พิมพ์หน้านี้ - จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: หะมายด์เอง ที่ 21-09-2018 14:01:06

หัวข้อ: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 21-09-2018 14:01:06
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


จ ร ด ฟ้ า

(https://cdn.stocksnap.io/img-thumbs/960w/TWTNM0XMX9.jpg)

ผมต้องการทำเพลงเกี่ยวกับความรักชายรักชายที่มักถูกต่อต้านจากสังคม
ผมชวนนักร้องที่เพิ่งมีข่าวเปิดตัวว่าเป็นเกย์มาร่วมแต่งเพลงนี้เพื่อสะท้อนความรู้สึกออกมา

แต่แทนที่จะได้แค่เพลงดีๆ มาสักเพลง ผมกลับได้...

“ฟ้า”
“ชื่อสกายครับ”
“ฟ้าครับ”
“...”
“จีบนะครับ”

ครับ ได้ของแถมติดมาด้วย






ผลงานที่ผ่านมา
- เพื่อนวัยเด็ก #เขื่อนคนสวย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68604.0) -- Loading
- [เรื่องสั้น] Daddy, I’ll be the best you ever had. (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68626) -- Loading









หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทนำ + บทที่ 1 [21-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 21-09-2018 14:06:41
บทนำ

นาฬิกาดิจิตัลกระพริบบอกเวลาตีสามพอดิบพอดี

ผมถอดหูฟังแบบครอบราคาแพงออกหลังจากสวมมันมาหลายชั่วโมง เศษกระดาษทั้งที่ขยำแล้วและยังกองระเกะระกะรกบนพื้นห้อง ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่ยอมเจียดเงินหลายพันซื้อมาเพื่อสุขภาพ เนื่องจากอาชีพของผมต้องนั่งทำงานอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้เป็นเวลานานๆ ติดต่อกัน

ดวงตาล้าไปหมด รวมถึงหูทั้งสองข้างก็ปวดตุบๆ เช่นกัน บีทดนตรีที่เปิดวนแก้เป็นร้อยรอบยังติดอยู่ในหัว ผมฮัมทำนองเบาๆ ขณะเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เอี่ยมเพราะพึ่งถอยออกมาจากร้าน เครื่องเก่าที่เพิ่งฉลองวันเกิดครบสามปีได้ตายลงไปแล้วหลังจากนั้นเพียงสองเดือน

ผมกดเข้าแอพอินสตาแกรมเป็นอย่างแรก...
 
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนทวิตเตอร์ต่างหากคืออันดับแรกที่ผมจะเล่นมันหลังจากไม่ได้แตะโทรศัพท์มาแทบทั้งวัน
หลายๆ คนบอกผมว่าพวกเขาเก็บความทรงจำไว้ในรูปภาพ หลายๆ คนใช้พื้นที่ภายในแอพนี้บรรจงสร้างไดอารี่ส่วนตัวขึ้นมา
เช่นเดียวกับคนบางคน

‘Rome_o’

วงกลมของเจ้าของชื่อไอจีด้านบนเด้งมาอยู่แถวหน้าสุดของไอจีสตอรี่ ผมกดเข้าไปดูด้วยรอยยิ้มเล็กๆ มุมปาก มีอัพเดตเพิ่มขึ้นมาตั้งสามสตอรี่ ผมค่อยๆ ปล่อยวิดีโอสั้นเหล่านั้นเล่นไปโดยไม่กดข้าม

อันแรกถ่ายอาหารมื้อเย็นในกล่องโฟมพลาสติก กับเพื่อนสนิทที่เห็นหน้าผ่านไอจีบ่อยๆ

อันที่สองเป็นรูปเท้าเสี้ยวเล็กๆ และจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดซีรีส์ฝรั่งชื่อดัง

และอันสุดท้าย...

เป็นเพียงภาพนิ่งที่หันกล้องไปทางที่นอนข้างๆ มีหมอนข้างใบโตวางแปะอยู่กลางเฟรม พร้อมแคปชั่นง่ายๆ ที่ย่อขนาดซะเล็กจนต้องหรี่ตาอ่าน


‘อยากเจอ’


ผมห้ามรอยยิ้มที่กำลังกว้างขึ้นไม่ได้ ในขณะที่นิ้วกดลงไปที่คำว่า send message ล่างจอ ปรากฎแป้นพิมพ์ขึ้นมาทันทีหลังจากนั้น ผมจิ้มตัวอักษรไปเก้าครั้งก่อนจะกดส่ง จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินอาดๆ เข้าห้องน้ำไปด้วยความรู้สึกพองฟูในใจ









BlueSky: เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทนำ + บทที่ 1 [21-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 21-09-2018 14:10:19
บทที่ 1

โลกของเราเปลี่ยนแปลงมาเยอะมากในเวลาไม่กี่ปี...




ผมชื่อ ‘จรดฟ้า’ ชื่อเล่นแม่ตั้งให้ว่า ‘สกาย’ เรียนจบคณะวิทยาศาตร์สารสนเทศมาได้สองปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำงานตรงสายเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะผมมีอาชีพที่รักมากๆ และเดินบนเส้นทางนี้มาก็หกเจ็ดปีแล้ว

ผมเป็นแรปเปอร์...

เอาจริงๆ ฮิบฮอบในไทยยังไม่ได้บูมมากมายขนาดนั้น ยกเว้นช่วงนี้ที่เริ่มมีรายการเพลงแรปมากมายจนคนเริ่มรู้จักพวกเรามากขึ้น ผมทำงานทำเพลงด้วยตัวเองมาตั้งแต่มอปลาย เริ่มสมัครแชนแนลยูทูปเพื่อลงเพลง มีความสุขกับยอดวิวที่กระเตื้องเพียงแค่สามวิวต่อเดือน

หลายปีมานี้กับการทำในสิ่งที่รัก ผมประสบความสำเร็จเมื่อเพลงรักเจ็บๆ เพลงหนึ่งของผมดันถูกขอซื้อลิขสิทธิ์ไปใช้ประกอบภาพยนต์สั้นของนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง เพลงของผมกลายเป็นกระแส ผลักดันให้ผมกลายเป็นที่รู้จักและเริ่มมีชื่อเสียงในวงการเพลงไทย

ผมถูกทาบทามให้เข้ามาเป็นหนึ่งในค่ายเพลงที่พอมีพื้นที่ในตลาด สร้างสรรค์ผลงานออกมามากมาย มีงานไปร้องตามร้าน ตามงานต่างๆ จนกระทั่งเมื่อผมเรียนจบและหันมาทุ่มเทให้มันอย่างจริงจัง ผมก็กลายเป็นแรปเปอร์มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของวงการฮิปฮอปไทย

ไอที่ผมบอกว่าโลกเราเปลี่ยนแปลงไปเยอะน่ะ ก็คือเรื่องนี้แหละ

จากที่คนเคยมองว่าผมทำเพลงอะไรไร้สาระ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ รู้ว่ามันคืออะไร และสามารถสื่อสารอะไรออกมาได้บ้าง

บทเพลงคือไดอารี่ของผม มันคือตัวตนของผมในช่วงนั้นๆ

และบทเพลงของผมก็คือข้อความที่ผมต้องการพูดกับผู้ฟังทุกคน เท่าที่เสียงของผมจะดังไปถึง

“พี่ยุทธ ผมอยากทำเพลง” ผมที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่ในห้องสตูดิโอบริษัทพูดโพล่งขึ้นมา ท่ามกลางบรรยากาศของความเคร่งเครียดเมื่อมีนักร้องเพลงป๊อบคนหนึ่งกำลังจะออกเพลงใหม่ พี่ยุทธและกลุ่มชายฉกรรจ์อีกสองคนในห้องคือเหล่าผู้ทำเพลงของค่ายเพลงที่ผมสิงอยู่

ผมชอบมานั่งเล่นในนี้ ดูวิธีการ ไขว่หาความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ จากพี่ๆ มืออาชีพ สนิทกันจนบางทีผมก็ช่วยพี่เขาแต่งเพลงด้วยนะ

ถึงผมจะเป็นนักร้องแรป แต่เพลงธรรมดาๆ ผมก็ร้องได้นะเออ

บางเพลงผมยังเป็นคนร้องไกด์ในเดโม่ให้เลยด้วยซ้ำ แต่เสียงผมไม่ได้ดีขนาดจะไปเดบิวต์เป็นนักร้องเดี่ยว อีกอย่าง ผมว่าแรปนี่มันเท่กว่าด้วย

“เพลงอะไรวะ” พี่ยุทธ ผู้ชายตัวอวบอ้วนเพราะวันๆ เอาแต่นั่งบนเก้าอี้หมุนตัวมาหาผม เขาถอนหูฟังออกแล้วไถเก้าอี้ขยับเข้ามายังโซฟากลางห้องที่ผมนอนไขว่ห้างอยู่

“เพลงรัก”

“...” พี่ยุทธแกหน้าเหวอไปเลย

คงเพราะผมมักจะชอบทำเพลงที่มีเนื้อหาลึกๆ หน่อย หรือไม่ก็สะท้อนสังคมไปเลย เพลงรักของผมมีอยู่ไม่กี่เพลงเท่านั้นเอง และที่แต่งออกมาก็เพราะเป็นภารกิจจากทางค่ายเสียด้วย ผมไม่ค่อยชอบทำเพลงรักครับ ชีวิตรักผมมันไม่มีอะไรเลย เพราะผมทุ่มเทกับดนตรีจนหมด เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาเขียนให้โดนใจคน

“เพลงรักเนี่ยนะ?” พี่ยุทธยังคงไม่เลิกตกใจ แกคงคาดหวังกับไอเดียผมไม่น้อย พี่ๆ กลุ่มนี้เขาเห็นเพลงผมเป็นของเล่นครับ เหมือนมันสามารถสาดไอเดียอะไรก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดเหมือนเพลงทั่วๆ ไปที่พวกพี่ๆ แกต้องแต่งเพื่อให้ติดเทรนด์ตลาด
ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง ท่าทางจริงจังจนพี่คนอื่นๆ หันมามองด้วยความสนใจ

“เพลงรักของผู้ชายกับผู้ชายอ่ะพี่”

“...”

“...”

“...”

บังเกิดความเงียบขึ้นในบัดดล

ก่อนจะมีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น ตามด้วยพี่ๆ ทุกคนที่เริ่มหัวเราะกันอย่างหนัก รวมถึงพี่ยุทธที่ทุบไหล่ผมปั่กๆ จนเจ็บไปหมด ผมเบี่ยงตัวเขยิบไปนั่งไกลระยะความยาวแขนพี่แกแทบไม่ทัน

“หัวเราะอะไรกันพี่” ผมขมวดคิ้ว

พี่ยุทธสูดลมหายใจเข้าสุดปอดหลังจากหัวเราะจนเกือบขาดอากาศตาย “ชอบว่ะ ใจเอ็งมันได้”

“...?” ผมนึกว่าเขาหัวเราะเพราะตลกกับไอเดียของผม

“น่าสนๆ แต่ทำไมถึงจะทำเพลงรักแนวนี้”

“เพื่อนผมที่เป็นเกย์อ่ะพี่ โดนที่บ้านไล่ออกจากบ้าน โดนเพื่อนแบนออกจากกลุ่มด้วย” ผมอธิบายเหตุผลอย่างใจเย็น หวนคิดไปถึงสาเหตุที่ทำให้ผมอยากเขียนเพลงสะท้อนเรื่องนี้ออกมา “เหมือนบ้านเราจะเปิดกว้างกับเรื่องพวกนี้ แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย”

“ก็จริง ซีรีส์ในทีวีก็มีแต่อะไรแบบนี้” พี่ยุทธเออออแสดงความเห็น

“พี่ว่าผมทำแนวไหนดี ดาร์คๆ เลยหรือว่าโรแมนติด” ผมถามอย่างต้องการความเห็น

ผมรู้ว่าแหละว่าผมต้องการพูดเรื่องอะไร แต่วิธีนำเสนอมันก็มีหลายวิธี เราต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้สื่อความหมายออกมาได้ดีที่สุด ผมกำลังลังเลอย่างหนักระหว่างสองตัวเลือกที่ถามพี่ยุทธไป

“มันโรแมนติกได้ด้วยเหรอ?” เหมือนพี่แกไม่เข้าใจ ผมเลยขยับเข้าไปใกล้เพื่ออธิบายได้ถนัดๆ พี่ๆ คนอื่นก็เริ่มเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ เพื่อร่วมวงสนทนาด้วย

ท่าทางไอเดียนี้จะน่าสนใจพอดู

“ก็สื่อประมาณว่าความรักไม่จำกัดเพศ เราไม่ผิดที่จะรักใครสักคน”

“แล้วแบบดาร์คๆ ล่ะ” พี่เมฆที่ตัวเล็ก ผอมแห้งเหมือนตะเกียบถามขึ้นมาบ้าง ผมหันไปมองหน้าเขาพลางเรียบเรียงคำตอบในหัว

“ก็คงตัดพ้อต่อว่า ว่าแค่รักเพศเดียวกัน ผิดตรงไหนอ่ะครับ” ผมตอบคร่าวๆ เพราะยังไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ มีเพียงคอนเซปต์คร่าวๆ เท่านั้น

“อืมม” พวกพี่ทั้งสามประสานเสียงงึมงำในลำคอ ก่อนที่พี่อ้อย หนุ่มหล่อเจ้าสำอางค์ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ชอบซื้อครีมบำรุงผิวเป็นคนเสนอความคิดเห็นออกมา

“เอาทั้งสองมารวมกันดีกว่า เป็นความรักที่ไม่สมหวังแต่ก็สวยงาม” พี่เขาบอกมาแบบนี้ ผมขมวดคิ้วคิดตามไม่ค่อยทัน พี่อ้อยเลยพูดเสริมขึ้นมาอีก “ให้มันเป็นความรักที่สดใส แล้วก็มาเจออุปสรรคแบบที่เพื่อนเราเจอไง”

“อ่อ” ผมพยักหน้าเมื่อพอเข้าใจไอเดีย พี่คนอื่นก็พยักเพยิดว่าแบบนี้น่าสนใจ “พี่ งั้นถ้าผมจะให้นักร้อง R&B มาร้องด้วย พี่ว่าไง”
“ฟีทเจอริ่ง?” พี่ยุทธเลิกคิ้วถาม

“ป่าวพี่ ทำเพลงร่วมกันไปเลย ผมถนัดแรปดึงอารมณ์หนักๆ ไอตรงความรักสวยงามตอนแรกมันก็คงไม่เข้า” ผมอธิบาย

“เออๆ” ทุกคนพยักหน้า “แล้วจะชวนใครมาร้อง”

“มีแนะนำไหมครับ” ผมฉีกยิ้มแหยๆ

ไม่ได้รู้จักนักร้องมากเท่าไหร่นอกจากจะเคยร่วมงานกัน ส่วนมากผมฟังเพลงสากล เน้นแนวที่ชอบเพื่อหาแรงบันดาลใจ นานๆ ทีถึงจะฟังป๊อป ร็อค R&B สักที

พวกพี่ๆ หันไปปรึกษากัน มีชื่อของหลายคนที่ผมรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างผ่านหู ผมนั่งมองความวุ่นวายของการถกเถียงกันตรงหน้า ก่อนที่พี่ยุทธจะพูดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง

“โฬม”

“...”

ใครวะ

ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่ยุทธ เพื่อบอกให้รู้ว่าผมไม่รู้จัก แต่ในขณะเดียวกันพี่เมฆและพี่อ้อยก็ร้องเอ้อประสานกันอย่างพร้อมเพรียง เหมือนเห็นด้วยสุดๆ

“ใครอ่ะครับ”

“นักร้องที่เพิ่งมีข่าวเรื่องเป็นเกย์ไปไง” ผมเงียบฟังอย่างตั้งใจ “ร้องดี แต่ช่วงนี้ข่าวไม่ดีเยอะเลยหายๆ ไปจากวงการ”

“ข่าว?”

“ก็แฟนเก่าที่เป็นผู้ชายออกมาแฉ พอเจ้าตัวมายอมรับว่าเป็นเกย์จริงๆ งานก็เลยหดหายด้วยแหละ” พี่เมฆเป็นคนอธิบายประโยคยืดยาวนี้ “เข้ากับเพลงเราพอดีเลยสกาย”

“จริงด้วย!” ผมพยักหน้ารัวๆ

พวกเราพูดคุยกันอีกสักพักพี่ๆ เขาก็กลับไปทำงานต่อ ผมที่ได้ไอเดียใหม่รีบโบกมือลากลับห้องเพื่อไปเคลียร์สิ่งที่อยู่ในหัวให้ออกมาเป็นรูปร่าง ก่อนกลับก็แวะไปคุยกับเลขาของท่านประธานเรื่องโปรเจคเพลงที่อยากทำ ซึ่งพวกเขาให้อิสระผมอยู่แล้วในเรื่องทำผลงาน แล้วค่อยมาตกลงหลังจากเดโม่เสร็จเรียบร้อย แต่พอถึงห้องแทนที่ผมจะหยิบสมุดกับปากกาขึ้นมา ผมกลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถหาชื่อนักร้อง R&B ที่ผมเพิ่งเคยได้ยินชื่อจากพี่ยุทธเป็นอย่างแรก

กูเกิ้ลโชว์ข่าวไม่ดีของผู้ชายที่ชื่อ ‘โฬม’ ขึ้นมาเต็มไปหมด ผมไม่ได้สนใจมันเพราะขี้เกียจอ่านให้จิตตก แค่เรื่องของเพื่อนที่ได้รับฟังมาก็ยิ่งทำเอาผมหมดศรัทธากับโลกใบนี้ ผมเลือกที่จะจำชื่ออินสตาแกรมของโฬมมากดค้นหาเพราะดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะไม่เล่นอะไรเลยนอกจากไอจี

Rome_o

ในไอจีของเขาส่วนมากจะเน้นถ่ายภาพตามอารมณ์ ไม่ได้คุมโทนสี นึกอยากขาวดำก็ขาวดำ นึกอยากสีสดก็สดจัดไปเลย แต่กลับสวยทุกรูป รวมถึงแคปชั่นที่ล้อไปกับภาพถ่ายแต่ละภาพ

มีไม่น้อยที่เป็นการเซลฟี่หน้าตัวเอง ผมกดเข้าไปดูรูปล่าสุดที่โฬมถ่ายอยู่ในห้องนอน เป็นภาพง่ายๆ กับแคปชั่นขอบคุณกำลังใจจากแฟนคลับ แต่ดวงตาและรอยยิ้มของเขากลับตรึงให้ผมนั่งมองรูปนั้นนิ่งๆ

เขากำลังเศร้า...

อันที่จริงรอยยิ้มเขาสวยมาก รวมถึงฟันเขี้ยวและลักยิ้มที่มุมปากขวา ขนตาของเขาก็เป็นแพยาวดำขลับ ทั้งๆ ที่ผมสีดำสนิทของเขาเปียกลู่แนบไปกับกรอบหน้า ก็ยังดูดีอยู่ดี ผมไล่สำรวจไปเรื่อยๆ เหมือนกำลังทำความรู้จักกับผู้ชายที่กำลังจะมาร่วมงานด้วย แม้ว่าจะยังไม่ได้ติดต่อไปเลยด้วยซ้ำ ดวงตาของเขาเศร้ามากเมื่อเทียบกับรูปอื่นๆ ผมเม้มปากขณะกดเลื่อนไปดูช่องทางการติดต่องานที่หน้าโปรไฟล์

06X-XXX-XXXX K.ต่าย

บ่ายสามโมงครึ่งคงไม่น่าเกลียดสำหรับการติดต่องาน ผมกดโทรออกไปยังเบอร์ที่ได้มา แต่กลับรอสายอยู่จนมันตัดไปเอง โทรซ้ำอีกครั้งก็เหมือนเดิม ผมขมวดคิ้วมองจอโทรศัพท์อย่างงงๆ ก่อนตัดสินใจส่ง DM* (Direct message) ไปทางอินสตาแกรมของโฬมโดยตรง







BlueSky: สวัสดีครับ ผมชื่อสกาย จากค่าย XXX สนใจทำเพลงด้วยกันไหมครับ


_______________________________________________
สวัสดีค่ะ เป็นเด็กใหม่ที่บอร์ดแห่งนี้
จริงๆ เคยลงนิยายเรื่อง 'เสน่หาอินทรี' ในนามปากกา 'สมปลิง' ไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว
แต่ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าหายไปไหน หายทั้งล็อคอินเลย T^T
หนูไม่ได้เข้ามานาน ไม่รู้ทำอะไรผิดไปมั้งหรือเปล่า ฮืออ คิดถึงคอมเม้นจากกระทู้นั้นจัง


มาลงนิยายเรื่องใหม่หลังจากไม่ได้เขียนนิยายมานานเลยค่ะ
อยากลองเขียนฟีลกู๊ดดีๆ สักเรื่อง
ฝากติชมด้วยนะคะ เพราะไม่ได้เขียนนานมากเลย เกร็งสุดๆ
ตรงส่วนไหนข้อมูลผิด เขียนผิด ทำผิด ยินดีรับทุกคำวิจารณ์นะคะ -/\-

ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทนำ + บทที่ 1 [21-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 21-09-2018 14:28:30
รอติดตามนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทนำ + บทที่ 1 [21-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Khunkwanz ที่ 21-09-2018 17:47:17
รอติดตามนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทนำ + บทที่ 1 [21-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 21-09-2018 21:37:25
Plot  น่าสนใจมากค่ะ  o13 ติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บท2 [23-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 23-09-2018 16:37:48
บทที่ 2
   
   ผมไม่ได้รอการตอบกลับอย่างใจจดจ่อ ก็แค่ปิดโทรศัพท์แล้วพาสารร่างตัวเองไปที่โต๊ะทำงานเพื่อเขียนไอเดียเพลงออกมาคร่าวๆ สมุดโน้ตปกแข็งสีครีมดูยับเยินเอามากๆ ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งซื้อมันมาใช้แค่สามเดือนเศษ ปากกาคู่ใจแท่งสามสิบบาทเหน็บอยู่ข้างสันเกลียว ผมรูดมันออกมาและปลดปลอกฝาออก

กระดาษหนังสือแบบถนอมสายตาถูกใช้ไปกว่าครึ่งเล่ม และดูท่าผมคงจะต้องซื้อใหม่ในเร็ววัน ไอเดียทั้งที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้เละเทะเต็มไปหมด ผมขีดๆ เขียนๆ อยู่พักใหญ่ บ้างก็เปิดเอาความคิดเก่าที่ไม่เคยหยิบมาใช้จริงเป็นตัวอ้างอิงเล็กๆ น้อยๆ นานกว่าสองชั่วโมงที่ผมนั่งอยู่ในท่าเดิม นิ้วมือข้างที่ว่างก็เคาะเบาๆ เป็นจังหวะลงบนโต๊ะ จนกระทั่งสมาร์ทโฟนบนเตียงร้องแจ้งเตือนข้อความเข้า ผมถึงได้ผละออกจากเก้าอี้


Rome_o: สกาย?


ผมขมวดคิ้วมองข้อความบนจอโดยที่ยังไม่กดเข้าไปอ่าน รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ เฟลหน่อยๆ แต่พอพ่นลมหายใจออกทางปากยืดยาวครั้งหนึ่ง ความขุ่นมัวก็หายไป ผมต้องยอมรับความจริงว่าผมไม่ได้ดังแบบทั่วประเทศ ก็แค่ดังในคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะรู้จักผม


BlueSky: ผมติดต่อไปทางคุณต่าย แต่ไม่มีใครรับสายครับ


ผมเลี่ยงการอธิบายว่าตัวเองคือใครเพราะมันน่ากระดากปากไม่น้อยเลย ประโยคที่ตอบกลับโฬมไปจึงดูไม่ตรงคำถามแบบสุดๆ
แต่ใครสนใจกัน

ผมเอนตัวนอนลงบนเตียง ยกขาขึ้นไขว่ห้างในขณะจ้องหน้าจอบทสนทนาทางไอจีนั้นอย่างรอคอย เพราะข้อความของผมขึ้นว่าถูกอ่านแล้ว และอีกฝั่งก็กำลังพิมพ์ตอบกลับมา


Rome_o: อ่อ ตอนนี้ผมรับงานเองไม่ผ่านผู้จัดการครับ สงสัยลืมเอาเบอร์ออก


ผมพยักหน้ากับตัวเองเมื่อความคิดหนึ่งพุ่งเข้ามา ข่าวเรื่องเป็นเกย์ของเขาน่าจะมีผลกระทบร้ายแรงเหมือนกัน นักร้องที่เคยมีชื่อเสียงถึงได้ต้องมารับงานเองโดยไม่ผ่านผู้จัดการ

แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่สนใจ

ข่าวเรื่องนี้ของเขากลับเป็นประโยชน์กับผมด้วยซ้ำ มันเข้าคอนเซปต์และผมอาจใช้ประโยชน์กับประสบการณ์จริงนี้ในการทำเพลงให้สมจริงยิ่งขึ้นได้ อีกอย่างระหว่างนั่งเขียนเพลงเมื่อกี้ผมได้ฟังเพลงเก่าๆ ของโฬมไปกว่าสิบเพลงได้ เสียงดีไม่ใช่เล่น เห็นว่ามีบางเพลงที่เจ้าตัวแต่งเอง ซึ่งก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

เขาควรมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ถ้าไม่ถูกสังคมตัดสินในเรื่องที่ไม่ใช่แม้กระทั่งความผิดเล็กๆ อย่างการรักเพศเดียวกัน


BlueSky: ผมอยากชวนคุณโฬมมาทำเพลงด้วยกัน ถ้าหากคุณสนใจมาคุยกันเรื่องรายละเอียดงานที่คาเฟ่ XY วันเสาร์บ่ายสามนะครับ


 ผมจิ้มแป้มพิมพ์ยิกๆ ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้เป็นการบังคับทางอ้อมรึเปล่า เพราะปกติผมดีลงานกับผู้จัดการนักร้องผ่านโทรศัพท์ มันสะดวกในคอนเฟิร์มงานในเวลารวบรัดจึงติดเป็นนิสัย


Rome_o: ได้ครับ


ผมคลี่ยิ้มแล้วโยนมือถือทิ้งไปข้างตัว กางแขนขาแผ่สองสลึงตากแอร์เย็นสบาย เสียงเครื่องปรับอากาศดังคลอไปกับดนตรีจังหวะโยกเล็กๆ ที่ผมเปิดคลอทิ้งไว้ ผมปิดเปลือกตาลง คิดว่าจะงีบสักพักก่อนค่อยออกไปหาอะไรกิน แต่แล้วผมก็ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนตีสามกับร้านอาหารใกล้คอนโดที่ปิดประตูกันหมดซอย

โคตรเศร้า...










วันเสาร์, บ่ายสองสี่สิบสี่นาที

ผมแต่งกายในชุดที่คิดว่าดูดีและสุภาพที่สุด ด้วยกางเกงยีนสีซีดขาดเข่ากับเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์สีขาวลายฮิปๆ แว่นกันแดดสีชาเหน็บอยู่ที่คอเสื้อ พร้อมด้วยนาฬิกาเรือนโตประดับบนข้อมือซ้าย

ผมว่ามันสุภาพนะ...

ผมหัวเราะกับตัวเองตอนเดินเข้าไปในคาเฟ่ XY แล้วพนักงานที่สนิทร้องแซวว่าจะไปถ่ายแบบที่ไหน ถ้าเขาก้มลงมาดูรองเท้าแตะอดิดาสสีดำคาดขาวของผมคงไม่พูดอย่างนั้น

“ช็อคโกแลตเย็นครับ” ผมบอกหลังจากกวาดสายตามองเมนูบนผนัง “แล้วก็ชีสเค้กทานนี่ที่หนึ่ง”

“หนึ่งร้อยยี่สิบบาทค่ะ” ผมควักแบงค์แดงและเขียวออกมาจ่ายพอดีกับค่าของหวาน พนักงานยิ้มรับแล้วบอกให้ผมไปนั่งรอที่โต๊ะก่อน ผมรับใบเสร็จแล้วลากไอ้แตะราคาแพงที่ใช้มาสองปีแล้วเดินดุ่มๆ ไปหาที่นั่ง

คาเฟ่ XY เป็นที่ที่ผมชอบมาเวลานัดคนมาเจอนอกสถานที่ บรรยากาศของร้านตกแต่งสไตล์อังกฤษ สวนดอกไม้ก็สวยและร่มรื่น ผมว่ามันดูไม่ถูกเกินไปและก็ไม่แพงเกินไป ร้านตกแต่งออกมาดูหรูหรามาก แต่เพราะทำเลไม่ใช่ทำเลทอง อาหารเครื่องดื่มจึงอยู่ในเรทกลางๆ ไม่ถูกไม่แพง พอเป็นหน้าเป็นตาเวลาผมนัดลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์มาคุยได้ เพราะถ้าจะให้ผมนัดทุกคนไปเจอร้านนางเงือกสีเขียวๆ เดือนนั้นทั้งเดือนผมคงต้องกินแกลบแล้วล่ะครับ

ผมไม่ใช่นักแสดงหรือดารามีชื่อเสียง งานอีเว้นท์ที่ผมได้ออกจึงไม่ได้เยอะขนาดได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้าถามว่ารายได้ดีไหม มันก็ต้องดีอยู่แล้ว สองชั่วโมงที่ไปโชว์กับเงินหลักหมื่น มันก็พอทำให้ผมฟุ่มเฟือยกับกิเลสตัวเองได้พอสมควร

ผมเลือกนั่งที่ริมกระจกด้านในร้าน วางสมาร์ทโฟนสีขาวจั๊วะลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักพลางกอดอกมองหน้าจอสีดำสนิท เผื่อว่าคุณโฬมจะทักมาถามตำแหน่งที่นั่งผมจะได้ตอบได้ทัน

และนั่นไง ไม่ทันไรไอจีของผมก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า


Rome_o: ผมมาถึงร้านแล้วครับ


ผมชะโงกหน้าออกไปมองที่ประตูร้าน เห็นผู้ชายร่างสูงรูปร่างดีกำลังยืนกดโทรศัพท์ที่ข้างนอก เขาสวมกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดอย่างง่ายๆ แต่เพราะเสื้อกันหนาวสีดำที่มัดแขนพาดบนไหล่กว้างช่วยเสริมให้ดูมีสไตล์ขึ้นมา แว่นตาดำกับทรงผมเซ็ทแบบตั้งใจให้ยุ่ง ออร่าความหล่อพุ่งทะลุออกมาทุกอณูผิว ผมเผลอกลั้นหายใจไปเสี้ยววินาทีเพราะตกใจกับความหล่อแบบไม่ปราณีใครของเจ้าตัว

“อะแฮ่ม” พอกระแอมไอเรียกสติตัวเองเสร็จผมก็จิ้มแป้นพิมพ์เพื่อบอกเขาว่าผมอยู่โต๊ะด้านในสุดริมหน้าต่าง เห็นผู้ชายคนนั้นก้มลงอ่านข้อความครู่หนึ่งก็เปิดประตูเดินเข้ามาในร้าน

โฬมสั่งอะไรบางอย่างกับพนักงานที่เคาท์เตอร์ แอบได้ยินเสียงวี๊ดว๊ายเมื่อมีคนจำได้ว่าเขาคือใคร แต่โฬมก็เพียงยิ้มรับแล้วเบี่ยงตัวเดินหนีมาทางผม

“สกาย?” เสียงของเขาอยู่ในโทนกลางติดทางทุ้มต่ำ ฟังแล้วมีเสน่ห์กับเอกลักษณ์สุดๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาถอดแว่นออกแล้วฉีกยิ้มอวดฟันเขี้ยวและลักยิ้มบุ๋มลึก

“ครับ คุณโฬม?” ผมเชื้อเชิญให้เขานั่ง และโฬมก็รับคำด้วยการทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ตรงข้ามผม แว่นตาที่น่าจะแพงพอดูถูกพับเก็บและวางลงบนโต๊ะ

“เรียกโฬมเฉยๆ ก็ได้ครับ”

บทสนทนาที่ผมกำลังจะพูดต่อถูกขัดด้วยอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟ ชีสเค้กหอมจนผมแทบลืมไปเลยว่ามีแขก ในขณะที่นมสดร้อนในแก้วของอีกคนก็ชวนให้ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

นึกว่าจะกินกาแฟอะไรแบบนี้

พวกเราเงียบลงเพื่อละเลียตกับของหวานตรงหน้าคนละคำ ก่อนที่โฬมจะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง เขาน่าจะเป็นคนเฟรนด์ลี่ ประเภทมนุษยสัมพันธ์พุ่งทะลุปรอท ยิ้มง่ายเข้าสังคมเก่ง แตกต่างจากผมอยู่พอควรเพราะผมค่อนข้างอินดี้ชอบนั่งแต่งเพลงเงียบๆ คนเดียว

“เพลงที่ว่าจะชวนมาทำ แนวไหนเหรอครับ”

“...” ผมเงียบเพื่อกลืนน้ำช็อคโกแลตคำโตลงคอ “เพลงรักน่ะครับ”

“อ๋อ” เขาพยักหน้าเพื่อต่อบทสนทนา

“เพลงรักของผู้ชายกับผู้ชายนะครับ”

“...!” ผมเห็นโฬมสำลักนมสดที่เขาเพิ่งยกขึ้นจิบ

พวกเราเงียบ ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเงยขึ้นมามองผมด้วยความตกใจ ผมฉีกยิ้มบาง ตักชีสเค้กเข้าปากเงียบๆ เพื่อรอให้คนที่ดูท่าจะมีข้อสงสัยเต็มไปหมดเอ่ยปากถาม

“คุณ...”

“...”

“ทำไมถึงจะทำเพลง... เกย์”

“อยากทำครับ” ผมไม่อยากเล่าเหตุผลให้คนไม่รู้จักฟัง เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อน

“คุณเป็น... เกย์เหรอ” เสียงที่เปล่งออกมาทั้งเบาทั้งขมุกขมัวอยู่ในลำคอ แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร ผมส่ายหน้าช้าๆ เพื่อปฏิเสธ

“คุณอาจไม่รู้จักแต่ผมเป็นแรปเปอร์ครับ” ผมค่อยๆ พูดช้าๆ “ผมทำเพลงสะท้อนสังคมในหลายๆ ด้าน และตอนนี้ผมก็แค่อยากทำเพลงที่พูดถึงเรื่องพวกนี้เท่านั้นเองครับ”

“...” โฬมเงียบ คงกำลังเรียบเรียงคำพูดของผมอยู่

“ถ้าอย่างนั้นที่ชวนผมมาทำเพลงด้วยก็เพราะ...”

เขาอาจจะหมายถึงข่าว เพราะสีหน้าของโฬมดูแหยงๆ เหมือนไม่ค่อยอยากพูดถึง ผมปล่อยความเศร้าที่ได้รับรู้ให้เป็นเพียงภาพเบลอ มองเลยผ่านดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิด ก่อนจะตอบรับด้วยความจริงใจไร้คำโกหกเพื่อรักษาน้ำใจกัน

“ครับ เพราะเรื่องนั้นด้วย”

“...” โฬมเงียบ เขาขมวดคิ้ว

ผมสงสัยจังว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาจะปฏิเสธผมไหม จริงๆ ผมไม่ซีเรียสที่จะต้องไปหานักร้องคนอื่น แต่ผมเสียดาย ทั้งเรื่องความสามารถของเขา ทั้งเรื่องเสียงของเขา รวมถึงข่าวและตัวตนของเขาที่จะช่วยยกระดับเพลงผมให้เป็นเพลงที่ดีมากยิ่งขึ้นไปด้วย
โฬมเงียบนานมากจนผมเริ่มลุกลี้ลุกลนเอง

เอาตรงๆ เลยก็คือผมอยากได้เขา เสียงของเขามันดีมากจริงๆ ยิ่งได้มาฟังเนื้อเสียงด้วยหูตัวเอง ให้ตาย ผมอยากได้เสียงของเขามาใส่ในเพลงของผมจนเนื้อเต้น

“ผมชวนมาทำเพลงด้วยกันไม่ใช่ฟีทเจอริ่งนะครับ” ผมบอกจุดประสงค์ให้กระจ่าง

โฬมเงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมเห็นแววสงสัยใคร่รู้สั่นระลึกอยู่ในแก้วตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น

“บางทีหลังมีข่าว คุณอาจอยากพูดอะไรมากมายแต่คงพูดไม่ได้” แววตาของเขาสั่นไหวทันทีที่ผมพูดจบ ครับ ผมกำลังเล่นแง่กับเขาเพื่อโน้มน้าว “ถึงเพลงของผมจะไม่ดัง คนที่ฟังมีไม่เยอะ แต่มันก็เป็นกระบอกเสียงให้ได้นะครับ”

“...”

“ไม่อยากพูดอะไรผ่านเพลงหน่อยเหรอครับ”

“อยากครับ” โฬมพยักหน้ารับอย่างจนต่อคำพูดของผม

ผมยิ้มกว้าง บางทีอาจจะกว้างจนตาเป็นเส้นเลยมั้งเพราะผมมองไม่ค่อยเห็น แต่ผมกำลังดีใจสุดๆ พลางคิดไปถึงบทเพลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

มันต้องเป็นมาสเตอร์พีชชิ้นหนึ่งของผมแน่ๆ

ผมรับประกันว่ามันต้องออกมาดีสุดๆ ไปเลย

ผมดีใจกับตัวเองจนไม่ได้สังเกตว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเบิกตากว้างเหมือนเจอสิ่งประหลาด โฬมกระแอมไอเบาๆ แล้วหันหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่าง เสียงนั้นดึงผมกลับสู่โลกความเป็นจริงในทันที

ริ้วแดงที่พาดบนแก้มของผู้ชายตรงหน้าทำให้ผมสงสัย แต่ก็ปัดทิ้งไปเมื่อมองเห็นแดดยามเย็นสาดเข้ามาทางกระจก มันทาบลงบนตัวของผมและโฬม ร้อนพอสมควรจนผมตัดสินใจปิดประเด็นสนทนาเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน

ผมหยิบนามบัตรที่ทำเองพิมพ์เองส่งให้ผู้ร่วมงานคนใหม่ คว้าแก้วช็อคโกแลตมาดื่มรวดเดียวจนหมดก่อนเอ่ยตัดบทเพื่อบอกลา

“ถ้าพร้อมเริ่มเมื่อไหร่มาหาผมตามที่อยู่ในนามบัตรเลยนะครับ”

“ได้ตลอดเลยเหรอครับ” ผมชะงักมือที่กำลังดันโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง

“จริงๆ ช่วงนี้ผมก็ว่าง แต่โทรมาก่อนก็ดีนะครับ” ผมหัวเราะในคอเพื่อเพิ่มสีสัน “เดี๋ยวผมต้องไปทำธุระต่อ”

ธุระที่คือการหาข้าวเย็นกินนั่นเอง

“แล้วผมจะโทรไปนะครับ” โฬมบอกด้วยรอยยิ้มแสนเป็นมิตร

แต่ผมกลับตงิดใจกับประโยคนั้นแปลกๆ

แต่ผมก็เลิกสนใจในทันทีเมื่อขาก้าวออกมาพ้นห้องแอร์ แดดประเทศไทยนี่แทบจะเผาผมให้ละลายติดพื้นภายในสามวิที่สัมผัส ผมแทบจะวิ่งไปที่รถอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่ารองเท้าแตะคู่ใจมันทำท่าจะหลุดอยู่ตลอดเวลา

ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ปล่อยให้แอร์โลมเลียผิวลดความแสบร้อนจากแสงอาทิตย์อยู่สักพัก ก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลังออกจากซองจอด ผมหักพวงมาลัยหันหัวรถออกไปยังถนน ที่กระจกมองหลังสะท้อนภาพผู้ชายตัวสูงที่เคยนั่งอยู่ตรงข้ามผมในร้านคาเฟ่กำลังเดินช้าๆ ท้าแดดประเทศไทยไปยังบริเวณจอดรถ

คนเราจะเป็นต้องหล่อทุกท่วงท่าเลยรึเปล่าครับ อันนี้ผมสงสัยจริงๆ





______________________
Talk:
มาแล้วค่าาาา มาแล้ววว
จ่ายค่าตัวคุณโฬมแล้วค่ะ จ่ายด้วยรอยยิ้มเจ้าสกาย
งื้ออออออ

สกายเป็นคนติสต์ๆ หน่อยนะคะ 5555
เป็นคนที่เหมือนช่างพูด แต่ก็พูดเก่งเฉพาะเวลาคุยเรื่องที่ตัวเองสนใจเท่านั้น
เอ็นดูเจ้าสกายด้วยนะคะ  :-[

ขอบคุณทุกยอดวิว ทุกยอดคอมเม้นเลยค่ะ
ปั่นอย่างไวววววววว่อง
ปล.ขออภัยในคำผิดนะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 2 [23-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-09-2018 09:34:44
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 2 [23-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-09-2018 09:39:34
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 3 [25-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 25-09-2018 22:12:49
บทที่ 3
   
ผมปล่อยเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ โดยไม่ได้ใช้มันสร้างสรรค์ผลงานอะไรใหม่ๆ แม้ว่าไอเดียตอนนี้จะเต็มหัวไปหมด แต่ผมกลับขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นมาจับปากกา ผมได้แต่นอนอืดอยู่บนเตียง ลุกออกไปหาอะไรกินที่เซเว่นใกล้คอนโด ก่อนจะกลับมานอนอืดใหม่อีกครั้ง วันๆ ขยับแค่ปลายนิ้วเลื่อนไถทวิตเตอร์ พลางรอให้เพื่อนร่วมงานคนใหม่ติดต่อมา ก็น่าจะเป็นเวลาสามวันแล้วที่โฬมหายไปเลยหลังจากเราตกลงดีลงานกัน

แต่วันนี้ผมไม่อาจนอนกระดิกเท้าได้เหมือนเดิมแล้วเพราะตอนสี่ทุ่มผมมีงานที่ร้านนั่งเล่นแถวย่านเศรษฐกิจ ผมยันตัวลุกขึ้นจากเตียงมาตอนที่ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้ม ขยับหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินลากขาสองข้างเข้าห้องน้ำไปด้วยอากัปหาวปากกว้าง

โคตรง่วง

กว่าผมจะขัดสีฉวีวรรณเสร็จก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง เสียงดนตรีหนักๆ ยังดังลอดออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ในขณะที่ผมเดินโถงๆ พาดผ้าขนหนูออกมาที่ตู้เสื้อผ้าโดยไม่แคร์สายตาใคร แน่สิ ผมอยู่ที่นี่คนเดียว ผ้าม่านก็รูดปิดเรียบร้อย ถ้าจะมีคนเห็นก็แค่คนในกระจกเท่านั้นแหละ

ผมเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแบบบิวด์อิน ไล่สายตามองหาเสื้อผ้าที่เหมาะกับการใส่ไปงานวันนี้ แต่ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งที

ไม่มีอะไรจะใส่แล้วครับ

ผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาน่าจะราวๆ หนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มได้จับงานเพลงเบื้องหลังอย่างจริงจัง ผมก็แทบจะซื้อเฉพาะอุปกรณ์เครื่องเสียงบลาๆ มากกว่า ทั้งๆ ที่ชีวิตปกติผมโคตรจะชอบแต่งตัวเลย แต่ไอ้คำว่าไม่มีอะไรจะใส่แล้วของผมก็อาจทำให้หลายๆ คนเบ้หน้า

เพราะตู้เสื้อผ้าผมมันแทบจะไม่มีที่ว่างให้ยัดอะไรเข้าไปเพิ่มอีกแล้ว

ผมหัวเราะเบาๆ กับความคิด ควานหาเสื้อยืดตัวโคร่งๆ ออกมาสักตัว ผมเป็นประเภทชอบใส่เสื้อตัวใหญ่มากๆ สไตล์ฮิบฮอบน่ะครับ ใครๆ เขาก็ใส่กัน ยิ่งเวลาแขนเสื้อมันยาวมาจนแทบคลุมทั้งมือผมยิ่งฟิน ไม่รู้เป็นโรคจิตหรือเปล่า

เสื้อแขนยาวแต่เนื้อผ้าบางเบาสีฟ้าครามเป็นตัวเลือกสุดท้ายหลังจากปัดป่ายมือเลือกอยู่นาน ผมสวมมันลงบนตัวทันที คอวีของมันกว้างจนคว้านมาถึงร่องหน้าอก แต่ผมไม่มีหน้าอก เลยไม่ได้สนใจกว่ารอยแยกจะลึกมากแค่ไหน จากนั้นผมก็หยิบอันเดอร์แวร์และบ็อกเซอร์ลายสัปปะรดมาสวมตาม กางเกงยีนส์วันนี้รัดรูปสุดๆ สีดำสนิทพร้อมด้วยรอยขาดที่ต้นขาตามสไตล์

ใครไม่ชอบ ผมชอบ

ผมหยิบสร้อยรูปไม้กางเขนที่ยาวจนถึงรูสะดือมาสวม แหวนสีดำเกลี้ยงเกลาที่นิ้วนางข้างขวา พร้อมด้วยกำไลเงินบนข้อมือเป็นอย่างสุดท้าย

เยอะไปป่ะ

ไม่หรอกเนอะ

ผมพยักหน้าให้ตัวเองในกระจก ขยี้ๆ ผมด้วยเจลอย่างง่ายๆ เพราะมันยาวจนไม่รู้จะจัดทรงยังไง จากนั้นก็ฉีดน้ำหอมกลิ่นโปรดเป็นอย่างสุดท้าย

โทรศัพท์และกระเป๋าเงินถูกยัดเข้าในกระเป๋าผ้าที่ไม่ได้จะเข้ากับชุดวันนี้เลย แต่กางเกงมันฟิตเกินกว่าที่ผมจะยัดอะไรเข้าไปได้อีก ผมควงกุญแจรถ เดินผิวปากลงไปที่ลานจอดรถหน้าคอนโดอย่างสบายอารมณ์ นาฬิกาบนผนังที่ล็อบบี้บอกเวลาทุ่มครึ่ง ผมกะจะไปหาอะไรกินก่อนขึ้นแสดง ถ้ารถไม่ติดล่ะก็นะ

รถยนต์สีขาวที่ราคาไม่แพงมากค่อยๆ ถอยออกจากซองจอด ผมซื้อด้วยเงินดาวน์จำนวนมาก เลยผ่อนสบายๆ ไป คิดการไกลครับ เพราะช่วงแรกๆ ที่เข้าวงการผมยังเป็นกระแส เงินที่ได้มาเลยเป็นก้อนใหญ่มากๆ หลังจากนั้นก็น่าจะหดหายลงหลังกระแสค่อยๆ หมด เลยคิดว่าดาวน์สูงๆ ไปก่อนก็น่าจะดี ไม่รู้ถูกไหมอาศัยความพอใจตัวเองเป็นที่ตั้ง

ผมฮัมเพลงเบาๆ วันนี้รถไม่ค่อยติด แต่อีกฝากกลับแดงเถือก ผมผิวปากอารมณ์ดี เคาะพวงมาลัยเบาๆ ขณะหาจังหวะเลี้ยวรถเข้าไปยังร้านจุดหมาย

“สวัสดีครับ” ผมลดกระจกทักทายยาม เขาน่าจะจำผมได้เพราะเคยมาแสดงที่นี่บ่อยๆ ลุงยามตะเบ๊ะทักทายก่อนจะโบกไปทางขวาเป็นสัญญาณว่ามีที่ว่างอยู่ตรงนั้น ผมพยักหน้าขอบคุณแล้วเลี้ยวรถเข้าไปตามคำแนะนำ

กว่าจะจอดรถแล้วพาสารร่างแสนขี้เกียจของตัวเองเข้ามาในร้านก็ลีลาไปหลายนาที ผมมองฝูงชนที่นั่งโยกหัวเบาๆ ประกบดนตรีสดที่กำลังเล่นอยู่บนเวทีเล็ก เสียงทุ้มนุ่มที่ลอยเข้าหูทำเอาเผลอชะงักขาไปแวบหนึ่ง

ผมขมวดคิ้ว หันไปมองยังต้นทางของเสียงคุ้นหู

คนตัวสูงในชุดไปรเวทง่ายๆ นั่วไขว่ห้างดีดกีตาร์อยู่บนเก้าอี้กลางเวที แสงไฟหรี่ลงจนเห็นเป็นเงานวลๆ แต่ลักยิ้มบุ๋มลึกกับฟันเขี้ยวเวลาเจ้าตัวยิ้มกลับกระแทกเข้ามาในครรลองตาของผม

โฬมหลับตาร้องเพลงรักเศร้าๆ ทั้งๆ ที่ยังคงฉีกยิ้มพริมใจยั่วให้สาวๆ ในร้านตกหลุมรัก  โคตรจะไม่เข้ากัน แต่ก็ยอมรับว่ามีเสน่ห์สุดๆ ผมขมวดคิ้ว พลางถามตัวเองอีกครั้ง ว่าคนเราจำเป็นต้องหล่อเรี่ยราดขนาดนี้เลย

“สกาย” เสียงเรียกของใครบางคนดึงสายตาผมออกมาจากคนบนเวที และเมื่อผมเห็นหน้าเขาคนนั้น รอยยิ้มบนริมฝีปากก็ถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายๆ

“เฮียเต็ม” ผมเอ่ยทัก “มาซะหล่อเชียวครับ”

“ปากหวานตลอด ไม่ขึ้นค่าตัวให้หรอกเว้ย” เฮียเต็มว่าก่อนจะเดินเข้ามากอดคอแล้วพาผมไปนั่งยังมุมประจำ

ผู้ชายร่างหน้ากล้ามเป็นมัดๆ รวมถึงหนวดเคราและหัวโล่งเตียนที่ชื่อเฮียเต็มนี้เป็นเจ้าของร้านที่ผมกำลังเหยียบอยู่ เฮียแก่กว่าผมเป็นสิบปี เปิดร้านนี้มาก็นานมาก ผมมาแสดงที่นี่ได้เพราะเฮียเต็มไปชักชวนมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มดังในยูทูปใหม่ๆ เขาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้ผมเป็นที่รู้จัก เพราะร้านของเฮียดังมากๆ เนื่องจากทำเลดี บรรยากาศและเครื่องดื่มก็ดี

“เอาหนักๆ เผาคอมันหน่อย” เฮียตะโกนบอกบาร์เทนเดอร์ที่ผมคุ้นหน้าแต่ไม่รู้ชื่อ ผมถูกกดให้นั่งลงบนโต๊ะติดกับบาร์ มุมอับสายตาพอสมควรเพราะเป็นที่ใกล้ลำโพง

“ผมต้องขึ้นโชว์นะครับ” ผมโอดครวญ แต่ก็เท่านั้น ปกติอยู่แล้วที่จะถูกเผาหัวตั้งแต่เหยียบเข้าร้าน เฮียเต็มกับผมนับถือกันเหมือนพี่น้อง แถมยังชอบจ้างผมมาบ่อยๆ ที่ผมมีกินมีใช้ก็เงินเฮียเกือบครึ่ง

“ตอนนี้ลูกค้าก็เมา ไม่มีใครรู้หรอกถ้าเอ็งจะร้องผิด”

ผมหัวเราะกับความคิดโคตรเจ๋งนี้ ก่อนจะรับแก้วใสที่มีของเหลวเติมเต็มอยู่ด้านในมากระดก

“นี่เฮียจ้างโฬมมาหรอ” ผมถามหลังซดสิ่งบาดคอนั้นลงแล้วร้องฮ้าเสียงดังก่อนจะยกมือปาดคราบน้ำบนริมฝีปากออก

“อ่อ สงสารเด็กมัน” เฮียบอกขณะสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม “หน้าตาก็ดี เสียงก็ดี อนาคตดับเพราะคนรักเก่าหักหลัง โคตรน่าสงสาร”

นี่แหละครับเฮียเต็มผู้หน้าโหดแต่ใจดีประหนึ่งพ่อพระ

ผมไม่ได้ต่อบทสนทนาเพราะเครื่องดื่มราคาแพงขวดใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะ ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก มองเฮียเต็มที่บรรจงเทของเหลวสีสวยนั้นลงแก้วให้ผมอย่างกระหาย

ของแพงอ่ะครับ ต้องเข้าใจหน่อย

ผมยกซดเอาซดเอาไม่ได้แคร์เลยว่าท้องยังว่าง แถมอีกไม่กี่เพลงก็จะต้องขึ้นแสดงแล้ว แถมเฮียเต็มก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร รินเอาๆ จนแก้วผมไม่เคยว่างเกินสามวินาที

เสียงเพลงจากลำโพงยังคงดังเรื่อยๆ ผมนั่งเท้าคาง หมุนแก้วในมือขณะกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน มีสาวๆ หลายคนเคลิบเคลิ้มไปกับนักร้องบนเวที และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยกแก้วชนพลางแหกปากร้องตามเพราะเพลงมันโดนใจ
โฬมเรื่องร้องเพลงรักที่โคตรเจ็บ บางเพลงก็เป็นเพลงตัวเอง บางเพลงก็เป็นเพลงคนอื่น ผมโยกหัวฟัง รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันเพราะเอามากๆ เมื่อคนร้องคือเพื่อนร่วมงานในอนาคตคนนี้

“เมารึไง” เฮียเต็มว่าขัดอารมณ์สุนทรีย์ของผม เล่นเอาผมสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนบนโต๊ะ และก็ได้ค้นพบว่า ตอนนี้หัวผมเอนจนจะติดพื้นอยู่แล้ว

ชิบ...

“เฮียมอมผมอ่ะ” ผมเบ้ปากทำงอนๆ เลื่อนแก้วในมือออกไปห่างๆ

“คออ่อนขึ้นรึไงไอ้หนู”

ผมส่ายหน้า เพราะของแพงมันอร่อย เลยเผลอกินเพลินไม่ได้ดูว่าถึงลิมิตตัวเองแล้ว ผมยิ้มเผล่มองหน้าเจ้าของร้าน ตานี่ก็เยิ้มจัง มองจะไม่เห็นทางอยู่แล้ว

“ถ้าผมเมาหัวทิ่ม เฮียห้ามหักเงินนะ”

“อะไรวะ เหล้านี่ก็เลี้ยงแล้ว”

“ก็ความผิดเฮียทั้งนั้น” ผมยักไหล่ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อหวังให้มันสร่างขึ้น นิดหน่อยก็ยังดี ภายในร้านคนเริ่มทยอยมึนเมากันแล้ว เห็นบางคนแหกปากร้องไห้โฮเลยทีเดียว แต่ก็น่าสงสารที่เพื่อนไม่สนใจสักคน ผมยิ้มกับภาพต่างๆ ที่ไหลผ่านขณะเดินไปห้องน้ำ แอบเห็นมีหนุ่มสาวจู๋จี๋ในมุมมืด แต่ก็ช่างปะไร ตอนนี้กะเพาะปัสสาวะผมสำคัญที่สุด

“วู้ว” ผมพ่นลมหลังจากปลดปล่อยออกมาหมดตัว รู้วึกได้ว่าพอได้ลุกเดินก็อาการดีขึ้น ไม่ได้เซไปเซมาเหมือนขามาแล้ว ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะ ไม่แตะแอลกอฮออล์ใดๆ อีกเพราะใกล้ถึงเวลาขึ้นแสดงแล้ว

“ขอบคุณครับ” ได้ยินเสียงทุ้มเอกลักษณ์กล่าวลากับผู้ชมแว่วๆ เฮียเต็มสะกิดไหล่ให้ผมไปเตรียมตัว ผมเลยลุกเดินไปที่ข้างเวทีเพื่อเช็คเครื่องเสียงและเตรียมกับคนเปิดบีท

ในจังหวะนั้นก็สวนกับคนที่หิ้วกีตาร์เดินยิ้มจางลงมาจากเวทีพอดี

“อ้าว” โฬมหยุดเมื่อเห็นผม

ผมฉีกยิ้ม เป็นยิ้มเยิ้มๆ แบบคนยังไม่สร่างเมาดีนั่นแหละครับ “ร้องเพราะนะ”

“ขอบคุณ” โฬมยิ้มตอบกลับมา “สกายขึ้นเวทีหรอ”

ผมพยักหน้า รับไมค์ไร้สายมาถือไว้ในมือพลางกรอกเสียงลงไปเช็คซาวด์

“เดี๋ยวผมรอฟัง” โฬมบอกตัดบทเมื่อเห็นผมยุ่งๆ กับการเตรียมตัว พวกเราโบกมือให้กันก่อนที่โฬมจะเดินไปหาเฮียเต็ม เฮียแกจ่ายสดทันทีที่แสดงจบครับ จะรวยไปไหนก็ไม่รู้ แถมยังแอบเห็นว่าเปิดของแพงมาชวนโฬมดื่มอีก เหมือนเห็นภาพตัวเองเมื่อชั่วโมงก่อนเลยแฮะ

ผมส่ายหัว ละสายตากลับมาจดจ่อกับงานตัวเอง สูดลมหายใจเข้าสุดปอดเรียกกำลังใจ ก่อนจะวิ่งเชิงกระโดดขึ้นบนเวทีทันทีที่บีทสนุกๆ ดังขึ้น

“สวัสดีครับบบบ! Blue Sky is here right now!!”






ผมทั้งกระโดด แหกปากร้อง โค้งตัวจนแทบจะเอาหน้าแนบพื้นไปตลอดโชว์ แต่พอเห็นผู้ชมลุกฮือกันขึ้นมาเต้น โยกย้ายกันด้วยความเมามัน มีเกินครึ่งที่แหกปากร้องตามผมได้ ผมก็ยิ่งจัดเต็มไม่ยั้ง เล่นเอาเสียงแหบแห้งในตอนท้ายๆ เลยทีเดียว
ผมลากสภาพหมดเรี่ยวแรงลงมาจากเวที ตอนนี้ในร้านเปิดเพลงมันส์ๆ ให้คนได้ปล่อยผีกันเต็มที่แล้วครับ เลยมีหนอนโดนไฟลนมากมายออกันเต็มฟลอร์กลางร้าน กว่าผมจะฝ่ามาได้ก็เกือบแบนแต๊ดแต๋ โฬมยังนั่งอยู่กับเฮียเต็มเหมือนเดิม แถมผิวขาวๆ นั้นยังแดงแจ๋ไปหมด

ไม่รอดแน่ๆ

“เฮียมอมคนอีกแล้ว” ผมบ่นขณะทิ้งตัวนั่งข้างๆ โฬม “โชว์สนุกป่ะ” ผมถามคนที่ไม่น่าจะเคยฟังเพลงของผมมาก่อน

โฬมฉีกยิ้มหล่อสุดพลังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือชูนิ้วโป้งมาให้ด้วย

“เอ้า ค่าตัว” ซองสีขาวถูกยื่นมาให้ผม ผมก็รับด้วยรอยยิ้ม

“เฮียไปไหนอ่ะ” เมื่อยื่นเงินค่าจ้างให้เสร็จเฮียเต็มก็หมุนตัวอย่างรีบร้อน ผมเลยตะโกนถามไล่หลังไปด้วยความสงสัย

“มีคนตีกันโว้ย กูต้องไปจัดการ”

ผมไม่ทันได้ตอบรับร่างกำยำก็เดินลิ่วหายไปแล้ว

เลยเหลือเพียงแค่ผมกับโฬมที่นั่งอยู่เงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศแสนวุ่นวายในร้าน ผมหันไปมองคนที่น่าจะเมาบอกสมควร แต่ก็ไม่ได้ออกอาการอะไร แค่ยิ้มง่ายขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเฉยๆ

“ยังไม่ว่างเหรอ ไม่เห็นโทรมา” ผมถามในเรื่องที่สงสัย

คือเราอยากทำเพลงแล้ว อยากจนเนื้อเต้น กระสันไปหมดแล้วเนี่ย แต่ไอคนที่ชวนมาทำเพลงด้วยดันหายหัวไป ผมเลยหงอยแดกนอนอืดเป็นผักเปื่อยบนเตียงมาสามวันเต็ม

“เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดครับ” โฬมบอก

“อ่อ” ผมไม่รู้จะต่อบทสนทนายังไง เลยหยิบแก้วที่ไม่รู้ใช่ของตัวเองไหมขึ้นมาดื่ม

“แต่พรุ่งนี้ผมว่างนะ ตอนแรกว่าจะโทรหาสกายพรุ่งนี้”

“พรุ่งนี้...” ผมคิดถึงตารางงานในหัว “ผมว่างทั้งวันเลย จะเข้าสตูดิโอตอนไหนก็บอกนะครับ ผมจะได้ไปรอก่อน”

เพราะมันเป็นสตูส่วนตัวของผม เลยต้องไปรอเปิดห้องให้เขาก่อน ไม่งั้นก็ไม่มีใครเข้าไปได้นอกจากผมและพนักงานทำความสะอาดที่มาอาทิตย์ละสองครั้ง

“น่าจะบ่ายๆ” โฬมบอก ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากพยักหน้าหงึกหงัก หยิบของแพงยี่ห้อเดิมมารินใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มช้าๆ
ไม่รู้เพราะโฬมเมาหรือเปล่า เขาเลยเอาแต่จ้องหน้าผมด้วยรอยยิ้ม

ผมพยายามไม่สนใจ แต่เพราะดวงตาวิบวับแปลกๆ ที่ทำเอานั่งอยู่ไม่ติดเก้าอี้ มันหายใจไม่คล่องแบบแปลกๆ เหมือนกำลังถูกลวนลามโดยการมองเลยอ่ะ

“ดึกแล้ว ผมต้องกลับแล้ว” ผมหลบเลี่ยงความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านี้ด้วยการหนี แต่พอเห็นดวงตาเยิ้มๆ ของอีกคนก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “กลับยังไงครับ?”

“ผมเอารถมา”

“ขับไหวเหรอ”

“ไหวครับ” โฬมยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่บอกอย่างชัดเจนว่าขอบคุณที่เป็นห่วง

ผมกระแอมไอเมื่อรู้สึกมีอะไรติดในลำคอ ขยับลุกจากเก้าอี้แล้วขอตัวออกมาทันที ไม่ได้มองให้แน่ใจว่าโฬมขับรถกลับไหวแน่ๆ ด้วยซ้ำ เขาโตแล้วคงจัดการตัวเองได้

กว่าผมจะกลับมาถึงคอนโดก็ตีสองเข้าไปแล้ว ผมวิ่งผ่านน้ำแบบที่เรียกว่าวิ่งจริงๆ เพราะโคตรจะง่วงเลย วันนี้ใช้พลังไปจนหมด ไม่น่ากระโดดเยอะเลย เพราะขาของผมเริ่มปวดระบมตั้งแต่ปลีน่องมาถึงขาอ่อนแล้วเนี่ย

ผมเช็ดผมลวกๆ นั่งเป่าพัดลมให้แห้งอีกสักพักก่อนจะลุกขึ้นไปปิดไฟโดยที่ไม่ได้แต่งตัวให้เรียบร้อย มีแค่บ็อกเซอร์ขอบย้วยติดกายตัวเดียวเท่านั้น

“เฮ้อ” ผมทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงอย่างหมดสภาพ

แต่ก่อนที่จะได้หลับ  โทรศัพท์เจ้ากรรมดันดังขึ้นมาเสียก่อน

ผมควานหามันมากดรับ มองเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาด้วยความสงสัย แต่ก็กดรับอยู่ดี ผมไม่ได้มีคติไม่รับเบอร์แปลกหรอกครับ เพราะยังไม่เคยเจอใครโทรมาก่อกวนยกเว้นพวกขายประกัน

“ครับ สกายพูด”

[ฮัลโหล] เสียงสำเนียงอังกฤษไพเราะเอามากๆ ผมขมวดคิ้ว มองเบอร์ที่โทรเข้ามาอีกครั้งแต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าใคร

“ใครพูดครับ”

[ผม... โฬมครับ]

“เอ๊ะ” ผมเผลออุทานด้วยความตกใจ “คุณโฬมเหรอครับ”

[ครับ สกายถึงบ้านรึยังครับ]

“อ่า... สักพักแล้วครับ” ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ตอนนี้ทั้งงงทั้งง่วง สมองหยุดทำงานเลยคิดอะไรไม่ออก เลยได้แต่ถามย้อนไปตามมารยาท “แล้วโฬมถึงบ้านรึยังครับ”

[ถึงแล้วครับ]

“...อะ ครับ”

[…]

“...”

ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

ผมลองหยิกตัวเองดูเผื่อว่าจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัวแล้วกำลังฝันอยู่ แต่มันดันเจ็บจริงนี่สิ ผมเลยได้แต่นั่งเม้มปากด้วยความไม่เข้าใจอยู่อย่างเดิม

“เอ่อ โทรมามีอะไรรึเปล่าครับ”

[เห็นสกายบอกว่าโทรมาได้ตลอดเวลา...] คนปลายสายเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก

ผมบอกตอนไหนหว่า

เท่าที่จำได้ ผมน่าจะหมายถึงว่าถ้าเป็นเรื่องงาน โทรมาได้ตลอดเวลาเลยไม่ใช่เหรอ นั่นคือความหมายจริงๆ ที่ผมจะสื่อนี่ แต่ทำไม...

[ผมก็เลยโทรมาครับ]

“...”

พูดไม่ออกเลยครับ

“ไม่ใช่เรื่องงานใช่ไหมครับ” ผมถามไปเผื่อว่าโฬมจะเมาจนไม่รู้เรื่อง แต่เท่าที่ดูก็ไม่เห็นจะเมามากมายอะไรผม งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากอยู่ครับสถาณการณ์นี้

[เปล่าครับ แค่อยากโทร]

“...”

นี่ผมอึ้งแดกไปกี่ครั้งแล้วครับเนี่ย

[ไม่กวนแล้วครับ]

“อ่า ครับ”

[ฝนดีนะครับฟ้า]

“ฝันดี...!”

ใครฟ้าวะ!

ผมชะงักไปอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้ท้วงอะไรไป ปลายสายก็กดวางไปก่อนแล้ว ผมหรี่ตามองหน้าจอที่กลับมาเป็นภาพแอพลิเคชั่นบนมือถือตามเดิมแล้วด้วยคิ้วขมวดยุ่งเหยิง

แล้วตกลงใครคือฟ้าอ่ะครับ

เมาแน่ๆ โฬมเมาแน่นอนผมยืนยัน!

__________________________
Talk: จะพยายามมา 2 วันครั้งให้ได้ค่ะ ฮือออ
รักคนอ่านทุกคน
ติชมได้นะคะ เป็นฟีลกู๊ดเรื่องแรกเลยมั้ง เพราะเคยเขียนแล้วไม่รอดสักที
หวังว่าเรื่องนี้จะรอดไปจนจบ ฮึ้บๆๆๆ

ฝากเจ้าสกาย มนุษย์ติสต์สุดในปฐพีไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

ปล.หนูขออภัยในคำผิด เขียนเสร็จก็อปมาเลยเพราะอยากรีบลง แง้
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 3 [25-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 27-09-2018 13:22:54
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 3 [25-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 27-09-2018 15:33:30
โดนแล้วววว 55555  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 3 [25-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-09-2018 19:53:28
 :o8:

55โดนเล็งแล้ว

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 4 [28-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 28-09-2018 11:56:23
บทที่ 4
   


Rrrrrrrrr

ผมที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงยกหมอนขึ้นมาปิดหู ร้องครางงึมงำด้วยความรำคาญแต่ก็ไม่ได้สนใจขยับไปกดปิดมัน คิ้วของผมขมวดยุ่งเหยิง แต่ก็หลับลงไปทั้งแบบนั้นเพราะผมง่วงเอามากๆ

เมื่อคืนใช้แรง ใช้พลังไปจนหมด ผมต้องการการพักผ่อน

Rrrrrrrrr

โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ยังก่อความน่ารำคาญ ผมสะดุ้งหลุดจากฝันอีกครั้งเมื่อมันแผดเสียงขึ้นมาเป็นรอบที่สอง และคราวนี้เล่นเอาผมตาสว่างโร่ ผุดลุกมานั่งด้วยความหงุดหงิดที่โหมกระพืออยู่ในอก ผมเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่โต๊ะข้างเตียง ปลดสายชาร์ตออกพลางมองเบอร์ผู้โทรเข้าอย่างพิจารณา

ถ้าเป็นคนสนิทผมคงรับสายแล้วกรอกคำด่าลงไปแล้ว แต่นี่คือเบอร์ของใครไม่รู้ คุ้นๆ แต่ไม่ได้เมมไว้ ผมเลยจำต้องกดรับแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามใจเย็นที่สุดในชีวิต

“ฮัลโหล ใครครับ”

[อ่า... คุณไม่ได้เมมเบอร์ผมเหรอ]

ถ้าเมมก็คงไม่ถามไง

ผมอยากตอบไปแบบนี้มากๆ เพราะทั้งง่วงทั้งหงุดหงิด อยากล้มตัวลงนอนต่อเพราะยังนอนไม่เต็มอิ่ม ตาของผมปรือปรอยเต็มไปด้วยขี้ตาเกรอะกรัง มันลืมแทบไม่ขี้นด้วยซ้ำ ผมใช้หลังมือขยี้คราบขี้ตาออกพลางอ้าปากหาวหวอดใหญ่

“ไม่ ...หาวววว ได้เมมครับ” ผมตอบขณะหาวปากกว้างไปด้วย

[ยังไม่ตื่นเหรอครับ]

“ตื่นแล้วครับ แต่จะนอนต่อแล้ว” ปกติผมเป็นคนสุภาพนะ (คิดเอาเองครับไม่เคยมีใครชม) แต่ตอนนี้หงุดหงิดโคตรๆ แถมไม่มีสติจะคิดอะไรก่อนพูดด้วย ผมทิ้งตัวลงนอน ตะแคงข้างแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนหู ขณะมือทั้งสองดึงหมอนข้างลูกรักมากอดก่าย เกยคางไว้บนนั้นแล้วปิดเปลือกตาลง

ถ้าคนในโทรศัพท์ไม่พูดธุระมาสักที ผมจะหลับใส่จริงๆ ด้วย

[จะเที่ยงแล้วนะครับ]

“...” ผมไม่ได้ตอบ เพียงแค่ครางงึมงำเป็นเชิงรับรู้ ให้อีกฝ่ายพูดต่อได้

[คือผมกำลังจะไปสตูดิโอ...]

“ครับ...” ผมกำลังอยู่ระหว่างความฝันกับความจริง สติถูกดูดเข้าห้วงนิทรา เสียงที่ได้ยินรอบข้างเลยดูเหมือนดังขึ้นกว่าปกติในชัวขณะหนึ่ง และขณะนั้นนั่นและที่ฉุดกระชากผมให้ลืมตาโพลงด้วยความตกใจ “อะไรนะครับ”

[ผมจะเข้าสตูดิโอหลังมื้อเที่ยงครับ]

ปุจฉา: ใครที่มีนัดที่สตูฯ กับผม

วิสัชนา: โฬมไง โฬมเอง

ผมตาสว่าง กระชากตัวเองออกมาจากความง่วงงุน คราวนี้ผมตั้งหน้าตั้งตาคุยกับปลายสายด้วยความตื่นเต้นที่เต็มอกจนล้นปรี่

“ได้ครับ ได้ๆ”

ทำเพลง ทำเพลง ทำเพลง

ผมกระดี๊กระด๊าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำเลยตอนนี้ จากที่งอแงจะนอนต่อ ตอนนี้ผมแทบจะพุ่งออกไปที่รถแล้วเหยียบเต็มแม็กขับไปที่สตูดิโอเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่ติดว่ายังไม่อาบน้ำแล้วขี้ตาเต็มหน้าขนาดนี้นะ ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง อีกสิบนาทีก็จะเที่ยงแล้ว ผมยังไม่ได้จัดการตัวเองสักอย่างเดียว คงต้องซื้อข้าวกล่องแช่แข็งเข้าไปกินที่ทำงานแน่ๆ ผมไม่อยากให้ first impression ของเราสองคนออกมาไม่ดี

ผมต้องไปรอต้อนรับโฬมที่สตูดิโอ!

[สกายไปทันเหรอครับ นี่ก็เที่ยงแล้ว]

“ทันครับ เดี๋ยวเจอกันที่สตูฯ เลย”

[... ทานข้าวเที่ยงไหมครับ]

“อ๋อ เดี๋ยวผมซื้อไปกินที่สตูฯ”

[ไปทานด้วยกันไหมครับ?]

เอ๊ะ

“เอ่อ ไม่เป็น...”

[เดี๋ยวผมรับที่บ้านสกาย] ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค คนปลายสายก็สวยมาอย่างรีบร้อน

“ไม่เป็นไรครับ ผมมีรถ”

[เราจะได้เข้าสตูดิโอพร้อมกันไงครับ]

“เอ่อ” นี่คือผมโดนบังคับให้ไปกินข้าวเที่ยงด้วยทางอ้อมรึเปล่า

ผมอาจจะคิดมากไปเอง โฬมคงคิดว่าผมจะสาย เขาเลยจะมาหาจะได้ไม่ต้องไปยืนรอหน้าสตูฯ ที่เข้าไปข้างในไม่ได้ อาจจะเป็นแบบนั้น ผมพยักหน้ากับคำตอบของตัวเองงึกงัก

“นัดเจอที่ร้านเลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมขับรถตามไป”

[ผมไม่ถนัดแถวนี้ มีร้านไหนแนะนำไหมครับ]

“เอ่อ...” ผมเอ่ออีกแล้ว เพราะผมไม่รู้ เวลาอยู่ที่สตูฯ ส่วนตัว ผมไม่ค่อยกินข้าวกินปลาด้วยสิ กินอีกทีก็ตอนกลับคอนโดแล้วแวะตลาดหน้าซอยซื้อกลับไปกินที่ห้อง “ผมก็ไม่แน่ใจ...”

[…]

โฬมเงียบ ในขณะที่ผมกระวนกระวาย

First impression ในการทำงานร่วมกันเราจะเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ ผมเครียด ถึงขั้นยกมือกุมขมับแล้วบ่นตัวเองในใจ ไม่ดีเลย ผมอยากให้งานชิ้นนี้ออกมาดีจริงๆ นะครับ ถ้าเพื่อนร่วมงานไม่ชอบเรา ก็คงทำงานด้วยลำบาก จริงไหม

ในระหว่างที่ผมกำลังหัวหมุนหาข้อแก่ต่างให้ตัวเอง อยู่ๆ ปลายสายก็พูดโพล่งขึ้นมาหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง

[เดี๋ยวผมไปรับสกาย แล้วเราขับวนหาร้านพร้อมกัน ดีไหมครับ]

“กะ ก็ได้ครับ”

จริงๆ ทางออกนี้ก็ดี

ถึงผมจะมีรถ แต่ถ้าให้ขับตามตูดกันไปตอนหาร้านข้าว ก็คงลำบากน่าดู

[ถ้าอย่างนั้น สกายส่งโลเคชั่นมาให้ผมหน่อยนะครับ ทางไลน์ก็ได้]

“ผมไม่มีไลน์โฬม”

[mr_rome ครับ แอดมาได้เลย]

“ได้ครับ”

[แล้วเจอกันนะครับ]

“แล้วเจอกันครับ” เราร่ำลากันแปบเดียวก็กดตัดสาย ผมจิ้มลงบนไอคอนสีเขียวๆ กดเพิ่มเพื่อนแล้วกรอกไอดีไลน์ที่อีกคนให้มา โฬมคงไม่ได้ตั้งแอดเพื่อนอัตโนมัติจากเบอร์ ผมก็ไม่ได้ตั้งครับ เพราะเคยทำแบบนั้นแล้วมีใครไม่รู้เด้งมาเต็มเลย ไม่รู้จักสักกะคน ไม่รู้เอาเบอร์ผมมาจากไหน

เมื่อผมกดแอดไลน์โฬมเสร็จก็เข้าไป sent location คอนโดตัวเองให้ทันที แต่ก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำ ผมเผลอมือไปส่องรูปโปรไฟล์ของเขา เพราะลักยิ้มมุมปากนั่นแหละที่ทำเอากดดูแบบไม่รู้ตัว

โปรไฟล์ไลน์ของโฬมเห็นแค่ช่วงคางขึ้นมาถึงปีกจมูก เอียงข้างน้อยๆ โชว์เขี้ยวและมุมปากอันน่าหลงใหล โฬมคงรู้ว่ามันคือเสน่ห์ของตัวเอง ถึงได้ตั้งใจถ่ายมุมนี้ออกมา

แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีเสน่ห์จริงๆ นั่นแหละ ผมยังชอบมองเลยให้ตาย

ผมฉีกยิ้มหมั่นไส้ให้เครื่องหน้าของโฬมครั้งหนึ่งก่อนลุกไปอาบน้ำ ชะโลมสบู่ไปอย่างเยอะเพราะอยากตัวหอมๆ เวลานั่งบนรถคนอื่นเขาเขาจะได้ไม่รังเกียจ วันนี้ผมจะแต่งตัวง่ายๆ (ง่ายของผมไม่ใช่ของคนอื่นนะ) ด้วยเชิ้ตสีขาวกับเอี๊ยมดำติดบนกางเกงแสล็ก ผมเซ็ตหน้ามาตัวเองลงมาด้วยเจล พอหัวตัวเองแล้วก็อยากไปตัดผม ตอนนี้ไม่เป็นทรงสุดๆ แล้วผมอยากเปลี่ยนสีผมด้วย หลังจากทำสีดำมาทั้งชีวิต

ผมเหลือบเห็นแว่นตาไร้กระจกทรงกลมของตัวเองบนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมคว้ามันมาสวมแล้วก็คิดว่าเข้ากันได้เลยไม่ได้ถอดออก น้ำหอมกลิ่นประจำถูกพรมลงบนตัว ผมปะแป้งผงเบาๆ บนหน้า แต่งไม่เป็นครับ ปกติช่างแต่งหน้าทำให้หมด ผมอาจเป็นคนชอบแต่งตัว แต่ผมไม่ได้สำอางค์

พร๊อบแต่งตัวผมเยอะ แต่ครีมแทบไม่มี มีแค่เจลว่านหางจระเข้ไว้ทาตอนหน้าแห้งๆ กระปุกแป้งสีเนื้อ กับลิปมันแท่งหนึ่ง ใช้ชีวิตแบบเอาเครื่องแต่งกายให้เด่นกว่าหน้า คนจะได้ไม่สนใจเบ้าหน้าโง่ๆ ของผม

ผมยืนสำรวจตัวเองในกระจกครั้งสุดท้าย พอดีกับที่เสียงเรียกเข้าจากคนที่ผมเพิ่งเมมเบอร์ดังขึ้นมาพอดี ผมกดรับขณะยัดเท้าลงในรองเท้าสลิปออนสีกรมท่า

“กำลังลงไปครับ”

[ผมรอที่ล็อบบี้นะครับ]

ผมรับคำแล้วรีบวิ่งไปกดลิฟต์ ผมต้องไม่ทำวันแรกของการทำงานพัง ผมบอกกับตัวเองอย่างแน่วแน่ ขณะรอลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นมารับและลงไปยังชั้นหนึ่ง ก็คิดในหัวไปพลางว่าจะทำอะไรก่อนดี คุยเรื่องคอนเซ็ปต์หรือนั่งถกกันก่อน อืม อยากฟังความเห็นของโฬมเหมือนกัน ในฐานะที่เขามีประสบการณ์ตรงกับเรื่องพวกนี้

ผมเดินออกมาจากลิฟต์พลางกวาดสายตามองหาคนรู้จัก รอบเดียวเท่านั้นแหละครับก็เจอแล้ว หน้าหล่อๆ ของเขาโคตรเด่นเลยให้ตาย ขนาดแค่นั่งพิงโซฟาไถโทรศัพท์เล่น ยังเหมือนมาถ่ายแบบ ผมไม่เข้าใจเอามากๆ ว่าทำไมอนาคตเขาดับเอาง่ายๆ เพราะแค่เรื่องเป็นเกย์

จริงๆ อาจไม่เรียกอนาคตดับหรือเปล่า เพราะยังเห็นเขามีงานในวงการ แต่ท่าทางจะน้อยลงเยอะ คิดว่าค่ายเก่ารวมถึงผู้จัดการคงเทเขา เพราะผมเห็นเขารับงานเอง วิ่งงานเองไม่มีคนดูแลแบบพวกซุปตาร์ทั่วไป

“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักก่อนเมื่อเดินมาถึงตัว โฬมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ขึ้นมายิ้มให้ผม

โอ เอ็ม จี!

ลักยิ้มเขามีพลังทำลายล้างสูงจริงๆ นะครับ

แต่ผมชอบฟันเขี้ยวของเขามากกว่าอ่ะ มันโคตรน่ารักเลย แถมยังดรอปความคมดุของดวงตาเรียวได้อีกด้วย โฬมเป็นคนตาสวย แพขนตาเขายาวมากๆ แต่ขอบตาของเขาลึกจนเกิดเงาดำ ทำให้ดูเหมือนคนกรีดตาตลอดเวลา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นี้เลยดูดุร้ายไม่หยอก

แต่กลับยิ้มได้สวยและโลกสดใสขนาดนี้ ไม่ต้องเป็นผู้หญิงก็หลงได้ครับ งานโคตรดี

“ไปเลยไหมครับ” ผมพูดพร้อมดันแว่นขึ้นแก้เก้อ เผลอจ้องหน้าโฬมไปซะนาน ไม่สุภาพเลยสักนิด
 
“ครับ” โฬมลุกขึ้นจากโซฟา หมุนตัวเตรียมเดินนำไปที่รถ แต่สายตาสุดท้ายที่ทิ้งบนร่างผมกลับระยิบระยับแปลกๆ ผมเห็นมุมปากนั้นขยับยิ้มกว้างกว่าเดิม พร้อมประโยคพึมพำที่ต้องถามตัวเองว่าหูฝาดหรือเปล่า “วันนี้แต่งตัวน่ารักนะครับ”

“อะไรนะครับ” ผมถาม เพราะสงสัยว่าหูแว่วหูเพี้ยนรึเปล่า

“ผมหิวแล้วครับ”

ผมมั่นใจว่าเขาไม่ได้พูดประโยคนี้ แต่ก็ขี้เกียจคาดคั้น เลยได้แค่ปล่อยมันไป

ผมมันพวกไม่ค่อยสนใจอะไรนอกเหนือจากความชอบตัวเองอยู่แล้ว มันเลยไม่ยากที่จะปล่อยความสงสัยให้ผ่านไป โฬมเดินนำไปยังลานจอดรถสำหรับแขก คอนโดนี้มีที่จอดรถเยอะมากครับ เพราะผมเลือกออกมาชานเมืองพอสมควร ค่าคอนโดจะถูกและพื้นที่เยอะ แต่ไม่แฮปปี้เวลารถเสียแล้วหาขนส่งสาธารณะยากสุดๆ เลยนี่สิ

ผมก้าวขึ้นมาบนรถคันที่เคยเห็นผ่านตา เก๋งคันสวยสีดำด้าน เบาะด้านในก็นุ่มแถมยังกว้างขวาง โฬมคงทำเงินได้เยอะมากๆ เพราะเขาเข้าวงการมาก่อนผมหลายปี

อืม และอีกอย่างเขาก็น่าจะอายุมากกว่าผมด้วย

ผมไม่ได้ศึกษาประวัติเขาขนาดนั้น เรียกชื่อเล่นห้วนๆ ไปก็หลายที รู้สึกผิดขึ้นมาเลย

“เดี๋ยววนแถวๆ สตูดิโอนะครับ”

ผมพยักหน้า คาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็หันไปมองใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังถอยรถออกจากซองจอด ผิวหน้าเนียนจัง ดูไม่รู้เลยว่าแก่กว่ากันกี่ปี ถ้าให้เดาก็ปีสองปี คงไม่เป็นไรถ้าผมไม่ได้เรียกเขาว่าพี่ ใช่ไหม...

จะให้กลับตัวไปเรียกพี่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนี่น่า

โฬมขับรถนิ่มมากครับ ผมคงไม่กล้าให้เขามาขึ้นรถผมแน่ๆ เพราะพี่ยุทธเคยด่าเอาไว้ว่า ‘นี่มึงซื้อใบขับขี่มาเหรอ’ ผมว่าผมก็ขับดีออก ไม่เคยชนคนอื่นสักครั้งเลยนะครับตั้งแต่ซื้อรถมา แต่โดนบีบแตรใส่ก็เยอะอยู่...

“สกายอยากกินอะไรไหมครับ”

ผมครุ่นคิด เกือบตอบอะไรก็ได้ไปแล้ว แต่ชะงักปากไว้ทัน

First impression ท่องไว้ให้ขึ้นใจ

“พะแนงไก่ครับ” ของชอบของโปรด

โปรดที่สุดคือพะแนงไก่ที่ยายทำ

อ่า พูดแล้วอยากกลับบ้านเลยครับ กลับต่างจังหวัดไปฝากท้องไว้กับคุณยาย

“ถ้างั้นร้านอาหารไทยนะครับ” โฬมสรุป

ผมหันไปลอบมองหน้าของโฬมอีกครั้ง อาหารตาอย่างแท้จริง มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ มีแต่อิจฉาขึ้นมากกว่า ผมอยากหน้าหล่อแบบนี้บ้างจัง ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดี ขนาดวันนี้เขาสวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ ยังดูดีเหมือนตั้งใจแต่งตัวมาถ่ายแบบ นี่ไม่ได้เว่อร์นะ เขาหล่อจริงๆ ถึงมันจะมีคนที่หล่อกว่านี้อยู่เยอะในวงการก็เถอะ แต่ไม่มีใครมีฟันเขี้ยวกับลักยิ้มทรงเสน่ห์แบบนี้แน่ๆ

อ๊ะ รวมถึงนั่นอีก

ดวงตาของโฬม ปกติผมจะเห็นเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเลยด้วยซ้ำ แต่พอต้องกบแสงแดดที่สะท้อนผ่านกระจกรถเข้ามา แก้วตาของเขากลับกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน เหมือนลูกแก้วที่เคยดีดเล่นตอนเด็กๆ

ทำไมคนๆ หนึ่งถึงได้มีเอกลักษณ์ที่ดีมากมายขนาดนี้

ผมสงสัย และจบลงด้วยการหันมามองหน้าตัวเองที่สะท้อนเงาจางๆ ในกระจกฟากตัวเอง บางทีถ้าผมอยากได้หน้าแบบโฬม ผมคงต้องตัดหัวเขามาใส่ ศัลยกรรมไม่สามารถช่วยได้จริงๆ

“ร้านนี้นะครับ เงียบดี” โฬมชี้ไปทางซ้ายมือ มีร้านอาหารไทยอยู่ร้านหนึ่ง ไม่ได้ใหญ่มากแต่ตกแต่งได้สะอาดสะอ้านน่านั่ง ผมพยักหน้ารับปุ๊บโฬมก็ตบไฟเลี้ยวเข้าไปจอดเรียบฟุตปาธทันที โชคดีที่บริเวณนี้สามารถจอดข้างทางอย่างนี้ได้ พวกผมลงจากรถพร้อมกัน แต่เป็นผมเองคนเดียวที่เดินหน้าระรื่นเข้าร้านอาหารก่อนใครเพราะหิวสุดๆ

โฬมล็อครถและเช็กความเรียบร้อยอยู่แปบเดียวก็ตามเข้ามา ผมเลือกนั่งมุมที่แอร์ตก ในร้านมีลูกค้าสองสามคนจึงเงียบมาก โฬมเลยไม่ต้องสวมแว่นกันแดดมาปิดบังตน เขาเปลือยหน้าหล่อๆ เดินยิ้มเข้ามานั่งลงตรงข้ามผม มีพนักงานยื่นสมุดเมนูมาให้สองเล่ม ผมพลิกเปิดดูราคา
 
ไม่แพงเท่าไหร่ อยู่ในช่วงที่รับได้

“สกายสั่งเลยครับ”

ผมไม่ปฏิเสธให้เสียเวลา “พะแนงไก่ ไข่เจียว ต้มยำกุ้งครับ แล้วก็ขอน้ำกระเจี๊ยบหนึ่งแก้ว เอาอะไรเพิ่มอีกไหมครับ” ประโยคสุดท้ายผมหันไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะ

“ไม่แล้วครับ ผมขอข้าวเปล่าสองจานกับน้ำเปล่า”

พนักงานยิ้มรับ ทวนออเดอร์ให้ฟังหนึ่งรอบแล้วเก็บสมุดเมนูกลับไป

ระหว่างรออาหารผมเลยชวนโฬมคุยเรื่องเพลงฆ่าเวลา

“เรื่องเพลงผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย โฬมมีอะไรเสนอไหมครับ”

“อืม สกายอยากทำเพลงแนวไหนครับ”

“เพลงรักโรแมนติกดีไหมครับ แต่ท่อนแรปของผมจะพูดเรื่องความไม่ยุติธรรมจากสังคมต่อความรักของ...” ผมเลี่ยงจะพูดคำว่าเกย์ เพราะไม่รู้ว่ามันแรงไหมสำหรับโฬม แต่ผู้ชายตรงหน้าผมแค่ยิ้มบางๆ มาให้ ผมเลยคลายความอึดอัดลงไปครึ่งหนึ่ง

“ก็ดีนะครับ”

“...”

โฬมไม่เสนอความคิดอะไรต่อ ผมเลยไม่รู้จะพูดอะไรอีก

พวกเราต่างคนต่างเงียบ ผมเลยหยิบมือถือขึ้นไถทวิตเตอร์เล่น โฬมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเหมือนกัน แอบเห็นยกกล้องมาทางนี้ แต่คิดว่าคงถ่ายบรรยากาศร้าน โฬมดูเป็นคนติดไอจีติดสแนปไอจีสตอรี่ เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ถ้าเขาจะยกกล้องมือถือขึ้นมาบ่อยๆ

“สกายครับ”

“ครับ?”

“ชอบแต่งตัวเหรอครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา เห็นโฬมเท้าคางมองหน้าผมยิ้มๆ ลักยิ้มกระแทกเบ้าตาอีกแล้ว พลังทำลายล้างนี้เมื่อไหร่ผมจะชินกันนะ เกิดมาเพิ่งเคยได้จ้องหน้าคนหล่อแบบชัดๆ อย่างนี้ก็ครั้งแรก ทั้งปลื้มทั้งอิจฉาตีรวนไปหมดเลยครับ

“ชอบครับ ชอบมาตั้งนานแล้ว”

“แล้วชอบแต่งตัวสไตล์ไหนเหรอครับ”

“อืม ไปเรื่อยครับ เห็นมันน่าจับมาคู่กันได้ก็ใส่” ผมตอบ ไม่ได้ก้มลงเล่นมือถือต่อเพราะกลัวดูไม่มีมารยาท โฬมยังจ้องหน้าผมไม่ละสายตา มือถือของเขาวางคว่ำหน้าทิ้งไว้บนโต๊ะอาหารแล้ว

“แต่งแบบวันนี้บ่อยๆ สิครับ”

“หืม ครับ?”

โฬมยิ้มและเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “ผมไปฟังเพลงสกายมา เพราะทุกเพลงเลยครับ”

“ฟังแนวนี้เป็นด้วยเหรอครับ”

“ก็เพิ่งเคยฟัง แต่ชอบทุกเพลงเลยนะครับ ความหมายดี”

“ขอบคุณครับ”

“เวลาสกายอยู่ในเอ็มวีดูเท่มากๆ เลย” โฬมชม ส่วนผมยิ้มเขินไปแล้ว นานๆ ทีจะมีคนชมผม ส่วนมาเขาจำพูดถึงเพลงกับผลงานของผมมากกว่า “ไม่คิดว่าจะดูแบดได้แบบนั้น”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมว่าผมก็เท่ตลอดนะ” ผมหยอดมุกกลับหวังว่าเขาจะหัวเราะ แต่โฬมก็แค่ยิ้ม ยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าชายพร้อมสายตาระยิบระยับที่มองมา

ผมไม่เข้าใจสายตาของโฬม แต่ผมก็ปล่อยเบลอผ่านไปเมื่ออาหารมาส่ง พวกเราต่างจับกินข้าวกันอย่างเงียบๆ โดยที่คนตรงข้ามยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับมุมปากเสมอ

ช่างเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ทะลุปรอทจริงๆ เลยนะ

ผมว่าการร่วมงานกับโฬมคงไม่ยากเท่าไหร่ เราก็ดุเข้ากันได้ดี First impression ก็ไม่ได้แย่ นับว่าเริ่มต้นงานได้อย่างสวยงาม แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ








Rome_o [IG story]

วิดีโอสั้นๆ ถ่ายแบบ boomerang เป็นภาพของสกายกำลังยิ้มขำกับจอโทรศัพท์ตัวเอง แก้มพวงนุ่มขยับเป็นก้อนเมื่อเข้าตัวฉีกยิ้มกว้าง ผมหน้าม้าปกปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่งเพราะอีกคนก้มหน้า เห็นเพียงแค่ริมฝีปากสีอ่อนกับแว่นตาทรงกลมขยับเขยื้อน

‘มากินข้าวกับเพื่อนใหม่’



________________________
Talk:
เมื่อวานปั่นไม่จบงับ งื้อ เลยมาวันนี้แทน
เจ้าสกายโดนหลอกเอาทั้งไลน์ทั้งที่อยู่ หนูยังไม่รู้เรื่องอีก
พี่โฬมก็ร้ายด้วยรอยยิ้มนะคะ

ฝาก #เจ้าสกาย ไว้ในอ้อมใจด้วย
ทวิตเตอร์ก็ใช้แท็ก #เจ้าสกาย น้าา
ขอบคุณทุกยอดวิว ยอดคอมเม้นนะคะ
รักมากๆ เลย คนอ่านทุกคนนนน


แปะชุดเจ้าสกาย
(https://img.kpopmap.com/2017/05/highlight-beast-yongjunhyung-profile-my-idol-4.jpg)
Cr.kpopmap.com
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 4 [28-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-09-2018 13:07:06
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 4 [28-sep-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 28-09-2018 14:21:35
 :hao7: สกายเสร็จแน่ๆ...  :hao7: โฬมขุดหลุมดักสกายใหญ่กว่าดาวอังคารอีก  :hao7:  o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 5 [01-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 01-10-2018 16:23:47
บทที่ 5
   


สตูดิโอเช่าที่เซ็นสัญญาเช่าตลอดปีคือที่สองสถิตของผม ผมมาสำรวจที่แล้วตกลงเช่าห้องไว้หนึ่งห้อง พื้นที่ไม่กว้างมากแต่อุปกรณ์ครบถ้วน ทางร้านมีให้ยืมแต่ต้องจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าไปหลายบาทเหมือนกัน แต่ก็สะดวกสำหรับผมเพราะผมยังไม่มีเงินพอจะสร้างสตูดิโอของตัวเอง รวมถึงคอนโดก็ไม่เหมาะกับการทำอะไรเสียงดัง ที่ห้องของผมมีแค่เครื่องดนตรีง่ายๆ สองสามอย่างไว้สำหรับแต่งเพลงคร่าวๆ

ผมพาโฬมเดินเข้าตึกสูงสี่ชั้น ทักทายยามและและพนักงานต้อนรับด้านล่างด้วยความสนิทสนม เพราะผมใช้บริการที่นี่มาได้หลายเดือนแล้ว ฝ่ายคนตัวสูงก็กวาดสายตามองบรรยากาศรอบด้านด้วยความตื่นอกตื่นใจ โฬมไม่ต้องแลกบัตรเพราะมากับผม สัญญาเช่ารายปีทำให้ผมกลายเป็นเจ้าของห้องสตูดิโอนี้ชั่วคราว มีสิทธิพาคนนอกเข้าได้แต่ต้องมารับด้วยตัวเอง

ห้องสตูฯ ของผมอยู่ชั้นบนสุด ในขณะที่ชั้นอื่นทางร้านทำให้เป็นห้องซ้อมดนตรี ผมรู้จักที่นี่เพราะเพื่อนในมหาลัยเคยมาเช่าตอนซ้อมวงขึ้นแสดงวันประกวดดาวเดือน โตขึ้นมาเลยเลือกใช้บริการที่คุ้นเคยจะได้สบายใจ อีกอย่างก็เพราะใกล้คอนโดดี ผมไม่อยากใช้สตูฯ ของบริษัทครับ พวกพี่ยุทธครองพื้นที่แทบจะ 24 ชั่วโมงตลอดสัปดาห์อยู่แล้ว

“เช่าเหรอครับ ผมนึกว่าสกายซื้อห้องสตูฯ” โฬมเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อพวกเราเดินเข้าลิฟต์เรียบร้อย

“ผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอกครับ” ผมหัวเราะเก้อๆ

คนตัวสูงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากคลี่ยิ้มบางๆ ผมมองลักยิ้มของเขารอบที่ร้อยของวัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงฉาบรอยยิ้มได้ตลอดเวลา ไม่มีจังหวะไหนเลยที่โฬมจะปล่อยมุมปากให้ตกลงตามธรรมชาติ เห็นแบบนั้นก็อดเมื่อยแก้มแทนไม่ได้

ติ๊ง

เสียงร้องเตือนเมื่อลิฟต์เคลื่อนตัวถึงชั้นสี่ ผมควานหากุญแจเปิดห้องในกระเป๋ากางเกง เดินนำแขกผู้มีเกียรติไปยังห้องสตูฯ ริมสุดฝั่งซ่ายมือ

ประตูกระจกฉาบฟิล์มดำทำให้มองไม่เห็นด้านใน แต่เราสามารถมองลอดออกมาข้างนอกได้ ผมชอบฟังก์ชั่นนี้เอามากๆ โฬมมองสำรวจสถานที่แปลกตาอย่างตื่นเต้น ผมกดสวิตซ์เปิดไฟก่อนจะเชื้อเชิญให้อีกคนก้าวเข้าไปด้านใน ห้องสตูฯ นี้ไม่ได้กว้างมาก แต่ก็มีโซนโซฟานั่งเล่นให้ได้นอนเหยียดขาสบายใจ ตู้เย็นเล็กตั้งอยู่ที่พื้นใกล้ๆ มุมพักผ่อน มีไมโครเวฟให้ด้วย อันนี้ผมแบกมาเองเพราะซื้อต่อเพื่อนในราคาย่อมเยา พอดีเรียนจบแล้วมันขี้เกียจขนกลับบ้าน

“นั่งก่อนครับ” ผมบอกให้โฬมไปนั่งที่โซฟา ขณะตัวเองเดินไปหยิบสมุดปากกาเล่มใหม่ยังไม่แกะถุงพลาสติกมาจากลิ้นชักเก็บของ พอหันกลับไปก็พบว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามตลอดทุกการกระทำ

ผมกระแอมไอเล็กๆ ดึงกีตาร์โปร่งออกมาจากแท่นวางแล้วเดินกลับไปหาคนบนโซฟา ผมเลือกที่จะนั่งข้างซ้ายมือเขา เว้นระยะห่างไว้ประมาณหนึ่งช่วงแขน ถ้ามีโซฟาอีกฝั่งก็คงเลือกนั่งตรงนั้นแทน ติดที่ว่ามันไม่มีนี่สิ

“กีตาร์?”

“ผมเอามาให้โฬม” ผมบอกพร้อมยื่นกีตาร์ในมือให้ โฬมรับเอาไปวางไว้บนหน้าขา ลองจับคอร์ดแล้วกรีดลงบนสายเบาๆ

“สกายเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอครับ”

“เบื้องต้นครับ ได้แค่ตีคอร์ดเพลงง่ายๆ ส่วนมากผมแต่งเพลงกับเครื่องตรงนั้น” ผมชี้ไปที่อุปกรณ์มากมาย ทั้งจอคอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด เครื่องสังเคราะห์เสียง และบลาๆ ที่บางอย่างผมก็ยังไม่เคยใช้เพราะใช้ไม่เป็น

ผมยังใหม่ในการทำบีทดนตรี เพราะเพลงที่สมบูรณ์จนออกไปสู่โลกภายนอกได้นั้นต้องผ่านมือพี่ยุทธและทีมงานในการเรียบเรียงอีกครั้ง ผมทำดนตรีเพื่อเป็นตัวต้นแบบแล้วเอาเดโม่ไปเสนอค่าย เพราะฉะนั้นผมจะไม่อธิบายวิธีการใช้งานอุปกรณ์อย่างละเอียดแบบมือโปรแน่นอน

“ผมชอบแต่งเพลงกับกีตาร์นะ” โฬมบอกพร้อมเริ่มใช้นิ้วทั้งห้าเกาสายกีตาร์เบาๆ ทำนองนุ่มนวลที่ไม่รู้ว่าเพลงอะไรดังคลอกับเสียงเครื่องปรับอากาศ ผมมองนิ้วเรียวยาวที่ขยับเป็นจังหวะโดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่ก้มลงมอง

เขาถึงบอกกันว่าผู้ชายเล่นดนตรีมีเสน่ห์

เคยเห็นเขาเล่นกีตาร์มาแล้วเหมือนกันตอนที่เจอกันในร้านของเฮียเต็ม แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเลยไม่ยักรู้ว่าเขามีฝีมือขนาดนี้ ผมมองผู้ชายตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินจนสายตาเลื่อนมาสบเข้ากับดวงตาพราวระยับนั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอจ้องโฬมอีกแล้ว

“ผมว่า เรามาพูดถึงเนื้อเพลงดีกว่า” ผมบอกตัดบทเมื่อบรรยากาศชักอึดอัดแปลกๆ สมุดปกแข็งราคาไม่แรงเพราะซื้อตอนลดราคาถูกกางออก ผมจรดหัวปากกาลงบนกระดาษถนอมสายตา รั้งรอเผื่อใครอีกคนจะพูดอะไรออกมาบ้าง

“สกายอยากทำเพลงรักใช่ไหมครับ”

ผมพยักหน้า

“ความรักของผู้ชายกับผู้ชายมันไม่ค่อยโรแมนติกหรอกนะครับ” โฬมยิ้มเหมือนเคย แต่ผมเห็นแววเศร้าสร้อยจากนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น มีบางอย่างสั่นระริกอยู่ภายใน ผมจับอารมณ์คนได้ไว ถึงได้รู้ว่ารอยร้าวที่เคยเกิดขึ้นนั้นยังไม่ได้รับการสมาน

“ทำไมล่ะครับ” ผมปากไวกว่าความคิด เมื่อรู้ตัวก็พบว่าไม่ทันเสียแล้ว

“...” โฬมเม้มปากทันที เหมือนเขาลำบากใจที่จะตอบแต่ก็ยังพยายามคงสีหน้าเป็นมิตรเอาไว้

“ไม่เป็นไรครับ ผมขอ...” ผมกำลังจะขอโทษ แต่อีกฝ่ายกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน เล่นเอาผมชะงักปากกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอแทบไม่ทัน

“เพราะพวกเราไม่มีทางเลือกมากนัก คนส่วนมากเลยให้ความสำคัญกับเซ็กส์มากกว่า”

“...”

“ความรักสำหรับพวกเราเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมน่ะครับ”

“ยังไงมันก็คือรักไม่ใช่เหรอครับ” ผมไม่เข้าใจเลยถามออกไปด้วยความซื่อตรง

จริงๆ แล้วผมไม่เคยเข้าใจถึงข้อกีดกันทางสังคมกับเรื่องพวกนี้ ทั้งเรื่องของเพื่อนผม ทั้งเรื่องของตัวโฬมเอง ยิ่งได้มาฟังคำพูดของเขา ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ

ทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อมั่นในความรัก

“เพราะเคยศรัทธา ถึงไม่ศรัทธาอีกแล้วไงครับ” คราวนี้โฬมก็ยิ้ม ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีเชียว

ผมอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้ชิดกว่าเดิม แตะมือลงบนบ่ากว้าง บีบมันเบาๆ เพื่อส่งกำลังใจไปให้ ผมไม่ได้อ่านข่าวของเขาอย่างละเอียด เห็นเพียงหัวข้อที่ผ่านตา ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย แต่มันก็คงสร้างแผลใจหลุมใหญ่ไว้ให้กับโฬมพอสมควร
ผมพูดไม่ออก เลยได้แต่นั่งลูบบ่าเขาเงียบๆ โฬมหันมามองเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแตกต่างจากตัวของเขาได้อยู่เลยเลือกที่จะไม่เอามือออก ปกติรอบตัวของโฬมจะเต็มไปด้วยรังสีสดใส เป็นคนที่เหมือนเตาพิงเวลาเราต้องการความอบอุ่น เขาเป็นอย่างนั้นจากรอยยิ้มและวิธีการวางตัว

เป็นผู้ชายที่น่าจะเป็นที่รักของคนรอบข้างแท้ๆ

“สกายใจดีจังนะครับ”

“เอ๋ ผมเหรอ?”

โฬมยิ้ม อันที่จริงเขาไม่เคยหุบยิ้มเลยต่างหาก “ปกติผู้ชายแท้ๆ เขาไม่ค่อยสนใจชีวิตรักเกย์หรอกครับ”

“อ่า...” ผมเกาแก้ม โดนชมแบบนี้มันน่าดีใจไหมเนี่ย

“ผมถามได้ไหมว่าทำไมสกายถึงอยากทำเพลงนี้”

“เพื่อนผมก็เป็นเกย์ ก็เลยพอจะได้ยินอะไรๆ มาบ้าง” ผมบอกแบบภาพรวมพลางชักมือกลับมาวางบนตัก “ผมก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไม จริงๆ ความรักมันเป็นเรื่องสวยงาม แต่เท่าที่ฟังเพื่อนผมเล่า ไม่เห็นมีอะไรสวยงามสักอย่าง”

เพื่อนของผมแอบชอบเพื่อนคนหนึ่งในชั้นเรียน ผมรู้เรื่องนี้มาตลอดและพยายามเอาใจช่วย แต่พออีกฝ่ายรู้ความจริงเข้า เพื่อนผมก็ถูกต่อยจนผมต้องหามมันไปทำแผลที่คลินิกใกล้มอ โตมาก็ถูกที่บ้านจับได้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียว พ่อกับแม่รับไม่ได้จนมันต้องมาขอนอนคอนโดผมอยู่เป็นอาทิตย์ หลังจากนั้นมันก็ย้ายไปนอนหอเดียวกับแฟน แต่เมื่อไม่นานมานี่ก็เพิ่งจับได้ว่าอีกคนมีคู่ขาอื่นเต็มไปหมด

ผมรู้รายละเอียดแค่คร่าวๆ เพราะไม่อยากคาดคั้นให้เพื่อนรู้สึกแย่ แต่ขนาดรู้เพียงแค่นี้ ผมยังช็อคไปตั้งหลายนาที ในใจมีแต่คำถามเต็มไปหมดว่าทำไม เพราะอะไร

ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนมอบความรู้สึกให้กัน ไม่ใช่เรื่องของผู้ชายกับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ

ผมไม่เข้าใจ ผมสงสารเพื่อนแต่ช่วยอะไรมันไม่ได้ ผมแค่อยากระบายความไม่เข้าใจนี้อออกมาเป็นไรม์ๆ หนึ่ง อยากเอาคำพูดที่เพื่อนคนบ่นออกมาจากใจให้ผมฟังมาประกาศให้โลกรู้

เขาก็แค่รักคนที่เป็นเพศเดียวกับเขา

เขาไม่ได้ไปฆ่าหรือโกงกินใครเสียหน่อย

“ความรักของผู้ชายกับผู้หญิงยังไม่สวยงามเลยครับ ขนาดมีตัวเลือกตั้งมากมาย” กลายเป็นโฬมที่เอ่ยปลอบ ฝ่ามือกว้างวางลงบนศีรษะผมแล้วลูบเบาๆ

ผมว่ามันสลับโพซิชั่นกันแปลกๆ

“เอ่อ ก็นั่นแหละครับ ผมเลยอยากทำเพลงนี้” ผมขยับหัวหนีฝ่ามือข้างนั้น ขยับออกมานั่งห่างเหมือนเดิมแล้วเริ่มตบบทสนทนากลับเข้างาน ออกทะเลไปไกลเลยแหะ “ผมเคยคุยกับพี่ๆ ที่บริษัท เขาบอกว่าน่าจะทำเพลงรักที่มีทั้งสุขและเศร้า โฬมเป็นส่วนของความสวยงาม ผมเป็นส่วนดำมืด”

“ก็น่าสนใจนะครับ แต่สกายไม่เห็นเหมาะกับ...” ประโยคท้ายเบาหวิวจนผมฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ได้ยินแค่ชื่อตัวเองแว่วๆ

“ครับ?”

“เปล่าครับ” รอยยิ้มหลีกเลี่ยงโผล่มาอีกแล้ว “ผมพอจะนึกเนื้อหาเพลงออกบ้าง”

“จริงเหรอครับ!”

“แต่มันก็ยากถ้าสกายอยากให้ผมเป็นส่วนสวยงามของความรัก สกายก็รู้ผมหมดศรัทธากับมันไปแล้ว”

ผมที่พองฟูเหมือนลูกโป่งตอนนี้โดนเจาะลมจนฟีบเหี่ยว ก็พอเข้าใจ คนไม่มีความรักคงแต่งเพลงรักได้ยาก เพราะผมก็เป็นหนึ่งในคนประเภทนั้น เวลาได้โจทย์ความรักมาทีไร แทบจะปาดคอตัวเองตายเพราะคิดไม่ออกทุกที

“โฬมอาจยังไม่หมดศรัทธาก็ได้นะครับ แค่เจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะไปหน่อย” ผมพยายามปลอบ แต่ประโยคพวกนี้คงไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่

ให้ตาย ผมไม่มีวาทศิลป์ในการพูดเอาซะเลย

“กว่าจะหายก็ต้องใช้เวลา ผมอยู่คนเดียวชอบฟุ้งซ่านน่ะครับ”

แย่แน่ๆ ถ้าเขายังอกหักแล้วจะเขียนเพลงรักโรแมนติกให้ผมได้ยังไง!

“ออกไปหาเพื่อนบ่อยๆ น่าจะช่วยได้นะครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ พยายามคิดหาวิธีช่วยจะได้รันงานตัวเองต่อไป มีแอบแว๊บคิดด้วยว่าบางทีผมอาจจะพาเขาไปเข้าบาร์เกย์สักที่ เผื่อโฬมจะได้คนดามใจกลับมาสักคน ผมว่าคืนนี้ผมควรโทรปรึกษาเพื่อน...
แต่เพื่อนผมมันยังเอาตัวไม่รอดเลยนี่หว่า

“ผมไม่ค่อยมีเพื่อนครับ หลังจากเข้าวงการก็งานยุ่งจนไม่ได้ติดต่อใคร เพื่อนสนิทก็บินไปเรียนต่อลอนดอนแล้ว” โฬมบอก ส่วนผมขมวดคิ้วยุ่ง

ไม่ถึงชั่วโมงผมรู้รายละเอียดในชีวิตเขาเยอะขนาดนี้เลย ผมงงเล็กน้อยว่าตกลงเรามาปรึกษาเรื่องเพลงหรือมาปรึกษาปัญหาชีวิตกัน แต่ก็พอเข้าใจได้ครับ โฬมคงเหงาเพราะช่วงนี้เขาก็ดูตัวคนเดียว ผมตอนเข้าวงการแรกๆ รวมถึงช่วงนี้ก็ห่างหายจากเพื่อนเก่าไปเหมือนกัน เวลาว่างไม่ค่อยตรงกันก็แบบนี้

“ช่วงนี้เราทำเพลงด้วยกัน โฬมคงไม่ค่อยได้อยู่คนเดียวแล้วล่ะครับ” ผมปลอบใจด้วยถ้อยคำที่คิดว่าดีที่สุด แต่พอมองรอยยิ้มเขา กลับรู้สึกเหมือนก้าวเท้าพลาดแปลกๆ

“ถ้าอย่างนั้นผมจะได้มาที่นี่บ่อยๆ ใช่ไหมครับ”

“ก็ เอ่อ ถ้าผมว่าง โฬมว่าง...”

“สกายใจดีจังเลยนะครับ”

แล้วผมจะตอบอะไรได้ครับนอกจากยิ้ม

สรุปวันนี้ทั้งวันผมก็ไม่ได้อะไรคืบหน้านอกจากเนื้อหาเพลงคร่าวๆ กับรายละเอียดชีวิตของเพื่อนร่วมงาน โฬมทำหน้ารู้สึกผิดเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามกว่าๆ ผมได้แต่ส่ายหน้าไม่เป็นไร เขาเลยรีบกลับมาทำตัวจริงจังด้วยการขอกระดาษสมุดว่างๆ ของผมไปหนึ่งแผ่น

ร่างสูงก้มลงจรดปากกาเขียนอะไรยุกยิกๆ อยู่สักพัก ในขณะที่ผมเอื้อมหยิบกีตาร์ที่น่าจะเป็นหมันไปในวันนี้ขึ้นมาดีดเล่น ผมหวังพึ่งทำนองเพลงจากโฬมเพราะจากที่ฟังงานเพลงที่เขาแต่ง ทุกโน้ตดูจะติดหูคนทั่วไปโฬมถึงได้มีชื่อเสียง แต่เมื่อค่ายเทเขายังไงงานก็หดหายไปกว่าครึ่งถึงแม้จะดังแค่ไหน มีบริษัทไม่น้อยที่ยังไม่ยอมรับเพศที่สามในการมาพรีเซนต์สินค้า ผมพอเข้าใจถึงเรื่องภาพลักษณ์แบรนด์กับการตลาดอยู่บ้าง ไม่แปลกใจที่คนอื่นถึงบอกว่าโฬมอนาคตดับ

ทั้งๆ ที่รูปหล่อความสามารถดีแท้ๆ

แข่งบุญแข่งวาสนามันแข่งกันไม่ได้จริงๆ นั่นแหละครับ

ผมสังเกตคนที่กำลังตั้งใจเขียนบางอย่างลงกระดาษ มือก็ตีคอร์ดเพลงที่เล่นประจำๆ พลางร้องฮัมไปตามทำนอง ผมเคยฝึกกีตาร์เพราะคิดว่าสาวจะชอบ เพลงที่เล่นได้ก็มีแค่เพลงคอร์ดง่ายๆ อย่างเพลงหล่อเลย ของพลพลที่ผมกำลังเล่นอยู่

“อาจไม่หล่อพอ ให้เธอเหลียว แต่ว่าฉันคนเดียวรักใคร แล้วรักปักหัวใจ” ผมร้องด้วยเสียงที่เบาจนงึมงำในลำคอ ตาก็ละจากโฬมมามองคอร์ดเพราะยังเปลี่ยนไม่ค่อยคล่อง “ไม่ชอบไม่เป็นไร แต่ขอให้ฉันได้โฆษณาตัวเองสักหน่อย”

“อาจดูไม่ดีนัก แต่ร้องเพลงเพราะ” อยู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำร้องต่อขึ้นมา ผมชะงักมือจนเพลงหยุดไปทันที เงยหน้ามองเจ้าของน้ำเสียงทรงเสน่ห์ที่หันมายิ้มให้ผมแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่โฬมวางกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไว้แล้วขยับเข้ามาใกล้ “พร้อมทำให้เธอหัวเราะยิ้มได้ทั้งวัน”

“...”

“ดูแลก็ได้ เอาใจก็ได้” โฬมร้องต่อ ไม่สนใจว่าเสียงกีตาร์หยุดลงไปตั้งนานแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลมองจ้องเข้ามาในลูกตาผม ลักยิ้มบุ๋มลึกนั้นอยู่ใกล้เพียงหนึ่งฝ่ามือ ผมกลั้นหายใจอย่างลืมตัว ในขณะที่โฬมยังคงต่อเพลงที่ร้องค้างไว้จนจบท่อน “อาจไม่หล่อเท่าไร แต่หัวใจฉันหล่อเลย”

เพลงโคตรไม่เข้ากับเขาเลยครับ โฬมหล่อจะตายใครๆ ก็รู้

แล้วทำไมผมต้องเขินด้วยเนี่ย!




_________________
Talk:
มาช้าอีกแล้วววว แง้
ไหนว่าจะพยายามมาให้ได้สองวันไง นังคนขี้ตู่!!
 :z3: :z10: :sad4:

มาแล้วค่า ฮืออ คิดถึงคนอ่าน
ขอบคุณคอมเม้น ยอดวิวนะคะ
ฝ่านเจ้าสกายไว้ในอ้อมใจ

โฬมขุดหลมดักใหญ่มากจริงๆ ค่ะ  :katai2-1:
นังพี่มันร้ายกาจจจจจจจจจจจจ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 5 [01-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 01-10-2018 17:48:31
รอติดตามตอนหน้าจ้าาาา
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 5 [01-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-10-2018 19:55:03
 :L2: :pig4:

สกายเป็นคนที่คิดบวกและแคร์คนอื่น
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 5 [01-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 01-10-2018 20:58:29
ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆหยอด
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 5 [01-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-10-2018 06:18:27
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 5 [01-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-10-2018 23:31:15
เขินโฬมมากเลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 5 [01-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 03-10-2018 03:07:16

ช๊อบชอบ    :impress3:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 03-10-2018 15:10:27
บทที่ 6
   

กระดาษแผ่นนั้นที่โฬมเขียนยิกๆ อยู่นานคือลำดับการเล่าเรื่องในเพลง มีประโยคคำร้องบางท่อน แต่ทุกอย่างก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ผมได้ช่วยเขานั่งคิดเนื้อหากับออกความคิดเห็นบางอย่าง พวกเราหมกตัวอยู่ในสตูฯ ส่วนตัวจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนหนึ่งทุ่มกว่าๆ กระเพาะผมร้องโครกครากเสียงดัง โฬมเลยยอมสอดกระดาษแผ่นนั้นเก็บไว้ในสมุดจดแล้วชวนผมไปหาอะไรกิน

“อยากกินอะไรครับ” โฬมถามขัดเสียงดนตรีเบาๆ ตอนนี้พวกเราอยู่บนรถคันสวยของโฬมอีกครั้ง ผมเถือกไถตัวไปกับเบาะกว้างๆ ขณะปล่อยให้ลมแอร์โชยปะทะใบหน้าและลำคอ

“พิซซ่า” ผมพึมพา เพราะเพิ่งเลื่อนทวิตเตอร์แล้วเจอโปรซื้อ 1 แถม 1 เมื่อตอนเย็น

“อะไรนะครับ” คนขับรถหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าถนนเส้นที่จะไปคอนโดของผม

“อะไรก็ได้ครับ” ผมตอบแบบนั้นเพราะรู้ว่าถ้าอยากกินพิซซ่าจริงๆ มีแค่สองทางเลือกคือโทรสั่งกับเข้าไปกินในห้าง ไหนๆ โฬมก็เลี้ยวรถมาคนละทางกับศูนย์การค้าที่ใกล้ที่สุดแล้ว ก็หากินแถวๆ คอนโดผมนี่แหละง่ายดี

โฬมพยักหน้ารับ แต่เขากลับเร่งเครื่องยนต์ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ผมมองวิวทางหน้าต่างเห็นผ่านร้านอาหารข้างทางไปตั้งหลายร้าน ขมวดคิ้วงุนงงว่าตกลงโฬมจะพาผมไปไหน เขาไม่น่ารู้จักที่ทางแถวนี้นะ

“ไปไหนครับ”

“ไปทานข้าวเย็นไงครับ” รอยยิ้มตัดบทโผล่มาอีกแล้ว

ผมเลิกสนใจจะคาดคั้น ยกมือขี้นกอดอกทอดสายตามองวิวเลือนลางข้างทางแทน ตึกสูงๆ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของผมปรากฎอยู่ตรงหน้า ห่างออกไปเพียงห้าร้อยเมตร ผมขมวดคิ้ว เลยจากนี้ไปก็มีแค่เซเว่นกับถนนที่สามารถลัดไปขึ้นทางด่วนได้ ไม่มีทางมีร้านอาหารอยู่แน่ๆ

“โฬมครับ”

“สกายโทรสั่งเลยนะครับ เดี๋ยวผมไปแลกบัตร”

“โทรสั่ง? สั่งอะไรครับ”

“พิซซ่าไงครับ” โฬมหันมายิ้มให้ ตัวรถเก๋งเลี้ยวเข้ารั้วคอนโดของผมทันทีหลังจบประโยค ผมมองคนตัวสูงกวาดสายตาหาที่จอดด้วยแววตาตกใจระคนสงสัย

พิซซ่าเนี่ยนะ

นี่หมายความว่าเขาจะขึ้นไปกินพิซซ่าบนห้องของผม?

บางทีโฬมก็สนิทกับคนอื่นเร็วเกินไป ผมที่ค่อนข้างหวงพื้นที่ส่วนตัวเริ่มออกอาการกระสับกระส่าย ไม่กล้าบอกเจ้าตัวไปตรงๆ ว่าผมไม่อยากให้เขาขึ้นห้อง เราเพิ่งรู้จักกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ขนาดเพื่อนสนิทของผม ผมยังให้ขึ้นห้องเฉพาะเวลามีเรื่องสำคัญๆ เลยครับ

“กินอย่างอื่นไหมครับ ข้างหน้าปากซอยมีร้านข้าวมันไก่อร่อยๆ นะครับ” ผมเสนอตัวเลือกที่ดีกว่า ถามว่าอยากกินพิซซ่าไหม อยากกินสิครับ ครั้งสุดท้ายที่ได้กินคือตอนที่พี่ยุทธเลี้ยงเพราะยอดวิวเพลงพุ่งไปถึงห้าล้านวิว

“สกายอยากกินพิซซ่านี่ครับ” โฬมที่จอดรถเสร็จและกำลังจะดับเครื่องหันมามองด้วยท่าทางสงสัย เขาคงได้ยินตอนที่ผมพูดเลยเอามาคิดจริงจัง

“ผม... ไม่ค่อยชอบให้ใครขึ้นห้อง” ผมพึมพำเบาๆ แต่คิดว่าโฬมน่าจะได้ยินเพราะเขาปิดเครื่องเสียงไปแล้ว ห้องโดยสารกว้างขวางนี้จึงมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังอยู่เพียงอย่างเดียว

“อ๋อ” โฬมพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไปทานข้าวมันไก่ก็ได้ครับ”

ผู้ชายที่นั่งข้างๆ ได้คะแนนในใจผมไปอีกสิบส่วน

เขายอมรับฟังอย่างง่ายดาย ไม่มีเกี่ยงงอนหรือขอคำอธิบายเลยสักนิด โฬมแค่ถอยรถออกจากซอง ขับไปยังทางที่ผ่านมาเพื่อหาร้านข้าวมันไก่ พร้อมด้วยรอยยิ้มใจดีประดับริมฝีปาก

ผมละสายตาจากเขี้ยวขาวที่โผล่พ้นขอบปาก ใช้นิ้วชี้ดันแว่นทรงกลมของตัวเองแก้เก้อ สันจมูกเริ่มคันเล็กๆ หลังจากสวมสิ่งนี้มาทั้งวัน ผมยังไม่ถอดมันเพราะไม่มีที่เก็บ จะเอามาเกี่ยวคอก็เคยทำแว่นกันแดดล่วงแล้วเหยียบแตกคาเท้าไปแล้วครั้งหนึ่ง

“ร้านนี้ใช่ไหมครับ” เสียงนุ่มเอ่ยถามขึ้นเมื่อรถยนต์ชะลอเข้าจอดเลียบฟุตปาธ ผมพยักหน้า เอื้อมมือไปปลดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็รั้งรอให้อีกคนดับเครื่องและปลดเซฟตี้เบลท์ก่อนค่อยเปิดประตูลงจากรถ

ร้านข้าวมันไก่มีคนนั่งกันเกือบเต็มร้าน โชคดีที่ยังมีโต๊ะว่างอยู่ผมเลยเดินนำโฬมเข้าไป ในตอนที่พวกเราเดินผ่านก็มีคนไม่น้อยที่มองมา เกรงว่าเขาจะสนใจโฬมมากกว่าผม ด้วยหน้าตา ออร่า และรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ไม่เคยหายไปจากริมฝีปาก ผมคลี่ยิ้มภาคภูมิใจหน่อยๆ ที่ได้มานั่งกินข้าวกับคนหล่อแถมยังเป็นนักร้องชื่อดัง

ถ้าใครเคยมีเพื่อนในกลุ่มเป็นดาวเดือนคณะ อาจจะพอเข้าใจความรู้พราวด์นี้ หรือไม่ก็มีแค่ผมคนเดียวนี่แหละที่รู้สึกดีเวลาได้เดินข้างคนหน้าตาดี

“สกายทานอะไรครับ”

“ผมเอาไก่ผสม” ผมบอกคนที่หยิบสมุดกับปากกาขึ้นมาจดรายการอาหาร ไก่ผสมก็คือไก่ต้มกับไก่ทอดรวมอยู่ในจานเดียวกัน แอบเห็นแว้บๆ ว่าโฬมลอกเมนูของผมแต่เติมคำว่าพิเศษต่อท้ายเข้าไปด้วย

ก็ดูตัวไม่ใหญ่ ทำไมกินจุจัง

“สกายครับ”

“อ๊ะ ครับ!” ผมสะดุ้ง เพราะเมื่อกี้กำลังใช้สายตาสำรวจเรือนร่างเพื่อนร่วมงานอย่างลืมตัว อีกแล้วครับ ผมเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตอนแรกก็จ้องหน้า ตอนนี้พัฒนามาดูร่างกายเขาเสียแล้ว

“จ้องแบบนั้นผมเขินนะครับ”

“ขะ ขอโทษครับ แหะๆ” ผมเกาแก้มเกาสันดั้งอย่างเขินๆ เลื่อนสายตาหลบไปมองพื้นทันที เผลอทำเรื่องน่าอายตลอดเลย แต่คนอย่างโฬมก็ดูดีจนน่ามองจริงๆ นั่นแหละ

“ไม่ถอดแว่นเหรอครับ เห็นสกายเกาตลอดเลย”

“รอกลับไปถอดที่ห้องครับ” ผมตอบ แต่ก็ยังไม่หยุดถูที่จมูกสักที พอดีมันเป็นแว่นแฟชั่น ผมซื้อมาในราคาหลักร้อย โครงตรงจมูกเลยไม่ได้ทำออกมารองรับการใส่นานๆ มันออกจะแหลมไปหน่อยทำให้เวลาเสียดสีกับผิว เลยเกิดอาการระคายเคือง

“แดงหมดแล้วนะครับ” นิ้วยาวเลื่อนมาดันกรอบแว่นของผมให้ลอยขึ้น ดวงตาคมจ้องมายังสั้นจมูกของผมก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้ถูเบาๆ ตามรอยแดง “ถอดเถอะครับ เดี๋ยวมันถลอกนะ”

“เอ่อ...” ผมนิ่งไปอึดใจ เพราะหน้าของโฬมโน้มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้มาก แต่มันก็ใกล้พอให้ผมเห็นผิวเนียนเรียบบริเวณช่วงแก้มกับสิวเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากสองเม็ด

“ขออนุญาตนะครับ” น้ำเสียงของเขาทั้งสุภาพทั้งนุ่มนวล ผมจ้องดวงตาสีน้ำตาลที่หลุบลงมองด้านล่าง สัมผัสได้ถึงขาแว่นตาค่อยๆ เลื่อนหลุดจากใบหู ผมกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าลมหายใจจะมีกลิ่นแปลกๆ ผมยังไม่ได้เคี้ยวหมากฝรั่งเลย มันต้องไม่ดีแน่ๆ ถ้าโฬมจะได้กลิ่นอะไรไม่ดี

กว่าผมจะได้หายใจอีกครั้งก็จนเกือบขาดอากาศตาย โฬมขยับไปนั่งในท่าเดิมพลางยื่นแว่นตาไร้เลนส์มาให้ ผมรับมาแขวนไว้ที่คอเสื้อก่อนจะเบนสายตาหนี รู้สึกร้อนที่แก้มแปลกๆ เพราะเกิดมาเพิ่งเคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้

โฬมสนิทกับคนง่ายจริงๆ นั่นแหละ

เห็นเขาวางตัวแบบนี้กับผม ผมก็คิดว่าเราคงทำงานร่วมกันต่อไปได้ด้วยดี จากที่เคยกังวลว่าจะสนิทกันได้ไหมก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าสังคมไม่เก่ง ให้ปฏิสัมพันธ์กับคนก็ทำได้แต่ต้องใช้เวลานานกว่าคนอย่างโฬมพอสมควร ไม่มีทางที่ผมจะอยู่กับใครเพียงวันเดียวแล้วจะมีท่าทีไร้ความอึดอัดแบบนี้

รอไม่ถึงสิบนาทีอาหารก็มีเสิร์ฟ ผมหยิบช้อนส้อมในกล่องส่งให้โฬมคู่หนึ่ง ให้ตัวเองอีกคู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นรับไปพร้อมพงกหัวขอบคุณ พวกเราเงียบลงเมื่อต่างคนต่างตักอาหารตรงหน้าเข้าปาก ดูก็รู้ว่าไม่มีแต่ผมที่หิว ผมแอบลอบมองท่ากินข้าวของคนหน้าหล่อตรงหน้าเงียบๆ โฬมเป็นคนกินข้าวแล้วดูอร่อยมากครับ เขาไม่ละเลียดแต่ก็ไม่มูมมาม อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าสินค้าไหนที่เขาควรไปเป็นพรีเซนเตอร์ ก็คงเป็นพวกอาหารของกินทั้งหลายนั่นแหละ แค่ดูเขากินก็หิวตามแล้ว

“พรุ่งนี้สกายจะเข้าสตูดิโอไหมครับ” อยู่ๆ โฬมก็ถามขึ้นมา ผมที่กำลังเคี้ยวไก่ต้มอยู่เต็มแก้มถึงต้องรีบกลืนมันลงคออย่างไว อาหารก้อนโตกว่าจะผ่านหลอดอาหารลงไปได้เล่นเอาสำลักไปหลายที โฬมตกใจรีบคว้าแก้วมายื่นให้ผม แต่เขาคงตกใจมากจริงๆ เพราะมันเป็นแก้วของโฬม ในขณะที่แก้วผมวางอยู่ใกล้ๆ มือขวาแค่นิดเดียวเอง

“ดื่มน้ำก่อนครับ” โฬมบอกพลางจับหลอดมาจ่อที่ปาก ผมทำอะไรไม่ได้เพราะยังไอแค่กๆ ไม่เลิกเลยต้องอ้าปากงับหลอดสีเขียว ความชุ่มชื้นจากน้ำช่วยให้ผมรู้สึกดีกว่าเดิม อากาสำลักค่อยๆ เบาลงจนผมไม่ไออีกแล้ว มีแค่ดวงตาแดงก่ำกับรอยหยดน้ำตาที่ไหลผ่านช่วงแก้มผมลงไปถึงคาง

“ขอบ ขอบคุณครับ” ผมยกมือปาดน้ำตาไปด้วยตอนพูด สีหน้าของโฬมเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมเผลอบวกแต้มในใจให้เขาไปอีกแล้ว

ให้ตาย โฬมสมควรเป็นที่รักจริงๆ นั่นแหละ

“เมื่อกี้โฬมถามว่าไงนะครับ”

“พรุ่งนี้สกายจะเข้าสตูดิโอไหมครับ ผมคันไม้คันมือนิดหน่อย”

พอได้ยินแบบนั้น ผมนี่ฉีกยิ้มกว้างเลย

เห็นเพื่อนร่วมงานจริงจัง แรงผลักดันในกายของผมก็ยิ่งพุ่งพล่าน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูตารางงาน โชคดีที่ช่วงเช้าจนถึงเย็นผมไม่มีอะไร แต่ทุ่มครึ่งเป็นต้นไปผมต้องไปให้สัมภาษณ์รายการวิทยุ

“ผมว่างถึงหกโมงเย็นเลยครับ”

“ถ้าอย่างนั้น สกายจะให้ผมมารับกี่โมงดีครับ”

“เอ๋” ผมเลิกคิ้วสงสัย เขาไม่น่าต้องมารับผมแล้วนี่น่า วันนี้มันเหตุฉุกเฉินเฉยๆ โฬมอาจจะลืมไปว่าผมก็มีรถยนต์ส่วนตัว “เจอกันที่สตูฯ ตอนเก้าโมงก็ได้ครับ”

“ไม่ให้ผมมารับเหรอครับ”

“เดี๋ยวผมเอารถไปครับ ตอนหัวค่ำมีงานด้วย”

“น่าเสียดายจัง” โฬมพูดเสียงเบา แต่ผมอ่านปากเขาออก คิ้วทั้งสองเลยขยับเข้ามาผูกโบว์เป็นปมใหญ่ที่กลางหน้าผาก บางทีอีกฝ่ายก็ชอบพูดจาอะไรที่ผมฟังไม่ค่อยเข้าใจ

ศิลปินมักมีอารมณ์ซับซ้อนแบบนี้ ผมเลยปล่อยเบลอไปเฉยๆ

เมื่อเห็นว่าทั้งผมและโฬมกวาดอาหารในจานจนเกลี้ยง ผมก็ยกมือเรียกพนักงานมาเก็บเงิน กับข้าวมื้อนี้รวมทั้งหมดเก้าสิบบาท ผมเลยควักแบงค์ร้อยจ่ายถือเป็นการเลี้ยงข้าวในโอกาสทำงานร่วมกันครั้งแรก โฬมพยายามจะยัดเงินคืนผมให้ได้แต่ผมเมินมันแล้วเดินตัวปลิวมารอเขาที่ประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับ

ระยะทางจากร้านข้าวไปถึงคอนโดผมไม่ไกลมาก เรียกว่าแอร์ยังไม่ทันเย็นผมก็ต้องลงจากรถแล้ว คราวนี้ผมไม่ให้โฬมขับเข้าไปด้านในเพราะถอยออกยาก เลยขอให้เขาปล่อยผมลงที่ด้านนอกรั้วคอนโด ผมสำรวจของติดตัวอีกครั้งก่อนจะหันไปบอกลาเจ้าของรถที่ยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มสดใส

“เจอกันพรุ่งนี้ครับ ขอบคุณที่มาส่ง”

“ไว้พรุ่งนี้สั่งพิซซ่ามาทานกันนะครับ”

“ได้ครับ” ผมยิ้ม รู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อมีคนมาใส่ใจความต้องการของเรา อาจจะแค่เรื่องเล็กๆ แต่ผมโคตรชอบเลย แต้มของโฬมเพิ่มขึ้นรัวๆ จนผมก็งงว่าคนอะไรจะดีได้ขนาดนี้ แล้วทำไมคนดีๆ แบบเขาถึงได้โดนแฟนเก่าหักหลังออกมาแฉแบบนั้น

“สกายครับ” ผมที่กำลังจะผลักประตูรถปิดต้องชะงักการกระทำเอาไว้ก่อน เพราะอยู่ๆ คนที่นั่งหลังพวงมาลัยก็ส่งเสียงเรียก

“ครับ?”

“ฝันดีนะครับ” ผมเห็นโฬมยิ้มกว้าง ลักยิ้มกับฟันเขี้ยวโผล่ออกมาในความมืด ผมหัวเราะเพราะนึกว่าเขามีอะไรสำคัญ แต่พอเป็นเรื่องนี้ผมก็ได้แต่ส่งยิ้มกลับไปบ้าง

“ฝันดีเหมือนกันครับ” สิ้นคำผมก็ดันประตูรถให้ปิดลง

ผมยืนรอส่งจนป้ายทะเบียนสีขาวกับไฟท้ายหายลับไปจากสายตาจึงค่อยสาวเท้าเดินเข้าคอนโดไปอย่างคนอารมณ์ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกสดชื้นกระปรี้กระเปร่าแบบนี้ มันแฮปปี้จนผมต้องฮัมเพลงไปตลอดทาง







วันนี้ผมตื่นเช้าเพราะปวดฉี่แล้วหลับต่อไม่ลง นาฬิกาบอกว่ามันเพิ่งหกโมงสิบสามนาที ผมบิดขี้เกียจและกลิ้งไปมาบนเตียงด้วยความเกียจคร้าน กว่าจะถึงเวลานัดก็อีกหลายชั่วโมง ผมอาบน้ำตอนแปดโมงกว่าก็ยังทันเพราะสตูดิโออยู่ใกล้แค่นี้เอง เดินทางสิบนาทีก็ไปถึงแล้ว

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากอดเล่น จากที่คุยกันเมื่อวานกับโฬมก็ทำเอาผมเกิดสงสัยเรื่องข่าวของเขา เลยเลือกที่จะกดเข้ากูเกิ้ลแล้วเสิร์ชหาเนื้อหาของข่าวจากของหลายๆ สำนัก


หลุด! ภาพคู่ลับๆ ของนักร้อง ฬ ชื่อดังกับแฟนหนุ่ม


ผมกดคลิ๊กเข้าไปในลิงค์เว็บนี้ ภายในเขียนข่าวว่าได้ภาพมาจากวงใน ไม่ได้พูดชื่อโฬมตรงๆ แต่ใช้ตัวอักษร ฬ แทน ซึ่งนักร้องในวงการนี้จะมีใครอีกที่มีชื่อเล่นนำหน้าด้วย ฬ

รูปภาพประกอบกระทู้มีทั้งภาพถ่ายคู่อย่างคนรักทั่วไป สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำคาดทับลงบนดวงตาของผู้ชายทั้งสองคน แต่ลักยิ้มด้านขวาและเขี้ยวสวยสองข้างก็สามารถระบุได้ทันทีว่าเป็นใคร ผมไถนิ้วเลื่อนดูรูปภาพถัดไป มีทั้งรูปตอนที่โฬมหลับโดยไม่สวมเสื้อ รูปคู่ในสถานที่ต่างๆ ภาพแคปหน้าจอบทสนทนาหวานชื้น และภาพสุดท้ายของโฬมกดสันจมูกโด่งสวยของตัวเองลงบนแก้มผู้ชายอีกคน

ผมกดปิดเว็บนั้นทันทีหลังจากเห็นว่ามันไม่มีอะไร มีหัวข้ออื่นที่ดูแรงกว่านี้โชว์ขึ้นมา เป็นการแคปชั่นโพสต์ๆ หนึ่งจากเฟสบุ๊ค ซึ่งเขียนบรรยายใต้ภาพว่าเจ้าของโพสต์คืออดีตคนรักของโฬม


ผมไม่เคยคิดว่าจะออกมาพิมพ์อะไรแบบนี้ แต่ผมรู้สึกไม่พอใจเอามากๆ เมื่อเห็น ‘แฟนเก่า’ ของผมเองเอาแต่โกหกคนอื่นว่าเป็นผู้ชายแท้ๆ และทุกคนเอาแต่ชื่นชมคนโกหกคนนี้เหลือเกิน

ผมคบกับ ฬ มาได้หนึ่งปีสองเดือน และผมก็รู้มาว่าก่อนที่เขาจะคบกับผม เขาก็มีแฟนผู้ชายมาแล้วหนึ่งคน นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเกย์มาตั้งแต่แรก

การที่เขาโกหกอย่างหน้าตายได้ว่าเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ นั่นก็แสดงว่าเขาสามารถโกหกเรื่องอื่นๆ ได้อีกเช่นกัน ผมจะไม่เอาเรื่องเก่าของเรามาขยาย ผมไม่ได้อยากทำร้ายหรือทำลายเขาเลย แต่เพราะผมสงสารแฟนคลับทุกคนที่กำลังถูกเขาหลอก ความรักและไว้ใจของแฟนคลับนั้นมีค่าเกินกว่าจะเอาไปมอบให้กับผู้ชายคนนี้

ผมได้รับบทเรียนราคาแพงจากผู้ชายที่กำลังมีภาพลักษณ์ดีงาม มนุษย์เราเรียนรู้ที่จะสวมหน้ากาก รอยยิ้มของเขาอาจทำให้ทุกคนเชื่อ รวมถึงผมที่เคยเชื่อมันมาก่อน  พวกคุณคิดเอาเองนะครับว่าจะเชื่อใจผู้ชายคนนี้ต่อไปไหม ผู้ชายที่ไม่แม้แต่เคารพความชอบของตัวเอง

ผมขอย้ำอีกครั้งว่าจุดประสงค์ของผมแค่ต้องการบอกความจริงแก่ทุกคนเท่านั้น



ผมเม้มปากเมื่ออ่านจบ มองรูปที่เจ้าของโพสต์แนบมาด้วยก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ เว็บไซต์นี้ขยี้หัวข้อฉาวนี้อีกครั้งด้วยการแปะความคิดเห็นของชาวเน็ตมาด้วย

มีสามส่วนสี่ที่ด่าโฬมเสียๆ หายๆ และเข้าไปให้กำลังใจแฟนเก่า ทุกคนตีความถ้อยคำกำกวนจากโพสต์นั้นว่าแฟนเก่าของเขาเป็นผู้ถูกกระทำเรื่องเลวร้ายมา เจ้าของเฟสก็มักให้คำตอบกำกวนออกแนวให้คนอ่านคิดไปเองว่าใช่เช่นกันเมื่อมีคนเข้าไปถามเรื่องราวระหว่างโฬมกับคนๆ นั้น

มีคลิปสัมภาษณ์ที่โฬมยอมรับว่าเป็นเกย์จริง แต่ปฏิเสธเรื่องอื่นๆ รวมอยู่ด้วย ผมเห็นสีหน้าเขาในคลิปนั้นแล้วไม่สามารถทนดูต่อได้จนจบ

คนที่มีรอยยิ้มสว่างสไวคนนั้น ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะดูน่าสงสารได้ขนาดนี้เวลาน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า

ผมไม่ได้อ่านรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพราะผมไม่อยากให้สายตาของผมตอนที่ไปเจอเขาในอีกไม่กี่ชั่วโมงเต็มไปด้วยความสงสาร เรื่องข่าวก็ผ่านมาได้หลายเดือน แม้ยังมีคนขุดขึ้นมาด่าอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่อยากเป็นคนสะกิดเรื่องเลวร้ายให้โฬมหวนไปนึกถึงมันอีก

มีอีกหลายเว็บที่รวมรูปลับๆ ของโฬมกับแฟนเก่า ผมคิดว่าคงเป็นเจ้าของรูปนั่นแหละที่ส่งไปให้สำนักข่าวต่างๆ เรื่องฉาวๆ คนพวกนี้ยิ่งชอบขยี้ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีอะไรร้ายแรง แต่พอทุกสื่อพูดถึง พิมพ์หัวข้อข่าวให้รุนแรงเข้าไว้ ชาวเน็ตก็เอนเอียงความคิดตามไปได้อย่างง่ายๆ

ช่วงนั้นผมกำลังยุ่งกับการทำเพลงเลยไม่เคยเห็นข่าวพวกนี้เลย เคยได้ยินแว่วๆ ว่ามีนักร้องประกาศตัวเป็นเกย์แต่ไม่ได้สนใจ ผมมันพวกไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลนอกจากเข้าไปอัพเดตแชนแนลยูทูปของตัวเองกับไถทวิตตามข่าวเพลงฮิบฮอบจากต่างประเทศ น่าจะถือว่าเป็นส่วนดีของตัวเองเพราะมันทำให้ผมไม่ค่อยเชื่อข่าวสารในเน็ตมากนัก

อย่างเรื่องของโฬม ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขาเป็นอย่างที่แฟนเก่าคนนั้นพยายามโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อ คนเรามีด้านแย่ๆ ก็จริง แต่ตอนนี้โฬมดีกับผมเอามากๆ ดังนั้นผมไม่สนว่าใครจะด่าว่าเขายังไง เพราะเขาไม่ได้ทำร้ายผม มันก็แค่นั้นเอง

ผมกดปิดทุกเว็บเกี่ยวกับข่าวของโฬมทิ้งไป มองเมินพวกถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นเสีย อ่านพวกนี้เยอะๆ ผมว่ามันรกสมองจะตาย ผมเลือกที่จะกดเข้ายูทูปหาเพลงฮิปฮอปฟังสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงคลายเครียดจากการอ่านข่าวแย่ๆ เมื่อกี้ด้วย

ดนตรีโยกๆ ดังลอดลำโพงบลูทูธที่ผมวางแปะไว้ข้างหัวเตียง ผมบิดขี้เกียจแล้วม้วนตัวให้ผ้านวมผืนใหญ่พันแน่นเป็นดักแด้ เครื่องปรับอากาศถูกตั้งไว้ด้วยอุณหภูมิต่ำ เวลาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาถึงรู้สึกสบายสุดๆ

ผมซุกหน้าลงใต้ผ้าจนโผล่มาแค่หน้าผาก แต่พอจะงีบหลับจริงๆ เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นขัดจังหวะก่อน ผมย่นคิ้วแต่ก็ยอมสอดมือออกมากดจิ้มปุ่มรับสาย เสียงปลายสายเลยลอดออกมาจากลำโพงที่ผมยังต่อเอาไว้อยู่

[สกายครับ]

“ครับ” ผมจำเสียงได้ว่าเป็นโฬม เขาโทรหาผมบ่อยกว่าเพื่อนที่มีเบอร์ผมมาแล้วชาติเศษเสียอีก

[ผมเลื่อนนัดได้ไหมครับ เอาเป็นสักบ่ายๆ]

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

[คือพอดีมีเรื่องด่วนนิดหน่อย... คุณโฬมเข้าห้องตรวจที่ 2 ค่ะ]

เสียงที่ดังลอดเข้ามาตามสาย ไม่ต้องให้เดามากก็พอรู้ว่าคือโรงพยาบาล ผมสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง ตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความตกใจปนเป็นห่วง

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ!”

______________________
Talk:
ช่วงนี้มีข่าวดราม่าดาราหลายคนเลยค่ะ อยากรณรงค์ให้ทุกคนใช้สติเวลาจะแสดงความคิดเห็นมากๆ เลย
การด่ากันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะคะ แง้  :hao5:
พี่โฬมของเราจริงๆ โดนหนักมากกับเรื่อง bully
แต่เพราะเจ้าสกายมันเป็นเด็กที่ 'รู้แค่เนื้อพอ น้ำน้องไม่อยากสนใจ'
เลยได้เนื้อหาข่าวออกมาคร่าวๆ แบบนี้

ผลกระทบจากการที่คนๆ หนึ่งโดนด่า แม้มันจะเรื่องเล็กๆ แต่คนถูกกระทำมักมีแผลใหญ่เสมอนะ
ขนาดเรา เมื่อก่อนโดนคอมเม้นต์ตินิยายว่าไม่ดี ยังเฟลจนแทบเลิกเขียนเลย  :o12:
แต่ตอนนี้ติชมได้นะคะ เราพร้อมรับฟังความเห็นทุกคนเลยค่า!!

เราจะกลับมาแก้ไขคำผิดในทุกๆ ตอน น่าจะอาทิตย์หน้า
ใครเจอคำไหนผิด แปะบอกได้เลยน้า

ขอบคุณทุกคนที่สนใจเข้ามาอ่านเรื่องนี้
ขอบคุณยอดวิว ยอดคอมเม้น ทุกๆ คนเลยค่ะ รักคนอ่านจัง <3

ฝากเจ้าสกายไว้ในอ้อมใจเหมือนเดิม
เห็นคนใหม่ๆ แวะเวียนเข้ามา ก็ใจฟองฟูไปหมดแล้ว รักกกก  :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-10-2018 21:41:20
 :L2: :L1: :pig4:

เราไม่ควรตัดสินคนอื่นจากแค่พื้นฐานของเราจริงๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 03-10-2018 21:48:53
 o13 ชอบมากค่ะ ชอบแนวคิดของ sky ชอบมากค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-10-2018 00:02:22
โใมเป็นอะไรถึงต้องไปโรงพยาบาลล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 04-10-2018 02:59:01
มารอ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 04-10-2018 06:30:36
รอจ้าาา
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 04-10-2018 08:04:38
เป็นกำลังใจให้ค่ะ อ่านเพลินมาก และน่าอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-10-2018 17:31:05
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 6 [03-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-10-2018 16:29:22
สกายเอ้ยยย 555555555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 05-10-2018 17:04:18
บทที่ 7


ผมถ่อสังขารมาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ห่างจากคอนโดผมแทบคนละโยชน์ด้วยความตกใจ เมื่อโฬมพูดแค่สั้นๆ ว่าเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยก่อนจะตัดสายไป ถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่โรงพยาบาลนี้ ก็ตอนที่คุยกัน เสียงประชาสัมพันธ์ตามสายดังลอดเข้ามาพอดี ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำและเหยียบคันเร่งตรงดิ่งมาที่นี่ทันที

คุณคิดเอาว่าผมรีบขนาดไหน ปกติการแต่งตัวง่ายๆ ของผมก็ยังเยอะกว่าชาวบ้าน แต่วันนี้ผมแค่ยัดตัวเข้ากางเกงวอร์มกับเสื้อกล้ามสีเทา ผมก็ไม่ได้เซ็ทอะไรนอกจากใช้นิ้วทั้งสิบสางพอให้เป็นทรง สภาพแบบที่ผมไม่มีวันออกมาจากบ้านแน่ๆ ถ้าไม่ใช่ช่วงนรกแตกอย่างมีสอบหรืองานลนก้น

ครับ ผมรีบมากๆ ความตกใจทำให้ผมไม่มีสติ อุบัติเหตุเล็กน้อยอย่างไรก็น่าเป็นห่วง แต่ผมไม่ได้ทำใจมาก่อนว่าจะมาเจอโฬมนั่งรถเข็นออกมาจากห้องตรวจ

ร่างสูงในชุดลำลองธรรมดากำลังยิ้มแห้งๆ ส่งมาให้ผม ในขณะที่พยาบาลสาวกำลังเข็นรถให้ โฬมตกใจในตอนแรกที่เขาเห็นว่าผมมายืนหอบแฮกๆ อยู่ตรงที่นั่งรอหน้าเคาท์เตอร์จ่ายเงิน แต่สักพักก็เปลี่ยนมาเป็นรู้สึกผิด โฬมบอกให้พยาบาลพาเข้ามาหาผมและขอเวลาส่วนตัว พยาบาลคนนั้นก็ยิ้มรับและแยกไปทำงานต่อ

“สกายมาได้ยังไงครับ”

ผมเงียบ มองสำรวจผ้าพันแผลที่ล้อมรอบน่องขาด้านขวาด้วยความสงสัย คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ในขณะที่โฬมก็ยังพยายามส่งยิ้มขอโทษขอโพยมาเรื่อยๆ

“เป็นอะไรครับ?” ผมไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะถามสิ่งที่อยู่ภายใน

ผมว่าถ้าอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ คงไม่ถึงขั้นพันผ้ายาวขนาดนี้ แถมตามตัวก็ไม่มีรอยถลอก รอยเปื้อนของดิน ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าโฬมไปโดนอะไรมา ตัวของเขาดูสะอาด แต่ก็ดูอาการหนักเพราะต้องนั่งรถเข็นออกมาแบบนี้

“พอดีผมโดนหมากัด”

“ครับ?” ผมเลิกคิ้ว

หมากัด?

ผมไม่ได้เตรียมใจมากับคำตอบนี้ เลยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยกึ่งๆ ตกใจ

“หมาจรจัดแถวบ้านน่ะครับ ปกติก็สนิทกันดี ไม่รู้วันนี้นึกโกรธอะไร” โฬมพูดติดตลก แต่สีหน้าเขายังรู้สึกผิดอยู่ คงเพราะดูจากสภาพของผมแล้วก็น่าจะรู้ว่าผมรีบมามากแค่ไหน ด้วยความที่ไม่ค่อยออกกำลังกายตอนนี้ก็เลยยังหอบไม่เลิก

“กัดลึกเหรอครับ” มองมองสภาพแผลที่ถูกปิดซะมิด รู้สึกเสียววาบๆ ที่น่องขาของตัวเองบ้าง ผมไม่ถูกกับหมาเท่าไหร่ ตอนเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัด เคยปั่นจักรยานไปบ้านเพื่อนแล้วโดนหมาสี่ห้าตัวไล่กวด ผมนี่ทิ้งจักรยานแล้ววิ่งลงทุ่งนาเลยครับตอนนั้น คิดแล้วขนทั้งล่างก็พากันลุกชันด้วยความหวาดกลัว

“ไม่ลึกแต่หลายแผลครับ ผมไม่กล้าตีด้วยเลยโดนเยอะ” โฬมบอก

บางทีเขาก็ใจดีไป เขี้ยวหมาฝังอยู่บนขาแท้ๆ ยังไม่ตีมันเลย

“แล้วสกายมาที่นี่ได้ยังไงครับ” โฬมเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อเห็นผมขมวดคิ้วยุ่งเหยิงขึ้นกว่าเก่า คือผมหงุดหงิดนิดหน่อยครับ เพราะเพิ่งเคยเจอคนที่ปล่อยให้ตัวเองเจ็บตัวได้น่าหงุดหงิดแบบนี้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของโฬมเองผมจึงค่อยๆ คลายปมบนหน้าผากแล้วระบายรอยยิ้มเล็กๆ ส่งไปให้

“ผมเป็นห่วง เลยรีบบึ่งมาที่นี่”

“อ๋อ แล้วสกา-”

“คุณลภณค่ะ” ก่อนที่โฬมจะพูดจบเสียงปราศเรียกจากห้องจ่ายเงินก็ดังลอดออกลำโพงมา ผมพอจะจำได้ว่านั่นคือชื่อจริงของผู้ชายตรงหน้า เลยแบมือขอบิลค่ายาจากโฬม สื่อเป็นนัยว่าเดี๋ยวไปจัดการให้

โฬมเหมือนเกรงใจแต่ก็ยอมยื่นกระดาษแผ่นเล็กในมือมาให้พร้อมกับกระเป๋าเงิน ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยตาลุกวาว กระเป๋าหนังราคาแพงแบรด์ดังระดับโลก รวมถึงลายสลักชื่อ Rome ปักอยู่มุมขวา บ่งบอกว่าของสิ่งนี้เป็นแบบลิมิเต็ดอิดิชั่น แต่ที่น่าตกใจกว่าคือจำนวนบัตรเครดิตที่แน่นทะลักกระเป๋า

ผมเหลือบสายตาไปมองคนบนรถเข็น ส่วนโฬมก็แค่ยิ้มรับสายตาสงสัยของผม ผมเลยทำได้แค่ปัดความคิดในหัวทิ้งแล้วเดินดุ่ยๆ ไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน ค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนนี่ขูดเลือดขูดเนื้อกันสุดๆ ไอ้ค่ารักษาจริงๆ มันไม่เท่าไหร่หรอก แต่ค่าเซอร์วิสอื่นๆ นี่เล่นเอาผมหน้าสั่นเหมือนกัน

“นี่บัตรนัดนะคะ ต้องมาฉีดวัคซีนอีกสามครั้ง ส่วนอันนี้คือยาทาฆ่าเชื้อกับผ้าพันแผลค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมผงกหัวให้เจ้าหน้าที่ก่อนจะรับถุงยากับใบเสร็จมาถือไว้ พอเดินกลับไปก็พบว่าพยาบาลคนเดินกลับมาแล้วและกำลังเตรียมตัวเข็นรถเข็นไปส่ง

“โฬมมายังไงครับ” ผมถามเขาก่อนเพราะมองดูแผลที่ขาแล้วคงเจ็บหน้าดู ไม่รู้ตอนมาโรงพยาบาลเขามายังไงเหมือนกัน

“ผมเรียกแท็กซี่ครับ”

“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง” ผมบอกแล้วออกเดินนำนางพยาบาลไปยังลานจอดรถหน้าตึก อากาศร้อนทำให้ภายในห้องโดยสารอบอ้าว ผมเลยเปิดประตูฝั่งคนขับทั้งไว้ก่อนจะเดินอ้อมไปหาโฬมแล้วช่วยพยาบาลพยุงเขาเข้ารถ ทั้งๆ ที่โฬมก็บอกแล้วว่าเขายืนได้ แต่คุณพยาบาลก็ยังพยายามจะทำหน้าที่จนถึงวินาทีสุดท้าย ผมเลยต้องเข้าไปช่วยอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

เมื่อโฬมเข้าไปนั่งบนเบาะข้างคนขับแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันไปเอ่ยขอบคุณพยาบาลแล้วเดินอ้อมกลับมายังฟากคนขับเหมือนเดิม ห้องโดยสารเริ่มเย็นขึ้นมาหน่อยเพราะผมสตาร์ทรถเปิดแอร์ทิ้งไว้ตั้งแต่แรก

“วันนี้ไม่ต้องเข้าสตูฯ ก็ได้นะครับ ปวดน่าดูเลย” ผมทำสีหน้าแหยงๆ ตอนเหลือบไปมองแผลของเขา แค่คิดว่าหมาตัวนั้นขย้ำขาผมแทน ตัวก็กระตุกจากเส้นประสาทช็อตทันที

“แต่ผมเพิ่งคิดทางคอร์ดเพลงได้เมื่อคืน”

“จริงเหรอครับ!” ผมตื่นเต้นขึ้นมาอย่างง่ายดายเมื่อโฬมพูดเรื่องเพลง อาการนั่งไม่ติดที่กลับมาอีกครั้ง ดวงตาของผมที่สะท้อนกับกระจกรถเป็นประกายพราวระยับ ผมเห็นโฬมฉีกยิ้มกว้างตอนเห็นท่าทางตื่นเต้นแบบเด็กๆ ของผม

“ผมไม่ได้อัดเอาไว้ เลยกะว่าจะไปเล่นให้สกายฟังที่สตูดิโอ”

“แต่...” ผมอยากฟังมากๆ แต่พอเหลือบมองแผลเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ สีหน้าค่อยๆ หงอยลงอย่างเห็นได้ชัด “ไว้ผมค่อยฟังก็ได้ครับ” ประโยคหลังเสียงผมแผ่วมากเหมือนไม่เต็มใจจะพูด

โฬมหัวเราะ “ที่บ้านผมมีกีตาร์นะครับ ถ้าสกายสะดวก”

“เอ่อ” หัวใจผมกระตุก เกิดอาการลังเลขึ้นชั่วขณะ

เมื่อวานเขาจะขึ้นห้องผมผมยังห้ามเอาไว้ แต่มาวันนี้ผมจะเดินเข้าบ้านโฬมแบบง่ายๆ มันก็เลยเกิดอาการเกรงอกเกรงใจขึ้นมา แต่ผมก็อยากฟังทำนองเพลงนี่น่า

ผมควรจะทำยังไงดี

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับสกาย”

“...” ผมเงียบ แต่ก็แอบช้อนตามองเขาอย่างออดอ้อนตอนติดไฟแดง

ก็ผมอยากฟัง!

“...!” โฬมชะงัก และอยู่ๆ เขาก็หันหน้าหนีออกไปมองนอกกระจก ก่อนที่คนตัวสูงกระแอมไอเบาๆ สองสามที ผมละความสนใจจากท่าทางประหลาดพวกนั้นเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสีสัญญาณ ผมค่อยๆ ปล่อยเบรกที่เท้าแล้วเลื่อนไปวางที่คันเร่งแทน

“เอ่อ ผมไปได้เหรอครับ” ผมถามขึ้นเมื่ออยู่ๆ บทสนทนาก็ถูกเบรกไปเสียเฉยๆ

และเมื่อโฬมตอบมาว่าไม่เป็นไรจริงๆ ทีนี้ผมก็ยิ้มกว้างเลยครับ หัวใจเต้นแรงขึ้นหนึ่งระดับเพราะความตื่นเต้น เหมือนสั่งของผ่านเน็ตแล้วไปรษณีย์เอามาส่งบ้านเลย ผมอยู่นิ่งไม่ได้เลยขยับตัวยุกยิกจนโฬมหัวเราะในลำคอตลอดทาง

กว่าจะถึงบ้านของโฬมก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะรถติด ย่านนี้มีหมู่บ้านติดกันอยู่สี่ห้าหมู่บ้าน จำนวนรถเข้าออกจึงเยอะมากๆ เพราะเป็นหมู่บ้านราคาแพง

ผมชะโงกหัวมองกระจกข้างพร้อมตบไฟเลี้ยวขวา ต้องข้ามเลนถนนเพื่อเข้าซอยอีกฟากฝั่ง ป้ายชื่อหมู่บ้านตั้งเด่นเป็นสง่าพร้อมกับทางเข้าที่ทำออกมาในสไตล์โมเดิร์น ผมจอดรถที่ป้อมยามและแลกบัตรเข้าออก ถึงแม้จะมีโฬมนั่งมาด้วยแต่ผมก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี ผมยิ้มขอบคุณลุงยามแล้วขับรถเข้าไปด้านใน

บ้านแต่ละหลังมีพื้นที่ห่างกันพอสมควร บริเวณตรงกลางสร้างเป็นสวนสาธารณะ สองข้างทางก็ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ผมเพิ่งรู้ว่าการจ่ายเงินแพงแล้วได้สภาพแวดล้อมแบบนี้ก็นับว่าคุ้มค่าเหมือนกัน

“เลี้ยวซอยข้างหน้าครับ ซ้ายมือหลังในสุดเลย”

ผมทำตามคำบอกนั้น มองผ่านบ้านแต่ละหลังที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะเพียงแค่สลับซ้ายขวา ภายในซอยมีบ้านแค่ฝั่งละสี่หลัง ผมค่อยๆ ขับช้าลงเมื่อเห็นหลังคาบ้านหลังสุดท้ายอยู่ไม่ไกล

“จอดหน้ารั้วเลยก็ได้ครับ”

ผมพยักหน้ารับคำ ค่อยๆ ชะลอความเร็วและจอดลงที่หน้ารั้วไม้สีน้ำตาลอ่อน โฬมปลดเข็มขัดนิรภัยและทำท่าจะลงรถด้วยตัวเอง ผมเลยรีบกุลีกุจอดับเครื่องหมายจะลงไปชั่วเขา แต่เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ กลายเป็นว่าคนตัวสูงเดินกระเผกๆ ไปเปิดรั้วบ้านรอแล้ว

“เดินไหวเหรอครับ”

“ปวดๆ ตึงๆ นิดเดียวครับ” โฬมบอก เขาดันรั้วบ้านออกเล็กน้อยพอให้คนเดินผ่านเข้าไปได้ ผมรับหน้าที่เป็นฝ่ายผลักมันปิดและคล้องแม่กุญแจเอาไว้โดยไม่ได้กดล็อค บ้านของโฬมมีขนาดกลางๆ พื้นที่บริเวณรอบบ้านก็ไม่นับว่ากว้างมาก แต่เขาก็ยังปลูกต้นไม้และดอกไม้ไว้อย่างร่มรื่น มีม้านั่งเล็กๆ วางอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะม่วง

ผมกวาดตาสำรวจด้วยความสนใจ มีรูปปั้นแมววางเรียงกันอยู่สามตัว และเมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน ผมก็พบว่าภายในมีสมาชิกครอบครองพื้นที่บนโซฟาอยู่สองตัว

“นั่นถุงเงิน อีกตัวถุงทองครับ” โฬมคงเห็นผมจ้องแมวสีน้ำตาลสลับขาวที่ผมไม่รู้จักพันธุ์อยู่นานเลยเอ่ยแนะนำ “ผมเก็บได้จากที่หน้าร้านตอนไปเล่นดนตรีกลางคืน”

“ทั้งสองตัวเลยเหรอครับ”

“ใช่ครับ เก็บมาพร้อมกันตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ” โฬมเดินไปอุ้มเจ้าตัวอ้วนที่มีถุงเท้าขาวทั้งสีขามาให้ผม มันชื่อถุงทอง ส่วนอีกตัวที่ไม่มีถุงเท้าก็ต้องเป็นถุงเงินแน่นอน “อุ้มไหมครับ”

“ไม่เอาดีกว่า ผมชอบแมวนะ แต่กลัวมันข่วน” ผมบอกแล้วขยับออกห่างจากเจ้าแมววัยรุ่นที่เบิกตาโพลงมองหน้าผมด้วยความสนใจ

“มันไม่ข่วนหรอกครับ”

“เพื่อนผมก็บอกงี้ สรุปได้รอยมาเต็มอกเลยครับ” ผมเล่าถึงอดีตตอนไปเที่ยวบ้านเพื่อนในสาขาที่ภาคเหนือ มันก็เลี้ยวแมวเหมือนกัน บอกผมว่าไม่ข่วนผมก็เชื่อ เป็นไงละครับ แสบแผลไปสองสามวัน จากนั้นผมเข็ดแล้วกับสัตว์เลี้ยงของคนอื่น

โฬมเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย เขาเอาแมวไปวางไว้ที่เดิม ลูบเหม่งหอมหัวทั้งสองตัวแล้วเดินนำผมขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ผมที่เกิดอาการเกร็งเครียดดรีบก้าวตามไปทันที วางตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่เพราะไม่ใช่บ้านของคนสนิท ผมแอบเช็ดเหงื่อที่อุ้งมืออยู่หลายรอบ ดวงตาก็กวาดเก็บรายละเอียดการตกแต่งภายในบ้านไปด้วย

บ้านของเขาเรียบๆ ของตกแต่งน้อยๆ มาก มีตู้ใส่รางวัลและรูปอยู่มุมใกล้ๆ กับโซฟารับแขก เมื่อเดินขึ้นมาข้างบนก็พบว่ามีอยู่หนึ่งห้องใหญ่ที่เดาว่าคงเป็นห้องนอนของโฬม กับห้องเล็กๆ อีกสองห้อง โฬมพาผมมาที่ห้องซึ่งติดกับห้องนอนของเขา เมื่อเปิดปะตูเข้าไปก็พบกลองไฟฟ้า กีตาร์สองตัว เบสและลำโพงขยายเสียง นี่ถ้ามีเปียโนอีกตัวตาผมต้องขยายกว้างกว่านี้แน่นอน

ผมเบิกตากว้าง มองความร่ำรวยของสิ่งของภายใน ผมว่าเขาไม่น่าเพิ่งมาร่ำรวยตอนทำงานแน่นอนเลยครับ โฬมต้องเป็นลูกคนมีฐานะอยู่แล้วแน่ๆ

“นั่งนี่ก่อนนะครับ สกายอยากดื่มน้ำอะไร” คนตัวสูงชี้นิ้วไปที่โซฟาหนังขนาดเล็ก มีหมอนอิงรูปดาววางอยู่สองใบ ผมขยับตัวไปนั่งพิงในท่าสบายๆ ขณะที่เจ้าบ้านก็ทำหน้าที่ต้อนรับแขกอย่างดี “มีน้ำส้ม โค้ก กับน้ำเปล่าครับ”

“น้ำเปล่าก็ได้ครับ” ผมบอกจะหยิบหมอนรูปดาวมากอด มันใหญ่จนผมเอาคางเกยได้สบายๆ โฬมมองผมแล้วยิ้มแปลกๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง

ในตอนที่อยู่คนเดียวผมก็เริ่มไถตัวลงนิดหน่อยพอให้หลังคอสัมผัสกับพนักพิง เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ผมมองเลยออกไปนอกหน้าต่างบานหนึ่ง เห็นถึงความเงียบสงบภายในหมู่บ้าน อาจเพราะตอนนี้เป็นเวลากลางวันของวันธรรมดา คนส่วนมากมักออกไปทำงานทำการ มีแต่ผมกับโฬมนี่แหละที่เวลาว่างไม่ตรงกับชาวบ้าน

ส่วนมากนักร้องจะชอบมีงานกลางคืนหรือไม่ก็ช่วงวันหยุดมากกว่า นอกจากว่าจะมีรายการทีวีติดต่อมาถึงจะได้ออกไปตอนกลางวันเหมือนคนอื่นเขา

ผมนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานโฬมก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำเย็นๆ สองแก้ว เขาส่งมันให้ผมแก้วหนึ่ง ผมก็รับมันมาจิบและวางลงบนโต๊ะตัวเล็กๆ ข้างๆ โซฟา คนตัวสูงก็เอามาวางบ้างก่อนจะเดินไปหยิบกีตาร์โปร่งเงาวับตัวหนึ่งมาจากที่วาง เขาทั้งตัวลงบนเก้าอี้หัวโล้นตัวหนึ่ง เลื่อนมันมาใกล้ๆ ผมก่อนจะวางพาดกีตาร์ในมือลงบนหน้าขา

“ผมคิดช่วงท่อนฮุคเอาไว้ สกายติชมได้นะครับ” โฬมว่าอย่างนั้นก่อนจะเริ่มกรีดสายกีตาร์เบาๆ

ทำนองเพลงจากการเกาสายของเขาเป็นจังหวะนุ่มนวลแต่ก็ไม่ได้ช้ามาก ผมโยกหัวขณะมองนิ้วเรียวยาวขยับจับคอร์ดทาบอย่างคล่องแคล่ว เสน่ห์ของโฬมมีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ไหนกัน ทั้งๆ ที่สวมกางเกงสามส่วนกับเสื้อยืดคอวีสีเทาล้วน ทรงผมก็แค่หวีให้เรียบร้อยเฉยๆ รวมถึงผิวหน้าที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ลงอะไรเลยแม้แต่แป้งฝุ่น

ริมฝีปากได้รูปเผยอออกเปล่งคำร้องออกมาตามจังหวะดีด เสียงที่ไม่ได้วอร์มของเขายังติดแหบอยู่บ้าง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความไพเราะ ความทุ้มต่ำทำให้ทั้งเนื้อเสียงกับเสียงดนตรีผสานกันได้อย่างสวยงาม ผมอ้าปากค้าง มองผลงานยอดเยี่ยมตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

“เป็นไงบ้างครับ”

“...”

“สกายครับ?”

“ดี... ดีมากเลยครับ!” ผมตะโกนเสียงดังหลังจากรวบรวมเศษเสี้ยวสติสัมปชัญญะของตัวเองกลับคืนมาได้จนหมด โฬมสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างดีใจ

“เนื้อเพลงยังไม่ค่อยโดนใจผมเท่าไหร่ เลยว่าจะมาขอคำแนะนำจากสกายด้วย”

“จากผม?!”

“ครับ”

“ผมแต่งเพลงไม่เป็นหรอกครับ ผมเขียนไรม์เป็นอย่างเดียว” ผมบอกแบบนั้น ไรม์คือคำคล้องจองที่ใช้ในการแรป ต่างจากเนื้อเพลงมากๆ ทั้งในเชิงเทคนิคและกายภาพ อีกอย่างที่โฬมร้องเมื่อกี้ผมก็พอใจมากๆ แล้ว มันเป็นเพลงรักที่ฟังแล้วอุ่นๆ ในใจ

“ผมว่าเนื้อเพลงมันยังไม่โรแมนติกเท่าไหร่” มือหนายื่นสมุดจดมาให้ ผมรับมาอ่านก็เป็นเนื้อเพลงที่โฬมร้องเมื่อกี้ มีการขีดฆ่าอยู่หลายจุด ระบายหายไปทั้งประโยคก็หลายที่

“ในความคิดผมมันก็ดีแล้วนะครับ”

“จริงเหรอครับ”

“ครับ ผมชอบมากๆ เลย” ผมบอกเขา ส่งสายตาเป็นประกายไปให้เพื่อยืนยันคำพูด โฬมมองจ้องเข้ามาในดวงตาของผมเหมือนต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง เขาอาจจะคิดว่าผมแกล้งชมเขาไปอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วผมชอบมันมากจริงๆ ผมยอมให้อีกคนสืบหาความรู้สึกภายในดวงตาของผม จับจ้องซึ่งกันอยู่กันนานเท่าที่เขาต้องการ

เพราะเขามีฝีมือ ผมจึงชื่นชมและศรัทธาด้วยหัวใจ

โฬมเป็นฝ่ายผละออกไปก่อน เขาเกาแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ ผมอมยิ้มเล็กๆ มองผู้ชายหน้าหล่อที่กำลังเขินเหมือนเด็กๆ พลางคิดในใจว่า คนแบบนี้น่ะเหรอที่เป็นไปตามคำพูดของแฟนเก่าเขาคนนั้น

“จะเที่ยงแล้ว สั่งพิซซ่ามาทานไหมครับ” คนเขินหันหน้าหนีก่อนจะพูดขัดขึ้นมาเมื่อเห็นผมยิ้มล้อเลียน ผมยังเห็นรอยแดงพาดผ่านแก้มและใบหูของเขาอยู่เลย ให้ตายเถอะ

“สีเขียวนะครับ มันมีโปรโมชั่น 1 แถม 1” ผมบอก โฬมก็พยักหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ร้านพิซซ่า

“สกายทานหน้าอะไรดีครับ”

“ฮาวายเอี้ยนครับ!” ผมบอก พูดแล้วน้ำลายก็ผุดพรายขึ้นมาเต็มปาก ผมกลืนมันลงไปอึกใหญ่ ก่อนจะบอกโฬมเลือกอีกหน้าได้เลย สรุปแล้วจึงได้ฮาวายเอี้ยนกับซีฟู๊ดมาอย่างละถาดใหญ่

พวกเรานั่งคิดเนื้อเพลงต่อจากเดิมเพิ่มมาได้นิดหน่อยพิซซ่าก็มาส่งที่หน้าบ้าน โฬมเป็นคนออกไปเอา ส่วนผมก็ระเห็จตัวเองมานั่งรอที่โต๊ะกินข้าวชั้นล่าง

กลิ่นหอมโชยมาก่อนตัวอีก ผมสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรับถาดพิซซ่าจากมือโฬมมาวางบนโต๊ะ คนตัวสูงหัวเราะกับความตะกละตะกลามของผมเมื่อผมเริ่มเปิดฝาถาดแล้วหยิบออกมาชิ้นหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะยกถาดทั้งสองออกมาจากถุงพลาสติก

“ล้างมือแล้วเหรอครับ”

ผมพยักหน้า ยัดพิซซ่าชิ้นสามเหลี่ยมเข้าปากแล้วกัดคำโต แก้มพองออกตามอาหารที่ยัดเข้าไป ในขณะที่โฬมหยิบโค้กกับน้ำแข็งออกมาจากตู้เย็น แก้วเปล่าสองใบถูกเทเครื่องดื่มและจัดเรียงไว้ให้บนโต๊ะ พร้อมกับถาดพิซซ่าทั้งสองที่ถูกหยิบมากางไว้อย่างเรียบร้อย

เห็นแบบนั้นก็แอบรู้สึกผิดนิดๆ ผมเลยคาบพิซซ่าไว้ในปากแล้วเดินเข้าไปช่วยหยิบขยะเอาไปทิ้ง พวกซองซอสโฬมเอาไปเก็บไว้ในตู้เย็นแล้วหยิบซอสแบบขวดออกมาแทน มันเป็นแบบบีบทำให้ง่ายในการกินมากกว่า ผมเลยยกนิ้วโป้งให้เขาไปหนึ่งทีอย่างแฮปปี้สุดๆ

พวกเรานั่งกินพิซซ่าไปพลางคุยเรื่องสัพเพเหระไปพลาง ถุงเงินถุงทองได้กลิ่นอาหารก็เดินเข้ามาดมๆ จนผมต้องยกขาขึ้นบนเก้าอี้เพราะกลัวมันหน้ามืดกัดขาผมเข้า เดี๋ยวได้ไปฉีดยาพร้อมโฬมล่ะยุ่งเลย

“สกายแรปมานานแค่ไหนแล้วครับ” โฬมพูดขึ้นหลังจากที่ผมง่วนอยู่กับการหนีเจ้าแมวสองตัวที่ยังเดินวนรอบเก้าอี้จนบทสนทนาถูกเบรกไปครู่หนึ่ง

“ถ้าเอาตั้งแต่เริ่มก็มอปลายครับ น่าจะช่วงมอสี่เทอมสอง”

“นานเหมือนกันนะครับ”

“ใช่ครับ กว่าจะดังได้ ก็เลิกทำไปสามรอบแล้ว” ผมว่าติดตลก ปากก็ยังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ วันนี้โชคดีไม่มีพร๊อพอะไรบนตัว ผมที่นั่งในท่ายกขาชันเข่าบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ถึงยังอยู่ได้อย่างสบายๆ “แล้วโฬมเริ่มร้องเพลงตอนไหนเหรอครับ”

“ตั้งแต่มอต้นแล้วครับ ตอนนั้นฟอร์มวงกับเพื่อนแล้วผมเป็นนักร้อง”

“อยากเห็นเลยครับ โฬมตอนเด็ก” ผมว่าพลางหยิบน้ำอัดลมมากระดกแก้เลี่ยน

“อย่าเลยผมอาย”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะ พวกเราเริ่มต่อบทสนทนากันไหลลื่นกว่าเดิม ความอึดอัดก็ลดลงผมเลยเริ่มเป็นตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างคุยเรื่องสะระตะจนพิซซ่าถาดใหญ่หมดเกลี้ยง ผมเอนหลังแผ่พุงกลมๆ ที่ดันเสื้อกล้ามออกมาเป็นลูกชัดเจน ใช้ฝ่ามือตบเบาๆ ในขณะเดียวกันก็พยายามกลั้นเรอเนื่องจากดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป

พวกเรานั่งพักพุงได้สักพักก็ช่วยกันโกยขยะลงถุงและผูกปากให้เรียบร้อย ผมย้ายร่างอ้วนๆ ของตัวเองไปแย่งที่นอนของแมวสองตัวที่เดินนวยนาดเข้าไปนอนตากแอร์ในห้องส่วนตัวไปแล้ว โฬมเป็นคนรักสัตว์มากๆ เขาถึงกับยกห้องให้แมวห้องหนึ่งแม้มันจะเป็นห้องเล็กๆ ที่ทางโครงการสร้างไว้เพื่อให้เก็บของ

ผมเอนตัวจนเกือบจะนอนลงอยู่แล้ว แต่เพราะกลัวกรดไหลย้อยเลยยังพยายามทำตัวตรงๆ ก่อน ส่วนเจ้าของบ้านผู้เจ็ฐขาแต่กลับเดินไปทั่วก็ไม่รู้หายไปไหน ผมคิดว่าเขาคงเข้าไปให้อาหารแมวก็เลยไม่ได้สนใจ เดี๋ยวอีกสักพักพอกระเพาะผมย่อยได้อีกหน่อยก็คงจะขอตัวกลับแล้วครับ รบกวนบ้านคนอื่นนานๆ ก็รู้สึกเกรงใจ

เครื่องปรับอากาศส่งเสียงความถี่ต่ำ ผสมกับอากาศเย็นสบายและหนังท้องตึงเปรี๊ยะ ผมที่ฝืนถ่างตาไม่ไหวต้องยอมปิดเปลือกตาลง แอบตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 15 นาทีสำหรับการงีบพัก ความเงียบวงบปราศจากคนอื่นแม้กระทั่งตัวเจ้าของบ้านเองทำให้ผมเคลิ้มได้โดยง่าย ผมกอดหมอนอิงไว้ในอ้อมแขน เอียงศีรษะมาด้านหน้าเพื่อพิงก่อนจะปล่อยตัวเองให้ล่องลอยเข้าห้วงนิทราอันสั้น
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาในความคิด แต่ผมไม่สนใจ ผมกำลังแยกความจริงกับความฝันไม่ได้ มันก่ำกึ่งอยู่ตรงกลาง เหมือนตัวของผมลอยคว้างกลางอากาศ แต่อีกขาหนึ่งก็ยังรู้สึกถึงผิวของโซฟาที่นอนอยู่

เปลือกตาของผมหนักอึ้ง การสวมเสื้อกล้ามมานอนตากแอร์ทำให้ต้องขยับขดตัวด้วยความหนาว ผมรู้สึกได้ว่าบริเวณใกล้เคียงมีความอบอุ่นของบางอย่าง จึงเขยิบร่างกายเข้าไปใกล้ เอนอิงความอบอุ่นนั้นพร้อมกับเอนศีรษะพิงไปด้วย ผมขยับใบหน้าให้ได้มุมองศาที่สบาย สูดกลิ่นหอมของน้ำหอมแบรนด์ไฮเอนด์อันคุ้นเคยก่อนจะปล่อยตัวเองให้หลบไหลลงไปจริงๆ

.....

...

..

.

ติ๊ดๆๆๆ

เวลาสิบห้านาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมสะดุ้งโหยงเพราะเหมือนเพิ่งลอยอยู่บนอากาศได้แค่วินาทีเดียวแล้วขาก็โดนกระชากกลับลงมาสู่พื้น ในจังหวะที่เสียงนั้นกระแทกเข้าโสตประสาทได้เพียงจังหวะเดียว ผมก็ลืมตาโพลงขึ้นทันด้วยความตกใจ

แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับสร้างความตกใจให้กับผมมากกว่าที่เป็นอยู่เสียอีก!!

ริมฝีปากที่มักมีรอยยิ้มประดับลอยห่างจากหน้าผมเพียงแค่สามนิ้วประกบกัน ลมหายใจร้อนรินรดลงบนผิวแก้ม ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลมีแววตกใจวิ่งพล่านอยู่ภายใน แพขนตายาวใกล้จนเห็นเส้นสีดำทุกเส้นเรียงตัวเป็นระเบียบ

“...”

“...”

เกินความเงียบขึ้น กินระยะเวลานานพอสร้างความอึดอัดและฉุดคร่าลมหายใจของผมให้หายไปอย่างไม่รู้ตัว ผมเผลอกลั้นหายใจและกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ พวกเรายังจ้องตากันในระยะใกล้มาก ไม่มีใครกล้าขยับตัวในสถานการณ์แบบนี้ สติของผมค่อยๆ กลับมาตามระยะเวลาที่เคลื่อนผ่าน สัมผัสได้ถึงฝ่ามือร้อนที่โอบรอบช่วงเอวของผม

“เอ่อ...” ผมส่งเสียงในลำคอ กำลังจะขยับตัวออกจากท่าทางอันตรายพวกนี้

แต่แล้วอยู่ๆ โฬมก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม!!



_________________________________
Talk:
สกายลูก พี่มันไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นลูกกกก
ตอนนี้เขียนเพลิน เขียนยาวกว่าทุกตอนที่ผ่านมาอีกค่ะ  :katai4:
มาลุ้นกันดีกว่าค่ะ ว่านังพี่มันจะจูบหรือไม่จูบ
จะได้จูบหรือจะโดนน้องถีบก่อน!

ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกยอดวิว ทุกยอดกด+ ให้ด้วยนะ
อ่านทุกเม้น จำ user ได้หมดแล้วเลยยยย  :กอด1:
ขอบคุณที่ทำให้นิยายเรื่องแรกหลังจากไม่ได้เขียนนานของเรามีสีสันมากขึ้นนะคะ
รักที่สุด รักทุกคนเลยย //โปรยใจ

ถ้าอยากติชม อยากแนะนำ ทำได้เสมอเน้อ
วันนี้ทิ้งทายด้วยทวิตของตัวเองที่ทวิตถึงเจ้าสกาย
ฝากน้องติสท์ๆ ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/05/htsSAf.jpg)
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 05-10-2018 17:27:23
น้องจะถีบพี่ไม่ได้นะ พี่ขาเจ็บอยู่นะ5555555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 05-10-2018 17:59:16
ค่อยเป็นค่อยไป นะค๊ะ คุณพี่
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-10-2018 01:04:01
หูยยยย โฬมเริ่มรุกจีบแล้วหรอ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-10-2018 09:53:29
โฬมใจเย็นนะเดี๋ยวโดนสกายเตะ55

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-10-2018 03:10:56
เดี๋ยวววววววววววววโรมใจเย็นๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 07-10-2018 15:00:09
ในนี้เขาตอบเม้นกันยังไงอ่ะคะ 55555
หนูกด ref มาไม่เป็นนนนนนนนน

//ขอจองที่ตรงนี้ไว้ก่อน
ยังตอบเม้นไม่เป็นน แง้  :sad4: :ling1: :katai1:

______________________________________________________________________________
ทำ เป็น แล้ว เย้!!
Hello test test

ตอนใหม่มายางงง รอๆ น๊าาา เป็นกำลังใจให้นักเขียนจ้า  :L2:
: ขอบคุณค่า  :กอด1:
จะรีบมา วันนี้ยังเขียนไม่ถึงไหนเลยค่ะ แง้ๆ เจอกันพรุ่งนี้นะคะทุกคลลลลล  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 7 [05-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 07-10-2018 15:20:57
ตอนใหม่มายางงง รอๆ น๊าาา เป็นกำลังใจให้นักเขียนจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 08-10-2018 14:15:40
บทที่ 8


ผมยกนิ้วขึ้นกันริมฝีปากตัวเอง ในขณะที่สันจมูกของพวกเราถูไถกันอย่างใกล้ชิด โฬมชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็บรรจงกดริมฝีปากลงมาบนหลังนิ้วของผมเบาๆ

เหตุการณ์แบบนี้ผมไม่อาจช่างมันได้เหมือนทุกที

ไหล่ของโฬมถูกดันออกด้วยฝีมือผม เขาตัวใหญ่กว่า สูงกว่า และก็น่าจะมีแรงมากกว่า ถ้าเขาเลือกที่จะขืนตัวผมคงไม่สามารถผลักเขาออกได้ แต่คนตัวสูงก็ยอมขยับออกไปนั่งอีกฟากฝั่งของโซฟา ดวงตาคมเสมองพื้น ในขณะที่แก้มของเขาเต็มไปด้วยริ้วแดงๆ

“ทำอะไรครับ” ผมถามอย่างใจเย็น แม้ว่าหัวใจจะสั่นรัวเร็วจากอารมณ์สับสน ผมไม่ได้หันไปมองหน้าเขา ต่างฝ่ายต่างเกิดอาการอ้ำอึ้งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมชันเข่าขึ้นมากอด ทิ้งใบหน้าหลบหลังต้นขาแล้วปล่อยให้ปอยผมทิ้งลงมาปรก

“ขอโทษครับ” โฬมบอกเสียงเบา เขาแอบเหลือบหางตามามองด้วยความเก้กัง

“ผม...” ด้วยความตอบไม่ถูก เลยได้แค่งึมงำในลำคอ จากนั้นความเงียบก็โรยตัวเข้ามาโอบล้อมภายในห้องซ้อมดนตรีแทน ผมเม้มปาก พยายามแก้สถานการณ์ด้วยรอยยิ้มแหยๆ

“เดี๋ยวผมกลับแล้ว”

“อ่ะ ครับ” โฬมสะดุ้ง รีบลุกขึ้นยืนในทันที

ผมสับเท้าฉับๆ ออกมาจากห้องซ้อม เดินตรงดิ่งไปที่หน้าบ้านโดยไม่เหลียวมองสำรวจเหมือนเคย ร่างสูงของโฬมเดินตามมาแต่ก็เว้นระยะห่างพอสมควร ผมหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดปุ่มปดล็อคด้วยปลายนิ้วสั่นระริก แต่ก็พยายามตีหน้าตายเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“เรื่องเพลง ไว้คุยกันผ่านไลน์ก็ได้นะครับ” ผมบอกโดยไม่หันกลับไปมองคู่สนทนา มือก็คว้าที่จับประตูรถเรียบร้อย เหลือแค่เปิดมันแล้วยัดตัวเข้าไปนั่ง อีกแค่นิดเดียวผมจะหลุดออกจากสถานการณ์แปลกๆ นี้

“ครับ” เสียงของโฬมยังอ้ำอึ้งเหมือนติดอยู่ที่ลำคอ แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว รีบเปิดประตูและแทรกตัวเข้าไปนั่งทันที ผมโบกมือลาเขาตามมารยาท เตรียมจะปิดรถแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่โฬมกลับตะโกนสวนขึ้นมาก่อน

“สกายครับ!”

“...ครับ?”

“เดินทางปลอดภัยนะครับ”

“ครับ โฬมก็หายไวๆ นะครับ”

พวกเรายิ้มให้กัน เป็นรอยยิ้มที่ดวงตาหันเหไปคนละทาง ผมปิดประตูดังปังแล้วรีบเหยียบคันเร่งออกจากที่นี่ทันที กระจกมองหลังสะท้อนภาพผู้ชายหน้าตาดีที่ยืนมองส่งจนรถยนต์เคลื่อนออกไปพ้นซอย ผมก็มองเขาจนกระทั่งลับสายตาไปเช่นกัน บัตรผ่านที่มีลายมือโฬมเซ็นต์รับรองถูกยื่นให้กับยามคนเดิม ผมกล่าวขอบคุณแล้วเร่งเครื่องออกสู่ถนนใหญ่ทันที

จะบ้าตาย จะบ้าตายๆๆๆ

ผมสบถงึมงำกับตัวเองเมื่อป้ายหมู่บ้านหายไปจากครรลองสายตาแล้ว อาการสงบเงี่ยมที่เพียรรักษามาหลายนาทีถูกทุบแตกร้าว ผมกัดปาก บีบพวงมาลัยจนปลายนิ้วขึ้นข้อขาว เท้าข้างที่ว่างก็กระดิกดิ๊กๆ อย่างอยู่ไม่สุข

เมื่อกี้โฬมจะจูบผมชัดๆ

ผมไม่ได้คิดไปเอง หลังนิ้วมือข้างขวาที่เขากดปากลงมายังร้อนผะผ่าวอยู่เลย รวมถึงหัวใจผมที่เต้นไม่เป็นจังหวะตั้งแต่ตอนนั้น
ผมหยุดคิดไม่ได้ ให้ตาย ผมว่าสติผมกำลังจะแตก!









ผมกลับมาถึงคอนโดโดยโดนคนบีบแตรอวยพรไปสามที โชคดีที่ไม่ไปเฉี่ยวชนใครเนื่องจากสติยังไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมถอดกางเกงวอร์มขายาวทิ้ง เหลือไว้แค่บ๊อกเซอร์กับเสื้อกล้ามสีเทาตัวเดิม ก่อนจะปีนขึ้นเตียงนอนแผ่ตากแอร์เย็นๆ ครุ่นคิดวนไปมาจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น

ในหัวมีแต่คำว่าทำไมเต็มไปหมด

ผมถอนหายใจ อายุสั้นลงไปราวๆ สิบปี ขมวดคิ้วบ้างสะบัดหัวบ้าง บางทีก็ชักดิ้นชักงออยู่บนเตียงด้วยความอึดอัดใจ เราเพิ่งรู้จักกันได้กี่วันเอง นับคร่าวๆ ก็แค่อาทิตย์เดียว เจอกันไม่ถึงห้าครั้ง คุยกันได้แค่ไม่กี่สิบประโยค ผมควรจะโกรธเขาใช่ไหม หรือไม่ก็ต้องช่างมันไปเหมือนที่ทำประจำเวลามีเรื่องคิดไม่ตก

แต่ผมทำไม่ได้ครับ

ผมช่างแม่งกับเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

สุดท้ายผมถึงได้มีสภาพเป็นคนบ้านอนก่ายหัวอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายชั่วโมงแบบนี้ สมองของผมไม่ยอมหยุดทำงาน มันวนกลับไปฉายฉากบ้าๆ นั้นซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับขึ้นแคปชั่นใต้ภาพว่าโฬมทำแบบนี้ทำไม

หรือเขาจะชอบผม ผมควรถามไปตรงๆ ไหม

ผมสำรวจความคิดตัวเอง ไม่ได้มีความหวั่นไหวปะปนอยู่ นอกจากอาการตื่นเต้นตกใจที่วิ่งพล่านทั่วกระแสเลือด ผมไม่ได้ชอบโฬมอย่างแน่นอน ถ้าเขาชอบผมจริงๆ ผมควรไปคุยให้รู้เรื่อง เราจะได้ทำงานกันต่อไปอย่างราบรื่น

แต่บางทีโฬมอาจจะไม่ได้ชอบ...

ไม่ ผมไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้วครับตอนนี้!

ไม่อยากคิดอะไรแล้ว ไม่คิดมันแล้ว ช่างมันไปให้หมดเลย!!









อากาศหนาวจากเครื่องปรับอากาศกำลังลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวของผม ขนบนแขนลุกขึ้นตั้งชันในขณะที่ผ้านวมอุ่นถูกเตะลงไปกองอยู่ตรงบั้นเอวจนหมด ผมครางฮือ ควานมือสะเปะสะปะหาไออุ่นมาห่มกาย

แกร๊ก

มีเสียงเปิดประตูเข้ามา ผมที่กำลังง่วงเต็มแก่ไม่ได้ลืมตาขึ้นสนใจ แค่พยายามออกแรงดึงผ้าฝืนโตขึ้นมาจากด้านล่าง แทรกกายซุกไซพร้อมดึงหมอนข้างเข้ามากอดแนบอก

พื้นที่บนเตียงข้างๆ ยวบลงเล็กน้อย พร้อมกับอะไรบางอย่างที่วางลงบนศีรษะ มันนวดคลึงจนผมครางรับด้วยความสบายใจ ร่างกายขยับเข้าหาสัมผัสนั้นโดยอัตโนมัติ ฟูกนุ่มยวบยาบอยู่นานจนผมย่นคิ้ว ใครบางคนขยับตัวลงนอนแล้วรั้งร่างของผมเข้าไปกอด

แขนของเขาใหญ่จนรัดตัวผมได้จนหมด กลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูกกับไออุ่นจากผิวกายเรียกรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก ผมร้องอื้ออึง หมอนข้างถูกดึงออกไปก่อนที่ร่างกายของผมจะถูกกระชับให้แน่นขึ้น ผมป่ายมือไปวางบนเอวแกร่ง มุดศรีษะซุกลงบนแผ่นอกแข็งแรง

“สกายครับ”

“ฮือ” ผมร้องตอบ หลับตาพร้อมเงยหน้ารับจูบอ่อนโยนบนหน้าผาก

“ขี้เซาจังเลย”

“อย่ากวน” ผมบ่นเสียงเบา ย่นจมูกด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเตรียมมุดหน้ากลับไปซุกอกอุ่นอีกครั้ง ทว่าปลายคางกลับถูกนิ้วเรียวยาวเชยขึ้น ลมหายใจร้อนขยับเข้ามาจนรดลงบนแก้ม ผมปรือตามองใครสักคนตรงหน้า แต่ภาพของเขากลับพร่าเบลอและเลือนลาง

“ใครน่ะ” ผมถาม ทั้งๆ ที่สองแขนยังโอบกอดร่างของเขาเอาไว้แน่น

“ทำไมถึงลืมกันล่ะครับ”

“อื้อ ง่วง” ผมไม่สนใจจะเดาแล้ว ตอนนี้ด้วยท่วงท่าที่สบายและอากาศเย็นฉ่ำ ผมเตรียมกลับไปเฝ้าพระอินทร์อีกครั้ง ไม่สนใจสิ่งนุ่มหยุ่นที่เริ่มแตะลงบนแก้ม หน้าผาก ข้างขมับ และปลายจมูก

ผมรำคาญเลยสะบัดหน้าหนี แต่คางก็ถูกจับตรึงให้ไม่อาจเคลื่อนใบหน้าได้ คิ้วของผมจึงย่นขมวดเป็นปมใหญ่ พยายามฝืนลืมตาขึ้นมองแต่ก็ได้เพียงแสงสว่างจ้าที่สาดเข้ามากระทบนัยน์ตาดำ

“สกาย...”

ผมง่วง ผมอยากบอกเขาให้เลิกก่อกวนสักที

“สกายครับ”

เขาไม่หยุดยุ่มย่ามกับแก้มของผม และส่วนอื่นๆ ของใบหน้าผม ผมส่งเสียงฟึดฟัด แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งสัมผัสนุ่มหยุ่นนั้นขยับเข้ามาใกล้ริมฝีปาก ผมเผยอรับจูบแผ่วเบาที่กดลงมา

แรงดูดผะแผ่วที่ผิวปากด้านล่าง ความเปียกชื้นของเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา ผมเงอะงะเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ใช้งานอวัยวะนี้ในทางอื่นนอกจากกินข้าว ดวงตาปรือปรอยลืมมองได้เพียงเสี้ยวเล็กๆ เห็นแพขนตาดำขลับลอยอยู่ไม่ไกล แรงเคลื่อนบนริมฝีปากยังขยับซ้ายทีขวาที สันจมูกเสียดสียามเมื่อเจ้าของสัมผัสเปลี่ยนองศา

“ฮืออ” ผมต่อต้าน เมื่ออากาศในปอดกำลังจะหมดลง

โพลงปากไม่ได้ถูกรุกล้ำเข้ามา แต่เพียงแค่ความแนบแน่นที่ผิวนุ่มหยุ่น หัวใจก็ราวมีน้ำเย็นฉ่ำมารินรด ผมขยับตัว เงยหน้าขึ้นรับสัมผัสร้อนผ่าวนั้นอย่างเต็มใจ แม้จะเริ่มอึดอัดในอกเพราะหายใจไม่ทัน

ใครคนนั้นหยอกล้อริมฝีปากของผมเล่น ขบกัดเบาๆ เรียกความขุ่นมัวจากหัวคิ้วของผม ผ่ามือร้อนทาบลงบนข้างแก้ม ใช้ปลายนิ้วถูวนที่กรอบหน้า นวดเบาๆ และกดริมฝีปากลงมาแนบยิ่งกว่าเก่า ผมกำลังจะขาดหายใจ ถ้าเขายังไม่หยุด ผมคงต้องตายลงท่ามกลางรสชาติหวานล้ำ

ผมทุบอกเขา ขอร้องให้หยุดก่อนที่ผมจะตายไปจริงๆ ใครคนนั้นหัวเราะเบาๆ ยอมถอนใบหน้าออกไปอย่างง่ายๆ ในจังหวะที่ผิวเนื้อนุ่มหยุ่มดึงรั้งกันราวไม่อยากพรากจาก ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุจากลมหายใจที่พ่นออกมาทางปากเขา ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศแทรกซึมเข้ามาทีละนิด จนกระทั่งพวกเราแยกออกจากกันในที่สุด ผมหอบหายใจ ปรือตาฉ่ำชื้นมองเจ้าของจูบหลอมละลาย

ใบหน้าของเขายังพร่าเลือด แต่ริมฝีปากนั้นคลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้ ผมเห็นฟันเขี้ยวสองซี่โผล่พ้นขอบออกมา รวมถึงลักยิ้มบุ๋มลึกทรงเสน่ห์ที่ข้างขวา

เห็นแค่นี้ก็จำได้แล้วว่าเขาเป็นใคร

โฬม ลภณ

........

.....

...

..

.

เฮือก!

ผมสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยเหงื่อโทรมกาย ผ้าม่านกระพือให้เห็นว่าภายนอกมืดสนิท ผมหันซ้ายหันขวา ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมอกที่อวัยวะภายในสั่นแรงจนได้ยินเสียงมาถึงข้างนอก

ฝัน

เมื่อกี้ผมฝัน

ผมบอกตัวเอง ลูบปลอบโยนหัวใจที่ยังกระแทกอย่างแรงเบาๆ ขณะพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อคลายความตื่นตกใจ เครื่องปรับอากาศส่งเสียงหึ่งๆ ไฟบนเพดานยังเปิดสว่างโร่ รวมถึงนาฬิกาบนโทรศัพท์ที่บอกเวลาตีสี่กว่า

ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ หลังจากกลับมาจากทำงานตอนสี่ทุ่ม ผมก็นอนเอกเขนกเล่นโทรศัพท์ แล้วจู่ๆ ภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

แต่ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าผมหลับไปตอนไหน

สิ่งที่ควรสนใจคือทำไมผมถึงฝันอะไรแบบนี้ได้!!

ผมขยี้ศีรษะจนหัวยุ่ง ทึ้งมันอยู่นานก็ไม่อาจสร้างความสงบแก่จิตใจ วันนี้น่าจะถอนหายใจรวมกันมากกว่าทั้งชีวิตเสียอีก ผมเม้มปาก รสสัมผัสในฝันที่เคยเด่นชัดค่อยๆ เลือนลายลง แต่หัวใจผมไม่อาจหยุดเต้นได้อีกเลย

ผมไม่เคยมีจูบแรก แต่กลับฝันเป็นตุเป็นตะเหมือนจริงออกมาได้แบบนั้น

ผมว่าผมหมกมุ่นเรื่องที่โฬมจะจูบผมมากเกินไป

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจอีกครั้ง เบ้หน้ามองจอโทรศัพท์ที่ไม่มีแจ้งเตือนอะไรเข้า สบถกับตัวเองสองสามคำก่อนจากลากสังขารยุ่งเหยิงไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ

คืนนี้คงนอนไม่หลับแล้วแน่ๆ








หลังจากคืนนั้น ผ่านมาได้สามวันแล้ว ไลน์ของผมเพิ่งมีแจ้งเตือนเข้าเมื่อวาน เพราะโฬมส่งทำนองทั้งเพลงมาให้ รวมถึงเนื้อร้องที่เพิ่มขึ้นจากเดิมท่อนหนึ่ง

ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าเขามีความสามารถ

แต่ช่วงนี้สติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทางคอร์ดกีตาร์ที่โฬมส่งมา ผมพยายามที่จะเอามามิกซ์เข้ากับบีทดนตรีเพื่อให้เหมาะกับแนว Hip-Hop แต่ไม่ว่าจะแก้ไฟล์กี่ร้อยกี่พันครั้ง ผมก็ไม่พอใจกับมันสักที

วันนี้ผมเลยมาขลุกอยู่กับพี่ยุทธและลูกสมุนทั้งสองในห้องสตูดิโอของบริษัท พวกพี่เขาก็ยังหัวปั่นเหมือนเคย ค่ายเพลงนี้ไม่ได้ยักษ์ใหญ่มากจนมีทีมงานเยอะ แต่ถ้าถามว่ามีชื่อเสียงไหมก็มีส่วนแบ่งในตลาดพอสมควร ในค่ายมีทีมโปรดิวเซอร์อยู่สองทีม แต่ผมสนิทกับทีมพี่ยุทธเพราะทำเพลงกันมาตั้งแต่แรก ส่วนอีกทีมนั้นดูแลเพลงอีกแนวเลยไม่ค่อยได้เจอกัน

ผมนอนเอกเขนกบนโซฟาที่เดิม มองพี่ๆ เขาทำงานหน้าดำคล้ำเครียด เห็นแล้วก็ไม่กล้ารบกวนเลยได้แค่จิ้ม Garageband* บนไอแพดเล่น (*แอพลิเคชั่นสำหรับใช้สร้างดนตรีและเพลงที่เน้นรูปแบบใช้งานง่าย ป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ย่อย ในชุดซอฟต์แวร์ของไอไลฟ์ ที่ผลิตโดยบริษัทแอปเปิล) พี่ยุทธเคาะโต๊ะโยกหัวเบาๆ ขณะสวมหูฟังครอบอันใหญ่ พี่คนอื่นก็กำลังหัวปั่นอยู่หน้าจอไม่ต่างกันนัก

ผมนั่งแต่งทำนองบีทของตัวเองไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะถึงเวลาพักของพวกพี่ๆ แล้วจะได้สาธยายความอึดอัดใจให้ได้ฟังสักที อันที่จริงผมอยากโทรไปปรึกษาเพื่อนสนิทที่เป็นเกย์ของผมมาก แต่มันกลับวุ่นวายอยู่กับการทำงานหาเงินอยู่ เลยได้แค่วางสายไปอย่างหงอยๆ

กว่าครึ่งชั่วโมงนั่นแหละพี่ยุทธถึงได้วางหูฟังแล้วเริ่มบิดขี้เกียจ ร่างอวบอ้วนของพี่แกขยับลงมาจากเก้าอี้เลื่อน เอนตัวลงนอนบนพื้นแล้วหันมาทางผม

“อะไรของเอ็ง ไอ้สกาย หน้าตาเหมือนอดหลับอดนอน”

“ผมแต่งเพลงไม่ได้เลยพี่” ผมบอก ทำปากยื่นปากยาวใส่

“อะไรวะ ปกติไม่เคยมีปัญหานี่” พี่ยุทธขมวดคิ้ว มือซ้ายก็เลิกเสื้อขึ้นแล้วเกาพุงกลมๆ ไปด้วย “หรือเพราะมันเป็นเพลงรัก แต่เอ็งก็แต่งแค่แรปนี่หว่า”

“ผมเครียด”

“เป็นอะไรน้องสกาย” พี่เมฆรามือจากงานแล้วหันมาสนใจผมบ้าง ผมก็เลยได้ทีทำสีหน้าเหมือนโลกจะแตกใส่ทุกคน ผมเด็กสุดในนี้ เด็กกว่าหลายปีด้วยเพราะผมเพิ่งอายุ 24 เลยมักจะได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ อีกทั้งผมเป็นคนอ้อนเก่ง อยู่กับยายมาแค่สองคน ตอนเด็กๆ ก็ไม่กล้าหรอกครับ แต่พอโตมาแล้วต้องย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ พอคิดถึงคุณยายมากๆ ก็เลยลองอ้อนลองออเซาะ ผลลัพธ์ก็เลยทำเป็นมาจนถึงตอนนี้

“พี่ครับ ใครก็ได้ ผมมีเรื่องจะถาม”

“ว่ามาๆ” พี่อ้อยขยับตัวมานั่งบนโซฟาข้างผม ผมเลยต้องลุกขึ้นนั่งอย่างเสียไม่ได้ นอนคุยกับพวกพี่เขาจนชินแล้วครับ ไม่มีใครว่าผมเสียมารยาทเพราะพี่ยุทธก็นอน พี่เมฆตอนนี้ก็กำลังใช้พุงกลมบ๊อกของหัวหน้าต่างหมอนอยู่

“พี่มีจูบแรกกันตอนไหนอ่ะครับ”

“...”

“...” ทุกคนมองผม เหมือนไม่คิดว่าผมจะถามคำถามแบบนี้

และก็เป็นพี่อ้อยที่อ้าปากตอบคำถาผมก่อนใคร “มอสาม กับแฟนคนแรก”

ผมอ้าปากค้าง มอสามนี่เพิ่งอายุสิบห้าไม่ใช่เหรอครับ

“แค่ปากแตะปากเฉยๆ” พี่แกพูดเสริมเมื่อเห็นสีหน้าของผม คราวนี้ผมเลยพยักหน้า ยังไม่หายอึ้งอยู่ดี แต่ก็เลื่อนสายตาไปมองพี่เมฆที่กำลังเม้มปากหน้าแดงอยู่

“มอห้าอ่ะ...”

“หน้าแดงทำไมวะ” พี่ยุทธผงกหัวมองคนบนพุง เห็นคนตัวแห้งตัวแดงเป็นกุ้งก็เลยถามจี้เข้าไปอีก “มีอะไร ไม่ใช่แค่จูบรึไง”

“พี่ยุทธ!”

“นั่นปะไร ไอ้กุ้งแห้งมันร้าย!”

“ฮ่าๆๆ” มีเสียงหัวเราะทั้งจากผมและพี่อ้อยดังสวนกันขึ้นมา พี่เมฆนี่มุดหน้าลงกับพุงหัวหน้าทีมไปแล้ว ในขณะที่คนเป็นหัวหน้าก็หัวเราะจนพุงกระเพื่อมเป็นคลื่นน้ำ

“แล้วพี่ยุทธล่ะครับ”

“กูตั้งแต่มอหนึ่งแล้วครับน้องๆ”

“เฮ้ย จริงป่ะพี่” ผมอ้าปากเหวอ อึ้งพี่อ้อยไม่หาย มีเรื่องให้อึ้งกว่าอีก

“จริงดิวะ กับแมวที่บ้านเนี่ย”

“โห พี่” หลังจากได้รับคำเฉลย ไอ้พี่ยุทธก็ถูกพวกผมรุมโห่ร้องเสียงดัง แต่พี่แกกลับหัวเราะสะใจเอามากๆ พวกเราผลัดกันแกล้งผลัดกันถูกแกล้ง ผมหอบหายใจเพราะหัวเราะจนเจ็บท้อง กลิ้งตัวลงนอนบนตักพี่อ้อยโดยขออนุญาตก่อนแล้ว

ขำจนท้องแข็ง ขำจนนั่งไม่ไหวแล้วครับ

“แล้วคิดไงถามเรื่องนี้อ่ะ” พี่เมฆพูดโพล่งขึ้นมาท่ามกลางเสียหอบหายใจ ผมชะงักทันที พี่คนอื่นสังเกตเห็นเลยยิ่งเค้นคอเข้าไปใหญ่

“ก็... ผมยังไม่เคย”

“เฮ้ย จะเบญจเพศอยู่แล้วนะเอ็ง” พี่ยุทธดูตกใจมากเมื่อได้ยินความจริงจากปากผม

ก็ผมไม่เคยมีแฟน จะไปจูบใคร...

คิดแล้วภาพใครบางคนก็ลอยขึ้นมาในหัว เจ้าของลักยิ้มข้างขวาที่เข้ามาวิ่งเล่นในฝันผมแทบทุกคืน ถ้านับจูบในฝันว่าเป็นหนึ่งจูบ ผมคงเสียไปเกือบสิบแล้วล่ะครับ

โคตรหมกมุ่นเลย ให้ตาย

“งั้นที่มาถามนี่... แสดงว่ามีคนที่อยากจูบป่ะ” อยู่ๆ พี่อ้อยก็โน้มหน้าลงมา ส่งรอยยิ้มแซวมาให้พร้อมดวงตาพราวระยับ ประโยคนั้นประโญคเดียวเรียกเสียงโห่ฮาจนดังลอดออกไปนอกห้องสตูฯ ได้เลย

“เปล๊า!”

“เสียงสูง สารภาพมาเด็กน้อย”

ผมโดนคาดคั้น ถูกพี่สามคนรุมรังแกด้วยการจั๊กกะจี้ที่เอว ผมไม่ใช่คนบ้าจี้ แต่ตอนที่เรากำลังหัวเราะหรืออ่อนไหวกับบางเรื่องอยู่ เส้นประสาทที่เอวก็พร้อมใจทำหน้าที่ของมันอย่างดี

“พี่ พี่ ฮ่าๆๆๆๆ” ผมดิ้น ยกขายกแขนเตะปัดไปทั่ว มีฟาดโดนพี่เขาบ้างแต่พวกชายฉกรรจ์ทั้งสามก็ยังไม่หยุด “พี่ ผม ผม แฮก ผมบอกแล้ว”

กว่าผมจะเป็นอิสระ ผมก็ได้ค้นพบว่าช่วงชีวิตที่เฉียดใกล้ความตายมันเป็นยังไง

ผมที่ดิ้นจนลงมานอนกองบนพื้นหอบหายใจ หน้าดำหน้าแดง เสื้อผ้าก็ยับย่นและเลิกขึ้นมาถึงหน้าอก ผมไม่มีแรงพอจะขยับตัว ตอนนี้กำลังพยายามสูดอากาศเข้าปอดได้มากที่สุด พวกพี่เขาก็ไม่ต่างกัน เพราะต้องต่อสู้กับแรงดิ้นมหาศาลของผม เสียงหอบหายใจของพวกเราทั้งสี่ดังคลอประสานกันแทนบทสนทนา

“พูดมา ไอ้สกาย” พี่ยุทธเร่งเร้า

“ก็... ผมเกือบถูกจูบ”

“ใครวะ ผู้หญิงที่ไหน”

ผมเม้มปาก ไม่ตอบคำถามนั้นโดยเลี่ยงไปพูดอย่างอื่นแทน “นั่นแหละ มันแค่เกือบ แต่หลังจากนั้นผมดันอยากรู้ว่าถ้าจูบจริงๆ จะเป็นยังไง”

“เด็กเวอร์จิ้น”

“เด็กน้อย”

หัวของผมถูกฝ่ามือทั้งสามรุมขยี้จนยุ่งหนักกว่าเดิม

“เดี๋ยวถึงเวลาก็ได้รู้เองนั่นแหละ” พี่ยุทธว่าทิ้งท้าย ก่อนที่ผมจะถูกรังแกอีกครั้งด้วยเรื่องอื่น เหมือนผมเป็นเรื่องบันเทิงเดียวในห้องสตูฯ ที่มีแต่งานกองสุมหัวเลยครับ

ไม่รู้คิดผิดคิดถูกที่มาหาพวกพี่เขา สภาพของผมตอนกลับไปที่คอนโดนี่เหมือนโดนรุมทำร้ายจากคนนับสิบเลย ให้ตาย






ผมไม่ได้เจอโฬมมาอาทิตย์หนึ่ง จนอยู่ๆ เขาก็ไลน์มาว่าแผลหายดีแล้ว และจะเข้าสตูดิโอของผมตอนบ่าย เพราะอยากลองอัดเสียงลงซาวด์

ตอนนี้ผมถึงได้มายืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กับผู้ชายหน้าตาดีผู้มีลักยิ้มมหาเสน่ห์ บรรยากาศระหว่างเรายังคงมีความอึดอัดอยู่ แต่รอยยิ้มของโฬมก็ช่วยปลอบประโลมให้อาการย่ำแย่พวกนั้นค่อยๆ ดีขึ้น

คนตัวไม่ได้พูดถึงเรื่องวันนั้นอีก เขาทำเหมือนลืมไปแล้ว ในขณะที่ผมยังหัวหมุนกับภาพความทรงจำกับความฝันที่ผสมปนเปไม่เลิก โฬมคงสัมผัสได้ว่าผมไม่เหมือนเดิม เขาถึงไม่ค่อยได้เข้ามาคุยและนั่งจมจ่อมอยู่หน้าไมค์กับจอคอมพิวเตอร์ ผมยืนมองอยู่ข้างๆ ฟังเสียงนุ่มหูกับเสียงกีตาร์เพราะๆ

ริมฝีปากของเขาขยับขึ้นลงตามจังหวะคำร้อง ในบางท่อนโฬมก็แลบลิ้นออกมาเลียผิวปากด้านล่าน ก่อนจะขบเม้มเบาๆ ในจังหวะที่ร้องผิดคีย์หรือหลุดทำนอง

ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่จ้องปากของโฬม

ไม่รู้ตัวจนกระทั่งอยู่ๆ อีกคนก็หันมาถามความคิดเห็นว่าเป็นยังไงบ้าง

กรอบหน้าได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมามา ไม่อาจเรียกสายตาผมได้เท่าผิวปากฉ่ำน้ำสีแดงสด วันนี้เขากัดปากบ่อย มันเลยขึ้นสีแดงที่บริเวณด้านใน

ผมเผลอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ดวงตาแห้งผากเพราะลืมวิธีกระพริบตาไปแล้ว

“กาย”

ปากของเขาขยับ ภาพความฝันซ้อนทับเข้ามา ผมเห็นรอยยิ้มของเขากับแสงสว่างที่สะท้อนมาจากด้านหลัง โฬมค่อยๆ เชยคางก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ลมหายใจร้อนชื้น และอัตรการเต้นของหัวใจที่เร่างระดับขึ้นเรื่อยๆ

“สกายครับ”

ผมค่อยๆ หลับตาลง เตรียมรับสัมผัสอ่อนหวานที่ได้ลิ้มลองในทุกค่ำคืน

“สกาย!”

เฮือก!

“คะ ครับ”

“สกายไม่สบายรึเปล่าครับ จะเป็นลมเหรอ” คนตัวสูงผุดลุกจากเก้าอี้ เดินเข้ามาประชิดตัวแล้ววางฝ่ามือทาบลงบนหน้าผาก ผมต้องเงยหน้ามองเพราะเขาสูงกว่า

เหมือนภาพความฝันซ้อนทับเข้ามาอีกแล้ว

ผมเหม่อ ยืนมือไปคว้าจับชายเสื้อโฬม จับจ้องริมฝีปากของเขาที่กำลังขยับพูดอะไรสักอย่าง แต่หูของผมตัดการรับรู้ไปแล้ว

“โฬมครับ...”




ผมอยากจูบ...

__________________________
Talk:
มาแล้ว มาช้าไปวันนึง มัวแต่ไปเที่ยวเล่นอยู่ค่ะ
พอดีวันเสาร์ไปงาน ไทยเกาหลี 60 ปีมา เลยไม่ได้เขียนนิยายเลย

เอาเจ้าสกายมาเสิร์ฟแล้ว
ฮือออ น้องดูหมกมุ่น
พื้นเพน้องโตมากับยาย เป็นเด็กบ้านนอก และเป็นเด็กที่ตามความฝันมาตลอดตั้งแต่เด็ก
ไม่เคยมีแฟน เรียกว่าไม่เคยสนใจดีกว่า เพราะกำลังบ้าแรป บ้าฮิบฮอบ
แต่น้องไม่ได้ใสนะคะ น้องก็คือเด็กป้อจาย แต่น้องแค่ทุ่มเทกับแรปมากกว่าหาแฟน
มันเป็นความอยากรู้อยากลองของเด็กเพิ่งออกจากโลกใบเดิมน่ะค่ะ 555
ถ้านังพี่มันรู้ความในใจน้องนะ เจ้าสกายไม่น่ารอดเงื้อมมือมาร  :hao7:

มีไรจะทอล์คเยอะเนี่ย ยาวไปแล้ว ฝากเจ้าสกายด้วยนะคะ
รักทุกคน ทุกคอมเม้น เพิ่งเจอวิธีตอบเม้น 555 เดี๋ยวว่างๆ มานั่งไล่ตอบดีกว่า

ฝากนิยายอีกเรื่องด้วยค่า
-- เพื่อนวัยเด็ก #เขื่อนคนสวย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68604.0)
แนวเมะหน้าสวยๆ เน้อ
เรื่องนี้จะออกกับ สำนักพิมพ์อ่านนานนะคะ
แวะไปอ่านกันเถอะๆๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 08-10-2018 14:43:51
โอ้ยย น้องน่าร๊ากกก ตอนหน้า จูบเลยๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-10-2018 15:14:36
เอ็นดูสกายย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 08-10-2018 18:50:07
สกายยยยยยอ่อยหรอลูกกกกก
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-10-2018 22:16:28
น้องกายใสมากเลยลูกกกกกกก จะโดนโฬมจูบหรือจะไปจูบโฬมแทนเนี่ย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 08-10-2018 23:09:25
 o13 ชอบมากกกก ...(ชอบทั้งสองเรื่องเลยค่ะ)  o13 ทำไมน้องสกายน่าจับกินซะขนาดนี้นะ  :hao3:
เห็นบอกว่าจะตีพิมพ์เรื่องนี้.... รบกวนสอบถามว่า ทำe-book ด้วยได้ไหมค่ะ??? Pleaseeee  :mew2:
 อยากได้มากแต่ไม่สามารถและไม่สะดวกซื้อเป็นเล่ม ...นะค่ะ pleaseee  :call: e-book ด้วยนะค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 08-10-2018 23:48:50
รุกแล้ว อ้ายยย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 10-10-2018 08:33:57
มาแวะตอบเม้นก่อนครับ
ส่วนตอนใหม่ หนูกำลังปั่น  :katai4: :katai4:
(แต่ขออนุญาตทำงานก่อน แง้)


โอ้ยย น้องน่าร๊ากกก ตอนหน้า จูบเลยๆๆๆๆ
จะจูบไม่จูบดีน้าาาา พี่โฬมจะจูบไหมคะ //ยื่นไมค์
โฬม:... //พุุ่งเข้าหาน้องสกายไปแล้วค่ะ...  :katai1:

เอ็นดูสกายย
เอ็นดูน้องด้วยนะคะ น้องไม่เคยยยย  :katai2-1:

สกายยยยยยอ่อยหรอลูกกกกก
สกาย: ผมเปล่า ผมแค่อยากรู้ (' ')

น้องกายใสมากเลยลูกกกกกกก จะโดนโฬมจูบหรือจะไปจูบโฬมแทนเนี่ย
//ยื่นไมค์ให้น้อง
สกาย: ใครจะไปจูบโฬมกันครับ!!! //ภาพตัดมาที่ฉากข้างบน

o13 ชอบมากกกก ...(ชอบทั้งสองเรื่องเลยค่ะ)  o13 ทำไมน้องสกายน่าจับกินซะขนาดนี้นะ  :hao3:
เห็นบอกว่าจะตีพิมพ์เรื่องนี้.... รบกวนสอบถามว่า ทำe-book ด้วยได้ไหมค่ะ??? Pleaseeee  :mew2:
 อยากได้มากแต่ไม่สามารถและไม่สะดวกซื้อเป็นเล่ม ...นะค่ะ pleaseee  :call: e-book ด้วยนะค่ะ
งื้อ ขอบคุณนะคะะะะะะ กอดดดดดด  :hao5:
เจ้าสกาย --> จะรวมเล่มกับสนพ.ฟาไฉค่ะ มี e-book แน่นอน
                  แต่เรายังไม่มีรายละเอียดอะไรเพราะเนื้อเรื่องยังไม่ถึงไหนเลย เขียนสดลงสดอยู่ทุกวันนี้ แง้
เขื่อนคนสวย --> จะรวมเล่มกับสนพ.อ่านนานค่ะ
                  เรื่อง E-book เราจะถามทางสนพ. ให้อีกทีนะคะ พอดีเป็นสนพ.เปิดใหม่

รุกแล้ว อ้ายยย
รุกแล้ว แต่เป็นน้องสกายที่รุกแทน รู้สึกสลับกันแปลกๆ ค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2 + แวะมาตอบเม้น
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 10-10-2018 13:40:22
น้องสกายน่ารัก เป็นความสดใส คืนชีวิตชีวาให้กับกับพี่โฬมอีกครั้งนะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2 + แวะมาตอบเม้น
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 10-10-2018 23:49:33
สกายน่ารักกก  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 8 [08-Oct-18] P.2 + แวะมาตอบเม้น
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 11-10-2018 10:12:12
เอ็นดูจังลูกกกก ฮือออ

จะรุกพี่เค้าก่อนซะงั้น  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 11-10-2018 15:30:45
บทที่ 9



“เป็นอะไรครับ” ฝ่ามืออุ่นแตะลงที่ข้างแก้มของผม สีหน้าของโฬมดูเป็นห่วงเอามากๆ เขาลูบผิวหน้าของผมเบาๆ วัดอุณหภูมิร่างกายที่หน้าผากแล้วพยายามจะพาผมไปนั่งพักที่โซฟา

ในขณะที่ผมยังคงวนเวียนอยู่กับการเฝ้ามองริมฝีปากของเขาขยับ

แขนแกร่งโอบไหล่แล้วประคองผมให้เดินไปยังโซฟาอีกฝั่งของห้อง ก่อนจะรีบควานหายาดมในกระเป๋ากางเกงมาให้ ผมรับไว้ หมุนเปิดฝาแล้วยกขึ้นมาแตะที่รูจมูก กลิ่นหอมเย็นๆ ช่วยให้สมองโล่งขึ้นกว่าเดิม ผมตั้งสติ ปลอบประโลมหัวใจที่เต้นระรัวไม่ยอมหยุด

อยากทึ้งหัวตัวเองเอามากๆ

ถ้าไม่ติดว่ายังไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนบ้า ผมคงขยี้หัวไปด้วยแหกปากกรีดร้องไปด้วยแล้ว

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาแตกวัยหนุ่มเอาตอนอายุยี่สิบสี่ ทำตัวไม่ต่างกับเด็กมอต้นที่เพิ่งริเริ่มมีความรักและความต้องการ ผมเม้มปาก หลุบตามองหน้าตักตัวเองแล้วปล่อยให้โฬมใช้สมุดในมือโบกพัดให้

อันที่จริงผมไม่ได้หน้ามืดจะเป็นลม แต่ผมไม่กล้าบอกความจริงกับเขาว่าที่หลับตาพริ้มรอนั้นเพราะต้องการให้เขา...จูบ เลยได้แต่ตีเนียนไม่สบายไป

แต่คิดเองก็กระดากเอง หน้าของผมเห่อร้อนขึ้นมาจนคนที่กำลังเป็นห่วงทวีความตกใจมากขึ้นไปอีก

“สกาย ไปหาหมอไหมครับ หน้าแดงหมดแล้ว”

ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน ทำท่าจะขยับตัวออกห่างจากผู้ชายที่เขยิบเข้ามาชิด แตะหน้าแตะหลังผมราวกับต้องการสำรวจให้แน่ใจ แต่แตะไปก็เท่านั้น ตัวผมเย็นชืดจากอากาศในห้อง มีแค่ใบหน้าที่เห่อร้อนขึ้นมาจากความเขินอาย

“ท่าทางไม่ดีเลยนะครับ”

“ผมไม่เป็นไรครับ โฬมไปอัดเสียงต่อก็ได้นะ” ผมบอกทั้งๆ ที่ยังไม่ยอมสบตา ชี้นิ้วไปที่คอมพิวเตอร์ซึ่งยังเปิดโปรแกรมตัดต่อเพลงค้างไว้

“เดี๋ยวค่อยก็ได้ครับ ผมเป็นห่วงสกาย”

ผมไม่รู้ว่าปกติคนเรารับมือกับอารมณ์ตัวเองยังไง

ทำไมวันนี้ผมดูควบคุมอะไรไม่ได้ เหมือนนี่ไม่ใช่ตัวผม เหมือนผมไม่เคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์มาก่อน มือผมสั่น มีเหงื่อเม็ดเล็กซึมผ่านไรผม

ผมคนก่อนหน้าที่จะเป็นแบบนี้นี่เป็นคนยังไงกัน ทำไมตอนนี้ในหัวผมมีแต่ความคิดน่าอายมากมายแบบนี้ ผมอยากกระชากคอเสื้อเขาเข้ามาเลยด้วยซ้ำ อยากกดเขาลงบนโซฟาแล้วบอกว่าช่วยสอนผมหน่อย

ฮือ ผมต้องสติแตกไปแล้วแน่ๆ เลย

“สกายครับ สกาย” โฬมที่เห็นผมเบ้หน้าเบ้ตาก็ร้องเรียกอย่างตกใจ วันนี้ผมทำเขาตกใจไปกี่ครั้งแล้วไม่รู้ มือหนากอบกุมใบหน้าผมไว้ทั้งสองข้าง จับให้หันไปหาก่อนรั้งให้เชิดขึ้นสบตา

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนต้องแสงไฟเห็นเป็นประกายระยับ จมูกโด่งสวยอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แม้โฬมจะไม่ได้โน้มหน้าเข้ามาใกล้เพราะเขาแค่ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงขมับทั้งสองข้างให้ แต่ผมกลับเห็นใบหน้าของโฬมขยายขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ใช่ภาพความฝันซ้อนทับหรือผมละเมอเพ้อพกไปเองหรอกครับ

โฬมไม่ได้ขยับตัวก็จริง แต่เป็นผมเองที่เคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาเขาช้าๆ

“สกาย?”

ริมฝีปากของเขาขยับเรียกชื่อผมอีกแล้ว เนื้อนุ่มตรงนั้นก็ยังมีสีแดงระเรื่อ ผมมองเห็นลิ้นของเขาขยับไปมาตอนเอื้อนเอ่ย เห็นดวงตาคู่สวยที่เบิกกว้างขึ้น เห็นผิวเนียนเรียบในระยะใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

และเป็นผมเอง ที่ประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนปากของอีกฝ่าย

เป็นผมเอง ที่ยกมือขึ้นโอบรอบลำคอของเขา วางฝ่ามือไว้ที่หลังคอแล้วกดศีรษะคนที่ทำท่าจะผละออกให้ไม่อาจขยับหนีไปไหนได้

และเป็นผมเอง ที่ปล่อยให้ริมฝีปากของเราสัมผัสกันอยู่อย่างนั้น โดยที่ทำส่วนต่อไปไม่ถูก

ผมเงอะงะเพราะจูบไม่เป็น พยายามเคลื่อนริมฝีปากให้เหมือนในภาพฝัน ขบเม้มริมฝีปากของโฬมที่ทั้งร่างของเขาหยุดนิ่งไม่ไหวติงไปแล้ว ผมเหวี่ยงขาขึ้นมานั่งทับเข่าบนโซฟา เพราะท่าเมื่อกี้มันทำให้ผมปวดคอและเอวเอามากๆ ตอนนี้ร่างกายของพวกเราจึงใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิม

ก็เป็นผมเองอีกนั่นแหละที่ขยับเข้าไปใกล้เขาก่อน

โฬมไม่ได้ตอบสนองอะไรทั้งนั้น มือที่เคยนวดขมับก็ปล่อยทิ้งตามแรงโน้มถ่วง ในขณะที่ผมยังพยายามหยอกล้อเล่นกับริมฝีปากของเขาอย่างสนุกสนาน

ผมละเลียตความนุ่มของผิวบริเวณนั้นด้วยการกดปากลงเบาๆ และถอนออก ก่อนจะกดลงไปใหม่ มันไม่เหมือนกันการเอาปากไปชนกับหมอนหรือแก้มคนอื่น มันดีกว่ามากเพราะเมื่อริมฝีปากเราแตะกัน ผมจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่มีกลิ่นของมิ้นต์อ่อนๆ

ผมลองแหย่ลิ้นเข้าไปตามรอยแยกของกลีบปาก แต่เมื่อเจอกับกำแพงฟันแน่นหนาก็ทำอะไรไม่ถูก เลยได้แค่แตะเลียไปรอบๆ ก่อนจะดึงลิ้นกลับมาแบบโง่ๆ

สัมผัสนุ่มนวลพวกนี้เพียงพอแล้วที่จะดับความวุ่นวายในหัว ผมค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมา พลางคิดหาข้อแก้ตัวไปด้วย หวังว่าโฬมจะไม่โกรธและรังเกียจ ผมอาจจะต้องชิงขอโทษก่อนที่เขาจะด่า ใช่ ผมต้องขอโทษก่อนเป็นอย่างแรก!

“โฬม ผมขอ- อื้อ”

ผมพูดไม่ทันจบประโยค ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นมามอง ริมฝีปากยังถอยห่างกันได้ไม่ถึงห้าเซนต์ ร่างของผมก็ลอยหวือไปกระแทกเข้ากับแผงอกแข็งแรง ริมฝีปากที่เมื่อกี้ถูกผมรุกรานกำลังกดลงมาบนปากของผม ท่อนแขนแกร่งโอบรอบบั้นเอว โฬมรั้งให้ผมขยับไปนั่งคร่อมบนตัก กดศีรษะผมให้ก้มต่ำก่อนที่เขาจะบดขยี้เรียวปากผมช้าๆ

“อื้อ” ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อมีบางอย่างพยายามดุนดันเข้ามาในปากของผม ความเปียกชื้นของมันทำให้พอเดาได้ว่าคืออะไร โฬมกำลังพยายามจะสอดลิ้นเข้ามา ส่วนผมที่ไม่เคยจูบมาก่อนเลยทำได้เพียงหลับตาปี๋แล้วกัดฟันแน่น

แผ่นหลังของผมถูกลูบเบาๆ รวมถึงข้างแก้มด้วยเช่นกัน นิ้วของโฬมที่สากนิดๆ นวดคลึงอยู่ตรงกรอบหน้า ก่อนจะกดลงที่บริเวณกรามเพื่อบังคับให้ผมแยกฟันบนล่างออกจากกัน และเขาก็ทำสำเร็จเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นของอะไรบางอย่างที่กำลังแตะหยอกลิ้นของผมเล่น

หูของผมอื้ออึงรวมถึงสมองที่ขาวโพลนไปหมด รับรู้เพียงแค่สัมผัสบนริมฝีปากที่เคล้าคลึงกันไม่เลิก โฬมค่อยๆ สอนให้ผมรู้ว่าควรทำยังไง เขาดูดดุนริมฝีปากล่างของผม ผมก็ขบเม้มทำตามอย่างว่าง่าย เขาแทรกเรียวลิ้นเข้ามาหยอกเอิน ผมก็ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะใช้อวัยวะเดียวกันให้เป็นประโยชน์บ้าง ความเชื่องช้านี้ทำให้กินเวลาไปหลายนาที ผมหอบหายใจหนักเพราะอากาศเข้าปอดไม่ทันใช้ แต่ก็ไม่ยอมที่จะผละออกมา

หัวใจของผมพองโต ยิ่งยามที่ถูกลูบแก้มเบาๆ พร้อมกับลิ้นชื้นที่กระหวัดเกี่ยวแลกเปลี่ยนน้ำลาย ผมครางฮือ ทิ้งน้ำหนักตัวลงสู่อ้อมกอดของเขาจนหมด ลมหายใจติดขัดทำให้ทรมาน ผมรู้ว่าตัวเองต้องถอนปากออกมาได้แล้ว แต่กลับยังไม่ยอมทำตามที่สมองสั่ง ผมมัวเมากับรสจูบที่ดียิ่งกว่าในความฝัน อุณหภูมิความร้อนจากร่างกายคนช่วยให้หัวใจอุ่นซ่าน กลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ สุดชื่นกว่ากลิ่นหอมจากอะไรทั้งสิ้น

ผมลุ่มหลงกับรสจูบนี้ราวกำลังติดยา

พยายามแนบริมฝีปากลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้ว่าโฬมจะตบหลังให้ผมพอได้แล้ว ลำตัวของพวกเรากอดเกี่ยวแนบชิดกันจนเครื่องปรับอากาศไม่สามารถแทรกไอหนาวเข้ามาได้ ผมไม่สนใจว่าผมจะนั่งอยู่บนตักของโฬมแล้วมีอ้อมแขนแกร่งโอบกอด ผมสนแค่การเคลื่อนไหวของอวัยวะบนใบหน้า มอบความหอมหวานให้แก่กันอย่างไม่รู้จักพอ

ถึงว่าใครๆ ก็บอกว่าจูบนั้นมีรสชาติหวานล้ำ

ผมเคยสงสัย ว่าน้ำลายคนมันจะไปหวานได้ยังไง แต่ในวันนี้ผมได้รู้แล้ว ว่าสิ่งที่หวานคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนที่เราจูบกัน ไออุ่นและลมหายใจที่ค่อยๆ แลกเปลี่ยน อัตราการเต้นของหัวใจในจังหวะที่หนักขึ้น ความแนบแน่นของอ้อมกอด และไอเย็นทีแทรกซึมเข้ามาตอนที่ต่างฝ่ายต่างค่อยๆ ถอนใบหน้าออกจากกัน

ผมหอบแฮก ทิ้งหน้าซบไหล่กว้างของโฬม มือทั้งสองกำเสื้อเขาแน่น ริมฝีปากผมบวมเจ่อจนไม่อาจขบกันได้สนิท แต่ที่แย่กว่านั้นคือหัวใจของผมที่กำลังจะกระดอนออกมาจากอกข้างซ้าย

สติของผมค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างกาย หลังจากมันหายไปตั้งแต่หลายวันก่อน ผมกัดปากตัวเองอย่างแรง อยากลุกออกจากตักของโฬมแต่ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงต่อ เลยได้แต่นั่งซบหน้าอยู่แบบเดิม ท่ามกลางความเงียบที่ต่างรอคอยว่าใครจะเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน

ผมไม่รู้ว่าโฬมทำหน้ายังไง เพราะเขาก็นิ่งไม่ต่างกัน

ภายในห้องสตูฯ มีเพียงเสียงหายใจที่ดังคลอเคล้าจนแยกไม่ออก ผมไม่อาจปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานกว่านี้ เลยขยับตัวหมายจะลุกออกจากท่านั่งน่าอับอาย แต่อ้อมแขนที่รัดเอวไว้กลับไม่ยอมผ่อนแรงลง

“เอ่อ...” ผมเหล่ตามองอย่างอื่น หลบสายตาที่เอาแต่จ้องหน้าผมไม่วาง

“สกายจะไปไหนครับ” โฬมถาม เสียงของเขาแผ่วเบาแต่ก็ยังอบอุ่นเหมือนเคย

หัวใจผมเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าแค่ได้ยินเสียงของเขาแค่นี้ทำไมถึงต้องเต้นแรงกว่าเก่า ผมเม้มปาก ชี้นิ้วออกไปมั่วๆ ที่ประตูห้อง

“ห้องน้ำครับ”

“ไม่คุยกันก่อนเหรอครับ”

ไม่คุยไม่ได้เหรอครับ?

ผมถามในใจ ใครจะไปกล้าพูดตรงๆ กัน

“สกาย”

“ผม...” อยู่ๆ ลิ้นก็แข็ง ปากก็หนักจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ผมบดขยี้ริมฝีปากตัวเองเข้าหากัน เสตาไปมองทางโน้นทีทางนี้ที “คือ... ผมเพิ่งจะทำบีทไว้ เดี๋ยวไปเอามาให้ฟังนะครับ”

ผมอ้าง จริงๆ บีทจะเอามามิกซ์กับทำนองของโฬมยังไม่เสร็จ ไอ้ที่พูดถึงคือตัวที่ผมทำแล้วแก้ ทำแล้วลบไว้สิบกว่าเวอร์ชั่นนั้นต่างหาก จริงๆ ผมไม่ชอบให้ใครฟังผลงานที่ยังเป็นชิ้นเป็นอันของผมเลย แต่ตอนนี้ก็ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดก่อนละวะ!
ประเด็นเก่าวันนั้นยังมองหน้ากันไม่ติด

ประเด็นใหม่วันนี้เรื่องใหญ่กว่าเดิมสิบเท่าเลย ให้ตาย

“เดี๋ยวค่อยฟังก็ได้ครับ” แต่โฬมกลับไม่ช่วยผมเลยสักนิด เขายิ้ม กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น พร้อมกับพยายามสบตากับผมให้ได้ “เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะไม่ใช่เหรอครับ”

“เอ่อ...”

“สกายครับ”

“คะ ครับ”

“ทำไมสกายถึงจูบครับ”

ฮืออ ใครก็ได้เอาน้ำมาสาดผมที

ผมว่าผมกำลังจะถูกเผาทั้งเป็น ร่างกายผมร้อนจนเหมือนยืนอยู่กลางกองเพลิงที่กำลังลุกโชน ผมเผลอกลั้นลมหายใจ หลีกเลี่ยงสบดวงตาสีน้ำตาลที่กำลังพราวระยับ

“ผม...”

“ว่าไงครับ” โฬมโน้มหน้าเข้ามาใกล้ คลอเคลียจมูกเข้ากับข้างแก้ม ผมที่ถ้าเป็นปกติคงผลักเขาออกกลับทำเพียงก้มหน้าหงุดหลบซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อของตัวเอง

นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับตัวผม!

แค่จูบจูบเดียวทำผมเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ ใครก็ได้ตอบผมที ทำไมผมต้องมานั่งอยู่บนตักเพื่อนร่วมงาน โดนเขาเอาจมูกมาไถแก้ม แล้วถามถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงกระโดดไปจูบปากเขา

แล้ว ผม จะ ตอบ ยัง ไง!

“สกาย”

“...” ผมเงียบ คิดจะเล่นสงครามประสาทกับเขา

ผมไม่มีทางตอบคำถามบ้านั่นแน่

เขาจะรู้ไม่ได้ว่าผมประสาทกินมาหลายวันเพราะอยาก... เอ่อ นั่นแหละ อยากลอง จริงๆ ผมควรจะเป็นคนจี้ถามโฬมด้วยซ้ำว่าทำไมวันนั้นถึงได้ทำท่าจะแอบลักหลับผม ผมควรจะเป็นฝ่ายถามและกดดันเขา แต่ตอนนี้ผู้ร้ายขโมยจูบกลับกลายเป็นผมซะเอง

ให้ตายเถอะ!

“สกาย”

“...”

“ฟ้าครับ”

ใครฟ้าครับ

ผมขมวดคิ้ว ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของเสียงเรียก ผมจำได้ว่าตอนแรกที่เขาโทรมาโฬมก็เรียกผมว่าฟ้า ทำไมต้องฟ้า ผมชื่อสกาย สกายที่แปลว่าท้องฟ้าก็จริง

แต่ชื่อสกายมันเท่กว่านี่ครับ

“ฟ้า”

“ชื่อสกายครับ” ผมบอก คิ้วนี่ขมวดจนหน้าผากย่นไปแล้ว

“ฟ้าครับ”

“...”

“จีบนะครับ”

อะ อะไรนะครับ!!

ผมอ้าปากเหวอ มองรอยยิ้มเต็มแก้มที่ส่งมาให้ มองดวงตาสีน้ำตาลที่ต้องไฟจนกลายเป็นสีอ่อน มองใบหน้าดูดีที่ยอมถอยห่างออกไปในระยะปกติ

จีบ... เหรอ

จีบผมเหรอ!

“ผมชอบสกายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลย” โฬมบอก เขาไล้นิ้วโป้งไปตามเรียวปากล่างของผมเบาๆ ในขณะที่ผมอึ้งกิมกี่อยู่บนตักของเขา “ทั้งรอยยิ้ม ทั้งความคิดของสกาย”

“เอ่อ ผม...”

“ไม่ต้องตอบหรอกครับ สกายแค่ทำตัวปกติเหมือนเดิม”

แล้วผมจะทำตัวปกติได้ยังไงละครับ...

“สกายเป็นสกายแบบนี้ก็น่ารักมากๆ แล้วครับ”

“...”

“ให้ผมเรียกว่าฟ้านะ” เขาบอก มือก็ยังลูบแก้มผมเบาๆ ไม่ยอมหยุด “ให้ผมเรียกฟ้าว่าฟ้าแค่คนเดียว”



_____________________________
Talk:
มาแบบสั้นๆ 5หน้า A4 กับฉากๆ เดียวแต่จะเปลี่ยนเนื้อเรื่องครั้งใหญ่!
ที่เราตัดจบแค่นี้ เพราะตอนนี้เมนไอเดียเรามีแค่ให้พี่โฬมรุกน้องตรงๆ เลิกเนียนได้แล้วว
ส่วนเจ้าสกายเอ๋อแดกไปแล้วค่า 5555

มาเดากันดีกว่า เจ้าสกายจะขอพี่โฬมจูบอีกหรือเปล่าน้า  :hao3: :hao3:
ฝากผลงานเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ
รักทุกคนนนน  :-[ จะรีบมาต่อค่า
อาจจะ 2 วันบ้าง 3 วันบ้างเนอะๆ

โปรเจคจบเราใกล้จะต้องส่งแล้ว แง้ๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 11-10-2018 16:18:37
จีบเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-10-2018 18:01:45
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 11-10-2018 18:24:41
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 11-10-2018 18:50:57
นั่งกัดปากตัวเองจนปากแตก ; - ; การกลั้นยิ้มที่ได้เลือด :hao5: :hao5: เราได้เขินแทนสกายไปหมดแล้วววว
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-10-2018 22:29:52
แน่ะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-10-2018 22:43:50
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-10-2018 00:19:10
ไม่ได้ทำเพลงกันเลยวันนี้  :o8:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 9 [11-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 12-10-2018 11:18:11
 :-[ โอ๊ยยยย... น้องฟ้าาาาาาา ....  :-[ ฉากนี้ฉากเดียวทำเราตายยยยด้วยความอิจฉาตาร้อนอย่างมากกก  :heaven  o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 10 [15-Oct-18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 15-10-2018 22:35:38
บทที่ 10




ผมกลับมาที่คอนโดพร้อมอาการเหม่อลอย อยู่ๆ ความทรงจำหลังจากที่ถูกเรียกว่าฟ้าจนกระทั่งมานั่งจุ้มปุ้กอยู่บนเตียงของตัวเองก็หายไป แต่สิ่งที่ยังติดค้างอยู่กลับเป็นสัมผัสอุ่นชื้นที่ปากกับเสียงทุ้มที่กระซิบเบาๆ อยู่ข้างหู

ตุบ!

ผมฟาดหน้าตัวเองลงบนหมอน มุดไว้จนหายใจแทบไม่ออก แต่ก็ไม่ยอมขยับตัวลุกขึ้นมาอยู่ดี อะไรบางอย่างที่ฉายวนเวียนอยู่ในหัวกำลังทำให้ผมบ้า

จูบ...

นั่นคือจูบจริงๆ

มันไม่เห็นเหมือนในความฝันเลยสักนิด สิ่งที่จินตนาการกับความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันอย่างมหันต์ ผมเม้มปากบดริมฝีปากบนล่างเข้าหากัน พยายามไม่คิดถึงมันอีกแต่สุดท้ายก็อดนึกถึงไม่ได้

ผมกระชากผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง มือก็คว้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายตรงถึงเพื่อนที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงแล้ว ‘เก่งกาจ’ ผู้ชายที่เป็นเจ้าของเรื่องราวน่าเศร้ากับชีวิตของเพศทางเลือกไม่ยอมติดต่อผมมาอาทิตย์กว่าๆ แล้ว ไลน์ก็ไม่อาจ โทรไปก็ไม่รับ ผมก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันแต่เพราะเก่งกาจมันชอบหายหัวอยู่บ่อยๆ เลยทำได้แค่ส่งข้อความทิ้งไว้ว่าสะดวกก็โทรกลับมาบ้าง

แต่วันนี้ผมต้องการมัน!

ผมเปิดลำโพงแล้วนอนมุดหน้ากับหมอนระหว่างรอปลายสายกดรับ นานจนสายเกือบตัดไปแล้วถึงได้ยินเสียงแหบๆ ของเพื่อนสนิทดังลอดออกมาจากลำโพง

[ว่าไง]

“เก่ง ช่วยด้วย”

[เฮ้ย เป็นอะไร!] จากที่เสียงปลายสายเนือยๆ เหมือนขี้เกียจคุย อยู่ก็แหกปากตะโกนลั่นจนผมต้องดึงโทรศัพท์มือถือออกห่างๆ [สกาย เกิดอะไรขึ้น]

ผมจับน้ำเสียงร้อนรนของเพื่อนได้ และเมื่อผมไม่ตอบ เก่งกาจก็ยิ่งถามย้ำมาทุกวินาทีด้วยความเป็นห่วง

ปกติจะเป็นเก่งที่มาขอความช่วยเหลือผม เอาง่ายๆ คือชีวิตผมไม่เคยมีปัญหาอะไรที่ยากเกินจะจัดการด้วยตัวเอง ผมเป็นแหล่งพลังงานและชักโครกที่ดีสำหรับเพื่อน แต่เพื่อนจะไม่เคยได้ทำหน้าที่นั้นเพื่อผมเลยสักครั้ง

ผมเป็นคนควบคุมมสถานการณ์ทุกอย่างได้ดี เก่งกาจเคยบอกมา เขาถึงชอบโทรมาคร่ำครวญโวยวายใส่ผมก่อนจะกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายต่อ

และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

ก็ไม่แปลกถ้าเก่งกาจจะตกใจจนแทบคว้ากระเป๋าตังค์แล้วบึ่งมาหาผมที่คอนโด

“ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์” ผมบอกเสียงเบา งึมงำในลำคอจนปลายสายแทบจะด่ากราดด้วยความหงุดหงิดผสมร้อนใจ “เดี๋ยวไปหาที่ห้อง”

[ให้กูไปหาไหม?]

“ไม่เอา”

[เออ ขับรถดีๆ] และบทสนทนาก็จบลงอย่างว่องไว

เก่งรู้ว่าผมไม่ชอบให้คนแปลกหน้าขึ้นห้อง มันเลยไม่เซ้าซี้เมื่อผมปฏิเสธไป

ผมยอมลุกขึ้นจากหมอนและผ้าห่มที่เอามาคลุมๆ เพื่อหวังว่ามันจะระงับอาการแปลกประหลาด แต่เมื่อไม่เป็นผลจึงหันหาที่พึ่งอย่างอื่น ผมไม่ได้พิถีพิถันกับการแต่งตัวอีกแล้วเมื่อภายในใจร้อนรนด้วยกระแสความรู้สึก ผมหยิบเสื้อยืดผ้าเรย่อนสีแดงก่ำกับกางเกงผ้ายืดสีเทาเข้มมาสวม รองเท้าก็เป็นแตะคู่ใจที่ดูดีพอให้ใส่ออกไปข้างนอกได้ พร็อพอื่นๆ ถูกผมเมินจากความรีบร้อน สุดท้ายทั้งเนื้อทั้งตัวผมก็มีแค่กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ที่ยัดๆ ใส่ถุงผ้าใบเล็กมาด้วย

ผมขับรถออกมาจากคอนโดตอนสองทุ่มกว่า ไม่ได้กินข้าวเย็นและกะว่าจะไปชวนเพื่อนสนิทที่ไม่เห็นหน้ามาเป็นเดือนๆ สั่งอาหารเข้าไปกินในห้องพัก เก่งกาจมาเช่าหออยู่ใกล้ที่ทำงานใหม่ เห็นว่าหัวหน้าใจดีและไม่เหยียดเพศ รวมถึงผู้หญิงในที่ทำงานก็ล้วนเป็นสาววายกันเกือบหมด ดูเหมือนชีวิตมันจะดีขึ้น

ยกเว้นเรื่องความรักที่เพิ่งอกหักไปเมื่อไม่นานมานี้


“เพราะพวกเราไม่มีทางเลือกมากนัก คนส่วนมากเลยให้ความสำคัญกับเซ็กส์มากกว่า”
“ความรักสำหรับพวกเราเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมน่ะครับ”



อยู่ๆ คำพูดของโฬมก็เด้งเข้ามาในหัวระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ ตอนติดไฟแดง ผมเคาะปลายนิ้วลงบนพวงมาลัย นึกย้อนไปถึงชีวิตรักแสนเศร้าของเพื่อนตั้งแต่แรกก็เริ่มจะพอเข้าใจแล้วว่าอะไรๆ มันคงยากจริงๆ

แต่เก่งกาจมันก็ยังตามหาความรักของมันจ่อไป แม้จะโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะโดนกีดกัน โดนด่าหรือทำร้ายจิตใจแค่ไหนมันก็เลือกที่จะไขว่คว้าต่อไป

ต่างกับผมที่ไม่แม้แต่จะสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลยสักนิด

“ฟ้าครับ จีบนะครับ”

เพราะแบบนี้ ตอนที่โฬมพูดคำนี้ออกมา ผมถึงทำได้แค่มองหน้าเขานิ่งๆ แล้วปล่อยสมองขาวโพลนไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีทั้งการปฏิเสธหรือตอบตกลง ทุกอย่างถูกทำให้เบลอแล้วจางหายไปอย่างง่ายๆ ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นโฬมทำตัวยังไงต่อ บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน หรือสีหน้าของเขาตอนที่เห็นว่าผมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยเป็นยังไง
ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เพราะทำอะไรไม่ถูก สมองถึงได้ชัทดาวน์ไปในทันทีที่เจอข้อมูลที่ยากเกินกว่าจะประมวลผล
ในตอนนี้ผมถึงได้ถ่อสังขารขับรถเข้ามาที่ใจกลางเมือง ฝ่ารถติดสาหัสเพื่อปรึกษาปัญหาร้ายแรงที่สุดในชีวิตกับเพื่อนสนิท

ผมต้องการคำแนะนำเอามากๆ เลย

กว่าจะมาถึงหอพักของเก่งก็กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ผมขึ้นทางด่วนมาต้องสามต่อเลยนะยังใช้เวลาขนาดนี้ ขาของผมล้าจากการเหยียบเบรกทำให้เมื่อลงจากรถก็ต้องสะบัดเตะๆ คลายกล้ามเนื้อ

หอพักของเก่งกาจเป็นตึกสูงประมาณห้าชั้น สภาพยังใหม่และด้านล่างสะอาดเรียบร้อยดี เห็นว่าราคาค่าเช่าก็เกือบครึ่งหมื่นต่อเดือนอยู่เหมือนกัน ผมที่เคยมาช่วยขนของจำห้องพักเพื่อนได้ดีเลยอาศัยช่วงที่มีคนเข้าออกตึกเนียนๆ เดินเข้าประตูไปด้วย
ผมกดลิฟต์ไปที่ชั้นบนสุด เลี้ยวซ้ายนับไปอีกสองห้องก็จะเป็นห้องของเก่ง ไม่ได้อยู่ริมสุดหรือบริเวณที่วิวหน้าต่างดีๆ เพราะตอนมาหาห้องนั้นเหลืออยู่เพียงห้องเดียวทำให้ไม่มีทางเลือก แต่สภาพภายในแม้จะแอบแคบอยู่หน่อยๆ แต่ก็สะอาดและมีเฟอร์นิเจอร์ให้ครบครัน

ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะกำปั้นลงบนประตูไม้ รอไม่นานเก่งกาจก็เดินมาเปิดให้ด้วยสภาพหัวยุ่งกับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว โชว์กล้ามหน้าท้องที่ลำบากลำบนเข้าฟิตเนสมาตั้งแต่มอปลายอวดแก่สายตาคนอื่น ผมที่เห็นจนชินแล้วเลยได้แต่เมินหุ่นล้ำๆ ของเพื่อนแล้วเดินเข้าห้องไป

“ตกลงเป็นอะไรวะสกาย กูตกใจหมด” เก่งกาจเปิดบทสนทนาทันทีที่เขากดล็อคกลอนประตู

ผมกวาดสายตาผ่านความรกรุงรังของห้องชายโสด ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่ไม่แม้แต่จะปูผ้าปูที่นอน เงยหน้ามองสบตากับเจ้าของห้องที่ลากเก้าอี้เลื่อนหน้าคอมมานั่งลงตรงหน้า

“มีเรื่องจะปรึกษาเฉยๆ”

“แค่มึงมีเรื่องจะปรึกษา มันก็นับว่าคอขาดบาดตายละ” เก่งบอก สีหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความกังวล เขาคงเดาไร้สาระไปไกลแล้วแน่ๆ เพราะผมไม่ยอมบอกสักทีว่าเรื่องอะไร

“รู้จักโฬมป่ะ?” ผมเกริ่นขึ้นมาเพราะไม่รู้จะเข้าเรื่องยังไงดี

“โฬม ลภณที่เป็นเกย์อ่ะนะ”

“อื้อ”

“ใครจะไม่รู้จักวะ เขาพูดกันให้ทั่วโดยเฉพาะพวกในบาร์เกย์ ชะเง้อคอมองกันทุกวันว่าเมื่อไหร่โฬมจะโผล่ไปบ้าง จะได้ลองสักครั้งให้กระชุ่มกระชวย”

“...มะ มึงก็คิดงั้นเหรอ”

“ถุ้ยสิวะ!” เก่งกาจชักสีหน้า “ผู้ชายสุภาพไม่ใช่สเปคกู”

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ

เก่งกาจชอบผู้ชายที่ไลฟ์สไตล์ไม่ต่างจากตัวมันเอง ซึ่งโฬมต่างจากเพื่อนผมคนนี้แทบคนละขั่ว เก่งกาจอารมณ์ร้อนจะตาย ในขณะที่ผมไม่สามารถนึกภาพโฬมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟออกเลยแม้แต่นิดเดียว

“แล้วยังไง เกี่ยวอะไรกับนักร้องนั่นวะ”

“เขา... จะจีบกู”

“หืมม” เก่งกาจส่งเสียงในลำคอพร้อมเบิกตากว้าง “เขาจีบมึง!?”

“เขาบอกมาอย่างงั้น” ผมก้มหน้าลง ซ่อนไอร้อนระอุบนหน้าที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุด

มันไม่ใช่ความเขินจากการที่มีคนมาบอกว่าจะจีบ

แต่มันคือความอายจากการที่ภาพจูบแรกของผมผุดขึ้นมาแล้วฉายวนซ้ำๆ ไม่ยอมหยุด ผมรู้สึกเหมือนริมฝีปากยังถูกบดเบียดไม่เลิก ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากลมหายใจของโฬม และยังถูกรวบกอดไว้ในอ้อมแขนอบอุ่น

เวลาคนเรามีจูบแรก เขาเพ้อกันแบบผมไหมนะ

“นานแค่ไหนแล้ว”

“เมื่อกลางวัน แต่ก็รู้จักกันมาสักพักแล้ว”

“...” เก่งกาจกัดปาก “สกาย ถ้ามึงไม่ชอบ ไม่โอเคกับการที่มีผู้ชายมาจีบ ก็บอกเขาไปตรงๆ เลย ไม่ต้องไปเล่นด้วย ไม่ต้องไปให้ความหวัง เขาต้องเข้าใจว่ามึงเป็นผู้ชายแท้ๆ”

“กู...” คราวนี้ผมตะกุกตะกักไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร

“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง”

“กูชวนเขามาทำเพลง เพลงที่เคยบอกว่าจะทำอ่ะ”

“เพลงเกย์อ่ะนะ”

“อื้อ” ผมพยักหน้าอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นสำรวจสีหน้าของเพื่อนที่ขมวดคิ้วอย่างคนคิดไม่ตก

“งั้นก็ต้องทำงานด้วยกันอีกสักพักเลยป่ะ”

“ก็คงงั้น เพลงยังไม่เสร็จ ไหนจะอัดเสียง ถ่ายเอ็มวี แล้วก็ช่วงโปรโมท”

“กูว่าปฏิเสธไปตรงๆ ดีที่สุด ยังไงมึงก็รู้วิธีถนอมน้ำใจคนอยู่แล้ว” เก่งกาจสรุปคำตอบให้เสร็จสรรพ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการสักนิด “ไม่งั้นเดี๋ยวกูไปด้วย เผื่อมันทำอะไรมึง”

“ไม่ต้อง คือจริงๆ กูไม่ได้จะปฏิเสธ...” คำว่าไม่ปฏิเสธของผมนี่คือพูดในลำคอโดยสมบูรณ์ จากปกติที่เป็นคนมั่นอกมั่นใจ ทำอะไรไม่เคยงึมงำเก็บไว้คนเดียว ตอนนี้กลายเป็นว่าผมกำลังเปลี่ยนไปจนเก่งกาจไม่อาจเก็บสีหน้าตกตะลึงไว้ได้อีก แม้ว่าเขาจะฟังไม่ออกว่าผมพูดอะไรอยู่ก็ตาม

“สกาย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ มึงเป็นอะไร” เก่งกาจร้องลั่น ขยับตัวมานั่งข้างๆ ก่อนจะคว้าไหล่ผมไว้ทั้งสองข้าง “เรื่องใหญ่กว่านี้กูยังไม่เห็นมึงเสียอาการเลยนะ”

“...” ผมเม้มปากเงียบไม่ยอมตอบ

“กูเป็นห่วง มึงไม่เคยเป็นยังงี้”

“เก่ง” ผมเรียกขัดแรงเขย่าจากมือหนา “ตอนมึงมีจูบแรก มึงเป็นยังไงวะ”

“...”

“...”

“สกาย มึง...” เก่งกาจตาถลนออกมาจากเบ้าเรียบร้อยแล้ว เขากำไหล่ของผมแน่น อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่สามารถเค้นเสียงออกมาจากลำคอได้ ในขณะที่ผมก็พอจะรู้ว่าเก่งเดาอะไรบางอย่างออก เลยรีบหลบสายตามองไปทางอื่นทันที

“สกาย!”

“อะไร...”

“มึงไปจูบใคร!”

“กูถามมึงนะเก่ง” ผมแย้งทันที

“ตอบกู”

“...คนที่มึงเดานั่นแหละ”

“ไอ้สกาย!!!”

พลั่ก

ผมถูกผลักลงบนเตียง ส่วนเก่งกาจก้มหัวกุมขมับพร้อมบ่นพึมพำอะไรไม่รู้เป็นประโยคยาวๆ

“มันบังคับมึงเหรอ” เสียงของเก่งกาจดังขึ้นหลายระดับ พร้อมสีหน้าเขียวคล้ำเหมือนโมโหเอามากๆ “กูจะไปเอาเลือดหัวมันออก ทำตัวเสื่อมเสียสถาบันเกย์ ไอ้สัส”

ผมรีบกระชากขอบกางเกงย้วยๆ ของเพื่อนไว้ทันทีที่มันกระเด้งตัวลุกจากเตียง

“โฬมไม่ได้ทำ”

“มันไม่ทำแล้วใครจะทำ สกาย กูรู้จักมึงดี คนอย่างมึงมันโง่เรื่องแบบนี้จะตาย มึงโดนมันหลอกจูบใช่ไหม มึงบอกกูคำเดียวกูจะไปเอาเลือดปากมันออกให้” เก่งกาจหัวร้อนเอามาก ในขณะที่ผมต้องออกแรงลากเพื่อนให้ลงมานั่งสงบจิตสงบใจ

“เปล่า กูทำเอง”

“...อะไรของมึง”

“กูเป็นคนไปจูบเขาก่อนเอง” ผมบอกอย่างสัตย์จริง โดยข้ามเรื่องที่ตัวเองเกือบจะโดนลักจูบตอนหลับไปเพราะไหนๆ โฬมก็ขอโทษแล้ว และเป็นผมเองที่ไปเริ่มก่อนเพราะสติสตังไม่ค่อยดี

“มึง...”

“เก่ง กูลืมไม่ได้เลย”

“...”

“กูอยากจูบเขาอีกอ่ะ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ โถมตัวไปกอดเพื่อนไว้พร้อมซบใบหน้าลงที่ไหล่หนาเปล่าเปลือย กลิ่นสบู่ที่โชยออกมาจากตัวเก่งไม่ได้ทำให้รู้สึกวูบวาบแบบที่เคยได้กลิ่นจากโฬม ผมเหมือนคนหมกมุ่นเรื่องจูบไปแล้วจริงๆ ตั้งแต่เก็บเอาไปฝันจนเป็นบ้าเป็นหลัง พอมาตอนนี้ก็กลับอย่างจูบเขาอีกครั้ง

วัยแตกหนุ่มในชีวิตผมมาช้าไปมากจริงๆ ให้ตาย

“สกาย ตอบกูมาตรงๆ”

ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังมุดอยู่ในซอกคอของเพื่อน

“ทำไมมึงไปจูบเขา”

“อยาก... ก็เลยเข้าไปจูบ” ผมบอก ละเรื่องความฝันแสดงความโรคจิตของตัวเองไป

“ไม่รู้สึกรังเกียจที่จูบผู้ชาย?”

คราวนี้ผมส่ายหน้า “ไม่เคยจูบผู้หญิงอ่ะ แต่จูบกับโฬม... มันดี”

“สกาย มันเป็นครั้งแรกของมึง ทั้งเรื่องจูบทั้งเรื่องความรัก” เก่งกาจผลักหัวผมออกจากบ่าของเขา “มึงค่อยๆ เรียนรู้เพราะบางทีมันอาจเป็นเรื่องชั่ววูบ มึงอาจแค่กำลังตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ”

“...” ผมเม้มปาก ยอมตั้งใจฟังสิ่งที่เพื่อนพูด

รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมสลับบทบาทมาเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือแทน

“ถ้ามึงโอเคที่จะให้เขาจีบ กูก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้ามึงรู้ตัวว่ามันไม่ใช่จริงๆ บอกเขาไปตรงๆ มึงไม่ผิดที่จะปฏิเสธความรู้สึกใคร”
ผมพยักหน้าตอบรับแทนการพูด เก่งกาจเลยโบกหัวผมเป็นรางวัลหนึ่งที

“ไวไฟไอ้สัส ไปจูบเขาก่อน”

“ก็กูอยากลอง...”

“ลองแล้วเป็นไง”

“ก็ดี...”

“แค่นั้น?”

“เก่ง ถ้ากูจะขอเขาจูบอีก... มึงว่- ”

ผัวะ!

ผมโดนตบหัวอีกครั้งจนไม่สามารถพูดต่อให้จบประโยคได้

“มึงหยุดสิ่งที่มึงคิดเลยนะไอ้สกาย!”







ผมกลับมาที่คอนโดด้วยจิตใจที่ยังว้าวุ่นเหมือนเดิมแม้ว่าจะนั่งฟังเก่งกาจพูดอภิปรายยาวเป็นชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ผมที่ปิดประตูห้องเรียบร้อยก็เดินถือผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวมานอนไถโทรศัพท์เล่นก่อนนอน ระหว่างอาบก็อดคิดไปถึงเรื่องที่คุยกับเพื่อนไม่ได้

เก่งกาจบอกให้ผมทำตัวเหมือนเดิม อย่าให้ความหวัง อย่าเพิ่งปฏิเสธ ศึกษากันไปก่อนเพราะความรู้สึกเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่พอผมถามมันกลับว่ามันไม่เห็นทำแบบนี้บ้างเลย เห็นเอะอะลากขึ้นเตียงก่อนเป็นอย่างแรก เก่งกาจก็ตบผัวะลงมาบนหัวผมอีกครั้งก่อนจะเตะโด่งไล่ผมออกมาจากห้องทันที

ผมปัดๆ เรื่องวุ่นวายออกจากหัวเมื่อล้างฟองสบู่ออกจากตัวจนหมด หยิบผ้าขนหนูมาถูๆ ซับน้ำบนร่างกายก่อนจะสวมชุดนอนสบายๆ แบบที่ใส่ประจำ

เครื่องปรับอากาศแผ่อุณหภูมิเย็นทั่วห้องนอน ผมมุดตัวลงใต้ผ้านวมผืนหนา ปิดสวิตซ์ไฟเพดานแล้วเปิดเพียงแค่โคมไฟสีนวลที่หัวเตียงแทน

ไลน์!

ยังไม่ทันได้จัดท่านอนให้เรียบร้อย อยู่ๆ มือถือเครื่องเก่าเกือบสามปีก็สั่นร้องเตือนข้อความเข้า

ผมหยิบมากดดู พอเห็นชื่อคนส่งก็ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง


Rome_o: นอนรึยังครับ


ผมมองชื่อไลน์ที่เป็นชื่อเดียวกับไอจีของเขา ไม่กล้ากดนิ้วสั่นๆ ของตัวเองเพื่อเข้าไปอ่าน ทำให้ทิ้งเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปหลายนาทีจนโฬมทักเข้ามาอีกรอบ


Rome_o: นอนแล้วเหรอครับ


ผมกลืนน้ำลาย เพิ่งรู้ว่าการตอบไลน์คนบางคนมันยากลำบากขนาดนี้มาก่อน

โฬมเข้ามาเปิดโลกใบใหม่ของผมจริงๆ หลายอย่างที่ผมไม่คิดว่าผมจะเป็นก็เป็นมันซะเกือบหมด ขนาดเก่งกาจยังงงว่าผมเสียอาการได้ขนาดนี้เลยเหรอ แค่จูบจูบเดียว

ผมก็งงเหมือนกัน แค่จูบเดียวเองนะ...

แต่มันเป็นจูบที่ดีชะมัด ให้ตาย ผมเอามันออกจากหัวไม่ได้!


Rome_o: ผมจะทักมาบอกว่าพรุ่งนี้ผมมีงาน คงไม่ได้เข้าสตูดิโอนะครับ
Rome_o: ยังไงพรุ่งนี้หลังเสร็จงาน ไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ



ผมเม้มปาก จิ้มกดเข้าไปในกล่องข้อความด้วยอาการลุ้นระทึก


สกายครับ: ได้ครับ
   Rome_o: ตกลงใช่ไหมครับ
   Rome_o: พรุ่งนี้ผมเลิกงานแล้วจะโทรหานะครับ



ผมที่พิมพ์ข้อความปฏิเสธกินข้าวเย็นค้างไว้ต้องจำใจกดลบเพราะส่งไม่ทันคนที่ตอบกลับมาเร็วเกินปกติ พอเห็นเขานัดแนะบอกเวลาคร่าวๆ มาก็ได้แค่กดสติกเกอร์หมีโอเคไปอย่างมึนๆ

ช่างมันเถอะ ไปกินข้าวเอง

ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้จะหลบหน้าเขาสักหน่อย แค่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไม่เห็นเป็นอะไรเลย


   Rome_o: แล้วยังไม่นอนเหรอครับ
สกายครับ: กำลังจะนอนครับ
สกายครับ: โฬมก็ยังไม่นอนเหรอครับ
   Rome_o: นอนไม่หลับครับ
   Rome_o: กลัวฟ้าหลบหน้า



   ผมอ่านข้อความนั้นด้วยอาการอึกอัก นิ้ววางอยู่เหนือแป้นพิมพ์แต่ไม่สามารถพิมพ์ถ้อยคำไหนตอบไปได้เลยจริงๆ แค่เห็นเขาเรียกผมว่าฟ้า สมองผมก็ระเบิดบู้มกลายเป็นภาพสว่างวูบวาบแทนทันที


   Rome_o: แต่ฟ้ายอมไปทานข้าวด้วยกันแล้วผมก็สบายใจ
   Rome_o: ผมไม่กวนเวลานอนฟ้าแล้วนะครับ
   Rome_o: ฝันดีนะครับฟ้า

สกายครับ: ฝันดีเช่นกันครับ
   Rome_o: คิดถึงนะครับ


แล้วผมก็ปล่อยให้แชทจบลงที่ประโยคนั้น...

ผมรีบกดออกไลน์ทันทีที่อ่านบรรทัดสุดท้ายนั้นจบ คลิ๊กเข้าแอพลิเคชั่นอื่นทันทีเพื่อหาอะไรมาล้างความว้าวุ่นในจิตใจ ทวิตเตอร์ช่วยเยียวยาผมด้วยแท็กดราม่าของใครสักคนที่ปกติผมไม่มีทางกดเข้าไปอ่าน แต่เวลานี้ผมไม่ปกติเลยไถอ่านทวิตของแต่ละคนจนรู้เกือบหมดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

จิตใจผมสงบลงช้าๆ ค่อยๆ ลืมเรื่องไลน์เมื่อกี้ไปเพราะอ่านไทม์ไลน์ที่ไหลเรื่อยๆ ยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลาก และเมื่อผมเริ่มอ้าปากหาวด้วยความง่วง ผมก็เปลี่ยนมาเข้าแอพอินสตราแกรมเป็นอย่างสุดท้ายก่อนนอน หวังดูภาพของนักร้องที่ชอบกับเพื่อนๆ ที่ฟอลโลว์กันไว้ โดยที่ลืมว่าตัวเองได้กดฟอลไอจีชื่อ Rome_o มาแล้วพักใหญ่

โฬมอัพรูปล่าสุดเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาส่งข้อความสุดท้ายนั้นมา

มันเป็นรูปท้องฟ้าที่ถ่ายจากหน้าต่างบ้านชั้นสอง มีเพียงความมืดมิดของท้องนภากับไฟข้างถนนที่สาดลงบนพื้นคอนกรีต ที่มุมหนึ่งของเฟรมแอบเห็นเจ้าแมวสองตัวนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนขอบหน้าต่าง ทุกองค์ประกอบของภาพและการปรับสีนั้นสวยมากจนต้องยอมรับว่าเขามีฝีมือ

แต่สิ่งที่ดึงความสนใจผมมากกว่าภาพถ่ายสวยๆ นั้นกลับเป็นแคปชั่นสั้นๆ ใต้ภาพท้องฟ้านั้น


Rome_o: Spread your wings and kiss the sky – Kiss the sky (Jason Derulo)


ผมพยายามคิดแล้วว่าเนื้อเพลงที่เขาโพสต์ไม่ได้สื่อความหมายอะไรเลย

แต่หน้าผมกลับร้อนขึ้นมาเสียเฉยๆ เลย ให้ตายเถอะ!



___________________
Talk:
มาช้า เพราะว่าหยุดสามวันเราก็ใช้เวลาคุ้มเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องทำงานอีกแล้ว แง้
เปิดตัวเก่งกาจค่ะ มนุษย์เมะที่มีไทป์ชอบเมะเหมือนตัวเอง
จริงๆ มีสตอรี่ของเก่งกาจอยู่ในหัว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเขียนดีไหม

ส่วนน้องสกาย กำลังสับสนในตัวเองอยู่เหมือนเดิม
เอ็นดูน้องด้วยนะคะ เดินทางมาถึงตอนที่สิบแล้ว เย้ะ!
รักทุกคอมเม้นและยอดวิว ยอดกดไลค์กดบวก ร้ากกกกก  :กอด1:
จะรีบปั่นมาเสิร์ฟให้เลยค่า  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 10 [15-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 15-10-2018 23:30:44
 :hao6: น้องน่ารักกกก  :hao7: ค่อยๆโตนะค่ะ แต่รักพี่โฬมได้คนเดียวนะค่ะ  :hao7: คนพี่ก็สู้ๆ รุกบ่อยๆอย่างมั่นคงค่ะ  :hao3:  o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 10 [15-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-10-2018 10:42:49
ค่อยๆรู้จักกันไปเนาะะะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 10 [15-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-10-2018 13:43:09
ขำตรงเพื่อนเป็นคนหยาบคาย :hao3:

และสกายต้องใจเย็นๆ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 10 [15-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 16-10-2018 21:03:03
สกายน่ารักอะ อิออ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 10 [15-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-10-2018 12:02:48
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 11 [18-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 18-10-2018 16:28:13
บทที่ 11



วันนี้เป็นวันว่างๆ เนื่องจากโฬมติดงานและผมก็ไม่มีคิวอะไรพอดี ผมเลยกะจะออกไปเดินเตร่กินแอร์ฟรีในห้างใกล้คอนโด ผลาญเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ หลังจากไม่ได้ช้อปมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีแพลนจะไปหาหนังสือจิตวิทยามาอ่านเล่นๆ สักเล่ม ชีวิตที่เวลาว่างไม่ตรงกับคนอื่นทำให้ตัดพวกตัวเลือกชวนเพื่อนไปดูหนังหรือกินข้าวด้วยได้เลย ผมชินแล้วที่จะต้องไปไหนมาไหนคนเดียว จริงๆ ก็ชอบด้วยเพราะผมเป็นพวกอยากแวะก็แวะ อยากไปก็ไปเลย ขี้เกียจมาคอยรอคนอื่น

วันนี้ผมจึงตื่นตั้งแต่สิบโมงเช้า อันที่จริงอาจไม่เรียกว่าเช้าได้ แต่เพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับอีกแล้ว กว่าจะได้พักผ่อนจริงๆ ก็ปาไปตีสามตีสี่ และขนาดหลับแล้วยังฝันเรื่องบ้าๆ อีก

ถ้าโฬมรู้ผมคงโดนตั้งแง่ว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ

ก็ผมเล่นปู้ยี้ปู้ยำเขาในฝันไว้เสียเยอะเลย ให้ตาย

ผมสะบัดหัวเบาๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่นพร้อมตั้งเวลาปลุกไว้ตอนบ่ายโมง กะว่ารอให้หายขี้เกียจค่อยออกไปเดินห้าง โฬมส่งไลน์มาบอกว่าจะเสร็จงานประมาณห้าโมงกว่า ผมเลยคิดว่าน่าจะชวนหาอะไรกินในห้างไปเลย ง่ายดี

ก็นอนเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเป็นเวลาอันสมควรที่จะออกไปได้แล้ว ผมเลยลากร่างแสนขี้เกียจของตัวเองเข้าห้องน้ำแล้วออกมาหลังจากนั้นประมาณสิบนาที เป็นการวิ่งผ่านน้ำที่แท้จริง แต่ตัวผมก็หอมกลิ่นสบู่ยี่ห้อประจำแบบสุดๆ เพราะผมชอบถูแล้วแช่ไว้นานๆ

เสื้อผ้าในตู้ถูกรื้ออีกครั้งเมื่อผมกำลังคิดว่าวันนี้จะใส่อะไรดี กางเกงยีนส์สีซีดที่มีลายหนังสือพิมพ์แปะเป็นแถบอยู่ข้างๆ เป็นตัวที่ผมเลือกออกมาสวม พร้อมกับสอดตัวเองเข้าไปในเสื้อสีขาวที่ทั้งตัวใหญ่ทั้งแขนกว้างพร้อมกับยัดชายเสื้อเข้าในกางเกง ผมมองตัวเองที่ดูพองๆ ขึ้นมาหน่อยในกระจกอย่างพอใจ มีสร้อยสีเงินคล้องแหวนแทจี้ห้อยประดับเอาไว้บนคอ และหยิบรองเท้าคู่ใจสีกรมท่ามาเป็นสิ่งสุดท้าย

ผมฉีดน้ำหอมกลิ่นประจำ หยิบกระเป๋าคาดอกมาสะพายก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วเดินดุ่มๆ ออกมาจากห้อง แดดประเทศไทยแรงมากจนหน้าผมแทบไหม้ ทั้งๆ ที่มันเป็นหน้าฝนแท้ๆ

ผมที่รีบวิ่งมาขึ้นรถหวังจะตากแอร์ให้สบายกลับต้องหัวเสียหนักกว่าเก่า เพราะไม่ว่าจะหมุนบิดกุญแจรถสักกี่ครั้ง เครื่องยนต์ก็เพียงส่งเสียงหึ่มๆ เล็กน้อยก่อนจะดับลง ผมไม่สามารถสตาร์ทรถได้ และตอนนี้ห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยไอร้อนจากแสงแดดก็กำลังจะเผาผมให้ตายทั้งเป็น ผมเบ้หน้า ตัดสินใจปลอ่ยรถยนต์คู่ใจที่น่าจะตายไปแล้วทิ้งไว้ที่เดิม เดินดุ่มๆ ออกไปที่ถนนใหญ่และคอยชะเง้อมองหารถแท็กซี่สักคัน

ซวยตั้งแต่หัววันเลย ให้ตายเถอะ

“ไปห้าง D ครับ” ผมโบกแท็กซี่สีชมพูที่ขับผ่านมา ก่อนจะรีบยัดตัวเองเข้าห้องโดยสารทันทีที่คนขับพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปกดมิเตอร์ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นหน่อย เหงื่อที่ไหลพรากค่อยๆ แห้งลงทีละนิด ผมเอนหลังพิงเบาะนุ่ม มองวิวนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

ดีจังที่เขาไม่ชวนคุย

ห้าง D อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของผมเท่าไหร่ มิเตอร์เงินจึงวิ่งมาได้แค่ 71 บาทผมก็ได้ลงจากรถแล้ว ผมควักเงินในกระเป๋าออกมาเท่าจำนวนที่ต้องจ่าย เอ่ยขอบคุณเขาตามมารยาทแล้วพาตัวเองออกมายืนมองประตูเลื่อนของห้างสรรพสินค้า พลางคิดกับตัวเองว่าจะไปไหนก่อนดี

เวลานี้เป็นช่วงเกือบๆ บ่ายสองของวันธรรมดา คนในห้างจึงยังบางตาอยู่มาก ผมเดินล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วตรงไปยังฟู๊ดคอร์ทเพื่อหาอะไรง่ายๆ กิน

ระหว่างทางก็มีคนจำได้และเข้ามาทักบ้าง ขอถ่ายรูปบ้าง ไม่ได้เยอะมากแต่แค่นี้ผมก็อมยิ้มแก้มแตกไปทั้งวันแล้ว ดีใจด้วยซ้ำที่มีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายมาสนใจ ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองหน่อยๆ

“พี่สกายเมื่อไหร่จะออกเพลงใหม่คะ” เด็กสาวน่าจะวัยมัธยมปลายถามผมหลังจากถ่ายรูปไปแล้วสองสามรูป เพื่อนๆ ของเขาก็มองจ้องมาเหมือนกำลังเฝ้ารอคำตอบของผมอยู่

“กำลังทำอยู่เลยครับ เร็วๆ นี้แหละ รอติดตามได้เลย” ผมบอกด้วยรอยยิ้ม

“หนูเพิ่งซื้อนิตยสารที่พี่ถ่ายแบบมา สุดยอดเลยค่ะ!”

อันไหนหว่า

ผมขมวดคิ้วเพราะนึกไม่ออก เด็กคนนั้นเลยควานหาถุงหนังสือในกระเป๋าเป้ออกมาโชว์ให้ผมดู เป็นนิตยสารที่ผมไปถ่ายไปสักพักแล้วแต่เพิ่งได้ออกวางแผง นานจนผมลืมไปแล้วเหมือนกัน

ผมหัวเราะเขินๆ เพราะรูปปกมันออกจะ... นิดนึง แต่ก็ยอมรับปากกามาเซ็นชื่อตัวเองที่หน้าปกให้อย่างเต็มใจ ยืนคุยกันอีกสองสามคำผมก็ขอตัวออกมาเพื่อจะได้ไปหาอะไรกินตามที่ตั้งใจสักที

กว่าสามชั่วโมงกับการนั่งกินข้าวแล้วเดินเข้าออกร้านเสื้อผ้าเป็นว่าเล่น ผมเหมือนคนที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายแล้วเพิ่งได้เจอโอเอซิสแล้วกระเดือกน้ำลงคอจนพุงป่อง เพราะถุงกระดาษเต็มทั้งสองแขนจนที่แทบจะใช้ยกแทนเวทได้อยู่แล้ว ผมถอนหายใจมองของในมือตัวเอง

พอไม่มีเก่งกาจมาคอยห้าม ผมก็เลยตามเลยแล้วก็เป็นแบบนี้

ซื้อเยอะจนได้ของสัมนาคุณมาหนึ่งกล่องเลยครับ ผมหาม้านั่งข้างเสาในห้างก่อนจะกองๆ ถุงไว้ข้างตัว หยิบกล่องสีดำขนาดเท่าฝ่ามือที่มีโบว์สีเดียวกับผูกไว้ด้านบน ข้างกล่องสลักคำว่า ‘Thank you’ ด้วยตัวอักษรสีทองเงาวับ ผมดึงฝากล่องออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็พบว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจผมเต้นรัว

ต่างหูแบบห่วงสีดำสองคู่ถูกวางสอดไว้ในผ้ากำมะหยีอย่างดี คู่หนึ่งมีจี้กางเขนห้อยออกมา ส่วนอีกคู่เป็นห่วงธรรมดา ผมแตะนิ้วลงลูบผิวสัมผัสเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบติ่งหูที่ไร้รอยเจาะของตัวเอง

ผมอยากเจาะหูมาตั้งแต่เด็กๆ ยายก็ขยั้นขยอให้ไปเจาะเพราะมีต่างหูทองจะยัดให้ใส่เต็มไป แต่ความกลัวในใจทำให้ผมไม่ไปเจาะสักทีทั้งๆ ที่เพื่อนก็บอกว่าไม่เจ็บไม่ปวดเลยสักนิด

ทำไงได้ ตอนประถมผมเคยอยากเจาะหูจนซื้อต่างหูคู่ละสามบาทจากร้านขายของชำใกล้โรงเรียน เอามาตัดปลายด้วยกรรไกรตัดเล็บให้แหลม แล้วให้เพื่อนเจาะเข้าไปให้ ด้วยความที่ใช้มือดันและเป็นเด็ก เพื่อนผมมันทั้งดันทั้งคว้านให้เป็นรู ผมเจ็บจนน้ำตาไหล ติ่งหูทะลุก็จริงแต่ผมทนใส่ต่อไม่ได้ เลยต้องถอดทิ้งแล้วเข็ดขยาดกับการเจาะหูมาตลอด

แต่พอชอบแต่งตัว การได้ใส่ต่างหูเป็นสิ่งที่น่าสนุกมาก ผมเคยทำใจเดินวนอยู่หน้าร้านที่รับเจาะหูอยู่ราวๆ สิบรอบ เคยพาเพื่อนไปเจาะและมาดหมายว่าจะเจาะด้วย แต่พอเห็นปืนยิงเท่านั้นแหละ ใจผมฝ่อขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น หูผมไม่มีรูใดๆ เลยสักนิด

แต่ไหนๆ ก็ได้ต่างหูมาแล้ว แถมยังเป็นแบบที่ผมอยากใส่ ผมกัดปากมองกล่องเล็กๆ ในมือด้วยความชั่งใจ นึกถกเถียงกับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียวว่าจะเอายังไงดี

Rrrrrrrrrrrrr

และก่อนที่จะทันได้คำตอบ โทรศัพท์ผมก็ดังขัดขึ้นมาก่อน

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร เพราะตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าๆ แล้ว ได้เวลาเลิกงานของโฬมพอดี

“ฮัลโหล” ผมกดรับหลังจากเห็นว่าเป็นคนที่คิดเอาไว้

[ฟ้าครับ ผมอยู่บนทางด่วนแล้ว อีกประมาณสิบนาทีน่าจะถึง]

“ผมอยู่ห้าง D นะครับ โฬมมาถูกไหม”

[เอ๋ ฟ้าออกไปห้างเหรอครับ]

“ออกมาสักพักแล้วครับ”

[งั้นเดี๋ยวผมไปหาที่ห้างนะครับ]

“ได้ครับ”

[แล้วเจอกันนะครับ]

ผมรับคำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกลับมาสนใจต่างหูในมือต่อ เพราะห้างนี้มีร้านที่เคยพาเพื่อนมาเจาะ ผมเลยรู้สึกสองใจสุดๆ ระหว่างไปทำให้มันจบๆ กับล้มเลิกแล้วเอาต่างหูไปให้คนอื่นซะ

เป็นความสับสนในใจที่หาคำตอบไม่ได้จนกระทั่งโฬมมาถึง

เขาบอกสิบนาทีก็สิบนาทีจริงๆ โฬมในชุดเต็มยศทั้งเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมบนกับกางเกงแสลคเข้ารูปวิ่งกระหืดกระหอบมาหาทันทีที่เห็นผม วันนี้โฬมเซ็ทผมขึ้นเรียบร้อย ทั้งยังแต่งหน้าบางๆ อย่างทีต้องทำเป็นปกติเวลาออกงาน ผมยอมรับเลยว่าเผลอมองหน้าหล่อๆ ของเขาค้างอีกแล้ว

เพิ่งเคยเห็นโฬมในลุคจัดเต็มแบบนี้ ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถามอีกครั้ง

คนเราจะหล่อขึ้นกว่าเดิมได้อีกมากแค่ไหนกัน

ผมสงสัยเอามากๆ เพราะปกติผมก็มองว่าโฬมดูดีมากๆ แบบมากจนผมยังชอบลอบมองใบหน้าของเขาบ่อยๆ แต่พอมาเจอวันนี้ เขากลับทำลายล้างสิ่งที่ผมเคยเชื่อว่าเมื่อก่อนเขาหล่อสุดๆ แล้วทิ้งไป

โฬมยังดูดีได้มากกว่านี้

และยิ่งตอนที่เขาส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ ผมก็ได้รู้ว่าความหน้าตาดีของเขามันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

“ฟ้าครับ”

“คะ ครับ”

“ซื้อของเยอะจังเลยนะครับ” เขาเหลือบตาไปมองถุงกระดาษสี่ห้าอันที่ผมวางไว้ข้างตัว ผมทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ รวบของพวกนั้นมาถือไว้ในมือแล้วเอ่ยชวนเขาไปหาอะไรกิน

โฬมพยักหน้า ทำท่าจะเข้ามาช่วยถือของแต่ผมเบี่ยงหลบและส่งยิ้มปฏิเสธไปให้ คนตัวสูงเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตัวปลิวเคียงข้างกันมา

“โฬมอยากทานอะไรครับ” ผมเอ่ยปากถาม เมื่อเราเดินมาถึงชั้นที่มีร้านอาหารนานาชนิดเรียงราย

“ผมแล้วแต่ฟ้า” เขาตอบ ซึ่งนั้นทำให้หัวคิ้วของผมขมวดยุ่ง

ปัญหาโลกแตกอีกแล้วกับคำถามที่ว่า

วันนี้กินอะไรดี

ผมกวาดตามอง เพ่งไปจนสุดสายตาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ เลยหันไปส่งยิ้มขอความช่วยเหลือจากผู้ชายที่ยืนสะบัดคอเสื้อเชิ้ตเพื่อคลายร้อนอยู่ข้างๆ

“อาหารญี่ปุ่นไหมครับ” โฬมเสมอขึ้นมาหลังจากเห็นอาการหนักใจของผม ผมเลยรีบพยักหน้าตกลงแล้วบอกให้เขาเดินนำไปเลย
น่าแปลกเหมือนกันที่บรรยากาศระหว่างเราไม่มีความอึดอัดเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ผมทำใจอยู่นานเหมือนกัน คิดไม่ตกว่าจะทำตัวยังไงดีหลังจากที่ตัวเองพุ่งไปจูบโฬมแล้วเขาบอกว่าจะขอจีบ

ผมนึกว่าทุกอย่างมันจะแย่ลง แต่เพราะรอยยิ้มของโฬมก็คล้ายจะกู้สถาณการณ์ทุกอย่างมาอย่างง่ายๆ บรรยากาศรอบตัวเขาชวนให้อบอุ่นและวางใจ ผมไม่ได้เกร็งเหมือนที่ตัวเองเคยคิดไว้ สามารถวางตัวได้แบบที่เคย แม้จะยังแอบเหลือบๆ มองริมฝีปากของโฬมอยู่บ้างก็ตาม

นับว่าไม่เลว

ผมคลี่ยิ้มพึงพอใจ ก้าวเท้าตามคนที่ตัวสูงกว่ากันไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้ๆ เริ่มมีคนเดินในห้างมากขึ้น ภายในร้านจึงมีหลายโต๊ะที่ถูกจับจองไว้แล้ว โฬมเลือกที่นั่งชิดมุมผนังเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ ก่อนที่แต่ละคนจะเริ่มดูเมนูและสั่งอาหารกันคนละอย่าง
ผมสั่งหมูย่างผัดซอส ส่วนโฬมสั่งข้าวกล่องเบนโตะ

หลังจากพยักงานรับเมนูได้จากไปแล้ว ก็เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วคราว ผมกระดิกเท้า พยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อรักษาบรรยากาศดีๆ นี้ไว้ ไม่อยากให้ความอึดอัดเข้ามาแทนที่เท่าไหร่เพราะผมไม่ชอบความรู้สึกพวกนั้นเอาเสียเลย

“ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเลือกที่จะถามด้วยหัวข้อเบสิค โฬมที่จ้องผมอยู่ตั้งแต่แรกแล้วคลี่ยิ้มส่งมาให้เหมือนเคย ผมอยากจะถามเขาจริงๆ ว่าไม่เมื่อยแก้มบ้างเหรอ

เขาไม่เคยหยุดยิ้มเลยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม

เป็นผู้ชายที่แผ่ความสดใสออกมาได้แม้ในวันที่แถลงข่าวยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ ผมนับถือในความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้มาก แต่เพราะแบบนั้นเขาก็เลยน่าสงสารที่สุดในสายตาผม

“สนุกดีครับ แต่คนเยอะมากกว่าจะออกมาได้”

“มีคนไปดูเยอะๆ ก็ดีออกนะครับ” ผมตอบเขาขณะเอื้อมมือไปช่วยรับอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟ

“ดีสิครับ แต่จริงๆ ถ้าฟ้าไปดูด้วยคงจะดีกว่านี้” โฬมพูดด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม เขาเท้าศอกลงบนโต๊ะ วางคางไว้บนมือแล้วทอดสายตาสื่อความหมายมาให้อย่างโจ่งแจ้ง

ผมรีบหยิบช้อนขึ้นมาพร้อมก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากทันที ไม่ยอมเงยหน้ามองคนที่แม้ข้าวกล่องจะตั้งอยู่ตรงหน้าก็ยังเอาแต่เท้าคางมองหน้าผม สัมผัสได้เลยว่ามีไอความลอยอบอวลอยู่รอบกาย ผมหลุบตาลงต่ำ เมินสายตาพราวระยิบระยับกับเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูของคนตรงข้าม

ให้ตายๆๆ

ตลอดเวลาที่ทานอาหารผมไม่ปริปากพูดออกมาสักคำเดียว โฬมก็เอาแต่ยิ้มแล้วตักข้าวช้าๆ ปล่อยให้ผมที่จ้วงเอาๆ ตั้งแต่แรกอยู่กับความเคว้งคว้างหลังข้าวในชามหมดลง

ผมวางช้อนไว้ที่ถาดรอง หยิบน้ำชาเขียวเย็นขึ้นมาดื่มก่อนจะลอบมองคนตรงหน้าด้วยหางตา โฬมเหมือนจะรู้เพราะเขายกมุมปากให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกลับไปกินข้าวในกล่องเบนโตะต่อ

“ฟ้าจะทำอะไรต่อเหรอครับ”

ผมนิ่งคิด พอดีกับที่โฬมหันข้างไปหยิบทิชชู่เลยทำให้เห็นติ่งหูข้างซ้ายของเขาที่มีจิวหูสีใสเสียบอยู่ ถ้าไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น ผมขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปเมื่อตัดสินใจได้

“โฬมเจาะหูด้วยเหรอครับ”

“อ๋อ ครับ หลายปีแล้ว” โฬมว่าพร้อมกับยกนิ้วไปแตะๆ บริเวณรอยเจาะประกอบคำพูด

“ทำไมไม่ใส่ต่างหูล่ะครับ” ผมถามด้วยความสงสัย คนเจาะหูกลับใส่สีใสเหมือนไม่อยากจะใส่ ในขณะที่ผมนี่กระตือรือร้นในการเลือกต่างหูมากทั้งๆ ที่ยังไม่กล้าแม้จะเจาะ

“คือจริงๆ แล้ว ผมเจาะใส่คู่กับแฟนเก่า” อีกฝ่ายบอกเสียงเบา เขายังคงใช้ปลายนิ้วไร้ติ่งหูข้างนั้นเบาๆ ดวงตาคล้ายจมเข้าไปกับอดีตเก่าๆ “พอเลิกกันก็ทิ้งต่างหูไปแล้วครับ แต่ก็เสียดายเพราะตอนนั้นไปเจาะร้านในห้าง ราคาก็ค่อนข้างแพง เลยใส่จิวใสแทนจะได้ไม่ตัน”

ประโยคหลังเขาพูดยาวมาก เหมือนพยายามเปลี่ยนประเด็นจากช่วงแรกออกมา

ผมพยักหน้าเข้าใจ คลี่ยิ้มจางๆ ให้เขาแล้วเบี่ยงหัวข้อสนทนาออกมาเช่นกัน อดีตที่มันไม่ดีผมก็ไม่อยากจะรู้หรอกถ้าเจ้าของเขาไม่อยากเล่า

บางอย่างก็ควรปล่อยให้มันจางไปกับกาลเวลา

“จริงๆ แล้วผมอยากเจาะหูแต่ไม่กล้าสักที” ผมบอก พยายามทำเสียงสดใสเพื่อดึงรอยยิ้มเศร้าๆ ให้หลุดหายออกไปจากคนฝั่งตรงข้าม “ผมได้ต่างหูมาฟรีพอดี ตอนโฬมเจาะหู มันเจ็บมากไหมครับ”

“ฟ้าอยากเจาะหูเหรอครับ?”

ผมพยักหน้ารัวๆ เป็นการตอบรับ

“ไม่เจ็บหรอกครับ เหมือนมดกัดเอง”

“โกหกชัดๆ เลยนะครับ” ผมหัวเราะ เพราะคำพูดกับสีหน้าที่เหยเกของเขามันโคตรจะขัดกัน

แต่ดูก็รู้ว่าเขาแค่แกล้งเล่น

“ไม่เจ็บจริงๆ ครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนนะถ้าฟ้าจะไปเจาะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมตอบไปอย่างเกรงใจ

“ให้ผมไปเถอะนะครับ อยากเป็นกำลังใจให้ฟ้า”

น้ำเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา กับอากัปเท้าคางมองอย่างอ่อนโยน

ผมว่าผมได้ยินเสียงฉ่าดังออกมาจากหน้าตัวเอง

“นะครับ”

“กะ ก็ได้ครับ” ผมก้มหน้ามองมือตัวเองบนตัก หยักหน้าเบาๆ แล้วตอบรับด้วยเสียงในลำคอ

มันเป็นอาการเขินอายแบบแปลกๆ ที่ผมไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต ผมรับมือกับมันไม่ได้ ไม่รู้จะวางตัวยังไง มือไม้ก็เก้ๆ กังๆ เหมือนนี่ไม่ใช่ร่างกายของตัวเอง โดยเฉพาะหัวใจที่เต้นแรงยิ่งกว่าบีทแรปของ Eminem เสียอีก

นะครับนี่มันอะไรกัน!

ผมเม้มปาก ขยุ้มกางเกงยีนส์จนเริ่มเจ็บที่ข้อนิ้ว ปล่อยให้โฬมเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วจัดการค่าใช้จ่ายโดยที่ผมลืมไปเลยว่าต้องออกเงินในส่วนค่าอาหารของตัวเองด้วย

“ไปเจาะหูเลยไหมครับ” โฬมที่รับเงินทอนจากพนักงานเรียบร้อยแล้วหันมายิงคำถามใส่ผม

ไอ้ผมก็ยังไม่ได้สติ เลยพยักหน้าหงึกหงักไปโดยไม่คิดอะไร

โฬมคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะมาถือ ผมก็ทำตามแม้ใจจะลอยๆ แปลกๆ พวกเราก้าวออกมาจากร้านท่ามกลางเสียงเอ่ยขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นของพนักงาน ผมยังคงเม้มปากเดินมองพื้นห้าง โดยมีโฬมที่ก้าวช้าๆ เคียงข้างกันไปตามทางที่ทอดยาว ฝ่ามือของเขาสอดเข้ามากอบกุมมือผมตอนไหนไม่รู้ เพราะพอได้สติอีกทีก็พบว่าผมถูกจูงมือให้เดินตามอีกฝ่ายไปซะแล้ว

“ร้านนี้ผมเคยไปเจาะ แต่คนละสาขากัน” โฬมหันมาบอกเมื่อเรามาถึงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งที่ตกแต่งสไตล์มินิมอล

ผมสอดสายตามองเข้าไปในร้าน ในตู้กระจกและด้านบนประกอบไปด้วยต่างหูมากมายเรียงราย มีพนักงานผู้หญิงสองคนนั่งอยู่หลังเคาท์เตอร์และชะโงกหน้ามามองก่อนจะหันไปสะกิดกันยิกๆ

“เอ่อ... เจาะเลยเหรอครับ”

“แปบเดียวครับ สองวิก็เสร็จแล้ว” รอยยิ้มของโฬมเปรียบเสมือนน้ำที่รดลงมาในวันที่แห้งผาก อยู่ๆ ผมก็มีกำลังใจฮึดสู้ อาจจะเพราะนิ้วอุ่นร้อนที่ลูบเบาๆ บนหลังมือของผมด้วยละมั้งที่ช่วยให้ความกลัวมลายหายไป

อ้ะ... นี่พวกเรายังจับมือกันอยู่เหรอ

ผมก้มลงมองมือข้างขวาของผมที่ถูกกุมประสาน เงยหน้าขึ้นไปสบตาก็พบเพียงรอยยิ้มใสซื่อที่อีกคนส่งมาให้ ผมสูดลมหายใจ ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมาจากฝ่ามือที่ใหญ่กว่ากันพอสมควร

“เข้าไปกันเถอะครับ”

มือผมยังไม่ทันหลุด โฬมก็กระชับกลับเข้ามาให้แน่นเหมือนเดิมแล้วออกแรงดึงกระชากผมเข้าไปในร้าน

“สวัสดีค่า” พนักงานทั้งสองคนประสานเสียงทันทีที่พวกเราผลักประตูกระจกเข้ามา

โฬมยิ้มทักทายกลับไป ต่างจากผมที่ยังจ้องมือตัวเองไม่วางตา

ผมว่ามันแปลกๆ อยู่นะ

“ฟ้าจะเจาะกี่ข้างครับ” เสียงทุ้มนุ่มเรียกสายตาผมให้หลุดออกมาจากสัมผัสที่เริ่มชื้นด้วยเหงื่อของผม เขายิ้มเหมือนไม่รู้ว่าผมกำลังพยายามจะดึงมือตัวเองออกมา เขายิ้มเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กระชับมือผมให้แน่นกว่าเดิมทุกครั้งที่ผมเริ่มขยับมัน

“สองครับ” ผมตอบ แต่พอจะกลับไปสนใจสิ่งเดิมต่อ พนักงานก็ดันเรียกให้ผมเข้าไปเลือกจิวแทน

“ผมมีต่างหูแล้ว” ผมบอกและพยายามจะใช้มือที่เหลือข้างเดียวหยิบๆ หากล่องต่างหูในถุงเสื้อผ้า แต่มันคงทุลักทุเลจนเกินไปโฬมถึงได้ขยับตัวมายืนปิดด้านหน้าของผม ก่อนจะล้วงมือเข้าไปควานหาให้แทน

ให้ตายเถอะ จมูกผมแทบจะชนคางของเขาอยู่แล้วนะ

“อันนี้รึเปล่าครับ” โฬมชูกล่องเล็กๆ สีดำให้ดู ผมก็พยักหน้าหงึกหงัก

แต่เมื่อพนักงานเปิดฝากล่องออกมาก็รีบร้องห้ามทันที

“เจาะครั้งแรกต้องใส่จิวก่อนนะคะ”

“เอ๋?” ผมเลิกคิ้ว ร้องเสียงหลง

“ยังใส่ห่วงไม่ได้ค่ะ ต้องรอให้แผลแห้งก่อน”

ผมก็เลยได้แต่พยักหน้าแล้วเข้าไปหยิบๆ จับๆ เลือกจิวแทน

หน้าผมคงหงอยน่าดู โฬมถึงได้ใช้มืออีกข้างลูบหัวปลอบเบาๆ

“จิวก็มีลายเท่ๆ นะครับ” เขาหยิบพวกลายไม้กางเขน ดาวและพระจันทร์มาให้ผมดู ผมก็มองแล้วส่ายหน้าทันที ก่อนจะเลื่อนจิวกลมๆ สีดำให้พนักงานแทน

“อันนี้ครับ”

“อันนี้นะคะ” พนักงานถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ผมก็พยักหน้าให้หนึ่งทีแทนคำพูด

เกิดช่วงเวลารอคอยขึ้นมาครู่หนึ่งเมื่อพนักงานทั้งสองกำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับเจาะ ผมเลยยืนมองต่างหูลายอื่นๆ ไปเพลินๆ ในขณะที่โฬมยังจ้องกล่องสีดำที่วางอยู่บนตู้กระจก ซึ่งเป็นต่างหูที่ผมได้แถมมาฟรีจากร้านเสื้อผ้าร้านประจำ

“ฟ้าครับ”

“ครับ?” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบว่าโฬมชี้นิ้วมือไปที่ต่างหูห่วงห้อยกางเขนของผม

“ผมขอได้ไหมครับ”

“โฬมอยากได้เหรอครับ”

“ครับ” โฬมตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เอาเลยครับ เหลือไว้ให้ผมคู่หนึ่งนะ” ผมยิ้ม ยกให้อย่างใจกว้างเพราะยังไงก็คงไม่ได้ใส่มันในเร็ววัน กว่าแผลจะแห้ง พนักงานบอกว่าประมาณสองเดือน

ถึงตอนนั้นผมอาจจะหาต่างหูฟรีที่เพิ่งได้มานี้ไม่เจอแล้วก็ได้ ยิ่งเป็นพวกเก็บของจนลืมอยู่ด้วย

“ผมขออย่างละข้างนะครับ”

“...?” ผมไม่เข้าใจ แต่โฬมก็ไม่ยอมอธิบายอะไรมากกว่านี้

“มานั่งตรงนี้เลยค่ะ” เสียงพนักงานเรียกดังขัดขึ้นมาก่อน ผมเลยหันไปตอบรับแล้วเดินดุ่มๆ ไปยังเก้าอี้หัวโล้นที่อยู่มุมหนึ่งของร้าน โฬมก็ตามมาติดๆ เพราะมือพวกเรายังจับกันไว้อย่างเหนียวแน่น

ผมเห็นพนักงานทั้งสองลอบยิ้มใส่กันด้วย!

โฬมยอมปล่อยมือผมในที่สุดเมื่อพนักงานบอกว่าจะเจาะสองข้างพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่ไปไหนไกล ยังยืนส่งยิ้มอบอุ่นอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ผมใจเสียไปแล้วตอนเห็นปืนยิงสองอันที่อยู่ในมือของพี่สาวทั้งสองคน

ไม่เจาะแล้วได้ไหมครับ!

ผมตัวเกร็ง ยิ่งตอนที่ดินสอมาร์คจุดแตะลงบนติ่งหู หลังของผมก็ตรงดิ่งขึ้นมาทันที

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคงสังเกตเห็น ร่างสูงเลยขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม วางมือลงบนหัวผมแล้วบีบนวดเบาๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย

“กลั้นหายใจแปบเดียวก็เสร็จแล้วครับ”

ผมส่ายหน้า

“ไม่เจาะแล้วได้ไหม” ผมว่าเสียงสั่น เผลอสะดุ้งสุดตัวตอนสำลีชุ่มแอลกอฮอลล์แตะลงบนติ่งหูทั้งสองข้าง ผมคว้าชายเสื้อของโฬมไว้ เงยหน้ามองเขาอย่างอ่อนวอน

ไอ้ความเจ็บปวดตอนเด็กที่ฝังใจกำลังเผาความกล้าของผมจนไม่เหลือหลอแล้ว

ผมเหมือนเห็นภาพตัวเองที่พยายามเข้าร้านเจาะหูมาตลอดตั้งแต่มอปลายซ้อนทับเข้ามา ทุกๆ ครั้งจะมีเพื่อนมาด้วย และเพื่อนไม่เคยบังคับให้ผมนั่งลงรับเข็มได้สักครั้ง โดยเฉพาะไอ้เก่งกาจที่แม้จะชอบทำร้ายร่างกาย แต่ก็แพ้ทางสายตาลูกหมาของผมทุกที

หูของเก่งกาจที่ต้องเจาะแทนผมนั้น มีมากกว่าสองรูแน่นอน!

“มันเจ็บ” ผมเบ้ปาก ไม่ค่อยกล้างอแงกับโฬมเท่าไหร่เพราะไม่ใช่คนสนิทแบบทุกครั้ง

โฬมแค่ยิ้ม ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานสอดรูปืนเข้ามาที่หูผมทั้งสองข้างได้เลย

ให้ตายเถอะ!

ผมหลับตาปี๋ กำเสื้อราคาแพงของโฬมจนน่ากลัวว่ามันจะขาด ความเจ็บแล่นจี๊ดเข้ามาพร้อมกันทีเดียว ผมกลั้นหายใจอยู่สักพักจนโฬมสะกิดบอกว่าเสร็จตั้งนานแล้ว

ผมเหวอเลย

มันไม่ได้เจ็บเหมือนที่ผมคิด

คงเพราะปืนยิงจิวหูสีดำนั่นเข้ามาทีเดียว ต่างจากตอนเด็กๆ ที่เพื่อนผมค่อยๆ กดเข้ามาช้าๆ จนกว่าจะทะลุ ผมมองตัวเองในกระจกถือที่พนักงานยื่นมาให้

น้ำตาจะไหล เหมือนบรรลุภารกิจระดับ A ที่ไม่เคยผ่านมาหลายปี

ผมสำรวจหูตัวเองด้วยการหันซ้ายหันขวา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีลงให้โฬมที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ผมเห็นร่างสูงชะงักอีกแล้ว เหมือนวันแรกที่เจอกันเลย แต่ไม่นานโฬมก็กลับมายิ้มให้ผมพร้อมกับชวนไปชำระค่าใช้จ่าย

หลายร้อยเหมือนกันเมื่อรวมค่าต่างหูไปด้วย

ผมได้ยาทาแก้อาการบวมกับอักเสบมาหลอดนึง พร้อมคำแนะนำว่าห้ามว่ายน้ำหรือรุนแรงกับหูตัวเองเป็นเวลาสามเดือน ผมก็พยักหน้ารับคำอย่างดี เก็บขงเก็บของลงถุงให้เรียบร้อยก่อนจะเดินผิวปากออกมาจากร้าน โดยมีโฬมที่ช่วยหยิบถุงกระดาษของผมไปช่วยถือสองถุง

“ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“โห ผมอยากเจาะมาตั้งนาน ก็ต้องดีใจอยู่แล้วครับ” ผมบอก ยังคงยิ้มไม่หุบ นี่ถ่ายรูปตัวเองอัพลงทวิตเตอร์พร้อมไอจีเรียบร้อย ไม่สนว่าติ่งหูตัวเองจะยังแดงแจ๋อยู่ก็ตาม

“น่ารักจังครับ”

“เอ๋?” ผมหันไปส่งเสียงถามเมื่อไม่ได้ยินที่โฬมพูด เพราะเขาพูดในลำคอด้วยเสียงที่เบาเว่อร์ๆ แต่โฬมกลับส่ายหน้าแล้วสอดมือเข้ามาจับมือข้างเดิมของผมแทน

“กลับกันครับ ฟ้าเอารถมาหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” ผมตอบไปพลางมองมือข้างนั้นไป

จับมืออีกแล้ว

นี่เรียกว่าทำเนียนหรือเปล่า?

“งั้นผมไปส่งที่คอนโดนะครับ”

“รบกวนด้วยนะครับ” ผมยืดอกรับความสบายเต็มที่ ของรุงรังขนาดนี้ แถมยังแอบปวดๆ ตึงๆ หูทั้งสองข้าง ขอนั่งรถสบายๆ กลับบ้านดีกว่า

ยังไงคนจีบกันไปส่งกันก็คงไม่แปลกหรอก

ให้ตายเถอะ ทำไมพูดเองแล้วผมต้องเขินเองด้วยเนี่ย!




 :z13: :z13: :z13: :z13:
ต่อข้างล่างงงงงงงง
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 10 [15-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 18-10-2018 16:28:31
โฬมมาส่งผมที่หน้ารั้วคอนโดเหมือนเดิม เขาจอดเทียบข้างทางก่อนจะช่วยผมเอื้อมไปหยิบถุงเสื้อผ้าที่เบาะหลัง ผมเอ่ยขอบคุณเขาก่อนจะเตรียมตัวลงจากรถ

แต่ต้นแขนกลับถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือหนา

“ครับ?” ผมหันกลับไป เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ยังมีเครื่องสำอางค์โปะอยู่ในระยะประชิดก็ตกใจผงะก็นิดนึง “เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฟ้าครับ” โฬมจงใจพ่นลมหายใจร้อนๆ ของเขาลงบนแก้มผม

ผมรู้ ผมเริ่มจะรู้แล้วตั้งแต่เขาเนียนจับมือผมในห้าง

ผมเลยเงียบ รอดูว่าคนตัวสูงจะทำอะไรต่อไป กลิ่นมิ้นต์จากหมากฝรั่งที่โฬมเคี้ยวหลังทานข้าวยังมีกลิ่นอ่อนๆ โชยออกมา ผมพลันนึกย้อนไปถึงจูบแรกของเราอีกครั้ง

ไอ้ความต้องการอยากจูบพุ่งทะลักทลายเข้ามาในอกจนผมอึดอัดคับแน่น

ผมมองสบกับดวงตาสีนิลที่ทอดมองมาด้วยความเอ็นดู โฬมคลี่ยิ้มจางๆ กดปลายจมูกแตะลงบนผิวแก้มผมเบาๆ ก่อนจะผละออกไป

“ฝันดีนะครับ”

อ่า... ผมคิดว่าเขาจะจูบเสียอีก

เมื่อกี้เกือบหลับตาไปแล้ว ให้ตาย

“ฝันดีครับ” ผมตอบรับคำลาของเขา แต่กลับไม่มีใครขยับกายออกห่างกันเลยสักมิลเดียว

ผมหลุบตามองริมฝีปากสีอ่อนที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า กลืนน้ำลายก้อนเล็กลงคอพลันคิดถึงคำสั่งของเพื่อนสนิทว่าห้ามไปทำอะไรโฬมอีก จนกว่าจะรู้ความรู้สึกตัวเอง

แต่ผมว่าผมก็รู้ความรู้สึกตัวเองตอนนี้ดีนะ

ก็ความรู้สึกที่ผมอยากจูบเขาไง

ผมเม้มปาก ยังคงมองจ้องเข้าไปในดวงตาพราวระยับของคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จนตัดสินใจกับตัวเองว่าควรยับยั้งชั่งใจเอาไว้ก่อนถึงได้เอ่ยขอตัวแล้วรีบเปิดประตูรถกระโดดออกมาในทันที

ผมวิ่งไม่คิดชีวิต กดลิฟต์รัวๆ แล้วพุ่งเข้าไปในห้องทันทีที่มาถึง

โทรศัพท์มือถือถูกต่อสายหาเพื่อนที่เพิ่งไปหามาเมื่อวาน ระหว่างรอปลายสายรับก็เดินวนทั่วห้องด้วยความร้อนอกร้อนใจ ไฟบางอย่างกำลังแผดเผาจนผมนั่งอยู่กับที่ไม่ได้

[มีอะไร?]

“เก่ง ช่วยด้วย”

[อะไรของมึงอีกเนี่ย]

“เก่ง กูอยากจูบเขา กูอยากจูบอีก กูต้องทำยังไง!”

________________________
Talk: เรื่องเจาะหูตอนเด็กๆ นี่เรื่องจริงจากเราเอง 5555 เจ็บมากๆ เลยแง้
ยาวมากๆ ตอนนี้ ไม่รู้จะเวิ่นไปเปล่า แต่นิสัยเจ้าสกายคือค่อยๆ เล่า ค่อยๆ บอก
 :katai4: :katai4: น้องยังคงหมกมุ่นกับจูบอยู่ เพราะเด็กเพิ่งเคยลอง เพิ่งรู้ว่ามันรู้สึกดี 5555
เด็กน้อยเอ้ยยยยย พงเพลงหนูจะเสร็จไหมคะเนี่ย

ฝากเจ้าสกายด้วยนะคะ รักทุกคนเลย จุ้บ :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 11 [18-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 18-10-2018 16:49:46
จูบเลยค่ะ อย่าช้า
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 11 [18-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 18-10-2018 17:00:36
สก๊ายยยยยยยย อาการหนักขนาดนี้ก็รู้ตัวสักทีเถอะค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 11 [18-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 18-10-2018 20:11:55
อ่อยเก่ง
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 11 [18-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-10-2018 21:17:54
น้องอย่าคิดมากค่ะ อยากจูบก็จูบเลย ส่วนคนพี่ก็เนียนเก่งค่ะ เนียนจับมือน้องเรื่อยเลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 11 [18-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 18-10-2018 23:10:19
 :o8:  :-[  :impress2: คนพี่เนียนได้ใจมากกกก  :hao7: คนน้องก็น่ารักกกก  :hao3: ถ้าพี่ไม่จูจุ๊บสักที น้องจัดเองเล๊ย...  :hao7:  :hao7:  o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 11 [18-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-10-2018 01:37:52
เอ็นดู 555555555555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 22-10-2018 16:05:08
บทที่ 12




“เพิ่มเสียงกลองท่อนนี้หน่อยดีไหมครับ” ผมที่กำลังนั่งอยู่หน้าเครื่องสังเคราะห์เสียงกับหูฟังแบบครอบอันใหญ่หมุนเก้ากี้หันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างกัน บนหัวโฬมก็มีหูฟังแบบเดียวกันสวมไว้อยู่ ผมซื้อตัวแยกแจ็กมาต่อเพิ่มเพื่อจะได้ไม่ทำงานได้แบบง่าย
ตอนนี้พวกเรากำลังทำทำนองเพลงให้เรียบร้อยก่อนที่จะเริ่มต้นอัดเสียงเดโม่ไปเสนอท่านประธาน

นับจากวันที่ผมเจาะหู ก็ผ่านมาราวๆ อาทิตย์กว่า งานก็คืบหน้ามามากเพราะเนื้อเพลงของโฬมเสร็จหมดแล้ว ในส่วนของผมก็รอบีทให้เรียบร้อยจะได้ปรับแก้ท่อนแรปเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมว่าอันเก่าดีแล้ว แต่อยากได้เสียงปรบมือเข้าไปด้วย ช่วงท่อนนี้สแนร์ก็ดังไป” โฬมใช้ปากกาในมือจิ้มๆ ลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โชว์โปรแกรมตัดต่อเสียงอยู่ ผมพยักหน้า ลองลากเม้าส์ไปลดเสียงแล้วเพิ่มนั่นนู้นนี่ตามคำแนะนำ
พวกเราจมอยู่ในห้องสตูดิโอนี้มากว่าสามชั่วโมงแล้ว ยิ่งงานใกล้เสร็จผมก็ยิ่งมีแรงขับเคลื่อนให้พยายามทำมันต่อไป นึกอยากให้เพลงออกมาเป็นรูปเป็นร่างเร็วๆ

อ่า คงมีคนสงสัย

หลังจากวันนั้นที่ผมโทรไปหาเก่งกาจ ก็โดนบ่นไปชุดใหญ่พร้อมกับบอกมาว่าถ้าอยากจูบนักก็ให้ไปหามัน ผมเลยได้แต่ทำหน้าแหยงๆ แล้วบอกว่าไม่อยากแล้วก็ได้ จากนั้นมาก็เลยพยายามห้ามความรู้สึกตัวเอง ระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมดีขึ้น แม้จะแอบลอบมองปากของโฬมบ่อยๆ แต่ผมไม่ได้นึกจินตนาการถึงตอนที่เขากดจูบลงมาอีกแล้ว

อันที่จริงก็มีบ้าง แต่ไม่ได้บ่อยจนเก็บเอาไปฝันอีก

ตอนนี้ระหว่างผมกับโฬมมีแค่ดนตรีกับเนื้อเพลงเป็นตัวเชื่อมต่อ อาจจะบวกกินข้าวด้วยกันและไปรับส่งที่คอนโดเพราะรถผมส่งเข้าศูนย์ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสามวันก่อน

บ้านของโฬมไกลจากที่นี่พอสมควร ผมเกรงใจมากๆ และบอกไปแล้วว่าสามารถเดินทางไปเองได้เพราะสตูฯ อยู่แค่ตรงนี้ แต่โฬมกลับดื้อและโผล่มารอที่หน้าคอนโดก่อนทุกที

“ฟ้าครับ พักก่อนไหม” เสียงของใครอีกคนในห้องดังขัดความคิดที่เริ่มไปไกลของผม หูฟังถูกดันออกไปคล้องไว้ที่คอโดยฝีมือของโฬม ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบเมื่อผมขยับคอซ้ายขวาจนสุดเพื่อคลายเมื่อย

โฬมเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กหยิบน้ำดื่มออกมาสองขวด ผมกล่าวขอบคุณเขาแต่ยังไม่ได้ดื่มในทันที การนั่งจดจ่อมาทั้งวันเล่นเอาทั้งเมื่อยขบทั้งดวงตาล้า ผมปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ลมแอร์เย็นฉ่ำตกกระทบใบหน้า

เกิดความเงียบขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันพักผ่อน ผมเอาขวดน้ำเย็นมาโปะตาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น มีไลน์จากเพื่อนสนิทแจ้งเตือนเข้ามาตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ช่วงนี้เก่งกาจติดต่อผมมาบ่อยเกินปกติ คอยถามไถ่ชีวิตความรักผมแบบตามติดยิ่งกว่าเรียลลิตี้

เก่งบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มันต้องการรู้ความเป็นไปทั้งหมด ผมที่ต้องการที่ปรึกษาอยู่แล้วก็ยิ้มกริ่มน้อมรับความหวังดีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเก่งกาจอยากรู้อยากเห็นแบบนี้ กว่าผมจะได้คุยกับเพื่อนที่เดือนสองเดือนครั้งนั่นแหละ


เก่งไม่เก่งมาลองสิ: สกาย นี่อะไรยังไง
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: sent you a photo.



ผมกดขยายรูปนั้นให้ใหญ่เต็มจอ มันเป็นภาพแคปมาจากจอโทรศัพท์ของอีกฝ่าย เป็นเพจของนิตยสารซุบซิบชื่อดังพร้อมกับรูปผมที่หราอยู่กลางภาพ



เปิดตัว! คู่ขาคนใหม่ของนักร้องหนุ่ม โฬม ลภณ



ผมเม้มปาก มองวงกลมมุมขวาบนที่เป็นภาพแอบถ่ายในห้างใกล้คอนโดของผม ทั้งตอนที่พวกเราเดินจับมือกัน ตอนที่นั่งทานข้าวในร้านอาหารญี่ปุ่น และตอนที่ผมกำลังเจาะหูโดยมือยังขยำชายเสื้อเชิ้ตของโฬมไว้แน่น
แม้ภาพจะไม่ชัดเหมือนซูมมาจากที่ไกลๆ ที่เพราะรูปผมที่แปะอยู่ข้างๆ ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าใครคือคู่ขาใหม่คนนั้นที่เขาพาดหัวข่าวถึง



ตายแล้ว! อกอีแป้นจะแตก

หลังจากมีข่าวว่านักร้องหนุ่ม โฬม ลภณ เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์หลังมีข่าวฉ๊าวฉาวออกมาจากปากของแฟนหนุ่มคนเก่า จนทำให้ห่างหายไปจากหน้าจอเนิ่นนาน ในที่สุดหนุ่มโฬมก็เปิดตัวคู่ขาคนใหม่ที่เจ๊ก็ยังไม่แน่ใจว่าตกลงคบเป็นแฟนกันหรือยัง ก็เล่นจับมือควงกันเดินห่างไม่แคร์สายตาใคร เปิดเผยซะขนาดนี้ก็ให้ชาวเน็ตอย่างเราๆ ตัดสินกันเอาว่าตกลงหนุ่มน้อยคนนี้เป็นใครอะไรยังไง

และคู่ขาคนใหม่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องสกาย แรปเปอร์หนุ่มหน้าใหม่ที่กำลังฮอตฮิตสุดๆ กับผลงานเพลงสะท้อนสังคมกับหน้าตาที่ต้องบอกว่าใครเห็นใครก็ต้องเอ็นดู เจ๊ก็แอบตามเพลงน้องมานานสองนาน ไม่เห็นรู้เลยว่าน้องสกายจะเป็นกับเขาด้วย ถ้ารู้อย่างนี้เจ๊เข้าหาก่อนใคร ไม่ยอมให้หนุ่มโฬมได้ขโมยไปครอบครองหรอก!

ไว้ถ้าเจ๊มีโอกาสได้พบกับคนทั้งสอง เจ๊จะถามมาให้ว่าตกลงคู่นี้อะไรยังไงกันแน่ แต่บอกไว้เลยว่า ดูจากรูปที่มีมือดีส่งมาให้ เรียกว่าหวานเจี๊ยบจนทั้งชะนีเก้งกวางต้องปิดตาหนีด้วยความอิจฉาเลยทีเดียว

แหมแหมแหม ถ้ามาบอกว่าไม่ได้คบกัน ก็ไม่มีใครเชื่อแล้วนะคะแบบนี้




ผมอ่านแคปชั่นเหนือภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันไม่ได้เจ็บปวดเพราะทางเว็บก็ไม่ได้พิมพ์ด่าอะไร แต่ถ้าผมเป็นโฬมแล้วมาเห็น ก็อาจจะแสบๆ คันๆ กับถ้อยคำแอบกัดเล็กๆ นั้นพอสมควร พอคิดแบบนั้นก็อดเหลือบตามองคนที่นั่งแต่งรูปเพื่ออัพลงไอจีอยู่ข้างๆ ไม่ได้

โฬมจะเห็นข่าวรึยังนะ

ดูจากวันที่ของโพสต์ก็หลังจากที่พวกเราไปเดินห้างด้วยกันแค่สองวัน แต่นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์

ผมไม่รู้เลยว่ารอยแผลที่ยังอยู่ในใจของโฬมมันใหญ่แค่ไหน ไม่รู้ว่าแรงสะกิดเล็กๆ นี้เพียงพอจะทำให้เลือดซึมออกมารึเปล่า มันเป็นความห่วงกังวลที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน อยู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนรน อยากจะถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าโฬมยังไม่เห็น ก็เหมือนกับเป็นการเอาน้ำเสียเทลงในคลองรึเปล่า

“มีอะไรรึเปล่าครับ” คนตัวสูงที่กดอัพโหลดรูปเสร็จกันมาถามผม คงเพราะผมจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาแบบโต้งๆ มาหลายนาที คิ้วดำสวยเลิกขึ้นเชิงถาม

“ปะ เปล่าครับ” เสียงผมกะตุก รีบก้มลงจัดการหน้าจอมือถือตัวเอง

แต่เหมือนอีกคนจะจับได้

“ข่าวเหรอครับ”

“เอ่อ...” ผมเม้มปากเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่โฬมก็แค่ฉีกยิ้มบางๆ มาให้ พร้อมกับเลื่อนมือมาลูบศีรษะผมเบาๆ

“เห็นตั้งนานแล้วครับ”

“...” นั่นน่ะสิ ก็คงมีแค่ผมที่รู้ข่าวช้ากว่าชาวบ้าน

“ฟ้ารู้สึกแย่ไหมครับ”

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องข่าวนั่นไง”

ผมส่ายหน้า “ผมเฉยๆ ยังไงเขาก็ไม่ได้ด่าอะไรเสียๆ หายๆ”

“ไม่กลัวเหรอครับ เป็นข่าวกับผมนะ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยามต้องไฟกลับเต็มไปด้วยร่องรอยบางอย่าง

ผมพยายามเพ่งมองเข้าไป ท่ามกลางฉากหน้าที่ทาบลงมาปิด มันมีบางอย่างที่เต้นเร้าอยู่ในนั้น ดิ้นรนด้วยความทรมานราวกับคนจมอยู่ในน้ำและกำลังขาดอากาศ

“ผมต้องกลัวเหรอครับ” ผมถาม ปรับน้ำเสียงตัวเองลงมาจากเดิมหนึ่งระดับ หันเก้าอี้เข้าหาคู่สนทนาที่ยังคลึงนวดหัวผมเบาๆ ไม่เลิก

คนตรงหน้าก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายให้แก่คนรอบตัว แม้ผมจะรู้มาตั้งแต่ต้นว่าหลังรอยยิ้มอบอุ่นกับ
บรรยากาศแสนสงบนี่มันมีความอึมครึมของเมฆฝนปกคลุมอยู่ แต่เมื่อก่อนผมก็เลือกที่จะเมินผ่านมันไป และปล่อยให้พวกเราอยู่ด้วยกันในฐานะของเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน

แต่เมื่อความสัมพันธ์มันเขยื้อนขึ้นมาจากขั้นเดิม ความรู้สึกมันก็แปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลากับความผูกพันที่เพิ่มมากขึ้น ถึงผมอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกชอบพอโฬมแล้วหรือยัง แต่บางอย่างก็ชัดเจนมากพอที่เด็กประถมจะยังมองออก
ผมกำลังเป็นห่วงเขา

เป็นห่วงผู้ชายที่กำลังฉีกยิ้มปลอบประโลมมาให้ผมคนนี้นี่แหละ

“ฟ้าควรกลัวนะครับ สื่อมีผลต่อคนทั้งประเทศเลยนะ”

“แล้วโฬมกลัวไหมครับ”

“...”

ได้ผล คำถามของผมทำเขาชะงักไปในทันที

มันเหมือนกับการยิงปืนแล้วเข้าเป้ากลางรอยเปอร์เซ็นต์ รอยยิ้มของโฬมค่อยๆ คลายลง แม้เขาจะพยายามยื้อมุมปากของตัวเองให้รั้งขึ้น แต่มันก็ไม่เป็นผลอีกแล้ว

ผมเหมือนไม่อาจควบคุมปากตัวเองได้อีก ดวงตาสีน้ำตาลที่เริ่มปิดบังอะไรไม่ได้ทำให้ผมเลือกที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจสั่ง

“โฬมกลัวมันเหรอครับ” ผมถามย้ำ มองฝ่ามืออุ่นที่ถูกยกออกไปจากศีรษะ มันตกลงบนตักของโฬมก่อนที่ผู้ชายตรงหน้าจะคลี่ยิ้มเศร้าสร้อยส่งมาให้

“กลัวสิครับ” เขาตอบ พร้อมหลุบตามองไปทางอื่นอย่างผิดปกติ “เวลาโดนคนไม่รู้จักมารุมด่า มันก็ต้องรู้สึกแย่เป็นธรรมดา ผมรับมือกับเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่เสียด้วย”

ผมอยากจะถามเขาออกไป ว่าจริงๆ แล้วเขาแค่กลัวคนอื่นมารุมด่า หรือจริงๆ แล้วมีอย่างอื่นที่ทับถมจนกลายเป็นตะกอนผลึกใหญ่ ที่ไม่ว่าจะราดน้ำพยายามกร่อนมันให้สลายยังไง ตะกอนนั้นก็ยังตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่ในหัวใจเหมือนเดิม

แต่ผมไม่กล้าพูด

โฬมหลุดมาดของเขาแล้วเพราะแค่คำถามง่ายๆ คำเดียว ผมเลยเลือกที่จะหยุดปากลง ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปหาคนที่ยังเบนสายตาหนีกันอยู่

“คราวนี้โฬมมีผมนะครับ”

“...?” เขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความไม่เข้าใจ

“ตอนนั้นโฬมอาจไม่มีใคร พวกเขารุมคุณคนเดียว” ผมพาดพิงไปถึงเรื่องเก่าๆ “แต่ตอนนี้ในข่าวไม่ได้มีแค่โฬมนะครับ ถ้าจะโดนด่ายังไง ก็โดนกันทั้งคู่”

“แบบนั้นคงไม่ดีมั้งครับ”

“ความเศร้า ถ้าได้แบ่งกัน มันก็ไม่หนักเท่าเดิมนี่ครับ”

“...”

“เมื่อก่อนโฬมอาจจะโดนคนทั้งร้อยคนด่า แต่ตอนนี้อาจจะแค่ห้าสิบคนที่ด่าโฬม อีกห้าสิบที่เหลือก็จะแวะมาด่าผมบ้าง” ผมส่งยิ้มให้เขา เลือกที่จะดึงผู้ชายที่ดูราวจะแตกสลายเพราะเขายังพยายามฝืนยิ้มอยู่เหมือนเคยเข้ามาในอ้อมกอด “ทีนี้คนที่ด่าโฬมก็จะเหลือแค่ห้าสิบคนเองนะครับ”

โฬมหัวเราะเบาๆ เขาเอนหัวพิงหน้าท้องของผม ก่อนจะพาดมือข้างหนึ่งมาโอบรัดบั้นเอวของผมไว้หลวมๆ

“ใจดีเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“แบบนี้เรียกว่าใจดีเหรอครับ”

“ขนาดเพื่อนผมยังไม่เคยปลอบผมแบบนี้เลย” โฬมบอกเสียงอู้อี้เพราะเขายังมุดหน้าอยู่ที่เดิม

“ผมก็แค่ปลอบคนอื่นเก่ง” ผมบอกในความสามารถของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงอยู่กับเก่งกาจ เพื่อนที่มีเรื่องน่าเศร้ามาทั้งชีวิตไม่ได้หรอก ผมปลอบใจเพื่อนจนมันฮึดกลับมาสู้ใหม่ได้เป็นสิบๆ รอบ ทำไมกับแค่ผู้ชายตรงหน้าผมจะช่วยให้กำลังใจเขาไม่ได้

“เพราะฟ้าแบบนี้ถึงได้น่ารักไงล่ะครับ” โฬมเงยหน้าขึ้นมาแล้ว หลังจากที่เขาซุกจมูกอยู่ที่หน้าท้องผมจนต้องแขม่วเอาไว้เพราะกลัวอีกคนจะรับรู้ถึงพุงกลมๆ ของตัวเอง

“ชมว่าน่ารัก มันก็จะรู้สึกแปลกๆ หน่อยนะ” ผมว่ากลั้นหัวเราะ เขาน่าจะกลับไปชมว่าผมใจดีเหมือนเดิมดีกว่า พอได้ยินผู้ชายหน้าตาดีบอกว่าผมน่ารัก หัวใจมันก็จั๊กกะจี๊ขึ้นมาเสียเฉยๆ

“น่ารักถูกแล้วครับ”

“เอ่อ...”

“ก็ฟ้าน่าที่จะถูกรักจริงๆ นะครับ” โฬมบอก

เขาเล่นคำว่าน่ารัก กับน่า-รักเนี่ยนะ!

แถมดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นก็กลับมาทอประพายวิบวับอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังเต็มไปด้วยหมอกอึมครึมอยู่เลย

ผมเบนหน้าหนีซ้อนไอร้อนที่ข้างแก้ม คิดว่าควรกลับไปทำเพลงได้แล้วแต่เขนที่ตอนแรกกอดเอวไว้อย่างหลวมๆ กลับกระชับแน่นขึ้นจนผมขยับตัวไปไหนไม่ได้

“เอ่อ โฬมครับ”

“ครับ?”

“ผมจะไปทำเพลงต่อ” ผมชี้ไปที่เก้าอี้ตัวเอง แต่โฬมกลับคลี่ยิ้มส่งมาให้โดยไม่คลายอ้อมแขนออก อีกทั้งยังโอบแขนอีกข้างเข้ามารัด จนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งโดยสมบูรณ์

“คือว่า...”

“ขอกอดแปบเดียวนะครับ”

“...”

“ฟ้าเป็นแหล่งกำลังใจที่ดีมากๆ เลย แค่ได้กอดก็รู้สึกดีขึ้นมาง่ายๆ” โฬมบอกพร้อมกับกดหน้ามุดท้องผมอีกครั้ง ส่วนหน้าผมที่สะท้อนกับจอคอมพิวเตอร์ก็กำลังแดงซ่าน

ไอ้กอดปลอบตอนแรกมันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะผมมัวแต่สนใจสรรหาคำพูดดีๆ อยู่เลยไม่ได้สนใจสัมผัสร้อนจากอุณหภูมิร่างกายของใครอีกคนที่เข้ามาแนบชิด

แต่เมื่อมันไม่ใช่กอดปลอบ ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมเม้มปากอีกแล้ว ไม่กล้าพูดอะไรหรือแม้แต่จะหายใจตามปกติก็ยังไม่กล้า ผมทำได้แค่ค่อยๆ หุบเอาอากาศเข้าปากช้าๆ จนเริ่มรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก

“ฟ้าครับ” โฬมร้องเรียก แต่ผมไม่ได้หันไปมองหรือขานรับอะไร “ขอบคุณนะครับ”

“มะ ไม่เป็นไรครับ”

จุ๊บ

เฮือก!

ผมสะดุ้งโหยงเพราะอยู่ๆ ก็เกิดเสียงจุ๊บพร้อมกับสัมผัสที่หน้าท้อง โฬมกดจูบผ่านเสื้อของผมพร้อมทำเสียงน่าอายนั่นอย่างจงใจ ดวงตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมามองก่อนจะกระตุกมุมปากยิ้มอย่างพออกพอใจกับปฏิกิริยาของผม

“ชอบฟ้านะครับ”

เขาบอก พร้อมกับจูบลงท้องผมอีกครั้ง

คราวนี้เหมือนได้ยินเสียงดังโพล๊ะในหัว ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะกลายเป็นขาวโพลนไปหมด

ฮือ เก่ง ช่วยด้วย!


_____________________
Talk: มาแล้วค่าาาาา
จริงๆ ถ้าเล่าเรื่องนี้ในมุมมองโฬม มันคงเป็นนิยายหม่นๆ แน่เลยแหะ
แต่พอมาเป็นสกายเล่า มันก็จะเป็นฟีลอบอุ่นแบบแปลกๆ

ส่วนนังพี่ก็เนียนไปเรื่อย มือปลาหมึก
เนียนแบบโจ่งแจ้งนี่คือก็น่าสับสนแปลกๆ

ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ รักทุกคนเลยยยยยยย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-10-2018 16:17:32
เพราะสกายปลอบเก่งหรือเป็นเพราะสกายปลอบก็ไม่รู้  :hao5:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 22-10-2018 16:18:56
ฟ้าจับมือพี่ให้แน่นๆเลย สงสารพี่
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 22-10-2018 21:48:18
เขาหยอดกันรถขนอ้อยคว่ำเรื่อยเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-10-2018 22:00:44
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-10-2018 17:25:29
อยากให้โลกนี้มีฟ้าหลายๆคน

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 24-10-2018 20:18:07
หวานกว่านี้ก็อ้อยเคลือบน้ำตาลแล้วค่าาา
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 12 [22-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 27-10-2018 07:29:37
ฮือออ  หวานไปอีกกกก :haun4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 27-10-2018 12:41:33
บทที่ 13



เพลงของผมกับโฬมเสร็จแล้วครับ!

ผมลากไฟล์ที่นั่งหลังขดหลังแข็งแก้จนพอใจใส่แฟลชไดรฟ์เตรียมนำไปเสนอทางค่าย หลังจากเปอร์เซ็นต์ย้ายไฟล์ขึ้นครบหนึ่งร้อย ผมก็ถือโอกาสยืดตัวออกคลายความเมื่อยล้า ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งครึ่ง ผมกับโฬมหมกกันอยู่ในสตูดิโอยาวมาตั้งแต่หกโมงเย็น เพราะผมคิดว่าอีกแปบเดียวคงเสร็จ ไหนๆ ก็อัดเสียงลงไปแล้ว เหลือแค่บีทกับบางท่อนที่ต้องมาแก้

แต่เปล่าเลยครับ ทำไปทำมา เดี๋ยวตรงท่อนนั้นรกไป ท่อนนี้บางไป ท่อนนี้ไม่พอใจ เอาใหม่ ร้องใหม่ อัดใหม่ เดี๋ยวมีเสียงแหบ เดี๋ยวเสลดติดคอ เรื่อยมาจนขึ้นวันใหม่เพลงของผมถึงเสร็จ

“อื้ออออ” ผมส่งเสียงไปพร้อมกับตอนที่บิดเอวตัวเองเป็นเกลียว โฬมก็ไม่ต่างกัน ขยับตัวยืดกล้ามเนื้อจนกระดูกแข่งกันลั่นกรอบแกรบ

“เสร็จสักทีนะครับ” โฬมหันมายิ้มให้ผมที่ยังยืดตัวไม่เลิก

“กินข้าวต้มไหมครับ ผมหิว” ผมกลับมานั่งเรียบร้อย เท้าแขนลงบนเบาะเก้าอี้ตรงช่องว่างระหว่างขา เงยหน้ามองคนที่ลุกขึ้นยืนพร้อมส่งสายตาหิวโหยไปให้

พวกเราทานข้าวเย็นกันตอนหกโมงก่อนเข้ามาสตูฯ ตอนนี้ท้องผมร้องโครกครากยังกับเสียงฟ้าร้อง

“เอาสิครับ”

เมื่อโฬมพยักหน้าผมก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มาไว้ในมือทันที

พวกเราเดินลงมาที่ลานจอดรถ เป็นรถโฬมอีกเหมือนเคยเพราะเจ้าลูกชายผมยังซ่อมไม่เสร็จ เข้าอู่ไปจะครบอาทิตย์แล้ว เห็นช่างบอกต้องรออะไหล่หน่อยเพราะรถรุ่นนี้อะไหล่หายาก ผมก็พยักหน้าเข้าใจ เลยได้แต่รอต่อไปโดยมีสารถีจำเป็นอย่างโฬม ลภณเทียวรับเทียวส่ง

“เดี๋ยวไปซอยถัดไป มันมีร้านข้าวต้มกุ๊ยอยู่ร้านนึง อร่อยมากเลยครับ” ผมว่าพลางดึงประตูรถปิด

“ไปทานบ่อยเหรอครับ”

“ดึกๆ ก็ต้องมีบ้าง” ผมหัวเราะ โฬมก็เลยหัวเราะตาม

ท้องถนนยามค่ำคืนไม่ค่อยมีรถสัญจรนัก แต่ก็อันตรายเพราะแต่ละคันขับเร็วยิ่งกว่าจรวด โฬมขับรถได้สุภาพและนิ่มมากๆ ผมยอมรับความใจเย็นของเขาเลย ขนาดเมื่อกี้มีมอเตอร์ไซค์ปาดหน้าไปอย่างฉิวเฉียดเขายังไม่บ่นสักคำ มีแค่หันมาถามผมที่ร้องโวยวายด้วยความตกใจว่าไม่เป็นไรนะครับ

เมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยข้างๆ วิ่งไปประมาณครึ่งซอยก็จะเห็นร้านข้าวต้มริมทางที่ยังมีคนนั่งอยู่ภายในร้านประปราย โฬมเข้าจอดเทียบข้างทางเพราะบริเวณร้านไม่มีที่ให้จอดรถ ผมรอจนเขาดับเครื่องเรียบร้อยก็ค่อยเปิดประตู

ผมเดินนำเขาเข้าไปในร้าน เลือกที่นั่งใกล้พัดลมเพื่อหนียุง มีพนักงานเอาเมนูมาเสิร์ฟพร้อมยืนรอรับรายการ ผมพลิกเมนูที่เป็นกระดาษเอสี่แผ่นเดียวแต่เคลือบแผ่นใสไว้จนแข็ง

“โฬมทานอะไรครับ”

“ผมไม่เคยกิน...”

ผมยิ้มบางๆ ให้คนที่ไม่เคยกินข้าวต้มกุ๊ย

เลยจิ้มเลือกกับข้าวมาสามอย่าง เป็นผัดผักบุ้งหนึ่งจาน ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหนึ่งจาน กับยำไข่ดาวอีกหนึ่งจาน จากนั้นก็ขอข้าวต้มมาสี่ถ้วย แบ่งกันคนละครึ่ง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอาเดโม่เข้าบริษัท” ผมชวนคุยระหว่างรออาหาร

“ให้ผมไปด้วยไหม”

“ว่างเหรอครับ”

“ว่างบ่ายครับ”

“โฬมมีงานเช้าเหรอครับ!” ผมตกใจเผลอส่งเสียงดังไป เพราะตอนนี้ก็เกือบจะตีสองอยู่แล้ว กว่าเขาจะขับรถกลับบ้านที่อยู่คนละฝั่ง กว่าจะได้นอน

ให้ตาย ทำไมเขาไม่บอกผมก่อนนะ

“ฟ้าอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”

“ดึกขนาดนี้ ทำไมโฬมไม่บอกผม จริงๆ เพลงก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น”

“ผมเต็มใจทำครับ” เขาคลี่ยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว “อันที่จริงก็อยากอยู่กับฟ้านานๆ”

ฉ่า...

ผมไม่แน่ใจ ว่าเสียงที่ได้ยินนี่มจากกระทะของแม่ครัวหรือหน้าผมร้อนจนไหม้กันแน่

“เดี๋ยวตื่นไม่ไหวนะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง เบนหน้าหนีหลบสายตาพราวระยับนั้นอย่างเก้อเขิน

“ไหวครับ เมื่อก่อนผมนอนน้อยกว่านี้อีกนะ”

“ไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะครับ” ผมบอก พอดีกับที่กับข้าวสามอย่างพร้อมข้าวต้มควันฉุยมาเสิร์ฟ ผมเลยคว้าถ้วยข้าวต้มสองถ้วยมาไว้ในครอบครอง ดันที่เหลือให้โฬมที่มองด้วยความสนใจ

ข้าวต้มในถ้วยเป็นข้าวต้มเปล่าๆ ที่ไม่มีรสชาติ ไม่มีเครื่องอย่างอื่น เมื่อนำมาทานร่วมกับอาหารรสจัดๆ หน่อยอย่างยำไข่ดาวหรือผัดผักบุ้งก็นับว่าเป็นสวรรค์สุดยอด

ผมชอบมากๆ เลยตักเข้าปากเอาๆ จนถ้วยแรกหมดไปอย่างง่ายดาย

“ทานได้ไหมครับ” ผมถามตอนที่กลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ โฬมพยักหน้าแล้วตักอาหารเข้าปากโชว์ ผมเลยกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเติมเต็มกระเพาะตัวเองต่อ

“พี่ครับ ขอข้าวต้มอีกถ้วย” ผมชูนิ้วชี้บอกพนักงาน คนตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ

“หิวมากเลยเหรอครับ” เขาอมยิ้มขำ ส่วนผมยืดอกอย่างภาคภูมิ

“อร่อยครับ ผมชอบข้าวต้มกุ๊ยมากๆ”

“แล้วเมื่อไหร่ฟ้าจะชอบผมบ้างล่ะครับ”

“...ฮ่ะๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก้มลงตักข้าวต้มเข้าปากแบบเงียบๆ เลิกคิดที่จะชวนอีกฝ่ายคุยในทันที

ไม่เอาแล้วครับ หยอดจนนึกว่าเป็นขนมครกแล้ว ให้ตาย









“สกาย ชักช้า” ผมที่รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปหาเก่งกาจโดนบ่นทันทีที่เราสบตากันครั้งแรก ผมยกมือไหว้ใครอีกคนที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ ก่อนจะหันไปเบ้ปากให้นายเก่งกาจ เพื่อนที่เดี๋ยวนี้ชีวิตเริ่มเข้ารูปเข้ารอยกับคนอื่นเขาบ้างแล้ว

“นั่งๆ” เฮียเต็มที่ผมไม่ได้เจอหน้าหลายอาทิตยชี้ให้ผมนั่งลงข้างๆ บนโต๊ะไม้ทรงกลมมีถังน้ำแข็งกับขวดเบียร์กองอยู่ประมาณสองโปร มีบางส่วนถูกกินหมดไปแล้ว เก่งกาจหยิบแก้วเปล่ามาใส่น้ำแข็งแล้วรินเบียร์ให้คนทั้งโต๊ะ ส่วนผมเมื่อรับแก้วมาก็ยกไปขอชนกับพี่เจ้าของร้านที่สุดแสนจะใจดี

แกร๊ง

“ทำไมอยู่ๆ นัดมาล่ะครับ” ผมถามเฮียเต็มพลางจิบของเหลวขมฝาดลงคอ

“ไอ้เก่งมันมาติดเด็กที่ร้าน เลยขี้เกียจนั่งกับมันสองคน”

ผมเลิกคิ้ว หันไปมองเพื่อนที่แค่ยักคิ้วมาให้สองที

“เด็กร้านเฮีย?”

“เออ มาทุกวัน เฮียก็ต้องเลี้ยงมันทุกวัน น่าเบื่อ” เฮียเต็มบ่นก่อนจะหันไปโบกหัวเพื่อนผมเสียงดังผัวะ

เฮียเต็มกับเก่งกาจสนิทกันก่อนหน้าผมอีก เพราะไอ้เก่งเคยมารับจ็อบเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่ ที่ผมได้รับความเอ็นดูจ้างงานมาเรื่อยๆ ก็เพราะมีเส้นสายด้วยแหละ เป็นไอ้เก่งที่เอาคลิปเพลงผมมาอวดเจ้าของร้านจนเฮียนึกอยากจ้างผมมาร้องเพลง

“แล้วมึงมาติดเด็กคนไหนอีกล่ะ” ผมกวาดสายตามองทั่วร้าน โดยเฉพาะแถวๆ เคาท์เตอร์บาร์เพราะมีพนักงานยืนออกันอยู่เต็มไปหมด ทั้งหมดเป็นเพศผู้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนที่เป็นผู้หญิงนั่นคือสาวเชียร์เบียร์เสียมากกว่า

“คนที่ตัวสูงๆ” ผมมองตามนิ้วชี้ เป็นผู้ชายที่น่าจะสูงพอๆ กับโฬม ผมยาวประบ่ามัดต่ำ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย อีกทั้งยังมีรอยสักเล็กๆ ที่ไหปลาร้าเป็นรูปปีก

“สเปคเหมือนเดิมเลย”

“ก็กูชอบ”

“จะจีบอีกแล้วเหรอ”

“เออดิ”

“เพิ่งเลิกกับคนเก่าเอง”

ไอ้เก่งส่งแก้วมาให้ผมเหมือนต้องการให้ผมหยุดพูด

หลังจากผมเลิกคุยกับเพื่อนสนิท เฮียเต็มก็ค่อยๆ กลับเข้าสู่วงสนทนาอีกครั้ง แกดูเจาะจงผมเป็นพิเศษเหมือนมีจุดประสงค์ที่นัดผมมาอยู่ก่อนแล้ว

“ไอ้หนู มีอะไรจะสารภาพกับข้าไหม”

“...อะ อะไรเฮีย”

“เอ็งมีข่าวอะไรล่ะวะ เอ๊ะไอ้นี่”

“เรื่อง... โฬมเหรอครับ” ผมเสียงอ่อน แสร้งยกเบียร์ขึ้นจิบจนหมดแก้ว เก่งกาจก็ทำหน้าที่อย่างดีสมตำแหน่งเด็กเสิร์ฟเก่า แก้วผมไม่เคยว่างเกินสามวินาทีเลยสักครั้ง

“เออสิ วันนั้นยังไม่เห็นมีอะไร เป็นไงมาไงวะ”

“ก็... เอ่อ” ผมเม้มปาก กระดกของเหลวเข้าปากอักๆ พลางหันไปมองหน้าเก่งกาจเลิ่กลั่ก

“มันจีบกันอยู่อ่ะเฮีย”

“เก่ง!”

“อะไรของมึง” เก่งผลักหัวผมแล้วหันไปเม้าส์กับเฮียต่อ

“ไม่ต้องตามมันมาก็ได้ ถ้าเฮียอยากรู้ถามผมนี่”

“เออ ไหนเหลามาดิ ไอ้สกายมันไม่เห็นหัวเฮีย ไม่เคยบอกเคยเล่า รอให้ฟังจากขี้ปากคนอื่นเอา น่าน้อยใจชะมัด” เฮียเต็มเหลือบมองผมก่อนจะจ้องมองด้วยสายตาตัดพ้อปนอยากกระโจนเข้ามาบีบคอ

“ไอ้สกายมันไปดูดปากเขา เขาเลยติดใจ”

“ไม่ใช่นะ!”

“เอ็งมันไม่ได้ใสซื่อนี่หว่า”

“เฮียยยย”

ผมคร่ำครวญจากการโดนเผาแบบร้ายกาจ

เก่งกาจหัวเราะ คว้าคอผมเข้าไปกอดก่อนจะใช้มืออีกข้างขยี้จนทรงผมที่อุตส่าห์เซ็ทมาตั้งนานยุ่งเหยิงไปหมด รวมถึงเสื้อเชิ้ตที่สวมมาวันนี้ก็เละเทะไม่เป็นชิ้นดี

พวกฆาตกรรมแฟชั่นชัดๆ

“แดกเข้าไปเลยไอ้สกาย” เฮียเต็มยื่นขวดเบียร์คนละยี่ห้อมาให้ ผมมองแล้วส่ายหัวเบาๆ ตีกันแน่ๆ แค่ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกโลกเบลอๆ หมุนๆ แล้ว “กล้าปฏิเสธเหรอไอ้หนู”

“เดี๋ยวผมเมาเฮีย”

“ไม่ได้เอารถมา เมาได้” เก่งกาจยุยงพลางจุดบุหรี่สูบอย่างชิลๆ

มาเพื่อให้โดยรุมชัดๆ เลย ผมนึกว่าจะมานั่งถกคุยกันเพลินๆ ซะอีก นานๆ ทีเฮียเต็มจะนัดมาถ้าไม่ใช่เพราะมีงาน ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมถึงกลายเป็นเป้า รถก็ไม่มีขับ เก่งกาจก็ไม่มีรถ และถึงมันมีก็คงไม่ไปส่งผมแน่ มีแต่จะลากคอพาผมกลับหอตัวเองแล้วปล่อยผมทิ้งไว้กับผ้าเช็ดเท้าหน้าห้องน้ำ

เคยๆ มาแล้ว ทำไมจะไม่รู้

“ให้ใจข้าเท่าไหร่วะ”

“...” ผมเบ้ปาก

ประโยคแบบนี้ตลอด ท้ากันแบบนี้แสดงว่าเก่งกาจบอกจุดอ่อนผมให้เฮียรู้แน่ๆ

ผมเป็นคนให้ใจคนอื่นเกินร้อยโดยเฉพาะคนสนิท ผมเลยมักถูกท้าทายด้วยประโยคนี้ได้ง่ายๆ เป็นมาตั้งแต่สมัยเฟรชชี่แล้วครับ โชคดีที่ไม่ได้ออกตัวว่ากินหนัก กินเยอะเลยไม่ค่อยถูกเล่นงานเท่าไหร่ แถมยังมีเพื่อนของผมอีกคนที่นิสัยน่าแกล้งจนเป็นเป้าหมายแทนทำให้ผมอยู่รอดมาได้โดยไม่ถูกน้ำเมาเลี้ยงดูตลอดสี่ปี

“สกาย เอ็งให้ใจข้าแค่ไหนเอ็งกินเท่านั้น” เฮียเต็มพูดจบก็ยื่นขวดเบียร์ที่เพิ่งเปิดฝามาให้

ผมมองมันสลับกับหน้าของสองคนบนโต๊ะ เม้มปากก่อนจะยอมคว้าขวดสีชานั้นมากระดกอั่กๆ ไม่ยอมวาง หลับตายอมรับชะตากรรมในวันนี้ว่าตายแน่นอน อาจจะแฮงค์ไปจนถึงบ่ายวันพรุ่งนี้แน่ๆ

แต่เอาแค่ว่า คืนนี้จะกลับคอนโดยังไงก่อนดีกว่า





“โทรเรียกโฬมมารับไป” ผมที่ล่วงลงไปกองอยู่กับโต๊ะได้ยินเสียงของเฮียเต็มเข้ามาแว่วๆ

“จะดีเหรอเฮีย”

“คนจีบกัน ไม่เป็นไรหรอก”

“เดี๋ยวผมเอามันไปนอนหอด้วยก็ได้” คนที่คุยกับเฮียน่าจะเป็นเก่งกาจ ผมขยับยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองภาพร้านที่เบลอและเหวี่ยงจนน่าคลื่นเหียน ขยับหัวไปซบไหล่กว้างของเพื่อนที่ยังโคลงแก้วในมือเล่นอยู่

“สร้างสถานการณ์ให้มันหน่อย”

“เฮียจะเป็นพ่อสื่อรึไง”

“บ๊ะไอ้เก่ง อย่างกูนี่สำเร็จมาแล้วสิบกว่าคู่”

“แล้วที่ไม่สำเร็จละเฮีย”

“อีกเป็นร้อย”

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะทำให้ร่างที่ผมใช้เป็นเสาพิงสั่นสะเทือน ผมครางฮือสอดมือเข้ากอดเอวเก่ง เหลือบตามองมันด้วยดวงตาที่เยิ้มไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์

“จะนอน”

“เรื้อนตลอด”

“หนวกหูอ่ะ” ผมบ่นแล้วหลับตาลงไปต่อ

“ข้าโทรบอกโฬมแล้ว เดี๋ยวมันมารับ” เฮียเต็มพูดอะไรอีกหลายคำต่อจากนั้น แต่ผมง่วงเลยไม่สามารถได้ยินมันอีก รู้แค่มีชื่อของโฬมดังลอดเข้ามา

โฬมจะมาเหรอ...





ผมวาร์ปขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่ร่างกายถูกจับออก ผมที่กอดเอวเก่งกาจไว้แน่นพยายามขืนตัวเพราะกำลังสบาย เพื่อนผมสบถอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่สนใจ ไถหัวเข้าไปซุกอกของเพื่อนพร้อมบ่นงึมงำ

“เก่งอย่าดิ้น กูจะนอน”

“ไอ้สกาย มึงกำลังหาเรื่องให้กู”

“เก่งงงง” ผมครางลากยาวเพราะขัดใจ เก่งเอาแต่ดันตัวผมออกอยู่นั่น

“ฟ้าครับ กลับกันได้แล้ว” ผมได้ยินเสียงนุ่มๆ ที่แสนคุ้นเคยเลยยอมลืมตาขึ้นมามอง แต่ทุกอย่างกลับวูบวาบไปหมด รวมถึงหัวก็หนักจนไม่สามารถผงกขึ้นมาได้

แขนของผมถูกดึงเหมือนจะคลายอ้อมกอดออก แต่ผมกลับรีบขยับตัวเข้าไปใหม่ อะไรอีกแล้ว ปกติเก่งกาจจะถีบผมออกในครั้งเดียว แต่พอโดนดึงโดนฉุดไม่เลิกมันก็เลยสร้างความรำคาญให้แก่ผมที่กำลังง่วงสุดๆ

“จะนอนครับ” ผมบ่น แต่ก็ดันสุภาพด้วยเพราะได้ยินคนแปลกหน้าคนนั้นพูดจาลงท้ายด้วยครับแทบทุกคำ

“สกาย ปล่อยกู” เก่งก้มลงมากระซิบ ผมย่นคิ้ว “ไอ้เหี้ย มึงลืมตามามองหน้านักร้องมึงด้วย”

“อะไร” ผมงึมงำ ขยับหัวหนีเพราะรำคาญลมหายใจที่กระทบใบหู

“ยิ้มน่ากลัวชิบหาย”

“เก่งหยุดพูดหน่อยดิ” ผมบ่น ปกติมันไม่เห็นวุ่นวายกับผมขนาดนี้

“มึงก็ปล่อยเอวกูสิ” แขนผมโดนดึงอีกครั้ง “เฮียเต็ม ช่วยผมด้วย”

“ฟ้าครับ กลับนะครับ”

ผมสู้แรงคนมากมายที่วุ่นวายกับตัวผมไม่ได้ สุดท้ายเลยปลิวไปตามแรงดึงของใครสักคน แขนผมถูกดึงให้โอบรอบคอ กอดที่บั้วเอวจะถูกประคองไว้ด้วยฝ่ามืออุ่น

“ขอบคุณที่ดูแลสกายนะครับ” เสาหลักอันใหม่ของผมหันไปพูดกับใครไม่รู้ ได้ยินเสียงเก่งกาจบอกลาแว่วๆ ผมเลยชะเง้อคอหันไปมองแล้วคลี่ยิ้มตาหยีให้เพื่อน

“บายเก่ง”

“ไม่ต้องมายุ่งกับกู” เก่งกาจตะคอกกลับ แต่ผมดันหัวเราะ

พอเมาอะไรๆ ก็สนุกไปหมดเลยแหะ ยกเว้นหัวหนักๆ ที่ผมต้องเอนพิงไหล่คนข้างๆ ร่างกายโดนลากไปตามทางเดินอย่างทุกลักทุเล ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างโง่งมทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ขำ

“ฟ้ากินเหล้าเมาแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ”

“เอ๊ะ... โฬมเหรอ” ผมเงยหน้ามอง เห็นเพียงสันกรามที่มีไรหนวดขึ้นจางๆ ซ้อนทับเป็นสองสามภาพ

ผมถูกยัดเข้าไปนั่งในรถ เข็มขัดนิรภัยพาดผ่านช่วงตัวด้วยฝีมือของคนที่ผมคิดว่าคือโฬม เสียงปิดประตูรถทำให้หูผมวิ้งจนต้องเบ้หน้า ที่นั่งฝั่งคนขับมีร่างกายสูงโปร่งเข้ามาเติมเต็ม เขาโน้มตัวเข้ามาหา เกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าออกให้อย่างเบามือ

“ไม่น่ารักเลยนะครับ”

“...ขอโทษครับ” ผมบอกแบบนั้นเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกดุ

“ผู้ชายคนนั้นเพื่อนเหรอครับ”

“อึ่ก คนไหน อึก ครับ”

“คนที่ชื่อเก่ง”

“เพื่อนผมเอง” ผมฉีกยิ้มให้แม้ดวงตาจะปิดไปตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นไม่นานสติก็ดับวูบตามไป ไม่รู้เลยว่าประโยคต่อจากนั้นที่โฬมตอบมาคืออะไร ผมรู้แค่ว่าแอร์รถยนต์ที่เย็นช่ำกำลังทำให้ผมนอนหลับฝันหวาน

สบายจัง




__________________________
Talk: หวา โดนพี่หึงงงงงงง
วันนี้มาแต่หัววัน เพราะเดี๋ยวจะออกไปงานหนังสือแล้วค่า
มาช้าอีกแล้ว เพราะเขียนเขื่อนคนสวยช้า อันนี้ก็เลยเลทไปด้วย
ขอโทษด้วยนะคะ ฮืออออ  :hao5: :hao5:

เราจะพยายามเขียนสต็อครอไว้ ถ้าทำได้  :katai4: :katai4:
รักทุกคนนนนน จะพยายาม 3 วันครั้งให้ได้เหมือนเดิมค่ะ!
สู้ เดี๋ยวกลับมาปั่นต่อ คนอ่านจะได้ไม่รอนานนนน

ฝากคอมเม้นให้กำลังใจด้วยนะคะ
ต่อเติมแรงกายแรงใจให้เราที ฮรุก
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-10-2018 17:18:40
 :L2: :pig4:

ชอบเพื่อนๆของสกาย

คุณคนเขียนสู้สู้วววววว เรารออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 27-10-2018 17:33:46
พี่หึงแล้ว น้องจะโดนทำโทษมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-10-2018 18:35:52
 จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 27-10-2018 19:02:18
รอจร้าาา
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 27-10-2018 23:47:40
เก่งโดนดักเกบแน่
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 28-10-2018 00:20:05
สกายโดนดุเลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-10-2018 02:17:59
ตื่นมาจะเป็นยังไงนะ 555555555555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 28-10-2018 13:32:41
ฟ้าไม่น่ารักแบบนี้ พี่โฬมต้องทำโทษด้วยน้า
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [27-Oct-18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 28-10-2018 20:55:16
สนุกมากเลย ฟ้าน่ารักมาก
ชอบโฬมอ่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 14 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 31-10-2018 10:15:56
บทที่ 14




“ฟ้าครับ ตื่นได้แล้วนะ ถึงแล้ว”

แรงสะกิดที่หัวไหล่พร้อมเสียงเรียกทำให้ผมค่อยๆ รู้สึกตัว ใครบางคนยังเรียกผมอยู่เรื่อยๆ พร้อมเขย่าตัวกันไม่แรงนัก ผมลืมตาปรือปรอยขึ้นมอง ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไม่น้อย ทั้งยังโคลงเคลงราวกับอยู่บนเรือกลางทะเลกว้าง

ผมเห็นสันกรามสวยก่อนเป็นอย่างแรก ยกมือขยี้ตาเบาๆ เมื่อทุกอย่างซ้อนทับกันเป็นสามชั้น ศีรษะปวดหนักจนไม่อาจผงกขึ้นมาได้ ผมพยายามหรี่ตาเพ่งมองใครสักคนตรงหน้า เกือบนาทีกว่าดวงตาของผมจะจับได้ว่าภาพตรงหน้าคือใคร

“โฬม?” ผมถาม เสียงแหบพร่าราวคนขาดน้ำทั้งๆ ที่กรอกเครื่องดื่มมึนเมาลงท้องเป็นว่าเล่น พอขยับตัวเล็กน้อยโลกก็ราวกับเหวี่ยงกลับหัวพลิกคว่ำ ผมคลื่นไส้จนต้องทิ้งร่างพิงเบาะเหมือนเดิม ก่อนจะครางงึมงำอย่างไม่สบายตัว

“ไหวไหมครับ ให้ผมไปส่งไหม” ฝ่ามืออุ่นลูบลงมาบนหัว ผมมองสบกับดวงตาที่ตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย

ผมสูดหายใจ ตอนแรกจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พอขยับตัวนิดเดียวหัวก็เหวี่ยงตกไปด้านข้างทันที จนต้องรีบร้อนคว้าไหล่กว้างที่ขยับเข้ามาช่วยประคองกันไว้แน่น

“ไป อึก ไปส่งก็ดีครับ” ผมบอกพร้อมกลืนบางอย่างที่เตรียมขย้อนออกมาลงคอไป

โฬมขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ยิ้มแล้วเมื่อเห็นผมมีสีหน้าไม่ค่อยดี

ร่างสูงดันให้ผมนอนเอนไว้ก่อนที่เขาจะลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาทางฝั่งข้างคนขับ ผมพยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระมากที่สุด พอเขาจับผมขยับไปทางไหน ผมก็โอนอ่อนไปตามด้วยความง่ายดาย โฬมยื่นยาดมมาให้ ส่วนผมก็รีบคว้ามาจ่อจมูกทันทีเพื่อคลายอาการคลื่นเหียนที่กำลังเผชิญอยู่

ให้ตายเถอะ เฮียเต็มก็ไม่ไว้ชีวิตกันเลยสักนิด

ดีหน่อยที่พอได้นอนผมก็คล้ายจะมีสติมากกว่าเดิม

ผมโอบแขนข้างซ้ายรอบลำคอของคนตัวสูงกว่า ส่วนโฬมก็สอดมือเข้ามาประคองเอวผม เขาปิดประตูแล้วล็อครถก่อนจะค่อยๆ พยุงผมเข้าไปในคอนโด

ระหว่างทางยาดมช่วยชีวิตผมไว้ได้หลายครั้งมาก ผมเลยยัดมันไว้ในรูจมูกโดยไม่เอาออกมา เพราะถ้าขาดมันไปแค่เพียงเสี้ยววิ ผมได้อ้วกออกมาจนหมดพุงแน่ๆ

“ชั้นไหนครับ”

ผมบอกเลขชั้นและเลขห้องไปโดยไม่สนใจความเป็นส่วนตัวอีกแล้ว

เราจะไม่ดื้อรั้นในตอนที่เราต้องการความช่วยเหลือ

ระหว่างอยู่ในลิฟต์ผมก็ควานหาคีย์การ์ดห้องให้กับโฬม พลางขออนุญาตเขาอย่างเกรงใจว่าขอพิงหน่อย เพราะผมไม่สามารถทรงตัวบนขาสองข้างที่อ่อนเปลี้ยของตัวเองได้อีกแล้ว

อยากทิ้งตัวลงไปนอนเสียเดี๋ยวนี้เลย ให้ตาย

“จะอ้วกไหมครับ”

ผมพยักหน้าเบาๆ สีหน้าไม่สู้ดีจนโฬมรีบพาผมเข้าไปในห้องน้ำทันที

ผมทิ้งตัวลงนั่งหน้าชักโครก หันไปบอกให้อีกคนออกไปก่อนเพราะไม่อยากให้เขาเห็นสภาพน่าอดสูของผมนัก แต่โฬมกลับเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ แล้วเริ่มต้นลูบหลังผมเบาๆ

หลังจากมีการกระตุ้น ท้องไส้ผมที่ปั่นป่วนอยู่แล้วก็ได้ทีจัดการคายทุกอย่างที่กินไปออกมา ผมอ้วกจนหมดแรง แสบคอและดวงตาไปหมด น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย และลูกตาก็แดงก่ำจนโฬมรีบพาไปล้างหน้าแล้วลากไปนอนโดยเร็ว

ผมถูกวางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา แอร์ค่อยๆ ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นขึ้นจนไม่เหนียวตัวอีกแล้ว แต่ผมกลับยังเวียนหัวและโลกหมุนไม่เลิก

“เดี๋ยวผมไปแล้วนะครับ” โฬมที่ดูแลผมเป็นอย่างดีเดินเข้ามาห่มผ้าให้ ก่อนจะลูบหัวเบาๆ แล้วบอกลากัน แต่ผมกลับคว้าชายเสื้อยืดของเขาเอาไว้ ช้อนตามองด้วยดวงตาที่ยังแดงก่ำจนน่ากลัว

“กี่โมงแล้วครับ”

“ตีสี่แล้วครับ นอนได้แล้วนะ”

ผมมองใบหน้าอ่อนโยนพลางขบปากใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจกระตุกชายเสื้อของโฬมอีกครั้ง

“นอนที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ ดึกแล้ว”

“...ฟ้าโอเคเหรอครับ?”

“โฬมอุตส่าห์ไปรับแล้วยังดูแล” ผมบอกเสียงเบาด้วยความอับอาย “ขับรถกลับตอนนี้... ผมเป็นห่วง”

“...”

“...”

“พูดแบบนี้ผมก็ไม่ยกโทษให้หรอกนะครับ”

“เอ๋?”

โฬมไม่พูดอะไรต่อ เขาจับมือผมออกจากเสื้อของเขาก่อนจะยัดมันกลับเข้าใต้ผ้าห่ม แต่ผมไม่ยอมเพราะกลัวเขาจะขับรถกลับบ้านเองจริงๆ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบังคับให้ผมแข่งจ้องตากับเขาต่อไปจนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ

“ฟ้าครับจะสว่างแล้วนะ”

“นอนด้วยกันนะครับ” ผมย้ำ “นะครับ”

“...”

โฬมแสดงสีหน้าแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาชะงักแล้วเบนศีรษะหนีไปทางขวา พลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ผมมองไม่เห็นว่าเขามีสีหน้ายังไงเพราะเส้นผมที่เริ่มยาวแล้วของโฬมตกลงมาปรกหน้าจนหมด

“อย่าไปเมาต่อหน้าคนอื่นอีกนะครับ”

“...?” ผมเลิกคิ้วด้วยความฉงน

โฬมถอนหายใจอีกที ขยับตัวมานั่งลงที่ข้างเตียงแต่ไม่ยอมหันหน้ามาสบตากันอยู่ดี

“เมาแล้วเป็นแบบนี้ กับใครก็ห้ามนะครับฟ้า”

ผมไม่เข้าใจ เลยยันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อจับเข่าถกประเด็นน่างงงวยนี้อย่างจริงจัง แต่แอลกอฮอลล์ในกระแสเลือดที่ยังไม่หายไปไหนทำให้ผมเซไปเซมาเพราะโลกเหวี่ยวอย่างกับไวกิ้ง สุดท้ายก็เป็นโฬมที่เข้ามาช่วยพยุงผมอีกครั้ง ผมครางฮือ ซบหน้าลงบนหัวไหล่กว้างที่ยังมีกลิ่นหอมของสบู่อาบน้ำอยู่เลย

“หมายความว่าไงครับ”

“...” โฬมไม่ตอบอีกแล้ว เขาดันผมกลับลงไปนอน พอขึ้นๆ ลงๆ มันก็เวียนหัวจนผมต้องยอมปิดเปลือกตาเพื่อปรับให้สมองกลับมาเป็นปกติ ลำคอยังแสบร้อนจากการอาเจียนเมื่อกี้ไม่หาย ผมไม่อยากกอดชักโครกนอนหลับต่อหน้าโฬมหรอกนะครับ น่าอายจะตาย

คนตัวสูงเดินไปปิดไฟห้องนอนก่อนจะกลับมาสอดตัวลงนอนข้างๆ บนเตียง ผมเลยหันไปยิ้มตาหยีให้เพราะเขายอมทำตามคำขอของผม

“ขอบคุณนะครับ อึก” ผมบอก แต่ก็หลุดสะอึกไปหนึ่งทีเพราะลมตีขึ้นมาจ่อที่คอ

โฬมหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง วางมือลูบหัวผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ รู้สึกจะโดนลูบบ่อยแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ เมื่ออากาศเย็นฉ่ำกับผ้านวมอุ่นสบายกำลังชวนให้ผมกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

ผมอ้าปากหาว หันตะแคงข้างแล้วสอดมือเข้าที่ใต้หมอน เป็นท่านอนประจำที่ทำให้ผมหลับสนิท แต่กลับไม่ยอมปิดเปลือกตาลงสักที เพราะเมื่อโฬมมานอนอยู่ข้างๆ นั้นทำให้ผมเห็นหน้าของเขาใกล้กว่าทุกที

ฤทธิ์น้ำเมาสามารถทำอะไรได้บ้าง นอกจากเหวี่ยงโลกทั้งใบให้หมุนจนน่าเวียนหัว

ผมไม่เคยพิสูจน์มันสักที รู้แค่เพียงว่ามันทำให้ผมมีความกล้าพอที่จะทำอะไรตามใจอยากของตัวเอง อย่างเช่นการขยับตัวเข้าไปจนระยะห่างระหว่างเราสองคนย่นระยะลงจนเหลือไม่กี่เซนต์

โฬมที่นอนหงายหันหน้ามามองผมด้วยความสงสัย


“ทำไมถึงไปรับผมเหรอครับ” ผมถาม ทั้งๆ ที่ดวงตากำลังจ้องริมฝีปากที่มองไม่ค่อยเห็นในความมืด

“คุณเต็มโทรไปเรียกครับ”

“รบกวนโฬมแย่เลย” ผมบ่นเบาๆ “จริงๆ ผมไปค้างห้องเก่งก็ได้”

“ฟ้าไปนอนห้องเพื่อนบ่อยเหรอครับ” ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นห้วนขึ้นมาถึงสามส่วน รวมถึงร่างสูงโปร่งที่หันตะแคงข้างมาจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง

“ก็... บ่อยนะครับ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปแล้ว” ผมบอกไปด้วย อ้าปากหาวไปด้วย

“นอนเตียงเดียวกันเหรอครับ”

“อ๊ะ... ครับ”

“กอดกันปกติเหรอครับ”

“เอ่อ ก็ใช่ครับ...”

“แล้วเคยให้เขามาค้างที่ห้องไหมครับ”

“คะ เคยครับ” ผมย่นคอเมื่อใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาจนสันจมูกเราชนกัน คิ้วของโฬมขมวดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งริมฝีปากก็ไม่มีรอยยิ้มประดับอีกแล้ว เขาจ้องตาผมนิ่ง ความมืดทำให้ผมมองไม่เห็นประกายวาววาบที่กำลังเต้นเร้าอยู่ภายในลูกตา แต่อารมณ์ที่แปลกไปของโฬมนั้นผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน

“โฬม?”

“เฮ้อ” ผู้ชายตรงหน้าถอนหายใจพรืดใหญ่ เขาซุกหน้าลงในหมอนใบโต ก่อนจะถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่สองพร้อมกับบ่นบางอย่างงึมงำในลำคอ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“เป็นสิครับ”

“อ๊ะ เป็นอะไ-”

“หึงครับ”

“...!”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเงยขึ้นมาสบ สะท้อนความจริงจังพร้อมน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง คล้ายกับสิ่งที่พูดออกมานั้นคือความจริงแท้ไม่มีแต่งเติม

หัวใจของผมสั่นระรัว ราวกับจะกระเด้งหลุดออกมาจนต้องยกมือขึ้นกุมมันเอาไว้ ใบหน้าผมที่แดงอยู่แล้วกลับยิ่งแดงฉานมากกว่าเก่าเพราะความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกาย

ผมหลุบตาหนีดวงตาจริงจังคู่นั้น แต่โฬมกลับรั้งปลายคางไว้เพื่อไม่ให้ผมหันหน้าหนี

แอลกอฮอลล์ผลักดันให้ผมกล้าสบตากับเขาอีกครั้ง มันทำให้รู้ว่าคราวนี้โฬมเคลื่อนทั้งตัวและใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเก่า ลมหายใจของเขาตกกระทบริมฝีปากของผมอย่างจัง ผมกลั้นหายใจด้วยความตื่นตระหนก กวาดตามองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก อาการมึนเมาคล้ายจะสร่างในทันทีที่กลิ่นลมหายใจของโฬมถูกสูดเข้ามาในร่างกาย

“ฟ้าครับ” เขาเรียกผมเบาราวกระซิบ ดึงมือผมให้ทาบลงไปบนอกข้างขวา สัมผัสอวัยวะภายในที่เต้นแรงไม่ต่างจากหัวใจผมเลยสักนิด

“เอ่อ...”

“ผมชอบฟ้านะครับ”

ตึก...ตัก

“ผมรู้สึกไม่ดีเวลาเห็นฟ้าไปกอดกับใคร ถึงคนๆ นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของฟ้าก็ตาม”

“ผม...”

“ผมหวงนะครับ”

ตึกตัก ... ตึกตัก

“ทั้งหึง ทั้งหวง” ฝ่ามือร้อนวางลงบนแก้ม เกลี่ยใต้ตาของผมเบาๆ

ผมกลืนน้ำลาย ไม่สามารถหลบดวงตาที่จ้องกันมาอย่างสื่อความหมายได้เลย ราวกับผมกลายเป็นปูนปั้นไปแล้ว เพราะร่างกายล้วนแข็งทื่อไปเสียทุกส่วน แม้จะกลืนน้ำลายยังทำได้ยากเย็น

“โฬม คือ...”

“ครับ?”

“ผมกับเก่งเป็นแค่เพื่อนกัน”

“ฟ้ากอดแน่นขนาดนั้น ถึงเป็นเพื่อนผมก็หึงนะ” โฬมยิ้มให้ผมแล้ว หัวใจผมคล้ายคลายแรงบีบรัดลงจนหายอึดอัด แต่มันก็ยังเขย่ารัวๆ ราวเกิดแผ่นดินไหวภายใน ผมกุมหัวใจตัวเองไม่เลิก คนตัวสูงหลุบตามองมือของผมก่อนจะอมยิ้มเล็กๆ “กับผมฟ้ายังไม่เคยกอดเลยนะ”

“...” ผมเงียบคิด

ไม่ใช่ว่าเขาอิจฉาหรอกเหรอแบบนี้

“โฬมอยากให้ผม...กอด?”

โฬมยิ้ม ไม่ยอมตอบอะไร แถมไม่พยักหน้าหรือขยับตัวสักนิด

ผมครุ่นคิดกับตัวเอง มองลึกเข้าไปในหัวใจที่กำลังหวั่นไหวแบบไม่ต้องสงสัย ค่อยๆ คลายมือออกจากอกข้างซ้ายแล้วเอื้อมไปโอบรอบเอวสอบใต้กางเกงขาสั้น ขยับตัวเข้าไปจนแผ่นอกของพวกเราแนบสนิทกันโดยสมบูรณ์

หัวใจผมเกิดความรู้สึกจี๊ดขึ้นมาจนต้องเบ้หน้า เหมือนมันถูกผูกไว้กับรถไฟเหาะ และในจังหวะที่กำลังดิ่งลงพื้นแบบเก้าสิบองศา มันก็หลุดออกมาแล้วลอยคว้างอยู่ในอากาศ อาการวูบวาบทำให้ตัวผมสั่น รวมถึงมือทั้งสองข้างที่ไม่กล้าแตะลงบนผิวหนังของโฬมแบบจริงจัง จึงทำได้แค่วางลอยๆ ไว้แบบหวั่นกลัว

“ผะ ผมกอดโฬมแล้ว...”

“แบบนี้ไม่น่าเรียกว่ากอดนะครับ” โฬมหัวเราะ ก้มลงมองมือของผมที่ไม่ได้วางทาบลงไปบนเอวของเขาด้วยซ้ำ เขาเลื่อนมือมาโอบรอบเอวของผมบ้าง แถมยังวางลงมาแบบเต็มๆ จนผมสะดุ้งโหยง

“อ๊ะ” ผมร้องเสียงหลงเมื่อร่างถูกกระชับเข้าไปในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น

ปากของผมชนเข้ากับแก้มของเขาอย่างแรง ใบหน้าของพวกเราแนบชิดกันมาก และด้วยระดับใบหน้าที่เท่ากัน ทำให้โฬมต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อให้พวกเราไม่แย่งอากาศกันหายใจ

ผมตัวสั่นระริก แต่ก็พยายามสูดหายใจระงับอารมณ์ แอลกอฮอลล์อาจสร้างความกล้า แต่ก็แถมมาด้วยความอ่อนไหวที่มากกว่าปกติ ผมคอนโทรลตัวเองไม่ได้อีกแล้ว คล้ายสมองมันขาวโพลนจนไม่อาจไตร่ตรองสิ่งใดได้อีก

โฬมลูบหลังผมเบาๆ กดหัวให้ผมซุกลงบนไหล่ของเขา

“นอนนะครับ ฟ้าจะสว่างแล้ว”

ผมเม้มปาก กลิ่นตัวหอมๆ ของเขายิ่งทำผมตาสว่างโร่

“โฬม...”

“ครับ?”

“ชอบผมจริงๆ เหรอ”

“ชอบสิครับ”

ผมนิ่งระงับหัวใจเพราะกลัวว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของมัน

“ผม... ยังไม่แน่ใจ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอฟ้าได้”

ผมกำเสื้อยืดของโฬมจนยับย่นหลังได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนกับประโยคนั้นของเขา

“โฬม...” ผมเรียกชื่อเขาอีกครั้ง

คราวนี้โฬมพ่นลมหายใจใส่หัวผม ก่อนจะตบหลังเบาๆ เป็นการปราม

“ทำไมไม่ยอมนอนครับ หืม”

“ผมยังมีเรื่องอยากถาม...”

“วันนี้เป็นเด็กดื้อเหรอครับ”

“...”

“ตั้งแต่ปล่อยตัวเองให้เมาเละเทะแล้วนะครับ”

“โฬม...”

“ว่าไงครับเด็กไม่ดี”

“ขอโทษครับ” ผมบอกเสียงหงอย กลืนประโยคที่อยากพูดจริงๆ ลงคอไปเพราะโฬมทำเสียงดุจนผมรู้สึกเหมือนเด็กกำลังโดนอบรม แม้บนหัวจะมีมืออุ่นลูบเบาๆ แต่ก็พอจะรับรู้ความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากตัวของคนข้างๆ ได้อย่างชัดเจน

“พรุ่งนี้ค่อยคุยเรื่องนี้นะครับ ผมคงต้องดุเสียหน่อย”

“ไม่ดุไม่ได้เหรอครับ” ผมถาม เงยหน้ามองเขาอย่างขอร้อง

“ถ้าไม่ดุ ฟ้าก็จะทำอีก”

“...” ผมเงียบเพราะพูดความจริง

สุดท้ายถ้าไปดื่มกับเพื่อนหรือคนรู้จักที่สนิทกันอีก ผมก็อาจจะปล่อยตัวให้เมาเละเทะอีกได้ เพราะเก่งกาจไม่เคยบ่นถ้าผมจะกลายร่างเป็นหมาให้มันแบกกลับห้อง อันที่จริงไม่เคยมีคนดุผมเลยสักครั้ง ยกเว้นเก่งกาจที่ชอบบ่นวุ่นวายไม่ได้สาระ

มีโฬมเป็นคนแรก...

หัวใจผมทั้งกริ่งเกรงทั้งอุ่นซ่าน หลากหลายอารมณ์วิ่งวนนับไม่ถ้วน แต่รวมๆ ก็ไม่ได้แย่นัก ผมกำลังมีความสุขกับสิ่งที่โฬมกระทำให้กัน แม้เขาจะบ่นผมอยู่ก็ตาม

“ถ้าคราวหน้าไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนอื่น อกผมคงแตกตาย”

“แต่ว่า...” ผมกำลังจะเถียง แต่คนในอ้อมแขนกลับส่งเสียงชู่ให้ผมหยุดพูด

“พรุ่งนี้ค่อยคุยนะ ตอนนี้นอนได้แล้วครับ”

“ผม...”

“ไม่นอนผมตีนะครับ”

ผมเบ้ปาก มุดหน้าลงบนอกของโฬมเพื่อหนีการลงโทษ

แปลกๆ แหะ ผมเป็นรองเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ให้ตายเถอะ

“แต่ว่า...”

“เมาแล้วนอกจากเรื้อนยังพูดมากอีกเหรอครับฟ้า”

“ผมอยากรู้นี่น่า” ผมทำเสียงอ่อย

“คำถามสุดท้ายนะครับ” โฬมดูอ่อนอกอ่อนใจกับผมเอามากๆ เลย

แต่ถ้าผมไม่ได้พูด ผมก็คงนอนไม่หลับจริงๆ นั่นแหละ

หัวใจผมบีบรัดแน่นตอนพยายามเค้นเสียงกลั่นออกมาเป็นประโยค ผมไม่ยอมเงยหน้ามองคู่สนทนา เอาแต่เบียดตัวใกล้ชิดอีกฝ่ายแน่นเพื่อกันตัวเองจากความเขินอาย

“โฬมว่า... ผมจูบเป็นยังไง”

“อะ อะไรนะครับ”

“ผมอยากรู้ ว่าจูบผมเป็นยังไง...” ผมบอกเสียงเบา ไม่รู้เขาได้ยินไหมเพราะมันติดอยู่ในลำคอไปแล้วครึ่งเสียง

“ฟ้า...” โฬมเรียกชื่อผม พยายามจะดันตัวผมออกมามองหน้าแต่ผมฝืนแรงต้านไว้

“แค่ตอบ...” ผมท้วง

“ฟ้าครับ”

“มันเป็นจูบแรก ผมอยากรู้”

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากประโยคนั้นถูกพูดออกไปจนจบ ร่างของผมถูกเหวี่ยงไปมาก่อนจะโดนทาบทับไว้ด้วยน้ำหนักที่มากจากผู้ชายตัวสูงที่ควรจะนอนอยู่ข้างๆ

โฬมกดบ่าผมติดเตียง โน้มหน้าลงมามองสบตากันผ่านความมืด

“จูบของฟ้าต้องดีสิครับ”

เขาหายใจแรงเหมือนกำลังตื่นเต้น ส่วนผมลืมวิธีการหายใจไปเรียบร้อยแล้ว

“อ๊ะ ครับ” ผมที่ทิ้งช่องว่างให้บทสนทนานานเกินไปสะดุ้งตอบเพราะเพิ่งคิดได้ ยื่นมือออกไปหมายจะผลักอกคนตัวสูงให้ขยับออกไปห่างๆ แต่โฬมกลับรวบข้อมือผมไว้แล้วกดมันลงจนขยับไปไหนไม่ได้อีก

“ฟ้าครับ”

“คือ...”

“แล้วจูบของผมเป็นยังไงสำหรับฟ้า”

ผมเม้มปาก ไม่กล้าตอบ

ดวงตาหลุบมองริมฝีปากสวยที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนต์

แรงดึงดูดนั้นยังชวนให้กดปากตัวเองลงไปเสมอ ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รั้งสายตาตัวลงไปที่ลูกกระเดือกของคนด้านบน

“ผม... ผม...”

“...”

“ผมชอบมั- อื้อ”


__________________________________-
Talk: มาแต่หัววันเชียวววว 55555555
พี่โฬมแกก็ดุน้องได้เท่านี้แหละ แต่กับนายเก่งกาจ ใครจาปัยรู้ววววว  :hao3:

จริงๆ คนเมา ถ้าไม่ได้วาร์ปไปเลย ก็มีสติกันทุกคน แต่รู้คิดไหมไม่แน่ใจค่ะ ฮา อ้วกแปบๆ ก็สร่างแล้วเนอะ
เผื่อมีคนสงสัยว่าทำไมน้องเมาแล้วยังพูดจ้อเป็นต่อยหอย
น้องสกายจะเรื้อนเวลาเมา แต่พอกรึ่มๆ จะกลายเป็นพูดไม่หยุดจนพี่จะตีก้นเอาแล้ว เอิ้ก

ฝากน้องไว้ในอ้อมใจเหมือนเดิม
เจ้าสกายเดินทางมาเลยครึ่งเรื่องแล้วเนอะะ  :katai2-1: :katai2-1:
อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ นะคะ ใครที่มาใหม่ก็ยินดีต้อนรับบ
ว่างๆ เม้นคุยกันก็ได้น้า รักทุกๆ คนเลย ฮึ้บบบบ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-10-2018 11:49:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 31-10-2018 12:38:02
อ่อยกันไปอ่อยกันมา คนบ้า!
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 31-10-2018 13:10:17
ฟ้า ตอบดีมาก
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 13 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 31-10-2018 13:25:03
ลงโทษหนักๆเลยโฬม อิออ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 14 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 31-10-2018 15:07:23
พี่โฬมจะใจแข็งดุน้องไหวเหรอออ 5555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 14 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-10-2018 20:24:00
ลงโทษเด็กดื้อไปเลยค่ะพี่โฬม
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 14 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-11-2018 09:23:12
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 14 [31-Oct-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 04-11-2018 14:41:49
น้องงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [4-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 04-11-2018 16:05:31
บทที่ 15



ราวกับมีผีเสื้อนับสิบบินวนอยู่ในช่องท้อง

ผมหายใจไม่ออก ร่างกายก็สั่นไปกับสัมผัสที่เคลื่อนไหวอยู่บนริมฝีปาก ในจังหวะแรกมันนุ่มนวลเนิบนาบ แต่เมื่อทุกอย่างค่อยๆ โหมกระพือ ก็คล้ายว่าโฬมจะยิ่งบดเบียดปากผมลงมาด้วยจังหวะที่ดุดันมาขึ้น

เขาขยี้ลิ้นของผมจนเจ็บ ทั้งขบทั้งกัด ดูดเม้มและสอดลิ้นเข้าไปดึงดันอย่างเอาแต่ใจ ฝ่ามือร้อนสอดมาประคองที่หลังคอ กดใบหน้าผมให้ไม่อาจเคลื่อนออกห่าง ผมถูกร่างสูงใหญ่ทาบทับลงมา แต่สมองของผมไม่อาจรับรู้ได้ถึงน้ำหนักตัวของโฬมสักนิด มีแค่เสียงแลกเปลี่ยนน้ำลายที่ดังก้องอยู่ในหัว ผมครางฮือเมื่อไม่อาจโกยอากาศเข้าปอดได้อีก แต่โฬมเพียงแค่ปล่อยให้ผมพักไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็กดหน้าลงมาอีกครั้ง

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าไปแตะโดนสวิตซ์อะไรของอีกฝ่ายหรือเปล่า เพราะจูบแรกของเรานั้นเนิบนาบและค่อยเป็นค่อยไป ผมสามารถละเลียดชิมทุกความหวานของความรู้สึกในตอนนั้นได้ แต่คราวนี้มันต่างออกไปเป็นอย่างมาก เพราะกลายเป็นผมเองที่ถูกกัดกินจนแทบสิ้นสติ

โฬมตักตวงทุกอย่างจากปากของผม แม้กระทั่งไรฟันเขาก็ยังแตะต้องจนครบ ลิ้นของเขาพัวพันเกี่ยวกระหวัดราวไม่ยอมแยกจาก ผมหอบหายใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนสัมผัสดูดดื่มที่กำลังถูกตักตวงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“แฮก แฮ่ก” ลมหายใจของพวกเราปะปนกัน มันมีกลิ่นแอลกฮออล์เจือจางจากปากของผมแม้จะแปรงฟันไปแล้วหลังขย้อนของในท้องออกมา ผมรู้สึกถึงความมึนเมาที่กลับมาอีกครั้ง ราวกับซดแอลกอฮอลล์ไปอีกสองสามขวด สมองของผมพร่าเบลอจนต้องโอบแขนรอบลำคอแกร่งเพื่อพยุงร่างเอาไว้

โฬมไม่ได้กระทำมากกว่านั้น เขาเพียงจูบผม เลื่อนปากไปหอมแก้มแล้วกลับมาจูบกันต่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนริมฝีปากของเราทั้งคู่บวมเจ่อ ผมไม่ได้นับแล้วว่าผมได้เสียจูบที่เท่าไหร่ไปแล้ว เพราะรสสัมผัสมอมเมาให้ผมทำได้แค่เผยอปากรับสัมผัสที่มักจะกดลงมาซ้ำๆ

“ฟ้าครับ” โฬมกระซิบเบาๆ แม้ปากของเรายังประกอบกัน

ผมปรือตาขึ้นมามอง ลมหายใจยังไม่คงที่หน้าอกจึงยังสะท้านแรง โฬมลูกศีรษะของผมอีกครั้ง เขาเกลี่ยปลายนิ้วที่ข้างแก้ม ใช้สายตาสำรวจใบหน้าของผมอย่างละเอียดถี่ถ้วน

หัวใจของผมเต้นแรงจนสะเทือนไปถึงหน้าอกของอีกฝ่ายที่ทับกันอยู่

พวกเรามองสบตา ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยอารมณ์วาบหวามทั้งสองคู่ เฝ้ามองกันเงียบๆ โดยไร้คำพูด โฬมกดปากลงมาเป็นครั้งสุดท้าย แค่แปบเดียวแล้วถอนออกไป เขาขยับไปนอนที่พื้นที่เตียงข้างๆ ตามเดิม รั้งร่างผมเข้าไปกอดแล้ววางคางลงบนศีรษะผมอย่างถือวิสาสะ

ผมทำตัวไม่ถูก ขยำเสื้อของโฬมที่กำไว้แน่นจนชายเสื้อเลิกขึ้นโชว์หน้าท้องแบนราบ ใบหน้าของผมแดงซ่าน รวมถึงสมองที่ไม่อาจคิดไตร่ตรองสิ่งใดได้อีกแล้ว

ผมเมาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะแอลกอฮอลล์อย่างเคย

“นอนนะครับ” เสียงทุ้มบอกเบาๆ ตบหลังผมเพื่อกล่อมให้นอนหลับ

ผมยอมปิดเปลือกตา แม้ว่าจะไม่อาจข่มตาข่มใจให้สงบลงได้ในเร็วๆ นี้ เพราะผมไม่กล้าพอที่เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของเจ้าของรอยจูบที่ยังติดอยู่บนริมฝีปาก

จูบครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า และอีกนับไม่ถ้วนของพวกเรานั้น ผมไม่อาจนิยามได้ว่ามันมีรสชาติแบบไหน

ผมหลับตาปี๋ ปัดๆ ความฟุ้งซ่านในหัวออกให้หมด ก่อนจะพยายามหลับนอนอย่างที่ควรจะเป็น พรุ่งนี้พี่เลขาฯ บอกให้เข้าไปคุยเรื่องเพลงกับทีมโปรดิวซ์ ซึ่งก็คือพวกพี่ยุทธเจ้าเก่า ผมยังมีงานต้องทำ และคิดว่าโฬมเองก็คงีงานเช่นกัน สัมผัสอบอุ่นและฝ่ามือที่ลูบหลังเบาๆ ค่อยๆ ปลอบประโลมให้ตัวผมหยุดนิ่งหลังจากเมื่อครู่ราวไปวิ่งรอบสนามมาสักสี่ห้ารอบ ผมซุกหน้าลงบนหมอน พ่นลมหายใจออกมาเป็นครั้งสุดท้าย และชำระล้างความคิดของตนทิ้งไปเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา









เช้านี้ตื่นมาด้วยความง่วงงุน แต่โชคดีนักที่ไม่มีอาการแฮงค์ให้ได้หงุดหงิด

ผมลืมตามาและพบว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่ชื่อโฬม ลภณ เขายังคงหลับสนิท เปลือกตาสีมุกปิดลงจนเห็นแพขนตายาวอย่างเด่นชัด การนอนตะแคงข้างทำให้ริมฝีปากของเขาเผยอน้อยๆ โชว์ฟันเขี้ยว ผมแอบใช้เวลาช่วงเช้านี้ในการสำรวจใบหน้าที่ไม่เคยมองอย่างใกล้ชิด

จะริมฝีปากเอย ลักยิ้มบุ๋มเอย ดวงตา จมูก หรือคิ้วโก่งสวยเอย ทุกอย่างล้วนลงตัวจนก่อให้เกิดความงดงามน่ามอง โฬมเป็นคนหน้าตาดีอย่างที่ผมบอกทุกครั้งที่มองหน้าเขา อาจไม่หล่อเท่าพระเอกหนังหลายๆ คน แต่เพียงแค่ยิ้ม เสน่ห์ของเขาก็พร้อมกระชากหัวใจคนมองให้หลุดลอยออกไป

ผมยังนึกเสียดายอนาคตของเขาไม่หาย แต่เพียงแค่ตอนนี้ รอยยิ้มของผู้ชายคนนี้จะดูจริงขึ้นจากเดิมสักเล็กน้อย ก็นับว่าดีแล้ว
ผมยิ้มบาง ขยับตัวลุกออกจากอ้อมแขนของโฬมเบาๆ ลากสังขารเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวโดยพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุดด้วยความเกรงใจ โฬมยังนอนหลับสบาย เมื่อวานคงเหนื่อยมากๆ ที่ต่อสู้กับผมที่โดนฤทธิ์น้ำเมาเล่นงาน ผมจำได้ทุกอย่างในค่ำคืนที่ผ่านมา รวมถึงเรื่อง.... จูบของเรา

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตอนนี้ผมยืนลังเลว่าจะปลุกเขาดีไหมอยู่ข้างเตียงฝั่งที่โฬมนอนอยู่

ผมสูดลมหายใจ ยื่นมือไปสะกิดเบาๆ แล้วเรียกชื่อเขา โฬมท่าจะเป็นคนตื่นง่าย เพราะแค่ปลุกครั้งที่สองดวงตาสีน้ำตาลก็ค่อยๆ ลืมขึ้น

“ฟ้า อรุณสวัสดิ์ครับ” โฬมคลี่ยิ้มให้ผมก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กๆ คลายเมื่อย

“สิบโมงแล้วครับ เดี๋ยวผมต้องออกไปบริษัท” ผมบอกเขาโดยไม่กล้าสบดวงตาแพรวพราวคู่นั้น

โฬมพยักหน้า ยอมลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างไม่อิดออด ส่วนผมก็กลับมามุดหัวในตู้เสื้อผ้าอีกครั้งเพื่อเลือกชุดที่จะใส่วันนี้ ผมมีกางเกงในใจแล้วว่าคงจะใส่กางเกงขาสั้นสีกรมท่า ตอนแรกจะใส่เชิ้ตขาวแต่ด้วยความขี้เกียจรีดผมเลยมุดๆ หาตัวอื่นมาใส่ สุดท้ายก็ได้เป็นเสื้อยืดสกรีนลาย ‘Keep calm and Love RAP’ สีขาวตัวอักษรดำมาสวม

ผมที่กำลังเซ็ทผมเห็นโฬมเดินออกมาจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวผ่านกระจก เลยพึ่งนึกได้ว่าเขาคงไม่มีเสื้อผ้าใส่ และด้วยความที่ผมชอบเสื้อโอเวอร์ไซซ์เอามากๆ จึงพอจะมีเสื้อที่โฬมใส่ได้อยู่หลายตัว

“เดี๋ยวผมเอาเสื้อผ้าให้นะ” ผมบอกคนที่เปิดพัดลมยืนตากตัวให้แห้ง แม้ว่าเครื่องปรับอากาศจะยังทำงานเสียงหึ่มๆ อยู่ โฬมหันมายิ้มของคุณ ผมเลยวางหวีในมือลงแล้วมุดหัวเข้าตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง

เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงผ้าเอวยางยืดถูกส่งให้ผู้ชายที่ยังเปลือยท่อนบนอย่างไม่อาย ผมมองสำรวจกล้ามเนื้อบนตัวของเขาอย่างสนใจ เป็นผู้ชายที่แทบไม่มีไขมันบนชั้นผิวหนังเลย เนื้อตัวเขาลีนไปหมด จนผมก้มลงมองพุงกะทิตัวเองด้วยความเวทนา

“โฬมออกกำลังกายบ่อยเหรอครับ” ผมถาม เพราะจากที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ไม่เห็นเขาคุมอาหารแต่อย่างใด

“ช่วงนี้เวลาว่างเยอะน่ะครับ” เขาตอบขณะยัดตัวลงในเสื้อ ผมพอมีอันเดอร์แวร์กระดาษที่ใช้พกในกระเป๋าเดินทางเวลาฉุกเฉินเลยส่งให้เขาไปด้วย โฬมยิ้มรับเขินๆ เดินหลบมุมไปสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยในขณะที่ผมกลับมาแต่งองค์ทรงเครื่องตัวเองต่อ

“ฟ้าขยันเซ็ทผมจังครับ”

“เสริมหล่อครับ เบ้าหน้าเพียวๆ ไม่รอด” ผมหัวเราะตอบอย่างกวนๆ

โฬมเดินเข้ามายืนข้างกันที่หน้ากระจก ยืมหวีไปหวีผมสองสามที่แล้วสางๆ ด้วยมือให้เป็นทรง ในขณะที่ผมยังวุ่นวายกับหน้าม้าที่ยาวจนทิ่มตาไม่เลิก

“ผมยาวแล้วนะครับ” คนตัวสูงบอกตอนหันมามองผมตบตีกับหน้ามา

“เดี๋ยวคงไปตัดเย็นนี้แล้ว กะว่าจะย้อมสีผมด้วย” ผมบอกขณะตัดสินใจป้ายเจลมาเสยผมหน้าม้าขึ้นโชว์หน้าผาก โฬมดูสนใจกรรมวิธีในการแต่งตัวของผมมาก เขาถึงมองไม่วางตา

กว่าผมจะจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็กินเวลาไปเกือบยี่สิบนาที ผมยิ้มให้คนรออย่างลุแก่โทษ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร

“ฟ้าเข้าบริษัทกี่โมงครับ”

“จริงๆ เข้าบ่ายครับ แต่คงออกไปหาอะไรกินก่อน” ผมบอกเขา เหลือบมองเวลาที่ปาไปสิบเอ็ดโมงแล้ว ไม่รู้ว่ารีบไปหรือเปล่า ปกติถ้านัดบ่ายผมจะออกประมาณเที่ยง แต่พอมีแขกมาอยู่ด้วยในห้อง ก็เลยเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะทำตัวยังไง แทนที่จะนอนเล่นโทรศัพท์ก็รีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสียอย่างนั้น

“อีกชั่วโมงค่อยออกก็ได้นะครับ”

“เอ่อ...” ผมไม่รู้จะแย้งอะไรเพราะมันก็จริง แต่ผมทำตัวไม่ถูกนี่น่า

โลกส่วนตัวของผมไม่ค่อยมีใครได้เข้ามานักหรอก ผมจึงไม่รู้ว่าควรทำหรือพูดอะไรในขณะที่เราทั้งคู่ยังยืนอยู่ในห้องนอนของผม ซึ่งเมื่อคืนก็เกิดเรื่องน่าอายไปด้วยเช่นกัน

“ฟ้าครับ”

“คะ ครับ?”

“เมื่อคืนเมามากเลย รู้ตัวใช่ไหมครับ”

ผมพยักหน้า ก้มลงมองฝ่าเท้าตัวเองอย่างหงอยๆ

เขาบอกจะดุ เขาก็จะดุจริงๆ เหรอ!

“จำได้ไหมครับว่าทำอะไรลงไปมั้ง”

“ก็ เอ่อ... จำได้ครับ”

“รู้ตัวใช่ไหมครับว่าเป็นคนมีชื่อเสียง ไปกอดไปซบผู้ชาย หรือจะผู้หญิงก็ตามในที่สาธารณะแบบนั้นมันไม่ปลอดภัยเลยนะครับ”
ผมพยักหน้า เม้มปากพูดไม่ออก

“ผมไม่อยากให้ฟ้าเป็นข่าวไม่ดีนะ”

“แต่ว่าผมไม่สนใจข่าวหรอก...”

“ไม่สนใจข่าวก็ไม่เป็นไร” โฬมบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาวางมือลงบ่าแล้วบีบมันเบาๆ อย่างต้องการตักเตือนเด็ก “สนใจผมก็ได้ ผมหึงจริงๆ นะครับ”

“...” ได้ยินคำว่าหึงตอนสติเต็มร้อยนี่มัน...

ให้ตายเถอะ หัวใจผมจะหลุดออกมาอยู่แล้ว

“ตอนเห็นฟ้ากอดกับเพื่อน ผมอยากกระชากฟ้าออกมามากๆ เลย”

“กะ กระชากเลยเหรอครับ”

“ใช่ครับ แต่ผมยังไม่มีสิทธิ์แสดงออกอย่างนั้น” โฬมบอกเสียงเบา จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเพราะประโยคตัดพ้อนั้นของเขา ทว่ากลับมีเพียงรอยยิ้มเล็กๆ แต้มบนริมฝีปาก “อีกอย่างผมก็รุนแรงกับฟ้าไม่ลงหรอกครับ”

ฉ่า...

“ผม ผม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร เลยได้แค่ระลำระลัก

ไลน์!

แจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขัดบทสนทนาของพวกเรา ผมสะดุ้ง รีบหยิบมือถือที่วางอยู่ใกล้มือมากดดูเพื่อซ่อนใบหน้าที่ร้อนราวกับจะระเบิด เป็นเก่งกาจที่ส่งบางอย่างมาให้ ผมรีบกดดูอย่างว่องไว


เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ไอ้สกาย ทายสิกูเจออะไร


ผมขมวดคิ้วก่อนจะกดส่งไปว่า ‘อะไรของมึง’

แล้วเก่งกาจก็ส่งรูปถ่ายตามมา เมื่ออินเตอร์เน็ตโหลดมันจนครบ ผมก็สะดุ้งโหยงทันที

มันเป็นเล่มนิตยสารที่เพิ่งวางแผงของผม เล่มเดียวกับที่มีเด็กผู้หญิงมาขอลายเซ็นต์ในห้าง ผมเม้มปากแล้วรีบจิ้มนิ้วลงบนแป้มพิมพ์อย่างรวดเร็ว


สกายครับ: วางลงแล้วเดินจากไปเงียบๆ ได้ไหม
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ไปถ่ายแนวนี้ตอนไหน ทำไมกูไม่รู้
สกายครับ: เก่ง อย่าแกล้งเพื่อน
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: กูจะซื้อ เซ็นต์ให้กูด้วยไอ้สัส!
สกายครับ: ไอ้เก่ง!
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: กูจะซื้อฝากพี่โฬมของมึงด้วย จะเอาไปเซ่น
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: เขาจะได้ไม่ทำหน้าน่ากลัวใส่กูอีก

สกายครับ: มึง ไม่เอา!


เก่งกาจไม่ตอบอีกแล้ว ในขณะที่ผมขมวดคิ้วหน้าเครียดไปแล้วเรียบร้อย โฬมเมื่อเห็นผมทำหน้าแบบนั้นก็ยิ่งสงสัยและสนใจเข้าไปใหญ่ เขาถามว่าผมเป็นอะไร ส่วนผมก็ได้แค่เม้มปากส่ายหน้าปฏิเสธ ในขณะที่ภาวนาในใจว่าไม่ให้เก่งซื้อนิตยสารเล่มนั้นมาฝากโฬมจริงๆ

ผมอาย!









ผมไปทานข้าวและถูกพาส่งที่หน้าบริษัทในตอนเที่ยงสี่สิบห้านาที โฬมแยกกลับบ้านไปในขณะที่ผมเดินดุ่มๆ เข้ามาด้านในตึกอย่างคุ้นเคย คุณเลขากับประธานคุยกับผมอยู่ราวครึ่งชั่วโมง เดโม่เพลงที่ผมส่งให้ถือว่าผ่านการพิจารณา และสามารถเข้าสู่กระบวนการขั้นต่อไปได้ นั่นคือให้พี่ยุทธเรียบรียงและอัดเสียงดนตรีใหม่อีกครั้ง

เพราะผมใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงในการสร้างบีท ในขณะที่เพลงจริงจะดีกว่าถ้าเราใช้เครื่องดนตรีจริงในการอัด ช่วยบ่ายสองผมจึงได้กลับเข้าไปนอนไถลไถเถือกเล่นในห้องสตูดิโอกับพี่ๆ อีกครั้ง

พี่ยุทธกับทีมเพิ่งปิดโปรเจคไป และมีคิวเพลงผมเป็นคิวต่อไปทำให้วันนี้พวกเขาว่างพอมานั่งคุยเล่นกับผม ผมเปิดเพลงให้พวกพี่ๆ ฟังด้วยความภูมิใจเป็นที่สุด

“เป็นไงบ้างพี่” ผมถาม ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

“โฬมนี่มันเก่งจริงๆ ว่ะ” พี่ยุทธบอกขณะกรอเพลงของผมซ้ำเป็นครั้งที่สอง

ผมยิ้มกว้าง ถึงแม้จะมีแต่คนชมเนื้อเพลงกับทำนองของโฬมก็ตาม

“พี่ยุทธ ผมว่าปรับบีทตรงนี้ดีไหม ให้มันต่ำกว่านี้” พี่อ้อยเสนอตอนฟังช่วยแรปท้ายเพลงของผม คนอื่นกดกรอซ้ำๆ เพื่อฟังก่อนออกความคิดเห็นบ้าง

“เออ กูเห็นด้วย เอ็งว่าไงไอ้เมฆ”

“เอาเสียงบีทเบาๆ ก็ดีนะพี่ ปรับเสียงสกายให้ดังหน่อย จะได้เข้าถึงอารมณ์”

ผมยิ้มกริ่ม นั่งฟังพวกพี่ๆ เขาปรึกษากันอย่างอารมณ์ดี พี่ยุทธบอกแก้กับเรียบเรียงอีกไม่เยอะ เดี๋ยวนัดวันอัดเสียงเลย พวกพี่เองก็อยากปล่อยเพลงออกมาเร็วๆ เช่นกัน ช่วงนี้กระแสสังคมกำลังอยู่กับเรื่องเพศทางเลือกพวกนี้ ถ้าผมปล่อยเพลงออกไปน่าจะได้รับความสนใจพอสมควร รวมถึงแมสเสจที่ต้องการสื่อสารกับผู้ฟังคงผ่านหูคนเยอะเท่าที่คาดหวัง

“เอ็งได้ที่ถ่ายเอ็มวียัง” ผมที่ทิ้งตัวลงนอนกลิ้งบนพื้นเงยหน้าไปหาพี่ยุทธที่นั่งดูดน้ำโค้กหลังประเด็กเรื่องบีทเพลงจบลง ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ

“ยังเลยพี่ อาจจะถ่ายในสตูฯ นี่แหละ จัดไฟจัดแสงเอา”

“มาสเตอร์พีทเลยนะ สกายไม่หาโลเคชั่นสวยๆ เลย” พี่อ้อยเสนอความคิด

“ยังไม่คุยเรื่องนี้กับประธานเลยครับ แต่เขาก็บอกให้ผมไปคิดมาเลยว่าจะเอาเอ็มวีแบบไหน ถ่ายที่ไหน” ผมบอก ขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าคำพูดพี่อ้อยก็น่าสนใจ อาจจะหาที่สวยๆ มาประกอบให้เพลงนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

คงต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาโฬมด้วย

ผมพยักหน้ากับตัวเอง ในขณะที่อยู่ๆ สายตาทั้งสามคู่ก็หันมาจับจ้องผมเป็นตาเดียว

“อะ อะไรครับ” ผมตกใจ เพราะเมื่อกี้พวกพี่เขายังคุยเล่นกันอยู่เลย

“ไม่เห็นหน้าตั้งนาน แต่กูเห็นข่าวมึงบ่อยชิบหาย” พี่ยุทธบอกพลางคว้าคอผมเข้าไปกอด ในขณะที่มือซ้ายและมือขวาพร้อมใจกันหยิบโทรศัพท์มาเปิดข่าวแล้วยื่นมาให้ผมอ่าน

อันหนึ่งเป็นข่าวผมที่ไปกอดไซร้เจ้าเก่งในร้านเฮียเต็ม

อีกอันคือเรื่องราวต่อจากนั้น ที่โฬมไปรับผมมา และผมเพิ่งเห็นสีหน้าของเขาชัดๆ สีหน้าที่ไอ้เก่งบอกว่า ‘ยิ้มน่ากลัวชิบหาย’
โฬมยิ้มน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ ผมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากรูปแอบถ่ายนั้นเลย

ทว่าดูเหมือนผมจะโฟกัสผิดประเด็นไปหน่อย เพราะพี่ๆ เขาจ้องผมตาเขม็งอย่างคาดคั้น

“สกาย นี่จะเบี่ยงเบนไม่พอ ยังควบสองเลยเหรอ”

“ไม่ใช่พี่!” ผมรีบแย้งพี่อ้อยที่ยิ้มแซวทันที

“กอดแน่นขนาดนั้น ถ้าพี่เป็นโฬม คงไม่พยายามยิ้มแบบนี้แน่ๆ”

“นั่นเก่งกาจเพื่อนสนิทผม” ผมพยายามอธิบาย แต่สายตาสามคู่กลับหรี่มองกันอย่างจับผิด

“เพื่อนเอ็งน่ะไม่น่าสนใจ แต่กับโฬมนี่ยังไง”

“...”

คำถามนี้นี่ ผมต้องตอบยังไง

“คบกันยัง”

“ยังครับ” ผมตอบ ดันลืมไปเลยว่าไม่เคยเล่าเรื่องของผมกับโฬมให้พวกพี่ๆ เขาฟัง ตอนปรึกษาเรื่องจูบก็แค่บอกผ่านๆ พอตอบคำถามไปง่ายๆ โดยไม่มีโวยวายว่าไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง สีหน้าพวกพี่เขาก็เลยยิ่งเจ้าเล่ห์เพิ่มเลเวลไปอีกประมาณร้อยเท่า

“สกาย”

“พะ พี่ คือ...”

“ไอ้สกาย”

ผมกำลังถูกรุมเรียกชื่อ พร้อมด้วยสายตาที่พร้อมใจกันทิ่มแทงเข้ามาทะลุร่าง พี่ยุทธกับพี่เมฆขยับมานั่งล้อมให้ผมอยู่ตรงกลาง ในขณะที่อ้อยก็ซ้อนอยู่ด้านหลังและล็อคแขนผมไว้ไม่ให้หนี

“เล่ามาให้หมด!!”

ใครก็ได้ ช่วยผมด้วย!


_____________
Talk: เพลงใกล้เสร็จแล้ววว น้องสกายก็ใกล้เเสร็จพี่โฬมแล้ว อุ้ป
เนื้อเรื่องอืดไปไหมคะ ช่วงนี้จะเริ่ม skip เวลาบ้างแล้ว แต่อยากให้เขาสองคนค่อยๆ พัฒนา
เพราะพี่โฬมก็ยังมีบาดแผล ในขณะที่สกายก็ต้องเรียนรู้ความรักที่ไม่เคยมีมาก่อน

แนะนำติชมได้เสมอเลยนะคะ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ รักทุกๆ คนที่ให้โอกาสอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 04-11-2018 16:54:25
ค่อยเป็นค่อยไปดีค่ะ ละมุน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-11-2018 19:51:30
เอ็นดูน้องสกายจังเลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 04-11-2018 22:58:24
ยัง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-11-2018 00:10:14
โดนต้อนเลยลูกกกก 5555555555555555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Josett ที่ 05-11-2018 03:41:50
สนุกมากกก อ่านไม่วางเลยยย มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 05-11-2018 17:33:17
ฮื้อออช้อบบบ

สกายน่ารักจังง
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 06-11-2018 12:31:11
รับรักสักทีสิสกายยย อยากเห็าคนหึงโหด555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 07-11-2018 01:18:27
ติดตามมากกกก :hao7: อยากให้รักกันเร็วๆ  :hao7: อยากให้มี sexy sweet moments ของทั้งคู่เยอะๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 08-11-2018 12:45:33
ขอเวลาเพิ่มอีก 2-3 วันค่า
อาทิตย์นี้ปั่นโปรเจคใจจะขาด เพราะอาทิตย์หน้าต้องส่งแล้ว

 :hao5: :hao5: :hao5: พอเครียดงานแล้วเราเขียนไม่ออกสักประโยค
จะรีบปรับอารมณ์แล้วมาลงต่อโดยไว!!  :sad4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-11-2018 13:24:41
 :L2: :pig4:

สู้นะ เรารออ่าน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 09-11-2018 15:46:09
บทที่ 16




ผมต้องขยายเรื่องรักเรื่องใคร่ในชีวิตต่อหน้าเหล่าผู้พิพากษาทั้งสามคน ซึ่งกำลังกอดอกจับจ้องมาที่ผมด้วยความตั้งใจ โดยเฉพาะพี่อ้อยที่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับรู้ทันไปเสียทุกเรื่อง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ใครสักคนถามผมที่เอาแต่ก้มหน้าเล่นชายกางเกงอย่างเขินอาย

ผมไม่อยากพูดเลย ให้ตาย

“ไอ้สกาย”

“พี่...” ผมงอแงเสียอ่อย ทำปากยื่นปากยาวหวังจพได้รับความเห็นใจ แต่พี่ยุทธกลับลากคอผมเข้าไปกอดแล้วสั่งสอนด้วยการขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง

“เล่ามา เร็วๆ มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ เดี๋ยวข้าก็เลื่อนคิวทำเพลงเอ็งหรอก”

ผมเม้มปาก สูดหายใจก่อนจะยอมเล่าออกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ

“ก็... หลายอาทิตย์แล้ว”

“มึงขยายด้วยสิวะไอ้นี่”

“มันยังไม่มีอะไรอ่ะพี่ ก็คุยๆ กันเฉยๆ โฬมเขาก็บอกว่าชอบผม”

“แล้วสกายล่ะ ชอบโฬมไหม”

ฮือออ ผมไม่อยากตอบคำถามนี้ของพี่เมฆเลยครับ

หน้าผมร้อนขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่ก็ยังเก็บงำความจริงไว้ไม่ยอมบอก ผมยังไม่พร้อมจะพูดอะไรอีกออกไป อีกอย่าง ถ้าความรู้สึกพวกนี้ชัดเจนในตัวมันเองเมื่อไหร่ ผมคิดว่าโฬมควรเป็นคนแรกที่ได้ฟังมัน

มันอาจดูงี่เง่าไร้สาระ แต่ผมคิดว่าแบบนั้นคงดีกว่า

คำว่า ‘สำคัญ’ ไม่ว่าจะคนสำคัญ หรือเรื่องสำคัญ ใดๆ ก็ล้วนต้องพิเศษกว่าใครเขา

“สกายไม่ตอบว่ะพี่” พี่อ้อยหันไปปรึกษากับพี่ใหญ่ในทีม คนตัวอ้วนเลิกเสื้อโชว์พุงมองผมก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พี่ยุทธลูบหนวดที่เริ่มยาวแล้วของตนเบาๆ อย่างครุ่นคิด

“ที่เอ็งพูดเรื่องจูบตอนนั้น... คนนี้เหรอวะ”

ผมพยักหน้าเล็กๆ แต่ก็ชัดเจนในคำตอบ

“เฮ้ยๆๆ”

“สกายยยย!”

“อะ อะไรพี่”

“จูบไปรึยัง!?”

“อื้อ” ผมตอบในลำคออีกครั้ง ก่อนจะม้วนหน้าตัวเองเข้าไปสบกับเข่าที่ชันขึ้นมากอด ตัวผมแดงแจ๋ไปหมด ใบหูก็ร้อนฉ่าจนแทนไหม้

เมื่อไหร่พี่ๆ เขาจะหยุดถามสักที ผมทำตัวไม่ถูก

เกิดมาเคยแต่เป็นฝ่ายคาดคั้นคนอื่น ไม่เคยต้องมาเป็นฝ่ายถูกสัมภาษณ์แบบนี้มาก่อนเลย แถมคำถามมันก็ออกจะ... น่าอายเกินไป

ผมไม่มีหน้าไปบอกใครเขาหรอกนะ ว่าตัวเองเป็นคนปล้ำจูบคนอื่นก่อนน่ะ!

“จูบแล้วยังลีลาอะไรอีกอ่ะ” พี่เมฆชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความสงสัย

ผมขมวดคิ้ว ก้มหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดคั้นอีกครั้ง ไม่เคยพบเจอกับความเขินอายที่มากเท่านี้มาก่อน ขนาดเดินสะดุดล้มกลางเวทีหรือตกบันไดกลางห้าง ผมยังไม่อายม้วนต้วนจนอยากระเบิดตัวตายแบบนี้เลย

โอ๊ย! ใจจะขาด

“ก็ ผมยังไม่รู้ว่าชอบจริงไหม”

“บ๊ะ! ไอ้เด็กน้อยนี่” พี่ยุทธตบเข่าฉาด ลากตัวผมให้ออกจากอาการขดม้วนเป็นก้อน ล็อคคอผมไว้อีกครั้งเพื่อให้ผมงยหน้าขึ้นมามองพี่ๆ อีกสองคนที่เลย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าด้านหลังมีพี่ตัวใหญ่ล็อคไว้อย่างแน่นหนา ในขณะที่พี่เมฆกับพี่อ้อยก็ขยับตัวเข้ามาพร้อมมอบรอยยิ้มใจดีส่งมาให้

ผมไม่เชื่อใจรอยยิ้มพวกนี้ของพี่ๆ เขาเลยสักนิด

“เอ็งหวั่นไหวกับโฬมมันบ้างป่ะ”

“ก็มีบ้าง”

“เช่น?”

“ก็เวลาโฬมทำดีด้วยหรือเป็นห่วง มันก็ใจเต้น...”

“แล้วไงต่อ”

“ผมก็ไม่รู้! ผมไม่เคยมีความรัก” ผมร้องลั่น หลบดวงตาทั้งสามคู่เป็นวัน ทำไมต้องมาโดนรุมแบบนี้ด้วยเนี่ย เก่งกาจยังไม่เคยคาดคั้นผมให้พูดละเอียดยิบขนาดนี้เลยนะ ให้ตาย!

“สกายรังเกียจไหม ตอนจูบกับโฬม” พี่อ้อยถามขึ้นมาบ้าง

ผมกัดปาด ส่ายหน้าเบาๆ “ก็ไม่ได้รังเกียจครับ”

“แล้วเวลาเขาหึงหวง รู้สึกอึดอัดไหม?” พอจบคำถามแรก คำถามที่สองก็แล่นเข้ามาทันที ผมหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามสิ่งที่กลั่นกรองออกมาได้

“ไม่ได้อึดอัด ผมชอบด้วยซ้ำ แต่มันก็กังวลอ่ะพี่เวลาเขาบอกว่าหึงเพื่อนผม”

“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นโฬมไปเล่นไปกอดคนอื่น สกายจะหึงไหม”

“...”

โอเค ผมคิดตามที่พี่เขาพูด และรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเต้นผิดจังหวะไปหลายรอบ

ถ้าโฬมไปเล่นกับคนอื่น ไปกอดกับคนอื่นแบบที่ผมทำ

ภาพอ้อมแขนแสนอบอุ่นสอดเข้าไปกระชับเอวใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก รอยยิ้มนุ่มนวลกับลักยิ้มบุ๋มลึกที่ไม่ได้มอบให้ผมแค่คนเดียว หัวใจผมเหวี่ยงตัวเองเล่นราวอยู่บนรถไฟเหาะ ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นดังปั่ก

“ผมไม่แน่ใจว่ามันคือหึงไหม แต่คงเสียใจ”

ใช่ ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากกระชากโฬมออกมาแบบที่เขาเคยบอกผม

แต่ความหน่วงที่จุกอกอยู่นี้สามารถกลั่นเป็นก้อนน้ำตาได้หลายหยดเลยทีเดียว

“ชอบมันก็ไปบอกมัน” พี่ยุทธพูดครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยผมออกจากพันธนาการ ผมยันตัวเองกลับมานั่งขัดสมาธิ จัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้กลับเข้าที่เข้าทาง

“อย่างนี้คือชอบเหรอพี่”

“เด็กน้อย” พี่เมฆส่งสายเอ็นดูมาให้ผม ก่อนจะขยับเข้ามาตบบ่าแปะๆ “แบบนี่เขาเรียกชอบแล้วเว้ย”

ผมเม้มปากทำท่าคิด แต่ดูพี่ๆ เขาจะได้เสือกจนพอใจแล้วถึงค่อยๆ ทยอยลุกกลับไปทำงาน พี่ยุทธเป็ฯคนแรกที่ลากสังขารไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง คว้าเดโม่เพลงของผมไปเปิดไฟล์ในคอมก่อนหันมากระดิกนิ้วเรียกลูกทีมทั้งสองคนเพื่อปรึกษางาน

ผมนั่งมองพวกเขาเรียบเรียงพร้อมปรึกษาเรื่องงานอีกหลายอย่าง จนกระทั่งถึงเวลาอันควรที่ต้องกลับแล้วผมจึงบอกลาพี่ๆ แล้วเดินไปขึ้นรถด้วยความคิดที่ยังตีรวนอยู่ในหัวไม่หาย

โอเค ผมรู้ ผมยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อโฬมมันมาถึงขั้นที่ชอบพอกัน

แต่การที่ใครสักคนจะคบกันในฐานะคนรัก มันควรเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่านี้ไหมนะ

อย่างเก่งกาจก็เคยบอกผมว่าความรักกับความชอบมันแตกต่างกัน ถึงแม้จะเป็นจุดเริ่มต้นของกันและกัน เมื่อชอบเราจะอยากได้และครอบครองเขา แต่เมื่อเรารัก เราจะอยากให้และเสียสละ

ผมไม่ค่อยเข้าใจมันนัก เพราะความรักแบบคนรักมันแตกต่างจากการรักเพื่อนรักครอบครัว

ช่างมันเถอะ ผมคิดว่าเวลาคงช่วยให้ผมเข้าใจมันในไม่ช้านี้






ขากลับก่อนถึงคอนโดผมแวะร้านตัดผมสักหน่อยตามแพลนที่วางไว้เมื่อเช้า ยื่นรูปทรงผมกับสีที่ต้องการให้ช่างประจำทำก่อนจะหมกตัวอยู่ในนั้นราวๆ สามสี่ชั่วโมงจนโทรศัพท์ร้องเตือนแบตจะหมด ผมที่ผมดำมาตลอดชีวิตเลือกเปลี่ยนไปย้อมสีบลอนด์สว่างทั้งหัวด้วยความสะใจ

หน้าม้าถูกซอยไม่ต่างจากทรงเดิมเท่าไหร่ อีกทั้งช่างยังไดร์เซ็ตให้มันดูยุ่งๆ อย่างจงใจ ผมฉีกยิ้มมองใบหน้าตัวเองในกระจกทั้งซ้ายและขวาก่อนจะหันไปคุยกับพี่สาวกล้ามโตที่แม้มีกายเป็นชายแต่ใจอ่อนหวานยิ่งกว่าหญิงสาวคนไหน

“ผมชอบมากเลยครับ”

“น้องสกายทำผมสีนี้หน้าหวานขึ้นตั้งเยอะ เห็นไหม พี่บอกให้เราทำตั้งนานแล้ว”

“ตอนนั้นต้องถ่ายเอ็มวีนี่ครับ ผมจะแบ๊วไปด้วยแรปไปด้วยได้ยังไง” ผมหัวเราะเสียงดัง

คอนเซปต์เพลงแรปของผมมันจะค่อนไปทางเสียดสีและสะท้อนสังคม ภาพลักษณ์ในเอ็มวีของผมก็จะต้องเท่ ดาร์คๆ หน่อยตามบีทเพลงที่ทั้งกระแทกกระทั้นทั้งหนักหน่วง ยิ่งซิงเกิลล่าสุดที่ผมพูดถึงปีศาจในหัวใจมนุษย์ ผมนี่ถึงขั้นต้องให้ช่างแต่งหน้าไล้กล้ามแขนให้ด้วย เพราะต้องใส่เสื้อกล้ามกับผ้าปิดปากที่โคตรเท่

“แล้วทำไมตอนนี้ทำได้แล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าเลิกแรปแล้ว!!”

“ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่ แต่รอบนี้ผมทำเพลงสไตล์เบาๆ เลยอยากถือโอกาสเปลี่ยนลุคบ้าง” ผมบอกพร้อมแตะๆ หัวตัวเองเล่นด้วยความถูกอกถูกใจ “เห็นนักร้องเกาหลีทำผมแบบนี้แล้วสาวชอบ”

“ก็จริง พี่ยังชอบเลย” พี่ช่างทำผมพูดแล้วมองผมตาพราวระยับ จับตัวผมหมุนไปหมุนมาก่อนจะร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงมีความสุข “น้องสกายเหมาะกับอะไรแบบนี้มากกว่าตั้งเยอะ”

“พี่ว่าน่ารักพอยัง” ผมชี้หน้าตัวเองพร้อมพูดติดตลก

“น่ารักแล้วจ้า น่ารักที่สุดแล้วลูกเอ้ย” พี่เขาคว้าผมเข้าไปกอดจนหน้าจมลงไปกับกล้ามอกแน่นปั่ก “พี่อยากขยำเราแล้วกลืนลงท้องแล้วเนี่ย”

“ใจเย็นครับ” ผมหัวเราะ

“พี่ลดให้ครึ่งราคาเลยน้องสกาย”

“เฮ้ยพี่ ไม่เป็นไร”

“พี่ปลื้มใจ อยากจับเราย้อมผมสีสว่างตั้งนานแล้ว ในที่สุดความหวังพี่ก็เป็นจริง” เป็นอย่างที่พี่เขาพูด ตั้งแต่ผมมาตัดผมที่นี่จนกลายเป็นเจ้าประจำ พี่เขาก็ขยั้นขยอให้ผมย้อมผมทั้งสีเทา สีทอง สีขาว สีชมพู และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ผมก็ปฏิเสธตลอดเพราะยังต้องรักษาภาพลักษณ์ความเท่ในตัวเอาไว้

ถ้าถามว่าทำไมตอนนี้ผมถึงยอมสลัดคราบเท่ๆ คูลๆ ตรงนั้นไป ก็ต้องตอบว่าเพราะผมอยากให้งานเพลงล่าสุดที่ทำกับโฬมนี้เป็นมาสเตอร์พีชจริงๆ

มันควรมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม

เหมือนอย่างที่ผมเปลี่ยนสไตล์การร้อง เปลี่ยนสไตล์ดนตรีและเพลงไปหมดเพื่อให้เพลงนี้กลายเป็นทั้งเพลงรักและเพลงเสียดสีสังคมไปในตัว ผมอยากซ่อนสกายคนเก่าไว้ในกรอบที่โมขึ้นมาใหม่ ย้อมทั้งตัวผมและผลงานผมด้วยความแตกต่าง เพราะเพลงคราวนี้กล่าวถึงการหลบซ่อนและปิดกั้นความรักที่คนในสังคมยังไม่ยอมรับ ต้องสวมหน้ากากยิ้มแย้มทั้งที่ทรมานกับคำดูถูก คำล้อเลียน และการทำร้ายความรู้สึก

มันเป็นนัยแฝงที่ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเข้าใจ

และอีกนัยหนึ่ง ก็คือผมได้กลายเป็นสกายคนใหม่ที่ต้องการจะก้าวเดินไปข้างหน้า พานพบกับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาตลอดชีวิตยี่สิบกว่าปีที่เกิดมา

ทั้งเรื่องสีผม ทั้งเรื่องหัวใจ...





ผมกับเก่งกาจนัดกันมากินปิ้งย่างด้วยกันที่ร้านแถวๆ ที่พักของมันเอง ด้วยความที่ผมมีรถและเพิ่งได้กลับคืนมาจึงต้องเป็นฝ่ายถ่อสังขารไปหาเพื่อนผู้บางวันดีบางวันร้าย อยู่ๆ เมื่อคืนเก่งกาจก็ส่งข้อความมาบอกว่า ‘ขอเนื้อย่างเยียวยากูที’ ผมเลยต้องตอบตกลงและพาตัวเองมาโผล่ที่ใต้หอพักของเก่งกาจในวันต่อมา

แต่คราวนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว

“ฟ้าครับ ผมไปเซเว่นแปบนะ”

ครับ มีโฬมติดรถมาด้วย

เพราะด้วยความที่วันนี้ผมพาโฬมเข้าไปบริษัทเพื่อแนะนำให้ประธานและพวกพี่ยุทธรู้จัก รวมถึงคุยเรื่องค่าจ้างและรายละเอียดอื่นๆ หลังจากนั้นก็เป็นผมเองที่ชวนเขาออกมากินปิ้งย่างด้วยกัน

ผมเห็นว่าโฬมเองใช้ชีวิตตัวคนเดียวมากเกินไป เพื่อนสนิทของเขาก็อยู่ต่างประเทศ มันไม่ดีเลยกับคนที่เจอเรื่องร้ายๆ มาแล้วยังล้างออกไม่หมด ผมคิดว่าอย่างน้อยเก่งกาจถึงแม้จะชีวิตบัดซบ (ตามคำที่เก่งนิยามตัวเองไว้) แต่ก็เป็นเพื่อนและแหล่งเชื้อเพลิงความสุขที่ดีคนหนึ่ง

ด้วยความเฟรนด์ลี่และพูดมากของมัน อย่างน้อยๆ ก็น่าจะช่วยให้คนตัวสูงหายเหงาบ้าง

ผมกดโทรหาเก่งกาจหลังจากโฬมลงจากรถเข้าเซเว่นไป ได้ความว่าอยู่ชั้นล่างแล้วกำลังเดินมาผมก็ตัดสายทิ้งไป และไม่นานทั้งเก่งกาจและโฬมก็เดินมาหาผมที่รถในเวลาไล่เลี่ยกัน

“หวัดดีครับ” เป็นเพื่อนผมที่ยกมือทักทายก่อน “เป็นพี่ใช่ไหม ผมต้องเรียกคุณว่าพี่ไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ฟ้าก็ไม่ได้เรียกผมว่าพี่” โฬมยิ้มอย่างเป็นมิตร แม้มันจะดูเป็นมิตรน้อยกว่าปกติก็ตาม เก่งกาจขยับออกห่างจากผมที่ออกมายืนร่วมวงสนทนาด้วยเมื่อกี้ทันที

“ผมชื่อเก่งกาจ เรียกว่าเก่งก็ได้ เป็นเพื่อนสนิทไอ้สกายมัน”

“โฬมครับ” คนที่อายุมากที่สุดตอบรับคำทักทาย

ผมเกิดละอายขึ้นมาเล็กๆ เมื่อพูดเรื่องอายุเรื่องคำเรียก

นั่นสินะ หรือผมควรเรียกเขาว่าพี่กัน

แต่ก็รู้จักกันมานานเกินกว่าจะกลับตัวแล้ว ให้อยู่ๆ ผมโพล่งเรียกเขาว่า มันก็ออกจะกระดากปากอยู่บ้างเหมือนกัน

พวกเราทั้งสามเดินออกจากซอยเลาะไปตามทางแคบเพื่อไปยังร้านปิ้งย่างที่เคยมากินกับเก่งสองสามที เป็นร้านติดแอร์เล็กๆ ที่คนเยอะพอสมควรเพราะแถวนี้มีแต่หอพัก

โชคดีที่ยังมีที่ว่างเพราะเพิ่งห้าโมงครึ่ง ผมทิ้งตัวลงนั่งฝั่งเดียวกับเพื่อน ปล่อยให้โฬมนั่งสบายๆ คนเดียวไป แต่เก่งกลับเอาแต่เหยียบเท้าผมพร้อมถีบให้ออกไปห่างๆ

“ไอ้สกาย ไปนั่งนู่น”

“อะไรของมึงเนี่ยเก่ง”

“มานั่งเบียดกูทำไม อึดอัด”

ผมเบ้ปาก ตอนแรกว่าจะดื้อไม่ฟัง แต่เก่งก็ทั้งดันทั้งถีบจนผมยอมย้ายสารร่างไปนั่งข้างๆ โฬมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง พอเงยหน้ามองเพื่อนรักก็เห็นมันถอนหายใจอย่างโล่งอก

อะไรของเก่งกาจอีกเนี่ย

“ทางร้านมีสองเซ็ตนะคะ มี 239 บาทสำหรับเนื้อหมู และราคา 259 จะมีพวกเนื้อเพิ่มมาด้วยค่ะ”

“โฬมทานเนื้อไหมครับ”

“ทานครับ”

“งั้นเอาเซ็ตเนื้อครับ” ผมหันไปตอบพนักงานที่ยืนยิ้มรับออเดอร์

“รับน้ำอะไรดีคะ”

“ของผมเอากระเจี๊ยบ” ผมบอกและทิ้งจังหวะให้คนอื่นสั่งบ้าง โฬมลอกผมในขณะที่เก่งกาจต้องน้ำโค้กซ่าแสบลิ้น
พนักงานหญิงโค้งหัวให้เมื่อเก่งกาจกรอกตัวเลขในกระดาษออเดอร์และยื่นให้ เมื่อร่างเล็กๆ นั้นเดินพ้นสายตาไปบนโต๊ะก็เริ่มเปิดบทสนทนาทันที

เก่งกาจผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ พ่วงมาด้วยความสามารถในการหาเรื่องคุย

“พี่โฬม”

มันเรียกพี่!

ผมอ้าปากค้าง มองเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา

ตอนคุยกับผม ตอนแชทด้วยกัน ไม่เห็นมีคำว่าพี่เลยสักนิด แถมเมื่อกี้โฬมก็บอกเองว่าไม่ต้องเรียกพี่ ทำไมเก่งกาจถึงได้ทำแบบนี้ ความละอายในใจยิ่งขยายใหญ่ในอกหนักเข้าไปอีก

“ครับ?”

“ผมซื้อนี่มาฝาก” เก่งกาจยื่นถุงพลาสติกขนาดเอสี่ข้ามโต๊ะมาให้ ผมขมวดคิ้วมอง ก่อนจะพึงระลึกได้ว่ามันคืออะไร ร่างกายไปไวกว่าความคิด ผมตะครุบถุงใบนั้นมากอดไว้ แย่งมาจากมือโฬมเลยด้วยซ้ำ

จะว่าไร้มารยาทก็ได้ แต่ของสิ่งนี้ต้องห้ามตกไปอยู่ในมือผู้ชายข้างๆ ผม

“ฟ้า?”

“ไอ้สกาย!”

ผมเม้มปากก้มหน้าหนี พยายามทำเมินสายตาสองคู่ที่มองมาอย่างกดดัน

อย่าครับ อย่าบังคับผม

“สกายมึง เอาให้พี่โฬมเร็วเลย กูซื้อมาให้พี่เขา”

ผมเหลือบมองหน้าเก่งกาจที่ดูเหมือนจะจริงจัง แต่ผมรู้ มันกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ต่างจากโฬมที่ขมวดคิ้วมองผมด้วยความสงสัย เขาสอดมือเข้ามาทำท่าจะแย่งถุงใบนั้นออกไป แต่ผมกลับขยับตัวหันหนี

“ฟ้าครับ?”

“โฬมอย่าดูเลยนะครับ”

“ทำไมล่ะครับ”

ผมตอบไม่ถูก ในขณะที่เก่งกาจหลุดขำออกมาแล้ว

เก่งนะเก่ง!

“ฟ้าครับ ขอผมหน่อยนะ”

ผมส่ายหน้ารัวๆ

“ไม่ดื้อนะครับ”

ทำไมช่วงนี้ผมถึงชอบโดนดุว่าดื้อกันนะ

ผมเหลือบตามองโฬม รอยยิ้มของเขาดูดสติผมอีกแล้ว เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันผมก็ชอบจ้องหน้าเขานิ่งๆ จะตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน

โฬมค่อยๆ บังคับผมทางอ้อมด้วยสีหน้าของเขา ดึงถุงพลาสติกในอ้อมแขนออกไปช้าๆ โดยที่ผมทำได้แค่เบ้ปากแล้วตวัดตาไปคาดโทษกับเพื่อนสนิทที่ฉีกยิ้มกว้าง หรรษาสุดชีวิต

โฬมดึงนิตยสารในถุงออกมา จังหวะนั้นผมรีบก้มลงดูดน้ำที่พนักงานเอามาให้อึกๆ จนหมดแก้วในรวดเดียว คนข้างๆ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่พลิกหน้าหนังสือดูช้าๆ ส่วนเก่งกาจก็ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนผมอดหันไปมองคนข้างกายไม่ได้

ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ยิ้มแย้มเท่าไหร่ พร้อมทั้งหัวคิ้วก็ขมวดกันยุ่งเหยิง แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับค่อยๆ พิจารณารูปในนั้นอยู่นานสองนาน จนผมกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคออย่างยากลำบาก

ก็ภาพในนิตยสารมันเป็นการถ่ายแบบที่ผมรับงานด้วยความคะนอง เสื้อผ้าที่สวมมีแค่กั๊กหนังตัวเดียวไม่ติดกระดุม โชว์แผงอกจนไปถึงหน้าท้องที่ไร้กล้ามของผม ทรงผมสีดำสนิทตอนนั้นก็ถูกทำให้ดูคล้ายเปียกน้ำมา ช่างแต่งหน้ากรีดตาให้ผมจนคมกริบ รวมถึงทาปากด้านในแดงระเรื่อ

ผมมีรอยแทททูที่ติดชั่วคราวบนหน้าอกข้างขวาและท้องแขน ท่วงท่าที่ถ่ายก็เน้นอินเนอร์เซ็กซี่จนพอตัวเองมาดูรูปจริงๆ ก็เกิดรับไม่ได้ขึ้นมา

ผมไม่คิดว่าตัวผมเองจะกล้ากัดปากทำหน้าเหมือนอยากถูกกลืนลงท้องแบบนั้นลงไปได้

ตอนที่ถ่าย พี่ๆ ทีมงานกับช่างภาพบิ้วกันอยู่นาน รวมถึงไม่ได้มีผมเป็นนายแบบคนเดียว มันจึงเหมือนเป็นความท้าทายที่ผมต้องทำมันให้ได้

แต่นั่นไม่ใช่ทีเด็ด

ทีเด็ดคือภาพสุดท้ายของเซ็ต ที่อยู่หน้ากลางของนิตยสาร

ภาพที่ใหญ่ที่สุด และทำให้ผมเขินจนไม่ซื้อนิตยสารเล่มนี้มาเก็บไว้ในห้อง

รูปนั้นเป็นรูปที่ผมพาดเสื้อกันหนาวไว้บนบ่า เนื้อตัวท่อนบนไม่มีอะไรปกปิด ช่วงล่างก็โหลดต่ำจนเห็นขอบกางเกง ผมยังทรงเดิม แต่ที่แย่คือกล้องดันช้อนมาจากมุมต่ำ ซึ่งผมนั่งแหกแข้งแหกขาอยู่บนโซฟาหัวโล้นสีดำ

ไรขนอ่อนที่ล่างสะดือผมโคตรชัด

ถ้ารู้ว่ามันชัดขนาดนี้ ผมจะโกนมันก่อนไปถ่าย!

ก็ตอนดูผ่านจอมอนิเตอร์ ผมเขินเลยมองผ่านๆ เห็นว่าหน้าตัวเองไม่น่าเกลียดก็กดเลื่อนๆ ไป ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันจะชัดขนาดนี้ โชคดีที่กางเกงตัวใหญ่จนส่วนที่ไม่น่ามองไม่เด่นขึ้นมา

ไม่งั้นผมคงเขินหนักกว่านี้อีก ให้ตาย

“ฟ้าครับ ไปถ่ายตอนไหนเหรอ”

ทำไมเสียงโฬมถึงไม่นุ่มนวลอีกแล้วล่ะครับ

ผมเม้มปาก จ้องหน้าเก่งกาจที่ค่อยๆ เอาเนื้อลงไปย่างบนกระทะไม่หันมาสนใจผมเลยสักนิด ก่อนจะจำใจต้องหันไปหาคนที่เดี๋ยวนี้ดุเก่งจนผมหงอหัวหดหมดแล้ว

“ตั้งนานแล้วครับ แต่เขาเพิ่งตีพิมพ์”

“รับงานแบบนี้ด้วยเหรอครับ”

“ตอนนั้นผมอยากลอง” ผมยิ้มแหยส่งไปให้

โฬมถอนหายใจเล็กๆ ขยี้ศีรษะผมอย่างจนใจก่อนจะเก็บนิตยสารเข้าถุงแล้วหันมายิ้มปลอบให้กัน

“ขยันทำให้หวงจังนะครับ”

โฬมก็ขยันทำให้ใจเต้นจังนะครับ

ผมสวนในใจ หยิบตะเกียบแย่งเนื้อที่สุกบนเตามากิน ไม่สนใจเก่งกาจที่โวยวายเพราะมันเป็นคนเอาลงมาย่าง

“ขอบคุณนะครับเก่ง” โฬมหันไปพงกหัวให้เพื่อนของผม ในขณะที่ผมแย้งเงียบๆ ว่าไม่เห็นต้องไปขอบคุณเลย เก่งกาจก็แค่อยากแกล้งให้ผมอายเท่านั้นแหละ

“ไม่เป็นไรครับ” คนตรงข้ามก็ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ

ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตักเนื้อเข้าปากรัวๆ เพราะทำอะไรไม่ได้

“แล้วพี่โฬมก็ไม่ต้องหึงไอ้สกายกับผมนะพี่” เก่งกาจโพล่งประเด็นนี้ขึ้นมา เรียกความสนใจทั้งผมทั้งโฬมที่กำลังคีบเอาเนื้อดิบลงไปย่างในเตาอยู่ “ถ้าผมจะชอบมัน ผมชอบตั้งแต่เจอมันใหม่ๆ แล้วพี่”

“ไม่ให้หึงนี่ห้ามยากนะครับ” โฬมตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ถ้อยคำตรงเผงนี่มันคืออะไรกัน

“เว้นผมไว้คนนึงเถอะ ผมมีคนที่ชอบแล้ว”

“หืม?”

“มันเป็นเพื่อนผมมาตั้งหลายปี อาจจะเล่นถึงเนื้อถึงตัวไปบ้าง แต่มันไม่มีอะไรหรอกนะพี่”

โฬมยิ้ม ตั้งใจฟังเก่งกาจพูด ในขณะที่ผมไม่กล้ามองหน้าคนทั้งคู่เพราะในบทสนทนานั้นเป็นเรื่องตัวผมเองล้วนๆ จะเข้าไปแทรกก็ไม่ได้ จะเดินหนีไปก็ทำไม่ได้อีก

ผมไม่เข้าใจว่าเก่งจะชวนคุยเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม มากินปิ้งย่างก็ควรกินสิ

“เดี๋ยวผมช่วยพี่คุมประพฤติมันด้วยเลยเอ้า”

“เก่ง” ผมปราม แต่เก่งกาจกลับหันมายักคิ้วให้สองจึ้ก

บทสนทนาจบลงแค่นั้นเพราะโฬมไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมบรรจงตัดเนื้อย่างใส่จานของคนข้างตัวเพื่อให้เขาเลิกสนใจคำพูดเก่งเสียที ในขณะเดียวกันก็เป็นผมเองที่ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ จนถึงประเด็นคนที่เก่งชอบและทำไมถึงต้องมาให้ปิ้งย่างเยียวยาจิตใจ

“เซ็งดิ คนที่กูจีบอยู่เขาไม่เล่นด้วยสักนิด”

“ใครอ่ะ คนที่ร้านเฮียเต็ม?”

“เปล่า”

“อ้าว”

“คนนั้นเขามีเมียแล้ว กูไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของ”

ผมส่ายหน้า เก่งกาจดูเหมือนคนเจ้าชู้เลยนะถ้าไม่ได้รู้อะไรๆ ในชีวิตมันแบบที่ผมรู้ เป็นคนที่เปลี่ยนคนคุยคนควงเป็นว่าเล่น แต่อันที่จริงคือคนอื่นต่างหากที่เล่นๆ กับมัน ตัวมันเองจริงจัง พร้อมที่จะสานสัมพันธ์ตลอด แต่สุดท้ายพอจบเรื่องบนเตียง ก็กลายเป็นตัวมันอีกนั่นแหละที่โดนฟันแล้วทิ้ง

สงสารเพื่อนก็จริง แต่ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ

และพอพูดเรื่องความรักแสนช้ำของเก่งกาจ โฬมก็คล้ายจะกลับเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วยทันที เพราะเป็นเรื่องที่พวกเขาน่าจะเข้าใจกันเป็นอย่างดี แม้โฬมจะไม่ได้เปลี่ยนคนรักบ่อยขนาดเก่ง แต่อย่างไรก็สังคมเดียวกัน

สังคมที่ผมไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่ามันน่าเศร้าไม่น้อยเลย

ผมไม่ได้หมายถึงสังคมเพศทางเลือกหรืออะไรนะครับ แต่ผมหมายถึงตรรกะของคนที่พวกเขาทั้งสองพานพบมาต่างหาก ความไม่จริงจังและไม่ต้องการสานต่อคล้ายเป็นทางเส้นขนานกับความรักแบบที่พวกเขาต้องการไขว่คว้า ผมยัดเนื้อเข้าปากแล้วมองหน้าทั้งเพื่อนสนิททั้งเพื่อนร่วมงานด้วยความเห็นใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรแทรกเข้าไปเพราะกำลังปล่อยให้เสือสองตัวผลัดกันเลียแผลรักษาใจให้แก่กัน

ดูท่าแล้วการมีคนเข้าอกเข้าใจในความทุกข์ที่ตนเจอ คงพอเรียกรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของทั้งสองคนได้บ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะนะ





ท้องผมตึงเปรี๊ยะเลยปล่อยให้โฬมเป็นคนขับกลับมาที่คอนโด วันนี้ผมอนุญาตให้เขามาค้างอีกแล้ว ด้วยความที่ว่าผมอิ่มมาก และโฬมก็น่าจะอิ่มไม่ต่างกัน

อีกเหตุผลก็น่าจะเพราะเขาไม่ใช่คนนอกสำหรับผมอีกแล้วล่ะมั้ง

ผมลากตัวเองเข้ามาในลิฟต์ด้วยความลำบาก พลางบ่นกระปอดกระแปดตลอดทางว่าหายใจไม่ออก อยากล้วงคออ้วกออกมาเอามากๆ เพราะตอนที่เกิดสงครามแย่งเนื้อบนเตา ผมดันหยิบออเดอร์มาสั่งเพิ่มไปเยอะมากด้วยความหน้ามืดตามัว สุดท้ายก็ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ตัวเองสั่ง

และนั่นแหละครับ ท้องจะแตกตายเอา

“โฬมอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ ผมขอพักก่อน” ผมบอกแขกของตัวเองเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนอน ทิ้งร่างลงนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่

ทรมานที่สุด ให้ตาย

“ฟ้าไหวไหม”

ผมส่ายหน้า ตีพุงดังป๊องโชว์

“โฬมอิ่มๆ ก็นั่งพักก่อนนะ อาบน้ำตอนจุกๆ เดี๋ยวท้องอืด” ผมบอก ร่างสูงเลยทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ซึ่งห่างจากเก้าอี้ของผมไม่เท่าไหร่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างยากเย็น เนื่องจากกระเพาะเต็มไปด้วยอาหารมากเกินไป โฬมก็ดูทรมานไม่ต่างกันเพราะเขาต้องเสียสละช่วยผมจัดการเนื้อล็อตสุดท้าย โดยมีเก่งกาจยิ้มให้กำลังใจอย่างร้ายกาจ

“อ๋อ ผมลืมคุยเรื่องนี้กับโฬมเลย”

“เรื่องอะไรครับ?”

“เอ็มวีน่ะครับ โฬมว่าไปถ่ายที่ไหนดี”

“จะถ่ายนอกสถานที่เหรอครับ”

“ใช่ๆ ผมคุยกับประธานแล้ว งบไม่เยอะมากอาจจะไม่มีทีมงานดูแลความสะดวกสบายนะครับ” ผมบอกเขาไว้ก่อน เพราะค่ายของผมถึงแม้จะมีส่วนแบ่งในตลาด แต่ก็ไม่ใช่ค่ายยักษ์ใหญ่อะไรนัก อีกอย่างผมชินกับระบบงานที่ทำเอง คิดเองแล้วเอาไปเสนอแบบนี้ด้วย จึงไม่เป็นไรถ้าสุดท้ายตอนไปถ่ายเอ็มวีจะมีทีมงานไม่กี่คนไปช่วยถ่ายทำ

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเลยครับ” โฬมยิ้มให้ผม “ฟ้าอยากได้ที่แบบไหน ทะเล ภูเขา หรือสวนดอกไม้?”

“ผมชอบภูเขานะ แต่คงถ่ายทำยากไปหน่อย”

“ทะเลดีไหมครับ ไปรีสอร์ทที่ระยอง ชายหาดส่วนตัวจะได้เงียบหน่อย”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย “โฬมมีที่แนะนำไหม”

“ผมไม่ได้ไปทะเลระยองนานแล้วด้วย”

“จากกรุงเทพฯ นี่ขับรถไประยองนานไหมครับ” ผมถามพลางคิดคำนวณในใจ

เคยไปก็แต่ตอนมหา’ลัยรับน้อง ซึ่งการขับรถใหญ่ทำให้กินเวลาไปตั้งสี่ชั่วโมง ซึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นรถยนต์น่าจะเร็วกว่านั้น แต่ก็กะไม่ถูกเช่นกันว่าประมาณเท่าไหร่

“สองสามชั่วโมงครับ”

“อืมมม” ผมลูบคางขณะครุ่นคิด “ไว้เราไปสำรวจสถานที่กันไหมครับ ผมอยากเลือกด้วยตัวเอง อยากไปเห็นกับตาด้วย”

“ไปกันสองคนเหรอครับ”

เอ๊ะ

ผมสะดุ้งกับประโยคคำถาม หันไปสบกับดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยหัวใจที่เต้นระรัว นั่นน่ะสิ ชวนไปแบบนี้ก็ไม่ต่างจากไปเที่ยวด้วยกันเลยแหะ

ผมเม้มปาก แต่ก็พยักหน้าตอบไปเป็นการยืนยัน

“สองคนครับ”

“ฟ้าจะชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะ” โฬมคงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม เขาถึงพูดขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมกลับปฏิเสธประโยคนั้นของโฬมไป

“เก่งไม่ไปหรอกครับ มันทำงาน”

“อ๋อ”

“อีกอย่าง...”

“...”

“ผมอยากไปกับโฬม... สองคน

________________________________
Talk: ตอนแรกจะหายไปอีก 2-3 วันอย่างที่มาแจ้งไว้ข้างบน
โปรเจคส่งอาทิตย์หน้าแล้วค่ะ เครียดมากเลยเพราะบัคเต็มไปหมด  :z3: :z3:
มันทำให้เราปรับอารมณ์ตัวเองมาเขียนไม่ได้จริงๆ

แต่ว่าเจ้าสกายตอนนี้แต่งทิ้งไว้ได้ประมาณครึ่งนึง
ยังไม่ได้อัพ #เขื่อนคนสวย ด้วย แต่ลัดคิวมาลงก่อน
มาหากำลังใจจากคอมเม้นต์คนอ่านด้วยค่ะ ฮืออออ ขอโทษที่ให้รอนะคะ  :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 09-11-2018 16:19:50
สู้ๆน้องสกาย ค่อยๆเรียนรู้ความรักไปพร้อมกับโฬม
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-11-2018 16:26:48
สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Josett ที่ 09-11-2018 16:54:59
หนูรู้กกกกกชวนเขาไปทะเลสองคน อินี้คิดดีไม่ได้เลยนะ55555555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 09-11-2018 21:16:21
ขอบคุณมากค่ะที่มาลงให้ก่อน... น้องน่ารักขึ้นทุกวัน  :hao7: อย่างงี้พี่โฬมหัวใจทำงานหนักแน่ๆ  :hao3: สู้ๆค้ะ  o13
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 09-11-2018 22:27:33
คนเขียนสู้ ๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 09-11-2018 22:32:52
อย่างนี้เขาเรียกว่าอ่อยสินนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-11-2018 22:36:27
น้องสกายก็ขยันน่ารักเหลือเกิน ส่วนไรท์ก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 09-11-2018 23:24:50
สกายคนชอบอ่อย 2018 อิอิ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 10-11-2018 06:56:39
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 16 [09-Nov-18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 12-11-2018 14:10:05
สกายน่ารัก และโฬมก็แสนดี ชอบทั้งคู่เลยฮะ เก่งและเฮียเต็มด้วย
ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆ ยิ้มทุกครั้งที่ได้อ่าน ไม่เอาดราม่านะฮะ ได้โปรดดดดดดดด
และรอออออออ ตอนต่อไปคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 16-11-2018 16:38:34
บทที่ 17


“ตรงนี้ขอเสียงสูงกว่านี้หน่อยนะครับ” พี่ยุทธบอกนักร้องในห้องที่เข้าไปในนั้นได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมนั่งรออยู่ข้างนอก คุยเล่นกับพี่เมฆและพี่อ้อยที่วันนี้ไม่ยอมทำงาน โดดมานั่งมองหน้า ‘ประเด็น’ อย่างโฬม ลภณพร้อมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก

“หล่อมากๆ เลยสกาย”

“จริง พี่โบกครีมขนาดนี้ ผิวยังเนียนไม่สู้โฬมเลย” ผมมองพี่อ้อยที่ดูจะอวยเกินจริง โฬมขาวและหน้าใสก็จริง แต่ถ้าถามว่าผิวดีไหม ก็ต้องตอบว่าผิวของคนที่ผ่านเครื่องบำรุงและวิธีการมากมายอย่างพี่อ้อย ยังไงก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว

“พี่ยุทธเวอร์ชั่นเครียดๆ แบบนี้ยังไงผมก็ไม่ชิน” ผมเปลี่ยนเรื่องเป็นครั้งที่สิบสองของวัน พยายามลากให้ไกลจากหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับโฬมทั้งหมด เพราะพี่ๆ เขามักวกเข้ามาถามคำถามที่ผมก็ตอบไม่ถูก แถมยังใจเต้นจนน่ารำคาญ

“สกายไม่ค่อยโดนพี่แกด่านี่หว่า” พี่เมฆเบ้หน้าเบ้ปาก เหลือบมองไปทางคนตัวใหญ่ที่นั่งปรับเสียงนู่นนี่อยู่หน้าโต๊ะทำงาน ในขณะที่โฬมก็กำลังร้องแก้ท่อนที่พลาดอยู่ในห้องอัดเสียง

ผมที่อัดส่วนของตัวเองไปแล้วนั่งรอโฬมอยู่ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จสิ้น เป็นการอัดเพลงที่น่าจะเร็วที่สุดในชีวิตแล้วมั้ง ด้วยความที่ว่าทั้งโฬมและผมเป็นคนแต่งเพลงเอง อัดเดโม่เอง จึงไม่ต้องเสียเวลาปรับจูนเสียงหรือจังหวะทำนอง

ผมบิดตัวคลายความขี้เกียจ ยิ้มรับคนตัวสูงที่เดินออกมาจากห้องอัดด้วยใบหน้ามีความสุข

โฬมเดินมานั่งข้างๆ ผม คว้าขวดน้ำบนพื้นมาแกะดื่มด้วยความกระหาย ผมไม่ได้สนใจเขามากนักเพราะพี่ยุทธที่เดินเข้ามาร่วมวงเป็นคนสุดท้ายกำลังเปิดบทสนทนาเรื่องใหม่ขึ้นมา

“ประธานฯ บอกให้ปล่อยออดิโอ้ไปก่อน เอ็มวีค่อยปล่อยหลังจากนั้นเดือนนึง” ร่างอวบอ้วนทิ้งตัวลงเบียดพี่เมฆจนหน้าแทบคะมำ แว่วเสียงโวยวายขึ้นมาขัด แต่เสียงหัวเราะร่วนของคนในห้องกลับดังยิ่งกว่า “แล้วตกลงเอ็งจะไปถ่ายเอ็มวีที่ไหน”

“เนี่ยพี่ อาทิตย์หน้าพวกผมจะไปดูสถานที่แล้ว” ผมตอบ พร้อมกับส่งห่อขนมปังให้คนข้างตัว โฬมยิ้มรับ ผงกหัวขอบคุณ

“ที่ไหนๆ” พี่อ้อยยื่นหน้าเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ระยองมั้งครับ”

“ไปกันสองคนเหรอ”

ผมพยักหน้า

รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฎบนริมฝีปากของทุกคน ขนาดโฬมยังไม่เว้น ผมที่เพิ่งสำนึกได้ว่าพูดออกไปเต็มปากต้องยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อ

ถึงจะโดนล้อมาเป็นอาทิตย์ ยังไงก็ไม่ชินสักที

“คบๆ ไปให้จบๆ ไป รำคาญ!” พี่ยุทธทำน้ำเสียงรำคาญอย่างที่ปากว่า แต่ทุกอย่างก็เป็นแค่การกลั่นแกล้ง เพราะมืออวบๆ ยื่นมาผลักหัวผมแล้วดันให้มุดเข้าไปในหน้าอกของโฬมจนจมูกผมบี้ไปหมด

“อี้ อ่อยอมๆๆๆ (พี่ ปล่อยผมๆๆๆ)” ผมโวยวาย ตะเกียดตะกายจะดันหัวออก โฬมโอบแขนรอบตัวผมเนื่องจากท่านั่งผมมันพิสดารขึ้นทุกครั้งที่ขยับตัว สุดท้ายก็ได้รับอิสระโดยที่ทั้งเสื้อผ้า และเส้นผมยุ่งเหยิงไปหมด

“แล้วสกายคิดเนื้อเรื่องเอ็มวียัง” พี่อ้อยโพล่งขึ้นมาเมื่อสถานการณ์ค่อยๆ สงบลง

“ยังเลยพี่”

“โฬมมีไอเดียไหมครับ”

“ไม่มีเลยครับ”

“ผมมี!” พี่เมฆยกมือแห้งๆ ของตัวเองขึ้นสุดแขน

“อ่ะ เชิญญ”

“ขอถามก่อนนะ สกายกับโฬมจะเล่นเอ็มวีเองเลยไหม”

“...” ผมเงียบ โฬมก็เงียบ

พวกเราหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันผ่านสายตาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบอะไรอยู่ดี

“จริงๆ เพลงนี้มันต้องเป็นพวกรักร่วมเพศอยู่แล้วใช่ม้ะ พี่ไม่อยากให้จำกัดแค่เกย์อ่ะ มันมีอื่นๆ อีกเยอะเลย” พี่เมฆทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา

“น่าสนใจอ่ะเมฆ” คนเจ้าสำอางค์ที่สุดหันไปชูนิ้วโป้งให้

แต่ผมกลับสองจิตสองใจ ไม่ได้คล้อยตามไปง่ายๆ เพราะความคิดบางอย่างตกตะกอนอยู่ในหัวผมมันสักพัก ตอนแรกก็กะจะทิ้งไปเพราะมันออกจะไร้สาระไม่น้อย แต่นานวันมันก็ยังวนเวียนไม่เลิก

เพลงนี้... ผมอยากให้มันมีแค่เรา

ไร้สาระไหมละครับ ทั้งๆ ที่ความตั้งใจแรกคือจะทำเพลงรักสะท้อนสังคมเกี่ยวกับรักร่วมเพศ แต่ไปๆ มา ผมแค่อยากให้เพลงนี้เป็นเพลงของโฬม

เพลงที่เขาจะใช้พูดคุยกับคนอื่น ว่าการที่เขารักเพศเดียวกัน เขาไม่ผิด

การที่เขามีคนรักเป็นผู้ชาย มันไม่ใช่สิ่งบาปหนาที่คนอื่นจะนำมันมาทิ่มแทงและจมตัวเขาให้อยู่กับโลกอันเน่าเฟะจากคำดูถูกดูแคลนพวกนั้น

คนทุกคนมีสิทธิที่จะรักใครก็ตามที่พวกเขาเลือก ไม่ใช่คนอื่นๆ มาเลือกให้

“ว่าไงสกาย”

“อ๊ะ ครับ”

ผมไม่ได้ฟังที่พี่เมฆกับพี่อ้อยพูดเพราะมัวแต่จมกับความคิดของตัวเอง พอสะดุ้งขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว

“กะ ก็ดีครับพี่”

“ได้ฟังป่ะเนี่ย”

“...ผม”

“ไม่สบายเหรอครับฟ้า”

ผมที่ละลำละลักตอบไม่ถูกโดนชะงักด้วยเสียงนุ่มกับฝ่ามืออุ่นที่ทาบลงมาบนหน้าผาก โฬมยิ้มบางๆ ให้แต่คิ้วเขากลับขมวดยุ่งด้วยความเป็นห่วง

“เนี่ย กูถึงบอกให้คบๆ กันไป” พี่ยุทธบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงไม่ได้เบาเลยสักนิด

ผมรู้ พี่เขาจงใจให้ได้ยิน

หน้าผมแดงเถือกไปหมด พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นเพราะโฬมเอาแต่ลูบหน้าลูบหัวไปแคร์สายตาล้อเลียนกับอากัปกรอกตาอย่างเบื่อหน่ายของพี่ใหญ่สุดในห้อง

ผมดึงมือของอีกคนพลางส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ก่อนจะกลับไปคุยประเด็นเดิมต่อ จริงๆ คืออยากหลบเลี่ยงกับคำแซวที่อีกสักพักคงพรูกันเข้ามาอย่างไม่มีหยุด

รับไม่ไหวครับ แค่โฬมหยอดทุกวันหัวใจก็จะพังอยู่แล้ว

“ผมว่าจะเล่นเอ็มวีเอง”

“หืม” ทุกคนส่งเสียงขึ้นจมูกด้วยความสนใจใคร่รู้

แต่ผมเลือกเบี่ยงบ่ายด้วยการบ่นว่าหิวแล้วลากคนตัวสูงข้างๆ ออกมาเลย ไหว้สวัสดีแล้วจรลีออกมา ไม่เผื่อเวลาให้ใครได้คาดคั้นทั้งนั้น

ความคิดมันออกจะ...น่าอายไปสักหน่อย

เอาไว้เอ็มวีเสร็จแล้วผมค่อยเอามาให้พี่ๆ เขาดูแล้วกัน จะได้เขินไปทีเดียวไปเลย!

ผมลากโฬมดุ่มๆ มาที่รถ วันนี้เป็นผมที่ขับมาและวนไปรับโฬมตอนเช้าด้วย ถุงเงินถุงทองยังไม่สนใจผมเหมือนเดิม ส่วนผมก็กระโดดหนีไม่เข้าใกล้ไม่ต่างกัน

“เรื่องเอ็มวี...” พอเข้ามาในรถ โฬมก็เปิดประเด็นทันที

ผมเม้มปาก หัวเราะแหะๆ แต่ก็ยอมบอกคร่าวๆ ออกไป ยังไงถ้าผมจะเล่นเอ็มวีเอง โฬมก็ไม่พ้นต้องมาเล่นกับผมอยู่แล้ว

“โฬมไม่สบายใจที่จะเล่นเอ็มวีเองรึเปล่าครับ”

“ไม่ครับ แค่อยากรู้ว่าฟ้าคิดอะไรอยู่”

“...” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ถ่วงเวลาด้วยการหันไปสตาร์ทรถแล้วถอยออกจากซองจอด รอจนรถเข้าสู้ท้องถนนได้เต็มตัวผมถึงกลับมามีเสียงพูดอีกครั้ง

“จริงๆ ผมมีเนื้อเรื่องคร่าวๆ ไว้เหมือนกัน”

“เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ”

ผมคลี่ยิ้มตอบกลับรอยยิ้มบุ๋มลึกที่ส่งมาให้

“ไว้ไปเล่าให้ฟังที่ระยองนะครับ”

ขอเวลาทำใจเดี๋ยวเดียว ไม่นาน...









ผมมองตัวเองในกระจก สำรวจหูที่สัมผัสได้ว่าแผลแห้งแล้ว เวลาผ่านมาพอสมควรและผมคิดว่าผมสามารถเปลี่ยนมาใส่ห่วงสีดำที่ได้มาตอนนั้นได้แล้ว

มันเป็นความตื่นเต้นเอามากๆ ผสมกับอาการตื่นกลัวตอนที่ยื่นมือไปปลดต่างหูที่สวมไว้ออก แต่ผมก็ไม่กล้าดึงแรงอยู่ ขยับนิดๆ หน่อยๆ ก็เสียววาบขึ้นเพราะสัมผัสได้ถึงก้านที่คว้านอยู่ในหู ผมยอมละมืออกมาด้วยหน้าหงอยๆ ให้คนอื่นใส่ให้น่าจะดีกว่า
ผมขยับตัวออกมาหลังจากยื่นหน้าเข้าไปแทบชิดกระจก มองสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมเป็นครั้งสุดท้าย หัวสีบลอนด์ที่ทำมาช่วยทำให้เวลาผมหยิบแว่นไร้เลนซ์มาสวมมันดูน่ารักมากขึ้นกว่าปกติ

จำได้เลยว่าครั้งแรกที่โฬมเห็นผมในลุคใหม่นี้ เขาถึงกับขอถ่ายรูปเก็บไว้ ต่างจากเก่งกาจที่เอาแต่มองนิ่งๆ และบ่นพึมพำว่าผมไม่ใช่สกายที่มันรู้จัก อะไรก็ไม่รู้ แต่ส่วนมากฟีดแบ็คก็ล้วนบอกว่ามันเข้ากับผมเอามากๆ ช่วงนี้เสื้อผ้าบนตัวเลยออกโทนสดใสสว่างๆ หน่อย เพื่อให้เข้ากันทั้งตัว

วันนี้ผมใส่เสื้อฮาวายสีน้ำเงินลายผลไม้ ตัวใหญ่โอเวอร์ไซซ์เหมือนเดิม กางเกงก็เป็นเอวยางยืดขาสั้นสีดำ วันนี้กะจะลากแตะไปให้เข้ากับอีเวนท์

ใช่แล้วครับทุกคน ผมกำลังจะไประยองฮิ!

กระเป๋าเป้ตุงๆ หน่อยนั่นรวมเสื้อผ้าและของใช้มากมายเท่าที่จะยัดไปได้ ด้วยความที่ผมไม่มีงานช่วงนี้เพราะเก็บตัวก่อนปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ รวมถึงโฬมก็ว่างงานอยู่เหมือนกัน พวกเราเลยกะไปเที่ยวสักห้าวันสี่คืน อาจจะย้ายที่นอนไปเรื่อยจนกว่าจะได้เจอสถานที่ถูกใจ

Rrrrrrrr

“ครับ” ผมรับสายของคนที่น่าจะรู้กันดีว่าใคร

[ผมจอดรออยู่ที่เดิมนะครับ]

“ได้ครับ” ผมตอบรับแล้วกดตัดสายทิ้งไป หมุนตัวไปคว้ากระเป๋ามาสะพายบ่า สำรวจอีกครั้งว่าไม่ลืมอะไรอีกแล้วจึงเดินฉับๆ ออกมาจากห้อง

ตอนเช้าแม้แดดแรงแต่ยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ผมดันหมวดแก๊ปที่สวมมาด้วยให้เลื่อนลงมาบังสายตา รถของโฬมจอดอยู่ข้างรั้วที่ประจำ ผมโยนกระเป๋าไปไว้เบาะหลังก่อนจะกระโดดเข้ามานั่งในที่ข้างคนขับ

“หวัดดีครับ” ผมทัก หันไปมองเจ้าของรถที่ส่งยิ้มไว้รออยู่แล้ว

ยังหล่อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแว่นกันแดดเสริมความเท่

ผมข่มความอิจฉาปนปลาบปลื้มในใจ แอบใช้สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางร้องอื้อหือในใจ

กางเกงขาสั้นสีครีม เสื้อเชิ้ตขาวพับแขนเสื้อ ทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดีพร้อมแว่นเรย์แบนสีชาบนใบหน้า ยิ่งผนวกกับฟันเขี้ยวและลักยิ้มสวยๆ ผมก็ไม่อาจถอนสายตาออกมาได้โดยง่าย

“มองแบบนี้ผมเขินแย่เลย”

ผมหัวเราะเพราะโฬมไม่ได้จริงจังกับคำพูดนั้น

เขาคงจะชินแล้วกับการที่ผมชอบมองหน้าเขาค้างอยู่บ่อยๆ

“เดี๋ยวครึ่งทางสลับกันขับนะครับ” ผมบอก ถึงจะไม่เคยไปแต่โทรศัพท์มือถือก็มีจีพีเอส ผมไม่อยากให้โฬมขับรถคนเดียวเพราะก็ถือว่าไกลอยู่เหมือนกัน แถมกว่าจะวนหาที่พักได้ก็น่าจะกินเวลาอีกสักพัก

ทริปนี้พวกผมกะไปตายเอาดาบหน้าจริงๆ เพราะไม่ได้จองที่พักกันไว้ แค่เล็งว่าจะไปมีรีสอร์ทอยู่ตรงไหนบ้างแล้วค่อยๆ ขับไปเพื่อสำรวจสถานที่

ผมเอื้อมมือไปเปิดเพลง ปรับเบาะให้เอนลงเพื่อความสบาย หันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ขับรถอย่างตั้งใจ ก่อนจะสังเกตุเห็นบางอย่างที่สะดุดตา

ต่างหูห่วงดำกับกางเขนเล็กๆ ห้อยเอาไว้ประดับอยู่บนติ่งหูของโฬม

ตั้งแต่เมื่อไหร่...

“โฬมใส่ต่างหูแล้วเหรอครับ”

“อ๋อ ครับ เพิ่งใส่เมื่อเช้าเอง” เขาหันมาสบตากับผมแปบนึงก่อนกลับไปมองถนนต่อ “ฟ้าไม่ใส่เหรอครับ แผลน่าจะแห้งแล้ว”

“ผมใส่ไม่เป็น” ผมเลือกเลี่ยงคำว่าไม่กล้าไป

“เดี๋ยวถึงรีสอร์ทผมใส่ให้นะ”

“ก็ดีครับ” ผมยิ้ม

บทสนทนาของพวกเราหยุดลงไว้แค่นั้น มีเพียงผมที่ฮัมทำนองเพลงตามดนตรีที่ดังออกมาจากลำโพง วิทยุช่วงนี้เปิดเพลงสากลที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ ตามร้านกาแฟ ผมโยกหัวเบาๆ มองลอดออกไปนอกกระจก

ความเงียบไม่ได้ทำให้พวกเราอึดอัด

ผมจะเป็นพวก ถึงชอบหมกตัวทำเพลงเงียบๆ ทั้งวัน แต่ถ้าต้องเข้าสังคม หัวผมจะหมุนติ้วเพื่อหาเรื่องมาคุยกับอีกฝ่ายแก้อึดอัด แต่กับโฬมผมไม่จำเป็นต้องสรรกาเรื่องราวร้อยแปดมาชวนคุย เพราะแค่เรานั่งอยู่ข้างกันเงียบๆ หัวใจผมก็เบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

อย่างนี้เรียกว่ารักได้หรือยัง

ผมถามใครไม่ได้ เก่งกาจก็ตอบไม่ได้ จะให้ถามโฬมเหรอก็ไม่กล้าพอ ผมถึงทำได้แค่ค่อยๆ ถามตัวเองแล้วหาคำตอบอย่างช้าๆ
ผมรู้ว่าผมชอบโฬมนะ และมันมากขึ้นในทุกๆ ครั้งที่พวกเราค่อยๆ รู้จักกัน

ข่าวของผมกับโฬมยังมีกระแสเรื่อยๆ และคนข้างๆ ผมก็มีอาการไม่อยากรับรู้ทุกครั้งที่เห็นมันผ่านหน้าไทม์ไลน์ ผมมองเห็นความอ่อนแอของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันผมก็เห็นความเข้มแข็งของเขามากขึ้นเช่นกัน

แววเศร้าๆ ในดวงตาของเขามันจางลงไปเยอะมากทีเดียว รวมถึงรอยยิ้มของเขาก็สวยมากกว่าครั้งแรกที่เราเจอกันมากทีเดียว
ผมหลงใหลโฬมในมุมที่ทั้งอ่อนแอและเข้มแข็ง

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องรู้สึกมากแค่ไหนถึงเรียกว่ารัก แต่แค่นี้หัวใจผมก็บวมเป่งจนแทบปริแตก อีกนิดมันก็จวนจะเก็บเอาไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว

“โฬม...”

“ว่าไงครับ”

“...”

“ครับ?”

“หิวแล้วครับ”

“อะ เดี๋ยวผมแวะปั้มข้างหน้าให้นะครับ”

จะมาบอกอะไรตอนนี้วะไอ้สกาย มันใช่เวลาที่ไหน

ให้ตายเถอะ!







ผมได้รีสอร์ทแล้วครับ!

ผมขับรถวนอยู่เป็นชั่วโมง พวกที่สถานที่สวยๆ ก็ล้วนเต็มหมดแล้ว หรือบางทีรีสอร์ทสวยแต่ชายหาดด้านหน้าแคบไปหน่อย ผมก็เปลี่ยนไปเป็นที่อื่นทันที กว่าจะได้ที่ที่ทั้งผมและโฬมถูกใจก็สี่โมงเย็นไปแล้ว

ผมเช็คอินเข้าห้องพัก ขอวิวที่ดีที่สุดเพราะอยากเสพบรรยากาศ พวกเราจองห้องพักเดียวกันแบบเตียงเดี่ยว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจองห้องแยกหรือแบบเตียงคู่ เพราะยังไงก็ทำมากกว่านอนกอดกันไปแล้ว

หมายถึงจูบนะ!

“ฟ้าจะเล่นทะเลไหมครับ”

ผมฟังคำถามแล้วมองออกนอกหน้าต่าง แดดยังแรงอยู่เลยแหะ

“สักห้าโมงแล้วกันครับ ยังร้อนอยู่เลย”

โฬมพยักหน้า พวกเราผลัดกันเข้าไปล้างขาล้างหน้าก่อนจะกระโดดขึ้นนอนแผ่กันเต็มเตียง แขนและขาของพวกเราก่ายกันไปมา ในขณะที่ดวงตาจับจ้องเพดานสีขาวอย่างเหม่อลอย

คนตัวสูงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ผมเห็นเขาอัพรูปที่ถ่ายเมื่อตอนถึงรีสอร์ทใหม่ๆ ลงไอจี ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยขยับหัวเข้าไปกระแซะอย่างโจ่งแจ้ง

โฬมหัวเราะ แต่ก็ยอมให้ผมอ่านแคปชั่นของเขาที่ยังไม่ได้กดอัพรูป


ท้องฟ้ากับทะเล


ผมยิ้มเขิน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท้องฟ้าที่ว่านั่นหมายถึงอะไร

ก็ช่วงหลังๆ แคปชั่นแทบจะทุกรูปที่โฬมลง ไม่ว่าจะถ่ายติดท้องฟ้าหรือไม่ เขาก็ยังจะบรรยายทุกสิ่งด้วยคำว่าท้องฟ้าอยู่ดี

“ไม่เห็นมีทะลหรือท้องฟ้าเลยนี่ครับ” ถึงจะรู้ ผมก็ยังแซวออกไปแก้อาการเขิน

เพราะรูปที่โฬมถ่ายมันคือป้ายรีสอร์ทกับดอกไม้หลากสีเป็นพุ่มด้านล่าง

“มีท้องฟ้านะครับ”

“หืม ไหนครับ” ผมคิ้วขมวด เพ่งมองรูปนั้นด้วยความตั้งใจ

ไม่เห็นอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งโฬมจิ้มนิ้วชี้ลงบนมุมขวาของภาพ ซึ่งนั่นทำให้หน้าผมแดงเถือกพร้อมกับลมหายใจติดขัด
เป็นมือของผมที่ติดเข้ามาในเฟรม

เห็นแค่นิ้วก้อยกับนิ้วนางด้วยซ้ำ ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าจะเขินทำไม

ผมแกล้งหัวเราะ ทำท่าจะพลิกตัวตะแคงข้างหนี แต่โฬมกลับคว้าไหล่ผมไว้ก่อนจะขยับร่างกายท่อนบนมาคร่อมผมเอาไว้

“ฟ้าหน้าแดง”

ผมไม่ตอบ เบื่อจะอ้างว่าอากาศร้อนแล้ว เพราะอ้างบ่อยจนบางทีก็กระดากปาก

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนแสงแดดจนวาววับ มองไม่สามารถสบมันได้นานเกินห้าวิจึงต้องเบนศีรษะหนี โฬมหัวเราะเบาๆ เขาแกล้งผมพอสนุกๆ ก่อนจะยอมผละลำตัวออกไป

“มาครับ ผมใส่ต่างหูให้”

ผมโดนดึงแขนให้ลุกขึ้นจากที่นอน ยอมเดินไปหยิบกล่องต่างหูมายื่นให้อีกคนก่อนจะขยับตัวไปนั่งนิ่งๆ ที่หน้ากระจก โฬมใช้สำลีชุบแอลกอฮอลล์เช็ดต่างหู ทำความสะอาดมันตามขั้นตอนจนพอใจ จิวหูเดิมถูกถอดออกอย่างช้าๆ มันไม่เจ็บอย่างที่คิด แต่ผมก็กลัวอยู่ดีเลยหลับตาปี๋

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนเพราะมันแค่แปบเดียวเสียงทุ้มก็บอกว่าเสร็จ ผมค่อยๆ ลืมตามองตัวเองในกระจก ติ่งหูมีห่วงสีดำปะดับไว้ทั้งสองข้าง ไม่ต่างจากของโฬมเลยสักนิดเพราะเขาขอของผมไป

อย่างกับต่างหูคู่เลยแหะ

“ขอบคุณครับ” ผมพูดพลางยื่นหน้าไปใกล้กระจก สำรวจสภาพตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

โคตรเท่เลยตอนนี้

ขนาดผมสีบลอนด์สว่างยังดับความเท่ลงไปไม่ได้เลย

ผมหัวเราะกับความคิดยกยอตัวเอง หันไปมองคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ยื่นโทรศัพท์ให้เขาก่อนจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ

“ถ่ายรูปให้หน่อยสิครับ”

ผมเก๊กท่าเป็นนายแบบอยู่สองสามท่า แต่ส่วนมากคือเน้นไปที่หูที่มีสิ่งแปลกปลอมสวมเข้ามาเรียบร้อยทั้งสองข้าง ผมรับโทรศัพท์มาตกแต่งรูปนิดหน่อย ก่อนจะกดเข้าแอพอินสตราแกรมแล้วโพสรูปลง โดยมีแคปชั่นใต้ภาพว่า


ชอบมากๆ เลย


ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหมายถึงใคร

ระหว่างต่างหู กับคนถ่ายรูป



______________________
Talk: มาแล้ววววววว กลับมาแล้วววว จะกลับมาลง 3-4 วันเหมือนเดิมแล้วค่า
โปรเจคโดนสั่งแก้ยับ แต่เดดไลน์คืออาทิตย์หน้า เศร้าใจ
ยังมีคนรออยู่ไหมค้าาาาาาาา

เจ้าสกายเป็นคนที่ไม่งี่เง่าใดๆ เพราะชัดเจนในความรู้สึกตัวเองมากๆ
ไม่รู้เลยว่าสองคนนี้จะทะเลาะกันยังไง 5555555555

เอ็นดูน้องและนังพี่ด้วยนะคะะะะะ
รักทุกๆ คนตะเหมออออ จุ้บ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Josett ที่ 16-11-2018 17:40:05
สองคนนี้ไม่เหมาะแก่การทะเลาะกันอย่างยิ่ง เขาเหมาะแก่การได้กัน แค่กๆๆๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 16-11-2018 17:52:00
รอฟังเพลงรักค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-11-2018 18:21:53
 :o8: :-[

เขิลไปทีเดียวเลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 16-11-2018 20:44:53
อร๊ายยย หวานกว่านี้ก็น้ำผึ้งเดือนห้าแล้วล่ะ  ^^
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 16-11-2018 21:03:14
สกายเป็นท้องฟ้าที่สดใส
โฬมอย่าทำให้ท้องฟ้ามีเมฆมาบดบังน้าาาา
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 16-11-2018 21:35:26
 o13 รออ่านอยู่ทุกวันเลยค่ะ  :a5:น้องน่ารักน่าฟัดมากกกก  :hao7: คนพี่ก็อบอุ่นไปอี๊กกกกกกก   :hao3:  สู้ๆค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-11-2018 01:42:50
เมื่อไหร่จะคบกันจ๊ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-11-2018 09:50:07
เขินไปหมดแล้วคุณโร๊มมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 17 [16-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 19-11-2018 12:10:10
เป็นแฟนกันสักทีเถอะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 22-11-2018 12:46:43
บทที่ 18



แดดตอนห้าโมงเย็นก็ถือว่าแรงใช้ได้ แต่ไม่ได้แสบผิวเหมือนตอนกลางวัน

ผมสวมกางเกงขาสั้นหลากสี มัดเชือกที่เอวจนแน่น ถือโอกาสเปลือยท่อนบนแมนๆ เท่ๆ คูลๆ ไปเลย ในขณะที่โฬมเลือกใส่เสื้อผ้ามิดชิด กางเกงขาสั้นที่ยาวเกือบเท่าเข่ากับเสื้อยืดสีกรมท่า

“สวมเสื้อทับหน่อยไหมครับ แดดแรงนะ” คนตัวสูงชูเสื้อฮาวายของตัวเองขึ้น แต่ผมส่ายหน้าดิก

ถึงจะมีพุงกะทิน้อยๆ แต่ถ้าใจเราผอม เราก็จะผอมนะครับ

“ไปกันยังครับ” ผมออกปากชวน ไม่ได้หยิบอะไรติดตัวไปเลยสักอย่างเพราะกะลงทะเล ส่วนอีกคนก็พกแค่โทรศัพท์กลับซองพลาสติกห้อยคออันนึง พวกเราฝากกุญแจห้องไว้ที่เคาท์เตอร์ ช่วงข้างหน้ารีสอร์ทจะเป็นถนนสองเลน เลยถนนไปก็เป็นชายหาดกว้างกับน้ำทะเลสีใส

ฝั่งหนึ่งของชายหาดมีโต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัวไว้รองรับสำหรับคนที่ต้องการทานมื้อเย็นริมทะเล แต่ผมเมินกับของกินก่อนเพราะเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังอยู่ไม่ไกลนัก หูตาของผมกระดิกริกๆ ด้วยความตื่นเต้น

โฬมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพพร้อมสเนปไอจีสตอรี่ ผมได้ทีแกล้งคนติดโซเชียลด้วยการยื่นหน้าเข้าไปในกล้องจนเห็นแค่จมูกและกระจับปากด้านบน

คนตัวสูงหัวเราะ แต่ก็ยังกดอัพคลิปประหลาดๆ นั่นลงอยู่ดี

“หาดกว้างดีนะครับ ถ่ายที่นี่ก็น่าจะสะดวก” โฬมที่กวาดตามองสำรวจเอ่ยแสดงความคิดเห็น ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะชี้ไปตรงต้นไม้ใหญ่กับชิงช้าไม้อันหนึ่ง

“ตรงนั้นถ่ายออกมาน่าจะสวย”

“แล้วตกลงฟ้าคิดเนื้อเรื่องว่ายังไงบ้าง”

ผมยิ้ม แต่ไม่ตอบ

ยังไม่ใช่เวลาที่ผมจะเล่าเรื่องน่าอายแบบนั้นตอนนี้

ผมถือวิสาสะคว้าข้อมือแกร่ง ดึงร่างสูงโปร่งให้เดินฝ่าทรายสีขาวละเอียดไปที่ทะเลกว้าง พวกเราถอดรองเท้าไว้ใต้ต้นไม้ที่มีชิงช้าต้นนั้น โฬมรูดปิดซองพลาสติกอย่างดีเพื่อกันโทรศัพท์เปียก ก่อนที่ผมจะพุ่งทะยานพาตัวเองกระโดดลงน้ำก่อนใครเพื่อน

ตู้ม!

ผมเดินฝ่ากระแสน้ำมาจนระดับมันสูงถึงเอว ก่อนจะย่อตัวกระโดดเอาหัวมุดลงไปใต้น้ำ ดำผุดดำว่ายจดเส้นผมสีสว่างเปียกลู่แนบไปกับกรอบหน้า พอเงยศีรษะขึ้นมาอีกทีก็พบว่ามีคนหันกล้องมาถ่ายผมอย่างเงียบๆ อยู่คนหนึ่ง

“แอบถ่ายเหรอครับ” ผมถามอย่างกวนๆ แต่โฬมกลับพยักหน้าแล้วกวักมือให้เข้าไปดู

มันเป็นวิดีโอที่ยังไม่ได้อัพโหลดลงอินสตราแกรม เล่นวนไปวนมาตั้งแต่ฉากที่ผมกระโดดตัวลอยก่อนจะพุ่งขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้ง แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาพอดีทำให้ผิวเปลือยเปล่าช่วงอกกับหัวไหล่ของผมพราวระยับราวกับมีใครเอากากเพชรมาติด

“ส่งให้ผมด้วยสิครับ” ผมบอก ยิ้มอย่างพอใจเพราะภาพเคลื่อนไหวที่เห็นออกมาสวยมาก

โฬมจิ้มโทรศัพท์อยู่สักพักก็เลิกสนใจ เขาทิ้งแขนขาปล่อยให้ตัวเองลอยอยู่กลางทะเลไปเรื่อยๆ ต่างจากผมที่ว่ายไปมาอย่างกับคนไม่เคยเจอทะเลมาก่อน

เอาจริงๆ ก็ไม่ได้มานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่เวลาว่างไม่ตรงกับเพื่อน ก็ไม่รู้ว่าจะมาเที่ยวคนเดียวทำไม

“โฬมครับ” ผมเรียกคนที่นอนมองฟ้าอย่างเงียบๆ ให้หันมาสนใจ “ช่วยหน่อยได้ไหม”

“ครับ?”

“ผมอยากเล่นแบบนั้น”

ผมชี้นิ้วไปที่กลุ่มวัยรุ่นผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก แต่เสียงหัวเราะเฮฮาก็ดังจนได้ยินแทบทุกประโยชน์ มีผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งยืนจังก้าอยู่กลางทะเล ใช้มือประสานกันไว้แล้วให้เพื่อนขึ้นมาเหยียบ ก่อนจะออกแรงส่งให้ตัวเพื่อนคนนั้นลอยละลิ่วไปในอากาศ คล้ายๆ การกระโดดน้ำจากสปริงบอร์ดที่ข้างสระ

โฬมพยักหน้า เขากดช่วงล่างให้จมลงในทะเล ยันเท้าลงบนพื้นทรายด้านล่างแล้วประสานมือเป็นที่เหยียบให้ผม ผมเดินเข้าไปใกล้ คว้าหัวไหล่ของโฬมเอาไว้เพื่อทรงตัว สอดขาขวาเข้าไปในฝ่ามือทั้งสองนั้นก่อนจะโหย่งตัวเตรียมกระโดด

“หนึ่ง...สอง...ซั่ม!”

ตู้มมม!

ช่วงจังหวะที่ร่างกายกระทบผิวน้ำทะเล ผมรู้สึกดีโคตรๆ เลย ให้ตาย

แรงน้ำกระเซ็นหนักกว่าที่ผมกระโดดด้วยขาตัวเอง และตัวผมก็จมลงไปลึกจนหัวเข่าชนกับพื้นด้านล่าง ผมมุดอยู่ใต้น้ำสักพักก็ยันตัวขึ้นมาหัวเราะเสียงดัง

“ลองไหมครับ” ผมชักชวน แต่โฬมกลับส่ายหน้าแล้วบอกให้ผมมากระโดดอีกรอบ

ตัวผมลอยในอากาศอยู่สามครั้งก่อนที่จะมึนหัวจนต้องหยุดพัก หอบแฮกๆ หายใจไม่ทันเลยทีเดียว แถมตากับลำคอก็แสบไม่น้อยจากความเค็มของน้ำทะเล

และรอยยิ้มบนใบหน้าของโฬมที่คราวนี้ผมมองว่าสวยกว่าปกติก็ทำให้ไฟกล้าในใจโหมกระพือหนักหน่วง ผมตีขาพาตัวเองเข้าไปหาคนที่ยืนหันหลังมองทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา โอบแขนรอบลำคอแล้วซบหน้าไปที่บ่าแข็งแรง

“อ๊ะ ฟ้า?”

ปกติผมไม่ได้จะเข้ามาสกินชิพเขาบ่อยๆ ร่างสูงเลยสะดุ้งด้วยความตกใจ ผมหัวเราะ บอกให้โฬมเดินไปเรื่อยๆ เพราะผมขี้เกียจตีขาว่ายแล้ว เลยกลายเป็นว่าผมถูกลากไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องออกแรงเอง

โฬมพาผมเดินมาลึกจนน้ำท่วมถึงคอ แสงแดดจางลงไปมาก บัดนี้เหลือเพียงลมโชยเบาๆ กับสายน้ำที่เริ่มเย็นลงแล้วหลังจากฟ้าเริ่มมืดลง คนที่เล่นทะเลอยู่ก็ทยอยกันขึ้นฝั่ง แต่ผมยังไม่อยากขึ้นเลยชวนอีกคนนอนลอยคอมองฟ้าเล่นไปเรื่อย โชคดีที่คลื่นลมไม่แรงนักเราเลยสามารถออกมาไกลจากชายฝั่งได้พอสมควร แต่พอฟ้าเริ่มครึ้มมากขึ้น ก็เป็นโฬมที่ชวนผมขึ้นฝั่งเพราะถ้าเล่นน้ำต่อคงไม่เหมาะ

เสื้อผ้าเปียกๆ ทำให้เดินเหินยากไม่น้อย ยิ่งตอนที่ลมเย็นโชยมาปะทะ ผมก็หนาวสั่นไปทั้งตัว ช่วงบนเปลือยเปล่ามองเห็นชัดเลยว่าเส้นขนทั้งร่างพร้อมใจกันลุกชัน ผมรีบวิ่งไปใต้ฝักบัวที่รีสอร์ทจัดไว้ให้ล้างตัว โดยไม่ลืมลากแขนโฬมให้วิ่งมาด้วยกัน

“หนาวๆๆ” ผมบ่นไปกระโดดไป

“ฟ้าไม่ยอมใส่เสื้อนี่ครับ”

“มาทะเลทั้งที จริงๆ ถ้าถอดกางเกงแบบเด็กๆ ได้ ผมก็คงถอดไปแล้ว” ผมบอกขณะยีผมตัวเองใต้สายน้ำ

“ไม่ให้ถอดนะครับ”

“...ครับ?”

“ไม่ให้ฟ้าถอดกางเกงนะ ผมหวง”

“...”

ฉ่าาา

ให้ตายเถอะ!

หน้าผมจะไหม้เพราะคนที่ยืนอาบน้ำอยู่ข้างๆ ยื่นหัวมาใกล้พร้อมรอยยิ้มจริงจัง ผมหลุบตากลับ งับริมฝีปากตั้งอกตั้งใจขัดถูร่างกายก่อนจะรีบเดินออกมาเพราะลำคอตีบตันชั่วคราว

พอเข้าห้องพักมาได้ผมก็แย่งเข้าไปอาบน้ำอาบท่าก่อน รีบทำเวลาด้วยความเกรงใจ ก่อนจะออกมาด้วยเสื้อผ้าสบายๆ อย่างเสื้อคอวีตัวใหญ่กับกางเกงผ้าขาบานๆ หน่อย พอลมตีก็กระพือดังพั่บๆ แบบที่ผมชอบ

“รีสอร์ทเขาแจ้งมาว่าจัดโต๊ะไว้ให้เราแล้ว” โฬมบอกตอนที่ผมขยี้หัวกับผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ

“เราจองโต๊ะอาหารไว้ด้วยเหรอครับ”

“ผมจองเอง”

“อ๋อ ขอบคุณครับ” ผมฉีกยิ้มตาปิด พอนึกถึงกุ้งเผากับหมึกย่างท้องก็ชักร้องโครมคราม

โฬมลูบหัวผมผ่านผ้าก่อนจะเดินสวนเข้าห้องน้ำไป

ไม่นานเราก็ออกมานั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่ริมชายหาด มีเครื่องเสียงกับดนตรีสดเบาๆ เล่นคลอสร้างบรรยากาศไปด้วย ต้นไม้ใหญ่สองต้นเชื่อมกันด้วยไฟหลากสี มีเตาย่างอาหารทะเลกับโต๊ะยาวสำหรับตักอาหารด้วยตนเอง

โต๊ะอาหารของพวกเราเป็นแบบเล็กหน่อยเพราะมากันแค่สองคน อยู่ไกลออกมาจากเวทีพอประมาณ โฬมอาสาเดินไปตักอาหารมาให้ ส่วนผมเป็นคนจัดการเรื่องเครื่องดื่ม

ที่นี่มีเบียร์และน้ำหวานบริการ แต่แอลกอฮอลล์อาจต้องจ่ายเงินเพิ่มสักเล็กน้อย

ผมยื่นแบงค์ห้าร้อยให้พนักงาน รับเงินทอดมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินถือถังน้ำแข็งกับแก้วสองใบกลับมาที่โต๊ะ พนักงานหิ้วขวดเบียร์ห้าขวดกับน้ำเปล่าขวดลิตรมาเสิร์ฟให้ถึงที่

“ดื่มไหมครับ” ผมถามคนร่วมโต๊ะ แต่ถามไปอย่างนั้น เพราะสั่งโปรใหญ่มาแบบนี้ โฬมก็คงต้องดื่มนั่นแหละ

แต่อันที่จริงถ้าเขาไม่ดื่ม ผมจัดการเองก็ได้นะ แค่นี้สบายมาก

“โห กุ้ง”

“มีเมี่ยงปลาเผาด้วยนะครับ ไม่รู้ฟ้าทานหรือเปล่า”

“ผมกินได้หมดเลยครับ เป็นปลาเทศบาล” หมายถึงปลาในคลองเทศบาลที่ใครโยนอะไรลงมาก็กินดะไปทั่วนั่นแหละครับ ผมฉีกยิ้ม หยิบอาวุธขึ้นมาแล้วจ้วงอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว

รสชาติเบียร์หลังทานอาหารมันออกจะเฝื่อนปากไปหน่อย แต่พอนานๆ เข้าก็ชินจนซดแทนน้ำเปล่าได้ง่ายๆ

“ฟ้าเอากุ้งเพิ่มไหม”

“ผมไปตักเองๆ โฬมเอาอะไรอีกไหมครับ”

“ขอปลาหมึกแล้วกันครับ”

ผมพยักหน้ารับ หยิบจานที่ว่างเปล่ามาถือไว้แล้วเดินดุ่มๆ ไปที่โต๊ะอาหารกับเตาย่าง พวกเราผลัดกันเดินผลัดกันนั่งจนไม่นานท้องก็ป่องเป็นลูกแตงโม

ผมกินอะไรไม่ไหวอีกแล้ว แต่โฬมยังเลือกหยิบผลไม้มาตบเป็นของล้างปาก

ดนตรีสดยังเล่นต่อเนื่องจนกว่าจะหมดเวลาที่ทางรีสอร์ทแจ้งไว้ ผมหยิบแก้วเบียร์มาดื่มพลางจับจ้องสายตาไปยังเวทีตรงกลางลาน แขกคนอื่นๆ ตอนนี้ก็นั่งดื่มนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย มีบ้างทีกลับห้องพักไปแล้ว

“จะหมดเหรอครับ” โฬมถามขึ้นมา เรียกสายตาของผมให้หันกลับไปมอง

นิ้วยาวชี้ไปที่ขวดเบียร์ซึ่งยังเหลืออยู่อีกสามขวดเต็มๆ ในขณะที่น้ำเปล่าหมดเกลี้ยง เพราะรสฝาดทำให้อาหารเสียรสชาติไม่น้อย ทั้งผมและโฬมเลยเลือกวางแอลกอฮอลล์เอาไว้ก่อน

“หมดสิครับ รีสอร์ทเขาให้นั่งต่อได้เรื่อยๆ เลย แค่อย่าเสียงดังหลังสี่ทุ่ม”

โฬมพยักหน้ารับรู้

พอเวลาล่วงเลยมาจนสามทุ่มพนักงานก็เข้ามาเก็บจานทำความสะอาดโต๊ะ ผมตัดสินใจคว้าขวดเบียร์ที่เหลืออยู่สองขวดแล้วชวนโฬมไปนั่งเล่นที่ชิงช้าซึ่งใหญ่พอให้ผู้ชายสองคนนั่งด้วยกันได้ พวกเราไม่ได้หยิบแก้วมาเพราะเกรงใจพนักงาน เลยตัดสินใจว่าจะยกกระดกกันคนละขวด หมดแล้วค่อยกลับห้องพัก

ผมทรุดตัวนั่งลงบนที่นั่งไม้ก่อน ชิดร่างกายไปด้านขวาเผื่อแผ่ที่นั่งให้คนตัวสูง ลมในเวลานี้ทั้งเย็นสบายทั้งเหนียวตัวเล็กน้อย ผมถอดแตะคีบให้เท้าสัมผัสกับผิวทรายละเอียด กระดกเบียร์ไปพลางฟังเสียงคลื่นซัดไปพลาง

“โฬมครับ”

“ว่าไงครับ”

“ผมถามได้ไหม... เรื่องอายุ”

“อายุผม?”

ผมพยักหน้า

จริงๆ ก็พอรู้ แค่พิมพ์ชื่อลงกูเกิ้ลก็เจอแล้ว

แต่ผมก็ยังสับสนปนกระดากปากเวลาเรียกชื่อเขาห้วนๆ ในขณะที่เก่งกาจเรียกอีกคนว่าพี่

“ยี่สิบเจ็ดแล้วครับ”

“โห...” ผมหลุดร้องออกมา

จริงก็เดาเอาไว้ว่าพี่สักปีสองปี นี่สามเลยแหะ

“ผมลามปามแล้ว ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ” คนที่อายุมากกว่าหันมายิ้มให้ เขาเอามือมาลูบหัวก่อนจะเลื่อนมาโอบไหล่กันแบบเนียนๆ แต่ถึงรู้ผมก็ไม่ได้ขยับออก “ฟ้าจะเรียกผมว่าอะไรก็ได้”

“ไม่กล้าเรียกชื่อห้วนๆ แล้วครับ”

“แล้วจะเรียกว่า...?”

“พี่...”

“ครับ”

พี่โฬม

“...”

ผมเพิ่งเห็นคนหน้าแดงหูแดงก็วันนี้

โฬม อ๊ะ ไม่สิ พี่โฬมหันหน้าหนีผมไปอีกทาง แต่หูของเขาแดงแจ๋จนแม้กระทั่งความมืดก็กลับไม่ได้ ผมหัวเราะ ยกแอลกอฮอลล์ขึ้นซดเสริมความกล้าก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหาคนที่ยังไม่ยอมหันกลับมามองกัน

“พี่โฬมครับ”

“...ฟ้า” เสียงของเขาสั่นไปหมดเลย

ให้ตายเถอะ คนเราสามารถมองคนที่หล่อมากๆ ในฟิลเตอร์น่ารักได้ไหม

ผมพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าได้

“พี่โฬม...”

“ฟ้าครับ พอแล้วครับ”

“ทำไมครับ”

“ผมหวั่นไหว”

ให้ตายๆๆๆๆ

ผมไม่รู้ว่าโฬมจะหันมาตอบคำถามนั้น ใบหน้าได้รูปเคลื่อนมาหากันจนสันจมูกเราชนดังปั่ก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอยู่ใกล้จนผมเห็นไปถึงแววอารมณ์มากมายในนัยน์ตาคู่นั้น

“หัวใจผมจะหลุดออกมาแล้วนะครับ”

“อะ เอ่อ”

โฬมคว้ามือผมไปทาบหน้าอกข้างซ้ายของเขา

และใช่ หัวใจของอีกคนเต้นแรงมากจริงๆ และมันส่งผลให้อวัยวะเดียวกันในร่างกายของผมเต้นหนักหน่วงมากขึ้นไปด้วย

กลิ่นแอลกอฮอลล์จากลมหายใจ มัวเมาให้ผมเผลอหลุบตาลงไปมองริมฝีปากของเขา

เราไม่ได้จูบกันมาสักพักใหญ่ๆ

ผมน่าจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสัมผัสเวลาที่ริมฝีปากทาบทับแลกลมหายใจกันมันเป็นยังไง

และเหมือนว่าโฬมจะคิดเหมือนกันกับผม เพราะดวงตาของเขาก็หลุบลงมองเช่นกัน ขวดเบียร์ในมือถูกทิ้งลงบนพื้นทราย ไม่มีใครสนใจอีกแล้วว่ามันจะหกเลอะจนน่าเสียดายแค่ไหน

แรงดึงดูดระหว่างกันหรืออะไรก็ชั่ง สั่งให้ผมขยับตัวเข้าไปหาอีกคนข้างกาย

มือหน้าทาบลงบนแก้มซ้ายของผม ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลูบเบาๆ อีกนิดริมฝีปากทั้งสองก็จะประกบกันอยู่แล้ว แต่ทั้งผมทั้งเขากลับไม่มีใครหลับตาลง พวกเราจ้องตากันราวกับไม่สามารถละสายตาออกไปได้ คล้ายโลกใบนี้ได้หยุดหมุนไปแล้ว ยิ่งตอนที่โฬมอ้าปากกระซิบบางอย่างออกมา

โลกของผมก็หยุดเคลื่อนที่ไปอย่างสมบูรณ์

“ฟ้าครับ... พี่โฬมขอจูบนะครับ”

หลังจากนั้น ทุกอย่างสำหรับผมก็ขาวโพลนไปหมด ก่อนที่สีชมพูจะถูกสาดเข้ามาจนมึนเบลอเมื่อจูบอุ่นร้อนกดเข้ามาแนบแน่น
ผมขยุ้มเสื้อของเขา เผยอปากตอบรับให้ลิ้นชื้นเข้ามาแทรกแทรงภายใน

เปลือกตาปิดลง ตั้งอกตั้งใจเกี่ยวกระหวัดสัมผัสที่โยกซ้ายทีขวาที โฬมทั้งขบเม้ม ทั้งดูดดึงผิวปากของผมจนมันน่าจะบวมเจ่อ และผมก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน

มันเกิดการเรียนรู้ หลังจากที่โฬมรุกไร้ผมมาสักพัก ผมก็กระทำกลับคืนไปในแบบเดียวกัน

จากที่คอยตอบรับสัมผัส ก็กลายเป็นฝ่ายชักนำให้อีกคนเคลื่อนที่ตามมา ผมแทรกลิ้นเข้าไปในโพลงปากของโฬม แตะลงบนไรฟันและเกี่ยวรับน้ำหวานสีใสเข้ามาในปาก

“อืออ” ผมได้ยินเสียงตัวเองครางเครือในลำคอ

และไม่นานผมก็สามารถสร้างเสียงฮึมฮัมจากโฬมได้เช่นกัน

กว่าสัมผัสทุกอย่างจะสิ้นสุด ก็ตอนที่ลมหายใจผมขาดห้วงไปได้สักพักนึงแล้ว

ผมเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมาก่อน แต่พวกเราก็ยังใช้สันจมูกคลอเคลียกันไปมาไม่ห่าง บรรยากาศรอบกายส่งอารมณ์ร่วมทุกอย่าง ผมถึงได้ช้อนตาหวานเยิ้มของตัวเองขึ้นมองคนที่นวดผิวแก้มผมเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม

“โฬ- พี่โฬม...”

“เรียกเหมือนเดิมก็ได้นะครับ”

ผมยิ้ม แต่เลือกที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ตามที่ตั้งใจ

“พี่ใฬม”

“ครับฟ้า”

“พล็อตเอ็มวีที่ผมคิดไว้น่ะ ผม...” ผมเงียบไปแวบนึง ตอนแรกว่าจะขยับตัวออกห่าง แต่สายตาของโฬมก็ดันดึงผมไว้ให้อยู่กับที่ ลมหายใจกลิ่นเบียร์คละเคล้ากันไปหมด “ผมคิดเอาไว้ว่า อยากให้มีแค่ผมกับโฬม”

“ดีสิครับ”

“มันเป็นเพลงรักของ... เรา”

ผมเห็น ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจและไม่มั่นใจ

“ฟ้า...?”

“ผมอยากให้มาถ่ายที่ทะเล เหมือน Vlog* (*ไดอารี่ที่อยู่ในรูปแบบวีดีโอ) เที่ยวของคู่รัก แต่ก็ต้องปิดบัง หลบซ่อนจากสังคมเหมือนกัน แต่ช่วงหลังก็จะต้องห่างกันไปตามเนื้อเพลง แต่สุดท้ายก็ได้กลับมาคบกันอีกครั้ง ผมคิดไว้ประมาณนี้...”

“...”

“พี่โฬม”

“คะ ครับ” ประกายสับสนยังมีอยู่เต็มไปหมด

หัวใจของผมเต้นแรงและชาวาบในบางครั้งด้วยความกลัว แต่สุดท้ายผมก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนจะเอ่ยทุกอย่างออกไปจากใจ

“ในเพลงมันเป็นเรื่องของคนรัก ผมเลยอยากถามพี่ว่า...”

“...”

“คบกับผมนะ”

“...!!”

“คบกับฟ้านะครับ พี่โฬม”


__________________
Talk: ใครว่าเจ้าสกายขี้อ่อย
ไม่มีหรอกกกกก คนอย่างสกายน่ะ ไม่อ่อยแล้ว!!!
ฮี่ๆๆๆ แอบมาอัพแล้วไปปั่นเจคต่อก่อนค่า ฮือ แก้ยับเลย ว่าจะรีบมาต่อก็ไม่ได้มาสักที ร้องไห้

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-11-2018 13:24:12
 :-[ :L2: :pig4:
น้องฟ้าเป็นสายรุก   ครึครึ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 22-11-2018 13:43:29
โอ้ยยยย น้องฟ้า เอางี้เลยหรอ สายรุกมากกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 22-11-2018 14:03:57
น้องฟ้าาาาาาาา​  รีบนะเรา​555
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 22-11-2018 15:53:31
ฟ้าเล่นแบบนี้ ช็อตนี้พี่โฬมตายไปเลยจ้า
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 22-11-2018 16:12:20
ตอบตกลงเร็วค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-11-2018 16:52:44
ยัยน้องงงงงงมาเร็วเคลมเร็วมากเด้อ
แต่ปลายทางผลลัพธ์ก็คงเหมือนกันแหละเนอะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Josett ที่ 22-11-2018 17:57:16
ยัยน้องงงง มาให้ตีเดี๋ยวเน้!!!
จุดนี้พี่โฬมก็ตายไปแล้วจ้าาา :katai1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-11-2018 22:38:19
ยัยน้องฟ้าร้ายกาจมาก ตอนแรกคิดว่าพี่โฬมจะเป็นคนขอน้องเป็นแฟนซะอีก ที่ไหนได้น้องดันตัดหน้าชิงขอพี่เป็นแฟนซะก่อน ร้าย!!!!
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 18 [22-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-11-2018 22:55:29
โอ้ยยย น้องงงงงง อย่าว่าแต่โฬม ตายย

อินี่น๊อคไปแล้วตั้งแต่พี่โฬมแล้ว อินยังกับโดนเรียกเอง
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 28-11-2018 16:22:07
บทที่ 19




“คบกับฟ้านะครับ พี่โฬม”

“ฟะ ฟ้า...?”

โฬมเรียกผมเสียงสั่น เขาจ้องหน้าผมแบบไม่ยอมกระพริบตา ทั้งแผ่นหลังก็ตั้งตรงจนผิดปกติ พวกเรายังอยู่ใกล้กันเหมือนเดิม ท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบฝั่งกับชิงช้าที่โยกไหวเบาๆ แต่ทว่าราวกับโลกกำลังหยุดหมุน นาฬิกาได้ค้างไว้ในวินาทีเดิมและไม่ขยับเดินต่อไปไหน

ผมคลี่ยิ้มบาง แม้สีหน้าจะยังคงความมุ่งมั่นตั้งใจเอาไว้ แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจผมเต้นแรงแค่ไหน มันวูบวาบและทำให้ร่างกายสั่นระริก แต่ผมก็พยายามฮึบไม่แสดงอาการออกมา เพราะดูท่าคนที่สติแตกที่สุดหน้าจะเป็นผู้ชายตัวสูงที่นั่งข้างๆ ผมอยู่คนนี้

“พี่โฬมครับ” ผมเรียกเขา เสียงทั้งสั่นและติดอยู่ในลำคอ ทว่าผมก็ยังทำเป็นไม่สนใจมัน “ตกลงว่าคบกับผมนะครับ”

“...อะ...” เขาอ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไร้เสียงใดๆ เปล่งออกมา

ผมเก็บเสียงหัวเราะไว้ในใจ เพิ่งเคยเห็นโฬมเสียอาการมากขนาดนี้ ผมตัดสินใจคว้าแขนข้างหนึ่งของเขาขึ้นมาแล้ววางทาบลงไปบนอกข้างซ้าย ตำแหน่งเดียวกับหัวใจที่ยังเต้นรัวแรงอยู่

“ผมชอบพี่นะ”

“ฟ้า... คือ”

“ผมยังไม่รู้ว่ารักคืออะไร แต่พี่สอนผมได้ไหม”

“...”

“ช่วยสอนผมด้วยนะครั- อื้อ”

ผมไม่สามารถพูดได้จบประโยค ริมฝีปากก็ถูกคนที่นิ่งมานานพุ่งเข้ามาบดขยี้อย่างไม่ทันตั้งตัว โฬมคว้าท้ายทอยของผมเอาไว้ เบียดผิวปากเข้ามาก่อนจะแทรกเรียวลิ้นหยอกเย้าไรฟันของผม

ผมถูกรวบกอดเอาไว้แนบอก ในท่าที่ไม่ค่อยสบายนัก แต่ทุกอย่างก็เกินกำลังจะต่อต้าน ผมถูกโฬมจูบครั้งแล้วครั้วเล่า เขารัดเอวผมไว้แน่นราวกับไม่ยอมเชื่อว่านี่คือความจริง ดวงตาสีน้ำตาลไม่ได้ปิดลงแม้เราจะจูบกันอย่างหวานซึ้ง เขาเอาแต่มองหน้าผม ไม่ละสายตาไปไหน ไม่ยอมแม้กระทั่งกระพริบตาบ่อยๆ ตามปกติ

“ฟ้าครับ...”

ผมหอบหายใจอยู่เลยไม่ได้ตอบรับเสียงเรียกนั้น

โฬมกดจมูกหอมแก้มผมฟอดใหญ่ รัดร่างผมและกดหน้าให้ซุกลงที่บ่าของเขา ก่อนจะโยกตัวเบาๆ ส่งผลให้ชิงช้าแกว่งไกวไปด้วย

“ผมไม่ได้เมาแล้วฝันไปใช่ไหม” เสียงทุ้มต่ำพึมพำกับตัวเอง แต่ผมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ เลยเผลอหัวเราะก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยืนยันกับเขาด้วยตัวเอง

“ความจริงสิครับ”

“ใจผมเต้นแรงมากเลยนะฟ้า ได้ยินไหม”

ผมพยักหน้า ขนาดหูอยู่ตรงหัวไหล่ผมยังได้ยินเสียงหัวใจของโฬมเต้นเลย เชื่อแล้วว่าเต้นแรงมากจริงๆ

“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าฟ้าจะเป็นคนขอคบ”

“ทำไมล่ะครับ”

“ผมอุตส่าห์วางแผนไว้ว่าวันสุดท้ายของทริปนี้...” โฬมเว้นช่องว่างไว้พลางใช้นิ้วเกลี่ยปอยผมของผมเบาๆ “ผมกะว่าจะจัดดินเนอร์หรูๆ ใต้แสงจันทร์เสียหน่อย”

“ต้องขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ขอฟ้าเป็นแฟนทั้งทีนะ”

ผมหัวเราะร่วน “งี้แผนพี่โฬมก็พังหมดเลยสิ”

“เพราะใครกันล่ะ”

“ผมเอง” ผมฉีกยิ้มกว้าง ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสักนิด “แล้วตกลงพี่โฬมจะคบกับผมไหมครับ ไม่เห็นให้คำตอบเลย”

“ต้องให้คำตอบด้วยเหรอครับ” โฬมเบนหน้าหลบสายตาของผม เขาดูไม่เป็นตัวของตัวเองสุดๆ ทั้งแก้มทั้งหูก็แดงแจ๋จนผมกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ ถึงจะเขินแค่ไหนก็ยังตั้งหน้าตั้งตารุกอีกฝ่ายต่อไป

พอได้เห็นโฬมเป็นแบบนี้ หัวใจผมมันคันยุบยิบ รู้สึกมีความสุขเกินเหตุไปหน่อยแหะ ให้ตาย

“ต้องให้สิครับ”

“นึกว่าฟ้าจะรู้อยู่แล้วซะอีก”

ผมส่ายหน้า ฉีกยิ้มอย่างรั้งรอ แม้ว่าร่างกายจะยังอยู่ในอ้อมแขนของอีกคนจนเริ่มปวดเอวหน่อยๆ แล้วก็ตาม

“คบสิครับ”

ผมยิ้มกว้าง

“เป็นแฟนกันแล้วนะ”

“ครับ!” ผมรับคำอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะมุดหัวออกมาจากอ้อมแขนที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยกันง่ายๆ ความเหนียวเหนอะบนผิวสั่งให้ผมกระโดดลงมาจากชิงช้า แล้วกันไปชวนแฟนหมาดๆ ให้กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องแทน

“กลับห้องกันเถอะครับ เหนียวตัวแล้ว”

“ไปสิ”

โฬมลงมาจากชิงช้าอย่างง่ายดายเพราะขาที่ยาวกว่า พวกเราเดินเคียงคู่กันไปตามชายหาดนุ่มเท้า มีทรายไม่น้อยหลุดเข้ามาในรองเท้าแตะจนไม่ต่างอะไรกับการเดินเท้าเปล่า ผมสะบัดๆ ขาเมื่อขึ้นมายืนบนคอนกรีตริมถนน แอบลอบมองฝ่ามือหนาที่กวัดแกว่งอยู่ไม่ไกล

พอได้จังหวะทีเผลอผมก็สอดมือเข้าไปกอบกุมมือที่สากไม่น้อยจากการเล่นเครื่องดนตรี ใบหน้าทำเป็นเมินไม่มองคนที่หันมาจ้องกันอย่างตกใจ

วันนี้ผมรุกโฬมไปไม่น้อยเลย

อาจจะต้องขอบคุณเบียร์สามขวดที่อยู่ในท้อง มันช่วยเสริมความกล้าขึ้นมาเป็นทวีคูณ ถ้าเวลาปกติผมคงไม่กล้าเข้าหาอีกฝ่ายขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผมเมา ผมต้องใจให้มันเป็นแบบนั้น

และที่ทำแบบนี้ เพราะความรู้สึกผมบอกให้ทำ

ก็ในเมื่อผมว่าผมชัดเจนกับตัวเองมาขนาดนี้แล้ว ผมก็ควรชัดเจนกับอีกคนที่ผูกความรู้สึกไว้กับตัวผมเหมือนกัน ผมไม่รู้หรอกว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น จะมีน้ำตาหรือความเสียใจอะไรไหม ผมจะทำให้โฬมเศร้าหรือเปล่า หรือสุดท้ายเราอาจทะเลาะแล้วจบด้วยการแยกทางกัน

ผมไม่แคร์อนาคตอะไรทั้งนั้น เพราะวันนี้เวลานี้ผมได้เลือกสิ่งที่ผมคิดว่าดีที่สุดแล้ว

ต่อให้สุดท้ายมันจะเป็นซุ้มดอกไม้หรือหนามกุหลาบ ก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้เก็บความทรงจำร่วมกันมาตลอดทาง

“วันนี้ฟ้าแปลกๆ นะ” โฬมทักขึ้นมาขัดความเงียบที่รายล้อมระหว่างเรา ผมที่คิดอะไรเพลินๆ หันไปมองคนข้างกายที่ยังไม่ยอมหันหน้ามาสบตากัน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

ปวดแก้มชะมัดเลยวันนี้

“แปลกยังไงครับ”

“มัน... ไม่ปกติเท่าไหร่”

ผมหัวเราะ รู้อยู่หรอกว่าโฬมหมายถึงอะไร

ผมรุกหนักจนอายตัวเองเหมือนกัน

“ผมก็ว่าตัวเองไม่ปกติเหมือนกัน”

แล้วสุดท้ายพวกเราก็จบด้วยเสียงหัวเราะอย่างเขินๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเข้านอน

จบไปหนึ่งวัน... กับบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล





วันต่อมาผ่านไปอย่างกระอักกระอวนเล็กน้อย เพราะต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูก รวมถึงผมด้วยที่ออกจะขัดเขินกับสถานะใหม่อยู่ไม่น้อยเลย

การเป็นแฟนกันนี่ต้องทำตัวยังไงนะ

ผมไม่เคยมี ก็เลยไม่รู้ว่ามันต้องเปลี่ยนอะไรจากที่เป็นอยู่นี่อีกไหม

พวกเราตื่นสายหน่อย ออกมาทานข้าวที่ซุ้มอาหารของรีสอร์ทก่อนจะชักชวนกันออกไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในระยอง รวมถึงเข้าสวนผลไม้เพื่อชิมผลไม้สดๆ จากต้น จนกระทั่งฟ้ามืดผมก็ชวนโฬมกลับมายังที่พัก พวกเราตกลงกันว่าจะกลับกรุงเทพฯ กันพรุ่งนี้ วันนี้เลยพกกล้องตัวเล็กของโฬมออกมาสำรวจสถานที่ถ่ายทำกันอย่างจริงจัง

แต่ไม่รู้ทำไม ผมได้รูปตัวเองมาไว้อัพลงไอจีอีกเป็นร้อยๆ รูปเลย

“ถ่ายตรงนี้กันครับ” ผมชี้ไปที่ชิงช้าใต้ต้นไม้ ที่ที่มองแล้วภาพความทรงจำไหลย้อนเข้ามาจนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก โฬมเกาแก้มเขินๆ แต่ก็พยักหน้า

ผมเข้าไปนั่งเป็นนายแบบก่อน จากนั้นก็บังคับให้โฬมเข้าไปนั่งในที่เดียวกัน รูปที่ออกมาเลยไม่ต่างจากรูปคู่เท่าไหร่ จริงๆ คือผมตั้งใจนั่นแหละ

เก็บไว้เป็นความทรงจำครับ กับสถานที่สำคัญที่หนึ่งในชีวิต

พูดเองก็เขินเอง ให้ตาย

สุดท้ายวันที่สองที่ระยองก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกผมเข้านอนกันเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้ต้องขับรถกลับกรุงเทพฯ อีกหลายชั่วโมง
สถานการณ์บนเตียงก็ไม่ต้องพูดถึง ผมอยากขำก็ขำไม่ออก เพราะตัวเองก็เก้กังไม่ต่างกัน

คนตัวสูงหลังจากอาบน้ำเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงทันที แถมยังตะแคงหันหลังให้ผมด้วยนะ ถ้าไม่เห็นใบหูแดงแจ๋ของเขา ผมคงคิดว่าโฬมง่วงจนอยากรีบนอนเร็วๆ

“พี่โฬม”

“...”

เงียบซะด้วย

“นอนไกลจังครับ” ผมแซว อดอยากแกล้งไม่ได้เลย

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าช่องสนทนากับเก่งกาจ ปล่อยให้คนที่ตัวเริ่มแดงไม่ต่างจากหูหลับไปเงียบๆ ในขณะที่ตัวเองกำลังระบายความอายที่ข่มเอาไว้ไปลงกับเพื่อนจนหมด


สกายครับ: เก่งงงงงง
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: อะไร จะเล่นเกม
สกายครับ: กูขอคบไปแล้ว


   จอสนทนาขึ้นคำว่าอ่านแล้วอยู่สักพักใหญ่ๆ จนผมกดแป้นพิมพ์ลงไปอย่างต้องการระบายวามอัดอั้นทั้งหมดออกจากหัวใจ อยู่กับโฬมผมไม่กล้าโวยวายให้อีกคนรู้ว่าผมเขินมากๆ เพราะถ้าโฬมยิ้มล้อมาครั้งเดียว ผมได้ตายลงตรงนั้นแน่ๆ


สกายครับ: เก่ง คุยกับกูหน่อย
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: มึงว่าอะไรนะสกาย
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ขอคบ?

สกายครับ: ใช่!
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ใครขอใครคบ
สกายครับ: กูขอโฬมคบ
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: มึง?
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: มึง!!!?
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: มึงเนี่ยนะ!!!!!!!!



แล้วเก่งกาจก็รัวสติกเกอร์ใส่ผมจนเครื่องเกือบค้าง...


สกายครับ: ใจเย็น
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: สกาย ทำไมมึงเป็นคนขอคบวะ
สกายครับ: อ้าว ก็กูชอบ...
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: มันใช่เหรอวะ กูว่ามันไม่ใช่
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: แล้วคือตกลงนี่คบกันแล้ว

สกายครับ: ก็... คบแล้ว
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ตั้งแต่เมื่อไหร่
สกายครับ: เมื่อวานอ่ะ
สกายครับ: เก่งงงง กูทำตัวไม่ถูก
สกายครับ: แฟนกันต้องทำตัวยังไงวะ
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: อยากได้คำตอบแบบไหน


ทำไมผมรู้สึกว่าประโยคนี้ของเก่งกาจไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ เหมือนลางสังหรณ์บอกว่าห้ามถามเรื่องนี้ต่ออีก ไม่งั้นผมได้ช็อคตายแน่ๆ


สกายครับ: เอาแบบดีๆ
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ก็ทำตัวเหมือนเดิม
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: แต่มึงแค่ได้อภิสิทธิ์มากขึ้น
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: เวลาอยากไปหาก็ไม่ต้องหาข้ออ้าง เวลาหึงก็บอกได้เลยว่าหึง
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: คิดถึงก็บอกได้ว่าคิดถึง หรือถ้ามึงอยากจูบ...

สกายครับ: ...
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: มึงก็จูบได้เลยไง ไม่เห็นยาก


ผมหน้าแดงแปร๊ด ไม่รู้จะพิมพ์อะไรตอบเก่งกาจอีกเลยกดส่งสติกเกอร์ฝันดีแล้วหนีด้วยการโยนโทรศัพท์ทิ้งไปข้างเตียงทันที
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องจูบวะเก่ง มันจี้ใจดำ...

สุดท้ายผมก็สรุปกับตัวเองไปอย่างโง่ๆ ว่าเป็นแฟนกันไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ก็แค่ทำตัวเหมือนเดิมแบบที่ผ่านๆ มา แค่เวลาที่ผมอยากจูบ ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปโวยวายใส่เก่งกาจอีกแล้ว

เพราะผมมีสิทธิ์จูบโฬมได้เลย...

นี่ผมคิดอะไรของผมเนี่ย ให้ตาย!




พวกเรากลับกทม. มาได้แค่สามชั่วโมง อะไรบางอย่างก็ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจ

มีคนแอบถ่ายรูปผมกับโฬมตอนที่พวกเราจูบกันที่ชายหาดในคืนแรก รูปชัดจนเห็นได้ชัดว่าใครเป็นใคร แถมภาพมันออกจะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไปไม่น้อย

ผมเพิ่งเคยรู้สึกหงุดหงิดมากขนาดนี้ก็วันนี้

ใต้คอมเมนท์คลิปเพลงที่ผมลงไปในแชนแนลของค่าย มีหลายคนมาต่อว่าอยู่หลายคำ ทั้งเพลงเกย์ พวกเกย์ น่าเกลียดต้องทำเพลงออกมาประกาศให้โลกรู้ ทั้งที่ในตอนแรกกระแสตอบรับก็ออกมาในแง่บวกไม่น้อย

ผมไม่ได้อะไรมากกับการมีคนด่า เราไม่สามารถทำอะไรให้ถูกใจใครได้ทุกคน แต่ที่มันน่าหนักใจคือกลุ่มคนที่ชอบกับไม่ชอบด่ากันเละเทะ กระแสคนชื่นชอบคู่ของผมกับโฬมก็ออกมาด่าทอคอมเมนต์ที่ว่าพวกผม รุกลามพอสมควรเลย

แต่ที่แย่กว่านั้นคือไอจีของโฬมถูกโจมตีจากพวกขี้เหยียดอีกแล้ว

ทุกอย่างเหมือนจะซ้ำรอยเดิม...

ผมที่เพิ่งแยกจากโฬมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วพาสารร่างปวดเมื่อยขับรถมาที่บ้านของแฟนคนแรกในชีวิต คนตัวสูงนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน มีแมวตัวอ้วนนอนขนาบข้างทั้งสองฝั่ง เมื่อเขาเห็นผมก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“มาได้ยังไงครับ”

“เป็นห่วงพี่” ผมบอกไปตรงๆ ถือวิสาสะเปิดประตูรั้วเข้าไปในบริเวณบ้านเอง

“ฟ้าเห็นข่าวแล้วเหรอ” เจ้าของลักยิ้มฉีกมุมปากให้ผมอย่างอ่อนโยน เขาขยับที่ให้ผมเข้าไปนั่งข้างๆ ไม่ลืมไล่เจ้าแมวอ้วนทั้งสองให้ลงไปที่พื้นเพราะรู้ว่าผมไม่ค่อยถูกกับสัตว์ที่มีเขี้ยวคม

“เห็นแล้วครับ ปิดคอมเมนต์ในไอจีดีไหมครับ”

“ปิดไปในแฮชแท็กทวิตเตอร์ก็ยังมีเต็มไปหมดอยู่ดี”

เขาดูเศร้าๆ เหมือนจะปลงจนทำใจได้ แต่จริงๆ ก็แค่กำแพงที่ฉาบไว้อย่างกลวงๆ เท่านั้นเอง ผมเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของโฬมก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆ

“เราก็แค่ไม่ต้องไปอ่านมัน” โฬมบอกแบบนั้น

แต่ถึงเราไม่อ่าน เราก็รู้อยู่ดีว่าตอนนี้คนเกือบทั้งประเทศกำลังพูดถึงข่าวเรื่องนี้กันอยู่

ในไอจีผมก็ใช่ว่าจะไม่มี

ทั้งอีตุ๊ด อีกะเทย รุกหรือรับ โบ๋แล้วหรือยัง

ถ้อยคำพวกนี้เต็มใต้รูปผมไปหมด รวมถึงไดเรคแมสแสจที่ส่งเข้ามาหาจนผมต้องปิดแจ้งเตือนแอพทิ้งไป

จริงๆ มันก็แค่สามชั่วโมงเองนะ หลังจากที่ผมมีความสุขสงบอยู่ที่ระยอง พอกลับมาสู่กรุงเทพฯ ก็เหมือนโดนลากเข้าสู่โลกความจริง ที่พอเป็นบุคคลสาธารณะ อะไรๆ มันก็ยากไปหมด

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว” ผมปลอบใจโฬม

และโฬมก็ส่งยิ้มปลอบใจมาให้ผมเหมือนกัน

_____________________________
Talk: มาแล้วค่าาาา  :katai5: :katai5: :katai5:
จะมาตั้งแต่เมื่อคืน เขียนไม่จบ หลับเสียก่อน 5555

โปรเจคผ่านแล้วค่าทุกคลลล เหลือแค่ทำเล่มแล้ว แฮปปรี้  :hao7:

เจ้าสกายเดินทางมาไกลแล้ว จริงๆ ก็ใกล้จะจบแล้วเหมือนกัน แต่ถ้านับเป็นตอนก็หลายตอนอยู่ 555
ขอบคุณที่ร่วมเดินทางกันมาถึงตอนนี้นะคะ รักทุกคนเลย จุ้บ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 28-11-2018 17:03:12
สงสารฟ้ากับพี่โฬม  :o12:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 28-11-2018 17:52:00
จับมือกันแน่นๆ ผ่านปัญหาไปด้วยกันนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-11-2018 18:17:45
คนหลายๆคนก็มีความสุขกับการเสพความทุกข์ของคนอื่น

อ่านพาร์ทนี้แล้วก็เศร้าใจ

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-11-2018 20:57:35
สู้ ๆ น้าาาาา พวกเหยียดเพศ อย่าสนใจมัน !!!
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-11-2018 05:33:03
สกายกับพี่โฬมสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-11-2018 12:15:12
จะผ่านกันไปได้นะทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 19 [28-Nov-18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 29-11-2018 13:26:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 20 [04-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 04-12-2018 20:39:09
บทที่ 20




“มึงเลิกอ่านสักทีเถอะสกาย” คนตัวสูงเอื้อมมือมาคว้าโทรศัพท์ในมือผมก่อนจะกดปิดเครื่องแล้วโยนทิ้งไป เก่งกาจเท้าสะเอวจ้องหน้าผมอย่างหงุดหงิด “อ่านอะไรนักหนา”

“อยากรู้” ผมบอกด้วยสีหน้าไม่จริงจังนัก แต่อย่างไรเพื่อนตรงหน้าก็จับความผิดปกติของผมได้อยู่ดี

ผ่านมาสองวันแล้วหลังจากข่าวของผมกับโฬมขึ้นเป็นกระแสบนโลกอินเตอร์เน็ต นักข่าวมากมายติดต่อมาทั้งทางผมโดยตรงและทางค่ายเพลง แต่ผมตกลงกับคนในบริษัทว่าจะเงียบไว้ ประธานเสนอว่าให้เร่งถ่ายทำเอ็มวี เราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
เพราะไม่ได้มีแค่กระแสตีกลับเท่านั้น ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบและช่วยปกป้องพวกเรา รวมถึงเหล่ารักร่วมเพศที่ชื่นชมผลงานเพลงและออกมาช่วยสนับสนุนด้วยการแชร์ต่อและซื้อเพลงบนแอพต่างๆ จนขึ้นติดท็อปเท็นภายในเวลาไม่กี่วัน

ผมเห็นด้วยกับการเร่งปล่อยเอ็มวีจากแผนเดิม ด้วยคิวงานของโฬมและผมที่ไม่ค่อยมีอะไร ทำให้ไม่มีปัญหาถ้าจะรีบเร่งเดินทางไปถ่ายงานที่ระยองในวันพรุ่งนี้ทันที รวมถึงโชคยังเข้าข้างเพราะรีสอร์ทว่างและยินยอมให้เข้าใช้สถานที่ในการถ่ายทำ พรุ่งนี้พวกผมและทีมงานจะออกเดินทางกันตั้งแต่ตีสี่ เพื่อให้ถ่ายทำเสร็จภายในวันพฤหัสเพื่อเลี่ยงบรรดานักท่องเที่ยว

วันนี้ผมจึงมานั่งเล่นที่ห้องของเก่งกาจ เพื่อเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟังเพราะเก่งติดต่อหามาหลายครั้งแล้วด้วยความเป็นห่วง
อันที่จริงตัวมันไม่ได้ห่วงผม แต่เป็นห่วงโฬมเสียมากกว่า

“กลับคอนโดไปพักผ่อนได้แล้ว ถ้าหน้าโทรมถ่ายออกมาจะทุเรศ” เก่งกาจผลักหัวผมเบาๆ ขณะใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนร่างกาย “กูจะนอนแล้วด้วย พรุ่งนี้ทำงาน”

ผมไม่ได้ลืมว่าวันนี้วันอังคาร แต่ผมแค่ยังอยากนั่งโง่ๆ ฟังเก่งกาจพล่ามไร้สาระไปเรื่อยอยู่แบบนี้ก่อน

“เก่ง กูกลัว”

เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกกลัวที่จะทำอะไรแบบนี้

ผมไม่รู้ว่าเอ็มวีที่มีกำหนดปล่อยในคืนวันเสาร์ตอนสี่ทุ่ม ผลลัพธ์มันจะออกมาแบบที่ทางค่ายคาดหวังไว้ไหม เขากะจะให้ภาพหลุดพวกนั้นเป็นหนึ่งในการถ่ายทำเอ็มวี และใช้ผลักดันให้กลายเป็นกระแสคู่จิ้นแทนที่จะป่าวประกาศออกไปว่าคบกันอย่างจริงจัง เพื่อลดความรุนแรงของคำด่าทอและกระแสต่อต้าน

“กลัวอะไรสกาย”

“ไม่รู้ ถ้าเอ็มวีปล่อยออกไปแล้วแย่กว่าเดิมล่ะเก่ง”

“ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมึงในมุมนี้” คนตัวสูงขยับมานั่งลงข้างๆ ผม โอบแขนรอบหัวไหล่แล้วโยกตัวเบาๆ “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มึงบอกกูเอง”

ใช่ ผมเคยพูด

ผมเป็นเจ้าของคำพูดนี้ที่ใช้บอกกับเพื่อนอยู่บ่อยๆ

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กังวลไปยังไงมันก็ต้องเกิดอยู่ดี สู้ปล่อยให้มันวิ่งผ่านไป สุดท้ายพอถึงเวลาจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรน่ากังวลอีกแล้วเพราะเรื่องน่ากลัวพวกนั้นมาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว

เรากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ และอีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลง

ผมเคยพูดกับเก่งกาจแบบนั้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ขอแค่มันไม่กลัว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรทำอะไรมันได้ แต่พอผมต้องมาเผชิญกับตัวเอง หัวใจผมกลับลืมทุกคำพูดสวยหรูที่เคยพร่ำบอกออกไปจนหมด

ผมไม่เคยกลัวอะไร ถ้าผมต้องเผชิญสิ่งนั้นด้วยตัวผมเอง ผมรู้ว่าผมรับมันได้ทุกอย่าง ผมเข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับคำด่าทอจากคนทั้งโลก เพราะผมรู้ว่าผมสำคัญ และมีใครอีกหลายคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างผมในวันที่เฮงซวยที่สุด

แต่ผมกลัว... กลัวว่าเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ จะส่งผลกระทบต่อใครบางคนที่ไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะรับมันไหว

แผลของโฬม หัวใจของเขายังเหวอะหวะอยู่มาก ทั้งๆ ที่มันกำลังค่อยๆ เริ่มสมานแล้ว ตัวเขาเองหมั่นเพียรรักษามันมาอย่างยาวนาน โอบประคองมันไว้ด้วยมือของตัวเอง และสุดท้าย คนพวกนั้นก็กำลังกระชากมือของโฬมออกเพื่อทำร้ายหัวใจของเขาอีกครั้งและอีกครั้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ผมกลัวว่าสุดท้ายผมจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มจากหัวใจของโฬม ลภณอีกเลย

“คนเราถ้าเจอเรื่องทำร้ายจิตใจซ้ำๆ จะรับได้แค่ไหนกันอ่ะเก่ง”

“มึงหมายถึง ฬ... พี่โฬม?”

ผมพยักหน้า

“มึงจะไปเครียดแทนเขาให้ได้อะไรวะสกาย มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย” เก่งผลักหัวผมเล่น “เรื่องพวกนี้กูให้คำปรึกษาไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ตัวเขาเอง ส่วนมึงก็แค่เป็นมึง เป็นสกายที่คอยอยู่ข้างๆ กูเสมอ และคราวนี้มึงก็แค่อยู่ข้างๆ แฟนมึงแบบนั้น”

“...”

“เอาจริงๆ นะเว้ยสกาย พี่เขาอาจจะเข้มแข็งกว่าที่มึงคิดก็ได้”

ผมสะอึกกับคำพูดของเก่งกาจ

“เขาโตแล้ว เขาผ่านอะไรมาเยอะกว่ามึงด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังยิ้มได้ ยังทำงานที่ตัวเองรักต่อไปโดยไม่สนว่าใครจะว่ายังไง หรืองานจะเข้ามากน้อยแค่ไหน”

ผมหันไปสบตาเพื่อน ที่คราวนี้ดูจะพูดอะไรแทงใจดำจนผมน้ำตาคลอ เก่งกาจหัวเราะเยาะกับสีหน้าเหยเกของผม มันตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะพูดต่อว่า

“อย่าดูถูกคนที่มึงรักสิวะ”

นั่นสินะ ผมไม่ควรดูถูกเขา

จริงๆ แล้วโฬมเข้มแข็งกว่าผมจะตาย

ผมยิ้มให้เก่งกาจ โถมตัวเข้าไปกอดร่างเปลือยๆ ของเพื่อนแน่น ก่อนจะมุดหน้าตัวเองเข้ากับอกแน่นๆ แล้วสูดน้ำมูดฝืดใหญ่

“เพิ่งรู้ว่ามึงพูดอะไรแบบนี้ได้ด้วย” ผมแซวเพื่อน

“ออกจากห้องกูไปเลยไป๊ แล้วไม่ต้องมากอดกู เดี๋ยวกูซวยอีก” เก่งพยายามดันผมที่กอดแน่นเป็นหมีโคอาล่าออก แต่ผมก็ดื้อไม่ยอมปล่อยมือ

“ทำไมต้องซวย”

“แค่นี้พี่โฬมก็หึงกูจะตายแล้วป่ะ”

“ไม่เห็นน่าหึง”

“ไอ้สกาย ปล่อยกูแล้วกลับคอนโดไปเลย” เก่งกาจออกแรงอุ้มผมตัวลอย แล้วโยนปลิวออกมานอกห้อง ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่แล้วปิดประตูดังปังอัดหน้าผมทันที

“กูงอนแล้วนะ!”

“เรื่องของมึง!”









ผมตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันเพราะต้องเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมไปถ่ายทำมิวสิควิดีโอที่ระยอง โฬมแวะมารับผมที่คอนโดและค่อยเอารถไปจอดทิ้งไว้ที่ตึกบริษัท งบถ่ายทำไม่ได้มากจึงมีทีมงานไม่กี่คนที่ยัดกันไปในรถตู้คันเดียว ล้อจะหมุนตอนตีสี่ตรง ดังนั้นตอนนี้ผมเลยพาสังขารอันง่วงหงาวหาวนอนมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถโดยมีโฬมเป็นคนขับ

“งีบก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวถึงแล้วผมปลุก” โฬมหันมายิ้มให้เมื่อเห็นผมหาวเป็นรอบที่สี่ ความหวังดีนั้นผมอ้าแขนรับไว้ทันทีไม่รีรอ รีบปิดเปลือกตาลงพร้อมปรับเบาะให้เอนต่ำจะได้นอนสบาย

แต่ก็ไม่ได้หลับไปจริงๆ หรอกครับ เรียกว่าพักสายตามากกว่า

ด้วยความที่คอนโดกับตึกของค่ายเพลงอยู่ไม่ไกลกันนัก ไม่นานโฬมก็เอื้อมตัวมาปลุกผมเสียใกล้ เมื่อลืมตาขึ้นสิ่งแลกที่เห็นคือเขี้ยวขาวทั้งสองซี่ที่โผล่พ้นริมฝีปากออกมา

“ถึงแล้วครับฟ้า”

“เร็วจัง” ผมพึมพำพลางยืดแขนยืนขาบิดขี้เกียจ แต่เมื่อทำท่าจะเปิดประตูรถลงโฬมกลับคว้าต้นแขนผมไว้ก่อนจะดึงให้ผมหันกลับไปมองเขา “มีอะไรเหรอครับ”

“เมื่อวานไม่ได้เจอฟ้าเลยทั้งวัน” เพราะว่าโฬมติดงานไง ผมเอียงคอด้วยความไม่เข้าใจ “คิดถึงนะครับ”

“...”

คนเรานึกอยากพูดว่าคิดถึงก็พูดออกมาเลยเหรอ

แทนที่คนพูดจะเขิน คนฟังอย่างผมกับหน้าแดงแจ๋และเริ่มวางตัวไม่ถูก จะพูดอะไรตอบไปก็พูดไม่ออก ทำได้แค่สบดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นนิ่งๆ

ฝ่ามืออุ่นทาบลงมาบนแก้มของผมเบาๆ ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามผิวนุ่มแล้วคลี่ยิ้มบางส่งมาให้ โฬมเคลื่อนหน้าเข้าใกล้ ใช้ปลายจมูกถูไถไปกับปลายจมูกของผม

“จูบได้ไหมครับ”

“อ๊ะ... ไม่ดีมั้งครับ” ผมสะดุ้ง ย่นหน้าหนีจนคอขึ้นรอยพับ “พี่ๆ ทีมงานก็มากันแล้ว”

“หอมแก้มก็ได้ครับ”

“พี่โฬมม” ผมเรียกเสียงอ่อย หมดแรงจะต่อรอง ทั้งรอยยิ้ม สีหน้า และดวงตา ล้วนออดอ้อนจนผมต้องเอียงข้างหันแก้มให้แฟนตัวเองกดริมฝีปากลงมา หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่

“สบู่ฟ้าหอมจังนะครับ”

ผมผลักไหล่โฬมให้ออกห่างจากตัว ก่อนจะเปิดประตูวิ่งไปที่หลังรถเพื่อคนสัมภาระโดยปล่อยให้โฬมนั่งหัวเราะอย่างมีความสุขไปคนเดียว

ผมคงคิดมากไปเอง โฬมก็ยังดูมีความสุขดีเหมือนเดิม ไม่เห็นร่องรอยของความกังวลเหมือนผมเลย ให้ตายเถอะ เพิ่งเคยเป็นกังวลกับอะไรมากๆ เป็นครั้งแรก เมื่อคืนผมเลยนอนไม่ค่อยหลับ แต่พอมาเห็นโฬมยังยิ้มยังแกล้งผมเหมือนเดิม ก็ได้คลายความหนักในใจลงไปเยอะเหมือนกัน

เดี๋ยวมันจะผ่านไปได้ด้วยดี ผมย้ำกับตัวเองอีกครั้งก่อนจะหิ้วกระเป๋าวิ่งเข้าไปหาพี่ๆ ทีมงานที่กำลังขนของขึ้นรถตู้อยู่

“สวัสดีครับ”

“อ้าว สกาย หวัดดีๆ”

รอบนี้มีพี่ทีมงานไปด้วยกันสี่คน เป็นช่างแต่งหน้าหนึ่ง ที่เหลือคือช่างกล้องและลูกมือจัดฉากจัดไฟ ผมยกมือไหว้ทักทายพวกเขาทุกคนเพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี โฬมที่ยกของเข้ามาสมทบแนะนำตัวและทำความรู้จักกับทุกคนอย่างเป็นมิตร

จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงตีสี่ คนขับรถของบริษัทที่แวะไปเข้าห้องน้ำก็เดินกลับมาพร้อมสตาร์ทรถและขับเคลื่อนพาหนะคันใหญ่ออกจากลานจอดของบริษัท

“อันนี้คิวถ่ายคร่าวๆ ต้องไปดูหน้างานกันอีกที” พี่ตากล้องยื่นมาให้ เขารับหน้าที่กำกับเอ็มวีด้วยผมเลยได้เข้ามาคุยกับพี่เขาเมื่อวันก่อน หลังจากตกลงเรื่องรายละเอียดเอ็มวีอยู่ครึ่งวันก็ได้สรุปออกมาเป็นกระดาษสองแผ่นในมือของผมกับโฬม

ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนก้มลงอ่านเนื้อหาในกระดาษ เป็นเนื้อเรื่องย่อและคิวถ่ายโดยละเอียด ซึ่งตามแพลนจะถ่ายกันสองวันคือวันนี้และพรุ่งนี้ แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นสามพาร์ท และช่วงไคล์แม็กสุดท้ายจะถ่ายแบบ long take จนจบ ซึ่งคิวในการถ่ายทำนั้นไม่ได้เรียงลำดับตามเนื้อเรื่อง แต่จะอิงจากเวลามืดสว่างของท้องฟ้าและสภาพอากาศ

ถ้างานถ่ายเสร็จเร็วเท่าไหร่ ทีมตัดต่อก็จะมีเวลามากขึ้นเท่านั้น ผมไม่อยากให้ทุกคนหัวปั่นจึงสัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด แม้การแสดงจะเป็นอะไรที่ผมโคตรจะขัดเขินเลย ให้ตาย

“เดี๋ยวไปถึงที่พัก พี่ให้พวกเราพักกันคนละชั่วโมง เสร็จแล้วจะเริ่มถ่ายฉากแรกเลยนะ”

“ได้ครับ” ผมกับโฬมรับคำขึ้นมาพร้อมกัน

ระหว่างเดินทางผมจะเล่าเนื้อหามิวสิควิดีโอให้ฟังคร่าวๆ เนื้อหาของเพลงที่ผมกับโฬมเขียนขึ้นมาสื่อถึงความรักที่ต้องเลิกลากันไปทั้งที่ยังรักกันอยู่ เพียงเพราะกระแสสังคมทั้งจากคนนอกคนในที่ต่อต้านจนคนทั้งคู่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่สุดท้ายความรักก็พาพวกเขากลับมาพบกัน ก่อนที่จะตัดเสียงคนอื่นออกและเลือกใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

มันเหมือนจะเป็นเพลงให้กำลังใจ เป็นเพลงรักหวานๆ ที่จบด้วยแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ผมก็จิกกัดสังคมไปไม่น้อยเลยทีเดียว

ช่วงแรกของเอ็มวีจะเปิดมาด้วยโฬมนั่งมองรูประหว่างเราเงียบๆ มีเสียงก่นด่าของคนในครอบครัว และคนภายนอกเข้ามาเป็นระยะๆ จากนั้นก็จะตัดภาพไปยังตอนที่พวกเรายังคบกันอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ถึงแม้จะปิดบังไม่บอกใครแต่ทว่าก็มีความสุขมากๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดมีคนจับความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้ และพวกเราถูกบังคับให้เลิกรากันไป แม้จะพยายามฝืนต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จนต้องยอมแยะทางกันไปทั้งยังรัก

ผมบอกช่างกล้องว่าต้องการกดอารมณ์ เน้นช่วงที่โดนกดดัน บีบคั้นจากทั้งทางบ้านและเพื่อนฝูง อัดให้หนักๆ ไปเลยเพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มต้นอยากเขียนเพลงนี้ ผมต้องการสะท้อนให้คนอื่นๆ เห็นว่า คนที่มีความรักที่แปลกจากคนอื่นต้องโดนกระทำมากมายยังไง และต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน และสุดท้ายเนื้อเรื่องเอ็มวีก็จะจบลงที่ผมกับโฬมกลับมาเจอกันอีกครั้งในสถานที่ที่เคยมีความสุขด้วยกัน เป็นซีนอารมณ์ที่น่าจะยากพอสมควร ก่อนจะตัดไปเป็นภาพสุดท้าย คือรูปถ่ายของพวกเราที่ยิ้มอย่างมีความสุขและโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตโดยไม่สนใจเสียงส่อเสียดของใครอีกเลย

ผมหวังว่ามันจะออกมาดีอย่างที่ผมตั้งใจเอาไว้








หลังจากมาถึงพวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปพักในห้องนอน ผมกับโฬมไม่ได้แยกห้องกันเพราะทางค่ายก็รู้ความสัมพันธ์ดีอยู่แล้ว ผมนั่งพูดคุยและซ้อมบทกันระหว่างรอพี่ๆ ทีมงานไปเตรียมฉาก แต่ด้วยความเขินทำให้การซ้อมล่มไปเป็นสิบรอบ จนโฬมส่ายหน้าแล้วบอกให้ผมพอก่อน

“จะรอดไหมครับเนี่ย” ผมโอดครวญ นอนกลิ้งไปมาบนเตียงอย่างเซ็งๆ

“อย่าคิดว่ากำลังแสดงอยู่สิครับ”

“ได้ที่ไหนกันครับ กล้องจ่อจะเข้าหน้าอยู่แล้ว” ผมบ่น เอนกายนอนหงายแล้วมองเพดานอย่างเซ็งสุดชีวิต “ปกติแค่ร้องแรปทำท่าเท่ๆ ไป ให้มาแสดงแบบนี้ยากเหมือนกันแหะ”

“ฟ้ามองแค่ผมสิครับ” โฬมขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะโน้มตัวลงมาสบตากัน “มองแค่ผม แล้วจินตนาการว่าเรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับเรานะ”

“...ผมทำไม่ได้หรอก”

“ลองดูสิครับ เพลงนี้เป็นเพลงของเราไม่ใช่เหรอ”

“...” ผมมองหน้าคนพูด มองความมั่นใจที่ส่งตรงมาให้ ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้าให้เขาและตอบรับคำพูดประโยคนั้นด้วยความแน่วแน่

“ครับ เพลงของเรา”

“ไม่ต้องสนใจกล้อง ฟ้ามองแค่ผมเอาไว้นะ”

ผมพยักหน้าอีกครั้ง โฬมยิ้มกว้าง ลูบศีรษะของผมเบาๆ

“เด็กดี”


___________________
Talk: มาแล้วค่า โค้งงงงง เห้ออออ สต็อคไม่เคยได้เลย ผิดสัญญาตลอดจนเรารู้สึกผิด
ขอโทษจริงๆค่ะ แง้ ทำยังไงดีๆๆๆๆๆ



เจ้าสกายเป็นนิยายที่เราตั้งใจในทุกอย่างเลย อยากให้มันสะท้อนอะไรบางอย่าง
คนเราทุกคนมีบาดแผลในใจ แต่คนที่เข้มแข็งมากๆ อย่างสกายก็มีอยู่จริงบนโลกนะคะ

แต่จะเห็นได้ว่าสกายเริ่มมีการพัฒนาด้านอารมณ์ ทั้งเริ่มกลัว เริ่มกังวลแล้ว เพราะเขาเอาหัวใจไปผูกไว้ที่คนอื่น โฬมจึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเป็นอย่างมาก
ในขณะที่โฬมก็พัฒนาเรื่องการต่อสู้กับเรื่องร้ายๆ เขาเข้มแข็งขึ้นมากๆ ไม่ได้จมจ่อมเพราะรู้ว่าเขามีสกายอยู่เคียงข้างแน่นอน

อยากให้เรื่องนี้เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเจออะไรแย่ๆ ในชีวิตอยู่
อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกับตัวเองในเรื่อง แต่เดี๋ยวทุกอย่างมันจะผ่านไปค่ะ ต่อให้มันผ่านไปแล้วทิ้งบาดแผลไว้มากมายแค่ไหน แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่และผ่านมันมาได้แล้ว สู้ๆ กันนะค้าทุกคนน เลิฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 20 [04-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-12-2018 20:41:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 20 [04-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 04-12-2018 20:48:03
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 20 [04-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 05-12-2018 00:03:25
สู้ นะ ทั้ง 2 คน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 20 [04-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 05-12-2018 02:11:57
 :o8:  :-[  :impress2: พี่โฬม อ่อนนุ่มละมุนใจมากกกก  :hao7: น้องก็น่ารัก  :hao3: ไม่รู้จะโดนฟัดเมื่อไหร่  :hao3: แอบรอลุ้นค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 20 [04-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 05-12-2018 02:31:19
ขอให้การทำงานผ่านไปได้ด้วยดี
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 20 [04-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-12-2018 03:03:32
มันจะผ่านไปได้ดี
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 09-12-2018 23:07:12
บทที่ 21




หมดช่วงเวลาพักก็ถึงช่วงเวลาทำงานแล้ว ผมกับโฬมเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยชุดที่เตรียมมาเอง ก่อนจะไปนั่งนิ่งๆ ให้ช่างแต่งหน้าละเลงรองพื้นกับแป้งลงบนผิว ผมของพวกเราไม่ได้โดนเซ็ตเพียงแค่ไดร์และลูบเจลพอให้เป็นทรง โฬมในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงขาสั้นดูดีราวกับมาถ่ายแบบลงนิตยสาร ในขณะที่ผมอัดพร็อพเยอะเกินจนโดนทีมงานมาถอดออก เหลือแค่เสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้น แถมแว่นกันแดดห้อยไว้ที่คอเสื้ออีกอันนึงเท่านั้นเอง

“ฉากย้อนอดีตก่อนนะ พี่ขออารมณ์แบบคบกันมานานแล้ว” ตากล้องที่พ่วงตำแหน่งผู้กำกับออกปากสั่งเมื่อพวกเราทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่ชายหาด มีนักท่องเที่ยงจากรีสอร์ทข้างเคียงชะเง้อคอมองมาบ้าง แต่ก็ไกลพอที่จะไม่ได้รับความวุ่นวายใดๆ
ผมมองหน้าทีมงานก่อนจะหันกลับมาสบตาคนข้างๆ โฬมที่เห็นอาการประหม่าของผมคลี่ยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบไหล่กันและกระซิบเบาๆ ว่า

“คิดว่ามีแค่เรานะครับ”

ผมสูดหายใจเข้าปอดก่อนพยักหน้ารับ

แม้ไม่มั่นใจนักทว่ากล้องกำลังจะสั่งเดินอยู่แล้ว ผมกับโฬมจึงทำได้เพียงเดินไปเข้าฉากที่จัดแสงจัดไฟไว้เรียบร้อย โชคดีที่แดดแรงจัดถูกเมฆบังพอให้สบายกายสักนาทีสองนาที พวกเราสองคนต้องเดินจับมือ พูดคุยหยอกล้ออย่างที่คนรักเขากระทำต่อกัน ซึ่งตลอดเวลาถ่ายทำหน้าผมแดงจริงไม่อิงการแสดงแท้ๆ

เพราะคุณนักร้องใหญ่ดันสมบทบาทจนผมทำได้แค่หลบตาหนีด้วยความอาย

“กลับมาที่นี่อีกแล้วนะครับ” คนตัวสูงฉีกยิ้มตาหยีให้ผม มือหนาสอดเข้ามากอบกุมฝ่ามือผมไว้แล้วพาเดินเตะทรายเล่นอย่างช้าๆ กล้องที่คอยขยับตามมาชวนให้ประหม่าไม่น้อยเลย ทั้งซูมเข้าซูมออกใบหน้าจนผมตัดสินใจหันไปมองคลื่นกระทบฝั่งแทนแก้กระดาก

“ฟ้า”

“คะ ครับ”

“เกร็งไปแล้วนะ”

“ผม... ผมทำไม่ได้แน่เลย” ผมเบ้ปาก บอกเขาเสียงอ่อยอย่างกังวล

ตอนนี้มือข้างที่เรากุมกันไว้เต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งขาที่ควรจะก้าวอย่างสบายกลับแข็งเกร็งไม่ต่างจากทหารเวลาเดินขบวน ผมทื่อไปหมดจนโฬมหัวเราะ

“มานี่ครับ” ร่างสูงออกแรงกระตุกที่มือให้ผมเคลื่อนเข้าไปหา เขาจับบ่าผมหมุนให้เราหันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะก้มลงแล้วโอบแขนรอบต้นขาผมอย่างรวดเร็ว

“เหวอ” ผมร้องลั่น ป่ายมือไปกอดคอของโฬมแน่น เพราะร่างทั้งร่างถูกอุ้มลอยในท่าประหลาด หัวของผมเหวี่ยงตกไปด้านล่าง ใยขณะที่ลำตัวช่วงเอวพาดไว้บนบ่ากว้างอย่างหมิ่นเหม่

“พี่โฬม!” ผมแหกปาก ดิ้นรนจะลงยืน แต่เจ้าของชื่อกลับหัวเราะก่อนออกแรงวิ่งไปมาบนชายหาดจนหัวผมหมุนติ้ว

มันเป็นการเล่นนอกบท ทว่าผู้กำกับก็ไม่ได้สั่งคัทอะไร

โฬมวิ่งเล่นได้สักพักก็หอบแฮกและยอมปล่อยผมลง ร่างที่อ่อนปวกเปียกจากแรงกระเด้งกระดอนเมื่อกี้ของผมทรุดลงนอนแผ่ไปกับหาดทรายขาว มองเห็นดาวนับร้อยลอยเคว้งอยู่ในดวงตา

“จะอ้วก” ผมบ่นพึมพำ ทว่าคนแกล้งกลับไม่สำนึก เอาแต่หัวเราะสะใจ

“คัท” ผู้กำกับเมื่อเห็นสภาพผมไม่สู้ดีก็เลยสั่งให้พวกเราไปพักก่อน แต่ได้แค่สิบนาทีเท่านั้นก่อนจะต้องกลับมาจัดการซีนย้อนอดีตให้เสร็จ

ผมค่อนข้างคลายความเกร็งลงไปเยอะ อันที่จริงต้องยกความดีความชอบให้โฬม เพราะนอกจากเขาจะเป็นคนชวนเล่นแล้ว เขายังพยายามดึงความสนใจผมออกจากกล้องด้วยการหยอกการแกล้งจนผมคล้อยตามอย่างง่ายดาย

ซีนย้อนอดีตผ่านไปอย่างง่ายๆ แต่ก็กินเวลาเป็นชั่วโมงอยู่เหมือนกัน จากนั้นพวกผมก็ย้ายกันเข้าไปในห้องพักที่จองไว้สำหรับถ่ายทำห้องหนึ่ง ด้วยความที่ต้องรอพระอาทิตย์เบาแสงลงกว่านี้เราเลยจะถ่ายภายในห้องนอนกับซีนอารมณ์ก่อน

ฉากต่อไปนี้เป็นฉากการทะเลาะกันและบอกเลิก ผมกับโฬมต้องสาดอารมณ์ใส่กัน ซึ่งความกังวลทั้งหมดหล่นโครมทับหัวผมแบนแตดแต๋ ด้วยว่าผมไม่กล้าตะคอกหรือผลักคนตรงหน้า

“ฟ้ากังวลเหรอครับ” ระหว่างที่รอทีมงานจัดไฟ ผมนั่งเขย่าขากัดริมฝีปากจนโฬมต้องเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง และผมไม่อายเลยที่จะต้องยอมรับความจริงว่าผมกังวล

“ผมจะทะเลาะกับพี่โฬมยังไง”

“อืม... นั่นสิ” โฬมขมวดคิ้วขณะคิด “ฟ้าไม่ชอบเวลาคนอื่นทำอะไรสักอย่างไหม”

“ไม่รู้สิครับ เวลาคนทำไม่ดีด้วยก็ต้องไม่ชอบใจอยู่แล้ว”

“งั้นถ้าคนๆ นั้นเป็นผม?”

เป็นโฬม... ผมคิดภาพไม่ออกเลยแหะ

“ไม่ได้ครับ ไม่รอดแน่ๆ”

“งั้นฟ้ามีช่วงเวลาที่หงุดหงิดไม่พอใจไหม” เขาถามผมต่ออย่างใจเย็น พยายามช่วยเต็มที่แม้ว่าผมจะดูไม่เอาไหนเลยในเรื่องพวกนี้ “หรือเป็นช่วงนี้ก็ได้ครับ”

“ช่วงนี้?”

อ่า... ช่วงที่พวกเราโดนคนด่าน่ะเหรอ

จะว่าไป สถานการณ์ของผมกับโฬมก็ไม่ได้ต่างจากในเอ็มวีเลยสินะ

“เข้าฉากได้ครับ” เสียงตะโกนของทีมงานคนหนึ่งขัดตำพูดที่กำลังจะออกจากปากโฬม คนตัวสูงเลยเลือกไม่พูดต่อแล้วดึงแขนผมให้เดินไปเข้าฉาก

และก่อนที่เสียงตีสเลทจะดัง โฬมโน้มหน้ามากระซิบข้างหูผมเสียงเบาว่า

“ขอโทษนะครับ”

ขอโทษเรื่องอะไรครับ?

ผมอยากถาม แต่เพราะกล้องเริ่มเดินแล้ว เราจึงต้องหยุดทุกอย่างลง และทำอารมณ์กับฉากสุดหินตรงหน้า

ด้วยความที่ยังกังวลและไม่แน่ใจ ระหว่างเราจึงยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงสายตาสองคู่ที่มองสบกันอย่างดูเชิง โฬมหุบรอยยิ้มบนริมฝีปากไปแล้ว เหลือเพียงผู้ชายคนหนึ่งกับสีหน้ากรุ่นโกรธไม่สู้ดีนัก

“ฟ้า”

“!!” ผมสะดุ้ง เพราะน้ำเสียงที่โฬมเรียกออกมาทั้งทุ้มต่ำและเย็นชา

“ฟ้าเห็นคอมเมนท์ในไอจีรึยังครับ”

“อะ...” ผมลิ้นกระตุก ด้วยว่าตามบทไม่ทัน แต่ไม่นานนักผมก็เริ่มจับใจความได้และสานต่อบทสนทนาทันที “เห็นแล้วครับ”

“เห็นที่เขาด่าเราแล้วใช่ไหมครับ”

พอพูดถึงเรื่องนี้หน้าผมก็หดลงเหลือเท่าปลายเล็บ

“ครับ”

“ฟ้าว่า พวกเราเลิกกันดีไหม” ผมนิ่ง มองดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องกันมาอย่างจริงจัง ทั้งน้ำเสียงและท่าทางไม่มีล้อเล่น ราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง หัวใจผมเลยเต้นแผ่วลงอย่างหวาดกลัว "ผมไม่อยากคบกับฟ้าอีกแล้วครับ”

“เดี๋ยว... พี่โฬม” ผมเรียกเสียงสั่น มึนงงไปหมดจนหลงลืมว่าพวกเราอยู่ในการถ่ายทำ ยิ่งอีกฝ่ายพูดย้ำเรื่องคำด่าทอใน
อินเตอร์เน็ตมากเท่าไหร่ หัวใจผมยิ่งดิ่งลงเหวมากเท่านั้น

“ผมไม่อยากโดนรุมประนามแบบนี้อีกแล้ว” คนตัวสูงเลื่อนสายตาหนีผม ทั้งยังถอยเท้าออกห่างไปหนึ่งก้าว ในขณะที่ผมตกใจทำอะไรไม่ถูกเลยพุ่งเข้าไปคว้าแขนของโฬมไว้แน่น

“พี่โฬม...”

“ฟ้ารู้ไหมครับ ว่าก่อนหน้านี้ผมเจออะไรมาบ้าง”

“ผม... มะ ไม่รู้”

“ผมกำลังจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวครับ” โฬมบอก ทั้งยังไม่ยอมสบตาผมเลยด้วย “ประกาศวันแสดงและวันจองบัตรไปแล้วครับ ผมซ้อมได้ราวๆ สองเดือน แต่พอมีข่าว งานคอนเสิร์ตครั้งนั้นก็ถูกยกเลิก”

“...”

“ความฝันของผมหายไปพร้อมกับที่ผมถูกปลดออกจากค่าย ต้องมาเป็นศิลปินอิสระ ทั้งยังถูกด่าถูกล้อเลียนในโซเชียลเต็มไปหมด” เสียงของโฬมสั่นระริก “ฟ้าว่าตลกไหมครับ แฟนคลับที่เคยบอกว่ารักว่าชอบ กลับเป็นคนที่ด่าทอ ขุดเรื่องต่างๆ มาใส่ร้ายจนคนเขาเชื่อไปทั่ว”

“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ

ทำได้เพียงขยับไปยืนใกล้ๆ วางมือลงบนบ่าของเขาและพยายามสบดวงตาที่หลุบหนีไม่เลิก

“ผมไม่อยากกลับไปเจอเรื่องแบบนั้นอีกแล้วครับ”

“พี่โฬม ผม...”

“เลิกกันเถอะครับ ก่อนที่ฟ้าจะเป็นคนทำให้ผมหมดอนาคตอีกคน”

“...!”

“...”

“คัท!!”

เสียงสั่งตัดฉาก ไม่ได้ทำให้ผมขยับเขยื้อนตัวออกจากตรงที่ยืนอยู่เลย

ผมมองหน้าโฬมอย่างพิจารณา วินาทีสุดท้ายก่อนเสียงคัทจะดังขึ้น ผมเห็นหยดน้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมาที่ผิวแก้ม โฬมรีบเช็ดมันออกก่อนจะหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ผมเมื่อผู้กำกับสั่งหยุดถ่าย

ทว่าหัวใจผมกลับไม่หยุดชาเลย

“ฟ้า?”

ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่อยู่ๆ น้ำตามากมายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ไหลทะลักแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมไม่แม้แต่จะสะอื้นด้วยซ้ำ แค่มองหน้าของเจ้าของคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งกระแทกเข้ามาในใจผมอย่างแรง

“เลิกกันเถอะครับ ก่อนที่ฟ้าจะเป็นคนทำให้ผมหมดอนาคตอีกคน”

ผมคิดว่ามันจี้ใจดำจนผมไม่สามารถแยกแยะเรื่องจริงเรื่องหลอกได้อีกแล้ว

“ฟ้า!” ผู้ชายตรงหน้าตกใจเมื่อเห็นผมร้องไห้ไม่หยุด โฬมรีบเข้ามาหาก่อนลากแขนพาผมไปยังห้องพักข้างๆ โดยแวะขออนุญาตพี่ทีมงานแล้วเรียบร้อย

ผมยังคงปล่อยน้ำตาไหลเรื่อยๆ แสดงความอ่อนแอที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น ในขณะที่ร่างกายก็ถูกจูงมายังอีกห้องโดยไม่ขัดขืนอะไร โฬมลงกลอนประตูแล้วพาผมไปนั่งลงบนเตียง ดึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำให้ซบลงบนไหล่

“ขอโทษนะครับ”

“ผม... ไม่อยากทำให้โฬมเจอเรื่องแบบนี้อีก ฮึก” ไม่มีคำว่าพี่ ไม่มีสรรพนามอะไรทั้งนั้น

ผมแค่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป คล้ายกับระบายความผิดบาปมากมาย

ผมเพิ่งรู้ตัวแล้วว่าทำไมตลอดหลายวันมานี้จึงกังวลและนอนไม่หลับ ผมไม่ได้กลัวว่าโฬมจะรับมือสถานการณ์พวกนี้ไม่ได้แบบที่เข้าใจมาตลอด

ผมแค่กลัว ว่าสาเหตุที่ทำให้โฬมต้องเจ็บช้ำครั้งที่สองจะเป็นผม

“ฟ้าครับ ผมขอโทษ อย่าร้องไห้เลยนะ” ปลายนิ้วสากจากการเล่นกีตาร์ลูบเช็ดน้ำตาออกให้ เขาประคองใบหน้าผมไว้แล้วส่งสายตารู้สึกผิดมาอย่างจริงจัง “ผมขอโทษที่พูดไม่ดี”

“ฮึก” นานแล้วที่ผมไม่ได้ร้องไห้

แต่เมื่อมีเวลาให้ได้ครุ่นคิด อารมณ์ที่ตีรวนอยู่ในอกของผมก็ค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง น้ำตาหยุดไหลพร้อมกับหัวใจที่ค่อยๆ กลับสู่จังหวะปกติ

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้คิดกับฟ้าแบบนั้นนะ” คนตัวสูงโน้มหน้าเข้ามาและใช้ปลายจมูกคลอเคลียกับริมฝีปากผม ก่อนที่โฬมจะแนบเรียลปากลงมามอบจูบปลอบประโลมให้อย่างนุ่มนวล

ผมปล่อยให้อีกคนเคล้าคลึงริมฝีปากเล่น ขณะมือทั้งสองของตัวเองก็ยื่นไปโอบรอบลำคอของเขาไว้ โฬมกระชับผมไว้ในอ้อมแขน ใช้มือซ้ายลูบศีรษะเบาๆ พลางพึมพำขอโทษและกดจูบลงมาซ้ำๆ

“ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียใจนะครับ”

“แต่พี่โฬมพูดแบบนั้น...”

“ผมพูดแรงไปผมยอมรับ” โฬมบอกทั้งที่ยังไม่เคลื่อนใบหน้าออกห่าง “แต่ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไงกับฉากนี้ดี”

“...” ผมเงียบรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“เพราะฟ้าเป็นฟ้า ผมเลยหาเรื่องมาชวนทะเลาะด้วยไม่ได้” โฬมฉีกยิ้มโชว์ฟันเขียวและรอยยุ๋มข้างแก้ม “ผมขอโทษจริงๆ ที่ต้องพูดจาทำร้ายจิตใจ”

“พี่โฬมคิดแบบนั้นจริงๆ ไหมครับ” ผมถาม ด้วยความเชื่อมั่นว่าคำตอบที่ได้รับจะไม่เป็นเรื่องโกหก

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องมาที่ผมอย่างจริงจัง แทบไม่ต่างจากในฉากเมื่อสักครู่ ทว่าไม่ได้มีร่องรอยเย็นชาหรือแววเหินห่างเช่นนั้น อีกทั้งความเจ็บปวดราวหัวใจสลายก็ไม่หลงเหลือในแววตาอีกแล้ว

“ไม่เคยคิด”

“จริงเหรอครับ” แต่สุดท้ายผมก็เป็นกังวลอยู่ดี

โฬมหัวเราะเบาๆ ขณะลูบหัวผมไปพลาง เขาโยกตัวผมในอ้อมแขนเล่นขณะอธิบายเรื่องต่างๆ ออกมาเป็นฉากๆ

“ผมไม่เคยมองว่าฟ้าเป็นสาเหตุเลยนะครับ” น้ำเสียงของเขา ทั้งหวาน ทั้งแน่วแน่ “ฟ้าเป็นคนช่วยผมด้วยซ้ำ เป็นคอมฟอร์ทโซนของผมเลยนะ ที่เจอเรื่องคราวนี้แล้วผมยังยิ้มได้ ก็เพราะมีฟ้าอยู่กับผมไง”

“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงมา

“เชื่อผมได้ไหม เรื่องเมื่อกี้ผมขอโทษจริงๆ”

“ผมรู้ครับ ว่าพี่โฬมอยากช่วยส่งอารมณ์ให้” ผมบอกอย่างเข้าใจ ความเจ็บช้ำในใจคลายไปตั้งแต่เขาย้ำอย่างชัดเจนแล้วว่ามันเป็นเพียงการแสดง “ผมก็ขอโทษที่อินเกินไป”

“ฟ้าไม่ผิดหรอกครับ พี่โฬมผิดเอง”

ผมก้มหน้าลงหลบสายตาที่จ้องมาพร้อมกับคำแทนตนว่า ‘พี่โฬม’

“แต่ว่า... ฉากเมื่อกี้จะใช้ได้เหรอครับ พวกเราไม่ได้เถียงกันเลย”

“ทีมงานบอกว่าใช้ได้แล้วครับ” โฬมยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะรวบตัวผมไปกอดอีกครั้ง “ผมขอโทษฟ้าจริงๆ นะ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ฟ้าร้องไห้ ครั้งนี้ผมคิดน้อยไปจริงๆ”

“ผมไม่เป็นไรแล้ว” ผมตอบปฏิเสธ แต่ก็ยอมให้เขากอดอยู่ดี

“สัญญาแล้วครับว่าพี่โฬมจะไม่ทำตัวไม่ดีแล้ว”

“เป็นคนไม่ดีแล้วเหรอครับ” ผมที่หายจากความซึมเศร้าเมื่อสักครู่พูดเสียงอู้อี้แซวกลับ โฬมหัวเราะ ลูบหัวผมไม่ยอมเลิก

“ครับ ทำฟ้าร้องไห้ก็ต้องเป็นคนไม่ดีสิ”

“ถ้างั้นผมลงโทษได้ไหมครับ”

“หืม?”

“พี่โฬมห้ามจูบจนกว่าเอ็มวีจะปล่อยนะครับ”

หลังประโยคนั้นของผม โฬมก็เพียงแค่หัวเราะโดยไม่ยอมตอบรับอะไร

และหลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้รู้ว่าคำพูดผมไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เลยสักนิด เพราะทันทีที่วันพรุ่งนี้มาถึงและเราถ่ายฉากสุดท้าย ผมก็โดนโฬมจูบหน้ากล้องไม่ยั้ง เล่นเอาปากเจ่อจนไม่กล้ามองหน้าใครอีกเลยกระทั่งเดินทางกลับมาถึงคอนโดตัวเอง








เอ็มวีของเราถูกปล่อยออกไปแล้วในคืนวันเสาร์ กระแสตอบรับในแง่ดีมีมากกว่าแง่ลบหลายเท่า เพราะซีนอารมณ์ที่คนตัดต่อไม่ได้ตัดเสียงคุยออก ดังนั้นบทสนทนาตัดพ้อชีวิตของโฬมจึงกลายเป็นที่สนใจในโลกโซเชียลมากมาย แฟนคลับทั้งเก่าและใหม่ของโฬมกำลังพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความสงสารและเห็นใจ ชื่อของเขากลับมาขึ้นเทรนด์ในทวิตเตอร์ และในเฟสบุ๊คและไอจีก็ยังมีการพูดถึงเอ็มวีนี้อย่างแพร่หลาย

นอกจากนี้แล้ว เรื่องข่าวของพวกเราก็ถูกกลบด้วยกระแสมิวสิควิดีโอ ซึ่งทางค่ายบอกไปว่าเป็นการไปถ่ายทำเอ็มวี แต่ไม่ได้บอกปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของพวกผมอย่างเด่นชัด คล้ายให้คนอื่นๆ คิดเอาเองว่าตกลงเป็นคู่จริงหรือเพียงคู่หลอก ซึ่งจากผลของการให้ข่าวแบบนี้ กลายเป็นว่าถือกำเนิดกระแสคู่จิ้น ‘โฬมฟ้า’ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมเวลาไปออกงานร่วมกันยังมีแฟนคลับมาเชียร์มากรี๊ดเยอะแยะจนผมตกใจ

ผมเปิดอ่านผลตอบรับด้วยความสบายใจ โดยที่มีผู้ชายที่กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งกำลังนั่งแปรงขนให้แมวอ้วนสองตัวอยู่บนพื้น
โฬมดูอารมณ์ดี เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยทั้งชายและหญิงต่างพากันเข้ามาให้กำลังใจในโซเชียลของเขา เพจดังมากมายหยิบยกประเด็นบูลลี่และเพศทางเลือกขึ้นมาพูด เพื่อรณรงค์ให้คนเลิกหยาบคายและทำลายอนาคตคนอื่นด้วยการหลบอยู่หลังแป้นพิมพ์
ทางด้านงาน ไม่ว่าผมและโฬมต่างก็มีสินค้าติดต่อเข้ามาขอให้เป็นพรีเซนเตอร์ รวมถึงงานแสดงต่างๆ ยังพุ่งประเด็นเข้ามาสนใจ ชักชวนให้พวกเราไปแสดงสดเพลงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ ทั้งรายการสัมภาษณ์ต่างๆ ที่อยากเชิญพวกเราไปพูดคุยถึงประเด็นต่างๆ

“อารมณ์ดีจังนะครับ” ผมเอ่ยแซวคนที่นั่งแปรงขนแมวมาร่วมชั่วโมง ทั้งยังฮัมเพลงอย่างสบายใจ ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มไม่ยอมหุบ จนผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

“เขาบอกว่าหลังพายุกระหน่ำ ฟ้าจะสวยงาม” โฬมเงยหน้าอิ่มสุขขึ้นมามองผมที่นั่งอยู่บนโซฟา เน้นย้ำคำว่าฟ้าจนเรียกริ้วแดงบนแก้มผมขึ้นมาได้หลายริ้วทีเดียว

“ได้ข่าวว่าค่ายเก่าของพี่โฬมติดต่อมาเหรอ” ผมหัวเราะก่อนจะถามประเด็นที่เพิ่งอ่านเจอมาในเน็ต โฬมพยักหน้า อุ้มแมวบนตักมากอดมาหอมก่อนตอบอย่างอารมณ์ดี

“ใช่ครับ เขามาขอเซ็นสัญญาร่วมอีกครั้ง”

“แล้วพี่โฬมไม่ได้ไปเซ็น?”

“ไม่เอาหรอกครับ” เขาว่าอย่างนั้น “ผมว่าเป็นศิลปินอิสระแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

“ร้ายนะครับเนี่ย” ผมแซว เพราะเห็นหน้าแสนสุขใจของเขาก็เดาได้แล้วว่าที่ไม่ไปเซ็นสัญญาทั้งที่ค่ายนั้นเป็นค่ายใหญ่เพราะอะไร

แต่ถ้าผมเป็นโฬม ผมก็ไม่กลับไปทำงานด้วยอีกแล้วเหมือนกันล่ะครับ

“ฟ้าครับ” ผมที่ไถตัวนอนลงไปกับโซฟาต้องเงยหน้ามองเจ้าของบ้านที่อยู่ๆ ก็ทิ้งแมวแล้วเดินมาหา โฬมยิ้มกว้างแล้วนั่งลงบนพื้นที่ว่างเท่าที่พอจะเหลือ ใช้ดวงตาสีน้ำตาลของตนจ้องมาอย่างตั้งใจ

“ครับ?”

“ขอบคุณนะครับ”

“เอ๊ะ ขอบคุณเรื่องอะไรครับ?”

“เรื่องที่ฟ้าทำให้ผมกลับมามีวันนี้ไงครับ”

“ผมเปล่า...”

“ฟ้าไม่ได้ทำลายอนาคตผมเลยนะ กลับกัน เป็นฟ้าต่างหากที่สร้างอนาคตให้ผมใหม่อีกครั้ง” โฬมบอก ดูเหมือนเขาจะยังติดใจเรื่องที่พูดจาทำร้ายความรู้สึกผมในวันนั้นเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ผมลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ แต่โฬมก็เอาแต่คอยย้ำคำขอโทษ ราวกับจะชดใช้ให้กับทุกหยดน้ำตาที่ผมเสียออกไป “ขอบคุณจริงๆ นะครับ”

“ขอบคุณเหมือนกันครับ”

ขอบคุณที่โฬมพยายามอดทนมาตลอด จนเขามีวันนี้ในที่สุด

_______________________
Talk: ไปต่อไม่รอแล้วน้าาา บอกแล้วว่าสองคนนี้ทะเลาะกันไม่ได้
ตอนนี้เขียนยากจังค่ะ แง้  :hao5: :hao5: ลบสองสามรอบจนมาลงเสีย 5 ทุ่มเลย

ฝากคอมเมนต์ติชมด้วยนะคะ
ใครรอวันที่พี่โฬมกลับมาผงาด มันมาถึงแล้ว อุวะฮ่าๆๆๆ
แต่เจ้าสกายไม่ได้จบแค่ตอนนี้ เราอยากส่งทั้งคู่ถึงฝั่งฝันอย่างมีความสุข
เพราะฉะนั้น มาเดินทางด้วยกันต่อไปจนจบเลยนะคะะะะะะ รักทุกคนค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 09-12-2018 23:39:05
น้องสกายคือฟ้าหลังฝนของพี่โฬมจริงๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-12-2018 23:47:33
 :L2: :L1: :pig4:

ตอนนี้คือดี โฬมควรจะมีความสุขบ้าง ได้ความรักดีดีจากฟ้า กับคนรอบข้าง
ชีวิตจริงๆก็อยากให้เป็นแบบนี้เนาะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 10-12-2018 15:27:38
ใจหายใจคว่ำ นึกว่าจะมีมาม่าซะแล้วตอนนี้ ^^
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 10-12-2018 16:08:49
อบอุ่นค่ะ
ฟ้าเป็นคอมฟอร์ตโซนของพี่โฬม
ส่วนแฟนคลับก็น่าจะคิดได้กันบ้างแล้วซินะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-12-2018 23:34:44
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 11-12-2018 04:06:28
สวัสดีค่าทุกคนนน แวะมาแจ้งข่าวไว้ค่ะ พร้อมตอบเม้นไปด้วยเลย

11-13 ธันวา เราจะหนีไปเที่ยวเชียงฮายนะคะ
จะกลับมาเจอกันใหม่ ไม่ 14 ก็ 15 เน้ออออออ
รอกันสักนิ๊ดดดด รักทุกคนค่าาาาาาาา  :กอด1: :กอด1:

คนอ่านอย่าพึ่งหายไปไหนน้า








น้องสกายคือฟ้าหลังฝนของพี่โฬมจริงๆ
เป็นท้องฟ้าที่สดใส ไล่เมฆหมอกออกไปหมดเลยค่ะะะ  :hao5: :hao5:



:L2: :L1: :pig4:

ตอนนี้คือดี โฬมควรจะมีความสุขบ้าง ได้ความรักดีดีจากฟ้า กับคนรอบข้าง
ชีวิตจริงๆก็อยากให้เป็นแบบนี้เนาะ
:hao5: :hao5: เน้อออ อยากให้ชีวิตจริงมีฟ้าเป็นของตัวเองจังเลยค่ะะ  :hao5: :hao5:



ใจหายใจคว่ำ นึกว่าจะมีมาม่าซะแล้วตอนนี้ ^^
ต้มน้ำไว้แล้ว แต่พี่โฬมไม่ได้ซื้อเส้นมาม่ามา อดเลยค่ะ 5555



อบอุ่นค่ะ
ฟ้าเป็นคอมฟอร์ตโซนของพี่โฬม
ส่วนแฟนคลับก็น่าจะคิดได้กันบ้างแล้วซินะ
พี่โฬมไม่เคยพูดอะไรมาก่อนเพราะไม่มีโอกาสให้พูด เป็นกำลังใจให้พี่โฬมด้วยค่า  :mew1:



:katai2-1: :katai2-1:
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-12-2018 10:19:50
เซฟโซนของพี่โฬมม

หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 11-12-2018 11:54:45
ฉากที่พี่โฬมบอกเลิกฟ้ามันอินแทนจนร้องไห้ตามเลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 21 [09-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-12-2018 14:48:40
ผ่านมันไปได้แล้วนะพี่โฬม  :hao5:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 22 [17-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 17-12-2018 18:17:04
บทที่ 22



มีคนยุ่งงานจนไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ทว่าบนหน้าที่โทรมช้ำจากการอดนอนกลับเต็มไปด้วยร่องรอยของความสุข โฬมทำงานราวกับไม่มีวันเหนื่อย แทบไม่มีงานไหนเลยที่ได้รับการปฏิเสธจากเขา ส่วนผมก็มีรับงานเพิ่มบ้าง แต่ไม่ได้โหมหนักเหมือนอีกคน ด้วยหน้าตา ด้วยบุคลิกและรูปร่าง โฬมไปได้ไกลกว่าผมมาก ทั้งโฆษณา งานแสดง ถ่ายแบบ หรือแม้กระทั่งเป็นพิธีกรรายการวันหยุดนักขัตฤกษ์ เขากลับมาโลดแล่นบนจอโทรทัศน์ รวมถึงป้ายโฆษณาตามตึกสูงและรถไฟฟ้า กลับกลายมาเป็นคนมีชื่อเสียงอีกครั้งหนึ่ง

ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ นับว่ากระแสเรื่องรักร่วมเพศได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น มีหลายรายการทั้งทางทีวีและทางยูทูปได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ รวมถึงเรียกพวกเราทั้งสองคนไปสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะโฬมที่ถูกเชิญไปพูดถึงเรื่องราวของการถูกบูลลี่อย่างหนักจนหมดอนาคตไปช่วงหนึ่ง ตอนแรกผมก็กังวลว่าการถูกขยี้ปมเก่าจะส่งผลร้ายต่อตัวของโฬมเอง แต่เขากลับยิ้มแล้วบอกว่ามันเป็นแค่บทเรียนในอดีต และตอนนี้ตัวเขาสามารถพูดถึงมันได้อย่างง่ายดายแล้ว

ราวกับได้เห็นเด็กชายในไข่หินเติบโตเป็นคนหนุ่มที่แข็งแรง ผมยินดีกับทุกความสำเร็จในวันนี้ของคนรัก แม้มันจะทำให้เวลาระหว่างเราลดลงจนเจอกันเพียงอาทิตย์ละสองครั้ง แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรสำหรับผมที่ยังคงชอบขลุกตัวอยู่ในสตูดิโอเพื่อเขียนเพลงไปตามกิจวัตร

ผมยังคงเป็นสกาย แรปเปอร์หนุ่มที่รับงานฟีทเจอริ่ง ออกเพลงบ้างประปราย และมีงานพรีเซนเตอร์เข้ามาบ้างพอให้ได้รับเงินก้อนมาใช้จ่ายเล่นตามใจ ส่วนพวกงานแสดงโชว์ตามร้านตามเวทีแสดงก็มีเข้ามาเรื่อยๆ เนื่องจากใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกที อย่างวันนี้เฮียเต็มก็เรียกไปขึ้นแสดงอีกครั้ง พร้อมชวนมานั่งกินเลี้ยงฉลองสิ้นปีล่วงหน้า เห็นว่าคืนเคาท์ดาวน์คนคงเต็มไปหมด ไม่น่าว่างมานัดฉลองกันแน่ๆ

โฬมมีงานที่ต่างจังหวัดสามวัน ทำให้เมื่อเช้าผมต้องไปรับเจ้าถุงเงินถุงทองไปหาหมอ และคอยวนรถเข้าไปให้น้ำให้อาหารอยู่บ่อยๆ

พัฒนาการตั้งแต่คบกับโฬมอย่างหนึ่งคือผมสามารถอุ้มเจ้าแมวตัวอ้วนได้แล้วโดยไม่กลัวถูกกัด แม้จะไม่ได้ไปนั่งเล่นนั่กอดเหมือนที่โฬมทำ แต่ก็นับได้ว่าผมสนิทกับลูกๆ ของเขามากขึ้นพอสมควรเลยนะ

กว่าผมจะจัดการแมวทั้งสองตัวเสร็จเรียบร้อยก็ปาไปบ่ายแก่ๆ แล้ว ผมต้องวนรถกลับมาที่คอนโดเพื่ออาบน้ำแต่งตัวและเข้าไปรับเก่งกาจที่หอพักก่อน เฮียเต็มนัดไปเจอตอนสามทุ่มครึ่ง ผมเลยกะจะชวนเพื่อนรักที่หายหน้าหายตาไปติดเด็กที่ไหนไม่รู้ไปดูหนัง
อากาศช่วงปลายพฤศจิกายน เย็นบ้างร้อนบ้าง ไม่ได้หนาวพอจะหาเสื้อแขนยาวมาสวม แต่ก็พอมีลมพัดให้ได้สบายตัว ผมเลือกใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งช้อปปิ้งมาเพิ่มเมื่ออาทิตย์ก่อน เป็นเสื้อเบสบอลกับกางเกงขาเดฟสีดำสนิท สีผมตรงบริเวณโคนเริ่มเห็นเป็นสีดำแล้ว ผมมองตัวเองในกระจกพลางคิดว่าจะไปย้อมอีกดีไหม หรือเปลี่ยนสีไปเลยดี

Rrrrrrrrrrr

ยังไม่ทันได้ตัดสินใจกับตัวเองโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ไกลก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา ผมยิ้มเพราะเห็นรายชื่อคนโทรเข้ากับใบหน้าที่ฉายขึ้นมาบนจอ

‘พี่โฬม’

เมื่อก่อนผมเมมเอาไว้ว่า ‘คุณโฬม’ แต่หลังจากคบกันได้ไม่นานเจ้าของเบอร์กลับแอบเอาไปเปลี่ยน แถมบอกว่าถึงจะไม่ชินหูสักทีเวลาผมเรียกเขาว่าพี่ แต่ก็ชอบที่จะฟัง

“ครับพี่โฬม”

[ฟ้าว่างหรือเปล่าครับ]

“ว่างครับ พี่ว่างแล้วเหรอ” ผมเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง บ่ายสองสี่สิบสามนาที ถ้าให้เดาก็น่าจะยังถ่ายรายการกันไม่เสร็จ เห็นบอกว่าเป็นรายการท่องเที่ยวที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเดินทางไปพร้อมทีมงานตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และพรุ่งนี้จะถึงกำหนดกลับมาในตอนหัวค่ำ

[พักกันอยู่ครับ] เสียงปลายสายช่างเต็มไปด้วยคามสนุกสนาน [พรุ่งนี้ผมน่าจะถึงดอนเมืองตอนสองทุ่มครึ่ง มีถ่ายรายการต่อตอนสี่ทุ่มตรง ฟ้าสะดวกไปด้วยกันไหมครับ]

“รับงานเยอะขนาดนี้ ติดหนี้ที่ไหนไว้ครับเนี่ย” ผมเอ่ยแซว แต่จริงๆ ก็ชินแล้วกับการโหมงานหนักของเขา ช่วงแรกๆ ที่เพิ่งกลับมามีชื่อเสียงและต้องรับงานเองทีละเยอะๆ โฬมหัวปั่นจนทำอะไรแทบไม่ถูก ผมก็ช่วยได้ไม่มาก เลยซื้อสมุดปฏิทินมาช่วยจดตารางงานไว้ให้คุณเขา พออะไรเริ่มเข้าที่เข้าทางก็วิ่งงานนู้นนี้ได้สบาย

[ติดหนี้ค่าสินสอดฟ้าไง]

“ค่าตัวผมไม่แพงนะ ซื้อทองให้ยายผมเส้นเดียวพอ” ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี เมื่อพูดถึงยายก็คิดได้ว่าคงถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวถ้าโฬมว่างตรงกันก็อาจจะชวนไปพร้อมกัน เมื่อวันก่อนเพิ่งโทรไปหา เห็นว่าเปิดโทรทัศน์แล้วเห็นข่าวผมอยู่บ่อยๆ อยากรู้เรื่องราวบ้างเลยเล่าให้ฟังไปพอสมควร

[คงต้องรีบไปซื้อทองแล้ว] โฬมตอบกลับมาอย่างไม่ยอมเลิกเล่น [แล้วตกลงฟ้าสะดวกไหมครับ ถ้าไม่ผมจะได้บอกให้ทีมงานมารับที่ดอนเมืองเลย]

“สะดวกครับ พรุ่งนี้ผมไม่มีงาน”

[ขอบคุณครับ]

ผมยิ้มแม้จะรู้ว่าปลายสายคงไม่มีทางมองเห็น พวกเราคุยกันอีกแค่ไม่กี่ประโยคก็ต้องวางสายลง เพราะทีมงานเรียกโฬมให้กลับไปถ่ายทำต่อ ผมวางโทรศัพท์ลงก่อนกลับมาแต่งองค์ทรงเครื่องต่อ

ความรักนี่ก็แปลก แค่ได้ยินเสียงไม่กี่นาที กลับทิ้งไอความสุขค้างไว้ได้นานนับชั่วโมง






“เฮียเต็ม สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เจ้าของร้านที่หน้าโหดขึ้นทุกวัน โดยมีเก่งกาจถลาเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาเฮียแกเรียบร้อยแล้ว

“เฮีย วันนี้เลี้ยงทั้งที ขอเหล้าแพงๆ หน่อยนะ”

“ไอ้สกาย วันหลังไม่ต้องเอามันมานะ” คนแก่กว่าใช้กล้ามแขนผลักร่างของเก่งออกจนพุ่งถลาห่างไปเป็นเมตร ผมหัวเราะลั่น ไม่ได้สงสารเห็นใจเพื่อนเลยสักนิด

ช่วงสามทุ่มครึ่งยังถือว่าเป็นเวลาที่ลูกค้าเพิ่งทยอยเข้าร้าน ทำให้บนเวทียังไม่มีใครมาเล่นดนตรี เฮียเต็มอาศัยเปิดเพลงเศร้าฮิตๆ เคล้าบรรยากาศก่อน อีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะมีนักร้องขึ้นไปเล่นดนตรีสดให้ได้ฟังกัน

ผมถูกเฮียเต็มกอดคอลากเข้าไปยังที่นั่งประจำ มีคนรู้จักของเฮียอีกสองสามคนนั่งกันอยู่ก่อนแล้ว ผมรู้จักทว่าก็ไม่ได้สนิทนัก เนื่องจากหาเรื่องคุยกับคนอื่นไม่เก่ง อาศัยมนุษยสัมพันธ์ของเก่งกาจเป็นตัวเชื่อมสถานการณ์เอาเสียมากกว่า ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ได้ดีเกินควร เพราะตอนนี้เดินผิวปากตามจังหวะดนตรีเข้าไปนั่งร่วมวงเฮฮากับพี่ๆ กลุ่มนั้นเรียบร้อยแล้ว

“หวัดดีครับ” เมื่อเดินมาถึงโต๊ะผมก็ยกมือไหว้รอบวง เลือกนั่งเก้าอี้ข้างๆ เก่งกาจโดยอีกฝั่งเป็นที่ของเฮียเต็มเจ้ามือในวันนี้
หัวข้อสนทนาในวันนี้ไม่ได้มีเรื่องของผมกับโฬม เพราะถูกเค้นคอไปตั้งแต่ข่าวออกมาแรกๆ แล้ว ทุกคนรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกผมคบกัน แม้จะไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจนนักเพราะเกรงกระแสตีกลับที่รุนแรง แต่การไม่ได้ปกปิดเวลาไปเที่ยวด้วยกันหรือใช้ของบางอย่างร่วมกัน ทำให้คนทั่วไปก็พอจะเดาออก

ผมก็ไม่เข้าใจนักเหมือนกันว่าทำไมแฟนคลับส่วนมาถึงชอบอะไรที่เป็นความกำกวมมากกว่าการประกาศตัวอย่างชัดเจน ในสถานะที่เป็นคู่จิ้น พวกผมได้รับการสนับสนุนมากมาย ทั้งยังถูกทาบทามให้ไปเล่นซีรีส์วายด้วยกันเลยด้วยซ้ำ ทว่าพวกเราก็ปฏิเสธไปเพราะผมแสดงละครได้ห่วยแตกเกินเยียวยา

ไม่รู้ว่าถ้าบอกออกไปตรงๆ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา กระแสมันจะออกมาดีได้ขนาดนี้ไหม

อีกอย่างโฬมก็ไม่อยากให้เปิดตัวด้วยเช่นกัน เขาบอกว่าเป็นแบบนี้ดีแล้ว ไม่ต้องถูกถามซอกแซกเรื่องชีวิตรัก ให้คนคิดคนจินตนาการไป ดีกว่าการถูกนักข่าวรุมโจมตีและจับตามอง ซึ่งผมพอจะเข้าใจได้ว่า โฬมคงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
เขาเคยมีประสบการณ์ไม่ดีนัก ทั้งจากแฟนเก่าและนักข่าว โฬมคงไม่อยากเอาความรักของเขากลับเข้าไปในวังวนอุบาทว์แบบนั้นอีก ซึ่งผมก็เข้าใจดี

“สกาย เอ้า อันนี้ข้าเลี้ยงให้กับความสำเร็จของเอ็ง” เฮียเต็มชี้ไปยังแก้วช็อตใบหนึ่งที่บาร์เทนเดอร์ยกมาเสิร์ฟ ภายในแก้วเครื่องดื่มถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นสีน้ำตาลเข้มคล้ายกาแฟ ส่วนตรงกลางเนื้อนวลขาวไม่ต่างจากนมสดที่เทราดเหนือกาแฟรสขม แต่สิ่งที่ดูไม่น่าไว้ใจที่สุดคงเป็นเจ้าของเหลวชั้นบนสุดที่มีเฟลวเพลิงสีฟ้าอ่อนโหมกระพือส่งเสริมความน่ากลัวของมัน เนื้อของเหลวเป็นสีเขียวราวยาพิษ ผมมองแก้วช็อตบนโต๊ะสลับกับเจ้าของร้าน

“อะไรเนี่ยเฮีย”

“B55”

ผมขมวดคิ้ว ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ถ้าที่คุ้นหูสุดก็คงเป็น B52 เครื่องเดิมฮอตฮิตอินกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง

“ยกกระดกเร็ว”

“เฮียกะมอมผมด้วยแก้วเดียวป่ะ” ผมแสดงออกถึงความไม่ไว้ใจ ยิ่งมองหน้าเก่งกาจกับพี่ๆ คนอื่นรอบโต๊ะก็ยิ่งเคร่งเครียด มีแต่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มกับสายตาสะใจ

ไม่กินได้ไหมเนี่ย ให้ตาย

“สกาย แดก!”

ผมเบ้ปาก แต่ก็ยอมคว้าหลอดมาดูดเครื่องดื่มในแก้วช็อตใบเล็กนั้นลงท้องรวดเดียวหมด

รสชาติสุดจะบรรยาย รวมถึงความร้อนที่แผดเผาไปทั้งลำคอ ผมแทบสำลักในคราแรก ไอคอกแคกในลำคออยู่ไม่กี่ครั้งน้ำหูน้ำตาก็ไหล

“เฮียเอาอะไรให้ผมกินเนี่ย” ผมโวยวาย รู้สึกถึงความแรงของแอลกอฮอล์ที่ดื่มได้แปบเดียวก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ร่างกายไม่สามารถตั้งตรงได้เลยต้องเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดสภาพ

“ก็เหมือน B52 ที่เอ็งเคยกินละวะ” เฮียเต็มบอกพร้อมตบโต๊ะหัวเราะตอนเห็นสภาพผม

“ไม่เห็นเหมือนเลย” ผมเบ้หน้า ไอ้นี่มันแรงกว่าชัดๆ

“เหล้าอัปแซ็งต์เลยนะเว้ยสกาย มึงได้ลองของเด็ดเลยเนี่ย” เก่งกาจตบมืออย่างมีความสุข ทั้งยังแลบลิ้นหันไปทำตาอ้อนขอลองเครื่องดื่มแบบเดียวกับผมบ้าง ส่วนผมนั้นสภาพเริ่มล่อแล่ลงในทุกวินาทีที่ผ่านไป ราวกับว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ผมต้องตายลงไปแน่ๆ

แค่อึกเดียวเท่านั้น ยาสลบล้มช้างป่าวเนี่ย ผมสงสัย

“อัปแซงต์?” ผมที่เริ่มมึนเมาได้ที่ถามออกไปเสียงยานคาง และเป็นพี่คนอื่นที่นั่งข้างๆ เก่งกาจเป็นคนอธิบายให้ฟัง

“ภูติเขียวในตำนานไง ขวดที่ไอ้เต็มเอามาน่าจะแอลกอฮอล์ 70%”

ผมเบิกตากว้าง ตวัดสายตาไปมองเฮียเต็มที่นั่งยิ้มเต็มแก้มอยู่ข้างๆ แต่พอหันเร็วโลกเลยหวี่ยงให้วุ่น สุดท้ายผมต้องฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหมดสภาพแบบจริงจัง อาการชาแล่นลิ้วขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้า สมองผมทั้งเบลอทั้งล่องลอย คล้ายร่างกายเบาหวิวที่กำลังล่องไปในอากาศ

“เอ่อ... สกายใช่ไหมคะ”

ผมปรือดวงตาฉ่ำน้ำขึ้นไปตามเสียงเรียก ทัศนียภาพทุกอย่างทั้งพร่าทั้งเหวี่ยงไปมา แต่ผมกลับคลี่ยิ้มออกมาจนตายี อยู่ๆ ก็อยากหัวเราะขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ขำ

“ฮะ ฮ่าๆๆ ใช่ครับ” ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างโง่ๆ พยักหน้าให้ผู้หญิงสองคนที่เห็นหน้าค่าตากันไม่ชัด เฮียเต็มที่นั่งอยู่ข้างๆ คงสงสารเลยจัดการพูดคุยกับสองคนนั้นให้

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“คือ... พวกหนูอยากถ่ายรูปกับสกายค่ะ” ผมได้ยินประโยคนี้ไม่ค่อยชัด แต่พอจับใจความได้ว่ามีชื่อตัวเอง ก็เลยผงกหัวขึ้นมาฉีกยิ้มตาหยีให้สองคนนั้นอีกครั้งนึง

“ไอ้สกายโว้ย จะตกเก้าอี้อยู่แล้ว” เสียงเก่งกาจดังหึ่งๆ อยู่ไม่ไกล พร้อมกับแขนแข็งแรงของใครสักคนคว้าเข้าที่เอวของผมอย่างแรง ร่างกายที่โงนเงนนั่งไม่ตรงถูกดึงกระชากกลับไปยังอีกฝั่ง นั่นทำให้ผมรับรู้ว่าเมื่อสักครู่หัวตัวเองแทบปักลงบนพื้น

ตัวเบาจนลมพัดจะตกเก้าอี้เลยแหะ

ผมหัวเราะกับความคิดของตัวเอง ได้ยินเสียงเก่งบ่นพึมพำอะไรบางอย่างก่อนกดหัวผมให้พิงไหล่กว้างของมัน

“มันเมา น้องไปยืนข้างเก้าอี้มันแล้วกัน เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” ผมไม่รู้แล้วว่าเสียใครเป็นเสียงใคร เพราะคนบนโต๊ะแย่งกันพูดไปหมด หลังจากเสียงงุ้งงิ้งนั้นถกเถียงกันอยู่สักพัก ร่างกายปวกเปียกของผมก็ถูกจับให้นั่งตัวตรงหลังตรง โดยมีเก่งกาจคอยกำชับว่าให้นั่งดีๆ อยู่ตลอด

“หืมม อารายย” ผมโวยวายเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์

ผู้หญิงสองคนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเดินมายืนขนาบซ้ายขวาผม ก่อนจะฉีกยิ้มให้โทรศัพท์เครื่องหนึ่งที่ยกหันมาทางนี้ ผมขมวดคิ้วทำความเข้าใจกับตัวเองสักพักก่อนจะร้องอ๋อเบาๆ ว่าเขาจะถ่ายรูป

พอคิดได้ผมเลยชูสองนิ้วขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มโง่ๆ ให้กล้องไปหนึ่งที

“ขอบคุณนะคะ” เสียงโทนสูงของผู้หญิงทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน ผมหันซ้ายหันขวาไปมองด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณ อึก ค้าบบบ”

“พวกเราเป็นแฟนคลับสกายนะคะ”

“แฟนนนน ครับบบบบ” ผมออกเสียงรอเรือชัดจนตลกตัวเอง เก่งกาจกระชกคอเสื้อด้านหนึ่งของผมเอาไว้เมื่อร่างกายทำท่าจะเอนตกพื้นอีกรอบ

เหล้าเมื่อกี้ทำให้ตัวเบาขนาดนี้ได้ยังไง

ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ปัดทิ้งไปเมื่อบทสนทนากับเหล่าแฟนคลับยังไม่จบลง

“เพลงสกายกับพี่โฬมเพราะมากเลยค่ะ”

“ใช่ไหมล้า” ผมชูนิ้วโป้งออกมาอย่างภูมิใจ

“สู้ๆ นะคะ พวกเราซัพพอร์ตคู่สกายกับพี่โฬมเสมอเลยค่ะ”

ประโยคหลังนี้ผมเริ่มจับใจความไม่ได้แล้ว แต่พอได้ยินลางๆ ว่าอีกฝ่ายจะสนับสนุนพวกเราสองคน ผมเลยถลาตัวหมายจะเข้าไปกอดขอบคุณเสียหน่อย แต่เก่งกลับยื่นแขนมาล็อคคอผมไว้พร้อมผงกหัวขอบคุณผู้หญิงสองคนนั้นแทน

“ขอบคุณนะครับ ขอโทษด้วยที่มันเมาเป็นหมาแบบนี้”

“ไม่เป็นไรค่ะ น่ารักดี”

“ครับ”

“แต่สกายมาคนเดียวเหรอคะ พี่โฬมไม่ได้มาด้วย?”

“ไม่มาค้าบบ ไปถ่ายงาน อึก” ผมชิงตอบคำถามเกี่ยวกับคนรักก่อนที่เก่งจะได้พูดเสียอีก เจ้าของแขนใหญ่ๆ ที่ล็อคคอกันไว้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“เมาขนาดนี้พี่โฬมรู้ระวังจะโดนโกรธนะคะ”

ผมขมวดคิ้วขณะใช้สมองอืดๆ ของตัวเองประมวลผล

นั่นสิ โฬมต้องโกรธแน่เพราะผมเมาเละเทะ แต่อันที่จริงเมื่อกี้ซดไปแก้วเดียวเองนะ แก้วเดียวก็ไม่น่าเมาจนพี่โฬมโกรธหรอกมั้ง ผมสรุปกับตัวเองอย่างง่ายๆ

“ไม่โกรธหรอกค้าบ” ผมตบอกด้วยความมั่นใจ “ถ้าโกรธ อึก ผมจูบครั้งเดียวก็หาย- อ่อก!”

“ขอโทษนะครับ มันเมาแล้ว ต้องขอตัวพามันกลับบ้านก่อน” อยู่ๆ เก่งกาจก็ยัดกำปั้นเข้ามาในปากผม ก่อนจะยกทั้งร่างให้ลอยขึ้นไปพาดบ่า แอบได้ยินเสียงกรี๊ดกราดจนแสบหู แต่หัวที่หมุนเหวี่ยงราวกับอยู่บนรถไฟเหาะกลับดึงความสนใจผมไว้จนหมด

“เก่งงง มึนหัว”

“หุบปากไปเลยมึง”

“อะไรเล่าาา”

“ไอ้ห่า ขัดอารมณ์แดกเหล้ากูชิบหาย” เก่งกาจบ่นพึมพำก่อนลากผมออกมาจากสถานที่เสียงดังวุ่นวายนั้น จากนั้นไม่นานภาพของผมก็ตัดลงไป โดยไม่รู้เลยว่าคลิปวิดีโอพร้อมภาพตัวเองในคืนนี้ถูกอัพขึ้นโลกอินเตอร์เน็ต และเป็นประเด็นร้อนที่ภายในไม่กี่นาทีก็ติดเทรนด์อันดับหนึ่งในทวิตเตอร์








ผมตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงกว่าๆ ด้วยอาการมึนศีรษะอย่างหนัก เพดานห้องกับเฟอร์นิเจอร์ที่คุ้นตาบ่งบอกว่านี่เป็นคอนโดของผม แต่มันไม่ปกติเท่าไหร่เพราะมีร่างเก้งก้างของเก่งกาจนอนเปลือยอกอยู่ข้างๆ ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างบากลำบาก ครางเครือในลำคอด้วยความทรมาน

ปวดหัวมากเลยให้ตายเถอะ

ผมจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมตัวเองถึงกลับมานอนที่คอนโดได้ ภาพมันตัดไปตั้งแต่ไหนไม่ทราบ แต่เมื่อคว้ามือถือที่กองอยู่ปลายเท้าขึ้นมาดูก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

มิสคอลของโฬมกว่าสิบสาย รวมถึงการแท็กจากคนไม่รู้จักทั้งในทวิตและอินสตราแกรมเป็นร้อยๆ แจ้งเตือน

ผมกดเข้าไปดูด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เลือกเมินมิสคอลของโฬมไว้ก่อนเพราะเขาโทรมาตั้งแต่เมื่อตอนเช้าตรู่ แอพแรกที่ผมกดเข้าไปดูคืออินสตราแกรม หน้าแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กรูปและคลิปวิดีโอเข้ามามากมาย และพอกดเข้าไปดูเลยรู้ว่าเมื่อคืนผมทำเรื่องงาหน้าไว้ไม่น้อยเลย

จะร้องไห้แล้ว

ผมเมินคลิปที่ตัวเองคุยกับแฟนคลับด้วยอาการเมาเต็มที่ไป เลือกเข้าแอพทวิตเตอร์เพื่อเช็คกระแสอย่างหวาดกลัว ในแฮซแท็กโฬมฟ้ายังมีแต่คนพูดถึงเรื่องนี้ หัวใจผมชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อทุกคนไม่ได้ต่อต้านกับประโยคที่ผมหลุดออกไปอย่างจะจูบโฬมเพื่อง้อ แถมบรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าสาววายยังกรี๊ดกร๊าดอย่างมีความสุข ข้อความที่ผ่านตาแต่ละอันล้วนเรียกริ้วแดงบนหน้าผมให้ชัดขึ้นทีละนิด และไม่นานทั้งหน้าผมก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

สิ่งที่ทำให้ผมอยากปาโทรศัพท์ทิ้งที่สุดคงเปนแฟนอาร์ตสิบแปดบวกที่อิงสถานการณ์จากในคลิปนั่น ทั้งยังมีแฟนฟิคที่ผมกดเข้าไปอ่านแล้วต้องปิดออกทันทีด้วยความจั๊กจี๊หัวใจ

ให้ตาย กระแสแบบนี้ไม่รู้ดีหรือแย่กันเนี่ย

ผมกัดปากตัวเองอย่างคิดหนัก ทั้งยังเขินอายจนไม่รู้จะมุดหน้าไปซุกไว้ที่ไหน กว่าจะทำใจลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ก็เกือบชั่วโมง

ไม่กล้าสู้หน้าโฬมเลยครับแบบนี้

Rrrrrrrrr

“เฮ้ย!”

เพิ่งคิดถึง หน้าจอโทรศัพท์ก็โชว์ชื่อ ‘พี่โฬม’ หราเชียว

ไม่รับได้ไหมครับ ให้ตาย


________________________
Talk: มาแล้วค่าาาา
เจ้าสกายใกล้จบแล้ว ที่เรากะไว้ประมาณ 4-5 ตอนน่าจะจบ
จริงๆ ตอนนี้เราเก็บพล็อตที่วางไว้ไม่ครบเลย ฮือออ แต่ต้องตัดแล้วเพราะยาวเกินไป  :hao5: :hao5:
ตอนต่อไปจะรีบมาค่ะ มาเข้าโค้งสุดท้ายกับน้องสกายและพี่โฬมกันนน

ฝากติชมด้วยนะคะ ตรงไหนยืดเยื้อ ตรงไหนไม่ได้ศัพท์มีแต่น้ำเกินไป ก็ติดชมได้นะคะ
รักทุกคนเลยยยยยยย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 22 [17-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 17-12-2018 18:35:58
แง จะจบแล้วเหรอคะ จริงๆเราว่าเนื้อเรื่องไม่ได้ยาวไปเลยนะคะ อยากอ่านไปเรื่อยๆ แหะๆ เรื่องสนุกมากๆเลยค่ะ ชอบพัฒนาการของตัวละครแล้วก็แง่คิดเรื่องความรักของเพศเดียวกันด้วย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 22 [17-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-12-2018 18:49:13
 :-[

เขิลเลย

 :L2: :pig4:

อยากอ่านหลายๆตอนเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 22 [17-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 18-12-2018 11:01:03
รับเถอะ​ :-[  อยากเห็นคนเขิน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 22 [17-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-12-2018 12:05:52
จะโดนไรมั้ยน้อออ  :hao7:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 22 [17-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 18-12-2018 22:37:22
โดนฟาดแน่นวลลลล
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 24-12-2018 21:02:29
บทที่ 23



Rrrrrrrrr

“เฮ้ย!”

ผมสะดุ้งหลุดร้องเสียงหลง แทบทำโทรศัพท์ตกพื้น นิ้วสั่นๆ วางอยู่บนปุ่มรับสายอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายก็สไลด์เพื่อรับสายแม้หัวใจจะยังไม่พร้อมเผชิญหน้าเลยสักนิด

“คะ ครับ”

[ฟ้าครับ]

เสียงโฬมยังนุ่มนวลเหมือนปกติ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงนั่งหลังตรงแหน่วด้วยความหวั่นเกรง

“พี่โฬม...ว่างแล้วเหรอครับ”

[ฟ้า]

“อ๊ะ ครับ”

[เป็นเด็กดื้ออีกแล้วนะครับ]

มาแบบนี้คือไม่รอดใช่ไหม ผมถามตัวเองอย่างรู้ชะตากรรม

[ฟ้ารู้ใช่ไหมว่าต้องโดนลงโทษ] เสียงปลายสายขรึมขึ้นมาจากปกติ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นนุ่มนวลอยู่ไม่น้อย ผมก้มหน้าลง แนบคางชิดกับอกพลางเถียงข้างๆ คูๆ ไปอย่างนั้น

“ผมกินไปแก้วเดียวเอง”

[ถ้ากินแล้วเมาเละเทะก็ผิดนะครับ]

“ครับ” เสียงอ่อยลงทันทีเหมือนไม่อยากยอมรับ

[ตามสัญญาครับ ผิดก็ต้องลงโทษ]

ผมเม้มปาก สมองวนคิดไปถึงบทลงโทษที่เคยตกลงกันไว้เมื่อไม่นานมานี้ ถ้าผมหรือโฬมทำผิดจะต้องชดใช้ตามความต้องการของอีกฝ่าย...

ครับ และทันทีที่คนตัวสูงในชุดสบายๆ เดินออกมาจากเกตตอนเวลาสองทุ่มกว่าๆ ผมก็ถูกจับไปลงโทษตามคำสัญญาทันที

“อื้ออ พี่โฬม” ร่างของพวกเราเบียดกันอยู่ในรถเก๋งที่ติดฟิล์มดำสนิท คนที่ควรเหนื่อยล้ากับการทำงานและเดินทางมาตลอดวันกลับมีแรงมากกว่าผมที่กินๆ นอนๆ อยู่ในห้อง โฬมดันผมให้ขึ้นมานั่งซ้อนบนตัก กอดเอวไว้แน่นก่อนใช้สายตาบังคับให้ผมทำตามคำสั่ง

ผมจำเป็นต้องโน้มหน้าลงไปหา แนบริมฝีปากประกบอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายชักนำ ไม่ตอบสนองและรุกล้ำเข้ามาก่อน มีเพียงรอยยิ้มเล็กๆ กับดวงตาแพรวพราวอย่างคนอารมณ์ดี อ้อมกอดอุ่นยังรัดกันแน่นไม่มีคลาย ไอร้อนจากกายหนาแทรกผ่านอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศภายในรถ เสริมความอบอุ่นให้แก่ร่างกายที่มีเพียงเสื้อผ้าเบาบาง

ผิวปากของเราสัมผัสกันอย่างเชื่องช้า น้อยนักที่ผมจะเป็นฝ่ายขับเคลื่อนด้วยตัวเอง จากความเขินอายหรือไม่ประสาในทางนี้ นั่นจึงกลายเป็นบทลงโทษที่โฬมเขียนขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพึงใจ ผมต้องไล่ต้อนจนกว่าเขาจะตอบรับจูบไร้เดียงสานี้ไว้ แต่เนิ่นนานจนลมหายในติดขัดโฬมก็ยังนั่งนิ่งเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นผมนั่นเองที่พ่ายแพ้และต้องถอนหน้าตัวเองออกมา

“ใช้ไม่ได้เลยนะครับ”

“ฮื้อ ขอโทษครับ” ถูกดุอย่างไม่พอใจแบบนั้นผมจึงได้แต่พึมพำขอโทษออกไป

โฬมหัวเราะเบาๆ “ไม่แกล้งแล้วครับ”

นิ้วเรียวปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกให้ ก่อนจะพยักเพยิดให้กลับไปนั่งที่ให้เรียบร้อย ส่วนตัวโฬมจะเป็นคนขับรถให้เอง เขาช่วยดันสะโพกให้ผมปีนข้ามไปนั่งที่เบาะข้างเคียง ดึงสายรัดมาพาดลำตัวให้อย่างเอาใจใส่ ก่อนจากไปยังไม่วายกดจมูกลงมาหอมแก้มเบาๆ ไปตั้งสองที

ตั้งแต่คบกันก็เรียนรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้นอกจากขี้หึง ยังชอบฉวยโอกาสอยู่บ่อยๆ

“ไว้ฝึกมาใหม่นะครับ”

“ไม่ทำผิดอีกแล้วล่ะครับ” ผมเถียงไปพลางแกล้งทำเป็นเบ้ปาก โฬมหัวเราะเบาๆ ก่อนกลับมาสนใจพวงมาลัยและทางด้านหน้าแทน

ตัวรถยนต์คล่อยๆ เคลื่อนออกจากสถานที่จอดอย่างนุ่มนวล สามทุ่มแล้วทำให้รถบนถนนพอโล่งขึ้นมาบ้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไปถ่ายรายการไม่ทันเนื่องจากสถานที่ถ่ายทำอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ผมไม่มีอะไรทำเพราะนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถได้แต่หยิบมือถือขึ้นมาไถเล่น

แฮทแท็ก #โฬมฟ้า ยังเป็นประเด็นไม่สร่างสา เพราะตอนที่โฬมลงเครื่องนั้นมีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยมารอรับ และทางออกเกตก็มีทางเดียว ผมที่เด่นอยู่แล้วจากการแต่งตัวจึงยิ่งเด่นเข้าไปอีกเพราะเหล่าแฟนๆ ของโฬมผลักให้ผมไปยืนอยู่ด้านหน้าพลางถอยห่างออกไปเป็นเมตรเพื่อช่วยสร้างสถานการณ์ ไอ้ในสนามบินก็มีแค่เสียงกรี๊ดนั่นแหละผมเลยยังยืนอยู่ได้ แต่พอเข้ามาในโลกโซเชียล หน้าผมก็อดร้อนผ่าวไม่ได้หลังจากอ่านทวิตของแต่ละคนในแฮทแท็กนั่น



‘เขามารับกันที่สนาบินด้วยแหละแก #โฬมฟ้า’

‘คนพี่เดินยิ้มออกมาหน้าบานเลยจ้า แถมปกติพี่โฬมต้องยืนคุยยืนถ่ายรูปกับแฟนคลับก่อน แต่คราวนี้พอถึงตัวน้องสกายก็คว้าข้อมือแล้วลากกันออกไปทันที รู้หรอกว่าคิดถึง #โฬมฟ้า’

‘จะมีคนงอนจนได้จูบง้อไหมนะ //แนบคลิปเมื่อคืน #โฬมฟ้า’

‘เรือนี้สบายจังนะ กัปตันเขาพายกันเอง #โฬมฟ้า’

‘น้องฟ้าวันนี้น่ารักจังเลยค่ะ #ทวงคืนน้องสกายจากพี่โฬม #โฬมฟ้า’




ถึงผมจะเขินแต่ผมก็ยังอ่านต่อไป ทั้งยังอดขำไม่ได้กับข้อความล่าสุดที่เห็น ด้วยความสนใจจึงกดเข้าไปในแฮทแท็ก #ทวงคืนน้องสกายจากพี่โฬม กลายเป็นว่ายิ่งอ่านยิ่งขำจนหน้าดำหน้าแดง

“ขำอะไรขนาดนั้นครับฟ้า” โฬมหันมามองด้วยความสนใจ ถ้าไม่ได้อยู่บนรถโฬมคงชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยแล้ว

“ในทวิตครับ มีแท็กทวงคืนผมจากพี่โฬมด้วย”

“ไหนครับ” คนหลังพวงมาลัยแบมือมาขอโทรศัพท์ แต่ผมรอจนรถชะลอจอกที่ไฟแดงถึงค่อยส่งให้เขาดู โฬมเลื่อนหน้าจอมือถืออยู่พักหนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มกว้างถึงดวงตาออกมา

“ไม่ให้คืนนะครับ หวง”

“มาบอกผมทำไมล่ะครับ” ผมเขินแต่ทำใจกล้าพูดออกไปแบบนั้น โฬมยังไม่ยอมคืนโทรศัพท์แต่กดบางอย่างยิกๆ อย่างรีบร้อน ต้องรอจนไฟแดงนับถอยหลังจวนเจียนจะหมดผมถึงค่อยได้โทรศัพท์คืนมา

ไม่ต้องสงสัยให้มากความสิ่งบนหน้าจอก็ตอบคำถามผมได้เรียบร้อยแล้ว เพราะโฬม ลภณกดโพสรูปคู่ระหว่างผมกับเขาที่เคยถ่ายเก็บไว้ในเครื่องลงไอจี ก่อนตั้งแคปชั่นว่า ‘ไม่ให้คืน หวง’ ด้วยทั้งๆ ที่เป็นแอคเคาท์อินสตราแกรมของผม และเพียงไม่กี่วินาทีบรรดาแฟนคลับทั้งของผมและของเขาต่างมาถล่มเม้นที่ใต้รูปภาพจนผมต้องกดปิดแจ้งเตือนไปก่อนเครื่องจะค้างใช้งานไม่ได้

หลังจากนั่งเล่นอยู่บนรถได้ราวๆ สามสิบนาทีก็ถึงจุดหมายปลายทาง โฬมตบไฟเลี้ยวเข้าตึกสูงใหญ่ของช่องโทรทัศน์ เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้วผมก็เอี้ยวตัวไปยังเบาะหลังเพื่อควานหาของที่ต้องการ เป็นถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อที่เตรียมไว้ให้คนทำงานหนักกินร้องท้อง อาจจะไม่เยอะมากแต่ก็ดีกว่าต้องหิ้วท้องหิวๆ ไปถ่ายรายการจนดึก

“ขอบคุณครับ” โฬมรับถุงพลาสติกไปเปิดดูก่อนฉีกยิ้มส่งมาให้ เขาฉีกถุงขนมปังออกและรีบยัดลงท้องอย่างต้องการทำเวลา ตามด้วยนมกล่องนึงกับน้ำเปล่าขวดเล็กสำหรับล้างปาก หลังจากจัดการตัวเองเสร็จสิ้นพวกเราก็ลงจากรถและเดินเข้าตึกไปพร้อมกัน ก่อนหน้านั้นโฬมโทรบอกทางรายการแล้วทำให้มีทีมงานหญิงชายสองคนมายืนชะเง้อคอมองอยู่ที่ห้องโถง

“สวัสดีค่ะ/ครับคุณโฬม คุณสกาย”

พวกเราผงกหัวรับคำทักทาย คุยกันได้ไม่กี่ประโยคทีมงานทั้งสองก็พาเดินขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่สิบสอง ซึ่งเป็นตำแหน่งของห้องที่ใช้ถ่ายทำรายการ

“เดี๋ยวคุณสกายนั่งรอทางนี้เลยนะคะ” ทีมงานผู้หญิงคนที่นำทางมาชี้นิ้วไปยังเก้าอี้มุมห้องตัวหนึ่ง มีคนอื่นๆ นั่งอยู่ประปราย ผมฉีกยิ้มเข้าสู้ตอนเดินผ่านทีมงานทุกคนภายในห้อง ส่วนโฬมแยกไปแต่งหน้าแต่งตัวอีกทางแล้ว รายการนี้เป็นรายการที่ถ่ายทอดสดตอนสี่ทุ่มตรงพอดี ทำให้ภายในห้องวิ่งวุ่นกันไม่น้อยเนื่องจากใกล้เวลาเข้ามาทุกที

ผมนั่งกดโทรศัพท์เล่นฆ่าเวลา ไม่นานนักนาฬิกาก็เคลื่อนมาถึงเลข 22.00 น. เสียงเพลงเปิดรายการดังกระหึ่มห้อง จากนั้นพิธีกรที่นั่งบนโซฟาสีครีมกลางห้องจะฉีกยิ้มให้กล้องและเริ่มพูดสคริปต์เพื่อเข้ารายการ

ที่บนเวทีถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย ผนังด้านหลังเป็นโลโก้สปอนเซอร์ มีของตกแต่งอยู่ด้านข้างเล็กๆ น้อยๆ เฟอร์นิเจอร์มีเพียงโซฟาสามตัวกับโต๊ะกระจกสำหรับวางถ้วยชากาแฟตัวหนึ่ง พิธีกรรายการเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งซึ่งนับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อยในประเทศ ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์เพื่อดูสิ่งตรงหน้าด้วยความสนใจ

“วันนี้แขกรับเชิญเราพิเศษสุดๆ ไปเลยนะคะ”

“ใช่ครับ เพราะเขากำลังโด่งดังจนไม่ว่าใครก็ไม่มีทางไม่รู้จักแน่ๆ”

“อดใจรอไม่ไหวแล้วค่ะ” พิธีกรสาวทำท่าทางตื่นเต้นได้น่ารักจนผมอดยิ้มตามไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้น เชิญคุณโฬม ลภณออกมาทอล์คๆ กันกับเราเลยครับ”

แปะๆๆๆ

เสียงปรบมือจากหน้าม้ากระหึ่มดังทั่วสตูฯ ผมร่วมปรบมือด้วยพลางมองคนตัวสูงในเสื้อผ้าที่ดูดีขึ้นจากตอนแรก ทรงผมถูกเซ็ตขึ้นไปโชว์หน้าผากได้รูปกับใบหน้าที่ได้รับการแต่งจากช่างแต่งหน้ามืออาชีพ อย่างไรก็ตามโฬมยังคงดูดีเสมอ และยิ่งตอนนี้เขาไม่ได้ดูอมทุกข์เหมือนเก่า รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งแพร่กระจายความสดใสให้คนทั่วบริเวณเลยทีเดียว

“สวัสดีค่า คุณโฬม”

“สวัสดีครับ”

“เห็นว่าเพิ่งลงเครื่องก็รีบมาถ่ายรายการต่อเลย เหนื่อยแย่เลยนะคะ”

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ ผมชอบทำงาน” โฬมยิ้มให้ทั้งพิธีกรทั้งกล้องที่ขยับไปซูมใบหน้าของเขา หลังจากทักทายถามไถ่พอเป็นกระสัย เนื้อหาของรายการก็เริ่มเข้าประเด็นต่างๆ ตามสคริป

เป็นปกติที่โฬมจะถูกถามเกี่ยวกับประเด็นทางเพศ การเป็นเกย์และความรักของเพศเดียวกัน รวมถึงเหตุผลว่าทำไมถึงทำเพลงนั้นขึ้นมาร่วมกันกับผม เรียกว่าเป็นคำถามยอดฮิตตั้งแต่เพลงออกใหม่ๆ จนตอนนี้เลยทีเดียว โฬมก็เตรียมคำตอบไว้หมดแล้วเลยพูดออกมาคล่องปร๋อ ทั้งยังฝากผลงานเพลงใหม่ที่กำลังจะออกเร็วๆ นี้อีกด้วย

ทางรายการพักเบรกบทสัมภาษณ์ด้วยการเล่นสนุกเล็กๆ น้อยๆ อย่างการทดสอบความสามารถพิเศษของโฬม ให้ร้องเพลงโชว์รวมถึงแสดงละครให้คนดูได้ชมนิดหน่อยด้วย

ผมยิ้มบ้าง หัวเราะบ้างเพราะโฬมเก่งมาก เขาทั้งคุยเก่งทั้งยังสุภาพ ลักยิ้มกับฟันเขี้ยวก็ยังมีเสน่ห์เหมือนเคย ฟีดแบ็กรายการนี้น่าจะออกมาดีไม่น้อย เพราะขนาดผมเห็นเบื้องหลังทั้งหมดยังรู้สึกมีความสุขที่ได้ดูเลย

“เอาล่ะครับ มาถึงช่วงท้ายของรายการแล้ว น่าเสียดายมากจริงๆ”

“ค่ะ ช่วงสุดท้ายแล้วนะคะ จากประเด็นที่ได้ถามทิ้งไว้ในเบรกที่แล้วถึงเรื่องข่าวเก่าๆ ของคุณโฬม ขอทราบได้ไหมคะว่าตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้างที่เจอกระแสแอนตี้รุนแรงแบบนั้น”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โฬมเจอคำถามแบบนี้ เขาเลยยังยิ้มและตอบคำถามอย่างสบายๆ

“ก็แย่เหมือนกันครับตอนนั้น ผมถามตัวเองตลอดเลยว่าทำอะไรผิด แต่สุดท้ายก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำอะไรผิด เลยอดทนต่อไปครับ”

“แล้วที่ว่าถูกให้ออกจากค่ายเพลง และถูกแบนจากหลายบริษัทนี่จริงไหมครับ”

“ผมออกจากค่ายจริงครับ อย่างที่ทุกคนรู้ตอนนี้ผมเป็นศิลปินอิสระ” โฬมยังคงยิ้มไม่มีหลุด ผมรู้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบหนักหนากับเขาอีกแล้วเลยนั่งมองต่อไปอย่างเงียบเชียบ “แต่เรื่องโดนแบนไม่เป็นความจริงครับ ตอนนั้นตัวผมเองมีแต่กระแสด้านลบ ทั้งภาพลักษณ์ก็ป่นปี้ไปหมด เป็นเรื่องปกติครับถ้าจะถูกถอดจากพรีเซนเตอร์ ผมเข้าใจและโทษใครในเรื่องนี้”

“แล้วคุณโฬมรู้ตัวว่าเป็นเกย์มาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ พอจะบอกได้ไหม” พิธีกรสาวถามอย่างหยั่งเชิง แต่เมื่อโฬมพยักหน้าเธอเลยปล่อยให้แขกรับเชิญพูดต่อ

“ตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ เคยคบกับผู้หญิงแล้วมันไม่ใช่” เขาหัวเราะเบาๆ “จากนั้นก็ลองมองผู้ชายมาตลอด”

“มีแฟนมาแล้วกี่คนคะเนี่ย หล่อขนาดนี้ถ้าดิฉันเป็นผู้ชายจะจีบคุณโฬมก่อนเลยค่ะ”

“ฮ่าๆ ผมเคยมีแฟนมาแค่คนเดียวครับ” โฬมย้ำคำว่าเคยอย่างต้องการย้ำว่าเป็นความสัมพันธ์เก่าเก็บไม่น่าสนใจ ทว่าคนอื่นกลับไม่คิดแบบนั้น

“เอ๊ะ แฟนคนเดียวนี่คือคนที่เป็นข่าวรึเปล่าคะ”

“ใช่ครับ”

“พูดถึงเรื่องนี้พอดี” คราวนี้เป็นพิธีกรชายที่แทรกประโยคนี้ขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณโฬมเห็นหรือยังครับ ที่แฟนเก่าของคุณโพสต์สเตตัสบนเฟสบุ๊คส่วนตัวของเขาเมื่อตอนสองทุ่ม”

“ค...ครับ?” มุมปากของโฬมที่ยกสูงค่อยๆ ตกลง รวมถึงผมที่อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจ

“นี่ครับ เดี๋ยวให้ทีมงานเอาภาพขึ้นให้ดู” พิธีกรยกมือให้สัญญาณ จากนั้นถึงนาทีภาพสเตตัสบนเฟสบุ๊คของคนที่ถูกพูดถึงก็เด้งโชว์ขึ้นมาบนจอโทรทัศน์ข้างๆ ตากล้อง ผมขยับตัวชะโงกหัวไปดูและอ่านข้อความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ



หลายเดือนก่อนมาขอคืนดี วันนี้มีข่าวกับคนใหม่
ไม่ยอมรับว่าคบแต่ดูจากดาวอังคารก็รู้ เด็กเลี้ยงแกะ




สเตตัสไม่สั้นไม่ยาวที่ทำเอาสมองผมมึนเบลอไปหมด ส่วนโฬมเขานิ่งไปแล้วหลังจากอ่านข้อความบนหน้าจอจบลง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแน่น ทั้งริมฝีปากก็ไม่เหลือร่องรอยของรอยยิ้มไว้อีกแล้ว

“ครับ” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้บรรยากาศถูกกดลงจนไม่เหลือความสนุกแบบช่วงต้นรายการ

แต่ดูท่านี่จะเป็นสิ่งที่ต้องการของพิธีกรแล้ว เพราะนอกจากพวกเขาจะไม่พยายามแก้ไขบรรยากาศที่มาคุจนหนาวติดลบ กลับยังพยายามขยี้ประเด็นนี้ต่อไป จอคอมพิวเตอร์ของทีมงานคนหนึ่งฉายจำนวนยอดวิวคนเข้ามาดูไลฟ์สดรายการในแฟนเพจที่พุ่งขึ้นไปเป็นจำนวนมากแล้วผมก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

“จากสเตตัสเก่าของคุณไอซ์ อดีตคนรักของคุณโฬมได้บอกว่าคุณโฬมเคยมีแฟนมาแล้วหนึ่งคน แต่เมื่อสักครู่คุณโฬมบอกเราว่าเคยมีแฟนมาแค่คนเดียว พอจะอธิบายได้ไหมครับ”

“ครับ ที่เคยคบเป็นแฟนมีคนเดียวครับ คนอื่นๆ ก็คุยๆ กันแต่ไม่เคยได้คบ” โฬมตอบโดยที่ใบหน้าบึ้งตึงไปแล้ว ผมเม้มปากแน่นนึกอยากเดินไปกดปิดกล้องแล้วกระชากแขนโฬมวิ่งหนีออกมา แต่เมื่อทำไม่ได้เลยต้องยอมทนให้เขานั่งอยู่ท่ามกลางธนูห่าใหญ่ที่พร้อมพุ่งเข้ามาเสียบร่าง ในจังหวะนี้จะให้นั่งอยู่เฉยๆ ก็นั่งไม่ติดผมเลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหลบที่มุมห้องอย่างเป็นกังวล

รายการนี้กำลังจะดึงเรตติ้งจะเรื่องคาวๆ ใครจะไม่รู้

ผมก็สงสัยแต่แรกแล้วว่าเขาจะพูดถึงประเด็นพวกนี้ที่รายการต่างๆ เคยสัมภาษณ์ไปแล้วทำไม ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่ามันคือการเกริ่นนำเพื่อเข้าสู้เนื้อเรื่องจริงๆ ที่พวกเขาต้องการ

“แล้วเรื่องที่ว่าขอคืนดีล่ะคะ”

“ไม่เป็นความจริงครับ”

“คบกับคุณสกายจริงไหมครับ”

“...” โฬมเงียบไปราวกับเป็นคำถามที่ตอบไม่ถูก ผมจะไม่ว่าเลยถ้าเขาปฏิเสธ ด้วยว่าอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราเปิดตัวอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ การปฏิเสธไปคงดีที่สุด แต่โฬมกลับทำเพียงเหลือบตามามองผมก่อนปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบแทน

“พอจะบอกได้ไหมคะ ว่าเลิกกับคุณไอซ์ด้วยเรื่องอะไร”

“เรื่องส่วนตัวครับ” สีหน้าโฬมไม่ค่อยดีนัก เขาไม่ยิ้มเหมือนก่อนอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าโมโห มีแต่ความอดกลั้นและข่มความเสียใจมากมายไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งสนิท ผมเม้มปากแน่นกว่าเก่า นึกเจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนอยู่เฉยๆ และมองคนรักโดนรุมยำเละเทะ

“คุณโฬมไม่ค่อยพูดเลยนะคะ”

“ไม่สะดวกจะตอบเรื่องพวกนี้ครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” พิธีกรสาวฉีกยิ้มใจดี แต่ตอนนี้ผมไม่ยอมถูกรอยยิ้มอาบยาพิษนั้นหลอกอีกแล้ว หัวใจผมกระตกเมื่อบางอย่างย้ำเตือนว่ามันไม่มีทางจบเพียงแค่นี้

และแน่นอน มันไม่ได้จบแค่นี้จริงๆ...

“ทางเรามีแขกรับเชิญพิเศษจะมาตอบคำถามเรื่องพวกนี้แทนคุณโฬม”

มีเสียงปรบมือดงกระหึ่ง พร้อมกับไฟในห้องส่งที่หรี่ลง ก่อนสปอร์ตไลท์จะฉายไปยังฉากด้านหลังโซฟาที่มีใครบางคนเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม

ใครคนนั้นสูงกว่าผมเล็กน้อย แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีแดงลายสก็อตกับกางเกงยีนส์เข้ารูป บนอกมีแว่นกันแดดห้อยอยู่พร้อมใบหน้าที่นับว่าดูดีทีเดียว จมูกโด่งที่ดูออกมาไม่เป็นธรรมชาติ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเสริมให้แขกคนใหม่คนนี้ดูดีขึ้นกว่าในรูปที่ผมเคยเห็น
เขาคนนั้นเดินค้อมตัวเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้าง ใช้มือลูบผมสีดำตัดสั้นของตัวเองอย่างเขินอาย มองผ่านโฬมราวกับธาตุอากาศก่อนขยับเข้าไปนั่งยังโซฟาที่ถูกเตรียมไว้ให้ตน

“แขกรับเชิญพิเศษของเรานะคะ คุณไอซ์ค่ะ!!”

เสียงปรบมือไม่ว่าจะดังมากเท่าไหร่ แต่คงดังไม่เท่าหัวใจของผมที่เต้นอยู่ในอกข้างซ้าย

ผมมองคนๆ นั้น สลับกับโฬมที่สีหน้าซีดเซียวไม่สู้ดีนัก นิ้วทั้งสิบแบกออกแล้วกำเข้าตัวอยู่หลายรอบเพราะผมรู้สึกถึงไอความร้อนจากอารมณ์ที่เดือดปุดๆ

พวกเขาเล่นกันถึงขนาดนี้

ถึงขนาดเชิญแฟนเก่าของโฬมมา!


_________________
Talk: วิ่งหลบระเบิดก่อนเลย
มาช้าแลวยังพานังไอซ์มาด้วย ขอโทษค่าาาาาาา
มาเอาใจช่วยให้คุณโฬมผ่านปมสุดท้ายของตัวเองไปได้ด้วยน้าาาา

รักทุกคน จุ้บบบ
เมอร์รี่คริสมาสต์ค่าาาา  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 24-12-2018 22:24:42
……

อ่านบทนี้แล้วก้อนึกได้ว่า วงการบันเทิงนี่สวมหน้ากากเข้าหากันเพื่อเรทติ้งและชื่อเสียงกันจริงๆ

เซอร์ไพรส์โฬมแบบเชือดเชือน  ไอซ์มาเพื่อเรียกกระแสให้ตัวเอง เลิกแล้วยังตามจองเวรกัน


 :m16:  :m31:  :fire:  :angry2:  :serius2:  :beat:  :z6:


ฟ้า ยืนให้นิ่งและมั่นคงเพื่อเป็นกำลังใจให้พี่โฬมนะ

แต่คิดว่าด้วยประสบการณ์ของโฬมต้องแก้เหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ได้แน่นวลลลล

เชียร์#โฬมฟ้า


 o13  :bye2:   o13  :bye2:   o13  :bye2:   o13  :bye2:






หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Josett ที่ 24-12-2018 23:08:55
รายการช่องอะไรร ชั้นจะไปเผาตึกมันเดี๋ยวนี้ ฟ้านิ่งไว้ลูก เดี๋ยวแม่ไปกระทืบมันเองงง :z6:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-12-2018 23:57:50
ง่าาาาา ทำไมใจร้าย

 :o12:

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-12-2018 23:59:52
รายการบ้าอะไรเนี่ย โคตรงี่เง่าไร้จรรยาบรรณสุดๆไปเลย พี่โฬมกับน้องสกายตั้งสติเอาไว้ดีๆนะคะ แล้วใส่เกียร์สู้มันไปเลยค่ะ โมโหแทนเลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 25-12-2018 01:19:06
โอโห รายการนี้ต้องถูกแบน

ค้างคาาาาา ฮือออ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-12-2018 11:58:49
อยู่กันดีๆไม่ได้ใช่มั้ย :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 23 [24-Dec-18] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 25-12-2018 14:46:25
เอาใจช่วยพี่โฬมกับน้องฟ้า ต้องผ่านมันไปได้แน่ๆ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 02-01-2019 21:28:22
บทที่ 24



เสียงดนตรีคลอประกอบการถ่ายทำฟังดูสนุกสนาน

เสียงหัวเราะของคนในห้องส่งก็เช่นกัน

ทุกคนมีความสุขกับแขกรับเชิญคนใหม่ที่กำลังคลี่ยิ้มพูดเสียงเจือยแจ้วอยู่บนเวที ไอซ์เป็นคนพูดเก่ง ยิ้มเก่ง และมีวีธีการเล่นคำเล่นมุกแบบแพรวพราว เขาแทบจะกดทับให้โฬมตัวหดเหลือไม่ถึงคืบ ชายผู้เคยส่องประกายในตอนต้นรายการ นั่งหนีบขาเรียบร้อย กอบกุมมือตัวเองไว้บนตักและพยายามยิ้มรับทุกครั้งที่กล่องแพนกลับเข้าหาตน

คำถามคุดคุ้ยถึงอดีตมากมายถูกซัดเข้าใส่แขกรับเชิญทั้งสองคนแบบไม่มีให้พัก แต่มีแค่เสียงของคนๆ เดียวตอบกลับอย่างเต็มใจ ผมรู้ว่าโฬมอยากพูดอะไรบ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถตะโกนแทรกเข้าไปได้ เพราะนอกจากจะไม่เป็นการไม่สุภาพแล้ว โฬมก็ไม่ได้มีนิสัยโผงผางอะไรแบบนั้น

ถ้าโฬมกล้าพอ ขอแค่เขากล้าพอที่จะแย้งออกไปว่ามันไม่ใช่ เรื่องทุกอย่างคงจบตั้งแต่ครั้งแรกที่โดนโจมตี แต่เพราะผู้ชายคนนี้ไม่กล้าที่จะหักหน้าคนรักเก่าของตัวเองแบบนั้น...

เขาถึงต้องเผชิญหน้ากับปากเหวอีกครั้ง พร้อมกับเท้าของใครหลายคู่ที่เตรียมเตะถีบเขากลับลงไปสู่จุดต่ำสุดของชีวิต

ผมได้แต่กำหมัดและกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น นึกอยากพุ่งเข้าไปกระชากคอทั้งพิธีกรทั้งแฟนเก่าของแฟนผมมาเขย่าแรงๆ ว่าเป็นอะไรนักหนา จะจองล้างจองผลาญกันไปทำไม

โฬมไม่เคยให้ข่าวว่าร้ายคนรักเก่าตัวเองเลยสักครั้ง

เขาให้เกียรติทุกคนเสมอ แต่ตอนนี้ไม่มีใครให้เกียรติเขาเลยสักนิด ผมโคตรหงุดหงิด หงุดหงิดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต

“ที่คุณไอซ์อัพสเตตัสนี้ หมายความว่ายังไงคะ” ผมนิ่งฟังคำถามที่รีบเข้าประเด็นอย่างเร็วรี่หลังจากถกเรื่องเก่าก่อนมาเนิ่นนาน สงสัยชีวิตรักแบบเกย์ๆ มันจะขายไม่ได้นัก ถึงได้ย้อนกลับมาสนใจประเด็นหลังเตียงหักเสียมากกว่า

ผมหงุดหงิดจริงๆ ครับ ถ้าเผลอประชดประชันอะไรไปก็ขอโทษทุกคนด้วย

แต่จะให้นั่งฟังแบบใจสงบนิ่ง มันก็คงทำไม่ได้!

“อ๋อ ก็ตามข้อความบนนั้นเลยครับ” ไอซ์ยิ้มแล้วชี้ไปที่จอมอนิเตอร์ซึ่งฉายข้อความบนหน้าเฟสบุ๊คของตนเอง ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้งพลางขมวดคิ้ว



‘หลายเดือนก่อนมาขอคืนดี วันนี้มีข่าวกับคนใหม่

ไม่ยอมรับว่าคบแต่ดูจากดาวอังคารก็รู้ เด็กเลี้ยงแกะ’




“ขอคืนดีนี่คืออะไรครับ คุณโฬมมาขอคืนดีกับคุณไอซ์เหรอครับ”

หลายเดือนก่อนพวกเรายังทำเพลงกันอยู่เลย ผมเลื่อนสายตาไปสำรวจใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเซียวลงในทุกขณะ โฬมมองไปยังพิธีกร คล้ายอยากเป็นฝ่ายตอบคำถาม แต่เขาเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่กล้ายกมือขอคุณครูไปเข้าห้องน้ำเสียมากกว่า

“ครับ เขามาขอคืนดี”

“ไม่ใช่...”

ขวับ!

ไอซ์ที่ไม่เคยมองหน้าโฬมตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในสตูฯ กลับหันขวับไปมองทันทีทันใด ดวงตาภายใต้เส้นอายไลน์เนอร์คมกริบหรี่มองอดีตคนรักอย่างเชือดเชิญ

“ผมไม่ได้กลับไปขอคืนดีครับ” โฬมก็ยังมั่นคงในคำตอบของตน เขายืดไหล่ตัวเองออก ฉีกยิ้มที่ไม่ถึงดวงตานั้นให้กล้อง ทุกความพยายามทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ในสายตาผมแน่นอน และผมสัญญาว่าถ้าเขาผ่านช่วงเวลาเฮงซวยนี้ไปได้ ผมจะให้รางวัลชิ้นใหญ่กับเขาเลย

“คุณโฬมช่วยอธิบายเพิ่มได้ไหมครับ”

“ตอนนั้นผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วครับ”

“ใครคะ เอ๊ะ หรือว่า... สกาย”

โฬมเพียงแค่ยิ้มบางๆ อย่างไม่ยอมรับและปฏิเสธ หัวใจผมค่อยๆ เบาลงทีละนิดเมื่อเห็นว่าสถานการณ์บนเวทีค่อยๆ ถูกดึงกลับมา แขกรับเชิญอีกคนแม้จะยังยิ้มอยู่แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจนัก ไอซ์มองโฬมด้วยหางตาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันกลับไปฉีกยิ้มให้พิธีกรทั้งสอง

“แล้วแต่วิจารณญาณนะครับ” ไอซ์บอกเสียงใส หลังจากนั้นเจ้าตัวก็กดเสียงตัวเองให้เบาลงจนแทบไม่ได้ยิน “อย่างไร เขาก็เคยโกหกว่าไม่ได้เป็นเกย์ จะโกหกอีกสักครั้งก็ไม่ได้ยากอะไร”

ผมขมวดคิ้ว เสียงพูดประโยคท้ายฟังไม่ได้ศัพท์นัก แต่คนที่นั่งใกล้ๆ คงได้ยินชัด เพราะพิธีกรทำหน้าเหวอเล็กน้อยเช่นกัน

“เอาล่ะค่ะ ใครพูดความจริงก็อยู่ที่คุณผู้ชมจะตัดสินใจแล้วนะคะ” พิธีกรสาวหันไปยิ้มแฉ่งให้กล้อง เธอมองไปยังกระดานสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ทีมงานเขียนแจ้งว่าอีกห้านาทีหมดเวลาแล้วพยักหน้า “น่าเสียดายที่เวลาของเราใกล้หมดแล้ว”

“น่าเสียดายมากๆ เลยนะครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะถามทั้งคุณไอซ์และคุณโฬมอยู่เลย”

“นั่นสิคะ แต่อย่างไรวันนี้พวกเรารายการทอล์คอะล็อตก็ได้เรื่องราวมากมายมาให้คุณผู้ชมได้คลายความสงสัยเยอะแยะทีเดียว”

“ครับ วันนี้ก็ขอขอบคุณคุณโฬมและคุณไอซ์ที่มาร่วมรายการกันด้วยนะครับ”

“ขอบคุณค่า”

พิธีกรทั้งสองคนพายมือมาที่แขกรับเชิญทั้งสองคนบนเวที เสียงดนตรีปิดรายการดังขึ้นพร้อมกับหน้าม้าในห้องส่งที่พร้อมใจกันปรบมือ ตากล้องเคลื่อนตัวเข้าออกเป็นการเก็บภาพครั้งสุดท้ายของรายการ ก่อนที่เสียงคัตของโปรดิวเซอร์จะดังสนั่นลั่นห้องสตูฯ

การถ่ายทำจบลงทันทีที่สิ้นเสียงนั้น โฬมยกมือไหว้คู่พิธีกรชายหญิง ก่อนที่เขาจะหันไปมองไอซ์แล้วฉีกยิ้มบางๆ ให้แล้วเดินลงมาจากเวที ผมรีบผละตัวเองออกจากมุมห้อง คว้ากระเป๋าบนเก้าอี้ที่เคยนั่งแล้วรีบสาวเท้าเข้าหาคนที่น่าสงสารที่สุดของวัน โฬมดูเหนื่อยราวกับทำงานไม่ยอมนอนสักประมาณหนึ่งอาทิตย์ ใบหน้าอิดโรยกับรอยยิ้มที่ไม่ได้มีประทับบนริมฝีปากอีกแล้ว ทั้งๆ ที่รายการนี้เป็นแค่รายการนั่งคุยกันเฉยๆ แท้ๆ เชียว

ผมสัญญากับตัวเองว่าก่อนที่จะตกลงรับงาน ไม่ว่ากับโฬมหรือตัวผมเอง ผมจะศึกษารายการที่เข้ามาติดต่อเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้ได้เลยว่าเขาจะพาเราไปเจอกับอะไร

เหมือนคราวนี้...

“เป็นยังไงบ้างครับ”

โฬมรับของไปถือพลางส่ายหน้าน้อยๆ “อยากรีบกลับบ้านเร็วๆ จังเลยครับฟ้า”

ผมพยักหน้ารับ เดินเคียงข้างผู้ชายที่ดูแก่ลงไปอีกสิบปีเพื่อกลับออกไปยังลานจอดรถ แต่ระหว่างรอลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นหนึ่งกลับมีคู่กรณีชายในเสื้อเชิ้ตลายสก็อตเดินมายืนอยู่ไม่ไกล

ไอซ์มองมาที่ผมทำให้เราเผลอสบตากันชั่วขณะ ผมกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างคนมีมารยาท ในขณะที่โฬมเพียงแค่ปล่อยผ่านไปราวกับผู้ชายคนนั้นไม่มีตัวตน

“เป็นแฟนโฬมเหรอ” เขาคนนั้นเป็นคนเริ่มบทสนทนา ดูจากสายตาแล้วน่าจะคุยกับผม ผมเลยขยับตัวนิดหน่อยก่อนตอบกลับไปอย่างง่ายๆ

“ไม่รู้สิครับ”

“หึ ระวังเถอะ คบกันหลบๆ ซ่อนๆ” ไอซ์ทำเสียงขึ้นจมูก ปลายตาไปมองโฬมอย่างโกรธแค้นจนผมนึกสงสัยว่าระหว่างพวกเขาจบกันไม่สวยขนาดไหนเชียว คนๆ หนึ่งถึงได้ตามมาปั่นป่วนชีวิตไม่จบไม่สิ้นสักทีแบบนี้ “นักข่าวจับได้ จะจบไม่สวย”

“ครับ” ผมไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดครับ เลยพยักหน้ารับคำเตือนนั้นไป จากนั้นก็เลื่อนสายตากลับมามองประตูลิฟต์อีกครั้งโดยไม่คิดจะต่อบทสนทนาไม่น่าพูดถึงนั้นต่อ

ไอซ์ฮึดฮัด เหมือนหงุดหงิดที่ทำให้ผมเต้นตามไม่ได้ โฬมหันมามองหน้าผมก่อนคลี่ยิ้มให้กันเบาๆ มือหนาขยับมาบีบไหล่ผมสองทีก่อนเป็นฝ่ายเดินนำเข้าลิฟต์ไป

ขอแค่ห้องสี่เหลี่ยมนี้เคลื่อนไปถึงชั้นล่างสุด ทุกอย่างในวันนี้ก็จะจบลง

ผมพ่นลมหายใจออกมาอยู่หลายครั้งแม้ภายในลิฟต์จะมีใครอีกคนยืนอยู่ด้วย พวกเรามองตัวเลขที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างใจเย็น.... ใจเย็นเท่าที่จะทำได้นะครับ ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวเพราะผมยังหงุดหงิดไม่หาย

กว่าห้องโดยสารจะเคลื่อนลงมาถึงชั้นหนึ่งผมก็อายุสั้นลงไปอีกหลายปีแล้ว โฬมรีบเดินนำออกไปก่อนทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด ส่วยผมเปรยตามองอีกคนในลิฟต์แล้วคลี่ยิ้มแทนคำลาบางๆ จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ตามคนขายาวกว่าออกไปยังลานจอดรถทันที

ปัง!

โฬมกระแทกประตูรถเข้ากับกรอบอย่างแรงจนผมสะดุ้ง เมื่อหันไปมองก็เห็นสีหน้าหล่อเหลานั้นเหยเกไม่สู้ดีนัก ผมเลยรีบปิดประตูฝั่งตัวเองเข้ามาบ้างก่อนเลื่อนมือตัวเองไปวางทับบนมือของผู้ชายข้างๆ

“พี่โฬม...”

“ผมขอโทษ” เขาน่าจะหมายถึงเรื่องที่ปิดประตูรถผมอย่างแรง แต่ไม่เป็นไร ผมไม่ถือเลยสักนิด สภาพจิตใจอีกคนสำคัญกว่ามากๆ

ผมขยับตัวเข้าไปใกล้โฬมมากขึ้น รั้งใบหน้าอีกฝ่ายให้หันมาทางนี้ก่อนประทับริมฝีปากของโฬมด้วยปากตัวเองเบาๆ มีเสียงจุ๊บดังขึ้นเมื่อผมถอนใบหน้าออกมา ผมแนบหน้าผากของตนไปกับหน้าผากของอีกคน คลอเคลียจมูกเบาๆ อย่างต้องการปลอบโยนเอาใจใส่

“เก่งแล้วครับ วันนี้”

“ฟ้าครับ” ผมฉีกยิ้มให้กำลังใจอีกครั้ง “ขอบคุณนะครับ”

“ต้องขอบคุณผมด้วยเหรอ?”

“ถ้าฟ้าไม่มาด้วยวันนี้ ผมคงสู้ไม่ไหวหรอก”

ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนตัดสินใจถามเรื่องที่ตัวเองสงสัยออกไป “ทำไมคุณไอซ์เขาถึงเกลียดโฬมขนาดนั้นกันครับ พอจะบอกผมได้ไหม”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว”

“เราคบกันมาสามสี่ปี ผมจริงจัง แต่ไอซ์ไม่ได้จริงจังด้วย เขาเป็นคนบอกเลิกผมเองด้วยซ้ำ” โฬมบอกเสียงอ่อน เขาทิ้งหน้าลงบนบ่าของผม กอดเอวกันไว้เบาๆ ก่อนค่อยๆ สรุปเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังในเวลาสั้นๆ “ไอซ์ติดโพสต์สเตตัสเรียกร้องความสนใจเป็นปกติอยู่แล้วครับ ตอนเราเลิกกันเขาก็ดราม่าเสียจนผมกลายเป็นฝ่ายบอกเลิก”

“...” ผมเงียบฟัง ถือวิสาสะลูบแผ่นหลังกว้างเบาๆ

“เพื่อนของไอซ์หลายคนเกลียดผมไปเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันแต่ตอนนั้นผมถูกด่าอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราว” สิ้นประโยคนี้โฬมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า “เขาบอกผมว่าเขาเจอคนที่ดีกว่าและรวยกว่าผมเลยเลิกกันไป จากนั้นพอผมเข้าวงการและเริ่มมีชื่อเสียง ไอซ์ก็กลับมาขอคืนดี”

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด งับริมฝีปากล่างตัวเองจนแน่น แต่มือขวาก็ยังไม่เลิกลูบหลังของโฬมเช่นกัน ผู้ชายในอ้อมแขนผมตอนนี้ไม่ได้ดูเศร้าเสียใจกับเรื่องในอดีต แต่เขาดูเหนื่อยเอามากๆ คล้ายเรื่องพวกนี้คอยถ่วงหัวใจของเขาเอาไว้จนหนักอึ้ง ทั้งยังดูดซับพลังงานชีวิตไปจนหมด

โฬมอดทนมานานจนเขาควรเลิกทนได้แล้ว

“ผมปฏิเสธไป ไอซ์น่าจะโกรธเพราะเรื่องนี้”

“แล้วพี่โฬมโกรธที่คุณไอซ์ไหมครับ”

“โกรธสิครับ”

“...”

“บางครั้งก็อยากตะโกนให้โลกรู้เลยด้วยซ้ำว่าผมไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูด”

แต่โฬมก็ทำไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น

ผมเข้าใจดี เลยทำได้แค่ตบหัวไหล่กว้างเบาๆ ก่อนจะดันเขากลับไปนั่งที่คาดเข็มขัดให้เรียบร้อย

“มันไม่แย่เหมือนเดิมแล้วล่ะครับ” ผมบอกอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะบิดกุญแจสตาร์ทรถแล้วขับออกจากลานจอดรถหน้าตึกที่คิดว่าคงไม่มาเหยียบอีกครั้งแน่ๆ นี้ทันที

ช่วงเที่ยงคืนรถบนถนนไม่เยอะนัก แต่ผมเลือกขับด้วยความเร็วต่ำ กดเปิดเพลงเบาๆ ฟังเคล้าบรรยากาศ ปล่อยให้โฬมเหม่อมองแสงไฟตามท้องถนนกับบรรยากาศเงียบสนิทบนท้องถนนสี่เลนนี้อย่างเงียบเชียบ

ไม่รู้เหมือนกันวาฟีดแบ็ครายการนั้นเป็นอย่างไร แต่ใจผมบอกว่ามันคงไม่แย่เท่าไหร่นัก

หวังว่าจะเป็นอย่างที่คิด

คนบางคนล้มครั้งแรกเจ็บหนัก ล้มครั้งที่สองมีภูมิต้านทาน แต่กับคนบางคน ล้มครั้งแรกเจ็บเจียนตาย ล้มครั้งที่สอง อาจไม่มีแรงลุกขึ้นมาอีกแล้ว

ผมไม่รู้ว่าโฬมเข้มแข็งได้แค่ไหน จิตใจคนเรายากที่จะทำความเข้าใจ แต่ถึงเขาจะลุกเองไม่ไหวผมก็จะลากเขาขึ้นมาด้วยสองมือของผมเอง ต่อให้ล้มไปด้วยกันก็คงไม่แย่เท่าไหร่หรอก ใช่ไหมครับ








ผมถอยรถเข้าจอดเรียบกำแพงบ้านของโฬมเพราะวันนี้ตัดสินใจว่าจะค้างที่นี่ ปกติผมไม่ค่อยมาค้างบ้านคนเขาเท่าไหร่นักเพราะมีเจ้าบ้านขนปุยสองตัวที่โฬมไม่ยอมพาไปตัดเล็บเสียที ผมที่กลัวโดนกัดต้องเป็นฝ่ายถอยห่างเองเพราะที่นี่มันถิ่นเจ้าอ้วนทั้งสอง แต่วันนี้คงต้องขอบุกรุกเสียหน่อย เพราะเจ้าของแมวดูไม่น่าปล่อยให้นอนคนเดียวเท่าไหร่

“ถุงเงิน ถุงทอง” โฬมตะโกนเรียกเจ้าอ้วนสองตัวทันทีที่ก้าวเท้าพ้นประตูบ้านเข้ามา ผมรีบเดินเลี่ยงไปยังโซฟาที่ห้องรับแขกทันที ถุงทองชอบกระโจนเข้าใส่ขาผมโดยไม่เก็บเล็บ ข่วนเป็นแผลให้ได้น้ำตาเล็ดไปหลายวันเลยครับ

“กลับมาแล้วครับ คิดถึงกันไหม ฟอด ฟอดด” โฬมดึงแมวทั้งสองตัวเข้ามากอดมาหอมจนได้ยินเสียงแง้วดังมาหลายระลอก สัตว์หน้าขนดิ้นขลุกขลักอยากลงจากแขนแกร่งที่คงจะรัดแน่นเกิน แต่โฬมกลับไปยอมปล่อย ทั้งยังอุ้มเดินมาหาผมเสียอีก “ขอบคุณที่ช่วยดูแลแมวให้ด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมบอก ยื่นนิ้วไปแตะๆ หัวทั้งสองอย่างระมัดระวังก่อนขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ ทิ้งโฬมให้เล่นกับแมวไปสักพักก่อน อย่างน้อยสัตว์เลี้ยงก็ช่วยเยียวยาจิตใจเราได้ดีทีเดียว

ผมอาบน้ำขัดขี้ไคลอยู่นาน ก่อนจะเดินออกมาหาชุดนอนของโฬมใส่แก้ขัด ก่อนหยิบก็ตะโกนลงไปขออนุญาตเจ้าของแล้ว ผมเลือกเสื้อยืดผ้าบางกับกางเกงฟุตบอลมาสวมเพื่อความสบาย จากนั้นก็เดินลงไปตามคนที่เล่นกับแมวไม่เลิกให้ไปอาบน้ำ

“พี่โฬม ดึกแล้วนะครับ”

“ครับ ไปอาบน้ำแล้วครับ” เขาบอกก่อนดันตัวอ้วนบนตักสองข้างออกไปที่พื้น โฬมเดินผ่านผมขึ้นไปชั้นบน มีแอบแวะกดจมูกลงบนแก้มผมเบาๆ เป็นค่าผ่านทางเสียด้วย “ฟ้าหอม”

“สบู่พี่นั้นแหละ!”

“เดี๋ยวพี่อาบเสร็จฟ้ามาดมนะ จะได้รู้ว่าหอมเหมือนกันไหม”

“ไปอาบน้ำเถอะครับ” ผมซ่อนแก้มแดงๆ แล้วโบกมือไล่ผู้ชายเจ้าของลักยิ้มสวยๆ ให้เดินไปเสียที โฬมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมทำตามคำสั่ง

ระหว่างที่รอเขาอาบน้ำผมก็ไปเปลี่ยนอาหารเม็ดกับน้ำดื่มในถาดแมวอ้วนทั้งสอง เช็คกระบะทรายแล้วถึงได้ปิดตะแกรงกั้นแมวไว้ในห้องที่แบ่งไว้สำหรับเจ้าบ้านทั้งสองตัว ไฟในชั้นล่างถูกปิดด้วยฝีมือผมเองหลังจากเดินไปหยิบน้ำเย็นๆ กับแก้วสองใบในครัวเรียบร้อย ผมสำรวจกลอนประตูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนห้องเดียวภายในบ้าน

โฬมอาบน้ำเร็วมาก ผมเข้ามาในห้องได้ไม่นานเขาก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาแบบสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย แอร์ในห้องเย็นฉ่ำกว่าตอนแรกที่ผมเปิด ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นคนลดอุณหภูมิ ผมชินแล้วจึงได้แค่สอดขาตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นและปล่อยให้โฬมเป่าผมที่หน้ากระจกไป

หลังจากทำใจอยู่นานที่จะเช็คฟีดแบ็ครายการ ในที่สุดผมก็ทนความอยากรู้ไม่ไหว จึงกดเข้าไลฟ์เฟสบุ๊คของรายการทอล์คอะล็อต เลื่อนดูคอมเมนต์มากมายที่พุ่งไปหลายหมื่น มีไม่น้อยที่แท็กเพื่อนเข้ามาดู แต่ท็อปคอมเมนต์ก็ทำให้ใจที่หวาดหวั่นของผมสงบลงไปเยอะทีเดียว



‘จรรยาบรรณสื่อหายไปไหนหมดคะ เรื่องส่วนตัว โฬมเขาก็บอกไม่สะดวกตอบแล้ว ยังจะเชิญแฟนเก่ามาถามเรื่องนี้อีก’



ยอดกดไลค์และหัวใจสูงถึงสองพันคน ทั้งยังรีพลายอีกไม่น้อยที่เห็นด้วยกับข้อความนี้

รายการถูกโจมตีหนักไม่น้อย แต่เดาว่าที่ทีมงานพอใจคงเพราะเรตติ้งที่พุ่งสูงทีเดียว แถมในโลกอินเตอร์เน็ตคนก็แชร์ไลฟ์นี้ออกไปหลายหมื่นคน รวมถึงในทวิตเตอร์ที่มี #โฬมลภณ ขึ้นติดเทรนด์อันดับหนึ่งเช่นกัน

ผมเลือกอ่านทั้งแฟนคลับ คนภายนอก และแอนตี้แฟน ส่วนมากกระแสตีกลับไปที่รายการว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ในขณะที่มีคนไม่น้อยเลยโต้เถียงว่าแฟนเก่าของโฬมยินยอมที่จะเปิดเผยเรื่องเอง รายการไม่ถือว่าละเมิด

ด้านแฟนคลับ หลายๆ คนยังซัพพอร์ตและเข้าใจโฬมเสมอ ทุกคนรับได้ว่าเขาเป็นเกย์ รวมถึง #โฬมฟ้า ก็ไหลเร็วจนขึ้นอันดับที่สามของเทรนด์ในประเทศไทยเช่นกัน ผมยิ้มบ้างขมวดคิ้วบ้างตอนนอนอ่านข้อความมากมายในมือถือ ใจชื้นขึ้นมาไม่น้อยเพราะดูเหมือนว่าโฬมคงไม่กลับไปโดนแบนจากวงการเหมือนเดิมหรอก

โลกเราเวลาเปลี่ยน คนในสังคมก็เปิดกว้างกับเพศทางเลือกขึ้นเหมือนกัน

ผมคลี่ยิ้ม ชี้ชวนให้โฬมมาดูคอมเมนต์ให้กำลังใจของแฟนคลับกับคนภายนอกที่มองเข้ามา กระแสด้านบวกเยอะแยะ แต่ที่แย่คือมีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยไปโจมตีไอซ์ในโซเชียลมีเดียทุกทาง นี่ต่างหากที่น่ากังวล เพราะคนจะรักจะชอบศิลปินนั้น แฟนคลับก็มีส่วนเหมือนกัน

ได้แต่หวังว่าเรื่องจะไม่ลามปามไปกันใหญ่

“ฟ้าดูกังวลยิ่งกว่าผมอีกนะ” โฬมเอ่ยเสียงเย้าขณะสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน วางมือบนเอวผมเบาๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามองจอโทรศัพท์ด้วย

“กังวลสิครับ” ผมยอมรับ “ไม่อยากให้เจอเรื่องไม่ดีแล้ว”

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”

“แต่ผมเป็นห่วงนี่น่า” ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์แล้วหันไปมองคนข้างๆ “เป็นห่วงได้ไหมครับ”

“ได้สิครับ” โฬมตอบ กดจูบลงมาบนปากผมเบาๆ

“กระแสไม่ตีมาที่ฝั่งเรานะครับ”

“ดีจัง”

ใช่ และเรื่องดีๆ มักอยู่ได้ไม่นาน

เพราะมือเจ้ากรรมของผมดันเลื่อนไปเจอโพสต์หนึ่งในทวิตเตอร์ ดิสเพลย์ไม่ได้ตั้งรูปอะไรไว้ ดูเหมือนเพิ่งสมัครเข้ามาใหม่ แต่จำนวนรีทวิตที่มีเพียงสี่อันของเขาเฉียดหมื่นเลยทีเดียว

ผมหุบรอยยิ้มของตัวเองลง ในขณะที่โฬมเงียบไปแล้ว


‘พวกชอบโชว์’


ทวิตแรกพิมพ์ไว้อย่างนี้ ก่อนจะแนบคลิปผู้ชายสองคนบนเตียงนอนยับย่นที่เห็นท่าทางไม่ค่อยชัดนัก ภาพบิดเอียงจนน่าปวดหัวและมีบางอย่างปิดตัวกล้องไปครึ่งเฟรม เสมือนว่าเป็นการตั้งกล้องแบบแอบถ่าย แต่แม้ภาพไม่ชัดนัก ทว่าก็รู้ได้ทันทีว่าคนสองคนนั้นที่เปล่าเปลือยกำลังทำอะไรอยู่บนเตียง

ทวิตอันที่สอง เป็นรูปแคปแชทในไลน์อยู่สามภาพ เนื้อหาใจความคือการรั้งคนรักที่น่าจะตัดสัมพันธ์กันไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามเพียรส่งข้อความขอพูดคุย ขอคืนดีไม่หยุดหย่อน โดยที่เจ้าของแชทไม่ได้ตอบโต้อะไรไปเลยสักคำ

อันที่สาม คือการเล่าเรื่องระหว่างคบกันของโฬมและไอซ์ ว่าไอซ์ถูกนอกกายนอกใจสารพัด พอทนไม่ไหวจะขอเลิกก็ไม่ยอม โกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อนมากมายหลายเรื่องที่ไม่รู้ว่าใส่สิตีไข่ไปมากแค่ไหน

และอันสุดท้าย... คือการจับผิดข่าวของผมกับโฬมและฉากจูบในเอ็มวี ว่าไม่ได้เป็นแค่การถ่ายทำเอ็มวีแบบที่ทางค่ายออกมาประกาศ รวมถึงย้ำอีกครั้งด้วยว่า ผู้ชายที่ชื่อโฬมลภณ เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

ผมเม้มปากแน่น กดผิดโทรศัพท์และโยนทิ้งออกไปห่างตัวทันที

“โฬมครับ”

“ฟ้า”

“...”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรนะครับ” โฬมบอกผมเบาๆ ก่อนจะคว้าทั้งตัวผมเข้าไปกอด เขาซุกหน้าบนอกผม นอนนิ่งๆ อยู่แบบนั้นโดยไม่กล่าวว่าอะไรอีก ในขณะที่ผมทำได้แค่ลูบศีรษะของเขาเบาๆ รัดร่างผู้ชายที่ดูเปราะบางเหลือเกินนั้นไว้ในอ้อมกอด

และปล่อยให้รอยเปียกชื้นบนหน้าอกผ่านไปราวกับไม่เคยมี...




_______
Talk: สวัสดีค่า มาแล้วๆๆๆๆ หายไปนาน เอื้อ
จริงๆ จะอัพตอนวันสิ้นปีค่ะ แต่ลองอัพเรื่อง #เขื่อนคนสวย ไปเมื่อวันที่ 30
ปรากฎว่าไม่มีคนอ่านแล้ว คนอ่านน่าจะไปเที่ยว กลับบ้านกัน เลยมาอัพหลังปีใหม่แล้วกันค่ะ
ฮืออออ กลัวไม่มีคนอ่าน ใจแป้วววว


ไอซ์เป็นมนุษย์แฟนเก่าที่เพื่อนเราเคยเจอค่ะ ลอกนิสัยมาเลย แต่อาจจะอัพเลเวลขึ้นมาหน่อย
ส่วนพี่โฬมก็เหมือนเพื่อนเราตอนนั้นที่ไม่อยากหักหน้าแฟน ยังไงก็คนเคยๆ รักกัน ตอนเลิกกันใหม่ๆ ก็ยังรักอยู่

อะไรไม่ดีติชมได้นะคะ รักทุกคน จุ้บบ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 02-01-2019 21:42:32
 :m15:โอ๊ยยย....หนักหน่วงมากกกก...  :m15: ทำไมรายการนี้ทำตัวแย่มากกกกกค่ะ ...... ยังไงขอให้ดราม่าผ่านไปเร็วๆนะค่ะ  :hao5: อยากให้ทั้งคู่ happy กันซะที่ ....ขอให้ ไอซ์ได้รับผลกรรม  :m16:  :m16:  :m16:

 btw: Happy new year kaa  :mc4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-01-2019 22:00:02
 :L2: :pig4:

ไม่จบไม่สิ้น เฮ้อ
เปลี่ยนผิดให้เป็นถูกซะงั้น กรรมจริงๆด้เจอคนแบบนี้
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 02-01-2019 22:34:12
บางทีคนแบบไอซ์ ถ้าเรายิ่งเงียบจะยิ่งได้ใจนะคะ ต้องร้ายใส่หักหน้าซักทีถึงจะเลิกตอแย คนบางคนก็ไม่ควรได้รับโอกาส ไม่ควรมีที่ยืนหรือมีทางลงไว้ให้ค่ะ ต้องต้อนจนหลังชนฝาหรือจนตรอกเท่านั้น
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-01-2019 23:29:02
พี่โฬม ร้องให้พอค่ะ เสร็จแล้วลุกขึ้นมาไฟท์กะนางค่ะ

สุภาพบุรุษใช้กะคนประเภทนี้ไม่ได้ เอาให้หมดอนาคตไปเลยค่าาา

อินมากอ่ะ เกลียดมากนิสัยแบบแฟนเก่าพี่เค้าเนี่ย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 03-01-2019 05:35:57
 แต่งให้โฬมเจอเรื่องร้ายแต่ไม่ลุกขึ้นสู้เลยมันเป็นอะไรที่ไม่โอเคสำหรับเราเลยค่ะ บอกว่าฟีลกู้ดแต่นี่ดึงหน่วงดึงดราม่ามาหลายตอนแล้วเมื่อไหร่โฬมถึงจะสู้อ่ะคะ ปกป้องตัวเองบ้างก็ได้ไม่ใช่ต้องเป็นคนดี แล้วเป็นไงอ่ะคะ ไม่อยากพูดไม่อยากร้ายสุดท้ายก็กลายเป็นตัวเองที่แย่แถมทำให้คนที่รักตัวเองแย่ไปด้วย เข้มแข็งได้แล้วสู้เพื่อตัวเองมั่ง จะเงียบให้ตัวเองแย่ไปเพื่ออะไรอ่ะ เป็นคนดีกับคนแบบนี้แล้วได้อะไร รักสกายจริงเหรอทำไมไม่เข้มแข็งอ่ะแล้ววันข้างหน้าจะดูแลน้องได้ไง แต่งมาให้ไอซ์ร้ายขนาดนี้แล้วก็ขอให้ตอนสุดท้ายเรืองร้ายไปเกิดกับไอซ์บ้างนะคะ คงไม่แค่ขอโทษให้อภัยจบกันไป
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 03-01-2019 11:19:59
:m15:โอ๊ยยย....หนักหน่วงมากกกก...  :m15: ทำไมรายการนี้ทำตัวแย่มากกกกกค่ะ ...... ยังไงขอให้ดราม่าผ่านไปเร็วๆนะค่ะ  :hao5: อยากให้ทั้งคู่ happy กันซะที่ ....ขอให้ ไอซ์ได้รับผลกรรม  :m16:  :m16:  :m16:

 btw: Happy new year kaa  :mc4:
จะผ่านไปแล้วค่าาา พายุพัดมาไม่นานเลย  :mew1:



:L2: :pig4:

ไม่จบไม่สิ้น เฮ้อ
เปลี่ยนผิดให้เป็นถูกซะงั้น กรรมจริงๆด้เจอคนแบบนี้
เป็นคนที่มีในสังคมจริงๆ เลยค่ะ ฮื้อออ
อีกนิดก็จะจบแล้วค่า ฮึบๆ



บางทีคนแบบไอซ์ ถ้าเรายิ่งเงียบจะยิ่งได้ใจนะคะ ต้องร้ายใส่หักหน้าซักทีถึงจะเลิกตอแย คนบางคนก็ไม่ควรได้รับโอกาส ไม่ควรมีที่ยืนหรือมีทางลงไว้ให้ค่ะ ต้องต้อนจนหลังชนฝาหรือจนตรอกเท่านั้น
ใช่แล้วค่า พี่โฬมเรียนรู้จากครั้งที่แล้วแล้วว่าการเงียบไม่ใช่เรื่องดี
มาลุ้นด้วยกันค่าว่านังไอซ์จะเป็นยังไงต่อไปปป  :katai2-1: :katai2-1:



พี่โฬม ร้องให้พอค่ะ เสร็จแล้วลุกขึ้นมาไฟท์กะนางค่ะ

สุภาพบุรุษใช้กะคนประเภทนี้ไม่ได้ เอาให้หมดอนาคตไปเลยค่าาา

อินมากอ่ะ เกลียดมากนิสัยแบบแฟนเก่าพี่เค้าเนี่ย
:ling3: :ling3: ไฟท์เลยค่ะ พี่โฬมจะไฟท์แล้วววว



แต่งให้โฬมเจอเรื่องร้ายแต่ไม่ลุกขึ้นสู้เลยมันเป็นอะไรที่ไม่โอเคสำหรับเราเลยค่ะ บอกว่าฟีลกู้ดแต่นี่ดึงหน่วงดึงดราม่ามาหลายตอนแล้วเมื่อไหร่โฬมถึงจะสู้อ่ะคะ ปกป้องตัวเองบ้างก็ได้ไม่ใช่ต้องเป็นคนดี แล้วเป็นไงอ่ะคะ ไม่อยากพูดไม่อยากร้ายสุดท้ายก็กลายเป็นตัวเองที่แย่แถมทำให้คนที่รักตัวเองแย่ไปด้วย เข้มแข็งได้แล้วสู้เพื่อตัวเองมั่ง จะเงียบให้ตัวเองแย่ไปเพื่ออะไรอ่ะ เป็นคนดีกับคนแบบนี้แล้วได้อะไร รักสกายจริงเหรอทำไมไม่เข้มแข็งอ่ะแล้ววันข้างหน้าจะดูแลน้องได้ไง แต่งมาให้ไอซ์ร้ายขนาดนี้แล้วก็ขอให้ตอนสุดท้ายเรืองร้ายไปเกิดกับไอซ์บ้างนะคะ คงไม่แค่ขอโทษให้อภัยจบกันไป
ขอบคุณสำหรบคำติชมนะคะ  :กอด1: :กอด1:
พี่โฬมจะได้เรียนรู้แล้วค่ะว่าการเงียบมันไม่ได้ดีเสมอไป และเขาจะลุกขึ้นสู้เองในจุดๆ หนึ่งค่า
และหน่วงอีกไม่นานเลยค่า พี่โฬมลุกขึ้นสู้แน่นอนค่ะ!!!!!! ฮึ้บ  :katai4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 24 [2-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-01-2019 14:29:37
 :katai1: :katai1: :katai1:
แกต้องโดนกระแสตีกลับยิ่งกว่าที่ทำกับโฬม จัมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 08-01-2019 19:44:40
บทที่ 25




[เป็นยังไงบ้างวะ] น้ำเสียงของคนปลายสายทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล เก่งกาจต่อสายหาผมในเวลากลางดึกที่ข่าวบ้าๆ บอๆ กำลังเป็นกระแส ผมปล่อยให้โฬมใช้เวลากับความคิดของตัวเองอยู่ในห้อง ส่วนตัวเองเดินออกมานั่งคุยกับเพื่อนที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง

“ไม่ค่อยดี”

[พี่เขา... จะเอายังไงกับเรื่องนี้]

“กูก็ไม่รู้ พี่โฬมไม่พูดอะไรเลย” ผมบอกขณะสั่นขาตัวเองไปด้วยเพราะความวิตก นึกห่วงไปถึงคนด้านบนที่เงียบไม่พูดไม่จามาสักพักแล้ว

โลกอินเตอร์เน็ตทุกอย่างส่งถึงกันอย่างรวดเร็ว แม้ตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่สำนักงานข่าวก็ยังทำงานกันให้ยุ่ง โทรศัพท์ของโฬมดังตั้งแต่ทวิตเตอร์นั้นถูกพบจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่หยุดสั่น ผมเป็นคนเดินไปเปิดโหมดเครื่องบินให้ก่อนเดินออกมาจากห้อง ไฟข่าวรุนแรงแบบนี้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรทำยังไงดี

[เรื่องนี้มันไม่ได้ซวยแค่เขานะเว้ยสกาย มึงก็โดนไปด้วย]

“กูรู้”

[ถ้าเขาจะเงียบเหมือนเดิม คราวนี้คงยากจะกลับมาในวงการอีกแล้วว่ะ]

ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน

เรื่องบางเรื่อง การเงียบก็เป็นการดี

แต่เรื่องบางเรื่อง ความเงียบก็จะทำร้ายเราเช่นกัน

“เก่ง...”

[ว่า?]

“กูเปิดตัวเรื่องคบกับโฬมเลยดีไหม” ผมถามอย่างไม่มั่นใจนัก ณ จุดๆ นี้ ตัวผมเองก็ยืนอยู่กลางพายุลูกใหญ่ แรงลมพัดพาให้วิสัยทัศน์มัวหมอง ผมไม่สามารถมองจากภายนอกได้ว่าพายุจะม้วนตัวไปยังทิศไหน และตัวผมเองควรตัดสินใจไปทางไหนถึงจะปลอดภัย

โลกอินเตอร์เน็ตหลายๆ อย่างมันเริ่มไกลเกินกว่าเหตุ ผมเลิกอ่านมันไปแล้ว แต่ชาวเน็ตก็ยังวิเคราะห์นั่นนี่ไปเรื่อยไม่หยุด ราวกับว่าหากชีวิตใครสักคนไม่พังลง พวกเขาจะไม่อาจนอนหลับได้ในคืนนี้

[สกาย เปิดตัวตอนนี้เนี่ยนะ]

“ยิ่งเลี่ยงก็ยิ่งกลายเป็นโกหกอีกไหมอ่ะ” ผมไม่อยากให้ข่าวโจมตีเข้ามาทีเดียวหลายๆ เรื่อง มันออกจะรุนแรงไปหน่อยถ้าเกิดมีหลายๆ ประเด็นพร้อมกัน

[กูว่ามึงเงียบไปก่อน ค่อยๆ วางแผนดีกว่าว่ะ น้ำเชี่ยวเอาเรือไปขวาง เรือได้พังพอดี]

“การเงียบมันจะดีจริงๆ เหรอวะ”

[อย่างน้อยมึงก็จะมีสติกว่าตอนนี้ว่ะ]

คำแนะนำของคนที่ยืนอยู่นอกพายุ

ผมเลือกเก็บคำพูดของเก่งกาจมาคิด เอ่ยขอบคุณเพื่อนไปสองคำก่อนวางสายไปเพราะดึกมากแล้วและเก่งกาจต้องทำงานพรุ่งนี้ แม้ว่ามันจะพยายามถามว่าให้ไปอยู่เป็นเพื่อนไหมอยู่ตลอดก็ตาม

ผมไม่เป็นไรหรอก แม้จะสับสนทำอะไรไม่ถูกไปบ้าง

แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายมันจะผ่านไปได้ด้วยดี

“เมี้ยววว” เจ้าแมวสองตัวเดินมายืนอยู่ชิดประตูกรงสีขาวนวล พวกมันใช้แววตาสีเหลืองอำพันจ้องมาทางผม ก่อนร้องเมี้ยวออกมาเบาๆ อยู่หลายครั้ง

“ว่าไง” ปกติผมไม่ค่อยเล่นกับถุงเงินถุงทองเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ผมกลับลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปนั่งยองๆ ที่หน้าประตูกรง เล่นจ้องตากับเจ้าพวกนั้นอยู่พักนึง

“เมี้ยวว”

“ห่วงกันรึไง”

“แง้ว” ถุงเงินตะกุยประตูกรงทันทีที่ผมพูดแบบนั้น ผมหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดกับแมวต่อเป็นตุเป็นตะ “รู้แล้วว่าห่วงโฬมน่ะ”

“เมี้ยว เมี้ยววว”

ผมจ้องดวงตากลมโตที่ม่านตาดำขยายกว้างในความมืด เสียงร้องม้าวๆ ชวนให้ผ่อนคลายขึ้นมาถึงสิบส่วน ผมยื่นมือไปลูบศีรษะทุยๆ ของเจ้าพวกนั้นเล่น บ่นพึมพำไปหลายประโยคว่าจะทำยังไงดี ก่อนขอกำลังใจจากเจ้าบ้านทั้งสองแล้วเดินจากมา

“เมี้ยว!”

“รู้แล้วน่า” ผมตอบกลับเสียงที่ร้องตามมาด้านหลัง เดาเอาเองว่าเจ้าพวกนั้นคงฝากฝังให้ดูแลโฬมให้ แม้ความจริงมันอาจโวยวายเพราะหิวมื้อดึกก็ตามที

ผมพาตัวเองเดินกลับขึ้นมายังชั้นสอง โฬมยังคงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนตอนก่อนที่ผมจะลงไปคุยโทรศัพท์ เขาหันมาทางผมเมื่อได้ยินเสียงประตูปิด จากนั้นริมฝีปากก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้นบางๆ

“ฟ้าครับ”

“ครับ” ผมตอบรับเสียงเรียก เดินไปทิ้งตัวนั่งข้างๆ บนขอบเตียง “คิดอะไรอยู่ครับ”

“คิดว่าผมไม่ดีเลยที่พาฟ้ามาโดนอะไรแบบนี้ด้วย”

“ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละครับ”

“...”

“ไม่ยิ้มให้ผมแบบนี้ไม่ดีเลย” ผมว่าพลางยื่นนิ้วไปรั้งมุมปากของโฬมให้ยกสูงขึ้น เขาจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าประหลาดแบบนั้น ก่อนค่อยๆ ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“อย่าแกล้งกันแบบนี้สิครับ”

“ไม่อยากให้เครียด”

“ห้ามได้ที่ไหนกัน” โฬมบ่นพึมพำแล้วคว้ามือผมที่ยังบิดแก้มของเขาอยู่ออกมากุม ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องตรงมา บรรยากาศจริงจังตลบอบอวลไปทั่ว ผมกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ จ้องกลับไปอย่างลุ้นระทึกว่าโฬมจะพูดอะไรออกมา “ผมจะแถลงข่าวครับ”

“ครับ?”

“รอบที่แล้วผมเงียบ เพราะคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด” นิ้วสากจากการเล่นดนตรีเกลี่ยใต้ตาผมเบาๆ เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนค่อยๆ พูดประโยคต่อมา “มีหลายครั้งที่การเงียบเป็นผลดี แต่มันก็ไม่เสมอไป ผมเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ”

“เพราะว่าถ้าครั้งนี้ผมยังไม่ทำอะไรเลย ผมก็จะปกป้องฟ้าไว้ไม่ได้”

“...”

“ผมรักฟ้านะครับ” เขาบอกผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังมากนัก สื่อสารออกมาผ่านดวงตาที่ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ไม่มีรอยยิ้มหวานๆ ส่งให้กันประกอบถ้อยคำว่ารัก ไม่มีการสัมผัสที่มากกว่าปลายนิ้วมือบนผิวแก้ม โฬมเว้นระยะห่างไว้เท่าเดิม ปล่อยให้ถ้อยคำทำงานของมันไปอย่างช้าๆ

“ผมก็รักพี่โฬม”

มันไม่ใช่ถ้อยคำให้กำลังใจเลยด้วยซ้ำ ทว่ากลับสามารถจุดความมั่นใจในดวงตาของเขาขึ้นมาได้ ผมฉีกยิ้มจนตาหยี ดีใจที่ผู้ชายตรงหน้าเป็นอย่างที่เก่งกาจเคยพูดเอาไว้

เขาเข้มแข็งกว่าที่ผมคิดจริงๆ







อาทิตย์กว่าๆ แล้วที่ผมกับโฬมหลีกเลี่ยงทุกการอธิบายทุกอย่าง ไม่รับให้สัมภาษณ์ใดๆ และทำงานของตนเองไปอย่างตั้งใจ โฬมไม่เล่นโซเชียลใดๆ ด้วยซ้ำแม้กระทั่งอินสตราแกรม ทว่าเขาก็ยังถ่ายรูปต่างๆ เก็บไว้เต็มไปหมด โดยเฉพาะรูปทีเผลอของผม

“เอาเก็บไว้ดูทีหลัง” เมื่อถามก็ได้คำตอบมาแบบนี้ ผมจึงเลิกเอ่ยห้ามไม่ให้เขาถ่ายรูปอีก

ผมกับโฬมไม่ติดตามกระแสอีกเพราะอ่านไปก็ยังทำอะไรไม่ได้ ประธานค่ายผมไม่ว่าอะไรนัก มีบ่นและตักเตือนเล็กน้อย เพราะอย่างไรแฟนคลับของผมก็ตามงานเพลงมากกว่าตัวตน แถมข่าวพวกนี้ยังเรียกให้ยอดวิวเพลงผมในยูทูปพุ่งขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว ผมจึงสามารถออกมาแถลงข่าวได้โดยผ่านการเข้าไปคุยกับประธานและเลขาฯ แค่สองรอบ

รอบแรกคือบอกว่าจะแถลงข่าว รอบสองคือเข้าไปอธิบายว่าจะพูดเรื่องอะไรบ้างและขอคำปรึกษา

โฬมบอกว่าเขาจะไลฟ์สดผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง เขาตระเตรียมสคริปต์ทั้งหมดด้วยตัวเอง วางแผนทุกอย่างเพื่อให้สามารถทำทุกอย่างให้กระจ่างได้ภายในเวลาสั้นๆ

การพูดเยิ่นเย้อจะเหมือนการแก้ตัว โฬมบอกผมแบบนั้น

จนกระทั่งวันเวลาหมุนวนมาถึงกำหนดการแถลงข่าว ผมได้บอกกับสื่อต่างๆ ไปแล้วว่าจะให้ออกมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ตอนเวลาหนึ่งทุ่มตรง เพราะเป็นวันว่างตรงกันของพวกเราพอดี

พวกเราที่ไม่ได้มีแค่ผมกับโฬมแค่สองคน

ผมมาหาโฬมที่บ้านของเขาในตอนสี่โมงเย็น พอเข้ามาด้านในก็พบกับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ในบ้าน เขาตัวสูงพอกันกับแฟนของผม แต่งกายด้วยเสื้อยืดสีเทาคอวีกับกางเกงยีนส์ขาดเข่ารัดรูป ใบหน้ามีหนวดสั้นๆ อย่างดาราฝรั่ง ทั้งโครงหน้าของเขาก็คมเข้มจึงดูเข้ากันได้ดี

“หวัดดี พี่ชื่อเฟรม” คนๆ นั้นยื่นมือขวาออกมาด้านหน้าอย่างทักทาย

“สวัสดีครับ” ผมยิ้มรับพร้อมจับมือเชคแฮนด์กับพี่เฟรมตามมารยาท “ชื่อสกายครับ”

“เพิ่งได้เห็นตัวจริง สุดยอดมากเลย”

สุดยอดนี่คืออะไรกัน?

ผมขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป

“ไอ้โฬมมันนั่งทำใจอยู่ข้างบนแหน่ะ” พี่เฟรมชี้นิ้วโป้งขึ้นไปด้านบนประกอบคำพูด ก่อนชักชวนให้ผมขึ้นไปหาเพื่อนของเขา
ใช่แล้วครับ พี่เฟรมเป็นเพื่อนสนิทของโฬม

ผมได้รู้จักตอนที่โฬมติดต่อไปขอความช่วยเหลือบางอย่าง และเพื่อนของเขาก็ลงทุนบินกลับไทยมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทั้งยังโทรมาบ่นเพื่อนตัวเองอยู่บ่อยๆ หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดว่าปล่อยให้แฟนเก่าทำชีวิตตัวเองพังขนาดนี้ได้ยังไง

พี่เฟรมบ่นใหญ่เลยเพราะเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้ตามข่าวคราวของเพื่อน ทั้งในโซเชียลของโฬมก็ไม่เคยบ่นเคยบอกอะไรใคร พอได้มารู้ว่าเพื่อนตัวเองโดนอะไรไปมั้งถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ผมได้ยินเสียงโวยวายดังลอดมาจากโทรศัพท์ของโฬมอยู่บ่อยๆ

“ไอ้โฬมโว้ย เมียมา”

“ฟ้า!”

กระดากชะมัด คำพูดของพี่เฟรมเนี่ย ให้ตายเถอะ

ผมเกาศีรษะและยิ้มแหยๆ ให้คนทั้งสอง เราทั้งสองเดินเข้าไปหาเจ้าของบ้านในห้องซ้อมดนตรีที่ถูกจัดเป็นที่ถ่ายทอดสดเรียบร้อย

ตรงกลางห้องเป็นโน้ตบุ๊คพร้อมกล้องตั้งเอาไว้ ห่างออกมาอีกหน่อยเป็นโซหาที่ยกมาจากห้องนอนของโฬม เขาเคลียร์ของรกๆ ออกจนกลายเป็นพื้นที่ว่าง และตอนนี้เจ้าของบ้านก็ยังนั่งอ่านนั่งแก้กระดาษเอสี่บนมือตัวเองไปมาราวกับไม่พอใจกับสคริปต์ที่ตัวเองเขียนเสียที

ผมขยับตัวไปนั่งข้างๆ คนรักบนโซฟา มีพี่เฟรมนั่งลงขนาบอีกข้าง กลายเป็นว่าโฬมนั่งกลางโดยมีพวกผมสองคนเข้าไปเบียด โชคดีที่โซฟาตัวใหญ่พอจึงยังพอนั่งได้สบาย

“ทำอะไรครับ?” ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูกระดาษในมือของโฬม อะไรยึกยือโยงกันไปมั่วซั่วจนน่าสับสน อ่านแล้วไม่เข้าใจเลยสักนิด

“ไทม์มิ่งครับ ผมเรียงลำดับเรื่องที่จะพูดอยู่”

“อ๋อ”

“จริงจังชิบหาย” พี่เฟรมเอ่ยแซวเบาๆ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ยกขาขึ้นไขว่ห้างสบายใจเฉิบ “ปล่อยมันทำไปเหอะสกาย มาเล่นเกมกับพี่ดีกว่า”

“เกมอะไรครับ”

“โดดร่ม เล่นเป็นป่ะ”

“เล่นเป็นครับ” ผมบอกพลางควักโทรศัพท์ขึ้นมา

“เอาชื่อมา เดี๋ยวพี่แอดไป” ว่าแล้วพวกผมก็คุยกันห้ามหัวโฬมที่ยังขีดๆ เขียนๆ ไม่เลิก จากนั้นผมก็เล่นเกมกับพี่เฟรมเพื่อฆ่าเวลาจนเกือบๆ หนึ่งทุ่มนู้นแหละถึงได้วางโทรศัพท์ลง

โฬมที่เอนตัวพิงพนักและพักสายตากระเด้งตัวขึ้นมาตอนนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ อีกห้านาทีจะหนึ่งทุ่มตรงทำให้พวกเราต้องเตรียมตัวเพื่อถ่ายทอดสอดแล้ว ผมช่วยด้วยการเข้าไปเซ็ตกล้องและเปิดเข้าหน้าเฟสบุ๊คแฟนเพจของโฬมให้ ส่วนพี่เฟรมหยิบเอากระดาษสคริปต์ของโฬมไปอ่านด้วยความสนใจ

“มึงว่ามันจะช่วยได้แค่ไหน” คนไว้หนวดชูกระดาษในมือขึ้นถามเพื่อน โฬมหวีผมไปพลางหันมาตอบไปพลางว่า

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูลงหมดหน้าตักที่กูมีแล้ว”

“แต่กูยังไม่หมดว่ะ” มุมปากของคนพูดหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น เขาใช้กระดาษในมือต่างพัดก่อนผิวปากหวิวออกมาอย่างอารมณ์ดี “ถ้าบอกกูตั้งแต่แรกเรื่องก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก ไอ้ควายโฬม”

พี่เฟรมฟาดผัวะลงกลางหลังเพื่อนก่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสะใจ

ผมเพิ่งเคยเห็นโฬมอีกมุมหนึ่ง มุมที่เขาอยู่กับเพื่อนและไม่ได้มีแต่รอยยิ้มและความสุภาพที่ต้องแสดงออกมา มันน่าสนใจจนผมเอาแต่มองไม่เลิก พี่เฟรมรู้แล้วหันมายักคิ้วให้สองที ก่อนยกจอโทรศัพท์ขึ้นมาโชว์เวลาว่าหนึ่งทุ่มแล้ว

“เดี๋ยวผมเปิดกล้องให้” ผมอาสาขยับตัวไปกดปุ่มไลฟ์ที่หน้าจอ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จก็วิ่งกลับมานั่งที่เดิมบนโซฟา บนหน้าจอฉายตัวเลขของผู้เข้าชมที่จากเลขหลักเดียวค่อยๆ มาขึ้น จนกลายเป็นร้อยเป็นพันในเวลาแค่นาทีเดียว

“สวัสดีครับ” โฬมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนเอ่ยประโยคทักทายง่ายๆ ออกมา “วันนี้ผมได้ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ในการตอบคำถามและอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้ทุกคนฟังครับ”

ผมเปิดโทรศัพท์ตัวเองเพื่อดูคอมเมนต์ที่ใต้คลิป มันไหลเร็วมากจนอ่านไม่ค่อยทัน มันทั้งให้กำลังใจและด่าทอเต็มไปหมด รวมถึงคำถามมากมายที่สาดเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น โฬมไม่ได้สนใจเพราะเขาเอาแต่มองกล้องและพูดต่อไปเรื่อยๆ โดยมีพี่เฟรมค่อยนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ เป็นตัวประกอบ

“ก่อนอื่นผมต้องบอกกับทุกคนอีกครั้งว่าผมเป็นเกย์และเคยมีแฟนเป็นผู้ชายจริงๆ” เขาเว้นจังหวะในการหายใจก่อนพูดต่อ “อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าผมเคยคบกับไอซ์ เราคบกันมาเป็นปีแล้วครับ และเลิกกันก่อนที่จะมีข่าว โดยที่ไอซ์เป็นคนบอกเลิกผมเอง และพวกเราไม่ได้บาดหมางกันอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”

ผมฟังทุกคำพูดของโฬมอย่างตั้งใจ ทั้งยังอดลุ้นไปด้วยไม่ได้

การต้องมานั่งเล่าเรื่องตัวเองให้คนทั้งประเทศฟัง ไม่ต่างอะไรจากการค่อยๆ เปลื้องผ้าออกให้คนอื่นดูเลย มันเป็นความยากลำบากใจที่บุคคลสาธารณะต้องอดทนต่อมัน

น่าเศร้านะครับ คนเราทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ไม่อยากพูดออกไปทั้งนั้น...

“พวกเราจบกันเพราะไปกันไม่ได้และไอซ์เจอคนใหม่ที่ดีกว่าผมครับ ซึ่งผมมีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้” โฬมว่าก่อนคว้าเอาไอแพดข้างตัวขึ้นมา เปิดหลักฐานที่เขาเตรียมไว้โชว์เข้าที่กล้อง

“พวกเราเลิกกันวันที่ 9 กันยายน บนหน้าเฟสบุ๊คของไอซ์ยังโพสต์สเตตัสตัดพ้อและเอาสถานะคบกันของพวกเราลงในวันนั้น” โฬมเลื่อนหน้าโปรไฟล์ของไอซ์จนถึงสเตตัสที่อีกฝ่ายโพสต์เศร้าๆ อย่างคนถูกทิ้ง มีทั้งการแชร์เพลงเศร้าที่ฮิตกันตอนนั้น และการเปลี่ยนสถานภาพเป็นโสดของอีกฝ่าย

“หลังจากนั้นสี่วัน ไอซ์โพสต์รูปนี้พร้อมแคปชั่นนี้ครับ”

รูปที่โฬมโชว์คือภาพมือต่างขนาดที่กอบกุมกันอยู่ในรถยนต์ซูเปอร์คาร์ราคาแพง ซึ่งไม่มีทางเป็นรถของโฬมแน่นอนเพราะเขาไม่ได้รวยขนาดนั้น ทั้งสีผิวและเส้นขนของคนในรูปก็ไม่ใช่โฬมเลยสักนิด แถมแคปชั่นประกอบภาพยังขึ้นว่า ‘ขอบคุณคนเก่าที่ทิ้งไปให้ผมได้มาเจอคุณ’

“ผมขอยืนยันว่าระหว่างที่คบกันผมจริงใจและซื่อสัตย์เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้คนรัก และไม่เคยมีเรื่องโกหกใดๆ ทั้งสิ้น และจากสเตตัสนี้ที่ทำให้เป็นข่าว” โฬมเลื่อนเฟสบุ๊คของไอซ์จนไปถึงสเตตัสยืดยาวที่เอาแต่บอกว่าเขาเป็นคนโกหก และพูดกำกวมพยายามให้คนอ่านคิดว่าระหว่างที่คบกันโฬมเคยทำผิดหลอกลวงเอาไว้ “ผมยอมรับในความผิดที่โกหกว่าตนเองเป็นชายแท้ และหวังว่าทุกคนจะเข้าใจว่าเรื่องการเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะออกมาประกาศได้ง่ายๆ”

ผมอ่านคอมเมนต์ใต้คลิป และพบว่ามีหลายคนเข้าไปส่องเฟสบุ๊คของไอซ์ซึ่งเปิดทุกอย่างเป็นสาธารณะ มีคนคล้อยตามกับคำอธิบายของโฬมเยอะมากจนใจผมเริ่มชื้นขึ้นมา

“และเรื่องที่ไอซ์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการว่ามาขอคืนดี รวมถึงทวิตเตอร์ที่ปล่อยแชทของผมกับไอซ์ออกมา” โฬมเปิดภาพหน้าจอแชทที่เป็นประเด็นอยู่ในทวิตเตอร์ขึ้นมาโชว์ “แชทนี้เป็นแชทจริงครับ แต่เป็นเรื่องนานแล้วตั้งแต่เราเพิ่งเลิกกัน ผมพยายามยื้อและขอให้เขากลับมาคบกัน แต่ไอซ์ได้ปฏิเสธและตัดขาดการติดต่อกับผมในตอนนั้น”

พี่เฟรมยื่นโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาให้ เป็นหน้าจอแชทเดียวกับในทวิตเตอร์ ทว่ามีบอกวันเวลาที่คุยกันอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ช่วงปัจจุบัน ทั้งยังมีแชทของเพื่อนๆ ที่ตอนนั้นต่างพยายามห้ามไม่ให้โฬมไปขอคืนดีกับไอซ์อีกด้วย โฬมค่อยๆ เลื่อนแชทเหล่านั้นให้กล้องดูช้าๆ เพื่อให้คนดูได้อ่านทันและครบถ้วน

“ผมยืนยันอีกครั้งว่าหลังจากตอนนั้นผมไม่ได้ติดต่อไอซ์ไปเพื่อขอคืนดีอีก เพราะผมมีคนที่ชอบแล้ว และผมคงไม่กลับไปคบกับคนที่ทำให้ชีวิตผมพังหรอกครับ”

โอ เอ็ม จี!

ผมแอบเห็นพี่เฟรมชูนิ้วโป้งพลางปรบมือแปะๆ ให้กับประโยคนั้นของโฬม ส่วนผมช็อคอ้าปากค้างไปแล้วครับ

“ครับ ต่อไปเรื่องคลิป ผมขอไม่พูดถึงครับ การแอบถ่ายและนำออกมาเผยแพร่โดยไม่ได้รับคำยินยอม ผมขอปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินตามกฎหมาย” โฬมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำทีเดียว “และเรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง คือสกาย”

“...” ผมเงยหน้ามองคนข้างตัวอย่างตกใจ

ผม?

ผมทำไมครับ!

“ผมมีเรื่องจะประกาศครับ ตอนนี้ผมกับสกายตกลงคบกันแล้ว” โฬมบอกเต็มเสียงแล้วหันมามองหน้าผมแวบหนึ่ง ก่อนหันกลับไปยิ้มใส่กล้องอีกครั้ง “โปรดสนับสนุนความรักของพวกเราด้วยนะครับ”

ให้ตายไปเลย!!!

ผมต้องทำตัวยังไง ผมต้องพูดอะไร หรือผมไม่ต้องพูดอะไร

ตอนนี้ผมเอ๋อไปแล้วครับ เอ๋อจนพี่เฟรมหันมาหัวเราะใส่อย่างหนักก่อนถูกโฬมส่งเสียงชู่วใส่เพราะเขายังพูดธุระตัวเองไม่จบ

“และผมขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่เชื่อมั่นและให้กำลังใจเสมอมานะครับ” โฬมยกมือไหว้ แตะปลายนิ้วจรดหน้าผากอย่างสวยงาม ในขณะที่ผมยังอ้าปากค้างอยู่เหมือนเดิม สมองชัตดาวน์ไปแล้วในจังหวะนี้

เมื่อกี้โฬมบอกไปแล้วว่าเราคบกัน...

เขาบอกไปแล้ว!!

“ขอบคุณครับ”

ผมไม่มีสติจะฟังโฬมพูดต่อจนจบ ไม่รู้ว่าคนตัวสูงลุกขึ้นไปปิดไลฟ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่เฟรมแอบถ่ายรูปผมไปกี่รูป และโฬมโยกหัวผมเล่นไปกี่ที ผมได้แต่ช้อนตามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“พี่โฬม...”

“ครับ?”

“ทำไม”

“ตกใจเหรอครับ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน” ฝ่ามือหน้าเกลี่ยไรผมของผมเบาๆ “แต่ผมอยากประกาศมาตั้งนานแล้วว่าฟ้าเป็นของผม แค่ยังไม่กล้าพอ”

“แล้ว...”

“แล้วตอนนี้ก็กล้าพอแล้วล่ะครับ”

ให้ตายๆๆๆๆๆ ผมเนี่ยจะตาย!

โฬมยิ้มโชว์ฟันเขี้ยวและรอยบุ๋มข้างแก้มให้ผมอีกแล้ว คราวนี้ตาเขาหยีลงจนเป็นสระอิ ก่อนหัวเราะในลำคอเบาๆ เสียด้วย

“แมลงเข้าปากหมดแล้วครับฟ้า”

ใจผมก็จะหยุดเต้นแล้วเหมือนกันครับพี่โฬม...








หลังจากการถ่ายทอดสดผ่านไป ทุกคนก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวของโฬมมากขึ้น และมีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยหันไปขุดหาความจริงเรื่องสมัยที่โฬมกับไอซ์ยังคบกัน แม้หลังจากวันแถลงข่าวของโฬมผ่านไปแล้วไอซ์จะตามลบสเตตัสและรูปในอดีตของตัวเองจนหมด แต่ก็มีมือดีแคปเก็บมาวิพากย์ต่อในอินเตอร์เน็ต

ความคิดเห็นในเน็ตมีอย่างหลากหลาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งสนับสนุนและต่อต้าน แต่อย่างไรภาพรวมก็ไม่ได้เป็นไปในเชิงลบอีกแล้ว ผมดีใจมากๆ ที่ #โฬมฟ้า ต่างก็มีแต่คำยินดีและเสียงกรีดร้องกับเรือที่วิ่งเข้าถึงฝั่ง

ทางฝั่งไอซ์ก็มีความเคลื่อนไหว แต่พี่เฟรมก็ตอบกลับอย่างที่พี่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ก่อนบินกลับมาที่ไทย

ตอนแรกโฬมแค่ทักไปขอแชทเก่าๆ จากเพื่อนสนิท เพราะพี่เฟรมเป็นคนชอบแบ็คอัพข้อมูลในโทรศัพท์เก็บไว้ รูปตั้งแต่สมัยมัธยมยังมีเป็นพันๆ เลย (พี่เฟรมเอามาให้ผมดูเอง เห็นโฬมตอนเด็กๆ ด้วยครับ) แต่พี่เฟรมกลับบอกว่าจะเอามาให้เองที่ไทย และหลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็บินลัดฟ้ามาที่กรุงเทพฯ จริงๆ

กลับมาที่เรื่องของไอซ์ ผมแม้จะทำเหมือนไม่สนใจแต่แอบติดตามข่าวอย่างคนอยากเสือกและแอบหมั่นไส้เงียบๆ ไอซ์ยังคงโพสต์สเตตัสเรียกร้องความสนใจอยู่เหมือนเดิม หมายจะโต้กลับเอาคะแนนเสียงตัวเองคืนมา แต่พี่เฟรมก็เอาคืนด้วยการลากอดีตเพื่อนสนิทของไอซ์มาเกือบจะทุกคน จับมานั่งสุมหัวกันที่โรงแรมของตัวเองแล้วเม้าส์หมอยวีรกรรมของผู้ชายที่ชื่อไอซ์ที่หนักหน่วงจนเพื่อนๆ เททิ้งไม่มีใครคบ

แต่พี่เฟรมก็ยังไม่เลวทรามขนาดเอาทุกเรื่องของไอซ์มานินทา เขาโฟกัสที่ตอนโฬมกับไอซ์ยังคบกัน และวีรกรรมหลังเลิกกันเท่านั้น โดยทีเพื่อนคนอื่นคอยเสริมว่าอีกฝ่ายมักเรียกร้องความสนใจอย่างไร และเป็นคนที่ชอบให้คนอื่นสนใจจนกดหัวเพื่อนๆ ลง สุดท้ายเมื่อความจริงทุกอย่างเปิดเผยเพื่อนๆ จึงไม่มีใครทนอยู่ด้วยได้

ทุกอย่างกลายเป็นข่าวครึกโครม ไอซ์อาจเป็นคนแรกที่ไม่ใช่คนในวงการแต่มีสำนักงานข่าวออกข่าวเรื่องนี้จนเต็มโซเชียลและหน้านิตยสารซุบซิบไปหมดก็ได้ ผมคาดเดาเอาเองนะ และหลังจากนั้นไม่นานเฟสบุ๊คเจ้าปัญหาของเจ้าตัวก็ถูกปิดไป
แต่โฬมก็ยังคงเอาเรื่องที่ทวิตเตอร์ลึกลับซึ่งเดากันได้ง่ายๆ ว่าใครเป็นเจ้าของนั้นอย่างหนัก เขายื่นฟ้องศาล จ้างทนายและดำเนินคดีโดยแจ้งความเรื่องความผิดทางพรบฯ คอมพิวเตอร์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพื่อการแจกจ่ายทำให้แพร่หลายซึ่งภาพอันลามกนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งเข้าถึงได้

และใช่ครับ

ไอซ์ถูกจำคุก 9 เดือนและศาลให้ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงินสองแสนบาท

การมีข่าวนี้ทำให้โฬมได้รับความเห็นอกเห็นใจในฐานะเหยื่อผู้ถูกกระทำมากยิ่งขึ้น และข่าวของไอซ์ยังคงถูกพูดถึงกันเป็นวางกว้าง แม้เรื่องราวจะผ่านมาเป็นเดือนๆ แล้วก็ตาม...

ผมดีใจนะ ที่ท้องฟ้าหลังพายุเข้า มักจะมีสายรุ้งโผล่ขึ้นมาเสมอ



_______________________________
Talk : มาแล้วค่า บทสรุปนังไอซ์มาแล้วววว
เราอ้างอิงข่าวเรื่องพรบ.คอมฯ จากเว็บนี้ https://hilight.kapook.com/view/32264
และหวังว่าทุกคนจะพอใจบทสุปของนังไอซ์นะคะ  :hao5: :hao5:


ฮรุก ตอนที่แล้วทุกคนรุมด่าพี่โฬมกันหมดเลย ใจเรากลัวมากที่จะลงตอนต่อไป 555
เราตามดราม่าดารามาเยอะค่ะก่อนเขียนเรื่องนี้
ส่วนมากทางออกที่ดีที่สุดคือการเงียบจริงๆ แต่มันก็ใช้ไม่ได้สำหรับทุกอย่าง
ซึ่งพี่โฬมได้เรียนรู้แล้วว่า "การที่เขาต้องการจะปกป้องใครสักคน เขาต้องสู้ ไม่ใช่เอาแต่เงียบ"
เหมือนกับเนื้อเพลงเพลงหนึ่งที่กล่าวว่า
'They say before you start a war.
You better know what you're fighting for'



เราอยากให้พี่โฬมค่อยๆ พัฒนาความเข้มแข็งเนอะ จะให้โดนข่าวแล้วกล้าสวนใส่เลยก็ไม่ใช่เนอะ
ส่วนพี่เฟรม.. โผล่มาให้ทุกคนได้รู้จักค่ะ เป็นแค่ตัวประกอบเฉยๆ 555555555  :hao7: :hao7:

เอนจอยรีดดิ้งกันนะคะทุกคน รักเสมอเลย
จะจบแล้วว ศึกใหญ่พี่โฬมผ่านไปแล้ว ฮือ ขอโทษที่พาดราม่าค่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 08-01-2019 20:34:03
ยินดีด้วยนะพี่โฬมที่เข้มแข็งขึ้นเอาชีวิตดีๆของตัวเองกลับมาได้
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-01-2019 20:38:38
ปัญหาผ่านไป​ ดีใจกับพี่โฬมน้องฟ้าด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-01-2019 21:53:58
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-01-2019 01:16:49
เก่งมากๆเลยน้า TT
ดีใจที่ไม่เลือกจะเงียบหายไปเหมือนตอนนั้น
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-01-2019 02:34:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-01-2019 01:32:44
ดีใจกับพี่โฬมและน้องด้วย หมดปัญหาเรื่องนังไอซ์ไปแล้วก็ขอให้มีแต่ความสุขนะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 10-01-2019 09:49:56
เยี่ยมมมมม นางต้องโดนแบบนี้
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 11-01-2019 15:20:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-01-2019 09:08:37
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 14-01-2019 23:14:31
ในที่สุดพี่โฬมก็กล้าสักที นึกว่าคราวนี้จะเงียบอีก ^^
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 17-01-2019 00:01:59
อาจจะมาช้านิดหน่อยนะคะ นิยายเรื่อง #เขื่อนคนสวย เดดไลน์จ่อก้นเข้ามาแล้วเลยต้องขอปั่นเรื่องนั้นก่อน
รอกันอีกนิดนะคะ ฮึบบบ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-01-2019 00:11:06
 :L2: :pig4:

ขอบคุณมากที่มาส่งข่าว
พี่เขื่อนก็สู้ๆ
รอฟ้าาาาาา ด้วย
รักษาสุขภาพ :L2:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 19-01-2019 04:08:39
การเงียบทุกครั้งก็ไม่ใช่ผลดีเสมอไป
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 25 [8-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 21-01-2019 23:53:51
บทที่ 26 (1)




ในวันหนึ่งที่ท้องฟ้าขมุกขมัวเพราะฝนทำท่าจะตก ผมนั่งอยู่ในห้องซ้อมดนตรีในบ้านของโฬม ฟังคนรักดีดกีตาร์ร้องเพลงที่ตนเองเพิ่งแต่งเสร็จให้ฟังอย่างใจเย็น ชายผู้เคยมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียด ตอนนี้เขาฉีกยิ้มออกได้เต็มปาก รอยบุ๋มที่ข้างแก้มกับฟันเขี้ยวเล็กๆ โผล่มาให้ผมได้เห็นชัดขึ้น ชวนให้คนมองฉีกยิ้มตามออกมาอย่างโง่งม

“เพลงรักเหรอครับ?” ผมที่โยกตัวตามจังหวะดนตรีสบายๆ ร้องถามเมื่อท่อนฮุคแรกของเพลงจบลง โฬมพยักหน้าให้พลางดีดกีตาร์ฮัมเพลงต่ออย่างตั้งใจ น้ำเสียงของเขายังนุ่มน่าฟังแม้ไม่ได้ใช้เทคนิคการร้องอะไรมาก ดนตรีเบาๆ คลอเคล้าไปกับเสียงฝนที่เริ่มตกหนักด้านนอก ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาพลางหลับตาลง ค่อยๆ ซึมซับท่วงทำนองที่อุ่นไปถึงหัวใจ

อากาศภายในห้องเริ่มเย็นขึ้นกว่าเก่าหลังจากฝนห่าใหญ่โถมตัวลงมา กีตาร์โปร่งเบาเสียงลงแล้ว พร้อมกับชายผู้เป็นเจ้าของบ้านยกมันกลับไปวางยังที่ตั้งข้างกำแพง โฬมเดินกลับมานั่งข้างไ ผมพร้อมหมอนผ้าห่มในมือ เขาคลี่มันออกแล้วตวัดคลุมลงบนลำตัวของผมที่นั่งกอดเข่าขดตัวเป็นก้อน

“เพลงเป็นยังไงบ้างครับ” เจ้าของรอยยิ้มใจดีถามออกมาอย่างคาดหวังในคำตอบ

“ผมให้คะแนนเต็มเลย” ผมยกยอทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ชูนิ้วโป้งออกไปข้างหน้าทั้งสองมือ พร้อมทั้งฉีกยิ้มเต็มแก้มเพื่อเอาใจ “เพราะมากๆ เลย”

“อวยขนาดนี้ได้ยังไงครับฟ้า หืม” โฬมยื่นมือมาขยี้หัวผมอยางหมั่นเขี้ยว ทั้งยังลากร่างของผมไปกอดไปฟัดจนช้ำทั้งเนื้อตัวทั้งเสื้อผ้าที่อุตส่าห์รีดมาจนเนียนกริบ

“แฮ่ก พอแล้วพี่โฬม! พอแล้ววว” ผมยกมือยอมแพ้ ไม่ดิ้นรนหรือผลักใสริมฝีปากที่พยายามกดลงมาบนแก้มอีก หมดแรงจะต่อต้านแล้วครับ และทันทีที่ผมบอกไปอย่างนั้นโฬมก็หัวเราะอย่างชอบใจก่อนกดจมูกลงมาบนแก้มแล้วสูดเสียงดังฟอดไปอีกสองที

“ฮ้า... ชื่นใจ”

“แก้มช้ำหมดแล้วพี่” ผมเบ้ปาก ขยับตัวหนีออกมาเมื่อโฬมยอมคลายอ้อมกอดที่รัดแน่นไม่ต่างจากงูเลยทีเดียว ผมใช้มือขวาถูไถรอยน้ำลายที่เปรอะเต็มหน้าออกแล้วเดินหนีเขาออกมาจากห้องดนตรี

“ไปไหนครับฟ้า”

“หนีพี่โฬมไงครับ อุตส่าห์เซ็ตผมมาตั้งนาน” ผมชี้ไปที่หัวยุ่งๆ ของตัวเองอย่างไม่พอใจ ซึ่งเขาก็รู้อยู่แล้วว่าผมไม่ได้โกรธจริงจัง ริมฝีปากสีอ่อนนั่นถึงยังฉีกยิ้มแฉ่งจนถึงตาได้แบบนี้

“ไม่แกล้งแล้วครับ” คนพูดกวักมือเรียก “มานั่งนี่เถอะนะ ผมยังมีเพลงอยากให้ฟ้าฟังอีกเยอะเลย”

แล้วสุดท้ายผมก็ใจอ่อนยอมเดินกลับไปนั่งบนโซฟาข้างๆ โฬมเหมือนเดิม

หลังจากผ่านมรสุมชีวิตแล้ว โฬมก็กลับมาดังเหมือนเก่า เผลอๆ อาจจะดังกว่าเดิมเยอะเลยครับ ตอนนี้เขาเลยตั้งใจจะออกอัลบั้มใหม่ด้วยทุนของตัวเอง มันไม่ยากนักสำหรับผู้ชายที่โปรดิวซ์เพลงเองมาตลอด แต่สิ่งที่ติดๆ ขัดๆ คงจะเป็นรายจ่ายยิบย่อยที่ไม่มีทางค่ายลงทุนให้อีกแล้ว ตลอดการทำงานโฬมต้องควักเนื้อตัวเองออกเพราะเขาเป็นศิลปินอิสระ

แต่ถามว่าคุ้มไหม ผมว่าคุ้มมาก

โฬมอยากจะแต่งเพลงแนวไหนก็ได้ตามที่เขาชอบ อยากทำอัลบั้มหรือเอ็มวีออกมาแบบไหนก็ได้โดยไม่ต้องผ่านการประชุมกับค่ายเพลง มันเป็นความอิสระที่จะผลักดันให้ความสามารถของเขาเปล่งประกาย และผมพร้อมสนับสนุนทุกงานที่เต็มไปด้วยความตั้งใจของโฬมแน่นอน

“ผมว่าจะเอาเพลงนี้เป็นเพลงโปรโมท” โฬมเลื่อนไอแพดเพื่อเปิดเดโม่เพลงของเขาให้ผมฟัง มันเป็นเพลงที่ทำนองไม่ได้แปลกใหม่อะไรนัก แต่เนื้อเพลงของเขาดีมากเลยทีเดียว มันเป็นเพลงรักที่เปรียบเปรยว่าตัวเขาเป็นนกที่หลงรักท้องฟ้ากว้างใหญ่ เจ้านกพยายามบินขึ้นไปให้สูงที่สุดเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้สิ่งที่มันรัก แม้ว่ามันจะดูเป็นไปได้ยากก็ตาม

ดูเผินๆ เหมือนเป็นเพลงรักเอาไว้ใช้จีบสาว แต่จริงๆ โฬมเล่าให้ฟังว่าความหมายแฝงของมันคือการสื่อถึงตัวเขาเอง ซึ่งพยายามที่จะไล่ตามความฝันมาตลอด แม้มันจะยากลำบากและดูเป็นไปไม่ได้ เขาก็ยังกางปีนบินต่อไปจนกว่าร่างกายจะหมดแรงและไปต่อไม่ไหว

ฟังดูแล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีจริงๆ นะครับเนี่ย

“ก็ดีนะครับ ผมชอบ” ผมเสนอความคิดเห็นอย่างจริงจัง “ทำนองเพลงก็ติดหูดีด้วย”

“แล้วฟ้าคิดว่าทำเอ็มวีแบบไหนดี”

“อืม...” ผมนิ่งคิดสักพัก “ทำเป็นแนวความรักน่าจะดีกว่านะครับ คนฟังน่าจะอินง่ายกว่า”

“ความรักเหรอครับ...?”

“ครับ”

“ความรักนี่หน้าตาเหมือนฟ้ารึเปล่า”

“...”

อ่า...

ผม...ต้องตอบเขาว่าอะไร

“โห หน้าแดงแจ๋แล้วนะครับ”

เขาไม่ควรแซวเรื่องที่ผมเขิน ถ้าเขาจงใจทำให้ผมเขินเอง!

ผมก้มหน้าซุกกองผ้าห่มบนตักไม่ยอมให้โฬมเห็นหน้าแดงเถือกอีก คบกันก็สักพักแล้วไม่รู้ทำไมเขายังขยันทำให้ผมเขินอยู่บ่อยๆ และผมก็รับมือไม่เคยได้เลยสักครั้ง

“ฟ้า เงยหน้ามาคุยกันก่อนเร๊ว”

“พี่โฬมเลิกแกล้งเถอะครับ” ผมงอแง “ไม่งั้นผมจะฟ้องยาย”

“ไม่ได้นะครับ” พี่โฬมสะดุ้งโหยงนั่งหลังตรงทันที “เดี๋ยวคุณยายไม่ต้อนรับผมจะทำยังไง”

“พี่ก็ไม่ต้องไป...”

“ต้องไปสิครับ” คนอายุมากกว่าเถียงคอเป็นเอ็น เขารวบแก้มผมไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วบังคับให้หันมามองหน้ากัน “ผมต้องไปฝากตัวเป็นหลานชายอีกคนนะ”

“ผมเป็นหลานคนเดียวพอแล้ว”

“งั้นให้ผมเป็นคนรักของหลานยายก็ได้ครับ”

“...”

ไม่คุยด้วยแล้วครับ

ผมโยนหมอนผ้าห่มในมือใส่ตักโฬมแล้วเดินหนีออกมาทันที พยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขที่แว่วตามหลังมา








อย่างที่ผมเคยบอกไปว่ายายเคยโทรมาบอกว่าอยากเจอแฟนหลานหลังจากเห็นข่าวมากมายบนทีวี ผมได้เอาไปเล่าให้โฬมฟังแล้วเขาตกลงเคลียร์งานเพื่อขับรถไปยังต่างจังหวัดที่อยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณห้าชั่วโมง ผมไม่เคยเห็นโฬมตื่นเต้นกับอะไรขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่เขาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอย่างงานดนตรีใหญ่ๆ ที่มีช่วงปลายปี เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรขนาดนี้

ตอนนี้โฬมอยู่ไม่ค่อยสุขแล้วครับ ทั้งๆ ที่เรื่องที่จะกลับไปหายายพวกผมคุยกันไว้ตั้งหลายเดือน เพราะต้องรอให้คิวงานโฬมที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดลงตัว และอัลบั้มของเขาที่กำลังทำอยู่ก็ต้องเสร็จมากกว่าครึ่งเพื่อที่จะได้กลับไปอยู่บ้านนอกสบายๆ สักอาทิตย์

และแม้ว่าจะเตรียมตัวกันมาเกือบๆ ครึ่งปี สุดท้ายพอถึงวันเดินทางจริงคนที่อายุมากกว่าผมกลับไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ในคืนก่อนวันเดินทาง เขามานอนที่คอนโดผมเพราะเราจะออกเดินทางกันในตอนเช้า แต่โฬมก็อยู่ไม่นิ่งขยับพลิกไปมาจนผมต้องขอร้องให้เขาออกไปนอนลืมตาตรงห้องนั่งเล่น และเดี๋ยวผมจะเป็นคนขับรถให้เอง

“ได้นอนไหมครับเนี่ย” ในตอนเช้าตรู่ประมาณหกโมงกว่า ผมที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อปลุกใครอีกคนไปอาบน้ำบ้าง แต่กลับพบว่าผู้ชายตัวสูงกำลังนั่งดูทีวีด้วยสีหน้าอิดโรยราวกับคนไม่มีแรง โฬมหันหน้าซีดเซียวมาทางผมแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่หลับเลยครับ”

“งั้นเดี๋ยวพี่โฬมไปนอนบนรถก็ได้นะครับ” ผมบอกอย่างเป็นห่วง เขาดูเหมือนพร้อมจะน็อคไปในทุกวินาทีเลยทีเดียว

“แต่มันไกลนะ ฟ้าขับคนเดียวไหวเหรอ”

“ผมขับดีกว่าให้คนไม่ได้นอนขับนะ” ผมว่าอย่างนั้นแล้วดึงแขนให้เขาลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำ จากนั้นตัวเองก็เดินมุดตู้เย็นเพื่อหยิบเอาถุงกับข้าวที่ซื้อทิ้งไว้เมื่อตอนเย็นออกมาอุ่น มีข้าวสวยถุงละห้าบาทสองถุงที่คาดว่าน่าจะพอยาไส้ผู้ชายกินจุทั้งสองคนได้
ผมเททุกอย่างลงใส่จานแล้วทยอยเอาเข้าไมโครเวฟทีละอัน จากนั้นก็ยกมาวางบนโต๊ะเพื่อรอคนไม่ได้นอนออกมาทานข้าว สักพักเดียวโฬมก็เดินแขนห้อยออกมาในชุดไปรเวทเรียบร้อย กางเกงยีนส์ขายาวกับเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอก

“ที่ห้องมีกาแฟไหมครับ” โฬมชะเง้อขอมองบนตู้เย็นที่ผมมักจะเก็บพวกผงเครื่องดื่มสำหรับชงกินเองในห้อง ทว่าผมกลับส่ายหน้าอย่างห้ามปราม

“ไปนอนในรถเถอะครับ ดื่มกาแฟตอนนี้เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ”

“ผมง่วงมากเลย” น้ำเสียงเขาติดจะงอแงนิดหน่อย ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะโถมเข้ามากอดแล้ววางคางบนไหล่ของผมอย่างหมดสภาพ “ฟ้าครับ ขอโทษนะครับ”

“ขอโทษทำไม...”

“ผมเป็นห่วงที่จะให้ฟ้าขับรถคนเดียว”

“...ผมก็ห่วงพี่เหมือนกัน” เมื่อผมพูดประโยคนี้ โฬมก็เลิกดื้อดึงจะดื่มกาแฟอีก เขายอมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วตักข้าวเข้าปากจนหมด จากนั้นผมก็ยกจานชามทั้งหมดไปล้าง ปล่อยให้หน้าที่ขนกระเป๋าไปเก็บไว้ที่รถเป็นของใครอีกคนแทน

โฬมยกสัมภาระทั้งหมดลงไปก่อนพร้อมทั้งจะรออยู่ในรถ ส่วนผมหลังจากจัดการธุระและเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้าในห้องเรียบร้อยก็ลงกลอนประตูและตามออกไปที่ลานจอดรถ แม้จะยังเช้าอยู่แต่คนก็ยังเดินกันให้วุ่น เนื่องจากมันเป็นวันธรรมดาและเจ็ดโมงแบบนี้ก็นับว่าเป็นชั่วโมงเร่งด่วนแล้ว

ผมทิ้งตัวลงในตำแหน่งคนขับ บังคับให้คนข้างๆ ปรับเบาะเอนนอนแล้วหลับตาไปเสีย และก่อนจะเคลื่อนรถออกจากที่จอดผมก็กดเปิดเพลงสากลเบาๆ สร้างบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายเพื่อช่วยให้คนที่ตื่นเต้นจนเกินพอดีหลับลงได้ง่ายขึ้น

ช่วงระหว่างทางในกรุงเทพฯ รถจะติดนิดหน่อยในบางช่วง แต่พอเลยออกมายังเขตปริมณฑลผมก็เริ่มทำความเร็วได้ตามต้องการ ตลอดการเดินทางผมกับโฬมไม่ได้คุยกันเลยเพราะทันทีที่รถเคลื่อนตัวได้พักหนึ่งเสียงกรนเบาๆ ก็ดังลอดออกมาจากตุ๊กตาหน้ารถ ผมจึงปล่อยให้เขาพักผ่อนไป ในขณะที่ตัวเองมองทางสลับกับมองแมพในโทรศัพท์ที่มีจุดหมายปลายทางเป็นบ้านเกิดของผมในจังหวัดชัยภูมิ

ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงที่นู่นอยู่ราวๆ สองร้อยเจ็ดสิบกิโลเมตร นับว่าไกลพอสมควรทำให้พอผ่านไปได้ครึ่งทาง ผมก็แวะจอดที่ปั้มน้ำมันเพื่อแวะเข้าห้องน้ำและซื้ออาหารมาตุนไว้บนรถ

โฬมตื่นขึ้นมาในช่วงนั้นแปบนึง และพอผมเริ่มออกเดินทางต่อเขาก็หลับเป็นตายเหมือนเดิม

กว่าพวกเราจะมาถึงบ้านผมที่ต่างจังหวัดก็ใกล้ๆ บ่ายโมงแล้ว ผมขับรถเข้าไปจอดที่ลานว่างหน้าบ้าน เอื้อมมือไปปลุกพี่โฬมแล้วปล่อยให้เขาทำใจประมาณสิบนาที

“คุณยายของฟ้าใจดีไหมครับ”

“ดุเอาเรื่องเลยครับ”

“...” โฬมมองหน้าผมนิ่งๆ เขาถูกมือเปียกชื้นของตัวเองกับขากางเกงไปมา “จะโดนบังคับให้เลิกคบกันไหม คุณยายน่าจะรับไม่ได้เรื่องคบเพศเดียวกัน”

“ทำไมพี่โฬมคิดแบบนั้น”

“ผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ค่อยเปิดรับนี่ครับ”

ผมฉีกยิ้มให้กับหัวคิ้วที่ขมวดยุ่งเป็นปมหนา

“ก็ไม่ค่อยเปิดรับจริงๆ นั่นแหละครับ”

คราวนี้หน้าหล่อๆ ของโฬมยับย่นจนดูไม่ได้เลยล่ะ

ผมอมยิ้มแล้วลงจากรถ พวกกระเป๋าเสื้อผ้าทิ้งเอาไว้ในนี้ก่อน ค่อยออกมาเอาตอนค่ำๆ ดังนั้นผมเลยหยิบเฉพาะของฝากกับพวกสิ่งจำเป็นที่เอาทิ้งไว้ในรถไม่ได้ออกมา

“มาเถอะครับ” ผมที่หยิบของทุกอย่างออกมาหมดแล้วหันไปตะโกนเรียนสติคนที่ยังนั่งซึมกะทื่ออยู่บนที่นั่งข้างคนขับ และพอเขารู้สึกตัวก็รีบจรลีมาช่วยผมยกของทันที

ผมเดินนำแขกแปลกหน้าผ่านสวนดอกไม้ที่ยายปลูกเพื่อเข้าไปยังตัวบ้าน พอลองหมุนลูกบิดก็พบว่าประตูไม่ได้ล็อค คาดว่ายายน่าจะปลดกลอนเอาไว้เพราะรู้ว่าผมจะมาวันนี้

“ยาย!” ผมตะโกนเสียงดังลั่นบ้านทันทีที่ตัวเองก้าวเท้าเข้ามาด้านในครบทั้งสองขา “สกายมาแล้วครับ”

“มาถึงแล้วเหรอ” เสียงแหบแห้งของคนสูงวัยดังมาจากในครัว ผมหันไปหาโฬมแล้วส่งสายตาชวนให้เขาเดินตามมา
พวกเราเดินหอบหิ้วของฝากเข้าไปในครัว หญิงชรากับผมสีดอกเล้ากำลังยืนอยู่หน้ากระทะ ผัดอาหารเสียงดังโช้งเช้งทั้งยังส่งกลิ่นหอมฟรุ้งไปทั่วบ้าน

“ทำอะไรอยู่ครับ”

“พะแนงหมูไง เห็นมีคนอยากกิน”

ผมหัวเราะ วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะทานข้าวที่มีของกองเต็มไปหมดจนน่าจะเรียกว่าโต๊ะวางของเสียมากกว่า จากนั้นผมก็เดินเข้าไปกอดเอวหญิงสูงวัยที่สูงเพียงแค่อกของผมและตัวเล็กนิดเดียว

“อย่าเพิ่งมากวน” คุณยายผมขึ้นเสียงใส่ก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปรอไกลๆ และในจังหวัดที่เจ้าของบ้านหันไปเห็นโฬม คนตัวสูงก็ยกมือไหว้และโค้งตัวลงอย่างสวยงาม

“สวัสดีครับ”

“นี่ใคร” ยายหันมาถามผมแล้วเอาตะหลิวชี้ไปทางคนแปลกหน้า

“พี่โฬมไง ที่ยายอยากเจอ”

“อ๋อ คนนั้นเอง” ยายผมพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วหันกลับไปผัดพะแนงหมูต่อ

“ผมไปรอที่ห้องนั่งเล่นนะครับ”

“เออๆ ฉันทำความสะอาดห้องให้แล้ว พาเพื่อนขึ้นไปเก็บของซะสิ”

“ไม่เห็นต้องทำเลย เดี๋ยวผมทำเองก็ได้” ผมแย้ง ยายผมอายุเยอะแล้วครับ แต่ยังแข็งแรงดีอยู่เพราะหมั่นเดินออกกำลังกาย แต่จริงๆ แล้วโรคภัยก็รุมเร้าอยู่เหมือนกัน ทั้งปวดขาและไม่สบายอยู่บ่อยๆ โชคดีที่บ้านรอบข้างเป็นเครือญาติที่คอยดูแลเอาใจใส่ผมเลยไม่ได้ห่วงกังวลนัก

“อย่าร่ำไร”

ผมได้แต่รับคำเพราะเถียงอะไรไม่ได้ จากนั้นก็พาโฬมขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อสำรวจห้องนอนที่ต้องพักอยู่ทั้งอาทิตย์ ห้องส่วนตัวของผมไม่ได้ใหญ่นักแต่มีเตียงขนาดควีนไซส์ที่แม้จะเก่าแต่ก็ยังสภาพดี ของภายในห้องจะมีก็แต่การ์ตูนกับหนังสือเรียนสมัยเด็กที่ยายไม่ได้รื้อเอาไปขายที่ไหน

“นี่ห้องผมครับ” ผมเชิญชวนให้โฬมเข้ามาสำรวจ ร่างสูงเดินไปมาอยู่รอบหนึ่งก่อนจะหยุดลงที่กรอบรูปสมัยผมเด็กๆ “อันนั้นตอนเป็นดุริยางค์ของโรงเรียน”

ผมชี้นิ้วไปมาอธิบายรูปถ่ายสมัยเด็กที่ตอนนั้นทำกิจกรรมมากมายจนเกียรติบัตรเต็มบ้าน โฬมดูจะชอบเอามากๆ เพราะผมแอบเห็นว่าเขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้

หลังจากพวกเราสำรวจห้องได้สักพักก็มานั่งตากพัดลมบนเตียงคนละฝั่ง ผมเอนตัวนอนแผ่หราพลางหยิบเอาตุ๊กตาหมาเน่าๆ ที่ยายยังเก็บไว้มากอดแน่น

“ฟ้าครับ”

“ครับ”

“คุณยาย... ไม่รู้เหรอครับ เรื่องระหว่างเรา”

ผมเลิกคิ้วใส่โฬม “รู้สิครับ”

“แต่ท่านเรียกผมว่าเพื่อน”

อ๋อ...

ผมหัวเราะ นึกขันคนที่ดูกังวัลไปหมดทุกอย่างจนไม่เหลือมาดโฬม ลภณ นักร้องหนุ่มทรงเสน่ห์ที่คอยวางตัวเป็นผู้นำเพื่อจะดูแลผมอยู่ตลอดเวลา

“จะให้เรียกแฟนใครๆ เขาก็ไม่ถนัดทั้งนั้นแหละครับ”

“...เหรอครับ”

“พี่โฬมกังวลเหรอครับ”

เขาพยักหน้า ผมเลยอ้าแขนออกเพื่อให้ผู้ชายตรงหน้าขยับตัวล้มลงมานอนในอ้อมแขนของผม โฬมทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งยังกอดตอบผมแน่นไม่แพ้กัน เจ้าหมาเน่าที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเราแบนแต๊ดแต๋จนน่าสงสาร

“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ”

“...”

“ยายจะรักทุกอย่างที่ผมรัก” ผมบอกเขาอย่างมั่นใจ ส่งสายตาสื่อความหมายเพื่อเพิ่มพลังให้กับคนที่กอดกับผมกลมดิ๊ก
“ทำไมฟ้าถึงมั่นใจจัง ฟ้าเคยคุยเรื่องนี้กับคุณยายเหรอ”

คราวนี้ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ สีหน้าโฬมแย่ลงไปสิบส่วนเลยทีเดียว ผมเลยฉีกยิ้มตาหยีให้เขาแล้วพูดออกไปว่า

“เพราะยายรักผมไงครับ”

และนั่นเป็นคำพูดง่ายๆ ที่เรียกรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้าของคนฟัง


_____________________
Talk: มาแล้วค่าาาาทุกคนนน ฮือออออ
ขออภัยที่หายไปนาน ไปปั่นต้นฉบับ #เขื่อนคนสวย อยู่ค่ะ ส่งต้นฉบับไปแล้วว

ส่วนเจ้าสกาย ขอแบ่งตอนนี้ออกเป็น 2 พาร์ทค่ะ ไม่อยากแยกตอนเพราะจริงๆ กะจะให้ตอนนี้เป็นตอนจบ
แต่เราเขียนแล้วลบมาหลายรอบมากเลยค่ะ จบไม่ลง ฮือออ  :hao5: :hao5:

ตอนแรกว่าจะจบแบบที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่ไปๆ มาๆ เราอยากเขียนถึงคุณยายน้องสกายค่ะ
อยากให้รู้ว่าทำไมน้องสกายถึงโตมาเป็นคนที่มีพลังบวกเต็มไปหมดแบบนี้
สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่หล่อหลอมนิสัยใจคอของเราเนอะ

เลยคิดว่า จบแบบพาพี่โฬมไปแนะนำตัวกับคุณยายดีกว่าค่ะ
ดังนั้น ตอนหน้าจะจบแล้วนะคะทุกคลลลลลลลลลลลล  :katai5: :katai5: :katai5:
ตอนหน้าจะรีบมาต่อค่า ไม่หายไปนานแล้ว รักนะค้า
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 (Part 1) [22-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-01-2019 00:21:03
ฮือ แอบใจหาย จะจบแล้ว
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 (Part 1) [22-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-01-2019 01:02:02
จะจยแล้วหรอคะ ยังไม่อยากให้จบเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 (Part 1) [22-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 22-01-2019 01:12:51
มาพบญาติผู้ใหญ่ของฟ้า​
คุณยายคงใจดีกับพี่โฬม
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 (Part 1) [22-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 22-01-2019 13:14:31
ติดตามมานาน ถ้าจบคงคิดถึงพี่โฬมน้องฟ้าแย่เลย อิอิ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 (Part 1) [22-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-01-2019 14:28:11
รอดูตอนคุยกับคุณยาย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 (END) [27-Jan-19] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 27-01-2019 15:36:49
บทที่ 26 (2)




ผมกับโฬมโดนตามให้ลงมากินข้าวตอนที่ยายผัดอาหารเสร็จเรียบร้อย กลิ่นพะแนงหมูหอมกรุ่นไปถึงชั้นบน ทั้งยังมีไข่ดาวกรอบๆ ใส่จานข้าวสวยให้คนละใบ รสมือที่คุ้นเคยทำให้ผมซัดข้าวลงพุงไปถึงสองจาน ในขณะที่โฬมก็กินเยอะไม่แพ้กัน เขาป้อยอยายผมยกใหญ่ เล่นเอาคนแก่ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเลยทีเดียว

บนโต๊ะอาหารครื้นเครงไปด้วยเสียงพูดคุยที่ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ แขกแปลกหน้าพอคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านแล้วก็เริ่มพูดปร๋อ ส่วนผมมีแทรกบทสนทนาเข้าไปบ้างแต่ส่วนมากจะนั่งฟังเสียมากกว่า

“แล้วจะกลับกันวันไหน” ยายผมวางช้อนลงบนจานข้าวที่ว่างเปล่า ดวงตาภายใต้แว่นทรงกลมหันมามองผมขณะถาม

“อาทิตย์หน้าครับ ลางานมาแล้ว”

“แล้วพ่อหนุ่มนี่ก็อยู่ด้วยเหรอ”

ผมพยักหน้ารับพลางตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก อิ่มแปร้จนพุงป่องออกมาเป็นก้อนกลมเลยแหะ

“ดีๆ จะได้ช่วยกันลงต้นไม้ที่สวน”

ผมหัวเราะ ต่างจากโฬมที่หันมามองหน้าผมสงสัยว่าผมขำอะไรขนาดนั้น ผมเลยได้แต่โบกมือปัดๆ ให้เขาว่าไม่มีอะไรก่อนขยับตัวเข้าไปกอดร่างเล็กๆ ของยายไว้แน่น

“จะใช้แรงงานกันเลยเหรอครับ”

“มีแรงงานมาให้ใช้ก็ต้องใช้สิ”

“แต่พี่โฬมมาเป็นแขกนะยาย” ผมประท้วงเบาๆ เพราะรู้สึกเกรงใจคนรักที่ต้องมาถูกใช้ให้ตากแดดตากลมเอาต้นไม้ลง ซึ่งไม่น่ามีแค่ต้นสองต้นแน่นอน

ยายผมเวลากลับบ้านทีต้องสรรหาเรื่องมาใช้หลานอยู่แล้ว แกบอกว่านานๆ ทีจะกลับมาให้ใช้ก็ต้องใช้ อยู่คนเดียวทำเองไม่ไหว พูดมาอย่างงี้แล้วผมจะทำอะไรได้ รอบที่กลับบ้านคราวที่แล้วก็นู้นครับ ปีนขึ้นไปกวาดขี้นกบนหลังคามาแล้ว

“ผมทำได้นะครับ” ใครอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยรียแย้งขึ้นมาอย่างต้องการทำคะแนน ยายผมพยักหน้าอย่างชอบอกชอบใจ

“เพื่อนยังใช้งานง่ายกว่ากายตั้งเยอะ” กำปั้นเล็กๆ แขกโป๊กลงบนหน้าผากผม ก่อนที่ยายจะลุกหนีไปพร้อมทิ้งท้ายคำสั่งเอาไว้ว่าให้ผมเอาจานทั้งหมดไปล้างให้เกลี้ยง

ผมขานรับคำสั่งก่อนค่อยๆ รวบจานเปล่าๆ บนโต๊ะมาซ้อนกัน โฬมช่วยหยิบถุงขยะมาเขี่ยเศษอาหารออกให้พร้อมทั้งยกจานชามทั้งหมดเอาไปวางไว้ที่ซิงค์ล้าง

“เดี๋ยวผมทำเอง” ผมรีบตะโกนแย้งแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาเมื่อคนตัวสูงหยิบฟองน้ำล้างจานขึ้นมา โฬมเหมือนจะต่อต้านแต่สุดท้ายเขาก็ยอมขยับไปยืนมองอยู่ข้างๆ เพราะผมก็ไม่ยอมให้แขกล้างจานเหมือนกัน

“พี่โฬมไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก็ได้นะครับ”

“แต่ผมอยากช่วย...”

ผมหันไปมองคนที่ยังไม่ยอมขยับไปไหน พยักเพยิดไปยังห้องนั่งเล่นที่มีเสียงโทรทัศน์ดังลอดเข้ามาเป็นระยะๆ ยายมักจะใช้เวลาอยู่หน้าทีวีกับหนังสือหนึ่งเล่มถ้าไม่ได้ออกไปไหน แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ทำแบบนั้นหรอกครับเพราะผมขอร้องให้ญาติๆ มาหาแกบ่อยๆ กลัวแกจะเหงา จะพาไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วยก็ไม่ยอม

“พี่ไม่รีบไปทำคะแนนแล้วเหรอครับ” คำถามของผมทำให้คนฟังลังเล เขาหันไปมองยังประตูห้องนั่งเล่นสลับกับผม จากนั้นร่างสูงโปร่งก็หมุนกายเดินออกจากห้องครัวไปอย่างง่ายดาย

“งั้นเดี๋ยวผมมานะครับฟ้า”





[บันทึกของโฬม ลภณ]

เสียงละครเรื่องเก่าที่นำมารีรันหลังข่าวภาคเที่ยงช่วยคลายความเงียบภายในห้องนั่งเล่นลง ผมแอบอยู่ตรงกรอบประตูพลางสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดอย่างต้องการเรียกกำลังใจ ขณะดวงตาก็เพ่งมองหญิงชราที่นั่งพิงพนักโซฟาดูละครในทีวีอย่างเงียบๆ

“คุณยายครับ” ผมรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยทักคนบนโซฟาหน้าทีวี ใบหน้าขาวที่มีริ้วรอยของกาลเวลาประดับอยู่มากๆ ค่อยๆ หันมาตามเสียงเรียกช้าๆ ท่านฉีกยิ้มบางให้ผมพลางกวักมือเรียก

“มานั่งนี่สิ”

“ขอบคุณครับ”

ผมสัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อกับร่างกายที่ดูแข็งเกร็งไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังฝืนลากร่างสั่นๆ มานั่งเคียงข้างผู้หลักผู้ใหญ่ของคนรัก ผมไม่กล้าปล่อยตัวพิงพนักอิง ดังนั้นตอนนี้จึงนั่งตัวตรงแหน่วและกุมมือตัวเองไว้บนตักด้วยท่วงท่าที่สุภาพที่สุดในชีวิต

“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นพ่อหนุ่ม”

ถึงท่านจะบอกแบบนั้น แต่ผมก็อดเกร็งไม่ได้อยู่ดี

ผมขยำกางเกงที่สวมอยู่แน่น หายใจอย่างลำบากจนเริ่มอึดอัดเพราะรับอากาศเข้าปอดไม่เพียงพอ ทั้งคุณยายของฟ้าก็ขยับตัวเอียงข้างเพื่อหันมามองสำรวจกันได้อย่างถนัดถนี่ เม็ดเหงื่อก้อนกลมไหลผ่านขมับลงมาตามกรอบหน้าอยู่หลายเม็ด แต่ผมก็ไม่กล้ายกมือขึ้นเช็ดเพราะความหวั่นวิตกกดร่างของผมให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ถ่านหมด

“ผม... ชอบละครเรื่องนี้มากเลยครับ” ผมพยายามขจัดความอึดอัดในบรรยากาศด้วยการเปิดประเด็นหาเรื่องคุย พอดีกับที่สายตาเลื่อนไปเห็นชื่อละครบนมุมล่างของจอโทรทัศน์พอดีจึงยกมันมาเป็นหัวข้อสนทนา

“เหรอ ยายก็ชอบนะ เรื่องนี้เขาแต่งตัวกันสวย” หญิงสูงวัยพยักหน้าแล้วชี้ไปที่หน้าจอซึ่งกำลังฉายละครย้อนยุคของไทยเรื่องหนึ่งอยู่ ฉากหลังเป็นวังสมัยเก่าและนักแสดงชายหญิงต่างแต่งตัวกันเรียบร้อยงดงามเพราะมีฐานันดรศักดิ์เป็นเชื้อสายเจ้า “บ้านเขาก็สวย”

“จริงครับ”

บทสนทนาเงียบไปเมื่อไม่มีใครเอ่ยต่อ ผมเม้มปากเบาๆ พลางเหลือบสายตาหันไปมองหญิงชราข้างๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงได้แต่นั่งดูละครที่จำได้ว่าเคยดูเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไปเงียบๆ

กาลเวลาค่อยๆ ช่วยลดความอึดอัดของผมลง ร่างกายค่อยๆ คลายอาการเครียดเกร็ง ทั้งคุณยายก็ชวนวิพากย์ละครบางฉากบางตอนบ้างให้ได้ใจชื้น ผมพยักหน้ารับบ้างเอ่ยตอบบ้างไปตามสถาณการณ์

“อ๊ะ...” เสียงอุทานเบาๆ ที่ประตูเชื่อมกับห้องครัวทำให้ผมหันไปมอง เป็นฟ้าที่ยืนฉีกยิ้มเล็กๆ ให้ผมก่อนชี้มือขึ้นไปข้างบนแทนคำพูด

ผมเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการปล่อยให้ผมได้ทำความคุ้นเคยกับผู้ปกครองของเขา จึงพยักหน้าแล้วเลื่อนสายตากลับมาที่จอโทรทัศน์อีกครั้ง เลือกปล่อยเวลาช่วงบ่ายผ่านไปกับละครที่ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เนิ่นนานจนกระทั่งละครจบลง
ความเครียดจึงได้วิ่งกลับมากระแทกสมองกันอีกครั้ง

“เอ่อ... คุณยายครับ” ผมตัดสินใจเปิดบทสนทนาอีกครั้งหลังจากตัวอย่างตอนต่อไปของละครย้อนยุคนั้นจบลง คุณยายหันมามองผมแล้วเงียบรอคำพูดประโยคต่อไป “คือผม... มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“คือผมกับฟ้า เอ่อ สกาย...” ผมไม่รู้จะเริ่มเรื่องพวกนี้ด้วยคำไหน มันเลยออกมาเก้ๆ กังๆ และไม่ค่อยดีเท่าที่ตั้งใจ ผมอยากจะคุยกับท่านให้ชัดเจนแม้ฟ้าจะเคยบอกว่าเขาคุยกับคุณยายไปแล้ว แต่ตามมารยาทผมก็ควรเข้าหาท่านด้วยตัวเองเช่นกัน “ผม...”

“อ้ำๆ อึ้งๆ จะคุยกันรู้เรื่องไหม ฮึ?”

“ผมกับสกาย... เราคบกันครับ”

“...”

ผมไม่กล้าขยับตัวตอนที่คู่สนทนาเงียบไม่ยอมตอบ ไม่กล้าแม้จะหันไปมองหน้าคุณยายเพราะความกดดันที่ทับลงมาบนหัวใจจนหน่วงไปหมด

“อยากคุยเรื่องนี้เหรอ” คุณยายถามผมเสียงเบา ท่านยังคงจ้องมองมาไม่ยอมละสายตา ทั้งยังสำรวจผมขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่ผมทำได้แค่พยักหน้าเพราะก้อนน้ำลายหนืดเหนียวเกาะติดเต็มลำคอไปหมด

“ถ้าอยากคุย ยายก็จะคุยด้วย”

ผมรวบรวมความกล้าอีกครั้งเพื่อหันไปมองเจ้าของคำพูดประโยคนั้น คุณยายไม่ได้มีสีหน้าเกรี้ยวโกรธหรือไม่พอใจอะไร ทว่าท่านก็ไม่ได้ยิ้มให้ผมเหมือนตอนแรก หัวใจผมบีบรัดอย่างกังวล อย่างไรผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่จะรับเรื่องอะไรพวกนี้ได้ง่ายๆ บางทีคุณยายของสกายอาจรับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แค่เพราะไม่อยากทำให้หลานเสียใจจึงเลือกที่จะไม่พูดออกมา

ความคิดของผมคาดเดาเรื่องราวๆ ไปต่างๆ นาๆ และเริ่มนั่งไม่ติดพื้น เหงื่อออกหนักจนแผ่นหลังเปียกแฉะ ทั้งลมหายใจก็ร้อนระอุและหอบกระชั้น

“โฬม... ใช่ไหม”

“ครับ”

“กายบอกยายแล้ว เรื่องของเราน่ะ” ดวงตาภายใต้แว่นทรงกลมยังมีร่องรอยของความสับสนอยู่ภายใน ผมทำใจแข็งมองสบตาท่านด้วยความแน่วแน่ รอรับฟังอย่างสงบเหงี่ยมและไม่ต้องการโต้แย้งสิ่งใด ผมเลือกที่จะเชื่อทุกคำพูดของฟ้า เลือกจะเชื่อว่าหญิงสูงวัยตรงหน้ารักหลานชายมากพอที่จะไม่ทำให้เขาเสียใจ

ผมเลือกจะเชื่อแบบนั้นแม้หัวใจจะสั่นไปด้วยความกลัวมากแค่ไหนก็ตาม

“แล้วคุณยาย... คิดว่ายังไงครับ”

“จะคบกันยังไงก็คบไปเถอะ ยายแก่แล้วไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน” ท่านว่าเสียงเรียบ ขยับตัวให้นั่งในท่าสบายขึ้นก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่ริจะคบกันแล้วก็ขอให้มีขอบเขต อย่าโฉ่งฉ่างนักเลยคนแก่จะหัวใจวายตายเอา”

“ครับ ผมสัญญา” ผมตอบรับคำขอของท่าน แต่ก็ยังสงสัยบางเรื่องอยู่เต็มอกจนหลุดปากถามออกไปว่า “แต่คุณยายรับได้เหรอครับ ที่ผมเป็นผู้ชาย”

“อยากได้คำตอบรึ”

“...” ผมเงียบ สองจิตสองใจว่าจะฟังคำตอบดีไหม

แต่คนตรงหน้าไม่รอให้ผมคิด ท่านฉีกยิ้มบางๆ มาให้แล้วชิงเอ่ยตอบออกมาเสียก่อน

“ยายก็อยากเห็นกายมีครอบครัว มีเหลนตัวเล็กๆ มาให้อุ้ม” ทุกคำพูดกระแทกเข้ามากลางใจดำจนผมต้องก้มหน้าลงมองหน้าตัก “แต่ก็แก่จนปูนนี้ หลานก็โตจนมีงานมีการทำแล้ว ก็ไม่อยากไปบงการชีวิตมัน”

“...”

“ยายไม่ห้ามถ้ากายมันจะอยากทำอะไรหรือคบใคร พ่อหนุ่มไม่ต้องกังวลหรอกนะ ถึงยายจะรับไม่ได้แต่ก็จะปิดหูปิดตาให้ เจอกันครึ่งทางอย่างนี้ดีไหม”

ผมพูดไม่ออกว่ามันดีแล้วหรือยัง แต่รอยยิ้มใจดีที่ส่งมาให้ก็สั่งให้ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ร่างเล็กๆ ของหญิงสูงวัยขยับเข้ามาใกล้ ตบฝ่ามือลงบนหน้าตักผมแล้วบีบเบาๆ ให้กำลังใจ

“เอาเถอะ มีคนมาช่วยดูแลไอ้หมานั่นยายก็สบายใจ เราก็ถือว่าเป็นลูกเป็นหลานยายอีกคน ไม่ต้องไปคิดมากนักหรอก คนแก่ก็แบบนี้แหละ จะให้รับอะไรง่ายๆ เขาก็ไม่มีสำนวนไม้แก่ดัดยากน่ะซี”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้และค้อมตัวลงต่ำ กล่าวขอบคุณจากใจจริงทั้งยังเข้าใจแล้วว่าทำไมฟ้าถึงมั่นใจนักว่าคุณยายจะยอมรับเรื่องระหว่างเรา

ดวงตาที่ขึ้นฝ้าขาวๆ ทั้งสองข้างนั้นขณะพูดถึงหลานชายล้วนเต็มไปด้วยประกายความรักอย่างที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทน ทั้งความรักเหล่านั้นยังเผื่อแผ่มาถึงผมอีกด้วย คุณยายไม่แม้แต่จะความรังเกียจหรือแสดงออกว่าไม่ต้อนรับผมเลยสักนิด ผมนับถือสุดหัวใจที่ท่านยอมรับกับผมตรงๆ ว่ารับไม่ได้ แต่ก็พร้อมจะทำความเข้าใจและเลือกจะปรับตัวแทนที่จะต่อว่าและขัดขวางจนถึงที่สุด แถมคุณยายยังขอโทษด้วยที่ต้องมองว่าผมเป็นเพื่อนสนิทของฟ้าแทนคนรัก แต่การมองแบบนั้นทำให้ท่านสบายใจ
มากกว่า ผมจึงเห็นดีเห็นงามไปด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

น้ำหนักในหัวใจผมคลายตัวลงจนเบาหวิว ผมฉีกยิ้มส่งให้หญิงชราที่ยังหยิบยื่นความใจดีส่งมาให้ นั่งคุยกันสักพักเพราะท่านถามถึงเรื่องของหลานชายตอนที่อยู่กรุงเทพฯ จากนั้นก็ขอตัวออกมาเพราะฟ้าเดินเข้ามาตามให้ไปช่วยขนกระเป๋าจากรถขึ้นไปเก็บบนห้อง ผมพยักหน้าให้ฟ้าแล้วบอกว่าจะตามไป ก่อนจะหันกลับมาหาคุณยายแล้วยกมือขอบคุณอีกครั้ง

“ผมขอบคุณจริงๆ นะครับที่ยอมรับ”

คุณยายท่านยิ้มให้ผมแทนคำพูด รอยยิ้มที่งดงามที่สุดในโลกของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มีความรักให้หลานมากมายเสียจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

ผมขยับตัวลุกออกมาจากห้องนั่งเล่นและเดินตามฟ้าออกไปที่รถ เห็นคนตัวเตี้ยกว่ากำลังมุดเบาะลังของรถเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาวางบนพื้น ผมเดินเข้าไปใกล้ ไม่ได้รวบอีกฝ่ายเข้ามากอดแม้จะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม ผมเพียงแค่ฉีกยิ้ม เรียกชื่อของเขาเบาๆ เพื่อให้เขาหันมา

“ฟ้าครับ”

“อ...ครับ คุยกันเสร็จแล้วเหรอ” ฟ้าขยับตัวยืนขึ้นเต็มความสูง เขาพิงสะโพกไว้กับกรอบประตูรถแล้วเปิดบทสนทนาขึ้นทันทีด้วยความสงสัย “ยายว่ายังไงบ้างครับ”

“ท่านเป็นเหมือนที่ฟ้าบอกเลยครับ”

“หืม? แบบที่ผมบอก?”

“คุณยายรักฟ้ามากๆ เลย”

รอยยิ้มที่ผมชอบมองประดับเต็มแก้มของฟ้าและดวงตาของเขาก็หยีลง ร่างโปร่งยืดอกขึ้นอย่างลำพอง ทั้งยังโอ้อวดคุณยายตัวเองโดยไม่มีถ่อมตัวอีกด้วย

“แน่นอนอยู่แล้ว ยายผมนี่น่า”

“ผมกังวลแทบตายเลยนะ ฟ้ารู้ไหม”

“หน้าพี่แสดงออกขนาดนั้นจะไม่รู้ได้ยังไง”

ผมหัวเราะ เอื้อมมือไปขยี้ผมสีอ่อนของเขาอย่างเอ็นดี “กลัวที่บ้านของฟ้าไม่ยอมรับนี่ครับ”

“แล้วตอนนี้ยอมรับรึยังล่ะครับ”

“ยังเลย คุณยายให้เป็นแค่เพื่อนสนิท”

“อะ” ฟ้าเลิกคิ้วใส่ผม หลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็หัวเราะออกมา “อ๋อ จากเพื่อนได้เลื่อนขั้นเป็นเพื่อนสนิท แสดงว่ายายชอบพี่โฬมนะเนี่ย”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

ฟ้าพยักหน้าเบาๆ เขาเหลือบตาไปมองกระเป๋าสองใบบนพื้นอย่างต้องการเปลี่ยนเรื่อง

“สบายใจแล้วก็รีบขนของเถอะครับ ตอนเย็นที่วัดใกล้ๆ นี้มีงานนะ ผมว่าจะชวนพี่โฬมไปเดินเล่นกัน”

“ไปสิครับ” ผมรับคำอย่างว่องไว รีบก้มตัวลงหิ้วกระเป๋าทั้งสองใบไว้บนบ่าแล้วเดินลิ่วๆ นำเข้ามาในบ้าน เมินเสียงโวยวายจากทางด้านหลังของคนรักที่พยายามจะช่วยถือกระเป๋าด้วยการยื้อแย่งสุดแรง “เดี๋ยวตกบันไดนะครับ”

“พี่โฬมก็ปล่อยสิครับ มันหนักเดี๋ยวผมช่วย”

ผมกุมสายกระเป๋าไว้แน่นทั้งยังออกวิ่งตึงตังเพื่อหนีมือปลาหมึกที่พยายามสอดเข้ามาแย่งกระเป๋า ฟ้าร้องลั่นตอนที่ผมหนีออกมาและถึงห้องนอนก่อน เขาสับเท้าวิ่งตามมาก่อนจบลงด้วยการยืนหอบแฮกอยู่ข้างประตู

“พี่จะวิ่งทำไม”

“วิ่งหนีโจรอยู่ครับ”

“โจรอะไร มีแต่ผมเนี่ย”

“โจรขโมยหัวใจไง”

“...ให้ตาย” ผมได้ยินฟ้าบ่นพึมพำเบาๆ กับตัวเอง แต่ผมไม่ได้สนใจฟังว่าเขาบ่นว่าอะไร เพราะแก้มแดงๆ กับดวงตาที่หลุบต่ำไม่กล้าสบตากันเรียกรอยยิ้มของผมให้กว้างขึ้นจนปวดแก้มไปหมด

ผมดีใจนะ... ที่ผมได้มีท้องฟ้าที่สดใสและสวยงามขนาดนี้เป็นของตัวเอง

[จบบันทึกของโฬม ลภณ]





[END]



_____________________________
Talk: ในที่สุดเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงตอนจบแล้วนะคะ
ขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่อยู่ร่วมกันมาจนถึงตอนนี้
อัพเร็วบ้างช้าบ้างผิดสัญญาบ้างก็ขออภัยจริงๆ ค่ะ
และในเรื่องที่ผิดพลาดที่หลายๆ คนติชมมาก็น้อมรับและจะนำไปแก้ไขนะคะ

หวังว่า จรดฟ้า #เจ้าสกาย เรื่องนี้จะให้อะไรกับผู้อ่านบ้าง
อย่างน้อยๆ ก็ในแง่มุมของความบันเทิง

เราดีใจที่เราเขียนเรื่องนี้มาจนจบ มันเป็นนิยายเรื่องแรกหลังจากวางมือไปนานมากๆ แล้ว
ยอมรับว่าท้ออยู่บ่อยๆ และกลัวที่จะอัพนิยายในแต่ละตอนพอสมควร
แต่ก็ฮึบมาได้จนจบเสมอ ขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ
ถึงแม้ว่าอัพครั้งล่าสุดจะมีคนอ่านน้อยแค่ไหนก็ตาม  :hao5: :hao5:

นิยายเรื่องนี้มีสนพ.มาทาบทามไปเป็นเล่มแล้วนะคะ
หวังว่าจะมีคนติดตามแบบรูปเล่มหรือ E-book ด้วยนะคะ
ตอนพิเศษที่ตั้งใจจะเขียนมีทั้งหมด 6 ตอน อัดแน่นครบรสมาก
รวมถึง....!!!! ทั้ง sin ทั้ง porn ที่คิดว่าจะใส่ลงไปอย่างจุใจ

สุดท้ายนี้ รักคนอ่านทุกคนมากๆ ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งมาให้
คอมเมนต์ทุกคนเราอ่านหลายรอบมากๆ เวลากลัวที่จะอัพนิยาย

ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
พลอยพรรณ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-01-2019 16:22:12
 ขอบคุณที่แต่งนิยายน่ารักๆมาให้อ่านกันนะคะ จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 27-01-2019 16:26:37
 o13 จะรอ e-book นะค่ะ  o13. คนน้องน่ารักรักกกก คนพี่น่าหยิกมากกกก ชอบ (ทั้งสองเรื่องเลย) ค่ะ...   :mew1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-01-2019 16:32:29
ขอบคุณค่า นิยายน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: FrozenSnow2019 ที่ 27-01-2019 20:13:56
ที่มาของความสดใสของน้องฟ้ามาจากคุณยายนี่เอง
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 28-01-2019 12:00:35
สนุกมาก ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 28-01-2019 13:38:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-01-2019 22:46:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 29-01-2019 20:49:02
น่ารักและอบอุ่นหัวใจมาก สะท้อนได้ถึงสังคมปัจจุบันจริงๆที่มักคล้อยตามกระแสในโซเชียล ขอบคุณคนเขียนนะเรื่องนี้อบอุ่นหัวใจดี
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 30-01-2019 03:19:09
 :pig4: ชอบพัฒนากการไม่ว่าจะทางด้านความรักและความเป็นตัวเองมากกก โฬมดูกล้ามากขึ้นส่วนลูกเรานั้นหนูฟ้าาาารุกหนักมากแม่ชชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-01-2019 15:34:30
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 31-01-2019 13:20:55
พี่โฬมอบอุ่นมากๆ สกายก็น่ารักสดใส
ขอบคุณฮะสำหรับนิยายดีๆ อบอุ่นหัวใจ  :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 01-02-2019 11:28:34
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน น่ารักไปหมด  :-[

อ่านเจอคำผิดอันนึง นี่นั่งขำแบบ เอ๊ะ ชั้นตาลายรึป่าวนะ  :jul3:

/ฉากที่เพื่อนโฬมนั่งเม้าส์หมอยกันในโรงแรมเรื่องไอซ์
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 01-02-2019 23:18:53
ไปอยู่ที่ไหนมาาา ทำไมพึ่งเห็นน
จะบอกว่าเป็นเรื่องที่สะท้อนสังคมสมัยนี้ได้ดีจริงๆเลยค่ะ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆอย่างนี้มานะคะ
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 01-02-2019 23:37:28
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 02-02-2019 21:26:39
คือดี
เรื่องมาแบบเรื่อยๆ
แต่ครบทุกรส
ได้เห็นมุมมองความรักทั้งรูปแบบคนรักและครอบครัว
เสียดายตอนพิเศษอยู่แบบรูปเล่ม
เพราะฉะนั้นติดตามรวมเล่มนะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 03-02-2019 18:19:52
แงงงงง จบซะแล้ววว ชอบมากๆเลยค่ะ
น่ารักมาก คุยกันครับๆผมๆอยู่ตลอด อิแม่เขินม้วน!!
ตะโฬมก้ะคื้อออ ความน่ารักความหยอด หยอดเก่งอะ จีบเก่งงง
เราเข้าใจโฬมนะเรื่องเงียบไม่พูดอะไร คือแบบ ก็เรื่องส่วนตัว ทำไมต้องพูดอะไรมากมาย
แต่ก็นะ ถ้าไม่พูดยังไงก็ไม่เคลียร์สินะะะ
ส่วนยัยสกายก็คือความน่ารักความสดใสของแม่! ฮือออ ยัยลูกกกกก
เวลาอ่านนี่คืออินเนอร์ยัยลูกอยู่ตลอดเวลาน่ารักจังเลยหนู!!!

นิยายน่ารักมากๆ ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ   :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 03-02-2019 22:24:04
เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ
สกายคือน้องงงงงงง น้องมากๆ เป็นน้องที่ขี้อ่อยและน่าบีบที่สุด ไม่เคยงี่เง่าเลย เป็นแหล่งพลังงานบวกมากจริงๆ
พี่โฬมคืออบอุ่นมาก ดีใจที่พี่ผ่านเรื่องร้ายๆ มาได้
ขอชมคนแต่งเลยค่ะว่าบรรยายดีมากๆ ทั้งตอนที่เขินและตอนเศร้า เราอินมากๆ แง ประทับใจค่ะ o13
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 04-02-2019 12:17:50
สนุกมากเลยยยยย ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
เป็นกำลังใจให้แต่งเรื่องดีๆแบบนี้อีกนะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-02-2019 13:25:32
น่ารักมากๆเลย
คุณยายก็ตรงไปตรงมามากๆ แต่คุณยายก็จะพยายาม  :hao5:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 06-02-2019 07:46:13
เรื่องน่ารักดี อ่านเพลินค่ะ

บวกค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-02-2019 11:33:42
เรื่องนี้น่ารักอ่ะ ให้กำลังใจกันได้ดีมาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-02-2019 19:26:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: c4jeab ที่ 24-02-2019 16:29:38
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-02-2019 19:33:09
  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: tarnting2 ที่ 26-02-2019 20:23:40
อ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ น้องสกายน่ารักมากๆ เป็นคนที่ปล่อยพลังบวกแบบไม่รู้ตัว
อยากตีน้องมากๆ ตอนที่เพ้ออยากจูบพี่เขา แต่พี่เขาก้เข้าใจวางกับดักนะคะ น้องตกลงไปไม่รู้ตัวเลย

เรื่องพี่โฬมนี่ แฟนเก่าก็คือแย่นะคะ แต่เข้าใจว่าคนแบบนี้สังคมมันมีจริงๆ
เรื่องบูลลี่นี่ก็อีก ไม่อยากจะยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติของไทย แต่ก็บางเรื่องก็เป็นไปแล้ว เช่น อ้วน ดำ สิว ไรงี้อ่ะค่ะ
ดีใจมากเลยที่นิยายเรื่องนี้เอาประเด็นแบบนี้มาเขียนด้วย

จริงๆ แอบอยากฟังเพลงที่สองคนนี้แต่งเลยค่ะ เหมือนอินไปด้วย
อยากรู้ว่าแต่ละคนถ่ายทอดออกมาเป็นยังไง ๕๕๕๕๕๕

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ สนุกๆ ที่ได้แต่งมาให้อ่านนะคะ
เป็นกำลังใจให้สำหรับนิยายเรื่องนี้ และเรื่องถัดๆ ไปค่ะ

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 27-02-2019 22:18:33
 :pig4: :really2: :really2:อ่านเพลิน​ๆ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 28-02-2019 09:49:20
แง้งงงงงง อบอุ่นใจมากเลยค่ะ เค้าเหมือนเป็นเซฟโซนและคอมฟอร์ดโซนของกันและกันอ่ะ เค้าจับมือกันก้าวผ่านคำส่าเกย์อ่ะ น่ารักกกจังงงงงง ชอบบบบบบมากกก เลิเลยยยยยย ค่อยๆๆเป็นค่อยๆๆไปด้วยอ่ะ ชอบบบบไรท์น่ารักกมากกกในการบรรยาย ดีมากกกกก
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 28-02-2019 19:10:40
เม้นตอนที่ 1-6

โฬมดีอะไรขนาดนี้นะพ่อคุณ  :hao5:
สกายมีความน้องอยู่ในตัวสูงมาก 55555555
ชอบเวลาที่สกายชมโฬมในใจ คือหนูหลงเสน่ห์เขาโดยที่ไม่รู้ตัวอ่ะลู้กกกกกก
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 28-02-2019 20:46:26
อ๋อยยยยยยย ผ่านมา 9 ตอนได้จูบสักที
แล้วน้องรุกจูบเองด้วย ร้อนแรงด้วย อุแงงงง ใจแม่   :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 01-03-2019 00:46:50
อ๊อยยยยยยยย มีความอยากไปทะเลกันสองคน   :z1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 01-03-2019 03:22:16
อ่านจบแล้ววว อ๊อยยยย ดีต่อใจมากๆเลย
ทั้งสองคนจับมือกันผ่านอุปสรรคไปได้
ขอให้ความรักสวยงามอย่างนี้ตลอดไป :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 02-03-2019 17:26:25
ถ้ามีลูกมีหลานแร่ดเงียบเหมือนสกาย คงต้องใช้ก้านมะยมตีทุกวัน
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: momoku ที่ 02-03-2019 23:28:52
ไม่ได้อ่านนิยายในเลิามานานมากๆ กลับมาอ่านเลยจิ้มมั่วเลย ดีใจที่ได้มาเจอเรื่องนี้ สนุก กินใจมากๆ ❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: yumenari ที่ 04-03-2019 10:52:51
 :call:ฮือออออออสนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: SimpleZ ที่ 05-03-2019 00:16:13
นิยายน่ารักมาจ้า คำหยาบก็น้อย พระนายอ้อยกันไปอ้อยกันมา
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่สะท้อนสังคมปัจจุบนนะครับ ถือว่าเป้นตัวอย่างที่ดีให้นักเขียนรุ่นใหม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 05-03-2019 05:19:55
ดีงาม
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 10-03-2019 09:24:03
 o22
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-03-2019 22:03:39
ชอบโฬมมากกก เราชอบพระเอกที่มีหลายอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอด อ่อนแอบ้างก็ได้ ชอบอันนี้มากเลย กว่าจะคบกันตอนสิบแปด แต่ก่อนหน้านั้นไม่คบก็เหมือนคบ ไม่จำเป็นต้องมีตัวละครมากมายด้วย แค่มีกันและกัน ชอบนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 25-03-2019 19:38:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 26-03-2019 00:40:17
สะท้อนสังคมได้ดีมากเว่อ
ชอบมากๆ เลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: senprai ที่ 28-03-2019 01:28:08
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ เป็นเนื้อเรื่องที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ เป็นสัมพันธ์ที่อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลย แง ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 28-03-2019 11:23:37
น้องฟ้าน่ารักมากกกก ส่วนคุณโฬมเค้าร้ายนะคะ รุกเก่งง
ส่วนพวกทีวีกับไอซ์นี่พักนะ อยากได้ซีนจนไม่เห็นใจคนอื่น  :fire: :fire:
ดีใจที่คุณโฬมกับน้องฟ้าเค้าผ่านมาได้
ตอนแกล้งๆทะเลาะกันตอนถ่ายเอ็มวีนี่ปวดใจมากก
เป็นคู่ที่ไม่ควรทะเลาะกันจริงๆแหละ
บดว ขอบคุณสำหรับนิยายค่าา  :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 30-03-2019 18:19:01
ชอบพี่โฬมมาก จริงจังกับความรัก
ครบรสมากค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 31-03-2019 07:09:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 26 END [27-Jan-19] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Kkfu ที่ 05-04-2019 12:37:14
 ชอบมากๆเลยค่ะ เป็นเรื่องที่สนุกมากๆ  ขแบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 07-04-2019 20:49:22
ตอนพิเศษ ๑

ครั้งแรก...

 

            ในคืนวันศุกร์ที่ผมเพิ่งกลับจากงานแสดงสดที่ผับร้านหนึ่งในย่านใจกลางเมือง ผมที่ขับรถมาด้วยตัวเองตัดสินใจเลี้ยวพวงมาลัยไปยังทางกลับบ้านของโฬมแทนที่จะเป็นคอนโดของตัวเองอย่างปกติ ช่วงนี้พวกเราไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะใครบางคนกำลังอาศัยช่วงขาขึ้นของชีวิตขยันทำเพลงทำอัลบั้มจนต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ ทั้งยังรับงานแทบไม่ปฏิเสธเหมือนเคยจนบางทีผมก็คิดว่ามันอาจจะมากเกินไป ผมเลยคิดจะใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่นานๆ จะมีสักครั้งของโฬมให้เป็นประโยชน์

มันอาจไม่ได้หวือหวาเหมือนคู่รักอื่นๆ หรอกครับ ผมแค่เตรียมหนังมาสักสองสามเรื่อง กับถุงป็อปคอร์นยี่ห้อดังสองสามถุงเพื่อใช้เวลาพักผ่อนง่ายๆ อยู่บนเตียง นอนก่ายกันไปมาแล้วก็หมดวันหยุดไปอย่างโง่งม วิธีการเติมพลังของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และผมดีใจมากๆ ที่ตัวขี้เกียจของผมกับโฬมมีขนาดใหญ่แทบจะเท่ากันเลยทีเดียว

เสียงเพลงจากวิทยุดังคลอปรับบรรยากาศในห้องโดยสารไม่ให้เงียบจนเกินไป ผมโคลงหัวไปตามทำนองเพลงสากลสนุกๆ ก่อนเหยียบแท่นคันเร่งในยามที่ท้องถนนโล่งพอจะไม่เกิดอันตราย ผมใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงหมู่บ้านจัดสรรที่แสนคุ้นตา

รถยนต์ซีดานสีขาวที่เริ่มมีฝุ่นเกาะของผมค่อยๆ เลียบข้างฟุตปาธเข้าจอดที่ข้างๆ รั้วไม้สีน้ำตาลอ่อนของบ้านหลังในสุด ผมหยิบเอากุญแจสำรองที่โฬมปั๊มมาทิ้งไว้ให้ในเก๊ะหน้ารถพร้อมกับถุงขนมถุงใหญ่ที่เป็นเสบียงสำคัญ

หลังจากดับเครื่องยนต์และล็อครถเรียบร้อยผมก็พาตัวเอามาหยุดที่รั้วไม้และก้มลงไขกุญแจอย่างทุลักทุเลจากของในมือ เพราะนอกจากถุงขนมแล้วผมยังหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองมาด้วย

“เมี๊ยววว” ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในบ้านซึ่งปิดไฟมืดสนิท เสียงทักทายจากสัตว์สี่เท้าสองตัวก็ดังประสานกันขึ้นมาก่อนที่ผมจะเห็นตัวเสียอีก ถุงเงินและถุงทองที่ถูกขังเอาไว้ด้วยประตูกรงร้องแง้วง้าวเสียงดัง ไม่รู้ดีใจหรือโมโหที่ผมมาเยี่ยมกันแน่

ตึง ตึง ตึง

“อ้าว ฟ้า” ชายร่างสูงสวมชุดนอนลายทางเต็มยศวิ่งตึงตังลงมาจากบันได ก่อนจะชะงักไปเมื่อเพ่งมองฝ่าความมืดมาแล้วเห็นว่าเป็นผม “ผมนึกว่าโจร”

“ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ” ผมบอกแล้วเดินเข้าไปคนที่ยังยืนหอบอยู่บนขั้นบันได “กะจะมาเซอร์ไพรส์พี่โฬมเฉยๆ”

“เซอร์ไพรส์แบบนี้ไม่ดีเลย” โฬมบ่นกระปอดกระแปด มือก็เอื้อมหยิบกระเป๋าเป้บนไหล่ผมไปช่วยถือ “เกิดผมเอาไม้หน้าสามฟาดใส่จะทำยังไงครับ หืม”

“พี่โฬมก็แบกผมไปโรง’บาลละกัน” ผมยิ้มกริ่ม แต่ก็โดนดีดหน้าผากลงโทษไปหนึ่งที

“เดี๋ยวนี้ดื้อเหรอครับ”

“ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง” ผมเบ้ปาก ก่อนจะบอกให้ใครอีกคนพาขึ้นไปบนห้องนอนได้แล้ว เจ้าถุงเงินถุงทองแหกปากไล่เสียงดังจนน่ากลัวว่าจะพังประตูออกมาไล่ตะปบ

ผมโบกมือบ๊ายบายเจ้าบ้านสองตัวที่เป็นมิตรแค่เวลาอาหารก่อนจะรีบวิ่งขี้นบันไดไปยังชั้นสองอย่างรวดเร็ว จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยได้มานอนค้างที่นี่สักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเจอกันข้างนอกแล้วแยกย้ายเสียมากกว่า โฬมก็เลยดูแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้อยู่ๆ ผมก็มาโผล่ที่บ้านเขากลางดึงพร้อมกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง

“นึกยังไงถึงมาครับเนี่ย”

ผมหันไปมองเจ้าของคำถามหลังจากพวกเราเข้ามาในห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำเรียบร้อย โฬมวางกระเป๋าผมไว้ที่ข้างเตียงก่อนคว้าทั้งตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น

“ต้องมาสิครับ พี่โฬมบอกเองว่าอยากเจอ” ผมอ้างไปถึงข้อความไลน์ที่โฬมส่งมาให้เมื่อตอนสองทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่ผมกำลังทำงานอยู่ดังนั้นจึงเพิ่งมาเห็นเอาเมื่อตอนที่เวลาล่วงผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ความจริงแล้วผมที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเสาร์อาทิตย์นี้โฬมหยุดก็ได้เตรียมเสื้อผ้ากับขนมเอาไว้รอตั้งแต่เมื่อตอนเย็นแล้ว

“ถ้ารู้ว่าบอกว่าอยากเจอแล้วจะได้เจอ ผมส่งไปทุกวันแล้วครับ”

ผมหัวเราะ มุดตัวเองออกจากอ้อมกอดแล้วหยิบเอากระเป๋าเสื้อผ้าถือเข้าห้องน้ำไป ผมไม่ค่อยสู้เวลาถูกหยอดใส่เท่าไหร่หรอกครับ เคยสู้แล้วโดนดอกสองดอกสาม สุดท้ายก็แพ้อยู่ดี ให้ตายเถอะ...

 

ผมอาบน้ำขัดเนื้อขัดตัวอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมง แอบใช้เกลือขัดผิวกลิ่นนมของโฬมไปด้วย ตอนนี้เลยตัวหอมฉุยทั้งยังเนียนนุ่มจนผมเลิกลูบแขนตัวเองไม่ได้เลย

“ตัวหอมจังครับ” คนที่นั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่บนเตียงพูดโพล่งขึ้นมาตอนที่ผมเดินเฉียดเข้าไปใกล้ ผมฉีกยิ้มกว้าง ยกแขนมาดมอย่างภาคภูมิใจ

“หอมจริงพี่ ผมว่าจะไปหาซื้อมาใช้บ้างแล้ว”

“มาใช้ที่นี่ก็ได้นะครับฟ้า ผมไม่ว่า”

ไอ้รอยยิ้มกรุ่มกริ่มแบบนั้น พอเห็นบ่อยๆ ก็เริ่มตามทันแล้วว่าไม่ปลอดภัย

ผมส่ายหน้าเบาๆ และผละออกไปที่ระเบียงห้องเพื่อตากผ้าเช็ดตัว พอกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งก็พบว่าโฬมกำลังตบหมอนปุ๊ๆ เตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว ผมเงยหน้าของมองนาฬิกาดิจิตัลบนผนัง ดึกพอสมควรเพราะเข้าวันใหม่มาจะสามชั่วโมงอยู่แล้ว

ผมพาตัวเองในชุดนอนไปสอดตัวใต้ผ้าห่มผืนหนา คนตัวสูงข้างๆ เอี้ยวตัวไปปิดสวิตซ์ไฟที่ข้างเตียงก่อนจะพลิกตัวตะแคงข้างหันมาทางผม ฉีกยิ้มยิงฟันฝ่าความมืดส่งมาให้ ดูแล้วอารมณ์ดีเอามากๆ เลยทีเดียว

“มองอะไรครับ” ผมเลิกคิ้วถาม เพราะพอปล่อยให้จ้องก็จ้องมาราวๆ สิบนาทีแล้ว และไม่ได้มีทีท่าจะชวนผมคุยเลยสักนิด

“มองฟ้าไงครับ ไม่ได้เจอตั้งนาน”

“พี่โฬมเล่นรับงานขนาดนั้น”

“ผมคันไม้คันมือ ไม่ได้โอกาสทำงานหลากหลายแบบนี้นานแล้ว”

ผมเงียบไป แต่เมื่อมองสีหน้าที่ยังเต็มไปด้วยความสุขของคนข้างกายก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจที่เครียดเกร็งลง ผมเอียงตัวตะแคงเข้าหาโฬมบ้าง จับจ้องดวงตาของเขาที่เปล่งประกายภายใต้ความมืดมิด กลิ่นน้ำนมหอมกรุ่นบนผิวผมน่าจะมีผลพอสมควร โฬมถึงได้ขยับเข้ามาใกล้และรวบผมเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว

สันจมูกโด่งกดลงมาบนขมับ พวงแก้ม และบริเวณหัวไหล่ เสียงสูดลมหายใจซู๊ดใหญ่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของผมออกมา

“ผมกินไม่ได้นะพี่โฬม”

“...กินได้” น้ำเสียงพร่าต่ำกระซิบอยู่บนต้นแขนของผม มันดังผะแผ่วทั้งไอร้อนจากลมหายใจก็รินรดผิวเนื้อบริเวณนั้นจนร้องผ่าวอย่างน่าตกใจ

“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งน้อยๆ ตอนที่ฟันคมขบลงมาบนหัวไหล่ โฬมกัดผมอยู่หลายทีทั้งบ่นพึมพำว่าหอมในลำคอ จากนั้นก็เลื่อนใบหน้าขึ้นมาสบตาผมอย่างสื่อความหมายบางอย่าง

บางอย่างที่ผมพอจะเดาได้ว่าคืออะไร...

...ผมแค่ไม่เคย และการไม่เคยไม่ได้หมายความว่าจะไร้เดียงสา

ผมรู้ว่าประกายแวววาวที่สะท้อนออกมาจากดวงสีน้ำตาลเข้มหมายความว่าอะไร มันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ผู้ชายทุกคนล้วนรู้จักกันดี

ฝ่ามือติดสากเล็กน้อยจากการเล่นเครื่องดนตรีบีบเค้นช่วงสะโพกของผมเล่น แต่โฬมก็ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้มากกว่าที่เป็นอยู่ เขาทำเพียงนอนสบตากับผม ส่งข้อความบางอย่างผ่านมาทางความเงียบ ราวกับร้องขอ ราวกับต้องการคำอนุญาต

“ฟ้าครับ...” เสียงของเขาแหบพร่าทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

ในขณะที่ตัวผมเองก็ยังมีความว้าวุ่นพัดวนอยู่ในช่องท้องไม่ยอมหยุด ผมมองหน้าของโฬมอย่างพิจารณาอีกครั้ง ลังเลไม่น้อยกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่

มันไม่ใช่ครั้งแรก

ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นคนที่เสพติดรสจูบของโฬม หากเราอยู่กันเพียงลำพังจะไม่มีเลยสักครั้งที่ผมไม่เรียกร้องความรู้สึกดีๆ พวกนั้น... ทว่ายิ่งสัมผัสก็ยิ่งลึกซึ้ง

รอยจูบที่นุ่มนวลค่อยๆ ผันเปลี่ยน แขนที่โอบกอดเอาไว้เพียงผิวเผินก็ขยับลูบไล้ไปตามส่วนโค้งของร่างกาย ผมรู้สึกได้ถึงความอดกลั้นที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงยีนส์ยามพัวพันสัมผัสกัน ทั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงแค่กับโฬม แต่ผมก็ได้รับผลกระทบของมันมาด้วย

และหลังจากที่เลือกเมินผ่านมาอยู่หลายครั้ง ผมก็เริ่มรู้สึกได้ว่าแรงดึงดูดระหว่างเราสองคนชักจะมากเกินต้านทานซะแล้ว....

“พี่โฬม...” ผมเรียกเขาในลำคอ พิจารณาดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นอีกครั้ง ก่อนปล่อยให้ความรู้สึกที่ขยับขยายอยู่ในอกขับเคลื่อนร่างกายแทนสมอง

ริมฝีปากที่ประกบกันในครั้งแรกนั้นเริ่มจากผมเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้

มันไม่ต่างจากคำอนุญาต

แขนแกร่งสอดรัดดึงผมเข้าไปกอดแน่น ริมฝีปากนุ่มจากที่ทาบทับกันเฉยๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว จังหวะแรกเขาดูดกลีบปากผมเบาๆ จังหวะที่สองเรียวลิ้นชื้นแฉะจึงเริ่มมีบทบาท

ผมเผยอปากออกยามที่บางอย่างค่อยๆ รุกรานเข้ามา จากที่นอนตะแคงข้างก็ถูกผลักที่ไหล่ให้กลับไปนอนราบบนเตียงตามปกติ ทว่าร่างสูงของใครบางคนกลับเคลื่อนเข้ามาทาบทับกันในทันที นิ้วเรียวจับเข้าที่คางของผมเพื่อบังคับให้ให้ขยับหนี ดูดดึงผิวปากของกันและกันเบาๆ ราวกับมันมีรสชาติให้ได้เอร็ดอร่อย

ผมหอบหายใจอย่างหนักในตอนที่จังหวะของการจูบค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น นิ้วมือที่เลื่อนจากคางไปประคองยังท้ายทองรั้งให้ใบหน้าของผมเชิดขึ้น เราแนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม พัวพันกันด้วยเรียวลิ้นที่ต่างฝ่ายต่างก็มีชั้นเชิงของตัวเอง ผมไม่เงอะงะเหมือนครั้งแรก แต่ก็ยังถูกจู่โจมจนเป็นรองอยู่เหมือนเก่า

ลมหายใจของโฬมถี่เร็วกว่าเดิม มันรินรดลงบนข้างแก้มของผม ก่อนที่สันจมูกของเขาจะถูไถไปมากับจมูกของผมยามที่องศาของใบหน้าถูกเบนเปลี่ยน

เนิ่นนานกว่าที่โฬมจะผละออกไป หน้าอกผมกระเพื่อมอย่างหนักเพราะหายใจไม่ทัน ร่างกายที่ทาบทับกันแนบสนิทต่างปล่อยไอร้อนเข้าใจอย่างไม่เกรงใจอุณหภูมิยี่สิบสององศาในห้องนอนเลยแม้แต่น้อย

ผมมองสบดวงตาของคนด้านบนอย่างเหม่อลอย เอื้อมแขนขึ้นไปคล้องต้นคอแกร่งแล้วเอียงใบหน้าซ่อนแก้มแดงก่ำของตนเองไว้ใต้เส้นผมและหมอนใบโต โฬมหัวเราะเบาๆ จูบลงมาบนแก้มของผมซ้ำๆ ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วที่ใบหู

“ฟ้าครับ พี่โฬมขอได้ไหม...”



.....

...

.

.

(ติดตามต่อในเล่ม)







เจอ Sin และ Porn กันในเล่มนะคะ ฮือออ

เราเพิ่งส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ ขอโทษที่ทำให้รอนานค่ะ

กว่าจะเขียนและรีไรท์ปรับสำนวนจบ แทบลากเลือดเลยเพราะเราติดสอบกลางภาคพอดี



เราเขียนตอนพิเศษไว้ในเล่มทั้งหมด 6 ตอนด้วยกัน จะนำมาสปอยล์ให้อีกนะคะ

รอติดตามกันในรูปแบบรูปเล่มกันด้วยน้า > < ขอบคุณทุกคนค่า
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 11-04-2019 16:42:10
OMG!!!!!! ทำไมเพิ่งมาเจอเรื่องนี้เนี่ยยยย สนุกมากกกกกกกกก อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ชอบที่ทั้งสกายและโฬมเป็นตัวละครที่เรียล เข้าถึงได้ง่าย ภาษาก็อ่านง่ายลื่นไหล o13
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ขึ้นมาให้ได้อ่านนะคะ :pig4:
ปล. อยากรับsin&pornจากทั้งคู่จังค่ะ :hao6:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 11-04-2019 20:48:48
ฟ้าครับ พี่โฬมขอได้มั้ย
โอ้โหห คนอ่านตายปัยเลยจ้าา
 :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวยุ่ง ที่ 13-04-2019 19:38:39
ละมุนมากๆๆๆๆๆ ภายใต้ความสุภาพอ่อนโยนของพี่โฬมนั้นกลับมีแต่ความหยอด ความอ้อน ความมือปลาหมึก ความหาเศษหาเลย หากำไรให้ตัวเอง รุกใส่น้องตลอดๆ ในขณะที่น้องมาแนวแรปเปอร์หนุ่มเท่ๆ ดูน่าจะมีประสบการณ์เรียนรู้ต่างๆ โชกโชน แต่น้องกลับมีความใสมาก เอ็นดูความมองปากพี่ ติดใจรสจูบพี่ แล้วก็จ้องอยากจะจูบปากพี่เอง หนูลู้กกกก ทำไมน่ารักงี้ 55555 ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายน่ารักๆ สนุกๆ แบบนี้นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 23-04-2019 21:13:59
สนุกค่ะ น่ารักดี  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Carina ที่ 09-05-2019 21:59:25
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 19-05-2019 17:02:26
ฮือออ ฟ้าโฬมน่ารักมากๆเลย ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 26-05-2019 21:43:50
 สนุกมากค่ะ ละมุนเว่อร์อ่านไปเหมือนตัวจะละลายไปด้วย

+1 ให้เลยค่ะ แต่แอบเหมือนโดนถีบตกเหวตรงตอนพิเศษ :hao5:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 01-01-2020 07:10:25
ยังคงเห็นด้วยเสมอว่าคำพูดคืออาวุธที่ร้ายแรงมากๆ
เป็นอาวุธที่สร้างแผลเป็นได้มากที่สุดแล้ว

ดีใจกับโรมที่ได้เจอสกายมากๆ
คนดีๆที่มีบาดแผลเต็มตัวสมควรได้รับการเยียวยาและมีความสุขกับคนที่ดีเสมอกัน #โรมฟ้า จงเจริญ!!

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 04-01-2020 07:37:44
อ่านรวดเดียวจบ
สนุกน่ารักมากเลย
ชอบสกาย น่ารักดีค่ะ
ขอบคุณนิยายน่ารักๆค่ะ
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | ตัวอย่างตอนพิเศษ ๑ : ครั้งแรก... P.9 [7/4/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-01-2020 23:06:58
สารภาพว่าเลื่อนผ่านตอนแรกเพราะชื่อเรื่องไม่น่าสนใจ แต่พอลองเข้ามาอ่าน ชอบจนวางไม่ลงเลย
 :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: หะมายด์เอง ที่ 08-01-2020 21:11:25
(https://uppic.cc/d/66uJ)

สวัสดีค่า เรากลับมาอัพเดตเพราะมีข่าวดีจะมาแจ้งค่ะ
หลังจากที่รอลุ้นเรื่องรูปเล่มอยู่นาน ตะหนูสกายจะได้ออกมาอวดโฉมแล้วค่าาา

ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ฟาไฉนะคะ
กำลังจะวางขายวันที่ 26 มกราคมนี้ ที่งาน BL Market ค่ะ

หากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมจะมาแจ้งเรื่อยๆ นะคะ
ปกสวยมากกกก แวะมาอวด5555

แอบกระซิบว่า ตอนพิเศษเด็ดมาก แฮ่
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 09-01-2020 02:28:52
ละมุนละไม ดีต่อใจและเพิ่มพลังบวกมากมายค่ะ ทั้งๆที่มีดราม่ามาแต่กลับรู้สึกเสมอว่าสกายและพี่โฬมรัก จริงจัง จริงใจ เข้าใจ เป็นแรงใจให้กันจนต้องฟันฝ่าเรื่องราวต่างๆไปได้ด้วยดีแน่นอน ขอบคุณเรื่องดีๆที่น่ารักที่นำมาแบ่งปันให้จนอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-01-2020 21:45:15
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:37:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 16-04-2020 16:11:59
เป็นนิยายที่ดีมากๆ
น่ารักอบอุ่น อ่านแล้วยิ้มตาม
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 20:01:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 03-05-2020 00:26:12
 :o8: :katai2-1: :กอด1: :impress2: