารบนโต๊ะละลานตา ถ้าอยู่บ้านผมคงสวาปามแบบไม่ต้องสนใจอะไร แต่ตอนนี้สิ

 

                “อาตี๋ อ่ะนี่ไก่ต้มน้ำปลา อาม่าให้คนออกไปซื้อมาให้เลยน๊า กิงเยอะๆ”อาม่ากิมเลี้ยงตักอกไก่ที่ตัวเองนั่งลอกหนังจนเกลี้ยงเกลาให้ไอ้หลานชายสุดสวาทขาดใจด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อากงและอาอี๊หยกนั่งมองด้วยความปลาบปลื้ม

 

ฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันมาทำอะไรที่นี่ ...

 

ได้แต่ร้องเพลงของพี่เบิร์ดเบาๆในใจ  เกร็งไปหมดเลยอีเหี้ยเอ้ย

 

                “กินสิ ไม่หิวเหรอ”ไอ้คินหันมาถามผมก่อนจะคีบไก่ชิ้นใหญ่ใส่ชามข้าวให้ผม

 

                “หรือไม่ถนัดตะเกียบเดี๋ยวกูเปลี่ยนเอาช้อนส้อมให้มึง”ไม่ทันจะได้เอ่ยปากห้ามไอ้คินก็ลุกพรวดเข้าไปในครัวกลับมาพร้อมจานกับช้อนส้อมจากนั้นก็เอาชามข้ามใบเล็กในมือผมคว่ำใส่จานแถมวางช้อนส้อมให้เสร็จสรรพ

 

คือมึงช่วยดูคนรอบข้างด้วย กูเหมือนคนกำลังจะชะตาขาดอ่ะไอ้เหี้ย

 

เหมือนองค์รัชทายาทมาปรนนิบัติขี้ข้า

 

ผมนั่งกินข้าวอย่างเงียบเชียบที่สุดหูก็คอยฟังบทสนทนาบนโต๊ะไปด้วยตอบคำถามเมื่อมีคำถามเผื่อแผ่มาหาผม บางทีเขาก็คุยกันด้วยภาษาจีนซึ่งแน่นอนผมไม่เข้าใจแต่ไอ้ตัวที่นั่งข้างๆนี่พูดน้ำไหลไฟดับเลยทีเดียว อาม่าคงแปลกใจแหละว่าไอ้คินจะพาผมมาด้วยทำไม แต่พอมันบอกว่าของฝากทั้งหมดผมเป้นคนเลือกมาให้แกก็ขอบอกขอบใจผม อาอี๊หยกถามไถ่เรื่องการเรียนของไอ้คินซึ่งก็ไม่มีปัญหาสำหรับมันอยู่แล้ว  ไอ้คินเป็นคนเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก

 

                “แล้วนี่หลานชายของอาม่ามีแฟนยัง หล่อๆอย่างงี้ผู้หญิงต้องรุมตอมแน่ๆเลยใช่มั้ย”อาม่าถามมันด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยนั้นยิ้มจนตาหยี ยิ้มเหมือนไอ้คินไม่มีผิดเลย สมัยสาวๆอาม่าต้องสวยมากแน่ๆและไอ้คินคงได้ยีนส์เด่นด้านหน้าตามาจากทางแม่  ผมกลั้นใจเมื่อไอ้คินหันมามองผมแวบหนึ่ง

 

ภาวนาไม่ให้มันพูดอะไรบ้าๆออกไป

 

ผมกลัวใจมันครับ ไอ้คินเป็นคนพูดอะไรตรงไปตรงมาอยู่เสมอ

 

แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่ามันจะบอกว่าไม่มีแฟนถ้าเป็นแบบนั้นผมขอไม่ฟังซะยังจะดีกว่า

 

                “มีคนดูๆอยู่ครับอาม่า”เสียงมันตอบเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป ผมรู้สึกอิ่มเอาซะดื้อๆเมื่ออาม่าทำท่าสนใจจนปิดไม่มิด

 

                “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครอาตี๋ เพื่อนที่มหาลัยเหรอ สวยมั้ย อ่าๆแต่ตี๋ของม่าเลือกแฟนก็ต้องสวยอยู่แล้วสินะ ฐานะเป็นยังไงลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ดีหรือเปล่า อย่าไปคบกับคนจนๆนะ ดูดีๆว่าอีรักลื้อจริงหรือแค่จะมาเกาะลื้อกิน”อาม่าพูดออกมายาวเหยียดแต่ละคำกระแทกใจผมเต็มๆ ผมวางมือลงบนตักของตัวเองก่อนจะบีบแน่นเพื่อระบายความเครียด

 

ผมไม่มีคุณสมบัติที่ดีตามที่อาม่าพูดออกมาเลยซักนิด เสียงอากงกับอี๊หยกผ่านหูไปคำพูดหลังจากนั้นเหมือนเสียงที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์

 

ผมไม่ใช่ผู้หญิง หน้าตาก็ไม่ได้น่ารัก ยิ่งฐานะด้วยแล้วไม่ได้ร่ำรวยเทียมหน้าเทียมตาอะไรกับไอ้คินมันเลยซักนิด คุณสมบัติโคตรไม่ผ่านมาตรฐาน อย.เลย

 

อยู่ๆใจของผมก็รู้สึกหนาวขึ้นมาหนาวจนต้องบีบมือตัวเองให้แน่นมากขึ้น

 

แต่คินทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เสมอ มันไม่เคยปล่อยให้ผมเดียวดาย ฝ่ามือหนาของมันเอื้อมมือกุมมือของผมไว้แล้วกระชับให้แน่นมากขึ้น

 

คล้ายแสงอาทิตย์อบอุ่นค่อยๆละลายน้ำแข็งที่เกาะกินหัวใจของผมอย่างช้าๆ

 

                “แฟนคินไม่สวยหรอกอาม่าแต่เขาน่ารักไว้เขาพร้อมคินจะพามาเปิดตัวกับอากงอาม่า คินรับรองว่าเขาไม่ใช่พวกเห็นแก่เงิน นิสัยเขาก็ดีกตัญญูกับแม่และพ่อเลี้ยงมาก ประหยัดอดออมเขายังบอกคินเสมอๆเลยว่าให้รู้จักเก็บเงินซะบ้าง อย่าใช้เงินเปลืองอนาคตคนเราไม่แน่ไม่นอน มีสัมมาคาราวะ รู้จักกาลเทศะ เรื่องขยันนี่ที่หนึ่งเลยครับ ทำงานหาเงินเองตั้งแต่ยังเรียน ถึงฐานะเค้าจะไม่ได้ดีแต่อาม่าครับ แค่เขาขยันแล้วก็ฉลาดมีหัวการค้า คินว่ามันช่วยกันสร้างช่วยกันเก็บได้นะครับ”ไอ้คินปากมันก็พูดไปมือก็กุมมือของผมไป อากงอาม่ารวมทั้งอี๊หยกที่ไม่เห็นเหตุการณ์ใต้โต๊ะฟังคำบอกเล่าจากปากของมันแล้วทำสีหน้าพอใจ

 

                “ที่ลื้อพูดมาแปลว่าอีก็เป็นคนดีใช้ได้ ว่างๆลื้อก็พามาให้กงกับม่าดูตัวด้วยสิ”องกงครับ ผมนั่งอยู่นี่ไงครับ ถ้าบอกว่าพามาแล้วจะช็อคกันมั้ยครับ

 

                “แล้วลื้อล่ะอาเซ็ทมีแฟนหรือยัง”อ่าว ไหงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผมแบบกะทันหันล่ะครับผมรับรู้ได้เลยว่ามือของไอ้คินมันบีบแรงกว่าเดิมอีกผมใช้มืออีกข้างตบลงบนหลังมือของมันเบาๆ

 

กูก็อยากให้มึงมั่นใจและเชื่อใจในตัวกูเหมือนกัน

 

                “มีแล้วครับ”ผมตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจที่สุดในชีวิตพร้อมด้วยรอยยิ้มที่แสดงความสุขอันล้นปรี่ที่มีอยู่ภายในใจของผมในตอนนี้

 

                “เป็นคนดีมากๆด้วยครับ”นั่นแหล่ะครับ คุณสมบัติของแฟนผม

 

แฟนที่มีชื่อว่า...

 

คณิน ลิขิตสกุลกาญจน์











 

               

 

                คณินกับเศรษฐพงศ์กลับมาถึงบ้านก็เลยสามทุ่มไปแล้วแต่ในบ้านคณิตกับลดายังคงนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องรับแขก เพราะรู้ว่าลูกชายกลับบ้านคณิตเลยอยากอยู่รอ สองพ่อลูกนั่งคุยกันเบาๆลดาจึงขอตัวขึ้นไปนอนก่อนเพราะอยากเปิดโอกาสให้พ่อลูกได้คุยกันแบบส่วนตัว เศรษฐพงศ์ก็ขอตัวขึ้นไปรีดชุดนักศึกษาที่ต้องใส่พรุ่งนี้ด้วย ความจริงแล้ววันนี้เขาควรกลับไปนอนหอด้วยซ้ำแต่คณินก็ขอไว้ เศรษฐพงศ์จัดการกับเสื้อผ้าเสร็จก็อาบน้ำแล้วปิดไฟเข้านอนเด็กหนุ่มหลับไปอย่างรวดเร็วเพราะความเพลียจากการเดินทางแล้วยังต้องไปเสียพลังงานกับการกินไปเกร็งไปเมื่อตอนเย็น

 

เตียงนอนขนาด 3.5 ฟุต ยวบลงตามน้ำหนักของคนที่แอบเอากุญแจสำรองไขเข้ามาใหม่ นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว กว่าคณินจะคุยกับพ่อเสร็จก็เลยห้าทุ่ม คณินทำใจเย็นนอนรอในห้องเพื่อรอเวลาว่าพ่อกับน้าลดาจะหลับสนิทแล้วถึงได้ย่องออกมาใช้กุญแจสำรองที่เขาไปแอบปั๊มมาเมื่อหลายเดือนก่อนไขเข้ามาในห้องนองเศรษฐพงศ์ เป็นไปอย่างที่คิดไว้ว่าคนเด็กกว่าต้องหลับไปแล้วเพราะเขาทักไลน์มาไม่มีการเปิดอ่านแต่อย่างใด แทรกกายลงไปนอนใต้ผ้าห่มเดียวกันกับน้องแล้วดึงร่างบอบบางนั้นให้มานานแนบอก เศรษฐพงศ์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างตกใจ แต่เมื่อรู้ว่าเป็นใครก็วาดเรียวแขนกอดร่างของคณินไว้แล้วกระชับวงแขนให้ร่างกายแนบสนิทกันมากขึ้น

 

                “นอนเถอะ หลับซะนะคุณแฟนของผม”คณินลูบหลังน้องเบาๆราวกับจะปลอบให้เศรษฐพงศ์ได้เข้าสู่นิทรา กดจมูกลงบนกลุ่มผมของน้องเบาๆ

 

จนตีห้าคณินก็รู้สึกตัวตื่นเพราะเศรษฐพงศ์สะกิดเรียก ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงียเศรษฐพงศ์อาบน้ำเรียบร้อยหอมฟุ้งคณินอ้าแขนเหมือนเด็กๆจนคนน้องหัวเราะเบาๆ

 

เด็กชายคณินขี้อ้อนกับเขาเสมอ ไม่รู้ว่าเพราะต้องห่างกันเป็นเวลานานบ่อยๆหรือเปล่าทำให้คณินทำตัวเป็นเด็กน้อย แต่เศรษฐพงศ์ก็ชอบในมุมนี้  คนเด็กกว่าก้าวเข้าไปหาแล้วสวมกอดคณินที่ซบหน้าลงบนหน้าท้องของตนเอง

 

                “ยังง่วงอยู่เหรอ ขับรถไหวมั้ย”

 

                “ขอแป๊บหนึ่งนะ”เสียงอู้อี้ดังมาเบาๆเศรษฐพงศ์ยอมยืนนิ่งๆให้คณินกอดราวๆสิบนาที คณินกดจูบลงบนหน้าท้องของน้องก่อนจะยอมลุกขึ้นยืนเป็นอันว่าตื่นเต็มตาแล้ว

 

                “จูบทีนึง”ร้องขออีกครั้งซึ่งเศรษฐพงศ์ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

 

                “แวะกินโจ๊กกันก่อนดีมั้ย”

 

                “เอางั้นก็ได้ ไปอาบน้ำสิ”เศรษฐพงศ์ตอบรับอย่างว่าง่าย เขาน่ะจะสายจนถึง 8 โมงครี่งก็ยังได้ เพราะบิดรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่คณิณนั่นแหละยังต้องขับรถอีก 3-4 ชั่วโมงเพื่อเข้าเรียนตอนบ่ายเอาแต่โอ้เอ้เดี่๋ยวก็รถติดไปเรียนไม่ทันกันพอดี คณินทำตามอย่างว่าง่ายแต่ก็ยังอดลีลาไม่ได้วกกลับมาขโมยจูบน้องเร็วๆแล้วเดินกลับไปจัดการธุระส่วนตัวที่ห้อง จน 6 โมงเช้ารถยนต์ของคณินกับอีแดงของเศรษฐพงศ์ก็ขับออกไปพร้อมกัน ทั้งสองคนแวะกินโจ๊กด้วยกันก่อนจะแยกกันไปตามทางของตัวเอง

 

เพราะต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ สุดท้ายแล้วความยุ่งทำให้แทบหาเวลาตรงกันเพื่อคุยกันแทบไม่ได้เลย มีเพียงส่งไลน์หากันเล่าเรื่องราวที่ทำมาในแต่ละวัน เศรษฐพงศ์วิ่งวุ่นกับการแก้เล่มปัญหาพิเศษรอบสุดท้ายที่มีอุปสรรคเสียเหลือเกินจนกระทั่งเด็กหนุ่มและเพื่อนๆยื่นรายชื่อขอโควต้าเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี คณินเองก็ต้องทำโปรเจคส่งอาจารย์งานสุมจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนอย่าถามหาเวลาที่จะกลับบ้าน วันไหนได้นอนมากกว่าสองชั่วโมงชายหนุ่มเหมือนได้กำไรชีวิต บรรดาพี่รหัสน้องรหัสต่างมาช่วยตัดโม เพื่อนๆแต่ละคนก็หน้าดำคร่ำเครียดไม่ต่างกันแม้จะทรมานร่างกายแต่พวกเขากลับรู้สึกว่านี่แหล่ะการก้าวข้ามความเป็นเด็กสู่วัยทำงานที่แท้จริง

 

เวลาผ่านไปอีกเดือนกว่าในที่สุดโควตาของมหาวิทยาลัยก็ออกกลุ่มของเศรษฐพงศ์ติดอันดับต้นๆไปจนถึงกลางๆ เศรษฐพงศ์ติดอันดับที่ 4 มีรายชื่อของคนอื่นมาคั่น 1 คน ตามด้วยรายชื่อของเพื่อนๆในกลุ่มรวมทั้งเพื่อนร่วมห้องอีก 3-4 คน สรุปว่าโควตา 30 คน วิทยาลัยของเขาเหมาไปเกือบครึ่ง

 

                “แม่กูต้องดีใจมากแน่ๆที่เกรดกูถึงจนได้โควตาเนี่ย”จิรนันท์ดีดใบประกาศด้วยความดีใจ

 

                “ป๊ากูคงทำป้ายประกาศติดหน้าร้านอ่ะ”ย้งที่หน้าบานยิ้มจนตาหยี คือก็มั่นใจในผลการเรียนของตัวเองแหล่ะแต่คือมหาวิทยาลัยนี้ถือเป็นตัวเลือกแรกๆของเด็กเกษตรอ่ะ แล้วคณะของเขารับแค่ 30 คน แน่นอนต้องแข่งกับเด็กทั่วประเทศ แต่นี่พวกเขาทั้ง 7 คนติดกันหมดมันก็จะดีใจนิดๆภูมิใจหน่อยๆ หลังเลิกเรียนทุกคนก็กลับมานั่งคุยกันต่อที่หอ แฝดพี่ถึงขั้นไปซื้อเหล้าซื้อเบียร์มาฉลอง เศรษฐพงศ์กินแค่จิบๆเพราะคอไม่ได้แข็งมากในขณะที่เพื่อนๆคุยถึงเรื่องอนาคตที่ต้องไปเรียนที่เชียงใหม่เศรษฐพงศ์กลับนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด บ่อยครั้งที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วก็เก็บไปไม่ได้พิมพ์หรือโทรหาใคร สุดท้ายก็ขอตัวออกมาสูบบุหรี่ด้านนอก ทั้งๆที่เลิกสูบไปซักระยะแล้วก็ตาม ไม่นานยิมกับอิ้งค์ก็เดินตามมาสมทบ เพื่อนทั้งสองดึงบุหรี่จากซองในมือของเศรษฐพงศ์ไปสูบ

 

                “เซ็ท มึงเป็นอะไรวะเงียบเลยไม่ดีใจเหรอ หรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”ยิมหันมาเห็นเซ็ทนั่งนิ่งไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเหมือนเพื่อนๆก็แปลกใจ ทั้งๆที่เซ็ทเป็นตัวตั้งตัวตีในการชวนเพื่อนๆไปเรียนที่นี่เองแท้ๆแต่พอผลออกมาเจ้าตัวกลับนั่งนิ่งไม่ยินดียินร้ายแถมคิ้วขมวดจนแทบจะเป็นโบว์สีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด เศรษฐพงศ์ถอนหายในเฮือกใหญ่อย่างคนคิดไม่ตก

 

                “คินมันเคยพูดไว้ว่าอยากให้ไปเรียนที่เดียวกับมัน”

 

                “มึงไม่ได้บอกมันเหรอว่ามีที่ๆอยากไปแล้ว”โอบนิธิเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เพื่อนของเขาคบกับคณินเศรษฐพงศ์เล่าความเป็นไปในชีวิตเกือบทุกอย่างให้คณินรับรู้โดยไม่ปิดบังเลยซักนิด ดังนั้นเรื่องการเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเชียงใหม่จึงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย

 

                “ไม่ได้บอกอ่ะ กูเห็นมันมีความหวังมากก็เลยไม่กล้าพูด อีกอย่างช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกันด้วยกูเลยลืม”

 

                “ยังงี้ถ้ามันรู้มันไม่งอนมึงเหรอวะ”ยิมหันมาถามด้วยสีหน้างงๆ เป็นอันรู้กันในกลุ่มว่าคณินนั้นขี้งอนได้โล่

 

                “นั่นแหละที่กูกลัว คือยิมมึงก็รู้เมื่อก่อนนอกจากแม่กูก็ไม่เคยต้องกลัวว่าใครจะโกรธหรือจะน้อยใจกู แต่พอมีมันเข้ามาในชีวิตกูอ่ะ ทุกอย่างกูแม่งแคร์มันหมด แต่มหาลัยนี้มันก็เป็นความฝันของกูเหมือนกัน”

 

                “ถ้ามันรักมึงจริงมันต้องเข้าใจมึงสิวะ”

 

                “รีบบอกก่อนที่มันจะมีความหวังไปมากกว่านี้”

 

                “เอาจริงๆกูก็สงสารมันนะ มันแม่งรักมึงชิบหาย”

 

                “เนี่ยแล้วพวกมึงก็มาบิ้วท์กูอย่างนี้กูยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ กูกลัวมันเสียใจ แต่เรื่องที่เรียนกูคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่ว่ากูต้องมาเปลี่ยนใจเพราะมันอยากอยู่กับกูหรือกูอยากอยู่กับมัน อีกอย่างกูก็อยากเรียนกับพวกมึงด้วย”

 

                “มันอาจจะงอนนิดหน่อยมึงก็เตรียมใจไว้แล้วกัน พูดกับมันดีๆ”โอบนิธิตบไหล่เศรษฐพงศ์เบาๆอย่างให้กำลังใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อนของเขาแคร์ไอ้คนทางนู้นชิบหาย เศรษฐพงศ์อัดบุหรี่เข้าปอดอีก 2 อึกใหญ่แล้วหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความหาคณินไปในไลน์ว่าถ้าคณินว่างแล้วให้โทรกลับ ทางนั้นกดอ่านในทันทีไม่ถึง 1 นาที ก็มีสายเรียกเข้า เศรษฐพงศ์หน้าซีดไปในทันที เขาไม่คิดว่าคณินจะว่างเร็วขนาดนี้

 

                “ค่อยๆคุยกันดีๆนะมึง กูกลับเข้าไปก่อนนะ”โอบนิธิกับยงศกรแยกตัวกลับเข้าบ้านไป เศรษฐพงศ์สูดหายใจลึกๆก่อนจะกดรับสาย

 

                “ทำไมวันนี้ว่างล่ะกูนึกว่ามึงจะว่างดึกๆ”

 

                “ส่งงานแล้ว คิดถึงมึงอยู่พอดี”ปลายสายตอบกลับมาแม้ว่าน้ำเสียงจะเหนื่อยๆแต่ก็ยังบอกคิดถึงเขามาก่อน

 

                “อยากเจอมึงอยากกอดมึงอยากจูบมึง”และไม่ลืมที่จะลวนลามเขาทางคำพูดเหมือนเช่นทุกครั้ง

 

                “กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน คิน มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูรักมึง ไม่ว่าจะอยู่ไกลกันแค่ไหนกูก็รักมึง”

 

                “รู้สิ มึงเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงไม่ค่อยดีเลย มีปัญหาอะไรมั้ยให้กูกลับไปหาเอามั้ย”น้ำเสียงอีกฝ่ายร้อนรนขึ้นมาทันที เศรษฐพงศ์รู้สึกแสบจมูกกับตาพร่าขึ้นมาซะอย่างนั้นกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาที่เอ่อคลอ

 

ความรู้สึกสงสารและรู้สึกผิดแล่นวาบเข้ามาในใจ

 

                “ไม่ กูไม่ได้เป็นอะไร”

 

                “แล้วทำไมทำเสียงอย่างนั้นล่ะ กูเป็นห่วงมึงรู้มั้ย?”

 

                “อื้อ ก็รู้... คิน ผลโควต้าออกแล้วนะ”

 

                “เฮ้ย จริงดิ่ นี่ยุ่งจนไม่ได้เช็คเว็บของมหาลัยเลย ตกลงได้มั้ย?”

 

                “อื้อได้ อันดับ 4”

 

                “เก่งว่ะเซ็ท มึงเก่งมาก แล้วต้องมามอบตัวเมื่อไหร่เขาบอกกำหนดการแล้วหรือยัง โอ้ย กูต้องซื้อของเข้าห้องเพิ่มมั้ยวะ”ปลายสายมีน้ำเสียงดีใจจนเศรษฐพงศ์รู้สึกได้ คนน้องกัดปากตัวเองจนขึ้นสี ไม่อยากทำร้ายจิตใจของคณินเลย แต่เขาก็คงต้องพูดออกไปในตอนนี้

 

                “คิน ฟังกูก่อน กูติดที่แม่โจ้...”

 

                “อะ...อะไร ทำไมติดที่นู่นล่ะ เกรดมึงไม่ถึงที่นี่เหรอหรือว่ายังไง”

 

                “กูขอที่แม่โจ้ที่เดียว”

 

                “มึงไม่อยากมาอยู่กับกูขนาดนี้เลยเหรอวะ”น้ำเสียงที่เข้มขึ้นของคณินทำเอาเศรษฐพงศ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

 

เด็กหนุ่มพอจะเดาได้อยู่แล้วล่ะว่าคณินต้องโกรธแต่ก็ไม่คิดว่าคณินจะทำเสียงเย็นใส่เขาขนาดนั้น ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรกลับไปอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้งไปเสียดื้อ

 

                “คิน..เดี๋ยว..”เศรษฐพงศ์พยายามโทรกลับแต่คณินก็ไม่รับสายพอโทรไปหลายครั้งเข้าคณินก็ปิดเครื่องตัดการติดต่อกับเขาไปในที่สุด

 

พัง  บอกได้คำเดียวว่าพังมากๆ เด็กหนุ่มเตะก้อนหินที่ปลายเท้าระบายอารมณ์

 

ไม่โอเคเลย เศรษฐพงศ์จัดการกับอารมณ์และความคิดของตัวเองไม่ได้เลยซักนิด

 

เขาแคร์คณินมากเหลือเกิน ไม่อยากให้อีกฝ่ายโกรธแต่ก็ไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้ในเมื่ออีกคนไม่ยอมฟังเขาเลย





...................................................



งอนจริงจัง แฟนไม่ยอมมาอยู่ด้วย ต้องง้อยังไงล่ะทีนี้



เหม็นความรักโว้ยยยยยยยยยยยย

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 38 04/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 04-02-2019 19:20:23
อิพี่คินไม่งอนน้องซิ

น้องกลุ้มใจแล้วเห็นใหม
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 38 04/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 04-02-2019 22:01:38
งานเข้าเซ็ทจนได้เรื่องนี้ใหญ่มากใหญ่กว่ารองเท้าอีก เฮ้อ! เซ็ทเอ๋ยสู้ๆนะลูก
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 38 04/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 05-02-2019 03:39:13
น้องเซ็ทง้อนิดเดียว พี่คิณก็หายโกรธล่ะคะ ไปเชียงใหม่นั่งเครื่องไปไวกว่าขับรถกลับกาญอีกนะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 39 05/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 05-02-2019 21:06:57
ตอนที่ 39



           สามวันแล้ว ตั้งแต่วันนั้นที่เศรษฐพงศ์บอกกับคณินไปว่าตนเองได้โควตาไปเรียนที่เชียงใหม่ คณินไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย แม้จะพยายามโทรหาซักกี่ครั้งคณินก็เอาแต่ตัดสายทิ้งเมื่อโทรไปบ่อยครั้งเข้าทางนั้นก็ปิดเครื่องหนีเขาเสียดื้อๆซะอย่างนั้น

 

ไลน์ถูกส่งข้อความไปนับร้อยข้อความ มันขึ้นว่าอ่านแล้วแต่ไม่มีการตอบกลับ เศรษฐพงศ์ร้อนใจราวกับมีใครเอาไฟกองใหญ่มาสุมไว้ในอก

 

เขารู้ดีว่าเขาผิดที่ไม่ยอมบอกคณินตั้งแต่แรก แต่ในหนึ่งก็ยังคิดว่าคณินน่าจะเข้าใจถึงความต้องการของตนและยอมรับในข้อนี้

 

เศรษฐพงศ์อยากเรียนตามแบบที่พ่อเคยเรียนและเศรษฐพงศ์ตั้งใจจะเข้าเรียนที่นั่นตั้งแต่แรกแล้ว

 

คณินควรที่จะเข้าใจในจุดนี้

 

หงุดหงิดจนเพื่อนแทบจะเข้าหน้าไม่ติด ยามไปซ้อมจัดสวนก็เหมือนเศรษฐพงศ์เอาแรงของเพื่อนอีกสองคนมาไว้กับตัว เสียงจอบตีลงไปบนหน้าดินปั่กๆจนยิมและอิ้งค์หวั่นใจเกรงว่ามือของเพื่อนจะแหกก่อนที่จะได้ไปแข่ง

 

                “มันยังไม่คุยกับมึงอีกเหรอวะไอ้เซ็ท”โอบนิธิเอ่ยถามหลังจากเห็นเพื่อนทำหน้าบูดเป็นตูดลิง ยงศกรเองก็อดจะกลุ้มใจแทนเศรษฐพงศ์ไม่ได้

 

ปกติอีคู่นี้ไม่เคยต้องมาโกรธกันนานเลยอย่างมากสุดก็แค่งอนๆกันไม่ถึงวันก็กลับมาอี๋อ๋อกันให้หมั่นไส้เล่นอีกแล้ว แต่นี่สามวันแห่งการง้องอนคณินกลับไม่ตอบกลับข้อความไลน์แม้ว่าจะกดอ่านก็ตามที

 

                “กูทำอะไรผิดนักหนาวะ”ในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็เขวี้ยงจอบทิ้งแล้วทรุดตัวลงนั่ง ยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเพื่อปิดไม่ให้เพื่อนทั้งสองเห็นว่าตอนนี้ใจของเขาทุกข์มากแค่ไหนจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา

 

เรียนหนักหรือซ้อมเหนื่อยขนาดไหนเขาไม่เคยท้อเลยซักครั้ง เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเลือกเอง แต่การที่ต้องมาถูกคนรักโกรธงอนมันเหนื่อยกว่าการเรียนเยอะ

 

เหนื่อยใจ

 

                “มึงใจเย็นๆนะเซ็ท มึงอาจจะต้องให้เวลามันหน่อยตอนนี้มันอาจจะโกรธมึง อารมณ์มันยังร้อนอยู่นั่นเพราะว่ามันคาดหวังกับมึงไว้มากพอผิดหวังก็เลยนอยด์แดก อย่าเพิ่งไปงอนมันกลับนะ คือยังไงดีล่ะ ถ้ามัดหมี่ปิดบังกูเรื่องที่เรียนแล้วกูมารู้ทีหลังว่ามันไม่เป็นแบบที่กูหวังกูก็คงเสียศูนย์เหมือนกัน ถ้าคุยกับมันตรงๆไม่ได้ทำไมมึงไม่คุยกับเพื่อนๆมันล่ะ”

 

                “กูไม่กล้า กูอายเพื่อนมัน”เศรษฐพงศ์ตอบเสียงอ่อย ก็ที่ผ่านมาใครๆก็เห็นว่าคณินเป้นฝ่ายเข้าหาเขาก่อนตลอด เศรษฐพงศ์เหมือนผู้คุมเกมส์อยู่ๆจะให้ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆของคณินเขาก็อาย

 

                “มึงจะมาอายทำไมวะ ง้อแฟนไม่ใช่เรื่องแปลก ไอ้คินมันตามใจมึงจนมึงเคยตัวไปแล้วป่าววะ ถ้ามึงอายมึงทักไอ้แดนไปก็ได้นี่ ยังไงไอ้นี่มันก็รู้ว่าไอ้คินชอบมึงเป็นคนแรกอ่ะ ความรักอ่ะมันก็ต้องมีคนหนึ่งยอมก่อนผลัดๆกันตามสถานการณ์ ถ้ามึงไม่เคลียร์กับมันมึงก็จะไม่มีสมาธิซ้อม มันรวนกันไปหมด”โอบนิธิเป็นฝ่ายให้ข้อเสนอบ้าง เศรษฐพงศ์กัดริมฝีปากจนซีดก่อนจะลองทำตามที่เพื่อนๆบอก ปลายนิ้วกดโทรไปหาแดนธรรม เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พลางตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามมา ตบท้ายด้วยการถามถึงคนของหัวใจที่เงียบหายไปด้วยความเป็นห่วง

 

                “มันไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ยอมพูดกับใคร ไอ้แพทกับไอ้อ้นโดนมันถีบไปคนละทีโทษฐานไปล้อมันไม่ดูสีหน้าเพื่อน”

 

                “กูฝากมึงดูมันด้วยนะแดน อย่าให้มันกินเหล้าเยอะ กินข้าวซะบ้างแล้วก็ให้มันนอนพักผ่อนเยอะๆ”

 

                “ห่วงมันขนาดนี้ทำไมมึงไม่มาหามันเองล่ะ กูเชื่อนะว่าถ้ามึงมาได้เห็นหน้าได้พูดกันต่อหน้ายังไงไอ้คินก็หายโกรธ”

 

                “กูเรียนแล้วก็ซ้อมหนักมาก กิจกรรมที่วิทยาลัยมาประเดประดังกันเอาตอนเทอมสุดท้าย ถ้าไปได้กูก็อยากจะไป”

 

                “มึงก็น๊า ตอนที่มันพูดถึงโควตาของมหาลัยมึงไม่มามึงก็น่าจะบอกมันไปตรงๆ ไปทำตัวให้ความหวังมันแบบนั้นมันก็เสียใจ มึงรู้มั้ยมันตกแต่งห้องใหม่ซื้อของเข้าห้องไว้รอมึง พอมึงบอกว่ามึงจะไปที่อื่นไอ้คินแทบจะเผาห้องทิ้ง เมาเหมือนหมาไปวันหนึ่งเลย มันบอกมันรู้สึกเหมือนมึงรักมันไม่มากพอ”เศรษฐพงศ์อยากจะร้องโธ่ใส่หูแดนธรรมดังๆกับความคิดเล็กคิดน้อยของคณินนัก

 

ทั้งๆที่ก็พูดอยู่หลายครั้งว่าเขาก็รักคณิน แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่มั่นใจเอาเสียเลย

 

                “กูก็อยากบอกมันนะ แต่ตอนนั้นบรรยากาศมันกำลังดี อารมณ์ของมันก็กำลังดี กูไม่อยากทำให้มันกร่อย พอกะว่ากลับมาจะบอกมันกับกูก็ไม่ว่างด้วยกันทั้งคู่อ่ะ ยังไงมึงก็ช่วยบอกมันให้กูหน่อยนะถ้าอารมณ์เย็นแล้วก็โทรมาหากู กูจะรอ”

 

                “เออๆ แล้วกูจะบอกให้ จริงๆมันก็นั่งอยู่ใกล้ๆกูเนี่ยแหล่ะ...อ้าวไอ้เหี้ยคินถีบกูทำไมเนี่....”สัญญาณสายถูกตัดไป เศรษฐพงศ์รู้สึกใจกระตุกวูบเมื่อได้ยินชื่อของคนรัก

 

คณินจะได้ยินบทสนาของเขากับแดนธรรมมั้ยนะ

 

ผ่านพ้นไปอีกวัน คณินก็ยังไม่ติดต่อกลับมา ที่สุดเศรษฐพงศ์ก็หมดความอดทนเด็กหนุ่มไม่ไปเรียนในวันนี้หมกตัวอยู่แต่ในห้องแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ โอบนิธิและวีรดนัยมาดูเขาหาข้าวหาน้ำมาให้กินเอ่ยปลอบแล้วกลับไปเรียน

 

ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่เศรษฐพงศ์นั้นเป็นไข้ใจ เขาไม่รู้จะง้อยังไงไปหาก็ไม่ได้ หรือว่าความรักครั้งนี้ที่เคยคิดว่าจะยืนยาวจะจบลงแล้ว

 

ไม่เคยคิดเลยว่าการร้องไห้จะเหนื่อยขนาดนี้ มันทรมานยิ่งกว่าโดนอารดาบอกเลิก

 

เศรษฐพงศ์เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าความรักที่ตนเองมีให้คณินนั้นมันลึกซึ้งกว่าความรักที่ตนเองมีให้อารดา

 

มันมีทั้งความรักความผูกพันความสเน่หารวมกันมากมายอยู่ในใจ

 

แค่สี่วันก็เหมือนจะอยู่ไม่ได้

 

คิดถึงจะตายอยู่แล้วรู้มั้ยไอ้บ้าเอ้ย...

 

ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานขนาดไหน เศรษฐพงศ์รู้สึกตัวตื่นเมื่อมีสัมผัสบางอย่างช่างแสนคุ้นเคยเสียเหลือเกิน เมื่อลืมตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้โทรมไปจนเห็นได้ชัดกำลังจ้องมองตนเองอยู่ ขอบตาที่คล้ำง่ายเป็นทุนเดิมบัดน้ำดำคล้ำและบวมจนน่าใจหาย เศรษฐพงศ์ยกมือขึ้นลูบแก้มสากที่ไร้การดูแลจนเคราจางๆเริ่มขึ้น

 

                “คิน...”ร้องเรียกคนที่กอดตนเองไว้แนบอกเสียงเบาลูบแก้มสากนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างแสนรัก

 

                “นี่เรื่องจริงหรือฝัน?”

 

                “จริง กูมาหามึงแล้ว มาคุยกับมึง”

 

                “ฮึก...”เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากคนน้องจนคณินรีบประคองร่างบางนั้นให้ขึ้นมานั่งดีๆ ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดให้แห้งไป แต่ยิ่งเช็ดน้ำตาเจ้ากรรมกลับยิ่งไหลมากขึ้นกว่าเดิม

 

                “อย่าร้อง คินมาหาเซ็ทแล้วไงครับ จำไม่ได้เหรอคินเคยบอกว่าจะทำให้เซ็ทเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ขอโทษนะที่ผิดสัญญาไปแล้ว อย่าร้องไห้เลยนะคินขอโทษที่งี่เง่าใส่”

 

                “ขอโทษ...ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก ขอโทษที่ไปอยู่ด้วยได้”เศรษฐพงศ์สวมกอดเอวสอบของคณินไว้ ไม่ใช่ความฝันเป็นอีกครั้งที่คณินขับรถกลับมาหาเขา ปลายนิ้วเกลี่ยผมหน้าม้าแตกๆที่ปรกตาของน้องออกเบาๆ ความอ่อนโยนแล่นจากปลายนิ้วซึมซาบเข้ามาในหัวใจดวงน้อยๆของเศรษฐพงศ์ หัวใจที่เคยคิดมาอยู่เสมอว่านอกจากแม่แล้วจะไม่แคร์ใครมากไปกว่านี้

 

                “กูโกรธมึงก็จริง แต่ตอนนี้กูคิดแล้วว่าโกรธไปมันก็ไม่ช่วยให้มึงไปอยู่กับกู กูโกรธเพราะคิดว่าที่ผ่านมาเหมือนกูพยายามอยู่ฝ่ายเดียว มึงไม่ได้พยายามไปกับกูเลย ทุกครั้งที่มึงไลน์หากู กูก็คิดแค่ว่ามึงคงจะแกล้งปลอบแกล้งหลอกให้กูใจอ่อน กูเป็นคนงี่เง่ามึงก็รู้ใช่มั้ยเซ็ท แต่กูก็เป็นกับแค่มึงคนเดียว ถ้าตอนนั้นที่กูบอกมึงเรื่องโควตาแล้วมึงบอกกู กูอาจจะโกรธอาจจะงอนแต่ตอนนั้นเราอยู่ด้วยกัน มันพูดกันตรงๆได้ทำไมมึงไม่พูดล่ะ หืม? กูดูเป็นคนไร้เหตุผลไม่รับฟังมึงมากเลยเหรอเซ็ท กูรักมึงจนจะบ้า ใจร้ายใส่มึงใจกูก็เจ็บ ยิ่งไอ้อิ้งค์โทรไปบอกกูว่ามึงร้องไห้เพราะกู กูก็เจ็บกว่าเดิม”คำพูดยืดยาวที่ออกจากปากคณินมีทั้งการตัดพ้อและความรู้สึกผิดที่ประเดประดัง ตอนนี้กลับกลายเป็นเศรษฐพงศ์ที่เผป็นฝ่ายเช็ดน้ำตาให้คนรัก

               

                “ขอโทษ กูไม่ได้คิดอย่างงั้นเลยนะคิน กูรักมึงแคร์มึงมากๆจนไม่อยากพูดออกไปให้มึงรู้สึกแย่ แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันไม่ได้แปลว่าไม่รักซักหน่อย กูก็รักมึงแคร์มึงเหมือนที่มึงรู้สึก กูเลือกมหาลัยนี้ตั้งแต่ยังไม่จบ ม.ปลาย เลยด้วยซ้ำ กูอยากไปเรียนที่เดียวกับพ่อ มหาลัยเดียวกับที่พ่อเคยเรียน อีกอย่างที่นั่นเพื่อนๆกูก็ไปกูไม่ต้องหาเพื่อนใหม่ กูไม่ต้องโดดเดี่ยวคนเดียว อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งเถียง จริงอยู่การไปอยู่กับมึงกูมีมึง แต่ชีวิตการเรียนที่ต้องไปเจอเพื่อนคนอื่นที่ไม่รู้จักไม่สนิทเท่ากับกูต้องไปเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด กูไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ดีอะไรนักหรอกละคิน เหมือนกับที่กูง้อมึงไม่เก่ง แต่ตอนนี้วันนี้ มึงหายโกรธกูนะ ยกโทษให้กูหน่อย กู...แค่ไม่ได้คุยกับมึงกูก็รู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำตาย คิน อย่าโกรธกูแบบนี้อีกได้มั้ย? ได้หรือเปล่า”ปลายเสียงออดอ้อนกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นราวกลับว่าคณินจะหายไปได้ทุกเวลา ปลายจมูกโด่งกดลงบนกลุ่มผมสีดำเข้มนั้นอย่างแสนรัก

 

                “สัญญา ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก มึงก็สัญญากับกูด้วยได้มั้ยว่าต่อไปมีอะไรจะบอกกันทุกเรื่อง ไม่ปิดบังกันอีก”

 

                “อื้อ สัญญา”

 

                “รู้มั้ยซื้อของเข้าห้องแพงมากเลยนะ”

 

                “แล้วใครใช้ให้ซื้อก่อนล่ะ มึงอ่ะแม่ง”

 

                “ก็คิดว่าจะได้อยู่กับเมีย เนี่ยเกือบเปลี่ยนเตียงแล้วนะ แบบเตียงน้ำเวลากระแทกจะได้เด้งดึ๋งๆ”

 

                “มึงนี่มันลามกจริงๆ ในใจคิดแต่เรื่องพวกนี้หรือไงวะแม่ง”คนน้องฟาดผลั่วะลงบนหน้าอกอย่างไม่ออมแรงเมื่อบทสนทนาลามปามไปเป็นเรื่องลามก ทั้งสองคนนอนกอดกันเงียบๆพักหนึ่งแล้วคณินก็ดันตัวเศรษฐพงศ์ให้ลุกขึ้นนั่ง

 

                “หิวข้าวยัง ไปล้างหน้าล้างตาเถอะเดี๋ยวจะพาไปกินข้าวในเมือง”เศรษฐพงศ์ลุกไปล้างหน้าล้างตาอย่างว่าง่ายโดยมีสายตาของคณินมองตามอยู่ตลอดเวลา

 

ทั้งๆที่คิดว่าจะใจแข็งมากกว่านี้แล้วแท้ๆเชียว

 

สุดท้ายก็เป็นเขาเองนี่แหล่ะที่ทนหมางเมินเศรษฐพงศ์ไม่ได้ ทนไม่ได้ถึงขั้นที่ขับรถมาเมืองกาญจน์ทันทีที่วางสายจากโอบนิธิ

 

และคงจะต้องยอมเช่นนี้ตลอดไป









 

 

                หลังจากเคลียร์กันได้เศรษฐพงศ์ก็เปลี่ยนไปจากหลังตีนเป็นหน้ามือ ยิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะเล่นหัวกับเพื่อนๆทั้งวันจนสองแฝดอยากจะเบะปากเป็นรูปส้นตีนเซเลอร์มูน

 

                “กูล่ะเบื่อคนหลงผัว”แฝดพี่เปิดประเด็นในตอนบ่ายที่นั่งรอคาบอาจารย์กุลชาตินี่ค่อนข้างจะน่าเบื่อ

 

                “พอเขาไม่คุยด้วยล่ะหงอยเป็นหมาป่วย”แฝดน้องเอ่ยเสริมราวคอหอยกับลูกกระเดือก

 

                “พอเขามาหานี่หน้าระรื่นมองจากหน้าศาลากลางยังรู้เลยว่าหลงผัวขนาดไหน”แฝดพี่ตบมุกต่ออย่างไหลลื่น

 

                “มองจากหน้าศาลพระพิรุณก็รู้ว่าเดี๋ยวมึงสองคนจะโดนเตะ”เศรษฐพงศ์แกล้งเงื้อเท้าค้างไว้ในอากาศ แฝดพี่รีบจับยึดไว้ทันที ใครๆก็รู้เวลาเศรษฐพงศ์เขินน่ะเตะหนักขนาดไหน

 

                “กูก็หยอกมึงไปยังงั้นแหล่ะ มึงอารมณ์ดีแบบนี้ดีจะตาย ซื้อมก็ลื่นเรียนก็ดีมีความสุข”

 

                “ไอ้คินนี่มันก็ดีเนอะ แบบยังไงดีล่ะ เมื่อก่อนกูไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันเท่าไหร่เพราะมันชอบทำหน้าเหมือนอมขี้ไว้ในปาก”เท้าของเศรษฐพงศ์กระตุกยึกขึ้นมาทันที แหม...มึงนี่ก็ช่างเปรียบเทียบ แต่คิดไปคิดมาม่งก็ดันจริงตามที่ไอ้จีนมันว่าเด็กหนุ่มเลยแกล้งทำเป็นเกาขาแก้เขิน

 

                “แต่การมีปัญหากันแล้วมันมาหามึงอ่ะ มาคุยกันต่อหน้ามันดีมากๆเลยนะเว้ย แล้วทุกครั้งไม่ว่าใครจะผิดมันจะเป็นฝ่ายมาหามึงก่อนเสมอ มันแม่งโคตรแคร์มึง คือแบบ ถ้ากูเป็นมันกูจะรอให้มึงไปง้อมันเว้ย มันเลือกที่จะยอมมึงทั้งๆที่มันโคตรผิดหวังอ่ะ มึงเข้าใจที่กูพูดป่ะ?”

 

                “เออ กูเข้าใจ กูรู้ว่าตัวกูผิด แต่แบบมึงไม่เห็นหน้ามันตอนที่บอกว่าให้กูไปเรียนที่เดียวกับมันจะได้อยู่ด้วยกัน หน้าตามันมีความสุขจนกูไม่อยากพูดขัดมันไป จะให้ความรักมาขวางความตั้งใจเดิมของกูมันก็ไม่ได้ใช่ป่ะ จะให้กูแยกกับพวกมึงเหรอ?”

 

                “มึงโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ได้มันเป้นแฟน คราวหน้าคราวหลังมีอะไรก็บอกมันไปตรงๆเถอะไม่อยากให้ทั้งมึงแล้วก็มันต้องมางอนกันอีก เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมชิบหาย”

 

                คณิน::

 

หลังกลับจากเมืองกาญจน์ผมและไอ้แดนพ่วงไอ้ว่านมาด้วยอีกคนก็เร่งทำงานส่งอาจารย์แบบไฟลนหัว การออกแบบตกแต่งภายในสปากับฟิตเนสทำเอาเราแทบจะตีกันเพราะหาความลงตัวไม่ได้ในตอนแรก เริ่มรู้สึกไฟลุกท่วมร่างก็ตอนอีก 3 วันถึงกำหนดส่งงาน เราปรับแก้จุดเล็กจุดน้อยจนในที่สุดก็เสร็จก่อนถึงกำหนดส่งไม่กี่ชั่วโมง

 

ในที่สุดก็ได้พักซักที วันนี้ผมจะนอนมาราธอน นอนให้เหมือนกับว่าทั้งชีวิตไม่เคยนอนมาก่อน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังจากไม่มีเวลาจะตรวจดูอะไรเลยซักอย่าง ข้อความแจ้งเตือนจากไลน์นับร้อยข้อความมาจากไอ้เซ็ท มันเล่ากิจวัตรประจำวัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผมไปตามเรื่องและลงท้ายประโยคของวันด้วยคำว่าคิดถึงผมทั้งสามวัน ร่างกายที่อ่อนล้าก็พลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

 

กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน...

 

ผมมองบรรดาข้าวของที่ไปซื้อมาแต่งห้องเพิ่มเพราะคิดว่ามันจะมาอยู่ด้วยกันกับผมแล้วน้ำตาจะไหล

 

ถ้าได้มาอยู่ด้วยกันมันจะดีมากขนาดไหนนะ

 

เวลาเหนื่อยๆกลับมาได้กอดมัน หอมมัน จูบมันคงจะดีไม่น้อย

 

แต่ไอ้ตัวดีก็เล่นหนีเขาไปซะไกลเชียว มันน่าจับนอนคว่ำแล้วตีให้ตูดแหกซักที ตอนแรกก็กะจะโกรธนานๆหริกแต่พอไอ้อิ้งค์ไลน์มาบอกว่าเด็กดื้อของผมนอนร้องไห้อยู่ที่หอเพราะผมเมินมัน ใจของผมก็อ่อนยิ่งกว่าขี้ผึ้งที่ถูกไฟลน

 

ผมรักมันจนปล่อยให้ความงี่เง่าเข้ามากัดกินใจ ผมอยากอยู่กับมัน อยากใช้ชีวิตร่วมกับมันจนลืมไปว่ามันก็มีชีวิตที่มันอยากจะใช้ มีความฝันที่อยากจะทำให้เสร็จเหมือนๆกับตัวผม

 

ระยะทางไม่อาจจะขวางกั้นความรักที่ผมมีต่อมันได้หรอก

 

ขนาดเกศสุรางค์ยังข้ามภพไปหาผัวได้ ผมก็จะนั่งเครื่องบินไปหามันที่เชียงใหม่ได้เช่นกัน ไม่เป็นไร ผมร๊วยยยยย

 

ผมค่อยๆจรดปลายนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับมัน

 

                “กูคิดถึงมึงมากกว่าที่มึงรู้อีก ถ้าแดกมึงเข้าไปได้กูแดกแล้ว”ไอ้เซ็ทกดอ่านแทบจะทันทีที่ผมส่งข้อความไปหามัน

 

                “ส้นตีน”แหม...ตอบกลับกูซะหวานหยดย้อยเชียว เขินแล้วชอบรุนแรงจริงจริ๊ง ถึงเวลานั้นถ้ากูรุนแรงบ้างอย่ามาร้องให้หยุดแล้วกัน

 

                “แต่กูก็รักมึงมากกว่าที่มึงรู้ซะอีกไอ้คิน ไอ้ชิบหาย”

 

โอเค กูยอม มึงน็อคเอ้าท์กูแล้วไอ้เซ็ท ไอ้เด็กเหี้ย

 

                ในที่สุดการสอบปลายภาคก็สิ้นสุดลง นักศึกษาชั้น ปวส.2/4 มายืนรวมตัวกันที่หน้าห้องก่อนจะยกขโยงกันไปหาอาจารย์ประจำชั้นที่ควบตำแหน่งหัวหน้าภาควิชา เด็กๆนับ 20 คน เรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าอาจารย์ที่เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของตัวเองที่คอยประสิทธิประสาทวิชาความรู้และคอยดูแลให้คำแนะนำพวกตนมาตลอดสองปี เนยเป็นตัวแทนของห้องนำพวงมาลัยที่ไปซื้อมาจากตลาดตั้งแต่เมื่อเช้านำไปมอบให้อาจารย์ที่ปรึกษา เด็กๆพร้อมใจกันพนมมือไหว้อาจารย์ด้วยความนอบน้อม คำพูดขอบคุณที่อาจารย์ช่วยดูแลมาถูกเปล่งออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ

 

                “พวกเรามากราบขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยดูแลพวกเรามาตลอดสองปีค่ะ ขอบคุณที่อาจารย์คอยแนะนำเรื่องต่างๆให้พวกเรา แล้วก็ขอโทษที่อาจจะเคยทำให้อาจารย์ต้องลำบากใจ เรารักอาจารย์นะคะ”

 

                “เห็นพวกเธอเติบโตเรียนจบกันแล้วครูก็ดีใจ ต่อจากนี้ต้องไปเจอสังคมใหม่ๆก็ขอให้ปรับตัว ส่วนใครที่ไปเรียนที่เดียวกันก็ช่วยประคับประคองเพื่อนนะ อย่าทิ้งกัน รักใครกลมเกลียวกันไว้ดูแลซึ่งกันและกัน ครูดีใจที่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอ ขอให้เจริญๆกันยิ่งๆขึ้นนะ วันไหนว่างคิดถึงอาจารย์คิดถึงวิทยาลัยก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมกันนะ”

 

 

                “เป็นอะไรมึง ทำไมซึมๆ”หลังจากเสร็จจากการตระเวนขอบคุณอาจารย์ทุกท่านแล้วเศรษฐพงศ์ก็ซึมๆไปจนเพื่อนๆรู้สึกได้ เด็กหนุ่มหันไปมองวิทยาลัยอีกครั้งสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะหันมายิ้มเนือยๆให้เพื่อน

 

                “ที่นี่แม่งเหมือนบ้านว่ะ อยู่ๆจะต้องย้ายบ้านแม่งอดใจหายไม่ได้”

 

                “อือ ต่อไปคงคิดถึงแย่เลยเนอะ”วีรดนัยหันไปมองตึกอำนวยการที่พวกเขาเคยวิ่งวุ่นยื่นเอกสารต่างๆแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ

 

วิทยาลัยที่เปรียบเหมือนบ้านที่ให้ทั้งข้าวน้ำ ความรู้ ความสามัคคี ให้ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หลังจากนี้เขาต้องจากไปสู่บ้านที่หลังใหญ่กว่าและมีคนร่วมบ้านมากกว่าเดิม อนาคตต้องเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้ เขากำลังค่อยๆก้าวข้ามวัยเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่ทีละน้อย

 

แม้จะหวงแหนความเป็นเด็กแต่ก็กระหายที่จะเติบโต

 

หลังจากนี้วิทยาลัยแห่งนี้จะเหลือแค่ความทรงจำที่จะกลับมาก็ต่อเมื่องานเลี้ยงรุ่นเท่านั้น

 

ชีวิตเราต้องก้าวต่อไป

 

และคนเราต้องโตขึ้นเรื่อยๆ

 

ไม่มีใครเดินวนอยู่ที่เดิมได้ตลอดไป

 


มันคือสัจธรรมที่ทุกคนต้องพบเจอ







..................................................



คนมันรวยอ่ะเนอะต่อให้เรียนที่ฮอกวอตก็จะตามไป



มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะลูกนะหนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันเน้อ อย่างอนกันนาน
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 39 05/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 05-02-2019 22:48:22
ตอนแรกน้ำตาซึมตามคินเซ็ทนะแต่พอเจอประโยค "นั่งเครื่องบินไปหามันที่เชียงใหม่ได้เช่นกัน ไม่เป็นไร ผมร๊วยยยยย" เข้าไปปล่อยก๊ากเลย
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 39 05/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 05-02-2019 23:55:05
มันต้องแบบนี้...สำหรับพี่คิณแล้ว...กูร้วยยยยยย
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 39 05/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 06-02-2019 03:07:02
เป็นแฟนเสี่ย เสี่ยเลยทุ่มทุกอย่าง
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 39 05/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 06-02-2019 05:46:58
ป๋าคินซะอย่างแค่เชียงใหม่ จิ้บๆๆๆๆ อยากให้เปิดตัวกับพ่อแม่ซักที
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 40 06/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 06-02-2019 17:22:46
ตอนที่ 40



                หลังจากปัจฉิมนิเทศเสร็จเรียบร้อยแล้ว เศรษฐพงศ์และเพื่อนๆก็ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยหลังจากตรากตรำร่ำเรียนรวมทั้งทำกิจกรรมมากมายช่วยเหลือวิทยาลัยตามแต่อาจารย์จะสั่ง แพลนของเด็กๆคือจะขับรถไปเที่ยวที่สังขละบุรี ถือโอกาสทำบุญสงกรานต์ไปในตัว

 

เด็กหนุ่มกลับมาบ้านหลังจากขนของออกจากหอเรียบร้อยแล้ว ความอาลัยอาวรณ์ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ลดาดีใจมากกว่าใครเพื่อนเมื่อกลับบ้านมาก็พบเจอลูกชายรอกินข้าวพร้อมกัน

 

หล่อนคิดถึงลูก ยิ่งลูกจะไปเรียนในที่ห่างไกลไม่สามารถกลับมาเจอกันได้บ่อยๆหล่อนก็รู้สึกเศร้าในใจ แต่ลดาก็เข้าใจดี ลูกของหล่อนเติบโตเป็นหนุ่มไม่ใช่น้องเซ็ทที่ชอบอมข้าวแบบเมื่อก่อนแล้ว ลูกนกของหล่อนโตพอที่จะบินด้วยปีกของตัวเองโดยไม่ตกลงมาเจ็บตัวอีกต่อไปแล้ว คนเป็นแม่มีความสุขที่ได้เตรียมอาหารให้สามีและลูกชายกินในตอนเช้า

 

ชีวิตของหญิงหม้ายคนหนึ่งที่ต้องเสียสามีตั้งแต่ยังสาวเลี้ยงลูกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของตัวเองด้วยตัวคนเดียว บัดนี้เธอมีครบทุกอย่างแล้ว ทั้งสามีและลูกที่ดี

 

เศรษฐพงศ์เดินลงมาจากบนห้องได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมาก่อนอื่น ขายาวก้าวเร็วๆเข้าไปสวมกอดแล้วกดจูบลงบนผิวแก้มผ่องของแม่เบาๆ

 

                “ทำอะไรกินครับแม่”สายตาสอดส่ายสำรวจกับข้าวให้หม้อที่แม่ทำเสร็จแล้ว

 

                “ต้มจืดเต้าหู้อ่อน ดีเลยกำลังอยากกิน”

 

                “แม่กำลังจะทำผัดเปรี้ยวหวานกับทอดปลารากกล้วยเซ็ทอยากได้อะไรเผ็ดๆอีกซักอย่างมั้ยลูก”

 

                “ไม่เอาแล้วครับ แค่นี้แม่ก็ขุนเซ็ทจนอ้วนแล้วเนี่ย”

 

                “อ้วนที่ไหนล่ะลูก เซ็ทผอมจนจะปลิวอยู่แล้ว ขนาดอยู่ใกล้แม่ยังผอมแบบนี้ ถ้าไปอยู่ไกลๆจะผอมขนาดไหน”คนเป็นแม่ลูบแก้มลูกน้อยเบาๆอย่างทะนุถนอม ถึงแม้เศรษฐพงศ์จะโตแล้วแต่เมื่อลูกต้องห่างไปไกลจากอกแน่นอนว่าหล่อนก็อดห่วงไม่ได้

 

“แม่ไม่ต้องห่วงเซ็ทนะ เซ็ทไม่อยู่แม่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ ว่าแต่เซ็ทผอมแม่ก็ผอมเหมือนกันแหละ”เด็กหนุ่มสวมกอดแม่พลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แม่ยังคงเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ กลิ่นกายเฉพาะตัวของแม่เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆเวลาดมเข้าไปให้ความรู้สึกสบายอกสบายใจอยู่ทุกครั้ง

 

หลังจบมื้ออาหารเศรษฐพงศ์ก็ออกไปดูแลสวนพร้อมกับสอนให้ลูกจ้างดูว่าต้นไม้ชนิดไหนต้องดูแลยังไง เกือบเก้าโมงเช้ายงศกรก็ขับรถมารับเด็กหนุ่มที่หน้าบ้านบนรถมีสองแฝดนั่งอยู่ก่อนแล้ว ส่วนรถอีกคันที่โอบนิธิขับมียงวิสุทธิ์และวีรดนัย เด็กทั้ง 7 คน ออกเดินทางมุ่งตรงสู่อำเภอสังขละบุรี เพราะใกล้เทศกาลจำนวนรถจึงมากมาย ทั้งหมดแวะถ่ายรูปเล่นที่เมืองมัลลิกา เช่าชุดไทยใส่กันคนละชุดเดินเล่นกันเกือบบ่ายก็เดินทางต่อ เมื่อถึงเขตสังขละบุรี ทั้งยงศกรและโอบนิธิที่เป็นคนขับรถก็ต้องใช้ความระมัดระวังเป้นพิเศษพราะเส้นทางโค้งอันตรายหลายจุดรวมทั้งเป็นทางขึ้นเขา เสียงพูดคุยเริ่มเปลี่ยนเป็นการวิจารณ์ถนนหนทางที่ค่อนข้างน่ากลัวแทน

 

“มึงหลับตาไปเลยเซ็ทจะได้ไม่กลัว”ยงศกรบอกกับคนที่เริ่มจะจิกเบาะด้วยความเกร็ง  ทำยังไงไอ้โรคกลัวการนั่งรถที่ขับเร็วนี่ก็แก้ไม่หายซักทีสินะ เศรษฐพงศ์ได้ยินดังนั้นก็ปรับเบาะให้เอนไปด้านหลังอีกเล็กน้อยแล้วแกล้งตายทันที

 

ทนดูไม่ไหวหรอก โค้งน่ากลัวแล้วรถคันข้างหน้าก็เดี๋ยวเบรคๆ แล้วนั่น รถทัวร์หวานเย็นถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างอยู่ด้านหน้าถ้ารถวืดหมดแรงไหลลงมาจะทำไง ขอตายแบบไม่รับรู้อะไรเลยก็แล้วกัน

 

“เซ็ทๆ”

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมลืมตาตื่นเมื่อถูกเขย่าที่ไหล่เบาๆ ตอนแรกก็กะว่าจะหลับเล่นๆทำไปทำมาหลับจริงจนตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ส่วนไหนของสังขละบุรี เมื่อกวาดตามมองไปรอบๆก็พบว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ ดูไม่ทุรกันดานอะไร

 

“แวะซื้อของกินกันก่อน”

 

“ถึงไหนแล้ววะ?”ผมหันไปถามไอ้ยิมที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเรียบร้อยแล้ว

 

“ตลาดในตัวเมืองสังขละฯ ขับไปอีกหน่อยก็ถึงเกสเฮ้าส์แล้ว”

 

“อ้อ”ผมรับคำอย่างเข้าใจก่อนจะรีบลงจากรถเดินตามพวกเพื่อนๆไป เมื่อลงมาด้านนอกความร้อนก็แล่นเข้าปะทะจนอยากจะกลับเข้าไปใหม่ ส่วนไอ้สองแฝดเมื่อลงมารวมกับเพื่อนได้ก็ลากไอ้วีวิ่งข้ามถนนไปยืนจุ้มปุ๊กที่หน้ารถขายโรตีทันที ผมเดินจามพวกไอ้ยิมไอ้ย้งกับไอ้อิ้งค์เข้าไปในเซเว่น ด้านในคับคั่งไปด้วยลูกค้าที่ขาวเหมือนคนจีนบ้าง ผิวเข้มหน้าแขกเดินกันให้วุ่น เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาในร้านส่งเสียงดังและวิ่งไปตามชั้นวางของพลางหัวเราะกันอย่างสนุกสนานแหกปากพูดกันอย่างโนสนโนแคร์สี่แปดใดใดทั้งสิ้น และ ผมฟังไม่ออกเพราะเขาเล่นพูดภาษาถิ่น พวกเราถือตะกร้าคนละใบกวาดของกินที่ชอบทุกอย่างใส่ถุง ทั้งเบียร์และน้ำอัดลมอัดเต็มตะกร้าโดยไอ้ยิมเป็นคนเลือกและจ่ายเงิน โดยเงินนั้นพวกเรารวบรวมไว้ที่ไอ้ยิมเป็นกองกลางขาดเหลือค่อยมาหารกันทีหลังอีกที ส่วนไอ้สองแฝดกับไอ้วีก็ไม่ปล่อยให้การไปรอโรตีสูญเปล่าเพราะเมื่อกลับออกมาในมือของพวกมันก็เต็มไปด้วยกับแกล้มอีกทั้งของกินเล่นง่ายๆ

 

ทางที่ไปแถวสะพานมอญทำให้เราหลงกันนิดหน่อยเพราะเลี้ยวผิดแถมยังขับเลยไปจนถึงสะพานไม้ทำให้ต้องถอยกลับมาใหม่แล้วช่วยกันมองทาง ในที่สุดก็ถึงที่พักในตอนเกือบบ่ายสาม เจ้าของเกสเฮ้าส์เป็นคุณครูวัยเกษียณพวกเราตกลงกันว่าใครจะพักกับใคร สองแฝดและไอ้วีนอนด้วยกัน ไอ้ยิมกับไอ้ย้งนอนด้วยกันส่วนผมกับไอ้อิ้งค์นอนห้องเดียวกัน เราถ่ายรูปหน้าเกสเฮ้าส์ตามเสียงเรียกร้องของไอ้วี โต๊ะหินอ่อนหน้าห้องพักกลายเป็นโต๊ะกินข้าวของพวกเรา เหล้ายาถูกแช่ในถังน้ำแข็ง เราจะยังไม่กินกันตอนนี้โปรแกรมที่ตั้งกันไว้คือตอนเย็นเราจะเดินไปที่สะพานไม้แบบที่เห็นกันในรายการทีวีหรือรูปภาพบ่อยๆ เพราะเป็นช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศก็เยอะตามไปด้วยห้องพักทุกห้องเต็มตั้งแต่ปีที่แล้วที่เราได้สามห้องนี่ถือว่าบุญหนักเสียเหลือเกิน ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มเสียงไอ้อิ้งค์เดินไปเปิดแอร์ความเย็นที่ค่อยๆทำงานทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น พวกเราตกลงว่าจะงีบเอาแรงซักหน่อยพอห้าหรือหกโมงเย็นค่อยไปเดินเล่นที่สะพาน โทรศัพท์ของผมสั่นเมื่อมีแจ้งเตือนไลน์เข้ามาและแน่นอนมันคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณคณิน ลิขิตสกุลกาญจน์ นั่นเอง

 

คำถามไม่ได้มีอะไรมากไอ้คินถามแค่ว่าผมอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ และผมก็ตอบตามจริงว่าผมมาเที่ยวกับเพื่อนๆ มันบ่นที่ผมไม่ชวนมันเลย

 

“ทำยังกับชวนแล้วจะมาได้งั้นแหละ”ผมยู่ปากใส่โทรศัพท์นอนคว่ำพิมพ์อบกลับมันอีก 2-3 ประโยคก็บอกมันว่าผมจะนอนแล้ว มันบ่นผมมาอีก 2-3 คำแล้วจึงเลิกคุยกัน

 

ทำตัวเหมือนพ่อผมเข้าไปทุกที  ใจผมค่อนขอดมันไปแต่อีปากไม่รักดีนี่ก็ยิ้มจังเลยวะ

 

ผมรู้สึกตัวตื่นตอนเกือบห้าโมงเย็นเพราะไอ้อิ้งค์มาปลุก แม้จะงัวเงียอยู่บ้างแต่ผมก็รีบไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น เช็คความเรียบร้อยแล้วต้องชมตัวเองในใจว่าหล่อจังว่ะ เนี่ย สงสัยเพราะอยู่กับไอ้คินมากเลยติดนิสัยหลงตัวเองของมันมาด้วย เอากระเป๋าสตางค์ใส่ลงในเป้ หยิบโทรศัพท์มาเช็คดูเผื่อไอ้คินจะส่งอะไรมาอีก แต่มันก็คงค้างประโยคเดิมเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว เราออกเดินไปตามถนนที่เจ้าของเกสเฮ้าส์บอก ทางค่อยๆลดลงไปตามความลาดชันเรามั่นใจว่าเดินมาถูกแล้วเพราะจำนวนคนที่ไหลไปในทางเดียวกัน เก็บบรรยากาศผ่านเลนส์กล้องไอ้สองแฝดเถียงกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไอ้วีกระโดดขึ้นขี่คอไอ้ย้ง ผมเก็บภาพพวกนั้นไว้ทั้งหมด

 

พวกเราเติบโตกันมากถึงขนาดนี้แล้วเหรอวะ?

 

จากวันแรกที่รู้จักกันยังเป็นเด็กผู้ชายอายุ 12-13 ปี ที่ยิ้มแห้งๆให้กันด้วยความเคอะเขินตอนเข้าเรียน ม.1 จนตอนนี้ เรากำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย

 

วัยเด็กของเรากำลังถูกปล้นไปอย่างช้าๆ

 

เราเดินกันจนมาถึงตัวสะพานไม้ คนที่มองว่ามากตอนที่เดินมาเทียบไม่ได้กับตอนนี้เลยซักนิดหนึ่งมองลงไปเห็นแต่หัวคนเดินกันอย่างกับมด

 

                “เชร้ คนโคตรเยอะเลย”ไอ้จีนหลุดปากอุทานออกมาเบาๆ เราค่อยๆไหลตามฝูงชนไปเรื่อยๆ พักถ่ายรูปกันบ้างเป็นระยะๆ ด้านบนสะพานมีบรรดาเด็กๆชาวกะเหรี่ยงและที่มีเชื้อสายพม่าคอยเรียกให้เราแวะซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อย รวมทั้งที่บริการทาแป้งทานาคาให้เป็นดวงๆดอกๆผมถ่ายรูปน้องๆมาหลายรูป สาวพม่าอายุราวๆ 40 ปี รูปร่างสะโอดสะองเทินถาดขนมไว้บนหัวเดินผ่านเราไป ภาพบรรยากาศแบบนี้เราหาดูไม่ได้เลยซักนิดถ้าอยู่ในเมือง ลมแม่น้ำพัดโบกมาช่วยคลายความร้อน กลางสะพานมีคนมุงดูอะไรซักอย่างค่อนข้างเยอะไอ้จีนกับไอ้จินชวนให้เราไปดูด้วย เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังแหกปากร้องเรียกผู้ชมด้วยถ้อยคำขี้เล่น เป็นการแสดงกระโดดสะพานโชว์เมื่อพูดเยอะจนเห็นสมควรแก่เวลาร่างผอมๆนั่นก็โดดตูมลงไปในแม่น้ำ เสียงปรบมือดังไปทั่วหลายคนดูจบแล้วแยกย้าย หลายคนมอบรางวัลเป็นเงินเล็กน้อยแล้วจากไป  เราออกเดินกันไปตามความยาวนับกิโลเมตรก็พบว่าจริงๆแล้วมันมีสะพานสีแดงยาวต่อไปอีกตอนนี้หกโมงกว่าแล้วพระอาทิตย์กำลังลดตัวลงตามเหลี่ยมเขา แสงสีแดงอมส้มทาบทับผิวโลกสะท้อนลงในสายน้ำจนระยิบระยับ

 

แต่มีบางอย่างที่ระยิบระยับกว่านั้น...

 

ผมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ร่างสูงและขาวจัดของใครบางคนกำลังส่งยิ้มจนเห็นเหงือกแดงๆอยู่กลางสะพานนั้น ต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้คนนับหมื่นนับพันผมก็จะมองเห็นมันเด่นชัดที่สุด

 

ระยะทางระหว่างเราสั้นลงเรื่อยๆ...

 

ใจของผมก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

 

                “มึงมาได้ไงเนี่ย?”ผมเอ่ยถามหลังจากที่เราทั้งสองคนเดินมาจนหยุดตรงหน้ากัน ไอ้คินถอดหมวกที่หัวมันมาใส่หัวของผมแทน

 

                “กูก็ขับรถมาน่ะสิ”มันตอบราวกับว่าแม่ใช้มาซื้อน้ำปลาก็เลยขับรถมาขำๆ

 

                “คือ...กูงง ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ได้ทำงานอยู่มหาลัยเหรอ?”นี่แหละคือสิ่งที่ผมสงสัย คือเมื่อวานมันบอกว่ามันทำแบบชิ้นสุดท้ายอยู่ เมื่อตอนก่อนจะหลับมันก็ไม่ได้บอกซักนิดว่าจะตามผมมา แล้วดูตอนนี้สิมันดันเสนอหน้ามายิ้มเหงือกแดงอยู่ตรงหน้าผมได้ไงวะ

 

                “งานเสร็จตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วเลยขับรถกลับมาบ้าน ไม่เจอมึงถามเด็กมันบอกว่ามึงมาเที่ยวสังขละ ตอนที่กูถามมึงว่าอยู่ไหนน่ะกูก็ขับถึงไทรโยคแล้ว”มันตอบข้อสงสัยของผมในรอบเดียว ไอ้คินหันไปยกมือทักทายเพื่อนๆของผมผมจึงชวนมันเดินไปด้วยกัน

 

                “แล้วนี่มึงพักที่ไหนเนี่ย ได้ข่าวว่าห้องพักเต็มหมดแล้ว”ผมถามมันอย่างเป็นห่วง แต่ไอ้ตัวดีกลับยักไหล่อย่างไม่เป้นกังวลเลยซักนิด

 

                “นอนกับมึง”

 

                “เดี๋ยวๆ มึงจะมานอนกับกูได้ไงกูนอนกับไอ้อิ้งค์”ผมรีบท้วงคำตอบง่ายๆนั้นของมันทันที ไอ้คินยักไหล่อีกรอบก่อนหันไปหาไอ้อิ้งค์

 

                “อิ้งค์คืนนี้มึงไปนอนกับไอ้ยิมแทนได้ป่ะเดี๋ยวกูจ่ายค่าห้องให้”

 

                “โอเค ตามนั้น”ไอ้อิ้งค์ตอบรับอย่างง่ายดาย

 

ไอ้ชิบหายไม่ถามความเห็นของกูซักคำ ผมบ่นกระปอดกระแปดเบาๆพักหนึ่ง เสียงไอ้คินหัวเราะเบาๆอยู่ข้างๆ เราเดินเคียงคู่กันใกล้จนไหล่ชิดกันไม่นานมือของผมก็ถูกมันจับไว้หลวมๆ

 

ไม่ได้เป็นการจูงเพียงแต่จับให้รู้ว่าตอนนี้ข้างๆกายของผมมีมันอยู่เคียงข้าง

 

แสงสีส้มของวันค่อยๆลดลงจนในที่สุดก็มืดแต่ในใจของผมกลับสว่างเพราะผมมีพระอาทิตย์ส่วนตัวคอยให้แสงสว่างนำทางอยู่ตรงนี้

 

แสงสว่างที่มีให้ผมเพียงคนเดียว

 

แสงสว่างที่ชื่อว่าคณิน...ผมค่อยๆกระชับมือที่จับกับมันไว้แน่นกว่าเดิม ตอนนี้เองที่ผมรู้ว่าผมโคตรดีใจเลยที่มันมาหาผมที่นี่ ดีใจมากๆ เราเดินคุยกันเงียบๆราวกับตัดขาดโลกรอบตัวจนสุดปลายสะพานด้านหน้าเป็นเหมือนตลาดใหญ่ๆพวกเราตกลงว่าจะเดินลงไปใต้สะพานที่มีของที่ระลึกขายเยอะๆ ปลาข้าวสารตัวเล็กๆดูท่าจะเป็นของขึ้นชื่อรวมทั้งข้าวสารเม็ดยาวๆเหมือนข้าวอินเดีย เสื้อผ้าสกรีนรูปสะพานไม้ถูกให้ความสนใจ ผมเดินเลิกกระเป๋าย่ามโดยมีไอ้คินเดินตามและแน่นอนวันนี้ดูท่าผมจะสุขจังตังค์อยู่ครบเพราะเมื่อผมเลือกกระเป๋าได้สองใบไอ้คินก็ควักแบงค์พันจ่ายให้โดยไม่ลังเลซักนิด

 

                “รวยมาก?”ผมแกล้งแซวมัน ไอ้คินกระตุกยิ้มก่อนจะพูดจให้หมั่นไส้เล่น

 

                “ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ถ้ามึงบอกอยากได้สะพานไม้ไปเดินเล่นที่บ้านกูก็จะซื้อให้”

 

ครับ...เหม็นกลิ่นคนรวยมั้ยครับ ตอนนี้ผมเหม็นมากๆ เหม็นสุดๆไปเลย







 

ทุ่มกว่าเราก็เดินกลับมาที่ห้องพัก เหล้ายาปลาปิ้งที่เตรียมไว้ตั้งแต่มาถูกลำเลียงออกมาวางเรียงเต็มโต๊ะโชคดีที่เจ้าของเกสเฮ้าส์ให้เรายืมครัวและพวกจานชามได้เลยไม่ลำบากมากนักในการกินข้าวเย็นครั้งนี้ เราแบ่งกับข้าวที่คินซื้อมาระหว่างทางให้เจ้าของบ้านก่อนจะมานั่งล้อมวงกินเหล้ากัน ไอ้คินรับแก้วเหล้าที่ไอ้ย้งทำหน้าที่ชงมันจิบแล้วขมวดคิ้วนิดหน่อย

 

“เข้มไปเหรอวะ?”ผมถามมัน

 

“อืม นิดหน่อย”มันตอบกลับมาตรงๆ ผมเลยลองยกแก้วมันมาจิบ

 

“ไอ้เหี้ยย้งชงเข้มขนาดนี้มึงไม่ยกขวดให้มันแดกเพียวๆไปเลยล่ะ?”ผมอยากจะยกตีนถีบไอ้ย้งเมื่อเหล้าที่มันชงให้ไอ้คินนั้นเข้มมาก

 

ดูก็รู้ว่าแม่งกะจะมอมไอ้คินชัดๆ

 

แล้วถ้ามันเมาแล้วอ้วกแตกถามหน่อยหมาตัวไหนมาช่วยผมเช็ดอ้วกเช็ดเนื้อเช็ดตัวมันล่ะถ้าไม่ใช่ผมคนนี้ ถึงแม้ผมจะไม่เคยเห็นมันเมาแล้วอ้วกนอกจากตอนที่มันเมาแล้วย่องเข้าไปจูบผมเมื่อเกือบสองปีที่แล้วนั่นอ่ะ

 

“แค่นี้ผัวมึงไม่เมาหรอก”มันตอบกลับยิ้มๆเรียกเสียงโห่ฮิ้วจากเพื่อนในกลุ่มได้พอสมควร ที่น่าโมโหคือไอ้คินถือโอกาสวาดแขนมาโอบไหล่ผม สีหน้ามันตอนนี้ยิ้มกริ่มดวงตาระยิบวิบวับม๊อบแม๊บจนอยากจะถีบให้หัวทิ่ม แต่พอเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของมันก็ทำไม่ลงปล่อยให้มันโอบไหล่จิบเหล้าไปเป็นระยะๆ แถมตอนนี้มันยังคุยกับเพื่อนๆของผมอย่างออกรสราวกับว่าเป็นเพื่อนกันมานานนม ผมยกแก้วเหล้าที่ไอ้ยิมชงผสมกับโค้กให้อย่างครึ้มอกครึ้มใจ หัวใจของผมพองฟูตั้งแต่เจอหน้ามันบนสะพาน เหมือนฉากในหนังเลยว่ะ เมื่อก่อนถึงแม้ว่าผมจะดูฉากแบบนี้ในหนังรักมานับไม่ถ้วน แต่พอมันเกิดขึ้นกับชีวิตจริงๆของผม ผมเพิ่งรู้ว่าการเห็นคนที่เรารักและเฝ้ารอหัวใจมันบานจนแทบจะระเบิด ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่เยอะแยะมากมายผมว่าผมคงจะห้ามใจตัวเองให้กระโดดกอดมันไม่ได้แน่ๆ

 

เคยคิดว่าผมคงไม่ได้รักมันลึกซึ้งอะไรแต่จริงๆแล้วผมรักและรอคอยมันเสมอ ความรักที่ผมมีให้มันค่อยๆซึมลึกเข้าไปในใจ เมื่อก่อนมันร้ายกันผมมากเท่าไหร่ตอนนี้มันกลับดีกับผมรักและให้เกียรติผมมากขึ้นเท่านั้น

 

 

หลังจากนั่งกินเหล้ากันกันจนเกือบเที่ยงคืนในที่สุดผมก็ต้องพยุงไอ้คินเข้ามาในห้อง มันทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดมาที่ผม แล้วคือก็เมาๆกรึ่มๆกันทั้งคู่อ่ะแต่ผมกินน้อยกว่ามัน ทำไมผมจะไม่รู้ไอ้ย้งกับไอ้ยิมจงใจจะมอมเหล้าไอ้คิน ยิ่งดึกบรรยากาศยิ่งดีไอ้คินก็ยกเอาๆสุดท้ายก็แอ๋อย่างที่เห็น ผมเหวี่ยงมันลงบนเตียงแต่เพราะมันหนักแทนที่มันจะร่วงลงไปคนเดียวกลายเป็นผมร่วงตามไปด้วย

 

“โอ้ยไอ้เหี้ย ทำไมเมาแล้วตัวหนักยังงี้วะ มึงนอนเลย”ผมทุบหน้าอกมันไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้

 

“เฮ้ยยยยยย.....ยังไม่น๊อนนนนนน”มันอ้อแอ้ทำท่าจะลุกออกไปกินเหล้ากับไอ้พวกนั้นอีก ผมที่เพิ่งจะแบกมันมันมาถึงกับตาเหลือกรีบดึงมันไว้ไอ้คินหงายกลับมานอนตามเดิมแล้วคว้าผมไปกอดไว้จนแน่น

 

“คิดถึง”คำพูดสั้นๆของมันเล่นเอาผมใจสั่นกว่าจะรู้ตัวดวงตาของผมก็ค่อยๆปิดลงเพื่อรับรสจูบที่มันมอบให้ คำบอกรักบอกคิดถึงถูกส่งมาให้ทุกครั้งยามเราละริมฝีปากออกจากกัน คล้ายว่าคำก่อนๆที่มันเคยพูดเคยบอกผมทุกวันนั้นจะไม่เพียงพอ ไอ้คินเป็นคนที่ชอบบอกรักและชอบที่จะฟังเพียงแต่ผมนั้นก็ปากหนักเกินไปที่จะพูดพร่ำเพรื่อ มันเองควรจะรู้อยู่แล้วว่าต่อให้เอาชแลงมาง้างปากถ้าผมไม่อยากพูดผมก็ไม่มีวันพูดออกมาเด็ดขาด

 

คำว่ารักของผมมันลึกซึ้ง

 

และผมได้มอบให้มันไปแล้ว

 

ผมกลับคิดว่าถ้าพูดบ่อยๆมันจะกลายเป็นคำพูดที่เหมือนเรากินข้าวคือกินแล้วอิ่มแล้วจบกันมื้อต่อไปค่อยคิดว่าจะกินอะไรดี

 

“คิดถึง...กูคิดถึงมึงมากนะเซ็ท”มันกดจูบลงบนมุมปากของผมอีกครั้ง แผ่วเบาแต่ทว่าฉ่ำหวานรสขมของเหล้าติดตรึงที่ปลายลิ้นมอมเมาเราทั้งคู่ให้พากันเดินเข้าสู่ห้วงอารมณ์ห้วงของความปรารถนาได้ไม่ยาก

 

“ขอได้มั้ย คินอยากรักเช็ท ได้มั้ย นะครับ”ไอ้คินมันจ้องตาผมแบบรอคำตอบ ในใจของผมเต้นรัวทั้งตื่นเต้นและตกใจ ไอ้ห่า ทำไมมึงดูสร่างเมาไวจัง เอาไอ้คินคนอ้อแอ้กลับมาเหมือนแบบตะกี๊ได้มั้ย แต่ไม่ว่าจะเป็นคินร่างไหนคืนนี้ดูท่าผมคงจะต้องเหนื่อยทั้งสองทาง ในหัวของผมตอนนี้คิดมากมายแต่เหมือนไอ้คินมันจะรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่ครั้งสำคัญในชีวิตมันเลยหลอกล่อผมด้วยจูบหวานๆและสัมผัสที่เอาอกเอาใจจนผมโอนอ่อนตามได้ไม่ยาก แต่ก่อนที่อะไรๆจะถูกจุดติดมากไปกว่านี้ผมก็บอกให้มันไปอาบน้ำก่อน เพราะวันทั้งวันมันคงเอาแต่ตะลอนๆ ไอ้คินยอมทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่ายราวๆ 10 นาทีมันก็เดินออกมาจากห้องน้ำนุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียว ตัวหอมฟุ้งยิ้มกริ่มราวกับเด็กน้อย

 

ผมชอบเวลาที่มันยิ้มกว้างๆแบบนี้ เหงือกแดงๆตาหยีๆเหมือนเด็กน้อยไร้พิษภัย ผมเดินสวนมันเข้ามาในห้องน้ำ

 

ผมรู้ซักวันเรื่องแบบนี้ระหว่างคนรักมันก็จะต้องเกิดขึ้น และวันนี้ผมก็พร้อมที่จะทำกับมัน เหมือนเป็นการให้รางวัลในความพยายามในความรัก ความเอาใจใส่ที่มันมีให้กับผม ผมค่อยๆบรรจงอาบน้ำ ครีมอาบน้ำถูกปั๊มใส่มือมากว่าเดิมลูบไล้ไปจนทั่วทุกส่วนของร่างกาย อาบวนไป 2-3 รอบ เพียงเพราะผมอยากให้ตัวของผมหอมๆกับถ่วงเวลาเพื่อทำใจ

 

มันจะต้องเจ็บมากแน่ๆ ผมเคยอ่านในเน็ต

 

แต่ไอ้คินมันจะอ่อนโยนกับผมใช่มั้ยนะ ผมรู้ดีว่าก่อนหน้านี้ถ้ามันจะดื้อดึงทำกับผมยังไงสุดท้ายผมก็ต้องยอมมันจนได้แม้ว่าอาจจะไม่เต็มใจนัก แต่มันก็อดทนรอมาโดยตลอดไม่เคยหงุดหงิดหรือปริปากบ่น ผมไม่ให้มันก็ไม่ทู่ซี้ นั่นเป็นเพราะมันรักผม

 

ผมเองก็รักมันเหมือนกัน

 

เมื่ออาบน้ำทำใจได้ผมก็ปิดน้ำเช็ดตัวลวกๆยกแขนขึ้นมาดมอีกที กลิ่นครีมอาบน้ำหอมอ่อนๆติดทั่วตัวผม ผมสูดหายใจลึกๆแล้วก้าวออกมาจากห้องน้ำ

 

สิ่งที่ผมเห็นคือ....

 

ไอ้เหี้ยคินนอนหลับกอดหมอนข้างอยู่จนหน้ายู่

 

“โธ่...ไอ้เหี้ย!!!”

 

ไอ้คิน ไอ้ควาย รอนิดรอหน่อยมึงจะตายเหรอ ไอ้หน้าหมา แล้วกูจะเตรียมตัวเตรียมใจไปเพื่ออะไร

 

ผมไม่ยอมอ่ะ วันนี้ยังไงผมต้องได้เสียตัว ผมปรี่ไปสะกิดมันยิกๆแต่มันไม่มีทีท่าที่จะตื่นขึ้นมาเลยซักนิดแถมส่งเสียงฮือๆราวกับรำคาญที่ผมมารบกวนการนอนอันแสนสุขของมัน ผมเขย่าตัวมันแรงๆ เรียกมัน ทำทุกวิถีทางที่จะให้มันตื่น แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ตื่น ผมโมโหจนเงื้อหมัดเตรียมจะต่อยมันให้หายโกรธซักหมัดก็พอดีกับที่มันควานสะเปะสะปะก่อนจะกอดเอวของผมไว้

 

                “คิดถึง คินคิดถึงเซ็ท”มันงึมงำคำเดิมแล้วเงียบไป มือที่ง้างค้างของผมเปลี่ยนจากจะต่อยกลายเป็นลูบกรอบหน้าของมันแทนผมเอนตัวลงนอนข้างมันจ้องใบหน้าที่หลับสนิทใช้มือสำรวจใบหน้าหล่อเหลาราวตุ๊กตาหยกเนื้อดีของมันอย่างแสนรัก

 

ไอ้คินซูบลงไปพอสมควร ถุงใต้ตาทั้งปูดทั้งคล้ำแปลว่ามันคงอดหลับอดนอนเพื่อเรื่องงานที่อาจารย์สั่ง ผมขยับตัวให้เข้าไปนอนเบียดชิดกับมันและเหมือนมันจะรู้มันกระชับอ้อมแขนที่กอดเอวผมให้แน่นกว่าเดิม ผมกดจูบลงบนหน้าผากของมันแผ่วเบา เลื่อนลงมาจูบเปลือกตาที่ปิดสนิทของมันทั้งสองข้าง หากในยามตื่นตาคู่นี้เอาแต่จ้องมองผมราวกับกลัวว่าผมจะสูญหายไปไหน ความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาของผมบ่งบอกได้ดีว่าอีกนิดผมคงร้องไห้ ผมเลื่อนริมฝีปากของผมผ่านสันจมูกโด่งสวยที่แอบชื่นชมอยู่หน่อยๆจนมาถึงริมฝีปากของมัน ปลายจมูกของเราชนกัน รับรู้ลมหายใจซึ่งกันและกัน ที่สุดผมก็แนบกลีบปากของผมลงบนปากของมันกดน้ำหนักตามแรงอารมณ์ที่มีในหัวใจ มันท่วมท้นจนเก็บกักไว้ไม่อยู่ ปากของไอ้คินยังให้ความรู้สึกซาบซ่านได้เหมือนเช่นทุกครั้งแม้ว่ามันจะหลับสนิทจนไม่อาจตอบสนองกลับได้เหมือนเช่นเคยแต่ผมกลับรู้สึกพอใจตรงส่วนนี้

 

เพราะตอนนี้ผมอยากมอบความรักกลับให้มันบ้างให้สมกับที่มันพูดคำว่ารักกับผมได้ทุกเมื่อเชื่อวันโดยไม่แสดงความเบื่อหน่ายออกมาซักนิด ผมค่อยๆถอดจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่งจ้องมองใบหน้าหล่อที่หลับใหลนั้นแล้วเอื้อนเอ่ยคำรักออกมาให้มัน

 


                “กูก็ก็รักมึงนะ เซ็ทรักคินมากๆนะครับ รักมากกว่าใครเลย รู้ไว้ด้วย”





.....................................................







จริงๆไม่นกนะรอบนี้พี่แค่หลับก่อน 55555555555555555
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 40 06/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 06-02-2019 18:02:15
โอ้ยยยย กว่าจะได้กันซักทียากเย็นแท้
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 40 06/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 06-02-2019 23:27:54
คิณเอ้ย!!.. :z6:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 40 06/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 07-02-2019 16:17:54
รอบนี้เซ็ทเซ็ง555 อิพี่มันเล่นตัวหนีหลับก่อนซะงั้น :jul3:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 41 08/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 08-02-2019 01:04:05
ตอนที่ 41



                ตีห้าเศรษฐพงศ์ก็ลืมตาตื่นเมื่อนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ส่งเสียงดังขึ้น เด็กหนุ่มที่นอนซุกกายในอ้อมกอดของคณินค่อยๆหย่อนเท้าพาร่างกายเปล่าเปลือยลงบนพื้นห้อง ดึงผ้าขนหนูที่ใช้พันตัวหลังอาบน้ำที่ถูกคณินนอนทับออกมาแล้วแล้วไปจัดการอาบน้ำอาบท่าแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อเตรียมเดินข้ามสะพานมอญไปใส่บาตรที่ฝั่งนู้น เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็เห็นไอ้คนกากขี้เซานอนคว่ำสองแขนกอดหมอนหนุนใบใหญ่ เนื้อตัวเปล่าเปลือยเพราะผ้าขนหนูที่นุ่งก่อนนอนนั้นก็หลุดลุ่ยไม่ต่างกับเขาในตอนแรก บั้นท้ายที่กล้ามเนื้อครัดแน่นอวดล้อสายตาให้เศรษฐพงศ์น่าอายนัก โชคดีแล้วที่นอนคว่ำหากนอนหงายเห็นทีบุญที่จะทำคงโดนอะไรๆดีดจนกระจุยกระจายแน่ๆก้าวขึ้นเตียงด้วยความแผ่วเบาหลุดยิ้มน้อยๆยามเห็นใบหน้าของคนที่รักหลับพริ้ม เศรษฐพงศ์ค่อยๆก้มลงจนริมฝีปากจรดกับแก้มของคณิน กดจูบถ่ายทอดความคิดถึงที่ท่วมท้นในใจก่อนจะละออกมาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆแล้วเลื่อนไปลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเบามือ

 

                “คิน...คิน”เสียงเรียกใกล้หูทำให้คณินที่หลับสนิทค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น หยีตานิดหน่อยเมื่อในห้องสว่างจ้าด้วยแสงไฟดวงหน้าของเศรษฐพงศ์ปรากฏชัดเป็นอย่างแรกของเช้าวันใหม่พาให้ใจของชายหนุ่มยินดีเป็นยิ่งนัก

 

อยากตื่นมาแล้วเจอเศรษฐพงศ์ในทุกเช้าแบบนี้ตลอดไปจัง ในโลกนี้แก้วแหวนเงินทองเขามีมากมายหากวันหนึ่งต้องสูญไปเขาก็จะไม่นึกเสียดายเลยซักนิด แค่มีเศรษฐพงศ์ในชีวิตอย่างเดียวก็พอแล้ว ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกจนเต็มปอดบิดขยับตัวพลิกขึ้นมานอนหงายแล้วบิดขี้เกียจจนเศรษฐพงศ์ต้องเบือนหน้าหนีเมื่ออะไรๆพลันอร้าแอร่มอวดสายตา

 

                “ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว มานอนเป็นชีเปลือยอยู่ได้ไอ้หน้าด้าน”เศรษฐพงศ์ว่าเข้าให้หลังจากบิดทีหลังๆนี่ไม่ใช่บิดขี้เกียจแล้วเมื่อคณินเห็นเศรษฐพงศ์พยายามเบี่ยงตาไปมองอย่างอื่นชายหนุ่มก็แกล้งบิดให้คินน้อยส่ายกระดุ๊กกระดิ๊กเรียกสีแดงจางๆบนผิวแก้มคนน้องได้อย่างไม่ยาก

 

แม้จะเคยมองเคยจับเคยครอบครองด้วยริมฝีปากมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วแต่ให้มานั่งมองแบบนี้มันก็น่าอาย

 

                “ไม่มอร์นิ่งคิสคินน้อยหน่อยเหรอ มันบอกว่าคิดถึงปากมึง”แกล้งพูดจาใส่หวังให้คนน้องเขินแต่กลับได้นิ้วกลางกลับมาเป็นรางวัล

 

                “คิสกับตีนกูนี่จะลุกดีๆหรือจะให้กูดีดจู๋มึง เร็วๆเดี๋ยวสายจะไม่ทันไปตักบาตรพระฝั่งนู้น”

 

                “โห่...มึงแม่งไม่โรแมนติกเลยว่ะ”คณินทำหน้ายู่ปากยื่นบ่นใส่คนน้อง และโดยไม่คาดคิดริมฝีปากอุ่นร้อนก็กดจูบลงบนคณินน้อยจนได้ยินเสียงดังจุ๊บแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว

 

               " พอใจมึงยัง?”หันมาถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ใบหน้าแดงยามไปยั้นใบหูและลำคอ คณินยิ้มกว้างจนตาปิด

 

                “พอใจแล้วครับ พอใจมากๆเลย”

 

สิบนาทีต่อมาคณินกับเศรษฐพงศ์ก็ออกมารวมกับเพื่อนๆ ย้งมือชงอันดับหนึ่งลอบมองร่างกายนอกร่มผ้าของเพื่อนอย่างสำรวจแล้วก็ได้แต่ทำหน้าผิดหวัง ไร้ร่องรอยใดใดทั้งสิ้น อุตส่าห์ช่วยให้เมาๆจะได้เคลิ้มๆกันแล้วแท้ๆ ไม่รู้ว่าไอ้คินมั่นโง่หรือไอ้เซ็ทมันตายด้านวะ เมื่อคืนเขาอุตส่าห์เงี่ยหูฟังห้องมันก็เงียบกริบ

 

หรือนี่มันสองคนถือศีล 227 ข้อ แบบพระวะ?

 

เด็กหนุ่มทั้งแปดคนออกเดินไปตามเส้นทางสายเดิมเหมือนเมื่อเย็นวานระหว่างทางมีร้านขายตะกร้าที่ใส่อาหาร น้ำ ขนม ดอกไม้เพื่อตักบาตรตอนเช้า ทุกคนซื้อติดมือหิ้วข้ามสะพานไปคนละตะกร้า อากาศยามเช้าเย็นสดชื่นกว่าในเมืองมากนัก เรือหางยาวหลายลำแล่นผ่านไปท่ามกลางความมืดยังไม่ทันหกโมงเช้าดีพระอาทิตย์ก็สาดแสงสีส้มก่อนจะค่อยๆอาบไล้แสงสว่างให้กับผืนโลก ผู้คนนับพันตั้งแถวรอขบวนพระสงฆ์ที่จะเดินแถวมารับบาตรในยามเช้าจากพุทธศาสนิกชนที่ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยว ด้วยความที่กว่าพระจะมายังอีกซักพักพวกเด็กๆจึงถ่ายรูปเล่น แวะกินโจ๊กซึ่งโต๊ะนั่งแออัดเว่อร์ กินกาแฟคนละแก้ว หมูปิ้งกับข้าวเหนียวร้อนๆอีกคนละสองไม้ เศรษฐพงศ์แวะร้านขายเครื่องประดับเลือกซื้อสร้อยนิลกับปิ่นเงินลายสวยเพื่อเอาไปฝากแม่ส่วนคณินนั้นซื้อเสื้อไปฝากพ่อจนกระทั่งเห็นชายจีวรอยู่ไกลลิบๆก็แทรกตัวไปยืนรอพระอยู่ด้านหน้า พระสงฆ์นับร้อยรูปเดินเรียงมารับบาตรโดยมีลูกศิษญ์ถือกระสอบมาคอยเก็บข้าวสารอาหารแห้ง น้ำ ผลไม้ รวมทั้งกับข้าวถุงลำเลียงออกไปคณินประคองมือเศรษฐพงศ์หยิบของใส่บาตร คนน้องแม้จะเก้อเขินกับอากัปกริยานั้นหากแต่ก็ไม่ได้ดึงมือออก ต่างช่วยกันใส่บาตรจนเสร็จโดยไม่รู้เลยซักนิดว่ายงศกรเก็บภาพนั้นไว้ได้หลายรูปทีเดียว

 

ช่วงค่ำทุกคนพากันไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน บรรดาร้านอาหารรวมทั้งของที่ระลึกละลานตา เศรษฐพงศ์นั่งยึดพื้นที่ที่ร้านขายโปสการ์ดเด็กหนุ่มเลือกออกมาหลายใบลงมือเขียนหาคนที่จะส่งให้คณินเองก็นึกสนุกเอาด้วยแต่เขาซื้อเพียงแค่ใบเดียวและไม่ได้เขียนอะไรทำเพียงเก็บใส่กระเป๋าและรอเศรษฐพงศ์เขียนข้อความในโปสการ์ดเงียบๆ บรรดาเพื่อนๆแยกไปตามแต่ความสนใจ และแน่นอนสองแฝดกับวีรดนัยปรี่ไปตามเส้นที่ขายอาหารเยอะๆ

 

                “เสร็จยัง ส่งหาใครเยอะแยะ?”

 

                “ไม่เสือกสิ”หันกลับมาตอบด้วยดวงตาใสๆแถมตีหน้าซื่อราวกับว่าไม่ได้เพิ่งทำตัวกวนตีนใส่คนพี่

 

                “ไม่ต้องมาพูดมากมานี่ช่วยกูประทับตราหน่อย”ผลักตัวตรายางเป็นสัญลักษณ์ของสังขละบุรีให้คนพี่ช่วยกันปั๊มลงไปในโปสการ์ดแล้วยื่นให้เจ้าของร้านแล้วลุกออกมาจากตรงจุดนั้น ทั้งสองเดินดูนั่นดูนี่จนมาถึงจุดที่มีขาหมูเสียบไม้เล็กๆยู่ในกะละมังใบใหญ่

 

                “มึงๆอยากกินอันนี้”เศรษฐพงศ์สะกิดแขนคนพี่ยิกๆ คณินเมื่อเห็นขาหมูก็หน้ายู่

 

รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่กินหมูมันๆ ไอ้ตัวดียังจะชวนกิน

 

                “นั่งรอเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย มาสังขละไม่กินขาหมูเสียบไม้มันเหมือนมาไม่ถึงนะเว้ย”ไอ้ตัวดีหันมาทำตาใสใส่เขาแล้วคณินจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากพยักหน้าแล้วจำใจต้องนั่งลงข้างๆ

 

และเศรษฐพงศ์ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เด็กหนุ่มซัดไปรวมทั้งสิ้น

 

                “170 ไม้...”คณินมองเศรษฐพงศ์ที่กำลังจ่ายเงินด้วยสีหน้าอึ้งๆ

 

                มึงไม่เลี่ยนเหรอวะ?”

 

                “เลี่ยนดิ่ แต่เนี่ย มันมีกระเทียมกับพริกแกล้มแก้เลี่ยน กระเทียมช่วยลดคอเลสเตอรอลด้วยไง ไปเหอะไปหาอะไรกินกัน”เศรษฐพงศ์คว้ามือของคณินพาจูงไปเดินหาอย่างอื่นกิน คณินมองมือของตัวเองที่ถูกเษรษพงศ์กุมไว้ก็อมยิ้มอย่างมีความสุข

 

ไม่บ่อยนักหรอกที่เศรษฐพงศ์จะแสดงออกอะไรให้ใครเห็นถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เด็กหนุ่มเป็นคนคิดเยอะจนบางครั้งคณินก็รู้สึกว่าเศรษฐพงศ์นั้นคิดเยอะจนแบกทุกอย่างไว้เพียงลำพัง มือแกร่งบีบกระชับนิ้วหัวแม่มือของเศรษฐพงศ์ไว้อย่างอุ่นใจ ทั้งสองคนเดินท่ามกลางผู้คนแปลกหน้ามากมาย ต่างฝ่ายต่างอมยิ้มโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้ากันเลยซักนิด

 

ทั้งๆที่อากาศในเดือนเมษายนนั้นแสนจะร้อนอบอ้าวมากแล้วแท้ๆ แต่คนสองคนกลับไม่ยอมปล่อยมือจากกันเลยแม้เพียงเสี้ยววินาที

 

คณินถือว่าคุ้มแล้วที่ขับรถสี่ร้อยกว่ากิโลเพื่อมาหาเศรษฐพงศ์ในครั้งนี้ แค่ได้เดินเคียงข้างกันไปอย่างเงียบๆอย่างนี้ก็พอแล้ว และหวังว่าจะได้เดินด้วยกันไปตลอดชีวิตอย่าได้มีอะไรมาแยกเขาทั้งคู่ออกไปจากกันเลย









 

 

 

 

 

                แต่นั่นแหล่ะ ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน หลังจากตะลอนเที่ยวจนทั่วสังขละที่สุดสองหนุ่มก็มานั่งปุ๊กท่ามกลางข้าวของเต็มห้องที่เศรษฐพงศ์เตรียมแพ็คกระเป๋าเพื่อย้ายไปเข้าหอในที่เชียงใหม่

 

                “ไม่ต้องใส่อะไรไปเยอะแยะหรอก ขาดเหลืออะไรค่อยไปซื้อเพิ่มที่นู่น”คณินบอกคนน้องที่ทำหน้าหนักใจ ไอ้นู้นก็อยากเอาไป ไอ้นี่ก็อยากเอาไป เศรษฐพงศ์หันมาทำหน้าหงิกใส่เมื่อคณินหยิบของออกจากกระเป๋าที่เขาแพ็คทีละอย่างสองอย่าง มีหรือว่าคนขี้เหนียวอย่างเศรษฐพงศ์จะยอม เด็กหนุ่มปรี่เข้าไปประทุษร้ายคนพี่ด้วยการตบหัวไปเสียทีหนึ่ง คณินรู้สึกเหมือนสมองซีกซ้ายจะย้ายมากองรวมกับสมองซีกขวายังไงยังงั้น

 

                “ของมันยังใช้ได้มึงจะต้องให้กูไปสิ้นเปลืองทำไมวะ”

 

                “มึงดูของแต่ละอย่างที่มึงจะเอาไป อย่าลืมพ่อเอารถกระบะขนไปให้มึงนะไม่ใช่สิบล้อ แล้วหอที่พักมึงอ่ะให้เดากูว่านอนสองคนไม่ก็ 4 คน มันไม่ได้กว้างพอจะใส่ของมึงคนเดียวหรอกนะ”

 

                “แต่ทิ้งไว้กูก็เสียดาย...”เศรษฐพงศ์บ่นออดแอดเมื่อคณินยังไม่เลิกเลือกเสื้อผ้าของใช้ของตนเองออกจากกระเป๋า

 

                “เนี่ย เสื้อเก่าขาดจนเป็นรูมึงจะเอาไปทำไม เอาไปทำผ้าขี้ริ้วได้แล้ว”ไม่พูดเปล่าคณินยังเหวี่ยงเสื้อยืดตัวย้วยที่เศรษฐพงศ์หวงนักหวงหนาตามด้วยตัวอื่นๆ ถ้าเป็นรายการทีวีคงมีซาวด์เอฟเฟ็คดังฟิ้วๆประกอบเป็นแน่

 

                “ไอ้เหี้ยคิน ตัวนี้ใส่ดีมาก”ตบเสร็จก็รีบเดินไปตามเก็บเสื้อที่คณินเหวี่ยงทิ้งไปตะกี๊พลางส่งค้อนตาเขียวปั๊ด คณินอ่อนอกอ่อนใจขึ้นมาทันที

 

เป็นคนขอให้เขามาช่วยจัดของเองแท้ๆ พอเอาอะไรออกก็โต้แย้งทุกอย่าง โรคขี้งกนี่ไม่เคยหายไปจากเศรษฐพงศ์ได้ซักที

 

                “ไม่ให้เอาไป”ชายหนุ่มจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง เป็นไงเป็นกันวันนี้เขาจะต้องชนะ

 

                “จะเอา”หากแต่เศรษฐพงศ์ก็ดื้อดึงเสียงแข็ง

 

                “ถ้ามึงดื้อกูจะตีมึงนะไอ้เซ็ท”

 

                “กล้าดีก็เข้ามากูก็มีมือมีตีนเหมือนกัน”

 

คณิน::

 

ผมมองไอ้เซ็ทที่ยกมือตั้งการ์ดอย่างอ่อนอกอ่อนใจโรคขี้เหนียวของมันแก้ยังไงก็แก้ไม่หายซักที มองเสื้อในมือมันแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ เสื้อสีดำที่บัดนี้ซีดจนเป็นสีดำๆเทาๆคอเสื้อผุย้วยไม่เป็นรูป บอกตามตรงเอาไปทำผ้าเช็ดตีนยังกลัวว่ามันจะขาดคาตีนแต่ไอ้เซ็มกลับกอดแนบอกราวกับทอด้วยไหมทองคำ

 

“เซ็ทครับ”ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ ผมก็เรียนรู้ว่าจะต้องใช้ไม้อ่อนกับมัน ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปหามัน มันเบี่ยงตัวหลบอย่างระวังภัย สายตาหวาดระแวงขั้นสุด สีหน้ามันเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสรรพนามที่ผมเรียกมัน

 

งงล่ะสิไอ้สัด

 

“อย่าเอาไปเลย เก็บไว้บ้านนี่แหล่ะ เอาแต่ตัวที่สภาพดีๆไป ตอนนี้มึงอาจจะหงุดหงิดที่เอาไปไม่ได้ แต่มึงเชื่อเหอะพอถึงหอมึงจะขอบคุณกู หอในมันไม่ได้สะดวกสบายเหมือนหอนอกหรอกพื้นที่จำกัดจำเขี่ยจะตายไป ขาดเหลืออะไรค่อยไปซื้อเอา มันไม่ได้หนักหนาอะไรบ้านเราก็มีเงินมึงไม่ต้องกลัวแพงกูจะซื้อให้เอง”

 

“กูไม่ได้กลัวของแพงกูกลัวว่าพอกูไม่อยู่มึงจะมาเอาไปทิ้ง เสื้อตัวนี้แม่กูซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ถึงมันจะเก่าแต่กูใส่นอนได้”ผมมองมันที่บรรจงพับเสื้อตัวนั้นอย่างเรียบร้อยแล้วก็เกิดความรู้สึกผิด

 

เพราะแม่ผมตายตั้งแต่ผมอายุ 14 ผมจึงไม่มีโมเม้นท์ปลื้มกับของที่แม่ซื้อให้ ความผูกพันกับพ่อก็เป็นไปตามแบบฉบับพ่อกับลูกชาย พ่อปล่อยให้ผมดูแลตัวเองมาตั้งแต่แม่เสียไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับรสนิยมเสื้อผ้าข้าวของอะไร ที่สุดผมก็ยอมแพ้

 

“เอาตัวนั้นไปด้วยก็ได้ แต่ตัวอื่นเก็บไว้ที่บ้านโอเคมั้ย?”ผมยื่นข้อเสนอพบกันครึ่งทาง ในที่สุดมันก็ตกลง ผมออกอุบายให้มันลงไปทำข้าวกลางวันส่วนผมจะเป็นคนเก็บกระเป๋าให้มันเอง พอมันไม่อยู่ในห้องออะไรๆก็ง่ายขึ้น ผมจัดต่อของที่จำเป็นต้องใช้ใส่กระเป๋าให้มัน พวกเอกสารต่างๆแยกใส่อีกกระเป๋าหนึ่ง ในที่สุดจากเสื้อผ้าที่มันขนเหมือนจะย้ายบ้านก็เหลือเพียงกระเป๋าดินทางกระเป๋าเดียว ผมนั่งลิสต์รายการของที่จะไปซื้อเพิ่มเติมที่นู่น พวกของใช้ส่วนตัว ชุดนักศึกษา กระเป๋าต่างๆจนเกือบบ่ายมันก็ตะโกนเรียกให้ผมลงไปกินข้าว

 

ผมกับไอ้เซ็ทมีเวลาอยู่ด้วยกันในช่วงบ่ายเราขับรถไปวัดไอ้เซ็ทเอาพวงมาลัยกับธูปไปไหว้ที่เจดีย์บรรจุอัฐิของพ่อมัน มันยกมือไหว้หลับตาอยู่ซักพัก น่าจะกำลังบอกกล่าวกับพ่อมันว่ามันคงไม่อยู่ซักพัก นานเกือบสิบนาทีมันจึงปักธูปลงในกระถาง เราพากันเดินลงไปที่ตีนท่ามีศาลาที่ทางวัดทำไว้เพื่อให้คนที่มาไหว้พระหรือมานั่งรับลมได้ลงมาให้อาหารปลา

 

แม้จะเป็นกิจกรรมที่ผมเกลียดเพราะมันเลอะและเหม็นมือ แต่พอคิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีโอกาสให้ทำนู่นทำนี่ร่วมกับมันบ่อยๆผมก็ไม่ลังเลและอิดออดที่จะช่วยมันโปรยอาหารลงไปในน้ำเลยซักนิด

 

อยากมีมนตร์วิเศษยืดเวลาที่ผมจะได้อยู่ร่วมกับมัน แต่สุดท้ายวันรุ่งขึ้นเราทั้งสี่คนก็ต้องออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ พ่อกับน้าลดาขับรถกระบะไปเพราะท้ายรถมีกระเป๋าสัมภาระของเพื่อนไอ้เซ็ทติดไปด้วย ส่วนเพื่อนๆมันตัดสินใจนั่งรถไฟไปกันเองตั้งแต่เมื่อวาน เราขับรถกันแบบไม่ได้รีบร้อนนัก แพลนของวันนี้คือขับไปให้ถึงลำปางแล้วพักที่บ้านเพื่อนพ่อ 2 คืน พรุ่งนี้เที่ยวรอบเมืองลำปางแล้วจึงเข้าเชียงใหม่ในวันถัดไป ช่วงสายเราแวะกินข้าวที่กำแพงเพชรแล้วตียาวจนถึงลำปางในช่วงเย็น ไอ้เซ็ทดูตื่นตาตื่นใจกับสภาพข้างทางรวมทั้งภูเขาสวยๆที่เหมือนอยู่ในหนังกำลังภายในของจีนแถวจังหวัดตาก อาการกลัวรถของมันมีไม่มากอาจจะด้วยความชินแล้วหรือเพราะไม่ใช่รถกะบะ มันที่ปกติมักจะหลับเพราะเวียนหัวก็มองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กเล็กๆ บ่ายสามกว่าๆเราก็ถึงลำปาง

 

“ไม่เคยมาภาคเหนือเลยใช่มั้ย?”ผมถามมันเมื่อมันเปิดกระป๋องน้ำอัดลมที่แช่มาในกระติกน้ำแข็งยื่นให้ผม ผมไม่ได้รับมาดื่มทำเพียงงับหลอดที่ยื่นมาส่วนมันก็ถือกระป๋องรออย่างรู้งาน

 

“ไม่เคยอ่ะ กูไม่ได้ได้ไปไหนมึงก็รู้”เราช่วยกันขนของฝากลงจากรถ ป้าแต๋นกับลุงสมรเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับพวกเราพลางเอ่ยทักทายน้าลดากับไอ้เซ็ทราวรู้จักกันมานานอย่างเป็นกันเอง ทำให้ไอ้เซ็ทที่ตอนแรกมีท่าทางเกร็งๆผ่อนคลายขึ้น เพราะมาถึงในตอนเย็นก็ได้เวลาหุงหาอาหารป้าแต๋นพาผมกับไอ้เซ็ทรวมทั้งน้าลดาไปซื้อกับข้าวที่กาดอะไรซักอย่างส่วนมากเป็นของพื้นเมืองและของสดของแห้งผลไม้ใส่ถุงก๊อบแก๊บขายในราคาถูก เมื่อซื้อของเสร็จป้าแต๋นก็พาเราไปที่ร้านขายผ้าผมกับไอ้เซ็ทได้แต่นั่งเบื่อเหมือนป้าแต๋นจะรู้ก็เลยบอกให้เราไปนั่งรถม้าเล่นชมเมือง ไอ้เซ็ทมีท่าทางตื่นเต้นทันที ดูก็รู้ว่ามันอยากไป เราเดินออกมาตรงจุดที่รถม้าจอดต่อแถวกันอยู่ เมื่อถามราคาเราก็ตกลงกันว่าจะนั่งแค่รอบเล็กพอเพราะก็เย็นพอสมควรแล้ว ไอ้เซ็ทช่างอยากรู้อยากเห็นพูดคุยกับคนขับรถม้าจ้อ

 

“ทไมต้องบังตาม้าไว้ล่ะครับพี่?”

 

“ม้ามันมองเห็นรอบครับบังตามันไว้มันจะได้ไม่เห็นรถหลังไม่เห็นอะไรรอบข้างมันจะได้ไม่ตกใจไม่ตื่นจนวิ่งเตลิด”ผมฟังไอ้คนมนุษย์สัมพันธ์ดีคุยจ้อกับคนขับรถม้าเพลินพอเสร็จก็เดินกลับไปหาป้าแต๋นกับน้าลดาที่ร้านผ้าไหมตามเดิมจากนั้นจึงพากันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเราช่วยกันขนกับข้าวทั้งสดและแห้งเข้าไปวางไว้บนโต๊ะยาวในครัวป้าแต๋นกับน้าลดาจึงพากับเข้าครัวเพื่อเตรียมกับข้าวกับปลา ส่วนลุงสมรกับพ่อก็จัดการตั้งวงโดยที่เรียกผมกับไอ้เซ็ทไปนั่งร่วมดื่มด้วย เราสองคนไม่ได้ดื่มเยอะส่วนมากจะตอบคำถามเสียมากกว่า

 

“ไม่ได้เจอคินมากี่ปีแล้วนะ ตั้งแต่ยังตัวน้อยๆเผลอแป๊บเดียวเป็นหนุ่มแล้ว”เมื่อก่อนลุงสมรทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมไฟฟ้าอยู่ที่เขื่อนศรีแล้วจึงย้ายมาทำงานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะทำให้ไม่ได้เจอกันอีกเลยเรานั่งกินกันไปเรื่อยๆแล้วไอ้เซ็ทก็ขอตัวแยกไปช่วยแม่มันทำกับข้าวในครัว มันคงเก้อเขินหรือไม่ก็อึดอัดเพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวไม่นานโต๊ะอาหารก็คราคร่ำไปด้วยกับข้าวหน้าตาน่าทาน

 

“เห็นลดาบอกว่าคินไม่กินเผ็ดใช่มั้ย ป้าเลยทำน้ำพริกอ่องให้คินน่าจะกินได้”ป้าแต๋นวางจานข้าวให้ผม บนโต๊ะมีน้ำพริกอ่องกับผักสดหน้าตาน่ากิน มีหมูทอดซึ่งคิดว่าน้าลดาเป็นคนทำ ต้มจืด ลาบคั่ว เพราะความหิวและเหนื่อยจากการเดินทางทำให้เราฟาดอาหารบนโต๊ะโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงมาก ลุงสมรกับป้าแต๋นบอกโปรแกรมที่เราจะไปกันในวันพรุ่งนี้ทำให้พอจะรู้คร่าวๆว่าลุงจะไปพะเยาแวะไปหาลูกชายที่เรียนที่ ม.พะเยา แล้วไปไหว้พระที่วัดอนาลโยแล้วไปจบที่กว๊านพะเยา เมื่อจบมื้ออาหารผมก็เข้าไปช่วยไอ้เซ็ทล้างจาน จริงๆเป็นไอ้เซ็ทล้างคนเดียวผมแค่ช่วยรับจานที่มันล้างเสร็จแล้วมาเช็ดจนแห้งแล้วคว่ำแค่นั้นเอง ใช้เวลาไม่นาน เราก็ผลัดกันเข้าไปอาบน้ำ บ้านป้าแต๋นจัดว่าสะดวกสบายพอสมควรมีฝักบัว เครื่องทำน้ำอุ่นครบครันเมื่อออกมาจากห้องน้ำก็เห็นไอ้เซ็ทนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นมีซองหลากอัดไว้เต็มขันใบใหญ่

 

“พอดีที่บ้านเพิ่งเสร็จงานศพย่าน้องเดียวน่ะจ้า มาช่วยป้าเปิดซองหน่อย”ป้าแต๋นว่าก่อนจะหยิบขันมาวางอีก 2-3 ใบ

 

นี่เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกทึ่งราวพบสิ่งมหัศจรรย์

 

ปกติเวลาที่ผมกับพ่อไปงานเลี้ยงขั้นต่ำเงินที่ใส่ซองก็หลักพันแต่พอผมฉีกสองบางสิ่งบางอย่างก็ร่วงลงพื้น

 

แกร๊ง....และกลิ้งหล่นไม่ไกล

 

เหรียญสิบ?

 

ผมกับไอ้เซ็ทมองหน้ากันอย่างแปลกใจ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นว่ามีคนใส่เหรียญสิบบาทใส่ซอง ป้าแต๋นดูเหมือนจะรู้แกมีสีหน้ายิ้มๆ

 

“คนแถวนี้มีแต่ชาวบ้านน่ะ 5 บาท 10 บาท มันคือน้ำใจของเขา บางทีเราอาจจะมองว่าเป็นเงินแค่นั้นแต่เขาหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน”

 

“แถวบ้านผมถ้าระดับชาวบ้านอย่างต่ำก็สองร้อยแล้วครับ”ไอ้เซ็ทมันว่า

 

“แถวนี้ช่วยบุญกันจริงๆไม่ได้อยากให้มาช่วยแล้วต้องเดือดร้อนเพื่อนบ้าน”เราพยักหน้ารับรู้แล้วพากันนั่งแกะซองเรื่อยๆจนเสร็จ จากนั้นก็เข้าไปนอนในห้องเดียวกับน้าลดากับพ่อ ผมกับไอ้เซ็ทได้นอนฟูกที่ลุงสมรแบกเข้ามาให้ส่วนพ่อกับน้าลดานอนบนเตียง

 

“นอนได้มั้ยจ๊ะคิน?” น้าลดาถามผมอย่างเป็นห่วง

 

“ได้ครับ”ผมตอบกลับไปก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆไอ้เซ็ทที่เดินไปปิดไฟเรียบร้อย น้าลดาปิดโคมไฟหัวเตียงผมค่อยๆเลื่อนมือไปจับมือไอ้เซ็ทภายใต้ผ้าห่มผืนบาง เกลี่ยหลังมือมันเบาๆไอ้เซ็ททำตาเขียวผ่านความมืดแต่ผมก็ไม่ได้กลัว มันไม่ต่างจากลูกแมวที่เอาแต่พองขนขู่เลยซักนิด ผมนึกสนุกอยากแกล้งมันเพิ่มอีกซักหน่อยเลยดึงมือของมันมาลูบกับกลางกายของผมหน้าตาเฉย ไอ้เซ็ทชักมือออกราวกับถูกไฟช๊อต ผมหัวเราะหึๆเบาๆในลำคอแต่ก็ไม่ได้แกล้งอะไรมันอีก

 

ทำเป็นสะดีดสะดิ้ง เดี๋ยวจะไม่ได้จับอีกนานแล้วจะคิดถึงนะมึ๊ง

 

 


 





........................................





เหลือเวลาอีก 2 วัน ที่พี่คินจะได้อยู่กับน้องเซ็ทนะจ๊ะ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้แจ๊ะ แอร๊ววววววววววววววว

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 41 08/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 08-02-2019 07:43:17
ก่อนจากมันต้องมี...ฝากความเป็นคิณไว้กับเซ็ทบ้างล่ะน้า
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 41 08/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 08-02-2019 13:41:12
เหมือนได้เที่ยวไปกับคินเซ็ทเลย
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 42 08/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 08-02-2019 14:47:08
ตอนที่ 42



Faded Red Hand Blue Bow Heart
            คณิน::

 

ผมกำลังกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงเมื่อเห็นปฏิกริยาของไอ้เซ็ทที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่ข้างๆ ในมือของมันมีสัปปะรดถุงใหญ่ที่เจ้าตัวกินไปบ่นไป

 

            “แม่ง เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็นปอกเปลือกจนเกือบถึงแกน เนื้อที่ถูกเฉือนออกไปนั่นรวมกันได้ตั้งหลายโล”

 

ครับ...ไอ้เซ็ทมันกำลังบ่นเจ้าของไร่สัปปะรดที่ลุงสมรกับป้าแจ๋วพาไปแวะซื้อตอนแรกก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่พอตกลงซื้อเสร็จเจ้าของก็บริการปอกเปลือกสัปปะรดให้ พอคมมีดฝังลงบนเนื้อสัปปะรดไอ้เซ็ทก็เอามือมาจิกแขนผมจนเจ็บไปหมด สายตาที่มันมองบ่งบอกถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง

 

คือต้องอธิบายซักนิดคนเมืองกาญจน์บ้านผมเวลาเราปอกสัปปะรดเราจะฝานเปลือกแข็งๆออกแต่ตายังอยู่เราก็จะใช้มีดบั้งตาออกจนเป็นลายตารางขวางๆใช่มั้ยครับ แต่ที่นี่ลุงเจ้าของไร่เล่นเฉือนออกจนตามันหายไปเลย แน่นอนมันย่อมเข้าเนื้อไปค่อนข้างหนา

 

ไอ้เซ็ทเกิดอาการหน้ามืดเหมือนจะล้มด้วยความเสียดายของ

 

            “ของมันก็ปอกไปแล้วมึงจะบ่นไปทำไม”ผมหันไปเอ็ดมันเบาๆเมื่อมันยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทุกครั้งที่มันนึกถึง

 

            “ก็กูเสียดายนี่ โอ้ยไอ้เหี้ย อยากจะด่าแล้วแม่งหวานอร่อยด้วยยิ่งคิดยิ่งเสียดาย นี่ถ้ากูไม่กลัวแม่กับลุงอายกูจะหอบเปลือกมาแทะแดกบนรถด้วย”มันนั่งบ่นอย่างนี้ไปตลอดทางโชคดีที่ว่าแม่ของมันกับพ่อของผมนั่งไปกับรถของลุงสมรที่ขับนำเราอยู่ด้านหน้าไม่อย่างนั้นทั้งสองท่านคงหูชาแบบผมแน่ๆ

 

ถ้ามึงจะชอบขนาดนี้กูวกรถกลับไปซื้อไร่สัปปะรดให้มึงแดกคนเดียวแดกเปลือกมันเข้าไปด้วยเลยก็ได้นะ ปากกาพร้อมเช็คพร้อมกูพร้อมมาก

 

เกือบเที่ยงในที่สุดเราก็เข้ามาในบริเวณ ม.พะเยา ที่ลูกชายของลุงหมอนเรียนอยู่ บรรยากาศร่มรื่นและวิวที่สวยงามนั้นสะกดตาพวกเราได้อย่างเหลือเชื่อ มีต้นไม้และภูเขาเต็มไปหมดตรงส่วนนี้แตกต่างจากบ้านผมคือมันยังคงความเขียวชอุ่มสัมผัสได้ถึงความชื้นต่างจากเมืองกาญจน์ที่หน้าร้อนมีแต่ไอระอุของเปลวแดด บริเวณชายเขาหรือป่าข้างทางจะกลายเป็นสีน้ำตาลมีรอยเผาเป็นระยะๆจากไฟป่า ลุงสมรพาเราไปจอดหน้าหอประชุมหรืออะไรซักอย่างที่มีนักศึกษารวมตัวกันอยู่ทางด้านหนึ่งไม่นานนักผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวคมเข้มแต่ไม่ได้คล้ำก็เดินตรงมาที่พวกเรา ไอ้เดียวเป็นเพื่อนเล่นของผมเมื่อตอนเล็กๆมันเดินมายกมือไหว้พ่อกับม่ของมันรวมทั้งพ่อของผมกับแม่ไอ้เซ็ท พ่อของผมดึงมันเข้ามากอดแล้วตบหลังไม่เบานัก

 

            “ไม่เจอนิดเดียวโตจนจะมีเมียแล้วนะเนี่ย”พ่อเอ่ยแซวไอ้เดียวมันพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับพ่อแม่มันอีกหน่อยจากนั้นพวกผู้ใหญ่ก็พากันขึ้นรถโดยที่ไอ้เดียวสะพายกระเป๋าใบใหญ่เดินมาหาผมกับไอ้เซ็ท เรายกมือขึ้นมาแปะกันแรงๆ

 

            “ไงมึง ไม่เจอกันตั้งนานมีเมียยังวะ”ผมแกล้งแซวมันเหมือนที่พ่อแซวมันชูนิ้วกลางให้ผมเป็นคำตอบก่อนจะหันมามองไอ้เซ็ทด้วยสายตาตั้งคำถาม ผมโอบไหล่ไอ้เซ็ทแล้วแนะนำมันสองคนให้รู้จักกัน

 

            “แล้วนี่ยังไง ทำไมไม่ไปกับพ่อแม่มึง?”ผมถามไอ้ตัวที่ขึ้นมานั่งทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่เบาะหลังของผมอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย

 

            “กูก็อยากคุยกับเพื่อนเก่าบ้าง แล้วนี่เซ็ทมาเรียนที่แม่โจ้กี่ปีอ่ะ”มันตอบผมเสร็จก็หันไปหาไอ้คนที่หยุดบ่นเรื่องสัปปะรดไปได้เพราะเกร็งเวลาเจอคนแปลกหน้า

 

            “2 ปี ผมจบ ปวส.มา”แหม แทนตัวว่าผมเพราะไอ้เดียวอายุเท่ากับผม ส่วนกับผัวเรียกว่ามึง เยี่ยมครับ น้องเซ็ทคนดจีย์ ออกเสียงแบบคุณพีชสตีเฟ่นโอปป้า!!

 

            “อือ ก็ดีนะ แม่โจ้เรายังอยากไปเรียนเลย”

 

            “แล้วมึงมา ม.พะเยาทำไม”ผมหมั่นไส้เลยอดขัดไม่ได้

 

            “ไม่เสือกสิครับคุณคณิน”ไอ้เดียวหันกลับมาแว้งกลับผมอีกรอบ ผมปล่อยให้มันชวนไอ้เซ็ทคุยไปเรื่อยๆเพื่อให้มันหายขัดเขินกันจนในที่สุดเราก็มาจอดรถบริเวนกว๊านพะเยา

 

            “ไอ้คินๆ แป๊บๆ”ผมหยุดเดินเมื่อไอ้เดียวร้องเรียก

 

            “อะไร?”

 

            “กระหรี่”ไอ้เซ็ทหันขวับเมื่อได้ยินคำตอบทำให้ผมพลอยหันตามไปด้วย ไอ้สันดานที่แหกปากคำว่ากะหรี่ดังลั่นกำลังกลั้นขำจนหน้าเขียว

 

            “ไอ้เหี้ย คราวหลังเรียกให้มันครบๆ กะหรี่ปั๊บมึงจะตัดคำตามอำเภอใจอย่างนั้นไม่ได้”ผมด่ามันที่หลุดหัวเราะก๊ากออกมา มันเดินไปสั่งกะหรี่ปั๊บจำนวนหนึ่งแล้วก็พากันเดินมาสมทบกับพ่อๆแม่ๆที่เริ่มสั่งอาหาร บริเวณที่เรานั่งสามารถชมวิวที่กว๊านพะเยาได้มันถูกทำเป็นซุ้มมุงด้วยจากแบบง่ายๆ เมื่ออาหารมาพวกเราก็ลงมือกินกันแบบไม่ต้องพิรี้พิไรมานั่งเกรงใจอะไรกันอีก ผมเน้นพวกไก่ย่าง ปลาเผา ไอ้เซ็ทสั่งส้มตำไทยไข่เค็มแบบไม่เผ็ดมาให้ ผมทานลาบแบบเหนือไม่ค่อยได้เพราะมันใส่สมุนไพรมีกลิ่นบางอย่างที่ผมไม่คุ้นลิ้น ไอ้เซ็ทคอยตักนู่นเติมนี่ให้ผมและคนรอบโต๊ะพวกเราใช้เวลากินข้าวกันราวหนึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางไปที่วัดอนาลโยตามที่ตั้งใจไว้ ไอ้เซ็ทซื้อของฝากแถวทางขึ้นวัดที่มีขายเพื่อเอาไปฝากเพื่อนๆของทั้งมันและของผม

 

เนี่ย มีเมียดีก็เงี๊ยะ คิดแทนให้เราหมด ยืนชื่นชมไปควักกระเป๋าตังค์จ่ายไปอย่างเคยชิน

 

            “นี่พวกมึงใช้เงินกระเป๋าเดียวกันเหรอวะ?”ไอ้เดียวยื่นหน้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้เซ็ท ไอ้เซ็ทมีสีหน้าเหวอๆ ส่วนผมก็ลืมนึกไปซะสนิทว่าไม่ได้เดินด้วยกันแค่สองคน

 

            “ทำยังกะผัวเมียกันเลยไอ้ห่านี่ นี่ถ้าไอ้เซ็ทเป็นผู้หญิงกูจะนึกว่ามึงแอบคบกันแล้วนะเนี่ย”มันพูดจบก็ตบไหล่ผมกับไอ้เซ็ทแปะๆแล้วเดินตามไปสมทบกับแม่มันที่กวักมือเรียกหยอยๆทิ้งให้ผมกับไอ้เซ็ทหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าที่อธิบายยาก

 

            “เดินห่างๆกูเลยมึง”มันว่าก่อนจะยัดถุงของฝากใส่มือของผมแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวตามแม่มันไป ถ้าตาไม่ฝาดผมว่าผมเห้นหน้ามันแดงลามลงไปยั้นลำคอ

 

ไม่รู้ว่าร้อนหรือเขินกันแน่

 

โชคดีที่ไอ้ห่าเดียวไม่พูดแบบนี้ตอนอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของเราสองคน

 

ถึงแม้ใจของผมอยากเปิดตัวกับพ่อและแม่ของมันแค่ไหนแต่ไอ้เซ็ทบอกว่ายังไม่ถึงเวลา มันอยากให้พวกเราเรียนจบแล้วมีงานมีการทำกันเสียก่อน

 

ว่าไงก็ว่าตามกัน ไม่ว่าจะบอกตอนไหนผมก็พร้อมจะเป็นผัวมันเสมอนั่นแหละ









 

 

            ในที่สุดหลังจากพักที่ลำปางอีกคืนรุ่งเช้าครอบครัวของคณินก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเชียงใหม่รถกระบะของคณิตที่ขนสัมภาระมาถึงก่อนโดยมีเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ออกมารับพร้อมรุ่นพี่ที่มาช่วยน้องขนของขึ้นไปไว้ในหอ รุ่นพี่ที่มาช่วยเศรษฐพงศ์ขนของชื่อมิ่งกมลเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวพอๆกับคณินสูงไล่เลี่ยกับคณินเช่นกัน มิ่งกมลเป็นหนุ่มเหนือโดยแท้ภูมิลำเนาเดิมอยู่เชียงราย ยิ้มง่ายมีออร่าความจิตใจดี ชายหนุ่มยกมือไหว้สวัสดีทักทายพ่อและแม่ของเด็กทั้งสอง พูดจาไพเราะน่าฟังแถมเศรษฐพงศ์ยังทำท่าเหมือนจะสนิทกับรุ่นพี่ป้ายแดงได้อย่างง่ายๆ

 

ในหอพักที่สภาพไม่เลวนัก หอหนึ่งนอนกัน 4 คน แต่ละคนจะมีเตียง ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะหนังสือส่วนตัวของใครของมัน ส่วนห้องน้ำแยกรวมอยู่ด้านนอกใช้รวมกันทั้งชั้นรวมทั้งห้องอาบน้ำและห้องที่เอาไว้ซักผ้าด้วยเช่นกัน เมื่อเอาชองมาเก็บเจอรูมเมทที่ทางหอจัดให้แล้วเศรษฐพงศ์กับเพื่อนๆก็ต้องไปรายงานตัว ชำระค่าบำรุงต่างๆวิ่งวุ่นไปมาตรงนั้นทีตรงนี้ทีโดยให้คณิตกับลดานั่งรอใต้ร่มไม้แบบพ่อแม่คนอื่นๆ คณินทำท่าจะตามเศรษฐพงศ์ไปด้วยแต่ก็ต้องตามกลับไปนั่งกับพ่อเพราะเศรษฐพงศ์ด่าไม่ให้ตามไป เพราะถึงไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี  เศรษฐพงศ์และเพื่อนๆตามมิ่งกมลไปซื้อเสื้อลายสก๊อตเพื่อเตรียมสำหรับวันเฟรชชี่ไนท์ ชุดนักศึกษารวมทั้งพาไปตระเวนว่าร้านค้าหรืออะไรอยู่ตรงไหนก่อนจะพาไปดูคณะ หน้าคณะรกครึ้มไปด้วยพรรณไม้จนอดจะอ้าปากค้างไม่ได้ เมื่อมองตึกอีกฝั่งของอีกคณะเศรษฐพงศ์กับพวกเพื่อนๆได้แต่ขำ

 

            “ทำไมคณะเรามันแลเก่าๆวะ”โอบนิธิบ่นออกมาเบาๆ

 

            “มันเป็นสไตล์เว้ย น่าจะเพื่อความขลัง”หลังทัวร์รอบมหาวิทยาลัยจบลงเศรษฐพงศ์ก็เดินหน้าซีดกลับมาหาครอบครัว ใบเอกสารในมือยกขึ้นมาโบกพัดไล่ความร้อน

 

            “เสียดายเงินจังแม่ “คนเป็นลูกยื่นบิลค่าใช้จ่ายต่างๆให้แม่รับไปใส่แฟ้ม ลดาลูบผมลูกอย่างเอ็นดู

 

            “มันก็แบบนี้แหละลูก ยิ่งเรียนสูงค่าใช้จ่ายก็เยอะ แล้วนี่เพื่อนๆไปไหนกันหมดแล้วล่ะ?”

 

            “มันจะออกไปกินข้าวหน้ามอกับพวกรุ่นพี่น่ะครับ”

 

            “พูดถึงรุ่นพี่ ที่นี่เขาดีเนอะมีให้รุ่นพี่มาเทคแคร์น้องๆ ยิ่งคนที่มารับเราหน้าตาดีมารยาทดีแม่ชอบ”ลดาเอ่ยปากชมมิ่งกมลจนคณินอดทำปากคว่ำไม่ได้ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์

 

            “มึงเสร็จแล้วใช่ป่ะ งั้นก็ออกไปหาอะไรกินกันเถอะหิวแล้ว”นั่นแหละทั้งหมดจึงยกขบวนกันไปหาข้าวกินโดยคณินเป็นคนขับรถพาไปทิ้งรถกระบะไว้ ระหว่างทางเศรษฐพงศ์เห็นมิ่งกมลเดินอยู่ริมทาง เด็กหนุ่มลดกระจกทำท่าจะทักรุ่นพี่หากแต่คณินก็ไวกว่า ชายหนุ่มแกล้งเหยียบคันเร่งกระชากรถจนพ่อแม่และเศรษฐพงศ์หัวสั่นหัวคลอน

 

            “ขับรถอะไรของมึงเนี่ย”

 

            “โทษที พอดีกูหิว”

 

คณินใช้เวลาในการเลือกร้านอาหารพอสมควรในที่สุดทั้งสี่คนก็ตกลงกันที่จะแวะร้านอาหารที่อยู่ในตัวเมืองนั่งกินอาหารกันไปคุยกันไปส่วนมากจะเป็นลดาที่สอนเรื่องนั้นเรื่องนี้กับเศรษฐพงศ์

 

คณินนั่งฟังสองแม่ลูกคุยกันโดยทีพ่อของเขาร่วมวงสนทนาด้วยก็ให้รู้สึกเต็มติ้นขึ้นในอก เขาไม่เคยทีแม่มานั่งสั่งสอนการใช้ชีวิต การคบเพื่อน การวางตัวกับผู้คนอย่างเศรษฐพงศ์เลยนึกโกรธตัวเองที่เมื่อก่อนเคยตั้งแง่เอากับลดาจนทำให้บรรยากาศในครอบครัวอึมครึมมาตลอด นึกโกรธตัวเองที่เคยกล่าวเหยียดหยามดูถูกลดาทั้งๆที่คนอาวุโสกว่าไม่เคยทำอะไรให้เคืองขุ่นเลยซักนิด

 

คณินมองเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆเวลลาที่เขากับเศรษฐพงศ์จะได้ใช้ร่วมกันลดน้อยทีละวินาทีแม้ไม่อยากแยกจากแต่คนเราทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ในที่สุดเมื่ออาหารบนโต๊ะหมดลงคณินก็ลุกขึ้นยืน

 

            “เซ็ทไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนกูหน่อย” ไม่รอให้เศรษฐพงศ์เอ่ยปฏิเสธชายหนุ่มก็ดึงมือของคนน้องให้ลุกตามไปในทันที เมื่อเข้ามาในห้องน้ำที่ไร้คนคณินก็ถือวิสาสะดันตัวเศรษฐพงศ์เข้าไปในห้องริมสุดแล้วกดล็อคประตูในทันที เศรษฐพงศ์อ้าปาดจะด่าแต่กลับต้องเงียบเสียงไปเมื่อคณินยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา ดวงตาที่เคยเฉยชากับทุกสิ่งบัดนี้กลับดูเศร้าจนน่าใจหาย

 

            “อยู่กับกูแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวเราก็ต้องแยกกันแล้ว”คำร้องขอแสนเว้าวอนนั้นทำให้เศรษฐพงศ์ยืนนิ่งปล่อยให้คณินดึงร่างเข้าไปกอด เกิดความเงียบไร้เสียงพูดจามีเพียงอ้อมแขนที่กระชับร่างของเขาแน่นขึ้น เสียงสูดน้ำมูกของคณินทำให้เศรษฐพงศ์รู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มกำลังร้องไห้

 

คณินในตอนนี้น่ารักน่าใคร่เสียเหลือเกิน น่ารักจนอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบหลังลูบไหล่อย่างปลอบใจไม่ได้

 

            “จะร้องไห้ทำไมวะ เดี๋ยวปิดเทอมก็ได้เจอกัน”

 

            “อีกตั้งหลายเดือน”คนพี่เอ่ยเถียงเสียงอู้อี้

 

            “ก็อดทนนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ ใช่ว่ามึงต้องอดทนคนเดียวเมื่อไหร่กูก็ต้องอดทนเหมือนกัน”

 

            “แต่กูต้องคิดถึงมึงมากแน่ๆ”เอ่ยเถียงอีกครั้งจนเศรษฐพงศ์หลุดขำ

 

            “กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน อดทนได้มั้ย อีกแค่สองปี แล้วกูสัญญาว่ากูจะไม่หนีมึงไปไหนไกลๆอีก เรียนจบเมื่อไหร่กูจะเกาะมึงเป็นเห็บหมาต่อให้มึงสลัดกูก็ไม่ไปดีมั้ย?”ดันร่างของคณินออกพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตานั้นอย่างแผ่วเบา

 

โตแต่ตัวจริงๆไอ้คินเอ้ย แล้วแบบนี้จะทิ้งลงได้ยังไงกันวะ

 

ไม่ใช่มึงรักกูฝ่ายเดียวซักหน่อย กูก็รักมึงมากเหมือนกัน

 

            “อย่ามีใคร  อย่าไปชอบใครนอกจากกูนะ”น้ำเสียงกลับมาดื้อดึงเอาแต่ใจอีกหน เศรษฐพงศ์กรอกตามองบนกับนิสัยขี้หึงของคณิน

 

            “กูจะไปมีใครได้ วันๆนอกจากเรียนกูก็คุยแต่กับมึงจนเพื่อนๆจะเนรเทศออกจากกลุ่มแล้วเนี่ย มึงเถอะ กูไม่ตามเช็คไม่ใช่พาใครขึ้นคอนดดนะ กูรู้กูเอาตายเลย”

 

            “กูจะไปเอาใครได้ ขนาดมึงกูยังไม่เคยได้เลย”ตอบกลับเสียจนเศรษฐพงศ์อยากจะถีบหะลุออกนอกประตูนัก ทั้งสองคนหยุดบทสนทนาเมื่อมีเสียงคนเข้ามาในห้องน้ำ คณินถือโอกาสนี้รั้งลำคอของเศรษฐพงศ์เข้าหาตัวก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดย้ำอย่างเชื่องช้า ความรักและทะถนอมถูกส่งผ่านความละเมียดละไมในรสจูบ ไม่มีการรุกล้ำ ทำเพียงกดย้ำซ้ำๆหากแต่แอบแฝงด้วยสัมผัสหวามจนเศรษฐพงศ์แนบริมฝีปากของตนหาคณินอย่างเรียกร้องมากขึ้น คณินแนบจูบนิ่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะผละออก ดวงตาคมเอ่อล้มไปด้วยความรักท่วมท้น

 

รักจนไม่อยากจะแยก

 

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมีเวลาของมัน

 

ในที่สุดแม้ไม่อยากจากลาก็ต้องจำใจดึงร่างบางเข้ามากอดอีกครั้งก่อนจะผลออกอย่างตัดใจ

 

ต่อให้ร้องไห้คร่ำควรญจนน้ำตาท่วมโลกหรือเอ่ยคำรั้งจนกระอักออกมาเป็นเลือดสุดท้ายก็ต้องแยกกันอยู่ดี เด็กหนุ่มพากันออกมาจากห้องน้ำ พ่อและแม่เช็คบิลเรียบร้อยแล้วเมื่อมาถึงที่โต๊ะก็พากันกลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง

 

            “ดูแลตัวเองดีๆนะลูก มีอะไรก็โทรหาแม่กับลุงนะ”ลดาเอ่ยลาลูกเป็นครั้งสุดท้ายดึงเศรษฐพงศ์ไปกอดและหอมแก้มลูกทั้งสองข้างในขณะที่เศรษฐพงศ์ก็ทำเช่นเดียวกันกับคนเป็นแม่ก่อนจะหันไปไหว้ลาคณิต พ่อและแม่จำใจต้องกลับขึ้นรถเหลือเพียงคณินที่ยังยืนอยู่

 

            “ขับรถดีๆนะไม่ต้องขับเร็ว ถึงกรุงเทพโทรหากูด้วย”สั่งคณินที่ยืนทำหน้านิ่งอย่างอ่อนใจ

 

บทจะงอแงแม้จะคุยกันรู้เรื่องแล้วแต่คณินก็ยังทำให้เขาหนักใจได้เสมอ

 

            “อย่าทำให้กูเป็นห่วงได้มั้ยคิน แค่นี้กูก็รักมึงจะแย่อยู่แล้ว กูเป็นห่วงมึงนะรู้มั้ย”

 

            “อืม...รู้แล้ว มึงก็ดูแลตัวเองดีๆนะ เดี๋ยวถึงแล้วกูโทรหามึงต้องรับสายกูนะไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็ตาม”

 

            “เออๆ ไปได้แล้ว ลุงกับแม่รออยู่”คณินถอนหายใจกับความใจแข็งของเศรษฐพงศ์แล้วตัดสินใจหันหลังกลับขึ้นรถ เศรษฐพงศ์โบกมือลาทุกคนรถทั้งสองคันเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอดรถช้าๆเด็กหนุ่มยืนรอจนรถทั้งสองคันลับตาก่อนจะหันหลังกลับขึ้นหอ ไม่มีใครเห็นว่าหยาดน้ำตาใสๆไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย เด็กหนุ่มเช็ดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว

 

ชีวิตคนเราต้องดำเนินต่อไป

 

โตแล้วต้องไม่ร้องไห้

 

จากกันวันนี้เพื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันในวันข้างหน้า ต่อให้จะคิดถึงหรือเหงาขนาดไหนเขาก็จะอดทน

 

คณินมองเบาะข้างกายด้วยดวงตาที่อ่อนไหว ที่ว่างข้างกายยามไม่มีเศรษฐพงศ์นั่งมาเคียงข้างทำให้บรรยากาศรอบด้านดูหม่นไปหมด เพลงที่เคยชอบเปิดฟังกันเวลาเดินทางตอนนี้กลับไม่รู้สึกว่ามันจะเพราะเหมือนเวลาที่ฟังด้วยกันจนต้องกดปิด

 

อีกตั้งสองปี

 

นานชิบหายเลยแม่งเอ้ย อยากจะเลี้ยวรถกลับไปฉุดไอ้เซ็ทขึ้นรถแล้วพาไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพซะจริงๆ

 

แต่สุดท้ายเขาก็เดินทางอย่างเดียวดายแยกกับพ่อและลดาเข้ากรุงเทพกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อเพียงลำพัง


 





................................



รักนิสัยของพี่คินจังเลยค่ะ นิสัยรวย



ถ้าน้องเซ็ทบอกว่าชอบกว๊านพะเยาพี่คินก็พร้อมจะซื้อให้ค่ะ



พี่เดียวเป็นแขกรับเชิญจ้า ไม่ต้องคิดว่าเขาจะมาแย่งน้องเซ้ทเนอะ ของจริงมันอยู่ที่แม่โจ้ อุ๊บส์!!!
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 42 08/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 09-02-2019 07:39:29
เอาแล้วๆๆ...จะได้เห็นพี่คิณหัวร้อนอีกแล้วสิ...อยากให้มีฉากน้องเซ็ทหึงมั้งอ่ะคะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 42 08/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 09-02-2019 12:06:51
อิพี่คินนี่มันน่ารัก

เซ็ทก็ทำตัวดีๆให้พี่คินรักพี่คินหลงยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นนะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 43 09/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 09-02-2019 12:15:46
ตอนที่ 43




             คณินกวาดตามองโพสต์ในเฟสบุ๊คของเศรษฐพงศ์ บนไทม์ไลน์ของคนรักไม่มีอะไรอัพเดทมากนัก มีเพียงรูปเพื่อนใหม่ในคณะกับรูปรุ่นพี่ที่มาคอยดูแลน้องๆ คณินเลื่อนดูแบบผ่านๆ เศรษฐพงษ์ไม่ได้มีอะไรอัพเดทเป็นพิเศษตามแบบฉบับของเจ้าตัวแม้ว่าหลังๆจะมีพัฒนาการอัพรูปบ่อยขึ้นเฉลี่ยอาทิตย์ละครั้งเพราะคณินเคยขอร้องเอาไว้

 

                “กูก็อยากเห็นรูปมึงให้พอได้หายคิดถึง”เศรษฐพงศ์เคยด่าในความเว่อร์วังงอแงของเขาหลายหนแต่ในที่สุดจำนวนรูปที่อัพเดทก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดทีละหน่อย บางครั้งก็ไม่ได้ถ่ายให้เห็นหน้าตัวเองหรอก ส่วนมากจะเป็นรูปเท้าหรือรองเท้าเปื่อยๆเน่าๆที่เจ้าตัวชอบใส่นั่นแหละ

 

แต่แค่นี้คณินก็ชื่นใจแล้ว แม้ว่าเศรษฐพงศ์จะยุ่งๆกับการรับน้องก็ยังไม่ลืมที่จะถ่ายรูปตัวเองส่งมาให้อย่างรูปล่าสุดเป็นรูปขี้แมงวันเม็ดเล็กๆมุมปากเพียงแค่เห็นคณินก็รู้สึกหัวใจพองโตแล้ว นิ้วเรียวเลื่อนดูเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดกึกที่รูปหนึ่ง

 

                คณิน::

 

ผมชะงักนิ้วที่เลื่อนดูรูปของไอ้เซ็ทไปเรื่อยๆเมื่อเจอภาพล่าสุด คนของผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่คงเป็นโรงอาหารเซ็ทมันเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้ผู้ชายตัวขาว มันขาวพอๆกับผม ตาขีดๆเฉียงๆ คนที่เห็นครั้งเดียวผมก็จำมันได้ ที่สำคัญมือของไอ้เวรนั่นวางอยู่บนไหล่คนของผม แถมไอ้ตัวดีก็เสือกยิ้มหวาน((อันที่จริงมันก็ยิ้มแบบนกกระจอกเทศของมันนั่นแหละ แต่ผมพาลผมจะมองว่ามันยิ้มหวาน))ให้ไอ้เจ๊กนั่น

 

                “ไอ้เหี้ยมิ่ง”ผมออกจากแอพที่ดูแล้วเปลี่ยนเป็นโทรออกหาไอ้เซ็ททันที รอบแรกรอจนสายตัดไปผมไม่ยอมแพ้กดโทรกลับไปใหม่จนสายเกือบตัดไอ้เซ็ทถึงได้มารับ

 

                “ฮัลโหลมึงมีอะไรด่วนป่าวกูต้องรีบไปรับน้อง”ได้ยินเสียงกระหืดกระหอบของมันไอ้ที่จะโทรด่าตะกี๊ผมก็ลืมไปเลย ความสงสารแล่นเข้ามาแทนที่ สุดที่รักของผมคงเหนื่อยมากแน่ๆแต่ก็ยังมารับสายผม

 

                “ไม่มีอะไร กูคิดถึงมึงเฉยๆ”ผมตอบกลับไปด้วยสกิลตอแหลนิดหน่อย เสียงมันถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

                “กูก็นึกว่ามีอะไรด่วน”มันทำเสียงราวกับอ่อนอกอ่อนใจใส่ผม

 

                “กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน อย่างอแงล่ะ กูไปรับน้องก่อนนะ รักมึง”ไอ้เซ็ทพูดจบก็ตัดสายไปเลย แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ ทั้งที่ใจจริงอยากจะงอแงใส่มัน แต่พอได้ยินน้ำเสียงเหนื่อยๆของมันผมก็ต้องฮึ๊บไว้ มันเองก็เหนื่อยมากอยู่แล้วถ้าผมไปทำให้มันต้องเหนื่อยเพิ่มผมคงเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องมากๆแน่ๆ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะทิ้งความขุ่นมัวไปแล้วเลือกที่จะเติมกำลังใจให้กันในแต่ละวันมากกว่า

 

                “เป็นอะไรของมึงวะเสี่ย ยิ้มจนเหงือกบานแล้ว”เสียงไอ้ว่านเอ่ยทักหลังจากมันกลับมาจากออกไปซื้อข้าวพร้อมเพื่อนคนอื่นๆ

 

                “จะมีอาร๊าย ยิ้มแบบนี้แปลว่าไอ้เซ็ทบอกรักหรือชมอะไรมันซักอย่างอ่ะ”ไอ้แดนที่เดินมาทีหลังสุดแต่นั่งใกล้ผมมากที่สุดเอ่ยอยางรู้ทัน ผมไม่จำเป็นต้องตอบโต้อะไรไอ้พวกหากินรายทางไปวันๆแบบพวกมันหรอก คนไม่มีแฟนไม่เข้าใจหรอกเว้ยว่ามันมีความสุขมากแค่ไหน อิ่มอกอิ่มใจซักเพียงใด คำว่ารักมึงสองคำก็ทำให้ผมมีแรงที่จะสู้กับการเรียนในวันนี้แล้ว

 

ผมก็อยากให้มันสู้ๆเหมือนกัน

 

ช่วงเวลาเปิดเทอมสำหรับผมเป็นช่วงเวลาอันน่าเบื่อ ตอนเข้าปีหนึ่งผมเกลียดการรับน้องมากที่สุดเพราะมันเหมือนถูกบังคับโดยพวกรุ่นพี่บ้านอำนาจและการรับน้องนั้นกินเวลานานนับเดือน พอมาเป็นรุ่นพี่บ้างผมก็ยังเบื่อการรับน้องอยู่ดี เพราะแทนที่ผมจะเอาเวลาในการประชุมและสรุปในแต่ละวันไปใช้กับการโทรคุยกับไอ้เซ็ทผมกับเพื่อนๆต้องมาติดแหง่กอยู่กับหน้าที่ๆได้รับ วันในแต่ละวันจึงผ่านไปอย่างน่าเบื่อ กว่าจะเลิกกิจกรรมในแต่ละวันผมก็ลากสังขารอันอ่อนล้ากลับคอนโด รอจนกว่าไอ้เซ็ทจะทักมาถึงได้คุยกันซักที

 

อยากเรียนจบเร็วๆ

 

ผมเปิดไฟในห้องหลังจากกลับถึงคอนโด หยิบมือถือขึ้นมาดูสองทุ่มกว่าแล้วเดี๋ยวคงได้เวลาที่ไอ้ตัวดีของผมจะทักมาระหว่างนั้นผมจึงไปอาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วมานั่งตรวจแบบอพาร์ตเม้นท์ที่กำลังจะสร้าง ตอนนี้ป๊าจัดการเกลี่ยดินอะไรต่อมิอะไรให้ผมเรียบร้อยแล้ว ถือว่าผมโชคดีที่ป๊าคอยซัพพอร์ตให้อยู่เสมอ แม้งานจะยุ่งแสนยุ่งแต่ป๊ายังเจียดเวลามาช่วยคุมงานให้ผมอีกไม่นานกิจการแรกในชีวิตของผมก็จะสำเร็จเป็นรูปร่างที่เกิดจากสมองของผม อันที่จริงผมไปจ้างมืออาชีพวาดโดยแจ้งความต้องการของผมทั้งหมดลงไปนั่นแหละครับ ผมยังไม่โปรพอและยังไม่มีใบอนุญาตเพราะฉะนั้นทำให้มันถูกขั้นตอนจะดีกว่า มันเป็นกิจการที่ผมจะใช้ทำมาหากินไปอีกนาน ตรวจแบบเสร็จก็จัดการอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเข้านอน วันนี้ขอพักโปรเจคก์ต่างๆไว้ก่อนร่างกายของผมเหนื่อยล้ามากพรุ่งนี้วันหยุดผมจะนอนให้เต็มปอดเพื่อที่ตื่นมาจะได้ลุยให้มันเสร็จๆไปซักที ยังมีรุ่นพี่ที่รอให้ไปช่วยงานแบบไฟลนทั้งตัวรออยู่ ผมไม่วายที่จะหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนดูไทม์ไลน์ของไอ้เซ็ทอีกรอบ มันมีการอัพเดทเกิดขึ้นผมอดไม่ได้ที่จะขยับตัวขึ้นมานั่งอ่านด้วยหัวใจอันเต้นรัวเหมือนเช่นทุกครั้งที่เห็นมันอัพเดทอะไรซักอย่าง

 

                “อยากกินข้าวซอยไอ้พวกเพื่อนชั่วไม่มีใครอินกับรสชาติกับกูซักคน” ผมเลื่อนดูคอมเม้นท์ของบรรดาเพื่อนๆไอ้เซ็ทแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว

 

                “แค่รับน้องกูก็เหนื่อยจนรากเลือดแล้ว สิ่งเดียวที่กูอยากกินในตอนนี้คือการนอน กูอยากนอนให้เต็มอิ่ม”

 

                “ข้าวในโรงอาหารก็พอมั้ยมึงจะกระเสือกกระสนไปกินข้างนอกทำไม”

 

                “เรื่องมาก”

 

ผมอยากจะโทรด่าไอ้แฝดนรกสองตัว ไอ้ยิม ไอ้ย้งมือชง ไอ้อิ้งค์รวมทั้งไอ้วีเพื่อนรักของไอ้เซ็ทที่ไม่มีใครเสนอตัวไปเป็นเพื่อนมันเลยซักนิด นี่ถ้าผมอยู่ใกล้ๆแบบกรุงเทพเมืองกาญจน์แบบเมื่อก่อนผมรับรองได้เลยว่าผมจะรีบบึ่งรถกลับไปรับมันกินของอร่อยที่มันอยากจะกินไม่ปล่อยให้มันต้องรู้สึกหงอยเหงาเศร้าซึมที่ไม่ได้กินของที่อยากกินแบบนี้

 

                “ไปกินกับพี่ก็ได้นะ พี่รู้จักร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง”ผมมองคอมเม้นท์สุดท้าย ไอ้หน้าเต้าหู้ยี้นี่อีกแล้ว มึงจะตามหลอกหลอนกูไปทุกโพสต์ของไอ้เซ็ทเลยเหรอวะ

 

เป็นไรกันอ่ะถึงมาเสนอตัวพาเขาไป  แฟนก็ไม่ใช่

 

                “เสือกนัก”ผมสบถใส่คอมเม้นท์ไอ้มิ่งไอ้เวนตะไลที่ทำตัวเป็นแมงหวี่คอยตอมหูตอมตาให้น่ารำคาญใจ จะตบก็ไม่โดนด่าไปคงไม่สำนึก อยากจะไปหาไอ้เซ็ทเสียเหลือเกินมันจะได้รู้ว่าผมน่ะของจริง แต่ระยะทางก็ไกลเกินกว่าจะขับรถไปหา

 

แต่เอ๊ะ...ขับรถไปไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปหามันไม่ได้นี่นา...

 

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมรู้สึกตัวตื่นตอนหกโมงกว่าๆ แดดภายนอกสาดแสงเข้ามาเพียงเล็กน้อย โทรศัพท์มือถือของผมสั่นจนต้องหยีตาดูว่าใครโทรมา เอาจริงๆผมก็ไม่ต้องเดาหรอกเพราะคนที่จะโทรหาผมมีแค่ 2 คนเท่านั้นคือแม่กับไอ้คิน

 

                “ฮัลโหล”ผมตอบรับเสียงงัวเงียหากแต่ปลายสายกลับมีน้ำเสียงกระตือรือร้นเสียเหลือเกิน

 

                “ที่ร๊ากกกกก......ตื่นหรือยัง”

 

                “ที่รักบ้านพ่อมึงสิ”ผมอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาถ้าเป็นเมื่อก่อนไอ้คินคงตามมากระทืบผมแล้วแหละแต่ตอนนี้สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะใสๆของมัน มันไม่มีน้ำเสียงง่วงแบบทุกวันดูจะกระปรี้กระเปร่ามากเสียด้วยซ้ำ

 

                “เช้าๆต้องพูดแต่สิ่งดีๆสิวะ กูจำได้ว่าวันนี้มึงหยุด กูก็หยุดเหมือนกันเพราะฉะนั้นรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาหาพี่นะจ๊ะ พี่นั่งรอในรถสีขาวทะเบียน xxx จอดที่เดิมตอนมาส่งมึงอ่ะ”

 

                “หืม??”ผมส่งเสียงในลำคอหากแต่ไอ้คินกลับตัดสายทิ้ง ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงเปิดประตูระเบียงแล้วชะโงกตัวมองไปที่ลานจอดรถหลังหอ

 

ภาพใครบางคนที่ชินตากำลังยืนจิบกาแฟด้วยมาดราวผู้รากมากดีด้วยอิริยาบถแสนจะชิลด์เสียเหลือเกิน ผมรีบโทรกลับไปหามันเพราะคิดว่าตาฝาด ไอ้คินรับแทบจะทันที

 

                “ว่าไงจ๊ะยาหยี”

 

                “อย่าบอกนะว่ามึงมาจริงๆ”

 

                “เออ กูมาหามึงจริงๆ ดีใจจนเสียงสั่นเลยเหรอจ๊ะ”มันยังไม่ยอมหยุดที่จะพูดจายอกย้อนกวนตีนผม

 

                “มึงรอกูแป๊บ กูขอล้างหน้าแป๊บหนึ่งเดี๋ยวมึงเจอกู”ผมเอ่ยบอกมันแค่นั้นก็วางสาย วิ่งผ่านน้ำด้วยความเร็วแสงแต่งตัวด้วยเสื้อและกางเกงบอลผมเดินไม่พูดไม่จากับใครก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในรถคันที่เห็นจากระเบียงกะว่าเข้ามาจะด่ามันให้สำนึกผิดไม่ทันเลยแต่พอปิดประตูแล้วหันมาปุ๊บไอ้คินก็ดึงต้นคอของผมเข้าไปหามันปั๊บจากนั้นโลกของผมก็หยุดหมุนลงชั่วขณะยามที่ไอ้คินประกบปากลงมาแนบนิ่ง

 

อยากจะผลักมันออกแต่หัวใจและร่างกายของผมมันทำงานสวนทางกับสมองเมื่อผมยอมโอนอ่อนตามมันไปได้ง่ายๆ ดวงตาของผมหลับลงเมื่อรู้สึกว่ามันไม่สามารถสู้สายตาที่มองผมอย่างลุ่มหลงปนความคิดถึงของไอ้คินได้

 

เสียงจูบของเราดังพอให้ได้ยินกันชั่วครู่ก่อนที่ไอ้คินจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง คำพูดที่ได้ฟังในไม่กี่วินาทีต่อมาทำเอาขอบตาของผมร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกแบบเดียวกับไอ้คินตีรื้นขึ้นมาในหัวใจ

 

                “กูคิดถึงมึง”

 

                “อืม...กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน”

 

คิดถึงมากๆ คิดถึงเหลือเกิน...

 





 

เศรษฐพงศ์รู้สึกว่าการยอมให้คณินมาหาถึงเชียงใหม่ในครั้งนั้นโดยไม่ว่ากล่าวเพราะเห็นแก่ความมานะพยายามที่จะมาหาเขาด้วยความคิดถึงเป็นการตัดสินใจที่ผิดถนัด เศรษฐพงศ์ลืมคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนั้นมีครั้งที่หนึ่งก้ย่อมมีครั้งที่สองตามมาเพราะหลังจากวันนั้นทุกครั้งที่มีวันหยุดตรงกันหรือถึงแม่คณินจะหยุดไม่ตรงกับเขารายนั้นก็จะหอบงานมาหาเขาแล้วเอางานมานั่งทำระหว่างรอเขาเรียนเสร็จ จากนั้นก็พากันไปกินข้าวข้างนอกบ้างในโรงอาหารคณะนั้นคณะนี้บ้างเรียกความสนอกสนใจต่อนักศึกษาคนอื่นๆได้พอสมควรเพราะคณินนั้นขาวราวจะเปล่งแสงออร่าผ้าขาวแบบผงซักฟอกในทีวีแถมหน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ จนบ่อยเข้าเพื่อนๆในคณะก็เริ่มเข้ามาถามว่าคณินเป็นใคร

 

“พี่ชาย”คำตอบง่ายๆถูกตอบออกไปอย่างปัดความรำคาญ พอถูกถามหลายครั้งเข้าเศรษฐพงศ์จึงเลือกที่จะเงียบไปซะ บ่อยครั้งก็เก็บไปหงุดหงิดใส่คนพี่ยามมีเพื่อนผู้หญิงมาขอเบอร์หรือช่องทางการติดต่อคณิน

 

วันนี้ก็เช่นกัน ระหว่างที่เศรษฐพงศ์นั่งกินข้าวกับเพื่อนๆ ปานรุ้งเพื่อนสาวไม่กี่คนในคณะก็เดินมาขอนั่งด้วย พวกเพื่อนๆต่างพากันขยับเพื่อให้หญิงสาวได้นั่งได้สะดวก ปกติกลุ่มของเขานอกจากเนยแล้วก็ไม่ค่อยมีผู้หญิงมานั่งร่วมโต๊ะด้วยเท่าไหร่ เพราะลำพังพวกเดียวกันเองก็เต็มโต๊ะแล้ว

 

“ไม่ค่อยได้คุยกันเลยเนอะ ตั้งแต่รับน้องเสร็จพวกเราก็ดูห่างๆกันไปเลย”

 

“เห๋ย รุ้งอย่าคิดมาก ก็ตามปกติแหละมาจากคนละวิทยาลัยต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักกัน ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกันแล้วอ่ะเนอะ”จีรนันท์รีบพูดอย่างเอาใจแต่รุ้งกลับเมินเฉยประโยคนั้นเสีย

 

“เออ นี่เซ็ทเราถามอะไรหน่อยได้ป่าว?”ปานรุ้งหันกลับไปให้ความสนใจกับเศรษฐพงศ์อีกครั้งจนแฝดพี่และเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มสบตากันแล้วใช้โทรจิตคุยกัน

 

กูว่ามีอะไรแปลกๆ

 

กูก็ว่าใช่

 

กูว่ามันไม่ชอบมาพากลแล้วว่ะ

 

“มีอะไรเหรอถามมาสิ”เศรษฐพงศ์ผู้ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่เอ่ยปากอนุญาต

 

“คือพี่ชายเซ็ทน่ะ เค้ามีแฟนหรือยัง?”

 

 

เศรษฐพงศ์::

 

ผมชักงักมือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก รู้สึกอาหารวันนี้ชักจะไม่อร่อยเอาเสียแล้ว ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆก่อตัวเข้ามาในหัวใจ

 

ผมไม่ชอบอารมณ์ตอนนี้ของตัวเองเลยซักนิด มองหน้าพวกเพื่อนๆมันก็จ้องมาทางผมอย่างเอาใจช่วย

 

ผมหงุดหงิด

 

“มีแล้ว” ตัดสินใจตอบออกไปเผื่อว่ารุ้งจะเลิกเซ้าซี้ถามนั่นถามนี่หรือว่าชวนผมคุยซักทีแต่มันไม่เป็นตามที่ผมคิด ปานรุ้งยิ่งขยับมาใกล้อย่าอยากรู้อยากใคร่ยิ่งกว่าเดิม

 

“เหรอ แล้วใครอ่ะ สวยมั้ย เสียดายจังเค้าคบกันนานยัง”

 

“จะสองปีแล้ว รักกันมาก ทำไมเหรอ?”ผมไม่รู้หรอกว่าเสียงของผมตึงขนาดไหนผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมไม่อยากกินข้าวแล้วผมลุกขึ้นยืนจะแต่รุ้งก็ไวทายาดหล่อนจับแขนของผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะเดินจากไปจากตรงนั้น

 

“เดี๋ยวสิเซ็ท แล้วพี่ชายเซ็ทจะมาหาเซ็ทอีกเมื่อไหร่อ่ะ ไว้พาเราไปทำความรู้จักบ้างสิ”

 

“พี่ชายเราเค้าไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายน่ะขอโทษนะ”ผมตอบเสร็จก็ดึงแขนออกจากปานรุ้งเบาๆแล้วเดินหนีออกมาทันที กะว่าจะไปสงบจิตสงบใจที่ห้องสมุดไม่ก็จะกลับหอไปนอนเพราะยังไงเสียบ่ายนี้ผมก็ไม่มีวิชาเรียนอยู่แล้ว

 

ผมเป็นบ้าอะไร ความรู้สึกเหมือนตอนที่เจนมาหาไอ้คินกลับเข้ามารบกวนจิตใจจนผมหงุดหงิดไปซะทุกสิ่งอย่าง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะไประบายกับใครก็ไม่ได้ จากที่คิดว่าจะไปหาหนังสืออ่านแต่อารมณ์ผมไม่คงที่แบบนี้คงไม่เข้าหัวซักตัวแน่ๆเลยเปลี่ยนทิศทางการเดินให้เดินกลับไปที่หอ

 

“อ้าวเซ็ทจะไปไหนอ่ะ?”ผมหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นพี่มิ่งวิ่งมาจากทางร้านสะดวกซื้อในมือมีถุงเซเว่นถุงเล็กๆมองเข้าไปก็เป็นพวกไส้กรอกเวฟแล้วแบบที่พี่แกชอบกิน

 

“ว่าจะกลับหอไปนอนอ่ะพี่เบื่อๆเซ็งๆ”

 

“หนังเรื่องที่เซ็ทเคยลงในเฟซว่าอยากดูมันเข้าโรงแล้วนะไปดูกันมั้ยพี่ว่างอยู่พอดี ไปคนเดียวก็เขินๆ”พี่มิ่งเกาคอแล้วยิ้มเก้อๆ ครับตั้งแต่เรียนที่นี่มาพี่มิ่งเป้นพี่ที่ผมสนิทที่สุดแล้ว แกคอยดูและพวกเราทุกคนเทอมแรกนี่แทบจะเป็นพ่อของพวกเราเลยครับรับเนิ้งรับน้องแกก็ดูแลเป็นอ่างดี ดังนั้นเมื่อพี่เขาชวนผมเลยไม่ปฏิเสธ ก็ดีเหมือนกันผมกลับหอก็ไม่รู้จะนอนหลับหรือเปล่า เราใช้เลาไม่นานก็มาถึงห้างในตัวเมือง พี่มิ่งยืมรถยนต์ของเพื่อนมาโชคดีที่แกขับไม่เร็วนักผมจึงเก็บอาการกลัวการนั่งรถยนต์ของผมไว้ได้อย่างมิดชิดเราเดินไปดูรอบหนังแล้วไปกดจองบัตรที่เคาน์เตอร์เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงพี่มิงจึงชวนผมไปหาอะไรกินแม้ว่าผมจะกินมาแล้วจากโรงอาหารแต่เพราะปานรุ้งมาทำให้ผมหมดอารมณ์ข้าวจานนั้นผมจึงกินไปได้นิดเดียวผมจึงไม่ปฏิเสธที่จะเดินตามพี่มิ่งเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่ขายเป็นเซ็ทอย่างง่ายๆ เรากินไปก็พูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ส่วนมากจะเป้นพวกปัญหาพิเศษที่อาจารย์มีมาให้เราทำกันทุกอาทิตย์ แลกเปลี่ยนความรู้กัน

 

“เออ เซ็ทรับเขียนแบบมั้ย พอดีมีรุ่นพี่ที่จบไปแกหาคนช่วยเผื่อจะเป็นรายได้เสริมหาค่าขนมแล้วก็ฝึกมือไปด้วย แกมาบอกให้ช่วยหาเด็กเขียนแบบเก่งๆให้แกหน่อย”ผมรีบเคี้ยวอาหารในปากกลืนอย่างรวดเร็ว

 

“รับพี่ รับ ผมอยากทำ”ผมรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ทันทีอย่างน้อยผมจะได้มีรายได้เสริมและเป็นการฝึกมือตามที่พี่มิ่งบอกนั่นแหละ พี่มิ่งบอกรายละเอียดอีกเล็กน้อยระหว่างที่นั่งกินข้าวผมรับฟังอย่างตั้งใจยิ่งผมมีงานมากขึ้นเท่าไหร่ประสบการณ์ของผมก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เงินที่จะได้ผมก็จะเก็บใส่บัญชีที่เคยเปิดไว้เก็บเงินที่ไอ้คินมันให้ ได้ทั้งประสบการณ์ได้ทั้งเงินคือผมจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

 

เมื่อใกล้ถึงเวลาที่หนังจะฉายผมกับพี่มิ่งก็เดินไปหาซื้อพวกป๊อปคอร์น ขนมขบเคี้ยวและน้ำที่หน้าโรงหนังผมปิดเสียงปิดสั่นโทรศัพท์ตามความเคยชินแล้วเข้าไปดูหนังในโรง เนื้อหาหนังดีสมการรอคอยเป็นหนังภาคต่อที่มีตัวเอกตายกันเป็นว่าเล่น เราออกจากโรงแล้วเดินดูของใช้ส่วนตัวกันอีกนิดหน่อยจึงเดินทางกลับหอ ระหว่างทางก็พูดคุยกันเรื่องเนื้อหาของหนังอย่างออกรส พี่มิ่งเป็นคนที่ดูหนังด้วยแล้วผมรู้สึกสนุกตามไปด้วยแกค่อนข้างรู้ลึกรู้จริงและวิจารณ์ฉากต่างๆได้อย่างละเอียดเราแยกย้ายกันเมื่อพี่มิ่งมาส่งผมถึงหอพักแล้ว

 

“พรุ่งนี้วันหยุดไว้เดี๋ยวพี่เอาตัวอย่างแปลนเก่าๆมาให้ดูนะ”

 

“ได้พี่ผมหยุดสองวันเดี่ยวจะลองดูแล้วลองวาดตามยังไงรบกวนพี่ด้วยนะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับหนังนะครับ”

 

“อืมๆไม่เป็นไร น้องคนเดียวเลี้ยงได้สบาย พี่เอารถไปคืนไอ้พันมันก่อนนะ บายๆ”ผมยกมือบ๊ายบายพี่มิ่งที่ออกรถไปแล้วก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าหอ แต่ก็ต้องชะงักเท้ากึกอยู่กับที่

 

“ไปไหนมา...กูมารอมึงหลายชั่วโมงแล้วนะเซ็ท”ผมรู้สึกเหมือนขนหัวลุกแปลกๆกับสายตานิ่งสนิทและสีหน้าบึ้งตึงขั้นสุดของมัน ไอ้คินยืนพิงประตูรถมือทั้งสองข้างกอดอกปากมันคว่ำบ่งบอกว่ามันกำลังโมโหสุดๆ ผมค่อยๆเดินเข้าไปหามันราวกับเด็กที่แอบไปเล่นซนแล้วโดนพ่อจับได้

 

“ไปดูหนังมา...”

 

“กูโทรหาทำไมมึงไม่รับกูมาหามึงตั้งแต่บ่ายแล้วนะเซ็ทมึงมัวทำอะไรอยู่หรืออยู่กับมันแล้วมีความสุขจนลืมกู”

 

“เฮ้ย มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคิน มึงก็รู้เวลากูดูหนังกูปิดเสียงปิดสั่น...”ผมหยุดพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู

 

ชิบหาย มิสคอล ร้อยกว่าสาย...

 

“คินกูขอโทษ...”ผมเงยหน้าขึ้นมองมัน ไอ้คินไม่พูดอะไรกับผมอีกมันกัดกรามจนเห็นเป็นสันแล้วเปิดประตูรถทำท่าจะขับออกไปผมรีบวิ่งไปประตูข้างคนขับแล้วยัดตัวเองเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 

ผมไม่อยากให้มันงอนผมโดยที่เราไม่พูดกันให้เข้าใจ ไอ้คินออกรถอย่างเร็วจนผมกลัวคนแถวนั้นด่าจะแย่มันไม่พูดอะไรกับผมเลยตลอดทาง ปกติถ้ามันจะมามันจะโทรบอกผมก่อน แล้วนี่มาไม่บอกไม่กล่าวแถมยังมาเห้นผมเพิ่งกลับจากข้างนอกกับพี่มิ่งที่มันเคยบอกผมหลายครั้งหลายหนว่า

 

“กูไม่ชอบขี้หน้ามัน ไม่ถูกชะตา”

 

“อยู่ห่างๆมันหน่อยจะได้มั้ย กูหวงมึงนะ”

 


ผมแย่แน่ๆ คาหนังคาเขาซะขนาดนั้น





.............................................



ตอนหน้า............



ตอนหน้าาาาาาาา........

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 43 09/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 09-02-2019 13:45:16
"ตอนหน้าาาาาาาา........" ????????

คืออย่างที่คิดใช่มั้ย? :hao6:

ตอนแรกก็หึงเขากับคนอื่นไปๆมาๆกลับต้องมาง้ออิพี่มันซะงั้นเซ็ทหน่อเซ็ท มีเคลียร์กันยาว
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 44 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 10-02-2019 00:31:52
ตอนที่ 44



          “คิน...คิน ฟังกันหน่อยสิวะ”เศรษฐพงศ์ก้าวเร็วๆมาคว้าแขนของคนที่ไม่พูดไม่จากับเขาเลยแม้แต่คำเดียว คณินไม่แม้แต่จะหันมามองคนน้องเลยด้วยซ้ำ ในใจของเขากรุ่นโกรธ
 
มีทั้งความโกรธ ความน้อยใจ ความหึงหวงตีรวนไปหมดจนสับสน
 
เขารึสู้อุตส่าห์มานะบากบั่นมาหาเศรษฐพงศ์หวังจะเจอหน้าออกไปหาของอร่อยๆกินพูดคุยกันให้หายเหนื่อยจากการเรียนที่สุมหัวเขาทุกวี่ทุกวัน ยอมเสียเงินเสียทองทั้งค่าเครื่องบินไปกลับ ค่าเช่ารถยนต์ ค่าโรงแรมเพื่อมาพบว่าเศรษฐพงศ์ออกไปดูหนังกับมิ่งกมลคนที่มองตาก็รู้ว่าคิดอะไรกับคนของเขา จะไม่ให้โกรธได้ยังไงทั้งๆที่เคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าเขาไม่ชอบให้เศรษฐพงศ์ไปอยู่ใกล้ข้องแวะกับรุ่นพี่คนนั้น
 
            “มึงก็เป็นแบบนี้อ่ะ”เมื่อเห็นว่าคนพี่ไม่ยอมฟังอะไรเลยเอาแต่จะเดินหนีเศรษฐพงศ์ก็เริ่มโมโหบ้างเด็กหนุ่มผลักหลังคณินอย่างแรง คณินหันไปมองก็เห็นเศรษฐพงศ์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขารู้ว่าตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ได้ขืนพูดอะไรกันตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้ยิ่งย่เข้าไปใหญ่ เด็กหนุ่มพรูลมหายใจอย่างหนักหน่วง
 
            Wค่อยคุยกัน ขอกูนอนซyกงีบเถอะ กูไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว” นี่อาจจะเป็นทางเดียวที่จะพอประคับประคองความรักของกันและกันได้
 
ในเมื่อเขาร้อนเขาก็ไม่ควรจะพูดอะไรมากกว่านี้ เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
 
อย่างน้อยคณินยอมเปิดปากพูดด้วยก็ยังดี เด็กหนุ่มเดินตามคนพี่เข้าห้องพักย่างเงียบๆ คณินทำตามที่พูดจริงๆคือเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่ม เป็นปกติเวลาคณินมาหาเขาที่เชียงใหม่ชายหนุ่มจะจองห้องพักที่เป็นเตียงเดี่ยวทั้งสองคนมักจะนั่งๆนอนๆคุยกันบ่อยครั้งที่แทบไม่ใช้คำพูดแต่ใช้ภาษากายแสดงความรักและความคิดถึงที่มีตาคราวนี้มันไม่เหมือนทุกครั้ง คณินหลับตาลงปล่อยให้เศรษฐพงศ์นั่งมองตนเองจากทางปลายเตียงเงียบๆ
 
เศรษฐพงศ์ดื้อรั้นนัก ทั้งที่เขาเคยเอ่ยปากขอมาหลายต่อหลายครั้งไม่ให้ไปสนิทสนมกับมิ่งกมลมากนักแต่เขาเห็นมิ่งกมลมักจะแท็กเศรษฐพงศ์ในเฟซบุ๊คอยู่บ่อยๆ
 
มันน่าโมโห อยากจะจับเศรษฐพงศ์มาพาดที่หน้าขาแล้วตีให้ตูดลายเป็นรอยนิ้ว ยิ่งคิดหัวคิ้วยิ่งขมวด
 
เขาหงุดหงิดจนไม่รู้จะอธิบายมาเป็นคำพูดแบบไหน ชายหนุ่มนอนฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้องเสียงของเศรษฐพงศ์ที่เดินไปมาในห้องเบาๆ เสียงเปิดตู้เสื้อผ้าตามด้วยเสียงประตูห้องน้ำที่ปิดลงไม่นานเสียงน้ำก็ตกกระทบพื้นแปลว่าเจ้าตัวเข้าไปอาบน้ำ คณินลืมตานอนมองจ้องไปที่ประตูห้องน้ำนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยราว 15 นาทีประตูห้องน้ำก็เปิดออก เศรษฐพงศ์ออกมาด้วยชุดคลุมที่โรงแรมมีให้ เด็กหนุ่มรู้สึกเก้อเล็กน้อยเมื่อเห็นคณินที่คิดว่าหลับนอนมองตนเองอยู่ คณินจ้องร่างของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งห้อยขาลงมาที่ขอบเตียง เศรษฐพงศ์ก้าวเท้าเข้ามาหายื่นมือไปแตะแก้มตอบของคนพี่เบาๆ ความเย็นของฝ่ามือทำให้คณินแนบหน้าหาอย่างลืมตัว
 
            “ไปอาบน้ำสิจะได้สดชื่น แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”เศรษฐพงศ์ปรับน้ำเสียงให้นุ่มลงอย่างคนที่ยอมลงให้ก่อน เขาไม่อยากให้ปัญหาระหว่างตนกับคณินคาราคาซัง เวลาที่จะได้ใช้ด้วยกันนั้นไม่ได้มากนักการที่ต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องเข้าใจผิดและเรื่องของคนอื่นนั้นมันเสียเวลาชีวิต คณินเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน
 
เขารักเศรษฐพงศ์ รักมากจึงหวงมากเป็นธรรมดา ชายหนุ่มยอมลุกไปอาบน้ำตามที่คนน้องร้องขอ สายน้ำเย็นช่วยใหความหงุดหงิดลดลงไปได้มากเมื่อออกมาเศรษฐพงศ์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาใส่เสื้อคลุมของโรงแรมแบบเดียวกัน เศรษฐพงศ์มองคณินก่อนจะตบลงบนพื้นที่ว่างข้างตัว
 
            “มานี่สิ จะเช็ดผมให้”
 
คณิน::
 
ผมเดินไปนั่งตามที่ไอ้เซ็ทบอก เรานั่งจ้องตากันก่อนที่มันจะดึงเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่ใช้สำหรับเช็ดผมมาถือไว้ เพพราะเรานั่งระดับเดียวกันทำให้ไอ้เซ็ทต้องขยับตัวนั่งลงบนเข่าทั้งสองข้างเพื่อจะได้เช็ดผมของผมได้ถนัด กลิ่นสบู่โชยออกมาจากร่างกายของมัน สาบเสื้อคลุมที่มันรัดสายรัดไว้หลวมๆเผยอทุกครั้งที่มันขยับตัว จุดเล็กๆสีเนื้ออมส้มวับๆแวมๆให้ผมเห็น ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆก่อตัวทีละนิด
 
ผมเงียบ
 
ละมันก็เงียบเช่นกัน ทุกครั้งที่มันขยับตัวสาบเสื้อก็จะค่อยๆเปิดกว้างมากขึ้น ชายเสื้อคลุมค่อยๆร่นออกจากกันทีละนิดเผยเรียวขาสีน้ำผึ้งเนียนตาสูงขึ้นเรื่อยๆ
 
ให้ตายสิ...ไอ้เซ็ทจะรู้มั้ยนะว่ามันในตอนนี้โคตรจะเซ็กซี่เลย ผมอดใจไม่ไหวใช้สองมือจับข้างลำตัวมันไว้ ไอ้เซ็ทหยุดเช็ดผมแล้วมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ ผมไม่ได้พูดอะไรทำเพลงใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือค่อยๆขยี้ยอดอกสีสวยที่เคยลอยยั่วตาเบาๆ เค้นคลึงจนไอ้เซ็ทเริ่มหายใจหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ
 
            “อึ่ก...”ตัวมันสั่นยามที่ผมกดน้ำหนักลงสู่ปลายนิ้ว มันกัดปากจนขึ้นสีผมอยากจะทำมากกว่านั้นแต่สุดท้ายก็ละมือออก มันมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
 
            “เราต้องคุยกัน”ผมวกกลับมาเรื่องไอ้มิ่งอีกครั้ง
 
            “มันไม่มีอะไรเลยจริงๆคิน ไม่มีอะไรเลยซักนิด”ไอ้เซ็ทจ้องตาผมราวกับจะอ้อนวอนให้ผมเชื่อคำที่มันพูด
 
            “ไม่มีอะไรแต่มึงก็ออกไปกับมันสองต่อสองเหรอวะ กูห่วงมึงแทบบ้า ติดต่อมึงไม่ได้ กูทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอ ไอ้พวกนั้นก็ไม่รู้ว่ามึงไปไหน นึกถึงใจกูบ้างมั้ย ถ้ากูหายไปบ้างติดต่อไม่ได้มึงจะรู้สึกแบบเดียวกับกูมั้ย”
 
            “ที่กูไปกับเค้าก็เพราะมึงนั่นแหละ”ไอ้เซ็ทขึ้นเสียงสวนกลับมาที่ผม ผมมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ กว่าจะรู้ตัวไอ้เซ็ทก็ทุบอั่กเข้ามาที่อกผมเสียแล้ว
 
            “กูหึงมึงจะตายอยู่แล้วไอ้โง่”มันตวัดสายตามองหน้าผมดวงตามันวาววับด้วยมีหยาดน้ำคลออยู่ที่หน่วยตา
 
            “มึงไม่รู้หรอกกูเจอกับอะไรมั่งตั้งแต่มึงมาหากูบ่อยๆน่ะ ผู้หญิงทั้งที่คณะ นอกคณะมาคุยกับกู มาถามกูว่ามึงเป็นใคร มีแฟนหรือยัง ขอไลน์ขอเบอร์โทรมึงให้ยุ่งไปหมด กูอยากจะตะโกนใส่หน้าแม่งเลยว่ามึงเป็นแฟนกู แต่กูก็ทำไม่ได้ไง วันนี้ก็เหมือนกัน มีคนมาอ่อยมึงผ่านกู กูโมโหหนีออกมาก็เลยเจอพี่มิ่ง กูแค่อยากไปไหนก็ได้ที่ไม่มีใครมายุ่งกับมึงก็แค่นั้น กูรักมึงจะตายอยู่แล้วจะให้กูไปมองใครอีกไอ้โง่”
 
            เศรษฐพงศ์ผลักคณินลงนอนราบไปกับเตียงกว้างแล้วขึ้นคร่อมร่างสูงทันทีเด็กหนุ่มกระชับฝ่ามือประสานเข้ากับมือของคณิน ดวงตามีแววลังเลหากแต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป คณินจ้องมองเศรษฐพงศ์ที่มีท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่างแต่เพียงไม่นานภาพของเศรษฐพงศ์ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆเหมือนกับมองผ่านเลนส์ซูม ความนุ่มหยุ่นและอุ่นร้อนประกบลงบนริมฝีปากของเขาอย่างเอาแต่ใจ คณินกระชับฝ่ามือที่ประกบกันให้แน่นขึ้นยามปลายลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาสำรวจในโพรงปากของเขา
 
เศรษฐพงศ์จูบเก่งขึ้นเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก คณินปล่อยให้เศรษฐพงศ์เป็นคนคุมเกมส์นี้ลิ้นเล็กกวาดต้อนหาความหวานอย่างเอาแต่ใจ ฟันซี่เล็กกัดลงบนริมฝีปากของเขาราวกับจะกล่าวโทษว่าที่ตนเองต้องวุ่นวายใจมาตลอดนั้นเป็นเพราะคณินนั่นแหละ เศรษฐพงศ์ปล่อยมือของคณินแล้วเลื่อนลงไปดึงปลายเชือกที่ผูกเอวของคณินออก สาบเสื้อคลุมถูกแหวกออกแล้วก็พบว่าคณินนั้นไม่ได้ใส่ชั้นในปกปิดไว้ ดวงตากลมมองเขาอย่างสื่อความหมายบางอย่างก่อนจะลูบไล้ตามร่องอกของเขาอย่างจงใจจะปั่นป่วนหัวใจของเขา
 
 
            “กูหึงมึง เหมือนที่มึงหึงกู กูอยากให้มึงเป็นของกูคนเดียว แล้วมึงล่ะอยากให้กูเป็นของมึงคนเดียวมั้นคิน?”
 
 
คณินมองเศรษฐพงศ์อย่างอึ้งๆ สมองของชายหนุ่มกำลังประมวลผลกับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะทันคิดอะไรได้ชุดคลุมที่เศรษฐพงศ์ใส่อยู่ก็ถูกเจ้าตัวถอดออกแล้วเหวี่ยงไปมุมหนึ่งของห้องนอนอย่างไม่ใยดี
 
 
          “กูอยากเป็นของมึง...ของมึงคนเดียวนะคิน...แค่มึง”
 


   คณินไม่รู้ว่าตอนนี้เศรษฐพงศ์กำลังคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มมองใบหน้าของคนรักด้วยสายตาสับสน สำหรับเขาแล้วเศรษฐพงศ์เป็นเหมือนโจทย์คณิตที่เขาแก้ไม่ได้ซักที ความคิดและจิตใจของเศรษฐพงศ์นั้นเหมือนมหาสมุทรที่บางครั้งก็เงียบสงบบางครั้งกลับบ้าคลั่งจนเกิดคลื่นยักษ์ เช่นตอนนี้ที่คนน้องกำลังทำการเอาแต่ใจตัวเองด้วยการพรมจูบไปทั่วร่างกายของเขา เศรษฐพงศ์เป็นเหมือนไฟที่พร้อมจะแผดเผาเขาได้ตลอดเวลา ตอนนี้ร่างกายของคณินร้อนราวกับถูกความร้อนของเศรษฐพง์เผาไหม้ความรู้สึกจากการถูกปลุกปั่นทำให้ในที่สุดเขาก็หลงมัวเมาไปกับสัมผัสนั้น ชายหนุ่มสอดแขนขึ้นไปประคองใบหน้าของน้องไว้ก่อนจะยืดตัวขึ้นตามจูบริมฝีปากที่ละออกอย่างเอาแต่ใจจากนั้นร่างสูงก็เป็นฝ่ายพลิกให้เศรษฐพงศ์ลงมานอนใต้ร่างเพื่อที่เขาจะได้ตอบโต้ได้อย่างถนัดถนี่หากแต่ว่าวันนี้เจ้าคนน้องกลับดื้อดึงนักเมื่อถูกพลิกกลับมานอนด้านล่างเศรษฐพงศ์ก็ดันให้คณินกลับมานอนที่เดิมเด็กหนุ่มส่งลิ้นดุนดันเกี่ยวรัดปลายลิ้นของคณินอย่างเอาแต่ใจ สะโพกมนที่นั่งทับตัวตนของคณินแกล้งบดเบียดจนแกนกายคนพี่เริ่มแข็งตัว

เศรษฐพงศ์รู้ตัวดีทุกอย่างว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าคณินคือน้ำมันที่รอวันเผาไหม้เขาจะเป็นไฟให้เอง
   “เซ็ท...อึก”คณินเอ่ยเรียกชื่อของเศรษฐพงศ์ยามที่ริมฝีปากของน้องไล่เล็มไปทั่วร่างของเขาก่อนคำพูดจะถูกกลืนหายเมื่อเศรษฐพงศ์ครอบปากดูดกลืนแกนกายเขาเขาดวงตากลมช้อนขึ้นมองอย่างท้าทายปลายลิ้นซุกซนปัดป่ายจนขนอ่อนลุกซู่ เขาเดาใจอะไรเจ้าเด็กนั่นไม่ถูกเลยซักนิด คณินรู้แต่เพียงว่าบางทีนี่อาจจะเป็นการง้องอนและเอาอกเอาใจให้เขาหายโกรธหายเคืองกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ไอ้ชอบมันก็ชอบแหละที่เศรษฐพงศ์เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเขาก็รู้สึกแปลกๆ มันทั้งตื่นเต้นทั้งสับสนเพราะปกติแล้วคนน้องจะยังติดเอียงอายเวลาช่วยกันอยู่ทุกครั้ง คณินนอนมองภาพที่เศรษฐพงศ์ขยับปากเข้าออกกับตัวตนของเขาปากแดงๆนั้นดูน่าลิ้มลอง แกนกายของเขาที่ถูกครองครองขยายใหญ่จนเต็มตัวเศรษฐพงศ์ใช้มือช่วยในส่วนที่ปากไม่สามารถรับเข้าไปได้หมด มืออีกข้างก็รูดเร้าของตัวเองอย่างเป็นจังหวะ

   “เซ็ท..ซี้ด...จะเสร็จ”เมื่อถูกรุกเร้ามากเข้าความเสียวซ่านก็แล่นวาบเข้ามาจู่โจมจนต้องดึงผมน้องไว้ เศรษฐพงศ์ส่งค้อนตาเขียวปั้ดนอกจากจะไม่หยุดวุ่นวายกับแกนกายของเขาแล้วเจ้าตัวยังเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นจนกระทั่งร่างของทั้งคู่กระตุกเกร็งความอุ่นวาบฉีดเข้าเต็มโพรงปากจนคนน้องไอโขลกเพราะกลืนไม่ทัน คณินผ่อนลมหายใจของตัวเอองควบคุมให้สม่ำเสมอลุกขึ้นนั่งจะดึงเศรษฐพงศ์ที่ซบลงกับหน้าขาของเขาขึ้นมากอดหากแต่เด็กดื้อรั้นคนนั้นกลับผลักเขาลงนอนแล้วขยับขึ้นคร่อมอีกหน

   “วันนี้มึงเป็นอะไรเนี่ยเซ็ท”เอ่ยปากถามคนที่คว้ามือของเขาไปตรึงกับพื้นเตียงอีกรอบ สีหน้ามุ่งมั่นของเศรษฐพงศ์ทำเอาเขาลอบกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น

ตั้งแต่คบกันมาอีกไม่ถึงเดือนก็จะครบ 2 ปีแล้ว วันนี้เศรษฐพงศ์ดูจริงจังกับการเล่นกันมากที่สุดมากจนคณินเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

เขาจะดูว่าเด็กอวดเก่งมันจะเล่นกับร่างกายของเขาได้ซักกี่น้ำสุดท้ายพอปลดปล่อยก็แค่ล้มตัวลงนอนแบบทุกครั้งไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

หากแต่ครั้งนี้คณินคิดผิด...เศรษฐพงศ์รูดรั้งแกนกายของคณินจนตื่นตัวขึ้นอีกครั้งและโดยไม่คาดคิดเด็กหนุ่มจับส่วนแข็งขืนสู้มือนั้นไว้มั่นก่อนจะกดสะโพกลงไป

   “โอ้ย!!”

เศรษฐพงศ์ร้องลั่นออกมาทันทีที่พยายามกดส่วนหัวเข้ามาในช่องทางที่ไม่เคยมีอะไรรุกล้ำเข้าไป ใบหน้าเหยเกเมื่อรู้สึกเจ็บจนปนขัดใจแถมไอ้คนที่เป็นเจ้าของส่วนที่ทำให้เขาเจ็บดันนอนหัวเราะคิกคักจนตัวโยน เศรษฐพงศ์ทุบลงไปบนหน้าท้องของคณินจนคนด้านล่างตัวงอด้วยความจุก เศรษฐพงศ์ยังไม่ละความพยายามเด็กหนุ่มพยายามกดสะโพกลงไปแต่เพราะขนาดที่ใหญ่ก็ทำให้มันลื่นไปตรงนู้นทีตรงนี้ทีคณินยิ่งขำกับท่าทางฟึดฟัดนั้นเข้าไปใหญ่

   “มันใช่เวลามาหัวเราะมั้ยวะ?”คนที่พยายามเสียตัวเต็มที่เงยหน้ามาเอ็ดแหวก่อนจะจับแกนกายของคณินไว้มั่นจากนั้นก็ค่อยๆกดสะโพกลงไปอีกครั้งอย่างช้าๆ

   “อึ่ก...”ริมฝีปากอิ่มถูกฟันคมของตัวเองกัดไว้เพื่อกลั้นความเจ็บ กายบางสั่นระริกก่อนจะพรูลมหายใจออกมาหนักๆทางปากเพื่อระบายความเจ็บ ความปวดหนึบเต้นตุบจนช่องทางด้านหลังตอดรัดแกนกายของคณินอย่างแรงจนชายหนุ่มนิ่วหน้า อาการหัวเราะขำเมื่อครู่หายไปราวปลิดทิ้ง คณินเองที่ตัวตนส่วนปลายค่อยๆเข้าไปในตัวของเศรษฐพงศ์ถึงกับนอนอึ้ง

นี่เขากำลังฝันหรืออะไร?

จริงเหรอวะ? ตอนนี้คินน้อยของเขากำลังถูกกลืนกินทีละนิดจริงๆเหรอวะ ตอนแรกเขาคิดว่าเศรษฐพงศ์ทำลงไปเพราะความโมโหหึง ปกติเซ็ทเป็นคนกลัวความเจ็บจะตายไปหลายครั้งที่เกือบจะเกินเลยกันแต่ก็ต้องหยุดกลางทางเพราะเศรษฐพงศ์เจ็บ เขาไม่เคยเห็นแก่ตัวดื้อดึงที่จะทำไปเพื่อความสุขของตัวเองเลยแต่ครั้งนี้เศรษฐพงศ์กำลังทำมันลงไปด้วยตัวเอง

กดลงไปโดยไม่เบิกทางแบบนี้ก็เจ็บสิ

   “เซ็ท หยุด...หยุดก่อน อย่าทำแบบนั้นมึงจะเจ็บ”คณินรีบจับแขนของเศรษฐพงศ์ที่ค้ำไว้กับพื้นแต่คนเด็กกว่ากลับดื้อดึงกลั้นใจกดสะโพกลงไปจนสุดหลังจากเขาพูดจบ คนอ่อนประสบการณ์กว่าเจ็บจนเกร็งไปทั้งร่างทิ้งตัวลงนอนซบลงบนร่างของคณินอย่างหมดแรง คณินรู้สึกได้ถึงความสั่นของร่างกายเศรษฐพงศ์และความอุ่นชื้นที่หยดลงบนแผงอกของเขา

เศรษฐพงศ์เจ็บจนร้องไห้ คณินขยับจะลุกด้วยความตกใจหากแต่คนน้องกลับร้องออกมาเสียก่อน

   “โอ้ย...เจ็บ...คิน...อย่าขยับ เซ็ทเจ็บ”สรรพนามแทนตัวแสนน่ารักที่นานๆจะได้ยินซักทีทำให้คณินต้องนอนลงอีกครั้ง ทั้งสองร่างเชื่อมต่อกันด้วยแกนกายที่ถูกบีบรัดจนปวดไปหมดแต่ชายหนุ่มก็อดทนเพราะคนบนร่างนั้นน่าจะเจ็บมากกว่า เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้นอย่างน่าเอ็นดูจนเขาอดไม่ได้ที่จะจับหน้าของเศรษฐพงศ์ให้เงยขึ้นมามองเขา ดวงตาคู่สวยที่มักทำเป็นเฉยบัดนี้ชุ่มไปด้วยน้ำตา

   “มึงทำไมน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้วะเซ็ท”

   “กูเจ็บ...”คนน้องร้องโอดยังคงแช่ตัวอยู่อย่างนั้นไม่ได้ขยับ

“กูรู้...คินรู้ครับ”ส่งยิ้มอ่อนโยนที่มีเพียงเศรษฐพงศ์เท่านั้นที่ได้รับมัน จริงอยู่ว่าคณินนั้นเคยมีเซ็กส์กับใครมาหลายคนแต่เขาทำไปเพื่อระบายอารมณ์ใคร่ตามแบบเด็กผู้ชายเมื่อเสร็จแล้วก็จบกันไป ไม่มีความอ่อนโยนหรือผูกพัน

แต่เศรษฐพงศ์ไม่ใช่แบบคนพวกนั้น ชายหนุ่มดึงร่างของคนรักในขยับขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อให้เขาสามารถจูบเศรษฐพงศ์ได้มากเท่าที่ต้องการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาอยากดึงความสนใจของน้องให้เลิกโฟกัสความเจ็บที่เล่นงานมาหลายนาทีแล้ว แช่กายค้างไว้แล้วหลอกล่อด้วยจูบหวานปนหยอกเย้า แกล้งกัดจมูกคนที่ร้องไห้งอแงเหมือนเด็กยามที่ทำตัวเองเจ็บตัว ฝ่ามือหนาลูบแก้มของเศรษฐพงศ์อย่างแสนรัก กดท้ายทอยเพื่อให้หน้าผากของเขาทั้งคู่ชนกัน ปลายลิ้นหยอกล้อกันบดเบียดริมฝีปากจนแม้แต่อากาศก็เข้ามาแทรกไม่ได้ คณินใช้มือลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของเศรษฐพงศ์ก่อนจะเลื่อนไปขยำแก้มก้นของคนน้องเบาๆ เศรษฐพงศ์มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเห็นอาการน้องดีขึ้นคณินจึงลองขยับกายออกช้าๆและดันกลับเข้าไปใหม่เศรษฐพงศ์เกร็งตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัวว่าคนใต้ร่างเริ่มขยับเอวพลางซุกไซร้ที่หน้าอกบางของคนน้อง ยอดอกถูกครอบครองและสร้างความปั่นป่วนด้วยปลายลิ้นร้ายกาจที่ทำให้ร่างของเศรษฐพงศ์ยืดขึ้นจากความเสียวซ่านที่ได้รับ เด็กหนุ่มสูดปากยามที่คณินดูดดึงหัวนมเล็กสลับข้างไปมาจนหน้าอกเปรอะไปด้วยคราบน้ำลาย เศรษฐพงศ์ค่อยๆขยับช่วงล่างที่ค้างคากันอยู่อย่างช้าๆยามเมื่อห้วงอารมณ์บางอย่างเริ่มเข้ามาทำบทบาทของมันตามการชักพาของคณิน

   “อื้อ...”เสียงครางเบาๆในลำคอทำให้คณินรู้ว่าเศรษฐพงศ์พร้อมแล้วสำหรับบทเรียนของคนรักกันบทใหม่ชายหนุ่มประคองเอวบางไว้ เอ่ยสอนอย่างใจเย็นให้กับนักเรียนจอมดื้อที่จะเอาเกรดเอแต่ความรู้ติดศูนย์

   “ใจเย็นๆ ค่อยๆยกตัวขึ้นช้าๆแล้วทิ้งสะโพกลงไปเบาๆ ใช้ขาพยุงตัวไว้คินจะช่วย”เศรษฐพงศ์ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงแช่กายไว้อีกพักโดยที่คณินก็รออย่างใจเย็นเช่นกัน ฝ่ามือนุ่มวางลงบนหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อแข็งๆของคณินแล้วค่อยๆขยับตามที่คนพี่บอก ดวงตากลมปิดสนิทหัวคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ จังหวะเก้กังดำเนินไปอย่างช้าๆโดยที่คณินส่งมือไปช่วยเร้าแกนกายของคนบนร่าง เศรษฐพงศ์รู้สึกเหมือนปวดฉี่ขึ้นมาดื้อๆยามที่ขยับก้นให้แนบสนิทกับหน้าขาของคณิน ความรู้สึกเสียวแปล๊บแล่นเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวจนขนลุกไปทั่วร่าง คณินเห็นดังนั้นจึงแกล้งสวนเอวใส่เข้าไปอีกครั้งจนสุดเป็นผลให้เศรษฐพงศ์ร้องออกมาเสียงดังเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกไหลลงมากอดไหล่ของเขาไว้พลางจิกเล็บลงไปอย่างลืมตัว

   “เสียวใช่มั้ยครับ ตรงนี้เซ็ทเสียวใช่มั้ยครับ”กระซิบถามคนที่ลมหายใจสะดุดพลางงับลงบนไหล่ของเขาราวกับลูกแมวที่ฟันเพิ่งขึ้น ถอนแกนกายออกมาจนสุดแล้วสวนกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง ผลลัพท์เป็นเช่นเดิมคือเศรษฐพงศ์หลับตาปี๋พลางส่งเสียงร้องออกมาอย่างดัง

   “อื้อ...เสียว...”คำตอบรับที่ทำให้คณินยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มจัดการพลิกร่างขึ้นมาเป็นคนคุมเกมเมื่อดูท่าแล้วเศรษฐพงศ์คงไม่ไหวที่จะทำต่อแล้วแน่ๆ สองแขนสอดเข้าใต้ข้อพับเข่ายกขึ้นจนสะโพกลอยแล้วเริ่มขยับเอวเข้าออกเร็วขึ้นเรื่อยๆเศรษฐพงศ์ใช้มือช่วยเร้าแกนกายที่มีน้ำใสปริ่มออกมา ร่างบางบิดเร่าตัวแดงราวกุ้งสุกดูน่าเอ็นดูระคนน่ารังแกเสียเหลือเกิน เสียงครางกระเส่าเร้าอารมณ์คนที่พลิกมาคุมเกมคณิรส่ายเอวเล็กน้อยจนแกนกายควานไปทั่วโพรงร้อนนั้น สูดปากด้วยความเสียวซ่าน ยิ่งมองหน้าเศรษฐพงศ์ที่พยายามหันไปครางใส่หมอนเพื่อปิดบังเสียงร้องของตัวเองก็ให้เอ็นดูนัก

ความรู้สึกรักใคร่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นเมื่อตอนนี้ตนเองได้ครอบครองทั้งตัวและหัวใจของเศรษฐพงศ์ เม็ดเหงื่อเริ่มซึมตามไรผมก่อนจะร่วงหล่นลงบนร่างที่บิดเร่ายามแกนกายของเขากระตุ้นเร้าตรงจุดที่ทำให้รู้สึกทั้งดีและทรมาน

ร้อนไปหมด ร้อนราวกำลังถูกเปลวไฟแผดเผา ทั้งสุขทั้งทรมาน ในหัวมีแต่เสียงหวีดหวิว ริมฝีปากไม่อาจกลั้นเสียงน่าอายได้เลยซักนิด คณินคร่อมร่างที่ตอบสนองเขาได้ดีโดยไม่มีการติดขัดอีกแล้วอย่างแสนรัก

เมื่อรักก็อยากครอบครอง เมื่อได้ครอบครองก็อยากดูแลไปจนชั่วชีวิต อยากเป็นคนรักษาทั้งกายและหัวใจนี้ไว้ในจุดที่ดีที่สุด ทะนุถนอมที่สุด เรียวขาสีน้ำผึ้งอ้ากว้างเพื่อรับตัวตนที่เริ่มขยับเร็วจนเสียงหน้าขาที่กระทบกันดังขึ้นเรื่อยๆ คณินพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าของคนรัก ตั้งหน้าผาก ดวงตา ริมฝีปาก แก้มนวลขึ้นสี ต้นคอถูกขบเม้มเบาๆแต่ไม่ทิ้งรอยไว้ด้วยเข้าใจว่าเศรษฐพงศ์ยังต้องไปเรียนต้องเจอคนรอบข้างที่ไม่รู้ว่าเศรษฐพงศ์มีคนรักแล้ว เศรษฐพงศ์ลืมตาขึ้นมองคนที่จ้องหน้าตนมาศซักพักแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มให้คณินด้วยรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่คณินเคยเห็นมา รอยยิ้มที่อยู่ภายใต้ดวงตาที่ฉายชัดเพียงแค่เขา ดวงตาที่ซื่อสัตย์ต่อเขาเสมอมา เงาในนั้นสะท้อนเพียงใบหน้าของคณินเท่านั้น

   “คินรักเซ็ทนะครับ รักมากๆ แล้วก็หวงมากๆด้วย หวงจนไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเซ็ทเลย เซ็ทเข้าใจใช่มั้ยครับ?”

“รู้...กูรู้...อ๊ะ”เศรษฐพงศ์ร้องลั่นเมื่อคณินแกล้งกระแทกบั้นเอวเข้ามาแรงๆยามสรรพนามไม่น่ารักเอ่ยออกมาจากปาก

   “พูดเพราะๆ”

   “อื้อ...จะให้กู...อ๊ะ”ร่างบางสะดุ้งยามที่คณินไสกายเข้ามาทำโทษเขาอีกครั้งจนจุก เศรษฐพงศ์ส่งค้อนให้คณินเด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆยามคณินเร่งจังหวะเร็วและแรงขึ้นราวกำลังทำโทษเขาอยู่

   “เซ็ท...อื้อ...เซ็ทรู้...รักเหมือนกัน”คณินยิ้มอย่างพอใจกับคำพูดนั้น ชายหนุ่มมีความสุขจนตอนนี้แทบจะล้นปรี่ออกมาจากอกขยับร่างเข้าใกล้กันให้มากขึ้น มอบความรักผ่านภาษากายประสานฝ่ามือเข้าด้วยกันอีกครั้งกดตรึงกระชับแล้วเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นยามประจุความสุขแล่นพล่านทั่วสรรพางค์กาย เศรษฐพงศ์ตอดรับรัวเร็วก่อนจะหดเกร็งหน้าท้องยามความรู้สึกเหมือนถูกกองทัพผีเสื้อบินว่อนในท้องน้อยก่อนจะบินประทุกรูออกมาเป็นหยาดธารสีน้ำนมจนเปรอะหน้าท้องตนเองและคณิน คนที่ขยับกายบนร่างรวบร่างของเศรษฐพงศ์ไปกอดไว้แนบอกเอวสอบขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆเสียงครางทุ้มดังขึ้นข้างหูชวนให้หัวใจปั่นป่วนก่อนที่ความรู้สึกอุ่นวาบจะเติมเต็มเข้ามาในช่องทางที่ตอดรัดถี่รัว คณินกอดกายของเศรษฐพงศ์แน่นปลดปล่อยทุกหยาดหยดของความรักเข้าไปในร่างกายของเศรษฐพงศ์แล้วแช่ค้างไว้แน่น ลมหายใจหอบถี่ประสานกันก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากอิ่มนั้นอย่างแสนรัก

สมบูรณ์แล้ว

เป็นของกันและกันจนสมบูรณ์แล้ว

คุ้มค่าเหลือเกินที่รอคอยมา ชายหนุ่มปลดปล่อยหยาดน้ำตาของความสุขออกมาอย่างไม่อาย

นอกจากตอนที่แม่ตายและตอนที่ถูกเศรษฐพงศ์ปฏิเสธความรักคณินก็ไม่เคยต้องเสียน้ำตาให้ใครอีกเลย เศรษฐพงศ์เช็ดน้ำตาให้คนรักด้วยริมฝีปากของตัวเองอย่างแผ่วเบา

   “ร้องไห้ทำไม หืม?”น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามคนพี่ที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

   “คินดีใจ...ดีใจที่เซ็ทให้เกียรติคินได้ครอบครองเซ็ท”

   “เซ็ทก็ดีใจที่ได้เป็นของคินนะ เซ็ทรักคินจริงๆ รักมากๆเลยรู้มั้ย อย่าผลักเซ็ทไปให้ใครอีก รักจนจะบ้าตายอยู่แล้วรู้มั้ย”เศรษฐพงศ์ลูบศีรษะคณินเบาๆราวกับกำลังกล่อมเด็ก

   “คินก็รักเซ็ทนะ รักมากเลยหวงมากอย่าว่าคินงี่เง่าเลยนะ นอกจากป๊ากับครอบครัวแล้วคินก็มีแค่เซ็ท อย่าทิ้งคิน อย่าเบื่อคินได้มั้ยครับ ช่วยทนกับนิสัยเอาแต่ใจของคินหน่อยจะได้มั้ย?”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยตามหวงกูไปตลอดชีวิตได้มั้ย?”

   “พูดไม่เพราะอีกแล้วนะ”คณินแกล้งว่าด้วยเสียงเย็นก่อนที่จะขยับแกนกายที่ยังคงแช่อยู่ในร่างของเศรษฐพงศ์อีกครั้ง

“อื้อ กูขอโทษ โอ้ย...ขอโทษแล้วไง เซ็ทขอโทษจะไม่พูดกูมึงอีกแล้ว”เศรษฐพงศ์ร้องลั่นเมื่อคณินดึงร่างของตนในลุกขึ้นมานั่งกลายเป็นตอนนี้เขานั่งคร่อมอยู่บนร่างของคณิน

   “ขอโทษตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ มันตื่นอีกแล้ว เนี่ย ยิ่งดิ้นยิ่งตื่น ขออีกรอบนะ นะครับ”

   “อ่ะ...อื้อ...”เศรษฐพงศ์ร้องลั่นยามที่คณินเด้งเอวขึ้นสวนโดยไม่ทันตั้งตัว คนเจ้าเล่ห์ยิ้มกริ่ม

   “อื้อนี่คืออนุญาตใช่ป่าว ดีจังตอนนี้ไม่ฝืดแล้วคินขอทำแรงๆกว่ารอบแรกนะ”

เศรษฐพงศ์อยากจะอ้าปากด่าคณินนักยามที่เอวสอบเด้งสวนเข้ามาในร่างของเขาจนจุกหากแต่เสียงที่เปล่งออกมามีเพียงเสียงครางกระเส่าราวกินของเผ็ด


((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 44 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 10-02-2019 00:32:31




            “เซ็ท ถ่ายรูปกัน”หลังจากเสร็จกิจไปตอนค่ำคณินก็พาเศรษฐพงศ์ออกมากินข้าวจากนั้นจึงกลับเข้าห้องพักในตอนดึก คนเด็กที่เดินไม่ปกตินักเพราะความแสบขัดยิ้มรับอย่างว่าง่าย
    
เขาอยากเอาใจคณินที่อุตส่าห์เดินทางมาหาเขา เด็กหนุ่มขยับตัวนั่งเพื่อให้คณินถ่ายรูปได้ถนัดหากแต่เศรษฐพงศ์กลับถูกดึงให้ลุกจากเก้าอี้แล้วคณินเป็นฝ่ายมานั่งแทน เอวบางถูกรั้งให้มานั่งบนตักของเขาโทรศัพท์เครื่องแพงของคณินถูกยัดใส่เข้ามาในมือของเศรษฐพงศ์
 
            “อ...อะไร?”เอ่ยปากถามด้วยความประหม่าเมื่อลมหายใจอุ่นวนเวียนอยู่แถวซอกคนของตนเอง หัวใจเต้นดังจนได้ยินออกมานอกอกผสานกับเสียงหัวใจของคณินที่เต้นดังไม่แพ้กัน
 
            “ถ่ายให้หน่อย”เสียงทุ่มเอ่ยชิดริมหูของคนน้อง
 
            ทำไมไม่ถ่ายเองล่ะ”
 
            “ก็อีกมือกอดเอวมึงอยู่จะถ่ายได้ไงล่ะ”พูดจบก็คล้องแขนกอดไหล่น้องพลางชูสองนิ้วจนเศรษฐพงศ์ที่กำลังงงๆพลอยชูสองนิ้วตามไปด้วย ริมฝีปากบางหลุดยิ้มออกมาอย่างมีความสุขยามที่คณิกดจูบลงบนแก้มของตนเองอย่างแสนรัก คณินกอดเอวน้องไว้หลวมๆพลางวางคางไว้บนไหล่ของเศรษฐพงศ์ ดวงตาคมมองกล่องริมฝีปากเหยียดตึงคล้ายจะบึ้งแต่ความจริงแล้วเขากลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม เศรษฐพงศ์กดถ่ายรูปแล้วยื่นโทรศัพท์คืนให้ คณินเลื่อนไปเลื่อนมาวุ่นวายกับโทรศัพท์ซักพักก็วางลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจมันอีก เพราะมีคนที่น่าสนใจนั่งเล่นอยู่ใกล้ๆ
 
            มิ่งกมลอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็เปิดไฟที่โต๊ะอ่านหนังสือกะว่าจะทบทวนวิชาเรียนซักสองชั่วโมง ชายหนุ่มเดินไปหยิบนมจืดในตู้เย็นออกมาเจาะเสียบหลอดดื่ม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าเฟสบุ๊คด้วยความเคยชินปกติก่อนนอนเขาจะทักไปคุยกับเศรษฐพงศ์ทุกคืน พยายามสรรหาเรื่องไปชวนรุ่นน้องที่ต้องตาต้องใจเขาตั้งแต่แรกเห็นเรื่อยๆ
 
มิ่งกมลชอบเศรษฐพงศ์ เด็กคนนั้นมีเสน่ห์บางอย่างดึงดูดทั้งคนเพศเดียวกันและเพื่อนต่างเพศ เศรษฐพงศ์เป็นคนนิสัยดี สุภาพและเอาการเอางาน ชายหนุ่มเลื่อนดูโพสต์หน้าฟีตไปเรื่อยๆจนกระทั่งชะงักกับภาพๆหนึ่งที่เพิ่งมีคนแท็กเศรษฐพงศ์มาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มีเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์มากดไลค์กันครบรวมทั้งชื่อของคนที่ไม่คุ้นตาอีกเกือบสิบคน
 
มิ่งกมลปล่อยโทรศัพท์ให้หล่นลงบนโต๊ะราวกับคนอ่อนแรง
 
ภาพของเศรษฐพงศ์ที่มีใครบางคนส่งสายตาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างเต็มตัว
 
คนที่เศรษฐพงศ์บอกใครต่อใครมาตลอดว่านั่นคือพี่ชาย
 
พี่ชายน้องชายเขานั่งตักเกยคางถ่ายรูปกันแบบนี้ด้วยเหรอ?  หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง แคปชั่นในรูปทำให้ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงอย่างอ่อนแรง

 
            “he is mine”

 
เขาแพ้แล้ว แพ้อย่างสิ้นเชิง...แพ้ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ
 


............................................




จุดพลุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


พญานกไม่นกอีกต่อไปแล้วววววววววววววววววววว



หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 44 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 10-02-2019 01:34:40
เออสักที! อ่านตอนนี้คือคนอ่านไฟไหม้หมดแล้วจ้าร้อนแรงเหลือเกิน  :mc4: :mc4:
วงวารมิ่งหันมาหาเจ้ก็ได้นะลูก  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 44 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 10-02-2019 09:29:14
เซ็ทหึงได้ร้องแรงมาก :m25: สงสัยว่าคินคงไม่ขยันทำให้น้องมันหึงนะ เอ้าจุดพุ :mc3: :mc3: :mc2: :mc2:
แล้วถ้าเกิดพ่อกับแม่รู้เรื่องจะเป็นยังไงจะมีมาม่ามั้ย?
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 44 10/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 10-02-2019 10:57:12
ชัยชนะของอิพี่คิน

ที่นกมาตลอด

ตอนนี้ไม่นกแล้วจ้า

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 45 11/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 11-02-2019 00:40:25
ตอนที่ 45

  คณินลืมตาท่ามกลางแสงสลัวจากไฟหัวเตียง ดวงตาคมมองใบหน้าของคนที่นอนหลับข้างๆอย่างแสนรัก เกลี่ยปลายนิ้วไล้กรอบหน้าที่ขึ้นสันกรามชัดด้วยเพราะเศรษฐพงศ์แก้มตอบลง

 

เป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ความฝันหรือการช่วยตัวเองแล้วจินตนาการว่ามีอะไรลึกซึ้งกันแบบเมื่อก่อน คณินรั้งร่างของเศรษฐพงศ์มาไว้ในอ้อมกอด กระชับอ้อมแขนกดศีรษะของคนน้องมาแนบอกอย่างแสนรักใคร่

 

ตั้งแต่แม่ตายคณินก็ไม่เชื่อถือเรื่องความรักซักเท่าไหร่นัก เขาไม่เชื่อว่าคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวและกลุ่มเพื่อนสนิทจะมีใครมารักเขาจริงแบบที่ไม่หวังตักตวงทรัพย์สินที่เขามี เด็กหนุ่มสร้างกำแพงขึ้นมาห้อมล้อมตัวเองอย่างหนาแน่น แม้แต่กับเศรษฐพงศ์เองก็ตามที เขาคิดเพียงว่าสองแม่ลูกก็ไม่ต่างกับคนอื่นที่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผู้เป็นพ่อ

 

คนเหล่านั้นแสร้งทำดีกับเขาเพียงเพื่อจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับพ่อของเขาเพื่อหวังเพียงทรัพย์สมบัติ ผู้หญิงพวกนั้นหวังแค่ว่าหากแต่งงานกับพ่อของเขาถ้าไปกันไม่รอดหล่อนเหล่านั้นก็จะได้สินสมรสติดกระเป๋าไปบ้างไม่มากก็น้อย โชคดีเหลือเกินที่พ่อของเขาเป็นคนรอบคอบ พ่อเก่งทั้งเรื่องธุรกิจและการดูคน เขายอมรับในตัวลดาแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นรักพ่อของเขาจริงและความรักความใจดีของเธอยังเผื่อแผ่มายังตัวเขาด้วย

 

คณินกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นราวกับหวงแหนของสำคัญหากเขากอดหลวมไปเศรษฐพงศ์อาจจะปลิวหายไปได้ทุกเวลา แต่ก็ไม่กล้ากอดแน่นเกินไปด้วยกลัวว่าคนน้องจะอึดอัด

 

คณินเรียนรู้ที่จะประคับประคองความรักครั้งนี้ไว้เขาไม่อยากเสียเษศรษฐพงศ์ไปและไม่อยากให้เศรษฐพงศ์ต้องมาอึดอัดเมื่อคบหากับเขา

 

พยายามจะไม่เป็นคนงี่เง่าแต่หลายครั้งที่เขากับงอแงใส่คนน้อง

 

ตั้งแต่แม่ตายเขาไม่เคยต้องร้องไห้ให้ใครเลยซักครั้ง

 

เศรษฐพงศ์คือคนแรกที่ได้เห็นมุมอ่อนแอของเขาและเด็กคนนี้เช็ดน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยน แม้จะเป็นคนแข็งๆไปบ้างตามแบบฉบับเด็กผู้ชายแต่ความรักและความห่วงใยที่เศรษฐพงศ์มีให้เขานั้นมันอ่อนโยนมากกว่าคำพูดเพราะๆหวานหูที่เคยได้ยินจากคนอื่นมากนัก

 

กว่าจะได้คบกันก็ผ่านเรื่องราวมาอย่างมากมาย วันนี้เมื่อลึกซึ้งผูกพันก้าวข้ามคำว่าแฟนเป็นคนรักเป็นของกันและกันแล้วเขาก็ยิ่งหวงแหน อยากจะคบกันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่จนกว่าความตายจะมาพรากจากกัน

 

คณินกดจูบลงบนหน้าผากของเศรษฐพงศ์อย่างแสนรัก ร่างโปร่งในอ้อมกอดขยับยุกยิกก่อนจะซุกศีรษะกับอกของเขา วงแขนที่นิ่งสนิทมาตลอดโอบกอดเอวสอบของเขาตอบคณินยิ้มจนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มยามที่คำพูดแสนเบาดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่บวมช้ำ

 

            “กูรักมึงนะ”

 

 

สายของวันรุ่งขึ้นคณินตื่นขึ้นมาเพราะไอร้อนจากคนในอ้อมกอดคณินใช้หลังมืออังหน้าผากของคนที่นอนหลับไม่ยอมตื่นก่อนจะจำใจยอมลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเงินและกุญแจรถกุญแจห้องออกไปหาซื้อยาและอาหารสำหรับเขาสองคนชายหนุ่มหายออกมาราวหนึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงห้อง คนป่วยตื่นแล้วแต่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงส่งมาเพียงดวงตาเขียวปั๊ดจนรู้สึกตึงๆที่หนังหัว

 

            “จะนอนจ้องกูอีกนานมั้ยนั่น ลุกมากินข้าวกินยาเถอะมึงตัวร้อน”คณินจัดการไปหยิบชามที่ห้องพักมีให้มาเทโจ๊กร้อนๆใส่ตามด้วยปาท่องโก๋ที่เศรษฐพงศ์ชอบกิน ปกติเพียงแค่ได้กลิ่นเศรษฐพงศ์ก็จะรีบเด้งตัวลุกขึ้นมาจัดการโดยไม่ต้องคะยั้ยคะยอแล้วหากแต่วันนี้คนน้องกลับนอนนิ่วหน้าไม่ไหวไม่ติงราวกับจะเก็บพลังงานไว้ใช้ในชาติหน้า

 

            “มาดิ่ หรือจะต้องให้ยกไปป้อนถึงปาก”

 

เศรษฐพงศ์ ::

 

ผมนอนมองหน้าไอ้คนที่หายหัวออกไปเป็นชั่วโมงแล้วก็กลับมาพร้อมถุงของกินด้วยสายตาเคืองๆ

 

อันที่จริงผมจะไปโกรธไปเคืองอะไรมันก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะไอ้อาการร้าวตั้งแต่บั้นเอวลงมาถึงบั้นท้ายน่ะเป็นเพราะผมทำตัวเอง แต่ถ้าไอ้ตรงนั้นของมันไม่ใหญ่ผมคงไม่เจ็บขนาดนี้ เจ็บขนาดที่ว่าไม่อยากจะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ เพราะแค่ขยับเบาๆความรู้สึกร้าวราวถูกสาปก็เข้าเล่นงานจนต้องซี๊ดปากไปเสียหลายหน

 

มันโง่หรือมันโง่หรือมันโง่มากๆผมก็ไม่แน่ใจ มันไม่รู้เลยเหรอว่าครั้งแรกของผมนอกจากตอนถูกแทงแล้ว บริการหลังการแทงนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน แม้ว่าเมื่อวานผมจะกลั้นอกกลั้นใจออกไปกินข้าวเย็นกับมันได้ก็ตามทีเถอะ แต่พอกลับมาก่อนจะหลับตานอนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมาจูบกันนิดจับกันหน่อยวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านอย่างพวกผมพอเคยกันครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งที่สามก็ตามมาได้อย่างง่ายๆ ตอนนี้ผมจึงต้องมานอนร่างร้าวรับกรรมโดยมีไอ้คนร่วมเหตุการณ์เดินสบายปร๋อไปทั่วห้องเอ่ยปากถามอย่างกวนส้นตีนนั่นพูดจากระทบกระเทียบเร่งเร้าไม่ขาดปาก

 

            “ไงครับคุณชาย ให้ป้อนมั้ยครับ”ไอ้คินผู้ไม่รู้ชะตากรรมว่ากำลังจะไม่มีเงาหัวภายใน 10 วินาทีต่อไปนี่ยื่นหน้ามาถามผมด้วยสีหน้าระรื่น

 

10...9...8...7...6...5...4...3...2...1...0

 

เพี๊ยะ!!!!

 

ผมตบเปรี้ยงไปบนแก้มใสของมันเต็มแรงจนไอ้คินถึงกับหน้าหัน มันทำหน้าเหวอกุมแก้มหันมามองผมราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่โดนไปจนหน้าขึ้นรอยนิ้วนั้นเป้นความจริง

 

            “มึงตบกูทำไมเนี่ย”มันร้องถามผมเสียงหลง

 

            “ไม่ถีบเอาก็บุญแล้วไอ้หน้าส้นตีน สั่งให้กูลุกอยู่ได้รำคาญ!!”ผมว่าให้มันอย่างหงุดหงิด

 

หงุดหงิดร่างกายตัวเองนี่แหละ ขยับไม่ได้อย่างใจนึกแถมยังมาเป้นไข้อีก ความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ไอ้คินก็ดูเหมือนจะโกรธๆผมอยู่เหมือนกันที่ผมไปงี่เง่าใส่มัน มันเริ่มหน้าแดงลามไปยั้นใบหูเท้าสะเอวมองผมด้วยสายตาเคืองๆ

 

            “ก็กูให้มึงลุกมากินข้าวเนี่ย ตัวมึงร้อนมึงมีไข้จะได้กินยากูน่ารำคาญตรงไหน”

 

            “ตรงที่มึงเซ้าซี้ให้กูลุกนี่แหละ กูจะลุกยังไงไหวล่ะ กูเจ็บตูด ไม่รู้หรือไงไอ้โง่ ที่ตอนใส่ๆไม่ยั้งพอเสร็จแล้วตัวปลิวเลยนะไอ้สัดปล่อยให้กูร่างร้าวอยู่คนเดียว”ผมด่ามันยาวเหยียด อีน้ำตาเหี้ยนี่ก็ทำท่าจะไหล

 

ไม่รู้แหละตอนนี้ผมพาลไปทุกสิ่งอย่างหงุดหงิดไปซะหมด ไอ้คนพอมันฟังผมด่าไปยาวเหยียดเสร็จมันก็ยืนนิ่งไป ไอ้ปากดีๆที่ตั้งท่าจะเถียงก็หุบลงในทันทีแล้วมันก็เดินตรงเข้ามาหาผม

 

            “ทำไม จะตีกูเหรอ เออตีมาเลย ตอนนี้กูสู้อะไรมึงไม่ได้หรอก จะทำอะไรไรก็ทำเลย ฮึ่ก...”อยู่ๆน้ำตาผมก็ไหลแถมอีก้อนสะอื้นที่พยายามกลืนลงคอเสือกพุ่งพรวดออกมาจนเกิดเสียง

 

ผมเกลียดเวลาที่ตัวผมไม่สบายมันจะส่งผลให้สภาพจิตใจของผมแย่ไปด้วย พอได้สะอื้นแล้วทำนบน้ำตาของผมก็พัง

 

ไอ้คินไม่ได้ตีผมอย่างที่ผมคิด มันทำเพียงวางฝ่ามือลงบนแก้มของผมพลางเกลี่ยเบาๆ

 

            “เจ็บมากมั้ย คินขอโทษนะ ลุกไม่ไหวก็ไม่ต้องลุกนะเดี๋ยวคินป้อนเอง ขยับนั่งพิงหัวเตียงไหวมั้ยเดี๋ยวสำลักข้าว”มันพยายามประคองผมที่พยักหน้ารับให้นั่งพิงหัวเตียงก่อนจะไปหยิบชามโจ๊กและจานปาท่องโก๋มาป้อนผม ผมรับอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่าจนอารมณ์ค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ มันเป่าไปป้อนไปจนหมดชามก็จัดน้ำและยามาให้กิน จากนั้นผมก็หลับไปอีกหนตื่นขึ้นมาอีกทีก็บ่ายแล้ว ความรู้สึกมีอะไรมาวุ่นวายกับหลังและสะโพกปลุกให้ผมตื่นขึ้นพลางบิดตัวอย่างเกียจคร้าน

 

            “ดีขึ้นมั้ย?”น้ำเสียงทุ้มของคนที่วุ่นวายกับร่างกายของผมเอ่ยถาม ผมเอี้ยวหลังไปมองไอ้คินนั่งนวดหลังจนถึงสะโพกให้ผมอยู่ ความรู้สึกเมื่อยล้าเกียจคร้านทุเลาลงไปอย่างมาก กลับผ่อนคลายและสบายตัวขึ้นมากกว่าตอนหลับ อาการไข้เหมือนจะลดลงไปมากจนเกือบปกติ ข้างเตียงมีกะละมังน้ำมีผ้าขนหนูแช่ทิ้งไว้

 

            “มึงนวดกูนานยัง?”ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดจะแห้ง อาการเจ็บขัดปวดเมื่อยดีขึ้นมากจนผมขยับตัวเคลื่อนไหวได้ถนัดขึ้น

 

            “ก็ตั้งแต่มึงหลับกูก็นั่งนวดให้มันสลับกับเช็ดตัวตลอด”มันตอบมือมันก็ยังไม่เลิกนวดจนผมต้องหันไปรั้งมือมันไว้แทน

 

            “พอแล้ว หายแล้ว ขอบใจนะ”ผมมองหน้ามันด้วยความรู้สึกผิด รอยนิ้วแดงยังคงติดอยู่บนใบหน้าของมัน

 

            “ไม่เป็นไร กูเป็นคนทำมึงเจ็บกูก็ต้องดูแลมึง นั่นมันถูกแล้ว คราวหลังกูจะได้ยั้งแรงไว้บ้าง”มันว่าหน้าตาเฉยแต่ผมนี่สิถึงกับตาเหลือกไอ้อารมณ์ซาบซึ้งถูกดีดออกไปจนกระเด็น

 

            “คราวหน้าอะไร กูไม่ให้มึงแล้วไอ้ลามก”ผมแหวใส่มันพลางกระเถิบหนี หากแต่ไอ้คินกลับเลื่อยมานอนกอดตักล็อคขาของผมไว้ พลางเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนจะตอแหลใส่ผมให้ขนหัวลุกเล่น

 

            “แหม เธอก้ออออออ....”

 

ก้อพ่อก้อแม่มึงสิ ออกไปให้ไกลๆกูไอ้คนหื่นกาม กูจะกลับห๊ออออออออ

 









 

 

            คณิน::

 

ผมกับไอ้เซ็ทใช้เวลาช่วงวันหยุดอันแสนสั้นด้วยกันอย่างเรียบง่าย เราสองคนนอนคุยกัน กินข้าว ดูทีวีง่ายๆในห้องพัก ช่วงสายๆก็ขับรถไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ เราแวะซื้อเสื้อคู่มาใส่ด้วยกันโดยความคิดของผมเอง แม้ตอนแรกไอ้เซ็ทจะไม่ยินยอมทั้งเดินหนีทั้งด่าแต่สุดท้ายเสื้อคู่น้นก็มาประดับอยู่บนตัวของเราจนได้ จากนั้นผมก็พาเซ็ทไปซื้อของใช้ที่มันขาดในห้างเป็นเหมือนกิจวัตรที่ต้องทำทุกครั้งที่มาหามัน ผมหยิบทุกอย่างคูณสองเพราะคงอีกนานกว่าจะได้มาหามันใหม่ ช่วงนี้พวกผมเริ่มหาที่ฝึกงานกันแล้ว ไอ้เซ็ทเองก็มีปัญหาพิเศษให้ทำเรื่อยๆ ระยะเวลาที่เราจะห่างกันยืดออกไปนานขึ้นเรื่อยๆจนผมใจหาย

 

แม้จะอยากยืดเวลาให้นานกว่านี้แค่ไหนสุดท้ายผมก็ต้องขับรถมาส่งมันที่หออยู่ดี ผมกับมันนั่งเงียบๆอยู่ในรถ ยังพอมีเวลาให้เราได้อยู่ด้วยกันอีกราวๆหนึ่งชั่วโมง

 

            ไม่งอแงสิวะ โตแล้ว” เป็นอีกครั้งที่มันบอกกับผมด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจนักเมื่อผมชักสีหน้าใส่มันตอนที่มันบอกว่าต่อไปนี้ไม่ต้องบินมาหามันอีก

 

            “ทำไมวะ กูแค่อยากมาหามึง มึงไม่ต้องว่างไปกับกูก็ได้ เลิกเรียนค่อยมาเจอกันกูแค่อยากเห็นหน้ามึงอยากกอดมึงให้พอหายเหนื่อย”

 

            “ก็เพราะมึงเหนื่อยนั่นแหละกูไม่อยากให้มึงต้องขับรถไป-มา ไม่อยากให้มึงต้องเหนื่อยกับการเดินทาง ไหนยังต้องมารอกูอีกแทนที่มึงจะได้นอนกลับกลายเป็นว่ามึงต้องมาคอยกูรอกู กูห่วงมึงมากมึงรู้มั้ยวะคิน มึงส่องกระจกมั่งหรือเปล่า”

 

            “ก็ส่องนะ ก็หล่อเป็นปกติ”

 

            “ถ้าขาไม่ติดรถกูจะถีบให้ไอ้เหี้ยนี่”มันทำท่ายกขาจะถีบมาทางผม หน้าเน่อไปหมดว่าหงุดหงิดที่ผมกวนตีนใส่มัน ผมทำเพียงฉีกยิ้มอย่างประจบประแจงไม่อยากให้มันโกรธ จับมือของมันมากุมพลางเขี่ยหลังมือมันเบาๆเพื่อให้มันใจเย็นลง

 

            “หน้ามึงโทรมมากคิน มึงเหนื่อย ตามึงล้าสุดๆ กูไม่อยากให้มึงฝืนร่างกายตัวเองเพียงเพื่อจะมาหากู อีกอย่างกูอยากให้มึงวางแผนการใช้เงินให้มันดีๆ อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เงินค่าเครื่องบินค่าเช่ารถแต่ละครั้งมันก็หลายตังค์ เก็บส่วนนี้ไว้ดีกว่า อนาคตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนวันนี้มึงมีเงินแต่มึงใช้แบบไม่คิดไม่ได้หาเพิ่มวันหนึ่งมันก็หมดได้”ผมนิ่งฟังสิ่งที่ไอ้เซ็ทพูดโดยไม่ได้เอ่ยขัดเพราะผมรู้ดีว่าสิ่งที่มันพร่ำพูดพร่ำบอกมานั้นเป็นเพราะมันรักและหวังดีกับผมจริงๆ

 

แต่ผมก็คิดถึงมันจริงๆเหมือนกัน

 

            “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิวะ เดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้วยังไงก็ต้องได้เจอกันยาวๆเป็นเดือนกูจะอยู่ให้มึงเอาใจจนเบื่อไปเลย”มันเขย่าแขนผมไปมาอย่างง้องอนเมื่อผมคงจะทำหน้านิ่งตามประสาเวลาที่ผมรู้สึกหงุดหงิดหรือไม่พอใจอะไร ผมไม่พูดอะไรต่อจากนั้นทำเพียงนั่งเงียบๆปล่อยให้เสียงแอร์ในรถทำงานไปอย่างเชื่องช้า แต่แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อไอ้เด็กที่นั่งเบาะข้างๆปีนข้ามมานั่งคร่อใมตักของผมจนผมต้องเกร็งหน้าขาไว้ มันไม่ง่ายเลยซักนิดที่ผู้ชายตัวโตอย่างเราสองคนจะมานั่งบดเบียดกันในที่แคบๆอย่างนี้ ผมเลื่อนเบาะให้ถอยหลังเพื่อให้เราไม่อึดอัดมากนัก สองแขนของมันคล้องคอผมไว้ก่อนจะจรดหน้าผากของมันมาแตะกับหน้าผากของผมเบาๆ ดวงตาของเราสองคนสบกันไม่มีหลีกหนีหลบเร้นไปไหน ปลายจมูกของเราคลอเคลียสัมผัสลมหายใจอุ่นร้อนผะผ่าวให้รู้สึกวูบวาบ ผมจ้องริมฝีปากอิ่มที่มีขี้แมลงวันเม็ดเล็กประดับก่อนจะส่งลิ้นออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผากอย่างกระทันหันไม่ได้ ไอ้เซ็ทคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะกดจูบลงมาบนปากของผม ย้ำๆแผ่วเบา กลายเป็นผมเองเป็นฝ่ายเลื่อนมือที่จับเอวมันไว้ขึ้นมาประคองใบหน้าของมัน ก่อนจะเสยเข้าไปในเส้นผมของมันเบาๆจนถึงท้ายทอย

 

ความรู้สึกแผ่วเบาเชื่องช้านั้นไม่ทันใจผมเอาเสียเลย

 

เมื่อได้ ก็อยากได้มากกว่าเดิม ริมฝีปากของเราสองคนประกบกันแนบสนิทเมื่อผมกดน้ำหนักมือ ตอนนี้กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายนำจังหวะจากเชื่องช้าเป็นดุดันขึ้น ผมเป็นคนละโมบผมขบเม้มริมฝีปากของมันแล้วส่งลิ้นเข้าไปช่วงชิงพื้นที่ควานหาความหอมหวานราวคนหลงทางกลางทะเลทรายที่เจอแอ่งน้ำ สำรวจจนทั่วแล้วดูดกินอย่างเอาแต่ใจ ที่สุดหลังจากแลกจูบกันซักระยะเราสองคนก็แยกริมฝีปากออกจากกันอย่างจำใจไอ้เซ็ทใช้ปลายนิ้วเช็ดริมฝีปากให้กับผมพลางส่งรอยยิ้มละมุนยิ่งกว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มมาให้จนผมตาพร่า

 

ไม่บ่อยนักหรอกที่มันจะนุ่มนวลกับผม นุ่มนวลจนใจผมกระตุกเหมือนตอนที่รู้ตัวว่าตกหลุมรักมันแรกๆไม่ผิดเพี้ยน

 

            “คินต้องเชื่อเซ็ทนะ ตั้งใจเรียน วันหยุดให้นอนพัก เซ็ทเป็นห่วงคินนะครับ อยากให้คินมีสุขภาพแข็งแรงอยู่ด้วยกันไปนานๆ อย่าป่วยอย่าด่วนตายจากกันไป ไม่อยากอยู่คนเดียวไปอีกครึ่งชีวิตว่ะ”

 

            “มึงแม่ง...แล้วกูจะปฏิเสธยังไงวะ”ผมจิกเล็บลงบนเอวของมันไม่แรงนักอย่างลงโทษ ทั้งอ้อนทั้งยั่วแบบนี้ผมจะตายเอาจริงๆ  ไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นไอ้เซ็ทในมุมนี้ เป็นบุญตา ซาบซึ้งจนอยากจะร้องไห้อีกหน

 

            “ไปได้แล้ว กลับดีๆ ถึงแล้วโทรบอกด้วยกูจะรอรับโทรศัพท์นะ”มันลูบผมของผมเบาๆก่อนจะยีเหมือนมันเขี้ยวอะไรซักอย่าง เสียงหัวเราะทุ้มใสของมันทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้ ไอ้ตัวดีขยับยุกยิกทำท่าจะกลับไปนั่งที่เบาะข้างตามเดิมแต่ผมก็เรียกมันไว้ซะก่อน

 

            “เซ็ท...”

 

            “หืม?”

 

            “จูบอีกทีได้มั้ย เมื่อกี๊มันไม่พอ”ผมร้องขออย่างเอาแต่ใจ ไอ้เซ็ทยิ้มให้ผมอีกครั้ง

 

            “ได้สิ อีกหลายๆทีก็ได้”

 

อาม่าครับ ผมไม่เอาปริญญาแล้วได้มั้ย จะอยู่กับเมียที่เชียงใหม่ อาม่าได้โปรดเห็นใจ เพราะเมียของผมน่ารักจริงๆ

 

ช่วยด้วย

 

ผมรู้สึกเหมือนความรักมันจุกอก แน่นไปหมดแล้ว

 

แต่คิดไปคิดมา สงสัยจะไม่ใช่ความรักแล้วล่ะที่ทำให้ผมหายใจแทบไม่ออก เราผละริมฝีปากออกจากกันอย่างเชื่องช้า

 

            “เซ็ท”

 

            “หืม?”

 

            “มึงอ้วนขึ้นป่ะวะ เนี่ย ตูดใหญ่ขึ้นนะเนี่ย”ผมลูบบั้นท้ายไอ้เซ็ทพลางตบลงไปเบาๆ หากแต่ปฏิกิริยาโต้กลับของไอ้เซ็ทคือ

 

ผลั่วะ!!!

 

            “กลับกรุงเทพไปเลยไอ้เหี้ย พูดมาก รำคาญ!!!” แล้วมันก็ปีนลงจากรถไปเลย

 


กูทำอะไรผิดอีกล่ะเนี่ย!!!















KIN KANIN LAI. อยู่กับ เศรษฐพงศ์ วงศ์บริสุทธิ์

1 ชม.

Hey...My Boy


.................

แหมเธอก้อออออ ล่อซะเอวยอกเลยน้าาาาาาาาาาาาา

#คนแมนคินเซ็ท
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 45 11/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 11-02-2019 08:07:40
น่ารัก...............

อ่านจบแล้วมีประโยคเดียวที่โผล่ขึ้นมาในหัว โอ้ย!อยากได้คู่นี้ :hao7: จะเอา จะเอา :ling1:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 45 11/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 11-02-2019 13:55:06
โอ้ยยย กลายเป็นคนน้องรุกแรงเว่อร์ ฟินสมใจอีพี่คินมันเลยอะดิ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 46 15/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 15-02-2019 01:02:38
ตอนที่ 46



“เซ็ท กูงอแงได้มั้ย?”เศรษฐพงศ์อยากจะหัวเราะขำกับไอ้เด็กโข่งที่บ่นหงุงหงิงตั้งแต่โทรมา

 

          “มึงโตเป็นควายโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วนะคินจะมางอแงอะไรอีก”

 

            “กูเหนื่อยสายตัวแทบขาด งานเหี้ยอะไรเยอะแยะวะแม่ง ยิ่งใกล้ฝึกงานไฟไม่ได้ลนตูดกุนะ ลนกูแม่งทั้งตัวแล้ว ไอ้ว่านกับไอ้อ้นถอดวิญญาณทิ้งกูไปแล้วแม่ง”

 

          “มันก็เรื่องปกติมั้ยมึง ตอนเรียนมึงก็จะบ่นว่ามึงเรียนหนัก เดี๋ยวพอทำงานมึงก็จะบ่นว่าเจ้านายให้งานมึงเยอะ”

           

            “บางทีมึงอาจจะลืม ตอนนี้กูลงทุนทำหอพักอยู่ พอมันเสร้จเปิดให้คนเช่ากูก็รับเงินทุกเดือนสบายๆโดยไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร ถ้าอยากทำงานก็ก็เป็นฟรีแลนซ์รับเป็นงานๆไปสบายๆ”เศรษฐพงศ์อยากจะเบ้ปากเป็นรูปส้นตีนเซเลอร์มูนถ้าไม่ติดว่ามีพวกเพื่อนๆนั่งมองเขาตาแป๋วกันหลายตัว หนักกว่าใครเพื่อนคงไม่พ้นไอ้สองแฝดที่ทำสีหน้าสีตาล้อเลียนโดยไม่ออกเสียง เศรษฐพงศ์ถีบไปที่สีข้างไอ้แฝดพี่เบาๆเมื่อรายนั้นทำท่าทางบิดไปบิดมาราวสาวน้อยกำลังเอียงอาย

 

            “กูล่ะหมั่นไส้ความรวยของมึงนัก”

 

            “ขอโทษด้วยที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นนะจ๊ะเมียจ๋า แต่จงทำใจให้ชินเพราะมันคือเรื่องจริง”

 

            “กูเกลียดมึง”เศรษฐพงศ์กระแทกเสียงใส่คณิน ซึ่งรายนั้นไม่ได้สะทกสะท้านกับทำว่าเกลียดเลยซักนิดกลับส่งเสียงหัวเราะมาตามสายจนเศรษฐพงศ์ที่หัวหูร้อนเพราะคำว่าเมียที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอดไม่ได้ที่จะขำตาม

 

            “คิน เดี๋ยวกูต้องไปเข้าเรียนแล้ว”

 

            “โอเค งั้นกูไปปั่นงานต่อ มึงกินข้าวเยอะๆนะ”

 

            “ไม่เอาเดี๋ยวมึงว่ากูอ้วน”

 

            “โถ่...มึงยังคิดมากเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ อ้วนเป็นโอ่งมังกรกูก็รัก”

 

            “ระวังกูจะทับให้ขี้แตกเลย”

 

            “เวลามึงทับกูว่าไม่ใช่ขี้นะที่แตก อย่างอื่นมากกว่าที่แตก”

 

            “จังไรจัด แค่นี้นะ เกลียดมึงไอ้เหี้ย”เศรษฐพงศ์กดตัดสายคณินก่อนจะทำท่าราวกับคนสะบัดร้อนสะบัดหนาวยามคิดถึงความหมายของคำว่า “แตก” ที่คณินสื่อ

 

            “ดูมีความสุขเนอะ”แผดพี่เอ่ยแค่นแคะทันทีที่มีช่องว่าง

 

            “มีความยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”แฝดน้องผสมโรงราวคอหอยกับลูกกระเดือก

 

            “มีความคำว่ารักที่ไม่พูดว่ารัก”โอบนิธิเอ่ยเย้าด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม

 

            “มีความหลงผ่....”ย้งหัวสะบัดทันทีที่เอ่ยคำที่ประกอบด้วย ผ.ผึ้ง เศรษฐพงศ์กระตุกยิ้มอย่างสะใจที่เห็นเพื่อนรักเกาหัวอย่างมึนๆ

 

            “สมน้ำหน้า”วีรดนัยหัวเราะก๊ากอย่างขบขัน เศรษฐพงศ์ชวนเพื่อนๆกลับไปที่คณะเพราะใกล้เวลาเริ่มคลาสเต็มที เด็กหนุ่มชะงักเมื่อมีสายเข้าอีกครั้ง ตอนแรกคิดว่าคณินโทรกลับมาใหม่หากแต่เบอร์ที่โชว์บนหน้าจอหลับไม่คุ้ยเลยซักนิด เศรษฐพงศ์กดรับเพราะอาจจะเป็นลูกค้าหรือคนที่บริษัทที่มิ่งกมลรับงานพิเศษให้กับเขา

 

          “สวัสดีครับ”

 

หากแต่เมื่อรับสาย เสียงที่พูดกับเขาทำให้เศรษฐพงศ์ชะงักค้าง

 

            “ฮัลโหล เซ็ทใช่มั้ย? นี่เอิร์นเองนะ ดีใจจังที่เซ็ทยังใช้เบอร์เดิม”อารดาส่งเสียงทักทายด้วยน้ำเสียงใสกังวานไม่ต่างจากเมื่อเกือบสามปีก่อนเลยซักนิด เศรษฐพงศ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ บรรดาเพื่อนๆหยุดมองอย่างสงสัยหากแต่เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบข้อส่งสัยที่แสดงผ่านแววตาของเพื่อนๆแต่ละคน

 

            “เอิร์นมีอะไรเหรอ? “

 

            “คือ...เอิร์นเลิกกับพี่ปุ้มแล้วนะ”

 

            “อ่อ...เหรอ...เสียใจด้วยนะ”เศรษฐพงศ์ตอบกลับแสดงความเสียใจให้กับความสัมพันธ์ที่พังลงของอารดาและแฟนสาวของเธอ

 

            “ไม่ได้คุยกันนานเลยเนอะ เอิร์นเรียนจบแล้วนะ กำลังจะได้ทำงานที่กรุงเทพ แล้วเซ็ทล่ะเป็นไงบ้าง”

 

            “เราสบายดี คือ...เอิร์น เราต้องไปเข้าเรียนแล้ว”

 

            “อ่า...งั้นตั้งใจเรียนนะ แล้วว่างๆเอิร์นโทรไปคุยเล่นด้วยได้มั้ยอ่ะ คิดถึงสมัยก่อนที่เคยคุยกันทุกวันจังเลย”

 

            “ขอโทษนะเอิร์น แต่เราคงไม่สะดวก เพราะเวลาว่างเราต้องโทรปคุยกับแฟนเรา ถ้าไม่โทรไปเดี๋ยวเค้าจะงอน”เศรษฐพงศ์ตอบตามจริง รอยยิ้มเอ็นดูคนที่ชอบงอนเวลาที่เขาลืมโทรหาผุดขึ้นมาที่มุมปาก หากแต่คราวนี้อารดากลับเป็นฝ่ายอึกอัก

 

            “อ่า...มีแฟนแล้วสินะ งั้นไม่เป็นไร เอิร์นไม่กวนเซ็ทแล้ว ตั้งใจเรียนนะ”

 

            “อืม...งั้นเราวางนะ”เศรษฐพงศ์ไม่รอให้อาราดาตอบรับ เด็กหนุ่มตัดสายทิ้งก่อนจะกดบล็อกเบอร์ของอาราดาทันที

 

เขาไม่ชอบให้ความหวังใคร

 

และในตอนนี้เขามีคนที่รักเป็นตัวเป็นตนแล้วเขาจะไม่ทำอย่างที่อารดาเคยทำเด็ดขาด หัวใจของเด็กหนุ่มท่วมท้นอย่างเหลือเชื่อเมื่อประจักษ์ว่าตนเองรักคณินมากเพียงใด

 

รักจนไม่เหลือเผื่อใจให้ใครแล้ว

 

เศรษฐพงศ์หย่อนโทรศัพท์เข้าในกระเป๋ากางเกงก่อนจะวิ่งตามเพื่อนๆที่กวักมือเรียกเพื่อไปเข้าเรียนในภาคบ่าย

 

ชีวิตที่มีคณินน่ะดีที่สุดแล้ว

 

            “จะปิดเทอมแล้วมึงจะกลับบ้านป่าวเซ็ท”

 

            “กลับดิ่ ป่านนี้แม่คิดถึงแย่แล้ว มึงกลับบ้านไปคราวก่อนแม่เป็นไงมั่งวะ หลังๆมานี่บ่นปวดท้องบ่อยๆ”เศรษฐพงศ์คุยโทรศัพท์ไปเขียนแบบไป เอ่ยถามถึงลดาที่พักนี้มักจะบ่นปวดท้องให้ได้ยินบ่อยๆด้วยความเป้นห่วง

 

            “ก็ปกตินะ ยังขยันทำกับข้าวเยอะแยะเหมือนเดิม เอาเป็นว่ามึงนั่งเครื่องมาลงดอนเมืองเดี๋ยวกูขับรถไปรับจะได้กลับมาพร้อมกัน”

 

            “เฮ้ยกูนั่งรถไฟกลับก็ได้”เศรษฐพงศ์รีบปฏิเสธทันที นั่งรถไฟเสียเงินไม่กี่ร้อย นี่พ่อเจ้าประคุณเดาะจะให้นั่งเรือเหาะ

 

แพง

 

ไม่เอา

 

            “มึงอย่างกไอ้เซ็ท นั่งเครื่องชั่วโมงเดียวถึง นั่งรถไฟนานจนจู๋งอกราก เดี๋ยวกูจองตั๋วเครื่องบินให้ เดี๋ยวนี้บินในประเทศช่วงโปรถูกยังกะขี้ เออ กูได้ที่ฝึกงานแล้วนะ”

 

            “ที่ไหนอ่ะ?”

 

            “เชียงใหม่”

 

แกร่ก...ปากกาเขียนแบบในมือหล่นทันที

 

            “ที่ไหนนะ อีกทีชัดๆดิ๊”

 

            “กูขอไปฝึกงานที่เชียงใหม่อ่ะ ดีใจล่ะสิ จะได้อยู่กับกู เดี๋ยวเทอมหน้ามึงก็ย้ายมาอยู่หอนอกพอดีเลย จะได้อยู่ด้วยกันสองคน”

 

            “มึงนี่น๊า ทำอะไรไม่ปรึกษากูก่อนเลย แล้วนี่ถ้าเกิดกูขอไปฝึกงานที่เมืองกาญจน์มึงทำไง?”เศรษฐพงศ์เอ็ดไอ้คนพี่ที่ตัดสินใจโดยพละการไม่บอกกล่าว โชคดีเท่าไหร่ที่ว่าเขายังมีเวลายื่นรายชื่อสถานที่ที่จะไปฝึกงาน ใจจริงเศรษฐพงศ์ตั้งใจไว้ว่าจะขอไปฝึกงานที่กรุงเทพไม่ก็โคราชแต่ในเมื่อเจ้าตัวเขาเสนอหน้าจะมาอยู่ด้วยก็อดยิ้มไม่ได้

 

จะไม่บอกหรอกว่าดีใจแค่ไหนที่จะได้อยู่ด้วยกัน และจะไม่แอบยิ้มด้วยจริงๆ

 

แต่ทำไมกูเมื่อยปากจังวะ

 

ไม่ได้ยิ้มนะเว้ย  ปากมันฉีกไปเอง









            “กูไม่เอาหอแพง”เศรษฐพงศ์ตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างลืมตัวเมื่อคนปลายสายยืนยันจะให้หาหอพักที่สามารถอำนวยความสะดวกได้อย่างหนูหรา ไม่มีทางเสียหรอกที่คนอย่างเศรษฐพงศ์จะไปอยู่ที่แพงๆอย่างที่คณิณต้องการ เอาเงินที่จะเสียเดือนละหลายพันจนถึงหมื่นไปทำอย่างอื่นดีกว่า เขาไม่เห็นประโยชน์ในการเช่าคอนโดแพงๆไว้เพียงแค่ซุกหัวนอนหลังเลิกงานเลยซักนิด

 

            “โธ่ เซ็ท มึงก้อ”

 

            “กูไม่ก้อกับมึงนะคิน มึงมาอยู่แค่สามเดือนแต่กูน่ะต้องอยู่ทั้งปีหาหอแล้วกูก็ต้องหาที่ๆกูกับแม่จ่ายไหวม่ต้องลำบากลำบนย้ายของไปมา อีกอย่างกูอยากอยู่ใกล้ๆเพื่อนกูด้วยเวลาทำงานกลุ่มจะได้ไม่ต้องเดินไกล”

 

            “กูก็แค่อยากให้มึงอยู่ที่ดีๆ”เสียงคณิณที่ขึงขังในตอนแรกที่ทะเลาะกันเรื่องหาหอพักอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด

 

            “ที่ไหนมีมึงที่นั่นก็ดีหมดแหละ”

 

 

คณิณ::

            “ที่ไหนที่มีมึงที่นั่นก็ดีหมดแหละ”

 

ไอ้เหี้ย!!!

 

ไอ้เด็กเหี้ย พูดอะไรออกมาวะแม่ง ผมไม่ทันตั้งตัว มือผมสั่นมากตอนนี้ ผมอยากประกาศให้โลกรู้ว่าไอ้เซ็ทมันพูดกับผมแบบนี้

 

แม่ง ไม่คิดว่าจะพูดอะไรดีๆไม่งั้นกูจะกดอัดเสียงไว้เปิดฟังวนๆซ้ๆก่อนนอนแม่งเลย

 

            “คิน ทำไมเงียบ โกรธกูเหรอ?”ไอ้เซ็ทร้องเรียกผม น้ำเสียงดื้อดึงเมื่อครู่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมเงียบไปนอนบิดอยู่บนเตียง

 

            “กูขอโทษที่ดุมึง แต่กูไม่อยากให้เราเอาเงินไปใช้สิ้นเปลืองอย่าลืมเรายังเรียนอยู่ยังต้องใช้เงินพ่อแม่ และถึงมันจะเป็นเงินของมึงกูก็ยิ่งไม่อยากให้มึงใช้เงินมือเติบเหมือนกัน กูเบื่อจะสอนมึงเรื่องนี้แล้วนะคิน กูรู้ว่านั่นมันเงินมึงแต่กูก็อยากให้มึงใช้มันให้เป็นประโยชน์ที่สุด”

 

            “เซ็ท ใจเย็น อย่าเพิ่งเทศน์กู กูไม่ได้โกรธ กูแค่เอาผ้าห่มมากัดกลั้นเสียงกรี๊ดเฉยๆ กูเขิน”

 

            “อ๊าว ไอ้เหี้ย แล้วก็ไม่บอกปล่อยให้กูบ่นได้ตั้งนาน”ผมหัวเราะก๊ากให้กับไอ้เซ็ทที่ด่าแก้เขิน เราคุยกันเรื่องสรรเพเหระอีกเกือบครึ่งชั่วโมงถึงได้แยกย้าย อีกสองอาทิตย์ผมก็จะย้ายไปฝึกงานที่เชียงใหม่แล้ว วันนี้จึงจะกลับบ้านที่กาญจน์ พ่อของผมบ่นว่าจะจำหน้าของผมไม่ได้แล้ว ผมต้องกลับไปดูการก่อสร้างหอพักที่โยนภาระให้พ่อเป็นคนดูแลการก่อสร้างและควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงถึงได้กลับมาถึงบ้านเมื่อเกือบสองทุ่ม น้าลดาทำกับข้าวไว้รอผมเพราะรู้ว่าผมจะกลับวันนี้

 

            “พี่เรียมไปเอาของท้ายรถลงมาด้วยนะ”ผมหันไปสั่งแม่บ้านแล้วจึงเดินเข้าไปสวัสดีพ่อกับน้าลดา น้าลดาดูจะดีใจที่ผมกลับบ้านมากกว่าพ่อของผมซะอีก แกรีบจัดแจงให้ผมไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้าครัวไปอุ่นกับข้าวรอ ผมหิวกระเป๋าขึ้นมาเก็บบนห้อง พอใจกับความสะอาดเรียบร้อยในแบบที่มันควรจะเป็นของในห้องเคยอยู่ยังไงตอนนี้ก็ยังอยู่อย่างนั้น ผมจัดการอาบน้ำล้างคราบสกปรกพอให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นก็ใส่กางเกงนอนกับเสื้อกล้ามลงมากินข้าวพร้อมพ่อกับน้าลดา

 

            “คินจะเอาอะไรไปมั่งจ๊ะ”น่าลดาถามผมในตอนที่ผมกำลังซดบัวลอยน้ำขิงตบท้ายมื้ออาหาร

 

            “คงไม่เอาอะไรไปเยอะครับ เอาเสื้อผ้าเอารถไปก็พอ”

 

            “แล้วมอเตอร์ไซค์ของเซ็ทล่ะ ไม่ได้อยู่หอในแล้วน้องน่าจะอยากได้รถไปขับ”

 

            “ค่อยเอาไปให้เทอมหน้าก็ได้ครับยังไงเทอมที่จะถึงนี้ผมก็ขับไปส่งมันได้”ผมบอกอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก ถ้าอยู่ด้วยกันผมไม่มีทางยอมให้มันแว๊นไปแว๊นมาแน่ๆ

 

เป็นเมียผมน่ะนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ผมเป็นสารถีก็พอแล้ว

 

หลังจากอยู่บ้านได้สองวันผมก็กลับมาเคลียร์งานที่มหาวิทยาลัยจนกระทั่งเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกในที่สุดผมก็โบกมือลาไอ้พวกเพื่อนๆแล้วเดินทางขึ้นเชียงใหม่ด้วยบีเอ็มคู่ใจ มีกระเป๋าเสื้อผ้าและกล่องของกินที่น้าลดากับพ่อเอามาให้ที่คอนโดเมื่อวานอัดแน่นเต็มท้ายรถและเบาะหลัง ไอ้เซ็ทสั่งผมว่าไม่ให้ขับรถเร็วนักและถ้าง่วงตอนไหนอย่าฝืนขับแวะงีบตามปั๊มเอาก็ได้ แต่ใจผมน่ะอยากจะไปให้ถึงมันเร็วๆ

 

ก็ผมน่ะคิดถึงมันจะแย่

 

ผมเข้าเขตเมืองเชียงใหม่ในเวลาพลบค่ำการจราจรของที่นี่ไม่ต่างจากกรุงเทพเลยซักนิดด้วยเป็นเมืองใหญ่และเป็นเมืองท่องเที่ยว รถทัวร์รถท่องเที่ยวเยอะแยะมองโหงวเฮ้งแล้วบ่งบอกว่าเป็นทัวร์จีนแน่ๆ ผมใช้เวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะขับมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยของไอ้เซ็ท เพราะว่าเรานัดเจอกันแถวนี้เพื่อจะได้เข้าหอพร้อมกัน เซ็ทมันย้ายเข้าไปพักก่อนได้หลายวันแล้ว ผมกวาดตามองหาในที่สุดก็เจอเมียของผมนั่งคุยกับไอ้ยิมและไอ้อิ้งค์เพื่อนสนิทของมันผมหยุดรถแล้วบีบแตรเรียกมัน มันรีบเดินมาหาผมพร้อมกับเพื่อนของมันเราทักทายกันสองสามคำก่อนที่ไอ้เซ็ทจะเข้ามานั่งคู่กับผมในรถ

 

            “กูล่วงหน้าไปที่ร้านก่อนนะมึงรีบตามไปล่ะป่านนี้ไอ้จีนหิวเป็นหมูบ้าแล้วมั้ง”ไอ้ยิมก้มหน้ามาเกาะกระจกบอกกับไอ้เซ็ท

 

            “เออๆ อย่าลืมสั่งกับข้าวไม่เผ็ดให้ไอ้คินด้วยนะเดี๋ยวกูพามันเอาของไปเก็บแล้วจะตามไป”ไอ้ยิมพยักหน้ารับก่อนที่มันไปโบกมือลาผมกับไอ้เซ็ท   ผมขับรถตามคำบอกทางของไอ้เซ็ทเมื่อมาถึงผมก็รู้สึกพอใจกับสภาพหอพัก สภาพหอพักเพิ่งสร้างใหม่ได้ไม่นานมีระบบรักษาความปลอดภัยดีพอใช้การเข้าออกใช้คีย์การ์ดที่สำคัญคือมีลิฟท์ ค่าเช่าต่อเดือนไม่ถึงสี่พันแต่มีเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกดีพอใช้

 

ผมรู้ว่าไอ้เซ็ทมันพยายามเดินทางสายกลางเอาที่มันและผมพอใจทั้งสองฝ่าย เซ็ทช่วยผมยกของขึ้นไปยังชั้นสามเราใช้เวลาไม่นานพอวางของไว้ที่มุมห้องเสร็จผมก็คว้าตัวมันเข้ามาจูบด้วยความคิดถึงทันที ไอ้เซ็ทผลักผมในตอนแรกเพราะตกใจก่อนจะนิ่งลงและจูบตอบผม เราแลกจูบจากความคิดถึงให้กันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมดันมันจนหลังติดกำแพงประคองใบหน้าของมันไว้แล้วดูดดึงกลีบปากบนล่างของมันสลับกันไป ปลายลิ้นสอดเข้าหาช่วงชิงแอ่งน้ำหวานสีใสอย่างโหยหาก่อนที่จะผละออกกจากกัน

 

            “กูคิดถึงมึง”

 

            “อือ...รู้แล้ว”มันตอบรับเบาๆ

 

            “บอกคิดถึงให้กูเห็นต่อหน้ามั่งสิ”

 

            “ไม่เอา”มันเบนสายตาไปทางอื่นแก้มขึ้นสีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนผมต้องประคองให้มันหันกลับมาหาตามเดิม

 

            “ทำไมล่ะทีในโทรศัพท์มึงยังบอกคิดถึงกูอยู่เลย กูอยากฟังแบบเห็นหน้ามึงอ่ะ”

 

            “ไม่เอา ของดีใครเขาพูดกันบ่อยๆ”มันยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ผมแกล้งยู่ปากทำสีหน้างอนๆใส่ เลิกตอแยแล้วหันหลังให้มันแล้วเดินมาที่ประตูทันที

 

            “งอนอีกแล้วเหรอวะ?”ผมทำเป็นไม่หันคว้าลูกบิดประตูเตรียมจะออกไปด้านนอกหากแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเอวของผมถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ไอ้เซ็ทเกยคางกับหัวไหล่ของผม ลมหายใจอุ่นๆรดต้นคอจนทำให้ผมรู้สึกร้อนไปหมด

 

            “งอนเก่งขนาดนี้มาเป็นเมียกูดีกว่ามั้ย กูคิดถึงมึงตลอดแหละทำไมต้องให้พูดพร่ำเพรื่อวะ กูก็เขินเป็น”ผมหันกลับไปหามันอีกครั้ง วางมือลงบนหัวของมันพลางจับโยกไปมาอย่างเอ็นดูกับไอ้คนที่กว่าจะพูดคำว่าคิดถึงได้แต่ละทีช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน

 

            “ไม่แดกข้าวแล้วได้มั้ย อยากกินมึงแทน”

 

สิ่งที่ได้รับกลับมาคือนิ้วกลางเด่ๆ

 

ครับ

 

เมียผมบอกไอเลิฟยูได้น่าเอ็นดูดีมั้ยครับ







.....................................................



เขาบอกไอเลิฟยูกันได้น่าเอ็นดูดีนะคะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 46 15/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 15-02-2019 06:04:16
ติดเรื่องนี้โครตงอมแงม อยากให้เปิดตัวกับพ่อแม่ซักที และที่สำคัญอย่าให้แม่เซ็ทเป็นอะไรเลยนะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 46 15/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 15-02-2019 17:28:39
...อิคินปากเสียมากท้วงน้องว่าอ้วนขึ้น  :beat:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 46 15/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 15-02-2019 18:18:10
มาแล้ว เข้ามาวันละหลายๆรอบคิดถึงคินเซ็ท :mew1:

เซ็ทบอกไอเลิฟยูได้น่าเอ็นดูมากเลยนะคินบอกซะไม่รู้จะเขินยังไงเลย :laugh:
 :c5: Happy Valentine's Day ย้อนหลังจ้า
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47 16/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 16-02-2019 22:28:22
ตอนที่ 47
#คนแมนคินเซ็ท


 เศรษฐพงศ์ :

 

ผมจิกเล็บลงบนแผ่นหลังเปลือยของไอ้คินยามที่มันขยับกายฝังตัวตนของมันเข้ามาในร่างกายของผม

 

เป็นจังหวะ

 

เข้าและออก

 

ย้ำๆไม่เว้นว่าง

 

บางครั้งนุ่มนวลราวกับเดินอยู่บนก้อนเมฆนุ่มและเย็น

 

บางครั้งร้อนแรงดุจเหล็กร้อนที่เผาไฟจนกลายเป็นสีแดง

 

ปลายเท้าของผมเกี่ยวกันล้อมรอบเอวสอบที่ขยับเขยื้อนไม่หยุดพัก

 

เหงื่อของเราไหลหยดจนชุ่มที่นอน ผิวกายร้อนผ่าวราวกับถูกแผดเผาจากดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แม้แอร์จะเย็นแต่ก็สู้อารมณ์ที่คุกรุ่นของเราทั้งสองคนไม่ได้เลย

 

ยามที่มันจ้องตาผม

 

ผมก็แทบจะละลาย

 

ผมกัดปากกลั้นเสียงร้องน่าอาย หากแต่มันกลับประกบจูบพลางดูดดึงกลีบปากของผมอย่างเอาแต่ใจ



เอาแต่ใจไปหมดทุกสิ่งอย่าง เอาแต่ใจจนผมแทบขาดใจ

 

            “คิน...แฮ่ก...”ผมเรียกชื่อมันอย่างเหนื่อยหอบ ลมหายใจของผมร้อนราวไอน้ำที่ละเหยจากน้ำที่ต้มจนเดือดจัด เชิดคอยามริมฝีปากนุ่มของมันวนเวียนอยู่แถวซอกคอและไหปลาร้า

 

            “อย่า...อย่าทำรอย”ผมร้องบอกยามความเจ็บเล็กๆเสียดเสียวที่ผิวเนื้อ มันคลายแรงลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นกัดเบาๆที่ไหล่ของผม

 

          “เบา..อื้อ...เบาหน่อย กูจะไม่ไหวแล้ว”ผมทุบหลังมันยามที่มันเริ่มขยับเอวแรงและเร็วจนร่างของผมขยับขึ้นลงไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าของมันเห่อแดงบางจังหวะคิ้วมันขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ จ้องหน้าผมนิ่งไม่ละสายตาไปทางไหนเลยซักวินาที

 

            “อีกนิด จะเสร็จแล้ว”มันว่าก่อนจะกดจูบลงบนขมับของผม เราปล่อยให้ท่วงทำนองดำเนินไปอย่างท้าทายและบ้าบิ่น บางครั้งหนักบางครั้งเบาราวจังหวะกลองจนในที่สุดทุกอย่างก็จบสิ้นลงพร้อมถุงยางอนามัยชิ้นสุดท้ายในกล่องถูกถอดออกแล้งทิ้งลงในถังขยะข้างเตียง

 

ผมเหนื่อยหอบจนควบคุมจังหวะลมหายใจไม่ได้ ไอ้คินจัดการเอากระดาษทิชชู่เช็ดคราบของผมให้จนเกลี้ยงแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆก่อนจะคว้าเอาตัวผมดึงเข้าไปกอด

 

            “ร้อน”ผมผลักมันเบาๆแต่มีหรือไอ้คนดื้อด้านจะสนใจ นอกจากไม่ปล่อยแล้วยังเสือกกอดแน่นกว่าเดิม มันพยายามคลอเคลียจูบตรงนั้นตรงนี้ มือของมันลูบต้นแขนผมเบาๆจนผมต้องถองไปซะทีหนึ่ง

 

            “พอเลย กูไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่มึงมา มึงเหมือนคนตายอดตายอยาก กูจะเดินไม่ไหวแล้วนะ” ผมว่ามัน ก็ตั้งแต่มันมาเมื่อ 3 วันก่อนผมก็แทบจะไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันเลย นอกจากตอนที่ผมร้องหิวข้าวนั่นแหละ พวกไอ้อิ้งค์กับไอ้แฝดระรัวไลน์มากวนส้นตีนผมตั้งแต่วันแรกว่าผมจะถูกข้าศึกทะลวงฟัน

 

ฟันโดยไม่ใช้มีดแต่ใช้กระบองทองที่ติดตัวมาราวหอยของพระสังข์

 

ทะลึ่งชิบหาย

 

            “ก็กูคิดถึงมึงนี่”

 

            “เผื่อมึงจะไม่รู้ ความคิดถึงสามารถแสดงออกได้หลายอย่างเช่นบอกกันตรงๆ กอดกัน จูบกัน พูดคุยกัน ความคิดถึงไม่ต้องแสดงออกด้วยการเอากันนะเว้ย”ผมเริ่มเทศนามันอย่างที่ทำอยู่บ่อยๆ

 

            “แต่มึงก็ดูชอบนี่ ทำกี่ทีก็ร้องแรงอีกๆ”มันตอบกลับอย่างหน้าด้าน นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ็บตูดผมจะถีบให้ตกเตียง

 

            “โอ๋ๆ อย่าทำหน้าบูดสิ คินขอโทษนะครับที่พูดไม่น่าฟัง ก็กูรักมึงไม่เอามึงจะให้กูไปเอาใครที่ไหน ออกไปซื้อกินดีมั้ย”มันกระชับอ้อมกอดพลางทำเสียงอ่อนเสียงหวานในตอนแรกก่อนจะจบประโยคที่ทำให้ส้นตีนผมกระตุกยึกๆ

 

            “ถ้ามึงอยากให้จู๋มึงใช้งานไม่ได้ตลอดชีวิตมึงก็ออกไปซื้อกินดูสิ กูสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญเลยว่ากูจะทุบให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศตอลดชีวิต”

 

            “วางใจเถอะ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่มึง มันก็ไม่แข็งแล้วล่ะ”มันว่าพลางจับมือของผมไม่ลูบกับน้องน้อยของมันที่เหมือนกับลูกหมา จากที่อ่อนนิ่มไปแล้วพอมือของผมแตะลงไปปุ๊บก็ทำปฏิกิริยาเริงร่าขึ้นมาทันที ผมรีบชักมือกลับพลางใช้ตีนตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง

 

            “ไม่เอาแล้ว กูไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยย”

 

เสียงไอ้คินที่กำลังใช้ความพยายามในการดึงผ้าห่มออกจากผมร้องหงิงๆเหมือนลูกหมา

 

แต่ให้มึงร้องจนคอแตกกูก็ไม่ใจอ่อนหรอก เพราะถ้าใจอ่อนคราวนี้ต้องใส่สดเพราะถุงยางหมดกล่องแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นผมแค่ยังไม่อยากหูรูดพังก็แค่นั้นเอง ไม่อยากขี้โดยไม่ต้องเบ่งอ่ะ

 

 

            คณิน :

 

          “น้องคินจ๊ะ เที่ยงแล้วไปกินข้าวกันเถอะ ถ้าไม่รู้จะไปกินที่ไหนก็ไปกินกับพี่ได้นะ”พี่แอ๋วสาวเหนือผิวขาวเหลือง ดวงตาเรียวตี่ไม่มีเหล่าเต๊งโน้มตัวมาที่โต๊ะของผม ผมอยากจะเบ้ปากเป็นรูปส้นตีนไอ้เซ็ทหากแต่ก็ต้องสำรวมกริยาไว้ ผมเอียนกับคำพูดคำจาสองแง่สองง่ามนั่นเต็มทน ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เมื่อพี่ๆคนอื่นส่งเสียงหัวเราะกันกิ๊กกั๊กราวกับนกกระจิบที่ส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ในยามเย็นเวลากลับมาเกาะบนสายไฟเรียงกัน

 

ผมเป็นแค่เด็กฝึกงาน  ไอ้เซ็ทมันสอนผมอยู่ทุกวันให้ผมลดอีโก้ ข่มความเอาแต่ใจลงแล้วทำตัวมีสัมมาคาราวะ ความไม่พอใจอะไรให้เก็บไว้ในใจแล้วไประบายกับมันหลังเลิกงาน

 

ตอนนี้ความไม่สบายใจของผมคือการที่พี่แอ๋วมาวุ่นวายกับผมมากเกินไป บางครั้งก็ด้วยคำพูด บางครั้งก็ทำตัวรุ่มร่ามถือวิสาสะมาถึงเนื้อถึงตัวของผม

 

            “พี่ๆไปทานกันเถอะครับ พอดีผมห่อข้าวมากินเอง”ผมเอ่ยปฏิเสธพลางมองไปยังปิ่นโตเถาเล็กๆที่มีสามชั้น ผมยิ้มจางๆเมื่อนึกถึงภาพที่ไอ้เซ็ทตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อลุกขึ้นมาหุงข้าวแล้วทำกับข้าวง่ายๆที่กระทะไฟฟ้าจะทำได้

 

ไม่ใช่อาหารหรูหราอะไรมีเพียงไข่เจียวกับผัดผักที่มันใส่ถุงพลาสติกมัดหนังยางราวแม่ค้ามืออาชีพในตลาดกับข้าวหอมมะลิที่หุงสุกกำลังดี

 

            “โอ๊ยตายแล้ว สมัยนี้ยังมีคนห่อข้าวมากินเองอีกเหรอจ๊ะ ยังกับเด็กอนุบาลเลย ใครทำให้จ๊ะสั่งร้านทำให้หรือแม่ทำให้เอ่ย?”พี่แอ๋วพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ดวงตาที่ฉาบเครื่องสำอางนั้นวิบวับราวกับสิ่งที่ได้ยินได้เห็นนั้นตลกเสียเต็มประดา

 

ผมสูดหายใจลึกๆดึงความไม่พอใจกลับลงไปในอกก่อนจะตอบกลับเรียบๆว่า

 

            “แฟนผมทำให้ครับ”

 

จบนะ...

 









 

            ผมนั่งมองไอ้เซ็ทแยกผ้าขาว ผ้าสี เสื้อ กางเกง รวมทั้งชั้นในของเราสองคนอย่างเงียบๆ มันเป็นเด็กผู้ชายที่ทำงานบ้านได้คล่องแคล่วพอสมควรในขณะที่ผมทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง  ห้องหับสะอาดสะอ้านจนแทบหาฝุ่นไม่เจอ จานชามที่กินเสร็จมันก็เก็บล้างทันทีไม่เคยค้างไว้ในอ่างล้านจานเลยซักครั้ง ต่างจากผมที่เมื่อก่อนผมก็แค่กินเสร็จแล้วก็เอาไปวางไว้ เดี๋ยวแม่บ้านที่จ้างไว้ก็เข้ามาเก็บล้างให้เอง  แค่มีเงินบ้านช่องห้องหับก็สะอาดได้ราวเนรมิต

 

แต่อำนาจเงินหรือจะสู้อำนาจเมีย ทันทีที่ผมบอกว่าจะจ้างแม่บ้านมาทำให้มันก็ค้านหัวชนฝาทันที

 

            “มึงจะบ้าเหรอจะเสียเงินจ้างคนอื่นมาทำๆไม ห้องก็แค่นี้ทำกันเองแป๊บเดียวก็เสร็จ”

 

            “ก็กูอยากให้มึงสบาย อย่างน้อยก็ช่วงที่อยู่กับกูก็ยังดี”

 

            “แต่กูอยากให้มึงประหยัด อย่างน้อยก็ช่วงที่อยู่กับกู ลองใช้เงินน้อยๆใช้แรงทำดูเองมันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเลย ทำแป๊บๆก็เสร็จแล้ว มึงคิดดูถ้ากูสบายตอนอยู่กับมึงแล้วกูเสือกติดสบายพอมึงกลับไปกูก็ต้องมาทำเองกูนี่แหละจะลำบาก เพราะพอขี้เกียจก็ไม่อยากจะทำอะไรแล้ว”มันบ่นเหตุผลยาวเหยียดยังกะเส้นทางรถไฟจากกาญจน์มาเชียงใหม่

 

สุดท้าย ผมจึงต้องยอมแพ้

 

ตั้งแต่คบกันผมก็ไม่เคยจะชนะอะไรมันอยู่แล้วนี่นอกจากชนะใจมัน

 

ฮิ้วววววว คิดแล้วจั๊กจี้ใจ

 

หลังเอาผ้าลงเครื่องปั่นไอ้เซ็ทก็เดินไปนั่งจุ้มปุ๊กที่โต๊ะเขียนแบบ วันนี้วันหยุดเราเลยไม่รีบร้อนอะไร งานของมันเห็นว่ารุ่นพี่ที่บริษัทเร่งมาจนเวลาเกือบเก้าโมงเช้าผมจึงวางโทรศัพท์ที่เพิ่งจะลงแรงค์ตีป้อมกับพวกไอ้แดนไอ้แพทไอ้แพรไอ้อ้นเสร็จทิ้งลงบนเตียงแล้วเดินเข้าไปในครัว ผมหยิบหม้อหุงข้าวขึ้นมา หันซ้ายแลขวาก็เห็นปี๊บใส่ข้าวสารใบเล็กๆวางอยู่มุมในสุดของเค้าท์เตอร์ในครัว ผมตวงข้าว 2 แก้วอย่างที่เคยเห็นไอ้เซ็ททำแล้วเปิดน้ำใส่เอามือลงไปแกว่งๆพอเป็นพิธี

 

            “ทำไร?”ผมสะดุ้งเมื่อไอ้เซ็ทมาพูดอยู่ข้างหลัง

 

ไอ้ห่ามาตอนไหนตกใจหมด

 

            “หุงข้าว”ผมตอบพลางเปิดน้ำใส่ลงไปอีกหน

 

            “ต้องซาวหลายๆครั้งสิ เดี๋ยวสกปรก”

 

            “แต่กูเคยเรียนมาเขาให้ซาว 2 หน ซาวหลายครั้งไม่ได้ธาตุอาหารจะหายหมด”

 

            “ช่างแม่งธาตุอาหาร ไม่รู้โดนขี้ตีนใครเหยียบมามั่งซาวหลายๆรอบมันจะได้เกลี้ยงๆ มานี่กูทำเอง หิวทำไมไม่บอก”มันว่าพลางฉวยเอาหม้อข้าวไปจากมือของผม แต่ครั้งนี้ผมแย่งคืนมา

 

            “กูไม่ได้หิว กูแค่อยากช่วยมึงทำงานบ้านบ้าง ตั้งแต่มาอยู่นี่มึงทำอยู่ฝ่ายเดียว”ผมแอบเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของมันวูบหนึ่งแต่มันก็กลืนหายไปแทบจะทันทีที่ไอ้เซ็ทเอาตูดพิงกับเค้าท์เตอร์ไว้ มันกอดอกหลวมๆแถมปรายตามองราวกับจะเยาะเย้ย ไหนจะน้ำเสียงที่ท้ายประโยคปัดขึ้นสูงแสนกวนส้นตีนนั่นอีก

 

          “จะกินได้เร้ออออ??”น่าตีปากเหลือเกิ๊นนนนนนนนน

 

            “อ่ะๆ ใส่น้ำขนาดนั้นมึงจะหุงข้าวต้มเหรอ”มันว่าเมื่อปริมาณน้ำในหม้อสูงจนเกือบครึ่งหม้อ

 

            “กูแค่จะซาวอีกรอบ”ผมแก้เขินด้วยการอ้างว่าจะซาวข้าวอีกรอบก่อนจะใส่น้ำเข้าไปใหม่

 

            “น้ำน้อยขนาดนั้นข้าวดิบกินเข้าไปได้นอนตดทั้งคืนแน่ๆ”ผมถอนหายใจจนเกิดเสียงดัง ไอ้เซ็ทหัวเราะก๊ากออกมาทันทีก่อนจะขยับตัวมายืนเบียดกับผมจนไหล่และแขนของเราสองคนชนกัน

 

            “มานี่กูจะสอน”มันว่าพลางจับมือของผมขึ้นมาไว้ระดับสายตา

 

            “เวลาหุงข้าวมึงเอานิ้วชี้วางไว้บนผิวของข้าวแบบนี้”มันว่าพลางจับมือของผมจัดท่าทางให้เหลือเพียงนิ้วชี้นิ้วเดียวก่อนจะจิ้มลงไปบนผิวข้าวสาร

 

            “พอมึงจิ้มลงไปแบบนี้มึงก็ใส่น้ำให้เสมอข้อนิ้วข้อแรก”มันเปิดน้ำจนถึงระดับข้อนิ้วของผม

 

            “แค่นี้แล้วมึงก็เช็ดหม้อให้แห้งเสร็จเอาไปใส่แล้วเสียบปลั๊กกดหุงได้เลย”  ผมทำตามที่มันสอนอย่างว่าง่ายเราะยังไงเสียเชื่อฟังคนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็น่าจะเวิร์คกว่า

 

            “งั้นก้ทำกับข้าวเลยก็แล้วกันจะได้เสร็จทันข้าวสุก มันขยับตัวเดินไปเปิดตู้เย็น ยืนเกาคางมองวุตถุดิบในตู้เย็นที่เราเพิ่งแวะซื้อกันที่ตลาดเมื่อเย็นวาน

 

มันกำลังประมวลผลว่าจะทำอะไรดี

 

            “ไข่เจียวใส่มะเขือเทศมั้ย?”

 

            “ไม่เอามะเขือเทศแม่งเปรี้ยว”ผมส่ายหน้าคัดค้านเมนูแรกของมันทันที

 

            “แล้วมึงอยากกินอะไร?”เช่นเดิมมันยังถามความต้องการของผมก่อนเสมอ

 

            “ไข่น้ำก็แล้วกัน”ผมบอกเมนูที่ทำง่ายๆไป  ผมจำได้ว่าสองวันก่อนมันบ่นอยากกินไข่น้ำแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำซักที

 

            “ไหนเมื่อวานมึงบอกอยากกินแกงจืดเต้าหู้หมูสับ”ผมหันมาเถียงผมจนขี้แมลงวันข้างแก้มขยับตามปาก

 

            “วันอื่นค่อยทำวันนี้เอาไข่น้ำก่อน”

 

            “เออๆ ไข่น้ำก็ไข่น้ำ ดีเหมือนกันกูก็อยากกินอยู่พอดี”มันจัดแจงหยิบไข่ไก่ออกมาจากตู้เย็น 3-4 ฟอง

 

            “มึงจะกินน้ำพริกอ่องเลยป่าว”ผมถามมัน เมื่อวานมันซื้อน้ำพริกอ่องมาถุงหนึ่งไอ้เซ็ทพยักหน้าผมเลยเดินไปหยิบผักออกมาเพื่อช่วยล้างให้

 

            “ผักกาดขาวนี่ล้างยังไง”

 

            “หั่นตูดมันออกแล้วล้างทีละกลีบเบาๆ”ผมหยิบมีดมาหั่นอย่างเงอะงะ

 

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเข้ามาทำกับข้าวเลยซักครั้ง

 

เคยทำอยู่บ้างตอนวิชางานบ้านช่วงเรียนชั้นประถมหก เวลาไปเข้าค่ายผมรับหน้าที่จุดไฟอะไรไปตามเรื่องตามราวยังไงเดี๋ยวไอ้แดนมันก็ทำให้หมด

 

            “ล้างเสร็จแล้วใส่กะละมังไว้นะแล้วก็ช่วยหั่นต้นหอมคื่นช่ายให้หน่อย”ไอ้เซ็ทจัดการตีไข่ปรุงรสด้วยน้ำปลาตั้งกระทะจนร้อนใส่น้ำมันพืชลงไปพอประมาณผมเห็นมันเอาส้อมที่มีไข่ติดปลายช้อนหยดลงไปในน้ำมันพอไข่แตกตัวฟูดีมันก็เทพรวดลงไปทั้งชามไข่ก็ฟูฟ่องขึ้นรูปสวยหอมฟุ้งไปทั้งห้อง ผมเริ่มจัดการหั่นผักให้มันตามที่บอกแต่ครั้งนี้ไม่ง่ายเลยเมื่อผมดันโง่ทำมีดบาดนิ้วตัวเองจนสะดุ้งเฮือกไอ้เซ็ทที่ตักไข่ใส่จานเสร็จพอดีหันมามองผมก่อนจะรีบผิดแก๊สแล้วคว้ามือของผมไปดู

 

เลือดสีแดงไหลซึม

 

            “โอ๊ยไอ้คิน ทำไงของมึงให้มีดบาดเนี่ย”มันทำเสียงดุจิ๊จ๊ะใส่ผมก่อนจะลากมือของผมไปที่ซิ้งค์ล้างจานแล้วเปิดน้ำใส่ล้างแผลให้ผม

 

            “มึงนี่นะโตเป็นควายแล้วแต่ทำอะไรไม่รู้จักระวัง มานี่”มันด่าผมเสร็จก็ลากผมไปนั่งที่โซฟาเดินหายเข้าไปในห้องแล้วหยิบกล่องพลาสติกติดมือมาด้วยมันทำแผลให้ผมอย่างคล่องแคล่วปิดท้ายด้วยพลาสเตอร์ลายการ์ตูนแบบที่ผมไม่คิดว่าคนอย่างมันจะใช้

 

            “นั่งนี่แหละไม่ต้องช่วยอะไรแล้ว เดี๋ยวกูทำเสร็จจะยกมาถวาย”ผมไม่ได้ดื้อดึงที่จะเข้าไปช่วยอีกเพราะดูแล้วเหลือแค่มันเอาไข่ใส่น้ำแล้วปรุงก็เสร็จแล้ว กลิ่นข้าวหอมโชยมาเรียกให้น้ำย่อยในท้องเริ่มทำงาน ไอ้เซ็ทใช้เวลาอีกราวสิบนาทีทุกอย่างก็พร้อม กับข้าวง่ายๆมีแค่ไข่น้ำและน้ำพริกอ่องกับกะละมังผักที่เยอะจนเหมือนจะเลี้ยงคนได้ทั้งประเทศถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะตามด้วยข้าวสวยหอมๆร้อนๆ

 

            “เอาผัดผักเพิ่มอีกจานมั้ย มึงไม่กินเผ็ดนี่”มันถามเมื่อเห็นกับข้าวบนโต๊ะน่าจะน้อยไปแล้วน้ำพริกอ่องน่าจะเผ็ดเกินกว่าที่ผมจะกินได้ แต่ผมห้ามมันไว้

 

            “แค่นี้ก็พอแล้ว”เราเริ่มลงมือกินข้าวเช้ากัน ไข่น้ำของไอ้เซ็ทไม่จืดและไม่เค็มจนเกินไป ซดน้ำซุปร้อนๆโคตรอร่อยผมวิดน้ำจนข้าวในจานแทบจะกลายเป็นข้าวต้มส่วนไอ้เซ็ทดูจะเอร่ดอร่อยกับน้ำพริกของมัน

 

            “ไว้กูจะทำให้มึงกินเองเอาแบบไม่เผ็ดมึงน่าจะกินได้ มันเหมือนหมูสับผัดกับมะเขือเทศแต่ไม่ได้เปรี้ยวอ่ะ”

 

            “ไว้มึงว่างค่อยทำ”เรานั่งกินข้าวจนอิ่มแปล้ผมก็ลุกขึ้นฉวยจานจากมือมันมาไว้กับตัวผมเอง

 

            “กูล้างให้”

 

อีกครั้งที่ไอ้เซ็ทแอบยิ้มแต่คราวนี้เหมือนมันจะหุบยิ้มไม่ทันเรามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะใส่กันเบาๆ ผมเดินมาล้างจานส่วนมันเดินตามมาเปิดตู้เย็นหยิบองุ่นไข่ปลาที่ล้างใส่กล่องแช่ไว้ตั้งแต่เมื่องานออกมาหยิบใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ

 

            “กินป่ะ?”มันถามผมพลางชูองุ่นให้ดู

 

            “กิน”ผมตอบในขณะที่มือก็ยังลูบฟองน้ำกับจานไม่ได้หยุด ไอ้เซ็ทยื่นองุ่นลูกเล็กมาจ่อปาก

 

            “ปอกให้ด้วย”

 

            “องุ่นไข่ปลาบ้านพ่อมึงสิกินต้องปอกอ่ะไอ้ห่า”มันโวยใส่ผมจนผมหัวเราะก๊าก

 

            “กูล้อเล่น”ผมอ้าปากรับองุ่นเข้าปากเคี้ยวตามมัน ถ้าให้มันปอกให้สงสัยมันจะเอาองุ่นยีหัวผมแน่ๆ ถึงแม้ปกติผมกินองุ่นต้องปอกเปลือกแต่อีพันธุ์นี้ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน

 

หวานอมเปรี้ยว

 


เหมือนไอ้เซ็ทไม่มีผิด



.....................................



ไม่จบให้น้องเซ็ทมาตบนะชะนี!!!



รักเมียต้องช่วยเมียอย่าให้เมียต้องลำบาก

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:00:00
ตอนที่ 48









          “น้องคินจ๊ะ เย็นนี้งานวันเกิดหัวหน้า เบี้ยวไม่ได้นะจ๊ะ”อรอุมาหรือพี่แอ๋วเดินมาถือวิสาสะแตะต้นแขนของคณินที่นั่งเขียนแบบอย่างขะมักเขม้นอยู่หน้าคอม ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉับอย่างไม่ชอบใจ

 

อดทน คำๆนี้ลอยเข้ามาในหัวเหมือนภาพหลอนวันละร้อยครั้ง เขารำคาญเพื่อนร่วมงานคนนี้จนแทบบ้าถ้าเป็นเมื่อก่อนอรอุมาคงถูกด่าแรงๆไปแล้ว

 

            “มึงต้องอดทนเวลาไม่พอใจใครหรือไม่พอใจอะไร สังคมการทำงานมันต่างจากสังคมตอนที่เราเรียนทุกอย่างมีผลกับอนาคตมึงหมด”

 

เขาอดทนอดกลั้นตามที่เศรษฐพงศ์บอก ชายหนุ่มกลั้นหายใจก่อนจะค่อยๆแกะมือหญิงสาวออกอย่างสุภาพ

 

            “ทราบแล้วครับ”

 

            “ถ้างั้นเย็นนี้พี่ขอติดรถน้องเซ็ทไปด้วยได้มั้ยจ๊ะ”หญิงสาวถือโอกาสขอติดรถไปด้วย รถของคณินน่ะหรูจะตายถ้าได้นั่งไปคู่กันมันจะกระพือข่าวได้เลยว่าหล่อนกับเด็กฝึกงานเป็นคนพิเศษกันแต่ฝันของอรอุมาก็สลายภายใน 1 วินาที

 

            “คงไม่ได้หรอกครับ ผมต้องไปรับแฟนกลับบ้านก่อนแล้วค่อยตามไปที่ร้านทีหลัง”อรอุมาหน้าตึงขั้นมาทันทีก่อนจะปรับให้กลับมาเป็นหญิงสาวพูดจาอ่อนกวานอีกครั้ง

 

            “โอเคจ้างั้นเดี๋ยวพี่ติดรถคนอื่นไปก็ได้จ้า ไว้เจอกันตอนเย็นนะจ๊ะ”อรอุมาเดินกลับไปทำงานที่โต๊ะของตัวเองตามเดิม คณินหยิบทิชชู่เปียกบนโต๊ะมาเช็ดแขนเช็ดมือแล้วโยนทิ้งลงถังขยะใบเล็กใต้โต๊ะอย่างไม่ใยดีโดยที่อรอุมาไม่เห็นหากแต่นิดาที่นั่งเยื้องไปมองเห็นทุกการกระทำ หญิงสาวหันไปมองอรอุมาที่นั่งท้าวคางมองเด็กหนุ่มอย่างอิดหนาระอาใจ

 

เด็กมันขยะแขยงตัวเองขนาดนี้ยังไม่รู้สึกอีก ในฐานะที่หล่อนเป็นเพื่อนนิดาจึงหาโอกาสเพื่อที่จะเตือนอรอุมา ดังนั้นในตอนเย็นหลังเลิกงานเมื่ออรอุมาเดินไปแต่งหน้าเพิ่มในห้องน้ำหล่อนจึงตามเข้าไปด้วย อรอุมาหยิบแป้งขึ้นมาเติมในขณะที่นิดาแสร้งทำเป็นล้างมือ

 

            “แอ๋ว ฮาว่าคิงยั้งเต้อะ บ่ต้องไปยุ่งกับน้องคินเขาแล้ว มึงผ่อหน้าน้องเขาเหียก่อน สีท่าจะรำคาญมึงขนาดเวลามึงไปหยุบเนื้อหยุบตัวเขาอ่ะ”

((ฉันว่าแกเลิกไปเกาะแกะกับน้องคินเค้าได้แล้วมั้งแอ๋ว ดูน้องจะรำคาญแกนะ สีหน้านี่ออกเลยว่าไม่ชอบเวลาที่แกไปโดนตัวเขาน่ะ))

 

          “ไม่เลิก”

 

          “แต่น้องเขามีแฟนแล้วหนา”

            ((“แต่น้องมันมีแฟนแล้วนะ”))

 

          “มีแฟนแล้วจะใด บ่มีแฟนแล้วจะใด มีได้กะเลิกได้ว่ะยังบ่ได้เป๋นผัวเป๋นเมียเตื้อ”

            (("มีแฟนแล้วยังไง ไม่มีแฟนแล้วยังไง มีได้ก็เลิกได้ยังไม่ได้เป็นผัวเมียกันซักหน่อย" ))

 

          “ฮาตึงบ่อยากหื้อคิงกึ๊ดจะอี้เลยแอ๋ว มันบ่ได้เป๋นมือตี้สามมันบ่ม่วน ผ่อกะฮู้ว่าน้องเขาฮักแฟนเขาจะต๋าย ข้าวกะกิ๋นตี้แฟนยะหื้อ มึงยั้งเต้อะ กูอายน้องเขา ไปตื้อเขาอยู่ได้”

(("ฉันไม่อยากให้แกคิดแบบนี้เลยแอ๋ว มันไม่ได้เป็นมือที่สามอ่ะไม่สนุกหรอก แล้วดูก็รู้ว่าน้องมันรักแฟนยังกับอะไรดี ข้าวก็กินที่แฟนทำให้ แกพอเถอะ ฉันอายน้องมันไปตามตื้ออยู่ได้"))

 

          “มึงนี่หัวโบราณง่าว บ่หันตวยกะอยู่เฉยๆ กูตึงบ่ยั้ง”

            (("แกนี่หัวโบราณจริ๊ง ไม่เห็นด้วยก็อยู่เฉยๆไป ฉันไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆแน่"))

 

          “โดนมันหลกหงอกหมดหัวกะบ่ต้องมายืมปี๊บกูไปเด้อ”

            (("โดยน้องมันถอนหงอกขึ้นมาก็อย่ามายืมปี๊บไปคลุมหัวก็แล้วกัน"))

 

            “มันตึงบ่มีวันนั้น”

            ((“มันจะไม่มีวันนั้น”))

 

อรอุมาปิดฝาลิปสติกด้วยความไม่พอใจใส่กระเป๋า หล่อนปรายตามองนิดาก่อนจะเดินชนไหล่เพื่อนออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

 

คณินปิดคอมพลางเก็บของ ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาวันนั้นเขาทำงานเลทไปเกือบครึ่งชั่วโมงป่านนี้ไม่รู้เศรษฐพงศ์จะเบื่อที่ต้องรอให้เขาไปรับแล้วหรือยัง ล่ำลาพี่ๆที่ทำงานตามมารยาทตอกบัตรเสร็จก็แทบจะพุ่งไปที่ลานจอดรถ ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่ทำงานของเศรษฐพงศ์ ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคนรักทันที

 

            “เซ็ทก็มาถึงแล้วนะ”

 

            “เออๆเดี๋ยวลงไปรอแป๊บ”ราวๆ 5 นาทีเศรษฐพงศ์ก็เดินลงมาหาคณินที่รถ ชายหนุ่มคิ้วกระตุกเมื่อเห็นคนที่เดินลงมากับเศรษฐพงศ์คือไอ้รุ่นพี่หน้าขาวที่เขาเกลียดขี้หน้านักหนา  มิ่งกมลคุยอะไรซักอย่างกับเศรษฐพงศ์ทั้งสองคนหัวเราะให้กันก่อนจะแยกย้าย คณินเก็บความขุ่นมัวไว้ในใจก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ รถุยนต์คันหรูขับผ่านมิ่งกมลที่เดินไปเอามอเตอร์ไซค์ของตัวเองราวกับอยากจะให้มิ่งกมลรู้ว่าสำหรับเศรษฐพงศ์น่ะเหมาะกับการได้นั่งบนรถที่สบายๆแบบนี้ต่างหากล่ะ หากแต่เศรษฐพงศ์กลับเปิดหน้าต่างรถแล้วตะโกนคุยกับมิ่งกมลซะนี่

 

            “ขับดีๆนะพี่มิ่งอย่าไปแวะข้างทางซะล่ะ”

 

มันน่าตีให้จมเตียงจริงๆไอ้เด็กนี่!!!

 

            “เดี๋ยวแวะห้างก่อนนะ วันนี้กูต้องไปกินเลี้ยงวันเกิดหัวหน้าว่าจะซื้อของขวัญให้เขาซักหน่อยมึงช่วยกูเลือกที”คณินขับรถมาจนถึงห้างสรรพสินค้า ทั้งสองเดินเลือกของขวัญให้กับหัวหน้างานจนในที่สุดก็ได้ปากกาหนึ่งด้ามพาเศรษฐพงศ์แวะซื้อหาหารเข้าที่พักแล้วจึงกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง

 

            “มึงจะกลับดึกมั้ย?”เศรษฐพงศ์ก้มลงเก็บกองเสื้อผ้าที่คณินถอดกองไว้บนพื้นไปใส่ตะกร้าในขณะที่เจ้าตัวเดินโทงๆเปลือยกายออกมาจากห้องน้ำเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวแล้วเลือกชุดที่จะใส่

 

            “คงไม่ดึกมากอยู่พอเป็นพิธีแล้วจะกลับเลย ไม่อยากอยู่นานรำคาญคน”

 

            “ถ้าไม่ดึกมากแวะซื้อน้ำเต้าหู้มาด้วยนะ อยากกิน”

 

            “เออได้ ผัวไม่อยู่ก็อย่าแอบไปกิ๊กกั๊กกับใครนะจ๊ะถ้าเฮียรู้เฮียเอาตายจริงๆด้วย”คณินแกล้งโยกหัวคนน้องไปมาแต่ผลที่ได้คือเศรษฐพงศ์ต่อยอั่กเข้าที่หน้าท้องแม้จะไม่หนักแต่ก็ไม่เบาพอเล่นเอาจุกๆไปได้เหมือนกัน

 

            “เห็นแก่ที่มึงต้องใช้หน้าหล่อๆไปกินเลี้ยงนะไม่งั้นกูต่อยปากแตกไปแล้ว ไปได้แล้วไอ้เหี้ยเป็นเด็กเป็นเล็กไปร่วมงานสายไม่ดีแล้วคราวหลังอย่าเดินแก้ผ้าตัวเปียกออกมาอีกนะกูขี้เกียจมาไล่เช็ดตามหลังเนี่ยไอ้สันดาน”คนน้องบ่นอุบพลางนั่งเช็ดรอยน้ำที่หยดเป็นทาง คณิณย่อตัวลงแล้วฝังปลายจมูกกับแก้มของเศรษฐพงศ์อย่างฉวยโอกาสก่อนจะโดนต่อยหน้าแน่ๆในคราวนี้ชายหนุ่มก็หลบฉากออกมาอย่างว่องไว

 

            “ไปแล้วๆ”ยกมือยอมแพ้เมื่อเศรษฐพงศ์ที่ท่าจะปาผ้าขี้ริ้วในมือใส่ ชายหนุ่มมาถึงร้านอาหารเกือบสองทุ่มเดินตามเข้าไปด้านในก็เห็นโต๊ะตัวยาวมีพนักงานในบริษัทนั่งกันครบมีเก้าอี้เหรอว่างไว้ติดกับอรอุมา แอบเบะปากเล็กน้อยแต่ก็ต้องรีบไปสวัสดีพี่เจ้าของงาน  บรรยากาศงานเลี้ยงเป็นไปด้วยความเป็นกันเอง รุ่นพี่ที่ไม่ค่อยได้คุยกันก็เริ่มทำความรู้จักเขามากขึ้น มีบ้างที่ถามเรื่องส่วนตัวเขาก็ตอบแบบกว้างๆ อรอุมาผสมเหล้าให้เขาหลายแก้วจนในที่สุดคณินที่เริ่มมึนๆก็ร้องห้าม

 

            “พอแล้วครับพี่แอ๋วผมต้องขับรถ”

 

            “แค่นี้เองน้องคินไม่เมาหรอก”หญิงสาวคะยั้นคะยอเกาะแขนจงใจใช้หน้าอกเสียดสีกับแขนของคณินเด็กหนุ่มพยายามจะป้อนเหล้าให้กับชายหนุ่มรุ่นน้องจนคณินเผลอเกาะมือหล่อนแล้วผลักออกจากตัว เหล้ากระฉอกหกใส่อรอุมาและคณินเกือบหมดแก้ว

 

            “ว้ายตายแล้ว”หญิงสาวรีบหยิบทิชชู่มาซับเหล้าที่เปื้อนใบหน้า คณินพ่นลมหายใจออกจากริมฝีปากอย่างโมโห

 

เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้เลย

 

ให้ตายสิ

 

            “พี่ยศผมว่าผมกลับก่อนดีกว่าครับ”คณินยกมือไหว้พี่ๆทุกคนบนโต๊ะยกเว้นอรอุมาชายหนุ่มเดินดุ่มมาที่รถแต่แล้วต้นแขนก็ถูกรั้งไว้ เมื่อเห็นว่าเป็นใครต่อความอดทนของคณินก็ใกล้แตกเต็มที

 

            “น้องคิน มาคุยกับพี่แอ๋วก่อน”

 

            “ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่”คณินเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ อรอุมาใช้จังหวะนั้นเข้าไปนั่งลงบนตักเด็กหนุ่ม หล่อนคล้องแขนกับลำคอของคณินในขณะที่เด็กหนุ่มนั่งนิ่งยามก้นของหญิงสาวบดเบียดอยู่กับส่วนกลางกายของตน

 

            “พี่แอ๋วชอบน้องคินจริงๆนะคะ”

 

            “แต่ผมมีแฟนแล้ว”

 

            “เราแอบคบกันก็ได้นี่”หล่อนคลอเคลียอยู่กับซอกคอของคณินแสร้งพ่นลมหายใจรดต้นคออย่างยั่วยวน

 

            “นั่นเท่ากับพี่ชวนผมเล่นชู้เลยนะครับ”

 

            “มาลองดูก่อนมั้ยเผื่อน้องคินจะติดใจพี่ ถึงวันนั้นเราค่อยมาคบกันสองคนก็ได้”

 

            “พี่แอ๋วครับ”คณินเอ่ยเรียกหญิงสาวเสียงเรียบ

 

            “หืม?”อรอุมาจ้องตาคณินรอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาที่หล่อนหลงใหล คณินจับมือที่กำลังเลื้อยเข้าไปในขอบกางเกงของเขาไว้ก่อนจะบังคับให้มันแตะลงไปตรงๆ

 

            “ถ้าไม่ใช่แฟนผม ต่อให้พี่แก้ผ้าต่อหน้ามันก็ไม่แข็งหรอกครับ แล้วก็ลงไป!!”ไม่พูดพร่ำทำเพลงคณินก็เหวี่ยงอรอุมาออกจากตักลงไปนั่งกลิ้งอยู่ที่พื้น ปิดประตูแล้วออกรถไปทันทีโดยไม่สนใจหญิงสาวที่นั่งจุกอยู่ที่พื้นเลยซักนิด ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงหอพัก เดินเซเล็กน้อยเพราะความมึน ถ้าจะให้เดาอรอุมาคงกะที่จะมอมเหล้าเขาแน่ๆ เคาะห้องสองสามครั้งเศรษฐพงศ์ก็มาเปิด คณินโผเข้ากอดคนน้องทันทีจนเศรษฐพงศ์แทบจะเซไปข้างหลังดีที่ว่าคณินกอดเอวของเขาไว้แน่น

 

            “เมาเหรอ?”

 

            “อืม...เมา”

 

            “เข้าห้องมาก่อนเดี๋ยวกูพาไปนอน”เศรษฐพงศ์ประคองคณินให้มาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงถอดรองเท้าและถุงเท้าให้

 

            “รอแป๊บนะเดี๋ยวกูเช็ดหน้าเช็ดตัวให้จะได้สบายตัว”เศรษฐพงศ์หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเข้าไปชุบน้ำในห้องน้ำก่อนจะมานั่งลงบนเตียงใกล้ๆกับคณินที่นอนมองหน้าเขานิ่ง เช็ดใบหน้าให้อย่างแผ่วเบาปลดกระดุมเสื้อเพื่อจะเช็ดตัวให้ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง

 

            “ไอ้คิน”

 

            “หืม?”

 

            “รอยลิปสติกใครที่ปกเสื้อของมึงอ่ะไอ้เหี้ย!!”



 

            คณิน:

 

 

“รอยลิปสติกที่ปกเสื้อมึงของใครอ่ะไอ้เหี้ย!!”

 

อ๊าว ชิบหาย!! ผมรีบก้มมองปกเสื้อตัวเองพลางสลับมามองหน้าไอ้เซ็ท

 

อีพี่แอ๋ว มึงนะมึง สลัดออกไปได้ยังอุตส่าห์ทิ้งเชื้อไฟไว้ให้กูอีกอีสันดาน แล้วดูไอ้เซ็ทสิครับ ตาเขียวปั๊ดกำคอเสื้อผมแน่นแถมดึงจนตัวผมลุกจากเตียงไปอยู่ใกล้ๆกับหน้ามัน ไอ้เซ็ทก้มลงดมตามตัวผมทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมาตำรวจ บรรยากาศในห้องเหมือนมีพายุกำลังก่อตัว มันเย็นแบบที่แอร์ก็สร้างความเย็นแบบนี้ไม่ได้

 

ไอ้เซ็ทน่ะ เวลาหึงน่ากลัวขนาดไหนไม่มีใครรู้หรอก มันอาจจะไม่ค่อยแสดงออกในเรื่องของความรัก แต่เรื่องของความหึงน่ะยิ่งกว่าลมบ้าหมูซะอีก

 

            “กลิ่นน้ำหอมใคร!!”

 

            “ซ...เซ็ท มึงฟังกูก๊อน!!”ผมรีบร้องเสียงหลงเมื่อไอ้เซ็ทเงื้อมือขึ้นมา

 

            ผลั่วะ!!

 

แต่คำอ้อนวอนของผมคงช้าไปเมื่อฝ่ามืออรหันต์ของมันซัดผลัวะเข้าที่กกหูของผมเต็มๆจนหน้าของผมชาไปทั้งแถบ

 

เมียจ๋าหันหลังฟังผัวซักนิ๊ดดดดดด!!!

 

            “มันไม่ใช่อย่างที่มึงคิดเว้ยเซ็ท”ผมรีบจับมือของมันที่จะซํดลงมาอีกรอบไว้พลางรีบแก้ตัวเป็นพัลวัล

 

โธ่ ทูนหัวจ๋า ตั้งแต่มีมึงก็ก็ไม่เคยชายตาแลใครเลยซักนิด ข้อนี้มึงก็น่าจะรู้ดี

 

            “แล้วรอยเหี้ยนี่มาติดปกเสื้อมึงได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเหมือนละครอ่ะ อุ๊ยบังเอิญเดินชนกัน ชนได้แม่นนะ ชนมาแถวซอกคอเนี่ย”

 

            “มันไม่ใช่ความบังเอิญ มึงสงบก่อนแล้วฟังกุ”คณินใช้แรงทั้งหมดที่มีรวบร่างน้องไว้แล้วใช้สีหน้าจริงจัง ซีกแก้มยังคงชาๆยิบๆ แต่ถ้าไม่อธิบายกันในตอนนี้เศรษฐพงศ์ก็อาจจะงอนเขาข้ามวันข้ามคืนบรรยากาศที่อยู่ด้วยกันก็จะแย่ไปด้วย

 

            “อ่ะ มึงพูดมา กูจะฟัง”เมื่อเศรษฐพงศ์อนุญาตคณินก็ฉวยโอกาสหอมฟอดที่แก้มยุ้ยๆของเศรษฐพงศ์ทันที

 

            “เอ๊ะไอ้เหี้ยนี่กูให้มึงพูดไม่ได้ให้มาหอมแก้มกู มึงจะรีบพูดดีๆก่อนที่กูจะเอาเลือดหัวมึงออกมั้ยไอ้คิน”

 

            “พูดๆๆ พูดแล้วๆๆ คือที่ทำงานกูอ่ะมันมีป้าคนหนึ่งชอบมาเกาะแกะกูเค้าชื่อพี่แอ๋ว เวลามาพูดกับกูที่โต๊ะก็ชอบมาแตะเนื้อต้องตัว ชอบชวนกูไปกินข้าวกลางวัน ชอบทักไลน์มาแต่กูก็ไม่เคยตอบป้าแกเลยนะเว้ย ข้าวกลางวันกูก็ไม่ไปกินด้วยกูบอกเค้าว่ากูจะกินข้าวที่แฟนห่อมาให้ แต่วันนี้อ่ะ กูเลี่ยงป้าแกไม่ได้จริงๆแกเล่นตามมาประชิดถึงรถพอได้จังหวะกูก็ผลักแกออกจากรถแล้วกลับมาหามึงนี่ไง กูอยากเตะป้าแกหลายรอบแล้วแต่กูก็นึกถึงที่มึงคอยสอนกูว่าให้อดทน กูไม่รู้ว่าที่ทำไปมันจะมีผลกับการประเมินการฝึกงานหรือเปล่า แต่เซ็ท ตั้งแต่กูรู้ตัวว่าชอบมึงกูก็ไม่เคยมองใครเลยนะเว้ย กูรักมึงคนเดียว”

 

            “มันจับมึงตรงไหนบ้าง มันกอดมันหอมมึงตรงไหนบ้าง กูจะเป็นหมากูจะสร้างสัญลักษณ์ทับที่มันเอง”ผมมองไอ้เซ็ทที่ตาลุกวาวพลางลอบกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ไอ้เซ็ทไม่พูดพร่ำทำเพลงผลักลงลงกับที่นอน

 

            “มันยุ่งกับต้นคอมึงใช่มั้ย พรุ่งนี้เอาคอไปให้มันดู ว่ามึงมีเจ้าของแล้วห้ามมายุ่ง!!”ความรู้สึกเจ็บจี๊ดประทับลงบนต้นคอของผม ผมเชิดหน้าหลีกทางให้ไอ้เซ็ททำรอยแสดงความเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น

 

เป็นความเจ็บที่รู้สึกดีมากเหลือเกิน

 

ไม่บ่อยนักที่ไอ้เซ็ทจะเป็นคนเริ่มก่อน มันถอนริมฝีปากออกแล้วเปลี่ยนเป็นโน้มตัวมาประกบจูบกับผม ช่วงล่างเราบดเบียดซองกันและกันอย่างเว้าวอน ไอ้เซ็ทสอดลิ้นเข้ามากวาดต้อนกับลิ้นของผมราวเด็กเอาแต่ใจ สองมือของมันไล่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผม ผมยกตัวขึ้นโดยที่ปากของเราไม่ได้ละออกจากกันซักวินาที เหวี่ยงเสื้อให้หลุดจากแขนจากนั้นผมจึงดึงปลายเสื้อยืดของมันออกคราวนี้จำต้องยอมปล่อยให้ปากของมันเป็นอิสระ ดวงตาของมันเปลี่ยนไปไม่ได้ดุดันเกรี้ยวกราดอีกต่อไปหากแต่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาเมื่อเสื้อของมันโดนโยนลงข้างเตียงมันก็ใช้สองมือของมันสางเข้าไปในกลุ่มผมของผมคล้ายจะบังคับให้อยู่นิ่งๆ รสจูบเร่าร้อนราวกับกินเหล้าดีกรีแรงผ่านริมฝีปากราวกับไม่ใช่ไอ้เซ็ทที่มักจะเขินอายยามเรามีเซ็กส์กัน ผมบีบยอดอกมันพลางคลึงเบาๆหากแต่ไอ้เซ็ทกลับตัวสั่นโดยอัตโนมัติ

 

ผมรู้ดีว่าต้องจับหรือเล้าโลมมันตรงส่วนไหนไอ้เซ็ทถึงจะรู้สึกดีและโอนอ่อนได้ง่าย

 

ใบหู  ต้นคอ หน้าอก ฝ่าเท้า ต้นขา ผมพลิกร่างที่อ่อนปวกเปียกของมันยามที่ผมเลื่อนมือขึ้นมาลูบต้นคอของมันไล่จูบเลาะเล็มไปที่ติ่งหูแล้วดูดดึงจนมึนเผลอร้องออกมา

 

            “อะ...อา...”

 

            “ดีมั้ย?”

 

            “อืม...ดี”



ถ้าจะเปรียบเปรยว่าไอ้เซ็ทเหมือนอะไร ผมคงต้องเปรียบมันเป็นน้ำมัน เพราะเพียงแค่มีประกายไฟเพียงเล็กน้อยมันก็พร้อมจะลุกไหม้ได้ในทันที







อ่านคัทที่ห้องแห่งความลับจย้า





“ชอบมั้ย?”กระซิบถามเสียงพร่า

 

            “อืม...ชอบ”

 

            “แค่ชอบเองเหรอ...แย่จัง มึงแค่ชอบ แต่กูรักมึงชิบหายเลยว่ะเซ็ท รักมากๆ รักมากขึ้นทุกวันเลย”เศรษฐพงศ์พยายามกลั้นยิ้มกับคำพูดหวานหูนั้น แต่เหมือนร่างกายจะไม่ยอมทำตามใจเจ้าของเลยซักครั้ง สุดท้ายก็หลุดยิ้มกว้างออกมาอยู่ดี

 

            “มึงนี่นะ...กูก็รักมึง เพราะรักถึงหวงรู้ใช่มั้ย?”

 

            “รู้ครับ”

 

            “อย่าให้ป้าคนนั้นแตะเนื้อต้องตัวมึงอีก เข้าใจมั้ย?”

 

            “เข้าใจครับ แต่คิดว่าคงไม่กล้าแล้วมั้ง ป่านนี้ก้นกบพังไปแล้วมั้ง กูเหวี่ยงเขาลงไปอย่างแรง”

 

            “น่าสงสารเค้าเหมือนกันเนอะ”

 

            “สงสารตัวเองเถอะจ้ะ คืนนี้สะโพกไม่ครากพี่ไม่ให้นอนนะจ๊ะ”คณินแกล้งดูดติ่งหูของคนน้องอย่างเร้าอารมณ์หากแต่เศรษฐพงศ์กลับพลิกตัวขึ้นมาใช้สองมือดันหน้าไอ้พี่ชายจอมหื่นที่พยายามจะตะโบมจูบ

 

           "สะโพกครากเหี้ยอะไร พอแล้วไอ้เหี้ย พรุ่งนี้ทำงาน"

 

            “น่านะ ขออีกรอบ เนี่ยน้องตื่นอีกแล้ว นะจ๊ะเมียจ๋า”

 


            “ม่ายยยยยยยย....อื้อ....อ๊ะ อย่ากัดหัวนมกู ไอ้คิน ไอ้ชิบหาย อ๊ะ...”สุดท้ายลูกแกะน้อยอย่างเศรษฐพงศ์ก็ถูกหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์อย่างคณินจับกินทั้งตัวอยู่ดี









..............................................................



 
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:01:33
ตอนที่ 49






          คณิน::

 

เช้านี้ต่างไปจากทุกวันเมื่อไอ้เซ็ทไม่ได้ลุกขึ้นมาเตรียมข้าวกล่องให้ผมผมตื่นเพราะนาฬิกาปลุกที่เรามักจะตั้งไว้ตอนตี 5 จริงๆไอ้เซ็ทมันตั้งเพื่อปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นมาหุงหาข้าวเช้าสำหรับเราทั้งคู่ก่อนออกไปทำงานกับเตรียมมื้อกลางวันสำหรับมันแอละผม แต่พอผมลืมตาตื่นก็เห็นมันนอนคว่ำหน้าหลับตาพริ้ม ดูท่าจะเพลียน่าดูเพราะเมื่อคืนผมกวนมันซะหนัก

 

            “ตื่นแล้วเหรอ” มันลืมตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียทำท่าจะขยับตัวลุกหากแต่ผมลูบหัวมันเบาๆแล้วรับอาสาสำหรับการทำอาหารในเช้าวันนี้

 

            “นอนต่อเถอะ เดี๋ยวกูหุงข้าวทำกับข้าวเอง”มันพยักหน้ารับพลางกระชับหมอนใบใหญ่ที่หนุนให้แนบกับใบหน้ามากขึ้น ผมลุกจากเตียงเดินตัวเปลือยเปล่าไปคว้าเอาผ้าขนหนูแล้วเข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน เห็นรอยที่ต้นคอเป็นสีเข้มแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้

 

ปกติไอ้เซ็ทเป็นคนที่ไม่ชอบทำรอยและไม่ชอบให้ผมทำรอยกับตัวมัน  มันให้เหตุผลว่ารอยพวกนี้ถ้าทำในร่มผ้าก็ไม่เท่าไหร่แต่ถ้าทำในจุดที่อาจจะมีคนมองเห็นมันแสดงถึงความไม่รับผิดชอบในตัวเอง ไม่ใช่รอยที่น่าอวดเหมือนรอยที่ทำเพื่อประจานตัวเองให้คนที่เห็นว่าเราเพิ่งไปมีเซ็กส์มา

 

แต่คราวนี้มันคงเหลืออดจริงๆ

 

ขนาดเจนมันยังเล่นซะหงายนับประสาอะไรกับป้าแอ๋ว

 

ผมชอบที่มันแสดงความหึงหวงผมแบบนี้ มันทำให้ผมรู้ว่าไอ้เซ็ทรักและหวงผมมากขนาดไหน แถมหึงทีไรผมได้กำไรเต็มๆ ผมจัดการอาบน้ำจนเสร็จแล้วนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมา อากาศเย็นจากแอร์ไม่ได้ทำให้ผมสะทกสะท้านอะไรนัก คงเป็นเพราะผมชินแต่ไอ้คนบนเตียงตอนนี้เอาผ้านวมไปพันตัวขดราวกับดักแด้ ผมเดินออกมาด้านนอกตรงไปยังส่วนครัวเล็กๆที่เราใช้โต๊ะตัวยาวกั้นไว้จากห้องรับแขกจัดแจงหุงข้าวพอตั้งข้าวเสร็จผมก็ไปเปิดทีวีดูข่าวรอ ราวๆหกโมงกว่าเสียงกุกกักในห้องนอนก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าไอ้เซ็ทตื่นและกำลังเตรียมตัวอาบน้ำ พอข้าวเด้งผมก็เจียวไข่ ครั้งนี้มันฟูสวยหลังจากผมลองเจียวมา 2-3 ครั้ง ผมค่อนข้างจะพอใจกับผลงานครั้งนี้ เสร็จแล้วก็เอาไส้กรอกที่ซื้อไว้มาทอดเป็นอันเสร็จ ไอ้เซ็ทเดินลากเท้าเข้ามาในครัวหลังจากนั้นราว 15 นาที มันชะโงกหน้ามองกับข้าวบนโต๊ะแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

 

            “ใช้ได้ ไข่ไม่ด้านแล้ว ไปแต่งตัวไปเดี่ยวกูตักข้าวรอ”มันดันหลังผมให้กลับไปแต่งตัวในห้อง เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสีเดียวกันรวมทั้งถุงเท้าวางพาดไว้บนเตียง ผมใช้เวลาแต่งตัวไม่นานแต่เซ็ตผมนานจนมันเดินเข้ามาตาม

 

            “หล่อแล้วครับคุณคณิน จะหล่อไปให้ใครดูออกมากินข้าวได้แล้ว”มันเดินมาปลดกระดุมเม็ดบนออกผมมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ

 

            “แบบนี้เท่ห์กว่า วันนี้อยากให้มึงดูเป็นแบดบอย ให้คนที่เห็นมึงอยากได้มึงมันอยากได้จนตัวสั่นแต่ทำอะไรไม่ได้”เราสองคนจ้องตากันก่อนจะกระตุกยิ้มให้อย่างรู้กัน

 

มื้อเช้าเรียบง่ายจบลงง่ายๆ เซ็ทล้างจานเสร็จเราก็ออกไปทำงานโดยที่ผมขับรถไปส่งมัน วันนี้มันบอกให้ผมออกไปหาข้าวข้างนอกกิน มันเมื่อยตัวไม่มีกแก่จิตแก่ใจจะเตรียมให้ซึ่งผมก็โอเค ความผิดเป็นเพราะผมจับมันแหกแข้งแหกขาเล่นกายกรรมเองก็ต้องน้อมรับ ผมเข้ามาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานนิดหน่อย ทักทายพี่ๆในแผนกก่อนจะฟังว่าวันนี้หน้าที่ของผมคืออะไร ก่อนเริ่มงาน 10 นาทีพี่แอ๋วกับพี่นิดก็เข้ามาประจำที่ของตน เรามองตากันนิดหน่อยผมไม่ได้เป็นคนหลบตาหากแต่เป็นพี่แอ๋วที่ทำเป็นหันไปคุยกับพี่นิด ผมกระตุกยิ้มที่มุมปากใส่เจ้าหล่อนไปทีหนึ่ง

 

พี่แอ๋วอาจจะรู้สึกอายหรือเสียหน้า หรืออาจจะถอยเพื่อตั้งหลัก แต่ใจของผมอยากให้แกเลิกยุ่งกับผม เราต่างคนต่างทำงานโดยที่พี่แอ๋วยังไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร จนมีงานจุดหนึ่งที่ผมต้องไปถามแก ผมจึงได้เดินไปที่โต๊ะของพี่แอ๋วกางแบบให้แกดู

 

            “พี่แอ๋วครับ ช่วยดูตรงนี้ให้ผมหน่อย เหมือนสเป็คมันจะผิด”ผมแสร้งโน้มตัวลงไปเคาะตรงจุดที่ผิด พี่แอ๋วช้อนตาขึ้นมาก่อนจะหยุดสายตาไว้ตรงต้นคอของผม

 

แน่นอน ผมจงใจปลดกระดุมและแกล้งกระพือปกเสื้อ พี่แอ๋วมองเห็นรอยนั่นอยู่แล้วล่ะ

 

            “เอ่อ..เดี๋ยวพี่ดูให้นะ”แกว่าไม่เต็มเสียงนักแล้วหลบตาไปทางอื่น ผมไม่เซ้าซี้ ภารกิจเอารอยที่ต้นคอไปให้พี่แอ๋วดูตามที่ไอ้เซ็ทสั่งสำเร็จแล้วผมก็กลับมานั่งทำงานจนกระทั่งได้เวลาพักเที่ยงผมหยิบกระเป๋าเงินเดินตามพวกพี่ๆออกมาด้านนอกเพื่อไปกินข้าวกลางวัน แต่แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดกับใครคนหนึ่งที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางของมันสบายๆพอมันเห็นผมมันก็เดินตรงเข้ามา

 

            “มาได้ไงวะ?”ผมถามมันอย่างแปลกใจ

 

            “พอดีพี่มิ่งให้กูออกไปไซต์งานแถวนี้ พักกลางวันเลยแวะมากินข้าวกับมึง”มันยิ้มเสแสร้งให้กับผมแต่สายตามันน่ะกวาดมองไปทางด้านหลังที่มีพวกพี่ๆทยอยเดินตามกันมา และแน่นอน หนึ่งในนั้นมีพี่แอ๋ว

 

ผมว่าผมร้ายแล้วนะ แต่ไอ้เซ็ทน่ะร้ายยิ่งกว่าผมซะอีก

 

มันกะจะถอนรากถอนโคนคนที่เข้ามายุ่งกับผมทีเดียวจบเลยล่ะ

 

ผมพาไอ้เซ็ทไปร้านอาหารตามสั่งที่พี่แอ๋วมาทุกวัน เพราะแถวนี้มีบริษัทหลายบริษัทดังนั้นช่วงกลางวันลูกค้าจึงเยอะเราได้โต๊ะด้านในสั่งอาหารเสร็จพี่แอ๋วกับพี่นิดก็เดินเข้ามาไม่ผิดจากที่ผมคิดไว้เลยซักนิด สองสาวเดินไปจดรายการอาหารที่จะกินก่อนจะกวาดตามองหาโต๊ะ

 

            “พี่นิดพี่แอ๋ว นั่งกับผมก็ได้ครับ”ผมแกล้งทำตัวมีน้ำใจเอ่ยปากเชิญสาวๆทั้งสองคนนั่งโต๊ะเดียวกันผม พี่นิดเอ่ยขอบคุณผมแล้วหย่อนก้นลงนั่งอย่างคนไม่คิดอะไรพี่แอ๋วจึงจำต้องนั่งตาม

           

            “ขอบใจนะจ๊ะคิน วันนี้คนเยอะจริง ว่าแต่วันนี้ทำไมออกมากินข้าวข้างนอกล่ะจ๊ะทุกทีเห็นนั่งกินข้าวกล่องที่แฟนทำให้นี่นา แล้วพ่อรูปหล่อคนนี้ใครจ๊ะ เพื่อนเหรอ?”พี่นิดเอ่ยถามอย่างคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ผมหันไปมองหน้าไอ้เซ็ทนิดหนึ่งก่อนจะแนะนำให้ทั้งสามคนได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ

 

            “เซ็ท นี่พี่นิด ส่วนคนนี้พี่แอ๋วที่เล่าให้ฟัง”มันยกมือขึ้นสวัสดีพี่ๆทั้งสองคนหากแต่จ้องหน้าพี่แอ๋วแล้วยิ้มน้อยๆ

 

            “พี่นี่เอง สวัสดีครับ”มันเอ่ยทักทาย

 

            “ผมชื่อเซ็ทครับ เป็นคนทำข้าวกล่องให้คิน ขอบคุณที่ช่วยดูแลแฟนผมให้นะครับ พี่ใจดีมากๆเลย”มันส่งยิ้มหวานใสซื่อให้กับพี่แอ๋วกับพี่นิด ในขณะที่พี่แอ๋วหน้าหดเหลือสองนิ้ว พี่นิดมีสีหน้าอึ้งๆกับสิ่งที่ได้ยินแต่ผมในตอนนี้หน้าบานเหมือนบัวกระด้งก็มิปาน

 

ครับ...นี่ใคร น้องเซ็ทแฟนพี่คินไง รักมากด้วยไม่ยอมให้ใครมาแย่งหรอก ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ









 

 

 

            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความอึดอัดเพราะหลังจากที่เศรษฐพงศ์แนะนำตัวทั้งสี่คนก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ นอกจากรอยยิ้มใสซื่อของเศรษฐพงศ์แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกจนกระทั่งข้าวเปล่าและกับข้าวซึ่งประกอบด้วยแกงจืดเต้าหู้หมูสับกับหมูทอดกระทียมพริกไทยที่เศรษฐพงศ์เป็นคนสั่งมาเสิร์ฟทั้งสองคนก็มีท่าทีรีรอ

 

ด้วยเพราะเป็นผู้อ่อนอาวุโสกว่าทำให้ไม่กล้าที่จะลงมือทานข้าวก่อนจนนิดาที่ทนอึดอัดมาซักครู่ต้องเอ่ยบอกให้เด็กทั้งสองคนกินข้าวไปก่อน

 

            “กินเลยๆ ไม่ต้องรอพวกพี่ อีกเดี๋ยวคงได้แล้ว”

 

            “ไม่เป็นไรครับ รอทานพร้อมกันดีกว่า ดีซะอีกจะได้แชร์กับข้าวกัน กินรวมกันหลายคนอร่อยดี”เศรษฐพงศ์ส่งยิ้มจริงใจให้กับสองสาว อีก 10 นาทีต่อมากับข้าวที่นิดาและอรอุมาสั่งก็มาเสิร์ฟ เป็นผัดกะเพราคะน้าหมูกรอบง่ายๆเพียงจานเดียว ทั้งสี่คนเริ่มลงมือทานข้าว อรอุมามองเศรษฐพงศ์ที่ดูแลคณินเป็นอย่างดีชนิดมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแล้วรู้สึกหมั่นไส้ ยิ่งเป็นเศรษฐพงศ์คอยตักกับข้าวให้คณินความรู้สึกอยากเอาชนะก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจ จนในที่สุดหล่อนก็ตัดสินใจตักผัดคะน้าหมูกรอบใส่จานให้กับคณิน

 

            “น้องคินลองทานนี่หน่อยสิจ๊ะ อร่อยนะคะ”คณินมองคะน้ากับหมูกรอบในจานด้วยสายตาว่างเปล่า การทานข้าวของคนทั้งสี่ชะงักลงเมื่อเศรษฐพงศ์เป็นฝ่ายตักคะน้าหมูกรอบที่อรอุมาตักให้คณินไปกองไว้ในจานรองแกงจืด เด็กหนุ่มส่งยิ้มเย็นๆให้กับอรอุมา ดวงตาใจดีใสซื่อเมื่อครู่บัดนี้เรียบสนิท

 

            “พี่แอ๋วอาจจะยังไม่ทราบ คือคินเค้าไม่ทานก้านคะน้า ไม่ทานหมูติดมัน ยิ่งหมูกรอบยิ่งไม่ทานเลยครับ ที่สำคัญคินทานเผ็ดไม่ได้ ถ้าทานอาหารเผ็ดเขาจะปวดท้องแล้วก็ป่วย อ่อ ที่สำคัญที่สุดคือเราควรใช้ช้อนกลางในการตักอาหารนะครับเพราะเราไม่รู้ว่าน้ำลายของเรามีเชื้อโรคอะไรบ้างเรื่องของสุขลักษณะอนามัยสำคัญมากเลยนะครับ สมัยนี้ไม่รู้มีเชื้อโรคสกปรกๆอะไรบ้าง พี่แอ๋วทานของพี่แอ๋วไปเถอะครับ แฟนของผม ผมดูแลเองได้ ป้าครับ ขอข้าวเปล่าอีกจานครับ คิน เปลี่ยนจานข้าว จานนี้มันสกปรกแล้วไม่ต้องกินหรอก”เศรษฐพงศ์ดึงจานข้าวออกจากตรงหน้าของคณินแล้ววางไว้มุมโต๊ะ

 

เป็นอีกครั้งที่อรอุมารู้สึกหน้าชาเหมือนโดนตบ หล่อนกำช้อนส้อมแน่นก่อนจะรวบวางแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม

 

            “อ้าว พี่แอ๋วอิ่มแล้วเหรอครับ กับข้าวยังเหลืออีกเยอะแยะเลยไม่ทานอีกเหรอครับ?”เศรษฐพงศ์แสร้งทำเป็นเชื้อเชิญอย่างหวังดีแต่ตอนนี้ในลำคอของอรอุมามันตีบตันเสียแล้ว หญิงสาวตวัดสายตามองหน้าเศรษฐพงศ์และโดยไม่มีใครจะทันเห็นเศรษฐพงศ์กระตุกยิ้มเหยียดใส่อรอุมา

 

คล้ายลมพัดผ่าน

 

ผ่านมาแล้วผ่านไป

 

            ไม่ล่ะค่ะ พี่กินไม่ลงแล้ว รู้สึกคลื่นไส้ขอตัวก่อนนะคะ ในนี้มันร้อน นิดแกจะไปพร้อมกับฉันมั้ย?”อรอุมาแก้เก้อเมื่อคณินไม่ได้พูดรั้งหล่อนไว้อีกคนด้วยการหันไปชวนนิดา

 

แต่คราวนี้ต้องหน้าม้านอีกครั้งเมื่อเพื่อนสนิทตอบปฏิเสธอย่างไม่ใยดี

 

            “แกไปก่อนเลยฉันยังกินไม่อิ่ม”

 

            “ตามใจ”หล่อนกระแทกเสียงใส่เพื่อนก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินฉับๆออกไปจากร้านโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย นิดาส่ายหน้าระอาใจกับพฤติกรรมของเพื่อน

 

            “แอ๋วมันไปทำอะไรล้ำเส้นหรือเปล่าจ๊ะ”หล่อนหันไปถามเศรษฐพงศ์ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เด็กหนุ่มมองเห็นความจริงใจกับสายตาของนิดาจึงยิ้มรับ

 

            “ก็นิดหน่อยครับ”

 

            “ลองน้องบุกมาถึงนี่คงไม่หน่อย อันที่จริงพี่เตือนแอ๋วมันแล้วแต่มันดื้อ คิดว่าเดี๋ยวก็คงเลิกไปเองพี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะจ๊ะ มีคนใหม่ๆมาเลยสนใจเดี๋ยวพอคินกลับไปแล้วนางก็เลิกบ้าไปเอง”

 

            “ขอบคุณพี่นิดที่เข้าใจนะครับ”

 

            “ยังไงเดี๋ยวพี่จะเตือนมันอีกที น้องสบายใจได้นะ แต่เรื่องที่แฟนคินเป็นผู้ชายนี่เหนือความคาดหมายจริงๆ ถ้าไม่เห็นกับตานี่พี่ไม่เชื่อเลยนะ”

 

มื้ออาหารกลางวันจบลงอย่างเรียบง่าย เศรษฐพงศ์เดินมาส่งคณินที่หน้าบริษัท อากาศที่ร้อนจัดทำให้เหงื่อไหลจนเข้าตาของคณิน ชายหนุ่มหยุดขยี้ตาด้วยความเคยชินหากแต่คนน้องที่เดินคู่กันมารีบจับมือของคณินไว้แล้วจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าของตนเองมาซับเหงื่อที่ตาให้ด้วยความเบามือปากก็บ่นไปด้วย

 

            “มึงนี่น๊า ผ้าเช็ดหน้ากูก็เตรียมไว้ให้ทำไมไม่เอามาด้วย เอามือขยี้แบบนี้เชื้อโรคทั้งนั้น อยากตาแดงตาอักเสบตาบอดหรือไงวะ ถ้าตาบอดกูไม่เลี้ยงนะ โยนขันให้ใบหนึ่งเลย”

 

            “ได้กูแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นซิ๊?”

 

            “เออ ไป เข้าบริษัทมึงไปได้แล้ว กูจะรีบกลับไปทำงานเหมือนกัน เดี๋ยวกลับไปไม่ทันหัวหน้าแดกหัวกูอีก”เศรษฐพงศ์ยัดผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋ากางเกงให้คณินแล้วผลักคนพี่ให้หันไปทางบริษัท โบกมือล่ำลากันจนเศรษฐพงศ์ขับรถออกไปจนลับตาคณินจึงเดินเข้ามาในตัวตึก ผ่านโต๊ะพนักงานที่นั่งคุยกันตามโต๊ะพลันก็มีคนพูดให้เจ้าตัวได้ยินซึ่งๆหน้า

 

            “เฮ้ออออ...เป็นดีเสียดายแต๊ว่าป้อจายงามๆจ๊ะอี้บ่น่ามีผัวเหียก่อน เสียดายแต๊ๆ”

 

            “หันตั๋วเข้มๆตี้แต๊ก่เป็นพวกไม้ป่าเดียวกั๋น”

 

            “จะไปยุ่งกับมันเน้อ เสียวฮู้ขี้หมด”

 

คณินตวัดสายตามองกลุ่มคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ กลุ่มชายหญิงทั้งสามคนหุบปากในทันที คณินส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมน่ารังเกียจนั้น

 

ไอ้เซ็ทนะไอ้เซ็ท มาไม่ถึงชั่วโมงทำเอาคนที่เห็นคิดว่าเขาเป็นเมียมันไปเสียแล้ว

 

ใครเป็นผัวใครเป็นเมียมันจะมาตัดสินกันจากการดูแลเทคแคร์ไม่ได้หรอกโว้ย

 

ของแบบนี้น่ะ

 


เขาตัดสินกันตอนอยู่บนเตียงต่างหากเล่า ไอ้โง่...





 

 

            เช้าวันอาทิตย์เป็นวันหยุด เศรษฐพงศ์ปล่อยให้คณินนอนหลับต่อไปโดยที่ตนเองตื่นมาเตรียมอาหารในช่วงสาย จัดการเอาผ้าลงปั่นแล้วจึงหยิบโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสัญญาณจนสายตัดแม่ก็ไม่รับ เศรษฐพงศ์กดโทรไปใหม่อีกครั้งก็ยังเป็นเช่นเดิม

 

แม่ไม่รับ

 

            “หรือติดธุระอยู่?”มองนาฬิกาเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ปกติแม่จะรับสายตลอดแต่หลังๆมานี่ แม่ติดธุระบ้าง ไม่ว่างบ้าง บ่อยครั้งที่แม่ไม่รับสายแต่จะโทรกลับมาหลังจากนั้น เด็กหนุ่มเดินไปหยิบกล่องพัสดุใบใหญ่ที่ซื้อไว้ออกมา เอาแผ่นบับเบิ้ลมาห่อโหลท้อดองและของกินที่ซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อนเริ่มห่อมันอย่างตั้งใจทีละชิ้นจนครบแล้วจึงลำเลียงใส่ลงไปในกล่องที่บุด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ที่โดนย่อยเป็นฝอย ปิดกล่องจ่าหน้ากล่องเสร็จสรรพก็เลื่อนไปไว้มุมห้อง เกือบ 11 โมงก็เดินกลับเข้าไปในห้องค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงใกล้ๆคณินใช้มือแตะแผ่นหลังของคนรักเบาๆ

 

เศรษฐพงศ์ไม่ชอบการแกล้งให้คนหลับตกใจตื่น เด็กหนุ่มเชื่อว่าการถูกปลุกด้วยกริยาและน้ำเสียงที่ดีจะทำให้คนโดนปลุกอารมณ์ดีไปทั้งวัน

 

            “คิน...ตื่นได้แล้ว 11 โมงแล้ว ลุกมากินข้าวก่อนมา”คณินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะหันมารวมเอวบางแล้วใช้ตักของเศรษฐพงศ์เป็นหมอน กดจูบลงบนหน้าท้องบางของคนน้องสูดดมความหอมของกลิ่นตัวที่ผสมปนเปกับกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มถูไถจมูกไปมาจนพอใจถึงได้ยอมอยู่เฉยๆ เศรษฐพงศ์อดที่จะยิ้มเอ็นดูท่าทางช่างอ้อนของคณินไม่ได้ ร่างบางลูบกลุ่มผมนิ่มมือของคนพี่เบาๆซึ่งคณินก็ยอมให้น้องลูบคลำได้ตามแต่ใจปรารถนาไม่มีอิดออดหรือต่อต้านเลยซักนิด

 

เวลาตื่นเหมือนลูกแมวเชื่องๆ

 

แต่เวลามีเซ็กส์กลับกลายร่างเป็นแมวป่า

 

ทั้งดุร้ายและปราดเปรียว

 

เศรษฐพงศ์รีบสลัดความคิดลามกที่วกเข้าเรื่องใต้สะดือออกในทันที อยากจะตบกะโหลกตัวเองที่ใจดันไพล่ไปคิดเรื่องลามกเสียได้

 

เข้าข่ายหมกมุ่นแล้วนะ สบถด่าตัวเองในใจ

 

            “ลุกได้แล้ว หิวข้าวแล้ว”บอกกับคนพี่พลางลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆซึ่งคณินก็ไม่อิดออดขอเวลาเขาลุกไปจัดการตัวเองแล้วกลับออกมาด้วยสีหน้าสดชื่นเดินตามเศรษฐพงศ์ออกมาด้านนอกก็สะดุดตากับกลิ่งพัสดุกล่องใหญ่ก่อนใครเพื่อน

 

            “แพ็คเสร็จแล้วเหรอ”

 

            “อือ ว่างๆอยู่เลยนั่งแพ็ค ของบ้านอาม่าทั้งสองคนก็เขียนระบุไว้แล้วถ้าอยากส่งอะไรเพิ่มคิ่ยว่ากันวันหลัง”

 

            “คราวหลังรอทำพร้อมกันก็ได้”

 

            “ก็กูว่างไงเลยนั่งทำเรื่อยๆไม่ได้หนักหนาอะไร”

 

            “แต่ทำด้วยกันมันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”คณินรับชามข้าวต้มหมูที่เศรษฐพงศ์ยื่นให้มาวาง เศรษฐพงศ์มองหน้าคณินแล้วจึงพยักหน้ารับ

 

มันก็จริงแบบที่คณินว่านั่นแหละ

 

ทำคนเดียวเสร็จเร็วก็จริง

 


แต่ถ้าทำสองคนอาจจะเสร็จช้าหน่อยแต่ก็มีเวลาได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น...ไม่ใช่เหรอ?





....................................



เออ ของแบบนี้ต้องดูกันตอนเล่นกายกรรมเว้ย จรัม!!



หิวมั้ยทานอะไรมาหรือยัง



เอิ้ววววววววววววววววววว

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:07:01
ตอนที่ 50








                คณินเหลือบมองนาฬิกาเป็นรอบที่ 7 เกือบจะหกโมงเย็นแล้วงานก็ไม่มีทีท่าจะเสร็จ ไลน์ไปบอกเศรษฐพงศ์แล้วว่าโดนหัวหน้าใช้ให้แก้แบบจนป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จซักที ฝนครึ้มมาตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายจนตอนนี้เริ่มลงเม็ดหนาขึ้นทุกที

 

เศรษฐพงศ์ไม่มีรถและเขาไม่ยอมให้เด็กนั่นซ้อนท้ายมิ่งกมลกลับหอเด็กขาด เขาขอร้องให้คนเด็กกว่ารอเขา

 

จนในที่สุดหกโมงครึ่งงานที่ต้องแก้ก็เสร็จ คณินไม่มองหน้าใครเลยยกมือไหว้ลาเสร็จก็จ้ำอ้าวออกมาที่รถ ฝนลงเม็ดหน้าจนเจ็บหน้าแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ใช้เวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริษัทที่เศรษฐพงศ์ฝึกงาน คณินหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ของคนน้อง

 

ไม่ติด...

 

คณินกดโทรหาเศรษฐพงศ์อีกรอบก็ยังไม่ติด ชายหนุ่มขมวดคิ้วจนใบหน้าหล่อบูดบึ้งไปหมด  ตัดสินใจดับเครื่องยนต์รถคว้าร่มที่เจ้าตัวโยนทิ้งไว้เบาะหลังตั้งแต่เมื่อเช้าที่เศรษฐพงศ์ยื่นให้เพราะเห็นว่าฟ้าครึ้มมาตั้งแต่เช้า เดินเข้าไปในสำนักงานเล็กๆของเศรษฐพงศ์ ในนั้นไม่มีใครอยู่เลยซักคน

 

                “อ้าว คุณ มาหาใครคะ”แม่บ้านที่กำลังถูพื้นร้องถามเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า

 

                “ผมมารับน้องชายกลับบ้านครับแต่โทรหาไม่ติดเลยจะเข้ามาตาม”

 

                “น้องชื่ออะไรคะ?”

 

                “เซ็ทครับ”

 

                “อ้อ น้องเซ็ทเหรอจ้าว นู่นแหละ หลังตึกพวกหนุ่มๆไปช่วยบอนต้นไม้อยู่นู่นแหละน้องเซ็ทก็อยู่ด้วย”แม่บ้านวัยกลางคนชี้ไปทางด้างหลังตึก คิ้วของคณินยิ่งขมวดหนักยิ่งกว่าเดอม

 

บอนต้นไม้กลางฝนงี้เนี่ยนะ ชายหนุ่มหมุนตัวเดินออกจากสำนักงานของเศรษฐพงศ์ทันที เมื่อเดินเลาะตัวตึกมาด้านหลังที่ถูกจัดให้เป็นสวนปลูกไม้ประดับก็เห็นคนงานกำลังช่วยกันประคองต้นปาล์มขนาดใหญ่ที่ถูกเครนดึงขึ้นจนลอยจากพื้นให้ค่อยๆนอนลงบนตัวรถได้อย่างปลอดภัย บริเวณรากถูกห่อหุ้มด้วยถุงปุ๋ยขนาดใหญ่ที่เย็บติดกับและพันด้วยเชือกฟางจนแน่นหนา

 

                คณิน :

 

ผมเพ่งตามองผ่านม่านน้ำฝนที่ตกหนักไปยังกลุ่มคนนับสิบคนนั่น ได้ยินเสียงโล้งเล้งตามช่วยกันมัดต้นไม้ก็เห็นไอ้ตัวดียืนอยู่ที่ท้ายรถใกล้กันมีเหาฉลามที่ตามติดยิ่งกว่าเจ้ากรรมนายเวรของไอ้เซ็ทอยู่หนึ่งตัว

 

ไอ้มิ่งกมล

 

กูถามจริง นี่มึงเป็นคนหรือแม่ซื้อกันครับไอ้เหี้ย มีไอ้เซ็ทที่ไหนมีไอ้มิ่งที่นั่น ผมเดินดุ่มๆเข้าไปหาไอ้เซ็ท มันทำท่างงๆเมื่อฝนตรงที่มันยืนอยู่หายไปก่อนจะหันมามองที่ผม

 

                “อ้าว มาเมื่อไหร่”

 

                “กูมาซักพักแล้ว แล้วนี่ทำไมมึงออกมาตากฝน?”ไอ้เซ็ทไม่ได้ตอบคำถามผมแต่กลับหันไปแนะนำผมกับเพื่อนร่วมงานของมันแทนตามมารยาท

 

                “พี่ๆครับ นี่คินพี่ชายผมครับ”ผมจำต้องทักทายพี่ที่ทำงานของมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ อ็เซ็ทเอ่ยลากับพี่ๆที่ทำงานของมันอีกพักพวกนั้นแยกย้ายกันไปเหลือเพียงไอ้มิ่งที่ยังคงยืนไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆไอ้เซ็ท ผมขยับร่มออกให้พ้นหัวมันอย่างแนบเนียน

 

เสือกนัก สาระแนมาพึ่งใบบุญร่มกู กูกางให้เมียกูไม่ได้กางให้มึงไอ้โง่

 

                “แล้วนี่มึงตามมาตรงนี้ทำไมเนี่ย กระหม่อมยิ่งบางๆอยู่โดนละอองฝนหน่อยเดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี”ไอ้เซ็ทดึงความสนใจของผมออกจากไอ้มิ่งด้วยการใช้มือของมันเช็ดละอองฝนที่หน้าของผมให้

 

                “ก็กูโทรหามึงไม่ติดกูเป็นห่วงเข้าไปถามข้างในเขาบอกว่ามึงอยู่นี่”

 

                “พอดีจะเอาต้นไม้ไปลงที่รีสอร์ทแล้วคนไม่พอ ฝนก็เสือกตกหนักพวกกูเลยมาช่วยกันบอนต้นไม้ให้มันเสร็จ”

 

                “นี่ก็เสร็จแล้วกลับเลยสิรอไร”

 

                “คือ...รถพี่มิ่งเสีย”มันพูดอย่างลังเล ผมกรอกตาอย่างไม่ออมมารยาท

 

                “แล้ว?”ไอ้เซ็ททำหน้ากระอักกระอ่วน

 

มันรู้ดีว่าผมโคตรไม่ชอบไอ้มิ่ง

 

และมันรู้ดีว่าผมหึงมันกับไอ้มิ่งมากขนาดไหน แค่มันยอมตามไอ้มิ่งมาทำงานที่นี่แล้วผมไม่อาละวาดผมก็ว่าผมอดทนมากเกินพอแล้วนะ

 

                “ให้พี่มิ่งกลับๆเราด้วยได้มั้ยวะ”

 

                “เซ็ท ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่กลับเอง”ไอ้มิ่งรีบทำทีเป็นบอกปฏิเสธไอ้เซ็ทแทบจะทันที ดูก็รู้ว่าแม่งตอแหล ถ้ามึงจะเดินกลับเองมึงไปตั้งนานแล้วไม่ยืนหัวโด่อยู่อย่างนี้หรอก ผมมองตาไอ้เซ็ท ซึ่งแน่นอนมันไม่ยอมหลบตาผม รู้ทั้งรู้ว่าผมหึงจะตายอยู่แล้วแต่มันยังคงยืนยันเจตนาเดิม

 

แม่ง

 

ผมหันหลังจะเดินออกมาแต่ไอ้เซ็ทกลับจับต้นแขนของผมไว้แน่น

 

                “จะไปไหน?”

 

                “ก็ไปรอมึงกับเพื่อนมึงที่รถไง เร็วๆก็เหนียวตัวจะแย่แล้ว”ผมยัดร่มใส่มือของมันแล้วเดินกลับมาที่รถอย่างหงุดหงิดไม่นานไอ้เซ็ทก็ตามมาที่รถโดยมีไอ้มิ่งทำสีหน้าไม่สบายใจมาด้วย

 

                “ไม่ต้องคิดมากหรอกพี่ คินมันก็เป็นคนหน้าบึ้งอย่างนี้แหละ พี่จะเดินกลับยังไงตั้งเกือบสิบกิโลมาด้วยกันนี่แหละ”มันผลักไอ้มิ่งเข้ามาที่เบาะหลังผมตวัดสายตามองมันผ่านกระจกหลัง

 

เราสบตากันคล้ายมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบระหว่างสายตาของเรา

 

                “รบกวนด้วยนะคิน”อยากจะตอบว่าไม่เต็มใจก็พอดีกับที่ไอ้เซ็ทเข้ามานั่งคู่ด้านหน้าพอดี มันหุบร่มพลางสะบัดให้สะเด็ดน้ำ

 

                “ฝนตกแรงมากเลยนะเนี่ย”ผมถอนหายใจให้กับการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมันก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่เบาะหลังแล้วหยิบผ้าขนหนูเช็ดหัวผืนเล็กโยนโปะให้มัน ตลอดทางเรานั่งกันเงียบๆไม่ได้พูดคุยอะไรกันมีเพียงไอ้เซ็ทหันไปคุยกับไอ้มิ่ง ส่วนมากจะเป็นเรื่องงานของพวกมัน หอของไอ้มิ่งถึงก่อนหอของผมกับไอ้เซ็ทแต่ว่าอยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้าซอยไปอีกหนึ่งกิโลเมตรกว่าๆ ตัวตึกค่อนข้างเก่า น่าจะเป็นหอพักราคาถูก ผู้พลุกพล่านมากกว่าหอที่ผมกับไอ้เซ็ทเช่าอยู่ ทันทีที่รถของผมจอดหน้าตึกหมาแก่ๆ 2-3 ตัวก็เดินออกมาส่งเสียงเห่า

 

                “เออ พี่มิ่ง แล้วพรุ่งนี้ไปทำงานยังไงอ่ะ”

 

                “ยังไม่รู้เลยอาจจะยืมรถเพื่อนไป”

 

                “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมแวะมารับ”

 

                “เฮ้ย ไม่เป็นไร เกรงใจคิน”ไอ้มิ่งรีบปฏิเสธทันทีที่เห็นคิวผมกระตุกอีกรอบ

 

                “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทางผ่านอยู่แล้วเนอะคินเนอะ”

 

เนอะแนะเหี้ยไร ไม่ต้องหันมาทำตาใสแจ๋วใส่กูไอ้เหี้ย

 

                “เออ พรุ่งนี้เจ็ดโมงครึ่งออกมารอก็แล้วกัน”ผมจำใจต้องหันไปพูดกับมันอย่างเสียไม่ได้เมื่อไอ้เซ็ทกุมหลังมือของผมไว้แล้วบีบเบาๆ

 

เรากลับถึงหอในเวลาอีก 10 นาทีต่อมา ไอ้เซ็ทเดินโหย่งปลายเท้าเข้ามาในห้องนอนตามหลังด้วยผมเองมันเปิดตู้เสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำ ผมก้าวยาวๆตามมันเข้าไปทันที ไอ้เซ็ทตกใจเมื่อผมเอามือดันประตูห้องน้ำไว้

 

                “ไม่เล่นโว้ย จะอาบน้ำ หนาวจะแย่แล้ว”ผมก็ไม่ได้เล่นซักหน่อย ผมใช้แรงดันประตูห้องน้ำจนแทรกตัวเข้าไปได้แล้วเหวี่ยงไอ้เซ็ทเข้าไปจนชนกับผนังห้องน้ำ มันหน้าเบ้เพราะความเจ็บ

 

ผมรู้ ว่ามันเจ็บ ผมรู้ดี แต่ตอนนี้ผมขอทำโทษไอ้เด็กที่ขัดคำสั่งทุกอย่างของผม

 

                “กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้มึงอยู่ใกล้ไอ้เหี้ยมิ่ง จะต้องให้กูบอกอีกซักกี่ครั้งว่ากูหึงมึงกับมัน หึงจนแทบจะแดกหัวมึงสองคนได้อยู่แล้ว”


 
“ปล่อยกู”เศรษฐพงศ์ทำเสียงดุใส่คณินที่หน้าบึ้งหน้าตึงถึงขีดสุด เขารู้ดีว่าคณินไม่พอใจที่เขาชวนมิ่งกมลกลับมาด้วย แต่นั่นมันเป้นเรื่องของน้ำใจและความมีมนุษยธรรม ฝนตกหนักขนาดนี้แถมไอ้มอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมของรุ่นพี่ก็ดันมาตายสนิทสตาร์ทเท่าไหร่ก็สตาร์ทไม่ติด จะให้เขาใจจืดใจดำปล่อยมิ่งกมลไว้ลำพังก็ไม่ใช่ที่ มหาวิทยาลัยสอนให้พี่น้องรักกัน และเขาก็มองว่ามิ่งกมลเป็นพี่ชายที่สนิทด้วย แต่คณินไม่ได้คิดอย่างนั้น เสื้อยืดตัวบางถูกรวบก่อนจะดึงออกจากตัวแม้เศรษฐพงศ์จะพยายามสู้แต่เพราะความโมโหที่ยังคงค้างคาในใจของคณินยังคงคุกรุ่นอยู่


เอากันตามตรง เมื่อก่อนเวลามีเรื่องต่อยตีกัน ถ้าคณินโกรธถึงขีดสุดเศรษฐพงศ์จะเสียเปรียบอยู่นิดหน่อย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ริมฝีปากร้ายกาจที่เคยพ่นคำด่าเมื่อหลายปีที่แล้วกำลังตะโบมปล้นจูบเขาอยู่ มือหนาก็ไม่ยอมเว้นว่างให้เปล่าประโยชน์ไล่ปลดเข็มขัดก่อนจะล้วงเข้าในภายใต้กางเกงยีนส์สีเข้มของเศรษฐพงศ์อย่างถือสิทธิ์ แผ่นหลังบางเสียดสีกับผนังที่ปูกระเบื้องเย็นเฉียบแม้จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม


แต่ผู้ชายน่ะ เวลาถูกปลุกเร้าตรงส่วนอ่อนไหวสุดท้ายก็โอนอ่อนอยู่ดี จากที่ปฏิเสธจูบแสนจาบจ้วงก็กลายเป็นจูบตอบจนเกิดเสียงกางเกงถูกร่นลงไปกองที่เข่าชั้นในก็ถูกปลดเปลื้องออกไปเช่นกัน แท่งเนื้อที่อ่อนนุ่มกลับค่อยๆแข็งตัวขึ้นยามที่ข้อมือแกร่งขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ


“กูหึงมึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แต่ทำไมกูถึงไม่อาละวาดรู้มั้ย เพราะกูน่ะเชื่อใจมึง แต่กูก็ห้ามไม่ให้ตัวกูโมโหไม่ได้ เพราะว่ากูไม่เชื่อใจมัน”คณินงับฟันคมลงบนไหล่ของเศรษฐพงศ์อย่างทำโทษ ความเจ็บแล่นปลาบสู่ผิวเนื้อจนเศรษฐพงศ์สูดปากแล้วกลั้นเสียงร้องที่สับสนปนเปว่าตนเองจะร้องเพราะความเจ็บที่ไหล่หรือความเสียวที่ถูกปลุกเร้าตรงจุดนั้นดี


“จะให้กูทำยังไงกับมึงดีวะเซ็ท ทำไมมึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้ กูอยากจะทุบมึงให้เหมือนสมัยก่อนนักไอ้เด็กเหี้ย”


“แล้ว...อ่า...ทำไมไม่ทุบกูล่ะ...อื้อ...”เศรษฐพงศ์เอ่ยถามเป็นเป็นคำ เบ้หน้าด้วยความเจ็บเมื่อคณินจับตนเองให้หันหลังนาบกับกำแพงห้องน้ำ ได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีตามด้วยร่างกายอุ่นๆของคณินที่ไร้เสื้อผ้าเรียบร้อยตามมาทาบทับซ้อนอยู่ด้านหลัง

 
“มึงก็รู้ทำไมกูถึงไม่ทุบมึง แล้วมึงก็ฉลาดเหลือเกินไอ้เซ็ท ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเพราะกูรักมึงกูถึงไม่กล้าทำ แต่วันนี้มึงดื้อกับกูเกินไป กูไม่อยากฉีกหน้ามึงแต่มึงก็ไม่ไว้หน้ากูเหมือนกัน มึงมันดื้อ ดื้อเหลือเกินเซ็ท”คณิซ้อนแขนเกี่ยวรั้งข้อพับขาข้างขวาของเศรษฐพงศ์ให้ลอยสูงขึ้นกดจูบลงบนซอกคออุ่นก่อนที่เศรษฐพงศ์จะส่งเสียงร้องเมื่อคณินพยายามสอดตัวตนของตนเองเข้ามาโดยไม่เบิกทางเลยซักนิด


“อ๊า....เจ็บ...คิน กูเจ็บ”


“เจ็บซะบ้างจะได้รู้ว่าคราวหลังอย่าดื้อกับกู”คณินสวนเอวเข้าไปจนมิดความยาว ช่องทางอุ่นตอดรัดรัวแรงอย่างต่อต้านหากแต่มืออีกข้างก็ทำหน้าที่ปลุกเร้าส่วนหน้าของคนน้องอย่างดีเยี่ยม เมื่อร่างกายของเศรษฐพงศ์ปรับตัวกับขนาดของคณินได้ชายหนุ่มก็ขยับตัวได้คล่องขึ้น เศรษฐพงศ์กำมือกับกำแพงเย็นเฉียบยามช่องทางด้านหลังถูกรุกรานอย่างเอาแต่ใจ


รู้ว่าคณินน่ะขี้หึงแต่เศรษฐพงศ์ไม่คิดว่าเขาจะโดนทำโทษเพราะความมีน้ำใจ คณินอาจจะโกรธที่เขาออกหน้าแทนมิ่งกมลทุกอย่าง แต่ก็แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากกลั้นเสียงน่าอายที่เกือบหลุดออกมายามตัวตนของคณินสัมผัสถูกจุดที่ทำให้ชาไปทั้งร่าง


คณินรู้จักร่างกายของเขามากกว่าตัวของเศรษฐพงศ์ซะอีก


รู้ว่าต้องเล้าโลมตรงไหนคนน้องถึงจะโอนอ่อน


รู้ว่าต้องสัมผัสตรงจุดไหนความพยศทั้งหลายของเศรษฐพงศ์จะหายไป


รู้ว่าต้องย้ำที่ตรงไหนถึงจะปราบคนน้องให้ราบคาบได้


และตอนนี้ก็เช่นกัน เรียวขาถูกวางให้เจ้าตัวได้ยืนได้เต็มสองเท้า เพราะท่าทางที่กำลังทำกันอยู่นี้ทั้งแน่นและลึก ความเจ็บจางลงไปมากแล้วแต่ใช่ว่าไม่รู้สึก ไม่บ่อยนักที่คณินจะทรมานตนด้วยท่านี้แข้งขาที่เคยแข็งแกร่งพลันอ่อนยวบยามลิ้นร้อนแลบเลียลงมาที่ใบหูก่อนจะขบเม้มเบาๆจนขนอ่อนบนกายลูกซู่ เอวบางถูกรวบประคองไว้ไม่ให้ล้ม คณินเปิดน้ำอุ่นรินรดตัวเขาทั้งคู่ กลางกายขยับสอดประสานกันจนเป็นจังหวะที่รับส่งกันอย่างพร้อมเพียง ที่สุดเสียงร้องที่พยายามกลั้นไว้ก็ถูกปลดปล่อยยามคณินเน้นกายย้ำๆเข้าจุดเดิมความรู้สึกพุ่งขึ้นถึงขีดสุดราวรถไฟเหาะที่ทะยานสู่ช่วงที่สูงที่สุดก่อนใบหน้าจะเชิดขึ้นเมื่อห้วงอารมณืทั้งหลายถูกปลดปล่อยจนพุ่งปะทะกำแพงเย็นเฉียบแล้วไหลไปตามน้ำ คณินขยับตัวเข้าออกอีกราวๆหนึ่งนาทีก่อนจะปลดปล่อยธารอุ่นเข้าไปจนเต็มและล้นออกมาจากช่องทางที่ยังคงตอดรับตัวตนเอขาเป็นระยะ ยามที่ถอนแกนกายออกเศรษฐพงศ์ก็แทบจะร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น ลมหายใจของทั้งคู่ร้อนผ่าวราวน้ำที่กำลังจะเดือด เสียงหอบสะท้านดังคลอเคลียกันยามที่คณินโถมตัวมากอดร่างบางของน้องไว้ ปลายคางวางลงบนลาดไหล่ของน้องที่ยังคงปรากฏรอยฟันของคนพี่อยู่ คณินกระซิบที่ข้างหูของน้องด้วยน้ำเสียงเรียบตึง


“กูรักมึง รักมึงมากๆนะเซ็ท อย่าทำให้กูหึงบ่อย ความอดทนกูไม่ได้มีมากขนาดนั้น”


“กูรู้แล้วน่า หายบ้าได้ยัง ถ้าหายแล้วก็ปล่อย กูจะเอาลูกมึงออกจากตัวเนี่ย ไอ้สัด ถุงยางก็ไม่ใส่”


“มากูช่วย”ทำท่าจะใช้นิ้วควานเข้าไปด้านในของน้องหากต่เศรษฐพงศ์หันกายกลับมาแล้วผลักอกคนพี่ออก


“รีบอาบน้ำของมึงแล้วรีบออกไปเลยไอ้สันดาน กูทำเองได้”คณินทำท่ายอมแพ้เมื่อเห็นคนน้องทำตาเขียวปั๊ดใส่ ชายหนุ่มอาบน้ำชะระร่างกายตัวเองพลางมองคนน้องที่จัดการเอาส่วนที่คั่งค้างของตัวเองออกอย่างเงียบๆ


“เซ็ท”


“อะไร?”เศรษฐพงศ์ถามโดยไม่ได้มองหน้าคณินที่กำลังกระตุกยิ้มอย่างชอบใจอยู่เลยซักนิด


“เอาสดก็ดีเหมือนกันนะ กูชอบ”


“อาบเสร็จก็ออกไปเลยไอ้เหี้ย รำค๊าน!!!”




 

          คณิน::

 

ผมสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกที่ไอ้เซ็ทตั้งไว้ตอนตีห้ากรีดเสียงร้องผ่านความเงียบ ไอ้เซ็ทยังยังซูกตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ได้กุลีกุจอลุกขึ้นเหมือนทุกวันกลับกลายเป็นผมที่ตื่นขึ้นอย่างง่ายๆ ผมเอื้อมมือไปแตะแขนมันที่โผลพ้นเนื้อผ้าแล้วสะดุ้งโหยง

 

ตัวของมันร้อนยังกับไฟ ผมตื่นเต็มตา รีบใช้หลังมืออังหน้าผากของมันอย่างร้อนใจ

 

            “เซ็ท มึงไม่สบายเหรอ เป็นไงมั่ง”

 

            “กุหนาว”มันตอบกลับมาแบบเพ้อๆ ผมไม่รู้ว่ามันมีสติสัมปัชชัญญะครบถ้วนหรือเปล่าด้วยซ้ำ

 

            “มึงไม่สบาย เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้นะไข้จะได้ลด”ปกติไอ้เซ็ทเป็นคนร่างกายแข็งแรง การที่มันจะเจ็บไข้ได้ป่วยซักครั้งนั่นจึงเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผม ผมจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มันจนเสร็จ ไอ้เซ็ทบ่นหนาวเป็นพักๆ ปรือตามองผมราวกับคนที่กำลังมึนๆ

 

          “วันนี้ลางานเดี๋ยวสายๆกูจะพามึงไปหาหมอ”ผมจัดการตบลงบนอกมันเบาๆหลังจากจับมันทาแป้งแต่งตัวเสร็จ

 

            “มึง...”

 

            “หืม?”ผมตอบรับคำเรียกด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของมัน

 

            “อยากกินโจ๊กหมู ใส่ขิงซอยเยอะๆ”ผมหลุดขำออกมาพรืดใหญ่เมื่อไอ้คนป่วยยังห่วงปากท้องของตัวเองก่อนจะหุบยิ้มทันทีเหมือนต้นไมยราพที่ถูกเขี่ยด้วยปลายตีนเมื่อมันพูดประโยคถัดมา

 

            “แล้วอย่าลืมแวะไปรับพี่มิ่งด้วยนะ”

 

            “เออ รู้แล้ว  ห่วงมันจริงนะ”ผมกระแทกกะละมังน้ำกับผ้าขนหนูลงบนอ่างล้างหน้า

 

            “มานี่...”ไอ้คนป่วยที่หน้าซีดหน้าเซียวกวักมือเรียกผม ผมพยายามที่จะไม่กระแทกกระทั้นแล้วนะ แต่เสียงเท้าที่ลงกับพื้นห้องก็ดังตึงๆอยู่ดี

 

            “เราคุยเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอวะ คุยกันจนกูป่วยเนี่ย”

 

อ่าว โยนความผิดมาให้ผมหน้าด้านๆซะอย่างนั้นแหละคนเรา แต่ก็มีส่วนถูกนิดหนึ่ง

 

            “คนเราอ่ะ รับปากเขาไว้แล้ว ถ้าไม่ทำตามที่พูดนี่หมาเลยนะ มึงยอมเหรอ”

 

            “มึงมันเก่ง เซ็ท เรื่องเล่นกับใจคนนี่ล่ะเก่งนัก กูจะเอาอะไรมาเถียงมึงได้ล่ะ นอนเถอะเดี๋ยวกูกลับมา”ผมกดจูบลงบนปากซีดนั้นหนักๆก่อนจะคว้ากุญแจรถที่หัวเตียง ผมขับรถมารับไอ้มิ่งที่หน้าหอพักของมัน ไอ้มิ่งเปิดประตูหลัง

 

            “มานั่งเบาะหน้า กูไม่ใช่คนขับรถของมึงว่ะพี่”ไอ้มิ่งสตั๊นท์ไปแพ๊บนึงแล้วมันถึงได้ปิดประตูหลังเปิดมานั่งเบาะหน้าข้างผม

 

            “เซ็ทไม่มาเหรอ”

 

            “มันป่วย วานลางานให้มันด้วย”

 

 

มิ่งกมลฟังเสียงเครื่องยนต์รถที่ดังเบาๆ คณินไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกทำเพียงตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปตามทางที่คุ้นเคยเรื่อยๆ ชายหนุ่มสังเกตว่าเช้านี้คณินขับรถเร็วกว่าเมื่อวานพอสมควร ความเงียบที่โอบรัดทำให้บรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัดจนมิ่งกมลต้องกระแอมไอเบาๆ

 

            “ฝึกงานเป็นยังไงบ้าง ดีมั้ย”สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ต้องเอ่ยปากชวนคุย หากแต่คณินก็ยังเฉยราวกับจะไม่ได้ยิน

 

            “อาหารการกินๆได้หรือเปล่า เห็นเซ็ทบอกว่าคินกินเผ็ดไม่ได้”

 

            “พูดถึงไอ้เซ็ทขึ้นมาก็ดี ไหนๆก็ได้อยู่กันลำพังโดยไม่มีไอ้เซ็ทแล้ว พี่รู้ใช่มั้ยว่าผมกับไอ้เซ็ทไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ”คณินหันไปมองหน้ามิ่งกมล คนแก่กว่าพยักหน้าหงึกๆ

 

            “รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าคินกับเซ็ทคบกัน”คณินกระตุกยิ้มอย่างพอใจในคำตอบ

 

            “เซ็ทมันบอกเหรอ”

 

            “เปล่า พี่รู้ได้เอง รู้ตั้งแต่คินแท็กเซ็ทในเฟสบุ๊คแล้ว”

 

            “รู้ แต่พี่ก็ยังจะเข้ามาเกาะแกะเมียผมเนี่ยนะ?”

 

            “เกาะแกะ? พี่ไปเกาะแกะอะไรเซ็ทเหรอ?”

 

            “อย่ามาทำยอกย้อนไปหน่อยเลย ผมรู้ว่าพี่คิดยังไงกับไอ้เซ็ท”คณินทำเสียงขึ้นจมูกราวกับกำลังเยาะเย้ยมิ่งกมลในที ชายหนุ่มสูงวัยกว่าส่ายหน้าเบาๆ

 

ก็พอรู้มาอยู่บ้างว่าคณินเป็นคำเอาแต่ใจและหวงเศรษฐพงศ์มากๆ

 

แต่ก็ไม่คิดว่าจะเด็กขนาดนี้

 

            “ถ้าการที่พี่กับเซ็ทอยู่ใกล้ชิดกันทุกวันนั่นเรียกว่าการเกาะแกะก็คงเป็นอย่างนั้น แต่พี่กับเซ็ทไม่มีอะไรกันจริงๆ”

 

            “จะปฏิเสธว่างั้นทั้งๆที่สายตาที่พี่มองมันน่ะแสดงออกว่าอยากได้มากขนาดไหนน่ะนะ”

 

            “พี่ยอมรับว่าพี่ชอบเซ็ท”คณินเบรกรถทันทีจนหัวทิ่ม หันไปมองหน้ามิ่งกมลพลางตะครุบคอเสื้อของชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างเอาเรื่อง

 

            “แต่พี่ก็รู้ผิดชอบชั่วดีพอที่จะไม่หน้าด้านแย่งของๆใคร ยิ่งกับเซ็ทแล้วด้วยรายนั้นน่ะไม่เคยมองใครด้วยสายตาแบบที่มองคินเลยนะ เขามองแค่นายไม่รู้เลยเหรอ เลิกหวงเลิกหึงเถอะยังไงเซ็ทก็ไม่มีทางมาชอบพี่หรอก”

 

            “งั้นพี่ก็ควรเลิกชอบแฟนผมซักที ผมหึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

 

            แล้วจะหึงไปทำไมล่ะ ให้พี่เลิกชอบเซ็ทมันก็คงเลิกไม่ได้ง่ายๆ แต่พี่รับรอง พี่ไม่มีวันแย่งแฟนใคร ทุกวันนี้พี่เอ็นดูเซ็ทในฐานะรุ่นน้องที่ทำงานเก่ง นิสัยดี ความชอบของคนเรามันมีหลายแบบนะคิน เลิกคิดมากเรื่องพี่กับเซ็ทซักที มันจะไม่มีวันนั้นพี่จะไม่แย่งของๆใคร”

 

            “ให้มันได้อย่างที่ปากพูดเถอะ”คณินปล่อยคอเสื้อของมิ่งกมลออกหลังจากจ้องตากันมาพักใหญ่

 

เขาอาจจะยังไม่เชื่อเต็มร้อยว่ามิ่งกมลจะทำได้อย่างที่ปากพูดแต่ดวงตาแน่วแน่ที่มิ่งกมลมองตอบมันมีความจริงใจเกินกว่าที่เขาจะทำตัวงี่เง่า

 

            “แล้วนี่ฝึกงานเสร็จเดือนหน้าใช่มั้ย?”

 

            “อืม”

 

            “ฝึกเสร็จก็ต้องกลับไปกรุงเทพไม่ห่วงเซ็ทแย่เหรอ”

 

            “ห่วงสิทำไมจะไม่ห่วง ไอ้เซ้ทน่ะไม่ค่อยดูแลตัวเองจะบินมาหามันบ่อยๆก็ไม่ได้ แม่งขี้งกบอกเปลืองค่าเครื่อง”

 

            “จะคอยดูให้ก็แล้วกัน”

 

            ไหวังดีหรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง?”

 

            “หวังดีจริงๆ มีอะไรจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ แต่ในมอคงต้องให้เพื่อนๆช่วยดูนะพี่จบมาทำงานแล้ว”

 

            “เรื่องเมื่อกี๊ขอโทษด้วยแล้วกัน”

 

            “เฮ้ย มันไม่เป็นไรเลย คนเรามันเข้าใจผิดกันได้ พี่ดีใจนะที่คินมาเคลียร์กันตรงๆกับพี่ แล้วคราวหลังก็ไม่ต้องประชดด้วยการขับรถเฉียวรถพี่อีกล่ะ นี่คงซ่อมอีกหลายวัน”คณินเงียบไปก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ บรรยากาศบนรถไม่ได้อึดอัดแบบตอนแรกแล้ว มิ่งกมลบอกให้คณินจอดส่งตัวเองที่ถนนด้านนอกจะได้ไม่ต้องถอยไปถอยมาให้วุ่นวาย ชายหนุ่มออกรถมุ่งตรงไปยังตลาดที่มีโจ๊กเจ้าประจำของเศรษฐพงศ์

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมาชายหนุ่มก็กลับมาถึงห้อง คนป่วยยังคงนอนซมไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง คณินแกะโจ๊กใส่ชามเทผักและขิงอย่างที่เศรษฐพงศ์ชอบใส่ถ้วย แกะยาที่ซื้อมาและน้ำเปล่าจนพร้อมจึงยกไปที่เตียง

 

            “เซ็ท มึงลุกมากินข้าวไหวมั้ย?”

 

            “กูปวดหัวไม่มีแรง”

 

            งั้นมึงพิงหัวเตียงนะ เดี๋ยวกูป้อน นอนกินเดี๋ยวสำลัก”คณินประคองคนป่วยให้นั่งหนุนหมอนที่หัวเตียง โจ๊กอุ่นๆถูกป้อนให้คนน้องอย่างไม่เร่งรีบ เศรษฐพงศ์ทำท่าเหมือนจะอ้วกออกมาตลอดเวลาจนกินได้ครึ่งชามก็ฝืนไม่ไหว

 

            “พอ ไม่เอาแล้ว อยากนอน”ไม่พูดเปล่าเศรษฐพงศ์ก็ไหลตัวเองลงนอนกับเตียงทันที

 

            “กินยาก่อน”

 

            ไม่เอา ไม่อยากกิน อยากนอน”

 

            “อย่าดื้อสิวะไม่กินยาจะหายป่วยได้ยังไง ไอ้เซ็ท ยังอีก ลุกขึ้นมากินยาก่อน หรือจะต้องให้ป้อน”คณินพยายามพลิกร่างอ่อนปวกเปียกของเศรษฐพงศ์ให้หันกลับมาหากแต่คนป่วยกลับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหูปิดหน้าซะอย่างนั้น

 

            “โอเค ไม่กินก็ไม่กิน”คนพี่ทำท่ายอมแพ้จนเศรษพงศืยอมเอาผ้าออกจากใบหน้า แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างบางก็ถูกพลิกกลับไปนอนหงายก่อนที่ริมฝีปากอุ่นของคณินจะทาบทับลงมา คณินใช้มือบีบกรามของเศรษฐพงศ์จนคนน้องเปิดปากของเหลวถูกส่งเข้ามาพร้อมยาสองเม็ดที่เริ่มละลาย ปลายลิ้นดุนดันจนเกือบสำลักจำต้องกลืนยาลงคอ

 

            “แค่กๆ”เศรษฐพงศ์ผลักหน้าของคณินออกก่อนจะไอโขลก สีหน้าของคนที่เพิ่งจะป้อนยาทางปากให้กับคนป่วยเหยเกก่อนจะตะเบ็งเสียงใส่กันโดยไม่ได้นัดกหมาย

 

            “ขมชิบหายเลยไอ้เหี้ย!!”

 

ทำไมไม่โรแมนติกอย่างในละครเลยวะ!!!!




........................................................




เรื่องจริงมันไม่หอมหวานแบบในละครหรอกพี่มึ้งงงงงงงงง






อิ๊อิ๊าง

มาเอาเสิงเอาสดอะไรล่ะพี่คิน คนบว้าาาาา

เม้นท์ด้วย

ไม่เม้นท์งอน
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:12:33
ตอนที่ 51





            คณินไม่คิดเลยว่าการดูแลคนป่วยจะเหนื่อยขนาดนี้ เศรษฐพงศ์นอนซมไปสามวันเนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เขาพาไปหาหมอตั้งแต่ช่วงบ่ายๆของวันแรกเพราะไม่ว่าจะเช็ดตัวยังไงไข้ก็ไม่ลด กลัวไอ้เด็กมันจะช็อกตายเสียเหลือเกินเพราะไข้ขึ้นสูงแตะ 40
 
ในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ได้ลิ้มรสชาติของการนอนซมให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล ตลอดระยะเวลาหลายวันที่เศรษฐพงศ์ป่วยคณินแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับแทนคนป่วย เขาหงุดหงิดที่ลางานได้เพียงสามวันเพื่อมาดูแลเศรษฐพงศ์วันที่เหลือคณินจึงใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการจ้างพยาบาลพิเศษ
 
และแน่นอนคณินแทบจะหูดับเมื่อเศรษฐพงศ์ที่ฟื้นไข้ในวันที่ห้าด่าเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวเป็ดเทศ
 
            “มึงเลิกบ่นซักทีเถอะ”คณินหันไปทำปากงุ้ยใส่คนป่วยอย่างไม่ชอบใจ
 
            “แม่กูยังไม่บ่นเท่ามึงเลย”
 
แน่ล่ะสิก็แม่มึงชิงตายไปก่อนถ้าเขาเห็นมึงใช้เงินสิ้นเปลืองแบบนี้กูรับรองได้ว่าเขาไม่บ่นอย่างเดียวแต่เขาจะเฉาะกบาลมึงแน่ เศรษฐพงศ์ได้แต่เถียงในใจก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้เป็นการตัดบทสนทนาที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่างอน
 
อาการงอนของเศรษฐพงศ์ไม่ใช่การฮึดฮัดประชดประชันหรือพูดมากอย่างที่ผู้หญิงชอบทำกัน แต่อาการนอนหันหลังไม่พูดไม่จากอดอกนิ่งนั่นแหละคือการงอนเต็มรูปแบบ คณินลอบถอนหายใจเบาๆไม่ให้เศรษฐพงศ์ได้ยิน ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าของเศรษฐพงศ์ซึ่งคนเด็กกว่าไม่ได้หันหนีหรือแกล้งหลับเหมือนที่นางเอกละครหลังข่าวชอบทำกัน เขายังคงลืมตาแล้ะจ้องกลับโดยไม่หลบหรือหนีไปทางอื่น คณินดึงมือคนน้องไปกุมไว้แล้วเริ่มต้นอธิบายอย่างใจเย็น
 
          “อย่าคิดมากเรื่องจ้างพยาบาล มันไม่ได้แพงเลยถ้าเทียบกับความปลอดภัยของมึง ถ้าไม่มีคนอยู่ดูแลมึงกูคงไปทำงานไม่ได้หรอก กูห่วงมึงจะตายอยู่แล้วมึงรู้มั้ย ตั้งแต่รู้จักกันมามีแค่กูที่ป่วยบ่อย มึงไม่เคยป่วยให้กูเห็นเลยซักครั้ง งกกับอะไรมึงงกไปเถอะแต่กับเรื่องของสุขภาพกูขอไว้ซักเรื่องนะเซ็ท”
 
            “กูก็ไม่ได้อะไร กูแค่รู้สึกว่ากูแข็งแรงพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว”
 
            “มึงยังไม่หายเซ็ท”คณินท้วงกลับทันที เศรษฐพงศ์จ้องตาคนรักก่อนจะยอมพยักหน้า
 
            “โอเค กูยอมมึง”เศรษฐพงศ์ส่งยิ้มให้กับคณิน เขางี่เง่าเองเรื่องที่คณินจ้างพยาบาลมา เขาแค่คิดว่าตัวเองสามารถดูแลตัวเองได้แล้วในวันที่ดีขึ้นแต่คณินไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ยิ่งมองตากันเศรษฐพงศ์ก็ยิ่งรู้ว่าคณินรักและเป็นห่วงตนเองมากขนาดไหน
 
ในขณะที่เขาคิดง่ายๆว่าแค่นอนเฉยๆไม่ต้องยุ่งยากอะไรก็ได้แต่คณินคิดมากไปกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวเคยสุญเสียแม่ในตอนที่โตเป็นวัยรุ่นแล้วจึงเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียอย่างถ่องแท้มากกว่าเขาที่แทบจำอะไรไม่ได้เลยว่าพ่อต้องเจ็บปวดหรือทรมานมากแค่ไหนในวันที่ตาย ฝ่ามือร้อนผ่าวของคนป่วยบีบกระชับตอบอย่างอ่อนโยน
 
บางทีเขาอาจจะตีกรอบให้คณินมากเกินไปเรื่องการใช้เงินทั้งที่จริงๆแล้วคณินก็ใช้อย่างที่เคยใช้ทุกสิ่งที่จ่ายนั่นอาจจะคือความจำเป็นในความคิดของคนที่โตกว่าและเศรษฐพงศ์ควรจะเคารพการตัดสินใจของคณิน ยิ่งสายตาที่ฉายชัดถึงความรักความเป็นห่วงยิ่งทำให้พูดอะไรไม่ออก
 
อะไรที่ยอมได้ก็คงต้องยอมกันไปและตนเองควรจะอ่อนแอให้คณินได้ปกป้องบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อที่คนเป็นพี่จะได้ภูมิใจว่าเขาสามารถรับผิดชอบและดูแลชีวิตของใครซักคนได้ด้วยตัวเองแล้ว
 
ไม่ใช่แต่คณินที่เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเศรษฐพงศ์ ตัวของเศรษฐพงศ์เองก็เรียนรู้ที่จะอะลุ่มอะล่วยเขาเองก็รู้ว่าบางครั้งก็ตึงจนเกินไปโชคดีที่ว่าคณินเองก็ยอมโอนอ่อนตามทุกหน มันจึงไม่มีปัญหา แต่เศรษฐพงศ์เองก็คิดถึงการใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว
 
ไม่มีใครจะยอมได้ตลอดเวลา ถ้าถึงวันหนึ่งที่คณินไม่ยอมและเขาเองก็เคยชินกับการถูกตามใจมาเสมอนั่นแปลว่าความรักของเขาต้องมีปัญหาแน่ๆ
 
เศรษฐพงศ์นอนที่โรงพยาบาลอีกสองวันหมอก็ให้กลับบ้านได้ ทันทีที่ร่างกายฟื้นตัววันรุ่งขึ้นเจ้าตัวก็ลุกขึ้นมาปฎิบัติตัวเหมือนเช่นทุกครั้งคือตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อหุงข้าวทำกับข้าวและแพ็คใส่กล่องให้คณินพกไปกินที่ทำงาน  เศรษฐพงศ์ได้คุยกับแม่หละงจากนั้นอีกสองวัน เด็กหนุ่มโล่งใจไปเปราะหนึ่งเมื่อแม่บอกว่าที่ไม่ค่อยได้โทรหาหรือรับสายเป็นเพราะโทรศัพท์พังต้องส่งซ่อม
 
            “แล้วเซ็ตจะกลับบ้านเมื่อไหร่ลูก”
 
            “ก็หลังฝึกงานเสร็จซักอาทิตย์หนึ่งแหละแม่ เซ้ทต้องจัดการธุระที่มอก่อนเสร็จแล้วถึงจะไป”
 
            “จะมาเมื่อไหร่ก็โทรบอกแม่นะจะได้ทำกับข้าวไว้รอ”
 
            “ได้ครับ อยากกินไก่รวนฝีมือแม่จะแย่แล้ว พวกไอ้อิ้งก็บ่นว่าคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ใจจะขาด”
 
            “ถ้าคิดถึงก็รีบกลับมา ว่าแต่เซ็ทจะกลับมาพร้อมพี่เค้าเลยมั้ยลูก”
 
            “ก็พร้อมแหละคินมันบอกรอกลับพร้อมกันจะได้ไม่เปลืองค่ารถ”ลดาหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนั้น
 
            “เดี๋ยวนี้หัดประหยัดแล้วเหรอ ปกติเห็นจ่ายแบบไม่ต้องคิด”
 
            “ผมล้างสมองมันเองแหละแม่ เอ้อ แม่ครับแค่นี้ก่อนนะเซ็ทจะไปทำงานแล้วแม่ดูแลตัวเองดีๆนะครับ”
 
            “จ้าลูก คิดถึงลูกนะ”
 
            “เซ้ทก็คิดถึงแม่ รักแม่นะครับ”
 
            “รักลูกเหมือนกัน” เศรษฐพงศ์วางสายจากแม่เรียบร้อยก็ตักข้าวใส่จานแล้วเดินเข้าไปปลุกคณินที่ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง
 
เป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นชิน
 
ในที่สุดการฝึกงานวันสุดท้ายของคณินก็มาถึง พี่ๆต่างลงขันกันเพื่อเลี้ยงอำลาน้องใหม่เมื่อสามเดือนก่อน บรรยากาศเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา คณินเดินออกมานอกร้านก็พบกับอรอุมาที่ห่างจากการมาวอแวตนหลังจากเปิดตัวเศรษฐพงศ์ ชายหนุ่มเดินไปหาหญิงสาวรุ่นพี่
 
            “พี่แอ๋วครับ”
 
            “คะ? น้องคินมีอะไรคะ”
 
            “ผมแค่อยากจะมาขอโทษพี่น่ะครับ ไหนๆก็จะไปแล้วอยากให้มีความทรงจำดีๆเก็บไว้ ถ้าผมทำอะไรให้พี่รู้สึกไม่ดีผมขอโทษด้วยนะครับ”คณินยกมือไหว้หญิงรุ่นพี่ อรอุมาเองไม่ทันได้ตั้งตัวกับการมาเอ่ยปากขอโทษของคณินครั้งนี้ หญิงสาวยอมรับในใจว่าตนเองรู้สึกเคืองอยู่ไม่น้อย หลิอนรู้สึกเหมือนโดนเด็กสองคนรุมตบให้อาย แต่พอคณินเข้ามาขอโทษแบบนี้แล้ว อรอุมาเองก็ได้คิดว่า คณินทำอะไรผิด เด็กคนนี้ชัดเจนมาตลอดว่าไม่ได้คิดอะไรกับหล่อน เป็นหล่อนเองที่หลงรูปหลงฐานะเงินทองของชายหนุ่มจนหน้ามืดคิดรวยทางลัด
 
ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายใจ อรอุมารับไหว้คณินในทันที
 
            “พี่สิต้องขอโทษน้องที่ทำตัวรุ่มร่ามไม่เหมาะสม พี่ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว ต่อไปนี้ก็ขอให้คินเรียนจบสมที่ตั้งใจนะคะ”
 
            “ขอบคุณมากครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ”อรอุมาพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย คณินโบกมือให้หล่อนก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป
 
เขาสบายใจที่อย่างน้อยก็ได้มีความรู้สึกที่ดีก่อนจากลา
 
คณินไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีวันเดินไปขอโทษเพราะเขาจะคิดเพียงแค่ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เขาเรียนรู้ที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของตนเองและเมื่อได้เอ่ยปากขอโทษไปแล้วคนที่สบายใจก็คือเขาเอง
 
 
            อีกสองวันต่อมาเศรษฐพงศ์ก็เสร็จสิ้นการฝึกงานวันรุ่งขึ้นหน้าหอพักของทั้งคู่จึงเต็มไปด้วยบรรดาเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์และคณินที่ตามมาสมทบและพักโรงแรมในเมืองตั้งแต่เมื่อคืน แดนธรรมและอานุพนธิ์เอารถมาเองคนละคัน
 
            “อ้าว ใครจะไปกระบะกับไอ้แดน แบ่งไปเลยสามคน”
 
            กูกับไอ้แพรไป”แพทขานรับทันที
 
            ไอ้อิ้งค์มึงมากับกูด้วย”แดนธรรมกวักมือเรียกโอบนิธิที่ยืนคุยกับสองแฝด
 
            ทำไมกูต้องไปกับมึงวะ”
 
            “ควาย มึงรู้ทางแต่กูไม่ชำนาญเกิดหลงหรือขับรถตกเขาตายโหงทำไง”
 
            กูก็ไม่ได้ชำนาญป่ะ”
 
            “แต่มึงเคยไป”
 
            “เรื่องมากจังแม่ง กูกะจะนั่งไปกับเพื่อนกูซักหน่อย งี้กูจะคุยกับใครอ่ะ”อิ้งคืบ่นอุบใส่แดนทำที่ทำตาหยีฟันเหยินใส่
 
            งั้นไอ้แพรมึงไปคันไอ้สองแฝดแล้วเอาไอ้ย้งมานั่งกับมึง”
 
            ชิบหายกูได้หูแตกกันพอดี”คราวนี้แพรเป็นฝ่ายบ่นเมื่อตัวเองถูกดีดไปนั่งคันเดียวกับสองแฝด ยงวิสุทธิ์ถูกเรียกให้มานั่งคันเดียวกับแดนธรรม โอบนิธิเปิดประตูหลังเพื่อเตรียมจะเข้าไปนั่งแต่แดนธรรมกลับเบรกไว้ซะก่อน
 
            “มึงมานั่งหน้า”
 
            “กูจะนั่งหลัง”
 
            “แล้วใครจะดูทางให้กู”
 
            “มึงจะเลิกเถียงกันได้ยัง เอาไงเร็วๆกูร้อน”กลายเป็นพชรพลที่เอ่ยปากด่าแดนธรรมและโอบนิธิที่ยังเถียงกันไม่หยุดซักที ที่สุดโอบนิธิก็ได้มานั่งหน้าตึงอยู่เบาะหน้าโดยที่ยงวิสุทธิ์และพชรพลนั่งอยู่เบาะหลัง เมื่อจัดขบวนกันเสร็จทั้งหมดจึงได้ขับรถม่งหน้าสู่จังหวัดเชียงรายเพื่อไปพักผ่อนบนภูชี้ฟ้า ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มไปจนถึงเขตเมืองที่ค่อนข้างจะแห้งแล้งของเชียงรายพวกเขาแวะกินข้าวกลางวันกันแถวๆวัดร่องขุ่นก่อนจะเข้าไปเที่ยวชมในวัดแล้วจึงมุ่งหน้าขึ้นสู่ภูชี้ฟ้า หลายครั้งที่หยุดรถข้างทางแล้วลงไปยืนหน้ากระดานฉี่แข่งกันในแนวป่าด้วยความคึกคะนอง เสียงพูดคุยและโห่แซวดังขึ้นยามรถเร่งเครื่องสู่ภูสูง ทิวเขาทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา ยิ่งใกล้ค่ำควันไฟสีขาวลอยฟุ้งตามจุดที่เป็นที่พักอาศัยของผู้คนทั้งสองฝั่ง รีสอร์ทและโฮมสเตย์มากมายรายทางดีที่ว่านี่ไม่ใช่หน้าหนาวดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงไม่เยอะมีพอให้เห็นบ้างแต่ไม่หนาตา เกือบค่ำทั้งหมดก็ขึ้นมาถึงบ้านพักที่มิ่งกมลจจองไว้โดยที่ชายหนุ่มเดินทางมาถึงล่วงหน้าแล้ว  บ้านพักหลังใหญ่มีสองห้องมีที่นอนและผ้าห่มเตรียมไว้ให้ คณินจูงมือเศรษฐพงศ์ให้มาด้วยกันแล้วเลือกที่นอนริมในสุดวางกระเป๋าเรียบร้อย เสียงเพื่อนๆทะเลาะกันเรื่องว่าใครจะนอนห้องไหนเพราะเศรษฐพงศ์ถูกดึงไปนอนกับคณินแล้ว เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงให้วิธีจับฉลากเพราะทั้งคณินและเศรษฐพงศ์อยากให้เพื่อนๆได้นอนแบบคละๆกันไป  มิ่งกมลได้นอนห้องเดียวกับคณินและเศรษฐพงศ์โดยมีว่าน แฝดจินคนน้อง ยิม อ้น แพร นอนห้องเดียวกัน ส่วนที่เหลือ แพท ย้ง  แดน อิ้งค์ วี แฝดจีนคนพี่ที่โวยวายอยากนอนกับแฝดน้องนอนด้วยกันอีกห้องหนึ่ง อาหารที่ซื้อมาพร้อมเครื่องดื่มสุรามึนเมาน้ำแข็งถังใหญ่ถูกจัดเตรียม กองไฟขนาดย่อมถูกจุดขึ้นเพื่อเรียกบรรยากาศการตั้งแคมป์
 
            “พี่มิ่ง เหล้าหน่อยมั้ยพี่”ยิมส่งเหล้าที่เพิ่งชงให้รุ่นพี่ที่นั่งทำตัวกลมกลืนกับรุ่นน้อง ชายหนุ่มผิวขาวจัดเจ้าของพื้นที่รับแก้วเหล้ามาถือพลางหมุนมันไปมาในมือ มองเศรษฐพงศ์ที่จิบเหล้าแก้วเดียวกับคณินพลางคุยกันเบาๆด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความอาลัยอาวรณ์ที่เจ้าตัวพยายามเก็บมันแล้วแต่ไม่มิด ยงศกรตบไหล่รุ่นพี่อย่างเห็นใจ แต่เรื่องความรักมันห้ามหรือบังคับใจกันไม่ได้ และตั้งแต่ที่คณินกับเศรษฐพงศ์คบกันปัญหาต่อยตีระหว่างสองกลุ่มก็ยุติตามไปด้วย การที่เพื่อนของเขามีความสุขหลังจากที่เจ็บหนักจากอารดาต่อให้เมื่อก่อนจะเหม็นขี้หน้าพวกของคณินมากขนาดไหนแต่สุดท้ายเพราะคนๆนั้นเป็นคนที่เศรษฐพงศ์รักพวกเขาจึงยอมสงบศึก
 
หากตอนนั้นมิ่งกมลมาเจอเศรษฐพงศ์ในวันที่เร็วกว่านี้เขาก็อยากจะเชียร์ให้เศรษฐพงศ์ลองเปิดใจให้รุ่นพี่นิสัยดีคนนี้ดู
 
แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้
 
เป็นไปไม่ได้ทั้งเรื่องเวลาและความรู้สึกของเศรษฐพงศ์เพราะตอนนี้เพื่อนของเขาน่ะรักคณินหมดทั้งใจไปแล้ว

หากมิ่งกมลไม่รีบตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้รังแต่จะเจ็บลึกไปเรื่อยๆ ไม่มีใครช่วยได้แม้แต่ตัวเขาเองที่รู้สึกเห็นใจรุ่นพี่คนนี้อยู่ไม่น้อย




((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:13:08

 
 
            หลังจากดื่มกินได้พักใหญ่ทุกคนก็ตกลงที่จะแยกย้ายไปอาบน้ำ เมื่ออาบกันเสร็จเรียบร้อยหลายคนก็นอนเล่นโทรศัพท์หากแต่พชรพลกลับเอาผ้าห่มมากางที่กลางห้องหยิบไพ่ป๊อกออกมาจากกระเป๋า เพียงเท่านั้นโดยไม่ต้องอัญเชิญบรรดาเพื่อนที่รู้ใจก็มานั่งล้อมวงกันหน้าสลอน
 
            “ไอ้ว่านมึงไปเรียกไอ้คินกับพวกห้องนู้นมาดิ๊”แพรใช้ว่านที่กำลังค้นหาเศษตังค์ในกระเป๋าให้มาร่วมวงพลางหันไปชวนเพื่อนๆของเศรษฐพงศ์ ไม่นานคณินก็เดินมาพร้อมกระเป๋าเงินมีเศรษฐพงศ์ตามมาด้วย มิ่งกมลก็ถูกลากให้มาร่วมวงเช่นกัน ทั้งหมดล้อมวงแล้วเริ่มวางเงิน
 
            “ขั้นต่ำสิบบาทนะโว้ยใครจนกลับไปนอน”แพทที่สถาปนาตนเองเป็นเจ้ามือประกาศ พวกเพื่อนๆเริ่มวางเงินลงตรงหน้าของตัวเอง คณินเปิดกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรสีแดงออกมาวาง
 
            “กูชอบความใจป้ำของมึงว่ะเพื่อน”
 
            “พอดีรวยน่ะ ใช้เศษเหรียญไม่เป็น”คณินรับบุหรี่ที่อ้นส่งให้มาคาบไว้ที่ปากอัดควันจนเต็มปอดแล้วส่งต่อให้เศรษฐพงศ์
 
            “ทำไรกันวะ”เศรษฐพงศ์กระซิบถามเมื่อแพทเริ่มแจกไพ่ให้คนละสองใบ
 
            “ป๊อกเด้ง มึงไม่เคยเล่นเหรอ?”หันไปถามคนข้างๆที่เศรษฐพงศ์เองก็ส่ายหน้า คณินหยิบไพ่ขึ้นมาดูแล้วฟาดลงตรงหน้า
 
            “เก้าเด้ง”
 
            “ไอ้เหี้ย เปลี่ยนเป็นเกลียดมึงได้มั้ย เจ้า ป๊อกแปดเอ้าพวกมึงไม่ต้องลุ้นแล้ว วางๆ”เสียงเพื่อนร่วมวงโวยวาย เสียงเศษเหรียญกระทบกัน หลายครั้งที่คณินเสียคนที่หน้าตูมที่สุดคือเศรษฐพงศ์ ยิ่งตาไหนที่แพทได้สองเด้งแบงค์ร้อยของคณินก็ต้องคูณเข้าไปแต่ส่วนมากคณินจะมือขึ้นหน้าตาของเศรษฐพงศ์จึงผกผันตามตัวเลขบนไพ่ ในขณะที่สีหน้าของเจ้ามือหมองลงเรื่อยๆ
 
            “ไอ้เหี้ยคิน วันนี้มึงพกอะไรมา ปกติโดนแดกตลอดวันนี้เสือกมือขึ้นเฉยเลย นี่กูเรียกมึงมาเชือดนะไม่ใช่ให้มาเด้งเอาๆแบบนี้”
 
            “พกเมียมาด้วย”คณินตอบเสียงเรียบในขณะที่เศรษฐพงศ์กำลังอัดบุหรี่เข้าปอด เมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับสำลักพร้อมเสียงห่าฮาเป่าปากจากเพื่อนๆ

           "พกเมียมาด้วยเหรอ พกเมียมาด้วยเหรอเนี่ย พกเมียมาด้วยเหรอแหมมาแค่นี้ด้วยพกเมียมาด้วยยยยยยยยยย"
 
 
          เศรษฐพงศ์::
 
ไอ้ชิบหาย พกเดิงพกดวงอะไรก็ว่าไปเสือกบอกว่าพกเมียไอ้เหี้ย
 
เรื่องโพซิชั่นกูก็อยากให้มันคลุมเครือแบบนี้ตลอดไปไม่ใช่ไปประกาศโต้งๆ
 
ผมจิ้มก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยก่อนจะทุบลงบนหลังไอ้คินอย่างไม่ยั้ง พวกเพื่อนๆของผมทำสีหน้าเจ็บปวดในขณะที่เพื่อนของไอ้คินกำลังโห่ฮาเหมือนหมาบ้า ส่วนตัวคนพูดประโยคหน้าด้านฟาดไพ่สองใบลงตรงหน้าอีกครั้ง
 
            “ป๊อกเก้า”มันว่าพลางหันมาฉีกยิ้มให้ผม
 
ผมเคือง เคืองมากเลย มันก็จริงอยู่ที่เพื่อนๆก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าผมกับมันน่ะเกินจากคำว่าแฟนไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่การที่ต้องมาเปิดเผยหรือพูดออกไปโต้งๆแบบนี้ผมก็ยังมีความรู้สึกอาย
 
            “ยิ้มหน่อยน่า เดี๋ยวตังค์ที่ได้ให้มึงหมดเลย”มันกระซิบกับผมเบาๆแต่สิ่งที่มันพูดนั้นอิมแพคอารีน่ามาก ผมหายโกรธแทบจะในทันที
 
            “โอเค”ผมเริ่มจะเชื่อคำพูดที่มันเคยบอกแล้วว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยเงิน หลังจากที่ผมกับมันสงบศึกกันผมนั่งดูมันเล่นไพ่อีก 4-5 ตาไอ้แพทเจ้ามือที่หมดตูดก็ประกาศเลิกเล่น เวลาล่วงเลยมาจนเที่ยงคืนกว่าๆวงไพ่เฉพาะกิจจคงเป็นอันเลิกรา ไอ้คินทำตามที่มันพูดคือโกยเงินที่อยู่ตรงหน้ามันให้ผมเก็บ ผมนับเหรียญและแบงค์ที่วางอยู่อย่างละเอียดก็พบว่ามันมากเกือบๆสองพัน
 
โอ้โห...รู้แล้วทำไมคนถึงติดการพนัน เพราะเวลาได้นี่แม่งก็ได้โคตรเยอะ ไอ้คินยังมีเงินอยู่ครบทุกบาท ส่วนผมก็ได้ค่าขนมไปเก็บแบบขำๆโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผมเก็บเงินเสร้จก็นั่งคุยกับเพื่อนๆอีกพักก่อนที่จะถูกไอ้คินส่งเสียงเรียกให้เข้านอนได้แล้วผมจำต้องเดินกลับไปห้องตัวเอง ในห้องมีเพียงไฟด้านนอกที่ส่องแสงเพียงสลัว ไอ้คินขยับผ้าห่มให้ผมสอดตัวเข้าไป ผมเว้นระยะห่างจากมันเล็กน้อยหากแต่มันหรือจะยอม แขนแกร่งรั้งเอวของผมให้เข้าไปแนบชิดกับมัน ผมเปิดปากเตรียมจะด่าก็พอดีที่มันฉวยจังหวะนั้นกดจูบลงมาบนปากผม ความกลัวว่าคนที่นอนอยู่ใกล้ๆทั้งเพื่อนผมและเพื่อนมันรวมทั้งพี่มิ่งจะเห็นทำให้ผมดิ้นเพื่อจะผลักมันออก ไอ้คินตวัดผ้าห่มคลุมตัวเราทั้งคู่ก่อนจะกระซิบเบาๆ
 
            “ถ้ามึงไม่ดิ้นก็ไม่มีใครสนใจหรอก ขอจูบนิดเดียวนะ”ผมแลบลิ้นออกมาแตะริมฝีปากอย่างชั่งใจแต่ไอ้คินกลับเหมาเอาว่าการเงียบของผมคือคำอนุญาต เป็นอีกครั้งที่เราจูบกัน แม้จะจูบกันออกบ่อยแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เรามีคนอื่นนอนอยู่รายรอบ เสียงจูบดังเป็นระยะ รสชาติและกลินของเหล้าและบุหรี่ที่ยังคงหลงเหลือที่เรียวลิ้นของพวกเราทำให้จูบครั้งนี้ดูเย้ายวนไม่ใช่น้อย คำว่านิดเดียวของไอ้คินยาวนานเกือบสามนาที มันจูบมันดูดมันฟัดจนพอใจนั่นแหละถึงยอมปล่อย แต่อย่าคิดว่ามันจะปล่อยให้ผมนอนได้อย่างสงบๆนะ มันเลิกจูบแล้วก็จริงแต่ก็กอดผมจนผมซบกับอกของมันแน่นไม่ยอมปล่อยความเพลียจากการเดินทาง ความมึนเมาจากแอลกอฮอล์และจูบเมื่อครู่ รวมทั้งความง่วงทำให้ผมผล็อยหลับไปในที่สุด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงทุ่มของมันกระซิบอยู่ข้างๆหู แสงไฟในห้องสว่างจ้าเมื่อลืมตาก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง เสียงเพื่อนๆพูดคุยกันดังให้ได้ยิน ผมสะดุ้งลุกขึ้นพรวด เพื่อนๆและคนในห้องที่ตื่นแล้วกำลังเตรียมตัว สงสัยเมื่อคืนผมคงดื่มมากไปหน่อยเลยนอนเพลินจนลืมไปซะสนิทว่าตีสี่ครึ่งเราจะเริ่มเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดภูชี้ฟ้า
 
เรื่องนั้นช่างแม่ง ตอนนี้ผมต้องเฉดตัวออกจากสายตานับสิบคู่พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของไอ้พวกเหี้ยนี่ก่อน
 
แม่งมันต้องเห็นหมดแล้วแน่ๆว่าผมกับไอ้คินนอนกอดจนแทบจะรวมร่างกันอยู่แล้ว
 
ผมไม่พูดไม่จาเดินไปคุ้ยหายาสีฟันแปรงสีฟันแล้วเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวได้ยินเสียงไอ้อ้นแซวไอ้คินเบาๆเรื่องนอนกอดกับเสียงจูบเมื่อคืน
 
แม่ง คอยดูคืนนี้กูจะหนีไปนอนกับไอ้อิ้งค์!!
 
 
เรานั่งรถกระบะที่พี่มิ่งขับจนถึงตีนเขา เด็กชาวเขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดประจำเผ่าดูน่ารักหลายคนเดินไปมา เราแวะกินกาแฟที่เพิงตีนเขากันซักครู่ อากาศตอนนี้เย็นแบบตึงๆผิวเมื่อพร้อมกันหมดทุกคนแล้วเราก็เริ่มเดินเรียงกันขึ้นไปด้านบน จากตอนแรกก็เดินเกาะกลุ่มกันดีแต่พอระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงหอบหายใจด้วยความเหนื่อย แม้ผมเองจะออกกำลังกายมาบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่ายิ่งเดินสูงขึ้นมาเท่าไหร่ความเหนื่อยก็ทบทวี จนตอนนี้เสียงเพื่อนๆเริ่มทยอยหายไป บ้างก็นำหน้าขึ้นไปด้วยความบ้าพลังเช่นไอ้แดนกับไอ้อิ้งค์ที่เถียงกันไปตลอดทาง ตามด้วยไอ้สองแฝดที่ท้าแข่งกันว่าใครขึ้นถึงก่อนคนนั้นชนะ ไอ้ยิมกับไอ้ย้งไม่พูดไม่จาอะไรเดินไปพร้อมพวกไอ้แพรากับไอ้แพท ตามมาด้วยตัวผมกับไอ้คิน ส่วนที่เหลือรั้งท้ายจนตอนนี้มองลงไปก็ไม่เจอกันแล้ว
 
            “คิน พักก่อนกูเหนื่อย”ผมบอกกับไอ้คินที่ยังรักษาลมหายใจของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม มันหันมามองผมที่เท้าเอวหอบจนตัวโยนแล้วยิ้มเยาะ
 
            “อ่อนว่ะ”
 
            “ใครจะไปฟิตอย่างมึงล่ะ”ผมด่ากลับ
 
            “ก็กูบริหารช่วงล่างบ่อยเลยฟิต”มันว่ายิ้มๆ ผมหันรีหันขวางก่อนจะคว้าก้อนดินก้อนเล็กๆเขวี้ยงใส่มัน
 
            “พูดจาหน้าด้านหัดรู้จักอายมั่ง”
 
            “อายทำไมมีแค่มึงกับกู”
 
            “อายเจ้าป่าเจ้าเขาสิ มึงไม่อายแต่กูอาย”ผมหย่อนตูดลงนั่งบนหินก้อนใหญ่ ใช้มือกระพือเสื้อให้ลมเย็นๆช่วยคลายเหนื่อย ไอ้คินก็นั่งลงบนหินก้อนเดียวกัน
 
            “อากาศดีเนอะ”
 
            “อืม”ผมตอบรับมันเบาๆ ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ดาวบนฟ้าส่งประกายพร่างพราวระยิบระยับ
 
            “ดาวก็สวย”ผมว่าก่อนจะเผลอยิ้มออกมา
 
            “แต่ไอ้ดาวหางของกูสว่างที่สุด”ผมหันไปมองมันที่ยิ้มแฉ่งทันทีที่ผมพูดจบ
 
            “อยากจูบมึงว่ะ มึงแม่ง...”
 
            “กูสาบานได้ถ้ามึงจูบกู กูจะถีบมึงให้กลิ้งตกเขาไปเลย”ผมรีบแบรกความคิดของมันทันที ไอ้คินทำหน้าเสียดายฟน่อยๆ เรานักพักกันราวสิบนาทีไอ้พวกชุดหลังก็ส่งเสียงตามมาให้ได้ยินแว่วๆ ไอ้คินรีบลุกขึ้นทันทีก่อนจะจับมือผมดึงให้ลุกตาม
 
            “ไปกันเถอะ อยากเดินกับมึงแค่สองคน”ผมขำกับท่าทางก้าวฉับๆของมัน มือเราสองคนกุมผสานกันไว้ไม่ได้ปล่อย มันทั้งอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย
 
น่าแปลกที่เมื่อก่อนไอ้คินคือตัวอันตรายที่สุดสำหรับผม แต่มาตอนนี้ แค่มีมันอยู่ใกล้ๆผมก็ไม่เคยกลัวอะไรเลยไม่ว่าทางข้างหน้าจะยากลำบากแค่ไหนผมก็รู้ว่ามันจะไม่ปล่อยผมให้เผชิญกับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเพียงลำพัง ในที่สุดหลังจากถูกเด็กชาวเขาเดินน็อครอบไปสามรอบถ้วนเราสองคนก็ขึ้นมายืนบนจุดชมวิว นักท่องเที่ยวหลายคนกำลังโพสต์ท่าตรงป้ายชื่อ ผมกับไอ้คินเดินไปมองวิวด้านล่าง อีกฝั่งหนึ่งมีแสงไฟกระจายตามทิวป่า ควันไฟลอยอ้อยอิ่งเย้ายวนกลมกลนกับทิวหมอกจางๆ เราอดที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้ไม่ได้ ไอ้ย้งจ่ายเงินให้กับสาวน้อยชาวเขาแก้มยุ้ยอายุราวๆ 6-7 ขวบ 2-3 คนแล้วเรียกพวกเราเข้าไปถ่ายรูปหมู่เมื่อกลุ่มหลังมาถึง ในที่สุดสิ่งที่เราดั้นด้นเดินขึ้นมาด้วยความยากลำบากก็มาถึง แสงสีทองค่อยๆโผล่ขึ้นมาฉาบไล้กลุ่มเมฆหมอกอย่างช้าๆจนกระทั้งกลืนกินทั่วผืนฟ้าความสวยงามตามธรรมชาติสะกดให้ผมจ้องมองอย่างไม่รู้เบื่อ ผมอิจฉาชาวบ้านแถวนี้เหลือเกินที่ได้เฝ้ามองธรรมชาติแสนสวยนี่ได้ทุกเมื่อที่อยากดู
 
สวยจนแทบลืมหายใจ ถ้ามาหน้าหนาวมันจะสวยมากกว่านี้ไหมนะ ผมโยนความเหนื่อยล้าจากการเดินทางการงานและความเครียดในสมองทิ้งไปเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ คนข้างๆของผมค่อยๆสอดปลายนิ้วเข้ามา เรากุมมือกันอย่างเงียบๆ เราต่างมีรอยยิ้มที่รู้กันเฉพาะแค่สองคนให้กับภาพตรงหน้า เรารอจนพระอาทิตย์ขึ้นจนเต็มฟ้าแล้วจึงเดินลงมาตามทางเดิม จัดการกับอาหารเช้าที่คลับเฮ้าส์ที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ เป็นข้าวต้มง่ายๆที่มีเครื่องเคียงใส่จานไว้ 5-6 อย่าง ไอ้คินผู้กินยากมองผักหน้าตาแปลกๆในจานแล้วตัดสินใจกินแค่กาแฟกับขนมปังปิ้งสองแผ่นรองท้องเพราะยังไงเดี๋ยวช่วงสายเราก็จะกลับเข้าตัวเมืองเพื่อไปเที่ยวที่อื่นต่อ  หลังจากทำการคืนบ้านพักและเก็บของเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้เราขับกลับมาที่เชียงใหม่เพื่อพักในโรงแรมอีกหนึ่งคืน เราไปหาซื้อของฝากและเที่ยวรวมทั้งไปหาข้าวกลางวันค่อนไปทางบ่ายเสร็จก็กลับไปนอนเอาแรงเพื่อที่จะไปเที่ยวไนท์บาร์ซ่าในตอนกลางคืน
 
ตกตอนกลางคืนเราแยกกันเดินตามอัธยาศัยผมกับไอ้คินเลือกซื้อผ้าสวยๆเพื่อไปฝากแม่รวมทั้งศิลปะท้องถิ่นพวกงานไม้อันเล็กๆไปฝากพ่อ แวะเป็นแบบวาดรูปคู่กันอึดใจใหญ่ ซื้อของกินเดินกินเล่นๆจนถึงเวลานัดก็กลับมารวมกันอีกครั้ง เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านดังก่อนจะกลับที่พัก กลุ่มผมไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนักเพราะอยู่มานานเป็นปี อะไรที่เคยตื่นตาตื่นใจมันหมดไปตั้งแต่เดือนแรกๆแล้วดังนั้นพวกเราจึงมีถุงของกินเล่นติดไม้ติดมือกันมาคนละถุงสองถุงต่างจากพวกบ้านนอกที่เพิ่งมา มันซื้อกันเหมือนชีวิตนี้จะไม่ช็อปปิ้งอีกแล้ว เราแยกย้ายกันเข้านอนเพื่อออกเดินทางกลับกาญจน์ในวันพรุ่งนี้ โปรแกรมของเราคือหิวที่ไหนแวะกินที่นั่นถ้าผ่านสถานที่ท่องเที่ยวก็แวะถึงบ้านกี่ทุ่มกี่ยามช่างหัวมัน ผมเอาผ้าทอลายสวยที่ซื้อไปฝากแม่เก็บใส่กระเป๋าแล้วจึงอาบน้ำเข้านอน ไอ้คินยังคงเป็นเด็กขาดความอบอุ่นได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย มันหันมากอดและซุกผมราวลูกนกตัวน้อยๆ
 
            “ฝันดี”มันยืดตัวขึ้นมาจูบผม อยากจะแหวะกับความโรแมนติกอยู่หรอกแต่อีปากเวนเสือกยิ้มไม่หุบนี่สิ
 
            อือ ฝันดี”
 
แม่ง...กูก็เลี่ยนพอกันให้ตายเถอะ


.....................................

เดินคนเดียวมันเหนื่อยไง

เดินด้วยกันไปได้ไกล

ฝึกงานเสร็จแล้ว

หมายถึงต้องแยกกันแล้ว

เรื่องราวหลังจากนี้คงต้องให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้พี่คินน้องเซ้ทกันเยอะๆเลยนะคะ

ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้น ทุกคู่ไม่ว่าเพศไหนย่อมเจออุปสรรคอยู่แล้วไม่มากก็น้อยเนอะ

ตักตวงความสุขนี้ให้เต็มที่นะเบ่เบ๋
 
 
 
 

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:14:36
ตอนที่ 52







            หลังออกเดินทางจากเชียงใหม่ในช่วงสายในที่สุดคณินและเศรษฐพงศ์ก็มาถึงบ้านในช่วงพลบค่ำ ลดารีบออกมารอลูกชายทันทีที่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน เศรษฐพงศ์อ้าแขนรอรับแม่ทันทีที่ลงจากรถ ลดาสวมกอดลูกชายด้วยความคิดถึง
 
            “แม่ผอมลงหรือเปล่าครับเนี่ย”เศรษฐพงศ์ดันผู้เป็นแม่ออกจากตัวพลางส่งสายตาสำรวจ
 
            “ช่วงนี้แม่ไดเอทน่ะ”ลดาตอบอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหันไปยิ้มให้คณินที่ยกมือไหว้สวัสดี
 
            “พ่อเค้ารออยู่ในบ้านน่ะ ลูกจะอาบน้ำอาบท่าก่อนค่อยมากินข้าวหรือจะกินก่อนดีจ๊ะ”
 
            “ขออาบน้ำก่อนดีกว่าครับ”คณินตอบ
 
            “งั้นไปอาบน้ำเถอะจ้าเดี่ยวน่าอุ่นกับข้าวรอ เซ็ทก็ไปอาบน้ำไปลูก”หล่อนดันหลังลูกชายให้เดินเข้าไปในบ้าน แม่บ้านช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปด้านบนแล้ว สองหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อพูดคุยทักทายกันนิดหน่อยจึงแยกขึ้นไปอาบน้ำ
 
            “โห แม่ ทำอะไรเยอะแยะครับเนี่ย”เศรษฐพงศ์ที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยลงมาก่อนคณินร้องถามอย่างตื่นเต้น ดวงตากลมวาวด้วยความเบิกบานใจเมื่อเห็นแกงป่าของโปรดวางเด่นเป็นสง่า
 
            “แม่คิดว่าลูกๆคงคิดถึงกับข้าวบ้าน อยู่นู่นมีแต่อาหารเหนือคงหากับข้าวบ้านเรายาก”
 
            “มันก็พอมีบ้างแหละแม่แต่รสชาติไม่เหมือนของบ้านเรา”เศรษฐพงศ์ตักข้าวใส่จานให้คณิตและลดารวมทั้งของตัวเองกับคณิน ไม่นานร่างสูงหอมฟุ้งก็เดินลงมาสมทบ
 
            “นึกว่าจะอาบให้ตัวลอกไปเลย”อดไม่ได้ที่จะหันไปแขวะคนพี่
 
            “นี่กูก็รีบที่สุดแล้วมั้ยล่ะเห็นพ่อกับน้ารออยู่”คณินหันไปเถียงฉอดๆอย่างไม่ยอมกัน คณิตมองดูลูกๆเถียงกันด้วยสีหน้ามีความสุข
 
            “เออคิน พรุ่งนี้เข้าไปหาก๋งกับม่าสิ แกบ่นคิดถึงจะให้พาไปหาที่เชียงใหม่หลายรอบแล้ว”คณิตเอ่ยบอกกับลูกชาย
 
            “ก็ว่าจะไปอยู่แหละป๊า แต่ขอสายๆหน่อยแล้วกัน ตอนเช้าจะพาไอ้เซ็ทไปวัด”คณินตักไก่รวนที่เศรษฐพงศ์ตักให้ใส่ปาก
 
            “เฮ้ยมึงไปหาก๋งกับม่าเถอะเดี๋ยวกูไปไหว้พ่อคนเดียวได้”
 
            “ได้ไงกูจะเอามึงไปด้วยถ้ากูไปคนเดียวใครจะช่วยก็ยกของ”
 
            “โถ้...ไอ้สัด”เศรษฐพงศ์หลุดปากด่าคณินที่เอาแต่หัวเราะจนตาหยี ลดาฟาดเผี๊ยะลงบนต้นแขนลูกที่ด่าคนพี่เสียงดังจนเศรษฐพงศ์แกล้งทำเสียงร้องโอดครวญราวกับเจ็บจนแขนหลุด
 
            “แม่ ตีเซ็ททำไมอ่ะ เจ็บนะ”
 
            “ก็ไปด่าพี่เค้าทำไมล่ะ”
 
            “อ๊าว ก็ดูมันดิ่แม่กวนตีนเซ็ทอ่ะ โอ้ย!!”ส่งเสียงร้องอีกครั้งเมื่อแม่ตีลงมาอีกรอบ
 
            “เกรงใจลุงเค้าบ้าง เด็กคนนี้นี่”ลดาเอ็ดลูกชายที่ยังคงใช้คำพูดไม่ดีใส่คณินหากแต่คณิตกลับหัวเราะก๊ากให้กับท่าทางของเด็กทั้งคู่
 
            “ไม่เป็นไรหรอกแม่ เด็กผู้ชายก็คุยกันแบบนี้แหละ”คณิตออกปากเข้าข้างลูกเลี้ยง มื้ออาหารค่ำผ่านไปอย่างอบอุ่นสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระส่วนมากจะเป็นเรื่องการฝึกงานที่ทั้งคู่ได้ทำมา
 
            “พรุ่งนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยลูก ทั้งเซ็ททั้งคินเลย”
 
            “เซ็ทอยากกินข้าวต้มกุ้งใส่ขิงเยอะๆ”
 
            “ผมยังไงก็ได้ เอาข้าวต้มกุ้งแบบไอ้เซ็ทว่าก็แล้วกัน”คณินเห็นดีเห็นงามกับเศรษฐพงศ์ด้วย
 
            “ใครทำก็ไม่อร่อยเท่าแม่ทำ ขนาดเซ็ททำตามแม่รสมือยังได้ไม่เหมือนแม่เลย คิดถึงกับข้าวบ้านเราจะแย่”เศรษฐพงศ์กอดเอวแม่พลางซบลงบนไหล่งุ้งงิ้งๆกับแม่ราวเด็กน้อย เป็นมุมที่ไม่ค่อยเผยให้เห็นมากนัก
 
ตัดความเข้มแข็งที่เจ้าตัวพยายามสร้างภาพขึ้นมาตลอดเศรษฐพงศ์ก็คือไอ้เด็กช่างอ้อนของแม่นั่นเอง ทั้งหมดนั่งคุยกันจนสามทุ่มลดากับคณิตก็แยกขึ้นไปนอน คณินที่นั่งดูบอลอยุ่กับเศรษฐพงศ์ลุกขึ้นยืนพลางดึงแขนคนน้องให้ลุกตามขึ้นมาด้วย
 
            “ป่ะ ไปกัน”เศรษฐพงศืมองหน้าคณินเลิ่กลั่ก
 
อะไรของมันวะ อยู่ๆก็ลากออกมาที่รถ
 
            “ไปไหน ดึกป่านนี้แล้ว”
 
            “ไปกินหนมหวานร้านโฉม มึงบ่นอยากกินไม่ใช่เหรอ”
 
 
เศรษฐพงศ์::
 
เรามาถึงป้อม สห.กันตอนสามทุ่มครึ่ง ไอ้คินเอารถไปจดตรงซอนธนาคารแล้วเราพากันเดินมาที่ร้านขนมหวาน โชคดีที่วันนี้พี่เขายังอยู่ บ่อยครั้งที่ผมเคยมาช่วงนี้แล้วขนมหมดเลยอดกิน เราเดินไปจองโต๊ะที่เหลืออยู่ตัวเดียวไอ้คินทำหน้าที่เดินไปต่อแถวรอสั่ง เมื่อสั่งเสร็จมันจึงเดินกลับมานั่งรอ ไม่นานขนมหวานของเราก็มาเสิร์ฟ ผมใช้ช้อนสับเกล็ดน้ำแข็งที่โม่ละเอียดยิบอย่างอารมณ์ดี
 
            “อ้าว มึงสั่งรวมมิตรแบบกูทำไม มึงไม่กินกะทินี่”ผมร้องถามมันอย่างแปลกใจเมื่อเห็นในชามของไอ้คินเป็นรวมมิตร มีเผือกและทับทิมกรอบเหมือนของผมเดี๊ยะๆ
 
            “อยากกินเหมือนมึง”
 
            “แต่มันกะทิมั้ยล่ะ”
 
            “ไม่เห็นจะยาก”มันยักไหล่พลางใช้ช้อนควานตักเอาเนื้อขนมขึ้นมาที่ปากชามจัดการตะแคงช้อนให้กะทิไหลออกไปจนหมด
 
            “จริงๆกูก็พอจะกินได้ แต่ที่กูไม่กินเพราะตอนเด็กๆกูเคยกินทับทิมกรอบแล้วร้านนั้นกะทิบูด ทีนี้พอกินขนมที่ใส่กะทิคอกูก็ไม่ยอมรับอาหารเข้าไปมันไม่ยอมกลืน แต่ถ้าช้อนกินแต่เนื้อก็โอเคกินได้”
 
            “มึงนี่เป็นเด็กที่เจอแต่ของกินที่ทำให้ประสบการณ์แย่เนอะ”
 
“แต่พอโตมากูเจอมึงอะไรที่แย่ๆก็หายไปหมดเลย”
 
อ่ะไอ้สัด มันใช่เวลามาหยอดกูมั้ยเนี่ย
 
ขนมร้านนี้จืดไปเลยไอ้เหี้ย
 
 
            ผมลงมาช่วยแม่ทำข้าวต้มตั้งแต่ตีห้า แม่ดุที่ผมไม่ยอมนอนต่อแต่อุตส่าห์ตตื่นมาช่วย ผมหอมแก้มแม่เบาๆทั้งซ้ายขวาก่อนจะรับอาสาเอากุ้งมาปอกเปลือกผ่าหลังเตรียมไว้ให้ เพราะผมกับไอ้คินชอบกินกุ้งมากแม่เลยให้ล้างทั้งกิโลเลย กะว่ากินหมดตัวผมกับมันจะกลายเป็นสีส้มเหมือนกุ้งแน่ๆ ขิงอ่อนถูกซอยโดยที่แม่เอาไปขยำเกลือให้คลายความเผ็ด ผมตัดพ้อแม่เรื่องที่แม่ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ของผมเลยในพักหลังๆ

          "งานแม่ยุ่งน่ะช่วงนี้ ลุงเขาก็ยุ่งๆอยู่กับหอพักของคินใกล้เสร็จแล้วเลยต้องแบ่งเวลาไปคุมงานอยู่บ่อยๆ"

          "ผมก็นึกว่าแม่เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรือว่าอะไรโทรมาไม่รับเลย คราวหลังต่อให้ยุ่งแค่ไหนถ้าแม่ว่างแม่ต้องโทรหาเซ็ทนะ อยู่ไกลกันห่วงแค่ไหนจะมาดูก็ไม่ได้"ผมบ่นแม่น้อยๆ ซึ่งแม่ก็ยิ้มแล้วตัดบทอย่างดื้อๆ

          "จ้าๆ แม่รู้แล้ว ลูกคนนี้นี่ไม่เจอกันปีครึ่งปีขี้บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย เอาล่ะๆเดี๋ยวแม่ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานก่อนเห็นลุงบอกว่าเดี่ยวจะออกไปวิ่งกับน้องคินเซ็ทจะไปทำอะไรก็ไปทำก่อนไป"

 เจ็ดโมงลุงกับไอ้คินก็เดินลงมาด้านล่าง เตรียมตัวออกไปวิ่งจ้อกกิ้งแบบที่มันชอบทำสมัยก่อน ส่วนผมก็ออกไปรดน้ำต้นไม้ตัดแต่งกิ่ง ต้นไม้หลายต้นโทรมลงไปเยอะเพราะขาดการดูแลอย่างต่อเนื่อง ผมตัดใบเน่าใบเหลืองที่จะแพร่เชื้อไปหาต้นอื่นออก เข้าไปผสมยาเอามาฉีด ใส่ปุ๋ยกล้วยไม้ให้ลุงจนเสร็จ พอแปดโมงแม่ซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาเรียกให้ผมเข้าไปล้างไม้ล้างมือเพื่อกินข้าว เกือบๆ 9 โมงแม่กับลุงก็ออกไปทำงานผมขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงมาข้างล่าง ไอ้คินที่นั่งรออยู่แล้วก็ลุกเดินนำผมมาที่รถ
 
            “แวะตลาดก่อนใช่ป่ะ”
 
            “อือ จะไปซื้อกระป๋องสังฆทานก่อน”เราแวะเข้ามาในตลาดจัดแจงซื้อกระป๋องสังฆทานเสร็จก็ตรงไปที่วัด ภายในวัดยังคงสงบร่มรื่นเหมือนเดิมไก่แจ้ตัวเล็กๆส่งเสียงขัน ลมเย็นพัดโชยมาจากริมน้ำยิ่งทำให้วัดร่มรื่นมากยิ่งขึ้น เราพากันเข้าไปติดต่อพระเพื่อถวายสังฆทานเสร็จแล้วก็แวะไปหาพ่อที่เจดีย์ ผมไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากเอาผลไม้และขนมที่พ่อชอบมาใส่จานเปลี่ยนน้ำในแก้วและปักดอกไม้ใส่แจกัน ผมปัดเศษดินเศษหญ้าที่ปลิวมาตรงฐานออก
 
ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงมองรูปที่ติดอยู่หน้าเจดีย์ของพ่อเงียบๆถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาผ่านดวงตา ไอ้คินขยับมาใกล้ผมกุมมือผมไว้
 
ความอุ่นใจแผ่ซ่านจนขอบตาร้อนผ่าว เรากระชับมือกันไร้เสียงพูดคุยมีเพียงความอบอุ่นที่ฝ่ามือสื่อสารกัน
 
            “พ่อครับ พ่อไม่ต้องห่วงผมเลยนะครับ ผมมีคนที่ดีดูแลผมแล้ว”ผมบอกกับพ่อในใจ
 
แค่มีไอ้คินอยู่ด้วยทุกอย่างในชีวิตของผมก็จะดี
 
มันคือความอบอุ่นในวันที่ผมรู้สึกหนาว
 
มันคือสายน้ำเย็นในวันที่ผมร้อน
 
มันคือความรักที่เข้ามาเติมเต็มในใจของผมในวันที่ผมรู้สึกขาด
 
ผมดีใจที่เรารักกันแม้ที่ผ่านมาจุดเริ่มต้นมันจะไม่ค่อยดีนัก
 
ไอ้คินกลายเป็นคนสำคัญ คนที่ผมขาดไม่ได้
 
ผมนึกวันที่ไม่มีมันมาเอาแต่ใจใส่ไม่ได้แล้ว
 
นึกไม่ออกเลยจริงๆ





 
 
            ตกบ่ายไอ้คินขับรถพาผมไปหาอาม่าฝั่งพ่อของมันก่อน เราช่วยกันยกของฝากจากเชียงใหม่เข้าไปในบ้านไอ้คินหลานรักของอาม่าถูกกอดพลางจูบแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง ผมวางของฝากลงบนดต๊ะที่อี๊ของไอ้คินชี้นิ้วบอกแล้วจึงยกมือไหว้ผู้ใหญ่ในบ้านของมันทุกคน อาม่าเมินเฉยกับผมเหมือนเช่นทุกครั้งส่วนอี๊ของไอ้คินรับไหว้ผมอย่างแกนๆ มันพาผมเข้าไปนั่งร่วมวงสนทนาด้วย
 
เหงาปากเลยสัด
 
น้ำลายจะบูดแล้วเนี่ย
 
ไม่รู้จะพากูมาทำม๊าย
 
ผมแทบจะเข้าไปคุยกับลูกน้ำยุงลายที่อ่างบัวหน้าบ้านของอาม่าไอ้คินเลย คถามมากมายถูกเอ่ยถามไอ้คินไม่ได้ขาดไอ้คินพยายามพรีเซ้นต์ผมให้กับครอบครัวของมันซึ่งผมรู้ดีว่าเหมือนการปาบอลอัดกำแพงที่แข็งแกร่ง ผมอึดอัดใจเหลือเกินแต่ก็จำต้องนั่งตั้งหน้าตั้งตาฟังเพราะไม่รู้ว่าไอ้คินจะโยนขี้มาตรงประโยคไหน
 
            “แล้วไปอยู่นู่นมีแฟนหรือป่าว ทำไมไม่เห็นพาสาวๆมาให้อาม่าดูตัวมั่งเลยอาคิน”ไอ้คินกับผมสะดุ้งทันทีมันหันมามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มหวานใส่อาม่าของมัน
 
            “จริงๆคินก็เจอคนนั้นแล้วนะอาม่า”ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อไอ้คินพูดประโยคนั้นจบ
 
บ้านอาม่าก็ไม่ร้อนทำไมเหงื่อกูไหลพลั่กๆเลยวะ
 
อาม่าเลิกคิ้วบางๆอย่างตื่นเต้น
 
            “จริงซี่?? ใครทำไมไม่พามาให้อาม่าดูตัวมั่งอาคินนี่นะ”อาม่าตีลงบนต้นแขนมันเบาๆอย่างตื่นเต้นก่อนจะพุ่งเป้าหมายใหม่มาที่ผมทันที
 
            “ว่าไง อาเซ็กลื้อก็เคยเห็นแฟนอาคินใช่มั้ย?”อ่ะ กู ขื่อเซ็กไปแล้ว
 
            “เอ่อ”ผมอ้ำอึ้ง จะให้ตอบว่าอะไรได้วะ
 
            “ม่า อย่าไปถามมันเลย บางทีอาม่าอาจจะเคยเจอคนๆนั้นแล้วก็ได้นะครับ”
 
มีตุ่มกดโกรธมั้ยครับ กดบล็อกแม่งเลยก็ได้ไอ้ห่านี่
 
ผมนั่งตูดไม่ติดพื้นเก้าอี้นักเพราะรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิต
 
ถ้าอาม่ารู้ว่าแฟนไอ้คินเป็นผมจะไม่หัวใจวายตายเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นผมต้องบาปมากแน่ๆ
 
            “รออีกหน่อยแล้วกันนะม่า แต่ผมรับรองได้ว่าคนๆนั้นน่ะดีกับคินจริงๆ ดูแลคินดีสอนให้คินรู้จักประหยัดอดออมไม่ให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย เวลาไม่สบายก็คอยดูแล แถมทำกับข้าวอร่อยด้วย”
 
            “ได้ยินแบบนี้ม่าก็ดีใจ เลือกเมียทั้งทีเอาที่มาช่วยกันทำมาหากินดูแลบ้านช่องครอบครัวของเราได้ ไว้ก็รีบๆพามานะอาม่าอยากเห็นหน้าหลานสะใภ้”ไอ้คินหันมาฉีกยิ้มจนตาขีดใส่ผมในขณะที่ฝ่ามือของผมเย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เราใช้เวลาในการพูดคุย จริงๆใช้คำว่าเราก็ไม่ถูกเพราะส่วนมากจะเป็นไอ้คินกับญาติพี่น้องมันคุยกันมากกว่าจนเกือบบ่ายสามก็ย้ายมาเยี่ยมอาม่าฝั่งแม่มันบ้าง ยังดีที่อย่างน้อยอาม่าฝั่งนี้ก็เป็นมิตรและยิ้มแย้มมากกว่า ผมนั่งมองไอ้คินที่นอนหนุนตักอาม่าของมันพลางอ้าปากรับส้มหวานๆที่อาม่าปอกใส่ปากป้อนให้มันด้วยมืออันสั่นเทาแล้วอดยิ้มตามไม่ได้
 
ผมไม่เคยได้นอนอ้อนปู่ย่าตายายแบบนี้เลย
 
เราสองแม่ลูกเหมือนคนที่ไร้ญาติขาดมิตร พอพ่อตายแม่ก็เหมือนถูกดีดออกจากวงศ์ตระกูลทางบ้านพ่อ ปู่กับย่าจะเอาผมไว้หากแต่แม่ไม่ยอม ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมกับบ้านฝั่งพ่อก็ไม่สนิทกัน ญาติฝั่งแม่ก็ไม่เคยติดต่อกันเลย
 
ไอ้คินกลายเป็นเด็กชายตัวน้อยๆที่นอนเล่านู่นเล่านี่ให้อาม่ามันฟัง
 
ผมอดที่จะอบอุ่นใจกับความรักที่ญาติผู้ใหญ่ของมันมอบให้ไม่ได้
 
            “ค่าเทอมจะต้องจ่ายเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกอาม้านะลูกเดี๋ยวให้แปะเขาโอนให้อาม่าบอกมันในตอนที่เราเตรียมตัวกลับไอ้คินหอมแก้มอาม่ามันฟอดใหญ่จนแก้มเหี่ยวแทบติดจมูกมันตามมาตามแรงหอม
 
เพราะเป็นครอบครัวคนจีนดังนั้นทั้งสองบ้านใช้ระบบกงสีบ้านทั้งสองฝั่งของไอ้คินนั้นตกลงร่วมกันเลี้ยงดูมันด้วยการแบ่งกันจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆของไอ้คิน อาม่าฝั่งพ่อจ่ายค่าใช้จ่ายจิปาถะพวกค่าน้ำค่าไฟค่าเช่าห้อง ส่วนอาม่าฝั่งแม่จ่ายค่าน้ำมันรถค่ากินค่าอยู่รวมทั้งค่าเทอมที่มันยังได้ต่างหากจากพ่อมันทุกเดือน
 
ไอ้คินมีเงินใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายตั้งแต่ยังเด็กดังนั้นเมื่อเงินได้มาอย่างง่ายๆมันจึงไม่เคยวางแผนการใช้เงินเลย ที่ผ่านมาเสื้อผ้าของใช้ที่ไม่จำเป็นจึงเต็มห้อง บางตัวซื้อมามันยังไม่ได้เอาออกจากถุงด้วยซ้ำ
 
เรากลับเข้าบ้านมาในตอนเย็นแม่บ้านทำกับข้าวเตรียมไว้แล้ว ไอ้คินแยกขึ้นไปคุยงานที่ต้องทำรูปเล่มส่งอาจารย์ในตอนเปิดเทอม ผมปลีกตัวขึ้นไปอาบน้ำแล้วนั่งเช็คงานในคอมจนกระทั่งได้ยินเสียงรถของลุงกับแม่จึงได้ปิดคอมแล้วเดินลงมาหาแม่
 
            “เซ็ทกินข้าวหรือยังลูก”แม่เอ่ยถามยามที่ผมเดินไปเกาะแขนราวกับลูกลิง ผมส่ายหน้าพลางเอามือลูบท้องเบาๆเพื่ออ้อนแม่ว่าผมหิวแล้ว
 
            “โอเคๆ รอแม่แป๊บนะขอขึ้นไปล้างหน้าล้างตาก่อน เซ็ทก็ไปนั่งคุยกับลุงเขาก่อนก็ได้”ผมทำตามที่แม่บอกโดยผละไปนั่งคุยกับลุงคณิต ลุงถามผมเรื่องกำหนดจ่ายค่าเทอมถามถึงหอใหม่ที่ย้ายเข้าไปอยู่ช่วงที่ไอ้คินไปฝึกงาน
 
            “เซ็ทอยู่หอเดิมนั่นแหละดีแล้วค่าหอไม่ได้แพงอะไรด้วย ย้ายไปย้ายมาเหนื่อยเปล่าๆยังไงก็เหลืออีกแค่เทอมเดียว ลุงว่าเปิดเทอมใหม่ลุงจะให้เงินเดือนเซ้ทเพิ่มจะได้ซื้ออะไรที่อยากซื้อได้โดยไม่ต้องประหยัด”
 
            “อย่าเลยครับลุง ที่ให้ทุกเดือนก็มีเหลือ”ผมรีบปฏิเสธน้ำใจของลุงทันที ลำพังที่ลุงให้เป็นเงินเดือนทุกเดือนก็มากพอที่ผมจะสุรุ่ยสุร่ายได้เพราะลุงให้ผมเท่าๆกับที่ให้ไอ้คิน ขืนลุงให้เพิ่มผมคงไม่กล้าใช้ มีเงินเยอะเดี่ยวเครียดตายห่า
 
ขออยู่แบบจนๆนี่แหลพดีที่สุดจะใช้จะจ่ายอะไรจะได้ระวังไม่มือเติบเกินตัว
 
 
            หลังมื้ออาหารเย็นอันเรียบง่ายจบลงทั้งสีคนนั่งพูดคุยพลางกินของหวานตบท้ายราวสามทุ่มครึ่งคณิตกับลดาก็กลับขึ้นห้องนอนไป เศรษฐพงศ์ทำหน้าที่เช็คความเรียบร้อยของกลอนประตูและปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ตามที่เคยทำมาตลอดหลายปีแล้วจึงเดินขึ้นห้องพร้อมคณิน ยังไม่ทันได้เข้าห้องตัวเองข้อมือก็ถูกคนพี่กระชากให้ถลาตามเข้ามาในห้อง แผ่นหลังปะทะกับกำแพงเย็นเฉียบก่อนจะถูกกักไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแกร่งทันที
 
            “วันนี้ที่บ้านอาม่า มึงไม่สบายใจใช่มั้ยเซ็ท”คณินเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาในใจทันที
 
เศรษฐพงศ์ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรก้จริง แต่ดวงตาของคนเด็กกว่ามันหม่นจนเขาเห็นได้ชัด
 
เศรษฐพงศ์เป็นคนแคร์ความรู้สึกคนอื่น
 
เศรษฐพงศ์ปราณีทุกคนยกเว้นตัวเองดังนั้นสิ่งที่อาม่าพูด
 
เด็ดนี่เก็บมาคิดมากแน่ๆ เพียงแต่ไม่ยอมปริปากเอ่ยคำใดใดออกมาให้เขาต้องเป็นทุกข์
 
            “มึงเชื่อใจกูใช่มั้ยเซ็ท มึงเชื่อใจว่ากูจะพามึงก้าวผ่านปัญหาทุกอย่างออกไปได้ใช่มั้ย”
 
            “กูไม่มั่นใจเลยคิน...”คณินมีสีหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่ได้รับคำตอบ
 
            “กูยังทำให้มึงมั่นใจไม่ได้อีกเหรอวะเซ็ท”
 
            “ไม่ใช่นะ...ไม่ใช่อย่างนั้น กูแค่กลัวอาม่าของมึงเขาจะเสียใจ”
 
            “แค่มึงมั่นใจในตัวกูเซ็ท แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง ทุกอย่างต้องใช้เวลามึงรอกูได้มั้ย?”ไคณินลูบแก้มสีน้ำผึ้งของเศรษฐพงศ์ด้วยความอ่อนโยน ดวงตากลมจ้องสบด้วยความหวั่นไหว
 
เขาไม่มั่นใจอะไรกับความรักที่เกิดขึ้นเลย แต่เมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคณินแล้วเศรษฐพงศ์ก็พยักหน้า คณินเลื่อนปลายนิ้วไปประคองท้ายทอยของน้องไว้ก่อนจะดึงรั้งให้ขยับมาใกล้แล้วประกบริมฝีปากอุ่นลงไปแนบชิด ถ่ายทอดความรักให้อย่างนุ่มนวดมัวเมาให้เศรษฐพงศ์หลงใหลไปกับความหอมหวานนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าประตูห้องนอนที่ลืมล็อคไว้เปิดออก
 
คณิตมองภาพลูกชายทั้งสองกำลังแลกจูบกันด้วยหัวใจที่บีบรัดจนปวดไปหมด
 
            “นี่มันอะไรกัน?”
 
            “...”



.............................................

พ่อเห็นแล้ว พ่อเห็นแล้ว พ่อเห็นแล้ววววววววว

ทำไงดี

แค่มีกันในทุกๆวันมันก็ดีที่สุดแล้วจริงๆ

หนมหวานร้านโฉมอร่อยและให้เยอะมากกกกกกกกกกก


หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:16:40
ตอนที่ 53







          เลือดในกายของคณินและเศรษฐพงศ์เย็นวาบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า สีหน้าราบเรียวไร้ความรู้สึกของคณิตนั้นทำให้เด็กหนุ่มสองคนตัวชาดอก
 
            “ลุง”
 
            “ป๊า”
 
เศรษฐพงศืรีบผลักคณินที่ยังกักร่างของเขาไว้ออกก่อนจะยืนตัวลีบเหมือนเด็กที่แอบกินขนมแล้วถูกคุณครูจับได้ สองมือกำชายเสื้อของตัวเองแน่นอย่างกดดัน
 
            “เซ็ท กลับห้องไปส่วนคินมาคุยกับป๊าที่ห้องทำงาน”คณิตเอ่ยคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบตึง น้ำเสียงที่ไม่เคยพูดกับลูกเลี้ยงแบบนี้มาก่อน เศรษฐพงศ์สบตาคณิตที่จ้องมาแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ
 
คณิตกำลังผิดหวังในตัวเขา เศรษฐพงศ์ยกมือขึ้นไหว้ ริมฝีปากสั่นเอื้อนเอ่ยคำขอโทษด้วยเสียงอันสั่นเครือ
 
            “ลุงครับผมขอโทษ”
 
            “กลับห้องของเธอไป”คณิตไม่อยู่ในอารมณ์จะมาตอบรับเหมือนเมื่อก่อน
 
            “ลุงผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”ชายวัยกลางคนตวัดสายตามองลูกเลี้ยงก่อนจะเดินนำออกไป พร้อมๆกับเศรษฐพงศ์ที่ปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมาอย่างหมดแรง
 
            “มึงกลับห้องไปก่อนนะเซ็ท กูสัญญาว่าทุกอย่างจะโอเค”คณินลูบข้างแก้มของน้องอย่างใจเย็นทั้งๆที่ภายในใจของตนเองนั้นก็กลัวแสนกลัว
 
สายตาที่พ่อมองมาเมื่อครู่นั้นมันเต็มไปด้วยความผิดหวัง วูบหนึ่งคณินเห็นแววของความโกรธเจืออยู่ เศรษฐพงศ์รั้งชายเสื้อของคณินไว้
 
อยากจะพูดว่ากูขอไปด้วยแต่สิ่งที่ทำได้คือมองหน้าคณินนิ่ง คณินจึงจูงมือเศรษฐพงศ์ไปส่งที่ห้องนอน แม้ที่ผ่านมาเศรษฐพงศ์จะทำตัวเข้มแข็งขนาดไหนแต่เขารู้ดีว่าลึกๆในใจเศรษฐพงศ์นั้นอ่อนไหวและคิดมากเพียงใด เศรษฐพงศ์กลัวการทำให้คนอื่นผิดหวัง กลัวการไม่เป็นที่รัก กลัวเสียทุกอย่างที่มีในชีวิตไป ดังนั้นกว่าที่เขาจะเข้ามาอยู่ในใจของเศรษฐพงศ์ได้จึงใช้เวลานาน
 
เขาคบกันบนเส้นของความไม่แน่นอน  แม้เศรษฐพงศ์จะไม่พูดเขาก็รู้ว่าเด็กตรงหน้ากลัวจะถูกจับได้มากแค่ไหน แม้จะเคยคิดว่าอยากจะบอกกับพ่อเรื่องความรักของตนเองกับคนน้องในไม่ช้านี้
 
แต่การที่พ่อมาจับได้ด้วยตาตัวเองทำให้ความมั่นใจต่างๆของเขาลดฮวบจนแทบไม่เหลือ
 
เขาไม่รู้ว่าความรักและเมตตาที่พ่อมีให้กับเศรษฐพงศ์จะมีมากพอที่จะอภัยและยอมรับให้เศรษฐพงศ์เป็นมากกว่าลูกเลี้ยงมั้ย
 
และเขาก็ไม่มั่นใจว่าพ่อที่เคยตามใจเขาทุกอย่างจะยอมตามใจเขาอีกครั้งกับเรื่องนี้หรือไม่
 
เขาไม่แน่ใจอะไรเลยแต่เขาก็แสดงออกไม่ได้
 
เพราะตอนนี้  เวลานี้  คนที่กลัวมากกว่าเขาคือเด็กที่ทำตัวเข้มแข็งมาตลอดตรงหน้านี้
 
            “อย่าออกมาจนกว่าจะเช้ามึงเข้าใจมั้ย ทุกอย่างจะต้องโอเคมึงเชื่อใจกูมั้ยเซ็ท”เศรษฐพงศ์จำต้องพยักหน้ารับ แม้ในใจตอนนี้ร้อนรนยิ่งกว่าไฟ เขาไม่มั่นใจอะไรเลยซักนิด ไม่มั่นใจกับอะไรซักอย่าง คณินกดจูบลงบนหน้าผากของคนน้องเร็วๆแล้วผละออก ร่างสูงเดินตรงไปห้องทำงานของพ่อ
 
แต่ละย่างก้าวเชื่องช้าและไม่มั่นคงเอาเสียเลย
 
ภายในห้องทำงานของคณิตเย็นเฉียบ ไม่ใช่เย็นเพราะแอร์หากแต่เย็นเพราะบรรยากาศระหว่างสองพ่อลูก คณิตในยามนี้หน้าตาเคร่งเครียดกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา
 
            “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”คณิตไม่ได้รอให้ลูกชายนั่งลงตรงหน้าชายวัยกลางคนเอ่ยคำถามที่คั้นออกจากลำคออย่างยากเย็น
 
            “พ่อถามว่าระหว่างคินกับเซ็ทมันตั้งแต่เมื่อไหร่”
 
            “2 จะ 3 ปีแล้วครับ”
 
            “ทำไมล่ะคิน ทำไมถึงมาคบผู้ชายด้วยกันเองทั้งๆที่เมื่อก่อนคินจะควงผู้หญิงกี่คนป๊าไม่เคยว่าแล้วทำไมถึงต้องเป็นผู้ชายโดยเฉพาะเป็นเซ็ท ลูกแค่อยากแกล้งน้องใช่มั้ย?”
 
            “ไม่ครับป๊า ผมกับไอ้เซ็ทเรารักกันจริงๆ”คณินตอบผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
 
            “ผู้ชายกับผู้ชายมันจะไปรักกันได้ยังไง”
 
            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะป๊า มองข้ามเรื่องเพศผมกับมันรักกันจริงๆนะป๊า ไหนเมื่อก่อนป๊าอยากให้เราสองคนรักกันไงครับ”
 
            “แต่พ่อไม่ได้หมายความให้ลูกสองคนรักกันแบบนี้ คิน ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของป๊า เป็นคนสืบสกุลคนเดียวของป๊านะ ทำแบบนี้ไม่ละอายใจต่อบรรพบุรุษบ้างหรือไง”
 
            “แต่ป๊าครับ บรรพบุรุษตายกันไปนานแล้วนะครับที่อยู่กันตอนนี้คือพวกเรา”
 
            “อย่าพูดแบบนี้ อย่าเห็นแก่ตัวแบบนี้ ลูกก็รู้ดีวิปริตผิดเพศถ้าคนอื่นรู้ป๊าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
 
            “ป๊าแคร์คำพูดคนอื่นมากกว่าความสุขของผมเหรอครับ ไหนตอนแม่ตายป๊าบอกจะให้ทุกอย่างที่ผมต้องการ นี่ไง ตอนนี้ทรัพย์สินเงินทองอะไรผมไม่ได้อยากได้แล้วผมอยากใช้ชีวิตร่วมกับไอ้เซ็ท”
 
            “คนอย่างคินน่ะเหรอไม่มีเงินไม่ได้ คินใช้เงินมือเติบรักความสะดวกสบายใช้แต่ของแพงๆ ให้ไปกัดก้อนเกลือกินกันสองคนไม่ถึงเดือนก็ถอดใจแล้ว ทุกวันนี้ยังขอเงินป๊าใช้อยู่เลยแล้วแบบนี้คินจะไปดูแลใครได้ ตัวของคินเองคินยังดูแลไม่ได้เลย เลิกกันซะถือว่าป๊าขอ”คณิตยื่นคำขาดให้ลูกชายด้วยน้ำเสียงหมางเมิน
 
            “ผมไม่เลิก”คณินจ้องหน้าพ่อเอ่ยคำพูดที่ทำให้คณิตรู้สึกโกรธ เมื่อก่อนเขาอาจจะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะรักลูกชายมากแต่คราวนี้เขาจะไม่มีทางยอม
 
            “อย่ามาดื้อกับป๊านะคิน  ป๊าไม่ได้ขอร้องให้คินกับเซ็ทเลิกกัน แต่ป๊าสั่ง”
 
            “ผมขอไม่ทำตาม ผมไม่เห็นว่าความรักของเราสองคนมันจะผิดอะไรเลย อย่ามาดูถูกเราสองคน ต่อให้ป๊าไม่ให้เงินผมใช้ซักบาทผมก็จะไม่ขอร้องอ้อนวอน ผมขออย่างเดียวให้ผมกับไอ้เซ็ทได้คบกัน ถ้าเราจะเลิกก็ขอให้เราเลิกเพราะเราหมดรักกันไม่ใช่เพราะความไม่เหมาะสมที่คนอื่นมาตัดสิน”
 
            “ถ้าอยากจะลองดีกับป๊าก็เอา ป๊าจะตัดเงินเดือนของคิน กับอาม่าป๊าก็คงต้องบอกความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ค่าเทอมค่าหอพักก็หาเอาเองแล้วกัน คินโตแล้วนี่หาเลี้ยงตัวเองได้แล้วก็พิสูจน์ให้ป๊าเห็นแล้วกันว่าจะเอาตัวเองรอดได้โดยไม่ต้องใช้เงินพ่อแม่ญาติๆ”คณิตยื่นคำขาดให้กับลูก
 
คนอย่างคณินน่ะทนความลำบากได้ไม่นานหรอก ถ้าเขาตัดงบทุกอย่างที่คณินเคยได้ยังไงเดี๋ยวลูกชายก็จะมาขอร้องอ้อนวอนเขาเองแหละ คณินจ้องใบหน้าเรียบเฉยของผู้เป็นพ่อก่อนจะพรวดพราดเดินออกจากห้องทำงานของพ่อไปแล้วกลับมาพร้อมกับบัตรเครดิตบัตรเอทีเอ็มต่างๆที่ตนเองถือครองอยู่รวมทั้งสมุดธนาคารที่เก็บเงินฝากถุงใส่ทองที่อาม่าและบรรดาญาติผู้ใหญ่เคยให้ตามงานสำคัญต่างๆที่เก็บไว้ในห้องมากองไว้ตรงหน้าพ่อ
 
            “ผมจะพิสูจน์ให้พ่อดูเองว่าผมจะอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินจากทางบ้าน ผมกับไอ้เซ็ทจะทำให้พ่อเห็นว่าเราจะพากันไปในทางที่ดี ตารถผมไม่คืนให้นะครับ”พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวออกจากห้องทำงานของผู้เป็นพ่อไป ร่างสูงเดินเลยห้องของตัวเองมาที่ห้องของเศรษฐพงศ์เคาะเบาๆหากแต่เศรษฐพงศ์ไม่เปิด เขาไม่ได้เซ้าซี้ที่จะเรียกให้น้องออกมาคุยด้วย ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องเปิดโทรศัพท์แล้วพิมพ์ข้อความไปหาเศรษฐพงศ์
 
            “เซ็ท มึงเชื่อใจกูนะไม่ว่ายังไงกูก็จะอยู่กับมึง”ข้อความอ่านแล้วปรากฏที่หน้าจอหากแต่เศรษฐพงศ์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
 
รุ่งเช้าบรรยากาศในบ้านเป็นไปด้วยความกระอักกระอ่วน ลดาที่รู้เรื่องจากสามีแล้วตั้งแต่เมื่อคืนมีน้ำตาคลอดตาอยู่ตลอดเวลา หล่อนหลบหน้าลูกชายโดยการปฏิเสธไม่ให้เศรษฐพงศ์เข้ามาช่วยในครัวเหมือนเช่นทุกครั้ง หล่อนเดินหนีลูกเพราะไม่อยากจะคุยในตอนนี้แต่เศรษฐพงศ์นั้นไม่อยากให้แม่หมางเมินกับตน เด็กหนุ่มทนไม่ไหวในที่สุดสวมกอดแม่จากด้านหลังรั้งแม่ไว้ให้อยู่กับตน
 
            “แม่ครับ เซ็ทขอโทษ”น้ำเสียงสั่นเครือของลูกทำเอาใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบ เศรษฐพงศ์กระชับอ้อมกอดของตนเองแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าแม่จะหายไป
 
            “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะลูก ทำไม”
 
            “ผมขอโทษครับ แต่แม่ครับ เรารักกันจริงๆ”
 
            “ผู้ชายกับผู้ชายมันจะไปรักกันได้ยังไงล่ะลูกเอ้ย ตัดใจเลิกกันไม่ได้เหรอลูก แม่สงสารลุง ลุงเค้าดีกับเรามากๆเลยนะเซ็ท นี่เหรอสิ่งที่เราตอบแทนความดีของเขา ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้มันก็ยังไม่สายเกินนะเซ็ท มันเป็นไปไม่ได้เลยไหนจะญาติๆของคินเค้าอีก เขาไม่มีทางยอมรับแน่ๆ วันนี้ลุงเขาจะไปคุยเรื่องนี้กับพวกอาม่าลูกกำลังจะทำให้พี่เค้าลำบากนะลูก คิดดูให้ดีๆ”
 
คณินลงมาที่โต๊ะอาหารตามเวลาปกติเช่นทุกวัน ความเงียบปกคลุมไปทั่วบ้าน คณิตและลดาต่างนั่งเงียบไม่ได้เอ่ยทักทายเด็กหนุ่มเหมือนเช่นทุกครั้ง คณินมองหาเศรษฐพงศ์แต่กลับไร้เงาคนน้อง
 
            “เซ็ทไปไหนครับน้าลดา”
 
แคร๊ง!! เสียงรวบช้อนส้อมกระแทกกับจานพร้อมกับคณิตที่ลุกออกไปในทันทีโดยที่เพิ่งจะกินข้าวไปไม่กี่คำ ลดาไม่ได้ตอบคำถามของลูกเลี้ยงทำเพียงวิ่งตามสามีพลางลูบแขนปลอบใจไปจนถึงรถ เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
 
ไม่ชินเลยซักนิดกับบรรยากาศแย่ๆแบบนี้
 
คณินเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องของเศรษฐพงศ์แต่ไร้เสียงตอบรับอีกเช่นเคยตัดสินใจหมุนลูกบิดก็พบว่าไม่ได้ล็อคไว้
 
ภายในห้องว่างเปล่าไร้เงาของเศรษฐพงศ์ ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นกองไม้แขนเสื้อและกระเป๋าเดินทางที่วางไว้ข้างตู้เสื้อผ้าหายไป ไวเท่าความคิดขายาวก้าวพรวดๆไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ภายในเหลือเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้น ใจของคณินหายวูบลงแทบจะทันที ร่างสูงรีบเดินกลับห้องของตัวเองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของคนน้อง
 
เศรษฐพงศ์มองเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอก่อนจะกดตัดสาย เด็กหนุ่มกระชับแว่นตาสีดำที่ใส่พรางตาที่บวมจากการร้องไห้อย่างหนักกับแม่เมื่อตอนเช้ามืด เศรษฐพงศ์ตัดสินใจเก็บของเพื่อกลับเชียงใหม่โดยให้แม่มาส่งที่สถานีรถไฟในตอนเช้าหลังจากคุยกับแม่จบ

เขาถอยเอง  ถ้าหากเรื่องที่เกิดขึ้นต้องสร้างปัญหาให้กับใครต่อใครคนที่ควรจากมาคือเศรษฐพงศ์เอง
 
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะถอยแม้ว่าจะรักคณินมากแค่ไหนเขาก็จะไม่เห็นแก่ตัวรั้งคณินไว้กับตัวให้ชายหนุ่มต้องลำบาก เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆหากแต่โทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง
 
และยังคงเป็นคณินเช่นเดิม เศรษฐพงศ์สูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มปอดก่อนจะกดรับ
 
            “เซ็ท มึงไปไหนทำไมมึงไม่บอกกู”
 
            “คิน พอเถอะ”
 
เศรษฐพงศ์::
 
            “เซ็ท มึงไปไหนทำไมมึงไม่บอกกู”
 
            “คิน พอเถอะ”ผมกรอกเสียงเข้าไปในสาย พยายามอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้มันสั่น
 
ผมพอแล้ว ยอมแพ้แล้วกับเรื่องของเราสองคน หากแต่ไอ้คินไม่ใช่
 
            “ไหนมึงบอกว่าจะเชื่อใจกูไง”กูเชื่อใจมึง เชื่อเต็มร้อยว่ามึงรักกู แต่กูไม่อยากให้มึงต้องมาลำบากเพราะกู
 
            “กูขอเชื่อใจตัวเอง มึงเลิกยื้อแล้วกลับไปใช้ชีวิตดีๆของมึงเถอะคิน”กูเลือกทางที่ดีให้มึงแล้วคิน อย่ามาลำบากเพราะกูเลย
 
            “กูไม่ไป กูรักมึง ขอแค่มึงเชื่อใจในตัวกูเองเซ็ท แค่มึงเชื่อใจกูแล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน กูจะไปคุยกับอาม่าคุยกับพ่อเอง”
 
            “มึงก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ เขาไม่ยอมหรอกพอเถอะ เรื่องของเรามันมาสุดทางแล้ว”
 
            “ไม่ มันยังไม่สุดทางซักหน่อย กูเชื่อว่าถ้าเราอธิบายกับพวกเขาดีๆเขาก็เข้าใจเรา”
 
"เราเลิกกันเถอะคิน กูว่ากูฝันดีมานานพอแล้ว สุดท้ายฝันดีแค่ไหนก็ต้องตื่น"ผมพูดคำนั้นออกมาอย่างยากเย็นกลั้นก้อนสะอื้นที่ตีรื้นขึ้นมาบนอก ตอนที่เอิร์นบอกเลิกผมยังไม่เจ็บเท่านี้เลย
 
แต่ตอนนี้ผมกลับเจ็บแทบขาดใจ
 
"ทำไมเราไม่พยายามสู้ดูซักครั้งล่ะไอ้เซ็ท”ไอ้คินเองน้ำเสียงของมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมเลย ออกจะดูแย่กว่าผมด้วยซ้ำ ผมฝืนพูดคำพูดร้ายๆออกไปเพื่อหวังให้มันตัดใจจากเรื่องของเราซะ
 
"ก็เพราะความรักไม่ได้มีแค่มึงกับกู มึงมีพ่อมีญาติที่ต้องแคร์"
 
"เหมือนที่ผ่านมากูพยายามอยู่คนเดียว มึงไม่พยายามที่จะรักษากูไว้เลยเซ็ท"เสียงมันสะอื้น ผมยกมือขึ้นมาจับหัวใจที่เจ็บปวดของผมไว้ เราต่างคนต่างร้องไห้ให้กับการตัดสินใจของผม
 
            “พอเถอะนะคิน ไม่ต้องตามกูมากูยังไม่กลับเชียงใหม่ มึงกลับไปใช้ชีวิตให้ดีแบบที่มึงควรจะได้เถอะคิน”
 
            “ไม่ ถึงมึงจะทิ้งกู ถึงมึงจะไม่สู้แต่กูจะสู้ ต่อให้มึงเลิกรักกูกูก็จะตามจีบมึงใหม่ กูจะไม่ยอมเสียมึงไป ถ้าไม่ใช่มึงกูก็ไม่เอาใครอีกแล้ว มึงคอยดูว่ากูจะทำให้ป๊าใจอ่อนยอมรับเรื่องของเราได้มั้ย กูไม่เคยกลัวความลำบาก กูกลัวแค่ชีวิตของกูไม่มีมึง”ผมปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นกดตัดสายของมันทิ้ง
 
ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งผมจะมาทำตัวสาวน้อยร้องไห้เพราะความรักที่เป็นไปไม่ได้
 
ผมยอมรับว่าการมีมันอยู่ในชีวิตเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา
 
แต่การที่มันมีผมอยู่ในชีวิตกลับเป็นฝันร้ายที่มันต้องเจอผมคงทนดูมันลำบากไม่ได้
 
ผมเลือกทางที่ดีที่สุดให้ทุกคนแล้ว ลุงกับแม่ก็จะได้ไม่กระอักกระอ่วนใจในเรื่องของผมกับมัน ไอ้คินเองก็ไม่ต้องลำบากเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ครอบครัวของมันก็จะไม่ถูกใครนินทาว่ามีหลายชายเป็นเกย์
 
มันดีแล้ว
 
ดีสำหรับทุกคนแล้วจริงๆ




 
            คณินถูกอาม่าทั้งสองเรียกพบในบ่ายวันนั้น อากงและอาม่ารวมทั้งคณิตและลดานั่งกันอยู่ที่บ้านอาม่าฝั่งพ่อ อาม่าทั้งสองที่รักหลานชายปานดวงใจบัดนี้หน้าตาซีดเซียวไร้สีเลือด
 
คณินเหมือนกำลังเดินเข้าสู่ลานประหาร เศรษฐพงศ์ทิ้งเขาไปแล้วแค่นี้เขาก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว และเป็นเช่นที่คิดไว้ บรรดาญาติผู้ใหญ่ต่างพากันบ่นและด่าเขากับเศรษฐพงศ์
 
            “ลื้อมันอกตัญญูต่อตัวเองต่อวงศ์ตระกูล มีอย่างที่ไหนแทนที่จะเป็นผู้สืบทอดสกุลกลับไปรักกับผู้ชาย ลื้อก็เหมือนกันอาลาดาแทนที่จะสั่งสอนลูกไม่ให้เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วแต่ก็ไม่ทำ”
 
            “อย่าว่าน้าลดาเลยครับ ผมเป็นฝ่ายไปตามจีบตามตื้อเซ็ทเอง”
 
            “ลื้อไม่ต้องมาออกรับแทนเลยนะ ถึงว่า วันนั้นถามหาแฟนทำเป็นนั่งอ้ำอึ้งกัน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น แบบนี้อาม่าจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอแม่ลื้อที่โลกนู้น ลื้ออยากให้อาม่าตายไวใช่มั้ยอาคินถึงได้ทำตัวแบบนี้”อาม่าตีอกชกตัวจนคณินอยากจะเข้าไปห้ามหากแต่สายตาทุกคนที่มองมาทำให้เขาจำต้องยืนอยู่ที่เดิม ลดากลายเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนผิดในเรื่องนี้ทั้งๆที่เธอไม่ได้รู้เห็นเลยซักครั้ง แม่ของเศรษฐพงศ์เอาแต่ยกมือไหว้ขอโทษแทนลูกชายโดยไม่โต้เถียง คณินมองภาพนั้นด้วยความสะเทือนใจ
 
ความรักของเขากับเศรษฐพงศ์ทำให้คนเป็นแม่กลายเป็นสนามอารมณ์ของญาติๆเขาแทนตัวลูกที่หนีจากเขาไปแล้ว
 
            “พอซักที น้าลดาไม่ผิด ไม่มีใครผิดทั้งนั้น ถ้าจะมีคนผิดมันก็คือผมเองที่ไปตามจีบลูกเขาเป็นปีๆจนไอ้เซ็ทมันใจอ่อน ผมผิดเอง จะลงโทษอะไรก็มาลงที่ผมอย่าไปลงที่น้าลดา”
 
            “ลื้อคิดว่าลื้อโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งพอจะบินด้วยแขนขาของตัวเองได้แล้วสินะเลยไม่เห็นหัวอากงอาม่า ความรักที่อาม่ามีให้มันไม่ซึมเข้าไปในสมองของลื้อเลยใช่มั้ยอาคิน ตั้งแต่แม่ลื้อตายไปคนที่คอยรักคอยโอ๋ลื้อก็มีแค่พวกม่าๆสองคน ตอนนี้มีความรักก็ไม่เห็นหัวม่าแล้วถ้าอย่างนั้นก็ดี ต่อไปนี้อาม่าจะไม่ให้เงินลื้อแม้แต่สตางค์แดงเดียว”คณินมองอาม่าที่ยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาโวยวายโล้งเล้งก่อนจะสูดลมหายใจจนเกิดเสียง
 
            “แค่นี้ใช่มั้ยครับ ถ้าหมดเรื่องจะพูดแล้วผมขอตัว”คณินยกมือไหว้ทุกคนที่อยู่ในบ้านก่อนจะขับรถออกมาทิ้งอาม่าที่ร้องไห้ไขว่คว้าหาหลานไว้เบื้องหลัง
 
เขาจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้นับจากนี้ คณินกลับมาที่บ้านแล้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแบกขึ้นรถเพื่อกลับกรุงเทพ กดโทรศัพท์หาแดนธรรมเพื่อเล่าเรื่องราวคร่าวๆที่เกิดขึ้น
 
            “กูว่ากูต้องย้ายที่อยู่ก่อน พวกมึงพอจะมาช่วยกูได้มั้ย ตอนนี้กูมีเงินติดตัวแค่สองหมื่นกว่ากูคงอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้ว”
 
            “งั้นลองมาดูหอที่พวกกูอยู่มั้ยวะหรือมึงมาอยู่กับกูก็ได้”แดนธรรมยื่นข้อเสนอ
 
            ไม่เป็นไร มึงอยู่กับพี่ดินกูไปอยุ่อีกคนจะเกะกะเปล่าๆ”คณินเอ่ยปฎิเสธน้ำใจที่แดนธรรมหยิบยื่นให้
 
            “เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันกูขอขับรถก่อน”
 
            “เออ มึงอย่าคิดมากนะ กูเชื่อว่าเดี๋ยวพอไอ้เซ็ทมันสบายใจมันก็กลับมาหามึงเอง มึงสองคนรักกันจะตายกูเชื่อว่ามันไม่มีทางทิ้งมึงได้ลงหรอก มันอาจจะกำลังถอยไปตั้งหลัก”
 
คณินกลับมาถึงคอนโดในตอนเย็น เพื่อนๆบอกว่าจะมาสมทบกับเขาในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าจะเพิ่งกลับไปอยู่บ้านกันได้ไม่กี่วันแต่ก็ยอมโดนแม่ด่าเพื่อรวมพลกันมาช่วยคณิน ชายหนุ่มโทรหาเศรษฐพงศ์นับสิบสายหากแต่หลังจากตัดสายทิ้งนับครั้งไม่ถ้วนในที่สุดเศรษฐพงศ์ก็ปิดเครื่อง
 
คณินนอนก่ายหน้าผากหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ ถ้าหากเศรษฐพงศ์สู้ร่วมกับเขา คณินเชื่อว่าความดีของเศรษฐพงศ์จะทำให้ผู้ใหญ่เห็นใจในความรักที่ทั้งสองมีให้ต่อกันและกันอย่างจริงใจ
 
แต่นี่กลายเป็นว่าเศรษฐพงศ์ยังไม่ได้เริ่มต่อสู้ไปพร้อมกับเขาเลยซักนิด
 
เขาถูกลอยแพจนเคว้งคว้างไปหมด เด็กหนุ่มนอนลืมตามองเพดานจนถึงเช้า เขาโทรหาเศรษฐพงศ์อีกครั้ง
 
และเช่นเดิม เศรษฐพงศ์ปิดเครื่อง คณินพิมพ์ข้อความสั้นๆทิ้งไว้ในไลน์โดยไม่มีการกดอ่าน
 
            “เซ็ท กูคิดถึงมึง”
 
 ((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:17:15

            เศรษฐพงศ์นั่งทอดสายตามองทิวทัศน์ข้างทางอย่างเหม่อลอย เป้ใบใหญ่วางพิงไว้ข้างๆ มิ่งกมลอดที่จะแอบมองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังรถของเขาไม่ได้ เมื่อวานเศรษฐพงศ์โทรหาเขาขอให้มารับ เมื่อเจอกันที่สถานีขนส่งเศรษฐพงศ์ที่เคยสดใสในวันนั้นบัดนี้มีเพียงร่องรอยของความหมองเศร้าที่สะท้อนออกมาจากดวงตา
 
            “ขอผมอยู่ด้วยซักพักนะพี่”เพราะมิ่งกมลถูกส่งมาคุมงานที่รีสอร์ทเลยทำให้ได้กลับมาอยู่บ้านที่เชียงราย เศรษฐพงศ์ที่ยังไม่พร้อมจะอยู่ในห้องที่ยังมีร่องรอยและกลิ่นน้ำหอมของคณินจึงตัดสินในเดินทางมาหารุ่นพี่คนสนิทที่นี่
 
เขาอยากหนีจากเรื่องต่างๆรวมทั้งเพื่อนๆที่น่าจะรู้เรื่องปัญหาของเขากับคณินแล้ว อยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาคนเดียวซักพัก และเขานึกถึงใครไม่ออกนอกจากมิ่งกมล
 
            “พออยู่ได้มั้ยเซ็ท”มิ่งกมลพารุ่นน้องที่เคยแอบรักมาดูห้องพักภายในบ้านหลังไม่ใหญ่ของเขา ด้านหลังมองไปเห็นวิวสวยที่เป็นหน้าผา เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับ สีหน้าที่อิดโรยจากการเดินทางไกลดูดีขึ้น
 
            “เดี๋ยวเซ็ทนอนพักก่อนนะหน้าเราซีดมาก ตื่นมาแล้วพี่จะพาไปกินข้าว”
 
            “ขอบคุณมากครับ”เศรษฐพงศ์ยกมือไหว้รุ่นพี่ที่สนิท
 
            “ถ้าเบื่อเดี๋ยวตอนเย็นพี่พาไปภูชี้ดาวไปดูพระอาทิตย์ตกดิน จำได้ว่าเซ็ทชอบดูดาวเรากลับกันช้าหน่อยจะได้นั่งดูดาวกันซักพักดีมั้ย”
 
            “เอางั้นก็ได้ครับ”
 
            “งั้นเซ็ทไปนอนเถอะเดี๋ยวพี่ขอตัวทำงานซักแป๊บ”มิ่งกมลตัดบทเมื่อเศรษฐพงศ์ดูไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขาเท่าไหร่นัก
 
            “ภายในห้องพักที่มิ่งกมลจัดให้มีเพียงเตียงหลังเล็กตั้งอยู่ริมในสุดติดกับหน้าต่างที่มีผ้าทอมือพื้นเมืองแขวนเป็นผ้าม่านง่ายๆ ด้านนอกติดกับวิวที่เป็นหน้าผาเล็กๆมีบ้านคนกระจายเต็มพื้นที่ เด็กชาวเขาวิ่งเล่นกันที่ลานดินกว้างด้านล่าง เศรษฐพงศ์เตรียมเสื้อผ้าอุปกรณ์อาบน้ำแล้วออกไปถามหาห้องน้ำจากมิ่งกมล
 
            “อยู่ข้างล่างน่ะห้องหนึ่งเป็นห้องอาบน้ำห้องหนึ่งเป็นห้องส้วมนะ”
 
            “อ่อครับ”หลังจากอาบน้ำอาบท่าจนสบายตัวและสดชื่นขึ้นเศรษฐพงศ์ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง แม้จะพยายามข่มตานอนแค่ไหนแต่เรื่องที่เพิ่งผ่านมาก็รบกวนจิตใจจนนอนไม่หลับ เศรษฐพงศ์ตัดสินใจเปิดโทรศัพท์ และทันทีที่มีสัญญาณเน็ต ไลน์ของเขาก็เด้ง โดยไม่ต้องเปิดดูข้อความจากคณินที่ส่งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก็ปรากฏสู่สายตา
 
ในอกของเศรษฐพงศ์เหมือนมีคลื่นยักษ์ถาโถม มือเรียวยกขึ้นมากลั้นเสียงสะอื้น น้ำตาไหลรินจากหางตาอย่างห้ามไม่อยู่
 
            “เซ็ท กูคิดถึงมึง”
 
          “กูก็คิดถึงมึง”เสียงสะอื้นเอ่ยตอบข้อความของคนรัก ในใจของเศรษฐพงศ์เอาแต่คิดว่าตอนนี้คณินจะเป็นอย่างไร จะทะเลาะกับพ่ออยู่มั้ย อาม่าทั้งสองบ้านจะว่าอะไรคณินหรือเปล่า
 
ห่วงจนอยากจะไปหา แต่คำว่าอย่าทำตัวเป็นภาระของลุงที่แม่บอกไว้ก็ยังรั้งเขาให้อยู่ตรงนี้  แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่ถืออยู่ทำเอาเศรษฐพงศ์สะดุ้ง หน้าจอปรากฏชื่อของคณินเด่นหรา เศรษฐพงศ์ชั่งใจว่าตนเองควรจะรับสายดีมั้ยแต่ปลายนิ้วนั้นก็นำสองไปแล้ว ร่างโปร่งแนบโทรศัพท์กับหู น้ำเสียงของคณินร้อนรนจนน่าสงสาร
 
            “เซ็ท มึงปิดโทรศัพท์ทำไม มึงรู้มั้ยกูห่วงมึงแทบแย่ ตอนนี้กูกลับมากรุงเทพแล้วนะ กูไปคุยกับอาม่ามาแล้ว”
 
            “เหรอ..”เพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร และในใจตอนนี้ก็กลัวคำพูดที่คณินจะพูดต่อไปจึงทำเพียงแค่เอ่ยคำถามสั้นๆหากคณินกลับดีใจที่เศรษฐพงศ์ไม่ได้เฉยเมยกับตนอย่างที่คิด ชายหนุ่มมีกำลังใจขึ้นมาอีกนิดที่จะพูด
 
            “ใช่ กูคุยกับพวกเขาแล้ว กูจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าต่อให้กูไม่มีเงินจากพวกเขากูก็อยู่ได้ มึงไม่ได้มาเกาะกูกินไม่ได้มาคบกูเพราะหวังเงิน ต่อให้ไม่มีเงินกูกับมึงก็ยังจะรักกัน”
 
            “อย่ามาลำบากเพื่อกูเลยคิน มึงกลับไปขอโทษพ่อกับอาม่ามึงเถอะ”เศรษฐพงศ์พูดตัดความฝันของคณิน ปลายสายเงียบไปจนเศรษฐพงศ์รู้สึกใจหาย
 
          “ทำไมมึงใจร้ายกับกูแบบนี้วะเซ็ท
 
            "ความรักมันไม่ใช่เรื่องของคนสองคนแล้วว่ะคินมันมีญาติพี่น้องพ่อแม่ครอบครัวของเราด้วย กูไม่อยากให้พวกเขาต้องมาผิดหวังต้องมาทุกข์กับพวกเราด้วย เราเลิกกันเถอะ"เป็นอีกครั้งที่เศรษฐพงศ์พูดคำว่าเลิกกันทั้งน้ำตา เราสองคนต่างเจ็บปวด คณินเจ็บตัวเขาเองก็เจ็บ แต่การยื้อไว้มันก็แค่การซื้อเวลาเพื่อให้ได้รักกันไปวันๆ พอถึงจุดหนึ่งเมื่อความรักมันถึงทางตัน ยังไงก็ต้องเลิกกันอยู่ดี
 
 
            "มึงอย่ายอมแพ้ง่ายๆสิ อย่าปล่อยมือกู”คณินเอ่ยคำอ้อนวอนอีกครั้ง
 
 
            “กูยังไม่คิดจะยอมแพ้เลย มึงต้องเชื่อใจกูนะ กูจะทำให้ทุกคนยอมรับว่าความรักของมึงกับกูไม่ใช่เรื่องฉาบฉวยไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบ ขอเพียงมึงเชื่อใจกู รอกู อย่าทิ้งกู นะเซ็ทนะ กูรักมึงจริงๆ"
 
 
"กูก็รักมึง รักมึงมากๆเหมือนกันคิน...แต่พอเถอะกูยอมแพ้แล้ว"เศรษฐพงศ์ไม่รอฟังคำอ้อนวอนของคณินอีก เด็กหนุ่มตัดสายและปิดโทรศัพท์เก็บไว้ใต้หมอน
 
เขาอ่อนแอ นอนปล่อยน้ำตาให้ไหลจนเปียกหมอน
 
ความรักของเขามันถึงทางตันแล้ว...
 
 
เวลาล่วงเลยไปนานนับชั่วโมงเศรษฐพงศ์ก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ เด็กหนุ่มนอนร้องไห้เงียบๆ จนสิบโมงกว่าเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เศรษฐพงศ์ใช้หลังมือปาดน้ำตาออกเงียบๆก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วเดินไปเปิดประตู
 
มิ่งกมลนิ่งไปกับสภาพของรุ่นน้องคนสนิท แม้จะอยากถามแต่เขาก็เลือกที่จะเงียบ
 
            “ไปกินข้าวกัน พี่มีน้ำพริกหนุ่มกับเจียวไข่ไว้ให้กินได้มั้ย”
 
            “กินได้ครับ”เศรษฐพงศ์พยักหน้ารับแล้วเดินตามมิ่งกมลมาเงียบๆ รุ่นพี่หนุ่มตักข้าวให้กับรุ่นน้อง บนโต๊ะมีน้ำพริกและผักสดผักต้ม ไข่เจียวนุ่มฟูเหลือน่าทานและปลาทอดตัวใหญ่ เด็กหนุ่มกินอะไรไม่ลงซักเท่าไหร่ มือที่ถือช้อนสั้นเขี่ยข้าวไปมาอย่างคนที่มีความคิดรบกวนจิตใจ
 
            “กินให้มีแรงแล้วมีอะไรต้องคิดค่อยคิดทีหลัง”คนเป็นพี่บอกกับรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เศรษฐพงศ์ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มองตารุ่นพี่ริมฝีปากก็เบะลงทีละนิด
 
            “พี่..”น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยเรียก
 
เศรษฐพงศ์กำลังจะไม่ไหว เขาไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลยซักนิด น้ำตาไหลออกมาราวทำนบแตก
 
            “ผมเลิกกับไอ้คินแล้วนะ”เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันก่อนถูกเล่าให้มิ่งกมลฟังอย่างไม่ปิดบัง ตอนนี้เด็กหนุ่มต้องการเพียงใครซักคนที่คอยรับฟังเขา มิ่งกมลฟังทุกถ้อยคำโดยไม่เอ่ยขัดด้วยความเข้าใจ ทันทีที่เล่าจบเศรษฐพงศ์ก็ยกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ที่นั่ง ร่างบางสั่นไหวจนน่าสงสาร มิ่งกมลทำเพียงลุกไปยืนข้างๆแล้วลูบศีรษะอย่างปลอบโยน
 
            “ตัวก็แค่นี้ แบกอะไรนักหนาล่ะเซ็ทเอ้ย”เพียงจบประโยค มิ่งกมลก็กลายเป็นที่ซับน้ำตาให้กับเศรษฐพงศ์ที่สวมกอดเขาไว้แน่นราวเด็กที่กำลังหลงทาง เสื้อยืดสีเทาที่เขาใส่เปียกเป็นวงเพราะรุ่นน้องใช้มันแทนผ้าเช็ดหน้า แม้จะเคยคิดอยากแช่งให้ทั้งสองคนนี้เลิกกัน แต่เมื่อเห็นความเศร้าที่เศรษฐพงศ์มีเขาก็รู้สึกว่าถ้าเด็กสองคนนี้ยังคบกันและรักกันแล้วทำให้เศรษฐพงศ์ยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนที่ผ่านๆมาได้ มันก็คงจะดี
 
สรุปแล้วสุดท้ายเย็นนั้นมิ่งกมลก็ไม่ได้พาเศรษฐพงศ์ไปดูพระอาทิตย์ตกดินตามที่บอกไว้เพราะสภาพจิตใจของเศรษฐพงศ์ไม่พร้อมที่จะออกไปไหน รุ่นน้องหนุ่มร้องขอเขาก่อนเข้านอนว่าอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้าเหมือนคราวก่อน ดังนั้นทั้งสองคนจึงนัดแนะเพื่อจะออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด มิ่งกมลมาเคาะประตูปลุกเศรษฐพงศ์ในเช้ามืดวันต่อมาซึ่งเด็กหนุ่มก็ขานรับในทันที เศรษฐพงศ์ในชุดพร้อมเดินทางดวงตาอ่อนโรยแสดงว่าเจ้าตัวนั้นนอนไม่หลับ ทั้งสองคนดื่มกาแฟคนละแก้ว สูบบุหรี่คนละมวนจากนั้นจึงเริ่มเดินทาง ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสถานที่ตั้งของภูชี้ฟ้า
 
วันนี้ก็ยังเหมือนมันวันวานที่มากับคณิน และเพราะเริ่มเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว นักท่องเที่ยวเริ่มหนาตา เศรษฐพงศ์สูดลมหายใจจนเต็มปอดแล้วเดินตามมิ่งกมลไปเงียบๆ
 
            “พี่มิ่ง พี่เดินนำขึ้นไปได้เลยนะครับ ผมอยากเดินคิดอะไรไปเรื่อยๆ”เขาร้องบอกกับรุ่นพี่ที่เดินรออยุ่ด้านหน้า มิ่งกมลพยักหน้าให้อย่างเข้าใจก่อนจะเร่งความเร็วนำขึ้นไปทิ้งระยะห่างให้พอเห็นหลังกันลิบๆ ร่างโปร่งก้าวขาย่ำเท้าขึ้นดอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ความกดอากาศที่ทำให้หายใจลำบากเริ่มสร้างความเหนื่อยล้าให้เศรษฐพงศ์
 
ในวันนี้ วันที่ต้องเดินเพียงลำพังเขาเหนื่อยจนหายใจไม่ทัน
 
ไม่เหมือนกับวันนั้นเลย วันที่เขาเดินเคียงข้างไปกับคณินจับมือเดินกันไปพูดคุยกันไปเหนื่อยก็พัก ถึงจุดที่เคยแวะถ่ายรูปด้วยกัน น้ำตาก็ไหลออกมา ในมโนภาพเขาเห็นคณินกวักมือเรียกเพื่อจะถ่ายรูปคู่เผลอยิ้มทั้งน้ำตาให้กับรอยยิ้มสดใสของคนในความคิดแต่พอนึกถึงความเป็นจริงตอนนี้เขาไม่มีใคร
 
เศรษฐพงศ์เพิ่งจะรู้ว่าการเดินคนเดียวมันเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ จะหยุดกลางทางก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ดี เขาไม่สามารถทิ้งคนที่เดินนำไปข้างหน้าเพราะความอ่อนแอและเห็นแก่ตัวได้
 
แล้วคณินล่ะ? อยู่ๆในหัวก็ผุดคำถามนี้ขึ้นมา
 
การที่เขาปล่อยให้คณินเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ปล่อยให้คณินรับหน้ากับคำถามจากพ่อแม่พี่น้องอย่างเดียวดายนั้นยุติธรรมแล้วเหรอ
 
ป่านนี้คณินจะเป็นยังไง จะรู้สึกยังไง จะกินอิ่มนอนหลับหรือจะกินไม่ได้นอนไม่หลับดั่งเช่นเขามั้ย
 
แน่นอน คำตอบที่ได้เขารู้ดี
 
รู้ว่าคณินไม่สามารถข่มตานอนได้เหมือนเขา ไม่สามารถฝืนกลืนอาหารลงคอได้เช่นเดียวกัน
 
เขาทิ้งให้คณินผจญความเดียวดายอย่างขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว
 
ทำไมเขาไม่ลองสู้กับคณินให้สมกับความรักที่คณินมีให้
 
เศรษฐพงศ์เคยคิดมาเสมอว่าตัวเองนั้นเข้มแข็ง วันนี้เขารู้แล้ว คนที่ดูไม่เอาไหนอย่างคณินต่างหากที่เข้มแข็งและพร้อมจะต่อสู้เพื่อประคองความรักของเราสองคน แล้วเขาก็ใจร้ายกับคณินเหลือเกิน
 
เศรษฐพงศ์ออกแรงเฮือกสุดท้ายเมื่อเห็นมิ่งกมลโบกมือให้เมื่อถึงยอดภู พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นของฟ้า ทุกคนต่างตั้งตารอเพื่อจะชมความงดงามของธรรมชาติ
 
            “เห็นแก่ตัวบ้างก็ได้”อยู่ๆมิ่งกมลก็เอ่ยบอกกับเขา
 
            “อะไรที่แบกไว้น่ะโยนๆมันทิ้งไปซะบ้าง สงสารคนรอเขาก็มีความหวัง ถ้ารักกันจริงก็กลับไปพิสูจน์ให้เขาเห็นสิว่าเราก็ทำได้ เราจะเป็นคนรักที่พากันไปสู่จุดที่สูงขึ้นไม่ได้จะไปฉุดลูกหลานเขาให้ลงสู่ที่ต่ำ”
 
            “พี่...เมื่อกี๊ที่ผมเดินมาน่ะผมคิดอะไรอย่างหนึ่งได้”เศรษฐพงศ์คลี่ยิ้มให้กับท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ดวงไฟตามบ้านจากฝั่งลาวค่อยๆหม่นแสงริบหรี่ลงพร้อมๆกับแสงสีมส้มแดงที่เริ่มปรากฏสู่สายตา
 
            “ผมเข้าใจแล้วว่าการเดินเพียงลำพัง มันทั้งเหงาและน่ากลัว ป่านนี้ไอ้คินก็คงกำลังกลัวอยู่แต่มันไม่พูดว่ามันกลัวเลยซักนิด มันพร่ำบอกกับผมว่ามันจะสู้ ผมไม่อยากให้มันต้องเดินเพียงลำพัง ไม่อยากให้มันต้องเหงาอีกแล้ว”เศรษฐพงศ์หันไปส่งยิ้มให้กับมิ่งกมล
 
 
 
 
          “ผมจะสู้ไปพร้อมกับไอ้คิน ผมจะไม่ทำตัวขี้ขลาดหนีความจริงอีกแล้ว”
 


.................................................



เอิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววว

ไปสู้กับพี่เค้านะลูก ป่านนี้นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วม้างงงงงงงงงง เมียทิ้งงงงงงงงงงงงงงง555555555555555555555555


ดีสำหรับทุกคนแต่ไม่ดีสำหรับใจตัวเองเลย

ปราณีทุกคนยกเว้นปราณีกับตัวเองเอาความผิดทุกอย่างมาไว้กับตัวตลอด

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:19:16
ตอนที่ 54

 หลังจากกลับจากภูชี้ฟ้าเศรษฐพงศ์ก็เก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบเดิม ข้อความไลน์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คณินไม่ได้พิมพ์มาอ้อนวอนเขาอีกแล้ว แต่ส่งลิ้งค์วีดีโอในยูทูปมาให้ เศรษฐพงศ์เสียบหูฟังแล้วกดเข้าไปดู เสียงเพลงและเนื้อหาที่ได้ฟังทำเอาก้อนสะอื้นตีขึ้นมารวมกันอยู่ที่ในอก

 

ฉันได้ยินเสียงเธอ

ถามผู้คนมากมาย

รักต้องเป็นเช่นไร

วันนี้เธอบอกว่าเธอตอบไม่ได้เลย


ถ้อยคำหลอกลวงที่ใครต่อใคร

คอยแต่งเติมเรื่องจริงของรักไป

อาจทำให้ใจเธอหวั่นไหว

ขอเธออย่ากลัวรักคือสิ่งใด

รู้สึกแล้วก็เป็นเรื่องของใจ

เชื่อใจตัวเองซักครั้ง


อย่างความรักที่สั่งให้ฉันมีเธอ

ให้ฉันมีแค่เพียงแต่เธอเท่านั้น

เป็นเหตุผลหนึ่งเดียวที่ขอยืนยัน

คือฉันรักเธอ


ไม่มีเงื่อนไขใด

ไม่มีใครนิยาม

หรือกฎเกณฑ์ที่ต้องตาม

ยามที่เธอลองให้รักบอกหัวใจตัวเอง


ถ้อยคำหลอกลวงที่ใครต่อใคร

คอยแต่งเติมเรื่องจริงของรักไป

อาจทำให้ใจเธอหวั่นไหว

ขอเธออย่ากลัวรักคือสิ่งใด

รู้สึกแล้วก็เป็นเรื่องของใจ

เชื่อใจตัวเองซักครั้ง..

 

 

            “เชื่อใจกูอีกซักครั้งได้มั้ยเซ็ท”ข้อความที่คณินพิมพ์มาอีกครั้งปรากฏขึ้น เศรษฐพงศพยักหน้าให้กับหน้าจอโดยที่ไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับไป

 

 

            เศรษฐพงศ์ยืนมองประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ในซอยลึกห่างจากถนนใหญ่เกือบหนึ่งกิโลเมตรที่เป็นบ้านอาม่าของคณิน เด็กหนุ่มถูฝ่ามือกับขากางเกงตัวเองอย่างประหม่า หลังจากตัดสินใจว่าตนเองจะกลับมาร่วมกับสู้กับคณินแล้วเศรษฐพงศ์ก็ทำใหนสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำคือการให้มิ่งกมลไปส่งตัวเองที่สนามบินแล้วบินกลับมาที่กรุงเทพ เด็กหนุ่มที่เคยตระหนี่เรื่องเงินยอมเสียเงินหลักพันเพราะความใจร้อน แล้วนั่งรถทัวร์กลับมาเมืองกาญจน์ เศรษฐพงศ์ไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านของคณิตแต่ไปอาศัยบ้านของยงศกรเพราะเจ้าตัวยังไม่กล้าสู้หน้ากับคณิต

 

มือเรียวกดกริ่งจนกระทั่งแม่บ้านที่ถือตะกร้าออกมาด้วยมองเขาอย่างแปลกใจ

 

            “อ้าว น้องเซ็ทลูกคุณลดาใช่มั้ยคะ”ป้าแม่บ้านทักทายเขาด้วยหล่อนคับคล้ายคับคราว่าจะจำเศรษฐพงศ์ได้ เด็กหนุ่มยกมือไหว้หล่อนก่อนจะแจ้งจุดประสงค์ที่มาวันนี้

 

            “ผมมาหาอากงอาม่าน่ะครับไม่ทราบว่าวันนี้ท่านอยู่บ้านมั้ยครับ”

 

            “อยู่ค่ะ น้องเซ็ทเข้ามาก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวป้าฝากดูอากงอาม่าทีนะคะป้าจะออกไปซ้อกับข้าวพอดีคุณหยกไม่อยู่ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนแกเลย”ป้าแม่บ้านเปิดประตูเล็กให้เศรษฐพงศ์เข้ามาก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้าน

 

            “อาม่าคะน้องเซ็ทมาหาค่ะ”ป้าแม่บ้านย่อตัวออกไปจากห้องเพื่อไปตลาด อาม่ากับอากงที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นดึงสีหน้าตึงขึ้นมาทันที อาม่าหงส์ที่เคยดูใจดีบัดนี้ตีหน้าบึ้งขึ้นทันที ความรู้สึกเกลียดเพราะเข้าใจว่าเศรษฐพงศ์มาหลอกล่อให้หลานชายของตัวเองลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นยอมที่จะไม่รับเงินจากกงสี ยอมคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยให้โดยไม่อ้อนวอนร้องขอผิดกับหลานชายคนโตที่เคยตามใจอาม่าทุกอย่าง หล่อนทั้งรักทั้งตามใจคณินจนถึงป่านนี้พอเศรษฐพงศ์ก้าวเข้ามาในชีวิตคณินก็ต่อต้านหล่อนทันที

 

            “มาทำไม”อาม่าตวาดกลับทันทีที่เศรษฐพงศ์ยกมือไหว้ อากงลูบแขนอาม่าเตือนให้ใจเย็นๆ เศรษฐพงศ์นั่งลงคุกเข่าต่อหน้าคนชราทั้งสองก่อนจะพนมมือไหว้และกราบลงแทบเท้าของอากงอาม่า อากงยังคงนิ่งไม่ได้มีปฏิกริยาตอบโต้แต่อาม่าหันเท้าหนีอย่างรังเกียจทันที

 

            “ผมมาขอโทษที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวาย”

 

            “ในเมื่อลื้อรู้แล้วว่าเรื่องมันวุ่นวายลื้อก็เลิกมายุ่งวุ่นวายกับหลานชายของอั๊วะซักที ลื้อรู้มั้ยตั้งแต่เกิดเรื่องอาคินก็ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่อีกเลย ครอบครัวจะชิบหายกันหมดแล้วมองหน้ากันจะไม่ติดแล้วก็เพราะการกระทำโง่ๆของลื้อ”

 

            “แต่ผมกับคินรักกันนะครับ”

 

            “ลื้ออย่ามาพูดจาซี้ซั้ว ผู้ชายกับผู้ชาย แค่คิดอกอั้วะก็จะแตกตายอยู่แล้ว มันจะมารักกันได้ยังไง เลิกกันซะจะเอาเท่าไหร่ลื้อบอกมาเลยอั้วะจะให้”

 

            “ผมกับคินรักกันด้วยใจจริงครับ ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อจะมาขอโอกาสคบกับเขา ผมอยากพิสูจน์ตัวเองให้อากงอาม่าเห็นว่าถึงเราจะเป็นผู้ชายแต่เราก็จะพากันไปได้ดีได้”

 

            “เฮ๊อะ...น้ำหน้าอย่างลื้อน่ะเหรอจะพาหลานอั้วะไปได้ดี ไม่เกินสองเดือนก็พากันไปอดตายแล้ว”อาม่าทำเสียงขึ้นจมูกอย่างดูถูก

 

กับอีแค่เด็กจนๆลูกติดของลูกสะใภ้ของหล่อน หล่อนไม่จำเป็นต้องให้ความเมตตาเอ็นดูเลยซักนิด

 

มีแต่ตัวเอาอะไรมามั่นใจว่าจะพาหลานชายของหล่อนไปได้ดีกันเหรอ



สันดานจับคนรวยนี่คงเป็นเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกสินะ

 

คณินน่ะกินก็ยากอยู่ก็ยากไม่เกินเดือนเดี๋ยวก็วิ่งแจ้นมาขอโทษหล่อน แล้วเรื่องอะไรหล่อนจะต้องอนุญาตให้หลายชายมีคู่ที่วิปริตผิดเพศด้วยล่ะ



อาม่าเหยียดยิ้มอย่างดูถูกปล่อยให้ทั้งบ้านเงียบด้วยการสะบัดหน้าหนึ ส่วนอากงเองก็มองเศรษฐพงศ์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จริงอยู่ที่เขาค่อนข้างจะถูกใจนิสัยใจคอของเด็กคนนี้หากแต่การที่หลายชายที่นับเป็นตั่วซุงของบ้านต้องมาคบกับเด็กคนนี้ เขาเองก็รับไม่ได้เช่นกัน



หลานชายคนโตของตระกูลก็ควรจะทำหน้าที่สืบทอดกิจการและมีทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล



แต่นี่กลับมาคบผู้ชายด้วยกัน



เขาทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ



ทั้งสามคนปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่กดดันตัวเองอย่างช้าๆจนกระทั่งเป็นอาม่าเองที่ทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากไล่ลูกติดของสะใภ้ใหญ่ให้ออกจากบ้านของหล่อนเสียที

 

            “หมดธุระแล้วลื้อก็ออกไปจากบ้านอั้วะซักที รำคาญหน้าเต็มที”เศรษฐพงศ์มองหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะจำใจลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ลา อาม่าไม่มองเขาเลยด้วยซ้ำมีเพียงอากงที่มองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออก เศรษฐพงศ์เดินคอตกออกมานอกบ้านอย่างช้าๆและใช้ความคิด อย่างน้อยเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว ถ้าจะต้องเลิกกันก็ควรเป็นเพราะเขาทั้งสองคนไปกันไม่รอดเองไม่ใช่เพราะถูกสั่งให้เลิก

 

            “ช่วยด้วย  ช่วยด้วย!!!”อยู่ๆเสียงอากงก็ดังออกมาจากในตัวบ้านอย่างร้อนรน เศรษฐพงศ์หันขวับกลับไปยังตัวบ้าน เท้าไวกว่าความคิดเด็กหนุ่มรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านทันที ภาพที่เห็นคืออากงที่กำลังประคองอาม่าซึ่งนอนสลบอยู่ตรงหน้าครัว แก้วน้ำหล่นแตกกระจายน้ำในแก้วเจิ่งนอง เศรษฐพงศ์รีบไปประคองอาม่าแทนอากงด้วยความตกใจ

 

            “เกิดอะไรขึ้นครับอากง”

 

            “อาหงส์อีเป็นลมแล้วล้มลงไปหัวอีลงพื้น”เศรษฐพงศ์เอามือตัวเองขึ้นมาดูเมื่อรู้สึกถึงของเหลวที่หนืดกว่าน้ำ โลหิตสีแดงติดมากับมือของเด็กหนุ่ม เศรษฐพงศ์รีบพลิกดูก็พบว่าอาม่ามีแผลแตกที่ศีรษะ

 

            “อากงครับ อากงมีเบอร์ติดต่ออี๊หยกมั้ยครับ”เศรษฐพงศ์ถามหาช่องทางที่จะติดต่อกับคนในบ้านได้ อากงทำท่านึกแต่เพราะความชราภาพแล้วทำให้นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เศรษฐพงศ์คลำหาโทรศัพท์ของตัวเองก็พบว่าตัวเองลืมเอาติดตัวมาด้วยเพราะความรีบร้อนและใจลอย อาม่าอ้าปากงับลมหายใจเข้าปอดหากแต่กลับไม่ลืมตาฟื้นขึ้นมา เด็กหนุ่มละล้าละลังก่อนจะค่อยๆตั้งสติวางอาม่าลงกับพื้นแล้วมองหาโทรศัพท์บ้าน เศรษฐพงศ์โทรเบอร์สำหรับแจ้งเหตุฉุกเฉินแต่เพราะซอยเข้ามาในบ้านนั้นอยู่ลึกและต้องเลี้ยวหลายแยกการมาถึงของเจ้าหน้าที่จึงล่าช้า เด็กหนุ่มจึงบอกว่าตนจะแบกอาม่าออกไปรอหน้าปากซอย เศรษฐพงศ์ตัดสินใจเอาอาม่าขึ้นหลังตัวเอง

 

            “อากงครับ อากงรออยู่ที่นี่นะครับเดี๋ยวผมจะแบกอาม่าไปรอรถพยาบาลที่หน้าปากซอย”เด็กหนุ่มแบกร่วงท้วมของอาม่าวิ่งออกไปทันที อากาศที่ร้อนทำให้เหงื่อซึม เศรษฐพงศ์วิ่งไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น เพราะคณินรักอาม่ามากเขาก็จะรักและปกป้องชีวิตของหญิงชรานี้ไว้ให้ได้ด้วยเช่นกัน เสียงอาม่าร้องอือเบาๆที่ข้างหูทำให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

 

            “อาคิน...”

 

            “อาม่าทำใจดีๆไว้นะครับ รถพยาบาลมาถึงแล้วนะครับ”เศรษฐพงศ์ร้องบอกกับหญิงชราด้วยความดีใจ

 

            “อาคินของม่า...ม่าเจ็บ”

 

            “แข็งใจไว้นะครับ เดี๋ยวหมอก็ช่วยอาม่านะครับนั่นไงรถมาแล้ว” เศรษฐพงศ์ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้มันบ้าหรือว่ามันอันตรายแค่ไหน เขาแทบไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำ กว่า 20 นาทีที่วิ่งฝ่าแดดร้อนในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงรถพยาบาลที่ดังมาใกล้ เศรษฐพงศ์โบกมือเรียกทันทีที่ตัวรถแล่นมาใกล้ ยามที่อาม่าถูกนำตัวลงจากหลังของเศรษบพงศ์เด็กหนุ่มถึงกับทรุดลงไปนั่งบนพื้นซีเมนต์ร้อนๆด้วยความเหนื่อยหอบ

 

อาม่าหงศ์ถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วพาขึ้นรถฉุกเฉินโดยมีเศรษฐพงศ์ตามขึ้นไปด้วย เมื่อถึงโรงพยาบาลเด็กหนุ่มก็โทรหาแม่แจ้งข่าวของอาม่าไม่นานหลังจากนั้นบรรดาลูกหลานของอาม่ารวมทั้งคณิตและลดาก็มาถึง ทันทีที่เห็นลูกชาย ลดาที่ดูซูบซีดกว่าเมื่อหลายวันก่อนก็โผเข้ากอดลูกชายทันที หล่อนกอดลูกชายร้องไห้เงียบๆซึ่งเศรษฐพงศ์ก็กอดร่างบอบบางของแม่และลูบหลังปลอบเธอเบาๆโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

            “เซ็ท ลุงขอบใจมากนะที่ช่วยพาอาม่ามาหาหมอ”

 

            “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ”เกิดอาการประหม่าขึ้นมาทันทีทั้งที่ถ้าหากเป็นในตอนปกติเศรษฐพงศ์ไม่เคยรู้สึกว่าคณิตเป็นคนน่ากลัวอะไรเท่าไหร่ เด็กหนุ่มเก็บอาการประหม่าไว้ไม่อยู่จึงนั่งเขย่าขาและถูมือไปมาอย่างไม่รู้ตัว

 

            “ตรงนี้อึดอัดเราไปหาที่คุยกันหน่อยมั้ย?”คนอาวุโสกว่าเอ่ยปากชวน เศรษฐพงศ์มองหน้าแม่อย่างขอคำปรึกษา ลดาพยักหน้าให้ลูกน้อยๆคณิตเห็นดังนั้นจึงเดินนำเศรษฐพงศ์ออกมา คนแก่กว่าเดินมายังจุดอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ มือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัยเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาเพราะสมัยหนุ่มกรำงานหนักเคาะปลายมวนบุหรี่ออกมาก่อนจะยื่นให้คนเด็กกว่า เศรษฐพงศ์ไม่กล้าปฏิเสธจำต้องรับมาคาบก่อนที่ไลท์เตอรืราคาแพงจะถูกจุดแล้วจ่อปลายเปลวไฟที่ปลายมวนให้เด็ดหนุ่มก่อนที่คณิตจะจุดสูบเองบ้าง

 

ผู้ชายต่างวัยยืนอัดควันสีเทาเข้าปอดอย่างเงียบๆ เศรษฐพงศ์เผลอถอนหายใจอย่างอัดอั้น อดนึกถึงคณินที่บอกว่าเข้าไปคุยกับอากงอาม่าไม่ได้

 

วันนั้นคณินก็คงกดดันเหมือนเขาในตอนนี้เช่นกัน

 

            “เลิกกันได้มั้ย”เศรษฐพงศ์กลืนควันสีเทาลงคอก่อนจะพ่นมันออกมาผ่านโพรงจมูก

 

เขาคิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงคณิตก็จะไม่จบเรื่องนี้ถ้าผลลัพท์ที่ได้ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ

 

            “ถ้าเรียนจบแล้วอยากไปเรียนต่อเมืองนอกลุงจะส่งให้เรียนเอง”

 

            “ผมทิ้งไอ้คินไม่ได้หรอกครับลุง”เป็นครั้งแรกที่เศรษฐพงศ์เอ่ยปฏิเสธสิ่งที่คณิตขอ ชายวัยกลางคนแทบจะขยำบุหรี่ในมือให้แหลกด้วยอารมณ์ที่กดดันอยู่ภายใน

 

เขาคิดว่าถ้าหากพูดกับเศรษฐพงศ์เด็กหัวอ่อนที่เชื่อฟังทั้งเขาและลดาจะตอบตกลง ซึ่งแนวโน้มจากที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้น

 

แต่เด็กที่เชื่อฟังทุกสิ่งทุกอย่างในวันนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

            “คิดให้ดีนะเซ็ท เซ็ทเองก็เป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ คินเองก็เหมือนกัน ต่อไปใครจะสืบทอดวงศ์ตระกูล ทางบ้านเซ็ทอาจไม่ซีเรียสเรื่องนี้แต่บ้านลุงถือ”

 

            “ลุงครับ ได้โปรดให้โอกาสเราคบกันเถอะครับ ถ้าหากเราจะเลิกกันก็ขอให้เราเลิกกันเพราะเราไม่ได้รักกันแล้วดีกว่าครับ ลุงก็รู้จักไอ้คินดีว่ามันเป็นคนดื้อ ลุงให้เราคบกันไปก่อนได้มั้ยครับถ้าวันหนึ่งคินมันหมดรักผม ผมจะไปเอง ส่วนตัวผมคงไม่เลิกรักมันง่ายๆ”

 

            “ทั้งๆที่รู้ว่าขืนคบกันต่อไปตัวเองจะลำบากก็ยอมน่ะเหรอ เซ็ทอย่าให้ลุงต้องบีบเซ็ทเหมือนที่ลุงบีบคินเลยนะ ทำอะไรให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ เธอยังเรียนไม่จบถ้าทางบ้านไม่ซัพพอร์ตเรื่องเงินเวลาอีกหลายเดือนต่อจากนี้เธอจะอยู่กันยังไง”คณิตเอาเรื่องเงินขึ้นมาขู่อีกครั้ง เศรษฐพงศ์อัดบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะบี้ก้นกรองของมันกับทรายในกระบะ

 

            “ลุงครับ ลุงรู้มั้ยเมื่อวันก่อนไอ้คินโทรหาผมแล้วมันพูดว่ายังไง”เด็กหนุ่มส่งยิ้มอ่อนๆให้กับคนเป็นพ่อเลี้ยง ดวงตาเปล่งประกายของความสุขฉายชัดจนคนมองรู้สึกได้

 

            “ไอ้คินบอกว่ามันไม่ได้กลัวความลำบาก แต่มันกลัวชีวิตของมันไม่มีผม เพราะฉะนั้นผมเองก็จะไม่กลัวความลำบากเหมือนกัน ต่อให้เลือดตาแทบกระเด็นผมก็ทนได้เพราะชีวิตของผมน่ะก็ขาดมันไม่ได้เหมือนกัน”เศรษฐพงศ์หันหลังให้กับคณิตทันที ร่างโปร่งเดินจากมาพร้อมกับรอยยิ้มอย่างคนที่โล่งใจที่ได้พยายามเพื่อเรื่องของตนเองกับคณินจากก้าวย่างที่เชื่องช้าก็เร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง เขาจะไม่หนีอีกต่อไปและตอนนี้เขาจะไปตามหาหัวใจที่ทำหลุดลอยไปเมื่อวันก่อน

 

            คณินนอนมองเพดานห้องที่ว่างเปล่า

 

3 วันแล้วที่ติดต่อเศรษฐพงศ์ไม่ได้ ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเพราะเป็นคนเจ้าสำอางบัดนี้เขียวครึ้มจากหนวดเคราที่เจ้าตัวไม่อยู่ในอารมณ์จะโกนหรือทำความสะอาดเหมือนเช่นเมื่อก่อน บนพื้นรกเลอะเทอะด้วยคราบเบียร์ที่คณินเมาหลับคากองกระป๋องเบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า

 

ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่ารวมทั้งอดนอน

 

เขาไม่อยากจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว

 

ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากตายไปซะเผื่อเศรษฐพงศ์จะกลับมาหาเขา แม้จะเป็นเพียงการกลับมาเพื่อเผาศพเขาก็ตามที

 

เสียงกริ่งดังขึ้นอยู่หลายครั้งกว่าคณินจะรู้สึกตัวว่ามีคนมาหา ร่างสูงค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

 

เหลือมองดูนาฬิกาเกือบห้าทุ่มแล้ว

 

อาจจะเป็นแดนธรรมที่มักจะแวะเอาข้าวมาฝากเพราะคณินไม่ออกไปหาซื้ออาหารกินเลยนอกจากลงไปซื้อเบียร์ที่เซ้ว่นฝั่งตรงข้าม

 

คณินเหยียดกายลุกขึ้นอย่างยากลำบากก่อนจะลากเท้าเดินโซเซไปเปิดประตูโดยไม่ได้สนใจจะส่องตาแมวดู

((ต่อด้านล่าง))
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:19:47
 

ทันทีที่ประตูเปิด ภาพของคนด้านนอกที่ยืนน้ำตาคลอทำเอาคณินแทบหยุดหายใจ ชายหนุ่มกำลังประมวลผลว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นคือเรื่องจริงหรือเขาแค่เมาจนตาฝาดมองเห็นภาพลวงตาหากแต่น้ำเสียงของคนที่เรียกชื่อเขาดึงสติให้กลับมานั้นทำให้รู้ว่าที่เป็นอยู่นั้นคือเรื่องจริง

 

เขาไม่ได้ฝัน

 

            คิน...”เมื่อรู้แล้วว่านั่นคือเรื่องจริงและเด็กคนนั้นโผเข้ามาสวมกอดเขาไว้ คณินก็ร้องไห้โฮพลางทุบลงบนหลังบางนั้นอย่างคนน้อยใจเต็มที่

 

            “มึงทิ้งกูเซ็ท”

 

ทุบลงไปบนแผ่นหลังอย่างกล่าวโทษ

 

            “มึงทิ้งกู!!”

 

ทุบลงไปอีกทีอย่างต้องการให้คนที่ยิ่งถูกทุบยิ่งสวมกอดเขาแน่นขึ้น

 

            “ไอ้เด็กเหี้ย มึงทิ้งกู มึงปล่อยมือกู”

 

            “กูกอดมึงแน่นแล้วหรือยัง แน่นพอแล้วหรือยังคิน กูกลับมาหามึงแล้วต่อไปกูสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมึงไว้ลำพังอีกแล้ว มึงยกโทษให้กูนะ นะคิน คินยกโทษให้เซ็ทนะ”เศรษฐพงศ์อ้อนวอนคนพี่ที่ทิ้งแขนลงข้างตัว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดตอบเขา ไหล่ของคนเด็กกว่าเปียกชุ่มจากหยาดน้ำที่ไหลออกจาสองตาของคนพี่

 

            “อย่าทิ้งกูอีกนะ กูเหมือนจะตาย อย่าทิ้งกูอีก”

 

            “ไม่ทิ้งแล้วกูสัญญา”

 

สัญญาด้วยหัวใจที่มี

 

            “กูกลับมาหามึงครั้งนี้กูเดิมพันหมดหน้าตักกูแล้วนะคิน มาสู้ไปด้วยกันนะ”

 

            “ครับ”ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะกระชับอ้อมกอดร่างบางไว้อย่างหวงแหน

 

คณินจะไม่มีวันปล่อยมือจากเศรษฐพงศ์เด็กขาดและต่อจากนี้ไปเขาจะพิสูจน์ให้พ่อและอาม่าเห็นว่าเขาจะไปได้ดีด้วยลำแข้งของตัวเอง

 

แก้วแหวนเงินทองมากมายไม่สามารถแทนที่เศรษฐพงศ์ได้เลย

 

ถ้าไม่มีคนๆนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย

 

ไม่มีค่าเลยซักนิด











 

 

            คณินหลับตาลงยามที่เศรษฐพงศ์ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นโปะลงมาบนหน้าชายหนุ่มขยับหัวที่หนุนตักให้เข้าที่มากขึ้น มือเรียวลูบลงบนผ้าเบาๆจนหายอุ่นจึงใช้ครีมสำหรับโกนหนวดชโลมลงบนผิวหน้าของคณินจากนั้นจึงลงโฟมแล้วบรรจงใช้มีดโกนค่อยๆโกนหนวดที่เขียวครึ้มของคณินอย่างตั้งใจ ไม่นานใบหน้าที่รกครึ้มก็เกลี้ยงเกลา เศรษฐพงศ์เอาอุปกรณ์กลับไปเก็บในห้องน้ำโดยมีคณินเดินตามติดราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยให้คลาดจากสายตาเพียงเสี้ยววินาทีเศรษฐพงศ์จะหายไป เอวบางถูกรวบจับไว้ก่อนจะถูกยกให้ลอยขึ้นไปนั่งขนขอบอ่างล้างหน้า แขนเรียวคล้องคอคนพี่ไว้อย่างรู้ใจก่อนจะป้อนจูบหวานงอนง้อพะเน้าพะนอเพราะรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด เสียงจูบเฉอะแฉะและเชื่องช้าก่อนที่จะผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง เศรษฐพงศ์จ้องหน้าคณินไม่ได้ละสายตาไปไหน ริมฝีปากอิ่มเอื้อนเอ่ยคำที่พร่ำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่านับสิบๆหนตั้งแต่พบหน้ากัน

 

            “ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”คณินส่งยิ้มให้กับน้องอย่างเข้าใจ

 

เขารู้ว่าเศรษฐพงศ์เป็นคนขี้กลัว โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นจะเกี่ยวกับความเปราะบางของครอบครัว ดันนั้นการตัดสินใจที่จะเลิกกับเขาจึงเป็นทางเลือกแรกที่คนน้องตัดสินใจเพราะคิดว่ามันจะประคับประคองความเป็นครอบครัวของเราได้ คำว่าไม่เป็นไรถูกเอ่ยออกจากปากของคณินอีกครั้งก่อนที่ร่างกายจะดึงดูดเข้าหากันตามกลไกของอารมณ์และหัวใจ

 

รุ่งเช้าทั้งสองคนตื่นขึ้นมาเก็บของใส่ลังเพื่อรอพวกเพื่อนๆของคณินมารับไปอยู่หอใหม่ คณินมองรอบห้องที่อยู่มานานนับปีอย่างเสียดาย เขาไม่สามารถดันทุรังอยู่ต่อที่นี่ได้เพราะตอนนี้เงินของเขาหลังจากจ่ายมัดจำค่าเช่าห้องใหม่ก็เหลือเพียงหมื่นกว่าบาท อ้น แพร และแพทมาด้วยกันโดยเอารถกระบะมาส่วนแดนธรรมกับเด่นคุณแพทและว่านตามมาสมทบพร้อมข้าวปลาอาหาร ใช้เวลาขนของแค่ 2 เที่ยวก็หมดเพราะมีเพียงอุปกรณ์การเรียนและคลังเสื้อผ้าของคณิน หอใหม่พื้นที่พอๆกับหอพักของคณินและเศรษฐพงศ์ที่เชียงใหม่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็มีเตียง ตู้เสื้อผ้า แอร์ และโต๊ะเขียนหนังสือตามปกติหอพัก ชั้นที่คณินอยู่คือชั้น 7 ส่วนพวกเพื่อนๆพักอยู่ชั้นห้า เพื่อนๆต่างพากันกลับห้องในตอนห้าโมงดังนั้นเศรษฐพงศ์จึงชวนคณินไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของใช้จำเป็นเข้าห้อง จุดแรกที่เศรษฐพงศ์พาไปเดินคือโซนขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เศรษฐพงศ์เลือกหม้อหุงข้าวใบไม่ใหญ่มากและราคาไม่แพงใส่รถเข็น โชคดีที่คณินหุงข้าวและทำอาหารง่ายๆเป็นแล้วจากการอยู่กับเขาที่เชียงใหม่ เครื่องปรุงรสต่างๆถูกหยิบใส่ คณินหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่รถเข็นซึ่งเศรษฐพงศ์ไม่เห็นด้วย

 

 

 

      “มันไม่ได้อิ่มจริงป่าววะ แล้วโซเดียมก็เยอะ มึงกินทีไรหน้าบวมทุกที สารอาหารอะไรก็ไม่มี”

 

      “มึงก็รู้งานที่กูต้องทำส่งอาจารย์แม่งเยอะจะตายถ้ากูไม่มีเวลาหุงข้าวล่ะจะกินอะไรซื้อติดๆไว้ก็ได้”

 

      “งั้นก็ได้แต่มึงห้ามกินบ่อยเข้าใจมั้ย เดี๋ยวได้ขาดสารอาหารตายห่า นี่ก็ซีดจนไม่รู้จะซ๊ดยังไงแล้ว”

 

      “เป็นห่วงพูดแบบนี้นะ”คณินแกล้งยื่นหน้ามากระซิบข้างๆหูน้องเมื่อเศรษฐพงศ์ตั้งท่าจะบ่นอีกยาวยืด คนน้องหุบปากฉับแล้วเดินนำหนีไปทันที

 

สมุดเล่มเล็กถูกนำมาจดรายจ่ายในวันนี้อย่างละเอียด

 

      “ปกติค่าน้ำมันมึงใช้เดือนละเท่าไหร่?”

 

      “ก็สามสี่พันนะ”

 

      “มึงไปกลับกรุงเทพยะลาทุกวันหรือไงไอ้เหี้ยทำไมแพงแท้”

 

      “ก็ขับกลับบ้านมั่งอะไรมั่ง แหมมึงก้อ”

 

      “ไม่ต้องมาเกิ้งมาก้อ กูกำหนดให้มึงค่าน้ำมันเดือนละสามพันห้ามเกินนี้โอเคมั้ย”เศรษฐพงศ์ไม่รอให้คณินได้ตอบเด็กหนึ่มจดรายละเอียดลงในสมุดทันที

 

      “ค่าเช่าหอเดือนละ 4000 ค่าน้ำค่าไฟตีว่ารวมๆแล้ว 6000”คนน้องคำนวณรายจ่ายเงียบๆคนเดียว ทั้งค่าน้ำมันรถ ค่าเช่าห้องค่ากินอยู่ในแต่ละวันของคณินต้องใช้เงินราวๆเดือนละเกือบสองหมื่นบาท เงินเก็บของเศรษฐพงศ์มีพอสมควรทั้งที่แม่และคณิตให้แต่ละเดือนที่เขาใช้ไม่หมด เงินจากที่เคยรวมกันขายต้นไม้กับเพื่อนๆรวมทั้งเงินที่รับเขียนแบบเล่นๆ เขายังมีเงินที่เวลาคณินซื้ออะไรให้เจ้าตัวก็เอาใส่บัญชีตามจำนวนเงินนั้นก็มีหลักแสน

 

      “ค่าเทอมมึงจ่ายเมื่อไหร่?”

 

      “อาทิตย์หน้า”

 

      “ค่าใช้จ่ายของมึงกูจะโอนให้เป็นรายเดือนนะถ้ามันขาดเหลือหรือต้องใช้อะไรเพิ่มมึงโทรบอกกูนะคิน”คณินมีสีหน้าไม่สบายใจทันที เขารู้สึกว่าเขาเป็นพี่และเป็นสามีเขาควรเป็นคนที่ซัพพอร์ตคนรักมากกว่ามารับการดูแลจากเศรษฐพงศ์ คนน้องเห็นคนพี่หน้านิ่วคิ้วขมวดก็นึกรู้ทันที สมุดเล่มเล็กถูกวางลงก่อนที่จะเอื้อมมือมากุมมือของคณินไว้

 

      “อย่าคิดมากสิมึง เป็นแฟนกันเวลาคนหนึ่งลำบากก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่ช่วยมึงจะให้กูไปช่วยใคร เรามาทำให้พวกผู้ใหญ่เห็นกันว่าเราก็ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มาทำให้เขาเห็นกันเถอะว่าถึงจะลำบากแค่ไหนเราก็จะไม่ทิ้งกัน”

 

 

 

เศรษฐพงศ์อยู่จัดการเรื่องของคณินจนเรียบร้อยและอยู่เป็นเพื่อนคนพี่อีก  2 วันก็ได้เวลาที่ตัวเองต้องกลับเชียงใหม่เช่นกัน คราวนี้เด็กหนุ่มใช้บริการรถไฟตามเดิมเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย คณินขับรถมาส่งและอยู่รอจนรถไฟลับสายตาจึงได้ขับรถกลับมาห้อง

 

อีกครั้งที่ความเหงาเข้ามาโอบล้อมจนอึดอัด ชายหนุ่มคว้าหมอนที่น้องใช้หนุนมากอดแนบอก สูดดมกลิ่นแชมพูจางๆที่น้องใช้จนเต็มปอดก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นซองกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ คณินลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบซองนั้นมาเปิดดู ด้านในมีเงินอยู่หนึ่งหมื่นบาทกับกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือหวัดๆที่ทำเอาคณินเกือบร้องไห้

 

            “สู้ๆนะมึง กูเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้ คินของกูน่ะเจ๋งที่สุดแล้ว กูอาจจะไม่ค่อยพูดคำนี้มากแต่กูได้แสดงให้มึงเห็นไปจนหมดแล้วว่ากูรักมึงมากขนาดไหน กูรักมึงนะคิน รักมากๆ อดทนแล้วเราจะผ่านไปด้วยกัน สู้ๆ”คณินพับจดหมายฉบับนั้นเก็บใส่กระเป๋าเงินแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความไลน์หาเศรษฐพงศ์

 

          " กูก็รักมึงมากๆเหมือนกัน”

 

           

 

เศรษฐพงศ์::

         

 

          ผมกลับมาถึงเชียงใหม่ในวันรุ่งขึ้นเมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็โทรหาพี่เอกที่เป็นเจ้าของสถานที่ฝึกงานทันที  ผมของานจากพี่เอกถ้ามีงานเขียนแบบหรืออะไรก็ได้ที่หาคนทำแทนให้บอกผมเพราะผมต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ

 

ผมไม่อยากให้ไอ้คินอยู่แบบอดๆ มันน่ะป่วยง่ายแถมเรียนหนัก เทอมสุดท้ายแล้วแต่งานของมันน่าจะไม่ได้ลดลงหรอก แล้วผมก็ได้งานมาทันที 2 ชิ้น ผมเริ่มทำงานเลยเพื่อที่จะได้เสร็จเร็วๆแต่ผมก็ใส่ใจรายละเอียดไม่ได้ทำลวกๆเพื่อให้เสร็จๆไป ไอ้คินโทรมาอวดว่าวันนี้มันเจียวไข่ไม่ด้านแล้ว เหมือนผมเห็นลูกชายโตขึ้นเรื่อยๆจากที่หุงข้าวสวยเป็นข้าวต้มตอนนี้มันหุงข้าวกินเองทอดไข่ได้เองแล้ว ส่วนกับข้าวอื่นๆผมบอกให้มันซื้อแกงถุงมากินเอา

 

แค่ค่าเทอมของเราสองคนก็ทำเอาผมแทบจุกมองตัวเลขที่หายไปจากบัญชีแล้วจะเป็นลม แต่ไม่เป็นไรหรอกไม่ตายก็หาใหม่ได้แต่ถ้าไอ้คินตายผมคงหาผัวใหม่แบบมันไม่ได้แล้ว

 

เอาวะ สู้โว้ยยยยยยยยยยยย

 

กูต้องรอด!!!!!!!

 

 

 

ในที่สุดวันเปิดเทอมก็มาถึงคณินวิ่งวุ่นตั้งแต่ต้นเทอม งานที่อาจารย์สั่งสูบพลังของเขาจนแทบทรุดใครบอกว่าเรียนปีสุดท้ายเดี๋ยวก็สบายแล้ว ดูพวกเขาสิแทบจะตายคากองงาน เพื่อนๆของเขาสภาพอ่อนระโหยโรยแรงไม่ต่างกันเลยซักนิด เสร็จงานหนึ่งก็ต่อด้วยงานหนึ่ง เขาไม่ได้คุยกับพ่อและคนที่บ้านอีกเลยนับจากวันนั้น เหมือนความสัมพันธ์ของคณินและพ่อจะห่างออกจากกันเรื่อยๆจนกระทั่งเดือนแรกผ่านไปอย่างเชื่องช้า อยุ่ๆวันหนึ่งเสียงโทรศัพท์ของคณินก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างแปกลใจเมื่อเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ใช่เบอร์ของพ่อหรือบรรดาอาม่าทั้งสองบ้านหากแต่เป็นเบอร์ของลดา คณินตัดสินใจกดรับ

 

            “ครับ”

 

            “น้องคิน สบายดีมั้ยลูก”น้ำเสียงแผ่วเบาของลดาที่ถามมาทำเอาใจของคณินแกว่งไปเล็กน้อย

 

นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินใครพูดจาถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขนาดนี้

 

            “อาทิตย์นี้คินมีวันหยุดมั้ยคะ”

 

            “ก็มีครับ”

 

            “กลับมาคุยกับน้าได้มั้ยคะ เรื่องเซ็ทกับคิน”

 

            “ได้ครับ เดี๋ยววันเสาร์นี้ผมกลับไปแต่ขอไม่เข้าบ้านนะครับเรานัดคุยกันข้างนอกแทนได้มั้ย”

 

            “ได้ค่ะ น้าก็จะนัดคินมาคุยที่โรงพยาบาล”คณินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินสถานที่ๆลดานัด

 

            “ทำไมนัดที่โรงพยาบาลล่ะครับ? ใครเป็นอะไร?”

 

            “รอวันเสาร์มาแล้วน้าจะบอกนะคะ มาถึงโรงพยาบาลน้องคินโทรหาน้าแล้วกันเดี๋ยวน้าบอกชั้นกับห้องให้ แค่นี้ก่อนนะคะ น้าติดธุระ”ลดากดตัดสายไปปล่อยคณินให้จมอยู่กับความสงสัยเกี่ยวกับว่าใครป่วยจนรู้สึกหงุดหงิด

 

หรือว่าพ่อของเขาจะป่วย ความเป็นห่วงพ่อพุ่งสูงอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้พ่อจะขัดขวางความรักระหว่างเขากับเศรษฐพงศ์แต่คณินก็ไม่ได้อยากให้พ่อต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วย ชายหนุ่มอยากจะเร่งเวลาให้ถึงวันเสาร์เร็วๆอยากจะโทรไปหาพ่อหากแต่ศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ก็ทำให้ไม่ได้กดโทรออกไปซักที เด็กหนุ่มปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยถึงพ่อจะป่วยแต่ก็มีลดาคอยดูแลอยู่ไม่ห่างคงไม่น่าห่วงอะไร และถ้าพ่อป่วยหนักจริงลดาคงบอกเขาแล้ว

 

ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง คณินเคลียร์งานส่วนของตัวเองเสร็จในตอนเที่ยงจึงขับรถกลับกาญจน?และถึงตัวเมืองตอนบ่ายสามชายหนุ่มขับรถเข้ามาวนหาที่จอดในโรงพยาบาลเมื่อได้ที่จอดเรียบร้อยจึงโทรหาลดาทันที

 

            “ขึ้นมาชั้น 7 นะคะ ห้อง 14”คณินรับคำก่อนจะวางสาย ร่างสูงเดินเข้ามาด้านในกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 7 ที่เป็นโซนห้องพิเศษเดินหาห้องที่ 14 ไม่นานก็พบ เด็กหนุ่มเคาะเบาๆเสียงอนุญาตจากลดาดังขึ้น เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในภาพที่คณินเห็นทำเอาเด็กหนุ่มยืนอึ้งไปทันที ดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มค่อยๆเอ่อด้วยหยาดน้ำตาทันที

 


            “มาถึงเร็วจังเลยค่ะ น้าเตรียมตัวไม่ทันเลย”



.....................................



เราชอบเพลงนี้มาก ตอนที่ได้ยินครั้งแรกนี่แบบเฮ้ย มันตรงกับพลอตที่เราวางไว้มาก เซ็ทมักจะฟังคนอื่นมากกว่าฟังหัวใจตัวเอง ในขณะที่คินเลือกที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเองมากกว่ากฏเกณฑ์ของสังคม



เราอยากให้เซ็ทกล้าที่จะเดินบนเส้นทางที่เปิดเผยกับทุกคนได้ว่าเซ็ทกับคินรักกัน



อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วช่วยเป็นกำลังใจให้เด็กสองคนนี้ข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายแหล่นี้ด้วยนะคะ



เรารักพี่คินกับน้องเซ็ทมากเหลือเกิน



และก็คิดว่าคนอ่านเองก็รักเด็กสองคนนี้เช่นกัน

 
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:21:00
ตอนที่ 55





            ภาพของลดาที่คณินเห็นครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อนคือหญิงวัยกลางคนที่ยังดูสาวและอ่อนกว่าวัย ผิวไม่ได้ขาวจัดแบบแม่ของเขาแต่ว่านวลตา และสีผิวนั้นก็ถ่ายทอดมาที่เศรษฐพงศ์แบบเต็มๆ
 
แต่หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงคนป่วยในตอนนี้ราวกับคนละคน
 
ลดาผอมลงมากจากที่เจอกันเมื่อเดือนก่อน ผอมจนไม่คิดว่าจะผอมได้ขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ใบหน้าที่เคยสวยบัดนี้กร้านและมีริ้วรอย
 
มันเกิดอะไรขึ้น?
 
            “นั่งก่อนสิคะ”ลดาชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ข้างตัว บนหลังมือมีสายน้ำเหลือเจาะอยู่ คณินก้าวเข้ามานั่งใกล้ๆแล้วมองหญิงสาวด้วยสายตาที่ส่งคำถาม
 
            มะเร็งน่ะค่ะ”หล่อนตอบราวกับว่าที่ป่วยอยู่นี้เป็นแค่หวัดเดี๋ยวก็หาย คณินใจกระตุกวูบ ฝ่ามือชื้นด้วยเหงื่อ
 
ลดาป่วยหนักขนาดนี้คงจะไม่ใช่ระยะเริ่มต้นแล้ว แต่ทำไมทั้งลดาและป๊าของเขาถึงได้ปิดเงียบมาก
 
            “แล้วไอ้เซ็ท...”
 
            “อย่าบอกเซ็ทนะคะ”ชายหนุ่มขมวดคิ้วจนเป็นปมทันทีที่ได้ยินคำขอ ในหัวมีแต่คำว่าทำไมจนแสดงออกมาผ่านแววตาให้ลดาได้รับรู้
 
            “น้าไม่อยากให้เซ็ทต้องรับรู้แล้วมาห่วงจนเสียการเรียน เด็กคนนั้นน่ะคินก็น่าจะรู้นิสัยเค้าดี เทอมสุดท้ายแล้วน้าอยากให้เซ็ทมีสมาธิในการเรียนมากกว่าคอยกังวลเกี่ยวกับน้า”
 
            “แต่น้าป่วยขนาดนี้คิดว่าจะปิดมันได้นานขนาดไหนกันครับ”คณินถามอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่คิดว่าการปกปิดเศรษฐพงศ์จะเป็นทางเลือกที่ดีแต่ลดากลับทำเพียงยิ้มเนือยๆ
 
            “น้าปิดน้องมาได้เป็นปีปิดอีกแค่เดือนสองเดือนไม่ได้ยากอะไร”
 
            “แสดงว่าตอนที่เซ็ทโทรหาแล้วน้าไม่รับ?”
 
            “ค่ะ น้าอยู่โรงพยาบาลฉายแสงเลยรับโทรศัพท์น้องไม่ได้ เราอย่าคุยเรื่องของน้าเลยค่ะ ที่น้าให้คินมาหาวันนี้เพราะน้าอยากรู้เรื่องของคินกับเซ็ทว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงมากกว่า”
 
            คณิน::
 
ผมรู้ดีว่าน้าลดาหมายความว่ายังไง มันออกจะเป็นเรื่องน่าอายนิดหน่อยที่ต้องมานั่งบอกกับเขาว่าผมกับลูกชายเขารักกันได้ยังไงทั้งๆที่ตอนแรกกัดกันแทบเป็นแทบตาย
 
ผมจะไม่เล่าตามจริงก็ได้ แต่พอมองร่างซูบซีดบนเตียงที่มองหน้าผมอย่างรอคอยมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดถ้าจะปิดบังหรือสร้างเรื่องโกหกเพื่อให้มันผ่านๆไป
 
เอาจริงๆการยอมรับว่าจีบไอ้เซ็ทก่อนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร และในเมื่อผมตั้งใจจะคบกับมันผมก็ควรจะเปิดใจกับน้าลดาซักที
 
            “ผมจีบไอ้เซ็ทก่อนครับ ผมเป็นคนเริ่มเรื่องทั้งหมดเอง”เมื่อประโยคแรกถูกเอ่ยออกไปเรื่องราวที่ผ่านมาของเราก็ถูกเล่าออกมาอย่างไม่ยากเย็น จะยากนิดหน่อยก็ตรงที่ผมต้องเรียบเรียงและกลั่นกรองคำพูดทุกคำของตัวเอง รวมทั้งเรื่องบนเตียงที่ผมพูดข้ามไปไม่ลงรายละเอียด น้าลดาพยักหน้ารับรู้เมื่อผมพูดจบจนถึงบทสรุปวันที่พ่อมาเจอ
 
            “คินตอบคำถามน้าข้อหนึ่งได้มั้ยคะ”น้าลดาจ้องหน้าผม ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มประดับอยู่เป็นนิจบัดนี้เรียบนิ่ง ผมเผลอกำมือกับขากางเกงของตัวเอง อยู่ๆใจก็เต้นรัวขึ้นมาเสียดื้อๆ
 
น้าลดาจะสั่งให้ผมกับไอ้เซ็ทเลิกกันอีกคนมั้ย
 
แล้วไอ้เซ็ทน่ะรักและเชื่อฟังแม่มาก แค่เพียงน้าลดาพูดคำเดียวไอ้เซ็ทเป็นได้ทิ้งผมอีกรอบแน่ๆและคราวนี้คงหมดหนทางกลับมารักกันอีกแล้ว
 
            “อะไรครับ?”
 
            “คินรักลูกน้าจริงๆหรือว่าแค่ความรู้สึกชั่ววูบคะ”ผมมองหน้าน้าลดาก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
 
จะให้พูดครั้งแรก ครั้งที่สิบ ครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่ล้านประโยคนี้ก็เป็นประโยคที่ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องโกหกหรือฝืนใจที่จะพูดมันออกมาเลย
 
            “ผมรักมันจริงๆครับ รักหมดหัวใจเลย”
 
            “ได้ยินแบบนี้น้าก็วางใจ ถ้าน้าเป็นอะไรไป คินช่วยดูแลน้องแทนน้าได้มั้ยคะ นอกจากน้าแล้วเซ็ทก็ไม่เหลือใครที่จะพึ่งพิงได้อีกเลย”ผมใจหายวูบเมื่อน้าลดาคว้ามือผมไปกุมและบีบเบาๆ ตั้งแต่อยู่ร่วมบ้านกันมานี่เป็นการแตะตัวกันครั้งแรก ดวงตาของน้าลดาที่มองมาที่ผมนั้นมีความหวังอันล้นปรี่
 
หวังของคนเป็นแม่ที่อยากจะมีใครซักคนคอยปกป้องลูกน้อยของตัวเองได้ ผมใช้มืออีกข้างที่เหลือซ้อนทับมือน้าลดาไว้แล้วตบลงบนหลังมือซูบนั้น
 
ดวงตาที่ผมมองน้าลดาคือดวงตายามที่ผมตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างให้ดีที่สุด
 
            “ผมสัญญาว่าผมจะดูแลมันให้ดีที่สุด”
 
หลังจากวันนั้นระหว่างผมกับน้าลดาก็เหมือนปลดล็อคในใจ เรามักจะโทรคุยกันส่วนมากก็เป็นเรื่องของไอ้เซ็ท น้าลดามักจะพูดเสมอว่าเป็นห่วงมัน ส่วนผมโดยมากจะฟ้องว่าวันนี้ไอ้เซ็ทบ่นหรือด่าอะไรไปบ้าง
 
งานที่อาจารย์สั่งยังคงดุเดือดไม่เปลี่ยนแปลง ไอ้ว่าน ไอ้แพร ไอ้แพทสภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ ค่าอุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็มากขึ้นแต่ฐานะการเงินของผมไม่มั่นคงเอาเสียเลย ผมไม่อยากใช้เงินไอ้เซ็ทมากนัก มันเองก็มีรายได้เล็กๆน้อยๆจากการรับจ้างเขียนแบบแต่ตัวมันเองก็ใกล้จบแล้วเช่นเดียวกับผมช่วงหลังนี้มันแทบไม่ได้นอนเพราะงานนอกก็ต้องทำงานในก็ห้ามเสีย
 
            “เป็นไรมึง”ไอ้แดนที่เหมือนจะรู้ว่าผมมีเรื่องกลุ้มใจเดินมานั่งข้างๆ ผมถอนหายใจอย่างหนักอกรับบุหรี่ที่ไอ้แดนยื่นให้มาสูบ
 
            “เงินกูจะหมด”
 
            “มึงก็บอกไอ้เซ็ทสิวะ กูเห็นมันบอกมึงตลอดว่าถ้าเงินหมดให้บอก”
 
            “กูจะไปขอมันพร่ำเพรื่อได้ไงวะ แค่นี้กูก็อายมันจะแย่แล้วต้องคอยแบมือขอเงินมัน”ผมอัดบุหรี่เข้าปอดแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ
 
            “มึงอ่ะชอบคิดมาก ไอ้เซ็ทมันไม่ได้บ่นอะไรไม่ใช่เหรอวะ เงินมันก็พอมี นึกถึงตอนมึงเปย์มันมั่งสิมึงก็ไม่เคยเสียดายกูว่ามันเองก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก มันยังถามกูบ่อยๆเลยว่ามึงเงินหมดยังเพราะมึงแม่งไม่ค่อยบอกมัน”
 
            “มึงไม่รู้อะไร ไอ้เซ็ทอ่ะมันเป็นคนประหยัดมันมีความสุขเวลาที่ยอดเงินฝากเพิ่มขึ้นทุกเดือนแต่นี่สองเดือนแล้วที่ยอดเงินมันลด กูสงสารมัน เหมือนกูพรากความสุขเล็กๆน้อยๆของมันมา”
 
            “แต่กูว่าตอนนี้มันน่าจะมีความสุขกับการได้ดูแลมึงนะ”ผมมองหน้าไอ้แดนอย่างไม่เข้าใจ
 
            “ก็ได้ดูแลคนที่รักน่ะมันเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว”
 
ครับ ประโยคนี้ของอ้เหี้ยแดนทำเอาผมตายไปเลย
 
มึงแม่ง...
 
แต่ความรู้สึกดีกินไม่อิ่ม ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหลือเงินในกระเป๋าไม่ถึงห้าร้อยกับเวลาสองอาทิตย์กว่าที่ไอ้เซ็ทจะโอนมาให้ในเดือนถัดไป ผมตื่นมาในเช้าวันอาทิตย์เพราะท้องร้อง เดินเข้ามาในครัวเหลือข้าวติดก้นถังนิดหน่อย ของสดไข่ไก่หมดไปตั้งแต่เมื่อวานซืน จริงๆเงินควรจะใช้ได้จนถึงสิ้นเดือนแต่หลังจากรู้ว่าน้าลดาป่วยและแกเองก็ไม่มีใครผมจึงแอบขับรถไปเยี่ยมแกทุกวันหยุด เลือกเวลาที่ป๊าไปทำงานพอป๊าใกล้เลิกงานผมก็กลับ ดังนั้นค่าน้ำมันรถจึงพุ่งสูงกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนเงินที่ใช้เติมน้ำมันส่วนเกินนี้ผมดึงมาจากค่ากินที่ไอ้เซ็ทกันไว้ให้ จริงๆน้าลดายื่นเงินให้ผมทุกรอบแต่ผมไม่รับ
 
ผมก็มีศักดิ์ศรีของผม
 
จะดูแลลูกเขาแต่ดันรับเงินของเขามันก็ไม่ใช่ป่าววะ
 
สุดท้ายก็มานั่งอด
 
ผมกำชับไอ้แดนกับเพื่อนๆไม่ให้บอกไอ้เซ็ทว่าอาทิตย์หลังๆมานี้ผมกินข้าววันละมื้อ เช้า กลางวันอาศัยกินน้ำกับแกล้งทำเป็นลืมๆไปแล้วมากินมื้อเย็นรวบยอดเอาทีเดียว เพื่อนๆจะเลี้ยงข้าวผม แต่ผมก็ปฏิเสธไป
 
ไม่มีใครมาเลี้ยงเราได้ทุกมื้อและผมควรช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด
 
ผมเปิดตู้ที่ใช้เก็บบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไอ้เซ็ทย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้ผมกินเพราะผมกินแล้วบวมบางทีก็ปวดท้องแต่วันนี้ผมหิวมากจริงๆ ผมจัดการหุงข้าวที่เหลืออยู่ก้นถังแล้วพอข้าวเด้งก็ต้มมาม่ามานั่งกินเงียบๆ ยังไม่ทันจะอิ่มเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น หน้าจอโชว์ชื่อของไอ้เซ็ทหราเล่นเอาผมสะดุ้งเฮือกเปิดขวดน้ำกินแก้คอแห้งไปอึกใหญ่
 
            “รับช้า”มันว่าเมื่อผมกดรับโทรศัพท์
 
            “ก็รับแล้วมั้ยล่ะ”ผมยอกย้อนใส่มัน เสียงมันร้อง หึ ในลำคอก่อนคำถามเบสิคจะเริ่มขึ้น
 
            “แล้วทำอะไรอยู่ กินข้าวแล้วหรือยัง?”ผมรีบกลืนมาม่าลงคอจนเกือบสำลัก
 
            “กินอยู่”
 
            “กินกับอะไร?”
 
            “ต้มจืดหมูสับ”
 
ผมไม่ได้ตอแหลนะ ก็ที่กินอยู่คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับ ไอ้เซ็ทร้องอ่อเบาๆ
 
            “เงินใกล้หมดยังมึงมีพอใช้มั้ย?”
 
            “ยังมีอยู่มึงไม่ต้องห่วง”ผมบอกเพื่อให้มันสบายใจ
 
            “ถ้าเงินหมดมึงต้องรีบบอกกูนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองอด”
 
            “กูรู้น่า แล้วนี่มึงกินข้าวยัง?”
 
            “กูกำลังจะไป เพิ่งทำงานกลุ่มเสร็จ ว่าจะไปกินข้าวซอยร้านที่มึงบอกว่าอร่อย” น้ำลายกูไหลเลยสัด
 
            “เออดี กินเยอะๆจะได้โตไวๆ”ผมแกล้งหยอกมัน
 
            “นี่กูก็โตทันมึงแล้วเถอะสูงกว่าแค่สามเซ็นต์อย่ามาขิงใส่กู”ผมหัวเราะให้กับคำด่าของมัน เดี่ยวนี้แม่งมีศัพท์แปลกๆมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ
 
            “เออ เดี๋ยวกูขับรถก่อน เย็นนี้ถ้าไม่เลิกช้าจะโทรหา”
 
            “ขับดีๆ”ผมบอกกับมันเหมือนทุกวัน ไม่ต้องสงสัยนะครับว่ามันเอารถที่ไหนขับก็วันที่มันหนีผมไปมันเอาอีแดงขึ้นรถไฟไปด้วย ผมวางสายจากไอ้เซ็ทแล้วนั่งมองมาม่าที่อืดไปครึ่งชาม
 
ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยต้องมานั่งกินอะไรแบบนี้เลย และไม่เคยคิดว่าจะต้องมากินของพวกนี้ด้วย ผมถอนหายใจให้กับชีวิตที่ตกอับของตัวเอง
 
ถ้าแม่ยังอยู่ก็คงดีกว่านี้
 
แม่ที่รักและตามใจผมทุกอย่างแม่ที่คอยฟังเวลาผมพูดไม่ใช่เอาแต่บังคับ
 
ผมมองสภาพห้องแล้วถอนหายใจออกมา คิดหาทางที่จะหาเงินเพิ่ม
 
ตัดเรื่องรับจ๊อบเขียนแบบไปได้เลยแค่งานที่อาจารย์สั่งก็แทบจะทับหัวตายอยู่แล้วเดี๋ยวผมก็ต้องไปทำงานกลุ่มที่ห้องไอ้แดน
 
ผมจะทำยังไงกับการชักหน้าไม่ถึงหลังดี ผมไม่อยากยืมเงินเพื่อนแม้พวกมันจะยินดีให้ผมยืมก็ตามแต่ผมอยู่แบบไม่มีเงินไม่ได้ค่าอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้ซ้อรวมทั้งค่ากินแต่ละวันเป็นสิ่งที่ต้องหามาจ่าย
 
ผมจะไม่ยอมซมซานไปเอ่ยปากขอเงินป๊าอีกเด็ดขาด
 
ผมอยากให้เขาเห็นว่าต่อให้ไม่มีเงินของเขากับอาม่าผมก็จะอยู่ได้
 
            ไอ้แดนเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของผม มันหิ้วข้าวและขนมมาฝากเพื่อนทุกคนพิเศษที่มันซื้อขนมกับนมมาให้ผมโดยเฉพาะโดวยการแวะมาให้ผมที่ห้อง ไข่ไก่ 1 แผงถูกล้างแล้วแช่ตู้เย็น ข้าวสาร 1 ถุง แม้ผมจะรู้สึกอายแต่ตอนนี้จำต้องรับน้ำใจของมันไว้เมื่อคนให้พูดเชิงบังคับ
 
            “ถ้ามึงเห็นกูเป็นเพื่อนก็ห้ามปฏิเสธ เมื่อก่อนมึงเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าพวกกูหมดไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แค่ข้าวกับไข่ทำไมกูจะเลี้ยงมึงไม่ได้”
 
            “กูขอบใจมึงว่ะแดน แต่กูหาทางหาเงินอยู่ กูคงไม่ให้มึงซื้อมาให้กูจนเรียนจบหรอก”
 
            “จะไปยากอะไรวะ เสื้อผ้ารองเท้าของมึงน่ะ เอาไปขายมือสองก็ได้เงินป่าววะ ในเฟซบุ๊คมันมีกลุ่มของแบรนด์เนมพวกนี้ที่ซื้อขายแบบมือสอง กูว่ามึงก็เอาตัวที่มึงไม่ได้ใส่หรือไม่ค่อยได้ใช้ไปขายน่าจะได้เยอะ เพื่อนในคลาสก็มี ถ้ามึงไม่กล้าขายเดี่ยวพวกกูประกาศให้ ยังไงกูว่าก็ขายได้”ไอ้แดนแนะนำทางสว่างให้กับผม ซึ่งนั่นทำให้ผมตาโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
แดนเพื่อนรัก กูรักมึงชิบหายเลยว่ะ"


 
            เช้าวันรุ่งขึ้นไอ้เซ็ทโทรหาผมตั้งแต่ยังไม่ 9 โมงดี ผมค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยแม้ว่าเพิ่งจะได้นอนตอนเจ็ดโมงเช้าแต่พอเป็นสายของมันผมก็รีบรับโดยไม่อิดออด
 
            “ว่าไงมึง”ผมกรอกเสียงแหบๆเข้าไปในสาย อาการนอนไม่พอทำให้ร่างกายของผมคล้ายจะไม่สบาย ทั้งคัดจมูกและคอแห้ง
 
            “มึงกินมาม่ากับข้าวเหรอ?”
 
ชิบหาย!!! ไอ้เซ็ทรู้ได้ไงวะ ผมเลิ่กลั่กเลยอ่ะ ยิ่งเลิ่กลั่กกว่าเดิมตรงที่สัญญาณวีดีโอคอลดังขึ้น ไอ้เซ็ทมันน่ากลัวมาก ผมไม่รับได้มั้ยวะ
 
คงไม่ได้สินะ สุดท้ายต้องกดรับ
 
แล้วไอ้เหี้ยเอ้ย หน้ากูบวมเนี่ย
 
            “สัด”มันพ่นลมออกจากปากทันทีที่เห็นหน้าของผม สภาพตอนนี้คือหน้าบวม ขอบตาบวมและปากเจ่อหน่อยๆ เป็นอาการที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ผมกินมาม่า
 
            “มึงโกหกกูทำไมวะคิน”ผมหลบตาไอ้เซ็ทที่จ้องผมเขม็ง อยู่ความรู้สึกเหมือนโดนแม่ดุตอนสิบขวบก็กลับเข้ามาในความคิด ครั้งนั้นผมติดขนมกินเล่นพวกขนมซองมากจนไม่ยอมกินข้าว แม่จึงมีกฏว่าห้ามไม่ให้ผมกินเกินวันละสิบบาทเพราะขนมพวกนั้นมีโซเดียมเยอะ ผมกินทีไรหน้าบวมตาบวมทุกทีแต่ก็ยังกิน เมื่อถูกหักดิบจากของที่ชอบมากๆผมจึงใช้วิธีขโมยตอนแม่ไม่อยู่
 
มันเคยได้ผลมาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งที่แม่ออกจากบ้านผมก็ปีนขึ้นบนเค้าท์เตอร์ในครัวแล้วหยิบขนมที่แม่ซ่อนไว้บนสุดหลังตู้มาแกะกิน
 
ผมกินไปเล่นเกมส์ไปจนไม่ได้สังเกตรอบๆตัว และความลับไม่มีในโลกเมื่อแม่วกกลับมาบ้านเพราะลืมของผมจึงถูกจับได้คาหนังคาเขา แม่ไม่ได้ดุผมอย่างที่บ้านอื่นทำกัน แม่แค่จับผมมายืนคุยกันต่อหน้า จ้องตาแล้วถามว่าขนมนั่นมันอร่อยจนผมต้องผิดสัญญากับแม่เลยเหรอ แม่เสียใจที่ผมไม่รักษาคำพูด มองข้ามความห่วงใยของแม่
 
 
            “ทำไมคินถึงรักษาสัญญาที่ให้กับแม่ไม่ได้ครับ”คำพูดเชิงตัดพ้อของแม่ในวันนั้นทำให้เด็กอายุสิบขวบอย่างผมสะท้านเข้ามาในอก สายตาที่แม่มองมาที่ผมด้วยความรักใคร่มาตลอดมีแววน้อยใจอยู่ลึกๆ
 
            “ที่แม่ห้ามก็เพื่อตัวคินทั้งนั้น”
 
            “ที่กูห้ามก็เพื่อตัวมึงทั้งนั้นนะคิน แล้วดูดิ่พอมึงกินมาม่าตัวมึงก็บวม ทำไมมีอะไรมึงไม่ยอมบอกกูวะเงินหมดทำไมไม่บอกมึงปล่อยให้ตัวเองอดเพื่ออะไร”ผมดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ใบหน้าของไอ้เซ็ทตึงขนาดเอาเหรียญปาใส่หน้าก็เด้งออกอ่ะ ผมยิ้มให้กับคนปลายสายเพราะประโยคที่มันพูดเหมือนของแม่ผมไม่มีผิด
 
            “เซ็ทกูรักมึงว่ะ”ไอ้เซ็ทที่กำลังบ่นยืดยาวชะงักไปก่อนจะด่ากลับมาอีกรอบ
 
            “มันใช่เวลามาบอกรักมั้ยล่ะไอ้เหี้ย”ผมยิ้มให้กับมันที่ดูก็รู้ว่าทั้งโกรธทั้งเขิน
 
            “ขอโทษนะ คราวหลังจะไม่โกหกอีกแล้ว”
 
            “มึงก็พูดอย่างนี้ทุกที กูบอกแล้วใช่มั้ยเงินหมดให้บอกอย่าปล่อยให้ตัวเองอด เงินกูมีพอให้มึงใช้อย่างไม่ลำบากจนกว่าจะเรียนจบอ่ะ”
 
            “เดือนนี้กูขอมึงเกินงบไปเป็นหมื่นแล้วเลยไม่อยากขออีก”
 
            “แต่ที่มึงขอเกินมันจำเป็นป่ะ โปรเจคของมึงต้องทำมั้ย เดี๋ยวกูโอนให้สามพันถ้าไม่พอก็บอก กูแม่งหงุดหงิดมึงรู้ป่ะ เป็นแฟนกันแท้ๆแต่พอมึงลำบากมึงไม่ยอมบอกกูให้กูรู้จากคนอื่นมันใช้ได้เหรอวะ มีอะไรทำไมไม่บอกกันให้กูรู้ทีหลังมันเจ็บนะเว้ย”มันบ่นเป็นหมีกินผึ้งงุ้งงิ้งอีกพักใหญ่ไม่วายกำชับว่าห้ามผมกินมาม่าอีกจึงได้วางสายไป อีกประมาณ 5 นาทีข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินเข้าบัญชีก็ปรากฏขึ้น
 
อ่า...ผมผลาญเงินมันอีกสามพันสินะ
 
 
            ตั้งแต่เกิดมาเกือบ 23 ปี คณินไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาทำอะไรแบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าโทรศัพท์ที่กำลังเริ่มไลฟ์สดในห้องขายของมือสองแบรนด์เนมที่มียอดสมาชิกให้ห้องหลักแสนคน อาการเก้ๆกังๆด้วยความกระดากอายทำให้แดนธรรมต้องใช้เท้าเขี่ยกระตุ้นให้คณินพูดอะไรซักอย่างเมื่อมีผู่คนเริ่มเข้าชมการไลฟ์สดนี้หลายคน
 
            “เอ่อ...สวัสดีครับ”คณินทักทายคนดูโดยที่ในใจคิดอยู่ว่าทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ แทบจะเบ้ปากใส่ข้อความทักทายแรกจากผู้หญิงที่ใช้รูปโปรไฟล์เป็นชุดนักศึกษารัดติ้วจนเห็นร่องอก
 
            “หล่อจังเลยค่ะ”
 
คณิน::
 
เออ กูรู้ว่ากูหล่อ
 
ใครๆก็พูดแบบนี้ล่ะ ฟังจนเบื่อแล้ว
 
ผมละความสนใจจากคอมเม้นท์ไร้สาระนั้นก่อนจะรับเสื้อที่ไอ้แดนส่งมาให้
 
เหี้ยแดน!!! นี่ Louis Vuitton x Supreme กู๊!!!
 
ผมแทบจะเอาเสื้อตัวโปรดเขวี้ยงหน้าไอ้แดนแต่มันถลึงตาตี่ๆใส่ผม
 
            “ขายไป ตั้งแต่ซื้อมากูเห็นมึงใส่หนเดียว”
 
            “แต่ตัวนี้กูซื้อมาเกือบสี่หมื่น!!”ผมเถียงมันโดยลืมไปเลยว่าตอนนี้ผมไลฟ์สดอยู่
 
            “จะกี่หมื่นมึงก็ต้องขาย”มันว่าพลางยัดเสื้อใส่มือผมกลับมาอีกรอบ
 
            “จะเสียดายทำไมไอ้ควาย มึงซื้อมาสองตัว”อ่อ ผมลืมไปว่าผมซื้อเสื้อรุ่นนี้มาสองตัว ตั้งใจจะให้ไอ้เซ็ทตัวหนึ่ง แต่พอมันเห็นสีแดงแปร๊ดของเสื้อมันก็เอาแต่ส่ายหัวท่าเดียว
 
            “แดงขนาดนี้ใส่ออกนอกบ้านควายได้ไล่ขวิด”
 
ผมจำต้องหันกลับมาที่หน้าจออีกครั้ง อย่าถามหารอยยิ้มจากผมเลย การต้องงัดของรักของหวงมาขายก็เหมือนลูกเราถูกส่งไปออกเรือนตามหัวเมืองไม่รู้ว่าคนที่ได้ไปจะถนอมมันเหมือนที่ผมให้การดูแลเอาใจใส่ราวกับไข่ในหินมั้ย
 
            “เปิดประมูลไปเลยเริ่มที่ห้าพัน”ไอ้แดนมันสั่งผม ผมอยากจะยกนิ้วกลางให้มันรัวๆ ตัวละตั้งเกือบสี่หมื่นเสือกให้กูเปิดที่ห้าพัน ยอดคนที่เข้ามาดูไลฟ์ที่ส่วนมากผมจะเงียบและหันไปตบตีกับไอ้แดนเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยคนหลังจากไอ้แดนทยอยเอาเสื้อผ้าข้าวของๆผมมาแขวนโชว์ด้านหลัง ในที่สุดผมก็เปิดประมูลเสื้อตัวแรกด้วยราคาห้าพันและทำใจล่วงหน้าว่ามันก็คงได้ไม่เหิน 6-7 พันบาท แต่ปรากฏว่าเสื้อตัวนั้นถูกประมูลไปด้วยราคาหมื่นกว่าบาท ผมตาโตเท่าไข่ห่านกับจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีมาหลังจากคนประมูลมากที่สุดได้ไป ไอ้แดนทำหน้าที่ตอบอินบ็อกซ์และจดชื่อที่อยู่สำหรับส่งพัสดุ
 
เมื่อได้เงินก้อนแรกผมยอมรับเลยครับว่าโลภ
 
ไม่น่าเชื่อว่าห้องสำหรับซื้อขายของมืองสองจะมีคนที่มีกำลังซื้อได้มากขนาดนี้ ผมตัดสินใจขายเสื้ออีกตัวและคราวนี้มันได้ราคาไม่มากนักเพราะเป็นเสื้อยืดธรรมดาๆ ผมเอาพวกกระเป๋าเงิน เข็มขัดออกมาขายอีก 2-3 เส้น พูดคุยกับลูกค้าบ้างแม้จะไม่ค่อยมากนักแต่เงินที่เข้าบัญชีทำให้ผมอารมณ์ดีคุยขิงข่าได้เรื่อยๆคนซื้อที่เริ่มจำชื่อได้หลายคนก็เหมือนรู้จักกันมานานทั้งๆที่มึงกับกูเพิ่งคุยกันตะกี๊ มีแซวบ้าง หยอดบ้าง ระหว่างที่กำลังขายของอยู่นั้นพลันก็มีคอมเม้นท์หนึ่งที่ทำให้ผมยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหู
 
            “พ่อค้าเท่าไหร่ครับ”ผมเพิ่งเห็นว่าไอ้เซ็ทเข้ามาดูไลฟ์ของผมด้วย น่าจะเข้ามาตอนที่ผมลุกไปหยิบของแล้วดูผมอยู่เงียบๆ พอมีคนมาหยอดผมเยอะๆเข้าเลยแสดงตัวบ้าง ผมยิ้มแล้วมองกล้องราวกับว่ากำลังจ้องตาของมันอยู่
 
            “ก็ได้ไปตั้งนานแล้วนี่ครับ จะอยากได้อะไรอีก”
 
ครับ แล้วผมก็ปิดไลฟ์หลังจากนั้นพร้อมกล้วยหนึ่งลูกจากไอ้เซ็ทเป็นการทิ้งท้าย


....................................................

ห้องพี่ว่าง ข้าวสารมี ไข่ไก่พร้อมนะคะพี่คิน
 
 
 
 
 

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:22:21
ตอนที่ 56



            คณิตมองร่างซูบผอมที่หายใจรวยรินบนเตียงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนที่มีเรื่องหนักอก ปัญหาทุกอย่างประเดประดังหนักอึ้งจนชายวัยกลางคนดูแก่ลงไปอีกสิบปี
 
เรื่องความรักร่วมเพศของลูกชายและลูกเลี้ยงยังคาราคาซังเพราะเด็กสองคนไม่ยอมปล่อยมือกัน ตอนแรกเขาประเมินสถานการณ์ว่าคณินคงจะทนความลำบากได้ไม่เกินเดือนก็คงจะวิ่งโร่มาขอโทษและขอเงินพ่อกับอาม่าใช้
 
แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น
 
ลูกชายผู้รักสบายของเขาย้ายออกจากคอนโดหรูที่เจ้าตัวชอบนักหนาไปเช่าหอพักอยู่ด้วยขนาดห้องที่แคบ ลูกชายที่กินหรูอยู่สบายเพิ่งไลฟ์สดการทำต้มจืดเต้าหู้อ่อนเสร็จไปเมื่อครู่โดยอวดว่าแฟนเป็นคนสอนให้ ภาพลูกชายคดข้าวใส่จานมานั่งกินหน้ากล้องคุยกับคนที่มาคอมเม้ท์เป็นภาพที่คณิตไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น
 
คณินไม่เคยต้องหยิบจับไม้กวาด ไม่เคยต้องเข้าครัวทำกับข้าวบัดนี้ลูกชายของตนหุงข้าวกินเองทำกับข้าวได้เป็นเรื่องเป็นราว ค่าเทอมหลักหมื่นค่ากินอยู่ค่าใช้จ่ายที่คณินใช้ทุกวันนี้เป็นเงินของเศรษฐพงศ์ทั้งสิ้น
 
เขารู้มาจากหลานๆว่าคณินเคยไลฟ์สดขายเสื้อผ้าของใช้ของตัวเอง วันนั้นเขาคิดว่าเงินของเศรษฐพงศ์คงหมดแล้ว เด็กสองคนกำลังจะถังแตกแต่กลับไม่ใช่เลย ตอนนี้คณินกลับทำรายได้จากการไลฟ์สดขายของได้ค่อนข้างดี อาทิตย์หนึ่งลูกชายจะมาไลฟ์ซักครั้ง ล่าสุดเขารู้มาว่าคณินไปรับรองเท้ามือสองมาขายกับเพื่อนๆ ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลารวมทั้งเพื่อนๆที่แวะเวียนมาเป็นตัวเรียกแขกก็ทำให้คณินมีเงินใช้เป็นกอบเป็นกำ รองเท้าถูกนำมาโชว์คู่แล้วคู่เล่ามีเพื่อนๆช่วยคัดแยกของลูกค้าให้ ถึงแม้คณินจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากนัก พูดแค่ชื่อยี่ห้อและขนาดไซส์บวกกับหน้านิ่งๆ แต่นั่นกลับเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่ง หลังจากไลฟ์ขายของมาซักระยะบรรดาลูกค้าจะรู้ได้ในทันทีถ้าพ่อค้าเล่นกล้องหูตาแพรวพราวหรือยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดงๆเมื่อไหร่นั่นแปลว่า “ตัวจริง” เขามา มันก็มีบ้างที่ช่วงแรกๆจะมีลูกค้าผู้ชายหลายคนคะนองปากพูดเหยียดบ้างก็ด่าแล้วจากไปแต่พักหลังๆนี้แทบจะไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่พ่อค้ามีแฟนเป็นผู้ชาย กลับกันจากตอนแรกที่คณิตคิดว่าเมื่อคนซื้อรู้ว่าพ่อค้าคบผู้ชายด้วยกันคงหายไปแต่ตอนนี้เวลาคณินไลฟ์สดจะมีคนดูหลักพันตลอด ขายของกี่รอบก็มีแต่คนแย่งกันซื้อ เป็นอันรู้กันว่ารอยยิ้มของพ่อค้าน่ะมีไว้ให้ “ตัวจริง” กับตอนที่ยอดขายดีเท่านั้น
 
คณินไม่ต้องการความช่วยเหลือจากทางบ้านอีกต่อไปแล้ว
 
วันก่อนเขาได้คุยกับอาม่าของคณิน สองอาม่ามีท่าทีเป็นทุกข์ ด้วยเพราะคณินเป็นหลานรัก หลานคนโปรด การบีบให้หลานพบกับความลำบากเพื่อเลิกกับเศรษฐพงศ์คนที่เป็นทุกข์และกังวลใจที่สุดก็คืออาม่าทั้งสองบ้าน หลายครั้งเปรยๆบ่นๆว่าคิดถึงหลานอยากคุยอยากได้ยินเสียงแต่ก็ยังรับไม่ได้กับความผิดธรรมชาติที่หลานชายมี เรื่องลูกยังไม่ทันแก้ปัญหา เรื่องภรรยาป่วยก็เข้ามาดึงให้เขากลับมาให้เวลากับลดา
 
คณิตรู้ตั้งแต่แรกที่เริ่มชอบพอลดาแล้วว่าหญิงหม้ายมีโรคประจำตัวที่อาจทำให้ถึงกับชีวิต แรกๆตอนที่เทียวไล้เทียวขื่อลดาปฏิเสธเขานับครั้งไม่ถ้วน เขาเกือบถอดใจไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นเจอลดาปวดท้องจนหน้าซีดแล้วพาส่งโรงพยาบาล
 
            “ให้ผมดูแลคุณและลูกได้มั้ย?”ในเย็นวันนั้นเขาตัดสินใจขอเธอแต่งงานหลังจากทราบว่าลดาป่วยเป็นมะเร็ง คณิตรู้ดีว่าลดาห่วงความรู้สึกของลูก เศรษฐพงศ์เป็นเด็กดี เขาเชื่อว่าถ้าเป็นความสุขของแม่เด็กคนนั้นจะไม่ขัดข้อง มีแต่ลดาที่บอกกับเขาว่าไม่อยากเป็นภาระให้คณิตต้องมาดูแล และไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่
 
เขาอยากใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่จิตใจดีคนนี้
 
ในที่สุดลดาก็ตกลงที่จะแต่งงานกับเขา เพราะวัยที่มากแล้วงานแต่งงานจึงมีเพียงยกน้ำชากับญาติผู้ใหญ่และกินเลี้ยงเล็กๆ หลังจากย้ายเข้าบ้านไม่นานเพราะปัญหากระทบกระทั่งของเศรษฐพงศ์กับคณินทำให้ลูกเลี้ยงของเขาย้ายไปอยู่หอพักเดือนหนึ่งจะกลับบ้านซักหนดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ลดาจะรักษาตัวโดยไม่ให้ลูกชายรู้
 
เขาไม่ได้เห็นด้วยนักกับการปิดบังความจริงกับลูกแต่ลดากลับเลือกที่จะปิด
 
“เซ็ทไม่มีใครแล้ว ฉันอยากให้แกเรียนได้อย่างสบายใจไม่ต้องคอยเป็นห่วงแม่” โชคดีที่การรักษาในตอนนั้นได้ผล เนื้อร้ายถูกทำลาย เขาและลดาดีใจที่สุดก็พอดีกับที่เศรษฐพงศ์ไปฝึกงาน
 
ทุกอย่างสงบราบเรียบมาตลอดจนกระทั่งหลังจากที่เศรษฐพงศ์สอบเทอมสุดท้ายหลังปีหนึ่ง
 
อาการปวดท้องที่ห่างหายไปปีกว่าเริ่มกลับมาเล่นงานลดาอีกครั้ง
 
มันกลับมา...แท้จริงแล้วมันไม่ได้หายไปไหน แค่เร้นกายอย่างเงียบเชียบและกัดกินลำไส้ของภรรยาเขาอย่างตะกรุมตะกราม
 
กว่าจะรู้ตัวทุกอย่างก็สายเกินไป
 
            “บอกลูกเถอะ ถ้าแกรู้ทีหลังแกจะเสียใจ”
 
            “รอให้ลูกสอบก่อนนะคะ”ลดาอ้อนวอนสามีให้ปิดเป็นความลับ
 
อีกนิดเดียวเศรษฐพงศ์ก็จะสอบเทอมสุดท้ายแล้ว...หล่อนจะอดทนรอจนกว่าจะถึงวันนั้น
 
            “ลูกอาจจะอยากดูแลคุณ อยากจะพูดจาปลอบใจคุณ การปิดแกมาตลอดหลายปีมันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอลดา”
 
            “ฉันไม่อยากให้เซ็ทต้องมาคอยห่วงหน้าพะวงหลัง เด็กนั่นน่ะเอาแต่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ถ้ารู้ว่าฉันป่วยหนักไม่ต้องเดาเลย เซ็ทจะดร็อปเรียนเพื่อมาดูแลฉันแน่ๆ ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้วก็ขอตายแบบไม่ถ่วงลูกจะดีกว่า”
 
            “รู้มั้ยเซ็ทเหมือนใคร เขาถอดแบบคุณมาไม่มีผิดเลย เห็นแก่คนอื่นมากกว่าตัวเอง”เขาหัวเราะน้อยๆเมื่อนึกถึงลูกเลี้ยงที่นิสัยดีมาตลอด
 
            “ถ้าเขาไม่ดื้อดึงมันคงดีกว่านี้”คณิตเปรยออกมาอย่างเสียดาย
 
เขาเสียดายเด็กดีๆแบบเศรษฐพงศ์ เขาไม่อยากมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับเด็กดีคนนั้นเลยซักนิด
 
คณิตยังยึดติดกับระบอบความคิดของคนยุคเก่า
 
หากแต่ลดาไม่ใช่
 
            “ปล่อยให้เขาสองคนได้รักกันเถอะนะคะ อย่าไปแยกเขาจากกันเลย”ลดาเอ่ยร้องอ้อนวอนกับผู้เป็นสามี หล่อนสงสารลูก สงสารคณินที่ต้องทนกัดฟันฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกัน คณินผู้แสนเย่อหยิ่งในวันนั้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน กลายเป็นคนที่คอยแวะเวียนมาเยี่ยมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แม้การมาแต่ละครั้งถุงใต้ตาของชายหนุ่มจะดำคล้ำมากขึ้นทุกทีก็ตาม
 
            “ตัดเรื่องสังคมมันก็แค่เด็กสองคนที่รักกัน”หล่อนหว่านล้อม
 
            “ตอนนั้นน่ะที่คุณพาฉันไปแนะนำกับคินว่าจะแต่งงานด้วย ถ้าหากคินขอไม่ให้คุณแต่งฉันเชื่อว่าคุณเองก็ต้องเห็นแก่ลูก แต่น้องคินน่ะ นอกจากท่าทางฮึดฮัดก็ไม่เคยขอไม่ให้คุณแต่งกับฉันไม่ใช่เหรอคะ นั่นแปลว่าแกเคารพการตัดสินใจและเห็นแก่ความสุขของคุณ ฉันว่าเราพอเถอะนะ เลิกเมินเฉยเลิกกีดกันพวกแกเสียที”
 
            “เรื่องนี้ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องแล้วแต่ม้า”
 
            “ฉันเชื่อนะคะว่าวันหนึ่งแม่คุณกับอาม่าบ้านนู้นต้องใจอ่อน ตัวคุณเองนั่นแหละที่ควรจะปล่อยวาง อย่าไปพรากความรักของเขาเลยนะคะ”คืนนั้นลดาไม่ได้รับคำตอบจากสามี มีเพียงความเงียบที่โอบล้อมไว้อย่างน่าอึดอัด และหลังจากวันนั้นเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คณิตไม่อยากเอ่ยถึง ส่วนลดาก็ไม่ปริปากพูดเพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่หล่อนพอจะทำได้คือแอบโอนเงินให้ลูกชายอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งสองวันมานี้อาการของลดาไม่ค่อยดีคณิตจึงได้มาคอยเฝ้าภรรยาอย่างใกล้ชิด

บางสิ่งบา่งอย่างที่แสร้งทำเป็นลืมเลือนไปถูกนำกลับมาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง

คิดวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
 
“มึงควรพักบ้างนะคิน มึงไม่ได้นอนมาสามคืนแล้ว”เศรษฐพงศ์เอ่ยขอคณินอย่างอ่อนใจเมื่อคณินบอกว่าจะไปคัดรองเท้าที่บ้านพ่อค้าคนกลางทั้งๆที่ไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว โปรเจคที่คณินทำกับเพื่อนๆนั้นมีรายละเอียดมากอีกทั้งระยะเวลาที่อาจารย์กำหนดค่อนข้างสั้นทำให้งานที่ทำแทบจะลุกเป็นไฟ แทนที่มีเวลาหยุดคณินจะนอนแต่ไอ้คนดื้อด้านนั่นกลับดึงดันที่จะไปเลือกรองเท้ามาขาย
 
เศรษฐพงศ์จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คณินงกเงินได้ขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวไม่อยากขายของๆตัวเอง พอไปเห็นใครไลฟ์ขายรองเท้ามือสองเจ้าตัวจึงสนใจนักหนา แม้ว่าจะต้องเสี่ยงต้องยอมตื่นแต่เช้าเพื่อไปคัดรองเท้าก็ไม่บ่น
 
            “เงินทั้งนั้นมึง โปรเจคกูใช้เงินเยอะ ขาดรายได้ตรงนี้ไปก็เสียดาย”
 
            “แต่สุขภาพมึงสำคัญกว่ามั้ยวะคิน วันนี้ไม่ต้องไปหรอก ขาดเท่าไหร่ก็มาเอาที่กู”
 
            “แล้วถ้ากูจะบอกว่าไม่ได้อยากเอาเงินแต่อยากเอามึง มึงจะให้มั้ย?”แกล้งกดเสียงต่ำหวังหยอกเย้าคนเป็นแฟน
 
และแน่นอน คนขี้เขินแบบเศรษฐพงศ์น่ะ ยั่วง่ายจะตาย
 
            “เอากะตีนกูนี่ ไอ้คนลามก!!”


 
 
 
เศรษฐพงศ์::
 
ในที่สุดฤดูกาลสอบปลายภาคของเราก็ใกล้เข้ามา ผมส่งเล่มรายงานต่างๆที่อาจารย์ให้ทำรวมทั้งวิทยานิพนธิ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเริ่มไม่มีวิชาเรียนกันแล้วเข้าสู่โหมดติวหนังสือยอย่างจริงจัง ไอ้คินเองก็มีพรีเซ้นท์งานชิ้นสุดท้ายที่ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจและแรงเงินในวันนี้ พวกผมจับจองโต๊ะตัวริมสุดในห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ
 
อ่าน
 
อ่าน
 
อ่าน
 
แล้วก็อ่านเหมือนชีวิตนี้จะไม่ได้อ่านมันอีกแล้ว เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งเย็นพวกเราจึงออกไปหาข้าวกินแล้วเคลื่อนพลไปที่ห้องของไอ้ยิมไอ้ย้งเพื่อติวกันต่อ มีเพื่อนในคณะอีกสองคนที่หัวไม่ค่อยดีมาขอติวด้วยซึ่งเราก็ยินดี
 
มหาวิทยาลัยของเราถือคติเพื่อนไม่ทิ้งกัน ต่อให้เพื่อนคนนั้นจะหัวอ่อนแค่ไหนก็จะเข็นกันไปจนได้รับปริญญาพร้อมกันทั้งคณะ
 
ช่วงนี้ไอ้คินก็ห่างจากการไลฟ์สดขายรองเท้ากับของมือสองของมันไปเพราะใกล้สอบเหมือนกัน เหมือนเป็นข้อตกลงระหว่างกันว่าไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหน ลำบากยังไงผลการเรียนของเราต้องไม่ตกยิ่งไอ้คินเป็นคนที่เรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไรถ้าเกรดตกเพราะมาคบกับผมข้อตำหนิที่ผู้ใหญ่มีให้กับความรักของเราก็จะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการที่ผมไม่โทรไปหามันหรือการที่มันไม่มีเวลาโทรมาหาผมในช่วงที่เราติวกันนี้ก็ไม่ทำให้เรางอแงใส่กัน
 
อาทิตย์หน้าผมก็จะสอบแล้ว หลังจากนั้นก็จะได้กลับไปเจอกันได้อยู่ด้วยกันให้หายคิดถึงสมกับที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนเสียที
 
 
            ในขณะที่เศรษฐพงศ์กำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสืออยู่กลางดึกคืนนั้นลดาก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล หญิงสาวมีอาการปวดท้องร่วมกับอาเจียนตั้งแต่ช่วงเย็นเมื่อคณิตกลับมาถึงบ้านนอกจากอาการปวดท้องไม่ทุเลาลงลดายังหน้ามืดหมดสติไปทำให้ต้องรีบส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินโดยด่วน
 
            “ญาติต้องทำใจนะครับ”วินาทีที่หมอบอกกับคณิตชายวัยกลางคนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น
 
เขากำลังจะสูญเสียคู่ชีวิตไปเป็นคนที่สอง
 
ลดากำลังยื้อตัวเองอยู่เขารู้ดี อาการของหล่อนย่ำแย่มาตั้งแต่เมื่อ 2 วันก่อน พร่ำอ้อนวอนให้หล่อนไม่เป็นอะไร หล่อนส่งยิ้มที่แสนเหนื่อยล้าแต่ทว่าอ่อนโยนให้กับเขา
 
            “ยังไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ อยากรอเซ็ท รอให้ลูกสอบเสร็จก่อนถึงจะวางใจไปได้”
 
            “อย่าพูดแบบนี้สิ จะไปไหนอยู่ด้วยกันนี่แหละ”คณิตกดจูบลงบนหน้าผากซูบตอบของภรรยา เขากลั้นความทุกข์ตรมไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ ลดายังคงสวยที่สุดเสมอสำหรับเขาไม่ว่าสภาพร่างกายจะทรุดโทรมร่วงโรยจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
 
            “มันเป็นสัจธรรม ทุกคนไม่มีใครหนีพ้น”ลดาทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก็หลับไป
 
คณินทราบข่าวการแอดมิทของลดา 3 วันหลังจากนั้น แม้จะอยากบอกเศรษฐพงศ์แค่ไหนแต่ชายหนุ่มจำต้องเคารพการตัดสินใจของลดา หลังสอบเสร็จในวันแรกเขาบึ่งรถกลับมาเยี่ยมลดาที่กาญจน์ นับเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของสองพ่อลูกหลังจากเหตุการณ์ที่บ้านอาม่า แม้จะมีท่าทางประดักประเดิดแต่คณิตในยามนี้ไม่มีแรงจะถือทิฐิอะไรนัก เขานั่งเฝ้าภรรยาไม่ได้หลับตานอนเลยจนถึงรุ่งเช้า แม้จะไม่มีการพูดคุยอะไรกัน แต่กาแฟร้อนก็ถูกยื่นให้กับผู้เป็นพ่อพร้อมโจ๊ก 1 ถุงแล้วชายหนุ่มก็ขับรถกลับกรุงเทพเพื่อเตรียมสอบในช่วงบ่าย
 
ลดาถือว่ามีความอดทนอย่างดีเยี่ยม
 
หล่อนยื้อเวลาของตัวเองจนข้ามผ่าน 1 อาทิตย์ คณินที่สอบตัวสุดท้ายเสร็จรีบขับรถกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ใบหน้าของพ่อซีดลงทุกที สีหน้าอมทุกข์นั้นบ่งบอกว่าเขาต้องทรมานใจกับการเผชิญหน้ากับความสูญเสียซ้ำซากนี้มากแค่ไหน แม่เลี้ยงของเขาส่งยิ้มมาให้ในทันที
 
            “เซ็ทสอบเสร็จยังคะ”หล่อนถามเขาทุกครั้งที่เจอหน้า
 
            “วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วครับ เซ็ทสอบเสร็จผมจะรีบเรียกให้กลับมา”
 
            “น้า...กลัวจะไม่ทัน”
 
            “ทันสิครับ รอก่อน รอไอ้เซ็ทก่อนนะครับ”
 
            “ไม่อยากไปเลย แต่ไม่ไหวแล้ว...”คณินกัดกรามแน่นเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของคนป่วย มือของเขาถูกลดากุมไว้ทุกครั้งที่เจอราวกับหล่อนยึดเขาเป็นตัวแทนของเศรษฐพงศ์
 
            “ห่วงเซ็ท หมดน้าไปเสียคนน้องก็ไม่มีใคร”
 
            “มีผมไงครับ น้าลดาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลมันเองผมสัญญา”
 
คณิน::
 
            ผมบอกกับน้าลดาว่าผมจะดูแลไอ้เซ็ทเอง ดูเหมือนคนป่วยจะสบายใจขึ้น แต่ความสบายใจของพวกเราก็อยู่ได้ไม่นาน ตกบ่ายวันนั้นน้าลดาทรุดหนักจนต้องเข็นเข้าห้องไอซียู ผมต่อสายถึงไอ้เซ็ททันทีที่คิดว่ามันคงสอบเสร็จแล้ว ไอ้เซ็ทรับสายผมในครั้งที่สองที่ต่อสายถึง น้ำเสียงใสเอ่ยทักผมเหมือนที่ทำเป็นประจำแต่วันนี้ผมไม่มีเวลาเล่นกับมัน
 
            “เซ็ท ไปสนามบินซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด”ผมบอกมันทันทีโดยไม่ได้ทักทายมันเหมือนเช่นทุกครั้ง ไอ้เซ็ทเองก็ดูเหมือนจะจับสังเกตได้ว่าน้ำเสียงที่ผมบอกกับมันจริงจังกว่าที่เคยมันเงียบไปก่อนจะเอ่ยถามผมอย่างไม่เข้าใจ
 
            “ทำไม เกิดอะไรขึ้น?”
 
            “แม่มึงอยู่ในไอซียู มึงต้องรีบมาก่อนจะไม่ทัน จองเที่ยวที่เร็วที่สุดลงสุวรรณภูมิ กูกำลังขับรถไปรับมึง”ผมรู้ไอ้เซ็ทกำลังสับสน และจากคำพูดของผมเด็กฉลาดอย่างมันตีความหมายได้ไม่ยาก มันระเบิดคำถามว่าแม่กูเป็นอะไรซ้ำแล้วซ้ำอีกจนผมต้องบอกให้มันตั้งสติแล้วทำตามที่ผมบอก ได้ยินเสียงไอ้ยิมกับไอ้อิ้งค์เรียกชื่อมันก่อนที่น้ำเสียงในโทรศัพท์จะเปลี่ยนไป
 
            “มึงช่วยบอกรายละเอียดกูที ไอ้เซ็ทมันสั่นไปหมดแล้ว”เสียงไอ้ยิมเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
 
ในกลุ่มมันเป็นคนที่มีสติดีที่สุดแล้ว ผมเล่าให้มันฟังอย่างคร่าวๆ
 
           " มึงนี่นะ ก็ช่วยแม่มันปิดได้ตั้งนาน ขับรถดีๆ เดี๋ยวกูไปกับมันเอง”
 
            “โอเค”ผมวางสายลง เบาใจลงมาหน่อยที่ไอ้เซ็ทไม่ต้องเดินทางเพียงลำพังกับอารมณ์แบบตอนนี้ ครึ่งชั่วโมงต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในขณะที่ผมขับรถถึงท่ามะกา
 
            “ว่าไง”ผมรู้ว่าคงไม่ใช่ไอ้เซ็ทแน่ที่โทรมา
 
            “ได้ไฟล์บินทุ่มกว่า ถึงนู่นเกือบสามทุ่ม”
 
            “โอเค ถึงแล้วโทรหากู ตอนนี้กูอยู่ท่ามะกา แล้วไอ้เซ็ทเป็นไงบ้าง”อดถามถึงไอ้เด็กมันไม่ได้ ผมรู้แหละว่าตอนนี้มันคงรู้สึกแย่ ทั้งกลัวทั้งห่วงรวมทั้งอาจจะทั้งโกรธ
 
            “โอเคขึ้นแล้ว สงบแล้ว”
 
            “กูฝากมึงดูมันด้วยนะ แค่นี้ก่อนกูขับรถ”ผมตัดสายไอ้ยิมแล้วตั้งใจขับรถไปจนถึงกรุงเทพ เอาเข้าจริงจากที่คิดว่าคงจะต้องมานั่งแกร่วรอด้วยสภาพการจราจรทำให้ผมไปถึงสนามบินไล่เลี่ยกับที่เครื่องลง ไอ้เซ็ทเดินหน้าเครียดออกมาตามหลังด้วยไอ้ยิมที่มาแต่ตัวไม่มีกระเป๋าอะไรกันมาเลย ตาของไอ้เซ็ทบวมเป่งบ่งบอกว่ามันผ่านการร้องไห้มาผมจับมือมันแล้วจูงมาจนถึงรถ
 
ไม่มีใครพูดจากัน แม้แต่ไอ้ยิมก็นั่งเงียบ ผมขับรถออกจากสนามบินมุ่งตรงกลับมากาญจน์อีกครั้ง
 
และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไอ้เซ็ทพูดกับผมว่า
 
            “มึงขับให้เร็วกว่านี้หน่อยได้มั้ย กูอยากไปหาแม่เร็วๆ”
 
เรากลับมาถึงโรงพยาบาลในเวลาเกือบตีหนึ่ง ไอ้เซ็ทไม่ยอมให้ผมแวะพามันกับไอ้ยิมกินอะไรรองท้องเลยผมจึงยิงยาวจนถึงกาญจน์ แม้จะเป็นเวลาดึกแล้ว หมดเวลาเยี่ยม แต่ผมก็ยังพามันเดินมาที่ห้องพิเศษของน้าลดา
 
แสงสลัวจากไฟตรงบริเวณหัวเตียงส่องออกมาจากกระจกบานเล็กที่ประตู ผมค่อยๆหมุนลูกบิดเดินนำไอ้เซ็ทเข้าไป
 
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำใจผมหล่นวูบ พ่อของผมนั่งอยู่ที่ข้างเตียงแบบที่แกมักจะนั่งประจำ บนเตียงมีร่างบอบบางของน้าลดานอนนิ่งสงบ
 
มันจะไม่อะไรเลยซักนิดถ้าร่างนั้นไม่ได้ถูกผ้าขาวคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
 
ไอ้เซ็ทยืนตัวแข็งอยู่ที่ประตูก่อนที่พ่อของผมจะเรียกมันเพื่อดึงสติให้มันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
 
ผมรู้ดีว่าความรู้สึกยามเห็นร่างที่ไร้ลมหายใจของแม่มันเจ็บปวดขนาดไหน ผมรู้ดีเพราะผมเคยผ่านมันมาแล้ว
 
            “เซ็ท มากราบแม่เสียสิ”ไอ้เซ็ทค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปหาแม่ของมันทีละก้าว ปลายเท้าที่ย่างก้าวเข้าหาร่างที่ไร้ลมหายใจของผู้เป็นแม่นั้นผมรู้ดีว่าต้องรวบรวมความเข้มแข็งมากแค่ไหนเพื่อที่จะยอมรับความจริงว่าแม่ไม่อยู่กับเราแล้ว มือของมันสั่นจนน่าสงสารยามค่อยๆดึงผ้าที่คลุมหน้าแม่มันออก
 
            “แม่ไม่ชอบนอนคลุมโปงครับ แม่บอกว่าอึดอัด”ผมกัดปากกลั้นความรู้สึกสงสารยามไอ้เซ็ทกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อใบหน้าซูบตอบไร้สีเลือดและไร้ลมหายใจของน้าลดาโผล่พ้นขอบผ้า
 
            “แม่ครับ แม่...แม่ครับ”มันเขย่าแขนแม่มันเบาๆ ร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
น้าลดาไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มอ่อนหวานให้กับมัน
 
เขารอมันไม่ไหว...
 
            “อย่าให้น้ำตาโดนตัวแม่ เขาจะเป็นห่วง”เสียงของพ่อร้องบอกยามเห็นหยาดน้ำพร่างพราวออกจากดวงตาของมัน ไอ้เซ็ทยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดลวกๆ มันจ้องหน้าของแม่มันนิ่งก่อนจะเอ่ยขอกับพวกเราที่เหลือ
 
            “ขอผมอยู่กับแม่ลำพังได้มั้ยครับ”พ่อของผมไม่ได้พูดอะไร ท่านทำเพียงลุกขึ้นยืน ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณของน้าลดาก่อนจะเดินนำออกมาด้านนอก ไอ้ยิมเดินตามออกมาเป็นคนที่สอง ส่วนผมมองไอ้เซ็ทอย่างเป็นห่วงแต่ก็ไม่ขัดใจมันยอมเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย ผมไม่ได้ไปไหนทำเพียงยืนรออยู่หลังบานประตู ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้โฮของมันดังออกมาแว่วๆถึงด้านนอก
 
เสียงร้องไห้ของมันกรีดลึกเข้ามาถึงหัวใจของผม มันบีบรัดจนอึดอัดไปหมด
 
ผมรู้ว่ามันเสียใจมากขนาดไหน ตอนนี้ในใจของมันจะรู้สึกอ้างว้างและเหน็บหนาวมากเพียงใด ผมรู้
 
ผมรู้ทั้งหมดเพราะผมเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้มาแล้ว
 
ไอ้เซ็ทกำลังรู้สึกสูญเสียและไม่มั่นคง หัวใจของมันกำลังถูกกัดกร่อนด้วยคลื่นความเสียใจที่ถาโถมจนขาดวิ่น
 
ไม่มีอะไรในชีวิตเราที่มั่นคงและจีรังยั่งยืนเลยซักนิด ผมปล่อยให้มันได้อยู่กับแม่ของมันอีกซักพักจึงค่อยๆแง้มประตูเข้าไป
 
ภาพที่เห็นคือไอ้เซ็ทที่ก้มลงกราบแทบเท้ากอดและจูบปลายเท้าของผู้เป็นแม่ซ้ำๆ คำขอโทษที่มาไม่ทันดูใจและไม่ได้ทำหน้าที่ลูกที่จะต้องดูแลแม่ยามเจ็บป่วยพรั่งพรูอย่างน่าสงสาร ผมเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆก่อนจะวางมือลงบนหัวของมัน
 
ไม่ได้เอ่ยปลอบ
 
ไม่ได้ดึงมากอด
 
ทำเพียงลูบผมของมันอย่างอ่อนโยน แม้ภายในใจจะมีคำพูดมากมายนับล้านคำแต่ผมก็ปล่อยให้ความเงียบที่แสนเศร้านั้นโอบล้อมเราทั้งสองคนเอาไว้
 
ผมรู้ว่ามันรู้ว่าผมคิดอะไร
 
ไม่เป็นไรนะเซ็ท
 
กูจะอยู่เคียงข้างมึงเอง
 
มึงยังมีกูอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะเซ็ท

....................................

การกระทำสำคัญกว่าคำพูด
 
 

หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:23:45
ตอนที่ 57

 



            วันรุ่งขึ้นทั้งคณิตและเศรษฐพงศ์ก็วิ่งวุ่นอยู่กับการเดินเรืองเอกสารใบมรณะบัตรและการจองศาลาตั้งศพ เศรษฐพงศ์เอาสมุดจดเบอร์โทรญาติพี่น้องที่ยังเหลือแล้วโทรไปแจ้งข่าวรายบุคคล แม้ไม่รู้ว่าเขาจะอยากมามั้ยแต่ก็แจ้งให้ทราบไว้เฉยๆ คณินทำหน้าที่ขับรถพาเศรษฐพงศ์ไปซื้อของใช้ในงานศพ พวกเพื่อนๆมาช่วยจัดเก้าอี้และจัดสวนหน้าโลงศพจนสวยงาม กุหลาบขาวนับพันดอกถูกจัดเป็นช่อแล้วประดับตกแต่งจนทั่วงาน
 
กุหลาบขาวที่แม่ชอบ...
 
เป็นการทำเพื่อแม่ครั้งสุดท้าย
 
พิธีรดน้ำศพถูกจัดขึ้นตอนสี่โมงเย็น ญาติๆทั้งข้างพ่อและข้างแม่ของเศรษฐพงศ์ที่ยังพอมีมิตรจิตมิตรใจมาร่วมงานสิบกว่าคน ต่างเข้ามาแสดงความเสียใจกับหลานชาย
 
            “หลังจากนี้จะเอาไงเซ็ท ไปอยู่กับย่ามั้ย”หญิงชราที่มีเรือนผมขาวโพลนมวยเป็นวงอยู่ตรงท้ายทอยแตะแขนเด็กหนุ่มพลางเอ่ยถามคำถามที่ทำให้คณินใจกระตุก
 
            “แม่เราเขาตายแล้วเราก็กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว จะอยู่บ้านเขาย่าว่าไม่ดี เรียนจบแล้วไม่ใช่เหรอไปอยู่กับย่าก็ได้ ลุงป้าน้าอาเราก็ยังมี ที่ทางของพ่อก็ยังอยู่”
 
            “ผมขอคิดดูก่อนครับ ยังไงหลังเสร็จงานก็ยังต้องกลับไปเคลียร์งานที่เชียงใหม่อีกซักพัก”เศรษฐพงศ์ยกมือไหว้ย่าของตนเองก่อนจะขอตัวไปยืนต้อนรับแขกคนอื่นคู่กับคณิต
 
แขกส่วนมากที่มาร่วมงานต่างถือพวงหรีดมามอบให้จนตอนนี้ศาลาตั้งศพของลดาเต็มไปด้วยหรีดดอกไม้นับร้อยอัน คณินและเพื่อนๆช่วยดูแลอำนวยความสะดวกให้กับแขกที่เริ่มทยอยเข้ามาในศาลาสวดศพจนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ไม่พอ
 
1 ทุ่มตรง รถยนต์คันคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอด
 
            “คิน ไปรับอาม่าเข้ามาหน่อย”เสียงคณิตร้องบอกกับลูกชาย คณินชะงักไป นับเป็นประโยคแรกที่เขากับพ่อได้พูดคุยกันนอกเหนือจากการสั่งซื้อของในตอนสาย คณินถูมือของตัวเองอย่างประหม่า ก่อนจะเดินเคียงคู่คณิตและเศรษฐพงศ์ไปที่รถยนต์ทั้งสองคัน คณิตแยกไปประคองมารดาของตนเองโดยให้คณินไปรับอาม่าฝั่งแม่  ประตูท้ายรถเปิดออก อี๊หยกประคองอากงลงมาก่อนคณินเอื้อมมือไปเปิดประตูด้านที่เหลือ เด็กหนุ่มทั้งสองยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน หญิงชราเงยหน้าขึ้นจ้องหลานชาย ดวงตาโรยแสงนั้นไหววูบ ความอิ่มเอมใจแล่นเข้าเล่นงานจนเกือบโผกอดหลานชายคนโปรดไว้ยามที่ชายหนุ่มประคองอาม่าลงจากรถโดยมีเศรษฐพงศ์ก้าวเข้ามาช่วยเมื่ออาม่าเซเล็กน้อย
 
            “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ?”เศรษฐพงศ์ปล่อยมือตนเองที่จับแขนอาม่าไว้แล้วถอยออกอย่างเจียมตัว
 
            “ไม่เป็นไร ขอบใจลื้อมาก แล้วก็เสียใจด้วยเรื่องแม่”น้ำเสียงแม้จะยังคงมีแววดุแต่บัดนี้ไม่ได้แข็งกร้าวอย่างเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว
 
            “ขอบคุณครับ ยืนตรงนี้นานเดี๋ยวอาม่าจะเมื่อย เราเข้าไปข้างในกันเถอะครับพระจะสวดแล้ว”เศรษฐพงศ์ผายมือเข้าไปในงาน
 
พิธีกรรมทางศาสนาเริ่มต้นขึ้น เศรษฐพงศ์เดินไปเคาะโลงเบาๆตอนพระเริ่มต้นสวด
 
            “แม่ครับ ฟังพระด้วยกันนะครับแม่”
 
 
คณิน::
 
ผมมองไอ้เซ็ทที่นั่งพนมมือฟังพระด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
 
มันไม่ได้ร้องไห้เหมือนเมื่อคืนแล้ว หลังจากหยุดร้องก็เหมือนมันจะเรียกสติตัวเองกลับมา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ เราต้องจองศาลาตั้งศพ เราต้องจัดการเรื่องโลงศพ ไหนจะทำเรื่องใบมรณะบัตรอีก ช่วงบ่ายของวันเราถึงได้พาร่างของน้าลดามาวัดโดยการนิมนต์พระมาเชิญดวงวิญญาณ
 
ไอ้เซ็ทยังคงสงบนิ่งแม้แต่ตอนรดน้ำศพมันก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย
 
ผมได้ยินญาติๆของมันบางคนซุบซิบกัน
 
            “ใจดำขนาดไหนแม่ตายไม่มีน้ำตาซักหยด”
 
พวกคุณจะไปรู้อะไร คุณไม่ได้อยู่ในชีวิตของมันมาตั้งแต่ต้นจะมาตัดสินกับการที่ไม่เห็นมันร้องไห้ก็เหมาไปว่ามันไม่รักแม่อย่างนี้เหรอ
 
บางทีคนที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาเพราะมันท่วมอยู่ในอกต่างหากล่ะ
 
พวกเพื่อนๆของผมมาถึงกาญจน์ในตอนเช้าส่วนเพื่อนไอ้เซ็ทมาถึงในตอนบ่ายและมาช่วยจัดเตรียมสถานที่
 
            “เซ็ท...”ผมร้องเรียกมันตอนที่มันออกมาเช็คจำนวนแก้วที่จะใช้ในงาน
 
            “มึงนอนหน่อยมั้ย ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้นอนเลย”ผมปัดผมที่ปรกระใบหน้ามันออกให้
 
            “ไม่ง่วง”มันตอบสั้นๆก่อนจะไปให้ความสนใจกับจำนวนแก้วอีกครั้ง
 
ผมรู้ว่ามันเคืองผมที่ผมปิดบังเรื่องแม่ของมันป่วย
 
เป็นผมๆก็โกรธ
 
ในความเป็นลูกย่อมอยากอยู่เป็นกำลังใจให้แม่ในยามเจ็บไข้ แต่มันกลับไม่มีโอกาสนั้น เราต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ
 
ถึงไอ้เซ็ทจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายแต่ดวงตาของมันบ่งบอกอย่างแจ่มชัดว่ามันเสียใจกับความสูญเสียครั้งนี้มากแค่ไหน
 
ยิ่งตอนย่าของมันเอ่ยปากชวนมันไปอยู่ด้วย ผมเห็นความหวั่นไหวในดวงตาคู่นั้น
 
ผมไม่ยอมให้มันไปหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ว่ามันจะตัดสินใจแบบไหนผมก็จะรั้งมันไว้อยู่กับผม ในที่สุดวันเผาก็มาถึง ไอ้เซ็ทมาวัดตั้งแต่ตีสี่เพื่อปลงผมบวชหน้าไฟให้กับน้าลดาโดยมีไอ้ยิม ไอ้อิ้งค์ ไอ้จีนบวชเป็นเพื่อนและมีลูกหลานญาติน้าลดาที่เป็นเด็กอีก 2 คนบวชด้วย หกโมงครึ่งเณรเซ็ทก็ครองจีวร ใบหน้าเรียบเฉยนั้นสงบนิ่ง ก้าวตามพระผู้ใหญ่มาฉันท์เช้า ผมประเคนภัตตราหารให้กับเณรอย่างสำรวม
 
เราไม่ได้คุยกันเลยเพราะเมื่อสวดเสร็จเณรก็ไปรวมกันที่มุมหนึ่งมีญาติๆที่ร้อยวันพันปีไม่เคยโผล่มาเยี่ยมเยือนนั่งคุยอยู่ด้วย
 
ส่วนมากจะถามเณรเรื่องทรัพย์สินของน้าลดา ซึ่งเณรก็ใช้ความนิ่งเฉยเป็นคำตอบ
 
บ่ายสองพระขึ้นแสดงธรรมก่อนเผาพูดถึงค่าน้ำนมและพระคุณของแม่ ผมเห็นเณรแอบปาดน้ำตาทิ้งเป็นระยะ
 
ความทุกข์ความเศร้าที่มีไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป มันสะท้อนออกมาทางสายตาจนผมอยากจะไปกอดเขาไว้ แต่ผมทำไม่ได้ ในตอนนี้ผมทำได้แค่เพียงทำหน้าที่ดูแลแขกดูแลงานให้ผ่านไปได้ด้วยดีแทนเณรให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนพ่อของผมก็ดูแลแขกผู้ใหญ่

พ่อของผมในวันนี้ดูอิดโรย
 
พ่อเองก็แทบไม่ได้นอน
 
ยิ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ร่างของน้าลดาจะอยู่บนโลกใบนี้แววตาของพ่อผมยิ่งเศร้าสร้อย
 
ในที่สุดการเทศนาธรรมะก็จบลงเข้าสู่พิธีเผาศพ เณรเป็นคนจูงสายสินจญ์นำอยู่ด้านหน้า ผมถือกระถางธูปในขณะที่พ่อถือรูปของน้าลดา เสียงปี่พาทย์บรรเลงยิ่งสร้างความเศร้าให้เข้ามาเล่นงานจิตใจของเราอย่างร้ายกาจ
 
แต่ละก้าวที่เดินภาพเหตุการณ์ต่างๆวนเวียนเข้ามาเป็นฉากๆราวกับภาพยนตร์ที่ฉายฉากย้อนอดีต
 
ไม่มีอีกแล้วคนที่คอนรวนหมูเค็มรวนไก่เค็มคอยทำกับข้าวให้พวกเรากิน
 
ไม่มีอีกแล้วคนที่คอยบอกกับเณรเซ็ทไม่ให้ต่อปากต่อคำเถียงผม
 
ไม่มีอีกแล้วคนที่คอยบอกว่าจะเป็นกำลังใจให้ผมกับเณรผ่านพ้นช่วงเวลาของการวัดใจ
 
น้าลดาจากไปชั่วนิรันดร์
 
ผมยังไม่เคยพูดกับน้าลดาเลยซักครั้งว่าผมขอบคุณเขามากเพียงไหนที่คลอดเณรออกมาให้มาเป็นที่รักของผม
 
ผมยังไม่เคยขอบคุณเขาอย่างจริงจังเลยที่ยอมให้ผมกับเณรคบกัน
 
ผมเอาแต่คิดว่าเมื่อทุกอย่างมันลงตัวผมกับเณรเซ็ทเรียนจบ ฐานะการงานมั่นคงผมจะดูแลเขาให้เหมือนกับแม่แท้ๆของผม
 
แต่ผมไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
 
ผมมองพิธีการผ่านไปจนกระทั่งสัปเหร่อเรียกญาติขึ้นไปบอกลาผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย เณรเซ็ทก็ขึ้นไปด้วย เรามองร่างของน้าลดาด้วยความรู้สึกอาลัย ผมเห็นพ่อดวงตาแดงก่ำ ในขณะที่เณรก็กัดกรามตัวเองจนขึ้นสัน ผมยื่นมือไปกุมมือพ่อไว้แล้วบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
 
ถึงแม้เราจะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมาก่อนยังไงแต่ตอนนี้คนที่จะให้กำลังใจซึ่งกันและกันได้ก็มีเพียงเรา
 
พ่อต้องพบกับเหตุการณ์นี้อีกแล้ว การต้องส่งคนที่รักเข้าเตาเผาไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจให้ชินได้ง่ายๆผมรู้ เณรยังคงยืนมองร่างที่ดำคล้ำของน้าลดาอย่างสงบจนกระทั่งสัปเหร่อเลื่อนโลงเข้าเตาเผา ผมยกมือไหว้ลาน้าลดาเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่อยากจะพูดผมก็พูดในใจไปแล้ว
 
ควันสีเทาดำค่อยๆพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าน้าลดาจากไปทิ้งเหลือไว้เพียงความดีที่เคยสร้าง พ่อของผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาในที่สุด ผมทำได้เพียงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้พ่อเบาๆ
 
หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้วผมก็เอากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของพวกเณรไปรอเณรๆสึก พวกเพื่อนๆของไอ้เซ็ทบอกลาในตอนพลบค่ำ หลังจากเราเคลียร์สถานที่และเก็บเช็คของคืนวัดเรียบร้อยแล้ว  ส่วนผมกับพ่อและไอ้เซ็ทก็มุ่งหน้ากลับบ้าน พรุ่งนี้เราต้องไปเก็บอัฐิในตอนเช้า เราแยกย้ายกันขึ้นไปพักผ่อน ไม่มีใครมีแก่จิตแก่ใจจะกินข้าว ไอ้เซ็ทไขกุญแจเข้าไปในห้องของตัวเองแต่ผมเอามือกันไว้ก่อนที่มันจะปิดประตูลง
 
            “เซ็ท กูไม่ล็อกห้องนะ ถ้ามึงอยู่คนเดียวไม่ไหว...”
 
            “กูอยู่ได้ มึงไปพักเถอะ กูอยากอยู่คนเดียว”ผมไม่ดื้อรั้นอะไรทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ผมเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองอาบน้ำอาบท่าให้พ่อคลายความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวัน อดไม่ได้ที่จะเดินไปเงี่ยหูฟังข้างๆผนังห้อง
 
มันเงียบไม่มีเสียงกุกกักอะไร มันคงเหนื่อยจนหลับหรืออาจจะนั่งนึกถึงแม่มันอย่างเงียบๆ แม้ผมเป็นห่วงมันเพียงใด แต่ผมก็ต้องเคารพพื้นที่ส่วนตัวที่มันขอ ในที่สุดเพราะความเหนื่อยล้าผมก็เผลอหลับไป
 
ผมรู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงลั่นเบาๆของบานประตู ภายในห้องของผมปิดไฟหากแต่แสงจากไฟทางเดินกลับส่องให้เห็นร่างของไอ้เซ็ทที่หัวเหม่งกำลังกอดหมอนใบใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงขยับตัวไปนอนอยู่ตรงริมเตียงคลี่ผ้าห่มของผมออกแล้วตบที่นอนเบาๆ ไอ้เซ็ทเดินเข้ามาแล้วแทรกกายเข้ามานอนในผืนผ้าห่ม ผมรวบร่างของมันมากอดแนบอก รับรู้ได้ถึงความสั่นเทาของร่างกาย
 
            “ร้องออกมาเถอะ มึงไม่ต้องกลั้นมันไว้หรอก ร้องไห้สมกับที่มึงเสียใจ กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง”ผมลูบหัวมันเบาๆและคำพูดนั้นเหมือนค้อนปอนด์ที่ไปทุบเอากำแพงที่มันสร้างขึ้นมาปิดกั้นความรู้สึกตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาให้แหลกสลายลง ไอ้เซ็ทสวมกอดผมแน่นขึ้น ซุกหน้ากับอกของผมจนรับรู้ได้ถึงความอุ่นของหยาดน้ำตา นิ้วของมันจิกลงบนหลังของผมอย่างอัดอั้นก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นคำพูดที่แสนน่าสงสาร
 
            “ฮึก....แม่กุตายแล้ว คิน แม่กูตายแล้ว...กูไม่เหลือใครแล้ว”มันพร่ำพูดประโยคเดิมซ้ำๆอย่างสะอึกสะอื้นผมกระชับอ้อมกอดมันมากขึ้น สะกดกลั้นน้ำตาที่พาลจะไหล
 
            “กูไง...มึงยังมีกูอยู่ทั้งคนไงเซ็ท กูอยู่กับมึงตลอด มึงก็อยู่กับกูนะ อย่าทิ้งกูไป นะเซ็ท กูรักมึงมากมึงรู้ใช่มั้ย”ผมไม่รู้หรอกว่าคำพูดของผมมันน่าเชื่อถือแค่ไหนสำหรับไอ้เซ็ท แต่สำหรับผม คำพูดที่พูดออกไป ผมจะรักษามันไว้ชั่วชีวิต
 
 
คณิตหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งๆที่ตั้งใจจะมาพูดกับเศรษฐพงศ์ถึงการใช้ชีวิตหลังจากนี้ แต่เมื่อเห็นลูกชายกำลังปลอบคนน้องที่เสียขวัญเขาก็ยอมล่าถอยไปก่อน  ปล่อยให้ลูกทั้งสองคนปลอบใจกันและกัน




เศรษฐพงศ์มองห่อผ้าที่เก็บอัฐิของแม่ด้วยสายตาว่างเปล่า
 
ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว เมื่อคืนเขาได้ร้องไห้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ไปกับอ้อมอกของคณินแล้ว เด็กหนุ่มประคองพานที่ใส่อัฐิของแม่อย่างระมัดระวัง คณินเอื้อมมือมากุมมือของคนรักไว้แล้วบีบเบาๆอย่างปลอบใจ

ไม่มีเสียงพูดคุย คณิตทำหน้าที่ขับรถพาลูกๆทั้งสองกลับบ้าน ความเงียบยังคงทำหน้าที่ได้อย่างน่าอึดอัด ไม่มีใครพูดคุยกัน บ้านที่ปกติก็เงียบสงบอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อขาดดอกไม้แสนสวยของบ้านอย่างลดาก็ยิ่งเงียบเหงามากขึ้นกว่าเดิม
 
            “เซ็ทเอาอัฐิแม่ไปวางแล้วมาคุยกับลุงหน่อย”คณิตเอ่ยบอกกับลูกเลี้ยงเมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้ว คณินรีบก้าวมายืนเคียงข้างกับเศรษฐพงศ์อย่างปกป้องทันที
 
            “คุยอะไร? ป๊าจะคุยอะไรกับมันผมขออยู่ฟังด้วย"คณินบอกเจตนารมณ์ของตนเองอย่างแน่วแน่  เขาจะไม่ปล่อยให้เศรษฐพงศ์ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องของเราเพียงลำพังอีกแล้ว
 
ตอนนี้เศรษฐพงศ์เปราะบางมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จิตใจของเศรษฐพงศ์ตอนนี้เปราะบางยิ่งกว่าฟองสบู่ เพียงแค่ลมพัดเบาๆก็อาจจะแตกได้ เขาไม่อยากให้คนรักต้องพบเจอกับคำพูดที่กระจิตใจอีกแล้ว

เศรษฐพงศ์ร้องไห้มามากพอแล้ว  ยิ่งเห็นน้ำตาที่ไหลหลั่งเมื่อคืนเขาก็รู้สึกผิดเหลือเกิน  ผิดที่ยอมรับปากลดาไม่ปริปากบอกเรื่องอาการเจ็บป่วยจนเศรษฐพงศ์กลับมาดูใจไม่ทัน

แค่นี้ก็ชดเชยให้กับดวงใจที่ร้าวรานของเศรษฐพงศ์ไม่ไหวแล้ว ถ้าพ่อของเขาเอ่ยปากไล่หรือขอให้หยุดความสัมพันธ์กับเขาอีกเศรษฐพงศ์คงไม่สามารถยืนขึ้นมาได้ด้วยลำแข้งของตัวเองอีก
 
            “ป๊าจะคุยกับเซ็ทไม่ใช่กับคิน”คณิตตอบกลับลูกชายด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทหากแต่คณินก็จ้องตาผู้เป็นพ่อกลับอย่างไม่ลดละ
 
            “ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมกับไอ้เซ็ทผมก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ด้วย”คณินยืนยันคำพูดของตนอย่างหนักแน่นไม่พอยังฉวยมือของเศรษฐพงศ์มากุมไว้แน่น
 
ไม่ปล่อย...เขาจะไม่มีวันปล่อยมือให้เศรษฐพงศ์ต้องไปพบเจอกับเรื่องราวต่างๆตามลำพังอีกแล้ว
 
ในที่สุดคณิตก็ยอมแพ้ ชายสูงวัยเดินนำลูกทั้งสองขึ้นไปยังห้องทำงาน
 
คณินรับรู้ได้ว่าเศรษฐพงศ์กำลังสั่น ฝ่ามือที่กุมไว้เย็นราวกับเลือดได้แห้งเหือดออกไปจากตัวจนหมดสิ้น ทุกก้าวที่ย่างเดินอย่างเชื่องช้านั้นราวกับว่ากำลังเดินขึ้นตะแลงแกงเพื่อรอการพิพากษาประหารชีวิต
 
เศรษฐพงศ์ที่เคยแสดงแต่ด้านที่เข้มแข็งในยามนี้ช่างน่าสงสาร เหมือนลูกนกที่พลัดตกร่วงจากรังยามพายุรุนแรงโหมพัด
 
น่าเวทนานักที่ลูกนกตัวนี้ขาดทั้งพ่อและไร้ทั้งแม่ที่จะคอยประคับประคองโอบอุ้ม
 
            “ไม่ต้องกลัว กูจะอยู่ข้างมึงเอง”
 
            เศรษฐพงศ์::
 
ผมมองหน้าไอ้คินที่เอ่ยกับผมเบาๆแต่ทว่าคำพูดของมันกลับทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ
 
ความอุ่นจากอุ้งมือของมันแล่นวาบเข้าสู่หัวใจจนอุ่นไปทั้งร่าง สายตาของมันที่มองตรงมาที่ผมไม่ลอกแลกและมั่นคงผมส่งยิ้มให้มันก่อนจะสูดหายใจจนเต็มปอดอย่างที่ไม่ได้ทำมาตลอดอาทิตย์
 
เราสองคนก้าวเข้าไปในห้องทำงานของลุงคณิตด้วยย่างก้าวที่มั่นคงขึ้นจากเดิม
 
            “นั่งก่อนสิ”ลุงพยักหน้าให้เราสองคนนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน เราสองคนนั่งลงและปล่อยให้ความเงียบมีอิทธิพลเหนือเราอีกครั้ง
 
การเผชิญหน้ากันเพื่อพูดอะไรซักอย่างที่เดาว่าคงไม่พ้นเรื่องการใช้ชีวิตหลังจากไม่มีแม่อยู่แล้วรวมทั้งการใช้ชีวิตที่ผมอาจจะถูกผลักให้ห่างกับไอ้คินช่างน่าอึดอัด
 
ผมรู้สึกเครียดจนอยากจะอ้วกออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป ท้องของผมเริ่มรู้สึกปวดมวนอย่างห้ามไม่อยู่ซึ่งเป็นเรื่องปกติเวลาที่ผมเครียดมากๆ
 
            “เซ็ทเรียนจบแล้วหลังจากนี้อยากทำอะไร?”ลุงเอ่ยถามผมหลังจากหันไปหยิบอะไรบางอย่างออกมา
 
ผมไม่รู้
 
ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ต้องทำอะไร
 
ผมไม่รู้อนาคตของตัวเองเลย
 
ในหัวของผมมันว่างเปล่าไปหมด
 
ในหัวผมคิดสะระตะไปหมด  หลังจากนี้ผมต้องกลับมหาลัยก่อนไปจัดการเรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องจบเรื่องหอ แล้วก็คงต้องเริ่มหางานทำจากนั้นก็คงต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้
 
ดูเหมือนผมมีเรื่องต้องทำเต็มไปหมดจนไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน
 
            “คงต้องย้ายออกไปเช่าหออยู่ก่อนครับ”ผมตอบไปตามตรง ยังไงเสียตอนนี้ผมก็ไม่เกี่ยวข้องกับลุงแล้วเพราะแม่ของผมตายแล้วความสัมพันธ์ต่างๆก็จบลง ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับลุงแบบไอ้คินก็ต้องไป
 
            “กูไม่ให้มึงไป”ไอ้คินรีบหันมาตวาดใส่ผมทันที มือของมันเกาะแขนผมไว้ราวกับกลัวว่าผมจะออกไปจากตรงนี้ ณ ตอนนี้
 
            “ถ้าป๊าจะไล่มันออกไปอยู่ที่อื่นผมก็จะออกไปเหมือนกัน”ผมตกใจที่ไอ้คินหันไปพูดกับพ่อของมันแบบนั้น
 
อย่าทำอะไรแบบนี้เพื่อผมเลย ผมเห็นถึงสายตาเจ็บปวดที่ลุงมองมัน  ผมไม่โกรธลุงเลยซักนิดที่พยายามจะแยกเราออกจากกัน  คนเป็นพ่อแม่ไม่มีใครหวังร้ายกับลูก ลุงแค่รักไอ้คินจนไม่อยากให้มันเจอกับเรื่องมัวหมอง
 
เท่าที่ผ่านมาก็ถือว่าลุงเมตตาและเอ็นดูผมมากเกินพอแล้ว
 
            “ป๊าพูดเหรอว่าจะให้เซ็ทย้ายออกไป”ผมกับไอ้คินชะงักกับคำพูดเรียบๆของลุง สายตาของลุงที่มองมาที่ผมยังคงเหมือนเมื่อวันวาน
 
ยังคงอบอุ่นและใจดีเพียงแต่ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาอาจจะทำให้สายตานี้หายไปบ้างแต่วันนี้ผมมั่นใจว่าลุงยังคงเอ็นดูผมอยู่
 
            “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ เรียนจบแล้วจัดการอะไรเรียบร้อยแล้วถ้าอยากจะเปิดเนิร์สทำต้นไม้ลุงจะช่วย”
 
            “แต่ผมไม่ใช่ลูกหลานของลุงนะครับ คนอื่นจะมองว่ายังไง”
 
            “แต่สำหรับลุงเซ็ทคือลูกอีกคนของลุง เป็นคนในครอบครัวของลุง”ผมกัดฟันกลั้นน้ำตาเมื่อได้ยินคำพูดของลุง
 
เป็นเกียริตมากแค่ไหนนะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของคนดีๆแบบลุงคณิต
 
แต่นั่นแหละ
 
ครอบครัวนี้ไม่ได้มีแค่ลุง ยังมีบรรดาอากงอาม่าและญาติผู้ใหญ่อีกหลายคนที่ไม่ได้ยอมรับผม
 
ผมเรียนรู้แล้วว่าการจะเข้าไปเป็นสมาชิกในครอบครัวใครซักคนมันต้องผ่านการยอมรับจากสมาชิกในครอบครัวของเขา
 
ผมสอบผ่านลุงกับไอ้คินแต่ผมสอบตกหลุดลุ่ยกับญาติผู้ใหญ่ของไอ้คิน แล้วผมจะมีหน้าซุกหัวนอนในบ้านหลังนี้อีกได้ยังไง
 
ผมไม่มีข้ออ้างในการอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว
 
            “ผมขอบคุณลุงมากนะครับที่เมตตาผม ถ้าลุงยังห่วงว่าผมจะออกไปอยู่ด้วยตัวเองได้ยังไงเรื่องนั้นลุงไม่ต้องห่วงผมเลยนะครับ  ผมโตแล้วรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้แล้วครับ ที่ผ่านมาผมขอบคุณลุงมากๆที่เอ็นดูผมมาตลอดผมขอเวลาอีกหน่อยจัดการเรื่องร้อยวันแม่เสร็จผมจะไปเอง”
 
 ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นอยู่ด้วยกันนี่แหละ”
 
            “แต่ผมไม่รู้จะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรในเมื่อแม่ของผมก็ตายไปแล้ว”
 
             ในฐานะแฟนของคินก็ได้”


...................................



หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: thanatcha ที่ 17-02-2019 04:27:31
ตอนอวสาน




            คณิน::
 
ผมนั่งมองบรรยากาศบนโต๊ะอาหารด้วยหัวใจที่พองฟู  ป๊าและญาติๆคนอื่นนั่งล้อมวงบรรดาน้องๆลูกอาอี๊อากู๋นั่งกันอีกโต๊ะหนึ่งส่งเสียงเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวจนอี๊ต้องเอ็ดให้เบาเสียงหน่อย โชคดีที่เราจองห้องวีไอพีไว้จึงไม่รบกวนลูกค้าคนอื่นที่มาใช้บริการ ผมนั่งข้างอาม่าข้างพ่อคั่นกลางด้วยไอ้เซ็ทที่ได้แต่ค้อมหัวทุกครั้งที่อาม่าทั้งสองบ้างต่างพากันตักอาหารใส่จานให้มัน
 
บรรยากาศที่ผมกับมันไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้  ตำแหน่งหลานรักของผมสั่นคลอนหลังจากพวกเราปรับความเข้าใจกัน ไอ้เซ็ทค่อยๆเปลี่ยนใจคนแก่ทั้งสองบ้านอย่างช้าๆด้วยความดีและความเอาใจใส่ของมัน
 
หลังจากคืนนั้นที่พ่อบอกให้ไอ้เซ็ทอยู่บ้านเราต่อด้วยฐานะแฟนของผมทำให้เรารู้ว่าการฟันฝ่าอุปสรรคของเราทั้งสองคนได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านแล้วเพราะการที่พ่อเอ่ยปากพูดแบบนั้นแปลว่าอาม่าทั้งสองบ้านของผมเองก็ยินยอมแล้วเช่นกัน  ผมกับไอ้เซ็ทมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ไอ้เซ็ทจะลุกขึ้นแล้วเดินไปคุกเข้าตรงหน้าพ่อของผมแล้วกราบลงบนเท้าของป๊าน้ำตาของมันไหลอาบแก้มด้วยความซึ้งและตื้นตันใจ ซึ่งผมเองก็ทำแบบเดียวกับมัน  ความรู้สึกของเราเหมือนยกภูเขาที่แบกไว้นานหลายเดือนแล้วโยนทิ้งไปมันทั้งโล่งทั้งยินดี การนัดเจอกันครั้งแรกระหว่างผมกับไอ้เซ็ทและอาม่าทั้งสองบ้านในครั้งแรกดูกระอักกระอ่วนอยู่พอสมควร อาม่าทั้งสองคนของผมยังคงทำหน้าปั้นยากยามเห็นเรานั่งจับมือกัน
 
            “ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกัน จะคบกันก็ดูแลกันดีๆอาม่าไม่ห้ามแล้ว”นั่นแหละเป็นประโยคที่ปลดล็อกทุกอย่างที่กัดกินใจของพวกเรามานานหลายเดือน เราปรับความเข้าใจกันโดยที่อาม่าบอกว่าจริงๆคิดไว้ว่าแบบผมไม่เกินครึ่งเดือนก็จะกลับมาหาอาม่าแล้วแต่เดือนหนึ่งผ่านไปผมยังอยู่ได้อย่างสบายจนรู้จักทำงานบ้านเอง หาเงินใช้เองนั่นเป็นเพราะไอ้เซ็ทดูแลผม เปลี่ยนแปลงผมไปในทางที่ดีขึ้น ทุกการกระทำของพวกเราอยู่ในสายตาของพวกเขาตลอด ความดีที่ไอ้เซ็ททำค่อยๆละลายทิฐิต่างๆให้สลายลง อาม่าและป๊ายอมรับไอ้เซ็ทได้ในที่สุด
 
หลังจากที่เราสองคนกลับไปจัดการเรื่องในมหาลัยจนเสร็จในทื่สุดเราก็ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ผมกับไอ้เซ็ทยังคงแยกห้องนอนกันเพราะเกรงใจป๊า จริงอยู่ที่ว่าป๊ายอมรับเราสองคนที่จะคบหากันแบบแฟนแต่ใช่ว่าเขาจะรับได้ทุกอย่างเราจึงค่อยเป็นค่อยไปตามที่อาม่าบอก ไอ้เซ็ททำหน้าที่ทุกอย่างเหมือนตอนน้าลดายังมีชีวิตอยู่ไม่ผิดเพี้ยน ดูแลเรื่องอาหารการกินเรื่องภายในบ้านไม่มีขาดตกบกพร่อง รวมทั้งเป็นคนพาอาม่าอากงไปหาหมอตามนัดทุกครั้งพอเสร็จแล้วจึงขับอีแดงไปที่อพาร์ทเม้นท์ของผมอยู่ทำงานคอยดูแลความเรียบร้อยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าไอ้แซ็ทจัดสวนด้านหน้าอย่างสวยงามสมกับที่เรียนมา ส่วนผมเข้าไปช่วยป๊าทำงานที่ร้านอย่างเต็มตัว เราสองคนค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ เรียนรู้ซึ่งกันและกันในทุกๆวัน คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เติมเต็มส่วนที่ขาดให้แก่กัน ผมสามารถบอกใครต่อใครได้อย่างเต็มปากว่าชีวิตนี้ผมจะไม่มีใครอีกแล้วเพราะผมมีแค่ไอ้เซ็ทคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
 
            “ลุงครับพรุ่งนี้ต้องไปตรวจสุขภาพนะครับ”ไอ้เซ็ทบอกกับพ่อของผมในตอนเช้าหลังจากวางกับข้าวลงบนโต๊ะเป็นจานสุดท้าย พ่อของผมทำหน้ายุ่งราวกับเด็กที่กินยาขมเข้าไป
 
            “ไม่ต้องตรวจก็ได้”ป๊าก็เหมือนคนแก่ที่เริ่มงอแงไม่ยอมไปตรวจสุขภาพแต่ไอ้เซ็ทส่ายหน้าทำเสียงแข็ง
 
            ไต้องไปครับ แค่ตรวจสุขภาพเองจะได้รู้ว่าป่วยมั้ยไม่ป่วยก็ดีไปถ้าป่วยจะได้รีบรักษา”ไอ้เซ็ทตักข้าววางให้พวกเราพร้อมกับบอกเหตุผลที่ทำให้ป๊าผมยอมจำนน
 
            “ผมไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว”
 
 
1 ปีต่อมา
 
            “ไอ้ยิมมึงตามไอ้วีกับไอ้จีนมาดิ๊ ไปเสนอหน้าอะไรกับคณะบริหาร สาระแนนัก”เศรษฐพงศ์บ่นอุบเมื่อเพื่อนสองคนไปถ่ายรูปกับสาวๆคณะบริหารคนแล้วคนเล่ากว่าจะรวมก๊วนกันได้ก็ใช้เวลาพอสมควร ทั้งหมดรวมหมู่ถ่ายรูปคู่กับปริญญาบัตรที่เพิ่งได้รับมาสดๆร้อนๆ บรรดาบัณฑิตใหม่เดินกันให้วุ่น บรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ญาติพี่น้องแสดงสีหน้าแห่งความสุขฉายชัดเต็มดวงหน้า หลังจากถ่ายรูปหมู่แล้วก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูปกับพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง เศรษฐพงศ์เดินกลับมาตรงจุดที่คณิตและคณินรวมทั้งอาม่าทั้งสองบ้านที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงเชียงใหม่
 
            “อาเซ็กมานี่อาม่ามีของจาห้าย”อาม่ากิมเลี้ยงกวักมือเรียกบัณฑิตป้ายแดงที่เพิ่งเดินกลับมาถึงใต้ร่มไม้ที่อาม่าและคณิตนั่งอยู่ เซ็ทย่อตัวลงตามมืออามาที่บอก
 
เจ้าตัวอดนึกในใจไม่ได้ว่าตัวเองคล้ายจะเหมือนหมาเข้าไปทุกวันเพราะสามารถเรียนรู้ภาษากายของอาม่าทั้งสองได้
 
ถุงผ้าสีแดงติดโลโก้สีทองของห้างหองใหญ่ในตัวเมืองเด่นหราอาม่ากิมเลี้ยงสวมสร้อยทองเส้นใหญ่ให้กับเศรษฐพงศ์ เด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
 
เขาเห็นคณินก็มีทองเส้นเท่านิ้วก้อยแบบนี้หลายเส้นจากตอนที่ชายหนุ่มได้สมบัติส่วนตัวคืนมา แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้ด้วยเหมือนกัน
 
            “อาม่าให้”
 
            “แต่อาม่าครับมันมากเกินไปผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ”เศรษฐพงศ์ทำท่าจะถอดคืนหากแต่อาม่ากลับยึดมือของเด้กหนุ่มไว้
 
            “ผู้ใหญ่ให้ของปฏิเสธ เสียน้ำใจ อาม่าจะเสียใจ เก็บไว้ทำทุนถ้าวันใดวันหนึ่งจำเป็นต้องใช้ก็เอาไปขายได้เลยอาม่าไม่ว่า ถือว่าเป็นของขวัญที่เรียนจบมาช่วยงานอาคินกับคณิต อีกอย่างอาม่าอยากรับขวัญหลานสะใภ้”
 
            “อาม่าครับ พูดอะไรน่ะ”เศรษฐพงศ์ทำตาโตก่อนจะหันมองไปรอบๆ แก้มขึ้นสีแดงเรื้ออย่างน่าดู เด็กหนุ่มเกาหัวแก้เขินหากแต่มุมปากกลับยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
 
สะเพิ้งสะใภ้อะไรล่ะ
 
เป็นผู้ชายต้องเรียกหลานเขยสิ
 
            “ดูๆ แก้มแดงเหมือนตูดลิง เขินเหรอ คบกันมาขนาดนี้ลื้อยังจะเขินอารายอีกอาเซ็ก”เศรษฐพงศ์หลุดขำกับคำพูดคำจาของอาม่าหงส์ เพราะอาม่าทั้งสองออกเสียงภาษาไทยไม่ชัดนักดังนั้นชื่อของเศรษฐพงศ์จากเซ็ทก็กลายเป็นอาเซ็ก แรกๆก็ไม่คุ้นหูแถมเวลาถูกเรียกข้างนอกก็จะรู้สึกอายนิดๆแต่ตอนนี้เขาชินเสียแล้ว

ชื่อเซ็กก็น่ารักดี
 
            “มานี่มา มาหาอาม่า”หลังจากรับทองจากแอนตาซินกิมเลี้ยงแล้วอาม่าหงส์ก็เรียกให้เศรษฐพงศ์ขยับไปหา มือเหี่ยวย่นของหญิงชราล้วงเข้าไปในถุงใบใหญ่ที่อี๊หยกถืออยู่ พวงมาลัยแบงค์พันยาวเหยียดถูกดึงขึ้นมาก่อนจะสวมลงบนคอของเศรษฐพงศ์จนเกิดเสียงโห่ร้องฮือฮาจากเพื่อนร่วมคณะ
 
            “โห อาม่าครับ อีกนิดเพื่อนๆจะเรียกผมว่าสายันณ์แล้วนะครับ” เศรษฐพงศ์พูดกระเซ้าอาม่า เขากราบลงบนตักของอาม่าทั้งสองก่อนจะกวาดสายตามองหาคณินที่ยังไม่เห็นตัวเลยหลังจากแยกกันก่อนที่เขาจะเข้าหอประชุม
 
            “คินไปไหนครับลุง”
 
            “ไปเอาของที่รถน่ะเดี๋ยวก็คงมา”
 
 
เศรษฐพงศ์::
 
ผมนั่งรอไอ้คินอีกราวๆ 5 นาทีมันก็เดินฝ่าเปลวแดดมาพร้อมกับถุงใบใหญ่แบนๆ ในใจกะไว้ว่าถ้ามันซื้ออะไรสิ้นเปลืองมาให้ผมจะด่ามันทีหลังกับช่อกุหลาบแดงช่อใหญ่ขนาดที่มันต้องใช้แขนข้างหนึ่งกระเดียดมากับสะเอวของมันแต่พอมันเดินมาถึงแก้มของมันแดงปลั่งเพราะไอร้อน เหงื่อซึมที่ไรผมเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ต่อหน้าผู้ใหญ่ผมทำอะไรไม่ได้มากนอกจากยื่นผ้าเช็ดหน้าให้มันซับเหงื่อตัวเองแล้วจึงยื่นแก้วน้ำของตัวเองให้มันซึ่งไอ้คินก็ไม่ปฏิเสธรับไปดูดจนเกือบหมด มันหยิบมงกุฎดอกไม้มาสวมให้ผมก่อนจะยิ้มจนตาหยีอย่างชอบใจ ทั้งๆที่ผมไม่ชอบเลยซักนิด มันดูสาวน้อยมากๆ เขินสายตาคนรอบข้างด้วย จะเอาออกมันก็ยึดมือไว้สุดท้ายจึงต้องเลยตามเลยแล้วแก้เขินด้วยการตั้งคำถามใส่มัน
 
            “ไปไหนมาวะ”
 
            “ไปเอาของมาให้มึง”มันตอบเรียบๆก่อนจะยื่นถุงผ้าใบใหญ่มาให้ ผมรับมาอย่างแปลกใจปนไม่ไว้วางใจ
 
            “ของอะไรวะ”ผมหยิบของด้านในออกมาดู แบนๆแบบนี้คงจะเป็นกรอบรูปอาจจะไปจ้างใครมาวาดรูปล้อเลียนแต่เมื่อเปิดห่อออกมาพลันความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลก็แทบจะเอ่อล้นออกมาเป็นน้ำตา
 
ใบหน้าของผู้หญิงอันเป็นที่รักของผมเผยให้เห็น ผมช้อนตาขึ้นมองไอ้คิน  รู้สึกหายใจลำบากขึ้นนิดหน่อยเพราะเริ่มคัดจมูก
 
สงสัยผมจะเป็นหวัดแดดเสียแล้วสิ
 
            “กูคิดว่ามึงคงอยากถ่ายรูปกับแม่เลยเอามาด้วย”มันตอบผมในขณะที่สายตาของมันก็มองแค่ผมมันวางมือล
งบนผมของผมเบาๆราวกับผู้ใหญ่กำลังปลอบเด็กที่ขี้แย ผมส่งยิ้มให้มัน  เป็นรอยยิ้มที่แทนคำขอบคุณ
 
ไอ้คินรู้ใจของผมมากกว่าผมที่รู้ใจตัวเองเสียอีก ผมแค่เคยเปรยๆไว้ว่าผมเสียดายที่แม่ไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จอีกขั้นของผม เราไม่มีรูปรับปริญญาด้วยกันเลย
 
ไอ้คินดึงมือผมฉุดให้ลุกขึ้น
 
            “ไปถ่ายรูปที่หน้าคณะมึงกัน”ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ตอนนี้มันจะลากผมไปไหนก็ไปหมดแหละ จิตใจของผมตอนนี้เปราะบางมาก
 
เปราะบางจากความดีความเอาใจใส่ของมัน ไอ้คินหันไปบอกลุงกับอาม่าว่าจะพาผมไปถ่ายรูปกับแม่แป๊บหนึ่งเดี๋ยวกลับมา
 
ผมประคองกรอบรูปของแม่กับช่อกุหลาบแดงแสนสวยที่ไอ้คินมอบให้ไว้เสมออก  ขยับท่าทางตามคำสั่งของไอ้คิน แต่ดูเหมือนมันยังไม่พอใจ มันละตาจากเลนส์กล้องแล้วพูดกับผมเบาๆ
 
            “วางช่อดอกไม้ลงก่อนแล้วก็ทำหน้าให้มีความสุขหน่อยสินะ ทำเหมือนน้าลดายืนอยู่ข้างมึงยิ้มกับความสำเร็จของมึง มึงเป็นความภาคภูมิใจของแม่มึงนะ จะยิ้มเหมือนกลัวเหงือกแห้งแบบนี้ได้เหรอวะ”ผมฟังคำแนะนำจากมันก่อนจะก้มดูรูปแม่อีกครั้ง ผู้หญิงในกรอบยังคงยิ้มหวานพิมพ์ใจเฉกเช่นวันวานไม่เปลี่ยนแปลง
 
หากแม่ยังอยู่ วันนี้คงเป็นอีกวันที่แม่จะได้ยิ้มแฉ่งจนแก้มฟูแน่ๆ วันนี้แม่จะใส่ชุดสีอะไรนะ น่าจะเป็นสีชมพูอ่อนตามแบบที่แม่ชอบ แต่งหน้าเบาๆ แม่คงไปทำผมที่ร้านเพื่อจะได้มาถ่ายรูปคู่กับผมสวยๆเหมือนตอนกินเลี้ยงอำลาอาลัยสมัยเรียนจบมัธยมปลาย ผมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเงยหน้ามองกล้อง ใบหน้าของผมค่อยๆระบายรอยยิ้มจนในที่สุดไอ้คินก็ยิ้มตอบอย่างพึงพอใจ มันยกกล้องขึ้นมาอีกครั้งและคาดว่ามันคงถ่ายไปหลายรูป พอไอ้คินลดกล้องลงผมกะว่าจะเดินไปขอดูรูปแต่ไอ้คินกลับร้องเรียกคนที่ยืนอยู่แถวนั้นให้ช่วยถ่ายรูปให้เราสองคนหน่อยมันไม่ได้ให้กล้องโปรกับเขาแต่ควักเอามือถือของมันยื่นให้กับคนนั้นพูดคุยกันนิดหน่อยมันก็เดินตรงมาหาผม  รูปของแม่ถูกนำไปวางพิงไว้หินก้อนหนึ่งก่อนที่ไอ้คินจะหยิบช่อกุหลาบมาถือไว้ คนที่ไอ้คินวานให้ถ่ายรูปให้เริ่มจับภาพของเราสองคนตั้งแต่ตอนนั้น ท่าทางหลากหลายอริยาบทของไอ้คินทำให้ผมทั้งเขินทั้งโมโห มีอย่างที่ไหนอยู่ๆก็เลือกคุกเข่าแล้วยื่นช่อดอกไม้มาให้
 
ผมอยากจะด่ามันแต่ติดตรงที่กำลังทำหน้าไม่ถูก จะโกรธหรือจะเขินดี ผมคว้าช่อกุหลาบแล้วง้างขึ้นสูงทำท่าจะฟาดมันแต่สุดท้ายก็ทำไม่ลงทำได้เพียงดึงคอเสื้อของมันให้เจ้าตัวลุกขึ้นมาถ่ายรูปกับผมดีๆ เราถูกเก็บภาพชนิดที่เรียกว่าจับภาพทุกวินาทีจนพอใจไอ้คินจึงเดินไปรับโทรศัพท์เราเอ่ยขอบคุณเขาแล้วเดินกลับไปหาผู้ใหญ่ที่นั่งรอกันอยู่
 
            “เดี๋ยวเซ็ทไปบอกพวกไอ้ยิมก่อนนะครับว่าจะกลับแล้ว”ผมเดินตามหากลุ่มเพื่อนที่นั่งกันอยู่ไม่ไกลบอกร่ำลาและสวัสดีลาพ่อแม่ของพวกมันก่อนจะแยกกลับ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่วันซ้อมใหญ่ถูกพรั่งพรูเป็นลมหายใจหนักหน่วง
 
            “เหนื่อยล่ะสิมึง”
 
            “อือ กูรู้แล้ววันที่มึงรับปริญญาทำไมมึงงอแง แม่งเหนื่อยมาก”ผมบ่นกระปอดกระแปด ไอ้คินปรับแอร์ให้เย็นลงในขณะที่ผมถอดครุยพาดไว้ที่เบาะหลัง ปลดกระดุมที่คอออกสองเม็ดกระพือลมเพื่อคลายร้อน เราขับรถตามรถของลุงคณิตกับอาม่าทั้งสองบ้านออกมาด้านนอกเพื่อตรงไปยังร้านอาหารที่จองไว้ในช่วงเย็น ถนนหนทางยังคงคราคร่ำไปด้วยรถรามากมาย ผมมองวิวทิวทัศน์ที่ค่อยๆสลับผ่านด้วยดวงตาเลื่อนลอย
 
จบสิ้นลงแล้วชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอันมีค่าของผม
 
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าทำให้เราลืมสนใจกว่าจะรู้ตัวผมก็เรียนจบและรับปริญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
จบสิ้นแล้วสำหรับชีวิตวัยรุ่น ตอนนี้ผมก้าวเข้าสู่วัยทำงานโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว อยู่ๆผมก็รู้สึกหนาวขึ้นจับขั้วหัวใจ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ไวถึงเพียงนี้ ผมอาจจะไม่ใช่คนละเอียดรอบคอบนัก ผมกลัวว่าวันหนึ่งผมจะเผลอเรอทำอะไรพลาดไป วันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง โลกของผู้ใหญ่จะน่ากลัวมากมั้ยนะ ผมไม่รู้เลย ใจของผมสั่นขึ้นน้อยๆเมื่อคิดถึงว่าหากวันหนึ่งผมต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคที่ใหญ่หลวงมากกว่าที่เคยเจอผมจะผ่านมันไปได้มั้ย
 
ไอ้คินค่อยๆสอดปลายนิ้วมากุมมือของผมไว้ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากฝ่ามือแล่นเข้าสู่หัวใจจนรู้สึกถึงความรักที่มันมีให้ผมจนเอ่อล้น
 
เราไม่ได้พูดอะไรกัน มันไม่ได้พูดประโยคเลี่ยนๆแบบที่เคยเห็นในละคร
 
แต่เพียงแค่ฝ่ามือมันที่กุมเข้ามาบีบกระชับเบาๆในตอนที่หัวใจผมรู้สึกเหน็ดหนาว
 
ผมก็รู้แล้วว่าผมจะไม่มีทางเดินฝ่าหนทางมืดมิดนั้นเพียงลำพัง
 
ผมจะมีไอ้คินร่วมเดินเคียงข้างไปจนสุดทาง

มันจะไม่มีทางทิ้งผมให้เคว้งคว้างแน่นอน
 
ผมมั่นใจ...

จบบริบูรณ์
 








....................................................


ตัดสินใจลงจนจบเพราะรู้สึกว่าตัวเองป่วยและอาจจะต้องแอดมิท เวลาโรคกำเริบทีหนึ่งแอดมิททีหนึ่งจะค่อนข้างนานเป็นอาทิตย์เลยลงจนจบเลยดีกว่าคนอ่านจะได้ไม่ต้องรอ

สำหรับผู้อ่านท่านใดที่เม้นท์ให้ตลอดเราขอขอบคุณมากๆนะคะ เราอ่านทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ

สำหรับคนที่แวะเข้ามาอ่านเราก็ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจกับนิยายจากมือใหม่อย่างเรานะคะ

หวังว่าซักวันหนึ่งจะเม้นท์ให้เราบ้างซักเรื่องหนึ่งในวันที่ฝีมือเราถึง

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาทำความรู้จักกับพี่คินน้องเซ็ทนะคะ

สวัสดีค่ะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 17-02-2019 06:52:17
จบได้ซึ้งปนเศร้า
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 17-02-2019 11:15:08
จบแบบเราน้ำตาแตก....ขอบคุณนะครับ สำหรับนิยายดีๆๆๆ ขอให้หายป่วยไวๆๆๆๆครับ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 17-02-2019 11:54:58
หมั่นความข้าวใหม่ปลามันมากๆ :hao6:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 17-02-2019 12:34:28
เรื่องผ่านมาเยอะจริงๆแต่ก็ผ่านมาได้  :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 17-02-2019 21:38:53
จบได้ดีและสมบูรณ์มาก
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 17-02-2019 22:13:46
ไม่ได้แวะมา 2 วันจบแล้ว บอกเลยน้ำตาแตกค๊า...
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะสนุกมากรอติดตามเรื่องใหม่มีแล้วกระชิบบอกด้วยรอจ้้า :L2: :pig4: :pig4:
ขอให้คนแต่งหายไวๆเป็นกำลังให้ :กอด1:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: satiara ที่ 19-02-2019 12:03:56
อ่านจบทีเดียวยาวๆตอนหกโมง
เป็นเรื่องราวดีๆที่ช่วยให้มีความสุขค่ะ
ขอบคุณที่พาเด็กๆมาให้รู้จักนะคะ
แล้วก็สู้ๆกับทุกเรื่องนะ อาการป่วยก็ขอให้ดีขึ้นไวๆ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ (=
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: rodoubles ที่ 19-02-2019 14:53:04
มีอะไรมากมายที่อยากพิมพ์ออกมา แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยค่ะ เราเป็นคนที่อ่านนิยายยากมากๆ มีหลายเรื่องที่พล็อตน่าสนใจแต่ภาษาไม่สวยเราก็อ่านได้แค่ตอนเริ่มต้น มีหลายเรื่องที่ภาษาสวยมากแต่บรรยายเวิ่นเว้อน้ำเยอะแต่เนื้อน้อย เราก็อ่านได้แค่ครึ่งทาง และก็มีหลายเรื่องอีกเช่นกันที่ตัวละครเป็นแมรี่ซูที่ดูเก่งไปหมดทุกอย่างเกินมนุษย์​มนาคนธรรมดาจนดูเว่อร์ แต่ทุกอย่างกลับไม่มีในเรื่องนี้เลยค่ะ สารภาพว่าเป็นเรื่องแรกเลยที่ดีต่อใจมากแต่เรากลับอ่านไปหยุดไป ไม่เหมือนเรื่องอื่นที่เราชอบแล้วอ่านแบบวันช็อต อ่านทีเดียวจบในหนึ่งวัน เพราะเป็นเรื่องที่เราอ่านแล้วค่อยๆ ซึมซับกับความรู้สึกนึกคิดของตัวละครแต่ละตัวไปช้าๆ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเหมือนเราดูหนังที่มีหลายๆ ภาคอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ อ่านจบหนึ่งตอนเหมือนเราโตขึ้นพร้อมกับตัวละครไปด้วย เป็นความรู้สึกแปลกใหม่มากเลยค่ะ เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับฟิคเรื่องไหนมาก่อนเลย แล้วที่เราชอบมากคือความเป็นปุถุชน​คนธรรมดาของตัวละครทุกตัว พี่คินรวยก็คือรวยจากการที่บ้านมีธุรกิจแบบปกติธรรมดาไม่ใช่รวยเว่อวังอลังการเป็นเจ้าของบริษัทอะไรเหมือนคนอื่น รถที่ขับก็คือบีเอ็มซึ่งหาได้น้อยมากจากนิยายเรื่องอื่นที่ต้องขับสปอร์ต​คันหรูงี้ แถมไม่ได้ใช้ความรวยของตัวเองไปข่มไปกดใคร รวยแบบรู้กันในบรรดาคนสนิท คือเรารักตรงนี้มาก เพราะในชีวิตจริงคนที่รวยจริงๆ เขาไม่ค่อยมาอวดกันว่ารวย แล้วความรู้สึกนึกคิดของตัวละครทั้งด้านดีและไม่ดี มีเหตุผลมารองรับทั้งหมด ไม่มีการกระทำไหนที่้เกิดขึ้นโดนไม่มีเหตุผล เป็นเรื่องแรกอีกเช่นกันที่เราอ่านแล้วไม่อุทานว่า "เอ๊ะ!? อิหยังวะ" งี้ ทุกอย่างมันกลมกล่อมลงตัวไปหมดจนไม่รู้จะอวยยังไงให้สาแก่ใจของอิช่อยคนนี้ มีครบทุกอารมณ์จริงๆ จนอยากกราบคนแต่ง ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณที่สร้างนิยายดีๆ แบบนี้ขึ้นมา การได้อ่านนิยายดีๆ สักเรื่องนึงเหมือนต่อชีวิตของเราไปได้อีกหลายปีเลย อุแง.. จะรอติดตามเรื่องต่อๆ ไปนะคะ ขอแค่คนแต่งไม่ต้องกดดัน เพราะเราก็จะไม่คาดหวังเช่นกัน เราจะทำแค่รอนิยายของคุณ เราเชื่อว่าคุณจะทำมันออกมาได้ดีและเป็นที่รู้จักมากขึ้น นิยายาของคุณจะเป็นที่รักเหมือนอย่างที่เรารักแน่นอนค่ะ นิยายดีขนาดนี้ ฮือออ รักนะคะะะะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-02-2019 22:41:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: pkjoe ที่ 21-02-2019 00:38:53
ขอบคุณมากนะครับสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 21-02-2019 12:52:29
ไม่อยากให้จบเลย อยากอ่านต่อไปอีกนานๆ ชอบคู่นี้มาก ขอบคุณนะไรท์ที่เขียนเรื่องนี้มาให้รู้สึกดี รักษาตัวดีๆนะไรท์ อยากให้แข็งแรงๆ มาเขียนงานดีๆให้เราได้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 23-02-2019 21:37:21
น้ำตาไหลพรากเลย ขอบคุณที่แต่งคินและเซ็ท ครบทุกรสชาด แต่ช่วงท้ายเราร้องไห้หนักมาก
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 10-03-2019 04:20:52
เป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยค่ะ ฮือออออออออออออ อ่านีวดเดียว น้ำตาไหลเป็นลิตเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 12-03-2019 23:35:53
นิยายเรื่องนี้บรรยายได้ดีจริงๆค่ะ ขอบคุณนะค่ะ อยากให้มีตอนพิเศษเพิ่มค่ะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: CRMMIIMII ที่ 13-03-2019 00:38:05
อ่านรวดเดียวเลย ตอนใกล้จบร้องไห้หนักมาก พรุ่งนี้ตาบวมแน่ๆ5555
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 13-03-2019 11:53:07
น้ำตานองฉากสุดท้าย
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 14-03-2019 00:15:05
เรื่องนี้ครบทุกอารมณ์จริงๆ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: noveeo ที่ 04-04-2019 00:09:42
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆ ภาษาสวยๆ ให้คนอ่านเรื่องมากอย่างเราได้ สุข เศร้า เคล้าไปกับอารมณ์ของทุกตัวละคร

นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จะอยู่ในความทรงจำของเรา

ขอบคุณคนเขียนมากมายจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: BOY IN LUV รักวุ่นวายสไตล์คนแมน[[คิน-เซ็ท]] yaoi// boy love ตอนที่ 47-58((จนจบ))
เริ่มหัวข้อโดย: amp_narak_1510 ที่ 28-10-2020 02:04:30
ขอบคุณสำหรับนิยายที่บรรยายดีๆ และสนุกๆมาเลยนะคะ ประืลทับใจมากๆเลยค่ะที่ได้มาอ่าน