พิมพ์หน้านี้ - : เรื่องสั้น : Evil Twin
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: batothem ที่ 26-10-2018 20:36:43
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
มันมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่คนเราจะสามารถปรากฏตัวในสองสถานที่พร้อมกันได้
โดยที่คน ๆ นั้นยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดา
พายไม่ค่อยอยากจะเชื่อในแนวคิดนี้เท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นได้เลยสักนิด เล่าให้ใครฟังเขาก็คงจะคิดว่าพายเป็นบ้า หรือไม่ก็อินกับภาพยนตร์มากจนเกินไป
แต่เชื่อเถอะว่าถ้าใครได้เจออย่างที่พายเจอ ร้อยทั้งร้อยคงต้องสงสัยขึ้นมาบ้างล่ะ
เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นตอนไหน แต่ตอนที่มั่นใจว่าเรื่องราวเหล่าไม่ปกติก็เห็นจะเป็นเหตุการณ์เมื่อตอนพักเที่ยงของวันนี้
เขากำลังนั่งเล่นอยู่กับไวน์ในช่วงพักเที่ยงที่ห้องเรียน จู่ ๆ ไอซ์ หัวโจกประจำสายชั้นมอห้าที่ชอบกลั่นแกล้งพายก็เดินเข้ามาขอโทษเขา
“ขอโทษ? เรื่องอะไร”
พายขมวดคิ้ว เขาหันไปสบตากับไวน์ที่ยืนกุมมือเขาอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ไอซ์น่ะชอบแกล้งคนอื่นไปทั่ว ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ทำมาหมด แต่ไม่เคยขอโทษใครเลยสักครั้งเพราะถือว่าตัวเองเป็นลูกผู้อำนวยการโรงเรียน แต่วันนี้กลับเดินเข้ามาขอโทษเขา แถมยังทำท่าทีหวาดกลัวแปลก ๆ อีก
ไม่ใช่เรื่องปกติเลยสักนิด
“ขอโทษเรื่องที่ฉีกสมุดการบ้านนายเมื่อวาน เดี๋ยวฉันเขียนการบ้านมาคืนให้ใหม่”
ไอซ์อึกอัก พายเห็นเจ้าตัวกำมือแน่นสลับคลายก่อนจะหันไปมองไวน์ด้วยสายตาที่หวาดกลัว แล้วเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาต้องงุนงงอีกครั้ง
“ฉันขอโทษแล้วนะ ทีนี้ก็...อย่ามาหาเรื่องฉันอีก หยุดเอาเรื่องนั้นมาขู่ฉันด้วย”
“นายพูดอะไรของนายน่ะ” คราวนี้เป็นไวน์บ้างที่ขมวดคิ้ว “ใครไปขู่อะไรนาย”
“ก็นายไง เมื่อคืนนายมาดักรอฉันตอนกลางคืนแล้วก็มาขู่ฉัน นี่อย่ามาทำใสซื่อนะ ฉันมาขอโทษแล้วนายก็ต้องรักษาความลับเรื่องนั้นด้วย”
“พูดบ้าอะไรของนาย เมื่อคืนฉันอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหนสักหน่อย”
“เฮอะ อย่ามาแกล้งเซ่อไปหน่อยเลย” ไอซ์เริ่มจะหัวเสีย “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ ฉันจะเขียนสมุดมาให้ใหม่ ส่วนพวกนายก็ต้องรักษาความลับของฉันด้วย ไปละ”
พายมองแผ่นหลังของไอซ์ที่เดินจากไปด้วยสายตาครุ่นคิด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ไวน์จะไปดักเจอไอซ์ระหว่างทาง เพราะเมื่อคืนเราไปกินข้าวด้วยกันแล้วก็ดูหนังรอบดึก กว่าไวน์จะไปส่งเขาที่บ้านก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ระหว่างทางที่ไวน์กลับบ้านเขาก็คอลด้วยตลอดจนกระทั่งอีกฝ่ายเข้านอน มันไม่มีทางไหนเลยที่เรื่องที่ไอซ์พูดจะเป็นความจริง
แต่นั่นก็คือไอซ์นะ ไอซ์ที่ไม่เคยยอมก้มหัวยอมแพ้ใครมาก่อน วันนี้ถึงกับมาขอโทษเพื่อแลกกับรักษาความลับให้แบบนี้...
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
“อีกแล้วเหรอ…”
พายหันไปมองหน้าไวน์ที่พึมพำออกมาพลางลูบมืออีกฝ่ายเบา ๆ
“มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะไวน์”
“มันบ่อยเกินไปแล้วที่มีคนเห็นฉันไปนู่นมานี่ ไปทำอะไรต่าง ๆ ทั้ง ที่ฉันไม่ได้ทำเลยน่ะ” ไวน์หันมาสบตาเขา สายตาปกปิดความกังวลไว้ไม่มิด “ฉันไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
พายยิ้ม ลูบแก้มอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา กดนิ้วชี้ลงไปข้างแก้มของแฟนหนุ่มจนมันเป็นรอยบุ๋ม
“นายอาจจะหน้าโหลก็ได้นะ หมอนั่นอาจจะคิดไปเอง”
“ถามจริง หล่ออย่างนี้อ่ะนะจะหน้าโหลอ่ะ” ไวน์จับนิ้วพายมาจุ๊บ “นายว่าแฟนนายหน้าโหลเหรอ หื้ม”
“เอ้า จริง ๆ คนเราจะไปอยู่สองที่พร้อมกันได้ยังไงล่ะ เนอะ”
ถึงจะตอบออกไปแบบนั้น แต่ความกังวลลึก ๆ ในใจของพายก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปสักนิด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ทั้งเขาทั้งไวน์ก็ไม่มีใครหาคำตอบได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
โลกใบนี้น่ะ เต็มไปด้วยความลึกลับมากเกินไปแล้ว
“สวัสดี พาย”
แต่แล้วเสียงเรียกของใครบางคนทำให้พายหลุดออกจากภวังค์ พายหยุดคิดเรื่องราวเหล่านั้น วางแปรงลบกระดานในมือแล้วหมุนตัวไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องเรียน
เอเคอร์ สมาชิกหัวโจกประจำโรงเรียนกลุ่มเดียวกับไอซ์นั่นเองที่เป็นคนเรียกเขาไว้
พายลอบถอนหายใจ ตอนนี้ในห้องเรียนไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้ว นึกโทษตัวเองเบา ๆ ที่ไม่ยอมรีบทำเวรให้เสร็จแล้วกลับบ้านจะได้ไม่ต้องมาเจอคนแบบนี้ แถมตอนนี้ไวน์ก็เอาขยะไปทิ้งยังไม่กลับมาเลย ไม่มีใครช่วยเขาได้เลยสักนิด
“มีอะไร”
“ทำการบ้านวิชาศิลปะที่ต้องส่งพรุ่งนี้ให้หน่อยสิ คืนนี้ฉันไม่ว่างทำ”
“ฉันทำไม่ทันหรอก ฉันก็ต้องทำของตัวเองเหมือนกันนะ”
แววตาของเอเคอร์เปลี่ยนทันทีที่ได้คำตอบไม่ตรงใจ อีกฝ่ายเดินเข้ามาประชิดตัวเขาจนพายต้องถอยหลังหนีแต่ก็ไม่พ้นเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาคว้าต้นแขนเขาไว้พลางออกแรงบีบอย่างแรงจนเขานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“กูไม่ได้มาขอร้อง นี่-คือ-คำ-สั่ง”
ให้ตายเถอะ จะหนีไม่พ้นพวกอันธพาลเลยใช่มั้ยเนี่ย
“ฉันทำไม่ได้จริง ๆ” พายพยายามสะบัดแขนให้หลุดแต่ก็ไร้ผล “ครูเอจำวิธีวาดรูปของฉันได้ อีกอย่างคราวก่อนที่ฉันทำให้นายครูเอก็จับได้นี่นา ถ้าคราวนี้ฉันทำให้นายอีกครูบอกว่าจะให้ 0 ฉันแล้ว”
“แล้วไง มันไม่ใช่เรื่องของกู” เอเคอร์เดาะลิ้น “กูสั่งให้ทำ มึงก็ต้องทำ มึงต้องชดใช้ที่น้องรักมึงทำให้กูขาเจ็บจนทำงานนี้ไม่ได้”
“พูดอะไรของนาย”
พายขมวดคิ้ว ตรรกะหมอนี่พังไปแล้วจริง ๆ ขาเจ็บแล้วเกี่ยวอะไรกับการวาดรูป ไหนจะน้องรักอะไรนี่อีก
“ไอ้ชิน น้องรักมึงไง มันผลักกูตกบันไดเพราะแค้นที่กูไปแกล้งมัน ผลักกูเสร็จก็ทำเป็นเพิ่งวิ่งมาดูกูแล้วตอแหลว่าไม่ได้ทำ”
“แต่พี่แพรวบอกฉันว่าชินไม่ได้ทำ ชินเพิ่งวิ่งมาดูนาย ใคร ๆ ก็เห็นนี่”
พลั่ก
โครม
“โอ๊ย”
พายโดนต่อยทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ แถมยังโดนผลักไปชนกับโต๊ะด้านหลังจนล้มลงกับพื้น มือบางกุมแก้มที่โดนต่อย ปลายนิ้วปาดหยดเลือดเล็ก ๆ ที่ซึมออกมาจากมุมปากก่อนจะหันไปมองตัวต้นเหตุด้วยความไม่พอใจ
“มันตอแหลเอาทั้งนั้น กูนี่แหล่ะคือความจริง” เอเคอร์ล้วงมือลงกับกระเป๋ากางเกง เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยที่ขาเขา “กูจะไม่พูดมาก เอาเป็นว่าถ้าพรุ่งนี้มึงไม่ทำงานให้กู”
สายตาของอีกฝ่ายทอประกายอันตราย นิ้วชี้ยกขึ้นมาทำท่าปาดคอตัวเองก่อนจะพูดขู่เขาด้วยสีหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์
“กูเอามึงตายแน่”
เอเคอร์เตะขาเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหันหลังจากออกไปจากห้อง สวนกับไวน์ที่เพิ่งกลับมาจากการทิ้งขยะ คนรักของเขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพของเขา พายเห็นเอเคอร์หัวเราะในลำคอพลางเดินชนไหล่ไวน์หายลับไปจากประตู ไวน์รีบวิ่งเข้ามาประคองเขาทันที สีหน้าของเจ้าตัวดูกังวลไปหมด
“พาย เจ็บมากไหม”
“นิดหน่อย” พายยิ้มแห้ง ลูบแขนไวน์เบา ๆ เพื่อปลอบประโลม “ฉันโอเคอยู่”
“ฉันขอโทษนะที่ไม่รีบกลับมาให้เร็วกว่านี้” มือใหญ่ของไวน์ลูบแก้มเขา สายตาอีกฝ่ายมีความรู้สึกผิด “ถ้าฉันอยู่ด้วยนายก็คงไม่ต้องเจออะไรแบบนี้”
พายยิ้ม ส่ายหัวเบา ๆ “ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”
“ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลกัน ค่อย ๆ ลุกขึ้นนะ”
ระหว่างทางไปห้องพยาบาลพายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไวน์ฟัง คนรักของเขายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาได้แต่ปลอบว่ามันไม่ใช่ความผิดของไวน์ อีกอย่างหมอนั่นเป็นอันธพาล ถ้าไวน์อยู่ด้วยคงไม่แน่ว่าอาจจะโดนต่อยเข้าอีกคนก็ได้
โชคดีที่ครูห้องพยาบาลไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นพายคงตอบคำถามครูไม่ได้ว่าทำไมถึงโดนต่อยมา ไวน์พยุงเขานั่งลงบนเตียงห้องพยาบาลเบา ๆ จนเขาหัวเราะกับการประคบประหงมนั้น
“ขอโทษนะที่ปกป้องนายไม่ได้เลย” ไวน์ถอนหายใจ “ฉันอยากจะไปเอาคืนแทนนายจริง ๆ นะ แต่ฉันกลับทำอย่างนั้นไม่ได้ แม้แต่จะฟ้องครูยังทำไม่ได้เลย”
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หมอนั่นมีเพื่อนสนิทเป็นลูกผู้อำนวยการล่ะ” พายยักไหล่ สองมือจับมือของไวน์มากุมพลางเขย่าเบา ๆ “แต่ว่าไม่ต้องขอโทษหรอกน้า ถ้าขอโทษอีกทีฉันจะงอนแล้วนะ”
ไวน์ยิ้มที่พายทำปากยู่อย่างงอน ๆ เจ้าตัวหันหลังไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลในตู้ล็อกเกอร์บนเคาน์เตอร์พยาบาลที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง แดดยามเย็นสีอ่อนที่พาดผ่านมาทำให้เงาของไวน์สั่นไหวไปชั่วขณะก่อนจะกลับมานิ่งดังเดิม
“อันที่จริงฉันว่าเราสามารถแก้แค้นได้นะ”
ไวน์เอ่ยเสียงแข็ง เจ้าตัวหันหน้ามาหาเขา ทิ้งสะโพกพิงเคาน์เตอร์ สองมือที่ถือกล่องยาบีบกล่องแน่นจนมือเกร็งไปหมด
พายขมวดคิ้วกับอาการที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของคนรัก หยัดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปหาไวน์ทั้งตัว จับมือของไวน์มาโอบรอบเอวพลางวางคางลงกับแผ่นอกหนา สบตากับคนที่ก้มลงมามองด้วยความออดอ้อน
“อย่าเลย” พายยิ้มตาหยีจนกลายเป็นสระอิ “ไม่ต้องไปตอบโต้คนแบบนั้นหรอก เดี๋ยวจะลำบากกันซะเปล่า ๆ”
“นายไม่แค้นเลยเหรอ” มือซ้ายของไวน์โอบเอวเขาแน่น มือขวาลูบไล้แก้มข้างที่โดนต่อยแผ่วเบา “นายไม่ควรมาเจ็บตัวอย่างนี้เลยสักนิด”
“มันก็น่าเจ็บใจอยู่หรอกที่โดนต่อยน่ะ แต่ทะเลาะกับคนพาลเราไม่มีวันชนะหรอกนะ”
“แค่นายรู้สึกเจ็บใจบ้างก็พอแล้ว”
ไวน์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ อีกฝ่ายก้มหน้าลงมากดจูบลงที่ริมฝีปากของเขา ดูดดึงปากนิ่มอย่างย่ามใจก่อนจะผละออกมาแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“คืนนี้มานอนบ้านฉันนะ เดี๋ยวฉันช่วยวาดรูปส่วนเกินของไอ้เหี้ยนั่นให้”
พายขมวดคิ้ว ยื่นมือไปบีบปากคนตัวสูงก่อนจะเย้าแหย่ “ไหนบอกว่าไม่ชอบพูดคำหยาบไง ละนี่ไปเรียกเขาว่าไอ้เหี้ยทำไมล่ะฮึพ่อหนุ่มมม”
สายตาของไวน์ล่อกแล่กก่อนจะกลับมาเป็นปกติ เจ้าตัวยิ้มหวานจนลักยิ้มบุ๋มขึ้นที่ข้างแก้ม ไม่ตอบคำถามเขา เปลี่ยนเรื่องอีกครั้งด้วยการอุ้มตัวเขาไปนั่งบนเตียงพยาบาลเพื่อทำแผลให้แทน
ทิ้งปริศนาไว้ให้เขาคาใจอีกครั้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย
***************************
(จะไม่ให้ฉันไปรับจริง เหรอ) ไวน์ทำเสียงออดอ้อน (มันมืดแล้วน้า ฉันสตาร์ทรถออกไปแปปเดียวเองเนี่ย)
“ไม่ต้องเลย เปลืองน้ำมันเปล่า ๆ น่า” พายหัวเราะ “บ้านเราห่างกันแค่ซอยเดียวเองนะ ฉันเดินไปได้ ไม่มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้นหรอก”
(ว้า เสียใจจัง) ปลายสายน้ำเสียงเศร้าทันที (นี่แฟนเราเห็นแก่น้ำมันมากกว่าการเจอหน้าเราเร็ว ๆ อีกเหรอเนี่ย เฮ้อ)
“ฮึ ไม่สงสารหรอกนะ” คนตัวเล็กแลบลิ้น หยุดมือจากการพับเสื้อผ้าลงกระเป๋าแล้วพูดต่อ “เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจอกันที่บ้านนายนะ ไม่เกินสิบนาทีเดี๋ยวไปถึงเลยเนี่ย”
(โอเค เดี๋ยวลงไปรอหน้าบ้านเลยเนี่ย)
“บายค้าบ”
“บายค้าบ”
ปลายนิ้วเรียวกดตัดสาย เพราะรู้ว่าไวน์ไม่เคยยอมเป็นฝ่ายตัดสายเขาก่อนเลยเวลาคุยโทรศัพท์กัน พายยิ้มบาง ๆ ให้กับหน้าจอโทรศัพท์ที่รูปแบ็คกราวด์เป็นรูปคู่ของเราก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่พับแล้วลงกระเป๋าสะพาย ตรวจนับของที่จำเป็นต้องใช้ ทว่าสายตาที่เหลือบไปเห็นกล่องสีน้ำที่วางอยู่ด้านข้างก็ทำให้เขาต้องหวนคิดเรื่องเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็นายไง เมื่อคืนนายมาดักรอฉันตอนกลางคืนแล้วก็มาขู่ฉัน นี่อย่ามาทำใสซื่อนะ ฉันมาขอโทษแล้วนายก็ต้องรักษาความลับเรื่องนั้นด้วย”
“ไอ้ชิน น้องรักมึงไง มันผลักกูตกบันไดเพราะแค้นที่กูไปแกล้งมัน ผลักกูเสร็จก็ทำเป็นเพิ่งวิ่งมาดูกูแล้วตอแหลว่าไม่ได้ทำ”
“แต่พี่แพรวบอกฉันว่าชินไม่ได้ทำ ชินเพิ่งวิ่งมาดูนาย ใคร ๆ ก็เห็นนี่”
พายถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก สองขานั่งขัดสมาธิบนเตียงนุ่มพลางคิดทบทวนคำพูดต่าง ๆ นึกถึงสีหน้าท่าทางของไอซ์และเอเคอร์ที่ดูไม่มีวี่แววจะโกหก คำบอกเล่าของพี่แพรว ประธานนักเรียนที่สนิทกันที่ยืนยันกับเขาว่าชินไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นแน่ และตัวของเขาเองที่อยู่กับไวน์ตลอดเวลาในช่วงเวลาที่ไอซ์กล่าวอ้าง ความสนิทกับรุ่นน้องที่ทำให้แน่ใจว่าชินนั้นขี้กลัวเกินกว่าจะผลักอันธพาลแบบเอเคอร์ตกบันไดได้ ข้อมูลทุกอย่างมันตีกันจนเขาสับสนไปหมด
ทั้งชิน ทั้งไวน์
คนเราจะอยู่ 2 ที่ในเวลาเดียวกันได้จริง ๆ น่ะเหรอ
พายครุ่นคิด ก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ออกมาเสิร์ชหาสิ่งที่ต้องการบนอินเตอร์เน็ตทันที เขาไม่รู้ แต่มันน่าจะมีใครสักคนที่รู้สิ มันต้องมีใครหรืออะไรสักอย่างที่อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้แน่
คนตัวเล็กพิมพ์สิ่งที่เกิดขึ้นลงไป เปลี่ยนคีย์เวิร์ดไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่พบข้อมูลของสิ่งที่ต้องการ จนในที่สุดก็ดูเหมือนจะเจอเว็บไซต์ที่บอกเล่าเรื่องราวที่คล้ายจะไร้สาระราวกับนิทานหลอกเด็ก
แต่มันกลับดึงความสนใจของเขาไว้ที่มันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ดอพเพลแกงเกอร์...”
เสียงเล็กพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนจะอ่านเนื้อหาต่อทันที
‘Doppelganger
Doppel มีความหมายเดียวกับคำว่า Double ในภาษาอังกฤษหรือแปลได้ว่า "ซ้ำสอง" ส่วนคำว่า Gänger หมายถึง "Goer" มีคำเรียกอีกอย่างว่า Evil Twin (แฝดปีศาจ) หรือ Bilocation (การปรากฏตนในสองสถานที่) ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าขานพื้นบ้านของเยอรมัน
ดอพเพลแกงเกอร์ถือเป็นสัญญาณแห่งความโชคร้าย เป็นภูตผีปีศาจในรูปแบบหนึ่งที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงลางร้าย
หรือไม่ก็นำพามาซึ่งลางร้ายเสียเอง
ความเจ็บป่วยหรือภยันตรายจะเกิดขึ้นหากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติได้พบเห็น ในขณะที่การพบเห็นดอพเพลแกงเกอร์ของตนเองนั้นจะนำมาซึ่งความตาย
ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันมา ดอพเพลแกงเกอร์ไม่ใช่เงาธรรมดาที่เกิดจากแสงแดดหรือแสงอื่นใดที่ฉายมาถูกตัว แต่เป็นภูตเงาที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเจ้าของเงาเองที่รู้สึกว่ามีมันอยู่ และดอพเพลแกงเกอร์นั้นจะไม่มีเงาของตัวเอง รวมทั้งไม่มีภาพสะท้อนบนกระจกหรือผิวน้ำอีกด้วย
ดอพเพลแกงเกอร์จะยืนอยู่ข้างหลังของเจ้าตลอดเวลา มีความว่องไวในการหลบหลีกสูง จนแม้หันหน้าเร็วยังไงก็ไม่อาจองเห็นมันได้ทัน นอกจากนี้มันยังเลียนแบบและทำทุกอย่างตามเจ้าของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสีหน้า การเลียนเสียง ซึ่งมันจะพูดออกมาพร้อมกับเจ้าของเอง เสียงของมันคล้ายกับเจ้าของจนดูดกลืนเข้าไปด้วยกันกับเสียงของเจ้าของ
มีคนกล่าวไว้ว่าดอพเพลแกงเกอร์คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากเกินไป เพราะเงานี้พร้อมจะเป็นเพื่อนที่ดี ฟังสิ่งที่คุณพูดทุกถ้อยคำ แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะเป็นคำพูดที่ไม่มีใครอยากฟัง ตอบคำถามที่อาจจะไม่มีใครอยากตอบ ด้วยการสร้างรอยพิมพ์คำเหล่านั้นไว้ในจิตของคุณหรือด้วยวิธีการซึมเข้าสู่ทางร่างกายด้วยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง
หมากับแมวมีสัญชาตญาณที่ทำให้เห็นเงาที่เป็นรูปร่างของเรา เพราะเหตุนี้อย่าแปลกใจเลยถ้าแมวที่คุณเลี้ยงเกิดตาวาวมองข้ามไหล่คุณไปข้างหลังยังกับมีใครหรืออะไรอย่างหนึ่งอยู่ตรงนั้น หรือหมาที่คุณเลี้ยงไว้เกิดลุกขึ้นมาเห่าไล่หลังคุณอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย’
ต่อข้างล่างค่ะ
-
“คุณแม่สวัสดีค้าบ”
“อ้าว พาย สวัสดีจ้ะ มาเร็วนะเราน่ะ แม่เพิ่งให้ไวน์โทรชวนเรามากินข้าวได้แปเดียวเองนี่นา”
“แฮ่ เพราะอาหารฝีมือคุณแม่อร่อยมากกกก พอไวน์โทรมาชวนผมก็รีบออกมาทันทีเลยครับ”
คุณแม่ของไวน์ยิ้ม ท่านเข้ามาลูบหัวผมอย่างเอ็นดูก่อนจะบอกให้ขึ้นไปเล่นกับไวน์บนห้องก่อน ส่วนท่านขอตัวทำอาหารต่ออีกสักครู่ เขารับคำ เดินไปส่งคุณแม่ที่ห้องครัวก่อนจะเดินไปทางบันได
ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวขา ปลายสายตาก็เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง พายมองไปทางประตูหน้าบ้าน เขาเห็นไวน์อยู่ตรงประตูหน้าบ้าน เจ้าตัวสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงวอร์มสีดำ สลิปเปอร์ลายเอพีช ร่างสูงเดินผ่านประตูบ้านไปทางสวนด้านข้างอย่างรวดเร็ว
“ไวน์”
คนตัวเล็กพึมพำ ไหนคุณแม่บอกว่าไวน์อยู่ข้างบนไง ขาเล็กก้าวทางประตูหน้าบ้านแต่ก็พบกับความว่างเปล่า สวนด้านข้างก็ไร้วี่แววของไวน์อีกด้วย
แปลก
เขามั่นใจว่าเห็นไวน์ไม่ผิดแน่
“พาย”
เจ้าของชื่อชะงัก หันตัวไปมองต้นเสียงที่ยืนเท้าแขนอยู่กับบันไดภายในบ้าน ไวน์ส่งยิ้มกว้างก่อนจะเดินเข้ามาหา พายอึ้ง ขณะเดียวกันก็งุนงงไปหมด คนตรงหน้าเขาแต่งตัวแบบเดียวกับที่เขาเห็นเมื่อกี้ไม่มีผิด ทั้งเสื้อยืดสีขาว กางเกงวอร์มสีดำ สลิปเปอร์ลายเอพีช ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด
“เห็นเข้าบ้านมานานแล้วทำไมไม่ขึ้นไปสักทีล่ะหืม”
“นาย... เมื่อกี้อยู่ตรงหน้าบ้านไม่ใช่เหรอ” พายชี้นิ้วไปตรงจุดที่เขาเห็นไวน์สลับกับมองหน้าคนตรงหน้า “นี่ ทำไมถึงเดินออกมาจากบันไดได้ล่ะ”
“ตลกแล้ว ฉันยังไม่ได้ออกมาจากบ้านเลยนะ เพิ่งลงมาจากห้องเมื่อกี้นี้เอง”
“แต่—”
“ตาฝาดแล้วแหล่ะ” ไวน์เดินอ้อมมาด้านหลังเขาพลางจับเอวแล้วดันเบา ๆ ให้เดินไปข้างหน้า “ป่ะ ขึ้นไปเก็บของบนห้องกันจะได้ลงมาช่วยคุณแม่ทำกับข้าว”
“อือ”
พายพยักหน้ารับคำแต่ในใจกลับคิดไม่ตก เขาเห็นไวน์แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้การแต่งตัวของไวน์ล่วงหน้าได้ยังไง มันเหมือนกันออกขนาดนั้น
คนตัวเล็กถอนหายใจก่อนจะปัดความคิดบ้า ๆ ออกไปจากหัวเมื่อหาคำตอบให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้เลยสักนิด
โอเค ตาฝาดก็ตาฝาด
***************************
“อรุณสวัสดิ์พาย”
“อรุณสวัสดิ์”
พายยิ้มตอบไวน์ที่ส่งยิ้มกว้างจนตาหยี วันนี้ไวน์มารับเขาที่บ้านเพราะจะพาเจ้าบิงโก สุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียตัวน้อยของเขาไปฉีดวัคซีนตามกำหนด
คนตัวเล็กเดินไปเข้าในอ้อมกอดของไวน์ที่อ้าแขนรอ กอดแน่น ๆ ให้สมใจ แล้วเงยหน้าขึ้นจุ๊บคางอีกฝ่าย ก่อนจะต้องชะงัก ทำหน้ายู่
“ไม่โกนหนวดนี่นา”
“รอนายโกนหนวดให้อ่ะแหล่ะ”
“ไม่โกนให้—”
โฮ่ง ๆ ๆ
ยังพูดไม่ทันจบ เราสองคนก็ต้องชะงักเมื่อเจ้าบิงโกอยู่ดี ๆ ก็วิ่งออกมาจากบ้านแล้วเห่าใส่ไวน์ไม่หยุด ทำเอาทั้งเขาทั้งแฟนหนุ่มงงกันไปหมด
เราคบกันมานานแล้ว ไวน์ก็เจอกับบิงโกมานับครั้งไม่ถ้วน คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นยังไง นอกจากตอนเจอกันครั้งแรกบิงโกก็ไม่เคยเห่าใส่ไวน์อีกเลย แต่วันนี้กลับเห่าใส่เสียอย่างนั้น
“บิงโก นี่ฉันเองไง ไวน์”
“บิงโก ชู่วว ไม่เอาไม่เห่าสิ”
โฮ่ง ๆ ๆ
พายผละออกจากอ้อมกอดของไวน์มาห้ามเจ้าสุนัขตัวน้อย แต่นอกจากมันจะไม่หยุดเห่าแล้วยังเห่าเสียงดังกว่าเดิมอีกต่างหาก แต่ที่ทำให้ทั้งเขาและไวน์อึ้งกว่าเดิมคือการที่มันวิ่งมาด้านหลังของไวน์ หยุดลงตรงเงาของคนตรงสูงแล้วเห่าใส่เงานั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นี่... ถามจริง”
“เห่าใส่เงาเนี่ยนะ”
เรามองหน้ากัน พบความงุนงงบนใบหน้าของกันและกันก่อนจะหัวเราะออกมาที่วันคืนดีคืนดีบิงโกก็มาเห่าใส่เงาเสียอย่างนั้น
เขาในตอนนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก
ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่ามันอาจเป็นเพราะอย่างอื่น
***************************
ปิ๊น ๆ ๆ
พลั่ก
“โอ๊ยยย”
พายร้องเสียงหลงออกมาเมื่อถูกผลักออกจากระยะของรถจนล้มลงกับพื้น มือถลอกกับพื้นจนเจ็บแสบ ตั้งสติได้อีกทีความกลัวก็แล่นจับจิตจนใจสั่นไปหมดเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองเพิ่งเฉียดความตายมาหมาด ๆ
เมื่อกี้นี้เขาทำโทรศัพท์ร่วงไปตรงขอบถนนและกำลังก้มเก็บ แต่เพราะลืมคิดไปว่าอาจจะมีรถวิ่งผ่านเลยไม่ได้ระวังตัวเท่าไหร่จนรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูงบีบแตรใส่ เขาเห็นแต่ว่าขาก็แข็งไปหมด ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้ไวน์เหวี่ยงเขาออกมาจากระยะรถเขาต้องตายแน่ ๆ
พายสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หันมองไปรอบด้านแต่กลับไม่พบไวน์แต่อย่างใด คนตัวเล็กนิ่ง มึนงง สับสนไปหมด เขาไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ เขาเห็นไวน์ผลักเขาออกมาในตอนที่เขายังก้าวขาไม่ออก แล้วตอนนี้...
ไวน์หายไปไหน
“พาย!”
พายหันไปตามเสียงเรียก ไวน์ออกมาจากร้านสะดวกซื้อข้างทางอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวค่อย ๆ พยุงเขายืนขึ้นพร้อมกับสำรวจตามเนื้อตัวด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เจ็บตรงไหนบ้าง”
“นาย... เพิ่งออกมาจากร้านนั้นเหรอ”
ไวน์เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและรู้สึกผิด
“อืม ฉันไม่น่าปล่อยให้นายออกมาคนเดียวเลย ขอโทษนะ”
“ไม่— ไม่เป็นไร ฉันซุ่มซ่ามเองน่ะ” พายส่งยิ้มแม้ว่าจะเจ็บแผลจนแทบยิ้มไม่ออก “ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันเป็นคนบอกนายว่าจะออกรอข้างนอกเองนี่นา”
ใช่ พายเป็นคนบอกว่าจะออกมารอข้างนอกตอนที่ไวน์ต่อแถวรอคิดเงินค่าสินค้าเพราะไม่อยากยืนรอตรงเคาน์เตอร์ให้มันเกะกะคนอื่นเองนี่นา
นั่นแปลว่าไม่มีทางที่ไวน์จะสามารถตามหลังพายออกมาได้ทันทีเลย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วคนที่เขาเห็น แล้วคนที่มาช่วยเขาที่เขามั่นใจมากกว่าเป็นไวน์แน่ ๆ
คน ๆ นั้นเป็นใคร แล้วหายไปไหนกัน
***************************
‘ความเชื่อบางประเภทก็ยึดหลักที่ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกจะมีฝาแฝดของตนอยู่ หากบุคคลนั้นเป็นคนดีฝาแฝดก็จะชั่วร้าย หากบุคคลนั้นเป็นคนชั่วร้าย ฝาแฝดก็จะเป็นไปในทางกลับกัน และการที่ฝาแฝดทั้งสองมาพบกันนั้นก็จะยังผลให้ทั้งคู่
ต้องพบกับจุดจบของชีวิต’
พายเงยหน้าจากโทรศัพท์ เชื่อมโยงข้อมูลที่เพิ่งได้รับกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดรวมกัน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันไกลออกจากความเป็นจริงเข้าไปทุกที ๆ
“บ้าน่า...” พายกลืนน้ำลายลงคออย่างอึดอัด หัวใจเต้นแรงอย่างตื่นกลัว “มันจะเป็นไปได้ยังไง มันก็แค่เรื่องเล่านี่นา”
ใช่ มันควรจะเป็นแค่เรื่องเล่า เป็นแค่ตำนานบทหนึ่งที่ใครสักคนเขียนเอาไว้เพื่อปลอบประโลมตัวเองในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ก็เท่านั้น มันไม่ควรกลายมาเป็นความจริงที่เกี่ยวข้องอะไรกับคนรอบตัวพายแบบนี้เลยสักนิด
ถึงจะพยายามคิดแบบนั้น แต่พายกลับหาคำตอบไม่ได้เลยสักนิดว่าทำไมไอซ์ถึงบอกว่าไวน์ไปขู่เอาแบบนั้น ทำไมเอเคอร์ถึงบอกว่าชินผลักตกบันได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ ทำไมเขาถึงเห็นไวน์อยู่หน้าบ้านทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ตรงนั้น ทำไมบิงโกถึงเห่าเงาของไวน์ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมเขาถึงเห็นมาไวน์มาช่วยไม่ให้เขาโดนรถชนทั้ง ๆ ที่ไวน์ยังอยู่ในร้านสะดวกซื้อ
มันมีแต่คำว่าทำไม ทำไม และทำไมเต็มไปหมด
และพายก็ไม่มีคำตอบให้กับอะไรพวกนี้เลยสักนิด
เขาสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เก็บของลงกระเป๋าจนหมด บอกลาเจ้าบิงโกและสวัสดีคุณแม่ ท่านบอกเขาว่าอย่าทำให้บ้านไวน์ลำบากนักล่ะ เขายิ้ม รับคำก่อนจะเดินออกมา
บ้านของพายและไวน์ห่างกันเพียงซอยเดียวและเราก็เรียนห้องเดียวกัน นั่นทำให้มีโอกาสได้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน บ่อยเข้าก็กลายเป็นว่าเราชอบกันและเป็นคนรักกันในที่สุด ถึงจะไม่ได้รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็นานพอที่จะรู้ว่าอีกคนนิสัยเป็นอย่างไร
เดินใช้ความคิดมาเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงบ้านของไวน์ พายส่งยิ้มจนตาหยี โบกมือให้กับไวน์ที่ยืนมองอยู่บนระเบียงห้องชั้นสอง เจ้าตัวสวมเสื้อฮู้ดสีดำ กางเกงวอร์มสีดำแถบขาว ยืนส่งยิ้มและโบกมือกลับมาก่อนจะกลับเข้าห้องไป ใช้เวลาแปปเดียวก็มาเปิดประตูบ้านให้เขา
พายยิ้มพลางมองไวน์ไขประตูบ้าน ทอดมองเงาต้นไม้หน้าบ้านที่ปกคลุมไปทั่ว ลมกลางคืนพัดผ่านจนใบไม้สั่นสะเทือน เงาของใบไม้ที่ทอดลงบนกำแพงสั่นไหว เขาหันหน้ากลับมามองไวน์ที่ไขประตูเสร็จแล้ว มองเลยไปด้านหลังเมื่อพบว่าเงาของไวน์กลืนไปกับเงาของต้นไม้ที่สั่นไหวไปสักครู่ก่อนจะกลับมานิ่งเหมือนเดิมเมื่อสายลมพัดผ่านไป
คนตัวเล็กนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเลิกคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และไม่อยู่บนหลักวิทยาศาสตร์แล้วเดินเข้าบ้านตามไวน์ไปแทน
คนเรา... จะไปอยู่ 2 ที่ในเวลาเดียวกันได้ยังไงล่ะ
จริงไหม
***************************
ตึก ๆ ๆ
สองขาของเอเคอร์ชะงักกึกเมื่อพบร่างของใครบางคนกำลังนั่งพิงเสา เหยียดขาไปตามราวสะพาน ผู้ชายคนนั้นซ่อนใบหน้าอยู่ใต้เสื้อฮู้ดสีดำ มือสองข้างอยู่ในกระเป๋าเสื้อ กางเกงวอร์มสีดำแถบขาว แต่กลับสวมรองเท้าสลิปเปอร์สำหรับสวมในบ้านเสียอย่างนั้น
เอเคอร์หัวเราะในลำคอด้วยความตลก คนบ้าที่ไหนจะใส่สลิปเปอร์ออกมาข้างนอก แย่หน่อยที่เขาเพิ่งแยกกับบาสมาสักพักแล้ว ไม่งั้นคงได้เรียกมันมาดูเรื่องปัญญาอ่อนนี้ด้วยกัน
ชายหนุ่มคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วโยนลงพื้น ใช้รองเท้าขยี้จนไฟมอดดับ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าไปหาคนกล้านั่งอยู่บนนั้นอย่างไม่กลัวตาย
“เฮ้ย ถึงจะซ่อนใบหน้าไว้ในฮู้ดโง่ ๆ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่เห็นหน้ามึงนะเว้ย” เอเคอร์เหยียดยิ้ม “มานั่งอยู่ตรงนี้ได้นี่ไม่ช่วยเมียมึงทำงานให้กูหรือไง กูเตือนมึงแล้วนะว่าถ้ากูไม่มีงานส่งกูเอาตายแน่”
ไวน์ไม่ตอบ สายตาจ้องมองไปที่ความวุ่นวายฝั่งตรงข้ามของสะพานจากฝีมือของรุ่นน้องคนสนิทของพายด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก เอเคอร์แปลกใจกับรอยยิ้มนั้นจึงมองตามสายตาของไวน์ไป พบกับกลุ่มคนที่กำลังโวยวายอยู่ตรงสะพานอีกฝั่งแต่ระยะห่างมันไกลเกินไปจึงไม่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นั่นมันทางที่บาสใช้กลับบ้านนี่นา
เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปถามมันก็ได้มั้ง เอเคอร์มองอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นักแต่ยังไม่ทันหันกลับมาอะไรบางอย่างที่ถูกปาใส่หัวด้านหลังก็ทำให้เจ็บจนต้องร้องเสียงหลง ก่อนจะหันหน้าไปหาคนต้นเหตุพลางตะโกนด่า
“โอ๊ยย— มึง ไอ้ไวน์ นี่มึงกล้าปาก้อนหินใส่หัวกูเหรอ!”
ไวน์เลิกคิ้ว จ้องหน้าคนที่โกรธจนชี้หน้าเขาด้วยสายตายิ้มเยาะ เขาหยัดตัวลุกขึ้น พลางเดินไปบนราวสะพานช้า ๆ อย่างไม่กลัวตก เขาเห็นเอเคอร์เบิกตากว้างจ้องมองมาที่เขาอย่างโง่งม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงค่อนข้างตะกุกตะกัก
“มึง... มึงจะทำอะไร นี่มึงไม่กลัวตกสะพานเลยเหรอ”
“กูไม่มีอะไรต้องกลัว” ไวน์ตอบเสียงแข็ง
“ฮึ มึงคิดว่ามึงเจ๋งมากงั้นสินะ”
เอเคอร์เหยียดยิ้ม สองมือกอดอก กวาดสายตาขึ้นลงมองไวน์ทั้งตัวสลับกับแม่น้ำด้านหลังอีกฝ่าย ก่อนสายตาจะทอประกายเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียปากพลางก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่บนราวสะพาน เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
“หรือมึงจะมาขอร้องกู? ก็ได้นะ ถ้าไม่อยากให้เมียมึงทำงานให้กูน่ะ” ชายหนุ่มเคาะรองเท้ากับพื้นเบา ๆ เป็นเชิงกดดัน “ก็แค่ให้เมียมึงมาอ้าขาให้กู รับรองเลยว่าต่อจากนี้ไปกูจะไม่ใช้เมียมึงให้ทำงานให้กูอีกต่อไปเลย”
ลมกลางคืนพัดผ่านจนกรีดผิวไปหมด เอเคอร์กระชับเสื้อโค้ทเข้าหาตัวก่อนจะต้องชะงักเมื่อไวน์ยื่นเท้าข้างซ้ายขึ้นมาวางบนไหล่เขาก็จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจนน่าขนลุก
“มึงฝันอยู่เหรอ”
ไวน์เอียงคอมองคนที่อยู่ต่ำกว่าด้วยสายตาที่ทอแววเกรี้ยวกราด ปลายรองเท้าขยี้ไหล่ของอีกฝ่ายจนตาหยีด้วยความเจ็บ
“ตอนแรกก็คิดว่าจะมาเตือนมึงดี ๆ ล่ะนะ แต่ในเมื่อมึงปากดีถึงพายขนาดนี้ ในเมื่อมึงมีปากแต่ไม่สามารถพูดสิ่งที่ดีได้”
และไม่ทันที่เอเคอร์จะคว้าเท้าของคนที่เหยียบอยู่ให้หลุดออกจากไหล่
“มึงก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพูดอะไรอีกเลยจะดีกว่า”
ไวน์ก็ออกแรงถีบไหล่ของเอเคอร์อย่างแรงเพื่อใช้เป็นฐานดันตัวเองแล้วหงายหลังลงจากสะพาน ทิ้งตัวลงสู่แม่น้ำที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เอเคอร์ถอยไปด้านหลังด้วยแรงถีบ ชายหนุ่มเบิกตาโต อ้าปากค้าง พลางรีบวิ่งไปที่ขอบสะพานอย่างรวดเร็ว สองมือเกาะสะพาน ก้มตัวลงมองแม่น้ำด้านล่างเพื่อตามร่างของคนที่เพิ่งจะกระโดดลงแม่น้ำไปเมื่อกี้
แต่กลับไม่พบใคร
บนแม่น้ำว่างเปล่า ไม่มีร่างของคนที่ควรจะจมอยู่ใต้น้ำ ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตหรือการตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด และไม่มีแม้กระทั่งรอยกระเพื่อมของน้ำที่แสดงว่ามีคนตกลงไปเลยสักนิด
ทว่ายังไม่ทันที่จะหายงุนงง คอเสื้อกลับถูกดึงแน่นจนรัดคอ หายใจแทบไม่ออก ลำตัวที่แนบกับราวสะพานอยู่แล้วกลับถูกดันให้ชิดกับสะพานมากขึ้นอีกจนช่วงท้องเจ็บแปลบเพราะถูกเหลี่ยมของราวสะพานกด
“อึก”
ชายหนุ่มเจ็บจนร้องแทบไม่ออก ปลายสายตาเห็นร่างที่คุ้นตาของใครบางคนเดินมาอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายหันหน้ามาหาเขา ทิ้งสะโพกลงเท้ากับสะพานในขณะที่มือยังคงรัดคอเสื้อของเขาไม่ปล่อย
“มึงคิดว่ากูจะตายอย่างนั้นเหรอ”
รอยยิ้มเยาะที่ส่งมาของไวน์ยิ่งทำให้เอเคอร์ทั้งแค้นและงุนงง ในเมื่อเมื่อกี้เขาเห็นกับตาว่ามันหงายหลังตกสะพานลงไป เป็นมัน เป็นมันแน่ ๆ !
“มึง...”
“ฮ่ะ ๆ”
ไวน์เริ่มหัวเราะ น้ำเสียงปกปิดความเหยียดหยันไว้ไม่มิด สายตาที่ทอดมองมาที่เอเคอร์ช่างดูสมเพชเขาราวกับมองชีวิตเล็ก ๆ ที่แสนต้อยต่ำ ไวน์แลบลิ้นเลียมุมปากก่อนจะกระชากตัวของเอเคอร์ให้กระแทกราวสะพานแรง ๆ อย่างไร้ความปรานีจนอีกฝ่ายจุกจนพูดไม่ออก
“ไม่ปากดีแล้วเหรอ เมื่อกี้มึงยังพูดพล่อย ๆ อยู่เลยนี่นา”
สายตาของเอเคอร์เคียดแค้น ถ้าหลุดไปได้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า จะต้องบดขยี้มันให้จมลงไปใต้ฝ่าเท้าให้ได้
ไวน์หัวเราะในลำคอราวกับอ่านความคิดนั้นออก ร่างสูงเดินมาด้านหลังของเอเคอร์ มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท หยิบหลอดเข็มฉีดยาภายในบรรจุน้ำสีในไว้เต็มหลอดออกมา
“ในเมื่อมึงกล้าพ่นคำพูดต่ำ ๆ ออกมา มึงก็ต้องกล้าที่จะยอมรับผลที่ตามมาด้วยนะ”
เขามองสารเสพติดในมือพลางยิ้มหยัน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขยะแขยง สายตาปิดความรังเกียจเอาไว้ไม่มิด เสียงลมที่พัดหวีดหวิวในตอนกลางคืนยิ่งไม่ต่างอะไรกับเสียงหัวเราะเยาะของสายลม
ร่างสูงจับเข็มฉีดยาแน่นก่อนจะปักเข้าไปตรงต้นคอของเอเคอร์ กดฉีดเข็มฉีดยาจนยาไหลเข้าเส้นเลือดไปหมดทั้งหลอด ไม่แม้แต่จะสนใจเลือดที่ไหลออกมารอบบาดแผลที่ปักไปอย่างรุนแรงกับเสียงร้องโหยหวนไม่ต่างอะไรกับการโดนเชือดนั้น
ไวน์เก็บเข็มฉีดยาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทของอีกฝ่าย มือขวากระชากคอเสื้อให้เอเคอร์ยืนตัวตรง มือซ้ายกระชากผมตรงท้ายทอยให้มันเบิกตามองแม่น้ำกว้างใหญ่ข้างหน้า ริมฝีปากหยักยิ้มหยัน
“อึก มึง... โอ๊ย”
“ทุกอย่างที่มึงพูดออกมา”
เขาเหลือบตาเห็นมันกลืนน้ำลายลงคอ ความกลัวที่แผ่ออกมาทำให้ไวน์ยิ่งสมเพช เขาใช้มือขวาตบไป ที่ลูกกระเดือกของมันจนสำลักก่อนจะล็อกคางมันเอาไว้ ยื่นใบหน้าไปกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู
“มึง – ต้อง – ชด – ใช้”
ไวน์สะบัดปลายคางของเอเคอร์ออกไป กระเถิบตัวเข้าไปยืนซ้อนหลังอีกฝ่าย มือขวาจับมือขวาของมันมาวางตรงขอบสะพาน มือซ้ายยกขวาที่สั่นสะท้านของมันขึ้นมาพาดบนราว ออกแรงดันจนขาข้างนึงของมันออกไปนอกสะพานในที่สุด
“ฮึก อึก”
เอเคอร์ร้องอย่างโอดครวญแต่ร่างสูงเมินเสียงร้องนั้น
ไร้ค่า
มันช่างไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังจะหลุดลอยนี้สักนิด
เขายกขาอีกข้างของมันขึ้นมาแล้วผลักมันออกไปนอกสะพาน กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งตัวของเอเคอร์ยืนอยู่ตรงขอบสะพานด้านนอก มีเพียงสองมือสั่นไหวที่กำลังเกาะขอบสะพานและมือของเขาที่ขยุ้มคอเสื้อมันไว้ก็เท่านั้น
เอาเป็นว่าขอลอกวิธีการหน่อยก็แล้วกันนะ ชิน :)
ไวน์แสยะยิ้มกว้างกวาดสายตามองร่างของอริที่กำลังตัวสั่น ของเหลวที่รดไปตามขากางเกงส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ใบหน้าของเอเคอร์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด ทว่าริมฝีปากกลับปิดสนิท มีเพียงเสียงอืออาในลำคอเท่านั้น
เขาเดาะลิ้น ยื่นใบหน้าไปชิดกับใบหน้าของคนตรงหน้า มือกระชากผมของมันพลางเอ่ยปลอบเสียงเบา
“ไม่ต้องกลัวว่ามึงจะเหงาหรอกนะ” ไวน์เหลือบมองแม่น้ำด้านล่างก่อนจะกลับมามองหน้าเอเคอร์อีกครั้ง “เดี๋ยวมึงก็เจอเพื่อนมึงแล้ว บาสไง มันเพิ่งล่วงหน้าไปก่อนมึงแปปเดียวเท่านั้นเอง”
ตัวของเอเคอร์สั่นระริก ความกลัวตายแล่นขึ้นมาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ครั้งแรกที่สัมผัสถึงความใกล้ตาย และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกพ่ายแพ้จนหมดท่ามากขนาดนี้
เอเคอร์ไม่รู้ว่าบาสเป็นยังไงบ้าง แต่จากคำพูดของอีกฝ่าย และกลุ่มคนที่โหวกเหวกโวยวายตรงอีกฝั่งของสะพานแล้วเขาก็เดาได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มไม่เคยรู้ว่าการถูกข่มเหงเป็นยังไง ไม่เคยรู้ว่าการถูกเอาเปรียบต้องรู้สึกยังไง เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาเป็นฝ่ายกระทำมาตลอด ทั้งใช้กำลังกดขี่ข่มเหง ทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการโดยไม่ได้แคร์ความรู้สึกใคร มีอำนาจก็ใช้ในทางมิชอบ ไม่เคยมองเห็นความถูกต้องและกฎเกณฑ์อยู่ในสายตา
จนกระทั่งวันนี้ที่มีคนกล้ามาเอาคืนเขา วันที่สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปถึงได้หวนกลับมา เขาถึงได้รู้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เคยทำไปมันช่างว่างเปล่า
ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลตอบแทน ไม่ว่าจะมาจากศาลสูงหรือศาลเตี้ยก็ตาม
ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น
ไวน์จ้องมองสายตาของเอเคอร์ที่แสดงความรู้สึกหลายอย่างออกมาอย่างปิดไม่มิด เขาหัวเราะอีกฝ่ายอย่างสมเพช
สายไปแล้วกับการรู้สึกผิดและคิดได้เอาตอนนี้
เพราะกูไม่ให้อภัยมึงอีกต่อไปแล้ว
สายตาของคนที่กุมชะตาชีวิตหนึ่งชีวิตเอาไว้เปลี่ยน มันทอประกายเหี้ยมโหด ไวน์คว้ามือซ้ายของเอเคอร์ให้หลุดออกจากขอบสะพาน มือซ้ายยื่นตัวเอเคอร์ให้ออกไปไกลกว่าเดิมจนแขนข้างนั้นไม่สามารถคว้าขอบสะพานไว้ได้อีก
เอเคอร์เหลือเพียงมืออีกข้างเดียวที่ใช้ยึดเกาะราวสะพานเอาไว้
“เวลาแห่งการชดใช้ของมึงมาถึงแล้ว”
และมือที่แสนปรานีอีกข้างของเขาที่กุมคอเสื้อมันเอาไว้เท่านั้นที่กำลังยื้อชีวิตเอาไว้
“เฮ้ย ๆ ทางนั้นก็มีคนกำลังจะโดดสะพานนี่นา ช่วยด้วย ๆ มีคนจะฆ่าตัวตาย ทางนั้นทุกคน อีกฝั่งของสะพาน ไปเร็ว ๆ”
เอเคอร์พยายามจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แต่น่าเศร้าที่ไวน์ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้น มือที่กุมคอเสื้อของชายหนุ่มบีบแน่นจนเสียงร้องไม่สามารถเปล่งออกมาได้อีก มือข้างที่ถูกปล่อยของเอเคอร์เอื้อมมาคว้ามือของไวน์ที่กุมไว้ และชายหนุ่มพบว่ามือนั้นเย็นเฉียบผิดปกติ
เอเคอร์มองไปยังกลุ่มคนด้านหลังจากอีกฝั่งที่พยายามจะข้ามมาช่วยเขาแต่ก็ยังข้ามมาไม่ได้เพราะรถราบนท้องถนนไม่เปิดช่องว่างให้ข้ามเลยสักนิด เขาหันกลับมามองไวน์ แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง ชายหนุ่มทวีคูณความกลัวเมื่อมองที่พื้นด้านหลังของอีกฝ่ายแล้วพบกับความจริงที่ว่าตรงนั้น...
มันไม่มีเงาของไวน์!
เอเคอร์ตัวสั่น น้ำตาอุ่น ๆ ที่หยดลงมาไม่ได้ทำให้ใครสงสาร กลับกันแล้วมันน่าสมเพชสิ้นดี รอยยิ้มเยาะของไวน์ราวกับเป็นเครื่องย้ำเตือนว่านี่คือความจริง
และชีวิตของเขากำลังจะจบลงตรงนี้แล้ว
“ได้ข่าวว่าเป็นนักกีฬาว่ายน้ำนี่”
มือเพียงข้างเดียวที่เกาะราวสะพานอยู่ของเอเคอร์ถูกปลดในที่สุด จนตอนนี้ร่างของชายหนุ่มห้อยอยู่กลางอากาศด้วยมือเพียงข้างเดียวของไวน์
“พิสูจน์ให้กูดูหน่อยก็แล้วกันว่ามึงว่ายได้นานแค่ไหน”
สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงเอเคอร์ก็ลอยละลิ่วลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่างจนน้ำแตกกระเซ็นไปหมด ไวน์เท้ามือสองข้างลงกับขอบสะพาน จ้องมองผู้หวังดีที่หวังช่วยคนกระโดดสะพานเข้ามายืนข้าง ๆ แล้วหันไปมองคนที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดในน้ำนั้นด้วยแววตาที่สุมไปด้วยความแค้น
บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ
ไวน์ยิ้มเยาะ ความแค้นในแววตาค่อย ๆ เบาลงเมื่อได้รับการบรรเทาด้วยชีวิตของคนที่สร้างมัน จ้องมองชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ในแม่น้ำ แม้ว่าความเป็นจริงจะทำได้เพียงรอเวลาที่จะจมลงสู่ผืนน้ำอย่างช้า ๆ ก็เท่านั้น
“กูจะไม่พูดมาก เอาเป็นว่าถ้าพรุ่งนี้มึงไม่ทำงานให้กู”
คำพูดสุดท้ายที่เอเคอร์เคยพูดกับพายเอาไว้
วันนี้
“กูเอามึงตายแน่”
กูเอามาคืนให้มึงแล้วนะ
เอเคอร์
***************************
“ขี้เกียจชะมัดเลย ทำไมเราต้องมานั่งทำงานให้คนที่ไม่รับผิดชอบงานของตัวเองกันด้วยนะ ทั้งที่ตอนนี้เราควรจะนั่งกินขนม นั่งดูหนังแท้ ๆ เลย”
พายบ่นงุ้งงิ้งขณะนั่งผสมสีน้ำให้ไวน์ระบายลงบนกระดาษอันเป็นงานของเอเคอร์ ตอนนี้จะสี่ทุ่มแล้ว ทั้งงานของเขาและของไวน์เสร็จแล้ว แต่เหลืองานของเอเคอร์ก็เลยต้องมาช่วยกันทำให้เสร็จ โดยพยายามทำให้ต่างจากของเขามากที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าครูเอจับได้ขึ้นมาต้องแย่แน่ ๆ
“ถือว่าเป็นงานสุดท้ายก็แล้วกันนะ เดี๋ยวเราค่อยแอบไปคุยกับครูเอกันว่าจะทำยังไงดี”
ไวน์เอื้อมมือมาลูบหัวพายเบา ๆ เจ้าตัวถูไถหัวตัวเองกับมือของไวน์ไปมาเหมือนกับแมวตัวเล็ก ๆ จนไวน์หัวเราะ
“ถึงอย่างนั้นก็ขี้เกียจอยู่ดีนี่นา”
พายกระเถิบตัวเข้าไปหาไวน์ วางคางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย สองมือกอดแขนของไวน์เอาไว้อย่างงอแง คนตัวโตหยุดมือจากการระบายสี ก้มหน้าลงมาจุ๊บหัวกลมของคนรักก่อนจะเลื่อนเป้าหมายลงไปเป็นริมฝีปากเล็กสีเชอร์รี่ บดเบียด ดูดดึงจึงเกิดเสียงจุ๊บในอากาศ เงาของทั้งสองคนที่ตกกระทบลงกับกำแพงห้องเพราะแสงไฟสั่นไหวตามจังหวะการเอียงหัวจูบ
เมื่อไวน์ผละริมฝีปากออกมา น้ำสีใสก็ไหลออกมาเชื่อมระหว่างปากของพวกเขาสองคนเป็นเส้นเดียว คนตัวโตจูบซับน้ำลายนั้นไปตามมุมปากของพายจนหมด ผิวแก้มของพายขึ้นริ้วสีแดงอย่างน่ารักจนคนมองยิ้มกว้าง คนตัวเล็กถอยกลับไปนั่งที่เดิมพลางหยิบพู่กันขึ้นมาช่วยระบายสีต่ออย่างขัดเขิน
ไวน์มองภาพที่คนตัวเล็กระบายสีต่อด้วยสายตาที่เรียบเฉย เขาวางพู่กันในมือลงในแก้วน้ำที่ใช้ผสมสีก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบพู่กันออกจากมือของพายมาใส่ลงในแก้วน้ำด้วยกัน เก็บอุปกรณ์ระบายสีทั้งหมดให้เข้าที่ ยุติงานของเอเคอร์โดยไม่บอกกล่าวพายจนคนตัวเล็กงงไปหมด
พอเก็บของเสร็จร่างสูงก็ย้ายไปนั่งบนเตียง เปิดทีวีช่องเคเบิ้ลที่กำลังฉายหนังที่พายบ่นว่าอยากดูเมื่อหลายวันก่อน พลางตบตักเป็นสัญญาณให้คนตัวเล็กขึ้นมานั่ง
“อ้าว แล้ว...งานของเอเคอร์ล่ะ”
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” ไวน์ยิ้มในแบบที่พายตีความหมายไม่ออก “เราบอกครูเอไปตรง ๆ เลยดีกว่าว่ามันมาขู่เรา ยังไงครูเอก็พอจะมีเส้นสายในโรงเรียนอยู่บ้าง น่าจะช่วยเราได้อยู่แล้ว”
“เอางั้นเหรอ” พายลังเล เขาไม่แน่ใจนักว่าเรื่องราวมันจะง่ายขนาดนั้น
“เชื่อฉันสิ ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานให้มันอีกต่อไปแล้ว”
พายเห็นไวน์ยิ้มกว้าง แม้จะรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน ดังนั้นเขาเลยเลิกคิดและเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเหมือนลูกแมวตัวเล็ก ๆ ปีนขึ้นไปหาไวน์ แทรกตัวลงระหว่างขา พิงหลังลงกับแผ่นอกของคนรัก ปล่อยให้ไวน์กอดตัวเองแน่นพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเราในขณะที่ดูหนังเรื่องโปรดของพายที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนโทรทัศน์
ทิ้งเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่น่าสงสัยไว้เบื้องหลัง
และไม่คิดที่จะหาคำตอบให้กับเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้อีกต่อไป
***************************
‘อันที่จริงดูเหมือนว่าดอพเพลแกงเกอร์จะเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอันตรายอย่างหนึ่งที่พึงระวัง
นั่นคือหากดอพเพลแกงเกอร์ได้รับแรงกระทบจากความอาฆาตแค้นและความพยาบาทจากเจ้าของ มันอาจจะทอดทิ้งคุณไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อปฏิบัติการบางอย่างด้วยตัวเองโดยที่คุณไม่รู้ตัว เช่น ออกไปก่อคดีต่างๆเพื่อแก้แค้นโดยอาศัยรูปลักษณ์ของคุณ และอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น หากมันไม่ไปก่อเรื่องด้วยตัวเอง แต่กลับยืมมือเจ้าของมาทำเสียเอง โดยบังคับให้เราคิดหรือทำอย่างที่มันต้องการโดยผิดวิสัยความเป็นตัวเราอย่างสิ้นเชิง…
นอกจากนั้น สักวัน ดอพเพลแกงเกอร์อาจจะอยากมีตัวตนเหมือนกับเจ้าของขึ้นมาก็ได้ ซึ่งจะทำอย่างงั้นมันก็ไม่ยากเลย ดอพเพลแกงเกอร์ก็แค่เข้าไปสวมรอยแทนเจ้าของ จากนั้นความทรงจำของเจ้าของจะกลายเป็นของมันทั้งความรู้สึกและการกระทำ
จนบางครั้งเจ้าของยังไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือตัวของเราจริง ๆ
หรือว่าเกิดจากการสวมรอยของดอพเพลแกงเกอร์กันแน่’
The End
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
แง้ แอบหลอนๆแล้วงี้ไวน์โดนครอบงำแล้วปะ สงสารน้องพาย จะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นไหมอะ :serius2:
-
:pig4: