พิมพ์หน้านี้ - - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: PromQueen29 ที่ 06-10-2018 21:50:36

หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 06-10-2018 21:50:36
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง - คนแปลกหน้า 06-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 06-10-2018 22:10:33
เขาเพียงแค่ต้องการยืดช่วงเวลาของชีวิตออกไปให้นานตราบชั่วนิจนิรันดร์
แต่ดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลกแห่งนี้ไม่สามารถให้เวลานั้นได้
และเขาก็ไม่ประสงค์อยู่บน ‘โลก’ อีกต่อไปเช่นกัน


- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3896859#msg3896859)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3897095#msg3897095)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สาม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3897180#msg3897180)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3897208#msg3897208)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่ห้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3897495#msg3897495)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3897529#msg3897529)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่เจ็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3897946#msg3897946)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3898132#msg3898132)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่เก้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3899299#msg3899299)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3900582#msg3900582)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3902537#msg3902537)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3907487#msg3907487)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3910464#msg3910464)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3914783#msg3914783)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.msg3918804#msg3918804)

************************************


ตอนที่หนึ่ง





วันที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจพิรัลไม่แปลกใจเลยสักนิด เขารู้ตัวมาได้สักระยะหนึ่งแล้วเพียงแต่ยังไม่แน่ใจนัก ในความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความแปลกใหม่บนโลกใบนี้เลย เกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดาบนดวงดาวที่เรียกว่า ‘โลก’

แม่ของพิรัลไม่สดใสและมีท่าทีซึมเศร้าลง แต่เธอก็พยายามเป็นกำลังใจให้ลูกด้วยดวงตาที่ส่อแววเข้มแข็งและคำพูดปลอบประโลมอ่อนโยน พ่อของพิรัลก็เช่นเขาเข้มแข็งหากไม่แสดงออกทางคำพูดมากนัก พวกเขาคุยเปิดใจกันอย่างสม่ำเสมอถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเห็นตรงกันนั่นคือการบอกให้พิรัลยอมรับความเป็นจริงและมองว่านี่มันเป็นวัฏจักรอันน่าสลดเศร้า

พิรัลไม่ต้องการธรรมมะ ไม่ต้องการพระเจ้า ไม่ต้องการเข้าวัดเพื่อทำบุญทำทาน พิรัลไม่ฝักใฝ่ศาสนาใดบนโลกใบนี้ นามธรรมเหล่านั้นไม่อาจช่วยขัดเกลาจิตและไม่อาจรักษาใจของเขาได้ พิรัลไม่ลบหลู่ความเชื่อของใครแต่ก็ไม่มีความศรัทธาในสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน ‘อย่าบังคับให้ผมพนมมือไหว้พระเพื่อขอพรเลย’ พิรัลเคยบอกแม่กับพ่อแบบนั้น ความตกใจที่ฉาบบนสีหน้าพิรัลรู้ทันทีว่าพวกเขามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จากนั้นก็ไม่มีใครพูดสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย

หมอแจ้งเกี่ยวกับระยะเวลาและขั้นตอนการรักษาพอสังเขป พิรัลไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะได้ยินแต่ไม่ได้รับฟัง ในหูของเขากำลังได้ยินเสียงเพลงเพลงหนึ่งที่เขาไม่รู้ชื่อของมัน แต่ท่วงทำนองกำลังขับกล่อมให้สมาธิหลุดออกไปจากโลกตรงหน้านี้ พิรัลได้กลิ่นบางอย่างจากธรรมชาติแทนที่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาล มันกล่อมเกลาห้วงความคิดให้เตลิดเปิดโปง

พิรัลมารู้ทีหลังว่าต้องเข้ารับการรักษาตามวันนัด เขาเห็นตรงกันข้ามกับหมอในเรื่องที่เธอแจ้งว่าพิรัลจะหายดี เขาปลดปลงในอาการป่วย ไม่อยากรับการรักษา แต่พิรัลยังไม่อยากตาย ยังไม่ใช่เวลานี้ พิรัลแค่อยากใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆเหมือนปกติและทำเหมือนหัวใจที่เหนื่อยหนักอยู่นี้ไม่มีตัวตน แสร้งทำเป็นว่าตัวเองแข็งแรงดี มากกว่านั้นพิรัลไม่ต้องการกำลังใจจากใคร เขาต้องการแค่เวลาที่ยืดยาวออกไปอีกเพียงหนึ่งวันก็ยังดี

“เจตน์ไปคนเดียวได้ครับแม่”

“เดี๋ยวเกิดเจตน์อาการกำเริบใครจะดูแล ไม่มีเพื่อนไปด้วยจริงๆเหรอลูก”

“เจตน์ไม่ได้เป็นอะไรนี่ เจตน์แค่ไปเที่ยวเฉยๆ”

พิรัลได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากปลายสาย แม่คงจะหนักใจที่เขากำลังเดินทางเที่ยวอย่างใจต้องการโดยไม่สนใจกับโรคที่รุมเร้าในทรวงอก “แล้วจะกลับวันไหน”

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว ไปสามวันเองครับ”

เขาร่ำลากับแม่อีกสองสามประโยคก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือและตั้งใจที่จะไม่เปิดมันอีกในช่วงที่ตะลอนเที่ยวสามวัน พิรัลลางานเพียงแค่สามวันสำหรับการเที่ยวครั้งนี้แต่เขาเพิ่งจะบอกแม่ก่อนเดินทางเพียงหนึ่งวัน จึงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่หากแม่จะเป็นห่วงเป็นใย จุดหมายคือทะเลทางใต้ เขาได้ยินเสียงจากผู้คนรอบกาย เห็นภาพของพนักงานต้อนรับผู้หญิงที่ทาปากสีแดงสดสวย เขาหลับตาลง ช่วงเวลานั้นประสาทการรับรู้แทนที่ด้วยเสียงคลื่นทะเลซัดเข้าหาดทราย และภาพท้องทะเลสีครามใสแจ๋ว เรือยอร์ชลำเล็กสีขาวลอยละล่องอยู่บนผืนน้ำ เขาอยู่บนเรือลำนั้นและไม่สนใจผู้ใดบนโลกใบนี้อีก

เปลือกตาของเขาเปิดขึ้นหลังจากสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ล้อของเครื่องบินกระทบกับพื้นถนนลานจอดไม่นุ่มนวลนัก ผู้โดยสารส่งเสียงตกใจเล็กน้อยแต่ไม่เกินกว่าเหตุ พลันหลังจากนั้นเสียงประกาศต่างๆจากนักบินก็ดังขึ้น

นิพัทธ์ลูบหน้าตัวเองให้ส่างจากอาการงัวเงียเพราะหลับมาตลอดการเดินทาง เขามองไปด้านข้างนอกกระจกและพบเห็นว่าตอนนี้เครื่องบินกำลังถูกนำเข้าจอด ด้านข้างที่ติดหน้าต่างของเขาเป็นผู้ชายที่ยังคงหลับสนิทหากแต่นิพัทธ์ไม่ได้สนใจ ส่วนตรงกลางมันเป็นของผู้โดยสารที่ไม่มาขึ้นเครื่องบินเที่ยวนี้ นิพัทธ์ปลดเข็มขัดออกหลังจากเครื่องบินจอดสนิท เขาอาสาหยิบกระเป๋าเดินทางให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนจะหยิบสัมภาระของตัวเองและนั่งลงเพื่อรอให้ผู้โดยสารคนอื่นเดินออกไปก่อน

ในเครื่องบินนั้นค่อนข้างวุ่นวายกับการหยิบสัมภาระของตัวเองอยู่พอควร นิพัทธ์นึกรำคาญคนเหล่านั้นหากแต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างยังคงพิงศีรษะอยู่ที่กระจกและไม่มีท่าทีตื่นขึ้น นิพัทธ์ลังเลว่าจะปลุกให้เขาตื่นหรือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานต้อนรับสาวสวยเหล่านั้นดี

“พ่อหนุ่มนั่นดูหลับลึกนะ”

นิพัทธ์หันไปมองต้นเสียง เธอเป็นหญิงสูงอายุที่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าชัดเจน ดวงตาของเธอมองไปที่ผู้ชายคนนั้น

“ปลุกเขาหน่อยเถอะ” เธอว่าอย่างนั้นก่อนจะเดินออกไปตามกระแสผู้โดยสารคนอื่นและไม่ได้สนใจนิพัทธ์อีก

นิพัทธ์เหลือบมองและตัดสินใจปลุกผู้ชายคนนั้น “คุณครับ เครื่องแลนด์ดิ้งแล้วครับ”

อีกฝ่ายหนึ่งขยับตัวลืมตาขึ้นแต่ท่าทางจะยังงัวเงียนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนั้นตื่นแล้วนิพัทธ์จึงลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำขอบคุณ เขาไม่ต้องการสิ่งใดจากชายคนนั้นเพียงแต่ตอนนี้เขาต้องรีบออกไปขึ้นเรือตามเวลานัดหมาย

“ขอบคุณนะครับ”

น่าเสียดายอยู่สักหน่อยที่ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ฟัง พิรัลมองเห็นเพียงแค่แผ่นหลังในเสื้อยืดสีขาวเดินสะพายกระเป๋าออกไปอย่างว่องไว ผู้โดยสารจากท้ายเครื่องทยอยออกไปจนจะหมด พิรัลจึงลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองและเดินออกไปจากเครื่องบินบ้าง

ทะเลใต้ที่เขาเฝ้าฝันไว้กำลังรออยู่เบื้องหน้านี้แล้ว


พิรัลถอนหายใจยาวหลังจากเห็นจักรยานที่ติดต่อเช่าไว้กับโฮสเทล ที่ถอนหายใจไม่ใช่เพราะว่ายานพาหนะดูเก่าซอมซ่อเพียงแต่เขากำลังครุ่นคิดว่าตัวเองจะขับมันไปได้ไกลสักแค่ไหน

หลายนาทีก่อนหน้านี้พิรัลเดินทางเข้าสู่ที่พักด้วยรถรับจ้างราคาขูดรีดขูดเนื้อ เขาจองโฮสเทลเล็กๆไว้สำหรับการพักผ่อนสองคืน มันไม่ใช่ที่พักหรูหราแต่ตกแต่งสวยงามและดูสะอาดสะอ้าน เจ้าหน้าที่ต้อนรับแจ้งว่าห้องที่เขาพักนี้ยังไม่มีคนอื่นร่วมเข้าพักด้วย พิรัลถือว่าเป็นโชคร้ายอยู่สักหน่อยที่พลาดโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนหน้าใหม่ มันเป็นเหตุผลที่เขาพักโฮสเทลแทนที่จะเป็นโรงแรมที่มีห้องพักเป็นสัดส่วนและมีความเป็นส่วนตัว เขามาที่นี่เพื่อสร้างเพื่อน คาดหวังว่าจะได้เห็นมุมมองใหม่ๆจากคนต่างชาติต่างภาษา เขาชอบที่จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวจากทั่วทุกมุมโลกมันทำให้เขาตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด ถึงแม้ในคืนนี้อาจจะต้องนอนคนเดียวแต่พิรัลก็ยังคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่วอคอินเข้ามาพักในห้องเดียวกัน

ล้อของรถจักรยานค่อยๆหมุนไปตามกลไก เสียงล้อบดถนนดังเป็นเพื่อนพิรัลไปตลอดเส้นทางที่ไร้จุดหมาย แต่เพียงหนึ่งกิโลเมตรแรกพิรัลก็รู้สึกเหนื่อยมากกว่าคนปกติทั่วไป เขาหยุดพักอยู่ที่ร้านกาแฟขนาดเล็กในตัวเมือง ไม่ได้สั่งกาแฟแต่สั่งน้ำผลไม้มาแทน เขาเอ่ยขอพนักงานเพื่อถ่ายรูปภายในร้าน กล้องแบบมืออาชีพถูกยกขึ้นเพื่อเก็บภาพตามมุมต่างๆครั้งแล้วครั้งเล่าทว่าไม่ใช่เพราะพิรัลพิศวาสการถ่ายรูป หากเป็นเพราะการถ่ายรูปทำให้พิรัลมีกิจกรรมทำในระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวคนเดียว และอีกอย่างการถ่ายรูปมันทำให้พิรัลไม่ถูกสงสัยมากนักในช่วงที่จดจ้องผู้คนซึ่งกำลังใช้ชีวิตไปตามปกติ อาจจะดูแปลกอยู่สักหน่อยที่พิรัลชอบมองวิถีชีวิตของผู้คนที่กำลังดำเนินไปอย่างรีบเร่ง เขารู้สึกเสมอว่าคนเหล่านั้นใช้ชีวิตกันเร็วกันเกินไป รีบคุย รีบกินข้าว รีบเดิน ทุกอย่างมันดูไวว่องไปหมด พิรัลต้องการความเนิบช้า ไม่รีบเร่ง มันทำให้เขารู้สึกไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป

พิรัลขออนุญาตถ่ายรูปหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่นั่งล้อมวงอยู่ประมาณห้าหกคน พวกเธอหยอกล้อพิรัลว่าจะเข้ามาจีบใครในกลุ่มเพื่อนไปตามประสา พิรัลหัวเราะและยิ้มให้แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาถ่ายรูปพวกเธอและถ่ายรูปอาหารเครื่องดื่มบนโต๊ะ จากนั้นก็พูดคุยกับหญิงสาวกลุ่มนั้นอีกสองสามประโยคก่อนจะเปลี่ยนไปถ่ายรูปภายในร้านในมุมอื่น เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูดังขึ้น เขาไม่ทันเห็นหน้าของคนที่เดินเข้ามาเพราะมัวแต่ถ่ายรูปชั้นวางเค้ก เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเห็นแผ่นหลังที่อยู่ในเสื้อยืดสีขาวกำลังยืนสั่งเครื่องดื่มอยู่ที่เค้าท์เตอร์ พิรัลคุ้นแผ่นหลังของชายหนุ่มคนนั้นและได้เก็บภาพเบื้องหลังรูปนี้เอาไว้ในกล้องเป็นที่เรียบร้อย

น้ำผลไม้ที่ซื้อไว้ละลายจนเห็นเลเยอร์ระหว่างเนื้อผลไม้และน้ำแข็งที่ละลายลอยอยู่ด้านบน พิรัลทิ้งน้ำที่เหลือกว่าค่อนแก้วลงถังขยะสักแห่งหลังจากขับจักรยานออกมาจากร้านกาแฟแห่งนั้น เขาแวะกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านในตึกแถวที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากราคาที่สูงลิบราวกับใช้ชีวิตอยู่ในยุโรป เขาขับจักยานกลับที่พักเพื่อรอรถตู้จากทัวร์ที่ซื้อไว้ในงานท่องเที่ยวไทย พิรัลไม่คาดหวังอะไรมากนักเขาแค่ซื้อทัวร์เพื่อพบเจอลูกทัวร์คนอื่นๆ ส่วนเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าทัวร์ตามแต่เขาจะพาไป

หัวหน้าทัวร์ที่พากรุ๊ปทัวร์ไซส์เล็กหกคนไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆชื่อคุณเนย เธอเป็นสาววัยประมาณสี่สิบมีใบหน้าใสซื่อและเสียงดังร่าเริงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง คณะลูกทัวร์ต่างถูกเชื้อเชิญให้แนะนำตัวเองโดยหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นลูกทัวร์ที่มาจากกรุงเทพทั้งนั้น คุณเนยพูดถึงสถานที่ที่เรากำลังจะไปกันแต่รถตู้คันที่เราโดยสารอยู่นี้ก็ยังไม่ออกรถเสียที จนอีกพักหนึ่งประตูรถตู้ก็ถูกเปิดออก พิรัลเห็นผู้ชายในเสื้อสีขาวเหงื่อพราวเกาะใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยถามว่านี่คือทัวร์ของบริษัทแห่งหนึ่งหรือเปล่า คุณเนยตอบรับด้วยเสียงดังฟังชัดและแจ้งให้ลูกทัวร์คนอื่นฟังว่าเธอกำลังรอลูกทัวร์คนสุดท้ายคนนี้อยู่ เขาเลือกที่จะนั่งอยู่ด้านหน้าทำให้พิรัลมองเห็นแผ่นหลังชัดเจน และพิรัลก็มั่นใจว่าชายหนุ่มคนนั้นคือคนเดียวกับที่เจอในร้านกาแฟ

รถตู้ขับออกมาหลายกิโลเมตรแล้วแต่พิรัลก็ไม่เห็นวี่แววว่าคุณเนยหัวหน้าทัวร์จะพลังลดน้อยลง เธออธิบายถึงที่มาที่ไปของน้ำตกร้อนแห่งนี้ในจังหวัดกระบี่ ทั้งอุณภูมิของน้ำ ส่วนไหนที่ควรไปหย่อนตัวลงแช่น้ำและส่วนไหนสวยสุด พิรัลไม่ได้สนใจฟังมากนักเพราะมัวแต่ดูรูปในกล้องถ่ายรูป เงยหน้าขึ้นมาบางครั้งบางคราวเพื่อดูสถานการณ์โดยทั่วไปแล้วก็ก้มหน้าลงรูปต่ออีก

ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึงน้ำตกร้อนแห่งนี้ คุณเนยทวนกำหนดการอีกครั้งโดยย่อและซักถามลูกทัวร์ว่าอีกนิดหน่อยเพื่อให้เข้าใจตรงกัน จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าเข้าสู่เขตน้ำตกร้อน พิรัลเดินอยู่กลางคณะก่อนจะถูกรั้งท้ายเพราะหยุดถ่ายรูปในบางจุด ในบริเวณของน้ำตกร้อนนั้นมีต้นไม้ใบเขียวและห้อมล้อมด้วยเสียงน้ำตลอดเวลา พิรัลเชยชมธรรมชาติเหล่านั้นผ่านทางเลนส์กล้องถ่ายรูปสลับกับจดจ้องธรรมชาติด้วยสายตาของตนเอง กว่าจะเดินถึงจุดที่เป็นน้ำตกร้อนจริงๆก็เล่นเอาพิรัลเหนื่อยเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่น่าเป็นห่วง เขาไม่ได้แจ้งบริษัททัวร์ว่ามีโรคประจำตัวเพราะไม่ชอบถูกปฏิบัติผิดแปลกไปจากคนอื่น แต่กระนั้นพิรัลก็ยังทำตัวเป็นปกติและไม่มีอะไรให้น่าสงสัย

“คุณเหนื่อยมั้ย”

เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอยู่ที่ด้านหลังของพิรัล เขาไม่แน่ใจว่าตนเองถูกชวนคุยจึงหยุดถ่ายรูปและหันไปตามเสียง

“ผมว่าจะนั่งพักตรงนี้สักหน่อย ผมเหนื่อย” เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มเสื้อยืดสีขาวคนนั้น แม้ว่าจะเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจคุยกับพิรัลมากนัก เขานั่งลงบนโขดหินที่แห้งสนิทและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเล่น

พิรัลไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ที่เห็นคนติดเล่นโทรศัพท์มือถือทั้งที่ออกมาเที่ยวชมธรรมชาติ แต่หากจะพูดออกไปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าไปสอดรู้ได้

“ผมถ่ายรูปคุณได้มั้ย” เขาลองยื่นข้อเสนอเพื่อดึงความสนใจไปจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือโง่เง่านั่น และมันก็ได้ผลเมื่อชายหนุ่มเสื้อสีขาวเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าชัดแจ้งแบบนี้พิรัลมองเห็นแก้มของอีกฝ่ายที่แดงระเรื่อเพราะเป็นคนผิวขาวมากคนหนึ่ง พิรัลจัดแจงให้ชายหนุ่มคนนั้นขยับท่าทางอีกเล็กน้อยก่อนจะตั้งกล้องอยู่ในระดับสายตา มองภาพผ่านเลนส์และเก็บบันทึกภาพไว้ “คุณมาเที่ยวกี่วัน”

“สามวันครับ ลางานได้ไม่นาน”

พิรัลถ่ายรูปของอีกฝ่ายไว้อีกหลายรูปก่อนจะหยุดมือเพื่อตรวจดูรูปสักหน่อย

“แล้วคุณมากี่วัน”

“สามวันเหมือนกันครับ” พิรัลตอบขณะที่เลื่อนดูรูปในกล้องไปเรื่อยๆ ภาพของชายหนุ่มเสื้อขาวดูเข้าท่าดีอยู่หรอกแต่ก็ยังต้องใช้โปรแกรมเพื่อลบคนอื่นที่ติดมาในภาพออกและเมื่อภาพมันไม่สมบูรณ์พิรัลจึงไม่ได้ชักชวนให้อีกฝ่ายดูรูป

นิพัทธ์นึกแปลกใจที่ตากล้องคนนี้ไม่ได้ชวนดูรูปถ่าย แต่เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ยุ่มย่ามมากนักจึงปล่อยให้อีกฝ่ายยืนถ่ายรูปต่ออีก นิพัทธ์คิดจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นเพื่อรอแต่เขากลับหยุดชะงัก และเปลี่ยนใจมามองบรรยากาศรอบข้างแทน มันก็ไม่เชิงว่ามองบรรยากาศรอบข้างหรอกแต่นิพัทธ์กำลังมองผู้ชายที่ถือกล้องคนนี้อยู่ต่างหาก นิพัทธ์ไม่แน่ใจนักว่าอะไรที่ทำให้เขาเริ่มต้นบทสนทนากับผู้ชายคนนี้ แต่เมื่อได้เริ่มต้นไปแล้วนิพัทธ์คิดว่าชวนเขาคนนี้มาเป็นเพื่อนร่วมทางในระหว่างที่อยู่กระบี่ก็น่าจะเป็นเรื่องไม่เลว

“ผมจะไปฝั่งนู้น ไปด้วยกันมั้ยครับ”

เขาเอ่ยขึ้นและเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า นิพัทธ์สบมองดวงตาอีกฝ่ายก่อนจะเดินตามข้ามลำธารไปอีกฝากฝั่งหนึ่งของบริเวณน้ำตกร้อนโดยไม่ได้ตอบคำถามนั่นเลยสักคำ

ชายคนนั้นเดินอย่างไม่รีบเร่งมันทำให้นิพัทธ์จำต้องชะลอระดับการก้าวขาของตัวเองลง นิพัทธ์ยืนมองชายคนนั้นถ่ายรูปอยู่กลางลำธาร มองสายน้ำที่ไหลผ่านน่องขาไป เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ กล้องแบบมืออาชีพที่อยู่ในอุ้งมือของชายคนนั้นดูเล็กลงเล็กน้อยกว่าปกติอย่างไร้เหตุผล เขาสวมเสื้อยืดสีเทาไร้ลวดลายแต่ขนาดตัวที่กำยำทำให้เสื้อยืดธรรมดาดูตึงแน่นขึ้นนิดหน่อย นิพัทธ์เริ่มคุ้นลักษณะท่าทางจนในที่สุดก็พบว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นคนเดียวกับที่อยู่บนเครื่องบิน เขาคิดได้อย่างนั้นแต่ไม่ได้สนใจจะบอกกล่าวอีกฝ่ายให้รับทราบ สิ่งที่นิพัทธ์สนใจไม่ใช่เรื่องที่เจอกันบนเครื่องบินแต่เป็นเนื้อหนังมังสาที่อยู่ภายใต้อาภรณ์เหล่านั้นมากกว่า หากแต่นิพัทธ์พยายามหันเหความสนใจไปทิศทางอื่น และซ่อนเร้นความรู้สึกในห้วงลึกนั้นไว้

ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะกลับมายังจุดนัดหมาย พวกเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากไปกว่าสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้และอาหารกล่องที่ได้กิน รถตู้ขับเคลื่อนไปยังสถานที่ต่อไปที่เรียกว่าท่าปอมคลองสองน้ำซึ่งคุณเนยก็ได้อธิบายว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งศึกษาเชิงนิเวศวิทยาเพื่อการเรียนรู้ ในระหว่างที่คุณเนยและลูกทัวร์คนอื่นเดินอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มสองคนที่เพิ่งรู้จักกันก็เดินรั้งท้ายอยู่ที่ด้านหลัง ท้องฟ้าแจ่มใส บรรยากาศโดยรอบยังคงห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใบเขียวนานาพันธุ์ เสียงบรรยายจากคุณเนยไขกระจ่างในพันธุ์ของต้นไม้เหล่านั้น นิพัทธ์ไม่ได้สนใจเสียงคุณเนยมากนักนอกเสียจากเสียงของการกดชัทเตอร์จากผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างนี้ เขาดูในอนาทรร้อนใจกับชะโงกทัวร์แต่กลับยืนเล็งถ่ายรูปตามมุมต่างๆนานสองนาน นิพัทธ์ไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องเดินรั้งท้ายอยู่กับผู้ชายคนนี้ทั้งที่ลูกทัวร์คนอื่นเดินไปไกลที่ด้านหน้านู่นแล้ว ไม่มีใครรั้งไว้แต่นิพัทธ์ก็ยังเดินตามผู้ชายคนนั้นไปอย่างเงียบๆและถูกถ่ายรูปบ้างเป็นครั้งคราว

“ผมเดินช้า คุณจะเดินไปก่อนก็ได้นะครับ”

นิพัทธ์ไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่มองอีกฝ่ายที่ยกกล้องขึ้นเพื่อเก็บภาพแอ่งน้ำที่เป็นสีฟ้าขุ่น

พิรัลกังวลเล็กน้อยที่เพื่อนหน้าใหม่คนนี้ต้องหยุดรอให้เขาถ่ายรูป จึงได้เสนอแนวทางอื่นไปเพื่อไม่ให้รู้สึกเกรงอกเกรงใจกัน ฝ่ายนั้นไม่ตอบแต่ก็ไม่ได้หนีหายไปไหนพิรัลจึงอนุมานเอาเองว่าเขาคงจะพอที่ร่วมทางไปด้วยกัน พิรัลมองเห็นน้ำสีฟ้าขุ่นปะปนกับน้ำสีใส เห็นพืชพันธุ์ต้นไม้และปลาที่ว่ายวนอยู่ใต้ผืนน้ำอย่างชัดเจน แต่เบื้องหน้าที่รออยู่นี้กลับสวยมากกว่าพิรัลจึงชักชวนให้เพื่อนหน้าใหม่ออกเดินทางต่อ

เสียงผู้คนบางเบาลงแต่เสียงน้ำไหลเอื่อยตามธรรมชาติกลับทดแทนเข้ามา พิรัลนั่งลงบนรากไม้ขนาดใหญ่ยาวโดยมีชายคนนั้นตามลงมานั่งข้าง พวกเขามองดูสายน้ำสีประหลาดที่ไม่ได้สวยเหมือนในรูปถ่ายด้วยความเงียบงัน มีเสียงน้ำไหลและแมลงร้องไปตามเรื่องราวแต่แล้วมันก็เงียบลงอย่างน่าประหลาด พิรัลมองไปสุดสายตาที่ต้นสายของแหล่งน้ำซึ่งอยู่ลิบลับนั่นก่อนจะชำเลืองมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขากำลังแกว่งปลายนิ้วบนผืนน้ำให้กระจายเป็นวงกว้าง ผิวเท้าของเขาขาวและดูสะอาดสะอ้านดี พิรัลนึกอยากลองเอาเท้าของตัวเองสัมผัสที่ใต้ฝ่าเท้านั่นสักครั้งแต่ก็ยับยั้งความคิดนั่นไว้เพียงลำพัง

แสงสะท้อนจากอาทิตย์วูบไหวไปตามระลอกน้ำ มันลอยละล่องสาดแสงเข้าที่ใบหน้าของชายหนุ่มผิวขาวจนแสบตาและต้องหยีตาลง หากแต่ดวงตาของพิรัลที่ยังชำเลืองลอบมองอยู่ที่คนด้านข้างไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก ตะวันคล้อยลงแล้วทำให้พิรัลรู้ตัวว่าวันอีกวันหนึ่งกำลังผ่านพ้นไป มันรวดเร็วจนพิรัลร้อนรนใจและเขาหาคำตอบในเรื่องนั้นไม่ได้

“คืนนี้ผมจะไปเดินที่ตลาดโต้รุ่ง” พิรัลเอ่ยเพียงแค่นั้นและหยุดชะงักไปเมื่อมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์อยู่ในนั้น ดวงตาที่ดูใสแจ๋วกำลังรอคอยประโยคถัดไปแต่พิรัลก็ยังคงเงียบ

“ผมก็ว่าจะไปหาอะไรกินที่นั่นเหมือนกัน”

นิพัทธ์เอ่ยเช่นนั้น ค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งเขาและชายหนุ่มด้านข้างรู้ว่ามันหมายถึงอะไร





“ไหวมั้ยพี่ ผมสูบลมให้ก็ได้นะ”

พิรัลปาดเหงื่อที่ข้างขมับก่อนจะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ตัวผอมแห้งผิวคล้ำที่อยู่ตรงหน้า เขาเป็นหนึ่งในคนที่ทำงานในโฮสเทลแห่งนี้และกำลังยื่นข้อเสนอให้พิรัลไม่ต้องเหนื่อยมาก “ไหว เดี๋ยวผมทำเอง”

“โอเค งั้นฝากพี่ลากที่สูบไปเก็บไว้หลังเค้าท์เตอร์ให้ด้วยนะ”

น้ำเสียงที่ติดสำเนียงแบบคนต่างจังหวัดกล่าวแล้วเดินหายไปอย่างว่องไว พิรัลมองถังเหล็กที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะลงมือสูบลมยางจักรยานต่อจนเสร็จ เขาเหนื่อยเล็กน้อยกว่าคนปกติทั่วไปนิดหน่อยแต่พิรัลไม่ได้สนใจ เขาลากที่สูบลมไปเก็บที่ด้านหลังเค้าท์เตอร์ตามที่น้องผู้ชายคนนั้นได้บอกไว้และปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปยังตลาดโต้รุ่งทันท่วงที

พิรัลไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือไม่ในตอนที่เห็นตลาดโต้รุ่ง เขาหันรีหันขวางมองหาที่จอดจักรยานแต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะจอดไว้ตรงไหนเพื่อไม่ให้โดนขโมย แต่กระนั้นกลับมีทั้งรถจักรยานและจักรยานยนต์จอดเรียงรายซ้อนแถวมั่วสั่วไปหมด สุดท้ายก็เลือกจอดไว้ที่ข้างต้นไม้ริมทางใกล้ตลาด เขาเดินอย่างเชื่องช้าไม่เร่งรีบและหยุดซื้อน้ำปั่นดื่มแก้กระหายแต่พบว่ามันหวานจากน้ำเชื่อมมากเสียจนแสบคอ พิรัลโยนน้ำแก้วนั้นทิ้งไปอย่างไม่ใยดีหลังจากเดินไปห่างออกมาจากร้านน้ำ

ในตลาดโต้รุ่งที่เดินอยู่นี้ก็เหมือนกับตลาดนัดโดยทั่วไปในกรุงเทพเพียงแต่มีอาหารทะเลเยอะกว่าก็เท่านั้น พิรัลแวะซื้อไก่ย่างจากร้านที่คนขายเป็นอิสลาม หยุดคุยกับเธอเล็กน้อยเมื่อโดนถามว่ารูปที่ถ่ายนี้จะเอาไปลงในเวปไซต์ใด พิรัลหัวเราะและบอกเธอว่าจะเอาไปลงในแอพพลิเคชั่นยอดนิยอมชนิดหนึ่ง เธอดูขัดเขินเมื่อพิรัลเปิดรูปให้ดู มันเป็นรูปของเธอกับลูกชายที่ยืนอยู่ด้านหลังแผงขายไก่ย่าง แสงสีในรูปเป็นธรรมชาติและพิรัลก็ไม่คิดจะแต่งภาพนี้เพราะพอใจกับผลลัพธ์แล้ว เธอบอกว่าเธอไม่ได้เล่นแอพพลิเคชั่นยอดนิยมนั่น บอกต่ออีกว่ารีทัชใต้ตาที่ดูคล้ำของเธอให้เสมอกับสีผิวด้วย พิรัลหัวเราะอีกครั้งเพราะความใสซื่อในแบบฉบับของคนต่างจังหวัด เขาบอกเธอว่าจะลงภาพสดแบบนี้และไม่เติมแต่งหรือลบสิ่งใดเพราะเขาชอบธรรมชาติของเธอ แม่ค้าวัยกลางคนหัวเราะเขินก่อนจะแถมตับไก่ย่างให้พิรัลอีกอย่างง่ายดาย

ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าชอบตนเองชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้าหลังจากฟังผลตรวจในครั้งนั้น มันเริ่มจากตอนที่เขาไปเดินออกกำลังกายในสวนสาธารณะและเจอสัตว์ตัวยาวกำลังเลื้อยขึ้นมาจากบึงน้ำเพื่อมาตากแดด คุณลุงที่ยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ตรงนั้นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางพิลึกพิลั่นของหนุ่มเยาว์วัย จากนั้นคุณลุงก็ชวนเด็กหนุ่มคุยเรื่องตัวเงินตัวทองที่อยู่ในสวนสาธารณะแห่งนั้น พิรัลที่ไม่ได้เป็นคนช่างพูดในตอนนั้นรู้สึกแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่เมื่อลองได้คุยอีกสองสามประโยคเขาก็ได้ฟังเรื่องราวอื่นๆจากคุณลุงอีกมากมาย พิรัลชอบฟังเรื่องราวของคนอื่น มันทำให้เขาลืมเรื่องของตัวเองไปชั่วในขณะนั้น

พิรัลเดินทอดน่องไม่อนาทรร้อนใจพร้อมกับกินอาหารย่างที่ซื้อมา เดินไปได้พักหนึ่งก็เห็นแผ่นหลังคุ้นตาในเสื้อยืดสีขาวยืนอยู่ที่ร้านเนื้อทอด เขาหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายด้านหลังของชายหนุ่มคนนั้นไว้ก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล ดวงตาของชายหนุ่มคนนั้นยังคงใสแจ๋วเป็นประกายจากหลอดไฟ พวกเขายิ้มให้แก่กันจากนั้นก็เดินเคียงไหล่อยู่ในตลาดนัดโต้รุ่ง หาของกินไปตามเรื่องตามราวและคุยเรื่องดินฟ้าลมอากาศ พิรัลมองอีกฝ่ายดื่มน้ำจากขวดในตอนที่หยุดพักกินอาหารที่ซื้อมา ข้างทางที่หลบมุมเข้ามานั้นไม่ได้ร้างไร้ผู้คนตรงกันข้ามทั้งผู้คนท้องถิ่นและต่างถิ่นยังคงเดินกันให้ขวักไขว่ แต่พิรัลมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้านี้ชัดเจน ในหูของเขาเงียบสนิทไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกจากแม่ค้าพ่อขายที่ชักชวนให้ซื้อของ ชายคนนั้นรู้ตัวและเผยยิ้มให้พิรัลเล็กน้อยก่อนจะชวนพิรัลไปเดินเล่นที่ชาดหาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้

รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้พิรัลตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้เขาคงจะได้ชิมของฝากจากกระบี่อย่างแน่นอน

หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง - คนแปลกหน้า 06-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 06-10-2018 22:14:23


ทะเลในตอนกลางคืนนั้นยังพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว พวกเขาจึงหลีกเดินไปอีกทางที่ไกลจากตลาดโต้รุ่งแห่งนั้น ซึ่งมันค่อนข้างมืดสลัว พิรัลถือโอกาสนั้นสัมผัสเส้นผมของอีกฝ่ายที่ถูกแรงลมพัดจนปรกหน้า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแรงดึงดูดบางอย่างจากชายคนนี้ทำให้พิรัลอยากใช้เวลาร่วมด้วย เขารู้ว่าคืนนี้จะจบลงแบบไหนแต่ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบเร่ง

“ตรงนี้เงียบดีนะ ผมไม่ชอบที่ตลาดเท่าไหร่ คนเยอะเกิน” นิพัทธ์เอ่ยหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มตรงหน้าจับเนื้อต้องตัวได้สักพัก เขาเองก็พึงใจที่ได้รับสัมผัสแบบนั้น

“ผมชอบนะ ได้ของกินแถมมาเยอะด้วย”

“ผมนึกว่าคุณซื้อทั้งหมดนั่นซะอีก”

“ผมซื้อบางส่วนแล้วคนขายก็แถมให้”

“ทำยังไงให้เขาแถมครับ”

“คุย”

นิพัทธ์เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มจางๆ “ชวนคุยเหรอ ยังไง”

“ก็ถามว่างวดนี้มีเลขเด็ดอะไรหรือเปล่า” พิรัลตอบติดตลกนิดหน่อย เขาพูดเรื่องจริงเพราะส่วนมากพ่อค้าแม่ขายก็มักจะชอบเสี่ยงดวงกับเรื่องแบบนี้ มันจึงกลายเป็นบทสนทนาแรกๆที่สามารถชวนคุยได้ “บางทีก็ถามว่าร้านไหนอาหารอร่อยที่สุด”

“แล้วคุณซื้อล็อตเตอรี่มั้ย”

“ไม่ครับ ผมไม่ชอบเสี่ยงดวง” พิรัลขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถทำให้ไหล่ของพวกเขาเบียดชิดกัน “บางคนบอกว่ามันเป็นเรื่องของสถิติแต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวเลย”

“ข้างบ้านผมเป็นเจ้ามือหวย เคยโดนตำรวจจับด้วยแต่ไม่กี่ชั่วโมงก็เห็นกลับมาบ้านแล้ว”

“หลักฐานคงเบามั้งครับ”

“ผมว่าเขาติดสินบนตำรวจมากกว่า”

พิรัลจดจ้องใบหน้ากระจ่างใสนั่นอย่างเปิดเผยก่อนจะยิ้มมุมปาก “พ่อผมเป็นตำรวจ”

แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่นิพัทธ์กลับหัวเราะเล็กน้อยและไม่รู้สึกเกรงอกเกรงใจอะไรอีกฝ่าย “คุณคงไม่โกรธผมใช่มั้ยครับ”

“ไม่ครับ” พิรัลตอบเสียงแผ่วก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ตัวบางกว่า จูบลงที่หัวไหล่แผ่วเบาและสบมองดวงตาราวกับประเมินท่าที “คุณชอบดูหนังมั้ยครับ”

“ผมไม่ชอบดูหนังเท่าไหร่” นิพัทธ์กล่าวแล้วปล่อยให้ชายหนุ่มด้านข้างเบียดตัวเข้ามาเรื่อยๆ “ผมว่ามันเสียเวลา” เขายิ้มและมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย “ผมพักอยู่ที่โรงแรมตรงริมหาด”

“ใช่โรงแรมที่สวยๆหรือเปล่าครับ”

“ผมไม่แน่ใจว่ามันสวยสำหรับคุณหรือเปล่า”

พิรัลยังคงจับจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มซึ่งยิ้มและไม่มีท่าทีหวั่นไหว

“คุณคงจะต้องไปดูเองกับตาแล้วแหละครับ”

โรงแรมที่ชายหนุ่มคนนั้นพักเป็นโรงแรมชื่อดังที่ได้รับการพูดถึงในโลกออนไลน์ พิรัลได้ตระหนักถึงความสวยงามหากไม่ใช่ความสวยงามของโรงแรมแต่เป็นเรือนร่างของชายหนุ่มที่นอนระทวยอยู่บนเตียงนี้ต่างหาก

เขาใช้มือเล้าโลมที่ช่องทางด้านหลังของอีกฝ่ายพลางใช้ปากโหมกระหน่ำห้วงอารมณ์ให้สุขสม ชายหนุ่มที่เพิ่งได้รู้จักกันครางกระเส่าตอบรับการรุกเร้า ลมหายใจหอบแรงยามที่ส่วนปลายของอวัยวะถูกดูดดึงจนแทบจะถึงจุดสุดยอด นิพัทธ์มองตามร่างกำยำเบื้องหน้าที่ผละตัวออกไปถอดกางเกง เขาตามเข้าไปใช้ริมฝีปากกับส่วนที่แข็งขืนอย่างร้อนแรง ส่วนนั้นชื้นเปียกน้ำลายก่อนที่นิพัทธ์ถอยห่างออกมาและคว้าถุงยางอนามัยมาใส่ให้อีกฝ่าย ร่างสองร่างก่ายกอดกันบนเตียงอีกครั้งแลกจูบวาบหวามอยู่อีกพักหนึ่ง นิพัทธ์ไม่ต้องการการเล้าโลมใดๆอีกแล้วเขาพลิกร่างของชายหนุ่มร่างกำยำให้นอนหงาย ขยับตัวถูไถบั้นท้ายลงบนท่อนเนื้อเพื่อยั่วเย้า แต่แล้วนิพัทธ์กลับต้องเป็นฝ่ายที่ถูกพลิกให้นอนราบไปบนที่นอนแทน ฝ่ายนั้นไซ้ซอกคอของเขาขณะที่ยกขาของนิพัทธ์สูงขึ้น ส่วนนั้นจดจ่ออยู่ที่บั้นท้ายก่อนจะแทรกเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ

นิพัทธ์กระซิบบอกให้พิรัลสอดใส่เข้ามาจนสุด เขาร้องครางอย่างอดรนทนไม่ได้กับขนาดของเจ้านั่นที่พบเจอ มันจุกเสียดและคับแน่นทว่ากลับรู้สึกดีไม่น้อย พิรัลยังคงรั้งรอให้อีกฝ่ายปรับตัวชินกับสิ่งที่อยู่ในกาย เขาไม่เคยรีบเร่งกับเรื่องใดแม้จะเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบนี้ สะโพกนั่นขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้ารัญจวนใจจนนิพัทธ์อยากร้องขอให้อีกฝ่ายขยับตัวเร็วขึ้น ร่างกายของเขากำลังตึงเครียดโดยเฉพาะบั้นท้ายที่ถูกเติมเต็มแต่ไม่อิ่มเอม

“คุณมาเที่ยวคนเดียวเหรอ” พิรัลเอ่ยถามขึ้นมาเสียดื้อๆท่ามกลางบรรยากาศแบบนั้น เขาซุกไซ้ยุ่มย่ามอยู่ที่พวงแก้มอีกฝ่ายพลางขยับสะโพกเบาๆ

“ผมมาคนเดียว”

“ห้องสวยมาก แต่ผมว่าอยู่คนเดียวแล้วเหงาไปหน่อย”

“คุณทำแรงกว่านี้ก็ได้นะ” นิพัทธ์ทนไม่ไหวจนต้องพูดมันออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีรุนแรงขึ้น

พิรัลทำเพียงแค่ยิ้ม สอดกายเข้ามาลึกและแช่ค้างไว้แบบนั้น จูบลงบนริมฝีปากเรื่อสีตามธรรมชาติอย่างดูดดื่ม “คุณนัดใครไว้หรือเปล่าครับ”

“เปล่าครับ”

“งั้นก็ไม่เห็นต้องรีบ”

“ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น” นิพัทธ์ประท้วงเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มตรงหน้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการทำให้จบๆไป “ผมอยากให้คุณเอาผมแรงๆ”

“อ๋อ หมายถึงเรื่องนั้นเหรอ”

เสียงที่ได้ยินนั่นเป็นการพึมพำกับตัวเองของพิรัล แต่กระนั้นพิรัลก็ยังเชื่องช้าจนน่าขัดใจไม่น้อยอยู่ดี นิพัทธ์เสียวซ่านไปกับสัมผัสนั้นแต่เขาต้องการมากกว่านี้ เขาต้องการความหนักหน่วงที่ทำให้หายใจแทบไม่ทัน ไม่ใช่ความวาบหวามแบบนี้ที่ทำให้นิพันธ์รู้สึกดีมากเกินกว่าความสัมพันธ์ฉาบฉวย

“คุณเคยได้ยินเรื่องตายคาอกมั้ย”

“แบบที่กำลังมีอะไรกันแล้วก็ตายน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ก็เคยได้ยินอยู่บ้างครับ”

พิรัลยิ้มมุมปากพลางลูบศีรษะชายหนุ่มใต้ร่างอย่างนุ่มนวล “ผมยังไม่อยากตายแบบนั้น”

นิพัทธ์ไม่ตลกไปด้วย เขาต่างหากที่กำลังจะขาดใจตายเพราะอีกฝ่ายอ่อนโยนมากเกินไป ร่างที่บางกว่าผุดลุกขึ้นเปลี่ยนเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน นิพัทธ์จับส่วนแข็งขืนนั่นสอดเข้าในบั้นท้ายของตัวเองจนสุดและเริ่มขยับกายทันที พิรัลคิดว่าเตียงของโรงแรมแห่งนี้แข็งแรงดีเพราะตั้งแต่เริ่มต้นทำกิจกรรมก็ยังไม่ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดสักเท่าไหร่ แต่เมื่อปล่อยให้ชายหนุ่มที่ร่างบางกว่าเป็นฝ่ายขี่ควบทะยานอยู่บนตัวเขาก็เริ่มได้ยินเสียงเตียงบ้าง

พิรัลมองผิวกายชื้นเหงื่อที่แดงระเรื่อจากเลือดที่กำลังสูบฉีด มันแดงเด่นชัดที่พวงแก้มคู่นั้นเพราะผิวของชายหนุ่มคนนี้ขาวใส ฝ่ายนั้นควบอยู่บนตัวเขาอย่างร้อนแรงจนอดใจไม่ไหวและตอบสนองต่ออารมณ์ไปบ้าง ท่อนเนื้อของพิรัลถูกรูดรั้งเร้าอารมณ์อย่างถึงอกถึงใจ เขายกสะโพกสวนขึ้นในตอนที่อีกฝ่ายขยับบั้นท้ายลง เสียงผิวเนื้อดังผสานเสียงหอบหายใจแรง พิรัลกดสะโพกบางๆนั่นไว้และกระทำรุนแรงอย่างที่เคยถูกเรียกร้อง มองสีหน้าพริ้มสุขของหนุ่มตัวขาวแล้วก็ยิ่งเสียวซ่านทว่าพิรัลเริ่มรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรงมากเกินไป เขาจึงผ่อนแรงลงและรั้งร่างตรงหน้าเข้ามาจูบพลางเอนตัวอีกฝ่ายให้นอนราบไปบนเตียง

ขณะที่พิรัลนัวจูบอยู่นั้นเขารู้สึกได้ถึงการบีบรีดจากช่องทางของชายหนุ่มใต้ร่าง มันเรียกร้องให้เขาชำเราอย่างไม่ปราณี พิรัลเริ่มขยับกายอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทั้งเจลหล่อลื่นและน้ำหล่อลื่นที่ไหลออกมาจากท่อนเนื้อของเขากำลังปลุกปั่นโหมอารมณ์ให้ได้ที่ นิพัทธ์อ้าขารองรับส่วนนั้นอย่างไม่เขินอายด้วยเพราะกำลังเสียวซ่านและไม่รู้ว่าจะต้องกักเก็บอารมณ์ไว้ทำไม เขาไม่เคยอายเลยสักครั้งในการบอกความรู้สึกกับเรื่องบนเตียงให้คู่นอนได้เข้าใจตรงกัน นิพัทธ์ยั่วเย้าด้วยคำพูดกระเส่าเพื่อให้อีกฝ่ายเร้าอารมณ์มากขึ้น ท่อนเนื้อที่ถูไถอยู่ในตอนนี้กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างสุดความสามารถ นิพัทธ์ชื่นชอบในสิ่งที่ถูกกระทำอยู่นี้ ขาของเขาถูกยกขึ้นพาดไหล่เพื่อให้ช่องทางนั้นรองรับจนถึงที่สุด และสุดท้ายนิพัทธ์ก็ถึงฝากฝั่งโดยไม่จำเป็นต้องถูกกระตุ้นเร้าที่ท่อนเนื้อของตัวเอง น้ำใคร่พุ่งไหลออกมาตามกลไกของร่างกายมันเปรอะอยู่บนหน้าท้อง ส่วนนั้นค่อยๆอ่อนตัวลงหากแต่นิพัทธ์ยังคงถูกโหมกระหน่ำจากอีกฝ่ายจนตัวสั่นตัวคลอน เขาเสียวซ่านอย่างเป็นสุขแม้เจ้านั่นของเขาจะไม่แข็งตัวแล้วก็ตามที

“คุณเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ” นิพัทธ์ยินยอมในเรื่องนั้น และปล่อยให้อีกฝ่ายตักตวงความสุขจากร่างกายนี้อย่างที่ต้องการ “คุณทำจนกว่าจะเสร็จได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องผมหรอก” นิพัทธ์ครวญครางเสียงแผ่วเพราะยังสุขสมอยู่ที่ช่องทางด้านหลัง เมื่อได้ยินเช่นนั้นพิรัลก็ไม่ยั้งตัวเองไว้เขาทำอย่างที่ได้รับอนุญาต แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนักหรอกเพราะเขาเองก็ใกล้จะถึงฝากฝั่งเช่นกัน

สะโพกของพิรัลดันไปด้านหน้าเพื่อสอดกายเข้าไปให้สุด เขามองดูท่อนเนื้อของตัวเองที่ถูกกลืนหายอยู่ในช่องทางด้านหลังของอีกฝ่าย รู้สึกได้ถึงน้ำใคร่ที่ไหลหลากอยู่ในถุงยางอนามัย เขาพรูลมหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แขนสองข้างที่เคยค้ำยันไว้กับที่นอนอ่อนกำลังลง และสุดท้ายพิรัลก็นอนซบอยู่บนแผ่นอกราบเรียบของชายหนุ่มตัวขาว แต่แล้วเมื่อฝ่ายนั้นขยับตัวพิรัลก็ผุดลุกขึ้นเพราะคิดว่าคงจะอึดอัดที่ถูกนอนทับ

“โทษที ผมตัวหนักไปหน่อย”

นิพัทธ์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งเช่นกัน เขาหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดคราบต่างๆพลางมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ดึงถุงยางอนามัยออกจากส่วนนั้น มันอ่อนตัวลงแล้วแต่ก็ยังดูอวบอัดจนนิพัทธ์อดมองไม่ได้

“พรุ่งนี้คุณจะออกไปดำน้ำหรือเปล่าครับ”

“ไปครับ ซื้อทัวร์ของคุณเนยไว้”

“แสดงว่าพรุ่งนี้เราอาจจะได้เจอกันอีก” พิรัลกล่าวแล้วคว้าเอากระดาษทิชชู่มาทำความสะอาดที่ท่อนเนื้อของตัวเองไปตามปกติ “ผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะกลับแล้ว”

นิพัทธ์ที่เคยเรียกร้องความรุนแรงจากอีกฝ่ายยังคงหมดแรงนั่งอยู่บนเตียง เขาส่งเสียงตอบรับคำขอและเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว มาถึงตอนนี้เพิ่งเริ่มจะรู้สึกตึงแน่นที่บั้นท้ายเนื่องจากมันถูกเสียดสีมาเป็นเวลาพักใหญ่ และนิพัทธ์ก็อ่อนแรงเกินกว่าจะขยับตัว ฝ่ายนั้นออกมาจากห้องน้ำและคว้าเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่

“คุณ...”

“ครับ”

“คุณนอนที่นี่ได้นะ”

พิรัลเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยแต่แล้วก็เดินเข้ามาใกล้เตียงด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ

“ผมเห็นว่ามันดึกแล้วน่ะ”

นิพัทธ์พูดพึมพำขณะที่ลุกขึ้นยืน เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าคู่นอนชั่วคราวคนนี้จะรู้สึกประดักประเดินหรือเปล่าที่ถูกชวนนอนค้างคืนกับคนแปลกหน้า แต่เมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยขอบคุณและมีท่าทีผ่อนคลายนิพัทธ์ก็คลายใจ เขาทำความสะอาดตัวเองอยู่ในห้องน้ำไม่นานมากนัก ออกมาอีกทีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ยังไม่นอน นิพัทธ์เอนตัวลงนอนอีกฝากหนึ่งก่อนที่เขาจะคว้ารีโมทมากดปิดไฟ ห้องทั้งห้องมืดสลัวแต่ยังพอเห็นเค้าลางเพราะยังมีไฟบางดวงเปิดอยู่

นิพัทธ์ขยับตัวไปมาพักหนึ่ง ดวงตาที่เคยแสร้งปิดลงค่อยๆลืมขึ้นในความมืดและสบเข้ากับดวงตาของคนที่ถูกชวนค้างคืน มือที่ค่อนข้างหยาบถูกยกขึ้นมาลูบแก้มก่อนจะปัดผมที่ปรกตาออกไป พิรัลเคลื่อนตัวเข้าหาโอบรั้งอีกฝ่ายเข้ามาจูบพลางคร่อมทับร่างที่บางกว่าเอาไว้ พวกเขาต่างต้องการความสัมพันธ์ทางกายไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางความรู้สึก เพราะฉะนั้นหากพิรัลจะแสดงความต้องการนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด นิพัทธ์แสดงความยินยอมด้วยการยกสะโพกเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกว่าต้องการถอดกางเกงให้พ้นทาง บั้นท้ายของเขายังคงอ่อนนุ่มจากเซ็กส์ก่อนหน้านี้จึงถูกชำแรกแทรกเข้ามาอย่างง่ายดายในตอนที่ท่อนเนื้อของชายหนุ่มร่างกำยำแข็งขืนขึ้นแล้ว

“เจ็บหรือเปล่าครับ”

นิพัทธ์ปฏิเสธก่อนจะที่แก้มของเขาจะถูกจูบ ลมหายใจอุ่นรดรินบนผิวแก้มหากแต่นิพัทธ์ไม่รู้สึกรังเกียจ ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายบดเบียดแทรกกายอยู่ที่ด้านหลังอย่างค่อยเป็นค่อยไป หัวใจของเขาเต้นแรงในแบบที่นอกเหนือจากกิจกาม นิพัทธ์คิดว่ามันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ เขาแค่กำลังเหงาและต้องการเซ็กส์ก็เท่านั้น นิพัทธ์อดแปลกใจไม่ได้เมื่อคู่นอนคนนี้ไม่แสดงความรุนแรงหรือหื่นกระหาย ฝ่ายนั้นทำได้แต่เมื่อนิพัทธ์ไม่ได้เรียกร้องเขาก็ทำอย่างอ่อนโยนราวกับทนุถนอม มันคงเป็นรสนิยมบนเตียงของเขากระมังนิพัทธ์คิดเช่นนั้น แม้แต่ในยามที่ชายคนนั้นถึงจุดสุดยอดในครั้งที่สองนี้ก็ไม่ได้เร่งเร้าร่างกายของนิพัทธ์มากนัก เขาสอดใส่หนักหน่วงจนนิพัทธ์รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่ถูกขยับเข้าขยับออกอย่างชัดเจน ที่ตรงนั้นไม่ได้ถูกกระทำรัวเร็วเช่นคนอื่นแต่กลับทำให้นิพัทธ์ใช้เวลาในการถึงจุดสุดยอดนานขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ มันสุขล้นอิ่มเอมในแบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ตัวของเขาร้อนวูบวาบตอนที่อยู่ในห้วงอารมณ์นั้น นิพัทธ์กระชับจับมือของคู่นอนราวกับไขว่คว้าบางอย่าง ฝ่ายนั้นจูบที่แผ่นหลังไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะเอนร่างลงพร้อมกับรั้งร่างของชายหนุ่มตัวขาวเข้ามากอดและจูบที่ขมับ

“คุณ”

“ครับ” นิพัทธ์ตอบรับเสียงแผ่วด้วยยังเหนื่อยหอบจากความสุขทางกายที่ล้นทะลัก

“คุณชอบแบบเมื่อกี้มั้ย” พิรัลจ้องมองขณะที่เอ่ยถาม

หนุ่มตัวขาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ายอมรับ

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ” หยอกเย้าให้อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองและใช้โอกาสนั้นจูบริมฝีปากอย่างแผ่วเบา “ผมขอใช้ห้องน้ำอีกรอบนะครับ”

นิพัทธ์รั้งมือไว้เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นขยับตัวออกห่าง พวกเขาจ้องมองกันด้วยความรู้สึกประดักประเดิดอยู่อึดใจหนึ่ง นิพัทธ์เอื้อมมือไปรูดดึงถุงยางอนามัยที่ยังค้างเติ่งอยู่บนท่อนเนื้อของชายที่อยู่ตรงหน้า ทิ้งไว้บนพื้นห้องอย่างไม่ให้ความสนใจ ในความมืดสลัวนั้นนิพัทธ์ถูกกกกอดอยู่ในอ้อมแขนของพิรัลอีกครั้ง

พวกเขาเปลือยเปล่าและหลับไปในค่ำคืนที่คลื่นทะเลสงบ โดยที่ไม่รู้ชื่อของกันและกัน



************************************




ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ
นี่เป็นครั้งแรกที่เอามาลงเล้าฯหลังจากอ่านนิยายในนี้มานานมาก 5555
ตอนที่สองจะตามมาในเร็วๆค่ะ

 :o8:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง - คนแปลกหน้า 06-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-10-2018 23:24:45
ตอนแรกโดนตกเพราะชื่อเรื่องค่ะ พอเริ่มอ่านเท่านั้นแหล่ะ หลงรักภาษาแบบนี้มากค่ะ คุณพระเอกเป็นโรคที่จะอยู่ไม่นานเหรอคะ  :hao5:

สนุกมากเลยแค่ตอนแรก เป็นกำลังใจให้นะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง - คนแปลกหน้า 06-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 07-10-2018 00:20:05
อยากไปเที่ยวทะเลเลยค่ะ555 รอฉากดำน้ำนะคะ~
ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง - คนแปลกหน้า 06-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Nasherr ที่ 07-10-2018 00:24:57
ภาษาดีจังเลยค่ะ เราชอบนิยายที่ตัวละครเรียก 'คุณ, ผม' แบบนี้มาก เปิดเรื่องมาเราก็เริ่มกังวลแล้วว่าจะมีการเสียน้ำตาเกิดขึ้นช่วงท้ายของเรื่องมั้ย....
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง - คนแปลกหน้า 06-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-10-2018 10:08:41
ทำไมเรารู้สึกเขินตั้งแต่ตอนเขาคุยกันจัง :o8:
คุณพระเอกเป็นโรคอะไร​ จะอยู่ได้ไม่นานหรอ?
แต่เราชอบภาษามากเลย​ อ่านแล้วสมูทมาก​ รู้สึกละมุนจัง​ และรู้สึกว่าเราอาจจะต้องเสียน้ำตาให้เรื่อวนี้
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หนึ่ง - คนแปลกหน้า 06-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 07-10-2018 11:02:41
เป็นอะไรที่ดีและอบอุ่นมากเลยค่ะ ชอบการเล่าเรื่องด้วย
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สอง - ลาก่อนกระบี่ 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 07-10-2018 14:26:47
ตอนที่สอง


ท้องทะเลยามเช้านั้นให้ความสดใสและผืนฟ้าเบื้องหน้าก็ดูปลอดโปร่ง เป็นอีกวันที่พิรัลรู้สึกดีๆกับชีวิตไม่เหมือนหลายวันที่ผ่านมา เขาแจ้งคุณเนยว่าให้มารับที่โรงแรมแห่งนี้ เธอประสานงานให้และไม่ถามถึงเหตุผลอื่นใด ถือว่าเป็นโชคดีที่พิรัลจะได้ไม่ต้องคิดหาคำพูดอธิบายแต่หากแม้เธอจะถามพิรัลก็จะทำเพียงบ่ายเบี่ยงโดยไม่ตอบคำถาม ลมทะเลพัดโชยเข้ามาในห้องพักเพราะพิรัลเปิดทิ้งไว้หลังจากออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงห้อง มวนบุหรี่ที่สูบนี้หมอบอกว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พิรัลป่วย ใช่ว่าพิรัลจะไม่สนใจในการพยายามเลิกเขาพยายามแล้วแต่พยายามไม่มากพอ และสุดท้ายก็ยังเลิกไม่ได้อยู่ดี

เขาจับเส้นผมซึ่งพัดปรกอยู่ที่ข้างแก้มของอีกฝ่าย เกลี่ยผิวแก้มด้วยนิ้ว มองภาพของชายหนุ่มตัวขาวที่กำลังดูดดึงท่อนเนื้อของเขาอย่างเร่าร้อน พวกเขาตื่นเช้าด้วยเพราะวิถีชีวิตที่ต้องแหกขี้หูขี้ตาตื่นเพื่อฝ่ารถติดเข้าไปทำงานในตัวเมืองกรุงเทพ พิรัลกระสับกระส่ายในตอนที่ตื่นขึ้นมาจนต้องออกไปสูบบุหรี่ หากแต่ใช้เวลาไม่เท่าไหร่เจ้าของห้องก็เดินออกมาสมทบ เขาไม่แน่ใจนักว่าคุยอะไรกันถึงได้ลงเอยแบบนี้แต่เช้าตรู่

ผิวของชายหนุ่มคนนี้ขาวใสจนพิรัลอดมองไม่ได้ เขาไม่มีไทป์ของคนที่ชอบมาแต่ไหนแต่ไร เพิ่งมาฉุกคิดว่าอาจจะชอบคนผิวขาวก็เพราะชายหนุ่มคนนี้ ความสูงของพวกเขาไม่ต่างกันมากแต่ความบึกบึนกำยำนั้นพิรัลกินขาด พิรัลไล้ลูบผิวแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อด้วยใจปรารถนา เขาชอบแก้มของผู้ชายคนนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ มันชวนให้อยากจูบอยากหอมซ้ำๆไปมาโดยไม่มีเหตุผลรองรับในความชอบนั้น

“คุณ ผมใกล้จะเสร็จแล้ว”

พิรัลเตือนอีกฝ่ายเมื่อรู้สึกถึงแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูงขึ้น ชายหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นยืนพลางปาดเช็ดคราบเลอะบนริมฝีปาก พิรัลรั้งร่างที่บางกว่าเข้ามาและใช้มือเร้าอารมณ์ที่ท่อนเนื้อ ฝ่ายนั้นเอนตัวพิงกายของพิรัล เสียงครางแผ่วดังขึ้นที่ข้างหูเมื่อถูกเล่นส่วนนั้นด้วยมือ พวกเขาต่างใช้มือปลุกปั่นให้กันจนถึงอารมณ์หมาย ผลลัพธ์อยู่ในอุ้งมือเป็นสีขาวขุ่น พิรัลจูบที่ขมับชื้นเหงื่อพลางโอบรับแรงจากฝ่ายนั้นที่ถ่ายน้ำหนักลงมามากกว่าเดิม เขาได้ยินเสียงคลื่นทะเลชัดเจนและเริ่มรู้สึกถึงแสงแดดที่อบอุ่นจนเกือบจะร้อน

“คุณหิวมั้ย” พิรัลถามและรับรู้คำตอบได้จากการส่ายหัวยุกยิกอยู่ที่ข้างซอกคอ “ผมว่าจะหาอะไรรองท้องสักหน่อย”

เขาแปลกใจเล็กน้อยที่ชายหนุ่มคนนี้ยังคงกอดเขาไว้เนิ่นนาน แต่แล้วเพียงอึดใจหนึ่งไออุ่นจากคนที่เคยกอดก็ผละตัวออกไป พิรัลเดินกลับเข้าห้องตามอีกฝ่ายไป เขาคว้าเสื้อของตัวเองมาใส่และมองดูอีกคนที่กำลังรื้อค้นเสื้อผ้าจากในกระเป๋า “ผมมีเสื้อตัวอื่นอีก”

พิรัลมองเสื้อที่ฝ่ายนั้นยื่นมาให้ มันเป็นเสื้อสีขาวไม่มีลวดลาย ไม่ใช่ว่าพิรัลรังเกียจหรือรู้สึกไปในทางไม่ดี เขาแค่เกรงใจแต่สุดท้ายก็รับมาเพราะเสื้อตัวเก่านั้นมีกลิ่นเหม็นทั้งเหงื่อทั้งกลิ่นอาหารจากที่ตลาดโต้รุ่ง “ขอบคุณครับ”

“คุณใช้ห้องน้ำก่อนได้เลย แล้วเดี๋ยวไปกินบุฟเฟ่อาหารเช้า ผมมีบัตรเหลือ”

พิรัลมองบัตรสำหรับกินบุฟเฟ่อาหารเช้าที่โรงแรมแห่งนี้ เขาแปลกใจอีกครั้งที่เห็นมันสองใบทั้งที่ฝ่ายนั้นเคยบอกไว้ว่ามาเที่ยวคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเซ้าซี้ถามให้มากความ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะพูดคุยกันแค่วันนี้เป็นวันสุดท้าย ก่อนจะแยกทางกันไปและทิ้งทุกอย่างไว้ที่กระบี่

คุณเนยโทรมาตามตอนที่พวกเขากำลังกินอาหารเช้าที่โรงแรมทำให้ต้องหยุดกินและรีบเร่งมาขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปยังจุดจอดเรือออกเกาะ พิรัลสวมใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงผ้าร่ม ส่วนนิพัทธ์ก็สวมเสื้อแบบเดียวกันและใส่กางเกงขาสั้นแบบที่เอาไว้เล่นน้ำ พิรัลหยุดมองฝ่ายนั้นไม่ได้เขารู้ตัวดี จะให้ทำยังไงในเมื่อได้เคยเชยชมกันเมื่อคืนวาน ความวาบหวามต่างๆนานาทำให้พิรัลเกิดจินตนาการขึ้นในหัว ส่วนไหนที่เคยจับต้อง สีหน้าแบบไหนที่เคยพิศมองล้วนแล้วแต่ทำให้พิรัลไม่ได้สนใจทะเลที่กระบี่เท่าที่ควร

คุณเนยไม่ได้ออกเรือมาด้วย เธอแค่เป็นฝ่ายประสานงานลูกทัวร์สี่คนในวันนี้และฝากฝังให้ชายหนุ่มอีกคน เขาเป็นผู้ชายผิวคล้ำตัวผอมผมหยักศกไม่ค่อยพูดค่อยจามากนัก แต่ทำหน้าที่ขับเรือพาลูกทัวร์ไปแวะตามเกาะชื่อดังต่างๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งโปรแกรมที่เลือกไว้ไม่ใช่ชะโงกทัวร์แต่ละสถานที่ที่ไปจึงสามารถใช้เวลาดำน้ำดูปะการังแหวกว่ายอยู่ใต้ท้องทะเลได้ยาวหน่อย แต่ติดขัดอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่พิรัลรู้สึกเหนื่อยและสามารถว่ายน้ำดูโลกใต้น้ำได้เพียงไม่นาน

บนผืนทรายสีขาวละเอียดนั้นพิรัลนอนแผ่หรายืดยาวเต็มความสูง ร่างทั้งร่างของเขาเปียกชุ่มจากน้ำทะเล เขาสูดหายใจเข้าลึกเว้นวรรคการทำกิจกรรมใดๆที่ต้องใช้แรงเยอะ อาการแบบนี้มันเริ่มเป็นถี่บ่อยขึ้นจนตัวเองยังรู้สึกแต่พิรัลกลับไม่ใส่ใจเท่าที่ควร เขาไม่ได้จะตายวันตายพรุ่งเสียหน่อยแค่อยากใช้ชีวิตแบบปกติต่อไปเรื่อยๆ เพราะทุกวันนี้เขาคิดว่าตัวเองมีความสุขดี

“คุณเหนื่อยแล้วเหรอ”

เสียงคุ้นหูเอ่ยถาม พิรัลลืมตามองชายหนุ่มตัวขาวที่ตอนนี้ตัวเปียกน้ำทะเลไม่ต่างกัน เขาส่งเสียงตอบรับเบาๆในลำคอ

“ผมอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตเค้าบอกว่ามีทางลับขึ้นไปดูวิวบนเขาได้ คุณไปกับผมนะ”

พิรัลรู้สึกแสบตาเพราะแสงแดดกำลังเจิดจ้าจึงยกมือบังแดด แต่กลายเป็นว่ามันสบโอกาสให้อีกฝ่ายสามารถคว้ามือและฉุดให้ลุกขึ้นแทน

“ไปเร็วคุณ”

พิรัลผุดลุกขึ้นตามแรงฉุด แม้ว่าจะหายเหนื่อยลงบ้างแล้วแต่ก็ยังปวดหนึบๆนิดหน่อยในทรวงอก แต่กระนั้นเมื่อพิรัลได้ยินเสียงที่ร่าเริงกว่าปกติของชายหนุ่มตรงหน้านี้เขาก็พลอยเลยตามเลย ยิ่งในตอนที่ฝ่ายนั้นหันหลังกลับมาแล้วส่งยิ้ม พิรัลได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่าเขายังไหวเสียยิ่งกว่าไหว

เส้นทางที่พิรัลเดินตามชายหนุ่มตัวขาวอยู่นั้นไม่ราบรื่นสักเท่าใด เขายังไม่ได้เหนื่อยหนักหนาขนาดนั้นแต่เริ่มหายใจลำบากนิดหน่อย คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้ายังคงเรี่ยวแรงดีและดูร่าเริงท้าแสงแดด พวกเขาเดินตามเส้นทางที่มีคนบอกไว้ในอินเตอร์เน็ตแต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกไร้วี่แวว เหมือนเดินวนอยู่ในป่าตรงบริเวณที่เป็นตีนเขา พอไปยังอีกจุดก็เจอทางคับแคบที่ต้องตะแคงเบี่ยงตัวเดินได้ทีละคน พิรัลส่ายหน้ายิกๆปฏิเสธเพราะคิดว่าช่องทางที่มีให้เดินนั้นดูไม่น่าไว้วางใจ ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ทำหน้าผิดหวังอะไรแต่เปลี่ยนเป็นชักชวนไปนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่อีกฝากหนึ่งแทน

พิรัลเดินตามหลัง มองท่อนขาขาวๆที่เดินนำหน้าไปเรื่อย คนตรงหน้าใส่กางเกงขาสั้นมากและเขาชอบใจที่จะได้มอง พิรัลนั่งลงด้านข้างเมื่อถึงจุดที่หมายมั่นไว้ เขารู้สึกตัวได้เลยว่าตัวเองหายใจไม่คล่องนักแต่ก็พยายามไม่แสดงอาการอะไรออกมามาก สายตาของพิรัลพักไว้ยังชายหนุ่มผิวขาวที่ไม่รู้จักชื่อแต่เขายังไม่ตระหนักในเรื่องนั้น เขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มตัวแห้งและมีเศษเม็ดทรายเต็มไปหมดจึงเอื้อมมือไปปัดเศษเหล่านั้นให้ตรงบริเวณลาดไหล่ พวกเขาต่างเปลือยท่อนบน สวมใส่เพียงกางเกงเล่นน้ำ และจดจ้องมองกันด้วยรอยยิ้ม

นิพัทธ์นั่งเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายปัดทรายออกจากเส้นผม เขารู้สึกดีที่ถูกดูแลแม้ว่ามันจะเป็นการกระทำจากคนแปลกหน้า

“คืนนี้ผมจะไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน” หลังจากเงียบไปพักหนึ่งนิพัทธ์ก็เอ่ยขึ้น

“ผมไปด้วยได้มั้ย” พิรัลลองถาม

นิพัทธ์ยิ้มพลางขยับขาลงจุ่มปลายเท้าอยู่ในพื้นทรายไปเรื่อยเปื่อย การที่เขาไม่ตอบทำให้พิรัลต้องเป็นฝ่ายขยับเข้าหา ปลายเท้าของพวกเขาสัมผัสกันอยู่ใต้เม็ดทราย พิรัลใช้นิ้วหัวแม่เท้าถูไถเท้าของอีกฝ่าย จ้องมองด้วยประเมินท่าทีก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนอิริยาบถเป็นสอดเท้าเข้าไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มผิวขาว

“ทำไมคุณถึงอยากไปด้วย” หลังจากที่นั่งเงียบไปพักหนึ่งนิพัทธ์ก็เริ่มต้นบทสนทนาขึ้นใหม่ บนใบหน้าที่แก้มเรื่อสีจากการตากแดดมีรอยยิ้มเจือจาง

พิรัลคิดลังเลในการพูดความจริง แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่คาดหวังจากอีกฝ่ายเขาจึงยินยอมสารภาพ “ผมอยากมีอะไรกับคุณอีก”

มันหยาบคายและคิดว่าไม่น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถพูดออกมาได้อย่างเปิดเผยถึงแม้พวกเขาจะรู้ตัวว่ามีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่กระนั้นนิพัทธ์ยังคงยิ้มเพราะเขาเองก็คาดหวังว่าจะได้ยินสัญญาณอะไรบางอย่างแบบนั้นบ้าง “คุณพูดตรงเกินไปแล้ว”

พิรัลหัวเราะลงคอ จากนั้นพวกเขาก็เมินมองไปยังท้องทะเล ปล่อยให้ร่างกายถูกอาบไล้ด้วยแสงแดดที่ส่องผ่านช่องว่างของใบไม้ และถูกโอบล้อมด้วยสายลม ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีกนอกจากเสียงคลื่นทะเล


หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สอง - ลาก่อนกระบี่ 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 07-10-2018 14:27:14


โชคดีเป็นของพิรัลเมื่อการมาเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะไม่ได้เจอพายุฝนและท้องฟ้าสดใสแจ่มจ้าตลอดเวลา พิรัลยังได้พบเจอประสบการณ์พิเศษกับชายหนุ่มตัวขาวที่ทำให้เขารู้สึกลืมโลกทั้งใบ เขาไม่ได้คิดถึงงานที่ต้องกลับไปเผชิญ ไม่ได้คำนึงถึงโรคที่รุมเร้า ไม่ต้องเห็นสายตาแห่งความสงสารจากพ่อและแม่

ตอนที่เดินหาของกินในถนนคนเดินอยู่นั้นชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักทำให้พิรัลสมองว่างเปล่า พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ทางความรู้สึก มันเป็นเพียงแค่ความสุขที่ก่อเกิดขึ้นบนดินแดนแห่งความเพ้อฝัน พิรัลคิดเสมอว่ามนุษย์มักกระทำในสิ่งที่เป็นสุข ตัวเขาเองเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องกังขา และเขาทำสิ่งนั้นอยู่ ช่วงเวลานี้ตอนนี้เขากำลังมีความสุขที่ได้เที่ยวเล่นกับคนแปลกหน้า คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของพิรัล

พิรัลค้นหาข้อมูลจากในโลกออนไลน์ก่อนมาที่กระบี่ เขาพบบาร์แห่งหนึ่งที่เล่นดนตรีสดแต่เป็นเพลงในแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมนัก แสงสีแดงในร้านที่ตกแต่งด้วยวัถสดุท้องถิ่นส่องอาบโลมผิวกายของพวกเขาราวกับมอมเมา พิรัลมองอีกฝ่ายซึ่งนั่งดื่มเบียร์อย่างเปิดเผยไม่คิดปิดบัง เขาเคยกล่าวกับฝ่ายนั้นไว้แล้วว่าคาดหวังอะไรและในเมื่อยังไม่ถูกปฏิเสธซ้ำยังได้รอยยิ้มกลับมาพิรัลจึงมองไม่เห็นว่าทำไมถึงจะต้องสงวนท่าทีไว้

ชายหนุ่มตัวขาวนั่งให้พิรัลโอ้โลมอย่างไม่อายสายตาใครราวกับโลกนี้มีเพียงเราสอง พวกเขาไม่ได้กระทำอนาจารหากเพียงแค่นั่งเบียดชิด ส่งสายตาหยาดเยิ้ม และหยอกเย้ากันด้วยคำพูดในบางคราว พิรัลช้อนตามองชายหนุ่มผิวขาว กอบกุมมือข้างหนึ่งจับเล่นไปมาพลางเอ่ยชมถึงรอยยิ้มของฝ่ายนั้นเพื่อเรียกรอยยิ้มสวยๆนั่นอีก พิรัลไม่ได้แสดงออกว่าเป็นการกระทำที่หวังผลเพื่อพัฒนาความรู้สึกเพราะเขาไม่ต้องการคนรัก ยังไม่ต้องการในเวลานี้

“ผมรู้ว่าคุณชมผมเพราะหวังอะไร แล้วผมไม่ได้ยิ้มสวยอะไรด้วย”

พิรัลยิ้มแล้วจูบลงที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายก่อนจะโอบเอวกระชับแน่น “คุณยิ้มสวยจริงๆ อย่างน้อยผมก็ชอบ”

“ขอบคุณครับ” นิพัทธ์ยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ยังคงจับจ้องอยู่ “เลิกมองผมได้แล้วครับ”

“ทำไมล่ะ” พิรัลถามเสียงแผ่วทั้งที่ยังยิ้ม “คุณน่ารักผมก็อยากมอง”

นิพัทธ์หัวเราะอารมณ์ดี “คุณก็น่ารักครับ”

“ผมน่ารักเหรอ น่ารักมากมั้ยครับ” พิรัลขยับเข้าใกล้อีกแสร้งทำหน้าตาใสซื่อจนฝ่ายนั้นหัวเราะไม่หยุด เมื่อเห็นเช่นนั้นหัวใจก็พิรัลก็เต้นตุบตับอย่างเป็นสุข เขาจูบที่หัวไหล่องอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ขยับห่างออกมาเพื่อมองตากันหวานซึ้งในตอนที่เพลงท่อนหนึ่งดังขึ้น

So tonight, we’ll dance,
Let’s pretend we rule this town
In tomorrow’s dawn
I’ll be long gone
Long gone, long gone


พิรัลแวะเช็คเอ้าท์ออกจากโฮสเทลท่ามกลางความประหลาดใจของพนักงาน เธอสอบถามลูกค้าชายคนนี้ด้วยเพราะสงสัยว่าเหตุใดถึงไม่นอนค้างจนครบคืน และแสดงความกังวลว่าการให้บริการของทางโฮสเทลนั้นไม่ถูกใจลูกค้าหรือเปล่า พิรัลยิ้มและตอบเธอด้วยความสุภาพว่าจะไปค้างคืนที่ห้องเพื่อนจากนั้นเธอก็ดูคลี่คลายสีหน้าแห่งความกังวลลง เขาเก็บของทั้งหมดที่มีไม่มาก คืนจักรยาน และออกมาสมทบกับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันซึ่งรออยู่ด้านนอก

พิรัลวางกระเป๋าสัมภาระไว้บนโต๊ะใดโต๊ะหนึ่งในห้องอย่างไม่ได้สนใจมากนัก เขาออกมาสูบบุหรี่ที่ระเบียงด้านนอก ทอดอารมณ์ว่างเปล่าไปกับลมทะเลและเงี่ยฟังเสียงคลื่นซัดสาด ดวงตาสีเข้มที่ทอดมองไปยังทะเลไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดเป็นพิเศษ เขาเห็นหมู่ดาราและดวงจันทร์เคียงข้างกันในผืนท้องฟ้าสีดำ เก็บเกี่ยวความสวยงามของภาพธรรมชาตินั่นไว้ก่อนที่จะไม่ได้เห็นอีกนาน พิรัลยังไม่อยากนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพแต่ก็อดนึกถึงจำนวนอีเมลและจำนวนงานที่คั่งค้างไม่ได้ ทว่ายังไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้นเขาก็ถูกเรียกร้องความสนใจด้วยสัมผัสไออุ่นจากคนที่เดินเข้ามายืนด้านข้าง

“คิดอะไรอยู่ครับ”

“งานครับ” พิรัลสูบบุหรี่หลังจากตอบคำถาม จากนั้นก็ขยี้ดับมวนสีขาวนั่นลงและขยับเข้ามาจูบที่แก้มอีกฝ่าย “ตัวหอมจัง” เขาพึมพำพลางค่อยๆเลื่อนคอเสื้อนอนย้วยๆของชายหนุ่มตัวขาวออกแล้วจูบลงบนหัวไหล่ “แล้วคุณคิดอะไรอยู่ครับ”

ฝ่ายนั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่ดวงตาจ้องมองพิรัลที่เริ่มซุกไซ้ผิวกายจุดอื่น “ไม่ได้คิดครับ”

พิรัลเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วยิ้มทั้งที่รู้ว่าคำตอบที่ได้ไม่ใช่ความจริง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสนใจนัก ร่างสูงใหญ่ของพิรัลขยับเคลื่อนเข้ามาโอบกอดอีกฝ่าย เขาล้วงมือเข้าไปในกางเกงของหนุ่มตัวขาวแล้วขยำลูบไล้ไม่เบาแรง “ที่นี่เห็นดาวชัดดีนะครับ”

“ครับ” นิพัทธ์ตอบรับไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก เขาเสียววาบที่ท้องเมื่อท่อนเนื้อถูกปลุกปั่นโดยตรง ไออุ่นจากชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังทำให้เขาหอบหายใจแรง “ไปทำในห้องมั้ยครับ”

“ผมยังอยากอยู่ข้างนอก แต่ถ้าจะคุณจะเข้าห้องก่อนก็แล้วแต่ครับ” พิรัลดึงมือกลับและขยับห่างออกมา ชายหนุ่มตัวขาวมีท่าทีอึกอักพูดไม่ออกกับท่าทีที่ได้รับ เขารู้ว่ากำลังถูกหยอกล้อแม้ว่าส่วนนั้นจะยังไม่แข็งขึ้นมาแต่เขาก็เริ่มมีอารมณ์แล้ว

“คุณ...”

“ครับ” พิรัลยิ้มอยู่ในทีท่าสบายๆไม่ได้แสดงออกอะไรมาก เขาสุขใจที่ได้แกล้งชายหนุ่มคนนี้ ยิ่งเห็นสีหน้าลำบากใจนั่นก็ยิ่งสนุก แต่แล้วพิรัลก็ไม่อาจแกล้งได้นานเพราะเขาเองก็ต้องการเสพสมกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้เช่นกัน พิรัลหัวเราะลงคอแล้วโอบร่างอีกฝ่ายดังเดิม “ผมหมายความแบบนั้นจริงๆนะ ที่ยังอยากอยู่ข้างนอกน่ะ”

นิพัทธ์นิ่งเงียบไม่ตอบโต้สิ่งใด สมาธิของเขาจมจ่อมอยู่กับสัมผัสใต้สะดือและคิดอะไรไม่ออกเมื่อผิวกายถูกดอมดมไปทั่วอย่างแผ่วเบาผิวเผิน

“คุณ ผมอยากเข้าไปในตัวของคุณแล้ว” พิรัลกล่าวเสียงแผ่วรอฟังสัญญาณตอบรับด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนนั้นของเขาพร้อมแล้วและมันก็อยากโลดแล่นอยู่ในความคับแน่นที่เคยได้ลิ้มลอง เขาจัดท่วงท่ารั้งบั้นท้ายอีกฝ่ายเข้ามาบดเบียดกับส่วนที่แข็งขืน “ได้มั้ยครับ”

นิพัทธ์หายใจแรง ลำคอของเขาถูกขบเม้มและเบื้องล่างก็ถูกเล้าโลมจนแข็งตัว การปฏิเสธนั้นทำได้ยากเย็นเหลือเกิน นิพัทธ์ตอบรับสัมผัสด้วยการหันกลับไปรั้งใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามาจูบ ร่างของเขาถูกรั้งให้เดินเข้าไปในห้อง นิพัทธ์ถอดเสื้อผ้าขณะที่ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กำลังใส่ถุงยางอนามัย พิรัลกลับขึ้นบนเตียงพลางสะบัดกางเกงขาสั้นไปให้พ้นทาง เขาจูบริมฝีปากสีธรรมชาติ รั้งขาอีกฝ่ายออกกว้างบดเบียดท่อนล่างเข้าหาแต่ยังไม่สอดใส่เสียทีเดียว พิรัลครางเสียงต่ำพึงพอใจที่ได้เห็นสีหน้ายั่วเย้าดวงตาฉ่ำเยิ้มของชายหนุ่มตัวขาว แสงไฟสีส้มในห้องพักเป็นตัวช่วยสร้างบรรยากาศวาบหวาม สายลมพัดผ่านเข้ามาทำให้พวกเขาไม่ร้อนมากนัก ทุกอย่างกำลังอยู่ในช่วงเวลาเป็นใจให้พิรัลมีความสุขจนใจเต้นแรง

ร่างของนิพัทธ์รุ่มร้อนไปหมด เขาอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นจนไม่อาจคลี่คลายความต้องการได้เพียงสัมผัสภายนอก นิพัทธ์ร้องขอให้อีกฝ่ายสอดใส่เข้ามาหากแต่ยังไม่ถูกตอบสนอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หนุ่มแปลกหน้าเป็นคนร่ำร้องเอง ช่องทางด้านหลังของนิพัทธ์บีบรัดด้วยสัมผัสที่เคยคุ้นเมื่อคืนวาน ในหัวตอนนั้นคิดเพียงแค่ไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป เขาต้องการมากกว่านี้แต่เมื่อแสดงออกไปถึงความต้องการนั้นกลับถูกอีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากหยอกเย้า

“ผมอยากได้ของคุณ” นิพัทธ์ไม่เขินอายในสิ่งที่ต้องการแม้แต่น้อย

พิรัลหัวเราะลงคอ “คุณน่ารักจังเลยครับ”

“เลิกชมผมได้แล้วครับ ผมไม่ได้น่ารักขนาดนั้น”

พิรัลไม่ได้ตอบอะไรอีกแต่ค่อยๆปาดป้ายเจลที่ช่องทางด้านหลังของอีกฝ่าย และสอดใส่ส่วนแข็งขืนเข้าไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาต่างพอใจในสัมผัสนั้น เสียงครางต่ำในลำคอของชายหนุ่มสองคนเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี ความลื่นไหลจากเจลหล่อลื่นเริ่มส่งเสียงลามกยามที่พิรัลขยับเข้าออก เขาประคองกอดร่างชายหนุ่มตัวขาวที่กำลังรัดตัวเขาแน่นไว้ในอ้อมอก สอดใส่ส่วนนั้นหนักหน่วงขึ้นตามห้วงอารมณ์ ก่อนจะผ่อนแรงลงเนิบนาบอยู่ในความคับแน่นเรียกเสียงครวญจากหนุ่มตัวบาง พิรัลปัดเส้นผมที่ชื้นเหงื่อไปให้พ้นทางแล้วจุมพิตที่ขมับ เขารั้งร่างของคนในอ้อมกอดให้ขึ้นนั่งคร่อมทับ ฝ่ายนั้นบดเบียดรับท่อนเนื้อของเขาเข้าไปอีกครั้งและเริ่มขยับกาย พิรัลรูดรั้งท่อนเนื้อของชายหนุ่มตรงหน้าเพื่อช่วยกระตุ้นเร้า ดวงตาสีเข้มมองท่อนขาที่อ้าออกกว้าง มันกำลังขยับไหวเย้าอารมณ์ เสียงชื้นแฉะดังต่อเนื่องอยู่ภายในห้องพักหลังนั้น พิรัลรู้ว่าคนตรงหน้าใกล้ถึงอารมณ์หมายเขาจึงช่วยเร่งเร้าให้ แต่ทว่าฝ่ายนั้นกลับหยุดลงพร้อมๆกับที่ส่วนแข็งขืนของพิรัลหลุดออกจากช่องทางด้านหลัง

ในตอนนั้นนิพัทธ์ไม่ได้ขาดสติ เขาต้องการสิ่งนี้เพื่อเติมเต็มอารมณ์หมาย ชายหนุ่มตัวสูงไม่ได้ขัดขืนอะไรในตอนที่นิพัทธ์ดึงถุงยางอนามัยออก พวกเขาสบมองกันขณะที่นิพัทธ์หย่อนบั้นท้ายรับตัวตนเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเข้ามาอีกครั้ง สะโพกบางขยับเขยื้อนพลางโอบกอดพิรัลไว้แนบแน่น พิรัลมองข้ามขีดจำกัดของตัวเองเขากระแทกกายสวนขึ้นไป ท่อนเนื้อเปลือยที่เสียดกับช่องทางคับแน่นนั้นทำให้สะท้านมากกว่าเดิม เขากระทำกับร่างกายของหนุ่มตัวขาวแรงขึ้นหนักขึ้น ยิ่งในช่วงถึงจุดสุดยอดฝ่ายนั้นถึงกับหลุดเสียงครางครวญรัญจวนใจ พิรัลฝังกายลึกอยู่ในช่องทางด้านหลังของหนุ่มตัวขาว แก่นกายของเขารู้สึกได้ถึงแรงตอดรัดยามที่น้ำขาวขุ่นพุ่งพล่านอยู่ภายใน มันไหลย้อนลงมาจนเฉอะแฉะไปหมดแต่ไม่มีใครสนใจนัก นิพัทธ์พิงแนบใบหน้าอยู่ที่ไหล่ลาดลมหายใจอุ่นรดรินบนผิวกาย เขายังคงกอดอีกฝ่ายไว้ไม่ขยับตัวไปไหน หลับตาลงและซึมซับไออุ่นจากคนที่กอดอยู่นานสองนาน

คนแปลกหน้าอย่างพวกเขาต่างสุขสมอารมณ์หมาย ไม่มีใครพูดถึงการกระทำที่ส่งผลให้ชุ่มแฉะเหล่านั้น ไม่มีใครเสียหาย ไม่มีใครเรียกร้องความสัมพันธ์ทางความรู้สึก ไม่มีใครต้องการสิ่งใดจากการได้พบกัน




พิรัลเก็บของลงกระเป๋าอย่างเงียบงันในตอนช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น เขาลงไปกินอาหารเช้าอีกมื้อจากบัตรบุฟเฟ่อาหารเช้าของชายหนุ่มตัวขาว พวกเขาไม่ได้สนทนาอะไรกันเป็นพิเศษนอกจากไถ่ถามเรื่องเที่ยวบินกลับกรุงเทพ พิรัลบอกไปตามความจริงและพบว่าพวกเขาต้องกลับเที่ยวบินเดียวกัน ไม่มีใครแสดงความกระอักกระอวนกับโชคชะตานี้เท่าใดนัก พวกเขายังสามารถพูดคุยกันได้ปกติตลอดทางที่อยู่ในรถตู้จนถึงสนามบินที่กระบี่ ต่างคนต่างแยกย้ายนั่งตามที่นั่งเมื่อเช็คอินก่อนขึ้นเครื่องบิน และเจอกันอีกครั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ นิพัทธ์ส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

“โชคดีนะครับ”

“ครับผม คุณก็ด้วยนะครับ”

พิรัลมองตามหลังชายหนุ่มตัวขาวก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายหลังและเดินหันเดินออกไปอีกทาง สุดท้ายก็ยังเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักชื่อของกันและกันอยู่ดี






“น้องเจตน์!”
เสียงเรียกที่ค่อนข้างดังในยามเช้านั้นทำให้เจ้าของชื่อหยุดชะงัก “อ้าว พี่หวาน หวัดดีพี่” พิรัลหันกลับมาทักทายหญิงสาวที่สวมชุดทำงานท่าทางทะมัดทะแมง แต่เมื่อสังเกตให้ดีท้องของเธอภายใต้ชุดกางเกงทำงานนั้นนูนเด่นชัด

เธอเอ่ยสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานก่อนจะหันมาทางชายหนุ่มที่อยู่ในชุดทำงานเรียบกริบ “เป็นไง”

“เป็นไงอะไรพี่”

“กระบี่ไง”

“สบ๊ายยย แล้วนี่คนท้องดื่มกาแฟได้เหรอ”

“ได้สิ แค่แก้วเดียว” เธออตอบแล้วหลังจากนั้นเครื่องดื่มที่พิรัลสั่งไว้ก็ถูกเสิร์ฟพอดิบพอดี “เออ เจตน์ เดี๋ยวขึ้นไปแล้วพี่ขอคุยด้วยนะ”

“คุยตอนนี้เลยก็ได้พี่”

“ขอกินข้าวก่อนสิ แล้วเดี๋ยวไปตาม เคนะ” สิ้นคำเธอส่งเสียงไล่ชายหนุ่มลูกน้องให้พ้นทาง พิรัลหัวเราะก่อนจะรับคำแล้วเดินออกจากร้านเครื่องดื่มไปในช่วงเช้าของวันจันทร์ วันเริ่มต้นแห่งการทำงาน

ตอนเก้าโมงครึ่งพิรัลถูกเรียกพบในห้องประชุมขนาดเล็กอย่างไม่เป็นทางการ หัวหน้าของเขาดื่มกาแฟดำและเขมือบครัวซ็องเพิ่มหลังจากที่เธอบอกว่าเพิ่งกินข้าวกล่องไปแล้วหนึ่งกล่อง เธอบอกว่าลูกหิว พิรัลหัวเราะลั่นแล้วหยอกล้อนิดหน่อยให้อารมณ์ดียามเช้าก่อนที่หัวหน้าจะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงเวลาเป็นการเป็นงาน

“พี่รู้ว่าเราเหนื่อยมาก”

“พี่หวาน ผมไม่ได้ป่วยขนาดนั้น ถ้าไม่ไหวก็หยุดพัก ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น พี่หมายถึงตอนนี้มันจะมีโปรเจคใหม่เพิ่มเข้ามาอีกเยอะ ทีนี้ถ้าจะให้เจตน์ดูแลโปรเจคอื่นเพิ่มอีกก็คงไม่ไหว พี่มองขนาดงานแล้วไม่ไหวแน่ๆ โปรเจคใหม่นี้พี่ก็เลยรับคนเข้ามา”

“เดี๋ยว นี่อัลฟี่แอพพรูฟคนเพิ่มเหรอ หูฝาดป่าวพี่”

“เออ ตอนไปคุยก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ผ่าน”

“แล้วโปรเจคใหม่ผมต้องไปสแตนบายที่ไซต์นานมั้ย”

“เจตน์คิดยังไงถ้าพี่ให้เจตน์บริหารคนเพิ่มด้วย” หวานตอบด้วยการโยนคำถาม

พิรัลนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ในสมองประมวลคำถามที่ได้ยิน “พี่หมายถึงยังไง”

“พี่จะโปรโมตเจตน์แทนตั้ม ตั้มจะลาออก แล้วเจตน์ก็รู้งานจากตั้มมาหมดแล้ว อยู่ที่เจตน์นี่แหละว่าอยากทำรึเปล่า”

พิรัลยังคงเงียบ

“จะเอาไปคิดก่อนก็ได้นะ ยังพอมีเวลาอยู่ แต่ถ้าเจตน์ไม่ทำพี่ต้องหาคนมาแทนตั้ม”

ทั้งหัวหน้าและลูกน้องต่างครุ่นคิดกันไปพักใหญ่ สุดท้ายพิรัลก็เอ่ยปากตอบรับ “ทำครับ”

“ดี งั้นเริ่มจากสอนงานน้องใหม่เลยแล้วกัน น่าจะมารออยู่ตรงรีเซปชั่นแล้ว”

“เดี๋ยว พี่หวาน นี่รับเด็กมาใหม่แล้วเหรอ ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย นี่มีใครรู้อีกป่าว”

“ทุกคนจะรู้พร้อมกันวันนี้แหละ” หญิงสาวหัวหน้าดื่มกาแฟจนหมดก่อนจะตามด้วยน้ำเปล่า ขณะที่พิรัลยังคงพยายามรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมจู่โจมเข้ามา

เขาคิดว่าการไปพักผ่อนที่กระบี่จะช่วยชาร์จพลังก่อนกลับมาทำงาน แต่พอเริ่มต้นทำงานวันจันทร์เท่านั้นแหละดูเหมือนพิรัลจะต้องการพลังมากกว่าเดิม พลังจากกระบี่ไม่น่าเพียงพอเขาอาจจะต้องหาทริปบียอนด์เอเชียสักหน่อยเสียแล้ว

“พี่จะพาน้องใหม่ไปแนะนำในทีมก่อน แล้วเดี๋ยวเจตน์พาน้องไปแนะนำทีมอื่นด้วยนะ พี่มีประชุมกับอัลฟี่ตอนสิบโมง” เธอร่ายยาวก่อนจะลุกขึ้นยืน

“พี่หวาน แล้วเรื่องพี่ตั้มคนอื่นรู้มั้ยครับ”

“ตั้มจะบอกวันนี้แหละ นางจะอยู่ช่วยจนกว่าพี่จะลาคลอด”

พิรัลพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตามหัวหน้าออกจากห้องประชุมไป หญิงสาวยืนรอลูกน้องที่หมายมั่นปั้นให้เติบโตอยู่ที่ประตูทางออกจากออฟฟิศชั้นใน เธอกดปุ่มเปิดประตูเพื่อออกไปสู่ชั้นนอกซึ่งเป็นส่วนต้อนรับลูกค้า เด็กใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานกำลังนั่งรอตามนัด พิรัลนิ่งค้างไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายในชุดทำงานเรียบร้อยตามปกติ ฝ่ายนั้นกำลังลุกขึ้นทักทายหญิงสาวที่เป็นหัวหน้า พิรัลแทบก้าวขาไม่ออก ตรงหน้าตอนนี้หัวหน้าของเขายิ้มแย้มส่งสายตาเป็นเชิงให้พิรัลเดินเข้าไปหา ด้วยวุฒิภาวะและความเป็นมืออาชีพพิรัลก้าวเข้าไปหาเด็กใหม่ด้วยหัวใจที่ไม่อาจยับยั้งให้เต้นแรงได้

“เจตน์ นี่น้องกานต์ เด็กใหม่ทีมเรา กานต์ นี่พี่เจตน์”

เด็กใหม่ที่หัวหน้ารับมานั้นคุ้นหน้าคุ้นตากับพิรัลเป็นอย่างดี พวกเขาสองคนอยู่ในช่วงเวลาประดักประเดิด แต่สุดท้ายพิรัลก็ส่งยิ้มให้น้องร่วมทีมด้วยมิตรไมตรี

“สวัสดีครับพี่เจตน์” นิพัทธ์ยกมือไหว้ตามมารยาทหากในแววตากลับมีความสับสนงงงวยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มากพอที่จะแสดงอะไรมากจนสังเกตเห็นได้ชัด อย่างน้อยหัวหน้าของพวกเขาก็ยังไม่เห็นผิดสังเกต

“หวัดดี” พิรัลตอบแล้วหลังจากนั้นหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าก็พาน้องใหม่เดินเข้าสู่ออฟฟิศชั้นในซึ่งเป็นส่วนที่พนักงานนั่งทำงานกันตามปกติ จะมีก็แต่พิรัลและนิพัทธ์เท่านั้นที่ไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่

นอกจากงานที่คั่งค้างและโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานกำลังจู่โจมพิรัลอยู่นั้น สิ่งที่ทำให้พิรัลหนักหนาใจจนไม่ค่อยมีสมาธิมากนักเห็นทีคงไม่พ้นพนักงานใหม่ที่ชื่อกานต์

พิรัลมารู้คราวหลังว่าชายหนุ่มที่เขาร่วมหลับนอนด้วยนั้นอายุห่างจากกันเป็นสิบปี นิพัทธ์อายุยี่สิบห้าขณะที่พิรัลอายุสามสิบหก มันไม่เชิงว่าเขาพรากผู้เยาว์หรอก เขาไม่เคยสนใจเรื่องนั้นตราบเท่าที่อีกฝ่ายสมยอมและไม่เรียกร้องสิ่งใด แต่ที่น่าหนักใจคงจะเป็นเพราะต้องร่วมงานกัน พิรัลคิดว่าด้วยวุฒิภาวะ ประสบการณ์ชีวิต และสิ่งต่างๆรอบกายสามารถทำให้เขาแยกเรื่องส่วนตัวได้แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เขายังคงมองว่าชายหนุ่มตัวขาวนี้เป็นวันไนท์สแตนด์ที่น่าประทับใจ นอกเหนือจากนั้นตัวตนของเขาที่แสดงออกเมื่อครั้งอยู่ที่กระบี่ก็ถูกเผยไปแล้วอย่างหมดจด หากจะไม่ให้หวนคิดเรื่องที่ร่วมกระทำด้วยกันในคราวนั้นก็คงผิดแปลกไปบ้าง ส่วนของฝ่ายนั้นเองพิรัลคิดว่าก็คงหนักใจไม่แพ้กันเพราะเสียงออดอ้อนเพื่อขอให้พิรัลสอดใส่กายเข้าไปยังคงไม่ลืมเลือน

พิรัลยืนมองนิพัทธ์ที่กำลังยกมือสวัสดีพี่ๆในทีมคนอื่น หลายคนก็แสดงความเอ็นดูด้วยการชวนไปดื่มเหล้าหลังเลิกงานเสียตั้งแต่วันนี้ แต่หัวหน้าสาวของพวกเขาก็ขัดคอด้วยการยกเรื่องงานมาอ้าง หวานบอกให้พิรัลช่วยรับช่วงต่อก่อนจะปลีกตัวหายไปประชุมกับอัลฟี่เจ้านายชาวต่างชาติตามที่เคยได้กล่าวไว้ พิรัลรู้สึกถึงความอึดอัดตีตื้นขึ้นมาและอยากหนีหายไปตั้งสติเงียบๆเพียงลำพัง แต่เพราะหน้าที่การงานและความคาดหวังจากหัวหน้าทำให้เขายังยืนอยู่ตรงนี้ ความเป็นมืออาชีพที่สั่งสมมามันน้อยเกินไปจริงๆ

“คุณไท คุณป๊อปปี้ ผมพาน้องใหม่มาแนะนำครับ ชื่อกานต์”

นิพัทธ์ยกมือไหว้เป็นรอบที่ล้านและแนะนำตัวเองคร่าวๆกับหัวหน้าเซลและพรีเซล คุยไปคุยมาได้สักพักก็รู้เพิ่มว่านิพัทธ์จบมาจากที่เดียวกับพรีเซลที่ชื่อป๊อปปี้ พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อยตามประสาคนจบที่เดียวกัน

“แล้วกานต์มาช่วยงานของหมิงหรือของหวานล่ะ เจตน์”

“น้องมาช่วยงานฝั่งพี่ตั้มครับ”

“อ๋อ ออนไซต์กับตั้มเหรอ แล้วนี่เคยออนไซต์ลูกค้ามั้ยกานต์ ไหวมั้ย งานที่นี่หนักนะ”

“ไหวครับ ผมเคยออนไซต์แล้ว”

จากนั้นก็พิรัลก็ตัดบทด้วยการบอกว่าจะพาเด็กใหม่ไปแนะนำทีมอื่นให้รู้จักอีกด้วยเพราะไม่อยากยืดเยื้อบทสนทนาไปนานกว่านี้ ทีมที่จะพาไปรู้จักต้องเดินผ่านโถงทางเดินซึ่งด้านข้างเป็นห้องประชุมบริเวณนั้นจึงค่อนข้างเงียบสงบ และสบโอกาสให้นิพัทธ์สามารถคุยกับพิรัลได้อย่างเป็นส่วนตัว

“คุณ ผม…”

“เข้ามาคุยในนี้” พิรัลเปิดประตูห้องประชุมที่ไม่มีคนอยู่ “ว่าไง” เขาเอ่ยถามท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศและไฟในห้องประชุมที่ไม่ได้เปิด

“ผมไม่รู้ว่าคุณทำงานอยู่ที่นี่”

“ไม่มีใครรู้หรอก ช่างมันเถอะ”

“แต่ว่าผม…”

“กานต์ ไม่มีใครรู้หรอก” พิรัลมองสบดวงตาของชายหนุ่มตัวขาว ความมั่นคงฉายแววอยู่ในนั้นเพื่อเป็นหลักไม่ให้คนที่อายุน้อยกว่าตื่นตระหนกใจเกินกว่าที่ควรจะเป็น เขาได้แต่หวังว่าสิ่งที่พูดออกไปจะสร้างความเข้าใจตรงกันนั่นก็คือ หนึ่ง ไม่มีใครรู้ชีวิตส่วนตัวของกันและกัน สอง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหน สาม ไม่มีใครรู้อะไรทั้งนั้นว่าแม่งจะโคจรมาเจอกัน

“ครับ”

พวกเขาเงียบลงช่วงอึดใจหนึ่งก่อนที่พิรัลจะรวบรวมตั้งสมาธิกับหน้าที่ที่ต้องกระทำ “ผมจะพาคุณไปแนะนำตัวกับทีมอินฟราฯ แล้วพอกลับมาก็ช่วยหญิงคาริเบตหน้าจอเครื่องโพสหน่อย”

“ได้ครับ”

พิรัลจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า จนถึงเวลานี้สถานะใหม่ระหว่างพวกเขาก็ยังไม่เคยชินเสียที

“กานต์ ไม่มีใครรู้อะไรหรอก”

น้ำเสียงที่เปล่งเพื่อย้ำเตือนออกไปนั้นค่อนข้างเป็นไปในเชิงปลอบประโลม พิรัลพอจะเข้าใจว่าระหว่างพวกเขานั้นวุฒิภาวะและความเป็นมืออาชีพค่อนข้างต่างกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนวัยยี่สิบห้าที่เพิ่งผ่านการใช้ชีวิตในที่ทำงานมาได้ไม่กี่ปี


“ฟังผมนะกานต์ ระหว่างผมกับกานต์เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งรู้จักกัน เข้าใจตามนี้นะ”




************************************




ติดตามตอนต่อไปในเร็วๆนี้ด้วยนะคะ  :hao5:

หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สอง - ลาก่อนกระบี่ 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 07-10-2018 14:41:14
พิรัลน่าจะเป็นโรคหัวใจ ไม่ก็มะเร็ง แต่มาแซ่บกันตั้งแต่ไม่รู้จักชื่อแบบเนี้ย แถมยังมาเป้นหัวหน้าลูกน้อง อายุห่างกันสิบปีไปอี๊กกกอิชั้นเตรียมทิชชู่ไว้รอเลยค่ะ

อ่านลื่นไหลมากเลย บรรยายดี อารมณ์เรื่องก็ดี ชอบค่ะะะะะะะ :katai2-1:
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สาม - ไอศกรีม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 07-10-2018 19:07:01
ตอนที่สาม



นิพัทธ์ประสบปัญหามาหลายวันแล้ว เขายังอ่อนหัดในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ใครจะคาดคิดกันเล่าว่าจะได้เจอคนที่ร่วมเตียงด้วยในที่ทำงาน แม้จะไม่มีความผูกพันธ์ทางความรู้สึกแต่เขาทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าสบตากับพิรัล นิพัทธ์ผิดสังเกตตัวเองที่มีอารมณ์ว้าวุ่นแบบนี้และเขาไม่ชอบมันเลยด้วย นิพัทธ์พยายามตั้งสมาธิเพื่อกำจัดอารมณ์ส่วนตัวแต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ชายหนุ่มตัวขาวนั่งถอนหายใจยาวอยู่ในห้องสุขาทั้งๆที่ไม่ได้มาเพื่อถ่ายหนักถ่ายเบา เขามาเพื่ออู้งานโดยเฉพาะ หากหัวหน้าจับได้คงโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ แต่เพราะนิพัทธ์ไม่ใช่คนไร้ประสบการณ์เหมือนเด็กจบใหม่เขาก็พอมีทางหนีทีไล่ไม่ให้ผิดสังเกตมากนัก นิพัทธ์ถอนหายใจยาวอีกครั้งก่อนจะกดชักโครกแล้วเดินออกจากห้องสุขา ทว่าเมื่อเปิดประตูกลับเห็นใครอีกคนที่กำลังยืนทำธุระเบาอยู่ สองตาสบประสานกันเมื่อนิพัทธ์ไปยืนล้างมือ เขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเอ่ยทักหรือวางสีหน้าแบบไหน

“ตอนเที่ยงกินข้าวที่ไหน”

เสียงจากเพื่อนร่วมงานเอ่ยทัก

“ยังไม่รู้เลยครับ”

พิรัลทำธุระเบาเสร็จแล้ว สองขาก้าวเข้ามาสมทบอีกฝ่ายที่อ่างล้างมือ เขามองคนที่เด็กกว่าด้วยสีหน้าราบเรียบทว่าในใจกำลังคิดอะไรต่างๆมากมาย “งั้นไปกินข้าวที่ชั้นเก้าแล้วกัน”

“ได้ครับ” นิพัทธ์ตอบพลางเช็ดมือ เขาไม่แม้แต่จะสบตากับพิรัลเลย

“กานต์”

“ครับ”

พิรัลเอื้อมไปคว้ากระดาษมาเช็ดมือ เขายังคงวางสายตาไว้ที่นิพัทธ์ “มีอะไรอยากบอกผมมั้ย”

เด็กหนุ่มเงียบกริบ แต่เมื่อพิรัลก้าวเข้าหาก็ทำให้พวกเขาได้สบตากัน “ไม่มีครับ”

เสียงที่ตอบมานั้นแผ่วเบา นิพัทธ์ในที่ทำงานดูไม่เหมือนนิพัทธ์ที่กระบี่เลย ซึ่งพิรัลเองก็พอจะทำความเข้าใจได้ “เดี๋ยววันนี้จะมีเครื่องจากลูกค้าส่งเข้ามาซ่อม ผมจะให้กานต์รับของแล้วก็ลองซ่อมเครื่องดู”

“ได้ครับ”

“โอเคมั้ย”

“โอเคครับ”

“ผมหมายถึงว่ากานต์โอเคที่จะทำงานร่วมกับผมมั้ย”

ดวงตาสีเข้มมองจ้อง น้ำเสียงดูขึงขังจนนิพัทธ์รับมือไม่ถูก นี่เขากำลังถูกดุหรือกดดันอะไรกันอยู่เนี่ย “ผมทำได้ครับ”

น้ำเสียงที่ได้ฟังยังคงไม่หนักแน่น แต่สิ่งที่พิรัลต้องการนั้นไม่ใช่การกดดันใดๆ เขาแค่อยากให้นิพัทธ์เข้าใจว่า ณ เวลานี้พวกเขาต้องตั้งสมาธิกับงาน แต่ดูจากท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วพิรัลกลับรู้สึกผิดที่พูดอะไรทำนองนั้นออกไป

“ตามผมมา”

นิพัทธ์เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินนำออกไปโดยไม่รอให้ถามสิ่งใดเขาก็จำต้องเลยตามเลย


พิรัลพาเด็กใหม่ออกมากินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าใกล้ที่ทำงานแทนที่จะเป็นชั้นเก้าตามที่เคยเอ่ยไว้ พนักงานใหม่อย่างนิพัทธ์งุนงง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะยังสงวนท่าทีไม่แสดงอะไรออกไปมาก พวกเขาออกมาก่อนเวลาพักเที่ยงเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับชาวออฟฟิศที่บริษัทนี้

หลายวันที่ผ่านมาทำให้นิพัทธ์เรียนรู้และปรับตัวกับวัฒนธรรมองค์กร ที่บริษัทมีกำหนดชั่วโมงทำงานพร้อมกับกฎระเบียบต่างๆไว้ แต่สภาพแวดล้อมจริงนั้นดูสบายๆไม่เคร่งครัดเรื่องเวลาเข้าออกงานมากนัก ในตอนที่สัมภาษณ์กับคุณหวานนั้นเธอบอกชัดเจนว่าที่บริษัทนี้อยู่ได้ด้วยผลงานเป็นหลัก ส่วนเรื่องระเบียบวินัยก็ผ่อนปรนให้ตามลำดับ ไม่มีใครบีบบังคับว่าต้องเข้างานแปดโมงครึ่งเป๊ะ แต่หน้าที่รับผิดในส่วนของแต่ละคนจะต้องไม่กระทบกับงาน นิพัทธ์ดิ้นรนจะเป็นจะตายเพื่อให้ได้ทำงานในบริษัทที่มีแนวทางแบบนี้ ยืดหยุ่นและมองค่าของคนที่ผลงานไม่ใช่ชั่วโมงการทำงาน แต่เมื่อองค์กรไม่ได้นำเวลาเข้างานมาเป็นหลักในการประเมิน สิ่งที่ทำให้นิพัทธ์ต้องพยายามมากขึ้นย่อมเป็นเรื่องของผลงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่ Good แต่ผลงานที่นิพัทธ์กดดันตัวเองไว้อยู่ในขั้น Excellent

วันนี้พิรัลสวมใส่เสื้อโปโลที่มีตราของบริษัทขนาดเล็กประดับอยู่บนเสื้อ นิพัทธ์จึงอดมองกล้ามแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาไม่ได้ เขาเคยจับมันในตอนที่กำลังถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ แขนสองข้างนั่นเคยประคองกอดโอบร่างของเขาไว้ มันให้นิพัทธ์รู้สึกดีๆอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบทรักของพิรัลทำให้นิพัทธ์ยังวาบหวิวอยู่ในส่วนลึก ถึงแม้ว่าพิรัลในที่ทำงานจะดูเป็นคนขึงขังและดูดุดันไปหน่อยก็ตามทีเถอะ
สาเหตุที่พิรัลพาน้องใหม่มานั่งกินข้าวในร้านอาหารแห่งนี้ยังไม่มีใครล่วงรู้และนิพัทธ์ก็ไม่กล้าถาม บรรยากาศระหว่างพวกเขาสองคนแปลกประหลาดหาคำจำกัดความไม่ได้ จะว่าอึดอัดก็ไม่เชิงเพราะนิพัทธ์ไม่ได้ขุ่นข้องใจที่ได้ร่วมงานกับพิรัล จะว่าสบายใจก็ไม่ใช่อีกเพราะนิพัทธ์ยังรู้สึกประหลาดกับสถานะภาพที่เปลี่ยนไปในช่วงข้ามคืน ถ้าเพียงแค่รู้จักกันผิวเผินคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอกแต่นี่รู้จักกันลึกไปหน่อย ลึกจนนิพัทธ์เสียวท้องไปหมด

“คุณ... เอ่อ พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“ผมขอแวะร้านหนังสือก่อนกลับออฟฟิศได้มั้ยครับ”

“ตามสบายครับ”

หลังจากนั้นพวกเขาก็กินอาหารตรงหน้ากันอย่างเงียบเชียบ พิรัลไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพาเด็กใหม่ออกมากินอาหารแบบนี้ ไม่ใช่ว่าแค่พามากิน แต่พามาเลี้ยงอาหารน่าจะเหมาะกว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้พิรัลพยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน พยายามเปลี่ยนความรู้สึกให้นิพัทธ์ตั้งสมาธิกับสถานะใหม่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พิรัลเองก็ยังคงคิดถึงวันวานที่กระบี่ เด็กคนนี้ใช่ว่าจะเด็กไปเสียหมดเมื่อไหร่ล่ะ กับเรื่องบนเตียงนิพัทธ์ดูจะโตเกินไปเสียด้วยซ้ำ

“ขอโทษครับ”

เสียงนั่นดังขึ้นหลังจากเกิดอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆอย่างถอยหลังแล้วชนกันในร้านหนังสือ พิรัลมองชายหนุ่มตัวขาวด้วยสีหน้านิ่งเฉยก่อนจะเมินหน้าไปอีกทางเพื่อดูหนังสือของตัวเองต่อ นิพัทธ์หลบสายตาแล้วเดินหลีกไปอีกฝั่งด้วยความรู้สึกประหลาดที่ยังไม่จางหายไปไหน ก่อนหน้านี้หลังจากที่พวกเขากินอาหารมื้อกลางวันเสร็จพิรัลก็พานิพัทธ์มาร้านหนังสือ พวกเขาแยกย้ายกันเดินดูหนังสือตามที่ต้องการได้พักหนึ่งแล้ว นิพัทธ์มองนาฬิกาข้อมือและพบว่าตอนนี้ล่วงเลยเวลาพักมาเกือบหลายสิบนาที ถึงเวลาที่ควรกลับออฟฟิศ นึกได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มที่กังวลเรื่องเวลาก็หันหลังกลับทันที ทว่าชนเข้าเต็มแรงอีกครั้งเมื่อพิรัลดันยืนอยู่ใกล้ เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในเหตุการณ์ตามละครหลังข่าว

“ขอโทษครับ” นิพัทธ์เอ่ยด้วยสีหน้ากังวล สองตาประสานกันก่อนที่เด็กหนุ่มจะเป็นฝ่ายเริ่มพูด “ผมจะบอกว่ามันเลยเวลาพักมาเยอะแล้วครับ”
พิรัลไม่แสดงความสนใจกับเวลาพักที่ล่วงเลยสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ซื้อหนังสืออะไร”

“ผมว่าจะลองสอบ ITIL ดูครับ ก็เลยซื้อหนังสือมาอ่านดูก่อน”

พิรัลพยักหน้าแล้วคว้าหนังสือในมือของเด็กหนุ่มไปจ่ายเงินให้โดยไม่รอฟังคำทักท้วงอื่นใดเช่นเคย นิพัทธ์ยืนงงอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเดินตามไป

“พี่เจตน์ ค่าหนังสือกับค่าข้าวครับ”

เขารู้ว่านิพัทธ์มีปัญญาจ่ายทั้งค่าข้าวและค่าหนังสือ แต่ฝ่ายชายหนุ่มลังเลที่จะรับเงินอย่างไร้เหตุผล “ผมเลี้ยง”

นิพัทธ์ไม่ได้ตื้อให้รับเงินอีกเพราะพิรัลเล่นเมินเดินหนีนำหน้าไปอีกครั้งเสียแล้ว

บ่ายวันนั้นนอกจากจะง่วงสุดขีดนิพัทธ์ยังต้องอยู่กับความสับสนทั้งวัน เขาตั้งใจที่จะไม่คุยกับพิรัลเกินกว่าความจำเป็น หลายวันก่อนหน้านี้เขาสามารถทำได้แต่วันนี้โชคร้ายเป็นของนิพัทธ์เมื่อทั้งหญิงและโอมเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกับนิพัทธ์ออกไปออนไซต์กันหมด ส่วนคุณหวานที่เป็นหัวหน้าก็ไม่ค่อยได้เข้ามาที่ ‘คอก’ นี้เท่าไหร่เพราะต้องประชุมแทบตลอดทั้งวัน คอกที่ว่านี้ก็เป็นส่วนพื้นที่ที่ให้ทีมของนิพัทธ์นั่งทำงาน ภายในห้องที่ค่อนข้างเป็นสัดส่วนนั้นแบ่งพื้นที่หลักเป็นสองฝั่งด้วยกัน ฝั่งหนึ่งเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งทำงานทอดยาวติดผนังห้อง ถัดไปด้านหลังจะเป็นชั้นวางอุปกรณ์เกี่ยวกับงานซ่อมเครื่องต่างๆและรวมถึงชั้นเก็บอะไหล่อีกด้วย

นิพัทธ์นั่งเช็คหมายเลขเครื่องโพสที่ลูกค้าส่งมาซ่อม ส่วนพิรัลนั่งทดสอบเครื่องที่ซ่อมเสร็จซึ่งรับมาจากเวนเดออยู่อีกมุมคนละฝั่งกับเด็กใหม่ ไม่มีใครพูดอะไรกันมากนักในช่วงบ่ายของชาวออฟฟิศ นิพัทธ์เดินเข้ามาถามพิรัลเกี่ยวกับงานเป็นครั้งคราว บางทีฝ่ายนั้นก็เดินเข้าไปช่วยบ้าง จากนั้นก็แยกกันไปทำงานของตนเอง ทั้งๆที่ดูสงบสุขและไม่น่าเกิดปัญหาอะไรแต่นิพัทธ์กลับไม่รู้สึกเช่นนั้น จิตใจของเขามันคอยหวนคิดถึงเรื่องของพิรัล เขารู้สึกเหมือนวัยรุ่นหมกมุ่นเรื่องรักใคร่ เน้นไปทางใคร่หนักกว่านิดหน่อย นั่งคิดอยู่เรื่อยว่าจะควรจะต้องเข้าหาอีกฝ่ายยังไง จะพูดแบบไหนไม่ให้พิรัลดุใส่ จะวางตัวยังไงไม่ให้ดูเป็นพิรุธ บ้าบอสารพัดสารพันจะคิด รู้ตัวอีกทีก็มองเห็นรองเท้าผ้าใบของอีกฝ่ายเดินเข้ามายืนอยู่เหนือหัวขณะที่ตัวเองกำลังวุ่นอยู่กับการซ่อม Cash drawer

“กานต์กลับบ้านได้แล้ว”

นิพัทธ์มองนาฬิกาบนข้อมือตัวเองและพบว่าถึงเวลาเลิกงานพอดี เกินมานิดหน่อยอย่างไม่รู้ตัว “เดี๋ยวผมซ่อมลิ้นชักเครื่องนี้ก่อนแล้วค่อยกลับครับ” พอสิ้นคำฝ่ายนั้นก็เดินกลับไปอีกฝากฝั่งเช่นเดิม และต่างคนต่างหมกมุ่นกับงานของตัวเอง

“อ้าว เด็กๆยังไม่กลับกันอีกเหรอ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นเป็นหัวหน้าของพวกเขาที่เดินเข้ามาในห้องและวางแลปทอปไว้บนโต๊ะ “กลับได้แล้วน้องกานต์ เจตน์ด้วย”

เจ้าของชื่อที่เอ่ยตามหลังนั่งนิ่งไม่ได้พูดอะไร หัวหน้าของเขาส่งสัญญาณขอคุยและเดินออกไปกันอย่างเงียบเชียบ

“ว่าไงพี่”

“น้องกานต์เป็นไงมั่ง”

“ขยันดี น้องใหม่ไฟยังแรงอยู่”

“เออ ดี ให้แรงๆหน่อย เดี๋ยวไม่ผ่านโปรฯ ว่าแต่ทำไมยังไม่กลับกัน ติดงานเหรอ”

“น้องบอกจะซ่อมแคชดรอเว่อให้เสร็จก่อน”

หัวหน้าของเขาหันมามองแล้วทำท่าพึงพอใจ เธอคุยเรื่องงานต่ออีกพักใหญ่ว่าจะมีโปรเจคอื่นเข้ามาและต้องการให้พิรัลทำอะไรบ้างโดยสังเขป พิรัลได้แต่รับฟัง คิดล่วงหน้าไปแล้วว่าจำนวนงานที่จะได้เจอนั้นหนักหนาขนาดไหน เพราะทุกวันนี้เขาทำงานหนัก ตื่นเช้ามาเข้างาน บางทีรอมืดค่ำให้ร้านปิดทำการ ถึงจะได้เข้าไปซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆให้ แถมยังต้องมานั่งเขียนรายงานส่ง ไหนจะต้องคอยดูงานของน้องในทีมอีก พิรัลนึกถึงตั้มรุ่นพี่ที่ทำงานซึ่งเคยถ่ายทอดวิชาเหล่านั้นให้ เขาไม่รู้ว่าพี่ตั้มบริหารงานและบริหารคนไปในเวลาพร้อมกันได้ยังไงไม่ให้ตายไปเสียก่อน แต่สุดท้ายพี่ตั้มก็ลาออกเพราะได้งานที่อื่นซึ่งคงจะไปนั่งบริหารคนมากกว่าต้องลงมือปฏิบัติ

ในตอนที่พิรัลเข้ามาทำงานได้ไม่นานเขานึกสงสัยว่าคุณหวานหายไปไหนทำไมถึงไม่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ต่อมาก็พบว่าหวานต้องประชุมกับเจ้านายคนอื่นบ่อยครั้ง บริหารงาน บริหารลูกน้อง รับมือกับปัญหา แก้ไขสิ่งที่ผิด แถมยังต้องมานั่งประเมินผลงานลูกน้องอีก ยังไม่รวมถึงความกดดันในหน้าที่การงานระดับผู้จัดการที่พิรัลฟังชื่อตำแหน่งแล้วก็ปวดหัว เมื่อเติบใหญ่ขึ้นพิรัลจึงได้เรียนรู้ว่าการบริหารคนนั้นยากที่สุด ยิ่งกว่าบริหารงานอีก

หวานตั้งความหวังไว้ที่ลูกน้องคนนี้ เธอเห็นแววก้าวหน้าในตัวของพิรัลและอยากโปรโมทให้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เมื่อขออนุมัติจากเบื้องบนแล้วโดนปฏิเสธมาหลายครั้งด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่ แต่แล้ววันนี้พิรัลกำลังจะได้โอกาสนั้น เธอได้แต่หวังว่าพิรัลจะสามารถก้าวผ่านงานและเติบโตไปได้ไกลกว่านี้

“กลับบ้านได้แล้วนะเด็กๆ” หลังจากกลับมาถึงคอกเธอก็บอกกล่าวกับพิรัลและนิพัทธ์อีกครั้ง หวานเก็บสัมภาระต่างๆลงกระเป๋าและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

นิพัทธ์ไม่ได้ใส่ใจอย่างอื่นไปมากกว่าการซ่อมลิ้นชักเก็บเงินที่ลูกกลิ้งยังคงฝืดไม่หายแม้ว่าจะใส่น้ำมันอเนกประสงค์ไปแล้ว เขาแงะลิ้นชักออกมาอีกเพื่อดูว่าติดปัญหาอยู่ที่ส่วนไหนก่อนจะเดินไปค้นอุปกรณ์ในกล่องมาลองซ่อมดูอยู่นานสองนาน น้ำมันอเนกประสงค์ที่เคยใช้ไปก่อนหน้านี้หมดลงแล้ว เขาหันรีหันขวางเห็นหนุ่มรุ่นพี่นั่งทำงานอยู่หน้าแลปทอปก็ไม่กล้าเข้าไปกวนอีกเพราะกวนถามปัญหามาทั้งวัน นิพัทธ์นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไอ้ประเภทไม่กล้าเข้าหาทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนแบบนั้นเลย แต่สุดท้ายแล้วนิพัทธ์ก็ก้าวเข้าไปหาพิรัล

“พี่เจตน์ มีโซแน็กอีกมั้ย ผมใช้หมดแล้ว”

พิรัลเงยหน้ามาจากจอแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมา นิพัทธ์แทบไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนพกเครื่องมือช่างแบกไปกลับทุกวัน แต่ก็ต้องเชื่อแหละเพราะพิรัลเป็นคนประเภทนั้น ในกระเป๋าของพิรัลมีทั้งเครื่องมือช่างบางอย่างแถมยังมีน้ำมันอเนกประสงค์อีกด้วย นิพัทธ์รับขวดน้ำมันนั่นมาและลงมือพ่นมันเพิ่มอีก

“เสร็จเครื่องนี้แล้วกลับบ้านได้เลยนะ ไม่ต้องอยู่ทำอีก ดึกแล้ว”

นิพัทธ์ไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่สนใจอยู่กับการทดสอบดึงลิ้นชักเข้าออก จากนั้นก็ต่อสายต่างๆเข้ากับเครื่องโพสและลองกดสั่งจากโปรแกมเพื่อดูว่าลิ้นชักจะเด้งออกมาตามปกติหรือเปล่า แต่แล้วลิ้นชักเก็บเงินกลับไม่เด้งออกตามที่ควรจะเป็น

“ส่งให้เวนเดอซ่อมเลย” เสียงของพิรัลเอ่ยขึ้นแต่ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอแลปทอป “กานต์ มาทำรายการส่งซ่อมด้วย” พิรัลหันกลับมาด้วยสีหน้าที่ไม่คาดหวังว่าจะให้เด็กใหม่ต่อรองได้เลย

นิพัทธ์ลากเก้าอี้เข้าไปนั่งด้านข้าง เลื่อนแลปทอปมาตรงหน้าและเริ่มลงมือพิมพ์รายละเอียดตามหัวข้อในไฟล์งานเอ็กเซล

“แยกเครื่องที่จะส่งให้เวนเดอซ่อมแล้วใช่มั้ย”

“แยกแล้วครับ”

จากนั้นพิรัลก็สอนงานน้องใหม่ไปตามเรื่องตามราว อย่างการแยกประเภทเครื่องที่จะส่งให้เวนเดอเจ้าไหนซ่อม บอกตารางวันที่เวนเดอแต่ละบริษัทจะเข้ามารับของ และจุกจิกอีกต่างๆมากมายจนเมื่อมองไปนอกอาคารก็พบว่าฟ้ามืดสนิท พิรัลมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มตัวขาว ไม่ได้ตั้งใจจะมองเพื่อกดดันหรืออะไรก็ตามในทำนองไม่ดี เขาเพียงแค่อดใจไม่ไหวจนต้องมองด้วยแรงดึงดูดบางอย่างบนโลกใบนี้ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะหันมาพิรัลจึงแสร้งมองไปทางอื่น

“พี่เจตน์ครับ แล้วผมต้อง CC ถึงใครบ้าง”

พิรัลเอื้อมมือไปพิมพ์ชื่อของบุคคลผู้เกี่ยวใส่ในช่องสำเนาแจ้งและบอกให้นิพัทธ์ตรวจดูรายละเอียดต่างๆอีกครั้งก่อนกดส่ง

“พี่เจตน์ครับ ผมถามเรื่อง…” เด็กใหม่ไฟแรงอย่างนิพัทธ์เอ่ยเรียกอีกครั้งและถามเกี่ยวกับงานซ่อมเครื่องอีกนิดหน่อย พิรัลใจเย็นแต่ไม่ใช่คนใจดีเขาไม่ใช่คนประเภทหุนหันพลันแล่น ซึ่งค่อนข้างตรงกันข้ามกับพี่ตั้มที่คิดอะไรได้ก็จะโพล่งตอบไปเลย แม้ว่าจะโดนถามบ่อยแต่พิรัลก็ยังไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไรมากนัก กลับกันเขาชอบเสียอีกที่เด็กใหม่สนใจงานแบบนี้

“แล้ว ถ้าผมออกไซต์ พวกเบี้ยเลี้ยงต้องเบิกยังไงครับ” พิรัลอธิบายพอสังเขป จะว่าไปเขากับนิพัทธ์ต้องตัวติดกันตอนออกไปต่างจังหวัดเป็นอย่างแน่นอน เพราะหวานได้ฝากฝังให้เขาสอนงานเด็กใหม่ พิรัลไม่รู้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ที่นี่ให้งบค่าห้องเยอะเหมือนกันนะ ที่เก่าผมได้โคตรน้อย เหมือนจะเข้าตัวนิดๆด้วยเพราะผมไม่ไหวกับห้องน้ำเน่าๆ ถ้าเลือกได้ก็ขอห้องดีหน่อย”

“ผมจำได้”

นิพัทธ์มองตาอีกฝ่ายเป็นเชิงสงสัย “จำได้เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องที่คุณเคยบอกว่าไม่ชอบใช้ห้องน้ำรวม”

ลมหายใจนิพัทธ์ติดขัดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อย้อนนึกถึงเรื่องห้องน้ำรวม เขาเคยเล่าให้พิรัลฟังว่าที่ยอมจ่ายค่าห้องแพงเพราะไม่ชอบห้องน้ำสกปรก พิรัลเลยล้อว่าเขาเป็นพวกลูกคุณหนู นิพัทธ์หัวเราะและตอบกลับไปว่าเคยเจอประสบการณ์ไม่ดีกับห้องน้ำรวมในโฮสเทลหรือโรงแรมสองดาวอย่างไรบ้าง จากนั้นก็คุยจุกจิกอีกสารพันเรื่อง ดูเหมือนว่าพอนิพัทธ์นิ่งเงียบไปพิรัลเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพูดเรื่องที่กระบี่ออกมา เขาแก้เก้อด้วยการเปลี่ยนเรื่องเป็นฟ้าดินอากาศ ก่อนจะบอกให้น้องใหม่เก็บของกลับบ้าน แต่พอเมื่อนิพัทธ์ส่งคืนกระป๋องน้ำมันเอนกประสงค์ให้ พิรัลจึงนึกขึ้นได้ว่าควรพานิพัทธ์แวะเข้าไปดูห้องเก็บอุปกรณ์ของทีมซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“พวกเครื่องเขียนกับอะไหล่บางอย่างอยู่ในห้องนี้ เวลาของหมดให้ไปเบิกที่โอมแล้วเดี๋ยวโอมจัดการเอง ส่วนกุญแจห้องอยู่ที่โอมกับผม” เขากล่าวพลางไขกุญแจก่อนจะเปิดเข้าไป นิพัทธ์เดินตามมองไปทั่วห้องเก็บของเล็กๆแห่งนั้นและไม่ได้สนใจอะไรมากนัก “คร่าวๆก็มีเท่านี้ นึกอะไรออกแล้วเดี๋ยวบอก”

“ครับ”

พิรัลมองเห็นกล่องใบหนึ่งแล้วนึกขึ้นได้ว่าควรจะต้องเบิกน้ำมันเอนกประสงค์ออกมาใช้ นิพัทธ์ชะงักก้าวถอยไปเมื่อเห็นพิรัลก้าวขาเข้าหา แม้ว่าดวงตาของอีกฝ่ายจะมองผ่านไปยังชั้นวางของด้านหลังแต่หัวใจของเด็กหนุ่มกลับเต้นตุบตับด้วยความตระหนก พิรัลเองก็เพิ่งรู้ว่าประชิดตัวนิพัทธ์อยู่ใกล้ ใบหน้าของพวกเขาอยู่ในระยะที่มองเห็นชัดเจน ฝ่ายคนที่แก่กว่ามองดวงตาของเด็กหนุ่มก่อนจะเลื่อนลงมองริมฝีปากที่เคยบดเบียดคลึงเคล้า พิรัลกลั้นหายใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวตอนที่เอื้อมแขนไปหยิบกล่องกระดาษออกมา เขาเปิดมันออกและหยิบขวดน้ำมันเอนกประสงค์ยื่นให้น้องใหม่รับไปถือไว้จากนั้นก็เก็บกล่องกระดาษเข้าที่เดิม

“เอาไปไว้ในห้องด้วยนะ เดี๋ยวผมจะเช็คของต่อ”

นิพัทธ์รับคำแล้วกล่าวร่ำลาก่อนจะหายไปจากห้องเก็บของแห่งนั้น ทิ้งไว้เพียงพิรัลที่หัวใจกำลังเต้นแรง




หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สาม - ไอศกรีม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 07-10-2018 19:08:11


“คุณหวานครับ วันนี้พี่เจตน์ไม่มาเหรอครับ”

เสียงของชายหนุ่มน้องใหม่เอ่ยถามคนเป็นหัวหน้าอยู่ด้านหลัง หวานหันหลังกลับมาเผชิญหน้าพร้อมทั้งเคี้ยวครัวซ็องไม่หยุดแม้ว่าตอนนี้จะใกล้เวลาพักเที่ยงแล้วก็ตามที “ลาครึ่งเช้า กานต์ติดงานอะไรอยู่รึเปล่า”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาหายตัวไปช่วยโอมขนของสำหรับออนไซต์ตั้งแต่เช้าตรู่ ขึ้นมาที่คอกมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเองและพบว่ายังไม่เห็นหน้าพิรัลทั้งๆที่ตอนนั้นสิบโมงแล้ว เขาคิดอยู่หลายตลบว่าควรจะถามใครจนเมื่อสบโอกาสเห็นคุณหวานนั่งทำงานอยู่ในห้องคนเดียวจึงลองถามดู แต่ก็ไม่กล้าซักไซ้เรียงความไปมากกว่านี้ ยังไม่ทันจะได้ล็อคอินเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เวนเดอที่ติดต่อให้เข้ามารับเครื่องไปซ่อมก็มาถึงพอดี จากนั้นนิพัทธ์ก็สนใจอยู่กับงานไปอีกพักใหญ่

เขากลับมานั่งลงที่เดิมอีกครั้งด้วยอาการปวดเมื่อยที่บั้นเอวเนื่องจากยกเครื่องโพสส่งให้เจ้าหน้าที่จากเวนเดอ หัวหน้าของเขาเดินมาบอกว่ามีคอนเฟอเร้นซ์คอลกับทางต่างประเทศก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว นิพัทธ์หันซ้ายหันขวาเนื่องด้วยงานที่รับผิดชอบหมดลงและยังไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ เขาเดินไปยืนมองชั้นวางของที่สูงท่วมหัวก่อนจะคว้าบันไดมาปีนหยิบลังกระดาษซึ่งวางอยู่ชั้นบนลงมาสองกล่อง ในกล่องหนึ่งบรรจุหัวที่ใช้เชื่อมต่อสายแลน ส่วนอีกกล่องเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้ประกอบหัวอาเจสี่สิบห้ากับสายยูทีพีเข้าด้วยกัน เขาหยิบคีมย้ำสายแลนออกมาและเริ่มต้นเข้าหัวสายแลนเพราะจำได้ว่าหญิงจะต้องใช้ออนไซต์ในวันข้างหน้าที่จะถึง จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกนอกจากงาน

ตอนเที่ยงกว่าพิรัลมาถึงที่ทำงาน ในออฟฟิศร้างคนเพราะเป็นช่วงเวลาพักกลางวันจะมีก็แต่นิพัทธ์ที่ยังนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง พิรัลยืนมองอีกฝ่ายที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวและคิดอะไรต่างๆมากมาย นิพัทธ์ไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าสวยหรืออะไรทำนองนั้น เขาดูเป็นผู้ชายทั่วไปที่ผิวขาว จะว่าหน้าตาหล่อเหลาก็บอกไม่ถูกแต่เมื่อเห็นหน้าครั้งแรกพิรัลก็รู้สึว่าชายหนุ่มคนนี้มีอะไรบางอย่างดึงดูดให้สนใจ

ตั้งแต่เริ่มต้นร่วมงานกันมาผลงานของนิพัทธ์อยู่ในเกณฑ์ที่เกินกว่าคาดหวังไว้ ความประพฤติเรียบร้อยแต่ดูท่าทางจะไม่ค่อยชอบเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงานสักเท่าไหร่ ซึ่งคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะนิพัทธ์เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน คาดว่าอีกหน่อยก็คงจะออกไปสังสรรค์กับสังคมที่ทำงานบ้าง พิรัลสังเกตเห็นบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผยออกมา เขารู้สึกถึงมันได้ว่านิพัทธ์มีอะไรมากกว่าที่เห็นแต่ก็ยังจับต้นชนปลายถูก

นิพัทธ์มาทำงานเช้าและกลับดึกเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่น่าแปลกไปสักหน่อยที่พิรัลไม่เคยถามไถ่น้องใหม่ที่ตัวเองรับผิดชอบสอนงานให้ว่าเดินทางกลับบ้านยังไง เขาควรถามมั้ย ถ้าถามแล้วจะเกิดอะไรขึ้น พิรัลยังไม่แน่ใจคำตอบนั้น ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรับผิดชอบน้องใหม่ด้วยการไปส่งถึงที่พักด้วยหรือเปล่า ทุกวันเวลาพิรัลพยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่านิพัทธ์คือเพื่อนร่วมงาน และพยายามกล่อมตัวเองว่าเขามีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนิพัทธ์ด้วยเรืองอื่นนอกจากงาน

“กินข้าวแล้วหรือยัง”

เด็กหนุ่มที่จดจ่อสมาธิอยู่กับการเข้าหัวสายแลนเป็นเวลานานสะดุ้งตกใจ มือข้างที่ถือคัตเตอร์ขณะกำลังกรีดสายตัวยึดพลั้งพลาดบาดนิ้วมือตัวเองลึกพอควรจนเลือดซึม พิรัลคว้ากระดาษทิชชูเข้าไปกดซับเลือดให้เป็นอันดับแรกก่อนจะเอ่ยปากชวนเด็กหนุ่มให้ไปห้องพยาบาล

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องไปหรอก วุ่นวาย” นิพัทธ์บอกปัดปฏิเสธไป แผลแค่นี้ไม่ทำให้เขาเสียเลือดอะไรนักหรอก อย่างมากก็เจ็บๆแสบๆปวดหนึบเท่านั้น ใช่ว่านิพัทธ์จะไม่เคยโดนคัตเตอร์บาด

พิรัลตีหน้าขรึมมองคนเด็กกว่าด้วยสายตาดุดัน แต่ก็ไม่ได้พูดตำหนิอะไร “แล้วนี่ทำไมไม่ไปพักกินข้าว”

“ผมว่าจะไปตอนบ่ายครับ”

“ที่นี่พักแค่ตอนเที่ยง”

นิพัทธ์แสดงสีหน้าสงสัย เมื่อหลายวันก่อนเขายังเคยได้ไปพักตอนบ่ายเลย แต่คิดไปคิดมามันเป็นเพราะพวกพี่ๆในทีมกำลังวุ่นวายกับงานจึงทำให้ได้ไปพักช้ากว่าปกติ

“คุณเข้ามาใหม่…” พิรัลยังใช้เสียงราบเรียบแต่แฝงความดุเจ้าระเบียบจนนิพัทธ์สลดลงเหมือนผักเหี่ยวๆ “ผมไม่อยากให้คุณถูกหักคะแนนเรื่องเวลาเข้างานตอนประเมิน”

“ครับ” เขาได้แต่ยินยอมอย่างไม่อาจโต้เถียงได้ แม้ในใจจะยังเต็มไปด้วยความสงสัย

“กานต์ชอบพักตอนบ่ายเหรอ”

“ก็ไม่เชิงว่าชอบครับ แต่ผมว่ามันเงียบกว่าตอนพักเที่ยงก็เลยคิดว่าสะดวกดี”

พิรัลเงียบและจ้องมองใบหน้าอีกฝ่าย เขาพลิกดูนิ้วที่ถูกคัตเตอร์บาดก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง
ตลอดช่วงบ่ายนั้นค่อนข้างตึงเครียดนิดหน่อย พิรัลเอ่ยปากต่อว่าโอมที่เพิ่งกลับมาจากการออนไซต์ด้วยเรื่องงานอย่างตรงไปตรงมาจนนิพัทธ์รู้สึกกดดันแทน เขาเข้าใจว่าการตำหนิในเนื้องานนั้นเป็นเรื่องปกติสามัญในสังคมที่ทำงาน แต่ดูเหมือนความกดดันที่โอมกำลังได้รับอยู่นั้นจะมากเกินไปราวกับโอมทำงานอยู่ในตำแหน่งบริหารทั้งๆที่อยู่ในระดับล่าง

พิรัลมอบหมายให้นิพัทธ์ทำคู่มือการใช้งานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง แต่เสียงพูดตำหนิซึ่งดังอยู่ในคอกทำให้ไม่มีสมาธิมากนัก นิพัทธ์เหลือบมองโอมที่กำลังลงโปรแกรมบางอย่างกับเครื่องแฮนดี้ ซ้ำยังต้องฟังพิรัลสอนงานแบบกดดันไปพร้อมกันด้วย หากเป็นตัวของเขาเองที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นจะสามารถรับมือมันได้หรือเปล่านิพัทธ์นึกสงสัย

บริษัทเก่าที่เคยทำงานนั้นเป็นบริษัทไม่ใหญ่โตเหมือนบริษัทที่นิพัทธ์ทำอยู่ตอนนี้ เพราะฉะนั้นบางครั้งด้วยจำนวนคนที่น้อยนิพัทธ์จึงเคยได้รับผิดชอบหลายอย่างอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่เริ่มงานใหม่ๆ พอถึงจุดหนึ่งงานจิปาถะเหล่านั้นกลับพอกพูนไม่เหมือนตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกทำให้นิพัทธ์ทนไม่ไหว ประกอบกับช่วงนั้นเขายังมีไฟในการทำงานและต้องการขยับขยายตัวเองไปยังจุดที่สูงขึ้นจึงตัดสินใจลาออก ตอนที่หวานสัมภาษณ์นั้นเธอแจ้งอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องงานที่มาพร้อมกับความกดดันของบริษัทนี้ นิพัทธ์ไม่นึกหวั่นใจแม้แต่น้อย จนถึงวันนี้ความมั่นคงในสิ่งนั้นเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

“ทำไมพี่เจตน์ดุจังวะ”

หญิงเพื่อนร่วมงานสาวอีกคนซึ่งนั่งแกะอุปกรณ์สำหรับการออนไซต์อยู่ด้านข้างพูดเปรยขึ้นเสียงเบา นิพัทธ์มองเธอเพื่อรอคอยสำหรับประโยคต่อไป

“หรือว่าจะเข้าวัยทองแล้วหว่า”

นิพัทธ์หลุดขำเล็กน้อย “แล้วปกติเป็นยังไง"

หญิงขยับเข้าใกล้อีกนิด สายตาดูระแวดระวัง “เรื่องงานละเอียดมาก แต่ไม่เคยดุแบบนี้เลย” เธอว่าอย่างนั้นแล้วก็หันกลับไปสนใจกับงานของตัวเองต่อ นิพัทธ์ไม่ได้สนใจอะไรมากนักแต่รู้สึกว่ายังไงก็ไม่มีสมาธิเท่าไหร่จึงตัดสินใจย่องหายออกไปจากห้องทำงาน

พิรัลแสดงความเข้มงวดในเรื่องงานออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาสอนงานโอมมาหลายรอบแล้วเกี่ยวกับเครื่องแฮนดี้แต่ดูเหมือนโอมจะไม่เข้าใจเสียที ก่อนหน้านี้เขาลองให้โอมไปออนไซต์เองแต่งานกลับมีปัญหามากพอสมควร ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสอนงานน้องไม่ดีหรือความรู้น้อยเกินไปที่จะถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง พิรัลค่อนข้างใส่อารมณ์ตอนที่ตำหนิโอมต่อหน้าคนอื่นในทีมซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ เขาลดระดับความเข้มงวดในเนื้องานลงแต่ก็ยังดูดุอยู่ดีในสายตาน้องๆ โชคดีหน่อยที่โอมค่อนข้างเป็นเด็กหัวอ่อนไม่ค่อยเถียงและสามารถเก็บอารมณ์ต่างๆไว้ได้ แต่พิรัลกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เขาเหมือนอยู่นิ่งนั่งทำงานเอกสารไม่ได้และต้องการสูบบุหรี่ คิดได้อย่างนั้นชายหนุ่มจึงลุกเดินออกไปด้วยจิตใจที่ไม่สงบสุข

นิพัทธ์นิ่งค้างไปเมื่อเห็นว่าพิรัลออกมาสูบบุหรี่อยู่แถวลานจอดรถบนอาคาร ความประดักประเดิดเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคนแต่ก็ยังพอจะรับมือไหว คิ้วของพิรัลขมวดยุ่งเหยิงขณะจุดไฟที่ปลายมวนบุหรี่ นิพัทธ์เดินเข้าไปหาในมือของเขามีไอศกรีมแบบแท่งจากร้านสะดวกซื้อ เขาคิดว่าบริเวณนั้นค่อนข้างลับตาจึงตั้งใจแวะมานั่งกินไอศกรีมก่อนเข้าออฟฟิศ แต่คงจะคิดผิดเพราะพิรัลเองก็รู้จักมุมนี้เช่นกัน

เด็กหนุ่มนั่งลงบนขอบปูนเพราะไม่อยากทำตัวแปลกประหลาดไปมากกว่านี้ด้วยการทำเหมือนไม่รู้จักพิรัล ฝ่ายคนที่อายุมากกว่านั่งสูบบุหรี่ไปเรื่อยพลางลอบมองเด็กหนุ่มกัดกินไอศกรีม ความหงุดหงิดจางลงตั้งแต่ได้สูดควันบุหรี่เข้าปอดก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายไปเมื่อเห็นลิ้นของนิพัทธ์เลียอยู่ที่ฐานไอศกรีมเพราะมันกำลังละลาย ด้วยสำนึกในความสัมพันธ์ข้ามคืนครั้งนั้นพิรัลคิดดีด้วยไม่ได้จริงๆ ทว่าเขาก็ยังไม่ได้เอื้อยเอ่ยคำพูดใดออกมาแม้ในหัวจะคิดไปต่างๆนานากับการใช้ลิ้นของคนผิวขาวที่นั่งอยู่ด้านข้างนี้

“พี่เจตน์ทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วครับ”

คนถูกถามละสายตาจากลิ้นไปมองที่ดวงตาของคู่สนทนาชั่วครู่หนึ่งก่อนจะมองไปอีกทาง “สี่ปีแล้วครับ”

นิพัทธ์เงียบไม่ได้ตอบรับอะไร เขากัดตัวเนื้อไอศกรีมอีกคำใหญ่เพราะมันเริ่มละลายมากขึ้นก่อนจะเลียส่วนที่ละลายตามต่ออีก

“คู่มือเป็นไงมั่ง ทำถึงไหนแล้ว”

เด็กหนุ่มรับรู้ถึงคำถามนั่นแล้ว เพียงแต่ไอศกรีมมันละลายเยิ้มลงมาที่นิ้วจนต้องทำความสะอาดก่อนด้วยการเลียนิ้วตัวเอง “แค่เริ่มต้นเองครับ” คำตอบที่บอกออกไปไม่อาจทำให้พิรัลกระจ่างแจ้งได้ แต่เขาตั้งใจปล่อยชิ้นงานนี้ให้นิพัทธ์ได้บริหารเอาเองจึงไม่ได้ซักความไปมากกว่านั้นขอแค่ส่งตามกำหนดก็พอ

“เดี๋ยวขึ้นไปก็เก็บของกลับบ้านได้เลยนะ ไม่ต้องอยู่ดึก พี่หวานเขาเป็นห่วง”

นิพัทธ์ไม่ได้ตอบรับอีกเช่นเคยเพราะตั้งใจที่จะอยู่ทำงานต่อไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม เขายังอยากทำงานอยู่

“เข้าใจมั้ย”

เด็กหนุ่มอ้าปากจะพูดทว่าในเวลาอันรวดเร็วนั้นช็อคโกแลตที่เคยเคลือบอยู่บนเนื้อไอศกรีมกลับหลุดออก เขารนรานเล็กน้อยจนไอศกรีมเปรอะติดที่ริมฝีปาก เมื่อเงยหน้าขึ้นเพื่อจะขอกระดาษทิชชูเขากลับต้องสบกับดวงตาสีเข้มที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว คำพูดที่คิดไว้ถูกกลืนลงคออย่างไร้เหตุผล นิพัทธ์ไม่อาจหลบสายตาลึกซึ้งจากอีกฝ่ายได้เลย ทว่าเพียงอึดใจหนึ่งเท่านั้นนิพัทธ์ก็ตั้งสติได้

“พี่เจตน์มีกระดาษทิชชูมั้ยครับ”

ฝ่ายคนอายุมากกว่าขยับตัว ในทีแรกนิพัทธ์คิดว่าคงจะหยิบกระดาษทิชชูให้แต่เขาคิดผิดถนัดเมื่อพิรัลขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆก่อนจะประทับริมฝีปาก คราบไอศกรีมที่เปรอะเปื้อนถูกเช็ดออกด้วยกระดาษทิชชูแบบพิเศษ ที่ตรงนั้นนิพัทธ์อนุมานเอาเองว่ามันลับตาคนแต่ในใจกลับเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนกเกรงว่าคนอื่นจะเดินผ่านมา

พิรัลผละริมฝีปากออกใช้สายตากวาดมองคราบเลอะที่ยังหลงเหลืออยู่ก่อนจะเช็ดให้อีกครั้ง ลิ้นที่ยังมีกลิ่นบุหรี่ค่อยๆลากผ่านคราบเลอะที่มุมปาก เขาลิ้มรับรสชาติไอศกรีมช็อคโกแลตแสนธรรมดาทว่ามันกลับเอร็ดอร่อยจากวิธีการกิน เพลิดเพลินต่ออีกนิดกับโอกาสในการฉกฉวยชิมริมฝีปากของนิพัทธ์ ก่อนจะค่อยๆขยับใบหน้าออกห่างเมื่อทำความสะอาดคราบไอศกรีมจนหมดจด ดวงตาสีเข้มจับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่มเพื่อสังเกตปฏิกิริยา ทว่านิพัทธ์ไม่ได้แสดงออกถึงความรังเกียจและตอนนั้นพิรัลหายหงุดหงิดเป็นปลิดทิ้ง

“ผมไม่มีกระดาษทิชชู” พิรัลพูดเรียบๆและยังคงมองอีกฝ่ายไม่วางตา

นิพัทธ์ตัวชาไปหมดด้วยความตื่นเต้น เด็กหนุ่มมองไอศกรีมที่หยดลงพื้น แก้มแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัดเพราะเป็นคนผิวขาวใส รู้สึกตัวอีกทีพิรัลก็จูบเข้ามาอีกครั้ง เนิ่นนานจนไอศกรีมละลายเลอะมือไปหมด




************************************

หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 07-10-2018 19:55:33
ตอนที่สี่



สองเดือนกว่าแล้วกับช่วงทดลองงานที่บริษัทแห่งนี้ นิพัทธ์ยังคงมาเช้าและกลับดึก คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนด้วย ช่วงหลังมานี้นิพัทธ์มุ่งมั่นสร้างมาตรฐานการทำงานของตัวเองให้โดดเด่นเพื่อให้ผ่านทดลองงาน ที่บริษัทจริงจังเรื่องผลงานอย่างที่ไม่เคยประสบพบและมันกลายเป็นเชื้อเพลิงให้นิพัทธ์กระตือรือร้นในสายงานเป็นอย่างมาก หวานเคยพูดไว้ว่าไม่อยากให้เขาอยู่ทำงานจนดึกดื่น นิพัทธ์ยิ้มรับและบอกว่าต้องการศึกษางานเพื่อให้ก้าวทันคนอื่น เวลาใครพูดอะไรจะได้ตามทัน หัวหน้าของเขามีสีหน้ายินดีแต่ไม่ได้พูดกล่าวอะไรออกมาเป็นพิเศษนอกจากยืนยันคำพูดเดิมว่าไม่อยากให้นิพัทธ์กลับดึก

ในทีมที่นั่งประจำอยู่ที่ออฟฟิศหลักแห่งนี้มีไม่กี่คน นอกนั้นมักออกไปอยู่ตามไซต์ลูกค้า นานทีปีหนถึงจะเข้ามาที่ออฟฟิศบ้าง แต่นิพัทธ์ไม่ได้สนใจใครสักเท่าไหร่ คืนนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่นิพัทธ์อยู่ดึกเพื่อทำคู่มือใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามที่ได้รับมอบหมาย หากแต่เขาไม่ได้นั่งทำงานเพียงลำพัง พิรัลเองก็อยู่ทำงานดึกกว่าใครเพื่อน

“กานต์ ไปช่วยผมยกกล่องเครื่องมือหน่อย”

พิรัลกล่าวเช่นนั้นก่อนจะเดินนำออกไปโดยไม่รั้งรอ เด็กหนุ่มบันทึกไฟล์งานในโปรแกรมวิสิโอ้ก่อนจะตามออกไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ พิรัลยืนอยู่ริมประตูรอให้เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปแล้วจึงปิดประตูลง

“กล่องไหนครับพี่เจตน์” เขาพูดพลางมองไปยังชั้นวางของและพยายามปรับสายตากับความมืด นิพัทธ์หันกลับมาอีกทีเพื่อจะบอกให้คนอายุมากกว่าเปิดไฟ ทว่าพิรัลกลับยืนอยู่ชิดใกล้และก้าวเข้าหาจนนิพัทธ์ต้องถอยหลัง

พิรัลวางมือลงบนขอบเหล็กซึ่งเป็นชั้นวางของ แขนของเขาที่พาดขวางตัวนิพัทธ์จึงดูเป็นการกักขังกลายๆ มืออีกข้างจับใบหน้าขาวกระจ่างไว้ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากสีสดนั่นอย่างแผ่วเบา นิพัทธ์ไม่ได้ขัดขืนอีกทั้งยังยินยอมให้ริมฝีปากถูกคลึงเคล้า

นี่เป็นอีกหลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาจูบกันนับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น เมื่อสบโอกาสพิรัลมักจะฉกฉวยไว้แต่ไม่มีอะไรไปมากกว่าจูบ นิพัทธ์ไม่เข้าใจความหมายของมันแต่เขาเข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงยินยอมให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่ปฏิเสธว่าชอบพิรัลแต่ยังไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกมากนักด้วยเพราะสถานะเพื่อนร่วมงาน พิรัลในที่ทำงานมักเข้มงวดกับรายละเอียดของงานแต่ละจุด เคี่ยวเข็ญสอนงานอย่างไม่ปราณีปราศรัย ดูขึงขัง จริงจัง และไม่ค่อยไว้หน้าใครจนเขาคิดว่าควรเก็บคำพูดไว้เสียจะดีกว่า บางครั้งเวลาที่โดนพิรัลดุเขาไม่นึกกลัวแต่มักปั่นป่วนช่วงท้องอย่างไร้สาเหตุ และต้องหันกลับไปสนใจเรื่องอื่นเพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจจะจินตนาการไปไกล ใช่ เขาชอบพิรัลที่ดุดันแบบนั้นนและมันกลายเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ได้อย่างดีเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าจะจูบกันอยู่บ่อยครั้งแต่ก็เท่านั้นเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนยังไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาคุยกันนานสุดก็แค่เรื่องงาน ออกไปกินข้าวกลางวันพร้อมกับคนอื่น มีบ้างที่นอกลู่นอกทางเพื่อใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือช่วงพัก บางทีก็ออกไปนั่งกินขนมขณะที่พิรัลสูบบุหรี่อยู่ในที่ลับตาโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมามากมาย นิพัทธ์เข้าใจว่าพิรัลคงไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่ได้ชอบเขามากพอที่จะเปิดเผยออกมา หรือพิรัลอาจจะไม่ได้ชอบเขาเลยแต่เพียงแค่ต้องการความสัมพันธ์บนเตียง ความเป็นไปได้เอียงเอนไปทางหลัง นิพัทธ์ไม่คาดหวังความสัมพันธ์ทางความรู้สึกเพราะมันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมากที่สุดบนโลกใบนี้ เขาหวังเพียงว่าจะได้สัมผัสมากกว่าจูบแต่ก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะล้วงมือเข้าไปในกางเกงของพิรัล ได้แต่ท่องจำอยู่ในหัวว่าพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมงาน

นิพัทธ์ผินหน้าออกเพราะเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นมากขึ้น แต่แล้วพิรัลก็ยังคงจับใบหน้าของเขาไว้และจูบอีกครั้ง จูบของพวกเขาไม่รุนแรง ไม่ได้แลกลิ้นพัวพัน มันเป็นการบดคลึงริมฝีปากอย่างเชื่องช้า เนิบนาบ และไม่เร่งรีบ นิพัทธ์บ่ายเบี่ยงคราวนี้พิรัลไม่ได้ดึงรั้งไว้อีกแต่สบตามองราวกับต้องการคำอธิบาย

“จะให้ผมช่วยยกกล่องไหนครับ” นิพัทธ์เบี่ยงประเด็น

“ขอผมจูบหน่อยได้มั้ย”

คนอายุน้อยกว่าหลบสายตาและไม่ได้ตอบอะไร พิรัลขยับหน้าเข้าหาด้วยอนุมานเอาเองว่าเมื่อไม่พูดก็ถือเป็นการตอบรับ แม้ว่าค่อนข้างจะเป็นความคิดเอียงเอนเข้าฝั่งตัวเองแต่เขาห้ามความต้องการนี้ไม่ได้แล้ว เขาชอบนิพัทธ์ เด็กหนุ่มผิวขาวคนนี้ทำให้ใจของเขาเต้นแรง เขารู้สึกถึงชีวิตที่อาบไล้อยู่กลางแสงอบอุ่นท่ามกลางสายลมหนาว ไม่มีเหตุผลอื่นใด ไม่มีสาเหตุ พิรัลแค่เป็นคนแปลกหน้าซึ่งชอบนิพัทธ์ที่เป็นคนแปลกหน้าเช่นกัน ชายหนุ่มรู้ตัวแต่ไม่อาจพูดมันออกไปให้ชัดเจนในเวลาอันรวดเร็วนี้ เขากำลังเฝ้ารอโอกาสนั้นเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเองแม้ว่าระหว่างทางจะอดใจไม่ไหวจนต้องแสดงออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการยินยอมของอีกฝ่ายเป็นไปด้วยความเต็มใจหรือเปล่า นิพัทธ์อาจจะยินยอมเพราะเห็นว่าพิรัลอยู่ในตำแหน่งสูงกว่า อาจจะยินยอมเพื่อให้ตัวเองผ่านทดลองงาน พิรัลไม่อาจล่วงรู้ความคิดของเด็กหนุ่มได้หากแต่เขากลับต้องการและยินยอมหากเพียงแค่ได้เก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้ ไม่มีแล้วความเป็นมืออาชีพ ไม่มีแล้ววุฒิภาวะต่างๆที่สั่งสมจากประสบการณ์มา เขาเป็นเพียงพิรัลที่มีหัวใจและใช้อารมณ์มากกว่าสมอง

“พี่เจตน์…” คำพูดถูกกลืนหายไป ถ้อยคำต่างๆไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ นิพัทธ์โดนริมฝีปากของพิรัลครอบครองอีกครั้ง ทรวงอกของเขาวาบหวามไปหมดและคิดสิ่งอื่นใดไม่ได้นอกจากตอบรับจูบนี้

ใช้เวลานานพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าชายหนุ่มสองคนจะออกมาจากห้องเก็บอุปกรณ์ด้วยมือว่างเปล่า พิรัลไม่ได้ตั้งใจเรียกให้นิพัทธ์ไปช่วยยกกล่องเครื่องมือช่างตั้งแต่แรกแล้วด้วยเหตุผลที่เดาไม่ยาก ตอนออกมาจากห้องนิพัทธ์เดินตามหลังและหลบสายตา สีที่แก้มเข้มขึ้นและริมฝีปากชุ่มฉ่ำ พวกเขาเก็บของต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศพร้อมกัน

“เรื่องสอบไอทิลเป็นยังไงบ้าง” พิรัลเอ่ยถามระหว่างทางที่เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า

“อาจจะลงสอบรอบนี้ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”

“ให้ผ่านช่วงโปรฯไปก่อนสิ”

นิพัทธ์หันมามองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย พิรัลเมินมองไปทางอื่นเพราะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่สมควร เขารู้อยู่แล้วว่าหัวหน้าจะให้นิพัทธ์ผ่านทดลองงานเพราะผลงานค่อนข้างโดดเด่นและเหตุผลอื่นๆสนับสนุนมากมาย เนื่องด้วยพิรัลเป็นคนสอนงานเด็กใหม่เป็นธรรมดาที่หัวหน้าจะต้องเรียกเข้าไปคุยถึงเรื่องการทำงานและพฤติกรรมของนิพัทธ์ จากที่เคยแจ้งไว้ว่าจะช่วงทดลองงานคือหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่หัวหน้าของเขามองเห็นถึงความสามารถเกินกว่าที่คาดหวังไว้ และต้องการให้นิพัทธ์พ้นช่วงทดลองงานกลายเป็นพนักงานประจำทันที เมื่อพ้นช่วงทดลองงานสวัสดิการต่างๆจะครอบคลุมตามเงื่อนไข ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหากนิพัทธ์สอบผ่านจะสามารถเบิกค่าสอบใบประกาศฯได้ แต่ในเมื่อทุกอย่างยังไม่เป็นทางการพิรัลจึงไม่สมควรพูดอะไรแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นว่าพิรัลไม่ได้พูดอะไรต่อเด็กหนุ่มจึงไม่เซ้าซี้ถามเรื่องนั้น พวกเขาเดินเท้าอย่างเชื่องช้าอืดอาดไปตลอดทาง เสียงรถบีบแตร เสียงคนพูดคุย และแสงสีจากหน้าจอ LCD สว่างวาบเป็นจังหวะ แม้จะเกือบสองทุ่มแล้วแต่บรรยากาศหลังเลิกงานวันศุกร์ในกรุงเทพมหานครแห่งยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เดินขวักไขว่ นิพัทธ์ชอบช่วงเวลาที่ได้เดินเคียงข้างพิรัลแบบนี้และได้แต่หวังว่าเวลาจะยืดยาวกว่าที่ควรจะเป็น หลังจากเหตุการณ์ไอศกรีมครั้งนั้นอยู่ๆพิรัลก็เอ่ยถามว่าเขากลับบ้านยังไง ในตอนแรกนิพัทธ์ไม่ได้คิดอะไรจึงตอบไปตามปกติ เขารู้สึกแปลกๆก็ตอนที่พิรัลเดินออกมาจากออฟฟิศพร้อมกันและนั่งรถไฟฟ้าไปยังจุดที่นิพัทธ์จะต้องลง ก่อนจะนั่งย้อนกลับไปอีกทางเพื่อกลับบ้านตัวเอง นิพัทธ์ไม่ห้ามอีกทั้งยังรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ แต่เขากำลังคิดว่าพิรัลจะทำแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน กระนั้นนิพัทธ์ก็ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงโดยเร็วพลัน

“ผมหิวข้าว” เด็กหนุ่มกล่าว “แวะหาอะไรกินก่อนกลับกันมั้ยครับ”

พิรัลชะงักไปเล็กน้อย หากตอบตามใจคงจะเป็นการตอบตกลงซึ่งมันไม่ค่อยดีต่อสถานะเพื่อนร่วมงานสักเท่าไหร่ ไม่แปลกหรอกหากเพื่อนร่วมงานจะไปกินข้าวกันหลังเลิกงาน แต่สำหรับเขามันหมายถึงการพาตัวเองไปอยู่ในจุดอ่อนไหว จุดที่ทำให้สถานะเพื่อนร่วมงานต้องสั่นคลอนไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ความรู้สึกทางใจมันหยั่งรากลึกจากทุกช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน พิรัลคิดว่ายังไม่อยากให้ถึงจุดนั้นมันสุ่มเสี่ยงเกินไปกับการเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่เมื่อมองสบดวงตาของอีกฝ่ายพิรัลก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย

ชายหนุ่มสองคนวิ่งกระหืดกระหอบมาจนถึงสถานีรถไฟฟ้า พวกเขาแตะบัตรและแทรกตัวเข้าไปก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดเลื่อน รถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายจอดเทียบท่า มันส่งเสียงร้องตอนที่พิรัลและนิพัทธ์ก้าวเท้าเข้าไปอย่างพอดิบพอดีแล้วประตูก็ปิดลง นิพัทธ์หอบหายใจแรงเพราะวิ่งหน้าตั้งมาจากหน้าโรงภาพยนตร์จนถึงสถานีรถไฟฟ้า ส่วนพิรัลได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดจาและหายใจเหนื่อยหนักจนอีกคนสามารถสังเกตเห็นได้ เด็กหนุ่มขยับเข้าหาพร้อมกับสีหน้าหยอกล้อ

“แก่แล้วก็เหนื่อยง่ายเนอะพี่”

พิรัลหรี่ตาลงเพราะรู้ว่ากำลังโดนคนเด็กกว่าแซว ไม่เคยนึกโกรธหรือคิดว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทที่โดนล้อเล่นเรื่องอายุที่มากกว่า และเขาก็ยังเก็บงำสาเหตุที่ทำให้เหนื่อยกว่าปกติไว้กับตัวเองโดยไม่คิดจะบอกนิพัทธ์ “เดี๋ยวก่อนเถอะ พอกานต์อายุเท่าผมแล้วจะรู้สึก”

“คงอีกนานครับ”

พิรัลหัวเราะ ยกมือไปชกเบาๆที่ต้นแขนของอีกฝ่ายก่อนจะต่างคนต่างนั่งเงียบๆและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น

ภายในขบวนที่นั่งยังคงมีคนอยู่บ้างปะปราย ก่อนหน้านี้ที่ตอบรับนิพัทธ์ไปกินมื้อเย็นนั้นกลับเลยเถิดไปดูภาพยนตร์กันต่ออีก กว่าหนังจะจบก็ห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืนจึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องวิ่งมาขึ้นรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายของวัน อาหารที่กินไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นแค่อาหารไทยธรรมดาที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า พิรัลจ่ายค่าอาหารมื้อนั้นทั้งหมดท่ามกลางเสียงทักท้วงของคนที่เด็กกว่า นิพัทธ์ไม่เคยชอบการถูกปฏิบัติแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นเลยที่พิรัลจะต้องเลี้ยงข้าวเลี้ยงอาหาร

พอเอ่ยประโยคแรกเพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายพิรัลก็ปฏิเสธทันทีด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลสักเท่าไหร่ อย่างเช่น ถ้าไม่ให้ผมเลี้ยงข้าวผมจะไม่ให้กานต์ผ่านทดลองงาน ฟังดูเป็นการข่มขู่และเอาอำนาจหน้าที่มาใช้ในทางที่แปลกประหลาดจนนิพัทธ์ขี้เกียจเถียง พอเงียบลงไปพิรัลจึงบอกให้นิพัทธ์เลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมแทนในวันอื่น สีหน้าของคนที่เด็กกว่าดูชื่นมื่นขึ้นทันตาเห็น ในตอนนั้นพิรัลยับยั้งปฏิกิริยาที่ถูกสั่งการจาก ‘หัวใจ’ ไว้ไม่ทัน เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะนิพัทธ์กลางร้านอาหาร ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าไปจนหมด พิรัลโทษหัวใจแทนที่จะโทษสมอง เพราะเมื่ออยู่กับนิพัทธ์สมองของเขาก็ฝ่อลงร่างกายถูกสั่งการจากสิ่งลี้ลับในจักรวาลอย่างหัวใจและอารมณ์เป็นหลัก น้ำเน่าเสียยิ่งกว่าละครหลังข่าว แต่มันก็เป็นไปแล้ว เขาชอบนิพัทธ์เข้าไปแล้ว

พอกินข้าวเสร็จนิพัทธ์ก็เปิดแอพพลิเคชั่นของโรงหนังให้ดูพร้อมกับบอกว่าอยากดูเรื่องนี้ แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังทำให้พิรัลไม่ปฏิเสธอีกเช่นเคย ถึงแม้นิพัทธ์จะไม่ชักชวนให้ดูหนังเขาก็ชวนให้ไปร้านหนังสือแทนเพื่อยืดเวลาให้อยู่ด้วยกัน เขาปล่อยให้นิพัทธ์เป็นคนจัดการซื้อตั๋ว เถลไถลอยู่ในห้างอีกนิดก่อนจะขึ้นไปดูหนังโดยไม่ได้คำนวณระยะเวลาฉายหนังว่ายาวกี่ชั่วโมง นึกได้อีกทีก็ตอนที่หนังใกล้จบ แล้วก็อย่างที่เห็นวิ่งกระหืดกระหอบมาขึ้นรถไฟฟ้ากันแทบไม่ทัน

“พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“แล้วพี่จะกลับบ้านยังไง”

พิรัลเงียบไปเพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เขาคิดแค่ว่าจะไปส่งนิพัทธ์เหมือนอย่างเคย แต่นี่เป็นรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายคงจะต้องพึ่งพาแท็กซี่เสียแล้ว “ผมยังไม่รู้เลย” เขาเลือกที่จะตอบแบบนั้นเพื่อรอคอยดูปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่าย

“ผมว่านั่งแท็กซี่กลับตอนนี้อันตรายนะ”

คนแก่กว่ายังคงใจเย็น ไม่แสดงท่าทีใดๆเป็นพิเศษ

“ค้างห้องผมมั้ยครับ แล้วตอนเช้าค่อยกลับ”

พิรัลยิ้ม หัวใจของเขาพองโตจากการได้ฟังแนวทางในการเดินทางกลับบ้านยามวิกาล หากแต่เขากลับปฏิเสธไมตรีในครั้งนี้

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านนี่แหละ” นิพัทธ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือต่อ แววตาก่อนที่จะหลบหายไปเต็มไปด้วยความผิดหวัง “พรุ่งนี้กานต์มีนัดมั้ย”

“ไม่มีครับ”

“อยู่ห้องเฉยๆเหรอ”

“ว่าจะอ่านชีทไอทิล”

“ผมจะออกมาซื้อเครื่องมือช่าง กานต์มาช่วยผมเลือกของหน่อยได้มั้ย”

พิรัลถามและจ้องมองเด็กหนุ่มเพื่อรอคอบคำตอบ อีกทั้งยังคาดหวังว่าจะได้คำตอบรับไม่ใช่คำปฏิเสธและนิพัทธ์ก็ไม่ทำให้พิรัลผิดหวังเลย


อาจจะเรียกว่าเดท หรือ อาจจะไม่เรียกว่าเดท สุดแท้แล้วแต่จะคิด

พิรัลไม่สนใจว่าใครจะจำกัดความอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงนั่นคือการเอาเรื่องงานมาบังหน้าเพื่อให้ได้ใช้เวลาอยู่กับนิพัทธ์ ในบางครั้งพิรัลอยากแสดงออกมากกว่าที่เป็นอยู่ อยากพูดในสิ่งที่รู้สึก อยากพัฒนาความสัมพันธ์นี้ให้หยั่งรากลึกและผูกพันธ์กันด้วยอารมณ์หลากหลาย หากมันง่ายดายคงจะเป็นเรื่องดี แต่เมื่อมองความเป็นจริงยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้หยุดชั่วคราวที่จุดนี้ จุดที่คลุมเครือแต่ยังสามารถก้าวไปข้างหน้าหรือก้าวถอยหลัง และเมื่อมองลึกเข้าไปอีกมันกลับไม่ง่ายดายเช่นนั้นเมื่อหัวใจของเขาไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป มันเรียกร้องต้องการนิพัทธ์ขณะเดียวกันสิ่งที่ผิดปกติในนั้นก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นทุกที

พิรัลแน่นหน้าอกในตอนที่ยกกล่องเครื่องมือช่างและของอื่นๆใส่ลงในรถ เขาอ้างกับนิพัทธ์ทีเล่นทีจริงว่าตัวเองแก่ และปล่อยให้นิพัทธ์ขนของใส่ท้ายรถเพียงลำพัง ก่อนจะย้ายตัวเองมานั่งพักอยู่ในรถฝั่งคนขับพร้อมกับสงบสติอารมณ์พยายามไม่คิดถึงความแน่นที่หน้าอกเหมือนมีก้อนหินมาวางทับ หลายนาทีกว่าอาการจะหาย เขาออกไปอีกครั้งและทำทีเป็นสั่งงานเด็กหนุ่มเพื่อกลบเกลื่อน

“พี่เจตน์เกลียดอะไรผมป่าวเนี่ย” นิพัทธ์โวยวายเมื่อโดนเร่งให้ขนของเร็วขึ้น “ให้ยกของคนเดียว ผมหลังยอกไปหมดแล้ว”

“เออ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าว”

นิพัทธ์ยกลังกระดาษกล่องสุดท้ายขึ้นรถก่อนจะถอนหายใจยาว “ผมไม่ได้หิวข้าว ผมปวดหลัง” พูดไปพลางยืนบิดซ้ายบิดขวา

“บ่นไรนักหนา”

“ผมไม่ได้บ่น แต่พูดให้ฟัง”

“ยังจะเถียง”

“ผมไม่ได้เถียง”

“ยังไม่หยุดอีก”

“อ้าว ก็ผม…”

เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยเถียงชะงักลงเมื่อพิรัลเดินเข้ามาใกล้และวางมือลงบนหลังคารถด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ผมนวดให้เอามั้ย”

นิพัทธ์อึกอักเหมือนสำลักคำพูดที่ติดอยู่ในลำคอแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาอยากรู้เหมือนกันว่าพิรัลจะทำอะไรต่ออีก

“ผมอยากจูบกานต์จัง” เขาว่าอย่างนั้นพลางวางสายตาไว้ยังจุดดังกล่าว

เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไปนิพัทธ์ถึงกับตอบไม่ถูก เขาสบมองดวงตาอีกฝ่ายในระยะประชิด ช่วงขณะนั้นเองที่ได้ยินเสียงล้อบดกับพื้นคอนกรีต รถคันหนึ่งกำลังขับผ่านพวกเขาจึงได้แยกย้ายกลับเข้าไปในรถและออกจากห้างแห่งนั้น


เย็นวันนั้นท้องฟ้าเป็นสีเกือบม่วง แสงตะวันใกล้ลาลับทอประกายสีส้มอยู่เบื้องหลังก้อนเมฆ พิรัลนอนมองภาพนั้นอยู่ในสวนสาธารณะด้วยจิตใจว่างเปล่าราวหลุดลอยไปกับสายลมเอื่อย ทว่าภาพธรรมชาติกลับแทนที่ด้วยใบหน้าของใครอีกคนที่อยู่ด้านข้างด้วยกันมาเป็นเวลาพักใหญ่ พิรัลมองใบหน้าที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นด้วยสีหน้าเป็นเชิงถาม ฝ่ายนั้นขยับห่างออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร

“อะไร” พิรัลเอ่ยถามและเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นการนอนเท้าแขนตัวเอง มองเด็กหนุ่มด้านข้าง

“ผมนึกว่าพี่เจตน์หลับไปแล้ว” นิพัทธ์ตอบเรียบราบไม่มีน้ำเสียงใดบ่งบอกความรู้สึก “พี่เจตน์จะกลับกี่โมงครับ”

นั่นสิ จะกลับกี่โมง ประโยคนั้นผุดขึ้นทันทีที่ได้ฟังคำถาม หากแต่พิรัลไม่มีคำตอบ หลังจากซื้ออุปกรณ์เครื่องมือช่างเสร็จแล้วพิรัลก็พานิพัทธ์มาเดินเล่นที่สวนสาธารณะแห่งนี้โดยไม่บอกอีกฝ่ายล่วงหน้า เขาเดาไว้ว่านิพัทธ์อาจจะโวยวายนิดหน่อยที่พามาเดินเล่นแทนที่จะแยกย้ายกลับไปตามทางของตัวเอง สาเหตุไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาว่าทำไมพิรัลถึงพานิพัทธ์มาเดินเล่นที่สวนสาธารณะ การประวิงเวลาเพื่อให้อยู่ด้วยกันคงจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว พิรัลกำลังคิดว่าข้ออ้างต่อไปสำหรับการได้ใช้เวลาร่วมกันจะเป็นเรื่องอะไรดี

“กานต์อยากกลับแล้วเหรอ” เขาตอบด้วยการถามแทน

“เปล่าครับ ถามดูเฉยๆ”

จากนั้นพวกเขาก็ต่างเงียบกันไป พิรัลเอนตัวลงนอนที่เดิมและเหม่อมองท้องฟ้า

“กานต์ชอบอ่านหนังสือมั้ย”

“ชอบครับ พี่เจตน์ล่ะ”

“ผมก็ชอบ”

“แล้วส่วนมากอ่านแนวไหน”

“ส่วนมากเหรอ...” ชายหนุ่มทวนคำถามพลางขบคิด “ผมชอบอ่านแนววิทยาศาสตร์นะ การเมืองก็ชอบ ผมชอบหลายแนวเลยล่ะ”

“แล้วอ่านนิยายมั้ยครับ”

“ไม่ค่อยได้อ่านนิยาย แต่ถ้าเป็นพวกที่ได้รางวัลก็อ่านนะ อย่างคำพิพากษา ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน หนังสือแปลก็อ่าน”

นิพัทธ์หัวเราะเบาๆหากแต่เรียกความสนใจจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี พิรัลขยับเปลี่ยนท่ามานอนตะแคงมองใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในดวงตาของนิพัทธ์สะท้อนภาพท้องฟ้าเบื้องบน หากแต่มันดูสุกสกาวเหมือนมีดวงดาวส่องประกายอยู่ในนั้น

“แล้วกานต์ชอบอ่านหนังสือแบบไหน”

“ผมชอบอ่านนิยายทั่วๆไป ฆาตกรรม แฟนตาซี แฮรี่พอตเตอร์ก็อ่าน”

พิรัลยังคงมองดวงตาของนิพัทธ์ เขามองแม้กระทั่งขนตาที่ขยับไหวยามเมื่อกะพริบตา “แล้วกานต์ชอบฟังเพลงมั้ย”

“ชอบครับ แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเพลงหรือดนตรีจนมานั่งวิจารณ์ได้หรอก แค่ฟังไปเรื่อย”

“ผมก็ชอบฟังเพลง ถ้าให้กานต์ลองเลือกเพลงโปรดหรือวงที่ชอบล่ะ”

“ที่คิดอยู่ตอนนี้เลยก็ Radiohead”

“เพลงอะไร”

“High & Dry ครับ พี่เจตน์รู้จักมั้ย”

“รู้สิ ผมก็ฟังเพลงของวงนี้เหมือนกัน แต่ถ้าที่ฟังอยู่บ่อยๆก็คือ Diana Krall”

“พี่เจตน์ฟังเพลงแจ๊สด้วยเหรอ ไม่เห็นจะเข้ากับหน้าเลย”

พิรัลขมวดคิ้วงุนงง “หน้าผมทำไมเหรอ ผมชอบฟังเพลงแจ๊สผิดตรงไหน”

“ไม่ได้ผิดตรงไหนหรอก ผมแค่เดาว่าพี่เจตน์น่าจะชอบแนว Bring me the horizon” เด็กหนุ่มตอบพลางหัวเราะชอบใจ

“เฮ้ย รู้จักด้วยเหรอ”

“รู้จักดิ ผมเคยเป็นชาวอีโมมาก่อนนะ”

“ผมก็เหมือนกัน ยุคอีโมเฟื่องฟูผมเคยพยายามตั้งวงกับเพื่อนด้วยนะแต่ไปไม่รอด”

“ล่าสุดผมไปงานกระทำการอีโมมา เพลง If It Means A Lot To You ยังหลอนหูอยู่เลย เหมือนเพลงประจำชาติ”

พิรัลเงียบไปพักหนึ่งเมื่อนึกย้อนเวลาไปถึงงานเพลงที่ชื่อกระทำการอีโม วันนั้นเขาแน่นหน้าอกอย่างรุนแรงจนต้องไปหาหมอ งานเพลงที่นัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปด้วยกันเป็นอันต้องยกเลิก พิรัลเอนตัวลงนอนบนผืนผ้าเช่นเดิมและมองท้องฟ้า เขาต้องการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะไม่อยากนึกถึงโรคที่รุมเร้า “แล้วพวกหนังล่ะ”

“ผมชอบแอคชั่น ไซไฟ อะไรก็ได้ที่ล้ำๆไปโลกหน้า ถ้าให้ผมเดานะ พี่เจตน์ก็น่าจะชอบแนวนี้เหมือนผม”

“ไม่อะ ผมชอบหนังเกรดบีที่เน้นฉากเอ็กส์ๆ ไม่ก็หนังที่ขายนางเอกนมใหญ่พระเอกหำตุง”

นิพัทธ์หัวเราะร่วนให้กับคำตอบติดตลก หางตาของเขาเป็นรอยนิดหน่อยจากการขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า พิรัลยิ้มตามแม้ดวงตาจะยังจดจ้องมองท้องฟ้า เสียงหัวเราะของนิพัทธ์เจือจางลงไปก่อนที่ต่างคนต่างเงียบ

“ชีวิตของคนเราก็เหมือนวงกลมนะ วนเวียนกับสิ่งที่ทำอยู่ในวงกลมนั้น...” พิรัลเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นใหม่อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ทุกคนมีวงกลมเป็นของตัวเอง กานต์เป็นวงกลมหนึ่งวง ผมเองก็เป็นวงกลมหนึ่งวงไม่ต่างกัน”

เขาเท้าแขนข้างหนึ่งแล้วมองใบหน้าของนิพัทธ์ที่กำลังหันมามองสบตากันอย่างพอดิบพอดี

“ผมว่าบางทีความชอบของผมกับกานต์มัน Intersect กันที่เส้นรอบวงอยู่เหมือนกันนะ” ชายหนุ่มอายุมากกว่าเคลื่อนใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายใกล้ขึ้น ดวงตาของนิพัทธ์ไม่ได้สะท้อนภาพท้องฟ้าอีกต่อไป มันกำลังฉายภาพของเขาอยู่ในนั้น

วงกลมของพิรัลเคลื่อนที่เข้าหาวงกลมของนิพัทธ์ ก่อนที่มันจะแตะสัมผัสกันที่เส้นรอบวง
วงกลมสองวงค่อยๆทับซ้อนเข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาอีกนิดนึงแล้ว


หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 07-10-2018 19:57:23


คอนโดแห่งหนึ่งในย่านเกือบใกล้ใจกลางเมืองไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากพิรัลไปมากกว่าคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า นิพัทธ์ชวนเขามาที่คอนโดอย่างตรงไปตรงมาหลังจากจูบกัน ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าแรงดึงดูดที่นำพามาให้ถึงจุดนี้คือเรื่องอะไร เขาชอบนิพัทธ์ที่ซื่อตรงแบบนี้แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะพูดความรู้สึกทั้งหมดออกไป ในสังคมที่ทำงานพิรัลไม่เคยแสดงออกว่าชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย

พวกโอมกับหญิงหรือแม้แต่น้องๆในทีมคนอื่นก็เคยถามเมื่อครั้งไปสังสรรค์ที่งานลานเบียร์ พิรัลยิ้มและหัวเราะแต่ไม่เคยตอบออกมาชัดเจน เขาคิดว่าการไม่ตอบคำถามในครั้งนั้นคงจะทำให้หลายคนเข้าใจว่าเขามีความชื่นชอบแบบไหน หญิงอาจจะรู้ โอมอาจจะไม่รู้ น้องๆคนอื่นอาจจะยังสงสัยต่อไป เขาปล่อยให้เป็นแบบนั้นด้วยมองไม่เห็นถึงความจำเป็นในการแสดงออกว่าชอบเพศไหนจะเป็นเรื่องสำคัญ เท่าที่ได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่บริษัทแห่งนี้ยังไม่เคยมีใครแสดงออกว่ารังเกียจหรือรับไม่ได้กับการชอบเพศเดียวกัน แต่ในเมื่อตำแหน่ง Supervisor ที่เป็นอยู่พิรัลคิดว่ามันไม่ฉลาดนักหากจะเผยตัวตน หัวโขนที่สวมใส่อยู่ช่วยบดบังใบหน้าที่แท้จริง อย่างน้อยก็ไม่มีใครถามเรื่องนั้นกับพิรัลอีก

พิรัลมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มที่กำลังค้นหาบัตรเพื่อเปิดประตูห้อง เขาก้าวเข้าไปใกล้พลางมองซ้ายมองขวาก่อนจะก้มลงจูบแก้มอีกฝ่าย นิพัทธ์เหลือบมองอีกฝ่ายแล้วยิ้ม ท่าทางดูเขินอาย

“ตัวหอมจัง” พิรัลเอ่ยชมขณะที่ประตูห้องเปิดออก “กานต์ใช้น้ำหอมของอะไร”

“ไม่บอกครับ” เด็กหนุ่มเล่นแง่นิดหน่อยพอเป็นพิธี เขาเอ่ยเชื้อเชิญพิรัลให้เข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตู สองเท้าก้าวเข้าห้องและเดินไปตามมุมต่างๆด้วยความเคยชิน

ไม่มีอะไรในห้องที่แปลกใหม่หรือสร้างความหวือหวาเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะมีพิรัลก็แทบจะไม่แลตามองเลยด้วยซ้ำ เขาก้าวเข้าหาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าตู้เย็นและกำลังส่งเสียงถามไถ่ว่าจะดื่มน้ำอะไรมั้ย พิรัลไม่สนอีกตามเคยเขารั้งร่างนิพัทธ์เข้ามาจูบ ไม่มีอารัมภบทใดอื่น ไม่มีการร้องขอ

มือที่ใหญ่กว่าปลดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่ลำลองกองไว้บนพื้น ริมฝีปากที่เคยนัวเนียจูบผละออกและเคลื่อนต่ำลง อ้ารับแท่งเนื้อของเด็กหนุ่มที่ยังไม่แข็งตัวแล้วโลมเลียด้วยลิ้นอยู่พักหนึ่งจนมันขยายใหญ่ขึ้นแต่ก็ยังไม่แข็งเสียทีเดียว สัดส่วนของนิพัทธ์นั้นกำลังพอดิบพอดีและง่ายต่อการใช้ปาก มันตื่นตัวขึ้นและค่อยๆตั้งชันอย่างที่ควรเป็น พิรัลผละริมฝีปากออกห่างเพื่อดูดดึงที่ส่วนปลายจนมันเต่งตึงอย่างถึงที่สุด ดวงตาสีเข้มมองอีกฝ่ายที่เริ่มหอบหายใจแรงก่อนจะลุกขึ้นแล้วรั้งขาข้างหนึ่งของนิพัทธ์เกี่ยวพาดไว้ที่เอว พิรัลแกะห่อถุงยางอนามัย ปาดน้ำเหลวๆในซองใช้นิ้วที่ชุ่มแฉะสอดเข้าไปในบั้นท้ายของนิพัทธ์อย่างเชื่องช้า

ความเย็นจากสารหล่อลื่นทำให้นิพัทธ์เผลอขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายแน่น บั้นท้ายของเขารับนิ้วชุ่มนั่นเข้ามา มันตึงแน่นเล็กน้อยแต่ไม่ได้เจ็บอะไรมาก นิ้วสองนิ้วคว้านลึกกว่าเดิมนิพัทธ์รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังค้นหาจุดอ่อนไหว ลมหายใจสะดุดเมื่อถูกกระตุ้นเร้าโดยตรงที่จุดนั้น บ่งบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่านิ้วที่ล้วงอยู่ด้านในกำลังเสียดสีให้ท่อนเนื้อแข็งตัวด้วยการครางพึงใจในลำคอ พิรัลยิ้มมุมปากเคลื่อนไหวนิ้วเข้าออกเร็วขึ้นเล็กน้อย

“ตกลงว่าใช้น้ำหอมอะไร”

นิพัทธ์ยิ้มนิดๆ ดวงตาเริ่มฉ่ำเยิ้มจากแรงอารมณ์ “ลองดมแล้วนึกดีๆสิครับ” หลังคำตอบที่แสนท้าทายพิรัลก็ก้มหน้าลงซุกไซ้ซอกคออีกฝ่าย กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายเด่นชัดที่หลังใบหูแต่เขากลับนึกไม่ออกเสียทีว่ามันเป็นน้ำหอมยี่ห้ออะไร เหมือนมันติดอยู่ที่ซอกหลืบในเซลส์สมอง

“บอกผมมาเถอะ”

“ไม่บอกครับ” นิพัทธ์ยังคงยียวนแต่เสียงพร่าสั่นอย่างเย้าอารมณ์ “ถ้ายังนึกไม่ออกผมจะให้พี่เจตน์ดมไปเรื่อยๆ”

พิรัลหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะล้วงนิ้วลึกเข้าไปกว่าเดิม ฝ่ายคนเด็กกว่าเผลอกำแขนของพิรัลแน่น หลุดร้องครางแสดงความเสียวซ่านออกทั้งท่าทางและสีหน้า คิดว่านิ้วที่ล้วงอยู่ข้างในคงจะสัมผัสจุดนั้นอย่างลึกซึ้งจนเด็กหนุ่มสะท้าน คิดได้อย่างนั้นหัวใจของเขาก็โลดแล่นราวกับรถไฟเหาะที่กำลังไต่ระดับขึ้นที่สูง พิรัลไม่หยอกเล่นอีกต่อไป เขาย้ำนิ้วที่จุดนั้นอย่างตรงไปตรงมา กระตุ้นเร้าให้เด็กหนุ่มในอ้อมกอดสุขสมพลางดอมดมกลิ่นกายอีกฝ่ายไปเรื่อย

“พี่เจตน์…” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายในขณะที่ห้วงอารมณ์หลากหลายรุมเร้า รู้สึกชาวาบไปทั้งร่างอีกทั้งยังปวกเปียกลงอย่างที่ไม่เคยเป็นจนต้องกอด ‘พี่เจตน์’ เอาไว้แน่น

“น่ารักจัง” พิรัลเอ่ยชม จะว่าเอาอกเอาใจก็คงจะใช่ แต่ส่วนหนึ่งเขารู้สึกแบบนั้นจากใจจริง “อยากหลั่งในปากผมมั้ย”

นิพัทธ์ใจเต้นแรงจากคำพูดลามกหยาบโลน เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยใสแต่ก็อดไม่ได้เมื่อคำพูดนั้นออกมาจากปากของคนที่รู้สึกดีด้วย ถูกกระตุ้นทั้งทางร่างกายและวาจาสุดแม้ว่าจะเขินอายแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาต้องการเช่นนั้น “อยากครับ”

พิรัลคุกเข่าลง โอบสะโพกบางที่เหมือนร่างกายของผู้ชายทั่วไปเข้ามาก่อนจะใช้ปากกับส่วนนั้น ผิวกายของนิพัทธ์สีเข้มขึ้นเพราะเลือดในกายกำลังพุ่งพล่าน มันชื้นเหงื่อเล็กน้อยจากความร้อนลุ่ม กลิ่นตั้งแต่ส่วนบนจนส่วนล่างยังคงเป็นกลิ่นเฉพาะที่กระตุ้นอารมณ์ให้พิรัล เขาดูดรั้งแก่นกายที่ตั้งชันของนิพัทธ์ คิดว่าจะให้เด็กหนุ่มหลั่งในปากแต่ไม่ได้ตั้งใจจะกินน้ำขาวขุ่นนั่นหรอก เขารู้สึกถึงแรงดึงทึ้งแรงขึ้นเสียงหอบหายใจแรงดังอยู่เหนือหัวคล้ายเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายใกล้จะถึงจุดสุดยอดแล้ว พิรัลอมส่วนนั้นเข้าไปลึกเท่าที่จะทำได้ใช้มือช่วยรูดรั้งประคองสัดส่วนใกล้เคียงเพื่อปลุกเร้า จนท้ายที่สุดนิพัทธ์หลั่งน้ำขาวขุ่นอยู่ในปากของคนอายุมากกว่า เด็กหนุ่มเคลิ้มไปกับสัมผัสแห่งห้วงอารมณ์อยู่พักหนึ่งรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่พิรัลหยัดกายขึ้น และเห็นอีกฝ่ายคายน้ำใคร่ออกมาเพื่อป้ายที่ช่องทางด้านหลัง บั้นท้ายของนิพัทธ์เปียกชุ่มไปหมดจนเกิดเสียงชื้นแฉะ เขาถูกรั้งเข้าไปจูบขณะที่ช่องทางด้านหลังได้รับการนวดคลึงไม่ว่างเว้น

เสื้อสีสว่างถูกถอดออกและวางระเกะระกะอยู่บนพื้น นิพัทธ์เปลือยเปล่าขณะที่พิรัลยังไม่ถอดเสื้อผ้าออกสักชิ้น เขารู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมจึงเอื้อมมือลงเพื่อปลดกางเกงยีนส์ พิรัลยิ้มไม่ได้รู้สึกขัดข้องที่อีกฝ่ายหมายเปลื้องผ้าให้ เพียงแต่เขาอยากนั่งสบายๆบนพื้นสักแห่งที่นุ่มนิ่ม ชายหนุ่มยั้งมือของนิพัทธ์ไว้ก่อนจะโอบสะโพกอีกฝ่ายรั้งให้เดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น

ริมฝีปากของพวกเขานัวเนียกันแม้กระทั่งตอนที่พิรัลนั่งลงบนโซฟา นิพัทธ์คุกเข่านั่งลงอยู่ระหว่างขาสองข้าง กางเกงยีนส์ถูกดึงลงจนเห็นส่วนนั้นที่เพิ่งเริ่มตื่นตัว เด็กหนุ่มไม่ลังเลที่จะไล้เลียพลางมองสีหน้าอีกฝ่ายไปด้วย ดวงตาสองคู่ประสานกัน สมองว่างเปล่าและใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนิพัทธ์จึงครอบครองแท่งเนื้อเข้าไปทั้งหมด แรกเริ่มก็เป็นเช่นนั้นไม่ได้รู้สึกว่ามันคับแน่นอยู่ในปากจนกระทั่งแท่งเนื้อของพิรัลแข็งตัวขึ้น เขาหมายจะขยับปากออกห่างเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ทว่าพิรัลกลับประคองศีรษะไว้ราวกับกักขัง พิรัลไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากผ่อนลมหายใจแรงขึ้น แขนข้างหนึ่งพาดไว้ที่พนักโซฟา ส่วนอีกข้างคอยประคองศีรษะของนิพัทธ์ไว้ อวัยวะของเขาแข็งตัวขึ้นอีกระดับหนึ่งจนสุดท้ายก็พองคับแน่นอยู่ในปากของหนุ่มตัวขาว

ถึงคราวที่นิพัทธ์หายใจลำบากขึ้นมาจริงจังก็เวลานี้นี่แหละ แท่งเนื้อของพิรัลใหญ่แน่นอยู่ในโพรงปากจนแทบหุบลงไม่ได้ ความยาวของมันทิ่มเข้ามาลึกจนเกือบสำลัก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยใช้ปากให้พิรัลแต่ครั้งนั้นก็เพียงแค่อมๆเลียๆส่วนปลายเท่านั้นไม่เคยได้อมจนสุดแบบนี้ ถึงอย่างนั้นนิพัทธ์ก็ยังไม่ผละหน้าออกห่างมากนักและก้มหน้าก้มตาใช้ปากให้โดยดี พิรัลพึงพอใจอย่างที่สุด เขาลูบแก้มสีแดงระเรื่อของอีกฝ่ายซึ่งกำลังพองออกเมื่อส่วนปลายของอวัยวะทิ่มแทงอยู่ที่กระพุ้งแก้ม นิพัทธ์ยังคงจดจ้องมองเพื่อดูว่าเขาชอบใจขนาดไหน แต่เมื่อแท่งเนื้อเข้าไปลึกพิรัลก็รู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง

“ไหวมั้ย”

คนถูกถามขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบทแต่ริมฝีปากยังครอบครองส่วนนั้นไว้ อีกทั้งยังดูดแรงขึ้นราวกับมันเอร็ดอร่อยหนักหนา พิรัลรู้สึกเหมือนโดนปลุกเร้าความดิบเถื่อนในกาย แต่เขาไม่ใช่คนชอบทำรุนแรงกับเรื่องบนเตียงนักจึงพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้อัดสะโพกชำแรกกายอยู่ในปากของเด็กหนุ่มจนถึงกับต้องพะอืดพะอม นิพัทธ์เมื่อยปากพอสมควรเขาจึงผละห่างออกมาและดูดแรงๆที่ส่วนปลายแทน ลงลิ้นที่จุดอ่อนไหวซ้ำๆไปมา เมื่อถูกกระตุ้นรุนแรงขึ้นพิรัลเองก็เริ่มวูบไหว เขารั้งใบหน้าของเด็กหนุ่มออกเพราะหากไม่ทำเช่นนี้เห็นทีนิพัทธ์คงอึดอัดพอควร

“ผมทำไม่ดีเหรอครับ” นิพัทธ์เอ่ยถามออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม การที่อยู่ๆอีกฝ่ายถอนกายออกมาจากปากทำให้เขาคิดไปในแง่ที่ไม่ดีสักเท่าไหร่

“ผมรู้สึกดีมากแต่ผมไม่อยากให้กานต์อึดอัด”

นิพัทธ์เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดถึง ไม่ได้ต่อต้านอะไรแต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่ “พี่เจตน์ยังไม่เสร็จเลย ผมยังไหวอยู่นะ”

คนอายุมากกว่ายิ้มพึงใจก่อนจะใช้มือข้างที่จับแก้มนิพัทธ์อยู่นั้น เลื่อนมาจับที่ปาก “งั้นอ้าปาก”

นิพัทธ์ทำตาม ใบหน้าของเขาถูกพิรัลบีบแก้มให้อ้าปาก มองเห็นมือที่เคยพาดโซฟาขยับเคลื่อนไหวอยู่ที่แท่งเนื้อ พิรัลใช้มือรูดรั้งมัน เขาเองก็รู้สึกดีมากจนใกล้จะแตะห้วงอารมณ์อ่อนไหวนั่นเช่นกัน ดวงตาสีเข้มมองใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวกระจ่างของอีกฝ่ายพลางรูดรั้งอวัยวะของตัวเองไปด้วย ส่วนปลายโดนใบหน้านั่นเป็นครั้งคราว แต่นิพัทธ์ก็ไม่ขยับห่าง เด็กหนุ่มยังคงเผยอปากอ้ารอรับแก่นกาย ลิ้นไล้เลียยามที่มันขยับมาโดน พิรัลพรูลมหายใจแรงขณะที่ถึงจุดสุดยอด เขาครางในลำคอด้วยแรงอารมณ์ขณะที่น้ำใคร่พุ่งเข้าปากของนิพัทธ์ ความรู้สึกในตอนที่เห็นน้ำขาวขุ่นเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้าบางส่วนยิ่งทำให้เขาเป็นสุข และยิ่งลิงโลดไปกว่านั้นเมื่อนิพัทธ์แลบลิ้นเลียน้ำใคร่ของเขาเข้าปากไปด้วย

เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปหยิบเจลหล่อลื่นกับถุงยางอนามัย ส่วนพิรัลถอดเสื้อกับกางเกงออก ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นพิเศษมีเพียงเสียงผิวกายที่เสียดสีกันยามเมื่อนิพัทธ์กลับมานั่งคร่อมอยู่บนตัวอีกฝ่าย พวกเขาจูบกันอย่างดูดดื่มพลางใช้มือรุกเร้าจนส่วนนั้นกลับมาแข็งขืนอีกครั้งแล้วจึงใส่ถุงยางอนามัยให้ ช่องทางด้านหลังของนิพัทธ์ถูกขยายออกขณะที่ท่อนเนื้อของพิรัลแทรกเข้าหาอย่างเชื่องช้า

นิพัทธ์วางมือสองข้างไว้ที่พนักพิงโซฟาแล้วเริ่มขยับสะโพก เขาผ่อนคลายและปล่อยให้ท่อนเนื้อนั่นรุกล้ำเข้ามาลึกขึ้น มันแน่นตึงไปหมดจนสุดท้ายบั้นท้ายของเขาก็สัมผัสหน้าขาของพิรัล เขาพรูลมหายใจด้วยเพราะขนาดที่อวบอ้วนทำให้รู้สึกเหมือนบั้นท้ายได้ถูกขยายจนถึงที่สุด เด็กหนุ่มขยับกายขึ้นลงเป็นจังหวะ ร้องครางแผ่วเบาในลำคอเมื่อถูกท่อนเนื้อเสียดสีไปมา ในช่วงแรกนั้นค่อยเป็นค่อยไปแต่ผ่านไปพักหนึ่งนิพัทธ์จึงเริ่มเร่งเร้าจังหวะเร็วขึ้น พิรัลคว้ามือทั้งสองที่จับผนักพิงโซฟาของนิพัทธ์รวบเข้ามาจุมพิตซ้ายทีขวาที ที่จริงพอมีคนปรนเปรอให้แบบนี้ก็สุขไปอีกแบบ แต่หากเขาปล่อยไปแบบนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็วซึ่งพิรัลไม่ต้องการ

“กานต์ครับ”

“ครับ” เด็กหนุ่มตัวขาวตอบรับขณะที่ยังควบขี่ท่อนเนื้อไม่ว่างเว้น เขากำลังเสียวซ่านและอยู่ในห้วงอารมณ์หลากหลาย

“ทำช้าลงหน่อยได้มั้ยครับ”

เขาสบตาอีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจที่ถูกเรียกร้องแบบนี้ มันไม่ชินเลย ไม่มีใครเรียกร้องให้ทำช้าลงมีแต่จะรุนแรงมากกว่านี้ พิรัลจับสังเกตเห็นความวูบไหวในแววคู่นั้น เขาทำให้นิพัทธ์เสียความมั่นใจไปไม่มากก็น้อย

“กานต์น่ารักมาก พี่หัวใจจะวายตายแล้ว” พิรัลพูดแล้วจุมพิตที่มือของนิพัทธ์อีก เขาไม่รีรอให้อีกฝ่ายตอบอะไรแต่กลับรั้งร่างที่บางกว่าให้นอนราบไปบนโซฟา “ให้พี่ทำนะ พี่อยากอยู่ในตัวกานต์นานๆ”

เรียวขาสองขาอ้าออกกว้างตามแต่พิรัลจะจัดแจง เขาได้แต่โอบกอดอีกฝ่ายไว้และถูกทำอย่างนุ่มนวล เวลานี้เขาแทบจะเชื่อว่ามันเป็นการร่วมรักไม่ใช่แค่ตอบสนองทางกาย พิรัลจูบไปทั่วใบหน้าโดยเฉพาะแก้มสองข้างที่ถูกหอมซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ช่องทางด้านหลังถูกเติมเต็ม ท่อนเนื้อของพิรัลนั้นแทรกเข้ามาอย่างเชื่องช้าหากแต่เมื่อมันใกล้เข้ามาจนเกือบสุดถึงได้หนักหน่วงขึ้น มันกระทุ้งเข้ามาจนสุดจากนั้นก็ถอนออกไปและกลับเข้ามาใหม่อย่างช้าๆ ช่องทางของเขาบีบรัด ลมหายใจหอบไปตามจังหวะบนเตียงของพิรัล มือสองข้างยังถูกพิรัลกอบกุมเอาไว้ มีบ้างที่พิรัลโน้มตัวลงมาจูบที่มือก่อนจะเล่นที่ยอดอกอีกเล็กน้อย เขากำลังถูกพิรัลตอบสนองทั้งทางจิตใจและทางกาย

“รู้สึกดีมั้ยครับ”

นิพัทธ์พยักหน้ายอมรับ “ดีครับ”

“ดียังไง ไหนบอกพี่ซิ”

ดวงตาของนิพัทธ์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจที่ถูกถามอะไรแบบนั้น แต่แล้วก็อมยิ้ม “พี่เจตน์ลามกมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะ”

พิรัลเลิกคิ้วสูง ทำหน้าเหมือนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นเช่นกัน “ยังไง”

“ก็เวลาอยู่ที่ทำงาน... คนละแบบเลย” เด็กหนุ่มตอบก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อแก่นกายที่อยู่ข้างในถูกดันลึกเข้าไปมากกว่าเดิม “พี่เจตน์ ผม...” คำพูดที่คิดไว้ติดค้างอยู่ในปาก นิพัทธ์รู้สึกเสียวซ่านมากกว่าเดิมจนพูดไม่ออก

“ถ้าไม่เข้มงวดบ้างพี่ก็คุมน้องในทีมไม่ได้สิ” คำตอบที่ได้รับทำให้นิพัทธ์ยิ้มจางๆแทนคำพูด ดวงตาของเขาหยาดเยิ้มจนพิรัลต้องก้มลงไปมอบจูบให้ “ยังไม่ได้บอกพี่เลยว่ารู้สึกดียังไง”

“ไม่บอกครับ” หากจะให้พูดนิพัทธ์ก็พูดได้ แต่ความกระดากอายมีมากกว่า “แล้วพี่เจตน์รู้สึกดีมั้ยครับ”

“ดีสิ” พิรัลตอบไปตามตรง เขารู้ว่าเด็กคนนี้กำลังพยายามไล่ต้อนกลับบ้างจึงดักทางไว้เสียก่อน “ข้างในของกานต์แฉะมาก รัดของพี่แน่นด้วย”

เมื่อถูกพูดลามกแบบนี้เด็กหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เบี่ยงหน้าหลบสายตาไปอีกทาง “ไม่ต้องพูดก็ได้ครับ”

“ตอนที่ใส่เข้าไปตอดตุบๆเลย แต่พอจะเอาออกก็รัดของพี่ไว้แน่นเชียว”

“เลิกแกล้งผมได้แล้วครับ” นิพัทธ์หน้าแดงระเรื่อและรู้สึกกระดากอายกว่าเดิม

“ไม่แกล้งก็ได้ครับ” พิรัลหัวเราะอารมณ์ดี จากนั้นก็ขยับกายเข้าออกเร็วขึ้นอีกนิด ข้างในของนิพัทธ์เป็นอย่างที่พิรัลได้กล่าวไว้จริงๆ มันชุ่มแฉะทำให้สามารถสอดใส่เข้าไปได้ง่าย อีกทั้งยังรัดรึงแนบแน่นรู้สึกดี พิรัลชอบที่เป็นแบบนี้และอยากใช้เวลานานเพื่อสร้างความรัญจวนใจให้อีกฝ่าย

นิพัทธ์ไม่ต่อต้านอีกทั้งยังแยกขาออกกว้างรองรับตัวตนของพิรัลอย่างเต็มใจ แม้ว่าเซ็กส์ครั้งนี้จะเชื่องช้าและนุ่มนวลกว่าที่ผ่านมาแต่มันกลับทำให้นิพัทธ์เสียวสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาประจักษ์แล้วเมื่อครั้งอยู่ที่กระบี่ พิรัลสามารถทำให้เขาสุขสมอารมณ์หมายจากด้านหลัง เขารู้สึกวูบวาบชาไปทั่วร่างและสะท้านอยู่ยาวนานกว่าช่วงเวลาถึงจุดสุดยอดจะผ่านไป

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พิรัลจับขาของเขาดันขึ้นมาชิดอก แทรกกายหนักหน่วงขึ้นและกระชั้นถี่ทว่าก็ยังไม่รุนแรงจนทำให้ตัวสั่นตัวคลอน นิพัทธ์ร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย ปล่อยกายปล่อยใจให้ผ่านเข้าไปที่จุดนั้น เด็กหนุ่มปลดปล่อยออกมา น้ำใคร่พุ่งเลอะหน้าท้องของทั้งสองคน เขายังคงนอนหงายอยู่ตรงโซฟาปล่อยให้พิรัลกระทำจนถึงที่สุด พิรัลเริ่มขยับเอวถี่ขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หน้าท้องเกร็งเขม็ง นิพัทธ์รู้ว่าอีกฝ่ายใกล้จะถึงฝากฝั่งแล้ว

“พี่เจตน์ครับปล่อยข้างในตัวผมเลย” เด็กหนุ่มเอ่ยขณะที่ร่างขยับไหวไปตามแรงกาย ส่วนอีกฝ่ายก็รีบถอนกายออกมาและดึงถุงยางออกก่อนจะสอดใส่กลับเข้าไปอย่างร้อนรน ชายหนุ่มขยับเอวถี่ระรัวขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถึงจุดสุดยอดและหลั่งน้ำใคร่อยู่ในบั้นท้ายของนิพัทธ์ เด็กหนุ่มรั้งอีกฝ่ายเข้ามาจูบพลางกระซิบเสียงแผ่วเรียกชื่อให้หัวใจเต้นแรงกันทั้งสองฝ่าย “ผมแฉะไปหมดอย่างที่พี่เจตน์บอกจริงๆด้วย”

ชายหนุ่มสองคนหยอกล้อกันอยู่พักใหญ่บนโซฟาตัวนั้น จนเมื่ออารมณ์วาบไหวผ่านไปพิรัลจึงดึงรั้งให้เด็กหนุ่มตามมานั่งซบกอดกัน เขาลูบไล้แผ่นหลังอีกฝ่ายพลางจูบแก้มระเรื่อสีแดงไปด้วย ดวงตาของเด็กหนุ่มปรือลงนิดหน่อยจากความเหน็ดเหนื่อย เขาจ้องมองพิจารณาใบหน้าของกันและกัน พิรัลไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งขับเคลื่อนให้มาถึงตรงนี้ เขายังคงมีสติครบถ้วนแต่อะไรบางอย่างทำให้เขาพูดมันออกไปโดยไม่คำนึงถึงอนาคตเบื้องหน้า

“กานต์… ผมชอบกานต์”

เจ้าของชื่อแหงนหน้ามองเจ้าของประโยคเมื่อครู่ สีหน้าของเด็กหนุ่มแสดงอารมณ์หลากหลาย ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยแสดงออกถึงความตกใจ ทว่าเพียงครู่เดียวก็เอนหน้ากลับลงไปซบไหล่ยังจุดเดิม “ผมก็ชอบพี่เจตน์ครับ”

“ผมหมายถึงผมชอบกานต์จริงๆนะ ชอบแบบอยากคุยด้วยทุกวัน”

ฝ่ายคนเด็กกว่าผงกหัวขึ้นมามองพิรัลอีกครั้งก่อนจะจูบที่ริมฝีปาก “แล้วพี่เจตน์คิดว่าที่ผมทักพี่ตอนอยู่กระบี่เพราะอะไรล่ะ”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สีหน้าครุ่นคิด “ไม่ใช่ว่าแค่เพราะเรื่องนั้นเหรอ”

นิพัทธ์ยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะผละตัวออกมานั่งด้านข้าง “ไม่ใช่ครับ” เขากล่าวพลางก้มลงเก็บเสื้อผ้าของอีกฝ่ายที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาวางให้บนโซฟา จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังส่วนห้องครัวเพื่อหยิบเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง “พี่เจตน์จะกลับเลยหรือเปล่าครับ” เขาถามเมื่อเดินกลับมายืนอยู่ในห้องนั่งเล่นและยังเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม

“ที่บอกว่าไม่ใช่คือหมายถึงยังไง”

“แค่รู้ว่าผมชอบพี่เจตน์ก็พอ”

“เฮ้ย ไม่ได้ดิ ผมต้องรู้” ชายหนุ่มดึงกางเกงขึ้นมาสวมแล้วรีบเดินตามอีกฝ่ายที่เดินหายไปในห้องนอน

นิพัทธ์ไม่ได้ปัดป้องอะไรตอนที่พิรัลเข้ามาฉุดแขนไว้ เขาคิดว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะพูดว่าชอบพิรัลที่กำลังถ่ายรูปก็เลยตัดสินใจเข้าไปทัก มันน้ำเน่าเกินไป

“ทำไมผมไม่รู้เลยว่ากานต์ชอบผม”

“ผมคิดว่าพี่น่าจะต้องการแค่เรื่องนั้นก็เลย... ไม่พูดอะไรจะดีกว่า” นิพัทธ์ตอบไปตามตรง แต่เมื่อขยับตัวก็เริ่มรู้สึกไม่สบายที่บั้นท้ายเนื่องจากสิ่งที่คั่งค้างอยู่ภายใน “ผมเข้าไปอาบน้ำก่อนนะ”

“เดี๋ยว” พิรัลกระชับมือที่จับแขนของนิพัทธ์ไว้ “มันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับกานต์ แต่ผมชอบกานต์จริงๆ ผมไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องที่เรามีอะไรกันนะ คือที่เราทำกันมันดีมากๆแต่ว่านอกเหนือจากเรื่องนั้นผมอยากคุยกับกานต์ อยากรู้จักกกานต์มากกว่านี้ แล้วก็อยากไปไหนมาไหน...”

“พี่เจตน์... ผมเข้าใจแล้วครับ” นิพัทธ์พูดขัดขึ้นก่อนจะสวมกอดคนตรงหน้า “ผมก็ชอบพี่เจตน์แบบนั้นเหมือกัน”




************************************



หวังว่านักอ่านจะชอบเรื่องนี้กันนะคะ
 :-[
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-10-2018 21:09:45
เขินไม่ไหวแล้วค่าาา ฮือออ ไม่ขอ Bad end นะคะ ถึงแม้ว่าพระเอกจะเป็นโรคอะไรก็ตาม  :mew1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-10-2018 21:34:00
ฮืออออ​ เขินนนนนนนน​ แค่อ่านตอนเขาคุยกันเฉยๆเราก็จะเป็นลมแล้วอ่ะ​ นัวมากจริงๆ​ ในอนาคตจะเกิดอะไรไม่รู้​ แต่ตอนนี้ขอเขินก่อนละกันนน :hao6:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 07-10-2018 22:29:30
อ่านไปก้กลัวไปว่าพระเอกจะตายคาอกไหมหนออ
แซ่บลืมเลยค่ะคู่นี้ dirty talk มันก้าวใจมากกก
ไม่จบแบบ bad end เนอะ พรีสสสส
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Faii0518 ที่ 07-10-2018 22:45:46
ขออย่า bad end แค่พี่เจตต์เป็นโรคหัวใจ?ก็น่าสงสารแล้วอะ
อ่านไปก็เขินไปร้อนแรงทั้งพี่ทั้งน้อง หลังจากที่เผยความรู้สึกกันแล้วจะเป็นยังไงต่อเนี่ย
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 07-10-2018 23:27:11
โอ๊ย ดีกับใจ พี่เจตรักษาสุขภาพนะคะ จะได้อยู่กับน้องกานต์นาน ๆ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: นินนินนิน ที่ 08-10-2018 00:29:03
สัมผัสได้ว่าตอนจบของเรื่องนี้ต้องเศร้าแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สี่ - วงกลม 07-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 08-10-2018 04:44:24
กลัวจะจบไม่ดีจัง ฮื้ออออ :katai1:
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่ห้า - สุขจีรัง 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 10:28:44
ตอนที่ห้า




เป็นธรรมเนียมเล็กๆน้อยๆสำหรับบริษัทแห่งนี้ที่เมื่อพนักงานผ่านช่วงทดลองงานก็จะพาไปเลี้ยงฉลอง แต่เพราะงานยุ่งกันมาก ประกอบกับพนักงานส่วนใหญ่จะออกไปออนไซต์อยู่ข้างนอกกว่าจะได้เลี้ยงฉลองก็ผ่านไปอาทิตย์กว่า

พิรัลแยกตัวออกมาคุยเรื่องงานกับลูกค้าที่ด้านนอกร้านพลางสูบบุหรี่ไปด้วย ดูเหมือนว่าจะเจอลูกค้างี่เง่าที่เอาแต่ผลประโยชน์เกินไปจนน่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย เธอไม่พอใจงานซ่อมอะไรสักอย่าง พิรัลพยายามอธิบายแล้วว่าเครื่องที่ใช้มันเก่าและเสื่อมโทรมไปตามอายุการใช้งาน หากต้องการให้มีประสิทธิภาพกลับมาใช้งานได้รวดเร็วก็ต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่พิรัลไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมดสิ่งที่ทำได้คือการค่อยๆอธิบายในจุดที่ลูกค้าไม่เข้าใจ น้ำเสียงที่พูดออกไปฟังดูสุภาพเรียบร้อยแต่ภายในเขาอยากจับเครื่องโพสมาทุ่มใส่หน้าลูกค้าเจ้านี้เหลือเกิน

หลังจากร้องคาราโอเกะเพลงที่เลือกไว้จนจบพิรัลก็ยังไม่กลับเข้ามา เด็กหนุ่มยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะใช้ช่วงเวลาชุลมุนที่คนอื่นกำลังเลือกเพลงเดินหนีออกไปจากห้องคาราโอเกะ เขาเห็นพิรัลหลบมุมยืนคุยโทรศัพท์มือถือและสูบบุหรี่อยู่ตรงบริเวณด้านนอกไม่ไกลจากห้องคาราโอเกะนัก เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นสีหน้าบูดบึ้ง นั่นทำให้นิพัทธ์รู้ได้ทันทีว่าพิรัลกำลังอารมณ์เสียอย่างถึงที่สุด พิรัลขยี้บุหรี่ทิ้งลงในถังขยะที่เตรียมไว้ก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้คนที่เด็กกว่าเดินไปอีกทาง

“ครับคุณกุ๊ก ได้ครับ คุณกุ๊กส่ง Invite มาได้เลยครับ”

พิรัลเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้เดินมายืนอยู่อีกด้านซึ่งลับตากว่าที่เดิม

“แล้วผมจะหา Solution ไปเสนอในที่ประชุมให้ครับ ครับผม สวัสดีครับ”

ชายหนุ่มถอนหายใจยาวสีหน้าดูหงุดหงิด นิพัทธ์เอื้อมมือไปแตะแขนเบาๆเพื่อให้กำลังใจ เห็นเช่นนั้นพิรัลจึงรั้งตัวเด็กหนุ่มเข้ามากอดแนบแน่นราวกับจะซึมซับพลังงาน

“กลับเข้าไปข้างในเถอะครับ”

“อืม”

พิรัลตอบรับก่อนจะปล่อยให้นิพัทธ์เดินนำกลับเข้าไปในห้องคาราโอเกะ อาหารทุกอย่างพรั่งพร้อมและพิรัลก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตัวเองนั้นหิวมาก เขานั่งกินอาหารไปเรื่อยๆขณะที่ปล่อยให้น้องๆในทีมร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศโดยรวมก็ถือว่าดี เป็นบรรยากาศที่หาได้ในชาวออฟฟิศทั่วไป หัวหน้าของเขาแวะมาสังสรรค์ด้วยครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวกลับก่อนเพราะคนท้องก็ต้องดูแลสุขภาพกันหน่อย เหลือเพียงพิรัลกับตั้มที่เป็นระดับซีเนียร์อยู่ฉลองกับน้องๆ ดูท่าทางเด็กๆจะสนุกกันมากเพราะทั้งกินทั้งดื่มไม่หยุด อีกอย่างคืนวันศุกร์แบบนี้ก็ปลดปล่อยตัวเองกันอยู่แล้ว

เขาคุยกับตั้มนิดหน่อยเรื่องงานที่มีปัญหาเพราะรู้สึกรับมือกับลูกค้าได้ไม่ดี ตั้มให้คำแนะนำอย่างไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดตามเท่าที่ประสบการณ์ของตัวเองจะประสบพบเจอ ทว่าขณะที่คุยกับตั้มได้ครู่หนึ่งพิรัลก็ได้ยินเสียงร้องเพลงจากนิพัทธ์ที่ร้องคู่กับหญิง เขารู้สึกว่าสองคนนี้จะสนิทและพูดคุยกันมากกว่าคนอื่นในทีมซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก แต่อีกใจหนึ่งพิรัลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกบางอย่าง

แม้ว่าจะรู้ความรู้สึกของกันและกันแล้วแต่พิรัลก็ยังไม่ได้เอ่ยขอคบหานิพัทธ์อย่างจริงจัง พวกเขาพูดคุยกันมากขึ้นแต่นั่นก็เป็นเวลาหลังเลิกงานหรือช่วงเสาร์อาทิตย์ พิรัลยินยอมให้เด็กหนุ่มเดินทางเข้าสู่อาณาเขตของตัวเองแม้ว่าจะยังไม่เคยบอกกล่าวว่าตัวเขานั้นเป็นโรคหัวใจ เขาคิดอยู่เสมอว่ามันก็แค่แน่นหน้าอกเหมือนมีหินมาวางทับเพียงแค่พักไม่กี่สิบนาทีอาการก็จะหายไป ไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกกล่าวใครเลยด้วยซ้ำ

เขาไม่ชอบความรู้สึกเวลาที่คนอื่นมองเห็นว่าเขาป่วย พิรัลอยากเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ต้องได้รับนัดหาหมอบ่อยๆหรือถูกชวนไปทำบุญบริจาคทานอย่างที่แม่บังคับ ที่ไปก็แค่อยากให้แม่กับพ่อสบายใจ ส่วนตัวของเขานั้นนับถือศาสนาพุทธแค่ในเอกสารราชการเท่านั้นแหละ ด้วยเหตุนั้น นี่จึงเป็นสิ่งเดียวที่พิรัลยังไม่ปล่อยให้นิพัทธ์ล่วงล้ำเข้ามา เส้นขอบเขตของความเป็นส่วนตัวยังคงมีอยู่และพิรัลก็ไม่อาจทำใจทำลายมันลงได้

“เฮียเจตน์เอาเหล้าอีกมั้ยพี่”

เสียงใครคนหนึ่งถามแต่พิรัลปฏิเสธไป คืนนี้เขาต้องขับรถจึงดื่มเพียงแค่สองแก้วพอเป็นพิธีเท่านั้น ตั้มเดินออกไปร้องคาราโอเกะกับน้องๆแล้ว ส่วนเขายังนั่งอยู่ที่เดิมและมองดูนิพัทธ์ที่กำลังวุ่นวายกับการชงเหล้า

“พี่เจตน์ มาชนแก้วกัน” โอมกวักมือเรียกเขาจึงยอมลุกไปร่วมวงกับน้องในทีมพร้อมกับแก้วน้ำอัดลม โอมค่อนข้างคึกกว่าปกติ กลายเป็นบุคคลที่ชวนคนอื่นชนแก้วไปทั่ว

หญิงเดินเข้ามานั่งด้านข้างพิรัลแล้วชนแก้วเพราะก่อนหน้านี้เธอไปอยู่มุมห้องคอยส่งแก้วเหล้าให้คนอื่นๆ “พี่”

“อืม”

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางจุดที่นิพัทธ์ยืนอยู่ “พี่ว่ากานต์มีแฟนแล้วยัง”

พิรัลตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆถูกถามแบบนี้ “ไม่รู้ว่ะ”

“หญิงว่ากานต์น่ารักดี ไอ้เอิงเอยยังสนใจเลย แต่ก็ไม่แปลกนะทีมเราไม่มีผู้หน้าตาดีมานานละ” พูดจบก็หัวเราะชอบใจอารมณ์ดีโดยไม่ได้สังเกตคนด้านข้าง หญิงผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นตั้มเรียกให้ไปร้องเพลงคู่กัน ทิ้งไว้เพียงคำพูดกวนใจแก่ชายหนุ่ม เอิงเอยที่ว่านั่นก็เป็นหญิงสาวส่วนน้อยของทีมอีกคน โดยมากจะออกไปออนไซต์ต่างจังหวัดนานทีปีหนจะกลับเข้าออฟฟิศ

เธอชงเหล้าอยู่กับนิพัทธ์ไม่ได้แสดงท่าทีจะจีบออกนอกหน้าอะไรขนาดนั้น ดูผิวเผินก็เหมือนการพูดคุยทั่วไปแต่ฟิลเตอร์หวงเด็กกำลังบังตาพิรัลอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งที่ทำได้ก็คงนิ่งเงียบเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่สมควรเก็บเอาเรื่องเล็กน้อยของเด็กมาคิดมาก อีกทั้งยังไม่สามารถแสดงออกให้ชัดเจนได้อีกด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนิพัทธ์อยู่ในสถานะใด

ขณะที่คิดเรื่องของนิพัทธ์อยูนั้นหัวใจของเขาก็บีบรัดขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บ พิรัลเดินออกไปข้างนอกโชคดีที่ไม่มีใครสนใจ เขารู้สึกแน่นหน้าอกไม่รู้สาเหตุเพราะคิดเรื่องนิพัทธ์หรือเพราะอาหารการกินกันแน่ ทั้งเหล้าทั้งบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพแต่พิรัลก็ยังไม่หยุดและมีแนวโน้มที่จะทำลายสุขภาพตัวเองต่อไปอีกด้วย ชายหนุ่มนั่งสงบสติอารมณ์พยายามไม่จดจ่อสมาธิอยู่ที่อาการซึ่งกำลังกำเริบ แต่กว่าอาการแน่นหน้าอกจะหายไปก็ใช้เวลาพักใหญ่พอควรจนรู้สึกว่ามันหายช้ากว่าปกติ

พอกลับถึงห้องคาราโอเกะนิพัทธ์ก็ส่งสายตามาเป็นเชิงถามว่าหายไปไหนมา เขายิ้มนิดๆแล้วนั่งลงที่เดิม มองดูน้องในทีมสนุกสนานกับการร้องเล่นกินอาหาร กว่าจะเลิกลาก็เกือบห้าทุ่มโชคดีที่วันนี้พิรัลเอารถมาจึงไม่ต้องกระหืดกระหอบวิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้า หลังจากเคลียร์ค่าอาหารกับตั้มเสร็จเขาก็แยกตัวออกมาพร้อมกับนิพัทธ์ทว่าโอมดันเดินตามหลังมาด้วย

“ผมเพิ่งรู้ว่าพี่มีรถนะเนี่ย ปกติมาแต่รถไฟฟ้าใช่ป้ะ” โอมเอ่ยถามพลางมองพวกเขาสองคนสลับกับมองรถยุโรปเก่าเก็บสีสว่างของพิรัลไปมา สภาพดูเมาได้ที่พอควร

“ผมเอารถมาทุกวันแหละ แต่จอดไว้ที่ลานจอดรถของรถไฟฟ้า”

“อ๋อ แล้วนี่พี่จะไปส่งกานต์เหรอ”

พิรัลพยักหน้าแต่ช่วงขณะนั้นเองหญิงก็ตะโกนเรียกเพื่อนเมื่อรถแท็กซี่จอดอยู่ที่หน้าร้าน โอมเดินจากไปนิพัทธ์จึงได้ถอนหายใจยาว พิรัลบอกกล่าวให้เด็กหนุ่มขึ้นรถแล้วขับออกไปจากสวนอาหารแห่งนั้นทันที

นิพัทธ์สังเกตได้ถึงความเงียบตั้งแต่ขึ้นรถมาได้สักพักแต่เขาก็ยังไม่แน่ชัดจนเมื่อถึงคอนโดก็แน่ใจแล้วว่าพิรัลดูผิดปกติ

“พี่เจตน์จะขึ้นข้างบนมั้ยครับ”

“อ๋อ ไม่ล่ะ ผมจะกลับบ้านเลย”

เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับเข้าหาเพื่อมองสบตา “ไม่อยากอยู่กับผมเหรอ”

พิรัลยิ้มนิดๆที่ถูกอ้อน แต่จิตใจของเขาขุ่นมัวอย่างบอกไม่ถูก “ดึกแล้ว”

“โกรธอะไรผมหรือเปล่าครับ”

“เปล่า ไม่ได้โกรธแต่ผมแค่คิดอะไรเยอะไปหน่อย”

“เรื่องเอิงเอยใช่มั้ย”

นิ้วมือที่จับพวงมาลัยอยู่เผลอกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าของพิรัลดูประหลาดแปลกใจด้วยไม่คาดคิดว่านิพัทธ์จะจับสังเกตได้ “รู้ได้ไง”

“ผมเห็นพี่มองผมตลอด ถ้าไม่รู้ตัวก็เกินไปหน่อยละ”

สีหน้าของชายหนุ่มดูสลดลงนิดหน่อย “โทษที”

“ไม่ยกโทษให้”

“แล้วจะให้ผมทำยังไง”

“ค้างห้องผมแล้วผมจะยกโทษให้”

คราวนี้พิรัลถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเผยยิ้มมุมปากไม่ต่างไปจากนิพัทธ์


ร่างของนิพัทธ์นอนคว่ำหน้า ท่อนบนของเขาแนบไปกับเตียงนอนขณะที่บั้นท้ายถูกจับกระชับให้ยกสูงเพื่อง่ายต่อการสอดใส่ ท่อนเนื้อของพิรัลรุกล้ำอยู่ด้านในค่อนข้างเนิบช้าเหมือนอย่างเคย ทว่านิพัทธ์กลับสุขสมจนร้องครวญเสียงแผ่วไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มชอบเวลาที่พิรัลสอดใส่เข้ามาอย่างช้าๆและค่อยลงแรงกระแทกในตอนท้าย อีกทั้งพิรัลยังชอบนัวเนียจูบอย่างเอาอกเอาใจ ไม่ก็ชอบพูดหยอกเย้าเรื่องลามกให้ยิ่งตื่นตัว นิพัทธ์ไม่เคยเป็นเช่นนี้ถึงแม้ว่าจะเคยคบหากับคนอื่นมาบ้างแต่เขาไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน พิรัลไม่สักแต่จะทำเขายังคำนึงความสุขของนิพัทธ์ด้วย ทั้งร่างกายและจิตใจจึงอิ่มเอม

พิรัลดึงร่างในอ้อมกอดให้ขึ้นมานั่งขณะที่ยังแทรกกายอยู่เช่นนั้น เขาจับใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามารับจูบพลางแทรกกายเข้าหาหนักหน่วงขึ้น อีกฝ่ายเองก็ขยับไหวกลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปจนบั้นท้ายแนบชิดหน้าขาก่อนจะยกสะโพกสูงขึ้นแล้วค่อยๆกลืนกินท่อนเนื้อนั่นใหม่

“กานต์ชอบแบบนี้มั้ยครับ”

เด็กหนุ่มตัวขาวพยักหน้ารับก่อนจะหันไปจูบริมฝีปากของอีกคนเป็นการตอกย้ำ

“พี่ชอบกานต์นะ” พิรัลกระซิบบอกจากนั้นล้วงมือลงต่ำเพื่อช่วยปลุกปั่นอารมณ์ที่ส่วนหน้าของนิพัทธ์

“ผมก็ชอบพี่ครับ” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าลงเล็กน้อย สติที่มีเริ่มเลือนรางด้วยเพราะถูกปั่นป่วนทั้งด้านหน้าด้านหลัง นิพัทธ์ขยับสะโพกเข้าหาแท่งเนื้อที่แทรกเสียดอยู่ด้านหลัง เขาบอกพิรัลว่าจวนเจียนใกล้จะถึงฝากฝั่งมือที่กอบกุมอยู่จึงยิ่งขยับรัวเร็ว น้ำใคร่ของเขาหลั่งไหลออกมาเปรอะเปื้อนอุ้งมือของคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง

พิรัลดันร่างของเด็กหนุ่มให้นอนคว่ำหน้าลงไปอีกครั้งแล้วเริ่มขยับกาย นิพัทธ์ยังคงชาวาบไปทั่วร่าง ช่องทางด้านหลังของเขาเองก็กำลังตอบรับยินยอมให้อีกคนสุขสม มันคลายออกเพื่อรองรับขนาดอวบใหญ่ขณะเดียวกันก็บีบรัดกระชับอย่างน่าประหลาด

“พี่เจตน์ปล่อยในตัวผมเลยนะครับ”

ได้ยินเช่นนั้นพิรัลก็ดันตัวเข้าหาขยับเอวเร็วขึ้น อารมณ์ของเขาไต่สูงจนในที่สุดก็ถึงจุดสุดยอดและหลั่งอยู่ในช่องทางรักของนิพัทธ์ตามที่เจ้าตัวต้องการ การหลั่งอยู่ในตัวฝ่ายรับไม่ได้มีผลอะไรต่อทางกายภาพแต่ส่งผลทางจิตใจอย่างปฏิเสธไม่ได้ และดูเหมือนนิพัทธ์จะชอบที่เป็นแบบนั้น พิรัลเองก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใดเขาเองมีความสุขมากเช่นกัน พวกเขาประคองกอดกันต่อแลกจูบนัวเนียดอมดมผิวกายของกันและกัน เมื่ออารมณ์สงบลงนิพัทธ์ก็ลุกขึ้นหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดที่บั้นท้ายของตัวเอง พิรัลมองภาพนั้นอยู่ๆในหัวก็เกิดคำถามขึ้นมา เขาลังเลเพราะกลัวว่าจะเสียบรรยากาศแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ นิพัทธ์กลับขึ้นมาบนเตียงอีกครั้งแนบกายกกกอดชายหนุ่มไว้และซบหน้าลงบนหน้าอก

“กานต์พี่ถามอะไรตรงๆหน่อยได้มั้ย”

“ได้ครับ” เด็กหนุ่มจับมือของพิรัลเข้ามาจุมพิตและจับเล่นไปมา

“ถ้าเกิดเอิงเอย...”

“หยุด” นิพัทธ์พูดขัดพร้อมๆกับที่เอามือปิดปากอีกฝ่ายไว้ เขาพลิกตัวขึ้นนอนทับพิรัลสบมองดวงตาสีเข้มที่ฉายแววกังวล “ผมไม่ได้เป็นไบฯนะครับพี่เจตน์ ผมชอบผู้ชาย”

“อืม” ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยถามประโยคถัดไป “เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”

“เล่าเรื่องแฟนเก่าเหรอครับ”

“ก็ประมาณนั้นครับ”

“ถ้ารู้แล้วจะสบายใจมั้ยครับ”

พิรัลยิ้ม ในใจของเขาสงบราบเรียบ เรื่องแฟนเก่าแฟนใหม่อะไรก็ตามแต่ไม่เคยทำอะไรจิตใจของเขาได้เลย ด้วยอายุขนาดนี้เขาไม่คิดเรื่องนั้นให้หงุดหงิดใจหรอก “พี่อยากรู้เรื่องของกานต์… ได้มั้ยครับ” เขากล่าวพลางจูบตามใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะหยุดฝังจมูกที่แก้มเพราะเป็นจุดที่ชื่นชอบ

“ผมมีแฟนคนแรกตอนมหาลัย รู้ตัวมาตลอดแหละว่าชอบผู้ชายแต่ไม่เคยบอกคนอื่น พอจบปีหนึ่งก็หายๆกันไปแล้วก็ได้คบกับแฟนคนที่สองตอนใกล้จะเรียนจบ”

“คนที่สามล่ะ”

“ยังไม่มีครับ” แม้จะตอบแบบนั้นแต่นิพัทธ์ก็ยังซบอยู่บนหน้าอกของพิรัลและไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ เด็กหนุ่มไม่กล้าพูดในสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะบอกชอบพิรัลแต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยขอเขาคบหาอย่างจริงจัง มันไม่เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นคนพูดคำนั้นก่อน แต่ลึกๆแล้วนิพัทธ์ไม่มั่นใจอะไรสักอย่างว่าพิรัลชอบตัวเองมากขนาดไหน จึงไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านั้น

พิรัลพอจะเข้าใจแล้วว่าคนที่สามตอนนี้อาจจะหมายถึงตัวของเขาเอง นึกอยากจะพูดขอคบหากันอย่างจริงจังออกไปอยู่เหมือนกัน แต่เพราะอายุของเขามาถึงจุดนี้เรื่องรักเรื่องใคร่จึงไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถพูดออกมาง่ายดายขนาดนั้น เขาชอบนิพัทธ์และคิดวนไปวนมาว่าชอบเด็กคนนี้มากขนาดไหน แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจนิพัทธ์ เด็กวัยขนาดนี้อาจจะต้องการความตื่นเต้นหวือหวามากกว่าลงหลักปักฐานกับใครสักคนมากกว่า ซึ่งพิรัลมองเรื่องของการคบกันแบบคนรักไม่ใช่แค่แฟนหรือรักแบบวัยรุ่น แล้วถ้าหากจะถามออกไปตามตรงพิรัลก็ไม่กล้า

“พรุ่งนี้พี่พากานต์ไปทะเลดีมั้ย ค้างคืนนึง”

“เหมือนสูตรพาสาวไปเปิดซิงเลยอะ” นิพัทธ์กล่าวติดตลกพาทำให้บรรยากาศดูสบายๆขึ้นจนพิรัลยิ้มกว้าง

“เสียซิงให้พี่ไปนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ” สิ้นคำก็จูบที่หลังมือของเด็กหนุ่มอย่างเนิ่นนาน “ไปมั้ยครับ”

“พรุ่งนี้เหรอ…” นิพัทธ์พึมพำก่อนจะพลิกนอนหงายแต่ยังซุกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มอีกคน

“อย่าเล่นตัวเลย พี่อายุเยอะแล้ว”

นิพัทธ์หัวเราะออกเสียง บีบแก้มคนอายุมากกว่าแล้วตามเข้าไปจูบที่แก้ม “ไปครับ”

พิรัลดีใจจนยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่การพานิพัทธ์ไปเที่ยวทะเลหรอก หากไม่กล้าถามออกไปตรงๆว่านิพัทธ์ชอบเขาแบบไหน สิ่งหนึ่งที่เมื่อคนเรามีความตั้งใจจะคบหากันอย่างจริงจังนั่นก็คือความกล้าในการเข้าหาครอบครัวของอีกฝ่าย และเขาจะพานิพัทธ์ไปยังจุดนั้น

“งั้นพรุ่งนี้ออกแต่เช้า แต่ว่าพี่ขอแวะเอาเสื้อผ้าที่บ้านก่อนนะ”

ความชอบของนิพัทธ์จะเป็นแบบที่พิรัลตั้งความหวังเอาไว้หรือเปล่า เขายังนึกหวาดหวั่นใจ




“น้าเจตน์ สวัสดีค่ะ”

สิ่งแรกหลังจากที่นิพัทธ์ลงจากรถเขาเห็นเด็กผู้หญิงในชุดกางเกงยีนส์ขายาวกับเสื้อคอกลมสีขาวสวมรองเท้าผ้าใบวิ่งตรงเข้ามา เธอไว้ผมยาวแต่รวบมัดไว้ดูท่าทางทะมัดทะแมงและร่าเริง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนถูกเรียกชื่อแต่นิพัทธ์กลับนิ่งชะงักไปครู่หนึ่งด้วยเพราะเป็นโรคไม่ถูกกับเด็ก เธอยกมือไหว้น้าเจตน์ก่อนจะถูกอุ้มเข้าไปกอด

“สวัสดีค่ะ จ๊ะจ๋า” พิรัลตอบรับคำทักทายเด็กน้อยในอ้อมกอดอย่างสนิทสนม เขาชี้มาทางที่นิพัทธ์ยืนอยู่แล้วจึงค่อยแนะนำให้รู้จัก “จ๊ะจ๋าคะ นี่พี่กานต์ เพื่อนของน้าเจตน์ค่ะ”

“สวัสดีค่ะ จ๊ะจ๋า” นิพัทธ์ที่รับมือกับเด็กไม่เป็นจึงได้แต่ทักทายแค่นั้น จะให้เข้าไปอุ้มไปกอดเกรงว่าคงจะทำไม่ได้ เขาไม่ชอบเด็ก… จากก้นบึ้งของหัวใจเลย

“พี่กานต์มาทำบุญกับคุณยายด้วยเหรอคะ” คุณยายในที่นี่คงหมายถึงแม่ของพิรัลไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดา เขาส่ายหน้าปฏิเสธไปตามจริงเพราะมาที่นี่เพื่อให้พิรัลมาเอาเสื้อผ้าเท่านั้น

“เข้าบ้านกันเถอะ” พิรัลตัดบทก่อนที่จะหลานสาวของเขาจะซักถามอะไรไปมากกว่านี้ เพราะสังเกตเห็นได้ว่านิพัทธ์น่าจะไม่ชอบเด็กซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ส่วนตัวพิรัลเองถ้าไม่ใช่หลานไม่ใช่ญาติเขาก็ไม่ชอบเด็กเหมือนกัน

ทว่าเมื่อปล่อยให้จ๊ะจ๋าลงเดินเด็กสาวกลับเข้าไปจูงมือนิพัทธ์ และเป็นฝ่ายต้อนรับแขกผู้มาเยือนเสียเอง เธอดูร่าเริงคึกคักเหมือนเด็กทั่วไปในตอนที่รีบเข้าไปบอกยายของเธอว่ามีแขกมา

“อ้าว เจตน์” แม่ของพิรัลเอ่ยทัก เธอวางมือจากการพักดอกบัวและกอดลูกชายด้วยความคิดถึง “ไปถวายเพลให้หลวงลุงกับแม่นะลูก”

“เจตน์นัดเพื่อนไว้แล้วครับ” พิรัลไม่อ้อมค้อมตามประสา ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผยและจริงใจ เขาถูกเลี้ยงมาพร้อมกับอิสระในการเลือกสิ่งต่างๆและนี่ก็เป็นอีกครั้งที่พิรัลเลือกสิทธิ์อิสระที่ตัวเองพึงมีมอบให้แก่ ‘เพื่อน’ คนที่ว่านั่น

นิพัทธ์ยังคงถูกเจ้าบ้านอย่างจ๊ะจ๋าจับมือไม่ห่าง แต่แล้วเธอก็ยอมปล่อยมือเมื่อเห็นแม่ของตัวเองเดินเข้ามา นั่นจึงสบโอกาสให้นิพัทธ์ยกมือไหว้สวัสดีแม่ของพิรัลอย่างพอดิบพอดี “สวัสดีครับคุณน้า”

แม่ของพิรัลยกมือรับไหว้พร้อมกับรอยยิ้มแบบคนใจดี “สวัสดีลูก แล้วนี่จะไปไหนกับเจตน์ล่ะ”

“จะไปทะเลกันน่ะแม่ กานต์ ผมขึ้นไปเก็บของแป้บนึงนะ เดี๋ยวมา” พิรัลตอบแทนอีกฝ่ายก่อนที่จะหายตัวขึ้นไปยังชั้นบนตามที่ได้บอกไว้ ที่ด้านล่างจึงเหลือนิพัทธ์กับครอบครัวของพิรัลอีกสามคน

“เพื่อนเจตน์เหรอ” หญิงสาวที่ยืนอุ้มจ๊ะจ๋าอยู่ถาม ซึ่งนิพัทธ์เดาว่าคงจะเป็นพี่สาวของพิรัลจากลำดับการเรียกญาติของจ๊ะจ๋า

“สวัสดีครับ” นิพัทธ์ยกมือไหว้

เธอยิ้มและรับไหว้ไปตามเรื่องตามราว “ไม่เคยเห็นเจตน์พาเพื่อนมาที่บ้าน เลยงงๆอยู่น่ะ”

“เพิ่งมารู้จักกันตอนทำงานครับ” เด็กหนุ่มกล่าว แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะจับพิรุธบางอย่างได้ แต่เธอทำเพียงแค่ยิ้ม เห็นเช่นนั้นนิพัทธ์จึงหาทางหนีทีไล่ด้วยการเอ่ยปากช่วยแม่ของพิรัลพักดอกบัว แต่ก็หนีไม่พ้นเมื่อแม่ของพิรัลเป็นฝ่ายเอ่ยถามเรื่องราวระหว่างเขากับพิรัลอยู่ดี คราวนี้เห็นทีจะหนีได้ยาก แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่แม่กับน้องสาวของพิรัลถามก็ไม่ได้ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว

สำหรับนิพัทธ์มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้ใหญ่ชอบถามเสียมากกว่าและไม่รู้สึกอึดอัดที่ตอบเลย เช่น อายุเท่าไหร่ เรียนจบจากที่ไหน รู้จักกับเจตน์ได้ยังไง ทำงานอะไร จะไปเที่ยวที่ไหนกัน บลาบลาบลา นิพัทธ์ไม่ได้อึดอัดแต่ก็ต้องพยายามเลือกตอบคำถามให้ดีเพราะไม่กล้าให้ครอบครัวของพิรัลรู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบใด เขารู้สึกพลาดนิดหน่อยที่ไม่ถามพิรัลมาก่อนว่าครอบครัวของพิรัลรู้หรือเปล่าว่าลูกชายมีรสนิยมแบบไหน

ครอบครัวของพิรัลดูสบายๆไม่เจ้าระเบียบอะไรมากนัก เขาจึงสามารถนั่งพับดอกบัวกับแม่ของพิรัลได้อยู่นานสองนาน ส่วนพี่สาวของพิรัลที่มารู้ทีหลังว่าชื่อจุ๊บแจง เขาคิดว่าเธอคงสงสัยอยู่ไม่น้อยกับการมีตัวตนของ ‘เพื่อน’ คนนี้ หลังจากช่วยแม่ของพิรัลเตรียมของถวายพระชายหนุ่มสองคนที่อายุต่างกันก็เดินเข้ามาในบ้าน คนหนึ่งที่ดูสูงวัยถือกล่องอุปกรณ์ช่าง ส่วนอีกคนดูหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับพิรัลถือบันไดเหล็ก เขาเดาว่าคนที่ถืออุปกรณ์ช่างน่าจะเป็นพ่อของพิรัล อีกคนไม่รู้เหมือนว่าเป็นพี่ชายหรือพ่อของน้องจ๊ะจ๋า

“จ๋า เอาน้ำให้คุณตากับพ่อหน่อยครับ” ชายหนุ่มที่ถือบันไดเหล็กกล่าวกับจ๊ะจ๋าพลางพิงของไว้กับกำแพงบ้าน

ในที่สุดนิพัทธ์ก็ได้คำตอบ เขายกมือไหว้สวัสดีทั้งสองคนและยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปช่วยคนชายสูงวัยถือกล่องอุปกรณ์ “สวัสดีครับคุณน้า”

“อืม สวัสดี”

“พ่อ นี่เพื่อนเจตน์ แต่เห็นว่าจะไปเที่ยวกัน เจตน์เลยแวะมาเอาของ” แจงเริ่มแนะนำ พ่อของพิรัลพยักหน้ารับรู้ก่อนจะบอกให้นิพัทธ์เอากล่องเครื่องมือช่างไปเก็บในห้องเก็บของซึ่งเป็นห้องเล็กๆที่อยู่ใต้บันได

“ขอบใจมากนะ ชื่ออะไรล่ะเรา”

“ชื่อกานต์ครับ”

“อืม ตามสบายนะ” พ่อของพิรัลกล่าวจากนั้นก็หันไปสนใจอยู่กับหลานสาวที่เอาน้ำไปให้

“กานต์”

อยู่ๆพี่สาวของพิรัลก็เอ่ยเรียก แต่น้ำเสียงกระซิบกระซาบทำให้เขาต้องขยับเข้าหาเพื่อเงี่ยหูฟัง ส่วนแม่ของพิรัลก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมของถวายพระจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก “ครับพี่แจง”

“เราเป็นแฟนเจตน์ใช่มั้ย”

นิพัทธ์เผลออ้าปากค้างเพราะเจอคำถามที่คาดไม่ถึง อย่างน้อยก็ไม่คิดว่าจะถูกถามแบบนี้

“แจงรู้จักเพื่อนเจตน์ทุกคนแหละเพราะเรียนมหาลัยเดียวกัน”

“ตอนนี้… เอ่อ ก็เพื่อนแหละครับ”

“อ้าว” แจงอุทานออกมาสีหน้าดูงุนงง เธอรู้จักเพื่อนของน้องชายทุกคนอย่างที่ว่าเพราะเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน อีกทั้งยังเรียนคณะเดียวกันจึงมีเรื่องระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องสายรหัสเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อนของน้องชายก็มีหลายคนแต่ไม่ใช่แนวนี้ จากสัญชาตญาณลูกผู้หญิงกำลังบ่งบอกว่าผู้ชายตัวขาวๆที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนของน้องชายแน่นอน

“คือ…”

“คุยอะไรกัน” เสียงของชายหนุ่มแทรกเข้ามา พิรัลยืนอยู่ข้างหลัง ‘เพื่อน’ พร้อมกับกระเป๋าผ้าขนาดย่อม

“แฟนแกเหรอเจตน์” แจงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาแต่ยังคงใช้เสียงเบาจนเกือบกระซิบเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

พิรัลยิ้มพลางเลื่อนมือลงมาจับไหล่ของนิพัทธ์ “น้องที่ทำงานน่ะ”

“อ้อ” แจงส่งเสียงรับรู้ สีหน้าดูกรุ้มกริ่มปิดไม่มิด ดูยังไงเธอก็รู้แล้วว่าระหว่างพวกเขาสองคนเป็นอะไรกัน “แล้วนี่จะไปทะเลที่ไหน”

“หัวหิน” พิรัลตอบสั้นๆก่อนจะเอื้อมไปคว้าขนมทองหยิบขึ้นมากิน

“เออ ซื้อน้ำปลาตราหอยเป่าฮื้อมาให้แม่ด้วยดิ”

“อันนั้นมันอยู่ที่ระยองเว่ยไอ้แจง”

“อ้าว งั้นขากลับเอาขนมมาฝากจ๋าหน่อยแล้วกัน นางอยากกินท๊อฟฟี่”

จากนั้นพิรัลก็อยู่คุยกับพี่สาวอีกสองสามประโยคก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับพ่อแม่เพื่อเดินทางไปต่างจังหวัด จ๊ะจ๋าตามมาส่งพวกเขาที่รถด้วย ดูเหมือนเธอจะชอบเข้าหานิพัทธ์จนสามีของจุ๊บแจงยังเอ่ยปาก นิพัทธ์ถึงแม้จะไม่ชอบเด็กแต่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรขนาดนั้น เขาตกปากรับคำว่าซื้อท๊อฟฟี่มาฝาก จ๊ะจ๋าดูดีใจจนปิดไม่มิดแต่เมื่อมองเห็นฟันน้ำนมที่มีรอยดำหรือที่เรียกว่าฟันผุก็แอบลังเลว่าจะเปลี่ยนเป็นซื้ออย่างอื่นให้แทน ครอบครัวของพิรัลยังคงยืนส่งอยู่ที่ประตูรั้ว นิพัทธ์ที่มองจากกระจกมองข้างจึงอดยิ้มไม่ได้เพราะเห็นว่าเป็นครอบครัวที่ดูอบอุ่นน่ารักเป็นกันเองดี

“ผมว่าจะซื้ออย่างอื่นให้น้องจ๋า ไม่อยากให้ฟันผุไปมากกว่านี้”

“ไม่ต้องซื้อหรอก” พิรัลว่ายิ้มๆ ไม่ได้จริงจังอะไรมาก

“ผมสัญญากับน้องไว้แล้ว ขากลับก็ขอติดรถพี่เจตน์มาแวะที่บ้านหน่อยแล้วกันนะครับ”

“ได้ครับ”

พิรัลรับปากก่อนจะเหลือบมองไปยังกระจกมองข้าง มองใบหน้าของนิพัทธ์ที่ยังคงยิ้มและพูดถึงครอบครัวของเขา

“ที่จริงผมไม่ได้พับดอกบัวมานานแล้วนะ เมื่อกี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะยังพับได้อยู่หรือเปล่า แต่ลองแล้วก็โอเคยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง อ้อ พ่อของน้องจ๋าชื่ออะไรนะครับ ผมไม่ทันได้ทักเขาเลย”

“ชื่อใหญ่ เพื่อนผมเองแหละ”

“อ้อ โลกกลมดีเนอะ” เขาว่าแล้วหัวเราะอารมณ์ดีเพราะคงจะเดาได้ไม่ยากว่าระหว่างพี่สาวของพิรัลกับคนที่ชื่อใหญ่โคจรเจอกันได้อย่างไร “แล้วที่แม่ของพี่เจตน์บอกว่าจะไปถวายเพลหลวงลุงนี่คือเป็นลุงจริงๆหรือว่าแค่เรียกกันเพราะนับถือ”

“ลุงจริงๆ ท่านบวชแล้วไม่อยากสึกออกมาน่ะ ผมก็ไม่ค่อยได้คุยด้วยหรอกนะผมไม่ชอบเข้าวัด”

นิพัทธ์เลิกคิ้วสูงทำหน้าประหลาดใจ “เข้าวัดแล้วร้อนเหรอครับ”

พวกเขาหัวเราะออกมาพร้อมกันเล็กน้อยบรรยากาศดูสบายๆท่ามกลางสายแดดในยามเช้าที่ยังคงไม่ร้อนจนเกินไป

“กานต์”

“ครับ”

“คบกับผมนะ”

“หา?”

“ผมชอบกานต์ คบกับผมนะ” พิรัลทวนซ้ำอีกครั้งก่อนจะเหลือบมามองอีกฝ่ายที่ดูอื้ออึงไป เขาไม่คิดจะเร่งเร้าอะไรต่ออีกจึงได้แต่ขับรถไปเรื่อยๆตามเส้นทาง

“ครับ”

ในช่วงที่กำลังรู้สึกหวิวๆอยู่ในอกนิพัทธ์ก็ส่งเสียงตอบรับ เด็กหนุ่มเอื้อมมือมาจับมือของเขาไว้ออกแรงบีบเบาๆ ทว่าหัวใจของเขากลับหนักแน่นเต็มไปด้วยความสุข


หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่ห้า - สุขจีรัง 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 10:30:19


จะว่าเป็นแฟนกันก็คงจะใช่ แต่สำหรับพิรัลเขาเลือกที่จะใช้คำว่าเป็นเพื่อนกันมากกว่า เพื่อนมีหลายแบบแต่เพื่อนในความหมายของพิรัลนั้นยั่งยืนและยาวนาน อาจจะเพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควรเขาจึงมองภาพของความรักเป็นเรื่องของความมั่นคงทางอารมณ์ เป็นความซื่อสัตย์ ดูแลซึ่งกันและกันจนแก่เฒ่า

เขาไม่คาดหวังว่านิพัทธ์จะเป็นรักสุดท้าย ไม่คาดหวังว่านิพัทธ์จะอยู่กับตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง และไม่หวังว่าจะได้รับความรักกลับคืนเท่าที่ตัวเองมอบให้ พิรัลเพียงแค่มองสภาพความเป็นจริงหากวันหนึ่งวันใดเขาหรือนิพัทธ์เจอคนที่รักได้มากกว่านี้ก็คงจะไม่พยายามรั้งไว้ พยายามจะไม่รั้งแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รั้ง เขาประจักษ์ว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ไม่มีเป็นของตัวเองแม้แต่ร่างกายหลังจากที่ตายแล้วก็ยังกลายเป็นสมบัติของครอบครัว เพราะฉะนั้นเขาจึงปลดปลงกับการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไม่ยึดติดกับใครทั้งสิ้น

ก่อนที่จะเอ่ยขอคบหากับนิพัทธ์เขาคิดดีแล้ว และจะไม่เสียใจหากความรักครั้งนี้จะสิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ที่ขอคบหาด้วยอย่างจริงจังไม่ใช่เพราะนิพัทธ์รักเด็กรักชาติรักศาสนาอะไรนั่นหรอก เขาแค่ชอบนิพัทธ์ที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย

ตอนที่เอ่ยบอกว่าจะแวะไปเอาของที่บ้าน นิพัทธ์ตอบรับโดยไม่มีลังเล แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาขอคบกับนิพัทธ์ พอถึงบ้านพิรัลเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านิพัทธ์จะปฏิบัติตัวอย่างไรกับครอบครัวอีก แต่แล้วก็ผ่านไปด้วยดีเพราะเขาชอบนิพัทธ์ที่รู้จักกาลเทศะและยินยอมรับส่วนหนึ่งของพิรัล ทว่าพิรัลก็ไม่ได้ต้องการให้นิพัทธ์มารักครอบครัวของเขาอย่างที่เขารัก สิ่งที่หวังขอแค่ให้นิพัทธ์ได้รู้จักว่าเขาเติบโตมาในครอบครัวแบบไหนและยังหวังต่อไปอีกว่านิพัทธ์จะคิดถึงจุดนี้บ้าง

จุ๊บแจงส่งข้อความมาถามเกี่ยวกับนิพัทธ์อีกนิดหน่อย ที่บ้านของพิรัลรับรู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านมีรสนิยมแบบไหน เขาไม่เคยบอกแต่เหมือนจะเป็นอารมณ์แบบ ก็รู้ๆกันไปเอง อะไรทำนองนั้น ครั้งหนึ่งพ่อกับแม่ของเขาเปรยขึ้นมาว่าทำไมลูกชายถึงยังไม่พาแฟนมาที่บ้านบ้าง พิรัลนึกอยากบอกว่าเคยพามาอยู่คนสองคนแต่อาจจะไม่ใช่แฟนอย่างที่พ่อกับแม่คาดหวังจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป จากนั้นก็ดูเหมือนว่าแม่กับพ่อจะสังเกตอะไรหลายๆอย่างในตัวของลูกชายได้จึงไม่ถามเรื่องแต่งงานหรือเรื่องแฟนอีก เคยเพียงแค่พูดลอยๆหลังจากดูรายการทางโทรทัศน์ที่พิธีกรเป็นเพศทางเลือกว่า จะเป็นอะไรก็เป็นแค่มีความสุขก็พอแล้ว

พิรัลตอบข้อความพี่สาวไปเท่าที่อยากจะตอบ ส่วนมากก็ถามตรงๆนั่นแหละว่าเป็นแฟนใช่มั้ย พอตอบรับไปก็ถามถึงรายละเอียดอีกว่าไปเจอกันได้ยังไง เห็นทีน่าจะเป็นเรื่องยาวพิรัลจึงตัดบทบอกว่าไว้จะไปเล่าให้ฟัง หลังจากอ่านข้อความจุ๊บแจงก็ไม่ได้ตอบอะไรมาอีก


พวกเขามาถึงหัวหินในช่วงเที่ยงกว่าจึงตรงเข้าที่พักก่อนเป็นอันดับแรก โชคดีที่นิพัทธ์จองห้องได้จากทางอินเตอร์เน็ต อีกทั้งยังเป็นคนจ่ายเงินเสร็จสรรพ เขาไม่ตื้อขอจ่ายเงินเพราะเคารพในการตัดสินใจเล็กๆน้อยๆนั่น แม้ในใจจะรู้สึกว่าห้องพักที่จองไว้จะดูอลังการไปสักหน่อยสำหรับการพักแค่คืนเดียว มันเป็นห้องพูลวิลล่าที่มีสระน้ำเล็กๆติดริมหาด มีอ่างน้ำขนาดลงไปแช่ได้สองคน นึกแล้วก็เสียดายที่จะได้นอนค้างแค่คืนเดียว

นิพัทธ์ดูคุ้นเคยกับอะไรแบบนี้ดีพิรัลจึงปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการเช็คอิน ส่วนตัวเองทำหน้าที่เป็นเบลบอยเดินตามคุณผู้ชายไปยังห้องพัก พิรัลวางกระเป๋าผ้าของตัวเองและนิพัทธ์ไว้ที่ตรงชั้นวางที่จัดไว้สำหรับวางกระเป๋าโดยเฉพาะ จากนั้นก็เดินไปเปิดบานประตูบานกระจกออก หันกลับมาอีกทีนิพัทธ์ก็นอนกลิ้งอยู่บนเตียงปล่อยตัวตามสบาย

“คุณผู้ชายต้องการอะไรเพิ่มเติมมั้ยครับ”

นิพัทธ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนจะเผยยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อเข้าใจในสิ่งที่พิรัลพูด “คุณมานวดให้ผมหน่อย”

พิรัลเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงแล้วก้าวขึ้นคร่อม ใช้มือนวดบริเวณท้ายทอยไล่ลงมาที่แผ่นหลัง ช่วงเอว แล้วหยุดอยู่ที่บั้นท้าย “สบายมั้ยครับ”

“ก็ดี” เด็กหนุ่มตอบห้วนๆทำราวกับเป็นลูกค้าที่แสนเย่อหยิ่ง แต่แล้วก็หลุดหัวเราะแปรเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มของนิพัทธ์เช่นเดิม “ผมล้อเล่นนะ”

“ดูเหมือนคุณผู้ชายจะไม่ค่อยพอใจ เดี๋ยวผมบริการพิเศษให้ครับ” พิรัลกล่าวแล้วค่อยๆล้วงมือเข้าไปในกางเกงขาสั้น ดึงรั้งมันลงมาจนเห็นบั้นท้ายทั้งหมด เขาจูบมันอย่างไม่นึกรังเกียจใช้นิ้วแหวกช่วงเนื้อส่วนนั้นออกเล็กน้อยแล้วโลมเลียด้วยลิ้น

“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มพยายามพลิกตัวออกห่าง ทว่าเมื่อโดนจ้องมองด้วยสายตาแกมดุก็เงียบลง นิพัทธ์ร้องครางในลำคอ ช่วงสะโพกถูกยกสูงขึ้นนิดหน่อยเพื่อให้ง่ายต่อกิจกรรมที่พิรัลกำลังทำ เขาไม่เคยถูกทำแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เรื่องบนเตียงดูจะทำให้ร่างกายหลอมละลายเหมือนเนยที่โดนความร้อน

ช่องทางรักของเขาหดเกร็งยามที่ลิ้นของพิรัลแหย่เข้าไปเล็กน้อย นิ้วมือกำขยำผ้านวมผืนใหญ่สีขาว นิพัทธ์สะท้านไปทั้งกายโดยเฉพาะบั้นท้ายที่ถูกหยอกล้อไม่ว่างเว้น เด็กหนุ่มเอื้อมมือข้างหนึ่งรุกเร้าที่ส่วนหน้าซึ่งกำลังค่อยๆแข็งตัวขึ้น ที่ด้านหลังถูกละเลงลิ้นจนเสียวสะท้านไปหมด เขาชักรูดท่อนเนื้อหวังเพื่อลดอาการปวดหนึบที่อธิบายไม่ถูก ยิ่งเมื่อนิ้วของอีกฝ่ายออกแรงแหวกช่องทางด้านหลังเพื่อลงลิ้นให้หนักขึ้นนิพัทธ์ก็ยิ่งขยับมือที่ท่อนเนื้อรัวเร็วขึ้นเช่นกัน

“พี่เจตน์ ผม…” สิ่งที่จะพูดชะงักงันไปเมื่อพิรัลแหย่ลิ้นเข้าไปลึกอีกนิด มือของเด็กหนุ่มขยับไม่หยุด “ผมจะถึงแล้วครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นพิรัลจึงเงยหน้าขึ้นมา เช็ดคราบน้ำลายบนริมฝีปากของตัวเองด้วยการดึงชายเสื้อขึ้นมาซับ จากนั้นก็พลิกตัวเด็กหนุ่มให้หันหน้ามาเผชิญกัน กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดแบบง่ายๆถูกดึงออกไปให้พ้นทางก่อนจะจับเรียวขาสองข้างอ้าออกกว้าง พิรัลแลบลิ้นเลียที่ช่องทางรักนั่นอีกครั้ง ไล่ลิ้นขึ้นมาผ่านลูกอัณฑะ เลียขึ้นไปตามความยาวของอวัยวะที่แข็งตัวแล้วครอบครองด้วยริมฝีปาก

นิพัทธ์ครางออกเสียงฟังชัดเจนยังผลให้พิรัลยิ่งตื่นตัว ชายหนุ่มบริการพิเศษให้ด้วยการใช้ปากอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนล่างของเขาก็เริ่มประท้วงปวดนิดหน่อยเนื่องจากมันยังคงอัดตัวแน่นอยู่ภายใต้กางเกง พิรัลผละตัวออกมาดึงกางเกงลงให้ส่วนนั้นได้ขยับขยายเต็มที่ ดวงตาจับจ้องไปยังเด็กตัวขาวที่นอนอ้าขาหอบหายใจแรงราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง

“กานต์…” เขาเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วโน้มตัวลงไปจูบที่แก้ม เจ้าของชื่อครวญครางอยู่ในลำคอเป็นการตอบรับ “กานต์ครับ กานต์ของพี่” สิ้นคำก็จูบที่แก้มระเรื่อสีนั่นอีกครั้ง เขาจับใบหน้าของพิรัลพิศมองที่ดวงตาสีเข้ม มันเต็มไปด้วยความหนักแน่น เขาจูบที่ริมฝีปาก มันเต็มไปด้วยความลึกซึ้งจริงใจ หัวใจของนิพัทธ์เต้นระส่ำ มันเต้นแรงเพื่อบ่งบอกอะไรบางอย่าง แต่นิพัทธ์ยังหาคำตอบไม่ได้

นิพัทธ์กระซิบบอกว่าต้องการพิรัล เขาโอบกอดคนที่อายุมากกว่าแล้วปล่อยกายให้อีกฝ่ายได้ตักตวงความสุข ท่อนเนื้อที่แข็งขืนค่อยๆแทรกเข้ามา แต่เพราะไม่ได้ใช้เจลหล่อลื่นนิพัทธ์จึงรู้สึกฝืดเคืองจนเจ็บ กระนั้นเขากลับชอบที่ได้รู้สึกถึงตัวตนของพิรัลแบบนี้และไม่คิดที่จะบอกให้อีกฝ่ายผละออกไปหยิบเจลหล่อลื่นมาใช้ ส่วนนั้นเข้าไปได้ไม่หมดพิรัลรั้งรอให้ช่องทางอันคับแคบค่อยๆปรับตัว จนเมื่ออีกฝ่ายบอกให้สอดใส่ได้มากกว่านี้เขาจึงขยับเข้าหา รอบบริเวณช่องรักกลายเป็นสีชมพูเข้มขึ้นจากความตึงแน่น มันโอบกระชับตัวตนของพิรัลและหดรัดไปตามกลไก นิพัทธ์รู้สึกได้ว่าทั้งส่วนหน้าส่วนหลังของตัวเองกำลังตอบรับสมยอม

“ให้พี่ไปเอาเจลมาใช้ดีกว่ามั้ย”

นิพัทธ์ส่ายหน้าแสดงความต้องการ อีกทั้งยังบอกให้พิรัลใส่เข้ามาจนสุดและพร่ำบอกว่าตัวเองรู้สึกแบบไหน อวัยวะของพิรัลนั้นแทรกเข้าไปหมดแล้วแต่ยังไม่ขยับตัว เขาพรำจูบไปตามใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะเล่นลิ้นที่ยอดอกชูชัน

“พี่เจตน์ขยับได้มั้ยครับ ผมเสียวไปหมดแล้ว”

พิรัลยกยิ้มก่อนจะจูบที่ปากช่างพูดนั่น เขาขยับสะโพกเบาบางด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ “ไหนพูดใหม่ซิ แล้วแทนตัวเองว่าน้อง”

นิพัทธ์จูบที่ใบหูของพิรัลแล้วแนบใบหน้าเข้าหา “น้องเสียวไปหมดแล้วครับ”

“อืม น่ารักมาก” พิรัลขยับกายถี่ขึ้นทว่าเนิบนาบ เขานัวเนียจูบคนใต้ร่างอย่างทะนุถนอม เพียงครู่เดียวเท่านั้นช่องทางที่สอดใส่ก็คลายมากขึ้น แม้ว่าในช่องทวารจะไม่มีน้ำหล่อลื่นเหมือนของผู้หญิงแต่มันก็เริ่มชุ่มชื้น น้ำหล่อลื่นจากท่อนเนื้อของเขาคงจะผุดซึมออกมาตามกลไกร่างกาย มันอยู่ในนั้นและช่วยทำให้การขับเคลื่อนสะดวก “น้องเจ็บมั้ยครับ”

นิพัทธ์ส่ายหน้าทั้งที่ยังตาปรอยปรือตัวขยับไหวเล็กน้อยไปตามแรงที่ถูกดันเข้าหา “น้องไม่เจ็บครับ แต่น้องอยากให้พี่เจตน์ทำแรงกว่านี้” พูดไปก็จูบใบหน้าของคนพี่ไปด้วย นิพัทธ์ยกยิ้มมุมปากเขาดูเย้ายวนแต่พิรัลไม่แน่ใจนักว่าเจ้าตัวตั้งใจหรือทำไปโดยไม่รู้ตัว

ฝ่ายคนถูกหยอกเย้าด้วยคำพูดเผยยิ้มและทำตามคำขออย่างว่าง่าย เมื่อสมัยหนุ่มกว่านี้บทรักของเขาก็แทบไม่ต่างไปจากเดิม เขาชอบใช้เวลาอย่างเชื่องช้าและทำให้คู่นอนฉ่ำแฉะ แม้ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นโรคหัวใจบ้าบอนี่ก็ด้วยมันไม่เกี่ยวกัน เขาไม่เคยถามหมอว่าตัวเองยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือเปล่า พิรัลเพียงแค่ปล่อยใจล่องลอยไปกับสถานการณ์ตรงหน้าเสียมากกว่า ทำได้ก็ทำถ้ารู้สึกแปลกๆก็ไม่ทำ ไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเองอยู่ในขอบเขตที่คนอื่นบอก ตัวของเรา เราย่อมรู้ดีที่สุด

หลังจากช่องทางด้านหลังเริ่มขยับได้ง่ายขึ้นพิรัลเองก็สุขสมอยู่ไม่น้อย ในตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาต้องการมากกว่าที่เป็นอยู่ พิรัลขยับสะโพกแรงจนนิพัทธ์เผลอจับแขนพิรัลเข้าไปเต็มแรง ท่อนล่างของเขายกสูงแนบอยู่บนหน้าขาของพิรัล เผยให้ช่องทางรักถูกโจนจ้วงด้วยท่อนเนื้ออวบใหญ่ที่แข็งตัวเต็มที่ นิพัทธ์ครางกระเส่าเมื่อจุดซ่อนเร้นถูกย้ำไปมาจนเสียวซ่านไปหมด พิรัลถอดเสื้ออย่างร้อนรนแล้วโน้มตัวลงมาประกบจูบ ไม่บ่อยนักที่เขากระสันต้องการอยากทำรุนแรงกับคู่นอน นิพัทธ์กำลังปลุกเร้าโหมดหื่นกระหายของพิรัลที่เกิดได้ในเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วนิพัทธ์ก็คงจะสมปรารถนาไม่น้อย

“พี่เจตน์ น้องเสียว…” นิพัทธ์เองก็โหมกระพืออารมณ์วาบหวาม ช่องทางรักของเขากำลังถูกสอดแทรกหนักหน่วง เสียงเสียดสีดังขึ้นเป็นจังหวะจากแก่นกายที่บดเบียดกับทวารหลังและรูดรั้งเมือกลื่นๆที่อยู่ในนั้นออกมา “พี่เสียวมั้ยครับ”

พิรัลครางตอบรับในลำคอ แก่นกายของเขาแข็งมากจนปวดหนึบ ในหัวกำลังคิดอยู่ว่าการทำรักในที่ที่แสงอาทิตย์ส่องถึงนี่ก็ดีไปอีกแบบ เขาสามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางของคนในอ้อมกอดได้ชัดเจน เห็นแม้แต่เส้นเลือดเขียวๆที่อยู่ใต้ผิวหนังหรืออาจจะเป็นเพราะนิพัทธ์มีผิวขาวมากจึงเห็นมันอย่างชัดเจน ตามผิวกายบางส่วนขึ้นสีเข้มโดยเฉพาะพวงแก้ม ท่อนเนื้อของนิพัทธ์เองก็เป็นสีชมพูเข้มเช่นกันมันกำลังตั้งชันและสั่นไหวไปมาอยู่บนหน้าท้อง มีน้ำผุดซึมจนส่วนปลายดูชุ่ม พิรัลยังไม่ได้แตะต้องส่วนนั้นในขณะที่โถมกายเข้าใส่แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าส่วนนั้นที่ขยับไปมาก็ดูน่ารักดี

“นี่ขนาดไม่ได้ใช้เจลยังแฉะขนาดนี้เลยนะ”

นิพัทธ์หอบหายใจหนักเมื่อถูกกระทำรุนแรงซ้ำไปมา และมันก็เป็นอย่างที่พิรัลพูดนั่นแหละ เขาสะท้านไปทั้งร่างอารมณ์วาบหวามคุกรุ่นอย่างถึงที่สุด “ของพี่เจตน์ใหญ่น้องก็เลยมีอารมณ์ครับ”

“ปากหวานจังครับ” แววตาของพิรัลวิบวับเต็มไปด้วยอารมณ์ ช่วงเวลานี้เขาลืมเรื่องที่ตัวเองเป็นโรคหัวใจไปโดยสนิท และโจนจ้วงช่องทางรักอย่างรุนแรงจนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยหอบ เขารู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไรเวลาอยู่บนเตียงมันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกหากจะชอบพูดทะลึ่งกับคู่นอนเพื่อกระตุ้นเร้า นิพัทธ์เองก็คงจะเข้าขากับเขาได้เป็นอย่างดีในเรื่องนั้น เพียงแต่ในห้วงลึกก็หวังว่าสิ่งที่นิพัทธ์พูดจะเป็นความจริงจากใจ

ชายหนุ่มเปลี่ยนท่วงท่าจับร่างนิพัทธ์พลิกให้นอนคว่ำก่อนจะตามเข้าไปจูบที่แผ่นลำคอด้านหลัง เขาแนบสะโพกเข้าหาทว่ายังไม่สอดใส่เข้าไปทำเพียงแค่ถูไถท่อนเนื้ออยู่ตรงร่องบั้นท้าย นิ้วมือลูบไล้ผ่านแก่นกายของนิพัทธ์ลากผ่านขึ้นไปยังยอดอกบดคลึงเบาๆเรียกเสียงครางแผ่ว

นิพัทธ์ขยุ้มผ้านวมที่อยู่ใต้ฝ้ามือ เขาร้อนวูบขึ้นมาตามจุดที่พิรัลลากมือผ่าน รวมไปถึงรู้สึกต้องการถูกเติมเต็มมากกว่านี้แต่พิรัลก็ยังไม่ลงมือเสียทีจึงรู้สึกขัดใจขึ้นมาบ้าง นิพัทธ์กอบกุมมือของอีกฝ่ายที่เล่นกับยอดอกลากลงไปยังแก่นกายที่แข็งชัน รู้สึกถึงรอยยิ้มของพิรัลยามที่แนบแก้มเข้าหา อารมณ์ของเด็กหนุ่มคุกรุ่นต้องการปลดปล่อยแต่เพียงแค่มือมันไม่อาจเพียงพอ

“ใส่เข้ามาเถอะครับ น้องไม่ไหวแล้ว”

“อืม” พิรัลตอบรับหากแต่ยังคงลูบผิวกายของเด็กหนุ่มเล่นไปมา

“พี่เจตน์…” นิพัทธ์พยายามเรียกกระตุ้นเร้าอีกฝ่ายแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนถูกเพิกเฉย เขาหันหลังกลับไปเพื่อมองเจอก็แต่ใบหน้าอมยิ้มกรุ้มกริ่มพึงสำนึกได้ตอนนั้นเองว่าโดนทรมานเล่น

“อยากให้พี่ใส่เข้าไปเหรอครับ” พิรัลกล่าวพลางประคองจับท่อนเนื้อของตัวเองจรดที่ปากทางรักและเคลื่อนเข้าไปเพียงแค่ส่วนปลายของอวัยวะ “แบบนี้เหรอ”

เด็กหนุ่มส่งเสียงอยู่ในลำคออยากจะบดเบียดเข้าหาแต่อีกฝ่ายกลับดันออก ส่วนนั้นของพิรัลจึงคั่งค้างอยู่แค่ที่ปากทางเช่นเดิม “เข้ามาอีกได้มั้ยครับ”

พิรัลแสดงความใจดีด้วยการแทรกเข้าไปลึกขึ้นแต่กลับไม่ขยับตัวอีก ท่าทีรุนแรงก่อนหน้านี้นิพัทธ์รู้สึกราวกับว่าเหมือนคิดไปเอง “น้องไม่ไหวแล้วครับ”

เขามองบั้นท้ายที่บดเบียดเข้าหาเพื่อรองรับส่วนนั้น ท่าทีดูกระสันต้องการของเด็กหนุ่มทำให้พิรัลไม่อาจทนได้อีกต่อไป “ถ้าใส่เข้าไปแล้วพี่ขอหลั่งข้างในได้มั้ยครับ”

นิพัทธ์พยักหน้ายินยอมก่อนจะพรูลมหายใจแรงเมื่อพิรัลดันกายเข้าไป พิรัลยิ้มกริ่มด้วยเพราะอารมณ์สุขสมที่เห็นเด็กหนุ่มต้องการตัวของเขาเช่นนี้ “น้องรัดพี่แน่นจังเลยครับ” เขาพูดแล้วจูบไปตามใบหน้าขณะที่แทรกกายเข้าไปจนสุดความยาว

“มันแน่นเพราะของพี่เจตน์ใหญ่ครับ” เสียงที่พูดฟังดูแผ่วเบาทว่าช่างยั่วเย้าอยู่ในที

พิรัลเองก็ทนไม่ไหวเขาจึงสอดใส่กระแทกกายเข้าไปเต็มแรง แล้วเริ่มขยับเข้าออกจนตัวของนิพัทธ์โยกไหว เขาขยับตัวเร็วรัวเสียงครางครวญจากเด็กตัวขาวดังกระเส่าไปตามอารมณ์ ที่จริงก่อนหน้านี้ก็แทบจะปลดปล่อยแล้วแต่พิรัลยังไม่อยากให้บทรักจบลงเขาจึงประวิงเวลาต่อไปอีก พอได้แทรกกายเข้าไปจนสุดอารมณ์ก็ย่อมพุ่งพล่านเป็นธรรมดา ช่องทางของนิพัทธ์บีบรัดแน่นทว่าชุ่มโชกทำให้ง่ายต่อการสอดใส่ ส่วนหน้าของพิรัลที่ฝังอยู่ในนั้นเริ่มประท้วงปวดหนึบ น้ำหล่อลื่นที่เป็นตัวขับเคลื่อนอสุจิหลั่งซึมอยู่ในนั้นยิ่งทำให้ด้านหลังของนิพัทธ์แฉะไปหมด อารมณ์ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆและคงใช้เวลาอีกไม่นานนักในการไปถึงจุดสุดยอด แต่ระหว่างนั้นร่างที่อยู่ข้างใต้ก็เริ่มบิดเกร็งนิพัทธ์คงจะไปถึงฝากฝั่งก่อนเขาอย่างแน่นอน

เด็กหนุ่มพร่ำเรียกชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมาในขณะที่ใช้มือรูดรั้งส่วนหน้า ที่ด้านหลังหดเกร็งจนคับแน่น คิดว่านิพัทธ์กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สูงสุดนั่นแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูผ่อนคลายลงพิรัลจึงเข้าจูบที่ขมับ ซุกจมูกลงที่แก้มเรื่อสี เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากกว่าปกติเพื่อระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ถึงแม้ว่าจะได้เอ่ยปากขอสุขสมอยู่ในตัวของอีกฝ่ายก็ตามแต่พอเห็นว่าร่างของนิพัทธ์ดูปวกเปียกอ่อนแรงก็ไม่อยากฝืนสอดใส่ต่อไป เขาถอดถอนกายออกและคิดว่าจะโลกนี้คงจะต้องสวยด้วยมือเราอย่างแน่นอน นิพัทธ์นิ่วหน้าลงเมื่ออยู่ๆท่อนเนื้อที่แข็งขืนได้ถอนออกไป ช่องทางรักของเขากว้างขึ้นเนื่องด้วยก่อนหน้านี้ได้ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ขยายไว้ ผิวเนื้อบริเวณนั้นกลายเป็นสีชมพูเข้มเพราะถูกเสียดแทรกอยู่พักใหญ่ พิรัลอยากแทรกกายอยู่ในนั้นแต่ต้องห้ามใจไว้

“พี่เจตน์ไม่ทำให้เสร็จเหรอครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงพลางขยับพลิกกายหันเข้าเผชิญหน้ากัน เขามองชายหนุ่มที่ส่วนนั้นยังคงแข็งขืน

“พี่เห็นกานต์เสร็จแล้วน่ะ ก็เลย… ไม่เป็นไร”

นิพัทธ์ยกยิ้มมุมปากเขาเข้าใจพิรัล อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิ่มเอมทางใจเมื่อถูกทะนุถนอมอย่างที่ไม่ค่อยได้รับ พิรัลเป็นคนละเอียดอ่อนมากกว่าที่คิด พอเห็นว่าเขาสุขสมอารมณ์หมายก็คงไม่อยากฝืนร่างกายเพราะเมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วจะเข้าสู่ช่วงอาการดื้อนั่นก็คือจะไม่มีอารมณ์ทางเพศในช่วงนั้นไปพักใหญ่ มันเป็นเรื่องสามัญของร่างกายแต่เมื่อถูกใส่ใจในจุดเล็กน้อยนี้จึงอดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรง นิพัทธ์ผุดลุกขึ้นไปนั่งคร่อมอีกฝ่าย จับท่อนเนื้อที่ยังคงไม่ได้รับการปลดปล่อยจดจ่ออยู่ที่ช่องทางด้านหลัง จะปล่อยให้พิรัลโลกสวยด้วยมือตัวเองแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่นิพัทธ์จะยอมรับได้

“กานต์ พี่…” พิรัลเงียบปากลงเมื่อส่วนนั้นของเขาได้ถูกความอ่อนนุ่มโอบรัด มันยังคงคับแน่นจนพิรัลต้องผ่อนลมหายใจด้วยความเสียวซ่าน

นิพัทธ์รั้งพิรัลเข้าไปจูบแล้วรั้งกายลงนอน สองขาแยกอ้ากว้างเพื่อรองรับตัวตนอีกฝ่ายให้สอดเข้ามาลึกจนสุด สะโพกพิรัลเริ่มขยับไหวแต่ยังไม่เต็มแรงนัก เขาพูดอะไรไม่ออกเพราะมัวแต่มองคนใต้ร่างที่นอนระทวยให้กระทำกับร่างกาย “ข้างในยังเสียวอยู่เลยครับพี่เจตน์”

เด็กหนุ่มครวญครางแสดงความรู้สึกออกมาตามตรง ที่ช่องทางด้านหลังยังคงมีความรู้สึกซาบซ่าน ยิ่งยามที่ส่วนปลายของท่อนเนื้อพิรัลแทรกเสียดจุดที่อยู่ใต้ต่อมลูกหมากก็ยิ่งสะท้าน เขากระซิบบอกให้อีกฝ่ายขยับตัวตามใจปรารถนาและให้หลั่งน้ำใคร่อยู่ภายใน นิพัทธ์คิดว่าคำพูดนั้นคงจะได้ผลเพราะพิรัลเริ่มขยับไหวแรงขึ้น ท่อนเนื้อเสียดสีอยู่ในช่องรักจนเกิดเสียงแห่งความชุ่มโชก อารมณ์ของนิพัทธ์ทะยานสูงขึ้น ส่วนหน้าขยายขึ้นเล็กน้อยเห็นรูปร่างชัดเจนแต่ไม่แข็งชันเสียทีเดียว มันขยับส่ายไปตามแรงที่ถูกโถมเข้ามา

พิรัลนึกเอ็นดูส่วนนั้นอยากใช้ปากไล้เลียให้แต่ตอนนี้เขาปวดหนึบอยากปลดปล่อยมากกว่า สมาธิที่มีจึงจดจ่ออยู่ที่ส่วนนั้น เขาแนบใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายขณะที่ท่อนล่างขยับเข้าออกอย่างหนักหน่วง เสียงลมหายใจทั้งสองสลับประสานกันในช่วงเวลานั้น พิรัลหอบหายใจแรงขึ้นอารมณ์วาบหวามกำลังใกล้เข้ามาขึ้นทุกที จนเมื่อถึงปลายทางเขาดันสะโพกเข้าหาแนบชิด ท่อนเนื้อกระตุกหลั่งรินน้ำขาวขุ่นตามกลไกของร่างกาย นิพัทธ์จูบเข้ามาที่ข้างแก้มแล้วโอบใบหน้าของเขา แนบหน้าผากลงมาอยู่ใกล้ชิดกันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

“น้องทำให้พี่เจตน์มีความสุขมั้ยครับ”

พิรัลผละใบหน้าออกห่างเพื่อมองอีกฝ่าย แววตาที่ได้เห็นดูอ่อนไหวอยู่ในทีแต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนิพัทธ์ถึงถามเช่นนั้น “พี่มีความสุขมากครับ” เขาเลือกที่จะตอบความจริงออกไปเฉพาะในส่วนที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจ และยังไม่คิดจะเอ่ยถามให้ลึกซึ้งตามที่คิด

นิพัทธ์โอบเข้ากอดชายหนุ่มไว้ฝังใบหน้าลงที่ลาดไหล่ “ไปแช่น้ำกันเถอะครับ” เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะเย้าแหย่อีกฝ่ายให้อุ้มไปยังส่วนที่เป็นอ่างอาบน้ำ พิรัลขยับออกห่างแล้วทำทีเป็นปฏิเสธในการอุ้ม เขาเดินไปเปิดน้ำทิ้งไว้ กลับมาที่เตียงนัวเนียกับนิพัทธ์ก่อนจะใช้กระดาษทิชชูทำความสะอาดบั้นท้ายให้ สุดท้ายก็ช้อนร่างอีกฝ่ายพาไปที่อ่างอาบน้ำตามคำเรียกร้อง พวกเขาเพียงแค่แช่น้ำ พูดถึงบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นไปบนโลกใบนี้ ก่อนจะเอนซบกันและกัน ประคองกอดแนบแน่นอยู่ในความเงียบ หัวใจของพวกเขาอบอุ่นอาบไล้ไปด้วยไอละมุนแห่งความรู้สึกดีที่มีต่อกัน


ในวันนั้นพิรัลมีความสุขเหลือเกิน สุขมากเสียจนลืมไปว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้จีรังยั่งยืน


************************************


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่ห้า - สุขจีรัง 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-10-2018 12:11:51
สองคนเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวกันแล้ว โอ่ย เขิน
ชอบเวลาที่ทั้งสองคนคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กันมากเลย
แค่อยู่ด้วยกันเราก็เขินแล้ว

แต่บรรทัดสุดท้ายนี่มันอะไรกัน แงงงง
อยากให้พี่เจตน์บอกน้อง แล้วก็ตั้งใจรักษาตัว

 :pig4:
หัวข้อ: หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 13:12:43
ตอนที่หก



เขาอดมองใบหน้าด้านข้างของนิพัทธ์ไม่ได้เลย โดยเฉพาะช่วงหางตาที่กำลังเป็นรอยย่นเมื่อนิพัทธ์ยิ้ม เขานึกอยากจูบที่จุดนั้น อยากลูบมันแผ่วเบาขณะที่มองนิพัทธ์ยิ้มให้ตัวเขาเอง นิพัทธ์หันมาเขาจึงทำหน้าสงสัย เพียงพักหนึ่งก็เห็นริมฝีปากนั่นขยับไปมาก่อนที่หูซึ่งอื้ออึงในเวลานั้นจะจับคำบางคำได้ เขาพยักหน้าไปเสียอย่างนั้นโดยยังไม่ได้แม้แต่จะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ดูเหมือนนิพัทธ์คงจะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

“พยักหน้าอะไรครับ ผมถามว่าน้องจ๋าชอบกินท๊อฟฟี่แบบไหน”

เขามองไปยังแผงขายสิ้นค้าของฝาก ในตอนนี้ได้ยินสิ่งที่นิพัทธ์ถามแล้ว “กะทิ”

จากนั้นนิพัทธ์จึงหันไปบอกแม่ค้าว่าต้องการของฝากแบบไหนบ้าง เขามองนิพัทธ์อีกแล้ว มันเหมือนหลุดเข้าไปในภวังค์อะไรสักอย่างที่มีแสงสีเหลืองทอประกายเป็นจุดเล็กท่ามกลางความมืดสลัว เขาคงจะเห็นนิพัทธ์เป็นดั่งแสงอาทิตย์ยามเช้า แสงแรกของวันที่ปลอบประโลมให้ความอบอุ่นยามเมื่อสายลมหนาวพัดผ่าน

นิพัทธ์เดินนำออกไปแล้วเขาจึงก้าวเดินตามและคอยมองอีกฝ่ายจับจ่ายซื้อของอยู่ไม่ห่างกาย หัวใจของเขาสงบสุขมันอิ่มเอมเมื่อเห็นนิพัทธ์คอยหันกลับมามอง ใบหน้าขาวสะอาดที่เคยโทรมเหงื่อเมื่อคืนวานยังตราตรึงอยู่ในห้วงภวังค์แห่งนั้น นิพัทธ์ที่ร่ำร้องเรียกชื่อของเขา เสียงแหบพร่าดวงตาจ้องมองมาที่เขาและบอกให้เขาหลั่งรินเข้าไปอย่างร้อนแรง เขาชอบนิพัทธ์มากเหลือเกิน แรงดึงดูดที่หาเหตุผลไม่ได้บนโลกใบนี้กำลังเล่นงานตัวเขาอยู่ไม่ห่างไปไหน

เขาเดินตามหลังและหยุดอยู่ที่ร้านค้าถัดไป กลิ่นปลาเค็มปลาตากแห้งต่างๆฉุนจมูกไปหมด นิพัทธ์เลือกปลาชนิดหนึ่งแล้วหันมามองเข้าอีกครั้ง ใบหน้าฉาบฉายไปด้วยความสงสัย กังวล ลังเล เขาได้ยินนิพัทธ์บอกปฏิเสธแม่ค้าไปก่อนจะออกตัวเดิน

“แม่พี่เจตน์กินปลาริวกิวได้มั้ยครับ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

นิพัทธ์หัวร่อออกมา น่ารักจนเขาใจเต้นสั่น หางตานั่นขีดเป็นรอยอีกครั้งเขาจึงนึกอยากจูบมันอีก

“ตอนแรกผมจะซื้อปลาเค็มไปฝากแม่พี่เจตน์ แต่กลัวไม่ดีต่อสุขภาพเลยคิดว่าเป็นปลาริวกิวน่าจะดีกว่า”

“กินได้หมดแหละ แม่ผมแข็งแรงมาก”

เขาตอบออกไปตามความจริง เป็นความจริงที่ชวนให้เจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ครอบครัวของเขาไม่มีใครเป็นโรคอะไรเลย เมื่อครั้งหมอสอบถามอาการและไล่ย้อนถามประวัติครอบครัว ทั้งปู่ย่าตายายต่างล้วนจากไปด้วยโรคชราแต่ไม่มีใครจากไปเพราะโรคหัวใจ โรคบ้าบออะไรก็ตามบนโลกใบนี้ เขาเคยนึกสงสัยช่วงหนึ่งว่าเคยได้สร้างบาปกรรมใดๆกับใครไว้จนต้องมาเป็นโรคหัวใจ แต่แล้วก็มาคิดได้ว่าแท้จริงคงจะเป็นเพราะพฤติกรรมห่าเหวเหล่านั้นที่ตนได้ปฏิบัติไว้เอง

“งั้นผมเอาปลาริวกิวไปฝากแม่พี่เจตน์นะ กินกับแกงส้มอร่อยดี”

นิพัทธ์ว่าอย่างนั้น เขาได้แต่เดินตามเพราะไม่รู้จะขัดใจเถียงสิ่งอื่นใด นิพัทธ์จัดการซื้อของฝากทั้งหมดอย่างที่ต้องการพวกเขาจึงเคลื่อนตัวออกจากร้านค้าแห่งนั้น แล้วมุ่งหน้ากลับกรุงเทพกันทันที

พวกเขาถึงกรุงเทพในยามโพล้เพล้ รถเบนซ์คลาสสิคเก่าเก็บของเขาเทียบจอดที่หน้าบ้านอย่างเคยชิน เขาเปิดประตูบ้านก่อนจะคว้าของทุกอย่างในมือนิพัทธ์มาถือไว้เอง ไม่ได้กลัวว่านิพัทธ์จะถือของหนักและไม่มีเหตุผลใดเป็นพิเศษนอกจากต้องการเอาอกเอาใจ นิพัทธ์ยกมือไหว้พ่อกับแม่ของเขาที่แต่งตัวดีเกินกว่าจะอยู่บ้าน พิรัลอดสงสัยไม่ได้และเอ่ยปากถาม

“จะไปไหนกัน แล้วแจงล่ะ”

“แม่กับพ่อจะไปกินข้าวกัน นัดยัยติ๋มไว้ ส่วนแจงกลับบ้านไปแล้ว” แม่ตอบขณะที่ตายังจ้องส่งข้อความโต้ตอบกับใครสักคนในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็กำชับบอกให้เขาปิดประตูบ้านให้และออกไปกับพ่อตามที่ได้บอกไว้

เหลือพวกเขาสองคนในบ้านหลังนั้น แจงกลับบ้านตัวเอง แม่กับพ่อไปกินข้าวกับเพื่อน เมื่อรถของพ่อขับออกไปพิรัลจึงเดินเข้ามาโอบไหล่และจูบที่แก้มของนิพัทธ์อย่างรักใคร่ “ค้างที่นี่มั้ย”

“ไม่ดีกว่าครับ เกรงใจ”

“งั้นผมไปค้างที่ห้องกานต์นะ”

“ไม่ให้ค้างครับ” นิพัทธ์ตอบยิ้มๆ ส่วนมือก็หยิบขนมกล่องหนึ่งขึ้นมาเปิดกิน ส่งชิ้นหนึ่งเข้าปากพิรัล

“ขอไปค้างด้วยสิ บ้านผมไกล ผมเหนื่อย พรุ่งนี้ไม่อยากตื่นเช้ามาก”

“ไม่ได้ครับ”

“โอเค งั้นทำตรงนี้ก็ได้” สิ้นคำก็จูบเข้าที่ริมฝีปากของนิพัทธ์ทันท่วงที

“ไหนบอกว่าเหนื่อยไง” นิพัทธ์ละล่ำละลักพูดพลางเบี่ยงหน้าหนีแต่เมื่อพิรัลไม่มีท่าทีจะหยุดเขาจึงยกมือขึ้นดันหน้าอีกฝ่ายออกห่าง “ผมยอมแล้ว”

“ยอมอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เขายิ้มมุมปาก ขยับตัวเข้าบดเบียดกักขังเด็กหนุ่มไว้

“ไปค้างที่ห้องผมก็ได้ครับ”

พิรัลหัวเราะ สนุกสนานที่ได้แหย่เย้าอีกฝ่าย “ผมล้อเล่น ผมไม่ทำอะไรกานต์หรอก เดี๋ยวผมไปส่งที่ห้องนะ” พูดเสร็จก็ผละตัวออกทว่ากลับโดนรั้งไว้

“เอาเสื้อผ้าที่จะใส่ทำงานไปด้วยนะครับ”

เขายิ้มออกมา จูบเด็กหนุ่มที่ริมฝีปากอีกครั้ง หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข


พิรัลจำได้ว่ากอดนิพัทธ์ก่อนจะผล็อยหลับ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่ตัวเองไม่ได้นอนท่าเดิมแต่ที่แปลกใจคือนิพัทธ์ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน เขาลองเอ่ยเรียกหานิพัทธ์ในกลางดึกคืนนั้นรู้สึกสังหรณ์ใจกับบางเรื่องอย่างน่าประหลาด ไม่มีเสียงตอบรับห้องทั้งห้องว่างเปล่าเงียบงัน เขาตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงออกไปยังส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น ไฟในส่วนห้องครัวเปิดอยู่หนึ่งดวง เขาเอ่ยเรียกเจ้าของห้องแต่ไม่มีเสียงตอบรับอีกเช่นเคย

“กานต์ครับ”

เขารู้สึกถึงความผิดปกติ นอกจากนิพัทธ์จะไม่ตอบรับแต่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย บนโต๊ะตัวนั้นมีแก้วน้ำวางอยู่มือของนิพัทธ์จับแก้วประจำตัวใบนั้นไว้ ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องมองแทบจะไม่กะพริบตาจนเมื่อพิรัลเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านข้างก็ยังไม่รู้ตัว

“กานต์” เขาเรียกอีกครั้งดวงตาที่เคยจ้องมองแก้วน้ำถึงได้กะพริบเหมือนเพิ่งได้สติ “นอนไม่หลับเพราะผมหรือเปล่า” แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งที่ถามออกไปจะไม่ใช่ปัญหาหลักแต่มันก็อาจจะเป็นจุดเล็กๆที่ทำให้ใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้เช่นกัน พิรัลไม่รู้ว่าตัวเองกรนดังจนรบกวนคนร่วมเตียงมากน้อยแค่ไหน “ผมกรนดังจนนอนไม่หลับเหรอ”

คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ ดวงตาที่พิรัลเคยเปรียบเทียบว่าเหมือนแสงสุกสกาวของดวงดาวในเวลานี้ดูว่างเปล่าจนน่าสงสัย นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องนอนกรน อาจจะเป็นเรื่องอื่นแต่พิรัลนึกไม่ออก

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ใบหน้านั้นส่ายปฏิเสธ ไม่มีเสียงอื่นเล็ดลอดเพื่ออธิบายสิ่งใด มันเป็นครั้งแรกที่เห็นนิพัทธ์หม่นแสงลงและเขาก็ไม่รู้เลยว่าควรจะช่วยเหลืออย่างไร

“เข้านอนเถอะ” เขาว่าอย่างนั้นแล้วยืนรอนิพัทธ์ ฝ่ายนั้นขยับตัวก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

พิรัลเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับไม่มีคำตอบให้กับสิ่งนั้นเลยสักนิด



นิพัทธ์ดูเป็นปกติดีตอนที่ตื่นขึ้นมาแต่พิรัลรู้สึกได้ว่ามันไม่เป็นเช่นเดิม พวกเขามาทำงานพร้อมกันแต่เมื่อถึงออฟฟิศต่างคนต่างตั้งสมาธิทำงานของตัวเอง อีกทั้งยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากไปกว่าเรื่องงาน ทุกอย่างราบรื่นเรียบง่ายเหมือนชีวิตของพนักงานทั่วไป มีบ้างที่พิรัลแอบมองเด็กหนุ่มตัวขาวในเชิงรักใคร่ เขาไม่อาจปิดกั้นความรู้สึกที่ออกมาจากใจได้ อย่างน้อยก็ขอแค่ได้มองด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

ในช่วงสายของวันทุกคนได้รับอีเมลเพื่อเข้าประชุม พิรัลละล้าละหลังจนนิพัทธ์สังเกตเห็นได้และคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าใจอะไรไม่ผิด เขาเลื่อนเก้าอี้เข้าไปหาพิรัล มองซ้ายมองขวาเมื่อพบว่าไม่มีใครแล้วจริงๆจึงได้ขยับเข้าไปใกล้อีกจนมองเห็นใบหน้าด้านข้างใกล้ๆ พิรัลเป็นคนบุคลิกดี ไม่ได้หล่อจัดจ้านแต่ดูคมคายเห็นเครื่องหน้าชัดเจน ทรงจมูกค่อนข้างใหญ่เป็นสันเด่นชัด ดวงตาสีเข้มเหมือนคนเอเชียทั่วไป ทรงตาเรียวยาวเฉียงขึ้นนิดหน่อยมองแล้วเหมือนตาสิงโตยังไงบอกไม่ถูก นิพัทธ์ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรในตัวของคนนี้ที่ดึงดูดใจไว้ แต่เขาชอบพิรัลมากและอยากอยู่ใกล้ๆไม่มีเหตุผลสวยหรูอะไรประกอบในความรู้สึกนั้นเลย

“รอน้องเหรอครับ” นิพัทธ์เอ่ยขึ้นเสียงเบาหากแต่เรียกความสนใจไปจากพิรัลไปทั้งหมด

“เมื่อคืนเป็นอะไรครับ” พิรัลพูดเสียงเบาเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวงคนรอบข้างในเมื่อตอนนี้ยังอยู่ในที่ทำงาน ถึงแม้ว่าจะได้ยินประโยคที่ฟังดูออดอ้อนจากนิพัทธ์ด้วยการแทนตัวว่า ‘น้อง’ อย่างที่ชอบแต่พิรัลยังไม่สามารถวางใจให้คลายสงสัยอะไรได้เลย

“ไม่มีอะไรครับ ผมนอนไม่หลับเฉยๆ”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะยิ้มให้แต่พิรัลรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่เขาถูกปิดกั้นไม่ให้รับรู้แต่เขาก็จะไม่เซ้าซี้ในเวลานี้ เขาแอบจับปลายนิ้วก้อยของนิพัทธ์ที่ปล่อยวางอยู่ตรงหัวเข่าใต้โต๊ะทำงาน ลูบไล้เบาๆด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งให้กำลังใจตัวเองและอยากให้กำลังใจนิพัทธ์เช่นกัน

บรรยากาศในห้องประชุมเครียดอยู่พอควรจนพิรัลรู้สึกอยากออกไปข้างนอก เขาแน่นหน้าอกแต่พยายามประคับประคองตัวเองให้อยู่จนจบการประชุม หัวหน้าของเขาเข้ามาพูดเรื่องโปรเจคใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นในเร็ววันนี้ก่อนจะออกไปอย่างรวดเร็วเพราะมีประชุมกับเมืองนอกต่อ พิรัลจึงเป็นคนแจกจ่ายงานในส่วนของปฏิบัติการให้น้องในทีมฟัง เขาจัดตารางการเข้างานของเอนจิเนียร์แต่ละคนว่าจะต้องออกไปออนไซต์ที่ไหนบ้าง รวมถึงการพานิพัทธ์ออกไปออนไซต์ด้วยตัวเองก็เช่นกัน

หากจะบอกว่าเขาใช้อำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะหวานได้มอบหมายให้เขาสอนงานน้องใหม่ตามประกบเป็นเงาจนกว่าจะมั่นใจในการทำงานจึงค่อยปล่อยให้ฉายเดี่ยว ในตารางงานนั้นพิรัลจะต้องพานิพัทธ์ไปออนไซต์ที่ร้านอาหารฟาสฟู้ดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ต่างจังหวัด เขาแอบใช้อำนาจการตัดสินใจของตัวเองนิดหน่อยเพื่อให้ตรงกับวันเสาร์อาทิตย์ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคงจะเดากันได้ไม่ยาก

เหล่าจูเนียร์ในทีมได้ออกไปแล้วเหลือเพียงตั้มกับพิรัลที่ยังอยู่คุยงานต่อ พวกเขาคุยกันด้วยเรื่องลูกค้าที่ยังไม่ยอมเซ็นต์รับใบเสนอราคาซ่อมอุปกรณ์ทั้งๆที่ช่างได้เข้าไปดำเนินงานแล้ว พิรัลที่รู้สึกแน่นหน้าอกอยู่นั้นอาการยิ่งแย่ลงกว่าเดิมจนฟังที่ตั้มพูดไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ในที่ทำงาน

“ไหวมั้ยเจตน์” ตั้มเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นอาการแปลกๆของพิรัล “พี่ฝากหา Solution ด้วยนะ อาทิตย์หน้านัดลูกค้าประชุมเรื่องนี้ไว้แล้ว”

“ได้ครับ”

“โทษทีนะเจตน์ พี่ทำเรื่องลาพักร้อนวันนั้นไปแล้ว ไม่อยากผิดสัญญากับลูกน่ะ”

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมเข้าแทนเอง”

ตั้มพยักหน้ารับพลางเริ่มปิดหน้าจอฉายสไลด์ในห้องประชุม “แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง”

พิรัลส่ายหัวอย่างเหนื่อยล้า “ตอนนี้แน่นหน้าอกอยู่เลยพี่”

“เป็นบ่อยขึ้นรึเปล่า”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

ตั้มเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงประหลาดใจ “ไปหาหมอเถอะ เดี๋ยวพี่บอกหวานให้”

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวก็หาย”

“พูดเหมือนคนแก่เลยว่ะ เดี๋ยวก็หาย ไม่ยอมไปหาหมอ ไม่ยอมกินยา”

พิรัลยิ้มแหยๆเมื่อโดนพูดความจริงใส่

“ดูแลตัวเองเยอะๆเจตน์ เรารักงานแต่บริษัทไม่ได้รักเรา เงินที่ได้มาแม่งไม่คุ้มกับสุขภาพที่เสียไป”

“ขอบคุณมากครับพี่ ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวผมไปหาหมอ”

“เออ อย่าฝืนนะพี่พูดจริงๆ มันไม่คุ้มกันว่ะ ป่ะ ไปกินข้าวกลางวันกันเถอะ”

“เดี๋ยวผมขอนั่งพักก่อนแล้วกัน มันยังไม่หายเลย”

ตั้มที่เก็บของแล้วยืนมองรุ่นน้องแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาตั้งใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนเผื่อพิรัลอาการกำเริบจะได้ช่วยเหลือได้ทัน แต่ตัวเขาเองก็ต้องรีบออกไปกินข้าวเพราะมีประชุมกับลูกค้าต่ออีก ทางออกคงไม่ยากอะไร อย่างน้อยแค่มีคนมานั่งอยู่เป็นเพื่อนพิรัลก็พอจะทำให้สบายใจขึ้นมาได้บ้าง

“พี่ไปตามน้องในทีมมานั่งเป็นเพื่อนเจตน์ดีกว่า”

“เฮ้ย พี่ ไม่เป็นไร ผมไม่อยากให้ใครรู้”

เขาทำหน้าสงสัยก่อนจะคลายคิ้วที่ขมวดลงเมื่อนึกอะไรได้ “เรื่องที่เจตน์ไม่สบายนี่ไม่ได้บอกน้องในทีมเหรอ”

“ผมบอกแค่พี่กับพี่หวาน”

“อืม งั้นผมไปก่อนนะ ลูกค้านัดไว้ตอนบ่ายครึ่งเดี๋ยวกลับมาไม่ทันประชุม แต่ถ้ามีอะไรโทรหาผมหรือหวานได้เลยนะ” เขาตบบ่ารุ่นน้องอีกครั้งเพื่อเป็นกำลังใจให้ แม้ว่าจะใช้เวลาด้วยกันมาเพียงแค่สี่เกือบห้าปีแต่พิรัลเป็นคนขยันและสามารถฝากฝังเรื่องงานได้ อีกทั้งยังเป็นน้องที่ดี ตั้มเองก็อดห่วงไม่ได้อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่เหนือสิ่งอื่นใดตั้มไม่อาจบงการความคิดของพิรัลได้ การตัดสินใจเรื่องส่วนตัวคือสิ่งที่เขาต้องเคารพไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม

พิรัลกล่าวขอบคุณกับรุ่นพี่ก่อนจะถอนหายใจยาวอยู่ในห้องประชุม นาฬิกาบ่งบอกถึงช่วงเวลาพักกลางวันแล้ว ท้องของเขาร้องหิวแต่อาการแน่นหน้าอกก็ยังไม่หายไปเสียที พิรัลนั่งพักนิ่งๆปล่อยสมองว่างโล่งอยู่ครู่หนึ่งอาการจึงคลายลงบ้าง เขาไม่ได้กินยาตามที่หมอให้เลย ไปตรวจตามนัดก็จริงแต่ก็ไปเพื่อให้แม่กับพ่อสบายใจ โดยส่วนตัวเขายังคิดว่าตัวเองพอไหวอาการไม่ได้หนักหนาจนต้องกินยาตลอด เรื่องนี้พิรัลไม่เคยบอกใครเพราะเขารู้ว่าทุกคนจะต้องตำหนิติเตียนแล้วบอกว่าเขาไม่รักชีวิต พิรัลเบื่อหน่าย แค่เห็นซองยาที่หมอให้มาก็อยากจะเททิ้งไปให้หมด

เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ เขารักชีวิตแต่เบื่อหน่ายเหลือเกินกับการต้องกินยาและอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เขาอายุสามสิบหกแล้วอีกไม่นานก็ตาย ทุกคนล้วนต้องตายแล้วทำไมเขาต้องมานั่งกินยาเพื่อรักษาชีวิตตัวเองที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องตาย เขาอยากอยู่ต่อไปแบบนี้ ตายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เขาคิดแบบนั้นมาโดยตลอด ผิดด้วยหรือกับการเลือกทางเดินให้ตัวเอง เขามีอิสระที่จะกินหรือไม่กินยา เขามีอิสระที่จะใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ แต่โลกใบนี้ไม่ยุติธรรมเพราะไอ้อาการบ้าบอเหล่านี้ไม่เคยให้ทางเลือกกับเขาเลยแม้แต่น้อย มันก่อเกิดขึ้นมาจากปัจจัยห่าเหวทั้งหลายทั้งแหล่โดยยึดอิสระในการเลือกของพิรัลไปทั้งหมด ไม่ยุติธรรมเลย

ที่คอกยังคงมีคนนั่งทำงานอยู่ เป็นนิพัทธ์ที่กำลังนั่งมองโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพฉายซ้ำกับเหตุการณ์เมื่อคืนและมันก็เป็นอย่างนั้นเมื่อนิพัทธ์ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ สิ่งที่พิรัลเป็นกังวลยังไม่จางหายมันยิ่งกลับสร้างความเป็นกังวลให้มากขึ้นอีก

“กานต์”

เขาเอ่ยเรียกเป็นรอบที่สามเห็นจะได้เจ้าของชื่อจึงหันกลับมามองตามเสียง พิรัลวางแลปทอปลงแล้วตัดสินใจดึงรั้งให้นิพัทธ์ลุกขึ้นเดินออกไปจากคอกที่ทำงาน เขาทนรอให้นิพัทธ์เอ่ยปากพูดไม่ได้แล้ว

ที่ลานจอดรถคือสถานที่อันสงบสุขในช่วงพักกลางวัน บางทีถ้าไม่ได้ออกไปกินข้าวกลางวันกับน้องในทีมพิรัลก็เลือกที่จะหลบมุมนั่งกินข้าวกล่องแบบง่ายๆอยู่ที่ลานจอดรถชั้นบนสุด นอกจากจะไม่ค่อยมีคนขับขึ้นมาจอดแล้วพวกยามก็ไม่ค่อยขึ้นมานั่งเฝ้าด้วย อีกทั้งช่วงเวลากลางวันแบบนี้ไม่มีใครขึ้นมาที่นี่เลยสักคน พิรัลจุดบุหรี่สูบแต่เพราะลมแรงมากจึงจุดไฟไม่ได้ เห็นเช่นนั้นนิพัทธ์จึงช่วยใช้มือป้องลมให้ ไฟสีส้มสว่างวาบอยู่ที่ปลายมวนบุหรี่สีขาว มันมอดไหม้ลงเมื่อพิรัลสูบเข้าไป ดวงตาสีเข้มจดจ้องมองอยู่ที่นิพัทธ์ราวกับจะเค้นหาคำตอบจากสีหน้าที่ดูอมทุกข์ แต่พิรัลไม่รู้อะไรเลย เขารู้สึกเหมือนตัวเองยังไม่ได้เข้าใกล้เรื่องส่วนตัวของนิพัทธ์เลยแม้แต่น้อย

“เล่าให้ผมฟังได้มั้ย” พิรัลเริ่มต้นบทสนทนาก่อนจะยื่นบุหรี่ให้

เด็กหนุ่มรับบุหรี่มาสูบอึกใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อพ่นควันออกไป เผยให้เห็นลำคอที่มีลูกกะเดือกโปนปูดออกมา พิรัลเอื้อมมือไปจับคออีกฝ่ายไว้ ใช้นิ้วลูบเบาๆที่แก้ม

“ผมเห็นกานต์เป็นแบบนี้แล้วผมไม่สบายใจเลย”

นิพัทธ์ยังคงเงียบและสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆ เขาทอดมองออกไปยังทิวทัศน์ที่มีแต่ตึกอาคารทรงสูงในเมืองกรุง “ผมเห็นตารางออนไซต์แล้วนะ ผมขอเลือกห้องได้มั้ย”

พิรัลตอบรับอยู่ในลำคอ คิดไว้อยู่เหมือนกันว่าจะให้นิพัทธ์เป็นคนเลือกห้อง เงินส่วนเกินเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง

“พี่เจตน์…”

“ครับ”

“ผมรักพี่เจตน์นะครับ”

พิรัลยืนนิ่งค้างเมื่ออยู่ๆถูกบอกรัก สำหรับผู้ชายแล้วไม่ว่าจะมีรสนิยมแบบไหนต่างก็ยังเป็นผู้ชาย และสิ่งหนึ่งที่ผู้ชายร้อยละเก้าสิบเก้าเป็นเหมือนกันนั่นก็คือไม่ค่อยชอบพูดความรู้สึกของตัวเอง พิรัลหน้าร้อนผ่าวไปหมดหัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไออุ่นจากนิพัทธ์ที่เดินเข้ามาสวมกอดทำให้เขาได้สติ

ใครหลายคนคงมีนิยามของความรักแตกต่างกันไป พิรัลก็มีนิยามความรักในแบบของตัวเอง ความรักของเขากับนิพัทธ์มันรวดเร็วจนนึกหวาดกลัว แต่พิรัลตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเองและแจ้งประจักษ์แก่ความต้องการของตน เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้จักตัวเอง เขาไม่ต้องการค้นหาอะไรอีกแล้ว เขารักนิพัทธ์โดยไม่ต้องการสิ่งใด ความรักมันน่าประหลาดแบบนี้แหละ ความรักมันเล่นตลกแต่ขณะเดียวกันก็จริงจังจนผูกพันธ์ทางจิตใจไปหมด เขาไม่คิดว่ารักที่เกิดขึ้นนี้จะเร็วเกินไป มันไม่มีขอบเขตหรือช่วงเวลาแบบนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว เขาคิดแค่ว่ารักที่เกิดขึ้นอยู่นี้จะรักษามันอย่างไรให้เสมอต้นเสมอปลาย และจะรักษามันไว้ให้คงอยู่แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน

“อืม” เขาตอบรับเพียงแค่นั้นทั้งที่ในใจกำลังบอกรักเช่นกัน





หัวข้อ: หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 13:19:13
สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรของนิพัทธ์เพิ่มเติมเลยแม้แต่นิดเดียว พิรัลเริ่มตัดใจที่จะเอ่ยถามแต่ก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ไม่ห่างหาย เขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับนิพัทธ์มากขึ้น ข้าวของต่างๆเริ่มมีติดอยู่ที่คอนโดของอีกฝ่ายบ้าง แม่ถามถึง ‘เพื่อน’ ที่เคยไปที่บ้าน ในตอนแรกพิรัลคิดตามไม่ทันแต่แล้วเมื่อถูกขยายความว่าเพื่อนที่มาช่วยพับดอกบัว พิรัลก็ร้องอ๋อออกมาเสียงดังผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เขาคิดว่าพี่สาวคงจะไปคุยเปรยอะไรบางอย่างไว้แม่จึงได้ถาม พิรัลนึกสงสัยมาตลอดหลายวัน คิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่ากับการเปิดตัว ‘เพื่อน’

ในตอนนี้พวกเขามาออนไซต์กันที่จังหวัดนครราชสีมา ห้องพักสะดวกสบายและสะอาดถือเป็นปัจจัยหลัก แต่สำหรับนิพัทธ์คงจะเรียกได้ว่าเป็นคนติดหรูอยู่สักหน่อย ห้องพักที่ควรจะแค่สะอาดปลอดภัยกลับดูอลังการเกินกว่าจะมาพักเพื่อทำงาน เรื่องนี้คงจะทำให้น่าสงสัยอยู่ไม่น้อยตอนที่ไปเบิกเงินค่าห้อง ถึงแม้ว่าอย่างไรก็จะได้ค่าห้องตามจำนวนสูงสุดเท่าที่บริษัทได้กำหนดไว้แต่ตั้มก็ต้องเห็นอยู่ดีว่าห้องพักเป็นแบบไหน

พิรัลตัดสินแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการจองแยก เลือกห้องพักถูกๆเอาไว้เพื่อเบิกเงินไม่ให้เป็นที่สงสัยและเลือกห้องพักตามแต่ใจนิพัทธ์เพื่อเอาไว้นอนพักผ่อน ซึ่งเรื่องนี้คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เขาชวนนิพัทธ์มาเที่ยวพักผ่อนหลังจากทำงานเสร็จทั้งๆที่ฝ่ายนั้นไม่เคยเรียกร้อง ถึงจะต้องจ่ายเพิ่มแพงไปบ้างแต่พิรัลก็เต็มใจเพราะอยากเห็นอีกคนสุขสบาย

สำหรับการมาทำงานด้วยกันนั้นไม่มีปัญหาส่วนตัวอะไรเลยเพราะพวกเขาต่างเข้าใจและวางตัวเหมาะสม ปัญหาคงจะมีแค่เรื่องงานซึ่งพวกเขาก็ช่วยกันแก้ปัญหากันไปทีละอย่าง มีบ้างที่เผลอหงุดหงิดเมื่องานไม่ได้ดั่งใจแต่นั่นก็เป็นบทบาททางหน้าที่การงาน เป็นบทบาทระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง พอหลังงานเสร็จสิ้น เขาถอดหัวโขนไว้ตรงนั้นและกลับมาเป็นพิรัลในบทบาทอื่นเช่นเดิม

นิพัทธ์เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมากอีกทั้งยังไม่งี่เง่าด้วยซึ่งพิรัลรู้สึกซาบซึ้งใจที่พวกเขาเข้าใจซึ่งกันและกันได้มากขนาดนี้
พิรัลกำลังเช็คสภาพรถนิดหน่อยหลังจากขับกลับมาถึงที่พัก รถเบนซ์รุ่นเก่าแต่คลาสสิครุ่นนี้ได้รับการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ของรถทางญี่ปุ่นทำให้ง่ายต่อการดูแล คงเหลือไว้เพียงตัวถังที่ดูคลาสสิคในแบบยุโรป เขาไม่ชอบรถใหม่หรูหราหากแต่ชอบรถคลาสสิคประเภทเก่าเก็บที่ขับแล้วดูมีสไตล์มากกว่าดูมีเงิน แม้ความเป็นจริงการบำรุงรักษารถเก่าแบบนี้ต้องใช้เงินเยอะก็ตามที เขาใช้ผ้าพันหนาๆเปิดฝาเพื่อเช็คระดับน้ำในหม้อน้ำ ขณะที่นิพัทธ์กำลังช่วยปรับหลอดไฟที่ส่องต่ำเกินไปให้สูงขึ้น

“ทำไมน้ำมันลดไปเยอะจังวะ” พิรัลพึมพำบ่นเมื่อเห็นระดับน้ำในหม้อพักน้ำลดไปเยอะ ตามประสาคนรักรถ(เก่า)อย่างเขาเริ่มหงุดหงิดใจขึ้นมา

“หม้อรั่วเหรอครับพี่เจตน์”

“มันเคยรั่ว แต่ผมเพิ่งเอาไปอุดมานะ หรือผมจะหลอนไปเองว่าน้ำมันลดไปเยอะ”

“ไว้กลับถึงกรุงเทพค่อยไปเช็คที่อู่อีกทีแล้วกัน” นิพัทธ์พูดพลางชะเง้อดูเครื่องยนต์ “ผมปรับไฟหน้าให้แล้วนะครับ แต่ไม่แน่ใจ่วาสูงพอแล้วหรือยัง มันยังสว่างอยู่ผมมองเห็นไฟไม่ชัด”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยดูอีกที” พิรัลปิดฝาหม้อน้ำตามต่อด้วยการดึงฝากระโปรงรถลงมาปิด “หิวหรือยัง”

“หิวตั้งแต่อยู่ที่ร้านแล้ว” นิพัทธ์ตอบเสียงเบาพลางแสร้งทำสีหน้าอ่อนแรงประกอบท่าทาง เรียกรอยยิ้มจากพิรัลได้เป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงกันว่าจะทำอาหารเองแต่สุดท้ายแล้วก็แวะซื้ออาหารบ้านๆตามตลาดนัดมากินเพราะเหนื่อยจากการออนไซต์กันมาก นิพัทธ์เตรียมอาหารให้ด้วยการแกะถุงอาหารต่างๆจัดใส่จาน ส่วนเขาเตรียมเครื่องดื่ม ในห้องพักสวยๆแห่งนั้นสะดวกสบายสมราคาดี รวมไปถึงโทรทัศน์จอใหญ่ในห้องนั่งเล่นก็ด้วย พิรัลเปิดดูรายการแข่งขันโคตรคนอึดที่ได้รับโจทย์เพื่อทดสอบสมรรถนะร่างกายขณะที่นั่งพิงโซฟาแล้วกินบะหมี่หมูกรอบแห้งแบบง่ายๆไปด้วย นิพัทธ์ที่นั่งอยู่ด้านข้างร้องโวยวายเมื่อคนที่เชียร์ดันตกน้ำไปจึงทำให้ตกรอบ หลังจากโวยวายเสร็จก็จ้วงเกี๊ยวน้ำเข้าปากเสียคำใหญ่

“แม่ง พี่เชื่อมั้ยว่าผมพนันอะไรไม่เคยชนะเลย เนี่ยแค่แข่งเกมโง่ๆนี่ผมยังแพ้พี่เลย”

“ใจเย็นน่า แค่เลี้ยงข้าวผมหนึ่งมื้อจะซักกี่บาทเอง”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นพี่ ผมแค่สงสัยว่าทำไมผมพนันอะไรไม่เคยชนะเลยวะ”

“ก็กานต์เลือกคนขี้โม้อะ ผมเห็นหน้าไอ้นี่ผมก็รู้เลยว่าแม่งท่าดีทีเหลว”

“งั้นแสดงว่าผมดูคนไม่เป็นอย่างงี้เหรอ”

“เออ ผมก็ว่าอาจจะใช่นะ”

“อ้าว งั้นผมก็ดูพี่ผิดไปน่ะสิ”

“เฮ้ย อย่าเหมารวมเรื่องผมดิ” พิรัลหัวเราะอารมณ์ดีเมื่ออีกฝ่ายยังคงโวยวายต่อนิดหน่อยที่แพ้พนัน

หลังจากอิ่มท้องพิรัลก็เริ่มเอนหลังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ส่วนนิพัทธ์พิงซบไหล่แล้วพวกเขาก็เริ่มเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือด้วยกันโดยที่ยังไม่ได้เก็บกวาดกล่องอาหาร และดูท่าทางจะอีกยาวนานกว่าจะมาสนใจกองขยะเหล่านั้น นิพัทธ์ดูเซียนมากเมื่อเป็นเรื่องเกม อีกทั้งยังดูได้จากสกินต่างๆที่เลือกใช้ล้วนแล้วแต่เป็นไอเทมเสียเงินแพงๆ พิรัลไม่สันทัดกับเกมเท่าไหร่นักจึงเสียเงินให้เกมน้อยมากแต่จะเสียไปกับการซ่อมบำรุงรถมากกว่า

“บุกซ้ายดิ พี่เจตน์ เร็ว เร็ว บุกเลย แม่งเอ้ย โดนจนได้” นิพัทธ์ใส่อารมณ์พอสมควรเมื่อพิรัลทำให้ทีมแพ้ พิรัลเองก็เริ่มหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจเขาจึงโวยวายเลิกเล่นเกมแสดงท่าทีแบบเด็กๆออกมา คนที่เด็กกว่าหัวเราะชอบใจและเอ่ยแซวพอเป็นพิธีให้อีกคนเขินอาย

“หัวเราะผมเหรอ”

นิพัทธ์ไม่ตอบแต่กลับหัวเราะเสียงดังแล้วลุกหนีเดินเข้าห้องน้ำไป ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าจึงเดินตามเข้าไปสมทบเพื่อแปรงฟัน ทุกอย่างดูราบเรียบและมีความสุขอย่างที่คนสองคนซึ่งกำลังคบหาดูใจกันพึงควรมี ในตอนที่แปรงฟันด้วยกันนั้นนิพัทธ์เอ่ยพูดว่าพวกเขาไม่ควรนอนหลังจากกินอาหารเสร็จ พิรัลกรอกตาเบื่อหน่ายเมื่อฟังศัพท์วิชาการทางการแพทย์ที่ออกมาจากปากนิพัทธ์ ฝ่ายคนที่เด็กกว่ายังคงไม่ย่อท้อพูดพล่ามไปเรื่อยเพื่อเป็นการแกล้งพิรัล

“ผมจะนอน ผมเหนื่อย ผมไม่สนเรื่องกรดไหลย้อน” พิรัลว่าไปนั่นพลางคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้อีกฝ่ายหลังจากแปรงฟันกันเสร็จ

“พี่เจตน์ เป็นแล้วมันทรมานนะ เพื่อนผมคนนึงก็เป็น มันชอบนอนกินขนมแล้วก็บ่นแน่นท้อง”

“เดี๋ยว ผมว่าอันนั้นมันกระเพาะครากป่าววะ”

“อ้าว เหรอ คงใช่มั้ง” สิ้นคำก็หัวเราะยกใหญ่

พิรัลอดนึกเอ็นดูไม่ได้จึงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วจุมพิตที่ริมฝีปาก “เล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังหน่อยสิ” เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อรอคอยรับฟัง

นิพัทธ์ยิ้ม ยกมือโอบกอดรอบคอเขาไว้ขณะที่รั้งเดินให้ออกจากห้องไปยังเตียงนอน “ไอ้แม็กซ์เป็นรูมเมทผม มันติดเกมก็เลยชอบเอาขนมมานอนกินบนเตียง ผมเคยเตือนมันแล้วนะแต่มันก็ไม่ฟัง สุดท้ายปวดท้องแน่นท้องต้องไปหาหมอ แต่ล่าสุดมันก็ยังเหมือนเดิม”

เขาครางตอบรับในลำคอพลางซุกไซ้กอดเด็กหนุ่มไปมา “แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ”

เสียงหัวเราะจากนิพัทธ์ดังขึ้นข้างหู ก่อนที่ริมฝีปากนั่นจะจรดจูบตามใบหน้าของพิรัล “เพื่อนคนอื่นพอเรียนจบก็คุยกันไม่กี่คนเอง มีไอ้แม็กซ์กับไอ้ปอนด์นี่แหละที่ผมคุยด้วยตลอด”

“ตอนเรียนมีใครมาจีบมั้ย”

“มีเพื่อนผู้หญิงในเซคชั่นเดียวกันมาชอบผมอยู่คนนึง จริงๆก็มีคนอื่นด้วยนะ แต่ไม่ได้ชัดเจนมากเท่าคนนี้”

“ผู้หญิงเหรอ จีบยังไง”

“ผมบอกไปแล้วนะว่าชอบผู้ชาย แต่เขาบอกว่าจะขอคุยด้วยเผื่อผมจะชอบเขาบ้าง แล้วก็เลยคุยกันอยู่พักนึง”

“แล้ว?”

“นิสัยน่ารักดี แต่พอคุยกันเยอะขึ้นผมว่ายังไงผมก็ชอบผู้ชายอยู่ดีอะ”

พิรัลเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย “นี่คุยกันถึงขั้นไหน”

เด็กหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะผละตัวลงไปนอนบนเตียง “ไม่บอกครับ”

พิรัลเดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนด้านข้าง ดวงตาเริ่มปรือเพราะความง่วงเช่นกัน “บอกผมเถอะ”

“พอคุยกันไปสักพักผมคิดว่าเราเข้ากันได้หลายๆอย่าง ตอนนั้นผมคิดขึ้นมาแว้บหนึ่งว่าบางทีผมอาจจะชอบทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ผมเลยจูบดู”

เขาขยับเข้าไปกอดอีกฝ่าย ดวงตาหลับพริ้มลง บรรยากาศที่ต่างจังหวัดยามดึกชวนให้ผ่อนคลาย

“แล้วเป็นไง”

“บอกไม่ถูกเลย แต่รู้ว่ามันไม่ใช่อะ ไม่เหมือนแบบนี้” ว่าแล้วก็ขโมยจูบพิรัลหนึ่งที

ชายหนุ่มที่กำลังตาปรือรู้สึกตื่นตัวขึ้นมานิดหน่อย เขาขยับเข้าไปใกล้จูบตอบนิพัทธ์อย่างนุ่มนวลก่อนจะทาบทับอีกฝ่ายไว้ใต้ร่าง พิจารณามองใบหน้าของเด็กหนุ่มตัวขาวอย่างรักใคร่ เขาจูบนิพัทธ์อีกครั้งยาวนานขึ้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นวาบไหวแต่ไม่ได้จูบเพื่อปลุกเร้าต้องการร่วมสัมพันธ์

“เล่าเรื่องพี่แจงให้ผมฟังมั่งสิ” นิพัทธ์เอ่ยถามพลางโอบกอดตอบรับสัมผัสเป็นอย่างดี

“ผมกับแจงอายุไม่ห่างกันมาก ตอนเรียนก็เรียนที่เดียวกันมาตลอด พอเข้ามหาลัยผมตั้งใจจะแอดมิชชั่นไปอยู่ที่ต่างจังหวัดเลยนะ แต่ยังไงก็ไม่รู้ผมเลือกลงที่เดียวกับแจงไว้ แล้วดันสอบติดซะงั้น”

“พี่แจงเรียนคณะเดียวกับพี่เจตน์ด้วยเหรอครับ”

“อืม ใช่ นี่ตอนแรกผมนึกว่าพี่ผมจะเป็นทอมซะอีก”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลยที่ผู้หญิงเรียนวิดวะแล้วจะเป็นทอมเนี่ย”

“ไม่เว่ย ตอนมัธยมแจงแม่งมีแฟนเป็นผู้หญิง แล้วมันก็ออกทอมๆอะ”

“หา?”

“เออดิ แต่ตอนอยู่มหาลัยไปไงมาไงไม่รู้ไอ้ใหญ่แม่งเดินมาบอกผมว่ามันคบกับพี่ผมอยู่ ผมแม่งเอ๋อไปเลย”

พิรัลเปลี่ยนมาซบแนบใบหน้าลงกลางอกของอีกฝ่ายแล้วจับมือไว้แนบแน่น ในคืนนั้นพวกเขาเล่าเรื่องราวต่างๆในชีวิตของกันและกัน รู้จักพื้นหลังกันมากขึ้น ทั้งเพื่อนที่คบหา ทั้งเรื่องสมัยเรียน โปรเจคตอนเรียนจบ แฟนเก่า พิรัลเอ่ยพูดถึงครอบครัวของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายไถ่ถาม เขาเล่าทุกอย่างให้ฟังเท่าที่นิพัทธ์อยากรู้ นิพัทธ์เองก็เล่าเรื่องของเพื่อนให้ฟัง แต่เมื่อพิรัลถามถึงครอบครัวบ้างดวงตาที่เคยเปี่ยมสุขกลับหม่นหมองลง ฝ่ายนั้นไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนแต่พิรัลสังเกตเห็น และรับรู้ได้ว่านิพัทธ์ไม่อยากพูดถึงครอบครัว

พวกเขาเข้านอนกันไปในยามที่ท้องฟ้าแต่งประดับด้วยดวงดาราสีเหลืองสว่าง หัวใจของพิรัลปวดหนึบหากไม่ใช่เพราะโรคที่รุมเร้า แต่เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองยังคงไม่อาจเข้าถึงอะไรบางอย่างในใจของนิพัทธ์ได้ บางทีการที่คบหากันแบบนี้คงเป็นแค่เรื่องสนุกของอีกฝ่าย ช่วงวัยที่ต่างกันพอจะทำให้พิรัลประจักษ์แจ้ง เขาไม่นึกโทษใครทั้งนั้น ตราบเท่าที่ยังอยู่ด้วยกันและมีความสุขแบบนี้เขาจะยังเป็นพิรัลคนเดิมจนกว่านิพัทธ์จะไม่ต้องการ


เมอเซเดส เบนซ์ 450sl R107 สีเบจขับทะยานไปตามเส้นถนนที่ทอดยาวและบิดริ้วไปมาราวกับงูคดเคี้ยว บนเบาะสีน้ำตาลกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีชายหนุ่มสองคนนั่งฝั่งซ้ายและขวา มือของพิรัลประคองพวงมาลัย วางศอกข้างหนึ่งไว้บนขอบหน้าต่างขณะที่อีกข้างพาดพิงไว้บนเบาะ นิพัทธ์นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือทิ้งโลกมนุษย์เพื่อหลุดเข้าไปในโลกออนไลน์ เด็กหนุ่มสบถออกมาเป็นครั้งคราวเมื่อเกมที่เล่นไม่เป็นไปตามต้องการ อีกอึดใจใหญ่กว่าจะยอมเงยหน้าขึ้นมามองทางและโอดครวญว่าหิวมากแทบทนไม่ไหว พิรัลยิ้มเยาะบอกให้อดทนรอทั้งที่ตั้งใจจะพาไปกินอาหารฝรั่งที่อยู่เบื้องหน้าอีกไม่ไกล เขาทำใจร้ายไม่ฟังเสียงของอีกฝ่าย ทำทีเป็นตั้งมั่นกับการขับรถ

“พี่เจตน์โกรธอะไรผมหรือเปล่า”

“โกรธเหรอ ทำไมชอบบอกว่าผมโกรธ”

“ก็ไม่ฟังที่ผมพูดเลยอะ ผมบอกว่าผมหิว”

“ฟังอยู่ แต่ไม่ได้ตอบ”

“แล้วทำไมไม่ตอบอะ โกรธที่ผมไม่ได้สนใจเหรอ”

พิรัลเหลือบมองเด็กหนุ่มที่เริ่มเถียงไม่ลดละ ดูก็รู้ว่ากำลังโมโหหิวเขาจึงไม่ถือสาอะไร อยู่ๆก็นึกอยากทำให้เงียบปากด้วยวิธีทะลึ่งตึงตัง แต่คิดไปคิดมาคงจะเป็นเพียงแค่แฟนตาซีเล็กๆน้อยๆที่แว้บเข้ามาในหัว เขาเมินหน้าไปมองเส้นทางและไม่ได้ตอบอะไรอีกเพราะขี้เกียจพูด

“เนี่ย แล้วก็เงียบ”

“แล้วจะให้ผมพูดอะไร”

“ไม่รู้”

พิรัลเหลือบมองคนด้านข้างอีกครั้งด้วยสายตานิ่งเฉย กำลังคิดอยากถ่ายรูปตอนที่นิพัทธ์นั่งอยู่บนรถแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเริ่มไม่พอใจที่เขาเงียบแบบนี้แล้วจริงๆจังๆ “อยากให้ผมพูดอะไร” เขาถามย้ำอีกครั้งไม่ได้นึกหงุดหงิดใจที่นิพัทธ์เถียง

“ไม่รู้”

“แต่อยากให้ผมพูดเหรอ”

“ใช่”

“กานต์น่ารัก”

“เฮ้ย ไม่ใช่ละ” เด็กหนุ่มดีดตัวขึ้นมาจากเบาะเพื่อมองหน้าคนขับที่กำลังอมยิ้ม

“ถามจริงทำไมถึงคิดว่าผมโกรธล่ะ”

“ผมชอบเล่นเกม บางทีเล่นแล้วมันก็ติดพันไม่ได้คุยกับพี่เจตน์ผมเลยคิดว่าพี่โกรธ”

“อ้อ งั้นแสดงว่าเคยโดนคนอื่นบ่นมาล่ะสิ”

“ครับ”

พิรัลเอื้อมมือข้างที่พาดเบาะเลื่อนขึ้นไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น แต่กานต์ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเรามาด้วยกัน”

นิพัทธ์ขยับเข้าหาเพื่อจูบที่ลาดไหล่ของอีกฝ่ายแล้วเอนซบมองใบหน้าด้านข้างจากมุมที่ต่ำกว่า

“กินขมรองท้องไปก่อนมั้ยจะได้ไม่โมโหหิวใส่ผมอีก”

“ผมไม่ได้โมโหหิว”

“เหรอ” พิรัลลากเสียงยาวกวนอารมณ์พลางขยี้กลุ่มผมอีกฝ่ายเล่น

เด็กหนุ่มยิ้มแหยก่อนจะหัวเราะออกมาแก้เก้อ ยกมือขึ้นไปเขี่ยแก้มคนอายุมากกว่าแต่ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าด้านข้างอาบไล้ด้วยแสงแดดยามตะวันตกดินทำให้ผิวกายแบบชายไทยทั่วไปดูเป็นออกน้ำตาลอ่อน นิ้วโป้งลูบสันกรามคมคาย ดวงตามองผ่านไปยังจมูกค่อนข้างใหญ่แต่เป็นสันชัดเจน แล้วหลับตาเอนซบบนลาดไหล่

เมื่ออยู่เคียงข้างคนคนนี้ หัวใจไม่ได้เต้นแรงอีกต่อไป มันสงบราบเรียบเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่หาเหตุผลอธิบายไมได้หรือบางทีไม่ได้ต้องการแม้แต่คำอธิบาย โชคดีที่วันนั้นเลือกเดินเข้าหาพิรัล โชคดีที่ได้คบหากัน โชคดีที่พิรัลเข้าใจในความเป็นนิพัทธ์ แต่ไม่รู้ว่านิพัทธ์จะเป็นโชคดีของพิรัลรึเปล่า เด็กหนุ่มยังคงครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นไม่จางหายไปจากความรู้สึก




************************************


คนที่เล่น Twitter สามารถหวีดร้องได้ใน #หนึ่งวันบนดาวพุธ นะคะ
ทุกเสียงหวีดร้องคือพลังใจของเราค่ะ 55555555555
 :katai4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-10-2018 14:30:28
ม้ายยยยย อย่าทำแบบเน้  :sad4:
กลัวจะเกิดเรื่องอะไรก่อนที่จะได้เข้าใจกัน แงงงงง
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 08-10-2018 17:50:59
น้องอาจจะรู้เรื่องป่วยของพี่หรือเปล่าอะ หรือมีเรื่องที่บ้านน้อง เพิ่งมาอ่านค่ะ และกลัวจบแบบอิพี่รัลตายมากๆ แง อย่าให้เป็นแบบนั้นเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-10-2018 21:21:42
น้องเป็นอะไรรรรรร อยากให้น้องรู้ไวๆ แล้วคุมอิพี่ให้กินยา จะรีบตายไปไหน ไม่อยากอยู่กับน้องเหรอพี่เจตต์  :ling3:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 08-10-2018 22:13:07
อยากเห็นพี่เจตน์กับน้องกานต์รักกันไปนานๆๆ
คุณนักเขียนคะ ขออย่าให้เป็น bad end เลยนะคะ
ขอร้องหละค่ะ ด้ายยยโปรดดด
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: waiieiei ที่ 08-10-2018 22:54:36
อิพี่เอ๊ย ไปหาหมอซีกที
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่เจ็ด - ใคร 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 15:22:08
ตอนที่เจ็ด



เขาเคยชวนนิพัทธ์ค้างคืนที่บ้านมาหลายครั้งแล้วแต่นิพัทธ์ก็ปฏิเสธทุกที ต่างไปจากครั้งนี้ที่นิพัทธ์ยอมตอบตกลง เขาถามถึงเหตุผลอย่างอดสงสัยไม่ได้ นิพัทธ์ทำเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบ บ้านสองชั้นของพิรัลไม่ได้วิเศษเลิศเลอใหญ่โตไปกว่าใคร มันเป็นเพียงบ้านสองชั้นที่มีรูปทรงทั่วไปตามหมู่บ้านจัดสรร แต่มีพื้นที่ใช้สอยรอบรั้วกว้างขวางอยู่สักหน่อย คืนนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านเพราะไปเที่ยวต่างจังหวัดหลายวัน ภายในบ้านที่เรียบง่ายหลังนั้นจึงมีเพียงแค่พิรัลกับนิพัทธ์อยู่กันสองคน

ตอนที่นิพัทธ์เข้ามาในห้องของพิรัล เขาปรี่ตรงไปยังกีต้าร์โปร่งซึ่งพิงอยู่ตรงมุมห้อง พิรัลเปิดแอร์ก่อนจะหายตัวเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้แขกคนพิเศษนั่งไล่คอร์ดกีต้าร์เล่น ออกมาอีกทีก็เห็นนิพัทธ์ยังคงคลำเล่นเพลงอะไรสักเพลงไม่ปะติดปะต่อกัน เขาบอกให้นิพัทธ์ไปอาบน้ำและหยิบจับกีต้าร์ตัวสีน้ำตาลแบบทั่วๆไปมาเล่นบ้าง ที่จริงแล้วช่วงหลังนี้เขาไม่ค่อยได้หยิบกีต้าร์มาเล่นบ่อยนักเพราะงานที่ทำอยู่พรากเวลาไปจนเกือบหมด จากที่เคยเล่นบ่อยครั้งความถี่ก็ลดน้อยลงจนนึกถึงอีกทีก็ได้เล่นเฉพาะช่วงไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนบ้าง

นึกถึงสมัยที่กีต้าร์ตัวนี้อยู่ไม่ห่างมือก็คงจะเป็นช่วงตั้งวงดนตรีกับเพื่อนสมัยเรียนชั้นมัธยม ช่วงนั้นเพลงฮาร์ดคอร์ต่างๆ หรือง่ายๆก็คือเพลงร็อคกำลังเฟื่องฟูจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้พิรัลเล่นดนตรีหนักหนาพอควร เขาชอบดนตรี ทั้งฟัง ทั้งเล่นเองแต่งเพลงเองบ้างในช่วงนั้น แต่วงดนตรีไปไม่รอดเพราะสมาชิกต่างต้องให้เวลากับการสอบเข้ามหาวิทยาลับมากกว่า วงดนตรีของพิรัลเกือบจะถูกก่อตั้งขึ้น แล้วก็หายสลายไปทั้งที่ยังไม่มีชื่อวงเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเล่นกีต้าร์มาเรื่อยๆเป็นงานอดิเรก

ในตอนที่พิรัลกำลังลองเล่นพลางดูคอร์ดไปด้วยอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำและขอกีต้าร์ไปเล่น นิพัทธ์พึมพำร้องออกมาเป็นเพลงท่อนหนึ่ง เสียงของเขางึมงำอยู่ในลำคอฟังไม่ได้ความ บานประตูในห้องนอนที่เชื่อมกับระเบียงเปิดอ้า พิรัลออกไปยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นขณะที่หันหน้าเข้ามาในห้องเพื่อมองดูเด็กหนุ่มตัวขาวเกลากีต้าร์อย่างสุขใจอยู่พักใหญ่ เสียงกีต้าร์เริ่มกลายเป็นท่วงทำนองขึ้นบ้างแล้ว นิพัทธ์เงยหน้าขึ้นมามองชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหลบสายตาไป ท่าทีดูขัดเขินอยู่ไม่น้อย

บุหรี่ที่สูบอยู่ถูกขยี้ลงในที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งวางอยู่บนขอบเหล็ก พิรัลเดินเข้ามาในห้องและนั่งลงบนเตียงฝั่งที่คุ้นชินโดยไม่ลืมฉุดรั้งแขนของอีกฝ่ายให้เข้ามานั่งอยู่ตรงหว่างขา แล้วกอดซบวางใบหน้าลงบนไหล่ เขามองนิพัทธ์เริ่มดีดกีต้าร์อีกครั้งและร้องเพลงร่วมด้วย พิรัลนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันทั้งที่ก่อนหน้านี้นิพัทธ์บอกเองว่าไม่ค่อยรู้เรื่องเพลงแต่กลับร้องและเล่นดนตรีได้เสียอย่างนั้น มันทำให้พิรัลฉุกคิดว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้

เพลงที่นิพัทธ์ร้องคือเพลง If it mean a lot to you ของ A day to remember มันเป็นเพลงที่ค่อนข้างดังในยุคสมัยเพลงอีโมเฟื่องฟูจริงๆ ตัวพิรัลเองก็ร้องและเล่นกีต้าร์ได้เมื่อได้เห็นฝีมือของนิพัทธ์ก็คิดว่าเด็กคนนี้น่าฟอร์มวงได้เลยทีเดียว หลังจากร้องจบไปท่อนหนึ่งนิพัทธ์ก็หยุดและหันมามองชายหนุ่มที่กอดตัวเองอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มยิ้มขยับเข้าไปจูบที่สันกรามอย่างรักใคร่

“เล่นดีนี่ ไหนบอกไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรี”

นิพัทธ์หัวเราะนิดหน่อยก่อนจะเด้งตัวออกหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย “เล่นให้ผมฟังมั่งสิครับ”

พิรัลรับกีต้าร์มาก่อนจะยิ้มกริ่ม “นี่จะลองเชิงผมใช่มั้ย” เขาเอ่ยขณะที่ปรับสายอีกนิดหน่อย

“ผมแสดงฝีมือแล้วจะเรียกว่าลองเชิงพี่เจตน์ไม่ได้หรอก” นิพัทธ์กล่าวแล้วขยับนั่งขัดขาเท้าแขนมองด้วยสายตาท้าทาย

“โห แล้วงี้ผมจะกล้าเล่นมั้ยเนี่ย” พิรัลยิ้มเขิน เขาเองก็ไม่ได้เล่นกีต้าร์จริงจังมานานจึงต้องใช้เวลารำลึกคอร์ดอยู่บ้าง แต่พอเมื่อจับจุดได้ก็เริ่มบรรเลงเพลงที่คาดว่าน่าจะเป็นเพลงโปรดของอีกฝ่าย

เพลงที่เขาเล่นคือเพลง High & Dry ของ Radiohead มันเป็นแบนด์คลาสสิคสำหรับพิรัลในการหยิบจับมาเล่นเขาจึงค่อนข้างมีความมั่นใจอยู่บ้าง ในตอนแรกเขาไม่คิดจะร้องเนื้อเพลงด้วยแต่ไปๆมาๆก็แอบคลอเบาๆไปตามอารมณ์ เขาเหลือบมองอีกฝ่าย นิพัทธ์กำลังอมยิ้ม ใบหน้าแสดงออกว่าชื่นชอบ เมื่อถูกมองนานเข้าก็รู้สึกเขิน เขาจึงหยุดเล่นเมื่อจบเพลงท่อนแรก

นิพัทธ์ยิ้มมองพิรัลไม่วางตา เขาเคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูดว่าผู้ชายที่เล่นดนตรีจะมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ไม่เคยเล่นดนตรีเพื่อให้ดูเท่หรืออะไร เล่นเพราะชอบ เล่นเพราะมันไม่เงียบเหงาเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนก็เท่านั้น แต่ตอนนี้เห็นทีคงจะคล้อยตามความคิดเหล่านั้นอยู่บ้าง พิรัลดูเท่ไม่หยอก มันทำให้เขารู้สึกภูมิอกภูมิใจที่มีคนรักเท่ขนาดนี้

พิรัลก้มหน้าลงมองคอร์ดอีกครั้ง แล้วเริ่มเล่นเพลงใหม่ เป็นเพลงที่ยากขึ้นแต่เป็นเพลงในตำนานของ Eagles อย่าง Hotel California นิพัทธ์ส่งเสียงร้องแซวพอเป็นพิธี

พิรัลเขินอาย แต่เมื่อได้กลับมาเล่นกีต้าร์จริงจังเหมือนครั้งสมัยเรียนเขาเองก็รู้สึกคึกคักราวกับร่างอวตารศิลปินเข้าสิง จะว่าเข้าสิงก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวเพราะเขาชอบเล่นดนตรีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัยโลกของผู้ใหญ่กลับผลักไสให้นึกถึงการทำเงินเลี้ยงชีพมากกว่าความเพ้อฝัน พิรัลเข้าใจข้อเท็จจริงนั้นดีและไม่อาจโทษใครได้เลย เป็นโชคดีของเขาเสียอีกที่เลือกเรียนสิ่งที่ชอบเป็นอันดับสองเพราะตัวเขาเองยังไม่แน่ใจเลยว่าฝีมือการเล่นดนตรีของตัวเองจะเก่งกาจมากพอจนสามารถนำไปประกอบอาชีพได้หรือเปล่า

เพลง Hotel California นั้นเล่นยากและพิรัลเองก็ไม่ได้เล่นดีอะไรนักหนาด้วย แต่นิพัทธ์กลับชื่นชมออกมาทางสายตาแม้ปากจะเอ่ยแซวว่าเขาอวด พิรัลยักคิ้วกวนอารมณ์ขณะที่นิ้วไล่จับคอร์ดไปตามเรื่องตามราว เขาจำคอร์ดเพลงหลายเพลงได้โดยไม่ต้องเปิดดู แต่อาจจะมีเล่นเพี้ยนบ้าง เสียงแบนบ้าง เพราะขาดการฝึกฝนไปนาน คิดว่าหลังจากนี้คงจะหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นบ่อยกว่าเดิมเสียแล้ว

“พี่เจตน์เล่นดนตรีชิ้นอื่นอีกมั้ยครับ” นิพัทธ์ถามหลังจากเพลง Hotel California ท่อนแรกจบลง เขายื่นมือรับกีต้าร์แล้วลองไล่คอร์ดดูบ้าง

“ตีกลองก็พอได้อยู่”

“แล้วเปียโนได้มั้ย”

“เคยลองเรียนแล้วผมไม่ชอบเท่าไหร่”

“ไว้มีโอกาสผมจะเล่นเปียโนให้ฟัง ผมถนัดมากกว่ากีต้าร์” นิพัทธ์กล่าวแต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เครื่องดนตรีในอ้อมแขน “ผมเป่าแซ็กโซโฟนด้วยนะ ถ้าผมกลับบ้านผมจะไปเอาแซ็กโซโฟนมาเป่าให้พี่เจตน์ฟังนะครับ”

พิรัลรู้สึกหูพึ่งนิดหน่อยเมื่อได้ยินนิพัทธ์พูดถึงบ้าน เขาอยากรู้เรื่องราวครอบครัวของนิพัทธ์บ้าง แต่จากที่เคยเลียบเคียงถามถึงครอบครัวอีกฝ่ายกลับเฉไฉไม่ยอมตอบ ครั้งนี้พิรัลจึงเก็บความอยากรู้เอาไว้

“And I don’t want the world to see me…”

นิพัทธ์เริ่มต้นเพลงใหม่ขึ้นอีกในท่อน Chorus ดวงตาของเขาจดจ้องมาที่พิรัลราวกับสื่อความหมายบางอย่าง

“‘Cause I don’t think that they’d understand
When everything’s meant to be broken
I just want you to know who I am…”

เด็กหนุ่มถือกีต้าร์ไว้เช่นนั้นเมื่อร้องจบท่อนคอรัส พวกเขามองตากันและเงียบกันไปพักใหญ่ก่อนที่นิพัทธ์จะเผยอปากเริ่มต้นบทสนทนา

“พ่อผมชอบเล่นกีต้าร์เหมือนพี่เจตน์ ไว้ผมจะพาไปดวลฝีมือด้วย”

“ได้สิ” พิรัลตอบรับเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่าย พยายามไม่ถามอะไรเป็นการกดดัน เขารู้สึกได้ว่าครอบครัวของนิพัทธ์คงจะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะพูดออกมา

“ผมรักพี่เจตน์นะครับ” ดวงตาที่จ้องมองนั้นดูจริงจังจนพิรัลจุกปรี่อยู่ในลำคอ เขารักนิพัทธ์อย่างไม่ต้องกังขาแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงบอกรักกลับไปบ้างได้ยากเย็น

“อืม” พิรัลตอบรับเพียงแค่นั้นแล้วจับประคองใบหน้าของนิพัทธ์ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ลูบไล้เบาๆที่พวงแก้มด้วยความเอ็นดู

บางทีที่ยังไม่กล้าพูดคำว่ารักออกไปอาจเป็นเพราะเขาไม่ยังไม่แน่ใจว่านิพัทธ์รักเขาจริงหรือเปล่า



นิพัทธ์งัวเงียเป็นที่สุดเพราะตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง บ้านของพิรัลอยู่ชานเมืองจึงต้องออกแต่เช้าเพื่อให้ทันเวลาเข้างาน แม้ว่าที่บริษัทจะไม่เคร่งครัดเวลาเข้างานอะไรมาก แต่พิรัลก็ต้องไปให้ถึงลานจอดรถของรถไฟฟ้าก่อนเจ็ดโมง เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีที่จอด ชีวิตในกรุงเทพ ชีวิตดีดีที่ลงตัวมันไม่มีอยู่จริงเลยสักนิด

พิรัลบอกให้เขานอนไปโดยไม่ต้องเกรงใจ ไม่มีความจำเป็นจะต้องถ่างตานั่งอยู่เป็นเพื่อน พอได้ยินเช่นนั้นถึงจะสบายใจอยู่บ้างแต่นิพัทธ์ก็หลับๆตื่นๆไปตลอดทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงลานจอดรถ เมื่อได้ที่จอดสมใจก็เปิดแง้มกระจกและงีบหลับไปต่ออีกนิดหน่อย นิพัทธ์เพิ่งรู้ว่าพิรัลทำแบบนี้ทุกวันในการทำงาน เหนื่อยกับการเดินทางมากกว่าทำงานเสียอีก เขารู้สึกโชคดีที่มีห้องพักซึ่งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า

“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปค้างบ้านพี่เจตน์นะ แต่ผมไม่อยากตื่นเช้ามาทำงานแบบนี้บ่อยๆอะ ผมง่วง”

พิรัลหัวเราะพรืดแต่เช้าเมื่ออยู่ๆขณะที่โดยสารรถไฟฟ้าเพื่อไปทำงานนิพัทธ์ก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูขาดความมั่นใจนิดหน่อย ซึ่งตรงนี้พิรัลคิดว่าเด็กหนุ่มคงจะเกรงใจกับการพูดอย่างตรงไปตรงมา

“พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะ”

“โกรธเรื่องอะไรครับ”

“ถ้าชวนผมไปค้างที่บ้านวันทำงานแล้วผมปฏิเสธน่ะ”

พิรัลยิ้มเอ็นดู นึกอยากลูบศีรษะเด็กหนุ่มตรงหน้านี้เหลือเกิน แต่เวลาแปดโมงเช้าแบบนี้คนโดยสารอยู่ในรถไฟฟ้าแน่นขนัดคงจะไม่เหมาะหากจะแสดงออกอะไรมากมาย ทั้งๆที่ความจริงพิรัลสามารถกระทำดั่งใจต้องการได้ เขาไม่อายสายตาของใครเพราะสิ่งที่อยากทำมันไม่ได้สร้างความเสียหายหรือละเมิดสิทธิของใครเลย แต่เขากังวลถึงตัวของนิพัทธ์มากกว่า คิดไปต่างๆนานาว่าหากเมื่อได้สัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันตามประสาคู่รักนิพัทธ์จะอับอาย

ขณะที่คิดอะไรมากมายอยู่ในสมองตอนนั้นอยู่ๆมือของเขารู้สึกถึงไออุ่นจากฝ่ามือของใครบางคน เป็นนิพัทธ์ที่จับมือกับเขาและซ่อนมันไว้ที่ด้านหลัง ส่วนที่ยืนอยู่ในรถไฟฟ้าเป็นช่วงรอยต่อของขบวนเพราะฉะนั้นมันจึงค่อนข้างมืด อีกทั้งคนแน่นมากจนแทบไม่มีช่องว่าง พิรัลจึงวางใจให้เด็กหนุ่มจับต่อไปเช่นนั้น แต่เมื่อคิดอีกทีเป็นเขาหรือเปล่าที่ไม่กล้ามากพอสำหรับการเปิดเผยสิ่งนี้ เป็นเขาหรือเปล่าที่กังวลสายตาของคนอื่นมากเกินไป

สำหรับนิพัทธ์ไม่อายเลยที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองชอบเพศเดียวกัน เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขารู้จักการแสดงออกอย่างเหมาะสม เขาพอรู้อยู่บ้างว่าพิรัลเป็นคนละเอียดอ่อนคิดอะไรเยอะแยะไปหมด ตัวเขานั้นตรงกันข้ามหากไม่ได้กระทำอะไรผิดก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสายตาของใคร เขาคิดอยากพูดเรื่องนี้กับพิรัลแต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้สักที

ชายหนุ่มลองขยับมือออกมาปล่อยไว้ด้านข้างลำตัวแต่ยังคงจับกระชับมือของนิพัทธ์ไว้ เด็กหนุ่มกลั้นยิ้มและมองสบตากับคนอายุมากกว่า อย่างน้อยก็ขอให้ได้กระทำในสิ่งที่ใจต้องการ แม้ว่าเมื่ออยู่ในออฟฟิศจะแสดงอะไรออกไปไม่ได้ แต่นอกเหนือจากนั้นพิรัลก็อยากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามที่หัวใจปรารถนา

นิพัทธ์เคยคิดไว้แล้วว่าพิรัลที่อยู่ในออฟฟิศดูดุดันกว่าปกติ สิ่งนั้นสามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์บางอย่างในตัวนิพัทธ์ได้และมันกำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่เชิงว่าพอเห็นพิรัลดุก็จะแข็งอะไรทำนองนั้นหรอก แต่มันพอจะทำให้นิพัทธ์นึกถึงช่วงเวลาบนเตียง พิรัลอ่อนโยนกับเรื่องนั้นมากที่สุดเท่าที่เจอมา เขารู้สึกเหมือนได้รักและถูกรักในเวลาเดียวกัน พิรัลทำให้เขารู้ว่าเซ็กส์ที่มาพร้อมกับความรู้สึกทางจิตใจนั้นอิ่มเอมความสุขมากขนาดไหน พอคิดเช่นนั้นจึงรู้สึกต้องการขึ้นมาเสียอย่างนั้น

พิรัลดูหัวเสียหลังจากออกมาจากห้องประชุม พอออกมาเจองานซ่อมเครื่องที่เวนเดอทำได้ไม่ดีและต้องส่งซ่อมใหม่เป็นครั้งที่สามก็โทรออกหาเวนเดอเจ้านั้นทันที เกิดการปะทะฝีปากขึ้นนิดหน่อย คิ้วของพิรัลขมวดดูตึงเครียด เขานั่งเขย่าขาสลับกับใช้นิ้วเคาะโต๊ะไปมา ตอนเที่ยงวันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ หญิงกับโอมส่งสายตาชวนนิพัทธ์ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่เขาบอกหญิงว่ายังไม่หิวและต้องการทำงานต่อทั้งสองคนจึงเดินออกไป เหลือเพียงเขากับพิรัลในคอก

จากที่ฟังพิรัลพูดนั้นดูท่าจะจบลงได้ไม่ดีเท่าไหร่ ใบหน้าดูเคร่งครึมไม่จางหายแม้แต่ตอนวางโทรศัพท์ไปแล้ว

“แม่ง พูดไม่รู้เรื่อง ซ่อมไม่ได้ยังจะมาเก็บเงินอีก”

นิพัทธ์ฟังแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงแค่แตะเบาๆที่หลังมือของอีกฝ่ายแล้วก็ชักมือกลับมาที่เดิม ป้องกันไว้ไม่ให้คนอื่นเห็น เห็นเช่นนั้นพิรัลก็ถอนหายใจยาวก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือของเด็กหนุ่มมากอบกุมไว้เอง

“ผมเหนื่อยจังเลยว่ะกานต์” เขาพูดแล้วมองใบหน้าของเด็กหนุ่มราวกับเป็นที่พึ่งพา หากอยู่ด้วยกันตามลำพังนิพัทธ์คงจะกอดแนบแน่นให้กำลังใจ แต่เมื่ออยู่ที่ออฟฟิศพวกเขาต่างก็ต้องสงวนท่าทีจึงกลายเป็นความอัดอั้นสุมอยู่ในใจพอควร

นิพัทธ์ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบาๆที่มือของอีกฝ่าย “เย็นนี้ไปดูหนังกัน ผมเลี้ยง”

พิรัลยิ้มแต่ใบหน้ายังคงดูเหนื่อยล้าจนปิดไม่มิด เขาบีบมือของเด็กหนุ่มแรงๆหนึ่งทีก่อนจะปล่อยมือ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปทำงานที่ค้างไว้ ในคอกที่เคยอยู่กันสองคนกลับมีแขกหน้าใหม่เข้ามาเยือน พิรัลไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจอะไรใดๆเพราะชินกับการถูกทีมอื่นเข้ามาคุยงานด้วยบ่อยครั้ง แต่ผู้ชายที่เห็นตรงนี้กลับไม่คุ้นหน้าอีกทั้งจากบุคลิกท่าทางการแต่งตัวคงจะไม่ใช่พนักงานทั่วไปอย่างแน่นอน

“คุณคงจะเป็นคุณเจตน์… ใช่มั้ยครับ”

“ใช่ครับ” พิรัลตอบพลางยืนขึ้น

ชายคนนั้นยกยิ้มมุมปาก สายตาเบนมาทางด้านหลังที่ซึ่งนิพัทธ์กำลังยืนอยู่ “ว่าไงกานต์ ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้าง”

เจ้าของชื่อนั่งตัวแข็งทื่อแทบไม่ขยับไหว ใบหน้าที่ปกติขาวอยู่แล้วกลับดูซีดเผือดจนพิรัลสังเกตได้ เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติกับสถานการณ์ตรงหน้านี้แต่ยังไม่ผลีผลามพูดอะไรออกไป “ก็ดีครับ”

“อืม…” เขาตอบแล้วก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สายตาสอดส่ายสำรวจไปทั่วแต่ไม่ได้ใส่ใจนัก “อยู่แต่คอนโด กลับบ้านมั่งสิ แม่เขาคิดถึง”

“ครับ”

ชายหนุ่มผู้มาเยือนอยู่ในชุดสูทเรียบกริบ ทรงผมจัดแต่งมาอย่างดี ตัวหอมฟุ้งจากกลิ่นน้ำหอมสไตล์ผู้ชาย เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านิพัทธ์และค้อมตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะจ้องมอง ใบหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้มมุมปาก “อาก็คิดถึงหลานเหมือนกัน”

พิรัลได้ยินประโยคท้ายแม้ว่าจะเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา แต่เขารับรู้ได้ว่ามันเป็นการกระซิบกระซาบที่ตั้งใจให้ได้ยินกันทั้งหมด ชายในชุดสูทหันกลับมาส่งยิ้มให้พิรัล มันเป็นรอยยิ้มการค้าและพิรัลรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเลยสักนิด

“คุณเจตน์ ถ้าหลานผมทำงานไม่ดีตำหนิได้เลยนะครับ”

“ครับ” พิรัลรับคำส่งๆไปเช่นนั้นแต่ในสมองกำลังพรั่งพรูด้วยด้วยคำถามต่างๆมากมาย ส่วนของคำว่า ‘หลาน’ กำลังวนเวียนเด่นชัดมากที่สุด

“อ้าว คุณกรณ์ มาแอบส่องห้องหวานเหรอคะ”

“คุณหวาน ห้องรกแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ” เขาถามเสียงกลั้วหัวเราะไม่ได้ดูจริงจังอะไรมากนัก

“ค่ะ ถ้าจะมาดูก็บอกล่วงหน้าก่อนสิคะ หวานจะได้บอกให้น้องในทีมเอาผักชีโรยไว้” หัวหน้าของพิรัลกับนิพัทธ์หัวเราะกับชายหนุ่มในชุดสูทเรียบกริบ

“ผมไม่บอกหรอกครับ ห้องรกๆสิดี แสดงว่าน้องๆทำงานกันจริง” คนที่ชื่อกรณ์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี ท่าทางดูต่างไปจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง แต่ดวงตาของเขาที่จับจ้องมายังพิรัลและนิพัทธ์ยังคงดูไม่น่าไว้วางใจ “อ้อ คุณหวานครับ ขอบคุณที่รับหลานผมเข้ามาทำงานนะครับ มีอะไรตำหนิหลานผมได้เลยครับ ว่ากันไปตามเนื้องาน”

“น้องกานต์ทำงานดีมากค่ะคุณกรณ์ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ เอ้อ คุณกรณ์คะ นี่เจตน์ค่ะกำลังจะมาเป็นมือขวาของหวานเต็มตัวแล้ว เจตน์นี่คุณกรณ์เจ้านายคุณซูเชง”

“สวัสดีครับคุณกรณ์” พิรัลยกมือไหว้ ส่วนอีกฝ่ายก็รับไหว้ไปตามเรื่องตามราว ในใจของเขากำลังกู่ร้องเต็มไปด้วยคำถามล้านแปด
หากหวานบอกว่าเป็นเจ้านายคุณซูเชงนั่นหมายความว่าคนที่ชื่อกรณ์เป็นอีกหนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทที่เขาทำงานอยู่นี้ แม้จะยังไม่รู้ลึกตื้นหนาบางอะไรมากนัก แต่แผนผังองค์กรล่าสุดเขาจำได้ว่าซูเชงชาวอเมริกันเชื้อชาติสิงคโปร์เป็นผู้บริหารสูงสุดร่วมกับคนไทยที่เขาจำชื่อไม่ได้ แต่ที่จำซูเชงได้เพราะมีบทบาทในองค์กรเป็นอย่างมาก และหากหัวหน้าของเขาบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นเจ้านายซูเชงตำแหน่งก็ต้องสูงกว่า

“เจ้านายคุณซูเชงอะไรกันคุณหวาน เราเป็นพาร์ทเนอร์กันต่างหาก”

พาร์ทเนอร์ในวงการธุรกิจคือคำสวยหรูของการรวมกิจการของสองบริษัท แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์แต่ต้องมีฝ่ายหนึ่งได้ผลประโยชน์มากกว่าอยู่แล้วและคงจะเป็นทางบริษัทของคนที่ชื่อกรณ์อย่างแน่นอน

แผนผังองค์กรฉบับล่าสุดยังไม่ประกาศเลยด้วยซ้ำ เขาคิดว่างานทาวน์ฮอลของบริษัทในรอบหน้าจะต้องประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่เรื่องเหล่านั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับระดับหัวหน้าอย่างเขามากนัก และถึงแม้ในอนาคตจะได้ทำแหน่งสูงขึ้นแทนตำแหน่งตั้มก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีส่วนแสดงความคิดเห็นกับแนวทางของบริษัทเลย หน้าที่ของเขายังคงได้รับคำสั่งลงมาจากทางหวานและบริหารงานต่อกับน้องในทีม สิ่งที่เขาสนใจและเป็นเพียงความสนใจเดียวในเวลานี้คือความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ชื่อกรณ์กับนิพัทธ์

ตลอดบ่ายวันนั้นนิพัทธ์เงียบกริบและหมกมุ่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานจนพิรัลรู้สึกได้ว่าผิดปกติ เขาอยากถามหลายสิ่งหลายอย่างแต่จากที่เห็นเขาคิดว่านิพัทธ์ยังคงไม่พร้อมพูดถึง ในตอนเย็นหลังเลิกงานพิรัลซื้อขนมจีบจากร้านสะดวกซื้อมาให้เด็กหนุ่มเพราะเจ้าตัวยังไม่ได้กินมื้อกลางวัน ถึงจะสงสัยอะไรมากมายแต่เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คงไม่สู้ดีและนึกเป็นห่วงนิพัทธ์จากใจจริง นิพัทธ์หันมาขอบคุณก่อนจะหยิบขนมจีบไปกินอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายมอบรอยยิ้มเป็นกำลังใจให้แม้ว่าจะยังไม่รู้อะไรเลยก็ตามที

“กานต์จะมาค้างที่บ้านผมมั้ย”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยขณะที่ปากยังเคี้ยวขนมจีบไม่หยุด

“ผมบอกตามตรงผมเป็นห่วงกานต์”

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ”

เจ็บปวดในใจอยู่ไม่น้อยกับประโยคที่ได้ยิน เขารู้ว่านิพัทธ์ดูแลตัวเองได้แต่ความหมายจริงๆก็คือเขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนนิพัทธ์และไม่อยากให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวก็เท่านั้น

“งั้นผมไปค้างห้องกานต์นะ”

“อยู่ทำโอทีกันเหรอครับ”

เสียงจากผู้มาเยือนดังขึ้นอยู่ที่ประตูห้อง พิรัลคุ้นเสียงของคนคนนี้แล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“คุณกรณ์ยังไม่กลับเหรอครับ” พิรัลเอ่ยทักด้วยเพราะเป็นผู้น้อยกว่า อย่างไรก็ตามที่นี่ยังคงเป็นสังคมทำงาน

“ผมคุยงานอยู่กับคุณอัลฟี่เพิ่งเสร็จครับ กำลังจะกลับเลยแวะมารับกานต์ด้วย” ท้ายประโยคเขามองข้ามไหล่พิรัลไปยังเด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังก่อนจะหันกลับมามองพิรัล “งานเยอะมากมั้ยครับ ไว้ทำพรุ่งนี้ได้มั้ย”

พิรัลรู้ว่าความหมายแฝงของประโยคนั้นคืออะไร คนที่ชื่อกรณ์กำลังบอกกลายๆว่าจะพานิพัทธ์กลับไปด้วยไม่ว่างานจะเยอะหรือไม่เยอะก็ตาม “เยอะครับ อีกสองวันจะต้องติดตั้งเครื่องให้ร้าน ผมเลยให้กานต์ลองทยอยลงโปรแกรมก่อนเพราะน้องยังช้าเรื่องนี้อยู่”

เมื่อเอาเรื่องงานมาอ้างกรณ์ก็ไม่อาจโต้แย้งได้ เขาพยักหน้ารับใบหน้ามีรอยยิ้มบางเบาแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม “ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนนะ” กรณ์กล่าวกับพิรัลก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลัง “กานต์…” เขาเอ่ยเรียกทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตา “แล้วอาจะโทรหา”

นิพัทธ์จ้องมองแต่ไม่ได้ตอบรับจนกระทั่งคนที่ชื่อกรณ์เดินออกไปเด็กหนุ่มจึงได้สติขยับตัว สิ่งที่เหนือความคาดหมายตามมาหลังจากนั้นเมื่อนิพัทธ์เดินเข้ามากอดพิรัลไว้อย่างแนบแน่น

“พี่เจตน์ ผมรักพี่เจตน์นะครับ”

นี่อาจจะเป็นคำบอกรักที่ฟังดูเศร้าโศกที่สุดเท่าที่พิรัลเคยพบเห็น



************************************




 :a5:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 09-10-2018 17:05:41
คุณกรณ์อะไรนี่ดูไม่น่าไว้ใจเลย
ตัวสร้างปัญหาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่หก - สงสัย 08-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 09-10-2018 21:51:27
น้องกานต์ดูกลัวคุณกรณ์นะ​ ดูไม่อยากคุยด้วย
หรือกรณ์เคยทำอะไรน้องไว้​ ฮืออ​ คิดแล้วเครียด

พี่เจตตตตต​ต​ พี่ต้องดูแลตัวเองกว่านี้​ กินยาด้วย
ไม่อยากตายแต่ก็ไม่กินยา​ ไม่อยากอยู่กับน้องหรอ
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 21:52:37
ตอนที่แปด




นิพัทธ์รับผิดชอบงานได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องนี้พิรัลต้องขอชื่นชมเพราะถึงแม้จะมีเรื่องส่วนตัวที่ทำให้ไม่สบายแต่การออนไซต์ติดตั้งเครื่องให้ลูกค้ายังคงเป็นไปตามแผนอย่างสมบูรณ์แบบ

คืนวันศุกร์นั้นหลังจากออนไซต์เสร็จรถตู้ของบริษัททำหน้าที่มาส่งเด็กหนุ่มยังที่พัก พิรัลติดงานอยู่อีกที่หนึ่งพอเสร็จสิ้นงานก็ตรงดิ่งมาที่คอนโดของนิพัทธ์ทันที ตัวเขาเองก็ออนไซต์ลูกค้ามาตั้งแต่เช้าเพราะเป็นโปรเจคใหม่ที่เพิ่งดีลงานกันได้ นอกจากพิรัลจำเป็นจะต้องคอยควบคุมงานเขายังต้องปะทะฝีปากกับพวกเวนเดอเจ้าอื่นที่เป็นพวกก่อสร้าง ไหนจะพวกช่างไฟที่ทำงานไว้ไม่เรียบร้อยทำให้เขาต้องทำงานลำบาก รับมือกับลูกค้าเจ้ากี้เจ้าการอีก

วันนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่เหนื่อยหนักสำหรับพิรัลเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องงานมันไม่หนักหนาสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับอาการแน่นหน้าอกที่เป็นอยู่ตอนนี้ พิรัลสังเกตว่าตัวเองแน่นหน้าอกบ่อยขึ้นและหายช้าลงกว่าเดิม เขาสรุปเอาเองว่าที่เป็นแบบนี้เพราะโหมทำงานหนักแต่เมื่อได้พักผ่อนก็จะดีขึ้น อย่างน้อยแค่ได้เห็นหน้าของนิพัทธ์คงจะพอทำให้ทุเลาลงได้บ้าง เขาหัวเราะกับความคิดหลังเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน ความจริงที่เผชิญอยู่นี้ต่างหากคือเรื่องจริง เขาแน่นหน้าอกเหมือนมีหินมาทับ หายใจเหมือนไม่เต็มปอด ร้อน และเหงื่อแตก เขาตระหนักได้ว่าใบหน้าของนิพัทธ์ในเวลานี้ก็ไม่อาจช่วยให้หายได้

ดวงตาของเขาปิดลง เอนหลังพิงเบาะหนังสีน้ำตาลอ่อน มือสั่นเทาแต่ไม่แน่ใจนักว่าเพราะผลข้างเคียงจากอาการที่กำเริบหรือเพราะความกลัว ในสมองค่อนข้างมืดทึบคิดอะไรไม่ออก แต่เขารู้ตัวดีว่าในเวลานี้กำลังนึกถึงครอบครัวของตัวเองและนึกถึงนิพัทธ์

พิรัลยังไม่อยากตายแต่กลับไม่กินยารักษาตัวเอง มันเป็นความคิดขัดแย้งที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจ หน้าอกของเขาสะท้อนขึ้นลง ริมฝีปากเผยออ้าเพื่อหายใจ อาการแย่ลงจนคิดว่าอาจจะต้องโทรหานิพัทธ์ที่อยู่ชั้นบนของคอนโดแห่งนี้ แต่เพียงแค่จะเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือเขาแทบจะไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ

ในเวลาไม่กี่นาทีนั้นเขารู้สึกชั่วกัปชั่วกัลป์ สิบกว่านาทีบนโลกแต่เขารู้สึกเหมือนเป็นสิบกว่านาทีบนดาวพุธ สิบกว่านาทีที่โดดเดี่ยวเหมือนล่องลอยอยู่บนเวิ้งสีดำ มันสุดลูกหูลูกตา ดำมืดรัตติกาล อาการแน่นหน้าอกยังไม่หายใจแต่กลับชินชาประหนึ่งเป็นอีกความรู้สึกที่ผูกติดกันมานาน

ที่ตรงนั้นเรืองแสงเป็นจุดเล็กจิ๋ว เขาเพ่งมองมัน พยายามแหวกว่ายตัวเองเข้าไปหาแต่ยาวนานเหลือเกิน เขาอาจจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ อาจอยู่ที่ไหนสักแห่งซึ่งกาลเวลายืดยาว แสงสว่างจุดเล็กจิ๋วนั่นจางหายไปแล้วก่อนที่พิรัลจะหายใจเฮือกใหญ่และดวงตาเบิกกว้าง เขายังอยู่ในรถของตัวเองใต้คอนโดของนิพัทธ์ โทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่ข้างกายสั่นเทา หน้าจอสว่างขึ้นปรากฏชื่อของคนที่โทรมา

“แม่”

“เจตน์ คิดถึงจังเลยลูก พรุ่งนี้กลับมากินข้าวที่บ้านบ้างสิ”

“ได้ครับ”

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่ จะนอนแล้วหรือยัง”

พิรัลเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหัวเราะในลำคอ “แม่ นี่สี่ทุ่มกว่าเอง เจตน์เพิ่งเลิกงาน”

“งานเยอะเหรอลูก แม่เป็นห่วงนะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก นี่เจตน์ถึงห้องกานต์แล้ว”

คนในสายเงียบไปครู่หนึ่ง พิรัลได้ยินเสียงลมหายใจผ่านทางเครื่องมือสื่อสาร หัวใจของเขาสงบสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยินเสียงลมหายใจของแม่ “พาเพื่อนมาด้วยสิลูก วันพรุ่งนี้น่ะ”

เป็นพิรัลที่เงียบลง สมองครุ่นคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ “แม่”

“ว่าไงลูก”

“เจตน์อยากกินไข่น้ำ แม่ทำให้เจตน์หน่อยนะ”

แม่ส่งเสียงหัวเราะ เขาได้ยินเสียงพ่อเล็ดลอดผ่านเข้ามาแต่ฟังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ “เดี๋ยวแม่ทำไข่น้ำให้ พ่อเค้าฝากบอกว่าเพิ่งซื้อเนื้อวัวมาจากซุปเปอร์มาเก็ตเค้าจะทำเนื้อผัดน้ำมันหอยให้นะ”

พิรัลยิ้มปริ่มอาหารโปรดของเขาทั้งนั้น “เจตน์คงไปถึงสายหน่อย สักสิบโมงคงถึงบ้าน”

“จะมากี่โมงก็มา กว่ากับข้าวจะเสร็จก็สายๆนั่นแหละ พาเพื่อนมาด้วยนะลูก”

ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่แม่พูดชวนถึง ‘เพื่อน’ อีก เขาตอบรับแต่ก่อนจะวางสายแม่ก็ยังไม่วายทิ้งท้ายกำชับให้พา ‘เพื่อน’ มาด้วยอีกรอบ พิรัลหัวเราะอารมณ์ดีลืมเลือนอาการจะเป็นจะตายก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น

อาทิตย์นี้เขาเองก็ขลุกอยู่แต่กับนิพัทธ์ แวะไปที่บ้านในต้นอาทิตย์เพื่อเอาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนแล้วก็อาศัยนอนอยู่ที่คอนโดของนิพัทธ์จนถึงวันศุกร์นี้ เขาคิดถึงบ้านเหมือนกัน คิดถึงอาหารรสมือของแม่กับพ่อ คิดถึงกีต้าร์ เขาอยากเล่นมันเพื่อนิพัทธ์อีก

อาหารประมาณหกอย่างจัดวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ผู้ร่วมรับประทานอาหารมื้อนี้นั่งรายล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าวนส่งโถข้าวเวียนรอบโต๊ะพร้อมทั้งรอยยิ้ม อาหารมื้อเช้าแบบสายของครอบครัวพิรัลดูครื้นเครงเพราะสมาชิกครบหน้า ทั้งพ่อแม่ จุ๊บแจง ใหญ่ น้องจ๊ะจ๋า และตัวเขากับนิพัทธ์ หลายชีวิตพบปะสุขสรรค์เพื่อร่วมมื้ออาหารกัน

นิพัทธ์ถูกนั่งขนาบด้วยพี่สาวและแม่ของพิรัล พ่อของพิรัลนั่งอยู่กับจ๊ะจ๋าที่พยายามกินผัดผัก ส่วนเขาเองนั่งอยู่กับเพื่อนสนิทที่เป็นสามีของพี่สาวและชวนพูดคุยกันถึงเรื่องที่ทำงาน

หลังจากข้าวสวยถูกเวียนตักจนครบพวกเขาเริ่มกินอาหารกันอย่างจริงจัง พิรัลไม่ได้สนใจนิพัทธ์มากนักเพราะคุยสนุกปากอยู่กับเพื่อนสนิท จวบจนกระทั่งรู้สึกแรงสะกิดที่ปลายเท้าเขาถึงได้ค่อยๆเหลือบมองมายังฝั่งตรงข้าม นิพัทธ์ลอบส่งสายตาขอความช่วยเหลือ สมองของเขาไวพอที่จะรับรู้ถึงสายตานั้น อีกทั้งยังเห็นว่าจุ๊บแจงพล่ามถามอะไรมากมายก็พอจะเดาได้ว่านิพัทธ์กำลังถูกแม่กับพี่สาวของเขารุมถาม

“กานต์ ช่วยผมยกน้ำหน่อย” พิรัลเอ่ยปากและลุกขึ้นนำก่อน

เด็กหนุ่มกล่าวขอตัวแล้วรีบตามพิรัลเข้าไป เขาเห็นพิรัลยืนรออยู่ในห้องครัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนล้อเลียน

“มีอะไรรึเปล่า”

“พี่เจตน์ ผมถูกคุณน้ากับพี่แจงรุมถามเรื่องของเรา ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี”

พิรัลยิ้มไม่มีท่าทีเดือดร้อน ผิดจากอีกฝ่าย “แล้วกานต์อยากตอบว่ายังไงล่ะ”

“ผมไม่รู้ ที่บ้านของพี่เจตน์รู้เรื่องพี่เจตน์หรือเปล่า”

“ไม่รู้มั้ง”

“โอ้ย งั้นผมก็ไม่รู้แล้วอะ”

เสียงพูดคุยของพวกเขาเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ใบหน้าของนิพัทธ์เต็มไปด้วยความกังวล ส่วนพิรัลยังคงยิ้มอารมณ์ดีเขาโอบรั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาแต่เพียงแค่นั้นนิพัทธ์ก็ขยับห่างพร้อมด้วยสีหน้าที่ดูหวาดระแวง มองแล้วก็ตลกดี

“พี่เจตน์…” เด็กหนุ่มปรามกดเสียงต่ำลงนิดหน่อย

“แม่กับแจงถามอะไร”

“ถามทุกเรื่องเลย ถามเรื่องที่พี่เจตน์มาค้างห้องผมด้วย ผมตอบไม่ถูกเลย”

พิรัลหัวเราะลงคอพลางรั้งอีกฝ่ายเข้ามาและไม่มีท่าทีจะปล่อยเสียด้วย เขาจับมือนิพัทธ์ขึ้นมาจูบ มองสบตา ความมั่นคงที่ฉาบฉายออกมาจากพิรัลทำให้นิพัทธ์รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างอธิบายไม่ถูก “ผมไม่รู้ว่ากานต์คิดยังไงกับครอบครัวของผม แต่ผมรู้ว่าครอบครัวของผมเอ็นดูกานต์นะ”

เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้พิรัลจับมือไว้เช่นนั้นโดยไม่หลีกหนี เขาเองก็ต้องการพึ่งพิงจากผู้ชายคนนี้

“เรื่องที่ผมเป็นแบบนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่รู้หรือเปล่า แต่แจงกับใหญ่รู้” เขาเว้นวรรคไปเพื่อสบมองดวงตาสีเข้มเช่นเดียวกันซึ่งฉายแววครุ่นคิด “ส่วนเรื่องที่เราเป็นอะไรกันนั้นกานต์อยากตอบแบบไหนก็ได้ ผมรับได้หมด” หัวใจของนิพัทธ์สั่นไหวทั้งที่มันไม่ใช่คำพูดสวยหรูราวกับหลุดมาจากวรรณกรรม มันเป็นประโยคเรียบง่ายที่ทำให้อารมณ์ตื่นเต้นสงบลง ผิวแก้มของเขารู้สึกถึงไออุ่นจากฝ่ามือของพิรัล นิ้วโป้งไล้ลูบก่อนจะออกแรงคลึงนิดหน่อยให้รู้สึกดี “อึดอัดหรือเปล่าครับ”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าบางเบาแทนคำพูด ไม่ได้อึดอัดอะไรเขาแค่ทำตัวไม่ถูก ตอบไม่ถูก เป็นกังวลไปหมดไม่อยากให้พิรัลมีปัญหากับครอบครัวที่คบหากับเพศเดียวกัน เขาไม่ใช่คนดีอะไรถึงขนาดจะรักใคร่สนใจความรู้สึกของครอบครัวพิรัล ที่เขาสนใจคือความรู้สึกของคนกลางอย่างพิรัลมากกว่า ไม่อยากให้ครอบครัวสุขสันต์ของพิรัลต้องพบเจอปัญหา แต่นิพัทธ์เองก็ไม่สบายใจนักที่ต้องตอบหลบเลี่ยงไปมา เมื่อพิรัลไม่ได้ท้วงห้ามเขาเองก็กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจริงอยู่นี้เหมือนกัน

พวกเขากลับเข้ามายังโต๊ะอาหารอีกครั้งพร้อมทั้งน้ำเปล่าเย็นเฉียบชวนดับกระหาย นิพัทธ์ตั้งมั่นว่าจะตอบไปตามความจริงอย่างเหมาะสมหากแม่กับแจงถามอีก แต่เพียงแค่เริ่มต้นกินข้าวกันไปได้พักหนึ่งพวกเขาทุกคนต่างต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ๆพ่อของพิรัลเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา

“เจตน์ ลองให้แฟนกินเนื้อผัดน้ำมันหอยหน่อยสิ พ่อว่ามันหวานไป ผัดตอนเช้าลิ้นมันเพี้ยน”

เนื้อวัวผัดน้ำมันหอยคืออาหารจานโปรดของพิรัลและแจง ฝีมือของพ่อผัดอาหารจานนี้ได้อร่อยจริงๆชนิดที่ไม่ได้เข้าข้างเลย และพ่อก็ออกจะตัวลอยนิดๆเวลาได้ยินคนชื่นชมถึงฝีมือของตัวเอง พิรัลได้สติตักเนื้อผัดน้ำมันหอยให้นิพัทธ์ลองชิมดู พ่อของเขาตั้งใจรอฟังความคิดเห็น แจงกับใหญ่ยิ้มกริ่ม แม่เองก็ยิ้มแต่เก็บอาการได้มากกว่า หลานสาวตัวน้อยไม่ได้สนใจพวกเขาเพราะมัวแต่สนใจโทรทัศน์ ส่วนนิพัทธ์หน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือเพราะอะไรเหมือนกัน เด็กหนุ่มชิมเนื้อผัดน้ำมันหอยจานเด็ดของพ่อ เคี้ยวอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เป็นไง” แจงเอ่ยถาม

นิพัทธ์ยิ้มหลังจากกลืนอาหารลงไป “อร่อยครับ แต่หวานไปหน่อย ผมติดกินเค็ม”

“เออ พ่อก็ว่าหวานไป ไว้เดี๋ยวแก้มือใหม่นะ เหยาะน้ำปลาไปก่อนแล้วกัน”

จากนั้นพวกเขาก็กินข้าวกันต่อและพูดคุยด้วยเรื่องทั่วไป แต่สำหรับนิพัทธ์ยังคงถูกแจงซักไซ้ถามจนพิรัลต้องคอยปราม “สรุปแล้วเป็นแฟนกันใช่ม้ะ”

“ไอ้แจงเลิกถามกานต์ได้แล้ว” พิรัลใช้มือชุบน้ำที่ละลายจากแก้วน้ำสะบัดใส่หน้าพี่สาวเป็นการห้ามปราม

แต่ดูเหมือนแจงจะไม่สนใจอะไรนอกจากรอคอยฟังคำตอบจากนิพัทธ์ “ว่าไง” เธอรบเร้าถามอีก

“ก็… ครับ” นิพัทธ์ยินยอม แฟนก็แฟน ปฏิเสธไม่ได้เหมือกัน ปฏิกิริยาจากครอบครัวของพิรัลไม่ถือว่าแย่ออกไปในทิศทางที่ดีด้วยซ้ำเขาจึงพลอยคลายกังวลไปบ้าง ทุกคนดูล้อเลียนกับคู่รักใหม่ ไม่มีใครทำเหมือนนิพัทธ์เป็นตัวประหลาด มันทำให้นิพัทธ์รู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัวของพิรัล ทั้งอบอุ่นและเข้มแข็ง

“โถ่เอ้ย ถามตั้งแต่ตอนแรกก็ไม่ยอมบอก”

“ไอ้แจงพอแล้ว”

“แม่ก็ลองเลียบๆเคียงๆถามแต่ไม่ยอมหลุดปากเลยนะเรา” แม่ของพิรัลหัวเราะยิ้มแย้มสดใส “เอ้า กินไข่น้ำของแม่บ้างสิ จะเหยาะซีอิ๊วขาวเพิ่มก็ได้นะ แม่ทำไม่เค็มมาก” เธอมองคนรักของลูกชายที่กำลังตักไข่น้ำใส่ปาก ดวงตาของเธอมีความเอ็นดู แค่เห็นลูกชายมีความสุขเธอก็พร้อมสุขร่วมไปด้วย คนเป็นแม่อย่างเธอไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว



มื้ออาหารกับครอบครัวของพิรัลแบบพร้อมหน้าพร้อมตาจบลงไป ทางพ่อกับแม่ออกไปข้างนอกกันสองคน ส่วนที่เหลือจึงหมกตัวอยู่ในห้องของพิรัล แจงดูการ์ตูนกับลูกสาวอยู่บนเตียง ส่วนหนุ่มๆทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปที่ชานระเบียงห้อง ส่วนมากเป็นใหญ่ที่เปิดประเด็นเรื่องต่างๆ พิรัลดูท่าจะชอบฟังเงียบๆเสียมากกว่า แต่สำหรับนิพัทธ์ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับรถเก่าเก็บจึงย้ายตัวเองเข้ามาในห้อง

แจงกวักมือเรียกให้นั่งที่ด้านข้างด้วยกันแต่ไม่ได้ชวนคุยอะไรมากเป็นพิเศษนอกจากถามเรื่องอาหารที่พ่อกับแม่ทำ ในตอนแรกนิพัทธ์รู้สึกเกร็งอยู่เหมือนกันเพราะกลัวจะถูกถามเรื่องต่างๆแต่แจงไม่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น เธอแค่คุยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับจ๊ะจ๋าให้ฟัง เด็กน้อยที่สนใจการ์ตูนพอนานเข้าก็เริ่มเบื่อเธอหยิบแทปเลตขึ้นมาเปิดและชักชวนนิพัทธ์เล่นด้วย

“พี่กานต์เคยเล่นเกมนี้มั้ยคะ”

นิพัทธ์ส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้เขาจะติดเล่นเกมมากขนาดไหนแต่เกมง่อยๆอย่างแคนดี้ครัชแทบไม่เคยได้แตะเลย สำหรับเขาต้องเป็นเกมประเภทวางแผนตีป้อมอะไรเทือกนั้นมากกว่า

จ๊ะจ๋าไม่ได้ตอบอะไรแต่เธอกลับเอนพิงนั่งตักของเขาราวกับสนิทชิดเชื้อกันมานาน นิพัทธ์อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสนใจแคนดี้ครัชที่จ๊ะจ๋าเริ่มต้นเล่น “นี่แทปเลตของจ๊ะจ๋าเหรอคะ” นิพัทธ์ถาม นึกอยู่ในใจว่าถ้าเป็นลูกของตัวเองจะไม่มีทางปล่อยให้เล่นแบบนี้เลย ถ้าอยากจะติดเล่นเกมก็ขอให้เป็นตอนโตที่รู้เรื่องมากกว่านี้

“ใช่ค่ะ แต่จ๊ะจ๋าเล่นได้แค่วันเสาร์กับวันอาทิตย์ค่ะ”

“อ้อ” เด็กหนุ่มรับคำและเงียบลงไป เขารู้สึกเอ็นดูจ๊ะจ๋าแต่เพราะตัวเองไม่ได้คลุกคลีกับเด็กมากนักจึงไม่รู้ว่าควรชวนเด็กคุยด้วยเรื่องอะไรดี “จ๊ะจ๋าชอบเล่นดนตรีมั้ยคะ”

“ไม่ชอบค่ะ” เธอตอบสั้นๆเพราะให้ความสนใจกับการเล่นเกมมากกว่า นิพัทธ์ไปต่อไม่ถูกจะหันไปคุยกับแจงต่อก็ไมได้อีกเพราะเธอออกไปร่วมสนทนากับน้องชายอยู่ที่ชานระเบียง เงียบกันไปพักหนึ่งแทปเลตที่จ๊ะจ๋าเล่นก็ดับลง เด็กสาวโวยวายนิดหน่อยพอเป็นพิธี แต่เพราะเธอไม่ได้เอาสายชาร์จมาจึงจำต้องหยุดเล่นไปโดยปริยาย “พี่กานต์มีสายชาร์จมั้ยคะ”

“ไม่มีค่ะ”

“โถ่ แย่จัง ไม่มีใครให้จ๋ายืมสายชาร์จเลย”

“ทำไมล่ะคะ”

“คุณแม่ห้ามทุกคนไม่ให้จ๋ายืมสายชาร์จเพราะจ๋าลืมเตรียมมาเองค่ะ”

นิพัทธ์รับคำ มองเห็นหน้าสลดเศร้าของเด็กน้อยที่แสดงอย่างตรงไปตรงมาก็นึกตลกดีอยู่เหมือนกัน เขาชอบจ๊ะจ๋าตรงที่ไม่เป็นเด็กง้องแง้งคงเพราะถูกสั่งสอนมาแบบเข้มงวดให้รับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง ซึ่งเขาเห็นชอบในส่วนนี้มาก ครอบครัวของพิรัลไม่มีใครตามใจจ๊ะจ๋าให้เสียเด็กเลย แต่นิพัทธ์ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นเมื่อแทปเลตเล่นไม่ได้จึงคิดลองชวนเด็กสาวทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน “เล่นกีต้าร์เป็นมั้ยคะ”

“เป็นค่ะ”

“อ้าว นึกว่าไม่ชอบดนตรีซะอีก”

“คุณแม่เคยให้จ๋าเรียนค่ะ จ๋าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่จ๋าเล่นได้นะคะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามปกติ ก่อนจะลุกไปหยิบกีต้าร์ของพิรัลที่พิงอยู่มุมห้องมา กีต้าร์สำหรับผู้ใหญ่ดูเทอะทะไปหน่อยแต่เมื่อจ๊ะจ๋าวางนิ้วตามคอร์ดมันกลับดูคล่องแคล่วในทันที เพลงที่เธอเล่นนั้นเป็นเพลงจังหวะง่ายๆอย่าง ABC song นิพัทธ์ยิ้มเอ็นดูและคิดว่าจ๊ะจ่าน่ารักดี “พี่กานต์เล่นให้จ๋าฟังหน่อยสิ”

นิพัทธ์รับกีต้าร์มาแต่นึกไม่ออกว่าจะเล่นเพลงอะไรให้เด็กฟังดี “จ๋าอยากฟังเพลงอะไรคะ”

“อืม…” เด็กน้อยก็นึกไม่ออกเช่นกัน เธอเอียงศีรษะไปมาสีหน้าครุ่นคิด

“ทำอะไรกันอยู่ เล่นกีต้าร์เหรอ”

ระหว่างที่กำลังขบคิดว่าจะเล่นเพลงอะไรให้จ๊ะจ๋าฟังอยู่นั้น พิรัลก็เดินเข้ามานั่งข้างหลานสาว

“จ๋าจะให้พี่กานต์เล่นกีต้าร์ให้ฟัง แต่นึกไม่ออกว่าจะให้เล่นเพลงอะไรดีค่ะ”

“อ้อ งั้นเอาเพลงนี้แล้วกัน” ชายหนุ่มพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบกีต้าร์จากนิพัทธ์มา เขารำลึกถึงคอร์ดเพลงก่อนจะเริ่มวางนิ้วและบรรเลงเพลงที่คิดไว้ หลานสาวตัวน้อยตั้งอกตั้งใจรอฟังแต่พอคอร์ดแรกถูกเล่นเท่านั้นแหละเธอกลับทำหน้าเบื่อหน่าย นิพัทธ์หลุดหัวเราะลั่น

“Twinkle, twinkle, little star
How I wonder what you are…”

“น้าเจตน์ พอแล้ว จ๋าไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ” เธอโวยวายแต่มีท่าทีเขินอายประกอบไปด้วย

“อ้าว ทำไมล่ะคะ เมื่อก่อนก็ชอบเพลงนี้ไม่ใช่เหรอคะ” พิรัลแสร้งทำหน้างุนงงแต่มือยังคงดีดกีต้าร์ไปตามคอร์ดเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งหลานสาว

“จ๋าอยู่ปอสามแล้วนะคะน้าเจตน์ จ๋าไม่ชอบฟังเพลงเด็กอนุบาลซะหน่อย” ว่าแล้วก็ทำหน้าง้ำหน้างอ

“แล้วจ๋าจะให้น้าเจตน์เล่นเพลงอะไรคะ” นิพัทธ์ที่นั่งขำอยู่เอ่ยถามเด็กน้อย

“ไม่ฟังแล้วค่ะ” เธอลุกขึ้นเดินไปหาพ่อกับแม่ของตัวเองแทน

“น้าเจตน์แกล้งอะไรจ๋าครับ บอกพ่อซิ” ใหญ่ที่ให้ลูกสาวขี่คอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงหัวเราะ

“จ๋าไม่อยากฟังเพลงเด็กอนุบาล แต่น้าเจตน์แกล้งจ๋าค่ะ”

“แกล้งอะไรคะ น้องจ๋าชอบเพลงนี้นี่น้าเจตน์จำได้” ชายหนุ่มลุกขึ้นไปยืนดีดกีต้าร์ข้างๆหลานสาวด้วยเพลงเดิม คราวนี้เธอรีบร้องเรียกให้แม่ช่วย แต่เรื่องกลับตาลปัตรเมื่อคนเป็นแม่หยิบฉวยกีต้าร์มาจากมือพิรัลและเป็นคนเล่นเพลงนั้นเสียเพลง

“คุณแม่จ๋าโตแล้วนะ จ๋าไม่ใช่เด็กอนุบาล” จ๊ะจ๋าโวยวายอีกครั้ง คราวนี้คนเป็นแม่จึงยอมวางมือเพราะกลัวว่าลูกสาวจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ

หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 21:54:53
จากนั้นครอบครัวสุขสันต์ก็ขอตัวกลับบ้านของตัวเองบ้างเพราะจ๊ะจ๋ามีการบ้านที่ยังทำไม่เสร็จ นิพัทธ์เดินเข้าไปกอดเด็กน้อยเป็นการร่ำลา ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะรู้สึกเอ็นดูจ๊ะจ๋าทั้งที่ตัวเองไม่ชอบเด็กเลยสักนิด พวกเขาสองคนไม่ได้ลงไปส่งจ๊ะจ๋าแต่ยืนโบกไม้โบกมือจากชั้นสองของบ้านขณะที่พ่อแม่ลูกขับรถออกไป พลันหลังจากพ้นระยะสายตาพิรัลจึงเอื้อมไปหยิบกล่องบุหรี่ที่วางอยู่ด้านข้างนิพัทธ์ขึ้นมา

“โอย จะลงแดงแล้ว” พิรัลบ่นพลางจุดไฟแช็คแล้วอัดควันเข้าทันที

“พี่เจตน์ติดบุหรี่มากเลยนะ”

“ก็ประมาณนั้น หลานอยู่สูบไม่ได้”

นิพัทธ์ไม่ได้ตอบรับอะไร เขามองพิรัลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับตัวเข้าไปกอดด้วยนึกอยากรับไออุ่นจากคนรัก

“กับข้าวอร่อยมั้ย”

เด็กหนุ่มตอบรับในลำคอแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อจูบสันกรามของอีกฝ่าย จูบไปตอบไป “อร่อยมาก ผมไม่ได้จะพูดเอาใจนะ น้ำพริกเห็ดก็อร่อย” เขาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากรสบุหรี่ ทั้งๆที่เขาเองก็สูบบุหรี่แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นรสชาติจากปากของพิรัลกลับรู้สึกวาบหวิวในท้องแปลกๆได้ “น้องจ๋าเก่งนะดีดกีต้าร์ได้ด้วย”

“ไอ้แจงบังคับลูกเรียน ตัวมันชอบเองแล้วเอาไปยัดเยียดลูก ดีนะเรียนแค่คอสเดียวก็เลิก จ๋ามันไม่ชอบ”

นิพัทธ์นิ่งเงียบไป เขารู้สึกหลงใหลการมองพิรัลจากมุมนี้อย่างบอกไม่ถูก

“แล้วกานต์รำคาญจ๋ารึป่าว บอกผมได้นะผมรู้ว่ากานต์ไม่ชอบเด็ก”

ฝ่ายคนอายุน้อยกว่าหัวเราะ ปฏิเสธไม่ออกเหมือนกันในเรื่องนั้น

นิพัทธ์นึกถึงวันนั้น พวกเขาชอบไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เมื่อขึ้นชื่อว่าสวนสาธารณะไม่ว่าใครก็ย่อมเข้ามาได้ และคงหนีไม่พ้นกลุ่มเด็กนรกที่เข้ามาเล่นเครื่องเล่น อย่างพวกชิงช้า บ้านที่มีบันได บ้านต้นไม้ เล่นทราย อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ในวันนั้นนิพัทธ์นั่งเล่นอยู่กับพิรัลริมทะเลสาบ กำลังคุยโม้เรื่องสมัยมัธยมที่เคยไปเรียนอยู่ที่เยอรมันสามปี แต่เจ้าเด็กนรกประมาณสามคนซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นมาเฟียเด็กเล่นกรีดร้องเสียงดังจนน่ารำคาญด้วยการเอาหินปาลงในทะเลสาบ หินที่ปาลงไปทำให้วงกระจายของน้ำกระเซ็นอยู่ใกล้ผู้ใหญ่สองคน พิรัลกำลังมองหาพ่อแม่ของเด็กเพื่อบอกกล่าวให้ช่วยตักเตือบุตรหลาน ขณะที่นิพัทธ์คว้าหินแล้วปาลงทะเลสาบใกล้บริเวณที่เด็กพวกนั้นยืนอยู่ น้ำกระจายโดนเด็กสามคนยังผลให้เด็กเหล่านั้นหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง พิรัลนึกว่านิพัทธ์คงจะไม่ทำอะไรอีกแต่ผิดคาดนิพัทธ์เอ่ยไล่เด็กสามคนนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าจริงจังและกดดัน

“ไปเล่นไกลๆ”

ประโยคราบเรียบนั่นทำให้เด็กคนหนึ่งเบะปากและรีบเขย่าแขนเพื่อน แต่พวกนั้นมันเป็นเด็กนรกจึงยังคงดื้อดึงยืนอยู่ตรงนั้น นิพัทธ์วางหน้านิ่งและเริ่มกดดันอีก

“ยังไม่ไปอีก ถ้าไม่ไปจะจับโยนให้ตัวเงินตัวทองกินแล้วนะ” นิพัทธ์ไม่พูดเฉย เขาลุกขึ้นทำท่าจะไปจับเด็กโยนลงทะเลสาบอีกต่างหาก เด็กสามคนกรี๊ดแล้ววิ่งหนี ส่วนพิรัลหัวเราะหน้าดำหน้าแดงชอบอกชอบใจที่เห็นด็กวิ่งหนีกระเจิง เขาเองถ้าไม่ใช่หลานไม่ใช่ญาติก็ขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเด็กจะดีกว่า

เหตุการณ์วันนั้นทำให้พิรัลรู้ว่านิพัทธ์ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย เขายอมรับนิพัทธ์ในส่วนนั้นและไม่อยากให้หลานของตัวเองทำให้นิพัทธ์รำคาญใจ จึงเป็นการดีกว่าหากพูดถามกันอย่างตรงไปตรงมา

“ผมไม่ได้รำคาญน้องจ๋า จริงๆผมก็ไม่ได้เกลียดเด็กอะไรขนาดนั้นแต่ถ้าแหกปากกรี๊ดมากก็ขอไม่ทนแล้วกัน”

พิรัลยิ้มก่อนจะก้มลงจูบอีกฝ่ายแทรกลิ้นเข้าไปแหย่เย้า รสชาติของบุหรี่จึงติดเข้าไปในโพรงปากของนิพัทธ์โดยปริยาย “มีอะไรก็บอกผมตรงๆได้นะกานต์” เขากล่าวติดชิดริมฝีปากสีสดนั่นแล้วเริ่มซุกไซ้ไปยังส่วนอื่นเรียกเสียงครวญพึงใจจากนิพัทธ์

“น้องจ๋าน่ารักจริงๆครับ ผมโอเคกับน้อง” นิพัทธ์ตอบพลางเอียงคอให้อีกฝ่ายดอมดม มือข้างหนึ่งโอบกอดลูบไล้อย่างรักใคร่

“แล้วน้าของจ๊ะจ๋าน่ารักมั้ยครับ”

คนอายุน้อยกว่าหัวเราะในลำคอ พยายามเบี่ยงหน้าออกมาเมื่อรู้สึกว่ามือของพิรัลเริ่มล้วงลงลึกทั้งที่ยืนกันอยู่ตรงระเบียงห้องซึ่งเปิดโล่งกว้าง “พี่เจตน์ ถ้าจะทำก็เข้าไปข้างในครับ”

พิรัลผละใบหน้าออกมาสบตากับเด็กหนุ่มตัวขาว ยกยิ้มมุมปากแววตาวิบวับ นิพัทธ์ขืนมือของพิรัลที่ล้วงเข้ามาในกางเกง มือพัลวันกันไปหมด คนหนึ่งดึงดันจะล้วงจับแต่อีกคนพยายามดึงมือให้ออกห่าง “อย่าครับ อยู่ข้างนอกเดี๋ยวมีคนเห็น”

มือของพิรัลกอบกุมส่วนนั้นของนิพัทธ์ที่ยังไม่แข็งตัว เขาขืนแรงอีกฝ่ายไว้และขยำเบาๆจนนิพัทธ์อยู่ไม่สุข แต่ก็ยินยอมในคราวเดียวกัน “ลองขอดีๆหน่อยสิครับ”

“ไปทำข้างในเถอะครับ”

“พูดไม่เพราะเลย พูดใหม่ซิ” เขากล่าวส่วนมือยังคงรุกเร้าไม่ว่างเว้นจนส่วนนั้นเริ่มมีปฏิกิริยา

นิพัทธ์แก้มแดงระเรื่อจากอารมณ์ที่สูงขึ้น ร้องครางเสียงแผ่วอย่างอดทนไม่ได้ “พี่เจตน์... น้องอยากไปทำในห้องครับ”

พิรัลยิ้มพึงใจก่อนจะปล่อยมือออกเพราะไม่ต้องการแกล้งอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มยกบุหรี่ขึ้นสูบ สายตาลอบมองอีกคนที่ยังคงหายใจแรงกว่าปกติ “ผมไม่แกล้งแล้ว” เขาพึมพำบอกก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปมอง “โกรธผมหรือเปล่า”

นิพัทธ์ส่ายหน้า ดวงตาสีเข้มจ้องมองกลับมาบ่งบอกอะไรบางอย่าง พิรัลประเมินตัวตนของนิพัทธ์ในแง่ของความอ่อนไหวสูงเกินไปเพราะดวงตาที่ได้จ้องมองอยู่นี้กำลังส่อแวววิบวับ

ริมฝีปากของนิพัทธ์หยักยิ้มขึ้น เด็กหนุ่มดึงบุหรี่ในมือพิรัลวางไว้ในที่เขี่ยบุหรี่ โน้มคออีกฝ่ายลงมา “ไม่โกรธครับ” เสียงตอบรับแผ่วหายไปเมื่อริมฝีปากติดชิดสัมผัสกัน “แต่ว่า… น้องอยากให้พี่เจตน์พูดเพราะๆเหมือนกันได้มั้ยครับ”

สำหรับพิรัลเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย เขาบดจูบริมฝีปากสีสดพลางเดินเข้าห้องนอนของตัวเองก่อนจะจัดการกับเสื้อผ้าที่ขวางกั้น ดวงตาของพิรัลพิศมองไปยังเรือนร่างของอีกฝ่ายด้วยแววตาโหยหาต้องการ ริมฝีปากของพวกเขาประกบจูบกันอีกครั้งอย่างไม่เร่งรีบ แผ่นอกของนิพัทธ์แอ่นขึ้นเล็กน้อยยามเมื่อถูกดูดดึงไม่เบาแรง ส่วนล่างที่ถูกเพิกเฉยค่อยๆแข็งตัวขึ้นมาตามธรรมชาติ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการถูกปรนเปรอที่ยอดอกก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้นิพัทธ์เสียวซ่านอยู่ไม่น้อย

“น้องชอบมั้ย” พิรัลถามเสียงแผ่วขณะที่ลากมือลงสัมผัสส่วนที่แข็งขึ้น

นิพัทธ์พยักหน้ารับ ใช้มือโน้มใบหน้าอีกฝ่ายให้เข้ามาดูดดุนที่ยอดอกอีก จากที่คิดว่าคงจะไม่ใช่บทรักที่รีบร้อนอะไรแต่เมื่อโลมเล้าเข้ามากๆที่ยอดอก พลันหน้าท้องของนิพัทธ์เสียววาบและรู้สึกต้องการถูกเติมเต็ม เขาเป็นฝ่ายลุกขึ้นนั่งคร่อมทับพิรัล ท่อนเนื้อที่ขยายขึ้นถูกรูดรั้งก่อนที่ความชื้นแฉะของริมฝีปากจะครอบครอง ส่วนอ่อนไหวของพิรัลอยู่ในโพรงปากของเด็กหนุ่ม เขามองกลุ่มผมสีดำขยับขึ้นลง แก้มของนิพัทธ์ตอบลงเมื่อดูดดึงแรงๆที่ส่วนปลายก่อนที่แก้มนั้นจะเป็นรอยนูนเมื่อนิพัทธ์อ้าปากรับท่อนเนื้อแข็งขืนเข้าไปจนสุดความยาว พิรัลพรูลมหายใจเสียวสะท้านช่วงท้องไปหมด อารมณ์ของพวกเขาไต่สูงอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งตื่นตัว ตื่นเต้น ทุกปลายประสาทถูกปลุกเร้า

สำหรับนิพัทธ์เขาพร้อมกระโจนลงไปในห้วงอารมณ์นั้น แต่สำหรับพิรัลร่างกายของเขากำลังตึงเครียดเกินไป พิรัลรู้สึกได้ถึงอาการแน่นหนึบในทรวงอกแต่ยังไม่รุนแรงมาก เขาคิดที่จะบอกให้นิพัทธ์หยุดแต่เมื่อนึกถึงเหตุผลที่จะใช้แก้ตัวกลับนึกไม่ออกสักเรื่อง หากจะให้บอกว่าตัวของเขานั้นกำลังมีโรคบ้าบออะไรคุกคาม พิรัลยังไม่พร้อมบอกนิพัทธ์ในตอนนี้ ทว่าในช่วงนั้นเองเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น มันส่งเสียงจากการสั่นเครืออยู่บนโต๊ะหัวเตียง พวกเขาไม่ได้สนใจในครั้งแรก แต่เมื่อโทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองพิรัลที่อยู่ใกล้กว่าจึงเอื้อมมือไปหยิบมา

“อากรณ์” พิรัลพึมพำอ่านชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

ทางเด็กหนุ่มที่กำลังปรนเปรอเขาด้วยปากถึงกับนิ่งค้างไป นิพัทธ์เงยหน้าขึ้น ปาดเช็ดคราบน้ำลายด้วยหลังมือ ท่าทางดูลังเลก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมากดรับสาย

“ครับ”

อารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ก่อนหน้านี้มอดลงแต่ยังไม่ถึงกับดับหายไป ส่วนนั้นอ่อนตัวลงเล็กน้อย พิรัลหอบหายใจเข้าเต็มปอดใช้จังหวะที่นิพัทธ์นั่งหันหลังคุยโทรศัพท์มือถือเปิดลิ้นชัก ล้วงหยิบเม็ดยาสีขาวออกมาจากซองสีชาและวางไว้ใต้ลิ้น เขารีบเก็บทุกอย่างลงในลิ้นชักก่อนจะเอนตัวพิงหัวเตียงมองดูแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนิพัทธ์ที่ยังคงคุยโทรศัพท์มือถือกับ ‘อากรณ์’

บทสนทนาที่ได้ยินไม่มีอะไรนอกจากการตอบรับว่า ครับ ครับ และครับ มีบ้างที่ตอบประโยคอื่น เขารู้สึกได้ถึงอาการแปลกๆของนิพัทธ์ในยามที่คุยโทรศัพท์มือถือ เหมือนคนไม่อยากคุยด้วยอย่างไรอย่างนั้น

ช่วงเวลาพักใหญ่เลยทีเดียวกว่านิพัทธ์จะวางสาย มันเป็นช่วงเดียวกับที่พิรัลรู้สึกดีขึ้นจากอาการแน่นหน้าอก ยาที่อมอยู่ใต้ลิ้นคงจะออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นครั้งแรกที่พิรัลใช้ยาและสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจใช้ก็เป็นเพราะนิพัทธ์ เขาแก่กว่านิพัทธ์และไม่รู้สึกว่าความแก่เป็นปัญหาในการคบหากัน แต่โรคที่รุมเร้านี้ต่างหากคือปัญหา พิรัลไม่อยากให้นิพัทธ์มองว่าเขาเป็นคนแก่ใกล้ตาย หากถึงวันนั้นจริงเขาคงทนมองสายตาเวทนาของนิพัทธ์ไม่ไหว

เด็กหนุ่มกลับขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตัวของเขาอีกครั้ง ดวงตาสบมองกันและกันราวกับครุ่นคิดแต่ก่อนที่พิรัลจะได้เอ่ยอะไรออกไปนิพัทธ์ก็โถมตัวเข้ากอดเสียแนบแน่น “พี่เจตน์ครับ…”

นิพัทธ์เอ่ยเรียกแล้วก็เงียบลงไปจนพิรัลต้องเบี่ยงตัวเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “น้องรักพี่เจตน์นะครับ” น้ำเสียงที่ฟังดูออดอ้อนเอ่ยขึ้นอยู่ข้างหูพร้อมๆกับที่ริมฝีปากของนิพัทธ์เริ่มพรมจูบไปตามผิวกายของพิรัล มือข้างหนึ่งโอบใบหน้าของคนอายุมากกว่าเข้ามาขณะที่เอนเอียงยอดอกให้อีกฝ่ายได้ดูดดื่ม นิพัทธ์เสียงกระเส่าตอนที่บอกให้เขาดูดยอดอกแรงๆก่อนจะเอื้อมมือลงปลุกเร้าท่อนเนื้อให้กลับมาแข็งตัวอีก

ใช้เวลาไม่นานนักในการทำให้อารมณ์ของพิรัลคุกรุ่น สะโพกขยับไหวอย่างอ้อยอิ่งเย้ายวนอยู่บนหน้าตัก พิรัลอดใจไม่ไหวเขาคว้าเจลหล่อลื่นมาเปิดใช้งาน สองนิ้วแทรกเข้าไปเชื่องช้าเพื่อให้ช่องทางนั้นคลี่คลายทว่านิพัทธ์บอกให้พิรัลสอดนิ้วเข้าไปและขยับเร็วๆ

ส่วนหน้าของนิพัทธ์ตื่นตัวแต่ไม่แข็งเต็มที่ ในคราวแรกพิรัลลังเลที่จะทำตามคำขอ หากเมื่อได้สอดนิ้วเข้าไป ส่วนนั้นกลับบีบรัด พิรัลขยับไปมาก่อนจะล้วงเข้าลึกกว่าเดิมเพื่อเติมเต็มปรารถนา ฝ่ายที่รองรับนิ้วครางอยู่ในลำคอเมื่อถูกกระตุ้นเร้าถูกจุด มือที่เคยรุกเร้าอยู่บนท่อนเนื้อของพิรัลชะงักลงและแปรเปลี่ยนมาโอบกอดแทน ใบหน้าที่ระเรื่อสีชมพูตามธรรมชาติแนบซบเข้าหา พิรัลจูบลำคอบริเวณลูกกระเดือกนูนเด่น ขบเม้มผิวกายขาวผ่องจนขึ้นรอยแดงทว่าไม่ได้ฝากรอยรักเอาไว้ ส่วนนั้นของนิพัทธ์แข็งตัวขึ้นจนเสียดสีหน้าท้องพร้อมๆกับที่ท่อนเนื้อของเขาประท้วงปรารถนาในการสอดแทรกกายเข้าไปในตัวนิพัทธ์

พิรัลครางเรียกชื่ออีกฝ่าย จูบไปตามผิวกายขณะที่ถอนนิ้วออกมาและจับท่อนเนื้อของตัวเองจดจ่ออยู่ที่ช่องทางด้านหลัง นิพัทธ์ร่ำเรียกให้สอดใส่เข้ามา ท่อนเนื้อส่วนปลายค้างคาอยู่ที่ช่องทางด้านหลังก่อนจะแทรกลึกเข้าไปเรื่อยๆ นิพัทธ์จุกเสียดอยู่ไม่น้อยหากแต่ต้องการถูกเติมเต็มจนต้องลงน้ำหนักรับส่วนนั้นของพิรัลเข้ามาจนสุดความยาว เด็กหนุ่มปลุกอารมณ์เย้าแหย่อีกฝ่ายด้วยการพูดถึงสรีระที่สอดอยู่ภายใน ร่างของเขาขยับเคลื่อนเสียดสีส่วนเชื่อมต่ออย่างไม่รีบเร่งในช่วงแรก พิรัลบีบขยำบั้นท้ายออกกว้างยกกายขึ้นสวนกระแทกเข้าไปเต็มแรงเรียกเสียงครวญพึงใจจากฝ่ายคนอายุน้อยกว่า

“น้องเสียวไปหมดแล้วครับ” นิพัทธ์เอ่ยแล้วยิ่งขยับสะโพกรองรับท่อนเนื้อแข็งขืน บั้นท้ายของเขาแฉะชุ่มจนเกิดเสียงหยาบโลน พิรัลมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์หลากหลายรุมเร้า นิพัทธ์กำลังยั่วเย้า และยั่วขึ้นอีกต่างหาก ทั้งที่คิดว่าเซ็กส์รอบนี้จะปล่อยให้นิพัทธ์เป็นผู้ชักนำแต่พิรัลทนไม่ไหว เขาจับพลิกร่างนิพัทธ์ให้นอนหงาย แยกขาสองข้างออกกว้างหยิบเจลหล่อลื่นมาป้ายท่อนเนื้อของตัวเองก่อนจะสอดใส่กลับเข้าไปยังช่องทางรักอันชุ่มโชก พิรัลไม่อาจออมแรงได้อีก เขาโหมแรงกระแทกแก่นกายอย่างรุนแรง ผิวของพิรัลขึ้นสีเพราะร่างกายกำลังร้อนจากการ ‘ออกกำลังกาม’

“พี่ก็เสียวเหมือนกันค่ะ” เสียงของเขากระเส่ายามเมื่อพูดกระซิบอยู่ข้างหูอีกฝ่าย ในแววตานิพัทธ์ฉายแววประหลาดใจที่ได้ยินพิรัลพูดลงท้ายเปลี่ยนไป แก้มดูแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม “พี่ทำให้น้องเจ็บหรือเปล่าคะ”

นิพัทธ์ส่ายหน้าปฏิเสธ เขารู้สึกได้ถึงแผ่นหลังของตัวเองที่เสียดสีผืนผ้าที่นอน พิรัลที่กำลังกระสันต้องการในตัวเขาดูร้อนแรงจนอารมณ์พุ่งพล่านไปหมด เด็กหนุ่มร่ำร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย คิ้วขมวดมุ่นเมื่อท่อนเนื้อกระแทกโดนจุดอ่อนไหวใกล้ต่อมลูกหมาก สีหน้าที่ดูเสียวสะท้านของนิพัทธ์เรียกร้อยยิ้มมุมปากจากพิรัลได้เป็นอย่างดี ไหนจะเสียงครางครวญนั่นอีก พิรัลเน้นย้ำที่จุดเดิม นิพัทธ์ยิ่งร้องบ่งบอกความรู้สึกตรงไปตรงมา

“พี่เจตน์ เบาหน่อยครับ” นิพัทธ์พูดพลางดันหน้าท้องพิรัลที่ขยับอยู่ด้านล่าง เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไต่สูงเพราะถูกกระตุ้นจุดนั้นโดยตรงซ้ำไปซ้ำมา คิดว่าอีกไม่นานนี้ตัวเองจะต้องถึงฝากฝั่งก่อนในเวลาอันรวดเร็ว

พิรัลขยับกายช้าลงตามคำร้องขอ เขาจูบปลอบประโลมเด็กหนุ่มตัวขาวที่พวงแก้ม จมูกซุกไซ้ซอกคอ “เจ็บเหรอคะ”

“เปล่าครับ แต่… มันจะถึงแล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นเห็นทีพิรัลคงจะทนไม่ไหว เขาขยับสะโพกหนักหน่วงขึ้น นิพัทธ์เผยออ้าปากเมื่อจุดอ่อนไหวถูกกระตุ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เขาร้องไม่ออกด้วยเสียวซ่านไปหมด

“ตรงนี้ใช่มั้ยคะ กานต์จะถึงแล้วใช่มั้ยคะ”

“น้องจะถึงแล้วครับ พี่เจตน์น้องเสียวจังครับ” นิพัทธ์รับคำราวกับคนเพ้อคลั่ง

สะโพกของพิรัลดุนดันโหมกระหน่ำไม่เบาแรง มันตอกย้ำช่องทางอ่อนนุ่มของนิพัทธ์จนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นอนหอบหายใจรองรับแรงกายจากพิรัล ทั้งที่เป็นท่วงท่าแสนธรรมดาไม่มีอุปกรณ์เสริมเติมอรรถรสแต่นิพัทธ์กลับเปี่ยมสุข มีเพียงแค่พิรัลและสัมผัสที่ทั้งอ่อนโยนและดุดันในเวลาเดียวกัน เพียงแค่นั้นมันทำให้นิพัทธ์สามารถถึงจุดสุดยอดจากทางด้านหลังได้ในเวลาถัดมา เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำไปวนมา ร้องครวญครางเป็นสุขในขณะที่น้ำใคร่หลั่งรินเปรอะเปื้อนหน้าท้อง สองแขนโอบกอด ร่างกายเกร็งเขม็ง ลมหายใจรดรินรุนแรง

“กานต์มีความสุขมั้ยคะ” ชายหนุ่มถามก่อนจะจูบตามใบหน้าอย่างรักใคร่

พิรัลทำให้เขาสุขล้นทั้งทางกายและใจอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เด็กหนุ่มพยักหน้ารับหากแต่กลับพูดไม่ออกเพราะยังหอบหายใจเหนื่อยจากบทรักในรอบนี้ เขาอ่อนแรงลงทั้งมือและขาที่เคยโอบพิรัลไว้ถูกปล่อยวางราบไปกับที่นอน พิรัลจับมือของเขาเข้าไปจูบ รู้สึกได้ถึงท่อนเนื้อแข็งขืนที่กำลังขยับไหวอยู่ในบั้นท้าย

“พี่เจตน์ทำให้เสร็จสิครับ” แม้จะสุขสมไปแล้วแต่นิพัทธ์ยังสามารถสุขได้มากกว่านี้เมื่อพิรัลมีความสุขด้วยกัน เด็กหนุ่มโอบรั้งใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามามองตา “น้องอยากให้พี่เจตน์เสร็จในตัวน้องครับ”

พิรัลมองตาคนใต้ร่างค่อยๆขยับสะโพกเมื่อได้รับคำเชิญชวน “พี่ทำแรงกว่านี้ได้มั้ยคะ”

ใบหน้าเรื่อสีแสดงความยินยอม เขาประทับจูบบนริมฝีปากของพิรัล อ้าขาออกกว้างตอบรับทุกสัมผัสเพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุข จากอ่อนหวานกลายเป็นความหนักหน่วงตามห้วงอารมณ์ เขารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวรุนแรงตามความกระสันต้องการ อยากให้พิรัลตักตวงร่างกายนี้อย่างเต็มที่ อยากรู้สึกถึงไออุ่น อยากรู้สึกถึงห้วงอารมณ์ร้อนแรง นิพัทธ์ไม่เคยต้องการใครมากเท่านี้มาก่อน

เขามองทุกการกระทำของพิรัล มองส่วนแข็งขืนที่กำลังขยับเข้าออกอย่างรัวเร็วในช่องทางที่เปียกชุ่ม เขาถามพิรัลว่ามีความสุขมั้ย เขาถามอีกฝ่ายว่าอยากปลดปล่อยในตัวของเขามั้ย เมื่อถูกตอบรับก็ยิ่งสุขใจ ในตอนที่พิรัลถึงจุดสุดยอดและหลั่งน้ำใคร่อยู่ในตัวจนรู้สึกอุ่นวาบนิพัทธ์ยังคงจ้องมองใบหน้าคมคายนั่นไว้ เขาจูบริมฝีปากที่กำลังหอบหายใจ ช่วงชิงลมหายใจก่อนจะจูบที่แก้มแล้วรั้งตัวพิรัลเข้ามากอด

“พี่พูดเพราะถูกใจกานต์มั้ย” เขาเย้าแหย่เอ่ยถามพลางหัวเราะและใบหน้ามีรอยยิ้ม

เมื่อเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีนิพัทธ์จึงยิ้มตาม “พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“อยากไปดวลกีต้าร์กับพ่อผมมั้ย”

เขาเงยหน้าจากแผ่นอกที่ซบอยู่เพื่อมองใบหน้า นิพัทธ์ส่งยิ้มให้พลางลูบศีรษะของเขาไปมา “วันไหน”

“วันไหนก็ได้ที่พี่เจตน์ว่าง”

“งั้นพรุ่งนี้นะ”

นิพัทธ์พยักหน้ารับก่อนจะจูบที่ขมับอีกฝ่าย “ผมรักพี่เจตน์” เด็กหนุ่มกระซิบบอกเสียงแผ่ว สบมองดวงตาลึกซึ้ง

หัวใจของพิรัลอ่อนยวบยาบเหลือทน มันหลอมละลายไม่เหลือชิ้นดีเมื่อได้ฟังคำนั้น “พี่ก็รักกานต์ครับ”

การบอกรักครั้งแรกของพิรัลอยู่ในช่วงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาคิดว่าพร้อมแล้วสำหรับคำนั้น แต่เขาคงไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ในเวลาแห่งความทุกข์จะยังสามารถพูดคำนั้นออกมาได้เช่นนี้หรือไม่ พิรัลไม่รู้เลยสักนิด





************************************


ลงครบเท่าอีกเวบนึงแล้วววว เย้ๆ
หลังจากนี้ก็จะไม่ได้อัพเร็วสายฟ้าแลบแพร่บๆแบบนี้แล้วววว
อ้อ... สำหรับบทเลิฟซีนของพี่เจตน์ คะๆขาๆนั้นนนน พี่เขาแค่ล้อเล่นกับน้องนะคะ ไม่ได้จะพูดแบบนั้นตลอด 55555

 :hao3:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-10-2018 22:05:23
แสงสว่างข้างหน้ามีจริงไหมคะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 09-10-2018 22:29:32
อ่านไปก้กลัวไป
คุณพี่อย่าพึ่งตายนะคะ
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 09-10-2018 22:49:58
ไปเจอพ่อแล้วจะเจออากรณ์ด้วยไหม
ความลับของใครจะถูกเปิดออกมาก่อน
แต่ขออย่าเปิดพร้อมกันเลยนะคะ จิตใจบอบบาง  :hao5:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 10-10-2018 06:23:57
ฮือ​ๆ​ อ่านไปก็กลัวไป​  :z3:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 10-10-2018 08:36:56
เขินคะ ขา
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-10-2018 19:30:03
เป็นห่วงพี่เจตน์มาก อยากให้พี่กินยา รับการรักษาอย่างจริงจังสักที
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่เก้า (P.2) - กำเริบ 12-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 12-10-2018 23:02:28
ตอนที่เก้า



วันที่ท้องฟ้าแจ่มจรัสเต็มไปด้วยแสงแดดสีสว่าง ทว่าความรู้สึกของพิรัลกลับหม่นหมองเสียเหลือเกิน

นิพัทธ์ชวนเขามาดวลกีต้าร์กับพ่อ เขาคาดหวังถึงการได้พบกับส่วนหนึ่งที่หล่อหลอม ส่วนที่สร้าง และส่วนที่นิพัทธ์เติบโตขึ้นมา แต่มันผิดคาดไปเสียทั้งหมด

เขาได้แต่รู้สึกแปลกประหลาดในวินาทีแรกที่ได้พบพ่อของนิพัทธ์ พ่อที่นอนอยู่ในโรงไม้สี่เหลี่ยม ฝังอยู่ใต้ผืนดินลึกลงไปราวหกฟุต และประดับด้วยช่อดอกไม้แห้งกรังบนแท่นหินสีเทา  เขาเริ่มได้สติเมื่อนิพัทธ์หยิบช่อดอกไม้แห้งกรังที่วางอยู่บนแผ่นหินอ่อนนั่นออกไปทิ้ง และแทนที่ด้วยช่อดอกไม้สีสดสวยงาม พิรัลรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลายิ่งนักที่ไม่ทันสังเกตว่านิพัทธ์ได้ซื้อดอกไม้สดในขณะที่เขาซื้อผลไม้พร้อมกินเพื่อมอบให้แก่พ่อของนิพัทธ์

“พี่เจตน์เอาผลไม้มาให้พ่อครับ”

นิพัทธ์กล่าวเช่นนั้นกับป้ายสี่เหลี่ยมที่สลักด้วยชื่อของคนที่นอนอยู่ใต้ผืนดิน สองมือประคองกล่องผลไม้วางลงด้านข้างก่อนที่ใบหน้าขาวกระจ่างจะเงยขึ้นมาสบมองพิรัลและมอบรอยยิ้มให้

“พ่อชอบกินพวกเบอร์รีมาก ตอนอยู่เยอรมันพ่อกินแทบทุกวันเลยครับ ที่นู่นถูกมาก”

พิรัลพูดไม่ออก ได้แต่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังปัดเช็ดสุสานแห่งนั้น โชคดีเท่าไหร่แล้วที่พิรัลไม่ได้แบกกีต้าร์มาดวลกับพ่อของนิพัทธ์ด้วย เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เขาไม่ตะขิดตะขวงใจมาก่อนเลยว่าพ่อของนิพัทธ์ตายไปแล้ว

นิพัทธ์พูดอะไรกับป้ายสี่เหลี่ยมนั่นอีกหลายประโยคก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขามองรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดไร้คำบรรยาย มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่เขายังไม่รู้

“โทษทีนะผมไม่รู้มาก่อนเลย ขอแสดงความเสียใจด้วย”

คนตรงหน้าพิรัลยิ้มรับ ไม่มีท่าทีเศร้าหมองให้เห็น “ขอบคุณครับ” สองขาก้าวเข้าหาก่อนจะจับมือพิรัลไว้แนบแน่น ดวงตาทอดมองไปยังหลุมศพเบื้องหน้า “อวยพรให้เราด้วยนะครับพ่อ”

พิรัลเดินตามแรงฉุดจากนิพัทธ์หลังจากปล่อยให้เด็กหนุ่มได้เยี่ยมเยียนพ่อของตัวเอง เขายังรู้สึกโง่เง่าไม่หาย แม้แต่ตอนที่เข้ามาในรถยนต์แล้วก็ยังรู้สึกเช่นนั้น

“ทำไมกานต์ไม่บอกผมว่าพ่อเสียแล้ว ปล่อยให้ผมซื้อผลไม้มาทำไม”

“แล้วถ้าบอกไปพี่เจตน์จะซื้ออะไรมาให้พ่อผมล่ะ”

“ไม่รู้ แต่อย่างน้อยถ้าบอก ผมจะได้ไปหาข้อมูลมาว่าเวลาไปเยี่ยมสุสานแบบคริสต์เขาทำกันยังไง และถึงจะนับถือพุทธแบบบ้านผมแต่มันก็เป็นเรื่องที่ต้องบอกผมด้วย”

“ผมไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน”

พิรัลรู้สึกฉุนเฉียวที่ได้ยินประโยคนั้น แต่เขาเลือกที่จะเงียบไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไม่โต้ตอบ นิพัทธ์จึงรู้สึกได้ว่าตัวเองพูดจาไม่ดีออกไป เขามองไปตามเส้นทางบนท้องถนนที่รถของพิรัลกำลังขับผ่าน สุสานที่ฝังศพของพ่ออยู่ต่างจังหวัดไม่ไกลจากตัวกรุงเทพมากนัก แต่ใช้ระยะเวลาพอสมควรบนท้องถนนเพราะฉะนั้นหากไม่คุยกับพิรัลไปตลอดทางคงจะรู้สึกอึดอัดน่าดู

“พ่อเสียไปนานแล้วแต่ผมไม่อยากพูดถึง พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะครับ”

“ผมไม่ได้โกรธ ผมแค่รู้สึกขายหน้าที่ซื้อผลไม้ไปให้พ่อกานต์ที่เสียไปแล้ว”

“...............”

“แล้วรู้ไว้ด้วยว่าเรื่องของกานต์สำคัญสำหรับผม... ทุกเรื่อง” พิรัลเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ทำหน้าสลด “มานี่มา” เขาว่าเช่นนั้นแล้วเอื้อมมือไปรั้งตัวอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามานั่งชิดใกล้ก่อนจะจูบที่ขมับเพื่อยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร

“ผมไม่เห็นว่าจะเป็นอะไรเลยที่พี่เจตน์ซื้อผลไม้ไปให้พ่อ ซื้ออะไรไปให้ก็กินไม่ได้อยู่ดี ตายก็คือตายไปแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่เจตน์รู้สึกขายหน้าเลยนะครับ”

พิรัลจูบที่ขมับของนิพัทธ์อีกครั้งเนิ่นนานกว่าครั้งก่อนหน้านี้ “อืม เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มยังคงกอดอีกฝ่ายไว้ ดวงตามองถนนแต่กายสัมผัสเด็กหนุ่มไม่ห่าง “แล้วแม่ของกานต์ล่ะ”

“แม่แต่งงานใหม่ครับ”

“อ่าฮะ”

“หลังๆมานี่ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านก็เลยไม่รู้เรื่องแม่เท่าไหร่”

“กานต์ไม่ค่อยสนิทกับแม่เหรอ”

“กับแม่เหรอ… ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่คุย”

พิรัลเงียบ สีหน้าที่เห็นตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น มันไม่แปลกหากลูกจะสนิทกับพ่อหรือแม่มากกว่ากัน นิพัทธ์ดูสนิทใจในการเปิดเผยเรื่องราวของพ่อเมื่อถูกถาม แต่เมื่อเป็นเรื่องของแม่นิพัทธ์กลับดูรังเกียจที่จะพูดถึง เขาอาจคิดมากเกินไป บนโลกใบนี้ไม่มีใครเกลียดพ่อแม่ของตัวเองได้หรอก

ในช่วงที่พิรัลตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง อยู่ๆนิพัทธ์ก็จูบเข้ามาที่ใบหน้า “พี่เจตน์ครับ ถ้าผมชวนพี่มาเล่นกีต้าร์ให้พ่อฟังพี่ว่ามันแปลกมั้ย”

“วันหลังผมจะเอากีต้าร์มาด้วยนะ” พิรัลเลือกตอบในส่วนที่คาดว่าจะทำให้นิพัทธ์สบายใจ หากตอบในสิ่งที่คิดไปทั้งหมดเขาคงโพล่งออกไปว่าแม่งโคตรแปลก เขานึกไม่ออกว่าการเอากีต้าร์มานั่งเล่นอยู่หน้าหลุมศพจะเกิดประโยชน์อะไร แต่เขาไม่ต้องการทำร้ายจิตใจของนิพัทธ์ เรื่องบางเรื่องเก็บไว้เพียงลำพังจะดีกว่า

พิรัลมาส่งนิพัทธ์ที่คอนโด เวลาล่วงเลยจนมืดค่ำเพราะพวกเขาแวะกินเที่ยวกันไปเรื่อยเปื่อย นิพัทธ์บอกให้เขาค้างคืน ใจพิรัลพุ่งตรงไปยังรังรักของพวกเขาแล้วในวินาทีนั้น หากแต่เขาจำต้องปฏิเสธ เพราะในวันรุ่งขึ้นต้องไปโรงพยาบาลตามที่แพทย์นัด

เขาต้องไปหาหมอโดยไม่ทำให้นิพัทธ์ผิดสังเกต แม้จะยังคิดหาคำตอบสำหรับการลาครึ่งเช้าในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ก็ตามที หากนิพัทธ์ถามเขาจนปัญญาเหลือเกินในการหาอ้างเหตุผล ในที่ทำงานเรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้

เขามีความคิดเห็นรุนแรงในเรื่องที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้อาการป่วย หวานที่เป็นหัวหน้าทักท้วงว่าบางอย่างจำเป็นต้องบอกกล่าวคนในทีมบ้างด้วยอ้างถึงเรื่องสุขภาพ แต่พิรัลเกลียดสิ่งนั้น เขามองไม่เห็นถึงความจำเป็นต่อการบอกกล่าวคนอื่น เขาสามารถทำงานได้ หากเจ็บหน้าอกเพียงแค่พักก็จะหายไปจึงค่อยกลับมาทำงานต่อ ในตอนนั้นเขาคิดอย่างง่ายดายแต่เมื่อเร็วๆนี้พิรัลพบว่าการนั่งพักให้หายจากอาการเจ็บหน้าอกมันทำได้ยากลำบากขึ้น

นิพัทธ์เดินจากไปพร้อมกับเสียงประตูรถปิดลง จากนั้นพิรัลจึงมุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมกับการครุ่นคิดหาเหตุผลที่ลางานครึ่งเช้าเพื่อบอกกับนิพัทธ์



“คุณไม่กินยาเลย หมอถามหน่อยได้มั้ยว่าเพราะอะไร”

พิรัลยิ้ม หากไม่ตอบรับสิ่งใด

“กินยาสมุนไพรหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ”

แพทย์สาวผู้เป็นเจ้าของคนไข้มีสีหน้าตึงเครียด เธอลอบถอนหายใจในขณะที่สายตาอ่านบันทึกในหน้าจอคอมพิวเตอร์ “คนไข้ที่มารักษากับหมอพวกเขาอยากหายจากโรคนี้ แต่คุณไม่ช่วยหมอเลย แบบนี้จะให้หมอทำยังไงดี ยังมีคนอื่นที่อยากรักษากับหมออีกเยอะเลยนะ”

พิรัลยังคงเงียบ

“หมอพูดตามตรงว่านัดติดตามอาการแต่ละครั้งมันทำให้เสียเวลาเปล่าถ้าคุณยังไม่ช่วยหมอแบบนี้”

“หมอกำลังจะบอกว่าไม่อยากรักษาผมแล้วใช่มั้ยครับ”

คุณหมอยิ้ม ดวงตาภายใต้แว่นกรอบหนาดูเอื้ออาทรเมตตา พิรัลพอจะเข้าใจว่าเธอปฏิเสธการรักษาไม่ได้ “หมอไม่ได้พูดแบบนั้น แต่หมออยากให้คนไข้ให้ความร่วมมือกับหมอด้วยค่ะ”

“ผมบอกตามตรง ผมมาเพราะแค่อยากให้ที่บ้านสบายใจ ส่วนตัวผมเอง… ผมเบื่อที่จะต้องมา”

“หมอว่าขึ้นอยู่กับตัวคุณนะ คุณจะมาหรือไม่มาก็ได้ แต่อยากให้คิดว่าที่ยังมาตามนัดอยู่เพราะอะไร แค่อยากให้ที่บ้านสบายใจจริงเหรอ หรือลึกๆแล้วคุณคาดหวังอะไรกับการมาตามนัด”

พิรัลมีรอยยิ้มอีกครั้ง “นั่นสิหมอ ผมมาทำไมก็ไม่รู้”



ในสวนสาธารณะที่เขามักมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจยังเป็นเช่นเคย ต้นไม้ที่สูงใหญ่ยังแผ่นกิ่งก้านสาขาให้เขาได้นั่งทอดอารมณ์ครุ่นคิด

พิรัลนึกไม่อยากกลับเข้าออฟฟิศในช่วงบ่าย เขาไม่มีคำตอบหากนิพัทธ์ถามถึง คิดอีกทีเขาสมควรบอกความจริงกับสิ่งที่เป็นอยู่นี้หรือเปล่า หากบอกไปนิพัทธ์จะมองเขาด้วยสายตาแบบไหน ช่วงอายุที่ต่างกันอาจเป็นปัญหา ช่องว่างระหว่างวัยไม่มีทางทับถมเติมเต็มได้ แม้จะมีความชอบคล้ายกันหรือรักกันมากขนาดไหน แต่ความคิดเห็นในการใช้ชีวิตของคนสองคนหากไม่สอดคล้องไปด้วยกันมันอาจทำให้แย่ลงกว่าเดิม เขาลองนึกคิดตั้งสมติฐานขึ้นมา หากแต่พิรัลคิดไม่ตกและยังไร้วี่แววในการหาคำตอบ

ช่วงบ่ายคือเวลาที่พิรัลมาถึงออฟฟิศ เขาพบว่านิพัทธ์ลางานทั้งวัน หวานที่นั่งกินขนมอยู่ในคอกพร้อมกับโอมและหญิงทำหน้าสงสัยที่พิรัลไม่รู้เรื่องนี้

“อ้าว น้องไม่ได้โทรบอกเจตน์เหรอ”

“เปล่าพี่ แล้วน้องโทรบอกใคร”

“คุณกรณ์มาบอกพี่ว่ากานต์ไม่สบาย พี่นึกว่าน้องโทรบอกเจตน์ก็เลยไม่ได้ถามอะไร แต่ก็แปลกใจเหมือนกันแหละที่เจตน์ไม่ได้บอกพี่ว่ากานต์ลา”

“น้องไม่ได้บอกอะไรผมเลยครับ” พิรัลตอบ ชื่อของ ‘คุณกรณ์’ ทำให้เขาอึดอัดหนักหน่วงอย่างไรบอกไม่ถูก อีกทั้งยังนึกสงสัยว่าทำไมกานต์ถึงไม่บอกกล่าวเขาสักคำว่าจะลา หากไม่นับว่าพวกเขากำลังคบหากัน อย่างไรก็ดีพิรัลยังคงเป็นหัวหน้าของนิพัทธ์อยู่ และเมื่อวานนี้นิพัทธ์ไม่มีท่าทีเจ็บป่วยอะไรด้วย ในฐานะหัวหน้าเขามีสิทธิ์สอบสวนเรื่องนี้แต่พิรัลไม่นึกจะทำเพราะเขาอยากรู้เรื่องของคุณกรณ์มากกว่า

“งั้นเหรอ สรุปก็คือน้องลาป่วยนะ คงเป็นหวัดแหละมั้ง”

“พี่หวาน คุณกรณ์นี่เขาเป็นอาของกานต์เหรอครับ”

“เห็นคุณกรณ์เขาบอกแบบนั้น”

“แล้ว…” สายตาของพิรัลระแวดระวังมองไปยังโอมกับหญิงซึ่งนั่งกินขนมและไม่ได้สนใจพวกเขา “เรื่องของกานต์ พี่ได้รับคำสั่งมารึเปล่าครับ”

“โห ถามงี้เลยเหรอ”

“โทษทีพี่ ผมสงสัยน่ะ”

หวานหัวเราะอารมณ์ดี ไม่มีท่าทีเคืองโกรธ “เปล่า พี่รับกานต์มาเองไม่เกี่ยวกับเบื้องบน แล้วนี่ไปหาหมอเป็นยังไงบ้าง”

“เรื่อยๆพี่ เหมือนเดิม”

หวานพยักหน้ารับรู้ เธอไม่คาดคั้นถามอะไรอีกเพราะพิรัลมักยิ้มและไม่ตอบคำถามเรื่องสุขภาพแม้แต่ครั้งเดียว “ตั้มไม่อยู่แล้วนะเจตน์ มีอะไรบอกพี่ได้”

“ได้ครับพี่ เออ พี่หวาน แล้วใครจะช่วยงานพี่ตอนนี้อะ”

“ก็มีหมิงนี่แหละ แต่พี่ไม่ค่อยไว้ใจเลยว่ะ งานฝั่งหมิงเองก็…” หวานเงียบเสียงลง ส่งสายตาเป็นอันรู้กันกับพิรัลว่าคนที่ชื่อหมิงทำงานแย่อย่างไร “ส่วนตอนพี่ลาคลอดไม่ต้องห่วงนะ พี่สแตนด์บาย อาจตอบช้าบ้างแต่พี่เช็คอีเมลตลอด”

“ไม่เป็นไรพี่ ลาคลอดก็คือลาคลอด”

“รู้ๆ แต่พี่อยู่เฉยๆไม่ได้ว่ะ”

“พี่ ผมว่าเลี้ยงลูกน่าจะไม่มีเวลานะ เห็นตอนพี่สาวผมเพิ่งคลอดอะ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย”

“เอาน่าๆ พี่มีเวลาให้น้องเจตน์แน่นอน น้องไม่ต้องกลัวเหงานะจ๊ะ” หวานหัวเราะพูดติดตลกพลางกินขนมไปเรื่อยเปื่อย ชวนพิรัลคุยถึงเรื่องงานและไม่ถามเรื่องสุขภาพ ส่วนพิรัลเองเมื่อเปิดเช็คอีเมลเขากลับลืมเรื่องของนิพัทธ์ไปโดยปริยาย

พิรัลขาดการติดต่อกับนิพัทธ์ ไม่มีแม้แต่ข้อความซึ่งเคยส่งหากันบ่อยครั้ง มีการโทรออกแต่ไม่มีการโทรเข้า พิรัลเริ่มร้อนรนในช่วงหลังเลิกงาน สุดท้ายเขาตัดสินใจเข้ามาพบอาของนิพัทธ์โดยไม่ทันนึกคิดว่ามันช่างดูน่าสงสัย

กรณ์ติดประชุมและกลับมาที่โต๊ะของตัวเองในเวลาหกโมงครึ่ง เขายิ้มเมื่อเห็นพิรัลในท่าทีเก้กังก่อนจะเดินเข้ามาหา กรณ์คาดการณ์ไว้ไม่ผิด “คุณเจตน์ มาถามเรื่องกานต์เหรอครับ” เขาเอ่ยพูดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา

พิรัลชะงักไปด้วยนึกไม่ถึงว่าจะโดนถามกลับมาอย่างไม่อ้อมค้อม “ครับ”

“โทษทีนะครับ หลานผมเป็นหวัด เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาทำงานแล้วแหละ มีใบรับรองแพทย์มาด้วย”

“ไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์หรอกครับ เพราะไม่ได้หยุดติดต่อกันหลายวัน คือผมแค่จะมาถามว่ากานต์ไม่สบายมากหรือเปล่าครับ ผมโทรหาจะถามเรื่องงานแต่กานต์ไม่รับสายเลย”

“อ้อ คงไข้ขึ้นนอนซมทั้งวัน เดี๋ยวผมกลับถึงบ้านแล้วจะบอกกานต์ให้นะ”

“ขอบคุณครับคุณกรณ์ ผมรบกวนฝากบอกน้องด้วยว่าออนไซต์ที่นครปฐมผมจะให้น้องไปคนเดียวนะครับ”

กรณ์เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย ใบหน้าของเขายังปรากฏรอยยิ้มหากแต่พิรัลรู้สึกถึงความเสแสร้ง “ได้ครับ คุณมั่นใจเหรอว่าจะปล่อยให้กานต์ออนไซต์เอง”

“ต้องลองดูครับ”

“อืม ผมจะบอกกานต์ให้เตรียมตัวไว้” กรณ์โน้มตัวลงเท้าแขนบนโต๊ะทำงาน ดวงตาของเขาจดจ้องมายังพิรัลราวกับค้นหาบางอย่าง “แล้วคุณเป็นยังไงบ้างครับ”

“ครับ?” พิรัลไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายถาม และมั่นใจว่าคงไม่มีใครพูดถึงอาการป่วยของเขาด้วย

“คุณคบกับกานต์อยู่ไม่ใช่เหรอ”

ความอึดอัดตีตื้นขึ้นมาและจุกเสียดเข้าที่หัวใจ เขาไม่คิดว่าจะมีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ มันไม่ดีต่อหน้าที่การงานเลยแม้เพียงน้อยนิด แต่สุดท้ายพิรัลเลือกที่จะแสร้งยิ้มแต่ไม่ตอบรับสิ่งใด “คุณกรณ์งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

กรณ์เอ่ยคำร่ำลากับพนักงานหนุ่มอายุรุ่นราวใกล้เคียงกัน ดวงตาของเขาจ้องมองตามแผ่นหลังผึ่งผายที่เดินออกไป ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มเสมอยังไม่แปรเปลี่ยน หากแต่ใครเล่าจะล่วงรู้ถึงความคิดและความรู้สึกที่สุมอยู่ภายในว่าเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการแสดงออก

นิพัทธ์ขาดการติดต่อราวกับไร้ตัวตน หากแต่พิรัลผู้ซึ่งวุ่นวายกับอาการป่วยของตัวเองในคืนนั้นทำให้เขาไม่ได้พยายามติดต่อนิพัทธ์มากเท่าที่ควร ช่วงก่อนถึงบ้านเขาเกิดแน่นหน้าอกจนต้องแวะจอดรถข้างทาง มือของเขาสั่นไปหมดด้วยความหวาดกลัว กระนั้นเขารอจนอาการทุเลาจึงมุ่งหน้ากลับบ้านไปตามปกติ

แม่คือบุคคลผู้เป็นแสงสว่างสำหรับพิรัลเสมอมา เพียงแค่กลับมาถึงบ้านความรู้สึกอบอุ่นมากมายนั้นอบอวลอยู่ในจิตใจโดยธรรมชาติ เขาไม่เล่าขานถึงอาการป่วยแม้ยามแม่เอ่ยถาม แม่ของพิรัลไม่ฝืนบังคับเปิดปากลูกชายด้วยรู้ว่าลูกไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ เธอพยายามค้นหาวิธีต่างๆนานาเพื่อให้พิรัลยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเธอรู้ว่าการไม่พูดถึงสิ่งนี้มันหมายถึงว่าพิรัลยังไม่สามารถอยู่กับความผิดปกติได้ เธอรู้จักลูกชายของเธอดีแต่สุดท้ายทุกอย่างไม่ว่าพิรัลจะเลือกปฏิบัติแบบใดมันเป็นสิทธิ์ของพิรัลทั้งหมดทั้งมวล

พิรัลกินข้าวมื้อเย็นและขึ้นนอนตามปกติ เขาพลิกตัวไปมาบนเตียง กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ สุดท้ายเขาเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก หยิบถุงยาขึ้นมามอง เขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยู่ในมือ ลังเลว่าควรทำอย่างไรต่อไป



หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่เก้า (P.2) - กำเริบ 12-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 12-10-2018 23:03:43




นิพัทธ์นั่งยิ้มแป้นอยู่ที่โต๊ะอาหาร เจ้าของบ้านอย่างพิรัลนิ่งค้างไปเมื่อสบมองใบหน้าขาวกระจ่างที่คุ้นเคย เขาวางท่าเมินเฉย เดินไปดื่มน้ำตรงตู้เย็นก่อนจะบอกกล่าวแม่ว่าจะออกไปทำงานในตอนเช้าตีห้าครึ่ง เขาได้ยินเสียงนิพัทธ์ร่ำลาแม่และเดินตามเขามาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก เด็กหนุ่มคว้ามืออีกฝ่ายไว้ด้วยเริ่มรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“มาหาผม มีอะไร” พิรัลเอ่ยถาม เขารู้สึกอารมณ์ไม่คงที่ รู้สึกหงุดหงิดที่อยู่ๆนิพัทธ์นึกจะมาก็มา นึกจะไม่รับสายก็ไม่รับ ข้อความก็ไม่ส่งหา ทำเหมือนกับว่าไม่ห่วงความรู้สึกของฝ่ายที่เฝ้ารอบ้างเลย

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ฟังจากน้ำเสียงแข็งกระด้างแบบนี้เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่าพิรัลคงจะโกรธ “ผมคิดถึงพี่เจตน์ก็เลยมาหาครับ รอเจอที่ทำงานไม่ไหว”

คิ้วพิรัลขมวดเข้าหากัน เขาเปิดประตูรถก่อนจะเข้าไปโดยไม่พูดกล่าวสิ่งใด นิพัทธ์ลนลานเปิดประตูตามเข้าไปนั่งก่อนรถเก่าเก็บสุดที่รักของพิรัลจะขับทะยานออกไปตามเส้นทาง เขารู้แล้วว่าการออดอ้อนครั้งนี้คงไม่อาจทำให้พิรัลหายขุ่นเคืองได้ แต่นิพัทธ์ยังคงเก็บงำเรื่องส่วนตัวเอาไว้อย่างมิดชิด เขายอมถูกพิรัลโกรธ ยอมถูกพิรัลเข้าใจต่างๆนานาไปเอง มันคงดีกว่าการรู้ความจริง

“ผมรู้ว่าพี่โกรธที่ผมหายไป…”

“ส่งข้อความมาบอกผมหน่อยไม่ได้เหรอ กานต์” ชายหนุ่มพูดแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เขาถอนหายใจยาว คิดว่าถึงจะโกรธ ถึงจะโมโหไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้

“ผมไม่ได้ดูมือถือเลย เพิ่งมาดูตอนเที่ยงคืนกว่าๆ จะโทรหาพี่เจตน์ก็กลัวว่าจะหลับไปแล้ว”

“ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” พิรัลตัดบท ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องต่อล้อต่อเถียง อีกประการหนึ่งเมื่อได้สบหน้าเด็กหนุ่มแล้ว ความรู้สึกต่างๆมันเบาบางลง ราวกับว่าเขาพร้อมยอมให้อภัยไม่ว่านิพัทธ์จะทำอะไรมา

“พี่เจตน์ น้องขอโทษนะครับ” เด็กหนุ่มเริ่มเข้าปะเหลาะ กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มกว้าง ราวกับไม่มีเกิดอะไรขึ้น

“แล้วนี่มายังไง แท็กซี่เหรอ”

“นั่งแท็กซี่มาครับ” เขาขยับเข้าไปใกล้เกยคางไว้ที่ไหล่อีกฝ่าย ส่วนมือเลื้อยลงต่ำ “พี่เจตน์ แวะคอนโดน้องได้มั้ยครับ” มือที่เลื้อยลงต่ำนั้นกอบกุมเป้ากางเกงพิรัลอย่างเต็มไม้เต็มมือ นวดคลึงเบาๆให้รู้สึกวาบหวาม หากแต่พิรัลกลับดึงมือออกด้วยสีหน้าเฉยชา ยังผลให้นิพัทธ์เริ่มใจไม่ค่อยดี

“โทษที ผมไม่มีอารมณ์” พิรัลโกหก ในใจของเขานั้นถวิลหาอยากสัมผัสนิพัทธ์ แต่เขารู้ถ้าหากปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ มันจะยาวนานเลยเถิดและเขายังมีงานอีกมากมายต้องสะสาง รวมถึงงานของนิพัทธ์เองก็ด้วย

“นี่ยังโกรธผมอยู่ใช่มั้ย”

“ผมไม่ได้โกรธ แต่มันเช้าอยู่ผมไม่มีอารมณ์”

นิพัทธ์ขมวดคิ้วสงสัย เขาเอื้อมมือไปสัมผัสที่เบื้องล่างอีกครั้ง ต้านแรงมือจากพิรัลที่พยายามดึงออก ส่วนนั้นยังคงอ่อนตัวในคราวแรก พิรัลพะว้าพะวงกับการขับรถเพราะยิ่งขับเข้าใกล้ตัวเมืองรถก็ยิ่งมากขึ้น กลายเป็นว่าเขาปล่อยให้นิพัทธ์นวดคลึงส่วนนั้นพลางตั้งสติคิดแต่เรื่องบนท้องถนน แต่เมื่อถูกรุกเร้าเข้ามาก มือที่จับพวงมาลัยเริ่มบีบแน่นระบายอารมณ์ เขารู้ตัวว่าอวัยวะที่อยู่ใต้กางเกงสแล็คสีดำขยับขยายจึงเบี่ยงหลบและจับมือนิพัทธ์ออกห่าง

เด็กหนุ่มล่วงรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง เขารุกเร้าต่อด้วยการผ่อนปรนให้พิรัลจับมือออกแต่ตลบหลังด้วยมืออีกข้างซึ่งเอื้อมไปรูดซิปกางเกงลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวใสก้มลง มุดอยู่ที่เป้า พิรัลกระสับกระส่ายเมื่อลมหายใจปะทะเข้ามาผ่านกางเกงชั้นใน

“กานต์ ผมไม่มีอารมณ์หรอก ผมขับรถอยู่”

คำพูดของพิรัลไม่อาจส่งถึงอีกฝ่ายได้ เพราะนิพัทธ์เริ่มใช้ลิ้นแลบเลียอวัยวะที่โผล่พ้นเนื้อผ้า แม้ว่ามันยังไม่ขยายตัวเต็มที่แต่ก็ดูอวบอัดยวนใจนิพัทธ์มากพอแล้ว เด็กหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลง ลิ้นชื้นแฉะทำหน้าที่ ผสมผสานด้วยมือคลึงเคล้า เขาพอใจที่เห็นมันพองตัวขึ้นทีละน้อยเมื่อรับเข้าปากไปทั้งหมด

พิรัลลงความเห็นแล้วว่าตัวเองแพ้อย่างราบคาบ เขาเลี้ยวเข้าไปในซอยหนึ่งที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น จอดอยู่ในซอกที่พบเห็นโดยไร้การฉุกคิดสิ่งใด เขาจับกลุ่มผมนิพัทธ์ดึงออก รูดซิปลงจนสุด เผยท่อนเนื้อที่ขยายตัวสู่ภายนอก ก่อนโน้มหน้านิพัทธ์เข้าหาและยัดเยียดสิ่งนั้นเข้าปากด้วยความร้อนรน เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีผลักไส เขาชอบเสียอีกเวลาเห็นพิรัลเผยด้านดิบเถื่อน ท่อนเนื้อที่แทรกอยู่ในปากขยายใหญ่กว่าเดิม ส่วนปลายเริ่มถูไถไปตามกระพุ้งแก้ม นิพัทธ์ดูดมันหนักหน่วงราวกับกระหาย น้ำลายของเขาเคลือบแก่นกายไปถ้วนทั่ว เขาเห็นมันในตอนที่คายออกเพราะไม่สามารถรับสิ่งขยายใหญ่นั่นได้ทั้งหมด

ชายหนุ่มอายุมากกว่าฝืนบังคับ เขาจับศีรษะของนิพัทธ์ไว้มั่นเหมาะและชำเราปากของนิพัทธ์ด้วยท่อนเนื้อซึ่งแข็งตัวเต็มที่ ดวงตาสีเข้มจดจ้องมองดูสีหน้ากระอักกระอวนของอีกฝ่ายแต่ไม่มีท่าทีอ่อนข้อให้ ในเมื่อห้ามแล้วไม่ฟัง ในเมื่อห้ามแล้วแต่ยังดื้อดึง เขาก็จะสนองให้ เป็นแบบนี้ดีเสียอีก เขาเองก็เป็นเพียงชายหนุ่มผู้ซึ่งชอบการถูกปรนเปรอด้วยปากเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ผ่านมาเป็นเพราะไม่อยากให้คนรักต้องทนอึดอัดที่ใช้ปาก จึงไม่ค่อยได้สนองแบบจัดเต็มให้ แต่คราวนี้พิรัลไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังแทรกกายอยู่ในโพรงปากดั่งใจต้องการ

มือสองข้างจับกดศีรษะนิพัทธ์ให้รองรับท่อนเนื้อที่ขยายเหยียดยาว เสียงอู้อี้ที่ดังเล็ดลอดออกมานั้นฟังไม่ได้ความ เขารู้สึกได้ถึงแนวฟันที่เสียดสีในบางคราว รู้สึกถึงส่วนปลายที่เบียดอัดเข้ากับเพดานปาก ใช้เวลาพักใหญ่จากท้องฟ้าสีมืดในเวลาเช้าตรู่เริ่มเห็นแสงรำไรจากดวงอาทิตย์ที่ซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆ

พิรัลดึงศีรษะของเด็กหนุ่มออกห่าง บีบปากก่อนจะสาวท่อนเนื้อรัวเร็วเมื่ออารมณ์วาบหวามกระจุกตัวจนแน่นล้น เขามองน้ำขาวขุ่นพุ่งใส่เข้าปากอีกฝ่ายด้วยความพึงใจ มันไหลเยิ้มอยู่ที่ข้างแก้มบางส่วนก่อนจะเปรอะคางโดยไม่ได้ตั้งใจ พิรัลพรูลมหายใจเมื่อเห็นลิ้นแลบเลียน้ำที่เลอะอยู่มุมปาก เขาถึงกับร้องด้วยความเสียวซ่านยามเมื่อนิพัทธ์กลับมาครอบครองส่วนนั้นด้วยปากอีกครั้งราวกับเป็นแท่งแห่งความหฤหรรษ์

“อร่อยมากมั้ย”

นิพัทธ์ผงกหัวขึ้น มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และครางเครือตอบรับแท่งหรรษา ดวงตาสีเข้มเหลือบมอง มือถือครองส่วนที่เริ่มอ่อนตัวพลางแลบเลียจากส่วนโคนจนสุดความยาวของอวัยวะด้วยลิ้น พิรัลยิ้มมุมปากพึงใจค่อยๆไล้ลูบแก้มก่อนรั้งใบหน้าแสนรักเข้ามามองตา แล้วคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำกามให้อย่างแผ่วเบา

“พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“ผมรักพี่จริงๆนะ อย่าเพิ่งเบื่อผมนะครับ”

พิรัลนิ่งเงียบครุ่นคิดสิ่งต่างๆ และมองลึกสำรวจดวงตาของคนตรงหน้า เขาไม่ใช่พวกพูดก่อนคิด ในบางครั้งมันทำให้เขาตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามได้ช้ากว่า แต่ทุกครั้งที่เขาพูดมันผ่านการกรั่นกรองมาเป็นอย่างดี

“กานต์ ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมกานต์ถึงคิดแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ผมพูด ผมก็จะพูดตรงๆ ผมอายุจะสี่สิบแล้วนะกานต์ ผมไม่เคยมีแฟนเด็กเท่ากานต์มาก่อนเลย แต่ผมอยากให้กานต์รู้ว่าผมจริงจังเรื่องของเรามาก ผมไม่ได้มองแค่เรื่องที่เราเข้ากันได้ดี แต่ผมมองไปถึงว่าถ้าวันหนึ่งผมจะต้องเจอหน้ากานต์ทุกวันไปเรื่อยๆผมจะเบื่อกานต์มั้ย ถ้าวันหนึ่งผมจะต้องมีอะไรแค่กับกานต์คนเดียวผมจะเบื่อมั้ย หรือถ้าวันหนึ่งผมไม่สามารถมีอะไรกับกานต์ได้อีกผมจะยังเบื่อกานต์มั้ย ผมไม่อยากบอก ไม่อยากสัญญาอะไรทั้งนั้น แต่ผมอยากให้กานต์เชื่อว่าผมจริงจังกับกานต์มาก… เป็นผมหรือเปล่าที่ควรกลัวว่ากานต์จะเบื่อผม เบื่อที่ผมแก่แล้ว เบื่อที่ผมไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กวัยอย่างกานต์…”

พิรัลเงียบเสียงลง มองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะจูบที่ริมฝีปาก “กานต์ อย่าเพิ่งเบื่อที่ผมจริงจังกับความรักของเรา อย่าเพิ่งเบื่อถ้าผมจะรักกานต์มากกว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ อย่าเพิ่งเบื่อผมนะกานต์”

ชายหนุ่มร้องขอด้วยประโยคคล้ายคลึงและมีความหมายเดียวกัน เขาไม่อาจเรียกร้องให้นิพัทธ์รักเขามากกว่าที่เป็นอยู่ มันเป็นเรื่องเหนือการควบคุม พิรัลตระหนักแก่ใจว่าคนเราย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเสมอ และแม้ว่าเวลานี้เขาจะลุ่มหลงรักนิพัทธ์มากขนาดไหน แต่เสี้ยวหนึ่งในความรู้สึกพิรัลรู้ดีว่ามันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง คนเราต้องจากลากันเสมอ เพียงแค่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเราจะจากกันด้วยเรื่องอะไร สำหรับพิรัลความรักไม่เป็นอนันต์เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อเขาตายความรักก็สลายไปพร้อมกับลมหายใจของเขานั่นแหละ

นิพัทธ์ไม่ตอบรับหรือมีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ เขาเพียงแค่นั่งฟังถ้อยคำยืดยาว และคิดสาปแช่งความจริงจากอดีต สาปแช่งให้มันกลายเป็นสสารและแตกหักดับสูญก่อนพิรัลจะพาลพบความจริงนั้น

แต่นิพัทธ์คงลืมไปว่าสสารไม่มีวันสลายหายไปจากโลกนี้ เพียงแต่แปรเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่น



จำนวนงานมากล้นจนเด็กใหม่(ค่อนไปทางเก่า)อย่างนิพัทธ์แทบรับมือไม่ไหว ในช่วงแรกของการทำงานเขายังจัดการบริหารงานได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ฉายเดี่ยวติดตั้งอุปกรณ์ไอทีในร้านค้าขนาดใหญ่ เขาเพิ่งรู้ตัวว่านี่แหละคือเนื้องานที่แท้จริง ก่อนหน้านี้เขาเคยไปออนไซต์ติดตั้งอุปกรณ์ให้ลูกค้าแล้ว แต่มันเป็นเพียงร้านค้าเล็กและเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งง่ายไม่ซับซ้อน

ไซต์ที่ร้านฟาสฟู้ดแห่งหนึ่งนิพัทธ์พบเจอปัญหาซึ่งเกิดจากช่างรับเหมาก่อสร้างที่มาทำงานเกี่ยวกับระบบน้ำอะไรสักอย่าง เขาเรียนวิศวะฯมาก็จริง ผ่านการซ่อมอุปกรณ์เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆมามากมาย หรือแม้กระทั่งทำงานช่างฝีมือก็ดี แต่เขาไม่มีความชำนาญทางด้านประปาเลยแม้เพียงน้อยนิด และตอนนี้เขาถูกลูกค้าคาดหวังว่า ‘เอนจิเนียร์นิพัทธ์’ จะซ่อมท่อน้ำแตกให้

นอกจากจะไม่สามารถทำงานในส่วนของตัวเองได้ ปัญหาจากคนอื่นคงไม่ต้องพูดถึง เขาพยายามอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่าเมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตัวเขาเองไม่สามารถรับผิดชอบให้ได้ เพราะไม่อยู่ในขอบเขตของงาน แต่ลูกค้าที่มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการไม่รับฟังเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเมื่อคิดว่ารับมือไม่ไหวเขาจึงต่อสายด่วนถึงพิรัลที่เป็นหัวหน้า เขายืนอยู่ที่หน้าเค้าเตอร์รับออเดอร์อาหาร มองน้ำที่ไหลเจิ่งนองเฉอะแฉะ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงคิดว่าคนเป็นวิศวะกรจะสามารถซ่อมทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ นิพัทธ์ก็แค่ชำนาญในสาขาที่ร่ำเรียนมาก็เท่านั้น

เด็กหนุ่มพบว่าตัวเองล้มเหลวทางด้านการต่อรองกับคนอื่น เมื่อเป็นทางการเขายังอ่อนประสบการณ์เหลือเกิน ใช้เวลาอึดใจใหญ่กว่าผู้จัดการร้านจะเดินมาคืนโทรศัพท์มือถือให้ พร้อมกับบอกว่าจะให้ช่างรับเหมาก่อสร้างมาจัดการเรื่องท่อแตกก่อน และจะนัดหมายให้ทางนิพัทธ์เข้ามาติดตั้งอุปกรณ์อีกครั้ง วันนั้นการออนไซต์ของนิพัทธ์จบลงโดยยังไม่ได้แสดงศักยภาพเลยสักนิด

จากนครปฐมใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเข้าสู่ตัวเมืองได้ เกือบบ่ายสามที่นิพัทธ์มาถึงออฟฟิศ เขาเข้ามาจัดการงานเอกสาร และเช่นเคยไม่มีใครอยู่ที่คอกเพราะหญิงกับโอมออนไซต์อยู่ที่ต่างจังหวัด หวานและพิรัลประชุมงานทั้งปีทั้งชาติ เขาเปิดแลปทอปทำงาน เช็คอีเมลตอบอีเมลไปตามเนื้องาน สมาธิที่มีจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำจนไม่ล่วงรู้ว่ามีคนเข้ามาประชิดตัว

“ไปออนไซต์คนเดียวมาเป็นไงบ้าง”

เสียงที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้สมาธิหลุดออกจากงานตรงหน้า นิพัทธ์หันกลับมาตามเสียงก่อนจะถอนหายใจยาวแต่ไม่ตอบรับคำถาม

กรณ์นั่งลงด้านข้าง เท้าแขนบนโต๊ะ จดจ้องมองเด็กหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นหลานด้วยรอยยิ้ม “ว่าไง จะไม่พูดกับอาหน่อยเหรอ”

“เลิกยุ่งกับผมสักที”

อีกฝ่ายไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน อีกทั้งยังหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องน่าขบขันสักนิด “ไม่ยุ่งไม่ได้สิ เราเป็นญาติสนิทกันนะ”

นิพัทธ์เมินเฉย พยายามจดจ่อตั้งสมาธิกับงานตรงหน้า

“เห็นกานต์ตั้งใจทำงานแบบนี้อานึกถึงสมัยที่เราอยู่ชตุทท์การ์ทเลยนะ”

ท้ายประโยคเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มจนมือที่กำลังพิมพ์เนื้อหางานชะงักค้าง

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ห้องใต้หลังคาจะเป็นยังไง ห้องที่เราเคย...”

“เลิกยุ่งกับผมสักที”

แม้ว่าจะถูกพูดแทรกแต่กรณ์ยังคงลอยหน้าลอยตา ต่างจากนิพัทธ์ที่มีท่าทางขึงขังอย่างเห็นได้ชัด

“ผมต้องรีบส่งรีพอตให้พี่เจตน์แล้ว”

“อ้อ ส่งงาน...” กรณ์โน้มตัวเข้าหาอีกฝ่าย จ้องตาก่อนจะยิ้มราวกับท้าทาย “ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ” เขาทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะเดินออกไป


ความเครียดสุมกองอยู่ในอกของพิรัลตลอดช่วงเวลาประชุม เขาถูกกดดันอย่างหนักด้วยเรื่อง Performance ภาพรวมของทีม ปัญหาการซ่อมอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของร้านแห่งหนึ่งกลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โต เพราะลูกค้าแจ้งซ่อมมาหลายครั้ง เปลี่ยนเครื่องสำรองให้ก็แล้ว ซ่อมให้ก็แล้ว แต่อุปกรณ์ชิ้นดังกล่าวยังคงใช้งานไม่ได้ดี จนเรื่องบานปลายทะลุมาถึงระดับหัวเรือใหญ่ ตัวเล็กหัวลีบอย่างพิรัลจะสามารถโต้แย้งสิ่งใดได้เนื่องจากหน้าที่นี้เป็นความรับผิดชอบของเขาทั้งหมด

พิรัลปวดหัวจนรู้สึกถึงอาการเต้นตุบตับที่ขมับ อีกทั้งยังปวดลามมาถึงเบ้าตา และเนื่องจากจ้องหน้าจอแลปทอปมาตลอดทั้งวันดวงตาของเขาจึงพร่ามัวนิดหน่อย พิรัลโดนหวานเรียกประชุมตัวต่อตัว หากพูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือพิรัลโดนหัวหน้าเรียกมาด่า เขาน้อมรับคำตำหนิ เถียงบ้าง อธิบายบ้าง ก้มหน้าก้มตารับความผิดบ้างไปตามเนื้องาน หวานออกไปจากห้องประชุมเล็กก่อนเพราะมีธุระส่วนตัว พิรัลนั่งอยู่ในห้องนั้นต่ออีกพักหนึ่งเพื่อคิดงานก่อนจะเดินออกไปบ้างเมื่อท้องร่ำร้องประท้วงบอกถึงความหิวโหย

เวลาล่วงเลยหลังจากเลิกงาน แต่พิรัลยังเห็นแผ่นหลังคุ้นเคยในคอกทำงาน เพียงเท่านั้นเขารู้สึกราวกับได้รับพลังชีวิตมหาศาลแล้ว พิรัลก้าวยาวๆหมายประชิดตัวคนรักแต่เขาสังเกตเห็นใครอีกคนนั่งเท้าแขนลอยหน้าลอยตาอยู่ด้วย สองเท้าที่เคยก้าวเร็วชะลอลง หูคอยเงี่ยฟัง หัวใจของพิรัลเต้นแรง มันปวดหนึบขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย เขาหลีกเข้ามาอีกทางซึ่งเป็นห้องที่เชื่อมต่อกับคอกทำงาน ยืนทำทีเป็นกดโทรศัพท์มือถือ แต่ประสาทการรับรู้นั้นอยู่ที่เหตุการณ์ตรงหน้าทั้งหมดทั้งมวล

พิรัลรู้ว่ากรณ์คือมลพิษที่คอยบั่นทอนความสุขในตัวนิพัทธ์ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่ได้โง่งมเหมือนพระเอกละครหลังข่าวที่มารู้ทุกอย่างภายหลังในตอนอวสาร พิรัลรู้ว่าระหว่างนิพัทธ์กับกรณ์ต้องมีความหลังบางอย่าง แต่จะให้เขาทำอย่างไร จะให้เขาง้างปากนิพัทธ์เพื่อเค้นความจริงก็ดูจะโหดร้ายไปเสียหน่อย ความอยากรู้มาพร้อมกับความเป็นห่วงแต่หากนิพัทธ์ตรองดูแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดถึง พิรัลคงจะต้องยินยอมน้อมรับสิ่งนั้นไว้

เขาเห็นกรณ์ลุกขึ้นกำลังเดินออกจากคอก แต่แล้วกรณ์กลับชะงักและเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง นิพัทธ์สะดุ้งตกใจในตอนที่กรณ์เข้ามาประชิดตัว ดวงตาของเด็กหนุ่มเลิ่กลั่กลนลาน ร่างกายเกร็งด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของพิรัลบีบแน่น มันหนักที่หน้าอก และเขาเริ่มหายใจลำบาก ภาพของกรณ์กำลังฝืนบังคับกอดนิพัทธ์ทำให้พิรัลปวดหนึบในทรวงอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มือของเขาข้างหนึ่งกำโทรศัพท์มือถือแน่น ส่วนอีกข้างพยุงตัวเองกับประตูจึงทำให้เกิดเสียงดัง หูของพิรัลอื้ออึงเหมือนมีลมหวีดหวิว เขาฟังเสียงเรียกจากนิพัทธ์ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาไม่รู้เรื่อง เขามองหน้านิพัทธ์ เห็นปากขยับเอื้อนเอ่ย มันช้าลงเรื่อยๆ เขามองเห็นกรณ์ สีหน้าที่มักระรื่นลอยไปลอยมาดูสงบนิ่ง พิรัลมองมาที่นิพัทธ์อีกครั้ง และหยุดสายตาไว้ที่เด็กหนุ่มคนนี้

“คุณเจตน์ คุณจะไปไหน ต้องกินยาอะไรมั้ยผมจะหยิบให้” กรณ์เดินมาดักทางพิรัลไว้ด้วยสีหน้าสงบเช่นเคย

หากแต่นิพัทธ์กลับลนลานไปหมด เขาไม่รู้ว่าทำไมพิรัลถึงต้องกินยา เพราะในหัวตอนนี้เขาครุ่นคิดถึงแต่เรื่องอื่น เรื่องที่พิรัลเห็นเขาอยู่กับกรณ์ “กินยาทำไม พี่เจตน์เป็นอะไรครับ” นิพัทธ์ไม่ถึงกับแตกตื่นเป็นบ้าเป็นหลัง แต่เขาเป็นกังวลไปเสียทั้งหมด กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น กังวลกับสภาพย่ำแย่ของพิรัลในเวลานี้

กรณ์ยืนนิ่ง มองดูหลานของตัวเองที่ช่วยพยุงชายหนุ่มอีกคน เขาแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะเฉลยในสิ่งที่คิดว่านิพัทธ์ยังสงสัย “กานต์ไม่รู้เหรอว่าคุณเจตน์เป็นโรคหัวใจ”

นิพัทธ์ค้างชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะช่วยพยุงพิรัลมานั่งบนเก้าอี้ในคอก พิรัลเองก็นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยหัวใจอันหนักหน่วง กรณ์มองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะราวกับกำลังเบื่อหน่ายฉากละครน้ำเน่า

“นี่คบกันยังไงกานต์ถึงไม่รู้ว่าแฟนมีโรคประจำตัว”

“..................”

“อ้อ หรือว่าไม่ได้คบกันจริงจัง เป็นแค่คู่นอนกันเฉยๆ...”

“..................”

กรณ์มองดูอีกสองคนที่ยังคงไม่พูดกล่าวสิ่งใด นิพัทธ์จ้องมองพิรัลด้วยอาการตกตะลึง ส่วนอีกฝ่ายกำลังพังพาบสภาพย่ำแย่จากโรคประจำตัว เขาตัดสินใจหยิบกระเป๋าของพิรัลขึ้นมารื้อค้นหายา “โทษทีนะที่รื้อของส่วนตัว ผมจะหายาให้คุณ ยาอยู่ตรงไหนล่ะ”

“ไม่มี” พิรัลกล่าวสั้นๆ หากแต่เรียกสายตาแห่งความประหลาดใจจากคนสองคนเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี

กรณ์เลิกคิ้วสูงขณะมือยังล้วงค้นเพื่อหายาประจำโรคให้ เขาไม่คาดหวังว่าจะให้มีใครตายลงไปต่อหน้าต่อตาเสียหน่อย “หมายถึงยังไง”

พิรัลกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “ไม่มียา” เขาคว้ากระเป๋าของตัวเองมาจากมือของกรณ์ นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจอันหนักเหนื่อยเหมือนมีก้อนหินสุมทับไม่รู้จบ




************************************



 :katai5:


หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 13-10-2018 00:06:03
ไอ้กรณ์  :z6:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่แปด (P.2) - ยาเม็ดสีขาว 09-Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 13-10-2018 00:13:35
ต่างคน...ก็ต่างเก็บงำ แล้วเมื่อไหร่ อะไรๆมันจะดีขึ้นล่ะ :mew2:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่เก้า (P.2) - กำเริบ 12 Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-10-2018 19:43:51
เกลียดอีคุณอา น้องรู้แล้ว ทีนี้ก็มาทำให้อิพี่กินยานะลูก  :katai1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่เก้า (P.2) - กำเริบ 12 Oct-18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 14-10-2018 23:18:42
เอาอีอากรณ์ไปเก็บ​ เกลียดดดดดดด :z6:
พี่เจตกินยาเถอะนะคะ​น้องรู้แล้ว  จะได้อยู่กับกานต์นานไง
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 15-10-2018 20:52:34
ตอนที่สิบ




อาการปวดหนึบของพิรัลไม่หายไปเสียที อีกทั้งยังรู้สึกกดดันจากสายตาสองคู่ที่มองมา เขาเกลียดสายตาแห่งความเห็นอกเห็นใจจากคนอื่น ยิ่งเป็นสายตาจากนิพัทธ์ยิ่งทำให้รู้สึกราวกับว่าตัวเขานั้นไร้สภาพไปหมดสิ้น เขาเกลียดหากนิพัทธ์จะปฏิบัติต่อเขาเช่นคนป่วย พิรัลไม่เคยต้องการสายตาแบบนี้จากใครทั้งสิ้น

พวกเขาอยู่ที่ตรงนั้นในความเงียบงัน จมอยู่ภายใต้ความคิดของตัวเอง จนกระทั่งกรณ์เป็นคนเอ่ยถามถึงอาการป่วยของพิรัลอีกครั้งทุกอย่างที่ถูกแช่แข็งไว้พลันละลายลง พิรัลปฏิเสธรับความช่วยเหลือ เขาเก็บของส่วนตัวลงกระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นหมายมุ่งตรงกลับบ้าน ทว่าหัวใจของเขาประท้วงร้องปวดหนึบ เขาอดกลั้นเดินไปจนถึงบริเวณโถงยืนรอลิฟต์ แต่เพียงแค่จะยกนิ้วกดปุ่มพิรัลยังรู้สึกไร้กำลัง เขาพยุงร่างด้วยการเท้าแขนพิงกับกำแพง กระเป๋าถูกปล่อยลงพื้น มือข้างหนึ่งกอบกุมหน้าอกที่รวดร้าว เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ได้ยินเสียงเรียก รับรู้ว่าเป็นกรณ์กับนิพัทธ์แต่เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ทุกอย่างช่างดูหนักเหนื่อย เชื่องช้า พิรัลปิดเปลือกตาลง เสียงขานเรียกชื่อจากนิพัทธ์แผ่วเบาลางเลือนลงทุกที

พิรัลเหมือนอยู่ในสถานที่ซึ่งเคว้งคว้าง เหมือนหลุดลอยอยู่ตรงไหนสักแห่งที่ไม่มีผืนแผ่นดิน หัวใจของเบาโหวงมันคงหล่นหายไปในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง น่าแปลกทั้งที่เป็นเพียงอวัยวะชิ้นเดียว แต่เมื่อมันหายไปตัวของเขากลับเบาหวิว ขาของเขาลอยขึ้นจากพื้น อยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก เขาอาจอยู่บนดวงจันทร์หรืออาจลอยละล่องมายังดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก

พิรัลมองเห็นจุดสีสว่าง ณ ที่แห่งนั้น เขาแหวกว่ายตัวเองเข้าไปหาประกายสีอ่อน มันยังอยู่ที่เดิม แต่ร่างกายของเขาแทบไม่เคลื่อนไหว เขาออกแรงสุดพลังที่มี ทว่าไม่ไปไหน เขายังอยู่ที่เดิม พิรัลพยายามอีกครั้ง ตัวของเขาขยับเคลื่อนเล็กน้อย มันไม่อยู่นิ่ง แต่ใช้เวลายาวนานเหลือเกินในการเดินทางไปยังจุดสว่างตรงนั้น มันไม่เหมือนทุกที มันต่างออกไป ยากกว่าเดิมและใช้เวลานานราวกับไม่ใช่เวลาบนโลกมนุษย์ ชายหนุ่มเกิดความสงสัย เมื่อไหร่กันกว่าจะเดินทางไปถึงที่ตรงนั้น

ใจของนิพัทธ์ร้อนรนเหลือเกิน เขาคาดไม่ถึงว่าความรู้สึกวูบโหวงเหมือนถูกพรากทุกอย่างออกไปจากชีวิตจะขึ้นในเวลานี้ เขารักพิรัล รักที่ไม่เกี่ยวข้องกับนิสัย ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด แม้แต่กาลเวลายังไม่สัมพันธ์กับความรักที่เขามีให้ชายหนุ่มคนนี้ เขาไม่เชื่อหากกล่าวว่าระยะเวลาเพียงเท่านี้จะสามารถรักคนแปลกหน้าได้ นิพัทธ์รักพิรัลเข้าเต็มหัวใจ เขาประจักษ์แก่ตนเองแล้วในเสี้ยววินาทีที่เห็นพิรัลทรุดลงต่อหน้าในบริเวณโถงกลางที่ทำงาน ความรู้สึกของเขาก้าวผ่านความคลางแคลงใจ ไม่ว่าอย่างไร ณ เวลานี้เขารักพิรัลอย่างไร้ข้อกังขา ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ความรักของเขามันท่วมท้นในสถานการณ์เลวร้าย มันทวีความห่วงใยอาทร และหวงแหนชีวิตของพิรัลยิ่งกว่าสิ่งใด

กรณ์กับเขาช่วยพยุงร่างพิรัลเพื่อไปหาหมอ โชคดีที่กรณ์ไม่ใจจืดใจดำทิ้งขว้างกันในช่วงเวลาแบบนี้ แต่กระนั้นนิพัทธ์ขับไสกรณ์ให้หายจากไป เขายืนกรานว่าตอนนี้ขอใช้ชีวิตอยู่กับพิรัล กรณ์มีสีหน้านิ่งเฉยด้วยสติที่พรั่งพร้อมมากกว่า เขาวางกุญแจรถไว้ให้นิพัทธ์ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น ไม่ว่าเขาจะมีความหลังอย่างไรต่อนิพัทธ์แต่นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสม เขาไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ใช่เลวเสียทีเดียว

นิพัทธ์ติดต่อพี่สาวของพิรัล แจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พิรัลอยู่ในความดูแลของแพทย์แล้ว ไม่ได้ฉุกเฉินชนิดหมดสติอะไรขนาดนั้นแต่ก็อาการหนักพอควร เธอไม่ได้ตื่นตกใจเหมือนอย่างที่เขาคิด เธอเพียงแค่บอกให้นิพัทธ์อยู่ที่โรงพยาบาลจนกว่าเธอจะเดินทางไปถึง

ระหว่างนั้นนิพัทธ์ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาไปติดต่อที่ฝ่ายลงทะเบียนผู้ป่วย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิรัลมีสิทธิรักษาพยาบาลอะไรหรือเปล่า ทางเจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้เขาโทรหาญาติของพิรัล เขาบอกเจ้าหน้าที่ว่าติดต่อไปแล้วและไถ่ถามว่ามีอะไรที่เขาสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ คำตอบช่างน่าผิดหวัง เขารักพิรัล ได้แต่รักและห่วงใย แต่ไม่สามารถช่วยเหลือทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย

จุ๊บแจงมาถึงโรงพยาบาลในเวลาถัดมา ถามถึงความคืบหน้าแต่นิพัทธ์เองก็ไม่รู้อะไรเพิ่มเติม ในตอนนั้นพวกเขาทำได้เพียงแค่รอ

“อย่าเพิ่งบอกแม่นะ” เธอว่าเช่นนั้น “พี่ไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเจตน์”

“พี่เจตน์ไม่เคยบอกผมเลยว่าเป็นอะไร”

จุ๊บแจงถอนหายใจยาว สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน

“ผมไม่เข้าใจ เจอหน้ากันแทบทุกวันแต่เขาไม่เคยบอกอะไรผมเลย”

“อืม นี่แหละเจตน์” จุ๊บแจงส่งยิ้มเบาบางให้ ตอนนั้นนิพัทธ์เพิ่งสังเกตว่าเธอมาถึงโรงพยาบาลด้วยใบหน้าเปลือยเปล่า ไม่มีแม้แต่คิ้วที่ปกติมักเขียนอย่างสวยงาม “กับที่บ้านยังแทบไม่ค่อยได้คุยเรื่องนี้กันเลย กานต์ไม่ต้องแปลกใจหรอก”

“ไม่ค่อยคุย หมายถึงยังไงครับ เรื่องแบบนี้มันปิดกันได้เหรอ”

“ที่บ้านรู้แค่ว่ามันเป็นโรคหัวใจ แต่เจตน์ไม่เคยบอกเลยว่ามีอาการอะไรยังไงบ้าง ทำเหมือนว่ามันเป็นหวัดเดี๋ยวก็หาย”

นิพัทธ์จับน้ำเสียงโกรธเคืองจากจุ๊บแจงได้ เขาเข้าใจเพราะตอนนี้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกัน

“เดี๋ยวพี่ไปฝ่ายทะเบียนก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไงบ้าง ปกติไม่ได้รักษาที่นี่น่ะ”

นิพัทธ์ส่งเสียงตอบรับ เขานั่งอยู่ตรงนั้นมองแผ่นหลังของแจงเดินจากไป ในสมองของเขาครุ่นคิดถึงหลายสิ่งอย่าง ทั้งอาการป่วยของพิรัล รวมไปถึงเรื่องระหว่างเขากับกรณ์

นิพัทธ์เห็นพยาบาลเดินออกมาพร้อมกับพิรัล เธอพูดอะไรสักอย่างคงจะชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการเข้ารับรักษาของที่โรงพยาบาลแห่งนี้ พิรัลตอบรับก่อนเดินมาหานิพัทธ์ที่กำลังเดินก้าวขาเข้าไปหาเช่นกัน

“เดี๋ยวผมไปจ่ายเงินก่อน”

“เอาใบเสร็จมาครับ เดี๋ยวผมไปจ่ายให้พี่เอง”

พิรัลมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉยก่อนจะเดินผ่านไป

“ผมโทรบอกพี่แจงแล้วนะครับ ตอนนี้พี่แจงกำลังไปถามเรื่องสิทธิรักษา”

“อืม” ชายหนุ่มตอบรับ แต่ยังก้าวขาไปในทางที่นิพัทธ์ไม่รู้เช่นกันว่าจะไปไหน

“พี่เจตน์” เขาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ โชคดีที่เวลานี้ผู้ป่วยไม่ขวักไขว่มากนักเขาจึงกล้าเข้าประชิดตัวพิรัล “ทำไมไม่บอกผมเรื่องนี้ พี่เห็นว่าผมพึ่งพาอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ”

พิรัลเงียบไม่ยอมตอบ

“พี่เจตน์โกรธอะไรผมหรือเปล่าครับ ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้โกรธจริงๆ”

“ผมไม่ได้โกรธ เลิกคิดว่าผมโกรธกานต์ได้แล้ว” พิรัลเสียงแข็ง มองหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะพยายามระงับอารมณ์

“จะให้ผมคิดยังไงล่ะในเมื่อพี่เจตน์เงียบแบบนี้อะ”

“จะให้ผมพูดยังไงล่ะกานต์ ให้ผมบอกกานต์เหรอว่าผมเป็นโรคห่าเนี่ย”

ในช่วงนั้นแจงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหรอหรา แต่เธอพอจะเดาได้จากสีหน้าของชายหนุ่มทั้งสองว่ากำลังทะเลาะกัน “เจตน์ กานต์ อย่ามาทะเลาะกันที่นี่ โตๆกันแล้ว” เธอกล่าวเช่นนั้นก่อนจะคว้าเอกสารจากมือของพิรัลมาอ่านดู “พี่จะไปจ่ายเงินกับรับยาให้ เธอสองคนไปเคลียร์กันให้รู้เรื่อง”

“แจง เดี๋ยวเจตน์ทำเอง แจงกลับบ้านไปอยู่กับลูกเถอะ”

เธอถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “ฉันยังเป็นคนในครอบครัวแกอยู่รึเปล่าเจตน์”

สายตาตัดพ้ออ่อนใจจากพี่สาวทำให้พิรัลมีแต่ความเงียบงัน สองพี่น้องมองตากันก่อนที่แจงจะเป็นฝ่ายเดินไปจัดการเรื่องต่างๆโดยทิ้งท้ายบอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อน



ความเงียบส่งเสียงแทนพวกเขาระหว่างที่อยู่ในรถยนต์ นิพัทธ์ขับรถของกรณ์พาพิรัลมาที่คอนโดของตัวเอง ชายหนุ่มอายุมากกว่าเงียบปากสนิท ไม่ว่านิพัทธ์จะถามอะไรพิรัลไม่เอ่ยพูดด้วยเลย แต่ถึงอย่างนั้นพิรัลยังคงเดินตามเขาขึ้นมายังด้านบน นิพัทธ์วางของไว้บนโต๊ะตามความคุ้นเคย เขายืนดื่มน้ำอยู่ที่หน้าตู้เย็นพลางมองพิรัลที่กำลังล้างมือ

นิพัทธ์รู้สึกโกรธที่พิรัลไม่ยอมเปิดปากพูดความจริงว่ากำลังถูกโรคทางหัวใจรุมเร้า แต่เวลานี้หัวใจของนิพัทธ์หนักหน่วง มันร่ำร้องให้เขาสารภาพความอัปยศในชีวิตออกไป เขาไม่แน่ใจนักว่าพิรัลตีความต่อสิ่งที่เห็นในที่ทำงานแบบใด นิพัทธ์ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมอยู่ๆกรณ์ถึงทำแบบนั้น เขามีเพียงความจริงจากอดีตที่พูดออกมาได้อย่างยากลำบาก

“ผมเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดมันตีบ ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอพูดอะไรบ้าง ผมไม่ค่อยได้ฟัง”

พิรัลเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากหุบปากสนิทมาเป็นเวลานาน

“ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง ไม่อยากให้กานต์มองว่าผม… เป็นคนป่วย” ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้บริเวณนั้น ดวงตาจดจ้องอยู่ที่มือตัวเองราวกับมีอะไรน่าสนใจ หากว่ากันตามตรงเขาไม่กล้ามองตานิพัทธ์ เขาจิตนาการไปถึงแววตาแห่งความเวทนาต่อผู้ป่วย แววตาที่มองว่าเขาจะกลายเป็นภาระหากคบหากันสืบเรื่อยไป

“ผมเข้าใจว่ากานต์ยังเด็ก ยังไม่อยากดูแลคนป่วยแบบผม”

“ที่ผมเห็นลาครึ่งเช้าก็คือไปหาหมอเหรอ”

“อืม ใช่”

“ยาก็ไม่กินเหรอ ทำไมอะ ผมไม่เข้าใจ”

“ผมเลือกที่จะไม่กิน ยังไงสักวันก็ต้องตายอยู่แล้ว ทำไมผมจะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำด้วย”

“แล้วผมล่ะ พี่เจตน์ไม่อยากมีชีวิตอยู่กับผมเหรอ”

พิรัลเกือบเผลอเงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่เขายังคงอยู่ในอิริยาบถเหมือนเดิม “ผมไม่รู้…”

นิพัทธ์เงียบลง หัวสมองทึบขึ้นมาชั่วขณะนั้น ตัวของเขาเย็นเยียบไปหมด คำตอบจากพิรัลทำให้เขาสิ้นหวังอย่างไม่สามารถหาเหตุผลรองรับได้

“ถ้าอยากเลิกกันก็บอกมาตรงๆ ผมเข้าใจ” พิรัลเงยหน้ามองอีกฝ่าย หัวใจของเขารวดร้าวเมื่อเห็นสีหน้าสลดเศร้า ไม่มีน้ำตาแต่พิรัลรับรู้ได้ว่านิพัทธ์กำลังรู้สึกอย่างไร แต่เขาจะปล่อยให้นิพัทธ์อยู่กับตัวเองไม่ได้อีก เขาเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแต่จะให้เขาล้มเลิกเคารพความต้องการของตัวเองก็คงทำไม่ได้ พิรัลเป็นแบบนี้ เขาเลือกที่จะไม่รักษาตัวเอง เขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปและไม่สนใจคำแนะนำหรือคำปลอบประโลมจากคนอื่น เขาแค่อยากเป็นพิรัลในวัยสามสิบหกปีผู้ใช้ชีวิตสืบต่อไป โดยไม่ต้องทนต่อสายตาแห่งความเวทนาจากใครทั้งปวง

“พี่เจตน์อยากเลิกกับผมเหรอ”

“เปล่า ไม่เคยอยากเลิกเลย”

“แล้วทำไมพี่ถึงคิดว่าผมอยากเลิกกับพี่ล่ะ”

“………..”

“ผมไม่เข้าใจพี่เจตน์ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ยอมรักษาตัวเอง แต่ทำไมพี่เจตน์ถึงคิดว่าผมจะไม่เคารพในสิ่งที่พี่เจตน์เลือกล่ะ ผมเด็กกว่าพี่เจตน์ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองนี่”

เช่นเดิม พิรัลยังคงเงียบ แต่โสตประสาทของเขานั้นรับฟังในสิ่งที่นิพัทธ์พูดทุกถ้อยคำ

“ผมรู้สึกเหมือนพี่เจตน์ไม่มั่นใจในตัวผมเลย ผมรักพี่เจตน์ ผมชอบพี่เจตน์มาก มีอะไรที่ผมยังแสดงออกมาไม่มากพอหรือเปล่าว่าผมรักพี่เจตน์มากขนาดไหน”

“งั้นบอกผมเรื่องที่บ้านได้มั้ยล่ะ ผมอยากรู้ว่ากานต์กับคุณกรณ์เป็นอะไรกันแน่”

นิพัทธ์เป็นฝ่ายชะงักไป เขามองชายหนุ่มอีกคนด้วยความรู้สึกหลากหลายรุมเร้า “ผมไม่อยากพูด”

“แล้วกานต์จะให้ผมเอาความมั่นใจจากไหนมาเชื่อว่ากานต์จริงใจกับผมล่ะ”

“…………”

“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกกานต์ว่าเป็นอะไร…” ชายหนุ่มอายุมากกว่าคว้ามือของนิพัทธ์มาแนบเข้าที่ใบหน้า พิรัลเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องพรรณนี้ เขาเกลียดการเผยว่าตัวเองนั้นเป็นโรคหัวใจ แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างปรากฏขึ้นต่อหน้าคนที่เขารักจนหมดสิ้นแล้ว พิรัลเองจะพยายามยอมรับในความจริงส่วนนั้น ขอเพียงแค่เขาต้องการรับรู้ทุกความจริงจากตัวนิพัทธ์บ้าง เขาต้องการความมั่นใจมากกว่าที่มีอยู่

“ผมขอโทษจริงๆที่ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร กานต์อย่าโกรธผมนะ”

ฝ่ายคนที่เด็กกว่ายังคงเงียบ พิรัลนึกอยากยุติบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้ เขามีเรื่องที่ต้องครุ่นคิด และทางนิพัทธ์เองคงอยากได้เวลาในการทบทวนสิ่งต่างๆ แต่ช่วงขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก นิพัทธ์กลับบีบมือของเขาแน่น มันแน่นมากและเย็นเยียบ อีกทั้งยังสั่นเทาจนรู้สึกได้

“ผมเคยมีอะไรกับอากรณ์”

พิรัลนิ่งค้าง สบมองใบหน้าแสนรักด้วยความสับสน เขามั่นใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดและได้ยินประโยคนั้นชัดเจน

“กานต์หมายถึงเขาขืนใจกานต์เหรอ”

พิรัลหวังเหลือเกินว่านิพัทธ์จะมีคำตอบที่สามารถคลี่คลายความหมองหม่นนี้ลงได้ แต่ไม่ใช่เลย คำตอบเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับความสุข ใบหน้าขาวกระจ่างที่มักเปล่งประกายความร่าเริงดูสลดเศร้า ดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ฉาบฉายความทุกข์ระทมจนพิรัลรู้สึกรวดร้าว

นิพัทธ์เมินหน้าไปอีกทาง กล้ำกลืนฝืนทนไม่ให้ร้องไห้ อดีตของเขามันช่างน่ารังเกียจ “พ่อผมป่วยเป็นมะเร็งที่ปอด เงินทองที่มีหายไปกับการรักษาจนหมด แต่ว่าอากรณ์ช่วยเอาไว้ ทั้งเงิน ทั้งดูแลครอบครัวผม อาการพ่อแย่ลงอากรณ์เลยให้พ่อไปรักษาตัวที่เยอรมัน ก็ไม่เชิงว่ารักษาตัวหรอกแค่อยากให้พ่อผมอยู่ในที่ที่อากาศดีก่อนตาย”

เด็กหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้า พิรัลยังคงนิ่งเงียบ มือที่จับกันอยู่นั้นคลายลง มันทำให้เขารู้สึกวูบโหวงใจเกินจะทานทน แต่สุดท้ายแล้วเมื่อความจริงปรากฏมาถึงขนาดนี้นิพัทธ์คงไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้อีก

“อากรณ์เป็นน้องชายของพ่อผมก็จริง แต่เขาดีกับครอบครัวผมมาก แม้แต่ตอนที่แม่ผมจะแต่งงานใหม่เขาก็ยังดีกับแม่ผมอีก” ถึงตอนนี้นิพัทธ์ดูมีอารมณ์ขุ่นแค้นขึ้นมาเล็กน้อย เขาถอนหายใจยาวก่อนจะมองมาที่พิรัลอีกครั้ง “ตอนนั้นผมเด็กแล้วช่วงนั้นผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ผมทะเลาะกับพ่อแต่อากรณ์ก็ช่วยให้ผมกับพ่อเข้าใจกัน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอากรณ์ถึงดีกับครอบครัวผมมากขนาดนี้ ผมรู้สึกดีกับเขามากและไม่รู้ว่ามันเลยเถิดไปขนาดนั้นได้ยังไง…”

ใจพิรัลเต้นตุบตับ เขาไม่แน่ใจเลยว่าควรรู้สึกอย่างไรกับเรื่องแบบนี้ และถึงแม้ว่าจะเป็นนิพัทธ์ที่เขารักมากขนาดไหน แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวในอดีตอันผิดบาป โลกทั้งใบของพิรัลสั่นคลอนไปเสียทั้งหมด โลกที่เขาคิดว่ารู้จักดีกลับกลายเป็นโลกอีกใบที่พิรัลยังไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย

“ผมเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว และไม่อยากพูดซ้ำอีก”

พิรัลมองคนตรงหน้า ครุ่นคิด ทบทวนหลายสิ่งอย่าง

นิพัทธ์เริ่มปวดหัว มันร้าวไปหมดที่บริเวณนั้น “ผมผิดไปแล้วครับพี่เจตน์ ผมตัดสินใจผิด ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้นลงไป พี่เจตน์ครับ ผมรักพี่เจตน์นะครับ พี่เจตน์อย่าทิ้งผมไปไหนนะครับ”

พิรัลอื้ออึงไปหมด เขาไม่มีคำตอบหากนิพัทธ์เอ่ยถาม เพราะพิรัลไม่รู้ว่าเขายังรักและพร้อมยอมรับทุกอย่างที่เป็นตัวตนของนิพัทธ์หรือเปล่า พิรัลไม่มีแม้แต่ความคิดเห็นต่อสิ่งนั้น ทุกอย่างช่างว่างเปล่า



เป็นค่ำคืนที่พิรัลรู้สึกราวกับว่าโลกใบนี้ได้แตกสลายลง ไม่เชิงว่ามันแตกสลายไปแล้ว แต่โลกกำลังมีรอยร้าวเกินกว่าการเยียวยา และแม้ว่าจะนอนอยู่บนเตียงเดียวกันแต่พิรัลกลับรู้สึกอ้างว้างไม่เป็นเช่นเคย เขาอาจดูเป็นคนเลวร้ายหากกล่าวว่าเวลานี้ความรู้สึกที่มีต่อนิพัทธ์ได้แปรเปลี่ยนไป พิรัลไม่มีความมั่นใจ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรเอาอะไรมามั่นใจต่อความรักที่มีให้กับนิพัทธ์ มันผิดคาดไปเสียทั้งหมด เขาเคยคิดไปต่างๆนานาว่าวันหนึ่งความรักของพวกเขาอาจจบลง แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่สถานการณ์อันยากเกินกว่าจะรับไหว พิรัลไม่ทราบถึงเหตุผลที่นิพัทธ์ได้กระทำลงไปและเขาไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะเป็นตัวของเขาเองที่เจ็บปวดจากการได้รับฟังความจริง

พิรัลทบทวนความรู้สึกของตัวเอง แต่มันว่างเปล่าไปทั้งหมด เขารักนิพัทธ์อยู่หรือไม่ เขาสามารถยอมรับ ‘เรื่องนั้น’ จากอดีตได้มากแค่ไหน และปัจจุบันนี้นิพัทธ์รู้สึกอย่างไรกับอดีต ในหัวของพิรัลวนเวียนด้วยความคิดหลากหลายไม่จบสิ้น ความสันสน ความซับซ้อนในความรักครั้งนี้คือสิ่งที่เขาไม่เคยพาลพบ และไม่คิดว่าจะพบมันอีกในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่พิรัลตระหนักรู้ได้จากเรื่องนี้นั่นคือหัวใจของเขาเปราะบางเกินกว่าจะยอมรับว่านี่คือเรื่องจริง

ในคืนเดียวกันนั้นอีกความคิดหนึ่งที่ฉายชัดคือความรู้สึกของกรณ์ เขาไม่คิดว่ากรณ์พลาดพลั้งเลยเถิดกับนิพัทธ์ แต่เพราะอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น พิรัลหาคำตอบอื่นไม่ได้นอกเสียจากกรณ์ชอบนิพัทธ์ในเชิงชู้สาว เขาไม่อาจปิดกั้นความคิดส่วนนี้ ไม่อาจหยุดยั้งคิดถึงช่วงเวลาที่นิพัทธ์ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าอะไรที่กลายเป็นจุดกำเนิดความอัปยศนั่น พิรัลครุ่นคิด มีสิ่งใดบนโลกของนิพัทธ์อีกบ้างที่เขายังไม่รู้ พิรัลได้แต่คิด และไร้คำตอบให้กับทุกสิ่งอย่าง


หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 15-10-2018 20:53:45


รุ่งเช้าที่คิดว่าจะได้เผชิญหน้ากัน แต่พิรัลไม่อยู่บนเตียงแล้ว นิพัทธ์ตัวเย็นเยียบไปหมดแต่เมื่อเขาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็พบว่ามีข้อความจากพิรัลบอกเพียงแค่ว่าเจอกันที่ทำงาน แค่เพียงเท่านั้น สำหรับนิพัทธ์ความหวังได้ประกายฉายส่องขึ้นกลางใจ เขามีความหวังว่าพิรัลอาจรักเขาอย่างจริงใจ และพร้อมยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต

เด็กหนุ่มไปทำงานตามปกติ เขาเห็นพิรัลในคอกตามเดิม เมื่อพบหน้ากันอีกครั้งเขาได้รับอาหารเช้าแบบง่ายๆจากพิรัลเหมือนที่หลายครั้งเคยได้รับ นิพัทธ์เผยยิ้ม ไม่เชื่อว่ารอยยิ้มนี้จะทำให้พิรัลหายโกรธเพียงแต่อย่างน้อยรอยยิ้มอาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับสิ่งดีๆในอนาคต

ในคอกไม่มีใครอยู่ นิพัทธ์จึงถือโอกาสนี้เข้าประชิดตัวพิรัลด้วยคิดว่าอยากทำตัวเหมือนเก่าก่อน แต่ผิดคาดเมื่อพิรัลแสดงออกถึงอาการชะงักค้าง ก่อนจะขยับตัวออกห่างและหาอ้างเหตุผลที่เหมือนจะฟังขึ้น แต่นิพัทธ์รู้ว่าพิรัลไม่คิดเช่นนั้น เด็กหนุ่มไม่ตอแยฝืนบังคับใจ เขาเปิดแลปทอปเช็คอีเมล พอเช็คไปได้ไม่กี่ฉบับสมาธิของเขาแตกซ่าน พิรัลอยู่ด้านข้าง ไม่คุยกับเขาเช่นเคย เหินห่าง และเปลี่ยนไปจนความหวังในใจดับมลายลง

พิรัลมองตามหลังเด็กหนุ่มที่เดินออกไปจากคอก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงอยากตามไปเพื่อใช้เวลาร่วมกัน แต่ตอนนี้เพียงแค่คิดถึงนิพัทธ์ เขากลับรู้สึกอยากรักษาระยะห่าง ทั้งกายห่างและใจก็ปรารถนาว่างเว้นจากเรื่องที่เกิดขึ้น พิรัลอยากได้เวลายืดยาวเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ อยากออกไปจากสถานการณ์วังวนเดิม เขาควรทำอย่างไร จะลาพักร้อนตอนนี้ก็สุ่มเสี่ยงต่อหน้าที่การงาน หัวหน้าของเขาใกล้จะคลอดทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้มอดีตรุ่นพี่ที่ทำงานก็ลาออกไปแล้ว ทีมของคนที่ชื่อหมิงก็ไม่สามารถ Back up งานในส่วนนี้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน หญิง โอม น้องๆในทีมรวมไปถึงนิพัทธ์ก็ยังไม่สามารถรับมือกับลูกค้ากันได้มากนัก ไหนจะยังไม่นับประสบการณ์ทางด้านการซ่อมอุปกรณ์หรือติดต่ออุปกรณ์หลากชนิดที่ค่อนข้างซับซ้อนอีก พิรัลไม่รู้ว่าควรเดินหน้าไปทางไหนดี

เขาต้องการสูบบุหรี่ แต่เมื่อหันหลังจะเดินออกไปจากห้องบ้างเขากลับพบเจอกับใครอีกคนที่กำลังเดินมุ่งมาทางนี้ และพิรัลไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างโจ่งแจ้งเลย

“จะออกไปสูบบุหรี่เหรอครับคุณเจตน์”

พิรัลตอบรับ เขาเมินมองไปทางอื่นไม่อาจมองตาของกรณ์ได้เลยแม้เพียงน้อยนิด จินตนาการของเขาผุดขึ้นมาไม่ถูกที่ถูกเวลา เขาไม่ต้องการหวนคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เรื่องที่เขาคิดว่ามันช่างผิดบาปและน่ารังเกียจ

“โทษทีนะ แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณเข้าประชุมด้วยน่ะ เรื่องงานทาวน์ฮอล คุณหวานอยู่ในห้องประชุมแล้ว”

พิรัลตอบรับอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเดินตามกรณ์ออกไป

กรณ์ไม่มีทีท่าเหมือนเมื่อก่อน เขาดูนิ่งสงบและจริงจังในตอนฟังหวานพูดถึงเรื่องแผนผังองกรณ์ฉบับล่าสุด ความจริงแล้วพิรัลแทบไม่เกี่ยวข้องในส่วนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะหัวหน้าของเขาใกล้จะคลอด งานทุกอย่างพิรัลจำเป็นต้องมีส่วนรับรู้เพื่อคอย Back up งานของหวาน พิรัลถือว่านี่เป็นความท้าทายมากที่สุดแล้วตั้งแต่ทำงานมาหลายปี เรื่องของนิพัทธ์หลงหายไปเมื่องานต่างๆถาโถม มันยากต่อการตัดสินใจในระดับบริหาร มันยากยิ่งกว่าการลงมือติดตั้งอุปกรณ์ที่มีความสลับซ้อนเสียอีก เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าระหว่างที่หัวหน้าของเขาลาคลอด งานทุกอย่างจะยังสามารถประคับประคองไปในทิศทางที่ดีงามได้หรือเปล่า

ประชุมครั้งนี้มีแต่การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร แผนการณ์ แนวทาง ทิศทาง หรือแม้แต่ระบบระบอบใดๆถูกถ่ายทอดลงมาจากระดับบริหารของบริษัท พิรัลนึกแปลกใจที่กรณ์ลงมาประชุมกับทีมเซอร์วิสงอกง่อย แต่ไม่ว่ากรณ์จะทำอะไรกับเรื่องงานเขามีหน้าคอยรับฟังคำสั่งเท่านั้นในฐานะลูกน้อง พิรัลเริ่มคิดถึงเรื่องอื่น เริ่มใคร่รู้ถึงตัวตนของกรณ์บ้างแต่เขาจำต้องละทิ้งเรื่องส่วนตัวและคอยบังคับตัวเองให้สมาธิที่มีจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องงาน

“งานทาวน์ฮอลผมอยากให้คุณเจตน์เข้าแทนคุณหวาน ผมคุยกับคุณหวานแล้ว”

พิรัลเลิกคิ้วสูงขึ้นเมื่อพบสิ่งประหลาดใจ เขามองไปที่หวานเพื่อสังเกตสถานการณ์แต่พบเพียงรอยยิ้มเป็นกำลังใจจากหัวหน้า การเข้างานทาวน์ฮอลของบริษัททำให้เขากดดันอย่างหนัก ระดับต๊อกต๋อยแบบเขาจะสามารถรับฟังสารจากเบื้องบนได้ใจความครบถ้วนเหมือนหวานหรือเปล่าพิรัลได้แต่นึกสงสัย

“พี่เชื่อฝีมือเจตน์ พรีเซนต์งานทีมเราแป้บเดียวเท่านั้นแหละ”

พิรัลอ่านสไลด์จากหน้าจอแลปทอปของตัวเองอีกครั้ง ทั้งตื่นเต้นและลังเลสับสนไปหมด เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนอีกสองคนในห้องประชุมก่อนจะรับปากรับคำต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย กรณ์ยิ้มการค้าเขาพูดกล่าวฝากความหวังกับพิรัล แล้วเดินออกไปจากห้องประชุม วินาทีนั้นพิรัลตัดสินใจแน่วแน่เขาขอลาพักร้อนกับหวาน หัวหน้าของเขาแสดงท่าทีประหลาดใจ เธอเปิดปฏิทินงานขึ้นมาดูโชคดีที่ช่วงนี้นอกจากงานทาวน์ฮอลแล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำด่วน สุดท้ายแล้วพิรัลได้รับอนุญาตให้ลาพักร้อนตามที่ขอไป


ช่วงเวลาพักกลางวันนั้นพิรัลชักชวนน้องในทีมไปกินข้าวเหมือนทุกครั้ง เขามองมาที่นิพัทธ์ในใจไม่อยากนึกชวนแต่เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตเขาจึงต้องส่งสัญญาณชวน นิพัทธ์ตามหลังมาด้วยสีหน้าราบเรียบ เด็กหนุ่มรั้งท้ายอยู่กับหญิงคุยเรื่องทั่วไปตามประสาคนติดเกม พิรัลนึกโล่งใจที่บรรยากาศไม่แย่ไปมากกว่านี้ อย่างน้อยการมีคนอื่นอยู่ร่วมด้วยก็ไม่ทำให้เขาฟุ้งซ่านคิดถึง ‘เรื่องนั้น’ อีก

พิรัลรักงานที่ทำ เขาถือว่านี่เป็นอีกก้าวที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพ และยิ่งได้รับงานใหม่ๆเข้ามามันทำให้เขาหมกมุ่นกับสิ่งนี้ พิรัลคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วเพราะไม่เช่นนั้นเขาคงวนเวียนเดินวกวนอยู่ในเขาวงกตที่ชื่อนิพัทธ์ ตลอดบ่ายวันนั้นพวกเขาต่างคนต่างทำงาน ไม่มีแม้แต่การพูดคุยหยอกล้อเหมือนก่อน นิพัทธ์นิ่งเงียบและพูดแค่เรื่องของงาน พิรัลควรรู้สึกแปลกที่เกิดความเงียบงันระหว่างพวกเขา แต่เขากลับโล่งใจเสียมากกว่าที่บทสนทนาไม่มีอะไรไปมากกว่าขอบเขตของงานที่ทำ พอตกเย็นห้าโมงครึ่งต่างคนต่างเลิกงาน พิรัลเก็บกระเป๋ากลับบ้านเร็วที่สุดในรอบห้าปีที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าทำงานที่นี่ เด็กหนุ่มมองแลปทอปที่กำลังถูกยัดลงกระเป๋าก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น

“ผมกลับก่อนนะกานต์” พิรัลว่าอย่างนั้นด้วยท่าทีรีรอเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “ช่วงนี้ผมคงไม่ได้ไปที่ห้องกานต์นะ” เขาต่อท้ายประโยคด้วยเสียงเบาหวิว

ความชาหนึบแล่นริ้วทั่วทุกอณู นิพัทธ์ปวดใจเหลือทานทนแต่เขาแทบจะไม่มีสิทธิ์ทานทัดอะไรได้เลย อดีตที่เคยกระทำลงไปผลบาปของมันฉายชัดอยู่ในวินาทีนี้ “ผมคิดว่าวันนี้เราจะไปดูหนังกันซะอีก พี่เจตน์อยากดูเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

พิรัลนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาหันมองไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจยาว

“พี่เจตน์เคยบอกว่าอยากดูเรื่องนี้กับผม” นิพัทธ์สำทับ “วันนี้มันเข้าวันแรกแล้วนะครับ”

สีหน้าเศร้าหมองของนิพัทธ์ส่งผลต่อใจของพิรัล เขาไม่อาจปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยต่อนิพัทธ์ได้เลย ไม่ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่เพียงใดพิรัลรู้ดีว่านิพัทธ์มีอิทธิพลเหนือเขาเสมอ


มันคงเป็นความทุกข์ทน พิรัลพบว่าเขาต้องการให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่คงเป็นเพราะโลกใบนี้เล่นตลก พิรัลรู้สึกได้ว่าทุกช่วงวินาทีนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า กระนั้น เมื่อทั้งกินข้าวและดูหนังจบลงพิรัลไปนอนค้างคืนที่คอนโดของนิพัทธ์อีกเพราะทนต่อคำอ้อนวอนไม่ไหว

“ผมว่าข้าวร้านนี้มันน้อยไป ผมไม่ค่อยอิ่มเลย” เด็กหนุ่มพูดขึ้นขณะล้มตัวลงนอนบนเตียงอันคุ้นเคย

พิรัลเลิกคิ้วสูงก่อนจะหัวเราะอยู่ในลำคอ “ผมเห็นกานต์สั่งข้าวสองจานนะ ยังไม่อิ่มเหรอ”

“ก็คอหมูย่างมันอร่อย”

“แล้วนี่หิวอีกเหรอ หรือแค่อยากกินเฉยๆ”

“ผมอยากกินคอหมูย่างร้านนี้อีก” นิพัทธ์เฉลยความจริงก่อนจะหัวเราะบ้าง

พิรัลมีรอยยิ้มเจือจางอยู่บนใบหน้า เขายกมือขึ้นลูบไล้ผิวแก้มของนิพัทธ์อย่างที่มักทำประจำก่อนจูบลงไป “กานต์นอนก่อนเลยนะ” เขากระซิบแผ่วเบา สบมองดวงตาเด็กหนุ่มในความมืด “ผมยังนอนไม่ได้งานค้างบานเลย ต้องเคลียร์ให้พี่หวานก่อน”

นิพัทธ์จับมือพิรัลไว้แล้วแนบใบหน้าหันเข้าไปจูบที่ฝ่ามือ “พี่เจตน์ครับ”

“ครับ”

“พี่เจตน์เข้าใจใช่มั้ยครับว่าตอนนั้นผมเด็กอยู่ ผมไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้อยากลองแต่ตอนนี้ผมกับอากรณ์ไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะครับ”

พิรัลไม่ตอบรับด้วยคำพูดแต่ในใจของเขากำลังเจ็บปวด เจ็บปวดที่ยังไม่สามารถยอมรับเรื่องจากอดีตของนิพัทธ์ได้ “ขอเวลาผมหน่อยนะกานต์”

นิพัทธ์จดจำประโยคนั้นได้เป็นอย่างดีแม้ว่าเขาจะง่วงงุนมากขนาดไหน พิรัลต้องการเวลาและนิพัทธ์ยินยอมหากเวลาจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เด็กหนุ่มไม่เคยเฝ้าฝันว่าการขอเวลาจากพิรัลหมายถึงการหายไปจากชีวิต

รุ่งเช้าที่ไม่มีพิรัลทำให้นิพัทธ์ตระหนักแล้วว่าเรื่องราวระหว่างพวกเขาสองคนยังเคว้งคว้างอยู่ที่ไหนสักแห่ง



************************************




ใครไม่ไหวหรือไปต่อกับนิยายเรื่องนี้ไม่ได้บ้างคะ
อย่าเพิ่งหนีหายกันไปนะคะ 55555555
คิดเห็นอย่างไร หวีดร้องลงทวิตเตอร์ #หนึ่งวันบนดาวพุธ ได้เลยค่ะ เราติดตามอยู่เสมอ

แล้วก็ขอพื้นที่ตรงนี้แนะนำและฝากนิยายเรื่องอื่นของเราด้วยนะคะ

หนึ่งมิตรชิดใกล้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68661.0)
เรื่องนี้เป็นเรื่องราว Cliché ของคนที่แอบชอบเพื่อนของตัวเองค่ะ >////<

- Affection - (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68609.0)
ส่วนเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราว Cliché อีกเช่นกัน ระหว่างรุ่นน้องที่ชื่นชอบรุ่นพี่
เรื่องนี้แฮปปี้มากเว่อออ อ่านสบายๆ ใสๆ วัยรุ่นมหาลัยจับมือกัน 5555
เราจะทยอยเอาลงให้ครบเรื่อยๆนะคะ ตอนนี้ลงถึงตอนที่สิบค่ะ

หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-10-2018 00:16:21
เลิกไปเลยไหมพี่เจตต์ จะมาทำตัวห่างเหินแบบนี้ทำไมอ่ะ ให้รู้กันไปเลย เราโกรธจริงๆ ที่เมินน้อง อดีตน้องน้องยังไม่อยากพูดถึงเลย พอบอกออกไปถามว่ามีคนอยู่ข้างๆพร้อมเข้าใจไหม ก็ไม่อ่ะ ตีพี่เจตต์ให้หน้ามืด !!!  :serius2:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 16-10-2018 01:17:17
ยังหน่วงต่อไปเรื่อยๆ เอาอีก เอาให้หน่วงกว่านี้อีก มาโซฯเบาๆ
ติดงอมแงมเลย ไม่ปล่อยผ่านไปแน่นอน
ยังลุ้น....อยากให้จบสวย แบบรักกันและเข้าใจในตัวตนของกันและกันนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-10-2018 01:24:01
หน่วงและก็อึดอัดมากเลย แต่ก็คงต้องให้เวลาคิดกันหน่อย แต่อย่าคิดนานเลยนะ อยากให้เข้าใจกันรักกันอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 16-10-2018 07:17:59
มาค่ะ ดราม่ามาได้อีก เราว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจตแล้วว่าจะยอมรับเรื่องอดีตของกานต์ได้มั้ย เรื่องโรคที่เป็นอยู่ถ้ารับการรักษา ถึงจะไม่หาย แต่ถ้าเราได้อยู่กับคนที่เรารักนานขึ้นแค่วันเดียวเราก็จะทำนะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: ฮิ้วฮิ้ว ที่ 16-10-2018 11:19:02
ชอบภาษาที่ใช้ในการดำเนินเรื่องนะคะ

ในส่วนของความหน่วงนั้น ก็เข้าใจว่าต้องมี

แต่ว่าขออย่างเดียวเลยคืออย่าให้มันยืดเยื้อเกินไป

หวังว่าจะจบสวยนะ <3
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 16-10-2018 13:23:13
โกรธพี่เจตน์อ่ะ ตัวเองเป็นคนอยากรู้พอน้องบอกแล้วเป็นอย่างี้หรอ  :fire:
ก็เข้าใจว่าอดีตที่น้องทำไป มันยอมรับยาก แต่อดีตก็คืออดีตมันแก้ไขไม่ได้มั้ย
ทำไมต้องเปลี่ยนไปอ่ะ น้องดูไม่จริงใจตรงไหน ไหนจะเรื่องไม่ยอมกินยาอีก ดื้อจัง
พี่เจ๊ตตตตตตตตตตตน์ ถ้ายังเป็นอย่างงี้อีกจะหาพระเอกคนใหม่ให้น้องไปบดแย้วนะ สงสารน้องหน่อย
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบ (P.2) - เปิดเผย (15-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: doubleu ที่ 17-10-2018 15:14:23
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
สงสารน้องกานต์มาก ไม่ไหวแล้ว  :o12:
เข้าใจว่าเป็นเรื่องทำใจยอมรับยาก แต่พี่เจตน์ก็ผ่านโลกมาพอสมควร อยากให้ลองพยายามทำความเข้าใจน้องมากกว่านี้
อ่านไปอ่านมา เหมือนน้องรักพี่เจตน์มากกว่า ยอมบอกเรื่องอากรณ์ ยอมเล่าเรื่องครอบครัว
แต่พี่เจตน์แค่เรื่องโรคหัวใจยังไม่ยอมบอกน้องเลย แถมยังไม่ยอมกินยา ไม่รักษาตัวเพื่ออยู่กับน้องให้นานๆ
เรื่องอากรณ์ ถ้ารับไม่ได้ ไม่รักแล้วจริงๆก็พูดให้ชัดเจนเถอะ น้องจะได้ตัดใจ
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 21-10-2018 00:10:28
ตอนที่สิบเอ็ด




แท้จริงแล้วสิ่งที่พิรัลตัดสินใจกระทำลงไปเป็นความสุ่มเสี่ยง พิรัลลางานกับหัวหน้าก็จริงแต่ตามระเบียบและเพื่อความเหมาะสมพิรัลควรใช้สิทธิ์ลาพักร้อนในอาทิตย์หน้า แต่เขากลับไม่มาทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่บริษัทวุ่นวาย ทั้งงานประจำที่รับผิดชอบกันอยู่ และงานอื่นๆจิปาถะประจำวันที่ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด พิรัลหายไปทิ้งไว้เพียงอีเมลเคลียร์งานจำนวนหนึ่งที่พอจะไม่ทำให้ทีมวุ่นวายมากกว่าที่เป็นอยู่ สิ่งที่หวานเป็นกังวลคงเป็นเรื่องงานทาวน์ฮอลที่ฝากฝังอยากให้คนระดับบริหารเห็นฝีมือของพิรัล โชคดีในความโชคร้ายเรื่องที่เธอต้องการให้พิรัลเป็นตัวแทนทีมเพื่อพรีเซ็นต์งานยังไม่มีใครล่วงรู้นอกจากตัวเธอและกรณ์ เพราะไม่เช่นนั้นระดับบริหารคงมองภาพลักษณ์ของพิรัลไม่ดีสักเท่าไหร่

หวานวิ่งวุ่นเข้าพบกรณ์เพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้ แต่เนื่องจากหวานไม่ได้รับรู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้างเธอจึงรู้สึกผิดหวังต่อตัวพิรัลจนถึงที่สุด พิรัลทิ้งงานไว้กลางทาง ทั้งที่ทำเรื่องลาพักร้อนไว้อาทิตย์หน้าแต่กลับหายตัวไปในวันศุกร์โดยไม่บอกกล่าว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพิรัลหายไปไหน แม้แต่ครอบครัวของพิรัลเองยังตื่นตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ พิรัลส่งข้อความบอกกล่าวเพียงแค่ว่าขอโทษต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป แต่ไม่บอกสิ่งใดเพิ่มเติมให้คลายความสงสัย

“เรื่องงานทาวน์ฮอลผมคงต้องให้คุณหวานพรีเซ็นต์เหมือนเดิม แต่ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไหวผมจะให้คุณหมิงพรีเซ็นต์แทน ส่วนเรื่องคุณเจตน์ผมว่าเรารออีกสักนิด คุณเจตน์อาจจะมีปัญหาส่วนตัวจริงๆ”

“หวานเรียนคุณกรณ์ตามตรงว่าค่อนข้างผิดหวังในตัวน้องเจตน์ กว่าหวานจะดันน้องให้มาแทนตั้มได้หวานแทบจะเลียขาอัลฟี่ พอเจตน์มาทิ้งงานไปแบบนี้หวานผิดหวังมากจริงๆ”

“ผมเข้าใจ เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนผมก็เคยเจอ ตอนนี้คุณหวานก็รับผิดชอบไปตามหน้างานก่อน ผมไม่อยากให้คนท้องเครียด ไม่ต้องห่วงนะเรื่องนี้ผมจะช่วยดูแลให้”

หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะขอตัวไปทำงานในเช้าวันนั้น



นิพัทธ์โทรหาพิรัลหลายครั้งจนเริ่มท้อ เขาเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของพิรัลก็วันนี้ เมื่อหลายวันก่อนที่เขาหายตัวไปพิรัลคงกระวนกระวายไม่ต่างกัน วันที่หายตัวไปนิพัทธ์ถูกบังคับให้กลับบ้านเพื่อไปหาแม่ของตัวเอง ถ้าไม่ไปกรณ์ไม่รับประกันว่า ‘เรื่องนั้น’ จะล่วงรู้ถึงหูของพิรัลเมื่อไหร่ เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่กับแม่ ดูแลเธอ เช็ดตัวให้เธอ ป้อนอาหารให้เธอ เขาอาจเป็นเด็กอกตัญญูที่ไม่เหลียวแลแม่ผู้ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งปอดเช่นเดียวกับพ่อ แต่นิพัทธ์คิดเห็นสมควรว่าโรคนี้มันเหมาะกับแม่แล้ว แม่ที่ทอดทิ้งไม่ใยดีลูกเช่นเขามาโดยตลอด

เมื่อนึกถึงคราวสมัยเด็ก นิพัทธ์เติบโตมาในครอบครัวร่ำรวย เขามีพร้อมทุกอย่างแต่เมื่อพ่อป่วยเงินทองที่มีหมดลงไปอย่างเร็วรวดจนน่าใจหายและเวลานั้นแม่ก็เริ่มตีตัวออกห่างเพราะเธออ้างว่าได้พบรักกับชายคนอื่น แม้ว่าจะมีเรื่องราวต่างๆมากมายเกิดขึ้นแต่นิพัทธ์พยายามไม่นำมาเป็นปัญหาในชีวิต ตอนนั้นเขาได้รับความช่วยเหลือจากน้องชายของพ่อ ชีวิตของเขามีกรณ์เป็นดั่งผู้นำ กรณ์มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เยอรมันตั้งแต่เด็กและกลายเป็นพลเมือง เขาไม่รู้เรื่องราวไปมากกว่านี้ รู้เพียงแค่ว่ากรณ์รุ่มรวยมากพอจะรับผิดชอบชีวิตของสองพ่อลูกได้อย่างสุขสบาย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นิพัทธ์ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ชตุทท์การ์ทประเทศเยอรมันอยู่หลายปี

นิพัทธ์ไม่เคยเอาเรื่องที่แม่ทอดทิ้งมาเป็นปัญหา เขามีพ่อกับอาเพียงสองคนในชีวิต ตัวตนของเขาถูกหล่อหลอมอย่างที่เป็นอยู่ก็เพราะผู้ชายสองคนนี้ เพียงแต่ความผิดพลาดครั้งเดียวในชีวิตกลายเป็นตราบาปติดตัวมาโดยตลอด นิพัทธ์รับรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะยอมรับ และเขาไม่คิดโทษพิรัลเลยแม้เพียงน้อยนิด หากมีใครผิดคงเป็นตัวเขาเมื่อหลายสิบปีก่อน ตัวเขาที่สับสน อ่อนไหว ต้องการเรียนรู้ผิดชอบชั่วดี มันพลาดไปแล้วเขาเลือกกระทำในสิ่งผิด แม้แต่วันนี้ตัวของนิพัทธ์เองยังไม่รู้เลยว่าสิ่งใดในอดีตได้ขับเคลื่อนให้เขากระทำ ‘เรื่องนั้น’ ลงไป

หน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงภาพโทรออก ก่อนมันดับลงเมื่อปลายทางไม่รับสาย นิพัทธ์เก็บโทรศัพท์มือถือพลางถอนหายใจยาว พิรัลจะทำทีเป็นลาป่วยก็ได้ แต่น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่พิรัลไม่ทำเช่นนั้น ราวกับว่าที่หายตัวไปไม่ใช่เพราะป่วยการเมืองแต่เป็นเพราะต้องการหนีหายไปเลย นิพัทธ์มองโลกในแง่ดีและไม่ลืมมองโลกแห่งความเป็นจริงประกอบกันไปด้วย แต่เวลานี้นิพัทธ์ยังคงให้ความหวังต่อตัวเองว่าพิรัลไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ อย่างน้อยงานที่ทำอยู่นี้ก็คือสิ่งที่พิรัลชอบ และครอบครัวของพิรัลเองก็ยังอยู่เป็นหลักแหล่ง ความแน่นแฟ้นในสถาบันครอบครัวของพิรัลทำให้นิพัทธ์เชื่อว่าพิรัลจะไม่หนีหายไปไหน

“โทรให้ตายคุณเจตน์ก็ไม่รับสายหรอก”

นิพัทธ์หันไปตามเสียง เห็นกรณ์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้าง เด็กหนุ่มทำหน้าเมินเฉยแม้ในใจกำลังว้าวุ่นไปหมด

“กานต์ อย่าให้อาหมดความอดทนนะ”

“อากรณ์จะบังคับอะไรผมอีก วันนั้นผมก็กลับไปดูแลแม่ทั้งวี่วันแล้วไง ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

“นั่นแม่ของกานต์ กลับไปดูแลแม่จะเป็นอะไรไป แม่เหลือกานต์แค่คนเดียวแล้วนะ”

“ช่วยไม่ได้แม่เลือกแต่งงานใหม่แล้ว พอโดนทางนู้นทิ้งๆขว้างๆก็มาขอให้อาช่วยอีก มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ”

“อากับพี่ก้องไม่เคยสอนให้เราเป็นแบบนี้นะ”

“ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ อาเลิกยุ่งกับชีวิตของผมได้แล้ว” เด็กหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

พวกเขาต่างเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนนิพัทธ์จะถอนหายใจยาวยืดด้วยความเหนื่อยล้า

“เรื่องเมื่อก่อนให้มันจบได้มั้ยครับ ผมพลาดไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้ทำแบบนั้นลงไป”

“เพราะกานต์กับอาชอบกันมากพอที่จะกล้าทำแบบนั้นไง”

“ตอนนั้นผมมีแค่อา ผมเชื่ออาทุกอย่าง แต่ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ทำลงไปมันผิด”

กรณ์แค่นยิ้ม ในสมองหวนนึกถึงเรื่องวันวาน เขารักนิพัทธ์มากและรู้ว่ารักที่มีให้หลานมันล้ำลึกเกินกว่าคนในครอบครัว แต่เขาห้ามใจตัวเองไม่ได้ เขาใช้ช่วงเวลาที่นิพัทธ์สับสน ช่วงที่นิพัทธ์ค้นหาตัวเอง ช่วงที่นิพัทธ์อ่อนไหว เข้าแทรกความคิดลงไป กรณ์หว่านล้อมในจังหวะที่นิพัทธ์คิดว่าไม่เหลือใครที่เข้าใจในสิ่งที่เป็น และเลยเถิดร่วมสัมพันธ์ทางกายกับหลานตัวเอง เขาไม่ถือว่าเป็นการข่มขืนเพราะนิพัทธ์สมยอม กรณ์คิดเข้าข้างว่านิพัทธ์รักเขาในแบบเดียวกัน มันอาจเป็นความรู้สึกนั้นในช่วงเวลาที่อยู่ในห้องใต้หลังคา

แต่เมื่อทุกอย่างจบลงนิพัทธ์ร่ำร้องไห้และบอกว่าพระเจ้าจะไม่ให้อภัยในบาปนี้ กรณ์เห็นตรงกันข้ามเขาคิดเสมอว่าสิ่งที่ทำลงไปคือความรัก นิพัทธ์บอกให้เขาลืม ลืมไปเสียทั้งหมดว่าเคยมีความหลังแบบใด แต่สำหรับกรณ์เขารู้สึกลึกล้ำไปมากกว่านั้นแล้ว เขารักนิพัทธ์ในแบบที่คนทั้งโลกประณามหยามเหยียดและไม่มีใครต้อนรับความสัมพันธ์แบบนี้ กรณ์รู้อยู่เต็มอกและแม้ว่าความรักที่สุมกองอัดแน่นในอกจะมากล้นเพียงใดเขาก็ไม่อาจทำลายอนาคตของหลานลงได้ เขาพยายามทำตัวออกห่างนิพัทธ์แล้วแต่บางครั้งโชคชะตาก็เป็นสิ่งที่เบื้องบนลิขิต หากไม่นับมรดกจากพ่อแม่บุญธรรมชาวเยอรมันที่ตกทอดมาถึงกรณ์ เขาก็เป็นเพียงลูกจ้างในบริษัทเอนจิเนียริ่งเท่านั้น และเขาก็แค่ถูกส่งตัวมาทำงานที่ไทย ทุกอย่างมันเป็นความบังเอิญอย่างน่าเหลือเชื่อ

กรณ์ร่ำรวยจากมรดกของพ่อแม่บุญธรรมชาวเยอรมัน ในวัยเด็กของเขาลำเค็ญมามาก และคงเป็นพรหมลิขิต วาสนา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถูกพ่อแม่ชาวเยอรมันสองคนนี้รับเขาไปอุปการะ ความพร้อมทางการเงินทำให้เขาสามารถรับรองพี่ชายเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่เยอรมันได้ด้วยอ้างเหตุผลถึงเรื่องทางการแพทย์ตอนที่ขอวีซ่า เขาได้พบหลานชาย ใบหน้าอ่อนเยาว์และสดใสทำให้กรณ์ไม่อาจลืมเลือนได้เลย เขารู้ว่ามันผิดและพระเจ้าคงไม่อาจยกโทษในบาปนี้ให้ได้

“อารู้ว่ามันเป็นอารมณ์ชั่ววูบของกานต์ แต่สำหรับอา อาตั้งใจทุกอย่าง”

“มันเป็นบาปครับอา และผมคงชดใช้กรรมนั้นอยู่”

กรณ์ถอนหายใจยาวก่อนจะมองกลับมาที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง “เรื่องคุณเจตน์ กานต์รักเขาเหรอ”

เด็กหนุ่มตัวขาวพยักหน้าแทนคำพูด

“แล้วทำไมกานต์ถึงไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคหัวใจล่ะ คบกันจริงจังหรือเปล่าเนี่ย”

“เขาไม่ยอมบอกผม เพราะไม่อยากให้ผมทำเหมือนเขาเป็นคนป่วย แล้วอารู้ได้ยังไง พี่เจตน์บอกเหรอ”

“อารู้มาจากคุณหวาน แต่ในทีมไม่มีใครรู้นอกจากคุณหวานนะ”

“ผมไม่เข้าใจความคิดพี่เจตน์เลย ผมเด็กเกินไปที่จะรักกับเขาเหรอ”

กรณ์หัวเราะลงคอ ใบหน้าจริงจังก่อนหน้านี้จางหายไปและกลับมาเป็นสีหน้าระรื่นเหมือนเช่นเคย “ถามเรื่องแบบนี้กับคนที่ชอบหลานตัวเองจะดีเหรอกานต์ ถ้าให้อาตอบมันไม่มีเด็กไม่มีแก่ทั้งนั้น รักเกิดขึ้นได้กับทุกคนนั่นแหละ”

ริมฝีปากของนิพัทธ์เม้มแน่น อาของเขามักพูดในสิ่งซึ่งปลอบประโลมเสมอมา ตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากเดิมเลย หากไม่นับเรื่องที่กรณ์รักเขามากกว่าความเป็นญาติ กรณ์คงเปรียบเป็นดั่งพระเจ้าผู้สร้างชีวิตของนิพัทธ์ “ผมรักอานะครับ ผมไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว อากรณ์เข้าใจใช่มั้ยครับว่าเราเหลือกันอยู่แค่นี้”

“เข้าใจและไม่เข้าใจ”

“อากรณ์...”

“กานต์ อาก็มีความคิดของอา กานต์ไม่ต้องเข้าใจทุกเรื่องที่อาพูดหรอก”

นิพัทธ์สลดลง เขาแค่อยากได้ยินอย่างชัดเจนว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะไม่มีทางทำสิ่งผิดบาปอีก “ผมไม่อยากให้อาทำแบบนั้นอีก”

“แบบไหน” กรณ์ทำหน้าไขสือทั้งที่เขารู้ดีว่านิพัทธ์หมายถึงเรื่องอะไร”

“ที่อาทำตัวเหมือนมีลับลมคมในกับผมต่อหน้าพี่เจตน์ อาอย่ามาทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”

“อ้าว ทำไมล่ะ อาอยากล้อเล่นกับหลานไม่ได้เหรอ”

“อากรณ์ผมขอร้อง ผมรักพี่เจตน์จริงๆ ให้เรื่องนั้นมันจบเถอะครับ”

“เอาเถอะๆ เรื่องคุณเจตน์คงต้องรอดูสถานการณ์ก่อน กานต์โฟกัสกับหน้าที่ของตัวเองก็พอ กลับไปทำงานได้แล้ว”

เด็กหนุ่มตัวขาวพยักหน้ารับ เขาพยายามโทรหาพิรัลอีกครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ นิพัทธ์ถอดถอนใจก่อนจะตั้งสมาธิกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง


พนักงานออฟฟิศต๊อกต๋อยอย่างเขาจะปลีกตัวไปติดต่อพิรัลคงทำได้ยากขึ้น เพราะเมื่อขาดคนไปหนึ่งคนจำนวนงานที่มีมันไม่สอดคล้องทำให้เขาต้องรับผิดชอบหน้าที่อื่นเพิ่ม วันนั้นทั้งวันนิพัทธ์ตั้งสมาธิอยู่กับงานและลืมเรื่องของพิรัลไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเลิกงานเขารีบตรงดิ่งไปยังบ้านของพิรัลด้วยความร้อนรน เขาเห็นรถของแจงจอดอยู่ที่หน้าบ้าน เด็กหนุ่มไม่รีรอเขารีบโทรหาพี่สาวของพิรัล ไม่นานนักประตูบ้านก็ถูกเปิดออก

ใบหน้าของแจงนั้นดูไม่ดีเอาเสียเลย เธอยังคงอยู่ในชุดทำงาน แต่ใบหน้ากลับหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด เขาทักทายจ๊ะจ๋าที่ออกมาต้อนรับ ก่อนจะตรงเข้าไปทักทายผู้ใหญ่ในบ้าน แม่ของพิรัลดูนิ่งสงบต่างจากที่เขาคิดไว้มาก เธอรับไหว้เขาแล้วเอ่ยปากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาแต่ไม่ถามถึงพิรัล นิพัทธ์คิดไว้ว่าอาจโดนถามถึงคำถามมากมายเกี่ยวกับการหายตัวไปของพิรัล แต่แม่ของพิรัลที่ดูนิ่งเฉยในเรื่องนี้ทำให้เด็กหนุ่มที่ใจร้อนรนสงบลง

“กินข้าวมาหรือยังลูก”

“ยังครับ แต่ผมยังไม่หิว”

“อืม ถ้าหิวก็ไปตักข้าวเอานะ ตามสบายลูก จะไปคุยกับแจงก็ไปเถอะ” แม่ของพิรัลว่าเช่นนั้นแล้วหันไปตัดก้านดอกบัวอย่างที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้
จุ๊บแจงพานิพัทธ์มาที่ห้องของพิรัล ห้องที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมเหมือนครั้งล่าสุด นิพัทธ์นั่งลงบนเตียง ความทุกข์ใจปรากฏชัดเจนบนใบหน้าไม่ต่างจากจุ๊บแจง

“กานต์รู้มั้ยว่าทำไมเจตน์ถึงทำแบบนี้ ทะเลาะกันเหรอ”

“จะว่าทะเลาะก็ใช่ครับ ผมผิดเองครับ”

“ทะเลาะกันเรื่องอะไร บอกพี่ได้มั้ย”

“.........” นิพัทธ์เงียบลง เมินมองไปทางอื่น

เพียงเท่านั้นแจงก็พอจับใจความได้แล้วว่ามันคงเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน “พี่จะไม่เซ้าซี้แล้วกัน แต่ถ้าอยากเล่าอะไรให้พี่ฟังก็บอกได้นะ ยังไงเจตน์ก็เป็นน้องของพี่ พี่อยากรู้ว่าเกิดอะไรจนทำให้มันหายไปแบบนี้”

“ผมขอโทษนะครับพี่แจง แต่เรื่องนี้มันลำบากใจจะเล่าให้ฟังจริงๆครับ”

“ไม่ต้องขอโทษกานต์ มันเรื่องของคนสองคน พี่เข้าใจ”

นิพัทธ์เผยยิ้มเจือจาง “แล้วนี่คุณน้าเป็นยังไงบ้างครับ”

“แม่โกรธมาก เวลาโกรธจะนิ่งๆอะ แต่กานต์รู้มั้ยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจตน์หายไปแบบนี้”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“เจตน์มันเคยหายไปแบบนี้ตอนรู้ว่าเป็นโรคหัวใจ มันหายไปเชียงใหม่สามสี่วัน ส่งข้อความมาบอกแจงว่าอยู่เชียงใหม่เดี๋ยวกลับแล้ว แม่ง มันจะรู้มั้ยว่าแม่เป็นห่วงมันแค่ไหน ทำอะไรไม่คิดถึงแม่บ้างเลย”

“แล้วตอนนั้นคุณน้าโกรธแบบนี้มั้ยครับ”

“ไม่โกรธ แม่เป็นห่วงมากกว่า แจงนี่สิโกรธมันมาก มันทำให้แม่ร้องไห้”

นิพัทธ์รับคำไปตามเรื่องตามราว เขามองจุ๊บแจงที่เดินเปิดดูนู่นนี่ในห้องพิรัลด้วยความว่างเปล่า เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เด็กหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าควรเริ่มต้นทำสิ่งใดหรือแม้แต่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกแบบไหน

“ผมนอนที่นี่ได้มั้ยครับ”

แจงหันมากลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ “ได้สิ เผื่อเจตน์กลับมาหรือติดต่อมันได้จะได้บอกพี่ด้วยเลย คืนนี้พี่จะอยู่กับแม่อะ เป็นห่วง”

เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้พี่สาวของพิรัล เขาเองก็ได้แต่หวังและรอคอยการติดต่อกลับจากพิรัลเช่นกัน



ตัวตนเหตุที่ทำให้คนรอบข้างวุ่นวายก็ไม่ได้สุขสบายนัก พิรัลเลือกพักโฮสเทลที่เดิมที่เคยพัก เขาเช่าจักรยานขี่ไปรอบเมืองอย่างที่เคยทำ แบกกล้องตัวโตเพื่อเก็บภาพตามทางไปเรื่อย แม้ว่าจะทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำแต่พิรัลรับรู้ดีว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเคยหนีหายจากโลกใบเก่าและสร้างโลกใบใหม่ สถานที่ใหม่และผู้คนแปลกตาทำให้พิรัลสามารถหลีกหนีความเป็นจริงได้ แต่มันเป็นเพียงระยะเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้นเพราะพิรัลรู้ดีว่าเท้าที่เหยียบย่ำอยู่บนพื้นยังเป็นโลกใบเก่า

ชายหนุ่มทำเรื่องลาพักร้อนไว้สี่วันในอาทิตย์หน้าที่จะมาถึง แต่คืนนั้นที่เขาอยู่กับนิพัทธ์ พิรัลทนมองใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ไหว หากกล่าวว่าเขายินยอมน้อมรับอดีตของนิพัทธ์คงเป็นเรื่องโป้ปด เขายังทำใจยอมรับไม่ได้ ยิ่งได้มองใบหน้ายามหลับใหลของนิพัทธ์ หัวใจของเขาบีบรัดด้วยคล้ายกับมีสิ่งแปลกปลอมแทรกสอดอยู่ในนั้น พิรัลจำต้องแยกตัวออกห่างจากอดีตของนิพัทธ์ คนรักของเขาเคยมีความหลังกับญาติแท้ๆของตัวเอง มันเหมือนเป็นโลกใบใหม่ที่พิรัลคงต้องใช้เวลาปรับตัว

เขาทำเรื่องซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเช้าที่สุดเพื่อเดินทางมายังต่างจังหวัด พิรัลไม่คิดอยากแตกหักกับนิพัทธ์ แต่เขาเปราะบางและต้องการใช้เวลาทบทวนครุ่นคิด เขาอยากอยู่กับตัวเองเพื่อคิดให้แน่ชัดว่ารักที่มีให้นิพัทธ์มันยังมีตัวตนและหากมี จะมีมากพอสำหรับการยอมรับทุกอย่างของเด็กหนุ่มหรือเปล่า

ชายหนุ่มหยุดจักรยานเพื่อถ่ายรูปโดยใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอของเขาปรากฏหมายเลขโทรเข้ามากมาย ทั้งจากออฟฟิศ จากลูกค้า และครอบครัวคนรอบข้าง พิรัลเปิดตรวจดูทุกอย่าง เขาไม่ตอบรับ ไม่ส่งข้อความหาใครอื่นเหมือนเช่นเคยแต่พิรัลอดใจไม่ไหว ข้อความจากนิพัทธ์พรั่งพรูความรู้สึกนึกคิดหลากหลายอยู่ในนั้น พิรัลกดเข้าไปอ่านมันมากมายจนต้องลงจากจักรยานเพื่อมานั่งอ่านข้อความ

ในนั้นมีทั้งความเสียใจ โกรธ โมโห สลับกับเศร้าโศก พิรัลไม่อาจเพิกเฉยด้วยรู้ตัวดีว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารอมันทรมานแค่ไหน เขาส่งข้อความตอบกลับไปแค่ว่าสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง ตกใจอยู่เหมือนที่ข้อความถูกกดอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาสั่นขึ้น นิพัทธ์โทรหาเขาอีกเป็นรอบที่ล้านแต่พิรัลกลับไม่รับสาย ล้วงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ทอดอารมณ์อยู่ตรงนั้นกับม่านควันสีเทาพลางเฝ้าดูอีกฝากฝั่งที่ร้อนรนอยากติดต่อด้วย สุดท้ายเขาเลือกปิดโทรศัพท์มือถือ มองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าและปล่อยให้สายลมพัดพาความทุกข์ระทมใจออกไป

สายตาของนิพัทธ์จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กำลังดับลงหลังจากโทรหาพิรัล เขาวางโทรศัพท์มือถือไว้ด้านข้าง มองไปยังห้วงอากาศอันว่างเปล่า เด็กหนุ่มเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจทุกอย่างไปเสียทั้งหมด เขาไม่พอใจต่อสิ่งที่พิรัลเลือกในการดูแลตัวเองแต่เขาเคารพการตัดสินใจนั้นแม้ว่าอีกใจหนึ่งจะคิดเห็นตรงกันข้ามกับพิรัล วันนี้ทั้งวันเขาพยายามคิดต่ออีกฝ่าย โทรออกเป็นร้อยครั้ง ส่งข้อความหาอีกนับไม่ถ้วน และผลตอบแทนของมันเป็นเพียงหนึ่งข้อความแสนสั้น นิพัทธ์หนักเหนื่อยใจกับสิ่งที่ได้รับ ในเวลานี้เขารู้สึกด้อยค่าอย่างไร้คำอธิบาย อดีตของตนเองนั้นยากเกินกว่าจะยอมรับได้แต่นิพัทธ์ไม่คิดว่าเขาสมควรได้รับการกระทำห่างเหินเมินเฉยถึงเพียงนี้ หรือบางทีนี่อาจเป็นบทลงโทษจากคนเบื้องบนต่อบาปที่นิพัทธ์ได้เคยกระทำลงไป

นิพัทธ์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง กดโทรออกหมายเลขของพิรัล และพบว่าการชดใช้บาปอันหนักหนาของตนเองยังไม่ทุเลาเลยแม้แต่น้อย พิรัลปิดช่องทางการติดต่อไปแล้ว...



************************************





 :ling3:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: นินนินนิน ที่ 21-10-2018 04:23:42
โห แย่มากเลยอะ หนีปัญหามากๆนี่คือการกระทำของคนที่เป็นผู้ใหญ่เหรอ แบบนี้เรียกว่าไม่มีความรับผิดชอบนะ แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกแบบนี้ เลิกๆไปเถอะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 21-10-2018 11:33:30
พี่เจตทำแบบนี้ไม่น่ารักแล้วนะคะ​ ไม่แยกเรื่องงานกับส่วนตัวเลย​ เราจะให้​โอกาสเรื่องอดีตของน้องมันอาจจะยอมรับยาก​ พี่เจตน์คงต้องการเวลา

โอเคถ้าพี่จะไม่รักน้อง​ ไม่รักตัวเอง​ พี่ก็รักแม่บ้างรักครอบครัวบ้าง​ เค้าเป็นห่วงกันอ่ะ​ กลับบ้านมากินยาเถอะ​ค่ะ​ อย่ารีบจากไปไหนเล้ยยยยย
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 21-10-2018 12:14:47
ตัวเองเป็นโรคหัวใจยังไม่ยอมรับ
ไม่แปลกใจที่จะยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้
สุดท้ายแล้วถ้ารับไม่ได้จริงๆ
ก็อยากให้พี่กับคุยน้องไปเลยตรงๆ
อย่ากลับมา คบกัน ทำเหมือนไม่มีอะไร
แค่สิ่งที่น้องเคยพลาดไปในอดีต
น้องก็เจ็บปวดมากแล้ว
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 21-10-2018 13:41:48
บางเรื่องต้องใช้เวลา แต่กลัวว่าเวลาที่มีจะไม่พอ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 22-10-2018 12:40:19
เหมือนมองเห็นตัวเอง เข้าใจทุกๆความรู้สึกของพิรัลนะ บางที...หัวใจมันก็ต้องการเวลาเหมือนกันนะ
ยังไงก็ต้องกลับมาหาน้องนะ พี่เจตน์ สงสารน้อง น้องทำพลาด ถึงจะเป็นบาปที่มหันต์ก็เถอะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-10-2018 20:43:23
เลิกก็ได้นะพี่เจตต์ หมันไส้ ไม่ให้น้องแล้วววว  :katai1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบเอ็ด (P.2) - บทลงโทษจากคนเบื้องบน (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-10-2018 22:18:42
 :sad2: :sad2:
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสอง (P.3) - สุดขอบความรัก (03-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 03-11-2018 21:19:22
ตอนที่สิบสอง



“พี่ ถอยหน่อยได้ป้ะ ผมจะเก็บของ”

พิรัลหันมองไปตามเสียง เขาเป็นพนักงานชายมีผิวคล้ำและมีสำเนียงพูดเสียงดังแบบคนภาคใต้ พิรัลลุกขึ้นเดินออกห่างจากโต๊ะม้าหินอ่อน มองพนักงานชายก้มๆเงยๆหยิบลังกระดาษหลายกล่องเก็บเข้าตู้เหล็กขนาดสูงท่วมหัว จากนั้นเขาก็เดินห่างออกมาเพราะมีพนักงานคนอื่นเข้ามาช่วยเก็บลังกระดาษเหล่านั้น

ตั้งแต่มาถึงทะเลกระบี่พิรัลก็ว่างเปล่า ว่างเปล่าแบบที่ไม่มีอะไรทำ ไม่มีกิจกรรมอะไรที่อยากทำ และไม่มีความต้องการเสาะแสวงหากิจกรรมอื่นใด เขาว่าง เหมือนมากระบี่เพื่อเปลี่ยนที่นอนเท่านั้น วันก่อนหน้านี้พิรัลใช้เวลาขี่จักรยานตระเวนไปทั่วเมือง แวะตลาดนัดข้างทาง ตลาดเล็กตลาดน้อยเท่าที่จะมีในเมือง ซื้อของว่าง อาหาร น้ำดื่มกินไปเรื่อยเปื่อย แต่เพียงแค่วันเดียวกิจกรรมทุกอย่างที่ทำมันช่างดูน่าเบื่อหน่าย เขาขาดความทะเยอทะยานเหมือนไฟกำลังมอดดับ และเพราะกำลังเบื่อหน่ายช่วงเวลาวันเสาร์ที่กำลังดำเนินผ่านไปอยู่นี้ยิ่งดูน่าเอือมระอาไร้จุดหมาย

ชายหนุ่มผู้ห่อเหี่ยวเดินทอดน่องมายังหาดที่อยู่ใกล้โฮสเทล พระอาทิตย์ตั้งฉาก เงาที่ทอดอยู่บนผืนทรายสั้นน้อยนิด เท้าเปลือยเปล่าของเขาเดินเรียบอยู่บนทรายร้อนระอุ พิรัลไม่มีอะไรจะทำ แม้แต่การนั่งทอดหุ่ยปล่อยอารมณ์ไปกับแสงแดดสายลมก็ยังไม่อยากทำ เขารู้สึกผิดที่ทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อดั้นด้นมาตามอารมณ์ของตัวเอง รู้สึกผิดที่ปล่อยให้ใครต่อใครต้องเป็นห่วง แต่มันยากเหลือเกินกับการได้รับรู้ว่าคนที่เขารักเคยทำสิ่งใดไว้ในอดีต ความคาดหวังที่มีต่อนิพัทธ์คงฟุ้งขจรอยู่ในทุ่งดอกทานตะวัน เมื่อรับรู้ว่าดอกทานตะวันที่ละมุนละม่อมกลายเป็นอย่างอื่นพิรัลเตรียมตั้งรับไม่ทัน เขาไม่รู้ว่าควรคาดหวังแบบใดต่อความรักครั้งนี้

แดดร้อนจัด พิรัลจึงเลือกเดินมานั่งที่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่คว้าบุหรี่ขึ้นจุดสูบ เขาว่างเปล่าเหลือเกิน ทั้งที่เมื่อก่อนก็ออกตระเวนไปไหนมาไหนคนเดียว วันนี้ช่างแปลกไปหัวใจของเขาเบาบาง ความรู้สึกที่มีขาดๆหายๆ พิรัลอยากใช้เวลากับตัวเอง อยากคิด อยากทบทวนความรู้สึกของตัวเอง และเขารู้ดีว่าวิธีนี้คงไม่ต่างอะไรจากเด็กที่กำลังวิ่งหนีปัญหา แต่บางครั้งเขาตั้งรับมันไม่ทันจึงคิดได้เพียงอยากหนีหายไปจากตรงนั้น พิรัลคาดว่าตอนนี้ที่ทำงานคงวิ่งวุ่นหาคนมาทำงานแทนเขา หวานที่กำลังจะคลอดน้องคงเครียดจัด ครอบครัวของเขาอาจโกรธและขณะเดียวกันก็ชินชากับนิสัยนี้ของพิรัล เขาเคยเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เป็นอยู่จึงจองตั๋วไปเที่ยวเวียดนามเพียงลำพัง ใส่นอนลา เช่ารถจักรยานยนต์ขับไปทั่วเมืองอย่างเรื่อยเปื่อย ตอนนั้นเขารู้สึกถูกเยียวยาจากทุกสิ่งด้วยการเห็นชีวิตสดใหม่ ได้ทำอะไรแปลกใหม่ และกลับมากรุงเทพด้วยความรู้สึกใหม่ๆ แต่ครั้งนี้แตกต่างไป พิรัลรู้แล้วว่าการตีตัวออกห่างจากนิพัทธ์ไม่อาจเยียวยาหัวใจอันอ่อนแอนี้ได้

พิรัลถอนหายใจยาวยืด ควันที่พ่นออกมาเป็นสายหายไปกับลมทะเล เขาขยี้ดับบุหรี่เดินออกมาจากตรงนั้นแวะทิ้งมวนบุหรี่ไว้ในถังขยะก่อนจะเดินเข้าร้านไอศกรีม ใช้ของเย็นดับใจร้อนรุ่ม บางทีของหวานก็เยียวยาทุกอย่างแต่ถ้าจะให้ดีต้องเยียวยาด้วยโทมาฮอคสักหนึ่งกิโลฯ พิรัลเปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง มีข้อความแจ้งว่ามีหมายนู่นนี่ติดต่อเข้ามามากมาย ข้อความจากแอพพลิเคชั่นสั่นเตือนระรัวจนเขาเองก็นึกประหลาดใจ ประหลาดใจตัวเองที่แข็งแกร่งไม่มากพอจะยืนหยัดสู้กับความรับผิดชอบที่แบกไว้ มันอะไรกันนักหนา ทำไมเขาถึงได้ล้มเหลวกับการใช้เหตุผลในแบบคนที่อายุสามสิบหกปีพึงควรมี อารมณ์หุนหันพลันแล่นที่มีทำให้เขาเสียหน้าที่การงานไป ยังไม่รวมถึงความเมินเฉยที่แสดงออกอย่างชัดเจนต่อนิพัทธ์อีก เขาเสียทั้งงานเสียทั้งคนรัก ใช่ เขายังรักนิพัทธ์อยู่ ความรักที่มีให้ปรากฏตัวขึ้นชัดเจนในยามที่ทุกอย่างว่างเปล่า แต่เหนือสิ่งอื่นใดการกระทำของเขาส่งผลให้ครอบครัวต้องเสียใจ พิรัลคิดถึงแม่ ที่กระบี่ไม่มีไข่น้ำอร่อยๆให้เขากินเลย

นิ้วมือใหญ่จิ้มตัวอักษรผิดบ้างถูกบ้าง เขาส่งข้อความถึงหัวหน้าก่อนเป็นอันแรก อย่างน้อยเรื่องงานก็ควรถูกสะสางให้ชัดเจน หวานจะเชิญเขาออกก็คงยินยอมรับผลนั้นอย่างไม่อาจโต้แยงสิ่งใดได้ ต่อมาก็คือครอบครัวเขาส่งข้อความหาแม่ แม่ที่ชอบเล่นแอพพลิเคชั่นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งยังอัพเดททุกความเคลื่อนไหวรอบตัว และเป็นคนส่งรูปภาพดอกไม้เจ็ดสีสวัสดีเจ็ดวันให้เขาในทุกเช้า แม่เปิดอ่านข้อความเร็วมาก ส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธมาให้หลากหลายตัวก่อนจะทิ้งท้ายถามพิรัลว่ากินข้าวหรือยัง เท่านั้นแหละ พิรัลยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม

“แม่”

“เจตน์อยู่ไหนลูก”

“อยู่กระบี่ นั่งกินไอติมอยู่”

“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว” พิรัลตอบสั้นๆ ต่างฝ่ายต่างเงียบลงไปก่อนเขาจะเริ่มต้นบทสนทนาใหม่ “แม่ เจตน์ขอโทษ”

“อืม ไม่เป็นไรลูก แล้วที่ทำงานว่ายังไง”

“ยังไม่รู้เลย อาจจะโดนเชิญออก แม่ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวหางานใหม่เอาก็ได้”

“เจตน์ลูก ทุกคนเป็นห่วงเจตน์นะ จ๊ะจ๋าก็ถามถึงอาเจตน์อยู่เนี่ย ดูสิ หลานยังเป็นห่วงอาเจตน์เลย”

“ฝากบอกจ๋าหน่อยว่าเดี๋ยวซื้อขนมไปให้ แม่อยากกินอะไรมั้ยเดี๋ยวเจตน์ซื้อไปให้”

“เจตน์ก็รู้ว่าแม่ชอบกินอะไรบ้าง ซื้อมาเยอะหน่อยแล้วกันจะแบ่งไปให้ยัยติ๋มหน่อย”

“ได้ครับ”

“เจตน์... กลับมาเร็วๆนะลูก”

แม่วางสายไปแล้วก่อนพิรัลจะถอนหายใจยาวเป็นรอบที่แปดล้านแปดแสน เขาทำอะไรลงไปกันแน่นะ ทำไมถึงทำให้ทุกอย่างดูแย่ลงด้วยการอ้างว่าอยากทบทวนความรู้สึกของตัวเอง อย่างน้อยเขาควรมีความชัดเจนในเรื่องนั้น บอกกล่าวหัวหน้างาน บอกกล่าวครอบครัว และท้ายที่สุด คนที่เขาควรบอกอย่างชัดเจนก็คือนิพัทธ์

นิ้วมือของพิรัลสัมผัสหน้าจอเลื่อนไปมา เขาไม่ตอบข้อความนิพัทธ์ ลังเลในการกดนิ้วลงไปที่หมายเลขโทรศัพท์มือถือ เขาควรเผชิญหน้ากับนิพัทธ์อย่างไรดี พิรัลล็อคหน้าจอ หยิบถ้วยไอศกรีมมาตักกินจนหมดก่อนจะเดินกลับที่พัก


พิรัลเปลี่ยนชุดลำลองมาเป็นชุดว่ายน้ำ เขาใส่กางเกงว่ายน้ำ บนคอคล้องผ้าขนหนูลงมายังด้านล่างของที่พักซึ่งมีสระน้ำส่วนกลางคอยให้บริการ สระว่ายน้ำขนาดไม่ได้มาตรฐานปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าสวย มีบางจุดเป็นกระเบื้องแบบเหลือบวิบวับเหมือนเกล็ดปลา ถึงจะเป็นโฮสเทลแต่ที่นี่ค่อนข้างเป็นโฮสเทลที่มีรสนิยมอยู่พอควรเกือบเทียบเท่าโรงแรมสองดาว บริเวณเก้าอี้นั่งตัวยาวมีชาวต่างชาติสองสามคนนอนอาบแดดตัวแดงเถือก พิรัลเลือกนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งวางของไว้บนนั้น เดินไปล้างตัวก่อนจะกระโดดลงสระและแหวกว่ายไปมา พิรัลลอยตัวนอนหงายอยู่บนผืนน้ำ ครุ่นคิดถึงการเผชิญหน้ากับนิพัทธ์ เขาคิดว่าการส่งข้อความหรือพูดคุยทางโทรศัพท์มือถือมันไม่เพียงพอ อย่าไปนับรวมถึงการวิดิโอคอลต่างๆ มันอาจเห็นหน้ากันแต่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศระหว่างกัน เขาคงเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบหกปีที่คุ้นชินกับยุคอะนาล็อกอยู่สักหน่อย วิถีชีวิตแบบเมื่อก่อนคือความคลาสสิคสำหรับเขา ไม่ต่างจากวิถีชีวิตสมัยนี้ที่การวิดิโอคอลคงจะคลาสสิคสำหรับเด็กยุคดิจิทัลนั่นแหละ

ตะวันคล้อยต่ำลงแต่ยังปรากฏตัวอยู่บนผืนฟ้า สาดลำแสงร้อนแรงลงมาที่ดาวเคราะห์แห่งนี้ แม้ตัวจะอยู่ในน้ำแต่หน้าที่เผชิญกับแสงแดดก็ร้อนเสียจนเริ่มทนไม่ไหว พิรัลพลิกตัวจุ่มร่างลงในสระว่ายน้ำ ดำดิ่งอยู่ข้างใต้พักหนึ่งก่อนจะผุดขึ้นเหนือน้ำ ขึ้นมาล้างตัวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวใต้ร่มขนาดใหญ่ ตัวของเขาเปียกชุ่ม หอบหายใจเล็กน้อย พิรัลก้มหน้าลงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม เขาคิดไม่ออกว่าควรเริ่มต้นพูดอย่างไรกับนิพัทธ์ แต่แล้วในช่วงที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้นเขารู้สึกได้ว่ามีคนเดินมายืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเหลือบมองพบว่าเป็นปลายเท้าบนรองเท้าแตะของใครสักคนที่หยุดยืน พิรัลเงยหน้ามอง หัวใจของเขาเต้นแรงตุบตับเมื่อได้พบอีกฝ่าย ลมทะเลพัดโชย เสื้อผ้าลู่ลมไปทางใดทางหนึ่ง ขากางเกงคงสั้นและบานมากอยู่พอควร เนื้อผ้าเลิกขึ้นสูงจนพิรัลเห็นขาขาวกระจ่างจนเกือบถึงต้นขา ใบหน้าที่แก้มระเรื่อสีชมพูเพราะร้อนจากแดดไม่ได้แสงอารมณ์อะไรเป็นพิเศษ นิพัทธ์ปรากฏตัวอยู่ ณ ที่ตรงนี้ราวกับฝันไป แต่พิรัลไม่ได้ฝันเพราะนี่คือความจริง

“ร้อนเนอะ”

พิรัลเอ่ยทักหลังจากเห็นว่านิพัทธ์ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานสองนาน น่าแปลก คำพูดต่างๆที่เคยคิดไว้มันซ่อนเร้นอยู่ที่ไหนสักแห่ง


นิพัทธ์พักอยู่ที่โรงแรมเดิมพวกเขาจึงย้ายมาคุยในห้องพักแห่งนี้ เพราะหากคุยกันที่โฮสเทลที่พิรัลพักอยู่คงจะไม่เหมาะสม เพราะห้องพักแบบโฮสเทลมีคนอยู่เต็มไปหมด พิรัลเดินตามหลังเด็กหนุ่มมาเงียบๆ เดินออกมาทั้งที่ใส่แค่กางเกงว่ายน้ำและมีผ้าขนหนูคล้องคอ ขณะเดินก็มองผิวเนื้อที่โผล่พ้นจากกางเกงขาสั้นเหมือนที่เคยทำประจำ นิพัทธ์ยังคงมีบางสิ่งบางอย่างเย้ายวนต่อเขาเสมอ

“กานต์มาถึงเมื่อไหร่” พิรัลเอ่ยถามขณะที่มองดูนิพัทธ์แตะบัตรเพื่อเข้าห้อง

เด็กหนุ่มเหลือบมองแต่ไม่ได้ตอบอะไร

“กานต์” ชายหนุ่มร้องทักเมื่อเข้ามาในห้องแล้วถูกนิพัทธ์รั้งเข้ามาจูบ ริมฝีปากของพวกเขาประกบติดกัน ความอ่อนนุ่มที่ห่างหายไปทำให้ละทิ้งสิ่งอื่นไปหมดสิ้น พิรัลรู้ตัวแล้วว่าโหยหานิพัทธ์มากขนาดไหนและรู้ด้วยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถูกอีกฝ่ายดึงกางเกงว่ายน้ำที่ยังชื้นอยู่ออกไป นิพัทธ์คุกเข่าลงตรงหน้า โอบรับท่อนเนื้อที่เริ่มขยับขยายด้วยริมฝีปาก เขาดูด เขาเลีย และอมไปถ้วนทั่วอวัยวะ พิรัลร้องครางอยู่ในลำคอ เขาเองก็ห่างหายจากเรื่องนี้ไปพักใหญ่เมื่อถูกคนที่คุ้นเคยกันกระตุ้นเร้าก็ตื่นตัวอย่างง่ายดาย นิพัทธ์ลุกขึ้นยืนหลังจากเห็นว่าท่อนเนื้อถูกปลุกเร้าจนแข็งขืน เด็กหนุ่มถอดกางเกงออกแล้วหันหลัง เผยบั้นท้ายให้พิรัล คนคุ้นเคยกันเขารู้ดีว่าควรทำอย่างไร พิรัลรูดรั้งท่อนเนื้อจดจ่อไปที่ช่องทางด้านหลัง ให้ส่วนปลายที่ผุดซึมน้ำต่างๆจากร่างกายได้ชโลมบริเวณนั้นจนชื้นแฉะ ไม่นานนักท่อนเนื้อเปลือยเปล่าก็สอดแทรกเข้าไปอย่างรนร้อน

ร่างของนิพัทธ์ถูกดันติดกับผนังห้อง บั้นท้ายแนบชิดอยู่ที่หน้าขาของพิรัล ความร้อนแรงหลังจากที่ไม่ได้รับมาช่วงหนึ่งทำให้เขาร้องครวญครางด้วยความพึงพอใจ ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีความอ่อนหวาน มีเพียงความกระสันต้องการในแบบคนคุ้นเคย พิรัลร้อนแรงถูกใจเด็กหนุ่มจนช่องทางด้านหลังบีบรัดของพิรัลอย่างไร้การควบคุม เขาถูกพิรัลกระแทกในจุดอ่อนไหวซ้ำไปซ้ำมา ท่อนเนื้อของตัวเองถูไถกับผนังห้องเย็นชืด มันคงเป็นรอยด่างดวงจากน้ำหล่อลื่นที่ไหลซึมออกมา ร่างของเขาถูกอัดแรงเข้าออกแบบนั้นพักใหญ่ ช่องทางลับกลืนกินท่อนเนื้อของพิรัลครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคิดว่าความดิบเถื่อนแทบไร้การเล้าโลมแบบที่พิรัลโหมใส่อยู่ตอนนี้ใกล้ทำให้เขาถึงฝากฝั่งเต็มที

หากเป็นพิรัลในโหมดปกติชายหนุ่มจะเริ่มทำช้าลงเมื่อรู้ว่าตัวเองใกล้ถึงจุดนั้น เพื่อยืดเวลาในการร่วมกิจกรรมด้วยกัน แต่ครั้งนี้พิรัลไม่ออมแรงเลย ความอุ่นจากภายในของนิพัทธ์ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิม ความชื้นแฉะในร่องหลืบด้านหลังนี้ทำให้เขามัวเมาในกามอารมณ์ พิรัลโหมแรงเข้าไปอีก เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังชัดเจนคละเคล้าเสียงหอบหายใจครวญคราง สะโพกของนิพัทธ์ไม่หลีกหนีและยืนหยัดให้พิรัลรุกล้ำเข้าไปลึกกว่าเดิม เด็กหนุ่มหันมาเหลือบมองใช้มือข้างหนึ่งแหวกเนื้อบั้นท้ายออกอ้า

“เอาผมแรงๆหน่อยครับพี่เจตน์ ผมใกล้จะเสร็จแล้ว”

พิรัลแทบจะคลั่งเสียให้ได้ เขากระแทกสวนกายเข้าไปเต็มแรง นิพัทธ์ร้องครางร่างกายเริ่มบิดเกร็งจากการถึงจุดสุดยอด เขาดุนดันท่อนเนื้อเข้าลึกในตอนที่ถึงฝากฝั่งอันวาบหวาม ทิ้งลูกน้องล้านชีวิตไว้ในช่องทางด้านหลัง มองมันไหลซึมออกมาตามผิวเนื้อที่เชื่อมต่อกัน นิพัทธ์หันกลับมาโอบรั้งใบหน้าเขาเข้าไปจูบพลางเกี่ยวขาเข้าหา ขณะพิรัลพยุงรับขาทั้งสองข้างนั่นไว้ พวกเขาจูบกัน แลกลิ้นกัน และนัวเนียกันทั้งที่ยืนอยู่เช่นนั้น พิรัลเริ่มแข็งตัวอีกครั้งอย่างแทบไม่น่าเชื่อสำหรับชายวัยสามสิบหกปี เขาจับท่อนเนื้อกดเข้าแทรกอยู่ในร่างกายนิพัทธ์ เขย่าร่างเด็กหนุ่มด้วยท่อนเนื้ออันตะกละตะกลาม โยกสะโพกเข้าหาไม่หยุดยั้ง

“หิวมากมั้ยครับพี่เจตน์”

“มากครับ”

“ผมก็หิวมากครับ”

ในตอนนั้นพิรัลรู้สึกราวกับได้กำลังวิเศษมาจากมิติลี้ลับ เขาพาร่างนิพัทธ์มาที่เตียงแต่ยังไม่ทันได้วางร่างอีกฝ่ายลงนิพัทธ์ก็เปลี่ยนมาคร่อมทับเขาแทน ท่อนเนื้อของเขาถูกกลืนหายไปยังร่องลับอีกครั้ง นิพัทธ์ขยับโยกไหวบนแท่งเนื้อด้วยความกระหาย เขารู้ เขาสัมผัสได้ถึงแรงขับเคลื่อนของเด็กหนุ่มที่อัดแน่นสุมกองและถ่ายทอดออกมาเป็นความร้อนแรงนี้ หากกล่าวว่าเขายังไม่รู้จักอดีตของนิพัทธ์มันคงเป็นเรื่องจริง แต่หากกล่าวว่าเขาไม่รู้จักร่างกายของเด็กคนนี้เขาขอเถียงขาดใจ

เด็กหนุ่มวางมือสองข้างไว้บนเตียง ส่วนสะโพกขยับตอบรับเข้าหาแท่งเนื้อซึ่งชูชันอยู่ภายใน เขาควบขี่มันดั่งใจต้องการ ทั้งรุนแรงจนส่วนหน้าของตัวเองขยับส่ายไปมาและลุ่มลึกถึงอกถึงใจจนต้องร้องร่ำแสดงความกระหายออกมา พิรัลมัวเมาเกินทานทน มือของเขาโอบสะโพก บอกกล่าวให้อีกฝ่ายนั่งอ้าขาออกกว้าง ก่อนจะยกส่วนล่างแทรกสวนในช่องลับนั่น นิพัทธ์จ้องมอง พร่ำบอกให้เขาชำเราที่เบื้องล่างมากขึ้นอีก ความเย้ายวนทำให้พิรัลหลงทำตามอย่างว่าง่าย เขาเชื่อฟังคำร้องเรียกของเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะให้เน้นย้ำที่จุดไหน จะให้ท่อนเนื้อลุกล้ำลึกเพียงใด เขายินยอมหมดทุกอย่างแล้ว

พิรัลผุดลุกขึ้นนั่ง โอบร่างเด็กหนุ่มไว้ขณะท่อนล่างสุขสมอยู่ภายใน เขาจูบตามผิวกายที่อ่อนเยาว์กว่า กอดรัดความปรารถนาที่ล้นทะลักเมื่อถึงฝากฝั่ง น้ำกามของเขาพุ่งอยู่ในนั้นไหลเยิ้มออกมาเปียกหว่างขา หน้าท้องของเขาเปรอะเปื้อนน้ำขาวขุ่นจากอีกฝ่าย พิรัลน้อมรับทั้งหมดนั่นไว้ด้วยใจโหยหา เขาตระหนักถึงความรักที่มีต่อนิพัทธ์ แม้หากไม่ได้ร่วมสัมพันธ์อันร้อนระอุนี้ แค่เพียงเห็นหน้ากันอีกครั้งเขาก็รับรู้ได้ว่ารักที่เคยมีให้ยังปรากฏตัวอยู่อย่างชัดเจน

“พี่เจตน์อยากเลิกกับผมมั้ยครับ” นิพัทธ์เอ่ยถามหลังจากลมหายใจราบเป็นปกติ เขายังคงนั่งอยู่บนตัวพิรัลในท่วงท่าเดิม กอดอีกฝ่ายไว้เกยใบหน้าลงบนลาดไหล่

พิรัลอ้าปากค้าง เขาไม่เคยคิดเลิกกับนิพัทธ์ เขาแค่ต้องการทบทวนความรู้สึกของตัวเองก็เท่านั้น แต่เมื่อได้พบหน้านิพัทธ์ ความกล้าความเก่งกาจที่มีมันหายไปหมด เขาจุกที่หัวใจจนพูดแทบไม่ออก

“ถ้าอยากเลิกก็บอกมาตรงๆครับ ไม่ใช่หายมาแบบนี้ รู้มั้ยว่าที่ทำงานวุ่นวายกันมาก”

“บอกพี่หวานไปแล้วว่าจะกลับเข้าออฟฟิศวันจันทร์” พิรัลตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่มือปัดป่ายไปตามเรือนร่างอีกฝ่าย ผิวกายอบอุ่นซึ่งชื้นเหงื่อให้สัมผัสอ่อนละมุนไปทุกส่วน เขาชอบนิพัทธ์จนไม่อาจละเลยส่วนไหนได้อีก

“แล้วที่ลาพักร้อนอาทิตย์หน้าไว้ล่ะ”

“ไม่ลาแล้ว”

“แล้ว?”

“แล้วอะไร”

“แล้วจะเอายังไง จะเลิกกับผมมั้ย”

ถึงตอนนี้นิพัทธ์ขยับตัวเพื่อมองและจ้องเขาเขม็ง เขาจำได้ถึงใบหน้าสลดเศร้าก่อนจากมาในคืนนั้น แต่เวลานี้นิพัทธ์ไม่หลงเหลือความเว้าวอนใดๆอีก มีเพียงความแจ่มชัดของความรู้สึกที่ส่องประกายออกมาทางแววตา

“พี่เจตน์โกรธผมเพราะเรื่องนั้นผมเข้าใจได้ ถ้าอยากเลิกกันก็บอกมา แต่พี่เจตน์จะทำให้ครอบครัวของพี่เจตน์เสียใจไม่ได้นะครับ”

พิรัลรู้สึกเหมือนเป็นเด็กชายพิรัลที่กำลังถูกนายนิพัทธ์เริ่มต้นสั่งสอน “ผมรู้ ผมคุยกับแม่แล้ว”

“รู้ว่าแม่เสียใจแต่ยังทำอีกเหรอครับ ยังหนีมาแบบนี้อีกเหรอ ผมรู้นะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก”

“ก็ผมอยากอยู่เงียบๆคิดอะไรคนเดียวนี่”

“แน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้แล้วได้ผล”

“เมื่อก่อนก็ได้ผลนะ คิดอะไรได้เยอะ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ ผมคิดอะไรไม่ออก”

นิพัทธ์เงียบลง เฝ้ามองใบหน้าของพิรัล เขายังรักคนๆนี้อยู่เต็มหัวใจแต่เขารู้ว่าพิรัลไม่อาจยอมรับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาได้ และนี่อาจเป็นสุดขอบความรักของพวกเขา

“ผมจะให้โอกาสพี่เจตน์เป็นคนพูด”

“พูดอะไร”

“บอกเลิกผมไง ผมไม่ชอบคาราคาซังแบบนี้”

พิรัลเงียบ มองสบตากับคนตรงหน้า ในเวลาแบบนี้นิพัทธ์ดูชัดเจน เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวกว่าเขามากเหลือเกิน ทั้งที่เขาอายุมากกว่าแต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นปัญหานี้จึงไม่สามารถรับมือได้เลย “ผมขอโทษนะกานต์...” พิรัลคว้ามือของเด็กหนุ่มมากอบกุม มือที่ไม่ได้อ่อนนุ่มแต่มันเป็นมือที่คอยให้ความอบอุ่นใจกับพิรัลเสมอมาตั้งแต่ที่รู้จักกัน “ผมขอโทษที่หนีหายมา ผมไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นและผมรับมือกับมันได้แย่มาก มานั่งคิดดูผมผิดมากที่ไม่ได้อยู่กับกานต์ในตอนที่กานต์รู้สึกแย่ ผมคิดถึงแต่ตัวเอง ผมขอโทษนะ”

“.............”

“ตอนผมมาที่นี่ ทบทวนคิดอะไรของตัวเอง ใจเย็นลงและพยายามใช้เหตุผล อย่างที่เคยบอกผมอายุจะสี่สิบ ไม่เคยคบคนที่เด็กมากเท่ากานต์มาก่อน ผมบอกตามตรงผมระแวงเรื่องของเรา ผมไม่มั่นใจอะไรสักอย่างผมกลัวว่าถ้ารักกานต์ไปมากกว่านี้คนที่เจ็บก็คือผมเอง แล้วผมก็ยิ่งระแวงมากขึ้นตอนเห็นท่าทีของคุณกรณ์ ตอนผมรู้ความจริงผมรับไม่ได้ ผมแม่งช็อกไปเลย”

“ผมเข้าใจครับ”

“แล้วตอนนี้กานต์กับเขาเป็นยังไง”

นิพัทธ์ส่ายหน้าพลางเอนซบที่ซอกคออีกฝ่าย “ไม่มีอะไรแล้วครับ”

“อ้าว แล้วที่วันนั้นหายไปล่ะ”

“ผมไปหาแม่ แม่ผมป่วย ผมไม่ค่อยสนิทกับแม่ก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเลย แต่อากรณ์บังคับให้ผมไปหาแม่ ถ้าไม่ไปเขาจะบอกเรื่องนั้นกับพี่เจตน์”
พิรัลรับคำอยู่ในลำคอ เขายิ่งรู้สึกผิดเข้าไปมากกว่าเดิมเมื่อฉุกคิดว่าแทนที่จะพยายามเข้าใจนิพัทธ์ แทนที่จะรับฟังเรื่องราวต่างๆด้วยเหตุและผล เขามัวแต่หวาดระแวงกับเรื่องอื่น เรื่องไม่เป็นเรื่องจนได้เรื่องอยู่แบบนี้ “ผมขอโทษนะกานต์”

“ตอนนี้ผมกับอากรณ์ไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะครับ มันไม่มีอะไรแล้ว แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว”

“แล้วคือคุณกรณ์เขารักกานต์... แบบนั้นเหรอ”

“ใช่ครับ”

ชายหนุ่มอายุมากกว่านิ่งค้าง เขาผ่านโลกมาก็มาก เรื่องทำนองนี้ก็เคยได้ยินคู่สังคมมาโดยตลอด แต่พอเจอกับตัวเอง กับคนใกล้ตัว เขาคิดว่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังคงฟุ้งขจรอยู่ในทุ่งดอกทานตะวัน

“ผมเสียใจมากแต่ผมก็ตัดอากรณ์ไม่ได้ เขาดีกับผมมาตลอดทั้งชีวิต ถ้าไม่มีอากรณ์พ่อคงรักษาตัวแบบคนไข้อนาถา แล้วตัวผมเองก็คงลำบากมากๆ อีกอย่างผมบอกพี่เจตน์ตามตรงว่าตอนนั้นผมตัดสินใจของผมเอง มันเป็นความผิดพลาดของผม ผมรู้แล้วว่ามันผิดมาก ผมไม่มีความสุขหรอกนะครับกับเรื่องนั้นน่ะ ถ้าพี่เจตน์รับไม่ได้ผมก็เข้าใจแต่ตอนนี้ผมกับอากรณ์ไม่มีอะไรไปมากกว่าความเป็นญาติครับ”

พิรัลขยับออกห่างเพื่อมองสบตากับเด็กหนุ่ม ทำไมเขาถึงได้ตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นได้มากขนาดนี้นะ การที่นิพัทธ์ปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ พูดคุยให้ทุกอย่างชัดเจนทำให้พิรัลตื่นรู้เสียทีว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้รักใครอื่นไปมากกว่าตัวเอง ต่างจากนิพัทธ์ที่แม้จะมีปัญหาใดๆกล้ำกรายเข้ามาในชีวิต เด็กหนุ่มก็พร้อมเผชิญหน้าและฝ่าฝันผ่านม่านหมอกแห่งปัญหานั้นออกไป

“ตอนผมทำลงไป ทุกวันหลังจากนั้นผมรู้สึกว่ามันยาวนานเหมือนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เลยครับ พี่เจตน์รู้มั้ยครับว่าเวลาบนดาวพุธมันผ่านไปช้าๆเมื่อเทียบกับโลกของเรา ผมเหมือนอยู่บนนั้น กว่าจะหายใจผ่านไปได้แต่ละนาทีพร้อมกับการแบกรับเรื่องนั้นไว้มันทำให้ผมเหนื่อยมาก ผมทนไม่ไหว ผมสารภาพบาปกับคุณพ่อ คุณพ่อบอกว่าพระเจ้าจะให้อภัยกับลูกของท่านและให้ผมไถ่บาปด้วยการมอบความรักให้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รักคนอื่นให้เหมือนที่รักตนเอง…”

นิพัทธ์หยุดพูดเมื่อมือของเขาถูกพิรัลกอบกุมแน่นหนักกว่าเดิม

“ผมผ่านจุดนั้นมาได้ไม่นานนี้เองครับพี่เจตน์ ผมเดินทางออกมาจากดาวพุธและให้อภัยตัวเองต่อสิ่งที่เคยทำ แต่ผมไม่เห็นพี่เจตน์ตามผมมาเลย พี่เจตน์ยังไม่ให้อภัยตัวเองอีกเหรอครับ ทำไมยังไม่รักและยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง”

ถึงคราวพิรัลนิ่งเงียบ เขาไม่คิดเลยว่านิพัทธ์จะสามารถมองตัวตนของเขาได้อย่างลึกซึ้งจนแม้แต่ตัวเองยังมองไม่ถึงจุดนั้น

“พี่เจตน์ทำเหมือนว่าโรคที่เป็นอยู่มันโอเค เดี๋ยวมันก็หายไป ไม่อยากให้คนอื่นทำเหมือนตัวเองเป็นคนป่วยใกล้ตาย แต่พี่เจตน์กำลังลงโทษตัวเองอยู่หรือเปล่า ลงโทษที่เคยทำพฤติกรรมไม่ดีจนเป็นโรคนี้ ลงโทษที่เคยทำให้แม่เสียใจเพราะว่าหนีหายไปเฉยๆโดยไม่บอกครอบครัว ลงโทษตัวเองที่พยายามทำใจยอมรับว่าตัวเองผิดปกติแต่ไม่เคยสำเร็จสักที”

พิรัลมองใบหน้าของเด็กหนุ่มตัวขาวที่มีรอยยิ้มเจือจาง เขายิ้มตามแม้จะหนักเหนื่อยกับความสับสนของตัวเองที่กลัดกลุ้มมานานแสนนาน ทำไมนิพัทธ์ถึงได้เข้าใจตัวตนของเขามากขนาดนี้ พิรัลไม่เคยเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดบนโลก ไม่ว่าจะทางพุทธ ทางคริสต์ ทางใดก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งอุปโลกน์ เป็นนามธรรม เขาไม่ศรัทธาสิ่งใดแม้แต่ตัวของเขาเอง

พิรัลตัดสินใจตั้งแต่รับรู้ว่าเขาเป็นโรคเส้นเลือดตีบที่หัวใจ มีคนที่อาการแย่กว่านี้ มีคนที่ทุรนทุรายเพราะโรครุมเร้ามากกว่าเขาหลายเท่า แต่พิรัลมองเพียงตัวเอง มองเห็นแค่ว่าเขาเจ็บตรงนี้และไม่อาจแบ่งปันสิ่งนั้นให้ใครได้ จะเจ็บมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้แต่มันก็คือความเจ็บปวดเหมือนๆกัน ไม่ว่าคำพูดปลอบประโลมเลิศเลอวิเศษมาจากไหนเขาคิดว่ามันราบเรียบเป็นสามัญ แต่วันนี้มันต่างออกไปนิพัทธ์เป็นดั่งแสงอบอุ่น เรืองรองอยู่ในอนธการ เป็นดั่งจุดสว่างที่พิรัลคอยแหวกว่ายตัวเองออกตามหา เขาพบแล้วว่าสิ่งนั้นคือนิพัทธ์ และไม่ว่าพระเจ้าในศาสนาใดบนโลกจะมีจริงหรือไม่มีจริง แต่นิพัทธ์เป็นรูปธรรม จับสัมผัสได้ และมอบศรัทธาหวนคืนสู่พิรัลอีกครั้ง

ศรัทธาแห่งความรักอาจดูเป็นคำลวงโลก ดาษดื่น และน้ำเน่า จวบจนกระทั่งพิรัลประจักษ์แจ้งแก่ตนเอง เขาพบแล้วว่ามันวิเศษขนาดไหน ในบ่ายคล้อยเย็นย่ำวันนั้นเขากอดนิพัทธ์แนบแน่น ร้องไห้ในอ้อมอกอันอบอุ่นของคนที่อายุน้อยกว่าอยู่นานสองนาน บางทีมันอาจถึงเวลาที่ควรกลับสู่โลกเสียที

หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสอง (P.3) - สุดขอบความรัก (03-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 03-11-2018 21:20:23



พิรัลโดนตำหนิตามที่คาดการณ์ไว้ มันเป็นสิ่งแท้แน่นอนที่แทบจะไม่ต้องใช้สมองส่วนใดคิด หวานต่อว่าอย่างตรงไปตรงมาแต่ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นข้องหมองใจ เธอพูดถึงหน้าที่ความรับผิดชอบที่พิรัลละทิ้งไว้ พูดถึงผลของการกระทำ และพูดถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ พิรัลไม่ขัดข้องหากโดนเชิญออก เขาตระหนักถึงการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในครั้งนี้ว่าได้สร้างความยากลำบากให้หลายฝ่าย หากแต่เขารู้สึกผิดน้อยมากกว่าที่คิดไว้เมื่อเป็นเรื่องของงาน วัฏจักรในสังคมทำงานไม่บ่งชี้ว่าเขาสามารถอยู่ยืนยงไปจวบจนสิ้นอายุขัย วันใดวันหนึ่งเขาต้องลาออกเพื่อหางานใหม่ หรือท้ายที่สุดแล้วเขาต้องเกษียณอายุงานอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่แยแสหากโดนเชิญออกตามที่คิด

และแม้ว่าจะคิดเช่นนั้น และนี่อาจไม่ใช่ความโชคดีในโชคร้าย แต่หวานได้มอบโอกาสครั้งสุดท้ายในการพิสูจน์ตัวเองแก่พิรัล เธอแจ้งว่าจะต้องหักเงินเดือนในวันที่พิรัลไม่ได้มาทำงานและขอให้พิรัลช่วยสร้างผลงานโดดเด่นเพื่อพิสูจน์ต่อโอกาสในครั้งนี้ พิรัลรู้ว่าตัวเองมีความสามารถพอประมาณ ไม่ได้ลำพองในตนเองแต่เขาประเมินแล้วว่าเขามีความสามารถและมีประสบการณ์มากพอที่หวานจะดึงรั้งไว้ ลองคิดดู ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ วุฒิภาวะ การต่อรองถึงผลประโยชน์ในเนื้องาน หรือแม้แต่การเจรจาพูดคุยกับคนภายใน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่พิรัลเคยสร้างไว้ อีกอย่างการมองหาคนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป หวานต้องเตรียมตัวลาคลอดทั้งยังบุคลากรในที่ทำงานไม่เพียงพอ การเชิญพิรัลออกในทันท่วงทีอาจต้องพิจารณาอีกครั้ง

กระนั้นใช่ว่าพิรัลจะไม่รู้สึกผิดเลย เขาเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาที่เมื่อพบเจอเรื่องราวหนักหนารุมเร้าก็ย่อมต้องการถอยออกมาเพื่อมองภาพของปัญหานั้นๆใหม่ แต่วิธีที่ก้าวออกมาอาจส่งผลกระทบให้คนอื่นเดือดร้อนมากอยู่สักหน่อย พิรัลพบว่าตัวเองในวัยสามสิบหกปีนี้เติบโตขึ้นอีก พร้อมกับการเรียนรู้และเกราะคุ้มกันอันแข็งแกร่งขึ้น

“พี่เชื่อในโอกาส แต่โอกาสมีให้แค่ครั้งเดียวนะเจตน์ พี่พูดตามตรง พี่คิดว่าเจตน์เป็นคนมีศักยภาพมากและพี่เข้าใจว่าคนเราก็มีปัญหาส่วนตัวได้ พี่เองก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่ว่านี่ก็คือโลกของการทำงาน... พี่เจตน์เข้าใจใช่มั้ย”

“ครับ”

“อืม พี่ไม่ขออะไรมากเลย หลังจากงานทาวน์ฮอลพี่คงต้องตั้งประเมินเจตน์ไว้สูงกว่านี้ เจตน์เองก็ต้องพยายามแตะเพดานหน่อยนะ เพราะไม่อย่างนั้นพี่คิดว่ามันไม่คุ้มกับโอกาสที่พี่ให้เจตน์ไป”

“ครับ”

“แล้วเจตน์จะยังลาพักร้อนมั้ย ที่ขอไปก่อนหน้านี้”

“ไม่แล้วครับ”

“แน่ใจนะ พี่ยังให้ลาได้ยังไงก็เป็นสิทธิ์ของพนักงาน”

“ไม่ลาครับ เก็บไว้ลาวันอื่น”

“โอเค หมดเรื่องแล้วล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ”

พิรัลรับคำจากนั้นก็เดินตามหลังหวานออกมาจากห้องประชุม เขามองเห็นว่านิพัทธ์กำลังเดินสวนทางมาดี ใบหน้าขาวกระจ่างที่คุ้นเคยดูเพียงครู่หนึ่งก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่เพื่อไม่ให้หวานสงสัยนิพัทธ์จึงเดินเลยไปทางแคนทีนทำทีเป็นออกมาเติมดื่มน้ำในขวดน้ำ พิรัลอยากเข้าไปพูดคุยกับเด็กหนุ่มใจจะขาด เขาสามารถหาอ้างเหตุผลกับหวานได้แต่เมื่อเห็นกรณ์ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขารับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายเองก็ต้องการพูดคุยกับเขาเช่นกัน และกรณ์อาจหาเหตุผลหลีกเลี่ยงยากอยู่พอควร

“คุณหวานไปกินข้าวที่ไหนครับ”

“หวานว่าจะลงไปซื้อข้าวกล่องใต้ตึกขึ้นมากินค่ะ พอดีมี Issue ที่ร้านหาดใหญ่คุณฉัตรชัยนัดมีทติ้งไว้ตอนบ่าย”

กรณ์พยักหน้ารับรู้ “เชิญตามสบายครับคุณหวาน เดี๋ยวเจอกันในห้องมีทติ้ง”

“อ้าว คุณกรณ์เข้าด้วยเหรอคะ หวานนึกว่าจะให้หมิงเข้าซะอีก”

“ผมเข้าเองครับ Issue นี้เรื้อรังมามากแล้ว ผมอยากให้จบก่อน FY นี้”

“โอเคค่ะ งั้นหวานไปก่อนนะคะ”

จากนั้นกรณ์จึงเบนสายตามาทางพิรัลพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งไม่ต่างจากเดิม “ผมนัดกานต์ไว้ที่ร้านอาหารใต้ตึก”

“ครับ” พิรัลรับคำแต่ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น หลังจากรับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอาและหลานคู่นี้แล้วเขาเองก็ใช่ว่าจะรับมือได้เป็นอย่างดีในทันท่วงที บางอย่างเวลาก็สำคัญมากเหมือนกัน

“คุณไปด้วยนะ ผมจะคุยเรื่องของคุณกับหลานของผม”

จังหวะนั้นเองที่นิพัทธ์เดินกลับมาและยืนเคียงข้างพิรัล



ดวงตาของเขาจับจ้องมายังพิรัลขณะพนักงานเสิร์ฟอาหารให้ จวบจนกระทั่งพนักงานเดินออกไปเขาจึงเริ่มต้นสนทนา

“คุณคงรู้หมดทุกอย่างแล้ว”

“ครับ”

กรณ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยิบแก้วมาดื่มน้ำ “แล้วคุณยังรับไหวเหรอกับเรื่องนั้นน่ะ”

“อากรณ์...”

แต่ก่อนที่นิพัทธ์จะได้พูดจนจบ พิรัลก็พูดแทรกอีกฝ่ายที่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เขามองตรงไปยังเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าราบเรียบ “คุณคงรู้ว่าผมเองก็ตกใจกับเรื่องนั้นมาก และผมจะไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดเท่าที่ผมเคยเจอมา เรื่องของกานต์ตอนนั้นผมถือว่ามันไม่เกี่ยวกับผม แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่ว่าเรื่องไหนของกานต์ผมจะต้องมีส่วนร่วมด้วยทุกอย่าง”

กรณ์ยิ้มมุมปาก ประสานมือเท้าคางไว้บนโต๊ะ “เข้าใจพูดนี่ เหมือนหลุดออกมาจากนิยายรักน้ำเน่า”

พิรัลยิ้ม เขาเริ่มจับจุดของคนๆนี้ได้บ้างแล้ว ไอ้ประเภทยิ้มแล้วพูดเสียดสีถากถางเนี่ยไม่เกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว อีกอย่างเขามีความมั่นใจในตัวเองและมั่นใจในตัวของนิพัทธ์ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังไกลเกินกว่าคำว่าจุดจบ “ก็แล้วแต่คุณกรณ์จะคิดครับ ผมแค่พูดในสิ่งที่รู้สึก”

“ผมถามตามตรงนะ ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ทำให้กานต์เสียใจ”

“คุณกรณ์ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรคุยกับกานต์สองคนนะ”

ชายหนุ่มชุดสูทตรงหน้าพิรัลไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลง แต่แววตาที่แสดงออกมาพิรัลรับรู้ได้ว่าคำพูดของเขาจี้จุดกรณ์มากแค่ไหน
“ผมเข้าใจว่าพวกคุณเป็นญาติกัน แต่ผมว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผมกับกานต์นะครับ แล้วเรื่องนี้ผมกับกานต์ก็ตัดสินใจกันแล้ว” พิรัลเอ่ยสำทับอีก “มีอะไรเพิ่มเติมมั้ยครับ ผมหิวข้าวมาก”

นิพัทธ์ส่งสายตามาทางพิรัลก่อนจะยิ้มตามบ้าง เด็กหนุ่มเองก็รู้ว่าคำพูดของพิรัลไม่ต่างอะไรจากการตะโกนใส่หน้าอาของเขาว่าเสือก กรณ์ดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ คำพูดร้ายกาจ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเป็นเรื่องของนิพัทธ์เขาจะให้ความสำคัญในแบบที่คนอื่นอาจไม่เข้าใจ

“คุณตัดสินใจอะไร”

“ผมจะคบกับกานต์ต่อครับ”

“แต่คุณรู้เรื่องนั้นแล้วนะ คุณรับไหวแน่เหรอ”

“ครับ ผมรับรู้แล้วครับ อย่างที่ผมบอกไปตอนนั้นมันเป็นเรื่องของพวกคุณ แต่หลังจากนี้เรื่องของกานต์เป็นเรื่องของผม”

กรณ์ถอนหายใจยาวก่อนจะมองมาทางหลานของตัวเองที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ผมดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ชีวิตของเขาผ่านเรื่องแย่ๆมาหลายอย่าง คุณช่วยสัญญากับผมหน่อยได้มั้ยครับคุณเจตน์... อย่าทำให้หลานผมเสียใจ ถึงจะเลิกกันในอนาคตผมก็อยากให้คุณเลิกกับหลานผมด้วยดี จบลงด้วยดี  อย่าให้หลานผมต้องเสียใจที่เคยรักคุณ”

“ผมสัญญาครับ”

ชายหนุ่มสองคนอายุไล่เลี่ยกันมองสบตา แม้ใบหน้าของพิรัลจะราบเรียบแต่แววตานั้นมีความหนักแน่น กรณ์อาจรักนิพัทธ์ในแบบที่คนในโลกทั้งใบอาจประนามหยามเหยียด แต่รักของเขานั้นไม่ใช่เพียงการครอบครอง เขาหวังดีต่อนิพัทธ์เสมอมา ท้ายที่สุดแล้วเขาปรารถนาเพียงแค่ให้นิพัทธ์มีความสุข ในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนั้น ช่วงเวลาพักเที่ยงที่พนักงานออกมากินข้าว เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ พวกเขาสามคนร่วมกินข้าวด้วยกันพร้อมกับความรู้สึกอันปลอดโปร่ง





************************************






 :ling3:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสอง (P.3) - สุดขอบความรัก (03-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 04-11-2018 11:27:50
เฮ้อ......รู้ใจตัวเองซะทีนะ คุณเจตน์
อดีต...มันเป็นสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ ดีแล้วๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสอง (P.3) - สุดขอบความรัก (03-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 04-11-2018 20:12:39
น้องกานต์เป็นคนหนักแน่น​ และเข้มแข็งกว่าผู้ใหญ่บางคนซะอีก​ ดีใจนะที่พี่เจตน์ให้โอกาสน้อง​ ต่อจากนี้ก็รักษาตัวเองนะ​ จะได้อยู่กับน้องนานๆ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสอง (P.3) - สุดขอบความรัก (03-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 06-11-2018 16:14:13
เข้าใจกันเเล้วก็ดี ขออย่าให้พี่เจตต์เป็นอะไรไปอีกนะคะ ให้น้องกานต์บังคับให้พี่เจตต์กินยาด้วยเลยยย
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (P.3) - คำตอบ (11-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 11-11-2018 22:37:51
ตอนที่สิบสาม



ตรรกะบางอย่างของพิรัลอาจเป็นสิ่งแปลกประหลาด จำนวนยาสุมกองอยู่ในลิ้นชักข้างเตียงนอนสร้างความฉงนแก่นิพัทธ์ ซองยาที่ถูกเปิดออกมีเพียงซองเดียวแต่นอกเหนือจากนั้นไม่มีซองไหนที่อยู่ในสภาพถูกใช้งาน นี่อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความลำบากใจแก่เด็กหนุ่ม เขาพยายามทำความเข้าใจและเคารพสิทธิตัดสินใจของพิรัลแม้อีกฝากฝั่งความรู้สึกอาจเป็นสิ่งตรงกันข้าม เด็กหนุ่มเฝ้าทวนถามว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งใดที่อาจเปลี่ยนใจพิรัลได้บ้าง คำตอบอาจซุกซ่อนอยู่ในมุมมืดสักแห่งหน และเขาจะไม่ฟุ้งฝันว่าความรักของเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนของพิรัลได้

คำเกลี้ยกล่อมไม่เคยหลุดจากปากของนิพัทธ์ มันอัดแน่นอยู่ในห้วงความรู้สึก กระนั้นเรื่องที่พิรัลไม่ยอมรับการรักษายังเป็นเสมือนเรื่องต้องห้าม เป็นคำสาปที่ไม่อาจเอ่ยปากได้ เด็กหนุ่มรักพิรัล ไม่มีเหตุผลที่น่าประทับใจเหมือนความรักของคนอื่น แต่เขาไม่สนใจ ความรักที่มีให้พิรัลนั้นรุนแรงและฝังลึก เขาปรารถนาว่ารักครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เขาอยากอยู่กับพิรัลเนิ่นนานเท่าที่ชีวิตนี้จะมีอยู่ได้ แต่พฤติกรรมของพิรัลช่างเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน และนิพัทธ์ไม่มีคำพูด ไม่มีการกระทำใดที่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดของพิรัลได้
อาการของพิรัลเด่นชัดขึ้นในช่วงพิสูจน์ตัวเองต่อโอกาสที่ได้รับ พิรัลกลับบ้านดึกเพราะทำงาน บางครั้งแทบลืมมื้ออาหารไปเสียด้วยซ้ำ นิพัทธ์นึกแย้งความรู้สึกรักของตัวเอง มีเหตุผลอะไรที่จะต้องจมอยู่กับคนอย่างพิรัล ความคิดนั้นแทรกเข้ามาตอนที่พิรัลแน่นหน้าอกหลังงานทาวน์ฮอล

ในห้องประชุมซึ่งขนัดแน่นด้วยบุคลากรระดับบริหารของบริษัท และคลาคล่ำไปด้วยพนักงานระดับปฏิบัติการ เสียงพูดคุยทั้งภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้ความบ้าง หากนับว่าเป็นเรื่องของหน้าที่การงานคงนับเป็นโอกาสดีของเด็กใหม่อย่างนิพัทธ์ที่ได้ร่วมเข้าประชุมด้วย เขามองพิรัลที่ยืนอยู่ด้านหน้าห้อง สวมสูทเรียบกริบ ผูกเน็กไท ใส่เสื้อผ้าสีสุภาพ เด็กหนุ่มยอมรับว่าในหัวจินตนาการถึงการร่วมรักทั้งชุดสูทแบบนั้น และไม่ค่อยได้ฟังในสิ่งที่พิรัลพูดสักเท่าไหร่ พิรัลนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของทีมที่สอดคล้องตอบรับต่อแนวทางจากผู้บริหาร ทุกอย่างถูกจัดเตรียมและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เด็กระดับปฏิบัติการอย่างนิพัทธ์ออกจะเริ่มรู้สึกเบื่ออยู่นิดหน่อย แต่เพราะพิรัลมองมาทางเขา มองด้วยสายตาโหยหาต้องการ ไม่ใช่ต้องการในเรื่องอย่างว่า แต่ต้องการที่พึ่งพา ที่ที่จะสามารถทำให้พิรัลสงบลงได้เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากหน้าหลายตา

นิพัทธ์ส่งยิ้มให้ก่อนเห็นสายตาเบื่อหน่ายจากอาของตัวเองที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้องประชุม เขาไม่สนใจสักนิด สมาธิของเขาจดจ่ออยู่ที่พิรัล ทุกอย่างที่ด้านหน้านั้นอยู่ในสายตาทั้งหมดจวบจนพิรัลเข้ามานั่งสมทบกับสมาชิกของทีม หวานกล่าวคำชมและนิพัทธ์ดูออกว่าหัวหน้าสาวของเขาภูมิใจในการพรีเซ็นต์งานของพิรัลเป็นอย่างมาก หากแต่เขาไม่อาจแสดงออกได้มากนัก เขาอยากเข้าไปกอด ปลดกางเกง และมอบรางวัลให้แก่พิรัลด้วยการขย่มควบขี่อยู่ด้านบน อาจฟังดูจั๊กกะจี้หูแต่นิพัทธ์ก็เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปี ร่างกายแข็งแรง และเต็มไปด้วยสมรรถภาพอันเต็มเปี่ยม

ขณะที่ผู้คนกำลังชักชวนพิรัลคุยถึงเรื่องงาน เด็กหนุ่มสังเกตเห็นจังหวะการหายใจที่ดูผิดไปจากเดิม ส่วนพิรัลก็เริ่มใช้จังหวะนั้นขอตัวออกไปด้านนอกอย่างพอดิบพอดี นิพัทธ์เดินตามออกไปเมื่อสบสายตากัน เขารู้แล้วว่าพิรัลอาจอาการกำเริบ เขาไม่ใช่แพทย์แต่พอเดาได้ว่าคงเพราะเรื่องงานที่มีความกดดันสูงมากจึงทำให้อาการกำเริบ พิรัลมุ่งเดินไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ นิพัทธ์รีบเดินตามและไม่ลืมล็อกประตูหลังจากเข้ามา พิรัลนั่งลงบนพื้น เสื้อสูทถอดออกวางไว้ด้านข้าง เด็กหนุ่มเข้าไปช่วยคลายเน็กไท ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าให้

“ผมต้องทำยังไงครับพี่เจตน์”

พิรัลมองมาที่เขาแต่ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มทำเพียงจับมือของเขาไว้และนั่งปวดหนึบที่หน้าอกอยู่เช่นนั้น นิพัทธ์เห็นแล้วว่ามันไร้ประโยชน์ สัมผัสจากคนรักไม่อาจช่วยเหลือกายภาพที่ผิดแผกของพิรัลได้ ในวันนั้นเขานึกคิด คิดว่าความรักเช่นคนรักหรือแม้แต่ความรักจากครอบครัว ยังไม่สามารถทะลุผ่านตรรกะอันแปลกประหลาดของพิรัลได้ เขาควรทำอย่างไร ควรพยายามเข้าใจความคิดบ้าบอของพิรัลหรือควรปล่อยวางดี

ภาพเบื้องหน้าราวกับอยู่ในห้วงอนธการ พิรัลไม่เห็นแสงสีสว่างเช่นนั้นอีกต่อไป ทุกอย่างดำมืดจนเขานึกหวาดกลัว แม้ว่าเรื่องของนิพัทธ์จะคลี่คลายความรู้สึกไปแล้ว แต่โรคที่รุมเร้าอยู่นี้เป็นความจริงที่ไม่คลี่คลายเสียที อุดมการณ์ อุดมคติห่าเหวเหล่านั้นกำลังค้ำคอ เพราะต้นเหตุคือตัวของพิรัลเอง เขาเที่ยวป่าวประกาศ แสดงออกอย่างรุนแรงว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ไม่ต้องการรับการรักษา และพิรัลไม่รู้ว่าควรปลดระวางมันอย่างไร

ชายหนุ่มเคยจินตนาการว่านิพัทธ์อาจจะต้องพยายามพูดเพื่อโน้มน้าว แต่ไม่เลย นิพัทธ์ไม่เคยพูดมันออกมาสักครั้ง เพียงแต่ความเหนื่อยล้าในแววตาได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน เขาเห็นมันก่อนทุกอย่างจะดับมืด พิรัลล่องลอยอยู่ในที่แห่งนั้น ไม่มีแสงสว่างนำทาง เขาอึดอัดและหายใจยากลำบากทุกวินาที ร่างของเขาแหวกว่ายไปในความเวิ้งว้าง ชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่มืดสนิท พิรัลรนรานดีดตัวออกห่าง ก่อนจะขยับไปทางอื่นและพบว่าตัวของเขาถูกห่อหุ้มด้วยอะไรบางอย่างคล้ายแผ่นพลาสติกสีดำ มันรัดที่ข้อเท้าของเขา แผ่ขยายลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายแผ่นบางๆที่คล้ายพลาสติกได้ห่อหุ้มไปทั่วร่าง พิรัลดีดดิ้น เหงื่อแตกพล่าน นิ้วมือของเขาพยายามขยับ พยายามอย่างมากจนรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป แผ่นพลาสติกมีช่องโหว่ เขารีบใช้มือแหวกมันออกมา และในตอนนั้นเขาเห็นมือของใครบางคนที่แหวกผ่านห้วงอนธการ

เสียงพูดคุยดังอยู่เคียงใกล้ ดวงตาของเขาลืมขึ้นและหยีลงเมื่อพบแสงไฟ สมองของเขาประมวลผล ได้ยินเสียงปิ๊ปจากอะไรบางอย่าง มองเห็นบุคคลในชุดสีขาวยืนอยู่ด้านข้างก่อนตามด้วยใบหน้าที่โผ่ลแวบเข้ามาก่อนผละออกไป ไม่นานนักมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา พิรัลลุกขึ้นนั่ง เสียงปิ๊ปที่ได้ยินมาจากเตียงด้านข้าง บุคคลในชุดขาวคือหมอที่กำลังให้การช่วยเหลือคนไข้รายอื่น พิรัลรู้ตัวว่าอยู่ที่โรงพยาบาลในห้องฉุกเฉิน

“เป็นยังไงบ้างครับพี่เจตน์”

พิรัลหันมองตามเสียง นิพัทธ์ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านี้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า “ก็... โอเคอยู่ ยังไม่ตาย” เขาพยายามทำตลก แต่นิพัทธ์กลับไม่แม้แต่ขยับกล้ามเนื้อใดบนใบหน้า

“พี่แจงรออยู่ข้างนอกแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ผมกลับก่อนนะครับ”

“กานต์” เขาเอ่ยเรียก หากแต่เด็กหนุ่มเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงใดๆ พิรัลตวัดผ้าคลุมและรีบก้าวเดินตาม เมื่อออกมาด้านนอกเขาเห็นคนรักกำลังร่ำลากับพี่สาวของเขา ไม่ช้าพิรัลรีบสาวเท้าไปคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่านิพัทธ์กำลังจะร้องไห้ แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งจุ๊บแจงก็เข้ามาบอกให้พวกเขาเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลนัก

“กานต์จะกลับยังไง”

“ผมกลับแท็กซี่ครับ”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งแถวรถไฟฟ้าข้างหน้าแล้วต่อแท็กซี่ดีกว่า โทษทีนะที่พี่ไม่ได้ไปส่งที่คอนโด ลูกพี่ก็ป่วยเหมือนกัน” จุ๊บแจงกล่าวพลางปลดล็อคประตูรถ “เด็กป่วยแล้วงอแง พี่โคตรเหนื่อยเลยว่ะ” ท้ายประโยคเธอหันมามองพิรัลที่กำลังแทรกตัวเข้าในรถ

“กานต์ ผมไปค้างที่ห้องด้วยนะ”

“พอดีเดี๋ยวผมจะกลับบ้านครับ ไม่ได้กลับคอนโด”

พิรัลรู้ว่านี่คือประโยคปฏิเสธ และเขาพอจะเดาได้ว่านิพัทธ์กำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง “งั้นผมไปค้างที่บ้านด้วย”

เด็กหนุ่มหันมามอง ดวงตาจ้องที่พิรัลเขม็ง “ที่บ้านไม่สะดวกครับ”

“งั้นกลับบ้านกับผม ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”

จุ๊บแจงลอบมองสองหนุ่มจากกระจกมองหลังก่อนจะถอนหายใจยาว เธอเหนื่อยล้าด้วยหน้าที่แม่ซึ่งพ่วงด้วยอาการป่วยของลูกสาว ไหนจะมีน้องชายที่ไม่ยอมดูแลตัวเองอีก เห็นแบบนี้เธอยิ่งเหนื่อยทวีคูณ “พี่ส่งกานต์ข้างหน้าตรงนี้นะ เจตน์ฉันไม่ไปส่งแกที่บ้านนะ ลูกฉันป่วยต้องรีบกลับไปเช็ดตัวให้”

หลังจากจุ๊บแจงเลี้ยวจอดใกล้บริเวณสถานีรถไฟฟ้า ชายหนุ่มสองคนก็ยืนอยู่ตรงริมถนนที่ค่อนข้างร้างผู้คน พิรัลจึงใช้โอกาสนี้ในการถามหาถึงสาเหตุของความหมางเมิน “กานต์โกรธอะไรผมหรือเปล่า”

“ไม่เชิงว่าโกรธครับ ผมแค่มีเรื่องให้คิด”

“เรื่องอะไร”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ สายตาสอดมองหาแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับไปยังที่พัก

“กานต์ ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้กานต์โกรธ ผมขอโทษนะอย่าโกรธผมเลย”

“พี่เจตน์กลับก่อนเลยนะครับ แท็กซี่มาแล้ว”

พิรัลถอนหายใจยาวเมื่อประโยคขอโทษของเขาถูกปัดตกไปอย่างไรเยื่อใยแต่เขาจะไม่ปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้อย่างแน่นอน อย่างไรเสียก็ต้องคุยกับนิพัทธ์ให้รู้ความ เมื่อแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาจอด เขาคว้าแขนเด็กหนุ่มฉุดให้เข้าแท็กซี่และรวบรัดบอกจุดหมายเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่พิรัลชอบใช้มันเป็นสถานที่พักผ่อนอารมณ์เสมอมา

ตลอดทางพิรัลไม่เซ้าซี้หากว่าคนรักของเขาจะยังไม่อยากพูดจา เขาเข้าใจดีว่าในบางครั้งคนเราก็มีเรื่องที่คิดอยู่เต็มในหัวไปหมดแต่กลับพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นเขาไม่สำเหนียกสักนิดว่าเรื่องที่สร้างความยากลำบากให้แก่นิพัทธ์จะเป็นเรื่องตัวของเขาเสียเอง ในแท็กซี่มีเสียงเพลงลูกทุ่งขับขาน และมีกลิ่นบุหรี่อยู่ด้านใน พิรัลจึงนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาตลอดทางจนถึงสวนสาธารณะ นี่อาจเป็นโชคดีเพราะเขาเจอแท็กซี่ไม่พูดมาก ทอนเงินครบทุกบาททุกสตางค์ และมาส่งถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

เวลาล่วงเลยจนพิรัลเพิ่งมานึกคิดว่าสวนสาธารณะอาจจะปิดแล้ว แต่เมื่อมองเวลาบนข้อมือเขาพบว่ายังเหลือเวลาอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าประตูด้านหน้าจะปิดลง เขาจับมือนิพัทธ์แนบแน่นไม่อายสายตาคนที่กำลังออกกำลังกายบริเวณนั้น หากว่ากันตามตรงแทบไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย ผู้ชายสองคนจับจูงมือกันฉันท์คนรักไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แล้ว นิพัทธ์ไม่ยุดยื้อให้ดูมากความ เด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะปฏิเสธการพูดคุยครั้งนี้อย่างไร เขาอยากพูดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อพิรัลทั้งหมดแต่เพราะว่าเข้าใจความเป็นพิรัลเขาจึงคิดว่าไม่พูดเสียจะดีกว่า

“บอกพี่ได้หรือยังว่าคิดเรื่องอะไรอยู่”

ทุกครั้งที่พิรัลพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแทนตัวเองว่าพี่มักทำให้นิพัทธ์ใจอ่อนยวบยาบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน “ผมยังไม่อยากพูดครับ”

“เรื่องที่คิดเกี่ยวกับอะไรบอกพี่ได้ไหม พี่เป็นห่วงกานต์นะ”

เด็กหนุ่มอยากเถียงกลับว่าห่วงตัวเองเสียก่อนเถอะ แต่เขาก็ยังเงียบงันปล่อยให้พิรัลจับมือเดินไปยังทิศทางตามแต่อีกฝ่ายต้องการ

“เรื่องคุณกรณ์เหรอ”

“ไม่ใช่ครับ”

“หรือเรื่องงานของผม”

นิพัทธ์เบี่ยงหน้าไปมองพิรัลก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น เบื้องหน้าของพวกเขาไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากร่มเงาต้นไม้ใหญ่ที่ทอดเงาจากหลอดไฟ ท้องฟ้าในกรุงเทพคงไม่ต้องพูดถึงว่ามันด่างด้อยกว่าท้องฟ้าที่ต่างจังหวัดแค่ไหน ไม่มีดวงดาว มีเพียงแสงจากอุปกรณ์ฝีมือมนุษย์ แต่ความเงียบสงบที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากยานพาหนะต่างๆทำให้พวกเขาเหมือนหลุดออกมาที่อีกโลกใบหนึ่ง เขาควรพูดออกไปดีหรือเปล่า นิพัทธ์วนเวียนถามตัวเองนับล้านครั้ง เขาไม่อยากแสดงออกว่ามันเป็นการทำเพื่อร้องขอ เขาอยากเคารพในความคิดของพิรัล แต่มันทำใจยากลำบากเพราะตัวเขาเองก็ยังต้องการพิรัลมากเหลือเกิน

“ผมรู้ว่าผมทำงานหนักไปหน่อยช่วงนี้ แต่หมดงานทาวน์ฮอลก็ไม่มีอะไรแล้วแหละ กานต์เข้าใจใช่ไหมว่าผมต้องพยายามเรียกความเชื่อมั่นจากพี่หวานคืนมา ผมไม่ได้จะโทษกานต์หรืออะไรเลยนะ ผมโทษตัวผมเองนี่แหละ แต่มันก็ต้องเป็นไปอะกานต์ ผมต้องเวิร์คฮาร์ดหน่อย”

นิพัทธ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนท้ายที่สุดจะยอมพูดมันออกมา “ผมคิดเรื่องที่พี่เจตน์ไม่ยอมกินยา”

ถึงคราวที่อีกฝ่ายจำต้องชะงักงัน พิรัลไม่คาดคิดว่านิพัทธ์จะเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ผมไม่อยากพูดขอร้องเพราะผมชอบพี่เจตน์ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เรื่องนี้ผมทำใจไม่ค่อยได้ ตอนนี้ก็เลยคิดอยู่ว่าผมควรทำยังไงดี”

“กานต์จะทำยังไง”

“บางทีถ้าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันผมอาจจะไม่ต้องคิดอะไรมากก็ได้”

หลังจากพูดออกไปนิพัทธ์รู้สึกโล่งอก เขาก้มหน้าลงมองปลายเท้าเพราะยังไม่อยากสบตากับคนรักของตัวเอง

“ผมรู้ว่าพูดอะไรไปพี่เจตน์ก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี ให้พูดขอร้องให้กินยาผมไม่อยากทำเหมือนกัน”

พิรัลถอนหายใจยาว ผิดคาดไปมากกว่าเดิมอีกเพราะเขาเคยจินตนาการว่าหากเมื่อใดที่นิพัทธ์รู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มตัวขาวของเขาจะต้องเว้าวอนร้องขอให้เขายอมรักษาตัวเอง แต่นิพัทธ์เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว ทั้งที่รู้ว่าเขาอาจตายเมื่อไหร่ก็ได้แต่ก็ยังไม่ขอร้องเพื่อให้เขาละทิ้งความตั้งใจที่มี นี่เป็นครั้งแรกที่พิรัลฉุกคิดว่าการกระทำของตัวเองได้สร้างความทรมานใจแก่คนรักมากแค่ไหน

“ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าผมทำอะไรอยู่ ทำไมผมถึงต้องรักคนอย่างพี่เจตน์ ถ้าวันนึงพี่เจตน์ตายไปก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังรู้สึกอยู่คนเดียว ยังรักพี่เจตน์อยู่คนเดียว”

“กานต์ ยังไงสักวันผมก็ต้องตายอยู่แล้ว”

“ผมรู้ แต่ปัจจุบันนี้ล่ะ แม่ผมใกล้จะตายก็คนนึงแล้ว ผมยังต้องมาเจอพี่เจตน์ที่จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อีกเหรอ แล้วผมล่ะ” เด็กหนุ่มหันมองสบตา ความอัดอั้นในใจของเขาถูกถ่ายทอดออกมาหมดเสียที นิพัทธ์คิดว่าพิรัลอาจโกรธที่เขามีความคิดแบบนี้หากแต่พิรัลไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ชายหนุ่มที่อายุมากกว่านิ่งสงบและรับฟัง ดวงตาที่สบมองบ่งบอกว่าพิรัลรับฟังอยู่ตลอดเวลา “พี่เจตน์อย่าโกรธผมนะครับ”

พิรัลมีรอยยิ้มปรากฏ เขามองดวงตาของเด็กหนุ่มที่ดูวูบไหวเหมือนกลัวโดนผู้ใหญ่ดุ ใครเล่าจะกล้าดุเด็กหนุ่มคนนี้ เด็กหนุ่มที่เข้มแข็งสำหรับพิรัล “กลัวพี่โกรธเหรอครับ”

นิพัทธ์ยินยอมด้วยการพยักหน้า

“พี่ไม่โกรธกานต์หรอก พี่รักกานต์ตั้งขนาดนี้ พี่จะโกรธได้ยังไง”

“ก็ผมกังวลนี่”

“เอาเป็นว่าพี่รับฟังสิ่งที่น้องพูดทั้งหมดแล้วนะ อยากบอกอะไรพี่อีกมั้ย”

คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ

พิรัลมองเด็กหนุ่มเต็มตาก่อนเผยยิ้มกว้าง “ถ้างั้น... กานต์ครับ เราไปคุยกันต่อที่ห้องได้มั้ย”

นิพัทธ์เลิกคิ้วสูง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเป็นเชิงสงสัย

“พี่อยากคุยกับกานต์ทั้งคืนเลย” ท้ายประโยคถูกกระซิบที่ข้างหู พิรัลไม่ขยับห่างเขาจูบที่ใบหู ลามลงมาที่แก้ม และแม้ว่าจะมีสายตาจากคนที่มาออกกำลังกายลอบมองแต่พิรัลยังคงโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มตัวขาวเอาไว้ “ว่าไงครับ พี่กลับห้องกับกานต์ได้มั้ย”

นิพัทธ์พอจะเข้าใจความหมายของการกลับห้องดี เขาพยักหน้าก่อนจะเผยยิ้มที่ดูเขินอาย

ณ ที่ตรงนั้น วงกลมที่เคยแตะกันเพียงเส้นรอบวง ตอนนี้วงกลมของพวกเขาค่อยประสานแนบแน่นมากขึ้นทุกช่วงขณะ



นิพัทธ์ทอดกายนอนขณะปล่อยให้พิรัลรุกเร้าท่อนเนื้อที่แข็งชัน เด็กหนุ่มแทบสะกดกลั้นไม่อยู่น้ำขาวขุ่นไหลพุ่งอยู่ในโพรงปากของพิรัล มันไหลเลอะออกมาเล็กน้อย เขาหอบหายใจแรงมองดูพิรัลปาดเช็ดปากพลางขยับกายเข้ามาคร่อมทับ ยอดอกตรงหน้าถูกดูดดุนและขบเม้มไม่เบาแรงหากนิพัทธ์กลับหายใจติดขัดด้วยรู้สึกเสียวซ่าน ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าโอบรั้งใบหน้าอีกฝ่าย ครวญครางเป็นสุขเมื่อนิ้วมือรุกรานเข้าในช่องลับหลืบ หากว่ากันตามตรงเขาอยากให้พิรัลสอดใส่เข้ามาเสียเต็มประดาแต่พิรัลยังรั้งรอเล่นแง่ ศีรษะของพิรัลเคลื่อนต่ำลงอีกครั้ง รั้งสะโพกของนิพัทธ์จัดท่วงท่าให้เหมาะสม เขาใช้ลิ้นกับช่องทางด้านหลัง มันชื้นแฉะด้วยน้ำลาย นิพัทธ์ร่ำร้อง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชอบมากแค่ไหนยามเมื่อถูกพิรัลปรนเปรอให้เช่นนี้ ส่วนหน้าของเขาขยายตัวแต่ยังไม่ถึงที่สุด ส่วนล่างของเขาเกร็งขืนเมื่อพิรัลลงลิ้นหนักขึ้น นิพัทธ์ขยุ้มกลุ่มผมคนอายุมากกว่า ร้องบอกว่าเสียวซ่านเพียงใด

พิรัลเงยหน้า ร่างกายสูงใหญ่ทาบทับคนใต้ร่างอีกครั้ง ส่วนแข็งขืนของเขาเสียดสีท่อนล่างของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากลากผ่านผิวกาย จมูกซุกไซ้ซอกคอ “น้องชอบมั้ยครับ”

ดวงตานิพัทธ์เคลิบเคลิ้ม ชายหนุ่มตัวขาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

“ไหนบอกพี่ซิ อยากให้พี่ทำอะไรต่อครับ” พิรัลกล่าวติดชิดริมฝีปาก มือของเขาลูบไล้ยุ่มย่ามไปทั่วเรือนร่าง บีบเค้นที่ท่อนเนื้อของเด็กหนุ่มตัวขาว “อยากให้พี่เลียตรงนี้ให้อีกมั้ยครับ”

นิพัทธ์ส่ายหน้า ริมฝีปากยกยิ้ม “น้องเสียวตรงนี้ครับพี่เจตน์” นิพัทธ์จับมืออีกฝ่ายล้วงเข้าไปลูบไล้ร่องหลืบ “ทำให้เสียวกว่านี้ได้มั้ยครับ”

พิรัลยิ้มกริ่มและคิดว่าถ้านิพัทธ์ยังเย้ายวนอยู่แบบนี้เขาคงได้ตายคาอกเข้าสักวัน ชายหนุ่มขยับตัวจูบริมฝีปากช่างพูดนั่นพลางใช้ส่วนปลายของอวัยวะบุกเบิกช่องทางด้านหลัง ในส่วนนั้นซึ่งคับแน่นถูกดุนดันเข้าไปทีละน้อย พิรัลครางเครือในลำคอด้วยความพออกพอใจเมื่อถูกความอ่อนนุ่มโอบรัด เขาขยับแผ่วเบาด้วยต้องการซึมซับช่วงเวลานี้ไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบ

ใบหน้าผละจูบออกมามองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ ริมฝีปากยกยิ้มเมื่อเห็นว่านิพัทธ์จดจ้องมาเช่นกัน เขาอดจูบที่แก้มอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งจูบทั้งหอมและดอมดมผิวกายไปทั่ว นิพัทธ์ตอบรับเป็นอย่างดี มือสองข้างกอดประคอง สองเรียวขาโอบรับสะโพกที่ขยับอย่างเอื่อยเฉื่อย ตั้งแต่รู้จักพิรัลมาเขาเริ่มติดใจรสรักอันเชื่องช้าทว่าหนักหน่วงถึงใจในช่วงที่ถูกที่ควร หากว่ากันถึงอดีตทุกอย่างเร่งรีบและร้อนแรงไปเสียหมด นิพัทธ์เองก็เพิ่งได้เรียนรู้ว่าบทรักที่ไม่รีบเร่งของพิรัลนั้นทำให้เขาสั่นสะท้านมากเพียงใด

สัดส่วนอวบอัดคับแน่นอยู่ในร่องหลืบ มันขยับเข้าอย่างเชื่องช้าและหนักหน่วงในช่วงท้าย ร่างของเด็กหนุ่มตัวขาวไหวเอนไปตามแรง พวกเขาไม่มีท่วงท่าพิสดารอัศจรรย์พันลึก มันเป็นเพียงท่าร่วมรักแสนธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์วาบไหว พิรัลมองสบตา ใบหน้าที่เห็นจมูกเป็นสันชัดเจนเอ่ยเย้า นิพัทธ์ยิ้มอายก่อนจะเย้ากลับบ้าง ความสุขในค่ำคืนนั้นเติมเต็มอารมณ์หมายหลังจากที่ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมาพักหนึ่ง

“น้องคิดถึงพี่เจตน์”

“หืม เราก็เจอกันทุกวันนี่”

“เจอหน้าทุกวันแต่พี่เจตน์ก็เอาแต่งาน ไม่เห็นเอาน้องเลยครับ” นิพัทธ์กล่าวแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

พิรัลหัวเราะและยังคงมองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าด้วยแววตาพึงใจ “ช่างพูด” เขาจูบบนริมฝีปากสีสดตามธรรมชาติ ท่อนล่างเริ่มเร้าจังหวะมากขึ้นด้วยเพราะทนต่อความเย้ายวนชื้นแฉะนั่นไม่ไหว เสียงครางครวญเคล้าเสียงผิวเนื้อ พิรัลไม่แน่ใจนักว่าตัวเองได้เร่งเร้าจังหวะรักมากเกินไปหรือเปล่า เขายังไม่อยากให้เวลานี้จบลงแต่เรือนร่างที่นอนระทวยอยู่ในอ้อมอกนี้ก็เกินทานทนเสียเหลือเกิน นิพัทธ์จูบเขา นิพัทธ์โอบกอดร่างเขาไว้และบอกรัก ดวงตาพิศมองมายังเพียงพิรัลผู้เดียว เขารักช่วงเวลานี้และไม่อยากให้มันจบลงเร็วนัก

“รักพี่มั้ยครับ”

“รักครับ”

ชายหนุ่มจูบบนหน้าผาก ผิวกายอ่อนละมุนตราตรึงจนหัวใจสั่นระรัว “พี่ก็รักกานต์ครับ” น้ำเสียงของเขาแม้จะเบาแต่จริงใจ ทุกคำพูดล้วนผ่านการคิดในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง

พิรัลผละตัวออกมา จัดท่วงท่าให้สอดคล้องกันเขาเริ่มรบเร้าร่องหลืบของนิพัทธ์มากขึ้น ความเสียวซ่านก่อเกิดดำเนินต่อไป มือสองข้างโอบเอวอีกฝ่ายเพื่อรองรับการรุกรานที่หนักหน่วงมากขึ้นทุกที ภายในของนิพัทธ์ให้ความรู้สึกดี อีกทั้งยังความรู้สึกจากทางใจ ทุกอย่างกำลังรุมเร้าให้พิรัลและนิพัทธ์ขับเคลื่อนไปยังจุดหมายเดียวกัน พวกเขาร่ำบอกรักกันอีก มันหวานฉ่ำหยดหยาดอยู่ในห้วงความรู้สึก นิพัทธ์สอดนิ้วประสานตอบรับอีกฝ่าย มองใบหน้าที่โน้มเข้าหาก่อนริมฝีปากจะถูกจูบ

เขาบอกให้พิรัลสุขสมเพราะตนเองก็ใกล้ถึงฟากฝั่งเต็มที ช่องทางด้านหลังบีบรัด คลายออก และบีบรัดอีกครั้งยามเมื่อพิรัลปลดปล่อยความวาบหวามทั้งหมดที่มีในร่องหลืบนั้น พิรัลรั้งร่างอีกฝ่ายให้นั่งบนตัก ใช้มือรูดรั้งส่วนตื่นตัวของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากดูดดึงยอดอก พาอารมณ์อันอ่อนไหวทะยานให้ถึงจุดหมาย นิพัทธ์กอดเขาแนบแน่นและผลของความสุขสมนั้นอยู่ในอุ้งมือของพิรัล
ชายหนุ่มอายุมากกว่าแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกแน่นตึงด้วยมัดกล้ามพอดิบพอดี ในท่วงท่านั้นทำให้นิพัทธ์สามารถก้มลงจูบตรงกลางกลุ่มผมได้อย่างถนัดถนี่ เขาโอบกอดพิรัล จูบซ้ำย้ำไปมาที่กลุ่มผมตัดสั้น มันอาจชื้นเหงื่อไปบ้างแต่เขาชอบกลิ่นอายของคนรักจนไม่อยากผละตัวหนีหายไปไหน

พิรัลเงยหน้าขึ้นเด็กหนุ่มจึงจูบที่หน้าผาก มองคนรักด้วยรอยยิ้ม เขาไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว ขอเพียงแค่พิรัลยังรักเขาแบบนี้ รักษาตัวเองด้วยการทำตามคำแนะนำของคุณหมอทุกประการ นิพัทธ์รู้สึกเต็มตื้นในหัวอก เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงรักพิรัลและอยากอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ แต่เขาพร้อมเหลือเกินกับการใช้ชีวิตสืบต่อไปกับพิรัล เขารักพิรัลและหวังแค่ได้ความรักกลับคืนมา เพียงแค่รักก็พอแล้ว

หลังจากนัวเนียยืดยาดกันอยู่บนเตียงนานสองนาน พิรัลจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มไปทำธุระในห้องน้ำเหมือนเช่นเคย เขาคว้ากางเกงขึ้นมาสวมใส่และเดินมาหยุดยืนอยู่ที่กระเป๋าเป้ของตัวเอง ในนั้นบรรจุของทั้งจำเป็นและไม่จำเป็นหลากหลายอย่าง พิรัลมองซองยามากมายของตัวเอง เขาใส่มันเข้ามาในกระเป๋าตอนไหนยังแทบจำไม่ได้ ยังไม่รวมถึงซอองยาที่เหลือในลิ้นชักที่บ้านของตัวเอง พิรัลหยิบมันขึ้นมาดูพลิกหน้าพลิกหลัง บ้างให้กินหลังอาหารสี่เวลา บ้างให้กินสามเวลา ดวงตาสีเข้มมองของตรงหน้า ครุ่นคิดเพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาทิ้งยาทั้งหมดลงถังขยะ รวบถุงที่รองขยะ มัดปากถุง และนำมันออกไปทิ้งที่ด้านนอก

พิรัลยังคงเป็นพิรัล เป็นคนที่ไม่อาจละทิ้งอุดมการณ์อันน่าแปลกประหลาดเช่นนั้นได้ทันท่วงที บางครั้งความคิดที่ไม่เข้าท่านี้คงเกินเยียวยา




************************************




 :z3:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (P.3) - คำตอบ (11-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 12-11-2018 11:17:57
แซ่บมาก ศีลเสมอกันดีจีงๆนะคะเรื่องบนเตียง   :hao6: :hao6:
แต่พี่เจตตตตตตตตตน์ ยังคงน่าตีเหมือนเดิม ไม่อะไรมาฉุดรั้งให้พี่เจตน์อยากกินยาเลยหรอ
ไม่เข้าใจตรรกะแปลกประหลาดของพี่เจตน์ เมื่อไหร่จะยอมดูแลตัวเองค้า
ก็รู้ว่าต้องตาย แต่กินยามันก็ช่วยให้่อยู่นานขึ้นนะ งอนพี่เจตน์  :hao4: :angry2:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (P.3) - คำตอบ (11-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-11-2018 20:25:02
ต้องเห็นน้องร้องจนตายก่อนไหมถึงจะกินยา  :katai1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (P.3) - คำตอบ (11-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-11-2018 23:09:01
พี่เจตน์ก็นะ จะรักอุดมการณ์ของตัวเองไปไหน ทำแบบนี้มันดูเห็นแก่ตัวเกินไปอ่ะ ไม่นึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังเลย
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (P.3) - คำตอบ (11-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 14-11-2018 19:06:05
พี่เจตต์ต้องคิดเเล้วนะว่าต่อไปนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวเเล้วอะ มีน้องด้วยเเล้ว ไม่อยากอยู่กับน้องไปนานๆหรอ รักน้องก็อย่าทำให้น้องเสียใจเลย เราเห็นด้วยกับประโยคที่น้องบอกว่า"ถ้าวันนึงพี่เจตน์ตายไปก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังรู้สึกอยู่คนเดียว ยังรักพี่เจตน์อยู่คนเดียว” มันจริงมากๆอะ พี่เจตต์อย่าใจร้ายกับน้องเลย รักษาตัวเถอะ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (P.3) - คำตอบ (11-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 17-11-2018 07:26:08
ตอนน้องบอกว่าเหลือแค่น้องที่ยังรู้สึกอยู่คนเดียว มันบีบหัวใจอะ พี่เจตน์ไม่สงสารน้องเหรอ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสาม (P.3) - คำตอบ (11-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 19-11-2018 04:49:23
พี่เจตน์นี่....รักน้องมั่งมั้ย ทำไมต้องทำให้น้องไม่สบายใจด้วยล่ะ
อยู่กับน้องไปนานๆไม่ได้หรอ เฮ้อ :serius2:
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 22-11-2018 19:45:29
ตอนที่สิบสี่



“พี่เจตน์อย่าลืมกินยานะครับ”

“ครับ ไม่ลืมครับ”

ประโยคง่ายๆที่ผ่านเข้ามาในช่วงนี้ทำให้นิพัทธ์เบาใจไปได้บ้าง แม้จะไม่มีคำสัญญาแน่ชัด ไม่มีคำพูดใดจากพิรัลที่บ่งบอกว่าจะกินยาตามแพทย์สั่ง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินพิรัลตอบรับเมื่อเขาบอกเตือนให้กินยา ไม่มีทีท่าอิดออดบ่ายเบี่ยง มันทำให้นิพัทธ์เชื่อสนิทใจว่าพิรัลอาจได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่นแล้ว หากนิพัทธ์ไม่ล่วงรู้สักนิดว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา หนึ่งอาทิตย์ที่แสนสงบสนุก พิรัลยังคงใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ

นิพัทธ์มองความเป็นจริงตรงหน้า เลือดในการสูบฉีดมันรุนแรงขึ้นด้วยอารมณ์หลากหลาย ซองยาที่ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้านของพิรัลทำให้เขาผิดหวังจนถึงที่สุด เขาไม่คาดคิดว่าวันใดวันหนึ่งต้องมาแอบยืนเสียใจเพียงลำพังที่ข้างถังขยะใบใหญ่ มันดูช่างน่าอนาถใจเหลือทน

ก่อนหน้านี้เขามาเยี่ยมเยียนครอบครัวของพิรัลตอนช่วงสายของวันอาทิตย์ แม่ของพิรัลเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มจะมาหาเธอจัดเตรียมน้ำพริกเห็ดอย่างที่นิพัทธ์ชอบให้ เธอโอบรับความสัมพันธ์ระหว่างพิรัลและนิพัทธ์ตราบเท่าที่เด็กสองคนนี้จะมีความสุข นิพัทธ์กินข้าวเช้าในช่วงสายจนอิ่มท้อง เขากับพิรัลช่วยกันเก็บโต๊ะอาหารและล้างจานชาม จากนั้นพิรัลปลีกตัวขึ้นข้างบนเพื่อเก็บเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งสำหรับการไปค้างคืนกับเด็กหนุ่ม ขณะที่นิพัทธ์ไปช่วยพ่อของพิรัลทำชั้นวางกระถางต้นไม้อยู่นอกบ้าน ทุกอย่างดูเป็นปกติสุขดีตามที่เคยเป็นเสมอมา

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพ่อต้องพาแม่ไปซื้อของใช้เข้าบ้านอีก กานต์ไปพักเถอะลูก” พ่อของพิรัลกล่าวเช่นนั้นขณะสายตาสอดส่ายมองชั้นวางกระถางต้นไม้ที่ประกอบขึ้นเอง “กานต์ว่าเจ้าแมวข้างบ้านมันจะมาทำกระถางของแม่เขาตกแตกอีกมั้ย พ่อไม่รู้จะทำยังไงดี คราวที่แล้วมันมาเดินย่ำบนต้นไม้ของแม่เขา ทำต้นกระบองเพชรเขาตายอีก”

“ถ้าเอาไม้มาตีพาดตรงกลางระหว่างชั้นผมว่าน่าจะช่วยได้นะครับ อย่างน้อยไม่น่าจะโดนแมวปัดตก”

พ่อของพิรัลพยักหน้ารับรู้พลางวางสิ่งของไว้ที่เดิม “อืม ดี เดี๋ยวพ่อจะลองทำดู ตามสบายนะลูก พ่อไปอาบน้ำล่ะนัดแม่เขาไว้ตอนบ่ายสอง”

นิพัทธ์รับคำไปตามเรื่องตามราว สายตามองตามหลังผู้สูงวัยจนลับตาก่อนตัวเขาจะเดินหลีกไปอีกทาง เด็กหนุ่มนึกอยากบุหรี่แต่คิดว่ามันไม่เหมาะสมหากจะทำตามอำเภอใจ เขาจึงเลี่ยงออกมาสูบบุหรี่ที่นอกบ้าน อยู่ในมุมที่พิรัลแนะนำเพราะตัวพิรัลเองก็มักออกมาสูบบุหรี่ที่จุดนี้หลายครั้ง ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะปิดบังอะไรแต่เพราะควันพิษจะได้ไม่รบกวนคนอื่น นิพัทธ์คาบบุหรี่ไว้ในปาก ส่วนมือกดเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ ปกติแล้วเขาไม่ได้ติดบุหรี่อะไรมากนักแต่มีบ้างที่นึกอยากสูบมันเป็นครั้งคราว ไม่ผิดแผกไปจากเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

เขาเล่นเกมไปได้พักหนึ่ง นานจนทำให้บุหรี่มอดไปเกือบครึ่ง สายตาที่เคยจดจ้องหน้าจอมาเป็นเวลาพักใหญ่ละมองไปทางอื่น เด็กหนุ่มเห็นพิรัลเดินออกมาจากประตูบ้าน หอบถุงขยะหนึ่งถุงใหญ่มาทิ้งก่อนตามด้วยถุงขนาดย่อมสีสว่างและเดินกลับเข้าบ้าน นิพัทธ์ขยับเปลี่ยนท่า อัดสูบบุหรี่เข้าเต็มปอดก่อนจะดับมันลง ตั้งใจจะเข้าไปนั่งเล่นเกมต่อในห้องของพิรัล เขาเดินไปทิ้งมวนบุหรี่ที่เหลือในถังขยะใบใหญ่ สายตาเหลือบมองเห็นของที่พิรัลทิ้งไว้ ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะคิดว่าคงเป็นขยะ แต่แล้วถุงสีสว่างกลับสะดุดตา เขาหยิบมันขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเป็นถุงจากโรงพยาบาล ในใจเริ่มนึกสงสัย ลางสังหรณ์บางทำให้เขารู้สึกไม่สู้ดีนัก นิพัทธ์เปิดถุงดู เห็นซองยามากมายหลากหลาย เขาคิดว่าอาจเป็นยาที่หมดอายุ แต่ก็ไม่น่าจะใช่อีกเพราะยาเฉพาะโรคเฉพาะทางหมอต้องจ่ายยาให้พอเหมาะอยู่แล้ว และบนฉลากก็ระบุวันเวลาที่จ่ายยาให้อย่างชัดเจน

สองเท้าย่ำอยู่ที่เก่า สมองประมวลผล หลังจากเกิดเรื่องต่างๆมากมาย นิพัทธ์คิดว่าพวกเขาเข้าใจกันดี พวกเขาเห็นตรงกัน และมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน แต่มาวันนี้นิพัทธ์รับรู้ได้ว่าบนเส้นทางระหว่างพวกเขาสองคนยังห่างไกล พิรัลยังหยุดอยู่ที่เดิม ไม่แปรเปลี่ยน กาลเวลา วาจา หรือแม้แต่รักที่มอบให้ยังคงเข้าไม่ถึงความเป็นพิรัล เขาไม่เข้าใจพิรัล ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจ นิพัทธ์มองถุงยาในมือและครุ่นคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป

นิพัทธ์ไม่ใช่คนอ่อนไหว แต่เวลานี้เขาเสียใจเหลือเกิน เขารู้สึกเหมือนว่าได้สูญเสียช่วงเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขารักอยู่กับใครบางคนที่ไม่ยอมสละบางอย่างเพื่อคนอื่นบ้างเลย นิพัทธ์นึกเศร้าใจและบางอย่างกำลังสะกิดความเชื่อมั่นให้สั่นคลอน พิรัลรักเขาบ้างหรือเปล่า หากรักกันทำไมพิรัลจึงไม่พยายามทำทุกทางให้รักครั้งนี้คงอยู่สืบนานเท่านาน นิพัทธ์ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงความคิดของพิรัลแม้น้อยนิด เวลานี้มันเกินกว่าทานทน เขารับไม่ไหวแล้ว

พิรัลยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนรักเดินเข้ามาในบ้าน เขาโอบกอดคนตัวขาว ได้กลิ่นบุหรี่เบาบางยามเมื่อจูบบนกลุ่มผมอีกฝ่าย แต่เพราะถุงยาในมือของนิพัทธ์ทำให้สีหน้าระรื่นชะงักลง เขาไม่รอบคอบเอง เขาคิดว่านิพัทธ์น่าจะไปยืนกินขนมอยู่ในห้องครัวหลังจากช่วยพ่อซ่อมนู่นซ่อมนี่เหมือนที่ผ่านมา ไม่คิดเลยว่าวันนี้นิพัทธ์นึกอยากสูบบุหรี่ ไม่คิดด้วยซ้ำว่านิพัทธ์จะเฉียดใกล้ถังขยะใบนั้น

“พี่เจตน์ไม่กินยาเหรอครับ”

ชายหนุ่มอายุมากกว่าพูดไม่ออก

“ผมถามหน่อยได้มั้ยว่าทำไมถึงไม่ยอมกินยา”

พิรัลมองคนตรงหน้า ดวงตาที่สบด้วยอยู่นี้ดูอ่อนล้า “ผมขอโทษ”

“ผมไม่อยากได้คำขอโทษ ผมอยากรู้ว่าทำไมพี่เจตน์ถึงไม่กินยา”

“กานต์ ไว้ค่อยคุยได้มั้ย ผมไม่อยากให้แม่ได้ยิน”

นิพัทธ์เงียบลงไม่พูดอะไรต่ออีก หากแต่เด็กหนุ่มวางถุงยาไว้บนโต๊ะบริเวณนั้นก่อนเดินไปทางหน้าบ้าน เขาไม่มีท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยง เพียงแค่เดินออกไปตามปกติ พิรัลก้าวตามด้วยรู้ว่าหากไม่รั้งไว้คงได้ทะเลาะใหญ่โต แต่ทันทีที่จับแขนนิพัทธ์ได้ เด็กหนุ่มกลับขืนแรงออกและหันมาเผชิญหน้า

“ผมไม่ไหวแล้วครับพี่เจตน์ ผมพยายามมองข้ามเรื่องนี้แต่ผมทำไม่ได้”

“กานต์ ผมแค่ไม่อยากให้แม่รู้เรื่องนี้ ไว้แม่ออกไปกับพ่อก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน ใจเย็นหน่อยสิ”

“ทะเลาะอะไรกันลูก”

เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นอยู่ด้านหลัง แม่ของพิรัลในชุดพร้อมออกไปข้างนอกยืนอยู่บนขั้นบันไดด้วยสีหน้าฉงน

“ไม่มีอะไรครับแม่”

“เจตน์...” เธอปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พิรัลรู้ตัวว่าไม่อาจโกหกต่อหน้าแม่ได้อีก เขาจึงเลือกที่จะเงียบ

“ผมขอเลิกกับพี่เจตน์ครับคุณน้า” เสียงของนิพัทธ์ไม่ราบเรียบเช่นเคย มันสั่นเครือราวกับพยายามสะกดกลั้นความเสียใจที่กำลังถาโถมอยู่ตอนนี้

แม่ของพิรัลมีหน้าตกใจ แต่เพราะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวไปมากกว่าที่ได้ยินเธอจึงยังไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็นอะไร “ใจเย็นกันก่อนลูก ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน”

เด็กสองคนตรงหน้าเงียบงัน ไม่มีใครพูดหรือแม้แต่ขยับตัว

“บอกแม่ได้มั้ยว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร”

พิรัลอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบลง เขาหาเรื่องแก้ตัวไม่ทัน

“ผมขอโทษครับคุณน้า” นิพัทธ์เอ่ยแล้วยกมือไหว้ “ผมขอกลับก่อนนะครับ”

“กานต์ลูก อย่าเพิ่งไป มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” เธอเดินเข้ามารั้งตัวเด็กหนุ่มไว้ ลางสังหรณ์ของผู้หญิงมักแม่นยำเสมอ เธอรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่การทะเลาะกันจากเหตุของมือที่สาม หรือเรื่องหยุมหยิมตามประสาคนรัก มันมีอะไรมากกว่านั้น

นิพัทธ์ไม่กล้าฝืนแรงแม่ของพิรัล เขาได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม “ผมทำใจไม่ได้ครับคุณน้า เรื่องที่พี่เจตน์...ไม่ยอมรักษาตัวเอง ผมพยายามจะเข้าใจ แต่ผมทำไมได้ครับ”

แม่ของพิรัลถอนหายใจยาวก่อนปล่อยมือที่รั้งแขนนิพัทธ์ไว้ “งั้นกลับไปเถอะลูก”

“แม่ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” พิรัลโวยวายขึ้น สีหน้าดูร้อนรนเมื่อเห็นนิพัทธ์หันหลังเดินออกไป

“เจตน์ ปล่อยน้องไปเถอะ”

“ปล่อยได้ยังไงล่ะแม่”

“เจตน์...” น้ำเสียงของเธอเข้มขึ้น สีหน้าที่มักดูใจดีมีเค้ามูลของความจริงจังปรากฏขึ้น “แม่ขอพูดอะไรหน่อยนะ แม่รู้ว่าเจตน์ไม่เคยกินยาเลย ไปหาหมอก็จริงแต่แม่รู้ว่าเจตน์ไปเพื่อให้แม่สบายใจ”

พิรัลทำท่าจะเถียงแต่เขากลับเงียบปากสนิท ความจริงที่แม่กำลังพูดออกมาทำให้เขาจุกปรี่

“ทุกคนในบ้านรู้หมดแหละว่าเจตน์ไม่ได้รักษาตัวเองเลย อาการกำเริบตอนไหนบ้างแม่ก็พอดูออก แต่แม่ไม่ได้พูดแค่นั้นแหละ เจตน์รู้มั้ยว่าสิ่งที่เจตน์เลือกทำให้แจงลำบากแค่ไหน อาทิตย์ก่อนนู้นน้องจ๋าเป็นไข้ ใหญ่ก็ไปทำงานที่ต่างจังหวัด แต่แจงก็ต้องไปหาเจตน์ที่โรงพยาบาล ทิ้งจ๋าไว้ที่บ้านคนเดียว ดีนะว่าจ๊ะจ๋าพูดรู้เรื่อง ถ้าเป็นเด็กคนอื่นแม่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

พิรัลยังคงนิ่งเงียบเช่นเคย แม้ว่าน้ำเสียงของแม่จะไม่ได้ต่อว่าต่อขาน แต่ความรู้สึกบางอย่างกำลังสะกิดเปิดทางให้เขายอมรับฟังบ้าง

“แม่รู้เรื่องนี้เพราะแม่โทรหาแจงแล้วแจงไม่รับสาย แม่ก็เลยโทรหาใหญ่ จะถามว่าหลานเป็นยังไงบ้างแต่กลายเป็นว่ารู้เรื่องของเจตน์แทน แม่ก็อดที่จะถามไม่ได้หรอกนะ ทั้งลูกทั้งหลาน” เธอว่าเช่นนั้นแล้วเผยยิ้มเบาบางก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวเดิมในมุมโปรดของเธอ

ชายหนุ่มเดินตามมาด้วยสีหน้าสลดลง แต่ยังคงเงียบปาก

“เจตน์ลูก แม่ไม่รู้ว่าทำไมเจตน์ถึงคิดอะไรแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรแม่เข้าใจได้เพราะเจตน์เป็นลูกของแม่ แจงก็ไม่เคยว่าอะไรเจตน์เลยเพราะเจตน์เป็นน้อง แต่เจตน์ไม่ลองคิดถึงแจงบ้างเหรอ ลองคิดหน่อยมั้ยว่าเจตน์ทำให้แจงลำบากแค่ไหน แล้วเจตน์จะยังทำให้แจงต้องลำบากต่อไปอีกเหรอ แล้วเรื่องกานต์...”

คราวนี้พิรัลมองสบตาผู้เป็นแม่ หัวใจของเขาเต้นสั่นระรัวไปหมด

“ปล่อยน้องไปก่อนเถอะลูก แต่แม่อยากให้เจตน์ลองคิดว่ารักของเจตน์ทำให้กานต์มีความสุขมั้ย ถ้ามีความสุขทำไมกานต์ถึงยังเสียใจกับสิ่งที่เจตน์เลือกล่ะ เจตน์อยากให้คนรักของเจตน์ต้องทนอยู่กับสิ่งที่เจตน์เลือกเหรอ ทำไมกานต์ต้องทนเพราะเจตน์ล่ะ อยากรักเขา อยากอยู่กับเขา อยากไปง้อเขา แต่เจตน์คิดบ้างมั้ยว่าสิ่งที่เจตน์เลือกทำให้กานต์ลำบากแค่ไหน แล้วทำไมต้องทำให้เขาลำบากล่ะลูก”

เธอจับมือลูกชาย มองตาและมอบรอยยิ้มอันโอบอ้อมอารีให้ “กานต์เขารักเจตน์นะ เขานึกถึงแต่เจตน์ แล้วเจตน์ล่ะเมื่อไหร่จะนึกถึงใจน้องบ้าง อย่ามองแต่ตัวเองสิ”

พิรัลรับฟัง อย่างน้อยท่าทีอ่อนโอนก็เป็นสัญญาณอันดีงาม เพราะหากเป็นปกติแล้วเพียงแค่เอ่ยปากเกี่ยวกับโรคที่รุมเร้าเจ้าตัว พิรัลแทบจะเดินหนีและทุ่มเถียงไม่ยินยอมรับฟังเลย เธอจับมือพิรัล แม้จะตัวโตสูงใหญ่ ดูเป็นคนขึงขังจริงจังกับหน้าที่การงาน แต่พิรัลกลับไม่เอาไหนเรื่องความรัก เธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอมีความคิดประหลาดที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ที่สามารถโอบรับตรรกะแปลกแยกเป็นเพราะเธอคือครอบครัวของพิรัล แต่กับคนอื่นเธอไม่ต้องการให้ลูกของเธอสร้างความเดือดร้อนให้ใคร และหากยังมีโชคดีติดตัวอยู่บ้าง เธออยากให้พิรัลคิดได้เสียที มันอาจสายเกินไปแต่อย่างน้อยลูกของเธอจะได้เรียนรู้ สำนึกในการกระทำของตัวเอง และไม่คิดประพฤติอย่างที่เคยเป็นมาอีก

“เจตน์ลูก...”

“ครับ”

“ถ้าไปง้อกานต์แล้วเขายังไม่ยอมคืนดีเจตน์จะทำยังไง”

“ต้องยอมสิแม่”

เธอมองลูกชายด้วยแววตาครุ่นคิด “อย่าเพิ่งไปตามกานต์ตอนนี้เลย แม่อยากให้เจตน์ทบทวนความรู้สึกของตัวเองก่อน”

พิรัลเงียบไม่โต้ตอบอะไร

“เอาล่ะ แม่จะออกไปข้างนอกกับพ่อ เจตน์จะไปด้วยมั้ย”

“ไม่ครับ”

“เจตน์ลูก… ทุกคนรักเจตน์นะ ทำอะไรคิดให้เยอะหน่อย”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนเดินหายขึ้นไปบนตัวบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เฮ้อ... เมื่อไหร่จะโตสักที”

เสียงจากคนเป็นพ่อดังขึ้นเมื่อเห็นลูกชายเดินขึ้นบ้านไปแล้ว คนเป็นแม่หันมาส่งยิ้มให้ก่อนคนสูงวัยจะกอบกุมมือกัน และภาวนาให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี



ด้วยความสัตย์จริงนิพัทธ์ไม่หวังให้พิรัลตามมาอธิบายสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเหนื่อยหน่ายและไม่อยากรับฟังคำเลื่อนเปื้อนจากพิรัล จะว่าโกรธก็ไม่เชิงเพราะเขาไม่นึกโกรธพิรัล เพียงแต่น้อยใจว่าทำไมความรักของเขาที่มีให้พิรัลจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ มาทบทวนเรื่องราวทั้งหมดบางทีคำตอบมันง่ายเพียงนิดเดียว พิรัลคงไม่ได้รักเขามากพอสำหรับการรักษาความสัมพันธ์นี้ให้คงอยู่นานเท่านาน และหากเป็นเช่นนั้นนิพัทธ์ท้อถอยเกินกว่าจะพยายามแล้ว

เขานั่งรถแท็กซี่กลับมาที่คอนโดของตัวเอง ระหว่างนั้นพิรัลไม่ได้โทรหาสักครั้ง ไม่ส่งข้อความ ไม่มีการติดต่อใดๆกลับมา ใจของนิพัทธ์วูบโหวงไปช่วงหนึ่งแต่อีกส่วนหนึ่งกลับแย้งขึ้นมาว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว หากรักกันไม่มากพอก็ไม่มีประโยชน์จะรั้งรอสิ่งใดอีก ทั้งนี้ไม่เชิงว่าเขาหมดหวังในตัวพิรัลเพียงแต่ความผิดหวังเสียใจกำลังแสดงออกมามากกว่า




หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 22-11-2018 19:46:25


ในเช้าวันรุ่งขึ้น วันจันทร์ที่มนุษย์เงินเดือนต่างหนีไม่พ้นวังวนคนทำงาน นิพัทธ์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาขึ้นรถไฟฟ้ามาทำงานตามเวลาปกติ ไม่เคยนึกหนีหน้าพิรัล ไม่เคยอยากหนีหายไปไหน เพียงแต่เมื่อได้เจอหน้ากันแล้วเขาพบว่ามันยากเหลือเกินกับการทำตัวให้เป็นปกติ ทางเลือกที่มีก็มีเพียงน้อยนิด หรือไม่มีเลยต่างหาก นิพัทธ์เดินเข้าคอกไปตามปกติเหมือนเคย

พิรัลนั่งอยู่ที่เดิม เปิดคอมพิวเตอร์ทำงาน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเข้ามาทำงานแล้วจึงขยับเข้าไปใกล้ มีอาหารเช้าแบบง่ายยื่นให้เหมือนเช่นที่ผ่านมา หากแต่วันนี้นิพัทธ์กลับลังเลที่จะรับ พวกเขาอยู่ในช่วงประดักประเดิดเข้าหน้ากันลำบาก

“ขอบคุณครับ”

นิพัทธ์เอ่ยขึ้น หัวใจของพิรัลเริ่มสดใสขึ้นบ้าง หากแต่ประโยคถัดมากลับทำให้หัวใจห่อฟีบลง

“คราวหน้าพี่เจตน์ไม่ต้องลำบากซื้อมาให้ผมก็ได้นะครับ”

ในน้ำเสียงนั้นไร้การประชดประชัน ดวงตาของนิพัทธ์เองก็สื่อความหมายเช่นนั้นออกมา

“กานต์ ผมอยากคุย…” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคพิรัลกลับต้องชะงักลงเพราะรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมากะทันหัน “เรื่องที่ผมไม่กินยา ผมไม่อยาก…” พิรัลชะงักไปอีกครั้งจนนิพัทธ์จับสังเกตได้ ชายหนุ่มรู้สึกตึงช่วงด้านซ้าย ไม่เชิงว่ารู้สึกชาไม่รู้สึกเจ็บแต่มันตึงไปหมด เขามองหน้านิพัทธ์อยากพูดในสิ่งที่คิดอยู่แต่มันทำได้อย่างยากลำบาก หัวใจของพิรัลแน่นหนักไม่ใช่อุปมาปุมัยแต่เขาเจ็บมันอย่างจริงจังไม่เหมือนที่ผ่านมา

ภาพเบื้องหน้าดูสว่างจ้าไปหมด เขามองสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ชัดเจน ได้ยินนิพัทธ์พูดถามในสมองประมวลผลได้อยู่แต่พูดไม่ได้ดั่งใจ เหงื่อออกท่วมตัวไปหมด พิรัลทรมานกว่าทุกครั้ง ความรู้สึกของเขาติดๆดับๆ รู้ตัวว่านิพัทธ์กำลังพยุงพาเขาออกไป ได้ยินเสียงนิพัทธ์คุยโทรศัพท์มือถือ พักหนึ่งเขาเห็นกรณ์วิ่งหน้าตื่นออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ภาพเบื้องหน้าชัดบ้างมัวบ้าง แต่โดยรวมพิรัลแทบจับใจความอะไรไม่ได้อีกต่อไป

พิรัลรู้ตัวว่าถูกพามาส่งที่โรงพยาบาล อยู่ในห้องฉุกเฉิน พยาบาลวิ่งวุ่นพร้อมเข็นเครื่องอะไรต่อมิอะไรเข้ามารุมล้อมเต็มไปหมด พักหนึ่งเขาได้ยินเสียงพูดคุยขึ้นเหนือหัว เสียงราบเรียบที่พูดคุยกันนั้นพิรัลฟังไม่รู้ความเท่าไหร่ เขาได้ยินเพียงแค่ว่าตีบกี่เปอร์เซ็นต์ ศัพท์แสงทางการแพทย์อะไรอีกมากมายเขาได้ยินและยังไม่สิ้นสติเสียที แสงตรงหน้าสว่างจ้าจนเขาต้องหลับตาลงและคิดถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจอีกมากมาย ความรู้สึกผิดฉุดรั้ง คำพูด คำสัญญาที่อยากให้นิพัทธ์ยังเต็มอยู่ในหัวสมองไปหมด แต่พิรัลไม่สามารถพูดมันออกมาได้ เขามองไม่เห็นใคร บางทีทุกคนอาจไม่รอเขาอยู่ที่เดิมแล้ว แม้แต่นิพัทธ์ก็ยังลอยละล่องไปที่อื่น ทิ้งไว้เพียงแต่พิรัลที่อยู่คนเดียวบนดาวพุธ

พิรัลหลับไปนานหลายชั่วโมง รู้สึกตัวเพราะหนาวมากกว่าปกติ เขามองไปรอบด้านไม่ได้อยู่ห้องฉุกเฉินเดิมแต่ไม่รู้เช่นกันว่าอยู่ในห้องอะไร ชายหนุ่มคิดถึงครอบครัวของตัวเองโดยเฉพาะพี่สาวที่มักตกยากเพราะต้องคอยดูแลน้องชายคนนี้ บางทีแจงอาจโกรธเขามากจนไม่อยากจะเห็นหน้ากันอีก พิรัลคิดถึงแม่กับพ่อผู้คอยรับฟังทุกปัญหาและบรรเทาทุกข์ให้เสมอ แต่บางทีทุกข์ของเขาอาจหนักหนาเสียจนแม่กับพ่อเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับฟังอีก ความคิดถึงสุดท้ายคือภาพความทรงจำล่าสุด เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงไล่เลี่ยกันกับเขา ผิวขาวกระจ่าง ที่แก้มมักระเรื่อสีแดงธรรมชาติ ดวงตาของเขาใสแจ๋วราวกับดาราได้ฉายส่องเปล่งประกาย ริมฝีปากของเด็กหนุ่มคนนี้กำลังพูดเอ่ยอะไรบางอย่าง พิรัลอ่านปากไม่ออกแต่เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่ส่งมาผ่าน บุคคลเหล่านั้นหายไปอยู่ที่ไหนกัน ทำไมมีเพียงเขาอยู่ตามลำพังกับเครื่องมือทางการแพทย์

วินาทีเป็นวินาทีตายของเขาได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่พิรัลกลับนึกฉงนว่าทำไมเขายังได้รับโอกาสนี้ และเขาควรทำอย่างไรกับโอกาสที่ได้รับ จะมีใครโชคดีเหมือนเขาอีกบ้างสำหรับโอกาสที่ผ่านเข้ามาถึงหลากหลายครั้ง จะมีใครอีกบ้างที่ได้รับความคาดหวังให้มีชีวิตอยู่ต่อไป พิรัลตระหนักอย่างท่องแท้ มันล้ำลึกถึงที่สุดว่าโอกาสในครั้งนี้หากยังไม่เรียนรู้ที่จะรักษาไว้ หากไม่เรียนรู้ที่จะโอบกอดความรักที่คนรอบข้างได้มอบให้ ท้ายที่สุดแล้วเขาอาจไม่ได้รับโอกาสแบบนี้อีก

พยาบาลเดินเข้ามาบอกว่าจะเจาะเลือด พร้อมกับแจ้งข่าวที่เป็นดั่งสายใยหนักแน่นให้พิรัลได้กลับไปยังโลกมนุษย์อย่างผ่องแผ้ว ครอบครัวและคนรักของเขาพร้อมหน้ารอกันอยู่ที่ด้านนอก เธอแจ้งว่าเดี๋ยวหมอจะเข้ามาคุยด้วย พิรัลนอนรออยู่เช่นนั้นเป็นเวลาพักใหญ่ เขาอยากออกไปพบหน้าครอบครัวและคนรักของเขามากกว่าครั้งไหนๆ อีกอึดใจใหญ่กว่าหมอจะเดินเข้ามา เป็นแพทย์ผู้หญิงเจ้าของไข้คนที่รักษาเขา

“คุณพิรัล สวัสดีค่ะ” เธอส่งยิ้มให้ตามคนอัธยาศัยดี “รอบนี้แย่เลยเนอะ”

จากนั้นหมอก็สาธยายเกี่ยวกับการรักษาที่ได้กระทำลงไป พิรัลฟังไม่ค่อยรู้เรื่องจับใจความได้บางอย่างเช่นหมอสวนหัวใจและใส่ขดลวดเพื่อถ่างขยายหลอดเลือด อีกมากมายที่พิรัลไม่ค่อยเข้าใจ

“ผมกลับได้แล้วใช่มั้ยครับ”

แพทย์สาวทำสีหน้าตื่นตกใจก่อนจะยิ้มอีกครั้ง เธอทำให้พิรัลนึกสงสัยว่าคนเป็นหมอทำไมจึงดูใจเย็นและมีวิธีพูดให้เขานำกลับไปคิดทุกที “จะกลับเลยเหรอ คุณพิรัลไม่อยากรู้วิธีดูแลตัวเองต่อจากนี้เหรอคะ”

พิรัลนิ่งเงียบไป หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงสะบัดผ้าห่มเดินออกจากห้องนี้ไปเลยด้วยซ้ำ “นัดรอบหน้าได้มั้ยครับ”

“หมอขอเวลาแป้บเดียวนะ ฟังหมอพูดหน่อย” เธอกล่าวก่อนจะบอกให้เจ้าหน้าที่พยาบาลนำเครื่องมือต่างๆเข้ามาพร้อมกับมอบคู่มือดูแลตัวเองฉบับเล็กจิ๋วให้ พิรัลฟังเธอแนะนำวิธีดูแลตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พิรัลรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรก็หนืดไปกว่าเดิม จะว่าอย่างไรดีล่ะ เขารู้สึกขยับเขยื้อนไม่ได้ดั่งใจแต่ไม่ถึงกับเชื่องช้าขนาดนั้น ราวกับว่าจิตใจของเขาได้พุ่งทะยานออกไปที่ด้านนอกเสียแล้ว

พิรัลเห็นครอบครัวของตัวเองยืนรออยู่ที่ด้านหน้า แม่ส่งยิ้มให้เดินเข้ามาโอบกอดเป็นคนแรก ส่วนคนอื่นส่งเสียงถามไถ่ถึงอาการในตอนนี้ เพียงแต่พิรัลมองไม่เห็นนิพัทธ์

“กานต์ล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน โทรมาบอกฉันว่าแกจะตายแล้ว แต่พอมาถึงก็ไม่เห็นกานต์ แกนี่มันอึดชะมัดฉันนึกว่าแกไม่รอดแน่ๆ”

“แจงลูก ไม่เอาน่าอย่าซ้ำเติมน้องสิ” แม่รีบห้ามปรามด้วยรู้ว่าลูกสาวและลูกชายมักพูดจากันอย่างไร

“ไม่ตายก็ดีแล้ว แกยังไม่ได้พาหลานไปอควาเรี่ยมเลย”

“เออ เดี๋ยวเคลียร์งานเสร็จแล้วจะพาน้องจ๋าไปเอง แจงพูดมากจังวะ”

“เจตน์อย่าพูดไม่เพราะกับพี่สิ”

พิรัลอดยิ้มไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างใกล้จะเข้าที่เข้าทางแล้ว ขาดก็เพียงแต่นิพัทธ์

“เจตน์ไม่เป็นไรแล้วนะครับแม่ ทุกคนกลับกันก่อนได้เลยนะ เจตน์จะกลับไปทำงานต่อ”

“แกจะบ้าเหรอไอ้เจตน์ หมอให้พักไม่ใช่เหรอ” จุ๊บแจงโวยวายขึ้นมาขณะที่ครอบครัวของพวกเขาเริ่มเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล

“เออ รู้ว่าต้องพักถ้าไม่ไหวจะพัก แต่งานบางอย่างมันยังต้องเคลียร์นี่หว่า”

“แกมันบ้าไอ้เจตน์ อยู่โรงพยาบาลวันเดียวเจ้านายไม่หักเงินหรอกนะ” แจงบ่นงึมงัมแต่ไม่ได้ต่อความยาวไปมากกว่านี้

“ตามใจเจตน์แล้วกันลูก ถ้ายังไงจะกลับบ้านหรือไม่กลับบ้านก็บอกหน่อยล่ะ ถ้ากลับแม่จะทำไข่น้ำไว้ให้”

พิรัลยิ้มกว้างพูดถึงไข่น้ำของแม่แล้วอารมณ์ดีขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์จริงๆ เขารับปากทุกคนว่าจะไม่หักโหมทำงานก่อนจะล่ำลาแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ช่วงเวลาที่พิรัลออกจากโรงพยาบาลฟ้าก็มืดแล้ว เขาคิดว่าครอบครัวของเขาคงจะมาเฝ้ารอตั้งแต่รู้ข่าว พิรัลรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้กลับบ้านพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เพราะความคะนึงถึงคนรักทำให้อยู่ไม่เป็นสุข พิรัลจึงเลือกมาหานิพัทธ์ดั่งใจต้องการ เขาเข้ามาที่ออฟฟิศเห็นโอมกับหญิงกำลังขนของอยู่ที่หน้าตึกเพราะมีออนไซต์ต่างจังหวัดและต้องออกเดินทางในคืนนี้พอดิบพอดี

“พี่เจตน์ มาทำไมพี่ หมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ นี่เป็นหวัดหรือสวนหัวใจกันแน่อะพี่”

“โรงพยาบาลรัฐอะ ถ้าไม่ใกล้ตายจริงเขาไม่ให้ค้างคืนหรอก” พิรัลพูดติดตลก พาให้เด็กสองคนหัวเราะ “เห็นกานต์ป้ะ”

“ยังเคลียร์งานซ่อมอยู่เลยพี่ งานดันมาเยอะตอนพี่ไม่อยู่อีก”

“อ้าว ติดอะไรป้ะ”

“ติดเยอะเลยพี่ ผมส่งอีเมลให้แล้ว”

“ขอบคุณมากโอม เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”

“พี่เจตน์ไหวเหรอ พักก่อนเหอะ” คราวนี้เป็นเสียงจากหญิงที่เพิ่งขนอุปกรณ์ลงรถตู้ชิ้นสุดท้ายเสร็จ “หญิงว่าจะหักโหมไปนะถ้าวันนี้มาทำงาน ถามจริงพี่ หมอให้ออกมาได้ยังไง”

“ไหวๆ ผมไม่ฝืนหรอก ขอบคุณมากนะหญิง เดินทางปลอดภัยล่ะคืนนี้” แม้จะรู้ว่าน้องสองคนเป็นห่วงแต่เขาเลือกที่จะตัดบทเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกคนอื่นถามถึงอาการเจ็บป่วยนี้เลย

พิรัลเดินจากมาหลังจากส่งน้องสองคนขึ้นรถตู้ของบริษัทเพื่อออกเดินทางไปต่างจังหวัดในคืนนี้ เขาหันกลับมาด้านหลัง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่นิพัทธ์อยู่ตรงนั้น

สภาพโดยทั่วไปของออฟฟิศแห่งนี้ดูเงียบสงัดลงเมื่อเป็นช่วงเวลากลางคืน จะมีก็แต่ทีม Helpdesk ที่ห้องทำงานเปิดสว่างเพราะตอนกลางคืนมักมีลูกค้าจากร้านต่างๆโทรมาแจ้งซ่อมเครื่องเป็นจำนวนมาก พิรัลเดินเข้ามายังคอกของตัวเองอย่างเงียบเชียบ ผิดหวังนิดหน่อยเมื่อไม่ได้เห็นนิพัทธ์นั่งทำงานอยู่ แต่เพราะคอมพิวเตอร์และเครื่องที่ลูกค้าส่งมาซ่อมยังกองสุมระเกะระกะไม่เรียบร้อยทำให้เขารู้ว่าเด็กหนุ่มยังทำงานอยู่ พิรัลดูอีเมลที่เปิดค้างไว้ก่อนไล่สายตาอ่านไฟล์งานเอ็กส์เซลไปเรื่อยเปื่อย พักหนึ่งนิพัทธ์ก็ยังคงไม่ปรากฏตัวมันทำให้เขาเริ่มร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง พิรัลลุกขึ้นเดินวนไปทั่วออฟฟิศด้วยนึกว่าบางทีนิพัทธ์อาจแวะไปนั่งกินอะไรที่แคนทีน แต่แล้วเขาไม่เห็นนิพัทธ์เสียที พิรัลลองไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่พบ เขาพยายามนึกว่านิพัทธ์จะหายไปที่ไหนได้บ้างและคิดขึ้นมาได้ว่านิพัทธ์อาจจะอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์

“เอากุญแจห้องมาจากไหน”

กล่องลังกระดาษบรรจุสายแลนล่วงหล่นตกลงพื้น นิพัทธ์คว้าจับชั้นเหล็กเบื้องหน้าไว้เพื่อทรงตัว เขาตกใจเมื่ออยู่ๆก็มีคนโผล่มาไม่ให้ซุ่มเสียง โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ตกลงมาจากบันไดเหล็กที่ใช้ปีนหยิบของ

“เอากุญแจมาจากโอมครับ” เด็กหนุ่มตอบก่อนหันมองไปทางอื่น แต่แล้วก็หันกลับมาอีกราวกับเพิ่งตั้งสติได้ว่าเป็นพิรัล พิรัลคนเดียวกันกับที่เพิ่งส่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อเช้า “หมอให้ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ”

ความจริงหมอไม่อนุญาตให้เขาออกมาและยืนกรานว่าพิรัลต้องพักผ่อน แต่พิรัลทนไม่ไหว เขาขอร้องจนหมอยอมอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล หลังจากจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆเขาก็มุ่งหน้ามาที่นี่ “ยังไม่ใกล้ตายหมอก็ไล่ให้ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ” พิรัลพยายามทำตลก แต่ลืมไปเสียแล้วว่าตนเองไม่ใช่คนคารมณ์ดีอะไร

นิพัทธ์ไม่ขำสักนิดอีกทั้งยังดูไม่ได้สนใจจะถามอะไรต่ออีก

“กานต์ ลงมาคุยกันก่อน” เขาใช้เท้าเขี่ยกล่องสายแลนก่อนเดินเข้าไปยืนข้างบันไดเหล็กที่นิพัทธ์ยืนอยู่ “มีงานอะไรค้างอีก ทำไมยังไงไม่กลับบ้าน”

นิพัทธ์ลงมาจากบันได เผชิญหน้ากับพิรัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ผมก็ทำตามปกตินั่นแหละครับ”

น้ำเสียงที่ได้ยินฟังดูห่างเหิน แต่นิพัทธ์ไม่หลบหน้าอีกทั้งยังจ้องตา เป็นตัวพิรัลเองที่รู้สึกละอายต่อการกระทำที่ผ่านมา “พี่ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ประโยคที่ได้ยินทำให้พิรัลใจชื้นขึ้นบ้าง

“ไม่ต้องบอกผมก็ได้”

ประโยคถัดมาใจที่ชุ่มชื้นกลับแห้งผากลง “กานต์…” พิรัลชะงักค้าง คำพูดที่มีสุมกองอยู่มากมายหากแต่เขาพูดไม่ออก ทีท่าของนิพัทธ์ทำให้เขาไขว้เขวไปหมด

“ผมเป็นแค่ลูกน้องไม่ต้องบอกอะไรหรอกครับ” เด็กหนุ่มว่าเช่นนั้นก่อนจะก้มตัวลงเก็บสายแลนที่ทำตก

เป็นอีกคราวที่พิรัลไร้คำพูด เขาไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นด้วยประโยคไหน ยิ่งเมื่อได้เห็นริมฝีปากสีสดที่เริ่มเม้มแน่น เห็นช่วงเวลาที่นิพัทธ์แอบใช้แขนเสื้อปาดเช็ดใบหน้า แม้ว่าจะเริ่มต้นไม่ได้แต่อย่างน้อยพิรัลก็รู้ว่านิพัทธ์กำลังเสียใจ เมื่อเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขาเห็นแขนเสื้อเชิ้ตทำงานสีขาวชุ่มน้ำ บนแก้มที่เขาเคยดอมดมหอมซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่ากำลังเปียกด้วยน้ำตา หัวใจของพิรัลปวดร้าว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดต่อใครสักคนมากขนาดนี้

“พี่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน แต่กานต์อย่าร้องไห้ได้มั้ย พี่ใจจะขาดแล้ว”

นิพัทธ์วางมือจากการเก็บสายแลน แผ่นหลังภายใต้เสื้อสีขาวสั่นเทาเล็กน้อย พิรัลร้อนรุ่มใจไปหมดเขาไม่รู้จริงๆว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหน อยากปลอบ อยากง้อ อยากอธิบาย อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล อยากขอโทษ สารพัดสารพันมากมาย แต่ทุกอย่างกลับจุกปรี่อยู่ในอก เขาเพิ่งตระหนักว่าเป็นคนรักที่แย่ขนาดไหน เขาทำไม่ได้แม้แต่จะปลอบประโลมไม่ให้นิพัทธ์ร้องไห้

เด็กหนุ่มหันหลังอยู่เช่นนั้น ร้องไห้เสียใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนับจากพ่อเสียชีวิต เพราะเขารักพิรัล รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีมูลปลายสายเหตุ และเขาเสียใจมากเหลือเกิน เสียใจที่ความรักซึ่งอยู่ตรงนี้ไม่ถูกหยิบนำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร พิรัลต้องรอให้อาการแย่กว่านี้ ต้องรอจนสายเกินไปหรืออย่างไรจึงจะตระหนักถึงความรักของนิพัทธ์บ้าง

“ผมแค่ไม่อยากให้พี่เจตน์ตาย”

แผ่นอกของพิรัลแนบแผ่นหลังอันสั่นเทา ไออุ่นของเด็กหนุ่มตัวขาวตรงหน้ายังให้ความรู้สึกดีเหมือนที่เคยมา เพียงแต่เวลานี้นิพัทธ์กำลังหมดหนทาง และเป็นตัวเขาเองที่ไล่ต้อนให้นิพัทธ์จนมุม เขาไม่เคยเห็นนิพัทธ์ร้องไห้จนวินาทีนี้เด็กตัวขาวที่แสนเข้มแข็งสำหรับพิรัลกำลังอ่อนแอลง ตัวเขานั้นคิดเสมอมาว่าหากตายวันตายพรุ่งไปก็คงไม่เป็นไร เมื่อชีวิตจบลง ความรู้สึกนึกคิดก็ดับสูญและไม่มีสิ่งใดให้พิรัลยังต้องเป็นกังวลอีก แต่เมื่อได้รู้จักนิพัทธ์ ได้เรียนรู้กันและกัน ได้รักและผูกพันธ์ พิรัลเพิ่งแจ้งประจักษ์ว่าที่ผ่านมาความคิดของเขาเห็นแก่ตัวเหลือเกิน เขาไม่คิดถึงคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เขาคิดถึงเพียงตัวเอง ไม่ต้องการให้ตัวเองเจ็บปวด จะตายก็ช่างมัน เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนไป แต่เขาไม่อาจทนเห็นนิพัทธ์เสียใจเพราะเรื่องนี้ได้อีกแล้ว พิรัลรู้สึกผิดและละอายเหลือเกิน นิพัทธ์ไม่คู่ควรกับความคิดเห็นแก่ตัวของเขาแม้น้อยนิด

ใบหน้าของพิรัลแนบชิด อ้อมแขนโอบกอดคนตรงหน้าไว้ “อีกสองอาทิตย์หมอนัดติดตามอาการอีก กานต์ไปกับพี่นะ”

เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบรับ พิรัลจึงใช้โอกาสนั้นรั้งตัวนิพัทธ์ให้หันมาสบหน้ากัน ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เสมอมากำลังหม่นหมองจนพิรัลรู้สึกผิดมากกว่าเดิม เขาคิดถึงคำพูดของแม่ ทำไมเขาต้องทำให้คนที่เขารักตกอยู่ในสภาวะลำบากใจ แล้วเวลานี้ตัวเขาพร้อมสำหรับการเปลี่ยนความคิดแล้วหรือยัง คำตอบอยู่ตรงหน้านี้ พิรัลยอมหมดทุกอย่างเพียงเพื่อได้รักกับนิพัทธ์

“พี่จะไม่ทำให้กานต์เสียใจอีก กานต์อย่าเลิกรักพี่เลยนะ”

“………..”

“กานต์ ตอบพี่หน่อยสิครับ”

นิพัทธ์นิ่งฟัง พิรัลคงคาดหวังคำตอบอันสวยหรูไว้ เพียงแต่นิพัทธ์ยังไม่สามารถมอบมันให้ได้

“ผมไม่รู้ครับพี่เจตน์ ผมไม่รู้ว่าจะตอบอะไร”





************************************




สวัสดีวันลอยกระทงค่ะ แต่อย่าเพิ่งเอาอิพี่เจตน์ไปลอยอังคารนะคะทุกคน 555555555
ใกล้จะจบแล้วนะคะสำหรับเรื่องนี้ มาเร็วเคลมเร็ว เพราะจะไปแต่งเรื่องหนึ่งมิตรชิดใกล้ต่อ 5555555
 :heaven
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-11-2018 22:30:25
สมน้ำหน้าอิพี่เจตต์ คราวที่แล้วเจอน้องใจอ่อนให้ รอบนี้ไม่ได้แอ้ม ขอแบบนี้เยอะๆค่ะ หมันไส้  :z2:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-11-2018 22:51:34
ถ้ายังคิดไม่ได้ก็ไม่รู้จะเชียร์ยังไงแล้วนะพี่เจตน์
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 22-11-2018 22:57:30
ฮืออออออ สงสารน้องกานต์
ถ้าไม่ติดว่าเปนพระเอกจะเอาพี่เจตต์ไปลอยทิ้งจริงๆด้วย
ทำน้องร้องไห้อีกแล้วนะ แถมยังจะมาตายต่อหน้า
คิดดูความรู้สึกน้องจะเปนยังงัย จะกลัวแค่ไหน
ต่อไปนี้ต้องดูแลตัวเองดีๆ รักน้องให้มากๆด้วยนะคุณพี่เจตต์
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 23-11-2018 06:25:25
จะให้โอกาสพี่เจตน์เป็นครั้งสุดท้ายนะ :z6:
ถ้ายังไม่กินยาอีก​ จะเชียร์ให้กานต์ไปบดๆผชคนอื่น
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 23-11-2018 08:30:26
พี่เจตต์คนใจร้าย ถ้ายังดื้ออีกจะให้น้องหนีไปจริงๆเเล้วนะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: doubleu ที่ 23-11-2018 15:46:26
มันต้องโดนไม้แข็งแบบนี้นี่แหละพี่เจตน์ จะได้รู้สึกบ้าง
น้องกานต์ใจแข็งเข้าไว้นะลูก  :hao5:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 24-11-2018 12:31:45
 :angry2: พี่เจตน์ ทำน้องกานต์ร้องไหหห้
 :angry2: เอาไม้เรียวมาให้ที จะตีพี่เจตน์ให้หลังลาย
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 24-11-2018 15:22:54
สงสารน้อง.....น้องยังรักและเป็นห่วง แต่มันก็หน่วงหน่อยๆ เพราะรักที่ให้ไป เหมือนส่งไปไม่ถึงใจพี่เลย
ขอให้แฮปปี้เอนดิ้งนะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 27-11-2018 23:03:47
นอกจากกานต์จะร้องไห้แล้ว เราก็ร้องไห้ด้วย คิดถึงคนที่รักตัวเองด้วยนะพิรัล คนอยู่เสียใจยาวนานกว่านะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบสี่ (P.3) - ทบทวน (22-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 28-11-2018 15:36:09
น้องกานต์งอนไปเลย ให้พี่เจตน์ง้อสักปีสองปี
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 02-12-2018 23:50:56
ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ)



นิพัทธ์ไม่คุยกับเขาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว ทั้งนี้ไม่เชิงว่าไม่ปริปากคุยด้วยแต่นิพัทธ์แสดงออกชัดเจนถึงขอบเขตที่สามารถคุยได้ ในฐานะหัวหน้ากับลูกน้องนิพัทธ์ยังสามารถพูดคุยและมีความรับผิดชอบต่อหน้าดีอย่างเสมอมา พิรัลร้อนรนอยู่ในอก เขาพยายามหาช่องว่างเพื่อแสดงออกว่าเวลานี้กำลังตามขอคืนดีอย่างชัดเจนเช่นกัน มันอาจเรียกว่าเป็นการใช้หน้าที่การงานในทางที่ผิดอยู่สักหน่อยหากกล่าวว่าพิรัลเคี่ยวเข็ญกดดันในเนื้องานของนิพัทธ์มากกว่าใครอื่น ทั้งเรื่องงานเอกสาร เรื่องออกไปออนไซต์ที่มีอุปกรณ์ซับซ้อน เขาสามารถปรับเปลี่ยนจับตารางออนไซต์ของนิพัทธ์ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ พิรัลไม่รู้สึกผิดต่อการใช้อำนาจในมือ หากเขาต้องการให้นิพัทธ์อยู่เช็คเครื่องจากลูกค้าที่ส่งมาซ่อมเป็นรอบที่สอง ในฐานะหัวหน้าเขาย่อมสั่งให้ทำได้ หากเขาต้องการให้นิพัทธ์แก้ไขแบบฟอร์มในการแจ้งซ่อมต่อเวนเดอก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพูดออกไปโดยอ้างอิงถึงการประเมินผลงานในอนาคต และหากเขาต้องการเลี้ยงข้าวลูกน้อง มันอาจยากสักหน่อยเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน นิพัทธ์มีสิทธิ์เลือกที่จะตอบรับหรือจะปฏิเสธ

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาพิรัลวุ่นวายอยู่กับงาน เพราะต้องคอยทำงานส่วนของหวานที่ลาคลอดและประจวบเหมาะกับเป็นช่วงปิดปีงบประมาณ ทางฝั่งเซลล์เร่งทำยอด ทางฝั่งเซอร์วิสต้องการจัดการปัญหาที่คั่งค้าง ทุกฝ่ายต่างรุมเร้าเคร่งเครียด พิรัลอยู่ทำงานจนฟ้ามืดแทบทุกวัน ถึงจะพยายามหาเรื่องใช้เวลาอยู่กับนิพัทธ์ในที่ทำงานมากแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วเขาแทบจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ ความเครียดสะสมมาเป็นระยะเวลาพักใหญ่ สุดสัปดาห์นี้พิรัลจึงชักชวนลูกน้องไปกินข้าวมื้อเย็นที่ร้านอาหารใกล้ๆโดยตัวเขาเป็นเจ้ามือ

“กานต์จะไปตอนเย็นนี้ด้วยป้ะ”

พิรัลหูพึ่งเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยถามจากหญิง เขาหวังเหลือเกินว่านิพัทธ์จะตอบรับ

“ยังไม่รู้เลย ผมรอดูงานก่อนว่าจะเคลียร์เสร็จทันมั้ย”

เมื่อเอาเรื่องงานมาอ้างพิรัลก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้

“พี่เจตน์เลี้ยงนะเว่ย ไม่ไปได้ไงของฟรี” หญิงว่าเช่นนั้นก่อนเดินออกจากคอกทำงานไป

เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากนิพัทธ์ แต่กลับไม่ได้ยินคำตอบรับหรือปฏิเสธ พิรัลหันไปมองยังทิศทางที่นิพัทธ์นั่งทำงานอยู่ เขาสบสายตาเข้ากับเด็กหนุ่มที่มองมาอยู่ก่อนหน้านี้ พิรัลไม่หลบสายตา เขาจ้องมองจนเด็กหนุ่มเลี่ยงสายตาไปเองเมื่อเห็นว่าสบโอกาสไม่มีใครอยู่ในคอก พิรัลเลื่อนเก้าอี้เข้าไปหานิพัทธ์ เขาเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเตรียมถอยหนีพิรัลจึงเอ่ยพูดเรื่องงานขึ้นมาเสียก่อน

“เดี๋ยวมีเครื่องซ่อมจากหาดเฉวงส่งมา กานต์เช็คให้เสร็จวันนี้นะ เคสนี้ SLA แปลกว่าเคสอื่น”

“กี่เครื่องครับ”

“POS สาม มีปัญหาเรื่องจอเครื่องนึง ส่วนอีกสองเครื่องลูกค้าบอกว่าเปิดไม่ติด เดี๋ยวทางเวนเดอจะส่งอีเมลตามมาทีหลังแล้วพรุ่งนี้เวอเดอจะเข้ามารับนอกรอบ”

“ครับ”

“ผมขอเสร็จวันนี้นะ ช่วยผมหน่อย”

นิพัทธ์รับคำและคิดว่าจะหันกลับไปทำงานต่อ แต่เพราะพิรัลยังไม่ได้ขยับไปไหนเขาจึงเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย

“มีให้ผมทำอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“มี ช่วยผมยกลังหน่อย หญิงจะได้ไม่ต้องไปขนเองเดี๋ยวหญิงมีอินสตอเครื่อง”

“ได้ครับ”

เด็กหนุ่มรับคำแม้ในใจจะคาดคิดไปเสียแล้วว่าพิรัลอาจถามเรื่องไปกินข้าวตอนเย็น เขาเดินตามหลังชายหนุ่มอายุมากกว่าไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ มองดูพิรัลไขกุญแจก่อนเปิดและหลีกทางให้เขาเดินเข้าไป ไฟในห้องไม่ได้สว่างขึ้น อีกทั้งยังได้ยินเสียงปิดประตูพร้อมกับล็อคไว้ เพิ่งตระหนักรู้ก็ตอนนี้ว่าถูกพิรัลหลอกเข้าให้เสียแล้ว

“พี่เจตน์ครับ...” เสียงของเด็กหนุ่มเงียบลงเมื่อพิรัลก้าวเข้ามายืนตรงหน้า เขาหวนนึกถึงครั้งแรกที่ถูกพิรัลจูบในห้องแห่งนี้ ใจที่เคยเต้นตุบตับด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างไปจากเดิม และนิพัทธ์ไม่ยินดีกับความรู้สึกนี้สักเท่าไหร่

“ครับ” ชายอายุมากกว่าขานรับ สองเท้าขยับเดินจนประชิดตัวอีกฝ่าย ดวงตาจดจ้องราวกับว่ากลัวนิพัทธ์จะสลายหายไปต่อหน้าต่อตา

“นี่พี่เจตน์หลอกผมใช่มั้ยครับ”

“ผมไม่ได้หลอก ผมจะให้กานต์มาช่วยยกลังจริงๆ” เขาตอบหากพลางวางมือข้างหนึ่งไว้ตรงชั้นเหล็กเป็นการกักขังนิพัทธ์ “แต่ก่อนจะให้ช่วยผมอยากคุยด้วย” แม้ปากจะบอกว่าคุยทว่าใบหน้าของพิรัลได้เคลื่อนมาอยู่ในจุดที่ใกล้กับใบหน้าของนิพัทธ์จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกันและกัน “พี่คิดถึงกานต์”

นิพัทธ์นิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบรับและสีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดเป็นพิเศษ

“กานต์ยกโทษให้พี่ได้มั้ย พี่คิดถึงกานต์มากนะ”

“...........”

“น้องยังโกรธพี่เหรอครับ พี่ขอโทษ อย่าโกรธพี่เลยนะครับ”

“ผมไม่ได้โกรธครับ”

“ถ้าไม่โกรธแล้วทำไมไม่ยอมคุยกับพี่ครับ”

เด็กหนุ่มตัวขาวมองตาอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจ “ผมแค่คิดว่า... พี่เจตน์ไม่ได้รักผมเหมือนที่ผมรักพี่เจตน์”

“...........”

“ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่ก็รู้สึกไปแล้ว”

“ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่รักกานต์ ถ้าไม่รักพี่จะมาตามง้ออยู่แบบนี้เหรอ”

“ผมไม่ได้บอกว่าพี่เจตน์ไม่รักผม แต่พี่รักผมน้อยกว่าที่ผมรักพี่”

“แล้วกานต์รู้ได้ยังไงว่าผมรักกานต์น้อยกว่า เอาอะไรมาตัดสิน”

น้ำเสียงของพิรัลเข้มขึ้น เขาทำให้นิพัทธ์นึกโมโหขึ้นมาอยู่บ้าง “ก็ดูสิ่งที่พี่เจตน์ทำดิ ต้องรอให้อาการมันแย่ขนาดไหนถึงจะดูแลตัวเอง ถ้าไม่ใกล้ตายก็คงไม่รู้สึกตัวแล้วจะให้ผมอยู่ด้วยความหวาดระแวงแบบนี้ไปตลอดเหรอ”

“กานต์จะโทษที่ผมป่วยใช่ป้ะ ที่อยากเลิกกับผมเพราะผมป่วยเนี่ยเหรอ”

“ผมไม่ได้จะโทษที่พี่ป่วย แต่ผมแค่ไม่รู้สึกว่าพี่ได้พยายามทำอะไรเพื่อผมเลย ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมรักษาตัวเอง รู้ว่าบุหรี่มันทำให้แย่ลงก็ยังไม่เลิก เหมือนพี่เจตน์ไม่อยากมีชีวิตอยู่อะ ผมไม่อยากเสียใจอยู่คนเดียวตอนเห็นพี่เจตน์ตายนะ เสียใจทั้งๆที่เราสามารถทำให้มันดีได้แต่พี่ไม่ยอมทำ”

“...........”

“ผมรู้ว่าสุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องตาย แต่ก่อนตายเราจะไม่พยายามทำอะไรเพื่อชีวิตตัวเองบ้างเหรอ ผมผิดเหรอ ผมแค่อยากอยู่กับพี่เจตน์ไปนานๆ แต่ที่ผ่านมาเหมือนผมรู้สึกแบบนั้นอยู่คนเดียว”

“...........”

“ผมไม่เคยโทษที่พี่เจตน์ป่วยเลย ผมพร้อมอยู่กับพี่แต่พี่ไม่พยายามบ้างเลย อย่างน้อยดูแลตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่กับผม อยู่กับครอบครัว ทุกคนรักพี่เจตน์แต่พี่ไม่คิดทำอะไรเพื่อคนที่รักพี่เลยสักนิดเดียว”

“...........”

“ผมรักพี่เจตน์ แต่ผมก็อยากอยู่กับคนที่ให้ใจผมเต็มร้อย ไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่าความรักของผม...” เด็กตัวขาวของพิรัลเม้มปากแน่น ดวงตาที่สบมองอยู่นี้หลบเลี่ยงไปทางอื่น น้ำเสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้สั่นเครือมากขึ้นทุกที “ผม...”

พิรัลทำให้นิพัทธ์เสียน้ำตาอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันที่คนเด็กกว่าจะได้พูดอะไรอีกพิรัลก็โอบกอดร่างที่แสนคุ้นเคยนั่นไว้ “พี่ขอโทษ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ” เขากอดปลอบประโลมแนบแน่น รู้สึกถึงแรงฝืนเล็กน้อยแต่ไม่มากพอสำหรับการต่อต้าน และแม้ว่านิพัทธ์จะต่อต้านอ้อมกอดนี้เขาก็จะไม่ปล่อยอย่างแน่นอน “พี่รักกานต์ พี่ยอมหมดทุกอย่างแล้ว เรากลับมาคุยกันเหมือนเดิมนะ”

นิพัทธ์ยังคงนิ่งเงียบ ไม่ผลักไสและไม่กอดตอบ เด็กหนุ่มเพียงแค่ยืนอยู่เช่นนั้นราวกับเวลาหยุดนิ่ง

พิรัลผละตัวออกมาเพื่อมองใบหน้าอีกฝ่าย เขาโน้มหน้าเข้าใกล้มองตาก่อนจะสัมผัสบนผิวแก้มด้วยริมฝีปาก นิพัทธ์เบี่ยงหน้าออก พิรัลรุกไล่ตามคราวนี้เขาจูบที่ริมฝีปากสีสดนั่น รสสัมผัสที่ห่างหายไปนานนี้ทำให้เขาใจเต้นแรงและโหยหาต้องการมากขึ้น แต่เพียงแค่ได้สัมผัสนิพัทธ์ก็ผินหน้าออกอีกครั้ง

“ผมขอเวลาหน่อยนะครับ”

“พี่รอไม่ได้แล้วกานต์ พี่อยากคุยกับกานต์เหมือนเดิม”

“ทีพี่เจตน์ยังอยากได้เวลาคิดเลย ผมก็อยากทบทวนเรื่องของเราเหมือนกัน”

พิรัลยอมแพ้เมื่อถูกไล่ต้อนด้วยเรื่องราวในอดีตที่ย้อนกลับมาผูกมัดตัวเอง เขาจับมือของนิพัทธ์ขึ้นมาอิงแอบใบหน้าซานซบก่อนจะจูบลงด้วยความทะนุถนอม “กานต์ พี่ไม่อยากรอแล้ว พี่ป่วยนะ จะตายตอนไหนก็ได้ แล้วกานต์จะให้พี่ตายทั้งที่เรายังไม่คืนดีกันเหรอ”

“...........”

“กานต์ไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอครับ เราคุยกันว่าเราจะไปล่าแสงเหนือด้วยกันนี่ น้องไม่อยากไปกับพี่แล้วเหรอครับ” พิรัลรุกเร้าอีกครั้ง เขาไม่เคยตามหาเหตุผลล้านแปดพันข้อเพื่อง้อใครมากขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าง้อคนไม่เป็นแต่ไม่เคยรู้สึกอยากง้อใครมากเท่านี้จริงๆ เขารู้ว่านิพัทธ์ไม่ใช่คนงี่เง่าอีกทั้งยังมีความเข้มแข็งมากกว่าภายนอกที่เห็นแต่สิ่งหนึ่งที่พิรัลยังไม่รู้นั่นก็คือนิพัทธ์ใจแข็งมากเพียงใด ชายหนุ่มได้แต่หวังว่าใจที่มันแข็งอยู่นี้จะอ่อนลงบ้าง เขารู้ตัวแล้วว่าความคิดประหลาดที่ไม่เข้าท่านั่นได้สร้างความยากลำบากแก่คนอื่น เขารู้ตัวแล้วว่าชีวิตที่ยังดำเนินอยู่ตอนนี้อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้ใครอึดอัดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรอบข้างที่หวังดีต่อเขา พิรัลผิดไปแล้ว เขาขอเพียงแค่โอกาสให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเช่นเก่า

“เราห่างกันสักพักนะครับพี่เจตน์”

พิรัลยอมพักความพยายามไว้ ณ ตรงนี้ก่อนมันจะกลายเป็นความน่ารำคาญ แต่หัวใจของเขาจะไม่ยอมหยุดพัก มันยังคงเต็มไปด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับมารักและผูกพันธ์กันมากกว่าครั้งไหน



พิรัลใช้เวลาอยู่กับครอบครัวในช่วงสุดสัปดาห์ เขาพาหลานไปเที่ยวตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้และพาพี่สาวไปกินอาหารอร่อยๆ ไม่ได้หวังว่าการกระทำนี้จะลบล้างความยากลำบากที่แจงเคยเผชิญมา พิรัลคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการขอบคุณมากกว่าเพราะพี่สาวของเขาชอบกินเนื้อวัวย่างมากกว่าสิ่งใดบนโลก เขาอดขำไม่ได้เมื่อเห็นแจงสั่งเนื้อวัวโทมาฮอว์คมาหนึ่งกิโลกรัมและซัดโฮกเข้าไปจนหมดก่อนบ่นว่าพุงจะแตก อีกทั้งยังโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่พามากินเนื้อวัวอีกต่างหาก พิรัลล้อเลียนเมื่อเห็นหน้าท้องนูนของเธอ ล้อด้วยความสนิทสนมมากพอที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วแจงไม่เคยสนใจรูปร่างสวยงามเหมือนเช่นคนอื่น ปากก็บ่นไปเช่นนั้นแต่ไม่เคยเห็นเธอหยุดกินเลยสักที

ครอบครัวของเขานั้นสนิทกันทุกคน แม้แต่ใหญ่เพื่อนของเขาที่เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกก็ยังสามารถพูดคุยเปิดอกถึงปัญหาส่วนตัวบางส่วนกับพ่อแม่ของเขาได้ พิรัลยืนรอจ๋ากับแจงเข้าห้องน้ำอยู่กับเพื่อนสนิท ช่วงหลังมานี้พวกเขาไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยนักเนื่องด้วยภาระหน้าที่ต่างๆ จะมีก็วันนี้ที่ได้อยู่พร้อมหน้ากันส่วนแม่กับพ่อไม่ชอบออกมาเที่ยวตามห้างสรรพสินค้าจึงไม่ได้ออกมาด้วย ที่ออกมาเที่ยวด้วยกันก็มีครอบครัวของแจงและตัวพิรัล

“ไม่ได้คุยกันนานเลยว่ะเพื่อน เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าพอหาหมอเสร็จก็เผ่นออกจากโรงพยาบาล”

“เออ ก็ตามนั้น”

“มึงบ้ารึเปล่าวะ จะรีบออกมาทำไม งานมันรอได้โว้ย”

“ไม่ได้จะออกมาทำงาน กูออกมาตามง้อกานต์”

“โอ้โห พระเอกเหลือเกิน ทีก่อนหน้านี้ไม่ยอมดูแลตัวเองพอจะเป็นจะตายถึงได้รู้สึก ไอ้ควาย”

“มึงเลิกซ้ำเติมกูได้แล้ว ไอ้ใหญ่”

ใหญ่หัวเราะลั่นก่อนจะตบบ่าเพื่อนอย่างสนิทสนม “ไอ้เจตน์เอ้ย มึงนี่มันมีความคิดเชี่ยๆอะไรก็ไม่รู้ แล้วนี่เป็นไงตามง้อสำเร็จมั้ย”

“ไม่ว่ะ เขาอยากให้กูห่างกับเขาสักพัก”

“มึง ประโยคคลาสสิคก่อนบอกเลิกเลยว่ะ เตรียมใจไว้นะมึง”

“ไอ้ใหญ่ มึงแม่งไม่ได้ช่วยเชี่ยอะไรเลย”

พิรัลถอนหายใจยาวแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร อีกทั้งเมื่อก่อนก็เคยโดนบอกเลิกด้วยประโยคนี้เช่นกัน เพียงแต่เขาไม่รู้สึกอยากตามง้อแฟนเก่าคนนั้น ผิดจากนิพัทธ์เขารู้สึกเหมือนใจจะขาดที่ไม่ได้พูดคุยกันอย่างเคย หากนิพัทธ์จะบอกเลิกกับเขาขึ้นมาจริงๆพิรัลนึกไม่ออกว่าจะเสียใจขนาดไหน แต่จะให้ทำอย่างไรได้เขาไม่ควรทำให้นิพัทธ์ลำบากใจอีก แค่ได้รักกันแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆในชีวิตแล้ว เขาผิดเองที่ไม่สามารถรักษารักครั้งนี้ได้

“กูไม่ได้จะซ้ำเติม แต่มันก็คือความจริงเปล่าวะ ห่างกันสักพักก็หมายถึงเลิกกัน นี่ก็รอเวลาน้องเขามาบอกเท่านั้นแหละ”

หากปฏิเสธว่าไม่หวั่นไหวเลยคงไม่ใช่ความจริง พิรัลถอนหายใจอีกครั้ง คำพูดของใหญ่ทำให้เขากลับมาเครียดยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายแล้วมันอาจเป็นความจริงที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้



วันจันทร์วนเวียนมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้พิรัลไม่ได้ตื่นเช้าเพื่อมาเข้างาน เขามาหาหมอตามนัดแต่เช้าตรู่ ขับรถมาจอดไว้ที่ลานจอดรถก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้ามายังโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่กลางเมือง วันนี้เขาลางานทั้งวันเพราะตั้งใจจะไปเดินในสวนสาธารณะซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาล เขาหวนนึกถึงการได้ใช้ชีวิตภายใต้ร่มเงาต้นไม้ ปูผ้า เอนตัวลงนอนเพื่ออ่านหนังสือสักเล่ม ในเมื่อลาป่วยทั้งวันแล้วจึงใช้โอกาสนี้อยู่กับตัวเองเสียบ้าง

การมาโรงพยาบาลรัฐบาลนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน พิรัลนำหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่านระหว่างรอพบหมอแต่เพราะความวุ่นวายทำให้เขามีสมาธิน้อยนัก เขาจึงปิดหนังสือ เก็บมันลงกระเป๋า และเดินเลี่ยงมาอีกทางที่สงบลงเล็กน้อยแต่เพียงแค่ไม่มีที่นั่งรอ เขาโทรหานิพัทธ์เพียงเพื่อจะถามถึงสถานการณ์ที่ทำงาน แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกันฉันท์คนรักอีกเลยนับแต่วันนั้น อย่างน้อยพิรัลคงพอจะสามารถหยิบเรื่องงานมาพูดคุยได้ วันนี้เขารับรู้แล้วว่าไอ้การแค่อยากได้ยินเสียงมันสามารถหล่อเลี้ยงจิตใจที่ห่อเหี่ยวนี้ได้ นิพัทธ์ไม่รับสายในคราวแรกใจของพิรัลแห้งแล้งลงอีกหลายเท่าตัว เขามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความไปทักทาย เมื่อเห็นว่านิพัทธ์เปิดอ่านเขาก็พอจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจที่จะไม่รับสายโทรศัพท์

‘ที่ทำงานเป็นยังไงบ้าง’

‘ปกติครับ’

พิรัลนิ่งเงียบหลังจากอ่านข้อความที่ส่งกลับมา ระยะห่างระหว่างเขากับนิพัทธ์มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เขารู้ตัวว่าที่ผ่านมานั้นได้สร้างความยากลำบากใจ รู้ว่าต้องได้รับผลของการกระทำ แต่ไม่คิดว่าเมื่อได้สัมผัสพบเจอมันจะส่งผลรุนแรงต่อจิตใจได้มากขนาดนี้ พิรัลถอนหายใจยาว ไม่กล้าถามเรื่องงานอีก

‘พี่รักกานต์นะครับ’

นิพัทธ์กดอ่านแล้ว ใช้เวลาช่วงอึดใจหนึ่ง นานพอสมควรจนรู้สึกว่านิพัทธ์คงจะไม่ตอบกลับ แต่ท้ายที่สุดก็มีข้อความส่งกลับมา

‘ครับ’

ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่อย่างพิรัลรู้สึกอ่อนล้าลงทันที เขามองเบื้องหน้าที่เป็นสถานพยาบาล มีคนไข้เดินผ่านให้ขวักไขว่ พยาบาลสาววุ่นวายอยู่ตรงเค้าท์เตอร์ บุรุษพยาบาลเข็นวีลแชร์ ภาพเหล่านั้นมันทำให้พิรัลนึกปลงตก ช่วงเวลาที่เห็นนี้เขาคงได้เผชิญก่อนช่วงเวลาของนิพัทธ์ วันใดวันหนึ่งเขาคงจะเป็นตาแก่ที่นั่งบนรถเข็นและนิพัทธ์ที่เด็กกว่าคงมีเส้นทางของตัวเอง เขาไม่ได้นึกถึงคำพูดของใคร แต่ภาพตรงหน้ามันทำให้เขาพบว่าแท้จริงแล้วคนที่จะอยู่ด้วยไปจนกว่าจะตายจากกัน หลงเหลือเพียงแค่ตัวเองเท่านั้น

พิรัลถูกเรียกเข้าไปพบหมอ มันเป็นนัดติดตามอาการและไม่มีอะไรสลักสำคัญเพราะหากไม่นับเรื่องที่เขาเป็นโรคหัวใจ ร่างกายของเขาก็นับว่ายังแข็งแรงมากพอสมควรอยู่จึงไม่มีอาการข้างเคียงอะไรทั้งนั้น ผลข้างเคียงที่เหลืออยู่คงมีแต่ความเสียใจที่ไม่สามารถรักษาความรักระหว่างเขากับนิพัทธ์ได้ พิรัลไม่ใช่คนคิดมากแต่ตอนนี้เขาคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วในระหว่างรอรับยา ระบบของโรงพยาบาลรัฐบาลก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน น่าหงุดหงิดและเชื่องช้าไปทุกภาคส่วน จิตใจของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอยสักเท่าไหร่ แม้แต่ตอนฟังเจ้าหน้าที่จ่ายยาพูดให้คำแนะนำพิรัลยังฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เขาเซ็นต์ชื่อลงในเอกสารอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจอันเซื่องซึม แต่เมื่อหันหลังมาเขาพบเข้ากับใครบางคนที่เกินกว่าการคาดคิด เป็นนิพัทธ์ในชุดทำงานตามปกติทั่วไป

นิพัทธ์ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มทำเพียงแค่เดินเข้าไปคว้าข้อมือพิรัลให้เดินออกมาจากบริเวณนั้น

“หมอว่ายังไงบ้างครับ” นิพัทธ์เอ่ยถามหลังจากปล่อยมือพิรัลแต่ยังคงก้าวเดินไปที่ไหนสักแห่ง

พิรัลนิ่งเงียบไปเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันแบบนี้ เขาแทบคิดว่านี่อาจเป็นความฝัน

“พี่เจตน์… เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

พิรัลส่ายหน้าก่อนจะเป็นฝ่ายคว้ามือนิพัทธ์มาจับไว้โดยไม่สนใจสายตาของใคร

“แล้วตกลงหมอบอกว่าอาการเป็นยังไงบ้าง” เด็กหนุ่มถามย้ำอีกครั้งพลางเดินออกไปเรื่อยๆ

“ปกติดี หมายถึงอาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ได้ยามาเยอะแยะไปหมด”

นิพัทธ์ไม่ได้ส่งยิ้มหรือแสดงออกอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้ดึงมือที่ถูกจับอยู่ออกห่าง “พี่เจตน์อย่าทำหน้างงได้มั้ยครับ นี่ผมเอง ไม่ใช่ผี”

“งงสิ ผมงงอยู่”

“ก็พี่เจตน์เคยบอกว่าวันนี้จะมาหาหมอผมก็เลยมาด้วย มารับแฟนกลับบ้านมันน่างงตรงไหน”

พิรัลชะงักเมื่อได้ยิน หัวใจของเขาเต้นแรง ความรู้สึกสุมแน่นอัดกองออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เขาจับมือนิพัทธ์แน่นจวบจนกระทั่งเด็กหนุ่มกอบกุมมือของเขาด้วยมืออีกข้าง พวกเขาหยุดยืนอยู่ตรงซอกตึกซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างอาคาร ดวงตาของทั้งคู่สบประสาน พิรัลตื้นตันไปหมดเสียจนคิดว่าอาจเป็นความฝัน

“กานต์ครับ พี่ขอโอกาสได้มั้ย เรามากลับมาคุยกันเหมือนเดิมนะครับ”

นิพัทธ์เลิกคิ้วสูง บรรยากาศรอบข้างไม่น่าพิศสมัยสักนิด หากแต่ตรงหน้านี้พิรัลกำลังเว้าวอนด้วยแววตาที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ริมฝีปากสีสดตามธรรมชาติเผยยิ้ม ใบหน้าขาวกระจ่างดูผ่อนคลายลง ดวงตาประกายความสุข นิ้วมือของนิพัทธ์คลึงเคล้าบนมือของพิรัลราวกับปลอบประโลม เขาเองก็ไม่เคยต้องการแยกจากพิรัลเลยสักนิดเพียงแต่การได้คิดทบทวนและเว้นระยะห่างมันทำให้เขารู้ลึกถึงความรู้สึกที่มี เขายังต้องการพิรัลโดยไร้ข้อเงื่อนไขอื่นใด เขายังห่วงใยปรารถนาดีเหมือนเช่นเคย และเขายังรักไม่เปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เขาเพียงแต่ยิ้มและกุมมือแน่นกระชับกับชายหนุ่มที่อายุมากกว่า

วงกลมของพิรัล Intersect กับวงกลมของนิพัทธ์ มันอาจไม่ใช่วงกลมที่ซ้อนทับไปเสียทุกส่วน หากแต่เกี่ยวกระหวัดคล้องเป็นวงเดียวกัน ความรักของพวกเขาอาจหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านี้หรือความรักของพวกเขาอาจดำเนินสืบสานต่อไปตราบนานเท่านาน แต่เวลานี้บนที่ที่พวกเขาสองคนยืนอยู่คือผืนโลกอันสามัญของมนุษย์ เป็นโลกของพวกเขาที่อยู่ในระนาบเดียวกัน เป็นโลกที่มีแต่เขาเพียงสองคน เป็นโลกของพิรัลและนิพัทธ์กับโอกาสในการเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง




************************************




บทสุดท้ายของเรื่องหนึ่งวันบนดาวพุธค่ะ จบแล้วววววววว
 :bye2:

หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 03-12-2018 10:25:33
ไฟนัลลี่ จบแล้ววววววววววววววว  :mc4:
ลุ้นกับอีพี่เจตน์ทุกตอน กลัวนังจะได้ตายก่อน 555555555555555
อยากจะสมน้ำหน้าจริงๆ ตอนไม่ยอมกินยา เป็นไงล่ะดีนะที่น้องยังกลับมาอ่ะ
ตอนที่น้องพูดมาแต่ละประโยคคือจุกมาก มันจริงอ่ะ ถ้าพี่เจตน์ตายคนที่อยู่นี่สิที่ยังรู้สึก
ดีใจนะคะที่พี่เค้ายังคิดได้ ดูแลตัวเอง รออ่านตอนพิเศษตั่งต่างนะค้าา
  :mew1:
เราชอบเรื่องนี้มากๆตั้งแต่ได้อ่านตอนแรกเลย อยากซื้อเล่มเก็บไว้จังค่ะ จะรอน้า
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 03-12-2018 12:32:58
ขอบคุณมากค่ะ เราอ่านแล้วอินมาก ตอนช่วงพี่เจนต์หลบไปพักใจ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: doubleu ที่ 03-12-2018 13:46:19
คิดมาตลอดว่าอยากให้กานต์ทิ้งพี่เจตน์ให้รู้แล้วรู้รอด คนอะไรดื้อมาก ไม่ยอมกินยา ไม่รักษาตัวเอง
แต่พอน้องกานต์ทำท่าจะไม่ดีกับพี่เจตน์ ทางเราก็ใจแป้ว สงสารพี่เจตน์ซะเอง555555
หายเร็วๆนะคะพี่เจตน์ ขอให้ต่อไปนี้ไม่ต้องมารพ.คนเดียวอีกแล้ว
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 03-12-2018 15:31:18
รออ่านตอนพิเศษเลย มันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-12-2018 21:38:17
ต่อไปนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆนะพี่เจตน์
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 03-12-2018 23:47:50
งือออออออ เสียใจที่จบจังเลยค่ะ
แต่ก้แอบดีใจที่ตอนจบพี่เจตน์ไม่ตาย
ดูแลตัวเองดีๆนะคุณพี่ อยู่รักน้องไปนานๆ
อยากขอตอนพิเศษสักนิดได้ไหมคะ
ขาดความหวานมาหลายตอนแล้ว
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-12-2018 10:06:05
น้องก็ใจอ่อนกับพี่เจตต์ตลอด ไปแก้แค้นในตอนพิเศษนะคะลูกแม่ !!  :z2:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 05-12-2018 15:15:53
ในที่สุดก็ happy ending เยยย้
ดีใจที่พี่เจตน์ตัดสินใจที่จะดูแลตัวเอง

ขอบคุณคุณนักเขียนสำหรับนิยายที่ตั้งใจแต่งให้เราได้อ่านนะคะ (หวังว่าจะมีตอนพิเศษหวานๆมาให้หายคิดถึงน้า)  :pig4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 06-12-2018 21:54:36
ดูแลตัวเองดีๆหน่อยพี่เจตต์ อย่าทำน้องเป็นห่วงมากนักกก :katai1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 06-12-2018 22:22:50
คิดไว้ว่าอยากให้น้องงอนพี่เจตน์ไปสักปีสองปี ฮา
แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว คนแก่จะได้มีแรงใจรักษาตัว
น้องกานต์ค่อยหาทางเอาคืนเล็กๆน้อยๆเนอะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 07-12-2018 09:57:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Sye.B ที่ 10-12-2018 02:28:16
โกรธธธ น้องไม่น่ากลับไป ทิ้งคนเห็นแก่ตัวไว้ตรงนี้เลยจ้าาาาา  :fire: :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jely ที่ 10-12-2018 07:30:58
 :L2: ขอบคุณคุณนักเขียนสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ :)
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-12-2018 19:33:41
 :L2: :pig4:

ขอบคุณคุณนักเขียนมากเลย
ชอบเรื่องนี้
อยากอ่านตอนพิเศษนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนที่สิบห้า (ตอนจบ) (P.4) - โอกาส (02-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2018 22:45:21
 :pig4:
หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 15-12-2018 17:15:08
ตอนพิเศษ - อนันต์





ชายกระโปรงชุดเจ้าสาวสีเบอร์กันดีลากยาวไปตามโถงทางเดินในโรงแรมแห่งหนึ่ง แสงสีส้มนวลตาที่ว่ากันว่าเป็นแสงแห่งความโรแมนติกส่องสว่างไปตลอดทางเดิน จุ๊บแจงดูสดสวยในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้ม ชุดเรียบๆ ไม่มีสิ่งใดประดับประดาเป็นพิเศษ ทรงผมตัดสั้นของเธอมีดอกไม้สีขาวเล็กๆประดับเล็กน้อยและถือช่อดอกไม้สีขาวที่ไม่ได้หรูหราตระการตา เธอหันมาส่งยิ้มให้น้องชายก่อนจะหันไปกลับไปควงแขนกับใหญ่สามีของเธอ

พิรัลรื้นน้ำตานิดหน่อยก่อนปาดเช็ดมันออก พี่สาวของเขากำลังจะเข้าพิธีแต่งงานเป็นครั้งแรก


จุ๊บแจงกับใหญ่มีน้องจ๊ะจ๋าจากความตั้งใจ แต่ทั้งสองคนไม่เคยจัดพิธีแต่งงานด้วยมีความปรารถนาต้องการให้ลูกได้เป็นหนึ่งในสักขีพยานความรัก ครอบครัวทั้งสองฝ่ายรับทราบ ไม่มีพิธีแบบไทยแบบฝรั่ง ไม่มีธรรมเนียมประเพณีใดในตอนที่ทั้งสองคนได้บอกกล่าวผู้ใหญ่ถึงความปรานาในการครองคู่ แม่กับพ่อของพวกเขาไม่ขัดข้องแต่ทางฝั่งครอบครัวของใหญ่บอกว่าอย่างน้อยก็อยากให้จัดพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ แต่ทั้งสองคนก็ยังยืนยันในความคิดดั้งเดิม

พิรัลไม่สนใจหากว่าพี่สาวของเขาจะมีพิธีแต่งงานหรือไม่มีเลย เขาสนใจเพียงแค่ความรับผิดชอบในฐานะของคนที่ได้ตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่ ใหญ่เพื่อนสนิทของเขาดูแลจุ๊บแจงในฐานะภรรยาเป็นอย่างดี นับจากนั้นประมาณไม่กี่เดือนจุ๊บแจงก็มีน้องน้อยอยู่ในครรภ์ของเธอ จวบจนจ๊ะจ๋าเติบโตขึ้น มาถึงวันนี้ใหญ่ได้ขอจุ๊บแจงแต่งงานเป็นครั้งแรก ท่ามกลางอากาศหนาว บนดอยทางภาคเหนือระหว่างทริปท่องเที่ยวของครอบครัว

พิธีแต่งงานช่วงเช้าของจุ๊บแจงกับใหญ่ไม่วิเศษเลอเลิศ อีกทั้งยังเรียบง่ายไม่ใหญ่โต จุ๊บแจงอยู่ในชุดสีเข้ากันกับใหญ่ พวกเขาเลือกจัดพิธีแบบไทย มีการผูกข้อมือและมีพิธีของสงฆ์ ภายในงานมีครอบครัวของบ่าวสาวพ่วงด้วยจ๊ะจ๋าที่ยังง่วงงุนจากการตื่นเช้า เธอรับรู้ว่าแม่กับพ่อของเธอจัดงานแต่งงาน แต่กระนั้นเด็กก็คือเด็ก จ๊ะจ๋าง่วงมากจนต้องแอบงีบอยู่กับนิพัทธ์ในมุมใดมุมหนึ่งของสถานที่จัดงาน
ช่วงตอนเย็นมีงานเลี้ยงในโรงแรม มันเป็นงานทั่วๆไป เล็กกระทัดรัดแต่อบอุ่นอวลไปด้วยญาติมิตรที่สนิทชิดเชื้อ จ๊ะจ๋าวิ่งเล่นไปทั่วงานเพราะได้เจอเพื่อนคนใหม่ซึ่งเป็นลูกของเพื่อนพิรัลที่มาร่วมงาน พิรัลก้มลงจัดชายกระโปรงให้พี่สาวก่อนเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าอมยิ้มที่แสนคุ้นเคย

“พี่เจตน์ร้องไห้เหรอครับ”

“เปล่า ไม่ได้ร้อง” ปากของพิรัลแข็งกลายเป็นโอกาสให้พี่สาวกับนิพัทธ์รุมแกล้ง

“ฉันเห็นแกน้ำตาคลอตั้งแต่เดินมารับฉันที่ห้องแล้วไอ้เจตน์ แกร้องไห้ที่เห็นฉันแต่งงาน”

“ร้องบ้าอะไรวะไอ้แจง ไม่ได้ร้องโว้ย”

จุ๊บแจงหัวเราะก่อนจะเดินเข้าไปกอดน้องชาย “โอ๋ น้องเจตน์ของพี่แจงอย่าร้องไห้นะ” เธอยีหัวน้องชายเล่นอย่างสนุกสนานเรียกเสียงหัวเราะจากญาติๆที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“แต่งๆไปได้ซะก็ดี จะได้จบๆไป”

“แหนะ อยากแต่งบ้างละสิ” จุ๊บกระเซ้าเย้าแหย่ต่อก่อนจะหันมามองทางนิพัทธ์ “กานต์อยากแต่งงานกับเจตน์มั้ย พี่ว่ากานต์ต้องขอเจตน์แต่งงานแล้วหละ ดูสิ ร้องไห้ตาบวมเลย โอ๋ๆ น้องพี่อย่าร้องไห้เลยลูก” ประโยคท้ายเธอหันไปหยอกล้อน้องชายอีกครั้งก่อนจะเริ่มเข้าสู่พิธีการเต็มรูปแบบ

พิรัลคว้ามือนิพัทธ์เดินเข้าสู่งานด้านใน แม้ว่าจะตัวสูงใหญ่ดูขึงขังในหน้าที่การงาน แต่ตัวตนของพิรัลแท้จริงแล้วมีไม่กี่คนนักหรอกที่ได้สัมผัส มีทั้งข้อดีข้อเสียแต่สำหรับนิพัทธ์เขายินยอมพร้อมรับทุกอย่างของพิรัลทั้งหมด เด็กหนุ่มชักชวนคนรักให้ไปเดินทางซุ้มอาหาร ตักอาหารบางส่วนแบ่งกันชิมแบ่งกันป้อน เพื่อนของพิรัลเข้ามาทักทายบ้างแต่เมื่อเห็นพิรัลยืนหวานชื่นอยู่กับคนรักก็มักจะล่าถอยเพื่อมอบเวลาส่วนตัวให้ นิพัทธ์นึกสงสัยว่าเพื่อนของพิรัลต้องการให้เวลาส่วนตัวหรือเพียงแค่รู้สึกแปลประหลาดที่เห็นผู้ชายสองคนยืนป้อนอาหารให้กัน เด็กหนุ่มเก็บเงียบความคิดนั่นไว้ด้วยคิดว่าไม่ต้องการเอ่ยถามให้พิรัลนึกกังวลใจ

พวกเขาใช้เวลาอยู่ในงานด้วยกัน ไม่ได้ออกไปต้อนรับแขกเรื่อเพราะไม่ชอบออกงานและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบ่าวสาวไป นิพัทธ์มองชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังยกกล้องถ่ายรูปไปทั่วงานไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาก็ถูกเก็บภาพไปด้วย พิรัลมักมีเวลาเชื่องช้าในการใช้ชีวิต ตรงข้ามกับเวลาทำงานพิรัลมักจะทุ่มทุนลงแรงจนคิดว่าเป็นคนละคน พวกเขาอยู่ในฐานะทั้งหัวหน้ากับลูกน้อง และฐานะคนรัก บางครั้งอาจมีความไม่ลงรอยกันบ้างแต่นับว่าเป็นส่วนน้อยมากที่ทะเลาะกันเรื่องงาน

กลุ่มเพื่อนของพิรัลเดินมาอีกสองสามคน นิพัทธ์เพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าเพื่อนของพิรัลมีเยอะมากหน้าหลายตา และเพิ่งรู้ว่าเพื่อนของพิรัลก็คือเพื่อนของเจ้าสาวด้วย หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามากอดพิรัลแนบแน่นแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม นิพัทธ์ไม่ใช่คนคิดมาก เขามีความมั่นใจในตัวพิรัลพอสมควร แต่สุดท้ายพอเห็นสองคนนั้นโผเข้ากอดกันอีกครั้งก่อนฝ่ายผู้หญิงจะหันมายิ้มให้นิพัทธ์ก็อดคิดมากไม่ได้

“แฟนเจตน์เหรอ หล่อจัง” เธอกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเช่นเดิม ไม่มีทีท่าใดพิเศษ

เมื่อนิพัทธ์ได้เห็นเธอแจ่มชัดก็พบว่าเธอเป็นคนน่ารักและยิ้มสวยจนยากจะปฏิเสธ นิพัทธ์ยิ้มรับคำชมแต่ไม่ได้ตอบรับอะไรเพิ่มเติม

“คบกันนานแล้วเหรอ”

“สองสามปีแล้ว”

“โอ้ยยย อิจฉาคนมีแฟน อยากมีบ้างจังแต่ตอนนี้คนคุยยังแทบจะไม่มีเลย”

พิรัลหัวเราะร่วนไปกับท่าทางตลกๆของเธอ จากนั้นหญิงสาวก็แยกตัวไปอีกทางเพื่อสมทบกับกลุ่มเพื่อน

“แฟนเก่าพี่เจตน์เหรอครับ” นิพัทธ์เอ่ยถามขึ้นมาทันควันเพียงหลังจากเธอหันไปทางอื่น

“ใช่ แฟนเก่าพี่เอง” น้ำเสียงที่ตอบดูไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก สายตามองตามหลังหญิงสาวไปจนสุดสายตาก่อนจะหันกลับมายังซุ้มอาหารอีก “เดี๋ยวพี่มานะ ไปถ่ายรูปเพื่อนก่อน นั่งรอที่โต๊ะไปก่อนนะ”

“ผมไปด้วย”

พิรัลชะงักขาที่กำลังก้าวออกไป หันมาทางที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายในสิ่งที่นิพัทธ์ไม่คาดคิด “ไม่ต้องหรอก พี่ไปหาเพื่อนแป๊บเดียว”

นิพัทธ์จะไม่ฉุกคิดอะไรสักนิดหากพิรัลไม่ได้ก้าวเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นแทนที่จะเข้าไปคุยกับเพื่อนตามที่ได้บอกไว้



งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสแบบเป็นทางการเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือ After party ที่มีแต่เพื่อนสนิท ส่วนผู้หลักผู้ใหญ่ต่างแยกย้ายไปหมดแล้ว พิรัลถอดเสื้อสูทออก สวมใส่เชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีน้ำตาล แผ่นอกของเขาแน่นตึงยังผลให้นิพัทธ์อดมองไม่ได้ พิรัลยังคงเป็นหนุ่มวัยเกือบสี่สิบที่ดูแลรูปร่างเป็นอย่างดี กำยำ ใบหน้าคมเข้มแบบไทย และโดดเด่นด้วยจมูกที่ค่อนข้างใหญ่แต่กลับดูลงตัวบนใบหน้าของเจ้าตัว พิรัลดื่มหนักกว่าปกตินิดหน่อย กระนั้นเขาก็ยังคงไว้ด้วยสติเพราะรู้ขีดจำกัดของตัวเอง ไหนจะเรื่องโรคหัวใจที่ไม่ควรข้องแวะกับของมึนเมานั่นอีก พิรัลตระหนักถึงข้อนั้นดีและเขายังอยากใช้ชีวิตนานกว่านี้

พิรัลยื่นสูทให้หญิงสาวคนนั้นหลังจากเธอบอกว่าหนาว นิพัทธ์นึกฉงน เธอสวมใส่ชุดสูทสีน้ำตาลอ่อน แหวกด้านหน้าเล็กน้อยดูเซ็กซี่แบบพอดิบพอดีแต่ก็ยังหนาวอีก บางทีนิพัทธ์คงคิดมากเกินไปเธออาจจะหนาวจริงๆก็เป็นได้ เด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม ที่โต๊ะตัวเดิม เขามองไปยังพิรัลที่กำลังคุยตลกโปกฮากับเพื่อนฝูง ใครคนหนึ่งไปหยิบกีต้าร์จากบนเวทีลงมานั่งดีดเล่น มันเป็นบรรยากาศของการสังสรรค์สำหรับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน แม้แต่พี่สาวของพิรัลก็ยังอยู่ในกลุ่มนั้น นิพัทธ์มานึกขึ้นได้ว่าพิรัลกับพี่สาวมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ที่เห็นตรงหน้านี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เป็นตัวเขาเองที่ไม่รู้จักเพื่อนของพิรัลเลย

นิพัทธ์ไม่ใช่คนคิดมาก เขาย้ำบอกตัวเองว่านี่คือเรื่องสามัญเหลือเกิน หากเขาเจอเพื่อนก็คงไม่แคล้วสร้างบรรยากาศแบบนี้ต่อพิรัลเช่นกัน เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าชอบเพศเดียวกัน และรู้แน่ชัดว่ากับเพศหญิงไม่สามารถสานสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวได้ เชื่อเถอะว่าเขาไม่เคยเอ่ยถามพิรัลในเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมามีเรื่องอื่นให้น่าขบคิดมากกว่าหลายเท่า แต่ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าพิรัลชอบทั้งผู้หญิงและผู้ชายใช่หรือเปล่า

การชอบสองทั้งสองเพศไม่เชิงว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพียงแต่ใจความหลักสำคัญนั่นก็คือนิพัทธ์แค่นึกน้อยใจขึ้นมาบ้างที่พิรัลมอบความสนใจทั้งหมดให้กับเพื่อน รวมไปถึงแฟนเก่าก็ด้วย เด็กหนุ่มปัดความคิดนั้นทิ้งไปเพราะเขาเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จะมานั่งน้อยอกน้อยใจที่แฟนไม่สนใจก็ไม่ใช่เรื่อง อย่างน้อยในเวลานี้ตัวเขาก็ยังคบหากับพิรัลในฐานะคนรักกันเช่นเดิม เขาควรมั่นใจในความสัมพันธ์นี้มากกว่าสิ่งใด

จากการลองเกลากีต้าร์เล่นๆ กลายเป็นการฟอร์มวงขึ้นมาจริงจังเสียอย่างนั้น พิรัลถูกเพื่อนลากให้ขึ้นบนเวที เจ้าตัวนั่งลงที่ตำแหน่งกลองชุด และถึงแม้ว่าจะอยู่ด้านหลังแต่นิพัทธ์ก็ยังเห็นพิรัลชัดเจนเสมอ พิรัลเล่นกีต้าร์มาโดยตลอดทั้งแบบอะคูสติกและแบบไฟฟ้า วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพิรัลตีกลอง จุ๊บแจงขึ้นเวที เธอมึนเมาเพราะเครื่องมากพอสมควรด้วยเหตุนั้นความกล้าจึงมีมากกว่าที่ได้เห็นตามปกติ เมื่อบนเวทีเข้าที่เข้าทาง ต่างก็เริ่มบรรเลงดนตรี

จุ๊บแจงเริ่มโซโล่กีต้าร์ไฟฟ้านิพัทธ์ก็รู้ได้ทันทีว่าสองพี่น้องมีรสนิยมเพลงเหมือนกัน รวมไปถึงใหญ่ที่ตอนนี้ทำหน้าที่ร้องนำ นิพัทธ์ตกตะลึงไปชั่วครู่เมื่อได้ยินเสียงใหญ่ร้องเพลงเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังฝีมือดีดกีต้าร์แบบโชว์เหนือของจุ๊บแจงก็ด้วย เพื่อนๆและญาติบางส่วนที่อยู่ After party ส่งเสียงโห่ร้องร่วมสนุก จากงานแต่งงานที่ก่อนหน้านี้มีแต่เพลงหวานซึ้งตอนนี้ถูกเปิดคอนเสิร์ตร็อคปี 2000 เสียแล้ว

เพลง By the way ของวง Red hot chili pepper ถูกบรรเลงขับขานอย่างสนุกสนาน ผู้คนต่างร้องตาม บางส่วนก็โยกหัวราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตจริงๆ นิพัทธ์นั่งมองคนเหล่านั้นจากโต๊ะตัวเดิมเพียงลำพัง ทั้งที่เขาควรเข้าไปสนุกด้วย ทั้งที่เพลงเหล่านั้นคือรสนิยมเดียวกันกับที่เขาชื่นชอบ หากนิพัทธ์รู้สึกแปลกแยก นอกจากพิรัล จุ๊บแจง และใหญ่ เขาก็ไม่รู้จักใครอีกเลย นิพัทธ์ไม่ชอบความรู้สึกนี้ เขาไม่ชอบน้อยใจที่ถูกลดความสนใจ อายุเติบโตมาก็ระดับหนึ่งเขาควรเข้าใจและมีระยะห่าง แต่เวลานี้ความแปลกแยกมีมากเหลือเกิน และเขาอดคิดไม่ได้ว่าทำไมพิรัลจึงไม่สนใจเข้าบ้าง หรืออย่างน้อยพาเขาเข้าไปแนะนำให้เพื่อนรู้จักก็ยังดี

นิพัทธ์ถอนหายใจยาว จะว่าเบื่อหน่ายก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ แต่ความเบื่อหน่ายก็ไม่ใช่อารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ดี เขาไตร่ตรองตัวเองและพบว่าแค่อยากให้พิรัลหันมาสนใจ เขาทำตัวแบบเด็กวัยรุ่นอีกแล้ว วัยที่เรียกร้องความสนใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมความรู้สึกนี้มันวนเวียนไม่หายไปเสียที นิพัทธ์ลุกขึ้นตั้งใจจะออกไปสูบบุหรี่แก้เซ็ง แต่แล้วเขากลับโดนใครบางคนสะกิดแขนไว้ เป็นผู้หญิงคนนั้น แฟนเก่าของพิรัลที่กำลังส่งยิ้มให้

“กานต์จะไปไหน”

นิพัทธ์ตอบไปตามจริงว่าอยากสูบบุหรี่ เขานึกว่าเธอจะปล่อยให้เป็นเวลาส่วนตัวแต่แล้วเธอดันตามมาด้วยพร้อมทั้งเริ่มต้นหยิบบุหรี่ขึ้นมาเสียตั้งแต่ตอนนี้

ตอนที่ออกมาด้านนอกในบริเวณที่จัดให้สูบบุหรี่ได้ นิพัทธ์แอบสังเกตลักษณะทางกายภาพของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแต่ส่วนสูงของเธอเทียมเท่านิพัทธ์ในแบบที่ไม่ได้ใส่ส้นสูง เธอบอกว่าเธอชื่อแอนนี่ และแทนตัวเองว่าพี่แอนนี่อย่างนู้นอย่างนี้ นิพัทธ์ยิ้มรับด้วยเพราะตัวเองเด็กกว่าหลายปี แม้ในใจจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องมาคุยกับแฟนเก่าของพิรัล เด็กหนุ่มอยากหาโอกาสหลีกหนีแต่โอกาสนั้นไม่เข้ามาเสียที

“อยากเห็นรูปเจตน์ตอนเรียนมั้ย เดี๋ยวพี่เอาให้ดู”

น้ำเสียงที่ไม่ได้หวานไพเราะเอ่ยอย่างเริงร่าขณะที่มือของเธอสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์มือถือ นี่อาจเป็นอีกจุดหนึ่งที่นิพัทธ์รู้สึกว่ามันช่างขัดใจไปนิดหน่อย แอนนี่เป็นผู้หญิงน่ารักแต่เสียงของเธอฟังดูแปลกๆยังไงชอบกล เขาอาจจะคิดมากไป หรือบางอาจเป็นเพราะอคติในฐานะแฟนคนปัจจุบันของพิรัลก็เป็นได้

รูปที่แอนนี่แสดงให้ดูนั้นเป็นรูปพิรัลสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แฟชั่นในยุคนั้นต้องไว้ผมแสกกลาง สวมเสื้อนักศึกษาตัวใหญ่ เว้นก็แต่พิรัลที่ตัดผมสั้นเกรียนและสวมเสื้อนักศึกษาพอดีตัว ไม่ได้ตามสมัยนิยมสักเท่าไหร่ ส่วนอีกรูปเป็นรูปตอนใส่เสื้อช็อป พิรัลตอนนั้นผอมกว่าปัจจุบัน อาจเพราะตอนนี้ชายหนุ่มเข้ายิมและสร้างกล้ามเนื้อจึงดูผิดหูผิดตาไปมาก แอนนี่หัวเราะนิดหน่อยตอนเล่าถึงความหลังสมัยเรียน นิพัทธ์ไม่คิดเล็กคิดน้อยเพราะเขารู้ตัวดีว่าช่วงอายุที่ต่างกันย่อมต้องประสบพบเจอสถานการณ์ต่างกัน จะเก็บเอามาคิดก็รกสมอง เขารู้สึกดีใจเสียอีกที่ได้เห็นพิรัลในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“พี่เจตน์ตอนเรียนเป็นยังไงบ้างครับ เรียนเก่งหรือเปล่า”

“เรียนเก่งมั้ยเหรอ ก็ธรรมดานะ เอาตัวรอดได้ แล้วเจตน์ตอนทำงานเป็นยังไงล่ะ”

“ดุมาก ผมโดนดุทุกวันเลยครับ ผิดนิดผิดหน่อยคือเห็นทุกจุด”

แอนนี่หัวเราะก่อนจะขยี้บุหรี่ทิ้ง “เข้าข้างในกันเถอะ ข้างนอกร้อน”

นิพัทธ์ขยี้บุหรี่ลงในกระบะทรายแล้วเดินตามหลังแอนนี่ไปตามทาง มาคิดอีกทีแอนนี่ก็ดูไม่เห็นจะมีอะไรผิดแปลกไปมากกว่าคนที่เคยเป็นแฟนเก่าของพิรัล เธอเป็นคนสบายๆ คุยง่ายก็เท่านั้น

เมื่อกลับเข้ามาในห้องที่จัดงาน คอนเสิร์ตย่อมๆยังคงดำเนินต่อไป แต่จุ๊บแจงลงมาด้านล่างและเต้นอยู่กับสามีของเธอ ขณะที่นักร้องนำเปลี่ยนเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของพิรัล ส่วนเจ้าตัวยังอยู่ที่ตำแหน่งเดิมหลังกลองชุด เพลง All The Small Things ของ Blink-182 ดำเนินอยู่ในท่อนคอรัส ผู้คนในงานเต้นอย่างสนุกสนาน บรรยากาศชวนให้นิพัทธ์คึกครื้นขึ้นนิดหน่อย แต่กระนั้นเมื่อแอนนี่เจอเพื่อนเธอก็หายตัวไปกับฝูงชน นิพัทธ์กลับมานั่งที่โต๊ะเช่นเดิม เคาะมือไปตามจังหวะ ฝีไม้ลายมือของศิลปินเฉพาะกิจไม่ได้เลิศเลอเหมือนนักร้องอาชีพแต่ก็ไม่ได้แย่ โดยรวมเป็น After party ที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศ Prom night ในช่วง High school มีไฟดิสโก้วิบวับ สายรุ้งพาดผ่านบนเพด้านห้อง เครื่องดื่มค็อกเทลหลากชนิด

พิรัลบนเวทีดูฮ็อทมาก ฮ็อทชนิดที่เหงื่อแตกท่วมตัวจนเสื้อเปียก จากเสื้อที่ใส่ทับในกางเกงเริ่มหลุดลุ่ยออก สองแขนทำหน้าที่ตีกลองให้จังหวะอย่างเมามันในอารมณ์ นิพัทธ์อดคิดไม่ได้ว่าแฟนของตัวเองก็มีมุมเท่ไม่หยอกเช่นกัน หลังจากเพลงที่ชวนทุกคนกระโดดโลดเต้นจบลง ประกอบกับผู้คนดูเริ่มเหน็ดเหนื่อยนิดหน่อยเพราะก็ไม่ใช่วัยทีนเอจกันแล้ว นักร้องนำเอ่ยแซวเพื่อนตัวเองอย่างสนุกสนานเรียกเสียงหัวเราะ เขาคิดว่าตัวเองได้ยินไม่ผิดเพี้ยนเมื่อพิรัลพูดจาหยาบคายขึ้นมึงขึ้นกูพาสัตว์น้อยใหญ่ออกมาเพ่นพ่าน มุมของการอยู่กับเพื่อนก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวตนที่นิพัทธ์ไม่เคยเห็นเช่นกัน เขาพลอยหัวเราะไปตามมุกตลกบนเวทีก่อนจะเห็นพิรัลลุกออกมาด้านหน้าเวที ส่งมือขอกีต้าร์โปร่งจากเพื่อนแล้วเริ่มเล่นคอร์ดแรก

นิพัทธ์ยิ้มกว้าง ไม่ใช่เพราะเพลงที่พิรัลเล่นคือเพลงหวานซึ้งแต่เพราะพิรัลดูเท่จนเขาหุบยิ้มไม่ได้ เสียงโห่ร้องจากด้านล่างเวทีส่งเสียงดังก่อนจะเงียบลงเมื่อพิรัลเริ่มเข้าคอร์ดจริงจัง มันเป็นเพลง All Apologies ของ Nirvana ที่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับความเป็นพิรัล เพลงของ Nirvana นั้นขึ้นชื่อเรื่องยากและพิรัลก็ไม่ได้เล่นเป๊ะทุกคอร์ด แต่เล่นเอาสนุกเสียมากกว่า พิรัลไม่ได้มองมาที่นิพัทธ์ ไม่ได้ส่งสายตาให้ใคร เขาเพียงแต่ดำดิ่งไปกับบทเพลงตามประสาคนที่เริ่มเมาแล้ว ที่ด้านล่างร้องคลอตามไปตลอดจนจบเพลง แม้แต่นิพัทธ์ยังอดไม่ได้ที่จะร่วมเพลิดเพลินไปด้วย

“ไอ้สัสเจตน์ขี้อวด”

ทันทีที่พิรัลร้องจบลงหนึ่งในเพื่อนก็ตะโกนแซว ชายหนุ่มน้อมรับด้วยการน้อมตัวก่อนจะเอากีต้าร์ขึ้นมาดีดโชว์อีกรอบ ไม่มีการถ่อมตัวเลยสักนิด พิรัลลงมาจากเวที อาจเพราะเป็นความเคยชิน เป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง นิพัทธ์คิดว่าพิรัลจะตรงเข้ามาหาเขา แต่แล้วพิรัลกลับอยู่กับเพื่อน คุยหัวเราะเสียงดัง ดื่มของมึนเมาหลากชนิด นิพัทธ์ห่อเหี่ยวลงประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาคาดหวังอะไรกับพิรัลมากไปหรือเปล่า

ตอนงานเลี้ยงสิ้นเสร็จลงพิรัลก็มองไม่เห็นนิพัทธ์เสียแล้ว ถามใครต่อใครก็ไม่เห็นราวกับว่าเด็กหนุ่มไร้ตัวตน แอนนี่บอกไปตามจริงว่าล่าสุดที่เห็นก็คือตอนออกไปสูบบุหรี่ด้วยกัน พอพิรัลโทรหาก็ไม่มีคนรับสาย จิตใจของชายหนุ่มเริ่มว้าวุ่น อาจเพราะว่าตัวเองเมาแล้วส่วนหนึ่ง การควบคุมสติจึงเป็นเรื่องยากลำบากกว่าปกติ เขาโทรหานิพัทธ์สามครั้งแต่ไม่มีคนรับสาย กระวนกระวายอยู่ไม่น้อยในรอบสุดท้ายที่โทร

“เป็นไรเปล่าวะ ทำไมไม่รับสาย” เขาพึมพำกับตัวเอง

“อาจจะกลับไปก่อนหรือเปล่า” แอนนี่ลองเสนอความคิดเห็น

พิรัลมองหน้าอดีตแฟน ครุ่นคิดก่อนจะส่ายศีรษะ “ปกติถ้าไปไหนก็จะส่งข้อความมาบอก”

“ก็นี่อาจจะไม่ปกติไง”

ชายหนุ่มอย่างพิรัลขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย

แอนนี่ถอนหายใจยาวก่อนจะชี้นิ้วมาทางตัวเอง “แฟนเก่า” จากนั้นเธอพยักเพยิดหน้าไปทางกลุ่มเพื่อนที่ยังยืนติดลมคุยกันไม่หยุด “แล้วเจตน์ก็ไม่สนใจกานต์เลยเพราะอยู่แต่กับเพื่อน”

“อ้าว...” พิรัลอุทานได้แค่นั้นแล้วก็เงียบปากลงเมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่าละเลยคนรักของตัวเองมากขนาดไหน เขาคิดว่านิพัทธ์จะเข้าใจเสียอีกว่าการได้มาเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนก็ต้องมีบ้างที่ให้ความใส่ใจกับเพื่อน

“เจตน์แม่งโง่ชิ้บหาย” แอนนี่ตำหนิออกมาตามตรง “โตขนาดนี้แล้ว นิสัยอะไรไม่ดีก็เปลี่ยนบ้าง”

“อะไรไม่ดีวะ” พิรัลยังคงซื่อบื้อ

“สงสารน้องกานต์จริงๆ ดีแล้วที่ตอนนั้นกูขอเลิกกับมึงไอ้เจตน์”

“แต่มึงมาขอคบกับกูก่อนนะ ก่อนจะขอเลิกเพราะไปหั่นฆวยออก”

“แน่ล่ะ มึงจะมาขวางเส้นทางการประกวดมิสทิฟฟานี่ของกูไม่ได้” ประโยคนี้เสียงของแอนนี่เริ่มเข้มขึ้นมาบ้าง แต่น้ำเสียงก็ยังฟังดูหวานกว่าผู้ชาย และเข้าใจถูกแล้วแอนนี่เป็นผู้ชายที่หั่น...ออกตามที่พิรัลได้กล่าวไว้

พิรัลกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย “อุตส่าห์หั่นฆวยเพื่อไปประกวดแต่ไม่เห็นได้รางวัลห่าอะไรเลย ไอ้เกรียง”

“กูชื่อแอนนี่โว้ย อิเกรียงไกรตายอยู่ที่ยันฮีแล้ว”

พิรัลหัวเราะกับจริตของอดีตแฟน ที่จริงแล้วแอนนี่เป็นคนนิสัยน่ารัก พวกเขาเป็นเพื่อนอยู่ในเซคชั่นเดียวกัน ตอนช่วงคบกันก็มีแต่เสียงหัวเราะเพราะแอนนี่อยู่สายบันเทิงพูดอะไรเล่าอะไรล้วนตลกไปหมด แต่แล้วคบกันได้ไม่นานพิรัลเริ่มรู้สึกกับแอนนี่ว่าไปไม่ถึงจุดที่เป็นคนรัก และแอนนี่เองก็มีความมุ่งมั่นในด้านความสวยความงามมากขึ้น เธออยากประกวดมิสทิฟฟานี่และไม่ปรารถนาคงไว้ซึ่งร่างกายดั้งเดิม พิรัลรู้ตัวเองดีว่าเขาชอบผู้ชาย ถึงแม้แอนนี่จะเป็นผู้ชายแต่หลังจากที่เธอค้นพบตัวเองความสาวจึงเริ่มออกมากขึ้น แอนนี่ที่ดูเหมือนผู้หญิงไม่ใช่ทางของเขาเลยจริงๆ

“อ้าว อิเปรต มัวแต่หัวเราะ โทรหาแฟนสิ หายไปไหนก็ไม่รู้”

พิรัลยิ้มกว้าง นี่สิถึงเป็นแอนนี่ตัวจริง มาแอ๊บเรียบร้อยอะไรอยู่ได้ “ไม่รับสายเลยว่ะ” เขาถอนหายใจยาวใส่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ “เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ พวกมึงจะไปต่อกันที่ไหนวะ”

“ท่าพระอาทิตย์แหละ ร้านเดิม”

พิรัลเดินไปร่ำลากับกลุ่มเพื่อนที่กำลังจะไปดื่มต่อเพื่อรำลึกความหลัง เขาโดนทักท้วงให้ไปด้วยแต่ความกังวลใจในเรื่องของนิพัทธ์ทำให้เขาไม่ต้องการไปไหนทั้งสิ้น พิรัลเพิ่งสำนึกได้ตอนนั้นว่าตัวเขาเป็นคนรักที่แย่ขนาดไหน แย่จนคิดว่าเขาจะตามง้อนิพัทธ์อย่างไรดี


หัวข้อ: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 15-12-2018 17:17:04



นิพัทธ์ติดต่อกลับมาในระหว่างที่เขาขับรถกลับคอนโด พิรัลเร่งความเร็วจากที่ปกติเป็นคนไม่รีบร้อนต่อสิ่งใด เขาพุ่งตัวเข้าไปหานิพัทธ์ที่กำลังนั่งอยู่ตรงโซฟา เด็กหนุ่มถือแก้วไวน์ ส่วนอีกมือถือรีโมตโทรทัศน์ ไม่มีทีท่าตอบรับเมื่อเห็นพิรัล

“กลับมาทำไมไม่บอกพี่ล่ะ” เขาพาดเสื้อสูทไว้บนเก้าอี้ เอ่ยถามขณะปลดคัฟลิ้งตรงข้อมือ พิรัลจูบลงที่กลุ่มผมของคนรักก่อนจะนั่งลงด้านข้าง นัวเนียเหมือนอย่างเคย

นิพัทธ์ปล่อยให้อีกฝ่ายจูบแก้มก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีหายไป พิรัลนั่งงงงวยอยู่ตรงนั้น อาจจเพราะกำลังมึนๆจากเครื่องดื่มหลากชนิดจึงทำให้เขาคิดอะไรได้ช้า แต่ไม่นานนักชายหนุ่มก็เดินตามเข้าไป เห็นนิพัทธ์กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ แล้วกระดกไวน์ขวดอึกใหญ่

“เป็นอะไร”

ประโยคยอดนิยมสำหรับคนโง่เง่าเช่นพิรัล เขาไม่เคยเดาความรู้สึกใครสักคนได้จากการกระทำเลย “ผมแค่คิดว่าผมกลับมาก่อนดีกว่า อาฟเตอร์พาตี้เหมาะกับคนสนิทกัน”

“กานต์เป็นอะไร โกรธอะไรพี่” พิรัลดึงโทรศัพท์มือถือในมือของเด็กหนุ่มวางไว้บนโต๊ะด้านข้าง

“ช่างเถอะครับ ผมโกรธของผมคนเดียว”

“อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลย มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”

คนที่ถูกกล่าวหาว่าทำตัวเป็นเด็กยกขวดไวน์ขึ้นดื่ม คราวนี้ดื่มอึกใหญ่มากเลยทีเดียว “เรื่องของผม”

“กานต์โกรธพี่อยู่ชัดๆเนี่ย แต่พี่ไม่รู้ว่าโดนโกรธเรื่องอะไร”

นิพัทธ์นึกจะเถียง แต่เขากลับเงียบเพราะไม่อยากทะเลาะด้วย

“พอพี่ถามกานต์ก็เงียบ แล้วจะให้พี่ทำยังไง อย่าประชดเป็นเด็กๆสิ”

เมื่อถูกกล่าวหาอีกครั้งนิพัทธ์จึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม “ผมไม่ชอบเพื่อนพี่เจตน์ เขามองผมเหมือนตัวประหลาด”

ชายหนุ่มอายุมากกว่าเลิกคิ้วสูง แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มเติมเด็กตัวขาวของเขาก็พูดแทรกขึ้นมาอีก

“ผมไม่ชอบแฟนเก่าของพี่เจตน์ด้วย ผมไม่อยากคุยกับเขาแต่เขาก็เข้ามาคุย จริงๆไม่จำเป็นจะต้องมาญาติดีกับผมรึเปล่าวะ” นิพัทธ์ยกขวดไวน์ขึ้นดื่มหลังจากสิ้นคำ อีกทั้งน้ำเสียงยังแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็น

“นี่เมารึเปล่าเนี่ย” พิรัลเอ่ยถามตามทีท่าที่เห็น

“ผมไม่ได้เมา” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงจนเกือบจะกลายเป็นการตวาด “แล้วอีกอย่างถ้าจะติดเพื่อนขนาดนี้ก็อย่าเอาผมไปงานด้วยเลย ผมเสียความรู้สึก”

พิรัลถอนหายใจยาว นิพัทธ์บอกว่าไม่เมาแต่หน้าและคอแดงไปหมดอีกทั้งไวน์ขวดใหญ่ที่อยู่ในมือน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจน เขาเป็นคนใจเย็น แม้จะทึ่มไปบ้างก็ตามแต่เขาไม่ชอบการทุ่มเถียงที่ใส่อารมณ์แบบที่ทำเมื่อครู่ เมื่อได้สติจึงค่อยๆดึงตัวเองให้เย็นลงเพื่อฉุดอารมณ์ของคนรักที่กำลังขึ้นสูงด้วย “กานต์ครับ พี่ขอโทษที่ขึ้นเสียงก่อน เรามาคุยกันดีๆได้มั้ย บอกพี่ซิว่าทำไมไม่ชอบเพื่อนพี่”

“ตอนที่เขาเข้ามาหาพี่เจตน์ เขาทำท่าแปลกๆ เหมือนจะพูดอะไรกับผมแล้วก็ไม่พูด เขามองผมแล้วก็หันไปคุย แล้วก็หัวเราะกัน”

มุมปากของพิรัลยกยิ้ม นี่อาจเป็นความเข้าใจผิดที่นิพัทธ์คิดไปเอง เขาบอกเพื่อนว่าไม่ให้ยุ่งหรือทักทายกับนิพัทธ์มากนักเพราะกลัวว่านิพัทธ์จะตกใจกับความดิบเถื่อนความขี้แซวปากหมาของเพื่อน มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ “พี่บอกเพื่อนเองแหละว่าอย่าคุยกับกานต์”

คราวนี้เด็กหนุ่มทำหน้าสงสัย “อายที่มีผมเป็นแฟนเหรอ”

“คิดอะไรแบบนั้นล่ะ” พิรัลตอบพลางวาดมือโอบรั้งเด็กหนุ่มเข้าสู่อ้อมกอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนิพัทธ์ดื่มหนักและมีทีท่ามึนเมา “พี่หวงน้องไง พี่รู้ว่าเพื่อนพี่มันชอบแซวคนน่ารักพี่ก็เลยบอกมันว่าอย่ามายุ่งกับเด็กของพี่ พี่ทนไม่ได้ถ้าพวกแม่งมาแซวกานต์”

“แค่นั้นเหรอ ผมนึกว่าเพื่อนพี่เจตน์รับไม่ได้ซะอีกที่พี่คบกับผู้ชาย”

พิรัลหัวเราะ เขาเอ็นดูนิพัทธ์ที่ทำตัวน้อยอกน้อยใจเสียจริง อยากจะตามง้อ ตามอธิบายจนกว่าเด็กตรงหน้านี้จะพอใจ “กานต์ครับ พี่ไม่เคยคบกับผู้หญิงนะ พี่ก็เหมือนกานต์นั่นแหละ” ปากว่าแต่มือก็ไม่อยู่สุข เมื่อพิรัลรับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์ที่เบาบางลง เขาเริ่มอาจหาญดึงขวดไวน์วางไว้ข้างเตียงและดักทางนิพัทธ์ไว้ด้วยการจับมือเข้ามากอบกุม “พี่ชอบผู้ชาย เวลาเห็นตรงนี้ของกานต์แข็งพี่ยิ่งชอบ” พิรัลรั้งมืออีกฝ่ายลง กอบกุมที่เป้ากางเกงของเจ้าตัว

“พี่เจตน์อย่าเปลี่ยนเรื่อง ผมยังไม่เข้าใจเรื่องพี่แอนนี่เลย” เด็กหนุ่มบ่ายเบี่ยงพยายามขืนแรง ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่ดูจะเปลี่ยนโหมดอย่างรวดเร็วนั้นส่งผลอยู่ในส่วนลึก เขายอมรับว่าเสียดเสียวขึ้นมาที่เป้ากางเกง “พี่แอนนี่เป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

“โถ่ มันชื่อเกรียงไกร ไม่ได้ชื่อแอนนี่ แล้วอีกอย่างมันเป็นผู้ชาย”

นิพัทธ์หน้าเหวอขึ้นมา

“พี่เคยเป็นแฟนกันมาก่อน แต่คบแค่แป๊บเดียวไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเลย ตอนนั้นพี่เองก็อยากรู้ว่าตัวเองชอบแบบแอนนี่หรือเปล่า แต่พี่ไม่ได้ชอบ พี่ชอบผู้ชาย ผู้ชายแบบที่มีจู๋เนี่ย”

“พี่เจตน์ ไม่ต้องพูดทั้งหมดแบบนั้นก็ได้ครับ”

“ทำไมอะ พี่ไม่อยากให้กานต์เข้าใจผิด อีกอย่างตอนนี้แอนนี่ไม่มีจู๋แล้วด้วยนะ”

“ผมเข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องอธิบายแล้ว”

พิรัลหัวเราะอารมณ์ดี เคลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบที่พวงแก้มแดงระเรื่อซ้ำไปซ้ำมา แก้มของนิพัทธ์ยังคงเป็นจุดที่เขาชอบมากที่สุดตั้งแต่คบหากันมา ไม่เปลี่ยนแปลง “อยากถามอะไรอีกมั้ยครับ” ริมฝีปากของเขาคลอเคลียไม่ห่าง มือลูบไล้ปลุกเร้าไปทั่วผิวกายของคนอายุน้อยกว่า

“ผมไม่ชอบที่พี่เจตน์สนใจแต่เพื่อน ผมเข้าใจนะครับเวลาเจอเพื่อนผมก็เป็นแบบนั้น แต่พี่เจตน์ทิ้งผมไปเลย ไม่บอกอะไรสักคำ ผมรู้สึกเหมือนพี่เจตน์ไม่รักผมแล้ว” ท้ายประโยคนิพัทธ์เบาเสียงราวกับพึมพำ แต่แน่นอนพวกเขาอยู่ใกล้กันถึงขนาดนั้น มีหรือพิรัลจะไม่ได้ยิน

“โถ่ กานต์ ขี้น้อยใจจัง พี่ขอโทษ พี่จะพยายามไม่ให้เป็นแบบนี้อีกนะ”

นิพัทธ์พยักหน้ารับก่อนจะเอนศีรษะซบลงที่ลาดไหล่ของอีกฝ่าย เป็นเชิงว่ายินยอมรับฟังคำขอโทษนั่นแล้ว

“นี่เมาไวน์ใช่มั้ย กินย้อมใจหรือไง”

“ผมเมา แล้วผมก็เด็กอยู่ด้วย”

ชายหนุ่มอายุมากกว่ายอมจำนนต่อความจริง เขารุกหนักเข้าที่กลางเป้ากางเกงของเด็กตัวขาว มันตื่นตัวอยู่ในอุ้งมือของเขาก่อนจะแข็งแน่นอยู่ภายใต้เนื้อผ้า “ถ้าเมาอยู่ไม่น่าจะแข็งป้ะ”

“ผมว่าไม่เกี่ยวกับเมานะ มันเกี่ยวกับว่าตอนนี้ผม…” เขาเอ่ยก่อนจะยืดตัวเข้าไปกระซิบกระซาบที่ข้างหูคนแก่กว่าด้วยคำพูดลามกเรียกรอยยิ้มกว้าง

พิรัลไม่อดทนอีกต่อไป เขาถอดกางเกงของนิพัทธ์ออก รุกเร้าที่ส่วนนั้นหนักหน่วงขึ้น

“พี่เจตน์ไม่ได้ชอบผู้หญิงใช่มั้ยครับ” นิพัทธ์ถามย้ำพลางยกสะโพกให้พิรัลได้ถอดกางเกงได้ถนัด

“พี่เคยบอกกานต์แล้วนี่ตอนไปออนไซต์ที่โคราชอะ”

“ผมจำไม่ได้”

“พี่เคยคบผู้หญิงด้วย แต่พี่ชอบผู้ชายครับ”

นิพัทธ์จ้องตาอีกฝ่าย มองเพื่อพิจารณาก่อนท้ายที่สุดเผยความในใจ “ดีครับ ผมจะได้หึงเวลามีผู้ชายเข้าใกล้พี่เจตน์”

สิ้นคำใบหน้าของพิรัลก็เผยยิ้มก่อนจะมุดลงต่ำ โอบรับส่วนแข็งขืนด้วยริมฝีปาก ความชื้นแฉะจากน้ำลายชโลมแท่งเนื้อของนิพัทธ์ ลิ้นสร้างความสำราญแก่เด็กหนุ่มอย่างเชื่องช้า ทรมานด้วยการดูดที่ส่วนปลายจนอีกฝ่ายต้องร่ำร้องครวญครางด้วยความเสียวซ่าน นิพัทธ์ดันสะโพกเข้าหาเพื่อให้พิรัลสนองตอบความต้องการทั้งหมดนั่น อีกฝ่ายรับส่วนน่ารักเข้าไปทั้งหมด ปรนเปรอตามแต่นิพัทธ์ต้องการ ขณะเดียวกันนิ้วมือก็ไม่ได้ว่างเว้น พิรัลสอดนิ้วเข้าสู่ช่องทางเร้นลับที่ยังคับแน่น นิ้วสองนิ้วค่อยๆบดเบียดอย่างทะนุถนอม อ้อยอิ่งในจุดสะท้านอันคุ้นเคย เขารู้สึกถึงแรงบีบรัดราวกับหนุ่มบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะร่วมรักกันมากี่ครั้งนิพัทธ์ก็ยังดูน่าเอ็นดูเสมอ

นิพัทธ์ดึงใบหน้าของพิรัลออกห่าง ใช้นิ้วเช็ดคราบน้ำต่างๆบนริมฝีปากให้ก่อนจะรั้งเข้ามาจูบด้วยความโหยหา คนอายุมากกว่าไม่เร่งรีบเช่นทุกที เขาปล่อยให้อีกฝ่ายปลดซิปกางเกงลง เผยส่วนตื่นตัวออกมา กอบกุม และรูดรั้งด้วยมือ พิรัลคร่อมอยู่ด้านบนมองตามมือของคนรักที่กระทำกับร่างกาย

นิพัทธ์ปลดกระดุมเสื้อของพิรัล รั้งออกไป และลูบไล้แผ่นอกแน่นตึงตรงหน้า เขายอมรับอย่างไม่อาจกังขาได้เลยว่าพิรัลดูแลรูปร่างมาเป็นอย่างดี แต่กระนั้นนิพัทธ์เคยจิตนาการว่าหากภายภาคหน้าพิรัลจะไม่ได้มีรูปร่างเต็มไปด้วยมัดกล้ามแบบนี้แล้วเขาจะยังชื่นชอบพิรัลอยู่อีกหรือเปล่า ในตอนนั้นเด็กหนุ่มหัวเราะกับตัวเอง เขาปลงตกทางสังขารตั้งแต่รับรู้ว่าพิรัลป่วยเป็นโรคหัวใจแล้ว หากมาถึงวันที่พิรัลชราเฒ่ามันช่างเป็นสิ่งสามัญ วันใดวันหนึ่งเขาก็จะชรา สังขารถดถอยไปตามกาลเวลาเช่นกัน

ฝ่ามือของคนเด็กกว่าลากไล้ลงสู่เบื้องล่างอีกครั้ง เขาจับมือของพิรัลให้สัมผัสแท่งเนื้อของตัวเอง “ชอบของน้องมั้ยครับ”

พิรัลตอบด้วยการบีบส่วนนั้นหนักมือแต่ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด “ชอบครับ ชอบมาก”

นิพัทธ์ยิ้มพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาว ก่อนจะรั้งศีรษะของพิรัลเข้ามาให้ดูดที่ยอดอก อีกฝ่ายฝากรอยขบกัดไว้เป็นอันดับแรก ก่อนจะปลอบประโลมด้วยการเลียยอดอดที่แข็งขึ้นจากการมีอารมณ์ร่วม นิพัทธ์ลูบใบหน้าด้านข้าง ส่งเสียงครางครวญในลำคอ หลับตาพริ้มเมื่อพิรัลดูดแผ่นอกของเขารุนแรงขึ้น พิรัลเปลี่ยนมาอีกฝั่ง เขาใช้ฟันขบยอดอก ออกแรงดึงขึ้นยังผลให้นิพัทธ์เผลอแอ่นตัวตาม ชายหนุ่มยกยิ้มหัวเราะแล้วจึงดูดดุนอย่างแผ่วเบาเป็นการไถ่ถอนความเจ็บ

ผิวกายของนิพัทธ์แดงระเรื่อไปทั้งใบหน้าลามลงมาที่แผ่นอก ผิวที่ปกติขาวสะอาดกำลังแสดงให้เห็นถึงความร้อนลุ่มจากภายในที่มาจากการดื่มเครื่องดื่มมึนเมาและอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น พิรัลมองคนที่อยู่ใต้ร่างด้วยใจโหยหา เขาดอมดมไปทุกส่วน อยากพิศมองและมอบความรักให้ เขาก้มหน้าลงต่ำขณะลากริมฝีปากผ่านจากแผ่นอกลงมาที่หน้าท้องก่อนจะจุมพิตบริเวณเชิงกราน ลิ้นชื้นแฉะสร้างสัมผัสสั่นสะท้านจนเด็กหนุ่มหอบหายใจแรง พิรัลแยกขาของอีกฝ่ายออกกว้างขึ้น เลียช่วงรอยพับระหว่างขากับจุดกึ่งกลางลำตัว จรดปลายลิ้นลงที่ช่องทางด้านหลัง หยอกเย้าเร้าอารมณ์ให้นิพัทธ์ฉ่ำแฉะจนเจ้าตัวร่ำร้องให้สอดใส่เข้ามาเสียที

พิรัลทำตามอย่างว่าง่ายแต่ไม่ผลีผลามสอดใส่เข้าไป เขายังคงเชื่องช้าคล้ายสิงโตในยามกินเหยื่อ ค่อยๆแทะเล็มทีละส่วน ไม่ตะกรุมตะกราม แต่เมื่อได้ชิ้นส่วนที่พอใจก็จะกัดกินอย่างหนักหน่วงเอร็ดอร่อย เขามองร่างของเด็กผิวขาวที่ขยับเคลื่อนไปตามแรงอยู่บนที่นอน ผ้าปูยับย่นจากการถูกโถมทับไปมา พิรัลรักที่ได้มองนิพัทธ์ในมุมนี้ เด็กหนุ่มดูอ่อนระทวยและเย้ายวนในเวลาเดียวกัน เขาแทบคลั่งตายตอนที่ริมฝีปากสีแดงสดนั่นพร่ำบอกว่าสัดส่วนของเขาได้สร้างความสุขให้แก่เด็กหนุ่มมากแค่ไหน สาบเสื้อแบะออกด้านข้าง เผยทั้งแผ่นอกแน่นตึง ที่ซึ่งมียอดอกถูกขบกัดเป็นรอยฟันข้างหนึ่ง ช่วงหัวไหล่เสื้อหลุดลุ่ยไปตามแรงกระชากลากถูยามเมื่อพิรัลออกแรงอัดสะโพก บทรักของพิรัลไม่เคยเร่งรีบ เขาเนิบช้าทว่าหนักหน่วงและตราตรึงทุกประสาทสัมผัส

สองมือของพิรัลจับแขนของเด็กหนุ่มดึงรั้งเข้าหา อีกฝ่ายกอดเขาไว้และเปลี่ยนมานั่งคร่อมอยู่ด้านบน พิรัลชโลมเจลหล่อลื่นอีกครั้งก่อนจะสอดแท่งเนื้อชุ่มฉ่ำนั่นเข้าสู่ช่องทางด้านหลัง นิพัทธ์โน้มเท้าแขนไว้บนเตียงนอนขณะที่ปล่อยให้เขาได้รุกเร้าด้านหลัง ดวงตาสีเข้มมองลงมาแล้วเผยยิ้ม สีหน้าดูเจ้าเล่ห์

“ผมเคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าถ้าของผู้ชายไม่ยาวจะทำท่านี้ลำบาก”

พิรัลยิ้มมุมปาก “แล้วของพี่ยาวพอมั้ยครับ”

“ยาวมากครับ ตอนนี้น้องจุกไปหมดแล้ว” นิพัทธ์ตอบพลางเริ่มดันสะโพกกลับลงไปบ้าง “ทำไมของพี่เจตน์ใหญ่จังครับ น้องแน่นมากเลยครับ” เด็กหนุ่มกระซิบบอกเสียงกระเส่าก่อนจะขบกัดบริเวณช่วงติ่งดูที่เชื่อมต่อตรงสันกราม

สะโพกของนิพัทธ์ถูกรั้งไว้ด้วยมือของพิรัล ก่อนเขาจะส่งแรงสอดใส่เข้าเต็มกำลังจนเด็กตัวขาวครางลั่นไม่เป็นภาษา นิพัทธ์เท้าแขนอยู่เช่นเดิมหากแต่ถูกแรงสอดใส่จากด้านลางอัดเข้ามาจนร่างสั่นไหว เขายินยอมให้พิรัลรุกเร้าพลางส่งสายตาหยาดเยิ้มให้อีกฝ่ายเป็นการเติมเชื้อเพลิง ส่วนหน้าของเขาขยับไหวไปตามแรงที่ได้รับ น้ำกามที่ไหลออกมาตามกลไกร่างกายผุดซึมที่ส่วนปลาย อารมณ์ของนิพัทธ์เคลื่อนสู่ปลายทางในเวลาอันใกล้แล้ว

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วมด้วยมาก พิรัลเองก็ทนไม่ไหว เขาขยับสะโพกขึ้นขณะเดียวกันก็กดสะโพกของนิพัทธ์ให้รองรับแรงกาย เด็กหนุ่มไม่ถอยหนีอีกทั้งยังเร่งเร้าเขาด้วยคำพูดเพื่อให้ถึงฝากฝั่งด้วยกัน เขากับนิพัทธ์เข้ากันได้ดีในเรื่องบนเตียง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนนิพัทธ์จะรู้สึกมีอารมณ์มากกว่าปกติ อาจเพราะยังถูกกล่อมด้วยไวน์ที่หมดไปกว่าครึ่งขวด เด็กหนุ่มหลั่งรินน้ำกามออกมาเปรอะหน้าท้องไปหมด พิรัลใช้มือช่วยรูดรั้งท่อนเนื้อของอีกฝ่ายเพื่อสร้างความสุขให้ เขาคิดว่าจะขอสุขสมอยู่ในกายของเด็กหนุ่ม หากแต่นิพัทธ์กลับลุกขึ้นพร้อมกับฉุดรั้งให้พิรัลนั่ง เขามองตามหลังเด็กหนุ่มที่เดินไปยังระเบียงห้องก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเปิดประตู

“ถอดกางเกงสิครับ” เด็กหนุ่มสั่ง ใช่ พิรัลฟังน้ำเสียงไม่ผิด

เขาทำตามอย่างว่าง่ายพลางมองนิพัทธ์ที่ก้าวเดินออกไปที่ระเบียง

เด็กหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้า เกาะขอบปูนที่แน่นหนา เผยบั้นท้ายที่ยังเป็นปื้นแดงจากรอยนิ้วมือของพิรัล เขาแหวกเนินเนื้อออก แอ่นบั้นท้ายก่อนจะหันหน้ากลับมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก “พี่เจตน์ มาเอาน้องสิครับ”

พิรัลส่งเสียงครางเครือคล้ายคำรามในลำคอ เดินไปหาเด็กตัวขาวที่รอเขาอยู่ ตลบชายเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ระเกะระกะอยู่ตรงบั้นท้ายของนิพัทธ์ขึ้น และสอดใส่ท่อนเนื้ออวบอัดเข้าไปอย่างหนักหน่วงเพื่อเรียกเสียงร่ำร้องจากนิพัทธ์ เขาหน้าหนาเกินกว่าจะอายหากคนข้างห้องได้ยินเสียงอะไรต่อมิอะไรในค่ำคืนนี้



พิรัลตื่นเช้าจากนาฬิกาปลุก เขาต้องออกไปยิมเพราะนัดกับเทรนเนอร์ไว้ แต่เพราะกว่าจะได้นอนพระอาทิตย์ก็เริ่มส่องสว่างขณะที่ดวงจันทร์มืดลง เขาเห็นสภาพนิพัทธ์ที่นอนอยู่ด้านข้างในลักษณะนอนคว่ำแต่ใบหน้าหันมาทางตัวเอง พิรัลจูบที่แก้ม ผละออกมาหมายจะลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัว แต่แล้วเมื่อมองเห็นว่าอีกคนเริ่มรู้สึกตัวเขากลับแน่นิ่ง ไม่อยากขยับตัวไปไหน พิรัลจูบที่แก้มของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ลูบไล้รอยยับจากการนอนทับมาเป็นเวลาพักใหญ่ก่อนจะจูบอีกจนเจ้าของแก้มต้องลืมตาขึ้นมามอง

“พี่เจตน์ จะออกไปยิมเหรอครับ”

“ใช่ แต่พี่ขี้เกียจจัง”

นิพัทธ์ยิ้มทั้งที่ดวงตาหลับลง “กอดน้องหน่อยได้มั้ย” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม เขาจะไม่ห้ามหากพิรัลต้องการไปออกกำลังกาย แต่หากพิรัลจะกอดเขา แล้วไม่อยากไปยิมก็ให้เป็นอีกเรื่องแล้วกัน

พิรัลโอนอ่อนทำตามคำขอ เขาโอบกอดแล้วซุกจมูกลงที่ซอกคอ ลากริมฝีปากไปทั่วใบหน้า “เมื่อคืนกานต์ดื่มเยอะเลยนะ ตอนนี้มึนหัวมั้ย”

“ไม่มึนหัวครับ แต่เมื่อวานเมาเหมือนกันนะ พูดอะไรเยอะแยะไปหมดเลย”

“ไม่เยอะหรอก พี่อยากให้กานต์เอาแต่ใจบ้าง พี่จะได้รู้ว่ารักอยู่กับคนไม่ใช่เทวดา”

“ลิเก” นิพัทธ์พูดออกมาก่อนจะทำให้พิรัลหัวเราะ

ชายหนุ่มเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือ ส่งข้อความบอกเทรนเนอร์ว่าขอเลื่อนนัดก่อนจะรั้งตัวนิพัทธ์เข้ามาให้นอนซบบนอกพลางลูบแขนเด็กหนุ่มที่ยังตื่นไม่เต็มตา “แจงส่งรูปใหญ่มาให้ดู แม่งเมาเละหลับไม่รู้เรื่อง” เขาว่าไปตามนั้นแล้วแสดงหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้นิพัทธ์ดู

“ก็น่าจะเมาเละอยู่ พี่ใหญ่ดื่มเยอะมากใครส่งอะไรให้ก็ดื่มหมดเลย”

พิรัลไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากเลื่อนดูรูปจากในอัลบั้มกลุ่มเพื่อนที่ถ่ายเล่นกันในงานแต่งงานเมื่อคืนนี้ “กานต์อยากแต่งงานมั้ย”

“ผมเฉยๆ แล้วพี่ล่ะ”

“ถ้าพี่ขอกานต์แต่งงาน กานต์จะแต่งกับพี่มั้ย”

นิพัทธ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ผมไม่อยากแต่งงานครับ ผมแค่อยากอยู่กับพี่เจตน์ไปเรื่อยๆ เนี่ย ผมรอโกรกผมให้พี่เจตน์แล้ว”

พิรัลยิ้มตามก่อนจะจูบที่กลุ่มผมของคนรัก “แล้วพี่จะรอดูฝีมือของกานต์นะ”

พวกเขาร่วมหัวเราะกันในเช้าวันนั้น นอนซานซบคุยสัพเพเหะระ ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน

ความรู้สึกของพวกเขาไหลวนอยู่ในวงกลมสองวงที่สอดคล้องกัน พวกเขาต่างมีและไม่มีเหมือนกัน กระนั้นความรักของพวกเขาเติมเต็มอยู่ในเส้นวงกลมแห่งนั้น วนเวียนถ่ายทอดทั้งสิ่งที่มีและไม่มีอย่างเป็นอนันต์





************************************





 :-[

หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 15-12-2018 18:16:35
น้องกานต์.. :m25:
น้องแทนตัวเองว่าน้องแล้วมันกร๊าวใจมาก


หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-12-2018 18:41:51
แพ้น้องเวลาพูดจาลามกมาก เด็กไม่ดีของแม่ พี่เจตต์ยังโง่ๆงงๆ เช่นเคย อยากให้น้องโกรธเยอะๆ หมันไส้ รอเล่มนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 15-12-2018 19:45:29
ชอบตอนหอมหัว
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 15-12-2018 20:16:41
 :ped151: :z7: :b:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 15-12-2018 22:00:05
เป็นตินพิเศษที่อ่านเเล้วมีหลากหลายอารมณ์มากเลย ทั้งนอยด์เเทนน้อง ทั้งเขินตอนxxx ทั้งรู้สึกอบอุ่นกับความรักของน้องกานต์เเละพี่เจตต์ เเอบดีใจด้วยที่ตัวเองทายถูกว่าเเอนนี่ต้องไม่ใช่ผญ.เเท้ๆเเน่้เลย555 ขอตอนพิเศษอีกเยอะเลยนะคะ รอดูสกิลการบดๆของน้องกานต์ในเล่มอยู่นะคะ 5555ล้อเล่นนะคะถึงไม่มีตอนพิเศษอีกยังไงก้ซื้อค่ะ รอเล่มอยู่เสมอนะคะ❤
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: doubleu ที่ 17-12-2018 15:20:49
อ่านแล้วแอบนอยด์แทนน้อง มันไม่ดีจริงๆนะกับการถูกปล่อยทิ้งไว้เหมือนเป็นคนนอก อย่าทำอีกนะพี่เจตน์ ไม่ใช่ไปเจอเพื่อนเมื่อไหร่ก็เป็นแบบนี้ตลอด
ชอบที่น้องแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆบ้างว่าไม่โอเค โวยวายบ้าง สมวัยน้อง  :-[
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 18-12-2018 07:14:56
น้องกานต์แซ่บมากกกกก สองคนนี้บนเตียงคือศีลเสมอกันสุดแต่เรื่องคติการใช้ชีวิตคือไปกันไม่ได้เลย55555555
ชอบตอนเค้าคุยกันแบบ dirty talk มากๆ เขิน :o8:
ปวดหัวกับความคิดอิพี่เจตน์ ดื้อมากกกกกๆๆๆ อยากตี ทำน้องเครียดตลอด น้องก็โคตรอดทน ดีใจที่หลังๆน้องเริ่มกล้าพูดบ้างแล้วไม่ใช่ให้ท้ายพี่อย่างเดียว
สุดท้ายก็คือเขินเวลาเขานัวกันน่ะแหละ เคืองกันแค่ไหนก็คุยกันบนเตียงเนอะรู้เรื่อง :hao7:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 20-12-2018 21:53:19
นี่ร้องไห้ตอนที่พี่เจตน์รู้อดีตน้องกานต์แล้วอิพี่รับไม่ได้อ่ะ สงสารน้องกานต์มาก ๆๆๆ แล้วพอดีกันก็มาทำน้องเสียใจเพราะไม่ยอมกินยาไม่ยอมรักษาตัวอีก อิพี่ดื้อมากกกกกอยากฟาด :katai1: นี่สมน้ำหน้ามากตอนน้องขอห่างกัน555 และฉากncก็คือแซ่บมากกเขินน้องกานต์แทนตัวเองว่าน้องน่ารักมากเว่อร์ ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 27-12-2018 08:39:18
เขียนได้ลึกซึ้งมาก คาเรกเตอร์สมจริง ดูสัมผัสได้ เเต่นี่เคืองอีพี่เจต หวังว่าจะมีอีกจักวาลคู่ขนานที่น้องโดยอากรณ์จับกินตั้งเเต่ยังเอ๊าะๆแล้วก็รักกันตลอดไป #ทีมอากรณ์ ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านนะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 07-01-2019 15:38:17
จะเป็นลมกับตรรกะการกินยาของอิพี่ 55555
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 08-01-2019 22:02:24
ดีใจที่พี่หันมาดูแลตัวเองเพื่ออยู่กับน้อง แต่แอบโกรธที่ทำให้น้องเหงา5555 ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-01-2019 22:47:41
พี่เจตน์ลืมเทรเนอร์ไปล้าววว

ชอบเรื่องนี้มากๆ
ตอนที่น้องบอกว่ารอโกรกผมให้ น่ารักเนาะ
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 12-01-2019 23:09:14
เพิ่งเข้ามาอ่าน...วางไม่ลงเลยค่ะ ถึงว่าสำนวนแนวทางเรื่องคุ้นๆ เราไปอ่านเรื่องสั้นของไรท์มาก่อน เรื่องพี่เอ น้องบีอะค่ะ เลยรู้แนวทางเลยว่าชอบเขียนแนวแด้ดดี้ๆไม่เชื่อในความรัก ติสท์ มีแนวทางความคิดของตัวเอง กับแนวนว้องงงงงง 5555555555555
ชอบเรื่องนี้อะ มีทุกรส สุข เศร้า นอยด์ ซึ้ง หวาน ขม ชีวิตมากๆๆๆ ลุ้นไปกับพี่เจตน์ทุกตอนกลัวได้ตายคาอกน้องจริงๆ  :z3: ละท้อแท้กับความคิดอิพี่มาก โคตรดื้อ คือแบบอิพี่ไม่คิดถึงคนรอบข้างเลย เกิดคนเดียว ตายคนเดียวที่แท้ สงสารน้องที่เอาพี่แอดมิดตั้ง2รอบ ตอนน้องโกรธนี่เราแบบเอ้อ ถ้าไม่มาถึงจุดนี้อิพี่ก็คิดไม่ได้เด้อ ละรอคอยดูวิธีอิพี่ง้อน้องด้วยสีหน้าสวยๆเลย  :laugh:  ชอบบุคลิกน้องด้วยเด็กตัวขาวๆ แมนๆ แก้มใสๆน่าจุ๊บ แต่มีความยั่วเยจ้าาาาาา  :hao7: ละเข้มแข็งมากๆ  o13  ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะ จะตามอ่านเรื่องต่อๆไปค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-01-2019 09:05:46
พอรู้ว่าพี่้เจตน์เป็นโรคหัวใจแล้วไม่ยอมกินยา เรากลัวว่าพี่เจตน์จะตายคาอกน้องตลอดเลย พี่เจตน์นี่ชอบที่ตัวให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย น่าตีมากเลย ส่วนน้องกานต์ก็นว้องงง!! แซ่บมากรู้กก  :haun4::haun4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 05-04-2019 20:11:31
มีความเข้าใจในความคิดพี่เจตน์มาก เพราะตั้งแต่เริ่มต้นมันเหมือนความทุกข์ ถึงจะบอกว่ายังไงก็ตายอยู่แล้ว
ช่างมันๆ แต่ใจจริงเหมือนพี่เจตน์ก็แอบโกรธโชคชะตา โกรธคนรอบข้างที่ทำให้เขาเป็นโรคนี้ และพี่เจตน์เป็นผู้ชาย
วัย 36 ที่เด็กมากจริง อาจจะเพราะโรคนี้มันคือจุดดำจุดใหญ่ที่เขาหลีกเลี่ยง พี่เจตน์หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับตัวเองมาตลอด
ต่างกับน้องกานต์ ที่ยอมรับตัวเอง ปรับตัวและเดินหน้าต่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น น้องเด็ดเดี่ยวมาก พี่เจตน์ต้องมีน้องเนี่ยแหละ
เป็นคนที่มาคอยยึดเหนี่ยวพี่
แต่เรื่องเดียวที่สองคนนี้คิดเหมือนกันคือเซ็กซ์ สองคนนี้ร้ายกาจ ทำร้ายคนอ่านมาก ไปสุดจริงๆ แล้วชอบมากๆ ด้วย แต่ง nc ได้เก่งมากๆ เลยค่ะ ทั้งที่บางตอนมี dirty talk แต่สามารถทำให้เราอ่านแล้วชอบไปหมด
เราชอบการเขียนบรรยายของคุณนะคะ ไหลลื่นไม่ติดขัดเลย อ่านเพลินๆ แล้วชวนให้น่าติดตามมากๆ เลยค่ะ
ขอบคุณที่แต่งนิยายเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-04-2019 23:28:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 09-04-2019 12:51:52
โหววว นึกว่าเรื่องนี้จะไม่มีพระเอกละ
อิพี่เจตน์นี่ชอบทำร้ายจิตใจน้องกานต์ ไม่กินยา ห่างเหินน้องเรื่องอา
นี่ไม่ติดว่าง้อน้องเก่ง อิชั้นจะล่ารายชื่อถอดถอนนางจากบทพระเอก :m16:
หัวข้อ: Re: - หนึ่งวันบนดาวพุธ - (จบแล้ว) ตอนพิเศษ - อนันต์ (P.4) (15-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:02:55
 :pig4: