พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องยาว]เหมยแดงบทที่11 (นิยายวายกำลังภายใน)19-9-256101
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: juon ที่ 07-09-2018 19:57:41
-
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
-
ดิฉันขอโทษค่ะ!! :mew6: (ทำไมหลายเรื่องมันต้องขึ้นพาดหัวด้วยคำนี้น้าาา)
หายไปจากที่นี่ประมาณหนึ่งปี พร้อมด้วยนิยายที่ยังเขียนไม่จบ ( :sad4:) และโผล่มาพร้อมกับนิยายเรื่องใหม่ ( :o8:)
ขออภัยท่านผู้ที่ติดตามอ่านDear My customer. ทุกท่านค่ะ ดิฉันยังมีแพลนจะเขียนท่านลอร์ดอยู่ แต่ว่าต้องขอลัดคิวเป็นเรื่องนี้ก่อน
(ที่หายไปเพราะป่วยเป็นสาเหตุหลักค่ะ เพิ่งกลับมาเขียนนิยายได้ไม่นานนี้เอง)
เรื่องนี้เป็นนิยายวายจีนกำลังภายในเรื่องแรกที่ดิฉันเขียน ซึ่งที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ ดิฉันปฏิเสธที่จะเขียนนิยายจีนวายที่เป็นนิยายกำลังภายในมาโดยตลอด เนื่องจากนึกมู้ดไม่ออก (อันที่จริงเป็นแฟนนิยายกำลังภายในมาตั้งแต่ยังตัวน้อย ล่ะมันติดภาพต้องมีพระเอกนางเอกอยู่ร่ำไป) แต่เนื่องจากมีน้อง@sicklonerส่งนิยายจีนกำลังภายใน (ที่คนไทยเขียน) เรื่องหนึ่งมาให้ลองอ่าน ล่ะดิฉันอ่านแล้วบอกว่ามันไม่ช่ายยยยย ดังนั้นจึงถูกน้องบังคับให้เขียนออกมา
หลังจากถูลู่ถูกังเขียนไปลบไปอยู่หลายวัน ในที่สุดนิยายวายจีนกำลังภายในของดิฉันก็กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ ค่ะ
อันที่จริงตอนแรกยังไม่ตัดสินใจมาลง เพราะกลัวตายกลางทางอีก แต่ตอนนี้คิดว่าลงได้ (เพราะไม่น่าจะยาว พล็อตมันลอยปิ๊งๆ ขึ้นมาในหัวเลย)
ดังนั้น ฝากเหมยแดงและนามปากกาใหม่ เฉินเพ่ยซือ ไว้ในอ้อมใจของนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ
----------------------------------------
เหมยแดง
บทที่1 เทียบเชิญงานมงคล
ไหสุราคล้ายดัง บุปผา
หามิตรดื่มเคียงกาย มีไม่
ยกจอกเชื้อเชิญจันทรา สว่างใส
สาดแสงรวมเงาข้า คือสาม
ดวงจันทร์คล้อยเคลื่อนคล้าย มิอาจ ดื่มได้
เงาเอนลู่เคลื่อนไหว ตามติด
มีจันทรากับเงาอยู่เย้า เป็นเพื่อน
รื่นเริงก่อนวสันตฤดู พฤกษาผลิใบ
ยามข้าขับทำนอง จันทราสาดแสง
ยามข้าขยับรำ เงาพลิ้วสั่นไหว
ยามตื่นร่วมสนุก สรวลเสเฮฮา
เมามายแล้วจำต้อง จากลา
แต่ไมตรียังอยู่ มิคลาย
คราหน้าพบกันใหม่ ในธารดารา
ลู่หยุนชื่นชมการขับบทกวีของตนเสมอมา ครั้งนี้มันยกผลงานของหลี่ไป๋*ขึ้นมากล่าว (ร่ำสุราเดียวดายใต้แสงจันทร์) กล่าวจบแล้วก็ดูภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับยกจอกสุราในมือขึ้นเชื้อเชิญดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าจริงๆ
จันทร์ทอแสงกระจ่างกลางนภาที่ไร้ดาว คนนั่งอยู่เดียวดายในห้องกว้างขวาง บนโต๊ะมีเพียงไหสุราและจอก กระนั้นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็ดูคล้ายมีความสุขมากแล้ว
มันดื่มสุราอีกจอก และอีกจอก คล้ายกำลังแข่งขันกับดวงจันทร์ก็มิปาน
ดวงจันทร์คล้อยต่ำ ไหสุราว่างเปล่า จอกสุราก็ว่างเปล่า
บนโต๊ะสุราก็ว่างเปล่าปราศจากคนเช่นกัน
------------------------------------------
ตงเทียน* (ฤดูหนาว) ทารุณผู้คนเสมอมา แม้ใกล้วันชุนเจี๋ย* (วันตรุษจีน วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ) หิมะยังคงตกประปราย อากาศเช่นนี้ มิว่าผู้ใดต่างต้องการนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งสิ้น
อู๋หยางจงเป็นหนึ่งในนั้น
ตระกูลของมันเป็นคหบดีที่มีชื่อเสียง ว่ากันว่าร้านแลกเงินอู๋เค่อมีสาขามากที่สุดในจงหยวน* (ดินแดนภายในกำแพงเมืองจีน) ยังไม่นับการค้าอย่างอื่น อู๋หยางจงเป็นเจ้าบ้านคนปัจจุบัน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดผู้หนึ่ง นอกจากเวลาที่ต้องตรวจสอบบัญชีแล้ว ปกติอู๋หยางจงเป็นคนขี้เกียจอย่างยิ่ง มันมิใคร่ตื่นเช้า ยังมิต้องการให้ใครมารบกวนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ มันยิ่งต้องการนอนจนตะวันตรงศีรษะจึงค่อยตื่น
ทว่าวันนี้มันกลับถูกปลุกด้วยเสียงเอะอะ
หมิงซิ่งลู่โหลว* (คฤหาสน์กวางดาว) เป็นคฤหาสน์ใหญ่ของสกุลอู๋ เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตูใหญ่โต จะมองเห็นกวางที่สลักมาจากศิลาสีแดงสดใส บนลำตัวของมันฝังไว้ด้วยไข่มุกเม็ดโตเท่าหัวแม่มือจำนวนมาก ด้วยไข่มุกพวกนี้ มันจึงกลายเป็นหมิงซิ่งลู่*(กวางดาว) ที่มีราคาแพงที่สุด ยังไม่นับดวงตาที่ฝังเม็ดนิลขนาดเท่ากำปั้นเด็กเอาไว้ มิว่าผู้ใดเข้ามาจะต้องตะลึงไปกับความสวยงามของมัน
เบื้องหลังหมิงซิ่งลู่ คือสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม แม้จะยังอยู่ในฤดูตงเทียน แต่เหมยหลายต้นก็ผลิดอกแล้ว หากเดินต่อไปตามทางที่โรยด้วยกรวดสีขาว จะพบประตูกลมบานหนึ่ง เบื้องหลังประตูนี้จึงเป็นพื้นที่ของหมิงซิ่งลู่โหลวที่แท้จริง มิว่าผู้ใดต่างต้องตะลึงลานไปกับความกว้างขวางของพื้นที่ และบรรดาตึกน้อยใหญ่ที่ปลูกเรียงกันอยู่ แต่ละตึกล้วนก่อสร้างอย่างประณีตสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของสกุลอู๋
แน่นอนว่าหมิงซิ่งลู่โหลวมิใช่ที่ที่ใครจะเข้าจะออกได้ง่ายๆ ทุกตึกล้วนมีเวรยามคอยตรวจตราทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันมิให้มีโจรร้ายเข้ามาขโมยทรัพย์สิน ดังนั้นอู๋หยางจงจึงสามารถหลับตาได้อย่างสบายใจ
แต่ตอนนี้มันตื่นแล้ว ตื่นเพราะเสียงม้าล่อ* (แผ่นโลหะสัมฤทธิ์มีลักษณะกลมแบนยกขอบคล้ายถาด ตรงขอบเจาะรู ๒ รู ร้อยเชือกสำหรับแขวน หรือถือ ตีให้มีเสียงดังด้วยไม้หัวหุ้มนวม หรือไม้หัวแข็ง) ที่รัวดังลั่น อู๋หยางจงสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งร้อน พลันผลักประตูออกไป
“มีเรื่องอันใด”
คนรับใช้ผู้หนึ่งกระหืดกระหอบวิ่งมา “มีผู้บุกรุก...”
มิทันสิ้นคำ ร่างร่างหนึ่งพลิ้วลงมายืนตรงหน้าอู๋หยางจง สิ่งแรกที่มันรู้สึกคือคนผู้นี้ตัวเหม็นอย่างยิ่ง
“อู๋เกอ มิพบกันเสียนาน ท่านยังคงอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนเดิม”
อู๋หยางจงมองหน้าคนผู้นั้น พลันหัวร่อเสียงดังลั่น จนคนรับใช้ต้องงุนงงบ้างแล้ว มันตะกุกตะกักถามขึ้น
“นะ... นายท่าน คนผู้นี้บุกรุกเข้ามา”
“อืม...” อู๋หยางจงพยักหน้า “ไปบอกพวกประดาอื่นให้หยุดตีม้าล่อ คนผู้นี้ที่จริงเป็นสหายของเราเอง”
คนรับใช้พยักหน้า แล้วรีบวิ่งตื๋อออกไป อู๋หยางจงหันมามองบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง
“ลู่ตี๋ มิพบกันเสียนาน ท่านไฉนมิเข้ามาทางประตู”
“หากข้าพเจ้าเข้ามาหาท่านทางประตู ตอนนี้ท่านต้องเสียทรัพย์ทำประตูใหม่ เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องเตะมันพังไป”
“ไฮ้! ไฉนท่านถึงต้องเตะประตู”
“เนื่องเพราะผู้เฝ้ายามของท่านมิยอมเปิดให้ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเป็นคนนอนตื่นสายอย่างยิ่ง หากเตะประตู ย่อมเป็นประตูที่พัง แต่หากเตะท่าน ท่านต้องตื่นแน่”
อู๋หยางจงสะดุ้งสุดตัว “มิต้องให้ท่านเตะ ข้าพเจ้าก็สามารถตื่นเองได้”
“ตอนนี้ท่านตื่นแล้ว?”
“ตื่นได้แจ่มใสอย่างยิ่ง”
“เช่นนั้นท่านไปแต่งตัว ไปงานมงคลกับข้าพเจ้าสักงานหนึ่ง”
อู๋หยางจงพลันยืนนิ่ง เพ่งมองฝ่ายตรงข้ามเหมือนเห็นของประหลาด “ลู่หยุนที่ประเสริฐ อู๋เกอขอร้องท่าน หากต้องการไปงานมงคล ท่านควรรีบไปอาบน้ำเสียแต่ตอนนี้ ข้าพเจ้ายินดีไปงานมงคลกับท่าน แต่มิยินดีไปกับกลิ่นเช่นนี้เด็ดขาด”
ลู่หยุนหัวเราะชอบใจ กล่าวต่อ “เนื่องเพราะข้าพเจ้ารีบเดินทางมา จึงยังมิมีเวลา...”
“ตอนนี้มีเวลาแล้ว” อู๋หยางจงพูดขัด “ข้าพเจ้าขอร้องท่านให้ไปอาบน้ำ”
-----------------------------------
สำหรับอู๋หยางจง ลู่หยุนผู้นี้มิใช่สหายธรรมดาเด็ดขาด คืนหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน มันถูกไล่ล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ถึงกับต้องเข้าไปซ่อนตัวในเล้าสุกร หากมิใช่บุรุษหนุ่มผู้นี้ผ่านมาช่วยรักษาศีรษะมันไว้ น่ากลัวตอนนี้มันต้องกลายเป็นอาหารสุกรไปแล้ว ลู่หยุนจึงเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของมัน ดังนั้น มิว่าลู่หยุนต้องการให้มันทำสิ่งใด มันย่อมต้องไม่ปฏิเสธเด็ดขาด ที่สำคัญ ลู่หยุนถึงกับเป็นมิตรสหายที่น่าคบหาอย่างยิ่งด้วย เนื่องเพราะเวลามันปรากฏตัว มักมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นเสมอ
ตอนนี้อู๋หยางจงนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝังมุกตัวโปรด นวมบนเก้าอี้นุ่มอย่างยิ่ง เสื้อผ้าที่มันสวมก็มีราคาแพงอย่างยิ่ง ข้างตัวของมันมีกล่องของขวัญสีแดงสดใส กับเทียบเชิญสีแดงใบหนึ่ง เทียบเชิญเป็นของมัน แต่ของขวัญกลับมิใช่
ของขวัญเป็นลู่หยุนที่นำมา
ด้านในเป็นกระไร อู๋หยางจงมิได้เปิดดู แม้มีความสงสัยใคร่รู้ แต่มันก็รู้จักมารยาทอย่างยิ่ง หากเจ้าของมิเชิญให้ดู มันย่อมต้องเปิดดูโดยพละการอย่างเด็ดขาด
ลู่หยุนเดินออกมาแล้ว เมื่อครู่ตอนมันมา ดูคล้ายขอทานซอมซ่อผู้หนึ่งที่มิได้อาบน้ำมาเป็นครึ่งปี แต่ตอนนี้กลับดูคล้ายกงจื่อ* (คุณชาย) รุ่มรวยผู้หนึ่ง
“ลู่ตี๋ หากข้าพเจ้ามีภรรยา ข้าพเจ้าประกัน ต้องไม่ให้นางเห็นท่านตอนนี้เด็ดขาด”
ลู่หยุนพลันแย้มยิ้ม “ข้าพเจ้าทราบ ท่านกลัวนางหึงหวง... หึงหวงเงินทองของท่านที่จ่ายค่าเสื้อผ้าให้กับข้าพเจ้า”
อู๋หยางจงยกมือตบหน้าผาก พลันหัวร่อ “ลู่หยุนที่ประเสริฐ ไยมิยอมปล่อยให้ผู้อื่นชมท่านสักเล็กน้อย”
“ข้าพเจ้ามิใช่คนไม่ชอบเสียงเยินยอ” ลู่หยุนว่า “แต่ถ้าหากมีคนชมข้าพเจ้าตอนนี้ มันมิใช่ชมข้าพเจ้า แต่เป็นชมเสื้อผ้าของท่าน ข้าพเจ้าเป็นคนมีจิตใจคับแคบอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าพเจ้ามิให้ท่านชมเสื้อผ้าตัวเอง”
เสียงหัวร่อของอู๋หยางจงดังกว่าเดิม มันถึงกับหัวร่อจนน้ำตาไหล “ประเสริฐ ประเสริฐ เช่นนั้นท่านไปเปลื้องเสื้อผ้าออก แล้วเดินมาอีกที ข้าพเจ้าจะได้ชมท่านได้ถูกต้อง”
“น่าเสียดาย ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่นึกอยากถอดเสื้อผ้าของท่านแล้ว ยังอยากจะใส่จนเปื่อยขาดไป”
“หากท่านยังอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ารับประกัน อย่างน้อยเสื้อผ้าของท่านต้องเปลี่ยนทุกวัน มิเช่นนั้น...”
“มิเช่นนั้น...”
“มิเช่นนั้นข้าพเจ้าต้องถูกกลิ่นของท่านขู่ขวัญจนตายไป ข้าพเจ้ายังมิอยากตาย ดังนั้นท่านจึงต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ลู่หยุนหัวร่อแล้ว เสียงหัวร่อของมันน่าฟังอย่างยิ่ง ดวงตาของมันก็เป็นประกายแจ่มใส ใบหน้าของมันหล่อเหลาคมคาย สัดส่วนของมันเล่าก็เป็นบุรุษเพศอย่างแท้จริง ดังนั้น เสื้อผ้าที่ดีเมื่ออยู่บนตัวมัน ย่อมต้องกลายเป็นดูดีขึ้นอีกหลายเท่า
บนตัวมันมิมีอะไรขัดตา ยกเว้นของอย่างหนึ่งที่มันห้อยไว้ที่เอวเสมอ เป็นกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง ดามของมันทำจากไม้ หุ้มด้วยเชือกปอ ตัวกระบี่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าปอเช่นกัน ของสิ่งนี้หากอยู่บนเสื้อผ้าซอมซ่อ ย่อมมิขัดตา แต่ตอนนี้มาอยู่กับเสื้อผ้าสวยงาม ก็กลายเป็นขัดตาอย่างยิ่งแล้ว
อู๋หยางจงอดมิได้ต้องวิจารณ์ขึ้น “ข้าพเจ้าทราบ กระบี่ไม้เล่มนี้ ท่านมิเคยปล่อยให้ห่างตัวเสมอมา ข้าพเจ้าทราบคุณค่าของมัน แต่ข้าพเจ้าวิงวอนให้ท่านเปลี่ยนผ้าที่ใช้พันได้หรือไม่ ข้าพเจ้ามีผ้าแพรไม่เลวอยู่พับหนึ่ง ยังพอให้ท่านพันกระบี่เล่มนี้ได้”
“ผ้าพันย่อมเปลี่ยนได้” ลู่หยุนว่า “เพียงแต่ข้าพเจ้ามิชอบนำผ้าราคาแพงมาหุ้ม”
“เป็นข้าพเจ้ากำนัลเอง ท่านรับไว้”
อู๋หยางจงโยนผ้าแพรพับนั้นให้ลู่หยุน อีกฝ่ายยกกระบี่ขึ้น ตวัดเพียงวูบเดียว ผ้าแพรก็พันตัวกระบี่ไว้มิดชิด ส่วนผ้าปอเดิมร่วงหล่นลงตรงหน้าอู๋หยางจง ผ้าปอถึงกับไม่มีอะไรเสียหาย เป็นผ้าชิ้นอยู่นั่นเอง
“ดูท่า กระบี่ของท่านหามีความคมเลยจริงๆ”
ลู่หลุนพยักหน้า “กระบี่นี้ของข้าพเจ้าเป็นเพียงกระบี่ไม้เท่านั้น”
“ใช่ กระบี่ของท่านเป็นกระบี่ที่ไว้ใช้ตัดกระบี่เล่มอื่น”
-----------------------------------------
อู๋หยางจงกับลู่หยุนออกจากหมิงซิ่งลู่โหลวแล้ว ตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่บนรถม้าคันใหญ่ที่แสนสะดวกสบายของสกุลอู๋
“ลู่หยุน ข้าพเจ้ามีเรื่องต้องการถามท่าน”
“ข้าพเจ้ารอให้ท่านถามนานแล้ว”
อู๋หยางจงมองหน้ามัน “ท่านไฉนจึงตะเกียกตะกายมางานคล้ายวันเกิดของซือหม่าเทียน ข้าพเจ้าทราบ ท่านดูไม่คล้ายคนที่ชอบไปงานวันเกิดของผู้อื่น หนำซ้ำท่านยังไม่มีเทียบเชิญ”
“เนื่องเพราะไม่มีเทียบเชิญ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาหาท่านก่อน”
“อ้อ... ท่านทราบ มันต้องเชิญข้าพเจ้าแน่?”
“อืม... มันย่อมเชิญท่านทุกปี เชิญตั้งแต่บิดาท่านยังอยู่ จนกระทั่งถึงตอนนี้ แต่ทั้งท่านและบิดามิเคยไปตามเทียบเชิญของมันเลยสักครั้ง”
อู๋หยางจงเลิกคิ้วสูง “ท่านทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“เรื่องที่ข้าพเจ้าทราบมีไม่มากไม่น้อย” ลู่หยุนว่า “ที่ทราบล้วนเป็นเรื่องที่ต้องทราบ”
“แล้วทราบหรือไม่ ไฉนตระกูลอู๋ของเราจึงมิไยดีรับเทียบเชิญของมันเสมอมา”
ลู่หยุนนิ่ง เป็นการแสดงว่ามันสนใจฟังเรื่องที่อู๋หยางจงจะกล่าวสืบต่อ
“เนื่องเพราะเตียเตีย* (พ่อ) เคยกล่าว ซือหม่าเทียนมิใช่ตัวดีใด ดังนั้น ท่านจึงมิสนใจเทียบเชิญของมัน และยังบอกให้ข้าพเจ้ามิต้องสนใจด้วย”
“ดังนั้นท่านจึงมิสนใจเลย?”
อู๋หยางจงไม่พยักหน้า ไม่สั่นศีรษะ มันกล่าวขึ้นต่อ “หลังเตียเตียเสียชีวิต ข้าพเจ้ามิเคยไปตามเทียบเชิญของมันก็จริง แต่กลับส่งของขวัญไปให้ทุกครั้ง ในความเห็นข้าพเจ้า มิว่าเตียเตียกับมันมีความบาดหมางอะไรต่อกัน ความบาดหมางนั้นล้วนไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้า เนื่องเพราะหากเกี่ยวข้อง ท่านคงเล่ารายละเอียดให้ข้าพเจ้าฟังเสียนานแล้ว อีกอย่างข้าพเจ้าเป็นคนค้าขาย และเทียนซั่งเฟยอิงผายก็เป็นสำนักใหญ่ หากไว้ไมตรีบ้างย่อมเป็นประโยชน์กับสกุลอู๋เอง”
ลู่หยุนพลันปรบมืออย่างชื่นชม “มิเสียที ท่านเป็นอัจฉริยะการค้าแห่งยุค สิ่งที่พูดล้วนมีเหตุมีผล”
อู๋หยางจงหรี่ตามองมัน “ท่านยังมิได้ตอบข้าพเจ้า ไฉนจึงตะเกียกตะกายมางานนี้ได้”
“เผอิญซือฟู* (อาจารย์) รู้ว่าข้าพเจ้านิยมชมชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผู้อื่นเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงใช้ให้ข้าพเจ้ามา”
“ท่านพบท่านผู้เฒ่า?”
“อืม”
อู๋หยางจงมีสีหน้าตื่นเต้น มันทราบว่าอาจารย์ของลู่หยุน คือว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว* (ผู้เฒ่าเขียวหมื่นปี) ยอดฝีมือแห่งยุคที่เร้นตัวปลีกวิเวกวางมือจากยุทธภพไปเป็นเวลานาน เรื่องเล่าของว่านเหนี่ยวลู่เล่าโต๋วคล้ายดั่งนิทาน บ้างว่าท่านมีอายุเกินหนึ่งร้อยปี บ้างว่าท่านมิใช่คน แต่เป็นเซียนไปแล้ว บ้างว่าพลังฝีมือของท่านมิมีใครเทียบได้ แต่หากถามกับลู่หยุน มันจะคลี่ยิ้มจนตาหยีแล้วตอบท่าน
ซือฟูของมันคือเฒ่าชราใจดีผู้หนึ่ง มักหัวเราะอยู่เสมอ
ลู่หยุนเป็นศิษย์รักของท่าน ท่านวางใจในตัวมันเสมอมา
ดังนั้น หากท่านใช้ให้มันมางานคล้ายวันเกิดของเจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิง นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่
“ท่านผู้เฒ่ากับซือหม่าซานมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน?”
ลู่หยุนพยักหน้า “ท่านก็ทราบ มิมีผู้ใดต้องการมีความสัมพันธ์อันทรามกับซือฟูของข้าพเจ้าเสมอมา”
“ข้าพเจ้าทราบ แต่ที่แปลกใจคือซือฟูของท่านถึงกับมีมิตรไมตรีต่อมันเพียงนี้”
“สำหรับท่านมันมิใช่ตัวดี?”
“ย่อมมิใช่”
“อ้อ” ลู่หยุนพลันเปลี่ยนเรื่อง “ท่านทราบหรือไม่ ในกล่องนี้เป็นของใด?”
อู๋หยางจงสั่นศีรษะ
“เช่นนั้นท่านลองเปิดดู”
“ให้ข้าพเจ้าเปิด”
“อืม”
“เปิดของขวัญของผู้อื่นมิเป็นการเสียมารยาท?”
“สำหรับท่าน ไม่” ลู่หยุนว่า “เนื่องเพราะข้าพเจ้าต้องการเห็นสีหน้าท่านตอนเห็นของในกล่อง”
อู๋หยางจงมองมัน “เช่นนั้นข้าพเจ้ามิเปิด”
“อย่างนั้นข้าพเจ้าเปิดให้ท่านดู”
ขาดคำ ในมือลู่หยุนก็ปรากฏกล่องสีแดงใบนั้น ขยับมืออีกวูบ ผ้าแพรที่ใช้ผูกกล่องก็หลุดออกพร้อมกับฝากล่อง อู๋หยางจงถึงกับอุทานออกมา
“ไฮ้!”
ที่อยู่ในกล่องเป็นกระบี่ไม้ ยาวราวสามฉือกับอีกห้าชุ่น* (1ชุ่นประมาณ1นิ้ว) ตัวและด้ามกระบี่ทำจากไม้ไผ่ลำเดียวกัน เป็นกระบี่ไม่มีโกร่ง ไม่มีปลอก แม้แต่ดาบจับก็ไม่มีการสลักเสลาลวดลายใดๆ
“นี่เป็นกระบี่เปลือยที่ทำจากไม้ไผ่อันหนึ่ง?” อู๋หยางจงกล่าวพลางหันไปมองลู่หยุน ซึ่งนั่งยิ้มอยู่แล้ว
“ถูกต้อง”
“นี่เป็นของขวัญจากซือฟูของท่าน”
“อืม”
อู๋หยางจงกะพริบตา พลางมองกระบี่ไม้อีกเล่มที่ห้อยอยู่ตรงหว่างเอวของลู่หยุน “บอกแก่ท่านตามตรง หากข้าพเจ้ามิเคยเห็นท่านใช้กระบี่ไม้นั้น เวลานี้ข้าพเจ้าคงต้องหัวเราะตาย”
“ตอนนี้ท่านก็ยังสามารถหัวเราะได้”
“ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้าเคยเห็นท่านใช้กระบี่ไม้ ดังนั้นข้าพเจ้าไม่หัวเราะเด็ดขาด” กล่าวพลางจ้องมองลู่หยุน “ซือฟูของท่านทำกระบี่นี้ขึ้นมา?”
“อืม”
“เป็นกระบี่แบบเดียวกับท่านหรือไม่?”
“ไม่ใช่” ลู่หยุนตอบ “แต่นี่เป็นกระบี่ดีเลิศจริงๆ ข้าพเจ้ายังปรารถนาใครจะลองจับดูสักครั้ง เสียดาย มันคือของขวัญของซือหม่าเทียน มิใช่ของข้าพเจ้า”
กล่าวจบมันก็ปิดกล่องลง หากมีใครได้ยินวาจาเมื่อครู่ที่ทั้งสองคนกล่าวถึงกระบี่ไม้ไผ่ ย่อมต้องหาว่าพวกมันวิกลจริตแน่นอน
กระบี่ไม้ไผ่มีอันใดน่ากลัว?
กระบี่ย่อมไม่มีสัดส่วนใดน่ากลัว มิว่าจะทำด้วยวัสดุใด
ที่น่ากลัวคือผู้ใช้กระบี่
------------------------------------------
-
อากาศยังคงขมุกขมัว แม้จะล่วงเข้าช่วงบ่ายแล้ว ดวงตะวันยังซ่อนอยู่เบื้องหลังกลุ่มเมฆสีขาวขุ่น หิมะโปรยปรายเป็นเกล็ดบาง ปลิวว่อนไปตามแรงลม
อากาศเช่นนี้ หากมิใช่เป็นลู่หยุน อู๋หยางจงย่อมไม่ยอมออกมาจากผ้าห่มของมันอย่างเด็ดขาด และมันยิ่งไม่อยากออกไปนอกรถม้า ทั้งยิ่งมิอยากเปิดหน้าต่างรถม้าออก
แต่ลู่หยุนกลับผลักหน้าต่างออก ชะโงกศีรษะออกไปเบื้องนอก ราวกับต้องการสูดอากาศหนาวเหน็บให้เต็มปอด
อู๋หยางจงกระชับเสื้อคลุมขนหนังจิ้งจอกของมันแน่นกว่าเดิม พลางกล่าว “ลู่ตี๋ แม้อากาศหนาวมิอาจทำร้ายท่าน แต่ข้าพเจ้ากลับมิอาจทนทานได้เด็ดขาด”
ได้ยินเสียงลู่หยุนตอบกลับมา “ดังนั้น ท่านควรขดตัวอยู่ในเสื้อขนจิ้งจอกของท่าน หากเสื้อนั้นยังมิทำให้ท่านหายหนาว ข้าพเจ้ายังสามารถออกไปล่าจิ้งจอกมาให้ท่านได้อีกหลายตัว ยังสามารถถลกหนังมันให้ท่านห่มได้ทันที”
อู๋หยางจงรีบกล่าวอย่างเกรงใจ “มิต้องการรบกวนลู่ตี๋ถึงเพียงนั้น ท่านอยากดูกระไรก็ดูไปเถิด”
ลู่หยุนหัวเราะเบาๆ ที่เบื้องหน้าของมัน ท่ามกลางเกล็ดหิมะโปรยปรายและท้องฟ้าขมุกขมัว ธงสีขาวผืนหนึ่งโบกไสวอยู่ ตรงกลางธงปักรูปพญาอินทรีย์สีเหลืองทองกำลังทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ใต้ธงผืนใหญ่นั้น ขบวนรถม้าต่างต่อแถวเรียงราย ทั้งหมดเป็นรถม้าที่ทั้งโอ่อ่าและสง่างาม แต่ละคันเทียมม้าไม่ต่ำกว่าแปดตัว ตอนนี้พวกมันส่งเสียงฟืดฟาดใส่กัน พร้อมพ่นไอสีขาวออกมาจากจมูก
ลู่หยุนทราบ ธงเบื้องหน้าคือสัญลักษณ์ของเทียนซั่งเฟยอิงผาย และยังทราบกระจ่าง เจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิง จินหลิงอิง* (อินทรีย์ขนทอง) มีผู้นับหน้าถือตาไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่มันพอมองออก มีรถม้าจากตระกูลซุนแห่งหางโจว รถม้าจากสำนักคุ้มภัยต้าถง รถม้าจากสำนักกระบี่สามประสาน และอีกหลายคันที่มีภูมิลำเนาไม่ใกล้กับเทียนซั่งเฟยอิงผายเลย
แต่พวกมันก็ยังดั้นด้นกันมา แม้จะอยู่ในฤดูตงเทียน
อาณาบริเวณของเทียนซั่งเฟยอิงผายกว้างจนมิอาจใช้สายตามองได้ทั่ว ธงผืนใหญ่ที่ลู่หยุนเห็น เป็นเพียงธงที่อยู่ปากทางเข้าเท่านั้น จากจุดนั้นไปอีกราวสองลี้ จึงค่อยมองเห็นแนวรั้วสีขาวทอดยาวไปตามเชิงเขา ภายในมีหมู่ตึกน้อยใหญ่สร้างเรียงรายกันอยู่ ที่ตีนเขาหน้าสำนัก ยังมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีชีวิตชีวา ไว้รองรับเหล่าบรรดาสารถีและผู้ติดตามซึ่งมิได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนเทียนซั่งเฟยอิงผาย
“อืม... ดูท่าการค้าแถวนี้ต้องไม่เลวอย่างยิ่ง” อู๋หยางจงกล่าวขึ้นมา ตอนนี้มันเปิดหน้าต่างออกบ้างแล้ว ลู่หยุนหดศีรษะเข้ามาในรถม้า พลางกล่าว
“ท่านมิกลัวหนาวแล้ว?”
อู๋หยางจงหันหน้ามามองมัน “เมื่อท่านเปิดหน้าต่างกว้างถึงเพียงนี้ นานถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าเปิดอีกบานก็คงไม่เป็นไรแล้ว”
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวร่อร่าเริง ทำให้อู๋หยางจงต้องหัวร่อไปด้วย
“ท่านคิดจะเปิดร้านแลกเงินที่นี่?”
“ยัง แต่อนาคตมิแน่” อู๋หยางจงว่า พลางถอนหายใจ “ดูท่า แม้ซือหม่าเทียนมิใช่ตัวดีสำหรับเตียเตียข้าพเจ้า แต่ผู้อื่นกลับเคารพมันอย่างยิ่งเลยทีเดียว”
อู๋หยางจงสั่งให้คนขับรถของมันจอดรถที่หมู่บ้านเช่นเดียวกับอาคันตุกะท่านอื่น จากนั้นจึงลงจากรถ
“ลู่หยุน ท่านควรทราบ ตอนนี้ยังมีอีกเหตุผลที่ข้าพเจ้ามิต้องการมาเทียนซั่งเฟยอิงผาย”
ลู่หยุนหันไปมองสหายของมัน “เหตุผลใด”
อู๋หยางจงชี้นิ้วไปยังบันไดหินตรงหน้ามันที่ทอดยาวขึ้นไปด้านบน “หากข้าพเจ้าทราบแต่แรกว่าต้องขึ้นบันไดพวกนี้ ข้าพเจ้าต้องไม่เสนอหน้ามาเด็ดขาด”
ลู่หลุนพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่เป็นความผิดของข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจะแบกท่านขึ้นไป”
“มิต้อง!” อู๋หยางจงกล่าวพลันถลันตัวหลบ ดั่งกลัวลู่หยุนจะแบกมันขึ้นไปจริงๆ
“ข้าพเจ้ามิต้องการให้ท่านแบก ข้าพเจ้ายังสามารถเดินเองได้”
“น่าเสียดายอย่างยิ่ง หากท่านให้ข้าพเจ้าแบก รับรองว่าต้องครึกครื้นไม่น้อยเลยทีเดียว”
“มิเป็นไร ข้าพเจ้ายังมิต้องการความครึกครื้นเช่นนั้น”
บันไดหินมิสูงมิต่ำ นับแล้วมีทั้งหมดเจ็ดสิบเจ็ดขั้น เท่ากับเจ็ดสิบเจ็ดกระบวนท่ากระบี่เหินบินของซือหม่าเทียนพอดี
บรรดาอาคันตุกะไม่น้อยใช้คนหามเกี้ยวต่างเท้า อู๋หยางจงตำหนิว่าพวกมันต้องชราแล้วเป็นแน่แท้ ลู่หยุนฟังแล้วก็ต้องลอบยิ้ม เนื่องเพราะในระหว่างที่อู๋หยางจงวิพากษ์วิจารณ์คนพวกนั้น มันก็ก่นด่าขั้นบันไดไปด้วย
“อู๋เกอ มิพบกันนานปี ท่านกลับรุดหน้าไปอีกขั้นแล้ว”
อู๋หยางจงหันไปมองมัน “รุดหน้าที่ใด?”
“นอกจากพุงของท่านที่ใหญ่โตกว่าเดิม คล้ายกำลังภายในของท่านก็ดีกว่าเดิม จึงสามารถเดินขึ้นบันไดไปกล่าววาจาไปได้เยี่ยงนี้โดยไม่เหนื่อยหอบ นับว่าการทุ่มเทของท่านไม่เสียเปล่าจริงๆ”
คำพูดของลู่หยุน มิมีที่ใดสั่งให้มันหุบปาก แต่อู๋หยางจงกลับมิกล่าวกระไรต่อ เนื่องจากมันค้นพบว่า หากมันยังคงบ่นสืบไป ลู่หยุนจะต้องสรรหาถ้อยคำมาชื่นชมมัน
มันกลัวการชื่นชนประเภทนี้ของลู่หยุนเป็นที่สุด
ดังนั้นมันจึงหุบปากสนิท
หลังบันไดขั้นที่เจ็ดสิบเจ็ด เป็นซุ้มประตูที่สลักจากหินสีเหลืองขนาดมหึมา ด้านบนซุ้มประตูนอกจากมีธงของเทียนซังเฟยอิงผายโบกสะบัดอยู่ ยังมีรูปพญาอินทรีย์เหินบิน ซึ่งสลักจากหินสีเหลืองเช่นกัน แม้มิได้ประดับอัญมณีแพราวพราวอย่างกวางใหญ่ที่หมิงซิ่งลู่โหลว แต่ก็เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
ลู่หยุนถึงกับหยุดยืนมองอย่างชื่นชม จนอู๋หยางจงต้องสะกิดมัน
“ลู่ตี๋ นี่มิใช่เวลาชมก้อนหิน ท่านเห็นบรรดาผู้คนที่รออยู่ด้านหลังหรือไม่?”
ลู่หยุนมิต้องเหลือบมองก็ทราบ ที่เบื้องหลังมันมีผู้คนยืนอยู่เป็นแถวยาว ดังนั้นมันจึงรีบก้าวตามอู๋หยางจงไป
ศิษย์เฝ้าประตูมีสี่คน สองคนรับเทียบ อีกสองคนตรวจดูรายชื่อ ทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเหลืองสดใส ตรงหวางเอวห้อยกระบี่สีทองสลักรูปพญาอินทรีย์กางปีกเอาไว้ ท่ามกลางอากาศขมุกขมัว กระบี่สีทองยังคงส่องประกาย เช่นเดียวกับบรรดาศิษย์หน้าประตูเหล่านั้น เสื้อผ้าที่พวกมันสวมมิได้หนา แต่พวกมันกลับยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวได้อย่างปลอดโปร่ง ราวกับบริเวณที่มันยืนเป็นฤดูชุนเทียน* (ฤดูใบไม้ผลิ) ก็มิปาน
ต่อให้ผู้โง่เขลาที่สุดก็ต้องมองออก การฝึกฝนของพวกมันต้องไม่ธรรมดา
นี่ขนาดเป็นศิษย์เฝ้าประตู แล้วอาจารย์ของมันเล่า...
อู๋หยางจงยื่นเทียบสีแดงให้กับศิษย์เฝ้าประตูคนหนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นรับเทียบไปแล้วส่งต่อให้ศิษย์อีกคน จากนั้นจึงขานชื่อ
“ท่านคืออู๋หยางจงแห่งหมิงซิ่งลู่โหลว”
“อืม”
“ซือฟูปรารถนาให้ท่านมางานนี้เสมอมา”
“วันนี้ข้าพเจ้ามาแล้ว”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง มิทราบท่านที่อยู่ด้านหลังเป็น...”
อู๋หยางจงจึงหันไปแนะนำ “ผู้นี้มีนามลู่หยุน เป็นสหายรักของข้าพเจ้า”
“ลู่หยุน” ศิษย์ผู้ทันทวนคำ ก่อนจะโพล่งออกมา “หรือเป็นอู๋เน่ยเฉียงฟง* (พายุในหมอก) ลู่หยุนเซียงเซินผู้นั้น”
“ข้าพเจ้ามิเคยพบลู่หยุนคนอื่น ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นลู่หยุน” ลู่หยุนว่า พลางยิ้ม “ซือฟูของข้าพเจ้าใช้ให้ข้าพเจ้ามาเยี่ยมคารวะเจ้าสำนักซือหม่า แต่ข้าพเจ้ามิมีเทียบเชิญ ดังนั้นจึงอาศัยบารมีของอู๋ต้าหนิน* (นายท่านแซ่อู๋) มาด้วยกัน มิทราบข้าพเจ้ายังสามารถเข้าไปได้หรือไม่?”
“ซือฟูเคยปรารภหลายครั้ง ว่าต้องการส่งเทียบเชิญให้ท่าน แต่มิทราบจะส่งให้ท่านที่ใด จึงมิได้ส่งไปเสมอมา”
“ท่านผู้อาวุโสซือหม่าต้องการส่งเทียบเชิญให้ข้าพเจ้า?” ลู่หยุนถามด้วยความแปลกใจ ศิษย์ผู้นั้นพยักหน้า
“ซือฟูมีความต้องการพบหน้าท่านสักครั้ง เนื่องเพราะท่านเป็นศิษย์คนเดียวของว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋วที่ซือฟูของพวกเราเคารพยิ่ง ดังนั้นท่านสามารถเข้าไปได้”
“หากข้าพเจ้าทราบเช่นนี้ ย่อมต้องมิออกมากับท่านแน่” อู๋หยางจงกล่าว หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าประตูมาแล้ว “ท่านมิต้องใช้เทียบก็สามารถเข้ามาในนี้ได้...”
มันพลันหยุดชะงัก เนื่องเพราะพบเห็น ลู่หยุนกำลังยกมือลูบคางของตนไปมา พลางหลุบสายตาลงต่ำ
“ท่านคิดเรื่องใด?”
“เรื่องมิเป็นเรื่อง” ลู่หยุนว่า อู๋หยางจงคล้ายไม่เชื่อถือ
“ท่านกล่าวมา ข้าพเจ้ากลับต้องการฟังเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
ลู่หยุนพลันถอนหายใจ “ข้าพเจ้าเพียงสงสัย เหตุไฉนซือหม่าเทียนจึงต้องการเชิญข้าพเจ้ามางานวันเกิด”
“ตะกี้มิใช่ศิษย์ผู้นั้นบอก ท่านเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว ซือหม่าเทียนต้องการเชิญท่าน ข้าพเจ้ามิเห็นมีที่ใดประหลาด”
“อืม... ถูกของท่าน” ลู่หยุนว่า ก่อนจะกล่าวต่อ “ซือฟูใช้ให้ข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าก็มาแล้ว ดังนั้น พวกเราต้องเข้าไปดื่มสุรา”
“วาจาเยี่ยงนี้ของท่านจึงพอฟังเข้าหูบ้าง”
-------------------------------------------------------------
(จบตอน)
-
:mew1: :mew1:
-
ดีใจ ไรท์มา ยินดีไรท์สบายดีแล้ว .......... :mew1: :mew1: :mew1:
มาเปิดซิงเรื่องใหม่ซะด้วย :katai2-1:
แล้วยังดีใจจะได้ท่านลอร์ดต่อ :impress2:
คอเดียวกับไรท์เรื่องกำลังภายใน(สุดยอดที่หวงอี้)
ตอนนี้กำลังอ่านเรื่องของเหมานี่ หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์
ไรท์คงรู้จักแล้วเนาะ :katai5: :katai5: :katai5:
ตามต่อซือหม่าเทียน กับอู๋หยางจง o18
:L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig2: :pig2:สนุกค่ะติดตามจ้า
-
เหมยแดง
บทที่2 กระบี่ในกระบี่
ห้องโถงของเทียนซั่งเฟยอิงผายโอ่อ่ากว้างขวาง บนขื่อมีแพรสีแดงหอยประดับ พร้อมม้วนผ้าเขียนตัวอักษรมงคล ซ่วงโซ่ว* (ทวีอายุวัฒนะ) ภายในห้องจุดโคมสีแดงสว่างไสว มีดนตรีบรรเลงครึกครื้น ที่ด้านในสุดของห้อง มีโต๊ะตัวยาวปูด้วยผ้าแพรสีแดงขลิบทอง หลังโต๊ะตัวนั้นมีบุรุษวัยชราผู้หนึ่งสวมชุดยาวสีเหลืองนั่งอยู่ จอนผมของท่านเริ่มกลายเป็นสีขาว ใบหน้าของท่านปรากฏริ้วรอยแห่งกาลเวลาอย่างเห็นได้ชัด ทว่าท่านยังคงนั่งเหยียดตัวตรง ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายสุกใส ท่าทางองอาจผึ่งผายนี้ มิว่าผู้ใดก็ต้องรู้สึกยำเกรงอยู่บ้าง
บุรุษผู้นั้นคือจินหลินอิง ซือหม่าเทียน
ที่ข้างกาย ยังมีบุรุษสองคนยืนอยู่ ต่างสวมเครื่องแต่งกายสีเหลือง ห้อยกระบี่สีทองประดับลายนกอินทรีย์ผวาปีก ผู้หนึ่งปีนี้มีวัยยี่สิบแปด หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตามีประกายย่อหยิ่งฉาบอยู่ ทว่าใบหน้าของมันกลับยิ้มแย้มแจ่มใส บุรุษผู้นี้คือบุตรชายคนโตของซือหม่าเทียน ฉายาเทียนเฟยเจี่ยน* (กระบี่เหินนภา) ซือหม่าซาน
ส่วนอีกผู้หนึ่งมีวัยอ่อนกว่ามาก ปีนี้มันเพิ่งอายุสิบหก ดวงตากลมโตสีดำสนิทส่อแววซุกซน ทว่าสีหน้าของมันกลับดูเบื่อหน่ายอยู่บ้าง บางทีคงเพราะมันมีวัยเยาว์เกินไป จึงไม่คุ้นชินกับงานพิธีการเช่นนี้
บุรุษวัยเยาว์ผู้นี้มีนามซือหม่าเลี่ยง มันเป็นบุตรคนเล็กของซือหม่าเทียน
ซือหม่าเลี่ยงกำลังเบื่อหน่ายอย่างยิ่งจริงๆ มันทราบว่าบิดาของมันมีผู้คนเคารพนับถือมาก และมันยังทราบ สมควรเลียนอย่างพี่ชายของมัน หัดปั้นหน้ายิ้มแย้มต้อนรับอาคันตุกะ แต่เพราะมันยังมีวัยเยาว์ ซ้ำยังถูกตามใจมากเกินไป ดังนั้น มันจึงเริ่มอ้าปากหาวแล้ว
การหาวท่ามกลางงานที่เต็มไปด้วยอาคันตุกะมากมายเช่นนี้ ย่อมมิใช่สิ่งสมควร ดังนั้น ซือหม่าซานจึงหันไปสะกิดน้องชายของมัน
“เสี่ยวตี้* (น้องชายคนเล็ก) เจ้าออกไปดูด้านนอก ดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง”
ดวงตาของซือหม่าเลี่ยงเป็นประกายสุกใสทันที มันแย้มยิ้มพลางผงกศีรษะ
“ข้าพเจ้าจะรีบไป”
--------------------------------------
จังหวะที่ซือหม่าเลี่ยงกำลังเดินออกมาจากห้องโถง เผอิญอู๋หยางจงและลู่หยุนกำลังเดินเข้าไปพอดี ซือหม่าเลี่ยงเห็นอาคันตุกะแต่งชุดหรูหรามามาก แต่มันยังมิเคยพบเห็น อาคันตุกะใดห้อยกระบี่ด้ามไม้ที่พันผ้าแพรมาก่อนเลย
ดังนั้นมันจึงหยุดเท้า ขวางหน้าอู๋หยางจงและลู่หยุน พลางเงยหน้ากล่าว
“พวกท่านเป็นอาคันตุกะของเตียเตีย?”
อู๋หยางจงผงกศีรษะ “เจ้าเป็นบุตรชายของซือหม่าเทียน?”
“ถูกต้อง ข้าพเจ้าซือหม่าเลี่ยง พวกท่านเล่า?” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ ซือหม่าเลี่ยงกล่าวสืบต่อ
“ข้าพเจ้าจำท่านได้ ท่านคือจินก้วน* (ไหทองคำ) อู๋หยางจง ข้าพเจ้าเคยพบเห็นท่านบ่อยครั้งยามเข้าไปวิ่งเล่นในเมือง ได้ยินว่าที่หมิงซิ่งลู่โหลวของท่านมีกวางตัวใหญ่ประดับไข่มุก ข้าพเจ้าต้องการเห็นสักครั้ง”
อู๋หยางจงถลึงตามองซือหม่าเลี่ยงดั่งเห็นตัวประหลาด ขณะที่ลู่หยุนยิ้มออกมา
“เส้าเหยี่ย* (คุณชาย) ท่านนี้ ดูมีหูตากว้างขวาง เรื่องภายในเมืองนี้ ท่านรอบรู้ทุกเรื่อง?”
“ย่อมไม่ทุกเรื่อง” ซือหม่าเลี่ยงว่า “แต่ข้าพเจ้าควรต้องรู้เรื่องที่ควรรู้”
“ฮ่าๆ กล่าวได้ถูกต้อง เช่นนั้น เมื่อท่านทราบมันคืออู๋หยางจง ไฉนต้องมาขวางทางพวกเราไว้ หรือท่านต้องการให้มันพาไปดูกวางดาวที่บ้านของมัน”
“นั่นเป็นเรื่องประการหนึ่ง” ซือหม่าเลี่ยงว่า “แต่เรื่องสำคัญคือท่าน”
“ข้าพเจ้า?” ลู่หยุนทวนคำ บุรุษวัยเยาว์ตรงหน้าผงกศีรษะ
“ที่ข้าพเจ้าขวางมิใช่อู๋ต้าหนิน* (นายท่านแซ่อู๋) แต่เป็นท่าน”
“ไฉนจึงต้องมาขวางข้าพเจ้า?”
“เนื่องเพราะท่านมีบางที่แปลกประหลาด”
อู๋หยางจงถึงกับหัวร่อออกมา “ดูท่า สายตาของเส้าเหยี่ยท่านนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ไหนท่านลองบอก ตรงไหนของมันที่แปลกประหลาด”
ซือหม่าเลี่ยงตอบโดยไม่ต้องเสียเวลา “ย่อมเป็นกระบี่ไม้ที่ห้อยตรงหว่างเอวของท่าน อาคันตุกะที่เตียเตียของข้าพเจ้าเชิญมา มิว่าผู้ใดต่างมิสมควรห้อยกระบี่ไม้เช่นนี้มาด้วยเด็ดขาด”
“เพราะเหตุใด”
“เนื่องเพราะบิดาเป็นผู้กว้างขวาง พวกท่านจึงมิควรหิ้วของเล่นเข้ามา”
ลู่หยุนหัวเราะชอบใจ “ท่านว่า นี่เป็นของเล่น?”
“อืม”
“หากข้าพเจ้าบอกท่าน นี่เป็นกระบี่ไม้ที่ไว้ตัดเหล็ก ท่านจะเชื่อข้าพเจ้าหรือไม่?”
ซือหม่าเลี่ยงเบิ่งตากลมกว้างของมันด้วยความสนใจ พลางกล่าว “ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเชื่อ ท่านสมควรแสดงให้ข้าพเจ้าดูก่อน”
“อืม... ถูกของท่าน ก่อนเชื่อสิ่งใดต้องเห็นกับตาก่อน แต่ว่า ในสถานที่นี้ มิมีเหล็กใดที่ข้าพเจ้าต้องการตัด ดังนั้นท่านจึงมิอาจเห็นกระบี่ของข้าพเจ้าได้”
“อ้อ...” ซือหม่าเลี่ยงส่งเสียงในคอ “เช่นนั้น ข้าพเจ้าจะกล่าวหาว่าท่านโป้ปด ท่านยังคงอย่าหาข้ออ้างแล้วยอมรับเสียจึงประเสริฐ ที่ห้อยมาเป็นกระบี่ของเล่นจริงๆ”
“ตกลง ข้าพเจ้ายอมรับ ที่ห้อยมาเป็นกระบี่ของเล่น ตอนนี้ท่านสมควรหลีกทางให้พวกเราแล้ว”
“ยังไม่ได้”
“ไฉนยังไม่ได้ ท่านจะอ้างเหตุข้าพเจ้าพกกระบี่ของเล่นมาจึงไม่อาจพบเตียเตียของท่าน?”
“ไม่ใช่ เตียเตียมิเคยสนใจว่าผู้ใดจะพกกะไรมา”
“อ้อ...”
“เตียเตียมิสน แต่ข้าพเจ้าสน ข้าพเจ้าสนใจกระบี่ของเล่นของท่าน อยากจะขอยืมไปเล่นสักครู่”
ลู่หยุนหันไปมองอู๋หยางจง เห็นฝ่ายนั้นกลั้นหัวเราะแทบจะลมจับแล้ว จึงหันไปกล่าวกับซือหม่าเลี่ยง
“ก่อนท่านจะขอยืมของจากผู้อื่น ท่านทราบหรือไม่ ผู้ที่ท่านจะยืมเป็นผู้ใด”
ซือหม่าเลี่ยงสั่นศีรษะ “ท่านมิบอกนาม ข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไร”
“หมายความว่าท่านไม่รู้จักข้าพเจ้า?”
“อืม”
“เมื่อไม่รู้จัก ท่านสามารถใช้ศักดิ์ศรีใดมาหยิบยืมของของข้าพเจ้า”
ซือหม่าเลี่ยงถึงกับอึ้งไป “ข้าพเจ้า...”
“ดังนั้น ท่านควรหลีกทางให้พวกเรา อย่างไรพวกเราก็มางานวันเกิดเตียเตียของท่าน”
“ก็ได้” ซือหม่าเลี่ยงว่า “ข้าพเจ้าจะรอท่านอยู่ที่โต๊ะ จะรอฟังว่าท่านเป็นผู้ใด จากนั้นเมื่อรู้จักท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะขอยืมกระบี่ของเล่นของท่าน”
กล่าวจบก็วิ่งกลับไปที่โต๊ะแดงตัวนั้นทันที อู๋หยางจงหันมากล่าวกับลู่หยุน
“ดูท่า ท่านพบคู่ต่อสู้ที่คู่ควรแล้ว”
ลู่หยุนพยักหน้า “เป็นเส้าเหยี่ยที่ร้ายกาจจริงๆ”
--------------------------------------
ซือหม่าซานเมื่อเห็นน้องชายวิ่งกลับมา ก็ถามด้วยความสงสัย “เจ้าไฉนกลับมารวดเร็วยิ่ง”
“ต้าเกอ* (พี่ชายใหญ่) ในบรรดาแขกที่ท่านส่งเทียบเชิญไปทั้งหมด มีผู้ใดพกกระบี่ไม้บ้าง”
เทียบเชิญถูกส่งออกไปสองร้อยใบมิขาดมิเกิด ซือหม่าซานเป็นคนจัดการทั้งหมด มันจดจำลักษณะสำคัญของผู้ที่อยู่ในรายชื่อได้ ซือหม่าเลี่ยงคาดหวังจะได้รู้คำตอบ แต่พี่ชายของมันกลับสั่นศีรษะ
“เรานึกมิออกสักคน คาดว่ามิมีผู้ใดพกกระบี่ไม้หรอก ไฉนเจ้ามาถามเช่นนี้”
“เพราะคนผู้นั้นพกกระบี่ไม้มา” ซือหม่าเลี่ยงกล่าว พลางชี้นิ้วไปยังอู๋หยางจงและลู่หยุน ซือหม่าซานร้องอ้อ
“หากเป็นกิมก้วนผู้นั้นก็นับว่าประหลาด มันควรพกกระบี่ทองคำเสียมากกว่า”
“ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงกิมก้วนผู้นั้น”
“เจ้าหมายถึงผู้ที่เดินอยู่ข้างกิ้มก้วน”
“ถูกต้อง ท่านเคยพบเห็นมันหรือไม่?”
“ไม่เคย”
ซือหม่าเลี่ยงคล้ายดั่งคิดอะไรได้ ร้องออกมา “ข้าพเจ้ารู้แล้ว!”
“เจ้ารู้สิ่งใด?” คราวนี้ ผู้ที่ถามมิใช่พี่ชายของมัน แต่เป็นบิดาของมัน ซือหม่าเทียนหันมามองบุตรคนเล็ก พลางกล่าว “หากมิใช่เรื่องสำคัญ เตียเตียขอเจ้าให้อยู่นิ่งบ้าง”
ซือหม่าเลี่ยงหน้าสลดลงหน่อย แต่ก็ยังคงกล่าวสืบต่อ “แต่เตียเตีย ข้าพเจ้าพบคนถือกระบี่ไม้...”
วาจานี้ที่จริงแล้วฟังดูไร้สาระอย่างยิ่ง แต่ซือหม่าเทียนพลันถามขึ้นทันที “เจ้าว่า พบคนถือกระบี่ไม้?”
ซือหม่าเลี่ยงพยักหน้า บิดาของมันกล่าวสืบต่อ “ท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด รีบไปตามมาให้เตียเตีย”
ครานี้ใบหน้าของซือหม่าเลี่ยงแทบจะบานได้ มันรีบรับคำแล้ววิ่งออกไปทันที ซือหม่าซานหันไปถามบิดาของมันด้วยความสงสัย
“เตียเตีย นี่เป็นเรื่องอันใด?”
ซือหม่าเทียนพลันโบกมือ “เมื่อท่านมาถึง เจ้าก็จะทราบเอง”
----------------------------------
“เส้าเหยี่ยนผู้นั้นกลับมาอีกแล้ว” อู๋หยางจงว่า “น่ากลัวต้องการยืมกระบี่ของท่านให้จงได้”
ยังไม่ทันที่ลู่หยุนจะได้กล่าวอะไร ซือหม่าเลี่ยงก็ปราดมาถึงด้านหน้าพวกมัน
“เตียเตียให้ข้าพเจ้าเชิญท่านไปพบทันที”
“เชิญผู้ใด?”
“เชิญท่าน” ซือหม่าเลี่ยงหันไปหาลู่หยุน “เตียเตียเชิญท่านที่มีกระบี่ไม้”
“แล้วข้าพเจ้าเล่า?” อู๋หยางจงพูดแทรกขึ้น “เตียเตียท่านมิได้เชิญ”
ซือหม่าเลี่ยงกะพริบตา “เตียเตียมิได้กล่าวถึงท่าน แต่...”
ดวงตาของมันกลอกไปมาอย่างซุกซน “เพราะท่านเป็นจินก้วน และข้าพเจ้าต้องการเห็นกวางดาวของท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าเชิญท่านไปพบเตียเตียด้วย”
ลู่หยุนหัวเราะออกมา “ดูท่าท่านต้องขอบคุณกวางดาวตัวนั้นแล้ว”
ทั้งคู่เดินตามซือหม่าเลี่ยงไป ผู้คนในห้องโถงต่างพากันจับตามอง เนื่องเพราะบทสนทนาเมื่อครู่ พวกท่านก็ได้ยินกันแทบหมดสิ้น
บุรุษหนุ่มที่มีกระบี่ไม้เป็นผู้ใด ไฉนซือหม่าเทียนจึงต้องให้บุตรชายเชิญพวกมันไปหา
ความสงสัยของผู้คน มุ่งไปสู่ลู่หยุนเป็นจุดเดียว
ซือหม่าเทียนพอเห็นทั้งคู่เดินเข้ามาก็พลันผุดลุกขึ้น “อู๋ต้าหนิน* (นายท่านอู๋) คาดมิถึงครั้งนี้ท่านยอมให้เกียรติมาร่วมงานวันเกิดของเรา”
อู๋หยางจงประสานมือคารวะตามธรรมเนียม พลางกล่าว “ท่านอุตส่าห์ส่งเทียบเชิญไปให้ข้าพเจ้าทุกปี ครั้งนี้เป็นวันแซยิด ข้าพเจ้าไม่มาก็เห็นจะไม่ถูกต้อง อีกอย่าง สหายของข้าพเจ้าผู้นี้ต้องการมาเยี่ยมคารวะท่าน มันมิมีเทียบเชิญ จึงชวนข้าพเจ้ามาด้วยกัน”
“มันชวนท่านมา” ซือหม่าเลี่ยงทวนคำด้วยความประหลาดใจ “มิใช่ท่านชวนมัน?”
ซือหม่าซานสะกิดไหล่น้องชายให้รีบหุบปาก ขณะที่ซือหม่าเทียนกล่าวขึ้นต่อ
“กระบี่ไม้ที่เอวของท่าน เป็นว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋วเหลาให้กระมัง?”
ลู่หยุนพยักหน้า
“ท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นั้น”
“เป็นข้าพเจ้า”
คำ ‘อู๋เน่ยเฉียงฟง’* (พายุในหมอก) เมื่อดังขึ้น แววตาของทุกคนในห้องโถงต่างเปลี่ยนไปทันที เกินกว่าครึ่งล้วนเคยได้ยินคำนี้
กระทั่งแววตาของซือหม่าซานยังเปลี่ยนไป ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงร้องอ้อขึ้น
“ข้าพเจ้าทราบแล้วท่านเป็นผู้ใด ท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟงลู่หยุน ที่เป็นศิษย์ของว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว เตียเตียเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังบ่อยครั้งว่าว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋วเป็นอัจฉริยะแห่งยุค และศิษย์ของท่านก็เป็นอัจฉริยะเช่นกัน”
“ตอนนี้เป็นอันว่าท่านรู้จักข้าพเจ้าแล้ว” ลู่หยุนก่อนจะหันไปคารวะซือหม่าเทียน
“ข้าพเจ้าลู่หยุน น้อมคารวะท่านผู้อาวุโส”
สีหน้าของซือหม่าเทียนปรากฏแววแห่งความปลื้มปีติ ท่านรีบกล่าว “มิต้องมากพิธี ท่านผู้เฒ่าสบายดี?”
“ซือฟูของข้าพเจ้าสบายดี ยังฝากของขวัญมาให้ท่านผู้อาวุโสด้วย” กล่าวจบก็ประคองกล่องของขวัญสีแดงมอบให้ซือหม่าเทียน อีกฝ่ายรับไปแล้วเปิดออกดู มือของท่านถึงกับสั่นระริก ค่อยยกกระบี่ไม้ขึ้นมาลูบเบาๆ
“กระบี่ที่ยอดเยี่ยม”
ซือหม่าเลี่ยงพลันกล่าวขึ้นมา “เตียเตีย ไฉนท่านจึงกล่าวว่ามันเป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยม ที่ข้าพเจ้าเห็นอย่างไรก็เป็นกระบี่ไม้ไผ่ชัดๆ เป็นเพียงกระบี่ของเล่น”
“เนื่องเพราะเจ้ายังเยาว์ จึงมิเข้าใจความหมาย ต่อเมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะเข้าใจเอง”
ซือหม่าเลี่ยงไม่ยอมแพ้ มันกล่าวสวนขึ้น “มิแน่ว่าผู้อื่นก็ไม่เข้าใจเช่นข้าพเจ้า ต้าเกอ ท่านเข้าใจความหมายของกระบี่ไม้นี้หรือไม่?”
ซือหม่าซานถูกถามดังนั้นจึงปั้นหน้าจริงจัง “เสี่ยวเลี่ยง เจ้าก็ทราบ ว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋วเป็นอัจฉริยะแห่งยุค และเตียเตียก็เป็นยอดฝีมือแห่งยุค สองอย่างนี้เจ้าก็มิควรดูถูกว่านี่เป็นกระบี่เด็กเล่นแล้ว”
“เอาล่ะ” ซือหม่าเทียนพูดขึ้น “ไว้เตียเตียจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจในภายหลัง”
ท่านหันไปหาลู่หยุนอีกครั้ง “ฝากบอกท่านผู้อาวุโส ข้าพเจ้าน้อมรับคำสั่งสอนอันยิ่งใหญ่จากของขวัญของท่าน”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “หวังว่าบุตรทั้งสองของท่านจะเข้าใจในเร็ววัน”
“เตียเตีย” ซือหม่าเลี่ยงกล่าวขึ้นอีก “ท่านสองคนนี้ ข้าพเจ้าจะนำไปที่โต๊ะเอง”
ซือหม่าซานมองน้องชายอย่างไม่เชื่อถือ ขณะที่ซือหม่าเทียนถอนหายใจ
“อู๋ต้าหนิน ลู่เซียงเซิน ปิศาจน้อยของเราตัวนี้ตอแยด้วยยากอย่างยิ่ง ขอทั้งสองท่านโปรดให้อภัย”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “หากได้ร่วมโต๊ะกับเลี่ยงเส้าเหยี่ยผู้นี้ นับว่าเป็นความสนุกของพวกเราทีเดียว”
-----------------------------------
-
ดังนั้น ตอนนี้อู๋หยางจงและลู่หยุน จึงนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมซือหม่าเลี่ยง แม้อู๋หยางจงจะไม่นิยมชมชอบบิดาของมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันรู้สึกเอ็นดูซือหม่าเลี่ยงอยู่เล็กน้อย เนื่องเพราะวาจาที่เส้าเหยี่ยผู้นี้กล่าว แต่ละคำบันดาลให้มันต้องขำทุกครั้ง
“ได้ลู่เซียงเซินช่วยชีวิต ข้าพเจ้าสักครู่ต้องคารวะท่านหนึ่งจอก”
อู๋หยางจงมองมันด้วยความขบขัน “เมื่อครู่ท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย?”
ซือหม่าเลี่ยงพยักหน้า “ใช่ หากพวกท่านมิชวนข้าพเจ้ามานั่งรวมโต๊ะด้วย ข้าพเจ้าคงต้องถูกลมปากอาคันตุกะของเตียเตียรมจนตายไป พวกนั้นกล่าววาจาได้น่าเบื่ออย่างยิ่ง”
“อ้อ...” อู๋หยางจงร้องในคอ “ดังนั้นลู่เซียงเซินจึงกลายเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตท่านไปแล้ว”
“อืม”
“ท่านตั้งใจทำอะไรตอบแทนมัน”
“ย่อมต้องคว่ำให้ท่านหนึ่งจอก”
“ท่านคว่ำให้มันหนึ่งจอก ต้องคว่ำให้เราหนึ่งจอกด้วย”
“ไฉนข้าพเจ้าต้องคว่ำให้ท่านหนึ่งจอก”
“เพราะหากอู๋ต้าหนินมิอยู่ที่นี่ ลู่เซียงเซินของท่านก็ต้องมิอยู่ที่นี่”
“มิใช่ว่าลู่เซียงเซินชวนท่านมา?”
คราวนี้ลู่หยุนหัวร่อบ้าง มันหันไปกล่าวกับอู๋หยางจง “อู๋เกอ ท่านสมควรกล่าววาจากับเส้าเหยี่ยผู้นี้ให้น้อยไว้ มิฉะนั้นท่านจะต้องสำลักคำพูดตัวเองแล้ว”
“ถูกของท่าน ข้าพเจ้าควรหุบปากให้สนิท”
ซือหม่าเลี่ยงใช้ดวงตากลมโตมองมัน “อู๋ต้าหนิน ไฉนวันนี้ท่านมางานวันเกิดเตียเตียได้ ทุกปีมิเห็นท่านเคยมาที่นี่เลย”
“มิใช่ท่านเพิ่งบอกเมื่อครู่ เป็นข้าพเจ้าชวนมันมา” ลู่หยุนว่า ซือหม่าเลี่ยงหันไปมองมัน
“ทำไมถึงต้องให้ผู้อื่นชวนมา?”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้ามิเคยต้องการมา”
“ท่านมิชอบเตียเตียของข้าพเจ้า?”
“อืม...”
“เพราะเหตุใด?”
“ไม่มีสาเหตุใด” อู๋หยางจงว่า “หากท่านถามต่ออีกคำเดียว ข้าพเจ้าจะพานไม่ชอบท่านด้วย”
ซือหม่าเลี่ยงพลันหุบปากสนิท ดั่งกลัวถูกอู๋หยางจงไม่ชอบจริงๆ อู๋หยางจงเห็นดังนั้นจึงเบือนหน้าไปอีกทาง เพราะมิอาจกลั้นยิ้มได้
ลู่หยุนแย้มยิ้มพลางกล่าวขึ้นบ้าง “เลี่ยงเส้าเหยี่ย วันนี้ข้าพเจ้าคล้ายไม่เห็นสูซู*(อาชาย)ของท่านเลย”
“ท่านหมายถึงซุนสู?”
“อืม”
“ปีนี้ซุนสูมามิทัน เนื่องเพราะที่สำนักของท่านเกิดเรื่อง”
“เกิดเรื่องที่จิ่วซ่วนเชวิ่นจู* (หมู่ตึกเก้าดารา)?”
ซือหม่าเลี่ยงพยักหน้า “ต้องเป็นเรื่องใหญ่โตมากแน่ ข้าพเจ้าเห็นม้าเร็วจากจิ่วซ่วนเชวิ่นจูมาเมื่อวานนี้ หลังเตียเตียได้อ่านข้อความในจดหมาย สีหน้าของท่านก็พลันหม่นลง ก่อนหน้านี้สามวันก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น”
“เรื่องใด?”
ยังมิทันที่ซือหม่าเลี่ยงจะทันได้เล่า บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีเหลืองห้อยกระบี่สีทองสลักรูปนกอินทรีย์ผวาปีกก็เดินเข้ามากระซิบข้างหูมัน
ซือหม่าเลี่ยงหันมาหาพวกลู่หยุน “เตียเตียเรียกแล้ว ข้าพเจ้าต้องขอตัว”
อู๋หยางจงระบายลมหายใจออกมาทันที “ในที่สุด ปิศาจน้อยนั่นก็ถูกเรียกตัวกลับไปแล้ว ข้าพเจ้าพลอยหายใจได้คล่องขึ้นหน่อย”
“ดูท่า ท่านถูกใจมันมิใช่น้อย”
“อืม... หากข้าพเจ้ามีตีตี๋เช่นนี้ นับว่าต้องปวดศีรษะตายแน่” อู๋หยางจงพูดแล้วหัวร่อ ในตอนนั้น บรรดาอาคันตุกะที่มา ต่างเข้ามานั่งอยู่ในห้องโถงครบทั้งหมดแล้ว
ดนตรีหยุดบรรเลง ขณะที่ซือหม่าเทียนผุดลุกขึ้น
“ท่านทั้งหลาย เราซือหม่าเทียน มีความตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง ที่พวกท่านให้เกียรติมางานวันเกิดของเรา ปีนี้นอกจากของขวัญสูงค่าที่พวกท่านต่างนำมามอบให้แก่เราด้วยไมตรีจิต เรายังได้รับของขวัญอันน่าอัศจรรย์จากว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว พวกท่านทั้งหลายต่างทราบ ว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋วหลีกเร้นปลีกตัวไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในโลกมานานแล้ว แต่วันนี้ท่านได้ให้ศิษย์ของท่านนำของขวัญมาให้เรา ดังนั้น นอกจากเราจะได้รับของขวัญที่แสนวิเศษแล้ว เรายังมีโอกาสได้ต้อนรับอาคันตุกะพิเศษอีกด้วย”
กล่าวจบท่านก็เดินออกจากโต๊ะแดง ตรงมายังโต๊ะที่พวกลู่หยุนนั่งอยู่
อู๋หยางจงกระซิบกระซาบ “มิคาด ซือหม่าเทียนผู้นี้ยังรู้จักประจบเอาใจผู้คน”
ลู่หยุนมิกล่าวอะไร คล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องอื่น กระทั่งซือหม่าเทียนเดินมาหยุดลงตรงหน้ามัน
‘ท่านความจริงมิต้องทำเช่นนี้’ ลู่หยุนส่งเสียงผ่านทางลมปราณไปยังซือหม่าเทียน ซือหม่าเทียนมองมัน แล้วตอบกลับมา
‘เราต้องขออภัยต่อท่าน ที่ทำดังนี้ล้วนมีความจำเป็นอย่างยิ่ง’
มิมีผู้ใดได้ยินวาจาที่ทั้งสองกล่าวตอบโต้กัน เพียงเห็นว่าทั้งคู่กำลังมองหน้ากันเท่านั้น สักครู่ ซือหม่าเทียนจึงกล่าวขึ้นอีก
“ท่านผู้นี้คืออู๋เน่ยเฉียงฟง ลู่หยุน ศิษย์ของว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว ลู่เซียงเซินได้นำของขวัญอันมีค่ามามอบให้เรา” กล่าวจบก็หยิบกระบี่ไม้ไผ่ขึ้นมา
“พวกท่านเห็นสิ่งใด? เห็นกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งใช่หรือไม่? หากมิมีผู้ใดบอกว่านี้เป็นกระบี่ที่ลู่เล่าโต๋วประดิษฐ์ขึ้น พวกท่านคงเข้าใจมันเป็นเพียงกระบี่สำหรับทารก เราขอกล่าวต่อพวกท่าน กระบี่เล่มนี้มีความกว้าง หนา บาง ยาวที่สมบูรณ์แบบ และยังเป็นกระบี่ที่น้ำหนักเบาเป็นอย่างมาก หากกระบี่นี้อยู่ในมือทารก ย่อมไม่มีอะไรพิเศษ แต่หากอยู่ในมือของยอดกระบี่ กระบี่ไม้นี้ก็กลายเป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยมได้”
ผู้คนในห้องต่างเงียบฟัง ซือหม่าซานซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังบิดาของมันจึงกล่าวขึ้นต่อ “ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน ทราบว่าท่านชมชอบกระบี่เป็นพิเศษ วันนี้มีโอกาสได้พบ ข้าพเจ้าจึงขอน้อมรับคำชี้แนะ”
ลู่หยุนมองทั้งสองคน พลางกล่าว “ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของพวกท่านแล้ว ข้าพเจ้ามาเยือนเทียนซั่งเฟยอิงผายวันนี้ สมควรทดลองเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของสำนักท่านสักครั้ง”
“ท่านต้องการใช้กระบี่ใด”
“ย่อมเป็นกระบี่ที่ซือฟูของข้าพเจ้าให้เป็นของขวัญแก่ซือหม่าเล่าโต๋ว”
--------------------------------------
อากาศยังคงขมุกขมัว แต่บรรยากาศในเทียนซั่งเฟยอิงผายคึกคักขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว ผู้คนต่างพากันออกมายืนออตากอากาศหนาวด้านนอก เนื่องเพราะต้องการทราบ อู๋เน่ยเฉียงฟงจะใช้กระบี่ไม้ไผ่ ต้านทานเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของเทียนซั่งเฟยอิงได้อย่างไร
ตอนนี้ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากันบนลาน ในมือซือหม่าซานมีกระบี่ด้ามสีทองส่องประกายวาววับ พู่กระบี่สีเหลืองพลิ้วไสวไปตามแรงลม
ในมือของลู่หยุนมีกระบี่ไม้ไผ่ที่ทั้งบางทั้งเบา กระทั่งลมพัดก็พร้อมจะงอแล้ว แต่มันยังคงยืนอย่างปลอดโปร่ง ประหนึ่งที่อยู่ในมือของมันคือกระบี่ที่เลิศที่สุดในผืนแผ่นดิน
ในบรรดาทั้งหมด มีเพียงผู้เดียวที่เคยเห็นลู่หยุนใช้กระบี่ หากเป็นกระบี่ไม้ที่ห้อยอยู่ที่หว่างเอวของลู่หยุน อู๋หยางจงแน่ใจ กระบี่นั้นของซือหม่าซานต้องมีสภาพดูไม่ได้ แต่กับกระบี่ไม้ไผ่เปลือยที่ไม่มีแม้กระทั่งเชือกพันด้ามจับ มันถึงกับมีความไม่แน่ใจอยู่สามส่วน ว่าลู่หยุนจะต่อต้านกระบี่ของซือหม่าซานได้
หิมะยังคงโปรยปรายเป็นละอองสีขาวบางๆ ผู้คนต่างเงียบกริบ กระทั่งได้ยินเสียงลม ในความเงียบ ซือหม่าเทียนกล่าวสั้นๆ
“เชิญ”
ประกายกระบี่วาบ ร่างของซือหม่าซานพลันลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นเงากระบี่นับร้อยนับพันสาย โถมเข้าใส่ลู่หยุนอย่างดุดัน
นับเป็นการลงมือที่เร็วอย่างยิ่ง ดุดันอย่างยิ่ง และเป็นการลงมือโดยที่เท้ามิได้สัมผัสพื้นอีกด้วย
ผู้คนต่างพากันตะลึงค้าง ฉายากระบี่เหินนภาของซือหม่าซานมิใช่ได้มาโดยบัญญัติขึ้นเองจริงๆ
ใบหน้าของลู่หยุนปรากฏรอยยิ้มในสถานการณ์ที่มิว่าผู้ใดก็ต้องยิ้มมิออก
เนื่องเพราะมันชมชอบดูเพลงกระบี่ของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
และที่ที่สามารถดูได้ชัดที่สุด คือที่ที่กระบี่แทงเข้าใส่นี้เอง
ดังนั้นสำหรับลู่หยุน นี่เป็นเรื่องน่าเบิกบาน
พลังของเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินหนักหน่วงรุนแรง กระทั่งหิมะรอบๆ ก็พลันถูกกระแทกจนกระจายออก แม้มิใช่กระบี่หมายชีวิต แต่หากถูกสะกิดเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าราคาแพงของอู๋หยางจงอาจเสียหายได้
ดังนั้น ลู่หยุนจึงใช้กระบี่แล้ว
ตอนมันสะบัดกระบี่ มิมีผู้ใดเห็น กระทั่งซือหม่าซานก็มองไม่เห็น มันเพียงรู้สึก ทุกกระบี่ที่มันแทงไป ต้องถูกดีดกลับมาทุกครั้ง กระบี่ที่มันแทงออกไปแต่ละครั้ง ใส่พลังลงไปสามส่วน แต่ยามถูกดีดกลับมา พลังที่ใส่ไปทั้งหมดพลันปลาสนาการไป ในใจของซือหม่าซานพลันแตกตื่นสงสัย
มันกำลังประมือกับบุคคลเช่นไรแน่ ที่อยู่ในมือคนผู้นั้น ใช่กระบี่ไม้ไผ่ธรรมดาจริงหรือ?
หิมะยังคงโปรยปรายอยู่ แต่พายุในลานสงบลงแล้ว ซือหม่าซานพลิ้วตัวลงยืนตรงหน้าลู่หยุน ในดวงตาเต็มไปด้วยความแตกตื่นสงสัย และความเคารพนับถือ กระบี่ไม้ไผ่ในมือของลู่หยุน ถึงกับมิมีส่วนใดบิ่นไปแม้แต่เสี้ยวเดียว
“กระบี่ในมือท่าน เป็นกระบี่อะไรกันแน่”
“ย่อมต้องเป็นกระบี่ที่เหลาจากไม้ไผ่” ลู่หยุนกล่าว พลางยกกระบี่ขึ้นมา “ท่านลองจับดู”
ซือหม่าซานละมือจากกระบี่ของตน ยื่นมือไปรับกระบี่ไม้ไผ่อันนั้น มันคือกระบี่ไม้ไผ่ชัดๆ มองที่ใดก็คือไม้ไผ่ เป็นไม้ไผ่ที่น้ำหนักเบาอย่างยิ่ง ยืดหยุ่นอย่างยิ่ง
กระบี่ไม้ไผ่เล่มนี้ ต้านทานกระบี่โลหะของมันเอาไว้ครบทั้งเจ็ดสิบเจ็ดกระบวนท่า โดยมิเกิดริ้วรอยอันใดเลย
หากเปลี่ยนเป็นมันใช้กระบี่นี้ มิแน่ว่าจะแทงพลาดตั้งแต่ครั้งแรก เนื่องเพราะกระบี่ที่เบา แม้จะเร็วแต่ควบคุมได้ยาก ดังนั้น ผู้ที่สามารถใช้กระบี่ที่ทั้งบางทั้งเบานี้ได้ จึงนับเป็นยอดมือกระบี่ที่แท้จริง
“ข้าพเจ้าตอนนี้เข้าใจความหมายของกระบี่เล่มนี้แล้ว” ซือหม่าซานกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “ซือฟูของท่านเป็นอัจฉริยะเลอเลิศที่สุดในแผ่นดินจริงๆ และท่านเองก็เป็นมือกระบี่ที่เลอเลิศที่สุดในแผ่นดินเช่นกัน”
“กล่าวเกินไปแล้ว ความจริงข้าพเจ้าเพียงแค่คุ้นมือกับกระบี่ไม้มากกว่าเท่านั้น มิแน่เปลี่ยนไปใช้กระบี่เหล็กเช่นท่าน ข้าพเจ้าอาจกลายเป็นทารกไป”
ทั้งคู่หัวร่อให้แก่กัน ก่อนจะประสานมือ
“ขอบคุณท่าน”
ซือหม่าเทียนพลันกล่าวขึ้น
“นับว่าวันนี้ลู่เซียงเซินได้แสดงเนื้อแท้ของเพลงกระบี่ให้พวกเราได้ดูแล้ว” น้ำเสียงของท่านมั่นคงอย่างยิ่ง หนักแน่นอย่างยิ่ง
“ต่อไปนี้ มิว่าในมือของคู่ต่อสู้จะเป็นกระบี่ใด จะมาจากค่ายสำนักใด ท่านต้องมิอาจไปดูแคลนมันเด็ดขาด เนื่องเพราะแพ้ชนะมิได้อยู่ที่ตัวกระบี่ แต่อยู่ที่ตัวคน”
ผู้คนต่างก้มหน้ายอมรับอย่างมิมีข้อแม้ ซือหม่าเทียนจึงกล่าวสืบต่อ “พวกท่านตอนนี้นับว่าครึกครื้นสมใจแล้ว อากาศด้านนอกนี้ก็หนาว พวกเราไยมิเข้าไปดื่มสุรารับประทานอาหารกันให้หนำใจเล่า”
-----------------------------------------
อู๋หยางจงกำลังรับประทาน ปกติแล้วมันเป็นคนรับประทานมากอย่างยิ่ง และรับประทานช้าอย่างยิ่ง เนื่องจากมันต้องการซึมซาบรสชาดของอาหารทุกคำที่มันกินเข้าไป ดังนั้นมันจึงเคี้ยว เคี้ยว เคี้ยวและเคี้ยว เคี้ยวจนแน่ใจว่ามิมีรสชาติอะไรให้มันค้นหาอีกแล้ว จึงค่อยกลืนลงคอไป
ในสายตาของอู๋หยางจง อาหารคือสุนทรียศาสตร์แขนงหนึ่ง หากที่ใดมีคนครัวด้อยฝีมือ แม้เป็นจวนอ๋อง มันก็ยังตำหนิว่าเป็นสถานที่ไม่เจริญ โชคยังดีที่คนครัวของเทียนซั่งเฟยอิงผายมีฝีมืออยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ถูกอู๋หยางจงตำหนิเป็นสถานที่ไม่เจริญไป
“ตอนนี้ท่านรู้สึกขอบคุณข้าพเจ้าแล้วหรือไม่?” ลู่หยุนถามขึ้นมา ในมือของมันยังคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอยู่ มิทราบคีบอยู่นานเท่าไหร่แล้ว มิยอมรับประทานลงไปเสียที อู๋หยางจงเงยหน้าขึ้นมอง
“ขอบคุณท่านเรื่องใด?”
“หากมิได้ข้าพเจ้าชวนมา ท่านต้องมิได้มานั่งลิ้มรสเนื้อเป็ดเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ยังมินับรวมตะพาบน้ำ ปลิงทะเล หอยเป๋าฮื้อ อืม... ข้าพเจ้าเพิ่งนึกได้ว่าควรจดเอาไว้จะกล่าวได้ถูกต้องกว่า”
อู๋หยางจงถึงกับหยุดเคี้ยวอาหาร จ้องมองมันอยู่เป็นนาน แล้วกล่าว “ท่านเข้าใจ ข้าพเจ้ามิมีปัญหาสรรหาของกินเช่นนี้ได้?”
“มิใช่”
คาดมิถึง เรื่องนี้ถึงกับไปกระตุ้นโทสะของอู๋หยางจงได้ มันกล่าวต่ออีก “แล้วข้าพเจ้าต้องขอบคุณท่านเรื่องใด”
“เนื่องเพราะอาหารมื้อนี้ ท่านสามารถนั่งกินได้โดยมิต้องจ่ายเงินแม้แต่ตำลึงเดียว ข้าพเจ้าช่วยมิให้เงินทองของท่านรั่วไหล ยังมีที่ใดไม่น่าขอบคุณ”
อู๋หยางจงถลึงตาราวกับจะเอาให้หลุดออกมานอกเบ้า แล้วคีบเนื้อเป็ดขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง
“ลู่ตี๋ อ้าปาก”
“ไฉนท่านสั่งให้ข้าพเจ้าอ้าปาก”
“เนื่องจากข้าพเจ้าจะยัดเป็ดเข้าไปในปากของท่าน หากในปากของท่านมีเนื้อเป็ดอยู่เต็ม ท่านย่อมมิอาจกล่าววาจาได้ เมื่อท่านมิอาจกล่าววาจาได้ ข้าพเจ้าก็มิต้องหัวร่อจนสำลักตาย”
คล้ายดั่งกลัวอู๋หยางจงจะสำลักตายไปจริงๆ ลู่หยุนถึงกับอ้าปาก แล้วอู๋หยางจงก็รีบยัดเนื้อเป็ดใส่ปากมันทันที
-----------------------------------------
(จบตอน)
-
:L2: :pig4:
-
:pig4: :pig4:
-
:mew1: :mew1: :mew1:
-
ตกบ่วงคุณจูอีกแล้ว!
สนุกอะไรเยี่ยงนี้!
-
ไม่ค่อยคุ้นชินกับเรืองแนวนี้
แต่พออ่านดูก็พออ่านไปได้เลย
รู้เลยว่าคนเขียนเก่ง และมีความพยายาม
ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ
-
เหมยแดง
บทที่3 ไป๋ยู่เย้าเฉียว
“อวา”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับดวงตากลมโตที่เบิ่งกว้าง ซือหม่าเลี่ยงมิทราบย่องมาแต่เมื่อไร โผล่หน้าขึ้นมาจากขอบโต๊ะ จ้องมองลู่หยุนและอู๋หยางจง แล้วกล่าว
“ข้าพเจ้าเพิ่งเคยเห็นบุรุษป้อนอาหารบุรุษด้วยกัน”
อู๋หยางจงแทบจะพ่นอาหารที่กลืนลงไปแล้วออกมา ขณะที่ลู่หยุนยังคงเคี้ยวเป็ดตุ้ยๆ เมื่อกลืนแล้วจึงกล่าว
“เส้าเหยี่ยท่านอิจฉากระมัง?”
ซือหม่าเลี่ยงมองมันดั่งเห็นตัวประหลาด “หากที่ป้อนท่านเป็นบุรุษรูปงามร่างระหงส์ มิแน่ข้าพเจ้าอาจอิจฉา แต่กับบุรุษอ้วนใหญ่เช่นนี้ ข้าพเจ้ากลับมิมีปัญญาไปอิจฉาท่านได้”
ลู่หยุนหัวร่อออกมา ขณะที่อู๋หยางจงนึกสาปแช่งให้มันสำลักอาหารบ้าง
“เรื่องอ้วนใหญ่ท่านมิอาจตำหนิมัน” ลู่หยุนกล่าวออกมา “ทราบหรือไม่ กว่าที่มันจะอ้วนใหญ่ได้เช่นนี้ มิทราบสูญเสียเงินทองไปกี่หมื่นตำลึง”
“ไฮ้! ที่ท่านอ้วนใหญ่ถึงเพียงนี้ หรือเพราะท่านบรรจุแท่งทองลงไปในพุงของท่าน ดังนั้นผู้คนจึงเรียกท่านว่าจินก้วน”
หากซือหม่าเลี่ยงเป็นน้องชายของมัน อู๋หยางแน่ใจว่าต้องเตะมันให้ได้สักหนึ่งฉาด แต่เผอิญมันเป็นบุตรของซือหม่าเทียน และอู๋หยางจงมิปรารถนาจะทำร้ายบุตรของผู้เหย้า ดังนั้นมันจึงได้แต่แยกเขี้ยว
“ข้าพเจ้าเป็นคน คนต้องมิอาจกินเงินกินทองเข้าไปจริงๆ ได้” หยุดเว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิ “ท่านผอมเยี่ยงนี้ย่อมไม่เข้าใจคุณค่าในเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องทุ่มเทเวลาหลายปี เสาะหาอาหารหลากหลาย เฟ้นหาที่นอนที่ดี เพื่อที่จะขุนตัวเองให้อ้วนได้เช่นนี้ ดังนั้นพุงของข้าพเจ้าจึงถือเป็นของล้ำค่าได้มายากประการหนึ่ง”
ซือหม่าเลี่ยงมองมัน พลางสั่นศีรษะ “โชคยังดี ข้าพเจ้ามิต้องการเลียนเยี่ยงท่าน”
“ในโลกนี้ บุคคลที่สามารถอ้วนเลียนเยี่ยงอู๋เกอของข้าพเจ้ามีไม่มากแน่นอน” ลู่หยุนว่า พลางกล่าวสืบต่อ “ว่าแต่เส้าเหยี่ยท่านมาด้วยเรื่องอันใด?”
“ย่อมต้องมาคารวะพวกท่านคนละจอก” ซือหม่าเลี่ยงว่า “พวกท่านมิต้องเรียกข้าพเจ้าว่าเส้าเหยี่ย สมควรเรียกข้าพเจ้าเป็นเสี่ยวเลี่ยง”
“ท่านยินยอมให้พวกเราเรียกท่านเสี่ยวเลี่ยง?”
“อืม... ในเมื่อพวกท่านเป็นสหายของเตียเตีย ข้าพเจ้าจะถือว่าเป็นสหายของข้าพเจ้าด้วย บอกกับพวกท่าน ข้าพเจ้ามีสหายไม่มาก ดังนั้นพวกท่านจึงเป็นบุคคลพิเศษอย่างยิ่ง”
อู๋หยางจงรู้สึกปวดฟันเป็นพิเศษ ใคร่อยากจะกัดใครสักคน “ข้าพเจ้าแนะนำ หากท่านกล่าววาจาให้น้อยลงกว่านี้สักสองคำ สหายของท่านจะมีมากขึ้น”
“ตอนนี้ข้าพเจ้ายังไม่ต้องการมีสหายเพิ่ม เป็นพวกท่านสองคนก่อน”
ลู่หยุนหันไปถามอู๋หยางจง
“อู๋เกอ ตอนนี้ตะเกียบของท่านว่างอยู่หรือไม่?”
“ย่อมว่าง”
“ท่านยังต้องการยัดเป็ดเข้าไปในปากคนหรือไม่”
“ต้องการ”
ลู่หยุนหันมามองซือหม่าเลี่ยง “ท่านได้ยินแล้ว?”
“ได้ยินกระไร”
“อู๋ต้าหนินต้องการยัดเป็ดเข้าปากท่าน ไฉนยังไม่อ้าปาก”
“เหตุใดข้าพเจ้าต้องอ้าปากให้ท่านยัดเป็ดเข้าไป?”
“เนื่องเพราะหากในปากท่านมีเป็ดอยู่เต็ม ท่านก็มิสามารถกล่าววาจาได้แล้ว” ลู่หยุนถึงกับเลียนแบบคำพูดของอู๋หยางจงทุกคำโดยไม่ผิดเพี้ยน ซือหม่าเลี่ยงจ้องมองพวกมัน แล้วหัวเราะออกมา
“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ไฉนเมื่อครู่พวกท่านป้อนเป็ดให้กัน”
“ในเมื่อท่านเข้าใจแล้ว ท่านก็อ้าปาก”
ซือหม่าเลี่ยงถึงกับอ้าปากจริงๆ และอู๋หยางจงก็คีบเป็ดยัดเข้าไปในปากของมันจริงๆ ลู่หยุนกล่าวขึ้น
“เช่นนี้จึงยอดเยี่ยม ดูท่าอู๋เกอท่านมีความสามารถในการยัดเป็ดใส่ปากผู้อื่นอย่างสาหัสทีเดียว”
“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงควรยัดเป็ดเข้าปากตัวเองบ้าง มิเช่นนั้นเป็ดจะชืดไป”
“ถูกต้องของท่าน”
อู๋หยางจงจึงกินอาหารของมันต่อ ซือหม่าเลี่ยงกลืนเนื้อเป็ดลงคอ แล้วกล่าว “ท่านกินได้น่าสนใจอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามีความสนในต้องการดูท่านกิน”
อู๋หยางจงพลันวางตะเกียบ “ท่านยังต้องการกินเป็ดอีกคำ?”
ซือหม่าเลี่ยงพลันสั่นศีรษะ “มิต้องการ ข้าพเจ้าเพียงมีวาจาต้องกล่าวกับพวกท่านทั้งสอง”
“เชิญกล่าว”
“เตียเตียเชิญพวกท่านให้พักค้างคืนนี้ มิทราบพวกท่านสะดวกหรือไม่?”
อู๋หยางจงแค่นเสียง “หมิงซิ่งลู่โหลวของข้าพเจ้ามิได้ตั้งอยู่ห่างไกล ยังไม่ต้องรบกวนเตียเตียของท่าน ที่สำคัญ ไฉนเตียเตียของท่านจึงไม่มาเชิญด้วยตัวเอง”
“เรื่องนี้เตียเตียได้ฝากขอโทษไว้” ซือหม่าเลี่ยงมีสีหน้าจริงจัง “เนื่องจากการเชิญพวกท่านค้างคืนที่นี่ มิใช่การเชิญปกติ เตียเตียมิต้องการให้ผู้อื่นทราบ จึงใช้ข้าพเจ้ามากระทำแทน”
“....”
“หากอู๋ต้าหนินมิต้องการพักค้างก็ไม่เป็นไร แต่ลู่เซียงเซิน เตียเตียฝากข้าพเจ้ามาวิงวอนท่าน ให้พักค้างที่นี่สักคืน”
ลู่หยุนนิ่งไปอึดใจ ในที่สุดก็ยอมพยักหน้า
---------------------------------------
วิกาลกรายมาแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท หิมะยังคงตกบางเบา รถม้าคันสุดท้ายแล่นออกจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย
อู๋หยางจงกลับไปแล้ว เนื่องเพราะมันไม่ต้องการค้างคืนที่นี่ ก่อนกลับมันยังบังคับให้ลู่หยุนรับปาก คืนพรุ่งนี้ต้องไปค้างที่หมิงซิ่นลู่โหลวของมัน แน่นอนลู่หยุนต้องรับปาก
อันที่จริงมันมีวาจาต้องการกล่าวกับอู๋หยางจง ทว่ามันยังคงต้องอยู่ที่เทียนซั่งเฟยอิงผายนี้ก่อน เพราะผู้คนที่นี่ ก็คล้ายมีวาจาต้องการกล่าวกับมันอยู่เช่นกัน
โคมถูกจุดขึ้นแล้ว ตลอดทั่วทั้งเทียนซั่งเฟยอิงผายมีโคมอยู่มากมาย ดังนั้นแม้ยามวิกาลก็ยังสว่างไสวคล้ายกลางวัน
ทว่าเมื่องานเลี้ยงเลิกรา บรรยากาศก็คล้ายเงียบกว่าปกติ
ห้องโถงใหญ่ไร้ผู้คนแล้ว โคมด้านในถูกดับ
แต่ห้องเล็กซึ่งอยู่บนหอสูงที่ตั้งอยู่เกือบในสุดของเทียนซั่งเฟยอิงผาย กลับมีแสงโคมสว่างไสวขึ้น
ภายในห้องนั้นมีเครื่องใช้มิมาก มีเพียงโต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้สี่ตัว และโคมอีกสองดวง ดวงหนึ่งแขวนไว้ในห้อง อีกดวงแขวนไว้ที่หน้าต่างซึ่งมีอยู่บานเดียว
ตอนนี้หน้าต่างปิดอยู่ ผู้ที่อยู่ด้านนอกจึงไม่สามารถเห็นว่าผู้ใดอยู่ภายในห้องน้อยบนหอนั้น หนำซ้ำแสงโคมที่จุดอยู่เหนือหน้าต่าง ยังทำให้เงาที่พาดอยู่พร่าเลือนลง
ห้องนี้เป็นห้องพิเศษของเทียนซั่งเฟยอิงผาย ยามที่โคมในห้องถูกจุดขึ้น หมายความว่าเทียนซั่งเฟยอิงผายกำลังประชุมเรื่องสำคัญ เรื่องที่เป็นความลับอย่างยิ่งยวด
บนโต๊ะไม่มีน้ำชา ไม่มีจอกสุรา แต่มีห่อผ้าสีดำห่อหนึ่งวางอยู่
ห่อผ้าสีดำบนโต๊ะไม้สีแดง
บนเก้าอี้รอบโต๊ะไม้สีแดงตัวนั้น มีบุรุษสี่คนนั่งอยู่
ผู้หนึ่งคือซือหม่าเทียน อีกสองคนคือบุตรชายคนโตและคนเล็กของมัน
ลู่หยุนเป็นคนที่สี่
ทุกคนต่างจ้องมองห่อผ้าสีดำห่อนั้น
ของที่อยู่ภายในห่อผ้าสีดำ ย่อมมิใช่ของเป็นมงคล
ภายในห่อผ้าเป็นของใด
ในที่สุดซือหม่าเทียนก็กล่าวทำลายความเงียบขึ้น “ที่เราเชิญลู่เซียงเซินขึ้นมาที่นี่ ก็เนื่องเพราะของสิ่งนี้”
ท่านยื่นมือไปแกะห่อผ้าออก ด้านในเป็นกล่องไม้ที่ทาสีดำสนิทกล่องหนึ่ง เมื่อเคลื่อนฝากล่องออก จึงเห็นป้ายหยกสำหรับใช้ห้อยที่หว่างเอวชิ้นหนึ่งวางอยู่
ป้ายหยกสีขาว ขาวราวกระดูก ไหมที่ใช้ร้อยเป็นสีแดงฉาน แดงปานโลหิต
ป้ายหยกสีขาว ไหมร้อยสีแดง กล่องใส่สีดำ สามสิ่งนี้เมื่ออยู่รวมกันคล้ายก่อให้เกิดอาถรรพ์บางประการ ซือหม่าเลี่ยงขยับตัวอย่างอึดอัด แต่มิได้ส่งเสียงใดออกมา
ซือหม่าเทียนเลื่อนกล่องสีดำใบนั้นไปตรงหน้าลู่หยุน ลู่หยุนเลื่อนมือออกไป หยิบป้ายหยกในกล่องนั้นขึ้นมาดู
ตรงกลางป้ายสลักอักษร ‘เป่า’* (อักษรมงคลของจีน มีความหมายว่า ‘ของล้ำค่า’)
ลู่หยุนพลิกดูป้ายหยกอันนั้น พลันถอนหายใจ
“ไป๋ยู่เย้าเฉียว* (ประกาศิตหยกขาว) ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับของชิ้นนี้มามาก นับว่าในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้ว”
หยุดเว้นระยะเล็กน้อย จึงกล่าวสืบต่อ “ป้ายนี้ถูกส่งมาที่นี่เมื่อสามวันก่อน?”
ซือหม่าเทียนพยักหน้า “ท่านทราบ?”
“เป็นบุตรน้อยของท่านบอกแก่ข้าพเจ้า มันบอกเมื่อสามวันก่อนมีเรื่องประหลาด ข้าพเจ้าคาดเดาต้องเป็นเรื่องนี้”
ซือหม่าเทียนหันไปมองบุตรคนเล็กของมันที่เอาแต่ก้มหน้างุด ก่อนจะถอนหายใจ
“มันถูกส่งมาได้อย่างประหลาดจริงๆ”
“เป็นผู้ใดนำมาส่ง?”
“ศิษย์เทียนซั่งเฟยอิงผู้หนึ่ง” ซือหม่าเทียนว่า “แม้เรามีนโยบายฝึกฝนศิษย์อย่างเข้มงวด แต่นอกเวลาฝึก มิว่าผู้ใดก็สามารถออกไปด้านนอกได้ ดังนั้น เราจึงมิทราบมันไปได้ป้ายหยกนี้มาอย่างไร”
“มันมิยอมบอก?”
ซือหม่าเทียนสั่นศีรษะ ดวงตาเป็นประกายพรั่นพรึง “มันกลับมิอาจบอกได้ เนื่องจากตอนที่มันเข้ามา มันกลับกลายเป็นคนคลุ้มคลั่ง ร้องคำ ‘ไป๋ยู่เย้าเฉียว’ ตลอดเวลา ห่อผ้าสีดำนี้ มิใช่มันถือมา แต่เป็นถูกเย็บติดกับหลังมันมา”
ลู่หยุนนิ่งอึ้ง มันนึกสภาพคนผู้หนึ่งถูกเย็บสิ่งของติดบนหลัง ย่อมมิใช่เรื่องน่ายินดีแน่นอน
“เรามิอาจสอบถามความใดจากมันได้ จึงได้แต่สกัดจุดให้มันสลบไป แล้วแกะห่อผ้านี้ออกมา”
“ตอนนี้ศิษย์ผู้นั้นของท่านเป็นอย่างไร”
“ยังคงสลบอยู่ เนื่องเพราะมันถูกประทุษด้วยวิชาดัชนีที่ร้ายกาจ หากไม่ได้รับการคลายจุดอย่างถูกวิธี มันมีแต่จะต้องคลุ้มคลั่งจนตายไป ดังนั้น เราจึงต้องให้มันสลบไปก่อน”
“อืม...” ลู่หยุนส่งเสียงในคอ “เป็นดัชนีขยี้เดือนสยบดารา ของกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่* (นางมารผลาญวิญญาณ) ใช่หรือไม่?”
“ท่านทราบ?”
ลู่หยุนพยักหน้า “นางเป็นภรรยาของยู่เหลียนเทียนสื่อ* (ทูตสวรรรค์หน้าหยก) ตอนที่มันตาย นางเพิ่งคลอดบุตรชายให้มันหนึ่งคน ดังนั้นบุตรของนางก็ต้องได้รับการถ่ายทอดฝีมือจากนาง”
“อืม...”
ซือหม่าเลี่ยงที่นิ่งฟังอยู่นาน โพล่งออกมา “ยู่เหลียนเทียนสื่อเป็นผู้ใด? กุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่เป็นผู้ใด? ไหนบุตรของพวกมันจึงต้องลงมือเหี้ยมโหดกับโฉวเกอด้วย”
ลู่หยุนหันไปมองซือหม่าเทียน “ท่านยังมิได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มันทราบ?”
ซือหม่าเทียนพยักหน้า “สามวันที่ผ่านมา เรากำลังใคร่ครวญว่าสมควรจะบอกกล่าวเรื่องราวนี้กับพวกมันอย่างไรดี ท่านย่อมทราบ สำหรับเรื่องนี้ เรามีความลำบากใจเป็นอย่างยิ่งเสมอมา”
ลู่หยุนพยักหน้า “ข้าพเจ้าทราบความลำบากใจของท่าน ดังนั้น ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องแทนท่านหรือไม่?”
“ต้องรบกวนท่านจริงๆ” ซือหม่าเทียนกล่าว “หากเป็นท่านเล่า เรามิมีข้อใดต้องปฏิเสธ เนื่องเพราะเรื่องที่ท่านเล่า ต้องเป็นเรื่องที่ยุติธรรมมากกว่าเราเล่าเองเป็นแน่”
ซือหม่าซานกับซือหม่าเลี่ยงต่างมีความสงสัยอยู่ในใบหน้า พวกมันมิทราบว่าป้ายหยกนี้มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ไฉนจึงดูเร้นลับขนาดนี้ กระทั่งบิดาของมันยังมิกล้าปริปากเล่าเอง
ลู่หยุนกวาดสายตามองสองพี่น้อง พลางกล่าว “ท่านทั้งสอง มิว่าเรื่องราวใดที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าต่อไป ขอให้ท่านทราบไว้อย่างหนึ่ง เตียเตียของท่านเป็นบุคคลที่น่าเคารพเสมอมา”
ทั้งสองคนพยักหน้า ลู่หยุนจึงกล่าวสืบต่อ “เมื่อสิบแปดปีก่อน ยุทธภพปรากฏจอมขโมยผู้หนึ่ง ผู้คนเรียกมันเป็น ยู่เหลียนเทียนสื่อ ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นี้ แม้มีอาชีพเป็นขโมย แต่ก็เป็นขโมยที่ประหลาดอย่างยิ่ง ก่อนที่มันจะไปขโมยของผู้ใด มันจะทิ้งป้ายหยกขาวเอาไว้ จากนั้นเมื่อขโมยของแล้ว มันจะนำป้ายหยกกลับไปด้วย ผู้คนจึงเรียกป้ายหยกนี่ว่า ไป๋ยู่เย้าเฉียว
เจ้าทุกข์ที่ถูกมันขโมยมิเคยแจ้งความต่อกรมเมือง มิเคยร้องทุกข์หรือเคียดแค้นมัน เนื่องเพราะเมื่อมันต้องการขโมยสิ่งใด ย่อมต้องหาสิ่งที่มีคุณค่าทัดเทียมกันไปวางไว้แทน เป็นสิ่งที่แม้ท่านใช้สมบัติที่มันขโมยไปแลกมา ยังมิสามารถแลกได้”
“เป็นของสิ่งใด?”
“เป็นศีรษะศัตรูของท่าน”
สีหน้าของซือหม่าสองพี่น้องแปรเปลี่ยนไปทันที
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าทุกข์จึงมิเดือดร้อนกับของที่เสียไป หรือต่อให้เดือดร้อน ก็มิกล้าค้นหาตัวมันมาชำระความ เนื่องเพราะหากมันสามารถขโมยศีรษะของศัตรูท่านได้ ย่อมต้องขโมยศีรษะของท่านได้ด้วยเช่นกัน”
-
ซือหม่าซานส่งเสียงขึ้นมา “มันมิใช่หัวขโมยธรรมดาจริงๆ”
“ดังนั้นมันจึงเป็นจอมขโมย ที่ขโมยอย่างยุติธรรมยิ่ง สำหรับข้าพเจ้า การขโมยของมันถือเป็นการค้าอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นการค้าที่มิทราบผู้ใดเป็นผู้ค้า และผู้ใดจะกลายเป็นสินค้า”
หยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วจึงถอนหายใจยาว “ทว่า แม้ยู่เหลียนเทียนสื่อจะมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ มีมือที่เบาและคมอย่างยิ่ง และมีการค้าที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง แต่มีครั้งหนึ่งที่มันกระทำเรื่องใหญ่เกินไป เป็นชนวนเหตุให้มีเภทภัยถึงตัว”
สองพี่น้องต่างนิ่งฟังจนตาค้าง ส่วนซือหม่าเทียนผู้เป็นบิดา มีสีหน้าหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องนี้ถือเป็นความลับอย่างยิ่งยวด ในโลกนี้มีผู้ทราบเพียงไม่กี่คน ครานั้นยู่เหลียนเทียนสื่อต้องการขโมยของบางอย่างจากท้องพระคลัง ดังนั้นมันจึงทิ้งป้ายหยกไว้ แล้วนำศีรษะคนผู้หนึ่งไปแลก มันสามรถขโมยได้สำเร็จ แต่ศีรษะที่มันใช้แลกกลับมีราคาสูงเกินไป สูงจนมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“หรือที่มันแลกไปเป็นศีรษะของเชื้อพระวงศ์?” ซือหม่าเลี่ยงโพล่งขึ้น มันมีความรู้สึก ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นี้เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ลู่หยุนสั่นศีรษะ “หากเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เป็นศัตรูกับหวงตี้* (ฮ่องเต้ในภาษาฮกเกี้ยน) เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา”
“หรือมันตัดศีรษะผิดคน”
“ก็มิผิด มันมิเคยตัดศีรษะคนไปแลกผิดเลย”
“เช่นนั้น ไฉนมันจึงต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“เนื่องเพราะศีรษะที่มันตัดไป เป็นศีรษะของแม่ทัพซีเซี่ย ศีรษะที่หวงตี้ต้องการอยู่นาน แต่ด้วยความสัมพันธ์ทางการเมือง จึงมิอาจล่วงเกินศีรษะแม่ทัพผู้นั้นได้”
“แต่ยู่เหลียนเทียนสื่อกลับไปตัดมา”
“ถูกต้อง” ลู่หยุนพยักหน้า “ทางราชสำนักมิต้องการให้เป็นเรื่องราวบาดหมางใหญ่โต จึงต้องการนำศีรษะยู่เหลียนเทียนสื่อไปคืนเป็นของแลกเปลี่ยน แต่เนื่องจากยู่เหลียนเทียนสื่อไปมาไร้ร่องรอย จึงเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะค้นหา ราชสำนักจึงส่งคนมาหารือกับเหล่าชาวยุทธ์ คิดหาทางวางแผนลวงมันมาตัดศีรษะ ในหมู่พวกเรามีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดก็มีผู้หนึ่งอาสา คนผู้นั้นคือเตียเตียของพวกท่าน”
ลมหายใจของซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงขาดห้วงด้วยความตระหนก พวกมันทั้งสองหันไปมองบิดา ซือหม่าเทียนผงกศีรษะ
“เป็นเราอาสาจริงๆ”
“ที่บิดาของพวกท่านอาสา เพราะมิต้องการให้เกิดการนองเลือดจากสงคราม ดังนั้น จึงยินยอมใช้หนึ่งชีวิต แลกสันติสุข ประการนี้แม้ซือฟูของข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่เคยตำหนิเลย เนื่องเพราะที่ท่านทำลงไป ก็ด้วยต้องการช่วยเหลือแผ่นดินทั้งสิ้น”
ใบหน้าของซือหม่าเทียนปรากฏแววสะทกสะท้อน “แม้กระนั้น เราก็ยังรู้สึกผิดอยู่ตลอด เราทราบว่าการกระทำเยี่ยงนั้นมิใช่การกระทำของวิญญูชนเลย เราวางแผนลวงมันมาสังหาร มันก็มา มันมาทั้งที่รู้ว่าเป็นแผนลวง เรา...”
“ให้ข้าพเจ้าเล่าแทนเถิด” ลู่หยุนว่า “วันนั้นเป็นปลายฤดูตงเทียน หิมะหยุดตกแล้ว ดอกเหมยกำลังบานสะพรั่ง ยู่เหลียนเทียนสื่อมาตามจดหมายลวงที่พวกท่านปลอมขึ้น ในสถานที่ที่พวกท่านกำหนด เมื่อมันมาถึง แผนทุกอย่างถูกเตรียมไว้จนรัดกุมแล้ว ซ่อนอยู่ทุกจุด หากมันต้องการหนี แม้มีสามเศียรหกกรก็ยากจะเอาชีวิตรอดได้”
“ถูกต้องแล้ว” ซือหม่าเทียนกล่าวขึ้นอีก “ตอนที่มันมาถึง เราจึงเพิ่งทราบ บนโลกนี้ยังมีบุรุษที่องอาจผึ่งผายถึงเพียงนี้ ท่าทางของมันมิคล้ายขโมยแม้แต่น้อย กลับเป็นผู้เหี้ยมหาญผู้หนึ่ง มันสวมเสื้อยาวสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของมันซีดขาว ทว่ามันยังสามารถมีรอยยิ้มได้”
ดวงตาของท่านมองลึกลงไปในอดีต “เรายังจำน้ำเสียงของมันได้ น้ำเสียงของมันนุ่มนวลน่าฟัง มันประสานมือคารวะเราหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงกล่าว
‘ข้าพเจ้าทราบแผนของพวกท่านดี ข้าพเจ้าทราบ ที่พวกท่านทำดังนี้ มีเหตุผลสำคัญยิ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมา หากข้าพเจ้าตายที่นี่จะไม่ตำหนิตัดพ้อเลย เพียงรู้สึกเสียดายอยู่บ้างเล็กน้อย...’
ตอนนั้นเรายังคิดว่ามันรู้สึกเสียดายชีวิตของตนเอง เสียดายที่มันขโมยของสูงค่าเกินไป แต่หลังจากที่สังหารมันแล้ว เราจึงทราบ ภรรยาของมันเพิ่งคลอดบุตร มันเพิ่งมีโอกาสได้เห็นบุตรของมันเพียงวันเดียวเท่านั้น”
เสียงของท่านสั่นเครือ เรื่องราวในหนนั้นสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจของท่านอย่างมาก ท่านเก็บงำความรู้สึกนั้นมาสิบแปดปีเต็ม บัดนี้จึงได้เปิดเผยออกมา
“ข้าพเจ้าทราบว่าท่านรู้สึกสำนึกเสียใจต่อมันเสมอมา แต่การต่อสู้ในครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม ท่านกับยู่เหลียนเทียนสื่อต่อสู้กันที่นั่น มิมีผู้ใดสอดมือยุ่ง เป็นมันที่พ่ายแพ้ไปเอง”
“มันย่อมยอมแพ้ให้แก่เรา เนื่องเพราะมันทราบ ถึงแม้ชนะก็มิสามารถมีชีวิตกลับไปได้อีกแล้ว” กล่าวจบก็ถอนหายใจยืดยาว “การที่บุตรของมันจะกลับมาเพื่อแก้แค้นเรานั้น เป็นเรื่องที่เราคาดไว้แต่แรกแล้ว เรายินดีให้มันสะสางความแค้นนี้ แต่เรากลับมิอาจยอมให้มันทำร้ายผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องได้”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “ดังนั้น ท่านจึงประกาศชื่อข้าพเจ้าและซือฟูต่อหน้าทุกคน ท่านเกรงในบรรดาอาคันตุกะเหล่านั้น จะมีทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อแฝงอยู่”
“เจตนาของเราเพียงต้องการให้มันระมัดระวังตัวไม่ทำร้ายต่อผู้อื่นเท่านั้น” ซือหม่าเทียนถอนหายใจ “ที่กระทำลงไปหวังให้ท่านเข้าใจเราด้วย”
“ข้าพเจ้าทราบเจตนาของท่านแล้ว” ลู่หยุนว่า “แต่ยังมิทราบท่านตัดสินใจจัดการเรื่องราวต่อไปอย่างไร”
“ความจริงเราต้องการพบทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น เพื่อยุติเรื่องราวบาดหมางทั้งหมด เรายินดีมอบศีรษะให้มัน เพียงแต่ต้องไม่ใช่ในเทียนซั่งเฟยอิงแห่งนี้”
“ท่านต้องการนัดมันไปที่อื่น?”
“อืม... เรามิต้องการให้เกิดเรื่องในที่นี้ เนื่องเพราะหากมันบุกเข้ามา หลายผู้จะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเรา เราไม่ต้องการเช่นนั้น โชคยังดีที่ท่านเดินทางมา ดั่งซือฟูของท่านทราบว่าเรากำลังต้องการตัวท่านอย่างยิ่ง”
“ท่านต้องการหาตัวข้าพเจ้าเพื่อนัดทายาทผู้นั้น”
“ถูกต้อง”
“ท่านแน่ใจว่าข้าพเจ้าสามารถเสาะหามันพบ?”
“เนื่องเพราะท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟง หากมีเรื่องที่ท่านกระทำไม่ได้ ในโลกนี้ต้องมิมีผู้ใดกระทำได้อีกแล้ว”
ลู่หยุนพลันสั่นศีรษะ “วาจาที่ท่านกล่าว เกินจริงไปมาก ในโลกนี้ล้วนมีหลายเรื่องที่ข้าพเจ้ามิอาจกระทำได้ แต่เรื่องหาทายาทยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น ข้าพเจ้าสามารถกระทำได้”
ซือหม่าเทียนมีสีหน้ายินดี “เป็นอันว่าท่านรับปาก”
“ข้าพเจ้ารับปาก แต่มีเงื่อนไขอยู่”
“เชิญท่านว่า”
“ข้อแรก ข้าพเจ้าจะเป็นผู้กำหนดสถานที่นัดพบ ซึ่งสถานที่นั้นคือที่ที่ท่านกับยู่เหลียนเทียนสื่อเคยประมือกัน”
“เราตกลง”
“ข้อสอง วันเวลาข้าพเจ้าเป็นผู้กำหนด จะบอกแก่ท่านเมื่อข้าพเจ้าพบทายาทผู้นั้นแล้ว”
“อืม”
“ข้อที่สาม ท่านต้องต่อสู้กับมันอย่างเต็มฝีมือ ต้องห้ามอ่อนข้อให้มันเป็นอันขาด”
“ข้อนี้ท่านไม่สามารถตัดสินใจแทนเราได้” ซือหม่าเทียนว่า “เราจะลงมือหรือไม่ลงมือ เป็นสิทธิ์ของเรา”
“เช่นนั้นฟังข้าพเจ้าสักเล็กน้อย บุตรคิดล้างแค้นแทนบิดา ย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่บุตรที่สามารถล้างแค้นแทนบิดาได้ ต้องเป็นบุตรที่มีความสามารถ หากแม้ท่านยินยอมให้บุตรของมันสังหารท่านโดยไม่ต่อต้าน ไยมิใช่ดูถูกฝีมือของมันอย่างยิ่ง หากยู่เหลียนเทียนสื่อทราบ มันย่อมไม่ยินดีเป็นแน่”
ซือหม่าเทียนเงียบไปนาน ในที่สุดก็กล่าวขึ้น “ตกลง เราจะต่อสู้กับมันอย่างสุดฝีมือ ผลแพ้ชนะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่สวรรค์ลิขิต”
“เช่นนั้นข้าพเจ้าตกลงไปหามันให้ท่าน”
“ยังมีอีกเรื่องที่เราต้องขอร้องท่าน”
“เชิญกล่าว”
“หากแม้ทายาทผู้นั้นสามารถพิชิตเราลงได้ ท่านต้องรับปาก จะระงับมิให้ผู้ใดไปทำการแก้แค้นต่อมัน แม้กระทั่งบุตรสองคนนี้ของเรา”
“เตียเตีย” ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงร้องขึ้น “ท่านจะกระทำเช่นนี้มิได้”
“เราต้องกระทำเช่นนี้” ซือหม่าเทียนกล่าวเสียงหนักแน่น “หากพวกเจ้ายังเห็นเราเป็นบิดา ห้ามหาเรื่องล้างแค้นต่อบุตรของยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น เรื่องนี้เราเป็นผู้ก่อขึ้น ก็ย่อมต้องเป็นผู้ชดใช้ และเราไม่ปรารถนาต้องเห็นพวกเจ้าและบุตรของมันห้ำหั่นกันต่อไป เนื่องเพราะระหว่างเรากับยู่เหลียนเทียนสื่อ ที่จริงแล้วมิได้มีความแค้นใดต่อกันเลย”
“เตียเตีย...” บุตรทั้งสองมองบิดาของมัน “พวกข้าพเจ้า...”
“เราต้องการให้พวกเจ้ารับปาก รับปากจะไม่ล้างแค้นแทนเรา รับปากจะไม่ละเมิดคำสั่งของเรา พวกเจ้าสามารถรับปากได้หรือไม่”
ทั้งสองเงียบไปเป็นนาน ในที่สุดซือหม่าซานจึงกล่าวขึ้น “หากพวกเราไม่รับปาก เตียเตียท่านก็ยังคงต้องไปเสี่ยงชีวิตกับมัน...”
“ถูกต้อง”
ดวงตาของซือหม่าเลี่ยงเปลี่ยนเป็นสีแดง “อย่างไรท่านก็ต้องไปอยู่แล้ว เหตุใดพวกเราจึงต้องรับปาก”
ซือหม่าเทียนพลันถอนหายใจ ยกมือลูบศีรษะบุตรคนเล็กของท่าน “เนื่องเพราะพวกเจ้าเป็นบุตรของเรา เราปรารถนาเห็นพวกเจ้าเติบโตสร้างชื่อเสียงเป็นของตัวเอง มิใช่ต้องจมปลักอยู่กับความแค้นที่พวกเจ้ามิใช่ผู้ก่อขึ้น หากพวกเจ้ามิรับปาก เมื่อเราตายไป วิญญาณของเราต้องไม่สงบแน่ พวกเจ้าต้องการเช่นนั้น?”
ทั้งสองพลันสั่นศีรษะ
“ดังนั้น เตียเตียวิงวอนให้พวกเจ้ารับปากจะไม่ล้างแค้น”
สองพี่น้องนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดซือหม่าซานก็กล่าวขึ้น “ข้าพเจ้ารับปากท่าน”
ดวงตาของมันมีน้ำเอ่อคลอ แน่นอนต้องมีความพลุ่งพล่านอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ดวงตาของซือหม่าเลี่ยงมีน้ำตาไหลหยดออกมาแล้ว
“ข้าพเจ้ามิต้องการเป็นบุตรอกตัญญู ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้ารับปากท่าน แต่... แต่ข้าพเจ้ามิแน่ใจ จะสามารถรักษาสัญญาได้หรือไม่”
น้ำตาของซือหม่าเทียนหยดลงแล้ว กล่าวเสียงเครือ “เลี่ยงเอ๋อร์ ขอเพียงเจ้าเข้มแข็ง เจ้าต้องสามารถรักษาสัญญาได้ และเมื่อเจ้ารักษาสัญญานี้ต่อเตียเตียได้ เจ้าจะกลายเป็นผู้เข้มแข็งที่เตียเตียภูมิใจ”
ลู่หยุนทราบว่าเรื่องนี้มิมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับตนอีกแล้ว จึงปลีกตัวออกจากห้องไปเงียบๆ
--------------------------------------
เทียนซั่งเฟยอิงผายมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ลู่หยุนออกมาเดินรับลมเย็นเบื้องนอก พลันพบศิษย์ผู้หนึ่ง จึงเดินเข้าไปถาม
“ท่านมีนามใด?”
“ข้าพเจ้านามหวังเหยา ลู่เซียงเซินมีเรื่องใด”
“เมื่อสามวันก่อน มีศิษย์ร่วมสำนักของท่านผู้หนึ่งมีอาการประหลาดใช่หรือไม่?”
หวังเหยาพยักหน้า ลู่หยุนจึงกล่าวสืบต่อ “มันอยู่ที่ใด พาข้าพเจ้าไป”
เนื่องเพราะเป็นอาคันตุกะพิเศษ ดังนั้นหวังเหยาจึงมิถามความสืบต่อ มันถือโคมเดินนำลู่หยุนไปยังห้องพักเล็กๆ ในตึกที่อยู่ห่างไปไม่มากนัก
“เส้าชง ท่านตื่นอยู่หรือไม่” หวังเหยาส่งเสียงเรียกพลางเคาะประตู ไม่นานนักประตูก็เปิดออก
“มีเรื่องอันใด”
“ท่านผู้นี้คือลู่เซียงเซิน เป็นอาคันตุกะพิเศษของซือฟู ท่านต้องการดูอาการของโฉวหลวน”
เส้าชงรีบกล่าวขึ้นทันที “ที่แท้เป็นลู่เซียงเซิน ข้าพเจ้ามิได้ออกไปงานเลี้ยงของซือฟู จึงมิทราบเป็นท่าน”
กล่าวจบก็รีบเชิญทั้งสองให้เข้าไปภายในทันที
ห้องนั้นตกแต่งเรียบง่าย แต่สะดวกสบาย มีโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงนอนที่แข็งแรง บนเตียงมีบุรุษผู้หนึ่งนอนอยู่ ใบหน้าของมันซีดขาวราวกระดาษ ลู่หยุนพลันเลิกผ้าห่มออก และเลิกอกเสื้อของมันออก รอยจ้ำสีแดงคล้ายดอกเหมยห้าจุดปรากฏอยู่บนร่าง เมื่อลองจับชีพจรดู ก็พบว่าเต้นอ่อนจนน่ากลัว
“มันเป็นอย่างไรบ้าง” เส้าชงถามขึ้นมา “ซือฟูให้ข้าพเจ้าเฝ้ามันเอาไว้ หากตื่นมาอาการกำเริบให้จี้จุดหลับ แต่มันยังมิฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
“มันย่อมไม่ฟื้น เนื่องเพราะอวัยวะภายในของมัน ถูกกำลังภายในขุมหนึ่งสกัดการทำงานเอาไว้ หากปล่อยนานไป มันต้องตายอย่างแน่นอน”
“ซือฟูบอกว่า มันถูกวิชาดัชนีประทุษที่ร้ายกาจแขนงหนึ่ง ไม่สามารถคลายจุดด้วยวิธีธรรมดาได้”
“อืม... วิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา มิใช่วิชาสกัดจุดที่สามารถแก้ได้ง่ายจริงๆ” ลู่หยุนกล่าว ก่อนจะหันไปหาหวังเหยา
“ที่นี่มีอ่างอาบน้ำหรือไม่?”
“มีอยู่ที่ชั้นสอง”
“ท่านไปนำลงมา แล้วเตรียมน้ำร้อนใส่ไว้ให้เต็ม”
“รับทราบ”
“ส่วนท่าน” มันหันไปหาเส้าชง “ช่วยข้าพเจ้าหามโฉวหลวนผู้นี้ออกไป”
“ท่านจะทำการรักษามัน?”
“อืม”
-----------------------------------
วิกาลเงียบสงัด บนท้องฟ้าไม่มีหิมะแล้ว แต่บนพื้นยังคงเต็มไปด้วยเกล็ดสีขาว ลู่หยุนและเส้าชงช่วยกันโกยหิมะใส่ร่างของโฉวหลวน
“วิธีนี้จะสามารถช่วยมันได้?”
เส้าชงถามอย่างไม่แน่ใจนัก ลู่หยุนคลี่ยิ้มตอบ “ต่อให้เราไม่โกยหิมะแช่มันจนแข็งตายไป ปล่อยไว้มันก็ย่อมตายอยู่ดี ดังนั้นท่านจึงไม่ควรสงสัย”
เส้าชงรีบหุบปาก และช่วยลู่หยุนโกยหิมะต่อไป
หลังจากพอกหิมะจนท่วมร่างแล้ว ลู่หยุนก็สั่งให้ขุดออก แล้วช่วยกันหามร่างของโฉวหลวนกลับเข้าไปในห้อง
ร่างของมันเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง
ในห้องมีอ่างอาบน้ำที่ใส่น้ำร้อนเอาไว้เต็ม ไอน้ำสีขาวลอยอ้อยอิ่ง
ลู่หยุนยื่นฝ่ามือลงไป ก่อนจะพยักหน้า “น้ำร้อนใช้ได้” จากนั้นก็หันไปสั่งให้เส้าชงและหวังเหยาช่วยกันยกร่างของโฉวหลวนใส่ลงในอ่างน้ำ
“พวกท่านต้องเริ่มใส่จากเท้าซ้ายของมันก่อน ช้าๆ มิต้องรีบ แล้วเอาเท้าขวาตามลงไป ทั้งหมดต้องไม่เร่งร้อน ท่านค่อยๆ เคลื่อนตัวมันลงไปทีละหนึ่งชุ่น”
นับเป็นการแบกคนใส่อ่างอาบน้ำที่ใช้เวลาเนิ่นนานจริงๆ แต่ในที่สุด ร่างของโฉวหลวนก็ลงไปในอ่างจนเหลือแต่ศีรษะที่ยังอยู่พ้นน้ำ
“ต่อไปเป็นหน้าที่ข้าพเจ้า” ลู่หยุนว่า แล้วเดินไปยังด้านหลัง กางนิ้วทั้งสิบออก จากนั้นจิกลงไปบนศีรษะของโฉวหลวนอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักหลังจากนั้น บนศีรษะของโฉวหลวนก็ปรากฏไอสีขาวลอยขึ้นมา พร้อมกันกับใบหน้าที่เริ่มมีสีเลือดฝาดปรากฏขึ้น
เส้าชงและหวังเหยามองดูด้วยความตื่นเต้น
รอจนไม่มีไอควันปรากฏขึ้นจากศีรษะอีก ลู่หยุนจึงสั่งให้ยกร่างของโฉวหลวนขึ้น ปรากฏว่ารอยจ้ำรูปดอกเหมยนั้นได้หายไปแล้ว ใบหน้าของลู่หยุนปรากฏรอยยิ้ม
“พวกท่านเช็ดตัวและใส่เสื้อให้มัน จากนั้นพรุ่งนี้เช้า ค่อยถามมันหิวหรือไม่ ให้ดีเตรียมข้าวต้มร้อนๆ ไว้ให้มันสักถ้วยหนึ่ง ข้าพเจ้าประกัน เมื่อมันตื่นขึ้นต้องหิวแทบตาย”
------------------------------------
(จบตอน)
-
o13 o13
-
เหมยแดง
บทที่3 ไป๋ยู่เย้าเฉียว
“อวา”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับดวงตากลมโตที่เบิ่งกว้าง ซือหม่าเลี่ยงมิทราบย่องมาแต่เมื่อไร โผล่หน้าขึ้นมาจากขอบโต๊ะ จ้องมองลู่หยุนและอู๋หยางจง แล้วกล่าว
“ข้าพเจ้าเพิ่งเคยเห็นบุรุษป้อนอาหารบุรุษด้วยกัน”
อู๋หยางจงแทบจะพ่นอาหารที่กลืนลงไปแล้วออกมา ขณะที่ลู่หยุนยังคงเคี้ยวเป็ดตุ้ยๆ เมื่อกลืนแล้วจึงกล่าว
“เส้าเหยี่ยท่านอิจฉากระมัง?”
ซือหม่าเลี่ยงมองมันดั่งเห็นตัวประหลาด “หากที่ป้อนท่านเป็นบุรุษรูปงามร่างระหงส์ มิแน่ข้าพเจ้าอาจอิจฉา แต่กับบุรุษอ้วนใหญ่เช่นนี้ ข้าพเจ้ากลับมิมีปัญญาไปอิจฉาท่านได้”
ลู่หยุนหัวร่อออกมา ขณะที่อู๋หยางจงนึกสาปแช่งให้มันสำลักอาหารบ้าง
“เรื่องอ้วนใหญ่ท่านมิอาจตำหนิมัน” ลู่หยุนกล่าวออกมา “ทราบหรือไม่ กว่าที่มันจะอ้วนใหญ่ได้เช่นนี้ มิทราบสูญเสียเงินทองไปกี่หมื่นตำลึง”
“ไฮ้! ที่ท่านอ้วนใหญ่ถึงเพียงนี้ หรือเพราะท่านบรรจุแท่งทองลงไปในพุงของท่าน ดังนั้นผู้คนจึงเรียกท่านว่าจินก้วน”
หากซือหม่าเลี่ยงเป็นน้องชายของมัน อู๋หยางแน่ใจว่าต้องเตะมันให้ได้สักหนึ่งฉาด แต่เผอิญมันเป็นบุตรของซือหม่าเทียน และอู๋หยางจงมิปรารถนาจะทำร้ายบุตรของผู้เหย้า ดังนั้นมันจึงได้แต่แยกเขี้ยว
“ข้าพเจ้าเป็นคน คนต้องมิอาจกินเงินกินทองเข้าไปจริงๆ ได้” หยุดเว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิ “ท่านผอมเยี่ยงนี้ย่อมไม่เข้าใจคุณค่าในเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องทุ่มเทเวลาหลายปี เสาะหาอาหารหลากหลาย เฟ้นหาที่นอนที่ดี เพื่อที่จะขุนตัวเองให้อ้วนได้เช่นนี้ ดังนั้นพุงของข้าพเจ้าจึงถือเป็นของล้ำค่าได้มายากประการหนึ่ง”
ซือหม่าเลี่ยงมองมัน พลางสั่นศีรษะ “โชคยังดี ข้าพเจ้ามิต้องการเลียนเยี่ยงท่าน”
“ในโลกนี้ บุคคลที่สามารถอ้วนเลียนเยี่ยงอู๋เกอของข้าพเจ้ามีไม่มากแน่นอน” ลู่หยุนว่า พลางกล่าวสืบต่อ “ว่าแต่เส้าเหยี่ยท่านมาด้วยเรื่องอันใด?”
“ย่อมต้องมาคารวะพวกท่านคนละจอก” ซือหม่าเลี่ยงว่า “พวกท่านมิต้องเรียกข้าพเจ้าว่าเส้าเหยี่ย สมควรเรียกข้าพเจ้าเป็นเสี่ยวเลี่ยง”
“ท่านยินยอมให้พวกเราเรียกท่านเสี่ยวเลี่ยง?”
“อืม... ในเมื่อพวกท่านเป็นสหายของเตียเตีย ข้าพเจ้าจะถือว่าเป็นสหายของข้าพเจ้าด้วย บอกกับพวกท่าน ข้าพเจ้ามีสหายไม่มาก ดังนั้นพวกท่านจึงเป็นบุคคลพิเศษอย่างยิ่ง”
อู๋หยางจงรู้สึกปวดฟันเป็นพิเศษ ใคร่อยากจะกัดใครสักคน “ข้าพเจ้าแนะนำ หากท่านกล่าววาจาให้น้อยลงกว่านี้สักสองคำ สหายของท่านจะมีมากขึ้น”
“ตอนนี้ข้าพเจ้ายังไม่ต้องการมีสหายเพิ่ม เป็นพวกท่านสองคนก่อน”
ลู่หยุนหันไปถามอู๋หยางจง
“อู๋เกอ ตอนนี้ตะเกียบของท่านว่างอยู่หรือไม่?”
“ย่อมว่าง”
“ท่านยังต้องการยัดเป็ดเข้าไปในปากคนหรือไม่”
“ต้องการ”
ลู่หยุนหันมามองซือหม่าเลี่ยง “ท่านได้ยินแล้ว?”
“ได้ยินกระไร”
“อู๋ต้าหนินต้องการยัดเป็ดเข้าปากท่าน ไฉนยังไม่อ้าปาก”
“เหตุใดข้าพเจ้าต้องอ้าปากให้ท่านยัดเป็ดเข้าไป?”
“เนื่องเพราะหากในปากท่านมีเป็ดอยู่เต็ม ท่านก็มิสามารถกล่าววาจาได้แล้ว” ลู่หยุนถึงกับเลียนแบบคำพูดของอู๋หยางจงทุกคำโดยไม่ผิดเพี้ยน ซือหม่าเลี่ยงจ้องมองพวกมัน แล้วหัวเราะออกมา
“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ไฉนเมื่อครู่พวกท่านป้อนเป็ดให้กัน”
“ในเมื่อท่านเข้าใจแล้ว ท่านก็อ้าปาก”
ซือหม่าเลี่ยงถึงกับอ้าปากจริงๆ และอู๋หยางจงก็คีบเป็ดยัดเข้าไปในปากของมันจริงๆ ลู่หยุนกล่าวขึ้น
“เช่นนี้จึงยอดเยี่ยม ดูท่าอู๋เกอท่านมีความสามารถในการยัดเป็ดใส่ปากผู้อื่นอย่างสาหัสทีเดียว”
“ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงควรยัดเป็ดเข้าปากตัวเองบ้าง มิเช่นนั้นเป็ดจะชืดไป”
“ถูกต้องของท่าน”
อู๋หยางจงจึงกินอาหารของมันต่อ ซือหม่าเลี่ยงกลืนเนื้อเป็ดลงคอ แล้วกล่าว “ท่านกินได้น่าสนใจอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ามีความสนในต้องการดูท่านกิน”
อู๋หยางจงพลันวางตะเกียบ “ท่านยังต้องการกินเป็ดอีกคำ?”
ซือหม่าเลี่ยงพลันสั่นศีรษะ “มิต้องการ ข้าพเจ้าเพียงมีวาจาต้องกล่าวกับพวกท่านทั้งสอง”
“เชิญกล่าว”
“เตียเตียเชิญพวกท่านให้พักค้างคืนนี้ มิทราบพวกท่านสะดวกหรือไม่?”
อู๋หยางจงแค่นเสียง “หมิงซิ่งลู่โหลวของข้าพเจ้ามิได้ตั้งอยู่ห่างไกล ยังไม่ต้องรบกวนเตียเตียของท่าน ที่สำคัญ ไฉนเตียเตียของท่านจึงไม่มาเชิญด้วยตัวเอง”
“เรื่องนี้เตียเตียได้ฝากขอโทษไว้” ซือหม่าเลี่ยงมีสีหน้าจริงจัง “เนื่องจากการเชิญพวกท่านค้างคืนที่นี่ มิใช่การเชิญปกติ เตียเตียมิต้องการให้ผู้อื่นทราบ จึงใช้ข้าพเจ้ามากระทำแทน”
“....”
“หากอู๋ต้าหนินมิต้องการพักค้างก็ไม่เป็นไร แต่ลู่เซียงเซิน เตียเตียฝากข้าพเจ้ามาวิงวอนท่าน ให้พักค้างที่นี่สักคืน”
ลู่หยุนนิ่งไปอึดใจ ในที่สุดก็ยอมพยักหน้า
---------------------------------------
วิกาลกรายมาแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท หิมะยังคงตกบางเบา รถม้าคันสุดท้ายแล่นออกจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย
อู๋หยางจงกลับไปแล้ว เนื่องเพราะมันไม่ต้องการค้างคืนที่นี่ ก่อนกลับมันยังบังคับให้ลู่หยุนรับปาก คืนพรุ่งนี้ต้องไปค้างที่หมิงซิ่นลู่โหลวของมัน แน่นอนลู่หยุนต้องรับปาก
อันที่จริงมันมีวาจาต้องการกล่าวกับอู๋หยางจง ทว่ามันยังคงต้องอยู่ที่เทียนซั่งเฟยอิงผายนี้ก่อน เพราะผู้คนที่นี่ ก็คล้ายมีวาจาต้องการกล่าวกับมันอยู่เช่นกัน
โคมถูกจุดขึ้นแล้ว ตลอดทั่วทั้งเทียนซั่งเฟยอิงผายมีโคมอยู่มากมาย ดังนั้นแม้ยามวิกาลก็ยังสว่างไสวคล้ายกลางวัน
ทว่าเมื่องานเลี้ยงเลิกรา บรรยากาศก็คล้ายเงียบกว่าปกติ
ห้องโถงใหญ่ไร้ผู้คนแล้ว โคมด้านในถูกดับ
แต่ห้องเล็กซึ่งอยู่บนหอสูงที่ตั้งอยู่เกือบในสุดของเทียนซั่งเฟยอิงผาย กลับมีแสงโคมสว่างไสวขึ้น
ภายในห้องนั้นมีเครื่องใช้มิมาก มีเพียงโต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้สี่ตัว และโคมอีกสองดวง ดวงหนึ่งแขวนไว้ในห้อง อีกดวงแขวนไว้ที่หน้าต่างซึ่งมีอยู่บานเดียว
ตอนนี้หน้าต่างปิดอยู่ ผู้ที่อยู่ด้านนอกจึงไม่สามารถเห็นว่าผู้ใดอยู่ภายในห้องน้อยบนหอนั้น หนำซ้ำแสงโคมที่จุดอยู่เหนือหน้าต่าง ยังทำให้เงาที่พาดอยู่พร่าเลือนลง
ห้องนี้เป็นห้องพิเศษของเทียนซั่งเฟยอิงผาย ยามที่โคมในห้องถูกจุดขึ้น หมายความว่าเทียนซั่งเฟยอิงผายกำลังประชุมเรื่องสำคัญ เรื่องที่เป็นความลับอย่างยิ่งยวด
บนโต๊ะไม่มีน้ำชา ไม่มีจอกสุรา แต่มีห่อผ้าสีดำห่อหนึ่งวางอยู่
ห่อผ้าสีดำบนโต๊ะไม้สีแดง
บนเก้าอี้รอบโต๊ะไม้สีแดงตัวนั้น มีบุรุษสี่คนนั่งอยู่
ผู้หนึ่งคือซือหม่าเทียน อีกสองคนคือบุตรชายคนโตและคนเล็กของมัน
ลู่หยุนเป็นคนที่สี่
ทุกคนต่างจ้องมองห่อผ้าสีดำห่อนั้น
ของที่อยู่ภายในห่อผ้าสีดำ ย่อมมิใช่ของเป็นมงคล
ภายในห่อผ้าเป็นของใด
ในที่สุดซือหม่าเทียนก็กล่าวทำลายความเงียบขึ้น “ที่เราเชิญลู่เซียงเซินขึ้นมาที่นี่ ก็เนื่องเพราะของสิ่งนี้”
ท่านยื่นมือไปแกะห่อผ้าออก ด้านในเป็นกล่องไม้ที่ทาสีดำสนิทกล่องหนึ่ง เมื่อเคลื่อนฝากล่องออก จึงเห็นป้ายหยกสำหรับใช้ห้อยที่หว่างเอวชิ้นหนึ่งวางอยู่
ป้ายหยกสีขาว ขาวราวกระดูก ไหมที่ใช้ร้อยเป็นสีแดงฉาน แดงปานโลหิต
ป้ายหยกสีขาว ไหมร้อยสีแดง กล่องใส่สีดำ สามสิ่งนี้เมื่ออยู่รวมกันคล้ายก่อให้เกิดอาถรรพ์บางประการ ซือหม่าเลี่ยงขยับตัวอย่างอึดอัด แต่มิได้ส่งเสียงใดออกมา
ซือหม่าเทียนเลื่อนกล่องสีดำใบนั้นไปตรงหน้าลู่หยุน ลู่หยุนเลื่อนมือออกไป หยิบป้ายหยกในกล่องนั้นขึ้นมาดู
ตรงกลางป้ายสลักอักษร ‘เป่า’ * (อักษรมงคลของจีน มีความหมายว่า ‘ของล้ำค่า’ )
ลู่หยุนพลิกดูป้ายหยกอันนั้น พลันถอนหายใจ
“ไป๋ยู่เย้าเฉียว* (ประกาศิตหยกขาว) ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับของชิ้นนี้มามาก นับว่าในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้ว”
หยุดเว้นระยะเล็กน้อย จึงกล่าวสืบต่อ “ป้ายนี้ถูกส่งมาที่นี่เมื่อสามวันก่อน?”
ซือหม่าเทียนพยักหน้า “ท่านทราบ?”
“เป็นบุตรน้อยของท่านบอกแก่ข้าพเจ้า มันบอกเมื่อสามวันก่อนมีเรื่องประหลาด ข้าพเจ้าคาดเดาต้องเป็นเรื่องนี้”
ซือหม่าเทียนหันไปมองบุตรคนเล็กของมันที่เอาแต่ก้มหน้างุด ก่อนจะถอนหายใจ
“มันถูกส่งมาได้อย่างประหลาดจริงๆ”
“เป็นผู้ใดนำมาส่ง?”
“ศิษย์เทียนซั่งเฟยอิงผู้หนึ่ง” ซือหม่าเทียนว่า “แม้เรามีนโยบายฝึกฝนศิษย์อย่างเข้มงวด แต่นอกเวลาฝึก มิว่าผู้ใดก็สามารถออกไปด้านนอกได้ ดังนั้น เราจึงมิทราบมันไปได้ป้ายหยกนี้มาอย่างไร”
“มันมิยอมบอก?”
ซือหม่าเทียนสั่นศีรษะ ดวงตาเป็นประกายพรั่นพรึง “มันกลับมิอาจบอกได้ เนื่องจากตอนที่มันเข้ามา มันกลับกลายเป็นคนคลุ้มคลั่ง ร้องคำ ‘ไป๋ยู่เย้าเฉียว’ ตลอดเวลา ห่อผ้าสีดำนี้ มิใช่มันถือมา แต่เป็นถูกเย็บติดกับหลังมันมา”
ลู่หยุนนิ่งอึ้ง มันนึกสภาพคนผู้หนึ่งถูกเย็บสิ่งของติดบนหลัง ย่อมมิใช่เรื่องน่ายินดีแน่นอน
“เรามิอาจสอบถามความใดจากมันได้ จึงได้แต่สกัดจุดให้มันสลบไป แล้วแกะห่อผ้านี้ออกมา”
“ตอนนี้ศิษย์ผู้นั้นของท่านเป็นอย่างไร”
“ยังคงสลบอยู่ เนื่องเพราะมันถูกประทุษด้วยวิชาดัชนีที่ร้ายกาจ หากไม่ได้รับการคลายจุดอย่างถูกวิธี มันมีแต่จะต้องคลุ้มคลั่งจนตายไป ดังนั้น เราจึงต้องให้มันสลบไปก่อน”
“อืม...” ลู่หยุนส่งเสียงในคอ “เป็นดัชนีขยี้เดือนสยบดารา ของกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่* (นางมารผลาญวิญญาณ) ใช่หรือไม่?”
“ท่านทราบ?”
ลู่หยุนพยักหน้า “นางเป็นภรรยาของยู่เหลียนเทียนสื่อ* (ทูตสวรรรค์หน้าหยก) ตอนที่มันตาย นางเพิ่งคลอดบุตรชายให้มันหนึ่งคน ดังนั้นบุตรของนางก็ต้องได้รับการถ่ายทอดฝีมือจากนาง”
“อืม...”
ซือหม่าเลี่ยงที่นิ่งฟังอยู่นาน โพล่งออกมา “ยู่เหลียนเทียนสื่อเป็นผู้ใด? กุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่เป็นผู้ใด? ไหนบุตรของพวกมันจึงต้องลงมือเหี้ยมโหดกับโฉวเกอด้วย”
ลู่หยุนหันไปมองซือหม่าเทียน “ท่านยังมิได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มันทราบ?”
ซือหม่าเทียนพยักหน้า “สามวันที่ผ่านมา เรากำลังใคร่ครวญว่าสมควรจะบอกกล่าวเรื่องราวนี้กับพวกมันอย่างไรดี ท่านย่อมทราบ สำหรับเรื่องนี้ เรามีความลำบากใจเป็นอย่างยิ่งเสมอมา”
ลู่หยุนพยักหน้า “ข้าพเจ้าทราบความลำบากใจของท่าน ดังนั้น ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องแทนท่านหรือไม่?”
“ต้องรบกวนท่านจริงๆ” ซือหม่าเทียนกล่าว “หากเป็นท่านเล่า เรามิมีข้อใดต้องปฏิเสธ เนื่องเพราะเรื่องที่ท่านเล่า ต้องเป็นเรื่องที่ยุติธรรมมากกว่าเราเล่าเองเป็นแน่”
ซือหม่าซานกับซือหม่าเลี่ยงต่างมีความสงสัยอยู่ในใบหน้า พวกมันมิทราบว่าป้ายหยกนี้มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ไฉนจึงดูเร้นลับขนาดนี้ กระทั่งบิดาของมันยังมิกล้าปริปากเล่าเอง
ลู่หยุนกวาดสายตามองสองพี่น้อง พลางกล่าว “ท่านทั้งสอง มิว่าเรื่องราวใดที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าต่อไป ขอให้ท่านทราบไว้อย่างหนึ่ง เตียเตียของท่านเป็นบุคคลที่น่าเคารพเสมอมา”
ทั้งสองคนพยักหน้า ลู่หยุนจึงกล่าวสืบต่อ “เมื่อสิบแปดปีก่อน ยุทธภพปรากฏจอมขโมยผู้หนึ่ง ผู้คนเรียกมันเป็น ยู่เหลียนเทียนสื่อ ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นี้ แม้มีอาชีพเป็นขโมย แต่ก็เป็นขโมยที่ประหลาดอย่างยิ่ง ก่อนที่มันจะไปขโมยของผู้ใด มันจะทิ้งป้ายหยกขาวเอาไว้ จากนั้นเมื่อขโมยของแล้ว มันจะนำป้ายหยกกลับไปด้วย ผู้คนจึงเรียกป้ายหยกนี่ว่า ไป๋ยู่เย้าเฉียว
เจ้าทุกข์ที่ถูกมันขโมยมิเคยแจ้งความต่อกรมเมือง มิเคยร้องทุกข์หรือเคียดแค้นมัน เนื่องเพราะเมื่อมันต้องการขโมยสิ่งใด ย่อมต้องหาสิ่งที่มีคุณค่าทัดเทียมกันไปวางไว้แทน เป็นสิ่งที่แม้ท่านใช้สมบัติที่มันขโมยไปแลกมา ยังมิสามารถแลกได้”
“เป็นของสิ่งใด?”
“เป็นศีรษะศัตรูของท่าน”
สีหน้าของซือหม่าสองพี่น้องแปรเปลี่ยนไปทันที
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าทุกข์จึงมิเดือดร้อนกับของที่เสียไป หรือต่อให้เดือดร้อน ก็มิกล้าค้นหาตัวมันมาชำระความ เนื่องเพราะหากมันสามารถขโมยศีรษะของศัตรูท่านได้ ย่อมต้องขโมยศีรษะของท่านได้ด้วยเช่นกัน”
ซือหม่าซานส่งเสียงขึ้นมา “มันมิใช่หัวขโมยธรรมดาจริงๆ”
“ดังนั้นมันจึงเป็นจอมขโมย ที่ขโมยอย่างยุติธรรมยิ่ง สำหรับข้าพเจ้า การขโมยของมันถือเป็นการค้าอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นการค้าที่มิทราบผู้ใดเป็นผู้ค้า และผู้ใดจะกลายเป็นสินค้า”
หยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วจึงถอนหายใจยาว “ทว่า แม้ยู่เหลียนเทียนสื่อจะมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ มีมือที่เบาและคมอย่างยิ่ง และมีการค้าที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง แต่มีครั้งหนึ่งที่มันกระทำเรื่องใหญ่เกินไป เป็นชนวนเหตุให้มีเภทภัยถึงตัว”
สองพี่น้องต่างนิ่งฟังจนตาค้าง ส่วนซือหม่าเทียนผู้เป็นบิดา มีสีหน้าหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องนี้ถือเป็นความลับอย่างยิ่งยวด ในโลกนี้มีผู้ทราบเพียงไม่กี่คน ครานั้นยู่เหลียนเทียนสื่อต้องการขโมยของบางอย่างจากท้องพระคลัง ดังนั้นมันจึงทิ้งป้ายหยกไว้ แล้วนำศีรษะคนผู้หนึ่งไปแลก มันสามรถขโมยได้สำเร็จ แต่ศีรษะที่มันใช้แลกกลับมีราคาสูงเกินไป สูงจนมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“หรือที่มันแลกไปเป็นศีรษะของเชื้อพระวงศ์?” ซือหม่าเลี่ยงโพล่งขึ้น มันมีความรู้สึก ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นี้เป็นบุคคลอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ลู่หยุนสั่นศีรษะ “หากเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เป็นศัตรูกับหวงตี้* (ฮ่องเต้ในภาษาฮกเกี้ยน) เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา”
“หรือมันตัดศีรษะผิดคน”
“ก็มิผิด มันมิเคยตัดศีรษะคนไปแลกผิดเลย”
“เช่นนั้น ไฉนมันจึงต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
-
“เนื่องเพราะศีรษะที่มันตัดไป เป็นศีรษะของแม่ทัพซีเซี่ย ศีรษะที่หวงตี้ต้องการอยู่นาน แต่ด้วยความสัมพันธ์ทางการเมือง จึงมิอาจล่วงเกินศีรษะแม่ทัพผู้นั้นได้”
“แต่ยู่เหลียนเทียนสื่อกลับไปตัดมา”
“ถูกต้อง” ลู่หยุนพยักหน้า “ทางราชสำนักมิต้องการให้เป็นเรื่องราวบาดหมางใหญ่โต จึงต้องการนำศีรษะยู่เหลียนเทียนสื่อไปคืนเป็นของแลกเปลี่ยน แต่เนื่องจากยู่เหลียนเทียนสื่อไปมาไร้ร่องรอย จึงเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะค้นหา ราชสำนักจึงส่งคนมาหารือกับเหล่าชาวยุทธ์ คิดหาทางวางแผนลวงมันมาตัดศีรษะ ในหมู่พวกเรามีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดก็มีผู้หนึ่งอาสา คนผู้นั้นคือเตียเตียของพวกท่าน”
ลมหายใจของซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงขาดห้วงด้วยความตระหนก พวกมันทั้งสองหันไปมองบิดา ซือหม่าเทียนผงกศีรษะ
“เป็นเราอาสาจริงๆ”
“ที่บิดาของพวกท่านอาสา เพราะมิต้องการให้เกิดการนองเลือดจากสงคราม ดังนั้น จึงยินยอมใช้หนึ่งชีวิต แลกสันติสุข ประการนี้แม้ซือฟูของข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่เคยตำหนิเลย เนื่องเพราะที่ท่านทำลงไป ก็ด้วยต้องการช่วยเหลือแผ่นดินทั้งสิ้น”
ใบหน้าของซือหม่าเทียนปรากฏแววสะทกสะท้อน “แม้กระนั้น เราก็ยังรู้สึกผิดอยู่ตลอด เราทราบว่าการกระทำเยี่ยงนั้นมิใช่การกระทำของวิญญูชนเลย เราวางแผนลวงมันมาสังหาร มันก็มา มันมาทั้งที่รู้ว่าเป็นแผนลวง เรา...”
“ให้ข้าพเจ้าเล่าแทนเถิด” ลู่หยุนว่า “วันนั้นเป็นปลายฤดูตงเทียน หิมะหยุดตกแล้ว ดอกเหมยกำลังบานสะพรั่ง ยู่เหลียนเทียนสื่อมาตามจดหมายลวงที่พวกท่านปลอมขึ้น ในสถานที่ที่พวกท่านกำหนด เมื่อมันมาถึง แผนทุกอย่างถูกเตรียมไว้จนรัดกุมแล้ว ซ่อนอยู่ทุกจุด หากมันต้องการหนี แม้มีสามเศียรหกกรก็ยากจะเอาชีวิตรอดได้”
“ถูกต้องแล้ว” ซือหม่าเทียนกล่าวขึ้นอีก “ตอนที่มันมาถึง เราจึงเพิ่งทราบ บนโลกนี้ยังมีบุรุษที่องอาจผึ่งผายถึงเพียงนี้ ท่าทางของมันมิคล้ายขโมยแม้แต่น้อย กลับเป็นผู้เหี้ยมหาญผู้หนึ่ง มันสวมเสื้อยาวสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของมันซีดขาว ทว่ามันยังสามารถมีรอยยิ้มได้”
ดวงตาของท่านมองลึกลงไปในอดีต “เรายังจำน้ำเสียงของมันได้ น้ำเสียงของมันนุ่มนวลน่าฟัง มันประสานมือคารวะเราหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงกล่าว
‘ข้าพเจ้าทราบแผนของพวกท่านดี ข้าพเจ้าทราบ ที่พวกท่านทำดังนี้ มีเหตุผลสำคัญยิ่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมา หากข้าพเจ้าตายที่นี่จะไม่ตำหนิตัดพ้อเลย เพียงรู้สึกเสียดายอยู่บ้างเล็กน้อย...’
ตอนนั้นเรายังคิดว่ามันรู้สึกเสียดายชีวิตของตนเอง เสียดายที่มันขโมยของสูงค่าเกินไป แต่หลังจากที่สังหารมันแล้ว เราจึงทราบ ภรรยาของมันเพิ่งคลอดบุตร มันเพิ่งมีโอกาสได้เห็นบุตรของมันเพียงวันเดียวเท่านั้น”
เสียงของท่านสั่นเครือ เรื่องราวในหนนั้นสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจของท่านอย่างมาก ท่านเก็บงำความรู้สึกนั้นมาสิบแปดปีเต็ม บัดนี้จึงได้เปิดเผยออกมา
“ข้าพเจ้าทราบว่าท่านรู้สึกสำนึกเสียใจต่อมันเสมอมา แต่การต่อสู้ในครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม ท่านกับยู่เหลียนเทียนสื่อต่อสู้กันที่นั่น มิมีผู้ใดสอดมือยุ่ง เป็นมันที่พ่ายแพ้ไปเอง”
“มันย่อมยอมแพ้ให้แก่เรา เนื่องเพราะมันทราบ ถึงแม้ชนะก็มิสามารถมีชีวิตกลับไปได้อีกแล้ว” กล่าวจบก็ถอนหายใจยืดยาว “การที่บุตรของมันจะกลับมาเพื่อแก้แค้นเรานั้น เป็นเรื่องที่เราคาดไว้แต่แรกแล้ว เรายินดีให้มันสะสางความแค้นนี้ แต่เรากลับมิอาจยอมให้มันทำร้ายผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องได้”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “ดังนั้น ท่านจึงประกาศชื่อข้าพเจ้าและซือฟูต่อหน้าทุกคน ท่านเกรงในบรรดาอาคันตุกะเหล่านั้น จะมีทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อแฝงอยู่”
“เจตนาของเราเพียงต้องการให้มันระมัดระวังตัวไม่ทำร้ายต่อผู้อื่นเท่านั้น” ซือหม่าเทียนถอนหายใจ “ที่กระทำลงไปหวังให้ท่านเข้าใจเราด้วย”
“ข้าพเจ้าทราบเจตนาของท่านแล้ว” ลู่หยุนว่า “แต่ยังมิทราบท่านตัดสินใจจัดการเรื่องราวต่อไปอย่างไร”
“ความจริงเราต้องการพบทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น เพื่อยุติเรื่องราวบาดหมางทั้งหมด เรายินดีมอบศีรษะให้มัน เพียงแต่ต้องไม่ใช่ในเทียนซั่งเฟยอิงแห่งนี้”
“ท่านต้องการนัดมันไปที่อื่น?”
“อืม... เรามิต้องการให้เกิดเรื่องในที่นี้ เนื่องเพราะหากมันบุกเข้ามา หลายผู้จะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเรา เราไม่ต้องการเช่นนั้น โชคยังดีที่ท่านเดินทางมา ดั่งซือฟูของท่านทราบว่าเรากำลังต้องการตัวท่านอย่างยิ่ง”
“ท่านต้องการหาตัวข้าพเจ้าเพื่อนัดทายาทผู้นั้น”
“ถูกต้อง”
“ท่านแน่ใจว่าข้าพเจ้าสามารถเสาะหามันพบ?”
“เนื่องเพราะท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟง หากมีเรื่องที่ท่านกระทำไม่ได้ ในโลกนี้ต้องมิมีผู้ใดกระทำได้อีกแล้ว”
ลู่หยุนพลันสั่นศีรษะ “วาจาที่ท่านกล่าว เกินจริงไปมาก ในโลกนี้ล้วนมีหลายเรื่องที่ข้าพเจ้ามิอาจกระทำได้ แต่เรื่องหาทายาทยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น ข้าพเจ้าสามารถกระทำได้”
ซือหม่าเทียนมีสีหน้ายินดี “เป็นอันว่าท่านรับปาก”
“ข้าพเจ้ารับปาก แต่มีเงื่อนไขอยู่”
“เชิญท่านว่า”
“ข้อแรก ข้าพเจ้าจะเป็นผู้กำหนดสถานที่นัดพบ ซึ่งสถานที่นั้นคือที่ที่ท่านกับยู่เหลียนเทียนสื่อเคยประมือกัน”
“เราตกลง”
“ข้อสอง วันเวลาข้าพเจ้าเป็นผู้กำหนด จะบอกแก่ท่านเมื่อข้าพเจ้าพบทายาทผู้นั้นแล้ว”
“อืม”
“ข้อที่สาม ท่านต้องต่อสู้กับมันอย่างเต็มฝีมือ ต้องห้ามอ่อนข้อให้มันเป็นอันขาด”
“ข้อนี้ท่านไม่สามารถตัดสินใจแทนเราได้” ซือหม่าเทียนว่า “เราจะลงมือหรือไม่ลงมือ เป็นสิทธิ์ของเรา”
“เช่นนั้นฟังข้าพเจ้าสักเล็กน้อย บุตรคิดล้างแค้นแทนบิดา ย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่บุตรที่สามารถล้างแค้นแทนบิดาได้ ต้องเป็นบุตรที่มีความสามารถ หากแม้ท่านยินยอมให้บุตรของมันสังหารท่านโดยไม่ต่อต้าน ไยมิใช่ดูถูกฝีมือของมันอย่างยิ่ง หากยู่เหลียนเทียนสื่อทราบ มันย่อมไม่ยินดีเป็นแน่”
ซือหม่าเทียนเงียบไปนาน ในที่สุดก็กล่าวขึ้น “ตกลง เราจะต่อสู้กับมันอย่างสุดฝีมือ ผลแพ้ชนะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่สวรรค์ลิขิต”
“เช่นนั้นข้าพเจ้าตกลงไปหามันให้ท่าน”
“ยังมีอีกเรื่องที่เราต้องขอร้องท่าน”
“เชิญกล่าว”
“หากแม้ทายาทผู้นั้นสามารถพิชิตเราลงได้ ท่านต้องรับปาก จะระงับมิให้ผู้ใดไปทำการแก้แค้นต่อมัน แม้กระทั่งบุตรสองคนนี้ของเรา”
“เตียเตีย” ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงร้องขึ้น “ท่านจะกระทำเช่นนี้มิได้”
“เราต้องกระทำเช่นนี้” ซือหม่าเทียนกล่าวเสียงหนักแน่น “หากพวกเจ้ายังเห็นเราเป็นบิดา ห้ามหาเรื่องล้างแค้นต่อบุตรของยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น เรื่องนี้เราเป็นผู้ก่อขึ้น ก็ย่อมต้องเป็นผู้ชดใช้ และเราไม่ปรารถนาต้องเห็นพวกเจ้าและบุตรของมันห้ำหั่นกันต่อไป เนื่องเพราะระหว่างเรากับยู่เหลียนเทียนสื่อ ที่จริงแล้วมิได้มีความแค้นใดต่อกันเลย”
“เตียเตีย...” บุตรทั้งสองมองบิดาของมัน “พวกข้าพเจ้า...”
“เราต้องการให้พวกเจ้ารับปาก รับปากจะไม่ล้างแค้นแทนเรา รับปากจะไม่ละเมิดคำสั่งของเรา พวกเจ้าสามารถรับปากได้หรือไม่”
ทั้งสองเงียบไปเป็นนาน ในที่สุดซือหม่าซานจึงกล่าวขึ้น “หากพวกเราไม่รับปาก เตียเตียท่านก็ยังคงต้องไปเสี่ยงชีวิตกับมัน...”
“ถูกต้อง”
ดวงตาของซือหม่าเลี่ยงเปลี่ยนเป็นสีแดง “อย่างไรท่านก็ต้องไปอยู่แล้ว เหตุใดพวกเราจึงต้องรับปาก”
ซือหม่าเทียนพลันถอนหายใจ ยกมือลูบศีรษะบุตรคนเล็กของท่าน “เนื่องเพราะพวกเจ้าเป็นบุตรของเรา เราปรารถนาเห็นพวกเจ้าเติบโตสร้างชื่อเสียงเป็นของตัวเอง มิใช่ต้องจมปลักอยู่กับความแค้นที่พวกเจ้ามิใช่ผู้ก่อขึ้น หากพวกเจ้ามิรับปาก เมื่อเราตายไป วิญญาณของเราต้องไม่สงบแน่ พวกเจ้าต้องการเช่นนั้น?”
ทั้งสองพลันสั่นศีรษะ
“ดังนั้น เตียเตียวิงวอนให้พวกเจ้ารับปากจะไม่ล้างแค้น”
สองพี่น้องนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดซือหม่าซานก็กล่าวขึ้น “ข้าพเจ้ารับปากท่าน”
ดวงตาของมันมีน้ำเอ่อคลอ แน่นอนต้องมีความพลุ่งพล่านอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ดวงตาของซือหม่าเลี่ยงมีน้ำตาไหลหยดออกมาแล้ว
“ข้าพเจ้ามิต้องการเป็นบุตรอกตัญญู ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้ารับปากท่าน แต่... แต่ข้าพเจ้ามิแน่ใจ จะสามารถรักษาสัญญาได้หรือไม่”
น้ำตาของซือหม่าเทียนหยดลงแล้ว กล่าวเสียงเครือ “เลี่ยงเอ๋อร์ ขอเพียงเจ้าเข้มแข็ง เจ้าต้องสามารถรักษาสัญญาได้ และเมื่อเจ้ารักษาสัญญานี้ต่อเตียเตียได้ เจ้าจะกลายเป็นผู้เข้มแข็งที่เตียเตียภูมิใจ”
ลู่หยุนทราบว่าเรื่องนี้มิมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับตนอีกแล้ว จึงปลีกตัวออกจากห้องไปเงียบๆ
--------------------------------------
เทียนซั่งเฟยอิงผายมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ลู่หยุนออกมาเดินรับลมเย็นเบื้องนอก พลันพบศิษย์ผู้หนึ่ง จึงเดินเข้าไปถาม
“ท่านมีนามใด?”
“ข้าพเจ้านามหวังเหยา ลู่เซียงเซินมีเรื่องใด”
“เมื่อสามวันก่อน มีศิษย์ร่วมสำนักของท่านผู้หนึ่งมีอาการประหลาดใช่หรือไม่?”
หวังเหยาพยักหน้า ลู่หยุนจึงกล่าวสืบต่อ “มันอยู่ที่ใด พาข้าพเจ้าไป”
เนื่องเพราะเป็นอาคันตุกะพิเศษ ดังนั้นหวังเหยาจึงมิถามความสืบต่อ มันถือโคมเดินนำลู่หยุนไปยังห้องพักเล็กๆ ในตึกที่อยู่ห่างไปไม่มากนัก
“เส้าชง ท่านตื่นอยู่หรือไม่” หวังเหยาส่งเสียงเรียกพลางเคาะประตู ไม่นานนักประตูก็เปิดออก
“มีเรื่องอันใด”
“ท่านผู้นี้คือลู่เซียงเซิน เป็นอาคันตุกะพิเศษของซือฟู ท่านต้องการดูอาการของโฉวหลวน”
เส้าชงรีบกล่าวขึ้นทันที “ที่แท้เป็นลู่เซียงเซิน ข้าพเจ้ามิได้ออกไปงานเลี้ยงของซือฟู จึงมิทราบเป็นท่าน”
กล่าวจบก็รีบเชิญทั้งสองให้เข้าไปภายในทันที
ห้องนั้นตกแต่งเรียบง่าย แต่สะดวกสบาย มีโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงนอนที่แข็งแรง บนเตียงมีบุรุษผู้หนึ่งนอนอยู่ ใบหน้าของมันซีดขาวราวกระดาษ ลู่หยุนพลันเลิกผ้าห่มออก และเลิกอกเสื้อของมันออก รอยจ้ำสีแดงคล้ายดอกเหมยห้าจุดปรากฏอยู่บนร่าง เมื่อลองจับชีพจรดู ก็พบว่าเต้นอ่อนจนน่ากลัว
“มันเป็นอย่างไรบ้าง” เส้าชงถามขึ้นมา “ซือฟูให้ข้าพเจ้าเฝ้ามันเอาไว้ หากตื่นมาอาการกำเริบให้จี้จุดหลับ แต่มันยังมิฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
“มันย่อมไม่ฟื้น เนื่องเพราะอวัยวะภายในของมัน ถูกกำลังภายในขุมหนึ่งสกัดการทำงานเอาไว้ หากปล่อยนานไป มันต้องตายอย่างแน่นอน”
“ซือฟูบอกว่า มันถูกวิชาดัชนีประทุษที่ร้ายกาจแขนงหนึ่ง ไม่สามารถคลายจุดด้วยวิธีธรรมดาได้”
“อืม... วิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา มิใช่วิชาสกัดจุดที่สามารถแก้ได้ง่ายจริงๆ” ลู่หยุนกล่าว ก่อนจะหันไปหาหวังเหยา
“ที่นี่มีอ่างอาบน้ำหรือไม่?”
“มีอยู่ที่ชั้นสอง”
“ท่านไปนำลงมา แล้วเตรียมน้ำร้อนใส่ไว้ให้เต็ม”
“รับทราบ”
“ส่วนท่าน” มันหันไปหาเส้าชง “ช่วยข้าพเจ้าหามโฉวหลวนผู้นี้ออกไป”
“ท่านจะทำการรักษามัน?”
“อืม”
-----------------------------------
วิกาลเงียบสงัด บนท้องฟ้าไม่มีหิมะแล้ว แต่บนพื้นยังคงเต็มไปด้วยเกล็ดสีขาว ลู่หยุนและเส้าชงช่วยกันโกยหิมะใส่ร่างของโฉวหลวน
“วิธีนี้จะสามารถช่วยมันได้?”
เส้าชงถามอย่างไม่แน่ใจนัก ลู่หยุนคลี่ยิ้มตอบ “ต่อให้เราไม่โกยหิมะแช่มันจนแข็งตายไป ปล่อยไว้มันก็ย่อมตายอยู่ดี ดังนั้นท่านจึงไม่ควรสงสัย”
เส้าชงรีบหุบปาก และช่วยลู่หยุนโกยหิมะต่อไป
หลังจากพอกหิมะจนท่วมร่างแล้ว ลู่หยุนก็สั่งให้ขุดออก แล้วช่วยกันหามร่างของโฉวหลวนกลับเข้าไปในห้อง
ร่างของมันเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง
ในห้องมีอ่างอาบน้ำที่ใส่น้ำร้อนเอาไว้เต็ม ไอน้ำสีขาวลอยอ้อยอิ่ง
ลู่หยุนยื่นฝ่ามือลงไป ก่อนจะพยักหน้า “น้ำร้อนใช้ได้” จากนั้นก็หันไปสั่งให้เส้าชงและหวังเหยาช่วยกันยกร่างของโฉวหลวนใส่ลงในอ่างน้ำ
“พวกท่านต้องเริ่มใส่จากเท้าซ้ายของมันก่อน ช้าๆ มิต้องรีบ แล้วเอาเท้าขวาตามลงไป ทั้งหมดต้องไม่เร่งร้อน ท่านค่อยๆ เคลื่อนตัวมันลงไปทีละหนึ่งชุ่น”
นับเป็นการแบกคนใส่อ่างอาบน้ำที่ใช้เวลาเนิ่นนานจริงๆ แต่ในที่สุด ร่างของโฉวหลวนก็ลงไปในอ่างจนเหลือแต่ศีรษะที่ยังอยู่พ้นน้ำ
“ต่อไปเป็นหน้าที่ข้าพเจ้า” ลู่หยุนว่า แล้วเดินไปยังด้านหลัง กางนิ้วทั้งสิบออก จากนั้นจิกลงไปบนศีรษะของโฉวหลวนอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักหลังจากนั้น บนศีรษะของโฉวหลวนก็ปรากฏไอสีขาวลอยขึ้นมา พร้อมกันกับใบหน้าที่เริ่มมีสีเลือดฝาดปรากฏขึ้น
เส้าชงและหวังเหยามองดูด้วยความตื่นเต้น
รอจนไม่มีไอควันปรากฏขึ้นจากศีรษะอีก ลู่หยุนจึงสั่งให้ยกร่างของโฉวหลวนขึ้น ปรากฏว่ารอยจ้ำรูปดอกเหมยนั้นได้หายไปแล้ว ใบหน้าของลู่หยุนปรากฏรอยยิ้ม
“พวกท่านเช็ดตัวและใส่เสื้อให้มัน จากนั้นพรุ่งนี้เช้า ค่อยถามมันหิวหรือไม่ ให้ดีเตรียมข้าวต้มร้อนๆ ไว้ให้มันสักถ้วยหนึ่ง ข้าพเจ้าประกัน เมื่อมันตื่นขึ้นต้องหิวแทบตาย”
------------------------------------
(จบตอน)
-
เหมยแดง
บทที่4 หวงไป๋ยู่
เช้าวันใหม่มาถึงแล้ว ลู่หยุนยังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิม แต่วันนี้มันล้างหน้าแล้ว ที่ตรงหน้าของมัน เป็นโต๊ะอาหารสีน้ำตาลตัวใหญ่ บนโต๊ะมีข้าวต้มร้อน และกับอีกสารพัดวางอยู่ ข้างชามข้าวต้ม มีชาที่เพิ่งถูกรินจากกา ของทุกอย่างยังคงมีควันกรุ่น มองแล้วเป็นมื้อเช้าที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
ที่ร่วมโต๊ะกับมันย่อมเป็นซือหม่าเทียนและบุตรทั้งสองของมัน
“เมื่อคืนท่านหลับสบายดีหรือไม่?” ซือหม่าเทียนกล่าวขึ้น วันนี้ใบหน้าของท่านดูแจ่มใสกว่าเมื่อวานแล้ว ลู่หยุนแย้มยิ้มตอบ
“หลับสบายอย่างยิ่ง ที่จริงข้าพเจ้ามิได้นอนสบายเช่นนี้นานแล้ว”
“อย่างนั้นท่านควรค้างอีกสักคืน” ซือหม่าเลี่ยงว่า “วันนี้โฉวเกอฟื้นแล้ว ได้ยินว่าเมื่อคืนท่านเป็นคนรักษาให้มัน”
ซือหม่าเทียนและซือหม่าซานมีสีหน้าแปลกใจ
“โฉวหลวนฟื้นแล้ว เจ้าทราบได้อย่างไร?”
“เพราะระหว่างที่พวกท่านกำลังคุยเรื่องน่าเบื่อ ข้าพเจ้าก็แวะไปเยี่ยมมันมา จึงทราบว่าลู่เซียงเซินช่วยคลายจุดให้มันด้วยวิธีพิสดารอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าฟังแล้วเสียดายมิได้เห็นด้วยตาตนเอง”
“เจ้าว่าโฉวหลวนฟื้นแล้ว ได้ถามถึงผู้ที่ให้ป้ายมันหรือไม่?” ซือหมาซานรีบถาม ซือหม่าเลี่ยงสั่นศีรษะ
“ถามไปก็ไม่ได้ความอันใด เนื่องเพราะมันจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยมันก็กินข้าวต้มไปแล้วสองชาม ตอนที่ข้าพเจ้าไปถึง”
“วิชาดัชนีที่น่ากลัว” ซือหม่าเทียนพึมพำ ก่อนจะหันไปกล่าวกับลู่หยุน “โชคดีของโฉวหลวนที่ได้ท่านช่วยไว้ วิชาขยี้เดือนสยบดารานี้ เรามิมีปัญญาแก้เลยจริงๆ”
“โชคดีที่กะโหลกของข้าพเจ้าไม่หนา จึงพอเรียนรู้จากซือฟูมาได้บ้าง” ลู่หยุนว่า “วันนี้ข้าพเจ้าจะออกไปหาทายาทยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น ท่านมิต้องให้ผู้ใดติดตามข้าพเจ้าไป เมื่อข้าพเจ้าได้พบมันแล้วจะกลับมาพบท่านทันที ระหว่างนี้ขอให้ท่านสะสางเรื่องราวภายในสำนักให้เรียบร้อย”
“อืม เดือดร้อนท่านแล้ว”
ซือหม่าเลี่ยงร้องขึ้นมา “แม้ข้าพเจ้าก็ติดตามไปมิได้? ข้าพเจ้าต้องการเห็นหน้าของมัน ต้องการทราบว่าบุคคลที่ใช้วิชาชั่วร้ายเช่นนี้มีใบหน้าเยี่ยงไร ต้องเป็นใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวแน่”
“ท่านมิต้องรีบจินตนาการ และไม่ต้องติดตามข้าพเจ้าไปด้วย เนื่องเพราะหากมันได้พบท่าน น่ากลัวต้องรีบหนีไป เพราะกลัวฝีปากของท่านอย่างยิ่ง”
ซือหม่าซานหัวเราะออกมา บิดาของมันจึงกล่าวขึ้นต่อ
“เจ้าหยุดรบกวนลู่เซียงเซินได้แล้ว มิเช่นนั้นเตียเตียจะสั่งกักบริเวณเจ้า”
--------------------------------------
หิมะเริ่มตกอีกแล้ว บนถนนที่ทอดออกจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย มีคนผู้หนึ่ง เหยาะย่างอาชาอย่างเชื่องช้าคล้ายดั่งมันกำลังอยู่ในฤดูชุนเทียน อาชาพ่วงพีสีน้ำตาลด่างขาวดูโดดเด่นบนพื้นหิมะสีขาว ลมหายใจของมันกลายเป็นไอหมอกอยู่ในอากาศ บุรุษที่บังคับมันอยู่มิมีที่ใดแปลกประหลาด นอกจากกระบี่ไม้ที่ห้อยไว้ตรงหว่างเอว
ลู่หยุนกำลังครุ่นคิดเรื่องที่น่าหนักใจ มันทราบตอนนี้หิมะกำลังตก ยิ่งทราบที่บ้านของอู๋หยางจงต้องอุ่นอย่างยิ่ง ที่สำคัญ ในห้องเก็บสุราของมันมีสุราชั้นเลิศ อากาศเช่นนี้ ไยมิใช่ควรอยู่ในห้องที่อบอุ่น ดื่มสุราอ่านบทกวี ทว่า มันยังมีอีกที่ที่ต้องไป แน่นอนว่าเป็นสถานที่ที่แตกต่างจากหมิงซิ่งลู่โหลวที่แสนสบายอย่างสิ้นเชิง และมันยังมิอาจคำนวณได้ ต้องใช้เวลานานเท่าใดในสถานที่นั้น
ท้ายที่สุดลู่หยุนก็ตัดสินใจได้
ที่แรกที่มันต้องไปคือร้านสุรา
ตามปกติร้านสุราเปิดสายอย่างยิ่ง เนื่องเพราะเมื่อเปิดแล้ว ต้องขายจนดึกดื่นค่อนคืน จึงสามารถปิดได้ ดังนั้นหากท่านไปที่ร้านสุราเช้าเกินไป ประตูของมันต้องยังมิเปิด
ลู่หยุนมาที่ร้านสุราเช้าเกินไป ดังนั้นตอนนี้มันจึงยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดสนิท ทว่ามันที่ขี่ม้าเชื่องช้าดั่งชมสวนมาตลอดทาง เมื่อถึงร้านสุราดั่งคล้ายมีอารมณ์ฉุนเฉียว ยกมือขึ้นตบประตูเสียงดัง
เถ้าแก่ร้านสุรากลัวประตูร้านจะถูกฟาดพังไป จึงรีบกุลีกุจอออกมาเปิดให้
“กงจื่อต้องการสิ่งใด”
“สุรา” ลู่หยุนกล่าว “ข้าพเจ้าต้องการสุราดีเลิศที่สุดในร้านของท่านหนึ่งไห รีบยกมาให้ข้าพเจ้าที่นี่”
เถ้าแก่ผู้นั้นรีบลนลานไปหยิบสุราในร้านออกมาทันที
ลู่หยุนเมื่อได้สุราแล้วก็เปิดจุกที่ปิดอยู่ออก แล้วกรอกลงไปคำหนึ่ง
“สุราดี” กล่าวจบมันก็ยื่นทองแท่งหนึ่งให้เถ้าแก่ผู้นั้น “ท่านย่อมมิต้องตื่นเช้ามาเสียเปล่า”
เถ้าแก่ร้านสุรารับทองแท่งนั้นไปด้วยความยินดี
ท่าทางวันนี้การค้าของมันต้องรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ตอนเช้าตรู่ยังมีปิศาจสุรามาซื้อสุราของมันถึงสี่ตำลึงทอง
ลู่หยุนกระโดดขึ้นม้าพร้อมไหสุรา เมื่อมันซื้อสุราจากร้าน จุดหมายต่อไปของมันย่อมไม่ใช่หมิงซิ่งลู่โหลว
มันจะไปสถานที่ใด...
-----------------------------------------
บึงเซิ่งไคเหลียน* (บึงบัวบาน) เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งค่อนขึ้นไปทางเหนือของเมือง ในฤดูชุนเทียน สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศอบอุ่นอย่างยิ่ง ในสระจะเต็มไปด้วยดอกบัวหลากหลายสีสัน ที่ริมสระมีต้นหลิวขึ้นอยู่หลายต้น ที่ใต้ต้นหลิวใหญ่ที่ใหญ่ที่สุด มีเก๋งน้ำชาหลังหนึ่งตั้งอยู่ นอกจากต้นหลิวและดอกบัวแล้ว ที่บึงเซิ่งไคเหลียนยังมีต้นเหมยอยู่มาก ปลายฤดูตงเทียนก่อนถึงวันชุนเจี๋ย ต้นเหมยเหล่านั้นก็เริ่มผลิดอกแล้ว
ยามนี้ก็เป็นปลายฤดูตงเทียน ดังนั้นจึงมีดอกเหมย
ลู่หยุนได้กลิ่นหอมของดอกเหมย เนื่องเพราะสถานที่ที่มันมา คือบึงเซิ่งไคเหลียนนี่เอง
บริเวณรอบๆ บึงไม่ปรากฏเงาร่างของผู้ใด มิใช่เป็นเพราะอากาศที่หนาวเกินไป แม้เป็นฤดูชุนเทียน ที่นี่ก็ไม่มีผู้คน นอกจากเก๋งน้ำชาที่สวยงาม ที่ริมบึงยังมีหลุมฝังศพขนาดใหญ่ ป้ายศิลาที่อยู่หน้าหลุมฝังศพ มีความสูงราวหนึ่งจั้ง* (1จั้งประมาณ3เมตร) กว้างหกฉือ* (1ฉือประมาณ1ฟุต) บนศิลามีอักษร ‘ยู่เหลียนเทียนสื่อ’ สลักอยู่
นี่คือสถานที่ที่เมื่อสิบแปดปีก่อน ยู่เหลียนเทียนสื่อต่อสู้กับซือหม่าเทียนจนต้องตายไป การต่อสู้ครั้งนั้นยังเป็นที่โจษจันท์กันอยู่ในหมู่ชาวยุทธ์ เล่ากันว่าวิชาตัวเบาของยู่เหลียนเทียนสื่อนั้นมิมีผู้ใดจะเทียบได้ ท่าร่างของมันทั้งเร็วทั้งสวยงามดั่งทูตสวรรค์ และเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของซือหม่าเทียนก็มีอานุภาพคลุมฟ้า การต่อสู้ในครานั้นกินเวลาถึงสามชั่วยาม* (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) จึงยุติ
ภายหลังตัดศีรษะยู่เหลียนเทียนสื่อมอบให้ทางการแล้ว ซือหม่าเทียนจึงขุดหลุมฝังศพนี้ขึ้น ฝังร่างของยู่เหลียนเทียนสื่อเอาไว้ สุสานของยู่เหลียนเทียนสื่อจึงกินอาณาบริเวณของบึงเซิ่งไคเหลียนทั้งหมด ผู้คนจึงเปลี่ยนมาเรียกขานเป็น ซี่ซูเทียนสื่อ* (บึงสิ้นทูตสวรรค์) ไป
เมื่อกลายเป็นสุสาน สถานที่แห่งนี้จึงร้างผู้คน แต่ลู่หยุนแน่ใจ คนที่มันหาจะต้องมายังสถานที่แห่งนี้ แต่มิทราบจะมาเมื่อใด เวลาใด ดังนั้นสิ่งที่มันทำ คือผูกม้าไว้ที่หน้าเก๋งน้ำชา แล้วเข้าไปนั่งดื่มสุรารอด้านใน
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ย่อมไม่มีดวงจันทร์ให้เชิญมาร่ำสุรา ดังนั้นลู่หยุนจึงหันไปเชิญดอกเหมยแทน
“เหมันต์เหน็บหนาว ร้าวอุรา
มีสุราข้างกาย ไร้มิตร
เชิญเหมยร่วมดื่ม ระรวยกลิ่น
กำจายขจรไกล ฟุ้งไปในนภา”
เอื้อนกลอนจบด้วยความภาคภูมิใจ มันถึงกับยกไหสุราเทใส่ต้นเหมยจริงๆ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หากท่านเหงาถึงเพียงนี้ ไยมิอยู่ที่บ้าน ร่ำสุรากับบุปผางามสักนางเล่า”
-
ลู่หยุนเบือนสายตาไปมอง ถึงกับต้องตะลึงค้างไป
ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นบุรุษหนุ่ม เรือนผมของมันเป็นสีดำราวกับขนนกกาน้ำ มุ่นมวยคาดแพรสีดำสนิท ใบหน้าของมันเรียวยาว คิ้วสีดำสนิท ดวงตาสีดำสนิท ริมฝีปากแดงเรื่อ ถึงกับเป็นใบหน้าที่งามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด
มันสวมชุดยาวสีดำ ที่มีแขนเสื้อยาวกว่าปกติ ลู่หยุนพลันรู้สึก มันมิเคยพบเห็นผู้ใดสวมชุดดำได้น่ามองเท่านี้มาก่อนเลย
“ในที่สุดท่านก็มาแล้ว”
บุรุษผู้นั้นแย้มยิ้มให้มัน เป็นรอยยิ้มที่งดงามอย่างยิ่ง แทบจะสะกดให้มันตาลายไป
“ท่านรอข้าพเจ้า?”
“อืม”
“ท่านทราบข้าพเจ้าเป็นผู้ใด?”
“ยังมิทราบ” ลู่หยุนว่า “ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอเชิญท่านมาดื่มสุรา”
“หากข้าพเจ้าปฏิเสธเล่า?”
“ข้าพเจ้าต้องเชิญต้นเหมยให้ดื่มอีก ดื่มจนเมาไป”
“เช่นนั้นข้าพเจ้าปฏิเสธท่าน เนื่องเพราะต้องการดู ต้นเหมยจะเมาได้อย่างไร”
ลู่หยุนแย้มยิ้ม “ต้นเหมยมิอาจเมาได้ มีแต่คนที่สามารถเมาได้”
“อ้อ...”
“ดังนั้น ท่านจึงต้องมาร่วมดื่มกับข้าพเจ้า”
“ครั้งนี้ข้าพเจ้ามิอาจปฏิเสธ?”
“อืม”
“ตกลง ข้าพเจ้าดื่มเป็นเพื่อนท่าน”
กล่าวจบก็เดินขึ้นมาบนเก๋ง ถึงกับคล้ายหอบเอากลิ่นของดอกเหมยมาด้วย ลู่หยุนส่งไหสุราให้มัน บุรุษผู้นั้นเทกรอกไปคำหนึ่ง
“สุราดี สมกับที่ท่านจ่ายไปสี่ตำลึงทอง”
ลู่หยุนหัวเราะ รับไหสุรามากรอกอีกคำ แล้วกล่าว “ท่านตามข้าพเจ้ามานานแล้ว?”
“เนื่องเพราะท่านเป็นอาคันตุกะพิเศษของเทียนซั่งเฟยอิงผาย ข้าพเจ้ามิทดลองตามก็ไม่ได้”
“ท่านตามมาจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย?”
“อืม... ข้าพเจ้าทราบนามของท่าน ท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟง ลู่หยุน”
“ละอายจริงๆ” ลู่หยุนกล่าว “หากท่านอยู่ในห้องโถงนั้นด้วย ข้าพเจ้านับว่าตาบอด ที่ไม่เห็นท่าน”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นคลี่ยิ้มนุ่มนวล “ท่านมองไม่เห็นข้าพเจ้า เนื่องจากท่านไม่รู้จักข้าพเจ้า”
“แต่บุรุษรูปงามเช่นท่าน ข้าพเจ้ามองข้ามไปต้องนับว่าตาบอด”
“เรื่องนั้นท่านมิอาจตำหนิสายตาตัวเอง เนื่องเพราะเมื่อวานข้าพเจ้ามิได้สารรูปนี้”
“อ้อ...”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นรับสุรามาแล้วกรอกไปอีกคำ “กระบี่ของท่านเมื่อวานน่าดูอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าชมดูจนตาลายไป”
“ที่จริงแล้วซือหม่าซานผู้นั้นยังออมมือให้ข้าพเจ้าหลายส่วน”
“อืม...”
ลู่หยุนรับไหสุรากลับมา กรอกไปอีกคำ “ตอนนี้ข้าพเจ้าคงต้องถาม ท่านที่นับถือมีชื่อแซ่อะไร”
“ข้าพเจ้าแซ่หวง นามไป๋ยู่* (หยกขาว) ท่านสามารถเรียกข้าพเจ้าไป๋ยู่ได้”
“นามที่ดี” ลู่หยุนว่า “ข้าพเจ้าเห็นป้ายหยกของท่านแล้ว เป็นงานที่ประณีตทีเดียว”
“ซือหม่าเทียนเอาให้ท่านดูแล้ว? ที่จริงแล้วข้าพเจ้าก็มีเรื่องสงสัยอยู่”
“เรื่องอันใด”
“ท่านเป็นผู้ใด ไฉนมันจึงให้ความนับถือขนาดนั้น ราวกับท่านเป็นเทพมาจุติ”
ลู่หยุนหัวเราะออกมา “ท่านไม่ทราบข้าพเจ้าเป็นผู้ใด?”
“ข้าพเจ้าทราบว่าท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟง เรื่องของท่านข้าพเจ้าย่อมเคยได้ยินมา”
“ท่านไม่เชื่อวาจาผู้อื่นที่เล่าถึงข้าพเจ้า?”
“อืม”
“ดี” ลู่หยุนพูดพลางยื่นไหสุราให้ “ข้าพเจ้าชอบนิสัยนี้ของท่าน แม้ท่านตอนนี้มิรู้จักข้าพเจ้าเป็นผู้ใด แต่ข้าพเจ้ารู้จักท่านแล้ว”
“ตอนนี้ท่านรู้จักข้าพเจ้าแล้ว?”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “ท่านคือหงเหมยฮวา* (ดอกเหมยแดง) เมื่อสองเดือนก่อน ผู้ที่สังหารกลุ่มโจรที่รุมกันปล้นสะดมคนระหว่างทางไปหยางโจวทั้งห้าสิบคนก็เป็นท่าน เดือนก่อนท่านก็สังหารโจรราคะในแถบนี้ไปอีกสี่คน สองเดือนมานี้ เท่าที่ข้าพเจ้านับได้ คนที่ท่านลงมือสังหารไปต้องมีไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน”
“อืม... นับว่าท่านรู้จักข้าพเจ้าจริงๆ” หวงไป๋ยู่กล่าว “และวันนี้ข้าพเจ้ายังต้องสังหารเพิ่มอีกผู้หนึ่ง”
“ข้าพเจ้าทราบท่านต้องการสังหารผู้ใด” ลู่หยุนกล่าวขึ้น “ที่ท่านต้องการสังหาร คือจินหลิงอิง ซือหม่าเทียน”
หวงไป๋ยู่พยักหน้า กรอกสุราในไหจนเหือดไป แล้วกล่าว “ในเมื่อท่านทราบแล้ว ไฉนท่านยังเดินทางมาที่นี่ หรือท่านต้องการปกป้องมัน?”
“มิได้ แม้ข้าพเจ้านิยมชมชอบเกี่ยวข้องเรื่องของผู้อื่น แต่ข้าพเจ้ามาในครั้งนี้ มิได้มาขัดขวางการล้างแค้นของท่าน เพียงแต่มาเพื่อนัดวันเวลาล้างแค้นให้ท่านเท่านั้น”
หวงไป๋ยู่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ขณะที่ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ “ข้าพเจ้าเชิญท่านประลองกับซือหม่าเทียน เช่นเดียวกับที่บิดาของท่านเคยกระทำ ณ สถานที่นี้ ในอีกสองวันข้างหน้า ท่านจะรับคำเชิญของข้าพเจ้าหรือไม่?”
“ท่านกับซือหม่าเทียนวางแผนอันใด?”
“ไม่มีแผนใด” ลู่หยุนว่า “ครั้งนี้จะไม่มีมือเกาทัณฑ์ซุ่มอยู่เช่นครั้งก่อน เป็นการประลองระหว่างท่านกับซือหม่าเทียนตัวต่อตัว”
“เหตุใดข้าพเจ้าจึงต้องเชื่อคำพูดของท่าน? ข้าพเจ้าจะแน่ใจอย่างไรว่าพวกท่านมิได้วางแผนร้ายอันใดไว้”
“ท่านย่อมเชื่อข้าพเจ้าได้ เนื่องเพราะศีรษะของท่านไม่เหมือนศีรษะของบิดาท่าน ยังไม่ต้องทุ่มเทคุณค่ามหาศาลเพียงนั้นเพื่อปลิดออก และถึงมี ข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมให้ปลิด ข้าพเจ้าชอบท่านที่มีศีรษะติดอยู่กับลำตัวมากกว่า”
หวงไป๋ยู่เบิ่งตามองลู่หยุนปานเห็นตัวประหลาด ก่อนจะหัวร่อออกมา
“ตกลง ข้าพเจ้ารับคำเชิญของท่าน”
ลู่หยุนแย้มยิ้ม กล่าวสืบต่อ “ไม่ไกลจากนี้มีสถานที่ที่เรียกว่าหมิงซิ่งลู่โหลวอยู่ เจ้าบ้านเป็นคนอัธยาศัยดีอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอเชิญท่านไปดื่มต่อที่บ้านของมัน”
หวงไป๋ยู่ชำเลืองมองมัน “ข้อนี้ข้าพเจ้าก็ต้องตกลงด้วย”
“แน่นอน เนื่องเพราะสุราไหเดียวมิพอกรอกข้าพเจ้าให้เมาไป ข้าพเจ้าจำได้ว่าท่านต้องการเห็นข้าพเจ้าเมา ดังนั้นพวกเราไปหมิงซิ่งลู่โหลวกัน”
--------------------------------------
(จบตอน)
-
เหมยแดง
บทที่5 โป้ปด
ประตูของหมิงซิ่งลู่โหลวเปิดกว้าง เผยให้เห็นกวางดาวศิลาฝังมุกที่อยู่ด้านใน ประตูนี้ปกติมิใคร่เปิด แต่วันนี้กลับเปิดแล้ว เปิดเพื่อต้อนรับคนผู้หนึ่ง
ลู่หยุน
อู๋หยางจงมิต้องการให้ลู่หยุนมาปลุกมันโดยวิธีพิสดารเช่นเมื่อวานอีก ดังนั้นวันนี้มันจึงสั่งเปิดประตูแต่เช้า ตัวมันเองก็ตื่นแต่เช้าตรู่
ตอนนี้มันกำลังนั่งกินอาหารเช้า มันเป็นคนที่กินอาหารเช้าสายอย่างยิ่ง เนื่องเพราะมันเคยชินกับการตื่นสาย ดังนั้นแม้วันนี้มันจะตื่นเช้ากว่าธรรมดา แต่เวลาที่เกินมามันก็นำไปผลาญกับการอ่านจดหมาย
ที่หมิงซิ่งลู่โหลวมีผู้นำจดหมายมาส่งทุกวัน บ้างเป็นเทียบเชิญ บ้างเป็นหนังสือขอเยี่ยมคารวะ แต่ส่วนใหญ่ย่อมเป็นจดหมายเกี่ยวกับรายการค้าขายและรายการรายรับรายจ่ายของร้านแลกเงินอู๋เค่อ
วันเวลาในชีวิตของอู๋หยางจงนอกจากหมดไปกับการกินและนอนแล้ว ที่เหลือก็ล้วนสิ้นเปลืองอยู่กับกองจดหมายพวกนี้
เป็นชีวิตที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง มันก็ทราบ ชีวิตของมันน่าเบื่ออย่างยิ่ง
ดังนั้นวันนี้มันจึงเปิดประตูบ้านกว้าง เนื่องเพราะลมพายุได้พัดมาถึงมันแล้ว
ลมพายุที่ล่องลอยราวกับหมอกควัน
ม้าสองตัวหยุดอยู่ที่หน้าประตู ตัวหนึ่งสีน้ำตาลด่างขาว อีกตัวสีดำสนิทราวผ้าย้อม บนม้าทั้งสองตัว มีบุรุษที่แตกต่างกันสองคนนั่งอยู่
คนหนึ่งสวมชุดยาวสีขาวที่มีราคาหลายร้อยตำลึง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ทว่าบนเอวกลับมีกระบี่ไม้ห้อยอยู่เล่มหนึ่ง กระบี่ไม้ที่พันอยู่ในห่อแพร
ส่วนอีกคนสวมชุดยาวสีดำสนิท แขนเสื้อยาวจนมิอาจมองเห็นแม้ปลายนิ้ว ใบหน้าของมันสวยงามดั่งรูปสลัก ชุดที่มันสวมตัดเย็บจากผ้าป่านเนื้อหยาบ แต่เมื่ออยู่บนตัวมันแล้วกลับให้ความรู้สึกสูงค่าขึ้นมา
บุรุษเสื้อขาวย่อมเป็นลู่หยุน ส่วนบุรุษเสื้อดำย่อมเป็นหวงไป๋ยู่
ทั้งคู่ลงจากหลังม้า แล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านใน
--------------------------------
อู๋หยางจงกำลังรับประทานอาหาร ปกติแล้วเมื่อมันลงมือรับประทาน มันจะไม่หยุดมือเด็ดขาด เนื่องจากการรับประทานอาหารเป็นสุนทรียรสอย่างหนึ่งสำหรับมัน มันทราบลู่หยุนมาแล้ว และต้องไม่รบกวนการรับประทานอาหารของมันเด็ดขาด
ลู่หยุนมาแล้ว มันเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับอู๋หยางจง โดยมิเอ่ยวาจาแม้สักครึ่งคำ นับว่ามันมิได้รบกวนการรับประทานอาหารของอู๋หยางจงเลยจริงๆ
แต่มือที่ถือตะเกียบของอู๋หยางจงกลับหยุดแล้วปากที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ก็ยังหยุด กระทั่งสายตาของมันก็นับว่าค้างไปแล้ว
หวงไป๋ยู่ยืนอยู่ตรงข้ามมัน ประสานมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาว กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “จงเกอ ในที่สุดพวกเราก็พบกันจนได้ ข้าพเจ้าแซ่หวง นามไป๋ยู่”
ตะเกียบในมือของอู๋หยางจงหลุดออกจากมือ ทันใดนั้นมันก็ยกมือตบโต๊ะดังปึง จนผู้รับใช้ที่ยืนอยู่สะดุ้งโหยง แต่บุรุษสองคนที่อยู่ตรงหน้ามันกลับนิ่งเฉยราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อู๋หยางจงหันไปชี้นิ้วใส่ลู่หยุน
“เสี่ยวหยุนที่ร้ายกาจ ท่านไปหาคนผู้นี้มาจากที่ใด?”
ลู่หยุนแย้มยิ้มพลางใช้มือดันนิ้วของอู๋หยางจงออกจากปลายจมูกของมัน “ก่อนที่ท่านจะถามว่าข้าพเจ้าไปหามันจากที่ใด ท่านสมควรทำหน้าที่ผู้เหย้าที่ดี เชิญมันนั่งเสียก่อน”
อู๋หยางจงเก็บนิ้วของมันอย่างเสียมิได้ ก่อนจะหันไปหาหวงไป๋ยู่ “เชิญนั่ง”
หวงไป๋ยู่ลากเก้าอี้ลงนั่ง อู๋หยางจงหันไปสั่งผู้รับใช้ให้นำสำรับเพิ่มอีกสองสำรับ
“ไหนๆ พวกท่านทั้งสองก็ได้พบกันแล้ว ข้าพเจ้าขอสุราในห้องใต้ดินของท่านสักสองไหมาดื่มฉลอง”
อู๋หยางจงเขม้นมองมัน “ท่านเป็นปิศาจสุราตั้งแต่เมื่อไร นี่ยังเช้าอยู่ ท่านก็จะดื่มสุราแล้ว”
“เนื่องเพราะท่านอยู่ในห้องอันอบอุ่น ท่านจึงมิทราบ อากาศด้านนอกหนาวเพียงไร ข้าพเจ้ากับหวงไป๋ยู่ตากหิมะมาหาท่าน ท่านยังมิยินยอมให้พวกเราดื่มสุรา หรือท่านต้องการให้โลหิตในกายพวกเราแข็งไปจริงๆ”
อู๋หยางจงหันไปมองหวงไป๋ยู่ “นี่ท่านไปหลงเชื่อคารมปิศาจสุราผู้นี้ลงได้อย่างไร?”
หวงไป๋ยู่แย้มยิ้ม “เนื่องเพราะมันให้ข้าพเจ้ากรอกสุราราคาสี่ตำลึงทอง ข้าพเจ้าไม่หลงเชื่อก็ไม่ได้แล้ว”
อู๋หยางจงตบโต๊ะอีกครั้ง แล้วหันไปสั่งผู้รับใช้ “ไปนำสุราที่เราเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดินมา วันนี้เราจะกรอกเจ้าตัวร้ายกาจนี้ให้เมาไป”
อาหารถูกยกมาแล้ว ในป้านทองคำมีสุราที่ใสราวกับตาตั๊กแตน ลู่หยุนยกป้านสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะถามขึ้น
“พวกท่านไฉนไม่ดื่มสุรา?”
ทั้งอู๋หยางจงและหวงไป๋ยู่กำลังจ้องมันเป็นตาเดียว ตอนนี้อู๋หยางจงถึงกับวางตะเกียบลงแล้วจริงๆ
“ลู่ตี๋ ข้าพเจ้ามีคำถามหนึ่งจะถามท่าน?”
“เชิญท่านถาม”
“ท่านทราบเรื่องของหวงไป๋ยู่ได้อย่างไร?”
คนถูกถามเลิกคิ้วด้วยท่าทางสบายๆ “หมายถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าเสาะหามันพบได้อย่างไร หรือหมายถึง เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมันกับท่าน”
หวงไป๋ยู่หัวร่อขึ้นมา ขณะที่อู๋หยางจงพูดขึ้นต่อ “ท่านทราบความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับมัน?”
“อันที่จริงแล้วไม่ทราบ” ลู่หยุนตอบ ก่อนจะกล่าวสืบต่อ “ข้าพเจ้าเพียงแปลกใจที่ท่านไฉนจึงไม่สนใจเทียบเชิญของซือหม่าเทียน พอดีเมื่อวานซือหม่าเทียนกล่าวถึงยู่เหลียนเทียนสื่อ ข้าพเจ้าจึงนึกขึ้นมาได้ ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้นเป็นถึงจอมขโมยแห่งยุค มิว่าจวนอ๋อง ท้องพระคลัง ล้วนสามารถเข้าไปขโมยได้ทั้งสิ้น แต่น่าแปลกที่สกุลอู๋ของท่านมิเคยถูกคนผู้นี้ย่องเข้าไปขโมยของใดเลย ย่อมไม่ใช่เพราะสมบัติของท่านไม่มีคุณค่า แต่ต้องเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านั้น”
อู๋หยางจงมองตามัน “ท่านต้องการทราบเหตุผล?”
“อืม... แต่ข้าพเจ้ามิต้องการบีบบังคับท่าน ดังนั้น หากท่านมิอยากเล่าก็ไม่เป็นไร”
อีกฝ่ายถอนหายใจ “ท่านพามันมาที่นี่ กล่าววาจามากมายเพียงนี้ ข้าพเจ้าไม่เล่าก็กระไร อีกอย่าง ที่จริงเรื่องนี้ก็มิใช่ความลับแต่อย่างใด”
“อ้อ...”
มันหันไปมองหน้าหวงไป๋ยู่ ฝ่ายนั้นพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“ก่อนหน้าที่เตียเตียของข้าพเจ้าจะมาทำธุรกิจค้าขาย ท่านเคยฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนักหวู่ตัง* (สำนักบู๊ตึ๊งในภาษาฮกเกี้ยน) ระหว่างฝึกวิชาอยู่ในสำนัก ท่านมีสหายสนิทผู้หนึ่ง นามหวงไป๋หลง หลังบิดาข้าพเจ้าเห็นว่าตัวเองไม่เหมาะกับเรียนวิชายุทธ์ ดังนั้นจึงลาออกมาทำมาค้าขาย ก่อนจากกันท่านได้ให้ป้ายหยกสีขาวที่สลักอักษรเป่ากับหวงไป๋หลงไว้เป็นของที่ระลึก ภายหลังหวงไป๋หลงผู้นี้ลาออกจากสำนัก หายตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงปรากฏนามยู่เหลียนเทียนสื่อขึ้นมา
เตียเตียมิทราบความเป็นมาเป็นไปของยู่เหลียนเทียนสื่อ กระทั่งหวงไป๋หลงมาเยี่ยมท่านที่บ้าน ท่านจึงทราบว่าหวงไป๋หลงคือยู่เหลียนเทียนสื่อ และป้ายหยกที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ก็คือป้ายที่ท่านได้ให้ไว้เป็นที่ระลึก
ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเล็กนัก แต่ก็จำได้ว่าทั้งสองท่านคุยกันจนดึกดื่นค่อนคืน หวงไป๋หลงพักอยู่ที่บ้านเตียเตียสามวัน หลังจากนั้นท่านก็เขียนจดหมายติดต่อเตียเตียเรื่อยมา ทั้งหมดเป็นจดหมายบอกเล่าเรื่องราวที่ท่านไปเผชิญ ไม่มีฉบับใดที่มีเรื่องกู้หนี้ยืมสินหรือขอเงินทองเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว เตียเตียตอบจดหมายโดยให้ผู้รับใช้นำไปส่งเป็นทอดๆ เนื่องจากหวงไป๋หลงต้องการอำพรางร่องรอยของตัวเอง จึงไม่อาจบอกที่อยู่ได้
กระทั่งวันที่ตบแต่งภรรยา ท่านจึงเชิญเตียเตียไปเป็นแขก เตียเตียจึงได้เห็นสถานที่อยู่อาศัยของหวงไป๋หลงเป็นครั้งแรก ท่านเล่ากับข้าพเจ้าว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่สงบและสวยงาม”
กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของอู๋หยางจงพลันมีน้ำเอ่อขึ้นมา “มิทราบซือหม่าเทียนใช้วิธีใดจึงสืบทราบความสัมพันธ์นี้ มันจึงได้ปลอมลายมือเตียเตีย เขียนจดหมายถึงหวงไป๋หลง เพื่อลวงมันมาสังหาร เมื่อเตียเตียทราบความจริง ท่านถึงกับตรอมใจด้วยความรู้สึกผิดที่เป็นเหตุให้สหายรักต้องตายไป หลังจากหวงไป๋หลงตายที่บึงเซิ่งไคเหลียนสามปี เตียเตียของข้าพเจ้าก็เสียชีวิต ตอนนี้ท่านได้ทราบแล้ว เหตุใดข้าพเจ้าจึงมิคิดเหลือบแลเทียนซั่งเฟยอิงเลยแม้แต่น้อย”
ลู่หยุนถึงกับนิ่งอึ้งไป อู๋หยางจงมองมัน แล้วพูดสืบต่อ “แต่ท่านมิต้องรู้สึกเสียใจ ที่ไปเมื่อวานมิใช่การบีบบังคับข้าพเจ้าแม้แต่น้อย ถึงแม้ซือหม่าเทียนมิใช่ตัวดี แต่บุตรของมัน เสี่ยวเลี่ยงผู้นั้น กลับถูกใจข้าพเจ้าไม่น้อย หากท่านต้องการให้ข้าพเจ้าไปเทียนซั่งเฟยอิงผายอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็ยินดีไป เนื่องเพราะติดใจปิศาจน้อยตัวนั้นอย่างยิ่ง”
ใบหน้าของลู่หยุนปรากฏรอยยิ้มซาบซึ้งใจ อู๋หยางจงยื่นมือไปตบหลังมือมันเบาๆ “มา ท่านกับข้าพเจ้ามาคว่ำกันคนละจอก ตอนนี้ท่านทราบเรื่องที่ไม่ทราบแล้ว ต่อไปเป็นตาท่านเล่าเรื่องที่พวกเราไม่ทราบบ้าง”
กล่าวจบก็หยิบจอกสุรามากรอกจนแห้งไป ลู่หยุนเทสุราลงจอก กรอกลงไปอีก แล้วหันไปหาหวงไป๋ยู่ “อู๋เกอของข้าพเจ้านับท่านเป็นพวกแล้ว ดังนั้น ท่านคว่ำหนึ่งจอก”
หวงไป๋ยู่ยกจอกสุราขึ้นกรอก ก่อนจะหันมายิ้มให้ลู่หยุน “ท่านมองข้าพเจ้าดื่มสุรา? ท่านกำลังมองหาสิ่งใด?”
“นิ้วของท่าน”
ตั้งแต่พบกัน หวงไป๋ยู่มิเคยปล่อยให้นิ้วของมันโผล่พ้นออกมาจากนอกแขนเสื้อเลย แม้กระทั่งตอนหยิบไหสุราขึ้นดื่ม มันยังใช้แขนเสื้อหยิบไป เรื่องนี้กระตุ้นความสนใจของลู่หยุนยิ่งนัก
“ท่านต้องการดูนิ้วของข้าพเจ้า?” หวงไป๋ยู่ถาม ก่อนจะกล่าวต่อ “เช่นนั้นท่านต้องให้ข้าพเจ้าดูกระบี่ไม้ที่เอวของท่าน”
ลู่หยุนส่งเสียงเป็นเชิงปฏิเสธในคอ หวงไป๋ยู่ถามต่อ “ท่านมิยินยอมให้ผู้อื่นดูกระบี่เล่มนั้นจริงๆ?”
“มิใช่ข้าพเจ้ามิยินยอม แต่เนื่องเพราะกระบี่นี้มิใช่ของไว้สำหรับดู”
“อ้อ...”
“กระบี่ของมันไม่มีที่ใดน่าดูจริงๆ” อู๋หยางจงพูดแทรกขึ้น “ท่านควรถามมันเรื่องอื่น”
“ข้าพเจ้าไม่มีคำถามต่อมัน” หวงไป๋ยู่ว่า “แต่คาดมันต้องมีคำถามต่อข้าพเจ้าอีก”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าต้องถามต่อ เตียเตียท่านเป็นจอมขโมยแห่งยุค ไฉนท่านออกสู่ยุทธจักรสองเดือน ถึงกับลงมือสังหารเหล่าโจรไปร่วมสองร้อยศพ”
อู๋หยางจงถึงกับอุทานออกมา “ไฮ้! มีเรื่องเช่นนี้”
หวงไป๋ยู่ส่งเสียงอืมในคอ แล้วกล่าว “แม้เตียเตียของข้าพเจ้าเป็นจอมขโมย แต่ก็เป็นจอมขโมยที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้น เตียเตียกับโจรพวกนั้นมิมีส่วนใดเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว บรรดาพวกที่ตาย ล้วนเป็นเพราะโชคร้าย บังเอิญข้าพเจ้าผ่านทางไปพอดี”
“เหตุผลนี้กลับฟังได้” ลู่หยุนว่า “ได้ยินว่ามาของท่าน ผ่านไปที่ใดที่นั่นมักมีคนตายเสมอ นางมักกล่าวประโยคคล้ายคลึงกัน ‘ข้าพเจ้าบังเอิญผ่านทางมา’ ”
หวงไป๋ยู่หัวร่อหึๆ “ดูท่านรอบรู้เรื่องราวของผู้อื่นมิใช่น้อย”
อู๋หยางจงพยักหน้า “มันรู้เรื่องผู้อื่นไม่น้อยจริงๆ”
“แล้วเรื่องของท่านเล่า สามารถบอกเล่าได้หรือไม่?”
“นั่นต้องดูว่าท่านต้องการให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องใด”
“หากข้าพเจ้าถามท่าน เป็นผู้ใด ไหนจึงต้องสอดมือยุ่งเรื่องผู้อื่น?”
“ข้าพเจ้าตอบท่าน ข้าพเจ้าลู่หยุน เผอิญเป็นโรคประหลาด หากมิสอดมือยุ่งเรื่องผู้อื่น มิแน่ต้องปวดหัวจนตายไปเอง”
“ท่านมิกลัวผู้อื่นช่วยแก้อาการปวดหัวของท่านด้วยการตัดศีรษะท่านไป”
ลู่หยุนหัวร่อออกมา “หากข้าพเจ้ากลัว บัดนี้ข้าพเจ้าย่อมมินั่งเสนอหน้าอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าถามท่าน ท่านกับอู๋หยางจงเริ่มติดต่อกันเมื่อใด?”
“ท่านต้องการทราบเรื่องราวของผู้อื่นให้ได้?” อู๋หยางจงโพล่งออกมา ลู่หยุนพยักหน้า
“ข้าพเจ้าต้องการทราบให้ได้ เรื่องที่ข้าพเจ้าต้องการทราบ ข้าพเจ้าต้องทราบให้ได้เสมอ”
อู๋หยางจงพลันถอนหายใจ “เป็นมันเริ่มติดต่อข้าพเจ้าเมื่อห้าวันก่อน”
-
“อ้อ...”
“ข้าพเจ้าเขียนจดหมายมา” หวงไป๋ยู่ว่า “เป็นจดหมายธรรมดาฉบับหนึ่ง”
“ในจดหมายฉบับนั้นย่อมมีไป๋ยู่เย้าเฉียวแนบมา เนื้อหาในจดหมายเป็นนัดหมายส่งมอบของให้คนผู้หนึ่ง ใช่หรือไม่?”
อู๋หยางจงถึงกับกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ “ท่านทราบได้อย่างไร? จดหมายฉบับนั้นข้าพเจ้าเผาทิ้งไปแล้ว”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “เป็นอันว่าข้าพเจ้าคาดเดาถูกต้อง ท่านได้รับจดหมายที่มีไป๋ยู่เย้าเฉียว ท่านทราบเป็นทายาทของหวงไป๋หลง สหายสนิทของเตียเตียท่านส่งมา ที่ข้าพเจ้าสงสัย ไฉนท่านยินยอมเชื่อถ้อยคำในจดหมาย ท่านไม่กลัวเป็นแผนลวง?”
“หากมีเพียงจดหมาย ข้าพเจ้าย่อมไม่เชื่อ แต่เพราะในจดหมายมีไป๋ยู่เย้าเฉียว ข้าพเจ้าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ”
“ดังนั้น ท่านจึงไปถามที่จดหมายบอก”
“อืม...”
“สถานที่นั้นคือหอว่านเหนี่ยว* (หอหมื่นปักษา) ”
คราวนี้หวงไป๋ยู่มีสีหน้าตระหนกบ้างแล้ว ขณะที่อู๋หยางจงพยักหน้าด้วยความจนใจ “ถูกของท่าน ข้าพเจ้ามิเข้าใจ ไฉนท่านจึงทราบเรื่องนี้ได้”
“ท่านตอบคำถามข้าพเจ้าให้จบ ข้าพเจ้าจะเฉลยเหตุผลกับท่านเอง”
“ตอนท่านไปถึง เป็นยามวิกาล หอย่อมคึกคัก”
“อืม”
“แต่มิมีผู้ใดทราบว่าท่านเป็นจินก้วน เนื่องเพราะท่านต้องไปในสารรูปที่ต่างไป”
อู๋หยางจงรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา “ถูกของท่าน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านมิต้องทราบ ข้าพเจ้าไปด้วยสารรูปเช่นไร”
“แน่นอน ข้าพเจ้ามิต้องการทราบรายละเอียดเรื่องนี้ของท่าน เมื่อท่านไปถึงหอว่านเหนี่ยว ท่านได้มอบไป๋ยู่เย้าเฉียวให้กับคณิกาผู้หนึ่งซึ่งท่านไม่เคยเห็น”
อู๋หยางจงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงโพล่งออกมา “ท่านกล่าวถูกต้อง ถูกต้องทุกคำ ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องถามท่านแล้ว ไฉนท่านถึงทราบได้?”
“เนื่องเพราะประการแรก ข้าพเจ้าทราบว่าตอนนี้ไป๋ยู่เย้าเฉียวอยู่ที่ใด”
“ที่ใด?”
“เทียนซั่งเฟยอิงผาย”
อู๋หยางจงนิ่งไปอึดใจ ก่อนกล่าว “ข้าพเจ้าทราบ ป้ายนี้อย่างไรต้องถูกส่งไปหาซือหม่าเทียน เมื่อคืนมันรั้งท่านให้พักค้างก็เพราะเรื่องนี้?”
“อืม... ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทราบว่าผู้ใดนำป้ายไปที่เทียนซั่งเฟยอิง”
“ผู้ใด?”
“ศิษย์ผู้หนึ่งนามโฉวหลวน ท่านย่อมมิเคยพบเห็นมัน เนื่องเพราะหวงไป๋ยู่ต้องการกระทำเรื่องนี้ให้เป็นความลับ ที่มันเขียนจดหมายถึงท่าน ใช้ท่านทำดังนี้ ข้าพเจ้าคาดว่ามันต้องการทดสอบ ว่าท่านไว้ใจได้หรือไม่?”
หวงไป๋ยู่ส่งเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว “ท่านกล่าวถูกต้อง ที่ข้าพเจ้าทำไป มีเจตนาทดสอบมันจริงๆ”
“ตอนนี้ท่านก็ทราบแล้ว อู๋เกอของข้าพเจ้าเป็นคนซื่อตรงขนานแท้ ดังนั้น ภายภาคหน้าท่านต้องวางใจมัน”
“ตอนนี้ข้าพเจ้าวางใจมันแล้ว”
ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ “เนื่องจากเทียนซั่งเฟยอิงผายไม่มีกฎให้ศิษย์เอาแต่จับเจ่าเฝ้าอยู่ในสำนัก ดังนั้น หากท่านคิดจะคร่าตัวศิษย์เทียนซั่งเฟยอิงผายสักคน โดยมิมีใครสงสัย สถานที่นั้นย่อมเป็นหอว่านเหนี่ยว หากบุรุษผู้หนึ่งเข้าไปในหอคณิกาแล้วหายไปทั้งคืน ย่อมไม่มีผู้ใดสงสัยว่ามันถูกคร่าตัวแน่นอน”
อู๋หยางจงผงกศีรษะแรงๆ “นับว่ามีเหตุมีผล”
ลู่หยุนเหลือบไปมองหวงไป๋ยู่ “เมื่อครู่ ตอนท่านเข้ามา ท่านโป้ปดออกมาคำหนึ่ง ท่านบอก ‘ในที่สุดพวกเราก็พบกันจนได้’ ที่จริงท่านมิได้พบอู๋หยางจงเป็นครั้งแรก คืนนั้นที่หอว่านเหนี่ยว คณิกาที่ออกมารับป้ายคือท่าน”
ครั้งนี้หวงไป๋ยู่กระโดดขึ้นจากเก้าอี้จริงๆ มันมองลู่หยุนด้วยดวงตาที่แฝงความประสงค์ร้ายไว้สามส่วน ความแปลกใจห้าส่วน
“ท่านมิอาจใช้วาจาโคมลอยกล่าวหาผู้คน”
ลู่หยุนคลี่ยิ้มละไม “ไฉนท่านจึงต้องมีโทสะ คณิกาในหอว่านเหนี่ยวมีกี่คน อู๋เกอของข้าพเจ้าล้วนจำได้ทุกคน ท่านย่อมทราบความข้อนี้ ดังนั้นท่านจึงต้องเสาะหาคณิกามันไม่รู้จักและไว้ใจได้ หากข้าพเจ้ามีรูปงามเช่นท่าน ข้าพเจ้าจะไม่เสียเวลาไปหาผู้ใด ยังคงปลอมเป็นนางคณิกาเองจึงปลอดภัยกว่า กลางคืนมิใช่กลางวัน แสงโคมก็มิใช่แสงตะวัน ภายใต้บรรยากาศเช่นนั้น ต่อให้เป็นอู๋เกอของข้าพเจ้า ก็ยากจะแยกบุรุษสตรีออกแล้ว”
ใบหน้าของหวงไป๋ยู่กลายเป็นสีแดง แดงจนแทบคล้ำ มันพยายามสะกดอารมณ์แทบตาย จึงกล่าวขึ้นมาได้ “ก็ได้ ข้าพเจ้ายอมรับ ข้าพเจ้าโป้ปด นางคณิกาผู้นั้นเป็นข้าพเจ้าปลอมแปลงเอง”
“อืม ข้าพเจ้าทราบ ท่านมิใช่คนโง่ ดังนั้นเมื่อท่านสามารถปลอมเป็นนางคณิกาหลอกอู๋เกอได้ ท่านย่อมสามารถหลอกศิษย์เทียนซั่งเฟยอิงผายได้ด้วยเช่นกัน”
จู่ๆ สีหน้าของอู๋หยางจงก็พลันแดงขึ้น “นี่... คงมิใช่ว่าท่าน...”
“ข้าพเจ้ามิได้! ” หวงไป๋ยู่ตวาดออกมา “หากท่านคิดกล่าววาจาบัดซบเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะสังหารท่าน”
อู๋หยางจงพลันหุบปากสนิท ขณะที่ลู่หยุนหัวร่อขึ้นมา “ท่านมิต้องมีโทสะกับอู๋เกอถึงเพียงนั้น มันย่อมทราบ ท่านต้องไม่ทำเรื่องบัดซบกับศิษย์ผู้นั้น ที่ท่านทำเพียงแค่จี้จุดมันให้สลบ แล้วเย็บห่อผ้าที่มีกล่องใส่ไป๋ยู่เย้าเฉียวติดกับหลังของมัน จากนั้นจึงปลุกมันให้ตื่นแล้วจี้จุดบนร่างกาย กระตุ้นให้มันคลุ้มคลั่งวิ่งเตลิดออกไป”
หวงไป๋ยู่มองลู่หยุนด้วยสายตาเย็นชาคล้ายดาบที่คมกริบเล่มหนึ่ง “นับว่าท่านคาดเดาได้ละเอียดอย่างยิ่งจริงๆ นับว่าสามารถขู่ขวัญข้าพเจ้าได้เล็กน้อย แต่หวังให้ข้าพเจ้าชื่นชมท่าน เฮอะๆ อย่าได้หมาย”
“ท่านคล้ายยังมิเข้าใจ ข้าพเจ้าจวบจนบัดนี้ยังมิเคยต้องการให้ผู้ใดมาชื่นชมเลย ที่กล่าวมาจนถึงตอนนี้ เพียงต้องการเตือนสติท่าน ท่านมิควรกระทำการอำมหิตจนเกินไป การตายของเตียเตียของท่านเป็นเรื่องที่สมควรสะสาง แต่นี่เป็นเรื่องระหว่างท่านกับซือหม่าเทียน มิเกี่ยวข้องกับอู๋หยางจง ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์ที่ชื่อโฉวหลวน ท่านไม่ควรดึงผู้อื่นเข้ามาพัวพันในเรื่องส่วนตัวของท่าน”
“วาจาที่ท่านต้องการกล่าว จบแล้วหรือไม่?”
“จบแล้ว”
“เช่นนั้นข้าพเจ้าขอลา” กล่าวจบก็พุ่งตัวออกประตูไป ลู่หยุนพึมพำออกมา
“วิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยม”
อู๋หยางจงหันไปมองมัน “ย่อมมิอาจเปรียบกับวิชาคาดเดาที่ยอดเยี่ยมของท่าน ข้าพเจ้าคาด มันตอนนี้ต้องแค้นท่านจนใคร่จะฆ่าให้ตาย เนื่องเพราะท่านเปิดโปงเรื่องที่มันปลอมเป็นสตรี”
“อืม... หากเป็นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยืดอกรับอย่างภาคภูมิใจ” ลู่หยุนว่า อู๋หยางจงถลึงตามองมัน
“เรื่องเช่นนี้ท่านยังสามารถยืดอกรับได้”
“แน่นอน หากข้าพเจ้าสามารถแปลงโฉมเป็นนางคณิกาที่งดงามจนหลอกลวงบุรุษได้ ข้าพเจ้าจะต้องประกาศให้ผู้คนได้รับทราบโดยทั่วกัน ท่านว่านี่มิใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจ?”
อู๋หยางจงสั่นศีรษะ “น่ากลัวทั้งโลกนี้ บุรุษที่หน้าด้านเช่นท่าน คงมีแค่คนเดียว”
---------------------------------------------
(จบตอน)
-
เหมยแดง
บทที่6 ไป๋ยู่หลัน
หวงไป๋ยู่จากไปแล้ว แต่ลู่หยุนยังอยู่ ดังนั้นตอนนี้ประตูของหมิงซิ่งลู่โหลวจึงปิดลง
อู๋หยางจงยังสามารถรับประทานมื้อเช้าของมันต่อไปได้ ลู่หยุนเองก็รับประทานมื้อเช้าเช่นกัน เมื่อพวกมันรับประทานเสร็จ ก็ชวนกันดื่มสุราต่อ แต่ดื่มสุราในห้องอาหารย่อมไม่ได้สุนทรียรส ดังนั้นอู๋หยางจงจึงเสนอให้ออกไปดื่มในสวน
ในสวนมีเก๋งน้ำชา ข้างเก๋งน้ำชามีต้นเหมย ต้นเหมยในหมิงซิ่งลู่โหลวยังผลิดอกมากกว่า และสวยงามกว่าต้นเหมยที่บึงเซิ่งไคเหลียน เนื่องเพราะมันเป็นเหมยที่มีผู้ดูแล
ลู่หยุนสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเหมย แล้วอดนึกถึงหวงไป๋ยู่มิได้
“มันต้องเป็นคณิกาที่งามอย่างยิ่งแน่ๆ”
อู๋หยางจงเขม้นมอง “ท่านยังคงติดใจเรื่องนี้?”
“แน่นอน”
“ท่านอิจฉาที่ตัวเองมิมีความสามารถแปลงโฉมเช่นนั้นกระมัง”
“ท่านมั่นใจว่าข้าพเจ้ามิมีความสามารถ? ไม่แน่ข้าพเจ้ายังอาจจะสวยกว่ามัน”
อู๋หยางจงสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย “ข้าพเจ้าเพียงเริ่มคิดก็คล้ายจะอาเจียน ดังนั้น ท่านไม่ควรจะพยายามเอาชนะมันในเรื่องนี้จึงประเสริฐ”
“อ้อ...”
“เมื่อค่ำวานนอกจากท่านได้ดูไป๋ยู่เย้าเฉียว ซือหม่าเทียนยังขอร้องให้ท่านทำสิ่งใด?”
“ท่านทราบมันมีเรื่องต้องการขอร้องข้าพเจ้า?”
“ข้าพเจ้าย่อมทราบ มันโอ้อวดการมาของท่านถึงเพียงนั้น ย่อมต้องการอาศัยชื่อของท่านปกป้องตัวเอง”
“ประการนี้ท่านดูคนผิดไปแล้ว” ลู่หยุนว่า จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องน้อยให้อู๋หยางจงฟัง เมื่อฟังจบ อู๋หยางจงพลันตบเข่าฉาด
“จุดประสงค์การคาดเดาของท่านเมื่อครู่ ที่แท้เพราะต้องการมิให้หวงไป๋ยู่ทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง อืม... นับว่าซือหม่าเทียนขอร้องถูกคนจริงๆ”
“ท่านควรทราบ จริงๆ ซือหม่าเทียนมิใช่คนเลวร้าย”
“มันย่อมมิใช่คนเลวร้าย แต่มันเป็นต้นเหตุทำให้เตียเตียของข้าพเจ้าตายไป” อู๋หยางจงว่า ลู่หยุนมองมันแล้วกล่าว
“ท่านมิยอมให้อภัย?”
“ข้าพเจ้าย่อมมิสามารถให้อภัยมัน แต่ไม่พาลไปลงกับบุตรของมันก็แล้วกัน”
“ข้าพเจ้าทราบท่านต้องมิใช่คนแบบนั้น แต่กับหวงไป๋ยู่ มิทราบมันจะทำได้หรือไม่?”
“หากมันคิดลงมือต่อพี่น้องซือหม่า ท่านก็จะลงมือกับมัน?”
“อืม”
“ท่านสามารถหักใจลงมือได้ ข้าพเจ้ามองออก ท่านแท้จริงพอใจมันอย่างยิ่ง หากมิได้คบมันเป็นสหายน่ากลัวท่านต้องไม่อาจนอนหลับสนิทได้”
ลู่หยุนหัวร่อออกมา แต่ดวงตากลับมีประกายเย็นยะเยียบ “เรื่องที่ข้าพเจ้ารับปากผู้ใดแล้ว ข้าพเจ้าย่อมต้องทำให้ได้”
--------------------------------------
ตะวันลับฟ้าแล้ว การค้ายามค่ำคืนเริ่มคึกคัก ตามตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน เสียงมโหรีบรรเลง เสียงหัวร่อต่อกระซิก ดังแว่วมาให้ได้ยินในอากาศ
นี่คือตรอกกลางคืนที่คึกคักที่สุดในเมือง ภายในตรอกแห่งนี้เต็มไปด้วยสถานเริงรมย์ชั้นสูง ผู้ที่เข้ามาย่อมต้องมีกระเป๋าที่หนาสักหน่อย
ลู่หยุนยังคงสวมชุดของเมื่อวาน มวยผมบนศีรษะยุ่งเหยิงเล็กน้อย อันที่จริงนับตั้งแต่มันถูกอู๋หยางจงไล่ให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จนกระทั่งบัดนี้มันยังไม่เคยส่องกระจกมองตัวเองแม้แต่แว้บเดียว ดังนั้นสภาพของมันที่ผู้คนพบเห็น ย่อมคล้ายคนที่เพิ่งลุกมากจากที่นอน สวมเสื้อผ้าโดยไม่ทันได้มองกระจก ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง
สภาพเช่นนี้ ความจริงไม่ควรเป็นที่ต้อนรับ แต่ลู่หยุนคล้ายมีความพิเศษบางประการ ต่อให้มันไม่อาบน้ำส่องกระจกถึงสามเดือน ประตูหอคณิกาที่เลื่องชื่อที่สุดของเมือง ก็ยังคงต้องเปิดให้มัน
อย่างน้อยๆ ต่อให้มันไม่ล้างหน้า ไม่อาบน้ำ แต่ในมือมันของมันมีแท่งทอง
แท่งทองคล้ายดั่งกุญแจที่สามารถไขประตูหอคณิกาได้ทุกที่ ขอเพียงท่านมีแท่งทองที่หนักพอ มิว่าสภาพของท่านจะเป็นเช่นไร หอคณิกาย่อมต้องเปิดต้อนรับท่าน
ที่ลู่หยุนมาก็เป็นหอคณิกา หอคณิกาที่ใหญ่โตหรูหราที่สุดของเมือง และเป็นหอที่นางคณิกามีค่าตัวแพงอย่างยิ่ง
หอว่านเหนี่ยว
ก่อนจะเดินเข้าประตู มันมาเพียงผู้เดียว แต่พอก้าวเท้าผ่านประตูไป ข้างกายมันก็มีคนเพิ่มขึ้นทันที
ล้วนเป็นดรุณีเยาว์วัยที่น่ารักน่าเอ็นดู
ลู่หยุนแย้มยิ้มให้กับดรุณีเหล่านั้น ยอมให้พวกนางจูงมือมันไปนั่งที่โต๊ะ
“กงจื่อท่านนี้ มิทราบคืนนี้ต้องการพบผู้ใด”
“ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการพบ ต้องเป็นผู้ที่สวมเสื้อแขนยาวเป็นพิเศษ ผมดำขลับดั่งนกกาน้ำ ดวงตาคล้ายกลีบเหมย”
ดรุณีผู้หนึ่งแย้มยิ้มขึ้น “ที่ท่านต้องการหาคือไป๋ยู่หลัน* (ดอกจำปี) น่าเสียดาย วันนี้นางมิรับแขก”
“อ้อ... ไฉนนางมิรับแขก”
“นางแจ้งว่าป่วย”
“อ้อ...”
“ดังนั้น ท่านยังสามารถเลือกผู้อื่น”
“ข้าพเจ้ามิต้องการผู้อื่น ยังคงเป็นนาง ข้าพเจ้าวานท่านไปบอกนาง มีบุรุษผู้หนึ่ง ขี่เมฆ* (หยุน) มาพบนาง นางตอบว่ากระไรท่านมาบอกต่อข้าพเจ้า”
มิพูดเปล่า มันยังยัดแท่งทองเล็กๆ แท่งหนึ่งให้กับดรุณีน้อยผู้นั้น นางแย้มยิ้มให้มันอย่างชดช้อย แล้วบิดตัวออกไปทันที
“ข้าพเจ้าต้องการสุราที่ดีที่สุดหนึ่งไห ส่งไปที่ห้องของไป๋ยู่หลัน” ลู่หยุนกล่าวกับดรุณีที่นั่งอยู่ข้างกายมัน นางหัวร่อคิกคัก
“คล้ายท่านมั่นใจอย่างยิ่ง นางยินดีต้อนรับท่าน”
ลู่หยุนเลิกคิ้วมองนาง “หรือท่านแน่ใจว่านางมิยินยอมต้อนรับข้าพเจ้า”
“บอกกับท่านตามตรง ไป๋ยู่หลัน แม้เพิ่งมาใหม่ แต่ค่าตัวของนางแพงอย่างยิ่ง แพงยังมิพอ นางต้องเลือกแขกด้วยตัวเอง หากนางมิพอใจแขก มิว่าท่านจะใช้เงินเท่าใดก็ไม่อาจร่วมห้องกับนางได้”
“อ้อ... แม้แต่มามา* (แม่เล้า) ของที่นี่ก็ไม่อาจบังคับนาง”
“ไม่อาจ เนื่องเพราะตั้งแต่นางมา สามารถหาเงินทองให้ที่นี่ได้มากมาย ดังนั้น เสิ่นมามาจึงตามใจนางเสมอมา”
“นางมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร”
“ราวหนึ่งสัปดาห์ก่อน”
“นางสามารถเล่นดนตรีได้หรือไม่?”
“เล่นได้ดียิ่ง โดยเฉพาะกู่เจิง นางยังสามารถมากกว่านักดนตรีในที่นี้เสียอีก”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “นางสามารถร้องเพลงได้หรือไม่?”
“นี่ยังมิแน่นัก เพราะยังมิเคยมีผู้ใดได้ยินนางร้องเพลง”
“คืนนี้ข้าพเจ้าจะให้นางร้องเพลง”
ดรุณีน้อยผู้นั้นใช้ปลายนิ้วจิ้มหน้าอกของลู่หยุนเบาๆ “ข้าพเจ้าจะรอดู เป็นท่านหลงตัวเอง หรือนางยินดีต้อนรับท่านจริงๆ”
“ท่านไม่ต้องรอนาน คำตอบมาแล้ว”
ดรุณีน้อยที่ลู่หยุนกำนัลทองคำไปเมื่อครู่ ย้อนกลับเข้ามาที่โต๊ะ แล้วกล่าว
“ไป๋เจียเจี่ยเชิญท่านที่ห้อง”
---------------------------------
หอว่านเหนี่ยวเป็นหอคณิกาชั้นสูง ด้านล่างว่าตกแต่งสวยงามแล้ว ห้องที่ด้านบนยิ่งตกแต่งสวยงามกว่า ตอนนี้ลู่หยุนหยุดยืนอยู่หน้าประตูที่มีลวดลายงดงามบานหนึ่ง ถึงกับเป็นลายของดอกเหมย ดรุณีน้อยที่นำทางมันมาส่งเสียงเรียก
“ไป๋เจียเจี่ย แขกของท่านมาแล้ว”
ประตูพลันเปิดออก แต่ไม่เห็นร่างคน ลู่หยุนหันมาคลี่ยิ้มให้นาง “ตอนนี้ท่านไปได้แล้ว”
ก่อนเข้าประตูมันยังกำนัลให้นางอีกตำลึงทองหนึ่ง ดรุณีผู้นั้นถึงกับดีใจจนต้องรีบวิ่งไปอวดมิตรสหายของนางทันที
ภายในห้องตกแต่งหรูหรา แต่ทว่าสีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสีดำ
สีดำบางทีมีความหมายอัปมงคลอย่างยิ่ง แต่บางทีก็คล้ายลึกลับน่าค้นหาอย่างยิ่ง
ลู่หยุนปิดประตู ลงดาลเสียงแผ่วเบา ที่โต๊ะสุราเบื้องหน้ามัน ถึงกับมีสตรีที่งดงามราวภาพวาดนั่งอยู่นางหนึ่ง
หวงไป๋ยู่
ครั้งนี้ มันถึงกับแย้มยิ้มให้ลู่หยุนได้ เป็นรอยยิ้มที่คล้ายจะสามารถละลายกระดูกบุรุษได้ทั้งตัว ลู่หยุนแย้มยิ้มตอบ แล้วลากเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามมัน
“หากข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าท่านเป็นผู้ใด น่ากลัวข้าพเจ้าต้องหลงท่านจนตายไป”
“ข้าพเจ้าทราบ รอยยิ้มเช่นนี้ยังคงมิสามารถหลอกลวงท่านได้ แต่ยังคงต้องการทดสอบดู”
ลู่หยุนกวาดสายตามองคู่สนทนาขึ้นๆ ลงๆ “นับว่าท่านสามารถปลอมแปลงได้ดีเยี่ยม งามจนข้าพเจ้าแทบแยกมิออกเลยทีเดียว”
“เมื่อทราบว่าเป็นท่าน ข้าพเจ้าจึงจงใจตบแต่งตัวเองให้ดูสวยงามเป็นพิเศษ” หวงไป๋ยู่กล่าวเสียงนุ่มนวล เสียงของมันถึงกับคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน รอยยิ้มของลู่หยุนคล้ายฝืนขึ้นหน่อยแล้ว
“นับว่าไม้นี่ของท่าน สามารถได้ผลอยู่บ้าง อย่างน้อยก็สามารถสะกดข้าพเจ้าให้งงงันไปชั่วครู่หนึ่ง ดังนั้น ท่านสมควรภูมิใจในฝีมือการปลอมแปลงตัวของท่าน”
หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะ “ข้าพเจ้ายังคงมิภูมิใจ ต้องสามารถสะกดท่านได้ตลอดการ ข้าพเจ้าจึงสามารถภูมิใจได้”
“ฮาๆ คาดไม่ถึง ท่านยังคงมีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย ดีที่ข้าพเจ้าสมถะกว่านั้นมาก สามารถเห็นท่านในสภาพนี้ได้ ข้าพเจ้ามีความภูมิใจไม่น้อยทีเดียว”
รอยยิ้มของหวงไป๋ยู่เลือนหายไปแล้ว ดวงตาพลันกลายเป็นแข็งกระด้าง
“ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด? หรือยังเย้ยหยันข้าพเจ้าไม่สาแก่ใจอีก”
ลู่หยุนรีบโบกมือ “ข้าพเจ้ามิได้มาเย้ยหยันท่าน ที่ข้าพเจ้ากล่าวล้วนเป็นวาจาจริงใจ หากมีความสามารถเยี่ยงท่าน ข้าพเจ้ากลับภูมิใจไม่น้อยทีเดียว”
หวงไป๋ยู่แค่นหัวร่อออกมา “วาจาที่ท่านกล่าว หากจะให้ข้าพเจ้าเชื่อถือ ท่านต้องแสดงให้เห็นก่อน”
“อย่างไร”
“ท่านลองมาแต่งเป็นนางคณิกา”
อีกฝ่ายตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “เชิญท่านจัดการ”
หวงไป๋ยู่เลิกคิ้วด้วยความงงงันเพียงวูบเดียว ก่อนจะส่งเสียงเรียก “เซียวเซียว เจ้าเข้ามาหาเรา”
น้ำเสียงของมันยังคล้ายอิสตรีไม่ผิดเพี้ยน ยาโถว* (เอียเท้าในภาษาฮกเกี้ยน – ดรุณีวัยเยาว์ที่มีฐานะต่ำ บางครั้งใช้เรียกผู้หญิงในเชิงเอ็นดู – ผู้เขียน) น้อยผู้หนึ่งผลักประตูเล็กที่อยู่อีกด้านของห้องเข้ามา
ที่แท้ ในห้องนี้ยังมีประตูอีกบานซ่อนอยู่
คล้ายกลัวลู่หยุนจะคืนคำพูด หวงไป๋ยู่กล่าวสืบต่อ “เจ้าไปตระเตรียมเสื้อผ้าของเรา ชุดที่เราสวมวันแรก พร้อมน้ำสะอาดหนึ่งถัง กับผ้าเช็ดตัว”
“ไป๋เจียเจี่ย ท่านคิดจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อตอนนี้?” ยาโถวน้อยนามเซียวเซียวเอ่ยปากถาม หน้าตาของนางไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ออกจะดูไร้เดียงสาสักเล็กน้อย หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะ
“ไม่ใช่เรา เป็นมัน”
เซียวเซียวมีสีหน้าคล้ายจะหัวเราะก็มิใช่ ตกใจก็มิเชิง นางยืนนิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ จวบจนหวงไป๋ยู่ส่งเสียงอีกครั้ง นางจึงรีบวิ่งออกไป
“ตอนนี้ท่านสำนึกเสียใจบ้างแล้วกระมัง?”
ลู่หยุนสั่นศีรษะ หวงไป๋ยู่จึงกล่าวสืบต่อ “หรือท่านมั่นใจ ข้าพเจ้ามิกล้าตบแต่งท่านให้เป็นสตรี?”
“ข้าพเจ้าทราบ ท่านกล้า”
“แต่ท่านไม่คิดเปลี่ยนใจ?”
“ยามที่ข้าพเจ้าตกลงใจทำสิ่งใด มิเคยเปลี่ยนใจเสมอมา และต้องกระทำให้สำเร็จด้วย” ลู่หยุนว่า “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอท่านอีกเรื่อง”
“เรื่องใด?”
“ยาโถวเมื่อครู่ ท่านควรเรียกให้มาช่วยแต่งตัวให้ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าชมชอบสีหน้าของนางเป็นยิ่งนัก นับว่าระหว่างที่นางดูข้าพเจ้าถูกท่านแต่งตัว สีหน้าของนางต้องเป็นที่สนุกสนานแน่นอน”
------------------------
เสื้อผ้าถูกนำมาแล้ว เป็นชุดแพรไหมเรียบลื่น สีดำแดง ถังน้ำถูกนำมาแล้ว ผ้าเช็ดตัวก็มาแล้ว
ตอนนี้ท่อนบนของลู่หยุนเปลือยเปล่า แสงโคมภายในห้อง ส่องให้เห็นสัดส่วนบนร่างกายของมัน ถึงกับเป็นสัดส่วนของบุรุษเพศที่สมบูรณ์แบบ
ไหล่ของมันเหยียดตรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทรงพลัง หน้าอกของมันเป็นหนั่นหนา หน้าท้องของมันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ มิมีไขมันสักเปลว มิต้องพูดถึงแขนทั้งสองข้าง ที่คล้ายสามารถช้อนตัวดรุณีน้อยผู้หนึ่งดั่งช้อนกระดาษ
เซียวเซียวเหม่อมองจนตะลึงลานแล้ว นางทำงานอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แม้ยังมิเคยออกต้อนรับแขก แต่ก็เห็นบุรุษเปลือยมาไม่น้อย แต่บุรุษเปลือยที่มีรูปร่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ นางมิเคยเห็นมาก่อนเลย อดมิได้ต้องหน้าแดงด้วยความเขินอาย
หวงไป๋ยู่ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนนั้นชุบน้ำแล้วลูบไล้ไปบนร่างกายของลู่หยุน สีหน้าของมันเรียบเฉยอย่างยิ่ง มิใช่เพราะมันเป็นบุรุษ จึงมิสนใจไยดีจะมองเรือนร่างของบุรุษ แต่เนื่องเพราะมันมิต้องการให้ลู่หยุนสังเกตเห็นสายตาริษยาของมัน
สัดส่วนเช่นนี้ แม้บุรุษด้วยกันเห็นแล้วยังต้องริษยาอยู่สามส่วน
เนื่องเพราะไม่เพียงมาจากการฝึกฝนที่เข้มงวด ยังต้องเป็นมาแต่กำเนิดด้วยเท่านั้น บางคนแม้ฝึกฝนเข้มงวด ก็มิอาจมีรูปทรงสวยงามเช่นนี้ได้
ดังนั้น หวงไป๋ยู่จึงมีสีหน้าเย็นชา หนำซ้ำยังก้มหน้าเล็กน้อย เพื่อซ่อนสายตาเอาไว้ใต้แพขนตาหนา
ผู้ที่ปลอดโปร่งที่สุดในห้อง ยังคงเป็นลู่หยุนที่ถูกเช็ดตัวอยู่นั่นเอง มันถึงกับสั่งให้หวงไป๋ยู่ขัดถูซอกไหล่ของมันแรงๆ ยังสั่งให้ขัดหลังให้แก่มันด้วย
ตอนนี้หวงไป๋ยู่สึก มันมิสมควรหลอกล่อให้ลู่หยุนกระทำเช่นนี้
คล้ายดั่งคนที่ต้องสำนึกเสียใจกลายเป็นมันแล้ว
หลังจากสั่งให้หวงไป๋ยู่ขัดถูขี้ไคลบนร่างของมันจนสาแก่ใจ ลู่หยุนจึงยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า มันสวมเสื้อตัวในของสตรี แต่ด้านล่างยังคงสวมกางเกงตัวเดิม กระบี่ไม้เล่มนั้นก็มิได้ปลดออก เซียวเซียวเห็นเป็นที่ขัดตายิ่งนัก จึงยื่นมือไปหมายจะช่วยปลดออกให้
แต่ขณะที่มือของนางกำลังจะสัมผัสกับตัวกระบี่ มือของลู่หยุนก็พลันตะปบมือของนางไว้ นางเงยหน้าขึ้นมองมันด้วยความตระหนก พลันเห็นรอยยิ้มที่นุ่มนวล
“กระบี่นี้ท่านไม่ต้องปลด กางเกงของข้าพเจ้าท่านก็ไม่ต้องปลด”
เซียวเซียวขัดเขินจนใบหน้าแดงก่ำ นางรีบชักมือออก แล้วหนีไปหลบอยู่ที่ข้างเตียง ขณะที่หวงไป๋ยู่กล่าวขึ้น
“กระบี่ไม้เล่มนี้ ท่านจะมิยินยอมให้ห่างจากตัวเลย”
“แน่นอน”
“กระทั่งตอนท่านหลับนอนกับสตรี?”
“อืม”
หวงไป๋ยู่หัวเราะในลำคอ มันจัดแจงแต่งกายให้ลู่หยุนจนเสร็จสรรพ จากนั้นจึงให้ลู่หยุนไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วเรียกเซียวเซียวให้มาช่วยหวีผม
ผมของลู่หยุนมิได้หวีมาหนึ่งวันเต็ม แน่นอนต้องยุ่งเหยิง แต่ยามสางหวีลงไปกลับมิได้ให้ความรู้สึกเป็นเส้นผมที่หยาบ เพียงสางไม่กี่ครั้ง ผมของมันก็ตรงสลวย หวงไป๋ยู่ถึงกับถอนหายใจ
-
“ท่านมีเรือนผมที่น่าดูอย่างยิ่ง น่าเสียดาย ท่านคล้ายมิใส่ใจ”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้าไม่ชมชอบดูสารรูปตัวเอง ข้าพเจ้าชมชอบดูสารรูปผู้อื่น”
“อ้อ... แต่วันนี้ ท่านสมควรต้องดูสารรูปตัวเองสักครั้ง”
“แน่นอน วันนี้อย่างไร ข้าพเจ้าต้องเห็นสารรูปตัวเองให้ได้”
หลังจากบรรจงปักปิ่นมุกอันสุดท้ายลงบนมวยผมที่เกล้าขึ้นใหม่ของลู่หยุนแล้ว หวงไป๋ยู่ก็นั่งลงข้างมัน แล้วหยิบแป้งทาหน้าขึ้นมา
“หันหน้าของท่านมา ข้าพเจ้าจะแปลงโฉมท่านแล้ว”
ลู่หยุนหันหน้ามา ในดวงตาถึงกับเป็นประกายแย้มยิ้มเล็กน้อย หวงไป๋ยู่ถึงกับหลุบตาลง ใคร่จะควักนัยน์ตาของลู่หยุนออกมาเตะเล่นสักที แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะกระทำเช่นนั้นได้
มันค่อยๆ ทาแป้งลงบนใบหน้าของลู่หยุน ขณะที่เซียวเซียวมองด้วยสายตาเป็นประกาย นางเองก็สงสัย บุรุษเช่นนี้ หากแต่งเลียนเยี่ยงสตรีจะออกมาเป็นสารรูปได้
“ข้าพเจ้ามีเรื่องหนึ่งต้องเตือนท่าน” ลู่หยุนกล่าวหลังหวงไป๋ยู่ทาแป้งให้มันเสร็จ
“เรื่องใด?”
“ท่านต้องระวัง อย่าเขียนคิ้วข้าพเจ้าให้เบี้ยวเด็ดขาด มิเช่นนั้น... เฮอะๆ ผู้ที่ต้องเสียขวัญอาจจะเป็นพวกท่านเอง”
หวงไป๋ยู่หัวร่อออกมา “ท่านสบายใจ ข้าพเจ้าต้องทุ่มเทสุดฝีมือเพื่อแปลงโฉมท่านให้กลายเป็นสตรีที่งดงาม”
“ดี”
มันบรรจงใช้แท่งถ่านแบบพิเศษ เขียนคิ้วให้ลู่หยุน จากนั้นจึงผัดแก้มและแต้มปากด้วยชาด
“เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านดูตัวเองในกระจก” หวงไป๋ยู่กล่าวแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ลู่หยุนหันไปมองกระจกบานใหญ่ในห้อง จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา
“ข้าพเจ้าคล้ายมีความงามอยู่ไม่น้อย”
เซียวเซียวถึงกับต้องยกแขนเสื้อขึ้นปิดปาก เพื่อกั้นมิให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา ส่วนหวงไป๋ยู่มีรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“ท่านภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองจริงๆ”
“แน่นอน” ไม่พูดเปล่า ลู่หยุนลุกขึ้นจากเก้าอี้ จงใจเดินบิดสะโพกเลียนแบบอิสตรี ครั้งนี้เซียวเซียวถึงกับหัวเราะออกมาจริงๆ นางรู้สึก หากยังกลั้นหัวเราะเอาไว้ นางต้องขาดใจตายเป็นแน่
หวงไป๋ยู่ก็หัวเราะแล้ว หัวเราะจนตาหยี ลู่หยุนแสร้งยกแขนเสื้อขึ้นมา บังริมฝีปากของตัวเอง “ข้าพเจ้างามมากกระมัง?”
“งาม งามอย่างยิ่ง” หวงไป๋ยู่ว่า “งามจนข้าพเจ้าแทบขาดใจตายแล้ว”
มันถึงกับหัวร่อจนตัวงอ หัวร่อจนน้ำตาไหลแล้ว
ใบหน้าของลู่หยุนก็มีรอยยิ้ม ดวงตาก็มีรอยยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่นุ่มนวลปานนั้น อบอุ่นปานนั้น
แต่หวงไป๋ยู่มิได้สังเกตเห็น เพราะมันกำลังหัวเราะอยู่ หัวเราะจนทรมานแทบตาย
“พวกท่านท่าทางถูกความงามของข้าพเจ้าล่อลวงให้ไม่สบายแล้ว หากยังหัวเราะอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพวกท่านอาจป่วยได้” ลู่หยุนยังคงทำมารยาดัดเสียงต่อ หวงไป๋ยู่ถึงกับแบมือขึ้นสองข้าง
“วิงวอนท่านที่นับถือ ท่านเป็นสตรีงามเลิศที่สุดในแผ่นดิน ดังนั้นท่านมิต้องพยายามเป็นสตรีแล้ว แค่นี้พวกข้าพเจ้าก็แทบตายไปจริงๆ แล้ว”
“อ้อ...” ลู่หยุนส่งเสียงในคอ “ดังนั้นตอนนี้ ข้าพเจ้ากลับไปเป็นบุรุษได้?”
“แน่นอน และยังต้องรีบกลับอย่างรวดเร็วด้วย”
หวงไป๋ยู่และเซียวเซียวช่วยกันเช็ดแป้งและถอดเสื้อผ้าของลู่หยุนออก ใช้เวลาไม่นาน ลู่หยุนก็กลับมาเป็นลู่กงจื่ออีกครั้ง คราวนี้มวยของมันถูกมุ่นและพันด้วยแพรใหม่จนสวยงามแล้ว
“น่าเสียดาย ข้าพเจ้ากลับมิชอบสารรูปเช่นนี้ของตัวเอง”
“ท่านยังชอบที่เป็นเมื่อครู่มากกว่า?”
“แน่นอน ยังเสียดายที่มิได้ไปอวดผู้อื่นในหอนี้ด้วย”
เซียวเซียวหัวร่อจนแทบจะลงไปนอนกับพื้น นางส่งเสียงวิงวอนอย่างยากลำบาก “กงจื่อได้โปรดเห็นใจ หากท่านกล่าววาจาเช่นนี้อีกคำเดียว ข้าพเจ้าต้องขาดใจตายแน่”
“ดังนั้น ตอนนี้เจ้าจึงรีบออกไป ก่อนที่เราจะกล่าววาจาอีกคำ”
เซียวเซียวผงกศีรษะของนาง แล้วรีบออกจากห้องไปทันที ทั้งที่ยังหัวเราะอยู่ ลู่หยุนส่งเสียงตามไป
“ระวังอย่าให้หูของเจ้าอยู่ใกล้ประตูด้วย หากเราจับได้ว่าเจ้าแอบฟังแม้เสียงเดียว เราจะจับเจ้าตีจนตายไป”
เซียวเซียวหน้าแดงปานลูกตำลึงสุก นางรีบส่งเสียงตอบมา “กงจื่อไม่ต้องกังวล ข้าพเจ้าจะไปให้ไกลอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาได้ยินเสียงของพวกท่านสองคน”
นางถึงกับวิ่งออกไปจริงๆ วิ่งไปหัวเราะไปทั้งอย่างนั้น
ลู่หยุนหันมาหาหวงไป๋ยู่ “เช่นนี้ท่านพอใจแล้วกระมัง?”
หวงไป๋ยู่เงยมองหน้ามัน ในดวงตายังมีรอยยิ้มอยู่ “ท่านทำเช่นนี้เพื่อข้าพเจ้า?”
“อืม... ข้าพเจ้าเพียงต้องการยืนยันกับท่าน เรื่องที่ท่านทำมิมีที่ใดสมควรละอาย หากท่านละอาย ข้าพเจ้าย่อมต้องละอายยิ่งกว่า ดังนั้น เมื่อครู่ข้าพเจ้าไม่ละอาย ท่านก็ไม่ต้องละอาย”
“อ้อ... ท่านคิดใช้มาตรฐานตัวเองมาบังคับผู้อื่นแล้ว”
“ข้าพเจ้าคาดหวังจะสามารถบังคับท่านได้”
หวงไป๋ยู่แย้มยิ้ม “ท่านย่อมไม่สามารถบังคับข้าพเจ้าได้ แต่ยังสามารถทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกนับถือท่านจากใจจริง บุรุษหน้าด้านเช่นท่าน ข้าพเจ้ายังมิเคยพบมาก่อนเลย”
“หากท่านนับถือ บางทีท่านควรเลียนเยี่ยงข้าพเจ้า หน้าด้านบางครั้งก็มีผลดี”
หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะ “หน้าด้านเช่นท่าน ข้าพเจ้ามิสามารถเลียนแบบได้”
“อ้อ...”
“ยังคงยินยอมให้เป็นความสามารถเฉพาะตัวของท่านเพียงผู้เดียว”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม สายตาจับจ้องใบหน้าของหวงไป๋ยู่
“ท่านจริงๆ หัวร่อได้น่ารักอย่างยิ่ง”
หวงไป๋ยู่เหลือบสายตามองมัน “อย่าลืม ข้าพเจ้ามิใช่อิสตรี วาจาเช่นนี้กล่าวกับบุรุษเช่นข้าพเจ้าย่อมมิได้ผล”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “ข้าพเจ้าทราบ ที่ข้าพเจ้ากล่าวล้วนแต่เป็นวาจาที่เพียงอยากกล่าวให้ท่านฟังเท่านั้น ส่วนท่านจะคิดอย่างไร ข้าพเจ้าไม่สนใจ”
“อ้อ...”
“แต่มีเรื่องประการหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าสนใจอย่างยิ่ง”
“เรื่องใด?”
“ท่านอยู่ที่นี่มาหลายวัน แต่ละวันต้องรับแขก มิทราบท่านรับแขกด้วยวิธีใด?”
หวงไป๋ยู่มองมัน รอยยิ้มในดวงตาหายไปแล้ว “ท่านยังต้องการทราบรายละเอียด”
“อืม... เนื่องเพราะสัดส่วนของท่านเป็นบุรุษ ดังนั้น ท่านย่อมต้องมิสามารถรับแขกเช่นอิสตรีได้”
อีกฝ่ายหัวร่อในลำคอ “ท่านคิดจริงๆ ว่าข้าพเจ้าเป็นบุรุษ?”
คราวนี้ลู่หยุนถึงกับเลิกคิ้วขึ้น “หรือท่านมิใช่?”
“เรื่องนั้น ไยท่านมิค้นหาคำตอบด้วยตนเอง”
กล่าวจบมันก็เดินไปนั่งบนเตียง เอนหลังลงบนหมอน ใช้สายตาท้าทายมองลู่หยุน
ลู่หยุนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ว มันตรงไปที่เตียง โน้มตัวลงคล้ายจะขึ้นไปคร่อมอยู่เหนือร่างของหวงไป๋ยู่จริงๆ
ทันใดนั้น มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อยาวของหวงไป๋ยู่ก็ขยับวูบ ด้วยความรวดเร็วที่เหนือคาดหมาย สัดส่วนที่จู่โจมย่อมเป็นจุดสำคัญบนร่างกายของลู่หยุน
ทว่า เมื่อนิ้วใกล้สัมผัสร่าง มือของมันก็พลันถูกคว้าไว้
แต่หวงไป๋ยู่มีมือสองข้าง มือขวาเพิ่งถูกคว้า มือซ้ายก็พุ่งตามติด ถึงกับจู่โจมใส่จุดอับที่ด้านหลัง มันคำนวณ ครั้งนี้ต่อให้ลู่หยุนมีมือที่สามด้านหลัง ก็ไม่สามารถคว้าจับมือของมันได้
แต่มันคำนวณพลาด
ยังคงเป็นมือขวาของลู่หยุนที่คว้าข้อมือของมันได้ก่อน และมิใช่การคว้าจับธรรมดา ทั้งสองครั้งล้วนเป็นการคว้าเข้าที่จุดสำคัญ หวงไป๋ยู่รู้สึกแขนทั้งสองข้างของมันอ่อนยวบราวดินน้ำมัน ในใจบังเกิดความแตกตื่น เหงื่อกาฬเย็นยะเยียบซึมออกมาทางด้านหลัง
แต่ใบหน้าของลู่หยุนยังคงประดับรอยยิ้มสดใส กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เวลาเช่นนี้ ท่านมิควรลงมือโดยอำมหิตต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามาด้วยกุศลเจตนาล้วนๆ”
หวงไป๋ยู่ส่งเสียงเฮอะในลำคอ มิกล่าวกระไรต่อ ยังคงเป็นลู่หยุนส่งเสียง
“ข้าพเจ้ามาคราวนี้ ที่จริงคิดชวนท่านดื่มสักหลายจอก ชวนท่านเล่นกู่เจิงร้องเพลง ยังอยากคบท่านเป็นมิตรสหาย”
“เวลาท่านต้องการคบมิตรสหาย ล้วนต้องคร่ากุมพวกมันเอาไว้เช่นนี้?” ในที่สุดหวงไป๋ยู่ก็กล่าววาจาขึ้นมาแล้ว แน่นอน เป็นวาจาที่ไม่มีความพอใจแฝงอยู่แม้เพียงน้อย แต่ลู่หยุนคล้ายไม่สนใจ ยังคงกล่าวต่อ
“มิตรสหายส่วนใหญ่ของข้าพเจ้า ยังมิมีผู้ใดคิดใช้วิชาดัชนีมาจี้จุดข้าพเจ้ามาก่อน แม้นับว่ามี ตอนนี้ก็ตายไปหมดแล้ว”
“ท่านไม่นับคนพวกนั้นเป็นมิตรสหาย?”
“ไม่นับ มิตรสหายที่ดีย่อมมิคิดประทุษร้ายมิตรสหายของตน”
“เช่นนั้น ตอนนี้ไยท่านถึงไม่รีบฆ่าข้าพเจ้า”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “เนื่องเพราะท่านที่จริงยังไม่ใช่มิตรสหายของข้าพเจ้า และท่านยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องกระทำในอีกสองวัน ข้าพเจ้าจึงไม่มีความจำเป็นใดต้องรีบฆ่าท่าน”
“อ้อ...”
“ดังนั้น ก่อนถึงวันนัด ท่านพักผ่อนให้สบายใจ ข้าพเจ้าประกัน จะไม่มีการมารบกวนท่าน และจะไม่มีใครมารบกวนท่านด้วย ดังนั้น ท่านยังสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปได้”
“ที่ท่านมาหาข้าพเจ้า ที่จะบอกมีแค่นี้”
“ยังมีอีก”
“เชิญกล่าว”
“ข้าพเจ้าทราบ เวลาท่านรับแขก ท่านต้องให้มันนอนเร็วอย่างยิ่ง เมื่อมันนอนแล้ว ท่านย่อมจัดการให้พวกมันสลบไป จากนั้นเปลื้องเสื้อผ้าของมันออก เมื่อมันตื่นขึ้นมา ย่อมเข้าใจได้หลับนอนกับท่านแล้ว”
หวงไป๋ยู่หัวร่อในลำคอ “ครั้งนี้ท่านยังเดาผิดไปอีกเรื่อง”
“อ้อ...”
“นอกจากทำให้สลบ ข้าพเจ้ายังสามารถหาจุดที่ทำให้ผู้คนถึงจุดสุดยอดได้ในพริบตา ท่านอยากทดลองหรือไม่?”
ลู่หยุนสั่นศีรษะ ก่อนจะแย้มยิ้มอีกครา “ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทดลอง แต่ลอบดีใจแทนพวกนั้นเล็กน้อย อย่างน้อยๆ พวกมันก็ถึงจุดสุดยอดก่อนจะสลบไป พวกมันจึงมิได้จ่ายเงินเปล่า”
ริมฝีปากของหวงไป๋ยู่มีรอยยิ้มลึกลับ “แต่ครั้งนี้ท่านต้องเสียเงินเปล่าแล้ว”
“เงินของข้าพเจ้าย่อมไม่เสียเปล่า” ลู่หยุนว่า จากนั้นจึงยกมือข้างหนึ่งของหวงไป๋ยู่ขึ้นมา
“ตั้งแต่พบท่าน ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อของท่านเสมอมา”
“นับว่าตอนนี้ท่านทำสำเร็จแล้ว”
ข้อมือของหวงไป๋ยู่ถูกลู่หยุนคร่ากุมไว้ ตอนนี้จึงมิได้อยู่ในแขนเสื้อ ทั้งยังไม่สามารถเกร็งกำลังต่อต้าน ดังนั้นลู่หยุนจึงมองได้ถนัดตา
เป็นมือที่ขาวผ่อง นิ้วที่เรียวยาว ปลายนิ้วที่แข็งกระด้าง
ลู่หยุนถึงกับโน้มใบหน้าลงไป แลบลิ้นเลียนิ้วมือของหวงไป๋ยู่ที่ละนิ้ว
ลมหายใจของหวงไป๋ยู่พลันชะงักค้าง หัวใจของมันคล้ายหยุดเต้นไปชั่วคราว
ยามที่ปลายลิ้นสัมผัสนิ้วของมัน ร่างกายคล้ายบังเกิดความร้อนขุมหนึ่ง
ลู่หยุนขบปลายนิ้วของมันเบาๆ ก่อนจะกล่าว “ข้าพเจ้าทราบแล้วท่านเป็นบุรุษ เนื่องเพราะสตรีย่อมมิมีนิ้วเกินมาที่หว่างขา”
ใบหน้าของหวงไป๋ยู่กลายเป็นสีแดงฉาน มันทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมา แต่ยังคงช้าไป ลู่หยุนคล้ายกับหมอกควัน ถึงกลับพลิ้วออกทางหน้าต่างไป
“อีกสองวัน ข้าพเจ้าจะไปชมมือคู่นี้ของท่าน หวังว่าท่านจะถนอมไว้”
ตัวของมันหายไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งเสียงไว้
หวงไป๋ยู่ใคร่จะฆ่ามันให้ตายคามือจริงๆ
------------------------------------
(จบตอน)
-
เหมยแดง
บทที่7 ความสงบก่อนพายุ
ตอนที่ลู่หยุนกระโดดออกจากหน้าต่างหอว่านเหนี่ยว พอดีมีเสียงเกราะเคาะบอกเวลาสองยาม* (เที่ยงคืน) เงาร่างของลู่หยุนคล้ายควันหอบหนึ่ง ปรากฏให้เห็นเพียงเลือนรางก็ถูกสายลมยามเที่ยงคืนพัดหายไป
ความจริงแล้วมันมิใช่ควัน มันก็เป็นคนผู้หนึ่ง เพียงแต่วิชาตัวเบาที่มันใช้ถึงขั้นเลอเลิศพิสดาร ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม* (หนึ่งชั่วโมง) มันได้เดินทางมาถึงอีกฟากหนึ่งของเมือง
สถานที่ที่มันมาคือเทียนซั่งเฟยอิงผาย
เทียนซั่งเฟยอิงผายยังคงมีเวรยามเคร่งครัด แสดงว่ายังคงไม่ไว้วางใจสถานการณ์ ลู่หยุนกระโดดอีกสองครั้งก็คล้ายหมอกควันหายลับเข้าไปหลังกำแพง
บนหอสูงที่ด้านหลังมีแสงโคมสว่าง ยังคงเป็นโคมสองดวงเช่นเดิม แต่วันนี้หน้าต่างเปิดอยู่ ด้านในมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
ซือหม่าเทียน
ซือหม่าเทียนนั่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่หัวค่ำ เรื่องที่ท่านสมควรกระทำ ท่านได้ใช้เวลาภายในช่วงวัน กระทำไปจนเสร็จสิ้นแล้ว ยังคงเหลือเรื่องที่ท่านต้องทำอีกประการเดียว
รอฟังข่าวสำคัญจากคนผู้หนึ่ง
รอจนล่วงสองยาม คนผู้นั้นจึงปรากฏตัว
ลู่หยุนพลิ้วเข้ามาในหน้าต่างดั่งควันสายหนึ่ง หน้าต่างพลันปิดลง ซือหม่าเทียนมองมันด้วยสายตาเคารพนับถือ
“วิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยม”
“ยังแค่พอถูไถเท่านั้น”
“อ้อ...”
“ท่านผู้เฒ่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว?”
“เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเรื่องที่รบกวนท่านไปกระทำ ท่านกระทำสำเร็จหรือไม่?”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “อีกสองวันข้างหน้า เชิญท่านที่บึงเซิ่งไคเหลียน”
ดวงตาของซือหม่าเทียนเป็นประกายขึ้นแว้บหนึ่ง ก่อนถอนหายใจ “ท่านพบทายาทผู้นั้นแล้ว?”
“พบแล้ว”
“มันยินยอมตกลง?”
“ย่อมต้องตกลง”
“เมื่อท่านพบมันแล้ว มีความเห็น เราสมควรยั้งมือไว้ไมตรีหรือไม่ อย่างไรมันก็เป็นเพียงทารกที่กตัญญูต่อบิดา”
“ข้าพเจ้ามิมีความเห็น” ลู่หยุนกล่าว “เพียงต้องการบอกท่านเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่สองเดือนที่มันก้าวเข้าสู่ยุทธภพ มันสังหารคนไปแล้วอย่างน้อยสองร้อยคน”
ดวงตาของซือหม่าเทียนแปรเปลี่ยนไปทันที แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย ท่านส่งเสียงในลำคอ
“ในบรรดาคนพวกนี้ ราวหนึ่งร้อยเป็นโจรหยาบช้า ปล้นฆ่าข่มขืน อีกห้าสิบเป็นมือสังหาร ส่วนอีกห้าสิบคล้ายกระทำเรื่องไม่ถูกใจ จึงถูกสังหารไป”
ซือหม่าเทียนถอนหายใจ “นับว่ามันฆ่าคนเยอะอย่างยิ่ง” ท่านหันไปมองลู่หยุน
“ท่านติดตามคนผู้นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว?”
“ข้าพเจ้าเพียงชมชอบยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อเกิดเหตุกลุ่มโจรร้ายถูกสังหารภายในคืนเดียว ย่อมเป็นที่สนใจของข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพอรู้เรื่องของมันอยู่บ้าง”
“หากเป็นดั่งที่ท่านกล่าว อย่างน้อยคนที่มันฆ่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่สมควรตาย”
“อืม...”
“และฝีมือของมันต้องไม่เลวอย่างยิ่ง”
“อืม...”
“เราเข้าใจแล้ว” ซือหม่าเทียนผงกศีรษะ ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ
“ระหว่างนี้ ไป๋ยู่เย้าเฉียวข้าพเจ้าจะเป็นคนเก็บไว้”
ซือหม่าเทียนเลื่อนป้ายหยกสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะให้มัน ลู่หยุนเก็บใส่ไว้ในอกเสื้อ
“อีกสองวันข้าพเจ้าจะไปพบท่านที่บึงเซิ่งไคเหลียน”
“ระหว่างนี้หากเราต้องการหาตัวท่านเล่า?”
“หากเป็นเรื่องสำคัญ ท่านสามารถฝากจดหมายไปถึงอู๋หยางจงได้ มันเป็สหายสนิทของข้าพเจ้า มันทราบข้าพเจ้าอยู่ที่ใด”
-------------------------------------
ความจริงแล้วอู๋หยางจงก็มิทราบลู่หยุนไปที่ใด และคร้านจะถามด้วย กลางวันมันได้สนทนากับลู่หยุนจนสาแก่ใจแล้ว มันทราบ เรื่องใดที่ลู่หยุนรับปาก ต้องไม่ผิดคำพูด ดังนั้นตอนนี้มันจึงนอนแล้ว นอนหลับสนิทอย่างยิ่ง ถึงกับส่งเสียงกรนสนั่นหวั่นไหว
เสียงเกราะบอกเวลาสองยามจางหายไปเนิ่นนานแล้ว ประตูของหมิงซิ่งลู่โหลวปิดสนิท แม้โคมไฟระหว่างทางเดินในสวนจะยังคงสว่างไสวอยู่ แต่โคมไฟในห้องล้วนดับหมดสิ้นแล้ว
ควันสายหนึ่งม้วนผ่านกำแพงของหมิงซิ่งลู่โหลวไป จากนั้นอึดใจ โคมในห้องน้อยห้องหนึ่งก็ถูกจุดขึ้น
ลู่หยุนกลับมาแล้ว
เนื่องเพราะมันเป็นคนเช่นนี้ ผู้ที่รู้จักมันจึงนับถือมัน มิตรสหายของมันยิ่งวางใจมันเป็นอย่างยิ่ง
--------------------------------
หวงไป๋ยู่นอนไม่หลับ นอนไม่หลับที่จริงเป็นโรคทรมานอย่างหนึ่ง หวงไป๋ยู่ที่จริงเคยเป็นโรคนี้เมื่อยังแบเบาะ แต่เมื่อมันโตขึ้น ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างยากลำบาก โรคนอนไม่หลับของมันจึงพอทุเลา แต่คืนนี้ มันนอนไม่หลับอีกแล้ว
ที่จริงตั้งแต่เข้ามาในเมืองแห่งนี้ มันไม่เคยนอนหลับสนิทแม้แต่คืนเดียว มิใช่เพราะบนเตียงมีผู้อื่นนอนอยู่ และไม่ใช่เพราะถูกลู่หยุนก่อกวนเมื่อครู่
แต่เพราะความแค้นที่คุกรุ่นอยู่ในใจของมันถึงสิบแปดปี
ที่มันทุ่มเทฝึกวิชาฝีมือจนถึงตอนนี้ เพียงเพราะคำคำเดียว
ล้างแค้น
ความทรงจำแรกเกี่ยวกับบิดาของมัน คือป้ายหยก ป้ายหยกที่เรียกว่าไป๋ยู่เย้าเฉียว มันมีนามตามป้ายหยกนั้น* (ไป๋ยู่แปลว่าหยกขาว)
เรื่องราวเกี่ยวกับบิดาที่มันทราบ ล้วนเป็นมารดาของมันเล่า ยามนางกล่าวถึงบิดา มักมีน้ำตาเอ่อคลอ มันทราบมารดาของมันรักบิดาอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นหัวใจของมันจึงปวดแปลบ
บิดาของมันถูกสังหารด้วยเหตุผลเช่นไร มารดาของมันบอกเล่ากระจ่าง นางยังบอกต่อมัน ซือหม่าเทียนแท้จริงมิใช่คนเลวร้าย แต่ที่กระทำเช่นนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น และที่บิดาของมันไปในครั้งนั้น ย่อมทราบถึงชะตากรรมของตัวเองกระจ่าง มิเช่นนั้นไหนเลยจะทิ้งไป๋ยู่เย้าเฉียวเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า
หวงไป๋ยู่รับทราบอยู่เต็มหัวใจ แม้มารดาจะสามารถอโหสิให้คนผู้นั้นได้ แต่มันไม่
ทุกครั้งที่มันเห็นสีหน้าเจ็บช้ำรันทดของมารดายามมองป้ายหยก มันบอกกับตัวเอง ชาตินี้ต้องตัดศีรษะของซือหม่าเทียนมาวางแทบเท้ามารดาของมันให้จงได้ และยังต้องใช้เลือดของคนผู้นั้นล้างป้ายสุสานบิดามัน
มันรอคอยเวลานี้มาสิบแปดปีเต็ม วิชายุทธ์ทุกอย่างของมารดา มันได้เรียนรู้หมดสิ้น ยังสามารถมากกว่ามารดาของมันด้วย และมารดาของมันยังรับถ่ายทอดวิชาของบิดามาบางส่วน มันฝึกทั้งหมดจนแตกฉาน ฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งหมดเพื่อล้างแค้นเท่านั้น
วันแรกที่มันมาถึงเมืองแห่งนี้ สถานที่แรกที่มันไปคือบึงเซิ่งไคเหลียน สถานที่สุดท้ายที่บิดาของมันมาเยือน และทอดร่างไว้ ตอนที่มันเห็นป้ายสุสาน น้ำตาพลันทะลักออกจากเบ้า มันถึงกับโถมลงไป ร่ำไห้อยู่ตรงนั้น
รสชาติของน้ำตาทั้งเค็มทั้งเฝื่อน แต่ในใจของมันกลับรู้สึกฝาดเฝื่อนยิ่งกว่า
หลุมฝังศพนี้ มิว่าผู้ใดก็ดูออก ผู้สร้างต้องให้เกียรติกับผู้ที่ถูกฝังเอาไว้อย่างยิ่ง ถึงกระทั่งสร้างสุสานใหญ่เอาไว้ในสถานที่สวยงามเช่นนี้ จนกลายเป็นสถานที่มีอาถรรพ์ไป
ศัตรูที่ฆ่าบิดาของมัน ถึงกับสร้างสุสานใหญ่โตเช่นนี้ให้กับบิดาของมัน ศัตรูผู้นั้นเป็นคนเช่นไร
มันยังจำคำของมารดาได้ แต่สุสานนี้มิอาจลบล้างความแค้นในใจของมันได้อย่างเด็ดขาด
มันจึงไปที่เทียนซั่งเฟยอิงผาย ไปเพื่อดูว่าซือหม่าเทียนเป็นคนเช่นไร
แม้เทียนซั่งเฟยอิงผายจะมีการรักษาการที่เข้มงวด แต่ที่หวงไป๋ยู่ใช้คือวิชาดัชนีลอบประทุษ วิชาเช่นนี้ล้วนต้องเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้จึงสามารถลงมือได้ผล ผู้ที่ฝึกวิชาเช่นนี้ ย่อมต้องมีวิชาตัวเบาที่เป็นเลิศ หากเท้าไม่ไว มือไม่เร็ว ไหนเลยจะสามารถใช้วิชาได้
ดังนั้น หวงไป๋ยู่ที่คืนเดียวสามารถสังหารกองโจรไปห้าสิบคน ทั้งห้าสิบคนล้วนตายเพราะถูกทำลายจุดสำคัญ วิชาตัวเบาของมันต้องเลอเลิศอย่างยิ่ง
การรักษาการของเทียนซั่งเฟยอิงผายจึงมิอยู่ในสายตาของมันเลย
แม้มันสามารถลักลอบเข้าไปในเทียนซั่งเฟยอิงผายได้ แต่มันกลับมิสามารถเสาะหาซือหม่าเทียนได้ ข้ามกำแพงเป็นเรื่องหนึ่ง หาคนเป็นเรื่องหนึ่ง
ดังนั้น มันจึงกลับออกมา เริ่มต้นตั้งหลักใหม่อีกครั้ง
มารดาของมันเคยเล่า ในเมืองแห่งนี้ มีสหายสนิทของบิดาอาศัยอยู่ ท่านผู้นั้นมีนามอู๋หลี่ฟู่ หากมันเดินทางมาเมืองนี้ อย่างน้อยสมควรแวะเยี่ยมคารวะท่านสักหนหนึ่ง
หวงไป๋ยู่ตั้งใจแวะไปเยี่ยมสหายรักของบิดา แต่พอมันสืบทราบว่าอู๋หลี่ฟู่เสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน มันจึงตัดสินใจไม่ไปหมิงซิ่งลู่โหลว
แม้ทราบว่าอู๋หลี่ฟู่มีทายาทชื่ออู๋หยางจง แต่พวกมันทั้งสองมิเคยติดต่อกันมาก่อนเลย อย่าว่ามันเป็นเพียงบุตรเท่านั้น มิแน่จะมีน้ำใจเช่นเดียวกับบิดา
ดังนั้นมันจึงไปที่หอว่านเหนี่ยว แสร้งปลอมตัวเป็นนางคณิกา
หากต้องการหาสถานที่ที่สามารถได้ยินข่าวต่างๆ ได้มากที่สุดในเมืองเมืองหนึ่ง ย่อมหนีไม่พ้นสองสถานที่
หนึ่ง ร้านสุรา
สอง หอคณิกา
หวงไป๋ยู่ย่อมไม่สามารถไปนั่งฟังผู้อื่นเล่าเรื่องที่ร้านสุราได้ตลอดเวลา ถ้าทำเช่นนั้นย่อมต้องมีผู้สงสัย ดังนั้น มันจึงเลือกหอว่านเหนี่ยว เป็นทั้งสถานที่ซ่อนตัวและสถานที่สืบหาข่าว มิว่าผู้ใดต้องคาดไม่ถึง บุรุษผู้หนึ่งจะสามารถปลอมแปลงเป็นนางคณิกาได้
ซ้ำยังเป็นนางคณิกาที่หาเงินทองได้มากอย่างยิ่ง
ดังนั้น หวงไป๋ยู่จึงมีที่ซุกหัวนอนแสนสบาย ซ้ำยังมีเงินทองใช้จ่าย
แต่มันยังคงต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้
หากต้องการกระทำเรื่องใหญ่ อย่างไรต้องมีคนผู้หนึ่งที่สามารถไว้ใจได้
หวงไป๋ยู่แม้ในใจเต็มไปด้วยความแค้นสุมเต็มอก แต่มันมิได้มาเพื่อทิ้งชีวิต มันมาที่นี่เพื่อเริ่มชีวิต
เมื่อมันล้างแค้นสำเร็จ ยามต่อไปจึงเป็นชีวิตใหม่ของมัน
คิดมีชีวิตสืบต่อ ย่อมต้องหาคนมาช่วยเหลือ มันจึงเขียนจดหมายและส่งไป๋ยู่เย้าเฉียวไปให้อู๋หยางจง
มันต้องการทดสอบ อู๋หยางจงสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ สามารถช่วยเหลือมันได้หรือไม่
นับว่าอู๋หยางจงผ่านการทดสอบ
ความจริง หวงไป๋ยู่เลือกวันลงมือไว้แล้ว ซึ่งก็คือวันเกิดของซือหม่าเทียน เนื่องเพราะในวันนั้น ที่เทียนซั่งเฟยอิงผายจะต้องคึกคักเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะต้องเปิดประตูต้อนรับอาคันตุกะมากมาย เมื่อทุกคนวุ่นวายถึงเพียงนั้น ย่อมฉวยโอกาสประทุษร้ายได้โดยง่าย ที่สำคัญ มันมิต้องไปสอบถามผู้ใดก็ต้องทราบ ซือหม่าเทียนหน้าตาเช่นไร ซือหม่าเทียนต้องไม่คาดเด็ดขาด อาคันตุกะผู้หนึ่งที่มันเชิญถึงกับตั้งใจจะมาฆ่ามันได้
หวงไป๋ยู่มั่นใจในแผนของตัวเอง มันเตรียมการไว้เสร็จสรรพ ทั้งเทียบเชิญ วิธีปลอมแปลงโฉม วิธีลอบสังหาร ทั้งสถานที่ต่างๆ ที่ใช้จัดงานก็ถูกมันสืบทราบจนหมดแล้ว ที่ขาดประการเดียวคือผู้ช่วย มันตกลงใจจะไปหาอู๋หยางจง
ทว่าในวันเดียวกันนั้น บังเอิญลู่หยุนปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
ก่อนออกสู่ยุทธภพ มันมิเคยได้ยินฉายาอู๋เน่ยเฉียงฟง แต่มันกลับเคยได้ยินชื่อว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว ผู้ที่กล่าวให้มันฟังมิใช่ใครอื่น เป็นมารดาของมันเอง
มันยังจำคำของมารดาได้ขึ้นใจ มิว่าอย่างไร ห้ามมิให้ล่วงเกินกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋ว
ยามที่นางกล่าว ดวงตาของนางคล้ายมีประกาศเคารพเทินทูนอย่างลึกซึ้ง
มารดาของมันมิได้เล่าถึงสาเหตุ มันเองก็มิเคยถาม เมื่อมารดาห้าม มันย่อมต้องฟัง
แต่หวงไป๋ยู่กลับคาดไม่ถึง ที่มาบ้านของอู๋หยางจง ถึงกับเป็นอู๋เน่ยเฉียงฟง ลู่หยุนที่เป็นศิษย์คนเดียวของเฒ่าประหลาดผู้นั้น
แม้ออกโลดแล่นในวงการนักเลงได้ไม่นาน แต่นามอู๋เน่ยเฉียงฟง หวงไป๋ยู่เคยได้ยิน มิว่าผู้ใดย่างเท้าเข้ามาในยุทธภพเกินสามวัน ต้องเคยได้ยินนามนี้ กระทั่งเรื่องราวที่มันกระทำ แม้ยกมือปิดหู ก็ยังมิอาจไม่ได้ยินได้
อู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นี้ นอกจากจะรับสืบทอดฝีมือเลอเลิศพิสดารของว่านเหนี่ยนลู่เล่าโต๋วมาแล้ว มันยังมีบุคลิกที่แปลกจนสาหัส
มันชมชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อมันตกปากรับคำทำเรื่องใดแล้ว มันย่อมกระทำจนสำเร็จ
มิว่าเป็นเรื่องยากลำบากเพียงไร ขอเพียงมันรับปาก มันจะกระทำจนลุล่วงไป
ยังมิมีเรื่องใดที่มันกระทำไม่สำเร็จเลย
หวงไป๋ยู่มิเคยเชื่อถือคำกล่าวเหล่านั้น ที่สำคัญ อู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นั้นมิมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับมัน ที่เกี่ยวกับมันมีเพียงซือหม่าเทียนเท่านั้น
แต่ตอนนี้อู๋เน่ยเฉียงฟงลู่หยุนปรากฏตัวขึ้นในเมืองนี้แล้ว มันมิเพียงมีความสัมพันธ์อันดีกับอู๋หยางจงเท่านั้น ยังมีความสัมพันธ์กับซือหม่าเทียน มิเท่านั้น มันยังสามารถนำตัวเองเข้ามาพัวพันระหว่างความแค้นของหวงไป๋ยู่และซือหม่าเทียนได้
แม้หวงไป๋ยู่มิเคยเชื่อเรื่องร่ำลือในวงการนักเลง แต่ตอนนี้มันปฏิเสธไม่ได้
ลู่หยุนเป็นผู้ที่มีความสามารถในการยุ่งเรื่องผู้อื่นได้อย่างร้ายกาจจริงๆ
และยังเป็นผู้ที่ตอแยด้วยยากอย่างยิ่ง
ตอนซือหม่าเทียนยกชื่ออู๋เน่ยเฉียงฟงมากล่าวในงานวันเกิดนั้น หวงไป๋ยู่ยังรู้สึกดูแคลนอยู่สามส่วน จวบจนมันได้เห็นลู่หยุนใช้กระบี่ไม้ไผ่เล็กๆ ต่อต้านเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของเทียนซั่งเฟยอิง มันจึงเพิ่งค้นพบ
ตัวเองที่แท้เป็นเด็กทารก เด็กทารกที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
เจ็ดสิบเจ็ดกระบวนท่ากระบี่เหินบินที่ซือหม่าซานใช้ออกมา มิว่าออมมือไว้กี่ส่วน ก็มิใช่ของดูเล่นเด็ดขาด กระทั่งมันยังมิแน่ใจ สามารถต่อกรกับเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่นี้ได้หรือไม่
แต่อู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นั้นสามารถต่อต้านได้ทุกกระบี่ ไม่พลาดแม้กระบี่ด้วย ด้วยกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่ง
แผ่นหลังของหวงไป๋ยู่ตอนนั้นถึงกับมีเหงื่อซึมออกมา
มันเห็นแล้ว หากอู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นี้ตกลงใจช่วยเหลือซือหม่าเทียน มันต้องมิมีปัญญาลงมือแก้แค้นอย่างเด็ดขาด
แม้มันไม่สามารถลักลอบฟังการสนทนาบนหอสูงนั้นได้ แต่ยังสามารถติดตามลู่หยุนออกมาจากเทียนซั่งเฟยอิงได้
หวงไป๋ยู่ต้องการทราบ จากเทียนซั่งเฟยอิงผาย ลู่หยุนจะไปที่ใด
ลู่หยุนถึงกับไปหามัน หามันเพื่อเชิญมันไปประลองกับซือหม่าเทียน
หวงไป๋ยู่ย่อมต้องคาดไม่ถึง มันแต่เดิมตั้งใจใช้ฝีมือลอบประทุษร้ายแก้แค้นให้บิดา ดั่งบุคคลผู้ถือมีดแฝงอยู่ในเงามืด แต่กลับถูกลู่หยุนลากตัวออกมายืนท่ามกลางแสงแดด
หากต่อสู้กันซึ่งๆ หน้า หวงไป๋ยู่ไม่แน่ใจสามส่วน มันจะสามารถพิชิตซือหม่าเทียนลงได้หรือไม่
แต่มันมิอาจปฏิเสธคำเชิญของลู่หยุน
ประการแรก มันเห็นฝีมือของลู่หยุนแล้ว ยิ่งมิต้องการให้ลู่หยุนยื่นมือไปช่วยเหลือซือหม่าเทียน
ประการที่สอง เรื่องที่บิดามันต่อสู้จนตัวตายมันรับฟังมาแต่ยังเล็ก ความห้าวหาญของบิดาฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของมัน แต่ที่มันตัดสินใจใช้ฝีมือลอบประทุษนั้น เนื่องเพราะไม่มั่นใจ ตัวเองจะมีความสามารถทัดเทียมบิดาหรือไม่
ลู่หยุนถึงกับสะกิดจุดนี้ของมันขึ้นมา ใช้วาจาเกลี้ยกล่อมให้มันบังเกิดรู้สึกความห้าวหาญ แม้หวงไป๋ยู่ตอนนั้นมิห้าวหาญ ก็ย่อมต้องแสดงความห้าวหาญออกไป
แต่ที่มันรับปากไปนั้น มีใช่มันเสแสร้ง เนื่องเพราะวาจาของลู่หยุนทำให้มันตระหนักขึ้นมา ว่าการแก้แค้นของมันต้องทำอย่างเปิดเผยอาจหาญ มิฉะนั้นไหนเลยจะเรียกว่าเป็นการแก้แค้นของลูกผู้ชายได้
ดังนั้น แม้ยังไม่มั่นใจเต็มที่ แต่หวงไป๋ยู่รับปากแล้ว
มันใช้เวลาสิบแปดปีเต็มเพื่อรอเวลานี้
ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงสองวันแล้ว
สองวันที่จะตัดสินชะตาชีวิตของมัน
หวงไป๋ยู่พลันลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อผ้ารัดกุมสีดำชุดหนึ่ง พลิ้วกายออกไปทางหน้าต่าง
ตอนที่ลู่หยุนออกไปคล้ายควันกลุ่มหนึ่ง แต่ตอนที่หวงไป๋ยู่ออกไป กลับคล้ายลมโชยหอบหนึ่งเท่านั้น
กระทั่งเสียงชายผ้ายังมิดังให้ได้ยิน
วิชาตัวเบาของมันคล้ายดั่งเหนือกว่าลู่หยุนอยู่หลายส่วน
แต่ตอนลู่หยุนกระโดดออกไป มันกลับไม่คิดไล่ตาม
มันไม่คิดจะทำร้ายลู่หยุนแต่แรก ที่มันต้องการเพียงทดสอบว่า สามารถหาช่องว่างจู่โจมฝ่ายนั้นได้หรือไม่
ตอนนี้มันทราบแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ตาม
เนื่องเพราะไล่ตามไปก็เท่านั้น มันไม่มีปัญญาไล่จับหมอก* (อู๋) ได้ ยิ่งไม่มีปัญญารับมือกับพายุ* (เฉียงฟง) ได้
ที่มันพลิ้วร่างออกไป เพียงเพราะต้องการสิ่งเดียว
นอนหลับ
มันเป็นยอดฝีมือในการสกัดจุดผู้อื่น แต่มันไม่ยอมสกัดจุดตัวเองเด็ดขาด เพราะหากทำเช่นนั้น เท่ากับมันส่งตัวเองไปหาความตาย
สกัดจุดให้หลับกับหลับไปเอง มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ลมหนาวพัดเข้ามาทางหน้าต่างอีกครั้ง หวงไป๋ยู่พลันปรากฏกายขึ้นในห้องราวภูตผีปิศาจ ใบหน้าของมันปรากฏเม็ดเหงื่อพร่างพราว
เมื่อครู่มันถึงกับทุ่มเทพลังไปกับการวิ่งบนหลังคาจนหมดสิ้น
ยามเมื่อร่างกายเหนื่อยล้าถึงขีดสุด ไยมิใช่ต้องการพักผ่อนอย่างยิ่ง
ดังนั้นตอนนี้ หวงไป๋ยู่สามารถหลับได้แล้ว ยังหลับสนิทอีกด้วย
------------------------------------------
แสงตะวันจับขอบฟ้าแล้ว อากาศยังคงเย็นยะเยือก แต่ภายในหมิงซิ่งลู่โหลวอบอุ่นแจ่มใส อู๋หยางจงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร วันนี้มันถึงกับรับประทานอาหารเช้าเร็วกว่าปกติ เมื่อมีลู่หยุนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน กิจวัตรปกติของมัน ย่อมต้องเปลี่ยนแล้ว
ลู่หยุนตอนนี้ก็นั่งอยู่ตรงข้ามมัน กำลังพุ้ยข้าวต้มร้อนๆ ถ้วยหนึ่ง
อู๋หยางจงกินช้าอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง
ลู่หยุนกลับเป็นตรงข้าม มันมิใช่กิน คล้ายกับกรอก แม้ท่าทางที่มันใช้รับประทานดูไม่ทุเรศตา แต่สำหรับอู๋หยางจง นี่ไม่นับเป็นการกิน นับเป็นการกรอก
“เสี่ยวลู่ อู๋เกอขอร้องต่อท่านเป็นหนที่ล้าน ท่านอย่างไรอย่าทำร้ายคนครัวของข้าพเจ้าจนต้องผูกคอตายไปด้วยการกินเยี่ยงกรอกเช่นนี้ ข้าพเจ้ามิเคยพบเห็นผู้ใดรับประทานอาหารได้บัดซบเยี่ยงท่านมาก่อน”
“ท่านเคยบอก ที่ข้าพเจ้ากระทำไม่นับเป็นการรับประทาน นับเป็นการกรอก”
“ถูกต้อง”
“ข้าพเจ้าพอใจกรอกอาหารเข้าปากเสมอมา”
“ท่านคิดตัวเองเป็นเป็ดเป็นสุกรหรือไร ถึงต้องกรอกอาหารตัวเองเช่นนี้”
“ข้าพเจ้ามิใช่เป็ดขุน ยิ่งไม่ใช่สุกรในคอก แต่ข้าพเจ้าก็ยังกรอกอาหารต่อไป”
“ท่านไม่ต้องการดื่มด่ำสุนทรียรสของอาหารแม้เพียงน้อยนิด?”
“นั่นต้องดูว่าเป็นอาหารเช่นไร หากเป็นกับแกล้มสุรา ข้าพเจ้ายังพอมีความสามารถรับทราบสุนทรียรสได้อยู่”
อู๋หยางจงพลันถอนหายใจ “เช่นนี้ท่านจึงเป็นตัวบัดซบบนโต๊ะอาหารเช้าที่แท้จริง หากโฉวฉูซี* (คนครัวแซ่โฉว) เห็นท่านรับประทานอาหารของมันเยี่ยงนี้ ต้องเอาหัวโขกเสาตายไป”
“ดังนั้นท่านมิควรให้มันมาเห็นข้าพเจ้ารับประทาน”
“อย่างน้อยท่านมิเห็นแก่มัน ควรเห็นแก่ข้าพเจ้า หากท่านยังกรอกเช่นนี้ต่อไป ข้าพเจ้ากินต่อไม่ลงแล้วจริงๆ”
มือของลู่หยุนช้าลงเล็กน้อย แย้มยิ้มกล่าววาจา “ในเมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้าคิดปฏิเสธก็ไม่ได้ ข้าพเจ้าเกรงพุงของท่านจะยุบลงไป”
อู๋หยางจงมองมันด้วยสายตารักใคร่ “เช่นนี้จึงเป็นเสี่ยวลู่ที่แสนประเสริฐ”
ลู่หยุนถึงกับกินอาหารเลียนแบบอู๋หยางจง เลียนแบบทุกประการ ดังนั้นทั้งคู่จึงกินอาหารเสร็จพร้อมกัน
“ตอนนี้ข้าพเจ้านับถือท่านขึ้นมาอีกเรื่องแล้ว”
อู๋หยางจงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ลู่หยุนจึงกล่าวสืบต่อ “กินอาหารดั่งเช่นท่าน หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ ผู้ใดไม่นับถือพุงของท่านต้องเป็นลูกหลานเต่า”
อู๋หยางจงหัวร่อเสียงดัง ในประกายตามีรอยยิ้มอบอุ่น “ดังนั้น ท่านควรหันเลียนเยี่ยงการกินเช่นนี้ของข้าพเจ้าไว้สักเล็กน้อย”
“ข้าพเจ้าจะทดลอง”
อู๋หยางจงยกน้ำชาขึ้นจิบ แล้วพูดต่อ “เมื่อคืนท่านไปหาหวงไป๋ยู่มากระมัง?”
สีหน้าของลู่หยุนมีมีเค้าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย คล้ายดั่งมันทราบ อู๋หยางจงต้องคาดเดาออก
“อืม ข้าพเจ้าไปหามันมา”
“มันพักในสถานที่เช่นไร?”
“เป็นสถานที่สบายอย่างยิ่ง ปลอดภัยอย่างยิ่ง”
อู๋หยางจงพยักหน้า “ข้าพเจ้าทราบ มันยังพอมีความสามารถเอาตัวรอดได้อยู่ อย่างไรมันก็เป็นทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อ”
ลู่หยุนส่งเสียงในเชิงเห็นด้วย อู๋หยางจงถามมันต่อ “ในความเห็นของท่าน มันกับซือหม่าเทียนต่อสู้กัน ผู้ใดมีฝ่ายได้ชัย?”
“เมื่อวานข้าพเจ้าเห็นมือคู่นั้นของมันแล้ว มิใช่มือธรรมดาจริงๆ” ลู่หยุนว่า “แต่ที่มันถนัดคือวิชาลอบสังหาร ต่อให้ดัชนีขยี้เดือนสยบดาราเป็นวิชาอันร้ายกาจ อย่างไรก็เป็นวิชาที่ต้องอาศัยการลักลอบจู่โจม”
“แต่ท่านก็ยังเสนอให้มันไปประลองตัวต่อตัว”
“อืม...”
“ท่านมิต้องการให้มันสังหารซือหม่าเทียน?”
“ชีวิตของซือหม่าเทียน มิมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า” ลู่หยุนว่า “เรื่องประการนี้ ท่านผู้เฒ่าได้ตกลงใจไว้แต่แรก แต่ที่ข้าพเจ้ากระทำดังนี้ เนื่องจากหวงไป๋ยู่อย่างไรต้องมีชีวิตสืบไป ยู่เหลียนเทียนสื่อแม้เป็นจอมขโมย แต่ก็เป็นจอมขโมยที่อาจหาญ ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้บุตรของมันกลายเป็นเพียงแค่มือสังหารไป อย่างไรมันก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง”
“อ้อ... ที่ท่านทำก็ด้วยกุศลเจตนาล้วนๆ”
“ใช่”
“แต่กุศลเจตนาของท่าน บางทีกลับสร้างความลำบากให้ผู้อื่นแสนสาหัส”
“ความลำบากทำให้คนแข็งแกร่งขึ้น” ลู่หยุนกล่าวเสียงราบเรียบ “หากท่านปรารถนาดีกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังไร้เดียงสา ท่านสมควรให้มันทดลองลิ้มรสความลำบาก เช่นนี้ชีวิตมันจึงสามารถดำเนินต่อไปได้”
“ฟังท่านกล่าวตอนนี้ ไม่คล้ายอู๋เน่ยเฉียงฟงแล้ว ยังคล้ายเล่าโต๋ว* (คนแก่) ผู้หนึ่ง”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “ข้าพเจ้าความจริงเป็นเล่าโต๋ว เป็นเล่าโต๋วมานานแล้ว”
อู๋หยางจงหัวร่อ กล่าวสืบต่อ “วันพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าสามารถไปดูความครึกครื้นที่บึงเซิ่งไคเหลียนได้กระมัง?”
“ย่อมได้ เมื่อข้าพเจ้าไปได้ ท่านก็ไปได้”
“พรุ่งนี้จะมีคนกี่มากน้อย”
“มิทราบ แต่อย่างน้อยก็มีสี่คน”
“ผู้ใดบ้าง?”
“ข้าพเจ้า ซือหม่าซาน ซือหม่าเลี่ยง และท่าน”
“อ้อ...” อู๋หยางจงผงกศีรษะ “ท่านว่า ซือหม่าเทียนจะเชิญผู้อื่นไปเป็นสักขีพยานด้วยหรือไม่?”
“มันไม่ แต่ผู้อื่นมิแน่?”
“ท่านหมายถึงบุตรทั้งสองของมัน หรือข้าพเจ้า?”
“เรื่องคราวนี้แท้จริงไม่ใช่ความลับ” ลู่หยุนว่า “อย่างน้อยๆ ซือหม่าเทียนมิได้บอกให้ข้าพเจ้าเก็บเป็นความลับ”
“ดังนั้น ท่านจึงแพร่เรื่องออกไป”
ลู่หยุนสั่นศีรษะ “ข้าพเจ้าเพียงชอบยุ่งเกี่ยวเรื่องผู้อื่น มิเคยชอบกล่าวเรื่องผู้อื่น แต่ในเมื่อซือหม่าเทียนมิได้บอกข้าพเจ้าว่าเป็นความลับ ข้าพเจ้าก็มิอาจคาด มันยังบอกเรื่องนี้กับผู้อื่นนอกจากบุตรทั้งสองคนของมันหรือไม่”
“อืม... ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ความจริงข้าพเจ้าคาดหวังได้เห็นผู้คนจำนวนมาก คงครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง”
“ท่านเมื่อครู่มิใช่เป็นห่วงหวงไป๋ยู่ ตอนนี้คล้ายดั่งท่านยินดีกับเภทภัยของมันแล้ว”
“เภทภัยของมันมิใช่ข้าพเจ้าเป็นผู้ก่อ แต่เป็นท่านก่อครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง...” เว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนถอนใจยาว “ข้าพเจ้าเพียงหวัง อย่างไรมันต้องไม่คิดทิ้งชีวิตตัวเองไปกับการต่อสู้ครั้งนี้”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “ข้าพเจ้าสามารถยืนยันต่อท่าน มันมิใช่ตั้งใจเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่แน่นอน”
---------------------------------------------
-
หวงไป๋ยู่ตื่นแล้ว ตอนมันตื่นมา ตะวันแทบจะตรงหัว แต่อากาศเบื้องนอกยังคงหนาวเหน็บ ที่จริงมันเป็นคนตื่นเช้าอย่างยิ่ง แต่เพราะมันมิได้นอนหลับเต็มตื่นมาหลายวัน ดังนั้น วันนี้มันจึงตื่นสายกว่าปกติ
มันตอนนี้ต้องการรับประทานข้าวสักจาน จึงสั่นกระดิ่งเรียกเซียวเซียว มินานนัก นางก็เปิดประตูเล็กเข้ามา เมื่อเห็นใบหน้าของหวงไป๋ยู่ สองแก้มของนางก็พลันกลายเป็นสีแดงเรื่อ แต่หวงไป๋ยู่มิได้สนใจ เพราะตอนนี้มันกำลังหิวอย่างยิ่ง ดังนั้นมันจึงใช้เซียวเซียวไปเอาอาหารมา
เซียวเซียวย่อมไปไม่นาน นางเป็นยาโถวที่น่ารักและใช้งานได้ นางกลับมาพร้อมข้าวต้มหนึ่งถ้วย กับอีกสามจาน ชาอีกกาหนึ่ง ทุกอย่างยังคงมีควันกรุ่น หวงไป๋ยู่รู้สึก กระเพาะของมันจวนเจียนคลุ้มคลั่งแล้ว ดังนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตารับประทานทันที
เซียวเซียวนั่งเยื้องไปหน่อยหนึ่ง จ้องมองมันรับประทานอาหาร ด้วยสีหน้าซุกซนอย่างยิ่ง หวงไป๋ยู่แม้หิวจัด แต่อย่างไรมันก็เป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์ มันย่อมทราบ เซียวเซียวกำลังจ้องมองมันอยู่ ที่จริงพอแสร้งมารยาทำเป็นไม่เห็นได้ แต่เพราะนางเอาแต่จ้องมันนานเกินไป ดังนั้นมันจึงเงยหน้าขึ้นถาม
“เจ้าจ้องเราด้วยสาเหตุใด?”
เซียวเซียวพลันหน้าแดง หัวร่อคิกคัก “ข้าพเจ้ากำลังคิด บุรุษขี่เมฆผู้นั้นของไป๋เจี๋ยเจี่ยเมื่อคืนต้องร้ายกาจอย่างยิ่ง จึงก่อกวนท่านจนตื่นสายถึงปานนี้”
กล่าวจบก็รีบบิดตัว วิ่งหนีออกประตูไปทันที พลางส่งเสียง “ข้าพเจ้ารออยู่ที่เบื้องนอก ท่านรับประทานเสร็จแล้วยังสามารถเรียกข้าพเจ้าไปเก็บถ้วยเก็บจานได้”
หวงไป๋ยู่ถลึงตามองนาง จากนั้นก็พลันถอนหายใจ
มันรู้สึกเอ็นดูนางจากใจจริง เนื่องเพราะนอกจากนางจะเฉลียวฉลาด นางยังว่าง่าย ไม่สอดรู้สอดเห็น สตรีในวัยนี้ นิสัยเยี่ยงนี้ ในสถานที่แบบนี้ นับว่าหายากจริงๆ
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ชีวิตของมันเริ่มต้นชีวิตใหม่ของมัน
มิว่าผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร มันล้วนต้องจากสถานที่แห่งนี้ไป
มันกำลังตรึกตรองเรื่องของผู้อื่น... เป็นครั้งแรกในชีวิตของมัน
-----------------------------
หวงไป๋ยู่รับประทานเสร็จแล้ว ถาดอาหารก็ถูกเก็บออกไปแล้ว ตอนนี้มันเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นเสื้อยาวสีดำที่สวมเมื่อวาน เซียวเซียวแม้เห็นมันแต่งกายเยี่ยงบุรุษเช่นนี้ แต่นางมิเคยสงสัย เนื่องเพราะไป๋เจี๋ยเจี่ยบอกกับนาง สตรีปลอมเป็นบุรุษย่อมง่ายดายกว่าบุรุษปลอมเป็นสตรี ยิ่งนางได้เห็นการแปลงโฉมเป็นบุรุษเมื่อคืน นางจึงเชื่อสนิทใจ ไป๋เจี๋ยเจี่ยของนางแท้จริงเป็นสตรีที่แสร้งปลอมตัวเป็นบุรุษ เนื่องเพราะนางงดงามเกินไป หากแต่งเป็นสตรีออกไปเดินถนนในตอนกลางวัน มิทราบจะก่อกวนบุรุษให้แตกตื่นเพียงไหน นางเข้าใจ ไป๋เจี๋ยเจี่ยต้องมีความลับ บางทีนางอาจมีคนรักเป็นลูกขุนนางใหญ่ เนื่องเพราะนางเป็นนางคณิกา จึงมิอาจวิวาห์กับบุรุษผู้นั้นได้ แต่อย่างไรนางก็ยังติดตามมันมา ขายตัวที่หอว่านเหนี่ยวแห่งนี้ในตอนกลางคืน และลอบไปพบกับคนรักของนางในตอนกลางวัน
สำหรับเซียวเซียว นี่เป็นนิทานที่ทั้งอ่อนหวาน ซาบซึ้ง และรันทดใจ ดังนั้น นางจึงมิเคยสอบถาม และยิ่งมิเคยต้องการจะทราบ เวลากลางวัน ไป๋เจี๋ยเจี่ยของนางไปที่ใด
หวงไป๋ยู่ออกมาจากหอว่านเหนี่ยวแล้ว การเข้าออกหอเยี่ยงนี้ของมัน นอกจากเซียวเซียวแล้ว มิมีผู้ใดทราบเลย เนื่องเพราะพอมันเดินพ้นจากสายตาของเซียวเซียวไป ร่างมันก็คล้ายละลายหายไปกับอากาศ ปรากฏตัวอีกทีก็ยืนอยู่บนถนนแล้ว
หวงไป๋ยู่เคยทะนงว่าวิชาตัวเบาของมันเลอเลิศที่สุด แต่ตอนนี้ มันมิทราบ วิชาตัวเบาเยี่ยงนี้จะสามารถต่อกรกับเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของซือหม่าเทียนได้หรือไม่
ที่หวงไป๋ยู่ไปคือบึงเซิ่งไคเหลียน อันที่จริงมันแทบจะไปสถานที่นี้ทุกวัน ไปเพื่อเหม่อมองป้ายหลุมฝังศพของบิดามันอย่างซึมเซา
มันรอเวลานี้อยู่เนิ่นนานอย่างยิ่ง แต่เมื่อเวลาใกล้มาถึง มันคล้ายกับทนรอไม่ได้อีกแม้ชั่วก้านธูปเดียว
แต่มันยังคงต้องรอ
ที่หวงไป๋ยู่ไปที่บึงเซิ่งไคเหลียนครั้งนี้ เพียงต้องการความแน่ใจ ที่นั่นมิมีผู้ใดซ่อนตัว นี่ย่อมเป็นเพียงการปลุกประโลมใจให้กับตัวเอง หากมีคนต้องการซ่อนตัวเพื่อสังหารมันจริง ย่อมไม่มารอตั้งแต่กลางวันเช่นนี้ มารอกลางคืนก่อนถึงเช้าย่อมเป็นที่สังเกตยากกว่า
อีกอย่าง ศีรษะของมันใช่มีราคาค่างวดใด ผู้ใดยังต้องการทุ่มเทราคาปานนั้น
แต่เพราะมันต้องการชิงศีรษะผู้อื่น มันจึงทุ่มจ่ายไปมากอย่างยิ่ง แต่มันยังคงมิยอมทุ่มจนหมดตัว
มันยังมิคิดเลือกทางตาย
หากพรุ่งนี้มันพ่ายแพ้ มันจะทำสถานใด?
หากพรุ่งนี้มันสามารถเอาชัยได้ ต่อไปจะเป็นเช่นไร?
มันพลันนึกถึงลู่หยุน อู๋เน่ยเฉียงฟงที่แปลกพิสดารผู้นั้น มันมิทราบจิตเจตนาที่แท้จริงของลู่หยุน มิทราบคนประหลาดผู้นั้นต้องการสิ่งใดจึงได้ก่อกวนจนเรื่องกลายเป็นเช่นนี้
แต่มันกลับรู้สึกวางใจในชีวิตตนเองเป็นพิเศษ
เนื่องเพราะเมื่อวานลู่หยุนกล่าวกับมัน มิว่าอย่างไร ย่อมไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาปลิดศีรษะของมันเด็ดขาด
กระทั่งตัวมันเองยังสงสัย ไยมันจึงรู้สึกว่าใจเช่นนี้?
เนื่องเพราะมันได้ยินเรื่องของอู๋เน่ยเฉียงฟงมากเกินไป? หรือเพราะมันได้พบอู๋เน่ยเฉียงฟงแล้วกันแน่?
หวงไป๋ยู่ไม่ต้องการหาคำตอบ ตอนนี้มันมีเรื่องให้กังวลหลายเรื่องแล้ว มีเรื่องสำคัญให้วางใจสักเรื่องหนึ่ง
เหตุผลจะเป็นเช่นไรก็แล้วไปเถิด
-----------------------------------
ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงก็ตื่นเช้า ปกติแล้วพวกมันตื่นเช้าอย่างยิ่ง เนื่องเพราะมันเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์ มิหนำซ้ำยังเป็นทายาทสายตรงของเจ้าสำนัก ดังนั้นพวกมันจึงต้องตื่นเช้า และฝึกหนักกว่าผู้ใด เพื่อให้เข้าใจแก่นแท้ของวิชา เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินนั้น ซือหม่าซานฝึกสำเร็จแล้วถึงเก้าส่วน ส่วนซือหม่าเลี่ยงผู้น้องสำเร็จไปถึงห้าส่วน หากนับเทียบกันกับอายุของมัน ยังนับว่าซือหม่าเลี่ยงสามารถฝึกเพลงกระบี่นี้ได้ดีกว่าซือหม่าซานเสียอีก หากใช้เวลาเท่ากัน มิแน่ว่ามันอาจฝึกสำเร็จไปแล้ว
แต่ทว่า วันนี้ทั้งสองพี่น้องต่างคล้ายมิมีสมาธิในการฝึก อย่าว่าแต่พวกมัน กระทั่งศิษย์คนอื่นๆ ในเทียนซั่งเฟยอิงผายก็คล้ายสูญสิ้นความกระตือรือร้นในการฝึกไปแล้วจริงๆ
เนื่องเพราะพวกมันทราบเรื่องการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น อีกทั้งเมื่อวานซืนมันยังพบเห็นบุตรชายเจ้าสำนักของพวกมัน พ่ายแพ้กับกระบี่ไม้ไผ่
แม้ลู่หยุนจะเป็นยอดคน แต่ในมือมันคือกระบี่ไม้ไผ่ เพลงกระบี่ที่เกรียงไกรอย่างไรไม่สมควรพ่ายแพ้ในกระบี่เด็กเล่นเช่นนั้น
ยังมีคู่มือผู้นั้นอีกเล่า ฟังว่ากาลก่อนบิดาของมันเป็นถึงจอมขโมยของยุค มิว่าศีรษะของผู้ใดก็สามารถเด็ดขโมยเอาไปได้ แปลว่าฝีมือของมันย่อมมิใช่ธรรมดา ครานั้นเจ้าสำนักของพวกมันสามารถเอาชนะได้ แต่ตอนนี้ท่านชราลงแล้ว ส่วนทายาทผู้นั้นอย่างไรต้องรับสืบทอดวิชาฝีมือไม่ธรรมดามาบ้าง มิเช่นนั้นไหนเลยกล้ามารังควานล้างแค้นเช่นนี้
เมื่อคิดว่ากระบี่ที่พวกมันคร่ำเคร่งฝึกปรือกันมาอย่างยากลำบาก ที่แท้มิมีกระไรเลย ใช่มิใช่ต้องท้อแท้เป็นอย่างยิ่ง ถอดใจเป็นอย่างยิ่ง บางทีใคร่จะลาออกไปหาสำนักเรียนใหม่เสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้พวกมันยังมิกล้าไป อย่างไรพวกมันก็มิกล้าเสียมารยาทต่อซือฟูของมันเด็ดขาด
หากหวงไป๋ยู่ปรารถนาได้เห็นเทียนซั่งเฟยอิงผายพังพินาศต่อหน้า บัดนี้นับว่ามันสมปรารถนาแล้ว
ทว่าคนที่มองดูอยู่กลับมิใช่หวงไป๋ยู่ แต่เป็นซือหม่าเทียน
ซือหม่าเทียนมองดูลานฝึกกว้างขวางของตนอย่างซึมเซา ท่านทราบ เหตุที่เกิดขึ้นล้วนแต่ท่านเป็นผู้ก่อ ผู้ใดก่อย่อมต้องเป็นผู้สะสาง ทว่าเทียนซั่งเฟยอิงผายที่ท่านเพียรสร้างมาอย่างยากลำบาก เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินที่ท่านเพียรคิดค้นขึ้นมาหลายสิบปี ภายในเวลาเพียงสองวัน กลับถูกทำให้พินาศพังครืนไป
ท่านใช่สำนึกเสียใจที่ให้ลู่หยุนใช้กระบี่ไม้ประมือกับบุตรของท่านหรือไม่?
ท่านใช่สำนึกเสียใจที่ประกาศกล่าวเรื่องการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่?
ท่านใช่สำนึกเสียใจที่มิได้ตัดรากถอนโคนเชื้อสายของยู่เหลียนเทียนสื่อหรือไม่?
ดวงตาของซือหม่าเทียนเป็นประกายอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ทุกอย่างที่ท่านเพียรสร้างมากำลังพังพินาศ แต่ในดวงตาของท่านกลับมีประกายคมกล้า
หากต้องการทราบว่ากระบี่เล่มหนึ่งมีคุณค่าสูงส่งเพียงไร มิใช่การนำมันไปวางไว้บนแท่นบูชา มิใช่นำอัญมณีเลอค่าไปประดับไว้ กระบี่เป็นศาสตราอาวุธ ตีขึ้นจากเหล็กกล้า ที่ผ่านการหลอมจากเหล็กหลายชนิด จากก้อนเหล็กร้อน มันถูกนำไปตีซ้ำๆ เป็นพันๆ ครั้ง แช่ลงในน้ำเย็นเป็นพันๆ ครั้ง แช่ลงในเตาไฟเป็นพันๆ ครั้ง จึงสามารถขึ้นรูปเป็นตัวกระบี่ที่ยืดหยุ่นขึ้นมาได้ แต่นั่นเป็นเพียงก้อนเหล็กที่มีรูปทรงคล้ายกระบี่ ยังต้องทุ่มเวลา ขัดขอบของมันทั้งสองด้านจนบาง บางจนคมกริบอย่างยิ่ง
จากนั้นจึงนำมันไปลองตัดเฉือนสิ่งของ
กระบี่ชั้นเลวอาจทำได้เพียงสับเต้าหู้ กระบี่บางเล่มเมื่อใช้ไปนานๆ ที่เคยคมก็ทื่อไป แต่กระบี่ที่ดี แม้ฟันเข้าใส่ก้อนหินใหญ่นับหมื่นครั้ง ทั้งใบของมันต้องไม่บิ่นไม่หักไป ซ้ำยังต้องคมปลาบเช่นเดิม
ดังนั้นจึงถือเป็นกระบี่ที่ดีเยี่ยม
ซือหม่าเทียนก็คล้ายคนตีกระบี่ ที่เพียรตีกระบี่มีค่าขึ้นมาเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนี้ท่านทุ่มเทลงไปทั้งชีวิตเพื่อสร้างขึ้นมา มิทราบเป็นเลือดเนื้อและหยดน้ำตามากน้อยเพียงไร ตอนนี้ท่านก็เป็นเช่นคนทดสอบกระบี่
ทดสอบฟันลงบนหินผา ดูว่ากระบี่ของมันจะหักหรือไม่ จะบิ่นหรือไม่ จะสูญเสียคมหรือไม่
การกระทำเช่นนี้ มิใช่เป็นการกระทำที่ผู้รักกระบี่พึงกระทำ แต่เป็นการกระทำของผู้ตีกระบี่ที่ดี แม้ต้องหักใจอำมหิตกับกระบี่ที่ตีขึ้นมาอย่างยากลำบาก ฟาดฟันมันเข้าใส่ก้อนหิน คล้ายดั่งหวังจะทำลายมันให้ย่อยยับพินาศไป
นั่นก็เพียงเพื่อพิสูจน์ว่า กระบี่ที่เพียรตีขึ้นมานั้น เป็นกระบี่ที่ดีจริงๆ หรือไม่
หากเป็นกระบี่ที่ดี มันย่อมยังคงเป็นดังเดิมมิผิดเพี้ยน
หากเป็นกระบี่เลว ก็ย่อมพังพินาศย่อยยับไป
กระบี่แม้หักไป ยังสามารถตีขึ้นมาใหม่ได้
แต่เกียรติภูมิชื่อเสียงที่สร้างสมขึ้นมาเล่า?
เทียนซั่งเฟยอิงผายเป็นซือหม่าเทียนสร้างขึ้นมา เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินเป็นท่านบัญญัติขึ้นมา
ตอนนี้ท่านตกลงใจ ทดสอบกระบี่ที่ท่านทุ่มเทชีวิตตีขึ้น
แม้มิว่าผลสุดท้ายจะเป็นเยี่ยงไร ท่านก็วางใจยอมรับไว้แล้ว
----------------------------------
วิกาลกรายเข้ามาแล้ว หอว่านเหนี่ยวพลันแปรเปลี่ยนเป็นคึกคักแจ่มใส ทว่า คณิกาหน้าใหม่ที่เลื่องชื่อนามไป๋ยู่หลันยังคงไม่สะดวกรับแขก เหตุผลนั้นธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
แม้เป็นนางคณิกา ขอเพียงมีวัยไม่สูงจนเกินไป อย่างไรในเดือนๆ หนึ่ง ต้องมีสักหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่อาจรับแขกได้
ดังนั้น มิว่าแขกผู้ใดก็ย่อมเข้าใจและไม่สืบถามต่อให้มากความแล้ว
แต่หากมีแขกเช่นบุรุษขี่เมฆผู้นั้นปรากฏขึ้นมาเล่า?
ตอนนี้แม้แต่มันก็มิอาจพบหวงไป๋ยู่ได้
เนื่องเพราะตอนนี้หวงไป๋ยู่มิได้กลับมาที่หอว่านเหนี่ยว ตั้งแต่ออกไป มันยังมิได้ย้อนกลับมาเลย
ตอนนี้หวงไป๋ยู่อยู่ที่ใด?
ย่อมเป็นที่ที่บุรุษทุกผู้ปรารถนาเข้าไปทดลองสักครั้ง
หอคณิกา
เพียงแต่คราวนี้ที่มันมามิใช่หอว่านเหนี่ยว และมันมิได้แสร้งปลอมมาเป็นนางคณิกา
มันมาในฐานะแขกผู้หนึ่ง แขกที่กระเป๋าหนักยิ่ง
พอดีนี่เป็นเมืองใหญ่ หอคณิกาย่อมมิได้มีเพียงหอเดียว มีแค่หอว่านเหนี่ยวที่แพงเป็นพิเศษ
ส่วนหอนี้ แม้ราคาย่อมเยากว่าหน่อย แต่สินค้ามิใช่ของไร้คุณภาพอย่างเด็ดขาด
หวงไป๋ยู่อย่างไรก็เป็นบุรุษ บุรุษหากมิได้ปลดปล่อยนานไป อาจกลายเป็นคนคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือนได้ ดังนั้น มันจึงมาสถานที่นี่เพื่อปลดปล่อย
อย่างไรพรุ่งนี้มันต้องกระทำเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต มันจึงต้องการให้ตัวเองแจ่มใสที่สุด ปลอดโปร่งที่สุด ตั้งแต่มันเหยียบเข้าหอว่านเหนี่ยว มันมิสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ได้เลย เป็นเวลาเกือบสิบวันเต็ม ที่น่าแค้นกว่านั้น ในเวลาเกือบสิบวันนี้ ทุกวัน มันต้องมองเห็นสตรีเรือนร่างอวบอัด สวมชุดวาบหวิว บางครั้งแทบจะสวมแค่ชุดชั้นใน เดินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาต่อหน้ามัน แต่มันกลับมิสามารถยื่นมือไปทำอะไรพวกนางได้
รสชาติเช่นนี้ มิว่าบุรุษใดย่อมยากยิ่งจะทนทาน หากทนทานนานไปต้องพังครืนลงมาได้
หวงไป๋ยู่ก็มิอาจทนทานแล้ว ดังนั้น มันจึงเดินเข้าไป เรียกหาสตรีที่งามที่สุด เก่งที่สุด เพื่อขึ้นเตียงกับมัน
นี่มิใช่ครั้งแรกที่มันขึ้นเตียงกับสตรี ทุกครั้งสิ่งที่กระตุ้นให้มันร้อนรุ่ม วาบหวามรันจวน ล้วนเป็นสัดส่วนที่น่าดึงดูดของสตรีที่มันหามา
ทว่าคืนนี้ ยามที่มันขึ้นคร่อมบนตัวนาง ในใจพลันนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง
นึกถึงตอนที่ปลายลิ้นของลู่หยุนสัมผัสนิ้วของมัน
หวงไป๋ยู่ถึงกับกระทั้นตัวอย่างหนักหน่วง จนคณิกานางนั้นแทบจะหายใจไม่ทัน มันมิเคยรู้สึกรุ่มร้อนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย ครั้งนี้มันถึงกับยกมือของคณิกานางนั้นขึ้นมากัด
มันรู้สึกคล้ายดั่งตัวเองกำลังวิปลาส
-------------------------------
หมิงซิ่งลู่โหลวยังคงเงียบสงบ ภายในห้องแม้มิได้จุดโคม แต่จุดเตาไว้ อย่างไรต้องอบอุ่นอย่างยิ่ง อู๋หยางจงเข้านอนแล้ว มันยังคงนอนหลับสนิท ส่งเสียงกรนสนั่นหวั่นไหว ทว่า บนตึกใหญ่ นอกจากเตาในห้องของมัน เตาห้องอื่นมิได้ถูกจุด
คืนนี้ลู่หยุนมิได้อยู่ในหมิ่งซิ่งลู่โหลว และอู๋หยางจงก็ไม่สนใจว่ามันจะกลับมาหรือไม่ เพราะที่ลู่หยุนรับปาก เป็นการมาค้างกับมันเมื่อคืนวาน ดังนั้น มิว่าคืนนี้ลู่หยุนไปที่ใด ย่อมมิมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับมันแล้ว ทุกอย่างเป็นลู่หยุนกำหนดชีวิตของมันเอง
หากมิได้อยู่ในห้องอันอบอุ่นของหมิงซิ่งลู่โหลว ตอนนี้ลู่หยุนอยู่ที่ใด?
หรือมันก็อยู่ในหอคณิกา เป็นเช่นหวงไป๋ยู่ ต้องการปลดปล่อยอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจกับสตรีร่านราคะสักคน?
แต่มันกลับมิได้อยู่ในหอคณิกา และไม่ได้อยู่ในโรงเตี๊ยมใด
สถานที่ที่มันอยู่ คือบึงเซิ่งไคเหลียน บึงเซิ่งไคเหลียนที่มีสุสานขนาดใหญ่ ที่ถูกเรียกเป็นซี่ซูเทียนสื่อ
อากาศเย็นยะเยือก เหมยยิ่งส่งกลิ่นหอม เพราะความทรหดเยี่ยงนี้เอง มันจึงได้ชื่อว่าเป็นบุปผาทระนง ลู่หยุนมิใช่เหมย ยิ่งมิใช่คนที่หลอมมาจากเหล็ก มาตรแม้นหลอมมาจากเหล็ก หากสัมผัสอากาศเย็นเกินไป บางทีเหล็กกล้ายังเปราะหักไปได้ ดังนั้น บนร่างลู่หยุนตอนนี้จึงมีเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีดำตัวหนึ่ง ทั้งหนาทั้งอบอุ่นอย่างยิ่ง เพียงพอจะบรรเทาความหนาวเหน็บจากภายนอกได้ ยังคงเป็นของที่อู๋หยางจงให้มันยืมเช่นเคย
ลู่หยุนยามนี้จึงคล้ายสุนัขจิ้งจอกสีดำตัวหนึ่ง ที่คอยเวียนอยู่บริเวณบึง
มิทราบกำลังมองหาสถานที่ซ่อนตัวเพื่อล่าเหยื่อ
หรือมองหาสถานที่ที่ผู้อื่นซ่อนตัวเพื่อล่าเหยื่อ
หรือบางที มันอาจไม่ใช่สุนัขจิ้งจอก เป็นเพียงสุนัขเฝ้ายามที่กำลังทำหน้าที่อย่างแข็งขันเท่านั้น
-------------------------------------
(จบตอน)
-
:L2: :pig4:
-
ติดตามนะค๊ะ เขียนดี อ่านลื่น ลู่หยุนนี่พระเอกใช่ไหมค๊ะ แล้วใครเป็นนายเอกเอ่ย หวงไป่ยู่หรือเปล่า
-
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
:mew1: :mew1: :mew1: ::
-
:3123: :pig4: :3123:
o13
-
เพลิดเพลินยิ่งนัก
รอชมการประลองด้วยใจระทึก
-
ลู่หยุนนี่น่าจะพระเอกเนอะ แต่นายเอกนี่น่าจะหวงไป๋ยู่ แต่เราอยากให้เป็นอู๋หยางจงจังเลย ชอบเวลาเค้าอยู่ด้วยกัน :impress2: :impress2:
-
เหมยแดง
บทที่8 สิ้นสุดที่ยุติ
วันเวลาบางครั้งผ่านคล้ายผ่านไปเนิ่นนานอย่างยิ่ง แต่บางครากลับคล้ายพริบตาก็ผ่านพ้นไปแล้ว
ตอนนี้ค่ำคืนผ่านพ้นไปแล้ว วันนี้ย่อมเป็นเช้าวันใหม่
วันแห่งการชี้เป็นชี้ตายระหว่างบุรุษสองคนซึ่งมิเคยพบเห็นหน้ากันมาก่อน
คนผู้หนึ่งแซ่ซือหม่า นามเทียน* (ฟ้า) ฉายาจินหลิงอิง มีนามอันเป็นที่โจทย์ขานในยุทธภพมามากกว่าสี่สิบปี เจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิง และเป็นผู้บัญญัติเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบิน นับตั้งแต่ท่านบัญญัติเพลงกระบี่นี้มา กระบี่ของท่าน มิเคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด
อีกผู้หนึ่งแซ่หวง นามไป๋ยู่* (หยกขาว) เพิ่งปรากฏในยุทธภพเพียงสองเดือน ก็มีคนเรียกขานมันเป็น หงเหมยฮวา มิมีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน เพียงแต่ทราบ ยามมันลงมือ คล้ายกลายเป็นธาตุอากาศ จากนั้นบนร่างกายของศัตรูจึงค่อยปรากฏดอกเหมยแดง หลักวิชาที่มันใช้คือดัชนีขยี้เดือนสยบดาราอันลี้ลับพิสดารของกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่ หากผู้ใดถูกวิชานี้เข้าไป มีทางเลือกสองสาย
สายแรก ตาย
สายที่สอง ทรมานจนตายไป
มันคือผู้สืบสายเลือดของจอมขโมยแห่งยุค และนางอสูรที่ผลาญวิญญาณผู้คน
ซือหม่าเทียนอย่างไรก็เป็นผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ ผู้ที่เคารพนับถือมีอยู่นับไม่ถ้วน พฤติการณ์ของท่านล้วนองอาจเปิดเผย ดังนั้น ย่อมมีคนจำนวนมากมาดูท่าน ดูว่าท่านจะสะสางหนี้แค้นรายนี้อย่างไร
ส่วนหวงไป๋ยู่ เนื่องเพราะไม่มีผู้ใดเคยเห็นตัวจริงของมันเลย แม้กระทั่งบิดารมารดาของมัน ก็มิมีผู้ใดเคยเห็นชัดตา ฟังแต่ว่า ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้นรูปงามยิ่งนัก แต่ไฉนกลับวิวาห์กับสตรีอัปลักษณ์เช่นกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่ได้
ดังนั้น ยังมีหลายคนมาเพราะสงสัย ใคร่ดูหน้าบุตรของพวกมัน มีเค้าหน้าใดแน่
บึงเซิ่งไคเหลียนเดิมมิใช่สถานที่คับแคบ แต่ก็มิได้กว้างขวางจนเกินไป ดังนั้น ตอนนี้ สมควรมีผู้คนมาชุมนุมกันมากหลายผิดกว่าธรรมดา
ทว่าในความเป็นจริง รอบๆ บึงกลับมีคนอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น
คนหนึ่งเป็นอู๋หยางจง เนื่องเพราะมันเป็นสหายกับลู่หยุน อีกสองคนคือซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยง คนสุดท้ายย่อมเป็นตัวของลู่หยุนเอง
ไฉนจึงมีเพียงสี่คนนี้ หรือแท้จริงแล้วการต่อสู้ครั้งนี้ มิมีใครต้องการดูนอกจากพวกมันสี่คน
ความจริงย่อมมิใช่
นับอย่างน้อยต้องมีผู้คนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยต้องการชมการประลองนี้ ยี่สิบในนี้เป็นยอดฝีมือที่เป็นที่ยอมรับ ทว่าพวกมันทั้งหมดต่างถอยร่นออกไป
เนื่องเพราะตอนพวกมันตั้งใจมาจับจองที่นั่ง พลันเห็นจิ้งจอกสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่
ยืนอยู่เดียวดายท่ามกลางพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะและอากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหมย แม้ผู้ที่มาเช้าที่สุด ยอมผจญกับอากาศหนาว ยังถึงกับพบเห็นสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นยืนอยู่ก่อนแล้ว
นั่นย่อมมิใช่สุนัขจิ้งจอกจริง เป็นลู่หยุนที่สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก
มันยืนอยู่ที่นั่น ตรงนั้น มิมีผู้ใดทราบนอกจากตัวมันเองว่ายืนมานานเท่าใด
แต่ทุกคนล้วนทราบ หากจิ้งจอกสีดำนั้นยืนอยู่ พวกมันต้องไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เด็ดขาด
เนื่องเพราะแม้พวกมันมีฝีมืออยู่ไม่กี่ท่า ก็ยังพอสามารถสัมผัสถึงความกดดันที่แผ่ออกมาจากจิ้งจอกตัวนั้นได้
ดังนั้น ตอนนี้ที่บึงเซิ่งไคเหลียนจึงมีสักขีพยานเพียงสี่คน
คนที่จะต่อสู้กันเล่า?
เที่ยงตรง
ยามนี้เป็นเวลาที่มีแสงตะวันมากที่สุด คนที่ควรมา ต่างก็มากันครบแล้ว
ซือหม่าเทียนพลิ้วลงมาบนหิมะที่เริ่มละลาย คล้ายดั่งมีลมพัดหนึ่งหอบมา ใบหน้าของท่านเรียบเฉย มิมีเค้าความรุ่มร้อนใด นิ่งสนิทราวกับน้ำในแก้ว
หวงไป๋ยู่ก็มาแล้ว ยามมันมาถึง คล้ายดั่งเป็นเงาดำที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศก็ปาน
วิชาตัวเบาที่เลอเลิศปานนี้ กระทั่งลู่หยุนยังอดมิได้ต้องลอบชมในใจ
หวงไป๋ยู่ยืนอยู่ที่นั่น มันสวมเสื้อยาวสีดำ ผมสีดำราวนกกาน้ำถูกรัดเอาไว้ด้วยแพรสีดำ แขนเสื้อสีดำของมันยาวจนมองไม่เห็นปลายนิ้ว เสื้อของมันก็ยาวจนมองไม่เห็นรองเท้า ใบหน้าของมันขาวจัด ขาวจนแข็งกระด้าง แม้รูปหน้ามันจะงดงามอย่างยิ่ง แต่ก็กระด้างอย่างยิ่งเช่นกัน ดวงตาสีดำของมันทั้งคู่ยิ่งทอประกายคล้ายเข็มนับหมื่นๆ เล่ม พุ่งตรงไปยังซือหม่าเทียน
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน” หวงไป๋ยู่กล่าววาจา น้ำเสียงของมันถึงกับชืดชาไร้อารมณ์ พลันประสานมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อ แล้วกล่าวสืบต่อ “ข้าพเจ้าหวงไป๋ยู่ วันนี้มาเพื่อชำระบัญชี”
เสื้อยาวสีดำของมันดูไปรุ่มร่ามอย่างยิ่ง ทั้งแขนเสื้อทั้งชายเสื้อต่างยาวเกินความจำเป็น แต่วิชาที่มันใช้เป็นวิชาลอบประทุษ หลักการแรกของวิชาจำพวกนี้
ต้องไม่ให้ศัตรูเห็นอาวุธของท่าน
นอกจากใบหน้า นับว่าไม่สามารถเห็นสัดส่วนใดของมันได้อีก
ดังนั้น เสื้อยาวที่ดูรุ่มร่าม แท้จริงคือการอำพรางลอบเร้น
อย่างไรมือของมันก็คืออาวุธฆ่าคน เท้าของมันก็ด้วย
แขนเสื้อของซือหม่าเทียนอย่างไรก็เป็นแขนเสื้อปกติ ชายเสื้อก็เป็นชายเสื้อปกติ เนื่องเพราะวิชาที่ท่านใช้คือวิชากระบี่ ปกติแล้วผู้ใช้กระบี่มักองอาจเปิดเผย มีว่าสัดส่วนใดก็ไม่จำเป็นต้องซ่อน เนื่องเพราะมือกระบี่ ที่ภูมิใจย่อมต้องเป็นกระบี่ที่ใช้ ดังนั้นท่านไม่มีความจำเป็นต้องปิดซ่อนสิ่งใด
เที่ยงวัน
แม้มีแดด แต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ ในบรรดาคนทั้งหมด นับว่าอู๋หยางจงมีพลังฝีมือต่ำที่สุด อย่างไรอาชีพหลักของมันคือทำการค้า ดังนั้น มันจึงสวมเสื้อผ้าที่หนาที่สุด เสื้อขนจิ้งจอกที่มันสวม ดูไปยังคล้ายตัวใหญ่กว่าของที่มันให้ลู่หยุนยืมเสียอีก แต่ที่บันดาลให้มันรู้สึกอบอุ่นจริงๆ มิใช่เสื้อหนังจิ้งจอกตัวนี้
แต่เป็นบุรุษที่ใส่เสื้อหนังจิ้งจอกผู้นั้นต่างหาก
อู๋หยางจงเกิดมาคล้ายมีโชคมาพร้อมเคราะห์ มันรับช่วงต่อกิจการของบิดา มีพรสวรรค์ในการค้าขายอย่างยิ่ง มันลงมือทำการค้าเองไม่กี่ปี กิจการกลับเจริญรุดหน้าไปมากมาย ถึงกับสามารถทำธุรกิจตัดหน้าคู่แข่งไปได้แทบทุกครั้ง
แต่เคราะห์ของมันก็มีไม่น้อย เนื่องเพราะมันค้าขายเก่งเกินไป ดังนั้นต้องเป็นที่ไม่พอใจของหลายคนอย่างยิ่ง อู๋หยางจงก้าวเท้าออกจากหมิงซิ่งลู่โหลวทีไร หากออกจากเมืองไป มันย่อมมิแน่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง
ชีวิตมัน นับว่าผ่านการถูกคนจับตัวไปนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งที่เลวร้ายที่สุด ก็เป็นครั้งที่ลู่หยุนช่วยมันไว้นั่นเอง หลังจากนั้น มันก็มิยอมเดินทางไกลเกินกว่าตัวเมืองอีกเลย
แต่เมื่อลู่หยุนพลันปรากฏตัวขึ้นมา คล้ายดั่งชีวิตมันมีอิสระขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น มิว่าลู่หยุนชวนมันไปที่ใด ตอนนี้มันต้องรีบฉวยโอกาสไป แม้มันต้องมานั่งตากอากาศหนาวเหน็บ มันก็ยินดีมา
บ้านแม้อยู่สบาย แต่หากอยู่นานไม่ยอมออกไปไหน บันดาลให้คนไม่สบายได้เช่นกัน
ที่ที่อู๋หยางจงนั่งจึงเป็นเก๋งน้ำชาหลังนั้น จากเก๋งน้ำชา ยังสามารถมองเห็นการต่อสู้ได้ชัดถนัดตา ข้างตัวมันยังมีเตาเล็กๆ เตาหนึ่ง โต๊ะเล็กๆ และสุราสองไห และจอกสุราที่ทำจากเครื่องเคลือบชั้นดีอีกหลายใบ
ทุกคนทราบ มันเป็นจินก้วนที่ใจกว้างเสมอมา มันนั่งสบายอยู่ที่นี้ มิใช่ต้องการนั่งเพียงคนเดียว ดังนั้นบนโต๊ะจึงมีจอกสุราหลายจอก
แต่ผู้อื่นกลับคล้ายมิต้องการความสบายเช่นมัน
สองพี่น้องซือหม่ายืนอยู่ในทางตรงข้าม พวกมันสวมเสื้อขนจิ้งจอกเช่นกัน ยังเป็นขนจิ้งจอกสีขาวราวหิมะ มองไกลๆ คล้ายกับจิ้งจอกสองพี่น้องที่กำลังหมอบนิ่งเฝ้ารอคอยจังหวะตะครุบเหยื่ออยู่
ลู่หยุนยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ท่าทางของมันตอนนี้มิคล้ายจิ้งจอก ยังคล้ายสุนัขเฝ้ายามที่หมดแรงแล้วตัวหนึ่ง ถึงกับอ้าปากหาวออกมา
อู๋หยางจงทราบ มันอยู่แถวนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสี่ชั่วยาม น่ากลัวหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต้องแข็งตายไปนานแล้ว แต่มันยังสามารถยืนตาปรือ อ้าปากหาวราวกับคนเพิ่งตื่น พอดีจุดที่มันยืน ยังเป็นตรงข้ามกับซือหม่าสองพี่น้อง
ดังนั้นตอนนี้ พวกมันจึงกลายเป็นสามเส้า ล้อมอยู่ด้านนอกอีกที
ลู่หยุนอ้าปากหาวอีกแล้ว นับตั้งแต่ที่คู่มือทั้งสองปรากฏตัว มันอ้าปากหาวอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง แต่ละครั้งต้องมีเสียงดังออกมาคล้ายตั้งใจให้ได้ยินโดยทั่วถึงกัน
แต่ดวงตาของมันยังคงเป็นประกายสุกใส
อู๋หยางจงทราบ ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด คนที่ปลอดโปร่งที่สุดต้องเป็นคนผู้นี้เสมอ
หวงไป๋ยู่มองซือหม่าเทียน ซือหม่าเทียนมองหวงไป๋ยู่ ระหว่างคนทั้งคู่ คล้ายกำลังส่งกระแสจิตคุยกันอยู่ ลมหนาวพัดเฉือนฉิว คล้ายมีดเล่มเล็กๆ กรีดลงบนใบหน้า ซือหม่าเทียนกล่าววาจาเป็นครั้งแรก
“เรารอวันนี้มาถึงสิบแปดปีเต็ม ตอนนี้นับว่าเราสามารถตายตาหลับได้แล้ว”
หวงไป๋ยู่มองมัน “ท่านรอข้าพเจ้ามาแก้แค้นถึงสิบแปดปี?”
ซือหม่าเทียนพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายรันทด “เราทราบ ในใจเจ้าต้องมีความแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากับเรา เรารู้หากท่านยังมีชีวิต เจ้าต้องมาหาเราเพื่อล้างแค้น เมื่อท่านมาแล้ว เราจึงแน่ใจ เลือดเนื้อเชื้อไขของยู่เหลียนเทียนสื่อยังมิได้ถูกทำลายจริงๆ”
“ดังนั้น ตอนนี้ ท่านก็เตรียมทำลายข้าพเจ้าแล้ว?”
ดวงตาซือหม่าเทียนเป็นประกายสงบนิ่ง “เราไม่มีเหตุผลต้องทำลายเจ้า ตอนนี้เราเพียงต้องการดู เจ้ามีปัญญาสะสางบัญชีแค้นนี้ของเจ้าหรือไม่”
กระบี่มันพอจะชักออกจากฝักได้ แต่ร่างของหวงไป๋ยู่หายไปแล้ว หายไปราวกับล่องหน
จากนั้นประกายกระบี่ก็วาบขึ้นราวกับสายฟ้า
เสียงติงดังขึ้นถี่ยิบ แสดงว่าทั้งคู่ประมือกันแล้ว
ตอนนี้ที่พัวพันซือหม่าเทียนอยู่ ถึงกับคล้ายวิญญาณร้ายจากขุมนรก มองเห็นเพียงเงาดำเคลื่อนไหววูบวาบอยู่รอบตัวมัน ในเงาดำก็มีประกายกระบี่ เมื่อประกายกระบี่วาบ เงาดำก็พลันแฉลบไป
แต่เสียงติงๆ ยังคงดังมิหยุดยั้ง แสดงว่าคมกระบี่ต้องปะทะกับสิ่งของบางอย่างที่เป็นโลหะเช่นกัน
ใต้แขนเสื้อยาวของหวงไป๋ยู่ ยังมีของใดซ่อนอยู่ นอกจากนิ้วของมัน ใต้แขนเสื้อนั้นยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่
พวกที่ถูกลู่หยุนกดดันมิให้เข้ามา แท้จริงก็มิได้หนีเตลิดไปไกลที่ไหน ยังสามารถปีนขึ้นไปแอบดูบนกิ่งเหมยกิ่งหลิวได้ แต่ที่พวกมันเห็นและได้ยิน คือเงาสีดำ ประกายกระบี่ และเสียงติงๆ เท่านั้น
มิใช่เพราะพวกมันอยู่ไกลเกินไป แต่เพราะสายตาของพวกมันไม่อาจตามทันความเร็วในการลงมือของทั้งคู่ได้
ซือหม่าเทียนเคยประมือกับยู่เหลียนเทียนสื่อ ท่านทราบกระจ่าง วิชาตัวเบาของยู่เหลียนเทียนสื่อเลอเลิศเพียงใด เพียงมันสะกิดเท้าครั้งเดียว ยังลอยละลิ่วไปได้ถึงแปดวาสิบวา ผู้คนเพียงรู้สึกเหมือนลมสายหนึ่งผ่านไปเท่านั้น พอลมพัดผ่านมา มิเป็นศีรษะก็ย่อมเป็นของชิ้นหนึ่งถูกขโมยไป
ครั้งนั้นซือหม่าเทียนมิได้ถูกยู่เหลียนเทียนสื่อชิงศีรษะ เนื่องจากท่านสามารถคิดค้นเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินได้ พลานุภาพของเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่ ยังสามารถสะกดเทียนสื่อผู้นั้นมิให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า
ทว่าทายาทของมัน กลับใช้วิชาฝีมือในเชิงตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
ยู่เหลี่ยนเทียนสือแท้จริงยังใช้กระบี่ตัดศีรษะผู้คน
แต่หวงไป๋ยู่ผู้นี้ มิได้ใช้กระบี่ตัดศีรษะคน อาวุธคือนิ้วของมัน
ขอเพียงถูกนิ้วจี้เข้าใส่จุดสำคัญ มิตายทันทีก็ต้องทรมานจนตายไป
ปกติแล้วหลักของวิชาดัชนีคือนิ้ว นิ้วของคนที่ฝึกวิชาจำพวกนี้จะต้องแข็งแรงอย่างยิ่ง ปกติแล้วนิ้วที่แข็งแรงที่สุดมักเป็นนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง
นิ้วโป้งสามารถจู่โจมทำลายเป้าหมายใหญ่ได้อย่างหนักหน่วง นิ้วชี้สามารถก่อกวนลวดลายได้ นิ้วกลางจึงเป็นนิ้วที่ใช้สังหารอย่างแท้จริง เนื่องเพราะมันเป็นนิ้วที่ยาวที่สุด นิ้วที่โดดเด่นที่สุด และทรงพลังที่สุด
ส่วนนิ้วนางกับนิ้วก้อยนั้น แทบไม่มีคุณค่าเลย
แต่มิว่าอย่างไร หากนับเพียงสามนิ้วเป็นอาวุธ ตอนนี้อาวุธในแขนเสื้อของลู่หยุน อย่างน้อยๆ ต้องมีหก เนื่องเพราะมันมีมือสองข้างที่มีนิ้วสมบูรณ์
หากเคยมีผู้ใดปรามาสวิชาดัชนีว่ามิอาจทัดเทียมวิชาอย่างอื่นได้ ครั้งนี้มันผู้นั้นต้องกัดลิ้นตัวเอง
เนื่องเพราะตอนนี้ ซือหม่าเทียนและหวงไป๋ยู่ปะทะกันไปห้าสิบกระบวนท่าแล้ว แต่ยังมิรู้ผลแพ้ชนะ ที่สำคัญมือของหวงไป๋ยู่ ถึงกับสามารถสกัดกระบี่ของซือหม่าเทียน จนมิอาจใช้เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินออกมาได้
ที่สำคัญเท่าสองมือ ก็คือสองเท้า สองเท้าของหวงไป๋ยู่ถึงกับสามารถขยับเคลื่อนไหวได้ราวปาฏิหาริย์ พัวพันซือหม่าเทียนไว้จนสลัดไม่หลุด เท้าก้าวหลบ นิ้วสกัด คราวนี้กระบี่จึงมิอาจเหินบิน เพราะถูกวิญญาณปิศาจพัวพันไว้ที่พื้นแล้ว
ทว่า เสียงติงๆ ที่ดังถี่ยิบพวกนั้นเล่า มาจากของใด
ใช่นิ้วของหวงไป๋ยู่กลายเป็นเหล็กไปแล้วหรือไม่?
ข้อนี้มีเพียงซือหม่าเทียนที่ทราบ
แม้มิเห็นชัดถนัดตา แต่ท่านเห็นประกายดำจากนิ้วนางและนิ้วก้อยของหวงไป๋ยู่
นิ้วนางกับนิ้วก้อยของมันถึงกับสวมเล็บเหล็ก เสียงดังติงๆ เกิดจากเล็บเหล็กปะทะกับกระบี่นี่เอง
สองนิ้วที่มีกำลังน้อยที่สุด กลับเป็นนิ้วที่สกัดกระบี่ อย่างนั้นสามนิ้วที่เหลือเล่า...
ความหึกเหิมลำพองของหวงไป๋ยู่แทบท่วมท้นขึ้นมาถึงหน้าอก สองวันก่อนหน้านี้ มันคล้ายขาดความมั่นใจอยู่สามส่วนในการเอาชนะซือหม่าเทียน แต่ตอนนี้มันทราบแล้ว ที่มันทุ่มเทลงไป ยังมิใช่สูญค่า ความทุ่มเทสิบแปดปีของมัน ยามนี้ปรากฏผลแล้ว
มันตอนนี้สามารถสะกดอานุภาพของเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของซือหม่าเทียนได้ มันย่อมสามารถเอาชนะซือหม่าเทียนได้
หวงไป๋ยู่พลันทุ่มพลังเพิ่มเข้าไปอีก หวังเอาชัยให้เสร็จสิ้นไป
-
เวลาผ่านไปเพียงชั่วก้านธูป ทั้งสองประมือกันไปกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว คนทั่วไปยังคงเห็นเพียงเงาดำกับประกายกระบี่ ครั้งก่อนที่ซือหม่าเทียนและยู่เหลียนเทียนสื่อประมือกันนั้น กินเวลาไปร่วมสามชั่วยาม
ครั้งนั้นซือหม่าเทียนกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ยู่เหลียนเทียนสื่ออย่างไรก็อ่อนกว่ามันไม่มาก เรียกว่าทั้งอยู่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด
ดังนั้นจึงสามารถต่อสู้ได้ต่อเนื่องยาวนานเช่นนั้น
แต่ตอนนี้ผิดกันแล้ว
ซือหม่าเทียนกลายเป็นชายชราอายุหกสิบ แม้จะมีกำลังภายในเลอเลิศเพียงใด ย่อมต้องเสื่อมถอยไปตามเวลา ขณะที่หวงไป๋ยู่เพิ่งมีวัยสิบแปด เป็นวัยที่กลายเป็นบุรุษเต็มที่ เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
หัวใจของทั้งคู่ก็ต่างกัน
หัวใจดวงหนึ่งผ่านกาลเวลามายาวนาน มิทราบผ่านความเป็นตายและความรู้สึกซับซ้อนรุนแรงมามากมายเพียงใด
ส่วนหัวใจอีกดวงเพิ่งกำเนิดมาได้สิบแปดปี ยังคงเป็นหัวใจที่ใหม่เอี่ยม นอกจากความแค้นที่บิดาถูกฆ่าแล้ว ประการอื่นในหัวใจของหวงไป๋ยู่ไม่มี
เนื่องเพราะมันมีวัยเยาว์เกินไป ประสบการณ์น้อยเกินไป ยังอารมณ์พลุ่งพล่านมากเกินไป
ถึงกระบวนท่าที่ร้อยแปดสิบ มันเริ่มเกิดความรู้สึก แม้มันสามารถกดดันมิให้ซือหม่าเทียนใช้เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินได้ แต่มันกลับคำนวณวิธีเอาชนะคนผู้นี้มิออกเลย
ความสงสัยเพียงชั่ววูบ เพียงมิทันกะพริบตา ก่อให้เกิดช่องว่างเพียงเล็กน้อย ช่องว่างที่มิว่าผู้ใดก็ยากที่จะฉวยโอกาสเอาไว้ได้
แต่กระบี่ของซือหม่าเทียนเปลี่ยนทิศแล้ว ร่างของมันพลันโฉบแฉลบขึ้นด้านบน คล้ายดังพญาอินทรีย์ตัวมหึมา ประกายกระบี่กระจายเต็มท้องฟ้า ดั่งเงาของปีกพญาอินทรีย์ที่แผ่กางออก
พลังอันมหาศาลที่ถาโถมลงมา ดังกรงเล็บแหลมคมพุ่งเข้าใส่ร่างของหวงไป๋ยู่
พริบตานั้นหวงไป๋ยู่พลันเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในประกายดาบ หลังประกายดาบยังมีดวงตาของคนผู้หนึ่ง
ซือหม่าเทียน
พริบตานั้นเองที่ผลแพ้ชนะปรากฏขึ้น
------------------------------
ดวงตะวันยังคงลอยสูง เหมยยังคงส่งกลิ่นหอม บนพื้นที่เคยเป็นหิมะเปียกแฉะ ตอนนี้กลับกลายเป็นหล่มโคลนมหึมาหล่มหนึ่ง เนื่องเพราะภายในสองชั่วธูปที่ผ่านมา บริเวณนี้มิทราบถูกเท้าเหยียบย่ำไปกี่พันครั้ง
เป็นเท้าเพียงสองคู่เท่านั้น
เท้าของซือหม่าเทียนและหวงไป๋ยู่
ตอนนี้ต่างคนต่างกลับไปยืนอยู่ที่เดิมแล้ว นอกจากหล่มโคลน บริเวณโดยรอบก็เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
เหมยยังคงส่งกลิ่นหอม แต่ดอกเหมยกลับมิได้อยู่บนต้น
ดอกเหมยตอนนี้อยู่บนพื้น เนื่องเพราะถูกคลื่นกระบี่กระทบใส่ แม้เหมยจะเป็นดอกไม้ที่ทระนงเพียงใด ย่อมมิอาจทนทานคลื่นกระบี่เมื่อครู่นี้ได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นพวกมันจึงร่วงหล่นไป
คนเล่า... คนเป็นอย่างไร
ที่ชรากลับคล้ายหนุ่มขึ้นมาหลายปี ที่ยังหนุ่มก็คล้ายกับเติบโตขึ้นหลายปีแล้ว
ชั่วเวลาสองก้านธูป สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน คนก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน
ถึงกับแปรเปลี่ยนจนน่าอัศจรรย์
ซือหม่าเทียนตอนนี้คล้ายเยาว์วัยลงสิบปี สีหน้าของท่านสงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง ท่ายืนของท่านหนักแน่นอย่างยิ่ง ดั่งขุนเขาสูงใหญ่ แต่ดวงตาของท่านกลับฉายแววละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ดั่งท้องฟ้ายามรุ่งอรุณในฤดูชิวเทียน
หวงไป๋ยู่ตอนนี้สภาพไม่น่าดูแล้ว ผมเผ้าของมันยุ่งเหยิง ชายเสื้อและปลายแขนเสื้อยาวสีดำเต็มไปด้วยเศษโคลน สีหน้าของมันคล้ายคนผู้หนึ่งที่เพิ่งคลานขึ้นมาจากปลักโคลน พบเห็นพื้นที่แห้งและแข็งเป็นครั้งแรก
ดวงตาของมันจ้องมองซือหม่าเทียนอย่างเลื่อนลอย
ตอนนี้มันจึงค้นพบ
มันแท้จริงคือทารก ทารกที่มิเคยเห็นแสงตะวัน จึงถือแสงตะเกียงเป็นแสงตะวันไป
แต่ตอนนี้มันเห็นแสงตะวันที่แท้จริงแล้ว มันถึงกับมิอาจทนทานดูต่อไปได้ ต้องทรุดนั่งลงกับพื้น
ดวงตาของซือหม่าเทียนคล้ายดั่งดวงอาทิตย์ตลอดกาล ท่านกล่าวออกมาอย่างแช่มช้า
“นับว่าเจ้ามิเสียทีเป็นทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อ ตัวมันในปรโลกต้องภูมิใจที่มีบุตรชายเช่นเจ้า มารดาของเจ้าก็ย่อมภูมิใจเช่นกัน”
หวงไป๋ยู่เหม่อมองอยู่นาน จึงกล่าวขึ้นคล้ายละเมอ “ท่านเล่า... ท่านเห็นข้าพเจ้าเป็นอย่างไร?”
“เป็นคนที่มีอนาคต” เสียงของท่านแม้ไม่ดัง แต่หนักแน่นปานขุนเขา เปี่ยมไปด้วยพลังยิ่งใหญ่ขุมหนึ่ง
หวงไป๋ยู่นิ่งงันไปนาน สุดท้ายจึงถอนหายใจ “ข้าพเจ้าพ่ายแพ้ต่อท่านแล้ว ท่านไปเถิด”
ซือหม่าเทียนพลันหันกายอย่างแช่มช้า เสียงฝีเท้าของท่านตอนย่ำลงบนพื้นหิมะ คล้ายดังเข้าไปในหัวใจของทุกผู้คน
ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงติดตามบิดาของมันไป มิมีผู้ใดเหลือบดูหวงไป๋ยู่แม้แต่แว้บเดียว
แน่นอนว่าหวงไป๋ยู่ไม่สนใจ
ตอนนี้ไม่มีสิ่งภายนอกใดสามารถกระตุ้นให้มันสนใจอีกแล้ว
เห็นสภาพเช่นนี้ อู๋หยางจงก็ต้องเก็บของกลับแล้ว แม้แต่ลู่หยุนก็ขึ้นรถม้ากลับไปด้วยกัน พวกที่มามุงดูอยู่รอบนอกก็พากันจากไปแล้ว
ตอนนี้โดยรอบจึงกลายเป็นเงียบสงบอีกครา เงียบกระทั่งได้ยินเสียงลม
ได้ยินเสียงน้ำตาหลั่งไหล
น้ำตาของหวงไป๋ยู่หลั่งไหลแล้ว ตลอดร่างของมันพลันสั่นสะท้านดั่งเขื่อนที่ถูกทุบจนพังทลาย
มันมิทราบตอนนี้มันอยู่ในสภาวะใด
ด้านหนึ่งมันรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของมัน
ด้านหนึ่งมันก็รู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ที่มิอาจชำระบัญชีเลือดให้บิดาของมันได้
แต่อีกด้านหนึ่ง มันกลับรู้สึกเคารพซือหม่าเทียนจากก้นบึ้งของหัวใจ
กระทั่งยังคล้ายได้ยินเสียงบิดาของมันกล่าวมาจากปรโลก
‘ได้ตายด้วยมือของคนเยี่ยงนี้ เตียเตียมิเศร้าเสียใจเลย’
หวงไป๋ยู่อย่างไรก็เพิ่งอายุสิบแปด เป็นบุตรไม่มีบิดานับเป็นความรันทดประการหนึ่ง สืบทอดปณิธานแก้แค้น ก็เป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตประการหนึ่ง
แต่การพ่ายแพ้ครั้งแรก ผิดหวังครั้งแรก นี่จึงเป็นเรื่องกระทบกระเทือนหัวใจที่แท้จริง
หัวใจคนเราตอนเกิดมาเป็นเพียงก้อนเนื้อมีชีวิตก้อนหนึ่ง
แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน เหตุการณ์เปลี่ยนแปร
ก้อนเนื้อก้อนนั่นอาจกลายสภาพเป็นเหล็กเย็นก้อนหนึ่ง เตาไฟที่ระอุอุ่นเตาหนึ่ง ภูผา หรือบางทีอาจะเป็นเมฆหมอก
ก้อนเนื้อจะเปลี่ยนสภาพได้ ต้องผ่านการกระทบกระเทือนรุนแรงสักครั้งหนึ่ง
ครั้งแรกย่อมยากจะทนทานที่สุดเสมอ เมื่อมีหนสองหนสาม รสชาติย่อมไม่ยากจะทานทนอีกแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกของหวงไป๋ยู่
มันรู้สึกเป็นรสชาติที่ยากจะทานทนจริงๆ
ร่างของมันถึงกับโถมลงไปในหล่มโคลน ร่ำไห้เสียงดัง น้ำตาหลั่งไหลดั่งทำนบที่ปริแตก
คล้ายดั่งมันต้องการใช้ทั้งโคลนทั้งน้ำตาเหล่านั้น ล้างความรู้สึกสับสนที่ท่วมท้นตัวมันอยู่ให้หมดสิ้น
ลมหนาวยังคงพัด พัดเสียงร่ำไห้ลอยไปในอากาศ
--------------------------------------------
(จบตอน)
-
ตอนที่9 ได้โปรดมาเถิด
-
:hao7:
:L2: :pig4: :L2:
-
นึกว่าลู่หยุนจะอยู่ปลอบใจเสียอีก
:pig4:
-
:pig4: :pig4:
-
อยากไปกอดปลอบพ่อหนุ่มหน้ามน
-
+1 จ้า o13
-
เหมยแดง
บทที่9 สุรา น้ำตา ดนตรี
ลมหนาวพัดผ่าน คล้ายเข็มนับร้อยนับพันต่ำลงบนผิวเนื้อ
หล่มโคลนก็แห้งไปมากแล้ว ดอกเหมยที่ร่วงหล่นก็ถูกลมพัดปลิวคว้าง ดินโคลนบนร่างของหวงไป๋ยู่แห้งจนลอกเป็นแผ่น น้ำตาของมันก็แห้งเหือดแล้วเช่นกัน แต่มันยังคงอยู่ที่บึงเซิ่งไคเหลียน อยู่ที่หลุมฝังศพของบิดา
เนื่องเพราะมันมิทราบว่าตัวเองสมควรไปที่ใด สมควรทำอย่างไร
ดังนั้นมันจึงยังคงนั่งอยู่ นั่งอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว นิ้วของมันเย็นจนชาด้าน ใบหน้าของมันก็ถูกลมหนาวกรีดจนชาด้าน ดวงตาของมันเหม่อมองไปที่ไกลแสนไกล
มันนึกถึงสุรา แต่กลับมิทราบว่าตัวเองสมควรไปดื่มสุราที่ใด
ใต้ต้นเหมยเบื้องหน้า พลันปรากฏคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีดำเดินเข้ามา ในมือของมันมีสุราไหหนึ่ง กับป้านป้านหนึ่ง
คนผู้นั้นถึงกับเป็นลู่หยุน
หวงไป๋ยู่เงยหน้ามองมันคล้ายสงสัย ลู่หยุนเองก็ก้มลงมองมัน แล้วกล่าว “ท่านนั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว?”
“อืม”
“ไฉนท่านถึงยังนั่งอยู่ที่นี่?”
“....”
ได้ยินเสียงลู่หยุนถอนหายใจ “ตอนพวกท่านสองคนปรากฏตัวขึ้นในสวนนี้ ข้าพเจ้าเห็นคนหนึ่งเป็นคนตั้งใจมาตาย ส่วนอีกคนเป็นคนที่ตั้งใจมาเริ่มชีวิตใหม่”
ดวงตาของหวงไป๋ยู่ปรากฏประกายพิสดาร ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ
“ท่านทราบหรือไม่ เป็นผู้ใดมีดวงตาของคนตาย ผู้ใดมีดวงตาของคนเป็น”
“....” หวงไป๋ยู่มิกล้าตอบ ลู่หยุนพลันยื่นมือไปฉุดให้มันลุกขึ้น
“ท่านลุก”
หวงไป๋ยู่ถึงกับยอมลุกขึ้นมาโดยง่าย ลู่หยุนผลักมันให้เดินไปที่เก๋ง กล่าวสืบต่อ
“ท่านทราบเหตุผลที่ข้าพเจ้ามาปรากฏตัวที่นี่หรือไม่?”
หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะ ลู่หยุนผลักมันให้นั่งลง
“เนื่องเพราะข้าพเจ้ารับปากท่านไว้เรื่องหนึ่ง มิว่าผู้ใดก็มิอาจปลิดศีรษะของท่านได้ แม้แต่ลมหนาว หรือแม้แต่ตัวท่านเองก็ตาม”
หวงไป๋ยู่กะพริบตา จวบจนตอนนี้จึงพูดออกมา “คล้ายท่านต้องยุ่งกับเรื่องผู้อื่นให้ได้จริงๆ”
“เมื่อข้าพเจ้ารับปาก ก็กลายเป็นเรื่องของข้าพเจ้า มิใช่เรื่องผู้อื่นเด็ดขาด” กล่าวจบมันก็รินสุราใส่ป้าน ยื่นให้หวงไป๋ยู่
“หากท่านยังคิดมีชีวิต ท่านดื่ม”
“หากข้าพเจ้ามิดื่ม”
“ก็ถือว่าท่านทรยศกับตัวเอง”
หวงไป๋ยู่ถึงกับยอมรับป้านสุรามา สุรายังอุ่นอยู่ มันกรอกจนแห้งไป ร่างกายพลันคล้ายมีไฟคุขึ้นมากองหนึ่ง ลู่หยุนรับจอกสุราไปแล้วรินให้มันอีกจอก ก่อนจะกล่าวสืบต่อ
“ที่ข้าพเจ้าเห็น ท่านมีแววตาของคนเป็น ส่วนซือหม่าเทียนมีแววตาของคนตาย ท่านเตรียมตัวมาฆ่า ส่วนอีกท่านเตรียมตัวเพื่อมาตาย”
หวงไป๋ยู่นิ่งไป
“ตอนนี้ผู้ตั้งใจมาตายกลับมิตาย ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการมาตายกลับตั้งใจตายแล้ว”
“....”
“ข้าพเจ้าทราบ นี่เป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของท่าน”
“อืม...”
“หากท่านมิเคยพ่ายแพ้ รสชาติความพ่ายแพ้ครั้งแรกย่อมยากจะทานทน”
“อืม...”
“ท่านเคยหกล้มหรือไม่?”
“อืม...”
“ตอนท่านหกล้มครั้งแรก ท่านต้องร่ำไห้ รอจนท่านหกล้มซ้ำซาก ล้มลงบ่อยๆ ท่านย่อมต้องร้องไห้น้อยลง ระมัดระวังให้มากขึ้น ท้ายที่สุด ท่านย่อมไม่หกล้มอีกแล้ว ถึงแม้หกล้ม ท่านก็มิได้รู้สึกเจ็บปวดเช่นครั้งแรกอีกแล้ว เนื่องเพราะที่ท่านมีคือชีวิต เมื่อมีชีวิต มิว่าเรื่องใดท่านย่อมต้องสามารถผ่านไปได้ ท่านพ่ายแพ้วันนี้ หรือวันหน้าไม่มีทางชนะ หรือการพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำลายชีวิตท่านจนหมดสิ้น หรือที่แท้ท่านดำรงอยู่เพื่อรอให้ผู้อื่นมาทำลาย”
ใบหน้าซีดขาวของหวงไป๋ยู่เริ่มกลายเป็นสีแดง มันกรอกสุราแห้งไปอีก ก่อนจะยื่นมือออกไป
“ให้ข้าพเจ้า”
ลู่หยุนยื่นไหสุราให้มัน มิได้กล่าวกระไรอีก หวงไป๋ยู่รับไหสุราไป รินใส่ป้าน กรอกจนแห้งป้านแล้วป้านเหล้า กรอกจนมิเหลือสุราให้กรอกอีก
ตอนนี้ใบหน้าของมันแดงฉาน ดวงตาของมันก็แดงฉาน ในดวงตาแดงฉานมีน้ำเอ่อขึ้นมา
ลู่หยุนถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกโยนใส่มัน
“ข้าพเจ้าออกไปเดินเล่น ท่านดูแลเสื้อตัวนี้ให้ดี”
กล่าวจบมันก็พลิ้วกายหายลับออกไปทันที หวงไป๋ยู่กระชับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกเข้ากับตัว น้ำตาหลั่งไหลอีกครา
แต่ครานี้ดวงตาของมันมิได้สิ้นประกาย
ดวงตาของมันมีประกายแล้ว
-----------------------------------
ตะวันคล้อยต่ำ ลมหนาวพัดมาอีกหอบ พอดีพัดน้ำตาบนใบหน้าของหวงไป๋ยู่จนแห้งเหือดไป สรรพสิ่งรอบตัวแจ่มชัดอีกครั้ง ตอนนี้ดวงตาของหวงไป๋ยู่ไม่มีน้ำตา หัวใจของมันแม้ก่อนหน้านี้คล้ายมีบาดแผลใหญ่ ตอนนี้มันทราบ ไม่นานบาดแผลต้องปิดลง มันยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ขณะที่หวงไป๋ยู่ยันกายลุกขึ้น ลมอีกหอบก็พัดเข้ามาในเก๋ง
ตอนมองดวงตาของซือหม่าเทียน หวงไป๋ยู่เคยรู้สึก นั่นคือดวงตะวันที่เจิดจ้า มันมิอาจทนทานแสงเจิดจ้านั้นได้ แต่ตอนนี้ เมื่อมันเห็นดวงตาของลู่หยุน มันคล้ายรู้สึก ดวงตานี้ดั่งแสงโคมในความมืด ดังแสงจากเตาไฟในคืนเหน็บหนาว
ลู่หยุนมองมัน แล้วคลี่ยิ้ม “ท่านสามารถลุกได้แล้ว”
“อืม...”
“งั้นพวกเราไปกัน”
“ไปที่ใด?”
“ห้องของท่าน” ลู่หยุนว่า “ข้าพเจ้าหนาวอย่างยิ่ง หนาวแทบตาย ต้องการดื่มสุราที่อุ่นจนร้อนสักไหหนึ่ง”
----------------------------------
เซียวเซียวสะดุ้งตื่น นางได้ยินเสียงสั่นกระดิ่งจากห้องไป๋ยู่หลัน อันที่จริงห้องของนางกับไป๋ยู่หลันห่างกันมิมาก นางทราบเมื่อคืนไป๋ยู่หลันมิได้กลับมา มิแน่ว่าไป๋เจี๋ยเจี่ยของนางอาจจะหนีตามบุรุษผู้นั้นไปแล้ว นางความจริงรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง ที่ไป๋เจี๋ยเจี่ยผู้นั้นมิยอมบอกนางตามตรง
เสียงกระดิ่งครานี้ปลุกนางให้ตื่นขึ้นจากการงีบหลับ นางทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ หรือไป๋เจี๋ยเจี่ยยังมิได้ไป นางรีบออกจากห้องไปทันที
“ไป๋เจี๋ยเจี่ย ข้าพเจ้าทราบท่านต้องรีบกลับมา” เซียวเซียวผลักประตูเล็กเข้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี “ข้าพเจ้าทราบท่านต้องไม่ไปโดยไม่บอกต่อข้าพเจ้า...”
นางพลันพบเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติ ไป๋เจี๋ยเจี่ยของนางปกติมักแต่งกายพิถีพิถัน แม้นางชอบเสื้อผ้าสีดำ ก็ต้องเป็นเสื้อผ้าสีดำที่ไม่มีรอยด่างใด ผมของนางก็ต้องหวีจนเรียบ แต่สภาพของไป๋เจี๋ยเจี่ยตอนนี้มิคล้ายไป๋เจี๋ยเจี่ยที่นางเคยเห็น
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบโคลน ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้าของนางก็สกปรกเลอะเทอะ
เซียวเซียวถึงกับผงะไป “ไป๋เจี๋ยเจี่ย เกิดเรื่องใดขึ้นกับท่าน?”
หวงไป๋ยู่แย้มยิ้มให้นาง “เราบังเอิญหกล้มลงไปในหล่มโคลน พอดีได้มันช่วยไว้”
ตอนนั้น เซียวเซียวจึงพบเห็น นอกจากไป๋เจี๋ยเจี่ยของนาง ยังมีบุรุษอีกคนอยู่ในห้อง
บุรุษขี่เมฆผู้นั้น
ลู่หยุนคลี่ยิ้มให้นาง กล่าวขึ้นบ้าง “เจ้าไปเตรียมน้ำอาบมาหนึ่งถัง เสื้อผ้าใหม่ให้ไป๋เจี๋ยเจี่ยของเจ้า”
หวงไป๋ยู่หันไปมองลู่หยุน “ท่านมิต้องการดื่มสุรา?”
“ข้าพเจ้าต้องการ แต่ก่อนข้าพเจ้าจะดื่มสุรา ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านสะอาดก่อน”
เซียวเซียวหน้าแดงฉาน นางรีบผงกศีรษะแล้วออกจากห้องไปทันที หวงไป๋ยู่ถอนหายใจ
“นางที่จริงเป็นเด็กที่ว่าง่ายอย่างยิ่ง”
หวงไป๋ยู่กล่าว พลางถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกส่งให้ลู่หยุน “ข้าพเจ้ามิหนาวแล้ว ขอคืนให้ท่าน”
“ท่านเตรียมอัปเปหิข้าพเจ้าออกจากห้องนี้แล้ว?”
“มิได้ เพียงแต่มิต้องการให้ท่านรู้สึกเหน็บหนาวเกินไป”
ลู่หยุนรับเสื้อคลุมมา แล้วกล่าว “ตอนนี้พวกเราอยู่ในห้อง ท่านสมควรจุดเตา”
“อืม...”
หวงไป๋ยู่เดินไปจุดเตา ลู่หยุนเดินไปปิดหน้าต่าง แล้วพาดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกไว้บนเก้าอี้
เมื่อมีไฟในเตา ห้องน้อยก็พลันอบอุ่นขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นาน สุราที่อุ่นแล้วพร้อมจอก และถังใส่น้ำร้อนสำหรับอาบถังหนึ่งก็ถูกยกเข้ามาในห้อง หวงไป๋ยู่ให้เซียวเซียวออกไป จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้า
ลู่หยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ หวงไป๋ยู่หันหลังให้มัน ดังนั้นสิ่งที่มันเห็นคือแผ่นหลังเปลือยเปล่าสีขาวราวกับหยก ด้วยร่างกายที่บางคล้ายกระดาษ ลู่หยุนจึงทราบ ไฉนมันสามารถมีวิชาตัวเบาเลอเลิศถึงเพียงนั้น แต่ก็อดอัศจรรย์กับพลังนิ้วมือของฝ่ายนั้นไม่ได้
หวงไป๋ยู่วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า จากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำลูบตามเนื้อตัว มันรู้สึกลู่หยุนลุกขึ้นแล้วเดินมาข้างหลังมัน แต่มันยังคงไม่ได้หันไป
“ข้าพเจ้าเช็ดให้ท่าน”
มือของลู่หยุนเคลื่อนมาบนหลังมือของมันคล้ายปลาตัวหนึ่ง จากนั้นผ้าชุบน้ำก็หลุดจากมือไป หัวใจของหวงไป๋ยู่เต้นแรงขึ้นชั่วแว้บหนึ่ง ก่อนกล่าว
“ท่านมิต้องเอาใจข้าพเจ้าถึงเพียงนี้”
ได้ยินเสียงลู่หยุนหัวเราะ ขณะที่ใช้ผ้าเปียกผืนนั้นเช็ดลงไปบนแผ่นหลังของมัน “คราวก่อนข้าพเจ้าแกล้งท่านให้ขัดถูให้ข้าพเจ้า ครั้งนี้ข้าพเจ้าชดใช้คืนบ้างจะเป็นไร”
หวงไป๋ยู่พริ้มตา พลางถอนหายใจ ปล่อยให้ลู่หยุนเช็ดแผ่นหลังของมันไป
“ท่านอยู่ที่บึงเซิ่งไคเหลียนตั้งแต่เมื่อคืน?”
“เปล่า ข้าพเจ้าไปตอนใกล้รุ่ง”
“ท่านไปตรวจตรา”
“อืม...”
“ข้าพเจ้าสังเกตเห็นมีพวกประดาอื่นชะเง้อรออยู่ไกลๆ เป็นท่านขับไล่ออกไป”
“การประลองของพวกท่านมิใช่ปาหี่ข้างถนน ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้มีผู้ชมมากไป”
“ทั้งหมดล้วนเป็นท่านดำเนินการเอง?”
“อืม...”
“ธุระของผู้อื่น เมื่อท่านรับปากก็เป็นธุระของท่านจนหมดสิ้น”
“อืม”
หวงไป๋ยู่หันมาเผชิญหน้ากับลู่หยุน “ตอนนี้ นับว่าธุระของท่านเรียบร้อยแล้ว?”
ลู่หยุนผงกศีรษะ อีกฝ่ายกล่าวสืบต่อ “ท่านคิดทำประการใดต่อ?”
“ดื่มสุรา ฟังท่านเล่นกู่เจิงสักเพลง ได้ยินว่าท่านเล่นกู่เจิงเก่งมาก”
หวงไป๋ยู่มองมันด้วยสายตาพิศวง ลู่หยุนจึงกล่าวสืบต่อ “อย่าลืม ครั้งก่อนท่านยังมิได้บริการข้าพเจ้าเต็มที่ ครั้งนี้อย่างน้อยข้าพเจ้าต้องให้ท่านเล่นกู่เจิง บางทีอาจลองให้ท่านร้องเพลง”
อีกฝ่ายหัวร่อออกมา “ตกลง ข้าพเจ้าจะเล่นกู่เจิงให้ท่าน”
ลู่หยุนคลี่ยิ้มละไม ก่อนจะยกผ้าขึ้นเช็ดศีรษะให้หวงไป๋ยู่
“ผมของท่านยังไม่สะอาด ข้าพเจ้าจะเช็ดให้”
หวงไป๋ยู่ก้มหน้าลง พลันมองเห็นกระบี่ไม้ที่ห้อยอยู่หว่างเอวของลู่หยุนอีกครั้ง จึงกล่าว
“กระบี่นี้ของท่าน มิอาจให้ข้าพเจ้าเห็นจริงๆ?”
ได้ยินเสียงลู่หยุนกล่าว “ท่านยังคิดมีชีวิตสืบไป จึงมิควรเห็นกระบี่นี้ของข้าพเจ้า”
หวงไป๋ยู่ส่งเสียงอ้อ กล่าวขึ้นต่อ “ผู้เห็นกระบี่นี้ของท่าน ล้วนต้องตาย?”
“อาจบางที” ลู่หยุนว่า “แม้มิตาย ก็ย่อมมีอาจมีชีวิตเยี่ยงเดิมได้อีกแล้ว”
หวงไป๋ยู่พิศมองกระบี่ไม้เล่มนั้น แม้นึกสงสัยว่าเป็นกระบี่เยี่ยงไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น มันก็ไม่คิดตอแยสืบไป
“กระบี่นี้ของท่าน มีนามหรือไม่?”
“มีคนเรียกมันเป็นอั้นจว่านเจี้ยน* (กระบี่ดาวดับ) ”
“อ้อ...”
ลู่หยุนพลันลดมือลง ยื่นผ้าให้กับหวงไป๋ยู่ “ผมของท่านสะอาดแล้ว”
หวงไป๋ยู่รับผ้ามาด้วยความงุนงงเล็กน้อย ขณะที่ลู่หยุนเดินไปนั่งที่โต๊ะ หันหน้าไปที่เตาไฟ แล้วรินสุราใส่จอกขึ้นดื่ม
“ท่านสวมเสื้อผ้า ข้าพเจ้าดื่มสุรารอ”
หวงไป๋ยู่ส่งเสียงอืม มันเดินเข้าไปหลังฉาก หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม แล้วสั่นกระดิ่งเรียกเซียวเซียวมาเก็บถังใส่น้ำ
“มิทราบนอกจากสุราแล้ว กงจื่อท่านยังต้องการอย่างอื่นอีกหรือไม่?” เซียวเซียวถาม หลังจากยกถังใส่น้ำออกไปแล้ว ลู่หยุนคลี่ยิ้ม
“เราต้องการกับแกล้มสี่จาน เป็นเป็ดหนึ่ง ปลาหนึ่ง ห่านอีกหนึ่ง หมูอีกหนึ่ง จะผัดหรือจะทอดมาก็ได้”
เซียวเซียวผงกศีรษะ แล้วออกจากประตูไป หวงไป๋ยู่มองมัน
“ข้าพเจ้าลืมไป ท่านที่จริงคงหิวแล้ว”
“อืม... ข้าพเจ้าหิวอย่างยิ่ง นอกจากสุราแล้ว ยังต้องการกับแกล้มอันโอชะ และเพื่อนร่วมดื่มอีกผู้หนึ่ง”
“ข้าพเจ้า?”
“อืม”
“ท่านมิต้องการฟังข้าพเจ้าเล่นกู่เจิงแล้ว?”
ลู่หยุนหันมาคลี่ยิ้ม “ยังมีเวลาอีกทั้งคืน รอพวกเรากินอิ่ม ท่านค่อยเล่นก็แล้วกัน”
“ท่านคิดพักที่นี่?”
ลู่หยุนมิได้ตอบ มันยกจอกสุราขึ้น “ท่านมา”
หวงไป๋ยู่เดินออกมาจากฉาก ถึงกับสวมเสื้อผ้าของสตรีสีแดงโดดเด่น แต่มิได้แต่งหน้าทำผม ถึงกระนั้น มันก็หวีผมจนเรียบดั่งขนนกกาน้ำ มันนั่งลงตรงข้าม เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา พบเห็นในดวงตาคู่นั้นมีประกายพิกล
“แม้ท่านมิได้แต่งหน้า ก็ยังงามอยู่ น่าเสียดาย ท่านมิใช่สตรี”
หวงไป๋ยู่แย้มยิ้ม “หากข้าพเจ้าเป็นสตรีจริง ตอนนี้ต้องไม่อยู่ตรงนี้แล้ว”
ลู่หยุนหัวร่อในคอ “ถูกของท่าน หากท่านเป็นสตรี ตอนนี้จะต้อง...”
ไม่รอให้พูดจบ หวงไป๋ยู่รีบพูดขึ้น “จะต้องรีบหนีไปให้ไกล”
“ไฉนจึงต้องรีบหนีไปให้ไกล?”
“เนื่องเพราะบุรุษเช่นท่าน...” หวงไป๋ยู่พลันนึกไปถึงตอนที่ลู่หยุนเลียนิ้วมือของมัน รู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวร่อ
“เนื่องเพราะบุรุษเช่นข้าพเจ้าไม่ใช่ตัวดี?”
“อะ... อืม...”
“แต่ตอนนี้ท่านวางใจได้ ข้าพเจ้ามาที่นี่ เพียงเพราะสุรา และดนตรีเท่านั้น”
“อ้อ...”
“ท่านดื่ม” มันเทสุราลงในจอกแล้วดันให้หวงไป๋ยู่ ฝ่ายนั้นรับไว้ พลางกล่าว
“นี่ควรเป็นข้าพเจ้ารินให้ท่าน”
“มิตรสหายรินให้มิตรสหาย เป็นท่านเป็นข้าพเจ้าไม่ต่างกัน”
หัวใจของหวงไป๋ยู่พลันรู้สึกระอุอุ่นขึ้นมา “ท่านถือข้าพเจ้าเป็นมิตรสหาย?”
“อืม... ข้าพเจ้าอาศัยจังหวะนี้ ฉวยโอกาสเสนอตัวเป็นมิตรสหายของท่าน ท่านย่อมไม่ปฏิเสธกระมัง”
หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะ “ตอนนี้พวกเราถือเป็นสหายกันแล้ว?”
“อืม”
ตั้งแต่ออกสู่วงการนักเลง หวงไป๋ยู่มิเคยมีมิตรสหายมาก่อนเลย ยามนี้ลู่หยุนบอกมันเป็นมิตรสหาย มันถึงกับมิอาจกล่าววาจาใดได้ต่อ ได้แต่เบือนหน้ากลั้นน้ำตาไว้
มันเพิ่งพบลู่หยุนมาสามวัน สามวันที่คนผู้นี้จัดการเรื่องต่างๆ ราวกับเป็นธุระของตัวเอง มันมิทราบ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่มันกลับรู้สึก คนผู้นี้สามารถวางใจได้ ขอเพียงมีคนผู้นี้อยู่ มิว่าเรื่องใจก็สามารถวางลงไว้ได้
มันยกจอกสุราขึ้นกรอกจนแห้งไป พอดีกับที่เซียวเซียวยกกับแกล้มเข้ามา ก่อนเดินออกไป ลู่หยุนยัดทองให้นางแท่งหนึ่ง
“นี่ชำระค่าสุรากับอาหาร”
จากนั้นก็ยัดแท่งเงินแท่งเล็กๆ ให้นางอีกแท่งหนึ่ง “นี่ส่วนของเจ้า”
เซียวเซียวดีใจจนหน้าบาน รีบโค้งให้อย่างชดช้อยแล้วเดินออกไป หวงไป๋ยู่มองตามหลังนาง ก่อนจะถอนหายใจ
“ปกติแล้ว ท่านจ่ายค่าสุราอาหารด้วยตำลึงทองเสมอ?”
ลู่หยุนสั่นศีรษะ “ความจริงตำลึงทองนี้ไม่ใช่ของข้าพเจ้า”
“อ้อ... มีคนให้ท่านมา”
“เป็นบังคับให้” ลู่หยุนว่า พลางคีบเป็ดผัดน้ำมันขึ้นมากิน “อู๋เกอของข้าพเจ้า เป็นโรคประหลาดอย่างหนึ่ง ยามใดที่มันพบข้าพเจ้า จะต้องบังคับข้าพเจ้าให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทั้งยังบังคับข้าพเจ้าให้ใช้จ่าย หากมันตรวจดูในตัวข้าพเจ้ายังมีเงินทองเหลือ มันจะพาลเอาถุงเงินยัดให้ข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้ากลัวถูกถุงเงินของมันทับตาย เลยต้องรีบจ่ายออกไปให้มาก”
หวงไป๋ยู่หัวร่อ “ท่านกับจงเกอคล้ายคบหากันมาเนิ่นนานอย่างยิ่ง พวกท่านพบกันได้อย่างไร”
“เป็นข้าพเจ้าบังเอิญไปยุ่งเรื่องผู้อื่น พอดีพบมัน จึงได้เป็นสหายกัน”
“บุคคลเช่นท่าน ต้องมีสหายไม่น้อยแน่”
ลู่หยุนพยักหน้า “ในความเห็นข้าพเจ้า มีสหายมากย่อมดีกว่ามีศัตรูมาก”
“อืม ถูกของท่าน” หวงไป๋ยู่ว่า “ได้ยินว่าท่านกระทำเรื่องใดไม่เคยผิดพลาด เป็นความจริงกี่มากน้อย”
ลู่หยุนคีบกับเข้าปากอีกคำ “ข้าพเจ้าเคยทำเรื่องผิดพลาดมากมาย มีผู้ใดบ้างไม่เคยทำเรื่องผิดพลาด”
“แต่ผู้คนกล่าวว่าท่านมิเคยกระทำเรื่องผิดพลาด เรื่องที่ท่านรับปาก ท่านไม่เคยพลาดเลย”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “เรื่องที่ข้าพเจ้ารับปาก อันที่จริงมีน้อยกว่าเรื่องที่ข้าพเจ้ากระทำ ก่อนรับปากผู้ใด ข้าพเจ้าย่อมแน่ใจ สามารถกระทำเรื่องนั้นได้ถึงรับปาก”
“อ้อ...”
“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เคยผิดคำพูด แต่มิใช่ข้าพเจ้ามิเคยผิดพลาด”
หวงไป๋ยู่พยักหน้า “ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว”
ทั้งสองดื่มกินกันจนอิ่มหนำ หวงไป๋ยู่จึงไปยกกู่เจิงออกมา
“ข้าพเจ้าร้องเพลงมิเอาไหน แต่ยังพอมีความสามารถเล่นกู่เจิงได้”
ลู่หยุนแย้มยิ้ม “ข้าพเจ้าน้อมหูรับฟัง”
หวงไป๋ยู่วางกู่เจิงลงบนพื้น ลากเก้าอี้มานั่ง จากนั้นจึงวางนิ้วลงไปบนสาย
นิ้วของหวงไป๋ยู่เรียวยาว ได้รูปสวยดั่งสลักจากหยก ลู่หยุนจ้องนิ้วของมันเขม็ง
นิ้วที่สวยงาม นิ้วที่ฆ่าคน
สายถูกดีดแล้ว เสียงดนตรีดังกังวานขึ้นภายในห้อง
นิ้วที่สวยงามของหวงไป๋ยู่ไล่ไปตามสายเชือก ก่อให้เกิดบทเพลงคล้ายหยาดน้ำตาที่รินหลั่งไหล วิเวกรันทดสะเทือนใจ
นิ้วทั้งสิบขยับอย่างคล่องแคล่ว คล้ายมีความคิดเป็นของตัวเอง เมื่อขยับอีกครั้ง หยาดน้ำตาพลันกลายเป็นเกล็ดหิมะ เยือกเย็นทว่าเบาบาง จากนั้นดั่งมีลมหอบ ม้วนเอาเกล็ดหิมะไป กลายเป็นสายฝนอันฉ่ำเย็น ตกลงมาชโลมผืนดินที่แห้งผากไร้ชีวิต ก่อนที่แสงตะวันอันอบอุ่นจะสาดส่องลงมา
ดวงตาของลู่หยุนคล้ายดั่งมีม่านน้ำตาบางๆ มาบังไว้ชั้นหนึ่ง แต่หวงไป๋ยู่บรรเลงเพลงจบและเงยหน้าขึ้นมา ม่านน้ำตาบางๆ นั้นก็พลันสลายไป ลู่หยุนคลี่ยิ้ม
“บทเพลงที่ยอดเยี่ยม นับว่าคืนนี้ข้าพเจ้าสมปรารถนาแล้ว”
มันยกจอกขึ้น “คืนนี้ข้าพเจ้ามิเชิญจันทรา มิเชิญต้นเหมย ข้าพเจ้าเชิญท่านดื่ม”
------------------------------------------
ซือหม่าเทียนยืนอยู่บนระเบียง สายลมยามวิกาลพัดพาความหนาวเหน็บมาเสียดผิวเนื้อ แต่คล้ายดั่งท่านเคยชินเสียแล้ว
ที่เบื้องหน้าคือลานฝึก แม้ยังไม่ถึงยามอรุณรุ่ง แต่ท่านทราบ ทั้งชีวิตที่ท่านทุ่มเท ดั่งคนตีกระบี่ทุ่มเทจิตใจตีกระบี่อันเลอเลิศขึ้นมาเล่มหนึ่ง ณ ตอนนี้กระบี่เล่มนี้ได้ผ่านการฟาดฟันอันหนักหน่วงแล้ว
มันยังคงเป็นกระบี่ กระบี่ที่ดีเยี่ยม
ดวงตาของซือหม่าเทียนเป็นประกายวาววับ
ท่านทราบ แม้ตัวท่านมิอยู่ สำนักแห่งนี้ก็จะดำรงสืบต่อไป
ในชีวิตของท่านตอนนี้ มิมีสิ่งใดต้องห่วงกังวลอีกแล้ว
--------------------------------------
(จบตอน)
-
:L2: :pig4: :L2:
-
มีคนมาปลอบแล้วอ่ะ
-
นึกว่าจะไม่กลับมาปลอบเสียอีก
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
รอแนวนี้มานานมากละ ชอบๆ รอๆ ติดตามๆ ขอบคุณผู้แต่ง ด้วย จร้า :hao5: :-[ :z13: :z13: :pig4:
-
:pig4: :pig4:
-
บรรยากาศสีจมปูววววว
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
-
เหมยแดง
บทที่10 เรื่องราวพลิกผัน
หวงไป๋ยู่ปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกศีรษะหนักอึ้ง เมื่อแหวกม่านเตียงออกก็เห็นแสงรำไรส่องผ่านกระดาษหน้าต่างเข้ามา มันยันกายลุกขึ้น เดินไปวักน้ำในถังขึ้นล้างหน้า เติมไฟในเตา พลันพบเห็นมีกระดาษปึกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ โดยมีไป๋ยู่เย้าเฉียวทับไว้
ด้านบนสุดของกระดาษปึกนั้น มีกระดาษที่เขียนด้วยลายมือสวยงาม
‘จดหมายที่เตียเตียของท่านเขียนถึงสหายอู๋หลี่ฟู่ อู๋หยางจงฝากมอบมาให้ท่าน ส่วนไป๋ยู่เย้าเฉียว ซือหม่าเทียนฝากคืนให้แก่ท่าน’
แม้มิได้ลงชื่อ แต่หวงไป๋ยู่ก็ทราบ นี่เป็นลายมือของลู่หลุน มันทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วหยิบจดหมายเหล่านั้นขึ้นมาอ่าน
มือของหวงไป๋ยู่สั่นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้อ่านจดหมายของบิดา ได้เห็นลายมือของท่าน ได้อ่านเรื่องราวที่ท่านเป็นผู้เขียน ในใจของมันบังเกิดความปลื้มปีติราวกับได้พบหน้าบิดาจริงๆ
ในจดหมาย ท่านเขียนบรรยายถึงการผจญภัยไปในที่ต่างๆ เล่าเกี่ยวกับสถานที่ที่ท่านไป ถ้อยคำในจดหมายทำให้หวงไป๋ยู่สัมผัสได้ถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างบิดาของมันและอู๋หลี่ฟู่ ซึ่งเป็นบิดาของอู๋หยางจง
หวงไป๋ยู่พลันรู้สึก มันมิสมควรหลอกให้อู๋หยางจงนำไป๋ยู่เย้าเฉียวมาให้ อย่างไรเสียฝ่ายนั้นก็เป็นบุตรสหายสนิทของบิดา
มันคิดจะไปหาอู๋หยางจงเพื่อกล่าวขอโทษสักครั้ง
อากาศในห้องน้อยยังคงอบอุ่นจากไฟในเตา หวงไป๋ยู่สั่นกระดิ่งเรียกเซียวเซียว ไม่นานนักนางก็ผลักประตูเล็กเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไป๋เจี๋ยเจี่ย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่?”
หวงไป๋ยู่พยักหน้า ยาโถวน้อยจึงกล่าวสืบต่อ “บุรุษขี่เมฆผู้นั้นดีต่อท่านเป็นอย่างยิ่ง มันรอจนท่านหลับ จึงจัดการห่มผ้าให้ท่านเรียบร้อย ทั้งยังสั่งข้าพเจ้าให้ตุ๋นน้ำแกงไก่ให้ท่านด้วย”
นางวางน้ำแกงไก่ลงบนโต๊ะ แล้วหน้าแดง “ท่านได้คนรักเช่นนี้ ช่างประเสริฐเหลือเกิน”
หวงไป๋ยู่กำลังจะยกน้ำแกงขึ้นดื่ม มีอันเกือบต้องสำลักออกมา
“เจ้าว่าไร? ”
เซียวเซียวหัวร่อคิกคัก “ท่านมิต้องขัดเขินไป มีคนรักเช่นกงจื่อท่านนั้น มิว่าผู้ใดก็ต้องอิจฉาท่าน”
หวงไป๋ยู่ถลึงตา “เรากับมันผู้นั้นมิได้...”
ไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวจบ เซียวเซียวรีบบิดกาย วิ่งหนีออกไปทันที “ข้าพเจ้ากลัวท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะลงไปหาข้าวต้มร้อนๆ มาให้ท่าน”
หวงไป๋ยู่มองไล่หลังนาง พลางถอนใจยาว แล้วยกน้ำแกงขึ้นดื่ม ในใจหวนนึกถึงลู่หยุน
มิรู้ว่าตอนนี้มันไปที่ใด บางทีมันอาจจะอยู่ที่หมิงซิ่งลู่โหลวกับอู๋หยางจงก็เป็นได้
หวงไป๋ยู่ตกลงใจ รับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว มันจะไปที่หมิงซิ่งลู่โหลว
--------------------------------------------
วันนี้อู๋หยางจงกับลู่หยุน เมื่อรับประทานมื้อเช้าแล้วก็พากันไปหมกตัวอยู่ในห้องเขียนอักษร เนื่องจากหิมะที่เริ่มตกโปรยปราย หัวข้อสนทนาระหว่างพวกมันยังคงเป็นการประลองระหว่างซือหม่าเทียนและหวงไป๋ยู่เมื่อวาน
“เมื่อวานข้าพเจ้าประกัน มิมีผู้ใดชมการต่อสู้นั้นอย่างสุขสบายเท่าท่านอีกแล้ว”
อู๋หยางจงหัวร่อในคอ “ข้าพเจ้านำทั้งสุราทั้งจอกไป แต่ท่านกลับตั้งใจยืนตากลม เช่นนี้จะโทษข้าพเจ้ามิได้” เว้นจังหวะเล็กน้อย จึงถามขึ้นต่อ “ที่ท่านจงใจก่อกวนจัดงานประลองนั้นขึ้น เนื่องเพราะท่านแน่ใจ หากประลองตัวต่อตัว ซือหม่าเทียนจะสามารถมีชัยต่อหวงไป๋ยู่ได้”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “ข้าพเจ้ามิใช่ชื่อเหลียง แซ่จูเกอ* (จูกัดเหลียง ขงเบ้ง) จึงสามารถคำนวณฟ้าดินได้”
อู๋หยางจงแสร้งทำเป็นมิได้ยิน กล่าวสืบต่อ “แต่หวงไป๋ยู่ผู้นั้น มีท่าเท้าอันเลอเลิศพิสดาร ท่านทราบหรือไม่ นั่นเป็นหลักวิชาใด”
“เป็นท่าเท้าท่องอเวจี” ลู่หยุนตอบ “เป็นท่าเท้าที่เคยแพร่หลายอยู่ในวงการมิจฉาชีพ แต่ผู้ที่ฝึกได้คล่องแคล่วเช่นมัน ข้าพเจ้าเพิ่งเคยพบเห็น”
“เป็นท่าเท้าที่ชื่อมิเป็นมงคล”
“อืม” ลู่หยุนพยักหน้า “เนื่องเพราะเป็นท่าเท้าที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แต่ละก้าวที่ย่างไป ล้วนต้องเฉียดเข้าใกล้คู่ต่อสู้ และต้องดักหน้าคู่ต่อสู้ให้ได้ก้าวหนึ่ง ได้ยินว่าผู้ฝึกวิชานี้ ต้องย่ำเท้าอยู่ในแอ่งโคลนโดยที่ถูกปิดตาไว้ ใช้เพียงเสียงและการเคลื่อนไหวเป็นเครื่องบอกทิศทางเท่านั้น”
อู๋หยางจงส่งเสียงอ้อยาวๆ ในคอ กล่าวสืบต่อ “ดังนั้น มันจึงอาศัยท่าเท้านี้ กันมิให้ซือหม่าเทียนสามารถใช้เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินออกมาได้”
“สายตาของท่านยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย” ลู่หยุนว่า “นอกจากมันจะฝึกท่าเท้าท่องอเวจีจนเลอเลิศหาผู้ใดเทียบ มันยังได้ดัดแปลงวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดาราอีกเล็กน้อย ท่านคงพอสามารถเห็นเล็บเหล็กที่มันสวมได้กระมัง”
อู๋หยางจงโคลงศีรษะ “นับว่ามองเห็นก็มิได้ ข้าพเจ้าเพียงแต่คาดเดา มือของมันต่อให้ฝึกอย่างไร ต้องไม่กลายเป็นเหล็กไปได้ ดังนั้นมันจึงต้องสวมบางอย่างเอาไว้บนนิ้ว อาจเป็นเล็บเหล็กอย่างที่ท่านว่า”
“เล็บเหล็กสองอัน สวมไว้ที่นิ้วก้อยและนิ้วนาง มันใช้สองนิ้วนี้รับกระบี่ของซือหม่าเทียน การต่อสู้นี้แม้ว่าใช้เวลาไม่นาน แต่เป็นการต่อสู้ที่หวุดหวิดหวาดเสียวโดยแท้”
“อืม... หลักวิชาดัชนีต้องอาศัยการเข้าประชิดตัวเพื่อจู่โจมเป้าหมาย ส่วนวิชากระบี่ก็มีจุดอ่อนในระยะใกล้ การที่หวงไป๋ยู่สามารถเข้าประชิดตัวซือหม่าเทียนและพัวพันเอาไว้ได้นานขนาดนั้นย่อมมิใช่เรื่องง่าย และตัวซือหม่าเทียนเองสามารถปัดป้องการจู่โจมในมุมแคบโดยอาศัยกระบี่ได้ มันย่อมต้องเป็นยอดฝีมือในทางกระบี่เช่นกัน”
ลู่หยุนแย้มยิ้ม “ตอนนี้ท่านรู้สักนับถือเจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิงบ้างแล้วกระมัง”
อู๋หยางจงมิได้ตอบคำถาม แต่ถามต่อ “อาการของหวงไป๋ยู่เป็นอย่างไร มันแก้แค้นไม่สำเร็จ คงแค้นใจมากกระมัง”
“อืม... แต่ข้าพเจ้าประกัน มันต้องดีขึ้นในไม่ช้า เพราะมันเป็นคนที่มีดวงตาของคนเป็น มิใช่เป็นคนที่มีดวงตาของคนตาย”
“อย่างนั้นธุระของท่านที่นี่ก็หมดแล้ว” อู๋หยางจงกล่าว ลู่หยุนผงกศีรษะ
“ท่านเตรียมตัวไปแล้ว?”
“อืม...”
อู๋หยางจงถอนหายใจ “ข้าพเจ้าทราบ ท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟง มิมีผู้ใดสามารถเหนี่ยวรั้งท่านได้ แม้แต่หวงไป๋ยู่ผู้นั้นก็มิได้?”
ลู่หยุนแย้มยิ้ม “แม้มันจะยังอ่อนต่อโลก แต่หวงไป๋ยู่ผู้นั้นมิใช่คนอ่อนแอ ไม่นานมันจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
“ท่านไม่ประสงค์อยู่ดูแลมันสักพัก?”
“มันมิใช่ทารก ข้าพเจ้ายิ่งไม่ใช่มารดา ดังนั้นหากท่านต้องการให้ข้าพเจ้าอยู่ช่วยผลาญเงินทองของท่านอีกสักสองสามวัน ท่านก็กล่าวออกมาเถิด ข้าพเจ้ากลัวท่านโดนเงินทองของตัวเองทับตาย อย่างไรต้องรับปากท่านอยู่แล้ว”
อู๋หยางจงหัวร่อ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวกระไร คนรับใช้ก็เดินมาเคาะประตู
“นายท่าน มีคนมาขอพบขอรับ”
“ผู้ใด?”
“หวงไป๋ยู่ขอรับ”
“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา” อู๋หยางจงหันไปพูดกับลู่หยุน ก่อนจะส่งเสียงตอบ “เชิญมันเข้ามาได้”
--------------------------------------
หวงไป๋ยู่รู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อย เมื่อพบว่าลู่หยุนอยู่ที่นี่กับอู๋หยางจงด้วย มันรีบประสานมือคารวะ แล้วกล่าวทักทาย
“พวกท่านสบายดี?”
“พวกเราสบายดี” อู๋หยางจงแย้มยิ้มตอบ พลางเชื้อเชิญให้ฝ่ายนั้นนั่งลง “ท่านฝ่าหิมะมาที่นี่แต่เช้า มีเรื่องด่วนหรือไม่?”
หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะด้วยความประหม่า “ข้าพเจ้าเพียงแต่แวะมาเยี่ยม”
“อ้อ...”
“เรื่องจดหมาย... ต้องขอบคุณท่าน”
“เรื่องนั้นต้องขอบคุณเสี่ยวหยุน” อู๋หยางจงว่า “เพราะเสี่ยวหยุนมารบเร้าข้าพเจ้าให้ค้นหาจดหมายพวกนั้นหรอก”
ลู่หยุนพูดขึ้นต่อ “ที่จริงเป็นเพราะอย่างไรท่านสมควรจะได้อ่านมันอยู่แล้ว”
“ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็ต้องขอบคุณ” หวงไป๋ยู่ว่า ก่อนจะกล่าวต่อ “ยังต้องขอโทษต่อจงเกอด้วย ที่ส่งจดหมายหลอกลวงให้ท่าน”
อู๋หยางจงหัวร่อพลางโบกมือ “เรื่องแค่นี้ มิเป็นไรหรอก ปกติแล้วข้าพเจ้าเองก็ไม่ค่อยได้ออกไปนอกบ้าน ออกไปยืดเส้นยืดสายบ้างจะเป็นไรไป”
สีหน้าของหวงไป๋ยู่ค่อยดีขึ้นหน่อย ขณะที่จะกล่าวกระไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก
“นายท่าน มีผู้ต้องการพบลู่กงจื่อ”
อู๋หยางจงเลิกคิ้ว “ผู้ใดมีเรื่องพบลู่หยุนของเราตอนนี้”
“เป็นซือหม่าสองพี่น้องจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องพบลู่กงจื่อให้ได้”
ทั้งสามคนหันมองหน้ากัน อู๋หยางจงพูดขึ้น “เชิญทั้งสองท่านไปที่ห้องรับรอง”
คนรับใช้ขานรับ แล้วเดินออกไปทันที อู๋หยางจงหันมาพูดกับอีกสองคนที่เหลือ
“พวกเราไป ไปดูว่าสองคนนั้นมีเรื่องอะไร”
--------------------------------------
ห้องโถงของหมิงซิ่งลู่โหลวโอ่อ่ากว้างขวาง มิว่าผู้ใดเข้ามาก็ล้วนสัมผัสได้ถึงความปลอดโปร่งโล่งสบาย ทว่าสองพี่น้องซือหม่ากลับมีสีหน้าเคร่งเครียด อู๋หยางจงเมื่อก้าวเข้าไปในห้องก็มีสีหน้าประหลาดใจทันที
“พวกท่านทั้งสอง มีเรื่องอันใด?”
มิทันสิ้นคำ ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงชักกระบี่ออกมา ปราดเข้าใส่อู๋หยางจงทันที ความเคลื่อนไหวนี้อุบัติขึ้นอย่างผิดคาดหมาย กระทั่งอู๋หยางจงยังต้องยืนตะลึงงันไป
ที่เคลื่อนไหวคือลู่หยุน
มันเพียงสะบัดแขนเสื้อ ก็สกัดกระบี่คู่นั้นเอาไว้ได้ทันท่วงที สีหน้าของซือหม่าสองพี่น้องแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดกว่าเดิม
“ลู่เซียงเซิน ท่านมิอาจปกป้องฆาตกรสังหารผู้คน”
ลู่หยุนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ฆาตกร?”
“อืม เป็นมันที่ยืนอยู่หลังท่าน” ซือหม่าซานกล่าวขึ้น “หวงไป๋ยู่ผู้นั้น เมื่อคืนได้อาศัยความมืด ใช้วิชาฝีมือชั่วช้าไปลอบสังหารเตียเตียของพวกเรา พวกท่านอย่าได้ถูกมันล่อลวงเป็นอันขาด”
ลู่หยุนงงงันวูบ จังหวะนั้นเองสองพี่น้องก็ตวัดกระบี่ขึ้นอีกครั้ง
“ลู่เซียงเซินได้โปรดหลีกทาง มิเช่นนั้นพวกเราสองพี่น้องมิเกรงใจท่านแล้ว”
วาจาเหล่านี้เป็นที่แน่ชัด พวกมันทั้งสองคล้ายถูกความแค้นเข้าครอบงำจนมิอาจพูดคุยรู้เรื่องได้แล้วจริงๆ ขณะที่ลู่หยุนจะกล่าวกระไรต่อ เสียงของหวงไป๋ยู่ก็ดังขึ้น
“ข้าพเจ้าก็ต้องการทราบ พวกท่านสองพี่น้องมีฝีมืออยู่กี่ท่า จึงได้กล้าโอหังมากล่าวหาผู้อื่นเช่นนี้”
กล่าวจบมันก้าวมายืนหน้าลู่หยุน “ท่านถอย เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้าพเจ้า มิต้องการให้ท่านสอดมือ”
ลู่หยุนคล้ายต้องการกล่าวกระไร แต่สุดท้ายก็ยอมล่าถอยออกมา หวงไป๋ยู่สูดหายใจ จ้องไปยังสองพี่น้องที่ยืนถือกระบี่อยู่เบื้องหน้า
“พวกท่านกล่าวหาเข้าพเจ้าสังหารเตียเตียของพวกท่าน?”
“ถูกต้อง”
“พวกท่านมีหลักฐาน?”
ซือหม่าซานหัวร่อออกมาอย่างขมขื่น “ท่านยังถามหาหลักฐาน? กล้าทำมิกล้ารับ คนเยี่ยงนี้ยังนับเป็นตัวกระไรได้”
หวงไป๋ยู่จู่ๆ ถูกเหยียดหยามโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ ยิ่งก่อกวนให้โทสะลุกโพลง “ในเมื่อพวกท่านตกลงใจว่าข้าพเจ้าเป็นฆาตกร อย่างนั้นพวกท่านเชิญเข้ามา”
ประกายกระบี่วาววาบปรากฏขึ้นในห้องโถง พอขาดคำ สองพี่น้องก็ใช้ออกซึ่งกระบวนท่าเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินทันที อานุภาพของกระบี่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ก่อกวนให้ข้าวของต่างๆ ที่อู๋หยางจงตั้งประดับไว้ ล้มลงแตกเสียหาย
“ลู่ตี๋ ปล่อยไว้เช่นนี้มิได้” อู๋หยางจงปราดไปหาลู่หยุน แล้วลากมันออกไปจนพ้นรัศมีกระบี่ กล่าวสืบต่อ “พวกมันตีกันที่นี่ คนเสียหายคือข้าพเจ้า”
“ห้องโถงของท่านโอ่อ่ากว้างขวางเช่นนี้ ข้าพเจ้ามองว่ายังสามารถรองรับการตีกันของพวกมันได้อีกหลายกระบวนท่า”
อู๋หยางจงมีสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจ “ลู่ตี๋ ท่านฟังข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้ามีนิสัยชมชอบอวดโอ่ทรัพย์สมบัติของตัวเอง แต่มิต้องการการอวดโอ่เช่นนี้ หากท่านมิยื่นมือเข้าระงับเรื่อง อู๋เกอของท่านมิแน่ต้องกัดลิ้นตายไป”
ลู่หยุนพลันวางมือลงบนไหล่ของสหายรัก แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านตอนกัดลิ้นน่ากลัวเป็นภาพที่ข้าพเจ้ามิต้องการดู ดังนั้น ท่านยืนไว้ ข้าพเจ้าจะไปรักษาสมบัติของท่าน”
กล่าวจบก็พลันพลิ้วกายออกไป
หวงไป๋ยู่แม้ถูกรัศมีกระบี่คุกคามจนต้องถอยร่นเป็นระยะ แต่ท่าทางของมันยังคงปลอดโปร่ง เนื่องจากเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินที่สองพี่น้องใช้ออกมานี้ ยังมิอาจเทียบได้กับที่มันพบพานเมื่อวาน ตอนนี้มันเพียงรอ รอหาช่องว่างที่จะทำลายม่านกระบี่นี้ลงให้สิ้นซาก
สองพี่น้องซือหม่า เมื่อลงมือก็ใช้กระบวนท่าสุดยอด แสดงว่าหวังปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นพละกำลังที่ใช้ออกมาจึงหนักหน่วงรุนแรง อู๋หยางจงมองแล้วให้นึกหวาดเสียว ด้วยมิทราบลู่หยุนจะทำประการใดเพื่อระงับเหตุในครานี้
แต่มันยังคงแน่ใจ ว่าลู่หยุนจะสามารถยุติภัยพิบัติในห้องโถงครั้งนี้ของมันได้
เนื่องเพราะอู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นั้นรับปากแล้ว
จู่ๆ พลันมีลมหอบหนึ่ง พัดทะลวงเข้ามาในวงปะทะ สองพี่น้องซือหม่ารู้สึกข้อมือชาวูบ แทบทำกระบี่หลุดมือไป ขณะที่หวงไป๋ยู่ถูกกระแทกจนต้องถอยร่นออกไปหลายก้าว จึงสามารถทรงกายไว้ได้
ลู่หยุนยืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้าเคร่งเครียด กล่าวเสียงหนักๆ “หากพวกท่านมิออมมือไว้ไมตรี ข้าพเจ้ามีแต่ต้องอัปเปหิพวกท่านออกไปข้างนอกแล้ว”
โดยมิรอให้ผู้ใดกล่าวแทรก ลู่หยุนหันไปทางสองพี่น้องซือหม่า แล้วกล่าวสืบต่อ “พวกท่านดั้นด้นมาที่นี่เพื่อหาข้าพเจ้า แต่มิทันได้กล่าวกระไรก็ลงมือทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ท่านดู ห้องโถงนี้เมื่อครู่สวยงามอย่างยิ่ง ตอนนี้กลายเป็นสภาพเช่นไรแล้ว?”
สองพี่น้องซือหม่าถึงกับงงงันวูบ กวาดตาดูไปรอบๆ ทันที ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ “พวกท่านมาบ้านผู้อื่น ผู้อื่นเปิดประตูต้อนรับ ท่านกลับทำลายข้าวของของมัน เช่นนี้สมควรเรียกตัวกระไร”
ทั้งสองโกรธจนหน้าแดงก่ำ ซือหม่าซานกล่าวสวนขึ้น “ท่านน่ากลัวยังมิเข้าใจ พวกเราสองพี่น้องที่จริงต้องการหาท่านเพื่อเสาะหาตัวฆาตกร แต่คาดมิถึงท่านกลับซ่อนฆาตกรเอาไว้”
ถึงจุดนี้ อู๋หยางจงทนไม่ได้ต้องกล่าวออกมาบ้าง “คำก็ฆาตกร สองคำก็ฆาตกร ครั้งก่อนข้าพเจ้ากับลู่ตี๋ไปเยือนสำนักของท่าน มิได้ล่วงเกินทำลายสิ่งใด ท่านอาศัยคำ ‘ฆาตกร’ ก็สามารถทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นได้?”
“อู๋หยางจง ข้าพเจ้าทราบ เตียเตียของข้าพเจ้าให้เกียรติท่านเสมอมา แม้ว่าท่านจะไม่แยแสนสนใจเลยก็ตาม แต่หากท่านให้ที่หลบซ่อนฆาตกรเช่นนี้ เทียนซั่งเฟยอิงผายก็จะไม่เกรงใจต่อท่าน
อู๋หยางจงโมโหจนหน้าดำหน้าแดง คิดจะกล่าววาจาตอบโต้ แต่ถูกลู่หยุนยกมือห้ามไว้ “พวกท่านได้โปรดยุติวาจาสักครู่ ฟังข้าพเจ้าสักเล็กน้อย”
หันไปหาสองพี่น้องซือหม่าอีกครั้ง “พวกท่านมาที่นี่ เพื่อหาข้าพเจ้าไปเสาะหาตัวฆาตกร?”
“อืม”
“ฆาตกรฆ่าผู้ใด?”
“เตียเตียของพวกเรา”
ลู่หยุนเลิกคิ้วขึ้นสูง “เตียเตียของพวกท่าน? ท่านผู้อาวุโสเสียชีวิตแล้ว?”
สองพี่น้องซือหม่าผงกศีรษะด้วยสีหน้าคับแค้นใจ “เตียเตียเสียชีวิตแล้ว เมื่อคืน ด้วยฝีมืออุบาทว์ของคนชั่วนั่น”
พลันชี้มือไปยังหวงไป๋ยู่ ซึ่งยืนหน้าบึ้งอยู่
“พวกท่านสองพี่น้องใช้แค่วาจากล่าวหาผู้คน หากข้าพเจ้าฆ่าซือหม่าเทียนจริง ตอนนี้ข้าพเจ้าย่อมยืนหัวร่ออยู่เหนือศพมันแล้ว มิต้องให้พวกท่านเดือดร้อนเสนอหน้ามาถึงที่นี่”
“เอาละ” ลู่หยุนกล่าวพลางชักกระบี่ออกจากหว่างเอว สะบัดคราหนึ่ง เห็นผ้าแพรสีขาวที่พันตัวกระบี่คลายออก ไปม้วนโต๊ะกับเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาด สะบัดอีกครา เก้าอี้และโต๊ะก็มาตั้งอยู่ตรงหน้ามันอย่างเรียบร้อย ผ้าแพรกลับไปพันอยู่ที่กระบี่เช่นเดิม
“เชิญพวกท่านนั่ง” กล่าวจบก็ลากเก้าอี้ลงนั่ง สองพี่น้องซือหม่าและหวงไป๋ยู่มีท่าทีลังเล อู๋หยางจงจึงกล่าวขึ้นต่อ
“ผู้ใดอยากมีเท้าจงรีบนั่ง ข้าพเจ้าแน่ใจ พวกท่านมิต้องการชิมรสของกระบี่ดาวดับเล่มนั้นเป็นแน่”
กล่าวจบมันก็รีบลากเก้าอี้ลงนั่ง พอดีเป็นฝั่งตรงข้ามกับลู่หยุน คล้ายคำ ‘อั้นจว่านเจี้ยน’ * (กระบี่ดาวดับ) พอมีพลังขู่ขวัญอยู่บ้าง สองพี่น้องซือหม่าจึงลากเก้าอี้ลงนั่ง หวงไป๋ยู่เองก็ลากเก้าอี้ลงนั่ง พอดีเป็นตรงข้ามกันเช่นกัน
ดังนั้น ตอนนี้ระหว่างทั้งคู่ จึงถูกคั่นไว้โดยลู่หยุน อู๋หยางจง และโต๊ะอีกตัวหนึ่ง
ลู่หยุนหันไปทางซือหม่าทั้งสอง กล่าวด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “การที่เตียเตียของท่านถูกลอบสังหาร ข้าพเจ้านับว่าคาดมิถึงจริงๆ และต้องแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วย”
ซือหม่าซานพยักหน้ายอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงพูดขึ้น “ลู่เซียงเซิน ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับเตียเตียของพวกเรา ท่านเมื่อคืนถูกสังหารภายในห้อง ด้วยวิชาดัชนีของคนผู้นั้น”
คราวนี้มันมิได้ชี้มือ แต่บุ้ยหน้าไปทางหวงไป๋ยู่แทน หวงไป๋ยู่มีสีหน้าพิกลพิสดาร
“ท่านว่า เป็นวิชาดัชนีของข้าพเจ้า?”
“อืม? บนร่างกายของเตียเตียมีจุดคล้ายดอกเหมยห้าจุด มิใช่ฝีมือของท่านแล้วจะเป็นฝีมือของผู้ใด?”
มันพูดไปตัวสั่นไป คล้ายพยายามอดกลั้นเต็มที่ อู๋หยางจงร้องออกมา “เป็นเช่นนั้นจริง?”
สองพี่น้องซือหม่าพยักหน้า “เมื่อเช้าพวกเราเข้าไปหาท่านในห้อง ก็พบว่าท่านเสียชีวิตแล้ว”
น้ำตาพลันเอ่อท้นขึ้นมา ลำคอของพวกมันก็ตีบตัน ลู่หยุนจึงกล่าวขึ้นต่อ
“ท่านพบเห็นรอยจ้ำรูปดอกเหมยบนร่างกาย จึงคาดเป็นฝีมือของมัน?”
“ถูกต้อง”
“เหตุนี้เกิดเมื่อคืนแน่นอน?”
ทั้งสองพยักหน้า “พวกเราทั้งคู่อยู่ดูอาการเตียเตียจนเกือบถึงสองยาม จึงแยกย้ายกลับไปที่ห้อง กระทั่งเช้า จึงแวะไปอีกครั้ง ก็พบ...”
มันกล่าวมิจบ แต่ทุกคนก็พอจะเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ลู่หยุนพลันถอนหายใจ
“แสดงว่าท่านถูกสังหารระหว่างสองยามถึงรุ่งสาง”
“ตอนพวกเราไปถึง ร่างของท่านได้แข็งไปแล้ว จึงคาดว่าฆาตกรต้องลงมือหลังสองยามไม่นาน”
ลู่หยุนส่งเสียงในลำคอ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าพอจะประกันต่อพวกท่านได้ ผู้ลงมือมิใช่หวงไป๋ยู่อย่างเด็ดขาด”
ซือหม่าทั้งสองเงยมองลู่หยุนด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ฝ่ายนั้นกล่าวสืบต่อ “เมื่อคืน ข้าพเจ้าอยู่ดื่มเป็นเพื่อนมันจนเกือบถึงรุ่งสางจึงเลิกรา”
-
“ทะ... ท่านว่ากระไร?”
“ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเมื่อคืนอยู่ดื่มเป็นเพื่อนมันจนเกือบรุ่งสาง ตั้งแต่หลังเที่ยงคืน ข้าพเจ้าประกันได้ว่ามันมิได้ออกจากห้องไปไหนเลย ยังคงร่วมดื่มกับข้าพเจ้าอยู่ตรงนั้นเอง”
“ท่านกล่าวความจริง?”
“อืม ข้าพเจ้ามิมีเหตุผลใดต้องโกหก”
“ไฉนท่านต้องร่วมดื่มกับมันจนถึงรุ่งสาง”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “เนื่องเพราะมันเพิ่งพ่ายแพ้ เป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของมัน ท่านอย่าลืม เตียเตียของพวกท่านเป็นคนลงมือสังหารเตียเตียของมัน อย่างไรมันต้องเจ็บช้ำใจอย่างรุนแรงที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอยู่ดื่มเป็นเพื่อนมัน”
“พวกท่านไปดื่มกันที่ใด” ซือหม่าซานกล่าวสืบต่อ “มีพยานอื่นร่วมรู้เห็นหรือไม่?”
อู๋หยางจงสอดขึ้นมา “หรือพวกท่านมิเชื่อวาจาของมัน?”
ซือหม่าซานกล่าวเสียงหนัก “ข้าพเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เตียเตียข้าพเจ้าไว้ใจท่าน ข้าพเจ้าเองก็เคยไว้ใจท่าน แต่หลังจากเรื่องเมื่อเช้า ข้าพเจ้ากลับมีข้อคลางแคลงใจ ท่านกับมัน บางทีอาจจะรู้จักกันมาก่อน มิเช่นนั้นไหนเลยท่านจะสามารถหาตัวมันได้โดยง่าย มิหนำซ้ำยังสามารถเกลี้ยกล่อมให้มันทำตามสิ่งที่ท่านต้องการได้ มิแน่ว่าพวกท่านสองคนที่จริงสมคบคิดกันมาแต่แรก”
อู๋หยางจงลุกพรวดขึ้น “พวกท่านเสียทีเป็นบุตรของเจ้าสำนักใหญ่ มิทันได้สอบข้อเท็จจริงอันใดก็กล่าวหาผู้คน เฮอะๆ ข้าพเจ้าแน่ใจ บางทีเนื่องเพราะเตียเตียของท่านมิใช่ตัวดีจริงๆ ดังนั้นพวกท่านจึงได้รับถ่ายทอดมาด้วย”
ซือหม่าซานลุกพรวดขึ้นบ้าง แต่ถูกเสียงตบโต๊ะดังปึงของลู่หยุนหยุดไว้
“พวกท่านนั่ง! ”
ทั้งสองนั่งลงอีกครั้ง ต่างคนต่างมีสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ “เรื่องที่ข้าพเจ้าดื่มกับมัน มีพยานรู้เห็น แต่จนใจ มิอาจบอกกล่าวกับพวกท่านเรื่องนี้ได้”
“อ้อ... ที่แท้พวกท่านมีความลับ”
“เป็นความลับที่ไม่เกี่ยวกับการตายของเตียเตียท่านแน่นอน”
“พวกเราไยต้องเชื่อท่าน?”
“เนื่องเพราะข้าพเจ้ามิมีเหตุผลใดต้องปกป้องฆาตกรที่สังหารเตียเตียของท่าน ข้าพเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยเตียเตียของท่าน มิใช่มาเพื่อฆ่ามัน”
“....”
“หรือท่านยังไม่ทราบ หากข้าพเจ้าต้องการสังหารเตียเตียของท่านจริง ถึงตอนนี้พวกท่านต้องไม่นั่งอยู่ตรงนี้เด็ดขาด”
“....”
“พวกท่านลองตรองดู หวงไป๋ยู่ผู้นี้ มาเพื่อแก้แค้นเตียเตียของท่าน มันยอมตกปากรับคำข้าพเจ้า ประลองกับซือหม่าเทียนตัวต่อตัว หากมันต้องการใช้วิธีลอบสังหารแต่แรก มันย่อมมิจำเป็นต้องรับปากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าหากวางแผนให้มันสังหารเตียเตียท่านแต่แรก ต้องมิเปลืองมือเท้าเสนอหน้ามายุ่งอย่างเด็ดขาด และหากมันลอบสังหารเตียเตียของท่านจริง ตอนนี้มันย่อมต้องยอมรับอย่างภาคภูมิใจต่อหน้าท่าน บุตรที่สามารถล้างแค้นให้บิดาได้ มิว่าผู้ใดต้องยินดียืดอกยอมรับความภาคภูมินั้น”
“ถูกต้อง” หวงไป๋ยู่พูดขึ้นมาในที่สุด “ข้าพเจ้าต้องการสังหารซือหม่าเทียนตลอดเวลา หากข้าพเจ้าใช้วิธีลอบสังหารและทำสำเร็จ ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องกำลังหัวร่ออยู่ตรงหน้าพวกท่าน มินั่งเช่นนี้เด็ดขาด”
สองพี่น้องซือหม่าเงียบไปนาน ในที่สุด ซือหม่าเลี่ยงก็พูดขึ้น “หากมิใช่มันกระทำ เช่นนั้นเป็นฝีมือของผู้ใด?”
“นั่นคือเรื่องที่ต้องสืบเสาะ ข้าพเจ้าจะไปเทียนซั่งเฟยอิงผายกับพวกท่าน พร้อมกับมัน”
หวงไป๋ยู่กล่าวขึ้น “ข้าพเจ้าต้องไปด้วย?”
“เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของท่าน” ลู่หยุนว่า “ท่านไปกับข้าพเจ้า ไปดูให้เห็นกับตาว่าซือหม่าเทียนตายด้วยน้ำมือผู้ใด ท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถใช้วิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดาราได้ ท่านต้องสามารถทราบ ที่ตายเป็นเพราะหลักวิชาของท่านหรือไม่”
หวงไป๋ยู่สูดหายใจลึก สุดท้ายก็ผงกศีรษะ “ได้ ข้าพเจ้าไปกับพวกท่าน”
-----------------------------------
ทั้งสี่ควบม้าฝ่าหิมะออกจากหมิงซิ่งลู่โหลวอย่างเร่งร้อน ทิ้งให้อู๋หยางจงบงการคนรับใช้เก็บกวาดห้องโถงเพียงลำพัง ประการนี้อู๋หยางจงล้วนเต็มใจ ให้มันสั่งคนเก็บกวาดห้องโถง ยังดีกว่าให้มันขี่ม้าตากลมหนาวด้านนอกเป็นไหนๆ ดังนั้นตอนนี้ในหมิงซิ่งลู่โหลวจึงเต็มไปด้วยคนรับใช้ที่กำลังเก็บกวาดสิ่งของต่างๆ ภายในห้องโถง
เสียงเกือกม้าย่ำไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะฟังดูประหลาดหู ยิ่งออกห่างจากตัวเมืองยิ่งฟังดูประหลาดมากขึ้น ซือหม่าสองพี่น้องสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว ขณะที่ลู่หยุนและหวงไป๋ยู่ ต่างถูกอู๋หยางจงบังคับยัดเยียดเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกมาคนละตัว ของลู่หยุนเป็นจิ้งจอกดำ ส่วนของหวงไป๋ยู่เป็นจิ้งจอกแดง
ถนนหนทางว่างเปล่า เนื่องจากมีหิมะโปรยปราย ทั้งสี่เร่งรัดควบม้า มินานนักก็ลุมาถึงเทียนซั่งเฟยอิงผาย ธงที่โบกสะบัดอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะดูซีดจางกว่าธรรมดา แต่หมู่บ้านเล็กๆ ด้านหน้ากลับดูคึกคัก แสดงว่าระหว่างที่ซือหม่าสองพี่น้องออกไปจากสำนัก มีผู้มาเยือนใหม่
ซือหม่าซานรีบควบม้าน้ำไปก่อน ทิ้งซือหม่าเลี่ยงคุมเชิงอีกสองคนที่เหลือ ระหว่างนั้นลู่หยุนเอ่ยปากขึ้น
“เสี่ยวเส้าเหยี่ย สำนักของท่านใช่กำลังมีอาคันตุกะ?”
ซือหม่าเลี่ยงส่งเสียงตอบ “มิใช่อาคันตุกะ ท่านสังเกตเห็นธงสีแดงดำบนรถม้าคันนั้นหรือไม่?”
ลู่หยุนมองไปตามมือพลันพยักหน้า “เป็นธงของจิ่วซ่วนเชวิ่นจู* (หมู่ตึกเก้าดารา) หรือผู้ที่มาเป็นหวอซี่ซือซัว* (พู่กันเป็นตาย) ซุนหลี่ซุ่น?”
“ถูกต้อง ข้าพเจ้าคาด ต้องเป็นซุนสู* (ท่านอาแซ่ซุน) แน่”
ลู่หยุนผงกศีรษะ ขณะที่หวงไป๋ยู่กล่าวสืบต่อ “หวอซี่ซือซัวผู้นั้น... เฮอะๆ มันมาได้ประจวบเหมาะ”
ซือหม่าเลี่ยงถามขึ้นลอยๆ “ท่านรู้จัก?”
“อืม... ข้าพเจ้าทราบ มันคืออีกผู้หนึ่งที่อยู่ที่บึงเซิ่งไคเหลียนวันนั้น”
“อ้อ... ท่านยังต้องการแก้แค้นซุนสู”
หวงไป๋ยู่ส่งเสียงขึ้นจมูก “มิต้องกังวล ข้าพเจ้าไม่สนใจมัน”
ซือหม่าเลี่ยงลงจากม้า แล้วเดินนำทั้งคู่เข้าไปภายในเทียนซั่งเฟยอิงผาย
เหมยยังคงส่งกลิ่นหอม แต่บรรยากาศโดยรวมกลับดูเคร่งเครียด เพียงแค่ก้าวพ้นธรณีประตู หวงไป๋ยู่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากสายตาของบรรดาศิษย์เทียนซั่งเฟยอิง
มันย่อมรู้สึกมิพอใจ แต่ต้องสะกดความรู้สึกเอาไว้ แล้วเชิดหน้าเดินตามซือหม่าเลี่ยงไป
ซือหม่าซานล่วงหน้าเข้าไปรอนานแล้ว ในห้องโถงใหญ่ของเทียนซั่งเฟยอิงผาย ซึ่งไม่กี่วันก่อนเคยประดับแพรแดงและอักษรมงคล มีดนตรีและแขกเหรื่อมากมาย บัดนี้แพรแดงถูกนำออกไปแล้ว อักษรมงคลก็ถูกนำออกไปแล้ว ท่ามกลางแสงโคม กลางห้องมีโลงไม้สีแดงขนาดใหญ่โลงหนึ่ง ที่หน้าโลงนอกจากซือหม่าซาน ยังมีคนอีกผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ คนผู้นั้นสวมชุดยาวสีเทาคล้ายนักพรต เมื่อเดินเข้าไปถึง ซือหม่าเลี่ยงก็ประสานมือคารวะ
“ข้าพเจ้าซือหม่าเลี่ยง มิได้อยู่ต้อนรับซุนสู ต้องขออภัย”
“มิเป็นไร” ซุนหลี่ซุ่นโบกมือ ก่อนจะหันหน้ากลับมา ใบหน้าของท่านสงบนิ่ง แต่ดวงตากลับเป็นสีแดงเรื่อ การเสียชีวิตของซือหม่าเทียนย่อมกระทบกระเทือนจิตใจของท่านอย่างมาก
ซุนหลี่ซุ่นกวาดตามองลู่หยุน แล้วหยุดสายตาที่กระบี่ไม้ ก่อนจะเบือนไปมองหวงไป๋ยู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ท่านที่นับถือคงเป็นลู่เซียงเซิน”
ลู่หยุนประสานมือ “ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโส”
“อืม ท่านดูแล้วมีวัยเยาว์กว่าที่เราคาดไว้มากนัก ปีนี้มิทราบท่านอายุเท่าไร”
“ปีนี้ข้าพเจ้าอายุยี่สิบแปด”
ซุนหลี่ซุ่นพยักหน้า แล้วหันไปมองหวงไป๋ยู่ “ส่วนเจ้า คงเป็นทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น”
หวงไป๋ยู่มิได้ตอบ มันเพียงจ้องตาซุนหลี่ซุ่น ฝ่ายนั้นหัวร่อในคอ “สายตาที่ดี”
เบือนหน้ากลับไปมองลู่หยุนอีกครั้ง แล้วกล่าวสืบต่อ “ท่านทราบหรือไม่ ซือหม่าเทียนเป็นกระไรกับเรา”
“พวกท่านเป็นสหายสนิทอย่างยิ่ง เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมานับสิบๆ ปี”
ซุนหลี่ซุ่นพยักหน้า “เรามาวันนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเทียนเกอ เพราะมิอาจมาอวยพรวันเกิดได้ มิคาด...”
น้ำเสียงของท่านพลันขาดไป มือที่กำอยู่สั่นระริก ซือหม่าซานที่ยืนอยู่กล่าวขึ้นเบาๆ “ซุนสูโปรดระงับจิตใจ”
ซุนหลี่ซุ่นส่งเสียงอืมในคอ สักครู่ใหญ่จึงสามารถกล่าววาจาต่อได้ “ลู่เซียงเซิน เมื่อครู่นี้ซานเอ๋อร์บอกต่อเรา ว่าท่านยืนยัน ได้ร่วมดื่มกับหวงไป๋ยู่ผู้นี้เกือบตลอดคืน”
ลู่หยุนผงกศีรษะ ซุนหลี่ซุ่นกล่าวสืบต่อ “ตอนเรามา ทั้งซานเอ๋อร์เลี่ยงเอ๋อร์ได้ออกไปสักครู่ใหญ่แล้ว เราจึงสอบถามเอากับบรรดาศิษย์อื่นๆ จึงทราบว่าก่อนหน้านี้ เคยมีผู้ลอบทำร้ายศิษย์คนหนึ่งแล้วบังคับให้เอาไป๋ยู่เย้าเฉียวมาส่งที่นี่”
ดวงตาของท่านเบนไปทางหวงไป๋ยู่ “เจ้าคงมิคาด บัดนี้ โฉวหลวนผู้นั้นยังสามารถกล่าววาจาได้”
แก้วตาของหวงไป๋ยู่หดลงเล็กน้อย ขณะที่ซุนหลี่ซุ่นกล่าวสืบต่อ “ดังนั้น เราจึงสอบถามกับมัน ว่าสถานที่สุดท้ายที่มันไปก่อนถูกลอบทำร้าย เป็นสถานที่ใด เจ้าทราบหรือไม่ มันบอกเราว่าอย่างไร”
ริมฝีปากของหวงไป๋ยู่ปิดสนิท แสดงว่ามันไม่ต้องการตอบคำถาม ดังนั้นซุนหลี่ซุ่นจึงพูดขึ้น “หอว่านเหนี่ยว”
ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงหันไปมองท่านเป็นตาเดียว
“มันถูกคนลอบทำร้ายที่หอว่านเหนี่ยว?”
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เนื่องจากมันยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงมิสามารถจดจำเรื่องต่างๆ ได้แน่ชัด ตอนเราสอบถามเมื่อเช้า มันสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่าง ว่ามันไปพบคณิกานางหนึ่ง มิทราบลู่เซียงเซินท่านคุ้นหูชื่อของนางบ้างหรือไม่ นางมีนามไป๋ยู่หลัน”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “ข้าพเจ้าเคยพบนาง”
“ดังนั้น ระหว่างที่ซานเอ๋อร์และเลี่ยงเอ๋อร์ออกไปหาท่าน เราจึงให้คนออกไปตามหานางคณิกาผู้นั้นที่หอว่านเหนี่ยว ท่านทราบหรือไม่ เราพบกระไร”
คราวนี้กระทั่งลู่หยุนก็มิยอมเปิดปาก ส่วนหวงไป๋ยู่มีสีหน้าคล้ายสวมหน้ากากเอาไว้ มันมองซุนหลี่ซุ่นด้วยสายตาเย็นชา
“มีเรื่องใดให้รีบกล่าว ข้าพเจ้ามิชอบคนชักช้ามากความ”
ซุนหลี่ซุ่นหัวร่อในคอ ปรบมือสามครั้ง ไม่นานนักศิษย์เทียนซั่งเฟยอิงก็นำตัวบุคคลสองคนเข้ามา
คนหนึ่งคือโฉวหลวน ส่วนอีกผู้หนึ่ง...
“ไป๋เจี๋ยเจี่ย” เซียวเซียวส่งเสียงด้วยความดีใจระคนแปลกใจ “ท่านอยู่ที่นี่?”
ลมหายใจของหวงไป๋ยู่พลันชะงักค้าง ในหัวขาวโพลนไปชั่วขณะ มันมองเซียวเซียว มิทราบสมควรกล่าวกระไร ยาโถวน้อยเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบต่อ
“ท่านผู้นี้ ส่งคนไปหาท่านที่หอว่านเหนี่ยว ข้าพเจ้าบอกว่าท่านออกไปข้างนอก พวกมันถามว่าเมื่อคืนท่านอยู่ที่ใด ข้าพเจ้าบอกต่อมัน ท่านอยู่กับบุรุษขี่เมฆผู้นี้ทั้งคืน จากนั้นมันจึงนำตัวข้าพเจ้ามาที่นี่ บอกว่าข้าพเจ้าต้องมายืนยันอีกเรื่องหนึ่ง ไป๋เจี๋ยเจี่ย นี่เป็นเรื่องราวใด”
ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงหันไปมองทั้งคู่เป็นตาเดียว ซือหม่าเลี่ยงกล่าวขึ้นมา “ลู่เซียงเซิน... นี่เป็นเรื่องราวใด เมื่อคืนท่านอยู่กับผู้ใดแน่ หวงไป๋ยู่ หรือไป๋ยู่หลัน?”
ลู่หยุนมีสีหน้าลำบากใจ มันได้แต่เม้มปาก มิทราบสมควรกล่าวกระไรดี ตอนนั้นเองที่ซุนหลี่ซุ่นหันไปหาโฉวหลวน
“โฉวหลวน เจ้าดูบุคคลผู้นี้ คล้ายผู้ใดที่เจ้าพบเห็นหรือไม่?”
โฉวหลวนมองหวงไป๋ยู่ขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะพยักหน้า “คล้ายกับไป๋ยู่หลันมาก”
ซุนหลี่ซุ่นแค่นเสียงในลำคอ กล่าวต่อ “คล้ายหรือใช่ เจ้าจงระบุให้ดี”
โฉวหลวนเพ่งมองหวงไป๋ยู่อีกพัก แล้วกล่าวขึ้น “ข้าพเจ้าแน่ใจ เป็นนางคณิกาที่ชื่อไป๋ยู่หลัน ข้าพเจ้าจำดวงตาของนางได้”
ดวงตาของหวงไป๋ยู่พลันทอประกายอำมหิต “ซุนหลี่ซุ่น วาจาไร้สาระที่ท่านต้องการกล่าว ใช่หมดแล้วหรือไม่?”
ซุนหลี่ซุ่นถอนหายใจ “วาจาที่เรากล่าว ล้วนเป็นวาจาที่เราสมควรกล่าว แต่พวกท่านกล่าววาจาน้อยไปแล้ว”
หันไปหาลู่หยุน แล้วกล่าวสืบต่อ “เราได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน แต่มิทราบสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ ท่านกับหวงไป๋ยู่ผู้นี้ บางทีอาจรู้จักกันมาก่อน บางทีท่านกับมัน... มิแน่ ท่านอาจทราบแต่แรก มันมิใช่บุรุษ แต่เป็นสตรี ซ้ำยังเป็นสตรีที่งามอย่างยิ่ง งามจนท่านมิอาจหักใจ...”
“ซุนหลี่ซุ่น! ” หวงไป่ยู่ตะคอกขึ้นมา “ความจริงเราบิดา ไม่คิดเอาชีวิตของเจ้า แต่บัดนี้ เตรียมศีรษะของเจ้าไว้ เราจะไปเด็ดมา”
ซุนหลี่ซุ่นแผดเสียงหัวร่อดังลั่น “จะฆ่าก็ฆ่าเลยเถิด เจ้าลงมือฆ่าเกอเกอของเราไปแล้ว ฆ่าเราอีกคนจะเป็นไรไป ครั้งนี้เจ้าควรลงมือให้ผู้อื่นเห็น มิเช่นนั้น... เจ้าย่อมมิใช่บุรุษที่แท้จริง แต่หากเป็นสตรี”
หวงไป๋ยู่พลันกระโจนออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า แต่กลับถูกมือข้างหนึ่งรั้งไว้
“ไป๋ยู่ พวกเรามิได้มาฆ่าคน” ลู่หยุนกล่าวกับมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หวงไป๋ยู่รู้สึก มีกำลังขุมหนึ่งแผ่เข้ามาตรึงข้อมือของมันเอาไว้ จนมิสามารถขยับเขยื้อนได้ มันเค้นเสียงลอดไรฟัน
“ท่านสามารถทนได้ แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถทนได้”
“ท่านทนไม่ได้ก็ต้องทน ข้าพเจ้ามาที่นี่เพื่อไขความกระจ่าง เรื่องที่ซือหม่าเทียนถูกสังหาร”
ซุนหลี่ซุ่นมองมันด้วยสายตาพิศวง “ท่านสามารถอาศัยความใดไขข้อกระจ่างเรื่องนี้?”
ลู่หยุนเพ่งมองที่โลง แล้วกล่าว “วิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา มิใช่เป็นวิชาที่มีผู้ใช้ทั่วไป แต่ลักษณะเด่นของวิชากลับสามารถเลียนแบบได้ไม่ยาก ข้าพเจ้าต้องการดูอาการบาดเจ็บของท่านผู้เฒ่า ว่าเกิดจากพลังฝีมือนี้จริงหรือไม่?”
“อาศัยท่านก็สามารถยืนยันได้?”
“มิใช่ข้าพเจ้า เป็นมัน”
หันไปทางหวงไป๋ยู่ แล้วกล่าวสืบต่อ “มันคือผู้เชี่ยวชาญวิชาฝีมือนี้ มันย่อมสามารถระบุได้ เป็นการลงมือด้วยตัวมันเองจริงหรือไม่?”
ซุนหลี่ซุ่นแผดเสียงหัวร่อออกมา “น่าเสียดาย ท่านเป็นถึงศิษย์ของว่านเหนียนลู่เล่าโต๋ว แต่กลับมีวาจาคล้ายคนวิกลจริต หากมันเป็นฆาตกร มันไหนเลยจะระบุว่าตัวเองเป็นผู้กระทำ”
หวงไป๋ยู่เค้นเสียงผ่านไรฟัน “หยุน หากท่านมิยอมปล่อย อย่าหาว่าข้าพเจ้าล่วงเกิน”
ลู่หยุนรู้สึกมีพลังขุมหนึ่งกระแทกออกมาจากข้อมือที่มันกุมอยู่ ดังนั้น มันจึงตัดสินใจปล่อยมือ ร่างของหวงไป๋ยู่หายวับไปทันที จากนั้นจึงได้ยินเสียงซุนหลี่ซุ่นตวาดออกมา
“รนหาที่ตาย”
พู่กันเป็นตายถูกดึงออกมาจากแขนเสื้อ เข้าปะทะกับฝ่ามือของหวงไป๋ยู่ ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกรุนแรง จนเซียวเซียวล้มลงไป ลู่หยุนรีบถลันเข้าไปประคองนางขึ้นมา
“กงจื่อ... ข้าพเจ้า...” เซียวเซียวกล่าวได้แค่นั้น ก็พลันกระอักโลหิตออกมาคำโต ลู่หยุนรีบทาบฝ่ามือลงไปบนหลังของนาง เพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บ ก่อนหันไปหาซือหม่าเลี่ยง
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าดูนางไว้”
ซือหม่าเลี่ยงถลันเข้าไปประคองเซียวเซียวเอาไว้ พลางประหลาดใจที่ไฉนตัวมันจึงต้องกระทำตามคำกล่าวของลู่หยุนด้วย แต่ขณะที่คิดจะกล่าวกระไร ลู่หยุนพลันหายวับไปราวกับควัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงตวาดดังก้อง
“หยุดมือไว้! ”
พลังกระแทกอันหนักหน่วงรุนแรงสายหนึ่งก็พุ่งเข้าแทรกกลางระหว่างหวงไป๋ยู่กับซุนหลี่ซุ่น ทั้งคู่ถึงกับมิอาจทนทานได้ ต้องถอยออกมาสี่ห้าก้าว
ลู่หยุนยืนอยู่ตรงกลาง สีหน้าเคร่งเครียด มันจ้องหน้าหวงไป๋ยู่ ฝ่ายนั้นจึงกล่าว “หยุน ท่านไฉนจึงต้องขัดขวาง เรื่องนี้มิใช่ธุระกงการใดของท่าน”
“ไป๋ยู่” ลู่หยุนเรียกชื่อมัน “หากท่านยังดึงดันปะทะกับซุนหลี่ซุ่นผู้นี้ น่ากลัวผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตคนแรกต้องเป็นเซียวเซียวผู้นั้น”
จนบัดนี้ หวงไป๋ยู่จึงเพิ่งตระหนัก ภายในห้องโถงยังมีเซียวเซียว ยาโถวน้อยธรรมดาที่มิรู้จักหลักวิชาบู๊ใด มันพลันโถมเข้าไป ชิงนางออกมาจากซือหม่าเลี่ยง
“เซียวเซียว เจ้าได้ยินเราหรือไม่?”
เซียวเซียวมีสีหน้าซีดเผือดราวกระดาษ หวงไป๋ยู่เขย่าตัวนาง “เจ้าตื่นมากล่าววาจากับเราสักครึ่งคำ”
ซือหม่าเลี่ยงที่อยู่ใกล้ที่สุดกลับมิลงมือประการใด ขนาดตัวมันยังมิอาจเข้าใจ ตอนนี้มันรู้สึกอย่างไรแน่ ตรงหน้ามันแท้จริงเป็นบุรุษหรือสตรี มันมิกล้าคิดต่อ คนผู้นี้คือฆาตกรที่ฆ่าบิดาของมันจริงหรือไม่? มันมิสามารถตอบตัวเองได้เลย
“ไป๋ยู่ ท่านพานางออกไปก่อน ที่นี่ข้าพเจ้าจัดการเอง”
หวงไป๋ยู่เหลือบมองลู่หยุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งขอบคุณทั้งสงสัย ก่อนจะถีบเท้าพุ่งออกประตูไป พร้อมกันร่างของเซียวเซียว ซือหม่าเลี่ยงและซือหม่าซานรีบพุ่งตัวตามไป แต่กลับถูกลู่หยุนสกัดไว้
“ท่านไฉนกระทำดังนี้” ซือหม่าซานกล่าวด้วยความพลุ่งพล่าน “หรือท่านกับนาง... มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน”
ลู่หยุนมิได้ตอบ มันเพียงกล่าวสั้นๆ “ข้าพเจ้ายืนยัน การตายของเตียเตียท่าน มิใช่ฝีมือของมันเด็ดขาด”
“ท่านยังอาศัยประการใดมายืนยันได้... ท่าน... ท่าน บัดนี้ท่านได้ทรยศต่อน้ำใจของเตียเตีย น้ำใจของพวกเราสองพี่น้อง ท่านไฉนจึงกลายเป็นคนเยี่ยงนี้”
ลู่หยุนขบริมฝีปาก ทราบแน่แก่ใจ มันตอนนี้มิสามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้กระจ่างได้ ดังนั้น จึงจำต้องกล่าวต่อ
“ซือหม่าซาน วันนี้ข้าพเจ้ามิได้ทรยศต่อเตียเตียของท่าน ยิ่งมิได้ทรยศต่อน้ำใจของท่านสองพี่น้อง สำหรับฆาตกรที่สังหารท่านผู้เฒ่า ข้าพเจ้ารับปาก จะหาตัวมันมาชำระความให้ท่าน ตอนนี้ข้าพเจ้าวิงวอนให้ท่านสงบสติอารมณ์ก่อน”
ซือหม่าซานตัวสั่นเทา “วาจาของท่าน ท่านจะกล่าวเช่นไรก็ได้ วันนี้หากข้าพเจ้าไม่สู้ตายกับท่าน ข้าพเจ้าไม่ขอเกิดเป็นคน”
มันพลันชักกระบี่ หมายจะต่อสู้เสี่ยงชีวิต แต่กลับถูกเสียงของซุนหลี่ซุ่นยับยั้งไว้
“ซานเอ๋อร์ เจ้าอย่าเปลืองมือเปลืองเท้ากับคนเช่นนี้”
“ซุนสู”
ซุนหลี่ซุ่นหันไปมองลู่หลุน กล่าวสืบต่อ “ในเมื่ออู๋เน่ยเฉียงฟงรับปากจะพาฆาตกรตัวจริงมาชำระความ เจ้าควรให้โอกาส”
“แต่...”
“ซุนสูเข้าใจ เจ้าไม่ไว้ใจมัน ซุนสูก็ไม่ไว้ใจมัน แต่เจ้าก็เห็น มันมิใช่ผู้ที่พวกเราสามารถต่อต้านได้”
ซือหม่าซานกัดริมฝีปากจนโลหิตหลั่งไหล เค้นเสียงกล่าวออกมา “ท่านจะให้ปล่อยพวกมันไปเยี่ยงนี้?”
“อืม... แต่มันย่อมต้องไม่ไปตัวเปล่า” หันไปหาซือหม่าเลี่ยง “เลี่ยงเอ๋อร์ เจ้าติดตามมันไป”
ซือหม่าเลี่ยงเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่ซือหม่าซานร้องออกมา “จะให้มันติดตามอู๋เน่ยเฉียงฟงไป?”
ซุนหลี่ซุ่นพยักหน้า แล้วหันไปมองลู่หยุน “หากท่านกับหวงไป๋ยู่ผู้นั้นมิใช่ฆาตกรจริง ท่านต้องยินดีให้มันติดตามท่านไปสืบคดีในครั้งนี้ ท่านต้องสามารถรับรองความปลอดภัยของมันได้ ท่านกล้ารับปากหรือไม่?”
“มันมิต้องรับปาก ข้าพเจ้าก็จะไป” ซือหม่าเลี่ยงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าพเจ้าต้องการทราบ เป็นผู้ใดลอบลงมือสังหารเตียเตีย หากท่านมิยอมให้ข้าพเจ้าติดตามไป ก็สังหารข้าพเจ้าเสียที่นี่”
ลู่หยุนหลับตา ก่อนจะถอนใจแรง “ได้ ข้าพเจ้ารับปากพวกท่าน ข้าพเจ้าจะนำฆาตกรกลับมา และประกัน ซือหม่าเลี่ยงผู้นี้ต้องปลอดภัยกลับมาด้วย”
“ในเมื่อท่านรับปากแล้ว ท่านสามารถไปได้”
ลู่หยุนกวาดตามองซุนหลี่ซุ่นและซือหม่าซาน ก่อนจะหันไปหาซือหม่าเลี่ยง “พวกเรา ไป”
------------------------------------
(จบตอน)
-
ซับซ้อนดั่งกลีบเหมย
-
:hao7:
:3123: :pig4: :3123:
-
เหมยแดง
บทที่11 ถกปัญหา
หวงไป๋ยู่มีสีหน้าร้อนรนตอนเห็นลู่หยุนเดินออกมา มันอุ้มเซียวเซียวไว้ในอ้อมกอด
“หยุน นางหมดสติไปแล้ว”
ลู่หยุนถอดเสื้อหนังจิ้งจอกยื่นให้ “คลุมให้นาง พวกเราจะกลับไปหมิงซิ่งลู่โหลว”
หวงไป๋ยู่รีบรับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกมาสวมให้เซียวเซียว จากนั้นจึงอุ้มนางขึ้นม้าแล้วควบออกไป ลู่หยุนกระโดดขึ้นม้า ซือหม่าเลี่ยงจึงกระโดดตามไป ในขบวนสามคน มันจึงรั้งอยู่หลังสุด
หิมะหยุดตกแล้ว แต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ ซือหม่าเลี่ยงกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์เข้ากับตัว พลางมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอยู่บนม้าเบื้องหน้า มันทราบ กำลังภายในของคนผู้นี้ เลอเลิศไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงสามารถสวมเสื้อธรรมดาควบม้าท่ามกลางอากาศเช่นนี้ได้
เมื่อหลายวันก่อน ตอนคนผู้นี้มาถึงเทียนซั่งเฟยอิงผาย ในใจของมันมีแต่ความยกย่องชื่นชม จากเรื่องเล่าที่มันได้ยิน อู๋เน่ยเฉียงฟงลู่หยุน สำหรับมันเป็นดั่งวีรบุรุษ ทั้งความกล้าหาญ เสียสละ และพลังฝีมืออันสูงล้ำ ทว่าตอนนี้ ยามเมื่อบิดามันถูกฆาตกรรม ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญกลับถูกคนที่มันยกย่องเชิดชูยืนยันว่ามิมีส่วนเกี่ยวข้อง หนำซ้ำดูท่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ซือหม่าเลี่ยงมิทราบมันสมควรเชื่อผู้ใดดี ดังนั้น มันจึงตกลงใจติดตามลู่หยุนไปดูสักครั้ง
มันรู้สึกอยู่ในส่วนลึก มิว่าประการใดที่อู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นี้รับปาก ต้องไม่ตระบัดสัตย์เป็นอันขาด
----------------------------------
อู๋หยางจงเพิ่งบงการคนรับใช้ให้เก็บกวาดห้องโถงเสร็จ มันกำลังนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ที่ปูด้วยขนสัตว์ที่ทั้งหนา ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น ในมือของมันมีจอกสุราทองคำที่มีสุราอุ่นๆ อยู่เต็มจอก แต่ขณะที่กำลังจะยกขึ้นดื่ม คนรับใช้ก็พรวดพราดเข้ามา
“นายท่าน ลู่กงจื่อกลับมาแล้ว”
อู๋หยางจงพลันวางจอกลง รีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมายจะออกไปต้อนรับสหาย แต่ลู่หยุนกลับผลักประตูเข้ามาเสียก่อน
“เสี่ยวหยุน ท่านไปทำกระไรมา ไฉนตัวจึงได้เปียกเช่นนั้น?” อู๋หยางจงถามด้วยความประหลาดใจ แต่ยังมิทันที่ลู่หยุนจะได้ตอบ หวงไป๋ยู่ก็เดินเข้ามาแล้วชิงตอบคำถามไป
“มันขี่ม้ามาจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย โดยไม่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ ที่ท่านเห็นคือหิมะที่ละลายเมื่อสัมผัสลงไปบนร่างของมัน”
อู๋หยางจงทำตาโต แล้วถาม “ท่านไฉนมิสวมเสื้อหนังจิ้งจอกที่ข้าพเจ้าให้ไป...” จากนั้นมันจึงพบเห็น เสื้อหนังจิ้งจอกตัวนั้นอยู่บนตัวดรุณีน้อยในอ้อมกอดของหวงไป๋ยู่
“ไฮ้ นางเป็นผู้ใด ไฉนหน้าซีดปานนั้น มาๆ วางนางลงบนเก้าอี้ก่อน” มันถึงกับสละเก้าอี้ตัวอุ่นเมื่อครู่ให้กับดรุณีน้อยที่ไม่รู้จัก แล้วเรียกคนรับใช้ให้ไปยกแคร่ที่คลุมขนสัตว์ไว้แล้วเข้ามา
หวงไป๋ยู่อุ้มเซียวเซียวจากเก้าอี้วางลงบนแคร่ แล้วหันไปหาลู่หยุน “ท่านสามารถช่วยนางได้หรือไม่?”
ลู่หยุนผงกศีรษะ มันคุกเข่าลงข้างแคร่ ยกข้อมือของดรุณีน้อยขึ้นมาตรวจชีพจร
“นางมีอาการบาดเจ็บภายใน แม้ไม่ถึงขั้นสาหัส แต่ก็รุนแรงไม่น้อย เมื่อครู่พวกท่านมิควรลงมือกันภายในห้องนั้น นางมิได้ฝึกกำลังภายในจึงมิอาจทนทานได้”
หวงไป๋ยู่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดจับใจ ขณะที่ลู่หยุนวางฝ่ามือลงไปบนฝ่ามือของนาง แล้วถ่ายเทพลังลมปราณให้ส่วนหนึ่ง
ใบหน้าของเซียวเซียวเริ่มมีเลือดฝาด ทรวงอกของนางกระเพื่อมแรงขึ้น อู๋หยางจงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่จึงกล่าวขึ้นมา
“นางเป็นผู้ใดกัน ไฉนพวกท่านจึงนำนางกลับมาด้วย”
“นางเป็นยาโถวรับใช้ของไป๋ยู่หลัน” ซือหม่าเลี่ยงตอบแทนให้ อู๋หยางจงหันไปมองราวกับเพิ่งเห็นมันปรากฏตัวในห้องก็ปาน
“อ้อ... เส้าเหยี่ยท่านนี้ก็มาด้วย”
แสดงให้ทราบแน่ชัด มันมิใคร่พอใจการมาของซือหม่าเลี่ยงเท่าไรนัก แต่เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่สนใจ กล่าวสืบต่อ “ท่านทราบความสัมพันธ์ของพวกมันหรือไม่?”
อู๋หยางจงหัวร่อในคอ “ทราบแล้วอย่างไร? มิใช่ธุระกงการใดของท่าน”
ซือหม่าเลี้ยงเม้มริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรต่อ เซียวเซียวที่นอนอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา
“ไป๋เจี๋ยเจี่ย... ข้าพเจ้า...”
หวงไป๋ยู่รีบขยับไปกุมมือนาง ยิ้มแล้วกล่าว “เราอยู่นี่ เจ้ามิต้องกังวลใจ ที่นี่มิมีใครทำอันตรายเจ้าได้”
นางยังคงมีสีหน้ามิเข้าใจอยู่นั่นเอง “ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าเป็นไรไป”
“เมื่อครู่เจ้าถูกพลังปราณของผู้อื่นคุกคามจนบาดเจ็บภายใน” ลู่หยุนกล่าวตอบให้ “ไป๋เจี๋ยเจี่ยต้องการช่วยเจ้าจึงพามาที่นี่ นางจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ดังนั้น เจ้ามิต้องกังวลสิ่งใด นอนหลับพักผ่อนสักงีบ แล้วค่อยตื่นมาคุยกับนางอีกที”
ลู่หยุนกล่าวพลางวางมือลงไปบนไหล่ของนาง เซียวเซียวถึงกับพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วพริ้มตาหลับไปทันที ได้ยินเสียงอู๋หยางจงถอนหายใจ
“ข้าพเจ้าเวลาเห็นท่านรักษาอาการให้ผู้ใด มักเข้าใจท่านเป็นหมอเทวดาทุกที”
ลู่หยุนหันมายิ้ม “ที่ข้าพเจ้าทำเป็นแค่วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ท่านพอจะหาห้องสักห้องให้นางนอนพักได้หรือไม่?”
อู๋หยางจงพยักหน้า แล้วเรียกคนรับใช้เข้ามาสั่งความ
“ท่านอุ้มนางตามมันไปที่ห้อง ต้องการสิ่งใดก็สั่งต่อมันได้ทันที”
หวงไป๋ยู่พยักหน้า แล้วอุ้มเซียวเซียวเดินตามคนรับใช้ออกไป
เมื่อเหลือกันอยู่สามคน อู๋หยางจงจึงพูดขึ้นต่อ “ตอนนี้ข้าพเจ้าเชิญพวกท่านทั้งสองนั่ง ข้าพเจ้าต้องการรับฟัง ระหว่างที่ข้าพเจ้าบงการคนรับใช้ให้เก็บกวาดสถานที่อยู่นี้ พวกท่านไปเผชิญเรื่องราวใดมา”
ลู่หยุนและซือหม่าเลี่ยงจึงทรุดตัวลงนั่ง ยังคงเป็นลู่หยุนบอกเล่าเรื่องราว
อู๋หยางจงส่งเสียงอ้อๆ พลางพยักหน้าซ้ำๆ พอฟังจบจึงกล่าวขึ้น “ดังนี้เฒ่าแซ่ซุนผู้นั้นก็เพิ่มตรวนลงบนขาท่านได้อีกเส้นแล้ว ข้าพเจ้าแน่ใจ ระหว่างนี้ท่านต้องมิใคร่สะดวกสบายนัก”
ลู่หยุนแค่นยิ้มขืนๆ ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย “ความหมายของอู๋ต้าหนินคือ?”
“หรือท่านยังมองมิออก ลู่หยุนของข้าพเจ้ามิเคยกล่าววาจาโป้ปด มันบอกหวงไป๋ยู่ผู้นั่นมิใช่ฆาตกร ท่านควรเชื่อมัน มันบอกจะออกไปนำตัวฆาตกรกลับมา ท่านก็ควรเชื่อมันแล้วอยู่ช่วยเกอเกอของท่านที่สำนัก ตอนนี้ท่านออกมาที่นี่ หากฆาตกรผู้นั้นมุ่งหมายทำลายชีวิตของผู้เกี่ยวข้องกับซือหม่าเทียนจริง นี่มิใช่เพิ่มภาระให้เสี่ยวหยุนน้อยของข้าพเจ้าหรือไร”
ซือหม่าเลี่ยงรู้สึกตระหนกขึ้นมา หากคิดตามที่อู๋หยางจงว่า มันคือโซ่ตรวนที่คอยตรึงมือตรึงเท้าลู่หยุนจริง ทว่ามันเพิ่งสูญเสียบิดา หนำซ้ำท่านอาซุนของมันได้นำตัวยาโถวผู้นั้นออกมาเปิดเผยความลับของอู๋เน่ยเฉียงฟง มันอย่างไรก็มิอาจเชื่อใจลู่หยุนได้อย่างเดิมอีก
“ข้าพเจ้าอย่างไรสามารถดูแลตัวเองได้ ท่านอย่าลืม เป็นลู่เซียงเซินกระทำเรื่องอันน่าคลางแคลงใจก่อน หากมันกับหวงไป๋ยู่ผู้นั้นมิได้มีความสัมพันธ์เหนือธรรมดาจริง ไฉนจึงไม่กล่าวอธิบายต่อหน้าซุนสูของข้าพเจ้า”
อู๋หยางจงหัวร่อออกมา หันไปมองลู่หยุน แล้วหันกลับมามองซือหม่าเลี่ยงอีกครั้ง “แม้เสี่ยวหยุนของข้าพเจ้าจะเป็นบุรุษที่มีหนังหน้าหนาที่สุดในโลก แต่มันสามารถสำนึกได้ หนังหน้าผู้อื่นย่อมมิหนาเช่นมัน ดังนั้นหากท่านคาดหวังให้มันฉีกหน้าผู้อื่นต่อหน้าซุนสูของท่าน ท่านก็ผิดแล้ว ให้มันฉีกหน้าสหาย ท่านให้มันโอ่ประโคมความหน้าของหนังหน้ามันยังเป็นไปได้มากกว่า”
ลู่หยุนที่นั่งเงียบอยู่นาน กล่าวออกมาอย่างฝืดฝืน “ฟังวาจาที่ท่านกล่าว ข้าพเจ้ารู้สึกมิใคร่ถูกต้อง”
“มิใคร่ถูกต้องที่ใด”
“ที่ว่าข้าพเจ้ามีหนังหน้าหนา”
“อ้อ...”
“ความจริงหนังหน้าข้าพเจ้ามิได้หนา เพียงบางเท่าคนทั่วไปเท่านั้น ที่ข้าพเจ้าสามารถอวดโอ่ได้ มีเพียงปากที่หนักดั่งพะเนินเหล็กของข้าพเจ้าหรอก”
อู๋หยางจงหัวร่อชอบใจ “ตัวบัดซบ พะเนินเหล็กใดอยู่บนปากท่าน ข้าพเจ้ามองมิเห็น เห็นเพียงหน้าท่านหนาดั่งพะเนินเหล็กเท่านั้น”
ซือหม่าเลี่ยงฟังแล้วก็ทำหน้านิ่ว “ข้าพเจ้ามิเข้าใจ”
“ท่านน่ากลัวยังสงสัย ข้าพเจ้าเป็นหญิงหรือชายกระมัง” หวงไป๋ยู่ที่เพิ่งเดินเข้ามากล่าวขึ้น อู๋หยางจงหันไปมองมัน
“ยาโถวน้อยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“นางหลับสนิทแล้ว ข้าพเจ้าจึงปลีกตัวออกมา”
“ท่านมาได้ทันเวลา” อู๋หยางจงว่า “ลู่ตี๋ของข้าพเจ้าเพิ่งใช้หนังหน้าหนาๆ ของมันช่วยกู้หน้าของท่านขึ้นมา”
หวงไป๋ยู่แค่นยิ้ม “ประการนี้เป็นหยุนท่านกังวลแทนข้าพเจ้าเกินไป”
“อ้อ...”
“เป็นดั่งที่ท่านเคยกล่าว ข้าพเจ้าแท้จริงสมควรภาคภูมิใจ สามารถปลอมตัวเป็นนางคณิกาที่งามที่สุดในเมืองได้ นี่สมควรเป็นเรื่องน่าอวดโอ่อย่างยิ่ง”
สีหน้าของลู่หยุนคล้ายแฝงแววเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงถามขึ้น “เช่นนั้นท่านยอมรับตัวเองได้ปลอมเป็นนางคณิกาจริง?”
หวงไป๋ยู่ผงกศีรษะ รีบกล่าวสืบต่อ “แต่ที่ข้าพเจ้าปลอม เพียงแต่ปลอมเป็นนางคณิกาเท่านั้น มิได้ขายร่างกายแต่อย่างใด”
ลู่หยุนรีบพูดต่อ “ด้วยพลังฝีมือของมัน ย่อมมิจำเป็นต้องขายร่างกายจริงๆ”
“ถูกต้อง” อู๋หยางจงรีบสำทับ “ดังนั้น เส้าเหยี่ยน้อยท่านต้องไม่แคลงใจในความบริสุทธิ์ของมัน”
ซือหม่าเลี่ยงมองทั้งสาม ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าพเจ้ามิได้สงสัยเรื่องนี้”
“ท่านสงสัยเรื่องใด?”
ซือหม่าเลี่ยงมีสีหน้าลำบากใจ มันหันไปมองลู่หยุน แล้วหันไปมองหวงไป๋ยู่ “ที่ข้าพเจ้าสงสัย... คือพวกท่านทั้งสอง... มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันหรือไม่... หากนางเป็นคนรักของท่าน...”
หวงไป๋ยู่รีบกล่าวออกมา “มิใช่เป็นอันขาด”
“แต่... ท่านเป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง แม้ปลอมเป็นบุรุษ ก็มิอาจทำให้ความงามของท่านลดลงได้”
อู๋หยางจงมีสีหน้าคล้ายจะหัวร่อก็มิใช่ ร่ำไห้ก็มิเชิง ลู่หยุนก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก ขณะที่หวงไป๋ยู่เองคล้ายอยากร่ำไห้ออกมาจริงๆ
“ซือหม่ากงจื่อ หรือท่านดูไม่ออกจริงๆ? ข้าพเจ้าเป็นบุรุษ เป็นบุรุษโดยสมบูรณ์”
ครานี้เป็นซือหม่าเลี่ยงมีสีหน้าดูยากบ้าง มันจ้องหวงไป๋ยู่ “ท่านเป็นบุรุษจริงๆ?”
หวงไป๋ยู่มิทราบควรทำเช่นไร จึงปลดกระดุมเสื้อออก ซือหม่าเลี่ยงรีบร้องขึ้น “มิต้อง ข้าพเจ้าเชื่อท่านแล้ว”
คล้ายดั่งมันกลัวหวงไป๋ยู่จะปลดกระดุมออกจริงๆ หวงไป๋ยู่มองหน้ามัน
“ท่านเชื่อแล้วจริงๆ”
ซือหม่าเลี่ยงพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าพเจ้าทราบ ต้องมิมีสตรีใดกล้าแกะกระดุมต่อหน้าบุรุษมากมายเช่นนี้ ดังนั้นท่านเป็นบุรุษอย่างแน่นอน”
หวงไป๋ยู่ระบายลมหายใจออกมา แล้วลากเก้าอี้ลงนั่ง
“เช่นนั้น ตอนนี้ท่านสมควรทราบ ที่ลู่เซียงเซินมิยอมกล่าวกระไรเกี่ยวกับข้าพเจ้าเมื่อครู่ เนื่องเพราะแม้มันมั่นใจตัวเองหน้าหนาเป็นพิเศษ แต่มันมิแน่ใจ ข้าพเจ้าสามารถหน้าหนาเช่นมันได้หรือไม่ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถตอบคำถามซุนสูของท่านได้”
กล่าวพลางหันไปมองลู่หยุน ฝ่ายนั้นถึงกับเสไปมองทางอื่น อู๋หยางจงหัวร่อเบาๆ
“หน้าท่านบางลงบ้างแล้วกระมัง”
ลู่หยุนกระแอมออกมา แล้วกล่าว “ในเมื่อท่านเข้าใจทุกอย่างถูกต้องแล้ว ยังคงกลับไปที่เทียนซั่งเฟยอิงผายเถิด เรื่องฆาตกรข้าพเจ้าจะหาตัวมาให้เอง”
ซือหม่าเลี่ยงสั่นศีรษะ “เยี่ยงนี้มิได้ แม้ข้าพเจ้าทราบเรื่องเหล่านี้แล้ว แต่ก็ยังมิสามารถไปอธิบายต่อซุนสูได้ว่าท่านกับหวงไป๋ยู่มิได้ลงมือสมคบคิดกัน”
“อ้อ...” อู๋หยางจงร้องออกมา “ในความเห็นท่าน พวกมันยังคงน่าคลางแคลงสงสัย”
“ข้าพเจ้ามิสงสัยแล้ว” ซือหม่าเลี่ยงว่า “แต่ซุนสูและเกอเกอกลับมิแน่ใจนัก อย่างไรเสียข้าพเจ้าก็ต้องติดตามท่านไปหาฆาตกรด้วยกัน หากกลับไปทั้งเช่นนี้เกรงว่า...”
“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว” ลู่หยุนผงกศีรษะ “เช่นนั้นเราต้องคุยกัน ก่อนอื่น ข้าพเจ้าต้องกล่าวกับท่านว่า ข้าพเจ้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการเสียชีวิตของเตียเตียท่าน อันที่จริงเหตุผลที่ข้าพเจ้ามาที่นี่แต่แรกก็เพราะต้องการระงับเรื่องระหว่างท่านกับทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อ มิคาดกลับกลายเป็นเรื่องราวเช่นนี้ไปได้”
ซือหม่าเลี่ยงก้มศีรษะด้วยความคับแค้น “เมื่อค่ำวานข้าพเจ้ายังคงสนทนาอยู่กับเตียเตีย มิคาดวันนี้ ท่านกลับ...”
หวงไป๋ยู่มองมันด้วยความสะทกสะท้อน ขณะที่ลู่หยุนกล่าวขึ้นต่อ “เมื่อคืนนอกจากพวกท่านสองคน ยังมีผู้ใดพบเห็นเตียเตียของท่านอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว พวกเราสนทนากับเตียเตียจนดึก จึงลาจากมา ตอนนั้นเตียเตียเตรียมตัวนอนแล้ว ต้องไม่พบผู้ใดอีกเป็นอันขาด”
อู๋หยางจงกล่าวขึ้นมาบ้าง “เมื่อวานข้าพเจ้าเห็นกับตา ซือหม่าเทียนมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนั้น กอปรกับอยู่ภายในเทียนซั่งเฟยอิงผาย ไฉนกลับถูกคนลอบประทุษได้โดยง่าย”
ซือหม่าเลี่ยงเม้มริมฝีปาก “เนื่องเพราะเมื่อวาน เตียเตีย... ท่านแทบไม่หลงเหลือพลังฝีมือแล้ว”
ทั้งอู๋หยางจงและหวงไป๋ยู่ร้องขึ้นมา ฝ่ายหลังกล่าวสืบต่อ “ได้อย่างไร ตอนประมือกัน ข้าพเจ้ายังถูกท่านคุกคามจนพ่ายแพ้ไป”
ครั้งนี้ซือหม่าเลี่ยงมิได้ตอบ เป็นลู่หยุนกล่าวขึ้นแทน “เนื่องเพราะตอนประลองเมื่อวาน ท่านได้ทุ่มเทพลังภายในไปแทบหมดสิ้น ดังนั้น หลังจบการประลอง ท่านจึงคล้ายสูญสิ้นกำลังภายในไปชั่วคราว”
ซือหม่าเลี่ยงเงยหน้าขึ้นมองลู่หยุน “ท่านทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?”
“ข้าพเจ้าดูออกจากลักษณะการก้าวเท้าของท่าน”
อู๋หยางจงกล่าวขึ้นมา “หากเป็นเช่นนี้ มิว่าผู้ใดก็สามารถลอบประทุษซือหม่าเทียนได้”
“ผู้ที่ทราบเรื่องนี้ มีเพียงเกอเกอกับข้าพเจ้า รวมลู่เซียงเซินด้วยก็เป็นสาม นับกันจริงๆ แล้ว ผู้ที่ติดตามการประลองเมื่อวานอย่างใกล้ชิด มีเพียงสี่คนเท่านั้น ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะมีผู้อื่นล่วงรู้”
ลู่หยุนผงกศีรษะ ซือหม่าเลี่ยงกล่าวสืบต่อ “เมื่อคืน เตียเตียยังกล่าวชม บอกท่านกระทำการรอบคอบ มิปล่อยคนให้เข้ามาใกล้มากเกินไป แม้มีเหตุการณ์ผิดปกติ ก็ย่อมมิมีผู้ใดสังเกตออก เนื่องจากอยู่ห่างจนเกินไป เตียเตียมีความนับถือท่านเป็นอย่างยิ่ง”
ลู่หยุนเม้มริมฝีปาก “เยี่ยงนี้หากข้าพเจ้ามิสามารถเสาะหาตัวฆาตกรออกมาได้ ข้าพเจ้าคงทรยศต่อความไว้วางใจของท่านผู้เฒ่าแล้ว”
อู๋หยางจงพลันถอนหายใจ ขณะคิดจะกล่าวกระไร หวงไป๋ยู่ก็ส่งเสียงขึ้น “นอกจากข้าพเจ้า ยังมีผู้ใดต้องการปองร้ายเตียเตียของท่านอีกหรือไม่?”
ซือหม่าเลี่ยงสั่นศีรษะ “แม้เตียเตียคร่ำหวอดอยู่ในยุทธภพมานานปี แต่ระยะหลังนี้ท่านมิได้ออกท่องเที่ยวไปไหน ความแค้นใหม่มิได้ก่อ ความแค้นเก่าที่รอการสะสางเพิ่งพบเห็นท่านคนแรก ข้าพเจ้านึกมิออกจริงๆ ว่ามีผู้ใดต้องการปองร้ายท่าน”
“ข้าพเจ้ากลับสามารถคิดออกได้บ้าง” หวงไป๋ยู่กล่าวขึ้นต่อ “ฆาตกรผู้นั้นจะต้องทราบเรื่องการมาของข้าพเจ้า ทราบลักษณะเด่นของวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา ทั้งยังต้องมีวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม จึงสามารถลักลอบเข้าไปสังหารเตียเตียของท่านภายในเทียนซั่งเฟยอิงผายได้”
“ฟังดูทั้งหมดเป็นท่าน” อู๋หยางจงว่า หวงไป๋ยู่พยักหน้า
“เนื่องเพราะมีเพียงข้าพเจ้าที่มีมูลเหตุ หากฆาตกรจงใจปิดบังอำพรางตัวเอง การป้ายความผิดให้ข้าพเจ้าย่อมเป็นลู่ทางที่สมบูรณ์แบบ”
ซือหม่าเลี่ยงพยักหน้า “ตอนแรกข้าพเจ้าและเกอเกอก็มั่นใจเช่นนั้น แต่เมื่อพบว่าลู่เซียงเซินเป็นพยานยืนยันของท่าน พวกเราก็มิอาจกล่าวหาหนักหนาไป ทว่าเมื่อซุนสูนำตัวยาโถวผู้นั้นออกมา เรื่องราวก็เปลี่ยนแปลงไปอีก”
ลู่หยุนที่เงียบอยู่นานกล่าวขึ้น “ซุนสูของท่านผู้นี้ รู้จักกับเตียเตียของท่านมานานกระมัง”
“โอ... นานอย่างยิ่ง ท่านเป็นตี้ตี้ร่วมสาบานของเตียเตียข้าพเจ้า ปกติแล้วท่านเป็นคนมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่ที่กระทำไปเยี่ยงนั้นคงเพราะท่านคั่งแค้นใจกับการตายของเตียเตียเป็นอย่างมาก”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของซือหม่าเลี่ยงก็กลายเป็นสีแดงฉานด้วยความคั่งแค้นเช่นกัน หวงไป๋ยู่กล่าวขึ้นต่อ
“มีข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าสงสัย โฉวหลวนผู้นั้น ที่จริงมิควรมีชีวิตอยู่แล้ว ไฉนมันยังสามารถออกมากล่าววาจาได้ ทั้งยังสามารถจดจำข้าพเจ้าได้ หากมันผู้นั้นมิปากมาก เซียวเซียวก็ไม่ต้องพบกับอันตราย”
“เรื่องนั้น...” ซือหม่าเลี่ยงอึกๆ อักๆ มันเหลือบไปมองลู่หยุน ฝ่ายนั้นจึงกล่าวขึ้น
“โฉวหลวนผู้นั้น ข้าพเจ้าเป็นคนรักษามันเอง”
หวงไป๋ยู่พลันถลึงตามองลู่หยุนราวกับมิเคยเห็นมันมาก่อน “ท่านว่ากระไร? ท่านรักษามัน? ท่านสามารถรักษามันได้?”
“ข้าพเจ้าเคยกล่าวกับท่าน ศัตรูของท่านมีเพียงซือหม่าเทียนเท่านั้น ผู้อื่นมิเกี่ยวข้อง ท่านลงมืออำมหิตต่อโฉวหลวนผู้นั้นย่อมเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องช่วยมัน”
“ท่านเป็นผู้ใดแน่” หวงไป๋ยู่ถามขึ้นมา “วิชาที่ข้าพเจ้าใช้ นอกจากตัวข้าพเจ้าและมามาแล้ว ก็มีแต่คนที่ฝึกวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดาราเช่นเดียวกันเท่านั้น จึงสามารถคลายจุดเหล่านั้นได้”
“ทุกอย่างย่อมมีทางแก้” ลู่หยุนตอบ “แม้ข้าพเจ้ามิได้ฝึกวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา แต่เคยศึกษารายละเอียดมาอยู่ จึงมีความสามารถพอแก้ไขได้เล็กน้อย”
หวงไป๋ยู่จ้องมันอยู่เป็นนาน ก่อนจะผุดลุกขึ้น “อู๋เน่ยเฉียงฟง อู๋เน่ยเฉียงฟง... ที่แท้ตัวอันตรายที่สุดคือท่านนี่เอง”
กล่าวจบมันก็เดินออกจากห้องไป อู๋หยางจงหันมาหาลู่หยุน “ท่านมิตาม?”
“ไฉนข้าพเจ้าจึงต้องตาม?”
“เนื่องเพราะมันเคืองท่าน” อู๋หยางจงว่า “เคืองที่ท่านสามารถแก้ไขวิชาที่มันภาคภูมิใจได้”
“อืม... เมื่อท่านทราบดังนั้นแล้ว ท่านก็ควรทราบ ข้าพเจ้ายิ่งต้องไม่ตามมันเด็ดขาด”
“อ้อ...”
ซือหม่าเลี่ยงกล่าวขึ้นบ้าง “ท่านมิกลัวมันแสร้งทำเป็นหนีไป?”
ลู่หยุนสั่นศีรษะ “มันย่อมไม่หนี เนื่องเพราะเรื่องนี้มิใช่มันเป็นผู้กระทำ มันอย่างไรมีความทะนงตนอยู่ ต้องอยากลากตัวฆาตกรตัวจริงออกมารับผิดเช่นกัน”
“มีเหตุผลๆ” อู๋หยางจงว่า “แต่ว่าตอนนี้มันไปแล้ว พวกเรายังสามารถคุยเรื่องนี้กันต่อหรือไม่?”
“ที่จริงข้าพเจ้ายังมืดแปดด้าน ที่ข้าพเจ้าต้องการดูให้แน่ชัด คือรอยจ้ำรูปดอกเหมยนั้นเอง ยังต้องพาไป๋ยู่ผู้นั้นไปดูด้วย เพราะมีเพียงมันที่สามารถมองเห็นความแตกต่างได้”
“เกรงว่าเรื่องนั้นพวกท่านคงกระทำมิได้” ซือหม่าเลี่ยงว่า “หากพวกท่านกลับไปที่นั่น... น่ากลัวซุนสูจะต้อง...”
“อืม... ข้าพเจ้าทราบความลำบากใจของท่านกระจ่าง ยิ่งมิต้องการลักลอบไปรบกวนวิญญาณของผู้อาวุโส ดังนั้นข้าพเจ้าจะเสาะหาทางอื่น”
อู๋หยางจงกล่าวขึ้นต่อ “เป็นความคิดที่ประเสริฐ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอเสนอ ก่อนที่ท่านจะไปเสาะหาหนทางใด ยังคงรับประทานอาหารเสียก่อนเถิด เพราะข้าพเจ้าหิวแทบตายแล้ว”
ลู่หยุนถึงกับต้องยิ้มออกมา “คล้ายดั่งท่านสามารถกินได้ตลอดเวลา”
อู๋หยางจงถลึงตามองมัน “ท่านมิได้ยินเสียงเกราะบอกโมงยามหรือไร? นี่เลยเที่ยงแล้ว ข้าพเจ้าต้องกิน ท่านก็ต้องกิน เส้าเหยี่ยน้อยผู้นี้ก็ต้องกิน รวมถึงโฉมสะคราญที่เพิ่งสะบัดหน้าหนีท่านไปเมื่อครู่ด้วย”
คราวนี้ลู่หยุนหัวร่อออกมา “ระวังไว้ หากมันได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ น่ากลัวต้องลากลิ้นท่านออกมาดีดเป็นแน่”
“หึๆ ข้าพเจ้าทราบมันไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงกล้ากล่าว”
“ท่านกล้าชมผู้อื่นเป็นโฉมสะคราญลับหลัง ความสามารถเช่นนี้ข้าพเจ้าต้องนับถือจริงๆ”
อู๋หยางจงยืดอกอย่างภาคภูมิ “ท่านก็ทราบ ตัวข้าพเจ้าแท้จริงเป็นผู้กล้าหาญอย่างยิ่ง”
“ดังนั้นท่านยังต้องชมอีกให้มาก เพราะข้าพเจ้าล้างหูน้อมฟังอยู่”
หวงไป๋ยู่พลันเปิดประตูเข้ามาในห้อง อู๋หยางจงถึงกับสะดุ้งจนเก้าอี้สั่น มันหันไปมองพลางร้อง
“เสี่ยวยู่ ท่านไปแล้วไฉนกลับมาอีก”
หวงไป๋ยู่แย้มยิ้มแล้วลากเก้าอี้ลงนั่งดั่งเดิม “เนื่องเพราะข้าพเจ้านึกได้ ข้าพเจ้าออกไปแล้ว ก็ล้วนมีแต่พวกท่านคุยกันเอง มิแน่อาจพาดพิงถึงข้าพเจ้าหลายเรื่อง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกลับมา”
อู๋หยางจงปรบมือ หันไปมองลู่หยุน “ท่านเห็นหรือไม่ เสี่ยวยู่ของข้าพเจ้า นอกจากรูปงามแล้วยังมีความฉลาดเฉลียว ท่านควรดูไว้เป็นตัวอย่าง”
ลู่หยุนผงกศีรษะเร็วๆ ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงอดมิได้ต้องหัวร่อเบาๆ อู๋หยางจงกล่าวสืบต่อ “ในเมื่อตอนนี้มากันครบแล้ว พวกเราควรเริ่มรับประทาน”
------------------------------------
-
สำรับอาหารคาวหวานถูกนำมาวางบนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจเป็นพิเศษ ซือหม่าเลี่ยงที่ยังมิได้รับประทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า จึงเกิดความรู้สึกหิวมากกว่าผู้อื่น
“เส้าเหยี่ยน้อย ตอนนี้ท่านเป็นแขก ท่านสมควรรับประทานให้มาก” อู๋หยางจงกล่าวพลางหยิบตะเกียบขึ้นมา
“พวกท่านตอนนี้ก็สามารถรับประทานได้เต็มที่ ผู้ใดกล้าไม่รับประทาน ข้าพเจ้าจะป้อนมัน”
ลู่หยุนมีสีหน้ากล้ำกลืนสุดฝืน “หากท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้ามีแต่ต้องรับประทานแล้ว”
ตอนอู๋หยางจงกิน มีความละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างยิ่ง มิว่าของใดเมื่อเข้าปากมันแล้ว มันจะต้องเคี้ยวย้ำๆ เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติที่ซาบซ่านเข้าไปในปาก ขณะที่ลู่หยุนเป็นตรงกันข้าม การกินของมัน คล้ายดั่งต้องการกรอกให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หวงไป๋ยู่ที่เพิ่งเคยร่วมโต๊ะกับทั้งสองเป็นครั้งแรก ถึงกับมองด้วยความพิศวง
“พวกท่านทั้งคู่ คล้ายเกิดมาก็กลายเป็นตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง”
อู๋หยางจงกล่าวโดยที่ยังไม่วางตะเกียบ “ท่านพูดถูก เสี่ยวหยุนผู้นี้ วันๆ เอาแต่กรอกมิยอมรับประทาน ดังนั้น ท่านสมควรช่วยข้าพเจ้าตำหนิมันให้หนัก กับข้าวมิใช่ของต้องกรอก ต้องเป็นของรับประทาน”
ซือหม่าเลี่ยงกล่าวสืบต่อ “พวกท่านทั้งสอง น่ากลัวรู้จักกันมานานแล้ว”
ลู่หยุนพูดขึ้นบ้าง “ระหว่างรับประทาน ห้ามมิให้กล่าววาจา”
อู๋หยางจงพูดขึ้นมา “กฎนั้นผู้ใดตั้ง?”
“ข้าพเจ้า”
“อ้อ... ดังนั้นท่านจึงรีบกรอก เมื่อกรอกเรียบร้อย จึงสามารถกล่าววาจาได้ก่อนผู้อื่น เช่นนี้นับว่าเป็นการตั้งกฏที่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นจริงๆ”
ลู่หยุนถึงกับยินยอมเคี้ยวอาหารในปากเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อู๋หยางจงผงกศีรษะ “อืม ค่อยพอดูได้ ตามที่ท่านกล่าว ระหว่างรับประทานห้ามพูด รอจนข้าพเจ้ารับประทานเสร็จ ทุกคนจึงสามารถพูดได้”
ลู่หยุนขืนยิ้มออกมา “รอจนท่านรับประทานเสร็จ พวกเรามิกลายเป็นคนใบ้ไป”
“เพ้ย ข้าพเจ้ากลับต้องการดู พวกท่านสามารถเป็นคนใบ้ได้จริงๆ หรือไม่ หากท่านยังเซ้าซี้อยู่ ข้าพเจ้าจะรับประทานให้ช้าลงอีก”
ลู่หยุนคล้ายดั่งกลัววาจาของอู๋หยางจงจริงๆ ถึงกับก้มหน้าก้มตาเคี้ยวอาหารโดยมิกล่าวกระไรต่อ ผู้อื่นจึงต้องก้มหน้าก้มตาตามมันไปด้วย
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม อู๋หยางจงจึงวางตะเกียบ ท่ามกลางเสียงระบายลมหายใจของผู้ที่นั่งอยู่รอบๆ มัน
“เช่นนี้ ข้าพเจ้าสามารถกล่าววาจาได้แล้วกระมัง?” ลู่หยุนถามขึ้น อู๋หยางจงโบกมือ
“ยัง ห้องโถงนี้กว้างเกินไป ทั้งยังอุ่นน้อยเกินไป ข้าพเจ้าขอเชิญพวกท่านไปอีกห้อง ที่อุ่นกว่า สบายกว่า ยังสามารถพูดคุยกันได้มากกว่า”
กล่าวจบก็ผุดลุกขึ้น ที่เหลือจึงต้องลุกตาม
หากเทียนซั่งเฟยอิงผายมีหอสูงไว้ใช้พูดคุยเรื่องราวที่เป็นความลับ หมิงซิ่งลู่โหลวก็เป็นตรงกันข้าม อู๋หยางจงถึงกับสามารถใช้ทรัพย์สินของมัน บันดาลให้เกิดห้องใต้ดินที่วิจิตรตระการตาห้องซึ่ง ซ่อนอยู่เบื้องหลังก้อนหินใกล้กับสระน้ำ หากมิใช่มันพามาเอง ต้องมิมีผู้ใดทราบ ที่นี่มีห้องเช่นนี้อยู่
อากาศในห้องอุ่นสบายกว่าบนพื้นจริงๆ ที่น่าอัศจรรย์ ในห้องถึงกับไม่มีเตา
“นับว่าคราวนี้ข้าพเจ้าเข้าใจเหตุผลที่ท่านดั้นด้นมาสร้างบ้านเรือนอยู่ในสถานที่ลำบากเช่นนี้ชัดเจนแล้ว” ลู่หยุนกล่าวหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ที่ปูขนสัตว์ไว้ อู๋หยางจงคลี่ยิ้ม
“ผู้อื่นต้องเข้าใจ ข้าพเจ้าเป็นคหบดีที่ร่ำรวยจนเกินไป ร่ำรวยจนมิทราบจะนำเงินทองไปถลุงกับสิ่งใด จึงต้องดั้นด้นใช้คนขึ้นมาสร้างคฤหาสน์ไว้ในที่ยากลำบากเช่นนี้ แต่ห้องใต้ดินนี้หรอก จึงเป็นเหตุผลสำคัญ”
หมิงซิ่งลู่โหลวเป็นคฤหาสน์ใหญ่ก็จริง แม้ทำเลที่ตั้งของมันจะอยู่ใกล้กับตัวเมืองมากก็จริง แต่สถานที่ตั้งกลับพิสดารเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะมันตั้งอยู่ใต้ชะง่อนผา เบื้องหน้าเป็นบึงน้ำกว้าง มีถนนเพียงสายเดียวที่ตัดตรงเข้าสู่ตัวเมือง รอบๆ เป็นป่าสนที่ขึ้นอยู่กระจัดกระจาย
“ตอนแรกข้าพเจ้าเข้าใจ เป็นเพราะท่านถือหลักฮวงจุ้ย จึงเลือกสถานที่นี้” ลู่หยุนกล่าวต่อ “คาดมิถึง ท่านยังล้ำลึกกว่านั้นมาก นอกจากฮวงจุ้ยแล้ว ท่านยังสามารถทราบ สถานที่ใดจึงสบายที่สุด”
อู๋หยางจงหัวร่อชอบใจ “ถูกต้อง เพราะสถานที่นี้มีตาน้ำร้อน ข้าพเจ้าจึงต้องดั้นด้นมาสร้างบ้านทับไว้ ห้องนี้พอดีอยู่ใกล้กับตาน้ำร้อนที่สุด ดังนั้นในหน้าหนาว ที่นี่จึงยังอุ่นสบาย”
หวงไป๋ยู่ผงกศีรษะ “มิน่าเล่า ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นเตาไฟสักเตา”
“ในเมื่อห้องใต้ดินอุ่นได้โดยไม่ต้องใช้เตา พวกเราก็สามารถกล่าวถ้อยคำใดๆ ได้โดยมิต้องกริ่งเกรงผู้อื่นแอบฟัง ที่จริงระหว่างรับประทานอาหาร ข้าพเจ้าพลันคิดออกเรื่องหนึ่ง จึงได้เชิญพวกท่านมาที่นี่”
ทั้งสามคนหันไปมองอู๋หยางจงเป็นตาเดียว
“ท่านคิดเรื่องใดออก”
“ที่ข้าพเจ้าคิดออกเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ” อู๋หยางจงว่า “ฟังว่าในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา มีการขนย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก จากหลากหลายสถานที่ การขนย้ายถ่ายโอนนี้ ตอนแรกเป็นเพียงการขนย้ายเล็กๆ มิมีที่ใดน่าสะดุดตา แต่ระยะหลังกลับมีมากขึ้นจนเยอะเป็นพิเศษ ข้าพเจ้าจึงบังเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ”
มันลุกขึ้นไปหยิบสมุดที่อยู่บนชั้นออกมาเล่มหนึ่ง แล้วเปิดออก “นี่คือรายการการขนย้ายทรัพย์สินที่ข้าพเจ้าสืบทราบภายในสามเดือนที่ผ่านมา”
ในสมุดเล่มนั้น ถึงกับมีบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดยิบ ว่าเป็นทรัพย์สินของผู้ใด ขนถ่ายจากที่ใดไปที่ใด ลู่หยุนเห็นแล้วก็ครางออกมา
“นับว่าการข่าวเรื่องเงินๆ ทองๆ ของท่านละเอียดก้าวหน้ากว่าผู้ใดในจงหยวนแล้วจริงๆ กระทั่งรายละเอียดพวกนี้ ท่านยังสามารถสืบทราบมาได้”
ซือหม่าเลี่ยงถามอย่างไม่เข้าใจ “บัญชีนี้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับการตายของเตียเตีย? ที่เทียนซั่งเฟยอิงผาย มิได้ร่ำรวยถึงกับต้องฆ่าเจ้าสำนักปล้นชิง”
“ไม่ถึงกับไม่เกี่ยวข้องเสียทีเดียว” อู๋หยางจงว่า “ท่านตรวจดู รายการเหล่านี้ หนึ่งในสามเป็นการขนถ่ายทรัพย์สินในแถบไท่หยวน ในระหว่างที่มีการขนย้าย เผอิญสำนักใหญ่ในแถบนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าสำนักอย่างกะทันหัน การขนย้ายแม้มิเกี่ยวข้องกับสำนักโดยตรง แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกประจวบเหมาะจนเกินไป”
ลู่หยุนกล่าวออกมา “บัญชีนี้ของท่าน ที่จริงสอดคล้องกับเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าติดตามอยู่”
“เรื่องใด?”
“สามเดือนที่ผ่านมา มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น บรรดากองโจรที่ดักปล้นตามรายทาง บางส่วนได้เปลี่ยนหน้าไป”
อู๋หยางจงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ท่านได้ไปสำรวจมา?”
“อืม” ลู่หยุนพยักหน้า “ข้าพเจ้าเป็นคนเดินทางไปๆ มาๆ ดังนั้นจึงพบพานกลุ่มโจรเหล่านี้เป็นประจำ บางส่วนที่ข้าพเจ้ารู้จัก ตอนนี้พลันเปลี่ยนหน้าไป”
ซือหม่าเลี่ยงพลันกล่าวขึ้น “กระทั่งโจรท่านยังรู้จัก ท่านเป็นบุคคลเช่นไรแน่?”
ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “ข้าพเจ้าย่อมเป็นคนเดินทาง คนเดินทางอย่างไรมีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรู”
“อ้อ...”
“แต่เรื่องที่ท่านว่า โจรพวกนั้นบางส่วนเปลี่ยนหน้าไป ท่านหมายถึงพวกมันมีพฤติการณ์เปลี่ยนไป หรือมีผู้อื่นขึ้นมาปกครองแทน”
“ทั้งสองประการ” ลู่หยุนตอบ อู๋หยางจงหันไปมองหวงไป๋ยู่
“น่ากลัวเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับยู่ตี๋ท่านกระมัง ได้ยินว่าสองเดือนที่ผ่านมา ท่านสังหารกองโจรไปเป็นจำนวนมาก”
หวงไป๋ยู่รีบกล่าวออกมา “ที่ข้าพเจ้าสังหารไป เนื่องเพราะพวกมันขัดหูขัดตาข้าพเจ้า หาได้มีสาเหตุอื่น”
ซือหม่าเลี่ยงมองมันอย่างคลางแคลงใจ “พฤติการณ์ของท่าน ยิ่งกล่าวยิ่งน่าสงสัย หรือแท้จริงท่านมีส่วนพัวพันกับเรื่องลึกลับ?”
“ที่จริงตอนแรกข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้น” ลู่หยุนกล่าวขึ้นบ้าง “ที่ข้าพเจ้าสืบทราบว่าท่านสังหารโจรไปสองร้อยคน ย่อมเพราะข้าพเจ้ากำลังติดตามเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ เมื่อซือฟูทราบว่าเป็นวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา จึงบอกแก่ข้าพเจ้าให้รีบมาเทียนซั่งเฟยอิงผาย เนื่องจากทราบว่าท่านเป็นทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อ”
“การฆ่าโจรของท่าน กับการเคลื่อนย้ายสมบัติมหาศาลเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นใดกันแน่?” ซือหม่าเลี่ยงหันไปถามหวงไป๋ยู่ เจ้าตัวสั่นศีรษะ
“ข้าพเจ้ามิทราบ”
“ท่านถามมัน มันย่อมต้องมิทราบ เนื่องจากมันมิได้เกี่ยวข้องกับการขนย้ายทรัพย์สินเหล่านี้ ที่จริงแล้วเรื่องการขนย้ายทรัพย์สินนี้ ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งทราบจากอู๋เกอนี่เอง”
“ท่านเพิ่งทราบ แต่มิได้หมายความว่ามันต้องเพิ่งทราบด้วย”
“มันมิมีเหตุผลที่ต้องทราบก่อนข้าพเจ้า” ลู่หยุนอธิบาย “ข้าพเจ้าได้ติดตามมันมาสองเดือน ยังมิเห็นมันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน”
“ไฮ้ ท่านว่าไร? ท่านติดตามข้าพเจ้ามาแล้วสองเดือน”
ลู่หยุนผงกศีรษะ “ขออภัยที่ข้าพเจ้าเพิ่งบอกท่าน อันที่จริงเพราะข้าพเจ้าสงสัยท่านเกี่ยวข้อง จึงได้ลอบติดตามท่านมา มิคาด ตอนข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ผู้อาวุโสซือหม่าเทียนกลับถูกสังหารไป ดังนั้นตอนนี้ข้าพเจ้าจึงแน่ใจ ท่านมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดนี้ เพียงแต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น”
หวงไป๋ยู่เบิ่งตากว้าง “เรื่องราวนี้เป็นเช่นไรแน่? นอกจากการเปลี่ยนหน้าของกองโจร การถ่ายเททรัพย์สิน พวกท่านยังทราบเรื่องใดอีก”
“ทราบสองเรื่องนี้ก็ทำให้เข้าใจได้เรื่องหนึ่ง” ลู่หยุนว่า “การขนย้ายทรัพย์สินจำนวนมาก การเปลี่ยนหน้าของบรรดาเหล่าโจร การเปลี่ยนเจ้าสำนักกะทันหัน เหล่านี้ล้วนสอดคล้องกัน หากท่านต้องการถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังสถานที่อื่นโดยปิดบังอำพราง ย่อมต้องใช้คนกลางในการถ่ายโอน ผู้ใดที่เคลื่อนย้ายทรัพย์สินเหล่านี้ ได้เลือกใช้กองโจรเป็นคนกลาง มันย่อมมิใช้คนที่ไว้ใจมิได้ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ เหล่ากองโจรจึงได้เปลี่ยนหน้าไป”
“เรื่องนี้ฟังมีเหตุผลอยู่” อู๋หยางจงกล่าวสนับสนุน “หากข้าพเจ้าคิดเคลื่อนย้ายเงินทองของตัวเองไปยังสถานที่อื่นโดยอำพราง หากมีความอำมหิตสักเล็กน้อย ต้องคิดวิธีนี้ได้”
“ดังนั้น พวกเราจึงคาดเดาได้อีกเรื่อง เจ้าของเงินทองนี้ ต้องมีความอำมหิตอยู่มิน้อย”
“แล้วมันเป็นผู้ใด?” ซือหม่าเลี่ยงถามออกมา ทั้งลู่หยุนและอู๋หยางจงสั่นศีรษะพร้อมเพรียงกัน
“เรื่องนี้จึงเป็นความลึกลับที่แท้จริง ข้าพเจ้าแม้สามารถสืบทราบการขนถ่ายทรัพย์สิน แต่มิอาจสืบไปถึงต้นตอที่แท้จริงได้ ทั้งยังมิอาจสืบว่าทรัพย์สินทั้งหมดถูกถ่ายโอนไปที่ใดแน่ เพียงแต่ทราบว่ามีการเคลื่อนย้ายเท่านั้น”
หวงไป๋ยู่สูดหายใจ “ฟังพวกท่านกล่าว คล้ายข้าพเจ้าออกจากบ้านมาก็ตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นทันที”
“อืม... เนื่องเพราะท่านลงมืออำมหิตเกินไป ทิ้งหลักฐานแจ่มชัดจนเกินไป ดังนั้นผู้อื่นจึงฉวยโอกาสใส่ไคล้ท่านได้โดยง่าย”
อู๋หยางจงพูดขึ้นต่อ “หากมิใช่ลู่ตี๋ของข้าพเจ้าติดตามท่านมาแต่แรก มิแน่ตอนนี้น่ากลัวท่านต้องถูกกล่าวหาเป็นฆาตกรโดยมิต้องแก้ตัวอีกแล้ว”
หวงไป๋ยู่พลันรู้สึกขนลุกเกรียว นึกถึงแผนสังหารซือหม่าเทียนที่ตัวเองวางไว้ตอนแรก กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “หากตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รับปากท่านไปประลองกับซือหม่าเทียน แต่ใช้แผนลอบสังหาร น่ากลัวตอนนี้คงเป็นไปตามแผนการของคนผู้นั้น”
“ถูกต้อง หากท่านมิรับปากข้าพเจ้าวันนั้น พวกเราย่อมมิทราบว่ามีอีกผู้หนึ่งอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
ซือหม่าเลี่ยงกลืนน้ำลาย “เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่คาด ท่านว่าเกอเกอกับซุนสูของข้าพเจ้าจะมีภัยหรือไม่?”
“เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัด” ลู่หยุนว่า “ตอนนี้ผู้บงการคงทราบแล้ว หวงไป๋ยู่อยู่กับข้าพเจ้า ดังนั้นจึงไม่สามารถลงมือโดยเลียนแบบฝีมือของหวงไป๋ยู่ได้อีก เช่นนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่ามันจะไม่ลงมือต่อเกอเกอและซุนสูของท่าน เนื่องเพราะไม่ต้องการให้ทั้งสองคนสงสัย”
“ในความเห็นของท่านคือ...?”
“เตียเตียของท่านถูกลอบสังหารในห้องพักของตัวเอง มิแน่ว่ามีคนในรู้เห็นเป็นใจ หากท่านคิดจะส่งข่าวคราวเรื่องนี้ ก็ต้องแน่ใจว่าจะมิมีผู้ใดทราบนอกจากตัวท่านและเกอเกอของท่าน ไม่อย่างนั้นหากผู้ที่เกี่ยวข้องทราบเข้า มิแน่อาจวางแผนจัดการเกอเกอและซุนสูของท่านด้วย”
“ข้าพเจ้ากลับคิดว่าท่านไม่ควรเสียเวลาไป” หวงไป๋ยู่กล่าวออกมา ซือหม่าเลี่ยงหันไปมองมัน “ท่านตอนนี้ที่ทราบเรื่อง เพราะได้ฟังและได้เห็นหลักฐาน แต่อาศัยท่านผู้เดียวไปกล่าวกับเกอเกอและซุนสูผู้นั้นของท่าน แม้เกอเกอท่านยินยอมเชื่อ แต่ข้าพเจ้ามั่นใจ ซุนสูของท่านผู้นั้นต้องหาเชื่อไม่ มิแน่จะกลายเป็นตีป่าให้เสือตื่นไป”
ซือหม่าเลี่ยงเม้มริมฝีปาก คล้ายกำลังขบคิดอย่างหนัก สุดท้ายก็ถอนหายใจ “เอาเถิด ข้าพเจ้าจะลองหาทางส่งข่าวที่สามารถทราบได้เพียงเกอเกอเท่านั้น ระหว่างนี้ข้าพเจ้าจะติดตามพวกท่านไปสืบหาเรื่องราวลึกลับนี้ด้วย”
อู๋หยางจงวางมือลงบนโต๊ะ “เป็นอันว่าเรื่องราวทั้งหมดยุติเพียงเท่านี้ก่อน เนื่องเพราะข้อมูลที่มีก็มีเพียงเท่านี้ ถกไปก็ใช่ว่าจะได้เรื่องอะไรใหม่ขึ้นมา ข้าพเจ้าขอเชิญพวกท่านกลับขึ้นไปข้างบน เล่นหมากรุกฟังกู่เจิงให้สำราญใจ ไว้มีเรื่องใหม่ค่อยมาถกกันอีกที”
-----------------------------------------
(จบตอน)
-
o13
:L2: :pig4: :L2:
-
:L2: :pig4:
-
โว้วววว
ซับซ้อนไปอีก