พิมพ์หน้านี้ - ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: skylover☁ ที่ 21-10-2018 19:29:57

หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 21-10-2018 19:29:57
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) Intro : 21/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 21-10-2018 19:31:11
Finding the twilight
Intro
จุดจบและจุดเริ่มต้น
 ☼ ☽



ไม่เคยมีวันที่จันทราหรือสุริยาดับแสงไป


และถ้าหากมันหายไป เกรงว่าจะถึงวันสิ้นโลกแล้วเป็นแน่ หากโลกใบนี้ไร้ซึ่งแสงสว่าง แล้วมนุษย์จะมีความหวังอยู่ได้อย่างไร ยังดีที่วันนั้นยังมาไม่ถึง ทว่ายามนี้ ตำนานบทใหม่ที่ไม่มีใครรู้แม้แต่เทพสวรรค์ มันกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง การลืมตาของเด็กคนนั้นจะมาเปลี่ยนแปลงชีวิต…ของอีกคน


“แต่มันก็อยู่ที่พวกเขาจะเลือก”  และนี่อาจจะเป็นมนุษย์คู่แรกที่สวรรค์ไร้สิทธิ์ที่จะบงการ เทพแห่งโชคชะตานั้นพูดออกมาตามใจนึกคิด เพราะในยามนี้ไม่มีใครอยู่รอบกาย การตัดสินใจของเทพสวรรค์คู่หนึ่ง ได้ทำให้ขนบที่มีมาได้เปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลง จำต้องมีผู้เสียสละได้ลองสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเรื่องราวของพวกเขาต่างถูกจับตามอง


คนหนึ่งอยู่ที่ทิศตะวันตก
และอีกคนเฝ้ารอทางทิศตะวันออก


“รอให้เจ้านายของเจ้าโตอีกสักหน่อยค่อยไปหาเขาเถิดนะ”  เทพเจ้าผู้รับรู้ถึงชะตาชีวิตของทุกคนนั้นหันมาพูดกับเจ้าขนฟูสีน้ำตาลอ่อนซึ่งในบัดนี้เจ้านายของมันได้หนีไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล มันไม่พูดอะไร จริงๆแล้วมันไม่เคยพูดอะไรเลย แต่ท่าทางนิ่งสงบทำให้รู้ว่ามันยอมที่จะรอ


แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม…


ทว่าชะตาที่มิอาจจะถูกกำหนดได้นั้นก็ยังต้องไหวเอนไปตามชะตาที่ถูกกำหนดแล้วของผู้อื่น ในที่สุดเจ้าของอิสระแห่งโชคชะตาก็ต้องหลบหนีออกมาจากบ้านเกิดเมืองนอนโดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ เด็กน้อยยังอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษผู้หนึ่งที่ใจสลายไม่ต่างกัน ใบหน้าอ่อนเยาว์ยังคงหลับไม่รู้เรื่องราวทั้งๆที่ภายนอกมีแต่ความวุ่นวาย


“ท่านหมอ”  เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มที่โอบอุ้มเด็กน้อยไว้แนบอกต้องหันไปมองก่อนจะพยักหน้า พวกเราต้องเดินทางกันแล้ว พวกเราต้องไปให้ไกลจากที่นี่…


ไปให้ไกลจากบ้านเพื่อสร้างบ้านใหม่ของเรา


“เราจำต้องข้ามเขตแดน” 


“ท่านหมอ…จะไตร่ตรองอีกสักนิดมิดีกว่าหรือ” คนสนิทที่ติดตามมาได้ไถ่ถามออกไป การข้ามเขตแดนนั้นเท่ากับหลบหนีเข้าดินแดนของผู้อื่น ซึ่งการเป็นผู้ลี้ภัยนั้นจะมีสถานะที่เปราะบาง ลำพังแค่ผู้ใหญ่อย่างเราๆคงจะรับมือกันได้ แต่เด็กผู้นี้ที่เราต่างก็ทะนุถนอมพาออกมานี่เล่า หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างนี้ เท่ากับว่าที่ทำมาทั้งหมดนั้นไร้ความหมาย


“หากเรายังอยู่ที่นี่ต่อไปพวกนั้นก็จะตามเจอ”


“ก็จริงของท่าน”


“เราไม่มีเวลาเสี่ยงอีกต่อไปแล้ว”  ทิศตะวันออกคือความหวังของเราในยามนี้ หากไม่เร่งฝีเท้าไปแล้วคาดว่าจะไม่ทันการณ์ และหากว่าเด็กคนนี้ยังมีชะตาเกี่ยวพันกับโลกใบนี้อยู่ พวกเราจะต้องปลอดภัยแน่ หวังแค่เพียงสวรรค์จะไม่ใจร้าย กลั่นแกล้งเรา คนทรยศกันอีกต่อไป


เพราะต่อจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว เหล่าคนทรยศพวกนั้น…


ในอีกด้านหนึ่งของดินแดนทางทิศตะวันออก หรือที่ถูกเรียกว่า ‘สิหราชนครา’ แสงจันทร์ที่ส่องแสงลอดผ่านม่านภายในห้องนอนของพระโอรสองค์เดียวของอาณาจักรแห่งนี้ช่างสวยเกินไป สวยจนไม่อาจจะละสายตามองไปได้ ‘อคิราห์’ นั้นแม้จะซุกซนเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป แต่ยามใดที่พระจันทร์สดสวย ก็จะเอาแต่มองโดยไม่กล่าวอะไรกับผู้ใด เขาจะนิ่งเสียจนคนเป็นแม่ยังต้องหวั่นใจ


“อคิราห์ ลูกควรนอนได้แล้ว”  องค์ราชินีแห่งดินแดนนี้นั้นรู้สึกเป็นกังวลเสียมากกว่า อคิราห์ดูไม่เหมือนลูกชายของเธอในยามที่เหม่อมองดวงจันทร์ แต่เขาคิดอะไรอยู่นั้นก็ไม่มีใครรู้เลย


“เสด็จแม่ว่าพระจันทร์นั้นใหญ่มากไหม”


“ท่านราชครูได้สอนลูกไว้ว่าอย่างไร”


“ท่านบอกว่าดวงจันทร์อยู่แสนไกล”  และยังไม่มีมนุษย์ตนใดที่ไขว้คว้าดวงจันทร์กลับมาครอบครองได้


“ลูกชอบดวงจันทร์นัก”


“ลูกไม่ได้ชอบ” 


“ไฉนถึงเอาแต่จ้องตาไม่กระพริบเช่นนั้นเล่า” นั่นสินะ เพราะเหตุใดกัน?


“ลูกอยากได้”  เพราะอยากครอบครอง นี่คือความรู้สึกที่องค์ชายตัวน้อยเข้าใจในตอนนี้ พระองค์ยังคงเล็กนัก อาจจะแยกแยะสิ่งต่างๆไม่ได้มากมาย พระราชินีส่งส่ายพระพักต์ให้กับคำพูดเอาแต่ใจ แม้จะเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทรงได้ทุกอย่างที่หวัง แน่นอนว่ามันมีอย่างหนึ่งที่ไม่อาจจะไขว้คว้ามาได้


นั่นคือพระจันทร์…ที่ไม่เคยเป็นของใครเลย



Talk: จะบอกว่าแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาแทนเมื่อทินกรลับฟ้ายามจันทราดับแสง #อาทิตย์ศศิ  และขออนุญาตใช้แท้กเดิมนะคะ ถามว่าทำไมถึงแต่งใหม่ บอกตรงว่าลืมของเก่าไปหมดแล้วค่ะ ชื่อพระเอกก็ใช้ซ้ำกับอีกเรื่อง แต่มาคิดดูอีกที คำว่าอาทิตย์ทินกรมันยาวไป เราตัดได้ไหมถ้าใจเราต้องการ555 แต่ยังคงเก็บชื่อศศพินทุ์และชื่อเล่นศศิไว้เหมือนเดิม เราชอบความหมาย


เรามีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องไปค่อนข้างเยอะเลย ถ้าคนเคยอ่านอีกเรื่องอาจจะงง เอาเป็นว่าให้คิดเสียว่าอ่านเรื่องใหม่ไปเลยดีกว่าค่ะ บางทีพลอตที่ทำใหม่นี้อาจจะไม่ดราม่าเท่าของเดิมแล้วด้วย ในเล้าเป็ดนี้เราลบอันเก่าไปแย้วด้วย ._.


มาถึงบรรยากาศและฉากของเรื่อง จริงๆเรื่องนี้เป็นแฟนตาซีที่ไม่ได้โบราณจนเกินไปแต่ก็ไม่ได้เหมือนยุคปัจจุบันจนเกินไป ไม่ได้แต่งกายแบบฝรั่งจ้าหรือจีนจ้าหรือไทยจ้า บอกไม่ถูก55 เอาเป็นว่าถ้าวาดรูปมาได้จะเอามาให้ดูนะคะ แต่ถ้าสะดวกจะจินตนาการไปก่อนเลยก็ได้ค่ะ ก่อนหน้านี้ที่แต่งอันเดิม มีคนสงสัยว่าจะจบแบบแบดเอนด์ไหม คือเราไม่ใช่สายนั้น เลยยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ค่ะ แต่ในอนาคตเรื่องอื่นๆ ไม่แน่ อาจจะมาบอก แฮ่… (แต่คิดว่าไม่มีเพราะเป็นสายฟีลกู้ด ใจเราบางพอๆกับคนอ่านเลย)

ในส่วนของราชาศัพท์จะมีใช้บ้างนิดหน่อย ตอนแรกลังเลว่าจะใช้แบบเต็มอัตราเลยดีไหม แต่คิดไปคิดมามันจะอ่านยากไปเนาะ (และแต่งยากด้วย555)

#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri


หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) Intro : 21/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-10-2018 11:34:08
น่าติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 1 : 22/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 22-10-2018 20:06:43
Finding the twilight
1
การพบกันที่แปลกประหลาด
☼ ☽

จากวันนั้น เวลาก็ผ่านมาได้ 20 ปี


เด็กน้อยที่เคยเอ่ยคำชมพระจันทร์ก็ได้เติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่เต็มไปด้วยชื่อเสียงคำเยินยอมากมาย ทว่าสี่ตีนยังรู้พลาด ไฉนเลยคนที่ไม่ได้แม้แต่จะเป็นนักปราชญ์จะพลั้งพลาดบ้างไม่ได้


‘หวังว่าการเจรจาจะผ่านไปได้ด้วยดี’ และ ‘พ่อคาดหวังในตัวเจ้า’ ทำให้พระองค์ดั้นด้นมาจนถึงที่นี่…
เพื่อมาตาย…อย่างนี้?!?!!!!


หากได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่ออย่างไร้ศักดิ์ศรี อคิราห์คงไม่วางใจให้โจมตีได้ง่ายนัก แต่ในตอนนี้ท่ามกลางความมืดมิดของขุนเขาแถบชายแดนระหว่างสิหราชนคราและคีรีธารา มีเพียงเสียงร้องครางอันเจ็บปวดของตัวพระองค์เอง หรือนี่เราต้องเอาชีวิตที่ใครก็ว่ามันสูงค่ามาทิ้งไว้ในที่แห่งนี้อย่างเดียวดาย?


น่าแปลกที่ยังไม่รู้สำนึก เลือดในตัวยังคงร้อนเร่า หมายจะสู้ต่อแต่ร่างกายกลับต่อต้านความหวังในใจ วรกายสูงใหญ่นอนแผ่ไปกับพื้น แผลที่โดนฟันไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสมเพชตนเอง เป็นถึงว่าที่กษัตริย์แห่งดินแดนอันยิ่งใหญ่ ทว่ากลับมาแพ้ให้กับรอยแผลที่เล็กเช่นนี้  มันเล็กเท่ามีดบาดได้ แต่คาดว่าพิษ…ที่มากับคมดาบกำลังทำลายระบบภายใน และเช่นนี้มันทำให้ทรมานมากกว่า


พระจันทร์ในคืนนี้ช่างงดงามนัก อย่างน้อยแม้จะตาย เรื่องดีๆที่มีอยู่คือแสงจันทร์ที่ส่องลงมาเพื่อชี้นำแนวทางแก่ผู้คนยามอาทิตย์ลาลับนั้น ช่างสวยเหลือเกิน พระองค์เคยมีความฝันว่าอยากจะครอบครองความงดงามของเจ้าของแสงสีเรืองรองนั่น แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ มาวันนี้ที่กำลังจะตายก็ยังไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าตายแบบนี้ก็ไม่แย่ ไม่มีใครรู้ แต่พระจันทร์ก็จ้องมองกันอยู่


แม้การจ้องมองอยู่เฉยๆนั้นมันจะเย็นชากับพระองค์มากก็ตาม


“สำหรับคนเป็นนั้นคงเป็นไปไม่ได้สินะ”  แล้วคนตายเล่าจะได้ไหม?


คำถามนี้พระจันทร์ ก็ไม่ตอบอยู่ดี…


ทว่าไม่ไกลจากผืนป่าที่ใครบางคนได้สลบไสลไปแล้วนั้น มีใครอีกคนที่กำลังตื่นตัวอยู่กับสถานการณ์รอบด้านอยู่  มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่? เด็กหนุ่มในชุดสีดำที่มีไว้เพื่อพรางตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นนั้นลอบมองจากบนต้นไม้ใหญ่


ป่าในยามวิกาลเช่นนี้ไม่สมควรจะมีมนุษย์เดินอยู่เลย ทว่าวันนี้นอกจากตนเองที่เป็นมนุษย์เพียงหนึ่งคนที่มักจะหาเรื่องออกมาตามหาสมุนไพรแปลกๆแล้ว ยังได้เห็นว่ามีเพื่อนร่วมทางวุ่นวายกันไปมาอยู่ข้างล่างมากมายไม่ใช่สิ คนพวกนั้นไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นใครก็ไม่รู้ ดูน่ากลัว และไม่น่าทักทาย


“แล้วอย่างนี้จะได้ลงไปเมื่อไหร่กัน”  คนตัวเล็กเฝ้าถามตนเองเบาๆ จริงๆก็อยากจะให้เจ้าขนฟูในอ้อมกอดเข้าใจ จะได้ไม่หาเรื่องวุ่นวายให้กัน จนต้องปีนขึ้นมาบนต้นไม้แบบนี้ คนตัวเล็กหน้ามุ่ย เพราะเจ้าตัวปัญหานี่เชียว ที่ไม่รู้ปีนขึ้นมาบนต้นไม้ได้อย่างไร ด้วยเป็นห่วงจึงปีนขึ้นตามมา และก็ลงไม่ได้อย่างที่เห็น


แต่จะโทษว่าเพราะมันก็คงไม่ได้ อาจจะต้องขอบคุณเสียด้วยซ้ำเพราะที่ยังปลอดภัยอยู่นี่ก็เพราะไม่มีใครมองมาข้างบน คนพวกนั้นไม่ได้ดูเป็นคนดีเลย การหลบหนีไม่พบเจอย่อมดูปลอดภัยกว่า แต่นี่ก็เป็นชั่วโมงจนผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ได้ลง


“ไปกันแล้ว”  น่าจะปลอดภัยแล้ว อ้อมกอดเล็กนั้นค่อยๆประคองอุ้มเจ้าตัวเล็ก แต่มันช่างรู้ดีขึ้นไปเกาะที่ไหล่กันราวกับเป็นกระรอก ไม่ใช่ ‘กระต่าย’ อย่างนั้น หลังจากค่อยๆปีนลงมาได้อย่างปลอดภัย ตอนที่กำลังจะเอาเจ้ากระต่ายใส่ไว้ในย่าม มันก็กระโดดลงกับพื้นและวิ่งหนีหายไปเสียอีก ให้ตายเถิด!


ในยามที่มืดมิดแบบนี้ ตนกลับมีดวงตาที่สามารถมองทางได้ดีกว่าคนอื่นนัก ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ที่มีดวงจันทร์สาดส่อง ก็ยิ่งสามารถมองได้ถึงสิ่งกีดขวางต่างๆ โดยลืมถึงอันตรายที่อาจจะพบเจอ เจ้าของกระต่ายได้ตามมันไป ในใจนึกก่นด่าอยากทำโทษมันนัก แต่ในความเป็นจริงเมื่อจับได้ก็คงจับมาโอ๋จนเสียนิสัยอยู่ดี


คราวนี้ต้องเล่นไม่แข็งบ้างแล้ว คงต้องขู่เสียบ้างว่าจะจับเอามาย่างเป็นกระต่ายปิ้งสักที ทำอย่างนี้เสียปกครองหมด ก็รู้หรอกว่าในบรรดาทุกคนในครอบครัว ตนนั้นจัดอยู่ในกลุ่มคนอายุน้อยที่สุด แต่กับกระต่ายตัวเดียวก็ยังให้ความเคารพกันไม่ได้หรืออย่างไร!


“รอด้วยสิ”  ทำไมกับแค่กระต่ายตัวนิดเดียวถึงตามได้ยากเย็นอย่างนี้นะ นี่เรามาไกลแค่ไหนแล้วเชียว แม้จะจดจำผืนป่านี้ได้ดี แต่ลึกกว่านี้ก็จะไม่คุ้นเคยแล้วนะ!


กึก..


“อะ…โอ้ย!!”  ร่างเล็กที่วิ่งตามเจ้ากระต่ายเลี้ยงไม่เชื่องนั้นสะดุดล้มลงกับพื้น ซุ่มซ่ามเสียจริง ถ้ากระต่ายมันหัวเราะได้ มันคงหัวเราะเยาะจนฟันหลุดร่วงไปแล้ว!เจ้าของกระต่ายที่นึกหงุดหงิดตัวเองไม่น้อย ค่อยๆประคองตัวจะลุกขึ้น พลันสายตาที่มองได้ดีในความมืดใต้แสงจันทร์ก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติ


ใต้ร่างของตน…


“ท่าน…” ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูด เรียก หรืออย่างไรดี เดิมทีที่ล้มลงมาก็คาดว่าตัวเองน่าจะเจ็บตัวกว่านี้ ทว่าตนกลับทับอยู่บนร่างของใครบางคนที่ไม่ขยับกายหรือส่งเสียงแห่งความเจ็บปวดเพราะแรงกระแทก เมื่อรู้ตัว แทนที่จะลุกขึ้น ก็กลับเสียมารยาทสัมผัสเขาไปทั่วเพื่อตรวจสอบลมหายใจและชีพจร ในความมืดมิดนี้เพียงรับรู้ได้แค่ว่าเขาคือบุรุษร่างสูงที่ร่างกายดูจะหนากว่าตนไม่น้อย


พวกนั้น…


พลันเลือดในกายก็เย็นเหยียบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ความวุ่นวายเมื่อครู่นั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเขาคนนี้?ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ความลังเลมีอยู่มากมาย การช่วยเหลือคนสำหรับ ‘หมอ’ คนหนึ่งแล้ว ไม่อาจจะเลือกคนไข้ได้ แต่ก็กังวลเรื่องความปลอดภัยหลังจากนี้ ทว่าคิดอะไรได้ไม่นาน บุคคลที่อยู่ใต้ร่างก็ขยับตัว เขานิ่วหน้าก่อนจะลืมตาขึ้นมา


และได้เอ่ยออกมาว่า…


“พระจันทร์”


“…”


“ท่านงดงามจริงๆด้วย”  แม้มันอาจจะเป็นคำละเมอของเสี้ยวลมหายใจสุดท้ายของมนุษย์คนหนึ่ง


แต่หมอผู้ซุ่มซ่ามผู้นี้ก็ตัดสินใจจะลองยื้อชีวิตเขาแล้ว!


ทว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักที่จะช่วยกันในสภาพนี้ เมื่อมองจากขนาดตัวแล้ว อาจจะต้องใช้แรงกายมากเสียหน่อยที่จะฉุดลากให้ไปนอนในที่ที่มีอะไรคุ้มหัว และเมื่อลากเขามาถึงในถ้ำใกล้ๆนั้นได้ราวกับปาฏิหาริย์คนร่างบางก็แทบจะหมดแรงตายแทนไปเสียตรงนั้น แต่ท่านหมอตัวน้อยก็ไม่ละเลยหน้าที่ เริ่มสำรวจอาการคนป่วยในทันที ยามนี้คนที่หลุดคำละเมอไม่เหลือแล้วซึ่งสติที่จะกู้กลับมาคุยเพื่อไถ่ถามอาการ


“ยังพอช่วยได้”  เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง ยังพอช่วยได้จริงๆ แต่หากช้ากว่านี้ ต่อให้มีอุปกรณ์การรักษาเพียบพร้อมก็มิอาจจะยื้อไว้ได้!


มือเล็กนั้นสัมผัสไปที่แผ่นอกแกร่ง อาศัยแสงสว่างจากตะเกียงในการตรวจดู ปากแผลเริ่มจะกลายเป็นสีดำเหมือนผิวหนังไหม้ กลิ่นคาวที่มีกลิ่นพิษบางอย่างเจือจางลอยกระทบจมูก ริมฝีปากคล้ำซีดลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังของเขาเริ่มจะกลายเป็นสีโปร่งใสเห็นเส้นเลือดสีคล้ำชัดเจน ทราบแล้วว่านี่คือพิษตัวไหน


สวรรค์อาจจะลิขิตให้ได้มาพบเจอในวันนี้ก็เป็นได้ เพราะยาพิษชนิดนี้จำต้องใช้สมุนไพรเฉพาะตัวเพื่อการรักษา ซึ่งปกติตนก็ไม่ได้มีถือครองไว้หรอก ทว่าเผอิญวันนี้ต้องออกเดินทางมาเพื่อเก็บตุนมันกลับไปที่สำนักพยาบาลอยู่แล้ว ในตอนนี้จึงมีมันอยู่พอดี!


“นะ..หนาว”  คนตัวเล็กสะดุ้ง หลังจากรักษาด้วยสมุนไพร ด้วยรู้ว่าสักพักเขาจะต้องเกิดอาการเหน็บหนาวเป็นแน่ จึงได้เร่งมือในการก่อฟืน และเสียงฟ้าผ่าที่ด้านนอกถ้ำทำให้รู้ว่าอากาศจะยิ่งหนาวเย็นขึ้นไปอีก ต่อให้ร่างกายสูงใหญ่แค่ไหนแต่เมื่อได้ต้องพิษร้ายแรงเข้าไปก็มิอาจจะฝืนทนได้เหมือนปกติ แม้แต่ตนเองในยามนี้ก็ยังรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา


ดวงตากลมมองเจ้าขนฟูที่เข้าไปซุกอยู่กับคนไข้ของตน มันเองก็คงจะหนาวและต้องการความอบอุ่นเช่นกัน หรือไฟที่ก่อไว้จะไม่เพียงพอกันนะ ร่างเล็กบางของท่านหมอที่ไม่ได้มีอุปกรณ์ยังชีพสำหรับค้างคืนในป่าพยายามคิดหาวิธี ตนมีเพียงผ้าคลุมผืนหนึ่งที่จะห่มกาย มันก็อาจจะยาวพอที่จะห่มช่วงบนของคนสองคนอยู่หรอก


“อดทนหน่อยนะ”  แม้พูดไปก็อาจจะไม่รับรู้ แต่ก็ได้ทำเต็มที่แล้ว คนตัวเล็กกางผ้าคลุมผืนบางคลุมช่วงอกของเขาเอาไว้ ก่อนที่จะสอดตัวเข้าไปนอนใต้ผ้าผืนเดียวกันโดยพยายามเว้นระยะห่าง และในขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับไป


ร่างของตนก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นราวกับเปลวไฟจากผิวกายคนข้างๆ


“ท่าน”


“…”  เขายังดูหนาวสั่น ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความทรมานจากพิษที่กำลังต่อต้านตัวยาของสมุนไพรที่เข้าไปทำลายการทำงานของมัน ร่างกายนี้จะฟื้นฟูและกลับมาเป็นปกติแน่ แค่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ก็เท่านั้นเอง ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นเช่นนี้แล้วจากคนป่วยเพียงหนึ่ง เราอาจจะมีเพิ่มมาเป็นสอง


“เอาเถิด”  เจ้าของดวงตากลมโตค่อยๆปิดการทำงาน นี่เป็นเรื่องสุดวิสัย ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่มีอะไรให้เลือกมากหรอก ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นอกจากคนป่วยจะทรมานจากความหนาวเหน็บแล้ว ตัวหมอเองอาจจะล้มด้วยอีกคน อีกทั้งการรับความร้อนจากตัวคนไข้


ก็ไม่ได้ถูกระบุว่าผิดจรรยาบรรณแพทย์ตรงไหนด้วย?

☼ ☽

“อืม”  ไม่น่าเชื่อว่าริมฝีปากนั้นยังเปล่งเสียงร้องออกมาได้อีก เหมือนกับว่าพระองค์ได้นอนหลับไปนานมากๆ นานจนแทบจะจำตัวตนและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไม่ได้ ความพร่ามัวทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ที่นี่ที่ไหนกันนะ สวรรค์หรือโลกมนุษย์กันแน่หลังจากครุ่นคิด ก็พยายามปรับสายตาให้เข้าที่เพื่อมองดูรอบๆ


และก็พบว่าที่ด้านขวาของร่างกาย มีใครบางคนกำลังซุกตัวอยู่


“เฮ้ย!”  การที่อยู่ๆมีคนมานอนข้าง ทำให้สะดุ้งผละออกมาสุดตัวจนลืมเจ็บ


ทว่าธรรมชาติก็เรียกร้องให้จดจำความเจ็บปวดขึ้นมาได้ หลังจากผละออกมาก็ต้องร้องครวญครางไปเพราะความเจ็บแสน ร่างที่นอนขดอยู่ข้างๆเมื่อครู่นั้นก็สะดุ้งตื่นและผละออกจากกัน พระองค์ยังคงใส่ใจกับอาการเจ็บปวดของกาย จนไม่ทันได้ดูใบหน้าของอีกฝ่ายให้ดี ร่างบางที่เคยได้ชิดใกล้นั้นเมื่อได้ยินเสียงร้องก็ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบเข้ามาใกล้เพื่อดูปากแผล


“อย่าขยับตัวแรง ท่านยังไม่ฟื้นตัวดี”


“อา…” 


“อาจจะเหลือแผลเป็นนิดหน่อยไว้ดูต่างหน้า แต่ข้าจะพยายามให้ยารักษาเพื่อให้มันหายดี”  ผิวกายของพระองค์ก็ไม่ได้ขาวเรียบเนียนผุดผ่องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นครั้งหนึ่งในอดีตนั้นเคยมีวรกายขาวผ่องงดงาม แต่เพราะการฝึกฝนการต่อสู้ ทำให้ร่างกายมีแผลเป็นติดกายอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจข้อเสนอนี่นัก


“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”


“เป็นข้าลากท่านมา”เมื่อความทรงจำเริ่มกลับคืนมาบ้าง อคิราห์ก็จำได้ว่าพระองค์ทรงล้มตัวลงนอนกับพื้นป่าใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ ไม่ใช่ถ้ำแบบนี้ และอีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่ากันนี่หรือที่ลากเข้ามา ทั้งๆที่การลากผู้ชายตัวโตขนาดนี้เข้ามาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยจริงๆ


“เจ้าเป็นใคร”


“ข้าเป็นแค่หมอที่ผ่านมา”  เจ้าของร่างเล็กที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตานั้นตอบคำถามหนึ่ง “แล้วท่านเล่า คือผู้ล่าหรือถูกล่า”  และถามกลับคำถามหนึ่ง


“ผู้ถูกล่า” จริงๆมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ในยามนี้ถือเป็นผู้ถูกล่า ในเมื่อเหลือเพียงแค่พระองค์ กับศัตรูที่มีมากกว่าสิบ อคิราห์นั้น ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้ไหว ดังนั้นสถานภาพตัวเองยังคงชัดเจนให้หงุดหงิดใจ 


การหนีเอาตัวรอดไม่ใช่หนทางที่อคิราห์อยากเลือก แต่พระองค์ก็ไม่อาจจะปล่อยให้ชีวิตสูญเปล่าไปได้ ทั้งนี้น่าแปลกนักที่เด็กหนุ่มซึ่งแลดูอายุน้อยผู้นี้จะเรียกตัวเองว่าเป็นหมอ และสามารถทำการรักษาพิษยากๆแบบนี้


แม้จะไม่ใช่หมอ แต่ก็ร่ำเรียนมาหลายแขนงวิชา และพิษที่น่าจะเป็นของคีรีธาราชนิดนี้ ก็ยังไม่เคยปรากฏวิธีรักษาให้หาย ความระแวงก่อกำเนิดขึ้นในใจ ทรงจ้องมองผู้ที่ใจดีรักษาตนอย่างครุ่นคิด เวลาตายไม่คอยใคร แม้จะเจ็บหนักแต่พระองค์ก็ไม่อาจจะกักเก็บความระแวงเอาไว้ได้


“อย่ามองข้า”  กระแสเสียงที่มีแต่ความไม่มั่นใจทำให้พระองค์หลุดออกจากมิติแห่งความคิด เมื่อพิศดีๆ เจ้าของยารักษาพิษนั้นก็พยายามจะหลบเลี่ยงไม่ให้มองหน้าอยู่จริง แต่พระองค์ก็เห็นแล้ว จะว่าเขินอายก็ไม่น่าใช่ เมื่อพิจารณาให้ดีก็จะพบได้ว่านั่นไม่ใช่อาการเขินอายแต่อย่างใด


ทว่ามันคือการทำตัวไม่ถูกยามถูกจ้องหน้า
เพราะใบหน้านั้น…ไม่ได้ดูน่ามองแต่อย่างใด


“….”


“ท่านจำเป็นต้องพักผ่อน”  คนตัวเล็กกล่าวแค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและหันหลังให้กัน นี่เป็นการพบกันระหว่างคนแปลกหน้าที่แปลกไม่ใช่น้อย แปลก…


เป็นการเริ่มต้นที่แปลก…เลยทีเดียว


การรักษาได้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งเข้าคืนที่ 3 มันอาจจะเป็นการเริ่มที่แปลกไปสักหน่อย แต่อคิราห์ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ทรงเจ็บหนักเช่นนี้ แล้วจะไปคาดหวังว่าตนเองจะเยียวยาอะไรตัวเองได้ อย่างน้อย คนๆนี้ก็ช่วยมายื้อชีวิตที่เคยเกือบสั้นจนน่าใจหายของพระองค์


เป็น ‘ท่านหมอ’ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตั้งแต่รักษา หาที่พัก นอกจากนั้นยังหาของกินมาให้ถึงที่ ตอนนี้พระองค์จึงยังมีชีวิตที่ค่อนไปทางสุขสบาย และตามประสาคนถูกตามล่าที่บาดเจ็บและกำลังหลงทางอยู่กลางป่าใหญ่ รอบด้านยังไม่มีอะไรที่ดูน่าสงสัย แต่ไม่แปลกหรอกที่จะระแวงและสงสัยไว้ก่อน


“เหตุใดจึงถูกตามล่า ท่านบอกข้าได้หรือไม่” 


“…”  พระองค์ทรงเงียบไปเมื่อถูกไต่ถาม ท่านหมอผู้อ่อนเยาว์ผู้นี้ฝีมือดีเกินคาด จากที่เกือบได้ไปเหยียบปรโลกมาจนตอนนี้ กับสภาพที่กินผลไม้ได้ตามปกติ พระองค์ถือว่าตนเองฟื้นตัวเร็วอย่างผิดปกตินัก


“ข้าเพียงแค่ถามไปเรื่อย อย่าใส่ใจเลย”  จริงๆแล้วท่านหมออาจจะมีความเคลือบแคลงอยู่ในใจไม่น้อย จะมีหมอสักกี่คนที่รักษาและช่วยดูอาการอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ทรงจ้องมองเด็กหนุ่มในชุดดำที่กำลังจัดการกับกองไฟ จริงๆจะจากไปเลยก็ย่อมได้ แต่ก็ยังอยู่ดูอาการให้  ทั้งๆที่ก็ยังกลัวว่าจะช่วยชีวิตคนผิดอยู่ก็ตาม


“เกรงว่าข้าเองก็บอกไม่ได้เช่นกัน”  ในทุกๆเรื่อง จะว่าอีกฝ่ายไม่ไว้ใจกัน พระองค์ก็หาได้ไว้ใจท่านหมอผู้นี้ แม้ 3 วันที่อยู่ด้วยกัน สิ่งที่อีกคนทำให้มีเพียงแค่ความหวังดี แต่เกมการเมืองที่ได้รู้จักมาตลอดชีวิต หลายครั้งคือการทำให้วางใจเพื่อลอบแทงทีหลัง และครั้งนี้ก็อาจจะไม่ต่างกันก็เป็นได้


  “คาดว่าในวันพรุ่งท่านอาจจะหาย ถึงยังใช้กำลังหนักมากไม่ได้ แต่ค่อยๆเดิน คงจะพอได้อยู่”


“ตอนนี้เราอยู่ในเขตของคีรีธาราใช่หรือไม่”


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”  และนั่นมันทำให้พระองค์รู้สึกยุ่งยากใจไม่น้อย กลายเป็นองค์ชายตกยากที่ถูกลอบทำร้ายไม่พอ ตัวเองอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ ไม่ได้สังเกตเลยว่าใบหน้าที่ดูไม่พอใจนั้นทำให้อีกคนรู้สึกไม่ดี ทั้งๆที่นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านหมอเลย


“บ้านช่องท่านเล่า?”  เมื่อรู้ตัวว่าใบหน้าดุขรึมของตนทำให้ใครบางคนสลดก็เลยเปลี่ยนเรื่องถาม แต่ก็ยังวนเวียนกับทิศทางอยู่นั่น แต่มันก็น่าคิด ว่าหมอคนหนึ่งจะซื่อบื้อขนาดช่วยคนจนหลงทางเองได้อย่างนั้นหรือ!?!


“อยู่ในเขตใกล้ชายแดนของสิหราชนครา”  แล้วเช่นนี้จะกลับอย่างไร คงเป็นคำถามที่คนป่วยตัวใหญ่อยากจะถามออกไป คนตัวเล็กเลยรีบตอบวิธีของตน “ข้าพอจะรู้เรื่องดาวนำทาง”


“ดาวนำทาง?”ใช่แล้ว..ดาวนำทาง


มันมีศาสตร์นี้อยู่จริง แต่เพราะพระองค์หาใช่นักเดินทางจึงไม่คุ้นเคย ดูจากสภาพของคนตัวเล็กที่มาช่วยกัน ก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงเป็นหมอที่ออกเดินทางในป่าบ่อย พบเจอเรื่องไม่คาดฝันมาก็คงจะเยอะแยะ จึงอาจจะคุ้นชินกับศาสตร์ชนิดนี้ แต่ถ้าเกิดเป็นพวกของศัตรูและกำลังตั้งใจจะลวงพระองค์ไปติดกับดักเล่า ตัวแค่นี้ทำอะไรกันไม่ได้แน่ แต่หลอกล่อไปก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ยังคงมองอีกฝ่ายอย่างหวั่นระแวง แต่ก็ยังหนักใจเรื่องที่ต้องหาทางไปเช่นกัน


“ทำไมเจ้าถึงรักษาพิษนี้ได้”


“หืม”


“มันเป็นพิษ…ชาดสีดำของคีรีธาราไม่ใช่หรือ”  ชาดสีดำ เป็นพิษที่แรกเริ่มจะเป็นสีชาด แต่เมื่อโดนหยดเลือดจะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำท่ามกลางสีแดงฉานของเลือด บาดแผลของพระองค์ก็มีสีดำ และเพราะฤทธิ์ที่เข้าทำลายระบบร่างกายของมันทำให้ทรงสงสัยว่าจะเป็นพิษนี้


อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่พิษที่หาได้ทั่วไปแม้แต่ในเมืองของคีรีธาราเอง มีการใช้ไม่แพร่หลายนัก การรักษาจึงไม่มีบอกชัดเจน ดังนั้นการที่อีกฝ่ายรักษาได้โดยง่าย มันจึงทำให้พระองค์หวนคิดได้ว่าหากเป็นคนปรุงพิษก็คงจะรักษาพิษได้เช่นกัน


“เป็นความโชคดีของข้าที่ออกตามหาสมุนไพรที่ใช้รักษาพิษนี้อยู่พอดี”


“แปลว่าท่านก็รู้อยู่แล้วถึงวิธีรักษา”


“ข้าได้รับการสั่งสอนมาจากอาจารย์”  คำตอบที่ดูเหมือนจะตรงไปตรงมาแต่ก็ทำให้สับสน ที่สับสนคงจะเพราะการแสดงออกนั้นมันดูไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยม แต่พระองค์ก็พยายามยัดเยียดข้อสงสัยต่างๆให้คนตรงหน้าอยู่ดี มันจะเป็นเพราะอคติ หรืออะไรกันนะ


สายตาคมที่มองมานั้นไม่ได้ดูเป็นมิตรแม้แต่น้อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ เขาก็ไม่ใช่คนแรกหรอกที่มองกันแบบนี้ตั้งแต่แรกเห็น และไม่อาจจะถือโทษโกรธอะไรเขาด้วยเพราะมันเสียเวลา และความรู้สึกของตัวเองคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุด


“…”  อาจจะเพราะใบหน้าของตนนั้นมีตำหนิใหญ่ที่มักจะสร้างศัตรูในคราแรกที่ได้พบอยู่บ้าง เพราะปานสีดำแดงที่กินพื้นที่ช่วงเหนือคิ้วขวาลงไปถึงข้างแก้มเหมือนเสี้ยวพระจันทร์ซึ่งมีมาตั้งแต่เด็ก ไม่แปลกเลยที่จะทำให้คนอื่นตกใจกลัวได้ คนแปลกหน้าที่ช่วยไว้ เมื่อตื่นมาเห็น เขาก็ผละออกไปในทันที ใบหน้ายามนั้น…ดูหวาดกลัวราวกับอยู่ต่อหน้าภูตผีก็ไม่ปาน


แต่จริงแล้วหาใช่ภูตผีที่จะสะใจเมื่อได้หลอกคนอื่นสำเร็จได้ และเพราะเป็นมนุษย์นั่นแล จึงต้องใช้เวลาปรับการทำงานของความรู้สึกเสียหน่อย ก่อนจะตัดใจและจัดหมวดหมู่ของคนไข้คนนี้ไม่ให้คำพูดหรือการแสดงออกของเขามีผลต่อจิตใจ การที่ต้องช่วยงานท่านอาจารย์หมอมาแต่เด็ก ทำให้ตนได้พบผู้คนมากมาย และเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้ ที่รออยู่คือ…


รอให้หัวใจชินชาเสียที


“โอ้ย!”ทว่ายังไม่ทันตั้งจิตทำใจอะไร เสียงร้องของคนป่วยก็เรียกกันจากภวังค์ สัญชาตญาณหมอเหมือนถูกปลุก คนตัวบางแทบจะถลาเข้ามาดู แต่กลับกลายเป็นว่า…


“เจ้าขนฟู!!” แล้วไปแง๊บมือเขาทำไมกันนะ!


คราวนี้แทนที่จะถลาไปดูแลคนป่วย กลายเป็นว่าต้องถลาไปคว้าเจ้ากระต่ายจอมหาเรื่องมาไว้กับตัวแทน ไม่เห็นขนาดแขนของเขาเลยหรือ?! สามารถหักคอเจ้าได้ในพริบตาเชียวนะ!


“อยากถูกจับย่างใช่ไหม!”  เอาแล้วไง! พิสูจน์ได้เลยว่ายาที่รักษาไปดีแค่ไหน คนป่วยตอนนี้ลุกขึ้น แทบจะกระโดดมาหักคอทั้งกระต่ายและเจ้าของกระต่ายแล้ว!


“มันก็แค่คันฟันนิดหน่อยเท่านั้นเอง!” นี่ไม่ได้ช่วยเขาไม่ให้ตาย เพื่อมาตายเองหรอกนะ!


“ไม่ได้กินเนื้อมาหลายวัน ข้าจะจับกระต่ายของเจ้าย่างซะ”  ฮือออออออออออออ คิดอะไรอยู่กันนะตอนนั้นไม่น่าไปช่วยยักษ์มารใจร้ายตนนี้เลย!!!!!


“อย่าทำกระต่ายของข้า!”


“เป็นเจ้าที่ไม่รู้จักดูแลสั่งสอนมันให้ดี!”  อันนี้ก็พอจะรู้ว่ามันนะชอบหาเรื่อง


แต่อย่างเสียงดังใส่กันได้ไหม…


“ฮึก”


“…”  ดูเหมือนว่าวันนี้


ก็คงต้องกินผลไม้ต่อไปอยู่ดี


“ฮึก”  ไม่ใช่เพราะเป็นคนดีที่จับกระต่ายหักคอกินไม่ได้ แต่เจ้าของกระต่ายไม่มีทางยอม  หากนี่คือคนของศัตรูแล้วก็ เรียกว่าหาทางที่แยบยลมาปราบกันได้จริงๆ แววตาของเจ้าของกระต่ายแดงก่ำคลอหยาดน้ำ ช้อนตามองกันอย่างตัดพ้อ


 มันไม่ได้น่ากลัวหรอก แต่เช่นนี้ให้เอามีดมาฟันกันให้ตายไปอีกรอบยังดีเสียกว่า


“เจ้า…”


“อย่ามายุ่งกับกระต่ายของข้า!”  ดูมองค้อนเข้าสิ คิดว่าแค่นี้จะทำให้ทรงเจ็บปวดหรือ? ไม่… ก็ไม่ได้เจ็บปวดหรอก


แค่รับมือ…ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่


“…”  ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ก็ไม่เคยรับมือกับคนอายุน้อยกว่าได้ดีจึงพยายามเลี่ยงคนที่ดูอ่อนแอไม่ทนไม้ทนมือมาตลอด


“ข้ารู้ว่าทำให้ท่านไม่ชอบใจ”  ก็ใช่ ไม่ชอบใจจริงๆที่เจ้ากระต่ายนี่มากัดกันไม่รู้จักเวล่ำเวลา “แต่ท่านไม่ชอบข้าก็อย่ามาระบายกับกระต่ายของข้าได้ไหม”  หืม…


ข้านะหรือ ไม่ชอบเจ้า?


คนตัวเล็กเกือบระบายความรู้สึกลำบากใจออกมาหมด ก็รู้ว่าตนเองน่าเกลียดน่ากลัว แต่ทนหน่อยเพื่อตัวเองไม่ได้หรืออย่างไรพรุ่งนี้ก็จะไม่อยู่ให้เห็นหน้าแล้ว ทีนี้ก็ไม่ต้องอดทนมองหน้าตาอัปลักษณ์นี่ให้หงุดหงิดหัวใจอีกต่อไป กับกระต่ายนี่ มันจะไปรู้เรื่องอะไรที่ไหน ไม่ชอบใจกันก็อย่าพาลกับสัตว์ตัวเล็กๆที่ไม่มีทางสู้สิ!


“ข้าไม่ยุ่งกับกระต่ายของเจ้าแล้ว”  เป็นพระองค์ที่ถอยทัพและกลับไปนั่งที่เดิม เจ้าของกระต่ายมองทุกอากัปกิริยาของเขาให้มั่นใจว่าเจ้าขนฟูจะปลอดภัย ก่อนจะปาดน้ำตาที่ไหลคลอน่ารำคาญนี่ น่าหงุดหงิดจริงๆ ที่ต้องมาติดอยู่ด้วยกันแบบไร้ทางเลือก เพราะไอ้ตอนที่เลือกได้


ก็ดันเลือกทางผิดมาแต่แรก!




Talk:  เป็นการเริ่มต้นที่ดีของคู่นี้ เรื่องนีคิดว่าคงไม่กี่ตอนก็คงจบนะคะ เราหวังไว้เช่นนั้น เปิดมาตอนแรกก็ดำเนินเรื่องอย่างไวเลย ทะเลาะกันตั้งแต่ตอนแรกแล้วจะไปกันรอดไหมรูกกกกกกกกกกกกกก แต่ไม่เป็นไร ทุบไปทุบมาก็รักกันได้เองแหละ เราหวังว่าเช่นนั้น5555 อย่าเพิ่งต่อว่าพระเอกของเราเลยค่ะ นั่งเฉยๆน้องก็กลัวแล้ว แต่นางทำอะไรน้องไม่ได้หรอก แค่นั่งเฉยๆก็โดนกัดได้แบบนี้จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำศศิได้กันล่ะ จริงไหม

ในส่วนความถี่ของการลงเรื่องนี้ เอาเป็นว่าค่อยๆดูกันไปก่อนได้ไหม ช่วงนี้หยุดยาวเราก็พอจะมีเวลาบ้างอยู่นะ แฮะๆ






หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 1 : 22/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-10-2018 21:52:07
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 1 : 22/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-10-2018 01:46:46
เริ่มมาก็จะตีกันแล้ววว 555555555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 1 : 22/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-10-2018 08:57:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 1 : 22/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 04-11-2018 14:01:17
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 2 : 11/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 08-11-2018 21:05:09
Finding the twilight
2
ตกกระไดพลอยโจน
☼ ☽




“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ทำอะไรกับกระต่ายของเจ้าแล้ว!”  เป็นพระองค์ที่ทนไม่ไหวต้องพูดออกมา นอกจากทำคนร้องไห้เก่งแต่โอ๋ไม่ได้ เรื่องโน้มน้าวให้คนที่เคยร้องไห้เลิกมึนตึง ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่


นี่หรือคนที่องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราส่งไปเจรจาเพื่อให้เกิดความปรองดอง
คงทำได้ดีจริงๆถึงได้ถูกไล่ฆ่าและต้องมาง้องอนคนที่หลงป่าเหมือนกันในตอนนี้


“…”


“มานอนตรงนี้ได้แล้ว ผ้านี่ก็ผ้าของเจ้า”  ทำไมถึงเป็นเด็กแบบนี้กันนะ ไม่พอใจอะไรจะอยู่ห่างแค่ไหนก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรแสร้งแสดงว่าห่วงใยและสละผ้าคลุมให้พระองค์ห่ม ส่วนตัวเองไปอยู่เสียไกลแสนเช่นนั้น


“ท่านป่วยอยู่”พระองค์เป็นคนป่วยในระยะที่คล้ายปกติมาก และตอนปกติก็ไม่ใช่คนขี้หนาวอะไร สิหราชนครามีอากาศที่เย็น พระองค์ย่อมปรับตัวได้ แต่อีกคนที่อยู่ในสภาพปกติกว่ากลับสั่นหงกๆนั่นแหละที่น่าห่วง สั่น…ทั้งคนและกระต่ายเลย



“ข้าบอกว่าจะไม่ทำอะไรกระต่ายเจ้าแล้ว”  ทรงตรัสออกไปมากกว่าสิบครั้งในวันนี้


“…”


“แต่เริ่มจะโกรธเด็กดื้อด้านอย่างเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว”


“ข้าไม่ใช่เด็กดื้อด้าน”


“คนที่งอนอย่างไร้เหตุผลนะหรือไม่ใช่เด็ก”


“…”


“หากเป็นผู้ใหญ่เพียงพอคงจะไม่ทำความลำบากให้ตัวเองเป็นแน่”  ดูเหมือนอคิราห์ จะจับจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของกันได้


ร่างสูงของคนป่วยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาก้าวไปหาท่านหมอกระต่ายที่นั่งอีกมุมหนึ่งก่อนจะคลุมผ้าและแยกออกมานั่งที่เดิม กอดอกและหลับตาลง จุดอ่อนที่เผลอจี้อาจจะทำให้เกิดอาการขุ่นเคือง แต่ก็ไม่คิดจะง้องอนอะไรเพราะที่พูดไปก็ตั้งใจจะสะกิดแผลใจ คงมีบ้างที่อีกฝ่ายต้องโดนปรามาสในฝีมือเพราะความเยาว์วัย พระองค์ก็แค่คิดและลองตรัสดู ไหนเลยจะมั่นใจว่าคำพูดนั้นจะจริง


เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาเรื่อยๆทำให้พระองค์ต้องรีบสะกดริมฝีปากที่กำลังจะหยักยิ้ม ท่านหมอตัวน้อยคลุมผ้าให้คืนเหมือนเดิมก่อนจะสอดตัวมานอนข้างๆ และมันอาจจะเป็นเหมือนเดิม เมื่อหลับไปสักพัก เราก็จะเขยิบหากันโดยไม่รู้ตัว อคิราห์ก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้นัก ความใกล้ชิด รังแต่จะทำให้อึดอัด แต่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ก็คือห้ามเลือก และพระองค์ก็ไม่เย็นชาจนปล่อยให้คนที่ดูบอบบางกว่าต้องป่วยไข้ได้ลงคอ


และเช้าแห่งการจากลาก็มาถึง


ท่านหมอที่เคยตัดพ้อในความโหดเหี้ยมของคนที่จะหักคอกระต่ายของตนนั้นใจดีกว่าที่คิด  เสื้อของพระองค์นั้นขาดเพราะถูกลอบฟันแทงมาก็เย็บปะให้ วันนี้อคิราห์จะได้กลับมาใส่อาภรณ์ของตนเสียที หลังจากที่ต้องเปลือยอกอยู่หลายวันเพื่อรักษา นิ้วมือเรียวเล็กของท่านหมอนั้นสัมผัสไปบนแผ่นอกที่แผลสมานดีแล้วในตอนนี้


จะว่าไปเจ้าตัวก็ดูคล้ายกระต่ายของตนเอง บางทีก็กระฟัดกระเฟียดใส่ บางทีก็ทำตาใสน่าเอ็นดู


“แผลของท่านดูดีขึ้นทีเดียว”  และถูกมองอยู่อย่างนี้ก็ยังไม่รู้ตัว เป็นกระต่ายที่รู้สึกช้า มาถึงตรงนี้อคิราห์ก็ตระหนักได้ถึงความใกล้ชิด ทว่าการกระทำที่ละลาบละล้วงของกระต่ายดื้อตนนี้ ไม่ได้มีแววแห่งความเสน่หาแบบที่พระองค์เคยเจอจากคนอื่นที่พยายามเข้าใกล้อยู่เลย


น่าแปลกที่ตนเองก็ไม่นึกรังเกียจที่ถูกลูบไล้
กลับกัน…ดันเอาเวลาไปคิดซะได้ว่ามือของอีกฝ่ายดูเล็ก บอบบาง และนิ่มนวล


“ว่าแต่เจ้าจะไปที่แห่งใด”


“กลับไปที่ค่าย ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงข้าแล้ว”  เพราะเอาแต่ใจสนใจคนป่วย ก็เลยแทบจะลืมไปเลยว่าหายไปหลายวัน เช่นนี้อาจารย์คงเป็นห่วงมาก ก่อนออกมาก็ไม่ได้บอกก่อนว่าจะไปนานขนาดนี้ และก็ไม่เคยไปไหนนานขนาดนี้มาก่อนด้วย


“ค่าย…ค่ายอะไร?”


“…”


“ข้าก็ไม่ได้หวังให้เจ้าบอกหรอก แต่อยากให้รู้ไว้ว่ากับคนที่หวังดีช่วยเหลือกัน ไม่มีเหตุผลให้ข้าตามไปทำร้ายเลย”  นี่คือความจริง แม้จะไม่ไว้ใจ แต่เท่าที่รู้จักกันมา ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ได้โหดเหี้ยมอะไรขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นจะทนกินผลไม้ ทั้งๆที่กระต่ายน่าตายนอนอยู่ข้างๆมาหลายคืนเช่นนี้ไปทำไม!?


“ค่ายที่ชายแดนของสิหราชนครา ที่ด่านชายแดนทิศตะวันตกที่ 2” เป็นอคิราห์ที่ต้องแปลกใจ ที่นั่นคือสถานที่ที่พระองค์คิดจะไปเช่นกัน ว่าแต่ท่านหมอผู้นี้มาจากที่นั่นงั้นหรือ ก็เป็นไปได้ เพราะพระองค์ก็ถูกลอบทำร้ายที่ชายแดนฝั่งคีรีธารา ไม่ไกลจากด่านนั้นของฝั่งสิหราชนคราเลย


“แล้วเจ้าไปถูกหรือ?”


“ข้าต้องลองดู แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”


“…”


“งั้นเรามาแยกกันตรงนี้เถิด”


และคนใจดีที่แสนเย็นชาก็ไม่ปล่อยให้พระองค์ได้เอ่ยคำว่า ‘ไปด้วยกันเถอะ’ ออกมา


ทรงรู้สึกเหมือนชาไปหมดหลังจากได้ยินอย่างนั้น คนตัวเล็กนั้นหันไปจัดการกับสัมภาระของตัวเองและกองไฟที่มอดแล้ว เก็บกวาดเพื่อไม่ให้ใครที่ตามมารู้ได้ว่าตรงนี้เคยมีร่องรอยของคนอยู่ อคิราห์เพียงหันไปมองอีกฝ่ายที่ยุ่งอยู่กับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมา พระองค์ก็ไร้แผนการเช่นกัน แต่การอยู่ต่อไปก็ไม่ทำให้อะไรดีๆเกิดขึ้น


การพบเจอกันอย่างฉาบฉวยมันเป็นอย่างนี้เอง สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็อาจจะเป็นแค่หมอธรรมดาที่หวังดีต่อมนุษย์คนหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนและ 4 วัน 3 คืนที่อยู่ด้วยกันตลอดนั้น มันได้สร้างความผูกพันไม่มากก็น้อยเอาไว้ เมื่อทรงเสด็จออกมาจนพ้น ก็ตระหนักได้ว่าคืนนี้จะไม่มีใครให้เถียงหรือโวยวายใส่ ใจมันก็พาลจะ…รู้สึกแปลกๆอยู่ไม่น้อย


“เฮ้ย! ทางนั้น”  เสียงที่ดังออกมาทำให้หยุดคิดเรื่องหนึ่งเพื่อตั้งรับอีกเรื่องให้ดี ทรงรีบหลบและแอบมองสถานการณ์ที่เป็นไป ดูเหมือนว่าอันตรายกำลังจะเข้ามาใกล้ตัว จำนวนศัตรูยังไม่แน่ชัด ทางหนีที่ควรไป…ก็ยังไม่รู้ พระองค์อาจจะมีกำลังพอที่จะสู้ได้ แต่คนเดียวโดยไร้อาวุธรคงยาก และหากถามว่าอยู่คนเดียวทำอะไรได้ไหม


ในหัวก็พลันคิดถึงอีกคนขึ้นมา


“บ้าเอ้ย!”  ทรงไม่รอช้าหวนกลับไปทางที่เดินมาโดยไม่ได้จัดการกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดีๆ เป็นครั้งแรกที่ประมาทขนาดนี้ แต่ต้องรีบไปแล้ว แม้จะไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกันกับพวกนั้นก็ตาม


“ท่าน!”  เจ้าของกระต่ายนั้นเดินออกมาถึงปากถ้ำ มองร่างสูงที่ตนสั่งห้ามไม่ให้วิ่งหรือออกแรงเกินไปด้วยแววตาเป็นกังวลระคนขุ่นเคืองใจ แต่ยังไม่ได้ต่อว่าอะไร เขาก็คว้ามือของตนเอาไว้


“พวกมันมาถึงนี่แล้วและคงจะตามมาถึงในไม่ช้า”


“พวกมัน? เอ๊ะ! พวกที่ตามล่าท่านนะหรือ?!”  แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่ ไม่หรอก…เกี่ยวหรือไม่พวกมันก็ไม่น่าหวังดีต่อสิ่งมีชีวิตที่พูดภาษาเดียวกัน และเมื่อมองให้ดี แม้ท่านหมอผู้นี้จะมีปานบนใบหน้าแลดูประหลาด แต่เรือนร่างที่อรชรดูงดงามนี่ก็อาจจะดึงดูดความสนใจของพวกเลวทรามนั่นได้


แล้วเราจะหนีไปทางไหนกัน???


“เจ้าขนฟู!”  ยังไม่ทันจะนึกออก เจ้าตัวแสบที่น่าจะหักคอเสียเมื่อวานก็กระโดดลงจากย่ามและเข้าไปในถ้ำ ตอนนี้ต่อให้ควรจะรักตัวกลัวตาย เจ้าของกระต่ายก็ไม่ฟังคำทัดทานใดๆและวิ่งตามเข้าไป บ้าจริงๆ! เป็นเช่นนี้พระองค์ก็จะต้องตามเข้าไปด้วยน่ะสิ!


เจ้าขนฟูตัวเล็กที่ไม่ควรจะเร็วกว่ามนุษย์ทั้งสองกลับเร็วใจหาย หากสุดถ้ำนี้เป็นทางตัน ก็เท่ากับเราเอาชีวิตมาทิ้งไว้แบบไร้ซึ่งความหวังจริงๆ  อคิราห์นั้นรีบคว้าท่านหมอเอาไว้ แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามจะคว้าเจ้าขนฟูที่หนีลอดเข้าไปในช่องแคบๆที่มนุษย์ไม่อาจจะเข้าไปได้


“มันอันตรายนะ ทางตันแบบนี้”


“แต่เจ้าขนฟู!”


“เจ้านั่นไม่เป็นอะไรหรอก เจ้ากับข้านะสิ!”  มันก็จริง แต่เราก็คงออกไปไม่ได้แล้วอยู่ดี เพราะเป็นไปได้เหลือเกินว่าอันตรายกำลังจะคืบคลานมา อคิราห์มองไปรอบๆ รู้สึกหมดหวังแต่ก็พยายามสร้างความหวังให้ตนอยู่เสมอ หากจะมีช่องให้หลบซ่อนหรืออาวุธอะไรที่พอจะต้านทานไว้ได้ก็คงจะดี


มันต้องมีสักทางที่ทำอะไรได้บ้างสิ!


“หืม”  แต่แล้วอยู่ๆท่านหมอน้อยก็ส่งเสียงร้องออกมา ก้อนหินรูปทรงไม่เข้าพวกตรงนั้นช่างสะดุดตา พลันความคิดที่เหลือเชื่อก็แล่นเข้ามาในหัว ที่นี่อาจจะเป็นสถานที่แห่งนั้นก็เป็นได้!


“อะไรหรือ”  อคิราห์นั้นเอ่ยถามหลังจากเห็นคนตัวเล็กนิ่งไป เจ้าตัวเพียงกวักเรียกให้เข้าไปหาโดยไม่ได้ตอบ แต่การกระทำชัดเจนดี มือเล็กนั้นพยายามดันก้อนหินนั้นไปทางด้านหลังสุดกำลัง


ครืน!


“นี่มัน!”  ไม่นาน… ผนังด้านหนึ่งของถ้ำที่ดูเหมือนจะเป็นทางตันก็เปิดออก เจ้าของกระต่ายพยักหน้าให้เดินเข้าไปด้วยกัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร” แม้จะเห็นความหวังตรงหน้า แต่ก็ทรงมีคำถาม


“ข้าแค่มีความหวัง”  หากมองโดยรวมแล้วถ้ำนี้ก็ดูไม่ได้แตกต่างจากถ้ำไหนๆ แต่อาจจะเพราะความหวังที่จะมีชีวิตรอดกระมัง ที่ทำให้สวรรค์ประทาน ‘ถ้ำลวงตา’ มาให้ 


ถ้ำลวงตา…ที่เป็นความเชื่อมาเนิ่นนานว่ามีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนแผ่นดินนี้


อคิราห์จ้องมองกันไม่วางตา เกิดคำถามมากมายแต่ไม่ได้ตรัสถามออกไป ไฉนถึงรู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ทั้งๆที่เมื่อครู่ก็จนตรอกเช่นกัน และเมื่อเข้ามา อีกฝ่ายก็หาทางปิดมันได้จากอีกฝั่ง ทว่าเมื่อไถ่ถามไป ก็ไม่ตอบให้ชัดเจน


แต่จะบอกว่าคิดร้ายต่อกันก็เอ่ยไม่ได้เต็มปาก มีหรือที่รู้ว่าพรรคพวกอยู่ไม่ไกลแล้วจะพาเดินหนีเข้ามาในถ้ำแบบนี้ พระองค์ยังคงยืนยันว่าแค่ตัวคนเดียวเอาชนะพระองค์ไม่ได้แน่นอน แต่ปริศนาของอีกฝ่ายก็มีเยอะเกินไป เยอะจนปลุกต่อมระแวงให้กลับมาทำงานอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง


“ท่านอาจารย์ของข้าเคยเล่าว่ามันมี”


“…”


“ข้าเองก็เพิ่งได้เห็นกับตา”


“แล้วอาจารย์ของเจ้าได้บอกไหมว่าทางนี้จะพาเราไปไหน” และที่สำคัญจะมีอะไรดักรอกันอยู่หรือเปล่า?


“ข้างหน้าจะเป็นป่าใกล้ๆกับเมืองชายแดนของสีหราชนครา”  เจ้าของกระต่ายนั้นหยุดคิดเล็กน้อย “อาจจะต้องเดินเท้าเป็นวันๆกว่าจะถึงค่ายที่ท่านอชิระดูแลอยู่”


“ท่านอชิระ? ท่านแม่ทัพนะหรือ?”


“ท่านรู้จักท่านแม่ทัพอชิระด้วยหรือ?”  นั่นเป็นคำถามของพระองค์ชายต่อพสกนิกรคนหนึ่งใช่หรือไม่ พระองค์ย่อมรู้จักอยู่แล้ว ว่าแต่พสกนิกรคนหนึ่งตรงนี้เล่า เหตุใดจึงย้อนถาม? อ่อ…เพราะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของพระองค์สินะ


“เป็นญาติกันน่ะ”  นี่ไม่ใช่คำลวง แต่อีกฝ่ายกลับหรี่ตามอง ไม่เชื่อในคำโป้ปด ก็เป็นญาติจริงๆนี่ น้องชายคนเล็กของพ่อถือว่าเป็นอาใช่ไหม “เอาเป็นว่าข้ารู้จัก”  เลยตัดปัญหาไป ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ถือว่าไม่ได้โป้ปดออกไป


“พูดให้ข้าฟังมันก็ดีอยู่หรอก ท่านอชิระไม่ใจดีนัก หากทราบเข้า ท่านจะลำบาก”


“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”คำพูดของท่านหมอทำให้พระองค์นึกขัน ก็จริงว่าเสด็จอาอชิระนั้นหาใช่คนใจดีนัก แต่กับพระองค์ที่เป็นหลานชายแล้วก็พอจะใจดีด้วยอยู่ ทว่าคำถามนี้กลับทำให้คนที่เหมือนกระต่ายอีกตัวสะดุ้งโหยง


“กะ…ก็ ข้าช่วยชีวิตท่านไง”  ก็จริง ถ้าช่วยให้ไม่ตายแล้ว ก็ไม่สมควรตายง่ายๆเหมือนปลาหมอตายเพราะปาก พระองค์ควรตระหนักในความหวังดีนี้แล้วเลิกหยอกล้อไปซะ เพราะแค่นี้…ท่านหมอก็อยากจะกุมขมับจะแย่!


เราสองคนเลือกที่จะเดินต่อ แม้ไม่แน่ใจว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร คาดว่าต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงปากถ้ำ ภายในก็มืดมิด จึงต้องใช้ตะเกียงอันเล็กที่มีอยู่ จากที่เคยได้ยิน ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงอาจจะถึงจุดหมาย แต่ต้องใช้เวลาในการเดินเข้าไปในหมู่บ้านอีกสักพัก


ในที่สุดอคิราห์ก็มีภาพแผนที่ชายแดนขึ้นมาในหัว พื้นที่ตรงนี้ควรจะเปราะบาง ทว่าที่ไม่มีทหารคุ้มกันฝั่งที่เราเข้ามาเพราะลักษณะที่เป็นปราการธรรมชาติ ภูเขาอันสูงชันทำให้คนของสองแผ่นดินไม่สามารถใช้เส้นทางเดินเขาในการลักลอบผ่านเข้าออกไปมาได้ แต่ถ้ามีคนรู้ว่ามันมีทางเข้าจากในถ้ำที่พวกเราใช้นี้ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เลยทีเดียว


และในตอนนี้ว่าที่กษัตริย์แห่งสิหราชนคราก็ตั้งใจที่จะส่งคนมาคุ้มกันพื้นที่นี้แบบลับๆ


เราหลงทางกันไปไกลจากค่ายที่แม่ทัพอชิระดูแลอยู่พอสมควรเลย และต้องเป็นคนแบบไหนกันที่จะบอกให้ท่านหมอผู้นี้รู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่อันตรายเช่นนี้ได้ อคิราห์หมายมั่นในใจ ว่าจะต้องไปเจออาจารย์ของท่านหมอน้อยผู้นี้ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย การเจอกันกับคนเล็กๆคนหนึ่ง อาจจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ระดับความมั่นคงได้จริงๆ


“ท่านเหนื่อยไหม”  อยู่ๆคนตัวเล็กก็พูดขึ้น เรามีแค่แสงนำทางเล็กน้อย ในถ้ำที่แทบไม่มีแสงลอดผ่าน อาการที่ร้อนจนเหงื่อซึมหน้าทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี


“ข้ายังไหว”


“ข้ามีน้ำกับเสบียงอยู่บ้าง เรากินก่อนก็ได้นะ”จริงๆแล้วพระองค์ยังทนไหวจริงๆ และก็พอจะรู้ว่าเสบียงนั้นไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่


“เจ้าพอจะทราบไหมว่าเราต้องเดินอีกไกลไหม”


“ข้าเพียงได้ยินว่าเส้นทางไม่ซับซ้อน เดินไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงปากถ้ำแล้ว”


“งั้นเจ้ากินไปแต่พอดี”


“ข้าบอกให้ท่านกิน”


“ถ้าข้าไม่ไหวข้าจะกิน” หลังจากตรัสออกไปก็ทรงเงียบไปชั่วครู่ “แต่ถ้าเจ้าไม่ไหว ข้าก็คงแบกออกไปไม่ไหวเช่นกัน”  ในความมืด ทรงพระสรวลออกมา ด้วยเคยฝึกฝนร่างกายมาจึงพอรู้ลำดับขีดสุดที่รับไหว แม้จะยังไม่แข็งแรงพอแต่ก็ทรงประมาณตนเองได้ดี มีแต่อีกคนนั่นแหละ ผอมบางราวกับจะปลิวได้เช่นนี้ จะทนไหวหรือ?


“ข้ายังไม่หิว”  คนตัวเล็กเอ่ยออกมา  “เราควรหาทางออกให้ได้เร็วที่สุดค่อยกิน”  เพราะไม่มีใครรู้จริงๆว่าทางออกจริงๆอยู่ตรงไหน การเสียเสบียงไปอย่างไม่รอบคอบอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ในภายหลัง อคิราห์เพียงรับทราบ แต่สุดท้ายเราก็ตกลงจะดื่มน้ำกันคนละนิดหน่อยให้พอเยียวยาความแห้งผากของลำคอพวกเราเดินทางกันต่อด้วยไม่อยากให้ถึงปากทางในยามค่ำมืด ต่อให้ไปถึงจุดหมายแล้วก็ยังต้องระวังภัย อาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่ปลายทาง


เจ้าของกระต่ายนั้นเดินมานาน น่ากลัวว่าตอนนี้ก็คงจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ละย่างก้าวแลดูช้าลง ทว่าไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหรือเอ่ยปากขอ พระองค์ไม่ได้เสนอความช่วยเหลือใดๆ เพียงแค่สังเกตเด็กคนนี้เรื่อยๆ


“ข้าเหมือนเห็นแสงสว่างที่ด้านหน้า” อคิราห์เอ่ย ท่านหมอน้อยที่เดินตามกันมานั้นเงยหน้าขึ้นมามอง คนตัวสูงอาจจะไม่เห็น แต่เจ้าตัวยิ้มร่าด้วยปลื้มปิติ  “อย่าผลีผลามเข้าไป เราต้องดูให้แน่ใจว่าข้างหน้าไม่มีอะไร”  ทรงเอ่ยเตือน คนตัวบางจึงพยักหน้าตอบรับ หลบเลี่ยงการเดินตรงและติดตามเขาไปในทุกย่างก้าว


“ตรงนั้นมีเด็กนี่”  พระองค์ก็เห็นตามนั้น พิจารณาได้ว่ามันคงไม่มีอะไร แต่จะให้เดินออกไป อาจจะทำให้เด็กพวกนั้นตกใจกลัว ทว่ายังไม่ทันตอบตัวเองได้…


เจ้าของกระต่ายก็ถลาเข้าไปหาเด็กพวกนั้นเสียแล้ว!!!


“ธีระ นั่นเจ้าใช่ไหม!” ยังไม่ทันได้สั่งห้าม ท่านหมอที่ดูไม่ได้โตกว่าเด็กพวกนั้นสักเท่าไหร่ก็เรียกได้แม้แต่ชื่อ พระองค์ทรงดูซื่อบื้อไปเลย!


“พี่ศศิ!พี่ศศิใช่หรือไม่!”  เด็กคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงเรียกนั้นทิ้งดาบไม้ของตนและหันมาขานรับก่อนจะวิ่งมาหา ต่อให้ตอนนี้มีคนลอบสังหาร ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วในเมื่อเล่นวิ่งไปเอาธนูมาปักอกเองเสียอย่างนั้น ทรงเสด็จตามเจ้าของกระต่ายที่ป่วนเก่งไม่แพ้กัน ดูท่าจะเป็นบุคคลยอดนิยมในหมู่เด็กๆไม่น้อย เพราะเรียกคนหนึ่ง อีกหลายคนก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบ


“โล่งอกไปที ในที่สุดข้าก็กลับมาได้”


“ท่านอาหมอใหญ่โกรธท่านมาก มาคราวนี้ท่านต้องโดนอดขนมเป็นแน่!”  นี่หรือวิธีการทำโทษเด็กที่หายออกจากบ้านไปหลายวันของคนแถวนี้ อคิราห์ที่เดินตามมานั้นรู้สึกประหลาดใจไปกับทุกสิ่งตั้งแต่เช้ามา และคนเป็นพี่ก็โวยวายออกมาหลังจากได้ยินเช่นนั้นการงดขนมคงจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆของท่านหมอตัวเล็กผู้นี้


“ท่านพาใครมาด้วยหรือ?”  เด็กคนหนึ่งที่สังเกตเห็นกันนั้นเอ่ยถาม “เอ๋!ไหนพี่ศศิบอกว่ายังไม่มีคนรักอย่างไรเล่า!” แล้วมันกลายเป็นข้อสันนิษฐานเช่นนี้ได้อย่างไร?! บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าหลอกลวงหันขวับ ก่อนจะรีบปฏิเสธโดยพลันว่าไม่ใช่ แทนที่จะสร้างความลำบากใจให้กับพระองค์ที่ถูกกล่าวหาร่วมด้วย เรื่องนี้กลับดูน่าขำขันเสียมากกว่า


“ท่านขำอะไร มันไม่ใช่ไง!”


“ก็เพราะว่ามันไม่ใช่อย่างไร ข้าถึงได้ขำ”  จะให้พระองค์พูดได้อย่างไรว่าท่าทีแข็งขันที่จะปฏิเสธคำกล่าวหาของท่านหมอนั้นมันน่าขำมากกว่า แต่เมื่อทรงตรัสคำลวงออกมา นัยน์ตาของคนได้ฟังก็พลันหม่นแสงไปชั่วครู่ หรือนี่อคิราห์ทำอะไรผิดลงไปอีก?


“ไม่เป็นไรนะศศิ เจ้าอาจจะขี้เหร่ไปเสียหน่อย แต่ถ้ารอได้ เมื่อข้าโตแล้วจะไปขอรับผิดชอบเจ้ากับท่านอาหมอใหญ่เอง”  แล้วหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นก็เอ่ยออกมา เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะน้อยๆจากคนที่ซึมไปเพียงครู่ทันที ทว่าสิ่งหนึ่งได้สะกิดใจพระองค์เข้าอย่างจัง…


หน้าตาขี้เหร่งั้นหรือ?


เราได้ออกมาจากถ้ำกับกลุ่มเด็กที่จะไม่ยอมแยกไปจากพี่ศศิของพวกเขา อคิราห์นั้นไม่ต่างจากก้างขวางคอ จะว่าไปพระองค์ก็เพิ่งได้รู้ว่าท่านหมอที่ดูแลกันอยู่หลายวันมีชื่อที่ดูไพเราะไม่น้อย ‘ศศิ’แปลว่าพระจันทร์ หรือที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะปานที่ดูคล้ายพระจันทร์เสี้ยวบนใบหน้า?


“ท่านลุง อยู่ไหมจ้ะ”  ศศิเรียกหาใครสักคนในกระท่อมหลังจากที่เราเดินกันมาจนจะเข้าเขตหมู่บ้าน


“ศศิ นั่นเจ้าหรือ!?”เจ้าของกระท่อมที่น่าจะเป็นคนที่ถูกเรียกหานั้นเดินออกมา ท่าทางดูตื่นตกใจไม่น้อย


“เป็นข้าเอง ได้เจอคนรู้จักมากมายเช่นนี้ รู้สึกสบายใจนัก” 


“เจ้าหายไปไหนมา ท่านอาจารย์หมอของเจ้านั้นร้อนรนไม่น้อย”


“ข้าบังเอิญช่วยท่านผู้นี้ในป่า ดูอาการเขาสักพักจึงออกมา เดี๋ยวก็จะรีบออกเดินทางไปที่ค่ายแล้ว ท่านอาจารย์คงอยู่ที่นั่น”


“ศศิ” ใบหน้าของท่านลุงคู่สนทนาดูลำบากใจไม่น้อย ยิ่งศศิยิ้มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกรับมือกับความรู้สึกได้ยาก “ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกตินัก” คำพูดนี้เรียกความสนใจจากอคิราห์จนต้องหันมามองหน้าคนพูดเต็มตา ทรงอยากเดินเข้าไปถามเองว่ามันเกิดอะไร แต่ก็ยับยั้งชั่งใจ เลือกที่จะเป็นผู้ฟังอยู่ด้านหลังคนที่ร้อนใจไม่แพ้กัน


“เกิดอะไรขึ้นหรือ”  ดวงตาของคนถูกถามหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากตอบออกมา


“ได้ยินว่ามีเจ้าหน้าที่ของทางเมืองหลวงมาเสริมทัพตามหาคนสำคัญ แต่มีคนภายในบอกว่าเหล่าองครักษ์ที่มานั้นขึ้นตรงกับเจ้าณรงค์ชัย”


“เจ้าณรงค์ชัย?”  ชื่อนั้นดังก้องในพระทัย เจ้าณรงค์ชัยนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระมารดา มีศักดิ์เป็นลุงของพระองค์


กับญาติผู้ใหญ่ผู้นั้น ก็มีความสัมพันธ์กันประมาณหนึ่ง แต่การที่องครักษ์ของเจ้าณรงค์ชัยที่เป็นอธิบดีการค้ามาที่นี่เพื่อตามหาคนสำคัญ มันฟังดูแปลกประหลาดไม่น้อย ยิ่งหากถ้าคนสำคัญคืออคิราห์ที่หายไปด้วยแล้ว คนที่ควรจะออกตามหา ไม่น่าจะเป็นคนของลุง แต่ควรจะเป็นองครักษ์หลวงหรือของพระองค์เองมากกว่า


“เป็นเจ้าณรงค์ชัยที่คอยช่วยเหลือคีรีเขตนั่นไง อาจารย์เจ้าไม่เคยเล่าให้ฟังเลยหรือ” ท่านลุงผู้นั้นถามกลับไปยังศศิ แต่คนตัวเล็กเพียงเงียบและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คำกล่าวหานั้นช่างรุนแรงนัก แต่แทนที่จะออกตัวไป อคิราห์เลือกที่จะเงียบและเรียบเรียงคำถามต่อในใจ


เจ้าณรงค์ชัยเป็นอะไรกับคีรีธารา?
แล้วอาจารย์ของศศิคือใคร เหตุใดถึงรู้?
และศศิกับคนที่นี่ทำไม…ถึงดูระแวงกันเช่นนี้?


“ตอนนี้ท่านอาจารย์ ไปอยู่ไหนแล้ว”


“คาดว่าคงหลบหนีไปแล้ว”


“…”


“เจ้าพอจะรู้บ้างหรือไม่ว่าท่านไปที่ไหน”


“ไม่รู้เลย”  ศศิเงียบลง ดูเหม่อลอยไร้ซึ่งทิศทางไปต่อ อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้คงคิดอะไรอยู่ และอาจจะมีบางเรื่องที่รู้ แต่บอกใครไม่ได้เช่นกัน


“แม้แต่แถวนี้ก็ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเจ้านัก หากจะให้แนะนำ เจ้าควรปลอมตัวและหลบหนีไปสักพัก เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ค่อยกลับมาจะดีกว่า”  สำหรับคนฟังแล้วนั้น วิธีนี้แลดูจะดีกว่าจริงๆ แต่ตอนนี้…ข้อมูลที่ได้รับมานั้นมันมากเกินไปแล้ว ศศิไม่อาจจะรับฟังได้อีก และร่างทั้งร่างก็เหมือนไม่เป็นของตนเองอีกต่อไป


“เจ้า!”  แม้แต่เสียงเรียกสุดท้ายของอคิราห์ที่มาด้วยกันจะได้สดับรังฟังหรือไม่ก็ไม่รู้เลย


เพราะตอนนี้ศศิได้สิ้นสติอยู่ในอ้อมพระอุระของพระองค์แล้ว…




Talk:  ไม่ได้มาต่อนานมากมาย แต่อยากให้รู้ไว้ว่าเราไม่ได้เทนะคะ หนีไปแต่งค่ะ แต่งเก็บไว้หลายๆตอน อยากจะปล่อยแบบรวดๆๆเหมือนกันแต่ก็ทำไม่ได้ เอาเป็นว่าเอาตอนนี้มาปล่อยไว้ให้ทราบกันก่อนนะคะว่ายังต่ออยู่ไม่หายไป

จริงๆเราแต่งไปสิบกว่าตอนแล้วค่ะ เทไม่ไหว เทไม่ลงจริงๆ แต่ที่ไม่ลงเนี่ย เพราะมันอาจจะมีการปรับนั่นนี่ตลอด เลยไม่กล้าลงไปแต่งไป จะได้แก้ไขก่อนเปิดให้อ่านเนอะ

ยังไงฝากน้องกระต่ายของเราด้วย ทิศทางเรื่องจะเป็นดินแดนสองดินแดนในโลกที่เกือบเหมือนโลกของเรา5555 คือบางเรื่องบางส่วนมันอาจจะไม่ได้สมกับเป็นวิทยาศาสตร์ที่เรารู้จักกันเท่าไหร่ แต่ไม่ได้เมจิเคิลอะไรขนาดนั้น หากมีคำถามอะไรสามารถทิ้งไว้ได้นะคะ เราจะไปตอบหรือไม่ก็มาอธิบายในทอล์ก


ฝากน้องวินแอนด์ตอนพิเศษในเจนไม่นกด้วยเด้อ


#อาทิตย์ศศิ
Twitter @reallyuri
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 2 : 11/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-11-2018 23:12:12
เราก็สงสัยเหมือนกับอคิราห์เลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 2 : 11/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-11-2018 10:25:01
ศศิเป็นลูกของใคร
แล้วคุณลุงของอคิราห์มาเกี่ยวอะไร  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 3 : 1/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 01-12-2018 19:12:35
Finding the twilight
3
เมียคนสวย
☼ ☽


มันก็ไม่เหมือนกับว่าโลกได้ถล่มทลายลงมาข้างหน้าหรอก
แต่ศศิก็ไร้แรงเดิน


“อืม” 


“ฟื้นแล้วหรือ”  เสียงของชายหนุ่มที่เคยได้รับการรักษาจากคุณหมอผู้มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอผู้นี้ ศศิรับรู้แล้วว่าตนได้เป็นลมสลบลงไป และก็คงเป็นเขาที่ให้การช่วยเหลืออุ้มพามานอนดีๆ เพราะบริเวณนั้นคนที่พอจะมีกำลังวังชาทำเช่นนั้นได้ก็คงมีแค่เขาคนเดียว


“ข้าหลับไปนานไหม”  เวลาคือสิ่งสำคัญ แม้จะยังคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่…บางทีนี่ก็อาจจะช้าไปเสียแล้ว


“ค่อยๆลุก”  คนป่วยที่ฝืนตัวเองทำให้ต้องเอ่ยเตือนออกไป “ไม่นานหรอก แต่นี่ก็มืดแล้ว”


“ข้า…ต้องรีบไปที่ค่าย”


“เจ้าจะไปจริงๆนะหรือ”ทั้งๆที่คนตักเตือนไว้อย่างนั้น “มันไม่อันตรายสำหรับเจ้าอย่างนั้นหรือ”  ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย แต่การทำเป็นพูดเหมือนรู้ดี ก็อาจจะทำให้รู้ขึ้นมาได้จริงๆ


“บางทีท่านอาจารย์ของข้าอาจจะอยู่แถวนั้น”


“แต่ทุกคนบอกว่าเขาไปแล้ว”


“…”


“คิดให้ดีๆก่อน”  มันก็ถูกอย่างที่เขาว่า แต่อาจารย์ของศศิ ไม่ได้มีที่ไปมากมายนักหรอก ที่คิดได้ก็มีอยู่ที่เดียว แต่จะให้วางใจก็อยากไปให้เห็นกับตา แต่กว่าจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ถ้าไม่ไปยิ่งแล้วใหญ่ ในตอนนี้ศศิไม่มีใคร และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรด้วยซ้ำ


“ข้าแค่ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน”ในที่สุดก็เลือกที่จะสารภาพความจริง “อยู่ที่นี่ก็อาจจะทำให้คนแถวนี้มีภัยตามไปด้วย”


คำสารภาพนี้ทำให้งงอยู่บ้าง ศศิอ่านดวงดาวออก เท่ากับว่าจะต้องมีประสบการณ์การเดินทาง ไฉนเลยถึงบอกกันว่าไม่รู้จะไปไหนทั้งๆที่ควรจะไปมาหมดแล้วหลายที่ กับเส้นทางที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกก็ยังพาพระองค์ไปมาแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย


“คิดไม่ออกบ้างเลยหรือ เจ้าอาจจะไปหาญาติ หรือไปที่เมืองอื่น”คนตัวเล็กส่ายหัวจนผมปอยผมยาวๆนั้นปลิว


ศศิไม่มีที่เช่นนั้นหรอก เพราะตลอดมาก็มีแค่เข้าป่าเก็บสมุนไพรและก็อยู่ในหมู่บ้านแถบนี้ไม่เคยไปไหน ญาติพี่น้องที่เมืองอื่นย่อมไม่มี ที่สนิทสนมเลี้ยงดูกันมา ทุกคนล้วนรวมตัวอยู่ด้วยกัน และตอนนี้ก็ไม่รู้ ว่าทุกๆคนเป็นอย่างไรบ้าง ที่เมืองนี้ไม่มีหมอด้วย หากพวกเราไม่อยู่ แล้วใครจะช่วยดูแลชาวบ้านที่เจ็บไข้แค่คิดดังนั้น น้ำตาก็ไหลออกมา


“นี่…”  พระองค์ทรงเอ่ยเรียก ไม่ถนัดในเรื่องน้ำตาของเด็กคนนี้เอาเสียเลย  “ที่เขาพูดกันมาว่าเจ้าไม่ควรกลับไป มันอันตรายมากเลยหรือ”


“คงเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด ทราบแค่ว่าเราไม่ควรจะเข้าใกล้กับพวกคนที่หนุนหลังรัฐบาลไหนๆของคีรีธารา”  น่าแปลก กับแค่มนุษย์ตัวน้อยๆที่อยู่ชายแดนของอาณาจักร ทำไมถึงต้องมานั่งกังวลเรื่องการเมืองอันลึกล้ำนี้ด้วย  “พ่อแม่ของข้าตายไปแล้ว ท่านอาจารย์จึงพาข้าที่ยังเล็กหลบหนีมาที่นี่”  พระองค์พอจะเข้าใจแล้ว…


นั่นก็เพราะศศิคือผู้อพยพนั่นเอง…


พื้นที่ชายแดนย่อมมีคนอพยพหรือคนที่ไปมาหาสู่ 2 เมือง อาศัยกันอยู่เยอะ บางทีเส้นทางที่พวกเราใช้กันในวันนี้ อาจจะเป็นช่องทางอพยพที่ศศิเคยผ่านเข้ามาและได้ยินคนบอกเล่าถึงการมีอยู่จึงมองหาเจอ โดยปกติผู้อพยพที่ไม่ขึ้นทะเบียนหรือทำผิดกฎหมายจากอีกเมืองจะไม่สามารถอยู่ที่สิหราชนคราได้ ก็ไม่รู้ศศิอยู่ในกลุ่มนี้ไหม แต่คิดว่าการทำตัวให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถช่วยให้อยู่ที่นี่ต่อได้ โดยเจ้าหน้าที่รัฐก็ทำเป็นมองไม่เห็นบ้างเพราะต้องอาศัยเกื้อกูลกัน


“หรือเจ้าจะไปกับข้า”  อยู่ก็เอ่ยชวนออกไป ทั้งๆที่เคยคิดว่าการมีศศิอยู่อาจจะถ่วงกันไว้ แต่ในตอนนี้พระองค์คิดว่าพาไปด้วยอาจจะดีกว่า เด็กคนนี้เหมือนจะรู้บางสิ่งที่อคิราห์ไม่รู้ และบางทีก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสาวถึงมือดีที่พยายามไล่ล่ากันด้วย


คำว่าเกี่ยวข้องกับคีรีธารานั้นน่าสนใจไม่น้อยเลย


ข้อเสนอที่ถูกยื่นไปนั้นถูกตอบรับโดยง่าย ในสถานการณ์ที่ไร้ประโยชน์และอาจจะเป็นภัยต่อคนรู้จักนี้ ศศิที่ยังต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เลือกที่จะไปกับเขา เราเองก็พบพานได้รู้จักกันแล้ว แม้จะยังไม่สนิทใจ แต่ก็ดูเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่มีในตอนนี้ คนตัวเล็กพยักหน้ารับตามคำชวน โดยที่ยังไม่ได้ถามออกไปว่าเขาจะไปไหน ศศิไว้วางใจกันเกินไปหรือเปล่า เขาจะพาไปลงนรกที่ไหนก็ย่อมได้เลยใช่ไหม?!


ค่ำคืนแรกที่ได้หลับสบายๆในห้องที่มีหลังคาและฟูกนุ่มได้ผ่านไป เราสองคนตัดสินใจเดินทางไปเมืองหลวงแห่งสิหราชนคราที่มีนามว่า ‘สิหราชธานี’ จากนั้นหากศศิคิดเห็นว่าควรจะเริ่มทำเช่นไร เขาก็ไม่ว่าหากจะแยกตัวออกไป อคิราห์บอกกันเช่นนั้นก็จริง แต่คำพูดนั้นบิดเบือนจากความรู้สึก ทรงต้องรู้ให้ได้ในสิ่งที่ศศิรู้ จนกว่าจะถึงตอนนั้น ไม่มีทางหรอกที่ศศิจะได้ออกห่างจากไป


เราตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หารือเรื่องเส้นทางที่จะตัดไปถึงเมืองหลวงให้เร็วที่สุดและวิธีการ ตระเตรียมของให้พร้อมเท่าที่เจ้าบ้านจะเอื้ออำนวยให้ได้ ก่อนจะเตรียมออก ท่านลุงที่ให้พักอาศัยได้เรียกมาคุยก่อนลา และได้มอบบางสิ่งให้


“คงจะดีกว่าหากพวกเจ้าปลอมแปลงตัวเอง ได้ยินว่าหูตาของคนพวกนั้นอยู่รอบด้าน”  ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันกับกลุ่มผู้ตามล่ากันในป่าหรือไม่ อาจจะเพราะเห็นร่องรอยการมีชีวิตของพวกเขาแล้วแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ พวกมันอาจจะส่งข้อมูลให้คนในสิหราชนครารู้และตามล่ากันต่อที่นี่อีกทีก็เป็นได้


ศศินั้นมองอาภรณ์ที่ได้รับมา แต่ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ แม้จะไม่ได้ดูมาดแมนเหมือนกับบุรษที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่การให้แต่งกายด้วยชุดของอิสตรีนั้นมันก็ดูจะเกินรับได้อยู่ ส่วนเขาเองก็ได้รับเสื้อผ้ามาเหมือนกัน


“ในส่วนของคุณชาย อาภรณ์ของท่านแม้จะขาดและสกปรกไปบ้าง ทว่าดูดีมีราคาไม่น้อย จะสะดุดตาเอาได้”  ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ศศิไม่เคยสังเกตตรงนี้เลยทั้งๆที่เอาเสื้อผ้ามาซ่อมให้ เนื้อผ้าแบบนี้น่าจะแพงมาก ตั้งแต่เกิดมา ศศิแทบไม่เคยได้สัมผัสความนุ่มลื่นแบบนี้มาก่อน ที่พอจะเห็นมีใส่ก็เป็นพวกขุนนางชั้นสูง


อย่างแม่ทัพอชิระเป็นต้น…


“รบกวนท่านเผาทำลายมันด้วย”  ทรงตัดสินพระทัยที่จะเปลี่ยนชุดด้วยเช่นกัน อย่างที่ถูกว่ามา หากเดินไปทั้งอย่างนี้ โอกาสที่จะกลับไปโดยไม่ไปสะดุดขาใครช่างน้อยเหลือเกิน “ไปเปลี่ยนชุดกันเถิด”  ทรงแตะบ่าของคนที่ยังคงเหม่อลอยคิดเรื่องเสื้อผ้าเบาๆ เรียกให้ลุกเพราะเราไม่ได้มีเวลามากนัก ศศิที่รู้ตัวแล้วรีบตามกันไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า…


มันจำเป็นหรือที่เราต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกัน!


“เอ่อ…”


“ถึงเจ้าจะแต่งเป็นหญิง ทว่าแท้จริงเป็นชาย คงไม่คิดอะไรมากใช่ไหม”  หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว ก็ไม่รอช้าเปิดปากพูดไปด้วย ถอดเสื้อไปด้วย ศศิที่เคยแม้แต่ถอดเสื้อให้เขาเองมาก่อนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเขินอายหรอก เห็นมาแล้วด้วย แต่สถานการณ์แบบนี้มันต่างออกไป


ก่อนนี้ศศิจับเขาแก้ผ้าตามจรรยาบรรณนี่!


“มัวทำอะไรอยู่”  ทรงเร่งถาม จนจัดการเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จ คุณหมอที่คิดนั่นนี่ไม่จบก็ยังคงนิ่งเฉย ดวงตาคมนั้นจ้องมองแบบดุๆ แต่จริงๆแล้วมันพยายามกักเก็บแววขบขำเอาไว้ลึกสุดใจ ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งหรอก แต่พอได้แกล้งแล้วก็แกล้งเลยเสียอย่างนั้น


“ข้าทำไม่เป็น”


“เจ้าอยากให้ข้าช่วยเช่นนั้นหรือ?”  ทรงถามย้ำ และแน่นอนว่าเจ้าของกระต่ายที่เหมือนกระต่ายนั้นส่ายหัวจนผมปลิว


“ข้า…ขะ..ข้าทำเอง” อคิราห์ยิ้มอย่างพึงใจ ออกมารอข้างนอกโดยไม่เอ่ยปากต่อล้อต่อเถียงอีก เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจริงๆเสียที


แล้วเขาก็ถูกเรียกให้ไปพบเพื่อรับข้าวของใช้สำหรับการเดินทาง ชาวบ้านที่นี่ไม่ได้ร่ำรวย พวกเขาให้เท่าที่ให้ได้ ระหว่างที่กำลังคิดประมวลนั่นนี่อยู่คนเดียวนั้น หางตาก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างที่ดูจะเรียกร้องความสนใจกันมาสักครู่


“องค์ชายอคิราห์”  ด้วยคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับผู้เรียก พระองค์จึงเดินเข้าไปหาคนที่กำลังพยายามหลบซ่อนอยู่ เป็นคนสนิทของเสด็จอาอชิระที่เรียกกัน เขาผู้นี้มีนามว่า‘อลงกรณ์’ ว่าแต่รู้ได้อย่างไรว่าจะพบพระองค์ได้ที่นี่?


“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”


“ท่านทิชากร…เอ้ย! มีคนบอกท่านแม่ทัพพะยะค่ะ ว่าให้มาดูหมู่บ้านบริเวณถ้ำแถวนี้”แต่การได้เจอพระองค์นั้นถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ “กระหม่อมได้รับคำสั่งมาว่าให้มาส่งข่าวให้กับคนๆหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอพระองค์ที่นี่”  ส่งข่าวอย่างนั้นหรือ พระองค์รู้สึกเหมือนกับว่ามันจะเกี่ยวข้องกับศศิอย่างไรไม่รู้


“แล้วทางค่ายเป็นเช่นไรบ้าง” 


“ปกติดีพะยะค่ะ”  แต่เมื่อตอบไปแล้ว แววตาของผู้ฟังก็กดดันให้พูดใหม่อีกครั้ง  “ก็ยังคงอยู่ในความควบคุมอยู่พะยะค่ะ”  หลังจากตอบใหม่ก็หลบตากัน มีพิรุธชัดเจนเช่นนี้ คิดว่าจะปล่อยให้ออกไปได้ง่ายๆหรือ?


“ได้ยินว่าเจ้าณรงค์ชัยส่งคนมา”


“เอ่อ…ทรงทราบแล้ว”


“มาตามหาใคร”


“ทูลฝ่าบาท เป็นพระองค์เองที่ทุกคนกำลังตามหา” 


“เจ้าณรงค์ชัยเป็นอธิบดีกรมการค้า ไฉนเลยถึงรับหน้าที่นี้”


“จริงๆแล้วหน่วยอื่นก็ออกตามหากันไปทั่วพะยะค่ะ แต่…” คนพูดเว้นวรรคเพียงครู่ ไม่ใช่แค่เรียกขวัญกำลังใจ แต่ต้องคิดให้ดีไม่งั้นพูดออกไปจะทำให้กริ้วได้ “กระหม่อมได้ยินมาว่า เจ้าณรงค์ชัยได้ไปบอกกับองค์ราชินีว่าจะเข้ามาช่วยตามหาในพื้นที่นี้พะยะค่ะ”  ก็ยังแปลกอยู่ดี…


ที่ไม่แปลกคือใครๆก็ออกตามหาพระองค์ แต่เจ้าณรงค์ชัยที่ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นนะหรือจะหยิบยื่นความช่วยเหลือไปให้น้องสาวที่กำลังโศกเศร้าเพราะพระโอรสเพียงพระองค์เดียวได้หายไป เสด็จแม่ย่อมคว้ารับความช่วยเหลือจากพี่ชายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจอยู่แล้วในยามโศก แต่ทำไมต้องเป็นพื้นที่นี้?


แม้ว่าจะเป็นด่านผ่านทางระหว่างสองอาณาจักร แต่ก็ไม่ใช่ด่านการค้าสำคัญเพราะพื้นที่ตรงนี้ไม่ได้ติดทะเล ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่แปลกว่าอธิบดีกรมการค้าที่ควรจะสนใจเรื่องค้าขายและมีความชำนาญที่อีกด่านหนึ่งมากกว่าจะเจาะจงมาที่นี่ จะมาสนใจหาคนอะไรในพื้นที่ที่การค้าไม่เฟื่องฟูอย่างด่านตะวันตกที่ 2ตอนที่เสด็จกลับแม้จะไม่ได้ระบุว่าจะข้ามผ่านด่านไหน แต่แวบแรกในใจของอธิบดีการค้า ก็ไม่น่าใช่ด่านที่ไม่สำคัญอะไรอย่างที่นี่ ที่ซึ่งมีแม่ทัพที่ไม่ค่อยจะกินเส้นรั้งไว้อยู่


นอกเสียจากจะรู้อยู่แล้วว่าจะพบเจอคนที่ตามหา?!


“แต่ทรงปลอดภัยก็ดีแล้วพะยะค่ะ!” 


“เจ้าอย่าเพิ่งเอาไปบอกใครว่าเจอกับข้า”


“แม้สักคนก็ไม่ได้จริงๆหรือพะยะค่ะ”  ทรงมองคนถามกลับด้วยแววตาราบเรียบ ก็รู้ว่ามีคนห่วงอยู่มากมาย แต่มันก็มีคนที่มุ่งหวังปองร้ายไม่น้อยเช่นกัน


“เจ้าบอกอาของข้าได้เพียงผู้เดียว”  นั่นหมายถึงให้บอกท่านแม่ทัพอชิระได้เพียงผู้เดียว เพราะในบรรดาญาติทุกคน คนที่มั่นใจได้มากที่สุด…คือคนที่อยู่ไกลจากอำนาจในเมืองมากที่สุดนั่นเอง


อชิระนั้นเป็นคนเก่งกาจอนาคตไกล เขาอาจจะได้รับตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรติพร้อมทรัพย์สินที่จะไหลเข้ามาไม่มีขาด ทว่าเพราะเกมการเมืองบางอย่างในช่วงเวลานั้น ทำให้ท่านอาที่สนิทสนมกันต้องระเห็จมาอยู่แถบชายแดนที่แร้นแค้นและยากจน ทว่ามันก็อาจจะเป็นความต้องการลึกๆของอีกฝ่ายที่รำคาญความวุ่นวายในเมืองหลวงด้วย


หลังจากพูดคุยกันต่ออีกนิด พระองค์ก็ได้รับทราบเพิ่มเติมว่าอลงกรณ์มาพบศศิเพื่อแจ้งข่าวสารบางอย่าง อลงกรณ์ได้นำเงินและของมีค่าเล็กน้อยมาให้กับศศิด้วย ที่น่าแปลกคือมีคำฝากฝังจากแม่ทัพอชิระมาถึงเจ้ากระต่ายดื้อตัวนั้นโดยตรง…


ว่าให้หาทางไปพบที่คฤหาสน์ส่วนพระองค์ที่เขตชานเมืองสิหราชธานีให้ได้ นั่นเท่ากับว่าอีกไม่นาน เขาผู้นั้นเองก็จะกลับไปที่นั่นด้วยเช่นกันแต่คนแบบท่านแม่ทัพนี่นะ? จะมาใยดีอะไรกับเด็กกะโปโลคนนั้น?!


ทรงกำชับครั้งสุดท้ายก่อนที่อีกฝ่ายจะไปพบกับศศิว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องเจอพระองค์กับใคร และอย่าได้บอกกับเป้าหมายที่มาพบว่ารู้จักกัน ตัวตนของพระองค์ยังควรจะเป็นความลับ ไม่ใช่ว่าเพราะไม่ไว้ใจศศิ แต่การทำอะไรในฐานะใครสักคนที่ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาทย่อมง่ายดายกว่า


รออยู่พักหนึ่งให้อลงกรณ์ได้พูดคุยกับศศิให้เรียบร้อย ความรู้สึกระแวดระวังเกี่ยวกับตัวของเด็กคนนั้นแทบไม่มีอยู่อีกแล้ว หากมีเวลามากกว่านี้ ก็อยากจะถามอลงกรณ์เหมือนกันว่าศศิเป็นใครมาจากไหน แต่ก็ถามออกไปไม่ได้ ดูเหมือนต่อจากนี้ไปคงต้องไปเรียนรู้จักอีกฝ่ายด้วยตัวพระองค์เอง


“ไปกันได้ยัง”  ทรงเห็นแผ่นหลังบางยืนหันหลังให้อยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้ามาทัก มองจากด้านหลัง ชุดเสื้อติดกระดุมคอตั้งสีชมพูตุ่นๆกับกระโปรงกางเกงขายาวดูอ่อนหวานแต่ทะมัดทะแมงคงจะเข้ากับอีกฝ่ายไม่น้อย จนกระทั่งศศิหันมาหา พระองค์ก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แค่ ‘คง’ แต่มันเข้ากับศศิมากจริงๆ


“รีบออกเดินทางกันเถิด”  ดวงตาที่มองจ้องกันทำให้ประหม่าเหลือเกิน แต่ก็ต้องควบคุมน้ำเสียงและสีหน้าไม่ให้เผลอหลุดไป ศศิมีผมที่ยาวแต่มักจะมวยไว้สูงๆเพื่อให้สะดวกแก่การทำงาน มานึกดูตอนนี้มันก็มีประโยชน์กับการปลอมตัวไม่น้อย เพราะนอกจากมันจะช่วยขับใบหน้าให้ดูหวานสวยราวสตรีแล้ว เมื่อใส่หมวกใบใหญ่  ความยาวของผมจึงพอดีกับการปิดบังลักษณะเด่นบนใบหน้า


ปานรูปพระจันทร์เสี้ยว…


เราสองคนออกเดินทางจากหมู่บ้านกับกลุ่มพ่อค้าที่ต้องเอาผลผลิตทางการเกษตรไปขายที่เมืองอื่น และจะขอลงระหว่างทางเพราะเป้าหมายไม่ใช่ทางเดียวกัน เราสองคนอาจจะไม่ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวกันจริงๆ แต่องค์รัชทายาทรู้ดีว่าตัวเองนั้นมีความเสี่ยงกว่า และรู้สึกเอาเปรียบศศิอยู่ไม่น้อย


“เมียเจ้านี่ สวยดีนะพ่อหนุ่ม”  หนึ่งในพ่อค้าที่เราขอเดินทางไปด้วยนั้นพูดขึ้นมา ทรงพระสรวลกลับไป ไม่ได้โต้ตอบอะไร ขนาดศศิเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ยังมีคนชมว่างามได้หรือนี่ แต่ก็คิดว่าเจ้าตัวไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้เสียเท่าไหร่


ว่าแต่…ก็ไม่เคยบอกเสียหน่อยว่าเราคือผัวเมีย?


มาคิดดูแล้ว เป็นเช่นนี้มันอาจจะดีกว่า หากพระองค์เดินทางเพียงคนเดียวอาจจะง่ายต่อการถูกตามล่าแม้ไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะเคยเห็นพระพักต์ ทว่าการมีศศิไปด้วยอาจจะช่วยลดความน่าสงสัยไปได้อีก ไม่เลวเลยกับการเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เดินทางไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมืองแบบนี้ ดูแล้ว ศศิคงต้องยอมถูกเอาเปรียบเข้าไปอีก


“ข้าหาใช่เมียของท่านเสียหน่อย”  ศศินั้นกระซิบบอกเมื่อเห็นบางคนกำลังยิ้มให้แผนการของตนเองอยู่


“ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น แต่เราก็ไม่ต้องไปต่อความยาวอะไรอีกก็ย่อมได้” ไม่ยอมรับไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้คนอื่นเห็นไปเช่นนั้น เพราะหมวกปีกกว้างนี้แท้ๆที่ทำให้วงค้อนในแววตาส่งไปไม่ถึงคนเจ้าเล่ห์ เป็นศศิที่เสียทั้งขึ้นทั้งล่องแม้แต่เจ้าตัวก็ยังรู้ตัว


เมื่อถึงจุดหมายชั่วคราว เราสองคนก็ขอแยกมาจากกลุ่มพ่อค้าและเข้าไปหาที่พักในเมือง เนื่องจากเป็นเมืองทางผ่านทางการค้า เราจึงพอหาที่นอนกันได้ เงินที่อลงกรณ์ฝากมาให้ดูจะเพียงพอให้เราใช้จ่ายพากันเข้าไปในเมืองหลวงได้ แต่เส้นทางต่อจากนี้อาจจะไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในทุกวัน


“ยังปวดตึงแผลอยู่หรือเปล่า”  ศศิถาม หลังจากที่ต่างคนต่างชำระกายและกลับมาอยู่ในห้องด้วยกัน ในตอนนี้ศศิกลับมาใส่ชุดของตนเองแล้ว ทว่าผมสีดำขลับนั่นกับถูกปล่อยให้ยาวสยายคลอเคลียใบหน้าลงมาถึงกลางหลัง เป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้เห็นผมของใครสักคนที่ยาวและสวยขนาดนี้


ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงผมที่ยาวขนาดนี้มาก่อน แต่เพราะหญิงสาวที่พบเจอล้วนชอบที่จะตกแต่งเส้นผมของตนจนบ้างมีความหยาบกระด้าง ผมที่ดูนุ่มลื่นมือราวผ้าไหมสีดำรัตติกาลเช่นนี้  ยิ่งเมื่อถูกตัดกับสีผิวขาวผ่องกับใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางของบุรุษหน้าหวานผู้หนึ่ง เกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตขององค์ชายอคิราห์จริงๆ


“ไว้ผมยาว เจ้าไม่รำคาญบ้างหรือ”


“ข้าเคยแอบหนีไปตัดอยู่หลายครั้ง และมักถูกทำโทษเมื่อจับได้”


“โดยอาจารย์ของเจ้านะหรือ”


“อืม ท่านมักบอกว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นหากข้าตัดผม” ดูเป็นคำพูดหลอกเด็ก และไม่รู้ว่าเด็กจะเชื่อหรือไม่ แต่ก็เป็นเด็กดียอมเชื่อฟัง ทรงจ้องมองศศิหวีแปรงเส้นผมอยู่อีกมุมก่อนจะเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง โดยไม่รู้ตัว อีกคนที่จัดการกับตัวเองเสร็จแล้วได้เดินมาหากันเงียบๆ


“มีอะไร”  เพราะเตียงที่ยวบลงไป ทำให้พระองค์ต้องกลับมาสนใจศศิอีกครั้ง กลิ่นหอมที่โชยมาจากคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆทำให้พระองค์ขมวดคิ้ว ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่ดีหรอกนะ


“แผลของท่านเป็นเช่นไรบ้าง”  ทรงลืมตอบคำถามนี้ไปเลยสินะ


“ยังปวดตึงอยู่บ้าง”  น่าแปลกที่แผลเล็กเหมือนมีดบาดจะทำให้ยังรู้สึกมาถึงตอนนี้ มันไม่ใช่ฤทธิ์ของของมีคมหรอก แต่น่าจะเป็นเพราะพิษที่มากับของมีคมเสียมากกว่า


“ข้าขอดูหน่อยได้ไหม”  ศศิเอ่ยถาม พระองค์กำลังจะถอดเสื้อเก่าๆนี่ออกให้  “ดึงแต่คอเสื้อของท่านลงมาก็ได้” 


“ข้าถอดแล้ว”  ทว่าทรงเลือกที่จะถอดออกให้ท่านหมอตัวเล็กได้เห็นชัดๆ แก้มใสนั้นขึ้นสี นอกจากผิวจะขาวแล้วยังบางมากๆด้วยสินะ แล้วพระองค์ก็รู้สึกพึงพระทัยไม่ใช่น้อย จริงๆจะดึงแค่คอเสื้อมาแบบที่ศศิบอกก็ย่อมได้ แต่ถอดให้ดู ก็มีคนที่จะอายๆอยู่เหมือนกัน แค่คนนั้นไม่ใช่คนถอดก็เท่านั้นเอง


มาเขินอายอะไรกันทั้งๆที่ตอนอยู่ในป่าที่มีเพียงสองคนนั้น เป็นเด็กน้อยผู้นี้ไม่ใช่หรือที่ถอดเสื้อของผู้อื่นออกและบังคับให้อยู่ในสภาพนั้นเพราะต้องคอยเอาสมุนไพรพอกไว้ตลอดเวลา พอเข้าเมืองมาความรู้สึกรู้สาจึงเพิ่งเริ่มทำงานเช่นนั้นหรือ


“แผลท่านดูดีขึ้นแล้วจริงๆ แต่ข้าคงต้องให้ยาบำรุงแก่ท่านต่อไป”  พอตั้งสติได้ ศศิก็กลับมาเป็นท่านหมอผู้เดิมที่ไร้ความเขินอายเมื่อแตะต้องเนื้อกายของผู้อื่น  ทว่าเป็นองค์รัชทายาทเองที่เอาแต่หลุบตามองไปยังคนที่กำลังพูดนั่นพูดนี่เกี่ยวกับการฟื้นฟูกำลังวังชาของตัวเอง ถึงท่านหมอผู้ใจดีจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่ดูยั่วยวนอะไร แต่มันก็เพียงพอจะทำให้นึกภาพสัดส่วนที่อยู่ภายในได้


ดูเหมือนว่าพระองค์จะแอบคิดเรื่องนี้อยู่บ้างหลังจากที่มีคนชอบมาชมว่าเมียสวย…


“รีบนอนเถิด”  ศศิผละจากร่างสูง ไม่ได้รู้ตัวแม้แต่นิดว่าถูกมองอยู่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ


“เจ้าจะนอนที่นี่?”


“มันก็ไม่ได้มีที่อื่นที่ข้าจะนอนได้นี่นา”  ศศิมองไปรอบๆห้อง ก่อนจะกลับมาจ้องตา “หรือท่านไม่อยากให้ข้านอนตรงนี้”  แต่มันมีอยู่เตียงเดียว แม้เราจะมีสภาพที่ดีกว่าการนอนป่า แต่ก็เลือกไม่ได้มากเท่าไหร่ หากไม่ต้องการจริงๆ ศศิก็คิดจะเปิดห้องใหม่เพิ่ม แต่ก็กังวลเรื่องเงินไม่น้อย เพราะไม่แน่ใจว่าเราอาจจะต้องใช้อีกมากมายแค่ไหนถึงจะเพียงพอ


“เปล่าๆ เจ้านอนไปเถิด”  กลายเป็นอคิราห์แต่เพียงผู้เดียวที่คิดมากไปหรือนี่แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ศศิต้องคิดจริงๆในเมื่อก็พยายามจะทำให้เห็นมาตลอดว่าที่เข้าหาก็เพราะต้องการช่วยเหลือ และอีกฝ่ายไม่ได้รับรู้นี้ว่ากำลังร่วมเตียงกับใคร แล้วถ้าศศิได้ทราบเล่าการปฏิบัติตัวจะเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร?


แล้วนี่จะไปคิดสนใจทำไม?


“ราตรีสวัสดิ์”  เช้าตรู่นั่นแลที่เราจะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อออกเดินทางไปต่อ หนทางยังอีกยาวไกล และจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้เลย


ร่างบางที่นอนตะแคงหันไปอีกข้างนั้นเหมือนจะหลับสนิท กินง่าย นอนก็ง่าย ทั้งๆที่ดูบอบบางขนาดนี้ แต่กลับเลี้ยงง่ายเหลือเกิน มีแต่อคิราห์นั่นแล จะบอกว่าเพราะตนนั้นเป็นถึงองค์ชายแห่งสิหราชนคราแล้วจึงเรื่องมากก็ไม่ใช่ พระองค์เคยได้รับการฝึกฝนมานับไม่ถ้วน นอนกลางดินกินกลางทรายมานักต่อนัก แต่ไม่เหมือนครั้งไหนที่เป็นเหมือนครั้งบนเตียงนี้เลย


คงเพราะไม่ชินกับการมีคนร่วมเตียงเป็นแน่ องค์รัชทายาทคิดเช่นนั้น พระองค์ไม่เคยชื่นชอบการข้ามคืนแบบร่วมเตียงกับใคร แม้ก่อนนี้จะแบ่งผ้าห่มที่แทบจะไม่ได้ให้ความอบอุ่นอะไรกับเด็กคนนี้มาแล้ว แต่วันนี้เพิ่งตระหนักได้ว่านิสัยดั้งเดิมของตนคือการไม่ชอบร่วมเตียงใดๆกับใครทั้งนั้น  ที่ผ่านมาในป่านั้นไม่นับ!


ดวงตาคมเบิกโพลงในความมืดมิด พระวรกายเกร็งไปเสียทุกส่วน หากบรรทมท่านี้ชาตินี้ก็ไม่มีวันหลับได้ ในขณะเดียวกัน คนที่เป็นต้นเหตุความวุ่นวายในครั้งนี้กลับชิงหนีไปสู่นิทราเสียแล้ว ให้มันได้อย่างนี้สิ หรือเป็นพระองค์ที่จะต้องลุกไปหาที่นอนเสียเอง  แต่มันเรื่องอะไรกันเล่า!


“เฮ้อ…”  ก็ได้ๆ นอนก็นอน องค์รัชทายาทแห่งสิหราชคนครานั้นขยับพระวรกายเล็กน้อยเพื่อหาท่าทางที่สบายที่สุด โดยเลือกที่จะนอนตะแคงหันไปมองต้นคอของอีกคนที่หลับไปก่อนนี้ อีกเรื่องที่น่าขัดใจคืออะไรรู้ไหม?


คือกลิ่นหอมสมุนไพรจากตัวเจ้ากระต่ายนี่ไง ก็เพราะมีตัวช่วยผ่อนคลายแบบนี้ถึงหลับได้อย่างง่ายดาย แล้วไฉนจะขโมยดอมดมมันจากกายอีกคนมาบ้างไม่ได้?


ในเมื่อพระองค์…ก็ต้องหลับต้องนอนเช่นกัน


- - - - - - -

ไม่ได้มาลงเสียนาน วันนี้มีหน้ากลับมา เพราะแต่งไปได้เยอะแบ้ว และก็พบว่าดีกว่าจริงๆที่แต่งนำไปก่อน มันมีหลายอย่างที่ต้องกลับมาอ่านแก้ เราอ่อนด้อยเอง ถึงจะเคยแต่งฟิคชั่นพีเรียดมาบ้างแต่ก็ไม่อยากให้เหมือนที่เคยแต่งหรอกค่ะ เลยพยายามมากกว่าเดิม อย่าเขวี้ยงทิ้งแต่ก็อีกใจก็ยังอยากแต่งอยู่ พลอตก็แก้ไปแก้มา จึงคิดว่าควรจะไปแต่งให้มันคงที่ในระดับหนึ่งก่อนค่อยลง ซึ่งคงที่ในที่นี้ 80%ของเรื่องเลยทีเดียว555
เรื่องนี้จะไม่เน้นคำราชาศัพท์ทั้งเรื่อง อาจจะมีใช้ผิด ใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง มันคือเจตนาของเราเองค่ะแต่ถ้าคิดว่าควรปรับปรุงตรงไหนก็บอกได้นะคะ
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะมีปมเกี่ยวกับตัวละคร เหตุการณ์บ้านเมือง แต่เราจะเน้นไปที่ความรักและความรู้สึกของคนสองคนเสียมากกว่านะคะ  อาจจะมีบรรยายถึงเหตุการณ์และประวัติของตัวละครอยู่บ้าง แต่จะไม่ทำให้ยาวจนเกินไป เพราะแต่งยาก เราไม่น่าเก่งพอจะทำให้ทุกคนอ่านแล้วสนุกได้ แถมมันจะยาวไปกว่านี้ พลอตมันใหญ่ไป จริงๆมันก็ควรจะยาวมากๆแหละ แต่เราไม่เอาแล้ววววววว เอาฉบับย่อไปละกันเนอะ แต่ย่อแล้ว 25 ตอนก็ยังไม่จบเรื่องเลย บอกก่อน5555
ขอบคุณคนที่ยังเฝ้ารอที่จะได้อ่านเรื่องนี้นะคะยังคงยืนยันว่าเราจะทำผลงานเรื่องนี้ให้ดีที่สุด เราทุ่มเทกับมันมากแม้จะกลัวกระแสและฝีมือไม่ถึง เลยหนีไปแต่งนำไว้เยอะๆจะได้ลงจนจบแน่ๆ
สุดท้ายนี้ เราพยายามตรวจคำผิดแล้วจริงๆ ถ้ามันยังผิดอยู่ก็มาบอกกันได้นะคะ เราจะไปแก้ไข
หรือถ้าเราสะกดผิดเลย ก็มาบอกกันหน่อยนะคะ เราจะได้เมมใส่หัวเสียใหม่ เชื่อเถอะค่ะว่าคำบางคำที่คนอื่นสะกดถูกกัน เราสะกดผิดมานานเกือบจะ30ปีเลยค่ะ55555 บางตอนตรวจไปสามรอบแล้วก็ยังเจอคำผิดหรือไม่ชอบบางจุดอยู่ มาบอกได้นะคะ เราจะขอบคุณมากๆ



หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 3 : 1/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-12-2018 01:03:24
ทางอาก็รู้จักศศิเหรอ  :katai1:
แต่ๆๆๆ อย่าติดใจกลิ่นเขาจนนอนคนเดียวไม่ได้อีกน้า
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 4 : 5/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 05-12-2018 19:09:14
Finding the twilight
4
5 ต่อ 2 แต่เกรงว่าจะรอดเพียง 1
☼ ☽

“นี่มันอะไรกัน”


“ก็ยาบำรุงกำลังของท่านนะสิ”  ท่านหมอตัวเล็กตื่นแต่เช้าตรู่ไปขอยืมครัวของที่พักนักเดินทางเคี่ยวมาให้ดื่ม แต่พอน้ำเหนียวๆนี่สัมผัสกับปลายลิ้น พลันสรรพางค์กายก็หนาวเหน็บขึ้นมา ศศิ…เจ้าทำยาบำรุงกำลังหรือยาพิษมาให้กินกันแน่?!


“รสชาติ…มันไม่ไหวนะ”  แม้ไม่เคยเลือกกินขนาดนี้มาก่อน แต่ครั้งนี้ขอไว้สักหน่อยเถิด หากดื่มเข้าไปทั้งหมดก็เกรงว่าจะกินอะไรไม่ลงไปอีกเป็นวันๆ ขนาดยังไม่ได้กลืนลงคอสักอึกหนึ่ง ขนก็ลุกไปทั่วร่างแล้ว รสชาติที่ยิ่งกว่าขมปร่านั้นยังติดอยู่ที่พระชิวหาอยู่เลย


“หวานเป็นลม ขมเป็นยา หากท่านคาดหวังให้ยามันจะหอมอร่อยเหมือนขนม เกรงว่านั่นคงไม่ใช่ยาเสียแล้ว”  เจ้าของผมยาวสลวยนั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน แต่เป็นความหวานคล้ายน้ำผึ้งพิษ  เจ้าตัวดี! นี่รู้ไหมว่ากำลังหาเรื่องใครอยู่?!


แน่นอนว่าศศิไม่รู้ และคงปล่อยให้รู้ง่ายๆไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเคี่ยวยานี้แต่เช้ามาให้พระองค์ดื่มกัน แผลที่อกนี่ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว  ไม่ต้องบำรุงอะไรก็คาดว่าร่างกายคงแข็งแรงดีอยู่ แต่ท่านหมอบอกว่าไม่ได้ ยังไงก็ต้องกิน หวังดีหรือหวังร้ายกันแน่ จะไม่สงสัยเลย หากยานี่มันจะเป็นรสที่คนกินได้กว่านี้ คาดว่าเทใส่คลอง น้ำก็พลันเน่าเสียทันทีเป็นแน่!


ยาที่เคี่ยวเป็นชั่วโมงนั้นย่อมเป็นยาดี ศศิมั่นใจ แต่ถ้าถามว่าศศิเป็นหมอที่ปรุงยาได้ห่วยแตกขนาดนั้นเลยหรือไรก็เกรงว่านั่นจะเป็นคำปรามาสที่แรงไปเสียหน่อย เดิมทีตอนอยู่ที่สำนักพยาบาลในหมู่บ้าน จะหาใครไหนเลยที่ปรุงยาได้อร่อยเท่าศศิไม่มี วิชาก็มีติดตัวอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะปรุงยาบำรุงกำลังที่มีฤทธิ์ทำลายลิ้นคนอยู่แล้ว แต่ที่รสชาติมันห่วยนั้น


ล้วนแล้วแต่เพราะความตั้งใจของคนปรุง


ก็ใครใช้ให้นอนดิ้นขนาดนั้นกัน เมื่อตื่นมาแต่เช้ามืด มันเป็นปกติที่มักจะตื่นมาเพื่อไปเข้าห้องน้ำบ้างหรือแค่ตื่นมารับรู้ว่าใกล้เวลาเช้า แต่ก็มักจะนอนต่อเพื่อเก็บแรงไว้ทำงานหนัก ทว่าวันนี้ที่ตื่นมา สิ่งที่รับรู้ได้คือลมหายใจของที่เป่ารดต้นคอและแขนหนักที่พาดอยู่บนเอว!


“เจ้าโกรธเคืองอะไรข้าอีก”  เพราะทำให้เสียเวลานอนอย่างไร เจ้าคนไม่รู้ความ! อยากจะถลึงตาใส่เสียจริงๆแต่ก็กลัวจะรู้ตัวและไม่ยอมกินยาที่อุตส่าห์ไปยืนเคี่ยวให้ตั้งนานนี่ แม้รสชาติจะแย่ แต่จงมั่นใจในสรรพคุณของมันเถิด ถึงจะเคืองโกรธแต่ใช่ว่าจะละทิ้งจรรยาบรรณ!


“ข้าอุตส่าห์ปรุงยานี่ตั้งนาน เหมื่อยขบไปทั้งตัวแต่เพราะหวังดีจึงทำ”  หลังจากได้ฟังคำตัดพ้อ ก็ถอนหายใจออกมาและฝืนดื่มมันทั้งหมดใบหน้าบูดเบี้ยวแห่งความทรมานนั้น เรียกรอยยิ้มจากริมฝีปากได้รูปของผู้หวังดี


ก่อนที่เขาจะเห็น ศศิก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติและหวีผมของตัวเองต่อไป ถึงจะบอกว่าไม่ชอบและแอบไปตัดอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ดูออกว่าศศินั้นรักผมตัวเองกว่าใคร ปกติเจ้าตัวจะรวบมัดไว้ตลอด แต่เพราะต้องแต่งกายเป็นหญิงในช่วงนี้ ก็เลยดูจะทะนุถนอมเส้นผมตัวเองไปด้วย


เราทานข้าวเช้ากันที่นี่ ศศิดูเจริญอาหารดี จนบางทีก็อยากจะปรามว่าไม่มีสตรีที่ไหนกินมูมมามแบบนั้น แต่ก็ทรงต้องปล่อยไป เพราะเมื่อจ้องมองแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกินอย่างมีความสุขดี ก็ตรัสอะไรออกไปไม่ลงเหมือนกัน จนแล้วจนเล่าก็ไม่ได้ตักเตือน แต่ดูเหมือนจะแค่มองและมองและมองเท่านั้น


“เจ้ากินเก่ง”


“เพราะเราอาจจะไม่ได้กินอะไรทั้งวัน”  ก็เลยต้องกินตุนเอาไว้


“โธ่เมียรัก ข้าไม่ให้เจ้าต้องอดตายหรอก แต่งกับข้าอาจจะลำบากนิดหน่อย แต่ข้าจะเลี้ยงเจ้าให้สุดความสามารถ”


“….”  นั่นเขา…


พูดจาสามหาวอะไรขึ้นมา?!


“หรือทูนหัวของพี่จะท้อง เจ้าจึงกินมากไปเผื่อลูก งั้นอย่าได้ลำบากใจเลย เราสั่งมาอาหารเพิ่มกันเถิด”


“หยุดเดี๋ยวนี้”  ศศิวางแป้งทอดในมือลงด้วยไม่สามารถกินอะไรอีก ใบหน้าหล่อของเขามีรอยยิ้มประดับแต่มันช่างดูกวนสิ้นดี อยากจะด่าว่าให้สมกับความคับแค้นใจ แต่ศศิถูกเลี้ยงมาดีกว่านั้นจึงไม่มีคำใดหลุดออกมา มันอึดอัดจนต้องกระทืบเท้าระบายความหงุดหงิด ยิ่งอีกฝ่ายหัวเราะ มันก็ยิ่งอยากจะทุบแรงๆ


“เจ้ากินดูอร่อย ข้าเห็นแล้วก็อิ่มท้องตาม”  เป็นการเอาคืนใช่หรือไม่ ที่ศศิให้เขากินยาที่ปรุงโดยไร้การตัดรสขม ในระหว่างที่กำลังสรรหาคำในคลังศัพท์ต้องห้าม ทว่ายังไม่ทันค้นคำใดเจอ คุณป้าที่ไปขอใช้ครัวก็เดินมาหา


“กำลังท้องกำลังไส้หรือนี่ลูก เอานี่ไปนะ ป้าให้”  พลันคำที่กำลังคิดว่าจะใช้ในหัวก็หลุดร่วงหายไปคาตา แววตาเอ็นดูของเจ้าหล่อนทำให้ไปไม่ถูก ผิดกับตาคนที่แอบอ้างเก่ง เขากลั้นขำอย่างสุดความสามารถ จะมองทางไหน เราก็ล้วนเป็นผู้ทรมานทั้งสิ้น คนหนึ่งกลั้นขำจนจะขาดใจตาย ส่วนอีกคนอยากด่าคนจนอยากจะร้องไห้


อคิราห์ที่เป็นต้นตอแห่งความวุ่นวายในยามเช้าควรจะสำนึกผิด ที่ทำให้ ‘เมียรัก’ เดินห่างไปไกลขนาดนี้ ศศิจ้องมองกันอย่างไม่ไว้วางใจ แล้วเมื่อดวงตาของเราสบกัน ก็เป็นคนงามที่เชิดหน้าหนีไปก่อน


“ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะกินจนจุก เห็นเจ้ากินแล้วกลัวใจนัก”  ทรงอธิบายออกมา พร้อมกับเสด็จเข้าไปหา แต่ยิ่งใกล้ เจ้ากระต่ายก็เดินห่างออกไปเท่านั้น


“ข้าเกิดมาจนโตขนาดนี้ ใยถึงจะไม่รู้ว่ากินอะไรได้มากมายแค่ไหน”  อย่าริอาจมาสู่รู้กว่าหมอที่เป็นเจ้าของกระเพาะน้อยๆนี่ ศศิทั้งอายทั้งโกรธในสิ่งที่ถูกกระทำ ทว่าจะยิ่งโกรธไปอีกที่พยายามเดินหนีเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็เดินมาใกล้มากขึ้น และจนขี้เกียจตามติดแล้ว


จึงได้ดึงแขนศศิไม่ให้หนีไปไหนได้อีก


“….”


“อย่างอนเลย”  ทรงเลือกที่จะเปลี่ยนโทนเสียง ภายใต้เสียงนุ่มนี้ไม่มีแววล้อเล่นแต่ก็ไม่ได้จริงจังจนทำให้ประหม่า “เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเจ้าเป็นหญิงจริงๆ”  แล้วมันจำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้นไหม?เขวี้ยงค้อนไปให้อีกที ก่อนจะถอนหายใจใส่คนที่แถจนสีข้างถลอก มันน่าเหนื่อยหน่ายที่จะต้องมาทะเลาะกับคนชอบแกล้งคนนี้เรื่อยๆ จึงเลือกที่จะหยุดงอน แต่ก็ไม่พูดอะไรด้วยอีก


คนตัวเล็กที่มักจะทำหน้านิ่งๆเชิ่ดๆนั้น พระองค์ก็คิดว่ามันดูน่ารักดี แต่เมื่อกำลังงอน กลับยิ่งน่าสนใจกว่าปกติ อคิราห์ไม่รู้เลยว่าคำว่าน่าสนใจนั้นมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว หากตัดสถานะองค์ชายรัชทายาทออกไป ก็ทรงเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้แพรวพราวอะไรเท่าไหร่


ศศิเองก็ไม่ได้ดูจะเป็นคนนิ่งอย่างที่พยายามจะแสดงออก หลายครั้งก็หลุดออกมา คาดว่าที่พยายามนั้น ก็เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับผู้ร่วมเดินทางเท่าไหร่นัก ทว่าเราจำเป็นที่จะต้องคุ้นเคย ในเมื่อชะตาได้มาเกี่ยวข้องกันแล้ว จะเย็นชาเมินเฉยใส่กันก็ดูจะเกินไป


ทว่าจู่ๆคนที่พยายามจะเดินออกห่างให้ไกลก็เข้ามาเบียดชิด อคิราห์นั้นก้มมองไปที่เจ้าของกระต่ายตัวน้อยที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองอย่างกะทันหัน ก่อนจะมองไปรอบๆเมื่อค้นพบว่ามันอาจจะมีตัวแปรบางอย่างที่ทำให้ศศิทำเช่นนี้ และใช่…มันมีกลุ่มคนที่เดินตามเรามา สำหรับคนที่อาจจะตายเพราะถูกลอบสังหารอย่างองค์ชายรัชทายาทผู้นี้แล้ว คนพวกนี้ต้องสงสัยว่าน่าอันตรายไว้ก่อนเห็นๆ ทว่าเมื่อสบสายตาคนพวกนั้น


สิ่งที่ทรงทำคือการดึงศศิมาชิดใกล้และกอดไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้ให้แนบชิด


“ท่าน?”


“เห็นหรือไม่ ว่าข้าไม่ได้พูดไปเองว่าเจ้าสวยจริงๆ”  และความสวยก็เป็นพิษภัย ศศิรับรู้ได้ว่าคนพวกนั้นจ้องมองกันด้วยแววตาเชิงเสน่หาอย่างไร้มารยาทร่างกายมันจึงเลือกที่จะเข้าหาทางที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่เกรงว่านี่จะเป็นทางเลือกที่ผิด เพราะนี่มันไม่ปลอดภัยต่อความรู้สึกเท่าไหร่ ศศิไม่เคยชื่นชอบคำว่า ‘สวย’ และไม่เคยถูกชมว่า ‘สวย’ มาก่อน


ในตอนนี้จึงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรเมื่อได้ยินมันใกล้ๆ


“หน้าตาข้าออกจะน่าเกลียด” เขาก็เห็นปานที่ใบหน้าแล้ว แถมยังเป็นฝ่ายตกตะลึงในคราแรกเสียแบบนั้น วันนี้มากลับคำพูด มันดูไม่น่าเชื่อถือเลย


“เจ้าไปหน้าตาน่าเกลียดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


“…”


“หากจะหมายถึงปานบนใบหน้านั่น… มันไม่ได้ดูน่าเกลียดน่ากลัวหรอกนะ”  แต่มันก็ทำให้ศศิโดนล้อเลียนโดยคนไม่รู้จักมาตลอด แม้จะได้รับกำลังใจจากคนใกล้ชิดอย่างล้นหลาม แต่กับคนภายนอกนิสัยกักขฬะที่ตนไม่เคยคิดอยากเข้าใกล้ พวกเขามักจะมองปานบนใบหน้านี้ ราวกับเห็นว่ามันสกปรกเสียเต็มประดา


และคนๆนี้ เราไปรู้จักกันดีตั้งแต่เมื่อไหร่


ตั้งแต่จำความได้ การอาศัยอยู่ที่สำนักพยาบาลนั้นทำให้ต้องพบปะผู้คนมากมายที่หวาดระแวงต้องความเจ็บปวด แค่เดินเข้าไปใกล้ พวกเขาก็รีบผละหนีไปด้วยกลัวว่าจะติดโรคร้ายแม้จะไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจและแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร ก็ไม่ได้หมายความทนต่อสายตาและท่าทางเหล่านั้นได้ดีนักหรอก


“ถ้าข้าเปิดหน้าให้พวกเขาดู ย่อมแตกกระเจิงไปแน่”  ศศิเชื่อว่าเพราะผมยาวและเสื้อผ้าของสตรีนี้ที่ดึงดูดให้คนสนใจ แต่เนื้อแท้ศศิเป็นยังไง ในเมืองนี้แลดูจะมีเขาคนเดียวที่รับรู้


“มันไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น”


“เป็นท่านเองไม่ใช่หรือที่เกลียดกลัวใบหน้าของข้าแต่แรกเห็น”


“ข้านะหรือ?”  อคิราห์ถามกลับ ได้เคยพูด หรือแสดงออกให้เด็กขี้งอนนี้เห็นเช่นนั้นหรือ?


“วันแรกที่ท่านตื่นมาเห็นข้า ก็ผละหนีทำหน้าเหมือนเห็นผีอย่างนั้น ใยจึงทำเป็นจำไม่ได้กันเล่า”  เราไม่ได้รู้จักกันนานพอที่จะลืมง่ายขนาดนั้นเสียหน่อย ศศิก้มหน้าลง ซ่อนความผิดหวังบางอย่างไม่ให้ใครเห็น


“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”  องค์รัชทายาทเมื่อได้สดับรับฟังก็หลับตาและนึกถึงสิ่งที่ศศิเล่า ก่อนจะส่ายหัวนิดๆ อคิราห์ทำเช่นนั้นจริงในวันที่ได้พบหน้าเป็นครั้งแรก “แล้วก็คิดผิดไปหมด”  แต่มันไม่ใช่อย่างที่เจ้ากระต่ายนี่เข้าใจเลย


“…”


“ข้าเป็นชายโสดไร้พันธะใกล้ตายและคิดไปแล้วว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว การตื่นมาเห็นคนที่ไม่รู้จักนอนอยู่ข้างๆ มันควรจะเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือที่จะตกใจ”  ทรงพยายามอธิบาย  “แต่อาจจะถูกที่เจ้าว่าข้ามองเจ้าเหมือนเห็นผี ในเมื่อตอนนั้นคิดว่าตัวเองได้ไปเมืองผีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” 


คำพูดติดตลกในตอนที่กำลังมีอารมณ์หม่นหมองนั้นทำให้ศศิยิ้มออกมา โชคดีที่หยุดเสียงหัวเราะได้ทันไม่งั้นคนล้อเก่งได้ล้อไม่หยุดแน่ แต่เหมือนว่าพระองค์จะรู้ดีกว่า ทรงเชยคางของคนตัวเล็กที่เอาแต่หลบซ่อนรอยยิ้มให้เงยหน้าขึ้นมามอง


“เจ้ายิ้มแล้ว”  ริมฝีปากได้รูปหุบฉับ แต่มันช้าไป เพราะรอยยิ้มไม่ได้มีแค่ริมฝีปากเท่านั้น ทว่ายิ้มจากประกายตา ก็ทำให้ได้รับรู้ว่าศศิรู้สึกดีขึ้นแค่ไหนกับเรื่องนี้


อคิราห์เองก็พอจะรู้ว่าศศิไม่มั่นใจในเรื่องนี้ และพระองค์เองก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายคิดมากจากท่าทีตอนที่เราได้รู้จัก และตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเพราะเรายังไม่รู้จักกันดีพอ นี่มันก็ไม่กี่วันหรอกที่ได้พบเจอ แต่เราอยู่ด้วยกันทั้งวันจนเกรงว่าจะรู้จักกันมากกว่าบางคนที่พบเจอกันมาเป็นเดือนๆ


ทรงไม่ได้เย็นชาจนเกินไปที่จะไม่สนใจคนที่ตื่นมาต้มยาขมปี๋เพื่อบำรุงกำลังให้กันในยามเช้าหรอก ใช่ไหม?


“พวกเขาไม่มองแล้ว ปล่อยได้แล้ว”  และเป็นพระองค์ที่ไม่รู้ตัวว่ากอดกันนานไป นอกจากนั้น มือที่เชยคางอีกคนไว้ก็ยังอยู่อย่างนั้น เด็กคนนี้มีเสน่ห์ที่น่าแกล้งจนน่าใจหาย สุดท้ายเลยใช้พระหัตถ์ที่เชยคางนั่น บีบแก้มนิ่มไปที ก่อนจะลดมือลงให้ศศิได้เป็นอิสระมาลูบแก้มตัวเองปอยๆ


คงเพราะเป็นลูกคนเดียวมันเหงาสินะ เลยคิดว่าคงจะดีถ้ามีน้องชายน่ารักๆแบบนี้มาต่อล้อต่อเถียงบ้าง


พวกเราได้ติดต่อขอเดินทางไปกับพ่อค้าที่ทางที่พักได้แนะนำให้ เป็นพระองค์ที่เข้าไปเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพย์สินและจุดหมาย ศศิเพียงยืนอยู่ข้างหลังและฟังเงียบๆ ในที่สุดพวกเราก็มีรถเดินทางออกนอกเมืองไปในวันนี้ อคิราห์นั้นหันมายิ้มให้คนที่ยืนรอ โดยที่อีกคนทำเพียงแค่พยักหน้ารับทราบ


การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้น ศศินั่งอยู่บนเกวียนข้างๆกันอย่างเงียบๆไม่พูดคุยกับใครเหมือนเคย จะมีพวกพ่อค้าที่ถามคำถามกันอยู่บ้างและมักจะเป็นอคิราห์ที่ตอบให้แทนเสมอ ยามเย็นกำลังจะคลืบคลานเข้ามา และอาทิตย์บนฟ้าก็คงจะจากลาไปเหมือนในทุกวัน แต่ละวันนั้นแสนสั้น หากแต่การเดินทางของเรายังดูอีกยาวไกล


“เฮ้อ”  คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงตรงนี้ เจ้าขนฟูที่ไม่ได้ลืมเอามาด้วยนั้นกระโดดฟุบมาอยู่ที่ตัก เจ้ากระต่ายตัวน้อยนั้นออกมาออดอ้อนคลายเบื่อให้กันอย่างน่าเอ็นดู จึงอดไม่ได้ที่จะลูบตัวมันเล่น


“เจ้านี่ยังอยู่อีกหรือนี่” ทว่าจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่ดูจะไม่ถูกกับความน่าเอ็นดูของเจ้าขนฟูเท่าไหร่ ผู้ชายตัวโตที่ชอบทะเลาะกับกระต่ายนี่มันยังไงกันนะ ศศิมองค้อนกลับไป แกล้งกันคนเดียวไม่พอ ยังพาลไปแกล้งกระต่ายของศศิด้วยหรือ


“มันเป็นกระต่ายของข้า ก็ต้องอยู่กับข้าสิ” 


“กระต่ายที่เลี้ยงกระต่ายเลยอดไม่ได้ที่จะเข้าข้างกระต่ายสินะ”  ศศินั้นกอดเจ้าตัวเล็กไว้กับอก ทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด กระต่ายเลี้ยงกระต่ายที่ไหนกัน ศศิหาใช่กระต่ายจริงๆเสียหน่อย!


“ที่พูดน้อย เพราะงอนผัวอยู่นี่เองสินะ”  ทว่าบทสนทนาของศศิและอคิราห์นั้นกลับได้ยินโดยผู้อื่น และแน่นอนว่าประโยคนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก การที่แต่งหญิงมาด้วย ไม่ได้หมายความว่าเราตกลงจะเล่นบทผัวเมียจริงๆเสียหน่อย!


“แก้ตัวหน่อยสิ ข้าหาใช่เมียท่านนะ”  คนตัวเล็กกระซิบเบาๆ ไม่พอใจกับเรื่องนี้ หากอีกฝ่ายจะพูดล้อเล่น ก็อยากให้มันพอดีๆ


“เจ้าก็พูดสิ”


“….”


“ปล่อยให้พวกเขาคิดไปเช่นนั้นดีแล้ว”  แม้จะเก็บมาเป็นความขุ่นมัวในใจ แต่ก็ยอมรับว่าทำเช่นนี้อาจจะฉลาดกว่าจริงๆ สายตาของคณะเดินทางที่มองมาทางศศินั้นบางทีก็ติดจะหื่นกระหาย การมีเขาอยู่ข้างๆในฐานะสามีอาจจะช่วยทำให้พวกนั้นมีมโนธรรมขึ้นมาบ้าง แต่เป็นเช่นนี้…ตนไม่ต้องมานั่งอึดอัดตลอดการเดินทางเลยหรือ!?


“ข้าจะคาดโทษท่านไว้”  ด้วยการเพิ่มสูตรสมุนไพรที่กินแล้วอยากสำรอกออกมา…ก่อนจะมีกำลังวังชาไปสู้กับใคร องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นเดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนี้จะเอาคืนกันด้วยแบบไหน


ฟ้าเริ่มจะเป็นสีส้มก่อนที่ทุกอย่างเริ่มจะหายลับตาไป ขบวนเดินทางของเราหยุดพักที่ชายป่า ศศิลังเลว่าควรจะคุยกับเขาเรื่องขอแยกเดินทางออกมาดีหรือไม่ น่าแปลกที่ไว้ใจคนๆนี้เหลือเกิน อาจจะเพราะเราเดินทางด้วยกันมาตั้งแต่ต้น แม้จะขี้แกล้งไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยหักหาญน้ำใจกันจริงๆ


“ท่าน…”  แต่เกรงว่าเสียงที่เรียกจะไปไม่ถึง เขานั้นเดินไปคุยกับหัวหน้าคณะไม่ไกลเกินระยะสายตา ใบหน้าของศศินั้นดูจะผิดหวังที่เขาไม่ได้ยินที่เรียกหา แต่นอกจากคำว่า ‘ท่าน’ แล้ว ก็คิดไม่ออกจริงๆว่าควรจะเรียกว่าอย่างไร เพราะรู้จักกันมาสักพักแล้วก็จริง


แต่ไม่เคยจะได้ถามชื่อเสียงเรียงนาม


ส่วนอีกฝ่ายนั้นน่าจะทราบชื่อกันดีเพราะที่หมู่บ้านแห่งนั้นทุกคนเอาแต่เรียก‘ศศิ’ ไปมาน่าน้อยใจที่ไม่ได้ทราบชื่อของเขาเลยแต่ก็เป็นจุดประสงค์ของตนนั่นแลที่จะไม่ถาม ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากสร้างความผูกพัน แต่ไม่คิดว่าเราจะดวงผูกกันจนต้องระหกระเหินเร่ร่อนมาจนถึงที่นี่


“เจ้าคงเหนื่อยดื่มไวน์นี่ก่อนเถิด”  พวกเขาคือพ่อค้าที่กำลังขนส่งสุราไปขายต่างเมืองจึงไม่แปลกที่จะมีของพวกนี้ให้ดื่มกินได้ตลอดทาง ร่างบางนั้นหันไปมองทางด้านของเขาที่กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่กับอีกกลุ่มหนึ่ง รู้สึกน้อยใจอย่างประหลาด หรือจริงๆอาจจะแค่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะเราไม่ได้มาเพียงผู้เดียวแต่แรก ร่างบางนั้นรับไวน์มาและยิ้มกลับไปให้ตามมารยาท ก่อนจะจรดริมฝีปากเพื่อดื่มกิน

ทว่า….


“ต้องขอโทษด้วยแต่ข้าได้ยินไม่ถนัดว่านี่คือไวน์ บังเอิญข้าแพ้สุราจึงมิอาจจะร่วมดื่มกับท่านได้”


“แม้สักนิดก็ไม่ได้หรือ แม่นาง”  อีกฝ่ายดูผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ


“ต้องขอโทษที่เสียมารยาทจริงๆ”  และอย่างนี้มันดีกว่า…


เพราะศศิคิดว่าเรากำลังมีอันตราย…


“พี่อาทิตย์”  เจ้าของร่างเล็กที่ปฏิเสธการร่วมดื่มสุรานั้นตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนที่มาด้วย อคิราห์นั้นดูจะตกใจไม่น้อยที่ท่านหมอเดินเข้ามาออดอ้อนกอดแขนและเรียกกันด้วยโทนเสียงที่ชาตินี้คงไม่มีวันทำกับใครมาก่อน


พร้อมชื่อที่ไม่ใช่ของพระองค์ เจ้าตัวดูเคอะเขินแต่ก็คงจริงจังกับการเรียกร้องความสนใจไม่น้อยเชียว ศศิตั้งใจทำให้สงสัยเช่นนี้ ใครเล่าจะดูไม่ออก


“มีอะไรหรือเมียรัก”  พระองค์จึงทรงเรียกกลับไปเช่นนั้นด้วยแววตาหวานเยิ้ม ทว่าการตอบรับแบบนี้ทำให้ได้รู้ว่าเขานั้นน่าจะรู้ตัวว่ามีอะไรอยากจะพูดคุย


“เจ้าขนฟูของน้องมันหายไปไหนไม่รู้”


“ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าอย่านำกระต่ายนั่นมา”  ทรงโอบไหล่ของคนตัวเล็ก ถือแก้วไวน์ที่ได้รับมาไว้อีกมือพลางยกขึ้นจิบ  ก่อนจะพาท่านหมอตัวน้อยเดินหันหลังจากกลุ่มนั้นช้าๆ


“ข้าขอโทษไม่คิดว่ามันจะดื้อซนถึงเพียงนี้”


“เจ้าก็ดื้อซนไม่น้อย”


“ช่วยข้าหามันหน่อยได้หรือไม่”  เป็นศศิที่ส่งสายตาออดอ้อนมาให้ และอคิราห์ก็ยิ้มตอบกลับอย่างพึงใจ


“ใยจะไม่ได้เล่า”  เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เข้าตามแผน


ไม่รอช้า ศศิก็ได้พาเขาเดินออกมาจากกลุ่มพ่อค้านั่นในทันที ตาก็ยังคงเหลือบมองแก้วไวน์ที่เขาถือ ดวงตาที่เคยมองกันหยาดเยิ้มเปลี่ยนเป็นแววเครียดขรึม ไม่แน่ใจว่าดื่มไปแล้วเท่าไหร่ แต่คิดดีไม่ได้หรอก เพราะในแก้วของตนนั้นมันมียานอนหลับ ในแก้วของเขาที่มาด้วย ก็อาจจะมีเหมือนกันอยู่


“เจ้าเดินแบบนี้จะน่าสงสัยเอานะ”  อยู่ๆก็ซอยขาอย่างรวดเร็วเช่นนั้น มันน่าสงสัยเกินกว่าจะเป็นคู่ผัวเมียที่อยากจะหนีมาพลอดรัก ศศิเงยหน้าขึ้นไปหมายจะอธิบายให้เขาฟังถึงสถานการณ์ที่ได้รับทราบ แต่แววตาคู่นั้นทำให้ต้องกลับมามองแก้วไวน์ให้ดีและจะพบว่า


ยังไม่มีสักครั้งที่เขาจรดริมฝีปากกับขอบแก้ว!


“ข้าเองก็ได้กลิ่น ‘ราตรีเรียกขาน’ เหมือนกัน”  สมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลาย ถ้าดื่มไปในปริมาณที่พอดีมันอาจจะทำให้นอนหลับสบาย แต่ถ้ามากไปก็คร่าชีวิตได้ และปริมาณในแก้วของศศิมันเพียงพอให้นอนหลับลึกไปหนึ่งคืน ทว่าเมื่อยกแก้วขึ้นมาดมจะรับรู้ได้ถึงรสที่เข้มข้น เอาถึงตายเลยทีเดียว


“เพื่ออะไรกัน ของข้ายังไม่ใส่เท่านี้”  ศศิถามออกมา อคิราห์นั้นไม่ได้มีความรู้ด้านสมุนไพรเท่าศศิเป็นแน่ แต่เพราะพวกนั้นกะวางยาให้ตายเลยใส่ไปเสียเยอะขนาดนี้ เพียงยกแก้วขึ้นดมยังไม่ทันจรดริมฝีปากก็รับรู้ได้ แต่น่าแปลกที่กับศศินั้นพวกมันไม่ได้กะจะฆ่า ทว่าก็เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่


“พวกนั้นตามมาแล้ว”  ร่างสูงเร่งฝีเท้า พวกนั้นน่าจะสงสัยจึงตามมา หรือไม่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรแต่แค่คิดว่าควรจะรวบหัวรวบหางเสียที มากันห้าคนแบบนี้คงจะคิดว่าอคิราห์คนเดียวฆ่าได้สบาย ส่วน ‘เมียของเขา’ เมื่อฆ่า ‘ผัว’ ได้ก็จัดการได้ไม่ยาก


แม้เหมือนจะชวนพูดคุยสร้างมิตรไมตรีไปเรื่อยๆ แต่จริงๆมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย เพราะหลวมตัวมาด้วยแล้ว อคิราห์จำต้องเรียนรู้ศัตรูให้ดีเพื่อที่จะเอาชนะ ศศิกำลังจะพาพระองค์เข้าป่า ในความมืดมิดอาจจะทำให้เราเสียเปรียบหรือได้เปรียบ นั่นไม่มีใครรู้เลย ทว่าเมื่อพระอาทิตย์ลับแสง ก็ไม่มีใครได้เปรียบใครเลยจริงๆ


และกลางคืนก็ได้ครอบงำโลกทั้งใบให้มีแต่ความมืดมิด


“พวกมันหนีไปแล้ว!”


“อย่าให้มันหนีไปได้!”  องค์รัชทายาทกำลังพาศศิออกวิ่ง ท่านหมอตัวเล็กไม่ได้มีแววหวาดกลัวสิ่งใด และความร่วมมือที่มีให้ก็ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง ทว่าธนูที่ตัดผ่านใบหน้าไปก็ทำให้ต้องชะงักกึก พวกเรากำลังลังเลว่าจะเข้าไปในป่าเพื่อหาทางรอด หรือจะเผชิญหน้าต่อสู้ตรงนี้


อย่างไรซะตรงนั้นก็มีแค่ห้า ส่วนเรามีสองเป็นสองที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีเพียงหนึ่งที่จับดาบคล่อง ได้เปรียบขนาดนี้เห็นๆก็รู้อยู่แล้วว่าจะเลือกอะไร


พระองค์ก็ได้แต่หวังว่าศศิจะปีนหนีขึ้นไปบนต้นไม้ทันนะ


-  - - - - - - - - - - - - - - - - -

อนุญาตให้ด่าพี่อาทิตย์ได้เลยค่ะ ทำไมทำแบบเน้5555
หวังว่ายังจะมีคนรออ่านเรื่องนี้อยู่น้า ถ้าแต่งจบแล้วเรารับรองจะมาแบบถี่ๆจริงๆ
สาบานด้วยเกียรติของลูกเฉือที่อยากแต่งเรื่องอื่นแน้วววววว
น่อววว ใครไม่รู้จะอ่านอะไรรอไปอ่าน  #เจนไม่นก ก็ได้เด้อ (ขายของแบบไม่เนียน555)

#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 4 : 5/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-12-2018 22:47:52
ขอให้ทั้งคู่ปลอดภัย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 4 : 5/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-12-2018 23:42:53
จะปีนจริงๆเหรอ ปีนให้ทันเน่อ 5555555555
กระต่ายหายไปไหนแล้ววว
หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 5 : 8/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 08-12-2018 19:55:57
Finding the twilight
5
อาทิตย์กับศศพินทุ์
☼ ☽


“ปีนหนีขึ้นไปบนต้นไม้”  เขาสั่ง ศศิแทบร้องไห้ นี่เขาเห็น ‘เมียรัก’ ที่เฝ้าอุ้มชูมาตลอดวันเป็นพญาลิงหรือ? ต่อให้ปีนได้ก็ไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน ใครจะกระโดดแล้วขึ้นไปอยู่บนนั้นได้เลยเล่า หากแน่จริงก็ทำให้ดูเสียที แล้วจะลงมาสู้กับพวกนี้ต่อก็ไม่เป็นอะไรเลย!


“ข้าปีนไม่ได้” ปกติก็ปีนได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ตอนนี้และให้เสร็จภายในวินาทีนี้!


“งั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะเอาตัวรอดได้!”  ไม่รอดก็ต้องรอดแล้วงานนี้ อคิราห์นั้นพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ทิ้งภาระดูแลชีวิตตัวเองไว้ให้ศศิที่ตามไม่ค่อยจะทัน เห็นได้ชัดว่าเขานั้นเหมาไป 3 แล้วจะเหลืออีก 2 มาให้ตามกันทำไม!


“ยอมเสียเถิดคนสวย”  หนึ่งในพวกมันที่ดูอ่อนแอที่สุดในกลุ่มนั้นย่างสามขุมเข้ามา ศศิถอยหลังไปตามสัญชาตญาณแต่สติยังมีครบถ้วน แม้ใบหน้าจะดูลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกของตนที่ต้องพบเจอกับอันตรายแบบนี้ และครั้งแรกก็ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจนัก


เมื่อฝ่ายนั้นถลาเข้ามา ศศิที่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายตั้งรับกลับโจมตีด้วยฝ่ามือที่ลงสับบริเวณจุดอ่อน ทำให้ชาไปทั้งร่าง ก่อนจะหักแขนด้วยความว่องไว ไม่ใช่ว่าศศิเก่งเรื่องต่อสู้อะไรหรอก นี่ถือเป็นสถานการณ์จริงครั้งแรกตั้งแต่ฝึกมาจึงทำให้ประหม่าอยู่บ้าง


เดิมทีนั้นตนถูกสอนโดยท่านอาจารย์หมอเกี่ยวกับการต่อสู้ระยะประชิดมาบ้าง แต่เพราะตัวก็เล็กแค่นี้แถมไม่ชอบออกเรี่ยวออกแรงเลยคิดว่าตนทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยไปฝึกซ้อมหรือฝึกประลอง แต่พอโค่นไปได้คนหนึ่ง ก็เริ่มมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาบ้าง เหลืออีกคนให้จัดการ และมันคงระวังตัวกว่าเดิมเพราะได้เห็นแล้วว่าศศิไม่ได้อยู่เฉยๆให้จับ


เมื่อหันไปทางคนที่จัดการตัวใหญ่ๆอีกสาม ก็พบว่าเขาไปเอาดาบมาจากไหนไม่รู้ล้มไปได้ถึงสองแล้ว มันก็รู้สึกขัดแย้งในใจไม่น้อย ทั้งๆที่เป็นหมอแต่กลับมาทำร้ายคนให้บาดเจ็บ และเพราะมัวแต่คิดเพลิน หางตาของตนเลยแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าคู่ต่อสู้ของตนได้มาประชิดกันแล้ว และศศิก็กำลังจะพลาดท่า…


“ศศิ!”


ปึก!


“….”  แล้วร่างนั้นก็เซถลาไปด้านหลัง


ก่อนที่ศศิจะยกเข่าไปกระแทกที่จุดอ่อนตรงกลางหว่างขา และต่อยหน้าคู่กรณีจนล่วงลงไปนอนกับพื้นอีกคน ช่างเป็นหมัดที่คมนัก ขัดกับหน้าหวานๆราวกับอิสตรีที่พร้อมจะพับผ้านั่งร้อยดอกไม้เสียเหลือเกิน


“….” อคิราห์ที่เสียเวลามาเป็นห่วงกลับมาสนใจถีบยอดหน้าคนสุดท้ายที่ต้องจัดการให้เด็ดขาด ในตอนนั้นไม่ได้ทอดพระเนตรไปเห็นฉากสุดท้ายของศศิที่ก้มลงไปกระทืบมือของมันไม่ให้จับดาบได้อีก ไม่คิดเลยว่าคนที่ลูบขนกระต่ายด้วยความเอ็นดูและทายาให้พระองค์อย่างอ่อนโยนจะจัดการได้อย่างเด็ดขาดแบบนี้


บอกตรงๆว่าได้เห็นมาถึงตรงนี้ก็เจ็บตรงนั้นแทนไม่น้อย คนงามช่างใจไม้ไส้ระกำ!


“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง!”  ศศิที่มั่นใจว่าจะไม่มีใครแว้งมาทำร้ายกันจากด้านหลังได้อีกนั้นวิ่งมาหา การจัดการคน 3-5 สำหรับคนที่ฝึกฝนตนเองมารับมือกับการลอบสังหารหรือภารกิจต่างๆย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนตัวน้อยที่น่าจะถูกสอนมาให้ดูแลรักษา ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดการคนเลวได้ไม่น้อยหน้าเขาเช่นนี้ เสียศูนย์หน่อยๆ แต่ก็ภูมิใจราวกับได้เลี้ยงให้เติบโตมาด้วยพระองค์เอง


หลังจากยอมให้ศศิจับหมุนทั้งตัว ก็เป็นพระองค์ที่ต้องลากศศิออกมาจากพวกนั้น เพราะสัญชาตญาณหมอก็อยากจะเข้าไปดูว่าได้ทำใครถึงตายหรือไม่ แม้จะมาดมั่นกล่าวไว้ว่าไม่ได้ช่วยชีวิตหนึ่งมาฆ่าอีกสาม แต่บางทีก็เอ๋อๆจนลืมคิดไปว่าไอ้ 3+2 ตรงหน้ามันจะฆ่าเราทั้งคู่


หลังจากจัดการจับมัดอุดปาก อคิราห์ก็กระทำการปลดทรัพย์พวกคนชั่วด้วยการทำตัวให้ชั่วยิ่งกว่า ศศิมองกันตาปริบๆ เริ่มรู้สึกเหมือนเดินทางผิดก็วันนี้ แต่ถ้าศศิได้รู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว อาจจะงงยิ่งกว่า องค์ชายรัชทายาท กษัตริย์คนต่อไปของสิหราชนคราหรือนี่ที่ทำเรื่องแบบนี้?!


“เพราะข้าเห็นว่าเจ้ากินจุต่างหาก”  เงินอาจจะไม่พอเลี้ยงศศิระหว่างทาง เป็นเช่นนี้แล้วก็พอจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปได้ อย่างไรปากท้องของเรา(?)ก็สำคัญ


อคิราห์จัดการปล่อยม้าของพวกคนชั่วให้หนีไปและเก็บไว้ใช้เพียงตัวเดียว ตอนแรกได้หันมาถามศศิแล้ว ว่าจะเอาด้วยไหม แต่เกรงว่าคนเลี้ยงกระต่ายจะไม่มีประสบการณ์ขี่ม้ามาก่อนทั้งๆที่โตในค่ายทหาร ไม่เป็นไร ต่อยตีเป็นบ้างก็พอจะอยู่ร่วมกันได้ ก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิทจริงๆ ทรงได้พาคนตัวเล็กควบม้าหนีไป แสงจันทร์ในวันนี้ดูจะสว่าง นำพาให้เราไปได้ไกลกว่าที่คิด ก่อนจะมาหยุดที่ริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่งดูจะไกลพอแล้ว


“ถ้าท่านอาจารย์ของข้ารู้ ท่านต้องตีตายแน่”  ทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายคนอื่นโดยไม่เหลียวแล หรือแม้แต่ไปปลดทรัพย์สินเขามาด้วย


“หากไม่ยอมรับการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ก็หมายความว่าจะไม่นอนกับข้าในนี้สินะ”  ทรงหมายถึงชุดเครื่องนอนที่เตรียมมา เจ้ากระต่ายจอมแสบรีบส่ายหน้าตบปากตัวเองที่พูดจาไม่ดี ท่าทางแบบเด็กๆทำให้องค์รัชทายาทเผลออมยิ้ม ก่อนจะกลั่นแกล้งด้วยการเถิบหนีเมื่อศศิเข้ามาใกล้


“ให้ข้านอนด้วย”


“บอกว่าให้เมียนอนด้วยสิจ้ะผัวจ๋า” 


“จะบ้าหรือ!”  ใครจะพูดอย่างนั้นกัน มันชักจะมากเกินไปแล้ว นี่ศศิเป็นเมียเขาเต็มวันไปแล้วหรือนี่!


“งั้นหาวิธีมาขอน่ารักๆหน่อย เอาให้ข้ารู้สึกว่าต้องเสียใจที่ใจร้ายกับเจ้า”  มันน่าโมโหนัก ทั้งๆที่เขามีโอกาสมาปากดีใส่กันได้ก็เพราะท่านหมอผู้มีพระคุณคนนี้ไม่ใช่หรือไร? เมื่อนึกได้ว่าตนยังไม่ได้ทวงบุญคุณเลยก็คิดจะโพล่งมันออกมา


จนกระทั่งนึกถึงไม้ตายที่เคยได้ใช้
 

“ท่านพี่”  น้ำเสียงที่เรียกกันมีแววหวานจนทำให้ขนลุกเกรียว อคิราห์ที่คิดว่าศศิต้องไม่ยอมแน่พลันหันมาสนใจสบตาคู่นั้นที่ช้อนมองกันอย่างออดอ้อน “ให้ศศินอนด้วย”  ในตอนนั้นเองทรงคิดแล้วว่าบางที…


ควรจะยกให้ศศิไปนอนคนเดียวให้มันจบๆซะ!


ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มอบให้…มิหนำซ้ำยังต้องมานอนใกล้ชิดกันอีก ทั้งๆที่ควรลำบากพระทัย แต่นี่มันคืนที่เท่าไหร่แล้วที่มีศศินอนข้างๆ และเจ้าตัวที่ไม่ได้พิศวาสอะไรก็ช่างกินง่ายนอนง่าย สอดตัวเข้าไปในความอบอุ่นได้ ก็พลิกตัวนอนตะแคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เป็นพระองค์ที่หยอกล้อสนุกในยามกลางวัน ก่อนจะถูกเอาคืนให้ใช้เวลามากกว่าในยามค่ำคืน เช่นนี้


แค่เพียงเนื้อตัวเราต้องสัมผัสกัน พระองค์ก็รับรู้ได้ถึงความนุ่มลื่นของผิวกายอีกฝ่าย จินตนาการที่ห้ามไม่ได้ ทำให้เผลอคิดว่าหากพระหัตถ์นั้นได้สัมผัสหรือลูบไล้คนที่นอนข้างๆนี้ จะให้ความรู้สึกที่ดีเหมือนแพรไหมอบร่ำที่ทรงชื่นชอบนักหนาหรือไม่ อย่างนั้นแค่สัมผัสคงไม่พอ จะรู้ว่าหอมหรือไม่…มันก็ต้องดอมดมดูสักครา


“…”  เป็นความอยากรู้อยากเห็นที่บ้าบอ โฉดเขลา และสกปรกสิ้นดี ก่นด่าตัวเองจนพอใจแล้ว ก็นอนหลับพักผ่อนสักนิดเถิด เฝ้าระวังความปลอดภัยในค่ำคืนนี้เสียหน่อย ทว่าในขณะที่กำลังฝึกตนอยู่นั้น คนข้างๆก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย เมื่อศศิขยับกายมาใกล้อีกนิด เส้นผมนิ่มสลวยก็แผ่กำจายกลิ่นหอมมาถึงทางนี้ เจ้ากระต่ายนี่เอาอะไรมาหอมกัน ได้ข่าวว่าเราไม่ได้อาบน้ำก่อนนอนกันไม่ใช่หรือ?


อืม…มันต้องเป็นเพราะไม่ได้อาบน้ำแน่ๆเลย ถึงรู้สึกไม่สบายตัวแบบนี้


“ช่วยไม่ได้”  ไม่งั้นคงนอนไม่หลับเป็นแน่  ไปอาบน้ำเสียหน่อย และถ้าจำเป็น…


ก็คงต้องไปจัดการเรื่องน้ำๆเสียหน่อยเหมือนกัน…


ศศิตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เป็นเพราะนอนไปตั้งแต่หัวค่ำ เรียกว่าซักผ้าเสร็จ ผึ่งไว้ไม่ไกลจากกองไฟและก็นอน ไม่รู้หรอกว่าคนข้างๆนอนเมื่อไหร่ ก็เขาดูหลับยาก พลิกไปพลิกมาเลยชิงหลับไปก่อนเสมอ เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าคนข้างกายยังหลับสนิท ช่วงนี้พระจันทร์เต็มดวงไร้เมฆบัง มันสว่างจนพอจะมองเห็นรูปร่างของคนที่หลับใหลอยู่ข้างกาย


น่าแปลกที่ยามนี้เขาดูแตกต่าง อาจจะเพราะหลับอยู่จึงดูน่าคบหากว่ายามที่แกล้งหยอก เขาเป็นคนหน้าดุ เสียงก็ดุ นิสัยก็ดุ ถ้าหากไม่ขี้แกล้งอยู่บ้างคงจัดได้ว่าไม่น่าเข้าใกล้เพราะคล้ายไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เอาเสียเลย จนตอนนี้ศศิกล้าวิจารณ์กันในใจได้แล้ว เพราะความใกล้ชิดที่ไม่เคียงความสนิทสนมทำให้รู้ว่าพอจะฝากอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง อย่างน้อยก็เหมือนจะฝากชีวิตได้ จากเหตุการณ์ที่ผ่านๆมา


“ถ้าท่านไม่ขี้แกล้งก็คงจะดี”  เผลอหลุดพึมพำออกมาขณะมองใบหน้าคมในเงามืด ทว่าในจินตนาการ ลักษณะเด่นของเขากลับฉายชัดในหัว จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคมเรียวดุ ริมฝีปากบางรับกับรูปหน้าที่ดูสมชายชาตรี ร่างกายก็สูงใหญ่ ให้ความรู้สึกปลอดภัยยามต้องพึ่งพา ดูโดดเด่นจนต้องซ่อนใบหน้าไว้ในหมวกใบใหญ่แบบเดียวกัน หากลดความขี้แกล้งลงหน่อยจะดีมาก เพราะคนตรงนี้ไม่ไหวจะเขินและโกรธแล้วจริงๆ


อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้น เรากำลังก้าวเข้าสู่เช้าวันใหม่อย่างแท้จริง ศศิคิดเช่นนั้นก่อนจะมองไปยังทะเลสาบไม่ไกลจากนี้ เมื่อคืนวานศศิได้ไปซักผ้าอยู่ตรงนั้นและเอามาตาก ตอนนี้มันก็ดูจะแห้งดี เสื้อผ้าก็สะอาดแล้ว แต่ร่างกายที่ไม่ได้รับการชำระล้างก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ คนตัวเล็กจ้องมองพระจันทร์ลูกโต ความรู้สึกอันตรายต่อธรรมชาติที่มองไม่เห็นถูกแทนด้วยความเชื่อมั่นบางอย่าง คนตัวบางยิ้มออกมา ก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นแรกและชิ้นต่อๆไป


โดยไม่รู้ว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนที่นอนอยู่ไม่ไกล


องค์รัชทายาทนั้นนอกจากจะหลับไม่ง่าย ยังตื่นได้ไวอีกต่างหาก ยิ่งเมื่อมีคนมาพูดพร่ำนินทาอะไรข้างๆหู ก็ย่อมบรรทมต่อไม่ได้ ทว่าก็ไม่ได้แสดงตัวออกไปเพราะยังเช้าเกิน ยังอยากนอนต่อ ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมามองว่าอีกฝ่ายไปไหน สิ่งที่เห็นก็ทำให้พระทัยเต้นแรงและลังเลไม่น้อยเลย


ควรจะสะกดจิตตัวเองให้หลับต่อหรือว่าควรจะตื่นไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดดี!


ไม่รู้ว่าพระจันทร์เต็มดวงนั้นและตะเกียงอันไม่ใหญ่นักให้แสงสว่างต่อกันมากเกินไปหรือเปล่า ศศิถึงได้กล้าอาบน้ำยามท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่แบบนี้ และแก้ผ้าอย่างไม่อายว่าจะมีใครตื่นและมองกันอยู่ สิ่งที่พระองค์ได้เห็นและคงติดตาไปอีกนานนั้น คงเป็นภาพร่างบางที่กำลังรวบผมของตน เผยแผ่นหลังนวลเนียนที่ประดับไปด้วยแนวกระดูกสันหลังลงมาถึงบั้นท้ายกลมกลึง ไหล่ลาดเล็กเรื่อยลงมายังเรียวแขนที่พอมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง เรียวขานั่นก็เรียวสวยนวลเนียนดูหมดจด ไฉนเลยยังกล้าบอกว่าตัวเองอัปลักษณ์ได้ลงคอ เจ้าช่างหลงผิดไปไกลเหลือเกิน!


รูปลักษณ์ปานล้มเมืองนี่หรือที่กล้าด่าทอตนเองแบบนั้น!


แต่ด้านหลังราวอิสตรีนั้นมันต่างกับด้านหน้า อย่างไรศศิก็คือบุรุษและแม้จะเป็นบุรุษโฉมงาม แต่บุรุษก็คือบุรุษ และที่เจ้าตัวกล่าวว่าอัปลักษณ์นั้นก็คือใบหน้าหาใช่เรือนร่างที่พระองค์ได้เห็นไม่ แลดูว่าอคิราห์จะเพ้อเจ้อไปไกลจนเกินจะกู่กลับเสียแล้ว


“เฮ้อออออ”  ถึงจันทร์จะสว่าง ก็ใช่ว่าใต้น้ำจะมองอะไรเห็นได้ ถึงจะได้ลองสรงน้ำไปเมื่อคืนวานนี้แล้ว แต่ศศิอาจจะเผลอพลั้งพลาดอะไรได้อีก พระองค์จึงตัดสินใจลุกขึ้นไปแสดงตัวว่าตื่นแล้วที่ทะเลสาบ ก่อนจะนั่งที่โขดหินไม่ไกลกันนัก


“รอให้เช้าก่อนจะตื่นมาอาบ ข้าก็ไม่ว่า”  ศศิที่หันหลังให้นั้นสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง ใบหน้านั้นขึ้นสีแดง นี่เขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?


“ข้าเหนียวตัวไปหมดแล้ว”  แต่แม้จะเขินอาย ก็เลือกจะเผชิญหน้า แม้จะได้เห็นชัดเจนในส่วนอกที่ตอกย้ำว่าศศิหาใช่หญิงจำแลงมาจริงๆ


“….”  แต่แผ่นอกบางเรียบนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันดูไม่เย้ายวนเลย


ผมยาวสลวยนั้นถูกรวบเป็นมวยสูงเก็บโชว์กรอบหน้า มีปอยผมหลุดร่วงลงมาขับความหวาน และแน่นอนว่าจุดเด่นที่ศศิมีซึ่งก็คือปานที่นึกรังเกียจก็ยังมีให้เห็นชัดเจนอยู่ แต่พระองค์กลับไม่เห็นว่ามันเป็นตำหนิตรงไหน เมื่อรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่กำลังจ้องมองใบหน้าของตน มือเล็กก็ถูกยกขึ้นมาปิดบังมัน


อคิราห์ถอนหายใจออกมาให้คนที่ไม่รู้จะเรียกว่าขี้หวง ขี้เขิน หรืออะไรดี ที่มองนั้นก็เพลิน แต่ไม่มีสักนิดที่จะคิดว่ามันน่าเกลียด และมันก็ไม่เคยน่าเกลียดน่ากลัวสำหรับพระองค์จริงๆ


มันเป็นค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในการชื่นชมใบหน้าอ่อนเยาว์ผิวพรรณงดงามไร้ตำหนิต่างๆ ศศินั้นก็มีครบทั้งความอ่อนเยาว์และผิวสวย ทว่าปานนั้นอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อยจนเป็นที่ครหา ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมา แต่กับอคิราห์ที่ต้องพบเจอแผลเป็นมากมายบนใบหน้าของคนอื่นหรือแม้แต่แผลไฟไหม้ของคนในสนามฝึก ทรงกลับคิดว่าที่ศศิมีมันไม่ใช่อะไรที่มากมายเกินรับได้เลย ก็คงเหมือนสิวเม็ดหนึ่งที่ผุดขึ้นมานั่นแล


ตรรกะนี้มันประหลาด ก็ใช่…แต่ถ้าเรามองปัญหาบนใบหน้านั้นเล็กเท่าสิว มันก็จะเป็นแค่เรื่องสิวๆจริงๆ พระองค์ทรงกวักน้ำไปกระเซ็นใส่คนที่อาบน้ำอยู่จนอีกฝ่ายต้องหลับตาปี๋ ก่อนจะลืมตาและมองค้อนใส่กัน


“ปิดไปก็เท่านั้น ข้าเห็นปานของเจ้าหมดแล้ว”  ก็รู้ว่าเห็นหมดแล้วแต่มันคือปฏิกิริยาที่ศศิมักหลุดทำเสมอ มันผิดหรือไร?


“ข้าเผลอ”


“ข้าไม่ได้คิดว่ามันแย่ขนาดนั้นเลยนะ”


“ก็คงมีแค่ท่านคนเดียวที่คิดแบบนี้”  ศศิยิ้มให้กับคำพูดนั้น


“เจ้าคิดว่ามีแค่ข้าแต่เพียงผู้เดียวหรือที่คิดเช่นนั้น”


“….”


“งั้นข้าก็พอใจที่เป็นหนึ่งเดียวนั้น”  เขาทำให้ต้องชะงักไปกับคำพูดนี้ เพราะไม่ต้องการเหมือนใคร แม้ว่าการที่คนอื่นจะคิดได้แบบเดียวกันนั้นดีต่อศศิมากกว่าก็ตาม ไม่ใช่ว่าหวงอะไรกับตำแหน่งนี้มากนักหรอก แต่อยากให้รู้เอาไว้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะตัดสินคนที่แบบนั้น และที่ยิ่งกว่านั้น…


ทรงไม่คิดว่าปานแบบนี้ไปอยู่บนหน้าใครแล้วจะงดงามได้เท่าศศิอีก…


“…..”


“อย่าเล่นน้ำนาน หรืออย่าไปไกลนักนะ”  เมื่อศศิไม่เถียงต่อก็แปลว่าพอจะเข้าใจและหายเศร้าแล้ว “เข้าใจไหม ศศิ”


ศศิ…คำเรียกนี้ช่างทุ้มก้องอยู่ในใจ…


“เจ้าไม่ควรตื่นเร็วขนาดนี้ เดี๋ยวจะเดินทางไม่ไหว”  เมื่อเห็นท่าทีที่หยุดนิ่ง จึงเปลี่ยนบทสนทนาของเราให้เป็นเรื่องอื่นไปเสีย


“ข้าเห็นว่าตัวเองนอนเยอะแล้ว ไหนจะต้องลุกมาปรุงยาให้”  สิ้นคำอธิบาย ใบหน้าของคนต้องโทษต้องดื่มยาขมก็บูดเบี้ยว เขาทำให้ศศิยิ้มออกมาได้ง่ายๆ วันนี้จึงคิดว่าจะทำให้รสชาติมันดีขึ้นเสียหน่อย


“เราต้องเดินทางกันไกลนัก ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเหนื่อย”  เพราะมันอาจจะทำให้เราพากันช้า


“เรามีม้าคงไม่เหนื่อยเท่าไหร่”


“เผลอหลับบนม้า มันอันตราย”  เขาดุออกมา ทั้งๆที่เรายังไม่ได้นั่งบนหลังม้ากันเลย


“แต่ท่านอยู่ข้างหลังข้า”


“….”


“เพียงแค่ผูกตัวข้าไว้กับท่าน ก็ไม่ตกแล้ว” คำพูดของศศิทำให้ทรงคิดภาพตาม หากคนตัวเล็กหลับลงไป ก็ไม่พ้นต้องพิงมาทางข้างหลังอย่างนั้นหรือ ทรงพระสรวลออกมาน้อยๆ ใบหน้าคนที่บอกว่าจะผูกตัวเองไว้กับพระองค์ไม่ได้ฉายแววคิดมาก หรือไม่ได้คิดอะไรเลย นอกจากจะนอนง่าย ไร้ความอึดอัดใดๆ ก็จะพิงอกนอนกันง่ายๆโดยไม่คิดอะไรเช่นนั้นนะหรือ?


เกรงว่าเสน่หาอันล้นเหลือขององค์ชายรัชทายาทจะถูกเจ้ากระต่ายตัวดีเมินเฉยเสียแล้ว…


“เจ้าจะทำให้ข้าไหลตกไปกับเจ้าด้วยนะสิ”


“ตัวก็ตั้งใหญ่ ข้าตัวนิดเดียว”  ตัวนิดเดียวก็ยังซัดคนร่วงไปตั้งสอง ใบหน้าอวดดีนั่นทำให้ทรงนึกหมั่นไส้ระคนเอ็นดู


“งั้นคงต้องมัดเจ้าไว้กับข้าแน่นๆหน่อย”  นึกอยากเอาคืนเจ้าคนที่ทำให้ทรงเสียความมั่นใจอยู่ไม่น้อย “เผื่อเจ้าจะตกลงไป ข้าจะได้คว้ามาก่อนได้ทัน”


“…”


“ตัวเจ้าก็นิดเดียวข้าย่อมกอดได้ถนัดมืออยู่แล้ว”  แล้วเจ้ากระต่ายบื้อก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัว เพราะใบหน้าขาวนั้นดูร้อนขึ้นมา ไม่ใช่แค่คำพูด แต่แววตาเจ้าชู้ของคนที่พยายามจะกู้ความมั่นใจนั้นชักนำให้ศศิได้เข้าถึงภาวะนี้ ภาวะความเขินอาย


“ข้าไม่หลับเป็นแน่ โปรดวางใจได้!”


“งั้นก็ขึ้นมาได้แล้ว แช่น้ำนานๆเจ้าจะไม่สบาย”  และอาจจะผล็อยหลับระหว่างที่เราอยู่บนม้าให้เขาต้องโอบกอดเอาไว้ แต่ถ้าคนตัวสูงยังนั่งอยู่เช่นนี้แล้วศศิจะขึ้นไปได้อย่างไร เขาก็เหมือนจะรู้ตัวอยู่ด้วย


“ท่านก็หันไปก่อนสิ” 


“ทำไมกันเล่า”


“ข้าจะได้ขึ้นไปยังไง”


“เจ้าขึ้นไม่ได้หรือ? หรือต้องการให้ข้าไปพาขึ้นมา”  ศศิรีบยกมือห้าม ทั้งๆที่รู้ว่าเขานั้นเข้าใจทั้งหมดแต่ยังจงใจแกล้ง ในที่สุดก็ต้องยอมยืดตัวขึ้น แหวกว่ายคลานกลับเข้าฝั่ง แต่คนขี้แกล้งทำได้ดีกว่านั้น เขาเดินเข้ามาหา พร้อมผ้าคลุมตัวที่ถือติดมือไว้ ช่วยคลุมร่างเปล่าเปลือยที่กำลังจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไม่ให้ต้องกระดากอาย


“…”


“เจ้าควรเช็ดตัวให้แห้ง อากาศเย็น จะเป็นไข้ได้”  โทนเสียงอบอุ่นที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยทำให้ศศิที่อยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว ลืมเลือนมัน ทว่าสิ่งที่มาทดแทนคือความสับสนที่มาพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่รุนแรงหนักหน่วง ริมฝีปากบางของเขาเผยรอยยิ้มมาให้ มันเจิดจ้าท่ามกลางฟ้าที่ใกล้สางนี้


“ขอบคุณ”  ศศิหลุบตาลง เลือกที่จะไม่ตอบโต้ใดๆและกระชับผ้าที่คนขี้แกล้งนำมาคลุมตัวไว้ให้แน่นขึ้นอีก ดวงตาอันอบอุ่นแต่แวววาวนั้นทำให้อึดอัดเหมือนไม่มีที่ให้ยืน เขาผละจากไปก่อนให้ศศิตามมา อคิราห์เพียงพอแล้วกับการกลั่นแกล้งให้เลือดลมไหลเวียนคล่องตัวในยามเช้า แต่ใครเล่าจะคิดว่าที่ผละออกนั้น ใช่เพราะแกล้งพอแล้ว


ไม่ใช่…แกล้งมากไป พระทัยก็สั่นไหวไม่น้อยอยู่เหมือนกัน?!


เราต่างแยกย้ายกันไปจัดการนั่นนี่ของตัวเอง ศศิไปต้มยาด้วยสมุนไพรที่ตนนั้นเตรียมไว้ เอามาให้เขาดื่ม ซึ่งตัวผู้รับก็ว่าจะดื่มเงียบๆไม่ชวนต่อล้อต่อเถียงใดๆ ทว่าก็อดจะหลุดสีหน้าแหยงๆไม่ได้ เพราะเมื่อนึกถึงรสชาติที่เคยลิ้มลอง แต่หวานเป็นลมขมเป็นยาจริงๆ หลังจากดื่มยาบำรุงที่มีรสชาติคล้ายยาพิษนั่น ร่างกายก็ฟื้นฟูได้เร็ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีปัญญาเปรี้ยวสู้กับชาวบ้านเมื่อวานจริงๆ


“ข้าไม่ได้แกล้งท่านแล้ว ทานเถิด มันไม่แย่นักหรอก”  เมื่อเห็นท่าทางลังเลใจประหนึ่งทำใจไปรบของคนป่วย มันทำให้คนปรุงยาหลุดคำสารภาพออกมา เพราะแกล้งเอาคืนอย่างนั้นใช่ไหม รสชาติมันเลยแย่ได้ขนาดนั้น แต่เมื่อเห็นว่าอีกคนยอมลงให้ขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะปฏิเสธ ทรงดื่มยาสมุนไพรลงไปและก็พบว่ารสชาติมันไม่แย่เท่าวันนั้นแล้ว


แต่ก็ยังคงไม่อร่อยอยู่ดี


“ยาไม่ใช่ขนม มันขมแต่ก็ดีกับร่างกาย”  ศศิกล่าวก่อนจะเดินจากไปเก็บข้าวของ ทรงมองตามแผ่นหลังบางของคนที่พยายามจะสร้างระยะห่างกับพระองค์ในเช้านี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ถ้ามองกันในแง่ของหลักเหตุผลหรืออะไรก็แล้วแต่ ศศิก็ทำถูกแล้ว ใกล้ชิดกันมากไปก็ไม่ค่อยดีหรอกแต่เป็นแบบนี้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายกว่านะ


เหมือนเมื่อวาน ทรงช่วยอุ้มยกศศิขึ้นไปบนหลังม้าก่อนจะก้าวไปนั่งซ้อนหลัง เมื่อแผ่นหลังของคนตัวเล็กสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากตัวอีกคน ร่างบางก็เกร็งไปหมด คงจะคิดเรื่องบทสนทนาในเช้าตรู่วันนี้ของเราเป็นแน่ แต่พระองค์ชายก็ไม่ได้ล้อเลียนอะไรออกไป เพราะเกรงว่าอาจจะมีคนโวยวายบนหลังม้าพาให้ตายกันเป็นคู่ ทว่าพอปล่อยให้ศศิเกร็งไปอย่างนั้นนานๆเข้า ก็เป็นพระองค์ที่ต้องพูดอะไรขึ้นมาเพื่อทำลายความอึดอัด


“ทำไมถึงเรียกข้าตอนนั้นว่าพี่อาทิตย์เล่า?” 


“….”


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชื่ออาทิตย์”  แต่จริงๆพระองค์ก็ไม่ได้มีพระนามว่าอาทิตย์เสียหน่อย แต่ความบังเอิญนั้นมีอยู่บ้าง อคิราห์นั้นแปลว่า ‘พระอาทิตย์’


“ข้าคิดไม่ออก”


“หรือเพราะเจ้าชื่อศศิที่แปลว่าพระจันทร์เลยเดินมาเรียกข้าว่าอาทิตย์”  คิดง่ายๆแบบนั้นจริงๆหรือ?


“ก็คงจะอย่างนั้น แต่ตอนนั้นข้าเพียงหวังให้ท่านสังเกตว่ามันมีอะไรผิดปกติเท่านั้น” เจ้าตัวไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อเลย ตอนนั้นจะเรียกออกไปแค่ว่า ‘ท่านพี่’ ก็ย่อมได้ แต่เดินไปกอดแขนและเรียกว่า ‘พี่อาทิตย์’ มันเหมือนมีอะไรจากส่วนลึกภายในที่เรียกร้องให้ตนทำเช่นนั้น


“ฉลาดนัก เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบเป็นลมไปเลยที่เรียกกันอย่างนั้น”


“แล้วท่านชื่ออะไรเล่า”


“หืม?”


“ท่านยังไม่เคยบอกเลยนะ”  ศศิพูดมันออกมาด้วยเสียงเบา เป็นจริงที่ไม่เคยบอก เพราะไม่เคยคิดว่าต้องบอกหรือควรบอก เดิมทีเราก็ไม่ควรจะมาอยู่ในจุดๆนี้ด้วยกันอยู่แล้ว แต่เพราะความเป็นไปที่ทำให้ได้ใกล้ชิด มาถึงตรงนี้ก็คิดว่าควรบอกออกไปจริงๆ พระองค์ทรงกระเถิบไปหาให้ใกล้ชิดขึ้น ก่อนจะพูดเสียงเบา


“ชื่ออคิราห์”  ที่แปลว่าพระอาทิตย์  “แต่อยากให้เจ้าเรียกว่าพี่อาทิตย์มากกว่า” 


“ทำไม”


“ข้าชอบแบบนี้”  แต่ทำไม? “เพราะมันดูพิเศษ”  แล้วพระองค์ต้องการความพิเศษระหว่างกันทำไม นั่นก็เป็นปริศนาที่เวลาและความใกล้ชิดเท่านั้นที่จะบอกได้


“ช้าชื่อศศิ”  เจ้าของกลิ่นหอมรัญจวนบอกกันอย่างนั้นแต่เขาก็รู้อยู่แล้ว มันเลยเจ็บใจที่ศศิไม่มีความลับตรงนี้อยู่เลย “นามจริงคือศศพินทุ์” ทว่าถ้าเป็นชื่อจริง เขาย่อมไม่เคยทราบแน่


ศศพินทุ์…จุดหรือรอยรูปกระต่าย ซึ่งนั่นก็คือดวงจันทร์


“เป็นชื่อที่เหมาะกับเจ้านัก” สำหรับคนเลี้ยงกระต่ายที่เหมือนกับกระต่ายแล้ว จะมีนามใดที่เหมาะไปกว่านี้ และนี่คือความนัยที่กล่าวออกไปโดยไม่ได้หมายจะแกล้งอะไรเลย ทว่า…


ใบหูของคนฟังกลับขึ้นสีแดงจัดช่างน่ากัดเสียเหลือเกิน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - -

วันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนข้างนอก แต่นอกจากกินข้าวแล้วก็ซื้อของไปเยอะมาก ใจบางไปหมดแล้ว ฮือออออ
ขออนุญาตมาลงนิยายต่อแบบไม่รอแล้วนะ ต้องหาอะไรทำให้ใจไม่ฟุ้งซ่าน555
นิยายเรื่องนี้ไม่ค่อยดราม่าหรอกค่ะ /มองหน้าตาใส

#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri




หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 6 : 9/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 09-12-2018 19:55:30
Finding the twilight
6
ที่ความหวั่นไหว
☼ ☽


ศศิลังเลว่าควรจะจับมือของเขาไหม
ในตอนที่มันยื่นมารับกัน


“…” 


“ลงมาพักก่อน”  เมื่อยื่นมือมาให้จับ ศศิจะปฏิเสธความใจดีนี้ไปก็ได้ แต่มือของตน…ก็ยื่นไปหาเสียแล้ว 


เด็กดี…ทรงเห็นว่าศศพินทุ์ลังเลที่จะจับมือกันในชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะจับมือกันไว้ ไม่ว่ามันจะแสดงถึงความเชื่อใจหรือแค่มารยาท ก็ทรงแย้มพระสรวลออกไปเสียแล้ว


ทว่าหลังจากบทสนทนาเกี่ยวกับชื่อเสียงเรียงนามของแต่ละคน ก็ไม่มีใครพูดคุยอะไรกันอีก เมื่อเห็นว่าเดินทางมาไกลพอแล้ว ควรให้ม้าได้พัก เราจึงมาหยุดอยู่ที่นี่


“วันนี้เราอาจจะทันเข้าเมืองไปหาที่พักกัน”


“วันนี้เราจะนอนในเมืองหรือ” 


“ใช่แล้ว”


“ดีจัง ข้าอยากอาบน้ำ”


“ที่ไหนเจ้าก็อาบได้ทั้งนั้น”  ไม่ได้สิ โดยเฉพาะต่อหน้าคนขี้แกล้งนี้ด้วย แม้จะไม่เอยแซวหรือทำตาเจ้าชู้ใส่พร่ำเพรื่อ แต่เราไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะแก้ผ้าอาบน้ำให้เห็น ความทรงจำสุดท้ายที่มีคนอาบน้ำให้ มันก็ล่วงเลยมาสิบกว่าปีแล้ว!ทว่าวันนี้เขากลับโผล่เข้ามา ถ้าแสดงให้เห็นว่าเขินอายก็เข้าทางกันพอดี แม้จริงๆก็เขินอายอยู่ไม่น้อยเลย


“ใจข้าก็อยากกินอาหารอร่อยๆด้วย!”


“ข้าก็ปล้นมาให้เจ้าได้ทำตามใจแบบนี้แล้วไง เรามาใช้เงินของพวกนั้นให้คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากที่หามากันเถิด”  หยุดกล่าวหาว่าทุกอย่างเป็นเพราะศศิเดี๋ยวนี้นะ!


หลังจากนั้นเราก็นั่งเถียงกันไปมาปล่อยให้เจ้าม้าได้กินอาหารของมันเพื่อเก็บแรงไว้สู้ต่อ เจ้าของกระต่ายก็สนใจแต่เจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เก็บไว้ในย่ามตลอดการเดินทาง ส่วนคนที่ไม่มีกิจกรรมอื่นๆให้ทำนอกจากนั่งพักแล้ว เขาก็แค่มองกระต่ายเล่นกับกระต่ายเท่านั้น


“ทำไมเจ้าถึงเลือกเป็นหมอเล่า”


“ข้าไม่ได้เลือก แต่เป็นหมอก็ไม่ได้แย่” ตั้งแต่เด็ก ศศพินทุ์ที่กำพร้าทั้งบิดาและมารดานั้น ถูกเลี้ยงโดยท่านอาจารย์หมอซึ่งเป็นญาติที่มีความใกล้ชิดที่สุด ท่านผู้เป็นทั้งครูและน้าของตนจึงเปรียบเสมือนโลกทั้งใบ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาจึงถูกรายล้อมด้วยหมอและคนไข้ สมุนไพรและหมอต้มยา ไม่มีใครบังคับให้เป็น แต่เรียกว่ามันคือความเคยชินที่ก่อให้เกิดความสบายใจเสียมากกว่า


“เจ้าดูเด็กนัก ข้าไม่เคยเห็นหมอที่ไหนเด็กเท่าเจ้ามาก่อน”


“ข้าก็มีปัญหาในเรื่อยวัยและรูปลักษณ์ไม่น้อย แต่คนไข้ส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันมาตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาล้วนเป็นครูให้ได้ฝึกฝนและสะสมความน่าเชื่อถือ”  ทรงแย้มพระสรวลให้กับคำตอบนี้ แม้บางทีจะระแวงกับรูปลักษณ์ของตนไปบ้าง แต่ก็ยังมีทัศนคติที่ดี


เด็กคนนี้ช่างน่าค้นหา ในความเป็นเด็ก กลับมีความเป็นผู้ใหญ่ซ่อนอยู่ ในความอ่อนแอ ก็มีความเข้มแข็งที่มิอาจจะมองข้ามได้ เด็กคนนี้เติบโตขึ้นมาในโลกที่แสนลำบากได้อย่างดี คนที่เลี้ยงดูมาย่อมเป็นคนเก่งคนหนึ่งเลย และเป็นคนเก่งที่เต็มไปด้วยปริศนา


“เจ้ากับอาจารย์นั้นอพยพมาจากคีรีธาราหรือ?”


“อื้ม แต่ตั้งแต่จำความได้ ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว”  ดูเหมือนศศิจะไม่ได้รู้อะไรเท่าไหร่


เรื่องของผู้อพยพนั้น ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือระหว่าง 2 ดินแดน จริงๆหากมีการขึ้นทะเบียนหรือทำเรื่องขอย้ายให้เรียบร้อย ก็จะสามารถเปลี่ยนเชื้อชาติมาเป็นพลเมืองของกันและกันได้ ทว่าก็มีไม่น้อยเลยที่หลบเลี่ยง และสาเหตุหลักๆคือการหนีความผิดหรือคดีอะไรสักอย่าง แม้จะมีการขอความร่วมมือมาตลอดแต่ก็มักจะถูกมองข้ามเสมอ สิหราชนคราและคีรีธารา…บางทีเราก็รักแต่ก็ชังกันอย่างน่าใจหาย


กลับมาที่ศศิที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาถึงนี่ทรงคาดว่าอีกฝ่ายคือคนที่หนีมาโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนขอเปลี่ยนแปลงเชื้อชาติ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าตัวบอก มันไม่มีทางที่เด็กเล็กๆคนหนึ่งจะหนีมาได้ดังนั้นคนที่มีความผิดฐานหลบหนี เกรงว่าจะเป็นอาจารย์ของเด็กคนนี้เสียมากกว่า


ฝีมือทางการแพทย์ของท่านหมอน้อยผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร เกรงว่าผู้สั่งสอนย่อมเป็นหมอที่มีความสามารถมากมายคนหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้ว คนเป็นแพทย์ย่อมมีจิตใจเอื้อเฟื้อแบบที่ศศิมี แล้วความผิดของหมอประเภทไหนถึงทำให้ต้องหนีมาเสียไกล ในตอนนี้คิดไปก็ไม่ได้อะไรหรอก พระองค์ไม่เคยพบอาจารย์ของเด็กคนนี้สักครั้ง คิดไปเท่ากับด่วนตัดสินใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเจอแล้วค่อยพิจารณากันใหม่ก็ย่อมได้


“ท่านว่าอีกกี่วันเราจะถึงที่หมาย”  ศศพินทุ์ถามทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าเขานั้นรู้ทางจริงหรือเปล่า หากเขาเป็นชาวเมืองหลวง ทำไมถึงไปตกระกำลำบากที่ป่าตรงชายแดนฝั่งคีรีธารากันเล่า?


“อาจจะ 3 วัน”


“3 วันเลยหรือ”


“มีอันใดรึ”


“ข้าแค่เพียงคิดถึงอาจารย์”


“เจ้าคงสนิทกันมาก”


“โดยปกติแล้ว ข้านอนกับอาจารย์ทุกคืน พอคิดได้ว่าไม่ได้เจอหน้ามาเป็นสัปดาห์แล้ว ใจข้ามันก็…”


“เจ้านอนกับอาจารย์มาตลอดเลยหรือ?”  เติบโตจนป่านนี้ ศศิที่นอนข้างพระองค์ในทุกค่ำคืนนั้นไม่เคยที่จะนอนคนเดียวเลยหรือ?


“อื้ม แต่บางทีท่านอาจารย์ก็เข้าไปในกระโจมของท่านแม่ทัพทั้งคืน ท่านอาจจะ…มากล่อมหรือพูดคุยกับข้าก่อน”


“….”  ในกระโจมของท่านแม่ทัพ…ทั้งคืน?


“คาดว่าอาจจะไปให้การรักษาบางอย่างที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน อ๊ะ! ถือว่าข้าไม่เคยพูดนะ”  พูดออกมาหมดแล้วเพิ่งมารู้ตัวหรือเจ้ากระต่ายน้อย และเสด็จอาคนนั้น…


ป่วยเป็นโรคอะไรถึงต้องให้หมออยู่ใกล้ทั้งคืนกัน! ไข้ใจหรือ!?


บทสนทนาของเราเมื่อครู่ยังคงเวียนวนอยู่ในหัว เสด็จอาอชิระ ถือว่าเป็นพระญาติที่สนิทที่สุดคนหนึ่งในส่วนของอุปนิสัยที่นอกเหนือจากองอาจแล้ว ยังรักและหวงแหนความเป็นส่วนตัวเป็นที่สุด ทรงเลือกที่จะจับดาบถือทวนมายังชายแดน เสียมากกว่ายอมแต่งงานรับสะใภ้เข้าตำหนักเพื่อคงสถานะความเป็นองค์ชายแห่งสิหราชวงศ์ซึ่งเป็นราชวงศ์ปัจจุบันของสิหราชนครา แล้วไฉนเล่าถึงยอมให้หมอคนหนึ่งอยู่เฝ้าจนถึงเช้า?


“ท่านอาจารย์ของเจ้า คงงดงามน่าดูสินะ”


“หืม..ท่านรู้ได้ไง เคยพบท่านอาจารย์หรือ?”  นั่นไง!


“แค่สงสัยน่ะ ข้าไม่เคยเจอหรอก”


“สำหรับข้า อาจารย์นั้นจัดว่าเป็นบุรุษที่งดงามมากๆคนหนึ่งเลย แต่ก็นะ…นอกจากคนแถวนั้น ข้าก็ไม่ค่อยพบเจอใคร นั่นอาจจะเป็นแค่ความเห็นของข้าฝ่ายเดียว”ถ้าให้พูดเรื่องคนที่ตนชื่นชอบ ศศิจะพูดออกมาได้ยาวมากๆ แต่บุคคลที่ถูกพูดถึงเป็นผู้ชายรึ ชายรูปงามเสียด้วย นี่มันยิ่งกว่ากระต่ายเลี้ยงกระต่ายเสียแล้ว


“สมกับเป็นเสด็จอาจริงๆ”


“ท่านว่าอะไรนะ”  แม้จะบ่นพึมพำ แต่ก็ได้ยินทุกคำ อคิราห์นั้นบ่ายเบี่ยงไป แต่ในใจยังพาลคิด


ไม่ใช่ว่าท่านแม่ทัพอชิระจะเป็นคนเจ้าชู้ชอบเกี้ยวพาราสีใครหรอก แต่ท่านมีรสนิยมที่ดีจนบางทีก็ดีเกินอย่างที่ไม่น่าจะหามนุษย์คนไหนที่ถูกใจท่านได้ด้วยซ้ำ เพราะเหตุนี้จึงน่ากังวลว่าจะอยู่เป็นโสดไร้ทายาทตลอดไป จนกระทั่งมาได้ยินจากปากของเจ้ากระต่ายช่างเจรจานี่แล ว่าอีกฝ่ายที่ใกล้ชิดสนิทสนมนั้นงดงามขนาดไหนตอนนี้ผู้ฟังจึงปักใจเชื่อแล้วไซร้ ว่าการรักษาที่ว่าไปเป็นอาการป่วยประเภทไหนทำไมจึงติดใจให้รักษาตลอดคืนอย่างนั้นกัน


ศศิก็ช่างใสซื่อเสียเหลือเกิน!


เรามาถึงเมืองจุดหมายก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ทว่าเมืองนี้กลับเป็นเมืองเล็กๆซึ่งไม่มีที่พักอาศัยให้บริการ แต่เราก็สามารถหาที่พักได้จากความสามารถทางการแพทย์ที่มี เมื่อพบคนป่วยไข้ ท่านหมอที่เอื้อเฟื้อแก่ทุกคนก็พร้อมจะให้การรักษาเท่าที่ทำได้ และเราก็ได้ที่พักเป็นห้องๆหนึ่งของลูกชายเจ้าของบ้านซึ่งย้ายไปอยู่อีกเมืองแล้ว


“หากขาดเหลืออะไรก็บอกกันได้นะท่านหมอ พวกท่านคงเหน็ดเหนื่อย ข้าจะต้มน้ำไว้ให้ได้อาบ”  เจ้าของบ้านหญิงได้กล่าวอย่างอารี เมื่อศศิช่วยดูแผลจากอุบัติเหตุของหลานชายตัวน้อยของนาง


พระองค์เองก็เคยเป็นหนึ่งในคนป่วยที่ท่านหมอน้อยผู้นี้เคยดูแล และแน่นอนว่านี่คือครั้งแรกที่ได้มองท่านหมอน้อยรักษาคนอื่น ใบหน้าหวานเย่อหยิ่งนั้นดูอ่อนโยนยิ่งกับเด็กตัวเล็กๆหรือคนแก่ที่สุขภาพไม่ดีจากอากาศเปลี่ยนแปลง ช่างต่างจากตอนที่เราพูดคุยกัน หรือนั่นมันเป็นผลกรรมจากการกลั่นแกล้งอีกคนบ่อยครั้งเกินไป


“เหนื่อยไหม ศศิ”  เสียงทักด้วยความห่วงใยทำให้ต้องหันไปมอง เขานั้นค่อยๆทัดปอยผมให้ สักแต่ว่าอยากทำ เคยคิดบ้างไหม…ว่าเราไม่ได้สนิทสนมจนแตะเนื้อต้องตัวได้แบบนี้ ทว่าในมุมมองของเขา อาจจะเห็นแล้วรำคาญแทนเลยทำๆไป ไม่ได้คิดลึกซึ้งแต่อย่างใด


“พอได้ยินว่าจะได้อาบน้ำอุ่น วันนี้ข้าก็มีความสุขแล้ว”


“เจ้านี่ชอบอาบน้ำจริงๆ”


“ไม่ได้เหมือนท่านที่ดูซกมกนี่”ศศิย่นจมูกใส่ อยากจะบอกว่ามันเหม็นแค่ไหนงั้นหรือ


“ตัวข้าออกจะหอม เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”  เลยพิสูจน์ให้ได้รู้ด้วยการถอดเสื้อของตนออกและนำมันมาอุดจมูกให้ดมจริงๆ


“เล่นเป็นเด็กๆไปได้ แค่กๆ”  แล้วก็ยื้อยุดกันแบบนั้น น่าแปลกที่กับคนๆนี้ การแสดงออกของพระองค์ก็ดูประหลาดไปหมด อาจจะเพราะจะต้องสวมหน้ากากมาดองค์ชายรัชทายาทตลอดเวลา การได้มาเป็นคนธรรมดา จึงได้ปลดปล่อยด้านอื่นๆ  แต่ก็บอกไม่ได้ว่าการเป็น ‘องค์ชายอคิราห์ของปวงชน’ กับ ‘พี่อาทิตย์ของศศิ’ อย่างไหนดีกว่ากัน


“มาแล้วจ้า อ้าว! ป้ามากวนอะไรหรือเปล่านี่?”


“…”


“รักกันดีจังเลยน้า หนุ่มสาวคู่นี้”  ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะเข้าใจเราผิด ทว่าการถอดเสื้อต่อหน้าเจ้าของบ้านนั้นไม่ดีเลยร่างสูงจึงดึงให้คนตัวเล็กมาบังร่างกายของตนมากขึ้น ทว่าภาษากายที่สื่อออกไป ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดหนักกว่าเดิม


รักกันมากจนต้องกอดกันให้แน่นขึ้นอย่างนั้นสินะ…


“ปล่อยข้านะ”  ศศิดิ้น หลังจากที่เอ๋อเมื่อเจอคุณป้าเข้ามาพูดอะไรไม่รู้แล้วก็ออกไป


“รู้แล้วน้า ข้าปล่อยเจ้าไปอาบน้ำแน่ๆ”


“….”


“หรือเจ้าจะให้ข้าอาบน้ำด้วยเลยได้หรือไม่ ข้าก็เหนื่อยล้าเช่นกันนะ”  หุบปากไปเลย!


“ไม่เอา!”  ศศิ ย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว!


แต่จะคิดอะไรมากมาย…
อย่างไรก็ชายเหมือนกันไม่ใช่หรือ?


สงบศึกกันได้สักพักศศพินทุ์ก็ประกาศกร้าวและเดินเข้ามาล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดก่อนจะหย่อนขาลงในอ่างอาบน้ำที่อุ่นร้อนสบายตัว ทว่ายังไม่ทันรับรู้ถึงอุณหภูมิดีนัก คนน่ารำคาญก็เดินตามเข้ามาล้างตัวและหย่อนตัวลงมาในอ่างเดียวกัน โชคดีที่อ่างใหญ่พอสมควร เราเลยได้นั่งคนละมุม ศศิเท้าคางกับขอบอ่าง หันหน้าไปด้านหนึ่ง ตัดขาดการมีอยู่ของอีกคนในพื้นที่นี้ ปล่อยให้ความอุ่นร้อนของน้ำคลายความปวดเหมื่อยของร่างกาย น้ำก็ร้อนถ้าอารมณ์ยิ่งร้อน…คาดว่าคงมีคนตายอย่างแน่นอน


“น้ำอุ่นดีจัง”  เขาเข้ามาแช่น้ำด้วยเพราะกว่าจะรออีกคนออกมา น้ำอาจจะหายอุ่น นี่มันก็ค่อนข้างดึกแล้ว จะรอให้ออกมาก่อนก็เกรงว่าจะไม่ต้องนอนกันพอดี ตั้งใจจะมาแช่อ่างด้วยอย่างสงบ ตราบใดที่ไม่ล้อแซวหรือจ้องมองเกินไป เด็กขี้ใมโหก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยที่พระองค์จะมาร่วมอ่างด้วยหรอกกระมัง


“อืม”


“ได้อาบอย่างนี้ทุกวันคงจะดี”  อคิราห์พูดขึ้น ส่วนศศินั้นพยักหน้า พอไม่ทะเลาะก็จะสบายหูแบบนี้


แช่น้ำจนสบายใจแล้วศศิก็ขึ้นมาก่อน ในครั้งนี้อคิราห์ไม่แม้แต่จะสนใจการเคลื่อนไหวใดๆของอีกคนเพื่อให้ความเป็นส่วนตัว นอกจากใบหน้าแล้ว เกรงว่าเจ้าของร่างกายน่ามองนั้นก็ไม่ชอบให้จ้องมองกันทั้งตัวเสียเท่าไหร่ แม้จะอยากมองแต่ก็ต้องหักห้ามใจ มองมากไปก็ไม่ดีกับใครเลยจริงๆ


ในความเงียบงันนี้ มีอะไรให้ต้องคิดอีกหลายเรื่องเลย หากใกล้ถึงเมืองหลวง ก็คงต้องไปด้อมๆมองๆที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของท่านแม่ทัพอชิระที่อยู่ชานเมือง ก็ไม่รู้ว่าในระหว่างนี้จะเกิดอะไรบ้าง แต่ระวังตัวเองก็ไม่เสียหาย ถึงศศิจะต่อสู้ได้ แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจหรือเทียบเท่าทหารที่ได้รับการฝึกฝนมา พระองค์มีสำนึกในการดูแลอีกฝ่ายดี จนกว่าจะได้ตอบแทนอย่างเหมาะสม คงต้องดูแลท่านหมอที่ช่วยยื้อกันจากปรโลกให้ดีที่สุด


พอกลับเข้ามาในห้องพัก ก็ได้เห็นว่าคนที่ทรงต้องดูแลนอนขดตัวตะแคงหันหลังให้อยู่บนเตียงแล้ว ต่อให้ทรงหยอกให้เขินหรือโกรธปานใด พออาบน้ำร้อนจนตัวสบายตัว ก็มักจะอ่อนเพลียและนอนง่ายอย่างนี้แลหลังจากประทับนั่งลงบนเตียง การเคลื่อนไหวแม้จะแผ่วเบาก็ทำให้ศศิลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ


“ข้าทำให้ตื่นหรือ”  ทรงเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ เด็กขี้เซาทำเพียงแค่หลับต่อไปเสียอย่างนั้น องค์รัชทายาทนั้นด้วยสบายกายก็ใกล้จะเคลิ้มหลับ ทว่าจากที่นอนหงายก็เปลี่ยนมาตะแคงข้าง จ้องมองเส้นผมสีดำที่สยายบนหมอนนุ่ม ก่อนจะซุกหน้าลงไปด้วยความสงสัยว่ากลิ่นของมันจะเป็นอย่างไร และก่อนที่จะเข้าสู่นิทรา คำตอบขององค์รัชทายาทก็มีเพียงแค่รอยยิ้ม


อาจจะเพราะเราไม่ได้หลับนอนกันอย่างสบายนักในคืนก่อน จึงทำให้เราในเช้าวันนี้ยังไม่มีใครตื่นไหว อากาศในเช้ามืดที่เย็นขึ้นทั้งๆที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหนา ทำให้ศศิค่อยๆตะแคงมาหาไออุ่นที่อีกด้านอย่างเผลอไผลปลดปล่อยร่างกายให้ใกล้ชิดอีกคนอย่างเกินจำเป็น


อีกคนนั้นอาจจะตื่นง่ายกว่าในวันนี้ ทว่าลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าหวานราวสวรรค์ปั้นยังคงฝันดีอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้ใช้เวลาคิดพิจารณาให้มากนัก เลือกที่จะเพิกเฉยแสดงความเกียจคร้านต่อไปโดยการหลับตาลงอีกครั้ง การมีคนตัวเล็กนอนอยู่ข้างๆแบบนี้ กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว


อีกนานจนกระทั่งเจ้าของร่างสูงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องมองแพขนตาของคนที่ยังไม่ยอมตื่น เชื่อเถิดว่าทรงบรรทมท่าเดิมท่าเดียวแบบนี้ทั้งคืน จะมีก็แต่ศศิที่นอนดิ้นมาหา แล้วดูสิ เอาขาก่ายพระองค์ไว้อีก ถ้าตื่นมาโวยวายย่อมต้องกู้สิทธิ์กู้เสียงให้ตัวเองเสียแล้ว ทรงนอนนิ่งเหมือนคนตายขนาดนี้ หากด่าว่ากันคงต้องทำโทษคนเกเรเสียที!


“ศศิ”  พระองค์ทรงกระซิบเรียก “ตื่นได้แล้ว”  ตื่นมาดูผลงานตัวเองเร็วๆเถิด ทรงรอซ้ำเติมไม่ไหวแล้ว


“อืม”


“เด็กขี้เซา ตื่นมาได้แล้ว”  เรียกก็ไม่ลุก พอบีบแก้มก็ทำหน้ายุ่ง นี่หรือคนเป็นหมอที่ทำหน้าเครียดหน้าขรึมตอนปรุงยาและรักษาคนไข้ พอแกล้งเข้าหน่อยก็ไม่ใช่แค่ขาที่เอามาก่าย มือยังเอามากอด


“อื้อออออออ”บีบจมูกเสียที


“ตื่น!”


“ง่วง!”  ง่วงนักใช่ไหม ไหนดูหน่อยว่าจะทนนอนต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ อคิราห์ที่ยิ้มอย่างนึกสนุกในใจนั้นไม่รอช้า ก็ไม่รู้หรอกว่าคนขี้เซาจะเส้นตื้นหรือแข็ง แต่ถ้ามานอนให้แกล้งแบบนี้ใครจะอดใจได้ หลังจากที่ตัดสินใจจี้เอวบางลงไป ท่านหมอตัวน้อยก็ดิ้นปัดป้อง เสียงหัวเราะของพระองค์กับเสียงโวยวายในยามเช้าที่ดังพร้อมๆกันก่อให้เกิดสีสันยามสาย สนุกอยู่นานจนคนที่ยอมตื่นแล้วต้องนอนหอบค้อนใส่กัน ทั้งๆที่ขายังก่ายกันอยู่นั่นแล


“มันสายแล้ว”  พระองค์ทรงบอกออกไปด้วยหน้านิ่งๆ มองสภาพของคนที่ถูกแกล้งที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยผมยุ่งเหยิง


“ปลุกดีๆก็ได้”


“ปลุกดีๆแล้ว”  แล้วเจ้ากระต่ายขี้วีนก็นิ่งไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพราะความขี้เซาของใครถึงได้กลายเป็นแบบนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา ยอมลุกขึ้นหันไปมองฟ้า และก็พบว่ามันสายโด่งแล้วจริงๆ


“อาบน้ำได้ไหม”  พอรู้ว่าเราต้องรีบเดินทางก็หันมาอ้อนขอ สายโด่งแบบนี้ อากาศก็เย็นแบบนี้ยังจะอาบอีก เด็กขี้หนาวเอ้ย ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าผ้าห่มผืนเดียวก็เอาไม่อยู่อย่างเจ้านะ ขี้หนาวปานใด


“เร็วๆนะ”  แต่ก็เป็นพระองค์ที่ตามใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มยามเช้าจากริมฝีปากอิ่ม ก็คิดว่าทำถูกแล้วที่ไม่เข้มงวดกับอีกฝ่ายจนเกินไป ในบรรดาการแสดงออกทางใบหน้าของคนร่างบางทั้งหมด ทรงชอบรอยยิ้มนี้ที่สุดจริงๆ


เราสองคนกล่าวอำลาเจ้าของบ้านผู้ใจดีอยู่ค่อนข้างนาน เพราะหมอดีๆจะผ่านมาเมืองนี้นานๆครั้งจึงมีเรื่องให้ฝากฝังบอกกล่าวกันอยู่นานหน่อย ศศิบอกว่าหากสะดวกแล้วจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง ช่างเป็นเด็กที่ทำให้ผู้ใหญ่หลงรักได้เก่งจริงๆ ตรงนี้พระองค์ก็คิดว่าเป็นความสามารถที่ดีเยี่ยมอย่างหนึ่ง


เราได้รับสเบียงมาสำหรับเก็บไปกินได้หลายมื้อ ฉะนั้นเราจึงจะไม่อดยากต้องกินผลไม้อีกแล้ว ทรงช่วยดันให้ศศิขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ก่อนจะขึ้นไปนั่งตาม ก้มลงมายิ้มให้คุณป้าเจ้าของบ้านอีกครั้งก่อนจะลาจากจริงๆ


“กลับมาคราวหน้า พาเจ้าตัวเล็กมาด้วยนะลูก” เจ้าตัวเล็ก?“คนหนึ่งหล่อคนหนึ่งก็สวยขนาดนี้ เจ้าต้องมีเจ้าตัวน้อยที่น่ารักน่าชังมากแน่ๆ” จริงๆแล้วศศิควรจะหันไปยิ้มรับคำอวยพรของคุณป้า ทว่าเจ้าตัวกลับหลบสายตาเสีย ปล่อยหน้าที่ตอบรับให้เป็นของผู้ชายหน้าด้านที่นั่งอยู่ด้านหลังไปซะอย่างนั้น


“ขอบคุณมากขอรับ”  ก็ไม่ได้บอกว่าเรื่องเจ้าตัวเล็กจะมีหรือไม่ แต่อย่างไรเรื่องคนอวยพรก็ต้องขอบคุณไว้ก่อน จริงไหม?


จะว่าไปตลอดการเดินทาง เราไม่เคยพูดกับใครหรือไม่แม้แต่แสร้งว่าเป็นสามีภรรยากัน ทว่ามันมักจะมีคนคิดเห็นเช่นนั้นและเราก็มักจะเล่นตามน้ำกันไปบ้าง ถ้าไม่รวมที่เจอกลุ่มพ่อค้าใจทรามนั่น ศศพินทุ์ก็แทบจะไม่ให้ความร่วมมือใดๆเลย แต่กระนั้นคนก็ยังคิดไปได้ เราจะเป็นพี่ชายน้องสาวไม่ได้หรือไง หรือว่าควรกลับไปใส่ชุดผู้ชายเสียที!


“พวกเขาก็แค่ไม่รู้ เจ้าก็อย่าได้เคืองโกรธเลย”  ศศินิ่งมากสักพักแล้ว ก็คงไม่พ้นคิดมากเรื่องนี้ ว่าแต่มีข่าวลือกับคนแบบองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรนี้มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ ไม่ต้องแสดงความยินดีก็ได้ แต่แสดงความรังเกียจนี่สิ ไม่ยักกับเคยเห็น


“….”


“หรือกลัวว่ามาด้วยกันครั้งหน้าแล้วไม่มีเจ้าตัวเล็กมาพวกเขาจะผิดหวัง แหม…ถ้ากังวลเรื่องนี้ก็บอกกันเถิด โอ้ย!”ศศิหยิกไปที นี่เห็นแก่ว่าบังคับม้าให้กันอยู่หรอกนะ คงปล่อยให้ตายไม่ได้ แต่ต้องทำให้เจ็บตัวบ้าง ไม่งั้นคงทนเจ็บใจต่อไปไม่ไหว


“พูดอะไรของท่านกัน ข้าย่อมไม่พอใจที่ถูกเข้าใจผิดและเอ่ยแซวแบบนั้นอยู่แล้ว”


“ทำไมไม่เรียกพี่อาทิตย์เล่า”


“….”


“วันก่อนเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงที่ใช้มันไม่ได้โกรธเคืองกัน ทว่ามันมีแววน้อยใจอยู่ในนั้น


“ไม่ได้สัญญาอะไรสักหน่อย”  ศศิแก้ตัวเสียงเบา แต่คนฟังได้ยินชัดเจน


“หากเจ้าเรียกกันแค่ท่านๆ ข้าอาจจะไม่หันได้นะ”


“….”  แล้วเขาชื่ออคิราห์ไม่ใช่หรือ เรียกว่าอาทิตย์แล้วจะหันได้ไง?


“หากไม่เรียก พี่ไม่หันจริงๆนะ ศศิ”  ทรงกระซิบเบาๆด้วยโทนเสียงที่คนฟังต้องใจสั่นไหว ครั้งนี้ขอมากไปไหม ขอด้วยการเปลี่ยนสรรพนามตัวเอง ขอด้วยการกระซิบที่ข้างหู ขอด้วยการเรียกชื่อ…


ทำให้ศศิดูตัวเล็กลงเหลือนิดเดียวในอุ้งมือของเขา


“ขะ…ข้าจะพยายาม”


“แค่พยายามเองหรือ”


“….ก็ยังดีกว่า ไม่ทำไม่ใช่หรือไร”  คนตัวเล็กปากเก่งนั้นแก้ตัวพัลวัน ท่าทางร้อนรนในน้ำเสียงทำให้พระองค์มั่นใจได้ถึงเสน่ห์ที่ทรงตั้งใจแสดงให้เห็น ในยามนี้แม้ไม่ได้เห็นหน้า ก็รู้ว่ากำลังทำให้อีกคนใจสั่นได้จริงๆ


สนิทกันแค่ไหน พระองค์ถึงทำแบบนี้ และทรงคิดอะไรอยู่ถึงได้ไม่สนใจกำแพงที่เจ้ากระต่ายน้อยพยายามก่อ กี่ครั้งแล้วที่ทรงทำลายมันลงไปอย่างเลือดเย็นด้วยรอยยิ้มหวานและโทนเสียงนุ่ม ยามนี้ก็เช่นกัน ทรงกระชับกอดให้เข้ามาใกล้และคลายกอดหลวมๆแต่วางคางบนไหล่เล็กบางนั่นไว้


ก่อนจะพูดถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของศศิเต้นผิดจังหวะซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ได้อย่างไร


“เด็กดี”  ศศิเป็นเด็กดีสำหรับอาจารย์ คนไข้ ผู้ใหญ่ทุกคนที่พบเจอ คำชมนี้ควรจะเป็นคำชมทั่วไปที่ได้ยินทุกวันและเรียกรอยยิ้มทุกครั้งยกเว้นครั้งนี้ ผู้ฟังไม่ได้ยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน แต่ควรทำเช่นไรก็ไม่รู้


เพราะคำหยอกล้อเพื่อความสนุกสนานนี้แท้ๆ มันทำให้ศศิเป็นไปมากขนาดนี้ แต่ถ้ากลับกัน เขานิ่งเฉย ไม่หยอกล้อ และไม่สนใจกันเลยเล่าจะมาหงุดหงิดใจหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็ไม่น่าพอใจอยู่ดี ไม่ใช่เพราะนึกภาพเหล่านั้นไม่ออก อคิราห์ที่ดูเย็นชาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน ในช่วงแรกๆที่เขาตื่นขึ้นมาหลังการรักษาพิษ เขาก็ดูเป็นเช่นนั้น


“….”  และความรู้สึกในตอนนั้น…มันทั้งหวั่นกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ เขามีบรรยากาศที่หลากหลายในตลอดสัปดาห์ที่ได้สัมผัส แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ คือความใจดีและไม่เคยรังเกียจกัน


“หนาวไหม”  วันนี้อากาศเย็นลงกว่าเมื่อวาน ทรงถามไถ่ออกไป ทว่าคนร่างบางกลับไม่ตอบรับแต่เพียงหันกลับมามองเล็กน้อย เมื่อดวงตาประสานกัน เราต่างก็หยุดนิ่ง ก่อนที่ศศิจะส่ายหน้าและหันกลับไป


“ยังไม่หนาวเท่าไหร่”


“ถ้าง่วงแล้ว จะหลับก็บอกได้นะ”


“…..”


“เจ้าหลับได้ ไม่ได้ผูกเชือกไว้กับตัวข้าก็จริง แต่ไม่ต้องห่วง”  เขาทั้งใจดี และอ่อนโยนต่อกัน “ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตกลงไปแน่” และก็สร้างความเชื่อใจด้วยภาษากายที่ชัดเจน อ้อมแขนนั้นโอบรัดกันให้แน่นขึ้น โอบกอดทั้งกายและหัวใจ


โดยไม่รู้ตัว…เหมือนเรานั้นเผลอหย่อนตัวลงไปในหลุมลึกที่ไม่รู้ว่าใครตั้งใจขุดเสียแล้ว


-  - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Talk:  หลังจากเห็นว่าลงนิยายผิดเรื่องที่รีดอะไวรท์ เราก็รุสึกผิดมากเบยยยยยยยยยย
ฮือออออออออออออ ทำไมไม่รอบคอบ

ช่วงนี้ก็จะเต๊าะกันไปมาแหละค่ะ ปัญหายังไม่มาก็จะเรื่อยๆหน่อย แต่ปัญหาก็ไม่ได้ดราม่าอะไรนานๆเพราะเรื่องนี้จะไม่ยาวเท่าเรื่องที่เคยเขียนมาค่ะ ช่วงนี้อาจจะมาบ่อยหน่อย ฝากตัวด้วยนะคะ m(._.)m

คอมเมนท์บอกได้นะคะว่าคิดเห็นเป็นยังไง #อาทิตย์ศศิ
@reallyuri
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 6 : 9/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-12-2018 22:32:03
เหมือนคนพี่ก็เริ่มจะหลงสเน่ห์น้องแล้วนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 6 : 9/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-12-2018 15:27:25
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 10-12-2018 18:51:59
Finding the twilight
7
ณ.คฤหาสน์ปิติชาญ
☼ ☽


แทนที่จะตรงไปที่คฤหาสน์ปิติชาญของท่านแม่ทัพอชิระในทันทีที่เหยียบเข้าเขตเมืองนี้
แต่อคิราห์กลับพาศศิมาเดินเตร็ดเตร่ชมนั่นชมนี่เสียก่อน…


จากที่นี่ไปถึงพระราชวังยังจัดว่าไกลกันนัก และไม่ใช่ว่าคนเมืองทุกคนจะเคยเห็นหน้ากัน  ทว่าทั้งๆที่ทรงเป็นที่จับตามองในขณะนี้ การออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่มันก็เสี่ยงต่อการถูกลอบสังหารอยู่ แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของศศิก็ทำให้คิดไปว่าสักนิดหนึ่ง…คงจะไม่เป็นไร…


“เจ้าดูเหมือนจะอยากกินไปหมดทุกอย่าง”  หลังจากสังเกตอยู่สักพัก ก็จะเห็นได้ว่าเด็กน้อยนั้นตาวาวทุกครั้งที่ผ่านร้านขายอาหารหรือขนม ในใจเราก็รู้ว่าไม่ได้มาเที่ยวเล่น แต่เพียงประเดี๋ยวเดียว ก็คิดไปเองว่าไม่เป็นไร


“ข้าไม่ค่อยได้เห็นของแบบนี้ ย่อมสนใจเป็นธรรมดา”  แค่สนใจคงไม่พอ หากได้เอาเข้าปาก เคี้ยวๆและกลืนได้ด้วย คงจะสมใจนัก หากเชื่อเด็กขี้ปดคนนี้ก็คงโง่งมแล้ว แต่พอเห็นศศิที่ดูอยากกินทุกอย่างไปทั้งตลาดเช่นนี้ อีกใจหนึ่งก็อยากจะเหมาซื้อมาให้ชิมตรงหน้าเวลาแค่เพียงสัปดาห์เดียวก็เคยตัว ไม่ได้หมายว่าศศิเคยตัว แต่พระองค์นี่แล ที่เคยตัว!


“เราซื้อขนมปุยๆนั่นกินได้ไหม”


“สายไหมนะหรือ ได้สิ”  น่าเอ็นดูขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อคนที่เหมือนกระต่ายนั้นอุ้มกระต่ายเดินตามกันและร้องเรียกด้วยการดึงชายเสื้อ แล้วจึงชี้ชวนถามด้วยแววตาที่แฝงคำว่า ‘ไม่ได้หรือ’ เอาไว้ พออนุญาตแล้วก็ดึงแขนพระองค์ไว้ให้เดินตามเหมือนเด็กที่พาผู้ปกครองไปจ่ายเงิน


สายไหมหลากสีก้อนโตมาอยู่ในมือของศศิแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าท่านหมอที่ดูโตเป็นผู้ใหญ่จะรู้สึกประหลาดใจกับการมีอยู่ของขนมทั่วไปแบบนี้ แต่อาจจะเพราะในหมู่บ้านเล็กๆแถบชายแดนก็ไม่ได้มีอะไรแบบนี้ แม้แต่เครื่องปั่นไฟ ก็ยังมีอยู่เพียงไม่กี่เครื่องทุรกันดารแบบนั้นก็คงจะใช้ชีวิตกันแบบตามมีตามเกิด


สถานที่ที่ศศิเกิดและเติบโตนั้นมันช่างมืดมิดในยามค่ำคืน แต่น่าประหลาดที่ยามราตรีที่ควรจะมองไม่เห็นอะไร หากมีศศิอยู่เคียงข้าง พระองค์ก็รู้สึกได้ถึงแสงจันทร์และแสงดาวที่สุกสว่างกว่าปกติ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อเรายืนอยู่ใต้พระจันทร์ดวงโตนั้นด้วยกัน


“หึ”  แค่เพียงทอดพระเนตรมองศศิที่อ้าปากกว้างงับสายไหมก็รู้สึกสบายพระทัย ได้แต่บอกตัวเองว่าเพียงแค่เอ็นดูเท่านั้นกระมัง เด็กนี่ไม่ได้ดูเย้ายวนเลยแม้แต่น้อย ทว่าแก้ตัวไปก็ผิดอีกอยู่ดี ใครกันที่หวั่นไหวเมื่อยามที่จินตนาการไปไกลถึงไหนต่อไหนในยามค่ำคืน


“ท่านไม่กินอะไรหน่อยหรือ”  เมื่อเห็นว่าเขาตีหน้าขรึมก็ถามด้วยความเป็นห่วง อคิราห์นั้นหันมามองกันเล็กน้อย ก่อนจะก้มงับสายไหมของศศิคำใหญ่  “ท่าน!”  ใครใช้ให้กินไปขนาดนี้!!!


“ขนมหลอกเด็ก”  กินหน้าตาเฉยแบบนั้นแล้วยังมีหน้ามาพูดอีก เห็นว่าวันนี้ไม่กลั่นแกล้งกัน แต่ที่จริงนั้นเราไม่เคยสงบศึกกันจริงๆ แก้มใสที่พองลมอยู่นั้นทำให้พระองค์ยิ้มออกมา งอนได้น่าง้อขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ…ศศพินทุ์


ว่าแล้วก็ชี้ชวนให้ดูนั่นดูนี่ อธิบายความน่าสนใจและความน่าเอร็ดอร่อยของอาหารเหล่านั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของท่านหมอน้อยที่งอนเก่ง ขายเก่งกว่าพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้ก็พระองค์นี่!ตรัสอะไรไปก็ทำให้ศศิอยากกินมันทั้งหมดเช่นนี้ก็เลือกไม่ได้นะสิ!


“แล้วเราก็สั่งมาลองกินทั้งหมดเลย”


“เห็นข้าตะกละขนาดนั้นได้อย่างไร กินไม่หมดหรอกนะ”


“แล้วเจ้าจะมีพี่ไว้ทำไมถ้าไม่ให้กินด้วย”


พี่…


“หรือไม่อยากจะร่วมโต๊ะอาหารกับพี่แล้ว ศศิ” 


ก็ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ตราบใดที่ไม่แกล้งกัน ศศิก็ยังกินข้าวกับเขาได้อย่างเอร็ดอร่อยอยู่ และยอมรับด้วยว่าการที่มีคนมาพูดอธิบายถึงสรรพคุณ ที่มา ประวัติอะไรต่างๆเกี่ยวกับของพวกนี้แล้ว มันยิ่งทำให้เจริญอาหารขึ้นไปอีก ดังนั้นการทานอาหารร่วมกันนั้น จึงดีกว่านั่งกินคนเดียวเป็นสิบเท่า


“ก็ไม่บังคับหรอก หากไม่อยากให้กินด้วย”  ว่าแล้วก็เดินหันหลังจากไป ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ใจหรอก เพียงแต่ว่าทรงรอให้ศศิมาง้อกันบ้างก็เท่านั้น โดยหารู้ไม่


ว่าศศิ…ทำได้ดีกว่าที่คาดนัก


“พี่อาทิตย์”  ร่างบางเรียก ทั้งเสียงที่เปล่งออกมา และกิริยาที่ยื่นมาดึงแขนเสื้อกันไว้นั้น


“…..”


“กินเป็นเพื่อนศศิหน่อย”  มันเกินกว่าที่คาดหมายไปมาก และคิดว่า…


จะเหมาให้หมดตลาด มากองไว้ตรงนี้ต่อหน้าศศิให้หมด!


“อันนี้อร่อย อันนั้นก็อร่อย แต่อันโน้นเฉยๆ” ศศิที่กำลังตั้งใจชิมนั้นก็เจื้อยแจ้วไป คนมองนั้นก็ทอดเนตรมองอย่างเพลิดเพลิน ที่ถูกไล่ล่าลอบสังหารนี้ไม่เสียแรงได้กลับมามีชีวิตใหม่ อะไรที่ไม่เคยทำ ก็ได้ทำทั้งหมด ลองตายก็เกือบได้ตายมาแล้ว การมาเอาอกเอาใจผู้อื่นก็ดูจะเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย


“ถ้ากินอันนี้แล้วจิ้มอันนี้จะอร่อยมากนะ”  ทรงตรัสบอกให้ทำตาม และเด็กดีก็ว่าง่ายจิ้มกินอย่างที่แนะนำ เรานั่งอยู่กับพื้น ที่ใต้ต้นไม้ของยามบ่ายซึ่งอากาศอุ่นกำลังดี มองทั้งคนและกระต่ายทานอาหารอย่างเพลิดเพลิน เป็นความเรียบง่ายแบบที่ไม่คิดว่าจะมีความสุขได้ เป็นความสุขที่อยากจะมีให้นานขึ้นกว่านี้


พระองค์ไม่เคยปลื้มการเสวยอะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน แต่เห็นดวงตาใสแจ๋วของคนที่กำลังคีบเส้นบะหมี่ทั้งๆที่ยังเคี้ยวเกี๊ยวทอด ทรงกลับคิดว่ามันน่ารัก พระหัตถ์หนานั้นช่วยเช็ดมุมปากให้อย่างนิ่มนวล ท่านหมอน้อยที่ตอนนี้ไม่ต่างจากน้องน้อยเพียงแค่ช้อนตาขึ้นมามอง ก่อนจะกลับไปสนใจบะหมี่ตาเป็นมัน


“เจ้ากินได้มีสุขนัก”


“ยามมีกินเราก็ควรมีความสุขกับการกินสิ”  การเป็นผู้อพยพในพื้นที่แร้นแค้น ตัวเลือกอาหารก็ไม่ได้หลากหลายแบบที่รับประทานอยู่นี่ ศศิอาจจะกินจุไปหน่อยตอนนี้ แต่ลองได้มีกินแบบนี้ทุกวันก็ย่อมเบื่อได้เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดา   


“เห็นเจ้ากินได้ทุกอย่างแล้วมีความสุขก็ดี”


“แต่ข้าไม่ชอบกินเต้าหู้”


“อา…แบบเต้าหู้ทอดอันนี้นะหรือ?”  พระองค์ทรงชี้ไปที่เต้าหู้ทอดที่ศศิซื้อมาพร้อมกับผักทอดชนิดอื่นๆ เจ้าตัวตาโตด้วยไม่ทราบมาก่อน “เจ้าคงไม่ทิ้งขว้างมันใช่หรือไม่”  ทรงตรัสถาม ส่วนอีกคนนั้นเงียบไปแล้ว ท่าจะไม่ชอบเอาเสียมากๆ


“พี่อาทิตย์” 


“ข้าไม่กินแทนเจ้านะ”  ทีอย่างนี้ไม่แทนตัวเองว่าพี่แล้วนะ!


“กินให้หน่อยไม่ได้หรือ นิดเดียวเองนะ”  แค่เพียงชิ้นเดียวเอง


“ไม่ได้ ซื้อมาก็ต้องรับผิดชอบ”  ก็ไม่ใช่ว่าอคิราห์จะกินแทนไม่ได้หรอก แต่ไม่ใช่ของที่ศศิไม่ชอบแน่นอน ทรงอยากจะเห็นเด็กเอาแต่ใจต้องกินอะไรที่ตัวเองไม่ชอบดูจริงๆ


“จะไม่กินให้ศศิจริงๆหรือ…” 


“…”


“ศศิป้อนนะ”  เจ้าของดวงตาใสแจ๋วนั้นคลี่ยิ้ม ก่อนจะจิ้มเจ้าก้อนเต้าหู้ทอดมาจ่อปากเขา “อ้า…”  ออดอ้อนกันขนาดนี้แล้วจะเหลือหรือ?


ไม่รอดสิ อ้าปากรอให้เด็กรู้ทันตั้งแต่ที่พูดว่าจะป้อนนั่นแล…


ท่านหมอน้อยเป็นเด็กวัยกำลังเรียนรู้หรืออย่างไร ทำไมถึงรู้ทันกันแล้ว! ทั้งๆที่แต่ก่อนนั้นจะพูดออกมาทีล้วนแล้วแต่เขินอาย ยามนี้ เมื่ออารมณ์ดีก็เอาคืนกันด้วยการออดอ้อนกลับ ราวกับรู้ว่าถ้าทำลงไป คนที่จะต้องแพ้ภัยตัวเองล้วนเป็นพระองค์ เจ้าเล่ห์นัก!


หลังจากทานอาหารเสร็จจนอิ่มหนำสำราญ เราก็เดินตลาดด้วยกันอีกนิด และมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ เจ้าของกระต่ายนั้นจับเจ้าขนฟูใส่ย่าม ก่อนวิ่งมาเดินเคียงกัน ทรงทอดพระเนตรมองด้วยหางตาก่อนจะจี้เอวไปที ส่งผลให้จากหน้าระรื่นก็เปลี่ยนมาหน้าบึ่งใส่กันเป็นที่เรียบร้อย คงต้องหาวิธีรับมือกันไปมาเรื่อยๆ ทั้งๆที่วันหนึ่งใครสักคน จำต้องห่างออกไป


แต่แล้วจู่ๆเขากลับดึงร่างบางมาชิดใกล้..


“….”


“มีอะไรรึ?”  หากใบหน้ายังประดับยิ้มอยู่ ก็อาจจะคิดว่าเขาแกล้งเช่นทุกครั้ง ทว่าดวงตาคมคู่นั้นกลับเรียบนิ่ง ดูหวั่นระแวงในบางอย่าง


“มีคนตามมา”  เมื่อเขาเฉลย ศศิก็เกือบจะหันไปมองด้านหลัง แต่ก็เป็นเขาที่เชยคางให้มาสบตา


“อย่าหันไปสิ”  เขาแสร้งทำใบหน้าเจ้าชู้ใส่ ก่อนจะปล่อยให้ปลายจมูกของเราแตะกันเล็กน้อยเหมือนกับคู่รักกำลังงอนง้อ มันเป็นฉากหนึ่งในหนังสือ แต่ทำให้คนถูกกระทำเหมือนจะหลุดลอยไปยังอีกมิติหนึ่ง


“อีกไกลไหม”  เจ้ากระต่ายจอมแสบนั้นหวั่นระแวงไปหมดว่าตนจะเป็นภาระของเขา


“ไม่ไกล”  แต่ก็ไม่ใกล้ นี่คือสิ่งที่เขาไม่ได้พูด รอบตัวเรามีคนติดตามมากกว่า 10 คน เหมือนจะตามมาสักพักแล้ว ในตอนนี้ทรงรู้สึกผิดจริงๆที่มัวแต่ชวนเที่ยว


พระองค์ทรงลอบมองสถานการณ์รอบด้าน เช่นนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเราเสียเปรียบเพราะอยู่ในจุดที่ถูกโจมตีได้จากถูกทิศ หลังจากคำนวณความเป็นไปได้ต่างๆมากมาย อคิราห์ก็รู้สึกสิ้นหวังไปเรื่อยๆ แม้อีกไม่ไกลเราก็จะถึงคฤหาสน์ของท่านแม่ทัพแล้ว แต่เราก็อาจจะไม่สามารถปกป้องชีวิตของเราทั้งคู่ไปจนถึงประตูทางเข้าได้


แต่อคิราห์มิอาจจะสิ้นหวังกับสถานการณ์นี้ แม้ไม่ได้เสียดายชีวิต แต่กังวลถึงความวุ่นวายหลังการจากไปต่างหาก ถ้าคนจะตายยังกังวลอยู่กับทางโลกเช่นนี้ นรกหรือสวรรค์ที่ไหนจะกล้าเปิดประตูรับ เป็นเช่นนี้จึงยอมตายไม่ได้หรอก แต่จะทำอย่างไรดีให้เราทั้งคู่ปลอดภัย ในเมื่อถ้าพระองค์หวังจะไม่ตาย ก็จะให้คนข้างกายมาตายแทนไม่ได้เช่นกัน!


“เราจะทำยังไงดี”  ศศพินทุ์ดูเป็นกังวล ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงแบบนี้ อคิราห์ได้แต่กอดปลอบ รอยยิ้มที่ส่งไป หมายอยากให้เชื่อมั่น และในส่วนของการกระทำ ก็อยากจะให้เชื่อใจ


“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ขอให้เจ้าวิ่งไปทางเหนืออย่าได้หยุด”  หมายความว่า…


“แล้วถ้าท่านเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเล่า”


“เจ้าจะช่วยรักษาข้าใช่ไหม”


“….”


“เจ้าจะกลับมาพาข้าไปกับเจ้าใช่ไหม” เป็นศศิที่ช่วยกันมาตั้งแต่แรก และก็จะเป็นศศิใช่ไหมที่จะช่วยกันได้อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ศศิที่ฝากชีวิตน้อยๆของตนท่ามกลางคนเป็นสิบไว้กับองค์รัชทายาท แต่เป็นพระองค์เองด้วยที่หมายฝากชีวิตเอาไว้ ชีวิตของเราไม่ได้อยู่ในกำมือของใครเลย


แต่อยู่ในกำมือของกันและกัน


“จงวิ่งไปทางทิศเหนืออย่าได้หยุดนะ”  หลังจากรับฟัง น้ำเสียงของศศินั้นเจือเสียงสะอื้น ความรู้สึกที่ล้นปรี่ขึ้นมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นนี้เกิดขึ้นกับใครสักคนที่เพิ่งพานพบได้ไม่นาน ช่างหวานล้ำเจือรสขม ราวกับได้บ่มเพาะมานานหลายสิบปี หรือมากกว่านั้น…


ทั้งๆที่ความเป็นจริง มันยังไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ…


“พี่จะตามไป” 


ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็จะตามไป ขอแค่เพียงอยู่รอให้ ‘พี่อาทิตย์’ ตามไปหาก็พอ


หลังจากทำให้ศศิเชื่อมั่นทั้งในตัวเองและตัวพระองค์แล้ว อคิราห์ก็ให้สัญญาณสำหรับการออกวิ่ง มันไม่มีทางที่จะรอดไปได้แบบไร้แผลใดๆ แต่ทรงฝากความหวังในการรักษาไว้ ขอแค่เพียงเจ้ากระต่ายน้อยจะกระโดดไปถึงที่หมายได้ไวๆ ใครสักคน คงเร่งมาช่วยกันได้ทัน


มีมากกว่าสิบจริงๆ และดูจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อทำการลอบสังหาร หากเป็นมือสมัครเล่นเหมือนพวกโจรชั่วในคราบพ่อค้านั่น พระองค์ก็ยอมที่จะปล่อยให้ศศิอยู่ใกล้ตัว แต่กับคนพวกนี้พระองค์ไม่ไว้ใจ แต่เราคงไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ พวกมันเข้ามาจ่อประชิดเรื่อยๆ ทรงต้องรีบสลัดศศิออกโดยไว ไม่เช่นนั้นแผนคงล่มแน่


“วิ่ง”  สิ้นเสียงกระซิบ ร่างบางก็ออกวิ่งสุดแรงไปในทิศทางที่ตระเตรียมกันไว้


“ไปตามไอ้คนที่หนีไป ปิดปากมันให้ได้!”  เหมือนหัวใจกระตุก แค่คิดถึงคนที่พระองค์ปล่อยให้หนีไปก่อน ความห่วงหาก็วิ่งเข้าใส่จนต้องหักห้ามและตั้งสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ต้องจัดการข้างหน้า  อยากจะตามไปก็ย่อมได้


แต่ต้องหนีมีดสั้นนี่ให้พ้น!


ฉึก!


“จัดการมัน!!!!”  พระองค์นั้นไม่ควรจะไปปามีดที่ละครสัตว์เท่าไหร่ เพราะปาทีไรก็แทงเข้าตาชาวบ้านทะลุทุกที


ต้องขอบคุณพวกคนชั่วที่หมายปล้นสวาทคนงามวันนั้น ทำให้พระองค์มีของไว้ใช้ในยามนี้มากมายทั้งมีดสั้นและดาบ แต่คู่ต่อสู้ก็ไม่ได้ล้มง่ายๆ พวกมันมาพร้อมอาวุธครบมือและฝีมือที่พร้อมประสบการณ์ ทว่าการต่อสู้ยังเป็นได้แค่เฉียดกันไปมา ไร้บาดแผล ทว่าจะต้องระวังให้มาก เพราะก่อนนี้ก็ทรงเคยต้องบาดแผลเล็ก แต่พิษที่ติดมากับอาวุธกิ๊กก๊อกพวกนั้นมันไม่ใช่เล่นๆเลยเช่นกัน


“ตายซะ!”  ก็บอกแล้วว่ายังตายไม่ได้ อย่างเต็มที่ก็ทรงแค่อนุญาตให้ตัวเองบาดเจ็บได้บ้าง ถ้าโดนมากกว่านั้น ต่อให้เก่งกล้ากว่าศศิ ก็คงไปแย่งพระองค์มาจากโลกแห่งความตายไม่ได้อีกแล้ว


“เจ้าสิที่ต้องตาย!!!”  ทรงไม่ลังเลที่จะจ้วงแทงทุกคนเมื่อได้จังหวะ อคิราห์อาจจะได้ชื่อว่าเป็นองค์ชาย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในพระราชวัง แต่คนนอกคงไม่รู้ ว่าพระองค์นั้นเป็นองค์ชายที่ไม่เข้าตำรับตำราไหน ทรงรักการต่อสู้และจับอาวุธตั้งแต่จำความได้ เดิมทีก็เรียนไว้เพราะเห็นว่าเป็นศิลปะแขนงที่น่าสนใจ ทว่าใครจะไปรู้…ว่ามันจะถูกนำมาใช้จริงได้หลายต่อหลายครั้ง


เพราะทรงถูกลอบสังหารบ่อยครั้งเหลือเกิน!


“ศศิ!”  ทว่าปัจจัยก่อกวนก็ทำให้พระองค์ใจไม่นิ่งเท่าที่ควรเป็น ก็คนที่ควรจะวิ่งไปเรื่อยๆทางทิศเหนือกลับมายืนฟาดหัวคนด้วยท่อนไม้อยู่ไม่ไกลนี้ แล้วที่บอกให้มารักษาชีวิตกันจะได้มาไหม คิดว่านักฆ่าอีกหกคนที่พร้อมจะรุมมาขย้ำเรานั้นมันจะยืนนิ่งๆทุกคนให้ทุบหัวอย่างนี้หรือ!


“ก็ถ้าท่านตายก่อนเล่า!” ถ้าแค่ป่วยหรือบาดเจ็บ ศศิย่อมรักษาให้ได้ แต่ถ้าตาย…จะไปกู้ชีพให้จากไหนกัน!


“บัดซบ!”  ตอนนี้จะด่าว่าอะไรกันก็แล้วแต่เขาเถิด ถ้าไม่ตายย่อมกลับมาด่ากันซ้ำๆได้ ศศิได้เรียกความสนใจจากลุ่มนักฆ่าจำนวนหนึ่ง อคิราห์ในยามนี้ดูจะแรงตกไปไม่น้อย ทั้งต้องโจมตี ปัดป้อง การมีคนมาช่วยผ่อนแรงนั้นถือว่าดีกว่า แต่ไม่แน่ว่าเป็นศศินี้ จะดีหรือแย่กว่าที่เป็นอยู่


“ฆ่าพวกมันให้หมด!!!”


“ศศิ!”  ต้องไปคว้าศศิมา ต้องไปคว้าศศิมาให้ใกล้กว่านี้! แค่เพียงท่อนไม้ที่ถืออยู่ จอมแสบไม่อาจสู้อะไรใครได้แน่ แต่เด็กคนนั้นอยู่ไกลเกินก้าวเข้าไปหา ผู้คนมากมายต่างกรูกันเข้ามาฟาดฟัน ปัดป้องเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะกำจัดได้เลย มิหนำซ้ำ


แม้แต่สักก้าวพระองค์ก็มิอาจจะก้าวไปหาศศิได้…


“หนีไป!!!!”


ฉึก!


ทว่ายังไม่ทันที่เราจะล้มลง ธนูที่ถูกยิงมาจากทิศทางหนึ่งก็ตรงเข้าปักไปที่นักฆ่าซึ่งหมายจะทำร้ายศศพินทุ์ ก่อนที่กลุ่มคนกว่าสิบคนจะพากันกรูเข้ามาจากภายนอก


ทหารองครักษ์จากคฤหาสน์ปิติชาญนั้น เข้ามาจัดการเหล่านักฆ่าที่หมายเอาชีวิตอย่างว่องไว รอบด้านมีแต่ความวุ่นวาย ทว่าไม่มีใครอีกแล้วที่แตะต้องพระองค์ได้แม้แต่ปลายผม อคิราห์นั้นจ้องมองไปที่ศศิซึ่งยังดูตกใจกับเหตุการณ์ความวุ่นวายตรงหน้า การที่พวกเขาเข้ามาช่วยเหลือทันแบบนี้นั้นแสดงว่าต้องทราบเรื่อง


เราทั้งสองหอบเหนื่อย จ้องตากันหมายจะเอาคำตอบ สิ่งที่อคิราห์สั่งให้ศศิทำ เจ้าตัวก็ทำมันอย่างครบถ้วน เพียงแต่ว่าทรงไม่เคยบอกว่าหลังจากขอความช่วยเหลือแล้วให้ไปหลบซ่อนให้ปลอดภัย ที่พูดไปมีเพียงให้มาพาเขากลับไปรักษาด้วยเท่านั้น


ท่านหมอน้อยไม่ได้ตีความอะไรมากมายหรอก สิ่งที่อคิราห์สั่งไว้ ศศิเพียงใช้ใจทำมันทั้งหมด เพราะรู้ว่าเราสองคงไม่อาจจะสู้ได้ จึงยอมที่จะเป็นคนวิ่งไปหาความช่วยเหลือโดยให้เขาต้านเอาไว้ แต่การที่จะให้รอความช่วยเหลือจนเสร็จสิ้นนั้นไม่เคยอยู่ในความต้องการของหัวใจเลย จะอย่างไรก็อยากจะมั่นใจ….ว่าเขาจะปลอดภัยจริงๆแม้ว่าเราจะมีความช่วยเหลือมากมายรอบด้าน


“มันอันตรายมากรู้ไหม เด็กโง่” คำต่อว่าที่ไร้น้ำเสียงตะคอกแดกดันไม่ได้ทำให้เจ็บปวด แต่นี่คือคำพูดหลังจากได้รับความช่วยเหลือหรือ? ศศินั้นหาใช่เด็กโง่งมที่ทำแผนผิดพลาด แต่ เป็นเพียงแค่เด็กที่ทำทุกอย่างตามความต้องการของหัวใจก็เท่านั้น


“…”  ตอนที่หนีมา มีนักฆ่าคนหนึ่งติดตามมาสังหารกัน ทว่าไม่ไกลจากที่ที่เราแยกจาก นายทหารของท่านแม่ทัพที่รู้จักกันดีบังเอิญกำลังพักอยู่แถวนั้น และเพราะความช่วยเหลือของเขา ศศิจึงปลอดภัยมาได้


ทันทีที่กล่าวบอกให้ทหารคนนั้นทราบว่าคนที่มาด้วยกันกำลังมีอันตราย เขาผู้นั้นจึงรีบกลับไปตามคนมาช่วยเหลือ ทว่าศศิก็ไม่สามารถยืนรอนิ่งๆได้ จึงวิ่งกลับไปเฝ้ามองประเมินสถานการณ์รอบนอกสักหน่อย เพราะอคิราห์ดูจะรับมือต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ตนจึงทำใจกล้าหยิบท่อนไม้เข้าไปและ….ก็อย่างที่เห็นกัน


ศศิเล่าให้เขาฟังตามนั้น แต่การที่ทหารองครักษ์ออกมาช่วยกันอย่างนี้ ก็คาดเดาได้ว่าทางคฤหาสน์ปิติชาญนั้นทราบว่าพระองค์มาถึงแล้ว เป็นอลงกรณ์ที่ออกคำสั่ง โชคดีจริงๆที่บังเอิญอลงกรณ์รับทราบถึงการมาพร้อมอันตรายของศศิ


“ท่านหมอน้อย”  เสียงเรียกของอลงกรณ์นั้นดังขึ้น เราทั้งสองหันไปหาคนสนิทของท่านแม่ทัพอชิระที่ช่วยจัดการความวุ่นวายเหล่านี้ให้ เขาที่อยู่ข้างหลังศศินั้นพยักพเยิดพยายามบอกอีกฝ่ายไปว่ายังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และคนผู้นั้นก็ทำได้ดี


“ท่านอลงกรณ์ เป็นไปได้ว่าคนผู้นี้จะได้รับบาดเจ็บ ข้าขอพาเขาไปดูอาการ”  จริงๆอคิราห์นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนักหนา  ทว่าอลงกรณ์นั้นก็ตาโตเหงื่อตกไปหมดแล้ว พระองค์จึงส่ายพระพักต์ และตรัสว่าไม่เป็นอะไรเพื่อคลายความกังวลใจ


“ถ้างั้นให้ท่านหมอน้อยตรวจหน่อยเถิดพะยะ… ขอรับคุณชาย เชิญทางนี้”  เกือบแล้วไหม เกือบไปแล้ว ไม่ใช่แค่อลงกรณ์ที่โล่งใจ แต่คนออกคำสั่งก็กังวลไม่แพ้กัน ว่าแต่เราต้องปกปิดฐานะจริงไปถึงเมื่อไหร่ แล้วเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องหลอกล่อกันไปเรื่อยๆอย่างนั้นนะหรือ?


เรื่องนี้ก็ยังคงไม่มีคำตอบที่ตรงกับความต้องการนัก…


“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”  ศศิเอ่ยถาม ทว่าไม่มองตากันแม้แต่น้อย หลังจากที่อลงกรณ์พาเราเข้ามาที่ห้องๆหนึ่ง เมื่อเหลือเพียงแค่เรา ศศิก็รูดรั้งแขนเสื้อของเขาขึ้น เพื่อเริ่มสำรวจบาดแผลตามกาย แม้แต่นิดเดียว ก็ห้ามมี


“ไม่ ข้าไม่มีบาดแผลอะไร”  ที่เสียไปคือแรงกายที่ทำให้เหนื่อยล้าอยู่บ้าง พระองค์ทรงปัดป้องคมดาบได้ทุกครั้ง ในคราวนี้จึงไร้แผลใดให้กังวลใจ ที่กังวลก็มีแค่เรื่องเดียว คือจอมดื้อนี่แล


“งั้นก็ดีแล้ว แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีอะไรตรงไหน ต้องรีบบอกข้านะ”  รู้สึกไม่ดีทุกตรงนั่นแล แต่เกรงว่าจะบอกหมดไม่ได้ เดี๋ยวคนงามจะไม่มองหน้าพระองค์อีก


“ศศิ อย่าทำอย่างนี้อีกนะ”


“….”


“ข้ารู้ว่าเจ้าไปเรียกพวกเขามาช่วยกันแล้ว”  เมื่อรู้ว่าเขาจะพาคุยเรื่องนี้อีก ศศิก็ผละออกมา แต่ว่า…


เขากลับจับมือเล็กนั่นไว้


“ยามข้าบอกให้ไปตามคนมาช่วย เจ้าจงมาหาข้าตอนที่ทุกอย่างมันปลอดภัยแล้ว จะได้ไหม”


“…”


“มันทำให้ข้าเป็นกังวล”


“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า” 


“แต่พี่เป็นห่วง”


“….”


“เป็นห่วงเจ้านักศศิ ดังนั้นอย่าทำอย่างนี้อีก”  และเขาคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ห่วงกันฝ่ายเดียวหรือไง จะไม่อนุญาตให้ศศิเป็นห่วงกันบ้างเลยหรือไง ไม่ยุติธรรม!


ไร้คำตอบรับจากศศพินทุ์ที่ก้มหน้า และมีเพียงสายตากดดันที่เต็มไปด้วยความห่วงใย เช่นนี้จะตอบรับก็ไม่ดีต่อใจ แต่ปฏิเสธไป เขาก็ไม่ยอมรับอยู่ดี แล้วจะเลี่ยงสถานการณ์นี้อย่างไร ในเมื่ออคิราห์เอาแต่ใจเสียขนาดนี้ ทั้งๆที่การตอบรับความต้องการของเขามีแต่ผลประโยชน์รออยู่ ต่อให้คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้รู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาว่าดีแค่ไหน แต่ศศิก็ยังไม่อาจจะห้ามขาทั้งสองข้างที่วิ่งกลับไปหาได้ ราวกับว่าคำสั่งการใช้งานมันไม่ได้มาจากสมอง ทว่ามาจากอวัยวะที่ทำงานอยู่ในอกซ้าย ที่ซึ่งเต้นดังตึกตักตลอดทั้งวัน


และศศิก็ได้ยินเสียงมันเต้นชัดเจน ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราอยู่ใกล้กัน…


“พอแค่นี้เถิด”  ทว่าช่วงเวลาน่าอึดอัดระหว่างเราสองก็จบลง เพราะมีคนมาสร้างความน่าอึดอัดครั้งใหม่ให้ เราสองหันไปทางประตู ก็พบกับบุรุษร่างโปร่งบางผู้หนึ่งยืนอยู่ อคิราห์นั้นไม่แม้แต่จะคุ้นหน้าคนๆนี้ ทว่าคนตัวเล็กตรงหน้าเขานั้นดูจะรู้จักดี


“ท่าน….ท่านอาจารย์”  เป็นอาจารย์ของศศิที่ได้ยินมาตลอดหรือนี่ ทรงหันไปเพื่อที่จะทักทาย ทว่าอีกฝ่ายไม่เปิดโอกาส และแม้พระหัตถ์จะจับมือของเจ้ากระต่ายน้อยอยู่ ทว่าคำแรกที่ผู้มาใหม่ทักมา ก็ได้สะบั้นสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นของเราจนยับเยิน


“องค์รัชทายาท”  ทิชากรนั้นยืนตัวตรง ค้อมตัวทำความเคารพให้กับเขาผู้สูงศักดิ์ตามธรรมเนียม ริมฝีปากติดรอยยิ้มบางตามมารยาท การปรากฏตัวของคนๆนี้ มันทำให้พระองค์ตั้งรับไม่ถูก


“….”  โดยเฉพาะกับศศิที่นิ่งเงียบไป


“กระหม่อมคงต้องให้ลูกศิษย์มาด้วยสักครู่ เรามีเรื่องต้องคุยกันเสียหน่อย”  อา…ดูเหมือนว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องคิดไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะบอกความจริงอย่างไร แต่คงต้องคิดต่อไปเสียแล้วว่าจะรับมืออย่างไร…กับดวงตาอ่านยากที่มองจ้องมาก่อนจะเบือนหนีไปพร้อมกับมือที่ดึงออกจากการจับกุมของพระหัตถ์ที่พยายามจะไขว่คว้า ทุกสิ่งที่แสดงออกด้วยภาษากายนี้


มันแปลความหมายว่า ข้า...ผิดหวังเหลือเกิน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


Talk: ความชิลของคนที่ได้หยุดยาว ก็จะลงติดๆกันแบบนี้ละค่ะทุกคน55555
ตอนนี้ก็จะจุดประกายดราม่าขี้งอนน้อยใจกันนิดหน่อย แต่ไม่นานค่ะ เรื่องนี้ไม่ดราม่านานจริงๆ ยังไงพรุ่งนี้ถ้าไม่ติดอะไรก็จะมาลงต่อนะคะ กลัวบูดที่แท้จริง ตอนนี้อยู่ช่วงลงต่อไม่รอแล้วนะ แต่เราก็ยังแต่งเรื่อยๆอยู่ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ฝากรักเรื่องนี้ด้วยนะคะ

ฝากแท้ก #อาทิตย์ศศิ
และทวิตเตอร์เรา @reallyuri
จริงๆมีเพจในเฟชด้วย https://www.facebook.com/Skylover-x-novels-249101909234202 (https://www.facebook.com/Skylover-x-novels-249101909234202)
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-12-2018 23:12:00
งานเข้าพี่อาทิตย์ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-12-2018 23:14:26
งื้อออออออออ น้องศศิไม่งอนน๊าาา
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-12-2018 10:19:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 11-12-2018 13:54:07
ไม่นะ :hao5: :hao5: ความหวานในใจฉันกำลังหมดไปปป
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 11-12-2018 20:19:18
ค้างงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 7 : 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-12-2018 09:53:37
อย่าโกรธพี่เขานานได้มั้ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 12-12-2018 19:41:27
Finding the twilight
8
ทิชากรและศศพินทุ์
☼ ☽


องค์รัชทายาท…บ้าบออะไรกัน!!!!!!


“….” 


“…..”  ทว่าก่อนที่จะหงุดหงิดใจเรื่องนั้น ควรต้องแยกแยะว่าตอนนี้มีอะไรที่สำคัญยิ่งกว่า ใบหน้าของท่านอาจารย์นั้นเคร่งขรึม ต่อจากนี้จะต้องเป็นการถูกด่าว่าตลอดคืนเป็นแน่ หลังจากติดตามท่านอาจารย์มาที่ห้องส่วนตัวของท่าน ก็ยืนนิ่งอย่างรู้ผิด เฝ้ารอการลงโทษด้วยใจหดหู่


“ไฉนทำให้คนอื่นเป็นห่วงเก่งได้ขนาดนี้”  ทิชากรนั้นอยากจะทบต้นและดอกกับเด็กคนนี้นัก หายไปเก็บสมุนไพรอะไรนานสองสัปดาห์แล้วยังมาหากันพร้อมกับนักฆ่าจำนวนมากแบบนั้นอีก เด็กคนนี้รู้หรือไม่ ว่าทำให้คนอื่นกินไม่ได้นอนไม่หลับมันเป็นยังไง อย่าให้ได้เห็นว่าเคี้ยวข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเชียว!


“ข้าขอโทษ”   ศศิที่รู้สึกผิดนั่นเอ่ยออกไป แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสีหน้าดุจัดนั่นได้ “ศศิขอโทษ” มันเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทุกอย่างมิอาจจะควบคุมได้ และดีแค่ไหนที่เด็กคนนี้มายืนสำนึกผิดต่อหน้าตรงนี้ที่ๆสามารถมั่นใจว่ายังอยู่ดี ในที่สุดทิชากรก็งยิ้มออกมา ทั้งโล่งอกและเต็มไปด้วยความคิดถึง


เมื่อรับรู้ได้ว่าท่านอาจารย์หรือ ‘ท่านน้า’ ไม่โกรธกันแล้วก็ได้ใจ เดินโผเข้าไปกอดเหมือนเด็กน้อยเมื่อวันวาน ศศิไม่มีพ่อหรือแม่ ไม่แม้แต่จะมีความทรงจำเกี่ยวกับพวกท่าน แต่ก็เติบโตขึ้นมาด้วยความรักและความเอาใจใส่จากชายผู้นี้ผู้ที่คือโลกทั้งใบมาจวบจนทุกวัน


“รู้หรือไม่ว่าน้าคิดถึงเจ้าแค่ไหน”ทั้งเฝ้ารอด้วยกลัวว่าจะเกิดอันตราย และเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ต้องหนีจากหมู่บ้านชายแดนมาที่คฤหาสน์แห่งนี้ ด้วยระยะทางและความไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้ความกังวลกัดกินหัวใจ ในทุกวันทิชากรจะจมอยู่กับการเฝ้ารออย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าอชิระจะพูดว่าหลานชายของเขาสามารถดูแลศศิได้ แต่ทิชากรไม่รู้จักเขา แล้วจะมีหลักประกันอะไรที่ทำให้เชื่อมั่น


และหลานชายที่ว่านี่….มันองค์ชายรัชทายาทแห่งสิหราชนครามิใช่หรือ ต้องเป็นศศิหรือเปล่าที่ต้องคอยดูแลรับใช้เชื้อพระวงศ์? ทว่าเมื่อออกความเห็นตรงนี้ไป สิ่งที่ได้มากลับเป็นเพียงเสียงหัวเราะของบุรุษที่ไม่เคยสร้างความรู้สึกสบายใจให้กัน อชิระนั้นหัวเราะราวกับว่าสิ่งที่ทิชากรเป็นกังวลนั้นคือเรื่องงี่เง่าที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ก็คนมันไม่เคยเจอนี่!


“เป็นเช่นไรบ้าง”  ทิชากรเอ่ยถามคนในอ้อมกอด และได้กลับมาเพียงรอยยิ้ม ศศิเองก็คิดถึงท่านน้าเหลือเกิน หลายวันมานี้ได้พานพบกับเหตุการณ์มากมายแบบที่ไม่เคยฝัน และที่มากมายเกินรับไหวนั้น ทุกอย่างล้วนมีผู้กระทำร่วม


คือเขาผู้สูงศักดิ์คนนั้นที่นอนเคียงข้างกันในทุกคืน…


“เจ้าไปพักก่อนเถิด ข้าจะพาเจ้าไปยังห้องที่ท่านพ่อบ้านจัดเตรียมไว้ให้”  ศศิเพียงพยักหน้าและเดินตาม หวังให้น้ำอุ่นๆ อาหารอร่อยๆ และเตียงนุ่มๆช่วยบรรเทาอาการที่เป็นอยู่อาการที่ศศิก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่ที่เข้าใจคือร่างที่กำลังเดินอยู่นี้….มันเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเลย


ในด้านองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครา…


ทั้งๆที่มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเอ่ยถึงและไม่รู้แน่ชัดว่าคืออะไร แต่มันมีอยู่จริง ตั้งแต่แยกจากก็ทรงนิ่งเฉยประทับอยู่กับที่ทอดพระเนตรไปยังนอกหน้าต่าง ศศิอาจจะคิดว่าทรงกลั่นแกล้ง แต่จริงๆนั้นมันล้วนเป็นความจำเป็นที่บอกไม่ได้ หากอธิบาย เด็กดีก็คงเข้าใจ แต่ในส่วนที่น่าสงสัย คือแค่ปกปิดไม่ได้หรือ เหตุใดถึงต้องให้ความสนิทสนมถึงเพียงนั้นจนก่อให้เกิดความไว้ใจ


“…” แม้แต่พระองค์เอง ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ ว่าทำไมต้องทำตัวเช่นนั้น


“ดูเจ้าเครียดเสียยิ่งกว่าถูกยึดบัลลังก์ เป็นอะไรกันเล่า หลานชายของข้า”  เมื่อครู่นี้ทิชากรก็มาก่อกวนกันจนได้เรื่องราว คราวนี้เป็นอชิระแล้วหรือที่จ้องจะมาวุ่นวาย


ทรงทำเพียงถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปหาเจ้าของร่างสูงใหญ่ผิวคร้ามแดด ท่านแม่ทัพอชิระ หรือเสด็จอาของพระองค์นั้นอายุเพิ่งเข้าช่วงปลายๆ 30 เท่านั้น เรียกได้ว่าวัยไม่ห่างไกลกันมากจนควรจะนับถือเป็นพี่น้องเสียมากกว่า หลายคนก็พอทราบว่าท่านแม่ทัพที่ไปประจำที่ด่านตะวันตกที่ 2 นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง แต่ท่านไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง ทว่าปัญหาในการคบหาผู้ชายคนนี้เป็นสหาย น่าจะเป็นเรื่องอื่นๆเสียมากกว่า


“ขอบพระทัยที่ทรงส่งคนไปช่วยเหลือ”


“ไปบอกกับอลงกรณ์เถิด เป็นเขาที่ทราบว่าศศิวิ่งมาขอความช่วยเหลือเลยจัดส่งไป” 


“หลานทราบแล้ว จะไปขอบคุณเขาเอง”


“แล้วก็ช่วยหยุดใช้คำราชาศัพท์เถิด เราขอรับความเป็นอาหลานเอาไว้ ไม่ชิน”  ทั้งๆที่ใช้คำพวกนี้มาทั้งชีวิต แต่เมื่อได้สถานะใหม่ ก็เห่อจนลืมเก่า


“จะพยายามพะยะค่ะ แต่มันชินปาก”  อชิระเพียงถอนหายใจเมื่อหลานชายตัวดีไม่ตอบรับความต้องการ ก่อนที่จะมาเป็นแม่ทัพ การเมืองภายในราชวงศ์ค่อนข้างจะบีบคั้นกันในหลายๆด้าน ทำให้พระองค์เจ้าอชิรพลในวันนั้นขอถอดพระยศแล้วดำรงตำแหน่งแม่ทัพประจำชายแดนตะวันตกที่ 2 รับเบี้ยหวัดตามค่าตำแหน่งและมีสินทรัพย์เดิมเป็นเครื่องช่วยการันตีว่าจะอยู่ได้สุขสบายจนแก่เฒ่า แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่ได้กลับคืนมานั้นคือ…


สิทธิ์ในการครองบัลลังก์…


“ขอบใจเจ้าที่ช่วยดูแลเจ้าหนูศศิด้วยละกัน”  และจากวันนั้นก็ให้คนอื่นเรียกกันว่าแม่ทัพอชิระ เพื่อให้ผู้คนที่ทำงานด้วยลืมเลือนฐานะเดิมที่ทรงปล่อยวางละทิ้งไป


“ศศิๆ อะไรใครๆก็ศศิ”  รวมทั้งพระองค์ด้วย


“เด็กนั่นไปทำอะไรให้วุ่นวายใจ เจ้ามีปัญหากับเจ้าลูกกระต่ายของข้ารึ”  ของข้า…คำนี้ของเสด็จอาที่อยากเป็นแค่อานั้นทำให้หงุดหงิด ก่อนจะเงยพระพักต์ขึ้นมามองตาคนพูดที่ไม่สื่ออะไรเป็นพิเศษ


“รู้จักกันมานานแล้วหรือขอรับ”


“นานแล้ว ตั้งแต่เพิ่งเริ่มเดินได้กระมัง”  เดินได้สามสี่ก้าวแล้วล้ม


“รู้จักได้อย่างไร”


“ต้องเล่าให้เจ้าฟังด้วยรึ?”  มันใช่หน้าที่หรือไรที่ต้องมาเล่าให้องค์ชายรัชทายาทฟังว่ารู้จักกับเจ้าลูกกระต่ายของทิชากรได้อย่างไร จริงๆมันก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ในตอนนั้นพระองค์เพิ่งก้าวเข้ามารับตำแหน่งแม่ทัพ แม้เพิ่งจะผ่านพ้นช่วงวัยเพียงแค่ 18 ปีมาไม่กี่วัน ความสามารถยังเป็นที่กังขา จึงต้องทุ่มเทแรงกายไม่ใช่น้อยในการก่อร่างสร้างตน


และทิชากรในวัย 20 ปี ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยผลักดันความน่านับถือ…


☼ ☽


ในวันนั้นที่พระจันทร์เต็มดวงเมื่อ 20ปีก่อนนี้…


ที่ค่ายทหารชายแดนตะวันตกที่ 2 มีการจับกุมผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายจากคีรีธาราได้จำนวนมาก คาดว่าทุกคนหลบหนีมาด้วยกัน แต่สอบถามเจตนานั้นไม่มีใครตอบ ยิ่งกดดันก็ยิ่งมีแต่ความเงียบงัน ทุกคนในขณะนั้นเอาแต่เพียงก้มหน้าไม่ตอบคำถาม ไม่สนใจคำขู่กร้าวใดๆ และไม่มีแม้แต่คำว่าเกรงกลัว


จนกระทั่งเสียงร้องสะอื้นไห้ของเด็กทารกที่ถูกมัดผูกไว้ที่หลังดังขึ้น…


“แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”


“เสียงใคร”  อชิระนั้นถามเสียงดังลั่น และมันยิ่งทำให้เสียงเด็กร้องดังกังวานกว่าเดิม ผู้คนมากมายต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อให้เกิดความรำคาญใจต่อท่านแม่ทัพมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนเอาแต่มองหน้ากัน ไม่มีใครตอบกลับมาสักคน


“ขะ…ข้าเอง”  ในที่สุดก็มีคนใจกล้าตอบกลับมา อชิระได้มองไปที่นักโทษคนหนึ่งที่อยู่ในนั้น และนั่นคือครั้งแรกที่เราสองได้สบตากัน


“นั่นลูกเจ้ารึ”


“ข้า…ข้าขอกล่อมเขาให้หลับไปอีกครั้งได้หรือไม่”  จะเล่นตุกติกอะไรอีก อชิระคิดพิจารณาในใจ แต่เสียงเด็กก็ยังไม่หยุดดังจึงยอมๆไป อย่างไรก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะทหารของสิหราชนคราควบคุมทุกอย่างได้หมดแล้ว


แต่อีกสาเหตุที่ทำให้ยอมอนุญาตนั่นคงเพราะแววตาตื่นตระหนกราวกับคนละคนเมื่อแรกเห็นนั้นสะกดความสนใจไว้มั่น ในที่สุดเจ้าของริมฝีปากอันแห้งผากก็ได้เอ่ยขอร้องกันขึ้นมา บุรุษร่างเพรียวบางที่แรกเห็น ความหยิ่งผยองในแววตานั้นโดดเด่นให้สนใจ ทว่ากลับยอมลงให้กันง่ายๆเพียงเพราะเด็กที่มาด้วยร้องไห้งอแง อชิระรู้แล้วถึงจุดอ่อนของคนๆนี้ และดูเหมือนว่าทุกคนที่มาด้วยกัน จะมีจุดอ่อนร่วม…


แววตาอันเต็มไปด้วยปริศนาซ่อนเร้นให้ค้นหา ช่างขัดกับเพลงกล่อมเด็กของคีรีธาราที่ถูกขับร้อง อชิระยิ้มออกมาเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ เจ้าหนูน้อยก็น่ารักน่าชัง ร้องไห้ไม่นานก็ยินยอมหลับง่ายๆ บรรยากาศในตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยความยินดีและความกดดันเจือความเศร้าสร้อย เหล่าผู้ทำผิดกฎหมายกลับมานิ่งเงียบอีกครั้งเพื่อรอรับโทษทัณฑ์โดยไร้ซึ่งการโต้แย้งหรืออธิบายเช่นเคย


ทว่าท่านแม่ทัพคนใหม่ก็ไม่ยอมมอบโทษทัณฑ์กันโดยง่าย เขามีข้อสงสัยอยู่อย่าง เหตุใดจึงเป็นที่ด่านนี้ ที่ๆซึ่งการตรวจตราไม่เข้มงวดเพราะกำลังมีการระบาดของโรคร้าย พื้นที่กักกันนี้มีแต่คนบ้าบิ่นเท่านั้นที่กล้าเหยียบย่างเข้ามา และแน่นอน…อชิระก็คือหนึ่งในคนบ้าเหล่านั้นที่ไม่กลัวตายแถมยังพาคนอื่นที่ติดสอยห้อยตามมาตายด้วย


และเมื่อถามไป ทิชากรก็เป็นผู้ตอบคำถาม ผู้นำของคนมากมายในกลุ่มนี้คือเด็กหนุ่มที่น่าจะอายุอานามพอๆกัน และเมื่อได้ยินคำตอบ ดวงตาของแม่ทัพหนุ่มก็แวววาวขึ้นมา


“โรคนี้มันเคยมีมานานแล้วที่คีรีธารา และพวกเรา…เอ่อ..ก็สามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้”


“ข้าก็เคยได้ยินว่ามันมีมานาน แต่เรื่องรักษาให้หายได้ก็เพิ่งเคยได้ยินจากปากเจ้านี่แล” อชิระนั้นต้อนกลับในทันใด “คำพูดของนักโทษอย่างเจ้า มันน่าเชื่อถืองั้นหรือ”


ทิชากรที่รับรู้ได้ว่าเขาไม่เชื่อกันนั้นถอนหายใจออกมาก่อนจะหลับตา ความน่าเชื่อถืออะไรนั่นตนไม่มีหรอก เพราะตัวตนที่แท้จริงเป็นใครก็บอกไม่ได้ หากจะตายก็ขอให้ความลับนี้ตายไปพร้อมกับตัวเถิด เมื่อสิ่งที่พอจะพูดได้ พูดออกไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ ปล่อยให้มันแล้วแต่เวรและกรรมแล้วกัน


“ข้าเป็นหมอ” 


“เจ้านะหรือ”  ยังเยาว์วัยเกินกว่าจะเรียกตัวเองว่าหมอได้


“ข้ารักษาคนได้”ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน


“คิดจะเล่นตุกติกอะไร ก็หวังว่าเจ้าจะคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน” 


“มาถึงขั้นนี้แล้วข้าจะต้องกลัวอะไรอีก”


“กลัวตายอย่างไร”


“การที่แอบอ้างเป็นหมอก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตายเสียหน่อย”


“….”


“ในเมื่อท่านถามว่าเหตุใดจึงรักษาได้ ข้าก็ตอบคำถาม…เพียงเท่านั้นเอง”  และการเป็น ‘หมอ’ ก็น่าจะอธิบายทุกอย่างได้ดี คำตอบของนักโทษที่ควรจะทำให้เส้นความอดทนขาดผึงกลับเรียกรอยยิ้มจากริมฝีปากท่านแม่ทัพ


“เจ้าชื่ออะไร”


“ทิชากร”


“ทิชากร…ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”  บอกความต้องการของตนก่อนจะลุกขึ้นท่ามกลางความงงงวยของผู้คนมากมาย ทิชากรยังคงนิ่ง มึนงงเหมือนกับคนอื่น จนเขาต้องเอ่ยย้ำ “พาลูกของเจ้ามาด้วยก็ได้ ข้าไม่ถือ”  และตอนนี้ทุกคนคงทราบทั่วกันแล้วว่านิสัยชอบทำตามอำเภอใจของแม่ทัพคนใหม่เป็นอย่างไร และทุกคนในนั้นทั้งที่อพยพมาจากคีรีธาราหรือที่อยู่ที่สิหราชนคราอยู่แล้ว ก็ได้แต่ส่งใจไปช่วยทิชากรที่ต้องเข้าไปนั่งคุยกับมนุษย์ที่แปลกประหลาดสองต่อสอง


เจ้าของร่างเพรียวบางของท่านหมอนั้นกระชับอ้อมแขนของตนด้วยหมายจะปกป้องเด็กน้อยที่หลับสนิท ก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญของเขาที่ไม่สบายตายามเห็นคนมายืนเก้ๆกังๆแถวนี้ ในส่วนของบทสนทนากว่าชั่วโมงของเราที่เกิดขึ้นในขณะนั้น


ได้ลิขิตชะตาชีวิตของกลุ่มคนอพยพอย่างผิดกฎหมายใหม่
จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว….


☼ ☽


“ไว้ชีวิตเพื่อใช้งานสินะ” 


“แค่ข้าอธิบายนิดเดียว หลานชายผู้เก่งกาจก็เดาทางได้หมดเลยหรือนี่”


“ใช้งานเสร็จก็กินต่อสินะ”ไม่ได้ฆ่า แต่เก็บไว้กิน


“สมกับเป็นหลานชายที่รู้ทันกันไปหมดจริงๆ ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไร”  หลายคนมักพูดถึงเราในเชิงว่าทำอะไรสมกับเป็นอาหลาน และเราสองต่างก็ยอมรับว่ารู้ทันรู้ใจกันไปหมดราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียว ทว่าสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์นั้น ในวันนี้ไม่น่ายินดีเท่าไหร่  “อย่าบอกว่าเจ้านั้นกินเจ้าลูกกระต่ายของข้าไปแล้วเหมือนกัน”  หากจะเปรียบทิชากรดั่งแม่ อชิระก็เปรียบคล้ายกับพ่อที่ทำท่าจะหวงลูกสาวมาก


“ไม่ได้กิน”  ถ้าได้กินแล้วจะนอนอึดอัดแบบนั้นหรือ


“ก็ดีไป เพราะข้ายังไม่ทันทำใจจะปล่อยเจ้าลูกกระต่ายออกเรือน” 


“ท่านอาดูจะเอ็นดูศศิมาก”


“ข้าก็เลี้ยงช่วยทิชากรมานั่นแล เป็นข้าที่สอนเจ้าตัวเล็กให้ต่อสู้ ถึงจะงอแงเก่งแต่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ทำให้ภูมิใจ”


“ในฝีมือหรือ?”  ทรงได้เห็นฝีมือของศศิกับพระเนตร


“ในความน่ารักต่างหาก”  อคิราห์นั้นส่ายหัวให้กับความหลงงมงายนี้ของอชิระพระองค์ไม่เคยมีความทรงจำที่ถูกรักหลงแบบนี้ จากใครโดยเฉพาะกับคนๆนี้มาก่อน แต่เพียงคิดว่าหากมันเคยเกิดขึ้น ก็ขนลุกไปทั้งร่างเจ้าลูกกระต่ายนั้นทนความบ้าบอมาได้อย่างไรตั้งหลายปี! นอกเสียจากตีเนียนเป็นคนบ้าบอให้เหมือนกันไปซะ จะได้สบายใจ


“สองอาหลานต่างไว้ผมยาวเหมือนกัน”  ทรงได้พบกับทิชากรเมื่อครู่ ท่านอาจารย์ของศศิผู้นี้เป็นผู้มีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้างดงามแต่ดูดุขรึมกว่า หากบอกว่าอยู่ในวัยใกล้เคียงกับอชิระ ทิชากรนั้นจัดว่าดูอ่อนเยาว์กว่ามาก และยังดูงดงามเหลือเกิน


“ทิชากรให้ศศิไว้ผมยาวเผื่อไว้ว่าวันหนึ่งต้องปลอมตัวเป็นสตรี”  และวันนั้นก็มาถึงแล้ว เพราะศศิผมยาวนั่นแล เราถึงได้ปลอมตัวเป็นผัวเมียแสนรักหลอกคนอื่นมาได้นานสองนาน หากทราบว่าคนงามเสน่ห์แรงขนาดเกือบถูกเล่นงานที่ชายป่าแบบไหน เกรงว่าอชิระต้องเดือดดาลส่งคนไปตามพวกมันกลับมาและกระทืบซ้ำเป็นแน่


ว่าแต่คนประเภทไหนกันที่ต้องไว้ผมยาวเพื่อปลอมตัว?


“แล้วพวกเขาอพยพมาทำไม ท่านรู้หรือไม่”  คำถามนี้คือคำถามที่อชิระเองก็เคยสงสัย หากแต่ทิชากรไม่ยอมบอกแต่คราแรก เรามีความสัมพันธ์ในด้านผลประโยชน์ร่วม คืออชิระจะช่วยปิดบังการมีอยู่ของทุกคนให้ แลกกับการเป็นหมอช่วยดูแลประชาชนในหมู่บ้านและทหารในค่าย ด้วยเพราะการพัฒนาทางการแพทย์ขยายมาไม่ถึง จึงต้องช่วยกันเองแบบนี้


อชิระเป็นถึงแม่ทัพ ไฉนจึงทำเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสำหรับคนใกล้ชิด อคิราห์เองก็เข้าใจ จะเอาอะไรกับผู้ชายที่ทำตามใจตัวเองขนาดยอมสละบัลลังก์ให้หลานอย่างง่ายดายและมาใช้ชีวิตอยู่ชายแดนแบบไม่สนคำรั้งของใคร


การกระทำของอชิระไม่เคยทำเพื่อราชวงศ์หรือดินแดน หากแต่ถือมั่นในตัวบุคคลและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า ดังนั้นการเก็บกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายจากบ้านเมืองอื่นเพื่อมาทำประโยชน์ให้บ้านเมืองนี้ สำหรับอชิระถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และอำนาจลับๆที่มีอยู่นั้น ก็เพียงพอจะทำให้คนอื่นทำเป็นมองข้ามปัญหานี้ได้เช่นกัน


“พวกเขาไม่ได้ทำความผิดหรอก แต่ถูกไล่ล่าอย่างหนักที่คีรีธารา”  แล้วอะไรคือการไม่ได้ทำความผิดแต่ถูกไล่ล่าจนต้องหนีมาแบบถูกกฎหมายไม่ได้  “คีรีธาราในช่วงตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้มีปัญหาภายในมาตลอด หลานก็รู้นี่”  อคิราห์รู้ดี และล่าสุดที่พระองค์ทรงเดินทางไปที่นั่น ก็เพื่อด้วยเหตุผลทางการทูต ทว่ามันไม่เป็นดั่งที่หวังไว้ สุดท้ายก็โดนลอบสังหาร โดยกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์สักกลุ่ม ที่พระองค์ยังระบุไม่ได้ว่ากลุ่มไหน กลุ่มที่คีรีธาราสักกลุ่มหรือกลุ่มที่สิหราชนครา


“เรื่องของการปกครองนี่เกี่ยวกับพวกเขาด้วยหรือ?”


“อืม”  หากทิชากรพูดให้ฟังแต่คราแรกที่ได้พบ บางทีอชิระอาจจะส่งกลับเดี๋ยวนั้นเลยเพราะไม่อยากวุ่นวาย ทว่ามาทราบภายหลังจึงพอจะปล่อยวางไปได้บ้าง  เกี่ยวกับปัญหาในคีรีธาราตอนนี้ หลักๆจะเป็นเรื่องการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ


คือคีรีเขตที่ปกครองฝั่งใต้ของคีรีธารา ซึ่งมาจากกลุ่มข้าราชการที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์
กับคีรีราชสกุลที่สืบเชื้อสายกษัตริย์ผู้ดูแลฝั่งเหนือ


ความบาดหมางกินเวลายาวนานเกินกว่าอายุของอคิราห์เสียอีก รุนแรงขนาดจังตั้งเมืองหลวงไว้สองแห่งทางเหนือกับทางใต้ตามการปกครองของแต่ละฝ่ายเลยก็ว่าได้ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับพวกศศิกันเล่า?


“ถ้าทางคีรีราชสกุลเป็นฝ่ายชนะ”  เท่ากับว่าราชวงศ์และระบบกษัตริย์ จะกลับมาเกรียงไกรในคีรีธาราอีกครั้ง แต่มันไม่แค่นั้นนะสิ  “กลุ่มคนอพยพคงจะกลับไปที่นั่นเพราะพวกเขาจะไม่ถูกไล่ล่าอีกแล้ว”  เท่ากับว่าศศิต้องกลับไป


“….”  แต่มันไม่ใช่แค่นั้น…


“ที่พวกเขาประคบประหงมดูแลศศินั้น ไม่ใช่อะไรหรอก” แล้วมันทำไมกันเล่า?  “ศศิคือคนที่คีรีราชสกุลให้ความสำคัญ”


“ศศิคือคนของราชวงศ์หรือ?”  ในตอนนั้นพระทัยขององค์ชายรัชทายาทแห่งสิหราชนคราพลันเต้นแรง ภาพของศศิตั้งแต่แรกพบเหมือนฉายกลับเข้ามาในความทรงจำ


“นั่นสินะ” 


“แล้วศศิทำไม”  นั่นสิ ศศิทำไม?


ทำไมถึงทำให้พระองค์รู้สึกต่อเด็กคนนั้นมากมายเช่นนี้?!


“ศศิคือคน…ที่เกิดมาโดยความหวังจะให้ถูกหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทของฝั่งนั้นนะสิ”  ตอนนี้ไม่เพียงมือของเราได้ปล่อยออกจากกัน แต่สวรรค์กลับหยิบยื่นความจริงที่เลวร้ายกว่านั้นมาให้


นั่นคือศศิกับพระองค์…ไม่อาจจะจับมือกันได้เลย…


“…”


“นี่…ไม่ได้ความว่าท่านกำลังช่วยให้คนที่สำคัญกับคีรีราชสกุลซึ่งเป็นศัตรูของคีรีเขตหลบหนีอยู่ที่นี่งั้นรึ” การช่วยเหลือคนสำคัญระดับนี้ อาจจะก่อให้เกิดปัญหารุนแรงได้ แต่ทว่าแม้แต่คนถามก็ยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญตรงนั้น เพราะทรงรู้สึกปวดร้าวกับเหตุอื่นยิ่งกว่า


“หลานชาย…เจ้าจะให้ข้าส่งมอบเด็กคนนั้นกลับไปคีรีธาราจริงๆหรือ”


“….”


“หากเป็นพระบัญชาขององค์รัชทายาทกระหม่อมย่อมทำตามอย่างไร้ข้อโต้แย้ง”  ในฐานะแม่ทัพ อชิระย่อมต้องทำตามคำสั่งของเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งอย่างองค์ชายอคิราห์อยู่แล้ว เพียงแต่ความต้องการนั้น มันคือสิ่งที่เจ้าตัวยินยอมจริงๆหรือเปล่า แม้แต่พระองค์ชายผู้เก่งกาจ ก็ไม่อาจจะให้คำตอบตัวเองได้


หลังจากที่อชิระได้แยกตัวไป คำถามมากมายที่เกิดขึ้นในพระทัยก็ฉุดรั้งไม่ให้อคิราห์ข่มตาหลับได้ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องประสงค์และไม่ได้ตามประสงค์ ทว่าในวันนี้ ทรงได้รับทราบถึงความรู้สึกของการไม่ได้ตามหวังเข้าเสียแล้ว แม้ไม่รู้ว่าแท้จริงตนนั้นต้องการอะไร ในภาวะสับสนเช่นนี้ ทรงไม่อยากออกไปพบหน้าใคร ทว่าก็มีใบหน้าของคนๆหนึ่งที่วนเวียนอยู่ตลอด


เป็นคนเดียวที่อยากพบ อยากเจอ


“จะโกรธอยู่หรือเปล่านะ” 


แววตาคู่นั้นที่มองกันตอนที่ทราบว่าพระองค์คือใคร ศศิไม่ได้ฉายแววโกรธเคืองแต่อย่างใด ทว่าพระองค์ก็รับทราบได้ว่ามันคงทำลายความเชื่อใจของอีกฝ่ายไปพอสมควร แต่จะทรงกู้คืนมันมาได้ไหม ก่อนอื่นก็ต้องถามหัวใจก่อนว่ายังอยากให้เจ้าลูกกระต่ายของท่านอาเข้ามาอยู่ในชีวิตจริงๆหรือไม่ เพราะสองสัปดาห์นั้น ในทางทฤษฎีแล้วมันดูเหมือนจะสั้นเกินกว่าจะบ่งชี้อะไร


“เฮ้อ”  ในวันนี้จะไม่มีคนที่นอนขดตัวหันหลังให้กันอยู่ข้างๆ ผ้าห่มก็เป็นของเรา หมอนหนุนก็เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว ห้องหรือเตียงที่ไม่มีอีกคนอยู่ตรงนี้ ให้อิสระและความเงียบสงบแบบที่เคยชื่นชอบ ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจจะทำให้ไม่ชินเสียหน่อย นอนคนเดียวไปสักพักก็คงกลับมาเป็นแบบเดิม


แต่ปัญหาจริงๆมันไม่ได้อยู่ที่เตียงหรือบุคคลที่สูญเสียไป ปัญหามันน่าจะอยู่ที่ใจที่สูญเสียไปแล้วมากกว่า


ทางฝั่งของศศพินทุ์เองก็ไม่อาจจะพูดได้ชัดเจนว่ารู้สึกอย่างไร การพูดคุยกับอลงกรณ์และท่านน้าทิชากรที่ผ่านมา ทำให้ตนทราบว่าอคิราห์มีความจำเป็น ซึ่งมันก็ไม่แปลก ต่อให้เขาดูแลตัวเองได้ดี แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องปกปิดตัวตนเพื่อความปลอดภัย ศศิย่อมเข้าใจเหตุผลง่ายๆเพราะตนไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจไร้เหตุผลเช่นนั้น ทว่าก็ยังไม่สามารถยอมรับได้เต็มหัวใจ


ความรู้สึกปวดหน่วงไปหมดแบบนี้มันคืออะไรกัน ‘อาทิตย์’ นั้นก็คงจะเป็นชื่อที่ให้เรียกเพื่อปิดบังชื่อจริงทว่าน้ำเสียงยามที่เขาสั่งให้เรียกกันว่าพี่อาทิตย์ยังคงติดหูอุตส่าห์จับทางออดอ้อนได้แล้วแท้ๆ พอทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใคร ความคิดที่จะใช้ประโยชน์อะไรต่อไป ก็คงต้องลบทิ้งให้หมด ศศิทำมันต่อไม่ได้ และแม้แต่จะเข้าใกล้อีกก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน


“ได้รู้จักกันแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”  เจ้าของกระต่ายนั้นยิ้มให้ตัวเอง หากไม่มีเขา ในตอนนี้เราจะได้มานอนอยู่ตรงนี้ไหมก็ไม่รู้ ค่ำคืนนี้ช่างยาวนาน ทั้งๆที่มักจะเข้าหลับก่อนเพราะเขินอายกับการพูดคุยบนเตียงก่อนนอน ทว่าในวันนี้กลับไม่สามารถหลับลง ไม่รู้อีกนานแค่ไหนกว่านิทราจะมาเยือน เมื่อรับรู้ว่าคงไม่มีลมหายใจอุ่นๆของอีกคนเป่ารดที่ต้นคออีกต่อไปแล้ว


ทั้งๆที่ไม่มีคนมาแย่งผ้าห่มกับหมอนตอนนอนแล้ว
ทำไมกันนะ…ถึงได้รู้สึกเหน็บหนาวถึงเพียงนี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Talk:
ไม่ดราม่าเลยเห็นไหมมมมมมมมมมมมมมม
ไม่เอาไม่เครียด ตอนต่อไปจะรีบมาเพราะเราไม่อยากทิ้งช่วงหน่วงไว้ให้นาน แต่โทนเรื่องก็ประมาณนี้เนาะ
หวานๆหน่วงนิดๆแล้วไหนบอกไม่ดราม่ามาก5555
ก็ไม่มากนะคะเราว่า อาจจะมีอะไรให้หงุดหงิดใจบ้างตามประสาแต่ไม่มากมายมั้งคะ/หัวเราะแฮะๆ
ตอนต่อไปจะรีบมา ขอเวลาอีกไม่นาน

ฝาก #อาทิตย์ศศิ ด้วยนะคะ คิดว่าเราคงไม่แต่งอะไรแนวๆนี้อีกแล้ว
ด้วยความที่เคยแต่งฟิคที่เป็นแนวๆนี้มาหลายเรื่อง พอมาแต่งนิยายเรื่องนี้ก็ไม่อยากให้ซ้ำของเดิมเลยพยายามมากๆ
รู้สึกเหมือนใส่เต็มจนไม่รู้จะหาอะไรมาใส่ได้อีกไหม55
@reallyuri






หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-12-2018 23:22:47
น้องศศิเอ้ยยยยยย
พ่อบุญธรรมหนูหวงน่าดูเลยนะเนี่ย 5555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 13-12-2018 00:16:52
โอ๊ยหนูลูกกกกกกกกกก
คนพี่ก็กลัวคนน้องก็ไม่กล้าแล้ว  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 13-12-2018 01:01:02
 :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 13-12-2018 08:35:28
แงงงงงง :sad4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 8 : 12/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-12-2018 23:00:05
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 15-12-2018 18:58:40
Finding the twilight
9
รสหวานเหมือนริมฝีปากของเจ้า
☼ ☽

และเราก็ไม่สามารถกลับไปเป็นได้อย่างเคย..


“ดูเหมือนว่าพิษในกายท่านจะหายไปหมดแล้ว”  สำหรับคนที่ต้องพิษร้ายแรงของคีรีธารา ก็ย่อมเป็นหมอจากคีรีธาราที่ต้องดูแล ทว่าในครานี้ท่านหมอที่เหมาะสมจะมาดูแลองค์รัชทายาทนั้นไม่ใช่ศศิอีกต่อไป แต่เป็นทิชากรผู้เป็นอาจารย์


ไม่รู้เพราะความเป็นคนสำคัญรึเปล่า ที่ทำให้มีการเปลี่ยนหมอกะทันหันแบบนี้ ทรงไม่ได้ตรัสสิ่งใดด้วยไม่อยากคิดว่าศศิกำลังพยายามหลบหน้าหลบตา แต่ต่อให้เด็กคนนั้นมา พระองค์จะยังทรงกล้าหยอกเหมือนวันก่อนๆไหม หยอกน่ะ ย่อมได้อยู่แล้ว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย…มันอาจจะทำให้ค์หายใจไม่ทั่วท้องเช่นนั้น


เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจจะปฏิเสธตัวเองได้อีก ว่าทรงสนใจความรู้สึกของเด็กคนนั้นเหลือเกิน แค่คิดว่าเมื่อพูดคุยด้วยปกติ และอีกคนจะตอบกลับด้วยท่าทางนอบน้อมพร้อมราชาศัพท์ พระทัยก็เจ็บปวดไปหมดเมื่อรับรู้ว่าศศิพยายามสร้างกำแพงปิดกั้นให้เราต้องเหินห่าง บางทีพระองค์ก็คงต้องหัด ทำตัวให้เป็นองค์ชายเสียบ้างเหมือนกัน


“กระหม่อมรับทราบเรื่องแล้ว เป็นพระกรุณาอย่างสูงที่ช่วยดูแลหลานชายให้มาโดยตลอด”  ทิชากรพูดในขณะที่กำลังรินชาที่เป็นยาบำรุงจากกาให้กัน เพราะไม่ได้สบตา อคิราห์จึงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคนๆนี้คิดเห็นเช่นไร


“เป็นศศิที่ช่วยเหลือไว้ ข้าต้องตอบแทนอยู่แล้ว” สถานะของอคิราห์ในคฤหาสน์ปิติชาญยังเป็นความลับ ทุกคนที่นี่ยกเว้นผู้ที่รู้อยู่แล้วว่าพระองค์เป็นใครทราบแค่เพียงว่าทรงเป็นแขกของเจ้าบ้าน


ทว่าทิชากรทราบได้อย่างไรกันเล่า ก็เพราะอชิระผู้นั้นคนเดียว เขาอาจจะมีความลับมากมาย แต่ก็เผลอไผลแพร่งพรายให้ทิชากรทราบไปเยอะเหมือนกัน ทั้งนี้จะเพราะตั้งใจหรือไม่ก็สุดแท้ แต่น่ากลัวว่าข้อมูลสำคัญของกองทัพที่อชิระดูแลอยู่นี่ ก็อาจจะตกอยู่ในกำมือของผู้ชายร่างเพรียวบางผู้ชาญฉลาดเสียแล้ว


ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก เมื่อเสร็จธุระทิชากรก็ออกไปจากห้อง พระองค์ไม่ได้เห็นศศิเลย คาดว่าอีกคนได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการหนีหน้ากัน ในเมื่อเจอแล้วอึดอัด งั้นไม่เจอกันเลยจะดีกว่าไหม เจ้ากระต่ายน้อยคงคิดเช่นนี้ เพราะมันไม่เคยเป็นสัตว์สู้คนเท่าไหร่ แต่กระต่ายก็เป็นสัตว์ที่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นด้วยการทำให้คิดถึงได้เก่งเช่นกัน


“คิดถึงงั้นหรือ”  นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่มาถึงคฤหาสน์ปิติชาญจนกระทั่งวันนี้ เราใช้เวลาร่วมทุกข์รวมสุขแค่เพียง 14 วัน แต่กลับมอบตราประทับความคิดถึงที่หัวใจไว้แล้วทั้งหมด 5 วันจากวันนั้น และมันยิ่งทวีค่าความต้องการพบในทุกๆวัน ราวกับว่าพระองค์จะต้องจมอยู่ในบ่อแห่งความคนึงหานี้ไปตลอดชีวิต


คนเราจะคิดถึงใครที่เป็นแค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาเพื่อจากไปในชีวิตได้อย่างไรกัน


“ดูเหมือนว่าข้าจะเจอะเจอปัญหาครั้งใหญ่เสียแล้ว”  ตั้งแต่ถือกำเนิดมาจนโต พระองค์ได้ผูกสัมพันธ์กับคนมากมายหลายแบบทั้งดีและร้าย ทว่ากับศศพินทุ์ที่ไม่เคยคาดฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราจะได้พบพานกลับพิเศษกว่าใคร เพราะเด็กคนนั้นนำปัญหาใหญ่ที่กวนใจมาให้ บางทีถ้าเราไม่ได้เจอกันเลยคงจะดีกว่า ต่างคนจะได้ใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นมาโดยไม่รู้สึกติดขัดอะไร


ทว่าพอคิดว่าจะไม่เจอ ก็ทรงเสียดายความรู้สึกหอมหวานติดใจนี้ไม่น้อย


“เป็นข้าชอบพอเจ้าไปแล้วงั้นหรือ”  เจ้ากระต่ายซื่อบื้อ เป็นเจ้าที่ร้ายกาจทำกับหัวใจขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราถึงเพียงนี้


เป็นเจ้าจริงๆแล้วใช่ไหม…ที่หัวใจต้องการที่สุด


☼ ☽


“พี่หมอจ๋า ข้าปวดหัว”  เป็นอีกวันที่วุ่นวายของศศิซึ่งรายล้อมไปด้วยคนป่วยมากมาย ป่วยจริงบ้าง ป่วยไม่จริงบ้าง อยากกินขนมบ้าง


ในส่วนของคนที่เคยอยู่ในการดูแลนั้น ด้วยตำแหน่งของเขาที่เพิ่งทราบ มันอาจจะเกินมือหมอผู้น้อยประสบการณ์เช่นตน จึงให้ท่านน้าเข้าไปเป็นผู้ถวายการรักษาย่อมดีกว่า และอีกอย่าง ศศิไม่แน่ใจว่าการที่ได้เจอเขาอีกครั้ง ตนควรจะปฏิบัติตัวเช่นไร ในเมื่อความเป็นจริงมันยากเกินกว่าจะรับได้ จึงคงดีกว่าหากจะหลบหน้าไปแบบนี้


แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าบางคนตั้งใจ เขาจะมาเจอไม่ได้


“ศศิ...”  เสียงเรียกจากน้ำเสียงอันคุ้นเคย ทำให้ท่านหมอน้อยที่กำลังเล่นกับลูกพ่อบ้านนั้นนิ่งงัน อยู่นานกว่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรและคงต้องทำอะไรสักอย่าง


“องค์รัชทายาท”  หลังจากปล่อยให้เด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักลงไปแล้ว ร่างบางก็ยืนเต็มความสูงและน้อมตัวทำความเคารพ นี่คือสิ่งที่ทรงกลัวที่สุด ท่าทางเหินห่างแบบนี้ไง...


“เหตุใดจึงไม่เป็นคนต้มยามาให้ข้าแล้ว”  หลบหน้ากันจริงๆหรือ ทำเช่นนั้นทำไม


“กระหม่อมยังคงปรุงยาให้พระองค์อยู่ แต่ทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของท่านอาจารย์”  ศศิอธิบายอย่างใจเย็น ทว่าไม่แม้แต่จะมองหน้า หลังจากถวายความเคารพก็ยังคงก้มอยู่อย่างนั้น “ในส่วนของการรักษาก็ควรจะอยู่ในมือที่ดีที่สุด”  มันเป็นคำอธิบายที่ชัดเจน แต่ก็ทรงต้องความชัดเจนกว่านี้


“แล้วใจคอจะไม่มาเยี่ยมเยียนหรือทักทายกันเลยหรือไง” ทรงตัดพ้อออกมา แต่อาทิตย์หรือจะเข้าใจถึงหัวใจของพระจันทร์


“กระหม่อมเสียมารยาท องค์รัชทายาทโปรดเมตตา”


“….”


“กระหม่อมยินดีรับโทษทัณฑ์ขอทรงบัญชา”  ทำไมศศิถึงเป็นแบบนี้ ทำไมจะต้องผลักภาระปัญหามาทางพระองค์ สุดท้ายแล้วเราก็จะไม่ได้คุยกันดีๆใช่ไหม สำหรับเจ้าตัวแล้ว อคิราห์ก็คงเป็นแค่คนไข้คนหนึ่ง ที่บังเอิญคือองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราใช่ไหม?


สุดท้ายเราก็แยกจากกันทั้งๆที่ยังไม่มีใครเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของอีกฝ่าย ไม่มีใครชวนทะเลาะ ไม่มีคำพูดแรงๆ ที่มีคือความไม่เข้าใจและพร้อมจะยอมแพ้กับทุกอย่างเพื่อหนทางที่คิดว่าสบายใจ ทว่าหนทางนั้น อาจจะไม่ใช่ที่ถูกใจนัก กว่าจะรู้ว่าการเสียอีกคนไปเป็นเรื่องที่ทำให้กระวนกระวายถึงเพียงนี้ ก็ต่อเมื่อศศิพยายามเดินออกจากการฉุดรั้ง แม้จะเป็นว่าที่กษัตริย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเป็นดั่งใจจริงๆ


ว่าแต่พระองค์จะเอาแต่ใจถึงเพียงไหนที่หวังจะครอบครองผลไม้ต้องห้ามผลนั้น หากเด็ดกิน พิษของมันรุนแรงกว่าชาดสีดำหลายเท่าตัว แต่ก็ทรงอยากจะลิ้มลอง ควรตระหนักได้แล้วว่าพระองค์ไม่ควรหมายมั่นจะครอบครองของที่ถูกจับจ้องโดยองค์รัชทายาทเมืองอื่น แต่เพียงแค่คิดว่าจะมีใครนอนซ้อนหลังกอดร่างบางนั่น พระหทัยก็เจ็บปวดราวกับว่ามันเต็มไปด้วยเข็มทิ่มแทง เช่นนี้แล้วคงต้องมีคนตัดใจใช่ไหม แล้วคนตัดใจ ก็ย่อมต้องเป็นคนที่มาพบเจอทีหลังใช่ไหม?


เป็นพระองค์สินะที่ทำได้ แต่ต้องทำจริงๆหรือ?


ในทุกๆคืน ศศิต้องขอพรกับพระจันทร์เพื่อให้จิตใจสงบ ทว่าเหตุการณ์ที่ได้เจอกันทำให้คิดหนักตลอดวัน ความกดดันทางแววตาที่ไม่แม้แต่จะกล้ามองจ้องนั้นทำให้เกิดความรู้สึกค้างคาอยู่ในใจ อคิราห์อาจจะจากไปแล้ว แต่เขามีตัวตนอยู่เสมอตั้งแต่แรกเจอ ในพื้นที่ข้างๆอาจจะไม่มีตัวเขาอยู่ แต่ภาพจำของเขาติดอยู่ในหัว กลิ่นอายของเขาติดอยู่ปลายจมูก เสียงหัวเราะก็ติดอยู่ในหู แม้หลับตาก็ยังเห็นชัดทุกสิ่ง คาดว่า…องค์รัชทายาทผู้นั้นได้มาอยู่ในใจของศศิจริงๆเสียแล้ว


นี่เราจะต้องโทษไหม กับการกักขังเขาไว้ในใจเงียบๆอย่างนี้ หากไม่มีใครพูด ก็คงไม่มีอาญาใดๆ แต่เท่านี้ศศิก็ต้องรับมือกับทัณฑ์หัวใจที่ไม่อาจจะสลัดออกไปได้ การแอบเก็บไว้อย่างนี้ก่อให้เกิดความทรมานอย่างยิ่งยวด ต่อให้เชี่ยวชาญสมุนไพรนานาชนิดแค่ไหน ก็ไม่อาจจะรักษาเยียวยาตัวเองได้ จึงหวังว่าสรรพคุณของสิ่งที่เรียกว่า ‘เวลา’ จะช่วยรักษาหัวใจให้กัน


เพียงคิดถึง ก็ทำให้น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ศศิเก็บเสียงสะอื้นให้มันทุ้มในใจ กอดตัวเองอยู่บนเตียงที่ปราศจากกลิ่นอาย และคิดถึงเขาทั้งๆที่เราไม่อาจจะเคียงใกล้ตรงนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักกับความรู้สึกแปลกประหลาด มันช่างหวานปนขม ทั้งๆที่เคยมีคนบอกว่ามันเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้รู้จักจริงๆกลับรับมือไม่ได้ คงเป็นครั้งแรกในชีวิต…ที่ให้ใครคนหนึ่งเข้ามามีความสำคัญขนาดทำร้ายกันได้ขนาดนี้ และการทำร้ายก็ทำได้ง่าย แค่เพียงยิ้มให้กัน


พี่อาทิตย์…ศศิคงไม่ได้ตกหลุมรักอยู่จริงๆใช่ไหม?


“อ๊ะ!”  ทั้งๆที่คำถามในใจนั้นไม่ได้ถูกเปล่งเสียงออกมา ทว่าใยจึงมีคนตอบคำถามให้


พื้นที่เตียงด้านข้างยวบลงกะทันหัน และอ้อมกอดจากด้านหลังที่โอบกระชับ ลมหายใจของใครสักคนที่ข้างแก้มนั้นทำให้ศศิรู้ว่ามีใครบางคนบุกรุกมาถึงที่นี่ ทว่าเหตุที่ไม่ขยับเขยื้อนร้องขอความช่วยเหลือ ก็เพราะแยกไม่ออกถึงความจริงหรือความฝัน


“เจ้าร้องไห้หรือ” แม้จะทรงสงสัยกับท่าทีของคนที่นอนหันหลังให้ แต่โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ก็ทรงชิงซับน้ำตานั่นก่อนแล้ว


“เสด็จมาได้อย่างไร”  ศศิถามออกไป ดิ้นขลุกขลักจะลุกขึ้นมาจนพระองค์ต้องกลับมาโอบกอดให้แน่นเหมือนเดิม


“ในเรื่องของวิธีการ เจ้าอย่ารู้เลยจะดีกว่า”  นั่นมันไม่ใช่คำตอบที่เจ้าของห้องต้องการ แต่จริงๆแล้วก็ถามผิดมาตั้งแต่แรก คำถามที่ถูกต้องควรจะเป็น ‘มาทำไม’ ต่างหาก


“เช่นนี้ไม่ดีแน่ รีบเสด็จกลับไปเถิดพะยะค่ะ”   ยังมาได้ไม่ทันไรก็ผลักไสกันเสียแล้ว คิดว่าการหลบทหารเวรยามและปีนขึ้นห้องคนอื่นนั้นเป็นเรื่องง่ายนักหรือ เอาเป็นว่าในส่วนตรงนั้นนะมันไม่ได้ยาก แต่ก่อนนั้นที่พระองค์ต้องทำใจและคิดให้ถี่ถ้วนว่ามันดีแล้วหรือไรที่ทำแบบนี้ เคยคิดถึงคนอื่นบ้างไหมว่าสำหรับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราแล้ว มันก็ไม่ได้ง่ายเลยที่จะตัดสินใจทำอะไรที่สุดแสนจะบ้าบิ่นนี่ลงไป


สิ่งที่บ้าบิ่นที่ว่านั่นคือยอมรับในความรู้สึกของพระองค์เอง


“ข้าป่วย”


“…..”


“พี่ไม่สบายนะศศิ”


“หากไม่สบาย ก็ควรไปพบท่านอาจารย์หมอพะยะค่ะ”  ศศิชี้ทางที่ถูกต้องให้


“ไม่อยากมีปัญหากับเจ้าของบ้าน เกรงว่าคงกำลังทำการรักษากันอยู่”  ทรงอ้างถึงสิ่งที่ศศิเคยพูด แม้จะรู้ดีว่าการรักษาที่ว่าคืออะไร แต่นั่นแล…ถ้าทรงไปก่อกวนตอนนี้ คาดว่าท่านแม่ทัพคงก่อกบฏในรัชสมัยที่พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นแน่แท้ กับเรื่องความแค้น ท่านอาอชิระนั้นแค้นนาน แค้นข้ามชาติเลยทีเดียว


“เฮ้อ…งั้นทรงมีอาการเช่นไรพะยะค่ะ กระหม่อมจะถวายการรักษาให้”  และจะได้ออกไปจากห้องนี้เสียที มันทำให้ศศิ…กลัวหัวใจตนเอง


“พี่นอนไม่หลับ”


“….”


“ไม่ได้กลิ่นหอมสมุนไพรจากตัวเจ้า ไม่ได้เคียงไออุ่นจากตัวเจ้า มันทำให้พี่นอนไม่หลับ”  หรือว่านี่จะเป็นอาการเดียวกัน แบบที่ศศิพบเจอ  “ให้พี่นอนด้วยคืนนี้ไม่ได้หรือ?”  น้ำเสียงออดอ้อนของผู้ชายตัวโตนั้นทำให้คนร่างบางใจบางอ่อนยวบ


“กระหม่อมจะปรุงยา ถวายการรักษาให้ โปรดรอสักครู่นะพะยะค่ะ”  ทว่าภาระหน้าที่และความเหมาะสมก็ทำให้ศศิต้องรีบปฏิเสธออกไป มันไม่งามแน่ ร่างบางจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่ง หมายจะไปจัดเตรียมข้าวของ ทว่าคนดื้อด้านก็ไม่ปล่อยให้มันเป็นไปโดยง่าย


“ยาใดเหล่าจะได้ผลเท่านอนกอดเจ้า”  อคิราห์นั้นลุกขึ้นมานั่งตาม มือใหญ่นั้นจับมือของศศิไว้ ไม่ได้หมายจะบีบบังคับ หากแต่ก็ต้องการความเห็นใจ ใยจึงเป็นกระต่ายดื้อที่ใจร้ายต่อกันได้ถึงเพียงนี้


“….”


“หากเจ้าไม่สบายใจ ขอให้คิดว่านี่คือฝันได้หรือไม่”


“….”


“ได้โปรดเห็นใจ…พี่อาทิตย์ของเจ้าด้วยเถิด” วาจาออดอ้อนขอความเห็นใจนั้นหวานล้ำถึงเพียงนี้ ศศิมิอาจจะต้านทานความต้องการในใจและฤทธิ์ร้ายที่พระองค์โปรยใส่ได้อีกต่อไป ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ศศิก้มหน้าลงแต่พยักหน้าตอบกลับอย่างเชื่องช้า คนที่ลงทุนปีนเข้ามาถึงกลับยิ้มเต็มแก้ม ทรงตะกองกอดร่างบางเอาไว้ ก่อนจะจูบซับน้ำตาที่หวังว่าจะไม่มีอีกแต่ก็คงดีถ้ามันเกิดมาจากตัวของพระองค์เอง อคิราห์ทั้งใจร้ายและก็อ่อนโยนในคราเดียวกัน


ราวกับโลกใบนี้มีแค่เพียงเรา การลักลอบเจอทำให้หัวใจเต้นแรง หรือจริงๆมันเต้นแรงเพราะการได้อยู่ใกล้คนตรงหน้ามากกว่า โดยไร้ซึ่งการสั่งห้ามใดๆอีก ศศิค่อยๆหลับตาลงเมื่ออคิราห์ประทับจูบลงมาที่บริเวณปานแดงที่ตนนึกเกลียดชังเสมอ บอกย้ำสัมผัสนิ่มยุ่นอันแปลกใหม่ให้ฝังกับผิว ตราตรึงเป็นความทรงจำอันอ่อนหวานไปทั่วหน้า แต่แล้วมันก็หายไปจนต้องลืมตาขึ้นมาดูว่าตนได้ตื่นจากฝันจริงๆหรือ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะใบหน้าของเขากลับมาแนบชิด ทว่าครานี้ไม่ใช่แก้มใสที่เขาจะสัมผัส


แต่เป็นริมฝีปากอิ่มสีสวยที่เย้ายวนในจินตนาการจนหักห้ามใจตัวเองไม่ได้อีกต่อไป


อคิราห์นั้นคลึงจูบบนริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างอ้อยอิง ทรงหาได้ลุกล้ำไปมากกว่านี้เพื่อให้คนที่ยอมลงให้เผลอไผล เป็นการหลอกล่อที่ชาญฉลาดและหวังผลที่แสนหวาน ปล่อยให้ศศิซึมซับรสชาติของจุมพิตนี้ ตกลงไปในหลุมที่พระองค์ขุดลงเรื่อยๆ จนไม่อาจจะหาทางปีนกลับขึ้นมาได้อีก แล้วเราก็จะได้อยู่ในนั้นด้วยกันเพียงสองคน ที่ๆศศิไม่อาจจะเป็นของใครอื่นได้อีก และเป็นของพระองค์คนเดียว


“พี่อาทิตย์…”  เสียงเรียกที่เบาราวกับใบไม้สั่นไหวนั้นทำให้ทรงแย้มพระสรวล ก่อนจะกลับไปหาริมฝีปากที่เอ่ยเสียงหวานเรียกกันอย่างเสน่หา ทรงหลงมนุษย์ตัวน้อยแสนดื้อ กินจุและขี้หงุดหงิดง่ายผู้นี้ไปแล้ว และเพราะหาทางยับยั้งไม่ได้ จึงเดินหน้ามาหาถึงที่นี่ ลืมสิ้นแล้วถึงการเป็นองค์รัชทายาท ลืมแล้วถึงภาระหน้าที่ของตน และยิ่งกว่าจงจำ ทรงทำเป็นลืม…ว่าศศิอาจจะถูกจับจองเป็นของใคร


เราสองคนกอดกันเอาไว้หลวมๆ ปล่อยให้ความหวานนำพาการกระทำที่ผิดแสนดำเนินต่อไป เขาประทับจูบลงบนหน้าผากเนียนก่อนจะเลื่อนมาที่เปลือกตาซึ่งปิดสนิท ปล่อยให้เข้าใจว่านี่คือความฝัน แม้ยามตื่นมันจะตราตรึงอยู่อย่างนี้ สติค่อยๆลางเลือนและกำลังเข้าสู่นิทราไปยังโลกแห่งความฝันจริงๆ


แต่รสจุมพิตติดริมฝีปากนี้ ตื่นขึ้นมาแล้วมันก็คง…ตราตรึงในหัวใจ


ในตอนเช้าที่ลืมตาตื่น ภาพฝันเมื่อคืนวานยังคงหวานติดตรึง แม้แต่ไออุ่นข้างกายก็ยังคงมีอยู่ ทว่าทั้งๆที่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชวนให้คิดมากแค่ไหน แต่รอยยิ้มที่ริมฝีปากก็ทำให้ศศิรู้ว่าตนไม่ได้เศร้าอย่างที่ควรจะเป็น จะผิดหรือเปล่านะที่วันนี้จะขอมีความสุขก่อน แม้จะรู้ว่าวันหน้าความทุกข์อันสาหัสจะมาเยือน


สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?
ทั้งคำหวาน ทั้งสัมผัสเหล่านั้น มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?


คำตอบนั้นอยู่กับใจของตนแล้ว ศศิที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าหันไปมองดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างขึ้นมาแทนความมืดมิด ก่อนที่มือเล็กจะแตะลงบนริมฝีปากที่เมื่อวานนี้เราได้คลอเคลียกันเนิ่นนาน มันเป็นจูบแรกที่หวานล้ำ เยียวยาพิษร้ายที่เกาะกินหัวใจมาหลายวันให้คลายลงได้ หากจะบอกว่าความอ่อนโยนของพระจันทร์ช่วยปลอบโยนกันทุกครั้งที่มีเรื่องทุกข์ใจ แต่อาทิตย์ดวงนั้นก็เป็นได้ทั้งต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดและยารักษาจริงๆ


วันนี้ท่านอาจารย์ก็คงไปถวายการรักษาให้กับองค์ชายอคิราห์แต่เช้า และนั่นคงจะเป็นเหตุผลหนึ่งให้เขาตื่นก่อนและเร่งจากไป เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คงไม่มีใครคิดจะแพร่งพรายออกไปหรอก มันควรจะเป็นความลับ ทว่าความลับนั้นจะเป็นความลับเพียงหนึ่งคืนหรือไม่ก็สุดรู้ แม้จะสุขใจ แต่ก็ยังไม่มีความกล้าจะเข้าหาอยู่ดี ยามที่อาทิตย์ส่องสว่าง อะไรก็ยากจะหลบซ่อน


เว้นเสียแต่คนที่อยู่ในที่สว่างจะเดินมาหากันก่อน...


“ศศิ”  เมื่อได้ยินเสียงเรียก ร่างบางที่กำลังจะเดินไปที่โรงครัวก็ชะงัก


“องค์รัช…”  ทว่าเมื่อกำลังจะเอ่ยขานกลับไป เขาก็ยกมือขึ้นห้าม ศศิเพิ่งนึกได้ว่าในที่สาธารณะไม่ควรเรียกเขาเช่นนี้ เมื่อวานที่เผลอไป หวังว่าเด็กพวกนั้นจะไม่เข้าใจอะไรแล้วกัน


“ข้าจะออกไปเดินตลาด เจ้าอยากไปกับข้าไหม”


“…”


“ไปเที่ยวเป็นเพื่อนกันหน่อย ให้คนตามไปด้วย”  ทรงแย้มพระสรวล อยากจะใช้เวลาอย่างเป็นส่วนตัวกับอีกคนจะแย่ ถ้ายังอยู่ในคฤหาสน์ คาดว่าศศิคงไม่ยอมให้แตะเนื้อต้องตัว ทางเดียวที่จะได้พูดคุยใกล้ชิด ดูจะมีเพียงออกไปจากที่นี่ด้วยกัน


“แต่มันไม่ค่อยปลอดภัย”  ขากลับวันนั้นเรายังโดนไล่ล่าแทบตาย


“เราก็ให้คนติดตามไปห่างๆ หากเกินเหตุร้ายพวกเขาก็จะได้มาช่วยทัน”  พระองค์ไม่มีปัญหากับการเป็นเป้าสายตา ขอแค่คนเหล่านั้น ไม่ใช่ทิชากรหรืออชิระก็เพียงพอแล้ว


อลงกรณ์ที่ทราบว่าเราจะออกไปข้างนอกก็ช่วยเอื้อเฟื้อความสะดวกให้ตามต้องการ อคิราห์นั้นช่วยยกศศิขึ้นบนหลังม้าก่อนจะตามไปซ้อนหลัง เดิมทีอลงกรณ์จอมจุ้นอาสาจะเป็นคนขี่ม้าให้ศศพินทุ์เอง และแน่นอนว่าพระองค์จะต้องเป็นห่วงผู้หวังดีที่งานคงยุ่งจึงแสดงความห่วงใยไปพร้อมกับสายตาเชือดเฉือน  จะขี่ม้าให้ศศินั่งหรือ? ฝันไปเถิด!


“ท่านก็ไม่น่าไปมองท่านอลงกรณ์แบบนั้น”  ศศิที่นั่งอยู่ข้างหน้านั้นพูดขึ้นมา ทรงทำเช่นนั้นลงไป ไม่วายคนโดนกระทำย่อมหวาดกลัวจนอาจจะไปเก็บไปฝันร้าย เขาไม่ได้แกล้งแค่ศศิจริงๆ กับคนอื่นก็ไม่ละเว้นเลย



“ก็พี่อยากอยู่กับเจ้า” ว่าแล้วก็วางคางของตนลงบนไหล่บาง กระชับกอดให้แน่นขึ้นโดยไม่เอ่ยขออนุญาต


“ท่าน!” เมื่อออดอ้อนกันแบบนั้น ศศิก็โวยวายออกมา หากมองไปรอบๆ ถึงเหล่าผู้ติดตามนั้นจะให้ความเป็นส่วนตัว ติดตามห่างๆในระดับหนึ่ง แต่พวกเขาก็ย่อมเห็นทุกอย่าง เป็นพระองค์ชายที่ไม่ใส่ใจและสามารถเพิกเฉยทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตนได้


“อากาศนั้นหนาวแล้วนะ ให้พี่กอดไว้จะได้ไม่ป่วยไง” กล้ามาพูดเรื่องสุขภาพกับหมอแบบนี้ได้อย่างไร หากใครดูไม่ออกก็โง่เง่าเต็มทนแล้ว แต่ศศิจะสลัดเขาหลุดได้อย่างไร ก็นี่มันหลังม้า อันตราย!


จึงยินยอมให้คนเจ้าเล่ห์กอดจนมาถึงที่ตลาด วันนี้ศศิไม่คิดจะกินมากมายเท่าเดิมแล้ว แต่คนเอาแต่ใจอยากมาเดินเล่น ก็ย่อมต้องตามมา ทว่าสุดท้ายก็เป็นอีกฝ่ายที่เดินตาม ปากบอกไม่อยากกินแต่พอเห็นนั่นนี่ก็สนใจไปหมด คนพามายิ้มจนแก้มปริ ดีใจที่เจ้ากระต่ายดื้อดูตื่นเต้นไปหมดแบบนี้


“อันนั้นเขาเรียกว่าอะไรหรือ?”


“สตอเบอร์รี่น่ะ” 


“รสชาติมันเป็นเช่นไร?”


“หวานเปรี้ยวเหมือนริมฝีปากของเจ้าเลย”  พอตีความหมายในประโยคนั้นได้ ศศิก็หลบดวงตาเจ้าชู้ที่มองมาขององค์รัชทายาทผู้นี้ทันที คำตอบไม่ตรงคำถามแบบนี้ แล้วศศิจะไปรู้ไหมว่ารสชาติมันเป็นเช่นไร คนบ้าบอ ใครใช้ให้พูดเรื่องน่าอายแบบนี้กลางตลาดกัน!


ร่างบางที่กำลังเขินอายไปหมดนั้นเดินหนีไปอีกทาง ก็เป็นพระองค์นั่นแลที่ฉุดให้เดินตามไปที่ร้านขายผลไม้นั่น ก็เป็นความจริงไม่ใช่หรือ หากถามกันว่ารสชาติของสตอเบอร์รี่เป็นเช่นไร พระองค์ก็นึกถึงริมฝีปากของศศิเป็นอย่างแรก สีแดงสดอวบอิ่มเย้ายวนที่เมื่อเมียงมอง มีกลิ่นหอมที่ยั่วยวนจนต้องลอบกลืนน้ำลายยามละเลียดชิม และเมื่อกัดเข้าไปเต็มคำ รสหวานที่เปรี้ยวไปหมดทั้งหัวใจและปลายลิ้นก็เชิญชวนให้ทำซ้ำ เหมือนกันขนาดนี้ ตรัสผิดตรงไหน?


“อร่อย”  เมื่อศศิได้ลิ้มรสสตอเบอร์รี่ลูกแรกในชีวิต คำๆนี้ที่หลุดออกมาก็ทำให้ยิ้มตาม อยากจะแกล้งหยอกเสียหน่อยว่าตอนพี่ชิมปากเจ้า มันก็อร่อยเช่นนี้นั่นแล แต่อย่าเลย…อีกฝ่ายคงอายจนกินต่อไม่ลง เป็นตราบาปในใจพระองค์ไปอีกนาน จึงต้องยอมปล่อยไป


เส้นทางในตลาดไม่ยาวจนเกินไปหากมาเดินคนเดียว ทว่าอคิราห์นั้นหวังให้มันยาวกว่านี้ แม้จะเดินช้าแค่ไหน แต่เส้นทางมันก็สิ้นสุดลงง่ายๆ ศศิจะคิดเหมือนกันไหมหนอว่าอยากให้เราอยู่ด้วยกันต่อไปอีกสักพัก แต่ตราบใดที่เด็กคนนี้ไม่งอแงอยากจะกลับขึ้นมา พระองค์ก็จะพาเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ แกล้งทำเป็นลืมว่าเคยเข้าร้านโน้นไปแล้ว และพากลับเข้าไปใหม่อีกครั้งอย่างแนบเนียน


“ข้าชอบกินสตอเบอร์รี่”  อยู่ๆเจ้ากระต่ายผู้น่าเอ็นดูของพระองค์ก็เอ่ยออกมา ศศิเติบโตในเขตชายแดนที่อาหารการกินมีพอประทังชีวิต ผลไม้ที่นิยมปลูกแถบนั้นไม่ได้หลากหลาย สตอเบอร์รี่ที่เป็นผลไม้ของชาวเมืองนั้นจึงเป็นเรื่องที่เกินจะไขว่คว้าได้ แต่วันนี้ก็ได้ลองชิมมันแล้ว


และรสชาติของครั้งแรกก็หวานล้ำติดตรึงใจไม่น้อย


“พี่ก็ดีใจที่เจ้าชอบมัน”


“พอกินคำแรกก็เข้าใจที่ท่านพูดแล้ว”  ศศินั้นเอียงอาย พูดออกไปทั้งๆที่เขาไม่เข้าใจ ก่อนจะช้อนตามอง และบอกสิ่งที่คิด “จูบของเรามีรสชาติแบบนี้เลย”  มันเป็นครั้งแรกที่ศศิได้จูบ เป็นครั้งแรกที่ศศิอาจจะมีความรัก แม้ความรักนี้มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ หรือเอื้อมคว้าได้ยากเกินไป แต่เชื่อไหมว่าความยิ่งใหญ่ของมันได้ก่อร่างสร้างความหวัง


“ศศิ…”  พลันดวงใจขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราก็เต้นแรง พระหัตถ์ที่จับมือเล็กไว้ถูกกระชับให้แน่นขึ้น เริ่มจะสร้างภาพฝันที่มั่นคงกว่านี้ ภาพที่ในอนาคตเราอยากจะมีร่วมกัน …


“ข้าคงหลงรักสตอเบอร์รี่จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วจริงๆ”


================================
Talk:
ดราม่ากว่าอาทิตย์ศศิวันนี้ คือทำทัมป์ไดรฟ์ที่เก็บตอนที่เพิ่งแต่งเสร็จของเรื่องนี้หาย ฮือออออออออออออออออออ
ตอนนี้เราดราม่ากว่าตัวละครในเรื่องอีกแงะ ฮีลทั้งวัน (นอน) ก็ยังเศร้า (แล้วทำไมไม่หา)
ภาวนาให้ลืมไว้ที่ออฟฟิศด้วยเถิดนี่ขนาดบนบานกินมังสวิรัติเลย (ยากมากนะสำหรับสัตว์กินเนื้อแบบเรา เรื่องกินเรื่องใหญ่จีๆ 555)

ฝากกำลังใจได้ในคอมเมนท์หรือติดแท้ก #อาทิตย์ศศิ
ขออนุญาตไปฮีลตัวเองต่อ TT
@reallyuri
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-12-2018 23:13:50
น้องศศิ แบบนี้อิพี่อาทิตย์ได้ใจแย่ 5555555
ปล. ค่อยๆ หาน๊าเดี๋ยวก็เจอ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-12-2018 23:32:18
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-12-2018 12:25:09
เหมือนเขาได้สารภาพรักกัน แงงงงงงงง

ขอให้ไรท์เจอทรัปไดรฟ์นะคะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 16-12-2018 13:58:25
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-12-2018 23:57:42
เขินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 9 : 15/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 17-12-2018 00:07:42
ขอให้เจอธัมป์ไดรฟ์ไวๆจ้า
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 10 : 18/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 18-12-2018 20:05:30
Finding the twilight
10
ช่วยรักศศิให้นานกว่านี้ที
☼ ☽

“เจ้าเลือกซื้อตรงนี้ไปก่อนนะ”  เขาพูดขณะเห็นศศิกำลังให้ความสนใจกับหนังสือเก่ามากมาย ใจคงอยากขนกลับไปให้ได้ทั้งหมดแต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ ความสนใจของท่านหมอน้อยทั้งหมดตอนนี้ถูกมอบให้หนังสือเสียทั้งหมด ไม่หลงเหลือให้กับใครอื่นแล้ว จึงไม่ได้สังเกตว่าคนที่รบเร้าให้มาด้วยกันทำอะไรอยู่ พอเลือกซื้อเสร็จ เดินออกจากร้าน เขาก็กลับมาหากันพอดิบพอดี


“ท่านไปไหนมา”


“ร้านข้างๆนี้เอง เจ้าซื้อเสร็จแล้วหรือ”  ศศิเพียงพยักหน้าก่อนที่เราจะเดินออกจากร้าน แม้ไม่อยากให้เวลามันจบลงแค่นี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว ป่านนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองคงกำลังรออยู่ที่คฤหาสน์  และทิชากรที่ออกจะหวงศศิกว่าใครก็คงกำลังโกรธเคืองอยู่นิดๆเป็นแน่ แต่ช่างปะไร อคิราห์ไม่นึกใส่ใจอยู่แล้วจึงได้พาอีกฝ่ายออกมาอย่างนี้เมื่อยอมรับความรู้สึกได้ ก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป


ยามเย็นที่ท้องฟาทอสีส้มตัดกับสีฟ้า ทรงยังคงกอดกระต่ายน้อยของพระองค์ ขณะที่ม้าของเรานั้นค่อยๆเยื้องย่างไปตามทางที่ถูกบังคับ ไม่มีใครพูดสิ่งใดต่อกันอีกแต่เราต่างซึมซับภาษากายที่ถ่ายทอดออกมาด้วยใจ ในวันนี้ศศิได้ปล่อยผมของตนให้ยาวสยาย รวบครึ่งศรีษะเอาไว้และปล่อยปอยผมบางส่วนมาปิดบังปานที่ข้างแก้ม ความนุ่มลื่นนั้นทำให้เผลอไผลสัมผัส เมื่อดอมดมก็จะพบว่านี่คือกลิ่นที่พระองค์ชื่นชอบมากทีเดียว


ศศิไม่ได้มีกลิ่นหอมหวานยั่วยวนแบบเครื่องหอมที่อิสตรีชาววังชอบใช้ แต่กลิ่นสมุนไพรเย็นๆที่ติดกายนั้นทำให้ผู้ได้ดอมดมรู้สึกดี เป็นกลิ่นที่หมายจะชื่นชมอยู่อย่างนี้ตลอดไปเสียจริง


“อย่าลงกลอนหน้าต่างนะเจ้า”  คำฝากฝังนี้ทำให้หน้าแดงด้วยรู้ว่าเขาจะมาหากันอีก ใจก็ไม่ได้ปลื้มหรอกเพราะด้วยกลัวว่าเขาจะเป็นอันตราย แต่อีกใจก็อยากให้มาหาเหลือเกิน ความคิดถึงนี่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้จากก็รู้สึกได้แล้วหรือ?


เรามาถึงจุดหมายก่อนที่ฟ้าจะมืดมิด ศศินั้นแยกตัวไปหาท่านอาจารย์ที่รออยู่ เราแยกจากกันด้วยรอยยิ้มด้วยหมายจะพบปะกันในยามค่ำคืน องค์ชายเองก็เสด็จไปหาอชิระด้วยเหมือนกัน เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะมีเรื่องจะคุยด้วยเป็นแน่ แต่ถ้าชวนคุยเรื่องเจ้าลูกกระต่าย พระองค์ก็คงไม่มีทางปฏิเสธความจริงในใจต่อหน้าได้เลย


ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเก่งเรื่องล้วงความลับหรอก แต่ไม่มีความคิดจะปิดบังความรู้สึกหากถูกถาม ในตอนนี้ทรงพร้อมแล้วที่จะบอกกับผู้ใหญ่ให้รับรู้ว่าคิดอย่างไร และต่อไปต้องการจะทำอะไร


“มาแล้วหรือเจ้าตัวดี พาลูกกระต่ายของข้าหนีเที่ยวงั้นรึ!”  และคำแรกเมื่อพบหน้าของอชิระก็เป็นเรื่องนี้ คนถูกต่อว่าเพียงยิ้ม ทรงพาไปจริง ไม่เห็นมีอะไรต้องแก้ตัว


“ข้าดูแลลูกกระต่ายของท่านอย่างดี อย่าได้ห่วง”


“วันก่อนก็ได้ยินว่ามีเงาทะมึนแอบปีนขึ้นห้องศศิ เจ้ารู้หรือไม่ น่าเป็นห่วงนัก วันนี้ก็ว่าจะทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายเสียหน่อย”


“อันนั้นก็เกรงว่าจะเป็นการขับไล่หลานแทนเป็นแน่ ท่านอาพูดมาเถิดว่าต้องการสิ่งใด”


“ข้าพูดได้หรือ?”  อชิระนั้นยิ้ม สนุกสนานกับการได้แกล้งหลานชายที่รู้ทันกันไปหมดเหลือเกิน


“ท่านมีสิทธิ์จะพูด และหลานก็มีสิทธิ์จะไม่ทำตาม”  ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องเป็นเช่นนี้


“ทิชากรยังไม่รู้นะว่าเจ้าแอบปีนเข้าห้องหลานของเขา หากรู้เข้า เกรงว่าทั้งบ้านคงตายเพราะมีคนรมยาพิษให้ดมเป็นแน่”  และแน่นอนว่าอชิระที่ทราบเรื่องย่อมไม่บอก ไม่ใช่ว่าห่วงหลานชาย แต่ขี้เกียจรับมือกับทิชากรยามโกรธเคืองมากกว่า อันที่จริงแล้วความเสน่หาของหลานในตัวศศิก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล อคิราห์ไม่ใช่คนไม่ดี แต่ที่ไม่น่าสนับสนุนให้รักกัน คงจะมีแค่เรื่องเดียว…


เรื่องที่หลานชายของตนเป็นองค์รัชทายาทของสิหราชนครา


“เจ้าคงพอรู้เรื่องของลุงเจ้าบ้างแล้วสินะ อคิราห์”  จู่ๆอชิระก็เปลี่ยนเรื่อง และเป็นเรื่องที่ควรจะสนทนากันอย่างชัดเจนเสียที เจ้าณรงค์ชัยนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบสังหารนั่นจริงๆหรือ


มันเป็นเรื่องราวก่อนที่พระองค์จะถือกำเนิดเสียอีก การสมรสระหว่างองค์เหนือหัวและองค์ราชินีองค์ปัจจุบันนั้นมีผลประโยชน์ทางการเมืองมาเกี่ยวพันอยู่ เหมือนกับทุกราชวงศ์ในโลก แต่ในกรณีของรัชสมัยนี้ของสิหราชนครานั้นคือการผูกสัมพันธ์กับราชวงศ์เดิมของดินแดนจากทางฝั่งของพระราชินี ทว่าแม้การอภิเษกสมรสนั้นจะมีมาเนิ่นนานหลายปี แต่ก็ยังไม่มีบุตรธิดาสักคนให้ชื่นชม


ที่นั่งของรัชทายาทก่อนที่จะมาเป็นของอคิราห์นั้น เดิมทีมันเป็นของอชิระมาก่อน แน่นอนว่าอชิระไม่เคยต้องการ แต่ด้วยเพราะอชิระคือองค์ชายรองในราชวงศ์ที่ปกครองสิหราชนคราในตอนนั้น เมื่อพี่ชายขึ้นครองราชย์โดยไร้บุตรหลาน ตนจึงได้ตำแหน่งรัชทายาทมาแบบไม่งงเท่าไหร่แม้จะไม่ได้อยากได้ก็ตาม


ทว่าด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำให้ฝ่ายของราชวงศ์เดิมที่พยายามจะกลับมามีอำนาจโดยการผลักดันลูกหลานให้ตกแต่งเข้าไปไม่พอใจอย่างยิ่ง และวันหนึ่งสวรรค์ก็เหมือนจะเข้าข้างพวกเขา เมื่อแพทย์หลวงได้ประกาศให้ทราบว่าองค์ราชินีกำลังตั้งพระครรภ์หลังจากที่รอมาเนิ่นนาน


ในที่สุด สวรรค์ก็ได้ประทานพระโอรสที่ถือกำเนิดขึ้นมาในวันที่มีปรากฏการพระอาทิตย์ทรงกลดงดงามบนผืนฟ้า


การถือกำเนิดของพระโอรสที่ถือตำแหน่งองค์รัชทายาทตามสิทธิ์โดยชอบธรรมนั้นก่อให้เกิดความพึงพอใจจากทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่สืบสายเลือดจากทั้งสองราชวงศ์ย่อมดูจะก่อให้เกิดความเท่าเทียมสามัคคี แต่ว่าไม่มีใครควบคุมสิ่งใดได้ดั่งใจหรอก


อคิราห์นั้นเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูสั่งสอนจากทั้งพ่อและแม่ แต่ก็มีอชิระเป็นทั้งครูและเพื่อนเล่น ในตอนที่อชิระยังเป็นองค์ชายอชิรพล ตัวตนของเขาถือว่ามีอิทธิพลต่อหลานชายตัวน้อยอยู่พอสมควร ก่อให้เกิดความไม่พอใจจากพระญาติฝั่งมารดาที่พยายามจะเข้ามาสนิทสนมอย่างมาก หลายครั้งก็ถูกจับตามองว่าจะเสี้ยมสอนเรื่องไม่สมควรให้อคิราห์ และหลายครั้งที่ความผิดเล็กๆน้อยๆก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น


เดิมทีอชิระนั้นก็ไม่ได้ฝักใฝ่อำนาจในวังอยู่แล้ว ยิ่งถูกบีบคั้นกดดันทั้งเรื่องงานการและเรื่องหาเมีย จึงขอลงจากตำแหน่ง แต่ก็ยังถูกระแวงอยู่ดี และผลคือมีคนลอบเล่นงานกันโดยการหาเรื่องส่งไปที่ชายแดนตะวันตกที่ 2 อันแร้นแค้น เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะวุ่นวายกับความเป็นอยู่จนไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของสิหราชวงศ์อีก


ทว่าการจากไปของท่านอาทำให้องค์ชายอคิราห์ที่เป็นเด็กที่ฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกันไม่พอใจ จนตั้งแง่กับพระญาติฝั่งพระมารดาอยู่บ้าง และไม่อาจจะยินดีใกล้ชิดสนิทสนม ยิ่งโตขึ้นก็ทรงยิ่งฉายแววว่าที่กษัตริย์ที่ประชาชนรัก นโยบายต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นได้รับการตอบรับที่ดี ทว่าการทำงานในเชิงนี้ ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่มเอาเสียเลย และคนพวกนั้นก็กำลังดิ้นรนทำอะไรบางอย่างเพื่อจะได้สิ่งที่ตนตั้งความหวังไว้กลับมา


เจ้าณรงค์ชัยคือหนึ่งในผู้เสียหาย แต่ไม่ใช่แค่เจ้าณรงค์ชัยหรอก พระญาติฝั่งพระมารดาโดยส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้รับประโยชน์จากการขึ้นครองราชย์ของอคิราห์อีกแล้ว มิหนำซ้ำถ้าพระองค์ทรงอยากตรวจสอบบางอย่างขึ้นมา พวกเขาก็มั่นใจว่าจะโดนลงโทษกันถ้วนหน้า


ดังนั้นเพื่อไม่ให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ การกำจัดความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งมือทำ หากองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันซึ่งก็คืออคิราห์ขึ้นครองราชย์ไปเกรงว่าคงได้มีล้างบางกันเป็นแน่ กำจัดเสียก่อนที่จะสายย่อมดีกว่า และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้พระองค์ถูกลอบสังหารที่ชายแดนฝั่งคีรีธารา


ไม่สิ…นั่นไม่ใช่การลอบปลงพระชนม์ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดขึ้นโดยกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องอย่าง ‘คีรีเขต’ ที่ปกครองคีรีธาราทางใต้ซึ่งแสดงความเป็นศัตรูชัดเจนแค่กับ ‘คีรีราชสกุล’ ที่ในตอนนี้รั้งการปกครองระบอบกษัตริย์อยู่ทางเหนือของคีรีธารา ไม่ใช่สิหราชวงศ์ซึ่งเป็นราชวงศ์ปัจจุบันที่ปกครองดินแดนเพื่อนบ้านอย่างสิหราชนคราในตอนนี้


“ที่ได้ยินจากทิชากร พวกนั้นพยายามเข้าหาทางฝั่งคีรีเขตเพื่อร้องขอความช่วยเหลือในการก่อกบฏล้มล้างราชวงศ์ แล้วก็คงแต่งตั้งใครสักคนที่หัวอ่อนๆขึ้นมาครองราชย์แทน” คงลำบากกันแย่เลย ทั้งๆที่อุตส่าห์มีหลานชายเป็นองค์รัชทายาทแล้ว แต่ก็ใช้ไม่ได้ ฆ่าทิ้งแล้วยึดบัลลังก์มาคือทางเลือกใหม่สินะ


“ดูเหมือนว่าข้าต้องกลับเข้าวังในไม่ช้าแล้วสิ”


“ในวังอันตราย ตอนนี้ไม่รู้คนไหนเชื่อได้ไม่ได้”  อชิระส่ายหน้า แม้ตอนนี้จะพยายามให้คนแทรกแซงอยู่ แต่ก็ยังไม่ค่อยคืบหน้าอะไร เห็นทีว่าอาจจะต้องมีการประชุมกันลับๆในเชื้อพระวงศ์กันบ้างแล้ว ไม่งั้นคงได้ตายกันหมดทั้งตระกูลเป็นแน่


“ว่าแต่ท่านอาเล่า ท่านจะเข้ามาจัดการเรื่องนี้ไหม”  ในฐานะของแม่ทัพ อชิระนั้นมีทหารอยู่ในกำมือมากมาย ไม่ต้องมองตามหน้าที่ของทหารที่ต้องซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เท่านั้น เขาในฐานะเป็นเครือญาติย่อมโดนหางเลขด้วยแน่ งานนี้ใครชิงจัดการก่อน คนนั้นรอดจริงๆ


“ข้าคงไม่แคล้วต้องร่วม แต่กลัวก็แต่ใจแม่ของเจ้า”


“…”


“พระนางอาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่ ข้านั้นไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ้าเล่า จะจัดการอย่างไร”  เป็นอย่างอชิระว่า องค์ราชินีที่ถือกำเนิดจากตระกูลเดียวกับพวกนั้น แม้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องการสังหารนี้หรือไม่เกี่ยวข้องในเรื่องกบฏใดๆเลย ทว่าการที่จะทรงจัดการพวกพ้องของพระนางโดยเด็ดขาด ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ง่ายๆ สายสัมพันธ์แม่ลูกเล่า จะทำเช่นไรดี


แต่พระองค์ไม่มีทางเลือกจริงๆด้วยความจำเป็นจึงต้องกลับไป แต่จะไปทันทีนั้น ก็เกรงว่าคนที่อาจจะกำลังรอกันอยู่บนห้องนอนจะไม่เข้าใจดังนั้นจึงต้องเตรียมคำอธิบาย ฟ้ามืดมาสักพัก ผู้คนก็เริ่มเข้าห้อง จะมีเพียงชายเดียวที่รั้งรอไม่กลับห้องของตนสักที เมื่อแหงนหน้ามองทิศทางเป้าหมายแล้ว ก็ทรงแย้มพระสรวลออกมา


เปิดหน้าต่างไว้ให้ด้วยสินะ…เด็กน้อย


☼ ☽


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อต้องเฝ้ารอใครบางคน ความคิดถึงมันทำให้เพี้ยนได้ขนาดนี้เลยหรือนี่ ไม่อยากจะยอมรับแต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าเรากำลังเฝ้ารอเขาอยู่ ตอนที่แยกจากก็ไม่รู้ว่าท่านอชิระจะคุยอะไรกับเขาบ้าง ในส่วนของศศิกับท่านน้าทิชากรนั้นไม่มีอะไร เราเพียงแค่นั่งกินข้าวเงียบๆพูดคุยเรื่องทั่วไปเท่านั้น


“หรือวันนี้จะมาไม่ได้กันนะ”  เจ้าของห้องร่างบางก็คิดไปเสียแล้ว มองไปทางหน้าต่างทีไรก็พยายามจะตัดใจ ทว่าเมื่อตัดใจและจะล้มตัวลงนอน เสียงดังกุกกักก็กลับมาทำให้ใจที่เหนื่อยอ่อนของตนเต้นแรง ร่างบางนั้นกลับมาลุกขึ้นนั่งและมองไปที่หน้าต่างบานนั้น โดยไม่รู้ตัวรอยยิ้มก็ปรากฎที่ริมฝีปากอิ่มรสสตอเบอร์รี่ที่ผู้มาเยือนแสนชื่นชอบ


“รอพี่อยู่ใช่ไหม”  เมื่อเสด็จเข้ามา ก็ประทับนั่งลงบนเตียง รอยยิ้มของศศิท่ามกลางแสงของโคมสีอุ่นนั้นช่างงดงาม ด้วยความเสน่หา ทรงดึงร่างบางเข้ามากอดหอมจนพอพระทัย


“พอก่อน…ข้าหายใจไม่ทันกันพอดี”  ช่างเป็นคำขอร้องที่น่ารักเสียยิ่งกว่าอะไร หายใจไม่ทันเช่นนั้นหรือ ทั้งเขิน ทั้งตื่นเต้นจนถึงเพียงนี้เพราะพระองค์ใช่ไหม จะไม่ให้รับผิดชอบก็ไม่สบายพระทัยนัก


“แค่เห็นว่าเจ้ารออยู่ พี่ก็ห้ามใจไม่ให้กอดหอมไม่ไหว”  หากห้องสว่างกว่านี้ เกรงว่าคงได้เห็นแก้มของบางคนเป็นสีสุกปลั่ง


“ท่านก็ต้องห้ามใจไว้บ้าง”  มือเล็กดันพระองค์ออกเล็กน้อย ก่อนที่คำอธิบายต่อจะน่ารักจนลืมหายใจ “ข้าช้ำไปหมดแล้ว”  ทรงต้องรับผิดชอบแล้วจริงๆ ต้องรับผิดชอบเดี๋ยวนี้เลย!


“น่ารักเหลือเกิน”  คำชมนี้ไม่ใช่คำชมแบบที่ศศิชอบ แม้ไม่เคยคาดหวังคำว่าหล่อเหลาจากปากใคร เพราะรู้ดีว่าไม่ได้มีลักษณะองอาจเช่นนั้น แต่คำว่าน่ารักก็ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมความชอบมาก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะที่ออกจากพระโอษฐ์หวานนี่ เพราะอะไรนะหรือ เพราะมันให้เขินจนตัวหดเหลือเล็กนิดเดียวอย่างไรเล่า


แต่ก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร คนที่เอ่ยชมกันอย่างไม่ถามความสมัครใจก็หยิบบางสิ่งขึ้นมาและช่วยติดมันไว้บนเส้นผมสีดำขลับบริเวณเหนือใบหูข้างขวา เครื่องประดับผมอย่างนั้นหรือ?


“เข้ากับเจ้านัก” 


“มันเป็นของสตรี”  คนที่ไม่ใช่สตรีทำใบหน้าบูดบึ้ง


“ตอนข้าเห็นมันนั้น ไม่เคยคิดเรื่องที่ว่ามันเป็นของสตรีหรือบุรุษแต่อย่างใด”


“….”


“เพียงรู้สึกว่ามันน่ารัก เหมาะจะอยู่บนผมของเจ้า ก็เลยเผลอซื้อมาแล้ว”  ตอนที่ไปตลาดด้วยกันนั่นแล ที่ทรงขอไปซื้อของคนเดียว พระองค์เดินผ่านร้านนั้นทีไรก็เอาแต่มอง จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องไปซื้อกลับมาไว้ แล้วถ้าไม่ไว้กับศศิ มันก็คงไม่น่ารักอย่างที่ควรจะเป็นเลยนำมามอบให้ จะได้ติดไว้ให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรให้ฉ่ำอุราทรงคิดเองไปหมดแล้วและก็ทรงทำตามอำเภอใจไปแล้วด้วย!


“ข้าจะรับไว้”


“รับไว้เถิด ถึงมันจะเป็นของสตรี แต่จริงๆแล้วมันถูกทำขึ้นมาเพื่อช่วยเก็บผมยาวๆให้เป็นระเบียบและมันก็เหมาะกับเจ้าจนต้องซื้อมา เกรงว่าถ้าไปอยู่กับคนอื่นก็คงงดงามได้ไม่เท่านี้”  คำว่างดงามนั้นก็ไม่ค่อยชอบ แต่เพราะเป็นคนที่ตนชอบพูดออกมาก็เกรงว่าแม้แต่คำว่าน่าเกลียดน่าชังจากปากก็ทำให้ชอบอยู่ดีใจคนเราช่างลำเอียงได้ถึงเพียงนี้


ความรักความชอบช่างทำให้คนเห็นผิดอย่างน่าตายเหลือเกิน…


เมื่อเห็นใบหน้าของท่านหมอน้อยมีรอยยิ้มกับสิ่งของที่ประทานให้ไปองค์รัชทายาทก็เริ่มรู้สึกลำบากพระทัยที่จะพูดเรื่องสำคัญกว่านั้น มันช่างแสนสั้นเหลือเกินกับการที่เราได้รู้จัก และยิ่งสั้นนักสำหรับการที่เรารับรู้ว่ากำลังตกหลุมรักใครสักคน ช่วงเวลาที่มีกันและกันในอ้อมแขนนั้นยิ่งสั้นอย่างน่าจะหาย แต่พระองค์มีเส้นทางที่ทรงเลือกดำเนินมาเนิ่นนาน จะเปลี่ยนก็ย่อมทำไม่ได้ง่าย


แม้จะชอบเสียจนตัดอกตัดใจไม่ได้ แต่ก็คงต้องอดทนเข้าไว้


“ศศิ พี่มีเรื่องจะบอกเจ้า”  หลังจากที่เอ่ยคำหวานมาล่อหลอกกัน ก็ทรงต้องตรัสในเรื่องที่ตั้งใจจะมาพูดออกไป ศศินั้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่จริงจังขึ้นมาอย่างสงสัย “พี่จะต้องกลับ…บ้าน”


“….” และพระประสงค์นั้นก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจ


“พี่อาจจะทำให้เจ้าผิดหวังหรือเสียใจที่ต้องจากไป แต่ว่า…พี่” ทว่าเมื่อจะอธิบายต่อ มือเล็กของศศิก็ถูกยกขึ้นมาปิดพระโอษฐ์เอาไว้ ช่างไม่รู้ใจกันเสียเลย หรือรู้แค่บางส่วน แต่ไม่ได้รู้ทุกส่วนใช่หรือไม่?


ว่าศศิก็ไม่เคยคิดว่าตนจะกักขังเขาไว้กับตัวได้แต่แรกอยู่แล้ว


“อย่าพูดเช่นนั้นเลย”  ยิ่งเห็นว่าทรงพยายามจะอธิบาย คนต้องรอรับฟังก็ยิ่งอึดอัด  “ข้าเข้าใจ”


“ศศิ”


“ท่านมีภาระและหน้าที่ของท่าน เดิมทีก่อนเรารู้จักกัน ภาระก็มาก่อนอยู่แล้ว ข้าย่อมเข้าใจมันดี”


“เจ้าจะรอพี่ใช่หรือไม่”  นั่นสินะ…


ศศิจะหนีไปไหนได้ไหมนะ?


เดิมทีความสัมพันธ์รูปแบบนี้ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ศศิไม่ใช่คนฝันเฟื่องหรือแม้แต่จะคิดว่าเจ้าชายจะมาขอความรักกันแบบนี้  แต่ความเป็นจริงช่างแสนเจ็บปวด ศศิดันหลงใหลในตัวเจ้าชายที่มายื่นเสนอความหวานให้ตรงหน้า และถ้าเมื่อรักไปแล้ว ก็มิอาจจะต้านทานต่อความต้องการนั้นได้ทว่าการฉุดรั้งคนที่มีภาระหน้าที่ไว้อย่างเห็นแก่ตัว ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะควร เพราะความรักนั่นไง ที่ทำให้พูดไม่ออก เพราะความรักนั่นไง ที่ทำให้เห็นแก่ตัว


แต่เพราะรักและหวั่นกลัวจึงไม่กล้าจะเอื้อนเอ่ย


“ข้าคิดว่าข้านั้นคงไปไหนไม่ได้”  เพราะหลุมที่ทรงขุดให้ศศิกระโดดลงไปนั้นมันลึกเกินกว่าที่เจ้าตัวจะรับรู้เสียอีก ในระยะเวลาสั้นๆ ได้ทำให้คิดว่าตนเองคงตกหลุมรักเขาเนิ่นนานกว่าเวลาที่เราได้รู้จักกันมาถึงวันนี้เสียอีก แต่มันอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะชี้ชัด นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าหลงใหล ไม่แน่ต่อมาหากได้ห่างกันไปเราก็คงตัดใจจากกันได้ไม่ยาก ทว่าเมื่อคิดถึงนี้ตรงนี้ หัวใจก็บีบรัดจนทรมาน


“ศศิ”


“ข้าย่อมสนับสนุนท่านให้ทำในสิ่งที่ควรอยู่แล้ว”  แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องจำยอม จริงๆแล้วไม่มีใครจินตนาการถึงตอนจบของความสัมพันธ์ระหว่างกันเลย ในเมื่อลุ่มหลงในกันและกันมากมาย ย่อมคิดภาพที่จะต้องแยกจากอย่างหมดใจไม่ออก และเมื่อฐานะเราห่างกันเกินไป จึงไม่อาจจะฝันใฝ่ถึงการเอื้อมหาตำแหน่งข้างกาย ศศิพยายามไม่คิดถึงปัญหาตรงนั้น และพยายามจะซึมซับความหวานระหว่างนี้ให้ได้มากที่สุด


ว่าแต่มันกำลังจะหมดแล้วหรือ? ความสุขช่างแสนสั้นนัก


“พี่จะทำทุกอย่าง”


“ขอจงอย่าสัญญา”  ศศิยังยิ้มอยู่ใช่ไหม ไม่…น้ำตาของตนกำลังไหล


“อย่าร้อง นี่พี่มาหาเจ้าสองคืนติดกัน เจ้าก็ร้องไห้ให้พี่ทุกวันอย่างนั้นเลยหรือ”  คำหยอกล้อนี้ทำให้คนฟังยิ้มออกมา น่าเสียดายนัก แต่ก็ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ศศิค่อยๆยกพระหัตถ์อุ่นขึ้นมาแนบแก้มที่เย็นชืดของตน ครั้งหนึ่งมือนี้ช่างแสนเย็นเฉียบ ทรงเกือบตายไปแล้ว แต่วันนี้มือนี่กลับอบอุ่นนัก ศศิดีใจที่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในวันนั้น เพื่อให้เขาสอนให้รู้จักความรักในวันนี้


“พี่อาทิตย์…ช่วยรักศศิให้นานกว่านี้ที”


“….”


“ไม่ต้องมาเจอหรือหากันก็ได้ แต่ช่วยมีศศิในใจไปอีกสักพักเถิดนะ”เพราะยังทำใจออกห่างจากความรักที่เพิ่งได้พานพบรู้จักไม่ได้


“ทำไมเจ้าพูดเช่นนี้”  เหมือนมีก้อนสะอื้นติดอยู่ที่ลำคอ ทรงไม่คิดว่าคำออดอ้อนนี้มันจะเจ็บปวดได้ขนาดนี้เลย “พี่ไม่ใช่หรือที่ต้องกลัวเจ้าจะยอมแพ้”  ทรงรู้ดีว่าศศิจะต้องเผชิญกับความหวาดกลัวในการเคียงข้างกัน แต่ไม่เคยจะตรัสปลอบโยนออกมาสักครั้ง ทว่ารับรู้ในพระทัยดี


จนถึงตอนนี้ พระองค์ก็คิดว่าศศิต้องใช้ความกล้ามากมายในการเปิดประตูหัวใจตัวเองแล้ว พูดเช่นนี้จะทำให้พระองค์ขาดใจตายเลยหรือ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ห้าม แต่ก็เป็นพระองค์ที่ไม่อยากจากไปไหนแทน หากในอ้อมพระอุระจะมีคนๆนี้อยู่ตลอดไป ก็ไม่มีที่ไหนแล้วที่ทำให้นึกอยากหวนกลับ แม้ว่าสถานที่นั้นจะเป็นสถานที่ที่เกิดและอยู่อาศัยมาตลอดชีวิตก็ตาม


“ไปทำหน้าที่ให้เต็มที่ อย่าเจ็บอย่าป่วย ดูแลตัวเองดีๆ”  ริมฝีปากอิ่มประทับจูบลงบนหลังพระหัตถ์อย่างแผ่วเบา “สำเร็จแล้วหรือยังไงก็มาหามาบอกกันด้วย แม้ไม่ได้รักกันแล้วมาบอกฉันมิตรก็ได้”  คำสุดท้ายนั้นแผ่วเบาราวรำพันกับตัวเอง กว่าจะสำเร็จนั้นคงกินเวลานานไม่ใช่น้อย เป็นพระองค์เสียมากกว่าที่ทำใจยอมรับการห่างกันแบบนั้นไม่ไหว


“เจ้าทำให้พี่ไม่อยากไปไหน”


“….”  หรือไม่บางทีศศิก็อาจจะกำลังทำอย่างนั้นอยู่ แต่ก็รู้ เสน่ห์ของตนไม่เพียงพอที่จะฉุดรั้งให้ออกมาจากภาระสำคัญนั้นได้ และองค์รัชทายาทที่ทรยศต่อทุกคนเพื่อมาลุ่มหลงคนๆหนึ่ง มิอาจจะเป็นองค์รัชทายาทที่ศศพินทุ์รักได้อย่างหมดหัวใจ


“พี่จะรีบมาหา”


“อย่าสัญญา…”


“มันต้องมีวิธี…”  พระองค์ต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อยอดรักแสดงออกถึงขนาดนี้ การที่พระองค์จะยอมแพ้ให้คนน้องเห็นนะหรือไม่มีทางหรอก อย่างไรก็ต้องได้เจ้ากระต่ายน้อยคืนมาในอ้อมกอด แต่จะด้วยวิธีใดกันเล่า


“หากจะสัญญา ก็ขออย่าสัญญาในเรื่องอนาคตที่ยังอีกยาวนานนั้นเลย”  ศศิเอ่ยขอ คำสัญญานั้นมันอาจจะเป็นเข็มทิ่มแทงกันในอนาคตได้ ด้วยไม่อยากจะหลอกตัวเองจนโง่งมงาย สู้ไม่รับรู้เสียเลยจะดีกว่า “วันนี้พี่อาทิตย์จะกอดศศิจนเช้า”  หากจะสัญญา ข้อนี้เขาคงทำให้กันได้


“……”


“และพี่อาทิตย์จะกลับไปทำหน้าที่อย่างตั้งใจ ดูแลรักษาตัวเองให้ดีที่สุด”  แค่นี้คงทำให้ได้กระมัง เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ศศิใคร่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆมากกว่า ในเมื่อไม่ได้อยู่เคียงใกล้ ใครเล่าจะดูแลพระองค์ได้ดีเท่าตัวเอง


คำร้องขอนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ทรงอยากให้อีกฝ่ายเอาแต่ใจอีกสักนิด การที่ศศิไม่ขอ นั่นเท่ากับไม่คาดหวัง และเมื่อไม่คาดหวัง โอกาสที่จะทำใจให้เลิกราต่อกันย่อมง่ายดาย พระองค์ไม่ได้ไม่พอใจในตัวอีกคนหรอก แต่แค่เพียงกังวลใจเท่านั้น


จะทำอย่างไรให้เด็กคนนี้ถูกผูกติดไว้ ความคิดของอคิราห์นั้นช่างเห็นแก่ได้โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของใครเอาเสียเลย แต่ความรักที่เห็นแก่ตัว ก็ยังได้ชื่อว่าความรัก และถ้าคนสองคนรักกัน มันก็ไม่ใช่การบีบบังคับ หรือปรบมือข้างเดียวอยู่แล้ว


ก็ยังไม่รู้หรอกว่าต้องทำอย่างไรถึงจะรักษาศศพินทุ์ไว้ได้ แต่หากไม่มั่นใจในตัวเองเสียหน่อยแล้ว ก็เท่ากับยอมถอนตัวให้กับความรู้สึกที่มี แม้ว่าถอยตอนนี้ อาจจะไม่เจ็บเท่าถอยในอนาคต แต่ความรู้สึกนี้มันล้ำค่าและไม่เคยมีมา ไฉนเลยจะยอมเสียมันไปได้ง่าย พระองค์ต้องหาทางที่จะทำให้เราสมหวังแม้อีกคนจะไม่คาดหวังก็ตาม


“ฝันดีนะ”  ทรงประทับจูบลงบนหน้าผากเนียน ยังไม่มีใครหลับใหล แต่การตื่นอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันมันช่างเป็นความสุขที่ล้ำค่า ยิ่งยามต้องจาก ร่างกายของเราก็เหมือนจะโหยหากันและกันจนเกินบรรยาย และแม้พระองค์จะถูกห้ามไม่ให้เอ่ยออกไป แต่ก็ทรงประกาศก้องในใจว่าศศพินทุ์จะเป็นของพระองค์เท่านั้นและเพราะได้เลือกแล้ว


จึงไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้มีทางเลือกไหนนอกจากพระองค์อีกเลย!



TALK:
น้องเจอทัมป์ไดรฟ์แล้ว555 ตอนนี้แก้บนอยู่
จริงๆคือเราตั้งใจจะลงนิยายวันนี้และพรุ่งนี้ เพราะมะรืนนี้ไม่อยู่5555
ไปเชียงรายค่ะ เกิดมาไม่เคยเที่ยวภาคเหนือเลย ขออนุญาตหายไปสักสามวันนะคะ
เผลอแปปเดียวเรื่องนี้ก็มาถึงตอนที่สิบแล้วค่ะ แล้วเราก็กำลังใกล้จะได้แต่งตอนจบแล้ว
ไม่ต้องห่วงว่าจะดองหรือถอดใจจนแต่งไม่จบนะคะ แต่งจะจบไม่ลงก็เสียดายแย่





หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 10 : 18/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-12-2018 00:20:15
จะมีใครมาช่วยทำให้ราบรื่นขึ้นมั้ย ฮืออออออออ
ไหนจะทางฝั่งศศิอีก หนักหนาาาาาาาาา  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 10 : 18/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-12-2018 20:49:54
จะมีเรื่องราววุ่นวายตามมาไหมนะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 11 : 19/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 19-12-2018 20:57:44
Finding the twilight
11
ของฝากจากศศิ
☼ ☽

ค่ำคืนที่เรากอดก่ายกันช่างผ่านไปไวยิ่งนัก


“…”


“พี่ไปแล้วนะ”  ทรงตรัสต่อหน้าคนงามโดยไม่สนใจสายตาของใครอื่นหรือทิชากรที่มาส่งด้วยแม้แต่น้อย นี่ถือว่ามีความเกรงใจแล้ว เพราะสิ่งที่ทรงอยากทำมากกว่าคือดึงคนร่างบางมากอดหอมให้สาแก่ใจก่อนจาก


ดวงตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยข้อความมากมาย แต่ริมฝีปากไร้สิทธิ์ที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป หวังเพียงจากนี้คนจากลาจะปลอดภัยในที่สุดก็ต้องยอมตัดใจหันหลังให้และเดินหน้า ยิ่งอาลัย ก็ยิ่งยากที่จะขยับไปไหน จึงต้องตัดใจและก้าวต่อแม้อยากจะเดินถอยหลังกลับไปหาก็ตาม


ขบวนเดินทางของพระองค์นั้นรายล้อมไปด้วยราชองรักษ์ที่ได้รับความไว้วางพระทัยจริงๆ การเคลื่อนไหวของพระองค์ย่อมถูกจับตามอง หากเป็นไปได้ ก็เลือกที่จะไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายไหนประชิดตัวแบบนั้นได้อีก ซึ่งอีกฝ่ายก็คงรู้ว่าพระองค์ระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นจะผลีผลามทำอะไร ก็คงไม่ได้ดั่งใจ


ทันทีที่ประตูบานใหญ่ซึ่งถูกแกะสลักลวดลายอันงดงามเปิดออก ร่างสูงขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราก็กลับคืนสู่สถานที่ที่ควรคู่แก่พระองค์ บนพระที่นั่ง ทรงได้เห็นพระบิดากำลังมองมาและพระมารดาส่งยิ้มให้ทั้งน้ำตา การรอคอยสิ้นสุดแล้ว ในตอนนี้ทั้งสองพระองค์สามารถโล่งพระทัยได้จริงๆว่าพระโอรสนั้นปลอดภัย


“อคิราห์” องค์ราชินีแห่งสิหราชนครานั้นโผเข้ากอดลูกชาย ตลอดหลายสัปดาห์มานี้ พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานกับการไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร บาดเจ็บตรงไหน และทำอะไรอยู่ การได้เห็นว่าพระโอรสปลอดภัยและกลับมาที่นี่ได้ ทำให้พระนางวางใจ


ทักทายและตอบคำถามจนพระนางพอพระทัย องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราก็ได้เรียกให้องค์รัชทายาทเดินมายังห้องทรงงาน มีเรื่องที่จะพูดคุยมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อคิราห์นั้นก็พอจะรู้ว่าถูกเรียกไปสอบถามเรื่องใดจึงยอมผละจากพระมารดาที่ดูจะเคืองใจหน่อยๆ


ทุกย่างก้าวของพระบิดาแม้จะเชื่องช้าแต่มั่นคง ทรงเดินตามโดยไม่ตรัสถามอะไร ทว่าในพระทัยกลับมีเรื่องราวมากมายทั้งถ่ายทอดได้และไม่ได้ ความกังวลใจของพระองค์ไม่ใช่แค่เพียงของชีวิตพระองค์เอง ทว่าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสิหราชวงศ์และตัวเสด็จพ่อเองก็เป็นภัย เมื่อประตูห้องทรงงานปิดลง บทสนทนาก็ได้เริ่มต้นขึ้น


“ข้าพอจะทราบเรื่องลอบสังหารบ้างแล้ว”


“เรายังจับผู้ร้ายไม่ได้ พระองค์เองก็ต้องระวังเหมือนกันนะพะยะค่ะ”  ดวงตาขององค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราหม่นแสงลง ความขัดแย้งที่คิดว่าดับมอดไปแล้ว แท้จริงยังคงมีอยู่และพร้อมจะลุกโชนในทุกเมื่อ คนที่เกี่ยวข้องต่างก็ต้องวนเวียนอยู่ในเกมอำนาจนี้ และคนที่เคยเป็นดั่งผู้หยุดความวุ่นวายเหล่านั้นในอดีต ก็กลับกลายมาเป็นเป้าหมายเสียเอง


เมื่อเกินการเลือกข้างเลือกฝ่ายเกิดขึ้น


“เป็นเช่นนี้แม่เจ้าคงจะวุ่นวายใจเป็นแน่”  กับองค์ราชินีนั้น พระองค์ก็ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกรักใคร่เยี่ยงคนรัก การแต่งงานของเราเกิดขึ้นเพราะความต้องการที่จะเชื่อมสัมพันธ์เพื่อผลทางการเมือง แต่ในเรื่องของหัวใจมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบาย สิ่งหนึ่งที่งดงามที่สุดในความสัมพันธ์คือองค์ชายอคิราห์ผู้นี้


“เราเองก็คงวุ่นวายเป็นพิเศษเพราะครั้งนี้ทางคีรีเขตเข้ามาเกี่ยวข้อง” องค์รัชทายาทเอ่ยออกมา ต้องการที่จะสนทนาปัญหาความมั่นคงกับพระบิดามาสักพักแล้ว


“อา…”


“ได้ยินว่าทางเจ้าณรงค์ชัยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางคีรีเขตในด้านการค้ามานาน แถมการเคลื่อนไหวของเจ้าณรงค์ชัยในตอนนี้ก็แปลกประหลาด ลูกไม่อาจจะห้ามตัวเองไม่ให้สงสัยได้”


“เจ้าโดนลอบสังหารที่คีรีธารานี่ เป็นคนของคีรีเขตงั้นหรือ”


“ลูกไม่รู้ ที่ทราบคือพวกมันใช้ชาดสีดำในครั้งนี้”


“ชาดสีดำ…พิษนั่นร้ายแรงนัก”  แล้วเหตุใดถึงรอดมาได้ หรือเพราะไม่โดนพิษ?


“กระหม่อมเกือบไปเหยียบปรโลกแล้วจริงๆ โชคดีมีท่านหมอคนหนึ่งหลงทางมาเลยช่วยกันไว้”  เพียงแค่คิดว่าถ้าศศิไม่เด๋อๆด๋าๆถึงเพียงนั้น อคิราห์คงไม่แคล้วสิ้นชื่อแล้วจริงๆ แค่คิดถึงก็หลุดแย้มพระสรวลออกมาในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้


“พ่อไม่เคยได้ยินว่ามียาแก้พิษตัวนี้ เจ้าแน่ใจหรือ”


“ไม่ผิดแน่ อาการของลูกตอนนั้นเหมือนคนที่ได้รับพิษดังกล่าว ในส่วนของยาแก้พิษ ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด”


“เราอาจจะต้องพาหมอคนนั้นมา”


“ยังไม่ได้พะยะค่ะ ในนี้ยังไม่ปลอดภัย”


“…”


“ลูกหมายถึง ยังให้มาไม่ได้เพราะที่นี่ไม่ปลอดภัยนัก จะให้ศัตรูรู้ไม่ได้ว่าเรามีคนที่รักษาพิษนี้ได้ใกล้มือ”จะให้ท่านหมอน้อยมาที่นี่ตอนนี้นั้นมันอันตรายเกินไป ต่อให้อยากเจอและคิดถึงแค่ไหน ทว่าพระองค์ที่กลับมาก็ยังเสี่ยงมากเหมือนกัน รอดูสถานการณ์และจัดสรรหลายๆอย่างให้เข้าที่เข้าทางเสียก่อน ในอนาคตอันใกล้ท่านหมออาจจะต้องมาทำหน้าที่หมอที่ดีและคนรักที่ใช่ที่นี่แน่นอน


“แล้วตอนนี้เขาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยใช่ไหม”


“อยู่ในการคุ้มครองของท่านอาอชิระพะยะค่ะ”


“อคิราห์ เจ้ามีอะไรอื่นใดที่ยังไม่ได้บอกพ่อหรือเปล่า”


“…”


“พ่อรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้บอกอะไรบางอย่าง….บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับท่านหมอผู้นี้”  ‘องค์เหนือหัวสีหราช’ มักจะไวเสมอในเรื่องบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่ลูกชายตั้งใจปกปิดคนเป็นพ่อก็มักสังเกตเห็นเสมอ


“ลูกกับท่านหมอ…กำลังเรียนรู้กันอยู่”  สู้บอกกันไปเลยและขอความร่วมมือเสียยังดีกว่า ทว่าถึงแม้จะตีพระพักต์นิ่งแค่ไหน เมื่อพูดถึงเรื่องของยอดรัก การเก็บสีหน้าก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน


“ดูแลกันแบบไหนนะเด็กสมัยนี้” เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อพูดถึงท่านหมอก็ดูเจ้าเด็กนี่จะหวงแหนไม่ใช่น้อย หากไม่ใช่คนสำคัญแล้วจะเป็นอะไรไปได้ เมื่อได้ยินพระโอรสตรัสเช่นนั้นด้วยใบหน้านิ่งแต่ขึ้นสีแดงระเรื่อที่แก้ม แทนที่จะหนักพระทัย แต่องค์เหนือหัวกลับรู้สึกปลื้มปิติ ความรักกับการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไปได้ด้วยกัน ทว่าในฐานะบิดาก็ทรงรู้สึกยินดีไปกับความสุขนี้


“นั่นสินะ ดูแลกันแบบไหน”  ถึงได้ตกหลุมรักไปแบบนี้ โดยไม่รู้ตัว คนที่เคร่งขรึมและควบคุมตัวเองได้ดีกลับเผลอใจไปหยอกล้อเจ้ากระต่ายน้อย โดยไม่รู้ตัว ศศิก็กลายมาเป็นความสุขของพระองค์ไปเสียแล้ว


“หากรักกันชอบพอกัน ข้าก็เอาใจช่วย”  แม้จะทรงยินดีกับลูกชายเป็นที่สุด แต่ก็ยังอยู่ในโลกความเป็นจริง “ปกป้องกันให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เจ้ารักเขาซะนะ อคิราห์” ปกป้องกันจากอะไรนี่พระโอรสคงทราบดี หากอคิราห์เลือกศศิแล้ว ก็หวังให้อีกคนพร้อมจะฟันฝ่าและยอมรับเงื่อนไขบางอย่างที่ชวนให้เจ็บใจด้วยเถิดต่อแต่นี้สามสิ่งที่องค์รัชทายาทจะต้องให้ความสำคัญก็คือประชาชน ราชวงศ์….และศศพินทุ์!


การพูดคุยกับองค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครากินเวลานานกว่าที่คิด จนฟ้ามืดมิดมาหลายเพลาแล้วพระองค์ถึงได้เสด็จกลับไปยังพระตำหนักชลสินทุ์ซึ่งเป็นพระตำหนักส่วนพระองค์ ความเงียบและความมืดมิดของท้องฟ้าทำให้ต้องแหงนดูสิ่งเดียวที่ส่องสว่างอยู่ข้างบน ตั้งแต่เล็กแล้วที่ชอบเหม่อมองพระจันทร์ราวกับว่ากำลังตั้งคำถามอะไรสักอย่าง จนกระทั่งมี ‘พระจันทร์’ เป็นของตัวเองแล้วก็ยังต้องมองจันทร์ต่างใบหน้าของอีกคนอยู่ดี


“แค่วันเดียว ก็คิดถึงเจ้าแล้วหรือนี่”  ช่างบ้าบอเหลือเกิน เพียงแค่คิดว่าวันนี้จะไม่มีใครเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้ และจะไม่มีใครต้องหลบเวรยามหาจังหวะปีนเข้าห้องใครอีกต่อไป ความเหงาก็เข้าครอบงำจนปวดหน่วงไปทั้งใจ ศศิจะคิดถึงกันบ้างไหม แต่เด็กคนนั้นไม่ใช่คนลืมง่ายเพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็คงคิดเหมือนกันเป็นแน่ ทรงคิดเข้าข้างพระองค์เองอย่างพอใจก่อนจะหลับตาลง


ในห้องบรรทมนี้ที่คุ้นเคยแต่วันนี้กลับไม่คุ้นใจเอาเสียเลย การมีคนตัวบางอิงแอบเคียงข้างกันตลอดสัปดาห์ ช่วยพิสูจน์ได้ว่าต่อให้ที่ที่เราทิ้งตัวลงหลับนอนนั้นเป็นที่ใดลำบากแค่ไหนก็ดีกว่าการนอนคนเดียวแบบนี้ และเมื่อสองวันที่ผ่านมา ในอ้อมแขนของพระองค์ก็ได้โอบกอดอีกคนตลอดคืน เมื่อต้องมาบรรทมคนเดียวแบบนี้ ก็ทรงต้องยอมรับจริงๆว่าทรงเคยตัวเกินไปแล้ว!


☼ ☽


แต่ใช่ว่ามีเขาคนเดียวที่คิดถึงกัน
เพราะศศินั้นก็คิดถึงเขาไม่น้อยไปกว่า…


ล่วงเลยเวลานอนมาเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าเพราะความกังวลใจหรือเพราะขาดอ้อมกอดอุ่นๆไปจึงทำให้ตนยังคงนั่งมองฟ้าอยู่แบบนี้ ป่านนี้เขาจะหลับหรือยัง เดินทางก็คงจะเหนื่อยไม่น้อย ในระหว่างที่ห่างกันนี้ไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ว่าคนที่รออยู่ตรงนี้อาจจะช่วยอะไรไม่ได้เลยก็ตาม


รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ศศิก็อยากเป็นประโยชน์ต่อเขาให้ได้มากกว่านี้ แต่สถานะของตัวเองจะทำอะไรได้ กว่าจะถึงตอนนั้นบางทีความหลงใหลที่มีให้ ก็อาจจะเลือนลางแม้ไม่อยากจะดูถูกความรู้สึกขององค์รัชทายาทในดวงใจของตนสักเท่าไหร่ แต่มันเป็นความจริงที่ว่าใจคนเรานั้นเปลี่ยนผันง่ายกว่าฤดูกาล กว่าจะถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครจะเจ็บกว่ากัน เมื่อรับรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป


แต่ตอนนี้ศศิยังต้องการเขาอยู่ และตนจะไม่ปิดบังความต้องการเหล่านั้นเลย ค่ำคืนช่างผ่านไปได้อย่างยากลำบาก แม้จะไร้ประโยชน์ยามห่างไกล แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆรอให้รักหลุดลอย ต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วจริงๆ


หลังจากที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับไปได้ราวๆเกือบเดือน คฤหาสน์ปิติชาญยังคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ยิ่งช่วงนี้ยิ่งวุ่นวายเมื่อท่านแม่ทัพจะกลับค่าย ทว่าศศพินทุ์จะรั้งขออยู่ต่อทแม้ทิชากรจะค้านจนหัวชนฝา ก็รู้ว่าทำให้น้าชายคนงามของตนไม่พอใจอยู่มากแต่ในส่วนของการง้องอน ก็ขอยกให้เป็นหน้าที่ของอชิระไปแล้วกัน เขาคงขันอาสาพอดู


หลังจากที่ได้รู้จักกับความเสน่หาและได้ลักลอบพบพานกันยามค่ำคืนกับคนๆหนึ่ง ท่านหมอน้อยคนซื่อก็เริ่มรู้สึกแปลกๆต่อผู้ใหญ่ทั้งสอง ช่างโง่งมเหลือเกินที่ไม่เคยดูออก ทั้งอชิระและทิชากรนะหรือที่เหมือนคนไข้กับหมอทั่วไป พวกเขาอยู่ด้วยกันทุกคืน หยอกล้อกันต่อหน้าก็บ่อยครั้ง แต่ศศิไม่เคยรู้อะไรเลย ตอนนี้ที่องค์ชายอคิราห์สอนให้รู้จักความรักแล้ว จึงได้รู้ว่าการเกี้ยวพาราสีมันเป็นอย่างไร ทั้งๆที่จริงๆควรรู้ดีกว่าใคร เพราะได้เห็นทุกวันแท้ๆ!


“ท่านน้าของเจ้างอนใหญ่แล้ว”


“ท่านก็ง้อสิให้ข้าสิ ท่านง้อเก่ง” ปัดภาระความรับผิดชอบจริงๆนะเจ้าลูกกระต่าย อชิระนั้นแสนเอ็นดู


“เขางอนเจ้า”


“ข้าแค่ยังไม่อยากไป” 


“เจ้ามีเหตุผลอะไรไหม จะได้บอกเขาให้”


“…”


“หรือควรจะปล่อยให้ทิชากรไปจัดการอคิราห์เสียแล้ว ทิชา!”แล้วก็เรียกคู่กรณีมาตรงนี้เลย การได้เห็นใบหน้ายุ่งของศศิแล้วมีความสุข ดูจะเป็นนิสัยที่เกี่ยวเนื่องจากกรรมพันธุ์ของผู้ชายตระกูลนี้จริงๆ พวกขี้แกล้งทั้งหลายแห่งสิหราชวงศ์จักต้องไม่ตายดีในสักวัน!


“อย่าบอกท่านน้านะ!”


“บอกดีไหมน้า”


“อย่าบอก”  ศศิอ้อนวอน แต่เดี๋ยวนะ…ว่าแต่….


อชิระรู้?!


ดวงตาเป็นประกายของคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่านั้นฉายแววแห่งความสนุกสนาน ศศิที่ยังเริ่มหัดรักนั้นยังไม่ประสีประสา ในส่วนของอคิราห์ก็เป็นคนทึ่มมาตลอดชีวิต สองคนนี้เมื่อจับคู่กันก็ให้สีสันที่ดูแปลกใหม่ไม่น้อย แต่ที่น่าสนใจคือหนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบต่อจากนี้ต่างหาก เด็กทั้งสองจะฝ่าฟันมันอย่างไร


“ข้าก็แค่…ปลื้มๆอยู่หน่อยเท่านั้น” ศศิก้มหน้าลงรับสารภาพ ว่าแต่ปลื้มอยู่หน่อยๆนั่นคือความรู้สึกจริงๆหรือ จะหลอกใครก็ย่อมได้ แต่หลอกตัวเอง…มันไม่ง่ายนักหรอก


“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลย รักชอบกันเป็นเรื่องที่ดีนะ”


“แต่…องค์รัชทายาท…”  เขาเป็นใครอยู่ไกลแค่ไหนก็รู้ดี แต่ได้ลืมไปแล้วหรือไรว่าคนที่อยู่ไกลคนนั้นก็พยายามจะพาตัวเองมาอยู่ใกล้ๆแท้ๆ แค่อาจจะต้องอดทนหน่อยเพราะอุปสรรคก็มีให้เห็นชัดเจนอยู่เยอะเหมือนกัน


“ฟังนะศศิ อย่าได้คิดว่าเจ้าไม่หมาะสม” อชิระเอ่ยให้กำลังใจ สำหรับเขาไม่มีใครเหมาะสมกับเด็กแสบอย่างองค์ชายอคิราห์เท่าเจ้าลูกกระต่ายที่ได้ฟูมฟักมาเองแล้ว เรียกว่าเกิดมาเพื่อกำราบอคิราห์ให้อยู่หมัดเลยทีเดียว แต่ถึงมีเรื่องฐานันดรมาเกี่ยว ก็ไม่คิดว่าศศิไม่เหมาะหรอก เพียงแต่ว่าคนอื่นๆ…ไม่เห็นด้วยกับความคิดของอชิระก็เท่านั้น


“ข้านะหรือ อย่าพูดเกินไปเลย”  อชิระรู้ดีว่าศศิเองแม้จะบอกว่าชอบหลานชายของตนแค่ไหน แต่อีกส่วนหนึ่งของใจก็พยายามจะถอนตัวออก ในฐานะคนนอกก็คงเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ แต่ในฐานะผู้ใหญ่…ก็คงพอจะบอกอะไรได้บ้าง


“คนที่จะบอกว่ามันเหมาะสมหรือไม่ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”


“…”


“หากเจ้าบอกว่าไม่ เจ้าก็ไม่มีวันเหมาะสมกับเขา และถ้าเขาคิดว่าเจ้าไม่ใช่ เขาก็ไม่มีวันเหมาะสมกับเจ้าเช่นกัน”  สำหรับอชิระ เขาอาจจะมีสายเลือดเกี่ยวข้องกับอคิราห์ แต่ศศิ…ก็คือเด็กที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ของเรานั้นไม่ต่างจากพ่อลูก แต่แค่ไม่มีใครระบุมันออกมาชัดเจนก็เท่านั้น และอชิระที่เอ็นดูศศิขนาดนี้นะหรือจะยอมปล่อยไป แม้จะพูดยากเพราะคนหนึ่งก็หลาน อีกคนก็เลี้ยงมาเองก็ตาม


ในที่สุดอชิระก็จากไปพร้อมกับทิชากร พวกเขาต้องไปดูแลพื้นที่ตรงนั้นหลังจากที่คนของเจ้าณรงค์ชัยได้จากไปแล้ว เพราะชายแดนเป็นพื้นที่เปราะบางจึงต้องรีบกลับ ยิ่งตอนนี้เรารู้แล้วว่าเกลือที่เป็นหนอนมานานกำลังทำอะไรบางอย่าง การปกป้องพรมแดนที่เป็นหน้าที่หลักของแม่ทัพจึงต้องมีการวางแผนจัดการอย่างระมัดระวังขึ้นเป็นท่าตัว


ทว่าเมื่อคนทั้งสองที่คุ้นเคยที่สุดได้จากไป ศศิก็มีเวลามากขึ้นเป็นเท่าตัว ที่นี่ไม่ได้มีคนต้องการความช่วยเหลือทางการรักษามากนัก เวลาที่มีอยู่ถูกใช้ไปกับการหัดปรุงยาและเรียนรู้สูตรยาใหม่ๆ เกรงว่าเมื่ออคิราห์ไม่อยู่ ความว่างเปล่าอาจจะเกาะกินใจจนต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาไว้ ก่อนที่จะมาตระหนักได้ว่าตนนั้นประดิดประดอยสิ่งของมากมายไว้เสียแล้ว


ทว่าคนที่นึกถึงยามทำของพวกนี้จะคิดอะไรอยู่


ศศิไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเขานั้นได้เลิกชอบพอกันไปแล้ว แต่มันผ่านมาก็เป็นเดือน คนเราถ้าไม่ได้เจอกันนานๆย่อมคำนึงหากันเป็นเรื่องธรรมดา อคิราห์นั้นบางทีเขาก็ฝากคนส่งจดหมายมาให้บ้าง แต่ตัวของเขาไม่เคยจะมาให้พบเลยตั้งแต่วันนั้น คงจะ…ยุ่งมากสินะ


“ท่านอลงกรณ์”  ร่างบางที่เห็นคนสนิทของท่านแม่ทัพที่ถูกสั่งให้ดูแลคฤหาสน์แห่งนี้เดินมาก็เอ่ยเรียก การที่เขาแต่งตัวเต็มยศอย่างนั้นแสดงว่าต้องไปทำธุระสำคัญ


“อ้าว ท่านศศิ” อลงกรณ์นั้นยิ้มให้ ก่อนที่จะรอฟังคำร้องขอจากศศิที่มักจะรู้ทันกันทุกทีว่าตอนนี้ตนจะไปไหน


“ข้าฝากสิ่งนี้ไปให้องค์รัชทายาทได้ไหม”


“อะไรหรือ”


“เป็นถุงสมุนไพร มันจะช่วยทำให้นอนหลับสบาย”  ศศินั้นตั้งใจทำให้เขาด้วยหมายมั่นให้มันมีประโยชน์ทางการใช้งาน เพราะภาระมากมายอาจจะทำให้อีกคนเครียดได้จึงอยากจะส่งไปให้ แน่นอนว่าสำหรับผู้ส่งของกิตติมศักดิ์ ศศิก็ทำให้เขาด้วยเช่นกัน


“ข้าจะส่งถึงมือเลย รับรองได้!”  อลงกรณ์กล่าวอย่างยินดี


“ถ้าองค์รัชทายาทโยนทิ้งต่อหน้าท่านก็ไม่ต้องมาบอกข้านะ”  คำขอเชิงล้อเล่นนั้นถูกเอ่ยไป “แต่ถ้าเขาทิ้งจริงๆบอกข้าจะดีกว่า”  ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆศศิก็ต้องรับให้ได้ ใบหน้าของท่านหมอพลันหม่นหมองเมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าเขาอาจจะไม่ต้องการมันแล้ว


“พระองค์ไม่ทำเช่นนั้นหรอก”  ศศิยิ้มให้ในคำปลอบ เราร่ำลากันเพราะเขาต้องไปทำหน้าที่ที่สำคัญต่อไป


พระองค์คงไม่ทำหรอก…ที่ต่อหน้าน่ะ


กลับกัน…ศศิในตอนนี้ยังเลิกชอบเขาไม่ได้เลย ว่าแต่มันกลายเป็นเรื่องแข่งขันกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเลิกก่อนชนะงั้นหรือ อย่างนี้ก็แพ้แล้วหรือเปล่า เพราะถ้าเลิกได้ ก็คงไม่พยายามทำตัวให้ยุ่งเพราะว่างเมื่อไหร่เป็นคิดถึงเมื่อนั้น ในขณะเดียวกันเพราะไม่เห็นหน้า ความรู้สึกทางฝั่งนั้นจึงไม่อาจจะรับรู้ได้เลย


ถ้าได้มันไปแล้วจะโยนทิ้งไหมนะ แล้วถ้ารับไปดอมดมแล้วจะคิดถึงกันไหมนะ คำถามที่มีมากมาย ยังคงรอคอยคนๆเดียวมาตอบที่ตรงนี้ แต่ก็รู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์จะเรียกร้องอะไรออกไป


☼ ☽


อคิราห์ทำสีหน้าแปลกใจเมื่อได้รับของจากอลงกรณ์ที่มาเพื่อส่งข่าวคราวจากอชิระ จริงๆแล้วอลงกรณ์จำต้องยื่นรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ชายแดนเป็นประจำอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมักเข้ามาในวังและบอกกล่าวกันเกี่ยวกับจดหมายลับที่ฝากส่งมาให้ยามที่มีการขนส่งเสบียงไปมาที่ชายแดนผ่านทางคฤหาสน์ปิติชาญ


ทางกองทัพได้จับกุมผู้ต้องสงสัยและพร้อมขยายการดูแลไปที่ชายแดนตะวันตกที่ 1เท่าที่จะแทรกแซงได้ หากโชคดี เราอาจจะส่งคนไปควบคุมทุกอย่างได้ทันท่วงที ทรงอ่านจดหมายปิดผนึกที่ได้รับมาก่อนจะเผามันทิ้ง ทว่าถุงผ้าที่ได้รับมาด้วยนั้น จะบอกว่าเป็นของฝากจากชายแดนเช่นนั้นหรือ?


“ท่านศศิได้ฝากมาให้พะยะค่ะ”  จากศศิงั้นหรือ?


ตลอดเดือนที่ผ่านมาที่ไม่ได้เจอกัน บางทีพระองค์ก็ฝากจดหมายไปให้และอีกฝ่ายมักจะส่งเป็นรูปวาดกลับมาเสมอ หลังจากบอกลาอลงกรณ์ก็เสด็จมาที่ห้องทรงงาน น่าแปลกที่ครั้งนี้ถุงที่ได้มานั้นบรรจุอย่างอื่น อคิราห์นั้นหมายมั่นที่จะทำงานให้เสร็จก่อนจะเปิดดู เป็นเช่นนี้ทุกครั้งเพราะทรงหวาดกลัวว่าสิ่งที่ถูกส่งมาจะเป็นอะไรที่ทำร้ายหัวใจ


และใช่…ยังคงรู้สึกกับอีกคนเหมือนเดิม


หรืออาจจะมากกว่าเดิมก็ไม่รู้หรอก เพราะความคิดถึงทำให้พระองค์รู้สึกรักอีกคนเหลือเกิน รักจนอยากจะพามาที่นี่ด้วยแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมกันง่ายๆหลังจากเสด็จกลับมาก็ทรงมั่นใจขึ้นมาแล้วว่าที่นี่ยังปลอดภัยอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายพระทัยจนต้องสะบัดไล่ใบหน้าที่ทรงชื่นชอบออกไปจากหัว ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับเอกสารมากมาย ใช้เวลาอยู่ในห้องนานเสียจนท้องฟ้ามืดไปหมด


จนได้เวลามายอมรับความจริงเสียที…


“….”  แต่เมื่อได้เปิดถุง หยิบมันขึ้นมา สูดกลิ่นหอมของมันเพียงเล็กน้อย ก็ทรงแย้มพระสรวลออกมาราวกับคนบ้า…


ช่างไม่อ่อนโยนต่อหัวใจเสียจริงๆ


☼ ☽


กว่าที่ท่านอลงกรณ์จะกลับมาก็ค่ำมืดแล้ว ศศิจึงไม่คิดจะไปก่อกวนไถ่ถามใดๆให้เสียมารยาท
แต่ก็อยากรู้ว่าสีหน้ายามที่ได้เห็นว่าเอาอะไรไปฝากนั้นเป็นอย่างไร


ตลอดช่วงเวลาที่แยกจากกัน เราสื่อสารโดยฝากผ่านคนอื่นมาโดยตลอด อลงกรณ์นั้นบางทีก็เข้าวังด้วยธุระทางการ แต่ก็มีหลายครั้งที่ลอบพบส่งข่าวไปให้ พวกเขามีช่องทางลับที่ใช้สำหรับการพบเจอ และทุกครั้งองค์รัชทายาทก็มักจะฝากส่งจดหมายกลับมาและก็ทำให้ศศิเขินทุกครั้งที่อ่านมัน


“เห็นแต่ตัวหนังสือมานานแค่ไหนแล้วนะ”  แม้จะเขินแต่ก็อ่านมันทุกวันให้ตัวอักษรติดตรึงลงไปในใจแบบนั้น ขณะเดียวกันสิ่งที่ตนฝากไปมักจะเป็นรูปวาด ด้วยเพราะไม่สามารถถ่ายทอดความต้องการเป็นตัวอักษาได้โดยไม่บิดเป็นเกลียวเสียก่อน ศศิจึงเลือกส่งข้อความผ่านวิธีนี้ อย่างไรก็ตามมันก็เต็มไปด้วยความคิดถึงทุกครั้ง หวังว่าอีกคนจะเข้าใจ


มือเล็กชักเชือกเพื่อดับไฟโคม หากตื่นแต่เช้าในวันพรุ่งก็อาจจะได้เจอกับอลงกรณ์ ตอนนั้นจะถามไถ่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ คิดได้ดังนั้นจึงหมายมั่นเตรียมบทสนทนาสำหรับพรุ่งนี้เอาไว้ อยากรู้ใจจะขาดว่าอคิราห์เป็นเช่นไรในตอนนี้


สายลมพัดผ่านจากทางหน้าต่าง ลมหนาวมาเยือนเมื่อเดือนก่อน ทว่าวันนี้อากาศก็ยังคงอบอุ่นไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรเป็น เจ้าของร่างบางนั้นกอดตัวเองภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แม้จะหนาวจนเกินทนไหวก็ไม่คิดจะลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแม้แต่น้อย เปิดมันไว้อย่างนั้นทั้งๆที่ไม่มีใครปีนเข้าห้องกันอีก


“ใยถึงเปิดหน้าต่างทิ้งไว้อย่างนี้เล่า”  เสียงที่ดังขึ้นในความมืดมิด ทำให้กระต่ายน้อยของพระองค์ตื่นขึ้นมา และยิ่งเมื่อสัมผัสกับความอบอุ่นยามที่ใครสักคนกอดกันจากข้างหลัง จากที่งัวเงียก็ตื่นเต็มตา


“พี่อาทิตย์…”


“ชื่นใจจริงๆ”  เสียงเรียกชื่อที่พระองค์ปรารถนาจะฟังจากริมฝีปากของคนที่แสนคิดถึงนั้นก่อให้เกิดความปลื้มปิติเกินบรรยาย หัวใจที่เหี่ยวเฉามาหลายวัน พลันได้รับน้ำทิพย์ชะโลมก็ในวันนี้


“เป็นท่านจริงๆหรือ ท่านมาที่นี่…จริงๆหรือ”  หรือศศิจะอยู่ในโลกแห่งความฝัน เป็นฝันดีอะไรถึงเพียงนี้ คนตัวเล็กที่ผุดลุกขึ้นนั่งนั้นขยี้ตาตนเองด้วยไม่เชื่อ ความน่าเอ็นดูนั้นทำให้อดใจไม่ไหว ต้องคว้าฉุดมามอบจูบหวานๆเพื่อย้ำเตือนว่าไม่มีใครหลับฝันไป เราล้วนมีตัวตนจริงๆอยู่ที่นี่


ปฏิกิริยาตอบสนองที่ไร้ประสบการณ์หากแต่เต็มไปด้วยความพยายามนั้นทำให้เลือดในกายพุ่งพล่าน สัญชาตญาณอันรุนแรงของชายหนุ่มทำให้รสจูบของพระองค์ดูจะลึกล้ำกว่าครั้งแรกที่เคยมอบให้ มันทำให้คนที่ถูกจู่โจมอึดอัดแต่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจ ช่างย้อนแย้งในตัวเองยิ่งนัก ด้วยเผลอไผลในรสจูบ คนร่างบางไม่ได้รู้เลยว่าเรามานอนทาบทับจูบกันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และคงจะไม่มีโอกาสได้รู้ตัวว่าตอนนี้เขาคิดเช่นไร อคิราห์เองก็พยายามจะห้ามใจ แต่ก็จำต้องยอมรับความต้องการนั้นไว้


ว่าพระองค์…อยากจะกลืนกินศศิไปทั้งตัวในตอนนี้เลย…



TALK :
ทรงพระเกงานและปีนป่ายเก่งยิ่งเพคะพระองค์ชาย
ดูความรักความหลงมากขนาดไหนถ่อมาหาเพราะได้กลิ่น
คนเขียนขอยืนยันว่าศศิมีเจตนาบริสุทธิ์จริงๆที่จะส่งถุงสมุนไพรให้ แต่คนพี่มันชั่วร้ายคิดไปเองทั้งน้านนนนนนนน
สาบานค่ะว่าอีกไม่นานน้องก็จะได้ไปอยู่กับพี่ด้วยเหตุบางอย่างแล้ว
เรื่องนี้เราจะไม่ทิ้งช่วงหน่วงนาน อาจจะไม่ปุปปัปเคลียร์ปมทุกอย่าง
แต่จะอันล็อคไปทีละจุดเรื่อยๆจนปลดทุกอย่างได้
น้อมรับคำติชมทุกอย่าง และฝาก #อาทิตย์ศศิ ไว้ด้วยนะคะ
เราจะไม่อยู่กทมหลายวันเลย แต่เมื่อกลับมาจะรีบมาลงตอนต่อไปนะคะ
มีเป้าหมายอยากให้ทุกคนได้อ่านเรื่องนี้เพลินๆตอนปีใหม่ ถ้ายังไงรอน้องหน่อยนะคะ
@reallyuri




หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 11 : 19/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-12-2018 14:14:54
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 11 : 19/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 20-12-2018 15:28:44
ปีนเก่ง หลบเก่งเหลือเกินนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 11 : 19/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 21-12-2018 04:18:22
เป็นกระต่ายที่น่าเอ็นดู จนอยากปั้นเป็นก้อนแล้วกลืน 555 ชอบความไทป์น้องของศศิมาก
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 11 : 19/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 22-12-2018 12:36:07
ว้าววว น่ารักกันจริงๆ ขอให้พี่อาทิตย์เคลียร์เรื่องอื่นๆให้สำเร็จนะ จะได้อยู่ด้วยกันเร็วๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 11 : 19/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-12-2018 13:34:39
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 12 : 23/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 23-12-2018 12:02:18
Finding the twilight
12
ชาดสีดำ
☼ ☽

ศศิกำลังเคลิ้มไปกับทุกสัมผัสที่ทรงล่อลวง


แต่ทุกๆอย่างมันเหมือนจะร้อนแรงขึ้น ยิ่งเมื่อร่างของตนกำลังนอนราบไปกับเตียงนอนโดยมีเขาที่ค่อยชักนำให้เผลอไผลไปกับรสจูบหวานทรงกำลังพยายามล่อลวงให้เสพย์ติดไปกับความรักอันหวานหอม


แต่นั่นมันก็หลังจากที่ทรงได้หลงใหลในตัวศศิไปก่อนนั้นแล้ว


ด้วยทรงไม่อาจจะปฏิเสธความต้องการลึกๆในพระทัยได้ หลังจากที่ได้สูดกลิ่นหอมจากของฝากชิ้นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าจำเป็นต้องมาหาศศิ กลิ่นที่ศศิเอามาทำเป็นถุงหอมนั้นมาจากสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกหอมเย็นช่วยผ่อนคลายให้หลับสบาย ทว่าเจ้าตัวตั้งใจหรือรู้ตัวหรือไม่ ว่ากลิ่นนี้อาจจะทำให้คนรับมันไปคลั่งได้ เพราะมันคือกลิ่นที่ทรงได้กลิ่นจากตัวศศิเมื่อยามที่เราเคียงชิด


เช่นนี้แล้วจะให้อยู่เฉยๆคนเดียวได้อย่างไร


พระหัตถ์นั้นสัมผัสไปทั่วร่าง ปลุกความร้อนบนผิวกายของศศิให้ต้องถอยหนี ทรงผละริมฝีปากออกมาอย่างสุดแสนเสียดายก่อนจะก้มลงชิมเนื้อหวานบริเวณลำคอระหง ความเสียวซ่านนั้นทำให้ร่างบางเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองจนเผลอสอดแทรกนิ้วมือเล็กไปที่ท้ายทอยของคนที่อยู่เหนือร่าง ก่อนจะลากไล้เข้าไปในกลุ่มพระเกศาสีน้ำตาลเข้มและรั้งให้เข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้นสร้างความสำราญใจจนหารู้ไม่ว่าการกระทำอันไร้เดียงสานี้จะทำให้เราเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน


อคิราห์นั้นขบเม้มแผ่วเบาไปจากลำคอลงมาถึงไหปลาร้า สาบเสื้อของศศิถูกเปิดออกเผยให้เห็นผิวขาวนวล ร่างแบบบางกระตุกเล็กน้อยยามที่ทรงก้มลงขบเม้มที่ยอดอกสีอ่อนจนมันตั้งชัน การปลุกเร้าเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ศศิได้พบเจอ ในที่สุดระบบการต่อต้านในใจก็ทำงาน


“พี่อาทิตย์ยะ...อย่า”เสียงเรียกที่สั่นเครือของคนใต้ร่างปลุกให้อคิราห์นั้นรู้ตัว แม้จะมัวเมาอยู่กับผิวกายที่ล่อลวงให้เสน่หาถึงเพียงนี้แต่ก็ต้องยอมหยุด...ศศพินทุ์ยังไม่พร้อม


เราจมอยู่ในความเงียบที่เนิ่นนาน ก่อนที่จะตัดอกตัดใจได้จริงๆ ทรงผละออกมาจากอกซ้ายที่ซึ่งมีหัวใจของคนงามอยู่ตรงนั้น เขยิบขึ้นมาจูบเร็วๆที่ริมฝีปากก่อนจะทิ้งตัวนอนข้างๆเพื่อโอบกอดเด็กน้อยที่เสียขวัญเอาไว้ ลูบหลังลูบไหล่ให้เกิดความไว้วางใจ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อคนตัวเล็กนั้นยอมซบไหล่และกอดกันกลับ


“พี่ไม่ฝืนใจเจ้าแล้ว อย่ากลัวไปเลย”  ทุกอย่างมันเร็วไปเสียหมด เกรงว่าใจของศศิคงรับไม่ทัน


“ข้าขอโทษ”


“ไม่ใช่ความผิดเจ้าเลย พี่เองก็ผิดที่ไม่ยับยั้ง”  นึกจะมาก็มา นึกจะกอดก็กอด นิสัยเอาแต่ใจนี่ ทำอย่างไรก็ไม่หายไปเสียที แล้วนิสัยชอบเอาเปรียบนี่ ทำอย่างไรจะดีขึ้นได้นะ


“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่”


“พี่คิดถึงเจ้า”  คำตอบที่ซื่อตรงต่อหัวใจนั้นทำให้คนฟังนิ่งเงียบ ไม่ใช่แค่พระองค์หรอกที่คิดถึง “คิดถึงพี่ไหม”  และคำตอบของศศิก็มาในรูปแบบของการพยักหน้าอย่างนั้น ทรงแย้มพระสรวลออกมาด้วยดีใจที่ความรู้สึกของเราตรงกัน


องค์รัชทายาทนั้นทรงลักลอบหลบหนีออกมาจากตำหนักชลสินทุ์ ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ว่าที่ตำหนักของพระองค์นั้นรัชทายาทองค์ก่อนหรือท่านอชิระผู้รักอิสระนั้นจะแอบทำทางออกลับๆเอาไว้เพื่อที่จะใช้หนีออกมาหาความสำราญภายนอก เดิมทีอคิราห์เองก็ไม่ทราบเรื่อง จนกระทั่งผู้เป็นอาได้บอกไว้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ใช้ไปพบเจออลงกรณ์ที่ไม่อาจจะเสด็จมาที่ตำหนักของพระองค์อย่างโจ่งแจ้งได้แต่ลึกๆเจ้าของตำหนักคนเดิมคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลานชายจะคิดถึงใครบางคนเจียนขาดใจตาย


และวันนี้ความคิดถึงก็ทำให้มาถึงจริงๆ


“ศศิก็คิดถึง...”  น่ารัก...คำสารภาพจากปากที่ดังแนบพระอุระนั้นทำให้ยิ้มกว้างมากขึ้น ทำไมถึงน่ารักแบบนี้ นอกจากจะยั่วกันเก่งแล้วยังน่ารักเสียจนอยากจะปั้นเป็นก้อนแล้วเอากลับตำหนักไปด้วยจริงๆ


“คิดถึงแล้วทำไมไม่เขียนจดหมายมาบ้าง ส่งมาแต่รูปวาดดอกไม้”


“...”


“มาบอกกันสิว่าเจ้าคิดถึงกันอย่างไร”


“อื้อ..”  ยิ่งอ้อมกอดของพระองค์รัดแน่นขึ้น ก็ยิ่งอึดอัด “ข้าก็แค่เห็นว่ามันสวยดีเลยวาดให้”


“ไม่ใช่ว่าเจ้าแค่อยากวาดเลยส่งๆมาให้หรือไร”  ทำไมพี่อาทิตย์ของศศิถึงคาดคั้นกันเก่งนัก จะให้พูดให้หมดเลยหรือ


“ข้าคิดถึงท่านจริงๆคิดถึงแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ยิ่งอยู่ไปวันๆก็ยิ่งทรมาน การนั่งวาดรูปคือการพิสูจน์ว่าข้า...ได้แปรเปลี่ยนช่วงเวลาแห่งความคิดถึงเป็นอย่างอื่นแล้ว”


“...”


“ยิ่งภาพนั้นวาดยากขึ้นแค่ไหน ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นเพียงใด นั่นเท่ากับข้าคิดถึงท่านมากตามเท่านั้น”  แค่นี้ยังไม่ชัดอีกหรือไง ว่าคนบางคนอาจจะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ผลงานอันเป็นรูปธรรมบอกได้ชัดเจน ว่าคิดถึงมากจริงๆ คิด...แต่ไม่อาจจะไปถึง


“พี่ขอโทษ”  ทรงบ้าบอที่ทำให้ศศิระเบิดออกมาแบบนี้ และช่างบ้าบอ ที่มาหาช้าเหลือเกิน ต่อให้รีบเร่งให้เรื่องมันจบแค่ไหนมันก็ไม่ได้เร็วขึ้นหรอก รังแต่จะทำให้ความทรมานกัดกินกันไปเปล่าๆ


“ข้าก็ขอโทษที่ทำให้ท่านลำบากใจ”


“ไม่เลยคนดี โปรดจงเห็นแก่ตัวกว่านี้ คาดหวังในตัวพี่กว่านี้เถิด”  ไม่รู้ว่าจริงๆศศินั้นคิดอย่างไรกันแน่ แต่พระองค์อยากให้คาดหวังในตัวกันมากกว่านี้ รู้สึกกับพระองค์ให้มากๆจนถอนตัวไม่ขึ้นไปอีก ทำให้ทรงรู้สึกบกพร่องว่ายังเทิดทูนกันไม่พอ ช่วยกระตุ้นให้ทรงต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่มีเรามากขึ้นที ดูเหมือนว่าระบบทำงานของหัวใจ..จะสู้ไหวด้วยสิ่งนี้ที่ขอไปทั้งหมด


ทรงควบม้าเร็วมาถึงที่นี่ เพียงเพื่อจะให้ศศิช่วยกล่อมให้หลับจริงๆเพียงคืน เพื่อที่ว่ารุ่งเช้าพระองค์จะตื่นขึ้นและกลับไปต่อสู้ได้ใหม่ อคิราห์ตัดสินใจกับตัวเองแล้ว ว่าหากเป็นไปได้ จะแอบมาหาอีกฝ่ายให้บ่อยขึ้น ไม่ใช่เพื่อผูกมัดแต่เพื่อกำลังใจที่จะได้รับกลับไปในแต่ละคืน


หลังจากที่ไม่ได้หลับสบายๆมาหลายคืนหลายวัน ก็เพิ่งจะรู้สาเหตุว่าเพราะไม่ได้คลอเคลียกับตัวต้นเหตุเลยทำให้หลับไม่ลง เราสองคนอิงแอบกันหลับใหลจนใกล้รุ่งสาง เวลาแห่งการแยกจากก็ได้มาถึง


“ขอบคุณเจ้ามากสำหรับถุงหอม”  พระหัตถ์นั้นยกมาสัมผัสแก้มนุ่มของคนที่ยังคงหลับใหล ยามที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน พระองค์จะกอดจะหอมของขวัญแทนกาย แม้ความนุ่มนิ่มจะเทียบเคียงกันไม่ได้ แต่ในตอนนี้พระองค์คงเรียกร้องได้แค่นี้


ในส่วนอีกสิ่งที่อยากจะร้องขอ...


“ช่วยรักพี่ให้มากกว่านี้ที” เพื่อที่ว่าศศิจะมีความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆที่กำลังประดังประเดเข้ามา พระองค์นั้นพร้อมแล้วกับการต่อสู้เพียงเพื่อให้มีอีกคนเคียงข้างกาย ขอเพียงความอดทนของศศิเท่านั้น แม้มันอาจจะนานเสียหน่อยที่จะไปถึงฝั่งฝัน แต่ช่วยรอกันหน่อยได้หรือไม่ ถึงจะยังไม่รู้วิธีหรือหาทางออกไม่ได้ ทว่าก็ไม่อาจจะอยู่เฉยนิ่งนอนพระทัยปล่อยกันไปได้อีกแล้ว


การจากมาเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ทั้งนี้อุปสรรคอยู่ที่ใจตัวเอง ทรงจากมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี เร่งควบม้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นัดหมายกับคนที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ก่อนจะส่งม้าคืนให้ถึงมือ เสด็จกลับมาถึงตำหนักชลสินทุ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม รวมทั้งความคนึงหาด้วย ยังคงรู้สึกเช่นนั้นเหมือนตอนที่ยังไม่ได้จากไป


ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าศศินั้นตื่นหรือยัง ไม่เห็นพระองค์ข้างกายแล้วจะตกใจหรือไม่ หรือจะคิดไปว่าที่เรากอดจูบกันเมื่อคืนวานเป็นความฝันจริงๆ เด็กคนนั้นช่างทำให้พระองค์ยิ้มและหัวเราะได้ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไร เห็นไหม...ไม่ทันไรก็คิดถึงอีกแล้ว คนเรานี่จะต้องคิดถึงจนอยากเจอทุกวันจริงๆหรือทรงถือเป็นผู้ประสบปัญหาแก้ยากนั่นจริงๆแล้วใช่ไหม?


ทว่าหลังจากวันนั้น แม้ว่าจะสัญญาไว้แค่ไหน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีโอกาสกลับไปพบเจอกันสักครั้งเลย อลงกรณ์เองก็วุ่นวายกับงานของอชิระ โอกาสที่จะได้ส่งมอบจดหมายหรือของขวัญจึงไม่มี ทุกวันพระองค์จะบรรทมหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมถุงหอมที่กลิ่นเริ่มจะเจือจาง แต่ต่อให้กลิ่นของมันจะคงทนแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้กลิ่นที่ออกจากผิวกายคนตัวนิ่มนั่นได้หรอก


“เรื่องของชายแดนตะวันตกที่ 1 เจ้าจงคัดคนที่ดูใช้ได้ไปที่นั่นเพื่อตลบหลังอีกที”  ทรงสั่งการไป แม้จะยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในการปกครองและการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ และในส่วนของงานที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของสิหราชวงศ์ ก็เป็นพระองค์ที่ต้องคอยดูแลทุกขั้นตอนอีกเช่นกัน


‘ธมล’ที่กำลังสนทนาด้วยนั้นทำเพียงแค่พยักหน้ารับทราบ เขานั้นทำหน้าที่ในส่วนของการเป็นองครักษ์และการดูแลต่างๆที่มีพระประสงค์ บางครั้งก็ถูกส่งให้ไปช่วยดูใครบางคน เพราะนั่นก็เป็นพระประสงค์ของคนที่ไปไหนไม่ได้ แต่ใจรักเช่นกัน


“นี่คือเอกสารเกี่ยวกับการก่อสร้างเขื่อนพะยะค่ะ”  อีกหน้าที่หนึ่งคือต้องคอยดูแลเอกสารราชการ ทรงรับมันจากมือของธมลไป ก่อนจะเปิดมันออก


“โอ๊ะ…”  เสียงร้องที่ไม่ดังมากของอคิราห์นั้นทำให้ธมลชะเง้อมาดู ที่ปลายนิ้วของพระองค์มีเลือดไหลออกมา คาดว่าอาจจะถูกกระดาษบาดเข้า


เคร้ง….


ทว่าเสียงที่กระทบลงกับพื้นทำให้ความคิดนั้นเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าองค์ชายนั้นโดนกระดาษบาด
แต่เป็นโดนใบมีดบาด พระโลหิตจึงไหลออกมา…


“มีด..”  ใครใส่เอาไว้ และใส่เพื่ออะไร


จริงอยู่ที่ว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายการลอบสังหาร แต่การที่ใส่มาในกองชุดเอกสารนั้นไม่อาจจะทำให้พระองค์บาดเจ็บได้มากกว่าถูกบาด ทว่าหากนี่ไม่ได้เพื่อการก่อกวนเล็กๆน้อยๆแต่หวังในสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น?


“นี่มัน…” ธมลที่เห็นความผิดปกติของแผลที่ถูกบาดนั้นพยายามควบคุมสติ ในขณะที่อคิราห์ยังนิ่ง สังเกตุการณ์เงียบๆพลันคิดถึงใบหน้าของบางคน “กระหม่อมจะไปตามหมอหลวง”  หากเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ชีวิตของพระองค์ถือว่าอยู่ในอันตราย


“ไม่ต้อง”  นอกจากหมอหลวงที่อาจจะช่วยรักษาไม่ได้ การกระจายข่าวว่าพระองค์ต้องพิษร้ายแรงอาจจะส่งผลถึงความมั่นคงของราชวงศ์ได้เช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับ ‘ชาดสีดำ’ และมันอาจจะไม่ครั้งสุดท้ายในชีวิตของพระองค์หรืออีกหลายๆคนที่เกี่ยวข้อง


“แต่พิษนี้ร้ายแรงนัก”


“อย่าได้พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังอีก”  อคิราห์สั่งชัด ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดแผลเล็กๆหากแต่ที่ปากแผลแปรเปลี่ยนเป็นสีดำช้ำน่ากลัว  “จงไปแจ้งข่าวนี้ให้ทราบเพียงอลงกรณ์”  พระองค์ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้เยอะแต่การให้อลงกรณ์รู้…


ก็เพื่อจะได้ส่งคนที่คู่ควรจะรักษากันมาที่นี่


ธมลนั้นเข้าใจได้ถึงเจตนาที่ไม่อยากให้ใครทราบเรื่องนี้จึงรีบควบม้าไปยังคฤหาสน์ปิติชาญ แต่กว่าจะกลับมาพร้อมยารักษา มันจะไม่สายเกินไปแล้วหรือ แต่เพราะเป็นคำสั่ง จึงไม่อาจทำอะไรได้ และเมื่อไปถึงตนก็ไม่รีรอที่จะขอเข้าพบอลงกรณ์ที่เดินออกมารับอย่างมึนงง พอแจ้งข่าวให้ทราบ ผู้ดูแลก็ควบคุมสติได้ดีและเดินไปจัดการบางอย่าง ปล่อยให้ธมลรออยู่ตรงนั้นด้วยความร้อนใจ


ก่อนที่จะพาคนที่ร้อนใจไม่แพ้กันออกมา…


“ท่านหมอท่านนี้จะไปกับท่าน”  อลงกรณ์พูดเพียงแค่นั้น


“เรามีเวลาไม่มากแล้ว”  แต่ท่านหมอน้อยที่ถูกพามานั้นกลับตอกย้ำว่าเราควรจะเร่งรีบ


ธมลไม่รอช้า เขาพาท่านหมอไปด้วยในทันที ความวุ่นวายใจที่ศศิมีมันอาจจะหลุดแสดงมาทางสีหน้า เมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น ตนก็รีบคว้าทุกอย่างที่สำคัญ ไม่ได้ฝากฝังเจ้าขนฟูกับใครไว้ทั้งนั้น แต่พวกเขาคงรู้อยู่ว่าควรจะดูแลมันอย่างไร


ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งร้อนใจ ความเป็นห่วงนั้นได้ชื่อว่าควบคุมได้ยากกว่าสิ่งใด เราไม่ได้เจอกันไม่กี่อาทิตย์ คนในดวงใจก็กำลังจะจากกันไปตลอดกาลอย่างนั้นแล้วหรือ ไม่รู้ว่าโชคชะตานั้นโหดร้าย หรือเป็นเขาที่โหดร้ายต่อกันมากกว่า


พระอาทิตย์วันนี้ดูจะลับฟ้าช้ากว่าวันอื่นๆ ธมลได้พาท่านหมอตัวเล็กเข้าไปยังช่องทางลับ เขานั้นรู้จักศศิเพียงผิวเผินแต่พอจะทราบความสัมพันธ์ระหว่างท่านหมอกับองค์รัชทายาทอยู่บ้าง หากแต่ไม่เคยคิดจะก้าวก่ายและไม่เคยสนับสนุนเป็นพิเศษด้วยไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน ทว่าท่าทางเป็นห่วงเป็นใยที่แสดงออกมาดูไร้ซึ่งการเสแสร้ง เป็นคนๆนี้…ก็อาจจะดีจริงๆ


“ข้าจะพาท่านไปที่ห้องบรรทม”  หลังจากที่ตกลงกันว่าเรื่องนี้จะให้ใครรับรู้ไม่ได้ อคิราห์จึงเลือกที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อรอความช่วยเหลือ ในตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และศศิก็ถูกพาเข้ามาที่ห้องนี้ด้วยหัวใจที่เต้นแรง และพลันเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อได้เห็น…


คนที่ตนแสนคนึงถึงกำลังนอนหลับอย่างสงบบนเตียง


“ไม่จริง…”  คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นใช่ไหม คนมองก็ได้แต่ให้กำลังใจตัวเอง ทว่าเมื่อก้าวไปหา ใจของตนก็ฝ่อลงเรื่อยๆร่างบางไม่รอช้ายกมือของเขาขึ้นมาจับชีพจร พลันพระเนตรคมก็ค่อยๆเปิดออกมา


“ศศิ”


“…”


“เจ้ามาแล้วจริงๆใช่ไหม”  สุรเสียงดูเหนื่อยล้า และนั่นทำให้น้ำตาของตนเอ่อคลอ


“เป็นเช่นไรบ้าง”  เจ้าของใบหน้าที่ทรงคิดถึงนั้นค่อยๆนั่งลงข้างๆพระแท่นบรรทม มือก็กุมเอาไว้


“เหนื่อย ง่วงก็เลยหลับไป”


“อย่าหลับนะ ห้ามหลับเด็ดขาด”


“ศศิ…”


“ถ้าท่านไม่ตื่นขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร?”  เสียงสะอื้นไห้นั้นดังก้องในใจของพระองค์ “ข้ายังเลิกชอบไม่ได้เลย ดังนั้นอย่าเพิ่งตายนะ” 


“เจ้าไม่ต้องพยายามอีกต่อไปแล้ว กับเรื่องที่ทำไม่ได้แบบนั้น อย่าพยายามอีกเลย”  บอกว่ายังเลิกชอบกันไม่ได้แล้วได้พยายามบ้างไหม พยายามแค่ไหนถึงได้ไม่สำเร็จเสียทีแบบนี้เล่าเด็กโง่ อคิราห์นั้นปล่อยให้ศศิกุมมืออยู่อย่างนั้นก่อนจะส่งสายตาไปทางธมลที่ยืนอยู่ เมื่อ ‘ถึงมือหมอ’ แล้วก็ย่อมไม่มีอะไรให้ห่วงอีกต่อไป


“ทูลลาพะยะค่ะ”  เพราะคนที่ตายอาจจะไม่ใช่อคิราห์แต่กลายมาเป็นเขามากกว่าหากยังอาจหาญมาเป็นกว้างขวางคอ


เมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคน ศศิก็เริ่มทำการตรวจพระอาการ ให้เวลากับคนไข้คนสำคัญนี้จนกว่าจะแน่ใจว่าผลการตรวจนั้นถูกต้องจริงๆ


“น่าอายนัก ข้าควรมีสติกว่านี้ ทั้งๆที่เป็นคนรักษาท่านครั้งที่แล้วและยังต้มยาบำรุงให้ท่านดื่มมากมาย พิษนั้นไม่อาจจะทำอันตรายท่านได้เหมือนคราแรกอีก”  ว่าแล้วคนเป็นหมอก็อายที่แสดงอาการร้อนรนไปก่อน ทั้งๆที่ข้อมูลการรักษาตนก็ถือเก็บไว้มากที่สุด อคิราห์ที่เห็นปฏิกิริยาของคนตัวเล็กก็ยิ้มออกมา


“อย่างนั้นเองหรือ”


“อื้ม…สรุปแล้วคือท่านอาจจะมีไข้นิดหน่อย”


“แค่นิดหน่อยเองหรือ งั้นแสดงว่าเจ้าก็อยู่ดูแลข้าต่อไม่ได้สินะ”  จะเจ็บอีกสักหน่อยก็ได้ ถ้าได้คนดูแลเป็นท่านหมอคนงามผู้นี้


“ข้าย่อมต้องอยู่ต้มยาบำรุงให้ท่านเพื่อช่วยให้ขับพิษออกมาทั้งหมด”  ทั้งๆที่เขินอายเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องเก็บงำมันไว้ แค่นี้ใบหน้าของตนก็ชัดเจนพออยู่แล้ว ดูเขาสิเป็นคนป่วยที่ร่าเริงเสียจริง เจ็บป่วยอยู่ไม่ใช่หรือทำไมยิ้มได้ไม่อายฟ้าดิน


“ข้ายังรู้สึกอ่อนแรงช่วยต้มยาดีๆมารักษากันที บางทีเจ้าอาจจะต้องต้มสักปีสองปีถึงจะหายขาด”


“ท่านไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้นหรอก”


“ไม่อยากอยู่กับพี่อาทิตย์ของเจ้าหรือ”


“…”


“ข้าอยากอยู่กับเจ้านะ ศศิของพี่”  ให้ตายสิทำไม…


ทรงชอบทำแบบนี้ใส่กันจริงๆนะ!


เดิมทีพระองค์ก็กังวลเรื่องที่จะให้ศศิอยู่ที่นี่มาก่อน แต่เมื่อคิดดู สถานการณ์ตอนนี้ที่เจอนั้นมันอาจจะเกินรับมือ หากมีการใช้พิษชาดสีดำที่นี่ หากไม่มียาถอนพิษ การขอร้องให้คนที่รู้วิธีรักษาอยู่ใกล้มือนั้นเป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุด


แต่จะทำอย่างไรให้ศศิปลอดภัย?


หากมีคนล่วงรู้ถึงความสำคัญในเชิงความรู้ความสามารถและความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์ ท่านหมอน้อยอาจจะโดนทำร้ายไปด้วย แต่ก็ไม่อาจจะขอให้ศศิกลับไปได้จริงๆ เด็กคนนี้มีความสำคัญทั้งในด้านแผนการรับมือและหัวใจแบบนี้ อคิราห์คงไม่มีทางปล่อยให้กลับไปได้ง่ายๆจริงๆ


“ข้ายินดีจะช่วยท่าน!”  เมื่อขอร้องให้อยู่และอธิบายถึงความจำเป็น ศศิก็ตอบโดยไม่คิดด้วยเพราะตนก็อยากจะเป็นประโยชน์บ้าง เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงตอบรับโดยไม่แม้แต่จะลังเลใจเลย


“แต่มันอันตราย หากเจ้ากลัว”


“ข้าไม่กลัว!”  ศศินั้นตั้งแต่เกิดก็เป็นเด็กที่ถูกพามากับกลุ่มผู้อพยพ กินนอนในป่าก็ทำมาแล้ว ไม่มีอะไรลำบากลำบนจนเกินไปหรอก อาจจะช่วยในด้านประสบการณ์ให้มากขึ้นด้วยเจ้ากระต่ายน้อยสุดแสนจะมั่นใจ ทว่าราชสีห์ในคราบหมาป่าใหญ่นั้นได้วาดแผนการไว้ในหัวและถ่ายทอดออกมาอย่างแยบยล


“เจ้าแน่ใจหรือ”  เขาถามให้แน่ใจ


“ขอเพียงแค่ท่านร้องขอ ข้าก็ยินดี”  ทรงแย้มพระสรวล แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะแสนห่วงและไม่อยากให้ศศิอยู่ที่นี่แค่ไหน ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เอื้อประโยชน์ส่วนตัวให้กันมากขนาดไหน เช่นนี้แล้วจะให้โดนอีกสักรอบสองรอบก็ไม่อะไรเลย


ถ้าเหยื่อผู้อ่อนหวานจะติดเบ็ดไปด้วยแบบนี้


“ข้าจะไปต้มยามาให้ท่านดื่ม”  ศศิบอกอย่างแข็งขัน ก่อนจะลุกขึ้น หากแต่อคิราห์นั้นจับแขนของตนไว้


“เจ้าอย่าไปนาน”


ไม่ได้หรอก ยาต้องเคี่ยวดีๆ


“รีบกลับมา”


“ข้าจะรีบนะ”


“ดีจริงๆที่เจ้ามา ข้าง่วงแล้ว”  น้ำเสียงออดอ้อนนั้นเกือบทำให้ศศิตกหลุมพรางง่ายๆ “เราจะได้รีบนอนเสียที”


“หืม?”


“เจ้าคิดว่าเจ้าจะไปนอนที่ไหนกันหรือ”


“….”  ที่ไหนที่ไม่ใช่ที่นี่…


“ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปนอนที่ไหนที่ไม่มีใครปกป้องหรอกนะ”


“แต่ว่า…”


“แล้วเจ้าไม่ห่วงกันหรือไง?”


“…”


“พี่จะรอ”  ทรงตรัสแค่นั้นและปล่อยแขนกันไปแม้จะให้สิทธิ์ในการเลือก แต่คำเกลี้ยกล่อมที่หลุดออกมาจากปากนั้นก็เหมือนจะผูกมัดกันอยู่ดี


ที่นี่อันตราย ศศิต้องการคนปกป้อง…ศศิก็ทราบดี…
เขาเองก็ต้องพิษ ศศิต้องดูแล…ศศิก็เข้าใจ
แต่ทรงทราบไหมว่าเราอยู่ในสถานะใดในสายตาของคนอื่น?!


ด้วยความช่วยเหลือของธมล ศศิจึงเข้ามาปรุงยาเพื่อนำไปถวาย คาดว่าที่ยังคงพูดจ้อได้แม้โดนพิษไปนั้น อาจจะเพราะพิษไม่ได้รุนแรงหรือมีปริมาณเข้มข้นพอที่จะพรากชีวิต แต่อีกส่วนอาจจะเพราะระหว่างที่ทรงอยู่ในการดูแลของทิชากร อาจารย์ของศศิอาจจะปรุงยาที่มีสรรพคุณต้านพิษหากได้รับอีกครั้งเอาไว้ให้ แต่มันก็จะไม่ได้อยู่คงทนในร่างกายตลอดไป หากยังโดนพิษต่อไปเรื่อยๆ สรรพคุณที่ว่าก็ไม่อาจจะช่วยได้


โดนลอบสังหารบ่อยครั้งขนาดนั้นเลยหรือ เมื่อได้ยินเช่นนี้แทนที่จะหวาดกลัวว่าตนจะโดนหางเลข กับกลายเป็นว่าศศินั้นห่วงใยพระองค์มากจนไม่คิดที่จะกลับไปที่คฤหาสน์ปิติชาญอีก แต่การให้ไปหลับนอนในห้องเดียวกันทั้งๆที่สถานะของเราคือหมอกับคนไข้แบบนั้น มันจะไม่งามหรือเปล่า?


“ท่านธมล”


“ขอรับ”


“มันพอจะมีห้องที่อยู่ใกล้ๆที่ข้าจะสามารถไปพักเพื่อถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดหรือไม่”


“แล้วองค์ชายได้ตรัสให้ไปนอนที่ไหนหรือขอรับ”


“เอ่อ…”


“พระองค์ไม่ได้บอกหรือ?”ก็บอก…แต่แค่ไม่เห็นด้วย


“….”


“ถ้างั้นกระผมคงต้องขอไปสอบถาม”


“พระองค์ให้ดูแลใกล้ชิดน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ที่นั่นแลขอรับ”


“แต่ว่า….”


“ทรงคิดมาดีแล้วขอรับ อย่าได้เป็นกังวล”  ธมลได้ตอกฝาโรงให้กับคู่อาทิตย์พระจันทร์เป็นที่เรียบร้อย ไม่แปลกหากเป็นคนหน้าบาง ศศพินทุ์นั้นมีสิทธิ์จะรู้สึกไม่ดี แต่จริงๆแล้วที่ตำหนักนี้ไม่ได้มีอะไรให้กังวลถึงขั้นนั้น คนที่นี่เชื่อใจได้ และต่างก็เทิดทูนตามอกตามใจ เจ้านายว่าอย่างไรก็เห็นชอบไปตามนั้นทั้งหมด


ด้วยเพราะคำนึงในความปลอดภัย คนเข้าออกหรือคนที่ทำงานให้ตำหนักชลสินทุ์จึงล้วนถูกคัดมาอย่างเข้มงวดว่าเชื่อถือได้ ทุกคนที่ทำงานที่นี่ไม่แพร่งพรายอะไรออกไปอย่างนั้นหรอก เรียกว่าปัญหาตกเป็นขี้ปากคนนั้นคนนี้ให้ตัดไปได้เลย ควรระวังว่าจะอวยเจ้านายให้ฟังเช้าค่ำจนรำคาญปนหมั่นไส้จะดีกว่า ที่เหตุการณ์อันตรายวันนี้เกิดขึ้นก็มาจากเอกสารจากภายนอกที่ไม่มีการตรวจตราให้ดี ไม่ใช่คนในหรอกที่คิดคด


ในสมัยของอชิระที่อาศัยที่นี่นับได้ว่าน่าตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าการที่องค์ชายอคิราห์ลากเอาศศิไปนอนด้วย ตอนนั้นยังไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย ปัญหาจริงๆที่ควรกังวลไม่ใช่เรื่องที่ว่าควรจะไปนอนที่ห้องนั้นกับพระองค์ดีไหม แต่ต้องคิดว่าถ้าไม่ไปแล้วปัญหาอะไรจะตามมาต่างหาก


เพื่ออนาคตอันราบรื่นของธมลแล้วไซร้
ต้องทำให้ศศิยอมเท่านั้น!

Talk:
กลับมาจากเชียงรายก็ลงต่อไม่รอแล้วนะ
ขอให้อ่านกันให้สนุกนะคะ
เพราะอีพี่ก็รุกต่อไม่รอแล้วเช่นกัน555
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ




หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 12 : 23/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-12-2018 14:14:36
วางแผนมาดีจริงๆ จนแอบสงสัยว่า พิษนี่เตรียมเองด้วยรึเปล่าพี่อาทิตย์ 5555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 12 : 23/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-12-2018 01:59:09
พิษนี่มาจากคนนอกหรือจากพี่อาทิตย์กันแน่คะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 12 : 23/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-12-2018 11:00:18
เจ้ากระต่ายไม่รอดแล้วววววว
แต่พิษนั่นน่ะมาแบบตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่นะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 13 : 25/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 25-12-2018 19:23:35
Finding the twilight
13
เตรียมความพร้อม
☼ ☽

การได้อยู่กับคนที่ตนหลงรัก มันเหมือนเป็นสวรรค์ที่มาพร้อมกับเงื่อนไข


“มันต้องขนาดนั้นจริงๆหรือ”  ศศิก้มหน้าลง พยายามทำความเข้าใจกับข้อเสนอดังกล่าว เพราะจะได้อยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือหากมีเหตุร้ายที่จำเป็นต้องมีหมอที่ไว้ใจได้ ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของตนก็ต้องเป็นความลับ


และเพราะเป็นความลับ จึงต้องไม่สามารถออกไปไหนได้
 

“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ”  เพราะท่านหมอน้อยจะอยู่ได้แค่ในพื้นที่ของตำหนักนี้ห้ามไปไหน ชีวิตดังกล่าวนั้นไม่ต่างจากการขังนกน้อยไว้กับในกรง แม้ที่มาตนก็ไม่ได้มีอิสระมากมายมาก่อน แต่การถูกจำกัดบริเวณโดยคำสั่งจากพระโอษฐ์ขององค์รัชทายาท ก็ยิ่งตอกย้ำความไร้อิสระของนกน้อยที่ไม่เคยได้ออกจากกรงไปไหนเช่นกัน


“ข้าเข้าใจดี”


“ต้องขอโทษที่ทำให้เจ้ามาลำบาก”  แต่คำขอโทษนี้ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ ตำหนักชลสินทุ์นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเล็กหรือคับแคบ ก็อาจจะหาอะไรทำที่นี่ได้ และถึงแม้พระองค์จะต้องจากไปทำธุระในทุกวัน แต่ก็คงเสด็จกลับมาหากันในทุกๆคืนไม่ใช่หรือ อา…ไม่อยากยอมรับเอาเสียเลยว่าการที่เราต้องนอนห้องเดียวกันนั้น มันก็มีข้อดีอยู่


ก็จะได้ชดเชยความคิดถึงที่มีให้อย่างไร


และเป็นเช่นนั้นจริงๆ อคิราห์นั้นถ้าไม่จำเป็น ก็จะทรงกักขังตัวเองและทรงงานอยู่ในตำหนักทั้งวันไม่ไปไหน เรามักจะนั่งอยู่ในห้องทรงงานของพระองค์ ในขณะที่เขาทำงานเงียบๆ ศศิก็มักจะทบทวนตำราอยู่เสมอ ด้วยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหตุการณ์ฉุกเฉินจะเกิดขึ้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือเตรียมกายและใจให้พร้อม


“อ่านหนังสือเล่มนี้อีกแล้วหรือ”  ทรงสังเกตอยู่นาน ศศิอ่านแต่หนังสือเล่มนี้ทุกวัน จนพระองค์กังวลว่าอีกฝ่ายจะเบื่อหน่าย


“ข้าต้องทบทวนมัน ยังมีอีกหลายสิ่งที่จดจำไม่ได้”


“หนังสืออะไรของเจ้าหรือ”  ทรงตรัสถาม ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาคนร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่อีกมุม ศศินั้นขยับให้อีกฝ่ายมานั่งข้างๆและยื่นให้ดู  “ตำราสมุนไพรงั้นหรือ”


“อืม ข้าอ่านมันประจำเลย”  สภาพของหนังสือนั้นบอกให้รู้ว่าผ่านการใช้งานมานาน แม้คนอ่านจะพยายามทะนุถนอมมันเท่าไหร่ แต่เด็กดีของพระองค์ก็คงจะจับต้องหยิบมานั่งทบทวนทุกเมื่อที่มีเวลานั่นแล


“เจ้าควรผ่อนคลายตัวเองให้มากกว่านี้”  ว่าไปเช่นนั้นก่อนจะวางตำราเล่มหนาให้ไกลมือ และเริ่มบีบนวดไหล่บางนั้นให้อย่างเอาใจ


“ได้เช่นไรกัน ท่านเองก็ยุ่งและเครียด หาได้มีเวลาผ่อนคลายเช่นกัน ข้ามิอาจจะเอาเปรียบหรอก”


“มันก็จริงอย่างที่เจ้าพูด แต่มันคือหน้าที่ ที่ตัวพี่ต้องรับผิดชอบ”


“ท่านก็มอบหมายหน้าที่ให้ข้าดูแลรับผิดชอบเช่นกัน ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทำอะไรแต่สักวันมันอาจจะได้ใช้จริงๆนะ”


“คนดี เจ้าช่างน่ารักเสียเหลือเกิน”  เมื่อฟังคำอธิบายที่น่ารักถึงเพียงนี้ก็ต้องเอ่ยชม แต่จริงๆจะนอนเป็นแมวน้อยรอให้มาเกาคางเฉยๆทั้งวันก็ไม่เป็นไร พระองค์ล้วนเห็นว่าดีทั้งหมด!


หากศศพินทุ์จะชอบอ่านหนังสือขนาดนี้ พระองค์ก็เห็นควรว่าคงต้องล่อลวงเด็กดีไปยังห้องหนังสือเสียแล้ว อาจจะมีตำราแพทย์ไม่มาก แต่ว่าก็หามาเพิ่มเติมได้ ทรงพอจะรู้จักมักคุ้นกับท่านอาจารย์หมอที่ดูแลเสด็จพ่ออย่างใกล้ชิดและเชื่อใจได้อยู่ ท่านอาจจะยินดีให้พระองค์ยืมตำราแพทย์มา ถึงมีคำถามก็คงไม่เซ้าซี้กันมาก


ใบหน้าที่ทรงชื่นชอบเป็นที่สุดนั้นเอียงซบไหล่กัน ดวงตากลมที่เต็มไปด้วยเสน่ห์นั้นช้อนตามอง ศศิคงเบื่อที่จะต้องมาอยู่ในที่แบบนี้ แต่คนน่ารักก็ไม่พูดอะไรให้รู้สึกลำบากพระทัย พระองค์นั้นแย้มพระสรวลให้กับความน่าเอ็นดูของอีกคนก่อนจะกระชับกอดให้แน่น แสดงความหวงแหนแม้เราจะอยู่กันเพียงสองต่อสอง แสดงให้ศศิรู้ว่าพระองค์หลงใหลมาเพียงไหน


“จะว่าไปข้าก็อยากจะผ่อนคลายเช่นกัน รู้สึกอยากจะแช่น้ำอุ่นๆขัดเนื้อขัดตัว”


“เป็นเช่นนั้นข้าน่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”  คนพูดนั้นรู้สึกมีประโยชน์ขึ้นมา ด้วยความรู้ด้านสมุนไพรบำบัดบางทีตนอาจจะช่วยได้


“เจ้าจะยินดีช่วยกันจริงๆหรือ”  ทรงถามให้แน่ใจ ไม่ใช่ให้พระองค์แน่ใจ แต่ให้คนถูกถามแน่ใจจริงๆเสียก่อน เพราะถ้าต้อนไก่เข้าเล้าได้เมื่อไหร่ จะมาเฉไฉใส่อีก ไม่ได้แล้วนะ


“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง!”


“งั้นต้องขอรบกวนให้เจ้าช่วยขัดหลังให้ข้าวันนี้”


เหะ!?


“มือเล็กๆของเจ้าคงจะขัดได้อย่างดีเลย เย็นนี้ข้าจะให้คนเตรียมน้ำอุ่นรอเอาไว้”


“ขัด…ตัว?”


“ต้องรีบกลับไปสะสางงานแล้ว”  คนเจ้าเล่ห์นั้นลุกขึ้นไม่ปล่อยให้รู้ตัวหรือปฏิเสธออกมา บอกแล้วว่าเรื่องตอกฝาโรงนะ คนตำหนักนี้เก่งที่สุด จนกระทั่งกลับมาทำงานแล้ว ศศิก็ยังตามไม่ทัน


ขัดตัว…หมายความว่าเข้าไปอาบน้ำให้นะหรือ?!


“ท่าน!”  ไม่ทันแล้ว…คู่กรณีที่นั่งอยู่นั้นคงไม่ตอบอะไร ต่อให้ไปตะโกนที่ข้างหูก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินได้ ความทะลึ่งทำให้คนเราเห็นผิดเป็นชอบไปหมดแล้วสิ้น!


ทว่าสัญญาคือสัญญา บอกว่าจะขัดหลังให้ก็จะทำให้ เห็นว่าปฏิเสธอะไรไม่ได้จึงเดินออกมาจากห้องทรงงานและไปบอกนางกำนัลของตำหนักให้จะช่วยตระเตรียมเครื่องหอมเพื่อการสรงน้ำในวันนี้ แค่ขัดให้คงไม่อะไรหรอก ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นร่างกายกำยำของอีกฝ่ายมาก่อน แต่เพราะเคยเห็นมาก่อนอย่างไรถึงได้รู้ว่ามันธรรมดาที่ไหน!


“ท่านศศิมีอะไรจะสั่งเพิ่มเติมไหมเจ้าคะ”  นางกำนัลที่มาช่วยเตรียมน้ำในสระน้ำอุ่นประจำตำหนักชลสินทุ์นั้นเอ่ยถาม เธอเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว กว่าจะถึงเวลาลงสรงก็คงอุ่นกำลังดี


“…”


“ท่านศศิเจ้าคะ?”


“เอ่อ…ไม่มีแล้ว ขอบคุณท่านมาก”  บ้าบอเหลือเกิน! จะคิดมากเกินไปแล้ว!


ไอน้ำที่พวยพุ่งมาจากสระอาบน้ำ กลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องหอมนานาชนิดล้วนทำให้พอใจ องค์รัชทายาทผู้เหน็ดเหนื่อยจากภาระการงาน ย่อมต้องการผ่อนคลาย ศศิรู้ดีแม้ไม่อยากจะทำให้ด้วยตัวเอง ทว่าคิดในอีกมุม มันดีกว่าอยู่แล้วที่ให้ศศิทำให้


เมื่อคิดได้ว่าหากไปให้คนอื่นช่วยปรนนิบัติ แม้จะไม่มีใครคิดอะไร แต่ศศินี่สิ…ที่ไม่สามารถเลี่ยงไม่คิดอะไร หลังจากรับผ้าเช็ดกายจากนางกำนัลซึ่งส่วนใหญ่ก็มีอายุพอประมาณแล้วทั้งนั้น ก็คิดไปว่าคนที่ชอบทำตัวเจ้าชู้ใส่กันนั้นจะเคยอยากให้เด็กสาวแรกรุ่นมาปรนนิบัติบ้างไหม ความรู้สึกหึงหวงทำให้คิดนั่นนี่อยู่คนเดียว ช่างไม่รู้เลยว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่ด้วยอีกแล้ว


เพราะองค์รัชทายาทไม่โปรดให้ใครอยู่ที่นี่หลังจากที่พระองค์นั้นเข้ามา


“หอมเหมือนตัวเจ้า”  ร่างบางสะดุ้งหวือ สัมผัสที่ข้างแก้มนั้นบอกกันว่ากำลังถูกคนเจ้าเล่ห์รังแก ศศินั้นจะถอยออกมาแต่อ้อมแขนขององค์อคิราห์กลับฉุดคว้าให้เข้ามาใกล้ พลันใบหน้าก็ร้อนขึ้น มันเป็นเพราะความร้อนจากไอน้ำ หรือเพราะแผ่นอกแกร่งที่ตนกำลังซบอยู่นี่เล่า


“มะ…มาเร็วจัง” 


“เช่นนั้นหรือ? พี่ว่านี่ก็ช้า ไม่ทันใจพี่เลย”  ยิ่งตอนไหนที่ทรงอยากจะทำให้เขินอาย สรรพนามเรียกขานก็มักจะเปลี่ยนไป คำตอบนั้นยิ่งทำให้ศศิเขินเข้าไปใหญ่ การเตรียมการนั้นเป็นไปอย่างล่าช้าในความรู้สึก หากเป็นไปได้ พระองค์อยากจะอุ้มพามาอาบน้ำที่นี่ทันทีที่หลงกล  รู้ไหมว่าตลอดบ่ายนี้ใครบางคนไม่เป็นอันทำงานทำการจริงๆ ที่เห็นว่ายุ่งนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ


องค์รัชทายาทในชุดคลุมอาบน้ำนั้นหันหลังให้คนอาสาปรนนิบัติได้ช่วยถอดมันออกมา คนตัวเล็กที่ไม่เคยต้องดูแลใครมาก่อนเช่นนี้ทำมันออกมาอย่างเก้ๆกังๆ มือไม้ก็สั่นไปหมดจนพระองค์เกือบหลุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่งดงามไปเสียหมดตรงหน้าช่างดูดี ผิวสีออกน้ำผึ้งที่แน่นตึงเหมือนจะทอแสงได้นั้นก็ช่างสวยงาม แค่เพียงมองจากข้างหลัง ใจของศศิก็เต้นไม่เป็นส่ำ


“ทะ…ท่านอยากให้ข้าช่วยขัดตรงไหนให้”


“ทั้งตัวเลยได้หรือไม่ นานแล้วที่ไม่ได้ขัดตัวจริงๆจังๆ”  ทรงหันไปร้องขอกับคนที่ยังคงกอดผ้าคลุมไว้กับอก เห็นแก้มใสขึ้นสีแดงจัดนั้นแล้วก็อยากจะแกล้ง แต่ก็ต้องอดใจไว้ เก็บเปรี้ยวไว้กินหวานย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แม้จริงๆบางทีกินตอนเปรี้ยวเลยก็ชื่นใจไม่น้อย


ร่างสูงขององค์รัชทายาทนั้นนอนราบหันหลังให้มือเล็กได้ถูวนสมุนไพรซึ่งถูกจัดเตรียมมาอย่างดี แม้จะเป็นครั้งแรกที่ดูเงอะๆงะๆ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่สบายมากจริงๆ ในความเงียบที่อคิราห์นั้นให้กันนั้น มันทำให้ศศพินทุ์ทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม ในที่สุดพระองค์ก็เลือกที่จะกินหวานแทนกินเปรี้ยว ปล่อยให้มือเล็กทำหน้าที่ของมันไป และก็ทรงเคลิ้มหลับไปเพราะสัมผัสของมือนั่น


“พี่อาทิตย์”


“อืม…”


“ขะ…ศศิถูข้างหลังจนเสร็จแล้ว”  อคิราห์ที่กำลังเคลิ้มนั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกก็ตื่นขึ้นมา และพอได้รับทราบว่าเหตุใดถึงเรียกกัน พระองค์ก็ลอบยิ้ม เรื่องแกล้งศศิ ดูจะเป็นของคู่กาย


“เช่นนั้นก็จงขัดข้างหน้าให้พี่ด้วย”  อคิราห์นั้นลุกขึ้น หมายจะนอนหงายให้อีกฝ่ายดูแลกัน แต่คิดอีกที นั่งลงน่าจะดีกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ทรงอยากจะเห็นหน้าผู้เป็นความรักให้ถนัดๆไปเลย


“ทะ…ท่าน”


“ผิวตรงนี้มันสากนัก เจ้าช่วยขัดให้พี่หน่อยได้หรือไม่”  ฝ่ามือใหญ่นั้นจับมือเล็กของท่านหมอน้อยมาแตะบนอกซ้ายเบาๆ บอกให้รู้ว่าอยากให้สัมผัสแค่ไหน ก่อนจะใช้อีกมือแตะแก้มนวลอย่างเอ็นดู


มือของศศิที่มีสมุนไพรขัดตัวเคลือบอยู่นั้นค่อยๆวนเบาๆบนอกซ้ายตามที่อีกฝ่ายร้องขอ อีกมือนึงก็วางลงบนไหล่หนา ไม่ได้เอ่ยว่าอะไรกับการที่ทรงวางพระหัตถ์ที่เอวบางของตน ก่อนจะเลื่อนมาสัมผัสที่บั้นท้าย


“อื้อ”  ในขณะที่เขาบีบเค้นความนุ่มนิ่มอย่างไม่ปราณีแบบนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่ศศิจะระบายอารมณ์ด้วยการบีบไหล่ของพระองค์ตอบ มือที่กำลังขัดสมุนไพรให้อยู่ก็พลันชะงัก ทรงกำลังทำให้ศศพินทุ์สูญเสียจุดยืนทางการทำงาน


“ขัดต่อไปสิ”  ทรงกระซิบบอก แต่ก็ไม่ยอมหยุดบีบเค้นก้อนเนื้อนิ่มงอนอย่างสนุกมือ ศศิถลึงตาใส่คนทะลึ่งแต่ก็ยินยอมที่จะทำต่อแม้ไม่อาจจะแก้ปัญหาพระหัตถ์ซนนี้ได้เลย


ใจจริงก็คิดว่าจะขอใช้ท่านหมอให้ขัดลงไปถึงส่วนล่าง แต่อีกฝ่ายคงตื่นกลัวกันเป็นแน่ จึงอดใจและตรัสบอกให้ทราบว่าทรงรู้สึกเพียงพอแล้ว ศศิถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะไปช่วยตักน้ำขึ้นมาชำระล้างคราบสมุนไพรตามร่างกายจนสะอาดหมดจด และเดินตามพระองค์ไปที่สระเผื่อว่าจะช่วยดูแลต่อ  ทว่า….


“ทะ..ทำอะไรของท่านนี่!” อคิราห์ไม่ได้ให้ถวายการรับใช้ตรงนั้น ทรงหวังให้ดูแลกันต่อในน้ำ


“น้ำอุ่นดีออกศศิ ตัวเจ้าก็เปียกปอนถึงเพียงนี้ ลงมาแช่ด้วยกันดีกว่า เดินระวังนะ ค่อยๆหย่อนเท้าลงมา”  ก็เป็นพระองค์ไม่ใช่หรือที่ฉุดกันจะให้ลงมาด้วยแบบนี้ ศศิถึงได้เปียกปอนไปหมด ถึงจะบอกว่าให้ค่อยๆเดินลงมาก็เถิด แต่ฉุดกันเร็วเช่นนี้ สู้จับกดน้ำไปเลยยังดีเสียกว่า


แต่น้ำมันอุ่นสบายจริงๆ…ศศิใจง่ายอีกแล้ว


“อืม…”  เสียงครางอย่างเป็นสุขนั้นดังออกมาจากปากของเจ้ากระต่ายน้อยที่พระองค์บังคับให้มานั่งข้างๆ อาภรณ์ที่เจ้าตัวใส่ไม่เพียงเปียกปอน หากแต่ยังบางใสเห็นไปถึงอะไรต่อมิอะไร


“สบายหรือไม่”


“สบายมากๆเลย ข้าชอบอาบน้ำที่สุด”  เช่นกันกับพระองค์ อคิราห์นั้นยิ้มออกมา พระองค์ก็ชอบอาบน้ำ…กับศศิเช่นกัน


“อยากให้ข้าช่วยบีบนวดหรือไม่”


“นวดหรือ? จะดีหรือ?”


“ดีสิ เจ้าขัดตัวให้ข้า ข้านวดตัวให้เจ้า”  เราออกจะเท่าเทียม!


“งั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว” ศศินั้นยิ้มรับในไมตรีก่อนจะหันหลังให้ ทว่าคนเสนอนั้นต้องการนวดแบบใกล้ชิดกว่านั้น ร่างบางนั้นลอยหวือมานั่งซ้อนบนตัก กำลังจะท้วงถามว่าทำไม แต่นิ้วเรียวขององค์รัชทายาทก็กดลงบนจุดผ่อนคลายที่แผ่นหลังด้านบนเข้าเสียแล้ว


อืม…ไม่น่าเชื่อว่าจริงๆแล้วศศิเองก็จะแบกรับภาระให้เหนื่อยล้าเหมือนกัน ทุกสัมผัส ทุกการกดย้ำของราชนิกูลผู้สูงศักดิ์นี้ ล้วนทำให้รู้สึกดี ร่างบางนั้นสะดุ้งตามน้ำหนักของพระหัตถ์ โดยไม่รู้ตัว มือที่ศศิเคยเอ่ยเยินยอกลับค่อยๆลากลงมา ต่ำลงเรื่อยๆ ลงมาที่ใต้แผ่นอก ก่อนที่จะใช้ความเผลอไผลนี้ให้เกิดประโยชน์ ทรงขยับให้ร่างบางของท่านหมอเข้ามาประชิดตัวจนแผ่นหลังเนียนนั่นแนบสนิทกับแผ่นอกแกร่ง


“อื้อ!”  เสียงครางที่ดังข้างหูของคนที่อ่อนระทวยนั้นทำให้พึงพอพระทัยอย่างมาก ศศินั้นช่างไม่รู้ตัวถึงความใกล้ชิดนี้เลย ใบหน้าหวานที่เอียงซบอยู่ที่ไหล่ของพระองค์นั้น ใกล้ขนาดที่เสียงครางเบาๆก็ปลุกเร้าให้อยากจะสัมผัสอีกฝ่ายมากขึ้น ทรงติดใจเสียงหวานนี่เสียแล้ว


นิ้วชี้นั้นก็แสนซุกซน ทรงหยอกเล่นกับยอดอกสีสวย จนเจ้าของร่างกายต้องบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน ยิ่งเมื่อทรงสัมผัสมากขึ้น ความกระดากอายโดยธรรมชาติก็ทำให้ศศิผลักไสด้วยรู้สึกร้อนขึ้นมา แต่อีกด้านหนึ่งของความรู้สึก เจ้าตัวก็อยากจะเรียกร้องสัมผัสของเขานี้ เป็นความย้อนแย้งที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร?


“อ๊ะ!?”  พระหัตถ์ที่เคยอ่อนโยนยามบีบนวดให้กันพลันซุกซน โดยไม่รู้ตัวศศิก็เผลอปล่อยโอกาสให้เขากอบกุมส่วนที่อ่อนไหวที่สุดไปเสียแล้ว “ยะ..”


“เจ้าร้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว ให้พี่ช่วยดีหรือไม่”  ตัวพระองค์เองก็ร้อนไม่ต่าง แต่ก็อยากจะสร้างเสริมประสบการณ์เบื้องต้นให้กับเด็กน้อยผู้อ่อนเดียงสาสักคราเช่นกัน


ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักมือ การเคลื่อนไหว หรืออะไรก็แล้วแต่ ทรงทำให้ศศินั้นเหมือนนลอยละล่องขึ้นไปบนฟ้า ขาทั้งสองข้างของตนถูกจับแยกออกมา มันช่างน่าอายแต่สติที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวกลับทำให้เผลอไผลยินยอมไปกับทุกการสั่งการของคนเผด็จการ โดยไม่รู้ตัว ก็ทรงพาศศิมานั่งที่ขอบสระเสียแล้ว


แค่เพียงก้มมองว่ามือใหญ่นั้นกำลังทำอะไรกับร่างกายของตนเอง ศศิก็เขินอายเสียจนต้องเสมองไปทางอื่น ทว่ายิ่งแสดงออกถึงความดื้อดึง พระองค์ก็ยิ่งทำให้มันร้อนแรงยิ่งขึ้นจนเสียงน่าอายหลุดออกมา เอวบางนั้นบิดเร้าอยู่บนตักของเขา สุมไฟให้กับร่างกายของกันและกัน เสียงครางต่ำที่ดังอยู่ข้างหูของศศิซึ่งบอกระดับความพึงพอใจ นั้นยิ่งทำให้ตนเหมือนจะต้องการมากขึ้น


ใบหน้าหวานนั้นหันไปตามพระหัตถ์ที่ดันให้มารับจูบร้อนแรง เสียงน่าอายเหล่านั้นเมื่อมันถูกทำให้หายไปในริมฝีปากของกันและกันยิ่งก่อให้เกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ในความหวั่นเกรง เรากลับต้องการมากขึ้น ในความอับอาย เรากลับเสนอตัวเองเข้าไปอีก เรียกร้องจากคนที่จุดไฟให้กันแบบนี้ด้วยไม่อยากให้ความเปรมปรีดิ์เร่งจบลง


เหมือนเรี่ยวแรงที่ควรมีนั้นถูกริบหายไปหมด ความน่าอึดอัดทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ทรงปล่อยให้ศศิตัวน้อยพักในอ้อมอกอย่างนั้น ไม่มีการแกล้งใดๆอีกเพราะที่ผ่านมาก็ไม่นับว่าปราณีกันเท่าไหร่


“เด็กดี”  ทรงจุมพิตที่ขมับอย่างหวงแหน เด็กดีของพระองค์นั้นตัวแดงไปหมด ด้วยเพราะเอาเปรียบกันเกินไป จึงเป็นฝ่ายที่ต้องโอบอุ้มกันไปล้างตัวให้สะอาด กลายเป็นพระองค์ที่มาดูแลกันแทน หลังจากพาศศิมาเปลี่ยนชุดด้วยตัวเอง ก็ส่งเข้านอนแล้วก็ไม่รอช้ากลับไปจัดการกิจธุระส่วนตัวต่อ ปล่อยให้ศศิได้พักผ่อนอยู่บนแท่นบรรมทมเพียงคนเดียว


ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับสร้างปัญหาในใจมากมาย แต่ยังไม่ทันได้จัดการปัญหาที่ค้างคาใจ ฤทธิ์ของความสบายก็ทำให้คนตัวเล็กนั้นหลับลงไปในที่สุด ศศินั้นงดงามในทุกอิริยาบถ คนมองนั้นชื่นชมอยู่เช่นนั้นก่อนจะจุมพิตที่เปลือกตาสีอ่อนและเข้านอนไปด้วยกัน


ก็ไม่ได้คิดว่าจะเลยเถิดถึงขั้นนี้ แต่พระองค์ก็ตั้งเป้าหมายที่จะเตรียมความพร้อมให้กับอีกฝ่ายไว้อยู่แล้ว สักวันหนึ่งที่ศศิพร้อม  พระองค์ก็หวังที่จะได้โอบกอดไปด้วยความเสน่หารักใคร่


“ข้าจะทะนุถนอมเจ้าให้ดีที่สุด อย่าได้ห่วงไปเลย”  จนกว่าจะถึงวันนั้น พระองค์ก็ตั้งความหวังไว้ให้ศศิพร้อมจริงๆสักที อคิราห์รอได้ แต่ไม่อาจจะรอไปตลอดชีวิต ทำเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากการค่อยๆตะล่อมให้คล้อยตาม และเมื่อถึงวันนั้นเมื่อไหร่ พระองค์ก็จะละเมียดชิมผิวขาวๆนั้นให้ทั่วอย่างที่ใจปรารถนาจริงๆ


ค่ำคืนแห่งการเตรียมพร้อมนั้นผ่านไป ทรงโอบกระชับศศิเอาไว้หลวมๆ ราวกับว่าต้องการจะรับรู้ว่าที่ข้างๆยังมีคนๆนี้หลับใหลอยู่ ค่ำคืนที่พระจันทร์ทอแสงนั้นค่อยๆจบลงอย่างเชื่องช้า อคิราห์และศศิหลับใหลไปข้างๆกันอย่างเป็นสุข จนอยากจะหยุดเวลาที่เป็นแบบนี้ไว้ตลอดไป


ศศพินทุ์นั้นตื่นขึ้นมาก่อนในรุ่งเช้า ทว่าแม้จะตื่นก่อน แต่ก็ทำเพียงแค่ลืมตาขึ้นมามองว่าที่ตรงนี้มีใครนอนอยู่ด้วยหรือไม่ เมื่อสร้างความแน่ใจได้แล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ได้ตื่นขึ้นมาจ้องมองใบหน้าหล่อของคนรักเงียบๆ เพียงเท่านี้ก็มีความสุขจนยากจะหาอะไรมาเปรียบเทียบในชีวิตแล้ว


ตั้งแต่เด็กจนเติบโต ตนนั้นเพียบพร้อมไปด้วยความสุขอันแสนสมถะ การที่มีเขาในอ้อมแขนถือเป็นการมักมากเกินไปหรือเปล่า ตัวเองที่ไม่เคยได้สัมผัสความรักที่มากมายรูปแบบนี้ยังหวั่นเกรงว่าสุขนี้จะไม่เนิ่นนาน แต่ก็ยังอยากได้อยากมี ศศิช่างโลภเหลือเกิน แม้ทิชากรจะเคยบอกว่าหากเป็นเด็กดี เราก็จะเหมาะสมกับสิ่งดีๆก็ตาม แต่องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นดีเกินไปหรือเปล่า ดีเกินกว่าความฝันที่เคยวาดไว้ จึงอดไม่จะได้หวาดกลัว


เหตุการณ์เมื่อวานที่เกิดขึ้น จะพูดว่ามันดีก็ดี แต่ก็…สร้างปมบางอย่างในใจเช่นกัน ศศิไม่เคยมีครั้งแรกแบบนั้นกับใครไหนอื่น เป็นพระองค์ที่เป็นดั่งรักแรก และการกระทำที่อุกอาจแบบเมื่อวานก็ทำให้รู้สึกดี แต่เพราะทุกอย่างที่เป็นครั้งแรกล้วนดูน่ากลัวจึงเผลอต่อต้าน อคิราห์เองแม้จะอ่อนโยนและยอมให้กันเท่าที่จะให้ได้ แต่ที่อีกฝ่ายต้องอดทนอดกลั้น ก็ใช่ว่าศศิจะไม่รู้


เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ใบหน้าของตนก็ร้อนไปหมด ศศิรับรู้ด้วยความใกล้ชิดว่าคนที่ให้นั่งบนตักเองก็มีความต้องการไม่ต่างกัน แต่ที่ไม่ล่วงเกินกันมากกว่านั้น ก็คงเพราะรู้ ว่าศศิจะไม่ยินดี ความใจเย็นนั้นทำให้ซาบซึ้งและรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ก็หวังว่าสักวันหนึ่งตนจะมั่นใจจนมอบให้ทั้งกายและ…หัวใจ


ทั้งๆที่ยังไม่มั่นใจว่านี่คือความรักหรือความหลงใหล ป้องกันไว้ย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ ความรู้สึกแบบนี้ที่เกิดขึ้นมันก็เป็นครั้งแรกของศศิเหมือนกัน และความกลัวก็ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงตามมา แม้ว่าจะจับมือกันไว้มั่นแค่ไหน แต่ก็เป็นใจของศศิเองที่อ่อนแอ 


“มองกันแบบนั้นเจ้ากำลังทำใบหน้าแบบไหนอยู่หรือ”  อคิราห์นั้นรับรู้ได้ว่าถูกมองมาสักพักแต่ยังคงแสร้งบรรทมต่อไป อย่างไรก็ตาม คนร่างบางนั้นไม่ได้ยิ้มหรือแม้แต่จะเข้ามาคลอเคลียกัน พระองค์ก็รู้สึกเสียดายไม่น้อย แต่ก็นะ…ทรงคาดหวังอะไรแบบนั้นจากคนขี้อายได้เสียเมื่อไหร่


“ท่านตื่นแล้วหรือ”


“ไม่อยากจะตื่นเลย ถ้าหลับอยู่แล้วเจ้าจะเอาแต่มองและครุ่นคิดถึงกันแบบนี้”  ถึงไม่รู้ว่าคิดถึงในแง่ไหน แต่ได้ชื่อว่า ‘คิดถึง’ พระองค์ก็ยินดี ให้ในสมองของคนคิดมากจงมีแต่เรื่องของพระองค์ไปเลย ก็ยิ่งดี


“ข้าจะไปต้มยาให้ท่านดื่มแล้ว”


“พี่ดีใจนักที่ตื่นมาแล้วเจ้ายังพูดคุยได้เป็นปกติ”


“…”


“นึกว่าตื่นมาแล้วจะโกรธกันเสีย”


“ขะ…ข้า”  เมื่อเห็นดวงตาแพรวพราวคู่นั้นที่มองมา และบทสนทนาที่ย้ำเตือนความทรงจำ “ข้าแค่ลืมอายต่างหาก!” ความผิดของคนบ้าบอคนนี้คนเดียว หากเขาไม่พูด เราไม่พูด ต่างคนต่างเงียบและเก็บมันไว้ก็คงไม่มีใครที่จะต้องโมโหจนเลือดลมสูบฉีดเกินไปในยามเช้าแบบนี้


ท่านหมอน้อยนั้นผลักไสพระองค์ออกก่อนจะลุกขึ้นเพื่อออกจากห้องบรรทม อยู่ที่นี่ศศิรู้สึกเหมือนถูกจับตามองไปรอบด้านจนร้อนไปทั้งตัวหมดแล้ว ร้องหาความรับผิดชอบที่ไหนก็ไม่มี คนมักมาก! สิ่งที่ทรงทำลงไป ไฉนเลยไม่ละอายแก่ใจของตัวเองบ้าง เป็นศศิทุกครั้งใช่ไหมที่ต้องอายแทน!


“หากเจ้าจะใจดีกับพี่ที่ช่วยดูแลจนเมื่อยมือไปหมด ช่วยต้มยาหวานๆมาให้ด้วยนะยอดรัก” รู้ทันกันไปหมด ว่าศศินั้นคิดยังไง


แล้วรู้อยู่ใช่ไหมว่าศศิงอนมากๆ และง้อยากๆด้วยตอนนี้!

Talk:
ลงต่อไม่รอแล้วนะ เมอร์รี่คริสมาสต์ข่ะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ










หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 13 : 25/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 25-12-2018 19:59:10
แกล้งน้องเดี๋ยวตีเลย5555 :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 13 : 25/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-12-2018 22:02:37
พี่อาทิตย์นี่ร้ายนะคะ
แมรี่คริสต์มาสค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 13 : 25/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-12-2018 11:08:35
ไม่ปลอดภัยมากๆ กี๊ดดดดดดดดดดดดด
อยากให้ศศิเข้มแข็งไว้เยอะๆนะคับ จะเจออะไรอีกบ้างก็ไม่รู้  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 13 : 25/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-12-2018 22:10:32
แกล้งให้น้องเผลอนะพี่อาทิตย์
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 14 : 28/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 28-12-2018 19:26:10
Finding the twilight
14
มื้ออาหารกับคนสำคัญ
☼ ☽

แต่ละวันของศศิก็ไม่แย่นัก ถึงไม่อาจจะเรียกได้ว่ายุ่งวุ่นวาย แต่ก็มีอะไรให้ทำอยู่ตลอด


เริ่มจากตื่นนอน จัดการตัวเองเรียบร้อยก็ไปต้มยา


“เจ้านี่ปรุงยาบำรุงสุขภาพหรือยาเสน่ห์ใส่ข้ากัน”  วาจาเอ่ยชมแต่ไม่วายจะชอบกลั่นแกล้งเหมือนเดิม ทว่าพอจิบไปได้นิดหน่อย “รสชาติขมปานน้ำเน่าเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เจ้าก็คงเสน่หาไม่ลงเหมือนกัน”  ดวงตาที่หลุบมองไปที่ถ้วยยานั้นไม่ยินดีแต่ก็ไม่ยินร้าย ก็ทรงรู้อยู่ว่าท่านหมอคนงามคำนึงถึงสุขอนามัยของพระองค์เสมอ


“ครั้งนี้ขาใช้ตีนตุ๊กแกตุ๋นลงไปด้วย รสชาติอาจจะแปลกไปเสียบ้าง”


หืม?


“ตีนตุ๊กแกนี่มีสรรพคุณดีมากนะ” เจ้าของตำรับยาเริ่มนำเสนอ ทว่าเจ้าของลิ้นที่ไม่รับรสอันใดแล้วกลับขัดขึ้นมาก่อน


“ศศิ…บอกมาว่าเจ้าล้อเล่น”


“ไม่นะ ท่านถามพี่สาวหน้าห้องได้ นางไปตุ๋นกับข้า”  ยามนี้จะสรวลก็ไม่ออก จะกรรแสงก็ไม่ได้ ทรงวางถ้วยยาบนโต๊ะ ก่อนจะก้มลงไปหยิบถังขยะขึ้นมา


“อย่าบ้วนทิ้งเชียวนะ”  ใบหน้าของพระองค์ชายนั้นเหมือนจะกรรแสงก็ไม่ปาน  “ข้าหมายถึงพืชตีนตุ๊กแก หาใช่ตีนตุ๊กแกจริงๆเสียหน่อย”  เมื่อเห็นเขาหน้าซีดถึงปานนี้ ศศิก็แกล้งต่อไม่ไหวแล้ว แต่จะไม่ให้แกล้งเลยก็ทนไม่ไหวเช่นกัน เขาเองก็เก่งเรื่องกลั่นแกล้งกันมาก ตั้งแต่รู้จักกันมานี่ ได้ขาดดุลกันไปเท่าไหร่แล้ว


นี่แล…สาเหตุที่แต่ละวันตนนั้นแสนยุ่ง
แค่นั่งคิดวิธีเอาคืนบางคนก็ใช้เวลาไปทั้งวันแล้วจริงๆ!


นอกจากการมาต้มยาให้ในตอนเช้า ท่านหมอน้อยก็มักจะเข้าไปคุยกับนางกำนัลที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน ในตอนแรกพวกนางก็เกรงใจที่จะให้ความสนิทสนม แต่ตอนนี้ก็ยินยอมให้เดินเข้าไปดูวัตถุดิบแต่โดยดี เรื่องการปรุงอาหาร ตนก็ไม่ได้ถนัดนัก แต่ว่าในส่วนของการบอกว่าควรใส่อะไรเพื่อทำมาเป็นอะไร ศศิมีความคิดเห็นมากมายที่พวกนางยินดีจะรับฟังและนำไปปรับใช้ตาม


เรามักพูดคุยกันในเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของเจ้าของตำหนัก เฝ้ามองพวกนางทำอาหารกลางวันด้วยความสนใจ ก่อนจะมาร่วมโต๊ะกับองค์ชายรัชทายาทหลังจบมื้ออาหารก็จะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อการย่อยอาหารที่ดี กลับมางีบนิดหน่อยในสภาพที่มีหนังสือเล่มเล็กๆอยู่บนตัว พอตื่นขึ้นมาก็มักจะมีอีกคนมาเนียนๆงีบอยู่ด้วย


เมื่อตื่นเต็มตาและคิดว่าอีกคนคงนอนพอแล้ว ก็ได้เวลาปลุกองค์รัชทายาทจอมขี้เกียจทรงงานต่อ ฟังน้ำเสียงทุ้มพูดเรื่องนโยบาย แผนงาน และความคืบหน้าต่างๆ ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้าง ศศิก็อ่านหนังสือที่ที่ทรงหามามากมาย ทั้งศึกษาตำราการแพทย์ของท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่ดำรงตำแหน่งอาจารย์แพทย์หลวงของสิหราชนคราไปเรื่อยๆ จดคำถามที่สงสัยเอาไว้ เผื่อว่าวันใดได้เจอก็อาจจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน


ตกเย็นก็พยายามหลีกเลี่ยงคนขี้งอแงที่มาขออาบน้ำด้วย ไม่สำเร็จบ้าง แต่ก็สำเร็จเป็นส่วนใหญ่ เฝ้ารอให้ทรงสรงน้ำเสร็จ ก็เดินตามไปนั่งดูองค์รัชทายาทเจ้าถิ่นชำระความเอกสารต่างๆที่คั่งค้างเมื่อเห็นเวลาสมควรแล้วก็เดินไปเกาะโต๊ะมองพระพักต์หล่ออย่างออดอ้อน ก่อนจะจูงพระหัตถ์หนาพาไปนอน


แม้ราชกิจจะวุ่นวายแต่พระองค์ก็พยายามจะอยู่กับศศิให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางวันก็ไม่ได้เจอกันเลยเมื่อทรงเสด็จกลับมา วันนั้นคนใจดีก็อาจจะอนุโลมให้อาบน้ำด้วยได้ ใช้ชีวิตแบบนั้นมาจนเป็นเดือนๆ แขกตัวน้อยผู้เป็นดั่งยอดรักก็เริ่มจะกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งไปกับพระตำหนักชลสินทุ์ ดั่งประสงค์ขององค์อคิราห์ผู้เป็นเจ้าของตำหนัก แต่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่เกินเลยกว่านั้นมันยังไม่เกิดขึ้น และศศิก็ไม่อนุญาตให้มือนวดมายุ่งวุ่นวายกับร่างกายของตนอีก


“จะไม่ให้ข้าแตะต้องหน่อยเลยหรือ”


“ไม่”  ก็แตะทีไร ทรงไม่เคยทำแค่แตะเลย


“แล้วการที่เจ้าอนุญาตให้ข้ามานั่งเพื่อมองดูเจ้าเปลือยเปล่าเช่นนี้ มันไม่มากไปหรือ”  คำต่อว่าอย่างเอาแต่พระทัยทำให้คนอนุญาตให้มาอาบน้ำด้วยหน้าแดง คาดว่าจะโกรธมากกว่าเขินอาย


“งั้นท่านออกไปเลย ข้าไม่ให้ท่านมายุ่งด้วยแล้ว”  ทำอะไรก็ไม่เคยพอใจสักอย่าง งั้นไม่ต้องทำมันสักอย่างเลยละกัน


“ข้าเองก็แค่อยากจะกอดหอมบ้าง เจ้าช่างใจร้าย”  แล้วเขาเล่าไม่ใจร้ายต่อกันเลยหรือ มีสิทธิ์อันใดมาวุ่นวายกับร่างกายของคนอื่นแบบนั้น ตามใจเสียจนเคยตัวหมดแล้ว!


โดยที่ไม่ให้แตะต้อง เมื่อชำระร่างกายเสร็จแล้ว เราก็กลับมาที่ห้องบรรทมทั้งอย่างนั้น เพราะความเหนื่อยล้าตลอดหลายวัน จึงจะทรงเข้าบรรทมเร็วหน่อย องค์รัชทายาทนั้นแม้จะเหนื่อยกับความวุ่นวายในช่วงนี้ แต่ก็ทรงค้นพบว่าการนั่งหวีผมยาวๆของคนรักเป็นการผ่อนคลายประเภทหนึ่ง สำหรับคนที่จับดาบมากกว่าหวีเช่นพระองค์นั้น ก็ไม่คิดเลยว่าจะทรงอ่อนโยนกับใครคนหนึ่งได้ขนาดนี้เหมือนกัน


“เจ้าได้ตัดผมบ้างไหมนี่”


“มีตัดนิดหน่อยแต่ท่านอาจารย์ให้ไว้น่ะ”


“จะว่าไปท่านทิชากรก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ผมยาว”


“ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของครอบครัว แต่นอกจากท่านอาแล้วข้าก็ไม่เคยได้เจอผู้อื่นเลย” ทว่าที่พระองค์ได้ยินมานั้นก็เพื่ออีกเหตุผล แต่ไม่ตรัสออกไปเพราะกลัวศศิจะงอนจึงทรงชวนพูดคุยเรื่องอื่นแทน


“มาอยู่ที่สิหราชนครานี้ตั้งแต่จำความได้เลยจริงๆหรือ”


“อื้ม ในสำนักพยาบาลที่ท่านอชิระสร้างไว้ ข้าถูกเลี้ยงในเรือนไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นั้น พอเริ่มโตรู้ความก็เข้ามาศึกษาเรียนรู้ชวนงาน”


“ตั้งแต่โตรู้ความเชียวหรือ”  ทรงแย้มพระสรวลออกมาเล็กน้อย ศศิต้องเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูแน่ๆ


“อื้ม ไม่ใช่แค่ข้าหรอก ท่านอาจารย์ได้ให้ความรู้ความสามารถด้านการแพทย์แก่ผู้ที่สนใจด้วย”


“งั้นหรือ”


“ลูกศิษย์นั้นไม่ได้เยอะมากมายหรอก ท่านคัดคนอย่างเข้มงวด แต่ข้านั้นเป็นเด็กในสังกัดอยู่แล้วต่อให้ไม่อยากไปคัดตัวก็ต้องเป็นหมออยู่ดี”


“แล้วเจ้าเคยไม่อยากเป็นบ้างไหม”


“มีบ้าง แต่พอเห็นสิ่งที่ทำอยู่แล้วรู้ว่ามีประโยชน์ขนาดไหนข้าเลยชอบการเป็นหมอขึ้นมา”


“งั้นหรือ”


“ต่อสู้ก็ไม่เก่งแม้ท่านอชิระจะพยายามสอนแล้ว ในค่ายนั้นถ้าไม่เป็นหมอ ก็เหลือแค่พ่อครัวกับทหาร ข้าเป็นทั้งสองอย่างหลังไม่ได้เลย”  คำอธิบายนี้ช่างน่าเอ็นดู ถ้าเป็นพระองค์ที่อยู่ที่นั่น หน้าที่ที่ยินดีจะมอบให้คืออยู่เป็นหมอนข้างได้อย่างเดียว ไม่ให้เป็นอื่นใดอีกแล้ว


“งานของเจ้านั้นเหนื่อยไหม”


“เหนื่อย แต่เราก็พยายามที่จะสอนให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีที่สุด การศึกษานั้นสำคัญนะ แต่ที่ชายแดนน่ะ ไม่ค่อยมีโรงเรียนดีๆหรอก คุณครูก็น้อย ดูแลกันไม่หวั่นไม่ไหวจริงๆ”


“…”


“ข้าและท่านอาจารย์เองก็ให้ความรู้คนไข้เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง หากเราสร้างรากฐานที่ดี คนก็จะใช้ชีวิตดี เช่นนี้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆก็จะหมดไป”  ทรงคิดเช่นเดียวกันแต่ไม่เคยตรัสออกมา การกระทำของศศิกับทิชากรนั้นน่าชื่นชมไม่น้อยหน้า คนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกครองที่ดีจริงๆ


เดิมทีทรงไม่คิดเลยว่าคนเป็นหมอต้องทำหน้าที่เหล่านั้นด้วย แค่รักษาดูแลและติดตามอาการก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากแต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านหมอน้อยพูด ทั้งการสร้างหมอรุ่นใหม่ๆขึ้นมาและการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย คำพูดเหล่านี้หากไม่ออกจากปากหมอมันก็จะไม่ดูน่าเชื่อถือเท่าไหร่และสิ่งเล็กๆที่ท่านหมอและท่านอาจารย์หมอทำในฐานะคนที่ต้องการพัฒนาความเจริญให้ทั่วถึงทุกหนแห่งโดยไม่แม้แต่จะเป็นคนในท้องที่นั้นๆมันทำให้อดไม่ได้ที่จะนับถือทั้งคู่จริงๆ


“ศศิ วันพรุ่งนี้เจ้าพอจะว่างไหม”


“ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”  นั่นสิ พระองค์ให้อีกฝ่ายอยู่เหมือนแมวเลี้ยงขนาดนี้ ศศิจะไปไหนได้


“เสด็จพ่อจะมาเสวยอาหารที่นี่ เจ้ามากินกับพวกเรานะ”


“เสด็จพ่อ?”  จริงๆการพบเจอผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่ของศศิเลย แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วน การเจอบิดาของคนรักในตอนนี้นั้นไม่เร็วไปหรือ และบิดาของเขานั้นใช่คนธรรมดาที่ไหน…อคิราห์กำลังหมายจะให้ศศิเจอกับองค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราอย่างนั้นหรือ


“ใยทำหน้าเครียดแบบนั้น พ่อข้าไม่ดุหรอกนะ”


“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”


“แล้วอย่างไหนเล่า”


“ท่านทราบแล้วหรือว่าข้ากับท่านเป็นอะไรกัน”  หรือศศิจะกังวลว่าพระองค์จะไม่ชอบใจที่ลูกชายคบกับหมอบ้านนอกคนหนึ่ง อคิราห์ยิ้มนิดๆก่อนจะลูบหัวทุย  ทรงจับปอยผมที่ปรกหน้ามาทัดหูให้ ก่อนจะกดจูบลงบนปานรูปพระจันทร์ด้วยรักใคร่


เด็กคนนี้ช่างไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย หลังจากเดินทางมาที่นี่เจ้าตัวก็เอาแต่ปิดซ่อนปานนี้ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนอื่นรังเกียจ แต่สุดท้ายก็มั่นใจขึ้นมาเพราะไม่มีใครมองกันด้วยสายตาแบบนั้น แล้ววันนี้เจ้าตัวก็แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาอีก แม้จะทรงเห็นใจแต่ก็อยากจะดัดนิสัยหน่อยๆเหมือนกัน


“ท่านทราบว่ามีคนรัก แต่ยังไม่เคยบอกว่าเป็นเจ้า”พระองค์ทรงตรัสให้ฟังเพื่อสบายใจ ก่อนจะเสริมทับความน่าเชื่อถือ “เรื่องการให้การศึกษาของเจ้าน่าสนใจนัก ข้าอยากให้เสด็จพ่อกับท่านอาจารย์หมอมารับฟัง”  พอพูดแบบนี้ศศิก็วางใจและกระตือรือร้นขึ้นมา หลอกง่าย และเชื่อง่ายเหมือนเด็ก แต่อย่างนี้นั้นดีแล้ว


เมื่อได้เห็นรอยยิ้มเต็มแก้ม พระองค์ก็ทรงประทับจุมพิตลงบนปานนั้นอีกครั้ง เจ้ากระต่ายน้อยเบี่ยงหนีนิดๆ แต่ชอบเหลือเกินเมื่อเขาจูบที่ตรงจุดนั้น จุดที่ทำให้ตนสูญเสียความมั่นใจมาตลอด การกระทำเช่นนี้มันช่วยสร้างความมั่นใจให้กันขึ้นมา แม้จะไม่ได้เยอะจนเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้าได้ แต่ก็ไม่ได้น้อยจนไร้ค่า ศศิกำลังจะเติบโตไปกับรักขององค์ชายอคิราห์คนนี้

☼ ☽


ทว่าเมื่อถึงวันที่ได้เจอ คนที่แสร้งทำเป็นลืมความประหม่าก็กลับมาประหม่าอีกครั้งเมื่อได้พบพระพักต์…


เป็นครั้งแรกที่ศศิโดนความกังวลโจมตีกะทันหันจนต้องถอยไปแอบยืนข้างหลังคนที่ยิ้มรอต้อนรับ ‘องค์เหนือหัวสิหราช’ แห่งสิหราชนครานั้นมีใบหน้าคม แต่ไม่ได้เหมือนกับผู้เป็นลูกชายขนาดนั้น ทว่าใบหน้าคมนั้นดูมีอำนาจแม้จะล่วงเลยมาถึงวัยประมาณหนึ่งแล้วก็ตาม กลิ่นอายของพระองค์และความคิดไปเองของตนทำให้พระองค์ดูน่าเกรงขาม


“ทรงเสด็จมาเร็วกว่าที่กระหม่อมคิดไว้”แม้จะนัดไว้กะทันหันแต่ก็ยังมาเร็วกว่าที่นัดไว้ องค์เหนือหัวทรงมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ได้ยินคำเชิญ และนั่นก็คือเจ้ากระต่ายที่เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบพระพักต์คนนี้


“แล้วนั่นเจ้าไปพาลูกใครเขามา” แม้จะรับทราบมาบ้างแต่ก็ยังไม่วายหยอกเอินด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ ศศิได้แปลงร่างเป็นกระต่ายตื่นตูมไปแล้วโดยสมบูรณ์แบบ


“นี่คือท่านหมอที่ลูกได้เคยเล่าให้ฟัง” อคิราห์เอ่ยแนะนำ เจ้าตัวเล็กที่ยืนเยื้องไปข้างหลังนิดๆก็ค่อยๆช้อนตามองก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงเบาจนแม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดยังยากที่จะได้ยิน แต่ทว่าองค์เหนือหัวทรงไม่ถือสาเอาความใดๆแม้ใบหน้าของพระองค์จะเรียบเฉยยากจะเข้าใจ


เจ้าของตำหนักได้เชิญแขกทั้งสองที่ทรงคุ้นเคยไปยังด้านใน เมื่อต่างคนต่างได้นั่งที่ ศศิก็กลับมานั่งประหม่ากับตนเองอยู่คนเดียวอีกครั้ง ปกติออกจะร่าเริงและเข้ากับคนง่ายแท้ๆ แต่ครานี้กลับรู้สึกกังวลไปหมด แล้วเช่นนี้จะทำให้ผู้ใหญ่ชื่นชอบได้อย่างไร


องค์ชายอคิราห์นั้นเองก็สังเกตเห็นถึงท่าทางแปลกๆของคนรัก สำหรับพระองค์ที่คุ้นเคยกับแขกผู้มาเยือนทั้งสอง มันจึงเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาทั่วไป แต่ท่านหมอน้อยที่เป็นเพียงสามัญชนและยังพ่วงตำแหน่งคนรัก จึงไม่แปลกที่จะมีความกังวล และพระองค์ก็คิดเห็นว่าควรจะทำบางอย่างให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย


“เสด็จพ่อ ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์”  ทรงเริ่มจากการตรัสเรียกผู้มาเยือนทั้งสอง  “อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่ท่านหมอตัวเล็กผู้นี้ชื่อศศพินทุ์ หรือจะเรียกว่าศศิก็ได้” ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวศศิอย่างเป็นทางการ


“เป็นชื่อที่เพราะมาก”  องค์เหนือหัวแห่งอาณาจักรเอ่ยตามความรู้สึก เด็กคนนี้ดูนุ่มนิ่มอ่อนโยนเข้ากันได้ดีกับชื่อและความหมาย


“และศศิก็เป็นคนรักของลูกด้วย”  และนี่คือคำแนะนำตัวจาพระองค์เพื่อทำให้ศศิได้ผ่อนคลายจากความประหม่า


“…”


“…”


แต่อย่างนี้ก็ได้หรือ?!


“ฮื้ออออ”  ศศิจะร้องไห้แล้ว ไหนเราคุยกันแล้วไง ไม่สิ…องค์รัชทายาทไม่เคยพูดว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้


ทรงตรัสแค่ว่ายังไม่ได้บอก!!


“ฮึ” หลังจากที่ได้รับฟังจากพระโอรส องค์เหนือหัวก็แย้มพระโอษฐ์ “เจ้าแน่ใจหรืออคิราห์ว่าได้พูดความจริง ท่านหมอไม่ได้ดูจะยอมรับในตัวเจ้าเลย หรือเจ้าไปบังคับขู่เข็ญกันหรือเปล่า”  เพราะศศิไม่พูด มิหนำซ้ำยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงทำให้คิดเช่นนั้นได้ คนตัวบางรีบหันไปมองหน้าคนรักที่โดนโต้กลับแบบนั้น


“ข้าบังคับตัวเจ้าจริงๆหรือ ศศิ…”  การที่ทรงบีบให้ตอบ ก็ไม่ต่างกับการบังคับกันหรอก


“พระ…พระอาญาเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม ขะ…ข้า…”  ท่าทางที่ดูติดขัดของกระต่ายขี้กลัวนั้นทำให้คนขี้แกล้งทั้งสองต่างพากันสงสาร ความอดทนขององค์ชายอคิราห์นั้นดูจะมีต่ำเหลือเกินเมื่อเป็นเรื่องของศศพินทุ์


“ศศิ…ไม่เป็นไรนะ”  ทรงลูบหลังให้กำลังใจคนที่เป็นกังวลจนพูดไม่ออก เจ้าของดวงตาใสนั้นช้อนมองกัน ก่อนจะกลับไปก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม


“ข้าเคยนึก ว่าเสืออย่างลูกชายข้าจะชื่นชอบแม่เสือสาวยั่วสวาท แต่เมื่อได้เจอท่านหมอ ข้ากลับโล่งใจเหลือเกิน”


“….”


“ในฐานะพ่อของอคิราห์ ข้าก็ต้องขอฝากลูกชายให้เจ้าช่วยดูแลต่อไปด้วย”  เมื่อศศิเงยหน้าขึ้นมามอง ก็ได้เห็นกับเจ้าของพระเนตรดุนั้นยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เป็นมิตรจนทำให้หัวใจที่แห้งผากรู้สึกชุ่มชื่น ไม่มีอะไรทำร้ายกันเกินไปกว่าความคิดของตัวเองจริงๆ


หลังจากนั้นเราก็พูดคุยถึงเรื่องพิษชาดสีดำที่องค์รัชทายาทผู้โชคร้ายต้องพิษร้ายแรงของมันถึงสองครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าแค่การช่วยเหลือที่ศศิเคยมองว่ามันเล็กๆน้อยๆ แท้จริงแล้วสามารถกอบกู้ปัญหาทางการเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดได้เลย ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่มาด้วยก็สนใจวิธีการทำสมุนไพรต้านพิษไม่น้อย หลังจากการทักทายอันแสนอึดอัดของพวกเรา บทสนทนาดก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นในช่วงหลัง


นอกจากนั้น ศศิยังได้มีโอกาสพูดคุยถึงพื้นที่ที่อยู่ชายแดนหรือพื้นที่ทุรกันดารต่างๆถึงปัญหาการเข้าถึงของการแพทย์และการศึกษา เราร่วมถกกันเรื่องบ้านเมืองจนเกือบลืมเวลา และในที่สุดก็มีความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


“ข้าชอบคนรักของเจ้าเยี่ยงนัก ลูกชาย”  องค์เหนือหัวทรงกล่าวออกมาด้วยความเอ็นดู แต่ดูเหมือนว่าพระโอรสจะหาได้คิดเช่นนั้นไม่


“ศศิเป็นของกระหม่อม”


“เจ้านี่มันจริงๆเลยนะ”  มาถึงตอนนี้พระองค์ก็จะไม่ส่งมอบคนรักให้ใครง่ายๆแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นบิดาหรอก ไม่รู้หรือว่าศศิหายากขนาดไหน ความลำบากที่พระองค์ได้พบเจอ พิสูจน์แล้วว่าถ้าไม่ไปเยือนประตูทางเข้ายมโลก ก็จะไม่ได้คนรักสุดวิเศษนี่มาไว้ในมือ


ในที่สุดผู้ใหญ่ทั้งสองก็จากไป โชคดีที่การสนทนาในเวลาต่อมาเป็นไปในทางที่ดีเยี่ยมนัก ศศิดูร่าเริงจนลืมโกรธกันเรื่องที่ทรงตรัสออกไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นความลับ แต่จะไม่ให้ไม่อวดนั้นไม่ได้หรอก ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ เป็นต้องเดินควงไปรอบพระราชวังแล้ว


“เบื่ออาหารในตำหนักบ้างหรือไม่”  ทรงเอ่ยถามด้วยพระสุรเสียงที่นุ่มเสียจนยังนึกขันตัวเอง


“ก็ไม่นะ” 


“แปลว่าไม่อยากเดินในตลาดกับข้าแล้วสิ”


“ตลาดหรือ ไปสิ!”  จริงสินะ ตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่ ศศิก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะต้องอยู่แต่ภายในตำหนักตามที่ทรงขอมา “แต่ว่ามันจะไม่เป็นไรหรือ”


“ก็อาจจะแต่ข้าอยากพาเจ้าไปเที่ยว” มันก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากระวังตัวเองและอีกคนให้ดีที่สุด แค่เพียงรอยยิ้มดีใจของศศิ


ก็เหมือนจะคุ้มค่าให้ทรงทำทุกอย่างให้แล้ว


☼ ☽


“เจ้าคิดว่าเป็นเด็กคนนั้นใช่หรือไม่”  องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครา เมื่อแยกจากตำหนักขององค์รัชทายาทมาแล้วก็มิได้เสด็จกลับมาพักผ่อนอย่างที่ได้เอ่ยบอกไว้ ทว่ากลับมานั่งหารือในห้องทรงงานกับแพทย์ประจำพระองค์ที่ไปที่นั่นมาด้วยกัน


“มีความเป็นไปได้สูงพะยะค่ะ ว่าศศพินทุ์จะเป็นเด็กที่ทางนั้นพาตัวหนีมาจากคีรีธารา”


“เหตุผลเล่า”  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อสันนิษฐานนั้นเป็นความจริง ทุกอย่างที่ออกจากปากในยามนี้ไม่ควรเป็นการสุ่มเดา หากศศพินทุ์เป็นคนจากตระกูลนั้น เราจะให้ใครรู้ว่าเด็กคนนี้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ไม่ได้


“กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าสูตรตำราการสกัดพิษชาดสีดำนั้นเป็นของทางนั้น การรักษาก็ทำได้อย่างแม่นยำ  รู้ลึกถึงขนาดการสร้างภูมิต้านทานหากได้รับพิษในครั้งต่อๆไป”  จริงๆแล้วชาดสีดำนั้นจะถูกใช้ในกลุ่มของนักฆ่าของคีรีธารา แต่กระนั้นในกลุ่มผู้ใช้เองก็มีน้อยที่จะรักษาพิษได้ หากต้องพิษ ทางที่ดีที่สุดคือเข้าหาผู้เชี่ยวชาญ


และนั่นคือตระกูล‘จันทราปราการ’  ผู้คิดค้นสูตรยาพิษนี้ขึ้นมา


“กรณีขององค์ชายอคิราห์ ทรงได้รับพิษในครั้งที่สองแต่ไม่เป็นอะไรเลย คาดว่าอาจจะได้รับการรักษาและให้ยาต้านจากคนของจันทราปราการ”


“เพียงเหตุผลที่เจ้าพูด มันยังอ่อนเกินไป”


ข้อมูลการหายสาบสูญของคนในตระกูลนี้ขึ้นชื่อว่าลึกลับเหลือเกิน บ้างก็ว่าถูกไล่ล่าฆ่าตายเงียบๆจากคนของคีรีเขตที่พยายามโค่นล้มระบบกษัตริย์ของคีรีธารา บ้างก็ว่าพวกเขาหายเข้าป่าไปเฉยๆ แต่มีหนึ่งทฤษฎีที่น่าครุ่นคิด


คือการหลบหนีมาอาศัยอย่างผิดกฎหมายในสิหราชนครา…


“ที่กระหม่อมได้ยินต่อๆกันมาว่ากันว่าพวกจันทราปราการจะไม่ตั้งชื่อลูกหลานให้มีความหมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกับนามสกุล เพราะตนเป็นเพียงสาวกของเทพแห่งดวงจันทร์จึงไม่คู่ควร”


“….”


“ยกเว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นคนสำคัญหรือเกิดมาในวันสำคัญ”  เมื่อทรงสดับรับฟังมาถึงตรงนี้ พระองค์เองก็ไม่อยากจะงมงายเชื่อคำของโหราจารย์ต่างๆที่เคยกล่าวกันไว้ถึงวันที่เกิดจันทรุปราคาเมื่อ 20 ปีก่อนนี้หรอก แต่พอได้เจอเด็กคนนั้นในตำหนักชลสินทุ์ เรื่องที่ได้ยินมาก็กลับมามีบทบาทความสำคัญในพระทัย อีกทั้งชีวิตของพระองค์ก็มีเรื่องลี้ลับมากมายก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงมองเห็นความสอดคล้องของมัน


“ควรไม่ควรแล้วแต่จะโปรดเกล้า”  ใช่…เชื่อหรือไม่มันก็อยู่ที่พระองค์เอง เราไม่อาจจะทราบได้ว่าศศิเป็นคนของจันทราปราการ หรือไม่แม้แต่จะทราบได้เลยว่าความสำคัญของเด็กคนนั้นในฐานะจันทราปราการเป็นเช่นไร ไฉนชะตาชีวิตจึงต้องตรากตรำดิ้นรนมาจนถึงแผ่นดินไกลบ้านเกิดเมืองนอนอย่างที่นี่


หรือพระอาทิตย์กับพระจันทร์จะต้องอยู่เคียงกัน?


“อืม…”  ไม่หรอก เรามิอาจจะรับทราบเรื่องราวที่เบื้องบนกำหนดได้ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ไม่เคยปรากฎขึ้นมาบนฟ้าพร้อมกัน แล้วไฉนจึงควรคู่จะอยู่ร่วม


“ทรงคิดอะไรอยู่หรือพะยะค่ะ”


“กำลังคิดว่าถ้าหากเป็นที่เจ้าพูดจริง นี่มันคือบุพเพสันนิสวาสหรือกระไร”


“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้พะยะค่ะ”  ท่านหมอหัวเราะออกมาเบาๆ พระอาทิตย์กับพระจันทร์ อคิราห์กับศศพินทุ์งั้นหรือ


“ถ้าหากเป็นที่เจ้าว่าจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กคนนั้นอาจจะสร้างโอกาสที่ดีบางอย่างให้ราชวงศ์ของเรา”


“หรือพระองค์จะทรงสนับสนุนให้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นสนมในพระโอรส แข่งกับองค์ราชีนีที่กำลังพยายามผลักดันผู้อื่นอยู่”


“นั่นสินะ”  องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครานึกขัน ไม่เคยเป็นหน้าที่หรือความใส่ใจของพระองค์ที่จะหาเมียให้ลูกชายเท่าแม่ของเขาแต่จนป่านนี้อคิราห์ก็ยังไม่มีใครเป็นเรื่องเป็นราวให้พบเจอ จนกระทั่งที่เจ้าตัวแนะนำให้รู้จักเอง


แต่มันดีแล้วหรือไรที่จะทรงไปแย่งลูกใครหลานใครมาให้อคิราห์ ศศพินทุ์นั้นอาจจะถูกจองไว้ให้กับกษัตริย์หรือคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองอื่นแล้วก็เป็นได้แต่ก็น่าแปลกที่อพยพหนีมาโดยไม่ได้รับการคุ้มครองจากทางฝั่งไหน จนอชิระที่เป็นแม่ทัพของสิหราชนคราเข้ามาให้ความช่วยเหลือดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เด็กคนนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นของใคร


เพราะถ้าหากเป็นพระองค์แล้ว ถ้าทรงให้หมั้นหมายกับอคิราห์ตั้งแต่เยาว์วัย ราชวงศ์ก็จะไม่มีวันปล่อยให้คนที่มีดวงชะตาแบบนั้นไปอยู่ที่ไกลสายตา คำทำนายนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้แต่ไม่มีใครยอมเสี่ยงปล่อยคนที่มีดวงสนับสนุนราชวงศ์แบบนั้นไปง่ายๆ


“ฮึ”  ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเจ้าตัวแสบเอาลูกชาวบ้านเขามาตีตราจองนอนกินกันอยู่ในตำหนักเสียแล้ว ต่อจากนี้ต่อให้ใครมาอ้างในตัวเด็กคนนั้นว่าเป็นสิทธิ์ของใครก็คงต้องอ้างในสิทธิ์แห่งความเป็นจริงทางฝั่งเราเข้าสู้


ได้ชื่อว่าเป็นประโยชน์กับสิหราชวงศ์และเป็นความต้องการของพระโอรส
องค์เหนือหัวก็ยอมไปหมด แม้จะต้องกรีฑาทัพไปจัดการให้เด็ดขาดกับใครก็ตาม


คงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องศีลธรรมอะไรอีกความใกล้ชิดแบบนั้นก็พาให้คนคิดไปในทางลึกซึ้งได้ และต่อให้ทรงมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่าดีที่สุดในใจพระโอรสอีก แววตาคู่นั้นบอกพระองค์ดี ว่าคงไม่มีใครเหมาะกับอคิราห์ได้เท่าศศิแล้ว ดังนั้นในฐานะองค์เหนือหัวสูงสุดจึงต้องรีบตักตวงผลประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ให้ได้ ก่อนที่อคิราห์จะพลาดท่าให้กับเล่ห์กลของคนที่หมายมั่นจะแทงข้างหลังหาผลประโยชน์ที่ไหน


ขอโทษนะศศิ…
แต่เรามีความจำเป็นที่จะต้องให้เจ้ามอบครรภ์แก่สิหราชวงศ์เพื่ออคิราห์จริงๆ


TALK
เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วจิ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน5555
ตอนนี้ไปเปิดเรื่องของน้องวิน พระเอกตัวจริงของเรื่อง #เจนไม่นก ไว้
ลงในเจนไม่นกนั่นแหละค่ะไม่ได้เปิดเป็นเรื่องใหม่ ไปติดตามกันได้นะคะ
น้องโตเป็นหนุ่มแย้วกำลังจะมีแควนคนแรกและคืนพี่เจนให้คุณป๋า (คุณรบจะได้เข้าโหมดแฮปปี้เอ็นดิ้งจริงๆซักที)
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 14 : 28/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-12-2018 23:53:03
แสดงว่าคนรุ่นพ่อรู้เรื่องกันทุกเมืองเลยสินะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 14 : 28/12/2018 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-12-2018 02:36:11
เอาล่ะคนพ่อมีแผนการแล้ว  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 15 : 29/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 29-12-2018 19:22:37
Finding the twilight
15
ความไม่มั่นคง
☼ ☽

เป็นช่วงสัปดาห์แรกที่…เราแทบไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกันเลย


หรือบางทีก็ไม่ได้กลับมานอนที่ตำหนัก พระราชกิจนั้นจะว่ายุ่งก็ยุ่งอยู่แล้ว แต่มันไม่เคยเกินมือขนาดนี้มาก่อน ถึงกระนั้นศศิก็ทำได้แค่เพียงส่งใจช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีทว่าการทานข้าวคนเดียว มันก็หว้าเหว่จนเกินไป มากจนตนเองก็ไม่เคยคาดคิด


กำลังทำอะไรอยู่นะ…นี่คือความคิดตลอดทั้งวันของคนที่เต็มไปด้วยความคิดถึง แม้ว่าท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์จะแวะมาหาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการรักษาโรคต่างๆและสมุนไพรอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องอยู่มาคนเดียว ความเหงาก็ก่อตัวขึ้นมาจนแทบจะทนไม่ไหว ในคืนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้พบใบหน้าอันเป็นที่รักไหม ก็ไม่มีใครตอบกันได้เลย


“ท่านศศิจะไม่รับขนมหรือเจ้าคะ”


“ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากนะ”


“แต่ท่านศศิไม่รับขนมมาหลายมื้อแล้วนะเจ้าคะ”  กับศศิที่ชื่นชอบของหวานมากที่สุดการงดของหวานเช่นนี้ก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย และเพราะอาจจะทำให้คนอื่นเสียน้ำใจที่พวกเขาต่างตั้งใจทำมาเอาใจกัน ในที่สุดก็ต้องยอมกินอาหารว่างเพื่อทำให้พวกเขาสบายใจ ทั้งๆที่ภายในหัวใจของตนนั้นอึมครึมจนไม่อาจจะลิ้มรสหวานแล้วรู้สึกหวานได้เลย


ฟ้าเริ่มจะมืดลง เจ้าของร่างงดงามนั้นค่อยๆหย่อนตัวลงในสระน้ำส่วนพระองค์ที่วันนี้เจ้าของก็ยังไม่กลับมาใช้งาน ด้วยเห็นว่ายอดรักของเจ้าของตำหนักนั้นดูจะเงียบเหงา เหล่านางกำนัลจึงพากันเอาอกเอาใจด้วยการดูแลเป็นพิเศษ คงจะหวังให้การแช่น้ำที่เจ้าตัวชื่นชอบจะช่วยทำให้เบาสบายไปทั้งกาย แต่ความหนักอึ้งในใจอย่างไรก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย


“คิดถึงพี่ไหม” 


ทว่าเสียงกระซิบที่ข้างหูก็ทำให้คนที่สดับรับฟังเสียงต้องรีบหันกลับมาหา  ดวงตาที่ดูจะเลื่อนลอยในช่วงหลายวันพลันกลับมามีประกายสดใสอีกครั้ง ศศิที่น่ารักขนาดนี้ทำให้อดใจไม่ไหวต้องฉกจูบที่ริมฝีปากอิ่มนั่นแรงๆ ไม่ได้เจอตั้งหลายวันเมื่อกลับมาเจออีกครั้งและได้เห็นอีกคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคิดถึงทั้งการแสดงออกและแววตา ก็ทรงเอ็นดูจนอยากจะฟัดแรงๆให้สมกับความน่ารักที่คุ้มค่าราคาคนึงหาของพระองค์นัก


“อื้อ”  ยิ่งได้สัมผัสก็ทรงอยากจะใกล้ชิดให้มากขึ้น ทรงฉกฉวยความหอมหวานของผิวแก้ม ลำคอ จนอีกฝ่ายต้องถอยหนีส่งให้พระองค์ต้องลงมาในสระไปด้วยกันอ้อมแขนแกร่งโอบกอดร่างบางเอาไว้โดยไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ก่อนจะพาอีกฝ่ายไปนั่งที่ข้างขอบสระ


“คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”


“อืม”  แล้วทำไมไม่กลับมาหากันให้เร็วกว่านี้ คำถามนี้อยู่เพียงในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป คนตัวเล็กที่แทบจะจมหายไปในอ้อมอกทำเพียงสัมผัสพระพักต์แผ่วเบาๆ ไม่ได้เพื่อความเอ็นดู แต่เพื่อให้ผ่อนคลาย


ในที่สุดพระองค์ก็ฝากตัวเองไว้กับไหล่บาง ใบหน้าหล่อที่เอียงซบนั้นดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เป็นเช่นนี้ต่อให้น้อยใจแค่ไหนศศิก็ได้แต่โทษตัวเองที่คิดมากมายอย่างเห็นแก่ตัว มือเล็กยังคงลูบหัวให้ราวกับพระองค์เป็นเด็กๆอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกที่เราร่วมสร้างค่อยๆก่อให้เกิดความอบอุ่นในใจศศิ..กำลังสร้างบ้านหลังเล็กๆในพระทัยขององค์ชายผู้สูงศักดิ์


หลายวันมานี้ทรงต้องดูแลพระราชกิจตามรับสั่งขององค์เหนือหัวที่มอบหมายมาให้กะทันหัน วุ่นวายจนบางครั้งเผลอบรรทมหลับคากองเอกสารเลยก็ว่าได้ กระนั้นแล้วที่จะน่าสงสารที่สุดก็ไม่พ้นตัวคนรักของพระองค์ที่เฝ้ารอ ตลอดเป็นเดือนๆที่ศศิไม่ได้ออกไปไหน แม้จะไม่มีพระองค์เคียงกาย แต่ก็ยังคงรอตามที่ทรงได้ขอไว้อย่างใจเย็น


หลังจากที่ศศิขึ้นจากสระ พระองค์ยังคงอยู่ชำระร่างกายต่อไปเงียบๆคนเดียว เมื่อออกมาที่ห้องบรรทม ภาพของศศิที่กำลังหวีผมยาวของตนก็ทำให้เผลอแย้มพระสรวลออกมา ช่างเป็นภาพที่น่ามองเหลือเกิน เมื่อคนงามเสร็จกิจการหวีแปรงผม อคิราห์ก็เข้าช้อนขึ้นมาอุ้มก่อนจะค่อยๆวางลงบนพระแท่นบรรทมอย่างทะนุถนอม ดวงตาของพระองค์ที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความรัก


พระโอษฐ์บางนั้นเคลื่อนเข้าหากันเรื่อยๆจนกระทั่งมันแนบสนิท ทรงค่อยๆบดคลึงริมฝีปากอิ่มที่จะไม่ยอมยกให้ใครอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อยๆกดย้ำมันลงไปให้แนบแน่นยิ่งขึ้น คนตัวเล็กที่ไม่ค่อยประสีประสากลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ความลึกซึ้งที่ทรงมอบให้ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง อ้อมแขนเล็กถูกยกขึ้นมาโอบรอบคอ ส่งให้จูบของเราลึกซึ้งขึ้น หวานขึ้น ชวนให้ลุ่มหลงมากขึ้น


ทว่ากลับผละออกมาแม้จะสุดแสนเสียดาย แต่ก็ไม่วายต้องกลับไปชิมความหวานจากมุมปากและแก้มใส ก่อนพระองค์จะคว้ามือซนของศศิไว้มาประสานมือกัน กักขังร่างบางไว้ใต้ร่าง กักขังหัวใจของศศิไม่ให้ไปไหน เสียงครางหวานที่ดังอยู่ตรงข้างหูนั้นทำให้มีรอยยิ้มขณะที่กำลังกดจูบลงที่แก้มและย้ำหนักตรงปานสีดำแดง ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆและกอดไว้ด้วยแสนคิดถึง


“เจ้าคงเหนื่อยแล้ว”  กดจูบที่หน้าผากเนียนอีกครั้ง  “พักผ่อนกันเถิด”  และเป็นอีกครั้ง


ที่ไม่ได้ก้าวล้ำไปยังเขตส่วนตัวอีกเขตของคนรัก…


องค์ชายอคิราห์ก็อาจจะยังไม่เข้าสู่นิทราอย่างที่พยายาม และศศินั้นก็เพียงแค่นิ่งเงียบแสร้งทำเป็นหลับใหล แม้ในใจกำลังถามคำถามวนไปวนมา ตั้งแต่ตกลงปลงใจจนก้าวข้ามจุดที่เป็นแค่คนไข้และหมอกลายมาเป็นคนรัก พัฒนาการทางความสัมพันธ์ก็จัดได้ว่าเติบโตขึ้น แต่บางอย่างก็เหมือนจะหยุดชะงักอยู่กับที่


เป็นเพราะเคยขัดขืนไปงั้นหรือเขาจึงเกรงใจไม่กล้าล่วงเกินกันมากกว่านี้ แม้ว่าจะยังไม่ทราบใจตัวเองแน่ชัดว่านี่คือสิ่งที่สามารถมอบให้ได้จริงๆหรือไม่ แต่ส่วนลึกบางส่วนในใจก็อยากให้เขาทำอะไรต่อกันมากกว่านี้ ทว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายเกินไปที่จะเอ่ยปากขอต่อให้มันเป็นความต้องการของศศิจริงๆก็ตาม


ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายนั้นไม่อาจจะช่วยผูกมัดอะไรระหว่างกันได้เลย แต่ก็อยากถูกกอดรัดอย่างลึกซึ้งสักครั้งดู


ในวันรุ่งขึ้นยามที่ศศิยังไม่ตื่นดีนัก ริมฝีปากที่ได้แนบประทับบนหน้าผากก็ทำให้งัวเงียตื่นขึ้นมา ภาพเด็กงอแงงัวเงียช่างน่าเอ็นดูจนใจหายทำให้คนที่แข็งใจตื่นไปทำงานนั้นเกือบจะทนไม่ไหวทรุดตัวลงไปนัวเนียข้างๆคนที่บิดกายไล่ความขี้เกียจผู้อ่อนเดียงสา ไม่ได้ทราบว่าสภาพของตนทั้งน่าเอ็นดูและน่าย่ำยีขนาดไหน


“จะไปแล้วหรือ”  น้ำเสียงที่ติดจะแหบนิดๆนั้นออกมาจากปากของศศิที่กลับไปหลับตาซบหมอน


“ใช่แล้ว ข้าต้องเดินทางไปต่างเมืองน่ะ”


“อืม…”


“เป็นเด็กดีนะ”


“ศศิจะเป็นเด็กดี”  เด็กขี้เซา เจ้าพูดเช่นนี้แล้วใยกลับไปหลับต่อราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเล่า บุรุษผู้รักและเทิดทูนเจ้ากระต่ายน้อยกว่าใครสะบัดหัวแรงๆ ทรงหักห้ามใจและจากมา


ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเราจำต้องห่างกันไปอีกนานแค่ไหน


หลังจากนั้น ศศิไม่อาจจะข่มตาหลับได้อีกเลยเมื่อรับทราบถึงความเป็นไปได้ว่าวันนี้องค์ชายอคิราห์จะไม่เสด็จกลับมาที่ตำหนักอีกแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขมันสั้นเกินไป สั้นจนต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ไม่อาจจะเก็บน้ำตาได้ ในที่สุดมันก็ไหลออกมาเอง แม้เพียงหนึ่งหยดก็รับรู้ได้ว่าขอบความอดทนของตนเองนั้นมีเขตจำกัดอย่างน่าเหลือเชื่อ หากชายคนนั้นจะมีความอดทดในเรื่องของศศิต่ำเหลือเกิน


ศศพินทุ์คนนี้ก็ช่างอ่อนไหวง่าย หากเป็นเรื่องของพระองค์ชายคนนั้นเช่นกัน


☼ ☽


ไร้การติดต่อ…จากอคิราห์เป็นเวลาถึง 5 วัน


มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้จะไถ่ถามใครก็ไม่สามารถตอบได้ หากมีอิสระกว่านี้ตนย่อมออกไปตามหาตามที่ตัวเองตั้งใจ แต่เพราะรับปากไว้ว่าจะไม่ออกไปไหน จึงทำให้การเฝ้ารอที่ไร้จุดหมายยิ่งแปรเปลี่ยนให้แต่ละวันผ่านไปได้ยากเย็น หากพ้นอาทิตย์นี้ไปแล้วทรงยังไม่เสด็จกลับมาหา เห็นทีว่าจะอยู่เฉยต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว


แม้จะต้องเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวเพื่อได้ไถ่ถาม ศศิก็จะทำ!


ด้วยไม่อาจจะอยู่เฉยๆให้ความรู้สึกกัดกิน ท่านหมอน้อยจึงหาเรื่องทำนั่นทำนี่เท่าที่จะนึกออก แต่แม้จะหาเรื่องทำได้มากมาย ทว่าไม่ว่าทำอะไรก็มักไม่ได้ดั่งใจ จนกระทั่งมาชงชาดอกไม้ด้วยตนเองในห้องครัวใหญ่ ศศิก็ทุ่มเทความสนใจกับการจัดแต่งจานขนมจนแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าที่แห่งนี้เกือบจะไร้ผู้คน


แต่ก็ยังมีผู้คนที่คิดว่าห้องนี้ไม่มีใครอื่นอยู่เช่นกัน…


“เจ้าได้ยินที่นางกำนัลตำหนักองค์ราชินีคุยกันหรือเปล่า”


“อืม หรือที่องค์ชายไม่เสด็จกลับก็เพราะเหตุนั้น”


“ทรงผลักดันคุณหนูอภิชญาให้เป็นราชินีองค์ถัดไปจริงๆงั้นหรือ”


“ความเหมาะสมนั้นก็เหมาะสมอยู่หรอก แต่องค์ชายอคิราห์ไม่ได้มีท่านศศิอยู่หรือ”


“…”


“น่าสงสาร แต่ไม่กลับมาเช่นนี้ ก็อาจจะไปพบว่าที่พระคู่หมั้นที่กำลังอยู่ที่บ้านพักตากอากาศจริงๆ”


“ทางองค์ราชินีคงคิด ว่าหากองค์ชายมีทายาทกับคุณหนูอภิชญาได้ คงจะช่วยคานอำนาจบางอย่าง”


“ไม่ใช่ว่าพระนางและองค์เหนือหัวอยากให้มีทายาทกันอยู่แล้วหรอกหรือ ได้ยินคนพูดว่าพระองค์ถูกกดดันเรื่องขึ้นครองราชย์ แต่พวกขุนนางบางฝ่ายก็อยากให้มีทายาทก่อน พอขึ้นแล้วจะได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเลย ไม่ต้องให้ญาติผู้น้องหรือสายเลือดใกล้ชิดคนอื่นขึ้นแทนเหมือนตอนองค์เหนือหัวกับองค์ชายอชิระ ไม่สิ…ท่านแม่ทัพอชิระ”


“สายเลือดใกล้ชิดที่ว่าก็คือพวกที่ลือกันว่าพยายามลอบปลงพระชนม์นะหรือ เพราะอย่างนี้สินะ จะได้ประกาศตนครองราชย์ต่อได้เลย หากองค์ชายไม่ทายาทก็ถือว่าราชวงศ์สิ้นสลายเลยนะ”


“ตอนแรกข้าไม่เชื่อข่าวลือนั่นเลย แต่พอไม่เสด็จกลับมาอย่างนี้ก็…ว้าย!ท่านศศิ!?!”  ในที่สุดก็ถูกจับได้สินะ ว่ากำลังแอบฟังอยู่


หากเป็นในยามปกติ ศศิก็คงจะยิ้มและขอโทษที่เสียมารยาท ทว่าเรื่องที่ได้ยินนี้มันอื้ออึงอยู่ในหัว ร่างกายของศศิเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง สองขาของตนนั้นพาร่างที่โอนเอนนั่นออกไปจากที่นี่ ไม่มีการมองหน้าใครที่กำลังเดินสวนหรือทักทายกลับ สิ่งที่ต้องการอาจจะเป็นความเงียบ ศศิจึงเข้าไปในห้องบรรทมของเจ้าของตำหนักและขังตัวเองไว้ที่นั่น


นี่มันอะไรกัน?  สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ นี่มันอะไรกัน?
อภิชญา ทายาท…และราชวงศ์สิ้นสลาย?


แววตาสุกวาวคู่นั้นสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มร่างบางผู้หนึ่งที่กำลังสับสนในข้อมูลต่างๆที่ตนเพิ่งได้รับ คู่หมั้นอย่างนั้นหรือ? ผู้ชายคนนั้นที่บอกกันว่ารักมากนั้นมีคนอื่นอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร ทำไมศศิไม่เจ็บปวดเจียนตายแบบที่ควรจะเป็น ทว่ากลับรู้สึกชาไปหมด ราวกับว่าแผลที่แทงนี้มันสดใหม่เกินไป และต่อจากนี้ความเจ็บปวดจะเข้าโจมตีกันจริงๆจังๆ


เมื่อมองไปรอบห้อง ที่ๆศศิแสวงหาซึ่งความเงียบงันนั้นแท้จริงมันไม่มีอยู่เลย ปวดหัวใจ…ความรู้สึกแรกที่ชัดเจนหลังอาการชาเมื่อครู่ได้เกิดขึ้นแล้ว ร่างเล็กนั้นค่อยๆทรุดลงนั่งกับพื้นและกุมอกซ้ายของตน มันกำลังเต้นช้าลงอย่างนั้นหรือ ก็ไม่…มันก็เต้นปกติเหมือนทุกวันนั่นแล สัญญาณแห่งการมีชีวิต ตอบศศิมาว่าตนยังไม่ตาย แต่ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าก้อนเลือดนั้นกำลังค่อยๆเคลื่อนลงต่ำเรื่อยๆ หรือว่านี่คืออาการที่เรียกว่าปวดหน่วง?


นี่เราได้ชอบเขาไปขนาดนั้นแล้วหรือ ทั้งๆที่คิดว่าอาจจะยังไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้นแท้ๆ แต่หากเจ็บปวดขนาดนี้ คงจะชัดเจนแล้วว่าใช่…ศศิเผลอใจไปแล้วทั้งหมดจริงๆ


“ท่านศศิเจ้าคะ จะรับอาหารกลางวันที่ห้องทานข้าวหรือที่ไหนดีเจ้าคะ”  นางกำนัลคนหนึ่งนั้นพยายามเคาะเรียกแต่สักพักแล้วคนข้างในก็ไม่ตอบสักที หากปล่อยไว้นานกว่านี้พวกนางคงกระวนกระวายหาอะไรมาพังประตู เพราะห้องบรรทมขององค์รัชทายาทพังก็ซ่อมได้ แต่คนสำคัญ…ไม่มีใครรู้เลยว่าจะหาคืนมาได้ที่ไหน


“ข้าไม่หิว”


“แต่ว่า…”


“เถอะนะ”  ศศิขอร้อง


ในตอนนี้แม้ไม่มีที่ไหนที่ให้ความสงบใจได้
อย่างน้อยก็ขอให้อย่าได้มีใครมาวุ่นวาย…


ทว่าในที่สุดก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงมื้อเย็น คงเป็นเพราะนางกำนัลคนหนึ่งได้เอ่ยบอกกับท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ ศศิจึงต้องมานั่งทานอาหารเย็นกับท่านที่มาเยี่ยมเยือน ดวงตาของศศิบวมช้ำ แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะหลบหลีกเมื่อมีผู้มาหาด้วยความเป็นห่วงได้


“เจ้าดูไม่ค่อยดีเลย วันนี้ควรจะอาบน้ำพักผ่อนแต่หัววัน” 


“ขอบคุณท่านอาจารย์หมอมากที่เป็นห่วง” แขกผู้มาเยือนนั้นเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี ศศิก็ขอบคุณตามมารยาท ทว่าในยามนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะนอนหลับหรือได้ไม่  โรคแห่งความรักนั้น ต่อให้อ่านตำรามากมายแค่ไหน ก็ไม่มีเล่มใดที่บอกวิธีรักษาให้หาย และศศิมั่นใจว่าต่อให้หายตอนนี้ มันก็จะไม่มีวันหายขาด


“หากเจ้ากังวลเรื่องขององค์รัชทายาท มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้หรือไม่”


“…”


“หากเป็นกังวลและอยากระบาย ข้าก็ยินดีจะรับฟัง”


“ขอบพระคุณท่านมาก แต่ข้าไม่เป็นไร” 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”  เหตุผลที่ปฏิเสธไป ไม่ใช่ว่าตนเองไม่เป็นไรอย่างที่พูด ศศินั้นถึงจะโกหกไม่เก่งแต่บางทีก็ทำมันบ้าง ทั้งนี้มันคือกระบวนการปกป้องดูแลตัวเองแบบหนึ่ง อนึ่งเรื่องความรักก็มีความสำคัญไม่ต่างกับเรื่องส่วนตัว ต่อให้มั่นใจในตัวที่เข้ามาถามเรื่องส่วนตัวแค่ไหน ก็ไม่อาจจะระบายได้อย่างใจนึกอยากหรอก


ทางออกของความไม่เข้าใจที่ค้างคาอยู่นี่ ทางออกย่อมมีให้เห็นการรับฟังคนอื่นแม้มันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ได้นำพาให้ตนเข้ามาสู่ภาวะไม่มั่นคงเช่นนี้แล้ว การจะเยียวยาตัวเองจากภาวะนี้มีเพียงคนเดียวที่ทำได้ คำพูดของเขาจะช่วยให้ศศิได้ใช้สมองคิดตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไร แต่ปัญหาหนึ่งเดียว…คือเมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน


เพราะมีเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ที่จะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่กัน
และจนกว่าจะได้พบกับเขาคนนั้น ศศิก็จะไม่ตัดใจ!


ถึงจะมีความคิดที่ดูเกรี้ยวกราดประมาณหนึ่ง แต่จริงๆแล้วศศิก็ทำได้แค่นั่งใจเต้นแรงอยู่ในห้องบรรทมหลังจากที่วัชรินทร์ผู้หวังดีได้กลับไปแล้ว ร่างกายของตนในยามนี้เหมือนจะผิดปกติ เหมือนกับว่ากำลังต้องพิษหรืออะไรบางอย่าง การอาบน้ำก็ไม่ได้ช่วยให้เย็นลงได้ หรือเพราะว่านี่เป็นอาการข้างเคียงจากความเครียดที่กำลังเผชิญ ใจของศศิกำลังเต้นแรง แต่ชีพจรยังปกติ เหงื่อกาฬเริ่มไหลออกมา ใบหน้าก็แดงราวกับมีพิษไข้


จึงดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ ค่อยๆผ่อนลมหายใจเข้าออก รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังทรมานทว่าตัวท่านหมอเองก็ไม่มีอารมณ์มาวินิจฉัยโรคอะไรในตอนนี้ เอาเป็นว่าดีขึ้นก็ดีแล้ว ศศิจึงเอ่ยปากขอผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามใบหน้าและแอ่งชีพจร เป็นไปได้ว่าความเครียดอาจจะทำให้ใจเต้นแรงจนธาตุต่างๆตีพันกันวุ่นวายไปหมด เมื่อพบว่าตนเองดีขึ้นร่างบางก็ค่อยๆทิ้งร่างลงบนเตียงที่ในวันนี้ที่ข้างๆก็ยังคงว่างเปล่า ยังไม่ทันได้ข่มตาหลับประตูห้องก็ถูกเคาะรุนแรง


“หืม…”  เกิดอะไรขึ้น…คือสิ่งที่คิด ทว่าก็ไม่ได้ตะโกนถามอะไรออกไปด้วยไม่ค่อยรู้สึกสบาย ทว่าเสียงเคาะประตูนั้นเหมือนจะเร่งปฏิกิริยาภายในกายให้ร้อนขึ้นมา ท่านหมอจึงพยายามสะกดกั้นอาการ ก่อนจะค่อยๆเดินไปเอากลอนออกเพื่อให้คนที่เรียกกันได้บอกความต้องการ


ทว่า…


“ให้ตายสิ…”  พระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งพระทัยนั้นทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูออกมามึนชา


เมื่อได้พบหน้าคนที่รอมาทั้งวันโดยไม่หวังว่าจะได้เจออีกต่อไปแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจเป็นหมื่นพันล้านคำก็ไม่มีสักคำออกมา จนกระทั่งได้รับกอดที่เต็มไปด้วยความคนึงหา จึงระลึกได้ถึงสถานการณ์ความเป็นจริง และแทนที่ควรจะโกรธเคืองในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ ศศิกลับทำเพียงกอดเขากลับด้วยความคิดถึงที่มีไม่ต่างกัน


และน้ำตาก็ค่อยๆไหลลงมา…


“ทำไมขี้แยจังวันนี้” อคิราห์ยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยล้า เมื่อเข้ามาในตำหนักนางกำนัลที่ทรงไหว้วานให้ดูแลคนสำคัญของพระองค์ก็มากราบทูลกันว่าวันนี้ท่านหมอดื้อแค่ไหน ข้าวก็ไม่ยอมกิน ไม่พูด ไม่คุย แถมหลังอาหารเย็นก็มีอาการป่วยเหมือนไข้จับอีก เป็นหมอที่น่าตีดีแท้ ทรงอยากจับกรอกยาสมุนไพรตีนตุ๊กแกที่เจ้าตัวเคยเคี่ยวให้ดื่มนัก


5 วันที่ผ่านมา พระองค์ไม่อาจจะรับรู้ได้เลยว่าศศิเป็นเช่นไร ความเป็นห่วงที่มีจนล้นพระอุระพลันล้นออกมาจริงๆเมื่อได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆนั่น ทรงตรงปรี่มาหาเพราะได้ยินว่าศศินั้นเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน และเมื่อเคาะเรียกก็หาได้มีเสียงใดตอบกลับ แต่นั่นมันไม่แปลกหรอก ในเมื่ออคิราห์ยังไม่ตะโกนเรียกอีกฝ่ายเลย นับประสาอะไรที่ศศิจะไม่ตะโกนออกมา


“ฮึก…ท่านไปไหนมา”  ศศิอดทนมาตลอด แต่พอพบหน้าความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมาก็พังทลาย เมื่อพบหน้า เมื่อได้สัมผัสกาย สิ่งที่คิดไว้ก็เหมือนจะจางหายไป ศศิแพ้แล้ว แพ้ให้กับความรู้สึกของตนเอง ไม่ใช่ต่อพระองค์เลย


“ไปทำงานนอกเมืองไง” 


สาเหตุที่การเดินทางล่าช้ามาเป็นเวลาห้าวันแบบนี้ ไม่ใช่เพราะราชกิจมากมายเพียงอย่างเดียวหรอก เพราะขบวนเดินทางส่วนพระองค์ถูกลอบโจมตี แม้ความเสียหายจะไม่มากมายแต่ก็จำต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางจากเส้นทางเดิมที่กลับมาได้รวดเร็วเป็นอีกทางหนึ่งที่ต้องอ้อมไปอีกไกล กว่าจะมาถึงที่นี่พระองค์ไม่มีโอกาสในการแจ้งข่าวสารมาที่ตำหนักโดยตรงเลย


และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครบอกศศิเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย


ทรงอธิบายถึงเรื่องที่ทรงพบเจอให้ฟัง ในตอนแรกพระองค์ก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร แต่พอเห็นน้ำตาที่ไหลเป็นสายของอีกฝ่ายแล้ว ต่อให้ไม่พูดก็ดูเหมือนว่าศศิจะคิดนำกันไปไกลเสียแล้ว ดังนั้นพระองค์จึงเลือกที่จะแถลงไขความเข้าใจทุกอย่างด้วยพระโอษฐ์เอง สีหน้าของคนน่ารักที่รับฟังเต็มไปด้วยความตกใจ


“แต่ตอนนี้ก็ได้กลับมาปลอดภัยในอ้อมอกเจ้าแล้ว” ว่าเสร็จก็ดึงร่างบางมากอดรัด


ในตอนแรกพระองค์นั้นสุดแสนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ไม่แม้แต่จะไปรายงานตัวให้องค์เหนือหัวหรือองค์ราชินีด้วยตัวเองแต่กลับส่งคนไปแจ้งข่าวและก็ตรงมาที่นี่ในทันทีด้วยความคิดถึงและห่วงใย ตอนนี้พลังที่มีก็ควรจะหมดไปทว่าเมื่อได้พบหน้าใสๆนี่ กลับกลายเป็นว่ากำลังวังชาจากไหนก็ไม่รู้ถาโถมจนคิดว่าให้วิ่งรอบพระราชวังอีกสักครั้งก็ยังไหว


ศศินั้นเสนอตัวมาช่วยปรนนิบัติยามสรงน้ำ ทว่าทรงปฏิเสธไปแต่คนตัวเล็กก็ดูจะขัดใจอยู่บ้าง ปกติศศิจะต้องเขินอาย ทว่าวันนี้กลับดูขุ่นเคือง แต่ช่างเถิด ที่ไม่อนุญาตให้มาช่วยเพราะห่วงหรอก ได้ยินว่าไข้จับ พระองค์ก็อยากให้พักผ่อนดีๆ


เมื่อเปลี่ยนไปใส่ฉลองพระองค์ที่สบายพระวรกาย อคิราห์ก็พร้อมจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆร่างบางที่ทรงอยากกอดในทุกวัน ท่านหมอน้อยที่ตอนแรกนอนตะแคงหันหลังให้ก็ขยับกายเข้ามา ก่อนจะเปลี่ยนมานอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน ได้มองตาคนที่รักแบบนี้ในทุกๆวัน เป็นความสุขที่ล้ำค่าเสียจริง


“ท่านไม่ได้มีบาดแผลอะไรใช่ไหม”


“มีฟกช้ำบ้าง หากท่านหมอหายไข้แล้วก็จะให้รักษาให้ทั้งตัวเลย”


“เกรงว่าข้าจะไม่ได้เป็นไข้”


“แต่เจ้าป่วยนะ”  อุณหภูมิร่างกายของศศินั้นสูงผิดปกตินัก ใบหน้าก็เหมือนจะแดงก่ำขึ้นมา จะว่าเพราะเขินก็ไม่น่าจะใช่


“ท่านเหนื่อยหรือยัง” พระองค์ทรงส่ายหน้าด้วยอยากจะนอนคุยกันแบบนี้ทั้งคืน ความคิดถึงมันรุนแรงนัก แต่คนงามก็หาได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่  “ข้ามีคำถามบางอย่าง”


“ทุกคำถามจะมีคำตอบ แต่ทุกคำตอบจะมีข้อแลกเปลี่ยน” ทรงแย้มพระสรวลออกมาก่อนจะบดคลึงริมฝีปากอิ่มด้วยนิ้วโป้งของพระองค์ เป็นอันรู้กันว่าอะไรคือสิ่งที่ทรงจะร้องขอ


“ข้ายินดีแลกเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อคำตอบ” 


“เป็นอันตกลง”  ทรงคิดว่าเด็กน้อยที่มาต่อรองกันแบบนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน ทว่าคำถามที่ออกจากปาก


มันก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันควัน


“ท่านกับคุณหนูอภิชญาเป็นอะไรกันหรือ?”แววตาที่ไม่ได้ล้อเล่นของศศินั้นบอกให้รู้ว่าคำถามนี้หากต้องการของแลกเปลี่ยน จะต้องไม่มีการเล่นลิ้นใดๆอีก หลังจากคิดถึงมาทั้งวันก็ได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าถ้าคำตอบมันเป็นอะไรที่ตนรับไม่ได้จูบที่เสียไปก็ไม่ใช่อะไรที่ยากเกินจ่ายคืนให้ เพราะอย่างไรจูบนี้ก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย


ก่อนจากลา…


TALK
นำส่งดราม่ากรุบกริบพร้อมเดินมาบอกว่า
เดี๋ยวจะพยายามมาอัพทุกวันนะ5555555











หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 15 : 29/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 30-12-2018 06:30:15
พี่อาทิตย์ต้องหาคำตอบดีๆมาตอบศศิแล้วล่ะ ตอบไม่มีนี่เดี๋ยวงานเข้า 555 ศศิเหมือนโดนวางยาเลย เอ้ะ ยาอะไรหนออออ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 16 : 30/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 30-12-2018 13:18:46
Finding the twilight
16
ทรงเป็นของศศิคนเดียว
☼ ☽

“เจ้าไปได้ยินอะไรมา” กับคำถามที่ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของศศิที่ไม่เคยออกไปไหน ทรงแปลกพระทัยไม่น้อยที่ได้ยินชื่อนี้ พระพักต์ที่เคยติดจะขี้เล่นเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ที่จอมดื้อเงียบต่อต้านทุกอย่างในวันนี้ สาเหตุหนึ่งมันอาจจะเป็นเพราะชื่อ ‘อภิชญา’ นั่น


“ข้าเป็นฝ่ายถาม”  และพระองค์มีหน้าที่ตอบ นี่คือกฎที่เจ้ากระต่ายตัวน้อยเริ่มมาตั้งแต่ต้น ทรงไม่เคยนึกอยากคุยเรื่องนี้กับอีกคนมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ก็รู้สึกไม่มั่นใจเลยว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ แต่ศศิก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล บนหนทางของการเป็นคนรักขององค์รัชทายาท ความเชื่อใจคือสิ่งที่ใช้ชี้วัด


“อภิชญาเป็นคนที่เสด็จแม่ของข้ามั่นหมายจะให้เป็นคู่หมั้น เพื่อให้ครอบครัวของทางนั้นช่วยส่งเสริมอำนาจของราชวงศ์”  แม้องค์ราชินีจะเป็นคนของราชวงศ์เก่า แต่ก็มีแนวโน้มที่จะอยู่ฝ่ายไหนก็ได้คนหนึ่ง ทว่าพระนางเหมือนจะคล้อยตามพระโอรสที่สุด


ในสงครามการโค่นล้มราชวงศ์นี้ องค์ราชินีถูกจัดให้อยู่รอบนอกของเกมการเมืองแต่ก็พยายามจะเข้ามา หลายครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์แต่ก็มักจะถูกแก้เกมโต้กลับโดยฝั่งสิหราชวงศ์เสมอ ในครั้งนี้ที่ได้สนับสนุนอภิชญาซึ่งเป็นธิดาของท่านแม่ทัพแห่งชายแดนตะวันออกที่ 1 ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะเสริมอำนาจให้พระโอรสเพื่อปูพื้นการครองบัลลังก์


ทั้งๆที่ทรงอาจจะไม่ได้อ่านเกมอะไรออกชัดเจนเลยก็ตาม…


พระองค์ทรงรักพระมารดาแต่นั่นก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ต้องทำ ด้วยเพราะหลายครั้งที่เกือบจะพลาดท่าเพลี้ยงพล้ำให้กับฝ่ายศัตรูเพียงเพราะสายสัมพันธ์มารดาและบุตร ทำให้ทรงระวังทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเรื่องของอภิชญาด้วยและเพราะยังไม่อาจรู้ได้ว่าการหนุนอำนาจโดยตระกูลของท่านแม่ทัพคนนั้นจะเป็นประโยชน์จริงๆหรือชักศัตรูเข้าบ้าน จึงยังไม่วางพระทัย


“เพื่อหนุนอำนาจสินะ”  ศศิพึมพำกับตนเอง พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ ใบหน้าของคนตัวเล็กดูครุ่นคิดบางอย่าง แต่ดูแล้วว่าไม่ได้มีแววหึงหวงกันแต่อย่างใด


“แต่เรายังไม่รู้เจตนาจริงๆของฝ่ายนั้น ขอเจ้าจงวางใจ ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอภิชญาจริงๆ”


“แต่ถ้าทางนั้นเขาหนุนท่านได้จริงๆเล่าท่านก็อาจจะต้องแต่งงานกันใช่ไหม”


“ศศิ…”


“ยิ่งคุณหนูท่านสามารถมีทายาทให้ท่านได้ ท่านจะยังรักแค่ข้าคนเดียวได้หรือเปล่า จะสัญญาได้ไหมว่าจะรักข้าแค่คนเดียว ส่วนคนอื่นข้าอนุญาตให้มีได้ไม่เกินห้าคนแต่ห้ามรัก แต่งงานเพื่อเหตุผลทางการเมืองได้อย่างเดียวเท่านั้น โปรดซ่อนข้าไว้อย่าให้ใครรู้ แต่อย่าให้หัวใจของท่านได้รักใครนอกจากข้า หรือถ้ารักไปแล้วก็ช่วยโกหกให้แนบเนียนอย่าให้ต้องจับได้” 


“นั่นเจ้าพูดอะไรออกมา!”


“ข้าน่ะ ไม่ได้เชื่อถือในตัวท่านนักหรอก เพราะลำพังตัวเองก็ยังไม่เชื่อเลย”  แต่จะอนุญาตให้มีคนอื่นนี่นะ?!“และถ้าวันหนึ่งท่านหมดรักแล้ว บอกกันตรงๆได้หรือไม่”


“ข้านะหรือจะหมดรักเจ้า” 


“เมื่อถึงตอนนั้นหากใครสักคนหมดใจ ก็ขอให้ไปจากกันด้วยดีเถิดนะ แค่เพียงท่านบอกมาตามตรง ต่อให้ยังรักอยู่ข้าจะยอมจากไปแต่โดยดีและถ้าหากข้าหมดรักท่านแล้วก็ขอให้ข้าไปเถิดนะ”  ฟังแค่เพียงตรงนี้ อาการหน้ามืดก็เข้าจู่โจม ทรงทิ้งพระวรกายลงบนแท่นบรรทม เพราะไม่เห็นด้วยตามข้อเสนอ

“ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดเรื่องมีคนที่หนึ่งสองสามสี่ห้าแบบที่เจ้าว่ามา”


“…”


“จนตอนนี้คนที่รักก็มีเพียงเจ้า เลยไม่รู้ว่าตัวเองจะมีหนึ่งสองสามสี่อื่นๆไหม”


“มันอาจจะจำเป็น เหตุผลทางการเมืองอาจจะบีบคั้น”


“เป็นกษัตริย์แล้วจะเปลี่ยนกฎมณเฑียรบาล”  ทำไมตรัสราวกับเด็กอนุบาลเช่นนี้


“นี่คือเหตุ ที่เขาใช้เพิ่มโอกาสให้กษัตริย์ได้มีผู้สืบทอดต่างหาก”


“งั้นเดี๋ยวไปเปลี่ยนหัวข้อเรื่องผู้สืบทอดด้วย ศศิ…เจ้าอย่าบีบให้ข้าตอบในสิ่งที่เราทั้งสองต่างไม่ต้องการได้หรือไม่”


“ไม่ว่าจะข้าหรือท่านก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้ไม่ใช่หรือไง”


“ได้สิ! อาจจะสัญญาตอนนี้ไม่ได้ แต่จะพยายามไม่ให้สิ่งที่เจ้ากังวลนั้นเกิดเพราะข้าก็ไม่ต้องการมันเหมือนกันจนกว่าจะถึงตอนนั้นเจ้าอย่าพูดว่าจะจากไปหรือยอมแพ้ในตัวของข้าแล้วได้ไหม”


“….”  ตั้งแต่รู้จักคบหาพัฒนาความสัมพันธ์ อคิราห์ไม่เคยทำให้ศศิผิดหวังได้เท่าความคิดของตัวเอง คำวอนขอให้เชื่อมั่นนั้นศศิก็ไม่มั่นใจว่าจะทำให้ได้จริงๆ แต่เกรงว่าตอนนี้ตนก็เผลอเชื่อมั่นเข้าให้แล้วทั้งๆที่สิ่งที่คนรักนั้นพูดมาอย่างเอาแต่ใจ เอาเข้าจริงอาจจะทำให้ไม่ได้เลยสักข้อ และเราอาจจะต้องจากลากันในท้ายที่สุดก็ตาม


เมื่อเป็นเรื่องของความรัก คนเราก็จะหูเบาขึ้นมานิดหน่อย…


“ข้าจะไม่พูดมันแล้ว”  มือเล็กประคองพระพักต์หล่อเหลาที่ไม่พอพระทัยกับบทสนทนาของเราเท่าไหร่ ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ มอบจูบหวานๆที่มีฤทธิ์ปลอบประโลมหัวใจให้คนที่เหนื่อยทั้งกายและใจ หวังว่าพระองค์ก็จะไม่ท้อเพราะศศิเหมือนกัน


อย่างไรก็ตามทุกคำถามที่มีคำตอบคนถามล้วนพอใจแล้ว ช่วงเวลาต่อไปนี้เห็นทีจะมีแต่การจ่ายค่าเสียหายเท่านั้น แม้จะถามไปไม่กี่คำถามและเช่นนี้ผู้ถามอาจจะขาดทุนได้แต่ก็ดูเหมือนว่าศศิจะยินดีให้ทรงกอบโกยได้ตามพระทัย ภายในนั้นกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง อาการครั้นเนื้อครั้นตัวที่มีมาตลอดโจมตีกันอย่างหนักแต่เจ้าของร่างที่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองก็ไม่คิดจะฝืนอะไรอีกแล้ว


“ใยวันนี้เจ้าเริ่มก่อน” 


“ใยจึงขี้สงสัยนัก ข้าก็แค่ทำตามที่เราตกลงกันไว้”  คำถามแลกจูบ ศศิช่างซื่อสัตย์ในคำพูดก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบพระองค์อีกครั้ง กักขังองค์รัชทายาทไว้ในอ้อมแขนผอมบางของตนเอง มอบจูบอันแสนหวานอ้อยอิ่งเชิญชวนให้ตกสู่วังวนเสน่หา เป็นทุกครั้งที่ทรงเริ่มก่อนแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ศศิไม่คิดว่าตนนั้นอยู่ในสภาพที่เต็มร้อยเท่าไหร่


แต่ความรู้สึกและความต้องการของหัวใจนั้นชัดเจนดี


“พี่อาทิตย์”  คำเรียกที่ไม่ค่อยออกจากปากทว่ามีตัวตนอยู่ในใจเสมอมา “เป็นของศศิได้ไหม”  คำวอนขอที่ไม่คิดว่าจะออกจากริมฝีปากอิ่มนี้ทำให้คนฟังแทบไม่เชื่อในสติของตนเอง


“เจ้าพูดจริงๆหรือ”


“อื้อ…ข้าคิดว่าอาการที่เป็นอยู่นี้มันเกินเยียวยาแล้ว”


“เจ้าไม่สบายอยู่นะ”


“ข้ารู้สึกไม่สบายจริงๆ”  ดวงตาของศศิปรือมองคนที่อยู่ใต้ร่าง อคิราห์ยังคงทำพระทัยเย็นรอฟังข้อเสนอใหม่เผื่อว่าที่ได้ยินจะหูฝาดไป “เกรงว่าจะเป็นผลของยา…ปลุกกำหนัด”  เมื่อได้ฟังพระเนตรก็เบิกกว้าง ศศิโดนวางยาอย่างนั้นหรือ งั้นที่เริ่มก่อนก็เป็นเพราะฤทธิ์ยาอย่างนั้นสินะ


“เราต้องรีบจัดการขับยาตัวนี้ออกมาให้เจ้า”  พระองค์ยังคงคิดว่าศศิไม่ได้ยินดีที่จะเป็นของกันจริงๆ


แต่ทรงไม่รู้ว่าสำหรับศศิแล้ว แม้จะพลาดท่าดื่มกินอาหารหรือเครื่องดื่มบางอย่างที่มียาปลุกกำหนัดใส่ไว้ แต่กับแค่การสำรวจอาการและดูแลตัวเองก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทว่าที่ทนมาจนถึงตอนนี้เพราะหัวใจของตนได้ยอมรับอย่างเต็มเปี่ยม ผลออกมาคือการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ศศิยามปกติไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกแต่หัวใจของศศิในตอนนี้ มันพร้อมทำให้องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเป็นของตนแล้ว…


แม้ว่าศศิไม่อาจจะตอบรับความหวังเรื่องการมีทายาท
และสุดท้ายก็อาจจะพ่ายแพ้ให้กับคุณหนูอภิชญาก็ตาม


“พี่อาทิตย์”


“….”


“ศศิพร้อมแล้ว”  มือเล็กนั้นสัมผัสไปบนพระโอษฐ์บาง ดวงตาหวานเยิ้มของอีกฝ่ายนั้นค่อยๆดึงดูดให้มัวเมาไปตามกัน “ทำให้ศศิเป็นของพี่อาทิตย์ที”


สิ้นคำนั้น ก็เหมือนเส้นด้ายที่ขาดผึง…


จอมราชสีห์แห่งสิหราชนครานั้นไม่อาจจะทนฟังได้อีกต่อไป ทรงพลิกร่างบางลงมานอนอยู่ใต้ร่าง บดจูบอันแสนร้อนแรงเป็นบทเรียนแรกแห่งความเร่าร้อนให้กับคนที่ร้องขอการถูกกระทำโดยพระองค์ ทรงรอศศิมานานแม้ไม่แน่ใจว่าทุกคำที่ออกจากปากเป็นความจริง


“ข้าให้โอกาสปฏิเสธอีกครั้ง”  ทรงมอบโอกาสแม้ไม่แน่ใจว่าพระองค์เองก็ทำได้


“ข้าคิดมาดีแล้ว”  ศศิคิดมาตลอดว่ามันควรจะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ จนกระทั่งเมื่อเขาหายไปโดยไร้ซึ่งข่าวคราวก็มั่นใจว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยก็เป็นได้


เพราะตนเอง…ก็โหยหาการสัมผัสกายของเขาเหมือนกัน


เป็นศศิที่โน้มตัวพระองค์ลงมาหากัน เป็นศศิที่โหยหาจุมพิตหวานที่เคล้าไปด้วยความเสน่หานั่นมือที่อุ่นร้อนนั้นลูบไล้ไปตามร่างกายของพระองค์ชาย แต่ละสัมผัสก่อให้เกิดความร้อนแรงขึ้นไปทีละขั้น ก่อนจะผละออกจากกันเพื่อสำรวจส่วนอื่นๆที่ปลุกเร้าได้มากกว่า ร่างบางนั้นเอียงคอรับสัมผัสนิ่มยุ่นจากพระโอษฐ์บางตั้งแต่ลำคอและเรื่อยลงมาตามจังหวะการปลดอาภรณ์


ความเชื่อใจมันเกินขึ้นง่ายๆยามที่เป็นคนๆนี้ ศศินั้นยิ่งบิดเร้าเมื่อทรงมอบบางสิ่งที่วาบหวามยิ่งกว่า ร่างที่ไม่อาจจะหยุดมือไม้ของตนไว้จำต้องกำผ้าปูเตียงแน่น เอวบางกระตุกไปกับทุกสัมผัสที่ทรงมอบให้ อคิราห์นั้นฟ้อนเฟ้นไปทั่วกาย เปลี่ยนศศิให้กลายเป็นเทียมหอมโดนไฟ ยิ่งเผาไหม้ก็ยิ่งหลอมละลายส่งกลิ่นหอม


ทรงผละออกมาดูภาพผลงานของตน สีแดงระเรื่อราวกลีบกุหลาบนั่นติดอยู่บนร่างกายขาวนวลที่ยิ่งร้อนก็ยิ่งแดงก่ำ ดวงตาของศศิที่มองขึ้นมานั้นหวานเยิ้มเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ร่างกายที่บิดเร้าอยู่นั้นช่างเหมือนกับปฏิมากรรมซึ่งถูกสรรสร้างขึ้นจากศิลปินฝีมือดี


คาดว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเทียบชั้น…


อาภรณ์ที่ติดกายสูงสง่านั้นถูกดึงกระชากอย่างไม่ใยดี แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นร่างกายของกันและกัน แต่แค่เพียงจินตนาการนำไปว่าในอีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ร่างกายที่ได้แต่มองเห็นทว่ามิอาจจับต้องจะอยู่ในการครอบครอง ก็ทรงแทบทนรอไม่ไหว คาดว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย อคิราห์ก็ไม่มีวันไปจากเตียงในตอนนี้ได้จริงๆ


“พี่อาทิตย์”  เสียงเรียกที่หวานหูนั้นทำให้อีกคนยิ้มกริ่ม ทรงจ้องมองศศิที่กำลังบิดกายปิดบังบางอย่างในร่างกาย แต่ยามนี้จะไม่ปล่อยให้เจ้ากระต่ายขี้อายหนีกลับเข้าโพรง


“เจ้างดงามเหลือเกิน” ทรงชื่นชมตั้งแต่ไหปลาร้า เรื่อยมายังยอดอกสีสวย เมื่อปลายนิ้วของพระองค์หยอกล้อมันก็ชูชันขึ้นสู้ ธรรมชาติของศศิช่างค้านสายตากับท่าทางเขินอายนั่นเหลือเกิน


ทว่าความเย้ายวนที่บรรยายมาถึงตรงนี้ก็ชวนน้ำลายสอจนต้องครอบครองมันไว้ในปาก แม้ในความเป็นจริงมันจะไม่ได้มีรสชาติอะไรออกมา แต่การได้กระทำการคุกคามด้วยตัวพระองค์เอง ก็ทำให้คิดว่าศศิช่างหวานล้ำเป็นอาหารอันโอชะที่ไม่ใช่แค่เจริญสายตา แต่กินได้….ไม่รู้ลืม


“ตรงนี้ของเจ้า…รู้สึกถึงขนาดนี้เชียวหรือ”  ทรงสั่งสอนคนงามด้วยการดึงมือของอีกฝ่ายที่วางอย่างอ่อนแรงบนผืนเตียงมาสัมผัสกับยอดอกของตัวเอง ศศิไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นได้ขนาดนี้เลยเผลอไผลถูไถสำรวจความประหลาดของร่างกาย แต่ภาพนั้นกลับยิ่งโหมไฟให้ลุกโชนให้คนที่เริ่มกลั่นแกล้งกันก่อน


“แล้วตรงนี้เล่า เป็นเช่นไรบ้าง” อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังมึนงงอยู่นั้น แยกต้นขาที่ถูกหนีบมิดชิดให้กางออก เผยส่วนสัดที่เจ้าตัวพยายามซ่อนมันให้ออกมา ศศินั้นพยายามจะปิดมันทว่ากลับถูกรวบมือของเอาไว้


“อย่ารังแกข้า”


“พี่ไม่ได้รังแกเจ้าเลย”  หมายมั่นจะมอบความสุขให้ก็เท่านั้น ทรงทอดพระเนตรมองร่างบางที่สั่นระริก ก่อนจะค่อยดูดอมนิ้วเล็กของอีกคนให้ชุ่มช่ำ ศศินั้นกัดฟันแน่น ทว่าก็เป็นเขาที่ส่งนิ้วเรียวยาวของตนเข้ามาในปากของตนเช่นกัน บทเรียนแห่งการทำตามนั้นได้เริ่มต้นขึ้น ก่อนที่พระองค์จะครอบครองแก่นกายเล็กและเคลื่อนไหวจนศศิที่แสนจะอัดอั้นนั้นเผลอขบกัดนิ้ว


“อืม”   


“อ้าขาอีกนิดสิ ยอดรัก”  เหมือนกับโดนมนต์ เรียวขาขาวนั้นค่อยๆอ้าออกตามคำสั่งอย่างลืมอาย เสียงริมฝีปากของเราที่ดูดดึงกันนั้นเหมือนจะดึงความสนใจให้นิ้วมือซนที่วนเวียนอยู่ที่บริเวณาปากทางทำรักนั้นหยุดชะงัก


ก่อนที่จะผละอย่างสุดแสนเสียดายและลงจากเตียงมา


“ดูแลตัวเองไปก่อนนะ พี่จะรีบกลับมา”  ทรงจุมพิตแก้มที่สุกปลั่งนั้นก่อนจะฝากฝัง ใจจริงพระองค์ไม่ได้อยากจากไป ทว่าสำนึกในบางอย่างทำให้ต้องลุกขึ้นมา ก่อนจะไปมองหาความช่วยเหลือที่จะให้คนตัวบางเจ็บตัวน้อยลง


ทรงไม่อยากทำให้ครั้งแรกของศศิ เกินรับไหวทั้งทางกายและหัวใจ


เมื่อกลับมาหลังจากได้สิ่งที่หวังไว้แล้ว ภาพคนงามที่นอนบิดกายตะแคงมองกันด้วยดวงตาหวานเยิ้มก็เกือบทำให้เส้นความอดทนขาดผึง


“เจ้าจะเจ็บนะ ศศิ”  หากยังทรมานตัวเองและพระองค์เช่นนี้ ทรงเอ่ยออกมา ก่อนจะรินน้ำบางอย่างในขวดออกมาชโลมไปทั่วนิ้ว ทรงประทับนั่งที่ปลายเท้าของศศิ ทอดพระเนตรมองไปยังภาพด้านหน้าที่ดูนวลเนียนน่าสัมผัสไปหมด บั้นท้ายนั้นเองที่เป็นจุดหมายของพระองค์


“ท่านจะทำอะไร”  ทรงพาให้ศศิลุกขึ้นนั่งหันบั้นท้ายงามงอนตรงหน้าพระองค์ แนวกระดูกสันหลังที่เรียงตัวสวยงามนั้นก็น่าฝากรอยประทับไปหมด นำพาให้มือเล็กจับบริเวณหัวเตียงเป็นที่มั่น ก่อนจะค่อยลากจูบตามแนวหลังที่ทรงปรารถนา ล่อลวงศศิให้เข้าใจไปทางหนึ่ง ก่อนที่จะกระทำอีกอย่างหนึ่งที่ต้องการ


“ไม่เป็นไรนะ”  นิ้วเรียวยาวของพระองค์นั้นค่อยๆกดเข้าไป หมุนวนอยู่ภายในให้อีกฝ่ายคุ้นชินกับการมีสิ่งแปลกปลอมในนั้น ยามแรกศศินั้นต่อต้าน หากแต่จูบที่ปลอบประโลมก็ได้ทำให้คล้อยตาม


ต่อจากนั้นนิ้วที่สองก็เข้าไป…
ก่อนที่นิ้วที่สามจะตามติด…


“อ๊ะ!  อย่า! ไม่เอาตรงนั้น!”  แต่คำขอของคนตัวเล็กไม่ก่อให้เกิดอำนาจยับยั้งใดๆ คนเอาแต่ใจก็ยังคงคุกคามจุดอ่อนไหวนั้นซ้ำๆจนร่างบางกระตุกเฮือก ยิ่งเน้นย้ำกดถี่แรง ก็ยิ่งเสียการควบคุม แล้วสัญชาตญาณส่วนลึกก็เข้าครอบงำ มือเล็กบางนั้นค่อยๆจับความอุ่นร้อนของแกนกายของตนที่ขึงเครียด ชักนำจังหวะประสานกับนิ้วของอีกคนที่กำลังเล่นงานกันอยู่ด้านหลัง ศศิที่ไร้เดียงสาย่อมไม่เคยพาตัวเองมาถึงจุดๆนี้ เขาได้ย้อมเฉดสีแห่งราคะให้กันเสียแล้ว


“เด็กดี”  พระองค์ทรงเอ่ยชม ร่างบางที่กระตุกเฮือกก่อนจะปลดปล่อยออกมานั้นเหมือนไร้เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเองและทรุดลงไปนอน ทว่าลึกๆตนก็รู้ดีว่ายังมีความต้องการหลงเหลืออยู่ ขอแค่ถูกปลุกด้วยแรงสะกิดเพียงนิด ผนวกกับฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดที่ยังคั่งค้างก็ทำให้ตัณหาพุ่งทะยาน


และมันเป็นหน้าที่ที่คู่เสน่หาทำได้ดีทีเดียว


แก่นกายอุ่นร้อนที่ขึงเครียดไม่ได้รับการปลดปล่อยของเขานั้นสัมผัสเบาๆกับบั้นท้ายที่สั่นระริก ศศิที่นอนคว่ำนั้นหันมามองกันด้วยแววตาแดงก่ำ นิ้วมือเล็กอันแสนซนนั้นสัมผัสกับช่องทางที่เขาเคยรุกรานด้วยปลายนิ้วอย่างสงสัย ความชื้นแฉะเพื่อเตรียมความพร้อมนั้นให้ความรู้สึกแปลกใหม่ นิ้วเล็กๆของตนนั้นค่อยๆกดลึกเข้าไป สร้างประกายวาวในแววตาคนมองผู้ซึ่งมีความอดทนสูงสุด


ทั้งๆที่อยากขยำขยี้เจียนจะบ้าแต่ของดีก็ไม่ใช่จะมีได้มองบ่อยๆ


“เจ้าช่างร้อนแรงนัก คงต้องจับคนวางยาให้ได้เสียแล้ว”  พระองค์จะเป็นคนริบยาบ้าบอนั่นมาเป็นของตัวเองเพื่อการใช้งานที่ถูกต้องแบบนี้


“คนบ้า”  เด็กไร้เดียงสาในตอนนี้ราวกับกระต่ายป่าที่ด่าทอกัน ทว่าทรงชอบศศิที่แสดงความจริงใจแบบนี้มากกว่า แต่ติดจะถือสาในความอ้อยอิ่งนั่นอยู่สักหน่อย


กระต่ายป่าของพระองค์นั้นค่อยๆดันตัวเองขึ้นมานั่งและคลานเข้าหา อีกฝ่ายมองแกนกายอันใหญ่โตของพระองค์โดยไม่มีแววหวาดกลัวใดๆ ก่อนที่จะเหยียดตัวขึ้นมามอบจุมพิตอันเร่าร้อน ทรงปล่อยให้ศศินำเกมนี้ไปก่อนเพราะหมายมั่นไว้แล้วว่าจะตีแต้มคืนในภายหลัง


“ขวดนั่นอยู่ไหนหรือ”


“ที่พื้น”  ทรงตอบสั้นๆก่อนจะยอมปล่อยให้ศศินั้นก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา


ทรงมองการจัดการของกระต่ายป่าที่พอจะรับทราบแล้วว่ามันใช้ในการทำอะไร ปล่อยให้ศศิได้ชโลมมันลงบนมือและใช้มือนั่นกอบกุมความเป็นชายของพระองค์เอาไว้ ชโลมน้ำที่ใช้หล่อลื่นไปทั่วแกนกายของพระองค์และตนเอง เจ้ากระต่ายป่าค่อยๆจับเราทั้งสองเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ดวงหน้าที่เปี่ยมสุขที่ได้ปรนเปรอให้ตนเองนั้นทำให้พระองค์ไม่อาจจะอดทนต่อไปอีกได้ ทรงบดขยี้ริมฝีปากอิ่มก่อนจะนำพาร่างของเราทั้งสองกระโจนลงหาความนุ่มของแท่นบรรทมที่จะรองรับเกมรักครั้งแรกของเรานี่ได้


“ยั่วยวนกันแบบนี้ คิดหาว่าข้าจะปราณีเจ้าได้อย่างไร”


“อ๊ะ!”  โดยไม่ทันให้ปกป้องตัวเองได้ ทรงจับเรียวขาของศศิให้อ้าออกกว้าง แววตานักล่าที่สะท้อนออกมาทำให้รับรู้ว่าตนไม่อาจจะรอดไปจากเงื้อมมือของเกมเสน่หาที่เลยเถิดมาถึงตรงนี้ได้ ทรงค่อยๆแทรกกายเข้าไปอย่างพอจะปราณีอยู่บ้าง ช่องทางคับแน่นนั้นทำให้ใบหน้าเหยเกทั้งผู้รักและผู้ถูกรัก


คำหวานที่ข้างหูและสัมผัสจากริมฝีปากที่คอยปลอบประโลมกันนั้นทำให้ยอมเชื่อใจพระองค์อีกครั้ง หลังจากหยุดให้คนร่างบางได้ปรับตัว ก็ทรงค่อยๆเริ่มเกมรักที่แท้จริงของเรา เสียงครางหวานของศศินั้นเหมือนจะเป็นยากระตุ้นกำหนัดที่ดีเยี่ยม ทรงเร่งเร้าให้ร่างบางต้องต้านรับตอบสนองในจังหวะที่ค่อยๆมากขึ้นไปเรื่อยๆ


“ศศิ…ศศิของข้า”  เสียงครางทุ้มที่แม้ไม่ดังนักแต่ได้ยินชัดนั้นสร้างความปิติสม ศศิก็ยินดีที่พระองค์เองก็สุขสมไปกับร่างกายของตน เพราะทั้งนี้ไม่อาจจะบอกได้เลยว่าศศินั้นปรนนิบัติเขาได้ดีกว่าใครที่ทรงเคยพบพาน และความเป็นคนขี้อิจฉาที่ซ่อนอยู่นี่ก็ผลักดันให้คนขี้อายทำเรื่องไม่คาดฝันไปเสียเยอะ


“ชะ..ช้าหน่อย”  ทว่าคำขอไม่เป็นผล เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าทรงเก็บกบมานานแค่ไหนจนกระทั่งวันนี้ หากเป็นไปได้ก็ทรงอยากจะแตะต้องอีกฝ่ายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าก็จำต้องหักห้ามด้วยเกรงในความรู้สึกที่ดูน่าจะบอบบางเหมือนร่างกาย มาถึงวันนี้ที่ศศิรุกก่อนเพราะความหวาดกลัวว่าเขาจะเบื่อหน่ายกัน การรอคอยของพระองค์นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว


วันนี้พระองค์จึงตั้งหน้าตั้งตาเอาคืน…ไม่ใช่สิ…ตักตวงความต้องการที่ล้นปรี่สะสมกันเป็นแรมเดือน


จวบกระทั่งที่เกมราคะของเราจบสิ้น ศศพินทุ์จำต้องแบกรับทั้งความปรารถนาของตนและคนรักเอาไว้ นานจนไม่อาจนับรอบ ฟ้าภายนอกนั้นมืดสนิท ร่างกายราวกับไม่ใช่ของตนอีกต่อไป พระองค์เรียกร้อง ศศิก็สนอง จนกระทั่งธารอุ่นร้อนนั้นพุ่งพวยอยู่ในกายบาง สุขสมอารมณ์หมายไปหลายต่อหลายครั้งในเกมนี้จนร่างกายอ่อนล้าไปหมด


ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อดหลับอดนอนเดินทางดั้นด้นกลับมา คนที่เป็นดั่ง ‘บ้าน’ จะตอบรับปรารถนากันได้จนเหนื่อยล้าแบบนี้ พระวรกายสูงใหญ่นั้นทาบทับอยู่บนร่างบาง แนบหน้าท้องแกร่งอยู่ระหว่างเรียวขาที่ประดับประดาไปด้วยรอยจูบที่ทรงทำขึ้นทั้งสองข้าง มันยังคงสั่นระริก


เสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์ก็คงไม่พ้นคำว่ารัก แต่ศศิไม่อาจจะได้ยินมันแล้ว เราทำเราให้เป็นของกันและกันโดยสมบูรณ์ ตัวตนของพระองค์ที่สอดแทรก ยังสร้างความรู้สึกคั่งข้างไว้ในกาย ราวกับว่ายังไม่ได้จากไปไหนและได้มอบบางอย่างประทับไว้จนมันตราตรึงไปทั่วร่าง


ในตอนนี้ศศิรู้แล้วว่าตนไม่อาจจะถอยกลับได้อย่างที่เคยตั้งใจก่อนจะผูกพัน ศศิจะผูกมัดคนๆนี้ไว้แม้มันไม่อาจจะเป็นไปได้เลยและในตอนนี้ตนก็ไม่อาจจะย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ใครสักคนอาจจะเป็นผู้กำหนด ทว่าคนที่ยินดีกับหนทางที่ถูกกำหนดนั้นไม่ใช่ใคร…


หากแต่เป็นศศิเอง….


☼ ☽


ศศิเหมือนอยู่ในโลกอีกใบที่ไม่เคยพบเห็น แต่คุ้นเคยอย่างประหลาด…


“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะศศิ จริงๆแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้”  ศศิ….ใครเรียกกันหรือ


ร่างบางที่ยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองนั้นมองผู้ที่เอ่ยชื่อตนด้วยความฉงนใจ ที่นี่มันที่ไหน และเขาคุยกับศศิอยู่หรือ แต่เปล่าเลย สายตาของคนคู่นั้นไม่มีศศิเป็นเป้าหมายแม้แต่น้อย พวกเขากำลังคุยกันอยู่แต่ทำไมชื่อของตนถึงได้ออกจากปากเขาได้เล่า และเขาเป็นใครกัน ทำไมศศิรู้สึกเหมือนรู้จักแต่จำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้กัน?


“แต่เขาอาจจะโทษว่ามันเป็นความผิดของข้าจึงได้ทำเช่นนั้นไป”  อีกคนที่หันหลังให้นั้นตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มร่างบางผู้นี้เมื่อมองจากด้านหลัง เขาดูสูงและมีขนาดตัวพอๆกับศศิเลย แม้แต่น้ำเสียง ก็รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง


“ศศิ…”


“อย่าห้ามเลย ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง”  คนที่ถูกเรียกนั้นหันมาเผชิญหน้า ต่อให้ถูกห้ามแค่ไหนก็ไม่อาจจะหยุดความตั้งใจได้ นอกจากความรู้สึกผิดที่ตนมีอยู่นั้น มันเหมือนจะมีอะไรที่มากกว่าแต่บอกใครไม่ได้


โดยเฉพาะคู่กรณีที่ไม่ได้อยู่ที่นี่…


“อาทิตย์ยอมละทิ้งตัวตนบนนี้แล้วเราต้องหาคนอื่นมาทำหน้าที่แทน แค่ตอนนี้ก็วุ่นวายพอแล้วหากเจ้าจะตามเขาไปอีก เกรงว่าเราจะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่”


“แต่ว่า…”


“ไปคิดมาเสียให้ถี่ถ้วนก่อนเถิด”


“ข้าตัดสินใจแล้ว”


“ศศิ!”


“นั่นก็เพราะข้าก็รักอาทิตย์มากอย่างไรเล่า!”


“…”


“ข้าจึง…ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก”


“พวกเจ้ารักกันหรอกหรือ”


“….”


“แล้วทำไม…”


“ให้ข้าลงไปอยู่กับเขาที่โลกมนุษย์นั่นเถิดนะ”  เจ้าของชื่อที่เหมือนกันนั้นหลังจากได้ถ่ายทอดความในใจออกไปเจ้าตัวก็เอ่ยต่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ 


“ได้โปรด” คำนี้ช่างดู…เจ็บปวดเหลือเกิน

☼ ☽


“ศศิ”  เสียงเรียกและลมหายใจที่รินรดใส่ทำให้เจ้าของร่างบางนั้นลืมตาตื่น เสียงเรียกขององค์ชายอคิราห์ที่ดึงให้ตนหยุดรับรู้ภาพฝันเมื่อครู่และมาพบกับความเป็นจริง


รอยยิ้มนี้ ช่างเจิดจ้าราวพระอาทิตย์…


“อาทิตย์…”  โดยไม่รู้ตัว ศศินั้นเอ่ยเรียกและยิ้มออกมา ความรู้สึกหดหู่ที่เกิดขึ้นในฝันนั้นพลันถูกชะล้างเมื่อได้ค้นพบว่าที่ข้างกายของตนไร้ซึ่งความอ้างว้างใดๆ


เขาอยู่ตรงนี้แล้ว…


“เรียกพี่ทำไมหรือ”  ศศิไม่ได้ตอบ แต่ดีใจกับการได้พบเจอกับเขาในยามนี้ยิ่งกว่าครั้งไหน ภาพที่ได้เห็นในความฝัน เรื่องราวของคนอื่นนั้นทำไมพาให้ใจรู้สึกหน่วงหนักไปตามๆกันอย่างนั้นได้เล่า


ชื่อศศิอย่างนั้นหรือ…


“ต่อให้วันนี้มีงานใหญ่ พี่ก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”  อคิราห์นั้นกล่าวอย่างหมายมั่น ก่อนจะตะกองกอดร่างบางเอาไว้ ศศิไม่อาจจะเห็นแก่ตัวเก็บเขาไว้หรอก แต่ก็แอบคิดไว้ว่าไม่อยากให้ไปไหน


การมีคนกอดไว้มันดีจริงๆนะ เหมือนจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างให้กันได้ เมื่อหวนคิดถึงความฝัน ใบหน้าอันเลือนรางของคนที่ถูกเรียกว่าศศิยังคงติดตา แม้จะมองได้ไม่ชัดเจน แต่กับคนที่ส่องดูใบหน้าของตัวเองมาตั้งแต่เกิดย่อมรู้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับใครบทสนทนาของพวกเรายังคงฝังหู และความรู้สึกร่วมที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เหตุใดศศิคนนี้ถึงรู้สึกมันอย่างชัดเจน


ทั้งคิดถึง รู้สึกผิด และขัดแย้งในตัวเอง


TALK:
มาถึงครึ่งเรื่องแล้วคับ
อ่านถี่ๆกันหน่อยเนาะช่วงนี้
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ














หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 16 : 30/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-12-2018 17:45:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 16 : 30/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-12-2018 03:07:35
มีศศินั้นแล้วก็ศศินี้ จะเกี่ยวกับตอนต้นมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 17 : 31/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 31-12-2018 19:27:34
Finding the twilight
17
จันทราปราการ
☼ ☽


"แม้แต่กับตัวเอง เจ้ายังใจร้ายได้ลงคอเชียวหรือ"
"โลกนี้ไม่มีความปราณีนักหรอก"
"แล้วเราอยู่บนโลกกันหรือไง"
"...."
"โลกมนุษย์ ยังดูให้อิสระกับข้ามากกว่าที่นี่อีก"
"อาทิตย์..."
.
.
.
“อาทิตย์!!!!!”  ทว่ายิ่งไขว่คว้าเขาก็ยิ่งห่างออกไป ศศิลืมตาตื่นขึ้นมาจากความมืดมิด มาพบกับฝ้าห้องบรรทมที่คุ้นเคย


ฝันหรอกหรือ?!


“มีอะไรหรือศศิ”  คนที่นอนหลับข้างๆกายก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วย ใบหน้าเสียขวัญของคนรักทำให้พระองค์ต้องคว้าศศิมากอดไว้เพื่อปลอบขวัญ เด็กดี…ใยตื่นขึ้นมาก็น้ำตาคลอแบบนี้เล่า


“อาทิตย์…อาทิตย์”


“ข้าอยู่นี่แล้ว” ทรงลูบหลังคนขวัญเสียในอ้อมกอด แผ่นหลังของศศิเปียกชื้น ต้องเป็นฝันร้ายแบบไหนถึงทำให้เด็กคนนี้หวาดกลัวได้ขนาดนี้


ศศิยังคงสะอื้นอยู่ในอ้อมพระอุระเป็นเวลาสักพักกว่าจะหยุดลงและผละออกมาเอง ดวงตาที่ยังคงฉ่ำน้ำนั้นช้อนมองกัน ในแววตานั้นมีแววแห่งความไม่มั่นใจอยู่ พระองค์จึงจุมพิตที่หน้าผากเนียนและปานที่เหมือนจะจางลงนิดๆบนใบหน้าเพื่อปลอบโยน จากที่ตั้งใจว่าจะต้องรีบลุกไปสะสางพระราชกิจ ทว่าศศิที่เป็นแบบนี้ก็ไม่อาจจะปล่อยให้ละสายตาได้เลย


“ข้าฝันร้าย”


“ข้ารู้”  แต่ที่ไม่รู้คือศศิ…นั้นฝันอะไร


เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจในภาพฝัน ทว่าความรู้สึกร่วมที่เกิดขึ้นนั้นมันรุนแรง นี่ตนอ่อนไหวขนาดนั้นเลยหรือนี่ทั้งๆที่คนในบทสนทนานั้นไม่ใช่ตัวของศศิเลย ทว่าความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งกลับท่วมท้นอยู่ในใจ ราวกับว่าคำพูดร้ายๆเหล่านั้นที่ทำให้อีกคนเสียใจ…ศศิเป็นคนพูดมันออกมาจากปากตัวเอง


“อย่าไปไหนเลยนะ”  ภาพที่ฝ่ายหนึ่งประชดประชันอีกฝ่ายก่อนจะเดินหันหลังให้นั้นสร้างความเจ็บปวดร้าวแสน แค่เพียงคิดว่าหากอคิราห์ผู้นี้ทำกันตนบ้างก็ไม่อาจจะทราบได้เลยว่าจะทนแบกรับไปได้แค่ไหน


ศศิที่เข้มแข็งมาตลอด จะอ่อนแอได้ขนาดนั้นเลยหรือ


ด้วยไม่อาจจะเห็นตัวเองเป็นเช่นนั้นได้อีก จึงกัดฟันผละออกมาจากอ้อมอกที่ปลอบโยนเรื่องแบบนั้นมันยังไม่เกิดขึ้นเสียหน่อย ก็แค่ฝันไปเท่านั้น หากงี่เง่าฉุดรั้งเขาไว้แบบนี้ก็รังแต่จะทำให้รำคาญเสียเปล่า อคิราห์นั้นลังเลที่จะจากไปแต่ก็เป็นศศิที่ดุนหลังกันให้ออกห่าง


“ไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วยจริงๆหรือ”


“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าแค่ฝันร้าย ตื่นมาก็ไม่มีอะไรแล้ว”


“แน่หรือ”


“อื้ม”


“ถ้าข้าไม่อยู่แล้วผีมาหลอกเจ้าเล่า”


“หาใช่ว่าข้าจะกลัวผีเสียที่ไหน” ร่างบางนั้นก้าวเข้าไปหาเด็กเกเรที่ไม่ยอมไปสะสางงานการ เขย่งเท้าเพื่อมอบจูบที่แก้มสากก่อนจะกระซิบเบาๆ  “รีบไปแล้วรีบกลับมาหาศศินะ”  และน้ำเสียงแบบนี้ก็เป็นเหมือนมนต์ขลังที่สั่งให้ต้องทำตามสถานเดียว


องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นถูกปราบโดยสิ้นเชิงโดยคนตัวเล็กกว่าที่มีนามว่าศศพินทุ์ เจ้าตัวไม่ได้ใช้ถ้อยคำเกรี้ยวกราดแต่อย่างใดในการทำให้ทรงทำตาม ทว่าเพียงแค่น้ำเสียงหวานๆและสรรพนามเพราะๆก็เอาอยู่ หากไม่ทั้งรักทั้งหลง ว่าที่ราชสีห์ใหญ่แห่งสิหราชนครานะหรือจะยอมได้ขนาดนี้


“ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนมาสายแต่อารมณ์ดี”  องค์เหนือหัวทรงเอ่ยทัก พระโอรสที่ดูย่ำแย่เพราะเพิ่งผ่านการถูกไล่ล่าในวันนั้น ช่างต่างจากเช้านี้เสียเหลือเกิน เกรงว่าเรื่องดีๆที่เราคาดไว้คงจะเกิดขึ้นอย่างที่ต้องการ


ใช่….ทรงเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง…บางส่วน


ไม่แน่ว่าอคิราห์ก็อาจจะพอรู้ว่าบิดาของตนนั้นตั้งใจเสียยิ่งกว่าอะไรในการจับคนรักแยกจากกัน หลายวันเป็นหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทรงประทานพระราชกิจให้พระโอรสไปทำแทนเยอะมากๆ ตั้งใจให้ยุ่งเสียจนไม่ได้หลับได้นอนแต่กระนั้นเจ้าลูกชายก็ไม่มีบ่นและตั้งหน้าตั้งตาทำให้เสร็จ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะอะไรหรือเพราะใคร


ตราบใดที่ไม่ทำให้ผู้ใหญ่ไม่พอใจ ก็จะไม่มีใครบังคับเรื่องครองราชย์และมีทายาท…


ทว่าเหตุการณ์ลอบสังหารอะไรนั่นก็ว่าเป็นฝีมือพระองค์ไม่ได้เต็มปาก ทรงให้องค์รัชทายาทออกไปปฏิบัติงานที่นอกเมืองโดยทราบดีว่าการคุ้มกันที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ ทรงส่งคนไปเพื่อหมายจะตั้งตัวแสร้งเป็นศัตรูเพื่อถ่วงเวลาการกลับมาขององค์ชายอคิราห์ ทว่ามันเหตุการณ์ไม่ดีกลับเกิดขึ้นจริงโดยกลุ่มอื่นที่หมายจะลอบสังหารคนสำคัญของราชวงศ์


เคราะห์ดีที่พระองค์ส่งคนไปสมทบ แม้จะโดยไม่คาดหมายแต่ก็ช่วยจัดการเก็บพวกนั้นได้ หลังจากนั้นก็ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ องค์รัชทายาทจึงต้องระหกระเหินเดินทางกลับมาโดยเลี่ยงเส้นทางเดิมและใช้เวลาเดินทางอยู่หลายวัน พอทราบข่าวว่าพระโอรสจะเสด็จกลับมาถึงในวันนี้ ก็ให้ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ไปจัดการวางยาศศิ ช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอและฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดอ่อนๆที่ให้ดื่มไป คงจะพอทำให้พวกเด็กๆแสดงออกอย่างลุ่มหลงโดยเปิดเผย


พระองค์ไม่ได้คาดหวังว่าเพียงคืนวานจะทำให้พระราชนัดดายอมมากำเนิดที่ท้องของยอดรักของพระโอรส เพราะเราก็ยังไม่อาจจะรู้ได้ว่าศศพินทุ์นั้นใช่คนที่เราสันนิษฐานไว้หรือไม่ บนโลกนี้ไม่ใช่บุรุษทุกคนที่ทำเช่นนั้นได้ แต่จะว่ามีก็มีทว่ามีน้อยเหลือเกิน และคนที่มีคุณสมบัติเหล่านั้น


ย่อมมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา….


ในวันหนึ่งเมื่อราวๆ 20 ปีก่อนนั้น พระองค์ได้รับฟังคำทำนายจากโหรหลวงเกี่ยวกับเหตุการณ์ธรรมชาติที่เพิ่งเกิดไปนี้ แม้ไม่ได้มีความเชื่อในด้านนั้นเป็นพิเศษแต่ก็มีโหรประจำราชวงศ์ที่สืบทอดกันมาเนิ่นนาน ถึงบ้านเมืองจะพัฒนาไปไกลแค่ไหนแต่โหรหลวงก็มีไว้เพื่อความมั่นคงทางจิตใจด้วยเพราะพระองค์ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษจึงจำข้อความที่ถูกถ่ายทอดไม่ได้หมด


นอกเหนือไปจากความงามที่เกิดขึ้น โหรหลวงที่รับหน้าที่ทำนายชะตาบ้านเมืองและราชวงศ์นั้นกลับได้กล่าวพาดพิงถึงอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดเมื่อ 8 ปีก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์อาทิตย์ทรงกลด และนั่นได้สร้างความสนใจให้กับองค์เหนือหัวสิหราชที่ไม่เคยสนใจศาสตร์การพยากรณ์มาก่อนเลย


เพราะในวันนั้นคือวันถือกำเนิดของอคิราห์…


ลูกชายที่พระองค์ทรงเฝ้ารอให้มาอยู่ที่นี่เนิ่นนานด้วยความพยายามอันมากมายเพื่อที่จะให้สืบทอดบัลลังก์ต่อไป กำลังจะตัดพระทัยแล้ว จนกระทั่งทรงพระสุบินถึงชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม รัศมีที่ส่องสว่างจากกาย ทำให้พระองค์รู้ว่าที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเขารูปงามราวกับเทวดา


หรือจริงๆแล้วเขาเป็นเทพแห่งสุริยา…ก็ไม่มีใครรู้เลย…


‘จงให้นามเด็กคนนั้นที่เกิดในวันอาทิตย์ทรงกลดดั่งดวงอาทิตย์’


เหมือนเป็นคำสั่งหรือคำสัญญา หลังจากวันนั้นพระองค์ก็ได้รับแจ้งข่าวดีว่าองค์ราชินีทรงพระครรภ์ หลายเดือนต่อมาจากนั้น ในวันที่พระโอรสอันเป็นที่รักได้ถือกำเนิด ความทรงจำเกี่ยวกับฝันนั้นก็เหมือนกลับมาย้ำเตือน
‘จงให้นามเด็กคนนั้นที่เกิดในวันอาทิตย์ทรงกลดดั่งดวงอาทิตย์’
ทันทีที่พระองค์ได้มองใบหน้าของลูกชาย ชื่อนี้ก็โผล่ขึ้นมาในหัวราวกับว่า...มันถูกกำหนดไว้แล้วว่าเด็กคนนี้ต้องชื่อว่าอคิราห์…ที่แปลว่าแสงของดวงอาทิตย์ เพราะลูกเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่มอบทางออกให้กับพระองค์ที่อับจนหนทาง


กลับมาที่คำทำนายที่เกี่ยวข้องกับวันที่เกิดดวงจันทร์ทรงกลด จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือสิหราชนคราเลย ทว่ากับเป็นที่ล่วงรู้กันว่านี่คือสัญญาณที่ส่งให้กับตระกูล ‘จันทราปราการ’อันโด่งดังไปทั่วทิศมากกว่า และจันทราปราการที่ว่าก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรนี้


เดิมทีเชื่อว่าสิหราชนครานั้นได้รับการปกป้องดูแลโดยสุริยเทพที่มีร่างหนึ่งคือพญาราชสีห์ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่ามีอาณาจักรใดที่ประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่าได้รับการปกป้องโดยตรงจากจันทรเทพ ทว่าก็มีอาณาจักรหนึ่งที่ถูกช่วยเหลือโดยจันทรเทพในทางหนึ่ง


โดยผ่าน  ‘จันทราปราการ’


‘จันทราปราการ’ เป็นตระกูลเก่าแก่ที่ว่ากันว่าได้ถือกำเนิดจากความเมตตาของจันทรเทพ ว่ากันว่าพวกเขาได้ร่อนเร่เผยแพร่วิทยาการทางการแพทย์และการศึกษาไปเรื่อย จนปักหลักช่วยเหลือคีรีธาราในการสร้างอาณาจักร สมาชิกในตระกูลมักจะอยู่ในวงการวิชาการแขนงต่างๆแต่ไม่ใช่นักปกครอง ทว่าสมาชิกบางคนในบางยุคสมัยก็เป็นผู้ชักใยนักปกครองอยู่เบื้องหลัง จากประวัติก็ทราบได้แล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตในคีรีธาราขนาดไหน ทว่าเมื่อเกิดความวุ่นวายจนอาณาจักรนั้นแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายแล้ว จันทราปราการนั้นอยู่ฝ่ายไหน…


คำตอบที่ถูกต้องไม่มีใครรู้
แต่ใครๆก็ว่ากันว่าอยู่ที่คีรีราชสกุล…หรือว่าหนุนหลังระบบกษัตริย์ของคีรีธาราอย่างที่เคยสนับสนุนกันมาตลอดนั่นเอง


ทั้งนี้วันที่เกิดดวงจันทร์ทรงกลดนั้น ว่ากันว่าเด็กที่เกิดในวันนั้นซึ่งสืบสายเลือดของจันทราปราการจะสามารถให้ครรภ์เป็นศรีแห่งบ้านเมืองและวงศ์ตระกูล เป็นดวงที่เหมาะสมจะเคียงคู่กับนักปกครองหรือถ้าให้เรียกให้ดูยิ่งใหญ่กว่านั้น…ก็คือกษัตริย์แห่งคีรีราชสกุลดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่จะทำให้พวกคีรีเขตเข้าใจว่าจันทราปราการย่อมเทใจไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยเพราะเหตุผลนี้


เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่คีรีเขตหันมาโจมตีจันทราปราการ เป็นเหตุให้สกุลนี้สิ้นชื่อสูญหายไปจากคีรีธารา พวกเขาคงหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ลำพังเหล่ามันสมองที่มีคงไม่ยากที่จะหาทางออก แต่การสูญเสียย่อมเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้


ทันทีที่ได้ยินเรื่องเล่าจากอคิราห์หรือจากอชิระเองที่แม้ไม่พูดเยอะแต่ก็พอจะปะติดปะต่อเองได้ พระองค์ทรงปักใจเชื่อว่าศศพินทุ์คือเด็กคนนั้น และอาจจะไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กคนหนึ่งที่สูญหายไปจากคีรีธารา จะมาอยู่ในพระราชวังแห่งสิหราชนครา


ใครจะไปคิดว่าคนที่อยู่ไกลกันราวตะวันตกและตะวันออก จะได้มาพานพบและใครจะไปคิดว่ากษัตริย์ผู้ที่จะได้ครองคู่กับเด็กที่เกิดในวันสำคัญนั้นอาจจะไม่ใช่กษัตริย์แห่งคีรีธาราแต่เป็นสิหราชนคราที่อยู่นอกสายตา หากอคิราห์ที่เกิดในวันอาทิตย์ทรงกลดจะได้ครองคู่กับอีกคนที่เกิดในวันดวงจันทร์ทรงกลด คาดว่าพรหมลิขิตคงชักพาให้อาทิตย์กับจันทรามาอยู่ด้วยกัน


ถ้าหากศศินั้นไม่ใช่คนแบบที่เราคิดพวกเขาก็ยังรักกันได้ แต่อาจจะต้องแบกรับความกดดันมากมายอย่างที่พระองค์เคยเจอ การมีบุตรนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับราชวงศ์ แม้อคิราห์จะมีศศิได้ทว่าก็ต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้พิสูจน์ตัวเพื่อขึ้นมามอบทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์โดยชอบธรรม


☼ ☽


ศศิมาอยู่ที่นี่นานร่วม 3 เดือนแล้ว


ชีวิตในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้วุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้ว่างอะไร แม้ว่าก็ยังไม่ได้ออกไปไหน ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิดไว้ บางที…ก็มีแขกที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมเยียนทั้งท่านอชิระและท่านน้าทิชากรที่สอนสั่งกันมา เฉกเช่นวันนี้ที่พวกเขามาร่วมทานอาหารกลางวันร่วมกัน


“เจ้าช่างเข้มแข็งนัก จากเด็กดื้อซนชอบเที่ยวเล่นในวันนั้น นับวันเจ้าจะยิ่งอยู่ติดที่ไม่ไปไหน”  ศศินั้นยิ้มให้กับคำพูดของท่านอาจารย์หรือคนที่มีศักดิ์เป็นน้าอย่างเขินอาย คงเพราะมีเป้าหมายให้คาดหวังอยู่ทุกวัน เช่นว่าวันนี้เขาจะกลับมาที่นี่ไหมและแค่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามแค่ไหนที่จะกลับมา ความปลื้มใจนี่ก็ฉุดรั้งกันไว้ต่อให้คาดหวังในเรื่องแบบนี้ทุกๆวัน


ทิชากรนั้นดูก็ออกว่าหลานของตนกับองค์รัชทายาทนั้นเป็นอะไรกัน เพียงแววตาที่พวกเขามองกันนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว ตั้งแต่คราแรกที่ได้พบเจอคนทั้งคู่พร้อมๆกันทิชากรก็ทราบได้ทันที แต่ก็ยังขัดขวางอยู่บ้างด้วยไม่อยากให้หลานที่รักของตนด่วนใจเร็วไปก่อน ทั้งนี้เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา


หากแต่เป็นผู้ชายประเภทที่ทิชากรได้พยายามพาศศิออกห่างไม่ให้ไปข้องเกี่ยวด้วยตลอดชีวิต


“เฮ้อ”  แต่มันก็ไม่สำเร็จ พอเป็นเรื่องของหัวใจ เมื่อเด็กที่ตนดูแลนั้นเติบโตขึ้นก็ยากที่จะควบคุมเหมือนในวันวาน มันอาจจะเป็นแรงดึงดูดประหลาดที่นำพาให้คนแบบศศิเท่านั้นที่เข้าไปในกำแพงสูงขององค์รัชทายาทได้และคงเป็นแค่เขาเท่านั้นที่หลุดจากการคัดกรองของทิชากรแต่แรกเริ่ม แม้จะเข้มงวดแค่ไหน สิ่งที่ทิชากรแพ้ก็คือโชคชะตา


ที่นำพาให้คนทั้งสองได้มากลายเป็นของกันและกันทั้งกายและใจในตอนนี้


“ปานรูปพระจันทร์ของเจ้า ดูจะจางลงนะ”  ทิชากรนั้นเชยคางของศศิที่ก้มหน้าลงเขินอายอยู่กับการถูกจับผิด จับหันดูด้วยความสนใจ พิจารณาและก็พบว่ามันจางลงจริงๆ ปานที่ศศิเกลียดชังนั่น


“ข้าแทบไม่ได้สังเกตเลย” จะว่าเพราะมัวแต่ตกหลุมรักจนลืมสนใจก็ว่าได้ แต่ศศิเพียงแค่ลืมสนใจหรือเพราะอคิราห์กันที่ทำให้ตนไม่ได้คิดว่ามันน่าเกลียดอีกเลย เท่าที่จำได้นั้นก็มีแต่เพียงรอยจุมพิตที่ฝังอยู่ตรงนี้ ที่ๆเขามักปลอบประโลมยามที่ขวัญหายไปไกลและถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัว


“คงไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ข้าได้ปรุงยาบำรุงมาให้เจ้า จงกินตามที่บอกไว้อย่าให้ขาด”


“สมุนไพรบำรุงตัวนี้หายากนัก ข้าแบ่งชงให้องค์รัชทายาทด้วยได้ไหม”


“นี่สำหรับเจ้าโดยเฉพาะ สำหรับองค์รัชทายาทนั้นข้าได้จัดอีกตัวไว้ แต่เจ้าควรเอาให้แพทย์ประจำราชสำนักตรวจสอบของพระองค์ดูก่อนเพื่อความมั่นใจของพวกเขา”  อย่างไรทิชากรก็ถือเป็นคนนอก การเอายาสมุนไพรให้คนในราชวงศ์ดื่มทานอาจจะสร้างความระแวงให้เกิดขึ้นได้จึงควรได้รับการรับประกัน


“แล้วตัวนี้เหล่า ช่างแปลกใหม่เหลือเกิน ข้าไม่เคยพบเห็น”


“เป็นสมุนไพรหายากมาก เจ้าจงต้มทานเป็นประจำ”


“มันคืออะไรหรือท่านน้า”


“ก็แค่ยาบำรุง ยาได้กังวล”


“….”


“ข้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นานๆทีถึงจะได้มาที่นี่ ขอเจ้าจงดูแลตัวเองให้ดีให้สมกับที่ไว้ใจให้อยู่ห่างกายได้ไหม”


“ท่านน้า…”


“ข้ารู้ว่าเจ้าจะบอกว่าองค์รัชทายาทนั้นดูแลเจ้าดีแค่ไหน แต่ตัวของเจ้ามันเป็นสิทธิ์ของเจ้าที่จะเห็นแก่ตัวเองและดูแลตัวเองได้ดีกว่าใครเพราะฉะนั้นหากไว้ใจข้า จงดูแลตัวเองให้ดี”


“…”


“ที่นี่อาจจะปลอดภัยกับเจ้าแต่ภายนอกรอบๆกำแพงนั่น เจ้าก็เห็นว่ามีการตรึงกำลังองค์รักษ์ไว้รอบๆเพื่อความปลอดภัยของคนที่อยู่ภายในเจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี”


“ข้าทราบแล้ว”  ศศินั้นเอ่ยรับ เข้าใจในความหวังดีของทิชากรได้ไม่ยาก ที่นี่เป็นสถานที่ที่สวยงามทว่ากลับมีอันตรายรายล้อมมากที่สุดแห่งหนึ่ง การแก่งแย่งชิงดีมีมาเนิ่นนานและมันฝังรากลึก


ทิชากรจากไปแล้ว และคิดว่าพวกเขาคงเดินทางไปที่ชายแดนกันในวันนี้เพราะอชิระมีกิจธุระจึงกลับมาเมืองหลวงได้ไม่นาน การที่ท่านน้าเอาหยูกยามาให้นั่นก็คงเพราะความห่วงใยที่มีให้เสมอและเพื่อตอบแทนความทุ่มเทของเจ้าตัว ศศิจึงจะปฏิบัติตามคำขอร้องอย่างเคร่งครัดทั้งกับตัวเองและแน่นอนว่าย่อมต้องส่งต่อให้กับเจ้าของตำหนักด้วยอย่างแน่นอน


แต่ต้องให้ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่รับผิดชอบสุขอนามัยประจำราชสำนักตรวจสอบก่อน…


“เป็นข้าที่คลาดกับอาจารย์ของเจ้าอีกแล้วหรือ”  ท่านยิ้มออกมาด้วยเสียดายที่ไม่ได้เจอกับทิชากรที่มากะทันหัน และในวันนี้ที่มาเจอกัน ก็เพราะศศิเป็นคนเชิญมาพบเพื่อให้ดูสมุนไพรที่จะใช้ปรุงให้กับองค์รัชทายาทดื่มกินเพื่อบำรุงกำลัง


ศศิขนตัวยาที่ทิชากรเตรียมมาให้เขาพิจารณาดูและมันได้ถูกอนุมัติให้ใช้ การที่ท่านหมอน้อยว่างงานอยู่ที่นี่ก็เอาเวลาไปศึกษาจนรู้ดีไปหมดว่าอะไรควรไม่ควร เราสนทนาแลกเปลี่ยนกันเรื่องสมุนไพรมากมาย


“เห็นเจ้าสุขภาพดี สดใสเยี่ยงนี้ก็ดี มาอยู่ที่นี่เจ้ามีเบื่ออาหารบ้างหรือไม่”


“ไม่นะ พวกเขาทำอะไรให้ ก็กินได้อร่อยไปหมด”


“จะว่าไปข้าได้ส้มมา แต่รสมันออกจะเปรี้ยวเสียหน่อย เจ้าจะกินได้ไหม”


“จริงๆแล้วข้าไม่ค่อยถนัดผลไม้รสเปรี้ยวเท่าไหร่ แต่ถ้าท่านจะกรุณา ข้าจะทานให้หมดไม่ให้เหลือ”


“…”


“ด้วยเพราะความดูแลของท่านและทุกคนที่นี่ ศศิช่างโชคดีที่อยู่ได้อย่างสุขสบายไม่ป่วยไข้อะไรเลย”  ศศิยังคงยิ้มละไม ไม่รับรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย


“เจ้าดูสบายดีจริงๆ ถ้าเช่นนั้นให้ข้าตรวจร่างกายหน่อยดีไหม”


“ตรวจร่างกาย?”


“เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์อย่างไร”  เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศศิก็ยินยอมให้ท่านหมอได้ตรวจร่างกายเบื้องต้นดูเพราะไม่เห็นว่ามันจะดูเสียหายตรงไหน อีกทั้งรอบห้องก็มีบรรดานางกำนัลอยู่เต็มไปหมดแค่จับมือถือแขนตรวจชีพจรคงไม่อะไร


ใช้เวลาไม่นานก็ได้ข้อสรุปว่าศศินั้นมีสุขภาพที่ดี จริงๆแล้วตนก็รู้ชัดแน่แล้วเพราะหมั่นดูแลตัวเองเสมอและยังมีทิชากรที่มาหาเมื่อวันก่อนที่มาตรวจดูซ้ำเพื่อความสบายใจ ดังนั้นผลที่ออกมาในวันนี้จึงไม่ต่างจากความคาดหมาย ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลากับแขกผู้มาเยือน ในเมื่อสมุนไพรเหล่านี้ได้รับการยืนยันว่าใช้ได้แล้วศศิจึงไม่รอช้าไปเตรียมต้มให้กับคนที่เดี๋ยวนี้นับวันยิ่งขี้โรค คาดว่าเพราะงานเยอะเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอจึงฉายแววจะเป็นลมให้เห็นอยู่บ่อยๆ


วันนี้กลับมาสภาพก็คงน่าเป็นห่วงอีกตามเคย


“คิดถึงพี่ไหม”  และคนที่มีสภาพน่าเป็นห่วงก็สวมกอดกันจากข้างหลัง ทรงเสด็จกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ หรือทุกคนทราบแต่พยายามทำให้ศศิไม่ทราบกัน


“พี่อาทิตย์ ท่านดูป่วยหนักเหลือเกิน ทำไมไม่ไปพักก่อนเล่า”  ศศินั้นวางถ้วยยาลงรีบหันมาหา สำรวจพระพักต์ที่ดูหมองๆด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ต้องดุให้กับการเล่นไม่รู้จักประมาณตนเองเช่นนี้เหมือนกัน


“เจ้าคือแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยม ไม่รู้หรือ”  หากใครว่าทรงถูกศศิทำของใส่ก็ไม่เถียงเลย นับวันก็ยิ่งจะหลงรักจนยากจะถอนตัว พระโอษฐ์บางนั้นประทับจุมพิตที่แก้มใส ก่อนจะหอมแรงๆด้วยต้องการสูดดมกลิ่นอายที่ก่อให้เกิดความสบายใจสูงสุด ร่างบางนั้นดิ้นไปมาในอ้อมพระอุระ ทว่าสุดท้ายก็ต้องยอมเป็นแหล่งพลังงานให้โดยดี


“พะ…พอก่อน”  เป็นศศิที่ร้องห้ามออกมา เล่นตะโบมจูบกันแบบนั้นก็เป็นศศิเองน่ะสิที่ถูกดูดพลัง  ทว่าก็ยังกอดกันเอาไว้แม้จะเพิ่งจากกันไปเมื่อเช้านี้ ชอบที่จะได้รับรู้ว่ามีศศิอยู่ตรงนี้เหลือเกินทรงรักใคร่ไปหมดทั้งตัวโดยเฉพาะตอนนี้ที่คนงามดูจะเจ้าเนื้อขึ้นมานิดหน่อย จับตรงไหนก็นิ่มและนวลไปหมด…


แต่ดูเหมือนว่าจะจับมากไปเจ้าของร่างจึงดันพระองค์ออกจนสุดแรง ศศิเริ่มจะโมโหนิดๆที่พูดไม่ฟังพระองค์ชายเลยต้องเอาใจด้วยการดื่มยาบำรุงกำลังที่อีกฝ่ายเตรียมให้ หลังจากเสร็จมื้อเย็นพระองค์ก็ไปชำระพระวรกายที่เหนียวเหนอะหนะ อย่างน้อยจะกอดคนรัก ไปทั้งๆที่หอมๆแบบนี้อาจจะจูงใจศศิได้ดีกว่า


“อื้ม ข้าชอบเจ้าไปเสียหมดแล้วจริงๆ”  ทรงซ้อนกอดคนที่นอนตะแคงหันหลังก่อนจะกดจูบลงตรงไหล่บาง ศศิที่ว่าจะทำเป็นไม่สนใจสุดท้ายก็ต้องหันมาหา


“พักเถิด ท่านดูไม่สู้ดีนัก”


“เพราะงานหนัก”  ก็เพราะหลังจากรังแกกันแล้วก็ทรงพักผ่อนเพียงนิดและโหมงานต่อถึงจะกลับมานอน เป็นเช่นนี้มาหลายสัปดาห์แล้วจนคนที่ต้องคอยดูแลเองก็อ่อนใจ ทั้งหมดมันก็มีเหตุมาจากศศิเองอยู่ดี เพราะฝันร้ายในวันนั้นทำให้พระองค์ห่วงกันจนไม่ไปไหนไกล ทรงเชื่ออย่างหมดใจว่าการที่ไม่กลับมาบรรทมด้วยทำให้เจ้ากระต่ายเครียดจนเอาแต่ฝันร้าย ทว่ามันไม่ใช่เลย…


ศศิไม่คิดว่าฝันร้ายนั้นเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ได้เจอกัน เพราะภาพฝันที่เห็นมันเสมือนจริงราวกับว่าเคยพบเคยเห็นมาก่อนมากกว่า แต่เพียรนึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้เลย


“อย่าได้กังวลเลยไม่มีอะไรที่ข้าเต็มใจทำเท่าการได้กลับมานอนกอดเจ้า”  แม้จะเหน็ดเหนื่อยทรมานแต่ก็ทรงเต็มใจ ศศิที่มองพระเนตรอันแน่วแน่คู่นั้นแล้วก็ใจอ่อนอย่างที่มักเป็น มือเล็กนั้นเกลี่ยเบาๆที่แก้มสากก่อนจะกดจูบลงไป ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าในความทุกข์ใจนั้นมีความยินดีอยู่ ศศิก็ชอบที่เขามาอยู่ข้างๆแบบนี้


“พี่อาทิตย์”  มือไม้ที่สอดเข้าไปในร่มผ้านั้นเริ่มจะซุกซนจนเกินจะห้ามไหว พอเราเดินทางมาถึงจุดนี้อะไรๆก็เหมือนจะเกิดขึ้นง่ายดายราวกับว่าอุปกรณ์ที่ใช้ยับยั้งความต้องการได้พังทลายลงไปในวันนั้น ทรงสามารถรักศศิได้ตามใจอยาก และศศิก็ให้พระองค์ได้รักตนเพราะไม่อาจจะทนต่อความต้องการที่ดึงดูดหากันนี่ได้


ทรงกอดศศิได้ไม่มีเบื่อเลย ยิ่งตอนนี้ศศิช่างดูนุ่มนิ่มมากกว่าเดิม กอดเท่าไหร่ก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย
แต่นานเท่าไหร่เล่าถึงจะพอเพียง…


“เป็นของพี่ตลอดไปเลยนะ” คำขอนี้ขอให้มันยาวนานสมดั่งว่า


เพราะตอนนี้ไม่มีใครจินตนาการภาพที่เราไม่ได้เป็นของกันและกันออกอีกแล้ว

TALK
ตอนนี้ต่อให้ศศิจะถอยก็ไม่ทันล่ะ
โดยกินตลอดตัวไปแล้ว แต่น้องยืนยันแล้วว่าตัดสินใจมาดีแล้ว
เมื่อวานเราแต่งเรื่องนี้จบละค่ะ  จริงๆควรจบเร็วกว่านี้แต่เราขี้เกียจเอง
กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรต่อไปดี เดี๋ยวคิดได้จริงๆแล้วจะมาบอกนะคะ
วันนี้เราลงลูกชุบของอัศวินด้วยคับ อย่าลืมไปอ่านนะ
Twitter @reallyuri
#อาทิตย์ศศิ



















หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 17 : 31/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-01-2019 03:07:10
เจ้าตัวเล็กมาแล้วใช่มั้ยยย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 1 : 22/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 01-01-2019 04:26:10
คุ้นๆ เหมือนเคยอ่านแต่ก็จำเรื่องราวไม่ค่อยได้แล้ว 555

สวัสดีปีใหม่นะคะ ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 17 : 31/12/2018 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-01-2019 09:20:41
กำลังจะมีทายาทตัวน้อยๆแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 18 : 1/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 01-01-2019 12:27:40
Finding the twilight
18
ลอบปลงพระชนม์
☼ ☽

“หรือว่าเราจะผิดหวังกันจริงๆแล้วสินะ”  องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครานั้นเอ่ยอย่างสุดแสนเสียดายกับท่านหมอคนสนิท หลังจากทราบเรื่องที่แอบไปตรวจสอบมา


ศศิไม่ได้ท้อง


เด็กคนนั้นไม่มีสัญญาณว่ากำลังมีครรภ์ ทั้งอาการพื้นฐานที่หลายๆคนเผชิญ หรือแม้แต่สัญญาณชีพของบุตรในท้องก็ไม่มีให้ได้ยิน ทว่าการตรวจคร่าวๆนี้ไม่อาจจะชี้ชัด เพราะมันก็มีจุดที่แปลกๆอยู่หลายๆจุด โดยเฉพาะสัญญาณชีพของศศิเองก็ไม่มีให้ได้ยินเช่นกัน แต่เสียงเต้นของหัวใจหรือลมหายใจก็ยังคงปกติ


“เราอาจจะ…ไม่ได้อุ้มหลานในเร็วๆนี้”  โอกาสที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะตั้งท้องนั้นต่ำนัก พระองค์เองก็ไม่ควรคาดหวังแต่แรก ที่มาของศศิก็ไม่มีใครรู้เขาอาจจะไม่ได้มาจากจันทราปราการจริงๆ เรื่องนี้ไม่มีใครยืนยันให้กันได้ แล้วเช่นนี้พระองค์จะไปตัดสินเอาเองได้อย่างไรในเมื่อทรงคาดหวังผิดๆมาแต่แรกแล้ว


“แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปดีละพะยะค่ะ”


“ก็คงต้องทำอย่างอื่นแทน”


“…”


“ตอนนี้คงต้องเลื่อนเรื่องทายาทของอคิราห์กับศศิไว้ก่อน เราอาจจะต้องสรรหาคนอื่นหรือพูดคุยกับเจ้าตัวเขาให้รับทราบไว้บ้างแต่เราจำเป็นต้องจัดการพวกก่อกบฏให้เด็ดขาดไปด้วย”  เพราะไม่สามารถอ้างเรื่องการมีทายาทขององค์รัชทายาทได้ พระองค์ก็อาจจะต้องครองบัลลังก์ต่อไปอีกสักพักและคงไม่อาจจะโน้มน้าวคนโดยการอ้างว่าทายาทขององค์ชายอคิราห์กับศศิเป็นเด็กที่เทพเจ้าประทานมาได้อีก จึงอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกว่านี้ แต่จะอย่างไรก็ต้องให้องค์รัชทายาทมีลูกให้ได้


ไม่เช่นนั้นสิหราชวงศ์ก็คงถึงคราวล่มสลายแล้ว


☼ ☽


“เห็นเจ้ามีความสุข ข้าก็ดีใจ”


“รู้ได้อย่างไรว่าข้ามีความสุข”


“เจ้าดูมีน้ำมีนวลขึ้น กอดเต็มมือไปหมดเช่นนี้ข้าคงไม่ได้กล่าวหาเกินเลย”  ทรงทำให้ศศิรู้สึกอายด้วยวาจาและแววตา ก็เพราะไม่ได้ทำอะไรเลยเล่า กินและนอนอย่างเดียวแบบนั้นจะไม่ให้อ้วนได้อย่างไร!


“ข้ายอมรับว่าอ้วนขึ้น งั้นคงต้องขออนุญาตลุกจากเตียงแล้ว”  แล้วก็น้อยใจเก่งด้วย โชคดีที่ทรงง้องอนเก่งเหมือนกันเลยกอดก่ายไว้ไม่ให้ลุกไปไหน พระองค์ไม่ได้มีเวลามาก กลับมาก็ฟ้ามืดแล้ว จะได้กอดหอมให้ชื่นใจหน่อยก็เวลานี้เท่านั้น เป็นเวลาสั้นๆที่มีค่าต่อพระทัยเหลือเกิน


“อ้วนข้าก็รัก” ทรงซุกพระพักต์ที่ตรงแผ่นหลังของคนขี้งอนพลางลูบท้องของอีกฝ่ายเล่น การหยอกล้อแบบนี้ ทำให้ศศินึกขุ่นเคืองในใจอยู่บ้าง ก็รู้อยู่หรอกว่าเดี๋ยวนี้เริ่มลงพุงน่ะ!


“ท่านไม่มีวันชอบข้าที่ดูอัปลักษณ์ได้หรอก”  เช่นนั้นศศิจะพยายามกู้คืนหุ่นดีๆของตนต่อจากนี้ อคิราห์ที่ทราบได้ว่าไปจี้จุดอีกคนเข้าแล้วจึงสวมกอดให้แน่นขึ้น สูดดมกลิ่นหอมจากลำคอระหงก่อนจะปลอบประโลมด้วยคำหวาน


“เจ้าจะอ้วนกว่านี้สักนิดก็ไม่เป็นไรหรอก น่ารักดี”


“….”


“หรือจะอ้วนมากอีกนิดก็ได้หากเจ้าจะมีความสุขและยิ้มให้ข้า”  ทรงจับให้ศศิพลิกมาหา และมอบจูบอันแผ่วเบาให้ไป ทว่าคนที่ทำอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงพูดจริงๆกลับลุกหนีมานั่งเอาหลังพิงหัวเตียง นี่ใจคอจะไม่เชื่อใจกันเลยหรือ?


ทรงมอบจุมพิตเบาๆบนหน้าท้องที่พระองค์เคยเอ่ยแซวให้อีกคนคิดมาก ตรงไหนที่ศศิไม่มั่นใจก็จะไล่จูบมันให้หมด ปานรูปจันทร์เสี้ยวที่เริ่มจางหายนั่นเหมือนกัน พระองค์จะจูบจนกว่าอีกคนจะมั่นใจว่านอกจากศศิแล้วพระองค์ไม่มีใครอื่นที่คิดว่างดงามได้เท่าจริงๆ


“ท่านไม่ต้องปลอบข้าถึงเพียงนี้ก็ได้” 


“ตัวของเจ้านั้นอบอุ่นเหลือเกิน ไม่ว่าจะในสภาพไหน ข้าก็มั่นใจว่าจะกอดเจ้าได้อุ่นแบบนี้”


“…”


“เช่นนี้แล้วเหมือนเรากำลังมีลูกด้วยกันเลย”  แม้จะเป็นคำเอ่ยแซวหยอกล้อทว่าก็ทรงยังจุมพิตที่หน้าท้องนั่นอยู่ดี ด้วยเพราะไม่สามารถมีบุตรธิดาของตัวเองกับศศิดิได้ และในอนาคตจะต้องได้เจอกับความกดดันแบบไหน ในตอนนี้พระองค์ยังไม่พร้อมและไม่อยากจะคิดถึงมัน ในภวังค์อันแสนสงบสุขนี่อยากให้มีเพียงแค่เราและเราไปก่อนเท่านั้น


แม้ไม่อาจจะทำให้สบายใจหรือปล่อยวางได้ทั้งหมด ก็ถือว่าประสบความสำเร็จที่จะทำให้ศศิผู้คิดมากไม่หุนหันทำอะไรที่ไม่ดีต่อร่างกาย หลังจากวันนั้นก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจอีกทว่าก็ยังชอบกอดจูบร่างนุ่มนิ่มนั้นอยู่ดี ด้วยเพราะวุ่นวายอยู่กับการทำการบางอย่าง ทุ่มเทเสียจนดูซูบโทรมอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่คิดจะหยุดยั้ง เมื่อกลับมาพบคนงามก็เรียกร้องกำลังใจจากกันโดยไม่คิดหยุดหย่อน


“ท่านไม่ควรหักโหมงานนัก ถ้าไม่ไหวก็พักบ้างเถิด”  เสียงแห่งความเป็นห่วงเป็นใยนั้นคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ทำให้พระองค์ตื่นเต็มตา เพียงแค่ตื่นมาเห็นใบหน้าก็รู้สึกเป็นสุขราวอยู่บนสวงสวรรค์


“ข้าก็ได้พักผ่อน”


“แต่มันไม่มีเพียงพอ ท่านไม่เคยได้มีวันหยุดพักผ่อนเลย”


“บางอย่างหากไม่เร่งมือก็อาจจะพลาดได้”  ศศิก็เข้าใจและในสถานการณ์ที่ไว้วางใจใครไม่ได้เลยเช่นนี้ พระองค์จึงลงมือทำนั่นนี่เองเกือบทั้งหมด “แล้วไหนใครกันที่ไม่ค่อยสบาย”  ทรงถามกลับด้วยเสียงนุ่ม จ้องมองใบหน้าของคนที่มีไข้อ่อนๆตั้งแต่เมื่อคืนวานจนกระทั่งวันนี้ แม้แต่ท่านหมอคนเก่งก็อ่อนแอได้เช่นกัน


“เดี๋ยวข้าก็หายแล้ว”


“พักผ่อนเยอะๆเถิด เจ้าไม่ต้องลุกมาต้มยาบำรุงให้ข้าหรอก เดี๋ยวจะให้ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์มาดูคนเก่งเสียหน่อย พักเยอะๆ ข้ากลับมาเจ้าต้องหาย”  ทรงฝากฝังทุกอย่างไว้เสร็จสรรพจนคนป่วยเอ่ยแย้งอะไรไม่ได้อีก ศศิได้แต่พยักหน้า งดการต้มยาบำรุงให้กับคนรักในวันนี้เพราะต้องบำรุงตัวเองโดยการพักผ่อนให้หายดี เพราะเรานอนข้างกันแบบนี้ไม่แคล้วเขาจะติดไข้ด้วย


ในส่วนขององค์รัชทายาท ด้วยทรงคาดหวังให้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับตัวพระองค์และราชวงศ์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น แม้ไม่อาจจะริดลอนอำนาจของอีกฝ่ายมาได้ทั้งหมดในทันที แต่พระองค์ก็ไล่ตามทันทุกแผนการที่พวกนั้นต้องการจะทำ ดังนั้นทุกย่างก้าวจึงจะช้าไม่ได้เพราะโอกาสอาจจะไม่กลับมาเป็นครั้งที่สอง


การเข้าหารือกันในวันนี้ที่ทุกฝ่ายเข้าร่วมนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายจนไม่น่าจะจบลงโดยงดงาม ฝั่งราชวงศ์เก่ากำลังร้อนรนกับการถูกไล่ต้อนจนแตกฮือกันอยู่ตรงนี้ การควบคุมให้การประชุมเป็นไปในทิศทางที่เอื้อเฟื้อกันทุกฝ่ายนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีใครคิดที่จะหยุดยั้งความต้องการของตัวเอง


กระทั่งมื้อกลางวันก็ไม่ได้มีใครได้แตะ จนกระทั่งขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นลมเป็นแล้งไปจึงต้องพักการประชุมไว้แค่นั้นก่อน เหล่าสมาชิกต่างพากันเดินออกไปจากท้องพระโรง องค์รัชทายาทเองก็เช่นกัน ด้วยคาดว่าหลังจากพักนี้สภาพคงไม่ต่างจากการพากันไปลงสนามศึกครั้งใหญ่จึงคิดจะจัดหาอะไรลงท้องไปเพื่อเสริมกำลังหลังจากนี้


“ธมล เจ้าช่วยจัดอะไรที่ทานง่ายๆแต่อยู่ได้นานให้ข้าที คาดว่าหลังจากนี้ข้าต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียแล้ว”  ทรงมีหลักฐานในมือที่สดร้อนๆซึ่งยังไม่ได้เผยออกมา เสวยให้อิ่มหนำสำราญแล้วได้มาประทับดูละครฉากใหญ่ที่เห็นคนดิ้นกันไปมาก็ดูไม่เลว นึกสำราญในพระทัยถึงตอนที่ทรงเปิดไพ่ตายออกมาเพื่อดูว่าเฮือกสุดท้ายคนพวกนั้นจะทำอะไร


รอไม่นานนัก สิ่งที่พระองค์รับสั่งก็ถูกจัดเตรียมและถูกนำมาวางพร้อม ทุกอย่างถูกจัดวางไว้ตรงหน้า ก่อนที่กาน้ำชาที่ทรงคุ้นเคยจะถูกนำมาวางไว้ด้วยกัน ยังคงเป็นศศิที่ห่วงใยแม้พระองค์จะออกมาข้างนอกเช่นนี้


“นี่คงเป็นยาที่ศศิต้มให้” ด้วยเพราะคิดเช่นนั้นจึงรินใส่ถ้วยชาและยกขึ้นดื่ม ทั้งๆที่ห้ามปรามไว้แล้วว่าให้พักเยอะๆ นี่ดีขึ้นแล้วหรือไรถึงได้ลุกไปเดินเฮี้ยวแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามกำลังใจหนึ่งเดียวของพระองค์คือศศพินทุ์และการได้ดื่มกินสิ่งที่อีกคนเตรียมให้ก็เรียกขวัญกำลังใจเป็นอย่างดี


ทรงวางถ้วยชาลงก่อนจะหยิบอุปกรณ์สำหรับการรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่ช้ามาเป็นชั่วโมง ทว่าจับมันไว้ไม่มั่นพอมันจึงร่วงล่นไปจากมือ…


“อคิราห์” 


“พะยะค่ะ”  ทรงตอบรับไปยังพระบิดาที่เรียกหา แต่ก็พบว่าภาพที่เห็นนั้นมันพร่าเลือนและไม่ว่าพระองค์จะหยิบช้อนขึ้นมากี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่อาจจะกำมันไว้แน่นๆได้


นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะ?


“ตามหมอหลวง!”  เสียงดังอึกทึกอยู่รอบกายทว่าพระองค์กลับไม่รับรู้อะไรเลยเพราะร่างทั้งร่างได้ล้มลงไปกับพื้นเสียแล้ว สติก็เริ่มพร่าเลือน ทุกอย่างดูไม่เป็นรูปเป็นร่างในหัว แต่ก่อนที่สติจะดับลงไปนั้น


เสียงเรียกชื่อศศิยังคงดังก้องวนเวียน


☼ ☽


“แจ้งยกเลิกการประชุมและไปตามศศิมาที่นี่!”  พระสุรเสียงดังก้องนั้นทำให้คนรับคำสั่งถึงกับสะดุ้งไปพร้อมๆกัน หลังจากที่อคิราห์นั้นล้มลงไป อาจารย์หมอคนสนิทที่ถูกตามก็รีบเข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ ตอนนี้ก็ยังอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดและยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับพระอาการ เหล่าองค์รักษ์ในห้องนั้นมองหน้ากันด้วยไม่มีใครรู้ว่าศศิเป็นใครยกเว้นธมลที่เป็นคนสนิทของพระองค์ชายเอง และสาเหตุที่บุคคลลึกลับผู้นั้นถูกเรียก


ก็คงไม่พ้นกาน้ำชาอันนั้น


การสืบสวนได้ถูกดำเนินขึ้นแล้ว อาหารเครื่องดื่มและภาชนะต่างๆถูกยึดไว้เพื่อตรวจหาหลักฐาน การสืบสวนผู้เกี่ยวข้องนั้นก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น จากคำกล่าวขององค์รัชทายาทที่ทรงเสวยมันลงไป คาดเดาได้ว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของคนรักของพระองค์เอง…ดังนั้นเราจึงต้องรีบพาตัวมาให้เร็วที่สุด!


ใช้เวลาไม่นานเหล่าองครักษ์ขององค์เหนือหัวก็มาถึงตำหนักชลสินทุ์ขององค์รัชทายาท ศศิที่อ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นคนมากมายเดินเข้ามาในห้อง ท่าทางของพวกเขาดูขึงขังเจือมาดร้าย ในขณะที่ยังงงงวยอยู่นั้น ธมลได้ปรากฏตัวขึ้นแต่นั่นก็ไม่ทำให้โล่งใจได้เลย


“ท่านหมอ”  เขาไม่ได้ทำความเคารพหรือยิ้มให้อย่างที่เคย 


“มีอะไรหรือท่านธมล” 


“เกรงว่าเราต้องพาท่านไปพบองค์เหนือหัวเดี๋ยวนี้”


“เกิดอะไรขึ้น”  เขาก็รู้ดีว่าศศิไม่ควรออกไปไหน


“มีเหตุที่ยังบอกไม่ได้ให้เชิญท่านไป”  ธมลพูดด้วยน้ำเสียงเครียด “หากไม่ยอมติดตามไปแต่โดยดี ข้าเกรงว่าพวกเขาเหล่านี้มีอำนาจจะขู่บังคับ”  และนั่นเท่ากับศศิเลือกอะไรไม่ได้เลย


มีแต่ต้องไปและไปเท่านั้น


ในใจก็คิดไปถึงอคิราห์ผู้เป็นคนรักขึ้นมา ในยามนี้ตนถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าองครักษ์ขององค์เหนือหัวที่เหมือนจะไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปไหนได้ มันเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมศศิถึงได้ออกไปจากที่นี่โดยไร้ซึ่งการบอกกล่าวของเขา หากจะต้องจากไปแล้วเหตุไฉนถึงถูกเรียกไปพบที่พระตำหนักประจำพระองค์ แม้เคยคิดว่าอยากจะมีอิสระเดินไปไหนมาไหนได้ แต่มันไม่ควรจะเป็นในลักษณะนี้


ลักษณะที่เหมือนถูกลิดรอนความมีอิสระราวๆกับถูกคุมขังอยู่แบบนี้


ศศิถูกพามาที่ห้องๆหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรที่คลายความสงสัยได้ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่อาจจะคิดดีๆได้แล้วเช่นกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วมันเกี่ยวข้องกับศศิอย่างไร เพราะในสถานที่แห่งนี้ศศิไม่เห็นความเกี่ยวข้องกับใครที่ไหนนอกจากองค์เหนือหัวและท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์


และองค์ชายอคิราห์…


“พี่อาทิตย์”  แล้วความคิดของตนก็เข้าสู่จุดที่แย่เสียยิ่งกว่า หากนานไปกว่านี้คงไม่อาจจะทนไหวได้อีกต่อไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาพอดี ความคิดที่ไปไกลของตนนั้นจึงถูกหยุดไว้แค่นั้น


แต่คนที่เข้ามาก็ไม่ใช่พี่อาทิตย์อยู่ดี…

   
“ฝ่าบาท”  เป็นองค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราที่มาพบศศิด้วยตัวเอง


“ศศิ วันนี้เจ้าทำอะไรอยู่ที่ไหน”


“ข้าพระองค์? เอ่อ ตั้งแต่เช้ามาวันนี้กระหม่อมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายจึงอยู่แต่ในห้อง…บรรทมขององค์รัชทายาท”  แม้อีกฝ่ายจะทราบดีในสถานะความสัมพันธ์ของศศิและอคิราห์ แต่จะให้พูดออกไปอย่างชัดเจนศศิก็ยังขัดเขิน


“เจ้าไม่ได้ออกไปไหน ทำอะไรเลยหรือวันนี้” 


“ข้าเพียงมีพบท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่มาช่วยตรวจดูอาการให้เพราะองค์รัชทายาทให้มา หลังจากนั้นเมื่อดีขึ้น กระหม่อมก็ไปทานอาหารและตั้งใจจะนอนเล่นในห้องหนังสือ”


“…”


“จนกระทั่ง…ถูกพามาที่นี่”


“เป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ”


“….”


“จงรออยู่ที่นี่ อย่าไปไหน” ว่าแล้วพระองค์ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟังเพิ่มเติมและเสด็จออกไป


ทว่าการปรากฏตัวของผู้เป็นใหญ่กลับยิ่งตอกย้ำความคิดก่อนหน้าของตนให้ย่ำแย่ลงไปอีก การไม่ได้รับรู้อะไรซ้ำยังถูกขังไว้ที่นี่โดยมีคนเฝ้าที่ด้านนอกอย่างมิดชิดยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่มากขึ้น เมื่อเช้านี้ทุกอย่างยังดูหวานล้ำเช่นทุกวันอยู่เลยมันเกิดอะไรขึ้น


ความเงียบงันและความสับสนทำให้เวลาดูเหมือนจะยาวนานขึ้นในความรู้สึก ศศิไม่อาจรู้เลยว่านี่เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ในความรู้สึกของตนดูเหมือนว่ามันจะผ่านมาเป็นวันๆแล้วจริงๆ ทว่าความอึดอัดเหล่านั้นก็เหมือนจะถูกกำจัดออกไปเพราะประตูบานนั้นที่กั้นศศิออกจากความจริงได้เปิดออกมาแล้ว


พร้อมกับทิชากรที่อยู่ที่อีกด้านหนึ่งตรงนั้น


“ท่านน้า”  ศศิเปล่งเสียงเรียกก่อนจะเดินเข้าไปโผกอด ทิชากรที่มีใบหน้านิ่งมาตลอดจึงยอมลดท่าทีเย็นชาลงและกอดกลับหลานรักคงทรมานใจเจียนตาย ศศิในสภาพที่ดูหลงทางเช่นนี้ช่างน่าสงสาร แรงสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดยิ่งทำให้คนที่เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ยิ่งรู้สึกโกรธที่หลานรักถูกกระทำเช่นนี้จนทนไม่ไหว


“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ต้องร้อง”


“ฮือ….ท่านน้า นี่มัน..นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าจะปลอดภัย”  ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ศศิคาดหวังว่าจะได้ยิน สิ่งที่ตนอยากรู้…ดูจะมีเพียงแค่ว่าเขาคนนั้นเป็นเช่นไรบ้าง


แต่ละย่างก้าวของศศินั้นช้าสิ้นดี และก็เป็นทิชากรเองที่ไม่อนุญาตให้ศศิไวไปกว่านี้ เมื่อเริ่มตั้งสติได้คนน้าก็ได้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับหลานชายฟัง และไม่ทันได้หยุดยั้ง ศศิก็ออกเดินไปตามทางทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตนได้รับอนุญาตให้พบได้หรือเปล่าหรือไม่แม้แต่จะสนใจสภาพของตัวเองในตอนนี้ ความเป็นห่วงและความหวาดกลัวนั้นเหมือนล้นจนทะลักออกมาจากใจแล้ว ศศิอยากเห็น…ว่าเขานั้นยังปลอดภัยดีอยู่


“ไม่ต้องห่วงไปหรอก เขาปลอดภัยแล้วจริงๆ”  แต่ยังไม่ฟื้น โชคยังดีที่แม้จะเป็นพิษร้ายแรง แต่ก็รับไปไม่มากและมีการล้างท้องที่รวดเร็ว ทิชากรนั้นวันนี้ติดสอยห้อยตามมากับอชิระด้วยหมายมั่นว่าจะมาพบหลานแต่กลับกลายเป็นว่าศศิถูกพาตัวไปคุมขังไว้เสียแล้ว


ด้วยเพราะอำนาจที่อชิระมีอยู่และการหาพยานหลักฐานให้ศศินั้นเริ่มขึ้นแล้วหลังจากได้รับฟังคำให้การในเบื้องต้นไป ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเจ้าตัวเล็กหรือไม่ที่ดันไม่สบายและได้รับการดูแลโดยท่านหมอที่เป็นที่ไว้ใจขององค์เหนือหัว อีกทั้งก็อยู่ในสายตาของนางกำนัลหลายคนตลอดเวลา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ที่ตั้งใจโยนความผิดให้ศศินี้จึงถือเป็นไปไม่ได้


แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครคือคนร้ายตัวจริงอยู่ดี


“อะ…องค์รัชทายาทจะเป็นอะไรไหม”


“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าได้เข้าไปดูและให้คนไปจัดหาสมุนไพรที่ต้องการมาช่วยเตรียมการรักษาแล้ว พระองค์จะไม่เป็นอะไร” ทิชากรนั้นช่วยประคองร่างของหลานที่กำลังจะทรุด นอกจากเดินเร็วก็จะไม่ไหว ไข้ก็ขึ้น แล้วยังห่วงคนอื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ


“ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย ทำไมต้องทำร้ายกันแบบนี้” นั่นสินะ….



มันไม่ถูกต้องแต่นี่คือสิ่งที่อคิราห์ต้องพบเจอและศศิต้องฝ่าฟัน


ทิชากรนั้นเฝ้าพร่ำสอนเจ้ากระต่ายน้อยเสมอมาว่าการเมืองและอำนาจนำมาซึ่งความโลภและความต้องการมากมาย แต่ดูเหมือนว่าเรื่องเล่าต่างๆนั้นหลานจะฟังพอเข้าใจแต่ไม่เข้าถึงสักเท่าไหร่ เมื่อได้มาเจอกับมันซึ่งๆหน้าๆต่อให้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์ชายอคิราห์ต้องเผชิญแต่ศศิก็ไม่เคยชิน เรื่องของชีวิตคนที่ตนรักต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจแค่ไหน เห็นความเป็นความตายมามากมายเพียงใด ก็ไม่ชินชาเสียที…


ศศพินทุ์ช่างน่าสงสาร แต่ทิชากรก็ไม่อาจจะยอมให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ได้เหมือนกัน!


ทันทีที่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ หลานชายผู้น่าสงสารก็ทรุดตัวลงที่ข้างๆแท่นบรรทม คนรักของศศิยังคงสลบไสลไม่รู้ตัว พระอาการของพระองค์นั้นปลอดภัยแล้วแต่ร่างกายก็ไม่ใช่จะปกตินัก และด้วยตามวิสัยแม้ทุกคนจะบอกว่าอคิราห์ไม่เป็นไร แต่ศศิก็ยังคงตรวจซ้ำ จนกระทั่งมั่นใจว่าสัญญาณชีพของเขายังมีอยู่จึงคลายกังวลขึ้นมาบ้างทว่าก็ยังไม่ยอมไปห่างกาย


“ตัวยาสำคัญจะมาพร้อมเมื่อไหร่”


“ภายในไม่กี่ชั่วโมงคงมาถึง”  ตอนนี้ก็ให้ม้าเร็ววิ่งไปที่คฤหาสน์ปิติชาญอยู่


“ถ้าทรงไม่ได้รับยาถอนภายในวันนี้อาการอาจจะทรุดหนักลงได้”


“เราจึงให้ม้าเร็วรีบไปจัดหามา มันไม่ใช่พืชที่หาง่ายในสิหราชนครา”  แม้แต่ตัวทิชากรเองก็มีมันอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ศศิเองก็มีติดมืออยู่จำนวนไม่เยอะ อาจจะพอสำหรับใช้วันนี้แต่พรุ่งนี้และมะรืนคงไม่พอ ทว่าคนตัวเล็กได้ตัดสินใจแล้ว


แม้จะแค่วันเดียว ศศิก็จะยื้อชีวิตของเขาให้ได้


“นั่นเจ้าจะไปไหน”  ทิชากรขมวดคิ้ว เมื่อเห็นหลานชายที่ไม่ค่อยจะสบายดีในวันนี้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก็พลันเป็นห่วง


“ข้าพอจะมีว่านหางเงินอยู่บ้าง จะรีบไปเอามา”


“งั้นเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเป็นคนไปเอา”


“ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าเก็บอะไรไว้ที่ไหน ให้ข้าไปเถิด”


“ก็ได้ศศิ แต่เจ้าอย่ารีบเร่งจนเกินไป”


“แต่ถ้าชักช้า…”


“ศศิ!”


“….”


“ข้าบอกกับเจ้าว่าให้ค่อยๆเดิน เจ้าไม่สบายหากเป็นอะไรไปอีกคนจะลำบาก”  มันก็จริงอย่างที่ทิชากรพูด สุขภาพของศศิที่หมายมั่นปั้นมือจะฉุดรั้งอคิราห์กลับมาจากหน้าประตูยมโลกก็สำคัญ เมื่อมองจ้องเข้าไปในแววตาของน้าที่พ่วงตำแหน่งอาจารย์ก็พบว่าท่านจริงจังกับคำขอนี้มาก ตอนนี้ต่อให้อยากจะวิ่งแค่ไหน ศศิก็คงต้องค่อยๆเดินไป ทว่าเป็นโชคดีที่ธมลเข้ามา จึงได้ฝากฝังให้เขาไปหยิบทุกอย่างที่ศศิเก็บไว้ในห้องหนังสือมาที่นี่


มือเล็กของศศิยังคงจับพระหัตถ์ที่ไม่ขยับเขยื้อนนั้นอย่างคงมั่น ดวงตาของศศิแม้จะคลอหยาดน้ำและพร้อมที่จะปลดปล่อยหยาดหยดลงมา ทว่าก็ไร้เสียงสะอื้น ดวงตาคู่นั้นแทบไม่กระพริบเพราะกลัวว่าเพียงเสี้ยววินาทีเขาจะหายไปจากตรงหน้า อคิราห์ยังคงนิ่งอยู่ มันช่างน่าใจหาย


ทิชากรที่มั่นใจได้ว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดศศิออกจากบ่วงแห่งรักนี้ก็คงไม่มีวันสำเร็จจึงได้แต่ถอนหายใจ ที่ตนไม่อยากจะห้ามแต่แรกเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจของเด็กที่เลี้ยงมากับมือ และเพราะคิดว่ามันคงไม่จีรังยั่งยืนเลยยินยอมทำเป็นหลับหูหลับตาไปบ้าง แต่มาถึงขั้นนี้ที่อะไรๆก็เกินเลยจนไม่อาจจะควบคุมได้ก็อาจจะต้องทำใจยอมปล่อยไป


“อคิราห์จะไม่เป็นอะไรนะศศิ ที่นี่มีหมอที่ดีที่สุดถึงสามคนอยู่ข้างๆเขา ไม่มีนักล่าความตายที่ไหนกล้ามาพรากเขาไปจากเจ้าหรอก” อชิระพูดให้กำลังใจ  และสามคนที่ว่านั้นก็คือท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ ทิชากร รวมถึงตัวศศิตรงนี้ เมื่อฟังเช่นนั้นเจ้าตัวก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะผ่อนออกมา มั่นใจหน่อยสิ เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่ไปพรากความตายออกจากผู้ชายคนนี้แต่แรก มาถึงขั้นนี้จะยอมแพ้แล้วหรือ ไม่ได้หรอก ศศิจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเขาได้ซ้ำๆ


“หากสมุนไพรมาแล้ว ข้าจะออกไปจัดเตรียม เจ้าจะไปด้วยหรือจะอยู่ที่นี่”  ทิชากรเอ่ยถาม แต่ก็พอจะรู้คำตอบในใจของเด็กน้อยดี


“ข้าจะอยู่ รบกวนท่านด้วย”


“ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปกับท่านเพื่อการศึกษาได้หรือไม่”  เป็นอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่เสนอตัว ซึ่งทิชากรไม่ได้ขัดข้องอยู่แล้ว จริงๆตนก็พอจะรู้จักท่านหมอท่านนี้มาก่อน ศศิเองก็เคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ การได้แลกเปลี่ยนศาสตร์ทางการแพทย์ที่ถูกคิดค้นโดยแต่ละท้องถิ่นนั้นก็น่าสนใจไม่ใช่เล่น แต่พวกเขาจำต้องให้ความสนใจที่งานสำคัญนี้ก่อนเพราะมันอาจจะหักอกของศศิเป็นสองท่อนได้เลย


“ท่านธมลมาแล้วขอรับ ตอนนี้กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์การปรุงยาโดยคณะแพทย์ผู้ช่วย”  องครักษ์นายหนึ่งได้เข้ามาแจ้งข่าว ทิชากรไม่รอช้าเดินออกไปทันทีและวัชรินทร์ก็ตามไปติดๆ ในห้องบรรทมเก่าของอคิราห์นี้จึงเหลือเพียงแค่เจ้าตัวที่นอนนิ่ง ศศพินทุ์ที่ไม่ยอมห่างกาย อชิระที่ค่อนข้างเป็นกังวล และองค์เหนือหัวที่ไม่พูดอะไรกับใคร


แต่ภายในใจกลับเก็บเอาไว้เป็นร้อยเป็นหมื่นคำ


TALK
เห็นมีนักอ่านบอกว่าเรื่องคุ้นๆเหมือนเคยอ่านที่ไหน555
อันนี้เราคิดว่าเพราะพลอตองค์รัชทายาทบาดเจ็บและนายเอกมาช่วยรักษา อุปสรรคฐานันดรอะไรแบบนี้คงมีอยู่อีก
อย่างน้อยก็เรื่องหนึ่งล่ะ เราเคยแต่งเองเป็นฟิคชั่น5555 แต่อาจจะมีที่ท่านอื่นแต่งอีก (ซึ่งเราคิดว่าคงมี)
ทั้งนี้บางส่วนของเรื่องอาจจะคล้ายแต่ตัวเนื้อเรื่องทั้งหมดเราคิดขึ้นเองใหม่และพิมพ์ใหม่ทั้งหมดค่ะ
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หายไปนาน นั่นก็เอาไว้ไปตบตีกับเรื่องนี้นั้นแหละค่ะ ลบแก้หลายรอบ ยากมากๆ
ไม่สามารถแต่งและลงไปแบบเจนไม่นกจริงๆ._. เพราะเรื่องนี้มีปมหลายๆอย่างที่ยากกว่า(ฟู่วววว)
จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ยาก แต่เรามันอ่อนด้อยเอง แงงงงงงงงงงงงงง555
เราหยิบยกเรื่องนี้มาพูดไม่ได้จะแก้ตัวหรือรู้สึกไม่ดีนะคะ
แค่อยากจะบอกไว้เพื่อความสบายใจของตัวเองและคนอ่าน
เรื่องนี้ยังคิดว่าจะลงทุกวันอยู่ ยังไงถ้าติดขัดจะมาบอกอีกทีนะคะ
สุขสันต์วันปีใหม่ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ




























หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 18 : 1/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 01-01-2019 16:01:51
เหม็นความรัก!
----------------
เพิ่งเห็นว่ามีตอนใหม่แล้ว เมื่อเช้าอ่านจบละสลบเลยมาคอมเม้น

ทีหลัง  ว่าแต่ฝีมือใครร พ่อเองหรือองครักษ์นั่น
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 18 : 1/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-01-2019 16:03:28
ใครวางยาอีกแล้วเนี่ยยยย
แต่เดาว่าตอนนี้ศศิท้องแล้วแน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 18 : 1/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-01-2019 20:00:52
ท่านน้าห้ามศศิเดินเร็วแบบนี้แสดงว่าศศิท้องแล้วใช่ไหม พี่อาทิตย์ก็โดนวางยาบ่อยเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 18 : 1/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-01-2019 00:54:23
โดนวางยาอีกแล้ว TT
ต้องกินยาต้านพิษอีกกี่ตัววว
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 18 : 1/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-01-2019 08:30:18
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 19 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 02-01-2019 11:47:12
Finding the twilight
19
เรื่องที่ศศิไม่รู้
☼ ☽


ในความฝัน ทรงได้ยินเสียงจากคนๆหนึ่ง ที่บอกว่าพระองค์จำต้องตื่นขึ้นมาให้ได้
 ‘ตื่นเถิด อย่าให้...รอนานกว่านี้เลย’


และจากการพักผ่อนอันยาวนานในความรู้สึกบางคน ในที่สุดเจ้าชายนิทราก็ได้ลืมตากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ชั่วขณะแรกพระองค์เพียงแค่คิดว่าตนนั้นคงหลับไปเฉยๆ แต่ที่ข้างกายกลับไม่มีคนตัวนิ่มนอนอยู่ข้างๆ อคิราห์ยังคงมึนงงเกินกว่าจะระบุสถานการณ์ต่างๆรอบตัว ทรงแค่ทอดพระเนตรไปยังด้านหน้า ประสานโลกที่แยกออกจากกันให้รวมกันเป็นภาพเดียว ก่อนที่จะขยับปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย


“พี่อาทิตย์!”  และสาเหตุที่ศศิไม่ได้นอนข้างๆนั่นก็เพราะเจ้าตัวนั่งอยู่กับพื้นและซบหน้าลงกับฟูกตียง ไม่ได้หลับหรอก กำลังสังเกตอาการเป็นระยะ


“ศะ…ศิ”  พระสุรเสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบพร่า คนรักของพระองค์นั้นทราบได้ทันทีว่าอะไรคือสิ่งที่ทรงต้องการเป็นอย่างแรก ศศิรินน้ำจากในเหยือกที่ได้รับการตรวจสอบมาแล้วว่าปลอดพิษใส่แก้ว ก่อนจะช่วยให้พระองค์ได้จิบน้ำอย่างไม่ลำบากในสภาพที่ยังคงเอนตัวนอนอยู่อย่างนี้


อคิราห์นั้นกลับมานอนหงายอยู่เหมือนเดิม พระองค์รู้สึกครั่นเนื้อตัวไปหมด จึงทราบได้ว่าไม่ค่อยสบาย แต่เมื่อพิศดีๆก็ได้เห็นว่าคนที่มาเฝ้านั้นมีสภาพที่ไม่ค่อยจะเหมือนทุกวันเท่าไหร่ จะว่างามก็งามอยู่…


แต่ดูหม่นหมองกว่าทุกวัน…


“ใครทำเจ้าร้องไห้กัน”  ทรงเอ่ยถามโดยหารู้ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นคือพระองค์เอง


เจ้าของร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้นนั้นยิ้มหวานให้ทว่ามันก็ยังมีแววเหน็ดเหนื่อยอยู่ดี พระหัตถ์หนานั้นยื่นไปสัมผัสแก้มใสอย่างแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง มือเล็กของศศิจึงทาบทับมันไว้ด้วยหมายจะรับรู้ถึงความอบอุ่นที่พระองค์มี หลายต่อหลายครั้งแล้วที่ศศิมีหน้าที่ยื้อชีวิตของพระองค์ไว้และหลายต่อหลายครั้งที่หัวใจตนก็เหมือนจะตามไปทุกหนแห่ง


“ท่านตื่นแล้ว ข้าดีใจนัก”  หยาดน้ำที่คลออยู่นั้นเกินจะเก็บกัก ศศิยอมปล่อยมันออกมาด้วยทนความตื้นตันต่อไปนี้ไม่ไหว และเป็นเจ้าของมือที่ยังสัมผัสแก้มกันอยู่นั้นที่เกลี่ยให้ แม้จะอ่อนแรงและไร้คำพูดแต่การกระทำนั้นแสดงออกได้มากมาย ยิ่งใหญ่ ราวหยาดฝนที่มาชโลมหัวใจอันเหือดแห้ง ศศิรักไปหมดแล้วจริงๆ และคงจะรักมากๆเสียด้วย


หลังจากนั้น เหล่าอาจารย์หมอทั้งสองก็เข้ามาพร้อมกับเหล่าผู้ช่วย องค์ชายอคิราห์เพิ่งรู้สึกได้ว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ที่ตำหนักของตัวเอง และท่าทางของศศิที่แสดงออกก็ดูจะเหินห่างอยู่นิดๆ คาดว่าเพราะการแสดงออกอย่างใกล้ชิดจะทำให้ ‘คนนอก’ เหล่านี้ครหานินทา ที่นอนเฝ้ากันทั้งคืนนั่นก็อาจจะใช้สิทธิ์ของการเป็นหมอ หาใช่การเป็นคนรักของพระองค์ไม่


“อาการดีขึ้นแต่ยังต้องทำการรักษาและให้ยาอย่างต่อเนื่อง”  นี่คือข้อสรุปของทิชากร และวัชรินทร์เองก็เห็นตามนั้น ศศิเพียงพยักหน้าและก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับใครอีก


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


“ทรงไม่ทราบเรื่องเลยหรือ”


“เรายังคงมึนงงอยู่มาก”


“….”


“จำได้แค่ว่าทานยาจากศศิ…”


“เป็นเรื่องเข้าใจผิดพะยะค่ะ นั่นไม่ใช่ที่ศศิต้ม”


“….”


“แต่เป็นคนที่หมายจะปลงพระชนม์พระองค์โดยใช้ยาพิษร้ายแรงต่างหาก”  และนั่นทำให้พระองค์ต้องหันไปมองศศิที่อยู่ด้านหลังทุกคน คนตัวเล็กยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น พระองค์ทรงเชื่อหมดใจว่าไม่ใช่ศศิหรอกแต่ไม่รู้เจ้าตัวรู้สึกเช่นไรอยู่


“ทางเราสืบสวนแล้ว ศศิไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”  วัชรินทร์อธิบายเพิ่มเติม ด้วยกลัวว่าอคิราห์จะเข้าใจผิดในตัวของคนรัก บรรยากาศรอบด้านดูไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่


“พวกเจ้าทำเสียมารยาทอะไรกับศศพินทุ์หรือเปล่า”  ทว่าคำถามที่ติดน้ำเสียงเย็นชานั้นกลับทำให้ทุกคนเสียวสันหลังวาบ ศศิรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพระเนตรคมคู่นั้นที่มองทุกคนอย่างเอาเรื่อง ร่างบางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธออกไปทว่าน้ำเสียงของผู้มีอำนาจที่สุดก็ดังขึ้น


“เป็นพ่อเองที่เป็นคนให้ไปพาศศิมาสอบสวนที่นี่”   องค์เหนือหัวสิหราชนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวในสิ่งที่ลูกชายสงสัยที่สุด ไม่มีใครโต้แย้งอะไรใดๆอีกเพราะพากันเงียบปากและทำความเคารพ ส่วนคนป่วยก็ก้มหัวลง


“หากจะโทษก็เป็นความผิดของลูกเองที่เลินเล่อ” แค่เพียงเห็นกาน้ำชาที่เหมือนกันก็พาลคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ศศิส่งมาให้ บทจะตาย พระองค์ก็รนหาที่ตายได้ง่ายดายเหลือเกิน


“นั่นเป็นความผิดของเจ้าจริง แต่การสอบสวนก็เป็นระเบียบที่ต้องทำ”


“…”


“แม้ใจเจ้าจะไม่อยากให้ศศิออกจากตำหนักแค่ไหนก็ตาม”


“เข้าใจแล้วพะยะค่ะ”


“เราขอคุยกับองค์รัชทายาทสักประเดี๋ยว ขอทุกคนออกไปรอข้างนอก”  น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเมื่อครู่ถูกเปลี่ยนโทนให้ดูอ่อนโยนขึ้น เหล่าผู้ติดตาม อาจารย์หมอ และตัวศศิจึงพากันออกไปข้างนอกตามคำสั่ง


ในยามนี้เหลือเพียงคนสองคนสนทนากันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


“แม้เจ้าจะไว้ใจศศิ แต่ให้รู้ไว้ว่านอกจากเจ้าก็ไม่มีใครรู้จักศศิอีก ไม่แปลกหากเขาจะระแวง ‘คนที่ไม่เป็นที่รู้จัก’ หรอกนะ”


“พะยะค่ะ”


“อคิราห์ พ่อเกรงว่าการที่เจ้าซ่อนศศิไว้คงจะไม่ใช่ความลับอะไรอีกต่อไปแล้ว หากใช้กาใบนั้นเพราะรู้ว่าเจ้าจะไว้ใจ แสดงว่าอาจจะมีคนระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับคนที่ถูกซ่อนไว้แล้ว เป็นไปได้ว่าคนในตำหนักอาจจะเอาเรื่องออกไปบอก แม้การวางแผนจะมีความเสี่ยงแต่พวกเขาเหมือนหมาจนตรอกในยามนี้ จึงทำทุกอย่างดูว่าจะมีทางไหนที่ทำให้เจ้าตายได้บ้าง”


“…”


“จงระวังตัวไว้ด้วย เจ้าจับจุดอ่อนพวกเขาได้ ก็ดูเหมือนคนอื่นจะระแคะระคายถึงจุดอ่อนของเจ้าแล้ว”


“กระหม่อมจะระวัง”


“และอีกอย่าง พ่อเกรงว่าเจ้าจะปิดแม่เรื่องศศิไม่ได้อีกแล้ว”


“…”


“พระนางคงลุกมาทำอะไรสักอย่างแล้วเป็นแน่ เจ้าลูกชาย”  ตัวตนของศศิ แม้จะโกหกว่าเป็นแค่หมอคนหนึ่งแค่ไหน ตอนนี้ก็คงยากที่จะเชื่อได้แล้ว แล้วอคิราห์ควรทำเช่นไรในเมื่อซ่อนในที่มืดก็ไม่ได้ผลอีกต่อไป


จะพาออกมาในที่สว่างก็สุดแสนจะอันตราย


☼ ☽


“ใจคอจะไม่พักผ่อนหน่อยเลยหรือ”


“หลานคงนอนไม่หลับ”  แม้ทิชากรจะพูดด้วยความเป็นห่วงทว่าเจ้าของใบหน้าอิดโรยก็ยังคงยืนยัน จะให้ศศิไปทำอะไรก็ได้แต่ขอให้อยู่รอบๆนี้ คอยดูว่าเขาจะไม่ไปไหนไกลจากใจของกันอีก


“ศศิ เจ้ายังไม่ได้พักผ่อนเลย คงจะดีกว่าหากได้หลับสักครู่”  วัชรินทร์เองก็เห็นด้วย ทว่าแม้เจ้ากระต่ายจอมดื้อจะเม้มปากไม่ตอบอะไรแต่ผู้ใหญ่ทั้งคู่ก็รับรู้ว่าศศิไม่ฟัง


“หากเจ้าเป็นห่วง วันนี้ข้าจะเฝ้าเขาเอง” ทิชากรเอ่ยเสนอ


“ท่านอาจารย์…”


“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็หลับไม่ลงหรอก” 


“ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังไหว”


“ศศิ!”


“ศศิ ข้าเองก็เห็นด้วยกับทิชากรว่าเจ้าควรไปพักผ่อน”  วัชรินทร์เอ่ยซ้ำ


“….”


“บางทีตัวเจ้า อาจจะต้องได้รับการดูแลมากกว่าที่เจ้าคิดก็เป็นได้”  เป็นคำพูดของวัชรินทร์ที่ศศิไม่เข้าใจหากแต่ทิชากรนั้นเข้าใจดีทว่าก็ไม่ได้อยากได้ยินที่สุด คนที่เป็นทั้งอาจารย์และญาติของตัวปัญหานั้นเม้มปากเป็นเส้นตรงพิจารณาเจ้าของประโยคนั้นอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าอีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมาให้กันบางๆ


“ข้าแค่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรถึงจะหลับลงได้”  หากไม่มีเขาอยู่ข้างกาย เกรงว่าศศิจะไม่สามารถนอนคนเดียวได้ในยามที่ขวัญเสียแบบนี้  ฝันร้ายคงบุกโจมตีในทันทีที่หลับตาลง และเมื่อระแวดระวังอยู่แบบนี้มีหรือจะหลับได้ลง


“คงอยากจะมั่นใจจริงๆว่าอคิราห์จะไม่เป็นไรใช่ไหม”  แต่แล้วเสียงผู้มาใหม่ก็ทำให้การโต้เถียงหยุดลง เหล่าผู้คนที่ยังหาทางออกให้กับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ต่างพากันถอยร่นและทำความเคารพโดยพร้อมเพียง องค์เหนือหัวทรงมีรับสั่งกับพระโอรสเสร็จแล้วจึงออกมา เห็นกระต่ายน้อยของเจ้าลูกชายกำลังยืนกรานท่าเดียวแบบนี้ก็นึกเอ็นดูปนสงสาร เมื่อพระองค์ปักใจว่าศศิไม่อาจจะมีลูกให้กับอคิราห์ได้ก็พยายามทำใจว่าอาจจะไม่ได้เด็กคนนี้มาเป็นสะใภ้เอก ดังนั้นความรู้สึกที่มีให้ในตอนนี้คือทั้งสงสารและเอ็นดู เพราะอย่างไรศศิก็แสดงออกชัดเจนถึงความจงรักในตัวอคิราห์


“กระหม่อมยังไหว ขอแค่เพียงองค์รัชทายาทปลอดภัยจริงๆก็ขอให้กระหม่อมเฝ้าเถิด”


“ท่านอาจารย์ทั้งสอง ลูกชายของเรานั้นอาการหนักถึงขั้นที่ต้องเฝ้ายามอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาเลยหรือ”


“เอ่อ จริงๆกระหม่อมเห็นควรว่าไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นแต่อย่างไรหากมีคนคอยดูแลใกล้ชิดก็คงจะดีกว่า”


“ถ้าไม่ถึงขนาดที่ต้องถ่างตาดูว่าเขาจะตายไปเงียบๆตลอดเวลาแบบนั้นแล้วล่ะก็ งั้นศศิเจ้าไปนอนเถิด”


“…”


“ข้างๆอคิราห์ยังว่าง เขาคงอยากให้เจ้าไปเติมเต็มตรงนั้น หวังว่าท่านอาจารย์หมอทิชากรคงไม่ขัดข้อง คนที่นี่ไม่ปากมากหรอก เราเองก็ไม่ได้ยินดีที่ลูกชายของเราทำไม่ถูกต้องเท่าไหร่แต่มันก็เลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว”


“กระหม่อมอนุญาตพะยะค่ะ”  สิ้นคำขององค์เหนือหัว ทิชากรที่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่จำต้องเก็บความในใจไว้ ก่อนที่จะยอมพยักหน้า กีดกันไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา อย่างน้อยแบบนี้ก็ทำให้คนที่กำลังอ่อนแอสบายใจกว่าจริงๆนั่นแล


เพราะร่างกายและความต้องการของศศิ… อยู่เหนือสิ่งอื่นใดจริงๆ


ในที่สุดศศิก็ได้กลับเข้ามาหาคนที่ตนรัก ซึ่งก็ทรงเฝ้ารอให้เจ้าตัวกลับมาหาอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเราอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนในห้องนี้ก็เปรียบเหมือนทั้งโลกมีแค่เราเท่านั้น เจ้ากระต่ายน้อยของพระองค์เดินเข้าไปหาและนั่งลงที่ข้างเตียง เอียงคอมองพระพักต์หล่อเหลานั้นก่อนจะยกพระหัตถ์มาแนบแก้มใส อมยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขด้วยเพราะแค่เห็นว่าเขาปลอดภัย ช่างไม่มีอะไรจะทำให้สุขกว่านี้ได้


“พวกเขาทำรุนแรงกับเจ้าหรือทำให้ใจหายไปบ้างหรือไม่”


“ไม่มีอะไรที่จะทำให้ใจหายหรือกลัวเกินไปกว่าการที่ท่านล้มไปแล้ว”  ศศิแทบไม่คิดถึงความหยาบคายที่ถูกกระทำนั้นเลยหรือจริงๆพวกเขาก็แค่ให้ศศิมาที่นี่ ไม่ได้มีโอกาสบังคับเพราะตนก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด


“หากไม่พอใจเจ้าก็ควรบอกมา ข้าจะได้ไปพูดให้”


“ช่างมันเถิด”


“…”


“ทำไมพวกนั้นช่างใจร้าย…ทำกับพี่อาทิตย์ของศศิได้อย่างไร” จะมีก็เพียงเรื่องเดียวที่ค้างคาอยู่ในหัวใจและเมื่อทนไม่ไหวก็เริ่มที่จะร่ำไห้ออกมา สงสารคนที่เจ็บป่วยอยู่ตอนนี้ปานขาดใจ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะชีวิตโดยระแวงไปตลอดชีวิต


“พี่อาทิตย์ของเจ้างั้นหรือ ตอนนี้ข้าชักจะโกรธพวกนั้นไม่ลงแล้วสิ เป็นเจ้าโกรธแทนให้หมดแล้ว”  ช่างเล่นไม่รู้จักเป็นเวล่ำเวลาเสียจริงๆ แต่ศศิก็ตีกันไม่ลง ไม่รู้ว่าภายในพระวรกายจะระบมไปมากเท่าไหร่แล้ว


อคิราห์นั้นมีความต้องการที่จะพักผ่อนต่อ แม้จะตื่นขึ้นมา แต่นั่นก็เพื่อให้บางคนเบาใจว่าทรงไม่เป็นไรจริงๆ ทว่าคนป่วยคือคนป่วยและคนป่วยจำต้องหลับตาลงเพื่อพาตนเองกลับไปสู่นิทรา ทรงเรียกอีกคนที่เฝ้าดูแลกันเป็นวันๆให้ขึ้นมานอนที่ข้างๆ จะให้พระองค์หลับใหลอย่างสงบได้อย่างไรหากไม่ได้กอดเจ้าของแก้มหอมนี่


เดิมทีศศิก็ต่อต้านด้วยว่าที่นี่ไม่ใช่ตำหนักขององค์รัชทายาทแต่คำอ้อนวอนของพระองค์ก็ทำให้ตนยอมไปหมดทุกอย่าง ส่วนหนึ่งมันอาจจะเป็นความต้องการของศศพินทุ์เองที่หมายจะอยู่ในอ้อมกอดนี้ให้นานที่สุด จนคิดว่าคำว่า ‘ตลอดไป’ อาจจะเป็นคำที่เหมาะเจาะสำหรับการกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการจะใกล้ชิด แต่จริงๆแล้วคำนี้ช่างเป็นคำขอที่ยากเกินกว่าฟ้าดินจะให้กันได้


เพราะรักของเรามีอุปสรรคมาขวางกั้นเสมอ…


☼ ☽


ในขณะที่คนหนึ่งกำลังพักผ่อนหลังจากที่ไม่ได้หลับไม่นอน อีกสองคนก็กำลังพูดคุยกันหรือจะให้เรียกให้ถูกก็คือคนหนึ่งกำลังสั่งให้อีกคนทำตามมากกว่า


“ข้าต้องการพูดคุยกับหลานข้าสองต่อสอง”


“ก็ดูไม่ใช่เรื่องยากอะไร”  ก็ที่อยากคุยด้วยก็หลานตัวเองไหมเล่า จะไปยากอะไรก็แค่ไปเรียกมา


“ข้าอยากให้ท่านเป็นคนดูแลองค์ชายอคิราห์ให้ในระหว่างที่คุยกับหลานตัวเอง”


“ก็ให้ท่านวัชรินทร์มาดูแลสิ”  นั่นแลปัญหาใหญ่ คนรู้มากแบบนั้นทิชากรไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวขอร้องสักเท่าไหร่เพราะจะเป็นที่สงสัยได้ ดังนั้นถ้าให้เลือกคนขี้สงสัยอย่างอชิระจึงรับมือง่ายกว่าเพราะแค่เพียงมองด้วยแววตาดุๆ เจ้าตัวก็ไม่เซ้าซี้อะไรแล้ว


เช่นอย่างนี้เป็นต้น…


“เข้าใจแล้วเจ้าไม่ต้องมองกันปานจะกินเลือดกินเนื้อขนาดนี้แล้วก็ได้ แต่ถ้าอยากกินข้าก็จะให้ ว่าอย่างไรเล่า”  อชิระที่รู้ทันกันเสมอจึงยิ้มออกมาและไม่ได้ถามซอกแซกอีก ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งสิหราชนครานั้นรู้จักทิชากรดี หลายสิบปีมาแล้วที่อยู่ด้วยกัน เราสองแม้ไม่เคยพูดให้ชัดเจน แต่เวลาพิสูจน์ความเป็นคู่ชีวิตได้ดี


แต่อะไรคือเรื่องสำคัญที่ทิชากรมั่นหมายจะพูดคุยกับหลานของตนเล่า เรื่องนี้แม้คู่ชีวิตอย่างอชิระเองก็ไม่อาจจะบอกได้ คนรักของเขานอกจากจะไม่ยอมรับในความลึกซึ้งของเราแล้วก็ยังเก็บงำความลับมากมายเกี่ยวกับตนเองไว้อยู่เยอะ ที่อชิระยังคงตามใจมาถึงวันนี้ก็เพราะหลงใหลในตัวอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกเห็น แถมตกหลุมเสน่ห์ที่อีกฝ่ายทำไว้เรื่อยมาจนมองข้ามเรื่องต่างๆที่อาจจะสำคัญ เพียงแค่คำมั่นที่ว่าจะไม่ทำร้ายสิหราชนคราหรือราชวงศ์เท่านั้นที่ทิชากรมอบให้อย่างจริงจัง เรื่องอื่นนั้นที่เกี่ยวข้องกับอดีตของอีกคน อชิระก็เลือกที่จะเฉยเมยทั้งสิ้น


“ข้าเพียงแค่อยากคุยกับหลานเรื่องความปลอดภัยของตัวเขาเอง”  และทิชากรก็ยอมหลุดออกมาบ้าง กับคนนอกอาณาจักร อชิระควรจะระแวดระวังเข้าไว้ แต่อย่างไรก็ได้เชื่อใจไปหมดแล้ว เรียกว่ายอมไปหมดทุกอย่างจะปอกลอกกันเท่าไหร่ก็ย่อมได้จริงๆ


หลังจากคิดว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ทิชากรก็เข้าไปดูอาการขององค์รัชทายาทด้วยตนเอง ทั้งสองคนตื่นแล้วและกำลังพูดคุยกันอยู่ เมื่อเห็นคนที่เข้ามาศศิก็ยิ้มอย่างเขินอายหลบตาจากการถูกจ้องมองก่อนจะผละออกมายืนให้ห่างในระดับหนึ่ง ทิชากรนั้นเข้าตรวจอาการ วันนี้ทางสะดวก วัชรินทร์เหมือนจะไม่อยู่จึงควรจะรีบกันศศิออกมาพูดคุยให้รู้เรื่อง


“อาการทรงฟื้นฟูขึ้นมาก แต่ยังคงต้องพักอย่างนี้ไปอีกสองวัน”  ทิชากรให้บทสรุป ก่อนจะน้อมรับคำขอบคุณจากองค์รัชทายาท ในส่วนของศศิที่มองห่างๆคอยสังเกตตามเงียบๆ จนกระทั่งถวายการรักษาจนเสร็จสิ้นท่านอาจารย์หมอก็ไม่รอช้า หันมามองกันด้วยสายตาที่ลูกศิษย์สายตรงเข้าใจได้ว่ามีเรื่องที่ต้องคุยด้วย เดี๋ยวนี้!


“เดี๋ยวข้าเฝ้าเอง”  อชิระที่ตามเข้ามานั้นพูดสมทบ อาการของอคิราห์แม้จะบอกว่าดีขึ้นมากๆแต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ เพราะอาจจะมีอาการแทรกซ้อนกะทันหันในอีกสองวันนี้ก็เป็นได้ แม้เจ้าตัวคนป่วยจะยังคงไม่เข้าใจอะไรแต่เห็นศศิหันมายิ้มให้ก่อนจะตามทิชากรออกไปก็ทรงต้องจำยอมโดยไม่ได้มีโอกาสถามคำถามใดๆ ทว่าเมื่อหันไปหาท่านอาที่เป็นคนเดียวที่พอจะตอบคำถามได้ อชิระก็ทำเพียงส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


เมื่อคิดว่าเจอมุมที่ปลอดคนที่สุดแล้ว ทิชากรก็หันมาหาศศิที่หยุดเดินและยืนเงียบๆ ท่าทางยอมคนนั้นไว้ใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว บทเจ้ากระต่ายน้อยจะดื้อ ก็ดื้อเงียบร้ายๆให้ต้องถอนหายใจยาวมากจริงๆ


“เจ้ารู้ว่าน้าจะเรียกมาคุยเรื่องสำคัญ”  แต่เป็นเรื่องใดนั้นศศิไม่รู้เลย แม้จะสงสัยบางอย่างอยู่บ้าง แต่เรื่องบางเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่ควรจะเป็นไปได้จริงๆ


“ท่านน้าทิชากรมีอะไรกับศศิหรือ”


“เกี่ยวกับสุขภาพของเจ้า”


“…”


“คงจะพอรู้แล้วสินะว่ามันผิดปกติ” 


“หลานก็พยายามดูแลตัวเองอยู่”


“แล้วทราบไหมว่าเป็นโรคอะไร”


“ก็อาจจะแค่แพ้อาหารหรือไม่ก็พักผ่อนน้อย”


“แล้วได้กินอะไรผิดสำแดงหรือพักผ่อนไม่เพียงพอบ้างไหม”


“…”


“เจ้าควรจะรู้ดีกว่าใคร และไม่ควรหลอกตัวเอง”


“หลานเองก็จนปัญญานัก บางทีการศึกษาที่หลานร่ำเรียนมามันอาจจะยังไม่พอ”


“หรือไม่ภูเขาแห่งความรู้ก็บังตาเจ้าอยู่”


“…”


“ทราบหรือไม่ว่าเพราะร่างกายของเจ้าไม่เหมือนบุรุษทั่วไปและทำไมเราถึงต้องจากบ้านเมืองมา” ศศินั้นไม่อาจจะต่อล้อต่อเถียงอะไรได้อีกเลย เพราะข้อมูลตรงนี้ก็ไม่เคยรับทราบมาก่อนและไม่ค่อยได้ไถ่ถาม


ถึงที่มาจุดกำเนิดของตนนัก…


“อย่าตกใจ จงควบคุมสติไว้”  ทิชากรเอ่ยเตือนก่อนจะพูดความจริงออกมา “เจ้ากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ” และคำตอบของโรคปริศนาที่ตนกำลังเผชิญ


ก็เหมือนสายฟ้าฟาดที่กลางใจ…


“…”  แม้จะนิ่งเงียบ แต่เสียงมากมายกำลังก้องดังอยู่ในหัว มากมายจนทะลักออกมาในรูปแบบน้ำตาที่ตีค่าว่ามันคือความปิติหรือเสียใจไม่ได้เลย


“ศศิ…”  ทิชากรที่เห็นความสับสนของหลานรักตรงหน้าก็เข้าโผกอด ศศิไม่เคยรู้ว่าร่างกายของตนพิเศษจึงไม่อาจจะรับได้ในคราแรกที่ได้ยิน  แต่ไม่ใช่ว่าศศิจะพาลรังเกียจเจ้าก้อนกลมที่อยู่ในท้องหรอก เพียงแค่ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะยอมรับทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามา และนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมดที่จะต้องรับฟัง


ทิชากรเริ่มเล่าให้เจ้ากระต่ายที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เกี่ยวกับที่มาที่ไปของเรา หลายคนอาจจะคาดเดากันไปว่าเหล่าผู้อพยพจากคีรีธารากลุ่มนี้คือผู้สืบเชื้อสายจันทราปราการแต่ตราบใดที่หัวหน้าตระกูลคนล่าสุดไม่เอ่ยปากยอมรับ ก็ไม่มีใครรู้ชัดว่าใช่หรือไม่ใช่ และแน่นอนแม้จะถูกทรมานเจียนขาดใจทิชากรก็จะไม่พูด


ว่าตัวเองนี่แลที่เป็นหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันของจันทราปราการ!


“เราจำต้องปกป้องทั้งเจ้าและคนอื่นๆในตระกูลจึงต้องพากันหนีมาถึงที่นี่”


“เพราะข้าหรอกหรือ คนอื่นๆถึงต้องมาลำบากแบบนี้”  ศศิจ้องมองออกไปยังเบื้องหน้าแต่แววตาช่างไร้จุดหมาย ในตอนยังเล็ก ศศิยังจำได้ถึงความลำบากของทุกคน แต่เมื่อตนบอกว่าหิวก็มักจะมีของกินมาวางอยู่ตรงหน้าเสมอ ความสงสัยที่ว่าอะไรทำให้คนอื่นยอมเสียสละเพื่อตนขนาดนั้นวันนี้เพิ่งกระจ่างชัด


เพราะศศิคือทายาทที่สืบเชื้อสายตรงของจันทราปราการ


“พวกเราเต็มใจทำเพื่อเจ้า อย่าคิดไปเองว่านั่นคือเหตุผลที่เราเสียสละมาถึงทุกวันนี้ คีรีธาราในยามนั้นวุ่นวายนัก ตั้งแต่ก่อนเจ้าเกิดจันทราปราการก็เริ่มที่จะวางมือกับการเมืองและหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้คนแล้ว แต่พวกคีรีเขตไม่เคยไว้ใจเราเลย”  และพอศศิเกิด คำทำนายบ้าบอนั่นก็ยิ่งทำให้คีรีเขตระแวงเข้าไปใหญ่จึงคุกคามกันจนต้องหนีออกมา ที่หนีไม่ทันก็ยังมี หลบซ่อนตัวสร้างรากฐานมั่นที่แผ่นดินเกิดแต่อยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบแน่ชัด


ก็จริงอยู่ที่ว่าคำทำนายบอกกล่าวว่าศศิคือเด็กที่เทพประทานมาให้ถือกำเนิดในท้องของพี่สาวคนกลางของทิชากร ทว่าหลังจากเกิดไม่นาน ทิพย์วารีผู้เป็นแม่ของศศินั้นก็ได้จากพวกเราไป ส่วนคนรักของพี่สาวก็ถูกพวกคีรีเขตฆ่าตาย ตัวของทารกน้อยจึงกลายเป็นสิทธิ์ขาดของทิชากรที่จะต้องโอบอุ้มเลี้ยงดู สถานการณ์การเมืองภายในยิ่งเลวร้าย จันทราปราการอยู่ในอันตรายเกินกว่าจะรับมือได้ ทิชากรในวัยที่ยังไม่ถึง 20 ปีจึงจำต้องแบกรับตำแหน่งนายใหญ่แห่งจันทราปราการและพาคนในตระกูลรวมถึงข้ารับใช้หนีมา


“คำทำนายนั่น มันบ้าบอไปหมด”  เพียงเพราะคำทำนายนั่นจึงทำให้ชีวิตตนและคนอื่นๆพลิกผันมาถึงตรงนี้ ศศิไม่ใช่คนแรกที่เป็นบุรุษประหลาดมีครรภ์ได้เหมือนสตรี ทว่าครรภ์นี้แม้จะมีคำทำนายรับรองมากมาย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ทิชากรยอมมอบศศิให้กับใคร จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็หาได้เหมาะสมเพราะมีแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าใครที่คู่ควร


และก็ดูเหมือนว่าศศิจะได้เลือกแล้วถึงคนและหนทางที่นำไปสู่ปัญหา


“ข้าถึงอยากให้เจ้าดูแลตัวเองให้มากกว่านี้”  เพราะศศิไม่ได้อยู่คนเดียว ในนั้นมีครรภ์สำคัญที่พลิกฟ้าดินได้อย่างนั้นหรือ ไม่…ในนี้มีคนสำคัญอยู่


แค่เป็นลูกของตัวเองกับคนที่รัก…แค่นี้เขาก็สำคัญกับศศิที่สุดแล้ว


“ลูกหรือ”  ในภาวะที่ยังสับสนกับเรื่องราวทั้งหมด ศศิทำเพียงลูบท้องที่ยังไม่ได้ใหญ่โตของตนออกมา ทิชากรรับทราบมาสักพักแล้วและพยายามช่วยปกปิดอย่างเต็มความสามารถ ทั้งจัดหาสมุนไพรบำรุงครรภ์และแม้แต่สมุนไพรที่ใช้ซ่อนอาการเพื่อไม่ให้ใครจับได้


“ศศิ จงฟังข้าให้ดี” 


“….”


“จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ชายและเจ้าในช่วงนี้คงจะเห็นแล้วว่ามันไม่ปลอดภัย”  และคำสุดท้ายที่หลุดจากปากทิชากรก็ทำให้ศศพินทุ์เริ่มคิดถึงอะไรบางอย่าง หากในร่างกายของตนกำลังมีอีกคนอยู่ นั่นเท่ากับว่าหน้าที่ของตนได้ถูกเพิ่มขึ้นมาแล้ว นอกจากปกป้องตัวเอง ดูแลอคิราห์ ศศิยังต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่กำลังอยู่ในนี้


“ข้า…”


“ข้าอยากให้เจ้าไปจากที่นี่”  ศศพินทุ์อาจจะเคยยอมอยู่กับอคิราห์เพราะความรักที่ล้นอก


แต่ความรัก ก็อาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ศศิต้องจำยอมจากเช่นกัน

TALK
ลงต่อไม่รอแล้วนะ วันนี้ใครเปิดแล้วบ้างงงงง เรายังไม่เปิด อิอิ
ตอนนี้จะได้เห็นปมใหญ่ของเรื่องแล้วใช่ไหมคะ อดใจรอกันสักนิด ถ้าลงทุกวันยังไงเรื่องนี้ก็จบในเดือนนี้
แต่เราไม่น่าลงทุกวันได้นะ คาดว่าเราคงต้องปั่นโอทีตั้งแต่ต้นเดือนแต่จะรีบตามมาค่ะ
ศศิกับองค์ชายหวานกันมามากแล้วตอนนี้เรามาตั้งน้ำต้มมาม่ากัน ยังไม่ได้จุดไฟเด้อ แต่ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม555
ฝากแท้ก #อาทิตย์ศศิ ไว้ในอ้อมใจ คิดเห็นยังไงมาบอกกันให้รู้หน่อยน้า
TWITTER @reallyuri






















หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 19 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-01-2019 11:59:34
ไม่หนีนะน้องงงงงง
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 19 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 02-01-2019 15:33:51
ไม่เอานะ ให้พี่เขารู้ด้วยนะว่าเขามีลูกอ่ะะะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 19 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-01-2019 15:47:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 20 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 02-01-2019 19:03:46
Finding the twilight
20
เรื่องที่ศศิต้องตัดสินใจ
☼ ☽


“สาเหตุที่ข้าอยากให้ห่างกันออกมา เพราะอันตรายยังคงมีเรื่อยๆ”


“…”


“และเจ้ากำลังจะมีลูกจำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่สมควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในของที่นี่เลยแม้แต่น้อย” ทิชากรก็ยังเป็นทิชากร แต่มีข้อหนึ่งที่เราเห็นพ้องคือความสำคัญของเด็กน้อยที่อยู่ในท้องของศศิ เขาจำต้องได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ใช่เพราะเขาอาจจะได้เป็นรัชทายาทคนต่อไปของสิหราชนครา แต่เขาเป็นลูกของศศิเอง


“ท่านน้า…ท่านไม่โกรธที่ข้าชิงสุกก่อนห่ามใช่ไหม” 


“มาถึงขั้นนี้ข้าก็ไม่ได้โกรธหรอก”  ทิชากรไม่ใช่คนหัวโบราณขนาดที่จะมาผิดหวังในตัวหลานได้ เขาเองก็มีสถานการณ์ที่เหมือนจะถูกพรหมลิขิตเล่นตลกอยู่บ้างเหมือนกัน จึงเข้าใจดีว่าคนรักกันอยู่ใกล้กันมันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพลั้งเผลอใจ และคาดเดาได้ว่าศศิอาจจะตั้งครรภ์แต่ที่ปล่อยทั้งคู่ไว้แบบนี้โดยไม่แม้แต่จะกล่าวตักเตือน นั่นก็เพราะมันไม่อาจจะห้ามไม่ให้พวกเขาตกหลุมรักกันได้แต่แรกอยู่แล้วต่างหาก!


“ในตอนนั้นข้าคิดว่าถูก…วางยาปลุกกำหนัด”  แม้ใจของศศิก็ยอมเป็นของเขาทั้งหมดแล้วแต่ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดที่ไม่รู้ที่มาก็น่าสงสัย


“คงเป็นใครสักคนที่อยากให้เจ้ามีลูกกับอคิราห์ ถ้าให้ข้าเดาคงจะเป็นวัชรินทร์” คำพูดของคนๆนั้นก็น่าสงสัยไม่น้อย ทิชากรจึงเชื่อสนิทใจ ส่วนศศิก็ไม่ได้ต่างกันมาก ยังจำได้ว่าตนถูกตรวจร่างกายเช่นกัน และเพราะมีความรู้ทางการแพทย์ ทุกอย่างที่วัชรินทร์ทำนั้นดูชัดเจนจริงๆ…เขาพยายามตรวจหาว่าศศิท้องอยู่หรือเปล่า


นี่พวกเขาอยากให้ศศิมีลูกกับองค์รัชทายาทเพราะคำทำนายงั้นหรือ!


ความรู้สึกของศศินั้นดูจะผิดหวังไม่น้อย เพียงเพราะความสำคัญแบบนั้นหรือไง หากไม่ได้รักชอบอยู่กับอคิราห์ พวกเขาก็ยังจะหักหาญน้ำใจกันหรือ ที่ผ่านมาที่เคยให้ความสนิทสนมไว้ใจไปทั้งหมด พวกเขากำลังเห็นกันเป็นตัวอะไรอยู่?!


“ในตอนนั้นที่เจ้าเกิด จันทราปราการได้รับจดหมายและเชิญพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายของเจ้าเยอะมากๆ ใครๆก็อยากเกี่ยวดองกับเจ้าเพื่อส่งเสริมฐานะในอนาคต” 


“ข้าดูไม่ต่างอะไรจากสิ่งของเสริมโชคเลย” ศศิยิ้มอย่างนึกสมเพช


“พวกเราเองก็ไม่อยากให้เจ้ามีชีวิตแบบนั้นจึงได้เลือกหนีมาและปฏิเสธทุกคำขอไป แต่จะมีอยู่คำขอหนึ่งที่ดูจะดื้อเพ่งไปเสียหน่อย”


“…”


“ศศิ…ทางคีรีธาราก็เคยเทียบเคียงขอเจ้าให้หมั้นหมายกับองค์ชายรัชทายาทของทางนั้นเช่นกัน” และแม้จันทราปราการจะปฏิเสธเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังดื้อเพ่งอยู่ และสาเหตุที่ไม่สามารถส่งคนมาช่วยจากคุกคามโดยคีรีเขตนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะอยากจะบีบให้จันทราปราการยินยอมมอบศศิให้แต่โดยดี ซึ่งแน่นอนว่าทิชากรไม่ทำและเลือกจะหนีตายเอาดาบหน้าเช่นนี้


แต่ในตอนนี้ที่นึกกลัวนั้นคืออนาคตของคู่รักอาทิตย์กับดวงจันทร์ไม่น้อย หากพวกเขาโชคดีได้ครองคู่และคีรีราชสกุลเป็นฝ่ายชนะศึกภายในแล้วล่ะก็ ความรักระหว่างอคิราห์กับศศิ…อาจจะส่งผลทางการเมืองก็เป็นได้


เพราะเราไม่รู้เลยว่าพวกเขาตัดใจจากเด็กน้อยศศพินทุ์คนนั้นหรือยัง


ข้อมูลที่ได้รับฟังมา ศศิยังไม่อาจจะกลั่นกรองได้อย่างแน่วแน่ มันซับซ้อนและรายละเอียดให้นึกถึงก็เยอะเกินไป ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้น การที่มานั่งคิดมากมายมันไม่ใช่เรื่องดีกับคนท้องเลย แม้ศศิจะเคยเห็นการทำคลอดมามากมาย แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้ตนรู้สึกหวาดกลัวมาก่อน ทว่าบางอย่างที่อยู่ข้างในก็เหมือนจะปลอบโยนกันไม่ให้กลัวเกรงไปมากกว่าที่เป็นอยู่


ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป อชิระที่ยืนอยู่ก็ขอตัวจากลา ทิ้งไว้เพียงปัญหาใหญ่หนึ่งเดียวที่แสนหวานที่สุดในหัวใจของศศินี้เอาไว้ ความรักช่างหวานหอมและอันตรายเพียงใด ตอนนี้ก็ได้รับรู้ชัดเจนแล้ว กับคนๆนี้คนที่ยิ้มให้กันแม้สีหน้าจะไม่สู้ดีนัก


“ข้าคิดถึงเจ้า” ทั้งๆที่ไปไม่นานเลยแต่ก็คิดถึงเสียแล้วหรือ เพียงคำออดอ้อนของชายคนหนึ่งคนนี้ อะไรๆที่สุมอยู่ในหัวของศศิก็พลันหายไปหมดทิ้งไว้เพียงแค่ควันจางๆ


“ข้าก็คิดถึง”  ไม่บ่อยนักที่ท่านหมอน้อยจะตอบกลับเช่นนี้และไม่บ่อยเลยกลับการโผเข้าไปกอดกัน


“เป็นอะไรหรือ ไม่สบายใจตรงไหนหรือเปล่า”  คาดว่าอาจจะโดนทิชากรเรียกไปดุ ทรงคิดเช่นนั้นแต่มันไม่ใกล้เคียงเท่าไหร่ ทว่าศศิไม่ได้ตอบกลับว่าไม่สบายใจเพราะเหตุใด จึงทรงทำได้แค่ลูบหลังให้เบาๆเป็นการปลอบโยน


ศศิเพียงแค่คิดว่าในความวุ่นวายตั้งมากมายนี้ หากตัดทุกปัญหาเกี่ยวกับชาติกำเนิดแล้วเหลือแค่การมีลูก ลูกของศศิช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเขาเป็นพ่อ อคิราห์ใจดีกับศศิขนาดนี้ เขาอาจจะชอบเด็กและสัตว์ตัวเล็กๆ ถ้าเราเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพันธะหน้าที่ต่อใครหรืออะไร บางทีเราอาจจะเหมาะกับบ้านหลังน้อย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์และช่วยกันดูแลลูก หากเป็นลูกชาย เขาคงพาไปซนด้วยกันตามประสา ถ้าเป็นลูกสาวก็อาจจะประคบประหงมมากจนต้องดุว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่จินตนาการของศศิทั้งนั้น


“รู้สึกเพลียบ้างหรือเปล่า”  ศศิถาม


“นิดนึง”  อคิราห์ตอบ และเราก็นอนกอดกันแบบนั้น ไม่มีใครได้มองหน้าใคร ทว่าไออุ่นที่ส่งถึงกายได้ถูกนำพาไปถึงหัวใจช่วงเวลาแบบนี้ต้องรีบเก็บเกี่ยวเอาไว้ เพราะสุดท้ายแล้วศศิอาจจะจำต้องไปจริงๆ ถ้ามันถึงที่สุดแล้ว…ก็คงต้องไป แต่อย่างไรตอนนี้ก็ยังไปไหนไม่ได้


จนกว่าเราจะแน่ใจได้ว่าพระองค์ชายผู้เป็นที่รักนี่จะปลอดภัย

☼ ☽


ทรงฟื้นตัวได้ไวราวปาฏิหาริย์


อาจจะเพราะได้รับการรักษาที่ดีและรวดเร็ว เรื่องนี้คงทำให้คนที่ทำเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเครียดแค้นอยู่มากแต่ศศิก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิดเป็นเรื่องใหญ่ ความกังวลโดยหลักของตนเห็นเพียงจะมีแค่สุขภาพของคนรักและคนที่กำลังจะมาเป็นที่รักในเร็วๆนี้


จนกระทั่งองค์รัชทายาทแข็งแรงดีแล้ว แต่ศศิก็ยังไม่ได้ตัดสินใจให้เด็ดขาดเรื่องย้ายออกไป…


แม้ทิชากรจะเตือน และแม้ศศิจะหวั่นระแวงตาม แต่กระนั้นเรื่องที่ตนเก็บงำไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายให้ฟังได้ จนถึงตอนนี้ศศิก็ยังไม่ได้พูดออกไปด้วยคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน เชื่อได้ว่าถึงแม้จะทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าศศพินทุ์ไม่ใช่ผู้ชายปกติทั่วไป องค์ชายรัชทายาทผู้รักกันมากมายก็คงรักลูกของเราเป็นแน่ แต่ว่าทำอย่างไรเขาถึงจะยอมเชื่อใจกันเช่นนั้น


ทั้งสถานการณ์ภายในที่ไม่มั่นคง การแสวงหาอำนาจทางการเมือง ความปลอดภัยต่างๆ ศศินั้นต่อให้รักพระองค์เพียงไหน จิตวิญญาณความเป็นจันทราปราการก็เรียกร้องไม่ให้ตนเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาของราชวงศ์แห่งสิงหราชนคราในตอนนี้ ครอบครัวเราหนีจากคีรีธารามาไกลก็ย่อมไม่อยากจะมาพบเจอปัญหาเดิมๆซ้ำๆให้คนอื่นที่ตามกันมาต้องลำบากไปด้วย ศศิอาจจะรักอคิราห์มาก แต่ความจริงที่ตนได้พบเจอเมื่อไม่นานมานี้ยิ่งตอกย้ำถึงจุดยืนของศศิที่ข้างกายของเขา ไม่ว่าจะเป็นใหญ่หรือเป็นน้อย ศศิก็ไม่อยากเป็นทั้งนั้นที่เห็นว่าอยากจะเป็นก็มีเพียงแค่ ‘เป็นที่รัก’ เท่านั้น


“ใยถึงทำหน้าเครียดเช่นนี้  มึนหัวอีกแล้วหรือ”  เมื่อพระวรกายแข็งแรงแล้วพระองค์ก็ริเริ่มทำบางอย่างในทันทีด้วยแค้นพระทัยยิ่ง ทรงเร่งสอบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มานึกดูแล้วศศิช่างโชคดีที่มีคนรักที่ดวงแข็งเช่นนี้


“เดี๋ยวนอนอีกสักพักคงจะดีขึ้นเอง”


“อย่าหักโหมรู้ไหม เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ”


“…”


“เจ้ายังมีข้าอยู่ด้วยไง”  ทรงยังไม่รู้และไม่ได้สงสัย ว่าศศิกำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ทั้งในใจและกาย


ล่ำลากันเสร็จ ท่านหมอน้อยที่กลายมาเป็นคนป่วยเสียเองก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ดูท่าเจ้าตัวเล็กในท้องคงจะแสบใช่เล่น แม้จะไม่มีอาการแพ้ท้องรุนแรงแต่ก็เล่นเอามึนหัวได้ทุกวัน คนอื่นก็ตีความกันไปว่าเป็นเพราะความเครียด ส่วนตนเองนั้นแยกไม่ออกเลยว่านี่เครียดหรือแพ้ท้องกันแน่


ช่วงบ่ายๆที่แสนจะว่างเปล่าในตำหนักชลสินทุ์วันนี้มีทิชากรและอชิระมาช่วยเติมเต็ม ดูเหมือนว่าท่านน้าของตนก็ยังไม่ได้บอกท่านแม่ทัพเกี่ยวกับเรื่องของศศพินทุ์ ทิชากรเป็นคนรอบคอบซึ่งบางทีก็น่าจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของการเป็นคนขี้หวาดระแวง แต่เอาเถิด หลายสิบชีวิตจากจันทราปราการก็มีวันนี้ได้เพราะนิสัยจู้จี้แบบนี้ของทิชากรไม่ใช่หรือไร


“ข้าต้องกลับไปตรึงกำลังที่ชายแดนแล้ว”  อชิระนั้นพูด ศศิกำลังจะแสดงความตกใจ ทว่าทิชากรที่รู้อยู่แล้วนั้นเงียบเฉย


ราวกับว่ารู้แล้ว แต่แล้วไง?


“ใยไม่ไปกับข้า”


“ข้าจะอยู่กับหลาน”


“ศศิโตแล้ว อคิราห์ดูแลเขาได้ ใยต้องห่วงนักห่วงหนา”  ทว่าทิชากรไม่ตอบว่าเพราะอะไร และศศิก็ต้องทำปากให้หนักเข้าไว้เพราะดูแล้วเราอาจจะยังไม่ควรบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ทิชากรจำต้องระวังอย่างใกล้ชิดนี้


“ท่านก็โตแล้ว ใยถึงไปคนเดียวไม่ได้”


“เพราะเราไม่เคยห่างกันอย่างไร”


“งั้นก็ห่างเลยเสียแต่วันนี้”  คำพูดที่ดูจะใช้โทนเสียงปกติของทิชากรนั้นให้ศศิสะดุ้งโหยง เจ้าตัวจะรู้ไหมว่ากิริยานิ่งๆน้ำเสียงเย็นๆแบบนั้น พอพูดประโยคแบบนี้แล้วช่างร้ายกาจต่อใจเหลือเกิน รู้สึกสงสารอชิระเหลือเกิน แม้เพิ่งได้ทราบว่าทั้งสองผูกสัมพันธ์กันมานานก็ยิ่งสงสาร ถ้าอคิราห์พูดแบบนี้ใส่ตนบ้าง แรงที่จะยืนก็คงหายไปในบัดดลเช่นกัน


“หากจะแข็งกร้าว ข้าก็หวังให้เจ้ามีเหตุผลที่ดีกว่านี้”  และดูเหมือนอชิระก็ไม่ยอมเช่นกัน คนที่ดูจะอึดอัดที่สุดเห็นจะเป็นคนนอกที่มานั่งอยู่ไม่ไกลจากสองคนในนี้อย่างเจ้ากระต่ายน้อยที่ประสบการณ์รักยังอ่อนด้อยนัก


“ข้ามีเหตุผลที่คิดว่าดีพอ”


“…”


“แต่เกรงว่าจะเล่าให้ฟังไม่ได้”  คำพูดร้ายกาจนี้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของอชิระขาดผึง เขาทั้งยกย่องเชิดชูทิชากรเหนือใคร ทำเป็นหลับหูหลับตาเวลาที่อีกฝ่ายแอบทำอะไรลับหลังแต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะหักหน้ากันไปมากไปแล้ว เราเคยตกลงกันไว้ไม่ใช่หรือว่าหากยังไม่อาจจะส่งมอบหัวใจให้กันได้จริงๆก็จะยอมรับแต่โดยดี มีเพียงแค่คำขอเดียวเท่านั้น…


ที่ได้ขอไว้ว่าถ้าใจยังให้ไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าได้ไปห่างกาย…


“ทิชากร…ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะผิดคำพูดที่เคยสัญญาต่อกันไว้”


“…”


“แม้ข้าเองจะประกาศก้องว่าไม่อาจจะเป็นศัตรูกับคนที่รักแต่ความต้องการที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ก็รับไม่ได้เช่นกัน” 


“…”  ศศิที่มองอยู่นั้นรู้สึกได้ถึงความร้าวลึกในความรู้สึกของผู้พูด อชิระคงไม่อยากบอกความในใจหรือกล่าวตัดพ้อแบบนี้ต่อหน้าตนที่เป็นคนนอกหรอก แต่คงรู้สึกว่าทิชากรทำร้ายหัวใจกันมากเกินกว่าจะเก็บรอให้ไปปรับความเข้าใจกันในที่รโหฐานได้ หัวใจคน…มันก็มีเส้นแบ่งความอดทนเช่นกัน


“หรือถ้าเจ้าดึงดัน ก็ขอให้รู้ด้วยเถิดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ข้าจะยอม”  แววตาของท่านอาจารย์หมอที่มักจะสุขุมนั้นวูบไหว แค่เพียงนิดเดียวแต่ผู้เป็นหลานสังเกตได้ ทิชากรนั้นเสียสละมากเกินไปจนแม้แต่หัวใจตัวเองก็อาจจะละทิ้งได้เพื่อจันทราปราการ คำตัดพ้อกล่าวหาของอชิระนั้นรุนแรงเหลือเกิน หากเขาเคยบอกกันไว้ว่าในเมื่อให้ใจไม่ได้ก็ขอให้อยู่ข้างกาย แล้วถ้าทิชากรไม่ได้ผิดคำพูดตรงไหนที่ขอไปให้ห่างกายในวันนี้


ก็เพราะ ‘ใจ’ ได้มอบให้ไปหมดแล้วอย่างไร…


“...”


“…”


“ท่านอชิระ ท่านน้า”  ศศิเรียก ในที่สุดคนที่ไม่อาจจะทนไหวได้ต่อไปก็คือคนนอกคนนี้ที่เก็บงำความลับของญาติผู้ใหญ่ของตน  “ได้โปรดอย่าทะเลาะกันเลย”


“ขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดีนะศศิ”  เมื่อเห็นศศิที่กำลังล้มป่วยเอ่ยเตือน อชิระเองก็รู้สึกผิดที่ทำให้บรรยากาศดีๆเสียไป แม่ทัพใหญ่แห่งสิหราชนครานั้นยิ้มออกมาอย่างขมขื่นฝืนใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยไร้ซึ่งคำอธิบาย ความกะทันหันนี้เหมือนกระชากใจของใครบางคนอย่างแรงไปด้วย แต่ก่อนที่เขาจะไปไกลโดยไม่ได้รับคำตอบอะไรเป็นศศิที่แสดงความกล้าที่สุดออกไปโดยการรั้งเรียกไว้


“ท่านแม่ทัพพาท่านน้าของข้าไปด้วยเถิด”


“ศศิ!”  เป็นทิชากรที่กำลังจะหันมาต่อว่า


“น้าของเจ้าไม่อยากไป ก็อย่าได้ไปบังคับจิตใจเขาเลย”


“ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปหรอก” 


“….”


“แต่ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้าเอง”   โดยไม่ได้ปรึกษากันก่อน จอมดื้อรั้นจึงชิงอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เกี่ยวกับอาการป่วยที่จำต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ


เพราะไม่มีหมอรอบตัวที่ไหน ที่มีความรู้เกี่ยวกับการทำคลอดให้บุรุษแห่งจันทราเช่นตน


“…”  แรกเริ่มเมื่ออชิระได้ยิน เขาเกือบจะยืนไม่ได้จนคิดว่านี่คือความฝันไปใช่หรือไม่ก่อนจะหันไปมองทางผู้ที่พยายามปกปิดเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่านอกจากทิชากรไม่ไว้ใจใคร ก็ยังไม่ไว้ใจเขาด้วย


“เรื่องของหัวใจและเรื่องของหน้าที่มันเป็นเรื่องยากที่จะเอื้อนเอ่ย จนถึงตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่อาจจะพูดให้บิดาของเด็กในท้องได้รับทราบ”  คนที่มีความรักย่อมเข้าใจความลึกซึ้งของความเจ็บปวดนี่ แม้ทิชากรจะยังคงนิ่งเงียบ แต่หลานชายก็ได้พูดแทนใจไปหมดแล้ว ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ก็มีคนที่มีความรู้สึกคล้ายคลึงกันอยู่ มือเล็กของคนท้องกุมมือน้าชายของตนเอาไว้ อยากจะส่งมอบความเข้มแข็งที่ตนก็ไม่ค่อยจะมีให้


อชิระอาจจะสงสัยหรือไม่รู้อะไรเลยถึงความรู้สึกของทิชากรผู้พูดน้อย คิดหรือว่าเขานั้นไม่สำคัญ หากไม่มีจันทราปราการหรือศศิซึ่งเป็นดั่งหน้าที่และความผูกพันก็เกรงว่าคงไม่มีใครสำคัญกับหัวใจได้เกินกว่าคนๆนี้ คนที่จะหลอกให้ลุ่มหลงก่อนจะวางยาฆ่าให้ตายและหนีมาก็ได้ ในเมื่อเขาไว้ใจกันจนละหลวมถึงเพียงนั้น


“เรื่องสำคัญเช่นนี้เจ้าจะไม่บอกอคิราห์ได้ลงคอหรือ”


“ข้ายังไม่อยากให้เขาต้องคิดถึงข้าเกินไปกว่าหน้าที่ และข้าก็ยังไม่แน่ใจ…”  แม้หน้าท้องของศศิจะยังไม่ได้ใหญ่โตแต่เมื่อสัมผัสเบาๆ หัวใจก็พลันอุ่นวาบ ราวกับว่าเด็กคนนี้คือแสงสว่างที่สำคัญกับชีวิตตนนัก จะก้าวไปทางไหน ก้าวกว้างเท่าไหร่ หากตัดสินใจผิดแม้แต่นิด ความสูญเสียที่มากมายก็อาจจะทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต


“เจ้าไม่อยากสร้างครอบครัวกับอคิราห์หรือ”


“อยากสิ…”


“...”


“แต่แค่ยังไม่มั่นใจว่าครอบครัวแบบไหนที่เราจะร่วมสร้างด้วยกันได้ก็เท่านั้น”


หวังว่าปัญหาของศศิจะช่วยชี้นำทางสว่างให้ผู้ใหญ่ปากแข็งทั้งสองที่กลับออกไปแล้วได้คิดได้บ้าง ความรักของคนอื่นเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการแต่พอเป็นของตัวเองแล้วกลับหาทางดูแลรักษาได้ยากเย็น เพียงเพราะเราคาดหวังความสมบูรณ์แบบหรอกหรือ ถึงทำให้ต้องเหนื่อยแสนเพื่อที่จะสร้างรูปแบบที่ต้องการนี้


ยามค่ำที่เจ้าของตำหนักเสด็จกลับมา เมื่อประตูห้องบรรทมเปิดออกพระองค์ก็ได้เห็นคนงามกำลังนั่งสวดมนต์อยู่บนแท่นบรรทม ศศิที่นิ่งเงียบสงบอยู่นั้นช่างงดงาม แสงจันทร์ที่สาดส่องกายยิ่งขับให้อีกฝ่ายดูน่าหลงใหล ในยามนี้เจ้ากระต่ายน้อยของพระองค์ไม่ใช่แค่ดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา หากแต่เสน่ห์บางอย่างที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่เราตอบรับความรักของกันและกันก็ทำให้อีกฝ่ายยิ่งดูน่าหลงใหล


การเปิดตัวศศพินทุ์เมื่อไม่นานมานี้ทำให้คนมากมายรู้ถึงการมีอยู่ และพระองค์ก็ต้องคอยทนฟังคำถามและคำป้อยอแทนเจ้าตัวเล็กทั้งวัน บ้างสงสัยว่าทรงไปพบเจอคนงามเช่นนี้จากที่ไหน รักกันได้อย่างไร และฐานะอะไรที่พระองค์จะทรงมอบให้ยอดยาใจของพระองค์ดี สิ่งที่ทรงตอบออกไปสำหรับคำถามสุดท้ายนี้…


คำว่า ‘ยอดรัก’ ก็คงจะพออธิบายความในใจของพระองค์ได้ทั้งหมด


ยอดรักของพระองค์อาจจะยังไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจนในทางการเมือง ทว่าทางหัวใจนั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าทรงยกให้อยู่บนยอดเหนือผู้ใด ทรงเทิดทูนคนงามมากจนอาจจะมีผู้กล่าวหาว่าทรงมัวเมาจนเกินไป แต่พวกเขาไม่เคยมีศศิในครอบครองเหมือนพระองค์ย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถึงกระนั้นก็คงไม่ให้หรอก สิทธิ์ในตัวของศศิจะเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทว่าทุกอย่างมันไม่ได้สดใสแบบนั้น ด้วยเพราะความเป็นบุรุษของศศิที่ทำให้ฝ่ายสิหราชวงศ์ระแวง มีบ้างในอดีตที่กษัตริย์มีพระสนมเป็นชาย แต่ในประวัติศาสตร์ไม่มีใครยกให้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งสูงทางการเมืองเหตุด้วยเพราะเป็นชายไม่อาจจะมีทายาทได้ ตำแหน่งที่จะได้รับไปจึงมีแค่ความรักใคร่ความเอ็นดูที่ไร้ซึ่งอำนาจ


ทรงถูกกดดันทั้งทางฝั่งพระบิดาและมารดาเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมายกับผู้อื่นเพื่อมีทายาท แต่พระองค์ก็ปฏิเสธเรื่อยมา และตอนนี้ที่ประชุมก็มักจะมีคนพูดถึงเรื่องนี้ ราวกับว่า…อยากจะตอกย้ำให้พระองค์รับทราบถึงหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ หาใช่แต่หลงใหลในชายงามจนละเลย แรกๆพระองค์ก็ปฏิเสธชัดเจนแต่ก็ถูกซักถามเข้าทุกวันจนไม่ตอบอะไร มากเข้าก็เก็บมาคิดแต่ไม่อาจจะพูดให้คนรักฟังได้ ด้วยกลัวใจของคนที่ป่วยอยู่นี่จะพากันเครียดไปด้วย


ทั้งนี้ไม่คิดว่าจะสละอะไรได้เลยทั้งบัลลังก์และ…ยอดรัก



“อธิฐานสิ่งใดกับพระจันทร์อยู่หรือ” ทรงกอดร่างบางไว้ ก่อนจะกระซิบถามที่ข้างหู


“ข้าขอให้คนรักของข้าอยู่รอดปลอดภัยสบายดี”


“คำอธิฐานของเจ้าเป็นจริงแล้ว”  ทรงจุมพิตที่แก้มนุ่มแผ่วเบา แต่ช่างไม่รู้อะไรว่ายอดรักไม่ได้ขอพรให้เขาเพียงคนเดียว แต่ขอให้กับเด็กในท้องที่เป็นลูกของเราสองคน


“ช่วงหลังๆมานี่ข้ามีอะไรให้คิดหลายๆเรื่อง ทั้งสุขภาพของตนเองและของท่าน”  ศศิที่เอนซบกับอกแกร่งนั้นค่อยๆออดอ้อน ความต้องการของคนท้องในยามนี้คือการได้รับไออุ่นจากผู้เป็นสามี ความรักของเขา จะทำให้หัวใจของตนเต้นอย่างเป็นสุข เผื่อแผ่ความรักของพ่อและแม่ไปให้กับลูกน้อยในท้องได้รู้


“อย่าคิดมากไปเลย ยิ่งคิดเจ้ายิ่งเครียด และข้าไม่อยากให้เจ้าเครียด”


“วันนี้ข้าต้องมารับรู้การทะเลาะกันของคู่รักคู่หนึ่ง พลันคิดถึงเรื่องของเราไม่น้อย”


“คู่รัก? คู่ไหนหรือ”


“นั่นสิ คู่ไหนกันนะที่มาเยี่ยมข้าถึงตำหนักองค์ชายรัชทายาท”


“อา..” ในที่สุดเขาก็ทราบ “แล้วมาทะเลาะกันให้คนป่วยเห็นนะหรือ เห็นทีคงต้องตำหนิท่านอาข้าหน่อยแล้ว”  เสียงหัวเราะทุ้มๆนั้นทำให้ศศิยิ้ม ก่อนจะกดจูบที่มุมปากของคนรักแผ่วเบา


“เป็นท่านอาของท่านที่โวยวาย แต่ก็เป็นท่านอาจารย์ของข้าที่ทำเย็นชาเพิกเฉย คนหนึ่งพูดถึงความต้องการออกมาได้ตรงๆ หากแต่อีกคนมีความต้องการอยู่เต็มเปี่ยมแต่พูดอะไรออกมาไม่ได้” คนร่างสูงประคองกอดคนงามไว้ให้แน่นขึ้น คนป่วยนั้นอ่อนไหวได้ขนาดนี้เชียวหรือ


“อย่าคิดมากเรื่องของพวกเขาเลย”


“ข้าเพียงแค่คิดเรื่องของเรา”


“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”


“พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตลอด ติดตามกันไปทุกหนแห่งไม่เคยห่างหายเป็นเวลาหลายสิบปี ทว่าก็ยังไม่มีความมั่นใจในตัวของกันและกัน”  ยอดรักของพระองค์เอ่ย ก่อนจะพูดสมทบเบาๆอีกคำ “เพราะการแสดงออกและการพูดจาที่น้อยเกินไปหรือไร”


“มันคงไม่เกี่ยวกับว่าคบกันมานานหรือคบกันมาสั้นแค่ไหนหรอก หากใช้ความเงียบคุยกันแบบนี้”


“….”


“ข้าแสดงความรักต่อเจ้า เพียงพอให้ไว้ใจในกันและกันหรือไม่”


“ไม่”


“…”


“ข้ากังวลว่าถ้าข้าไม่อยู่ข้างกายแล้ว ท่านจะดูแลตัวเองได้ดีหรือไม่ จะปลอดภัยหรือเปล่าหรือแม้แต่จะหาคนมาเคียงข้างแทนที่ของข้าในตอนนี้หรือไม่”


“ศศิ…”


“ข้าหวั่นระแวงไปหมด ท่านหาใช่คนธรรมดาสามัญที่ไหนแล้วข้าเล่ามาจากที่ใด ครอบครัวและบริวารของท่านจะยอมรับในตัวข้าได้ไหม ข้าหวั่นใจไปหมดเลย” ศศิเองก็คิดไปหมด ทั้งผู้คนที่อยู่แวดล้อมตัวเขาและผู้คนที่เป็นดั่งครอบครัวที่เสียสละให้กันมากมาย หากเรายืนกรานที่จะอยู่ด้วยกัน ผู้คนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และศศิไม่แน่ใจว่ามันดีแล้วจริงๆหรือ


“ยอดรัก…”


“ข้ารำคาญร่างกายอันอ่อนแอตัวเองในตอนนี้นัก ใยถึงได้อ่อนไหวและขี้แยเช่นนี้” ยิ่งเมื่อคนท้องเบะปากหลั่งน้ำตา คนที่ต้องคอยฟังและรองรับอารมณ์ปรวนแปรก็จำต้องหยุดคำถามในใจก่อนจะคว้าเอาศศิเข้ามากอดไว้แนบอก “ท่านรำคาญไหม” 


“เจ้ายังป่วยและงอแงได้น่ารักเยี่ยงนี้ ใครเล่าจะรำคาญได้ลงคอ”


กว่านานที่ศศิเงียบไปในอ้อมแขน ทรงทำเพียงแค่ลูบหลังและจูบเบาๆที่ปานบนใบหน้าที่จางหายจนเกือบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ศศิไม่ค่อยแสดงด้านนี้ออกมาและพระองค์ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องทรงรับมือกับอะไรแบบนี้ ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นพระทัยก็เย็นกว่าที่เคยคาดคิด ในส่วนของความรู้สึกแม้โดนตัดพ้อเสียหลายส่วนทว่าก็ไม่ขุ่นเคืองใจอะไรเลย


“ข้าเชื่อใจในความรักของท่านได้จริงๆหรือ”


“ยอดรัก ข้าอาจจะยังหาหนทางแก้ปัญหาที่เจ้ากังวลไม่ได้แต่ขอให้รู้ไว้ว่าข้ารักจนไม่อาจจะเสียไปได้แล้วจริงๆ”


“…”


“ยังไม่ต้องเชื่อใจหรอกแต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ว่าข้าเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยเจ้าไป”  กับคนที่ไม่ร้องขอความเชื่อใจแต่กลับขอให้เชื่อมั่นในความเห็นแก่ตัวเช่นนี้นะหรือ ศศิควรจะไว้ใจเขาหรือไม่ ทั้งการกระทำและคำพูด มันอาจจะดูชัดเจนแต่ไม่มีใครรู้อนาคต ตอนนั้นองค์ชายรัชทายาทแห่งสิหราชนคราอาจจะตระบัดสัตย์ต่อกันก็เป็นได้


“ท่านไม่คิดอยากจะมีลูกหรอกหรือ”


“ตอนนี้ข้าคิดแค่อยากมีเจ้า” และไม่หมายมั่นจะฟังเรื่องลูกอะไรตอนนี้ ต่อให้พระองค์อยากจะมีก็ไม่ใช่เพราะถูกกดดันให้ต้องมี


“เป็นกษัตริย์ แต่ไม่มีผู้สืบทอดได้อย่างไร”


“…”


“ถึงท่านจะบอกว่าข้าเป็นชายคนรักของท่านก็ตาม”


“ศศิ…เจ้าอาจจะไม่สามารถบันดาลตำแหน่งแม่ของลูกที่น่ารักอย่างที่ข้าอยากจะมีตลอดชีวิตได้ แต่เจ้ารู้ไหมว่าตั้งแต่ได้เจอเจ้า เป้าหมายของข้าก็เปลี่ยนไป”


“….”


“ข้าอาจจะไม่สามารถสร้างครอบครัวแบบที่เคยอยากมีได้ แต่คำหวานที่แค่ว่าอยากมีแค่เจ้า กลับกลายเป็นปรารถนาสูงสุดที่คนอย่างข้าอยากจะมี”


“พี่อาทิตย์”


“พี่อาทิตย์ของเจ้า เห็นแก่ตัวเกินไปหรือไม่”  เป็นคำถามที่ไม่ได้ทรงต้องการคำตอบแต่อย่างใดเพราะมันเกินเยียวยาแล้วกับความเห็นแก่ตัวอันแสนหวานนี่


ทรงเคยอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีบุตร และองค์ราชินีที่ไม่เพียงแค่ใส่ใจในตัวลูกที่จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์แต่ยังเผื่อความอารีไปให้กับราษฎรและตัวพระองค์ที่เป็นสวามี ทรงมั่นใจเหลือเกินว่าศศิจะเป็นเช่นนั้นได้ทว่าก็ทรงรู้ดีว่ามีสิ่งหนึ่งที่คนน่ารักมิอาจให้พระองค์ ความรักนี้ช่างเสี่ยงต่อความมั่นคงในฐานะรัชทายาทหรือกษัตริย์แห่งสิหราชนคราเหลือเกิน


แต่ก็ทรงมียอดรักได้เพียงหนึ่ง และจะไม่มีใครได้เป็นที่รักของหัวใจดวงนี้อีก


“ข้าขอโทษ”  ศศิเอ่ยออกมา


“ไม่เป็นไร ข้ารักเจ้าและรู้ดีว่าเจ้าไม่อาจจะมีลูกให้ได้แต่ก็ยังดึงดันต่อไป”


“….”


“ทำใจให้สบายเถิดนะมันอาจจะมีทาง…”  ทางออกระหว่างเรา… ทว่ายังพูดไม่จบก็มีคนสวนขึ้นมา


“ข้าท้อง”  คนที่น้ำตานองหน้าพูดออกมาชัดเจน


“….” 


“ข้ากำลังท้อง…ลูกของเราอยู่นะ”  นี่มัน…


เรื่องอะไรกัน?!



Talk
มาถี่ไปไหมยังไง ก็แหมมมมเดี๋ยวจะเปิดงานแล้ว เราก็ขอลงไว้หน่อยเซ่ะ
มีคนคอมเมนท์ไว้ว่าน้องจะหนีจะหนี เอ๊ะนายเอกที่หนีเก่งจนน่าด่านี่มัน #เจนไม่นก ปะคะ (ขายของเก่ง)
เรื่องนี้ขอใบ้ก่อนว่าศศิไม่หนี  แต่ตามอารมณ์คนท้องแบบที่กล่าวไว้น้องอาจจะงี่เง่าบ้างแต่จะดึงสติได้อยู่
ช่วงนี้ก็จะหวั่นไหวขี้กลัวมากความเสียหน่อย โปรดเข้าใจน้องด้วย
ถ้ายังไงฝากแท้ก #อาทิตย์ศศิ เหงาๆเช่นเคย
TWITTER @reallyuri















หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 20 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-01-2019 00:52:19
นึกว่าจะไม่บอกแล้ววว
จะเอายังไงต่อๆๆๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 20 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 03-01-2019 02:27:36
น้องบอกไปแล้ว พี่อาทิตย์คงจะดีใจนะ(หลังจากอธิบายให้ฟัง)
สถานการณ์นี้ก็คือต้องคอยประคับประคองกันไป มีแต่คนปองร้าย พี่อาทิตย์ก็โดนวางยาตลอด
เรื่องน้องท้องก็ต้องเป็นความลับสุดยอดเลยไม่งั้นอันตรายแน่ๆ
คู่คุณอาคุณน้าอย่าดราม่าน้า ท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งงอนที่คุณหมอใหญ่ไม่ยอมบอกเรื่องศศิเลย
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 20 : 2/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 03-01-2019 07:03:50
กลัวอาทิตย์คิดว่าศศิโกหกจัง  :ling3:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 21 : 3/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 03-01-2019 18:57:09
Finding the twilight
21
เรื่องโกหก
☼ ☽


แววตาของเขามีความฉงน
แลดูไม่เชื่อใจ?


“…”  หากศศิพูดเล่น พระองค์ก็คงจะหัวเราะออกมา แต่เพราะแววตาที่มีหยาดน้ำตาคลอนั้นดูจริงจังเกินไปกว่าจึงทำให้อคิราห์ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆเลย ทว่ากลับทรงคิดไปว่านี่คือความเพ้อฝันของคนรักที่เครียดเรื่องของเราจนหาทางออกไม่ได้เพราะอย่างไรผู้ชายก็ไม่สามารถมีลูก เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงเผลอทอดพระเนตรมองเจ้ากระต่ายน้อยด้วยแววตาสงสาร


“ท่านคงรังเกียจ”


“พี่ไม่ได้รังเกียจเจ้า”


“แต่ไม่ได้เชื่อกันเลยใช่ไหม”


“…”


“ข้าไม่ได้โกหกนะ”


“ศศิ…ถึงเจ้าจะมีหรือไม่มีลูกให้ ข้าก็ยังรักเจ้าอยู่เหมือนเดิม”


“…”


“แม้ข้าจะเคยได้ยินมาบ้างว่าในอดีตกาลจะมีผู้ชายที่ท้องได้ แต่…”  เขาเพียงคิดว่าศศิกำลังละเมอเพ้อไปว่าตนคือหนึ่งในกลุ่มชายที่ท้องได้และกำลังตั้งท้องอยู่ อาการป่วยที่กำลังเผชิญนี้ ศศิคงคิดไปเองกระมังว่าตนนั้นท้อง


“หากท่านไม่ลืม คงจะจำได้ว่าข้าเป็นหมอคนหนึ่งเหมือนกัน”  ศศินั้นพูดย้ำ “และคงไม่ลืมว่าข้านั้นต่อให้รักท่านแค่ไหน แต่ก็ทำใจว่าจะต้องจากไกลอยู่ตลอดเวลา”  แววตาของผู้ฟังที่มองกันมามีแววตัดพ้อ ทุกสิ่งที่ศศิพูดในวันนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่มีอยู่จริงยกเว้นประโยคหลัง แม้จะพยายามทำใจว่าจะต้องจากไกลเสมอมาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้จริงๆ


“เจ้าพูดอะไร รู้ตัวหรือไม่”  น้ำเสียงของเขาพลันดุดันไปพร้อมๆกับแววตา


“มันไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รัก หรืออยากไปจากท่านเลย”


“ศศิ”


“แต่ข้าเห็นแก่ลูกของข้า ลูกที่พ่อของเขาไม่ยอมรับว่ามีอยู่จริง ลูกที่ข้าไม่อยากให้มาข้องเกี่ยวกับราชสกุลไหนๆในสิหราชนครา หากข้ารู้สักนิดว่าตนเองจะผิดปกติถึงเพียงนี้ข้าจะไม่มีวันยอมให้ตนเองกับลูกในท้องตกเป็นหมากของคนที่นี่เลย”  นี่ศศพินทุ์ตีค่าความรักนี่…เป็นเพียงแค่หมากบนกระดานงั้นหรือ คิดไปได้อย่างไร แต่อคิราห์ก็ไม่ได้รับทราบทั้งเรื่องของจันทราปราการ คำทำนาย หรือไม่แม้แต่จะสงสัยเรื่องยาปลุกกำหนัด


“หากเจ้ามีลูกของข้าจริง ข้าย่อมรักและเทิดทูนทั้งแม่และลูก” น้ำเสียงทรงอำนาจที่ดุดันนั้นถูกเปล่งออกจากลำคอของคนที่มีอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด ในยามนี้ที่ทั้งกายและใจของศศิกำลังอ่อนแอ เขากลับริบคืนความอบอุ่นนั้นไป “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากมีหรือ ลูกน่ะ..”  ใช่ พระองค์เองก็อยากมี แต่ทรงรักบุรุษร่างบางผู้งดงามนี้ไปจนหมดหัวใจ หน้าที่ในการดำรงไว้ซึ่งราชสกุลถึงกับเพิกเฉย ทรงหลงใหลศศิถึงขนาดละเลยความสำคัญของการมีบุตรเพื่อสืบทอด เป็นเช่นนี้แล้วจะใจร้ายกับพระองค์ไปถึงไหน


ทั้งคนรอบข้างและคนงามตรงนี้


“ข้าไม่ได้โกหก”


“ข้าอยากจะเชื่อเจ้าเหลือเกิน”  หากพระองค์บ้าบอได้มากกว่านี้ก็จะเชื่อคนรักจนหมดใจ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้รู้ดีว่าเหตุใดศศิถึงกุเรื่องนี้ขึ้นมา ต่อให้ทรงอยากจะปลอบใจอีกคนเท่าไหร่แต่ก็ยอมรับว่าเรื่อง ‘ลูก’ ก็เป็นแผลในพระทัยมาสักพักแล้วเช่นกัน ศศิที่มองแววตาของคนรักนั้นก็ได้ตัดสินใจมั่น ในเมื่อไม่ทรงเชื่อก็ไม่เป็นไร ศศิไม่มีความจำเป็นที่จะอธิบายหรือบอกต่ออะไรแล้ว


ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คงจะดีกว่า…


“ข้าปวดหัว ง่วงแล้ว”  ริมฝีปากอิ่มส่งยิ้มเศร้าๆออกมาก่อนจะปาดน้ำตาและล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ไม่ชอบที่จะทะเลาะกับ และไม่ชอบที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องจนทำให้สถานการณ์มันดูงี่เง่าได้ขนาดนี้ ในส่วนของอคิราห์นั้นจะเชื่อหรือไม่และจะทำใจเคียงข้างกายกันได้หรือเปล่า


มันก็แล้วแต่เขาจริงๆ


☼ ☽


แม้การทะเลาะกันจะเกิดไม่กี่ครั้งแต่ครั้งนี้สะเทือนใจคนท้องอยู่มากทีเดียว


ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้ขี้งอนไร้เหตุผลจนหนีไป ความรักที่มีให้ยังเรียกได้ว่ามากมายจนทำให้ไม่อาจจะตัดใจ ลำพังเด็กคนเดียว มีหรือว่าศศิจะไม่มีปัญญาเลี้ยง แม้จันทราปราการจะยังลำบากแต่ก็มั่นใจได้ว่าทุกคนย่อมช่วยเหลือ ทว่าเพราะยังไม่อาจจะเสียสละรักมั่นไปได้ การจากลาจึงไม่เกิดขึ้น


ศศพินทุ์ล้วนรู้ดีถึงปัญหาที่ทรงเผชิญอยู่ เรื่องมากมายพาให้กดดัน ด้วยอาจจะไม่อยากรับรู้สิ่งใดที่เหลือเชื่อจนเกินไป อาจจะทำให้เส้นผมบังภูเขาต่อหน้าพระเนตรได้ ทว่าแม้จะเข้าใจแต่ก็แอบน้อยใจไปตามประสาจึงหมายให้เวลาช่วยเยียวยาและช่วยบอกความจริงใจ


ในทุกวันเราตื่นมาจนกระทั่งหลับใหลก็แสดงความรักให้กันเหมือนปกติ แต่ก็มีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจไม่มากก็น้อย มันอาจจะเป็นเพราะศศิเองที่โพล่งเรื่องนั้นออกไป อารมณ์ของตนก็ใช่ว่าจะคงที่ และเพราะตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรควรหรือไม่ควรเราจึงเลี่ยงที่จะสานต่อบทสนทนานั้น และเก็บมันเอาไว้ในใจให้เกาะกินความรู้สึก


ตอนนี้ทรงกำลังวุ่นวายกับการปราบปรามเหล่าเครือญาติที่คิดร้ายต่อราชวงศ์ แม้จะยุ่งแต่ก็ยังกลับมาหาศศิทุกวัน ทั้งนี้มันอาจจะเป็นเสียงเรียกร้องของพระทัย เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยากจะนิ่งนอนใจหรอก ทรงอยากจะหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งแค่ยังไม่มีเวลาพูดคุยกันจริงๆจังๆ แต่พระองค์ก็ไม่ได้เอาเรื่องภายในออกไปสู่ภายนอก ความขัดแย้งระหว่างเราจึงยังอยู่ในใจของเราอย่างนี้


ศศพินทุ์เองก็พยายามที่จะประสานรอยร้าว แม้เจ้าตัวจะยังป่วยหรือมีใบหน้าที่ซีดเซียวเพียงไหน ก็ยังจะฝืนลุกมาออดอ้อนเอาใจ เราสองพยายามเก็บเกี่ยวเวลาที่มีกันไว้ โดยไม่อาจจะตอบปัญหาความคาใจหรือแม้แต่จะหันหน้าเขาพูดคุยในเรื่องที่เก็บไว้ได้


ดวงตาคู่สวยของศศิเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สถานะที่มีโซ่ที่มองไม่เห็นนั้นล่ามกันไว้ในตำหนักแห่งนี้ แม้เจ้าของตำหนักจะปราณีแต่ใจของศศิก็เหมือนล่องลอยไปไกล โหยหาอิสระอยู่หรือ ก็ไม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนยินดีจะถูกขังไว้ไหมในกรงหัวใจแห่งนี้ มือเล็กเผลอลูบท้องของตนอย่างเผลอไผล ถึงจะบอกว่าให้เวลาเป็นการพิสูจน์คำพูดแต่ก็เกรงว่าตนจะอกแตกตายเองเสียก่อน


“ทำไมถึงไม่เชื่อกันนะ”  คนตัวเล็กพึมพำเสียงเบา ก่อนที่จะรู้สึกถึงใครบางคนที่เดินมาข้างหลัง พระพักต์ของพระองค์นั้นยังคงหล่อเหลา ตัวตนของเขายังเป็นความสุขสูงสุดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


“เจ้าไม่สบายอยู่นะ”  ทรงเมียงมองยอดรักอยู่นานแล้วแต่ศศิก็ยังไม่รู้ตัว จนทนไม่ไหวต้องเดินออกไปเอ่ยทักทาย ปล่อยไว้เช่นนี้ อาการที่แย่อยู่แล้วอาจจะทรุดหนักได้อีก ใครให้มานั่งตากแดดตากลมอยู่อย่างนี้


“อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้”  กระต่ายแววตาเศร้านั้นยิ้มให้ น่าสงสารจับใจจนต้องกอดเอาไว้แนบกาย


“หากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว สัญญาจะพาไปทุกหนแห่ง” และพูดคุยด้วยในทุกๆอย่าง


“ข้าไม่ค่อยสบาย คงไปไหนไกลๆนานๆกับท่านไม่ได้หรอก”


“ใจคอเจ้าจะไม่หายเลยหรือ”  ทรงเอ่ยถามอย่างออดอ้อน


“มันต้องหายสิ”


“เครียดเรื่องของพี่หรือ”


“ข้าคิดทุกเรื่อง”  ศศิทอดยิ้มเศร้าส่งไปให้ ไม่ปิดบังว่าทุกเรื่องในนั้นมีพระองค์อยู่ด้วย อคิราห์ขยับอ้อมแขนให้ยอดรักของพระองค์ได้นั่งสบายขึ้น ก่อนจะวางคางของตนลงบนบ่าเล็ก


“พี่ยอมแพ้แล้ว ขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”


“ได้โปรดอย่าขอโทษเลย”  ศศิเอ่ยขอ “ข้าค่อนข้างจะปลงและลืมเลือนมันไปบ้างแล้ว”  โกหก ศศิไม่ลืม แต่แค่พยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางความรู้สึกให้ตัวเองอยู่


“ถ้าเจ้าอยากมีลูก”  พระองค์จึงพยายามนำพาบทสนทนากลับไปตรงนั้นแม้ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขความบาดหมางใจนี้ได้ ทว่าศศิกลับร้องห้าม


“เรายังไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า”


“….”


“ข้าไม่อยากจะทะเลาะกับท่าน”  น้ำเสียงที่เจือเสียงสะอื้นนั้นทำให้พระหทัยอ่อนยวบ ทรงกอดรัดเด็กน้อยของพระองค์ให้แน่นขึ้นและซุกใบหน้ากับต้นแขนของคนที่กำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวด นี่พระองค์ใจร้ายกับศศิเกินไปหรือเปล่า บีบบังคับให้คนน้องต้องจนมุมต่อกันแบบนื้ เพียงเพราะทรงไม่เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย แต่จะให้ทำเช่นไรในเมื่อมันเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน


ศศิจนมุมในอ้อมกอดของพระองค์ สะอื้นไห้อย่างอ่อนแออยู่อย่างนี้ จนกระทั่งร่างทั้งร่างนั้นนิ่งงัน…


“ศศิ…” ทรงคิดว่าคนน้องคงหลับ แต่เมื่อสังเกตดีๆก็พบว่านี่มันดูจะหลับลึกจนเกินไป ราวกับว่าต่อให้เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัวเอง


ด้วยความร้อนรน ทรงอุ้มยอดรักขึ้นมาหมายจะพาไปหาหมอหลวง ประจวบเหมาะกับทิชากรมาเยี่ยมหาศศิในวันนี้ ยอดรักของพระองค์จึงได้ไปอยู่ในการดูแลของอาจารย์ของตนเอง เมื่อทิชากรตรวจดู เจ้าตัวก็เพียงแค่ถอนหายใจออกมา เดิมทีที่มาหา ก็เพื่อจะโน้มน้าวใจเด็กดื้อนี่อีกที ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันในสภาพเช่นนี้


“พักผ่อนไม่เพียงพอ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”  ทิชากรพูดออกมา ท่าทางของคนที่มองมานั้นดูโล่งใจ “แต่ข้าไม่ได้หมายความว่ามันไม่อันตราย”  น้ำเสียงที่ใช้พูดคุยนั้นพลันเย็นชา ทิชากรย่อมรู้จักนิสัยศศิดีอยู่แล้ว ที่ทรุดแบบนี้ก็เพราะปัจจัยที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราและนิสัยส่วนตัวที่เรียกว่าคิดมากนั่นแล


“เช่นนี้แล้วรักษาอย่างไรถึงจะหาย”


“ต้องทำให้สบายใจขึ้น เครียดมากไม่ดีต่อโรคที่เป็นอยู่ขณะนี้”


“อา…”


“หากทะเลาะกันก็ส่งหลานคืนมาให้กระหม่อมซะ”  ในที่สุดทิชากรก็ไม่รีรอ เจ้าตัวเร่งเข้าเรื่องในทันที


“…”


“ทรงบกพร่องในการดูแลศศิถึงเพียงนี้ ก็ส่งคืนมาเถิด กระหม่อมเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก กระหม่อมย่อมเลี้ยงได้”


“เราไม่ให้”


“แล้วทรงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”  ทิชากรเองก็ไม่ยอมเช่นกัน “มีคนวางยาหลานข้าด้วยยาปลุกกำหนัด ศศิป่วย มีคนมาลากออกไปสอบสวนเรื่องลอบปลงพระชนม์และช่วงนี้ยังมีคนหมายมั่นจะเข้ามาในตำหนักยามที่พระองค์ไม่อยู่ ไม่คิดหรือว่าพวกเขาปองร้ายหลานของข้าก็เพราะพระองค์!”


“…”  ใช่…นี่คือสิ่งที่อคิราห์ไม่ได้บอกใครและมันก็ทำให้ทรงวุ่นวายมากๆในช่วงนี้ มีคนหมายมั่นจะเข้ามาในตำหนัก และก็ยังจับตัวไม่ได้


“กระหม่อมไม่รู้ว่าศศิพูดอะไรให้ฟังบ้าง แต่หลานของกระหม่อมมีพันธะผูกพันบางอย่างทางการเมืองของคีรีธารา หากยังดึงดันยึดเขาไว้ข้างกายเพื่อผลประโยชน์ของสิหราชนครา ไม่แน่ว่ามันอาจจะนำมาซึ่งปัญหาที่ทรงต้องรับมืออีกมากมายก็เป็นได้”


“ท่านพูดอะไร”


“อชิระไม่เคยพูดให้ฟังหรอกรึว่าพวกกระหม่อมมีความเกี่ยวข้องกับคีรีราชสกุล”


“….เรื่องนั้น…” เรื่องที่ว่าศศิ…เป็นคนที่อาจจะเกิดมาเพื่อครองคู่กับทางนั้น


“ขอจงทรงพิจารณาด้วยเถิดพะยะค่ะ” คำพูดของทิชากรที่หลุดออกมาแต่ละคำ ช่างบาดพระทัยเหลือเกิน ทว่าก็มิอาจจะโต้แย้งได้ เดิมทีทรงให้ความมั่นใจกับตัวเองและคนรักไปว่ารักของเราจะต้องไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้น ทว่าแม้จะพยายามเท่าไหร่ ความจริงก็ยิ่งพรากเราไปไกลเท่านั้น


และเมื่อเห็นท่าทางและใบหน้าขององค์รัชทายาทแบบนี้ น้าของศศิก็รู้ตัวว่าตนได้พูดเกินไปแล้ว ทั้งนี้มันเพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่สะสมมาเนิ่นนาน พอได้ปล่อยออกมาบ้างก็ยากจะควบคุม ทิชากรควรให้เกียรติเจ้าของตำหนักมากกว่านี้ เหมือนกับที่พระองค์เองก็พยายามจะให้เกียรติทั้งศศิและตัวของทิชากร


“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยในสิ่งที่พูดไป เพียงแค่ห่วงหลานเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาจะเกินเลย”


“ข้าเข้าใจ”


“ศศิกำลังป่วย จำต้องได้รับการดูแลใกล้ชิด กระหม่อมไม่อาจจะพูดได้ว่าแพทย์หลวงไม่เก่งกาจแต่โรคของศศินั้นเข้าใจยาก จำต้องได้รับการรักษาจากผู้มีความรู้เฉพาะทาง”


“เด็กคนนั้นเขาบอกว่าเขาท้อง”


“…”


“มันเป็นความจริงหรือ”  คำถามที่ย้อนกลับนั้นทำให้ทิชากรเข้าใจสถานการณ์และความเครียดที่คนป่วยกำลังเผชิญในทันที จริงอยู่ว่าเรื่องผู้ชายท้องได้นั้นมีน้อยจนเรียกว่าเกือบจะไม่มีในยุคสมัยนี้ แต่เคยมีก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีไม่ได้ ทว่าเป้าหมายของจันทราปราการนั้นสำคัญกว่า และที่สำคัญ…ชีวิตของศศิ หากต้องเลือกที่จะลงหลักปักฐานกับสิหราชนคราจริงๆ ทิชากรก็อยากให้หลานชายได้ชั่งใจหลายๆแบบดู ว่ามันคุ้มหรือไม่ กับการเลือกความรักที่แถมมาพร้อมกับการเมืองที่ผูกมัดไว้


“ไม่จริงสำหรับสิหราชนคราในตอนนี้”  ทว่าก็ไม่สามารถโกหกออกไปได้ เพราะถ้าทิชากรยืนยันออกไป คำพูดของหลานที่บอกคนรักก็จะกลายเป็นเรื่องโกหก ศศพินทุ์จะน่าสงสารเกินไป แล้วทีนี้ทิชากรควรอ้างว่าศศิป่วยเป็นอะไร…เป็นบ้ากระนั้นหรือ


“หมายความว่าอย่างไรกัน”


“หมายความว่าพระองค์ควรจะตั้งใจจดจ่อกับสถานการณ์ในตอนนี้”


“…”


“กับศศิ กระหม่อมจะดูแลอย่างดีที่สุด หากเมื่อไหร่ที่ราชวงศ์พร้อม ตัวพระองค์พร้อม พิจารณาแล้วว่าอยากจะรับกลับไปกระหม่อมก็จะไม่ขัดเลย” 


“เราพร้อมแล้ว”


“ข้างนอกรั้วตำหนักกำลังวุ่นวายแค่ไหน ก็ทรงรู้ดี”  ทิชากรเอ่ยย้ำ  “เป้าหมายทางการเมืองไม่ได้มีแค่พระองค์แล้ว หลานชายของกระหม่อมที่กำลังป่วยอยู่ก็ด้วย คนที่พระองค์ก็รู้ว่าใครบ้างกำลังหาโอกาสเข้าถึงตัวของศศิ” ใช่…เรื่องนี้พระองค์รู้ดี หลังจากที่การมีอยู่ของศศิถูกเปิดเผย ทั้งผู้หวังดีและไม่หวังดีต่างก็อยากเข้าหา ที่แน่ๆทุกคนล้วนรู้แล้วว่าองค์ชายอคิราห์มีจุดอ่อนใหญ่คืออะไร


“แต่ความรู้สึกของศศิ”


“เขาจะไม่โกรธพระองค์หรอก”  ทิชากรมั่นใจ  “เด็กคนนั้นมีเหตุผลพอ อาการป่วยของเขาตอนนี้มันอาจจะทำให้หงุดหงิดไปบ้าง แต่ศศิจะเข้าใจ และถ้าหากหลานของพระองค์ไม่เข้าใจ เขาก็ไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเลย”


“…”  ทิชากรพูดถูก หากศศิรักพระองค์จริงๆ หากอธิบายเหตุผลทั้งหมด ศศิจะต้องเข้าใจและไร้อาการโกรธเคือง ทว่าช่วงนี้…ความสัมพันธ์ของเราก็ใช่ว่าจะดีเสียเมื่อไหร่


“ข้าคงต้องขอคุยกับเจ้าตัวก่อน”


“รับปากกระหม่อมว่าจะไม่ทำให้ศศพินทุ์ต้องเครียดจนเกินไป”


“…”


“เห็นแก่อาการป่วยของหลานกระหม่อมด้วยเถิด”  ถึงแม้ว่าอารมณ์ของเจ้ากระต่ายน้อยจะไม่ใช่อะไรที่ควบคุมได้


แต่ก็ต้องพยายามควบคุมมันให้ได้แล้ว!


ทรงเสด็จกลับเข้ามาในห้องบรรทมและประทับนั่งลงข้างๆร่างที่กำลังหลับใหล ร่างเล็กบอบบางแบบนี้แบกรับอะไรไว้มากมายหนักหนา ทำไมพระองค์ถึงช่วยแบ่งปันมาไม่ได้ หรือเพราะศศิไม่ยอมแบ่งให้เพราะพระองค์เองก็มีภาระอยู่เต็มไม้เต็มมือ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเองเลย ทรงเคยบอกว่าอยากให้คาดหวังในตัวกันมากกว่านี้แท้ๆ


‘หากอยากให้มันจบลงด้วยดีกว่านี้ก็ตอบรับการแต่งงานกับอภิชญาไปเถิดลูก การมีบุตรกับลูกสาวท่านแม่ทัพ จะช่วยทำให้อนาคตในฐานะองค์เหนือหัวของเจ้ามั่นคงขึ้นนะ’ ในช่วงนี้พระองค์ได้รับฟังเรื่องของการมีทายาทมานับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่บิดาของพระองค์ที่เคยเอ็นดูศศิอยู่มาก ก็เหมือนจะเริ่มคล้อยตามเสด็จแม่ที่พยายามปูทางให้ ทั้งๆที่ทรงเคยระแวงฐานะและจุดยืนของกันและกันมาก่อน ทำไมใครๆก็อยากให้พระองค์มีทายาทและทำไมใครๆก็อยากมีทายาทกับพระองค์


แม้แต่ศศิเองก็ด้วย


ท้องจริงๆหรือ…อคิราห์ยังมิอาจจะเชื่อปักอก แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหากศศิจะโกหกต่อกันแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำส่วนหนึ่งของหัวใจก็ทรงภาวนาขอให้เรื่องที่ถูกกุขึ้นมานี่เป็นความจริง หากเราสองคนมีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน เขาจะเติบโตมาเป็นอย่างไรกันนะ ถ้าเหมือนกับแม่ของเขา น่ารักแบบนี้ พระองค์คงเป็นพ่อที่หลงทั้งลูกทั้งแม่เป็นบ้าเป็นบอแน่ๆ แค่เพียงตัวตนในจินตนาการ ก็ทำให้พระองค์ยิ้มร่าราวกับคนสติไม่สมประกอบ


“อื้ม”  เสียงของศศิที่นอนอยู่ปลุกพระองค์ออกจากภวังค์ ดวงตาใสจ้องมองกลับมา รอยยิ้มที่ปรากฏทำให้พระองค์ได้รู้ว่าศศพินทุ์ดีใจแค่ไหนที่ตื่นมาเห็นหน้ากันเป็นอย่างแรก


“เป็นเช่นไรบ้าง”


“ข้าหลับไปนานไหม”


“ไม่กี่ชั่วโมงหรอก”  ที่อยู่ๆก็เป็นลมล้มพับลงไป ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้คนมองรู้สึกทรมานได้เหมือนเป็นวันๆ


“ทำไมทำหน้าแบบนี้เล่า ไม่สบายใจหรือไร”  ศศิเองก็รู้สึกผิดที่ควบคุมภาวะทางอารมณ์และคำพูดอะไรของตัวเองไม่ค่อยจะได้ สุดท้ายแล้วแม้พยายามจะไม่ทะเลาะแต่บรรยากาศก็อึมครึมแบบที่ไม่มีใครชอบแบบนั้น

“มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ข้าเลยมีหลายอย่างให้ต้องคิด”


“งานของท่านเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้วใช่ไหม”  ศศิขยับจะลุก พระองค์จึงทรงช่วยให้คนป่วยได้นั่งและจัดหมอนตั้งให้ได้พิง


“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”  พระองค์ไม่แน่ใจนักว่าจะควบคุมไม่ให้ศศิสติแตกไปอีกรอบหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากปิดบัง  “มันมีเรื่องของความปลอดภัยของเจ้าด้วย”


“ของข้าหรือ?”


“หากเจ้าสังเกต คงเห็นว่าเรามีการเพิ่มเวรยามรอบตำหนักมากขึ้น”


“ข้านึกว่าเอาไว้ใช้สำหรับการคุ้มครองท่านในช่วงนี้เสียอีก”


“ชีวิตข้าสำคัญสำหรับคนหลายคนก็จริง” แต่อีกสิ่งที่จริงยิ่งกว่า “แต่สำหรับข้านั้นชีวิตเจ้าสำคัญที่สุด”


“พี่อาทิตย์…”


“เห็นเจ้าเจ็บป่วยเช่นนี้พี่ก็ไม่ได้สบายใจเลย” 


“ศศิจะหายป่วยเอง เชื่อเถิด ข้าเป็นหมอนะ”  รอยยิ้มที่ส่งมาให้แม้มันจะดูซีดเซียวแต่ก็เต็มไปด้วยกำลังใจ อคิราห์ยังคงลังเลที่จะถาม แต่มันอาจจะเป็นการวัดใจ ทั้งตัวพระองค์และตัวของคนที่พระองค์รักที่สุด


“เจ้ามีความคิดที่อยากจะไปจากที่นี้ไหม”


“พี่อาทิตย์…”


“น้าของเจ้ามาคุยกับพี่ ว่าเจ้าจำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด”  อคิราห์จ้องลึกไปในแววตาคู่นั้น  “แต่พี่จะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด หากเจ้าจะอยู่”  ถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้น้องไปห่างจากอก พระองค์ทรงเอ่ยถามแต่แฝงแววเว้าวอนในน้ำเสียงอย่างเห็นแก่ตัว ถ้าศศิลุ่มหลงในตัวพระองค์ย่อมตามพระทัยเป็นแน่


แต่ถ้าศศิรักและเข้าใจพระองค์…ก็จะหักหาญน้ำใจแบบที่ทิชากรคิดไว้


“หากข้าเลือกรักสุขภาพตนเองในยามนี้เล่าจะผิดไหม”


“…”


“ข้าไม่อยากให้พี่ท่านมาทุ่มเทเอาใจใส่ให้ในตอนนี้ เพราะท่านมีเรื่องให้กังวลมากมาย”  ศศิยิ้ม แววตานั้นแน่วแน่กับคำตอบและหนทางที่ตนได้เลือก ถ้าเลือกได้ ศศิก็ไม่อยากให้เราต้องจบเส้นทางของเราไว้เพียงเท่านี้


แต่ต้องยอมรับว่าตนเองก็ไม่ได้ตัวคนเดียว
และไม่ได้มีหัวใจดวงเดียวที่จะทิ้งขว้างให้เขาแบบยอมไม่เหลืออะไรอย่างนั้นอีกแล้ว


“หากจัดการปัญหาทั้งหมด และมั่นใจว่ายังรักและพร้อมจะปกป้องในสิ่งที่ข้าพยายามปกป้องอยู่จริงๆเมื่อไหร่ พี่อาทิตย์รู้ใช่ไหม ว่าจะไปตามหาข้าได้ที่ไหน”


“ศศิ…”


“ข้าขอไปรอท่านที่ค่ายของท่านอชิระ หากท่านไม่มาหรือไม่ส่งข่าวคราวมาให้ทราบ ข้าจะไม่มาเรียกร้องอะไรอีก ตลอดตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าพี่จะตัดสินใจอย่างไร น้องจะเคารพมัน”


“เจ้าไม่ให้พี่เลือกอะไรบ้างเลย”


“ศศิให้พี่อาทิตย์เลือกราชวงศ์แล้วไง”


“บังคับกันต่างหาก”


“จริงๆก็ไม่ได้ปลื้มนักหรอกแต่ก็ฉุดองค์ชายรัชทายาทไปอยู่ในป่าแล้วทำให้เป็นของตัวเองคนเดียวไม่ได้เหมือนกัน”  เป็นตลกร้ายที่อยากจะเรียกรอยยิ้มจากคนฟัง แต่ไม่มีใครในที่นี้ที่หัวเราะกับมันได้อย่างจริงใจเลย 


สุดท้ายแล้วอคิราห์ก็จำต้องยอมปล่อยหทัยของพระองค์ไปจากอ้อมพระอุระ


☼ ☽


แม้นี่ไม่ใช่สิ่งที่หัวใจต้องการ แต่สมองก็สั่งงานให้ทำในสิ่งที่เหมาะควรที่สุด


ทั้งนี้เราเองก็ไม่มีการกำหนดเรื่องระยะเวลาที่จะไปพบเจอกันตายตัว เพราะในวันนี้ที่เรากำลังจะจากกันไกล การกำหนดวันกลับมาพบเจอนั้นมันเจ็บปวดเกินกว่าจะจินตนาการได้ ระบบการทำงานของหัวใจและสมองที่พยายามจะปรับกลไกลให้ควบคู่กันจึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา


อชิระและทิพากรมารอรับศศพินทุ์ เรามีการวางแผนการส่งตัวและพาไปชายแดนด้วยกันอย่างรัดกุม จริงอยู่ว่าชายแดนเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ทิชากรให้คำมั่นด้วยว่าตนนั้นลงหลักปักฐานอยู่มานานย่อมสร้างทางหนีที่ไล่จากที่นั่นไว้แล้ว และอชิระเองก็มีคนในควบคุมอยู่มากมาย


ต่อจากนี้ตัวตนของศศิ ก็จะถูกทำให้หายไปจากชีวิตพระองค์ จะไม่มีการติดต่อจากอีกฝ่ายในนามของศศพินทุ์มาหา และแม้แต่พระองค์ก็ไม่อาจจะเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไปอีกครั้งได้ ทรงรับฟังแผนการและคำยืนยันจากอาของตนด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย แต่ก็ไว้ใจว่าพวกเขาที่รับยอดหทัยของพระองค์ไปดูแลจะทำอย่างดีที่สุด บางที…ศศิอาจจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้


“เห็นหน้าเจ้าแล้ว อาก็ไม่อยากทำบาปด้วยการพรากเมียของเจ้ามาเลย”


“ข้าให้โอกาสท่านพลาดลืมเมียของข้าไว้ที่นี่”


“เจ้าก็รู้ว่าอาของเจ้าไม่เคยพลาด”  คำตอบนั้นทำให้องค์รัชทายาทขุ่นเคืองอยู่บ้าง ยิ่งเสียงหัวเราะทุ้มๆนั่นก็ช่างบาดหูเหลือเกิน “แต่ข้าจะดูแลยอดรักของเจ้าให้ดีให้สมกับที่ข้าก็รักเหมือนลูกหลาน”


“ท่านอา…”  อคิราห์นั้นเรียกหา ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้แล้ว  “เคยอยากคิดกลับสู่ฐานันดรศักดิ์ไหม”


“พูดอย่างกับเจ้านั้นอยากจะเจริญรอยตามข้า”


“ก็อาจจะ แต่ตำแหน่งรัชทายาทจะว่างอยู่”


“หากเจ้าทำดี เชื่อข้าว่ารออีกไม่กี่ปีก็ได้ลงสมใจแล้ว”


“หมายความว่าอย่างไร”


“ได้ลงเพื่อขึ้นเป็นองค์เหนือหัวไง พี่ของข้าอยากจะลงจะแย่” อชิระนั้นย่อมหมายถึงหากหลานชายของตนดูแลราชวงศ์ให้ดี ไม่นานนักเมื่อเจ้าตัวเล็กเติบใหญ่ขึ้นอีกนิด ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็มีคนขึ้นแทนแล้ว แต่คนโง่งมที่ไม่เชื่อถือใครแม้แต่ยอดดวงใจย่อมไม่รู้ความหมายที่แฝงมา


“ถ้าข้าไม่อยากเป็นทั้งรัชทายาทและองค์เหนือหัวแล้วเล่า”


“…”


“สนใจกลับมาแทนไหม”  เป็นข้อเสนอที่ใครได้ยินอาจจะรีบตะครุบ แต่อชิระกลับส่ายหน้า


“ข้าไม่อาจมีลูกได้ เพราะได้หลงรักคนที่ไม่อาจจะมีทายาทให้จนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว”  แม้จะรักและพร้อมจะสนับสนุนหลานชายในหลายๆด้านแต่เรื่องนี้คงให้ไม่ได้  “ต่อให้มีเจ้าตัวเล็กก็เถิด ตัวข้าที่ไม่ชอบการเมืองในวังนะหรือ จะทำร้ายลูกด้วยการยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบให้”


“…”


“ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาเพื่อยอมเสียสละหรอกนะ” 


แม้แต่ศศิเองก็ไม่ได้ฝักใฝ่ตำแหน่งข้างกายองค์รัชทายาท  ทุกวันนี้ที่ยอมใกล้ชิดนั้นก็เพียงเพราะรักพี่อาทิตย์มากก็เท่านั้น ต่อจากนี้การเมืองในวังจะยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก ที่อีกคนเลือกจากไป พระองค์ก็ไม่ได้คิดว่าศศิเห็นแก่ตัวเลย แต่คิด…ว่าศศิเองก็เสียสละมาพอแล้ว


หรือว่าจะถึงคราวที่พระองค์จะต้องปล่อยเจ้ากระต่ายน้อยไปตลอดกาล…



TALK
จริงๆก่อนกำหนดลงรัวๆนี่ เราได้มีการตรวจเนื้อหาและคำผิดแล้วรอบหนึ่งจนถึงตอนที่ 25 แล้วค่ะ
แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ได้ตรวจไปหรือยังเพราะชื่อไฟล์มันแปลกๆเลยคิดว่าอาจจะตรวจแล้วแต่เซฟทับไม่ได้ทำเป็นไฟล์ใหม่
เอาเป็นว่าถ้าพบเจอคำผิดเยอะผิดปกติก็มาบอกกันหน่อยนะคะ
เราเป็นคนที่ตรวจยังไงก็มีคำผิดอยู่ดี พยายามปรับปรุงแล้วค่ะ แต่ก็หวังจะดีขึ้นๆไปอีก

มาถึงในส่วนเนื้อเรื่อง ไหงเป็นงี้อ่ะ555
ทำไมพี่เขาไม่เชื่อเรื่องน้องท้อง จริงๆจะบอกว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งดีกว่า กลัวเจ็บทีหลัง555
และสถานการณ์ในตอนนั้นมันบีบคั้นๆหลายๆอย่างมีแต่คนอยากให้หาเมียมีลูกเร็วๆแถมยังมีคนลอบจะฆ่าศศิเต็มไปหมด
พี่เลยเลือกปล่อยเบลอเพราะถ้าเชื่อสนิทใจว่าศศิมีลูกจริง พระเอกเราคงไม่ปล่อยน้องแน่
ส่วนน้องเองก็พยายามใช้เหตุผลแล้ว เราบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีหนี มีแต่ส่งออกไปเอง55
ช่วงนี้จะเริ่มคลายปมที่พันกันยุ่งออกมาแล้ว หากมีตรงไหนไม่เข้าใจคอมเมนท์สอบถามได้นะคะ
จะมาตอบเหรอ ใช่…จะมาตอบ55
หรือติดแท้ก #อาทิตย์ศศิ ไว้ เดี๋ยวเมนชั่นไปตอบ หรือเมนชั่นมาถามเลยก็ได้ นี่ก็จะตอบอยู่ดี555

TWITTER @reallyuri
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 21 : 3/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-01-2019 20:02:00
เอ้ออออ คนรอบตัวพูดขนาดนี้พี่อาทิตย์ยังไม่เชื่ออีกเนาะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 21 : 3/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-01-2019 01:20:24
สงสารศศิ TT ไปอยู่นู่นก็ใช่ว่าจะไม่คิดมาก
ส่วนคนทางนี้ไม่เชื่อแล้วก็ยังจะพยายามเบี่ยงให้เป็นอีกทางอีก
พอเถ้อออออออออออ  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
วันข้างหน้ายังต้องเจออะไรอีกมาก ถ้าคำพูดจากปากคนข้างๆเชื่อไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่ายังไง
รู้ว่าเรื่องลูกไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ควรให้หมอมาพิสูจน์มั้ย  :ling2: :ling2:  โกรธ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 21 : 3/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-01-2019 03:27:27
ถ้าพี่อาทิตย์ยังไม่เชื่อว่าน้องท้องก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 21 : 3/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 04-01-2019 23:06:44
มีภาระหน้าที่ ติดตัวที่หนีไม่ได้
แม่กระต่ายกลับรังไปมีลูกน้อย
ปัญหาฝั่งพี่อาทิตย์ ถ้าจะให้จบคือต้องเคลียร์ฐานอำนาจเก่าให้หมด
แต่ตอนนี้แม่จะจับมือให้ดมยังยากเลย
คนที่ที่สว่างที่โดนปองชีวิตตลอดจะจัดการหมดได้ยังไง

ยังไม่รวมถึงอีกฝั่งที่เรื่องยังไม่เกิด แค่ปัญหาภายในก็หนักแล้ว
ห่วงกับการมีรัชทายาทเพราะเหมือนสามารถที่ล่มบังลังก์ได้ง่ายเลย

ปูเรื่องมาในเรื่องความรัก ก็เข้าใจความรักแต่พอต้องโตพอมีสติในการเดินต่อก็ต้องหักใจกัน

ยังคิดไม่ออกว่าปัญหาฝั่งนี้จะเคลียร์จบไง เพราะพี่อาทิตย์ดูอำนาจน้อยจนโดนกดดันทุกทางแทน

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk

หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 21 : 3/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 05-01-2019 00:07:01
น้องกระต่ายท้องอยู่ อย่าทำให้น้องเสียใจนะพี่อาทิตย์ เจ้าคนโง่!!!!  :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 22 : 5/1/2019 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 05-01-2019 12:52:01
Finding the twilight
22
การจากลาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตลอดไป
☼ ☽

ถึง ยอดรัก

พี่ไม่ได้ชอบใจหรือยินดีนักหรอกที่จะปล่อยเจ้าจากอก แต่เป็นเรื่องจริงที่สถานการณ์ในตอนนี้มันเกินมือ ทั้งๆที่ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เลยแต่ก็มั่นใจว่าทุกคนจะดูแลเจ้าได้ดีกว่าที่พี่ทำ โปรดดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ทดแทนในส่วนที่พี่ไม่อาจจะทำได้ หากได้รับรู้ว่าเจ้าเจ็บปวดเสียใจ ตัวพี่นี่แลที่ไม่อาจจะให้อภัยตัวเองได้ จากนี้พี่ขอให้เจ้าจงความสุขทั้งกายและใจ ได้โปรดทิ้งความไม่สบายใจทั้งหมดของเจ้าไว้ที่นี่
รัก
พี่อาทิตย์


ศศิควรจะรู้สึกอย่างไรก็เนื้อความในจดหมายนี้ดี…


จนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย แม้ว่าก่อนจะจากมาเขาได้โอบกอดกันไว้ เราพูดคุยกันราวกับพรุ่งนี้จะไม่ใช่วันที่จากลา ทว่าเมื่อตื่นมาร่างที่เคยได้ซุกกอดก็ไม่ได้อยู่ข้างกายแล้ว และนั่นทำให้ทราบได้ทันทีว่าคนพี่ได้ทำการจากลาศศิไปเป็นที่เรียบร้อย และฝากฝังคนอื่นมาให้เพียงจดหมายที่ไม่อาจจะเขียนได้ว่ามาจากใครชื่ออะไรและส่งให้ใครเช่นนี้


พี่อาทิตย์กับยอดรักของเขา…
ไม่ใช่องค์ชายอคิราห์และศศพินทุ์ที่ตำหนักชลสินทุ์


ทำใจแข็งยืนมองเราห่างกันไกลไม่ได้หรืออย่างไร การที่ต้องไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำว่าลาก่อนแบบนี้มันไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ น้ำตาของศศิไหลคลอ ความเข้มแข็งที่เคยมีมาได้พังทลายลง บนรถม้าที่มีเพียงตัวเองตรงนี้เปรียบเสมือนโลกเหงาๆหนึ่งใบ ที่ตนจะกรีดร้องอย่างไรก็ได้จนกว่าจะพอใจ ทว่าสุดท้ายแล้วที่ได้ทำ คือการปิดปากร้องไห้และปลดปล่อยน้ำตาที่กักไว้มาหลายวันให้ไหลลงมาอาบใบหน้า โดยไม่เสียดายว่าร่างกายจะไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย


“ฮึก ลูก”  รู้สึกผิดกับเจ้าตัวน้อยที่เผลอเครียดและตัดสินใจอะไรแบบนี้ หากศศิอยู่สู้ต่อไป บางทีเจ้าตัวอาจจะได้เกิดมาและได้เห็นหน้าคนเป็นพ่อ แต่อนาคตอีกหลายเดือนนั้นไม่แน่นอน ทำถูกต้องแล้วที่ยอมจากมาและเขาก็ทำถูกต้องแล้วที่ปล่อยให้ศศิได้จากไป


การมีอยู่ขอตนที่ข้างกายองค์รัชทายาทในตอนนี้ช่างเสี่ยงนัก เพราะทรงต้องคอยมาระแวดระวังความปลอดภัยให้กันจนอาจจะละเลยในส่วนของตัวเอง ด้วยอยากให้เขาแสดงฝีมือให้เต็มที่ ตัดรากถอนโคนทุกปัญหาอย่างเด็ดเดี่ยว และแม้ตนจะต้องจากมาเพียงคนเดียวแต่ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป ถึงจะไม่มีองค์ชายอคิราห์ข้างกาย ทว่าในร่างกายนี้ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ฝากอะไรไว้


แม้ว่าคนฝาก อาจจะไม่ได้เชื่อสนิทใจถึงการมีอยู่นี่ด้วยซ้ำไปก็ตาม


“โปรดดูแลตัวเองให้ดีด้วย”  ศศิไม่ได้แม้แต่จะเขียนจดหมายลาแบบที่เขาทำจึงต้องฝากมันไปกับสายลมแบบนี้  การเดินทางกว่าจะถึงชายแดนนั้นอีกยาวไกล จะรีบเร่งก็ต้องคำนึงถึงสุขภาพกายเป็นหลัก หากไปช้ากว่านี้การหนีไปจากเมืองหลวงอาจจะทำได้ยากขึ้น ในตอนที่ศศิยังไปได้ก็ควรจะรีบเร่ง อย่าเป็นภาระของใครจนเกินไปเลยจะดีกว่าและแม้จะได้ชื่อว่าเป็นภาระใครต่อใครในก็ตาม แต่ศศิก็มีภาระที่ถือครองไว้อยู่


ลูกจ๋า…แม่จะปกป้องเจ้าเอง…


☼ ☽


พระพายไม่ได้ส่งต่อคำร้องของศศิมาด้วย เพราะอคิราห์ไม่ได้รับรู้สิ่งใด


เมื่อศศิจากไป พระองค์ก็กลับมาที่ห้องบรรทม ที่ทำก็มีเพียงล้มตัวลงนอน ซุกพระพักต์ลงกับหมอนและสูดดมกลิ่นหอมที่ยังหลงเหลือ แม้เจ้าของกลิ่นกายที่ทรงชื่นชอบจะไม่อยู่อีกแล้วแต่เจ้ากระต่ายน้อยจะไม่ลางเลือนไปจากความทรงจำ


หากมีคนถามถึงศศิว่าหายไปไหน พระองค์ก็จำต้องตอบไปว่าด้วยความไม่เข้าใจจึงแยกทางกันไป ซึ่งจริงๆมันก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ที่จริงกว่าส่วนไหน คือถ้าไม่มีปัญหาส่วนพระองค์ใดๆก็จะรั้งไว้แม้ไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องจากกันไปอยู่ดี และทุกคนที่นี่ก็จะจดจำศศพินทุ์ในฐานะคนในช่วงเวลาหนึ่ง แม้หัวใจพระองค์นั้นจะร่ำร้องคำว่าตลอดไปสักเท่าไหร่ก็ตาม


หากพระองค์ยังรักอีกฝ่ายถึงเพียงนี้ แค่วันเดียวก็จินตนาการภาพที่ไม่มีกันไม่ออก แต่ต้องมาเผชิญมันโดยไม่มีการฝึกซ้อมก่อน  ต่อจากนี้พระองค์จะต้องทรงจัดการกับขนบโบราณอันคร่ำครึและปัญหาการเมืองที่รุมเร้า ทรงไม่แน่ใจว่าจะจัดการทันไหม และที่สำคัญ ใจของศศิจะยังคงมีกันอยู่หรือเปล่า ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่กลัว…แม้แต่พระองค์เองก็ยังกลัวรักแท้แพ้ความหวั่นไหว


ศศิป่วย หากมีใครเข้ามาดูแลใกล้ชิดสนิทสนมในยามห่างไกลแล้วใจของเจ้าตัวแปรผันไป พระองค์ก็มิอาจจะโทษอีกฝ่ายได้ เป็นเพราะทรงดูแลไม่ดีพอไม่ใช่หรือไงถึงต้องยอมปล่อยไป แต่ศศิก็ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก กว่าจะใจอ่อนให้กันก็ไม่ได้ง่ายดายเลย ขอเพียงแค่พรหมลิขิตอย่าได้ชักนำคนที่ดีกว่าไปให้ แม้ไม่อาจจะครอบครองได้แต่ก็ทรงหวังจะเป็นเจ้าของตลอดไป


แต่แล้วอคิราห์ก็จำต้องตัดใจจากเตียงนุ่มที่เคยได้กอดรัด พระองค์ทรงมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย หวังเพียงมันจะช่วยทำให้ลืมเลือนความทรมานที่ทรงต้องเผชิญในทุกค่ำคืนได้บ้าง แต่จะทรงงานหนักแค่ไหน การที่ต้องกลับมานอนที่ห้องบรรทมก็ไม่อาจจะห้ามไม่ให้คิดถึงได้ จนในที่สุดก็ทรงมีรับสั่งให้ปิดห้องนั้นไว้ และขับไล่ตัวเองไปนอนในห้องว่างที่ใช้รับรองแขกในตำหนัก สร้างความสงสัยและสงสารให้กับเหล่าข้าราชบริพารเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครที่ช่วยได้เลย การไม่มีศศิอยู่มันทรมานกว่าที่คิด


“อคิราห์ เจ้าดูจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”


“กระหม่อมแค่ทำงานหนักเกินไป”


“พักผ่อนเสียบ้างเถิดลูก หรือหมายมั่นอยากได้รับการปรนนิบัติอย่างไรก็ขอให้บอก”  องค์เหนือหัวได้พูดออกไปอย่างเป็นห่วง พระราชินีเองก็แสดงความห่วงใยออกมา


“นั่นสิลูก หรืออยากให้อภิชญาไปดูแลหรือไม่”


“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ”


“ในเมื่อศศิไม่อยู่แล้ว…” 


“อย่าพูดถึงชื่อนี้อีกต่อไปเลยพะยะค่ะ” 


“…”


“ลูกทานอะไรไม่ลง เสวยกันต่อเถิด ลูกขอออกไปอ่านฎีกาต่อ”  แม้คำพูดของพระองค์จะดูเหมือนชิงชังเจ้าของชื่อที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รักมากมาย แต่ว่าใครเล่าจะรู้ว่าที่รักในครั้งหนึ่งก็ยังคงเป็นที่รักมาจนถึงตรงนี้ ละครฉากหนึ่งที่แสดงให้ดูมีเค้าโครงจากความจริงนิดหน่อย ไม่ได้ทรงโกรธเมื่อได้ยินชื่อศศิจริงๆหรอก แต่คิดถึงมากๆจนไม่อยากได้ยินชื่อเสียมากกว่า


“ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว เจ้ายังไม่หายโกรธอีกหรือ”  องค์เหนือหัวนั้นเมื่อเห็นท่าทางของลูกชายก็เอ่ยถาม ทรงได้ฟังมาแค่ว่าทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงด้วยศศิไม่หมายมั่นในยศถาหรืออยากเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ กระต่ายป่าย่อมเป็นกระต่ายป่า สุดท้ายแล้วเอามาขังไว้ในสวนสวยแค่ไหน มันก็ยังอยากกลับเข้าสู่ป่ารกที่จากมาอยู่ดี


หลังจากมั่นใจว่าศศพินทุ์ไม่ใช่คนของจันทราปราการ และมั่นใจว่าไม่อาจจะให้กำเนิดทายาทให้กับราชวงศ์ของพระองค์ได้ก็ทรงตัดใจ ประกอบกับการได้รับฟังและเสาะหาคู่ครองคนอื่นๆให้กับลูกชาย พระองค์ก็พบว่าคนที่พระราชินีหมายปองนั้นก็เข้าท่าไม่น้อย อภิชญานั้นเหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นราชินีด้วยทุกเหตุผล ทั้งชาติกำเนิด ความสามารถ และ…อำนาจที่ถือไว้อยู่ รวมทั้งจุดยืนทางการเมือง


แต่ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับอคิราห์…ว่าจะทิ้งหัวใจให้หน้าที่ได้หรือไม่


ทว่าพระโอรัสนั้นคร้านจะพูดคุยต่อด้วยเบื่อจะฟังเรื่องของอภิชญาเต็มทน ทรงอยากจะครองตัวโสดไปอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ารักมันไม่ดีหรอก แต่เพราะไม่คิดว่าจะฝืนใจรักใครได้อีกทั้งๆที่ยังไม่ลืมคนบางคน อีกฝ่ายที่ต้องมาทนอยู่กับพระองค์ไม่น่าสงสารหรอกหรือ ดูอย่างเสด็จแม่กับเสด็จพ่อของพระองค์ที่ต้องผูกสัมพันธ์กันเพราะประโยชน์ทางการเมืองนี้สิ จนป่านนี้แล้วทั้งสองก็ไม่ได้มีความสุขที่ต้องร่วมโต๊ะอาหารกันสองต่อสองด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีพระองค์มาร่วมด้วย คงไม่มีใครคิดจะมาผ่อนคลายทานข้าวด้วยกัน


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือน


สถานการณ์ทางการเมืองดีขึ้น องค์ราชินีไม่ได้ถือหางญาติพี่น้องมากอย่างที่คิดไว้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะความโกรธแค้นที่ถูกผลักดันขึ้นมาเป็นหมากทางการเมืองตั้งแต่วัยสาว ทั้งนี้คนที่ควรจะเป็นศัตรูอย่างพระสวามีกลับกลายมาเป็นพันธมิตรชั้นดี แม้ไม่เคยคิดจะแก้แค้นเรื่องที่เคยถูกพรากคนรักโดยคนในครอบครัวมาก่อน แต่เมื่อโอกาสมาถึงข้างหน้าก็ไม่ได้ปฏิเสธและทรงรับมันไว้ ถึงจะไม่ได้ส่งเสริมพระสวามีนักแต่ก็ไม่ได้ขัดขาและบางทีก็ให้ความร่วมมือในการบ่อนทำลายด้วยซ้ำ


การเมืองเป็นเรื่องที่ซับซ้อน สกปรกเช่นนี้แล…เป็นที่ๆศศิคงไม่อยากอยู่และคงเข้ากันกับความบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายไม่ได้เลย ยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงนี้ยิ่งโหดร้ายทรมานใจ พระองค์ไล่ยึดทรัพย์สินและอำนาจมากมายจากพระญาติ และก่อศัตรูอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่เว้นแต่ละวัน บ้างที่ดูจะโทษไม่ร้ายแรง พระองค์ก็พยายามจะปราณีเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่บ้างที่มีโทษร้ายแรง ก็จัดการอย่างเด็ดขาดไม่ให้เหลือ


ทั้งนี้จะโทษหนักโทษเบาก็ต้องทำให้ไม่สามารถขึ้นมาเล่นข้างหลังอะไรกันได้


ดังนั้นไม่แปลกเลยที่จะทรงยุ่งวุ่นวายมาก เรียกว่าเป็นความต้องการที่จะยุ่งด้วย หลายเดือนแล้วที่พระองค์ไม่ได้เห็นหน้า แต่ความรู้สึกที่ไม่ลดน้อยนี้ก็มีแต่จะทวีคูณขึ้นไป อยากจะโอบกอดให้จมอก อยากจะจูบฟัดไปทั่วใบหน้าใส อยากจะกระซิบคำรักให้ก้องไป แต่พระองค์ไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไรอยู่ในตอนนี้


เพราะความเด็ดขาดที่ทรงกระทำไปทั้งหมด ทำให้ตอนนี้ใครๆก็อยากฆ่ากันให้ตายๆไปซะ มีการซ่องสุมกองกำลังมากมายให้ไปปราบกันไม่หวั่นไม่ไหว แต่เพราะการจัดการที่เป็นเลิศทำให้เรื่องราวถูกจำกัดในวงแคบ ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้ว่ามีการกบฏ แต่ไม่รู้เหตุที่ชัดเจน ที่มา หรือว่าใครเป็นผู้กระทำ ตราบใดที่การปกครองยังมั่นคงผู้คนมั่งมีศรีสุข ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาอยากรู้อยากเห็นมากหรอก ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ปกครองกันไป


ความสัมพันธ์ทางการทูตกับคีรีธารานั้น พระองค์ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกนัก แต่รับทราบมาว่าทางเราตัดสินใจเกื้อหนุนคีรีราชสกุลในการจัดการกับคีรีเขตที่เป็นพันธมิตรกับกบฏของสิหราชวงศ์ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าสงครามภายในที่ยืดเยื้อมานานก็กำลังจะจบลง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจากที่คำนวณไป คีรีเขตจะต้องยอมยกธงขาวในอีกไม่นานนี้


อะไรๆก็ดูจะลงตัว มีแต่หัวใจที่ยังไม่ลงตัวเลยสักนิด


“เฮ้อ”  ดูเหมือนว่าจะต้องหาทางขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลแล้วจริงๆ เดิมทีพระองค์ก็เคยคิดอยู่หรอก แต่ศศิคนมักน้อยที่ไม่เคยคิดอยากจะขึ้นเป็นราชินีได้สั่งห้ามไว้ จริงๆก็น่ากลัวว่าจะเกิดการกบฏอีกครั้งหากทรงเปลี่ยนกฎตามใจจริงๆ แต่จะทำอย่างไรได้…พระองค์อยากมีศศิเป็นหนึ่งเดียว และอยากได้ศศิมาครอบครอง…


มีหนทางใดที่พอจะทำได้บ้าง!


“เจ้ามาก็ดีแล้วธมล เอาพวกฎีกานี่ไปที”  พระองค์ทรงเอ่ยบอกกับคนสนิทโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ธมลนั้นจึงเดินเข้ามาจัดการธุระให้อย่างว่าง่าย ก่อนจะบอกธุระของตนให้รับฟัง


“วันนี้ทางชายแดนมีส่งสมุนไพรมาให้ ทางท่านวัชรินทร์ได้รับรองความปลอดภัยแล้วจึงมาแจ้งแก่พระองค์”


“อืม”  คงเป็นทิชากรที่จัดมาให้ แม้หลายเรื่องในพระราชวังจะเป็นความลับ แต่สภาพเหมือนผีดิบของอคิราห์คงไม่ใช่ความลับจนเกินไปที่จะหลุดไปถึงหูของท่านอาอชิระ ด้วยเหตุนี้จึงรบกวนเมียรักให้จัดยามาหลายตำรับเพื่อที่จะบำรุงให้กันสินะ


ทุกครั้งที่พระองค์ได้รับของพวกนี้มา ก็มักจะคิดว่าศศิอาจจะห่วงใยและมีส่วนร่วมอยู่บ้าง แต่คนของอชิระก็ยืนยันทุกครั้งว่ารับคำสั่งจากทิชากร ส่วนตัวตนของศศินั้น แทบไม่มีใครพูดให้พระองค์ได้รับรู้ถึงความเป็นไปเลย น่าน้อยพระทัยเสียเหลือเกิน ป่านนี้ไม่ได้ลืมกันไปแล้วจริงๆใช่ไหม?!


“เอาไปจัดเตรียมไว้แล้วกัน”  หน้าที่ของพระองค์คือเสวยตามที่ถูกจัด ธมลเพียงพยักหน้ารับทราบ แต่ก็ยังไม่ออกไปไหน จนคนขี้หงุดหงิดต้องยอมเงยหน้ามาขับไล่ด้วยตนเอง


“เอ่อ…กระหม่อมเพียงแค่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับสิ่งนี้”


“ถ้าไม่รู้และเขาไม่บอก เจ้าก็เอาไปทิ้งหรือไม่ก็เอาไปถาม”


“คนให้มาเขาบอกว่าแล้วแต่พระองค์จะโปรดกรุณาเลยพะยะค่ะ”


“มันอะไรเล่า!”


“ถุงหอมพะยะค่ะ”


“…”


“กระหม่อมจะเอาไปทิ้งให้เดี๋ยวนี้เลย…”


“เอามานี่”


“…”


“มันช่วยเรื่องการนอนหลับผ่อนคลาย รู้หน้าที่ของมันแล้วก็เอามาให้ข้า”  อคิราห์ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นถุงหอมที่มีกลิ่นอะไร ทว่าที่ศศิเคยทำให้มันช่วยให้หลับสบาย และแม้ว่าการสูดดมจะทำให้พระองค์คิดถึงเจียนบ้าแต่ก็หวังว่าฤทธิ์ของมันจะทำให้หลับได้สนิทใจ  ถ้าโชคดีไม่ได้เจอหน้าในความเป็นจริงก็ไม่เป็นไร


พิศดวงหน้าในฝันได้ ก็ทรงพึงพอใจแล้ว…


☼ ☽


“ได้ยินว่าพวกยาบำรุงถึงตำหนักองค์รัชทายาทแล้ว”  ทิชากรนั้นพูดให้ฟัง แม้ไม่มีข้อความอะไรฝากมา แต่การได้รู้ว่าความตั้งใจถูกส่งไปให้ คนจัดเตรียมก็พึงพอใจแล้ว


ศศิมักน้อย ก็มักยินดีกับเรื่องเล็กๆแบบนี้แล


“ขอบคุณท่านน้ามากที่ช่วยเป็นธุระออกหน้าให้”  ความรักของศศินั้นจัดเป็นความลับ แม้บางคนจะพอรู้ว่าศศิมีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาท แต่มันก็จบลงไปแล้วและถ้าไม่พูดถึงอีกเลย มันก็พอจะตีความได้ว่าจบไม่ดีนัก ทั้งนี้มันก็เพื่อความปลอดภัยของศศิและตัวของพระองค์เองด้วย นี่คือการกำจัดความเป็นภาระแบบหนึ่งที่พอจะนึกได้


คนท้องที่เริ่มจะท้องใหญ่ขึ้นมานิดหน่อยนั้นทำอะไรก็เชื่องช้าแต่ว่าก็ยังไม่ได้อยู่นิ่ง ดูแลคนป่วยบ้าง จดบัญชีสมุนไพรบ้าง สอนหนังสือบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีคนรู้หรอกว่าศศิกำลังตั้งท้องอยู่ คนส่วนใหญ่จะคิดแค่ว่าศศินั้นมีความสุขกับการกินมากไปหน่อย ประจวบกับการแต่งกายที่ดูพรางตา จึงทำให้ไม่ค่อยถูกสงสัย แต่จริงๆตนก็ไม่ได้ปิดอะไร หากพวกเขาสงสัยมาถามก็ตอบ แต่ที่ไม่ถามคงเพราะเกรงใจกันมากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ไม่ควรแพร่งพราย ชีวิตของลูกตนกับองค์รัชทายาทอาจจะเป็นภัยได้


ตอนนี้คุณแม่กับคุณลูกนั้นมีสุขภาพที่ดี รับรู้มาบ้างว่าคุณพ่อนั้นโหมงานหนัก แต่เพราะทำอะไรไม่ได้มากจึงไปอ้อนวอนขอจัดเตรียมยาไปให้โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าทั้งหมดคือสิ่งที่ศศิได้ทำลงไป มันคือความห่วงหาและการแสดงออกที่ไม่ต้องการรับการตอบแทนแต่อย่างใด


“จะได้ถุงหอมไปไหมน้า”  เจ้าของร่างบางในชุดขาวนั้นลูบหน้าท้องของตนอย่างอ่อนโยน คำถามที่ถามไปนี้เหมือนจะถามโดยไม่ต้องการคำตอบ ใจหวังเพียงแค่เขาจะยินยอมใช้มัน เผื่อว่าจะหลับสบายในยามที่ปัญหารุมเร้า ศศิช่วยอะไรไม่ได้ ที่ทำอยู่คือการไม่เป็นภาระใกล้ชิดและดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขที่ไม่ได้ขออ้างสิทธิ์อย่างดีที่สุด จริงๆอยากจะช่วยให้ได้มากกว่านี้แต่อำนาจที่ตนมี…มันไปไม่ถึง…


“ตอนนี้พี่น้องของเราที่อยู่ทางฝั่งคีรีธาราเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้ว”  ทิชากรพูดขึ้น แม้เหตุการณ์ที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วและศศิจะจำอะไรไม่ได้ก็ตาม


“พวกเขาส่งข่าวมาหรือ”


“อืม ตอนนี้ออกมาช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนกันอย่างเป็นทางการแล้ว”  จริงๆพวกเขาก็ช่วยเหลือกันอยู่ตลอด เพียงแต่ว่าทำอย่างหลบซ่อนเพราะไม่อยากให้การเมืองของคีรีเขตและคีรีราชสกุลวุ่นวายไปกว่านี้ แม้ไม่เคยแสดงจุดยืนที่ชัดเจน แต่อุดมการณ์เรียกว่าใกล้เคียงกับฝั่งของคีรีราชสกุลมากกว่า


“น่าสงสาร หากช่วยได้ ข้าก็อยากจะ…”


“ช่วยดูแลตัวเองให้ดี เพราะน้าอาจจะต้องเดินทางไปที่นั่น”


“จะไปที่คีรีธาราหรือ”  ศศิถามด้วยความฉงนใจ


“ไม่นานหรอก ข้ามีเจ้าที่เป็นห่วงนัก”  ทิชากรนั้นลูบหัวของหลานรักอย่างเอ็นดู บางทีอาจจะตัดใจไปไม่ลง ส่งคนอื่นไปแทนเพื่อความสบายใจทางนี้


ศศิท้องโตขึ้นทุกวัน แม้ผู้คนไม่สงสัยแต่ใช้ชีวิตโดยปิดบังก็ค่อนข้างยาก และสุขภาพครรภ์ก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ทิชากรไม่อาจจะตัดใจไปไหนได้หรอก เกิดหากเกิดจะคลอดก่อนกำหนดเสียวันนี้แล้วใครจะทำให้ ในเมื่อท่านหมออีกคนที่เชื่อถือได้ก็ดันมาท้องเสียเองแบบนี้ ถึงจะมีลูกศิษย์คนอื่นที่เก่งกาจรั้งดูอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มั่นใจในฝีมือใครเท่ากับตนเอง


“ข้าขอโทษ”


“จะขอโทษอะไรอีก เจ้าควรคิดเรื่องชื่อของลูกได้แล้ว”


“ชื่อหรือ?”


“คิดเผื่อไว้สักสองหรือสามดีหรือไม่”


“สามเลยหรือ”


“สามเลยก็ดี เผื่อว่าเห็นหน้าลูกแล้วเจ้าจะได้คัดเลือกอีกที”  นั่นสินะ…


ลูกของศศพินทุ์และอคิราห์…ควรจะถูกเรียกว่าอย่างไรดีนะ?


ถ้าพ่อชื่ออคิราห์และแม่ชื่อศศพินทุ์ชื่อแบบไหนที่จะเหมาะกับลูกของเรากัน หากมีคำที่ความหมายเดียวกันในชื่อก็คงจะดีไป สามชื่อนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดง่ายๆเหมือนกัน แต่ยังพอมีเวลาอยู่ กว่าจะถึงวันที่ได้ทักทายกันก็คงมีออกมาสักนามนั่นแล ศศิยิ้มอยู่กับตนเองแบบนั้น เพียงแค่คิดถึงลูก หัวใจก็พลันอุ่นวาบ หากมีสักสามคน คนหนึ่งจะให้ชื่อเหมือนพ่อ อีกคนเหมือนแม่ และอีกคนให้เหมือนทั้งพ่อและแม่ไปเลยดีไหม


“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวนะ เจ้าน่ะ”  ภาพของศศิที่มีความสุขดีนั้นอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่ไม่มีอคิราห์เคียงข้าง ต้องเข้มแข็งแค่ไหนที่จะตัดใจ และต่อจากนี้ไม่รู้เมื่อไหร่ เด็กพวกนี้ถึงจะได้กลับมาพาลพบกันอีกครั้ง และไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทยังต้องการหลานของตนอยู่หรือไม่ หรือเขายังมีใจแต่แค่ยังไม่มีหนทางให้ครองคู่กัน


จริงๆมันไม่ได้ยากเย็นหรอก เพียงแค่กล่าวไปกับองค์เหนือหัวองค์ปัจจุบันว่ากำลังจะให้กำเนิดทายาทให้องค์รัชทายาท บางทีประตูบานนั้นอาจจะเปิดต้อนรับหลานรักของตนพร้อมฉุดรั้งกันให้เร่งเข้าไปเสียอีก!


เดิมทีทิชากรไม่เคยอยากให้ศศิเกี่ยวข้องกับพันธะทางการเมืองไหนๆ ทั้งฝั่งคีรีธาราหรือสิหราชนครา ไม่ใช่ว่ารังเกียจรังงอนหรือเกรงว่าจะรับมือกับปัญหาทางการเมืองไม่ได้อย่างเดียว ทางฝั่งคีรีราชสกุลที่เคยมาทาบทามและโดนปฏิเสธไปนั้น นอกจากจะอยากให้ศศิได้เลือกเองแล้ว อีกเหตุผลคือจันทราปราการมีศักดิ์เป็นพระญาติใกล้ชิดในยุคสมัยกษัตริย์องค์ปัจจุบันจนเกินไป ด้วยเหตุนี้บุตรที่เกิดจากท้องศศิอาจจะมีความเสี่ยงทางสุขภาพสูง แต่ด้วยภาวะการเมืองในตอนนั้นไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่รับฟังกันเลย บีบกันหนักเข้าจึงต้องระหกระเหินเร่ร่อนกันมาอย่างนี้


ทว่าตอนนี้ที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ปกติสุข ทิชากรได้รับการติดต่อมาจากทางนั้นผ่านคนของจันทราปราการที่หลบซ่อนอยู่ในคีรีธารามาตลอดเพื่อขอโทษในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและชักชวนให้กลับไปฟื้นฟูบ้านเมืองด้วยกัน แน่นอนว่าในฐานะเจ้าตระกูล ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอย่อมตอบตกลงได้ไม่เต็มปาก ทิชากรคิดไว้ว่าตนจะไม่ไปช่วยเหลือเต็มตัวแต่ด้วยความเวทนาในชะตาของผู้คน จึงจะส่งคนเข้าไปแทน ตนอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว


นานจนอาจจะกล่าวได้ว่าถึงตัวไป แต่ใจไม่อาจจะไปตามได้…


แต่กระนั้นก็ยังมีการถามไถ่เกี่ยวกับตัวของศศพินทุ์มา หรือว่าจะยังไม่รามือกันแน่? ทั้งนี้ทิชากรได้ส่งสาสน์กลับไปว่าสบายดี ไม่ได้เอ่ยถึงการมีคู่ครองหรือแม้แต่การตั้งครรภ์ของหลานชายในตอนนี้ แต่ก็เชื่อว่าคีรีราชสกุลที่อ่อนแอและรู้สึกผิดกับจันทราปราการในยามนี้คงไม่กล้าที่จะเอ่ยบังคับให้ส่งคนสำคัญที่บอกปัดกันมาเนิ่นนานได้หรอก


จะให้ศศิอยู่อย่างเหี่ยวเฉาตลอดไป…ทิชากรก็มีปัญหาได้ไม่
จะติดที่เจ้าตัวนั่นแล ที่ยังคงรอคู่ครองอย่างใจจดใจจ่ออยู่หรือเปล่า?


“คลอดแล้ว เจ้าอยากไปคีรีธาราหรือไม่”


“ไป..ไปทำอะไรหรือ”


“ไปช่วยเขาฟื้นฟู ไปให้ญาติๆได้เห็นหน้า เจ้าคงจะไม่รู้แต่เรานั้นเป็นญาติมิตรของกษัตริย์ทางนั้น”


“แล้ว…เราจะได้กลับมาไหม”


“มันสำคัญด้วยหรือ”  นั่นสิ…มันสำคัญหรือไร  “เจ้ายังจะรอต่อไปงั้นหรือ ทั้งๆที่มันอาจจะเนิ่นนานหรือตลอดไปก็เป็นได้”


“ข้าคิดว่าอยู่ที่นี่ก็สุขสบายดี หากท่านไปด้วยหน้าที่ ข้าเองจะอยู่รั้งเพื่อดูแลคนทางนี้แทน”  ศศินั้นประกาศชัดถึงจุดยืน แม้ไม่อาจจะบอกได้ชัดเจนว่าตนคือคนแผ่นดินไหนกันแน่ แต่การมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์…เป็นจุดยืนตั้งแต่เริ่มเปิดหน้าแรกของตำราแพทย์แล้ว


“หากอยู่ที่นี่ต่อไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะเอาแต่คิดมาก ไม่มีความสุขเสียเปล่าๆ”


“ไม่หรอกอย่าได้ห่วงหลานเลย”  ศศิให้คำมั่น และตนเชื่ออย่างนั้นจริงๆ บนเตียงที่ไม่มีองค์ชายอคิราห์ข้างกายอาจจะหนาวเหน็บเสียหน่อย แต่เลือดเนื้อเชื้อไขที่ทรงฝากไว้นั่น…


ได้เริ่มสร้างความอบอุ่นในใจให้กันตั้งแต่วันที่รู้ว่าเขามีตัวตนในท้องนี้แล้ว


TALK :
ศศิไปดีแล้วจริงๆค่ะ ส่วนคนพี่ที่ยังปล่อยเบลอเรื่องลูกก็ให้มันทุกข์ไปนะคะ555
อย่างที่บอกว่าตอนนี้นั้นเริ่มจะคลายปัญหาต่างๆทั้งฝั่งบ้านศศิกับบ้านอิพี่
ถ้าไงเราฝากของเลยได้ไหม กำลังแต่งอยู่ก๊ะ
คราวนี้เป็นนิยายยุคปัจจุบันแล้ว หวังว่าคนอ่านจะชอบกัน
แต่ยังไงก็ยังฝาก #อาทิตย์ศศิ อยู่นะคะ เห็นคนชอบเราก็ดีใจอ่ะ เรื่องนี้แต่งยากกว่าเจนไม่นกอีกมั้ง
ตอนแต่งเราท้อแล้วท้ออีก ที่ไม่ยอมลงเพราะแต่งยาก(สำหรับเรา)กลัวแต่งไปแล้วจะเทกลางทางมากๆเลยฝืนจนเครียด
พอเห็นคนอ่านดูจะชอบใจเราก็ดีใจมากๆเลยค่ะ ก็ขอให้ทุกคนชอบไปจนจบเลยนะคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ
@reallyuri









หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 22 : 5/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 05-01-2019 13:36:58
กลายเป็นศศิจะไม่ง้อพี่อาทิตย์แล้วนะ
ลูกกลายเป็นดวงใจของน้องไปแล้ว
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 22 : 5/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-01-2019 15:20:55
พี่อาทิตย์รีบๆเคลียร์ปัญหาบ้านเมืองให้จบ แล้วก็รีบมารับน้องกับลูกนะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 22 : 5/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-01-2019 15:36:12
ปล่อยอิพี่มันไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 22 : 5/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-01-2019 02:13:28
แฝดมั้ยเอ่ยยยย
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 06-01-2019 15:18:34
Finding the twilight
23
คนป่วย
☼ ☽


ที่นี่ที่ไหน…


“แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”


เสียงเด็กที่ไหนร้อง?


“ใคร?”  ทรงทอดพระเนตรไปรอบๆทิศทาง ทว่าแม้จะหันไปรอบตัวแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นใคร รอบด้านมีแต่หมอกที่บดบังทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่อาจจะระบุได้ว่าที่นี่คือที่ใด และความทรงจำล่าสุดที่นึกขึ้นได้ ก็มีเพียงภาพของพระองค์เองที่ค่อยๆล้มตัวลงนอนหลับใหลในห้องบรรทมห้องใหม่ที่ไม่ได้ใช้ร่วมกับ ‘ใคร’ มาก่อน


หรือว่านี่คือความฝัน?


“เด็กดี อย่าร้องเลยนะ”  เสียงของเด็กคนหนึ่งเอ่ยปลอบโยนเจ้าของเสียงร้องไห้ เมื่อพยายามเพ่งมองพระองค์ก็ได้เห็น…


เด็กสามคน


“…”


“ฮึก…”  เสียงสะอื้นไห้นั้นทำให้พระองค์ที่คลายความตกใจแล้วพลันนึกสงสารขึ้นมา พ่อแม่ของเด็กพวกนี้อยู่ที่ไหน ทำไมปล่อยให้สามพี่น้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ทรงมองภาพเด็กหญิงและเด็กชายอายุราวๆ 5-6 ปีที่จับมือกัน ในอ้อมแขนของเด็กหญิงนั้นมีเด็กที่อายุน้อยกว่า น่าจะราวๆขวบเดียวเองกระมัง


“พวกเจ้ามาจากไหนกันน่ะ”  ในความฝันอันเป็นสถานที่ส่วนพระองค์นั้น การที่เด็กสามคนมาบุกรุกไม่ได้ทำให้ทรงขุ่นเคือง พระองค์งถามออกมาด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน นานแล้วที่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใคร


“พวกข้าอยู่ที่นี่กันนานแล้ว” 


เด็กหญิงตอบอย่างฉะฉาน


“แล้วใยข้าถึงเพิ่งได้เจอพวกเจ้ากัน”


“พวกเราอยู่กันนานแล้ว”   


เด็กชายที่ดูขี้อายนั้นตอบออกมา


“แต่พ่อจ๋าไม่เคยยอมรับเองต่างหาก”


 และคราวนี้เด็กทั้งสองก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน


พลันโลกเหมือนหมุน ใบหน้าของพระองค์ซีดเผือด ภาพเด็กทั้งสามตรงหน้าค่อยๆไกลจากสายตา แม้จะยื่นมือไปไขว่คว้าก็กลับเอื้อมไม่ถึง เด็กผู้ชายกอดเด็กผู้หญิงที่กำลังน้ำตาซึมเอาไว้ เจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดน้อยนั้นร้องไห้งอแงและยื่นมือมาหา แต่ไม่ว่าเราจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะเอื้อมจับกันได้


พ่อจ๋า…พ่อจ๋า…


“ศศิ!!!!!!!”


พ่อ…


พ่อจ๋า..


ดวงเนตรขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นจ้องมองไปยังภาพข้างหน้าอย่างตื่นตะลึง ร่างกายของพระองค์ยังคงหอบสะท้านประมาณว่าได้วิ่งสุดกำลัง ทว่าในความเป็นจริง พระองค์ยังคงอยู่บนแท่นบรรทม มือเอื้อมไปไขว่คว้าอากาศที่ด้านหน้า และสองตาก็เห็นเพียงเพดานของห้อง


พ่อจ๋า…


“อา…” ทรงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดนั้น ความโหยหามากมายก็ถาโถม ฝันนั้นเหมือนจะดีแต่ทิ้งฤทธิ์ร้ายกาจในยามตื่น ไม่มีจริงๆหรอกฝันดี เพราะเมื่อรับรู้ได้ว่ามันเป็นแค่ฝัน ความเสียดายและคะนึงหาย่อมเปลี่ยนให้ฝันนั้นเลวร้ายเสียยิ่งกว่า พระองค์กำลังจะเอื้อมถึงอยู่แล้ว แต่โชคชะตาไม่ปราณีกันเลย


จนเช้าแล้วก็ไม่สามารถกลับไปหลับใหลได้อีก เมื่อทรงฉลององค์เสร็จเรียบร้อยก็เสด็จออกไปอย่างสง่าผ่าเผยเฉกเช่นองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราในทุกๆวัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหัวใจของพระองค์ได้พังทลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆที่ยังอาลัยแต่ในช่วงเช้าจะต้องไปร่วมเสวยอาหารกับบิดาและมารดา ซึ่งมีอภิชญาที่ทุกคนหมายมั่นจะให้หมั้นหมายมาร่วมด้วย


อคิราห์ไม่ได้นิ่งนอนใจ แม้จะดูเหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ทรงวิ่งเต้นไม่ให้ความประสงค์เหล่านั้นเป็นจริงอยู่ ด้วยความตั้งใจที่ขัดแย้งกับขนบ ในเมื่อไม่อาจจะมีคนที่ทรงรักมากที่สุดอยู่ข้างกายทั้งๆที่มีอยู่ในใจ ดังนั้นจนกว่าฝันที่ทรงหมายมั่นจะแต่งตั้งให้บุรุษขึ้นมาเคียงข้างเป็นไปได้ ฉะนั้นที่ข้างๆนี้ก็ไม่ควรจะมีใครมาอยู่


จริงๆแล้วพระองค์สามารถรับพระชายาที่เป็นบุรุษได้ แต่อย่างไรตำแหน่งองค์ราชินีนั้น ควรจะเป็นตำแหน่งที่มีให้ ‘แม่ของลูก’ กฎนี้ไม่ได้สร้างความพอใจให้ทั้งตัวพระองค์เองหรือศศพินทุ์ แม้อีกฝ่ายอาจจะยอมรับให้เขามีคนอื่นได้บ้างขอแค่มั่นรักกับตนแค่คนเดียวแต่พระองค์ทรงมีจิตใจที่คับแคบกว่านั้นและทรงอยากให้ศศิเห็นแก่ตัวกว่านี้ ทั้งๆที่จริงศศิอาจจะไม่ได้ต้องการที่จะเป็นใครที่เกี่ยวข้องกันทั้งในฐานะคนรักของรัชทายาทหรือกษัตริย์ของสิหราชนคราก็ตาม


“อคิราห์ เจ้าคุยกับน้องหน่อยสิ”  องค์ราชินีเห็นว่าพระองค์ยังคงนิ่งเงียบจึงพยายามคะยั้นคำยอ ดรุณีที่ทรงหมายมั่นให้ครองคู่นั้นยิ้มให้ ได้ยินว่าอภิชญาเริ่มเข้ามาจัดการงานการกุศล ทั้งนี้คงเพื่อสร้างชื่อเสียงเพื่อปูทางการขึ้นตำแหน่ง แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ผลักดันอยู่เป็นแน่ แต่พระองค์ก็หาสนใจไม่


ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทั้งนี้ทรงต่อต้านคำสั่งเหล่านั้นอย่างมีมารยาท ทำให้ผู้ใหญ่หน้าเสียทว่าไม่มีใครกล้าดุว่า อภิชญาเองก็รู้สึกอับอายไม่น้อยที่โดนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าเธอก็ยังต้องทำตามหน้าที่ หน้าที่ที่ไม่มีความรักเป็นส่วนประกอบอยู่เลย


เมื่ออยู่กันแค่เพียงครอบครัว องค์เหนือหัวและองค์ราชินีก็แสดงออกว่าไม่พอพระทัยในการกระทำของพระโอรสเป็นอย่างมาก มันคือการไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย อคิราห์ยังคงดื้อดึงและไม่ยินยอมที่จะเสียสละตนเพื่อผสานรอยร้าวทางการเมือง หากได้อภิชญาที่เพียบพร้อมมาเป็นคู่ครอง เหล่าพสกนิกรต่างก็จะต้องยกย่อง และเหล่าขุนนางก็คงพากันพอใจ


“เจ้าทำให้พ่อและแม่อับอายมาก รู้ตัวหรือไม่!”  องค์ราชินีเอ่ยออกไป และต่อให้ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงดังแค่ไหน ก็ไม่ได้เข้าไปในสมองเลยแม้แต่น้อย


“เจ้าควรเลิกต่อต้านและจริงจังมากกว่านี้ได้แล้วนะ”


“…”


“หากยังมัวแต่คิดถึงคนที่หนีจากเจ้าไป มันจะไปได้อะไรขึ้นมา!”  องค์เหนือหัวนั้นตรัสออกมาด้วยไม่พอใจในท่าทางเฉยเมยนั่น และมันทำให้พระเนตรของพระโอรสราวกับมีไฟเผาไหม้


“ขอทรงอย่าได้เอ่ยถึงเป็นอันขาด”  อคิราห์นั้นจะว่าอ่อนน้อมก็อ่อนน้อม แต่เมื่อถึงคราวที่เป็นเรื่องของคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยชื่อ ก็จะทรงร้อนเป็นไฟไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น


“ศศิจากเจ้าไปแล้ว!”  แม้ว่าพระโอรสจะบอกว่าการจากลานั้นก็เพราะความไม่เข้าใจนำมาซึ่งการหมดเยื่อใย แต่ใครเล่าจะเชื่อ อคิราห์รักเด็กคนนั้นแค่ไหน ที่ส่งให้จากไปก็คงเพราะความปลอดภัยเป็นเหตุผลเดียว หากศศิไร้ซึ่งอำนาจ คนก็จะไม่ขวนขวายแสวงหาแย่งชิงอำนาจมาจากเด็กคนนั้น


“แม้เจ้าจะอยากยกย่องชายคนนั้นแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจจะให้กำเนิดทายาทของเจ้าได้”  องค์ราชินีทรงอธิบาย หากศศิมีลูกให้ได้ ใครที่ไหนจะขวางทาง อย่างไรสิทธิ์ขาดก็เป็นของอคิราห์ในการเลือกสรรเองทั้งนั้น มีข้อแม้เดียวนั่นคือการมีทายาทที่ราชวงศ์เรียกร้อง และศศิให้ไม่ได้


ทั้งสองพระองค์ก็หวังสิ่งที่ดีที่สุดกับตัวของลูก เพราะได้ครองคู่กันในหน้าที่ มีหรือที่องค์เหนือหัวจะไม่เคยวาดฝันที่จะมีคนที่พระองค์รักจริงๆมาเคียงข้าง แต่มันเป็นไปไม่ได้ในกรณีนี้ กรณีที่เรามีข้อจำกัดเพียงข้อแต่เป็นข้อที่เรียกร้องจากคู่รักคู่นี้มากเกินไป


“แล้วถ้าหากศศิมีลูกให้ได้เล่า”


“มันเป็นไปไม่ได้”


“บนโลกเราก็ใช่ว่าจะไม่มีชายที่ท้องไม่ได้เสียหน่อย”  อคิราห์ยังคงยืนกรานหาช่องว่างและโอกาส ความฝันของพระองค์ยิ่งผลักดันให้ความคิดนี้ถูกกลั่นกรองเป็นคำพูดออกมา ทว่า…


“ไม่มีทางหรอก”  องค์เหนือหัวเอ่ยมาอย่างอ่อนใจ  “วัชรินทร์เคยไปตรวจแล้ว ศศิไม่ได้ท้อง”  และสิ่งที่พระองค์ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของพระบิดา ก็ทำให้โลกทั้งใบแทบจะหมุนเคว้ง


“ตรวจงั้นหรือ”


“…”  ภาพต่างๆ คำตัดพ้อของสองอาหลานเมื่อหลายเดือนก่อน เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา


“ที่ศศิถูกวางยาปลุกกำหนัด นั่นก็เป็นฝีมือของ…ท่านหมอวัชรินทร์หรอกหรือ”  พระพักต์ขององค์เหนือหัวนั้นนิ่งขรึม แต่ทรงพระทัยเสียไม่น้อยที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เหมือนถูกทรยศของอีกฝ่าย ไหนเลยจะเจ็บปวดเท่าการถูกกระทำโดยคนในครอบครัว


“พ่อเองเพียงแค่หวังจะได้เห็นเจ้ามีลูกกับคนที่เจ้ารัก”  คำสารภาพขององค์เหนือหัวนั้นแม้พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงทว่าใจความแตกสลาย  “แต่ศศิไม่ใช่เด็กในคำทำนายผู้มาจากจันทราปราการ เขาจึงไม่คู่ควรกับดวงอาทิตย์ดวงนี้ของพ่อ” คู่ควรหรือไม่…


ใยถึงไม่ถามหัวใจของลูกดู…


หลังจากนั้น พระองค์ก็ไม่ได้เสด็จไปหาพระบิดาที่ตำหนักอีกเลย แม้พระมารดาจะมาเยี่ยมเยียนพร้อมเอาสำรับอาหารที่ทรงปรุงเองมาให้ แต่ก็ไม่กล้าจะพูดถึงอภิชญาเท่าไหร่นัก เหตุการณ์วันนั้นทำให้ทรงทราบดีว่าพระโอรสยังคงมีใครบางคนในใจ และใครบางคนนั้น ก็ถูกพรากไปด้วยความจำใจเช่นกัน


“ขอบพระทัยเสด็จแม่”


“ดูแลสุขภาพบ้างเถิด เจ้านั้นซูบลงเยอะ กำลังจะต้องเดินทางไกลไปกับคณะทูต ใยจึงไม่ดูแลตัวเองบ้าง” 


“…”


“หากคนนั้นที่พวกเจ้าพูดถึงสำคัญเช่นนั้น ก็อย่าฝืนเลย ไปรับเขามา อย่างน้อยก็ให้ได้ชื่นใจบ้าง เช่นนี้เจ้าจะหมดกำลังใจเสียก่อนนะ”  เมื่อเห็นอาการที่ไม่สู้ดีจึงยอมตัดใจ จะอย่างไรคนเป็นแม่ การได้เห็นลูกชายเป็นทุกข์เช่นนี้ก็ยิ่งเป็นทุกข์ตามไปด้วย สุดท้ายแล้วพระองค์ก็อยากจะตามใจ


“ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมมาไหม คนที่นี่ใจร้ายกับเขานัก ข้าไม่มีหน้าไปพบเท่าไหร่”  เมื่อได้ทราบว่าพ่อของตนกับวัชรินทร์คาดหวังในตัวศศิอย่างไร พระองค์ก็ไม่อาจจะไปสู้หน้า ทั้งน้าหลานคู่นั้นไม่เคยอยากจะก้าวกระโดดมาในการเมืองเลย แต่เพราะความรักที่เห็นแก่ตัวของพระองค์จึงทำให้ศศิต้องถูกยัดเยียดสิ่งที่ตนไม่คิดชอบ หากวันนั้นคนงามไม่ยินยอมพร้อมใจจะตกเป็นของพระองค์แต่ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดมันครอบงำจิตใจแล้วเล่า…


ไม่เท่ากับว่าทรงให้ความร่วมมือกับพระบิดาในการข่มเหงคนรักอย่างนั้นหรือ?


“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพ่อของเจ้ารอคอยเจ้าให้มาอยู่กับเรานานแค่ไหน”  องค์ราชินีเอ่ยถึง แม้จะไม่ได้รักกันอย่างหวานชื่นแต่ก็เห็นความพยายามของพระสวามีมาตลอด “ทรงขอพรกับฟ้าทุกคืนให้เจ้ามาอยู่กับเรา เขารักเจ้ามากนะ”


เรื่องนี้พระองค์ได้รับฟังมาบ่อยครั้ง เกี่ยวกับการรอคอย การอธิฐานทั้งๆที่ไม่เคยเชื่อถึงสิ่งลี้ลับใดๆ จนกระทั่งได้ฝันถึงชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินมาหาและบอกว่าจะมอบสิ่งล้ำค่าให้มาดูแล พระองค์รับรู้ถึงความรักและความปรารถนาดี แต่ครั้งนี้ทรงล้อเล่นกับหัวใจของลูกชายและความรักของเขามากไปหรือไม่


“มันยากสำหรับพระราชาและพ่อที่จะเป็นให้สมใจเจ้า”  มือเล็กนั้นลูบแก้มสากของพระโอรสที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดีอย่างเอ็นดู “หากวันหนึ่งเจ้าได้ครอบครองทั้งสองตำแหน่งนั้น อาจจะเข้าใจขึ้นมาอีกนิด” เนตรคมขององค์รัชทายาทวูบไหว คำว่าพ่อและราชานั้นเหมือนจะไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมถึง จนกระทั่งวันนี้…


พระองค์จะเป็นพ่อคนโดยไร้รักกระนั้นหรือ?


☼ ☽



สภาพของพระองค์ชายที่อลงกรณ์ได้เห็นนั้นดูทรุดโทรมจนไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆนี้คือองค์รัชทายาทที่กำลังจะร่วมเดินทางไปคีรีธาราด้วยกัน


“ไปกันเถิด”  อคิราห์เพียงตรัสสั้นๆไม่ขยายความว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้หนวดเคราและผมเผ้ายาวถึงเพียงนี้ ธมลที่เดินตามทำเพียงถอนหายใจ ก่อนจะรีบลากแขนอลงกรณ์ที่อชิระมอบหมายมาให้ไปด้วยกัน วันนี้เรากำลังจะออกเดินทางไปยังคีรีธาราเพื่อทำการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับคีรีราชสกุล ใช่…สกุลนั้นแล ที่มีคนเคยบอกว่าเป็นเจ้าของคนรักของพระองค์


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านธมล”


“ไม่มีอะไรหรอก”  ธมลที่กำความลับของผู้เป็นนายไว้เลือกที่จะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบอะไร จนกระทั่งเราไปนั่งกันอยู่ในรถม้า บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางก็ได้เริ่มต้นขึ้น


“ครานี้เราจะเดินทางผ่านทางด่านตะวันตกที่ 1 เพราะอยู่ใกล้กว่า”


“อืม”  ทรงตอบรับในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปยังนอกหน้าต่าง เท้าคางมองออกไปยังทิวทัศน์รอบนอกอย่างไร้จุดหมาย เมื่อไม่นานมานี้ พระองค์ได้รับจดหมายจากท่านอาว่าท่านอาจารย์หมอทิชากรจำต้องไปทำธุระที่นั่นเหมือนกัน พอบ้านเมืองเข้าสู่ความสงบ ผู้อพยพบางส่วนก็เดินทางกลับ น่ากลัวผู้อพยพบางคนก็จะจากบ้านนี้เมืองนี้ไปด้วยเช่นกัน


“ว่าแต่เจ้าขนฟูเล่า เป็นเช่นไรบ้าง”  ธมลเอ่ยถาม  ช่วงหนึ่งที่ศศิมาอยู่ที่ตำหนักของพระองค์ เจ้าขนฟูจอมแสบนั้นไม่ได้ถูกนำมาเลี้ยงดูถาวร โดยหลักๆแล้วอลงกรณ์นั้นรับดูแลไว้ให้ตลอด


“สบายดี เจ้าของมันดูแลดีเสียยิ่งกว่าอะไร”  สิ้นคำอลงกรณ์ โชคดีที่พระหัตถ์นั้นบังอยู่จึงไม่มีใครเห็นว่าพระองค์นั้นลอบยิ้มออกมา ครั้งหนึ่งทรงชื่นชอบการเรียกขานบางคนว่าคนเลี้ยงกระต่าย แต่ในตอนหลังกลับกลายมาเป็นกระต่ายทรงเลี้ยงของพระองค์เอง ได้ยินว่ามีแรงดูแลกระต่ายได้ ก็คงมีสุขดีอยู่


แล้วบทสนทนาของเราก็ดำเนินต่อไป ด้วยรีบเร่งเดินทางและการเตรียมการที่ดีเยี่ยมทั้งเสบียง ม้าสับเปลี่ยน และอื่นๆ คาดการณ์ได้ว่าเราคงไปถึงคีรีธาราในกำหนดหรือก่อนนั้น เมื่อถึงยามค่ำคืนเราก็จอดพัก เพื่อที่ตอนเช้ามืดจะได้เดินทางไปต่อในทันที


องค์รัชทายาทในสภาพที่ดูไม่ได้นั้นเดินเลี่ยงออกมานั่งชมจันทร์อยู่คนเดียว ไม่รู้ทำไมจันทร์ในป่าใหญ่ถึงได้ส่องสว่างกว่าที่แห่งไหนบนแผ่นดินนี้ ยังคงจำได้ยามที่เรายังไม่ได้เอ่ยคำรักแต่แสดงออกถึงความห่วงหายามที่เดินทางผลัดถิ่นไปยังจุดหมายเดียวกัน วันดีๆแบบนั้น พระองค์ยังคงจำได้ไม่เคยลืมเลือน


สวบ!


“หืม…”


สวบ!


“ใคร!”  ทรงเปล่งเสียงเรียกออกไป หมายให้ผู้ที่ซ่อนกายปรากฏตัว ทว่ายังไม่ทันได้ขยับพระวรกายไปมากกว่าที่คิด ร่างของพระองค์ก็เหมือนถูกแช่แข็งไว้


ชายผู้มาเยือนนั้นยิ้มร้าย ก่อนจะเดินเข้าหาอย่างไม่กลัวเกรง…


☼ ☽

“มีคนบาดเจ็บที่นอกค่าย!”  เสียงร้องดังนั้นทำให้ศศิที่กำลังจดรายการยาสะดุ้งโหยง ก่อนที่ร่างของคนท้องจะเดินอย่างระมัดระวังออกมา


“พาไปที่โรงหมอ!” สิ้นเสียงตะโกน คนเป็นหมอเพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ก็เข้าไปจัดการตรวจสอบอุปกรณ์และล้างไม้ล้างมือให้สะอาด ทั้งๆที่ช่วงนี้คิดว่าคงไม่วุ่นวายเท่าไหร่ต่อให้ทิชากรจำต้องจากไปสักอาทิตย์ก็คงไม่เป็นไร แต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจเสียจริงๆ


ได้ส่งคนเจ็บมาให้ดูแลจนได้…


“บาดแผลไม่ลึกแต่รอยไหม้ที่แผลนี่มันพิษนี่”  ศศพินทุ์ที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนั้นจดจ่อไปที่บาดแผลตรงกลางอก คนป่วยนั้นสลบไสลไม่รับรู้สิ่งใดแม้แต่ความเจ็บปวดอีกแล้ว ร่างกายของเขากำลังอ่อนแอลง


“ขะ…ข้าเจอเขาแถวทะเลสาบ”  ผู้นำมาเร่งอธิบาย นั่นเป็นข้อยืนยันถึงสภาพที่เปียกปอนไปหมดอย่างนี้


ท่านหมอน้อยนั้นสามารถรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญพิษอะไรอยู่และมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะรักษา หลักจากมั่นใจว่าไม่มีแผลที่จุดอื่นอีกก็รีบใส่ยาแก้พิษให้ ยังดีที่ไม่ได้หนักหนาเสียจนรับมือไม่ไหว จัดการเสร็จโดยไวก็ให้เหล่าผู้ช่วยออกไปหาเสื้อผ้าให้คนป่วยได้ผลัดเปลี่ยน


“นะ…หนาว” เสียงพึมพำที่ดังออกจากปากนั้นทำให้ศศิที่ช่วยเช็ดตัวให้อยู่ต้องหันไปมองหน้า เพราะอาการไข้ที่ขึ้นสูงทำให้คนป่วยละเมอ


‘หนาว…หนาวเหลือเกิน’


“หาผ้าห่มมาด้วย”  ตะโกนสั่งออกไปและพยายามจดจ่อกับหน้าที่ เมื่อนึกถึงวันนั้นในป่าที่ตนได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งต้องพิษร้าย เขาเองก็มีอาการไข้เช่นนี้ ด้วยสภาวะที่ไม่อำนวย ศศิได้แสดงความอารีกลับไปด้วยการให้ชายคนนั้นได้อิงแอบแนบชิด เพื่อที่ความอุ่นของกาย จะช่วยคลายหนาวให้ได้บ้าง


ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากวันนั้น และยาวนานตลอดไป


“เป็นใครมาจากไหนกันนะ”  คงจะเป็นชาวบ้านที่มาหาของในป่าแล้วโดนพวกโจรทำร้าย ตอนนี้บ้านเมืองข้างๆวุ่นวายจนทำให้มีผลกระทบกันไปหมด ทั้งอพยพเข้าอพยพออก ปัญหามากมายไม่เว้นแต่ละวัน


ศศิที่นั่งรอผู้ช่วยให้กลับมานั้นพินิจคนป่วยใหม่อย่างเผลอไผล เขามีบาดแผลที่สมานแล้วแต่ทิ้งแผลเป็นมากมายตามร่างกาย แม้แต่ใบหน้าเองก็มีรอยแผลเป็น หนวดเครา ผมยาว และผิวหยาบ สภาพที่ดูทรุดโทรมนี้น่าสงสารไม่น้อย ตอนนี้ใครๆก็ลำบากลำบนกัน ที่พอจะช่วยได้ก็มีเพียงแค่ให้การรักษาอย่างดีที่สุดเท่านั้น


“ท่านหมอ ข้าได้นำมาให้แล้ว” 


“งั้นเรามาเปลี่ยนให้เขากันเถิด”  ศศิเอ่ยอย่างใจดีก่อนจะช่วยกันผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนป่วยที่ทั้งเก่าและขาด ช่วยแต่งตัวจนเสร็จก็พาย้ายไปนอนบนเตียงที่ถูกจัดไว้ แม้ไม่ได้สบายเป็นที่สุดแต่ว่าก็ดีกว่านอนตายอย่างเหน็บหนาวในทะเลสาบ


คนไข้หนักเพียงคนเดียวในวันนี้นอนหลับใหลด้วยพิษไข้ ท่านหมอในชุดขาวนั้นเดินมาดูอาการเป็นระยะ สลับกับการตรวจอาการของคนที่แวะเวียนมาหา ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่อาการหนักหนาอะไร บอกวิธีการดูแล จ่ายยาและก็กลับกันไปได้หมด ดังนั้นในสำนักพยาบาลแห่งเดียวในค่ายของชายแดนตะวันตกที่ 2 จึงมีเพียงคนป่วยนิรนามหนึ่งคน กับทหารอีกราวๆสี่นายที่ได้รับบาดเจ็บและได้รับการรักษามาสักพักเท่านั้น


กิจวัตรในแต่ละวันก็ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่คนท้องที่สุขภาพใจดีย่อมนำไปสู่การมีสุขภาพกายที่ดี ในแต่ละวันศศิจะทำการจัดดูสมุนไพร ตรวจอาการคนไข้ ควบคู่ไปกับการสอนเพื่อปั้นหมอใหม่ๆขึ้นมา อนึ่งการให้ความรู้ผู้อื่น ก็ถือเป็นการให้ที่ล้ำเลิศกว่าสิ่งใด หมอคนหนึ่งสามารถรักษาคนไข้เป็นร้อยได้ และหมอสองคน…ก็ย่อมทำได้เป็นทวีคูณขึ้นไป ดังนั้นศศพินทุ์และทิชากร จึงร่วมกันสร้างหลักสูตรเพื่อการศึกษาเบื้องต้นไว้ที่นี่


แม้จะยังไม่ได้รับการรับรองจากทางการที่เมืองหลวง แต่คนป่วย…ก็ไม่อาจจะรออำนาจจากส่วนกลางเช่นกัน


“จงกดแผลตรงนี้ไว้”  ท่านหมอน้อยเอ่ยบอก ตนเองไม่ได้เป็นผู้ให้การรักษาโดยตรงตลอดแต่ปล่อยให้คนที่ได้รับคัดเลือกมาเป็นศิษย์สำนักทำบ้าง ทว่าก็ยังคงเฝ้ามองเผื่อเกิดเหตุผิดพลาด


“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาจารย์” 


“ดีแล้ว เดี๋ยวเราไปดูอาการของเตียงนั้นกัน”  เมื่อดูแลจนเรียบร้อยก็เรียกให้ลูกศิษย์ของตนเดินตามมา ชายผู้นี้ที่บาดเจ็บและถูกพามานั้นหลับไปได้จะเข้าคืนที่สองแล้ว คนเฝ้าก็บอกว่าเขาหลับๆตื่นๆ รู้สึกตัวแต่เพราะยังมีไข้จึงยังเพลียอยู่มาก


“ท่าน”  ลูกศิษย์ของศศินั้นเอ่ยเรียก สะกิดเบาๆให้เขาพอรู้สึกตัว ใบหน้านั้นดูไม่พอใจนิดๆ แต่ก็ฝืนลืมตาขึ้นมาพูดคุย ศศิยิ้มอย่างใจดีให้


“ข้าเป็นหมอของที่นี่ชื่อว่าศศพินทุ์ ท่านมีอาการอย่างไรบ้าง”


“ศศพินทุ์…” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่า


“ยังคงเวียนหัวหรือเจ็บแผลอยู่หรือไม่”


“นะ…น้ำ”  ไม่มีคำตอบที่ถูกถามไป แต่เจ้าตัวกลับแสดงความต้องการอื่นๆออกมา ศศิพยักหน้าให้ลูกศิษย์นำน้ำมาให้ ซักถามอีกนิดหน่อยเพื่อให้มั่นใจว่าอาการของเขาเป็นไปตามที่คิดไว้แล้วจึงผละจากมา


เป็นท่านหมอที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อตื่นขึ้นมา แต่แลดูเย็นชายามที่หันหลังให้จริงๆ…


☼ ☽


“นี่มันอะไรกัน?!”  เป็นอลงกรณ์ที่ตกใจจนน่ากลัวว่าวิญญาณจะถูกฉุดกระชาดไปเสียแล้ว หลังจากหลับตานอน ตื่นมาคนที่ตนต้องอารักขาไปที่คีรีธาราก็เปลี่ยนไป


กลายมาเป็นบุรุษผู้ปลิ้นปล้อนผู้นี้ได้อย่างไร?


“ก็ทิชากรไม่ให้ข้าไปด้วย”  เพราะห่วงแต่ศศิ คนที่จำต้องลาจากอย่างทิชากรจึงไม่ยอมให้อชิระเดินทางไปคีรีธาราด้วย แต่ใจมันรัก ห่างกันได้เพียงวันเท่านั้นแล…


“แต่ทางเราได้ส่งสาสน์ไปบอกว่าองค์ชายอคิราห์จะเป็นผู้เดินทางไป” 


“เจ้าเด็กอกหักรักคุดนั่นหรือจะทำการใดได้ ข้าส่งไปทำหน้าที่สำคัญแทนแล้ว!”  เผาบ้านคืองานของอชิระหรืออย่างไร ก็รู้ดีว่าถ้าทิชากรได้เห็นหน้ากันที่คีรีธาราแล้ว ความพินาศจะมาสู่ตนเองระดับไหน ก็ยังไม่วายหาเรื่องจนได้


ตระกูลนี้จะมีแต่คนหลงเมียจนไม่รู้ผิดถูกไม่ได้นะ!


“อีกอย่าง สาสน์ที่ส่งไปบอกว่าเป็นองค์ชายแห่งสิหราชนครา…”  ธมลเป็นคนร่างสาสน์ แต่อลงกรณ์ได้อ่านก่อนส่ง


“แล้วข้าไม่ใช่ตรงไหน?”


“ท่านคืนยศไปแล้ว!”


“ไปขอคืนมาแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าจะได้เมียเป็นพระญาติของคีรีราชสกุลนั่นแล”  อชิระพูดอย่างไม่ยี่หระ ก็จริงอยู่ที่คืนไป แต่ไม่นานมานี่ได้ส่งสาสน์ไปวอแวขอคืนมาแล้ว องค์เหนือหัวที่แสนระอาก็ได้ตอบกลับคำขอมา ทั้งๆที่อลงกรณ์เป็นคนเดินสาสน์ด้วยตนเอง แต่ไม่ยักกะรู้อะไร ช่างเป็นคนในบังคับบัญชาที่ซื่อตรงดีมาก ไม่เคยเปิดจดหมายแอบอ่านระหว่างทางจริงๆหรือนี่!


“แต่ท่านทิชากรไม่ให้ท่านไป!”


“ทิชากรไม่ใช่ไม่ให้ แต่แค่เป็นห่วงศศิเท่านั้น”  และอชิระก็ส่งคนที่ดูแลศศิได้ดีกว่าไปให้ถึงที่แล้วไง!


“แต่ว่า…”


“ข้าเดินทางขี่ม้าเร็วมาทั้งวันทั้งคืน ไม่อยากฟังความปากเหม็นของเจ้าอีกต่อไปแล้ว”


“….”  เป็นเช่นนั้นอลงกรณ์จึงต้องหุบปากฉับ รถม้าไปคีรีธารานั้นกำลังเดินทางอย่างขะมักเขม้น กว่าอลงกรณ์ผู้ขี้บ่นจะรู้ทราบว่ามีการสับเปลี่ยน ‘องค์ชาย’ กัน พวกเราก็มาไกลเกินจะกู่กลับแล้ว


ก็ได้แต่หวังว่าองค์รัชทายาทจะยังอยู่ดีกินดีก็แล้วกัน





TALK
สัญญาว่าต่อไปโทนเรื่องจะมีแต่ความฉดใฉ555
อย่าว่าพี่อาทิตย์ พี่อาทิตย์แค่ยุ่งและงงๆ พี่เองไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคำทำนายหรือที่บ้านน้องเลย
ในขณะที่คุณพ่อท่านไปไกลแล้วพี่อาทิตย์เพิ่งจะได้ปลดที่ละปมสองปม
ลงต่อไม่รอแล้วนะมาทุกวันเบื่อไหมคะ
งานนี้ท่านอาที่ติดเมียมากลงสนามมาเองละนะคะ
หวังว่าทุกคนคงจะชอบน้า
#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri

ฝากเรื่องใหม่ที่เพิ่งเปิดด้วยนะคะ
#คู่กินคู่กัด https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69337.msg3930635#msg3930635 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69337.msg3930635#msg3930635)







หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 06-01-2019 15:38:44
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 06-01-2019 18:34:49
ทำดีมากค่ะท่านอชิระ   o13
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 06-01-2019 19:41:01
ท่านอาเป็นคนตลก
หลงเมียจริงๆ จู่ๆก็ขอคืนยศ จะตามไปหาเมีย
ห่างเมียไม่ได้จริงๆเลยนะท่าน

ต่อไปพ่อแม่ลูกจะได้เจอกันแล้ว

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk

หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-01-2019 23:29:57
อันนั้นคือนอกเหนือจากแผนคุณอาใช่มั้ย  :z3:
คู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกันจริงๆจ้ะ
แต่ลูกงอนแล้ว ฮึ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 07-01-2019 06:11:33
ว่าแล้ววว ว่าอาทิตย์ต้องคิดว่าศศิโกหกและไม่เชื่อ แต่ว่าตอน

ล่าสุดนี่ผชคนนั้นคืออาทิตย์ใช่ไหม เราว่าใช่อะ แง้ง ขอให้ใช่ด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 23 : 6/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-01-2019 08:59:31
อ่ะจ้า อาหลานผู้หลงเมีย ผู้ชายคนนั้นคือพี่อาทิตย์ใช่ไหม โทรมจนน้องศศิจำไม่ได้เลยหรอ 555555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 24 : 7/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 07-01-2019 19:16:01
Finding the twilight
24
คนแปลกหน้าที่คุ้นเคยใจ
☼ ☽


ความเดิมก่อนหน้านั้น


“ท่านมาทำอะไรที่นี่”  หลานชายเพียงคนเดียวเอ่ยถาม อชิระที่เพิ่งได้รับการคืนยศมาเป็นองค์ชายแห่งสิหราชวงศ์ ได้เร่งเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่ตอนที่ทิชากรจากไป หลังจากมั่นใจว่าขบวนเสด็จของหลานชายคงแวะพักบริเวณนี้ ก็เฝ้ารอโอกาสที่จะพบเจอ


“ก่อกบฏ”


“หะ…”


“ส่งฉลององค์และตราประจำพระองค์มา”


“เมายาหรืออย่างไร”


“เอาเป็นว่าข้ามีความจำเป็นต้องไปคีรีธาราในฐานะราชทูต”


“…”


“และก็ต้องมีคนไปปกป้องชายแดนตะวันตกที่ 2 แทนข้า ไม่ต้องในฐานะแม่ทัพก็ได้”


“ข้าไปที่นั่นไม่ได้”


“ทำไมจะไปไม่ได้”


“ก็พวกท่านพูดเองไม่ใช่หรือไง ว่าจนกว่าจะปราบกบฏให้เรียบร้อยและหาทางลงให้กับศศิได้ ข้าไม่อาจไปพบเจอ เข้าใกล้ หรือแม้แต่เอ่ยถึงให้ใครได้ยิน”  นี่คือแผนการที่เราวางไว้แต่ต้น แล้วทำไมอชิระถึงได้มาบอกให้พระองค์ไปที่นั่นแทนกันเล่า!


“อคิราห์  ไม่ได้ดูสภาพตัวเองตอนนี้เลยหรือ เจ้านั้นไม่ได้งดงามสมกับเป็นองค์รัชทายาทคนเดิมแบบที่ศศิเคยรู้จักหรอกนะ”


“…”


“ตัวเจ้านั้นซูบผอม มีแผลเป็นจากการต่อสู้มากมาย ผิวก็ไม่ได้ผุดผ่อง ผมก็ยาวรุงรัง หนวดเคราก็ไม่ได้โกน เจอกันในป่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นองค์ชายที่ไหน บอกกันว่าเป็นโจรป่า ข้าอาจจะทำใจเชื่อได้ยิ่งกว่า”


“แล้วอย่างไร”


“ที่ข้าให้เจ้าไป นั่นก็เพราะทิชากรนั้นฝากข้าให้ดูแลหลานของเขาให้ดี”


“…”


“แต่ใครไหนเลยจะดูแลศศิด้วยความรักได้เท่าคนหน้าโจรอย่างเจ้ากัน”


“ท่านอา…”


“แค่ไม่ใช่ในฐานะองค์ชายอคิราห์ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”  อชิระกำลังเสนอทางเลือกที่หวานหอมให้กับหลานชายของตนอยู่ แม้ปลายทางอาจจะเฝื่อนขม แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตัวแล้ว  “ยามนี้ชายแดนมีการกวดขันเข้มงวดก็จริง แต่พวกกบฏอาจจะหมดหนทางจนแต้มและคลำหาศศิเป็นที่พึ่งสุดท้ายก็เป็นได้”


“…”


“พวกนั้นไม่เคยหยุดพยายามหรอกนะอคิราห์ ข้าก็ส่งรายงานไปบอกตลอดว่าคนของข้าได้จัดการพวกมันที่พยายามเข้ามาใกล้ศศิตั้งเท่าไหร่” แม้พระองค์จะปล่อยศศิมาไกลหูไกลตาแค่ไหน แต่หูตาของพวกมันก็ไวและติดตามมาถึงจนได้


ศศพินทุ์ที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขคงไม่รู้ว่าที่ด้านนอกมีคนมากมายที่สังเวยชีวิตตนเพราะกำลังตามหากัน แต่มันเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของกองทัพที่ไม่ได้เกินเลย หากมุ่งร้ายเข้ามา ไม่ว่าใคร หน้าไหน มีจุดประสงค์อย่างไรก็ฆ่าได้ทันที พวกเราใช้ผลประโยชน์แฝงจากกฎของกองทัพตรงนี้ในการสังหารคนที่พยายามมาจับตัวศศิไป


“แล้วท่านจะให้ข้าปลอมตัวไปหรือไง”  เพราะองค์รัชทายาทเข้าไปปรากฏตัวสั่งการไม่ได้ จึงจะให้ปลอมตัวเข้าไปหรือ


ใครจะเชื่อ…


“ข้าเตรียมการเตรียมคนไว้ให้แล้ว”


“…”


“รองแม่ทัพธวัลย์ที่อยู่รั้งแทนนั้นทราบดีว่าเจ้าจะมา จงไปแถวทะเลสาบไม่ไกลจากค่ายทหาร ที่นั่นจะมีคนรอรับเจ้าเข้าไป”


“…”


“อาจจะต้องเจ็บตัวสักหน่อย ก็ใครใช้ให้คนรักของเจ้าเป็นหมอกันเล่า!”  แล้วมันไม่มีทางออกที่ดีกับการได้ใกล้ชิดหมอใดอื่น…


นอกจากเป็นคนป่วยแล้วใช่ไหม!
.
.
.

บ้าบอจริง…
เกิดมาชาตินี้ไม่คิดเลย ว่าจะต้องมาลิ้มรสพิษนานาพันธุ์ขนาดนี้


“…”  นี่มันคุ้มหรือไม่กับการแสดงละครเพื่อให้เข้ามาในค่ายทหารของผู้เป็นอา โดยมีเหล่าคณะคนสนิทร่วมแสดงละครฉากใหญ่ เริ่มจากพบเจอกันที่นอกค่าย เอาเสื้อผ้าเก่าๆ ให้เปลี่ยน เอาแผลเป็นปลอมๆ แบบที่เหล่าผู้สืบราชการลับใช้กันมาแปะบนหน้า แม้จะถูกกล่าวหาว่าหน้าตาดูเหมือนโจรอยู่แล้วแต่มันไม่พอจนต้องสร้างความน่าเชื่อถือขนาดนี้เลยหรือ?!


ที่ว่าอชิระหวังก่อกบฏนั้น เป็นความจริงแท้เชียว…
ก็เล่นให้พระองค์ใช้ดาบฟันตัวเอง แต่ไม่บอกว่าดาบที่ให้มานั้นเคลือบยาพิษ!


“ท่านตื่นแล้วหรือ?”  เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ยอดรักของพระองค์แต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นลูกศิษย์สำนักที่เดินมาหา อคิราห์นั้นเพียงพึมพำในลำคอนิดหน่อย ก่อนเจ้าตัวจะรีบวิ่งไปตามอาจารย์ของตนเข้ามา ทรงจำได้ว่าเมื่อวานที่ลืมตาขึ้นมาตามเสียงเรียก ภาพของศศิที่ยิ้มหวานมาให้ช่างงดงามตราตรึงใจนัก…


ยิ่งคิด ยิ่งพร่ำเพ้อและหึงหวง ยิ้มสวยขนาดนี้ ใครๆ ก็ต้องตกหลุมรักเจ้านะซี!


“ตื่นแล้วจริงๆ ด้วย”  ยังนึกชมและนึกชังอยู่หมาดๆ  เจ้าตัวก็ยิ้มและค่อยๆ เดินมาหา อคิราห์ที่เพิ่งได้พบยอดรักของตนหลังจากผ่านมาเนิ่นนานก็นึกอยากฉุดรั้งคนงามเข้ามากอด แต่ติดที่ละครฉากใหญ่ที่กำลังแสดงนี้ทำให้ไม่สามารถ ทรงฝืนตีหน้านิ่งออกมา แม้ใจจะร่ำร้องอยากกอดจูบเสียเพียงใดก็ตาม


ทรงปล่อยให้ยอดรักได้ทำหน้าที่ของตน เมื่อถูกซักถามอาการก็ตอบ แต่ก็พบว่าเสียงของพระองค์นั้นแหบแห้งเสียเหลือเกิน อาจจะเพราะพิษไข้ก็เป็นได้ ยังรู้สึกเจ็บคออยู่ไม่น้อย ได้ยินว่าพิษที่ให้พระองค์รับเข้าไปนั้นมีผลทำให้มีตุ่มและผื่นขึ้นตามผิวหน้าและร่างกายด้วย ทั้งนี้ไม่เพียงแค่ให้พระองค์ป่วยไข้เสียงแหบแห้ง แต่ยังเพื่อการพรางกายอย่างแนบเนียน สภาพตอนนี้คงไม่มีใครจำได้หรอกว่านี่คือองค์รัชทายาทผู้สง่างามคนนั้น ศศพินทุ์ได้สั่งยาขับพิษให้ลูกศิษย์ไปจัดเตรียมหา ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินจากไป


หมับ…แต่บ้าเอ้ย! ทำไมมือไม่รักดีถึงไปดึงชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้อย่างนี้เล่า!


“มีอะไรหรือ”


“…”


“มีอะไรหรือเปล่า”  ยิ่งได้ยินเสียง ตบะที่บำเพ็ญไว้ก็จะแตกซ่าน อคิราห์ไม่เคยค้นพบด้านหน้าอายแบบนี้ของตนมาก่อน


“ขะ…ข้าหลับไปกี่วัน”


“วันนี้วันที่ 3 หลังจากถูกมาที่นี่”


“ละ…แล้วข้าจะหายไหม”


“หายสิ ตอนนี้แผลก็กำลังจะสมานกันแล้ว ข้าจะใจดีช่วยรักษาแผลเป็นเก่าๆ พวกนี้ด้วยนะ”  หลังจากศศิจากพระองค์ไป ก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการปราบกบฏด้วยตัวเองบ้าง หลายครั้งก็เพลี่ยงพล้ำได้แผลแต่ไม่ถึงกับเจ็บหนัก ทว่าก็ไม่เคยหยุดพักให้วัชรินทร์ช่วยดูแลแผลเป็นเหล่านี้ดีๆเลย


“เจ้าชื่ออะไร”


“จะเรียกข้าว่าหมอ หรือศศิก็ได้”


“อา…”


“ว่าแต่ลูกศิษย์ของข้าได้ถามชื่อของท่านไปหรือยัง” 


“ยัง”


“แล้วท่านชื่ออะไรหรือ”  ศศินั้นเอากระดาษที่จดอาการของผู้ป่วยนิรานามนั้นมาเปิดดู พบว่ายังไม่ได้บันทึกชื่อลงไป เจ้าตัวนั้นเงียบไปไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา


“ทิตย์”


“ทิตย์?”


“อืม”


“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปควบคุมการต้มยา ขอให้ท่านช่วยรออยู่ที่นี่ พักผ่อนไปก่อนจะได้ฟื้นตัวไวๆ ”  ศศิยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะจากไปทำหน้าที่ตามที่บอก ทิ้งให้คนมองนั้นคะนึงหา อยู่ใกล้กันเกินกว่าจะห้ามใจแต่กระนั้นก็ไม่อาจจะฉุดรั้งมากอดหอมได้


แต่แค่เพียงอยู่ใกล้ ก็ได้กลิ่นหอมสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์โชยหา
เจ้าตัวคงไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งถวิลหา อยากใกล้ชิดตลอดเวลาเยี่ยงนี้


อคิราห์ที่ใช้นามว่า ‘ทิตย์’ นั้นรักษาตัวอยู่ที่โรงหมอแห่งนี้อยู่อีกวันก็แทบจะเป็นปกติ อาจจะเพราะพระองค์พยายามทำให้บาดแผลนั้นมันน้อยที่สุดและกินยาต้านพิษไปก่อน แต่อาการไข้ก็ห้ามได้ยากเพราะทรงเร่งเดินทางมาหลังจากที่ถูกโน้มน้าวจากอชิระในตอนนั้นโดยไม่ได้หลับใหลพักผ่อนแต่อย่างใด ร่างกายที่อ่อนแอเมื่อต้องพิษจึงได้ทรุดหนักปานนั้น


หลังจากที่มีกำลังวังชาก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงเลือกที่จะเดินออกมาสูดอากาศหายใจที่ภายนอก ยามเช้าอย่างนี้ผู้คนยังบางตา คาดว่าเหล่าทหารคงกำลังฝึกฝนอยู่เป็นแน่ ทรงมองไปยังเรือนหลังเล็กที่ไปหลอกถามลูกศิษย์สำนักว่าเป็นของใครก็ได้ความว่าเป็นของยอดรักของพระองค์นั่นเอง หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อยก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไป หากหาข้ออ้างไม่ได้ก็จะเอ่ยบอกไปว่าเลอะเลือนเดินผ่านมา


“เด็กดื้อ เจ้าดิ้นเสียแรงเชียว”  หลังจากเดินวนอยู่หน้าบ้าน ก็พบว่าไม่มีใครอยู่จึงเลือกเดินมาดูที่ด้านหลัง แต่ยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ดังออกมา พร้อมกับประโยคที่ราวกับว่าเจ้าตัวนั้นกำลังสนทนาอยู่กับใคร


ศศิหรือ?


“เจ็บนะจอมแสบ นั่นใครน่ะ!” ศศิร้องถามเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ จากด้านหลัง คนตัวเล็กนั้นหันมามองก่อนจะสบตากับผู้มาเยือนโดยไม่บอกกล่าว ดวงตาแวววาวคู่นั้นวูบไหว อคิราห์ที่เข้ามาอย่างเสียมารยาทจึงยั้งเท้าไม่เร่งเข้าหาเพื่อให้อีกคนรู้สึกเป็นภัย


“ข้าเองๆ  ข้าแค่เดินผ่านมา”


“…”


“ข้าขอโทษที่เสียมารยาท”  พระสุรเสียงยังคงแหบราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง แต่ทุกคำที่เปล่งมา ย่อมอยากให้ยอดรักสบายใจ


“มะ…ไม่เป็นไร”  ใบหน้าของศศินั้นซีดเซียว ปกติตนก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้หรอกแต่วันนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไร เห็นอากาศดีๆ ยามเช้าอันสงบสุขเป็นไม่ได้ ต้องออกมานั่งรับลมคุยกับลูกแบบนี้


“ท้องของเจ้า”  ก็ไม่แปลกหรอกที่คนที่เห็นจะตกใจและสงสัย ศศิที่เมื่อครู่ถลกชายเสื้อขึ้นและใช้มือของตนสัมผัสกับหน้าท้องโดยตรงเร่งปิดมัน เขาคงเห็นแล้วว่ามันโป่งนูนออกมาผิดปกติ ก็ใช่…นี่มันจะเดือนที่ 8 แล้ว


ตอนนี้คนรอบข้างต่างก็สงสัยแต่ยังเกรงใจเลยไม่ได้ถามออกมา


“ขอโทษที่ทำให้ท่านหวาดกลัวนะ แต่ข้าไม่ใช่ปีศาจหรืออะไรหรอก”  คนต่างถิ่นที่ไม่รู้จักกันดีอาจจะคิดไปไกล หวังว่าเขาจะไม่โพนทะนา


“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก”  เมื่อเห็นแววตาวูบไหวคู่นั้น คนมองก็รู้สึกปวดแปลบแทนไปหมด นี่ศศิต้องทนแบกรับอะไรบ้างในช่วงนี้  “เพียงแต่สงสัยว่าเจ้าตั้งครรภ์อยู่หรือ”


“…”


“ข้าคงไม่ได้ละลาบละล้วงจนเกินไป”  มันยากเหลือเกินที่จะพยายามทำตัวเหินห่าง ทั้งๆ ที่อยากกอดปลอบเอาเสียมากๆ แบบนี้


“ใช่แล้ว”


“…”


“คงประหลาดใจสินะ”  ศศิพูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนคนมองไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกเช่นนั้น ทว่าความรู้สึกที่เขาเผชิญนั้นมันท่วมท้นกว่านั้น ทั้งเสียใจที่ไม่เคยเชื่ออย่างสนิทใจ ทั้งรู้สึกเหมือนได้ปลดแอกตัวเองออกจากทุกข้อสงสัย และสุดท้าย


ทรงปลาบปลื้มพระทัย…เพราะนั่นไม่อาจจะเป็นลูกใครนอกจากลูกของพระองค์เอง…


“กี่เดือนแล้วหรือท่านหมอ”น้ำเสียงที่ยังแหบอยู่นั้นถูกปรับให้อ่อนโยน


“จะแปดเดือนแล้ว”


“แล้วท่านจะคลอดเมื่อไหร่”


“คงจะเหมือนสตรีทั่วไปที่คลอดตอนครรภ์ราวๆ เก้าเดือน”  ศศินั้นตอบกลับอย่างเต็มใจ ด้วยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีละลาบละล้วงให้ไม่สบายใจแต่อย่างใด กลับกันการที่ต้องปกปิดเป็นความลับนานๆ  มันเป็นความทรมานรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้มากมายแต่กัดกินใจอยู่บ้าง


“สามีของท่านเล่า”


“เขาไปทำงานน่ะ”  ศศิเพียงตอบสั้นๆ  หากอีกฝ่ายมีมารยาทพอคงรู้ได้ว่าไม่สะดวกจะตอบ เพราะจริงๆ ศศิเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้มากกว่านี้


อคิราห์ท่านอยู่ที่ไหนกัน?


“ท่านเล่า ลูกเมียอยู่หนใด”  เมื่อถูกถามกลับ คนถูกถามก็จะตั้งรับไม่ทันอยู่หน่อยๆ


“คนรักของข้ารอให้ไปรับอยู่ โชคร้ายที่โดนปล้นระหว่างทาง”  นี่ก็ไม่ได้ถือว่าโกหกมดเท็จจนเกินไป ทรงถูกช่วงชิงอาภรณ์และเครื่องสัญลักษณ์การเป็นรัชทายาทแห่งสิหราชนคราไปโดยรองแม่ทัพแห่งค่ายทหารแห่งนี้ หากธวัลย์ไม่ใช่เพื่อนสนิทที่คบหามาเนิ่นนานและไว้ใจได้ ก็คงไม่ยินยอมให้เก็บของสำคัญพวกนั้นให้หรอก


“เขาช่างโชคดีเสียจริง น่าเสียดายที่ท่านโชคร้ายไปหน่อย”  คำพูดของศศินั้นแม้จะว่าไปตามเนื้อเรื่องที่พระองค์เอ่ยถึง แต่ก็กินใจไม่น้อย ศศิโชคดีจริงๆ หรือที่ยังเป็นที่ถวิลหาอยู่เช่นนี้ ส่วนอคิราห์ไม่ได้โชคร้ายไปเสียหน่อยหรอก น่าจะโชคร้ายอย่างมาก นอกจากจะต้องจากคนรักมาไกล ไม่เชื่อว่าเขามีลูกให้ ทะเลาะกับพ่อและขุนนางทั้งวัง จบท้ายด้วยถูกอาแท้ๆ ล่อลวงอย่างโง่งมให้หาเรื่องมาฟันตัวเองให้บาดเจ็บ และเป็นไข้กายไข้ใจอยู่ที่นี่


แม้ไม่อาจจะพูดได้ว่าบทสนทนาของเราหวานชื่นอย่างที่นึกอยากให้เป็น แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป ศศิเชื้อเชิญให้พระองค์นั่งสนทนาด้วย คนท้องมักจะขี้เหงาเพราะทำอะไรมากมายก็ไม่สะดวกนัก หากเป็นชายอื่นถูกเชื้อเชิญแบบนี้บ้าง ถ้าทรงมาได้รู้ภายหลังพระองค์คงอกแตกตาย ทว่าเลียบเคียงถามก็ทราบว่าปกติคนงามนั้นอยู่กับน้าชายตลอดเวลา มีแค่ตอนนี้ที่ทิชากรไม่อยู่จึงต้องดูแลตนเอง


“งั้นมีอะไรให้ข้าช่วยไหม”


“ท่านยังป่วยอยู่นะ เตี้ยอุ้มค่อม คงไม่ดีเท่าไหร่”  ยอดรักของพระองค์หัวเราะเสียงใส ช่างน่ารักน่าชังจนอยากฟัดแก้มแม่ของลูกให้หายคิดถึงสักคราแต่ก็ต้องหักห้ามใจ


“ไม่หรอก ข้าสบายขึ้นแล้ว”


“แต่ท่านต้องรีบไปหาคนรักนี่”


“ยังไม่ถึงเวลานัดหมาย”


“อย่างนั้นหรือ?”


“ให้ข้าได้ตอบแทนบ้าง จนกว่าน้าของท่านหมอจะกลับมา”


“…”


“สักอาทิตย์ ข้าคงรั้งรออยู่ได้”  อคิราห์นั้นกล่าวบอกให้อีกฝ่ายวางใจ ด้วยเพราะพูดคุยถูกคอหรือเพราะอะไรไม่รู้ ศศิที่ไม่ได้เชื่อถือคนง่ายๆ กลับครุ่นคิดไม่นาน


“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอรบกวนท่านด้วย” เป็นอันว่าแผนการเข้าหาเพื่อปกป้องดูแลแบบที่อชิระและหัวใจได้ฝากฝังก็เป็นอันได้เริ่มต้นขึ้น ต่อจากนี้พระองค์หมายมั่นจะทำหน้าที่ให้ดี ทรงเป็นองค์รัชทายาทเพื่อปวงชนและราชวงศ์ที่ดีมานานแล้ว


ในยามนี้ก็โอกาสให้ได้เป็น ‘สามี’ และ ‘พ่อของลูก’ ที่ดีบางเถิด…

☼ ☽


“ขอบคุณท่านมาก”  ศศิเอ่ยขอบคุณที่เขามาช่วยกวาดถูเรือนให้ แม้ว่าจะขอให้ลูกศิษย์มาช่วยได้ แต่ก็อยากให้พวกเขาเอาเวลาไปทุ่มเทกับการทบทวนตำรามากกว่า


“ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรอยากให้ข้าช่วยอีกไหม”


“พักผ่อนก่อนเถิด นี่มันก็จะได้เวลาข้าวเย็นแล้ว”  ศศิเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หวานเสียจนคนมองอยากจะยิ้มตาม


เป็นเวลาเกือบสองวันที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับคนรัก บางทีศศิก็จะนั่งอ่านหนังสือ คุยกับลูกเบาๆ และมีเจ้ากระต่ายตัวแสบเล่นอยู่รอบๆ ไม่ไกล รอบตัวของร่างบางนั้นดูสงบเงียบแต่เต็มไปด้วยความสุขใจ และมันได้เผื่อแผ่มาถึงพระทัยของพระองค์ที่ว้าวุ่น ชีวิตแบบนี้ไม่ได้แย่เลย ดีกว่าที่พระองค์เคยมีตลอดหลายเดือนที่อยู่อย่างสุขสบายมีคนปรนนิบัติรับใช้เสียด้วยซ้ำ


“ข้าจะไปยกสำรับมาให้นะ”  เมื่อมองฟ้า ก็คิดว่าได้เวลาที่ต้องทานอาหารเย็นกันแล้ว และตั้งแต่ที่ได้ล่วงรู้ความลับ คนท้องก็อนุญาตให้ร่วมโต๊ะด้วยกันได้ที่หน้าเรือนแห่งนี้ ศศิประพฤติตนเหมาะสมดี แต่น่ากลัวว่าหากนี่ไม่ใช่พระองค์แล้ว ใจดีมาอย่างนี้ไม่รักตอบก็ดูจะเย็นชาเกินมนุษย์แล้ว


หลังจากที่ไปขอสำรับจากโรงครัวของกองทัพ อคิราห์ก็ยกมันมาให้ ทว่าศศิก็ไม่ได้อยู่ที่บริเวณหน้าบ้านแต่อย่างใด ถ้าให้เดาก็อาจจะอยู่ด้านในหรือด้านหลัง และเพราะไม่เหมาะสมที่จะเดินเข้าไปหา จึงลองเดินไปเลียบๆ เคียงๆ หลังเรือนดู และก็พบว่าศศิกำลังวางมืออยู่บนท้อง สีหน้าดูทรมานอยู่บ้าง


“เป็นอะไรหรือ”  ในตอนนั้นหาได้สนใจความเหมาะสมหรือฉากละครใดแล้ว พระองค์ทรงถลาเข้าไปหาคนรักด้วยความห่วงใย ศศิเพียงเหลือบมองมาก่อนจะปิดตาลง เหงื่อกาฬไหลไปทั่วใบหน้า


“เจ้าตัวแสบออกกำลังมากไปหน่อย”


“ลูกหรือ พวกเขาทำอะไรเจ้า”


“เตะแรงและบ่อยไปหน่อย ข้าเจ็บ”และไม่รู้ว่าเพราะคำบอกเล่าเท่านี้มันดึงสัญชาตญาณความเป็นพ่อให้ออกมาหรือไม่ แต่อคิราห์ไม่แม้แต่จะขออนุญาต ฝ่าพระหัตถ์หนาวางลงบนหน้าท้องที่นูนออกมา ทรงรับทราบได้ถึงแรงกระเทือนจากอีกฟาก เพียงแค่นี้ก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของอีกคนที่อยู่ในนั้น


เลือดเนื้อเชื้อไขของเราสองคน


“หากเปิดผ้าออกมา คงเห็นเป็นรอยเท้าเจ้าแสบแน่ๆ ”  ว่าแล้วก็อยากเห็นเหลือเกิน แต่ศศิไม่ได้เปิดท้องออกมา และคนที่ไม่สนิทสนมก็ไม่ควรไปจับเขาถอดเสื้อผ้าใช่ไหมเล่า อคิราห์ที่จ้องมองใบหน้าคนรักที่สะดุ้งโหยงก็พลันคิ้วขมวด แสบอย่างที่แม่ของพวกเขาบอกไว้ แสบจริงๆ


“เจ้าแสบ อย่าแกล้งแม่”  ทรงตรัสออกไป


“…”


“ไม่งั้นออกมาเมื่อไหร่จะตีให้หลังลาย” พลันการกระทำอันดื้อรั้นก็หยุดลงราวกับทารกน้อยรับรู้และเข้าใจ


แต่หัวใจของคนที่นั่งฟังตรงนี้กลับเต้นไม่เป็นส่ำ


“ข้าออกไปจัดอาหารก่อนนะ ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ร้องเรียกได้” เขาผละออกมา ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแม้ใบหน้าจะดุจนคนมากมายหวาดกลัว น้ำเสียงที่บอกกล่าวนั้นมันคุ้นเคยอย่างประหลาด อีกทั้งสัมผัสจากมือนั้น


มันทำให้ศศิคิดคิดถึงบางคนจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว!


ใช้เวลาอยู่สักพักจึงเดินออกมาทานข้าวที่ด้านหน้าเรือนด้วย เจ้าของนามว่าทิตย์นั้นยิ้มให้ เขาเลื่อนจานข้าวที่ตักมาไว้ตรงหน้า ก่อนจะตักกับที่ไปขอมาไว้ให้ น่าแปลกที่การกระทำของคนแปลกหน้าทำให้ใจของศศิเต้นระรัว โดยเฉพาะเมื่อทุกสิ่งบนจาน ล้วนเป็นที่โปรดปรานของตน


“ผักนี่ดูจะกรอบไม่น้อย เจ้าคงชอบ”


ใช่…ศศิชอบ


“หมูนี่เขาก็ตุ๋นอย่างดี น่าจะเอร็ดอร่อย”


และมันก็อร่อยจริงๆ


“แต่กินนี่มากๆ ไปไม่ดี เจ้าต้องดูแลสุขภาพ”


ศศิก็รู้หรอก แต่มันอดไม่ได้นี่นา


“ซดน้ำซุปเสียหน่อยจะได้คล่องคอ เอ้านี่…ข้าเตรียมมาให้แล้ว”


“…”


“อิ่มแล้วหรือ”


“อื้ม”


“แต่ต้องทานเยอะๆ นะ ของพวกนี้ดีต่อตัวเจ้าและลูกของเจ้า”


“อืม ข้าจะกินอีก”


“ดี…”


“…”


“เด็กดี” 

หัวใจนี่พลันเต้นแรง ยามเมื่อได้ยินเสียงเรียกและยามเมื่อได้สบตา


“…”


“…”


“กินเยอะๆ นะ”  เขาที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอแสดงนิสัยเสียของคนหลงเมียออกไปก็รีบก้มหน้ากลบเกลื่อน หากศศิหวาดระแวงในตัวทิตย์ขึ้นมา โอกาสจะเข้าหาย่อมมีเป็นศูนย์ แต่กระนั้นก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดจากะลิ้มกะเหลี่ยเมียตนเองแบบนี้ จะโกรธศศิที่ใจดีไปทั่วก็ไม่ได้ ที่ควรไม่ชอบใจก็คือไอ้เจ้าทิตย์นี่แล


บ้าไปแล้ว นี่อคิราห์กำลังหึงตัวเองอยู่หรือไง!


หลังจากที่ทานอาหารหมดก็ถึงเวลากล่าวลา เจ้าของร่างสูงนั้นมองคนตัวเล็กเข้าไปในบ้านจนลับตา ก่อนจะเดินยกสำรับไปเก็บที่โรงครัว ฟ้ากำลังจะมืด พระองค์หวังเพียงได้อาบน้ำอาบท่าและจะเข้านอน ทว่าธวัลย์นั้นกลับเดินสวนกันก่อน


“เจ้าเอาสำรับจากชายคนนี้ไปเก็บแทนทีสิ”  รองแม่ทัพเอ่ยสั่ง รอให้ลูกน้องของตนปฏิบัติแล้วจึงเชื้อเชิญกันให้ไปที่กระโจมส่วนตัว


“เฮ้ออออออออ”  เมื่อลับตาคน องค์รัชทายาทผู้ตกยากก็ถอนหายใจออกมา ส่วนธวัลย์นั้นก็หัวเราะราวกับเป็นคนบ้าที่ได้เห็นเพื่อนยากต้องมาตกระกำลำบากปลอมตัวง้อเมีย


“ง้อเมียมันเหนื่อย ข้าเข้าใจ”


“ไม่ได้ง้อ”  มาตามดูแล


“ให้เขาออกจากบ้านตั้งหลายเดือนปล่อยให้อุ้มท้องรอแถมไม่เคยจะมาพบหน้าเพื่อล่ำลา ถ้าเจ้าศศิไม่โกรธข้าก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร”


“เจ้าศศิ…”


“เฮ้ย ข้าเห็นเจ้าศศิเหมือนน้องนุ่ง อย่าได้มาเสียเวลาหึงเชียว คนที่นี่ไม่มีใครคิดจีบหรอก พ่อน้องมันเป็นแม่ทัพจอมโหด แม่มันเป็นท่านหมอจอมเหี้ยมเช่นนั้น ใครจะกล้า อ่อใช่...ก็ดูจะมีชายผู้หนึ่งที่ลักลูกเขาไปกินในบ้านและปล่อยทิ้งกลับมาพร้อมท้องโย้ๆ” ยิ่งตอกย้ำ ก็ยิ่งเครียด แต่เออจริง…ตอนนี้ไม่ง้อก็เหมือนง้อ ที่ธวัลย์ว่ามา ทั้งให้ออก ปล่อยให้อุ้มท้อง ไม่เคยล่ำลา ถ้าศศิไม่โกรธ ก็มีเมตตาดุจมหาเทพแล้ว



“ข้าจะทำยังไงดี”  ปัญหาที่ว่าจะแก้กับทางราชวงศ์ก็ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วมีโอกาสโดนเมียงอนอีก เลือกรับมือไม่ถูกจริงๆ


“ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่ว่าท้อง ข้าเองก็คันปาก ตอนนั้นที่ไปหาได้เจอกันก็อยากจะบอกใจจะขาด ติดที่ท่านทิชากรรู้ทันมากำชับก่อนเดินทางว่าหากพลั้งปากจะวางยาให้ระบบสืบพันธุ์เสื่อม เลยจำใจต้องกลืนลงคอไป ตอนนี้ดีแล้วที่มาเห็น ทั้งข้าและท่านอชิระไม่มีใครผิดสัจจะและเจ้าตัวก็หายโง่เสียที ช่างเป็นเรื่องดีที่จะได้ร่ำสุรา”


“เออข้ามันโง่”


“ตอนนี้ก็โง่ เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่าศศิมีลูกให้เจ้าได้”


“…”


“เช่นนี้เจ้าก็เห็นแล้วล่ะสิ ว่าไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขกฎมณเฑียรบาลอะไร”


“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าศศิจะยอมกลับไปด้วย” ต่อให้ไม่งอนก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าความต้องการของอีกฝ่ายเป็นเช่นไรในตอนนี้ แต่ก่อนไม่เคยอยากได้ยศถาอะไร ตอนนี้ก็น่ากลัวว่าจะยังไม่เปลี่ยนใจเหมือนเดิม


“ฉุดสิ ใช่เล่ห์มารยาชายแบบที่เคยใช้ อลงกรณ์เล่าให้ข้าฟังหมดแล้วว่าเจ้านั้นแค่ส่งข่าวไปบอกว่าป่วย น้องมันก็รีบแจ้นไปหาเลยใช่ไหม”  ก็ใช่…และหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับออกไปอีกเลย จนกระทั่งมีปัญหานั่นแล


“แล้วมารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ลา”


“ก็พอเห็นศศิท้อง ข้าที่เอ็นดูเหมือนน้องนุ่งก็แทบปรี่ไปฆ่าไอ้ชายชั่วนั่น โชคดีของมันที่ศศิอธิบายให้ฟังก่อน แต่ก็ไม่วายจะตัดพ้อ ว่าเจ้าปล่อยให้ตื่นมาคนเดียวและให้คนมารับออกไป”


“…”


“งอนแน่นอนอคิราห์ เจ้าต้องได้ง้อเมียแน่นอน”  ไม่ต้องให้ใครมาทำนายอนาคตเลย ที่ศศิยังใจดีด้วยถึงทุกวันนี้ เพราะบุญของไอ้เจ้าทิตย์มันทั้งนั้น ไม่ใช่บุญเก่าเก็บขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเลย!  “มีอีกเรื่องที่ท่านอชิระกำชับให้บอกเจ้า”


“อะไร” เมื่อสายตาของเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนไปก็ทำให้รู้ว่าต่อไปนี้จะมีแต่เรื่องสำคัญ ธวัลย์นั้นถอนหายใจ ก่อนจะเปิดปากออกมา


“เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม”


 ==============
TALK ง้อเมียต่อไม่รอแล้วนะ by พี่อาทิตย์
ยังคงคอนเสปต์มาทุกวัน แต่อาจจะเว้นบางวันหน่อยนะ555
ฝากต่อไม่รอแล้วนะ แล้วจะมาใหม่จ้า
#อาทิตย์ศศิ
@reallyuri
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 24 : 7/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-01-2019 22:04:00
ป๊อดนี่นา 555555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 24 : 7/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-01-2019 22:26:43
ว้ายยยย มีคนโดนเมียงอน 555555 ในที่สุดก็ได้รู้สักทีนะว่าน้องท้องจริงๆ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 24 : 7/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-01-2019 00:04:23
อาหลานเล่นใหญ่กันมากเด้อ 555555555
เห็นด้วยกับคุณรองแม่ทัพ ถ้าเขารู้ความจริงก้สนุกเลยทีนี้
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 24 : 7/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 08-01-2019 08:27:42
มาง้อน้องเลย เป็นแม่ที่ตั้งท้องดูแลลูกเหนื่อยนะ

คุณพี่ต้องรีบเคลียร์ปัญหาและดูแลตัวเองมากๆ

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk

หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 09-01-2019 18:28:32
Finding the twilight
25
เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม
☼ ☽


‘เคยได้ยินเรื่องของจันทราปราการไหม’
ถ้าจะบอกว่ารู้จัก แต่ไม่เข้าใจ…จะได้ไม่เล่า!


“หน้าโง่เยี่ยงนี้คงไม่เข้าใจอะไรเลยสินะ”


“หากไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนและความช่วยเหลือ ข้าจะสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตร”


“ใจเย็นอคิราห์ ข้ากำลังจะอธิบายให้เจ้าฟัง” เมื่อเห็นเพื่อนรักเริ่มแสดงตนเป็นองค์รัชทายาทบ้าอำนาจ คนที่ด่าว่าไปก็รีบเข้ามาประจบประแจง


“…”


“แต่บอกมาก่อนว่ารู้อะไรบ้างไหม”


“จันทราปราการเป็นตระกูลผู้มีบทบาทในประวัติศาสตร์ของคีรีธารา แต่ก็มีช่วงที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์”  พระองค์ตรัสราวกับท่องมาจากตำรา


“อาจารย์การปกครองต้องภูมิใจในองค์รัชทายาท”  ไม่ต้องรอสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรหรอก…


จัดการมันเงียบๆตรงนี้เลยดีกว่า!


“สายชล เจ้าเข้ามาหน่อย”  ทว่ายังไม่ทันได้ฆ่าใคร เหยื่อที่รู้ทันก็เรียกบุคคลที่สามเข้ามา เจ้าของร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่ดูจะอ่อนกว่าศศพินทุ์สักหน่อยเดินเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพรองแม่ทัพและพระองค์อย่างนอบน้อม


“ข้าชื่อสายชล” เกรงว่าเด็กคนนี้ก็ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของบุรุษตรงหน้า แต่อย่างนี้มันดีกว่า


“สายชลนั้นคือคนของจันทราปราการ”  สิ้นคำแนะนำของธวัลย์ อคิราห์ก็หันไปจ้องมองใบหน้าของเด็กคนนี้อีกครั้ง


“ขอรับ ข้าเป็นคนของจันทราปราการ”  เด็กน้อยขานรับอย่างว่าง่าย “เหมือนกับท่านเจ้าตระกูลทิชากร กับพี่ศศิขอรับ”  และชื่อที่ถูกเปล่งออกมาเป็นชื่อสุดท้าย ก็ทำให้พระองค์หันกลับไปมองพระสหาย


“ท่านอาของเจ้าบอกข้าว่าเมื่อเจ้ารับรู้เรื่องศศิมีลูกเมื่อไหร่ ให้อธิบายความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับจันทราปราการให้หมด” และนั่นคือเหตุผลที่ธวัลย์ไปล่อลวงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มา ทำดีจนอยากมอบรางวัลให้


“ข้าเห็นว่าท่านคือคนรักของพี่ศศิเลยอยากจะช่วย”  ถ้าทิชากรทราบเรื่อง ก็ไม่รู้ว่าเด็กมันจะโดนอะไรบ้าง แต่เอาเป็นว่า


ขอพระองค์ได้ทราบเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน!

☼ ☽


จันทราปราการไม่ได้เป็นชื่อดินแดนหรือกำแพงแต่อย่างใด…


ทว่าจันทราปราการคือกลุ่มคนที่ร่วมบูชาเทพแห่งจันทราเหมือนๆกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล คนเหล่านั้นรวมตัวกันอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำธารา แม่น้ำที่เป็นสายหลักหล่อเลี้ยงทุกชีวิตของคีรีธารา


ว่ากันว่าด้วยเป็นที่โปรดปรานขององค์เทพ จึงดลบันดาลให้เกิดความรู้ความสามารถแก่บุคคลในกลุ่ม นานเข้าจันทราปราการก็เป็นเจ้าของความเจริญต่างๆ เมื่อมีมากมายจึงเผยแพร่ ความเจริญเหล่านั้นได้ดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้าไปเล่าเรียนศึกษา มากเข้าจากดินแดนเล็กก็ใหญ่โต กลายมาเป็นคีรีธารา ดินแดนแห่งแม่น้ำและภูเขาเฉกเช่นปัจจุบัน


จึงกล่าวได้ว่าจันทราปราการคือผู้ก่อตั้งอาณาจักรข้างๆของสิหราชนคราไม่ใช่สถาบันกษัตริย์ แต่เป็นอาณาจักรที่กำเนิดมาโดยความเคารพในเทพจันทรา ต่างกับสิหราชนคราที่เชื่อว่าตนสืบเชื้อสายจากผู้บูชาพระอาทิตย์..ที่มีรูปอวตารเป็นสิงโตเจ้าป่า


“…”


“จันทราปราการมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ปกครองแห่งคีรีราชสกุล แต่ก็วางตัวเป็นเพียงปราชญ์ผู้ให้ความช่วยเหลือ ไม่เข้าไปยุ่งทางการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับการปกครองอย่างลับๆ”  เด็กน้อยสายชลยังคงอธิบาย ด้วยเพราะไม่ต้องการวุ่นวายจึงไม่เคยแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็มีอำนาจอยู่เบื้องหลังมาตลอด เป็นระบบความสัมพันธ์ที่ต่างจากดินแดนของพระองค์อย่างสิ้นเชิง


“ในบางครั้งก็มีคนของจันทราปราการแต่งงานกับคนของราชวงศ์”  มาถึงตรงนี้ พระองค์ก็รู้สึกหงุดหงิดพระทัย ที่มีคนเคยพูดว่าศศิเกิดมาเพื่อกษัตริย์ของทางนั้น ระบบความสัมพันธ์นี้นะหรือที่เอื้อให้ยอดรักของเขาไปเป็นของใคร!


“มีหลายคนมาทาบทามตอนที่พี่ศศิเกิด ด้วยอยากจะเกี่ยวดองกับสายหลักของตระกูล และเพราะคำทำนายนั่น จึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย”


“คำทำนาย?”


“ด้วยวันเกิดของพี่ศศิ ตรงกับวันที่มีสุริยุปราคาเนิ่นนานตลอดช่วงเวลาทำคลอด อีกทั้งแม่น้ำคีรีพลันหยุดนิ่งไร้คลื่นลม  ความมืดมิดเข้าบดบังเป็นที่น่ากลัวไปทั่วดินแดน ทว่าเมื่อพี่ศศิลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ปรากฏพระจันทร์ส่องสว่างงามตา เด็กน้อยที่ร้องระงมพลันหัวเราะและยิ้มสดใส ต้นไม้พืชพันธุ์ที่ล้มตาย กลับมามีชีวิตชีวา และคนป่วยก็ยิ้มได้หายเจ็บเมื่อแสงจันทร์ส่องสว่าง”


“…” 


“ว่ากันว่าเป็นการประทานพรจากเทพเบื้องบน และด็กที่เกิดกับจันทราปราการที่เป็นผู้บูชาสายหลักเป็นผู้นำพรเหล่านั้นลงมายังโลกมนุษย์”


“คุ้นๆไหมว่าเหมือนใคร”


“ไม่…”


“โหย…ไอ้คนเกิดวันอาทิตย์ทรงกลด..”  ธวัลย์นั้นพึมพำอย่างหงุดหงิดที่สหายรักไม่เปิดโอกาสให้แทรก แต่เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดมาก่อน ทว่าพระองค์ไม่ได้พบเห็นมันด้วยตัวเอง เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าเท่านั้น


เพราะพระองค์เองก็เป็นคนที่ว่ากันว่าทวยเทพให้ลงมาเอ่ยกล่าวพรแก่มนุษย์
และเพื่อเกิดเป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้า พร้อมนำพาราชวงศ์และบ้านเมืองไปสู่ยุคทอง


ทั้งนี้เพราะความเชื่อและต้นกำเนิดของสองเมืองนั้นไม่เหมือนกันเสียทีเดียว คีรีธาราเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาจากผู้บูชาพระจันทร์คือผู้นำพร แต่สิหราชนคราเชื่อว่าเด็กที่เกิดมาในรั้วพระราชวังซึ่งเป็นชนชั้นปกครองคือคนนั้นที่กุมชะตา และในวันที่เกิดอาทิตย์ทรงกลดที่นำพาซึ่งฝนอันชุ่มช่ำหลังภัยแร้งอันยาวนาน ก็มีเพียงแค่เด็กคนเดียวในรั้ววังที่ถือกำเนิด และเป็นคนเดียวตามทะเบียนราษฎร์กระมัง ที่เกิดในช่วงเวลาพระอาทิตย์ทรงกลดนั้น พอดิบพอดี…


คือพระโอรสขององค์เหนือหัวองค์ปัจจุบัน และนั่นคือพระองค์เอง…


“สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นย่ำแย่ เกิดการแบ่งฝักฝ่ายจากกลุ่มราชวงศ์และกลุ่มล้มล้างซึ่งเป็นเหล่าขุนนางที่ขัดแย้งทางผลประโยชน์ การกำเนิดของพี่ศศิถือเป็นความหวังของใครหลายๆคน อาจจะเพราะความเจริญหลังจากที่องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครากำเนิดนั้น ผู้คนยกเป็นตัวอย่างและต่างเชื่อไปเช่นนั้นจ้ะ”


“ดูสิ เพราะใคร” ธวัลย์นั้นเอ่ยพูด แม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าทรงเป็นสาเหตุการสูญหายของจันทราปราการในดินแดนบ้านเกิด แค่เกิดก่อน และถูกพูดไปก่อน ก็กำหนดชะตาคนที่ตามมาข้างหลังได้เสียอย่างนั้น


“ทางราชวงศ์ได้เข้ามาทาบทามพี่ศศิให้ไปหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทจ้ะ แต่ท่านเจ้าตระกูลไม่ให้”


“ท่านทิชากรนะหรือ” เป็นทิชากรนั่นแล


“แม้จะยังเด็กอยู่มาก แต่ก็เด็ดขาดเหลือเกิน เมื่อปฏิเสธไปแล้ว ทางนั้นก็ไม่ยอมรับ คีรีเขตที่เห็นว่าถ้าคีรีราชสกุลได้ตัวพี่ศศิไป จะส่งผลเสียทางความน่าเชื่อถือจากประชาชนแก่ทางตน จึงออกไล่ล่าพวกเรา ตอนนั้นคีรีราชสกุลเองก็บีบเราโดยการไม่ให้ความช่วยเหลือจนกว่าจะยกพี่ศศิให้ หนักเข้า พวกเราจึงต้องหนีมา”


“…”


“จริงๆแล้วที่คีรีราชสกุลนั้นต้องการพี่ศศินักหนาเพราะคำทำนายของโหราจารย์ทั่วราชอาณาจักรบอกเป็นเสียงเดียว”


“อะไรรึ”


“เด็กที่เกิดกับพี่ศศิจะนำพาความเจริญของอาณาจักรให้ขึ้นสูงเปรียบเป็นยุคทอง อยู่กับราชวงศ์ไหน ก็จะช่วยส่งเสริมนำพาผู้เป็นใหญ่ในราชวงศ์นั้นให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป คำทำนายก็ประมาณนี้”


“…”


“แต่ท่านทิชากรต้องการให้พี่ศศิได้เลือกเอง และเพราะไม่อยากวุ่นวายกับการเมืองอีกต่อไปจึงมีคำสั่งให้หนีมา อีกทั้งไม่ต้องการให้พี่ศศิไปกี่ยวดองกับคีรีราชสกุลอย่างนั้น เพราะครรภ์ที่ออกมาอาจจะไม่สมประกอบได้”


“ด้วยเหตุอันใด”  เมื่อฟังเช่นนี้ก็ห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ


“องค์ราชินีผู้เป็นพระมารดาขององค์รัชทายาทมีศักดิ์เป็นป้าใหญ่ของพี่ศศิจ้ะ ทรงเป็นพี่สาวคนโตของท่านทิชากร หลังจากที่หมั้นหมายกับคีรีราชสกุล ก็ตัดขาดกับทางตระกูล มีไม่กี่คนหรอกจ้ะที่รู้ว่าจันทราปราการมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดถึงเพียงนี้ และเพราะเป็นพระญาติที่มีสายเลือดใกล้ชิด ต่อให้อีกฝ่ายจนตรอกแค่ไหน ท่านทิชากรก็ไม่ยอมให้ยกพี่ศศิไปให้หรอก”


“แล้วคำทำนายนั่น ถ้าไม่ใช่องค์รัชทายาทแห่งคีรีธาราแล้วเล่า”  ธวัลย์นั้นพึมพำออกมา


“ไม่มีใครคิดเรื่องสิหราชนคราหรอก เราเลือกมาตั้งหลักอยู่ไกลจากพระราชวังถึงเพียงนี้แล้วนี่”  เด็กน้อยยังคงไม่รู้อะไร ตนเพียงทราบเรื่องราวเหล่านี้จากผู้อาวุโสที่เพิ่งยอมเปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ที่คีรีธาราปลดแอกจากคีรีเขตได้ แต่ตอนนี้องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเข้าใจแล้วว่าทำไมทิชากรถึงค่อนข้างจะกีดกันพระองค์กับยอดรักนัก


เพราะปัญหาทางการเมืองระหว่างคีรีธารากับสิหราชนคราอาจจะเกิดขึ้นได้
ด้วยแย่งหนุ่มน้อยคนงามที่มาจากจันทราปราการกันนี่แล… 


“เอาแล้วไง”  ฐานะของศศิเรียกว่าไม่ได้ด้อยกว่าอภิชญาแล้วในตอนนี้ นอกจากจะเป็นพระญาติของอาณาจักรข้างๆ มีความรู้และบำเพ็ญประโยชน์อยู่ชายแดนอาณาจักรนี้ และลูกของศศิ ก็เข้าชะตาน้ำงามที่โหรหลายสำนักต้องยกนิ้วให้


จะติดตรงที่ อาจจะงอนอยู่
และไอ้ญาติบ้าบอของเจ้าตัวมันริอาจจะมาอยากได้เมียของพระองค์นั่นแล…


“กองทัพจะสนับสนุนพระองค์เอง”  ธวัลย์นั้นตบไหล่ของเพื่อนด้วยเห็นใจ จริงๆตนพอรู้มาบ้าง แต่มาฟังความสรุปแบบเต็มๆก็เห็นใจไม่น้อย เห็นใจเพื่อน…


“ดีแล้วนะจ้ะที่พี่ชายกับพี่ศศิได้รักกัน ท่านทิชากรเคยบอกว่าถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ขยันขันแข็งอดทนและรักจริงก็ยินดีจะยกให้”  และสงสารไอ้เด็กนี่ที่คิดไปเองด้วย


“ไม่ได้เป็นตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาแล้ว”  เรียกว่าเป็นเขยชังไปเสียแล้ว องค์รัชทายาทรูปงามของเรา


หลังจากไล่เด็กรู้มากแต่รู้ไม่ครบออกไป ก็นั่งจิบสุรากันเงียบๆ พูดคุยปรับทุกข์เกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาหัวใจเล็กน้อยจึงได้แยกออกมา ความจริงที่กระจ่างชัดวันนี้ทำให้ปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆและท่าที พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพระบิดาถึงได้เคยหมายมั่นศศิไว้ถึงเพียงนั้น คงเพราะสงสัยว่าศศิจะเป็นคนของจันทราปราการกระมัง


แค่เห็นว่าลูกของตนรัก และการมีทายาทตรงคำทำนายเป็นประโยชน์แก่ราชวงศ์ แม้ว่าจะมีปัญหาทางการทูตกับคีรีราชสกุลก็ไม่เป็นไรกระนั้นหรือ ทรงเด็ดเดี่ยวเสียเหลือเกินพระบิดาของพระองค์นี่ แต่นอกจากอาณาจักรของพระองค์และพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ก็ทรงยอมทำทุกอย่างตามที่เห็นควรจริงๆ น่าเสียดายที่คงโดนทิชากรซ้อนแผนด้วยการให้ศศิกินยาพลางชีพจรตอนถูกตรวจสอบ ไม่งั้นป่านนี้พระองค์ได้อภิเษกไปแล้ว ท่ามกลางความร้อนระอุของสงครามและกบฏนั่นแล…


“หากเจ้าไม่ยอมให้ง้องอน เป็นเช่นนี้พี่ถือเป็นลูกอกตัญญูเชียวหนา”  ทรงต้องพาเมียและลูกกลับไปขอโทษพระบิดาที่วันนั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจให้ได้ อคิราห์ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแม้กระแสการเมืองระหว่างอาณาจักร คาดว่าอชิระที่ไปแทนนั้นคงทำบางอย่างให้ ถึงทิชากรจะไม่ให้ความร่วมมือก็คงดึงดันบังคับและใช้งานอีกฝ่ายให้จงได้ ขอให้ตลบหลังที่เคยซ้อนแผนกัน ด้วยการจัดการคีรีราชสกุลให้อยู่หมัดด้วยเถิด หลานของทิชากรน่ะ พระองค์ไม่คืนหรือฝากไว้อีกแล้ว!


☼ ☽


“วันนี้ท่านตื่นแต่เช้าอีกแล้ว”  สายชลที่เมื่อวานได้ไปช่วยให้คนรักของพี่ศศิได้เข้าใจความเป็นมานั้นเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี แค่คิดว่าต่อจากนี้พี่ศศิจะไม่ต้องเดียวดายก็ยิ่งมีความสุข แต่ยังบอกอีกคนไม่ได้ ว่าตนอยู่เบื้องหลัง


“อื้ม วันนี้ข้ามีนัดซื้อผ้ากับพ่อค้าที่มาติดต่อน่ะ”  ปกติแล้วจะมีพ่อค้าจากต่างเมืองเดินทางมาค้าขายแทบทุกสัปดาห์ ศศิเห็นว่าอีกไม่นานลูกก็จะคลอดแล้ว จึงคิดจะหาซื้อเสื้อผ้าน่ารักๆเตรียมไว้ แม้ยังไม่รู้ว่าแก้วตาดวงใจของตนจะเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นแฝดหรือลูกคนเดียวก็ตาม


“ให้ข้าไปกับท่านไหม”  สายชลจำได้เสมอว่าไม่ควรปล่อยศศิไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ที่สายชลไม่รู้ คือตนคนเดียวไม่อาจจะช่วยอะไรได้ แม้คนในจันทราปราการจะทราบว่าศศิตั้งครรภ์แต่ไม่รู้ว่ากับใคร และไม่รู้ว่าศศิกำลังเผชิญอันตรายถึงเพียงไหนอยู่ แม้แต่เจ้าตัวเอง ก็ยังไม่ตระหนักถึงตรงนั้นดีเสียเท่าไหร่


“ป่านนี้ไม่รู้พี่ทิตย์จะตื่นหรือยังนะ”  สายชลนั้นเอ่ยปากพูดลอยๆแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ คิดว่าพี่ศศิคนงามของตนคงจะงอนคนรักอยู่จึงไม่ยอมให้ร่วมเตียงและแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก จึงพยายามช่วยเหลือเพราะอยากให้ได้หันหน้าเข้าคุยกัน


และที่รองแม่ทัพธวัลย์พูดอวยอย่างนั้นอย่างนี้ สายชลก็ไม่เห็นว่าพี่ทิตย์ไม่ดีตรงไหน…


“นั่นสิ แต่เขาป่วยนี่เนอะ ให้พักเยอะๆดีแล้ว”  ศศิก็ว่าไปตามนั้น


แม้ชื่อนี่จะมีอิทธิพลต่อหัวใจ จนชักนำให้รู้สึกผิดอยู่บ้างก็ตาม


ยามเช้าตรู่เช่นนี้ เหล่าทหารในกองทัพต่างกำลังรวมตัวและฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น โรงหมอยังไม่ได้เปิดทำการ ศศิจึงพอมีเวลาว่างที่จะจัดการเรื่องส่วนตัว และตนก็เลือกที่จะมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ ทุกทีทิชากรจะให้คนมากมายตามมาด้วย แต่เพราะคิดว่าไม่จำเป็นจึงไม่ได้เรียกใครมา ระหว่างกำลังเดินไปยังประตูของค่าย เด็กซนอย่างสายชลก็ไม่รู้วิ่งหนีหายไปไหน ศศิส่ายหน้าอย่างระอา พลางเดินเอื่อยๆอย่างสบายอารมณ์เป็นการออกกำลังกายเบาๆไป


“อรุณสวัสดิ์”  เอ่ยทักทายทหารยามอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินก้าวขาออกมาเมื่อเห็นว่าเหล่าพ่อค้าเริ่มจะวางของกันแล้ว


“มาดูผ้าลายใหม่ๆได้เลยนะ”  ศศิที่มีเป้าหมายในใจจึงพุ่งเข้าไปตรงจุดนั้น หยิบจับมาสองสามชิ้น กำลังจะเงยหน้าขึ้นมาต่อราคาก็พบว่าเหล่าพ่อค้าที่มากันนี้ไม่ใช่ขาประจำที่มักมาค้าขายกันที่นี่


“ลดให้หน่อยได้ไหมจ้ะ จะได้ซื้อขายกันนานๆ”  จึงลองเอ่ยอย่างเป็นมิตรแม้จะนึกสงสัยอะไรบางอย่าง ทว่ารอยยิ้มจอมปลอมของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้หวาดระแวง


‘แม่จ๋า ออกมา…’


“ไม่เอาแล้วดีกว่าจ้ะ”  ศศินั้นรีบวางของลงและเดินก้าวถอยหลังหมายจะกลับเข้าไปในเขตของค่ายที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว แต่แล้วเสียงร้องอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของทหารเฝ้ายามก็ทำให้ตนชะงัก เหล่าพ่อค้าที่โพกผ้าต่างดึงมันลงและก้าวย่างเข้ามาหา พวกมันมีกันมากกว่า 10 คน…


“จับมันไปให้ได้!”  หนึ่งในนั้นเอ่ยสั่ง และนั่นทำให้ศศิรับรู้ได้แล้วว่าอันตรายมันอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด


แต่ที่ผ่านมาไม่รู้ เลยไม่คิดจะระวัง


“ไม่!”  เสียงร้องของศศิดังลั่น แต่เกรงว่าคงไม่ทันกาลให้ใครออกมาช่วยได้ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ ต่างล้มลงไปนอนพับกันเสียหมดแล้ว


“รีบพาขึ้นรถม้า เราจะเอามันไปต่อรองกับไอ้อคิราห์”  อคิราห์…


หนีมาไกลถึงเพียงนี้ยังไม่วายเป็นภาระท่านอีกหรือ…
ศศิ…ขอโทษ


“ปล่อยศศิเดี๋ยวนี้!”  เสียงที่ดังกังวานเต็มไปด้วยการคุมคามนั้นดังมาจากด้านหลัง โดยไม่ได้หันไปมอง ศศิก็รับรู้ได้ว่าบุรุษคนหนึ่งพุ่งเข้ามาผลักคนที่จับแขนของศศิไว้แน่นจนมันล้มลงไป


“ฆ่าไอ้นั่น แล้วจับเมียไอ้อคิราห์มา อย่าให้มันตายก่อน!”


“ไม่”  อย่าฆ่าเขา คือคำที่อยากจะออกจากปาก ความวุ่นวายรอบตัวทำให้ศศิรับรู้อะไรไม่ได้มาก เสียงกลองเรียกรวมพลดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของทิตย์ถูกถีบจนเซ แล้วยังต้องมากระโดดหลบคมดาบ ก่อนจะหาจังหวะก้าวเข้าไปใช้ศอกกระแทกที่กกหูแล้วแย่งดาบออกมา


ทิตย์ผู้นั้นไม่รีรอที่จะฟันฉับที่สีข้างและขาของมันจนล้มลงไป แต่กระนั้นคู่ต่อสู้ก็ไม่ได้น้อยลงเลย และมีใครคนหนึ่งกระโดดเข้าไปใช้ด้ามดาบกระแทกลงไปที่ท้ายทอยของทิตย์ ศศิกรีดร้องไปเพราะเห็นว่าเขากำลังจะเซล้มลงไป แต่ก็ไม่…ทิตย์ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป แม้ว่าจำนวนคู่ต่อสู้จะยังได้เปรียบอยู่มากก็ตาม


ทว่าแสงแห่งความหวังก็ชัดเจนทะลุม่านน้ำตาเข้ามา คนของกองทัพที่ได้ยินเสียงกลองต่างมารวมตัว ผู้ที่มาถึงก่อนต่างเข้าช่วยโรมรัน ผู้ที่มาถึงในภายหลัง บ้างก็วิ่งมาพาศศิกลับเข้าไปในค่าย ใช้เวลาไม่นานความวุ่นวายก็จบลง บ้างบาดเจ็บ บ้างล้มตาย แต่โชคดีนักที่คนของกองทัพทุกคนแม้แต่ทหารเฝ้ายามนั้นเพียงแค่เจ็บกาย ทว่าทุกคนล้วนเจ็บใจ!


และศศิยังนั่งเสียขวัญ…


“เจ้าพาไปเถิด”  รองแม่ทัพที่เข้ามาจัดการทุกอย่างได้เอ่ยบอกกับทิตย์ที่เพิ่งเดินเข้ามาเห็น ศศิเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า คิดโทษตัวเองไปสารพัด ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าทหารบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บถูกพาเข้ามาในค่าย


“พักก่อน พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก”  อคิราห์นั้นเข้าไปประคองยอดรักของเขาที่ทำท่าจะเข้าไปทำหน้าที่หมอ ศศิที่ยังขวัญหายหันมาสบตา ดวงตาที่คลอหยาดน้ำได้ปล่อยให้มันไหลเพียงแค่มองตาเขา  “ให้ข้าอุ้มไปเถิด”  โดยไม่รอคำอนุญาต ร่างสูงก็จัดการอุ้มพาเด็กน้อยของตนไปยังเรือนของตนเอง แต่กระนั้นก็พาไปนั่งที่แคร่หน้าเรือน ด้วยสำนึกว่าตนเป็นแค่ทิตย์…จึงยังไม่มีสิทธิ์อะไร


“ท่านเจ็บไหม”  กว่านานที่ศศิจะพูดออกมาได้ เมื่อถูกวางลงให้นั่งบนแคร่ ตนก็ยื่นมือไปสัมผัสกับแผลที่มุมปากของอีกฝ่าย แม้จะอ้างว่าเป็นหมอ แต่แววตาที่สะท้อนไป มันลึกล้ำกว่านั้น


“ไม่เจ็บหรอก เจ้าสิ…เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”  ศศิส่ายหน้าหวือ ก่อนจะกลับมาสังเกตแผลที่จุดอื่นๆ ร่างกายสูงใหญ่นั้นมีรอยถลอก เลือดออกบ้างเล็กน้อย แต่รอยช้ำนั้นมีเสียเยอะกว่า แค่คิดว่าถ้าเขาไม่ออกไป ตอนนี้ตนจะอยู่แห่งใดบนโลกก็สุดรู้จึงกลับมารู้สึกผิดอีกครั้ง


ถ้าไม่ออกไป ไหนเลยจะทำให้คนอื่นต้องมาบาดเจ็บเช่นนี้


“อย่าทำหน้าเช่นนี้สิ รู้สึกผิดอยู่หรือ”


“ฮึก..”


“อย่าคิดเช่นนั้น เจ้าไม่ได้อะไรผิด ใยคิดมากนัก”


“ถ้าข้าไม่ออกไป ก็คงจะไม่มีใครต้องมาเจ็บตัวเพราะข้า”


“ทุกคนล้วนเอ็นดูเจ้าทั้งนั้น เขาย่อมเต็มใจ”


“ฮึก แต่ท่านเจ็บ”


“ข้าย่อมเจ็บกว่านั้นมาก หากไปช่วยเจ้าไม่ทัน”  แค่คิดว่าถ้ายังนอนต่อ ไม่สนคำเรียกของเด็กสายชลที่วิ่งมาปลุกกันด้วยหมายจะเปิดโอกาสให้พระองค์ได้พลอดรักกับเมียที่ออกไปซื้อข้าวของ แค่คิดว่าตอนนั้นจะทรงรำคาญและไม่กระตือรือร้นต่อสิ่งใด…


โชคดีที่มันไม่สายจนเกินไป…


“อย่าพูดว่าเจ้ารู้สึกผิด เพราะพี่รู้สึกผิดกับเจ้ามากกว่ายิ่งนัก”


“…”


“ยอดรักของข้า เจ้าเจ็บหรือไม่ มันทำให้เจ้ากับลูกของเราให้เจ็บหรือไม่”  อคิราห์ยอมแพ้แล้ว ต่อให้จากนี้ศศิจะไม่มองหน้าพระองค์ด้วยแสนงอนที่ทรงทำเย็นชาเหินห่างในวันที่จากลา อีกทั้งไม่เคยเชื่อถือในคำพูดว่าเรามีลูกด้วยกัน มิหนำซ้ำยังมาลวงหลอกว่าเป็นอีกคนให้เชื่อใจ พระองค์ไม่สนอะไรแล้วแม้จะถูกเกลียดชังจนไม่อยากเห็นหน้าก็ตาม


แต่ทรงอยากได้สิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องและโอบกอดร่างที่สั่นเทานี้ไว้จะแย่
จึงไม่อาจจะปิดบังอะไรต่อไปได้อีกแล้ว…


“เจ็บตรงไหนหรือไม่”  ศศินั้นเอ่ยถาม ใบหน้าไม่มีรอยยิ้ม และมันไม่สะท้อนถึงความรังเกียจรังงอนแต่อย่างใด


“ศศิ…”


“ท่านไม่น่าปล่อยให้หนวดเคราเยอะเพียงนี้เลย”  ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะคลี่ยิ้มออกมา “มันเห็นแผลไม่ชัดเข้าใจไหม ต้องโกนหนวดตัดผมเป็นคนใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ พี่อาทิตย์!”  เพราะศศิไม่เคยเกลียดเขาลงได้


ต่อให้อยากจะวางท่าแสนงอนแค่ไหน แต่ใครเล่าจะใจแข็ง เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยกันถึงเพียงนั้น และเพียงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ตระหนักได้ว่าเวลาที่เสียไปมันเปล่าประโยชน์เหลือเกิน หากไม่รักวันนี้ รอจนสายไป ก็อาจจะไม่ได้รักอีกแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นแทนที่จะผลักไส ศศิจึงเลือกที่จะโถมหาอ้อมกอดนั้นด้วยคะนึงหาไม่ต่างกันแทน


มีที่ไหนที่ศศิจะจำคนรักของตัวเองไม่ได้ แบบเขานั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นแล แต่ถึงจำได้ก็แกล้งทำเป็นจำไม่ได้ไปงั้นเพื่อดัดนิสัย และตนก็ยังไม่แน่ใจถึงวัตถุประสงค์ที่ปลอมตัวมาของเขาด้วย หากทำไปเพราะกังวลเรื่องอันตราย การที่ศศิไปเปิดเผยความลับของเขาก็คงไม่ดีนัก แต่เช่นนั้นล่ะดีแล้ว ศศิจะได้จิกหัวใช้ ‘ทิตย์’ คนนั้นให้คุ้มกับการที่ไม่ยอมเชื่อกันเรื่องเจ้าแสบนี่


“ท่านปล่อยให้ข้ารอนานแล้ว กะจะมาเมื่อครบปีจริงๆหรือไง”  แต่ก็อดไม่ได้ต้องต่อว่าไปบ้าง


“พี่ขอโทษ”  และเมื่อถูกกอดเช่นนี้ พระองค์ก็ประพฤติตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็กอดกลับไม่ให้อีกฝ่ายต้องใจเสีย อนึ่งมันคือความต้องการส่วนลึกของพระองค์อยู่แล้วด้วย


“ต่อไปนี้ไม่ให้ห่างตัวแล้ว ท่านทำให้ข้าตกใจมากรู้ไหมที่ได้เจอกันในสภาพแบบนี้ จะเจอกันที่ไรก็ต้องบาดเจ็บได้ไข้ทุกทีเชียวหรือ พี่อาทิตย์...มันจะมากเกินไปแล้ว"  หากรู้ว่าเป็นความจงใจในครานี้ ท่านหมอคงด่าว่าพลันทุบตีในความงี่เง่านั้นน่าดู แต่เอาเถิด จะยอมเสียหมด แลกกับคำพูดคำจาน่ารักเมื่อครู่นี้ พระองค์ยอมได้หมดเลย


“ข้ารักเจ้าเหลือเกิน”


“แล้วใครว่าข้าไม่รักท่านเล่า ต่อไปพูดอะไรก็ฟังกันหน่อย ข้าน้อยใจท่านเหลือเกินที่ทำเหมือนไม่ยอมรับลูกของเรา”


“พี่ยอมรับแล้ว”


“ก็เพราะท้องโย้ออกมาขนาดนี้นะสิ”


“ขอโทษที่โง่งม” หากตอนนั้นทรงรู้ พระองค์คงขังศศิไว้แต่ในตำหนักจริงๆ การไม่รู้ก็เหมือนจะเป็นข้อดีให้ทรงจัดการทุกอย่างได้เร็วขึ้นอย่างที่ไม่มีห่วง แต่ก็ทรงเสียพระทัยที่ไม่ได้มีโอกาสได้ใช้เวลากับคนตัวเล็กยามที่กำลังท้องไส้ ทรงยอมให้คนท้องโกรธเคืองได้เต็มที่


“ท่านทั้งโง่ และบ้ากว่าใคร”


“แต่ก็รักเจ้ามากกว่าใครด้วยนะ”


“ข้าไม่เชื่อท่านแล้ว”


“เชื่อกันเถิด…”  ทรงเอ่ยขออย่างออดอ้อน เสื้อเก่าๆของพระองค์ที่ได้รับมานั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แต่กระนั้นพระองค์ก็หมายจะซับทุกหยาดน้ำออกให้ ด้วยหวังจะไถ่โทษในสิ่งที่พลาด และสิ่งที่ทำได้ช้าเกินไป


บัดนี้ต่อให้เอาอะไรมาแลกหรือมาขวาง ก็ไม่มีวันยอม



“ยอดรักของพี่”  ทรงเอ่ยกระซิบเสียงหวานที่ข้างหู น้ำเสียงของพระองค์กลับมาเป็นปกติแล้วหลังจากเจ็บคอมาหลายวัน


“…”


“พี่มารับเจ้ากับลูกไปด้วยกันแล้ว”  ศศิจะติดตามไปด้วยกันไหม  “ต่อให้เจ้าจะไม่ยินยอม พี่ก็ไม่ให้โอกาสได้เปลี่ยนใจแล้ว”


“พี่อาทิตย์”


“ได้โปรดเถิดยอดรัก”  หวังว่าวาจาหวานหูนี้จะไม่บาดกันแรงจนคนน้องทนไม่ไหวดิ้นหนี  “ให้ตัวเจ้าได้เป็นราชินี และลูกของเราได้เป็นรัชทายาทแห่งสิหราชนคราเถิดนะ"” คำขอที่เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจของเขา


จันทราปราการคนงามที่หวาดกลัวต่อบัลลังก์จะยินยอมต่อกันหรือไม่…
ศศิ...ควรจะหาบทสรุปต่อคำถามนี้ที่มีมาในใจเนิ่นนานนี้เสียที


TALK
ต่อไปก็จะมีเนื้อเรื่องจุดสำคัญอีกหน่อย แต่ไม่ดราม่าแล้วค่ะ (เหรอ)
ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ พี่อาทิตย์ของเราง้อเมียต่อไม่รอแล้วเหมือนกัน55
#อาทิตย์ศศิ @reallyuri





หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 09-01-2019 19:07:14
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-01-2019 19:22:13
ดีนะที่สายชลไม่เล่าไปตบหลังองค์รัชทายาทไป 555555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 09-01-2019 20:39:45
ศศิ สู้ สู้  :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-01-2019 01:03:59
ขำความด่าเพื่อนของธวัลย์ ในที่สุดพี่อาทิตย์ก็ได้รู้เรื่องอย่างคนอื่นเขาสักที และต้องขอบตุณสายชลด้วยที่ไปตามพี่มา ไม่งั้นศศิคงแย่แน่ๆ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 10-01-2019 02:40:30
ว่าแล้วว่าน้องน่าจะจำได้ แต่ก็ดีที่น้องทำเป็นจำไม่ได้ ดัดนิสัยคนพี่ซะบ้าง ฮึ
ตอนที่เจอคนร้าย ศศิได้ยินเสียงลูกด้วยสินะ น้องช่วยแม่เอาไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยนะเนี่ย
เดาว่าท้องนี้แฝด อ้างอิงจากที่อาทิตย์ฝันถึงเมื่อตอนที่แล้ว ขอให้เป็นแฝดด
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-01-2019 13:16:11
เรื่องต่อไปก็ใหญ่อยู่นะ หวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 25 : 9/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 11-01-2019 05:23:09
น่ารักมากค่ะ น่าเอ็นดูศศิมากด้วย
ศศิคือแก้วตาน่ะ จะให้ทิชากรปล่อยวาง ทำไม่ได้หรอก
แล้วยังเป็นบุคคลพิเศษอีก ต้องปล่อยให้กับคนที่วางใจได้

อคิราห์บุกมาขนาดนี้แล้ว อชิระยอมเสี่ยงให้แล้ว 
คำบอกรัก และคำชวนนี้จะสู้ไหวไหมนะ

ใจนึงก็อยากให้กลับเพราะรักกันมาก
แต่อีกใจก็ไม่อยากให้กลับเพราะอันตราย

เอ็นดูความเป็นคนซน ดื้อเงียบ และฉลาดมาก ของศศิ
คนรัก คนที่รอคอย ไหนเลยจะลืมใบหน้าพี่ได้เนาะ

หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 26 : 12/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 12-01-2019 15:26:42
Finding the twilight
26
ความตั้งใจ
☼ ☽

“ข้าคงยังไปไม่ได้”


ทำไม…


พระองค์ทรงทอดพระเนตรมองคนรักที่ตอบกลับมาด้วยความผิดหวัง ทั้งๆที่เคยบอกกันว่าหากยังรักให้มาหา พระองค์ก็ทรงดั้นด้นมาทั้งๆที่เวลานี้มันเสี่ยงนัก ก็รู้ว่าทรงทำไม่ถูกที่ไม่ไปจัดการปัญหาส่วนพระองค์ให้ดีเสียก่อน แต่ก็อยากให้ทรงเห็นใจกันบ้าง ไม่สงสารกันบ้างเลยหรือไง


“เจ้าแสบนี่ร้ายมาก คงอีกสักพักกว่าจะขยับขยายไปไหนได้”  ด้วยคำพูดนี้ ราวกับว่าได้คว้าฉุดอคิราห์ขึ้นมาจากเหวลึก รอยยิ้มหวานหยดของคนงามทำให้พระทัยพองฟูขึ้นมา ตอนนี้ศศินั้นไปไหนไม่ได้หรอก และคงอีกสักพักกว่าจะไปไหนได้ เจ้าแสบในท้องต่อให้เกิดมาก็ยังเด็กนัก เราจึงยังไม่ควรเร่งออกเดินทางเพราะมันเสี่ยงเกินไป


“หมายความเจ้าจะกลับไปกับข้าใช่ไหม”


“ข้ายังไม่ได้บอกว่ายอมแพ้ในตัวของท่านแล้วเสียหน่อย”  อคิราห์ที่ได้ฟังรู้สึกตื้นตันไปหมด แต่ศศิไม่ได้ยอมพระองค์ขนาดนั้นหรอกนะ “แต่ถึงกลับไป ข้าก็ขออยู่ข้างนอกก่อนได้หรือไม่”


“…”


“พี่อาทิตย์…เราห่างกันไปหลายเดือน สถานการณ์รอบกายท่านเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ สิ่งที่ผ่านมาทำให้ข้ารู้ว่าการอยู่ข้างในนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย”


“แต่ว่า…”


“และข้ายังมีครอบครัวที่ต้องให้ความสำคัญ”  ศศิจำต้องให้ความสำคัญกับจันทราปราการด้วย “ขอแค่เราเพียงรักกัน ไม่ต้องเจอกันทุกวันก็ได้ ให้ข้าอยู่ไม่ไกลจากท่านและเรารักกันไปเงียบๆสักพักก่อนได้หรือไม่ ศศิ…ยังไม่มั่นใจเลย”  คำขอที่ดูเหมือนจะเฉือดเฉือนหัวใจกันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ทำร้ายพระองค์ฝ่ายเดียว แต่คนพูดเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน


ในตอนนี้ที่ทุกอย่างไม่ชัดเจน ศศิไม่อยากจะอุ้มลูกเข้าไปในพระราชวังที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี จนกว่าจะมองเห็นสถานการณ์และความเป็นไปได้ที่ชัดเจนกว่านี้ ก็ไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความรักของเราที่ยังมีอยู่ และไม่ต้องการให้เจ้าแสบถูกกำหนดเป็นหมากที่ในภายหลังเจ้าตัวจะเสียเปรียบ จนกว่าจะมั่นใจอะไรได้ ศศิก็อยากจะอยู่เงียบๆในที่มืดมากกว่า


แต่กระนั้นตนก็ชัดเจนว่ายังไม่ยอมแพ้ให้กับความรักของเรา


“ข้าเองก็ไม่อยากเห็นแก่ตัวปล่อยให้ท่านเผชิญปัญหาคนเดียว เรารักกันข้าก็อยากจะเผชิญมันกับท่าน แต่ขอเวลาข้าสักนิดได้ไหม”


“…”


“แม้จะมั่นใจว่าเรารักกันได้แต่ไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเคียงคู่กับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราจริงๆหรือเปล่า”  นี่คือสิ่งที่กัดกินใจเราเหลือเกิน พระองค์สามารถพูดได้ว่าเข้าใจ เพราะแม้จะได้ชื่อว่าดำรงตำแหน่งนี้ ทว่าคนที่ศศิรักไม่ใช่องค์รัชทายาทหากแต่เป็นแค่พี่อาทิตย์คนธรรมดา ทรงต้องยอมรับและยอมให้เวลาอีกคนได้ทำใจ


“แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็มีคนต้องเสียสละ”


“…”


“ไม่ข้าก็เจ้า ใครสักคน”  ไม่พระองค์ต้องยอมสละบัลลังก์ ก็ศศิต้องยอมมาอยู่เคียงข้างในฐานะที่ทรงอยากให้ควรคู่


“แต่ข้า”


“เจ้ารักข้าไหม”


ศศิพยักหน้า


“เจ้าไม่ชอบสิหราชวงศ์หรือ”


ศศิส่ายหน้า


“แล้วเจ้ารักองค์ชายอคิราห์ไหม”


ศศิก็ยังคงพยักหน้า


“อยากเป็นราชินีแห่งสิหราชนคราไหม”


ศศินิ่งเฉย


“เจ้าอยากให้ข้าสละบัลลังก์มาเพื่ออยู่กับเจ้าไหม”


ศศินิ่งไป…ก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำถาม


“หรือเจ้าไม่อยากเคียงข้างกัน”


ศศิส่ายหน้าโดยพลัน


“เช่นนั้นก็ต้องมาเป็นราชินีให้ข้าและให้ลูกของเราขึ้นเป็นองค์รัชทายาท”


ศศิไม่ตอบคำถามใดๆ


“เจ้าจะยังไม่ยอมแพ้ในตัวข้าใช่ไหม”


“ข้ารักท่านเกินไปจนยากจะถอยกลับ”


“งั้นข้าจะทำให้เจ้ายอมรับ”


“…”


“หากแค่ศศิเพียงคนเดียวยังทำให้รักไม่ได้ ไฉนเลยจะปกครองบ้านนี้เมืองนี้ได้”


“ข้ารักท่านไปแล้ว”


“แต่ไม่อาจจะพูดได้ว่ารักการเป็นองค์รัชทายาทของข้า”


“…”


“แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ข้าเกิดมาเป็นเขาไปเสียแล้ว”  ก็มีทางเดียวคือทำให้ศศิรักและยอมรับได้ทั้งหมด พระองค์จะทำให้เห็นว่าทรงมีดีแค่ไหน สามารถปกป้องกันได้เท่าไหร่ และหากขึ้นมาอยู่เคียงข้างกัน…จะมีความสุขแค่ไหน


“ข้าไม่ได้ไม่ยอมรับที่ท่านเป็นองค์รัชทายาท เพียงแต่ว่าข้าไม่คิดว่าตนเองเหมาะสมกับองค์รัชทายาทต่างหาก”


“เชื่อข้าเถิดว่าไม่มีใครเหมาะจะเคียงข้างองค์รัชทายาทได้เท่าเจ้าอีกแล้ว”  ทรงกล่าวยืนยันและจุมพิตลงบนหลังมือขาว เจ้ากระต่ายน้อยช้อนตามองกันด้วยแววไม่มั่นใจ แต่พระองค์จะทำให้ทุกอย่างมันเป็นไปได้ ในตอนนี้ทรงไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องจากท่านหมอน้อยผู้นี้จริงๆ ยังมีหลายสิ่งนักที่ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำให้สำเร็จก่อนมาหา นี่ยังทำไม่ได้ครบเลย จะมารีบเร่งไม่ได้


พระองค์ต้องกลับไปเพื่อกลับมาใหม่แล้วพาศศิไป…เป็นองค์ราชินีแห่งสิหราชนคราให้ได้


☼ ☽


แม้จะไม่รู้สึกยินดีกับข้อเสนอนี้ในตอนนี้เท่าไหร่นัก
แต่ก็รู้สึกได้ว่าตนมีแสงสว่างนำทางแล้ว


แค่พระองค์ทรงตอบรับข้อเสนออันเห็นแก่ตัวนี่ ศศิก็รู้สึกยินดีจนไม่รู้จะเอ่ยกล่าวเช่นใด แม้ไม่อาจจะพูดได้ว่าตนอยากเป็นองค์ราชินีกับเขาบ้างไหม มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปเสียหน่อยที่จะให้เขาพิสูจน์ฝ่ายเดียว แต่เมื่อทรงให้คำมั่น ศศิก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา และตนก็เริ่มจะมีความเชื่อที่ว่าอะไรๆมันอาจจะไม่เลวร้ายเลยหากมีผู้ชายที่ชื่ออคิราห์เคียงข้างกัน


เราสองเข้ามาในเรือนของศศิ ความคะนึงหาที่มีมากมายนั้นทำให้ตนเลือกจะมองข้ามสายตาผู้อื่น ความเป็นอยู่เรียบง่ายเช่นนี้เมื่อเราอยู่ด้วยกันช่างเป็นภาพที่ไม่ชินตาหากแต่ให้ความรู้สึกสบายใจที่ได้มอง เรากอดรัดกันจนพอใจ จนกระทั่งองค์รัชทายาททรงคิดไปเองว่าไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะปิดบังตัวตนอีกแล้ว จึงได้ขอตัวออกไปจัดการกับสภาพที่ทุเรศลูกตาสิ้นดี ยิ่งเมื่อศศิมองกันและเฝ้าถามว่าทรงผ่านอะไรมาบ้าง ก็ยิ่งรู้สึกกังวลว่าอีกคนจะเครียดเพราะสิ่งที่ทรงทำลงไป


“ข้าไม่อยู่ พวกพี่สาวดูแลท่านไม่ดีหรือ”


“ข้าไม่ยอมให้ใครดูแลต่างหาก”  ทรงรับขันน้ำจากศศิมาชะล้างใบหน้า หยิบมีดโกนหนวดและอุปกรณ์ต่างๆที่ไปขอธวัลย์มาและจัดการกับตัวเอง ด้วยเพราะไม่อยากให้คนรักต้องเหนื่อยมากจึงให้ศศิแค่นั่งมอง แต่อย่างไรเจ้าตัวก็ยืนยันว่าผมนี้จะต้องตัดเล็มออกบ้างจึงยินยอมให้เจ้าของมือเล็กนั่นทำให้


“ข้ามิกล้าปล่อยท่านไว้คนเดียวอีกแล้ว แผลพวกนี้อีก ทำไมไม่บอกท่านอลงกรณ์ไว้ จะได้จัดเตรียมไว้ให้” 


“ยามีก็ใช่ว่าจะมีคนมาทาให้ ข้าไม่ต้องการหรอกนะให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้ามาแตะเนื้อต้องกายเกินจำเป็น”  เมื่อฟังคำอธิบายก็เริ่มเห็นสอดคล้อง ศศิก็ไม่ยอมเช่นกัน “ทาให้ข้าได้หรือไม่เล่า” ทรงรับผ้าเช็ดหน้ามาจากศศิและเอ่ยขอ เจ้าของดวงตาสุกสกาวนั้นจ้องมองก่อนจะพยักหน้าให้ จนป่านนี้ก็ไม่ควรมีอะไรที่ต้องเขินอาย เรามีเจ้าตัวเล็กด้วยกันแล้ว นับประสาอะไรกับการถูกเกี้ยวพาราสีซ้ำๆ


ท่านหมอน้อยจัดการป้ายยาลงบนผิวกายที่เต็มไปด้วยแผลเป็น กำลังจะทาให้บนผิวหน้าที่มีแผลเป็นพาดยาวที่ใต้ตา แต่คนพี่ก็ร้องห้ามพลางดึงแผลปลอมออกให้ศศิต้องตกตะลึง เมื่อเห็นพระพักต์คมที่ไร้หนวดเคราและแผลเป็นแล้วก็รู้สึกดีขึ้นหน่อย ไม่เช่นนั้นคงโทษตัวเองไปจนตายว่าที่ชิงห่างกายออกมาทำให้เขาทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น


“ปานบนใบหน้าเจ้าก็จางหายไปหมดแล้วนะ”  ใช่…น่าแปลกมาก


ตั้งแต่เจอกันมันก็เริ่มจางแล้ว และพอท้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันก็ยิ่งจางจนหายไปในที่สุด ไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์ แต่ศศิก็ตีความไปเองว่าเพราะตนมีความสุขจนเกินไป ทำให้ร่างกายปรับสภาพจนมันหายไปเอง ทั้งนี้มันก็ยังคงเป็นแค่ทฤษฎีไร้สาระ


“เจ้าแสบของเราเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าได้รับความลำบากบ้างไหม”  ทรงเอ่ยถามพลางสัมผัสหน้าท้องของคนรักอย่างสงสัย พระองค์พลาดไปจริงๆ พลาดที่ไม่เชื่อใจจนทำให้เราผิดใจกันไปนาน แม้จะพยายามผสานแต่เพราะไม่เชื่อใจในตอนนั้น ผสานเท่าไหร่ก็มีรอยปริให้เห็นอยู่ดี ต้องขอบคุณที่ศศพินทุ์รักกันมาก จึงทนความงี่เง่าบ้าบอของพระองค์ได้


“เขาชอบทักทายกันแต่บางทีก็ทักทายหนักไปบ้าง ต้องลุกขึ้นมาทั้งปลอบทั้งดุถึงจะยอมเชื่อ”  มันก็เหนื่อยแต่ก็ทำให้ตนรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เพราะลูกนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่มักจะห่างกันไปเรื่อยๆ จากอยู่ในท้องก็ออกมาอยู่แนบอก พอเริ่มเดินวิ่งได้ก็ต้องประคับประคองวิ่งตาม จนกระทั่งเติบโตขึ้นมาก็จะออกห่างไปมีครอบครัวของตนเอง แค่คิดก็ใจหาย ในยามนี้ที่ยังอยู่ในกาย แม้จะเหนื่อยหรือรู้สึกไม่สบายแต่ก็ยินดี


“แสบเหลือเกิน ออกมาแล้วต้องดื้อเหมือนเจ้าแน่ๆ”


“ทำไมกล่าวหากันเช่นนี้ ข้าว่าแค่อยู่ในท้องก็ออกลายแสบเหมือนพี่อาทิตย์เสียแล้ว”


“เจ้าคิดไปเอง”


“เขาอยู่ในท้องข้า และข้ารู้จักท่านดี ไฉนจึงคิดว่าข้าคิดไปเองได้”  คนท้องยังคงตั้งหน้าตั้งตาเถียง แต่ทุกคำที่เราเอ่ยกล่าวล้วนเต็มไปด้วยความสุขใจ


“ได้ตั้งชื่อไว้หรือยัง”


“ท่านน้าบอกให้คิดไว้สักสาม ข้าคิดออกแล้วสอง รอเกิดมาและเจอกันก่อนจึงคิดว่าจะเลือก ดูว่าเกิดเวลาไหนก็ใช้ชื่อนั้น”


“มีชื่ออะไรบ้างเล่า”


“รวิวัลย์กับกัษษากร”  พระอาทิตย์และพระจันทร์ ช่างเป็นชื่อที่เลือกยาก


“หากน่ารักจะให้ชื่อกัษษากรก็แล้วกัน”


“ลูกของข้าย่อมน่ารักอยู่แล้ว”


“แต่รวิวัลย์ก็น่าสนใจไม่น้อย”


“หรือเราควรคิดมาอีกชื่อให้ลูกดี พี่อาทิตย์ ท่านคิดบ้างสิ”


“กะทันหันเช่นนี้ข้าจะไปคิดอะไรออก”  ลำพังเรื่องลูก…พระองค์ก็เพิ่งได้มั่นใจไม่นานมานี้เอง


“อีกตั้งสักพักกว่าเขาจะออกมา ท่านไปเปิดหาหนังสือหรือไปถามใครมาก่อนก็ได้ หากยังไม่มีในใจก็จะเรียกเจ้าลูกหมาไป ข้าว่าก็คงไม่เป็นไรนะ”


“เจ้าทำเสียข้าดูเป็นพ่อหมาไปเลย”


“ศศิก็เป็นแม่หมาไง”  และบทสนทนาอันไร้สาระของเราก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มันก็นานแล้วที่ทรงไม่ได้มีความสุขมากมายเช่นนี้ กับความสุขที่เป็นหนึ่งเดียวของพระองค์นี้ ทรงไม่มีวันยอมปล่อยมือออกไปได้ และต่อไปชีวิตอันวุ่นวายของพระองค์ก็คงจะต้องเผื่อที่ว่างให้อีกคนมาเติมเต็มได้อีก จะไม่มีอีกแล้วความห่างไกล


ต้องทรงได้ทั้งแม่และลูกกับตำหนักชลสินทุ์ไปด้วยกันเท่านั้น!


ถึงความสุขจะแสนสั้นจนน่าใจหายแต่ก็ทรงมีความสุขอยู่ดี ทิชากรยังไม่กลับมา และพระองค์ก็ทรงอยู่รั้งที่นี่แทนอชิระที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้าง ไม่ได้ทรงงานแบบที่ทำประจำเหมือนตอนอยู่ที่เมืองหลวง แต่ก็มุ่งหารือในกิจต่างๆกับธวัลย์ บุรุษผู้ที่จัดการกับรูปลักษณ์ของตนเองจนกลับมางดงามเช่นคนเดิมนั้นดูโดดเด่น ทว่าทุกคนนั้นเพียงรับทราบว่าพระองค์นั้นเป็นขุนนางที่มาราชการต่างถิ่นและมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับท่านหมอคนงามเท่านั้น ทว่าเมื่อขยับปากอยากจะถามอะไร ธวัลย์ก็จ้องหน้าจนไม่มีใครกล้าเอ่ย


วันและคืนของพระองค์ที่ค่ายทหารชายแดนนั้นดีเช่นนี้ ชักอยากจะส่งแม่ทัพคนปัจจุบันไปเป็นองค์รัชทายาทเอง ในขณะที่กำลังแกะเปลือกส้มให้ศศิที่กำลังอ่านหนังสืออยู่


“พี่อาทิตย์ ท่านไม่กลับไปทำงานได้หรือ”  เขาก็มาหลายวันแล้วเหมือนกันนะ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนเพิ่งได้เจอ


“ตราบที่อาของข้าและน้าของเจ้ายังไม่กลับมา ข้าก็จะไม่ไปไหน”


“…”


“เจ้าอยากให้พี่กลับไปหรือ”


“ข้าแค่คิดว่าถ้าท่านไม่ต้องทำงานแล้ว จะได้อยู่กับศศิได้ต่างหาก”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หอมแก้มใสดังฟอด น่ารักเกินไปแล้ว เดี๋ยวก็ฉุดพาหนีไปด้วยเลยนี่


“ข้าคิดว่าหากเจ้าไม่รำคาญ ก็คงขออยู่จนกว่าจะได้เห็นหน้าเจ้าแสบได้หรือไม่”


“ใครจะไปห้ามท่านได้เล่า”  แม้คำพูดคำจาจะไม่ได้ดูยินดียินร้าย แต่หัวใจของคนที่กำลังอุ้มท้องลูกของเขากำลังพองฟู


“อย่างไรพี่ก็ต้องกลับไป แต่จนกว่าจะได้เห็นว่าเจ้าและลูกปลอดภัย พี่คงนิ่งเฉยทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรอก”


“ข้าเข้าใจ”


“ดังนั้นถ้าข้าไม่อยู่ ก็อย่าชวนเจ้าแสบดื้อซนด้วยกันมากนะ”


“ข้าไม่ได้ดื้อสักหน่อย!”


“ไว้ใจได้ที่ไหน คนแถวนี้บอกข้าหมดแล้ว ว่าเจ้ามันจอมป่วนเลย”  คุณแม่ที่ได้ฟังความจากปากของคุณพ่อก็หน้าแดงขึ้นมา ดื้อและซนช่างดูไม่สมกับคนเป็นหมอและคนเป็นแม่เลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมานั่นก็เพราะเล่นแล้วมันสนุกไปหน่อยต่างหาก!


ช่วงเวลาที่ทรงได้ดูแลท่านหมอน้อยช่างมีค่า แต่มันก็ผ่านไปไวราวกับว่าเทพเวลาได้เร่งให้มันจบลงเร็วนัก ทว่าพระองค์ได้กล่าวไว้แล้วว่าไม่อาจจะจากไปได้ หากทิชากรกลับมาแล้วพระองค์ก็จะทำหน้าตายแม้ว่าอีกฝ่ายจะตีหน้ายักษ์ใส่แค่ไหนก็ตาม กับแค่ทิชากรคนเดียวคงไม่อะไร อย่างไรก็คงไม่เกินมือของท่านอาอชิระหรอก(?)


ทว่าแม้จะมีใจนึกถึงแต่ไม่คิดให้กลับมาถึงในวันนี้เลย


ในตอนนี้พระองค์ต้องมาผจญกับกระแสกดดันทางแววตาของท่านอาจารย์หมอของคนรักที่มาเยือนถึงเรือน หากเป็นปกติเจ้าตัวดีคงวิ่งไปหาแต่เพราะท้องแก่แล้วจึงต้องให้เป็นฝ่ายมาพบเอง และเมื่อพบพระพักต์ อีกฝ่ายก็ไม่ได้โวยวายอะไร และแน่นอนว่าก็ไม่ได้มีการทำความเคารพอะไรกัน ไถ่ถามเรื่องอาการในช่วงนี้กันจนจบก็ปรายตามามองทางพระองค์เพียงครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา


“หากประสงค์จะอยู่ที่นี่ก็ขอให้มีสติดูแลหลานของกระหม่อมให้ดีด้วย”  และทิชากรก็เดินออกไป พระองค์จะถือว่าผ่านด่านแม่ยาย(?)แล้วละกัน


แต่ละวันผ่านไปอย่างสุขสงบในความรู้สึกของบางคน แต่กับบางคนมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย ทันทีที่ทิชากรกับอชิระกลับมาที่ค่ายแห่งนี้ สายข่าวก็มาแจ้งให้ทราบถึงการเคลื่อนไหวของพวกกบฏไม่ไกลจากด่านตะวันตกที่ 1 คงเพราะมีการกระจายข่าวออกไปว่าพระองค์จะเสด็จกลับทางนั้นกับราชองครักษ์เหมือนตอนขาไป แต่ไม่มีใครทราบเลยว่าพระองค์นั้นหนีมาด่านตะวันตกที่ 2 ตั้งแต่ก่อนออกจากด่านแล้ว


ด้วยเพราะไม่อยากให้ใครที่วังหลวงทราบว่าไม่ได้เสด็จไป อชิระจึงช่วยกำชับไม่ให้มีใครพลั้งปากแต่แรก และในขากลับ ท่านแม่ทัพก็กลับทางด่านตะวันตกที่ 2 กับคณะของทิชากรมาก่อน ปล่อยให้พวกอลงกรณ์และธมลเดินทางตามมาภายหลังและกลับทางตะวันตกที่ 1อย่างที่วางแผนไว้ ทว่าใครจะไปคิด…ว่าพวกบฏตั้งใจจะไปดักโจมตีพระองค์หลังจากที่พยายามจับตัวศศิไปไม่เป็นผล


ด้วยเพราะเสียกำลังพลไปมาก ทางนั้นเองก็คงไม่ได้มีคนเหลือเยอะแยะและอาจจะพยายามหาพันธมิตร ด้วยเพราะความช่วยเหลือระหว่างสองดินแดนในการปราบกบฏจึงทำให้มีการส่งข่าวบอกกล่าวกันไปมา คิดไว้ไม่ผิดเลยว่าคีรีเขตที่กำลังหนีกันหัวซุกหัวซุนหลังจากพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในคีรีธาราก็พยายามจะหวังพึ่งพิงกบฎของฝั่งนี้เช่นกัน และก็คงจะพยายามมาพบและจับตัวพระองค์ที่ด่านตะวันตกที่ 1 นั่น


ฉะนั้นเราจึงไม่ควรอยู่เฉยอีกต่อไป ทรงปล่อยให้เป็นหนามหยอกแทงพระทัยมานานแล้ว!


“ด้วยเพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องขอฝากศศพินทุ์ไว้ในการดูแลของท่าน เมื่อเสร็จกิจก็จะรีบกลับมาหา”  ทั้งๆที่ไม่อยากพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ขี้หวงของศศิอย่างทิชากรแม้แต่น้อย ทว่าเพราะความจำเป็นจึงต้องเดินมาหาและบอกกล่าวความตั้งใจ


“อย่าได้ห่วงไปเลย” และทิชากรไม่มีวันปฏิเสธพระองค์ได้ อย่างไรก็ตามภารกิจที่พระองค์ทำก็เกี่ยวพันถึงการปกครองของสองดินแดน ทิชากรไม่ใช่ผู้รับประโยชน์โดยตรงแต่ก็เกี่ยวข้องอยู่บ้างจึงยินดีที่จะช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ และยิ่งเรื่องของศศิ ยิ่งเป็นเรื่องที่ตนมากกว่าเต็มใจ


เมื่อพูดคุยกันเสร็จ องค์รัชทายาทก็ออกมาหารือกันต่อเกี่ยวกับกลวิธีที่จะใช้ในการตลบหลัง ตอนนี้เราไม่ได้สื่อสารกับทางธมลและอลงกรณ์ที่ยังอยู่ที่คีรีธารา แต่ก็คาดว่าพวกเขาจะคาดเดาแผนในตอนที่เข้าจู่โจมได้ไม่ยาก เมื่อพูดคุยกันเสร็จก็ทรงแยกจากมา ชี้แจงให้ทุกคนรู้ว่าจะทรงทำอะไรแล้ว ที่สำคัญและขาดไม่ได้ ทรงต้องแจ้งบอกให้ศศิเข้าใจว่าพระองค์จะออกห่างไปไกลสักพักหนึ่ง


“ทำอะไรอยู่หรือ”  เมื่อเห็นแผ่นหลังของคุณแม่ที่กำลังขีดๆเขียนๆบางสิ่งในสำนักพยาบาล คนพ่อก็ไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามสักเท่าไหร่ แต่น้ำเสียงก็ยังทอดหวานให้ความต่างเวลาพูดกับใครอย่างชัดเจน


“กำลังดูบัญชีค่าใช้จ่าย”


“ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย หากเสร็จแล้วเรากลับเรือนด้วยกันนะ”  เมื่อทรงเอ่ยปากออกมา ศศิก็จัดการปิดหน้าสมุดและเงยหน้าขึ้นมามอง


“งั้นกลับกันเลยก็ได้ ข้าทำเรื่องพวกนี้จนเบื่อแล้ว”  ก็ไม่ใช่คนไม่รับผิดชอบหรอก แต่การที่อคิราห์เดินมาหากันแบบนี้ย่อมผิดวิสัย และความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะความขยันขันแข็งที่มี


ทรงพาคนรักมายังเรือนพักที่มีคนนำสำรับอาหารเย็นของเรามาเตรียมไว้แล้ว ก่อนหน้านี้เรามีบ้างที่จะไปร่วมทานกับทหารและคนอื่นๆ แต่วันนี้ทรงเลือกที่จะเสวยกับศศิเพียงสองคน ช่วยประคองให้คนน่ารักได้นั่ง ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ตักกับตักอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ คอยดูแลทะนุถนอมอย่างนี้จนต้องร้องบอกให้พอ


หลังจากชำระล้างกายแล้วก็พากันมายังห้องนอนเล็กๆที่บัดนี้ยิ่งจะเล็กลงกว่าเดิมเพราะเจ้าของห้องไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป ในขณะที่ปล่อยให้คนวุ่นวายได้จับหวี เจ้าของมือที่ไม่เคยอบอุ่นได้ขนาดนี้ก็ค่อยๆแปรงผมยาวนั่นให้อย่างทะนุถนอม หากเป็นเช่นนี้ไปนาน…ศศิก็คงทำอะไรไม่เป็นเลย


“มีเรื่องจะคุยอะไรกับข้าหรือ”


“ข้าไม่แน่ใจนักว่าหากพูดไปแล้วเจ้าจะเครียดจนเกินไปหรือไม่”


“เป็นเรื่องที่แย่อย่างนั้นเลย”


“ข้าย่อมไม่รู้”  กับเรื่องนี้หากมันจบด้วยดีย่อมไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เพราะมันยังไม่เกิดจึงไม่รู้ว่าจะแยกประเภทมันเช่นไร  “ข้าจะต้องไปปราบกบฏที่ชายแดนตะวันตกที่ 1”


“…”


“ศศิพี่ต้องไป…”  ก็เข้าใจ


แต่เป็นห่วงไม่ได้เลยหรือ…


“นี่เป็นโอกาสที่เราต้องจัดการ ข้าไม่อยากปล่อยไว้และให้มันมาทำร้ายเจ้าและลูกของเราเหมือนวันนั้นอีก”  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ศศิกำลังจะถูกจับไป พระองค์ก็มั่นใจแล้วว่าต้องจัดการให้เด็ดขาดในเร็ววัน เราจะเปิดโอกาสให้มันเพิ่มกำลังพลจากคีรีเขตไม่ได้ จะตีงูก็ต้องตีให้ตาย และครั้งนี้ทรงหวังว่าจะตีให้ได้ทั้งสองตัว!


“ข้าเข้าใจ”  คนตัวเล็กนั้นเอ่ยออกมาเป็นคำแรก ก่อนจะหันไปหาคนที่หยุดแปรงผมให้ตนแล้ว “แค่เป็นห่วง แต่ศศิเข้าใจ”


“เด็กดี”


“ไปทำหน้าที่ของพี่เถิด ดูแลตัวเองให้ดี ห้ามกลับมาทำหน้าเป็นโจรหรือบาดเจ็บมาให้รักษาอีกนะ ข้าเบื่อ!” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่คนที่จะวิ่งเข้ามารักษาย่อมเป็นคนพูดเป็นแน่ ทรงมั่นใจกว่าอะไรดี


“ขอให้เชื่อข้าจะกลับมาอย่างสุขภาพดี ให้ทั้งลูกและแม่ภูมิใจ”


“ขี้ตู่”


“ถ้ากลับมาแล้วคงต้องขอรางวัลงามๆ” 


“ยังไม่ทันได้ไปเลย”


“ขอตอนนี้เลยได้ไหม”


“แน่ะ!”


“ข้าอยากกินสตอเบอร์รี่สักลูก”  และในพื้นที่ที่ไม่เคยมีลูกสตอเบอร์รี่มาก่อนอย่างด่านตะวันตกที่ 2 นะหรือ? เกรงว่าองค์รัชทายาทจะทรงเลอะเลือนไปหมดแล้ว แต่เราสองต่างเข้าใจกันดี ศศิที่หน้าบึ้งแต่ก็เขินอายไม่น้อยค่อยๆหลับตา ปล่อยให้จุมพิตที่มาแนบชิดนั้นอ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากของตน


ทรงๆค่อยบดคลึงสร้างความวาบหวามอันอบอุ่นอ่อนโยนที่ดีต่อสุขภาพกายและใจให้คุณแม่ก่อนจะค่อยๆผละออกมาและกลับเข้าไปหาใหม่ ทำซ้ำๆเช่นนั้นอย่างไม่รู้หน่ายตามประสาคนช่างเอาเปรียบ ไหนบอกว่าแค่ลูกเดียวไงเล่าคนบ้า! แต่คำบ่นด่าใดๆก็ไม่ได้หลุดจากปากออกไป ที่มีอยู่ในเรือนหลังเล็กแห่งนี้ คงจะมีแค่คนสองคนที่กอดจูบกันด้วยความคะนึงหาทั้งๆที่ราตรียังไม่พ้นผ่าน


และสุริยายังไม่มาเยือน

TALK
พี่เขาบ้ายบายเก่งนะคะ เอะอะไม่อยู่ๆ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแทบไม่ได้ลงเลย ช่วงนี้งานเริ่มเข้าล่ะค่ะ และเรายังตรวจเนื้อหาไม่ครบด้วยเลยไม่ได้ลง
แต่ยังไงพรุ่งนี้จะพยายามมานะคะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ











หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 26 : 12/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 12-01-2019 23:15:00
พี่อาทิตย์เคลียส์ให้จบเลยนะ พวกกบฏจะได้มาทำร้ายศศิกับลูกไม่ได้อีก 
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 26 : 12/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-01-2019 23:28:41
พี่อาทิตย์คนคูลรีบไปปราบกบฏแล้วพาน้องเข้าวังนะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 26 : 12/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 13-01-2019 03:19:18
พี่อาทิตย์ระวังตัวด้วยนะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 26 : 12/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-01-2019 16:17:51
 พี่อาทิตย์รีบไปจัดการให้เสร็จ จะได้มารับน้องไปอยู่ด้วย และก็รักษาเนื้อรักษาตัวอย่าให้บาดเจ็บกลับมาอีกนะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 26 : 12/1/2019 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-01-2019 16:20:16
น่ารักมากเลยค่ะ เอ็นดูศศิ
คือคุณแม่เหมือนเด็กน้อยเล่นซน

อาทิตย์สมควรแล้วที่ต้องเข้าใจนะ
ปลื้มมากที่รักแค่ศศิ ดีต่อใจค่ะ

ตลกทิชา ก็คนเค้ารักเค้าหวงอะเนาะ เข้าใจเค้าบ้าง
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 27 : 15/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 15-01-2019 19:22:07
Finding the twilight
27
เจ้าแสบ
☼ ☽


ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไปไม่ลา


“ไปก่อนนะ”


“อื้ม”  ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครอยากให้ไปหรือจากไปหรอก แต่หากมันจะเป็นการจากที่นำมาซึ่งความสบายใจที่ยั่งยืน เราก็อดทนรอคอยการกลับมาได้


แผ่นหลังของพระองค์นั้นหายไปลับสายตา คนที่มายืนส่งต่างพากันกลับไปทำหน้าที่ต่างๆของตน แม้แต่ท่านหมอน้อยเองก็ไม่รอช้าค่อยๆเดินกลับเข้าไปเช่นกัน ครั้งนี้ที่ทรงจากไป ก็เหมือนกับก่อนนี้ เดี๋ยวพระองค์ก็กลับมา ศศิเชื่อเช่นนั้น


ท่ามกลางความขัดแย้งของคนที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์นี้ ไม่มีใครที่ถูกที่สุดหรือผิดที่สุดหรอก มีแค่ว่าเราอยากจะอยู่ข้างไหนมากกว่า ในโลกสีเทาใบนี้ เราต่างถูกบีบบังคับให้เลือกสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วทั้งนั้น และศศิก็เลือกแล้ว ไม่ใช่เพราะความถูกต้องเสียทีเดียว แต่เพราะเขาที่ตนรักอยู่ตรงนั้นและกำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้องที่ยึดถือ


ในความเป็นจริงเราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเขาจะกลับมาไหม กลับมาเมื่อไหร่ แต่ศศิกลับไม่คิดร้ายไปก่อน ด้วยมั่นใจว่าพี่อาทิตย์ของตนนั้นเก่งที่สุดจึงวางใจ กิจวัตรประจำวันของศศินั้นคล้ายๆกันกับวันวานหากแต่เจ้าตัวกลับไม่เร่งรีบด้วยเพราะทิชากรเองก็กลับมาแล้ว ในเวลาที่ว่างๆเช่นนี้ก็มักจะอ่านหนังสือผ่อนคลาย รอเวลาที่ท่านน้าเลิกงานและเราก็มากินอาหารด้วยกัน


“วันนี้คุณพ่อไม่อยู่ดุ เจ้าแสบก็อย่าแกล้งแม่เยอะนะ”  สื่อสารกับลูกอย่างอ่อนโยน


ทว่าเจ้าแสบกลับไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย


“อื้อ…”  ไหนบอกว่าอย่าแกล้งไง…แล้วทำไมถึงทำให้เจ็บได้ขนาดนี้


“ศศิ”  ทิชากรที่เพิ่งมาถึงนั้นเดินมาหา ทว่าศศิกลับกึ่งนั่งกึ่งนอนเบ้หน้าไม่สามารถจะขยับกายลุกขึ้นมาได้


เจ้าแสบ…เล่นกันได้แสบมากมาย


“ข้าว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ”  ทิชากรนั้นพยายามบังคับตนเองให้มีสติและเร่งออกไปสั่งงานให้คนนำของมา ด้วยไม่อยากพาศศิไปยังสถานพยาบาลที่มีคนรู้เห็นอยู่เยอะ เมื่อสั่งให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ไปช่วยเตรียมของก็รีบกลับเข้ามาดูคุณแม่กับเจ้าแสบที่กำลังดิ้นรนอยากจะออกมาอยู่ข้างนอก ภายในใจของศศิมีกำลังใจดี แต่การแสดงออกนั้นดูเจ็บปวดไม่น้อย เวลาเหมือนเดินช้าในความรู้สึกของคนตรงนั้น อะไรๆก็ดูจะไม่ทันไปเสียหมด


ทนหน่อยนะ…
อดทนอีกนิด….
เราสองคนจะได้เจอกันแล้ว….
.
.
.
.

แอ้ออออออออออออออออออออออออออออออออ



“แม่จ๋า…”


“อื้ม…”


“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”


“นั่นใครหรือ”


“พวกหนูเอง…”  เจ้าของเสียงใสนั้นตอบรับด้วยความยินดี  “เจ้าแสบของแม่ไง”  และคำตอบก็ทำให้ศศิลืมตาขึ้นมามอง


เด็กสองคนที่มายืนอยู่ข้างเตียงที่กำลังยิ้มให้กัน


“เจ้าแสบ…”  ทั้งๆที่ศศิเพิ่งจะคลอด แต่ทำไมลูกของตนถึงได้โตขึ้นมาขนาดนี้แล้วล่ะ มิหนำซ้ำ…


ยังมีตั้งสองคน…


“หนูอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่จะมาหาบ่อยๆนะ”  เด็กชายคนหนึ่งพูดออกมา


“กัษษากร”  และไม่รู้อะไรทำให้ศศิเรียกเด็กผู้ชายคนนี้เช่นนี้ ก่อนจะจ้องมองไปที่เด็กผู้หญิงอีกคนที่ยิ้มจนเต็มแก้ม  “รวิวัลย์”


“นั่นชื่อของหนูหรือ”


“พวกเจ้า…”


“พวกข้าเกิดมาจากดวงจิตที่รักกันของท่านพ่อและท่านแม่ในวันที่ท่านเลือกที่จะลงมาตามหาท่านพ่อที่โลกมนุษย์ แต่เพิ่งถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้”  รวิวัลย์พูดเจื้อยแจ้ว


“…”


“ต่อไปนี้ท่านไม่ต้องห่วงแล้ว ขอให้ใช้ชีวิตที่นี่กับท่านพ่อที่ท่านรักมาก แสดงความรักต่อเขาให้เต็มที่ให้สมกับที่พวกท่านรักและยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน”  กัษษากรนั้นพูดต่อ


“ต่อจากนี้ข้าจะดูแลพระอาทิตย์ และกัษษากรจะดูแลพระจันทร์ของท่านแม่ให้ดีที่สุด”  รวิวัลย์หันไปพูดกับน้องชาย กัษษากรยิ้มให้ก่อนจะหันกลับมามองและเดินเข้าไปโอบกอดศศิที่มึนงงในทุกๆอย่าง แต่เมื่อเด็กสองคนเข้ามากอดก็กอดตอบอย่างไม่มีเคอะเขิน มิหนำซ้ำ…ยังรู้สึกผูกพันราวกับรู้จักกันมานาน


“พวกเราจะลงมาเจอท่านแม่และน้องบ่อยๆนะ” 


น้อง…


“พวกเจ้าจะไปไหนกัน”  คนที่ถูกเรียกว่าแม่เอ่ยถาม รู้สึกใจหายทั้งๆที่เราเพิ่งได้พบกัน


“เราไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”


“ไม่ไปไม่ได้หรือ”


“ไม่ได้”


“ข้าไม่ให้พวกเจ้าไป”


“หากท่านคิดถึงพวกเราก็แค่มองฟ้า”  รวิวัลย์เอ่ยก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักส่วนกัษษากรนั้นก็ปีนเตียงขึ้นมากอดและซบไหล่


“พวกเราก็จะมองหาท่านจากบนนั้นเหมือนกัน”


“จะมาเยี่ยมข้าบ่อยๆใช่ไหม”  ศศิเอ่ยย้ำ


“อื้อ” สองแฝดอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นตอบรับ พวกเขาเกิดมาเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ต่อจากเทพองค์เก่า มันไม่ได้ฝืนใจอะไรนักหรอกเพราะไม่ว่าอีกคนจะอยู่ตรงไหนของโลกก็มองเห็นได้ แต่กับคนที่รู้สึกผูกพันแต่ไม่อาจจะพบเจอกอดหอมได้ทุกวันคงไม่…รู้สึกใจหายที่ต้องจากทั้งๆที่เพิ่งได้เจอจริงๆ


“ข้ารักท่านแม่”  กัษษากรเอ่ย


“ถึงท่านพ่อก่อนนี้จะหัวแข็งไปเสียหน่อยแต่ตอนนี้ท่านน่ารักขึ้นแล้ว ต่อไปอาจจะต้องห่างกัน แต่หากท่านมีความกล้าหาญเพียงพอ ก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งท่านทั้งสองได้” รวิวัลย์ผู้รู้เห็นได้เอ่ยออกมา ถึงมันจะมีบางส่วนที่เป็นความลับแต่กับมารดา… พูดออกมานิดหน่อยก็คงไม่เป็นไร ใช่ว่าศศพินทุ์จะเข้าใจทุกอย่างที่เราสนทนากันนี่


“พวกเราต้องไปแล้ว”


“จะไปกันแล้วหรือ”


“อื้อ พวกเขาตามแล้ว”


“แล้วข้าจะได้เจอพวกเจ้าอีกใช่ไหม”


“ใช่…”  กัษษากรยิ้มออกมา  “เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”  และสองแฝดก็ผละออกไป


ศศิมองตามอย่างใจหายก่อนจะหลับตาลงรับรู้ถึงบางอย่างที่กำลังจะจางหายไปจากข้างๆกาย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อพบว่าตนนั้นตื่นจากฝันแล้ว…


“…”  รวิวัลย์กับกัษษากร


กลับมาเยี่ยมหากันบ่อยๆนะ

☼ ☽


เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง…


“เจ้าเห็นไหมอคิราห์”  ธมลย์ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ ทว่าอคิราห์ไม่ตอบอะไร มันเกิดขึ้นมาและก็ผ่านไป ช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้ยินคนพูดอะไร ราวกับว่าสติของตนได้หลุดลอยไปยังที่อื่นที่ไกลแสนไกลแล้ว


ศศิ…


“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็น สิ่งนั้นเรียกว่าสุริยุปราคาใช่ไหม”  พวกเรากำลังนั่งกินอาหารและพร้อมที่จะเดินทางต่อ กว่าพวกอลงกรณ์จะเดินทางมาถึงที่ด่านตะวันตกที่ 1 เราก็คงไปถึงทันที่จะช่วยและเผด็จศึกในทันที


“ประหลาดมาก เจ้าคิดเช่นนั้นไหม”


“องค์ชาย”


“องค์ชายอคิราห์!”


“อา...”


“เป็นอะไรหรือเปล่าพะยะค่ะ” 


“ไม่มีอะไร”  หลายสายตาที่จ้องมองกันอยู่นั้นดูเป็นห่วง แต่พระองค์ไม่เป็นไรจริงๆ ที่เป็นคงเพียงเหมือนถูกดึงดูด ไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่ไม่แน่พระทัยนักว่าเป็นที่ไหน รู้แค่เพียงมันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา สุริยุปราคาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปีกลับเกิดมาในวันนี้


เพราะอะไรกันนะ?


“เจ้าเชื่อเรื่องลี้ลับหรือไม่ เราควรดูหมอกันก่อนไหมว่าไปนี่จะดีหรือเปล่า” ธมลย์เอ่ยออกมา แต่อคิราห์ทำเพียงส่ายหน้า


“ไปต่อกันเถิด”  จะไม่มีการถอยกลับและจะมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงเชื่อถือ


จะต้องนำพาชัยชนะกลับมาให้ได้


เราไม่ได้เร่งเดินทางจนเกินไป ด้วยเพราะยังพอมีเวลาจนกว่าจะถึงกำหนดการ เมื่อมาถึงใกล้จุดนัดหมายที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ทรงสั่งให้คนกระจัดกระจายกันไปดูลาดเลาตามจุดต่างๆ ด้วยเพราะคนที่มาด้วยกันนั้นถูกคัดมาให้เหมาะสมกับการทำงานแบบนี้จึงไม่ต้องคุยมากและทำการได้อย่างคล่องแคล่ว


เพื่อความปลอดภัย จึงทรงฉลองพระองค์แบบคนธรรมดาทั่วไปและฝากอาภรณ์พร้อมตราประจำพระองค์ไว้กับอชิระที่อยู่ดูแลค่ายตามหน้าที่เพื่อไม่ให้ใครสงสัยเรื่องการเคลื่อนไหวของทางนั้น ทรงสั่งคนให้แอบดูนายตรวจของด่านหากพบว่ามีความทุจริตจะได้ตามเล่นงานกันได้และกะจะรวบให้ครบหมดทั้งขบวนการ


ด้วยเพราะทรงส่งสายมาตั้งหลักปักฐานที่พื้นที่นานมากแล้ว จึงได้ทราบว่าช่วงหลังมานี้มีคนต่างถิ่นที่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกันคนท้องถิ่นและยัดเงินให้กับข้าราชการเพื่อให้ช่วยปิดเรื่อง ด้วยเพราะไม่อาจจะแทรกแซงการทหารของชายแดนตรงนี้ได้ จึงเร่งส่งจดหมายเร็วให้ทางพระราชวังส่งคนมาเพิ่มเติม ภายในไม่เกินสามวันนี้เท่านั้นมันจะจบลงแล้ว


และพระองค์จะได้ไปทำอย่างอื่นเพื่อครอบครัวของตัวเองเสียที


☼ ☽


“ตื่นแล้วหรือ”  ทิชากรที่เดินเข้ามาหานั้นยิ้มให้ เมื่อวานนั้นเป็นวันที่หนักจริงๆ เป็นประสบการณ์ที่ตนไม่คิดว่าจะมีได้เพราะที่ผ่านคนที่เป็นอย่างศศินั้นแทบไม่มีให้เห็น แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีท่ามกลางความเปรมปรีดิ์ ยกเว้นคนแม่…ที่แม้เสียงของเจ้าแสบจะแผ่ดดังแค่ไหนก็ไม่ยอมตื่น


คงจะเหนื่อยมากสินะเจ้าแสบของน้า


“อื้อ เจ้าแสบ”


“ตื่นมาก็ถามถึงเลยนะ ก็ยังดีที่จำได้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”ทิชากรเอ่ยแซวก่อนจะนั่งลงข้างๆและช่วยประคองขึ้นมา ศศิคงจะเจ็บแผล แม้ว่าสมุนไพรที่เรามีจะช่วยทำให้แผลและอาการเจ็บหายได้เร็ว แต่ว่ามันยังเร็วไป คุณแม่คนใหม่เบ้หน้าเมื่อรู้สึกเจ็บขึ้นมา ก่อนจะนั่งเบะปากมอง


“เจ้าแสบอยู่ที่ไหน”เอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งจนต้องหาน้ำให้ดื่ม ก่อนจะเดินออกไปและพาเจ้าแสบที่ยังนอนหลับอยู่มาที่นี่ เด็กในวัยนี้…มีแค่ตื่นมากินและก็นอนเท่านั้นแล


“นี่ไงเจ้าแสบของเจ้า หน้าตาแสบนักแล”  ทิชากรนั้นส่งเจ้าแสบตัวน้อยให้เข้าสู่อ้อมอกของคนเป็นแม่


“หน้าตาน่าชังนัก”  และคนเห่อหลานอีกคนก็ตามเข้ามาด้วย ทั้งค่ายเกือบไม่เป็นอันทำงานทำการเพราะแม่ทัพเอาแต่ใจอย่างนี้นี่แล


“ใช่…น่าชังนัก”  ใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเจ้าแสบที่หมดฤทธิ์นั้นสะกดให้มองอยู่อย่างนั้น นี่คือลูกของศศิหรือ นี่คือเด็กที่ตนได้คุยด้วยในทุกๆวันจริงๆหรือ เด็กคนนี้ใช่ไหมที่ชอบแกล้งกันมาตลอดหลายเดือน เด็กคนนี้ใช่ไหม


ที่เป็นลูกของตนกับพี่อาทิตย์…


“ตั้งชื่อให้เจ้าแสบเลยไหม”  นั่นสิ คิดมาตั้งนานว่าจะให้ชื่ออะไร จะให้เรียกว่าลูกหมาอย่างที่คุยกับคนพ่อไว้ก็คงจะไม่งามเท่าไหร่นัก แต่สองชื่อที่ศศิตั้ง…


มันก็เหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว


‘แม่จ๋า’


รวิวัลย์และกัษษากร


“รอพี่อาทิตย์ก่อนดีกว่า”  ในที่สุดก็ผลักภาระไปให้อีกคนที่ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ในค่ายตะวันตกที่ 1 แห่งนี้เพราะกำลังวุ่นวายกับสถานการณ์ที่อีกค่ายหนึ่งอย่างที่ได้บอกกันไว้


“งั้นเราจะเรียกว่าเจ้าแสบไปก่อนแล้วกัน”


“ข้านอนกับเจ้าแสบได้ไหม”  ศศิเอ่ยถาม


“เจ้ายังอ่อนเพลียและเจ็บแผลอยู่”


“เช่นนั้นท่านน้านอนค้างกับข้าได้ไหม”  ศศิถาม พลางช้อนตามองไปที่คนที่จะโวยวายอย่างรู้ทัน และเมื่ออชิระถูกดักถามไว้เช่นนั้น


“ก็ได้ๆ ข้าไม่แย่งน้าของเจ้าก็ได้”  จำต้องยอมจริงๆ หากศศิขอถึงขั้นนี้แล้วและยังดื้อรั้นไม่ให้ คิดหรือว่าทิชากรจะยอมกลับไปนอนด้วยกันกับเขา


“ขอบคุณท่านอชิระ”


“งั้นข้าไม่รบกวนเจ้า น้า ลูก และก็หลานแล้ว”  อชิระเอ่ยเช่นนั้นก่อนจะเดินจากมา จริงๆแล้วเขาเองก็มีงานที่จะต้องทำให้สำเร็จในวันนี้ ถึงแม้จะมีการป้องกันอย่างดีที่ค่ายและมีการส่งทหารไปตรวจตราพื้นที่รอบๆมาโดยตลอด ทว่าเรามิอาจจะไว้ใจได้ว่าสถานการณ์รุนแรงที่จะเกิดขึ้นจะไม่เกินเลยมาทางนี้ ทางอคิราห์นั้นก็น่าเป็นกังวลว่าจะต้านได้หรือไม่ แต่มีธวัลย์อยู่ด้วยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก


แต่วันนี้เป็นวันของคุณพ่อ


“หากรู้คงเนื้อเต้นจนรีบจบปัญหาและมาทางนี้แน่”  แต่อชิระจะไม่ส่งคนไปพูดอะไรจนกว่าเรื่องราวจะจบด้วยกลัวว่าบางคนจะเสียสมาธิ หันไปสั่งงานทหารให้เรียบร้อยก็มองกลับไปยังเรือนที่สองน้าหลานคงกำลังพูดคุยกันอยู่


พวกเราปกป้องพวกเขากันมานานเพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ไม่มีใครทางเมืองหลวงให้ความสนใจ หากไม่ได้ทิชากรในวันนั้นเรามิอาจจะเป็นเช่นวันนี้ในวันนี้ได้ และต่อจากนี้ทิชากรก็ได้ให้คำมั่นกับตนแล้วว่าจะอยู่ที่นี่แม้ว่าสิหราชนคราไม่ใช่บ้านเกิดของจันทราปราการ


“หากเจ้าหวังให้ที่นี่เป็นบ้าน ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยให้ใครพรากเจ้าออกจากบ้านได้เด็ดขาด”  และนี่คือคำมั่นที่อชิระฝากบอกสายลมไว้ เรามิอาจจะเรียกได้ว่ารักกันเหมือนคนอื่น แต่ความรักของเรา…


ไม่จำเป็นต้องให้ใครเข้าใจอีกแล้ว


ทางด้านศศิกับทิชากรเมื่อได้อยู่ด้วยกัน จันทราปราการคนงามก็เริ่มที่จะพูดคุยเรื่องสำคัญที่ไม่ได้มีโอกาสก่อนหน้านี้ ทิชากรเองก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องรีบเร่งอะไรก็เลยไม่ได้บอกไปถึงการตัดสินใจของตน ในฐานะของผู้นำของจันทราปราการ ผู้สืบทอดสายตรงย่อมเป็นศศพินทุ์หลานเพียงคนเดียว แต่ถ้าหากอนาคตอันใกล้นี้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ หลานรักก็คงไม่อาจจะมาสืบทอดตำแหน่งตรงนี้ได้ และที่สำคัญ…เจ้าแสบนี่ พ่อของเขาคงหมายมั่นตำแหน่งที่ใหญ่โตกว่านั้นเอาไว้ให้


ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้หลานของตนขึ้นมา แต่เพราะตนก็ไม่ได้ใจดำคับแคบขนาดไม่สนใจความต้องการของคนอื่นๆ  ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ใจที่มีและเคยผูกมัดกับตระกูลก็ยิ่งคลายออก แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่ก็คิดว่าตนได้เลือกทางที่ถูกต้องลงไปแล้ว และนั่นคือสาเหตุที่เดินทางไปคีรีธาราเมื่อถูกเชื้อเชิญมา ทั้งๆที่ก็เป็นไปได้ว่าศศิอาจจะคลอดในระหว่างนั้น


“ท่านแน่ใจแล้วหรือ”  ผู้ซึ่งเคยเป็นความหวังในการสืบทอดนั้นมองใบหน้าที่ติดจะนิ่งเฉยตลอดเวลาของผู้เป็นน้าอย่างไม่เชื่อหู ทั้งๆที่จันทราปราการคือทุกสิ่งทุกอย่างของทิชากรแท้ๆ


“ข้าคิดว่าข้าได้ทำให้จันทราปราการอย่างเต็มที่แล้ว แต่การที่ไม่สามารถพาทุกคนในตอนนั้นอพยพมาได้ก็ถือเป็นเรื่องที่กัดกินหัวใจไม่น้อย”  ทิชากรต้องจมกับความทุกข์นั้นมาตลอดยี่สิบปี  “ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที่นั่น สายรองก็มิได้งอมืองอเท้ายอมแพ้ต่อโชคชะตา พวกเขาเหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นเจ้าตระกูลแทนข้า”


“แต่ท่านเป็นเจ้าตระกูลที่สืบทอดทางสายเลือดนะ”  มันก็ใช่ แต่แล้วอย่างไรล่ะ


“เดิมทีเราเป็นกลุ่มคนที่มารวมตัวกันเพื่อแสวงหาความรู้และเผยแผ่ ข้าเพียงสืบทอดสายเลือดจากหัวหน้ากลุ่มรุ่นแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราคือเจ้าปกครองใคร พวกเขามีอิสระที่จะได้เลือกว่าใครเหมาะสม”


“ท่านเหมาะสม”


“จันทราปราการนั้นยกย่องคนเก่ง”  ทิชากรยิ้ม “และใครที่ถูกยอมรับว่าเก่งก็สมควรเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ”  พูดอีกก็ถูกอีก หากจุดเริ่มต้นของตระกูลคือการรวบรวมผู้ใฝ่รู้ทางการศึกษาและพัฒนาแล้วละก็ ระบบการขึ้นมาเป็นผู้นำทางสายเลือดก็ดูจะย้อนแย้งไม่น้อย


“หากนี่มันดีแล้ว ข้าก็ยินดีกับการตัดสินใจของท่านน้าจริงๆ”  เจ้ากระต่ายน้อยนั้นยิ้มให้อย่างจริงใจ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยที่เจ้าแสบขยับตัวในอ้อมอก


“ข้ายินดีที่จะเป็นแค่อาจารย์หมอของคนที่นี่ เป็นตาของเจ้าแสบ และน้าของเจ้า…ศศิ เพียงแค่นี้ก็พอต่อใจแล้ว”


“ท่านลืมอีกตำแหน่งหนึ่งไปนะ”


“อะไรล่ะ”


“ถ้าท่านอชิระอยู่ตรงนี้ต้องโวยวายแน่ที่ไม่มีสถานะใดๆให้เขา”


“อืม”  ทิชากรเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร


เรารักกันแบบไหนไม่ต้องให้ใครเข้าใจ…ก็ได้กระมัง


ผ่านไปสองสัปดาห์แล้วที่พ่อของเจ้าแสบจากไป ไม่มีข่าวใดๆดังมาถึงหู ถึงแม้ว่าอชิระจะรู้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ยอมบอกอะไรให้ศศิรู้ จากที่เคยวางใจก็เริ่มจะกังวลเพราะแม้แต่ทางนี้ก็ยังมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ทว่าก็ไม่ได้เคยถามออกไป พยายามจะทำใจให้สบายและให้ความสนใจกับเจ้าแสบให้ได้มากที่สุด


“ถ้าพ่อของเจ้าไม่กลับมา เกรงว่าคงไม่มีคนตั้งชื่อให้จริงๆ”  ว่าไปเช่นนี้และก็จิ้มแก้ม เจ้าตัวแสบยังคงหลับใหล ตื่นมาร้องหงุดหงิด กิน และก็นอน นี่คือกิจวัตรของเด็กทารกที่เป็นลูกของศศิ เลี้ยงง่ายแต่น่ากลัวจะแฝงพิษภัยให้ปวดหัวในอนาคตอยู่มาก


เจ้าแสบตัวเหี่ยวนั้นขยับตัวอย่างรำคาญ ท่าทางเช่นนั้นทำให้คนที่วุ่นวายใจยิ้มออกมาได้ นี่คือการหลงรักใครคนหนึ่งอย่างบ้าบอหรือนี่ ทั้งๆที่ไม่ได้ออดอ้อนทำตัวน่ารักใส่กันเลยแต่ศศิกลับชอบไปหมด นี่คือภาวะหลงแบบไม่ลืมหูลืมตาใช่ไหม ขนาดศศิยังเป็นเช่นนี้ แล้วคนพ่อที่ยังไม่กลับมาตั้งชื่อลูกจะไม่ปลื้มจนตาปิดเชียวหรือ


“เดี๋ยวท่านพ่อก็กลับมาแล้ว ตอนนี้เป็นเจ้าแสบไปก่อนนะลูก”


ท่ามกลางความเงียบสงบของในเรือน เจ้าของเรือนกลับไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายภายนอกแม้แต่น้อย จนกระทั่งเสียงโห่ร้องที่ดังขึ้นมันมากมายเกินกว่าจะทำให้คนที่เอาแต่หลงลูกนิ่งเฉยได้ จึงยอมผละจากเพื่อออกมาดูสถานการณ์ ผู้คนมากมายนั้นเดินบ้างวิ่งบ้างไปทางหน้าค่าย หน้าตาดูปิติยินดีกับบางอย่าง


“เกิดอะไรขึ้นนะ”  แม้จะอยากรู้อยากเห็น ทว่าเมื่อทราบได้ว่าสถานการณ์ไม่มีสิ่งใดที่เลวร้ายจนเกินไปจึงตัดใจไม่ไปเมียงมอง เจ้าตัวแสบยังหลับอยู่ และคนเป็นแม่ก็ไม่อยากจากเขาไปไกล


“ท่านพี่ศศิ ไม่ไปที่หน้าค่ายหรือ”  สายชลที่เดินผ่านมาร้องถาม แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้า


“ข้าต้องดูเจ้าแสบ”


“งั้นให้ข้าดูแลแทนดีหรือไม่”


“ไม่เป็นไร”


“ท่านแม่ทัพคงอยากให้ท่านไป ปล่อยเจ้าแสบไว้กับข้าก่อนก็ได้ หากเกิดอะไรไม่ดีข้าจะร้องเรียก”  สายชลพูดให้เกิดความมั่นใจ เมื่อได้ยินว่าอชิระอยากให้ศศิไปที่หน้าค่ายก็คงจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ และเมื่อมีคนที่ไว้ใจมาอาสาดูแลให้ ศศิก็ยินยอม ร่างบางนั้นยอมที่จะจากเจ้าแสบที่ตื่นมาไม่เคยห่างอกไปยังหน้าค่ายด้วยใจที่หวั่นว่าหากลูกตื่นมาจะงอแงจนสายชลรับมือไม่ไหว รีบไปรีบกลับมาก็คงได้กระมัง


มันมีอะไรเกิดขึ้นหรือ?



“เราชนะแล้ว”


เรานี่ใคร?


“ชนะแล้ว!”


ชนะอะไร?


“มันเกิดอะไรขึ้น”


“ท่านศศิ!”  เสียงของธมลที่ไม่ได้ยินมานานนั้นดังขึ้น พลันหัวใจของคนฟังก็เต้นตึกตัก ท่ามกลางผู้คนมากมาย ม่านน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นนั้นทำให้ตนไม่เห็นใคร จะมีก็แค่เพียงหนึ่งบุรุษเท่านั้นที่เดินเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ช่างเลือนลาง จนกระทั่งน้ำตาหนึ่งสายได้รินไหลระบาย จึงได้เห็นว่าใครนั้นที่เดินเข้ามาแต่ไกล


“เสียใจก็ร้องไห้ ตอนนี้ยังร้องไห้ เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกันนะ”  ทรงแย้มพระสรวลออกมาเมื่อได้เห็นเด็กดีของพระองค์ที่ตามมารับเสด็จนั้นร้องไห้งอแง อยากจะโอบกอดไว้ทั้งตัวแต่ก็จำใจแค่โอบไหล่อีกฝ่ายไว้  “แดดร้อน เจ้าจะไม่สบายเอา” 


“ท่านกลับมาแล้ว”


“ดีใจไหม”


“ดีใจสิ”


“งั้นยิ้มหน่อย ยิ้มสวยๆ”  แต่คนขอกลับได้รับเพียงการทุบตีเบาๆเพื่อบอกกันว่าเจ้าของรอยยิ้มนั้นเขินแค่ไหน



เราเลือกที่จะหยุดหยอกล้อกันตรงนี้ ทรงหันไปโบกมือลาและรีบพาคนรักออกไปจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาเข้าเฝ้ารับเสด็จ สิ่งที่พระองค์จากไปทำ ทรงทำมันสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เหล่ากบฏของทั้งสองดินแดนนั้นถูกนำไปคุมขังอย่างเข้มงวด หน้าที่ของพระองค์ในส่วนของตอนนี้ได้จบลงแล้ว และต่อไปนี้กับคนๆนี้ พระองค์จะต้องพึงปฏิบัติหน้าที่ที่ควรกระทำยิ่งกว่า


“ท่านได้ไปคิดชื่อให้เจ้าแสบมาหรือยัง”


“ยังเลย เจ้ารีบหรือ”  ส่งเอ่ยออกมาด้วยหวังให้อีกฝ่ายขำขัน ทว่าศศิกลับมองค้อนกันและหยิกที่เอวโดยไม่ปราณี


“ไม่คิดตอนนี้ท่านจะไปคิดตอนไหน จะให้ลูกเราชื่อว่าลูกหมาจริงๆหรือ”


“ใจเย็นสิ เจ้าแสบแกล้งเจ้าหนักหรือวันนี้ถึงได้หงุดหงิดถึงเพียงนี้”


“ไม่ได้แกล้งหรอก ตื่นมาก็กินและก็นอนเพียงนั้น จริงสิข้าทิ้งเจ้าแสบไว้กับสายชลสักพักแล้วนี่นา”


“ทิ้งไว้กับสายชล…”


“ต้องรีบไปดูหน่อยแล้วล่ะ”


“ศศิอย่าวิ่ง!”  พระองค์จะร้องห้ามแต่ไม่ทันคุณแม่ที่ออกวิ่งไปแล้ว และเมื่อพระองค์พิศให้ดีจะรู้ได้ว่า…


หน้าท้องของคนรักกลับมาแบนราบอีกครั้ง


“อย่าบอกข้านะว่า!”  ท่านแม่ทัพอชิระ…


จะต้องเป็นท่านแน่ๆที่ตั้งใจแกล้งหลานแบบนี้!


ทรงวิ่งตามศศิที่กลับมายังเรือน พระองค์ยังคงคิดว่าอีกฝ่ายยังคงอุ้มท้องลูกของเราอยู่ แต่เมื่อพิจารณาให้ดีก็ขุ่นเคืองไม่น้อยที่ในขณะที่ทรงกำลังจัดการกับพวกกบฏ ลูกของพระองคก็ดื้อซนจนออกมาดูโลกโดยที่ไม่มีผู้เป็นพ่ออยู่เคียงใกล้ผู้เป็นแม่ ทรงรู้สึกผิดจริงๆ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบหน้า


เขาจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกัน
เขาจะดูงดงามเหมือนแม่ หรือดูองอาจเหมือนพ่อนะ?


“เจ้าแสบ!”


“เบาๆหน่อยสิ”  ศศิหันมาทำตาขวางให้ ก็เพิ่งเคยเป็นพ่อคนนี่นา มันก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา


ทรงก้าวเข้าไปในห้องนอนที่มีกองผ้าวางสุมอยู่บนเตียง สายชลที่เห็นก็ยอมจากไปเงียบๆให้พ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ศศิที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นจ้องมองไปที่กองผ้าตรงนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน อคิราห์ที่ตามเข้ามานั้นไม่รอช้า ทรงทรุดตัวลงประทับนั่งกับพื้นที่ข้างเตียงนั่น ดวงพระเนตรจดจ้องไปยังศูนย์กลางกองผ้า มนุษย์ตัวเล็กๆที่ยังคงหลับใหลราวเทวดาตัวน้อย ใครเล่าจะรู้ว่าตอนอยู่ในท้องแม่จะแสบจนต้องลุกมาดุกันอยู่บ่อยครั้ง


ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน


“ข้าขอโทษนะ”


“ขอโทษเรื่องอะไรหรือ”  ศศิถาม


“ที่ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนั้น”


“ไม่เป็นไรหรอก ท่านไถ่โทษด้วยการไม่บาดเจ็บและทำสำเร็จแล้ว”  ทรงกุมมือเล็กของคนที่พูดจาน่าฟังไว้ก่อนจะบีบเบาๆ สื่อความหมายมากมายที่ไม่อาจจะถ่ายทอดเป็นคำพูดออกไปได้


“เราจะให้เจ้าแสบของเราชื่ออะไรดี”


“ท่านตั้งเลย”


“แล้วชื่อที่เจ้าตั้งไว้เล่า”


“ข้าอยากให้ท่านตั้งมากกว่า”  ศศิยิ้ม “ลูกเราหน้าเหมือนคนขนาดนี้ ให้ชื่อว่าลูกหมาไม่ได้แล้วนะพ่อหมา”  นั่นสินะ ก็น่าชังเสียขนาดนี้จะให้ชื่ออะไรดี


หากพ่อและแม่มีนามดั่งอาทิตย์และพระจันทร์


“ลูกเกิดในวันที่มีสุริยุปราคานั่นด้วยนะ”  ศศิบอก ตนก็ไม่ได้เห็นหรอกแต่มีคนบอกมา


“นภฉาย”


“…”


“พ่อตั้งชื่อให้จอมแสบของพ่อว่านภฉายนะลูก”  เขี่ยแก้มนิ่มเบาๆด้วยความเอ็นดู ทรงอ่อนโยนอย่างที่คิดไว้ ความสุขที่มากล้นนั้นทำให้น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้งและครานี้ไม่ใช่แค่ศศิแล้ว เพราะองค์รัชทายาทก็ห้ามน้ำตาไม่ให้ร่วงไม่ได้เหมือนกัน


ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักทีนะ
เจ้าฉาย…


TALK
ตอนนี้ #เจนไม่นก จะเป็นเล่มแล้วคับ และงานราษฐ์หลวงเยอะเมิ่ก
เราก็จะยุ่งเว่อร์ มาทุกวันไม่ได้แต่จะพยายามมาให้บ่อยสุดนะคับ
ยังไงก็ฝากติดตามและเป็นกำลังใจโหน่ย ฮืออออ
#อาทิตย์ศศิ @reallyuri



















หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 27 : 15/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-01-2019 21:46:23
เจ้าตัวแสบลืมตาดูโลกแล้ว แถมท่านพ่อก็นำชัยชนะมาอีกด้วย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 27 : 15/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-01-2019 00:08:48
พ่อแม่ ลูก อยู่กันพร้อมหน้าละ ดีๆๆ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 27 : 15/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 16-01-2019 01:20:34
น้องฉาย จะแสบขนาดไหน ป้าจะอดใจรอหนูนะ   :pig2:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 27 : 15/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 16-01-2019 06:42:54
น้องแฝดมาพร้อมกับเจ้าแสบเลย คงสมชื่อที่แม่เรียกแน่
เอ็นดูน้องแฝด ไปทำหน้าที่แทนพ่อแม่ที่จากมา

ศศิน่ารักมาก ก็ยังซน ยังอ่อนหวานเหมือนเดิม และหลงลูกมาก
อาทิตย์คือพ่อคนแล้วนะ เอ็นดูคนไม่รู้ตัวว่าศศิคลอดแล้ว

ทิชาคือผู้นำที่ดี ไม่หวังความยิ่งใหญ่ แต่หวังความสุข
คือดีงามไปหมดเลยค่ะ สถานการณ์ตอนนี้

อชิระ ถูกหลานรักแย่งทิชา แล้วยังไปแกล้งอาทิตย์อีก
ระวังถูกเอาคืนบ้างนะ 55555

เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ เราจะรอเสมอจ้า
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 27 : 15/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-01-2019 07:58:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 27 : 15/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 17-01-2019 23:22:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 19-01-2019 14:03:48
Finding the twilight
28
นภฉาย
☼ ☽


นภฉาย…เจ้าฉาย


“ทำเจ้าแสบถึงได้เอาแต่นอนกันนะ”  อคิราห์ที่นึกสงสัยนั่นเอ่ยถาม เรานั้นกำลังนอนอยู่ในเรือนของศศิ โดยมีเจ้าตัวเล็กอยู่ตรงกลาง


“ลูกชื่อฉาย อนุญาตให้เรียกว่าเจ้าฉายได้ ห้ามเรียกว่าเจ้าแสบ”


“เป็นเด็กผู้ชายจะแสบหน่อยก็ไม่เป็นไร”


“แล้วใครกันที่เห็นหน้าลูกและบอกว่าเพราะเป็นผู้หญิงเลยให้ชื่อว่านภฉายน่าจะดี”


“ก็ข้าไม่รู้ เจ้าไม่ได้จับลูกแก้ผ้าให้ข้าดูแต่แรกนี่ ถึงจะได้รู้ว่าเจ้าแสบเป็นเด็กผู้ชาย”


“มีใครที่ไหนเขาจับลูกแก้ผ้าโชว์ก่อนเป็นอย่างแรกด้วยหรือ”  ยิ่งอคิราห์เป็นพ่อคน ก็ดูจะยิ่งพูดไม่รู้เรื่องมากกว่าเดิม


นอกจากจะคิดว่าลูกเป็นผู้หญิงเลยตั้งชื่อว่านภฉาย พอรู้ว่าเป็นผู้ชายก็บอกว่าไม่รู้จะเปลี่ยนเป็นอะไรเลยให้ชื่อนภฉายเช่นเดิม แต่ไม่เรียกว่าเจ้าฉาย…กลับเรียกว่าเจ้าแสบเหมือนเดิม


เจ้าฉายต้องรู้เรื่องนี้…


เมื่อไปบอกคนอื่นถึงชื่อที่ตั้งให้ลูก แน่นอนว่าคนเห่อหลานอย่างอชิระย่อมโวยวายกับรสนิยมของหลานชายที่ตั้งชื่อ แต่พอถูกตอกกลับไปว่าเป็นแค่ปู่อย่าได้หือก็เงียบไป เพิ่งจะรู้ซึ้งขึ้นมาได้ว่าตนเองนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นปู่แล้ว ถึงแม้จะอายุมากกว่าพ่อของเจ้าฉายไม่เท่าไหร่ แต่หากนับญาติและก็เป็นเช่นนั้นจริง รวมถึงทิชากรที่รู้ตัวมานานดีแต่ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน


‘ชื่อเจ้าฉายก็น่ารัก’


ท่านตาทิชากรเอ่ยเช่นนั้นพลางจิ้มแก้มเจ้าตัวเล็กที่ตื่นขึ้นมามองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้ดูจะโวยวายอะไรเลยยิ่งหุบปากฉับก่อนจะกุมขมับอย่างหงุดหงิด


องค์รัชทายาทใช้ชีวิตเยี่ยงคนขี้เกียจอย่างมีความสุขที่นี่มาเกือบสัปดาห์ แต่มันไม่ยืนยงตลอดไป ไม่นานพระองค์ก็ทรงต้องเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อร่วมฟังการพิจารณาโทษของเหล่ากบฏที่กำลังจะมีขึ้น จริงๆพระองค์ควรจะกลับไปเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะลูกและเมียคือโอกาสที่หาทางใกล้ชิดได้ยากเหลือเกิน ต่อให้จะต้องเดินทางอย่างหามรุ่งค่ำอดหลับอดนอน ก็ทรงยอมแลกกับคืนวันที่จะได้อยู่ใกล้ชิดนานกว่านี้


ศศิมองแผ่นหลังของพระองค์ชายที่ตนรักที่สุด กำลังทรงฉลององค์อย่างเต็มยศและหันกลับมา แม้จะแสนเสียดายแต่นี่คือหน้าที่ เราไม่อาจจะหลีกหนีจากหน้าที่ได้หรอก อคิราห์ที่เห็นว่าศศิอุ้มลูกเดินเข้ามาหาก็ยิ้มรับ เจ้าฉายตัวเล็กนั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของพระองค์ น่าเสียดายที่เพียงได้พบไม่นานก็ต้องจากลา แต่หวังว่าในวันหน้า พระองค์จะได้กลับมาพบกับทั้งสองที่นี่


“พ่อจะรีบกลับมานะ”  ทรงเอ่ยบอกก่อนจะจุมพิตบนหน้าผากของเจ้าเด็กตัวเหี่ยวที่มองกันตาแป๋ว ยามใดที่ท้อ พระองค์ก็จะทรงคิดถึงภาพของเด็กคนนี้และผู้ใหญ่อีกคนที่รออยู่


“เดินทางให้ปลอดภัย และจงดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”  ศศิบอก มันกลายเป็นคำพูดติดปากไปแล้วเพราะเขาช่างจากลากันเก่งเหลือเกิน


“หากเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ขอให้บอก ข้าจะมารับ”แม้ไม่สามารถจะเอ่ยเร่งเร้าความพร้อมทางจิตใจของอีกฝ่ายได้ แต่ก็หวังว่าสักวันศศิจะยอมไปอยู่ด้วยกันให้สมกับเป็นครอบครัว แม้ที่นั่นอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบที่แห่งนี้ แต่ทรงเชื่อมั่นว่าถ้าหากเราอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าที่ไหนก็จะให้ความอบอุ่นที่ดี


ทรงเอ่ยคำมั่นไว้แล้วว่าจะทรงทำให้ทุกคนยอมรับ ศศิอาจจะยังไม่สามารถตัดสินใจว่าตนจะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเคียงข้างกันได้หรือไม่ แต่พระองค์จะต้องทำให้มั่นใจให้ได้ว่าจะไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้มันยังเร็วไป ทรงยังมีข้อบาดหมางใจมากมายกับคนรอบข้างอยู่ เพื่อที่จะมีอำนาจมากกว่านี้ จะต้องทำทุกอย่างเพื่อปูทางที่โรยกลีบกุหลาบให้กับศศิไว้ สักวันที่เรามั่นใจแล้ว พระองค์จะเป็นคนพาพวกเขาทั้งสองกลับไปยังสถานที่ที่เคยพรากจากแห่งนั้นอย่างเต็มภาคภูมิ


“รอข้านะ”


“อื้ม”  เอ่ยลากันเสร็จเราก็ออกจากเรือนเพื่อไปยังขบวนเดินทางที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแห่งสิหราชนครา เราไม่ได้เอ่ยประโยคใดอีกเพราะได้กล่าวไปหมดแล้ว ทว่าอคิราห์ยังคงอุ้มเจ้าฉาย เขาตัวเล็กแค่นี้เองและยังขี้เซามากๆด้วย สัมผัสที่เรามอบให้กันนั้นช่างแตกต่างและไม่คุ้นเคย พระองค์จะจดจำไว้ให้ได้ยามที่ต้องจาก ว่าการอุ้มลูกมันให้ความรู้สึกเช่นใด


เมื่อมาถึงที่ประตูหลักของค่ายก็หันมาหาศศพินทุ์ที่เดินเคียงข้างกันมา แววพระเนตรที่ทอดมองนั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำมากมาย ยังไม่ทันจากก็คิดถึงเสียแล้วหรือคนเรา ความรักนี่ช่างวุ่นวายใจนัก ทรงจุมพิตบนหน้าผากของเจ้าฉายอีกครั้งก่อนส่งคืนให้แม่ของเขา เจ้ากระต่ายของพระองค์ยิ้มน้อยๆรับมาอุ้มไว้ก่อนจะกดจูบลงไปบนจุดเดียวกัน หัวใจคนมองนั้นอุ่นวาบขึ้นมา ทรงชื่นชอบไปหมด ทั้งแม่ของเจ้าฉายและตัวเจ้าฉายเอง


“อย่าได้บาดเจ็บป่วยไข้อะไรมาอีก”


“ข้าทราบแล้ว”  นี่คือคำบอกลาในแบบของเรา ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย เราไม่อาจจะแสดงท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมด้วยต้องรักษาหน้า แต่ว่าแค่คำพูดนี้ก็สื่อความหมายได้มากมายแล้ว ทรงสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหันหลังให้ทั้งแม่และลูก พยายามตัดทุกการรับรู้และนึกถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไป เสียงผู้คนจอแจมากมายอาจจะช่วยกลบตัวตนของศศิที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แต่เมื่อหันหลังให้แล้วก็หมายความว่าได้เลือกที่จะจากลา ศศิ…จงรอพี่หน่อย พี่จะทำให้เจ้ามั่นใจ…


ว่ารักของเรานั้นเป็นไปได้จริงๆ

☼ ☽


จะบอกว่าเพราะเราพบเพื่อจากกันบ่อยเกินไปเช่นนั้นหรือ
ศศพินทุ์จึงไม่ได้ดูจะทุกข์ร้อนอะไร


“พี่ศศิไม่คิดถึงองค์รัชทายาทเลยหรือ”  สายชลถาม ด้วยเพราะเห็นคนพี่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติราวกับว่าไม่ได้ลาจากจากคนรัก


“คิดถึงสิ”  มากๆด้วย แต่คนเราต้องใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็น


“รักทางไกล มีแค่จดหมายที่นานๆทีจะมีคนถือมาส่งให้นี่เพียงพอหรือ”


“ไม่พอ แต่ก็ต้องพอให้ได้”  ศศิพูดไปพลางเก็บสมุนไพรตัวที่หยิบมาไปใส่โหลเหมือนเดิม ตอนนี้เจ้าฉายนั้นนอนอยู่ ตนจึงมาทำอย่างอื่นได้บ้าง


“ท่านไม่กลัวว่าองค์ชายจะนอกใจหรือ”


“ไม่เลย ข้ากลับกลัวว่าเขาจะเจออันตรายเสียอีก”  เพราะตั้งแต่พานพบรู้จัก ไม่เคยมีเรื่องมือที่สามใดๆที่ทำให้ขุ่นเคืองใจได้จริงๆ แม้จะเคยมีเรื่องอภิชญามาทำให้หึงหวงอยู่บ้างแต่คนรักของตนก็ชี้แจงทุกข้อชัดเจนดี มิหนำซ้ำก่อนจาก ก็ทรงบอกกันไว้ว่าจะไม่ยอมให้ใครมาจับคู่ให้กันอีกแล้ว คุณงามความดีเรื่องปราบกบฏคงพอเอาไปต่อรองได้บ้าง


และทรงโหมงานหนักขนาดนั้น จะมีเวลาไปเจอใครไหนให้ใจเต้นได้ คาดว่าปัญหาที่จะทรงเจอน่าจะเป็นเรื่องสุขภาพเสียมากกว่า อย่าว่าแต่จะไปเสวยอาหารร่วมกับสาวงามที่ไหน เสวยกับตนเองให้ตรงเวลาให้ได้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว


“แล้วได้คุยกันไหมว่าจะมาหาอีกเมื่อไหร่”


“ไม่ได้คุย”


“อ้าว…ไม่ใช่เจอกันอีกทีเขามีลูกและเมียใหม่ไปแล้วนะ”


“…”


“เอ่อ…ข้าขอโทษ”


“หากมันจะเป็นเช่นนั้นจริงข้าก็จะคิดว่ามันเป็นความจำเป็น”


“แล้วไม่โกรธหรือ”


“โกรธ”


“ก็ไปแย่งกลับมาสิ”


“ไม่ต้องแย่งหรอก”


“…”


“ข้าก็แค่ไม่ยกเจ้าฉายให้ หนักเข้าก็งอนหนีไปคีรีธารามันเสียเลย!” ยิ่งพูดก็ยิ่งจะหงุดหงิด ไหนใครบอกว่าตนช่างใจเย็น ที่แสดงออกมานั้น…ใจไม่ได้เย็นเลย


แต่ใจร้อนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาสักนิด…


ทว่ายิ่งเวลาล่วงเลยไปและจดหมายที่เดินทางมาบ่อยๆก็น้อยลงตาม คนรับก็ยิ่งเงียบขรึมลง ศศิยังคงเลี้ยงเจ้าฉายได้ดี แต่ก็ย่อมมีคิดถึงบ้าง ยิ่งยามเจ้าฉายดื้อซนก็ยิ่งคิดถึง เพราะคนๆเดียวที่ดุแล้วยอมหยุดตั้งแต่อยู่ในท้อง เห็นทีจะมีก็แค่พ่ออาทิตย์ของเขาเท่านั้น ทว่าก็เข้าใจดีว่าทำไม แค่คิดถึงไม่ได้หึงหวงอะไร เพราะคนพี่ก็บอกอยู่แล้วว่าเขานั้น…


จำต้องไปทำงานในที่ที่ไกลกว่าเดิม


การสร้างเขื่อน…ดูเหมือนจะเป็นผลงานใหญ่ขององค์รัชทายาทในตอนนี้ที่ทรงหมายมั่นเอาไว้มาก หากทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ก็คงจะได้รับความนับถือเพิ่มขึ้น ศศิเชื่อว่าอคิราห์นั้นเป็นที่รักอยู่แล้วแต่ก็มีนิสัยที่ดื้อเสียหน่อยจนอาจจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ แน่นอนว่าต่อให้สร้างผลงานแค่ไหน ก็ไม่อาจจะทำให้คนที่เกลียดชังหันมารัก แต่คนที่ไม่ได้รักและไม่ได้รู้สึกอะไรก็อาจจะชื่นชอบมากขึ้น


และที่เขาเหนื่อยขนาดนี้ก็เพื่อจะได้ปูทางให้คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างศศพินทุ์ได้เข้าไปในวังโดยรับแรงปะทะจากความกดดันให้น้อยที่สุด แต่ทั้งนี้มันไม่มีทางหรอกที่เส้นทางของคนนอกเช่นตนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทว่านี่ก็เป็นทางเดียวที่เขาจะทำให้กันได้และมันไม่มีทางไหนอีกแล้วที่จะช่วยกันได้มากขึ้น ในเมื่อศศิไม่ได้มีความมั่นใจว่าตนจะอยู่เคียงข้างเขาอย่างสมฐานะได้จริงๆ


มันเป็นไปไม่ได้จริงๆหรือที่เราจะรักกันเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้


“พี่ศศิ”  สายชลที่เดินย้อนกลับมานั้นเรียก  “ท่านทิชากรให้ตาม”


มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ…


แต่ศศิก็ไม่ถามตัวเองนาน เมื่ออยากเจอก็ต้องรีบไปหา ฝากฝังเจ้าแสบให้คนอื่นดูแลและก็รีบไปพบเผื่อว่าอีกฝ่ายอาจจะมีเหตุด่วนอะไร ทว่าเมื่อมาพบที่สถานพยาบาลก็กลับพบว่าท่านแม่ทัพก็อยู่ที่นี่ กำลังหารืออะไรบางอย่างกันอยู่ด้วย


“มีอะไรหรือท่านน้า”


“ข้าได้รับข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่”


“มีอะไรหรือ”


“แม่ของธวัลย์ นางป่วยหนักมาก ทราบว่าหมอในเมืองหลวงก็ไม่อาจจะช่วยได้แล้ว”  เป็นอชิระที่อธิบายให้ฟัง และศศิก็เพียงพยักหน้ารับทราบ


“เป็นอะไรหรือ อยากจะให้ข้าไปช่วยจัดหาสมุนไพรใดๆก็บอกได้เลย”


“ข้าเกรงว่าไม่ข้าก็เจ้าที่ต้องเข้าไปตรวจดู”


“…”


“เห็นแก่ธวัลย์ ข้าก็อยากจะให้การรักษาแม่ของท่านรองแม่ทัพให้เต็มที่”  แต่ว่าตอนนี้ทิชากรไม่สามารถไปจากค่ายนี้ได้ด้วยเพราะอาจจะต้องไปคีรีธาราทุกเมื่อ ทางนั้นก็ต้องการความช่วยเหลืออยู่บ้าง และศศิไม่มีประโยชน์อะไรทางนั้น


“แต่ว่าเจ้า…เจ้าฉาย”  แต่เจ้าฉายยังเด็ก เขายังไม่หย่านมแม่ และที่แห่งนี้เราก็ไม่สามารถหาอย่างอื่นให้เขากินได้ แม้ตอนนี้เจ้าฉายจะเข้าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจจะวางใจหากไม่มีคนดูแล


“ข้าจะดูแลเจ้าฉายให้เอง อย่างไรซะเราก็หาแม่นมให้ลูกของเจ้าได้”  ศศิไม่ได้อยากห่างลูกไปไหนไกลเลย ทว่ามันเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนที่สำคัญคนหนึ่ง  “ไม่ต้องห่วงเจ้าฉายนะ ข้าจะดูแลอย่างดี”  ศศิก็รู้ว่าไว้ใจทิชากรได้


แต่นอกเหนือจากความคิดถึงก็ไม่มีเหตุผลใดอื่น


“ข้าจะรีบไปจัดเตรียมของ ขอให้พวกท่านเตรียมคณะเดินทางให้เร็วที่สุด”


หลังจากรับใบสั่งยามาจากทิชากร ก็จัดการให้ลูกศิษย์ไปจัดเตรียมของใช้จำเป็นมาให้ และตัวศศิก็ไปจัดการกับของใช้ส่วนตัวรวมถึงข้าวของของเจ้าฉายที่นอนมองคนเป็นแม่เดินวุ่นไปวุ่นมาในห้อง ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมเล็กน้อยพร้อมให้คนมารับไปเก็บในรถม้า เมื่อหันกลับมาหาเจ้าฉายก็ยิ้มบางๆให้ ลูกคือขุมพลังแห่งความสุขในทุกยามจริงๆ น่าสงสารคนหลงลูกอีกคนที่อยู่ไกล คงได้แต่จินตนาการว่าตอนนี้เขาจะหน้าตาเป็นอย่างไรเพราะไม่ได้เจอกันนาน ตอนนี้เจ้าฉายไม่ได้เป็นเจ้าหนูตัวเหี่ยวอีกต่อไปแล้ว


แต่เป็นเจ้าอ้วนที่กินเก่ง นอนเก่ง และงอแงเก่งเป็นที่สุด


“เจ้าอ้วนเจ้าแสบ มานี่มา”  ว่าแล้วก็ยกลูกขึ้นมาอุ้มและฟัดแก้มนุ่มเบาๆ ศศิไม่อยู่จะคิดถึงกันบ้างไหม หรือเขาจะยังเด็กเกินไปกว่าจะผูกพันกับใคร ศศิกอดรัดลูกด้วยแสนรัก ก่อนจะพาเขาออกมาจากเรือนด้วยหมายจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้


“เตรียมทุกอย่างครบแล้วใช่ไหม ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม”  ทิชากรเอ่ยเตือน มือนั้นยื่นไปจะรับเจ้าฉายมาอุ้ม ศศิกำลังจะส่งให้แม้ไม่เต็มใจนัก แต่เจ้าฉายที่มองคนเป็นตาแป๋วนั้นกลับหันไปกอดแม่แน่น


“เจ้าฉาย”


“ฮึก”


“ไปอยู่กับท่านตาก่อนนะ”


เจ้าฉายไม่เข้าใจ….
และเจ้าฉายก็ไม่ยอมด้วย!


เสียงร้องไห้ที่ดังจนแสบหูและแรงกอดรัดที่แน่นเกินกว่าจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่งทำให้ศศิแทบจะล้มไปตามแรงดึงของคนที่พยายามจะพรากเจ้าฉายออกจากอก กอดก็แล้ว ปลอบก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดร้องหรือไม่แม้แต่จะโอนอ่อนให้ใคร ทิชากรเองก็ถึงกับยอมแพ้ในความดื้อแพ่งนี่ ทั้งดุทั้งว่าทั้งปลอบทั้งเอาใจ แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะยอมห่างจากคนแม่แม้สักนิดเดียว


“หรือข้าจะต้องไปแทน”  ทิชากรเอ่ยเสียงเครียด


“ท่านไปไม่ได้ หากคีรีธาราตามตัวแล้วใครจะไป” 


“แต่เจ้าฉาย…”


“…”


“หากช้ากว่านี้ก็เกรงว่าจะไม่ทัน”


“จะเป็นไปได้ไหมที่จะให้เจ้าฉายไปกับเรา”  คำถามนี้แม้จะเอ่ยเสียงเบาแต่คนฟังก็ยังได้ยินอยู่ดี เจ้าฉายน้อยนั้นสะอื้นฮักน่าสงสารนัก คนเป็นแม่ย่อมรู้สึกไม่วางใจหากลูกร้องไห้หนักเช่นนี้ ต่อให้แยกกันออกมาได้ ก็คงเป็นห่วงไปตลอดการเดินทาง ทิชากรที่มองดูสถานการณ์แล้วต่อให้ไม่อยากหรือไม่ยอมก็จำต้องโอนอ่อน


“สายชลรีบไปเก็บของมาอย่างไว”


“ข้าหรือ”


“ตามไปดูแลพี่ศศิและเจ้าฉายของเจ้าซะ จะออกเดินทางกันแล้ว รีบไปรีบมา”  ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำเช่นไร แม้จะไม่พอใจในการตัดสินใจของตนเองนัก แต่ทิชากรก็จำยอม สายชลที่ไม่เคยได้ไปไหนไกลก็จะได้มีประสบการณ์บ้าง อย่างไรซะจันทราปราการก็จำต้องมีคนเก่งๆเพื่อการใช้งาน แต่เก่งอย่างเดียวมันไม่พอ จะอย่างไรประสบการณ์ในการใช้ชีวิตก็สำคัญ


เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว แม้การเดินทางจะไม่สะดวกสบาย เจ้าฉายอาจจะงอแงหรือว่าพบเจออะไรไม่คาดฝันระหว่างนี้ แต่ศศิที่รักและคิดถึงลูกมากก็จะได้มั่นใจว่ามีเจ้าฉายอยู่ข้างกาย หากไม่มีเรื่องให้ห่วง จะได้ทำการรักษาให้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ทิชากรเมื่อตัดสินใจแล้วก็หันไปหาอชิระ อีกฝ่ายทำเพียงแค่ยิ้มบางๆมาให้


“ขอบคุณมากนะ เจ้าดีกับทางเรามากจริงๆ”  สำหรับธวัลย์ที่ไม่อาจจะไปดูแลแม่ตัวเองได้ การส่งคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยดูอาจจะทำให้อีกฝ่ายมีขวัญและกำลังใจ อชิระอาจจะไม่ได้เป็นนักปกครองของอาณาจักร แต่สวัสดิภาพและความสุขของคนในค่าย แม่ทัพก็ควรจะดูแลให้ดีอย่างที่พวกเขาตั้งใจทำงานให้กัน


“ท่านคงลืมไปว่าเลี้ยงเด็กหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายให้เติบใหญ่จนมีลูกแล้วกระมัง”  หากอชิระขับไล่จันทราปราการที่อพยพมาตั้งแต่วันนั้น บางทีชีวิตของเราก็อาจจะไม่ได้เดินทางมาไกลถึงจุดๆนี้ ในเมื่อผ่านความยากลำบากมากมายมาได้จนถึงป่านนี้แล้ว


กับแค่ปล่อยเจ้าแสบฉายไปกับแม่คงไม่หนักหนาอะไรกระมัง


เมื่อได้อยู่กับแม่ เจ้าแสบก็ไม่ฉายแววแสบอีกเช่นเคย การเดินทางเป็นไปอย่างง่ายดายราวกับว่ามีใครได้มาโรยกลีบกุหลาบไว้ตรงนี้ ศศิเพียงแค่ปูผ้าหนาๆไว้ให้ก่อนจะวางเจ้าตัวดีที่แผลงฤทธิ์จนหลับใหลให้นอนสบาย จ้องมองใบหน้าของจอมมารตัวน้อยและพิจารณาซ้ำไปซ้ำมา ว่าเขาเหมือนใคร


“ข้าบอกแล้วว่าเขาเหมือนท่าน”


“เหมือนแค่ปากกับใบหูนะสิ” แต่ดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนคนพ่อเหลือเกิน อคิราห์จะรู้หรือไม่ ว่านภฉายเองก็เป็นเหมือนภาพจำลองของเขาให้กอดหอมอย่างห่างไกลเช่นนี้


“ท่านจะได้เจอกับองค์รัชทายาทไหม”


“ไม่หรอก กำลังทำงานอย่างหนักที่อีกเมืองอยู่”


“แล้วถ้าได้เจอล่ะ”


“ข้าคงต้องสงสัยก่อนว่าที่ได้เจอนี่ความบังเอิญหรือตั้งใจ ฮึๆ”  ถ้าได้เจอก็คงคิดว่าเพราะอะไรเราถึงได้มาเจอกัน หากบังเอิญเดินตลาดและได้พบเห็นก็คงจะอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขาโกหกกันหรือเกี่ยวกับเรื่องไปทำงาน แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ศศิไม่อยากยอมแพ้ในตัวเขา แต่ก็คิดว่าที่ได้มาครอบครองนี้ก็คุ้มเกินพอแล้ว ทว่าเมื่อเอาเข้าจริงๆจะรู้สึกอย่างไร รับได้หรือไม่ ก็ยังจินตนาการไม่ได้ว่าตนจะเป็นเช่นไรต่อไป


การเดินทางมาถึงยังเมืองหลวงของสิหราชนครานั้นเป็นไปได้ด้วยดี เรามาถึงในช่วงค่ำ ด้วยเพราะไม่อยากไปรบกวนคนที่บ้านของท่านธวัลย์ เราจึงเลือกที่จะพักที่คฤหาสน์ปิติชาญก่อน แล้วจึงเดินทางไปในช่วงเช้าอีกวัน เมื่อได้มาพักผ่อนที่ห้องที่ตนเคยอยู่ ภาพบรรยากาศเก่าๆก็หวนกลับมาให้คิดถึง เหมือนมันเพิ่งผ่านไปไม่นาน แต่เมื่อมองหน้าเจ้าฉายก็คิดได้ว่ามันก็สักพักแล้วที่หลงรักกันและกัน น่าเสียดายที่วันนี้ คงไม่มีใครปีนเข้าห้องแล้ววันนี้


ก็ไม่รู้ว่าอคิราห์จะรับรู้ไหมว่าศศิได้มาอยู่ที่นี่ แม้จะไม่นานแต่ก็เป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะติดต่อไปที่ค่ายในช่วงนี้และตนจะไม่ได้ติดต่อกลับ ทว่าใครสักคนคงช่วยส่งข่าวบอกกระมัง เจ้าฉายหลับไปแล้ว ตั้งแต่เดินทางมานี้เป็นเด็กดีไม่ก่อกวนอะไรน่ารักเสียจนอยากอวดให้ทุกคนได้เห็น ศศิที่นอนข้างๆนั้นลูบไล้มือเล็กแผ่วเบา ความสุขใจที่ได้รับช่วยปัดเป่าความกังวลออกไปได้จนในที่สุดก็เข้าสู่นิทรา


และตื่นขึ้นมาเดินทางไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้


ที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์ในเมืองที่เป็นบ้านเกิดของท่านรองแม่ทัพธวัลย์นั้นใหญ่โต รู้จักกันตั้งแต่เขาเริ่มรับราชการและถูกส่งตัวมาช่วยเหลือแม่ทัพอชิระตามคำแนะนำขององค์ชายอคิราห์ ทว่าศศพินทุ์กลับไม่เคยรู้เลยว่าพี่ชายคนนั้นจะมีฐานะดั้งเดิมที่ร่ำรวยขนาดนี้


นอกจากจะมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังของสิหราชนคราแล้ว พื้นที่และตัวบ้านยังดูโอ่อ่าจนแทบไม่เชื่อว่านี่คือบ้านของคนที่ศศิรู้จักจริงๆ กับองค์รัชทายาทนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มานึกๆไปก็ได้ใกล้ชิดคนใหญ่คนโตเกินคาดมามากมาย แต่พวกเขาก็เหมือนคนทั่วไป โดยเฉพาะพ่อของเจ้าฉายนี่


“แต่ท่านตาทิชากรบอกว่าฐานะของจันทราปราการของฝั่งเราก็ไม่ได้ย่ำแย่ เจ้าไม่ต้องอายนะเจ้าฉาย”  ศศพินทุ์นั้นก้มลงไปประทับจูบลงบนกระหม่อมของลูกชายที่นั่งอยู่บนตัก เรามาที่นี่ด้วยกันทั้งหมด เพราะเมื่อเช้าพอจะฝากเจ้าแสบไว้ที่คฤหาสน์ปิติชาญ ก็แผลงฤทธิ์ซะจนต้องยอมพามาด้วย


นี่เราไม่ได้เป็นแม่ที่ตามใจลูกจนทำให้เขาเสียคนใช่ไหม


“เดี๋ยวให้พ่อเจ้ามาดุละกัน”  ก็ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ปรามกันได้ เมื่อคิดถึงตอนที่เจ้าตัวเล็กยังอยู่ในท้องและคนพ่อต้องปลอมตัวมาหา รอยยิ้มบางๆก็จุดขึ้นที่ริมฝีปาก


ไม่นานจากนั้นก็ถูกเรียกให้เข้าไปด้านใน คงจะเพราะมีการติดต่อมาทางนี้แล้วว่าอชิระจะส่งคนมารักษาให้จึงมีการเตรียมต้อนรับในระดับหนึ่ง เท่าที่ศศิทราบ เจ้าของบ้านนั้นป่วยเรื้อรังมานาน แต่ช่วงนี้อาการกลับทรุดลงจนตามหมอรักษากันให้วุ่นทั่วอาณาจักร ตำหรับเดียวที่ยังไม่ได้ลอง คือตำหรับแพทย์ของจันทราปราการนี่แล


ศศินั้นส่งลูกของตนให้พ่อบ้านของคฤหาสน์ปิติชาญที่ถูกส่งมาประสานงานช่วยดูแล ทีเช่นนี้ไม่ร้องไห้งอแงนะเจ้าอ้วน ตนนั้นเข้าไปในห้องนอนของคุณนายเจ้าของบ้านที่ดูมืดทึบ สภาพเช่นนี้ไม่เหมาะให้คนป่วยอยู่เสียเท่าไหร่ ถ้ายังไงได้คุยกันแล้ว ก็จะลองพูดๆดูเผื่อว่าจะมีอะไรที่มากมายกว่านั้น


สายชลนั้นตามเข้ามาในฐานะผู้ช่วย แม้จะไม่ได้เรียนวิชาแพทย์ แต่ก็ถือเป็นเด็กที่มีความคล่องแคล่วและเรียนรู้ได้ไว ยามคับขันก็ช่วยกันอยู่บ้าง จนได้รับการพิจารณาให้เข้าเรียนได้หากเจ้าตัวมีความสนใจ เราสองคนเข้ามาในห้องนอนซึ่งมีเตียงใหญ่ตั้งวางอยู่มุมหนึ่งซึ่งไกลจากหน้าต่าง ที่ข้างๆเตียงนั้นมีสตรีแลดูมีอายุแต่ยังงดงามนั่งอยู่ กับคนที่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้ที่สนิมสนิมกันนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆ


“ข้าคือหมอที่ท่านอชิระส่งให้มาดูอาการ” ศศินั้นได้เอ่ยแนะนำตัวไปก่อน รู้สึกได้ถึงภาวะกดดันบางอย่างที่ไม่ทราบที่มา เกิดความเงียบเข้าครอบงำไปทั่วห้อง ก่อนที่ร่างซึ่งนอนอยู่จะพยายามลุกขึ้นมานั่ง บ่าวที่เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปช่วยพยุง


ทว่ามันก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้นจนคนที่กุมมือยืนอยู่เฉยๆอยากจะพูดอะไรขึ้นมาแทน แต่คนป่วยได้หันไปกระซิบกระซาบกับบ่าวรับใช้ น่าเสียดายที่คนซึ่งยืนอยู่อย่างประหม่านั้นไม่ได้ยินอะไร แต่ไม่ต้องสงสัยนาน บ่าวรับใช้คนนั้นก็พูดถึงความต้องการของนายตนให้รับฟัง


“ขอบคุณท่านหมอที่เดินทางกันมาไกลอย่างยากลำบาก ขอให้พวกท่านได้พักผ่อนที่นี่ตามอัธยาศัยขาดเหลือสิ่งใดให้แจ้งบอก”


“ขอบคุณในความกรุณาขอรับ”


“แต่ว่าต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจจะรับการรักษาใดๆอีก”


“…”


“ฝากบอกท่านอชิระด้วยว่าท่านหญิงซึ้งน้ำใจมาก”  ต้องเป็นคนป่วยที่เจ็บปวดทรมานแบบไหน


ที่จะปฏิเสธการรักษาของหมอที่ยินดีจะยื่นมือมาช่วยเช่นนี้?




TALK
เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเรื่องอย่างเป็นทางการท่ามกลางหมอกฝุ่นหนาที่ทำเราป่วย แต่พายุงานที่ไม่พัดพาหมอกออกไป
ฮือออออ ขอโทษที่ไม่สามารถมาแบบสม่ำเสมอได้ในช่วงนี้นะคะ ช่วยรอกันหน่อยน้า

ในส่วนของชื่อหลาน น้องชื่อ นภฉาย (อ่านว่านะภะฉาย) ที่มาจากคำว่า นภา กับคำว่า ฉาย หรือน้องฟ้าฉายนั้นเอง
ได้รับแรงบันดาลใจ ในเมื่อชื่อที่แปลว่าพระอาทิตย์กับพระจันทร์นั้นเรายกให้แฝดไปแล้ว
งั้นเจ้าแสบก็จะให้ชื่ออะไรที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองอย่างแต่อยู่ตรงกลาง ท้องฟ้าคือสิ่งแรกที่เรานึกถึง
และคิดว่าเป็นชื่อที่เป็นกลางในหลายๆด้าน
ส่วนเจ้าแฝดนั้นหลายคนเข้าใจแต่หลายคนก็ไม่เข้าใจ
ที่น้องไม่มาเกิดนั้นเพราะน้องมีภาระต้องรับช่วงต่อจากพ่อและแม่บนสวรรค์
ดังนั้นเจ้าฉายจึงมีฐานะเป็นมักเน่หรือน้องเล็กนั่นเองค่ะ

หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-01-2019 14:18:42
หรือว่าท่านหญิงคนนี้จะเป็นแม่พี่อาทิตย์?
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 19-01-2019 21:53:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 20-01-2019 02:13:39
ทำไมปฎิเสธกันอย่างนี้ล่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-01-2019 09:29:36
ยังไงนะๆ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 20-01-2019 16:29:13
ขออย่ามีม่าอีกเลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 28 : 19/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-01-2019 18:49:51
เจ้าฉายลูก จะฉลาดเกินไปละนะ อยากไปกับแม่ แล้วอยากเจอพ่อด้วยใช่ไหม
น่ารักจังเลยค่ะ ดูแล้วซนจริง มาหาให้พ่อดุถึงถิ่นเลย

ศศิน่ารัก แม่ก็ห่วงลูกอะนะ พอเจ้าฉายเกาะติดเลยปล่อยไว้ไม่ได้

ไม่ให้ว่าวางแผนให้มาเจออาทิตย์หรอกนะ แบบให้มาอยู่ใกล้ๆ กัน ก็ยังดี
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 29 : 20/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 20-01-2019 19:50:25
Finding the twilight
29
ขวัญใจ
☼ ☽

ณ.คฤหาสน์วัชรวราภรณ์ในยามใกล้เที่ยง
กับคำปฏิเสธน้ำใจอย่างถนอมน้ำใจ


“เอ่อ…ข้าเกรงว่า”


“ท่านหญิงไม่โปรดจะรับการรักษาใดๆอีก ได้โปรดช่วยเข้าใจด้วย”


“…อย่างน้อยให้พวกเราได้ตรวจดูอาการก่อนได้หรือไม่”


“ก็รังแต่จะให้ความหวังกันเปล่า”  คราวนี้คนพูดกลับเป็นเจ้าตัวคนป่วยเอง น้ำเสียงที่ดูอ่อนแรงนั้นทำให้รู้ว่าผู้พูดไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่ แต่ ‘ท่านหญิงชยาภา’ ก็คิดว่าตนควรบอกกับท่านหมอด้วยตัวเองมากกว่า


“…”


“ต้องขอโทษและขอบคุณพวกท่านมาก” 


“เป็นเช่นนั้นแล้วข้าก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้ แต่หากเป็นไปได้ ก็หวังที่จะดูอาการสักครั้ง หากเสนอทางรักษาแล้วท่านยังไม่สนใจ เช่นนั้นจึงขอยอมแพ้”


“เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับการมาพูดเพื่อให้ความหวังอะไร”


“แต่ข้าก็คิดว่าท่านยังมีหวัง”  ศศิก้มหน้าลงนิดๆ  “ท่านธวัลย์คงเสียใจ”


“เด็กคนนั้นเขาคงยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจอะไรอยู่แล้ว”


“…”


“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว ท่านหมอช่วยออกไปก่อนเถิด”  น่าผิดหวังเหลือเกิน


ทั้งๆที่มันเป็นความเต็มใจของคนไข้ แต่ศศิ…กลับรู้สึกไม่ดีที่จะปล่อยไปสักนิด ทว่าเมื่อทางเจ้าตัวต้องการพักผ่อน ชวนคุยต่อไปตอนนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ศศิกับสายชลจึงจำใจเดินตามบ่าวรับใช้ออกมาจากห้องเงียบๆ ในหัวเก็บงำเรื่องบางเรื่องเอาไว้ จนกระทั่งสายชลนั้นพูดขึ้นมา


“ท่านเห็นเหมือนข้าหรือเปล่า”  ศศินั้นเงียบไป ก่อนจะมองไปที่แผ่นหลังของบ่าวรับใช้ที่เดินนำอยู่ ระยะห่างนั้นพอมี


“ต้นชาดห้าแฉกนั่นนะหรือ”


“เป็นไปได้ไหมที่ว่าท่านหญิงจะป่วยก็เพราะ…”


“เป็นไปได้”


“แล้วมีทางรักษาไหม”


“มีสิ”  ศศิมั่นใจ “ง่ายกว่ารักษาชาดสีดำเสียอีก” แต่ถ้าคนป่วยไม่ยินยอมให้รักษา ก็เกรงว่าผู้เป็นหมอจะทำอะไรไม่ได้ หากอย่างน้อยให้ตรวจอาการ ก็อาจจะให้ความมั่นใจได้ และถ้ามันเป็นเพราะชาดห้าแฉกนั้นแล้ว ศศิก็ยิ่งละอายใจที่ไม่อาจจะรักษาชีพของท่านแม่ของธวัลย์ได้


เรากลับมาที่ห้องรับแขกของคฤหาสน์ ที่ที่เจ้าฉายกำลังคลานเล่น คาดว่าคงพยศจนท่านพ่อบ้านเอาไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นว่าผู้คนที่นี่ดูจะเอ็นดูเจ้าฉายกันดีก็สบายใจ ถึงจะน่ารักในสายตาศศิที่สุด แต่ก็อาจจะไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนเสมอไป เจ้าฉายที่เห็นแม่ของตนกลับมาก็รีบคลานมาหา แต่ไม่ต้องรอให้เหนื่อยเลย ศศิก็ปรี่เข้าไปอุ้มขึ้นมา


“เจ้าอ้วนนี่แสบนักใช่ไหม นี่มันบ้านคนอื่นนะลูก”  คิดจะทำอะไรก็ได้ดั่งใจหรือ ความเกรงใจไม่มีเหมือนใครกัน


“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนูน่ารักเหลือเกิน ลูกของท่านหมอหรือเจ้าคะ”


“ขอรับ เจ้าแสบนี่ชื่อฉาย เป็นลูกของข้าเอง” ศศิยิ้มบางๆให้กับบ่าวรับใช้ส่วนตัวของท่านหญิง ทั้งๆที่เพิ่งได้พบหน้าเจ้าฉาย แต่ก็ดูจะเอ็นดูกันเสียแล้ว เสน่ห์แรงเหมือนใครกัน


“ที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์นั้นไม่ได้มีเด็กๆมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือตอนที่คุณชายธวัลย์ยังเด็กๆอยู่ หากออกเรือนและมีบุตรสักคนก็คงจะดี อา…เกรงว่าข้าจะพูดมากเกินไปแล้ว เชิญท่านหมอพักผ่อนให้สบายกาย ท่านคงหิว เดี๋ยวทางเราจะจัดโต๊ะให้ ตอนกลางวันเช่นนี้ท่านหญิงเหนื่อยก็อาจจะทานที่ห้อง แต่ตอนเย็นอาจจะประสงค์อยากมาร่วมโต๊ะด้วย”


“ถ้าเช่นนั้นขอรบกวนด้วย”  ท่านหมอที่อุ้มเจ้าแสบอยู่ยิ้มให้บางๆ เมื่อนางจะเดินจากไป เจ้าฉายก็โบกมือให้ตาแป๋ว ช่างรู้ดีเสียจริงลูกใคร


พ่อบ้านของคฤหาสน์ได้นำทางเหล่าแขกผู้มาเยือนให้ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ค่อนข้างจะช้ากว่ากำหนดการ และได้พาให้ทั้งศศิ สายชล ไปยังห้องพักที่จัดเตรียมแยกไว้ให้ แต่เดิมไม่มีใครรู้ว่าจะมีเด็กทารกมาด้วย ทว่าก็ให้การต้อนรับขับสู้ดีมากๆ เพราะการเดินทางที่ทำให้ค่อนข้างเหนื่อยหล้าเราจึงแยกกันไปพักผ่อนในห้องของตนเอง จนกระทั่งถูกเชิญมาทานมื้อเย็น


ศศพินทุ์นั้นอุ้มเจ้าฉายที่เพราะให้นมไปแล้วตอนนี้จึงอิ่มอยู่เลยไม่มีวี่แววจะงอแงอะไรให้หนักใจออกมา เราสามคนมาถึงที่ห้องทานอาหารของคฤหาสน์ที่ในมื้อนี้ดูจะพิเศษเสียหน่อยเพราะนอกจากอาหารจะถูกวางไว้เต็มโต๊ะ ยังมีเจ้าบ้านและแขกผู้สนิทสนมมาร่วมด้วย


“ต้องขอโทษที่มารบกวนด้วยนะขอรับ”  เจ้าของร่างบางนั้นเอ่ยอย่างสุภาพและได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาจากผู้ใหญ่ทั้งสอง


“อย่าได้กังวลไปเลย แล้วนั่น ลูกของเจ้าหรือ”


“อา…นี่เจ้าฉายลูกของข้าเอง เจ้าฉาย…ทักทายท่านหญิงทั้งสองสิ” ว่าแล้วก็จับเจ้าแสบให้หันไปก้มหัวให้กับสตรีทั้งสอง ดวงตาแป๋วนั้นมองไม่วางตาก่อนจะยื่นมือออกไปโบกให้


“น่ารักเสียจริงเลยนะ”  ท่านหญิงนั้นเอ่ยชมและหันไปยิ้มให้กับท่านหญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ


“ทั้งแสบซนและหนักมาก แต่หากทั้งสองท่านจะเอ็นดู ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าฉายนี่”


“ชื่อเจ้าฉายงั้นหรือ ไหนข้าขอดูหน้าใกล้ๆหน่อยได้ไหม”  เมื่อท่านหญิงที่ป่วยอยู่นั้นร้องขอ คนเป็นหมอก็เห็นเป็นโอกาสดีที่จะเข้าใกล้ เจ้าของอ้อมแขนเล็กแต่อบอุ่นนั้นอุ้มลูกชายเดินเข้าไปหา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ พร้อมจับเจ้าอ้วนให้นั่งบนตักนาง


“หากเจ้าอ้วนนี่หนักเกินไปก็บอกได้นะขอรับ”


“ไม่หรอก…เด็กๆน่ะอ้วนๆดีแล้ว น่ารัก”  ดูเหมือนท่านจะชอบเด็กจริงๆ  “พอเห็นเช่นนี้แล้วคิดถึงธวัลย์ตอนยังเล็กๆ ตอนนั้นก็ติดแม่น่าดู”


“ท่านธวัลย์ตอนนี่คงดูต่างจากตอนนั้นมาก แต่เขามักบอกทุกคนในค่ายว่าไม่มีน้ำแกงดอกไม้ที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่”


“อย่างนั้นหรือ”  ท่านผู้หญิงเผยยิ้มอ่อนโยน


“ข้านับว่าโชคดีนักที่ได้มาลอง”


“เจ้าสนิทกับธวัลย์หรือไม่”


“เขาเปรียบเหมือนพี่ชายที่สอนข้าในหลายๆเรื่อง แต่โชคร้ายที่ข้าไม่ได้เอาดีด้านการต่อสู้เสียเลย”  เมื่อนึกถึงความหลัง ภาพต่างๆก็ย้อนกลับเข้ามา


“ได้ยินว่าเขาเป็นที่พึ่งพาได้ ข้าก็สบายใจแล้ว”


“ข้าได้ยินว่าท่านธวัลย์จะแวะมาที่นี่ในอาทิตย์หน้า”


“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงหรือเปล่า”


“….”


“ตอนนี้ผิวหนังของข้าเต็มไปด้วยรอยแดงเป็นปื้นแถมยังมีตุ่มน้ำผุดทั้งกายลามมาถึงคอเช่นนี้ ตกดึกก็มีไข้สูง คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน”  เมื่อคนป่วยพูดเช่นนั้น ท่านหมอก็ฉวยโอกาสวิเคราะห์ ใบหน้าของท่านหญิงมีรอยแดงปื้นๆไปทั่วแต่ไม่ปรากฏตุ่มน้ำ ทว่าที่ลำคอกลับมีให้เห็น



“อย่าได้กังวลไปเลย”  เมื่อได้โอกาสจึงเอ่ยไปพลางแสร้งทำเป็นจับมือ แต่หารู้ไม่ว่าศศิกำลังเร่งตรวจเช็คบางอย่างจากภายในอยู่ เมื่อมั่นใจในสาเหตุในระดับหนึ่งก็ยิ้มออกมา  “หากท่านทานแต่อาหารดีๆที่ร่างกายคุ้นเคยและได้รับการขับพิษที่ถูกต้อง พิษชาดห้าแฉกนั้นไม่อาจจะทำอะไรท่านได้หรอก”  และเมื่อสองสตรีได้ยินดังนั้นแทนที่จะรู้สึกเสียรู้ให้กับท่านหมอจอมเจ้าเล่ห์ที่หลอกลวงกันด้วยความน่าเอ็นดู แต่กลับรู้สึกประหลาดใจในคำตอบมากกว่า


“ชาดห้าแฉก ต้นไม้ที่วางอยู่ที่ระเบียงห้องนอนนั่นรึ”  ท่านหญิงผู้เป็นดั่งเพื่อนสนิทของคนป่วยนั้นเอ่ยถาม ศศิไม่รอช้า พยักหน้าออกมา


“ข้าเห็นเป็นเพียงต้นไม้สวยงามที่เห็นค้าขายกัน มันมีพิษหรอกรึ”


“มันจะมีพิษร้ายแรงหากได้รับการสกัดอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญ เดิมทีต้นไม้นั้นพบได้ในป่าลึกของคีรีธาราเท่านั้น ข้าก็ไม่ทราบได้ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่”  ศศินั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง  “อันตรายเหลือเกิน หากมีใครที่นี่นำมันไปสกัดชาดสีดำแล้วล่ะก็…”  ประโยคหลังนั้นเหมือนจะรำพึงรำพัน ทว่าคนที่สนทนาอยู่กลับได้ยินชัดเจน


ชาดสีดำงั้นรึ…


“หากมันมีพิษร้ายแรง เหตุใดผู้อื่นในบ้านถึงไม่เป็นอะไรเลยเล่า” 


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจถึงการทำงานที่นี่ ทว่าต้องเป็นผู้ใกล้ชิดกับมันตลอดเวลาและยังสัมผัสบ่อยๆเท่านั้นถึงจะรับพิษเข้าไป แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรงหากช่วงที่อาการกำเริบไม่ได้ไปทานหรือทำอะไรให้ร่างกายรู้สึกผิดสำแดง”


“อา…ข้าเป็นคนเดียวที่ดูแลเลี้ยงดูมัน มิหนำซ้ำยังชอบจับใบของมันเล่นด้วยเพราะเห็นว่ามีขนฟูๆนุ่มนิ่ม”  หารู้ไม่ถึงพิษอันตราย


“เจ้าพูดถึงชาดสีดำเมื่อครู่ หมายความว่าอาการที่เพื่อนของข้าเป็นอยู่นั้นเพราะชาดสีดำนะหรือ”  ท่านหญิงที่เป็นแขกอีกคนนั้นเอ่ยถาม ทว่าศศิกลับส่ายหน้า


“มันก็ไม่ถูกต้องนักทีเดียว พืชชนิดนี้เป็นหนึ่งในสารสกัดสำคัญก็จริง แต่หากเลี้ยงดูอย่างถูกวิธีก็ไม่ได้ทำให้เกิดพิษภัยอะไร ข้าคาดว่าร่างกายของคุณหญิงคงแพ้ด้วย”


“ข้าเคยได้พบเจอคนที่ต้องพิษชาดสีดำมาก่อน ได้ยินมาว่ามันทำให้ตายได้และไม่มีทางรักษา”  ท่านหญิงผู้ที่ให้ความสนใจกับชาดสีดำนั้นเอ่ยถาม ศศิก็ยินดีที่จะทำให้สบายใจ


“แม้แต่ชาดสีดำข้าก็ปรุงยารักษาได้ กับโรคนี้ข้าก็รักษาได้เช่นกัน”


“เจ้ามั่นใจหรือ ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูก แต่แม้แต่หมอหลวงของที่นี่ที่เข้ามาช่วยดูอาการก็ยังไม่อาจจะรักษาได้ เพื่อนของข้านั้นได้พบกับความทรมานมากมายจากการรักษามานักต่อนักแล้ว โปรดอย่าให้ความหวังถ้าไม่มั่นใจ”


“ข้าย่อมมั่นใจอยู่แล้ว”  ศศินั้นเอ่ยคำมั่นด้วยรอยยิ้ม  “ข้านั้นมาจากตระกูลที่ศึกษาชาดสีดำและพืชที่เกี่ยวข้อง หากไม่ใช่ตำรับของจันทราปราการ ก็เกรงว่าไม่มีที่ไหนจะทำได้อีกแล้ว”


“อา…”


“วิธีรักษาก็ไม่ยาก หากทานอาหารเสร็จแล้ว ขอให้ข้าได้มีโอกาสอธิบาย ตอนนั้นหากไม่ยอมรับหรืออย่างไร ข้าก็จะไม่ขัดใจเลย”  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางเป็นกันเอง รอยยิ้มหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเอ็นดูทั้งเจ้าฉายบนตัก และศศิคนงาม ทว่าตอนนี้คนป่วยก็เชื่อใจกันบ้างแล้ว


บางทีรับฟังข้อเสนอบ้างก็ไม่เลวร้ายนักหรอก


☼ ☽


ในที่สุด…อุปสรรคแรกก็ผ่านพ้นไปจนได้


“โล่งใจจัง”  หลังจากที่อธิบายถึงการรักษาและได้รับคำตอบรับกลับมา ศศิก็กลับมาที่ห้องพักเพื่อพักผ่อนเตรียมความพร้อมต่อไป เจ้าฉายนั้นกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาให้ต้องตามจับด้วยกลัวว่าจะตกเตียง เวลาอันแสนสงบมาเยือน และพรุ่งนี้จะได้เริ่มงานการสักที


การรักษาทำได้ไม่ยากเย็นเลย หากพ้นผ่านสักอาทิตย์ไปก็คงจะไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นตนก็พบว่ามันอาจจะพอดีที่ได้เจอกับท่านรองแม่ทัพที่ส่งข่าวว่าจะรีบรุดมาเยี่ยมท่านแม่ที่บ้าน บางที…อาจจะแอบถามเรื่องของคนไกลที่ไปด้วยกันได้บ้าง


“เจ้าฉาย…คิดถึงท่านพ่อไหม”  คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงตาใสแจ๋ว  “แล้วท่านพ่อจะคิดถึงข้าและเจ้าฉายไหมนะ” และคำตอบนี้ไม่อาจจะได้รับจากใคร หากไม่ใช่เจ้าตัวเอง ศศพินทุ์ชักจะเพ้อไปใหญ่แล้ว หากเจ้าฉายรับรู้คงหัวเราะกันจนฟันไม่ขึ้นเป็นแน่ อะไรมันจะเกิด มันก็คงต้องเกินนั่นแล…แต่ขอแค่ว่า….


ให้มันเกิดขึ้นมาเป็นเรื่องดีๆได้หรือไม่…


☼ ☽


หลังจากที่คนป่วยตกลงรับการรักษาแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่เจ็ดที่ได้มาอยู่ที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์การรักษาให้คนไข้หลักเป็นไปได้ดีและมีความก้าวหน้า ทว่านอกเหนือจากนั้นคือการที่ศศิได้มีคนไข้รองๆลงมาด้วย


มันเริ่มจากการที่คนงานในบ้านคนหนึ่งป่วยและเริ่มแพร่เชื้อ ศศิจึงจับรักษาทั้งคู่ด้วยกลัวว่าจะทำให้ท่านหญิงได้รับเชื้อตาม ทำไปทำมาก็ลามไปลามมา และคนในหมู่บ้านก็ตามมา ช่วงนี้ไข้หวัดระบาดรุนแรง หากไม่ดูแลสุขภาพให้ดีก็เกรงว่าจะพากันป่วยไปหมด เดิมทีก็คิดว่าเป็นเพราะอากาศ ทว่าตรวจสอบไปมากลับพบว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น…


มันเกิดจากการแพร่เชื้อจากอาหารที่กิน ในฤดูนี้ชาวเมืองสิหราชนคราจะเฉลิมฉลองด้วยเนื้อหมูป่าที่จับมาได้และจะย่างกินกัน ทว่าเจ้าหมูตัวนั้นน่าจะมีเชื้อโรคบางตัวที่เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายมนุษย์จะก่อให้เกิดไข้ขึ้นสูงและสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ผ่านทางอากาศ ดังนั้นเชื้อจึงแผ่ขยายไปยังกลุ่มคนที่ไม่ได้ร่วมทานหมูป่าตัวนั้นด้วย


วิธีรักษานั้นก็แค่เพียงให้ทานยาขับเชื้อออกมา ทว่ายานี้นั้นจะต้องถูกผสมขึ้นจากพืชพันธุ์ที่หาไม่ยากแต่หลายชนิดโดยการควบคุมจากผู้มีประสบการณ์ ลำพังคนมีเงินก็ไปหาซื้อกันมาจนขาดตลาดเร่งผลิตกันอยู่ คนจนก็ต้องรอต่อไปด้วยหวังว่าทางการจะดำเนินการช่วยแต่ก็ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการเพราะตำหรับยาของสิหราชนครานั้นมีความยุ่งยากซับซ้อนจนไม่อาจจะทำเสร็จได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ด้วยความสงสาร ศศิจึงนำเรื่องไปปรึกษากับท่านพ่อบ้านของคฤหาสน์ว่าด้วยการขอพื้นที่เล็กน้อยในการบดยาหลังจากทำการรักษาให้ท่านเจ้าบ้านเสร็จแล้ว


ทว่าพ่อบ้านของที่นี่ได้นำเรื่องไปบอกท่านหญิงเพื่อการขออนุญาต และด้วยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจึงได้รับกำลังทรัพย์และกำลังคนส่วนตัวให้มาช่วยเหลือ จนตอนนี้ภารกิจของท่านหมอได้เพิ่มขึ้น แต่มันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน


“ข้ารู้สึกขอบคุณในความมีน้ำใจของเจ้าเหลือเกิน ทั้งๆที่นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือไม่ใช่แม้แต่แผ่นดินเกิดของเจ้าด้วยซ้ำ”  ท่านหญิง ‘รัญชิดา’ ผู้เป็นเพื่อนของท่านหญิงชยาภานั้นเอ่ยจากใจจริง แม้ตอนแรกจะตั้งแง่ใส่อยู่บ้างด้วยความเยาว์วัยนี่ แต่ตอนนี้ก็ยอมรับในความสามารถและให้ความนับถือในน้ำใจไม่น้อย


“ข้านั้นแม้จะมีสายเลือดคีรีธาราแต่ก็เติบโตมาในแผ่นดินนี้ หาได้สนใจว่าที่นี่เมืองอะไรมีความเกี่ยวข้องไหม ไม่ว่าที่ไหนหากไปพบคนลำบากที่ช่วยได้ย่อมต้องช่วยเหลือ” 


“ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน”  นางเอ่ยชื่นชม “ใครได้เป็นลูกหลานต้องภูมิใจมากแน่ๆ”

     
“ข้าก็หวังให้พ่อแม่ภูมิใจ”  ทว่าพวกท่านล้วนล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว หากพวกเขาอยู่ไม่ไกลและรับรู้ได้ก็คงจะดี แต่จริงๆแล้วที่ทำไปก็ไม่ได้เพื่อใคร


ล้วนเป็นเพื่อความสบายใจของเจ้าตัวเองทั้งนั้น


“อืม…ตัวยาที่รับไปเหมือนจะใช้ได้ผลนะ” 


“ขอบคุณท่านหมอ หากไม่ได้ทันป่านนี้พวกเราคงตายไปแล้ว”


“ไม่เป็นไรนะ มีอะไรก็ช่วยๆกัน ดูแลตัวเองให้ดีด้วย”


นี่คือบทสนทนาที่นางได้ยินมาตลอดทั้งวัน ท่านหญิงรัญชิดานั้นรู้สึกนับถือท่านหมอตัวเล็กผู้นี้มากขึ้นมากขึ้นในทุกๆวัน จะด้วยเพราะความอารีมันก็ด้วยส่วนหนึ่ง แต่การแสดงออกและความสามารถในการดึงดูดให้คนมาหลงรักนั้นก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ชื่นชอบ


เป็นลูกเต้าเล่าใครกัน ทำไมถึงได้เลี้ยงมาดีเช่นนี้


“ท่านหญิงรัญชิดา”  เมื่อมีโอกาสว่างก็ไม่รอช้าที่จะหันมาหา ด้วยเพราะวันนี้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตรวจรักษาผู้ป่วยในเมือง ยิ่งมีชื่อเสียงคนก็ยิ่งเข้าหา แม้จะบอกว่าไม่รับเงินทองอะไร แต่เจ้าตัวก็ได้ใจจนดึงดูดข้าวของมากมายทั้งมีราคาและไม่มีราคา และแน่นอนเมื่อได้รับมาจนเกินอิ่ม ก็ส่งต่อให้กับคนที่ไม่มีเพื่อให้เขาได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป


“ยังหลับไม่ตื่นเลย” นางพูดถึงเจ้าฉายด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร เพราะนางนั้นมักจะมาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อนของตนที่ป่วยอยู่ ในตอนนี้แม้อาการจะดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังคอยให้กำลังใจใกล้ชิด ทำไปทำมาก็เข้ามาช่วยศศิด้วยเห็นว่าตนอาจจะพอมีประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าท่านหมอคนดีมีเรื่องให้ช่วย…


นั่นก็คือช่วยเอาเจ้าฉายไปดูให้หน่อย


ในตอนนี้แม้แต่คนงานในคฤหาสน์วัชรวราภรณ์ก็ต้องรับคำสั่งมาช่วยท่านหมอให้ช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังตกทุกข์ได้ยากจึงไม่ค่อยมีเวลาดูแลบ้านช่องตามหน้าที่ดั้งเดิม ทว่านี่คือคำสั่งของนายหญิงโดยตรงพวกเขาจึงย่อมต้องกระทำตาม และทุกคนต่างก็ทำด้วยความเต็มใจ


เมื่อสถานการณ์ภายในวุ่นวายเช่นนี้ คนที่จะช่วยดูแขกตัวน้อยของบ้านจึงกลายเป็นผู้ใหญ่สองคนที่ทำอะไรไม่ค่อยจะได้มาก ด้วยศศิมั่นใจนักว่าเจ้าบ้านนั้นไม่ได้เป็นโรคติคต่อและเพื่อให้เกิดความสุขเล็กๆน้อยๆจึงยินดีที่จะฝากลูกไว้ ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็สดใสร่าเริง ซนบ้างตามประสาเด็ก แต่น่าเอ็นดูเกินกว่าจะกล่าวโทษ


นางรู้สึกรักและเอ็นดูเจ้าฉายมากจริงๆ


“เจ้าก็พักเสียบ้างเถิด หนักเกินไปตนเองจะป่วยเอา” 


“ข้ายังไหว ได้เห็นทุกคนอาการดีขึ้นก็ยิ่งต้องรีบรักษาให้หายขาด โอกาสเป็นของเราแล้ว” แม้จะดูเหนื่อยล้า แต่ท่านหมอที่ตนทราบว่ามีนามว่า ‘ศศพินทุ์’ นั้นยิ้มออกมาก็ยิ่งรู้สึกปลื้มใจ ต้องเติบโตมาแบบไหนถึงได้เป็นคนดีเช่นนี้ และคนที่ได้ครองคู่กับคนๆนี้


จะต้องเป็นคนที่โชคดีเพียงไหนกันนะ


“มาทานอาหารกับข้าก่อนเถิด ปล่อยให้ท่านหมอคนอื่นๆที่ข้าพามาได้รักษาต่อ”  ด้วยเพราะนางพอจะมีเส้นสายอยู่บ้างจึงได้ว่าจ้างหมอคนอื่นมาช่วย ซึ่งอีกฝ่ายก็เต็มใจดที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆไปกับท่านหมอที่เก่งฉกาจคนนี้
 

ศศพินทุ์นั้นฉายแววไม่มั่นใจในคราแรกแต่เมื่อเห็นแววตาของคนอื่นที่ดูจะเต็มใจเข้าขั้นไปถึงผลักไสให้ไปพักเลยยินดีที่จะตามไป ในห้องทานอาหารที่เงียบสงบ ท่านหญิงรัญชิดานั้นพาให้ท่านหมอคนดีมาทานข้าวด้วยกัน ค้นพบว่าเด็กคนนี้น่าสนใจไม่น้อย หากยังไม่มีคู่หมายครอบครองก็น่าสนใจที่จะแนะนำให้กับลูกของตนอยู่เหมือนกัน


ติดเสียแต่ว่านางไม่มีลูกสาว…


“คนรักของท่านอยู่ที่ไหนรึ เขาไม่ว่าหรือที่ท่านมานานขนาดนี้”  มิหนำซ้ำยังให้คนเป็นพ่อพาลูกมาถึงไหนต่อไหน จะไม่คิดว่าแปลกก็จะเพิกเฉยเกินไปเสียแล้ว


“เราต่างแยกกันไปทำงานไม่ได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้”


“พวกท่านเลิกกันหรือ”


“เปล่าหรอก เราแค่แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ ไม่ใช่ว่าเลิกรากันแต่อย่างใด”


“ต้องขอโทษด้วยที่ละลาบละล้วง”


“ไม่เป็นไรหรอก”


“เช่นนี้หากเสร็จธุระแล้วท่านจะรีบกลับไปหรือไม่ หากยินดีจะให้พาเที่ยวชมเมืองหลวงดีไหม”


“เกรงใจท่านแล้ว แต่ข้าจำต้องรีบกลับ คนรักอาจจะส่งข่าวสารมาหา” 


“ท่านคงรักคนๆนั้นมาก”


“อืม…”  ศศิยิ้ม  “ข้ารักเขาเหลือเกิน”  และต้องรักขนาดไหน


ที่ต้องทนกับสภาพที่คลุมเครือและห่างไกลเช่นนี้ได้โดยไม่ปริปากบ่นแต่อย่างใด


☼ ☽


ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนๆก็มีปัญหาการเข้าถึงทางการแพทย์ทั้งนั้น


อาจจะเพราะนโยบายหรืออะไรก็ตามทำให้จำนวนหมอมีน้อย โรงเรียนแพทย์ที่มีเพียงแห่งเดียวซึ่งขึ้นตรงกับสำนักพระราชวังนั้นไม่สามารถผลิตหมอได้ในจำนวนที่พอใช้ ทั่วดินแดนนั้นมีหมอกระจายไปทำงานน้อยมาก แทบจะไม่เพียงพอกับความต้องการจริงๆ


“สูตรสมุนไพรนี่ ท่านพอจะจดให้เรานำไปทำการวิจัยได้หรือไม่”  ท่านหมอที่ถูกจ้างมาให้ช่วยนั้นเอ่ยถาม จริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าหมอของที่นี่ไม่เก่งหรอก แต่การได้แลกเปลี่ยนความรู้นั้นจะช่วยทำให้เราพัฒนาตำรับยาที่ดียิ่งขึ้นไปได้อีก ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นสิหราชนคราหรือจันทราปราการต่างก็มีตำรับของตนเองแต่ไม่เคยแลกเปลี่ยนกันจริงจัง หากได้มีการหารือเพื่อพัฒนาไปในสิ่งที่ดีกว่าก็คงจะดี


อาการของท่านหญิงชยาภานั้นดีขึ้นจนร่องรอยต่างๆบนร่างนั้นหายไปหมดแล้ว ที่ศศิยังอยู่ก็เพื่อดูอาการและรักษาคนไข้ในเมืองนี้ไปเพราะจำนวนหมอที่สำนักพระราชวังส่งมานั้นไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้แนวทางของโรคก็ดูเป็นไปในทางที่ดีขึ้นแล้วอีกไม่นานก็ได้กลับจริงๆ


แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครส่งข่าวเกี่ยวกับองค์รัชทายาทมาเลย


“พ่อทิ้งเราสองคนแล้วหรือเปล่านะเจ้าฉาย”  หลังจากที่แลกเปลี่ยนสูตรตำรับยาที่ถูกขอมาก็กลับมาหาลูก ในตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันของเขา เจ้าฉายที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนและทุกวัยนั้นมองหน้าตาแป๋วก่อนจะยิ้มกว้างโชว์เหงือกให้ ดูท่าแล้ว…สำหรับลูกนั้น องค์ชายอคิราห์ก็ดูจะไม่จำเป็นจริงๆนั่นแล


เจ้าฉายโตขนาดนี้แล้ว พ่อของเขายังไม่มาพบเจอมาอุ้ม เกรงว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้งลูกคงไม่รู้สึกคุ้นเคย แต่เจ้าฉายนั้นอัธยาศัยดี ขี้โวยวายอยู่บ้างแต่ว่าติดผู้คนนัก อ้อนไปหมด อ้อนเก่งเหลือเกิน ถ้าคนๆนั้นได้มาเจอ ไม่มีหรอกที่จะไม่หลง แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้เจอเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าตอนที่เจอกัน….จะหมดใจไปหมดแล้วหรือ


ไม่หรอก รักเรายังคงมีอยู่



TALK
มาลงติดกันสองวันในฐานะวันหยุดสุดสัปดาห์ได้หรือเปล่า จากนี้ไปเหลืออีกไม่กี่ตอนจบแล้วค่ะ

แต่ว่า…เรายังไม่ตรวจทานตอนที่เหลือเลย จึงคิดว่ายังไม่น่าจะมาพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้หรอกนะคะ55

เมื่อวานแอบมาสอบถามกะทันหันถึงความสนใจในการรวมเล่ม

ต้องขอขอบคุณที่สนใจนะคะ แต่ด้วยเพราะจำนวนที่น้อยและกิจส่วนตัวของเราจึงคิดว่าคงไม่ได้เปิดแน่เลยค่ะ555

จริงๆก็แอบโล่งใจไม่น้อยเหมือนกัน555 อาทิตย์ศศิเป็นอะไรที่หืดขึ้นคอมากๆ ไม่แต่งล้าวววววว /ซบเก้าอี้

ต้องขอโทษคนที่สนใจแต่เราไม่สามารถสานต่อได้เหมือนกันนะคะ และไม่ต้องห่วงนะที่ลงไว้นี่ก็จะลงต่อไปแหละ

ไม่ปิดตอนไม่หายไปไหน แต่จะแต่งเรื่องใหม่ รบกวนติดตามกันต่อๆไปด้วยนะคะ J

 




หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 29 : 20/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-01-2019 20:48:15
พี่อาทิตย์รีบกลับมาหาลูกหาเมียนะ นานกว่านี้เดี๋ยวลูกจะลืมพ่อล่ะ 555555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 29 : 20/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-01-2019 21:55:41
ท่านหญิงอีกคนนี่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าจะเป็นแม่พี่อาทิตย์เลย
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 29 : 20/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-01-2019 13:54:06
ยังไม่กลับมาอีกยังงงงงงง
ถ้ากลับมาแล้วลูกไม่ให้อุ้มนี่รู้เรื่องเลยนะ  :ling2:
หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 30 : 26/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 26-01-2019 13:17:29
Finding the twilight
30
ท่านหญิงรัญชิดา

“ท่านหมอขอรับ”  ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆนั้น เสียงเรียกของพ่อบ้านประจำคฤหาสน์ก็เรียกให้สนใจ ทั้งศศิและเจ้าฉายนั้นหันไปมอง


และก็พบกับคนที่รู้จักที่เดินตามมา


“ท่านรองแม่ทัพ”  ได้ยินว่าจะมาเยี่ยมท่านแม่ แต่ก็มาเสียช้าเลย อาจจะเพราะมีคนส่งข่าวไปบอกว่าศศิอยู่ที่นี่และการรักษากำลังเป็นไปได้ดีเลยชะล่าใจสินะ ช่างน่าน้อยใจแทนท่านหญิงชยาภาเสียจริง


“ไงศศิน้องข้า นั่นเจ้าแสบหลานข้าใช่ไหมนั่น”  ธวัลย์ที่ไม่ได้เจอมานานดูซูบผอมไปบ้าง คนที่มีศักดิ์เป็นลุงนั้นปรี่เข้ามาจะมาอุ้มเจ้าตัวดี แต่จอมแสบรู้ตัว หันหนีไปกอดแม่แน่น  “แสบนักนะ”


“ตอนนี้ไม่ใช่แค่เป็นเจ้าแสบด้วย หนักมาก ต้องเรียกว่าเจ้าอ้วนด้วย” 


“เดี๋ยวบ่าของแม่เจ้าจะหักเอาได้นะเจ้าฉาย มาหาลุงมา”


“ฮึก”


“อา…ท่านอย่าแกล้งลูกของข้าสิ”  เจ้าฉายเริ่มจะงอแงเสียแล้ว และงอแงเก่งมากๆ ใครง้อง่ายได้เสียทีไหน สุดท้ายธวัลย์ผู้เก่งกาจและดื้อด้านก็จำต้องยอมแพ้


“อาการของแม่ข้าเป็นเช่นไรบ้าง”


“ฝีมือศศิเสียอย่าง ท่านเพียงแพ้ต้นไม้ที่ซื้อมา แต่ที่น่ากลัวคือการนำเข้าพืชชนิดนี้มันไม่ผิดกฎหมายหรือ คงต้องรบกวนท่านไปตรวจสอบต่อด้วย”


“ต้องให้ท่านหมอชี้แนะแล้ว ไปเถิด…ข้าอยากไปพบท่านแม่เสียหน่อย”  ธวัลย์นั้นบอกความต้องการของตนไป ศศิเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าและส่งเจ้าแสบให้กับพ่อบ้านที่เจ้าตัวชื่นชอบอยู่บ้าง โชคดีที่ท่านลุงผู้ชั่วร้ายไม่แกล้งอะไรจึงยอมผละจากอกแม่แต่โดยดี


เราสองได้เข้าไปพบกับท่านหญิงชยาภาที่เพิ่งทานอาหารเสร็จ ท่านหมอที่เป็นคนปรุงยาบำรุงให้นั้นใช้ให้ลูกชายตัวแสบของนางเป็นคนถือเข้าไป เมื่อได้พบกันก็ไม่ได้แสดงอาการน้อยอกน้อยใจ โผเข้าหาด้วยแสนคิดถึง ธวัลย์นั้นทำงานอยู่ที่แสนไกล ทิ้งบ้านไว้ให้แม่อยู่คนเดียวจนเกือบจะตรอมใจลาจาก ไม่มียาใดๆในตำรับที่ศศิปรุงให้แล้วดีเท่าความรักของลูกที่แสดงให้เห็นจริงๆ


ยืนปลื้มอกปลื้มใจตอบทุกข้อสงสัยของคนลูกที่เร่งทำงานให้เสร็จและกลับมาเพื่อจะใช้วันพักผ่อนนานๆที่บ้านจนหมดแล้วก็ขอตัว เจ้าฉายนั้นไม่มีอะไรต้องให้ห่วงเพราะกินอิ่มแล้ว อีกไม่นานก็อาจจะงอแงขอหลับนอนตามประสา คิดได้ดังนั้นตนก็คิดว่าจะไปขอคืนมากล่อมนอนเสียหน่อย จะได้ไปทานอาหารและทำงานต่ออีกนิดเสียที


“เจ้าฉาย”  ทว่าเสียงเรียกของตนกลับทำให้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนหันหลังให้นั้นสะดุ้ง ในยามปกติศศิคงเอ่ยขออภัยในความเสียงดังไร้มารยาทของตนแล้ว ทว่าเมื่อตระหนักรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร ร่างกายก็หยุดชะงักแข็งทื่อไปหมด


แม้ว่าอยากจะก้าวไปกอดจูบแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่ยืนมองนิ่งๆจนไม่แน่ใจว่ายังหายใจอยู่หรือเปล่า


“ศศิ…”


“พี่อาทิตย์”  เป็นเขาจริงๆ นี่ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม  เป็นเขาจริงๆหรือ?


เป็นเขาที่กำลังอุ้มเจ้าฉายไว้จริงๆหรือ


“…”


“…”


“ท่านกลับมาแล้ว”


“ใช่…”


“…”


มันก็เนิ่นนานมาแล้ว ตั้งแต่วันที่เจ้าฉายยังตัวใหญ่กว่าฝ่ามือไม่เท่าไหร่
วันนี้ที่ได้เจอกันเจ้าฉายนั้นฉายแววสูงใหญ่อย่างคนพ่อเสียแล้ว


“คิดถึงเหลือเกิน”


“…”


“โกรธข้าหรือไม่…คนดี”  ไม่โกรธ แต่ศศิไม่อยากจะดีใจจนเกินไป


เพราะตอนนี้น่ากลัวว่าตนจะใช้ความปิติหัวใจทั้งหมดทั้งชีวิตไปแล้ว!


“คนบ้า ท่านไม่ส่งข่าวมาเลย”  เป็นตายร้ายดีได้เมียใหม่ไปแล้วอย่างไรทำไมไม่ส่งข่าวมาบอก เมื่อขยับเขยื้อนได้ก็ปรี่เข้าไปทุบไหล่หนานั่น แต่ไม่แรงนักเพราะเจ้าฉายอยู่ในอ้อมอกของเขา และคนเรานี่ต้องนิสัยเสียแค่ไหนถึงมาแย่งลูกของศศิไปอุ้มโดยไม่ขออนุญาต!


“ข้าส่งมาแล้วว่าให้รอหน่อยจะไปหา แต่เกรงว่าจดหมายคงส่งไปที่ค่ายแทน”  จริงๆแล้วพระองค์ที่ได้รับทราบการมาเมืองหลวงของศศิก็ไม่รอช้าคิดหาแผนการที่จะไปพบหาที่นั่น ทรงส่งจดหมายมาเพียงหนึ่งฉบับว่าด้วยการนัดหมายและทรงกลับไปรีบเร่งทำงานทำการเพียงเพื่อจะได้กลับมาพร้อมธวัลย์ โดยที่ไม่รู้เลย...ว่าข่าวสารจะไม่ได้เดินทางมาถึงคนรัก


แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคที่ดีอยู่ จดหมายนั้นตีกลับไปหาพระองค์ในวันที่กำลังจะเสด็จกลับมาพอดี จึงได้รีบเร่งมาหาด้วยหมายว่าจะมาพบเจอให้ทันก่อนที่เด็กดีของพระองค์จะจากไป และผลของความเพียรพยายามนั้นทำให้เราได้มาเจอกันที่นี่…สามคนแบบนี้ แบบที่เฝ้าคอยมาเนิ่นนาน


คิดถึงเหลือเกินเป็นเช่นไร และมันคุ้มค่าไหมเมื่อได้มาพบกันเสียที


ทรงรับฟังคำตัดพ้อ ตอบคำถามที่เจ้าของใบหน้าอันเป็นที่รักเอ่ยถาม ทั้งที่เจ้าฉายยังอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์อย่างนี้ แต่ความสนใจทั้งหมดได้ถูกถ่ายโอนไปให้กับคนแม่หมดแล้ว ไม่คิดจะรำคาญคนถามมากแม้แต่น้อย และทรงยินดีอย่างยิ่ง…ที่จะตอบคำถามไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นี่


“โดยรวมแล้วข้าเคืองท่านมาตลอด”


“ได้โปรดอย่าเคืองโกรธอีกเลย พี่มาแล้ว ไม่ได้กินไม่ได้นอนก็เพื่อเจ้า”  ทรงเดินทางกลับด้วยม้าเร็ว การคุ้มกันไม่แน่นหนานัก ทรงทำทุกอย่างด้วยความคะนึงหา และเมื่อคนถามมากได้พินิจใบหน้าให้ชัดเจนก็ค้นพบว่าเป็นจริงตามนั้น องค์รัชทายาทที่รักของตนนั้นซูบโทรมไม่ต่างจากเพื่อนสนิท แต่สภาพของเขาทำให้หัวใจกระตุกเสียยิ่งกว่า


“ข้าไม่น่าโวยวายมากมายใส่ท่านเลย”  การเป็นอยู่ของพระองค์ที่นั่น ทราบได้ว่าทุรกันดารกว่ามาก การสร้างเขื่อนก็เป็นงานที่หนัก พระองค์ชายของศศพินทุ์คงไม่ได้เป็นอยู่อย่างสุขสบายเท่าตน คิดเช่นนั้นความรู้สึกสงสารจึงแล่นขึ้นมาดับความไม่พอใจที่เคยมีทั้งหมด พลันให้เกิดแต่ความรู้สึกผิดขึ้นมาแทน


“ไม่เป็นไรหรอก”  ทรงเอ่ยอภัย  “เพราะรักมาก ต่อให้เจ้าพูดจาชวนขมข้าก็รู้สึกหวานไปหมดแล้ว”


“…”


“ใช่ไหมเจ้าฉาย”  ทรงหันไปถามความเห็นจอมแสบที่อมมือตัวเองจนน้ำลายย้อย ก่อนจะเบี่ยงตัวหนียามที่ตอหนวดแข็งของคนพ่อนั้นทิ่มแก้มของตน นึกขำอยู่ไม่น้อยที่ทรงไม่ดูแลตัวเองถึงขั้นนี้จนทำให้ลูกเบือนหน้านี้ อยากจะกอดจะหอมก็เข้าใจ แต่เกรงว่าต้องจับอาบน้ำแปลงโฉมเสียใหม่เพื่อให้ได้รับการยอมรับจริงๆ


ความคิดถึงของเราถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะของการกอด ในขณะที่เจ้าฉายอยู่กับอ้อมอกพ่อ คนแม่ก็เข้ามาและกอดพระองค์ไว้ด้วยคะนึงหา ใบหน้าหวานนั้นซบลงกับไหล่ด้วยอยากจะซึมซับซึ่งไออุ่นตลอดตัว ดวงตากลมโตหลับพริ้ม ปล่อยให้ความรู้สึกได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา รักไม่ใช่คำเอ่ยยาก แต่การแสดงออกที่ชัดเจนมีความหมายกว่าสิ่งใด


หนึ่งครอบครัวที่ได้มาพบกันในวันนี้กำลังตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าจุดที่เราอยู่นั้นไม่ได้เป็นส่วนตัวอย่างที่ควร แต่สุดท้ายแล้วคนมองก็ต้องยิ้มออกมา ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย พวกเขาหาได้รับทราบถึงบทสนทนา ทว่าการกระทำล้วนอยู่ในสายตา


ท่านหญิงรัญชิดาก็เหมือนกัน


“…”  มีคำถามมากมายเป็นหมื่นล้านที่ไม่ได้เอ่ยและเกรงว่าจะเอ่ยคำใดไปไม่ได้ในตอนนี้ ทว่าสุดท้ายก็ยิ้มออกมาเมื่อพอปะติดปะต่อทุกอย่างได้ดี เกรงว่าท่านหมอศศพินทุ์ที่ตนเพิ่งได้รู้จักจะเป็นคนเดียวกับคนๆนั้น


คนเดียวในใจขององค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครา…


ในห้องนอนที่ใช้รับรองท่านหมอจากแดนไกลนั้น วันนี้มีอีกคนเข้ามายึดครองพื้นที่ร่วม เพราะเดินทางมาเนิ่นนานและหักโหมงานในช่วงนี้ทำให้ทรงพักผ่อนน้อย เมื่อได้พบกับยอดรักที่นำพาความอิ่มใจมาให้ จึงมีสภาพไม่ต่างจากคนตายสักเท่าไหร่ในความรู้สึกคนมอง พ่อลูกที่ไม่เหมือนแต่คล้ายกำลังนอนหลับอยู่ข้างกันในห้องของศศินี่


ก็เตือนแล้ว ว่าแล้ว ว่ามันไม่สมควร แต่คนที่เหนื่อยและคิดถึงกันมากก็งอแงดึงดันจะนอนตรงนี้เสียให้ได้ เหมือนใครกันนะเจ้าฉาย….พ่อของเจ้านี่เหมือนใครกัน?!


“หากไม่ตื่นตอนนี้ จะนอนไม่หลับกันนะ”  ศศพินทุ์ที่ระลึกได้ว่านี่ก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วจึงเดินกลับมาที่ห้องและกระซิบเรียก แต่คนขี้เซาก็ยังเพิกเฉยจนถอนหายใจออกมา ทว่าเมื่อจะผละออกกลับยกมือมาจับชายเสื้อกันอย่างนั้น


พ่อของเจ้าเหมือนเจ้านั่นเองเจ้าฉาย…


“คิดมาหลายเดือนว่าเจ้าฉายเหมือนใครกัน ตอนนี้ข้าว่าข้าได้คำตอบแล้ว”  ศศิยิ้มร่าให้กับภาพของคนพ่อที่กำลังขยี้ตางัวเงียอย่างนั้น ยังคงบรรทมไม่พอหรอก แต่อย่างที่บอกว่าจะนอนไม่หลับตอนกลางคืน พระองค์ไม่ควรทำให้ร่างกายรวนเรไปมากกว่านี้อีก


“กี่ยามแล้วนี่”


“บ่ายกว่าแล้ว ต้องปลุกเจ้าฉายแล้ว”


“อื้ม”


“ลุกเลยทั้งพ่อและลูก เดี๋ยวเจ้าแสบงอแงเป็นภาระข้า ส่วนท่านก็ไปจัดการตัวเองเถิด เดี๋ยวอีกสักพักคงต้องกลับตำหนักแล้วไม่ใช่หรือไร”


“…”


“เจ้าฉายตื่นลูก อ๊ะ! พี่อาทิตย์!”  กำลังจะปลุกลูกอยู่แท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าพ่อคนโตกว่ากลับดึงศศิให้ลงมานอนทับอกแกร่งเช่นนั้น ก็บอกแล้วไงว่าให้ตื่นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย เป็นองค์รัชทายาทแท้ๆ ทำไมทำตัวเกกมะเหรกเกเรเช่นนี้!


“ลูกเมียอยู่ที่นี่ก็ยังจะไล่กันอีกหรือ เจ้าของคฤหาสน์วัชรวราภรณ์คงไม่ใจร้ายกับคนอาภัพเช่นข้าไปมากกว่านี้กระมัง”


“ท่านต้องกลับบ้าน!”


“บ้านของพี่อยู่กับเจ้าและลูกนี่”


“…”


“จะไล่พี่ไปไหนกัน”


“ศศิก็ไม่อยากไล่”  ใครเล่าอยากจะไปห่างจากดวงใจ  “แต่มันหาได้เหมาะสมไม่”


“อะไรกันที่ไม่เหมาะสม นอนกับลูกกับเมียหรือไง”


“องค์รัชทายาท!” 


“…”  ศศิเริ่มจะโกรธแล้ว แต่แววตาคมคู่นั้นไม่ได้ฉายแววการยอมความแม้แต่น้อย วันนี้ต้องมีขาดเป็นขาดนั่นแหละ และเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมา การจะปราบพยศคนในสถานการณ์แบบนี้ จะมีแต่เสียและเสียเท่านั้น


“ลูกเมียท่านไม่ไปไหนหรอก”


“…”


“ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะคนจะเอาไปพูดได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายแค่ไหนที่เห็นเรากอดกันเมื่อครู่”


“เจ้าเดินมาทุบและกอดพี่เองนะ”


“ก็มันคิดถึงไหมเล่า”


“อา…คิดถึงพี่มากนี่เอง”


“เพราะฉะนั้นกลับไปก่อนเถิด”


“…”


“และแอบมาเยี่ยมศศิ…กับเจ้าฉายบ่อยๆนะ”


“สรุปเจ้าจะให้ข้าเป็นแค่แขกที่มาเยี่ยมเจ้ากับลูกเท่านั้นหรือ”


“เฉพาะตอนนี้เท่านั้นแล”


“ไม่ใจอ่อนให้พี่ หรือให้กับสิหราชนคราบ้างเลยหรือ”


“…”


“ก็ได้ พี่ย่อมกลับไปวันนี้ แต่อย่าคิดว่าพี่ยอมแพ้”  เพราะพระองค์ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะยอมแพ้ได้มาก่อน “แล้วพี่จะมาหาใหม่ ไม่นานจากนี้”  เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี เมื่อมาเยือนถึงหน้าถ้ำเสือ ก็อย่าได้หวังจะได้ห่าง


ชายแดนตะวันตกที่ 2 นะหรือ…ก็อย่าได้หวังจะกลับไป


☼ ☽


ช่างดื้อด้านหาตัวจับได้ยากจริงๆสำหรับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเมื่อไล่ให้กลับก็ยอมกลับไปให้อยู่หรอก ทว่าไม่พ้นคืนนั้นก็ทรงกลับมาในลักษณะที่เห็นได้ชัดว่าลักลอบ


นี่ท่านจะเล่นแอบปีนเข้าบ้านคนอื่นทุกบ้านไปไม่ได้นะ!


แต่ศศพินทุ์เองก็ใจง่ายด้วยคร้านจะไล่ออกไป นี่ก็ดึกดื่นแล้ว เจ้าฉายเด็กกินเก่งนอนเก่งก็หลับแล้ว กล่อมยากนอนยากเสียด้วยวันนี้ หากทำเสียงดังจนเกินไปอาจจะไม่แคล้วได้กล่อมกันยันเช้า แถมมีแนวโน้มจะสลัดคนเอาแต่ใจที่ลักลอบเข้ามาไม่ออกอยู่ดี จึงจำต้องปล่อยเลยตามเลย


และเจ้าตัวก็ลำบากกลับไปแต่เช้ามืด ฝากจุมพิตที่ข้างแก้มแรงๆไว้ทีและรีบเร่งเดินออก
ลำบากท่านแล้วองค์รัชทายาท


“เมื่อคืนวานพ่อเจ้าฉายมันแอบมาหาใช่ไหมเล่า”  เมื่อเจอธวัลย์ก่อนจะไปรับประทานอาหารเช้า เจ้าตัวก็ทักทายมาเป็นคำแรก ศศิหน้าแดงพลันก่นด่าไปถึงคนที่ทำตัวไม่เนียนจนอาจจะตายได้คนนั้นก่อนจะทำใจกล้าพยักหน้ากลับไป


“ต้องขอโทษแทนด้วย”


“ห้ามมันได้ที่ไหนเล่า ดื้อด้านที่สุด” 


“อันนี้น่าเห็นด้วยเป็นที่สุด”


“แต่ยังไงถ้ายังตกลงกันไม่ได้ มันมาอีกก็บอกให้เข้าผ่านเวรยามประตูหลังมาละกัน จะจัดคนนำทางให้ เช่นนี้มันอันตรายอาจจะโดนสอยตายก่อนมาถึงห้องของเจ้า”  ว่าแล้วศศิก็ทั้งโกรธทั้งอาย สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน เรื่องชั่วๆแบบนี้ก็ยังจะสนับสนุนกันได้อีกนะ ศีลเสมอที่แท้จริงมันเป็นเช่นไรก็เพิ่งได้ประจักษ์กับตนเอง


และเราก็ไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องนี้อีกเลยเมื่อท่านหญิงเจ้าของบ้านเข้ามา แม้จะไม่ได้รับประทานอาหารเช้ากับผู้อื่นบ่อยๆด้วยไม่อยากให้คนในบ้านมาเห็นสภาพที่น่าเกลียดก่อนนี้ แต่เพราะการรักษาเป็นไปด้วยดีและเพราะธวัลย์กลับมา ต่อไปเราคงได้เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น


แต่ถึงจะดีขึ้น ท่านหญิงรัญชิดาก็ยังคงมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อนึกขึ้นมาได้ ท่านหมอน้อยก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นแทบจะไม่รู้จักเรื่องส่วนตัวของท่านหญิงเลย บ้านอยู่แถวนี้หรืออย่างไร ทำไมถึงมาได้บ่อยครั้ง แต่คงสนิทกับท่านแม่ของธวัลย์ไม่น้อยเพราะก็คอยสนับสนุนดูแลกันมา ช่างดีจังนะมิตรภาพ


“ขอบคุณท่านหมอสำหรับสมุนไพรนะ ข้านำไปต้มกินบำรุงแล้ว รู้สึกระบบขับถ่ายดีขึ้นจริงๆ”  เพราะได้มาปรึกษาเรื่องปัญหาสุขภาพ จึงได้แนะนำกลับไปให้ น่าดีใจที่ได้ผลดีเยี่ยม


“หากมีอะไรช่วยเหลือได้ ข้าก็ยินดี”


“คงต้องฝากตัวกับท่านหมอแล้ว ว่าแต่…ท่านคงไม่ได้กลับไปที่ชายแดนเร็วๆนี้หรอกใช่ไหม”


“อา…”  นั่นสิ ตอนนี้เมื่อได้เจอกับคนรัก ความรู้สึกที่อยากจะกลับก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย


“อยู่ที่นี่นานๆเถิดนะ ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าเรียนรู้”  แต่ดูเหมือนเจ้าถิ่นจะอยากให้อยู่ต่อ คนร่างบางยิ้มรับ ก่อนจะยินดีส่งเจ้าฉายที่อุ้มอยู่ให้  “เจ้าฉายก็น่าเอ็นดูเหลือเกินลูก ขี้อ้อนเกินไปแล้วน้า”


“เจ้าฉายคงชอบท่านหญิงไม่น้อย ข้าขอบคุณที่เอ็นดูลูกของข้า”


“ขอบคุณอะไรกันเล่า ลูกของเจ้าน่ารักถึงเพียงนี้”


“งั้นก็คงต้องขอบคุณเจ้าฉายสินะที่ทำให้คนอื่นเอ็นดูแม่ตามไปด้วย”  ศศิที่พลั้งเผลอพูดคำต้องห้ามไปนั้นไม่ได้สะกิดใจบางเลย คนร่างบางนั้นทำเพียงแค่ยิ้มและหยอกล้อกับลูกที่อยู่ในอ้อมแขนนาง


“แม่…ท่านหมอเป็นแม่ของเจ้าฉายหรือ”  เพราะนางคิดมาตลอดว่าศศิคือพ่อ


“อา…มันคงดูประหลาดเสียหน่อย แต่ข้านั้นเป็นคนตั้งครรภ์เอง”  อาจจะเป็นกรณีที่หายากแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี และทั้งนี้…ศศิก็ไม่คิดจะปกปิดอะไร ทว่าส่วนประกอบต่างๆที่ท่านหญิงรัญชิดาคิดไว้ มันกลับเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างไปอีกครั้ง และในที่สุด


นางก็ตัดสินใจถามออกไป


“ท่านหมอ ข้าขอเสียมารยาท”


“หืม”


“พ่อของเจ้าฉาย”


“…”


“คือองค์ชายอคิราห์อย่างนั้นหรือ”  ความจริงเป็นเช่นใดนั้นคนเป็นแม่ย่อมตอบตัวเองได้ดี แต่ในกรณีที่กำลังเผชิญอยู่นี้


ศศิจะทำเช่นไรที่จะตอบไป
ทั้งๆที่หัวใจก็ไม่ได้อยากปิดบัง…


“…”


“ข้าคงไม่ได้ทำให้ท่านหมอลำบากใจจนเกินไป”


“อืม..ก็…”  หากเลี่ยงได้ศศิก็ไม่อยากตอบ เพราะการตอบ…ไม่มีทางเลยที่จะโกหกได้แนบเนียน หัวใจของคนตอบได้มอบให้เขาไปหมดจนไม่อาจจะละเลยพูดปดไปได้  “เจ้าฉายเป็นลูกของพระองค์จริงๆ”  และสิ่งเหล่านี้ที่นางสงสัย ก็ได้รับการยืนยัน


“นั้นก็หมายความว่าท่านคือ”  ท่านหญิงที่ได้ยินคำตอบนั้นยกมือขึ้นมาปิดปาก ดูท่าจะตกใจไม่น้อย แต่ศศิไม่ใช่อย่างที่นางคิด


“แต่ว่าข้าไม่ใช่พระชายาหรืออะไรเช่นนั้นนะ ได้โปรดอย่ามองกันผิดไป”


“แต่ท่านเป็นคนรักของพระองค์”


“อา…อันนั้นก็น่าจะจริงอยู่ แต่ว่าข้าไม่ได้มีบรรดาศักดิ์อะไรเช่นนั้น โปรดเอ็นดูข้าเยี่ยงแม่ของเจ้าฉายดังเดิมเถิดนะ”  รอยยิ้มพิมพ์ใจของคนที่ได้พูดไปนั้นทำให้คนมองต้องย่นคิ้ว ศศิทั้งเจียมตัวแต่ไม่เจียมใจ ไม่ต้องการเป็นอะไรของเขา ที่ต้องการมีเพียงได้รักและรับความรักเท่านั้น แต่นั่นคือความรักขององค์รัชทายาทเลยทีเดียวที่ตนได้เรียกร้อง


“เหตุใดกันเล่า”


“องค์รัชทายาททรงยุ่งอยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่ยากจะวุ่นวายนะ” ท่านหญิงรัญชิดาคงไม่เข้าใจ แต่สำหรับท่านหมอที่มาจากสถานที่อันไกลโพ้นและทุรกันดาร ชีวิตง่ายๆที่ตนมีมาตลอดนั้นเพียงพอแล้ว ศศิไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือจะให้เรียกง่ายๆก็คือสมถะนั่นแล แต่ถ้ามองให้ดีไปยังแววตาคู่นั้นที่หลุบต่ำมองพื้น คนที่มีประสบการณ์ชีวิตมามากเช่นท่านหญิงรัญชิดาย่อมรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเบื้องลึกจิตใจของคนที่ควรจะรับตำแหน่งอันสมฐานะนั้นคิดเช่นไร


ท่านหมอน้อยก็แค่กลัวการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่พอที่จะพรากความสุขทั้งหมดที่ครอบครองในตอนนี้ไป


“โธ่ เด็กน้อย เจ้านั้นคิดมากมายนัก แต่จริงอยู่ว่าชีวิตตรงนั้นมันไม่ได้ง่ายเลย”  ท่านหญิงผู้ใจดีและเอ็นดูกันไม่น้อยไปกว่าเจ้าฉายนั้นยิ้มให้ ก่อนจะส่งเจ้าแสบกลับไปอยู่กับอกแม่ และประคองเอวบางให้เดินตามไปนั่งในสวนของคฤหาสน์ที่งดงามเพราะได้นักออกแบบจากในวังมาทำให้ นางรู้ดีกว่าใครถึงความกลัวนี่ และก็คงรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะสามารถช่วยให้ศศิได้กำจัดความกลัว


เมื่อได้มานั่งในศาลาอันร่มรื่น นางก็พิศมองใบหน้าของท่านหมอ ความงดงามที่มองแล้วสบายตาไม่เบื่อหน่ายนี้ได้ประจักษ์ตั้งแต่วันแรกที่พบเจอแล้ว ท่านหมอผู้อ่อนโยนคงไม่รู้ว่าตนก็มีความดื้อแพ่งบางอย่างอยู่ เช่นตอนที่ยืนยันจะรักษาคนป่วยแม้เจ้าตัวเพียรปฏิเสธแค่ไหนก็ตามนั่นแล น่าเสียดายที่ความทะเยอทะยานดื้อแพ่งที่มีอยู่นั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้กับเรื่องนี้ ดังนั้นคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ร้ายกาจที่สุด


แต่ก็เป็นคนที่ยอมศศิมากที่สุดอย่างองค์รัชทายาทคนนั้น


“เจ้าคงไม่รู้ว่าตำแหน่งพระชายาหรือพระมเหสีในองค์รัชทายาทนั้นมีแต่คนอยากจะคว้าไว้”


“อันที่จริงแล้วข้ารู้ดี แต่เชื่อใจ หรือหากสุดท้ายแล้วเขาไม่อาจจะต้านทานได้ อะไรจะเกิด…ก็คงต้องยอมให้มันเกิดไป” 


“ยอมแพ้ง่ายเกินไปแล้วเด็กน้อย ไม่ได้รักอคิราห์เสียหน่อยเลยหรือ”


“…รักสิ”  แล้วตอบเสียงเบาเช่นนี้จะเชื่อถือได้หรือ  “แต่ข้าไม่คู่ควร”


“ในสายตาของข้า เขารักเจ้าที่สุด จึงเป็นเจ้าที่คู่ควรที่สุด”


“….”


“แต่ก็แล้วแต่เจ้าจะพิจารณา บนบัลลังก์นั้นทั้งยากและง่ายในคราเดียว หากเจ้านั้นแข็งและอ่อนให้เป็น”


“…”


“คงจะคิดว่าหญิงแก่คนนี้พล่ามอะไรมากมายสินะ”  ศศิส่ายหน้าหวือ น่าเอ็นดูจริงๆนั่นแล  “หากเจ้ากังวลว่ามันไม่เหมาะสม หรือกังวลว่าตนไม่อาจจะอยู่รอดเคียงบัลลังก์ได้ ใยไม่ปรึกษาผู้ใหญ่หน่อยเล่า เก็บไว้คิดกับตัวเอง วันใดกันจะมีความสุขเสียที”


“แต่ข้า”


“เชื่อข้าเถิด”  เพราะนางปรารถนาดีอยากให้ศศิกับองค์ชายได้ครองคู่ เพื่อความสุขของศศพินทุ์ที่เสียสละมากมายขนาดนี้ก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน…


นางปรารถนาให้ลูกชายของนางมีความสุขยิ่งกว่าสิ่งใด


“ธวัลย์กับอคิราห์เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเด็ก เจ้าไม่คิดหน่อยหรือว่าความใกล้ชิดนั้นเป็นเพราะแม่ของพวกเขานั้นสนิทสนมกัน”


“…”  ซึ่งนั่นก็หมายความ


“เด็กบื้อเอ๋ย ยังไม่เข้าใจอีกหรือ”  ศศิช่างหัวช้าเกินไปแล้ว  “ข้าอยากได้เจ้ามาเป็นลูกสะใภ้แทนอภิชญาจะแย่อยู่แล้วนี่!”


TALK
สัปดาห์ที่ผ่านมาคือยุ่งไม่หวายแล้ววววว
ต้องขอโทษที่ไม่ได้ลงเรื่องนี้เลยเพราะเรายังไม่ได้ตรวจทานอะไร
วันเสาร์มีเวลาแล้วเลยนั่งอ่านและเอามาลงค่ะ
เรื่องนี้ก็ใกล้จบแล้ว ต้องขอบคุณทุกคนมากที่สนับสนุนนะคะ
อดทนรอกันสักหน่อยนะคะ เราจะรีบมาลงต่อค่ะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ


หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 30 : 26/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 26-01-2019 21:21:39
ยกตำแหน่งสุดยอดคุณแม่ ให้องค์ราชินีเลยค่ะ เย้ เย้ เย้  o13  :mc3: :mc2:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 30 : 26/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-01-2019 22:30:37
เย้ๆ ทายถูก
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 30 : 26/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-01-2019 07:51:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 30 : 26/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-01-2019 11:02:10
ว่าแล้วเชียว เป็นท่านแม่ของพี่อาทิตย์จริงๆด้วย
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 27-01-2019 14:40:50
Finding the twilight
31
สุริยะเทพและดวงจันทรา
☼ ☽

ใช่…ก็ควรจะสงสัยหรืออะไรยังไงบ้าง
แต่ท่านหมอน้อยกลับไม่ได้คิดอะไรบ้างเลย


“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ”  ว่าแล้วเมื่อรู้ตัว ลูกสะใภ้ที่พระนางอยากได้ก็รีบจะทรุดตัวลงไปทำความเคารพ จนพระนางเองนั่นแลที่ต้องลงไปหาพิธีรีตรองเหล่านั้น


ท่านหญิงรัญชิดาหรือพระราชินีรัญชิดานั้นได้มาแวะเวียนบ้านนี้อยู่บ่อยครั้ง พระนางไม่ได้มีเพื่อนมาก เรียกว่าท่านหญิงชยาภาผู้เป็นเจ้าของบ้านนี้คือเพื่อนคนเดียวที่ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด จึงไปมาหาสู่กันเรื่อยๆตั้งแต่ยังเด็ก โตเป็นสาว และแก่เฒ่า ในช่วงหลังที่เจ้าตัวป่วยเช่นนี้ก็จะมาเยี่ยมให้กำลังใจกันบ่อยหน่อย จนได้พบกับท่านหมอคนนี้


ศศพินทุ์คือนามที่นางทราบแต่ตอนนั้นเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่มีกรณี นางไม่เคยพบหน้าคนงามของลูกชายมาก่อนจึงไม่อาจจะทราบได้ รู้เพียงแค่คนเรียกกันว่าศศิๆเลยไม่สงสัยอะไร แต่มามั่นใจเมื่อวันก่อนที่อคิราห์มาที่นี่และทั้งสองก็กอดกัน คนเป็นแม่นั้นอยากออกไปแสดงตัวจะแย่แต่ก็ต้องหลบซ่อนไว้เพื่อครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่เคยรับทราบ ไหนว่าเลิกรากันไปแล้วอย่างไร


แล้วทำไมการแสดงออกยังเต็มเปี่ยมไปด้วยรักเช่นนี้


“ข้าเคยได้ยินว่าพวกเขาสงสัยว่าเจ้าจะท้องได้แต่ได้ล้มเลิกความคิดไปหมดแล้ว ไม่นึกเลย”  คาดว่าคงโดนตบตา แต่สมน้ำหน้า พวกที่ไม่คิดถึงจิตใจของคนอื่นควรจะโดนเช่นนี้


“กระหม่อมมิอาจ…”


“ข้าดีใจยิ่งนักที่คนที่ชื่อศศิเป็นคนดีเยี่ยงท่านหมอ และเจ้าฉายก็น่ารักเหลือเกิน”  พระนางหลงรักศศิได้ไม่ยาก ไม่แปลกใจเลยที่อคิราห์จะหลงจนหัวปักหัวปำ เมื่อเห็นสายตาของลูกชายเมื่อวาน ย่อมรู้ได้ทั้งหมดว่าที่ยอมปล่อยไปนั้นล้วนไม่จริงใจทั้งสิ้น อย่างไรอคิราห์ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ท่านหมอกลับคืนไปอยู่แล้ว แค่สถานการณ์ตอนนั้นไม่อำนวย


“….”


“ทำไมทำหน้าเช่นนั้นเล่า เจ้ายิ้มนั้นงดงามกว่าจริงๆ”


“ข้า…”


“อย่าคิดมากไปเลย”


“แต่ว่ากระหม่อมนั้น ทำไม่ดีไปก็มาก”


“เจ้าทำไม่ดีตรงไหน ที่เห็นก็มีแต่ช่วยเหลือผู้คน อ่อนน้อมถ่อมตน และทำตัวน่ารักจนเกินไปก็เท่านั้น”


“เอ่ยชมเกินไปแล้วพะยะค่ะ”


“น้อยไปเถิด หากอคิราห์พาเจ้ามาแนะนำตั้งแต่ตอนขังไว้ที่ตำหนักนั่นนะ ข้าคงไม่ให้ลูกปล่อยเจ้าไปได้ง่ายๆ”


“ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่าตนเองจะมีเจ้าฉายได้”


“อา…ข้าก็พูดเกินไป ข้าย่อมกีดกันบ้างอยู่แล้วเพราะอยากให้ลูกชายมีทายาทไว้สืบต่อ”  ดูเหมือนพระนางจะยิ่งทำให้กังวลใจ  “อภัยให้ความใจดำนี้ของข้าหรือไม่ หากอคิราห์ไปต่อไม่ได้ ข้าเกรงว่าเขาจะสูญสิ้นอำนาจและเป็นภัยแก่ตัวเขาเอง”


“กระหม่อมเข้าใจดี”


“หากเข้าใจก็มองหน้ากันหน่อยเถิด”  พระนางว่าพลางเชยคางคนงามขึ้นมามองหน้า เห็นเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของเจ้ากระต่าย“ข้าต้องขอโทษเจ้าที่พวกเราทำไม่ดีด้วย หากเป็นไปได้โปรดให้โอกาสสิหราชวงศ์ และให้โอกาสอคิราห์เถิด”  พระนางว่าพลางน้ำตาคลอ


“…”


“เขาไม่อาจจะรักใครได้อีกแล้วจริงๆ”  และในตอนนั้นแววตาของศศิก็ค่อยเปลี่ยนไป จากที่ไม่แน่ใจก็ค่อยๆจางหายไป อย่างน้อยต่อจากนี้


คนดีของพี่อาทิตย์ก็พร้อมที่จะฟังเรื่องราวจากแม่ของเขาแล้ว…


เรื่องราวประสบการณ์ต่างๆในรั้ววังถูกถ่ายทอด มีบ้างที่ท่านหมอน้อยถามคำถาม แต่พระนางก็ให้คำแนะนำกลับมาดี อย่างไรก็ตามทรงโน้มน้าวให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้เห็นว่าตำแหน่งพระราชินีใครก็เป็นได้ แต่คนๆนั้นต้องทำความดีให้มีความเหมาะสม ซึ่งเท่าที่นางดูมา ศศิเองก็ดีพอที่จะเป็นได้ ทั้งนี้เจตนารมณ์ที่เจ้าตัวถ่ายทอดโดยการให้เห็นนั้นยิ่งตอกย้ำว่าเด็กคนนี้มีจิตใจเอื้อเฟื้อจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะต้องทำ แต่ทำเพราะอยากทำ และนั่นอาจจะทำให้แม่ของเจ้าฉายเหมาะสมกว่าใครในโลกใบนี้ที่จะเคียงข้างองค์ชายอคิราห์


เมื่อเพชรอยู่ในมือพระองค์ไม่อาจจะปล่อยละเลยไปได้อีก


“แต่ข้านั้นไม่ได้มียศถาอะไร”


“สมัยนี้มันสมัยไหนแล้ว ตั้งแต่เจ้ามาที่นี่ เห็นใครเกลียดชังเจ้าบ้างไหม”


“…”


“จงมั่นใจเถิดว่าเจ้าจะเป็นที่รัก”


“แต่ข้ามาจากป่าเขา ไฉนเลยจะเหมาะสม”  ความกังวลที่ไม่สิ้นสุดของเจ้ากระต่ายทำให้พระนางส่ายพระพักต์  ความดีไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่กิริยามารยาทย่อมสอนกันได้จริงๆ


“อย่าได้กลัวไปเลยศศิ”  อคิราห์รักหลงขนาดนี้มีหรือเขาจะให้ลำบาก หากเป็นเด็กคนนี้จะต้องทำได้แน่นอน ทรงเชื่อเช่นนั้นอยู่เต็มพระทัย แต่หากจะพูดไปก็คงจะไม่เห็นพ้องตรงกันจริงๆ ฉะนั้นคงมีวิธีเดียว  “หากไม่รังเกียจ ตำหนักชลธิชาของข้าเปิดรอรับเจ้าอยู่”


“ตะ..แต่ว่า”


“ไปเห็นด้วยตาตนเองเถิดท่านหมอน้อย”  ศศิก็เหมือนกระต่ายขี้กลัวตนหนึ่ง การมีความรักกับองค์รัชทายาทต้องการความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ และต่อจากนี้ศศิก็ต้องไปพบเจอมันทั้งหมดด้วยตนเองแล้ว  “โลก…ไม่ได้น่ากลัวเช่นนั้นหรอก”


เมื่อมาถึงตรงนี้หากจะปฏิเสธไปก็ดูจะขี้ขลาดเสียหน่อย ริมฝีปากอิ่มบดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติ ใช่…โลกไม่น่ากลัวหรอก ศศิอยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี จนตอนนี้มีเจ้าฉายขึ้นมาดูโลกด้วยคนแล้ว ดวงตาหวานของท่านหมอผู้อารีย์นั้นดูคงมั่น ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับคำเชิญ โลกไม่น่ากลัวหรอก ไม่น่ากลัวจริง


โดยเฉพาะโลกที่มีอาทิตย์ของพระจันทร์อยู่…
มันยิ่งงดงามจนไม่อาจจะถอนสายตาได้จริงๆ


ทว่าก็ยังไม่ได้ตัดสินใจพูดไปให้ชัดเจน ศศิได้ขอเวลากับพระนางเพื่อกลับมาคิดทบทวน ในใจยังเกิดความหวาดกลัวอยู่มากแต่ก็รับรู้ได้ว่าหากตนยังขลาดอยู่เช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน องค์ชายอคิราห์หรือพี่อาทิตย์ของตนนั้น เขาพยายามพิสูจน์ตนเองมาตั้งเท่าไหร่เพื่อปูทางให้ไปเคียงข้างอย่างสบายใจ


และศศิ…ไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือ?


“เจ้าฉาย…เช่นนั้นแม่ควรจะทำเช่นไรดี” แต่พูดไปกับเจ้าตัวเล็กที่หลับอยู่ ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา สุดท้ายก็ยิ้มเศร้าๆและล้มตัวลงนอนข้างๆ แม้จะให้นอนในเปลบ้าง แต่บางคืนที่งอแงเสียหน่อย ก็ให้มานอนข้างๆกันเช่นนี้ หลับตาคิดนั่นนี่ไป สุดท้ายแล้วก็หลับลงไปจริงๆ


เพราะโลกที่เห็นอยู่ช่างไม่คุ้นตา…
ที่ไหน?


“ท่านแม่”  เสียงเรียกที่เหมือนจะไม่คุ้นเคยหากแต่คุ้นใจนั้นดังขึ้นที่ด้านหลัง เมื่อได้เห็นว่าใครเรียก รอยยิ้มเต็มแก้มก็ผุดขึ้นมา


“รวิวัลย์ กัษษกร”  แม้จะเป็นแค่ฝันและสองคนนั้นไม่มีตัวตนในความเป็นจริง แต่ศศพินทุ์ก็รู้สึกถึงการมีอยู่และเชื่ออย่างสนิทใจว่าทั้งสองคือลูก ถึงแม้ไม่ได้พบเห็นแต่รับรู้ว่ามีอยู่ข้างกาย


เหมือนกับที่อาทิตย์และดวงจันทร์ไม่หายไปไหน


เด็กทั้งสองจูงมือของแม่คนละข้างและพาเดินไปนั่งบนศาลาทอแสงจันทร์ส่องสว่าง บรรยากาศรอบกายนั้นงดงามด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่ไม่เคยเห็น แต่คุ้นเคยราวกับว่าตนได้ดอมดมมันอยู่บ่อยครั้ง


“ศาลาแห่งนี้ ท่านพ่อเป็นคนสร้าง ส่วนดอกไม้…ท่านแม่เป็นคนปลูก”  กัษษกรที่ดูจะขี้อายกว่ารวิวัลย์คนพี่เอ่ยขึ้น ศศิกระชับกอดลูกที่เข้ามาซุกด้วยความรัก


“ข้านะหรือที่ปลูกพวกมัน”


“ในตอนที่ท่านยังไม่ยอมรับตนเองนั้น ท่านพ่อทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้เข้าใกล้”


“พ่อ…พ่อของพวกเจ้า”


“เทพแห่งดวงอาทิตย์อย่างไรเล่า”  รวิวัลย์นั้นเอ่ยย้ำ ก็รู้ว่าศศิผู้เป็นแม่ไม่ได้มีความทรงจำของตอนนั้นอยู่เลย แต่เพราะความไม่มั่นใจที่เป็นนิสัยติดตัวมาตั้งแต่ชาติปางก่อนนั่นแล


ที่ทำให้ทำอะไรช้าไปเสียหมดจนต้องพลัดพรากให้มาตามหากันแบบนี้


“เราสองคนเกิดขึ้นจากดวงจิตปฏิพัทธ์ของสองเทพสวรรค์”  แม้ไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่จะเชื่อหรือไม่ แต่รวิวัลย์ก็อยากจะเล่าให้เกิดความมั่นใจ อย่างไรนี่ก็เป็นโลกในความฝัน คงไม่ถือว่าผิดกฎอะไรจนเกินไปกระมัง


สองเทพรวิวัลย์ผู้ดูแลดวงตะวันและกัษษกรผู้ปกครองพระจันทร์นั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เกิดด้วยดวงจิตที่รักใคร่ของเทพอคิราห์กับเทพศศพินทุ์ผู้ทำหน้าที่ดูแลอาทิตย์และดวงจันทร์องค์ก่อนที่เดิมทีนั้นการกำเนิดของสองเทพคือการมาจุติของสองสัตว์ป่าที่บำเพ็ญเพียร สิงโตหนุ่มผู้สันโดด กับกระต่ายป่าผู้เงียบขรึม

.
.
.
.


ไม่มีใครสร้างกฎที่ว่าห้ามเทพสององค์รักกันขึ้นมาหรอก แต่ก็ทราบกันดีในหมู่เทพว่ามันเป็นเรื่องไม่ควร ในรอบหลายพันหลายหมื่นปีนั้นก็ไม่มีใครรู้สึกเช่นนั้นต่อกัน ทว่าเทพหนุ่มสองตนกลับเกิดใจใฝ่รักเมื่อแรกพบสบตา


เดิมทีอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นผลัดกันขึ้นฉายแสง สองเทพก็ไม่ค่อยได้พบเจอกันจนกระทั่งงานเลี้ยงในคืนเดือนดับของสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าอคิราห์หลงใหลศศพินทุ์จนไม่อาจจะห้ามใจได้ จากที่ไม่เคยได้พบเจอ เทพแห่งดวงอาทิตย์ก็เริ่มจะหาทางมาชิดใกล้ จนคนน้องที่ขึ้นมาจุติทีหลังก็เริ่มจะหวั่นไหวตาม


แต่นั่นไม่ใช่ความรักหรอก นี่มันคงเป็นแค่เพียงความอ่อนไหวครั้งคราว


เทพแห่งดวงจันทร์คิดเช่นนั้นและหาทางผลักไสคนที่ตนก็รักตอบอย่างเต็มความสามารถ ความเย็นชาที่กระทำลงไปทำร้ายหัวใจกันได้อย่างร้ายกาจ จนกระทั่งความเพียรพยายามของเทพอคิราห์ก็เหมือนจะสิ้นสุดลง แม้ว่าตัวเองจะนำทัพไปปราบมารมากเท่าไหร่ แต่หัวใจอันแสนพยศของคนงาม ก็ไม่สามารถปราบได้เลยทั้งๆที่พยายามแสดงให้สวรรค์ได้เห็นว่ารักของสองเทพนั้นเป็นไปได้จนเป็นที่กล่าวขานทั้งในหลายๆทาง ทว่าคำพูดของคนเดียวที่รักเท่านั้นก็ทำให้ตระหนักว่าบางทีควรจะถอดใจ


ในเมื่อรักกันที่นี่ไม่ได้และไม่ได้รับอนุญาตให้รักข้างเดียวก็เห็นว่าคงต้องไปรักที่อื่นแล้วกระมัง


ด้วยได้รับคำสั่งให้แบ่งภาคไปเกิดเป็นลูกหลานของกษัตริย์เมืองมนุษย์ อคิราห์ที่ชังกฎซึ่งไม่มีบัญญัติของสวรรค์ก็ได้ขอเปลี่ยนข้อเสนอใหม่เป็นการลงไปในวังวนของการเกิดดับเป็นการถาวร สำหรับเทพที่บำเพ็ญเพียรมานาน นั่นถือเป็นความกล้าบ้าบิ่นและโง่เขลาเสียมากกว่าการเสียสละอันใด ทว่านี่คือการตัดสินใจของเจ้าของตำแหน่งสุริยะเทพองค์ปัจจุบัน จึงไม่มีใครทัดทานได้ ส่วนคนที่มีอำนาจทัดทานกว่าใคร ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบเก็บงำความรู้สึกไว้


‘แม้แต่กับตัวเอง เจ้ายังใจร้ายได้ลงคอเชียวหรือ’  เขานั้นตัดพ้อ


‘โลกนี้ไม่มีความปราณีนักหรอก’ ทั้งข้อติฉินนินทาว่าร้ายต่างๆ แม้เทพจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ แต่ก็มีบ้างที่อิจฉาริษยาว่าร้ายกัน แม้จะไม่มีกฎห้าม แต่กฎทางสังคมก็ได้ขีดข้อจำกัดของเราไว้แล้ว เป็นเทพ…ก็ต้องไร้หัวใจเช่นนี้แล…


‘แล้วเราอยู่บนโลกกันหรือไง’


‘…’


‘โลกมนุษย์ ยังดูให้อิสระกับข้ามากกว่าที่นี่’ อย่างน้อยก็มีสิทธิ์ที่จะได้รักและได้มองพระจันทร์ แม้ที่ตรงนั้นจะไม่สามารถมองตรงมาด้านหน้า หากแต่ต้องมองให้สูงขึ้นมา


‘อาทิตย์’


‘ข้าคิดว่าข้านั้นให้คำตอบกับตนเองได้แล้ว’ รอยยิ้มของเขาที่มอบให้ ไม่ได้ทำให้คนรับนั้นรู้สึกดีได้เลย ด้วยสัญชาตญาณคนที่รับหัวใจของเขาไปนั้นรับรู้ได้ถึงการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวที่น่ากลัวบางอย่าง


และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อได้ยินคำบอกสาส์น เกี่ยวกับการสละร่างทิพย์อย่างถาวรเพื่อกลับไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้งของคนที่ตนยึดครองหัวใจเอาไว้


‘แล้วเช่นนี้ใครจะมาทำหน้าที่แทน’


‘ก็คงต้องแต่งตั้งสักคน ตอนนี้ไม่มีใครเลยที่เหมาะสมจะขึ้นมาบนสวรรค์เพื่อรับตำแหน่งใหม่ กว่าจะถึงตอนนั้นเราคงต้องให้ใครสักคนที่มีพลังเท่าเทียมดูแลแทนไปก่อน’ โลกสวรรค์ที่ไร้หัวใจก็เป็นเช่นนี้นั่นแล


ศศินั้นคิดเช่นนั้นด้วยหัวใจเลื่อนลอย…


‘ศศิ เจ้าขนฟูนั้นวิ่งหายไปแล้ว’ เทพแห่งโชคชะตานั้นเอ่ยบอกหลังจากเห็นเพื่อนของตนเอาแต่เหม่อลอย


‘อา…เดี๋ยวมันก็คงกลับได้เอง’


‘เจ้าดูไม่ค่อยสบายนะ’


‘ข้าเป็นเทพนะ จะไม่สบายได้อย่างไร’  นี่คงเป็นข้อดีของเทพ อิ่มทิพย์ ไม่เจ็บป่วยมีไข้


‘แต่เป็นเทพก็ไม่มีความสุขได้’  เทพแห่งโชคชะตายิ้มให้ ‘ไม่ใช่ว่ามองเด็กคนนั้นอยู่หรือ’


‘…’


‘เขามองมาที่เจ้าทุกคืนเลย’ เป็นเช่นนั้นจริง องค์ชายอคิราห์หรือที่บนสวรรค์นั้นรู้ดีว่าในอดีตคือใครนั้นเป็นเด็กที่แปลก เขาอาจจะดูสดใสเหมือนเด็กทั่วไป ทว่าก็ติดนิสัยที่จะแหงนมองฟ้าเงียบๆครุ่นคิดอะไรบางอย่างผิดธรรมชาติเด็กไปบ้าง แต่ศศิก็เหมือนจะรู้ดีว่าเขานั้นคิดอะไร


เพราะบางทีเราอาจจะคิดถึงกันและกันอยู่


‘เลิกเถียงกันได้แล้ว!’  เสียงดังที่เต็มไปด้วยอำนาจของมหาเทพดังขึ้น เสียงจอแจเมื่อครู่พลันหายราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น ศศิที่เหม่อลอยก็กลับมาสนใจการประชุมอีกครั้ง การจากไปของเทพอคิราห์นั้น นำพาความวุ่นวายมาทุกหมู่แห่งจริงๆ


นำพามาซึ่งความวุ่นวายใจไม่น้อยด้วย


‘ในอีกไม่กี่สิบปีมนุษย์จะมีเทพที่เหมาะสมจะดูแลดวงอาทิตย์ขึ้นมาเกิด’  ดวงตาอันทรงอำนาจกวาดมองไปทั่ว‘กว่าจะถึงตอนนั้นก็ขอให้ทุกคนแบ่งเวรกันทำหน้าที่แทนสุริยะเทพองค์ก่อน’  เสียงพูดคุยดังจอแจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เงียบลงโดยไวเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่ไร้ที่มา


บนโลกนี้ไม่มีอะไรไร้ที่มาหรอก สวรรค์ก็เช่นกัน


‘ส่วนคนที่รู้ถึงการมีอยู่ของเทพสองตนนั้น เจ้าจงไปคิดและกลับมาบอกกันซะว่าจะต้องทำเช่นไร’  พลันคำพูดนี้ขององค์มหาเทพจบลง ผู้อื่นก็เกิดความสงสัยมากมาย ทว่ามีอยู่คนที่ยังคงนิ่งอยู่เช่นกัน


แต่หัวใจที่ไม่ควรจะมีกลับพลันเต้นระรัว


เทพแห่งโชคชะตาไม่ได้มาเยือนตำหนักจันทรานานแล้ว ทว่าวันนี้เจ้าของตำหนักนั้นเป็นผู้เชิญมา เจ้าขนฟูนั้นวิ่งนำเข้าไป ผู้มาเยือนนั้นโค้งให้เจ้าของตำหนักตามมารยาทเพียงครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะลุกเดินมาหา


‘ทราบว่าท่านมีเรื่องอยากปรึกษา’


‘…’


‘มีอะไรเช่นนั้นหรือ’


‘ข้าจะลงตามไปอยู่กับอคิราห์’


‘…’


‘หากความรักคือความผิดพลาดที่สวรรค์รับไม่ได้ เห็นทีข้าก็จำต้องรับผิดชอบเช่นกัน’  รับผิดชอบอะไร เทพแห่งดวงจันทร์นั้นทำผิดอะไร เทพแห่งโชคชะตาที่ไม่อาจจะรับรู้ชะตาของเทพสวรรค์ด้วยกันจะเอ่ยปากถาม ทว่าเจ้าตัวกลับเผยให้เห็นถึงความจริงบางอย่าง


ที่มือเล็กบางนั้นมีจิตวิญญาณที่สูงส่งสองวงส่องสว่างวนเวียนอยู่ด้วยกัน


‘ที่องค์มหาเทพพูด!’


‘นี่คือเทพ ที่ถือกำเนิดจากข้าและอคิราห์เป็นแน่แท้’


‘พวกท่านรักกันหรือ’  เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่เทพสวรรค์ต่างทราบดีถึงความเป็นไปได้ เพราะจิตของเทพสวรรค์นั้นถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากคิดร้ายก็จะสร้างมารขึ้นมาได้เช่นกัน แต่กับกรณีที่เป็นจิตของสองเทพฝาแฝดที่เต็มไปด้วยความรักนั้น


สวรรค์…ท่านต้องไม่เคยเห็นสิ่งนี้แน่


‘ข้าพยายามปลุกพวกเขาแล้วแต่ทำไม่ได้’


‘ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน’


‘ข้าจึงไปขอเข้าเฝ้าองค์มหาเทพโดยตรงเพื่อให้ท่านโปรดชี้แนะ’


‘แล้วท่านว่าเช่นไร’


‘…’  ศศิเงียบไป ก่อนจะอ้าปากออกไป  ‘อคิราห์นั้นตัดขาดสัมพันธ์กับข้าทางนี้ลงไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว หากไม่มีเขา เด็กสองคนนี้ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นมาได้’


‘ศศิ’


‘ข้าจำต้องไปชดเชยให้เขา’ นั่นเท่ากับว่าศศิจำต้องแบ่งภาคลงไปเป็นมนุษย์และครองรักกับอีกฝ่ายให้ได้เช่นนั้นหรือ เมื่อจิตได้ผูกสัมพันธ์อีกครั้งหรือคลอดเด็กสักคนหนึ่งออกมา เทพเด็กที่เป็นเพียงการผูกดวงจิตถึงจะถือกำเนิดขึ้นด้วย กระต่ายขี้กลัวของสุริยะเทพ…จะกล้าหาญและกล้าเสียสละเช่นนั้นจริงๆหรือ


‘การแบ่งภาคไม่น่ากลัวจนเกินไปหรอก’


‘ข้าไม่ได้คิดจะแบ่งภาคแต่อย่างใด’ นั่นหมายความว่า ‘ข้าจะลงไปอยู่กับเขา’ ไม่ใช่ว่าศศินั้นขโมยหัวใจเขามาฝ่ายเดียวหรอก หัวใจของตนก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าถูกทิ้งขว้างไว้ที่ไหน


‘แต่ว่า’


‘ที่ข้าขอร้องให้มาพบเพราะไว้ใจอยากจะฝากทุกสิ่งที่นี่ไว้เพื่อรอคอยผู้ดูแลคนถัดไปให้มา’


‘…’


‘ข้าไม่อาจจะอยู่บนสวรรค์ได้ หากหัวใจได้ทำหล่นหายบนโลกมนุษย์หรอกนะ’ ถึงจะรู้ตัวช้าและทำผิดพลาดลงไปมากมาย แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกคาใจก็ถูกทำให้กระจ่างชัดเสียที เทพแห่งโชคชะตานั้นยิ้มให้ด้วยเข้าใจในความต้องการ น่าเสียดายเหมือนกันที่จะเสียเพื่อนดีๆที่นี่ไป แต่ไม่เป็นไรหรอก บางทีสุริยะเทพกับจันทราเทพองค์ใหม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนที่ดีให้กันได้ เทพแห่งโชคชะตานั้นหลับตาและประทานพรให้


…เมื่อบุตรและธิดาของพวกเจ้าพร้อมขึ้นเป็นสุริยะเทพและจันทราเทพองค์ใหม่เมื่อไหร่
ปานบนใบหน้าและเจ้าขนฟูผู้พิทักษ์จะหายไป เพื่อให้ทราบว่าภารกิจสวรรค์ได้เสร็จสิ้น
ยามนั้นให้ไปทำตามภารกิจหัวใจได้อย่างอิสระ
และหากไปเกิดแล้ว ขอให้ระลึกถึงความผิดพลาดที่ทำไปและแก้ไขใหม่ให้จงได้…
‘ขอให้เจ้าจงโชคดี’
.
.
.


“รวิวัลย์ กัษษากร!” อยู่ๆก็หนักที่อก เกิดอะไรขึ้นกัน แล้วเด็กทั้งสองคนนั้นอยู่ที่ไหน  “อื้อ!”  อึดอัด…อึดอัดเหลือเกิน


“คิก”


“อื้อ…เจ้าแสบหรือ”  ในที่สุดดวงตาทั้งสองข้างก็สามารถมองเห็นภาพข้างหน้า ที่เข้าใจว่าอะไรมาทับอยู่ที่อกนั้นไม่ใช่อะไรเลยหากแต่เป็นใครต่างหาก “เจ้าอ้วน อ้วนใหญ่แล้ว”  แล้วคลานมานอนทับกัน ช่างขี้แกล้งอะไรเช่นนี้


ไม่ต้องสืบเลยว่าเจ้าได้ใครมา!


“เดี๋ยวข้าก็ไล่ไปอยู่กับพ่อเจ้าเสียเลย จอมแสบ!”  ว่าแล้วก็จับเจ้าแสบมาฟัดพุงเล่น แต่หากไม่ได้เจ้าอ้วนนี่ก็ไม่รู้ว่าศศิจะติดอยู่ในความฝันที่เป็นจริงเป็นจังนั่นเมื่อไหร่


และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนควรจะกลับมาทำให้มันถูกต้องเสียที


เสียงหัวเราะปนเสียงกรีดร้องของเจ้าฉายนั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวอารมณ์ดีแค่ไหน นอนอิ่มแล้ว เลยก่อกวนคนอื่นให้ลุกขึ้นมาเล่นด้วยกันแบบนี้ เกรงว่าศศิคงจะเลี้ยงคนเดียวต่อไปไม่ไหวจริงๆ


จำต้องหาคนมาเลี้ยงช่วยแล้ว!


ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นความจริงหรือแค่เรื่องที่หมกหมุ่นอยู่ในหัว แต่จริงอยู่ว่าตนนั้นแม้จะดูเก่งกาจแค่ไหน พอเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยหรือคิดว่าไม่เหมาะสมก็มักจะยอมแพ้และไม่สู้เพื่อแย่งชิงความสุขที่แท้จริงมา เทพจันทราผู้นั้นก็คงจะคิดไว้ว่าอย่างที่เป็นมันดีอยู่แล้ว กับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย กระทำการไปก็อาจจะให้ผลที่ไม่พอใจในภายหลังได้ ตลอดหลายพันปีที่บำเพ็ญเพียรโดยไร้ความรัก ไม่แปลกหรอกที่จะไม่กล้ามั่นใจในสิ่งที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย ทว่าเมื่อเสียไป กลับต้องแลกทุกอย่างเพื่อตามแก้ไขในสิ่งที่พลาด


เช่นนี้แล้วหากมันซ้ำรอยขึ้นมาเล่า?


“ศศพินทุ์”  ถึงศศพินทุ์คนนั้น  “ท่านเลือกถูกแล้ว”  ที่ตามลงมาที่นี่ เพื่อได้พบเจอและครองรักกับคนๆนั้น หากเจ้าตัวยังเพิกเฉยต่อความต้องการที่แท้จริงและยังดื้อแพ่งอยู่บนนั้นต่อไป เกรงว่าตนก็คงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆที่คนมากมายโดยเฉพาะชายผู้นั้นให้กัน แม้แต่ความรักก็คงไม่มีวันได้รู้ว่ามันช่างสวยงามและสร้างปาฏิหารย์จนก่อให้เกิดความกล้าหาญมากมาย และต่อจากนี้ศศพินทุ์คนนี้


ก็จะไม่ทิ้งเขาไว้ให้เผชิญกับปัญหาเพื่อความรักของเราอีกแล้ว!


☼ ☽


“ข้าหวังว่าเจ้าจะให้คำตอบที่ไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนให้กัน”  ในฐานะท่านหมอที่เป็นที่รัก องค์ราชินีก็อยากจะให้โอกาสให้ได้คิดให้ดี แต่ในฐานะคนที่อยากให้มาเป็นลูกสะใภ้ ก็อยากจะเร่งเร้าเอาคำตอบและรวบรับไปเสียเลย


“ต้องขอประทานอภัยที่ทำให้พระองค์ต้องทรงรอ”  ศศิเองก็คิดมาดีแล้วเช่นกัน  “กระหม่อมนั้นใคร่อยากจะเรียนรู้ถึงสิ่งที่จะทำได้ ขอทรงโปรดกรุณาสั่งสอนคนโง่งมเช่นกระหม่อมด้วยเถิดพะยะค่ะ”  เมื่อได้ยินคนที่ทรงคาดหวังตอบกลับมาเช่นนั้น แววตาของพระนางก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู


“ข้าจะสอนเจ้าให้หมดเอง”  ด้วยความเต็มพระทัย  “แต่หากเจ้าเจอสิ่งที่ยากเย็นจนเกินไป เป็นไปได้ไหมว่าอยากจะยอมแพ้”  เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นพระองค์จะไม่ยอมสั่งสอนกันหรือ ก็ไม่ใช่…ทรงถามไว้เพื่อจะรับมือต่างหาก ท่านหมอมีความเมตตาอันเปี่ยมล้นเหมาะจะเคียงบัลลังก์เป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นเรื่องจุกจิกที่ต้องเผชิญก็อาจจะทำให้คนที่ลำบากลำบนมามากรับไม่ได้จนยอมแพ้ ต่อให้มั่นใจว่าถ้าเป็นศศิจะต้องทำได้ แต่ถ้าเจ้าตัวยอมแพ้ก็ยากเช่นกัน


พระองค์ควรเตรียมรับมือเด็กที่อยากหนีออกจากวังไว้ด้วย!


“โปรดทรงวางพระทัยเถิด”  ท่านหมอน้อยเอ่ยด้วยแววตามุ่งมั่น เพราะตนได้ตัดสินใจไว้แล้ว หากเป็นศศพินทุ์ก่อนเจออคิราห์ ก็ไม่แน่ว่าตนจะมั่นใจในตนเองที่จะผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้ แต่ตอนนี้ต่อให้มันหนักแค่ไหนก็ยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าศศพินทุ์เสียสละสิ่งล้ำค่าเพื่อมาไขว่คว้าสิ่งที่ตนคิดว่ามันคุ้มค่าหรอกหรือ


“เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม”


“พะยะค่ะ” ศศิรับคำ “กระหม่อมจะไม่ยอมแพ้ในตัวขององค์รัชทายาทเด็ดขาด”  เหมือนที่เขาไม่เคยยอมแพ้ในตัวกัน คอยดูเถิด


ต่อแต่นี้ไปศศิจะไม่ทิ้งให้เขาต้องอยู่ลำพัง…อีกต่อไปแล้ว!



TALK
ไม่รู้อธิบายไปเข้าใจหรือเปล่า สงสัยทิ้งคำถามไว้ในคอมเมนท์ได้นะคะ
จริงๆเรื่องนี้อยากจะชูให้เห็นความกลัวของศศิไม่ว่าจะเป็นตอนเป็นเทพหรือตอนเป็นคนในเรื่องของความไม่คู่ควร
คนบางคนอยู่ในเซฟโซนก็รู้สึกสบายใจ บางเรื่องมันก็ดูน่าลองแต่ก็กลัวว่าจะสู้ไม่ไหวก็เลยล้มเลิก
ในขณะเดียวกันพี่อาทิตย์คือคนจริงเสมอต้นเสมอปลาย โอ้อวยน้องตลอดไปและพุ่งชนกับทุกสิ่ง
อย่างไรก็ตามมันก็จะมีโมเมนท์ที่พี่เขาเหนื่อยมากจนขอพัก แต่เขาก็ลุยต่อไม่รอแล้วนะอยู่ดี
Facebook : https://www.facebook.com/skyloverstories/ (https://www.facebook.com/skyloverstories/)
Twitter : https://twitter.com/reallyuri (https://twitter.com/reallyuri)
#อาทิตย์ศศิ







   












































หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 27-01-2019 15:58:41
เจ้าแสบน่ารัก
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-01-2019 16:07:02
เป็นกำลังใจให้ศศินะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-01-2019 21:04:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-01-2019 21:22:43
สู้ๆ นะ ศศิ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-01-2019 02:34:18
ไม่สงสัยค่ะ แต่งงนิดนึงตอนที่ประโยคต่อกัน
เลยเกือบแยกไม่ออก ตรงไหนคือตอนเทพ ตรงไหนคือตอนนี้

ศศิเข้มแข็งและเด็ดขาดนะ แต่ยังไม่เคยเอามาใช้จริงจัง
น่าเอ็นจริงเลยคนเรา ศศิคนดี และเอื้ออารีตลอดเวลา
จะเสียใจที่ไม่ได้รักษาให้ ทั้งที่ทำได้ แล้วยังทำเนียนด้วย
ตลกศศิ ไม่รู้จะเรียกเจ้าฉายว่ายังไงเลย รวบเป็นเจ้าอ้วนแสบไหม

องค์ราชินีคือที่สุดแล้วค่ะ เรียกว่าโชคดีที่เจอกันตอนนี้
เพราะบางอย่างต้องมีเวลาของมัน

อาทิตย์หายไปนาน กลับมาถึงกับงอแงเลยหรอศศิ
แล้วดูสิ ลูกยอมให้พ่ออุ้ม ไม่ได้แย่งสักนิดเลยนะ 55555

ความรักนี้ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความเสียสละ
เทพองค์น้อยฝาแฝดเลยต้องไปทำหน้าที่แทนพ่อแม่เทพ
และมาได้ถูกจังหวะเสมอ เพราะบอกว่าจะอยู่เคียงข้าง


หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 28-01-2019 02:58:23
 :ped149:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-01-2019 10:35:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 31 : 27/1/2019 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-01-2019 16:35:20
สู้เขานะศศิ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 32 : 29/1/2019 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 29-01-2019 19:43:35
Finding the twilight
32
การตัดสินใจ
☼ ☽

“ท่านเกงานเกินไปแล้วนะ อคิราห์!” ด้วยการมาหากันทุกค่ำคืนแบบนี้ ต่อให้ศศิไม่ได้ต้องรับงานของพระองค์ไปทำต่อ ก็ยังขุ่นเคืองแทนคนที่ทำงานด้วยอยู่ดี


“เจ้ารู้ไหม หากข้าเอาแต่ทำงานก็ไม่อาจจะมาหาเจ้าได้”


“ข้าได้ยินว่าที่เขื่อนมีปัญหา ท่านจะไม่ไปดูหรือ”


“ส่งธวัลย์ไปแล้ว”  ลูกชายเจ้าของบ้านที่เราอาศัยนอนจึงถูกส่งไปทำงานแต่เพียงผู้เดียวเพราะความเห็นแก่ตัวของบางคน  “โถ่…เมียรักอย่าได้โกรธ”


“จะไม่ให้ข้าโกรธได้ไง ท่านเสียนิสัยไปหมดแล้ว ข้าเองก็เสียงานเสียการ ไม่ใช่เพราะท่านรึที่งอแงมาหาทำให้การผลิตยาไว้ใช้ที่นี่ไม่ถึงไหน”


“…”


“ท่านคิดถึงข้ารู้ เราไม่ได้เจอกันนาน ข้าก็คิดถึงเช่นกัน”


“ศศิ”


“ข้ารักท่านมากนะรู้ไหม”  พระองค์รู้  “และข้าอยากให้ท่านรู้ดีกว่าใครว่าที่ข้าขอให้ไปทำนั้นก็เพื่อตัวของท่านเอง” 


“เฮ้อ…”


“ข้ากับลูกไม่ไปไหนไกลหรอก”


“อย่างไรก็จะไล่พี่ไปให้ได้ใช่ไหม”


“ใช่!”


“ตอบเร็วเกินไปแล้ว!”


“ก็อยากให้กลับมาเจอกันเร็วๆนี่!”


“…”


“รีบไปรีบมาเถิดนะ”  มือเล็กบางนั้นประคองพระพักต์หล่อเหลาให้มาประกบจูบเบาๆกับตน สุดท้ายแล้วแม้จะตั้งมั่นที่จะเก็บกักศศิไว้เพียงไหน ทว่าเมื่ออีกคนแสดงออกอย่างออดอ้อนแต่เต็มไปด้วยเหตุผลก็จำยอม ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวานอีกแล้วหรือ


ว่าแต่ชีวิตพระองค์นี่กินเปรี้ยวบ่อยเกินไปไหม!


“หากเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ข้าจะพิจารณามีลูกให้ท่านอีกสักคน”  เสียงกระซิบที่ไม่ดังนักของคนพูดที่ก็อายตนเองนั้นทำให้พระเนตรเบิกกว้าง เราห่างกันว่านานแล้ว เรื่องเช่นนั้นยิ่งนานเข้าไปอีก และดูความจำเป็นทุกสิ่งอย่างประกอบกันแล้ว พระองค์จึงเลือกได้


อย่างไรก็ต้องไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ…


“นักรบพูดคำไหนคำนั้น หมอก็เช่นกัน…ต้องไม่โกหก เข้าใจไหม”


“อืม”  ทีกับเรื่องแบบนี้ช่างกระตือรือร้นนักเชียว ใจคอ…


จะไม่ให้เจ้าแสบได้โตอีกสักหน่อยเลยหรือ!


“ข้าจะกลับมาทวงสัญญา”  ใบหน้าของพระองค์นิ่งขรึม หากแต่ในใจกลับพองฟู คนรักผู้งดงามยิ้มตอบให้ก่อนจะเอียงซบใบหน้าบนไหล่หนา


“อืม”  เมื่อถึงตอนนั้นช่วยมารับกันไปที


ศศิจะรอ…


☼ ☽


นี่คือคำมั่นสัญญาระหว่างศศพินทุ์ที่ทำไว้กับองค์ราชินีรัญชิดา
ว่าจะให้อคิราห์รู้ไม่ได้ถึงการย้ายมาอยู่ที่นี่….


ณ.ตำหนักนพรัตน์ที่ซึ่งเคยเป็นตำหนักของพระชายาแห่งองค์เหนือหัวสมัยเก่านี้ มีผู้มาจับจองใช้พักผ่อนอยู่ชั่วคราว องค์ราชินีนั้นช่วยตระเตรียมจัดหาคนดูแลมาให้ โดยทุกอย่างเป็นความลับไม่ได้แพร่งพรายให้ใครฟัง ทั้งองค์เหนือหัวและท่านอาจารย์หมอวัชรินท์ และโดยเฉพาะองค์ชายอคิราห์ที่เสด็จไปว่าราชการต่างถิ่น


“หากลูกชายข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่แคล้วจะย้ายตำหนักมาพำนักเป็นการถาวร”  สิ่งที่พระนางพูด คนฟังรู้ดีกว่าใครว่าเขาทำเช่นนั้นจริงๆแน่ ขนาดอยู่ห่างไกลกัน ก็ยังขยันไปยึดห้องนอนของเมียรักถึงบ้านเพื่อนทุกวันขนาดนั้น หากรู้ว่าย้ายมาอยู่ในรั้วเดียวกัน ไม่ย้ายเครื่องเรือนและห้องทำงานมาไว้ที่นี่เลยหรือ แม้จะมีลูกด้วยแล้ว แต่ศศิก็ร่วมด้วยช่วยต่อต้านความไม่งามนี่อยู่เหมือนกัน


สักวันหนึ่งพระองค์จะต้องรู้ และคงเป็นวันที่ศศิพร้อมแล้วที่จะเปิดตัว ไม่ใช่ว่าตอนนี้ยังถ่วงเวลาไว้เพื่อเปลี่ยนใจหรอก ทว่าแค่ยังไม่พร้อมจะรับมือใครในราชสำนักต่างหาก แม้ว่าจันทราปราการที่นำด้วยท่านหมอทิชากรจะสั่งสอนกันมาดีถึงมารยาทที่เหมาะสม แต่ศศิแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิหราชวงศ์เลย รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง จะอย่างไรก็ต้องรู้ให้พร้อมรับมือก่อนที่จะป่าวประกาศออกไปถึงฐานะที่ใครบางคนอยากให้เป็น


นี่เรา…เข้ามารบในพระราชวังแห่งสิหราชนคราหรือนี่!


“วันนี้ข้าอยากให้เจ้าพบกับอาจารย์ที่จะมาสอนเรื่องของการวางตัวและการประชาสัมพันธ์ตนเองในฐานะของคนรักขององค์รัชทายาท”


“พะยะค่ะ”


“อย่ากังวล เรื่องนี้เจ้าต้องทำได้แน่ อันที่จริงก็ได้ทำไปบ้างแล้ว อย่าได้ห่วงไปเลย”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนที่ทำไปแล้วก็มึนงง ได้ทำอะไรลงไปหรือ?


ทว่าไม่ได้ถามไป และคนพูดก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม ศศพินทุ์ที่ถูกจับแต่งตัวให้งดงามนั้น เดินตามพระองค์มาที่ห้องรับรองแขกของตำหนัก หญิงสาวร่างบางที่มานั่งรอกันนั้นงดงาม เธอยิ้มให้ งดงามเสียจนต้องยิ้มกลับไป


“นี่คืออภิชญา”  แต่เมื่อได้ยินนาม ศศพินทุ์ก็หวังไม่ให้ตนทำสีหน้าแปลกๆออกไปจนทำให้คนมองรู้สึกไม่ดี


“ยินดีที่ได้รู้จัก” น้ำเสียงของเธอไม่ได้แสดงออกถึงความหยิ่งยโสแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยความใจดีที่ส่งมอบมาให้ หากนี่คือความจริง มันก็คงจะดีไม่น้อย


“ไม่ต้องกังวลไปศศิ อภิชญากับอคิราห์นั้นตัดขาดกันเรียบร้อย อันที่จริงนอกจากกินข้าวร่วมโต๊ะกันกับพวกข้า พวกเขาก็ไม่มีอะไรเกินเลย” องค์ราชินีที่สัมผัสได้ถึงความกังวลใจได้เอ่ยอธิบาย เมื่อช้อนตามองหญิงสาวผู้มาใหม่ เธอก็ยิ้มให้เช่นเคย


“อย่ากังวลไปเลย ข้าเพียงมาทำหน้าที่สอนให้ท่านปรับตัว ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องที่ผ่านมา”  อันที่จริงนางไม่ได้คิดอะไรกับองค์ชายอคิราห์ผู้นั้นอยู่แล้ว เกรงว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต เพราะเขาคงไม่มีวันมารักกันหรอก


หากมีคนรักที่งดงามขนาดนี้เคียงกาย…


จริงๆแล้วท่านหมอผู้นี้มีพื้นฐานมารยาทที่ดี เพียงแค่อาจจะต้องพูดบอกอะไรให้ปรับเปลี่ยนกันนิดหน่อย ไม่นานก็คงทำได้คล่องแคล่ว น่าตกใจที่ดอกไม้ป่าแห่งชายแดนตะวันตกที่ 2 จะถูกเลี้ยงมาดีขนาดนี้ ทั้งองค์ราชินีและคุณหนูอภิชญาเองเมื่อได้มาลงมือสอนกันจริงๆก็ประหลาดใจไม่น้อย แต่เจ้าตัวก็ยังนอบน้อมถ่อมตน


“เคยได้ยินว่าจันทราปราการนั้นใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ของคีรีธารามากๆ มาพิจารณาดูก็ไม่แปลกหรอก ต่อให้เติบโตที่ชายแดนแต่ผู้เลี้ยงดูย่อมเลี้ยงมาอย่างดีแน่”  เมื่อได้มาครุ่นคิดดูอีกครั้ง จะพบว่าศศิเป็นไม้ที่ถูกดัดไว้อย่างสวยงามอยู่แล้ว สมกับเป็นลูกหลานของคนในตระกูลที่โดดเด่นและมีอำนาจ


“ไม่เลยพะยะค่ะ กระหม่อมยังต้องรับการฝึกฝนอบรมอีกมาก”  กระนั้นก็ยังถ่อมตัว แต่กิริยามารยาทและทั้งความคิดของเจ้าตัวนั้นเป็นที่ชื่นชอบ อภิชญาเองก็รู้สึกโล่งใจที่การทำงานด้วยไม่ยากเย็นนัก


อีกไม่นานนางเองก็ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปแต่งงานกับองค์รัชทายาทแห่งคีรีธาราเช่นกัน เรื่องนี้ถูกนำมาเล่าให้ศศิฟังในภายหลัง และเจ้าตัวก็ตกใจอยู่ไม่น้อยในโชคชะตาแห่งความบังเอิญนี่ เดิมทีศศพินทุ์คือคนที่ถูกทาบทาม  แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ครองคู่ เป็นท่านแม่ทัพอชิระที่แนะนำให้กับทางนั้นไปถึงตัวอภิชญา


จะว่าไปเรื่องนี้ก็ดูมีเลศนัยอยู่ไม่น้อย


“ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน”


“นั่นสินะ ตัวเราก็เป็นห่วงตัวเองไม่น้อย”  อภิชญานั้นแม้จะมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างกล้าหาญกว่าสตรีทั่วไป แต่นางก็มีความกลัวอยู่บ้าง เมื่อถูกทาบทามมาก็ต้องยอมรับคำพบเจอ กับอีกฝ่ายนั้นว่าพอจะชอบพอกันได้ไหม ตอนนี้นางไม่คาดหวังอะไรกับความรักหรอก แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ได้ย่ำแย่ มิหนำซ้ำยังสง่างามไม่น้อย


ถ้าโชคดีสักวันเราคงได้รักกันจริงๆ


“อวยพรให้กันด้วยนะศศิ”  อภิชญานั้นเอ่ยเล่นๆ แต่ศศพินทุ์นั้นพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามศศิก็อดมองว่ามันเป็นเพราะตนเองไม่ได้ที่อภิชญาผู้ควรจะได้ครองคู่กับอคิราห์ต้องมาแต่งงานกับคนที่เคยหมายมั่นจะแต่งกับตน


ขอให้พวกเขารักกันจริงเถิด
ไม่เช่นนั้นศศิคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต


ก็ผ่านไปเป็นเดือนๆแล้วที่ศศิมาอยู่ที่นี่ และก็เป็นเดือนๆแล้วที่ยังคงคิดถึงผู้เป็นใหญ่ในขอบรั้วพระราชวังแห่งนี้ แต่ก็ยังไม่ได้เจอ


เจ้าฉายนั้นได้รับการดูแลอย่างดีด้วยความเอ็นดูจากองค์ราชินี เจ้าอ้วนของศศิดูมีราศีเจ้าชายจับอยู่บ้าง อีกไม่นานก็คงจะเติบใหญ่สง่างามไม่ต่างจากพ่อของเขา เมื่อคิดถึงอีกคนที่ห่างไกลก็พลันนึกได้ว่าเมื่ออีกฝ่ายกลับมาเราควรจะไปพบกันอย่างไร ศศิสัญญากับเขาเอาไว้ว่าจะไม่ไปไหน แต่ในความเป็นจริงคือตนทิ้งห้องนอนในคฤหาสน์วัชรวราภรณ์ไว้ และเข้ามาอยู่ที่ตำหนักนพรัตน์สักพักแล้ว


ไม่ได้การแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง


“เจ้าฉาย เดี๋ยวแม่ไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าก่อนนะ”  แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการเรียกพระองค์อย่างนั้น แต่ก็ถูกคะยั้นคะยอให้ใช้คำนี้อยู่ดี ศศพินทุ์นั้นแจ้งเรื่องกับนางกำนัลว่าจะขอเข้าเฝ้า เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตแล้วจึงรีบเร่งเดินทางไปยังตำหนักส่วนพระองค์ที่แยกออกมาอาศัย


“มีอะไรหรือศศิ”  ทรงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปราณี ศศินั้นจึงรีบแจ้งไปด้วยหมายไม่อยากให้รอนาน


“กระหม่อมได้รับแจ้งจากทางองค์รัชทายาทว่าใกล้จะกลับมาแล้ว จึงใคร่อยากจะขอกลับไปที่คฤหาสน์วัชรวราภรณ์พะยะค่ะ”


“อา…อย่างนั้นหรือ”


“ทรงพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ไหม…”  ทว่าศศิยังไม่ทันพูดจบ คนที่ตนมาพบก็ส่ายหน้า


“อคิราห์นั้นต้องดัดนิสัยเสียบ้าง เจ้าอย่าเพิ่งไปพบเลย รอสักหน่อย สะดวกแล้วข้าจะให้ไป”  ทำไมเป็นอย่างนี้กันเล่า ศศิเก็บความสงสัยเจือความไม่พอใจเอาไว้ หรือว่าพระองค์…กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ คงไม่ได้เกี่ยวกับคุณหนูอภิชญาที่ชอบแอบคุยอะไรกันสองคนใช่ไหม…


คงจะไม่ทรยศต่อความตั้งใจของศศิใช่ไหม?


☼ ☽
ศศิกลับไปแล้ว…
อย่างนั้นหรือ??


“บ้าจริง”  จดหมายที่ถูกส่งมาถึงพระหัตถ์นั้นเพียงแจ้งว่ามีเหตุด่วนให้ต้องเร่งกลับไป เราอาจจะคลาดกันไม่กี่วัน แต่พระองค์แน่ใจว่าเนื้อความในจดหมายนี่เป็นของจริงแน่ ทรงรักอีกคนขนาดนี้ มีหรือว่าจะจำลายมือกันไม่ได้


หากจะรีบเร่งไปหา คาดว่าจะไปถึงได้ในอีก 3-4 วัน อคิราห์คิดได้เช่นนั้นก็ไม่รอช้า รีบเร่งกลับไปตระเตรียมงานที่พระราชวัง ช่างน่าขัดใจนัก ที่ภาระไม่ได้ให้อิสระแก่กันอย่างที่ต้องการ ทรงต้องรีบเร่งจัดการงานด่วน แต่ก่อนนั้นพระองค์ควรจะเร่งเขียนจดหมายให้ศศิรอ พระองค์จะไปหา และจะไปรอรับกลับมาให้เราอยู่ด้วยกัน


แต่เมื่อเขียนจดหมายเสร็จ ก็เพิ่งนึกได้ว่าตนติดพิธีเฉลิมฉลองวันชาติในไม่กี่วันข้างหน้านี้ จึงต้องนำเนื้อความในจดหมายออกมาแก้ไข แม้พระทัยจะติดตามท่านหมอน้อยและลูกชายผู้เป็นที่รักไปถึงชายแดนตะวันตกที่ 2 แล้ว


หลังจากเรียกคนสนิทให้มารับจดหมายไปดำเนินการจัดส่ง พระองค์ก็มองไปที่กองเอกสารที่มารออยู่ ทรงเสด็จออกไปจัดการกับพระราชกรณียกิจนอกสถานที่นานจนงานที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ลดน้อยลงและมีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น เพียงเพราะต้องการเร่งรัดให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ทรงไม่ปราณีกับพระวรกายเลย ทั้งนี้พระองค์ค้นพบว่าการล้มหมอนนอนเสื่อโดยมีคนรักเฝ้าปรนนิบัตินั้นดีที่สุด อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ทรงอดมานานจนควรจะชินชาได้แล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง ที่จะทรงได้เสวยความหวานยาวๆสักที!


ผ่านไปแล้วสามวันกับกองเอกสารและหลายสิ่งหลายอย่าง ปริมาณงานนั้นลดลงไปเป็นจำนวนมาก ช่างเหมาะสมกับการที่ได้บรรทมแค่วันละสามชั่วโมงจริงๆ ทรงรับอ่างล้างหน้าจากนางกำนัลมาจัดการกับพระพักต์ที่อ่อนล้า และรับผ้าขนหนูผืนนุ่มมาซับเบาๆ ก่อนจะออกไปพบแขกที่มาเฝ้ารอเจอ


เสด็จแม่…


“ถวายบังคมพะยะค่ะ”  ทรงเสด็จเข้าไปหาอย่างรีบเร่งด้วยเห็นว่าทรงปล่อยให้รอนานแล้ว องค์ราชินีเมื่อได้ยลพระพักต์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าของพระโอรสก็อุทานออกมา แต่ภายหลังก็ควบคุมอารมณ์ได้ เลยไม่ได้ติฉินอะไรออกไปให้คนฟังต้องมาต่อล้อต่อเถียง


“แม่ว่าจะชวนเจ้าให้ไปทานอาหารด้วยกันเย็นนี้ จะบำรุงองค์รัชทายาทที่เอาแต่ทำงานอย่างดีเลย ต้องมานะลูก”  ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่พระพักต์ของพระโอรส นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนใจ


“กระหม่อมเกรงว่าจะไปวันนี้ไม่ได้ มีงานเร่งด่วนที่จะต้องทำ”


“สักนิดก็ไม่ได้เหรอลูก”


“….”


“เราแทบไม่ได้เจอกันเป็นปีแล้วนะ”  ก็จริงๆอยู่เพราะทรงเสด็จไปทำงานต่างถิ่นนานเหลือเกิน แต่จะบอกว่าไม่ได้เจอก็คงจะมากไป ทว่าเรื่องที่ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย ก็นานหลายเดือนแล้วเช่นกัน


เพราะทรงร่วมทานอาหารด้วยครั้งสุดท้ายตั้งแต่ยังไม่ทราบว่าศศิตั้งครรภ์
จนเจ้าแสบอาจจะยืนได้แล้วในตอนนี้พระองค์ก็ยังไม่ได้ร่วมเสวยด้วยสักมื้อ


“ลูกจะไปพะยะค่ะ”


“จริงๆนะอคิราห์”


“พะยะค่ะ”


“ดีมาก งั้นแม่จะสั่งคนทำอาหารอร่อยๆไว้ให้”  พระองค์เองก็รู้สึกผิดกับเสด็จแม่และเสด็จพ่อไม่น้อยที่ไม่มีเวลาให้เลย จะอย่างไรซะครอบครัวก็คือครอบครัว และครอบครัวก็คือความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่ไม่ควรละเลย


บางทีพระองค์ก็ควรจะบอกทั้งสองพระองค์เกี่ยวกับคนที่พระองค์เลือกอยู่ตอนนี้


แค่คิด…ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา หากองค์เหนือหัวและองค์ราชินีทรงทราบว่าได้เป็นปู่เป็นย่าคนแล้วจะรู้สึกเช่นไร แน่นอนว่าคงโกรธเคืองกันไม่น้อยที่ปิดบัง แต่ในขณะเดียวกันก็คงรีบรับสั่งให้คนไปรับทั้งแม่และลูกมาให้ พระองค์ก็รู้ว่ายังไม่ได้ปรึกษาศศิให้ดีเกี่ยวกับเรื่องสถานะที่อยากเปิดเผยออกไป แต่มาถึงขนาดนี้ที่ทรงมั่นพระทัยว่าคงจะปกป้องอีกฝ่ายจากกระแสทางการเมืองอันเลวร้ายก็อยากจะรวบรัด คงจะโกรธอยู่แต่ใช่ว่าจะไม่หาย อย่างไรก็ให้มาเห็นก่อนว่าเจ้าฉายนั้นเป็นที่รักของราชวงศ์แค่ไหนเสียก่อนแล้วกัน


ดังนั้นจึงควรรีบเร่งไปขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อทรงงานไปจนถึงแก่เวลาก็ไปจัดการเตรียมตัว และเสด็จไปยังตำหนักขององค์ราชินีที่เป็นสถานที่รับรองมื้ออาหารนี้ของครอบครัวเรา ใบหน้าที่ดูซูบซีดเมื่อยามเช้าพลันสว่างไสว แม้ไม่แน่ใจว่าตนควรจะเริ่มอธิบายอย่างไร แต่ค่อยๆดูสถานการณ์และท่าทีไปก่อนแล้วกัน


ทรงได้รับการต้อนรับและนำทางมายังห้องที่ถูกจัดเตรียมเพื่อการร่วมเสวยอาหารค่ำที่นี่ เมื่อมาถึงก็พบว่าทรงมาช้ากว่าพระบิดาอยู่ประมาณหนึ่งแต่ไม่มีใครว่าอะไร องค์ราชินีนั้นยังคงเป็นผู้นำที่สดใส ชวนทั้งพ่อและลูกให้คุยไปเพื่อลบช่องว่างที่เราอึดอัดใจต่อกันให้ได้ประมาณหนึ่ง หลังจากทะเลาะกันในวันนั้น เสด็จพ่อก็ดูจะเสียใจไม่น้อยเลย


“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยในสิ่งที่กระทำให้ขุ่นเคือง”  คนเป็นลูกจึงเห็นควรว่าจะเอ่ยออกมาก่อนเพื่อสนทนาหาทางออกที่จะไม่ทำให้ความรู้สึกติดค้าง และแม้องค์เหนือหัวจะตกพระทัยไม่น้อยที่ลูกชายเอ่ยก่อนแต่ก็แย้มพระสรวลออกมาด้วยความยินดี


“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ถือโทษโกรธเคือง เป็นข้าเสียอีกที่วุ่นวายเกินไป”  ด้วยเพราะทรงใส่พระทัยต่อความรู้สึกของพระองค์ชายเป็นอย่างมาก จึงเลือกที่จะปล่อยวางและตั้งใจจะแสดงตนเป็นผู้ให้คำปรึกษาในทุกทางที่อคิราห์จะเลือกแทน เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มที่จะดีขึ้นมา องค์ราชินีก็วางพระทัย


“เหตุไฉนยังไม่จัดวางอาหารกันเล่า”


“ยังมีแขกอีกคนที่กระหม่อมอยากจะให้มาพบอีกสองคน เป็นคนที่น่ารักมากๆแต่เกรงว่าอาจจะติดธุระสำคัญในตอนนี้”  เมื่อได้รับฟัง ทั้งสองพระองค์ก็แปลกพระทัยอย่างยิ่ง มันใช่หรือ…ที่ให้องค์เหนือหัวและองค์รัชทายาทมารอ?


“ใครกันหรือ”  องค์เหนือหัวทรงตรัสถาม


“เป็นคนที่อยากให้อคิราห์ได้พบเจอเพคะ”  เมื่อได้ยินพระนามจากพระโอษฐ์ของเสด็จแม่ คนฟังก็ขมวดพระขนงด้วยไม่พอพระทัย หรือจะยังดึงดันแนะนำใครให้พระองค์อีก ที่ผ่านมาไม่ชัดเจนพอหรือไงว่าไม่ว่าจะใครก็ไม่เป็นที่ต้องการ


“หากจะทรงแนะนำใครให้ลูกเหมือนอภิชญาอีก เกรงว่าลูกก็คงจะต้องขอปฏิเสธออกไป”  ในตอนนี้แม้อยากจะพูดเรื่องของศศิและลูกจับใจ แต่ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้


“ทำไมกันเล่าอคิราห์ เจ้ายังไม่ได้เจอน้องเลย”


“ลูกไม่มีวันรักพะยะค่ะ ขอทรงโปรดเข้าพระทัย”


“อคิราห์ แม่ไม่ได้บังคับหากลูกจะไม่ถูกใจ แต่อย่างน้อยให้ได้พบกันก่อนได้ไหมแล้วเจ้าค่อยตัดสินใจอีกครั้ง”  ทรงวอนขอออกไป แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะทำให้พระโอรสอ่อนไหวกว่าเรื่องใดๆ


“ลูกไม่อยากพบเจอใคร หากเป็นไปได้ก็อยากให้มื้อนี้มีแค่ครอบครัวเราพะยะค่ะ”


“แต่อีกคนอาจจะได้มาเป็น…”


“พอเถิดพะยะค่ะ”


“…”


“กระหม่อมคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว”  เพราะทรงยกพระทัยให้ใครอีกคนไปทั้งหมด


“ต้องการเช่นนั้นจริงๆหรือ”


“….”


“เข้าใจแล้ว”  ในที่สุดก็ทรงยอมรับในการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวนี่ “ปราณี งั้นเจ้าไปบอกแขกของเราว่าลูกชายเราไม่ต้องการจะพบ”


“….”  แปลก…


“เขาไม่อยากสานสัมพันธ์ด้วย ไปบอกให้หมดและถามเขาว่าจะเลือกเช่นไร”


“เสด็จแม่”  ปกติหากจะปฏิเสธอะไรใครก็ไม่เคยเห็นจะพูดตรงๆขนาดนี้ ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน


“น้องหญิง”  องค์เหนือหัวทรงทราบได้ว่าภรรยากำลังโกรธเคืองแต่เก็บอารมณ์อย่างมิดชิด


“หากเขาต้องการจะออกไปพร้อมกับพาลูกกลับชายแดนด้วย บอกให้รอเราก่อนเพราะเรายังอยากเจอกับเจ้าฉายเป็นครั้งสุดท้าย ให้ศศิรอก่อนเราจะออกไปคุยด้วย”  ศศิ…


นี่มันอะไรกัน!


“กระหม่อม…เข้าใจแล้วพะยะค่ะ”  ในขณะที่คนที่เมื่อครู่ปฏิเสธเสียงแข็งเช่นนั้น ยังมีอีกคนที่มายืนอยู่แถวประตูและได้รับฟังทุกอย่าง…


“ศศิ…”  และเพราะน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังนั้นช่างคุ้นหู พระองค์ชายที่เมื่อครู่ทรงกริ้วอยู่ก็หันกลับไปมอง ว่าเสียงนั้นคุ้นแล้ว


ใบหน้า…ก็ยิ่งคุ้นเคยเข้าไปอีก


“….”


“….”


“ศศิ ไปรอข้าที่ตำหนัก”  ด้วยเพราะเห็นเด็กสองคนเอาแต่จ้องตากัน องค์ราชินีที่คิดแผนการทุกอย่างจึงตัดฉับภาวะอึดอัดนั่นให้ คนงามเพียงถวายความเคารพ และเดินหันหลังจากไป


ที่มาช้า…เพราะเจ้าฉายนั้นดื้อเหลือเกิน…


“ลูกขออนุญาต”  ไม่ได้การแล้วอคิราห์ เจ้าพลาดเสียท่าไปมากแล้วจริงๆ


เจ้าของแผนการอันปราดเปรื่องนั้นยิ้มส่งให้ ในขณะที่องค์เหนือหัวยังคงเงียบขรึมไม่ได้ตรัสสิ่งใด ทว่าเมื่อคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนและค้นพบถึงจุดเชื่อมโยงต่างๆก็เข้าใจได้ เมื่อสบพระเนตรงามขององค์ราชินีก็ทรงถอนหายใจและส่ายหัวออกมา เป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้วจริงๆ…ดีที่สุดจนหาอันใดเปรียบได้ไม่


ในส่วนของคนที่รีบเร่งเดินตามคนที่เข้ามาฟังวาจาร้ายๆเมื่อครู่ เมื่อตามทันก็ทรงคว้ามือเล็กนั้นไว้


“ศศิ เจ้าอย่าเพิ่งไป!”


“…”


“พี่ขอโทษ”  ชิงเอ่ยก่อนคือคนชนะกระนั้นหรือ จริงๆแล้วอคิราห์ยังปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ถูกเลย ทำไมศศพินทุ์ที่ควรจะอยู่ที่ชายแดนจึงมาอยู่ที่นี่เล่า แล้วองค์ราชินี…


ทรงไปเจอศศิของพระองค์ได้อย่างไร?


“…”


“ศศิ”


“องค์รัชทายาทคงจะเหนื่อยรอแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็ขอตัวกลับไปดูลูกเสียหน่อย เขาร้องไห้งอแงเหลือเกิน ปลอบกันอยู่นานทำเอาเสียเวลามาหา”


“เจ้าฉายก็อยู่ที่นี่งั้นรึ”  และเมื่อทรงได้ไต่ถามออกไป คนงามก็ทำเสียงพึมพำหงุดหงิดใจออกมาได้ยิน ใครกันเล่าที่ขี้งอนถึงเพียงนี้ หากพระองค์รู้ว่าเมียรักจะมาหา ก็คงไม่มีวันแสดงออกอย่างนั้นไปหรอก คิดได้เช่นนั้น ก็หงุดหงิดใจไม่น้อยเลย


“ทูลลาพะยะค่ะ”


“เดี๋ยวสิ จะงอนกันไปถึงไหน”


“…”


“หากพี่รู้สักนิดว่าเป็นเจ้า ไม่มีหรอกที่จะไม่พอใจ และต่อให้เกลียดชังแค่ไหน ก็คงไม่มีทางที่จะเดินตามออกมาหรอก”


“…”


“ไม่รู้หรือว่าพี่รักและคิดถึงแค่ไหน”  ก็พอจะรู้อยู่บ้าง


แต่ไม่เจอกันนานบางทีก็ไม่มั่นใจนี่นา…


“แล้วไม่คิดหรือว่าศศิก็คิดถึง”  ดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำนั้นถูกช้อนขึ้นมามอง ท่าทีที่อ่อนลงของท่านหมอน้อยยอดรักทำให้พระองค์แย้มพระสรวลก่อนจะฉุดรั้งให้ร่างบางนั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมอก ต่อให้รู้ตัวว่าทรงเป็นตัวตลกของเสด็จแม่อยู่ แต่ก็ยอมหมดทุกอย่างแล้ว เพราะตอนนี้ต่อให้ทรงขำในความโง่เง่านี่ดังแค่ไหน พระองค์ก็ไม่ได้ยินอะไร…


นอกจากเสียงหัวใจของเราสองคน…

☼ ☽


“ไม่คิดว่าน้องหญิงจะรู้จักกับศศิด้วย” เมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคน องค์เหนือหัวก็ได้ตรัสถามออกมา


“ศศิเป็นเด็กดีเพคะ คาดว่าพระองค์คงจะได้พบเจอกันมาก่อนแล้ว”


“เขาเป็นเด็กดีจริงๆนั่นแล”  เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอและได้จากลา ก็ทำให้ทรงสะท้อนใจไม่น้อย เพราะทรงเป็นผู้คุ้มกฎที่ทำให้ทั้งสองแยกจาก


“เป็นเด็กที่นิสัยดีและงดงามมากๆ เหมาะสมกับอคิราห์เป็นที่สุด”


“ข้าก็คิดเช่นนั้น”  หรือจะกล่าวได้ว่าเคยคิดเช่นนั้น องค์ราชินีที่เห็นพระพักต์อันเศร้าสร้อยของพระสวามีก็รู้สึกสงสาร หลายเดือนจนเป็นปีที่ผ่านมาพระองค์ทรงรู้ดีว่าองค์เหนือหัวนั้นจมอยู่กับความทุกข์ใจมาตลอด ทรงรักและอยากจะตามใจอคิราห์มาก แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ด้วยฐานะหน้าที่มันค้ำคอ แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นต้องเก็บงำความหดหู่นั้นไว้อีกแล้วกระมัง


“อย่าได้ทรงกังวลอะไรอีกต่อไปเลย ต่อไปนี้พระองค์สามารถปล่อยวางสิ่งที่แบกรับไว้และมอบให้ลูกชายของเราได้สานต่อเถิดเพคะ”  ตลอดชีวิตของพระนางและพระสวามีที่ไม่เคยรักกันฉันสามีภรรยา แต่ความผูกพันห่วงหายังมีอยู่ไม่น้อย และตอนนี้ศศพินทุ์ได้นำพาเจ้าฉายมาปลดโซ่ที่ตรวนพระองค์ให้แล้ว ไฉนเลยพระองค์จึงจะเงียบเฉยทำเป็นไม่สนใจอะไรได้


ยังไงองค์เหนือหัวก็จะได้รู้อยู่ดี


“หากหลานปู่เห็นว่าพระองค์ทรงตีหน้าขรึมเช่นนี้ เด็กน้อยจะกลัวเอานะเพคะ”


“….”


“ทรงโดนเด็กหลอกเข้าแล้วองค์เหนือหัวของเรา เสด็จตามหม่อมฉันมาเถิด”  ไปไหน พระนางจะพาองค์เหนือหัวผู้ไม่รู้อะไรไปไหน? “พ่อแม่ของเจ้าฉายคงเอาแต่แสดงความรักต่อกัน เราปู่ย่าควรจะไปดูเจ้าตัวเล็กให้ มาเถิดเพคะหม่อมฉันจะพาไป”


“เจ้าฉาย…หลานของเราหรือ”  ใช่แล้ว…คนแก่คนนี้เฝ้ารอมาตลอด ครั้งหนึ่งเคยรอที่จะได้เจอลูกด้วยหมายจะค้นพบความรักที่แท้จริงที่ทรงจะมีได้ในโลกการเมืองนี้ และอีกครั้งก็ทรงคาดหวังจะได้เห็นลูกของลูกชาย และวันนี้การรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว


พระองค์จะได้เจอองค์รัชทายาทองค์ต่อไปแห่งสิหราชนคราแล้ว…


Talk
ตอนหน้าก็จบละนะ

























































หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 32 : 29/1/2019 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-01-2019 20:22:38
เจ้าแสบจะกลายเป็นองค์ชายเต็มตัวแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 32 : 29/1/2019 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-01-2019 20:26:12
เจ้าฉายจะได้เจอเสด็จปู่แล้ว
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 32 : 29/1/2019 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-01-2019 23:57:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 32 : 29/1/2019 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-01-2019 00:55:11
จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว  :heaven
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: skylover☁ ที่ 30-01-2019 16:58:56
Finding the twilight
33
ยามอัสดง
☼ ☽


ใช่ว่าที่ทำให้ศศพินทุ์กังวลใจและทำให้ลูกชายโกรธเคืองไปเช่นนั้นเพราะทรงต้องการจะจับแยกเด็กสองคนนั้นจริงๆเสียด้วย
แกล้งนิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอก ทีคู่รักอาทิตย์พระจันทร์ยังหลอกลวงและหลบซ่อนกันไม่ให้ผู้ใหญ่รับรู้ตั้งนานเลยนี่!


ทรงทอดพระเนตรมองพระโอรสที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น มือที่เคยเล็กเท่าเจ้าฉายในวันนั้นใหญ่โตพอที่จะกุมเพื่อมอบความมั่นใจให้กับคนตัวเล็กที่ก้มหน้างุดนั่งอยู่ข้างๆ คาดว่าเด็กคนหนึ่งที่ปกปิดการมีอยู่ของ ‘องค์ชายนภฉาย’ ในท้องของตนมานานคงจะละอายใจไม่น้อยเลย


“อคิราห์ เราไม่ทำอะไรศศิของเจ้าหรอก ใยต้องทำหน้าเหมือนจะฆ่าทุกคนที่เข้าใกล้เมียของเจ้าถึงเพียงนี้”  องค์เหนือหัวที่ปิติยินดีกับสถานการณ์นี้กว่าใครนั้นถามออกไป ทรงสะกดน้ำเสียงแห่งความปลื้มใจไว้มิด จะอย่างไรก็ต้องสอบสวนกันให้ดี


“เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเมียลูกแม้แต่น้อยที่จะปกปิดทุกคนเรื่องนี้ ในยามท้องเจ้าฉาย…บ้านเมืองหาได้มีความสงบไม่ และทางจันทราปราการเองก็กดดันให้ศศิต้องจากไปเช่นนั้น”  เป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุด พระองค์ทรงรู้ดีว่าจันทราปราการที่มีอำนาจไม่ขึ้นตรงต่อใครนั้นยากที่จะแทรกแซง แต่ว่า…


“แล้วเมียเจ้าเคยคิดไหมว่าอยากจะพาหลานของเรา ลูกของเจ้ากลับมา”


“…”


“หรือจะบอกว่าในยามนั้นเจ้าก็รู้ดีว่ามีลูกแล้วจึงยอมปล่อยเมียที่ท้องอยู่ให้ออกเดินทางจากไป”


“อันที่จริงกระหม่อมไม่ทราบเลย”  องค์ชายอคิราห์นั้นตรัสออกมา ศศินั้นพลันรู้สึกผิดตามไปด้วย ทว่าเจ้าตัวคงถูกความรักครอบงำจนลืมบางสิ่งไป  “ศศิบอกลูกแล้วว่าเขาท้อง แต่เป็นลูกที่ไม่เชื่อเอง”  แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทรงปล่อยมือไปอยู่ดี


ตอนนั้นทรงคิดถึงแต่ความปลอดภัยของยอดรัก และหากตัดประเด็นที่ว่าภายในวังล้วนเต็มไปด้วยอันตรายและความไม่เข้าใจออกไป พระองค์ย่อมไม่ปล่อยศศิแน่ เดิมทีก็ทรงหลงรักคนๆนี้แม้ไม่ทราบว่าเขาจะมีลูกให้กันได้ก็ทรงรักมากมาย เพราะความจำเป็นในตอนนั้นที่ทำให้ปล่อยไป แต่ตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นใดๆแล้วจึงไม่อาจจะปล่อยให้ไปได้อีก


แม้ว่าศศิจะเรียกร้องขอออกจากอ้อมกอดของพระองค์ก็ตาม


“เป็นกระหม่อมที่ผิดเองทั้งหมด ทรงอย่าตรัสว่าองค์รัชทายาทอีกต่อไปเลยพะยะค่ะ”


“ศศิ”  ทรงร้องท้วง


“กระหม่อมไม่เคยมั่นใจในตัวเองว่าจะอยู่ที่นี่ได้เลย จนกระทั่งมารู้ตัวได้ว่าการทำเช่นนั้นเท่ากับไม่มั่นใจในตัวคนรักที่พยายามทุกอย่างเพื่อกัน”  ศศิจ้องมองไปยังเบื้องหน้า ทว่าจับพระหัตถ์พระองค์แน่น  “กระหม่อมผิดไปแล้วที่ไม่ให้เกียรติในตัวพระองค์ชาย และไม่ให้เกียรติความรู้สึกตัวเอง แต่ตอนนี้ได้รู้แล้ว…”


“เจ้า…”


“ขอทรงโปรดประทานอภัยให้คนโง่งมคนนี้ กระหม่อมจะไม่หนีไปไหนอีก และจะไม่ปิดบังอะไร”  เดิมทีศศิตั้งใจว่าเมื่อคลอดเจ้าฉายออกมาแล้ว หากชะตาเห็นเป็นใจก็ให้องค์รัชทายาทได้มาพบเจอกัน และพรหมก็ได้ลิขิตเป็นเช่นนั้น ศศิมีเพียงอย่างเดียวที่จะเสีย ก็คือหัวใจของตนเองที่จะใช้วางเดิมพันลงไปนี่แล


“อย่าก้มหน้าอีกเลย เจ้าไม่ได้ผิดเลยนะศศิ”  เมื่อเห็นคนงามที่ไม่กล้าสู้หน้าและประโยคที่พรั่งพรูออกมาก็ทำให้ยิ้มได้ พระองค์ได้ทั้งกาย ใจ และเจตนามาครอบครองไว้แล้วทั้งหมด


“เป็นเช่นนั้นข้าก็คงต้องประทานโทษให้เจ้าในฐานหลอกลวงเชื้อพระวงศ์แล้ว”  องค์เหนือหัวทรงตรัสออกมาสั้นๆ ก่อนจะขยายความให้กระจ่าง  “ขอให้เจ้าสองคนครองรักกัน รับรู้และช่วยกันดูแลทั้งยามสุขยามทุกข์จากนี้ ขอให้อคิราห์ได้ขึ้นมาบริหารแผ่นดิน โดยมีศศพินทุ์อยู่เคียงข้างกาย”


จากวันนี้จนตราบสิ้นลมหายใจ…


“ข้าขอประทานสมรสให้กับองค์รัชทายาทและศศพินทุ์ ขอให้พวกเจ้ารักกันจนแก่เฒ่านับจากนี้”  สิ้นคำสั่ง คนทั้งสองก็น้อมรับในบัญชา หากว่านี่คือการทำโทษ มันก็ยาวนานกินเวลาไปตลอดชีวิต แต่หากว่านี่คือพรแห่งสวรรค์


ก็เท่ากับว่าเราจะได้รักกันตราบชั่วนิจนิรันด์ที่เราจะรับรู้ได้…


“ว่าแล้วว่านี่ต้องเป็นแผนของเสด็จแม่”   หลังจากที่การพูดคุยเสร็จสิ้น ก็ทรงไต่ถามองค์ราชินีถึงเหตุที่ศศพินทุ์ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ และก็ได้ทราบว่าทรงกลั่นแกล้งพระองค์และคนงามอย่างเจ็บแสบ แม้กระทั่งแอบเอาจดหมายที่ศศิเคยเขียนแต่ไม่ได้ส่งไปฝากมาให้พระองค์ด้วย


เพราะพระองค์ทรงปฏิเสธการมาเสวยพระกระยาหารแทบทุกครั้ง
มิหนำซ้ำศศิ…ยังอุ้มท้องหนีสิหราชวงศ์อย่างเด็ดเดี่ยวเสียเพียงนั้น


“ข้าเองก็กังวล ว่าเหตุใดถึงไม่ยอมให้ข้าได้ไปหาท่าน ที่ไหนได้…”  หลังจากที่ศศิเอ่ยขอกลับไปที่คฤหาสน์ของธวัลย์ ก็มักได้รับคำปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งวันนี้…ทรงให้นางกำนัลมาตามให้ไปทานอาหารเย็นร่วมกัน เดิมทีศศินั้นจะมาอยู่แล้วเพื่อขอโอกาสอีกครั้งทว่าเจ้าฉายกลับแผงฤทธิ์จึงทำให้มาช้า มาทันฉากเด็ดคำพูดคำจาตัดสัมพันธ์ขององค์รัชทายาทพอดี


ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมาก ก็จะหวั่นไหวกับอะไรง่ายๆไปหน่อย


“แต่แค่ได้เห็นเจ้า ที่ถูกแกล้งไปทั้งหมดข้าไม่โกรธเลย จริงๆนะ”  อคิราห์รับสารภาพ เพราะทรงพอใจในทัณฑ์แสนหวานนี่ที่สุด


“ข้าก็เช่นกัน”  หลังจากที่คุยกันจบ องค์เหนือหัวก็ไม่รอช้า ทรงเสด็จมาเจอเจ้าแสบที่หลับใหลอยู่ ทรงนิ่งเงียบ พินิจหลานชายคนแรกด้วยความยินดีอยู่พักใหญ่ เจ้าอ้วนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นเลยจึงต้องเสด็จกลับไป แต่คาดเดาได้ว่าพรุ่งนี้ต้องมีคนเห่อหลานยกเลิกการประชุมใหญ่เพื่อมาเจอหน้าเป็นแน่


น่าดีใจเหลือเกินที่เจ้าฉายเป็นที่รักถึงเพียงนี้


“ได้ยินว่าเจ้าไม่โกรธพ่อแม่ของข้าก็ดีใจนัก แต่ถึงโกรธ ลูกชายของพวกเขาย่อมง้องอนเป็นแน่ อย่าได้ห่วงเลย!”


“งั้นดีแล้วที่ไม่โกรธ เพราะข้ารำคาญการง้องอนของลูกชายพวกเขานัก”


“ศศิ…”


“ท่านให้ข้ารอท่านนานไปแล้ว หากยังจะไปไหนไกลๆอีก เห็นทีข้าจะต้องกระเตงลูกออกไปทำงานทำการบ้างเช่นกัน”


“เหตุใดต้องทำเช่นนั้น เจ้าเป็นเมียใครรู้ตัวหรือไม่”


“รู้สิ!”  ศศิจ้องมองหน้าพ่อคนอวดเบ่งระคนหมั่นไส้  “เป็นเมียขององค์รัชทายาทนั้นเท่ากับเป็นว่าที่องค์ราชินีคนต่อไปไม่ใช่หรือ เช่นนั้นแล้วหากไม่ทำงานให้ประชาชนรักใคร่ คนเขาจะว่าท่านตาถั่วหาเมียประสาอะไรได้”


“ศศิ…”  ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากปากศศิ คำที่เจ้าตัวยอมรับหมดใจว่าจะยอมรับฐานะตำแหน่งนี้ไว้เพื่อเคียงข้างกายของพระองค์


“เว้นเสียแต่ท่านจะไม่ยกตำแหน่งนี้ให้ข้าและไปยกให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ ข้าไม่ยอมหรอกนะ เห็นเช่นนี้ข้าก็เป็นพระญาติของกษัตริย์แห่งคีรีธาราเช่นกัน ข้าจะหอบลูกจากไปแล้วอย่าหวังว่าจะได้เจอกะ…”  แต่ไม่ทันที่คำพูดจาร้ายๆจะหมดประโยค คนฟังก็ทนไม่ไหวจนต้องฉุดให้เข้ามาอยู่ในอ้อมพระอุระ เจ้ากระต่ายน้อยที่ตกใจกับความกะทันหันนี่ก็คิดจะผลักออกไป ทว่าความนัยจากพระโอษฐ์บางนั้นก็ทำให้หยุดชะงัก


“ข้ารักเจ้า”


“….”


“เป็นข้ารักเจ้า ที่เป็นทั้งท่านหมอผู้ใจดี เป็นคนที่เหมือนกระต่ายแต่เลี้ยงกระต่ายที่น่ารำคาญ เป็นคนที่มีกลิ่นหอมติดกายตรึงใจ และยังเป็นแม่ของเจ้าฉายที่แสบซนแต่น่าเอ็นดูกว่าใครบนโลกนี้”


“พี่อาทิตย์”


“ข้ารักเจ้าเหลือเกินองค์ราชินีของข้า”  คำรักที่เหมือนจะไม่มีวันจางหายไปจากปากของชายคนนี้ทำให้ใจของศศิอ่อนยวบ


“ศศิก็รักท่านเช่นกัน”  เขาที่เป็นดั่งคนรัก เป็นพ่อของลูก องค์รัชทายาทของปวงชน และอาทิตย์ส่องแสงที่ให้ความอบอุ่นแก่หัวใจ  “องค์เหนือหัวของศศิ…ข้ารักท่านเหลือเกิน” การพบกันที่ไม่ธรรมดา ความใกล้ชิดที่ฟ้าบันดาล ความทุกข์ยากที่ได้พ้นผ่าน และความสัมพันธ์ที่ต้องใช้ความพยายาม



เราได้ประสบและอดทน เพื่อมาพบความสุขที่แท้จริงตรงนี้
แล้วใยจะลังเลใจที่จะคว้าไว้อีกเล่า!


☼ ☽


เจ้าแสบของพ่อและแม่เป็นที่เอ็นดูนัก
แม้จะงอแงเก่งกว่าใคร แต่ก็เป็นขวัญใจของคนทั่วไปได้ไม่ยาก


พระชายาในองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นตรวจสอบเนื้อหาในเอกสารอีกครั้งก่อนจะส่งมันให้กับท่านธมลที่มารอรับ หลังจากวันนั้นที่ได้กลับมาเจอกันก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว เจ้าฉายที่ได้ฉายาว่าแสบสันนั้นก็เริ่มจะเดินได้จนสร้างความวุ่นวายไปทั่วตำหนักชลสินทุ์


แต่การมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนรักขององค์ชายอคิราห์ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เคยคิดไว้ แม้จะได้รับการไม่ยอมรับอยู่บ้างในตอนแรกด้วยที่มาที่ไปที่มีเงื่อนงำ ทว่าองค์ราชินีรัญชิดาก็ช่วยปูทางให้ดี ตัวตนของศศพินทุ์นั้นถูกเปิดเผย และตอนนี้คนทั้งดินแดนก็ทราบแล้วเด็กที่เกิดในวันพระจันทร์ทรงกลดตามคำทำนายนั้นคือคู่ครองขององค์ชายที่กำเนิดในวันที่มีอาทิตย์ทรงกลดเช่นกัน


ความมหัศจรรย์นี้จึงทำให้คนพาลคิดกันไปว่าพรหมลิขิตได้บันดาลชักพา


นอกจากนั้น สิ่งที่ตนได้กระทำมาตลอดก็มีผลให้ได้รับการยอมรับที่มากขึ้นในตอนนี้ เหล่าคนไข้ทั่วดินแดนที่เคยได้พาลพบล้วนพากันช่วยสรรเสริญในความดีแบบที่ไม่เคยคาดหวัง อีกทั้งหลังจากประกาศตัวออกไป ศศพินทุ์ก็ได้เข้าไปมีบทบาทในการสร้างระบบการศึกษาที่หวังมุ่งเน้นให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและมีหมอคุณภาพประจำท้องถิ่นทุกที่ งานหนักแต่เป็นงานที่ถนัดและทำได้ดี ศศิจึงมีความสุขใจในทุกวันที่เป็น


และตอนนี้ก็ยุ่งพอๆกับองค์รัชทายาทที่รักเลย…


“เจ้าฉาย มาหาแม่มา”  หลังจากที่ดูรายการจัดซื้อจัดหาและรับรองเอกสารไป ก็ได้เวลาพักผ่อนคลาย แต่คนเป็นแม่มีโอกาสเช่นนั้นด้วยหรือ แน่นอนว่าไม่ เจ้าฉายที่วันนี้อยากอยู่กับแม่กว่าใครก็คลานบ้างเดินบ้าง เล่นไปเล่นมาอยู่ในห้องทรงงานพระบิดาที่ศศิยึดมานั่นแล


“มะมา..มา”  เมื่อเห็นว่าคนแม่นั้นว่างจะเล่นด้วยแล้วก็รีบคลานมาหาอย่างดีอกดีใจ ไม่นานก็เข้าสู่อ้อมอกอุ่นที่เป็นสถานที่โปรดปราน


เจ้าฉายเป็นหลานรักของปู่ย่า เรียกว่าการได้พบหน้าทำให้เรื่องที่เคยอึดอัดต่อกันก่อนนี้ได้รับการสมานอย่างดี บางทีทั้งสองพระองค์ก็มาขอไปช่วยดูแล แม้ตอนแรกจะใจหายอยู่บ้าง แต่งานหนักเช่นนี้ก็…บางทีก็ดีเหมือนกันที่มีคนเอาไปแสบที่ตำหนักอื่น


“คิดถึงพ่อของเจ้าบ้างไหมนี่”  เพราะแทบไม่เคยได้อยู่กับลูก องค์ชายอคิราห์ก็กังวลไม่น้อยว่าจะทำให้ลูกรู้สึกไม่คุ้นเคย เมื่อได้อยู่ว่างๆ ไม่มีเสียหรอกจะเสียโอกาสในการเอาอกเอาใจ และตามประสาเด็กซน เมื่อมีคนแรงเยอะมาชวนเล่นด้วยก็ชอบใจใหญ่ สุดท้ายแล้วนภฉายก็ชื่นชอบอคิราห์ไม่น้อยกว่าใคร


จนบางทีศศิก็น้อยใจว่าลูกไม่ค่อยออดอ้อนกันแล้ว


แต่พออยู่ด้วยกันสองคนก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ เจ้าฉายไม่ได้ลืมใคร แต่อารมณ์ของเขามันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ วันนี้เมื่อไม่มีใคร ใจของเจ้าฉายก็เป็นของแม่ทันที เห็นเป็นเช่นนี้ก็คิดถึงวันที่เราอยู่ด้วยกันสองคน และแน่นอนว่าจะช่วงเวลานั้นหรือเวลานี้ ศศิก็มีความคิดถึงอีกคนอย่างช่วยไม่ได้


“อาบน้ำกันดีกว่าเราสองคน”  นี่ก็เย็นแล้ว อีกไม่นานก็ต้องหลับนอน วันนี้คึกมาก หลับสบายไม่ลำบากคนกล่อมเป็นแน่


“อาบด้วยกันสามคนไม่ได้หรือ ท่านแม่ของเจ้าลำเอียงเหลือเกินนะ”  เสียงทุ้มที่คุ้นเคยและอ้อมกอดที่มาจากด้านหลังทำให้คนร่างบางสะดุ้ง พระพักต์หล่อเหลานั้นซุกอยู่กับหลังคอของท่านหมอน้อยที่วันนี้รวบผมเป็นมวยสูง ปอยผมที่หลุดลงมาคลอเคลียขับให้ยิ่งดูอ่อนหวานจนทนไม่ไหว อยากสูดดมใกล้ๆให้รู้ว่าหวานอย่างที่จินตนาการหรือไม่


“พี่อาทิตย์”  ไหนว่าวันนี้จะกลับดึก


“อาบน้ำเสร็จเราก็ทานอาหารกันหน่อย ข้ายังไม่ได้ทานอะไรมาเลย”


“เป็นเช่นนี้อีกแล้ว”  ทรงรีบเร่งจนไม่ทานอะไรเพียงเพราะอยากกลับบ้าน องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นช่างเป็นเด็กติดบ้านโดยแท้!


หรือจริงๆไม่แน่ก็อาจจะติดเมีย…และลูก…


ช่วงเวลาของศศิในพระราชวังแห่งสิหราชนครานั้นจะว่าผ่านไปเร็วก็เหมือนจะเร็วเพราะภาระหน้าที่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในฐานะคนรักขององค์รัชทายาทที่ถูกเปิดเผย ช่างต่างจากในครั้งแรกที่มาอย่างหลบๆซ่อนๆนั้น องค์ชายอคิราห์เมื่อสามารถเปิดตัวได้ก็ไม่เพียงนัวเนียกันในตำหนัก เรียกว่าทุกซอกทุกมุมของพระราชวังที่พาไปได้ พระองค์ก็ไม่พ้นจะพาไปแสดงความเป็นเจ้าของทุกที่ จนตอนนี้ท่านหมอน้อยกลายเป็นคนดังไปแล้ว


ส่วนเจ้าฉายก็เป็นขวัญใจคนไปทั่ว ด้วยอุปนิสัยร่าเริงน่าเอ็นดูของเด็กน้อย คนที่พบเห็นย่อมถูกขโมยหัวใจไปได้ง่ายๆ ยิ่งตอนนี้เป็นหลานรักของปู่และย่า คนก็ยิ่งชอบพะเน้าพะนอเอาใจ จนคนแม่เริ่มจะกลัวจอมแสบกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจยามที่ไม่ได้อะไรตามต้องการ เมื่อเอาเรื่องนี้ไปบอกคนพ่อ คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้สมใจ เพราะตอบดีแต่ปฏิบัติยอดแย่ คนนี้ก็หลงลูกเช่นกัน


“รู้สึกเช่นไรบ้างที่ในอาทิตย์หน้าก็จะเป็นวันสำคัญของเราแล้ว”  ทรงตรัสถาม


“ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ”  คำตอบชองคุณแม่คนงามนั้นทำให้พระองค์หน้าเสีย ยิ่งรู้จักยิ่งลึกซึ้ง ก็ไม่รู้ว่าที่เย็นชาขึ้นนี่คือธรรมชาติของเจ้าตัวที่เป็นกับทุกคนหลังจากสนิทสนมหรือไม่ แต่ยังไม่ทันหน้าเสียนาน คนที่แสบไม่ต่างจากลูกชายก็ยิ้มเผล่


อา…เกรงใจเมียไปก่อนย่อมดีกว่าอาจหาญหาเรื่องจนเป็นเรื่องจริงๆ อคิราห์ท่องไว้เช่นนี้ และยังคงเป็นคนกลัวเมียอย่างต่อเนื่องแบบไร้อนาคตต่อไป


ในสัปดาห์หน้า งานอภิเษกของพระองค์กับศศพินทุ์จะถูกจัดขึ้น จริงๆแล้วบ่าวสาวไม่ควรมาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ แต่เราใช่บ่าวสาวทั่วไปที่ไหน ทรงอ้างเสียงดังว่าลูกจำต้องได้อยู่กับพ่อแม่ไม่งั้นเขาจะเป็นเด็กมีปัญหา จะสัปดาห์หรือวันก็จะไม่ห่าง ทรงจะขึ้นเป็นกษัตริย์ที่ดีได้อย่างไร หากพ่อที่ดียังเป็นไม่ได้ เมื่อทุกคนในท้องพระโรงได้ฟังเช่นนั้น ก็รับรู้ได้ว่าองค์รัชทายาทนั้นเกินเยียวยาแล้วจริงๆ


จึงมีมติให้หลงลูกหลงเมียอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ


“ข้าไม่คิดจริงๆว่าวันหนึ่งชีวิตจะพลิกผันมาถึงจุดๆนี้”  จากเด็กธรรมดา วันหนึ่งได้เจอกับคนๆหนึ่งที่ไม่ธรรมดา ไปสู่ความลับอันไม่ธรรมดาของตน แต่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมาถึงจุดๆนี้ได้ ก็ย่อมต้องขอบคุณความไม่แน่นอนที่แปรเปลี่ยนความธรรมดาเหล่านั้นให้กลายเป็นความพิเศษเช่นตอนนี้ ศศินั้นได้เดินนำพระองค์ไปยังระเบียงห้องและมองฟ้าอันงดงาม


“ข้าเองก็ไม่คิด ว่าวันหนึ่งจะทำเรื่องบ้าบิ่นไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้น” 


“เสียใจหรือนึกเสียดายไหม หากวันนั้นเราไม่…”  ทว่าศศิที่อุ้มเจ้าฉายพูดเจื้อยแจ้วก็ไม่ได้โอกาสพูดจนจบ นิ้วชี้ของพระองค์กดบนริมฝีปากอิ่มของคุณแม่ที่ถามคำถามไม่รื่นหู ดวงตาที่มองกันในตอนนี้ยังคงฉ่ำวาวเหมือนกับวันแรกที่พระองค์ทรงฟื้นมาจากความตาย สวรรค์ถือว่าปราณีกันแล้วที่ให้กลับมา ไม่เช่นนั้นทั้งชีวิตที่สูญสิ้นอย่างไร้ค่าคงไม่มีวันได้พบเจอกับความรักเช่นนี้


“ไม่พูดเช่นนั้นสิ”


“เช่นนั้นข้าจะตีความว่าท่านไม่เสียใจที่เลือกจะเดินร่วมกัน”


“ย่อมไม่มีวันอยู่แล้ว”  อคิราห์มั่นใจ  “ยิ่งต้องขอบคุณเจ้าที่ยอมรับเราเช่นนี้”


“ข้าแค่ทำตามหัวใจตนเอง”  ศศิบอก ตนนั้นไม่ได้สนใจความรู้สึกเขามากเท่าไหร่แล้ว เมื่อรักมากๆขนาดนี้จะให้ทำตัวเป็นศศิผู้เสียสละเช่นเดิมก็เห็นทีจะไม่ได้ คาดว่าต่อไปพระองค์ชายคงเจอปัญหาใหญ่หน่อย เพราะเจ้ากระต่ายน้อยของพระองค์…เรียนรู้ที่จะเห็นแก่ตัวขึ้นมาอีกนิด


“งั้นก็ขอให้ตามต่อไป แล้วอย่าได้เปลี่ยนใจด้วย”  คำขู่ที่ออกมาจากเสียงทุ้มนุ่มนั้นทำให้คนฟังยิ้มออกมา ย่อมเป็นเช่นนั้น ศศินั้นคงมั่นไม่ต่าง และหากได้ชื่อว่าปักใจแล้วย่อมถอนไม่ออก เอาช้างมาฉุดก็ไม่ลุกไปไหนเหมือนกัน


คนทั้งสองหันไปมองท้องฟ้าสีส้มยามอัสดง ไม่ว่าจะตอนไหน ห่างไกลกันเพียงใด ตัวตนของอีกคนก็ไม่เคยห่างไกลไปจากหัวใจเลย เพียงมองฟ้าเท่านั้นก็รู้สึกได้ถึงอีกฝ่าย นั่นคงเพราะรักลึกซึ้งที่เรามีให้กันและกันจนกระทั่งวันนี้ และเห็นที…ว่ามันจะมีคำว่าตลอดไปต่อท้าย


“ข้าชอบพระอาทิตย์ยามนี้นัก”  ทรงตรัสออกมา


“เพราะชื่อของท่านคืออาทิตย์หรือไร”


“หาใช่ไม่”


“แล้วเหตุใดกันเล่า”


“เพราะยามอาทิตย์จะลับฟ้า ดวงจันทราจะส่องแสงเช่นในยามนี้อย่างไร”


“ข้าไม่เข้าใจ”


“เด็กโง่”  ช่างไม่เข้าใจความหวานหอมหรือความสุนทรีย์เอาเสียเลย  “พระอาทิตย์กับพระจันทร์นั้นต่างก็ทำหน้าที่ต่างเวลา ไม่มีวันได้พานพบ บางทีในช่วงเวลาเพียงเสี้ยวนาทีที่อาทิตย์ลับลงและพระจันทร์ฉายขึ้น พวกเขาอาจจะได้พบเจออีกฝ่ายก็เป็นได้”


“ท่านก็พูดไปเรื่อย”


“ข้าเคยหมายปองบางสิ่งที่ใหญ่ระดับพระจันทร์ เคยคิดว่ามันคงเหมือนผลไม้ที่สามารถเด็ดมาวางไว้บนหัวนอนได้ แต่พระจันทร์ไม่เป็นของใครเจ้าก็รู้ใช่ไหม”


“…”


“ตัวข้า…อาทิตย์นั้นไร้สิทธิ์ที่จะเอื้อมคว้าพระจันทร์บนฟ้า แต่นั่นอาจจะเป็นชะตาที่ลิขิตไว้แล้วให้เอื้อมหาพระจันทร์ดวงนี้” ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่าพระองค์จะไม่สามารถเอื้อมหาความยิ่งใหญ่อันงดงามที่ไม่อาจจะเป็นของใคร


เพียงเพื่อมาโอบกอดพระจันทร์ที่มีตัวตนอยู่ข้างกายตรงนี้


“พระจันทร์ดวงนี้ก็ไม่อาจจะไล่ตามอาทิตย์ดวงนั้นได้เหมือนกัน”  ศศิเอ่ย  “แต่ข้าช่างโชคดี มีพี่อาทิตย์ตรงนี้”  ในโลกที่ไม่เคยมืดมนของศศิ ไม่นึกเลยว่ามันยังต้องการแสงสว่างอื่นๆมาเติมเต็ม กาลเวลานั้นพิสูจน์แล้ว


ว่ายิ่งใกล้ชิด ยิ่งห่างกันไม่ได้


หลังจากงานอภิเษกขององค์รัชทายาทกับคนรัก…ไม่นานจากนั้น องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราก็ลงจากราชบัลลังก์ นี่คงเป็นความเห็นแก่ตัวที่ทรงรู้สึกผิดน้อยที่สุด แม้จะถูกคัดค้านอยู่บ้าง แต่หลายคนก็เห็นพร้อมกันว่าองค์รัชทายาทนั้นพร้อมแล้วที่จะขึ้นบัลลังก์แทน องค์ชายอคิราห์ได้ขึ้นมาเป็นองค์เหนือหัวโดยมียอดรักเพียงหนึ่งเคียงข้าง…องค์ราชินีศศพินทุ์


ทั้งสองนั้นได้ร่วมกันปกครองดินแดนโดยมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตและการทูตระหว่างดินแดนก็รุดหน้า อนึ่งองค์รัชทายาทคนปัจจุบันหรือองค์ชายนภฉายนั้นยังเด็กอยู่มาก แต่ยิ่งโต ก็ยิ่งฉายแววความแกล้วกล้าเหมือนคนพ่อทว่ายังคงความอ่อนโยนไม่ต่างจากคนแม่ ครอบครัวเล็กๆของกษัตริย์แห่งสิหราชนครานั้นเป็นที่รักของปวงชน และได้รับการสรรเสริญไปทั่วหล้า


จากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรจนกระทั่งความรู้สึกล้นใจนี้ คู่รักอาทิตย์พระจันทร์ได้พบพานอะไรมามากในช่วงเวลาไม่สั้นไม่ยาว ผ่านมาสิบยี่สิบปี คนรู้ใจคือคนรู้ใจ และจะเป็นเช่นนั้นเหมือนที่ลั่นวาจาไว้ แม้ในความเป็นจริงไม่มีคำว่าตลอดไปก็ตาม


หลายยุคหลายสมัยได้ผลัดเปลี่ยน เรื่องราวความรักขององค์รัชทายาทหนุ่มกับท่านหมอน้อยถูกบอกกล่าวเล่าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จุดประกายความหวังให้ผู้คนได้เชื่อมั่นว่าถ้าหากรักจริงย่อมฝ่าฟันไปได้


เมื่อองค์ชายนภฉายมีพระชนมายุได้ 30 ปี พระบิดาและมารดาก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยภาระมากมาย โดยพระองค์ก็น้อมรับตำแหน่งองค์เหนือหัวองค์ต่อไปแต่โดยดี และมีทั้งสองพระองค์เคียงข้างกันเป็นผู้ให้คำปรึกษาและใช้ชีวิตอย่างสงบจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต


หากอาทิตย์และดวงจันทร์ไม่มีวันบรรจบกันได้
แล้วยามใดกันเล่า? ที่เราจะได้รักกัน
แม้คำตอบไม่อาจเป็นนิรันดร์ แต่เรารู้กัน ว่ารักนั้น..
จะเคียงฟ้า ตราบอาทิตย์และจันทราที่ไม่มีวันดับสลาย



-----END-----



TALK
วันนี้มาเร็วมากเฟร่อออออออ อยากให้คนอ่านได้อ่านกันเร็วๆ
วันนี้ตอนจบแล้ว ปรบมือออออออออออออออ
ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเมนท์นะคะ ต่อไปเราคงหายหัวไปสร้างเรื่องใหม่ๆมาลง
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องใหม่ๆที่จะเขียนจากนี้นะคะ
ติดตามกันได้เลยที่
FACEBOOK : skyloverstories
TWITTER : @reallyuri

หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-01-2019 20:09:36
เอ็นดูคนหลงลูกหลงเมียจริงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 30-01-2019 21:14:51
จากนี้ไป คงได้แต่คิดถึงเจ้าแสบในวัยเยาว์

นภฉายก็เป็นที่น่าเอ็นดูสำหรับเราเหมือนกัน
ถ้าว่างๆ พาเจ้าแสบมาวิ่งเล่นเป็นตอนพิเศษให้อ่านบ้าง ก็จะดีไม่ใช่น้อย 555

ขอบคุณ ที่เขียนงานดีๆมาให้อ่านกัน ^^
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-01-2019 23:17:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-01-2019 23:42:06
คนหลงเมียและลูกตลอดปัย  :katai2-1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-01-2019 03:02:33
เป็นครอบครัวที่น่ารักมากจริงๆ อยากอ่านตอนพิเศษของเจ้าฉายวัยกำลังซนจังเลยค่ะ คงจะป่วนวังน่าดู
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 31-01-2019 06:52:10
ขอบคุณมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: night2 ที่ 31-01-2019 13:05:14
จบแล้ว ขอบคุณมากเลย
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 31-01-2019 20:44:28
สรุปพี่ทิตย์ของเราได้ลูกสมุนมาเพิ่มไหมน้าาาอยากอ่านตอนพิเศษเลยนะเนี่ยยยยปามาค่ะปามาาา 5555555
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 03-02-2019 08:19:29
ขอบคุณมากนะคะ ชอบความน่ารักและทะเล้นของศศิ
และปลื้มความเป็นคนรักและเสด็จพ่อของอาทิตย์

ได้มาบรรจบ พบรัก และได้รักกันสมกับที่รอคอยมาแสนนาน
ศศิน่ารักมากค่ะ ชอบความอ้อนลูกอ้อนพี่
ชอบตอนคิดถึงความทะเล้นของเจ้าฉาย
ศศิก็เด็ดขาดเป็นเหมือนกันนะพี่อาทิตย์
อย่าเกเรเชียวนะ ไม่งั้นศศิจะร้าย

อาทิตย์คือความอบอุ่นของจริงค่ะ รักแม่รักลูก
ชอบความนัวเนีย ชอบความเปิดตัวและเปิดเผย

ศศิกับเจ้าฉายก็เป็นที่รักของปู่ย่า ของประชาชน ดีงามไปหมด
เพราะความตั้งใจ ความดีที่ทำมา ไม่ต้องทำไรมาก คนก็เห็น

ขอบคุณมากนะคะ เรื่องราวน่ารักมากค่ะ และน่าติดตามตลอด
อย่างที่บอก ชอบความคิดของศศิตอนที่ศศิคิดนั่นนี่
เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ จะมีตอนพิเศษไหมน้า ยังไงก็อยากอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-02-2019 21:29:55


ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

อ่านเพลิน เกินห้ามใจ

หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-02-2019 13:18:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-02-2019 02:07:13
คฤหาสน์ปิติชาญ ของอชิระ อยู่ที่เมืองชายแดนของสีหราชนครา ไม่ใช่อยู่ที่เมืองหลวงตามในตอนที่ 28 นะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 14-07-2019 21:55:29
ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Faiia ที่ 15-07-2019 23:14:41
สนุกมากๆคะ 

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Mushroom_mus ที่ 17-07-2019 02:43:26
ขอบคุณ​ไรท์ที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ ชอบเนื้อเรื่องมากๆ โดยเฉพาะเจ้าแสบ น่าเอ็นดูมาก น้องศศิก็อยากปั้นเป็นก้อนกลมแล้วกลืนลงไปน่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 17-08-2019 22:10:29
สนุกดีค่ะ หน่วงๆบ้าง
แต่โดยรวมคือสนุกเลย
อยากอ่านตอนพิเศษเพิ่มจังเลย
อยากรู้ว่าคู่ของอชิระกับหมอจะมีลูกด้วยกันไหม
อยากอ่านของคู่นี้มากๆเลย
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 21-08-2019 23:02:05
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 25-08-2019 00:07:37
 :pig2: :call: :pig4: :ling3: :mew1: :mew1: :mew6:
หัวข้อ: Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 12:01:52
 :pig4: