พิมพ์หน้านี้ - ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: aonair13 ที่ 01-09-2018 17:47:37

หัวข้อ: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 01-09-2018 17:47:37
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

' จากเด็กเล้า กลายมาเป็นเด็กเขาเฉยเลย '


                       ✿

      ✿

                ✿
 



ชีวิตคนหนึ่งคนจะโชคร้ายได้มากแค่ไหน?

เขาโชคร้ายที่ญาติคนสุดท้ายเสียไป แถมทิ้งหนี้ไว้ให้ชดใช้ จนต้องมากลายเป็นเด็กในเล้า

โชคร้ายกว่า คือการถูกขายให้กับผู้ชายไม่มีหัวใจ

 

และโชคร้ายที่สุด คือการไปตกหลุมรักผู้ชายคนนั้น.....

.

.

นับหนึ่ง ถึง เสาร์

-----------------------------------------------------------

(https://s3-ap-southeast-1.amazonaws.com/img-in-th/6c94adc420dbc5b194627e37ab6754d9.jpg)

-----------------------------------------------------------

✖ หมายเหตุ : อัพเดือนละ 2-3 ครั้ง ✖

เรื่องราวต่อจากคู่ กันต์-วันศุกร์ นะคะ
วันศุกร์สีฟ้า ☁ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54561.0)

-----------------------------------------------------------

บ่นหอยปูปลา :
https://www.facebook.com/aonair13/ (https://www.facebook.com/aonair13/)
https://twitter.com/aonair13 (https://twitter.com/aiting137)

-----------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: CH 0-1
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 01-09-2018 17:49:25
**
ก่อนจะอ่าน "นับหนึ่งถึงเสาร์" เราอยากให้ไปตามอ่าน "วันศุกร์สีฟ้า" ก่อนนะคะ แล้วจะเข้าใจตัวละครในเรื่องนี้มากขึ้นค่าา


#วันศุกร์สีฟ้า ☁️
RAW: https://www.readawrite.com/a/d62654cfdf70447dd166d9408292a763
FTL: https://fictionlog.co/b/5bb1e6b833e1740028b7d1f7
DD: https://writer.dek-d.com/airairair13/writer/view.php?id=1490777
TBL: https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54561.0


---------------------------------------------------------------------


นับหนึ่ง ถึง ศูนย์



รถตู้สีดำสนิทเคลื่อนตัวผ่านตรอกซอยภายในหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ คฤหาสน์มหึมาของพวกเหล่ามหาเศรษฐีไม่ได้เร้าอารมณ์ให้คนบนเบาะรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด กลับกัน ภายในสมองของเขาว่างเปล่า สายตาเรียบเฉยก้มมองเชือกเส้นหนารอบข้อมือทั้งสองของตัวเอง ได้แต่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะถูกมือของผู้หญิงวัยกลางคนกระชากเข้าหา

“ทำหน้าตาให้มันดี ๆ หน่อย”

“แล้วผมหน้าตาไม่ดีตรงไหนครับ” เขายอกย้อนทันควัน ตามด้วยแรงฟาดกลางหลังไม่แรงนัก

“รู้แล้วจ้าว่าหน้าตาดี คงถูกใจลูกค้าวันนี้พอดูเลย”

ลูกค้าวันนี้… อา นั่นสิ มันใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสินะ งานแรกของเขาในฐานะของเด็กขาย

ใช่ เขามาขายตัว

มันไม่ใช่อาชีพที่เต็มใจเดินแบกหน้ามาหา แต่ถูกบังคับให้ทำ เพราะป้าของเขาติดหนี้ก้อนโตจากเจ๊เจ้าของตลาดกลางเมือง ตามพล็อตละครไทยทั่วไป ทันทีที่เขาจบการศึกษาชั้นม.6 ป้าก็มาด่วนจากไปด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน แล้วยังไงต่อเหรอ แน่นอนว่าเจ้าหนี้ก็ต้องตามมาทวงหนี้น่ะสิ พอเขาไม่มีให้ มันก็จัดการเผาบ้านโทรม ๆ ของเขาจนวอดทั้งหลัง ฉุดลากให้มาทำงานด้านมืดเพื่อชดใช้ แม้ว่าจะพยายามขัดขืนหรือหนียังไง ก็หนีไม่พ้น…

โชคชะตาอันแสนโหดร้ายของผู้ชายชื่อ นับหนึ่ง คนนี้ มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

“เจ๊หมวย แล้วลูกค้าวันนี้เป็นใคร?” ชายร่างเขื่องด้านหน้าถามขึ้น

“ชื่อวันเสาร์ เพื่อนน้องเจ”

“อ๋อ เด็กพวกนั้นเองเหรอ ก็ถือว่าโชคดีนะ”

“โชคดี?” นับหนึ่งทวนเสียงสูง ไม่อยากจะเชื่อหูว่าคำคำนี้จะหลุดออกจากปากของคนที่กำลังพาเขาไปทำงานผิดกฎหมาย วงการนี้ไม่ควรมีคำว่าโชคดี มันจะโชคดีได้ยังไงในเมื่อจะต้องไปนอนอ้าขาให้คนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้

โชคดีกับผีล่ะสิไม่ว่า

“เออ โชคดี” เจ๊หมวยบีบต้นแขนเขาไว้ “เด็กพวกนี้ยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาฐานะก็ดี แกมีโอกาสได้นอนกับเขาก็นับว่าเป็นบุญหัวแกแล้วไอ้หนึ่ง”

“ผมว่าตรรกะเจ๊ป่วย”

คราวนี้ฝ่ามือเหี่ยวย่นกระแทกลงกลางศีรษะอย่างไม่ออมแรง ตามด้วยเสียงสบถหยาบคาย และเสียงหัวเราะจากคนอื่น ๆ ในรถ

“รอเจอก่อนเถอะ ขี้คร้านจะรีบวิ่งเข้าไปเสนอตัวให้เขา”

เจ้าของดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเบือนหนีไปอีกทาง เขาอยากปิดหูไม่รับรู้คำพูดคำจาน่ารังเกียจที่ดีแต่จะดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถ้าจะให้อธิบายนิยามต่อเจ๊หมวยกับพรรคพวก มันก็คือคำว่าเกลียด หรือหากมีคำไหนที่ยิ่งกว่าเกลียด ก็คงจะเป็นคำนั้น

ไม่นานนัก วงล้อรถก็หยุดตัวลงหน้าบ้านเดี่ยวหลังโต การตกแต่งสไตล์โมเดิร์นทำให้สิ่งปลูกสร้างตรงหน้าไม่ได้ดูโอ่อ่าน่ากลัวมากเท่ากับหลังอื่น ๆ ก่อนนี้

คนในชุดคล้ายบอดี้การ์ดเป็นคนคุมตัวเขาลงมาจากรถ เจ๊หมวยวิ่งโร่ไปกดกริ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขัดกับบรรยากาศอึมครึมของคืน มีแม่บ้านท่าทางเจื่อน ๆ เดินออกมาเชิญให้พวกเราทั้งหมดเข้าไปด้านใน แสงไฟสีขาวสลับส้มมันทำให้เขาแสบตา

“เจ๊หมวย หวัดดีครับ”

“ว่าไงน้องเจ” ชายหนุ่มอายุไม่น่าเกิน 25 ปี ก้าวเข้ามาทักทายเป็นอันดับแรก ปฏิเสธไม่ลงว่าหน้าตาดีอย่างว่าจริง ๆ ดีจนไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าจะมาคอยหาเศษหาเลยจากธุรกิจลับหลังของเจ๊หมวย ทั้งที่ดูท่าน่าจะมีเด็ก ๆ มากมายพร้อมเรียงหน้าเข้ามาให้เลือกโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท

แต่ว่าคนนี้ไม่ใช่แขกของเขา

“คนนี้เหรอครับ นับหนึ่ง” สายตาเรียวก้มมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า พลางยกยิ้ม

“ใช่ เป็นไง สด ๆ ซิง ๆ เลยนะ”

“น่ารักครับ แบบนี้ไอ้เสาร์ชอบแน่”

“แล้วไหนล่ะวันเสาร์?”

พูดไม่ทันขาดคำ ผู้ชายอีกคนก็เดินออกมาจากห้องด้านใน บรรยากาศรอบ ๆ ตัวคนนี้ ดูเย็นชา น่ากลัว แต่ถ้าให้พูดถึงความหล่อเหลาก็คงตัดสินได้ยาก เพราะสูสีกันแทบจะทุกส่วน ยิ่งชวนสงสัยหนักกว่าเดิมว่าคนที่ครบเครื่องขนาดนั้น จะมาหาซื้อเด็กผู้ชายอย่างเขาไปทำไม…แต่!

แต่!! เดี๋ยวก่อนนะ…

ดวงตากลมเบิกกว้างแทบถลน เมื่อมองให้ดีโลกนี้ประหลาด ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสอะไรแน่ แต่เป็นนรกแกล้งกันมากกว่า เพราะเจ้าของชื่อ วันเสาร์ ลูกค้าของเขา ก็คือไอ้คนไร้จิตสำนึกที่เขาเคยขอร้องให้ช่วยพาหนีจากพวกเจ๊หมวย แต่นอกจากจะไม่แยแสแล้วยังจงใจปล่อยเขาทิ้งไว้เกาะกลางถนน จนชะตาที่ควรจะพลิกผันมันกลับไม่พลิกโผ ต้องมาทำงานขายร่างกายตัวเองอยู่แบบนี้ไง!

“วันเสาร์…” เขาเผลอก้าวถอยหนี แววตาโกรธเคืองจับจ้องไปยังใบหน้าไม่สบอารมณ์ซึ่งกำลังมองมาเช่นกัน “เจ๊ ผมจะกลับ”

“พูดบ้าอะไรของแก?”

“ไม่เอาคนนี้”

นับหนึ่งวิ่งไปหลบอยู่หลังบอดี้การ์ดตัวใหญ่กว่าสักสองเท่า แต่ก็ถูกเจ๊หมวยดึงกลับมาได้อยู่ดี น้ำเสียงดุต่ำดังลอดไรฟันแค่พอให้เขาได้ยินชัดเจน

“แกไม่มีสิทธิ์เลือกทั้งนั้น”

เจนภพ หรือ เจ แขกประจำของเด็กในคลังเจ๊หมวยออกอาการงุนงงเมื่อเห็นทีท่าของคนตัวเล็ก เพราะปกติ แทบจะทุกคนที่พวกเขาเคยเจอ ต่างก็ชื่นชอบและหมายปองเดือนเด่นอย่างคุณชายวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ กันทั้งนั้น นี่อาจเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นคนตั้งท่ารังเกียจเพื่อนตัวเอง

และก็ยิ่งฉงนขึ้นสักร้อยเท่าพันเท่า เมื่อใบหน้าของคนข้าง ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีพอใจกับสินค้าที่เขาอุตส่าห์สั่งคัดมาอย่างดีเท่าไรนัก ทั้งที่ไม่ว่าจะมองมุมซ้าย ขวา บน ล่าง เด็กตรงหน้าก็ล้วนแต่ตรงตามสเป็คอย่างที่วันเสาร์โปรดปรานไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดว่านับหนึ่งมีส่วนคล้ายกับใครสักคนอยู่มากทีเดียว…



วันศุกร์…

รักแรกและรักเดียวของผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์คนนี้



หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: CH 0-1
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 01-09-2018 17:50:39
นับหนึ่ง ถึง หนึ่ง



เมื่อวาน

“ห้าแสน!” เจ้าของบ้านเก่าซอมซ่อแผดเสียงดังลั่นจนแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามคนล้วนยกมือขึ้นปิดหูอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

“ใช่ ป้าแกติดหนี้ฉันอยู่ห้าแสนบาท”

“เยอะขนาดนั้น ผมไม่มีเงินมาใช้เจ๊หรอก”

“ไม่มีไม่ได้!”

“ก็ไม่มีอะ ไม่มีแล้วจะให้ทำยังไง” เด็กน้อยโวยวายขณะตั้งการ์ดเพื่อป้องกันตัวเองจากเจ้าหนี้รายใหญ่

นี่คงเป็นหนึ่งในข่าวร้ายที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา นอกเหนือจากพ่อกับแม่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เขายังเล็ก คราวนี้ถึงตาคุณป้า ญาติคนเดียวที่มีก็ดันมาด่วนจากไปด้วยโรคหัวใจ แถมยังไม่ไปเปล่า ทิ้งหนี้กองโตไว้ให้เด็กอายุ 17 ย่าง 18 ได้ยังไงกัน โลกมันจะโหดเหี้ยมมากเกินไปแล้ว!

และก็คงไม่แย่เท่าไร หากว่าเจ้าหนี้รายนั้นไม่ใช่ เจ๊หมวย เจ้าของตลาดใหญ่ซึ่งใครต่อใครต่างรู้ดีว่าแกมีธุรกิจลับเป็นแม่เล้าส่งเด็กทั้งหญิงชายให้พวกเศรษฐีเอาไปใช้ระบายอารมณ์

“ถ้าไม่มีเงินจ่าย ก็ต้องทำงานชดใช้”

“งานอะไร กวาดตลาดหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เอา”

“กวาดตลาดบ้านแก” หญิงวัยกลางคนตรงเข้ามาจิกหัวเขาอย่างกับเวลาคว้าไก่เตรียมเชือด “อย่ามาทำเป็นไขสือไอ้หนึ่ง แกก็รู้ว่างานอะไร”

“งานชั่วๆ”

“เออ! งานชั่วที่แกจะต้องทำ”

“ผมไม่ทำ!” นับหนึ่งยืนกรานแม้ว่าตอนนี้แค่จะยืนตรงๆ ยังทำได้ยาก ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กผู้ชายวัยขบเผาะอย่างเขา ยังเรี่ยวแรงสู้หญิงหม้ายวัยสี่สิบกว่าไม่ได้

“ไอ้อ๊อด”

เจ๊หมวยกวักมือเรียกผู้ชายตัวใหญ่ด้านหลังเข้ามาสานต่อ ฝ่ามือกว้างรวบรั้งข้อมือทั้งสองของเขาไว้ ง่ายดายยิ่งกว่ายกหมูขึ้นเขียง เขาถูกบังคับให้นั่งสงบปากสงบคำอยู่แทบพื้น ขณะที่ลูกน้องอีกคนเริ่มสาดของเหลวบางอย่างในถังไร้ฉลากไปทางนั้นที ทางนี้ที

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากที่ไฟแช็กในมือหล่นลงกระทบคราบน้ำมัน เพลิงสีแดงสดก็โหมท่วมไปแทบทุกอณูของบ้านโทรมๆ เปลวไฟแผดเผาลุกลามอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา นับหนึ่งได้แต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นหิน อ้าปากค้าง สองมือกำหมัดแน่น ภายในใจของเขากรีดร้องอย่างสาหัสเมื่อคิดว่าแหล่งพักพิงหนึ่งเดียวกำลังจะหายลับไป ความทรงจำเลือนรางถูกย้อมด้วยสีแสดน่าเกรงกลัว กว่าจะทันรู้ตัว ก็ถูกมือหนากระชากออกไปขึ้นรถตู้ซึ่งจอดรออยู่นานแล้ว

กลิ่นไหม้กับไอร้อนพัดพาไปถึงบริเวณรอบข้าง เพื่อนบ้านที่ไม่เคยคุยกันหลายคนวิ่งโร่ออกมาดูสถานการณ์จ้าละหวั่น แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้อยู่รับรู้ว่าสุดท้ายแล้ว บ้านของเขา มันยังหลงเหลืออะไรบ้างไหม

นับหนึ่งถูกพาตัวมายังบ้านลับของเจ๊หมวย ถ้ามองจากภายนอกก็ดูเหมือนทาวน์โฮมปกติทั่วไป แต่แท้จริงแล้วคือนรก มีเด็กมากมายหลายคนถูกกักขังไว้ที่นี่ในฐานะ สินค้า หรืออีกชื่อก็คือ เหยื่อกาม ของพวกลูกค้าเงินหนา เขารีบกลืนก้อนอะไรบางอย่างลงคอเมื่อเดินผ่านสายตาว่างเปล่าหลายสิบคู่ไปยังชั้นบนสุด แขนข้างหนึ่งถูกล่ามโซ่ล็อกติดกับเสา ไม่มีอะไรนอกจากพัดลมตัวสองตัวกับข้าวกล่องเย็นชืดให้พอประทังชีวิต

“คืนนี้แกจะต้องเริ่มทำงาน เข้าใจไหม?” เจ๊หมวยเดินมาหยุดลงตรงหน้า สายตาเหยียดหยามก้มมองเขาไม่ต่างกับหมูกับหมา

เขาเลือกที่จะไม่ตอบและอีกฝ่ายก็ไม่อยู่ถามต่อให้เสียเวลา เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้น สุดท้าย…ชะตาชีวิตของเขา ก็ต้องมาจบลงในเล้าเน่าเฟะแบบนี้น่ะเหรอ

ทำไม…ทำไมถึงได้โหดร้ายนัก



-----------------------------------------------



“เสี่ยทศพลใจดี แกไม่ต้องกลัว”

เจ้าหนี้ฝีปากจัดหันมาจัดแจงเสื้อผ้าของเขาให้ดูเข้าที่ ก่อนจะตบหลังเป็นการให้กำลังใจ ซึ่งไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขาคงจะเชื่อว่าลูกค้าคนนี้ใจดี ก็ต่อเมื่อยอมปล่อยเขาไปเท่านั้นแหละ

“ลงมาได้แล้ว”

ลูกน้องในชุดสีดำสนิทชื่ออ๊อด ดึงแขนเขาลงจากรถ ก่อนจะลากเข้าไปยังด้านในคฤหาสน์ขนาดกว้างขวางเกินกว่าจะบรรยายได้หมด ห้องโถงโอ่อ่าดูโล่งตา มีเพียงชุดโต๊ะเก้าอี้ลวดลายมังกรทองตั้งอยู่กลางห้อง

“เสี่ย สวัสดีค่า”

“สวัสดี มา นั่งก่อน” ผู้ชายร่างท้วม สีหน้าใจดี หากแววตากลับกรุ้มกริ่ม กวักมือเรียกพวกเขาเข้าไปใกล้

“นี่นับหนึ่งค่ะเสี่ย”

“อืม หน้าตาน่ารัก”

“น้องทำงานวันแรกนะคะ อาจจะยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ฝากเสี่ยเอ็นดูด้วย”

โห น้อง… เมื่อกี้ยังจิกหัวเรียกไอ้หนึ่ง อีหนึ่ง อยู่เลยอะคนเรา

เสี่ยทศพลหัวเราะร่วน คุยอะไรกับเจ๊หมวยต่ออีกแค่สองสามคำก็ถึงคราวล่ำลา อ๊อดฉุดเขาลุกจากพื้นหินอ่อน ก้มลงมากระซิบให้พอได้ยินกันแค่สองคน

“อย่าดื้อกับเสี่ยล่ะ ไม่งั้นแกเดือดร้อนแน่”

“อ่าว ไหนบอกใจดี”

“ไอ้หนึ่ง” เสียงทุ้มกดต่ำพร้อมแรงบีบหนักๆ รอบต้นแขนทำเอาใบหน้าหวานเหยเก เจ๊หมวยเอื้อมมือมาลากตัวเขากลับไปยืนเก้กังอยู่ข้างเจ้าของบ้าน

“ปรนนิบัติเสี่ยดีๆ นะ แล้วพรุ่งนี้เช้าจะมารับ” เธอยกมือไหว้ลูกค้าประจำ “ไปก่อนนะคะเสี่ย”

ชายวัยกลางคนพยักหน้า แล้วหันมาโอบไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ รอยยิ้มน่ารังเกียจ กับสายตาแทะโลม มันทำให้เขาพะอืดพะอม ทุกๆ ย่างก้าวบนขั้นบันไดลาดยาวไปสู่ชั้นสองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก กลายเป็นห้องนอนหรูหราอย่างที่ในชีวิตนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้พานพบ

“หนึ่งนี่น่ารักมากจริงๆ เลยนะ” หลังมือกร้านตกแต่งด้วยแหวนทองคำกับเพชรพลอยไม่รู้กี่กะรัต ลูบไปตามโครงหน้าเรียว “ผิวก็ดี”

“หอมอีกต่างหาก”

ขอบตาร้อนผ่าวยามที่ปลายจมูกคนของรุ่นพ่อแตะฝังลงบนลาดไหล่ ขนอ่อนลุกชัน พอๆ กับหัวใจที่กำลังถูกบีบรัดจากความขยะแขยง สายตาพรั่นพรึงกลอกมองไปทั่ว ก่อนจะหยุดลงตรงโต๊ะไม้ขายาว อะไรบางอย่างส่งให้ปากของเขาขยับ

“เอ่อ…เสี่ยครับ”

“หืม?”

“คือผม…ผมหิวน้ำ ขอดื่มน้ำได้ไหมครับ” เสี่ยทศพลมองตามปลายนิ้วไปทางชุดน้ำชาเซรามิค ก่อนจะพยักหน้า

ร่างเล็กเม้มปากแน่น ค่อยๆ เอื้อมมือไปทางแจกันลายครามใกล้หัวเตียง แววตาสั่นไหวจับจ้องไปยังแผ่นหลังเจ้าเนื้อ ทันทีที่รวบแจกันมาไว้ในมือได้ นับหนึ่งก็รีบลุกขึ้น ทว่าเงียบเชียบที่สุด ขาเรียวก้าวยาวๆ ไปยังภาพเบื้องหน้า สองมือกอบกุมภาชนะราคาแพง เงื้อแขนขึ้นสูง ก่อนจะ…

ลมหายใจหยุดลงเพียงชั่ววินาทีหนึ่ง เขาได้ยินเสียงดังปั่ก ตามด้วยเสียงเพล้ง และตอนนี้มันก็กำลังกลายเป็นเสียงฝีเท้าหนักๆ แทน

“ไอ้เด็กเวร!”

เสี่ยทศพลคำราม มือกุมศีรษะอาบเลือด พยายามวิ่งตามไอ้ตัวดีที่สับเท้าวิ่งแจ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ความเจ็บปลาบขึ้นสมองก็ทำให้การเคลื่อนไหวของเขามีจำกัด มือป้อมคว้าเอามือถือ กดเบอร์โทรออกหาคู่ค้าเจ้าของตลาด

“เจ๊หมวย!” เขากระชากเสียงด้วยความเดือดดาล

“มีอะไรคะเสี่ย?”

“ไอ้นับหนึ่ง”

“ทะ ทำไมคะ?”

“มันหนีไปแล้ว!”

“ห้ะ!” คนปลายสายหวีดร้อง รีบหันไปสั่งลูกน้องกลับรถทันที

ในขณะเดียวกัน คนหลบหนีที่ว่าก็เอาแต่วิ่งไม่คิดชีวิตจนออกมาถึงหน้าถนนใหญ่ อาการหอบเหนื่อยไม่ได้ทำให้เขาพร้อมจะหยุด ตราบใดที่ยังไม่มีอะไรยืนยันว่าจะปลอดภัย แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าตามแนวฟุตบาทพอจะช่วยให้ทัศนวิสัยชัดเจนขึ้นบ้าง

ตึ๊ง ตึ่ง

ดวงตากลมสั่นระริกหันไปมองตามเสียงประตูของร้านสะดวกซื้อ สองจิตสองใจว่าควรจะเข้าไปหลบในนั้น ตามคำกล่าว ที่ที่อันตรายที่สุด ก็คือ ที่ที่ปลอดภัยที่สุด ดีไหม

“หนึ่ง…”

คนตัวเล็กหันขวับไปตามเสียงของผู้หญิงแปลกหน้า เลือดในกายสูบฉีดรัวแรง พอๆ กับหัวใจที่กำลังเต้นถี่รัวจนแทบกระดอนออกมานอกอก ถ้าถูกจับได้เขาจะต้องตาย ต้องตายแน่ๆ

“หนึ่งร้อยได้ไหม”

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อรู้ว่าเธอเพียงแค่ต่อรองราคามะม่วงอยู่กับพ่อค้าข้างทางเท่านั้น นับหนึ่งกลอกตาไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อให้แน่ใจว่ายังไม่มีใครตามมา เขาเผลอยกนิ้วโปงขึ้นกัดเล็บระบายความเครียด ในหัวเต็มไปด้วยเสียงเรียกหลอกหลอนจนขนในกายลุกชัน สองเท้าย่ำไปมากับทีไม่เป็นสุข

ปัง

อีกเสียงที่ดังลอดเข้ามาในโสตประสาทก็คือเสียงปิดประตู รถยนต์สีเทาขัดมันท่าทางมีราคาจอดตัวลงหน้า 7-11 ผู้ชายร่างสูงโปร่งเดินถือกระเป๋าเงินกับกุญแจผ่านหน้าเขาไป

ไม่ได้กดล็อกประตู…



-----------------------------------------------



“นี่สรุปว่าศุกร์จะไปอยู่บ้านมันถาวรเลยใช่ไหม” ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียวหล่อเหลา ผิวขาวอมเหลืองเปล่งปลั่งอย่างผู้ดี หากแววตาสีนิลนั้นกลับไร้สิ้นซึ่งความสดใส มือข้างหนึ่งยึดโทรศัพท์เครื่องบางแนบหู อีกข้างเปิดขวดน้ำขึ้นดื่ม

“โธ่ พี่เสาร์ อย่างอนศุกร์เลยนะ เดี๋ยวศุกร์ก็กลับไปเยี่ยมบ่อยๆ”

“เดือนละครั้งนี่บ่อยเหรอศุกร์”

“แต่เราก็คุยโทรศัพท์กันทุกวันอยู่แล้วนี่ครับ”

“พี่อยากเจอหน้าศุกร์มากกว่า” น้ำเสียงราบเรียบแอบแฝงความน้อยใจเต็มเปี่ยม คนปลายสายอึกอัก ก่อนจะพยายามเนียนเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วนี่พี่เสาร์กลับถึงบ้านรึยังครับ”

“ใกล้จะถึงแล้ว งั้นพี่ขับรถก่อนนะศุกร์ ค่ำๆ จะโทรไปอีกรอบ”

“โอเคครับ ขับรถดีๆ นะพี่เสาร์”

“ครับ”

เขากดวางสาย ทิ้งมือถือไว้บนเบาะข้างคนขับโล่งเปล่า รถยนต์คันสวยเคลื่อนสู่ถนนใหญ่ มุ่งกลับบ้านในค่ำคืนที่แสนเงียบเหงาอีกคืน…มันผ่านมาหลายเดือนแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ที่น้องชายของเขาหนีไปมีคนรัก นับแต่วันนั้น สถานะของเขามันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป กลายเป็นแค่คนอื่นอย่างห้ามไม่ได้

และแม้ว่าจะทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจให้ตายยังไง ก็รู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าเป็นแค่ พี่ชายเท่านั้น…

เอี๊ยดด

พื้นรองเท้าหนังเหยียบเบรกสุดขาเมื่อมัวแต่ใจลอยจนเกือบไม่ทันเห็นไฟจราจรที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดง โชคดีไม่มีรถตามหลังในระยะประชิด แต่โชคร้าย…เขากลับได้ยินเสียงประหลาดที่ไม่ควรได้ยินเข้าซะนี่

“โอ้ย”

ใช่…เสียงร้องโอ้ย ในวินาทีที่รถหยุดตัวลงกะทันหัน เขาฟังไม่ถนัดนักว่ามันผู้ชายหรือว่าผู้หญิง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ไม่ควรได้ยิน โดยเฉพาะในเวลาฟ้ามืดแบบนี้ ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าตัวเองค่อนข้างจิตแข็งและไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ หากก็ไม่ถึงกับลบหลู่

ดวงตาเรียวกลอกไปทางกระจกซ้าย ย้ายมากระจกขวา ก่อนจะค่อยๆ เหลือบขึ้นจ้องกระจกมองหลังให้ดี มีเงาแปลกๆ ราวกับจะเคลื่อนตัวเพียงไหวๆ อยู่บริเวณพื้นรถด้านหลัง วันเสาร์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ตัดสินใจหันกลับมาตั้งสติอยู่กับถนนเบื้องหน้าเมื่อไฟดวงโตกลายเป็นสีเขียว

วงล้อรถยังคงเคลื่อนตัวตามปกติ คนหลังพวงมาลัยได้แต่คิดในใจว่าเขาอาจเพียงแค่หูแว่วตาฟาดไปเท่านั้น และก็คงคิดแบบนั้นไปจนตลอดทางกลับถึงบ้าน หากไม่ใช่ว่าได้ยินเสียงอื่นดังขึ้นชัดเจนยิ่งกว่าเก่า

“ฮัดชิ่ว!”

ผีเป็นหวัด?

วันเสาร์เหยียบเบรกอีกครั้งหลังจากเลี้ยวเข้ามาในซอยย่อยใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้าน แถวนี้พอมืดแล้วก็เริ่มไม่มีรถราผ่านไปมาเท่าไรนัก ทำให้เขากล้าจอดรถเอากลางถนนโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครตามมาด่าพ่อ สายตาดุคมเงยมองกระจกบานเดิม เงาประหลาดที่ว่ายังคงอยู่

ในที่สุดเขาก็พรวดพราดลงจากรถ กระชากประตูหลังออกอย่างแรงเพื่อพบกับแววตาสั่นระริกที่กำลังจ้องกลับมาอย่างตื่นกลัว มือใหญ่คว้าดึงข้อมือบางให้ออกมาเผชิญหน้ากันบนถนน

ไม่ใช่ผี แต่ว่าเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ท่าทางปอนๆ เนื้อตัวมอมแมมชื้นเหงื่อ

“นายเป็นใคร? มาอยู่บนรถฉันได้ยังไง?”

“ผะ ผมขอโทษ แต่ผมกำลังหนี”

“หนี?” วันเสาร์มุ่นหัวคิ้ว

“มีคนกำลังตามล่าผม พี่ช่วยผมด้วย ช่วยผมหน่อยนะ” เด็กแปลกหน้าพยายามเข้ามาจับแขนเขาไว้ แต่ก็ถูกสะบัดออก พร้อมสายตาดูแคลน

“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

“พี่ต้องช่วยผมนะ ถ้าพวกมันหาผมเจอ ผมต้องตายแน่”

คนตัวสูงใช้นิ้วกดนวดขมับสองสามที ไม่รู้ว่าที่กำลังเจออยู่นี่มันวุ่นวายน่ารำคาญมากกว่าผีอีกหรือเปล่า แต่แค่คำพูดจากเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ใครเขาจะเชื่อลง ยิ่งมาหลบในรถคนอื่นได้ยังไงไม่รู้แบบนี้ ถ้าเกิดเป็นโจรหรือแก๊งต้มตุ๋นจะไม่แย่เหรอ

“จะไปเล่นที่ไหนก็ไป ไป” วันเสาร์โบกมือไล่ หันหลังกลับไปทางรถยนต์ แต่ยังไม่ทันได้เอื้อมถึงประตูก็ถูกวงแขนบางตรงเข้าสวมกอดซะก่อน

“นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ พี่ต้องช่วยผมจริงๆ”

“บอกให้ออกไปไง”

“พาผมหนีที”

“ออกไป!” เส้นความอดทนขาดผึ่ง เขาแกะตัวเองออกจากการเกาะกุม แล้วออกแรงผลักร่างสั่นไหวจนเซเกือบล้ม แววตาน่ากลัวคงมีอำนาจมากพอจะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าขยับตัวเข้าหาอีกเป็นครั้งที่สอง

เขาปัดเสื้อผ้าตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะก้าวขาขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่เพียงอารมณ์ขุ่นมัวในใจ กระจกมองข้างสะท้อนเงาของคนตัวเล็กทรุดลงแทบพื้น แม้จะไกลขนาดนี้แต่ก็พอเดาออกว่าคงกำลังร้องไห้แน่ๆ

คำถามมากมายรกสมองถูกสะบัดไล่ออกไป หลังจากเลี้ยวรถเข้าหมู่บ้าน เมื่อกี้ มันก็แค่…เรื่องบ้าๆ ของวันเท่านั้นแหละ


หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: CH 0-1
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-09-2018 17:53:17
อยากอ่านต่อ  :hao6:
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: CH 0-1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-09-2018 21:22:09
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 2
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 15-09-2018 17:30:14
นับหนึ่ง ถึง สอง



เพียะ!

ใบหน้าซีกซ้ายชาเป็นแถบ แรงตบหนักๆ ทำเอาศีรษะโคลงแทบจะล้มลงไปกองบนพื้น หลังจากที่นับหนึ่งถูกเจ้าของรถแปลกหน้าทอดทิ้งไว้บนเกาะกลางถนนเพียงลำพัง ผ่านไปได้เพียงไม่กี่นาที รถตู้สีดำคันที่เขาไม่อยากเจอที่สุดก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าอีกครั้ง

ลูกน้องในชุดบอดี้การ์ดหิ้วปีกเขาไว้ไม่ให้หนี เจ๊หมวยกรีดร้อง ก่นด่ามากมายจนฟังไม่รู้เรื่อง ตามด้วยแรงกระทำชำเราต่างๆ นาๆ จนเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแดงจากการถูกทั้งตบ ทั้งทุบ ทั้งถีบ สารพัด

“พอเถอะเจ๊ เดี๋ยวตัวมันเป็นรอยขึ้นมาจะเสียราคา” อ๊อดเป็นคนเข้ามารั้งเจ้านายไว้ และเขาก็คงต้องขอบพระคุณ เพราะแก้มเริ่มช้ำแล้วเหมือนกัน

หญิงจิตใจโหดเหี้ยมกระชากผมเขา ก้มตัวลงมาพ่นน้ำลายใส่หน้าดังๆ

“มะรืนนี้ แกต้องไปขอขมาเสี่ยทศพลกับฉัน”

“มะรืน” เขาเผลอทวนคำ

“เออ จริงๆ ฉันอยากลากแกไปตอนนี้เลย แต่เสี่ยไปทำแผลอยู่โรงพยาบาล พรุ่งนี้ก็ไม่ว่าง” เจ๊หมวยยืนขึ้นเต็มความสูง กอดอก “แต่ก็ดี ให้เสี่ยได้สงบสติอารมณ์ก่อน ไม่งั้นกลับไปแกจะได้โดนเขาฆ่าตาย ไอ้หนึ่ง”

“อยู่แบบนี้ก็เหมือนตาย”

สายตากราดเกรี้ยวตวัดมองคนตัวเล็กที่ยังปากดีไม่เลิก เธอสั่งอ๊อดให้เข้ามาพาตัวเขาไปล่ามขังไว้ในห้องชั้นบนสุดของทาวน์โฮม ค่ำคืนอันแสนตื่นตระหนกจบลงแล้ว พร้อมกับความหวังของเขาด้วย…



-----------------------------------------------



“วันเปิดร้าน กูว่าจะจ้างนักร้องมาร้องเพลง มึงว่าไง?” เจนภพรินไวน์ใส่แก้วทรงสูง ยกมือขึ้นถามเพื่อนสนิท

“อืม”

“อืม คือดีหรือไม่ดี”

“ก็แล้วแต่มึง”

“แล้วแต่กูทุกอย่าง งั้นตอนแบ่งเงินก็แล้วแต่กูใช่ปะ” เขาแกล้งพูดติดตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ขำด้วย ยิ่งทำเอาบรรยากาศดูหม่นหมองลงอีกสักสิบเท่า รสชาติของไวน์ชั้นเลิศไม่ได้ทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มเท่าไร ในเมื่อเพื่อนคนเก่งยังคงตีหน้าบอกบุญไม่รับ

“ไอ้เสาร์ นี่มึงยังรับเรื่องน้องศุกร์ไม่ได้อีกเหรอวะ”

ร่างสูงทอดถอนหายใจยาวเหยียด “กูขอเวลาอีกหน่อย”

“อีกหน่อยนี่นานแค่ไหน มึงทำตัวเหมือนคนอมขี้แบบนี้มาหลายเดือนแล้วนะเว้ย”

“กูก็พยายามอยู่ นี่กูก็ยอมรับไอ้เหี้ยกันต์แล้วไง”

เจกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ หมดปัญญาจะพูดกับคนหัวรั้น ถึงปากจะบอกว่ายอมรับว่าที่น้องเขยได้แล้ว แต่ก็ยังไม่วายเรียกเขาว่าเหี้ยเต็มปากเต็มคำ สาบานเลยว่าถ้าวันศุกร์นั่งอยู่ด้วย ก็คงไม่กล้าพูดหรอก ยิ่งไปกว่านั้น หากภายในใจของวันเสาร์ ยังคิดกับวันศุกร์เป็นแค่น้องไม่ได้ ทุกอย่างมันก็ยังไม่เปลี่ยน…ไม่มีวันเปลี่ยน

“มึง คนเรามันต้องมูฟออนนะเว้ย มึงจะมายึดติดกับศุกร์ตลอดไปไม่ได้”

“กูรู้ กูถึงบอกว่าขอเวลาอยู่นี่ไง!” วันเสาร์เผลอขึ้นเสียงแต่ก็รีบปรับสีหน้ากลับมาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหมือนเคย เจส่ายหัวก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาเบอร์ของใครบางคน

“มึงเหมือนคนเก็บกดอะตอนนี้ ได้ระบายบ้างปะวะ”

เป็นอีกครั้งที่เจพยายามจะพูดจาคลายบรรยากาศ และคิดว่าวันเสาร์ก็คงเข้าใจคำว่า ระบาย ของเขาดี แต่คราวนี้กลับเป็นเขาเองที่ขำต่อไม่ออก รอยยิ้มตลกๆ หุบลง เมื่อสังเกตเห็นสายตาแทบจะไร้แววของเพื่อนสนิท ถ้าบอกว่าน่าเป็นห่วงก็คงดูน้อยเกินไป

“อย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้นอนกับใครเลยช่วงนี้”

“กูไม่ใช่มึงหนิจะได้นอนกับใครไปทั่วทุกคืน”

“ไอ้ห่า กูก็ไม่ได้ขนาดนั้น” เจยืดตัวขึ้นหลังจากเลื่อนหาเบอร์ที่ต้องการจนเจอ รีบหันไปสะกิดขาคนด้านข้าง “กูจัดเด็กให้มึงคนนึง ดีมะ”

วันเสาร์ส่ายหน้าระอา แต่ก็ไม่ได้ถึงกับพูดจาปฏิเสธ เป็นอันรู้กันว่าคงตกลง เขาเลยรีบกดโทรออกหาคนคุ้นเคยสำหรับสถานการณ์อย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นแม่เล้าก็ดูหยาบคายไปนิด ให้คิดว่าเป็นผู้ปกครองเด็กๆ ในสังกัดก็แล้วกัน

“ฮัลโหล เจ๊หมวย”

“ว่าไงน้องเจ”

“พาเด็กมาให้คนนึงสิครับ”

“ได้เลย เอาใครล่ะ แต่คืนนี้น้องน้ำตาลคนโปรดน้องเจไม่ว่างนะ เจ๊รับงานอื่นไปแล้ว”

“มีเด็กผู้ชายน่ารักๆ บ้างปะครับ”

เสียงปลายสายดูตกใจกับคำถามของเขา แน่สิ ร้อยวันพันปีเขาเคยรีเควสเด็กผู้ชายมานอนด้วยซะที่ไหน และเจ๊หมวยก็รู้รสนิยมเขาดีด้วยเลยยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่

“ให้เพื่อนอะครับ”

“อ๋อ เพื่อนคนไหน นาวาเหรอ หรือว่า”

“วันเสาร์ครับ”

เจ๊หมวยหัวเราะคิกคัก ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิทของเจนภพจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อลูกค้าของเธอมาก่อน แต่ก็เคยเห็นหน้าค่าตาอยู่บ้าง เพราะเวลาพาเด็กไปส่งให้เจ ก็มักจะเจอว่าอยู่กับเพื่อนอีกสองคนเสมอ และนี่คงเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ขยายธุรกิจ เพิ่มฐานลูกค้าได้อีกสักคนก็ไม่เลวเลย

“ชอบแบบไหนล่ะ”

“ขาว เด็ก ตัวเล็ก…” สเป็ควันเสาร์ เขาท่องได้ขึ้นใจทีเดียว

“บังเอิญจัง มีเด็กใหม่เข้าข่ายพอดี”

“จริงปะครับ ดีเลย งั้นพามาคืนนี้เลยนะครับ”

“โอเค เดี๋ยวน้องเจส่งโลเคชั่นมานะ”

“ครับ” หลังจากกดวางสายก็หันไปยักคิ้วให้กับเจ้าของใบหน้านิ่งเฉย วันเสาร์ยกแก้วบรรจุของเหลวสีแดงก่ำขึ้นจรดริมฝีปากอีกหลายครั้ง ท่าทางไม่ยี่หระ

พวกเขาเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ตั้งใจร่วมหุ้นกันดำเนินการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปิดเล่มวิทยานิพนธ์ใหม่ๆ จนตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างหลายอย่าง เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวในไม่ช้านี้ จะว่าไปแล้วพวกเขาเรียนการตลาดมา แต่ก็มาจบลงที่ร้านอาหารกันหมด เพราะนาวาเองก็มีร้านอาหารอิตาเลียนของครอบครัวที่จะต้องกลับไปช่วยบริหารอยู่แล้วเช่นกัน

เข็มนาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงยานพาหนะไม่คุ้นหูจอดลงหน้าบ้าน เจเป็นฝ่ายลุกออกไปต้อนรับแขกของค่ำคืนนี้ด้วยตัวเอง ขณะที่คุณชายเจ้าของบ้านยังมัวแต่วางท่ายืดยาดอยู่ได้

วันเสาร์ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเป็นหยดสุดท้าย ก่อนจะเดินตามออกไปเพื่อทักทายแม่เล้าเจ้าของตลาดใหญ่กลางเมือง คนสนิทของเพื่อนเขาเอง เจ๊หมวยยังคงคอนเซ็ปในการแต่งตัวสีฉูดฉาดล่อแสงไฟในห้อง พ่วงด้วยบอดี้การ์ดตัวใหญ่ชื่ออ๊อดตามปกติ จะแปลกออกไปก็แค่เด็กที่ถูกลากตัวมาวันนี้ นอกจากใบหน้ารั้นๆ กับแววตาเหมือนลูกนกปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็ยังรู้สึกคุ้นอย่างน่าประหลาด…

“เจ๊ ผมจะกลับ”

“พูดบ้าอะไรของแก” หญิงวัยกลางคนรีบตวัดสายตาดุๆ ไปทางเจ้าของคำพูดนั้น แต่คนตัวเล็กกลับวิ่งหนีไปหลบหลังนายอ๊อด พลางจ้องมองเขาเหมือนเคียดแค้นกันมาสักสามสี่ชาติ

“ไม่เอาคนนี้”

เรียวแขนเหี่ยวย่นคว้าคอเด็กใหม่เอาแต่ใจให้กลับมายืนประจันหน้า น้ำเสียงกดต่ำฟังไม่ถนัดนักแต่ก็พอจับความรู้เรื่อง “แกไม่มีสิทธิ์เลือกทั้งนั้น”

เจ๊หมวยผลักนับหนึ่งมาทางด้านหน้า โชคดีที่เจเข้าไปประคองตัวไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มคะมำลงจูบพื้น ทั้งสองฝ่ายล่ำลากันอย่างยากลำบากเมื่อคนที่ควรจะอยู่ในโอวาทกลับขัดขืนโวยวายลูกเดียว ไม่รู้ว่าอ๊อดเดินเข้าไปกระซิบอะไรถึงยอมสงบลงได้ กลายเป็นยืนนิ่งตัวสั่นงันงกแทน

บรรยากาศในบ้านเงียบเชียบจนน่าขนลุก คำถามแรกผุดขึ้นมาเร็วกว่าความคิด

“เอ่อ นี่ทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า?”

“ก็เหมือนจะเคย” วันเสาร์ตอบกลับแค่นั้น ขณะที่ร่างเล็กเอาแต่ตีหน้างอง้ำไม่รู้ด้วยโกรธเคืองอะไรนักหนา

“เอ้า ก็ดีสิ คนเคยๆ”

“มะ…ไม่ใช่นะครับ” นับหนึ่งรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ แต่ดูเหมือนเจจะไม่สนใจอยู่รอแก้ความเข้าใจผิด ถึงได้เดินมาตบไหล่ไล่หลังทั้งคู่ไปทางบันไดบ้าน แถมกำชับเสียงสดใส

“เชิญตามสบาย เดี๋ยวกูกลับละ”

“เออ เรียกพี่ละไมมาปิดบ้านด้วย”

“ครับ คุณเสาร์” เขาแกล้งหยอกเป็นดอกสุดท้าย ก่อนจะหันหลังกลับไปทางหลังบ้าน

นับหนึ่งที่ยังคงยืนเก้ๆ กังๆ ถูกวันเสาร์กวักมือเรียกให้ตามขึ้นไปถึงห้องชั้นสอง เตียงไม้สักหลังใหญ่รับกับชุดเครื่องนอนสีกรมท่า การตกแต่งน้อยชิ้น หากแต่เป็นระเบียบและดูเรียบหรูในตัวเอง อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ดูแปลกตาน่าหวาดหวั่นมากเท่ากับคฤหาสน์เจ้าสัวอย่างเสี่ยทศพลสักเท่าไร

แต่การต้องมาทำเรื่องอย่างว่า…มันก็น่ากลัวอยู่ดี

“อาบน้ำรึยัง?”

“ห้ะ?” คนเด็กกว่าเงยหน้าฉงน จนเจ้าของคำถามย่นคิ้ว

“ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง ถามว่าอาบน้ำรึยัง”

“อาบแล้ว”

“พูดเพราะๆ” วันเสาร์กดเสียงต่ำ พยักพเยิดหน้าเหมือนต้องการให้เขาตอบคำถามใหม่อีกครั้ง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าถูกส่งมาขายบริการ หรือมาเรียนมารยาทกันแน่

“อาบแล้วครับ”

“งั้นก็ถอดเสื้อ”

เชี่ย เริ่มแล้วเหรอ ยังทำใจไม่ได้!

“เอ่อ…”

“หรือว่าต้องให้ฉันถอดให้?”

“เอ่อ…”

วันเสาร์ยิ่งมุ่นหัวคิ้วหนักๆ ขยับตัวเข้ามาประชิดพลางโน้มหน้าลงในระดับเดียวกัน สายตาเกือบจะว่างเปล่าดูดุดันและเย็นยะเยือก ทำเอาเขาต้องรีบกลืนก้อนบางอย่างลงคออย่างยากลำบาก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามขมับยามที่ถูกรังสีน่ากลัวกดดัน ริมฝีปากแดงระเรื่อเม้มปิดสนิท ย่นคอหนียามที่ลมหายใจอุ่นเป่ารด แต่เพียงแค่เผลอก้าวถอยหลัง ก็ถูกมือใหญ่ตรงเข้ารั้งต้นแขนเอาไว้ทั้งสองด้าน

สัมผัสนุ่มหยุ่นน่ารังเกียจจรดลงบนลำคอระหง เขาเลือกที่จะหลับตาลง พลางกัดปากตัวเองแรงๆ อย่างน้อยความเจ็บปวดนี้อาจจะช่วยพอให้หลงลืมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้บ้าง

ร่างสูงโปร่งผลักเขาลงนอนราบกับเตียง เสื้อยืดบนกายถูกเลิกขึ้นสูงจนเห็นถึงไหนต่อไหน ลิ้นร้อนลากโลมเลียไปทั่วทั้งแผงอกบาง วินาทีนั้น น้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าก็พาลไหลทะลักอาบแก้มอย่างหยุดไม่ได้ เสียงสะอื้นของเขาทำเอาคนด้านบนชะงักอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายวันเสาร์ก็ไม่ได้หยุด

ภายใต้ค่ำคืนแสนรวดร้าว…นับหนึ่งได้กลายเป็นของผู้ชายแปลกหน้าไร้หัวใจไปแล้ว



-----------------------------------------------



“ฮึก…ฮือ…” เสียงร้องไห้ปลุกให้คนตัวใหญ่ตื่น เรียวตาคมเหลือบมองร่างบางสั่นเทิ้มบนเตียงหลังเดียวกัน นับหนึ่งขดตัวเป็นกุ้ง เอาแต่กอดตัวเองพลางสะอึกสะอื้นไม่หยุด ความจริงเขาแทบไม่ได้นอนเพราะเด็กนี่เอาแต่ร้องไห้ตลอดทั้งคืน

ร้อง…เอาแต่ร้องจนเขารู้สึกไม่ดี ประสบการณ์ครั้งแรกของอีกฝ่ายเมื่อคืน ก็ไม่ได้จบลงอย่างสวยงามนัก เพราะเอาแต่ร้องไห้ลูกเดียว ร้องจนเขายังแอบกลัวว่าจะขาดใจตายก่อนหรือเปล่า

“จะร้องอะไรนักหนา”

“ฮือ…”

“ตัวเองเลือกทำงานนี้เอง”

คนข้างๆ พลิกตัวกลับมาจ้องหน้าเขาเขม็ง ใบหน้าหวานเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาไม่น่าดู ปลายจมูกและขอบตาแดงเรื่อจนแม้แต่คนอย่างเขายังอดใจหายไม่ได้ น้ำเสียงเครือครางเจือไว้เพียงความทรมานแผ่ออกมาให้เขารู้สึก

“ใจร้าย…ฮึก รู้อยู่แล้วว่าผม ไม่เต็มใจ…ฮืออ”

หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน คงไม่เถียง เพราะพอเดาออกว่าโดนบังคับให้มาทำงาน พอย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์บนรถวันนั้นก็ยิ่งเชื่อมต่อกันได้พอดี นับหนึ่งพยายามหนีจากเจ๊หมวย แต่สุดท้ายก็มาจบลงที่นี่ และเขาก็คงไม่ต่างอะไรจากซาตานผู้ทำลายความหวังของเด็กตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่แม้แต่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือ แถมยังฉีกกระชากทำลายสิ่งที่เฝ้าปกป้องรักษาลงอย่างง่ายดาย ถ้าถูกเกลียดเข้ากระดูก ก็คงไม่แปลกใจเลย

แต่ก็ไม่ใช่กงการอะไรที่เขาต้องแคร์

“ก็ฉันจ่ายเงิน” คำพูดแสนเย็นชายิ่งทำให้น้ำตารื้นเล็ด

วันเสาร์ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าขึ้นสวมกลับ สายตาเรียบนิ่งยังคงจับจ้องไปยังเจ้าของร่างสั่นไหว สัมผัสลื่นมือ ผิวกายนุ่ม เนียนละเอียด แล้วยังกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับแป้งเด็ก สีหน้าเจ็บปวดทรมาน เสียงใสก้องกังวานครวญครางไม่เป็นภาษา ลมหายใจอุ่นร้อนหอบกระทบกาย ทุกอย่างยังคงชัดเจนอยู่ในโสตประสาท น่ากลัวว่าจะเป็นคนแรกที่ทำให้เขามึนเมาไปได้มากขนาดนี้ หากแต่ทั้งหมดนั่นคงอยู่ได้แค่ในความคิดของเขาเท่านั้น

คำที่เขาเลือกจะพูดมันไม่ได้ฟังดูใจดี “ต่อไปนายก็ต้องเจอมากกว่านี้ เผลอๆ จะต้องรับแขกคืนละเป็นสิบคน หรือไม่ก็โชคร้ายติดโรคมาก็ได้ หัดทำใจไว้เถอะ”

แน่นอนว่านอกจากไม่ทำให้อีกฝ่ายหยุดร้องแล้ว ยังรังแต่จะปล่อยโฮหนักกว่าเก่า และเขาก็เริ่มรำคาญขึ้นมาจริงๆ แล้วด้วยสิ

ตึ๊ง ตึ่ง

เสียงกดกริ่งดังไปทั่วบ้าน ถ้าให้เดา คงเป็นเจ๊หมวยที่มารับสินค้ากลับ นับหนึ่งเองก็คงรู้ถึงได้เอาแต่มุดตัวอยู่ในผ้าห่ม ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหนที่เขาเผลอมองคนบนเตียงจนไม่ยอมขยับ ภาพในหัวตัดสลับไปมาราวกับม้วนฟิล์มขาดๆ ที่ถูกเอามาปะติดปะต่อกันจนไม่รู้เรื่อง

.

“พี่ต้องช่วยผมนะ ถ้าพวกมันหาผมเจอ ผมต้องตายแน่”

“อ..อื๊ออ เจ็บ…”

“นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ พี่ต้องช่วยผมจริงๆ”

“พอ..ฮึก พอแล้ว…อ้ะ อ๊าา”

“พาผมหนีที”

.

พาผมหนีที

น้ำเสียงอ้อนวอน บวกกับแววตาสั่นเครือ ค่ำคืนนั้นมันช่างเป็นภาพที่เลือนราง หากว่าตอนนี้กลับฉายชัดอยู่ในหัว วันเสาร์กะพริบตาหนักๆ สองสามครั้ง ตัดสินใจเดินไปกระชากผ้าห่มออก รวบรั้งข้อมือบางไร้เรี่ยวแรงเข้ามาใกล้ตัว ร่างโอนเอนถูกดึงขึ้นจากเตียงง่ายดายยิ่งกว่าเด็ดดอกไม้จากสวน ความทุกข์ทนและความโกรธเคืองหลอมรวมอยู่ภายในดวงตากลมคู่หมอง

คำถามแปลกๆ ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจเลย ดังขึ้นภายในห้องนอนขนาดกว้าง

“นายจะนอนกับใครต่อใคร หรือจะยอมนอนกับผู้ชายแค่คนเดียว?”

นับหนึ่งตีหน้างุนงง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เสียงเคาะประตูก็ดังขัดขึ้นก่อน

“คุณเสาร์ คนที่ชื่อหมวยมาหาค่ะ”

เจ้าของบ้านจัดการใส่เสื้อผ้าให้กับเด็กที่ยังเอาแต่นั่งนิ่งเป็นหุ่นไม้เชิด เขาลากอีกฝ่ายลงมาถึงโถงด้านล่าง ซึ่งมีแขกจากเมื่อคืนยืนรอพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่แล้ว

“เป็นไงบ้างคะน้องเสาร์?”

คนถูกถามเหวี่ยงลูกชายในคลังคนใหม่ของเจ๊หมวยลงกับพื้น “แย่มากครับ”

“อ่าว”

“เด็กของเจ๊เอาแต่ร้องไห้เสียงดังน่ารำคาญ”

“อะ เอ่อ…”

“แต่ผมมีเรื่องจะขอ”

“อะไรเหรอ?”

“ผมขอซื้อขาดตัวเด็กคนนี้ได้ไหมครับ”

“ห้ะ?” ทั้งเจ๊หมวยและผู้ติดตามต่างหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เธอฝืนยิ้มแล้วพยายามอธิบายกับเสาร์ด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด “ซื้อขาดคงไม่ไหวมั้งคะน้องเสาร์ นับหนึ่งมันติดหนี้เจ๊อยู่ตั้งหลายแสน”

“เขาเป็นหนี้เจ๊เท่าไร?”

“ห้าแสนค่ะ”

“งั้นผมขอซื้อตัวเขาในราคาหนึ่งล้านบาท จะขายไหมครับ?”

ไม่ใช่แค่เจ๊หมวยที่ตาโตเป็นไข่ห่าน แม้แต่เจ้าตัวที่ดูเหมือนจะกลายเป็นสินค้าไปแล้วจริงๆ ก็รีบเงยหน้าขึ้นจ้องวันเสาร์ด้วยท่าทีตื่นๆ จำนวนเงินนั้นมันดูมากมายมหาศาลสำหรับคนอย่างเขา และวันเสาร์ก็ไม่ได้ดูพิศวาสอะไรเขามากพอที่จะยอมจ่ายมันด้วยซ้ำ

“ข…ขาย! ขายก็ได้ค่ะถ้าน้องเสาร์ต้องการ”

“โอเคครับ” วันเสาร์ยกยิ้ม เดินกลับไปหยิบอะไรบางอย่างในห้องทำงาน ก่อนจะออกมาพร้อมกับเช็คเงินสดมูลค่า 1,000,000 บาทตามที่ว่า

ฝั่งเจ๊หมวยดูจะตื่นอกตื่นใจกับจำนวนเลขศูนย์บนแผ่นกระดาษ จนลืมแม้แต่จะก้มลงสนใจเด็กที่อุตส่าห์ไปลากคอมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครา พวกคนที่ตีค่าเขาราวกับเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งล่ำลากันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นว่าทั้งบ้านกลับมาเงียบสนิท

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนเขาเองตั้งรับไม่ทัน แม้อยากจะเถียงก็พูดไม่ออก อยากจะขัดขืนก็ทำไม่ได้ พูดกันตามจริง ตอนนี้แค่จะลุก เขายังไม่มีแรงเลย

“น…นี่มันอะไรกันครับ?”

“นายเป็นสมบัติของฉันแล้ว”

“สมบัติ…นี่ผมเป็นคนนะ”

“นายก็ไม่ต้องไปปรนเปรอรับใช้ลูกค้าของเจ๊หมวยอีก แต่…ต้องนอนกับฉัน มาคอยรองรับอารมณ์ให้ฉัน”

“ว่าไงนะ? นี่ผมยังไม่ทันตกลงสักหน่อย!” นับหนึ่งพยายามยันตัวเองขึ้นจากพื้นกระเบื้องเย็นวาบ แต่ก็ยังช้ากว่าลำแขนแกร่ง ที่แค่ออกแรงหน่อยเดียวก็รวบทั้งตัวเขามาไว้ในอ้อมกอดได้อย่างง่ายดาย

“หรืออยากโดนเจ๊หมวยลากไปให้ใครต่อใครเขาเอาล่ะ?”

คำถามหยาบโลนทำเอาเขาสะอึก แววตากลมวูบไหวยามจ้องสบนัยน์ตาสีนิลสุดหยั่งถึง วันเสาร์กระชับวงแขนขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่ได้ฟังดูอ่อนโยนเลยสักนิดเดียว

“ต่อไปนี้ ชีวิตนายก็เป็นของฉัน”

ชะตากรรมเปลี่ยนไปแล้ว นับหนึ่ง…



------------------------------------------------------------------------------
มาแย้ววว นึกว่าจะไม่มีคนหลงเข้ามาอ่านซะแล้วค่ะ 5555
ถ้าไม่มีไรผิดพลาด เราแพลนไว้ว่าจะอัพในเล้า เดือนละ 3 ตอนน้า
มาเฉพาะวันเสาร์แหละ แต่ส่วนใหญ่จะเว้นเสาร์สุดท้ายของเดือน
เพราะทุกสิ้นเดือนต้องไปทำงานต่างจังหวัด เลยไม่สะดวกง่ะ

ยังไงก็ฝากติดตามเอาใจช่วยน้องหนึ่งให้ถึงเสาร์ไวๆ ด้วยนะคะ

 :z1: :กอด1:

#นับหนึ่งถึงเสาร์
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 2
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 22-09-2018 16:09:14
นับหนึ่ง ถึง สาม



“ไปอาบน้ำ” คำสั่งแรกของวันเริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากเจ๊หมวยกลับไป วันเสาร์ก็กระชากเขากลับขึ้นมาบนห้องอีกครั้ง ถ้าแขนหลุดจากไหล่ก็คงไม่แปลกใจเลย แต่ดูเหมือนขาจะหลุดจากสะโพกซะก่อน เพราะมันสั่นงกๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งตอนนี้ ร่างกายร้าวระบมอย่างกับว่าเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจจากสนามรบก็ไม่ปาน

กิริยาวันเสาร์ไม่อ่อนโยนยังไง บทรักก็ไม่อ่อนโยนอย่างนั้นแหละ

อ่า…แต่การใช้คำว่า บทรัก สำหรับกิจกรรมบนเตียงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นคงไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าไม่ได้รัก งั้นขอเรียกว่าบทโหด เพราะเขาถือว่าเป็นการทารุณกรรมเด็กชัดๆ เลย

“ยังนั่งนิ่งอยู่อีก” คนตัวสูงย้ำ สายตาไล่มองเสื้อผ้าในตู้บานเลื่อนไปเรื่อย ก่อนจะหันกลับมาทำตาเขียวใส่ “หรือต้องให้อาบให้?”

นับหนึ่งส่ายหน้ารัวแรง เขาเบะปาก พยายามฝืนลุกทั้งที่จวนเจียนจะล้มเอาง่ายๆ มือเล็กควานหาที่ยึดตามทางไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำ ด้านในมีผ้าเช็ดตัวเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว และเขาก็เดาเอาเองว่าคงอนุญาตให้ใช้

เสื้อผ้าบนตัวถูกปลดออก ร่องรอยตามร่างกายฉายชัดผ่านกระจกเงาบานใหญ่ น้ำตาที่เคยแห้งเหือดไปแล้วกลับเอ่อล้นจนพรั่งพรูออกมาอย่างสุดจะห้าม ทรุดตัวลงแนบพื้นหินอ่อน ไม่หลงเหลือแล้ว เรี่ยวแรงที่จะไปต่อสู้กับโชคชะตา เช่นเดียวกับความบริสุทธิ์และศักดิ์ศรีที่เขาเคยนึกภูมิใจ

ไม่เหลือแล้วจริงๆ …

เขาไม่อาจล่วงรู้ว่าการมาอยู่ที่นี่ กลายเป็นทาสอารมณ์ให้กับผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์ กับการถูกเจ๊หมวยลากไปตะลอนขายคนนู้นทีคนนี้ที แบบไหนมันจะเจ็บปวดทรมานกว่ากัน แต่ไม่ว่าจะทางไหน มันก็ไม่ใช่ความสุขทั้งสิ้น และเขาก็คงอ้อนวอนขอความสุขนับจากนี้ไม่ได้อีกแล้วเหมือนกัน

“ทำไม…” ทำไมชีวิตของเขามันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลย…

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดึงเขาให้หลุดออกจากห้วงความคิด

“เร็วๆ”

ก้อนสะอึกถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก เขาฝืนดันตัวเองขึ้นอีกครั้ง และเริ่มจัดการชำระล้างตราบาปน่าขยะแขยงจากเมื่อคืน แค่คิดว่าวันเสาร์จะฝากสัมผัสใดไว้บนตัวเขาอีกเมื่อไรก็ได้ แค่นั้น เขาก็อยากกัดลิ้นตัวเองตายแล้ว

กลิ่นสบู่ลอยฟุ้งออกมาจากร่างบางท่าทางห่อเหี่ยว วันเสาร์สลับเข้าไปอาบน้ำ เพียงไม่กี่นาทีก็กลับออกมาพร้อมกลิ่นจางๆ อย่างเดียวกัน นับหนึ่งถูกลากลงมาในห้องนั่งเล่น คนรับใช้สามคนเดินเรียงหน้าเข้ามาหา

“นี่พี่ละเมียด กับพี่ละไม เป็นแม่บ้านประจำของบ้านนี้” เด็กน้อยรีบก้มหัวยกมือไหว้ทั้งคู่ ตามด้วยผู้ชายอีกคน

“ส่วนนี่ลุงชัย คนขับรถ”

สองพี่น้อง ละเมียดกับละไม หันมองหน้ากันอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะพวกเธอเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนเจ๊หมวยพาเด็กตรงหน้ามาส่ง จวบจนถึงเมื่อเช้าที่วันเสาร์ประกาศลั่นว่าจะขอซื้อตัวเด็กคนนี้มาไว้ในครอบครอง ทั้งที่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ล้วนไม่ใช่วิสัยปกติของคุณชายที่เธอรู้จักดีเลย

“นี่นับหนึ่งครับ” คนตัวใหญ่หยุดไปนิด ปรายตามองเด็กข้างกาย “ตั้งแต่นี้จะมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของผม”

คนรับใช้ส่วนตัว…โห ตำแหน่งอะไรอะ เกิดมาไม่เคยได้ยิน

“เอ่อ…แล้วจะให้พี่เรียกว่า…”

พี่ละเมียดเป็นคนแรกที่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงเธอค่อนข้างสับสนและตั้งรับไม่ทัน อีกทั้งยังทำตัวไม่ถูก เพราะเหตุการณ์แบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น เอาแค่ว่าเห็นวันเสาร์ลากตัวนับหนึ่งเข้าห้อง ก็น่าประหลาดใจมากพอแล้ว เพียงแค่ข้ามคืน กลับยอมจ่ายเงินถึงหนึ่งล้านบาทเพื่อไถ่ตัวเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ก็ยิ่งแปลก

มันแปลกจนเธอไม่แน่ใจ ว่าสถานะของนับหนึ่งคืออะไรกันแน่ และในฐานะแม่บ้าน เธอควรปฏิบัติตัวกับเขายังไง

“ก็แล้วแต่พี่ๆ จะเรียก”

“งั้นพี่ขอเรียกคุณหนึ่งแล้วกันค่ะ”

“มะ…ไม่ต้องสุภาพกับผมขนาดนั้นหรอกครับ” เจ้าของชื่อรีบโบกไม้โบกมือห้าม แต่ดูเหมือนอีกฝั่งก็ยังดึงดันจะขอเรียกอย่างนั้นให้ได้ จนต้องยอมในที่สุด

หลังจากแนะนำตัวกับคนในบ้านเรียบร้อยแล้ว วันเสาร์จึงหันมาเอาความต่อ

“นายชงกาแฟเป็นไหม?”

“เอ่อ ก็พอได้ครับ”

“งั้นลองไปชงกาแฟกับพี่ละไม”

นับหนึ่งพยักหน้ารับ พี่ละไมกวักมือเรียกให้เขาเดินตามออกไปยังห้องครัว ขณะที่คนอื่นแยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเอง วันเสาร์ปิดประตูและเริ่มหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นอ่าน

แม่บ้านเก่าแก่อีกรายค่อยๆ ปลีกตัวหลบออกมาด้านหลังบ้าน เธอกดโทรศัพท์หาใครบางคน พยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ ในหัว ไม่นานนัก คนปลายสายก็กดรับ

“ครับ”

“คุณศุกร์”

“พี่ละเมียดมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“คือว่า คุณเสาร์…”

“พี่เสาร์ทำไมครับ เป็นอะไรรึเปล่า?” น้ำเสียงตกอกตกใจทำให้เธอต้องรีบอธิบายต่อเพื่อคลายความกังวลของคุณชายคนเล็ก

“เปล่าค่ะ คุณเสาร์ไม่ได้เป็นอะไร”

“อ่าว แล้วมีอะไรอะครับ?”

“คือ…พี่ว่าคุณเสาร์แปลกๆ ไปนะคะ”

“แปลกยังไงครับ?”

เธอหันซ้ายหันขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีใครผ่านมาถึงเริ่มพูดต่อ

“เมื่อคืนคุณเสาร์พาเด็กมานอนด้วยค่ะ”

วันศุกร์หลุดหัวเราะ “นั่นแปลกเหรอครับ ศุกร์ว่าก็ไม่แปลกนะ พี่เสาร์อายุเท่าไรแล้วก็ต้องมีบ้างแหละ”

“พี่รู้ค่ะว่ามี แต่ปกติคุณเสาร์จะพาออกไปข้างนอก ไม่เคยพาเข้าห้องนอนนะคะ”

“พี่เสาร์ขี้เกียจออกไปข้างนอกมั้งครับ”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ตอนนี้คุณเสาร์ซื้อตัวเด็กคนนั้นมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัวที่บ้านด้วยค่ะ”

“หืม?” ฟังมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงขำขันของวันศุกร์จึงเริ่มฟังดูเปลี่ยนไป จะว่าแปลก มันก็ชักจะแปลกขึ้นมาแล้วล่ะ “ซื้อมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัวเนี่ยนะ”

“ใช่ค่ะ ไถ่ตัวเด็กคนนั้นมาตั้งหนึ่งล้านบาท”

“หนึ่งล้าน!!” ละเมียดดึงโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน เธอมั่นใจว่าวันศุกร์ก็คงเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าพี่ชายตัวเองน่ะแปลกไปจริงๆ จากน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้มันกลับเริ่มร้อนลน ความประหลาดใจ รวมทั้งความตื่นเต้นเจือปนอยู่ในคำถาม

“แล้วเด็กคนนั้นชื่ออะไร ท่าทางเป็นยังไงครับ?”

“ชื่อนับหนึ่งค่ะ ก็…หน้าตาน่ารักนะคะ ตัวเล็กๆ คล้ายคุณศุกร์อยู่เหมือนกันค่ะ”

คล้ายกับเขา…

วันศุกร์เผลอมุ่นหัวคิ้ว เขาฝากความคิดถึงไปยังคนใช้ที่บ้านเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะกดวางสาย และรีบเลื่อนหาเบอร์พี่ชายตัวเองแทน ดูท่าคงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปไม่ได้ ต้องขยายให้ถึงที่สุดว่าอะไรกัน ดลบันดาลให้จอมเย็นชาอย่างวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ นึกสนใจเด็กเล้าแบบนั้นได้

“ว่าไงศุกร์” วันเสาร์ยังคงรับสายโทรเข้าจากเขารวดเร็วเหมือนเดิม

“พี่เสาร์ วันนี้เป็นไงบ้างครับ”

“หืม? ก็ไม่เป็นไงนี่ ศุกร์นั่นแหละเป็นยังไง จะหนีเที่ยวอีกแล้ว”

“โธ่ ไม่ได้หนีสักหน่อย” เสียงใสกระเง้ากระงอด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคงโดนดุเรื่องที่กำลังเดินทางไปพักผ่อนแถวชลบุรีกับกันติกรณ์สองต่อสอง

“จะไปไหนก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ มีอะไรก็รีบโทรหาพี่นะ”

“ครับ” คนตัวเล็กลากเสียงยาว ก่อนจะเว้นช่วง แล้วจงใจเข้าเรื่องสำคัญเอากลางปล้อง “ว่าแต่พี่เสาร์…นับหนึ่งนี่ใครกันครับ?”

ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าคงไม่พ้นขี้ปากแม่บ้านหนึ่งในสองแถวนี้ วันเสาร์ลอบถอนหายใจเบาๆ เริ่มต้นอธิบายจริงบ้างไม่จริงบ้าง

“พี่ก็แค่สงสาร เลยรับมาทำงานที่บ้านเท่านั้นเอง”

“ทำงานที่บ้าน แต่ก็เป็นคนรับใช้ ส่วนตัว ของพี่เสาร์” วันศุกร์เน้นคำว่า ส่วนตัว ชัดถ้อยชัดคำ ตามด้วยเสียงคิกคักหยอกล้อเล็ดลอด

“ก็พี่ยังไม่ไว้ใจ เลยให้อยู่ใกล้ๆ งานบ้านปกติก็มีพี่ละเมียด พี่ละไมจัดการอยู่แล้ว”

“อ๋อ ครับๆ”

วันเสาร์ส่ายหน้าเพราะฟังออกว่าน้องชายของเขาคงกำลังคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่แน่ เขาไม่ได้นึกพิศวาสอะไรเด็กคนนั้น แต่จะว่าเพราะสงสารก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด มันก็แค่…

ประตูบานเลื่อนเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของคนในบทสนทนา นับหนึ่งก้าวขาเชื่องช้า เนื่องจากยังระบมไม่หาย สองมือสั่นไหวยึดถาดพลาสติกรองแก้วกาแฟเอาไว้แน่น

“แต่ก็ดีเหมือนกัน มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน พี่เสาร์จะได้ไม่เหงา”

“ถ้าไม่มีเรา พี่ก็เหงาอยู่ดี”

ดวงตากลมเหลือบมองคนบนโซฟา ไม่รู้หรอกว่ากำลังคุยกับใคร แต่ลักษณะการพูดคุ้นๆ คล้ายกับในรถคืนนั้น และพอนึกว่าธาตุแท้วันเสาร์เป็นคนเย็นชาอำมหิตเพียงใด การใช้น้ำเสียงโอนอ่อนแบบนั้นมันกลับทำเอาเขาขนลุก

ถาดสีขาวแต้มลายดอกไม้เมืองหนาววางลงบนโต๊ะกระจก ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งบนพรม เพราะถ้ายังขืนยืนต่ออีกแค่วินาทีเดียวก็คงไม่แคล้วล้มหน้าทิ่มพอดี สะโพกของเขาร้าว ขาทั้งสองข้างปวดแปลบ แต่ก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับช่องทางด้านหลังซึ่งคล้ายว่าจะฉีกขาด

“โอ้ย!” ปลายนิ้วเผลอแตะเข้ากับแก้วเซรามิค ความร้อนส่งให้เขาเผลอปล่อยของในมือลงจนกาแฟด้านในหกเลอะออกมา เปื้อนเปรอะไปทั้งถาด

“แค่นี้ก่อนนะศุกร์” วันเสาร์กดวางสาย น้ำเสียงดุๆ ดังขึ้น “ทำอะไรของนาย?”

“เอ่อ…ขอโทษครับ”

“เก็บกวาดให้เรียบร้อย แล้วยกแก้วใหม่ขึ้นไปให้ฉันบนห้อง”

พูดแค่นั้นก่อนจะลุกออกไป ทิ้งให้เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่นั่งหน้ามุ่ย มองแก้วกาแฟนอนคว่ำ แต่ก็ยังโชคดีที่มันไม่แตกให้ต้องโดนดุมากไปกว่านี้ เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง เป็นพี่ละไมที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“เดี๋ยวพี่เก็บเองค่ะ คุณหนึ่งไปดูแลคุณเสาร์เถอะ”

“เรามาสลับหน้าที่กันดีไหมครับ”

ละไมยิ้มขำ แล้วโบกมือไล่ให้เขากลับไปชงกาแฟแก้วใหม่ นอกจากเป็นเด็กของแม่เล้าแล้ว เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่านับหนึ่งเป็นใครกันแน่ แต่จากสัญชาตญาณ เด็กคนนี้ก็ดูไม่มีพิษสงอะไร แถมยังน่ารักน่าเอ็นดู อีกอย่าง ถ้าคนอย่างวันเสาร์ถูกชะตาขนาดพาตัวเข้าบ้าน พวกเธอก็คงยอมรับได้ไม่ยาก

ประตูไม้เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่กำลังขะมักเขม้นตรวจเอกสารบางอย่าง นับหนึ่งรีบกลั้นใจพาถาดกาแฟในมือไปวางไว้บนโต๊ะทำงานก่อนที่ขาทั้งสองข้างของเขาจะเดินต่อไม่ไหว

เรียวตาคมเหล่มองคนที่เพิ่งทรุดตัวลงพับเพียบบนพื้น ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ วันเสาร์ตีหน้าเรียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่ามันรสชาติดีหรือยัง แต่การไม่ถูกกาแฟราดใส่หัวก็คงนับว่ามันถูกปากอยู่บ้างล่ะมั้ง

“หวานไป”

อ่าว…

“ไม่หวานก็ไม่อร่อยสิครับ” เขาเถียง หากต้องรีบรูดซิปปากทันทีเมื่อคนบนเก้าอี้ชูแก้วขึ้นเหนือหัว ทำท่าเหมือนอยากจะราดลงมาจริงๆ

“พรุ่งนี้ให้ชงมาใหม่”

“ต้องชงให้ทุกวันเลยปะครับ”

“ใช่” วันเสาร์เอียงศีรษะนิด เหมือนอยากจะถามว่าเขามีปัญหาอะไร แต่ใครล่ะจะกล้ามี

“ครับ เอ่อ…”

“เอ่อ อะไร”

“ให้ผมเรียกว่าอะไรครับ” พอย้อนนึกดูแล้ว ตั้งแต่เจอกันเมื่อคืน เขาก็ยังไม่ได้หลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายเลยสักคำเดียว แต่ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้น คืนที่เขาพยายามหนีจากเสี่ยทศพล เขาเรียกผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ว่า…พี่ แต่ดูท่าสถานะของเขาตอนนี้จะไม่เหมาะเท่าไร

“เรียก คุณเสาร์ รึเปล่าครับ?”

เจ้าของชื่อหันกลับไปพลิกหน้ากระดาษในมือ คำพูดแสนสั้นราบเรียบเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ก็เข้าใจดีว่านั่นคือคำสั่ง

“พี่”

“ครับ พี่…เสาร์”

เขาอ้าปากจะถามอะไรต่อ แต่กลับถูกสายตาคมจ้องกดจนต้องหุบปากลงในที่สุด วันเสาร์กลับไปทำงานของตัวเอง ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้อง นับหนึ่งได้แต่นั่งนิ่งอยู่เกือบสิบนาที ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวพิงกำแพงจนกระทั่งผล็อยหลับไป

ภายในหัวสมองเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ต่างๆ นาๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันที่ป้าเสียไป เขาไม่ใช่คนโชคดี แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะโชคร้ายได้ขนาดนี้ ในความฝัน น้ำตามันไหลไม่หยุด และในความเป็นจริง หัวใจก็เจ็บรวดร้าว…

นานแค่ไหนไม่รู้ตั้งแต่เขาลอยละล่องไปเฝ้าพระอินทร์ กว่าจะรู้สึกตัว ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดเกือบสนิทแล้ว ดวงตากลมกะพริบถี่ สู้แสงจากหลอดไฟบนเพดาน หัวคิ้วย่นเมื่อคิดว่าตัวเองมานอนสบายเฉิบอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไร และมาได้ยังไง

แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งพบแต่ความเป็นไปไม่ได้…สงสัยเขาคงละเมอเดินขึ้นมาเอง อืม ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

ก๊อกๆ

ใครบางคนเคาะประตู ก่อนจะแง้มมันออก เป็นพี่ละไมนั่นเองที่ชะโงกหน้าเข้ามา เธอกวักมือเรียกเมื่อเห็นว่าเขาตื่นนอนพอดี

“คุณหนึ่ง ลงไปทานข้าวเย็นได้แล้วค่ะ”

“ครับ” เขาก้มหัวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถาม “เอ่อ พี่ละไม”

“คะ?”

“คือ…ตอนแรกผมนั่งหลับอยู่บนพื้น พี่รู้ไหมครับว่าผมขึ้นไปนอนบนเตียงได้ยังไง?”

เธอเลิกคิ้ว ก่อนจะกลายเป็นอมยิ้มให้กับคำถามที่ฟังดูโง่เง่าพอตัว

“ไม่รู้สิคะ พี่ไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ถ้าให้เดา…คุณเสาร์คงพาคุณหนึ่งไปที่เตียง”

“พาไปที่เตียง?”

“ค่ะ ก็อุ้มไปไงคะ”

มาถึงตรงนี้เขาก็ไม่กล้าถามต่อ พยายามข่มความคิดบ้าๆ ในหัว อย่างเช่นว่า เจ้าของบ้านคนนั้นอาจจะใจดี ไม่ได้เย็นชาอย่างตาเห็นก็ได้ แต่…เขาไม่มีวันเชื่อตราบใดที่สะโพกเขายังปวดไม่เลิก! คนใจร้ายก็คือคนใจร้าย ไม่มีน้ำใจ ไม่มีความโอบอ้อมอารี ไม่มีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรสักนิดนอกจากหน้าหล่อๆ เท่านั้น เหอะ!

เรื่องเมื่อครู่เขาจะสรุปเอาเองว่าคงมีลมพายุพัดหอบตัวเขาขึ้นไปวางบนเตียงแน่ๆ จบ

วันเสาร์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางกระดิกเท้าสองสามที บรรยากาศดูหดหู่ลงทุกทีที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายบนหัวโต๊ะ และคำทักทายแรกก็ไม่วายจงใจกัดกัน

“นึกว่าจะหลับไม่ตื่น”

“ก็อยากหลับไม่ตื่นเหมือนกันครับ”

สายตาคาดโทษจ้องเขานิ่ง ก่อนจะเลื่อนไปทางเก้าอี้ว่างใกล้ตัว พี่ละไมเดินนำเขาไปนั่งประจำที่ สลับด้วยพี่ละเมียดที่ก้าวเข้ามาพร้อมโถข้าวหอมมะลิหุงร้อนๆ บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยอาหารหน้าตาน่าทาน อย่างที่ปกติเขาคงไม่มีวาสนาจะได้ลิ้มกิน

ต้มยำกุ้งที่ไม่ได้มีแต่เห็ด ข่า กับตะไคร้ ใบมะกรูด แต่ว่ามีกุ้งแม่น้ำตัวโตลอยอยู่จริงๆ ไข่เจียวปูฟูนุ่มแผ่กว้างจนเต็มจาน ขาหมูทอดส่งกลิ่นหอมนำหน้าใครยิ่งทำเอากระเพาะเขาปั่นป่วน น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปแตะช้อนส้อม จนใครอีกคนต้องเอ่ยขึ้นก่อน

“กินสิ หรือว่าต้องตักให้ด้วย?”

“เอ่อ พี่เสาร์ตักก่อนเลยครับ”

กุ้งสีสดย้ายจากถ้วยใบใหญ่มาอยู่บนจานข้าวเขา ตามด้วยไข่เจียว แล้วก็หมูชิ้นโต

“กินเข้าไปเยอะๆ ฉันไม่อยากนอนกับก้างปลา”

ก้างปลา? พูดอะไรโอเวอร์ ถ้าเขาเป็นก้างปลา ตัวเองก็เป็นฉลามวาฬแล้วสิ เออเนี่ย ต้องใช่แน่ๆ เลย เป็นสัตว์เลือดเย็นเหมือนกันด้วย

นับหนึ่งบ่นอุบอิบอยู่ในใจ แต่ก็ยอมตักอาหารเข้าปากโดยดี นี่อาจเป็นเรื่องที่ไม่เลวร้ายนักตั้งแต่ชะตากรรมของเขาต้องมาผจญกับมารร้ายต่างๆ นาๆ กับข้าวมื้อนี้อร่อยที่สุด เท่าที่ในชีวิตนี้เคยกิน

“พี่ละเมียดกับพี่ละไมเป็นคนทำอาหารเหรอครับ?”

“ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ?” ละเมียดรีบขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าตื่นตกใจแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ

“อร่อยมากเลยครับ ไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”

“ขอบคุณค่ะ งั้นคุณหนึ่งก็ทานเยอะๆ เลยนะคะ”

“ครับ”

“พรุ่งนี้” วันเสาร์เปรยขึ้น เรียกความสนใจของเขากลับมา “จะพาไปซื้อของ”

“ซื้อของ?”

“พวกเสื้อผ้าแล้วก็ของใช้ของนาย”

“พี่เสาร์จ่ายเงินให้หมดเลยเหรอครับ?”

“อืม”

โห เลี้ยงดีว่ะ

เขาพยักหน้าตอบรับ แล้วหันมาสนใจจานข้าวดังเดิม เป็นอันว่าจบบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร เพราะอีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ และเขาก็ไม่กล้าพูดขัดให้โดนดุว่าเสียมารยาทด้วย

วันเสาร์…คนที่พรากทั้งชีวิตและความหวังไปจากเขา ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนผู้มอบชีวิตและความหวังใหม่มาให้เช่นกัน แต่ชีวิตและความหวังนั้นมันก็ถูกขีดเส้นอยู่แค่ภายใต้ปีกของอีกฝ่าย เป็นแค่ชีวิตใหม่ในฐานะ สมบัติ ของคนอื่นเท่านั้น มันจึงยากที่จะบอกว่า คนคนนี้…ดีหรือร้าย

แต่บางที…คนที่ดูเหมือนใจร้าย อาจจะใจดี ก็ได้มั้ง…



------------------------------------------------------------------------------
นักอ่านหายไปแล้ว แต่นักเขียนยังอยู่ 5555 :katai4:
#นับหนึ่งถึงเสาร์


หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 3
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 22-09-2018 17:12:29
เอาใจช่วยนับหนึ่งให้ถึงเสาร์นะค๊ะ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-09-2018 10:55:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 4
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 06-10-2018 08:33:43
นับหนึ่ง ถึง สี่



“เอ่อ…” ช้อนส้อมรวบวางอยู่กลางจานข้าวว่างเปล่า “แล้วคืนนี้ จะให้ผมนอนที่ไหนครับ?”

เจ้าของบ้านนิ่งคิดไปนิด ก่อนจะเงยหน้าตั้งคำถามกับคนรับใช้ทั้งสอง พี่ละไมยกถ้วยชามอาหารกลับไปเก็บในครัวหลังบ้าน พี่ละเมียดหยุดมือที่กำลังจะเช็ดโต๊ะ

“ห้องรับรองยังไม่ได้จัดเลยค่ะ แอร์ฯ เสียอยู่ด้วย”

วันเสาร์พยักหน้า เขาก็พอจำได้ว่าครอบครัวนี้ไม่มีแขกมาขอพักอาศัยนานแรมปี ห้องนอนสำรองที่สร้างเผื่อไว้จึงถูกเนรมิตให้กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย แถมป่านนี้ฝุ่นคงเกรอะกรังไปหมด ส่วนจะให้ไปนอนห้องของพ่อกับแม่ยิ่งไม่เหมาะไปใหญ่

“ผมเห็นห้องตรงข้ามห้องพี่เสาร์เหมือนจะว่าง อันนั้นห้องใครเหรอครับ?” นับหนึ่งเอ่ยถาม แต่กลับถูกสายตาดุดันตวัดกลับมา รวมทั้งบรรยากาศมาคุประหลาด

“ห้ามไปยุ่งกับห้องนั้นเด็ดขาด”

“ค...ครับ”

“ช่วงนี้นายก็นอนกับฉันไปก่อน” เขาตัดสินใจ แล้วโบกมือไล่ให้คนตัวเล็กขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า ชุดนอนผ้าฝ้ายคอปกของวันเสาร์ถูกวางเตรียมไว้ให้เปลี่ยนชั่วคราว

แต่ก็อย่างว่า คนสูง 160 เซนติเมตร จะเอาอะไรไปเทียบกับพวกยักษ์วัดแจ้ง เสื้อแขนสั้นตกลงมาถึงกลางข้อศอก ชายระอยู่กับต้นขา กางเกงไม่ต้องพูดถึง หลวมโพรกใส่ไม่ได้ถึงขนาดต้องหาหนังยางมาผูกเป็นปม พับอยู่หลายทบกว่าปลายกางเกงจะพ้นตาตุ่ม ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายกับเด็กประถมขโมยเสื้อผ้าคุณพ่อมาสวมเล่นยังไงยังงั้น

“ฉันจะลงไปอ่านหนังสือข้างล่าง นายก็นอนซะ”

เจ้าของห้องพูดแกมบังคับ หลังจากกลับออกมาจากห้องน้ำ สบู่กลิ่นเดียวกันมันทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้พิกล นับหนึ่งก้มหัวตอบรับอย่างว่าง่าย จนเมื่อสิ้นเสียงบานประตูไม้ เขาจึงลอบถอนหายใจยาวเหยียด มันคือระยะเวลาเพียงแค่ 1 คืน กับอีก 1 วัน เท่านั้น ที่เขาถูกลากตัวมาอยู่ใต้ชายคาวุฒิเวคินทร์ แต่มันกลับเหนื่อยราวกับผ่านพ้นมาแล้ว 1 ปี

เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะอ่อนแอได้มากแค่ไหน จวบจนกระทั่งตอนนี้ ร่างกายของเขายังคงปวดร้าวไปเสียแทบทุกส่วน อาการเพลียส่งให้เปลือกตาหนักขึ้นถนัด เผลอจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราไปโดยไม่ทันรู้ตัว

ในขณะเดียวกัน วันเสาร์ที่บอกว่าจะลงมาอ่านหนังสือ ก็ดูเหมือนจะตั้งสมาธิกับตัวอักษรตรงหน้าได้ไม่ดีเท่าไรนัก หนึ่งใจ เขาเป็นห่วงน้องชายที่กำลังเดินทางไปต่างจังหวัด อีกหนึ่งความคิดเอาแต่วกวนอยู่กับการรับตัวนับหนึ่งเข้ามาไว้ในอุปการะ คนอย่างเขา หากมองเผินๆ ก็คงคิดว่าเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็ง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าความจริงแล้วมันเป็นเพียงเปลวไฟสีน้ำเงินหุนหัน และการตัดสินใจในครั้งนี้ ส่วนตัวเขาเอง ยังแอบคิดว่าใจร้อนยิ่งกว่าครั้งไหน

แต่หากให้ย้อนเวลากลับไป ดวงหน้าหวานใสเปรอะเปื้อนร่องรอยความเศร้า สายตาแข็งกร้าวกล่าวโทษ กับน้ำเสียงเจ็บปวดสุดแสน ทั้งหมดนั้น ก็คงจะทำให้เขาเลือกอย่างเดิมอยู่ดี

พูดตรงๆ เด็กผู้ชายชื่อนับหนึ่งคนนั้น กำลังทำให้เขาสับสนและไม่เข้าใจตัวเอง…ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว…

หนังสือในมือวางลงบนโต๊ะกระจก หยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นแทนที่ เขากดเบอร์ของวันศุกร์ลงไปอย่างแม่นยำ ไม่นานนัก เสียงปลายสายก็ตอบรับ แต่กลับทำให้เขาขมวดคิ้วแทบเป็นโบ

“ครับ พี่เสาร์” เป็นกันติกรณ์ที่กำลังคุยกับเขา

“ศุกร์ล่ะ?”

“ศุกร์อาบน้ำครับ”

“ถ้าเสร็จแล้ว ให้ศุกร์โทรกลับหาฉันด้วย”

“พี่เสาร์มีอะไรหรือเปล่าครับ ถามผมก็ได้ ศุกร์เหนื่อย ผมอยากให้พักผ่อนไวๆ”

ฝ่ามือกระชับเครื่องสื่อสารแน่น ใบหน้าเรียวตึงขึ้นทันที ถ้าอยู่ต่อหน้า เขาอาจจะเผลอต่อยนายกันติกรณ์ล้มคว้ำไปแล้วก็ได้

“ทำไมถึงเหนื่อย พาน้องฉันไปทำอะไรที่ไหนมา”

“ศุกร์เล่นทะเล แล้วก็ไปเดินตลาด เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าด้วย จะไปไหว้พระกันครับ”

น้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจเล็ดรอดออกจากลำคอ แม้ว่าจะพยายามข่มอารมณ์ตัวเองที่สุด

“งั้นพรุ่งนี้เช้าก็ให้ศุกร์โทรหาฉันด้วย”

“โอเคครับ”

วันเสาร์ตัดสาย โยนมือถือทิ้งบนโซฟา แล้วตะโกนเรียกแม่บ้านให้หยิบขวดเหล้าออกมา ทั้งที่คืนนี้เขาไม่ได้กะจะดื่ม แต่ดูเหมือนต้องเปลี่ยนแผน เพราะเลือดในกายมันกำลังสูบฉีดหลังจากวางสายกันติกรณ์ไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้กระทั่งตอนนี้ ลึกๆ ในใจเขาก็ยังไม่อยากจะยอมรับผู้ชายคนนั้น หรือคนไหน ให้มาอยู่เคียงข้างน้องชายสุดรักสุดหวง ยิ่งไอ้คำพูดคำจาวางท่าเหนือกว่าแบบนั้น มันยิ่งทำให้เขาชังขี้หน้านัก

น้ำสีอำพันถูกรินลงท้องแก้วแล้วแก้วเล่า ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท คล้ายกับจิตใจเขาที่นับวันยิ่งมืดมน นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาห้าทุ่มกว่า เขาทิ้งทุกอย่างไว้ระเกะระกะ ค่อยๆ พาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องนอน

เสียงประตูกับแสงไฟที่ลอดผ่านเข้ามา ทำให้ร่างบนเตียงขยับ นับหนึ่งขยี้ตาสองสามทีแล้วหันไปจัดที่นอนให้เข้าทาง ไม่ลืมย้ายหมอนข้างมาวางกั้นกลางตามแผน แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไร เมื่อคนตัวสูงโถมเข้าหาทั้งกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจมูก

“พะ พี่เสาร์”

ไม่มีเสียงขานรับนอกจากแรงรั้งคอเสื้อจนมันเปิดกว้าง ฟันซี่คมขบลงบนบ่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกัดแรงๆ

“โอ้ย พี่เสาร์จะทำอะไรครับ”

ถึงจะไม่ตอบแต่ก็พอเดาได้ว่าคงไม่ใช่มาชวนไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ร่างกายอ่อนล้าถูกผลักนิดเดียวก็ล้มลงนอนแผ่ คนที่ดูท่าว่าเมาแน่ๆ เคลื่อนตัวขึ้นคร่อมทับเขาไว้ ริมฝีปากร้อนบดขยี้ลงกับลำคอ ไล่ระดับลงเรื่อยๆ พร้อมกับมือซุกซนที่เริ่มดึงกางเกงเขาออก

“พี่เสาร์ อย่าครับ” น้ำเสียงหวาดกลัวแกมร้องขอไม่ได้ช่วยทำให้อีกฝ่ายเห็นใจแต่อย่างใด “ผม…ยังเจ็บอยู่เลย”

นับหนึ่งพยายามดันแผงอกกว้างด้านบนออกห่าง แต่จากสรีระและกำลัง เขากลับทำได้แค่วางมือแหมะไว้เฉยๆ ปล่อยให้คนตัวใหญ่ซุกไซ้รุกล้ำใกล้ชิดไม่ต่างจากฝันร้ายในค่ำคืนแรก เรียวขาสั่นระริกถูกยกพาดลาดไหล่กว้าง ส่วนแข็งขืนกำยำสอดแทรกผ่านช่องทางบวมแดงไม่หาย

น้ำตาหลั่งรินพร้อมกับแรงกัดริมฝีปากหนักๆ เพื่อสะกดกลั้นทุกความเจ็บปวด เตียงหลังใหญ่ไหวคลอนไปตามจังหวะการกระแทกหยาบโลน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้า ความร้อนพวยพุ่งสุมอยู่ในอก เสียงกรีดร้องสลับอาการหอบเหนื่อยดังก้องทั่วทั้งห้อง ใบหน้าทรมานแดงซ่านด้วยความอับอายอีกทั้งสุดฝืนทน

สัมผัสนุ่มหยุ่นกดไปตามลำตัวเขาแทบจะทุกส่วน เสียงครางต่ำบางคำที่เขาได้ยินไม่ถนัด และไม่ค่อยเข้าใจดังขึ้นแว่วๆ

“ศุกร์…ฮั่ก…พี่รัก ศุกร์”

เปลือกตาหนักอึ้งปิดตัวลง สองมือจิกกำผ้าปูที่นอนจนมันแทบหลุดออกมาทั้งผืน น้ำตาหยดสุดท้ายเหือดแห้ง พร้อมกับของเหลวอุ่นร้อนภายในร่างกาย วันเสาร์ทิ้งตัวลงกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

หากแต่อ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ มันช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน…



-----------------------------------------------



เมื่อเช้าตรู่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกให้ร่างเล็กรู้สึกตัวตื่น เขายังคงร้องไห้ไม่หยุดทุกครั้งที่ลืมตา ร้องจนเหนื่อยแล้วก็หลับไป เป็นแบบนั้นอยู่สักสองรอบ ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาสายโด่ง วันเสาร์เดินกลับเข้ามาในห้องเมื่อไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญหูแล้ว

เจ้าของขอบตาแดงช้ำรีบถดตัวหนีตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกสายตาเรียบนิ่งจ้องกลับมา ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไร

“ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”

นับหนึ่งพยักหน้าน้อยๆ หากยังคงนั่งเฉย จนคนมองขมวดคิ้ว เดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานก่อนจะเอ่ยซ้ำเสียงต่ำ

“ยังไม่ไปอีก”

“เอ่อ…พี่เสาร์จะทำอะไรผมอีกรึเปล่าครับ” จะได้เตรียมใจตายแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าโดนอีกตอนนี้ก็คงต้องตายแน่นอน

“ไม่ทำ ไม่มีอารมณ์”

อีกฝ่ายตอบกลับเสียงห้วน เอกสารบางเล่มถูกหยิบออกมาจากลิ้นชัก เมื่อวางใจได้แล้วว่าคนตรงหน้าคงไม่ใจร้ายหรือบ้าขนาดจับเขากดเอากลางวันแสกๆ ถึงเริ่มขยับตัว หากก็ยากเย็น ในเมื่อกล้ามเนื้อยังปวดระบม แถมเรี่ยวแรงก็แทบจะถูกสูบไปหมดสิ้น

เรียวขาบางแตะลงบนพื้นไม้ ทันทีที่ยกตัวพ้นจากฟูก ร่างทั้งร่างก็พลันทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างกับเศษผ้าเปียก แน่นอนว่าคนบนเก้าอี้เพียงแค่เหลือบตามองแวบเดียว ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามให้เสียน้ำลาย

เขาแทบจะคลานเข้าไปถึงห้องน้ำ เสื้อผ้าตัวเดิมของตัวเองถูกซักแขวนไว้ให้เสร็จสรรพ ถ้าอยู่แบบนี้นานๆ เขาว่าเขาคงได้กลายเป็นผักเน่าเพราะช้ำในตาย นอกจากรอยดูด ก็ยังมีรอยบีบแดงเป็นจ้ำๆ ไปทั่วทั้งรอบข้อมือ ต้นแขน ต้นขา แม้แต่ข้อเท้าก็ไม่เว้น

โหดเหี้ยม ซาดิสม์ ใจร้าย ไม่อ่อนโยน!

โชคดีที่พออาบน้ำเสร็จแล้ว บังเอิญพี่ละเมียดยกของว่างมาประเคนให้คุณชายพอดี แกก็ใจบุญ ช่วยประคองเขาลงไปกินข้าวด้านล่าง แถมยังจัดการหายาแก้ปวดให้อีก

“ขอบคุณมากนะครับ” เขารับแผงยามาเขินๆ แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนมาจากทางบันได

“กินข้าวเสร็จรึยัง?”

“เสร็จแล้วครับ”

“แล้วนั่นอะไร?” วันเสาร์หรี่ตามองสิ่งแปลกปลอมในมือเขา

“เอ่อ…ยาแก้ปวดครับ”

สายตาเรียบนิ่งไม่สื่อความรู้สึกใดๆ เก้าอี้ตรงข้ามถูกเลื่อนออก ร่างสูงโปร่งน่าอิจฉานั่งเฝ้าเขากลืนยาลงท้อง ก่อนจะไม่พ้นกัดคำโต

“สำออยเหมือนกันเนอะ”

ดวงตากลมเบิกกว้าง เผลอกระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะแรงๆ อย่างไม่กลัวจะโดนว่า “ลองมาโดนบ้างไหมล่ะครับ เจ็บก็เจ็บ ปวดก็ปวด บอกให้หยุดก็ไม่ยอมฟังกันเลย”

“ห้ามบ่น เพราะนั่นมันหน้าที่ของนาย”

เขาเบะปาก พรวดพราดลุกขึ้น แต่ก็ต้องรีบคว้าเอาขอบโต๊ะไว้เพื่อไม่ให้หงายหลังลงไปก่อน วันเสาร์พ่นลมหายใจหนักๆ ออกทางจมูกเหมือนจะรำคาญ แล้วเข้ามาคว้าต้นแขนเขาลากออกไปถึงประตูหน้าบ้าน ไม่บอกไม่กล่าวอะไรสักคำ

“จะ…จะไปไหนครับ?”

“ซื้อของไง”

นับหนึ่งได้แต่ร้องอ๋อในใจ ปล่อยให้วันเสาร์รั้งตัวเองเข้าไปถึงเบาะข้างคนขับบนรถคันคุ้นเคย…ก็คันเดิมกับเมื่อคืนนั้นนั่นแหละ

คนโตกว่าจัดการรัดเข็มขัดนิรภัยให้ ก่อนจะเริ่มเดินหน้าเครื่องยนต์ ใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงห้างสรรพสินค้าตั้งตระหง่านติดริมถนน ร้านเสื้อผ้าราคาแพงเป็นด่านแรกที่เขาถูกลากเข้าไป พนักงานหนุ่มออกสาวคอยบริการอย่างใกล้ชิดจนอดเกรงใจไม่ได้

“เลือกมาหลายๆ ชุด เลย”

“ครับ” เขาตอบรับว่าง่าย เพราะไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

ดี จะเหมาทั้งห้างไปเลย!

“เชิญทางนี้ครับ”

นับหนึ่งเดินตามไปทางราวเสื้อผ้าละลานตา อีกทั้งสารพัดรองเท้าบนชั้น พนักงานช่วยแนะนำเขาเป็นอย่างดี คอยจับนู่น หยิบนี่ ใส่ตะกร้าให้ตลอด สุดท้ายก็จบลงที่ถุงกระดาษกองโต ขนาดว่าต้องใช้บริการร้านให้หิ้วไปเก็บถึงในรถ ของทั้งหมดดูสิ้นเปลืองและเกินกำลังเขาไปไกลลิบตา หากว่าคงไม่กระเทือนขนหน้าแข้งคุณชายวันเสาร์เท่าไร

พวกเขาเดินมาถึงส่วนของซุปเปอร์มาเก็ต บรรดาสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ยี่ห้อประจำที่เขาเคยใช้ต่างวางสุมกันอยู่บนรถเข็น ขณะที่คนจ่ายเงินเดินหายไปทางตู้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลองๆ กวาดตามอง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะครบสมบูรณ์แล้วสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ภายใต้ชายคาแปลกหน้า ยกเว้นก็แต่…

ล้อหมุนวงเล็กหันเลี้ยวไปทางชั้นวางขนมคบเคี้ยวและของกินเล่น ดวงตากลมเบิกกว้างเป็นประกายอย่างกับเด็กเล็กๆ นับหนึ่งยืดตัวขึ้น ปลายนิ้วเขี่ยเอามันฝรั่งทอดกรอบห่อบิ๊กไซส์ แต่ยังไม่ทันคว้าได้ ก็ถูกมือปริศนาของใครบางคนด้านหลังแย่งไปซะก่อน

สายตาสงสัยสลดลงเมื่อพบว่าเป็นใคร

“หยิบแต่ขนม” วันเสาร์เอ็ด เหลือบมองกล่องป๊อกกี้กับซองช็อกโกแลตที่เขาหยิบมาก่อนแล้ว

“ก็ผมอยากกินนี่”

คนตัวสูงส่ายหน้า แต่ก็ยังยอมโยนถุงขนมในมือใส่รถเข็น หันไปหยิบเพิ่มสองสามอย่าง ก่อนจะพาไปจ่ายเงิน เขาสังเกตว่าพนักงานแคชเชียร์แอบมองวันเสาร์อยู่เรื่อย แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะปฏิเสธไม่ออกว่าไม่หล่อ พวกผู้หญิงทั่วไปก็คงโดนหลอกล่อให้หลงได้ไม่ยาก

“น้องชายน่ารักนะคะ” เธอพักมือที่ถือเครื่องแสกนบาร์โค้ด ส่งยิ้มพิมพ์ใจไปทางลูกค้าร่างสูงโปร่ง ทำทีเป็นเอ่ยชมเขาหน้าตาเฉย ทั้งที่ยังไม่เห็นว่าเธอจะหันมามองหน้าเขาตอนไหน รู้ได้ไงว่าน่ารัก ถึงจะจริงก็เหอะ

“ไม่ใช่น้องครับ”

ไม่ใช่แค่คนหลังเคาน์เตอร์ที่ชะงักกับคำตอบนั้น เขาเองก็ด้วย อย่าบอกนะว่าจะบอกว่าไม่ใช่น้อง แต่เป็นเมี…

“คนใช้”

อืม!!

“อ…อ๋อ ขอโทษทีค่ะ” พนักงานก้มหัว รีบหันกลับไปตั้งใจทำงานต่อ

ข้าวของในถุงถูกวางกลับลงในรถเข็นคันเดิม วันเสาร์เดินตัวลอยนำหน้าเขาไปยังทางออกสู่ลานจอดรถ ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้วรวดเร็วเกินกว่าที่คิด เราออกจากบ้านมาช่วง 4 โมง เผลอแป๊บเดียวจะค่ำแล้วเหรอเนี่ย

“พี่เสาร์ ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ” เขารีบถามก่อนจะเดินพ้นประตูห้าง อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ปล่อยให้เขาวิ่งดุกดิกไปทำธุระส่วนตัว ไม่ได้มีท่าทีกังวลว่าเขาจะหัวหมอหาทางหนีไปสักนิด

ซึ่งก็นับว่าคิดถูก เพราะเขาเลิกคิดหนีไปแล้ว วันเสาร์น่ะแตกต่างจากเจ๊หมวย ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วเขาถูกช่วยไว้ ถ้ายังอยู่กับเจ๊หมวย เขาก็เป็นได้แค่สินค้ารอวันหมดอายุและเน่าเปื่อยตายไปเท่านั้น แต่กับวันเสาร์ หากตัดเรื่องบนเตียงกับอัธยาศัยห่วยแตกออกไป เขาก็ยังได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง ยิ่งกับโชคชะตาที่ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก เขาคิดว่าทางนี้ พระเจ้าก็คงปราณีที่สุดแล้ว

นับหนึ่งกวักน้ำจากก๊อกเพื่อล้างหน้าล้างตา ก่อนจะก้าวไวๆ กลับออกไปด้านนอกเพื่อไม่ให้คนรออารมณ์เสีย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินผู้ชายอย่างวันเสาร์ไว้สูงเกินไปหน่อย…คนแบบนั้นมีเหรอ จะมารอคนแบบเขา

“พี่เสาร์” ปากบางเผลอเรียกชื่ออีกฝ่าย ขณะกวาดตามองไปรอบๆ

วันเสาร์หายไปแล้ว…



------------------------------------------------------------------------------
#นับหนึ่งถึงเสาร์
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 5
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 13-10-2018 18:33:18
นับหนึ่ง ถึง ห้า



“ไม่สบาย!”

“เอ่อ…แค่ไข้ขึ้นนิดหน่อยครับ”

“พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”


นั่นคือบทสนทนาผ่านสายโทรศัพท์เมื่อครู่ ระหว่างรอนับหนึ่งเข้าห้องน้ำ เขาก็ได้โอกาสโทรถามไถ่น้องชาย ซึ่งตามแพลน จะต้องกลับจากต่างจังหวัดวันนี้ และนี่ก็ควรถึงกรุงเทพฯ ได้แล้ว แต่เรื่องไม่คาดคิดมันก็เกิด เมื่อวันศุกร์แบกไข้กลับมาบ้านด้วย ในฐานะของพี่เขาคงปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้

แค่ได้ยินว่าศุกร์ป่วย ใจเขามันก็ร้อนรนจนคุมไม่อยู่ ขายาวสาวไวๆ ไปทางรถยนต์ รีบขับไปทางถนนมุ่งสู่คฤหาสน์ตระกูลเดชะภักดีของนายกันติกรณ์ทันที เขาไม่สนใจว่าวันศุกร์จะห้าม หรือว่าจะปกป้องคนรักตัวเองยังไง เขาต้องไปให้เห็นกับตาว่าน้องเขาไม่เป็นอะไร และแน่นอนว่าต้องไปเอาเรื่องไอ้คนที่เคยสัญญาว่าจะดูแลศุกร์อย่างดี แต่ก็ไม่เคยทำได้ด้วย

เขาเพิ่มแรงเหยียบคันเร่งหลังพ้นแยกไฟแดง แม้ว่าจุดหมายไม่ได้อยู่ใกล้เท่าไร แต่ก็สามารถไปถึงได้ในเวลาไม่นาน เหล่าแม่บ้านต่างพากันออกมาต้อนรับจ้าละหวั่น ทั้งสีหน้าตื่นตระหนกกันหมด

“ศุกร์อยู่ไหน?”

“บะ…บนห้องนอนคุณกันต์ค่ะ”

เกศราไม่อยู่ที่นี่ ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องโชคดีหรือไม่ดี เพราะเกศไม่อยู่ เขาถึงยิ่งไม่ไว้ใจให้น้องชายคนนั้นของเธอมาคอยดูแลน้องชายของเขาในเวลาป่วยไข้ตามลำพัง แต่ก็เพราะเกศไม่อยู่ เขาถึงได้กล้าเดินดุ่มๆ ขึ้นบันไดบ้านคนอื่น โดยไม่ต้องเกรงใจคนเป็นเพื่อน

“ศุกร์” เสียงทุ้มเรียกความสนใจจากสองชีวิตภายในห้องกว้างขวาง กันติกรณ์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก้มหัวทักทายผู้มาเยือนตามมารยาท

ร่างบางบนเตียงขยับลุกนั่ง “พี่เสาร์ ศุกร์บอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องมา”

“ได้ยังไง ศุกร์ไม่สบายแบบนี้พี่เป็นห่วง”

“ศุกร์ไม่ได้เป็นอะไรมากเลยนะครับ”

“แค่นิดเดียวพี่ก็เป็นห่วง แล้วนี่กินข้าวเย็นหรือยัง?”

“กินแล้วสิครับ” วันศุกร์รีบตอบ ตากลมเหลือบมองนาฬิกาฉายตัวเลขเกือบสามทุ่ม ถ้าเวลานี้คนป่วยยังไม่มีอะไรลงท้อง คงไม่ใช่เขาที่จะเดือดร้อน แต่พี่กันต์นั่นแหละจะตายและเขาคงไม่ยอมด้วย

“แล้วยาล่ะ?”

“ยาก็กินแล้วครับ”

“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ป่วย ปกติศุกร์ไม่ใช่คนป่วยง่าย”

“เอ่อ…” เขาหันมองหน้าคนรักเลิ่กลั่ก จะบอกได้ยังไงว่าพักผ่อนไม่เพียงพอเพราะโดนกวนใจตลอดทั้งคืน “ตอนเช้าก็ร้อน ตอนกลางคืนก็หนาว ศุกร์ปรับตัวไม่ทันเลยป่วยอะครับ”

“ครับ สงสัยโดนลมทะเลด้วย”

กันต์ช่วยเสริม แต่กลับถูกสายตาแข็งกร้าวของคนเป็นพี่เขยตวัดใส่ หุบปากแทบจะไม่ทัน

“ไม่ได้ถามนาย”

“พี่เสาร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ไข้นิดหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว”

ร่างสูงชั่งใจอยู่นานพอตัวกว่าจะยอมพยักหน้าอย่างจำนน วันเสาร์ขยับเข้าใกล้ ฝากจุมพิตบางเบาไว้กับขมับ ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนาคลุมกายให้ เขาใช้เวลาพูดคุยกับน้องชายต่ออีกไม่กี่นาที ก่อนจะถูกไล่กลับบ้าน

“ขับรถดีๆ นะครับ ถึงบ้านแล้วบอกศุกร์ด้วยนะ”

“อืม เราก็พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ”

วันศุกร์พยักหน้า บีบมือหนาทิ้งท้ายเหมือนอยากจะสื่อสารบางคำออกไป ซึ่งเขาก็เข้าใจดี ว่าไม่ต้องการให้เขาต่อว่าอะไรกันติกรณ์ ทั้งที่จริงเขาอยากจะต่อยหน้ามันเลยด้วยซ้ำ

“ดูแลศุกร์ให้ดี ถ้าเป็นอะไรอีก ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่” วันเสาร์ชี้นิ้วบอกเจ้าของบ้าน ซึ่งยังปั้นหน้ากวนประสาททุกครั้งที่เจอกัน

เขาพาตัวเองขึ้นรถ ตรงกลับบ้านในเวลาค่ำ บรรยากาศตลอดสองข้างทางแลดูมืดหม่น ความเงียบและแสงไฟริมถนนจุดความเหงาในใจเขา เป็นอีกครั้งที่รู้สึกหงุดหงิด…ตัวเอง ไม่ใช่ว่าไม่อยากหลุดพ้นจากความรู้สึกอึดอัดน่ารำคาญนี้ แต่เขายังไม่สามารถปล่อยวางจากอดีต

วันศุกร์…เด็กคนนั้น สำหรับเขา ก็ยังคงเป็นที่รักหนึ่งเดียว ซึ่งไม่อาจตัดขาดได้…

พี่ละเมียดวิ่งออกมาเปิดประตูบ้าน พร้อมกับพี่ละไมที่ตามมาชะเง้อชะแง้คอมองหาอะไรบางอย่าง ใบหน้าฉงนสงสัยทันทีที่เขาก้าวขาลงจากรถ ทำให้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“คุณเสาร์ แล้วคุณหนึ่งล่ะคะ?”

อ่า…หมอนั่น ลืมไปซะสนิทเลย

“ยังไม่กลับมาอีกเหรอครับ?” เขาแกล้งถามกลับ เด็กอย่างนับหนึ่งถึงจะดูโง่เง่าไปบ้างบางที แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ฉลาด คงไม่บ้าถึงขนาดนั่งรออยู่ที่เดิมนานเป็นชั่วโมงๆ หรอกมั้ง และเขาก็มั่นใจว่าคงไม่คิดตื้นพอที่จะหนีไปด้วยเช่นกัน

“ยังเลยค่ะ แล้วไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอคะ?”

“พอดีศุกร์โทรมาบอกว่าไม่สบาย ผมเลยรีบขับรถไปหา”

ทั้งสองคนรับฟังนิ่งๆ เพราะทราบเรื่องที่วันศุกร์ไม่สบายแล้ว แต่ก็ไม่น่าต้องห่วงมากเพราะยังไงก็มีกันติกรณ์คอยดูแลใกล้ชิด ต่างกับสมาชิกใหม่อีกคน “อย่าบอกนะคะว่าคุณเสาร์ทิ้งคุณหนึ่งไว้ที่ห้าง”

กำลังจะบอกเลยต่างหาก…

“เอ่อ…ผมก็นึกว่าเขาจะกลับมาเองแล้ว”

แม่บ้านเก่าแก่ ใช้ชีวิตเลี้ยงดูคุณชายบ้านวุฒิเวคินทร์มากว่า 10 ปี จึงกล้าพูดได้ว่าเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว ละเมียดส่ายหน้าให้กับความคิดของเจ้านายตัวเอง พลางอธิบายเสียงแข็ง

“คุณหนึ่งจะกลับมาได้ยังไงคะ เงินติดตัวก็ไม่มี เส้นทางแถวนี้ก็ไม่รู้ ป่านนี้ไม่นั่งรอจนเมื่อยแล้วเหรอคะ”

“ห้างก็น่าจะปิดแล้วด้วย คุณเสาร์รีบกลับไปรับคุณหนึ่งเถอะค่ะ”

พี่ละไมถือวิสาสะเข้ามาดันหลังเขาให้กลับขึ้นรถ เธอผายมือไปทางประตูบ้านซึ่งยังเปิดอ้ากว้างอยู่ และเขาก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อฟังแต่โดยดี เพราะเมื่อฉุกคิดตามคำพูดของทั้งคู่แล้วก็ต้องยอมรับว่าครั้งนี้เขาทำผิดจริง ดีไม่ดี เด็กนั่นอาจจะนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วก็ได้

เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเคลื่อนตัวสู่เลข 10 พอดีเป๊ะ อยู่ดีๆ เสียงสะอื้นคุ้นหูก็กลับย้อนเข้ามาหลอกหลอนอยู่ภายในหัว รวมทั้งความรู้สึกแปลกๆ เพียงวูบหนึ่ง

ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กนั่น ก็คงดี…



-----------------------------------------------



ล้อรถเข็นหยุดตัวลงบริเวณมุมหนึ่งของลานจอดรถชั้นดาดฟ้า ซึ่งขณะนี้เกือบโล่งเปล่า ลูกค้าห้างสรรพสินค้าเริ่มทยอยเดินออกจากตัวอาคาร เตรียมตัวกลับบ้าน ยกเว้นแต่เขาที่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง เพราะถูกใครบางคนทอดทิ้งหน้าตาเฉย แถมไร้ซึ่งหนทางติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ของวันเสาร์หรือที่บ้านเขาก็ไม่รู้ เส้นทางแถวนี้เขาก็ไม่คุ้น เอาจริงๆ ชื่อหมู่บ้านอะไรเขาเองยังจำไม่ได้ ซ้ำร้ายไม่มีเงินติดตัวแม้สักแดงเดียว ก็คงไม่กล้าขยับไปไหนหรอก

ข้าวของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตยังคงกองเต็มรถเข็น และเขาก็จนปัญญา นอกจากอดทนนั่งรออยู่เฉยๆ และภาวนาว่าคนใจร้ายคนนั้นจะย้อนกลับมารับ

ความคิดตื้นเขินอย่างเช่นว่าวันเสาร์อาจเป็นคนดี ถูกลบออกจากเซลล์สมองแทบจะทันที คงจะไม่มีคนดีที่ไหนปล่อยเด็กตาดำๆ ทิ้งไว้ให้เผชิญห่ายุงกับละอองน้ำค้างเพียงลำพังแบบนี้

พี่เสาร์นิสัยไม่ดี…ค่าตัวเขาตั้งล้านนึงนะ มาทิ้งๆ ขว้างๆ ได้ยังไง

“ไอ้หนู มานั่งทำอะไร?” เสียงเรียกจากลุงรปภ. ดึงสติเขากลับมา

“เอ่อ ผมรอคนมารับครับ”

“แต่ห้างปิดแล้วนะ”

“ผม…ผมขอนั่งรอตรงนี้อีกแป๊บนึงได้ไหมครับ” เขาหันมองไปรอบๆ ยังคงมีรถคันอื่นจอดทิ้งไว้ไม่กี่คัน โรงหนังกับลานจอดรถก็ยังไม่ปิด คงพอยื้อเวลาได้อีกสักพัก

“นี่หลงทางกับพ่อแม่หรือเปล่า ไปนั่งกับลุงก่อนดีกว่า”

คนในเครื่องแบบดึงข้อมือเขาให้ยืนขึ้นเต็มความสูง แรงกระชากทำเอานิ่วหน้า ท้องฟ้าเหนือหัวยิ่งมืดลงทุกขณะ ไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้สักคน เขาก้มหัวเล็กน้อย เลี่ยงปฏิเสธเมื่อเห็นว่าบรรยากาศชักไม่น่าไว้ใจ

“ไม่เป็นไรครับ ผมขอนั่งรอตรง…อึ่ก!”

หมัดหลุนๆ กระแทกเข้ากับหน้าท้องแบนราบ เรียวขาอ่อนแรงทรุดลงกับพื้น ดวงตากลมสั่นไหวยามถูกดึงกลับไปในวงแขนไม่คุ้นเคยน่ารังเกียจ เสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายทำให้เขานึกขยะแขยง ฝ่ามือกร้านตรงเข้าปิดปากเขาขณะตั้งท่าส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แม้จะพยายามขัดขืนหากก็ยากลำบากจากอาการจุกเมื่อครู่

น้ำตาเอ่อคลอเบ้ายามคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากไม่สามารถหลบหนีไปได้ ชะตากรรมที่เปลี่ยนไปแล้วของเขา มันกำลังจะเปลี่ยนอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่ต้องการ

พี่เสาร์…

ปี๊นนนนนน!

เสียงแตรลากยาวดังรบกวนได้ถูกจังหวะ รปภ.ยอมผละออกจากเขา แสงไฟหน้ารถสาดกระทบจนต้องรีบหรี่ตาปิด ไม่ทันได้เห็นว่าคนขับหุนหันออกมาลากตัวยามคนนั้นไปต่อยหน้าไม่รู้กี่ครั้ง ได้ยินก็แต่เสียงตุบตับกับเสียงร้องโอดโอยน่ากลัว แทบไม่กล้านึกภาพตาม

คนโดนกระทืบลนลานยกมือขอโทษขอโพย รีบคลานหนีออกไปจนไกลสุดลูกตา ฝีเท้าหนักหน่วงดังใกล้ พร้อมแรงรั้งให้เขาลุกขึ้น ใบหน้าถมึงทึงกับนัยน์ตาคมดุไม่ได้ทำให้เขานึกกลัว หากเป็นฝ่ายสมควรโกรธเคืองเสียด้วยซ้ำ

“ปล่อย” นับหนึ่งสะบัดหนีจากการเกาะกุม พยายามประคองตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม มือข้างหนึ่งยังคงกอบกุมท้องน้อยเอาไว้หวังบรรเทาความเจ็บ

“ขึ้นรถ”

คำสั่งเผด็จการไร้การตอบโต้ คนตัวเล็กเม้มปากแน่นสนิท แต่ก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายยังคงเอาแต่ทำเสียงแข็งใส่เขาไม่เลิก

“ฉันบอกให้ขึ้นรถ”

“พี่เสาร์ใจร้าย” ฝ่ามือสั่นเทาตรงเข้าผลักแผงอกกว้าง จมูกแดงรั้นสูดกลั้นอารมณ์สะอื้น “ทำไมถึงทิ้งผมไว้แบบนี้!”

คนตัวสูงย่นคิ้ว เขาว่าอีกฝ่ายคงลืมไปว่าตัวเองมาอยู่กับเขาในฐานะอะไร นับหนึ่งไม่มีสิทธิ์ตัดพ้อหรือแม้กระทั่งขึ้นเสียง และทั้งๆ ที่เขามีเรื่องปวดหัวให้คิดจนรกสมอง แต่ยังยอมยืนฟังคำต่อว่าปาวๆ ก็นับว่ามีเมตตามากแล้ว

“ถ้าจะทิ้งๆ ขว้างๆ กันแบบนี้ จะซื้อตัวผมมาจากเจ๊หมวยทำไม”

“หุบปาก แล้วกลับบ้าน” เขากดเสียงต่ำเพื่อส่งสัญญาณเตือน แต่ดูเหมือนเด็กตรงหน้าจะปีกกล้าขาแข็งเกินคาด เพราะนอกจากจะถอยห่างแล้วยังจ้องเขากลับเขม็ง

“ไม่กลับแล้ว!”

“นับหนึ่ง” นิ้วเรียวชี้หน้าคาดโทษ ดูเหมือนว่าเส้นความอดทนของเขาจวนเจียนขาดผึ่งเต็มที “ถ้าขยับอีกก้าวเดียว ฉันจะฆ่านายแน่”

คำขู่นั้นทำเอาคนตัวเล็กชะงัก เขาสูดน้ำมูก ก่อนจะใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาออกลวกๆ เป็นอีกครั้งที่เขานึกเกลียดตัวเองชะมัด เพราะความเข้มแข็งที่เคยมีมันถูกดูดกลืนหายไปหมดเพราะผู้ชายคนนี้อยู่เรื่อย มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่น ตัดสินใจขยับขาออกอีกก้าว…

ตามด้วยเสียงคำรามอย่างที่เขาไม่ชอบเลย และก่อนจะทันตั้งตัวก็ถูกร่างหนาตรงเข้าประชิด บังคับฉุดข้อมือเขากลับขึ้นรถ มือใหญ่คว้าหมับเข้ากับคางมน แรงบีบเหลืออดทำให้เขาตื่นกลัวจนขนลุกชัน แค่จะขยับนิ้วก็ดันไม่กล้า

“อยู่เฉยๆ เข้าใจไหม”

วันเสาร์จัดการย้ายของใช้กับขนมที่ซื้อมาใส่กระโปรงหลัง ตามขึ้นมาประจำตำแหน่งคนขับ บรรยากาศตลอดทางเต็มไปด้วยความอึดอัดและน่าเกรงกลัว คนบนเบาะด้านข้างเอาแต่ก้มหน้างุดพลางส่งเสียงสะอื้นอีกครั้ง นับหนึ่งถูกลากเข้าห้องนอนทันที ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้ได้ทักทายแม่บ้านทั้งสองซึ่งดูจะเป็นห่วงเขายิ่งกว่าเจ้าของชีวิตเขาซะอีก

ร่างบางถูกจับโยนลงบนเตียง ถูกคร่อมทับตามเดิมราวกับม้วนฟิล์มฉายซ้ำ น้ำตารื้นหยดแหมะพร้อมเสียงกรีดร้องในลำคอ วินาทีที่ฟันซี่คมกัดลงบนลาดไหล่ขาวชื้นเหงื่อ

“ออกไป…”

“ฉันจะลงโทษนาย” คำถามนับร้อยพันผุดขึ้นเต็มสมอง เขาไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่าการมาอยู่ภายใต้อาณัติของวันเสาร์มันจะดีกว่าการเป็นเด็กเล้าไร้ทางเลือกตรงไหน

“ลงโทษเรื่องอะไรครับ”

“โทษฐานที่นายทำให้ฉันหงุดหงิด”

ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น กำปั้นเล็กๆ ทุบตีลงกับต้นแขนแกร่งอย่างไม่คิดออมมือ เสียงตะคอกแหบพร่าพร้อมน้ำตาร่วงหล่นทำเอาคนมองนิ่งไป

“ผมผิดอะไรอะ! ความจริงผมควรเป็นฝ่ายโมโหมากกว่า อยู่ดีๆ พี่ก็ทิ้งผมไว้”

“นายไม่…”

ใบหน้าเนียนบูดเบี้ยว แดงซ่านด้วยความโกรธ ยังคงพ่นคำพูดระบายความในใจ ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเถียงกลับได้ทัน “ผมอยากกลับบ้านก็ไม่มีที่ให้กลับ ผมรออยู่คนเดียวตั้งนาน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่จะกลับมาไหม แล้วผมจะไปไหนต่อ แล้วตอนนั้น ถ้าพี่มาช่วยผมไว้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะถูกทำอะไรบ้าง”

แรงสะอึกทำเอาอกบางกระเพื่อมรุนแรงจนตัวโยน วันเสาร์ขมวดคิ้ว จับจ้องไปยังนัยน์คู่สวยซึ่งบัดนี้กลับถูกบดบังด้วยม่านน้ำตา อะไรบางอย่างภายในจิตใจของเขาถูกสะกิดด้วยสุ้มเสียงสุดท้าย ก่อนที่ทั้งห้องจะเงียบลง หลงเหลือไว้เพียงเสียงร้องไห้เบาๆ

“ผมกลัว…”

คำพูดแค่สองพยางค์เท่านั้น ที่เป็นตัวหยุดเขา

ร่างสูงลอบถอนหายใจหนักหน่วง ยอมผละออกมานั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่บนปลายเตียง ปล่อยให้เด็กอีกคนในห้องนอนสงบสติอารมณ์อยู่แบบนั้นนานหลายนาที

เขาไล่นับหนึ่งไปอาบน้ำ ก่อนจะเดินลงไปด้านล่าง เห็นว่าไฟในห้องครัวยังคงสว่างโร่

“คุณเสาร์ คุณหนึ่งเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” พี่ละไมตรงเข้ามาถาม เขาไม่ตอบนอกจากส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พี่ละไม ช่วยชงโกโก้ให้ผมหน่อย”

“หือ คุณเสาร์จะดื่มโกโก้เหรอคะ?” เธอเลิกคิ้วสูงอย่างไม่มั่นใจนัก

“เปล่าครับ”

“อ่า” ละไมพยักหน้ากับตัวเอง เหมือนว่าจะพอเดาออก และนั่นก็ทำเอาเธอกลั้นยิ้มไม่อยู่ “ให้คุณหนึ่งสินะคะ”

“พี่รีบไปทำเถอะครับ”

“ค่าๆ”

วันเสาร์ส่ายหน้าอีกครั้ง แต่ด้วยความระอา เขาพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว สายตาเรียบนิ่งเหลือบมองไปยังเพดานสู่ชั้นสอง

ไอ้เด็กนับหนึ่ง…น่ารำคาญสิ้นดี และยิ่งน่ารำคาญที่สุดเวลาร้องไห้ เลวร้ายกว่านั้นก็คือ หมอนั่นร้องไห้บ่อยพอๆ กับกะพริบตา ร้องซะจนทำให้คนอย่างเขาเผลอรู้สึกผิด ทั้งที่ปกติเขาไม่จำเป็นต้องสนใจใครด้วยซ้ำ

“คุณเสาร์” ละไมตะโกนเรียก “คุณหนึ่งชอบดื่มแบบหวานหรือเข้มคะ?”

สงสัยคงลืมไปหมดแล้วมั้งว่านับหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ยังไม่ถึง 3 วันเต็ม แต่ดันถามอย่างกับว่าเขารู้จักหมอนั่นดี เอาจริง นอกจากชื่อนับหนึ่ง เด็กในเล้าเจ๊หมวย นิสัยขี้แย กับรอยปานจางๆ บริเวณสะโพกหลัง เขาก็ไม่คิดว่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายนั้นอีก



“หวานไป”

“ไม่หวานก็ไม่อร่อยสิครับ”

“พรุ่งนี้ให้ชงมาใหม่”



บทสนทนาไร้สาระซึ่งไม่ควรถูกบรรจุอยู่ในส่วนใดของสมอง มันกลับย้อนเข้ามาให้นึกถึงซะอย่างนั้น ถ้าคำว่าหวานสำหรับเด็กนั่นเท่ากับอร่อย งั้นก็คง…

“หวานครับ”

ไม่กี่นาทีต่อมา แม่บ้านประจำก็ยกแก้วเซรามิคสีขาวล้วน วางบนถาดรองเข้าชุดกันออกมา เธอตั้งท่าจะเดินไปทางบันได แต่กลับต้องสะดุดเมื่อเจ้าของร่างสูงเดินมาขวางหน้า แล้วชิงเอาเครื่องดื่มในมือไปถือไว้แทน

“เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปเองครับ พี่ละไมไปนอนได้แล้ว”

“เอางั้นเหรอคะ”

“ครับ” วันเสาร์กดเสียงต่ำ พยักเพยิดหน้าอย่างกับว่าจะไล่

เขากลับขึ้นไปบนห้อง ดูเหมือนนับหนึ่งเพิ่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพอดี คนตัวเล็กหันมองเขาด้วยท่าทีไม่ไว้ใจ เรียวขาขาวขยับหนีทุกครั้งที่เขาก้าวเข้าไปใกล้ แต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายถดถอยจนชนกำแพงหมดทางหนีเสียเอง

โง่

“ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่า” แก้วอุ่นร้อนในมือถูกยื่นไปตรงหน้า “ดื่มซะ”

ดวงตากลมหรี่มองของเหลวสีน้ำตาลนมด้านใน นับหนึ่งย่นคอ มุ่นหัวคิ้ว ทำเอาเขาอยากลองราดโกโก้ใส่หัวสักทีดูเหมือนกัน ไม่รู้จะกระแดะสงสัยบ้าบออะไรปานนั้น

“โกโก้ พี่ละไมชงมาให้”

เจ้าของใบหน้าบึ้งตึงคว่ำปากเล็กน้อย ยอมรับแก้วมากุมไว้ทั้งสองมือ จมูกโด่งรั้นจรดใกล้ขอบแก้ว ทำท่าฟุดฟิด สูดดมเอากลิ่นหอมยั่วน้ำลายเข้าปอด ถ้าพี่ละไมชงมาเขาก็ค่อยวางใจ แต่ถ้าบอกว่าวันเสาร์ชงให้ เขาจะรีบเอาไปเททิ้ง เพราะมันต้องใส่ยาพิษเอาไว้แน่ๆ

เรียวลิ้นเล็กหลอมรวมเป็นหนึ่งกับรสชาติหวานละมุนของผงช็อกโกแลตยี่ห้อดัง ส่วนผสมลงตัวทำให้โกโก้แก้วนี้ออกมาน่าประทับใจถูกปากเขาเป็นที่สุด

“หวาน…”

“แล้ว?”

เขาเผลออมยิ้มทั้งที่ควรจะโกรธ น้ำเสียงแข็งกระด้างแปรเปลี่ยนเป็นสดใสในชั่ววินาทีอย่างกับเสกสรร

“อร่อยครับ”

และก็น่าตลกที่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้วเหมือนกัน วันเสาร์ยังคงตีหน้านิ่งเหมือนเคย หากแต่แววตาดุดันนั้นกลับอ่อนลงจนเห็นได้ชัด คนตัวสูงโน้มลงมาอยู่ในระดับไล่เลี่ยกับเขา ปลายนิ้วโป้งปาดเช็ดคราบโกโก้บนมุมปากออกให้…ไม่ได้เบามือสักเท่าไรนัก

“กินเลอะเทอะ” เสียงทุ้มเอ็ดขึ้น ย้ายตัวเองขึ้นไปบนเตียง หยิบเอาหนังสือเล่มเดิมเปิดอ่าน

นับหนึ่งยู่หน้า แล้วยกแก้วขึ้นดื่มอีกหลายอึกจนหมด เขาคลานตามขึ้นไปบนที่นอน แต่ก็เว้นระยะห่างพอสมควร ความง่วงตรงเข้าจู่โจมแทบจะทันทีที่ศีรษะสัมผัสลงกับหมอนใยไหมใบนุ่ม สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนราง ก่อนจะจางหายลับไป…

ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว วันเสาร์คั่นหน้ากระดาษ ปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะหัวเตียง เขาลุกไปดับสวิตช์ไฟกลางห้อง กลับมานั่งจ้องร่างสงบนิ่งข้างกาย เสียงลมหายใจผะแผ่วไม่ได้น่าฟัง และพวงแก้มใสเสี้ยวหนึ่งนั้นก็ไม่ได้น่ามองแต่อย่างใด

หากกว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปร่วม 10 นาที กับการเฝ้ามองอีกคนนอนแน่นิ่ง คำพูดเบาๆ ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรา

และมันก็คงเป็นคำพูดที่ไม่มีใครในนี้ได้ยิน…

“ฉันขอโทษ”



------------------------------------------------------------------------------
#นับหนึ่งถึงเสาร์
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-10-2018 19:31:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 6
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 20-10-2018 09:00:16
นับหนึ่ง ถึง หก



แสงแดดยามสายโด่งลอดผ่านหน้าต่างแยงตา นับหนึ่งขยับแขนบิดขี้เกียจ พลิกตัวสองสามรอบแล้วจึงเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ภายในห้องนอนกว้างขวางยิ่งดูกว้างกว่าเดิมเมื่อเหลือเพียงเขาคนเดียว นับหนึ่งลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตาไปทางซ้ายที ขวาที สังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างวางทิ้งไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟหัวเตียง

กล่องกระดาษหนักพอดู แปะโพสอิทไว้แผ่นหนึ่ง ลายมือของวันเสาร์อ่านยาก แต่ก็พอแกะความได้

‘เอาไว้ใช้ แล้วเลิกโวยวายสักที’

เขาเบะปาก นึกน้ำเสียงรำคาญของอีกฝ่ายออกเลยแฮะ กระดาษสีเหลืองถูกแกะออก เผยให้เห็นลวดลายบนกล่องปริศนา ถึงจะไม่เคยแตะมาก่อนแต่ก็ฉลาดพอจะรู้ว่ามันคืออะไร นับหนึ่งเบิกตาเป็นประกายยามเปิดฝากล่องออก มือถือเครื่องบางราคาแพงหูฉี่ เปิดเครื่องพร้อมตั้งค่าต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพลิกมันไปมาเพื่อชื่นชม ก่อนจะทดลองจิ้มลงไปบนหน้าจอสว่างวาบ

โห ไม่ต้องรอชาติหน้าถึงจะมีบุญได้จับแล้วอะ ปกติเคยเห็นแต่ในโฆษณา รู้ตัวหรอกว่าไม่มีปัญญาแม้จะสัมผัสด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้เขากำลังจะมีมือถือยี่ห้อดังเป็นของตัวเอง

วันเสาร์สายเปย์นี่หว่า…

‘ฉันขอโทษ’

คำพูดที่ฟังแล้วเหมือนฝันไป ดังย้อนกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง ถ้าเขาไม่ได้หูแว่ว ก็คงเป็นไปได้ว่าคุณชายจอมเย็นชาอาจจะนึกอยากขอโทษเขากับเหตุการณ์เมื่อวานอยู่เหมือนกัน รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นับหนึ่งกระโดดลงจากเตียง จัดการอาบน้ำแต่งตัวแล้ววิ่งปรี่ลงไปชั้นล่าง เสียงฝีเท้าตึงตังคงทำเอาแม่บ้านขวัญกระเจิงพอตัว พี่ละเมียดรีบยกมือขึ้นห้ามเขาใหญ่

“คุณหนึ่งอย่าวิ่งค่ะ ระวังตกบันได”

“พี่ละเมียด พี่เสาร์อยู่ไหนครับ?”

“คุณเสาร์อยู่ห้องนั่งเล่นค่ะ แต่ว่…” เขาพยักหน้าแล้วเลี้ยวเท้าไปยังจุดหมาย ไม่ทันได้ฟังเสียงห้าม

“พี่เสาร์” ประตูบานเลื่อนสีขุ่นเปิดออก น้ำเสียงสดใสกับใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีต้องถูกกลืนหายลงไปในท้องเมื่อพบว่าบนโซฟากำมะหยี่ตัวยาวไม่ได้มีแค่คนที่เขากำลังตามหา “เอ่อ…”

แขกของวันเสาร์หันจ้องหน้าเขาอย่างตกตะลึง และก็ไม่ใช่ใครอื่น นี่คือเจนภพ คนที่ทำให้เจ๊หมวยพาเขามาที่นี่ ท่าทางฉงนแบบนั้น น่ากลัวว่าคงยังไม่รู้เรื่องสถานะของเขาเป็นแน่

“ส…สวัสดีครับ”

“นาย…นับหนึ่ง เด็กเจ๊หมวยใช่ไหม?”

“ครับ” คนถูกถามพยักหน้า เลียบๆ เคียงๆ ไปหลบใกล้กับเจ้าของบ้าน ซึ่งยังคงตีหน้าเรียบเฉยไม่เดือดร้อน ในขณะที่อีกคนกำลังจะกลายเป็นไก่ตาแตกอยู่รอมร่อ

“ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่? หรือว่ามึงเรียกมาอีกรอบ?”

เจถามเขา ก่อนจะหันไปเอาความกับเพื่อน แต่คำตอบที่ได้รับกลับยิ่งเพิ่มความสงสัยขึ้นอีกสักร้อยเท่า

“กูซื้อนับหนึ่งมาจากเจ๊หมวยแล้ว”

“ซื้อ? หมายความว่าไง”

“ก็ซื้อ เอามาเป็นคนรับใช้ที่บ้าน” วันเสาร์ปรายตามองเขาซึ่งกำลังยืนอมแก้มป่อง ไม่เปิดโอกาสให้เจได้พูดอะไรต่อ ก็ชิงตั้งคำถามขึ้นก่อน

“แล้วนี่เรียกฉันทำไม”

“อ่าว เรียกไม่ได้เหรอครับ”

“นับหนึ่ง” ร่างสูงกดเสียงต่ำเหมือนคำเตือน เขาเลยต้องเลิกกวนแล้วเปลี่ยนเป็นก้มหัวอย่างนอบน้อม

“ผมจะมาขอบคุณเรื่องมือถือ”

“อืม”

บทสนทนาจบลงรวดเร็ว เจยังคงเอาแต่มองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา ในใจนึกสนุก สุดท้ายก็ไม่พ้นอย่างที่เขาคิดไว้ ว่าเด็กนับหนึ่งน่ะตรงตามสเป็คคุณชายวันเสาร์แทบทุกกระเบียดนิ้ว แถมดูเหมือนจะยิ่งพออกพอใจเกินคาด ถึงขนาดรับมาไว้ใกล้ตัวขนาดนี้ เผลอๆ จะเอามาแทนที่คนในใจซะด้วยซ้ำ

จะเป็นไปได้หรือเปล่านะ…?

“แต่นับหนึ่งมาอยู่นี่ก็ดีเหมือนกัน มึงจะได้เลิกอมทุกข์”

วันเสาร์ไม่ตอบอะไร เขาเลยหันไปคุยกับอีกคนแทน

“นายก็หัดอ้อนไอ้เสาร์ไว้นะ เห็นดุๆ แบบนี้ จริงๆ มันขี้ใจอ่อน โดยเฉพาะกับเด็กหน้าตาน่ารักแบบเนี้ย”

“พูดอะไรไร้สาระ” แววตาคมติดจะรำคาญตวัดมองเพื่อนข้างกาย ก่อนจะหันไปปัดมือไล่เด็กที่ยังเอาแต่ยืนยิ้มฝืดๆ “ไปชงกาแฟ”

นับหนึ่งก้มหัวเดินผ่านหน้าทั้งสองหนุ่มออกไปจากห้อง สายตาหลอกล้อของเจนภพยังคงมองตามหลังไม่ห่าง เพื่อนมัธยมพ่วงด้วยตำแหน่งหุ้นส่วนธุรกิจจ้องหน้าวันเสาร์อย่างต้องการเค้นเอาคำตอบ

“ติดใจอะไรวะ?” คำถามสั้นๆ ฟังดูเหมือนง่าย หากตอบยากเหลือเกิน เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ยอมซื้อตัวเด็กคนนั้น มันเป็นความรู้สึกคาบเกี่ยวระหว่าง ปล่อยไปไม่ได้ กับ ไม่อยากปล่อยไป แต่ไม่ว่าจะทางไหน ก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจทั้งสิ้น

เขาตัดสินใจเงียบ เพราะสิ่งที่เจนภพอยากรู้ ก็เป็นคำถามติดค้างในใจเขามาตั้งแต่วันแรกที่รับนับหนึ่งเข้าบ้านเช่นกัน เป็นคำถาม ที่เขาเองยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้



-----------------------------------------------



“ลุงชัย ทำอะไรครับ” สมาชิกใหม่ของบ้านส่งเสียงทักทายขณะก้าวเท้าผ่านกระเบื้องหิน ปูทางไปสู่สนามหญ้า

“รดน้ำต้นไม้ครับคุณหนึ่ง”

ลุงชัย คนขับรถ ผละจากสายยางในมือ แล้วเงยหน้าส่งยิ้มใจดีมาให้ เขายิ้มตอบแล้วถือวิสาสะเดินชมไปรอบๆ

หลังจากนำกาแฟไปประเคนให้คุณชายวันเสาร์แล้วก็ว่างงาน พี่ละเมียดกับพี่ละไมหายเข้าไปในครัว คงกำลังเตรียมอาหารกลางวัน เหลือแค่เขาคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำถึงขนาดต้องพาตัวเองออกมาชมนกชมไม้ไปเรื่อย แต่ก็ไม่แย่นัก เพราะสวนของบ้านวุฒิเวคินทร์ร่มรื่น ท่ามกลางหมู่บ้านจัดสรรแลดูแออัด แต่พื้นที่ภายในรั้วที่โอบล้อมอาคารโมเดิร์นหลังสวยไว้กว้างใหญ่ มีพันธุ์ไม้หลากหลายเติมแต่งพื้นสีเขียวจนไม่ว่ามองไปทางไหนก็ล้วนสบายตา

ไม้ยืนต้นขนาดสูงลิ่ว ต้องเงยหน้าขึ้นมองเกือบจรดดวงอาทิตย์กลางศีรษะ หากแผ่กิ่งก้านร่มเย็น อีกทั้งส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

“นี่ต้นอะไรครับ?” เขาเอ่ยถาม ย่อตัวลงมองดอกไม้สีขาวดุจนุ่น บ้างอมเหลืองนวล ร่วงกระจายแทรกตัวไปตามยอดหญ้าชุ่มชื่น

“ต้นปีบครับ”

เขาพยักหน้ากับตัวเอง ทวนคำเสียงเบา “ดอกปีบ”

“คุณหนึ่งชอบเหรอครับ?”

“ครับ สวยดี หอมด้วย”

“ต้นปีบนี้ คุณนายก็ชอบมากเหมือนกันครับ”

นับหนึ่งเอี้ยวหันหลัง เลิกคิ้วให้กับลุงชัยที่กำลังเงยศีรษะมองดอกปีบผลัดออกจากต้น เอ่ยถามโง่ๆ ทำเอาอีกคนหลุดขำ

“คุณนาย? ใครครับ เมียพี่เสาร์เหรอ”

“ไม่ใช่ครับๆ แม่คุณเสาร์ครับ”

อ๋อ…อ้าว

“พี่เสาร์มีแม่ด้วยเหรอครับ?”

คนมีอายุกลั้นหัวเราะให้กับความพาซื่อของเด็กใหม่ในบ้าน เขายกมือขึ้นจุ๊ปากพลางเหลือบสายตามองไปยังหน้าต่าง เตือนให้รู้ว่าถ้าไปพูดแบบนี้ให้วันเสาร์ได้ยินล่ะก็ มีหวังคงถูกจับไปเชือดบนเขียงแทนหมูแน่ๆ และนับหนึ่งก็คงรู้ตัวว่าถามอะไรไม่สมควรออกไป ถึงรีบแก้คำใหญ่

“เอ่อ คือผมไม่รู้ว่าพ่อแม่พี่เสาร์อยู่ที่นี่ด้วย”

“อยู่ครับ แต่ท่านต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ นานๆ ทีถึงจะกลับ”

“อ๋อ แล้วพ่อแม่พี่เสาร์เป็นคนยังไงครับ?”

ลุงชัยยิ้มกว้าง เขาคิดว่ามีแค่คำเดียวที่สามารถอธิบายตัวตนของเจ้านายทั้งคู่ได้อย่างดี “ทั้งสองท่านใจดีมากครับ”

“ใจดี…” นับหนึ่งทวนคำ “แล้วทำไมลูกชายเป็นงั้นได้อะครับ”

ทั้งคนพูด คนฟัง ต่างพ่นเสียงหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกัน ลุงชัยส่ายหัวเตือนอีกครั้ง หากก็คิดว่าเด็กตรงหน้าช่างน่าเอ็นดูอยู่มากทีเดียว นับหนึ่งแกล้งทำเป็นยกมือขึ้นปิดปาก แม้ว่าหัวไหล่บางสั่นไหวไปตามแรงขัน

พวกเขาพูดคุยกันต่ออีกหน่อย ก่อนจะเลิกรบกวน แล้วหันไปเก็บดอกไม้บนพื้นมาไว้ในกำมือ ลากเท้าเตาะแตะกลับเข้าไปในบ้าน ดูเหมือนเจนภพจะยังคุยธุระกับวันเสาร์ไม่เสร็จ เผลอๆ คงอีกยาว

“พี่ละไม พี่ละเมียด” เด็กน้อยเรียกหาพี่แม่บ้าน ขณะเดินเลี้ยวเข้าไปยังส่วนของห้องครัว

ภาพที่เห็นคือคนหนึ่งง่วนอยู่กับครก เหมือนกำลังจะทำน้ำจิ้มหรือน้ำพริกสักอย่าง ในขณะที่อีกคนก็คุมหม้อต้มซุป สลับกับล้างผัก เนื้อหมูแช่แข็ง วางละลายน้ำอยู่ในซิงค์ ดูยุ่งเหยิงพอตัว

“คะคุณหนึ่ง”

“คือผมอยากหาอะไรไว้ใส่ดอกไม้อะครับ”

เขาชูมือขึ้น ละไมวางสากลง แล้วเดินหายไปทางชั้นวางจาน กลับมาพร้อมภาชนะใส ไร้หูจับ

“ใช้อันนี้ได้ไหมคะ”

“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ” นับหนึ่งก้มหัว รับแก้วใบนั้นเอาไปเติมน้ำสักเล็กน้อย ก่อนจะใส่ดอกปีบกำหนึ่งลงไป เขารีบเอาไปวางประดับไว้กลางโต๊ะอาหาร เสริมให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ลืมแวะเวียนกลับมาหาแม่บ้านทั้งสองอีกครั้ง

“แล้วนี่กำลังทำอะไรกันครับ ให้ผมช่วยไหม?”

“น้ำพริกกะปิ กับแกงจืดหมูสับค่ะ”

คนตัวเล็กตาลุกวาว ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอะไรก่อน แต่ที่นำโด่งมาเลยก็คงเป็นความประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าครอบครัวระดับนี้จะมีเมนูอาหารบ้านๆ กับเขาด้วย ตั้งแต่อยู่มาก็เห็นว่าไข่เจียวปูดูจะเบสิกที่สุดแล้ว

“กินน้ำพริกกะปิกันด้วยเหรอครับ”

พี่ละไมขำออกเสียง “คุณเจอยากลองทานค่ะ”

“คุณเจนภพเหรอครับ”

“ค่ะ แกชอบทานอาหารแปลกๆ ที่ปกติไม่ค่อยได้ทานน่ะค่ะ”

“อ๋อ แล้วพี่เสาร์ล่ะครับ ชอบกินอะไร”

“คุณหนึ่งก็ลองถามคุณเสาร์เองสิคะ” พี่ละเมียดปรับระดับแก๊ส แล้วหันมาส่งยิ้มหยอกล้อ

“งั้นผมไม่อยากรู้ก็ได้ครับ”

ทั้งสามส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะวกกลับมาเข้าเรื่องเดิม ไม่งั้นคงจะยิ่งได้ชวนคุยกันจนออกทะเล กับข้าวกับปลาเสร็จไม่ทันเวลาพอดี

“แล้วสรุปมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณหนึ่ง”

“แต่ผมว่างอ่า”

“งั้นช่วยเดินไปบอกลุงชัยให้ออกไปซื้อน้ำปลามาให้หน่อยได้ไหมคะ” พี่ละไมยกขวดน้ำปลาเหลือเพียงติดก้นไม่กี่หยด

“น้ำปลาเหรอครับ ซื้อที่ไหนอะ”

“หน้าหมู่บ้านมีเซเว่นค่ะ อยู่ในปั๊มน้ำมัน”

“อ๋อ งั้นเดี๋ยวผมออกไปซื้อให้เองครับ ลุงชัยรดน้ำต้นไม้อยู่”

ละเมียด ละไม หันมองกันสีหน้าลำบากใจ พวกเธอไม่ได้กลัวว่านับหนึ่งจะหนีไป เพราะคงไม่กล้าทรยศคนที่ช่วยชีวิตมาจากแม่เล้าขนาดนั้น อีกอย่าง ถ้าหากจะคิดหนีจริง ก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่จนตอนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าสถานะของนับหนึ่งคืออะไรกันแน่ ที่แน่ๆ ไม่ใช่แค่ คนรับใช้ อย่างที่วันเสาร์เคยบอก พวกเธอจึงไม่กล้าวานอะไร แถมยังเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ เพราะเด็กซื่อๆ อย่างนี้ แค่พ้นออกไปนอกรั้วบ้านก็น่ากลัวแล้ว

“ให้ผมไปนะครับ ผมอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอะ”

“เอ่อ…”

“ผมขี่จักรยานไปแป๊บเดียวเอง น้า”

ละไมถอนหายใจ ก่อนจะยอมพยักหน้าให้กับลูกอ้อน “ก็ได้ค่ะ แต่ต้องรีบไปรีบกลับนะคะ”

“โอเคครับ”

นับหนึ่งฉีกยิ้ม ยืนรอเงินค่าน้ำปลาจากละเมียด แล้วตรงดิ่งออกไปถึงส่วนของโรงจอดรถ เขาจำได้ว่าเห็นจักรยานแม่บ้านวางทิ้งไว้ ก็คงเป็นของพวกพี่ๆ เวลาออกไปซื้อของตามร้านสะดวกซื้อหรือตลาดนั่นแหละ

อากาศในช่วงกลางวันค่อนข้างร้อนแต่ก็ยังพอมีลมพัด ต้นไม้ตลอดทางของหมู่บ้านช่วยให้แดดลอดผ่านลงมาไม่แรงนัก เขาก้มหัวให้ยามสองคนตรงป้อม หักล้อไปทาง 7-11 หน้าปากทางเข้า น้ำปลาขวดเล็กอยู่ในมือ แต่ก็ขอเดินแวะตู้ไอศกรีมสักหน่อย

พี่ละเมียดให้เงินมาเกินตั้งหลายบาท เงินนี่ก็เงินพี่เสาร์ ถ้าเขาจะขออนุญาตเอามาซื้อของกินเล่นนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรมั้ง ของแพงกว่านี้เป็นหมื่นยังซื้อให้เขามาแล้วเลย

คิดได้แบบนั้น เลยคว้าเอาของในตู้ขึ้นมา 6 ชิ้น แน่นอนว่าไอศกรีมนมผสมช็อกโกแลตลายหมีแพนด้าอันนี้เป็นของเขาเอง ส่วนเผือกกับถั่วดำอันนั้นของพี่ละเมียด พี่ละไม รวมมิตรของลุงชัย โคนวานิลลาดูกลางๆ เขาจะเอาไปฝากเจนภพ ตบท้ายด้วยสตรอเบอรี่ถ้วยสำหรับคุณชายวันเสาร์

ใช่ เขาจงใจเลือกรสนี้โดยเฉพาะเลย

นับหนึ่งนำสินค้าทั้งหมดไปจ่ายเงิน เขาจัดวางของในถุงพลาสติกลงตะกร้าหน้ารถ วาดขาขึ้นคร่อมอานจักรยานแล้วปั่นท้าลมแดดกลับเข้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรหรูหรา มีรูปปั้นปลาโลมาฝูงหนึ่งประดับอยู่ตรงน้ำพุ แข่งกันกับฝูงม้าวิ่งของหมู่บ้านข้างๆ

แกร็ก แกร็ก…

“เหวออ” คนตัวเล็กเซเสียหลักตั้งแต่ยังไม่พ้นฐานรูปปั้นโลมา เขารีบใช้เท้ายันพื้นแล้วพาตัวเองลงจากจักรยาน เพื่อพบกับความซวยเล็กๆ น้อยๆ ของวัน

โซ่หลุด…

เขาเกาหัวตัวเองสองสามที ตัดสินใจเข็นจักรยานไปหลบมุม ย่อตัวลงนั่งยอง พยายามสอยเอาโซ่กระดำกระด่างกลับลงรางทีละข้อๆ

ปี๊น

เสียงแตรดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาคนกำลังจดจ่อสะดุ้งโหยง วินาทีแรก คิดว่าคงโดนต่อว่าที่มานั่งขวางถนน แต่กลับไม่ใช่ ชายหนุ่มเจ้าของรถเปิดประตูลงมา แถมยังเอ่ยปากถามเขาด้วยน้ำเสียงใจดีผิดคาด

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ใบหน้าเรียวเข้ารูป ดวงตาคู่สวยจ้องหน้าเขาด้วยความเป็นห่วง

“เอ่อ…ไม่เป็นไรครับ แค่โซ่หลุด”

“ไหน พี่ช่วยไหม”

คนแปลกหน้าย่อเข่าลงระนาบเดียวกัน สรรพนามเปลี่ยนไปบ้างหลังจากเห็นหน้าเขาชัดๆ แล้วคงพอเดาได้ว่ายังเด็กกว่าตนอยู่ไม่มากก็น้อย

“มะ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ย…”

เขาพูดได้ไม่ทันจบประโยค เจ้าของร่างสูงโปร่งก็หันมาส่ายหน้า ส่งยิ้มหวานให้ชนิดที่แค่มองก็แทบหลอมละลายไปกับแสงแดดประเทศไทย สุดท้ายจึงทำได้แค่เพียงนั่งเงียบ มองดูอีกฝ่ายไล่แก้สายโซ่ทีละนิด ทั้งที่แต่งตัวดูภูมิฐาน หน้าตามีชาติตระกูล รถยนต์นั่นก็คงราคาแพงไม่ใช่เล่น แต่ยังอุตส่าห์ลดตัวลงมาช่วยเด็กที่ไหนไม่รู้ซ่อมจักรยานเลอะเทอะแบบนี้ คงต้องเรียกว่า เทวดา แน่ๆ

ผิดกับซาตานที่บ้านเขาลิบลับเลย

“อะ เสร็จแล้ว ลองดู”

“ขอบคุณมากครับ” นับหนึ่งก้มหัวอยู่หลายทีจนคนมองหลุดหัวเราะ มือหนาผายออกให้เขากลับขึ้นคร่อมอานพาหนะ ได้ยินเสียงกุกกักเล็กน้อยก่อนที่วงล้อจักรยานจะกลับมาแล่นฉิวเหมือนปกติ

ขาเรียวเบรกตัวเองไว้ ไม่ลืมหันกลับไปขอบคุณผู้ช่วยเหลืออีกครั้ง

“ขอบคุณมากเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไร ขับดีๆ ล่ะ”

ต่างฝ่ายต่างล่ำลากันทางสายตา ก่อนที่ผู้ชายใจดีคนนั้นจะหายกลับเข้าไปในรถคันหรู ขับผ่านหน้าเขาไป สงสัยความเชื่ออย่างว่าพวกคนรวยมักหยิ่งทะนงคงไม่จริง เพราะคนเมื่อครู่เพิ่งพลิกจากวันซวยๆ ของเขา ให้กลายเป็นวันดีๆ ได้ในชั่วพริบตา

สองเท้าออกแรงปั่นไวๆ เพื่อหลบเลี่ยงแสงอาทิตย์ซึ่งทำท่าว่าจะแรงขึ้น ไม่กี่นาทีก็ถึงหน้าบ้าน…

“เฮ้ย” เขาเผลออุทานกับตัวเอง หันมองอาคารด้านในรั้วให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ขี่เข้ามาผิดซอย สลับมองรถยนต์คันสีน้ำเงินเข้มเคลือบมุก คันเดียวกันกับที่เพิ่งเจอไปยังไม่พ้นห้านาทีด้วยซ้ำ

บ้าแล้ว โลกกลมพรหมลิขิตอะไรอะ??

น้ำลายอึกใหญ่กลืนลงคอ รีบเข็นจักรยานไปเก็บจุดเดิม เปิดก๊อกล้างมือแล้วปรี่เข้าครัวทันที

“พี่ๆ”

“คุณหนึ่งมาแล้ว” พี่ละไมรับเอาถุงพลาสติกในมือไป หยิบขวดน้ำปลาส่งต่อให้พี่ละเมียด “ซื้อไอศกรีมมาซะเยอะเลยค่ะ”

เธอก้มมองซองหลากสีสัน อาสานำไปแช่ช่องแข็งให้โดยไม่ได้ว่าอะไร พอหันหลังกลับมาก็เจอกับคำถามหน้าตาตื่น

“พี่ละไม รถสีน้ำเงินที่จอดอยู่หน้าบ้านของใครครับ?”

“อ๋อ ของคุณนาวาค่ะ เพื่อนคุณเสาร์”

นับหนึ่งเอียงคอ ทวนคำเสียงแผ่ว “นาวา…”

เพื่อนพี่เสาร์!

โหหหหห ไม่อยากจะเชื่อ นิสัยแตกต่างกันสุดขอบฟ้ากับปลายก้นเหวขนาดนั้นแต่เป็นเพื่อนกันได้ มหัศจรรย์ยิ่งนัก

“คุณหนึ่งไปรอบนห้องก่อนก็ได้ค่ะ อาหารเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ไปเรียก”

“พี่ละเมียดจะไปไหนครับ” เขาไม่ได้สนใจฟังพี่ละไมเท่าไร เพราะมัวแต่สนใจอีกคนที่กำลังยกแก้วน้ำ ทำท่าจะเลี้ยวออกไปทางห้องนั่งเล่น

“เอาน้ำไปให้คุณวาค่ะ”

“เดี๋ยวผมเอาไปให้เองครับ พี่ทั้งสองคนอยู่ทำอาหารให้พี่เสาร์เถอะ”

เธอเลิกคิ้วไม่มั่นใจ แต่เขาไม่รอคำอนุญาตก็เสียมารยาทดึงถาดรองแก้วมาไว้กับมือ แล้วพยักพเยิดหน้าให้ทั้งคู่กลับไปทำงานตามเดิม นับหนึ่งสับขาไปยังประตูสีขุ่น เสียงล้อเลื่อนเรียกความสนใจจากสามหนุ่มในห้อง โดยเฉพาะผู้มาใหม่ซึ่งเอาแต่จ้องหน้าเขาอ้าปากค้าง

“นาย?”

วันเสาร์กับเจนภพตวัดสายตากลับมาทางเพื่อนตัวเอง วันเสาร์สลับมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ก่อนที่เจจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

“ไอ้วา นี่มึงรู้จักนับหนึ่งด้วยเหรอ?”

“ชื่อนับหนึ่งเหรอ” นาวาพูดลอยๆ แล้วยิ้มขำ ไม่รู้ว่าจะตลกในโชคชะตาหรือยังไง “พอดีเมื่อกี้โซ่จักรยานน้องเขาหลุดอยู่หน้าหมู่บ้าน กูเลยไปช่วยซ่อมให้ ไม่ยักรู้ว่าอยู่บ้านนี้”

ประโยคสุดท้ายนั้นจงใจหันไปถามเจ้าของบ้าน ตามด้วยอีกคำถามจี้จุด “ใครวะ?”

เจนภพหันมองใบหน้านิ่งขรึมแทน แม้แต่นับหนึ่งก็ยังอดเหลือบจ้องดวงตาไร้แววคู่นั้นไม่ได้ เขาค่อยๆ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะกระจก บรรยากาศในห้องเงียบสนิทชวนอึดอัด แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร เขาก็พอเดาออกอยู่แล้วว่าคงไม่ใช่ตำแหน่งวิเศษวิโสนัก ในเมื่อรู้แก่ใจดีว่าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร

คนรับใช้ สมบัติ ไม่ก็ตุ๊กตายางเท่านั้น

“เด็กกู”

ใบหน้าหวานชาวาบ สงสัยต้องเพิ่มคำเรียกตัวเองไปอีกอย่าง เพราะล่าสุดได้กลายเป็น… เด็กของวันเสาร์ ไปเสียแล้ว



----------------------------------------------------------------------------------------------
#นับหนึ่งถึงเสาร์
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 6
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 21-10-2018 01:25:41
น้องนับหนึ่งต้องเข้มแข็งกว่านี้นะแงงง อย่ายอมเขาไปทุกอย่าง
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 6
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 21-10-2018 10:38:55
วันนี้เป็นเด็กของพี่ไปก่อนเนอะ สู้ ๆ นับหนึ่ง
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 6
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 21-10-2018 12:48:04
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ ชอบบบบ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 7
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 03-11-2018 10:35:55
นับหนึ่ง ถึง เจ็ด



“เด็กมึง?” นาวาทวนถาม หากไม่ทันได้รับคำตอบ วันเสาร์ก็เลี่ยงไปคุยกับเด็กตรงหน้าแทน

“เมื่อกี้ออกไปข้างนอก?”

“ครับ ออกไปซื้อน้ำปลาให้พี่ละไมที่ 7-11”

“ฉันอนุญาตแล้วเหรอ?”

อ่าว…

“ต้องขออนุญาตด้วยเหรอครับ?” เขาถามซื่อๆ ไม่มีเจตนากวนประสาท แต่แค่ไม่รู้ว่าแม้แต่เดินออกจากรั้วบ้านก็ต้องมาขอด้วย แบบนั้นคงยิ่งกว่าสมบัติ แต่เป็นทาสเลยน่ะสิ

เจนภพหัวเราะตบขาตัวเองอย่างชอบใจ แถมยังยกนิ้วให้เขาอีกต่างหาก

“ต้อง จะไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องมาขออนุญาตฉัน”

“แล้ว…หายใจ นี่ต้องขออนุญาตไหมครับ”

“นับหนึ่ง” เสียงทุ้มต่ำ กับรังสีอำมหิตทำเอาเขารีบรูดซิปปาก ก้มหัวขอโทษ เพราะรอบนี้ยอมรับว่าตั้งใจกวนโมโหจริง

“ผมไปดีกว่า”

เขางึมงำแล้วลุกอ้อมหลังทุกคนบนชุดโซฟาออกไปนอกห้อง ทิ้งไว้ก็แต่ความสงสัยที่ยังไม่จางหายไปจากเพื่อนทั้งสอง โดยเฉพาะแขกคนล่าสุดที่ไม่ยอมลดละ พาวกกลับเข้าประเด็นเดิมอีกจนได้

“ว่าไงไอ้เสาร์ ที่บอกว่านับหนึ่งเป็นเด็กของมึงนี่มันยังไง”

“ก็เด็ก…รับใช้”

“หืม?”

“เอามาเป็นที่รองรับอารมณ์เฉยๆ” วันเสาร์ขยายความ ตามด้วยท่าทางล้อเลียนของเจนภพซึ่งไม่ได้ทำให้บทสนทนาดูสนุกขึ้นเลย

“หรือเอามาเป็นตัวแทนใครไม่ทราบ”

คนถูกถามพ่นลมหายใจออกจากปาก ไม่ยอมตอบแล้วดึงอีกสองคนกลับเข้าธุระ วันนี้เขาตั้งใจเรียกมาคุยเกี่ยวกับงานร้านอาหารของเขากับเจนภพ โดยมีนาวาคอยเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ให้มาซักไซ้เรื่องไม่เป็นเรื่อง

เงาบางเบื้องหลังประตูบานเลื่อนสีขุ่นขยับหลบไปทางเสาบ้าน นับหนึ่งเหม่อลอยมองพื้นขัดจนเงา มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบไปตามลำคอขาวอย่างไม่รู้ตัว ร่องรอยจากสัมผัสที่ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่ารักเลยของผู้ชายชื่อวันเสาร์ยังคงฝังแน่นในความรู้สึก และทั้งๆ ที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามาอาศัยที่นี่ในฐานะอะไร และรู้ด้วยว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็บุญหัวนักหนาแค่ไหนแล้ว แต่ทำไมมันถึงยัง…

เจ็บ…



-----------------------------------------------



คุณชายทั้งสามร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันหลังจากคุยงานจบในเวลาเกือบบ่าย ไร้วี่แววของเด็กที่เพิ่งขี่จักรยานออกไปซื้อน้ำปลามาให้เมื่อครู่ และวันเสาร์เองก็ใจดำมากพอที่จะไม่ถามหาให้เสียเวลา หรือเสียอารมณ์ เพราะรู้แน่ว่าถ้าเอ่ยชื่อเด็กนั่นตอนนี้ก็รังแต่จะทำให้เพื่อนทั้งสองคนได้ใจ หยอกแซวไม่หยุดไม่หย่อน ซึ่งมันน่ารำคาญสิ้นดี

“ถ้ากูสรุปเรื่องนักร้องรับเชิญได้แล้วจะมารายงานอีกที” เจนภพทิ้งท้ายเกี่ยวกับงานที่เขาได้รับมอบหมาย ก่อนจะเป็นคนแรกที่ขอตัวกลับ ตามด้วยนาวาที่เตรียมสตาร์ทรถรออยู่แล้ว

“มีอะไรก็ปรึกษากูได้นะ”

“อืม ขอบใจมาก” วันเสาร์ตบแขนคนเป็นเพื่อนเบาๆ พยักหน้าให้แทนคำขอบคุณ แต่ดูเหมือนแขกเจ้าปัญหาจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ

“ทั้งเรื่องงาน แล้วก็เรื่องหัวใจด้วย”

“หัวใจพ่อมึง”

นาวาหัวเราะร่วน “ก็น้องนับหนึ่ง เด็กมึงไง”

“มึงอย่าไร้สาระตามไอ้เจได้ไหม กูบอกแล้วไงว่าแค่เอามาเป็นที่ระบายอารมณ์”

“ที่ระบายอารมณ์มึงแพงน่าดูเลยว่ะ”

“ไอ้วา” วันเสาร์กดเสียงต่ำ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้จนอีกฝ่ายต้องรีบถอยหนี แต่ก็ยังเอาแต่กลั้นขำไม่กลัวตายสักนิด

“เลิกแกล้งก็ได้” เขาโบกไม้โบกมือ เดินไปเปิดประตูด้านคนขับ “แต่น้องเขาน่ารักดีนะ กูชอบ”

นั่นคือประโยคสุดท้าย ก่อนที่รถยนต์สีน้ำเงินเข้มจะขับออกไปจนลับสายตา ร่างสูงโปร่งจับจ้องไปยังพื้นถนนโล่งเปล่า โสตสมองสะท้อนคำพูดเมื่อครู่ซ้ำไปมา อย่างกับว่าเขากำลังยืนอยู่ในถ้ำ

‘แต่น้องเขาน่ารักดีนะ กูชอบ’

‘กูชอบ’

อะไรวะ…

เขารีบสะบัดหัวไล่ความคิดประหลาดน่าคลื่นไส้ แล้วสาวเท้ายาวๆ กลับเข้าบ้าน ตรงไปยังส่วนของครัวเพื่อตามหาแม่บ้านสักคน แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นละเมียดกำลังตักข้าวให้อีกหนึ่งชีวิตบนโต๊ะอาหาร

“ไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งมากินข้าว” วันเสาร์ถามเสียงเรียบ พาตัวเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม

“เอ่อ…ไปนั่งเล่นที่สวนครับ”

“แล้วทำไมไม่มากินข้าว”

“ก็เห็นพี่เสาร์อยู่กับเพื่อน ผมเป็นแค่คนรับใช้ ให้ไปร่วมโต๊ะด้วยคงไม่เหมาะ”

คนฟังนั่งนิ่ง เถียงไม่ออก เลยได้แต่พยักพเยิดหน้าปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการกับข้าวบนโต๊ะที่เหลือ และเป็นอันจบบทสนทนา เสียงช้อนส้อมกระทบจานชามไม่ได้ทำให้เขานึกหงุดหงิดมากเท่ากับรอยแดงรอบดวงตากลมโตนั่น เพราะมันแสดงให้เห็นว่านับหนึ่งคงแอบไปร้องไห้ที่ไหนอีกแล้ว

ไม่รู้ว่าจะร้องอะไรมากมาย ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในบ้านหลังนี้ เผลอๆ จะเสียน้ำตาไปมากกว่า 10 ลิตร เห็นจะได้ ทั้งที่เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้แตะต้องตัวอีกฝ่าย แถมเมื่อเช้าก็ดูอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ต้องร้องไห้อีก หรือว่าการอยู่ใต้ชายคานี้มันสุดแสนทรมานนัก

เขายังคงนั่งมองใบหน้าหวานเคี้ยวงุบงับ ใช้ความคิดไปเรื่อย กว่าจะทันรู้สึกตัว แขนของเขาก็เอื้อมออกไปจนเกือบจะถึงหางตาคู่สวย วันเสาร์ชะงักเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรบ้าๆ รีบเปลี่ยนเป็นการหยิกพวงแก้มแดงไปทีจนนับหนึ่งถึงกับปล่อยช้อนในมือลง ส่งเสียงโวยวายตามเคย

“โอ้ยพี่เสาร์ เจ็บนะ”

“เมื่อกี้ไปเจอไอ้วาได้ยังไง” เขาแกล้งยกเรื่องอื่นมาถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับยิ่งทำให้อยากหยิกให้ผิวเนื้อขาวๆ กลายเป็นช้ำเขียวไปซะเลย

“เอ้า พี่เขาก็บอกแล้วไงครับว่าโซ่จักรยานผมหลุด ก็เลยลงมาช่วย ได้ฟังบ้างเปล่าเนี่ย”

“อย่าไปยุ่งกับมันมาก ไอ้เจก็ด้วย”

“ทำไมอะครับ”

“เพราะฉันไม่อนุญาต” วันเสาร์ตั้งใจจะตัดบท แต่มีหรือที่เด็กตรงหน้าเขาจะว่านอนสอนง่าย…ไม่อยู่แล้ว

“ไม่เห็นมีเหตุผลเลย เพื่อนพี่เสาร์ดูใจดี น่าคบกว่าพี่เสาร์ตั้งเยอะ”

“งั้นอยากไปอยู่กับพวกมันแทนไหมล่ะ”

นับหนึ่งก้มหน้าหลบ แสร้งบ่นอุบอิบเสียงกระซิบ “ถ้าไปได้ก็ดีสิ”

“ว่าไงนะ?” ฝ่ามือหนาเงื้อขึ้นเหนือหัว ทำท่าเหมือนจะฟาดลงมาซะให้ได้ ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ หากแววตาปะปนไปด้วยความหงุดหงิดอีกทั้งคงเอือมระอาในความดื้อรั้นของเขาเต็มกลืน แต่ด้วยอะไรไม่ทราบถึงทำให้เขายิ่งท้าทาย แทนที่จะกลัว

“จะตีผมเหรอ”

แก้มป่องเงยขึ้นจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง มือข้างนั้นค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ร่างหนาหยุดชั่งใจไปเพียงวินาทีหนึ่ง ก่อนจะประทับลงบนหน้าผากมนไม่แรงนัก

คนตัวเล็กบุ้ยปาก ลูบหัวตัวเองป้อย

“ถึงอยากไป ก็ไปไม่ได้” น้ำเสียงเย็นเยียบบ่งบอกถึงความเป็นเจ้าของชีวิตทำเอาเขาหมดอารมณ์กินข้าวเสียดื้อๆ จานอาหารถูกยกไปเก็บในครัว ก่อนจะถูกพี่ละเมียดไล่กลับมานั่งเฉยๆ และปล่อยให้พี่แกเป็นคนจัดการเก็บกวาดทุกอย่างเอง

เขาคว้าแก้วบรรจุช่อดอกปีบมาไว้ในมือ ตามมาด้วยคำถามของคนที่ยังปั้นหน้าตึงอยู่บนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว

“นั่นอะไร”

“เอ่อ…ดอกไม้ครับ” ตาใสกะพริบถี่ รีบขยายความเมื่อเห็นว่าวันเสาร์ลุกขึ้นแล้ว คราวนี้คงได้เดินมาหักคอเขาให้ตายคามือเป็นแน่ “ดอกปีบ ผมไปเก็บมาจากสวนครับ เห็นมันสวยดีเลยเอามาใส่แก้วไว้”

ร่างสูงโปร่งพยักหน้า “อืม แม่ฉันก็ชอบดอกปีบ”

“รู้แล้วครับ ลุงชัยบอก แต่พ่อแม่พี่เสาร์ไม่ค่อยได้กลับบ้านใช่ไหมครับ”

“อืม”

“แสดงว่าตรงข้ามห้องพระ คือห้องนอนพ่อกับแม่พี่เสาร์สินะครับ” เขาเริ่มคิดภาพตาม ชั้นสองของบ้านแยกออกเป็นห้อง 5 ห้อง คือห้องรับรองซึ่งขณะนี้เป็นห้องเก็บของ ห้องพระ ห้องนอนใหญ่ ห้องนอนพี่เสาร์ แล้วก็ห้องปริศนา ที่เคยถูกสั่งว่าห้ามเข้าไปยุ่งเด็ดขาด…

“แล้วห้องตรงข้ามห้องพี่เสาร์…อ่าว”

ไม่อยู่รอตอบคำถามหรือฟังเขาซักไซ้อะไรต่อ ก็จรลีหนีขึ้นไปทางบันไดซะก่อน ทิ้งปริศนาให้ยังเป็นเพียงปริศนาต่อไป บางทีมันอาจจะเป็นห้องแห่งความลับ ที่กันไม่ให้เขาย่างกรายเข้าใกล้ก็เพราะกลัวว่าบาสิลิกซ์จะหลุดออกมา เอ๊ะ หรือว่าบ้านนี้เลี้ยงหมาสามหัว ระ…หรือว่า มังกร!?

เดี๋ยวนะ เป็นบ้าเหรอ จะไปใช่ได้ยังไง

แต่ไม่ว่าห้องนั้นจะเป็นห้องอะไร มันก็เป็นเครื่องตอกย้ำอย่างดีให้เขารู้ตัวว่าเป็นเพียงคนนอก ที่ไม่มีสิทธิ์รับรู้เรื่องในบ้านหลังนี้ และก็คงจะเป็นได้แค่คนนอกตลอดไป…



-----------------------------------------------



“อือ…” ร่างเล็กปรือตาขึ้นในเช้าถัดมา แดดอ่อนๆ กับอ้อมกอดอุ่นๆ ทำให้เขาตื่น ขยับหัวไหล่ยืดตัวขึ้นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ หากก็ดูจะติดขัดยากเย็น…

เอ๊ะ?

“พ...พี่เสาร์” หางตาเหลือบมองร่างสูงที่กำลังแนบประกบแผ่นหลังเขาอยู่

นับหนึ่งพยายามแกะวงแขนแกร่งออกจากเอวตัวเอง แต่กลับทำให้คนด้านหลังยิ่งกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิม ปลายจมูกโด่งรั้นฝังลงกับท้ายทอยขาว สูดเอากลิ่นหอมจางๆ จากสบู่กลิ่นลาเวนเดอร์ ผสมแป้งเด็ก คนตัวเล็กย่นคอ ขนกายลุกชัน ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นก็จะยิ่งแย่ยังไงชอบกล

“พี่เสาร์ ปล่อยครับ”

เรียวขาบางถีบไม่รู้ทิศหวังช่วยให้หลุดออกจากการเกาะกุม หากก็ไร้ผล นอกจากไม่ฟังแล้วยังเพิ่มระดับการคลอเคลีย จนอีกไม่ช้าคงถึงขั้นลวนลาม เมื่อฝ่ามือหนาเริ่มซุกซนชอนไชผ่านชายเสื้อนอนเข้าไปหยอกล้อกับหน้าท้องแบนราบ ฟันซี่คมขบเบาๆ ไปยังใบหูแดงเรื่อ พร้อมพ่นลมหายใจอุ่นๆ ใส่ จนเขาชักใจไม่ดี อวัยวะภายในอกซ้ายเต้นระส่ำ ไม่รู้ด้วยตื่นกลัวหรือว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือเขายังไม่พร้อมถูกล่วงละเมิดตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้!

ก็รู้หรอกว่าภายใต้หน้ากากเจ้าชายเย็นชานั้นมันเป็นตาลุงหื่นกามไร้จิตสำนึกมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้เวล่ำเวลาสักหน่อย ไม่ใช่สักแต่จะเอาเมื่อไรก็ได้ ไอ้บ้าเอ๊ย!

“ม…ไม่เอานะครับ พี่เสาร์ มะ…” ร่างทั้งร่างบิดเร่า ยามที่ไอร้อนจากมือใหญ่ละลาบละล้วงลงมาถึงแก่นกายที่ยังไม่พร้อมทำงานใดๆ ทั้งนั้น วันเสาร์ยังคงไล่กัดฝากร่องรอยไปตามหัวไหล่และบ่าลาด ด้านล่างก็เริ่มขยับไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว

“อะ อื๊ออ”

นับหนึ่งกัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางห้ามไม่อยู่ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดูสนุกสนานกับการได้แกล้งเขาเหลือเกิน ถึงยิ่งเพิ่มแรงรั้ง อีกทั้งถี่รัวจนเขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ขัดขืน ไม่นานนัก ของเหลวสีขุ่นก็พวยพุ่งออกมาเปรอะเปื้อนฝ่ามือกับกางเกงผ้าฝ้าย ซึมออกมาจนถึงด้านนอก

และทันทีที่เขาตั้งใจจะลุกหนีออกจากเตียง ก็ถูกร่างสูงโปร่งพาดทับ บังคับกดลงแนบผืนฟูกดังเดิม ไม่ยอมให้หนีไปไหน แววตาหวาดหวั่นสั่นระริกช้อนขึ้นมองคนเบื้องบนอย่างอ้อนวอน หากว่าเสียงหอบหนักๆ กับใบหน้าหวานเยิ้มแดงซ่าน คงไม่อาจหยุดยั้งสัญชาตญาณดิบเถื่อนของวันเสาร์ได้มากเท่าไร

“ฮ…ฮั่ก พี่เสาร์ พอ..เถอะครับ” เขาส่งเสียงห้ามพร้อมใช้สองมือดันอกแกร่งที่กำลังเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ออกห่าง ปลายจมูกลากผ่านแนวลำคอระหง

นับหนึ่งหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสยุกยิกแถวกระดุมเสื้อตัวเอง คำพูดของเขาก็คงไร้ค่ามากเกินกว่าที่จะห้ามปรามใครได้ โดยเฉพาะคนตรงหน้า ที่ว่ากันว่าไม่มีหัวใจเป็นที่สุด

ก๊อกๆ ๆ

“คุณเสาร์ คุณเจโทรมาค่ะ” พี่ละไมตะโกนเข้ามา ช่วยชีวิตเขาได้ทันเวลาพอดี

ได้ยินเสียงจิ๊ในลำคอ ก่อนที่วันเสาร์จะยอมผละตัวออกไป ยีหัวตัวเองไล่อารมณ์ฟุ้งซ่านก่อนจะเปิดประตูรับโทรศัพท์บ้านไร้สายมาไว้แนบหู เดินกลับมาเปิดเครื่องมือถือที่นอนตายตลอดทั้งคืนบนโต๊ะทำงาน ไม่ได้สนใจว่าเด็กอีกคนจะวิ่งหนีไปนั่งจุมปุกอยู่ตรงมุมห้องเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว

“ไอ้สัส ปิดเครื่องทำไมวะ” คำทักทายแรกจากเจนภพเดาออกไม่ยากเท่าไรนัก

“โทษที มีไร”

“วันนี้นัดทดสอบงานพ่อครัว มึงจะมากี่โมง”

“ไม่น่าเกินเที่ยง”

ขายาวก้าวไปทางตู้เสื้อผ้า คว้าเอาเชิ้ตทางการสีเข้มโยนทิ้งไว้บนปลายเตียง นัดแนะคุยงานกันอีกเพียงเล็กน้อย คนปลายสายจึงออกปากไล่ให้เขาไปจัดการตัวเอง วันเสาร์หายเข้าไปในห้องน้ำ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่เด็กมุมห้องรู้สึกปลอดภัย

นับหนึ่งนั่งเล่นพรมบนพื้นไปเรื่อยจนประตูห้องน้ำเปิดออกอีกครั้ง ปรากฏร่างเปลือยท่อนบนของคนที่ตอนนี้เขาคงกล้าพูดว่าเริ่มคุ้นเคย แผงอกหนา บ่ากว้าง กับมัดกล้ามแลดูกำยำแข็งแรง แต่ก็ไม่ถึงกับดุดันจนน่ากลัวอย่างพวกนักกีฬาอาชีพ ผิวเนื้อไม่หยาบไม่เนียน ขาวผ่องพอๆ กัน หยดน้ำเกาะไปตามปลายเส้นผมสีดำขลับ ดวงตาเรียวคมเย็นเยียบ จมูกโด่งเป็นสัน จวบจนถึงริมฝีปากสีส้มธรรมชาติ ไม่ว่าจะนิสัยแย่แค่ไหน ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพตรงหน้าช่างงดงาม แทบจะเกินเอื้อมถึง หากความจริงกลับจับพลัดจับผลูได้มาอยู่เคียงใกล้ถึงขนาดนี้

ก็คงจะเป็นโชคชะตาจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันดูจะเป็นการกลั่นแกล้ง มากกว่าคำว่าโชคดีลิบลับ

“เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอก นายอยู่บ้านก็ช่วยพี่ละเมียด พี่ละไม ทำงานด้วย” สองมือกลัดกระดุม สองตาจับจ้องออกคำสั่งเหมือนเคย และเขาก็เพียงแค่พยักหน้า

“ครับ”

“ห้ามออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน”

“ครับ”

“ถ้าโทรมาก็ต้องรับ”

“ครับ”

เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้ว ย่างเท้าเข้ามาใกล้จนเขาเผลอถดตัวหนี แผ่นหลังบางชนติดผนังห้องพอให้สะดุ้ง วันเสาร์ย่อตัวลงนั่งยอง สายตาอยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน ฝ่ามือคว้าหมับเข้ากับคางมน ออกแรงบีบแก้มทั้งสองด้านจนริมฝีปากอิ่มยิ่งดูคล้ายลูกหมู

“พูดเป็นคำเดียวหรือไง”

เอ้า! ตอบดีๆ ก็ผิด งง

เขาพยายามเถียงเสียงอู้อี้ ทว่าฟังไม่ได้ศัพท์ สายตาคมดั่งใบมีดไล่ตั้งแต่แก้มป่องจนถึงซอกคอขาวโผล่พ้นคอเสื้อ นับหนึ่งยกมือขึ้นห้ามเมื่อคนตรงหน้าเคลื่อนตัวเข้าหา อีหรอบนี้สงสัยคงถูกกัด ไม่ก็โดนดูดจนเนื้อช้ำห้อเลือดอีกแน่ และเขาก็ไม่ชอบเอาซะเลย

สัมผัสนุ่มหยุ่นอุ่นร้อนทาบทับลงกับเส้นชีพจร ดวงตากลมหลับสนิทอย่างจำนน…

ครืด ครืด

สูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ เสียงครืดคราดบางอย่างดังขัดขึ้นก่อน เป็นอีกครั้งที่เขารอดชีวิตได้ทันท่วงที

วันเสาร์พ่นลมหายใจหนักหน่วงออกทางปาก ท่าทางไม่สบอารมณ์ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันไปคว้าเอามือถือที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า แต่แค่เพียงเห็นชื่อบนหน้าจอ จากใบหน้าถมึงทึงก็กลับโอนอ่อนลงฉับพลันจนน่าตกใจ นิ้วเรียวกดรับสายขณะเดินออกไปจากห้องโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองคนที่ตัวเองกำลังแกล้งจนเกือบได้ที่เมื่อครู่

“ว่าไงศุกร์”

ศุกร์…

ชื่อนี้อีกแล้ว…


------------------------------------------------------------------------------------

เป็นตอนสั้นๆ เพราะแต่งได้แค่นี้ 55555 เส้า ขอกำลังใจให้น้องหนึ่งถึงพี่เสาร์ ด้วยคอมเม้นจากเพื่อนๆ ที่หลงเข้ามากันสักนิดนะคะ ฮรุก ช่วงนี้ผจญกับงานออฟฟิซหนักมาก หมดแลงงงง TT

ติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ ในทวิตเตอร์เพื่อคุยกันได้นะตะเงง

หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 7
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 03-11-2018 18:28:30
เกลียดมาก คนแบบเสาร์ ชอบเอาใครมาเป็นตัวแทน สักวันจะเสียใจ  ถ้าวันหนึ่งน้องมีที่ไปได้และไม่หันกลับมา จะสมน้ำหน้า  เกลียดคนแบบนี้
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 7
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-11-2018 15:46:01
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 7
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-11-2018 19:08:33
ชอบเรื่องนี้นะ แต่เกลียดพระเอกมากจริง 55
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 7
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 05-11-2018 20:18:12
หมั่่นไส้พระเอก เสียนับหนึงไปตะรู้สึก
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 8
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 10-11-2018 09:58:15
ก่อนไปอ่านตอนนี้ เราแอบมาย้ำนิดนึง ว่าอยากให้ลองอ่านเรื่อง "วันศุกร์สีฟ้า" กันก่อนนะคะ จะได้เข้าใจตัวละครในเรื่องนี้มากขึ้นเยอะเลยยย โดยเฉพาะตัวพี่เสาร์ แล้วก็จะได้รู้จักน้องศุกร์มากขึ้นด้วยน้า


#วันศุกร์สีฟ้า ☁️

RAW: https://www.readawrite.com/a/d62654cfdf70447dd166d9408292a763
FTL: https://fictionlog.co/b/5bb1e6b833e1740028b7d1f7
DD: https://writer.dek-d.com/airairair13/writer/view.php?id=1490777
TBL: https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54561.0



----------------------------------------------------------------------------------------------------------



นับหนึ่ง ถึง แปด

 

“คุณหนึ่ง ทานขนมไหมคะ” พี่ละไมยกจานขนมเปียกปูนสีเขียวสดเข้ามาวางบนโต๊ะกระจกต่อหน้าเขา

“ขอบคุณครับ”

“คิดอะไรอยู่เหรอคะ”

จานขนาดเล็กเลื่อนไปใกล้คนบนโซฟา ส้อมสเตนเลสหันออก ยื่นให้เด็กน้อยรับเอาไว้ เธอจ้องสบดวงตาคู่สวยอย่างห่วงใยเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายเอาแต่เหม่อลอยมาตั้งแต่ตอนเดินลงมาส่งวันเสาร์ออกจากบ้านไปทำงาน

“เอ่อ…” นับหนึ่งลังเลครู่หนึ่ง หากก็ลองเอ่ยถามความคิดในใจ “พี่ละไมครับ”

“คะ?”

“คนชื่อ ศุกร์ เนี่ย…ใครเหรอครับ?”

คนเป็นแม่บ้านเบิกตากว้าง ก่อนจะหลุดขำพรืดจนเขายิ่งฉงนไปใหญ่ ละไมก้มหัวขอโทษที่เสียมารยาท เธอฉีกยิ้มบาง เบือนหน้าไปทางกรอบรูปตั้งโต๊ะ หนึ่งในสิ่งตกแต่งภายในห้องรับแขก

“คุณหนึ่งเดาไม่ออกจริงๆ เหรอคะ”

เขาหันมองตามไปทิศทางนั้น ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มขยายออก ปากเป็นกระจับอ้าค้าง ไม่รู้ด้วยตื่นตะลึงในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวตนของเจ้าของชื่อ ศุกร์ หรือว่าตกใจในความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเองกันแน่ ใช่สิ ศุกร์กับเสาร์ มันก็คล้องกันจนแม้แต่เด็กอนุบาลก็ต้องรู้สึกได้อยู่แล้ว แต่เขากลับคิดไม่ถึงมาตลอด…

โง่หรือบ้า ซื่อหรือบื้อนะนับหนึ่ง

“หรือว่าจะเป็นน้องพี่เสาร์ครับ”

“ใช่ค่ะ คุณศุกร์เป็นน้องชายคุณเสาร์”

“ตะ แต่ว่า…”

แต่ว่า…คนเราจะเพ้อถึงน้องชายตัวเอง ตอนกำลังมีเซ็กได้ด้วยเหรอ?

“พี่เสาร์ดูรักน้องมากเลยนะครับ… รัก จนนึกว่าไม่ใช่พี่น้องกันเลย”

บรรยากาศภายในห้องเงียบลง พี่ละไมหน้าซีด หลุบตาต่ำ ขณะที่เขาก็เอาแต่เพ่งพิจารณารูปภาพสองพี่น้องยืนเคียงกันแนบชิด รอยยิ้มจางๆ แลดูอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้เห็นจากผู้ชายชื่อวันเสาร์ และไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้เห็นด้วย

“ความจริง…คุณเสาร์กับคุณศุกร์ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันค่ะ” ในที่สุดเธอก็ยอมเปิดปาก แม้ว่าจะลำบากใจที่ต้องพูดเรื่องนี้ แต่อย่างน้อยสมาชิกใหม่อย่างนับหนึ่งก็สมควรรับรู้ “คุณนายรับคุณศุกร์มาเลี้ยงตั้งแต่ทารก”

“อย่างนี้นี่เอง”

“คุณเสาร์รักคุณศุกร์มากนะคะ มากจนไม่เปิดรับใครคนอื่นเลย”

หัวคิ้วขมวดเป็นปม ใบหน้าหนักใจปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยตามวัย แม้เขาจะเป็นเพียงคนนอกที่ก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็รู้สึกได้ถึงความรักและผูกพันที่คนรับใช้ในบ้านมีต่อเจ้านายของพวกเขา ถ้าพ่อกับแม่ของสองพี่น้องต้องไปทำงานข้างนอกบ่อยๆ เขาว่าพี่ละเมียด พี่ละไม หรือแม้แต่ลุงชัย ก็คงคอยดูแลทั้งคู่ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวเดียวกัน และการที่คุณชายคนโตกลายเป็นคนเย็นชา อัธยาศัยย่ำแย่ปานนั้นก็คงน่าเป็นห่วงไม่น้อย

“แต่พี่ดีใจนะที่คุณเสาร์รับคุณหนึ่งมาอยู่ด้วย ปกติไม่มีหรอกค่ะ อย่าว่าแต่นอนบนเตียงคุณเสาร์เลย แค่เหยียบขึ้นชั้นสองก็ไม่เคยเห็น”

“ระ…เหรอครับ”

“ค่ะ พี่ว่าคุณหนึ่งพิเศษกว่าทุกคนเลย”

เขาเผยรอยยิ้ม คำพูดติดตลกต่อมากลับทำเอาบรรยากาศมาคุ “แต่คงไม่พิเศษไปกว่าคุณศุกร์หรอกใช่ไหมครับ”

ละไมไม่ตอบอะไร เพียงปั้นหน้าแห้งๆ แล้วขอตัวกลับไปทำงานบ้าน แต่เขาก็นับว่านั่นเท่ากับคำตอบแล้ว…คำตอบที่ว่า ใช่ ไม่มีทางที่เขาหรือใครจะมาพิเศษไปกว่าคนชื่อศุกร์ ที่วันเสาร์เอาแต่พร่ำเพ้อตลอดเวลาได้ทั้งนั้น

ขนมเปียกปูนถูกตักชิม ความหวานหอมในโพรงปากคงพอชโลมจิตใจขุ่นมัวไม่รู้สาเหตุของเขาในตอนนี้ได้บ้าง นับหนึ่งละเลียดทานขนมบนจานจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะพาตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องนอน

ตั้งแต่ถูกพามาที่นี่ ก็ผ่านมา 5 วันแล้ว มันอาจจะดูแสนสั้น แต่ภายใน 5 วันนี้ กลับมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งกับร่างกาย รวมถึงจิตใจของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน เขาดีใจที่สามารถสนิทกับทุกคนได้รวดเร็ว แต่บางครั้งก็เผลอคิดว่า ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังขับเคลื่อนนำหน้าเกินกว่าที่เขาจะตามอารมณ์ตัวเองทัน และมันก็ดูจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไรด้วย

ดวงตาคู่สวยกวาดไปรอบห้อง เขาไม่เคยมีโอกาสหยุดพิจารณาห้องนอนกว้างขวางนี้เลยสักครั้ง เพราะแค่กระดิกนิ้ว ก็จะถูกวันเสาร์เพ่งเล็งทุกที หนังสือละลานตาวางเรียงรายไปตามชั้น ตู้เสื้อผ้า เตียง รวมทั้งโต๊ะทำงาน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแทบจะเข้าชุดกันไปเสียหมด แถมยังจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อยตามนิสัยเคร่งคัดของผู้อาศัยเป๊ะ

และเขาก็เหมือนคนโง่น่าดูที่ไม่เคยสังเกตเลยว่า กรอบรูปสีขาวสะอาดบนโต๊ะที่วันเสาร์คอยนั่งเช็คเอกสาร จิบกาแฟฝีมือเขาเอง บรรจุภาพถ่ายของสองพี่น้องในชุดนักศึกษาเต็มยศ ต่างสถาบัน แต่ก็โด่งดังและมีมาตรฐานสูสี คำถามที่คอยเฝ้าหลอกหลอนมาหลายวัน กลับมีคำตอบอยู่ใกล้แค่เอื้อม แทบทิ่มตาแตก นึกเคืองตัวเองว่าสมงสมองน่ะคงไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว หรือว่าควรไปตัดแว่นสายตาเลยดี เพราะดูท่าจะมืดบอดเกินเยียวยา

เอื้อมคว้ารูปนั้นมามองใกล้ๆ วันเสาร์ฉีกยิ้มบางเป็นภาพที่แปลกตา ในขณะที่วันศุกร์ดูร่าเริงสดใส ไม่มีคำนิยามไหนจะดีเกินกว่าคำว่า น่ารัก อีกแล้ว จึงไม่ประหลาดใจเลยถ้าหากคนเป็นพี่จะเผลอไผลตกหลุมรักน้องชายตัวเอง

นับหนึ่งถือวิสาสะสำรวจลิ้นชักต่างๆ เขาพบจดหมายลายมือไม่คุ้น กระดาษห่อของขวัญ การ์ดอวยพร ไปจนถึงอัลบั้มภาพ ทุกอย่างที่วันเสาร์เก็บเอาไว้อย่างดีในห้องของตัวเอง ล้วนเกี่ยวข้องกับวันศุกร์ทั้งนั้น กล่องบางอย่างถูกหยิบออกมาเปิดดู ข้างในว่างเปล่า หลงเหลือแค่เพียงหมอนกำมะหยี่ให้พอเดาได้ว่าคงเป็นบรรจุภัณฑ์ของพวกกำไลหรือไม่ก็นาฬิกา

นาฬิกางั้นเหรอ…สงสัยว่านาฬิกาสายหนังเรือนบนข้อมือของวันเสาร์ในทุกๆ วัน ก็คงจะเป็นของขวัญจากวันศุกร์ล่ะมั้ง

อา…ยิ่งรู้แบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำสถานะของเขาให้ยิ่งจมดินไปใหญ่เลยน่ะสิ เป็นนางบำเรอสมบูรณ์แบบเลยแหะเรา ไม่มีทางได้รับแม้เศษเสี้ยวความรักจากผู้ชายคนนั้นแน่นอน…

แต่ก็ ไม่ได้อยากได้อยู่แล้วนี่น่า…

เขาสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ น่าขนลุก เก็บทุกอย่างกลับเข้าที่ ยกเว้นอัลบั้มหนาปึก ค่อยๆ เปิดดูทีละหน้า ได้เห็นการเจริญเติบโตของวันเสาร์ตั้งแต่แบเบาะ จวบจนถึงช่วงอุดมศึกษา เป็นเดือนมหาวิทยาลัยด้วยนี่ หล่อไม่เปลี่ยนตั้งแต่เด็กจนโต ยิ่งยืนเคียงคู่กับน้องชายน่ารักๆ ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉาเหลือเกิน

เวลาผ่านไปนานกว่าที่เขาจะไล่ดูรูปถ่ายทั้งหมดจนครบ ไม่ทันรู้สึกตัวก็ผล็อยหลับไปบนเตียง ทั้งที่อัลบั้มเล่มหนายังคามือ แม้แต่ในเวลาบ่ายแก่ๆ เกือบโพล้เพล้ ความฝันที่ตามมาหลอกหลอนเขาก็ยังคงเหมือนเดิม คือภาพของพ่อแม่กับป้า บ้านทรุดโทรมลุกท่วมด้วยเปลวไฟแผดร้อนจนเหลือแค่ตอตะโก ชะตาชีวิตที่ถูกลากไปลากมา กระทั่งจบลงที่บ้านตระกูลวุฒิเวคินทร์ ใบหน้านิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กลีบปากลากเป็นเส้นตรง หัวคิ้วสองข้างขมวดยุ่งอยู่เรื่อย ภาพของวันเสาร์ที่เขาคุ้นชิน ไม่เคยใกล้เคียงกับคำว่าใจดีเลยสักนิดเดียว

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูปลุกให้เขาสะดุ้งออกจากฝันร้าย ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลงเล็กน้อย

“คุณหนึ่งคะ อีกครึ่งชั่วโมงลงมาทานข้าวได้แล้วนะคะ”

“ครับ” เขาขานตอบพี่ละเมียด รีบเก็บของที่รื้อออกมากลับลงลิ้นชักให้เรียบร้อย

ลากสังขารตัวเองออกมาจากห้อง สายตาเหลือบมองประตูอีกบานตรงข้ามกัน ขาเจ้ากรรมก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าลูกบิดสีทองเหลืองก่อนจะทันรู้ตัวซะอีก พี่เสาร์คงยังไม่กลับมา และพี่ละเมียด กับพี่ละไม ก็กำลังจัดสำรับ…

ฝ่ามือบางเปื้อนเหงื่อค่อยๆ หมุนลูกบิดเปิดออก อวัยวะในอกเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ประตูบานหนาแง้มออก ก่อนที่ร่างเล็กจะถือวิสาสะแทรกตัวเข้าไปสำรวจภายใน

เป็นอย่างที่คิด ห้องของวันศุกร์นั่นเอง

เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น ถูกจัดวางเป็นระเบียบไม่ต่างจากพี่ชายสักเท่าไร เพียงแต่ละอองฝุ่นบางเบาทำให้พอเดาได้ว่า ไม่มีคนเข้ามาใช้ห้องนี้เป็นเวลานานพอตัวแล้ว เขากวาดตามองไปรอบๆ บนโต๊ะเขียนหนังสือ มีที่หนีบกระดาษดินปั้นรูปหมูสามตัว คลิปสีเงินยึดรูปถ่ายโพราลอยด์ใบหนึ่งเอาไว้ มันเป็นภาพของวันศุกร์ เคียงคู่ใกล้ชิดกับผู้ชายหน้าตาดีอีกคนซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ข้างๆ กันนั้นเป็นโมเดลรูปแมว วัสดุเกลี้ยงใส อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาเชยชมใกล้ๆ

คริสตัลสวยล่อแสงชวนให้เขาหลงใหล เผลอจมอยู่กับมันนานสองนาน และก็มากพอที่จะทำให้ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า หรือเสียงบานประตูเปิดออกด้วยซ้ำ

“นั่นจะทำอะไร?” แรงตะคอกจากด้านหลังทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้ง ของตกแต่งราคาแพงหลุดออกจากมือ ร่วงหล่นลงบนพื้นเสียงดังลั่นห้อง

“พะ…พี่เสาร์”

สายตากราดเกรี้ยวจับจ้องไปยังกองคริสตัลที่แตกหักออกจากกัน ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาประชิด ความกลัวทำให้นับหนึ่งรีบก้าวถอยหนีจนสะดุดล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น ฝ่ามือหนาตรงเข้ามาบีบคางเขาไว้แน่น น้ำเสียงโกรธจัดพ่นคำพูดแสนโหดร้าย

“รู้ไหมว่าของชิ้นนี้มันมีค่ามากกว่าตัวนายซะอีก!”

เพียะ!

วันเสาร์ตบเขาจนหน้าหัน หยาดน้ำตาคลอหน่วย ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองคนเป็นนายซึ่งยังคงมีท่าทีเดือดดาล สุดท้ายจึงทำได้ดีที่สุดแค่เพียงประสานมือไหว้ ก้มหัวลงอยู่หลายครั้ง เสียงสั่นเครือขาดห้วง เลือดในกายสูบฉีดรัวแรงด้วยความตื่นกลัว

“ผม…ขอโทษครับ ขอโท…”

“ขอโทษแล้วมันหายไหม!” มือใหญ่ง้างขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง สัญชาตญาณส่งให้เขารีบหลับตาปี๋ เตรียมรับแรงตบซ้ำสอง

“พี่เสาร์อย่าครับ”

น้ำเสียงตกใจไม่คุ้นหูดังแทรกขึ้นก่อน เขาค่อยๆ หรี่ตาเหลือบมอง เห็นว่าเป็นเจ้าของใบหน้าเรียวหวาน แบบเดียวกันกับในภาพถ่ายคู่ภายในห้องนั่งเล่น รวมทั้งในลิ้นชักห้องของวันเสาร์ด้วย

ดวงตากลมคู่สวยเบิกกว้างมองคนโตกว่าเขม็ง แขนบางทั้งสองข้างรวบรั้งคนเลือดร้อนออกห่าง “ใจเย็นๆ ครับ อย่าทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้สิ”

“แต่ว่ามั…”

“พี่เสาร์ ไปสงบสติอารมณ์ข้างนอกก่อนเถอะครับ”

“ศุกร์” วันเสาร์จ้องกลับหน้าตึง แต่สุดท้ายก็เถียงอะไรไม่ออก ก่อนจะโดนฝ่ามือเล็กผลักไล่ออกมาจากห้อง วันศุกร์ถอนหายใจ กดล็อกประตูแล้วรีบหันกลับมาประคองร่างเด็กอีกคนให้ลุกขึ้น

“นับหนึ่งใช่ไหม?”

“ค..ครับ” เด็กน้อยปาดคราบน้ำตาออกลวกๆ ตั้งใจจะกลับลงไปนั่งเข่าตามเดิม แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงขึ้นมาอีกครั้ง วันศุกร์ไม่ได้แค่พูดจาดีกับเขา แต่ถึงขนาดเอื้อมมือมาลูบหลังปลอบ สัมผัสอบอุ่น ความรู้สึกราวกับพี่ชายทำให้เขาหยุดสะอื้น

“พี่ชื่อวันศุกร์นะ เป็นน้องพี่เสาร์”

เขาพยักหน้า ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญออก สายตาทอดมองไปยังกองคริสตัลบนพื้น อดไม่ได้ที่จะเบะปากเตรียมร้องไห้อีกรอบ

“คุณศุกร์ ผม..ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรๆ”

“แต่ว่า..ผม เข้ามาในห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต…”

“ช่างเถอะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก ว่าแต่เราน่ะ เจ็บไหม”

ถึงเจ็บก็คงไม่กล้าบอกตรงๆ แม้ว่าในใจอยากฟ้องแทบตายว่าพี่ชายคนนั้นน่ะเลือดเย็นแถมป่าเถื่อนสิ้นดี แต่กลับทำได้แค่ส่ายหัว

“คุณศุกร์ไม่ต้องสนใจผมหรอกครับ”

คนตรงหน้าขมวดคิ้ว “เรียกว่าพี่ดีกว่านะ”

“เอ่อ…ครับ พี่ศุกร์”

“ทำไมพี่เสาร์ใจร้ายขนาดนี้” คนเป็นน้องบ่นพึมพำในลำคอ ฝ่ามือนิ่มทาบลงกับพวงแก้มซ้ายแดงเรื่อที่เพิ่งจะโดนทำร้ายมาเมื่อครู่ แววตาหวาดหวั่นทำเอาเขาใจหายวาบ ใช่ว่าจะเดาไม่ออก ว่าเด็กคนนี้ต้องเดือดร้อนกับการรองรับอารมณ์วันเสาร์มากแค่ไหน

นับหนึ่งกะพริบตาถี่ ก่อนจะปิดลงเนิบช้า เขาเผลอปล่อยตัวนั่งนิ่งซึมซับเอาความอบอุ่นจากมืออีกฝ่ายอยู่นาน คำถามของวันศุกร์เมื่อครู่ คงเป็นคำถามเดียวกันกับที่เขาคอยเฝ้าถามลมถามฟ้ามาตลอด

ว่าทำไม พี่เสาร์ถึงได้ใจร้ายมากขนาดนี้…

 

-----------------------------------------------


 
“ห้ามไม่ให้กินข้าวเย็น แล้วคืนนี้ก็ไปนอนโซฟา” นิ้วเรียวชี้ไปทางทิศห้องนั่งเล่น ตามด้วยแรงตบโต๊ะเบาๆ จากน้องชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านในรอบหลายอาทิตย์

“เกินไปไหมครับพี่เสาร์”

“นับหนึ่งขัดคำสั่งพี่ แถมยังทำข้าวของเสียหาย พี่ต้องลงโทษ จะได้จำ”

“แต่ศุกร์ว่าไม่เห็นต้องทำขนาดนี้”

“นี่ยังน้อยด้วยซ้ำ” วันเสาร์กระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้แม่บ้านเริ่มตักข้าว ละเมียดกับละไมต่างหันมองหน้ากันด้วยท่าทีเป็นห่วง จนกระทั่งถูกสายตาคมจ้องกลับอีกครั้งถึงยอมขยับตัว คว้าทัพพีตักข้าวหอมมะลิหอมกรุ่นลงบนจาน ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเถียง เพราะถ้าแม้แต่วันศุกร์คนโปรดยังทำอะไรไม่ได้ พวกเธอก็คงไม่ต่างจากอากาศธาตุเท่านั้น

“ศุกร์ว่าพี่เส…”

“ตอนนี้พ่อแม่ไม่อยู่ พี่เป็นคนดูแลบ้านนี้ และพี่เป็นคนออกคำสั่ง!”

เสียงเข้มทำเอาบรรยากาศที่แย่อยู่แล้วยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ วันศุกร์เม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าอย่างจำนน พี่ละไมทอดสายตามองนับหนึ่งที่เอาแต่ยืนเงียบผ่านโต๊ะอาหารตัวยาว ตั้งท่าจะก้มตัวเข้าไปหา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก

“ห้ามใครไปโอ๋เด็กนั่นเด็ดขาด”

คำพูดราวประกาศิต ทำให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบโต้ ละไมกลืนน้ำลายลงคือ ค่อยๆ ขยับกลับไปยืนประสานมือนิ่งๆ นับหนึ่งฝืนส่งยิ้มให้กับแม่บ้านทั้งสอง รวมถึงวันศุกร์ ก่อนจะเป็นฝ่ายพาตัวเองเข้าไปขังไว้ในห้องรับแขกเอง อย่างน้อยสายตาห่วงใยจากสามคนบนโต๊ะเมื่อครู่ก็ยังทำให้เขาอุ่นใจว่ามีคนอยู่เคียงข้าง

ไม่เห็นจำเป็นจะต้องสนใจดวงตาคู่เดียวที่ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเลย

 

-----------------------------------------------



“พี่เสาร์” วันศุกร์ถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนคนเป็นพี่เข้ามา พบว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งตีสีหน้าคร่ำเครียดอยู่บนโต๊ะทำงาน กองเอกสารมากมายเหมือนจะถูกยกออกมาตั้งเป็นฉาก แต่กลับไม่ถูกแตะต้อง

“ศุกร์”

“ยังโมโหหนึ่งอยู่อีกเหรอครับ”

เจ้าของห้องหลุบตา ทำทีเป็นเปิดแฟ้มอะไรบางอย่างออกมาสำรวจผ่านๆ แล้วเริ่มควานหยิบปากกามั่วซั่ว ทำเอาคนมองได้แต่ส่ายหน้า

“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปไม่ได้เหรอครับ พี่เสาร์อย่าไปถือโทษอะไรเลย”

“พี่จะไปหาซื้อมาให้ใหม่” เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจฟังเขาแก้ต่างแทนเด็กใหม่ในบ้านสักเท่าไร และแม้ว่าวันเสาร์จะแคร์เขามากขนาดไหน ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่รู้ว่าพี่เสาร์ตั้งใจซื้อให้ผมก็ดีใจแล้ว”

“แต่ว่ามันแตก…”

“โธ่พี่เสาร์” มือเล็กเอื้อมดึงเก้าอี้ล้อเลื่อน บังคับให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากัน “อย่านึกถึงแต่สิ่งของสิครับ สิ่งที่มีค่ากับผมไม่ใช่คริสตัลอันนั้น แต่เป็นความรู้สึกตอนที่ได้รับมันจากพี่ต่างหาก”

ทั้งห้องเงียบกริบ ขนาดได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน และวันเสาร์ก็ยังคงเอาแต่เบือนสายตาหนี เพราะคงรู้แน่ว่าถ้าเป็นคำพูดจากปากน้องชายคนนี้ อีกไม่นานเท่าไร เขาก็คงต้องยอมศิโรราบจนได้

“อีกอย่าง นับหนึ่งก็ไม่ได้ตั้งใจทำมันพังสักหน่อย พี่เสาร์ไม่น่าไปต่อว่าหรือลงโทษเขาขนาดนั้นเลย”

วันศุกร์โน้มตัวลง วางมือแนบกับมือใหญ่บนที่วางแขน น้ำเสียงจริงจังพยายามอธิบายให้คนที่กำลังโกรธจนหัวใจมืดบอดได้ตาสว่าง ไม่ใช่โมเดลแมวอันนั้นที่วันเสาร์จะมาอาลัยอาวรณ์ แล้วก็ไม่ใช่ตัวเขาที่วันเสาร์จะต้องมาห่วงใยด้วย

“ของที่แตกไปแล้วพี่เสาร์อาจจะไปหามาใหม่ได้ แต่ความรู้สึกของหนึ่งที่เสียไปแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้แล้วนะ” เขาตัดสินใจทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น และลุกออกจากห้องไปเงียบๆ ภาวนาให้คำพูดของตัวเองยังพอมีผลกับอีกฝ่ายอยู่บ้าง สักเล็กน้อยก็ยังดี

เข็มนาฬิกาบนผนังเคลื่อนเดินหน้า กว่าจะรู้ตัวก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วที่วันเสาร์เอาแต่นั่งนิ่ง คิดอะไรต่างๆ วนไปเวียนมาจนลืมการนอนไปเสียสนิท เขาจัดการเก็บกวาดของบนโต๊ะกลับเข้าที่เข้าทาง เดินไปปิดไฟในห้อง พาตัวเองขึ้นเตียงเตรียมพักผ่อนอย่างเช่นทุกที…

แววตาไม่สื่ออารมณ์เผลอทอดมองพื้นที่ว่างเปล่าบนเตียงหลังใหญ่ที่ขนาดเท่าเดิมของมัน แต่คืนนี้กลับรู้สึกว่าช่างกว้างขวางผิดปกติ

ผิดปกติ จนเขาหลับตาไม่ลง…

พยายามข่มตาปิดพร้อมสะบัดความคิดไร้สาระในสมองทิ้ง แต่ยิ่งพยายามเท่าไร ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ร่างสูงพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งนวดขมับตัวเองอย่างหัวเสีย สุดท้ายก็ห้ามขาทั้งสองข้างไม่ให้ก้าวออกไปจากห้องไม่ได้

ภายใต้ความมืดและความเงียบยามค่ำคืน เขากำลังเดินย่องลงบันไดราวกับว่าตัวเองเป็นโจร ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อหยุดลงตรงหน้าประตูห้องรับแขก ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ลอดออกมาถึงด้านนอก สองมือกำหมัด ชั่งใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเอื้อมแขนออกไป ค่อยๆ เลื่อนประตูไร้กลอนเปิดออก อากาศในห้องกระทบผิวกาย ดวงตาคู่คมกะพริบถี่เพื่อปรับสภาพ

หัวคิ้วขมวดชนกันเมื่อเพ่งมองไปยังโซฟาตัวยาว ผ้านวมผืนหนากองรวมกันอยู่แถวปลายเท้า แต่บนหมอนใบนั้นกลับไม่พบบุคคลที่ควรจะอยู่ตรงนี้

สวิตช์ไฟบนผนังถูกกดเปิดเร็วยิ่งกว่าความคิด แสงสีขาวแยงตาสว่างไปทั่วทั้งห้องโล่งๆ ก่อนที่ขายาวจะรีบก้าวออกไปด้านนอกเมื่อเห็นว่านับหนึ่งไม่ได้นอนอยู่บนโซฟาอย่างที่ควรเป็น จุดแรกที่เขาไปถึงก็คือประตูใหญ่หน้าบ้าน มือหนาเขย่าเช็คกลอน แต่ก็พบว่ามันยังล็อกอยู่อย่างดีตามเดิม แปลว่าเด็กนั่นไม่ได้หนี…

แล้วหายไปไหน?

ลมหายใจหอบบางเบาพ่นออกจากปากขณะหุนหันตรงไปทางหลังบ้าน แสงไฟสลัวลอดผ่านออกมาจากบริเวณห้องครัว พาลเอาเขายิ่งร้อนใจ

ดวงตาเรียวเบิกกว้าง จับจ้องไปยังร่างเล็กที่กำลังมองเขากลับมาด้วยสีหน้าซีดเผือด ท่าทีแสดงอาการโล่งอกถูกเก็บซ่อนอยู่ภายใน ก่อนจะรีบดึงสติกลับมาปั้นขรึมในเสี้ยววินาที นับหนึ่งส่งเสียงตะกุกตะกักขณะวางห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือลงบนเคาน์เตอร์

“พะ...พี่เสาร์”

“ทำอะไร”

 “ผ..ผม ผมขอโทษครับ” เด็กน้อยก้มหัวลงหลายที เรียวขาสั่นริกค่อยๆ ก้าวหลบ “จ..จะรีบ กลับไปนอน…โอ้ย!”

วันเสาร์มุ่นหัวคิ้ว ไล่สายตามองคนที่เพิ่งสะดุดอากาศพาตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น พวงแก้มขาวแทบจะแนบผิวกระเบื้องด้านใต้ และนับว่าโชคดีที่แขนอย่างกับโปลิโอนั่นยังค้ำร่างเอาไว้ได้ทันก่อนที่ศีรษะจะพุ่งหลาวให้กะโหลกร้าวเล่นๆ

นับหนึ่งกระเสือกกระสนยันตัวเองขึ้น แต่ก็ขาพับลงไปนั่งจุมปุกอีกรอบ จนเขาทนไม่ได้ต้องยื่นแขนออกไปหวังจะช่วย หากปฏิกิริยาตอบโต้ที่ได้รับกลับทำเอาเขานิ่งค้าง แววตากลมมีหยดน้ำคลอหน่วยช้อนมองด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจระคนหวาดกลัว เสียงพึมพำว่าขอโทษครับซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าเด็กนี่ประสาทไปแล้วแน่

เจ้าของร่างบางหลุบตาลงเพียงแค่เขาเผยอปากออกเล็กน้อย คำพูดทั้งหมดถูกกลืนลงคอ ไม่มีสุ้มเสียงใดเล็ดรอด นอกจากคำพูดของน้องชายตัวเองที่ถูกกรอซ้ำอยู่ภายในหัวสมอง

‘แต่ความรู้สึกของหนึ่งที่เสียไปแล้ว มันเอากลับคืนมาไม่ได้แล้วนะ’

น่ากลัวว่ามันจะจริง…

 
------------------------------------------------------------------------------------
 
น้งงงงงงงงงงงง หนีไปเถอะ อย่าไปอยู่กับคนแบบนี้เลย TTT
ใครต้องการเข้าร่วม #ทีมเงาแค้นพี่เสาร์ เชิญลงชื่อด้านนี้เลยนะคะ //ผายมือ

ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นเลยน้า คือปกติจะมีแค่ 2-3 คอมเม้นเอง เห็นมันเพิ่มขึ้นนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีใจมากแล้ว มีกำลังใจที่จะแต่งต่อ ฮือออ รักคุณนักอ่านทุกคน แม้ว่าจะแค่หลงเข้ามานะคะ ❤❤

ป.ล. เผื่อบางคนยังไม่รู้ ตอนนี้เราจะอัพนิยายทุกวันเสาร์ ยกเว้น เสาร์สุดท้ายของเดือนนะคะ เพราะทุกสิ้นเดือนเราต้องไปทำงานต่างจังหวัดเลยไม่สะดวกงับ ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อ อย่าเพิ่งหายไปไหนน่ออ ถ้าทุกคนไม่หนี เราก็ไม่หนี !


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 8
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-11-2018 10:16:25
พี่เสาร์นี่คงเกินเยียวยาแล้ว
นับหนึ่งคงต้องถามตัวเองต่อให้ในอนาคตจะค่อยๆ ได้เศษเสี้ยวความรักจากพี่หนึ่งมาบ้าง แต่จะเอาหัวใจไปฝากไว้กับคนที่พื้นฐานจิตใจแบบนี้จริงๆ เหรอ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 8
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-11-2018 13:35:32
พี่เสาร์กินน้ำแข็งเป็นอาหารรึเย็นชาเกิ้นนับหนึ่งน่ารักขนาดนี้ยังใจร้ายใส่อีกยึดติดกับวันศุกร์มากเกินไป+1
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 9
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 17-11-2018 23:17:17
นับหนึ่ง ถึง เก้า

 

“หวะ…!?” นับหนึ่งโวยวายเมื่อจู่ๆ ก็ถูกมือหนาตรงเข้าฉุดตัวเองลุกขึ้น วันเสาร์ไม่ปริปาก ไม่ไล่ แถมยังกระชากเขากลับไปทางเคาน์เตอร์ขัดมัน ห่อบะหมี่ที่ยังไม่ทันได้แกะยังคงนอนแหมะอยู่บนนั้น และตอนนี้ก็เข้าไปอยู่ในอุ้งมือคนโตกว่าเรียบร้อยแล้ว

“เอ่อ พี่เสาร์”

รวบรวมความกล้าส่งเสียงเรียกออกไปแผ่วๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมพูดอะไรให้เขาเข้าใจสถานการณ์แปลกประหลาดในขณะนี้ วันเสาร์กดสายตาเป็นสัญญาณให้เขาหุบปากนิ่งเฉย ก่อนจะหันไปหยิบชามออกมาจากชั้น จัดการแกะเส้นสีเหลืองไข่ในซองใส่ลงไป พร้อมเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเสร็จสรรพ

สรุปคือ…จะมาแย่งเขากินมาม่าเหรอ หรือยังไง

เกือบ 5 นาทีหลังจากนั้น เขาก็ถูกลากไปนั่งกะพริบตาทำหน้าหมางงอยู่บนโต๊ะกินข้าว ชามเซรามิกเลื่อนมาจ่อหน้า พร้อมน้ำเสียงราบเรียบที่เดาอารมณ์ไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ยังทำให้อุ่นใจว่าเจ้านายตัวเองไม่ได้เป็นใบ้ไปแล้ว

“กินซะสิ”

“กิน…ได้เหรอครับ”

วินาทีหนึ่ง เขารู้สึกขนลุกราวกับมีรังสีอำมหิตส่งผ่านสายตาดุคม รีบยกมือโบกไปมาพัลวันแล้วแก้คำพูดตัวเองเสียใหม่ก่อนจะมีใครเดินมาคว่ำชามบะหมี่ลงบนหัวซะก่อน

“มะ หมายถึงว่า ผมกินได้เหรอครับ ก็พี่เสาร์ลงโทษผมอยู่นี่น่า…” ประโยคแผ่วปลายทำเอาอีกฝ่ายย่นคิ้ว เสียงท้องร้องดังแทรกความเงียบจนเจ้าตัวตีหน้าเลิ่กลั่ก

“บอกให้กินก็กิน”

“แต่ว่…”

“จะกินหรือไม่กิน!”

“กิน! ก..กินครับ” เขาเผลอขานตอบประหนึ่งอยู่ในค่ายทหาร หยิบส้อมตักเส้นเข้าปากไม่หยุด

ภายใต้ความมืดยามค่ำคืน มีเพียงแสงไฟเหนือโต๊ะกินข้าว กับผู้ชายสองคนที่ยังคงตาสว่าง วันเสาร์ลุกไปรินน้ำมานั่งดื่มเงียบๆ ขณะที่นับหนึ่งยังคงตั้งอกตั้งใจกินมาม่าอย่างกับคนอดอยากมานานแรมปี ชามใบใหญ่ถูกยกขึ้นซดน้ำซุปจนหยดสุดท้าย อาหารมื้อเย็นผนวกค่ำหมดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ แม้แต่คนไม่มีหัวใจก็ยังอดมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสารไม่ได้

“ฮ้า” ชามเปล่าวางลงบนโต๊ะ คนตัวเล็กเอนหลังพิงเก้าอี้พลางพ่นลมหายใจหนักๆ ออกทางปาก

“อิ่มรึยัง”

เขาพยักหน้าตอบหงึกหงัก ชั่งใจว่าควรขอบคุณดีไหม ในเมื่อวันเสาร์เป็นต้นเหตุให้เขาไม่ได้กินข้าวเย็นเอง “งั้นผมกลับ…”

“ถ้าอิ่มแล้วก็ขึ้นห้อง”

ดวงตากลมกะพริบถี่สองสามครั้ง มีคำว่า หืม? ตัวโตแปะอยู่กลางหน้าผาก วันเสาร์ไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับลุกขึ้นมาอ้อมหลัง กระชากคอเสื้อเขาให้ลุกตาม แล้วบังคับถูลู่ถูกังขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน ประตูห้องนอนอันคุ้นเคยเปิดออก คนโตกว่าแทบจะเขวี้ยงร่างเขาลงบนพื้น ทำอย่างกับเพิ่งโยนถุงเท้าลงตะกร้า

ออกคำสั่งเรียบนิ่งหากแฝงไว้ด้วยอารมณ์หงุดหงิดรำคาญเหมือนทุกที “รีบไปแปรงฟันแล้วมานอน”

“เอ่อ…”

“ไปแปรงฟัน” วันเสาร์ย้ำชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาเขารีบหุบปากแล้วกลืนทุกข้อสงสัยลงคอ จรลีเข้าไปในห้องน้ำด้วยความไวแสง

วันเสาร์คงเป็นบ้า ไม่ก็ไบโพลาร์แน่ๆ เมื่อเย็นยังตบหน้าไล่เขาไปขังไว้ในห้องรับแขก แต่ตอนนี้กลับถึงขนาดต้มมาม่าให้กิน ฉุดลากขึ้นมานอนบนห้องเหมือนเดิมอีกต่างหาก จิตไม่ปกติหรือว่าสมองเพี้ยนไปแล้วกันแน่นะ

รสมินต์จากยาสีฟันคู่ใจกระจายตัวไปทั่วทั้งโพรงปาก กวาดกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์จากผงชูรสเมื่อสักครู่ เงาสะท้อนในกระจกตอกย้ำให้เขาเห็นถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง ขอบตาแดงก่ำเป็นเครื่องพิสูจน์ความอ่อนแอ แถมยังอ่อนไหว เรื่องที่เศร้าที่สุดคงเป็นการที่เขาคิดว่าตัวเองหลุดออกจากบ่วงแห่งความเศร้าแล้ว ในวินาทีที่หนีออกจากโซ่ตรวนของเจ๊หมวยมาได้ แต่ความจริงกลับไม่ได้หลุดออกไปไหน ซ้ำยิ่งจมดิ่งลงสู่ทะเลสีเทาลึกสุดลึก

ทะเลสีเทาที่มีชื่อเรียกว่า วันเสาร์ นั่นแหละ…

ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเอาหยาดน้ำบนใบหน้าออก เขาค่อยๆ ก้าวขากลับมาเผชิญเจ้าของห้องซึ่งกำลังส่งสายตาเย็นชามาให้จากบนที่นอน มือใหญ่ตบฟูกปุๆ เป็นสัญญาณให้เข้าไปหา ทำอย่างกะเรียกหมางั้นแหละ

“เจ็บไหม” วันเสาร์ถาม ขณะเอื้อมมือแตะพวงแก้มซีกซ้ายของเขาผะแผ่ว เมื่อเขาผงกศีรษะลง ปลายนิ้วเย็บเฉียบจึงเปลี่ยนมาลูบเกลี่ยไปตามกรอบหน้าซีดเผือด มันคงเป็นภาพที่ดูอ่อนโยนพิลึก ถ้าไม่ใช่ว่าคำพูดต่อมาก็ยังคงใจร้ายไม่เคยเปลี่ยน

“เจ็บแล้วก็จะได้จำ ว่าวันหลังต้องทำตัวยังไง ถ้าฉันบอกว่าห้ามไปยุ่งกับน้องฉันก็คือห้ามยุ่ง ครั้งนี้ฉันยังใจดีนะ แต่ถ้ามีอีก…ฉันจะไม่ใช่แค่ตบนาย จำไว้ด้วย”

น้ำลายเหนียวข้นถูกกลืนลงคอด้วยความยากลำบาก แววตากลมสั่นระริกเพียงวูบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าลงอีกครั้ง แล้วรีบล้มตัวลงนอน นับหนึ่งพลิกตัวหันหลังให้คนบนหมอนอีกใบ ไม่กี่วินาทีต่อมา ไฟในห้องก็ดับลง

ไม่รู้ว่าทำไม แต่คำพูดไร้เยื่อใยของวันเสาร์ กลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าแรงตบเมื่อตอนเย็นเสียอีก...



-----------------------------------------------



ก๊อกๆๆ

“คุณเสาร์คะ!”

ก๊อกๆๆ

“คุณเสาร์ แย่แล้วค่ะ”

เสียงเอะอะโวยวายจากแม่บ้านด้านนอกทำเอาสองร่างบนเตียงสะลืมสะลือตื่นขึ้นในเช้าตรู่ของวันหยุด นับหนึ่งบิดหัวไหล่ไล่ความเมื่อยล้า ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นเพื่อพบกับวงแขนหนักอึ้ง พันโอบรอบเอวตัวเองไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แต่นี่คงจะเป็นสาเหตุของการฝันร้ายว่าถูกผีอำอยู่หลายค่ำหลายคืน

“คุณเสาร์! คุณหนึ่งหายตัวไปค่ะ”

ก๊อกๆๆๆ

“พี่เสาร์” เขาพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก แต่ดูเหมือนคนด้านหลังจะยิ่งแกล้งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ทั้งที่รู้สึกตัวตื่นสักพักใหญ่แล้ว

“ปล่อยครับ ผมจะออกไปหาพี่ละไม”

ไอความร้อนจากลมหายใจเป่ารดอยู่หลังใบหู แรงขบหนักๆ บนลาดไหล่ทำเอาเขาสะดุ้ง ขนอ่อนในกายตั้งชันพอดีกับที่อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดกระทบผิว

“พ..พี่เส…” คำพูดแหบพร่าขาดห้วงยามเรียวลิ้นหนาตวัดแลบเลียไปตามรอยกัดเมื่อครู่

ก๊อกๆ

“คุณเสาร์!”

ปากหยักกดจูบลงบนหัวไหล่สั่นระริก ก่อนจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ ขายาวก้าวตรงไปทางประตูห้อง ทันทีที่เปิดออก พี่ละไมก็รีบส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งจนคนเป็นนายถึงกับยกนิ้วขึ้นอุดหู

“คุณเสาร์คะ คุณหนึ่งหายไปค่ะ ไม่อยู่ที่…อ่าว” หญิงวัยสามสิบกว่าอ้าปากค้าง เมื่อชะโงกหน้าเข้ามาเห็นว่าคนที่เธอตามหาตั้งแต่เช้า กำลังนอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง

แถมไม่ใช่เตียงธรรมดา แต่เป็นเตียงของผู้ชายที่ไล่ให้เด็กคนนั้นลงไปนอนโซฟาอีกต่างหาก เรื่องนี้ใครไม่งงไม่รู้ รู้แต่เธองง!

เธอส่ายศีรษะเล็กน้อยเพื่อตั้งสติ ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โธ่เอ๊ย สุดท้ายคุณเสาร์ก็ยอมให้คุณหนึ่งขึ้นมานอนด้วยนี่เอง”

“พี่ละไมมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ” คนตัวสูงถามเสียงเรียบ พร้อมใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ หากว่าแววตาคมกริบก็พอจะทำให้เธอรู้ตัวว่าควรเงียบปากแล้วทำเป็นปิดหูปิดตาซะ

“เอ่อ อีกสักครู่ลงไปทานอาหารเช้าได้แล้วนะคะ”

“ครับ”

ประตูไม้ปิดตัวลง น่าจะก่อนที่เธอพูดจบประโยคเสียอีก ละไมกลั้นยิ้มขณะก้าวขากลับลงไปชั้นล่าง เธอรีบโบกมือพัลวันในอากาศทันทีที่เห็นคุณชายคนเล็กของบ้านกำลังทำท่าชะเง้อชะแง้คออยู่แถวหัวกระได สีหน้าห่วงใยคลายออกเมื่อละไมปรี่เข้ามารายงานข้างๆ หู วันศุกร์ยิ้มหย่อง หัวเราะคิกคักอยู่ในลำคอ ดูเหมือนว่าวันนี้ถ้าไม่ได้แซวพี่ชายตัวเอง เขาคงนอนไม่หลับ

ก็คงจะคิดไม่ผิดจริงๆ นั่นแหละ…วันเสาร์เปลี่ยนไปแล้ว



-----------------------------------------------



ทุกคนนั่งพร้อมหน้ากันรอบโต๊ะอาหาร ข้าวต้มทะเลในหม้อใหญ่ตักแบ่งใส่ชามให้เจ้าของบ้านทั้งสอง กับอีกหนึ่งหวานใจคุณชายคนโต เอ๊ย ขวัญใจคุณชายคนเล็ก นับหนึ่งคอยจิบน้ำในแก้วไม่พูดไม่จา เช่นเดียวกับวันเสาร์ที่เอาแต่ปิดปากเงียบ แถมแสร้งตีหน้าตายทั้งที่ตัวเองเพิ่งพลิกลิ้นไปแล้วไม่รู้กี่ตลบ

ถ้วยกระเทียมเจียวส่งกลิ่นเตะจมูก หอมพอๆ กันกับตะกร้าขนมปังปิ้งที่เพิ่งถูกยกออกมาเสิร์ฟ วันศุกร์ช่วยสมาชิกใหม่ปรุงรสอาหารเช้า รอยยิ้มแสนใจดีนั้นคงเป็นอะไรที่วันเสาร์ไม่มีวันเทียบเคียงได้เลยสักกะผีกเดียว

“เมื่อคืนเป็นไงบ้าง”

นับหนึ่งสะดุ้งนิด กลอกตาลอกแลก ท่าทีน่าขำทำเอาคนถามหลุดหัวเราะ ก่อนจะหันไปแกล้งพี่ชายตัวเองแทน

“พี่เสาร์บอกว่าห้ามใครไปโอ๋หนึ่งเด็ดขาด แต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายไปโอ๋ซะเอง แบบนี้มันกลืนน้ำลายตัวเองชัดๆ เลยนี่ครับ”

“ใครว่าโอ๋” เจ้าของร่างสูงพับหนังสือพิมพ์ในมือส่งต่อให้แม่บ้านนำไปเก็บ

“พี่ก็แค่…”

“ก็แค่?”

“สงสาร”

แววตาใสเป็นประกายเมื่อได้รับคำตอบ วันศุกร์อมยิ้มไม่ปิดบัง หันไปพยักเพยิดหน้ากับละเมียดละไมอย่างกับพวกแก๊งนักเรียนหญิงจับกลุ่มนินทาผู้ชายในชั้น คำว่าสงสารอาจไม่ได้ฟังดูน่าประทับใจเท่าไรนัก แต่เขารู้ดีว่าสำหรับคนอย่างวันเสาร์ แค่มีความรู้สึกสงสารให้ คนคนนั้นก็นับว่าพิเศษกว่าคนอื่นขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว แถมนับหนึ่งเองก็ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่พิเศษกว่าคนอื่นหน่อยเดียวซะด้วยสิ

“พี่เสาร์เปลี่ยนไปนะครับ” เขาจับจ้องเสี้ยวหน้าเรียวด้วยสายตาหยอกล้อ “ใจดีขึ้น”

คนถูกชมส่ายหัวเอื่อย หันไปจัดการชามข้าวตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก นับหนึ่งเองก็แอบส่ายหน้าอยู่ในใจเช่นกัน เพราะตั้งแต่รู้จักผู้ชายบนหัวโต๊ะ ก็ยังไม่เห็นว่าจะเข้าใกล้คำว่า ใจดี ตรงไหน ถ้าจะมีใครในที่นี้ใจดี เขาก็จะตอบว่าคือวันศุกร์นั่นแหละ

ส่วนวันเสาร์น่ะ ต้องเรียกว่าใจร้ายถึงจะถูก ก็แค่ใจร้ายมาก ใจร้ายน้อย เป็นบางเวลาเท่านั้น

“พี่ละไม แยมหมดแล้วเหรอครับ”

“แยมสตรอเบอรี่เหรอคะคุณศุกร์”

“ครับ”

“เหลือแค่นั้นเองค่ะ เดี๋ยวไว้พี่ไปซื้อเพิ่มให้ ตอนนี้เอาอย่างอื่นแทนก่อนได้ไหมคะ” เสียงตะโกนถามจากในครัว เว้นช่วงรอคำตอบ เปิดตู้เย็นควานหาภาชนะแก้วบรรจุแยมสีส้ม กับอีกใบเป็นสีม่วงก่ำจากบลูเบอรี่

ศุกร์ชั่งใจ ลังเลระหว่างแยมผลไม้รสชาติอื่น หรือจะเปลี่ยนเป็นช็อกโกแลตไม่ก็เนยถั่วดี ขณะที่เด็กตรงข้ามกำลังนั่งเกร็ง ในมือถือขนมปังทาแยมสตรอเบอรี่ก้นกระปุกซึ่งเพียงพอสำหรับที่สุดท้าย ดวงตากลมก้มมองของในมือตาละห้อย หากก็ตัดสินใจเสียสละยื่นออกไปให้

“พี่ศุกร์กินชิ้นนี้ก็ได้ครับ”

“เอ้ย ไม่เป็นไร หนึ่งกินเลย”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ศุกร์กินเถอะ ผมทาเนยอย่างเดียวก็พอ”

“ไม่ๆ หนึ่งกินเถอะ พี่แค่ถามเฉยๆ”

“แต่ว่…”

เสียงกระแอมไอขัดจังหวะการถกเถียงไม่จบสิ้นของพวกเขาทั้งคู่ วันเสาร์เป็นฝ่ายเอื้อมมือเข้ามาชิงขนมปังชิ้นดังกล่าว แล้วยัดมันเข้าไปในปากของเด็กร่วมเตียงเมื่อคืน นับหนึ่งเบิกตากว้าง จ้องหน้าคนป้อน (?) เขม็ง

“อุ่ก”

“กินๆ เข้าไป รำคาญ”

เขารีบปัดมือหนาออก ก่อนที่จะสำลักอาหารตายซะก่อน รสชาติหวานอมเปรี้ยวของแยมสีสด ตัดกับขนมปังโฮลวีทปิ้งกรอบเคลือบอยู่ในลำคอ เรียวลิ้นแลบทำความสะอาดรอยเลอะตามมุมปาก บ่นอุบอิบเสียงแผ่ว เพราะไม่ใช่แค่วันเสาร์ที่เอาแต่แกล้งเขา ขนาดวันศุกร์กับแม่บ้านทั้งสองก็ยังดูชอบใจถึงได้ยิ้มร่ากันใหญ่

และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกเขาถึงได้มีความสุข ในเมื่อวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ คนที่ใครต่อใครต่างพากันตราหน้าว่าแสนเย็นชานักหนา วันนี้กลับดูสนอกสนใจเด็กแปลกหน้าซะเหลือเกิน ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกินคาด

“จริงๆ หนึ่งชอบแยมสตรอเบอรี่ใช่ไหม” วันศุกร์ถาม คนตัวเล็กชะงักไปนิด แต่แล้วก็พยักหน้ายอมรับ

“ปกติผมไม่เคยกินอะไรแบบนี้หรอกครับ แต่ลองแล้วมันก็อร่อยดี”

“วันหลังถ้าชอบอะไรก็บอกตรงๆ เลย เดี๋ยวพี่เสาร์ก็รีบหามาให้เองแหละ”

คนถูกพาดพิงเอียงคอมองน้องชายด้วยท่าทีหน่ายใจ อย่างกับว่าเขาจะดูไม่ออกว่าคนบ้านนี้ โดยเฉพาะเจ้าตัวแสบตรงหน้ากำลังพยายามจับคู่ไม่เข้าเรื่อง

แววตาเรียบนิ่ง บรรจุความรู้สึกนับพันล้าน จับจ้องไปยังโครงหน้าหวานคุ้นเคยที่คอยเฝ้ามองมาตลอด 19 ปี เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มกว้างน่าเอ็นดู เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มที่เคยซบลงอยู่กับบ่าเขาทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่เดือน เจ้าของชื่อวันศุกร์ก็ยังคงเป็นเหตุผลเดียวสำหรับความสุขของเขาอยู่ดี

ลมหายใจบางเบาลอบพ่นออกจากปาก ก่อนจะหันกลับมาจัดการอาหารเช้าต่อ ปล่อยให้เด็กสองคนพูดคุยกันอย่างออกรส ผ่านไปเพียงไม่นาน ข้าวต้มในชามก็เริ่มร่อยหรอ

เขาหันไปหานับหนึ่งที่ดูจะสดใสขึ้นหลายขุมเพียงเพราะมีวันศุกร์มาอยู่ด้วย “เดี๋ยวขึ้นไปแต่งตัว จะพาออกไปข้างนอก”

“ไปไหนครับ?”

“ไม่ต้องถาม”

“อ่าว จะไปไหนก็ต้องถามสิ ถ้าพี่เสาร์พาผมไปทิ้งล่ะ” เอาไปทิ้งจริงๆ เลยดีไหม ปากเก่งขนาดนี้ สงสัยลืมไปแล้วว่าเขาเป็นเจ้าชีวิต ถึงได้ชอบเถียงคำไม่ตกฟากนัก

“ถ้ายังถามมาก จะพาไปทิ้งจริงๆ”

คนตัวเล็กบุ้ยปาก แล้วหันหลังลุกขึ้นบันไดตามคำบัญชา

สองพี่น้องย้ายไปนั่งพักอยู่ในส่วนของห้องนั่งเล่น เรียวขาขาวเหยียดไล่อาการเมื่อยล้า เนื่องจากแฟนหนุ่มรุ่นพี่เพิ่งชักจูงให้เขาเริ่มออกกำลังกายมากขึ้น วันศุกร์นวดคอตัวเองเบาๆ ไล่สายตาพิจารณาใบหน้าเรียวหล่อเหลาของพี่ชายตัวเองซึ่งเอาแต่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์เครื่องบาง

วันเสาร์ไม่ได้เป็นพวกยิ้มแย้ม ร่าเริง หรือว่าสนุกสนาน และคงไม่มีวันเป็นอย่างนั้น เพราะมันไม่ใช่วิสัย ถึงได้เป็นเรื่องยากที่จะเดาออกว่าอารมณ์ของคนคนนี้กำลังเป็นแบบไหน แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขาดูออก

ถึงจะไม่ชัดเจน แต่วันเสาร์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกเหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลาอย่างเก่า และก็กำลังถูกความสดใสของใครบางคนแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ ทีละเล็กทีละน้อย โดยที่อาจจะไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิด

ถึงจะไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เศร้าแล้วนี่น่า

“พี่เสาร์”

“หืม?”

“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

คนถูกถามเลิกคิ้ว ลดมือถือลง “หมายถึงอะไรเหรอ”

“ก็ที่มีนับหนึ่งเข้ามาอยู่ด้วยเนี่ย เป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็…ไม่เป็นไงหนิ”

“เหรอ แต่ศุกร์ว่าพี่เสาร์ดูไม่ค่อยซึมเหมือนแต่ก่อนนะ แบบว่า…ดูมีความสุขขึ้น นิดนึง”

“พี่จะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อน้องชายหนีออกจากบ้าน” เขาเลือกที่จะเลี่ยงบทสนทนาไม่น่าสนใจเมื่อครู่ ย้อนกลับไปจี้จุดคนถามเสียแทน ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวแสบน้อยๆ ของเขาถึงกับออกอาการหน้าแห้งเผือดทันควัน

“พี่เสาร์ก็ ศุกร์ไม่ได้หนีออกจากบ้านสักหน่อย แค่ไปอยู่บ้านพี่กันต์เอง”

“ก็นั่นแหละ” ร่างสูงใหญ่แสร้งถอนหายใจหนัก “พี่เหงานะ รู้ไหม”

“แหม เหงาอะไรกัน ก็มีหนึ่งอยู่ด้วยแล้วนี่ไง”

“เกี่ยวอะไรกับเด็กนั่นล่ะ”

“อ่าว ไม่เกี่ยวเหรอครับ” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มหยอกกระเซ้าก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก แต่เขาชักจะไม่สนุกด้วยเพราะดูเหมือนนับวันจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าศุกร์คิดอะไร แต่พี่จะบอกให้ว่าพี่ไม่ได้คิดอะไรกับนับหนึ่ง พี่ก็แค่สงสารเลยรับเข้ามาอยู่ด้วยเท่านั้นเอง”

คนตัวเล็กค่อยๆ หุบยิ้ม ขยับไปนั่งลงเคียงข้างเจ้าของใบหน้าคร่ำเคร่งที่ยังเอาแต่จ้องเขานิ่งๆ ในแววตาสีดำสนิทไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกอื่นใดนอกจากหลุมลึกสุดหยั่งถึง เขาคิดว่าวันเสาร์กำลังก่อร่างสร้างกำแพงร้อยชั้น ปิดบังอะไรบางอย่างที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่อยากยอมรับ

พยายามซ่อนเก็บมันไว้ให้ลึก แล้วฉาบทับด้วยข้ออ้างอย่างอื่น

“แล้วพี่เสาร์รับนับหนึ่งเข้ามาในฐานะอะไรล่ะครับ”

ความเงียบชวนอึดอัดโปรยตัวลงปกคลุมทั่วพื้นที่ภายในห้องรับแขก เสียงเครื่องปรับอากาศแทบจะดังแทรกลมหายใจของเราทั้งคู่ สองสายตาสบประสานเนิ่นนานราวกับว่ากำลังเล่นเกมจิตวิทยา และน่ากลัวว่าคราวนี้เขาจะยังไม่ใช่ฝ่ายที่ชนะ

“จะให้พี่พูดตรงๆ ไหม”

“ครับ?”

“สำหรับพี่ นับหนึ่งก็เป็นแค่ตัวแทนของศุกร์นั่นแหละ”

วันเสาร์…โกหกไม่เก่ง

แต่ว่าใจร้ายเก่งชะมัด…

“พี่เสาร์ อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะครับ ถ้าหนึ่งมาได้ยินเข้าจะเสียใจมาก”

สายตาคมหม่นหมองหลบหน้าเขา ก่อนจะลุกขึ้นมองนาฬิกาข้อมือเรือนประจำ ขายาวก้าวไปยังประตูบานเลื่อนซึ่งมีเงาของใครบางคนฉายผ่านเข้ามา ยิ่งทำเอาคนที่เดินตามมาติดๆ สังหรณ์ใจไม่ดี

ภาพแรกที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาก็คือพวงแก้มขาวซีดคล้ายเยื่อกระดาษ ขอบตากลมโตเปื้อนรอยแดงระเรื่อ ริมฝีปากเป็นกระจับปิดแน่นสนิท คนที่เขาภาวนาไม่ให้มายืนอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ที่สุด กำลังเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดร้ายกาจเมื่อครู่แน่นิ่ง หากเพียงแค่วินาทีต่อมา นับหนึ่งก็กลับมาปั้นหน้ามึน กลอกตาวอกแวกเหมือนปกติ

“เอ่อ ผมแต่งตัวเสร็จแล้วครับ สรุปพี่เสาร์จะพาผมไปไหนเหรอ แล้วพี่ศุกร์ไปด้วยไหม”

เด็กน้อยยืนรอคำตอบแต่กลับได้รับเพียงความว่างเปล่า วันศุกร์เหลือบมองร่างสูงโปร่งด้านข้างซึ่งบัดนี้กลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งไปแล้ว แวบเดียวเท่านั้นที่เขาสังเกตเห็นอาการวูบไหวภายในแววตาคู่ตรงหน้า ก่อนที่วันเสาร์จะเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ สมกับฉายาเจ้าชายเย็นชาที่เขาเชื่อเหลือเกินว่าคงไม่จริง

“ไปขึ้นรถ” พูดแค่สั้นๆ แล้วเดินตัดหน้าออกไปทางประตูบ้าน ทิ้งให้อีกสองชีวิตยืนทำตัวไม่ถูก

วันศุกร์รีบคว้าข้อมือเล็กของอีกคนเอาไว้ สายตาปลอบโยนแลดูอบอุ่น ต่างกับคนพี่ราวฟ้ากับก้นเหว

“หนึ่ง…พี่เสาร์ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นหรอกนะ”

“เหรอครับ”

รอยยิ้มฝืนๆ ยิ่งทำให้ใจคนมองบางเท่าทิชชู่ เขาดึงนับหนึ่งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ฝ่ามือลูบประโลมกลุ่มผมนิ่ม แม้จะยืนอยู่บนพื้นดวงจันทร์ ก็คงยังมองเห็นว่าหัวใจของเด็กคนนี้กำลังจะถูกช่วงชิงไปโดยผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีหัวใจคนนั้น

ทำไมถึงได้น่าสงสารเหลือเกิน…

 

------------------------------------------------------------------------------

อิพี่เสาาาาาาาร์ ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยย สงสารน้อง น้องรักแล้ว แต่พี่เสาร์ยังไม่รู้ใจตัวเองเลย TTT

ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจมากๆ เลยนะคะ ถ้าใครเล่นทวิตเตอร์ ก็อยากให้ช่วยกันติดแท็กในทวิตเตอร์ด้วย จะได้ล่อลวงคนอื่นเข้ามาอ่านเยอะๆ ทุกวันนี้หวีดคนเดียว เหนื่อยมาก 555555555555 เรามีทวิตไว้บ่นเรื่องนิยายและอื่นๆ ที่ @aonair13 น้าา ไปเม้ามอยกันได้

ป.ล. ขอโทษที่มาช้านะคะ วันนี้ไปดู FB มา กรี๊ด GGAD กะ Scamanderbros มาก 555555 บ้าไปแร้ววว //กุมใจ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 9
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-11-2018 00:18:01
วันเสาร์ใจร้ายมากสงสารนับหนึ่งหนีเถอะให้วันเสาร์ปวดใจอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 10
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 01-12-2018 09:36:49
นับหนึ่ง ถึง สิบ



บรรยากาศบนรถวันนี้ย่ำแย่มากกว่าทุกที ไม่มีดนตรีเปิดคลอ และไม่มีบทสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น วันเสาร์หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดขนาดกว้างของห้างสรรพสินค้า ที่เคยมาซื้อเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ให้เขา คนตัวใหญ่ดับเครื่องยนต์ เดินนำหน้าไปทางประตูกระจกใส ปล่อยให้เขาวิ่งตามต้อยๆ

“เรามาที่นี่กันทำไมเหรอครับ”

ดวงตาสีเข้มปรายมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยอมเปิดปาก “ก็มาซื้อของที่นายทำแตกไปไง”

ของที่เขาทำแตก…หมายถึงคริสตัลรูปแมวบนโต๊ะพี่ศุกร์อะเหรอ

“เอ่อ…ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

ศีรษะทุยก้มงุด ไม่ทันสังเกตว่าวันเสาร์กำลังทำหน้าแบบไหน ยังโกรธไหม หรือเกลียดแล้ว เพราะเขาเผลอไปแตะต้องสิ่งสำคัญหนึ่งเดียวของอีกฝ่าย สำคัญมากขนาดที่ว่า คนต่ำต้อยอย่างเขาไม่มีวันเทียบแทนได้เลย

ไม่มีคำตอบกลับ นอกจากฝีเท้าหนักๆ ตรงไปทางร้านเครื่องประดับชื่อดัง พนักงานสาวในชุดสูทเรียบร้อยก้มหัวต้อนรับพวกเรา พลางผายมือไปยังเคาน์เตอร์ละลานตา

อัญมณีนับสิบหรือร้อยชนิดเปล่งประกายล่อแสงแข่งกันจนทั่วทั้งร้าน นับหนึ่งกวาดตามองด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้กระจกขนาดยาว วันเสาร์ทักทายผู้จัดการร้านอย่างคุ้นเคย ถาดกำมะหยี่ถูกยกออกมา พร้อมคริสตัลรูปสัตว์หลายตัววางเรียงอยู่บนนั้น

กระต่ายน้อยตาสีดำ หมาบีเกิลนั่งชูหาง ไปจนถึงหมีแพนด้าแม่ลูก และแน่นอนว่ามีเจ้าแมวน้อยตัวเดิมที่วันศุกร์เคยมีด้วยเช่นกัน

“เอาแมวตัวนี้แหละครับ”

“ตัวเดียวเหรอคะ ไม่ดูอะไรให้รุ่นน้องด้วยเหรอ”

รอยยิ้มน่ารักของคนในชุดสูทหันมาทางเขาซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งตัวเกร็ง วันเสาร์เหล่ตามองเพียงแวบเดียว ก็หันกลับไปปฏิเสธเสียงเรียบ

“ไม่ล่ะครับ นี่แค่คนใช้”

“ตายจริง” หญิงสาวสะดุ้ง รีบก้มหัวขอโทษเป็นการใหญ่ เธอจัดแจงนำสินค้าลงกล่อง ใส่ถุงกระดาษเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม สกรีนโลโก้ยี่ห้อสีเงินสวยเด่น

นับหนึ่งก้าวเท้าเข้าไปรับถุงนั้นมาถือไว้อย่างรู้งาน เมื่อวันเสาร์ชำระเงินเรียบร้อยแล้วเดินตัวลอยออกไปจากร้าน ทางด้านผู้จัดการยังคงมองตามลูกค้าทั้งสองจนเกือบลับสายตา เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กนั่นจะเป็นคนรับใช้ของวุฒิเวคินทร์ เพราะผิวพรรณดูเรียบเนียน ขาวเหมือนกระดาษ ยิ่งกับใบหน้าหวานๆ ที่ถ้าหากว่าไว้ผมยาว แล้วสวมชุดกระโปรงมาล่ะก็ เมื่อกี้เธอคงรีบทักว่าเป็นแฟนของวันเสาร์แน่ๆ

“พี่เสาร์ รอด้วยครับ” คนตัวเล็กวิ่งตามจนขึ้นมาขนาบข้างได้สำเร็จ เขาถือถุงในมืออย่างระวังขณะเดินผ่านกลุ่มคนจำนวนมากที่กำลังยืนออรอคิวร้านอาหารเต็มทางเดิน

“ถ้าคราวนี้ทำแตกอีก จะไม่ใช่แค่โดนตบแล้วนะ”

เขายู่ปาก แหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างนึกเคือง “ทำไมครับ จะต่อยผมเหรอ”

“อยากลองไหมล่ะ”

นับหนึ่งสะบัดหน้าใส่ ตั้งท่าจะถอยเว้นระยะห่าง แต่กลับถูกมือหนากระชากร่างกลับมาใกล้กันยิ่งกว่าเดิม เขาได้ยินเสียงจิ๊ปากเบาๆ ตามด้วยคำก่นด่าแว่วมาจากผู้ชายที่เพิ่งเดินเฉียดไปเมื่อครู่

“เดินดีๆ เป็นไหม” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์เสียชัดเจน วันเสาร์ดุเขาผ่านสายตา ก่อนจะเลื่อนมือจากต้นแขนลงไปถึงข้อมือบาง ฉุดให้ก้าวขาตามไวขึ้น อุณหภูมิจากร่างกายอีกฝ่ายเกี่ยวพันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพวกเราหลุดออกจากฝูงชน ถึงได้ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

ร่างสูงโปร่งเสมองไปทางร้านรวงระหว่างทาง กระแอมอยู่ในลำคออย่างวางท่า อดจะเผลอยิ้มตามให้กับภาพนั้นไม่ได้ เพราะถึงจะโหดร้ายยังไง วันเสาร์ก็มักจะหลุดทำตัวให้รู้สึกประทับใจหรือใจอ่อนอีกจนได้ และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังสับสนและเกลียดผู้ชายตรงหน้าจริงๆ ไม่ได้สักที

ลูกโป่งสีแดงสดลอยเด่นสะดุดตา นับหนึ่งลดความเร็ว จับจ้องไปยังร้านไอศกรีมชื่อดังถัดจากบันไดเลื่อนซึ่งกำลังจะนำพวกเขากลับสู่ลานจอดรถ เรียวแขนเล็กเอื้อมออกไปดึงรั้งชายเสื้อคนตัวสูงไว้ ก่อนจะทันได้คิด

“อะไร”

“อ…เอ่อ”

“มีอะไร” เสียงต่ำกดย้ำทำเอาเขายิ่งเลิ่กลั่ก น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอก่อนจะกลั้นใจชี้นิ้วไปทางร้านของหวานใกล้ๆ

“อยากกินไอติม…กินได้ไหมครับ”

อีกฝ่ายขมวดคิ้ว จ้องหน้าเขาสลับกับหน้าร้านอยู่หลายครั้ง

“นี่นายเป็นเด็กเหรอ?”

คำถามไม่รื้นหูแถมฟังดูโง่จะตาย ถามมาได้ว่าเป็นเด็กเหรอ เออ ก็เป็นเด็กไง เพิ่งจบมัธยมเองนะ แล้วถึงจะไม่เด็กแล้วอยากกินไอศกรีมไม่ได้เหรอ งง ชีวิตวันเสาร์วันๆ คงเอาแต่ดื่มเหล้าล่ะสิ น่าสงสาร น้ำแข็งใส บิงซูอะเคยกินเปล่า

“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ กลับกันเถอะ”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ เจ้าของใบหน้าถมึงทึงคว้ามือเขาลากตรงไปหาพนักงานในชุดสีดำตัดแดงซึ่งกำลังส่งยิ้มหวานมาแต่ไกล พวกเราถูกพาเข้ามานั่งบนโต๊ะกลมขนาดเล็กริมหน้าต่าง โดยไม่มีใครปริปาก สายตาหลายคู่แอบมองด้วยอาการสงสัยไปต่างๆ นาๆ เพราะมันก็คงดูแปลกพิลึกอยู่เหมือนกันกับการที่ผู้ชายจะมานั่งกินไอศกรีมสองต่อสอง ยิ่งใบหน้าหล่อเหลาที่แม้จะไม่อยากยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ลงของคุณชายวันเสาร์แล้ว ก็ยิ่งดึงความสนใจจากคนอื่นได้ไม่ยาก

“รับอะไรดีคะ”

“เอ่อ พี่เสาร์เอาอะไรครับ” เขาเอ่ยถามท่าทีเกร็งๆ แน่นอนว่าโดนสายตาเย็นเยียบจ้องกลับมา จนต้องรีบกลืนคำอื่นลงคอ

“ฉันไม่กิน นายจะกินก็รีบสั่ง”

“อืม…งั้นเอาช็อกโกแลต วานิลลา แล้วก็สตรอเบอรี่ อย่างละลูกครับ”

พนักงานสาวจิ้มออเดอร์ใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือ เมื่อเธอเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ คำถามเสียงเข้มก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“สั่งอะไรเยอะแยะ กินหมดหรือไง”

“ก็แบ่งกันกินไงครับ”

คนตัวสูงย่นคิ้ว “บอกแล้วไงว่าฉันไม่กิน” ดูเหมือนคงอยากจะต่อว่าที่เขาไม่ฟัง แต่ช่างปะไร เพราะเขาไม่สน จะกินหรือไม่กิน ยังไงไอศกรีมแค่ 3 สกู๊ป ก็ไม่คณาลำไส้เขาอยู่แล้ว

“แล้วไอติมสตรอเบอรี่ที่ผมเคยซื้อมาฝาก ได้กินหรือเปล่าครับ”

“เมื่อไร”

“ก็วันที่พี่นาวามาหาที่บ้านไง”

“อ๋อ…”

“ว่าไงครับ ได้กินไหม”

วันเสาร์ไม่ตอบ แถมยังจงใจเบือนหน้าหนี พวกเขาผลัดกันยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบอยู่หลายครั้งกว่าที่พนักงานคนเดิมจะเดินเอาถ้วยไอศกรีมมาเสิร์ฟ ท่าทางใบหน้าหล่อเหลาจะทำพิษใส่คนแถวนี้อีกแล้ว ทางร้านถึงได้โปะวิปครีมก้อนใหญ่แถมมาให้เราด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นผลพลอยได้ที่เขาไม่คิดปฏิเสธ

นับหนึ่งเลื่อนช้อนคันหนึ่งไปด้านหน้า ก่อนจะเริ่มตักเนื้อไอศกรีมแน่นๆ เข้าปาก ความหวานและความเย็นหลอมรวมอยู่บนลิ้น ทำเอาเขาเผลอฉีกยิ้มจนคนตรงข้ามต้องขมวดคิ้วเป็นรอบที่ล้าน

ไอศกรีมทั้งสามรสชาติค่อยๆ ละลายปนกันบนก้นถ้วย ในขณะที่วันเสาร์ยังคงไม่แตะต้องช้อนสเตนเลสที่เขาพยายามส่งให้ ทำเพียงแค่นั่งมองเขากินอย่างกับจะกดดันให้รีบยัดทุกอย่างลงท้องเพื่อจะได้รีบกลับบ้าน

มือใหญ่ยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก แววตาสีดำเข้มยากเกินคาดเดาจับจ้องมาเพียงไม่ห่าง เสียงหึเบาๆ ดังลอดจากลำคอหนา กว่าจะทันได้ตั้งคำถาม ปลายนิ้วเรียวก็ยื่นเข้ามาปาดเอาคราบครีมหวานขึ้นตาติดขอบริมฝีปากออกไปเสียก่อน คนโตกว่าเช็ดมือตัวเองกับทิชชู่ พลางเลิกคิ้วสูง

“สรุปว่าฉันรับนายเข้ามาเป็นลูกใช่ไหมเนี่ย”

เป็นอีกครั้งที่เขายู่ปากใส่เจ้านาย “ไม่ได้อยากเป็นลูกพี่เสาร์สักหน่อย” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านกับประโยคสวนถัดมา

“แล้วอยากเป็นอะไร เมียฉันหรือไง?”

“มะ ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย!”

ใบหน้าหวานมุ่ยแดงฉ่า รีบตีเนียนตักไอศกรีมเข้าปากคำใหญ่จนแทบกลืนไม่ลง ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งมองนิ่งๆ หากแววตาคมคู่นั้น บัดนี้กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์สนุกต่างจากทุกที มันก็น่าประทับใจอยู่หรอกที่วันเสาร์ไม่ได้มีเพียงสายตาว่างเปล่าให้กับเขาเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กำลังทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในอกชอบกล

ไม่เห็นจะชอบเลย…



-----------------------------------------------



“ซู่ดดด”

เสียงดูดหลอดเสียงดังชวนให้คนที่กำลังจดจ่อกับเอกสารบนโต๊ะทำงานนึกรำคาญ เขาวางปากกาลง เงยหน้ามองเด็กที่เอาแต่นั่งแกว่งขาไปมาอยู่บนขอบเตียง มือเล็กๆ สองข้างกุมแก้วน้ำหวานเอาไว้มั่น ปากอิ่มแดงเจ่อ ขณะนี้ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่

มันน่า…บีบ ไม่ก็กัดให้ช้ำซะเลย

“ดูดน้ำเสียงดัง ไม่มีมารยาท” เขาเอ็ด

ตามด้วยเสียงซู่ดดังๆ อย่างจงใจอีกรอบ ก่อนที่แก้วในมือจะเหลือเพียงน้ำแข็งเปล่า นับหนึ่งส่งยิ้มไม่สะทกสะท้าน แถมยังเดินหันหลังออกจากห้องไปหน้าตาเฉย ผ่านไปไม่กี่นาที ก็กลับขึ้นมาพร้อมแก้วใบเดิมที่บรรจุน้ำแดงเต็มขอบ อดจะเตือนไม่ได้

“อย่าดื่มน้ำหวานให้มันมากนัก”

“ทำไมอะครับ”

“มันไม่ดีต่อสุขภาพ นายจะอ้วน แล้วก็ฟันผุด้วย”

คนตัวเล็กย่นคิ้ว สีหน้ารั้นๆ เหมือนเด็กเอาแต่ใจทำเอาเขาอยากลุกไปดึงพวงแก้มอูมๆ ที่กำลังอมน้ำแข็งเล่น ไม่คิดจะฟังกันเลย

“พี่เสาร์เป็นพ่อผมเหรอครับ”

เขาหรี่ตามองเด็กตรงหน้าที่คงจะไม่รู้เลยว่าไม่ควรพูดคำนั้นออกมา เพราะมันจะทำให้ความอดทนที่จะใจเย็นของเขาขาดผึ่ง ช่างต่อล้อต่อเถียงนัก น่าลงโทษให้รู้สำนึกซะบ้าง

“ไม่ใช่พ่อหรอก” เสียงทุ้มฟังดูเย็นเยียบ ขายาวลุกออกจากเก้าอี้ทำงาน ย่างเข้าไปใกล้คนบนเตียงที่ไม่ทันแม้แต่จะเขยิบตัวหนี ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างยันฟูก พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนน่ากลัวว่าจะมีใครหยุดหายใจไปก่อนหรือเปล่า

ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับสันกรามเจ้าของร่างสั่นระริก เสียงน้ำแข็งในแก้วไหวคลอนไปมาไม่ได้ทำให้เขานึกอยากจะหยุด

“นายก็รู้นี่” เขากระซิบ ก่อนจะกดริมฝีปากอุ่นทาบลงกับซอกคอหอมอ่อนๆ

มือใหญ่คว้าเอาแก้วน้ำในมืออีกฝ่ายมา เอื้อมวางทิ้งไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟหัวเตียง น้ำหวานสีสดกระฉอกเปื้อนไปตามซอกนิ้ว ทำให้เขาต้องผละออกจากผิวเนื้อเนียนละเอียด เพื่อเลียคราบเลอะบนมือตัวเองออก หากว่าแววตาคู่คมยังคงจับจ้องไปที่เด็กดื้อตรงหน้าซึ่งบัดนี้เอาแต่เม้มปาก หลับตาปี๋ ไม่เห็นจะพูดมากเหมือนเดิม

วันเสาร์คว้าหมับเข้ากับท้ายทอยชื้นเหงื่อ เรียวลิ้นหนาแลบเลียริมฝีปากน้อยๆ อย่างกับว่าห้ามตัวเองไม่อยู่ คนตัวเล็กพยายามถดหนี แต่ยิ่งขยับถอยหลัง ก็ยิ่งถูกรุกไล่เข้ามาใกล้มากเท่านั้น สายตาดุจอสรพิษที่แฝงตัวมาในคราบของชนชั้นผู้ดีทำเอานับหนึ่งไหวหวั่น

ดวงตาสีนิลเข้มเลื่อนมองริมฝีปากแดงฉ่ำจากน้ำหวานเมื่อครู่ เขาชั่งใจอยู่นานพอตัวกว่าที่จะละสายตาออกไปสนใจเรียวขาขาวๆ ที่โผล่พ้นขอบกางเกงขาสั้นตัวบาง

“พะ…พี่เสาร์” เสียงสั่นร้องห้ามยามที่มือซุกซนเริ่มชอนไชผ่านเข้าไปด้านในสาบเสื้อ “อย่าครับ นี่มันกลางวันแสกๆ นะ”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเวลาไหนเขาก็ไม่เต็มใจให้ทำไอ้เรื่องอย่างว่าอยู่ดีนั่นแหละ!

“แล้วไง”

จบคำพูดนั้น เขาก็ถูกผลักให้นอนราบ เสื้อบนตัวเลิกขึ้นสูง ติ่งไตสีหวานถูกครอบครองด้วยโพรงปากอุ่น สองมือยกขึ้นปิดปากสะกดกลั้นเสียงครางฮือในลำคอ ใบหน้าเนียนแดงซ่านดั่งลูกมะเขือเทศสุกง่อมพร้อมเก็บเกี่ยว ขอบตาปรือ หยดน้ำใสเอ่อคลอเบ้าด้วยความอายหรือกลัวก็ไม่ทราบ

แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างเป็นทิวทัศน์ที่ถูกใจคุณชายวันเสาร์ไม่น้อย ถึงขนาดว่าทำให้น้ำแข็งละลายกลายเป็นลูกไฟกองยักษ์ เตรียมพวยพุ่งเข้าไปหยอกล้อกับเจ้าลูกเจี๊ยบตัวลีบที่ตอนนี้กลับปิดปากแน่นสนิท สลัดคราบเด็กดื้อไปจนเกือบหมดสิ้น

“อ..อืออ”

ปลายลิ้นแตะประโลมสลับกับฟันหน้าซี่คมที่ขบเบาๆ ไปตามแผงอก ค่อยๆ ตีหัวแล้วลูบหลังอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนร่างด้านใต้เริ่มบิดเร่าโต้ตอบ น้ำเสียงกระเส่าหลุดรอดออกจากปากเยลลี่อิ่มน้ำที่ไม่ว่าจะเหลือบมองเมื่อไร ก็นึกอยากตรงเข้าไปกัดเมื่อนั้น หากว่าอะไรบางอย่างในส่วนลึกของใจเขา ยังไม่เปิดออกมากพอที่จะฝากร่องรอยแสนลึกซึ้งไว้ให้กับอีกคนตรงหน้า

“อ๊ะ พี่เสาร์ ย..อย่ากัดครับ”

คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าการยิ่งห้าม มันก็เท่ากับการยิ่งยุ เขาตัดสินใจดึงเสื้อยืดเกะกะขวางทาง เขวี้ยงออกไปนอนเป็นผ้าขี้ริ้วอยู่บนพื้น ตรงเข้างับหัวไหล่มนเป็นอันดับแรก ตามด้วยเสียงกุกกักแปลกๆ ที่แทรกผ่านเข้ามากับเสียงร้องปนสะอื้น

แกร๊ก

ลูกบิดประตูทำงาน พร้อมกับแขกไม่ได้รับเชิญถึงสองชีวิตที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในห้องนอนอย่างเสียมารยาท

“เฮ้ย!” เจนภพสะดุ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะหยอกล้อ “โหย เข้ามาขัดจังหวะ โทษทีว่ะ”

นับหนึ่งรีบก้มหน้างุด พรวดพราดลงจากเตียงเพื่อหยิบเสื้อขึ้นสวมกลับด้วยความรวดเร็ว ได้ยินวันเสาร์สบถใส่เพื่อนตัวเอง ก่อนจะลุกจัดคอเชิ้ต ตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มาทำเหี้ยไร”

“หูยๆ ๆ เกรี้ยวกราด”

“ไอ้เจ” เจ้าของบ้านกดเสียงต่ำเป็นคำเตือน เหลือบมองเพื่อนสนิทอีกคนซึ่งดูท่าทางเป็นห่วงเด็กในปกครองของเขาซะออกนอกหน้า

“ก็มาคุยเรื่องร้านไง มึงลืมเหรอ”

วันเสาร์ไม่ตอบ แล้วเดินผ่านหน้าทุกคนลงไปยังบันได เจนภพยักคิ้วให้คนตัวเล็กที่ตอนนี้หนีไปนั่งจุมปุกอยู่บนเก้าอี้ทำงาน แล้วหันหลังตามผู้ร่วมหุ้นลงไปด้านล่าง ขณะที่นาวากลับก้าวขาเข้ามาใกล้ ความห่วงใยเจือปนชัดเจนในน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

“หนึ่ง โดนไอ้เสาร์แกล้งรึเปล่า”

ฝ่ายถูกถามรีบส่ายหน้า ทั้งที่พวงแก้มยังคงขึ้นสีระเรื่อ “ป..เปล่าครับ”

“ถ้ามีอะไรก็บอกพี่ได้นะ”

เขาพยักหน้า พร้อมกับคลี่ยิ้ม นาวาแตะมือลงบนศีรษะเขาน้อยๆ ก่อนก้าวขาออกไปจากห้อง ยังคงทิ้งคำถามเดิมไว้ในหัว ว่าพี่ชายใจดีแสนอบอุ่นคนนี้มาเป็นเพื่อนซี้กับคนไร้หัวใจคนนั้นได้ยังไงกันแน่

เมื่อแน่ใจแล้วว่าทางปลอดโปร่ง เขาถึงเดินไปหยิบแก้วน้ำหวานกลับขึ้นมาดื่มต่อจนหมด ก่อนจะปล่อยตัวเองลงนอนแผ่อยู่บนเตียง รอเวลาที่วันเสาร์จะขึ้นตามจิกหัวใช้ให้ไปชงกาแฟ ไม่ก็กวาดสวนเป็นเพื่อนลุงชัย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกปีบที่เขาเก็บมาประดับไว้บนโต๊ะทำงานเจ้าของห้อง ทำให้สมองรู้สึกผ่อนคลาย จวนเจียนจะหลับ หากก็ต้องสะดุ้งตัวโยนเมื่อจู่ๆ ประตูไม้ก็ถูกกระชากออกอย่างรุนแรง

พร้อมกับสีหน้าหงุดหงิดของคนในความคิด ซึ่งเขานับว่าเป็นหนึ่งในลางร้าย

“ลงไปข้างล่าง”

“ไปทำไมครับ”

“ไอ้วาบอกว่าอยากเจอนาย”

“พี่นาวาเหรอครับ”

คนตัวเล็กลุกออกจากเตียงทันทีที่ได้ยิน และก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดอีก วันเสาร์ถึงยิ่งตีหน้าเป็นยักษ์ขมูขีกว่าเดิม เราสองคนเดินลงมาด้านล่าง ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไปข้างนอก

รถยนต์สีน้ำเงินคันเดิมจอดขวางประตูอัลลอยด์ พร้อมผู้ชายร่างสูงสวมแว่นกรอบบางที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากเบาะหลัง เสียงฝีเท้าของเขาคงทำให้นาวารู้สึกตัว ถึงได้รีบโผล่ศีรษะออกมาส่งยิ้มให้เป็นการทักทายอีกครั้งของวัน ในมือมีกล่องพลาสติกใสขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองทะลุถึงก้อนกลมๆ สีทองอร่ามไปทั่วทั้งถาด

“พี่ซื้อมาฝาก” กล่องปริศนาถูกยัดใส่มือเขาอย่างจงใจ มันคือช็อคโกแลตยี่ห้อดังที่เขาเคยเห็นวางขายตามห้างฯ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้กิน ถึงแม้ว่าจะเกรงใจมากแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสุขเหมือนกัน

และดวงตาเป็นประกายของเขาก็คงซ่อนความรู้สึกไม่มิดเอาเสียเลย อีกฝ่ายถึงได้ยิ้มกว้างท่าทางเอ็นดูขนาดนั้น “ขอบคุณมากนะครับ แต่จริงๆ ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ผมก็ได้”

“ไม่เป็นไร พี่เต็มใจ”

เขาก้มหัวลงซ้ำสอง ยืนโบกมือลาจนรถยนต์คันสวยขับออกไปพ้นซอย ขาเรียวก้าวกลับไปยังประตูบ้าน ซึ่งแน่นอนว่ามีรูปปั้นซาตานยืนกอดอกรอหาเรื่องอยู่แล้ว

“นั่นอะไร” เดาไม่เคยผิดว่าต้องถาม

“ช็อกโกแลตครับ พี่วาซื้อมาให้”

วันเสาร์แย่งกล่องขนมในมือไปหน้าตาเฉย หัวคิ้วหนาขมวดยุ่งจนเขาชักกลัวว่ามันจะผูกเป็นโบเลยหรือเปล่า เสียงแว่วทุ้มต่ำดังลอดลำคอทวนคำว่า ‘พี่วา’ ที่เขาเพิ่งพูดไปอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก พอเขายื่นมือออกไปจะขอของฝากตัวเองคืนเท่านั้นแหละ วันเสาร์ถึงกับจิ๊ปาก ก่อนจะปากล่องพลาสติกลงพื้นไม่ใยดีเลยสักนิด

เสียงตกกระทบดังลั่นจนพี่ละไมที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบวิ่งเข้ามาดู เธอยังไม่ทันถาม ก็เป็นเขาเองที่ขึ้นเสียงใส่คนเป็นนายซะก่อน

“พี่เสาร์! ทำแบบนี้ทำไม”

“ฉันไม่อนุญาตให้นายรับของจากคนอื่น”

“ห้ะ?” นับหนึ่งส่ายหัวเร็วๆ พยายามจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี “แต่พี่วาเป็นเพื่อนพี่เสาร์นะครับ”

“เพื่อนฉัน ก็เป็นคนอื่นสำหรับนาย”

คำพูดนั้นมันทำให้เขาหน้าชา ได้ยินเสียงพี่ละไมคอยปรามแต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะความโกรธที่กำลังแล่นขึ้นสมอง สองมือกำหมัดแน่นเมื่อคิดว่าวันเสาร์กำลังดูถูกดูแคลนเขามากแค่ไหน นาวาก็เป็นคนอื่นสำหรับเขา งั้นพี่ละไม พี่ละเมียด ลุงชัย ทุกคนก็คงเป็นคนอื่นสำหรับเขา เพราะในชีวิตนี้นอกจากตัวเอง เขาก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว

ไม่มีเลย ใครสักคนที่จะไม่ใช่คนอื่นสำหรับเขา…

“งั้นพี่เสาร์ก็เป็นคนอื่นสำหรับผมเหมือนกัน” โทรศัพท์มือถือราคาแพงถูกหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง ยัดใส่มือคนที่เคยซื้อมันให้ เขารีบเงยหน้ากลั้นน้ำตาพลางสาวเท้าไวๆ ไปทางบันได

เสียงฝีเท้าหนักๆ ไล่ตามหลัง พร้อมพี่ละไมที่พยายามจะห้ามแต่ก็ไร้ผล “คุณเสาร์ อย่าทำอะไรคุณหนึ่งเลยนะคะ คุณเสาร์!”

เขาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่กล้าทำอะไรลงไป และในวินาทีที่คิดว่าหนีพ้น กลับมีมือใหญ่แทรกช่องว่างของประตูเข้ามาทันแบบฉิวเฉียด วันเสาร์กดสายตาจ้องเขาด้วยความโกรธ และดูเหมือนจะโกรธมากกว่าทุกครั้งที่เคยพบเจอมาซะด้วย

บานประตูหนักอึ้งเพราะแรงดันจากอีกฟากฝั่ง ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกจนคนตัวสูงขยับเข้ามาด้านในได้สำเร็จ วันเสาร์เอี้ยวตัวกดล็อกกลอน ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาผลักเขาล้มลงบนเตียงตามสูตร แค่นี้ก็พอจะเดาอนาคตตัวเองออกได้ไม่ยาก

“พี่เสาร์ไม่มีเหตุผลอะ” หมัดลุ่นๆ หากว่าอ่อนแรงปะทะกับบ่าแกร่งตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ได้สนใจคำตัดพ้อต่อว่ามากเท่ากับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวเขา

ฟันซี่คมขบลงกับหัวไหล่ ไล้ลงมาถึงแผ่นอกบางชื้นเหงื่อ ร่องรอยแดงช้ำถูกฝากไว้แทบทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนผ่าวลากผ่าน ห่างไกลจากคำว่ากระตุ้นอารมณ์ กลับเต็มไปด้วยความรุนแรงและหยาบโลน แม้ว่าหยดน้ำตาของเขาจะทำให้คนด้านบนสะดุด แต่มันก็แค่เสี้ยววินาที ก่อนที่บทลงโทษไม่หอมหวานจะเริ่มต้นขึ้น

จมูกแดงรั้นสูดน้ำมูกแรงๆ น้ำเสียงเครือครางดังแผ่ว “พี่วาใจดี ไม่เหมือนพี่เสาร์เลย”

ฝ่ามือหยาบกระด้าง แต่อาจจะน้อยกว่าอวัยวะส่วนหัวใจอยู่สักหน่อย ดันข้อพับขาเขาขึ้นสูง ลมจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องลอดผ่านช่องทางด้านหลัง ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้าน คำพูดแสนเย็นชาเสียดแทงดังอยู่เพียงข้างใบหู

“ใช่ ฉันไม่ได้ใจดี นายก็รู้หนิ”

ความคับแน่นใหญ่โตพรวดพราดเข้ามาในกายโดยไร้ซึ่งคำเตือน กลิ่นคาวจางๆ คลุ้งออกมาจนเขาถึงกับเบิกตากว้าง มือจิกกำผ้าปูที่นอนจนยับย่นไม่มีชิ้นดี รู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้ไม่เคยอ่อนโยน แต่การดึงดันเข้ามาทั้งที่ยังไม่เหลือเวลาให้เขาเตรียมตัว หรืออย่างน้อยก็เตรียมใจ มันแทบจะเรียกว่า อำมหิต

แรงกระแทกฝืดเคืองนำพาเพียงความเจ็บปวด เขาเผลอกัดปากตัวเองจนเลือดซิบ เสียงหอบหายใจปะปนไปกับเสียงสะอื้นดังไม่หยุดหย่อนตลอดเวลาหลายชั่วโมง เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหนื่อยจนสลบไปอยู่หลายคราว แต่ก็จะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมารับฝันร้ายอีกนับครั้งไม่ถ้วน เป็นอย่างนั้นสลับไปมาจนแทบไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ

ไม่อยากจะเชื่อ…ว่าเมื่อไรก็ตามที่เขาคิดว่า วันเสาร์ใจร้าย มันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังใจร้ายได้มากกว่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าบอกว่าพี่เสาร์ใจร้ายที่สุด นั่นคือคำพูดที่ผิด เพราะความจริงมันยังไม่ใช่ที่สุด

วันเสาร์ยังใจร้ายได้มากกว่านี้ ใจร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาชักสงสัยว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหน

หรือก็จะใจร้ายไปตลอดกาลเลย…?


--------------------------------------------------------------------------------

โอ้โหหหห ไบโพล่าชั่ยมั่ยชั่ย?? เริ่มสงสัยแล้วว่ากรุงเทพอากาศหนาว กับพี่เสาร์เลิกใจร้าย อะไรจะเกิดก่อนกันคะ 555555 เอเวง ลุงแลงกะน้องหรออิพี่มึง //กำมีดแน่น

กราบขอบคุณทุกกำลังใจจากมิตรรักนักอ่านทุกท่านนะคะ มันมีความหมายกับเรามากจริงๆ ทุกวิว ทุกคอมเม้น ทุกแชร์ ทุกทวิต เราตามส่องตามอ่านหมด มันเป็นพลังที่ทำให้เรายังแต่งต่อไปได้ T^T ยังไงก็ขอฝากให้เอ็นดูน้องหนึ่งอีกเยอะๆ แล้วอย่าลืมล่อลวงเพื่อนๆ เข้ามาอ่านกันด้วยนะคะ 5555555555

ชาวทวิตภพติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ เพื่อโอ๋น้องและด่าทออิพี่ได้ตามสะดวก ข่อมข่าาา


 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 10
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-12-2018 12:44:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 10
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-12-2018 12:52:08
พี่เสาร์ใจร้ายถ้านับหนึ่งหนีหายไปจากชีวิตจะรู้สึก :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 11
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 08-12-2018 09:39:43
นับหนึ่ง ถึง สิบเอ็ด



“โอ้ย” แสงแดดยามเช้าแยงตา รู้สึกเจ็บปวดจนแทบขยับตัวไม่ไหวจากกิจกรรมบนเตียงเมื่อวาน แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมาโวยวายกลับเป็นแรงกระแทกเหมือนห่าฝนอะไรสักอย่าง

นับหนึ่งขยี้ตามองขนมกองโตที่ถูกเทลงมาเกลื่อนกลาดเต็มตัว เหลือบจ้องเจ้าของบ้านที่เอาแต่ตีหน้าตายไร้ความรู้สึก

“นี่มันอะไรครับ?”

“ก็นายอยากกินมากไม่ใช่เหรอ ฉันก็ซื้อมาให้แล้วนี่ไง”

เขาหยิบช็อกโกแลตห่อสีทอง ยี่ห้อเดียวกันกับที่นาวาซื้อมาฝากและถูกใครบางคนแถวนี้ขว้างทิ้งไม่เหลือ ริมฝีปากอิ่มขมุบขมิบด้วยพยายามกลั้นยิ้มไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจ ประชดกลับคำโตอย่างลืมกลัว

“ผมไม่รับของจากคนอื่นครับ เอาคืนไปเถอะ”

แน่นอนว่าเขาถูกดีดหน้าผากดังเปรี๊ยะ ตามด้วยความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่เลื่อนลงมาประคองพวงแก้ม ใบหน้าเรียวคมคายยื่นเข้ามาใกล้

“ฉันไม่ใช่คนอื่น”

คำพูดดั่งประกาศิตดึงให้เขาตกลงสู่หลุมแห่งภวังค์ไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาตั้งสติได้ตอนที่คำถามสำคัญแวบผ่านเข้ามาในสมอง

ถ้าไม่ใช่คนอื่น แล้วเป็นอะไรล่ะ?

และดูเหมือนจะไม่ต้องปล่อยให้รอนานกว่าจะได้รู้คำตอบ…

“ฉันเป็นเจ้าของชีวิตนาย ลืมไปแล้วเหรอ”

ใช่ วันเสาร์เป็นเจ้าของชีวิตเขา…ก็แค่นั้น

นับหนึ่งส่ายหัวไล่อารมณ์ดิ่งเพียงเสี้ยววินาที ทำทีเป็นแกะซองช็อกโกแลตเข้าปาก ทำให้วันเสาร์ยอมผละตัวออกห่าง ไม่พูดอะไรต่อ

พี่ละเมียดเคาะประตูเบาๆ แทบจะกระซิบเรียกชื่อคนด้านใน จนวันเสาร์ขานกลับ เธอจึงค่อยๆ แง้มประตูเปิดออกอย่างระวัง ค่อยเบาใจเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยของคุณชายตื่นจากนิทราเรียบร้อยแล้ว

“คุณเสาร์คะ วันนี้ช่างจะมาซ่อมแอร์ฯ ที่ห้องรับรองให้แล้วนะคะ”

คนตัวสูงชะงักไปนิด ก่อนพยักหน้า ปัดมือเป็นสัญญาณให้แม่บ้านออกไปคุยต่อด้านนอก ทิ้งไว้เพียงสมาชิกใหม่ที่เอาแต่นอนนิ่งบนเตียง ความเงียบโปรยตัวลงพร้อมมวลความอึดอัดประหลาดเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะต้องย้ายไปนอนห้องอื่น

ทั้งที่นับว่าเป็นโชคดีที่จะได้หลุดพ้นจากมือมารชื่อวันเสาร์ เตียงหลังใหญ่กับชั้นวางของทั้งหมดจะเป็นของเขาคนเดียว แต่ว่า…ในใจมันกลับโหวงเหวงชอบกล

ความหวานจากช็อกโกแลต ตัดกับเนื้อสัมผัสกรุบกรอบของฮาเซลนัท ละลายเคลือบอยู่ตามโพรงปาก สติของเขาเลื่อนลอยออกไปแสนไกลจนลืมแม้แต่การกลืนเสียสนิท จนกระทั่ง…

ครืดด…ครืดด…

โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไปเมื่อครู่สั่นกระเทือนส่งเสียงน่ารำคาญดึงความสนใจของเขาให้กลับมายังโลกแห่งความจริง เขาหันซ้ายหันขวาอย่างชั่งใจ ก่อนจะลุกไปหยิบอุปกรณ์สื่อสารนั้นขึ้นมา ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเดียวปรากฎอยู่บนหน้าจอ ทำให้เขาวางใจถ้าจะกดรับมัน

“สะ สวัสดีครับ”

“ไอ้…อ่าว” คนปลายสายดูจะงุนงงกับเสียงรับโทรศัพท์ที่แปลกออกไป หากก็ยังพอเดาออก

“นับหนึ่งเหรอ?”

“ครับพี่เจ”

“ไอ้เสาร์ล่ะ”

“พี่เสาร์ทิ้งมือถือไว้ในห้องนอนแล้วลงไปข้างล่างอะครับ เดี๋ยวผมเอาลง—”

“ไม่เป็นไรๆ ขอคุยกับนายก่อน” นับหนึ่งเลิกคิ้ว หยุดเท้าตัวเองที่เตรียมตั้งท่าวิ่งไปทางประตู ค่อยๆ เดินกลับมาพาตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวโปรดของคนเป็นนาย

“มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

“ก็เรื่องวันเกิดไอ้เสาร์ไง นายเตรียมอะไรไว้รึยัง”

“ห้ะ? วันเกิดพี่เสาร์?”

“อ่าว นี่ไม่รู้เหรอ”

ถ้ารู้สิแปลก ถามจริงว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายชื่อวันเสาร์บ้าง นอกจากรู้ว่าเป็นโรคจิตนิสัยไม่ดีที่แอบรักน้องชายตัวเองอะ

“ไม่รู้เลยครับ เมื่อไรเหรอ”

“5 กรกฎา” เขาคว้าปฏิทินบนโต๊ะมาพลิกหน้าถัดไป วันที่ 5 กรกฎาคม ก็เท่ากับว่าเหลือเวลาอีกประมาณเกือบ 3 อาทิตย์เท่านั้น

เจนภพยังคงสาธยายถึงเรื่องจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้เพื่อนสนิท ก่อนจะวกกลับมาแซวเขาอีกจนได้ “ฉันว่านายคงต้องให้ตัวเองเป็นของขวัญแล้วแหละ ไอ้เสาร์น่าจะชอบนะ”

“พูดอะไรอย่างนั้นครับ”

“ฮั่นแหน่ เขินเหรอ”

“ปะ…เปล่า”

“แล้วนี่อยู่กับมันมาสักพักแล้ว เป็นยังไงบ้าง”

“เอ่อ ก็ไม่เป็นไงหนิครับ” แค่โดนกระทำชำเราวันเว้นวันเท่านั้นเอง เหอะๆ พูดแล้วอยากจะขำให้เหงือกแห้ง

“ฉันว่าเดี๋ยวนี้ไอ้เสาร์มันดูแคร์คนอื่นมากขึ้น ต้องเป็นเพราะนายแน่ๆ เลย”

“ไม่มั้งครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไร...”

“นายนี่เก่งนะ ทำลายกำแพงพันชั้นของวันเสาร์ได้ด้วย” ดูเหมือนเจจะไม่ได้สนใจเปิดโอกาสให้เขาพูดโต้กลับเท่าไร แถมยังเอาแต่หัวเราะคิกคัก น้ำเสียงหยอกล้อนั้นชักทำให้เขาเริ่มอารมณ์เสียนิดหน่อย

และก่อนที่เขาจะทันได้ตัดบท ปลายสายก็แทรกขึ้นอีกครั้ง

“แล้วจูบของไอ้เสาร์เป็นยังไง ตายไปเลยปะ”

คำถามนี้ทำเขาชะงัก ถึงจะไม่เคยพูด ไม่เคยคิด แต่ในส่วนลึกก็แอบนึกอยู่เสมอว่ามันแปลก เพราะตลอดเวลาที่มาอยู่ใต้ปีกวุฒิเวคินทร์ ทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน วันเสาร์…ไม่เคยจูบ

ผิวเนื้อของเขากลายเป็นสีแดงช้ำไปแทบทุกส่วน ยกเว้นแค่ริมฝีปากที่ไม่เคยถูกแตะต้อง ลิ้นของเขาแห้งผากจากการส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด หากไม่เคยถูกสัมผัสเลย และนั่นมันยิ่งตอกย้ำให้เขาเข้าใจสถานะว่าเป็นแค่เพียงตุ๊กตายางสำหรับระบายอารมณ์ วันเสาร์ก็แค่ต้องการยัดเยียดตัวเองเข้ามาในตัวเขา พอถึงจุดหนึ่งก็จบ ลาจากกันไปชั่วครั้งชั่วคราวแค่นั้น

ปราศจากซึ่งความรัก ความลึกซึ้ง และความผูกพัน ในขณะที่ร่างกายของเราเชื่อมต่อกัน หัวใจของผู้ชายคนนั้นก็ดูยิ่งห่างไกล และมันทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าการถูกบังคับขืนใจเสียอีก

“ไม่รู้สิครับ พี่เสาร์…ไม่เคยจูบผมเลย”

เสียงขำเมื่อครู่เบาลงจนกลายเป็นความเงียบ เจนภพนิ่งอึ้งเมื่อได้รับคำตอบต่ำกว่าคาด ทั้งที่เขาคิดว่าเพื่อนคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว การมาของนับหนึ่งอาจทำให้เจ้าชายน้ำแข็งกลายเป็นพระอาทิตย์ยามเช้าแสนอบอุ่น แต่มันกลับยังไม่ใช่อย่างที่คิดไว้

วันเสาร์เปลี่ยนคู่นอนมาตั้งไม่รู้กี่คน แต่ก็ได้ยินมาว่ากิจกรรมบนเตียงของหมอนั่นมันห่างไกลจากคำว่าสรวงสวรรค์ ไม่ใช่ว่าเทคนิคไม่ดีหรืออะไรหรอกนะ แต่เพราะว่าไม่เคยมองอีกฝ่ายมากไปกว่าของแก้เหงาทางอารมณ์ มันจึงเป็นบทรักที่ไม่มีคำว่ารักเจือปนอยู่เลย มันว่างเปล่า และไร้ความรู้สึก

มีใครบางคนเคยบอกกับเขาว่าลีลาของวันเสาร์น่ะทำให้พวกนั้นแทบคลั่ง แต่ขณะเดียวกัน มันกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา ถึงขนาดว่าร่างกายที่กำลังแผดเผา ยังรู้สึกหนาวขึ้นมาได้

‘เขาไม่จูบผมเลยด้วยซ้ำ’

ใครบางคนนั้นพูดไว้ และเขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ก็ริมฝีปากที่ได้สัมผัสความรักแสนบริสุทธ์จากน้องชายสุดหวงแหนเพียงคนเดียว จะมาปล่อยให้แปดเปื้อนด้วยสัมผัสจากคนอื่นได้ยังไงล่ะ

นอกจากวันศุกร์ในวัย 7 ปี หมอนั่นก็ไม่จูบใครอีก จะว่าบ้าก็ไม่แปลก หรือจะว่าโรคจิตก็คงใช่เลยแหละ

“แหม แต่ก็ทำอะไรต่อมิอะไรมากกว่าจูบอยู่แล้วนี่” เขาเลือกที่จะแกล้งแซว เพื่อไม่ให้นับหนึ่งต้องคิดมาก

“พะ พี่เจ พูด..พูดอะไร ครับ”

ใบหน้าหวานเห่อร้อนแทบจะทันที คนตัวเล็กได้แต่สวนกลับตะกุกตะกักเรียกเสียงหัวเราะจากปลายสายได้อีกครั้ง เจยังคงไม่หยุดล้อ ขณะที่คนถูกหยอกตอนนี้ได้กลายเป็นหิน เมื่อจู่ๆ ประตูไม้ก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงโปร่งซึ่งเดินขมวดคิ้วยุ่งมาแต่ไกล

วันเสาร์ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร นอกจากเอื้อมมือมาดึงโทรศัพท์ไปจากเขาหน้าตาเฉย หางตาเหลือบมองชื่อบนหน้าจอแวบหนึ่ง ก่อนจะกรอกเสียงดุดันใส่เพื่อนตัวเอง

“โทรมามีไร”

“อ้าวคุณชาย มาขัดจังหวะซะได้”

“อะไรของมึง”

“ก็กูคุยกับหนึ่งอยู่ กำลังสนุกเลยเนี่ย”

“คุยเหี้ยไรกัน” มือหนาปัดไล่เด็กหน้าเป็นที่เอาแต่กระดิกเท้าอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวประจำของเขา นับหนึ่งยู่หน้า กระโดดขึ้นไปนอนกลิ้งบนเตียงแทน

“ทำไมมึงต้องหยาบคาย”

“กูถามว่าคุยอะไรกัน” น้ำเสียงกดต่ำย้ำชัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจนภพนึกเกรงกลัวแต่อย่างใด กลับยิ่งหัวเราะร่วน

“ไม่บอกเว้ย เป็นความลับของกูกับหนึ่งสองคน”

“ไอ้—”

“มึงๆ” เจนภพยิ้มกริ่มเมื่อนึกแผนการแกล้งปั่นหัวเจ้าชายเย็นชาออก “มึงซื้อนับหนึ่งมาเป็นที่ระบายอารมณ์ใช่มะ งั้นถ้ากูจะขอยืมบ้างก็ได้อะดิ”

“ไอ้สัด มึงพูดเหี้ยไร”

วันเสาร์พรวดพราดลุกขึ้นทั้งที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งได้ไม่ทันไร มือข้างหนึ่งเผลอตบโต๊ะฉาดใหญ่โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ และดูเหมือนเลือดในกายจะยิ่งสูบฉีดรุนแรงขึ้นเมื่อไอ้เพื่อนเวรยังคงเอาแต่ขำไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ก็หนึ่งน่ารักอะ กูอยากลอง…บ้าง”

“ไอ้เจ มึงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม” เขาถามกลับเสียงเข้ม จนอีกฝ่ายยอมเลิกรา

“โหย กูล้อเล่น มึงนี่ขี้หวงจริงๆ ว่ะ”

“ไปเล่นกับพ่อมึง”

วันเสาร์ทิ้งท้าย ก่อนกดตัดสายไปเสียดื้อๆ เจนภพยกยิ้มขณะนั่งฟังเสียงสัญญาณขาดหาย รู้ดีว่าแผนของเขามันสำเร็จตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่ม ถึงแม้วันนี้นับหนึ่งจะยังไม่ได้รับจุมพิตจากเจ้าชาย แต่อีกไม่นานน้ำแข็งคงละลายแล้ว จูบนั้นคงเป็นของเด็กนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่สิ เผลอๆ จะไม่ใช่แค่จูบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์ กำลังจะกลายเป็นของคนแปลกหน้าชื่อนับหนึ่งในไม่ช้านี้แน่ๆ

น่าสนุกดี…



-----------------------------------------------



“เผ็ดแล้วยังจะกิน” เจ้าของร่างสูงเอ็ด เงยหน้ามองคนตรงข้ามด้วยสายตากึ่งรำคาญกึ่งเวทนา เพราะเด็กโง่แถวนี้เอาแต่ดึงดันจะกินปลาดุกผัดเผ็ดฝีมือพี่ละเมียด ทั้งที่ปกติกินอาหารรสจัดไม่ค่อยจะได้ แต่ก็ยังฝืนอยู่นั่นเพียงเพราะว่า…

“ก็มันอร่อยอะ”

“เหอะ อร่อยจนน้ำตาไหลเลยสินะ” เขาใช้นิ้วโป้งปาดหยดน้ำที่ทำท่าจะไหลออกจากหัวตาให้คนตัวเล็ก จมูกแดงรั้นสูดน้ำมูกฟืดใหญ่ แล้วเริ่มตักข้าวเข้าปากคำโต ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะกินอาหารจานนี้ให้ได้

“เอ้อ พี่เสาร์” นับหนึ่งพักมือ จ้องหน้าเขาเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “ผมอยากหางานทำอะครับ”

ประโยคบอกเล่าแกมขอร้องทำเขาเลิกคิ้ว น้ำเสียงเย็นๆ ตอบกลับราบเรียบเช่นเคย

“ไม่จำเป็น”

“แต่ว่าผมอยากมีเงินไว้ใช้บ้างนี่”

วันเสาร์รวบช้อนส้อม “อยากได้อะไรก็บอก ปกติฉันก็จ่ายให้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

“เฮ้อ” นับหนึ่งถอนหายใจ จ้องหน้าคนโตกว่าอย่างเอาเรื่อง “อยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อนะครับ ผมอยากหาอะไรทำบ้าง”

“ทำไม อยู่กับฉันมันน่าเบื่อนักหรือไง”

บรรยากาศมาคุโปรยตัวลงปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ อาหารจานอร่อยแทบจะกลายเป็นเลี่ยน หมดอารมณ์จะรับประทานเสียดื้อๆ นับหนึ่งวางช้อนส้อมในมือ ไม่อยากจะตอบหรอกว่า ใช่ อยู่กับพี่เสาร์น่ะน่าเบื่อจะตายชัก วันๆ ไม่เห็นจะปล่อยเขาทำอะไร นอกจากนอนเป็นผักปลา กับคอยชงกาแฟแก้วแล้วแก้วเล่าเท่านั้น

“ไม่รู้แหละ ผมจะไปหางานทำ” เขาตัดบท ในหัวคิดไปถึงป้ายประกาศหาพนักงานที่แปะอยู่หน้าร้านกาแฟเล็กๆ ในห้างฯ ที่พวกเขาไปซื้อของใช้กันเป็นประจำ

แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนหงุดหงิด ถึงได้ไม่ยอมจบ

“งั้นต่อไปเวลาเรานอนด้วยกัน ฉันจะจ่ายเงินให้นาย ดีไหม?” ข้อเสนอชวนคลื่นไส้จนเขาถึงกับต้องย่นคอหนี แอบได้ยินพี่ละเมียดสำลักน้ำดังออกมาจากครัว สงสัยว่าคงได้ยินคำถามบ้าๆ เมื่อกี้แน่

“ไม่เอาหรอกครับ”

ตกลงให้โง่ เพราะนั่นแปลว่าวันเสาร์จะยิ่งมีเหตุผลในการข่มเหงเขามากขึ้นน่ะสิ

“แน่ใจนะ?”

เขากลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่ออีกฝ่ายถามย้ำ ในที่สุดก็เสี่ยงถามออกไปด้วยความใคร่รู้ แต่คำตอบที่ได้รับก็ไม่ได้ดีไปกว่าคาด แถมจะเพิ่มความหงุดหงิดให้เขาอีกสักสิบเท่า

“จ..จะให้เท่าไรล่ะครับ”

“อย่างนาย ฉันให้ครั้งละห้าร้อยก็เยอะละ”

คนโดนสมประมาทยู่หน้าไม่พอใจ ขณะที่คุณชายเจ้าของบ้านกำลังกลั้นยิ้มแทบตาย ฮึ่ย ตายไปเลยไปพี่เสาร์! ตอบแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงห้ะ แปลว่านอนกับเขามันไม่ดี ไม่ถูกใจ หรือไม่ถึงใจ! ก็แน่ล่ะสิ เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องอย่างว่าสักหน่อย แถมทุกครั้งก็…ถูกบังคับตลอด

แค่จะเรียกว่า บทรัก ยังทำไม่ได้ ก็อย่าคาดหวังว่ามันจะวิเศษวิโสนักเลย

“งั้นผมขอไปหางานทำนะครับ” เขาวกกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าทำให้คนที่เกือบจะยิ้มแล้วเชียว กลับมาตีหน้ายักษ์ได้เหมือนเดิมในเสี้ยววินาที

“ไม่อนุญาต”

“ไม่เอาาา” วันเสาร์ย่นคิ้วให้กับน้ำเสียงยานคาง เอาแต่ใจเป็นเด็กๆ ยิ่งไอ้สีหน้าบูดบึ้งนั่นก็ยิ่งน่ามันเขี้ยวจนอยากเอื้อมไปหยิกพวงแก้มขาวแรงๆ สักที

นับหนึ่งทำปากยื่น ยืนยันเสียงแข็ง “ผมอยากทำงานอะ”

คราวนี้เป็นเขาเองที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ก็ได้…แต่ให้ออกไปหางานแค่วันเดียว ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ”

“โอเคครับ” เด็กดื้อฉีกยิ้มกว้างเหมือนลูกหมาเพิ่งได้ของขวัญเป็นลูกบอลลูกใหม่ และถ้าเป็นลูกหมาจริง ป่านนี้หางคงกระดิกไม่หยุดแล้ว

ขณะที่บทสนทนาเริ่มจะราบรื่น เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังแว่วๆ มาจากทางบันไดบ้าน พี่ละไมตะโกนขึ้นก่อนปรากฏตัว “คุณหนึ่ง”

“ครับ”

“พี่จัดห้องรับรองให้เรียบร้อยแล้วนะคะ คืนนี้ย้ายไปนอนห้องนั้นได้เลยค่ะ”

“อ๋อ…ขอบคุณมากครับ” เขาพยักหน้ารับรู้ ขานรับเสียงอ่อย เบือนสายตากลับมาทางใบหน้าเฉยเมยของคนที่เพิ่งเซ็นจ่ายค่าซ่อมแอร์ฯ ไปเมื่อเช้า

วันเสาร์ไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งทอดสายตาไปด้านในครัว พยักหน้าเรียกให้พี่ละเมียดเดินมาเก็บจานข้าว แล้วยกผลไม้ออกมาเสิร์ฟ วันนี้มีแอปเปิ้ลแดง ฝรั่ง กับชมพู่ ปอกเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงเป็นวงรอบจานใบใหญ่ ตรงกลางมีถ้วยพริกเกลือประดับตามธรรมเนียม

เรานั่งกินผลไม้ด้วยความเงียบ เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงเคี้ยวชัดเจน ไอ้อาการดีอกดีใจเมื่อครู่แทบจะมลายหายไปเป็นฝุ่น ถูกแทนที่ด้วยความอึดอัดแน่นเต็มอก พี่ละไมเดินกลับมากำชับว่าเธอได้จัดการย้ายข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว รวมทั้งเสื้อผ้าทั้งหมดของเขาไปไว้ที่ห้องรับรองเรียบร้อยแล้ว และนั่นก็หมายความว่า เขาหมดซึ่งข้ออ้างที่จะกลับเข้าไปเหยียบห้องนอนเจ้านายตัวเองอีก

ไม่มั่นใจนัก ว่าตอนนี้เขาควรรู้สึกอย่างไร ต้องดีใจไหมที่ได้หลุดพ้นจากอ้อมกอดชวนอึดอัดของวันเสาร์สักที หรือต้องเสียใจ...

“อะ” เขาเผลอส่งเสียง เมื่อส้อมในมือของเราทั้งสองคน พร้อมใจจิ้มลงบนแอปเปิ้ลซีกเดียวกัน ดูเหมือนว่าคนตรงข้ามเองก็กำลังเหม่อลอย ด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจเดาได้

เราสบตากันเพียงแวบหนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างผละส้อมออกจากผลไม้ชิ้นตรงหน้า แอปเปิ้ลเนื้อฉ่ำกลายเป็นรอยบุ๋ม ทว่ารอดตายเพราะไม่ถูกกิน วันเสาร์ยกแก้วน้ำขึ้นกระดกตามหลายอึก ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหารเป็นคนแรก

ระดับฝีเท้าที่เขาคุ้นเคยห่างไกลออกไปทางบันไดสู่ชั้นสอง พี่ละเมียดกับพี่ละไมกำลังช่วยกันล้างจาน ทำความสะอาดอยู่ในครัว การถูกทิ้งให้นั่งอยู่ลำพัง ยิ่งทำให้สัมผัสได้ว่าสถานที่นี้มันแสนกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว

ก็เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองว่า…บ้านวุฒิเวคินทร์ที่ไร้ซึ่งเงาเจ้าของบ้านคนนั้น มันช่างเงียบเหงาอ้างว้างมากแค่ไหน



-------------------------------------------------------------------------------------

บอกแล้วค่ะว่าอย่าเชื่อสปอย 55555 พี่เสาร์ไม่ได้ดีขนาดนั้น xD ตอนนี้สั้นมากๆ เลย ขอทบไปไว้ตอนอื่นแทนละกันนะ จริงๆ ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปมันจะเริ่มยาวขึ้นนิดนุง อุๆ ๆ ตอนนี้ไม่ค่อยมีไรให้ด่า ส่วนตอนหน้า....เกียมเปลี่ยนพระเอก! ถถถ

เจ๊าะแจ๊ะกันได้ที่แท็ก >> #นับหนึ่งถึงเสาร์ เด้ออ้าย

ป.ล. ใครดูเทรลเลอร์ Endgame แล้วมากอดกันตรงนี้หน่อยค่ะ หัวใจชั้งรับไม่ไหวแน้ว T^T
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 11
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-12-2018 12:32:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 11
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-12-2018 18:12:21
อ่านวันศุกร์มาแล้วก็เข้าใจพี่เสาร์ส่วนนึง แต่อีกใจก็สงสารน้อง อยากให้น้องใจแข็งกว่านี้ค่ะ อย่าไปตกหลุมรักเขาเลย คนใจร้าย
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 11
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 08-12-2018 22:22:10
น้องใจแข็ง กลัวน้องเจ็บมากกก
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 11
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 09-12-2018 04:04:39
ไม่อยากให้น้องเจ็บเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 11
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 09-12-2018 21:32:17
สงสารนับหนึ่ง ขอให้อิพี่เสาร์รู้สึกตัวเร็วๆข่ะ ไม่งั้นสงสัยจะต้องได้ใช้มีดที่เตรียมไว้  :laugh:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 12
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 15-12-2018 12:18:05
นับหนึ่ง ถึง สิบสอง

 

ห้องรับรองที่เคยกลายเป็นห้องเก็บของของบ้านนี้ไม่ได้ฟังดูคับแคบเหมือนชื่อ มันกว้างแทบจะพอๆ กับห้องนอนคุณชายคนโตไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่าเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้ครบครันเท่ากันแค่นั้น และแน่นอนว่ามีห้องน้ำในตัวเช่นห้องอื่นๆ เรียกว่าเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ โดยไม่ต้องออกไปพบพานวันเสาร์ได้อีกตลอดกาล อืม…แต่ความจริง เราก็ยังอยู่บ้านเดียวกัน แค่ไม่ได้นอนร่วมเตียง ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เจอกันแล้วนี่น่า เดี๋ยวพี่เสาร์ก็ต้องมาฉุดกระชากลากถูเขาไปใช้งานอีกจนได้แหละ…

คนตัวเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน รีบปิดไฟ พาตัวเองเข้านอน การจะได้มีเวลาอยู่ร่วมกับผู้ชายคนนั้นมากขึ้นหรือน้อยลง ก็ไม่ใช่กงการอะไรที่เขาต้องสนใจสักหน่อย นอนคนเดียวกับนอนสองคน มันจะไปต่างกันตรงไหน…

นับหนึ่งพลิกตัวกลับซ้ายกลับขวาอยู่นับล้านครั้ง ดวงตากลมปิดสนิทข่มตาหลับ หากสมองก็ยังคงเต็มไปด้วยอะไรต่างๆ นาๆ ที่เขาไม่สามารถอธิบายมันได้หมด กระชับผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมกายแทบจะมิดถึงหัว เครื่องปรับอากาศ 26 องศา ไม่ได้ทำให้เขาหนาวน้อยลง

สบู่กลิ่นลาเวนเดอร์ ยี่ห้อประจำที่เขาใช้ วันนี้หอมฟุ้งชัดเจนกว่าเคย คงเพราะปกติเขามักได้กลิ่นสบู่ของใครอีกคนแฝงตัวกลบจนมันปะปนกันอยู่ในวงแขนที่คอยโอบรัดตัวเขาเข้าหา ความอบอุ่นจากเลือดเนื้อแผ่ขยายทดแทนบทเพลงกล่อมนอนทุกคืน กลายเป็นความคุ้นชิน ที่ขณะนี้กำลังส่งผลเสียให้เห็นอย่างช้าๆ

เวลาภายในห้องผ่านไปนานหลายนาที และเขาก็ยังไม่สามารถพาตัวเองหลับได้ลง ที่สุดจึงลุกขึ้นมานั่งสำรวจเครื่องใช้แต่ละชิ้นราวกับคนบ้าที่ว่างนักหนา ตั้งแต่ตู้เสื้อผ้าบานเลื่อน โคมไฟบนหัวเตียง ชั้นวางของโล่งๆ ไปจนถึงแจกันอันเตี้ยที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ

อ่า จริงสิ แก้วดอกปีบของเขามันยังอยู่บนโต๊ะทำงานของวันเสาร์นี่น่า…แย่แฮะ ที่นอนไม่หลับเพราะไม่ได้กลิ่นดอกปีบแน่เลย ต้องรีบกลับไปเอาแล้วรึเปล่า

ขาเรียวโผล่พ้นจากผ้าห่ม กระโดดลงจากเตียงไวกว่าความคิด เขารีบพุ่งตัวไปยังบานประตูเพื่อไม่ให้ถูกต่อว่าหากเข้าไปรบกวนการนอนในเวลามืดค่ำมากไปกว่านี้ ลูกบิดประตูหมุนเปิดดังแกร๊ก ภาพตรงหน้าไม่ใช่พื้นกระเบื้องอย่างที่คิดไว้ หากแต่เป็นมนุษย์สูงใหญ่คนเดียวกับในความคิดตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา

“พี่เสาร์…” กลีบปากอิ่มเผยอออก อวัยวะภายในอกซ้ายสูบฉีดรัวแรงเพียงแค่ได้เห็นเสี้ยวหน้าคุ้นเคยแทรกผ่านความมืด

เจ้าของร่างหนาก้มมองเขาด้วยสายตาตื่นๆ ไม่แพ้กัน ก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเรียบเฉยได้อย่างรวดเร็ว

“พี่เสาร์ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่า” คำตอบแสนสั้นฟังดูไม่น่าเชื่อถือ และคนพูดก็คงรู้สึกตัวถึงได้รีบขยายความ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้มันฟังมีเหตุผลมากขึ้นเลยก็ตาม “ฉันจะลงไปดื่มน้ำ”

คนฟังเลิกคิ้ว ยกนิ้วชี้ไปฝั่งตรงข้าม “แต่ว่า…บันไดอยู่ทางนู้นนะครับ”

เขาก็พยายามรักษาหน้าอีกฝ่ายพอตัวแล้วนะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เมื่อประตูห้องนอนเขากับทางลงบันได มันอยู่คนละด้านกันเลย และเจ้าของบ้านอย่างวันเสาร์ก็คงไม่เบลอถึงขนาดจะเดินอ้อมหลงมาไกลถึงนี่โดยไม่ได้ตั้งใจซะด้วยสิ

แบบนี้ จะให้คิดว่ายังไงได้บ้าง…

“แล้วนี่นายจะไปไหน” อีกฝ่ายถามกลับ ไม่คิดจะแก้ต่างอะไรต่อยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยขึ้นไปอีก

“ผมก็กำลังจะลงไปดื่มน้ำครับ”

ปากเจ้ากรรมตัดสินใจโกหกคำโตออกไปไวกว่าความคิด เขาแสร้งตีหน้าเป็น หันไปปิดประตูห้องแล้วเดินผ่านคนตัวสูงไปทางบันได วันเสาร์ก้าวตามมาไม่ห่าง

แสงไฟสว่างขึ้น เปิดตู้เย็นไล่สายตาไปตามชั้นต่างๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับนมพาสเจอร์ไรส์ขวดใหญ่ เขาเปลี่ยนเป้าหมายจากน้ำเปล่ามาเป็นนมสักแก้วก่อนนอน ปล่อยให้วันเสาร์หยิบเหยือกน้ำออกไปรินใส่แก้วอีกใบของตัวเอง

เราย้ายมานั่งจ้องหน้ากันบนโต๊ะกินข้าว น้ำหนึ่งแก้ว กับนมหนึ่งแก้ว ปริมาณแทบจะใกล้เคียงกัน ต่างฝ่ายต่างละเลียดดื่มทีละจิบสองจิบ แม้แต่เสียงกระดกยังดังชัดเมื่อทั้งบริเวณถูกเติมเต็มไปด้วยความเงียบชวนอึดอัด วันเสาร์ไม่พูดอะไรเลย และเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วย

เครื่องดื่มค่อยๆ ลดลงทีละนิด จนในที่สุดมันก็หมด เขาถอนหายใจสั้นๆ วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ สังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งเอาแต่จับจ้องมาไม่ยอมวางตา ภาพของมือเรียวคุ้นเคยตรงเข้ามาใกล้ ก่อนที่สัมผัสอุ่นวาบจะแตะลงบนขอบริมฝีปาก เขาเผลอกำมือที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะ พลางเม้มปากแน่น

คราบนมบางๆ ถูกปาดออกไป ค่อนข้าง…เบามือทีเดียว

“ทำไมชอบกินเลอะ” วันเสาร์ยอมเผยปาก “ทำตัวเป็นเด็ก”

“แล้วทำไมพี่เสาร์ชอบบ่น”

แววตาเรียบนิ่งถมึงทึงขึ้นเล็กน้อย จังหวะนี้ถ้าเป็นในนิยาย พี่เสาร์ต้องตอบกลับมาว่า ‘ที่บ่นก็เพราะรัก’ แล้ว แต่บังเอิญไม่ใช่ พี่เสาร์ไม่ใช่พระเอก แล้วเขาเองก็ไม่ใช่นางเอกด้วย สิ่งที่ได้กลับมาเลยเป็นแรงหยิกข้างแก้ม ระดับที่ว่าถ้าเนื้อหลุดติดมือไปได้ก็จะไม่แปลกใจเลย

“ก็เพราะนายดื้อไง”

เขายู่หน้า ลุกขึ้นคว้าแก้วกลับไปยังห้องครัว สายน้ำเย็นๆ จากก๊อกตรงซิงค์ล้างจานทำเอาเขาตื่นเกือบเต็มตา แต่ก็คงไม่เท่าแรงดันจากด้านหลังที่เล่นเอาสะดุ้งโหยง

“พ..พี่เสาร์?” ใบหน้าหวานเอี้ยวมองคนตัวสูงที่เพิ่งเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามารวบเอวเขาเข้าไปกอด น้ำหนักตัวที่ไม่ใช่น้อยเลยถูกทิ้งลงมา ขณะวางแก้วอีกใบลงในอ่าง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาต้องเป็นคนทำความสะอาดมัน

วันเสาร์กระชับอ้อมแขน ก้มศีรษะลงคลอเคลียอยู่กับซอกคอขาวซึ่งเริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อจากอุณภูมิในร่างที่ทำท่าว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่าอีกคนยังไม่ยอมหยุด

“เป็นอะไรครับเนี่—” ประโยคของเขาขาดห้วง เผลอหลับตาปี๋ เมื่อจู่ๆ ฟันซี่คมก็ขบหนักๆ เข้ากับใบหูข้างหนึ่ง

ลิ้นชื้นเล็มเลียไปตามร่องรอยความเจ็บเมื่อครู่ วันเสาร์เป็นแบบนี้เสมอเลย…ชอบกระทำรุนแรงก่อน แล้วตามมาปลอบประโลมแทบจะทันที มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกแกล้งดึงลงนรก แล้วค่อยกระชากขึ้นสวรรค์ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อย

ปลายจมูกโด่งเป็นสันไล้ผ่านกรอบหน้าร้อนผะผ่าว ตามสูดดมกลิ่นกายหอมดั่งดอกไม้ ตั้งแต่ลำคอเรียว ย้ายมายังท้ายทอย ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจอยู่กับบ่าลาด มือหยาบกระตุกปลายแขนเสื้อเขาหน่อยๆ แค่พอให้หัวไหล่มนโผล่ออกมาทักทายแสงไฟด้านนอก ฝากรอยจูบไว้บนนั้นย้ำๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโลมเลียของวันเสาร์น่ะเข้าขั้นชั้นเซียน มันทำให้สมองของเขาล่องลอย และสูญเสียการควบคุมร่างกายตัวเองไปอย่างง่ายดายอยู่เสมอ

เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบขึ้นเบาๆ

“ล้างแก้วสิ”

โคตรตัดอารมณ์!

แต่ก็ดี เพราะมันทำให้เขาตั้งสติได้ว่าไม่ควรถูกสัมผัสเสแสร้งพวกนี้มาปั่นหัวเล่น รีบจัดการทำความสะอาดแก้วน้ำทั้งสองใบให้เสร็จ ก่อนจะเหลียวหลังกลับไปสบตาคมที่คล้ายกับว่าจะแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ในนั้น หากก็เดาความหมายของมันไม่ออก

“ปล่อยครับ ผมจะกลับห้องแล้ว” ปากบอกแบบนั้น ทั้งที่ลึกเข้าไปข้างใน เขาก็แอบหวังว่าจะได้อยู่แบบนี้ต่ออีกสักพัก…

และโชคดีที่คำพูดของเขาไม่เคยมีค่าพอให้คนแถวนี้รับฟัง วันเสาร์ถึงยิ่งกอดรัดเขาแน่นขึ้น แทนที่จะยอมปล่อย แถมพ่วงด้วยคำถามกวนใจ

“นอนคนเดียวเป็นไง”

“ก็…ไม่เป็นไงหนิครับ” เขาหลบตา หันกลับมาจ้องอ่างล้างจานสีเงินขัดมัน “ปกติผมก็นอนคนเดียวอยู่แล้ว”

“อืม”

“แล้วพี่เสาร์นอนคนเดียวเป็นยังไงครับ”

“ก็ไม่เป็นไง…ปกติฉันก็นอนคนเดียวอยู่แล้ว”

“อ่า…ครับ”

อันนี้เรียกยอกย้อนปะ?

“งั้นผมไปนอน…” …ก่อนนะครับ

เขาอยากจะพูดให้จบ แต่เสียงมันกลับไม่ยอมเปล่งออกไป เมื่อถูกปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะลงข้างแก้ม วันเสาร์เลื่อนเชยคาง บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นสบกันอีกครั้ง มองเห็นความรู้สึกบางอย่างเคลื่อนตัวไหวๆ อยู่ภายในแววตาสีนิลสุดหยั่งลึก

มันไม่ได้แสดงออกถึงความสุข แต่ก็ไม่ใช่ความเศร้า…มันไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก หากก็ไม่ได้สัมผัสถึงความเกลียดเช่นกัน

ดวงตาคู่นั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ทีละนิด ภาพของวันเสาร์ที่เขาคุ้นเคยค่อยๆ เบลอ จนกลายเป็นเพียงสีดำสนิทในยามที่เขาปิดเปลือกตาลง ลมหายใจอุ่นร้อนรดรินใส่กันและกัน เขาเลื่อนมือกอบกุมมือใหญ่รอบเอวไว้โดยไม่ทันรู้ตัว

เวลาภายในห้องครัวราวกับหยุดลงชั่วขณะ ลมหายใจติดขัดเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ริมฝีปากของเราจวนเจียนแตะกัน…ก่อนที่คนด้านหลังจะเด้งตัวผละออกไปไกลเกือบเมตร

เหตุการณ์เมื่อครู่กลายเป็นแค่ความฝันที่จู่ๆ ก็สลายไป

“ขึ้นนอนได้แล้ว” เจ้าของบ้านเอ่ยเสียงเรียบ รีบเอื้อมมือไปกดปิดสวิตช์ไฟจนวิสัยทัศน์ข้างหน้าแทบมืดบอด

คนตัวเล็กพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับการมอง เผลอสะดุ้งเฮือกเมื่อใครอีกคนขยับเข้ามาจับมือเขาไว้ วันเสาร์กระตุกแขนเบาๆ เป็นสัญญาณให้เขาเริ่มก้าวขา

“ผ..ผมเดินเองได้ครับ”

“มันมืด เดี๋ยวก็ตกบันไดกันพอดี”

คำตอบนั้นทำเขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ขนาดผู้ชายไร้หัวใจก็ยังเป็นห่---

“ฉันไม่อยากให้มีคนตายในบ้าน” วันเสาร์เสริมขึ้น เป็นอันจบบทสนทนา รวมทั้งความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระในหัวของเขาด้วย

ก็ไม่น่าหวังตั้งแต่แรก ว่าคนคนนี้จะมาเป็นห่วง…อะไรเล่า

เขาไม่รู้ว่านี่คือการคิดไปเองอีกหรือเปล่า แต่ระยะก้าวของวันเสาร์มันช่างเชื่องช้าผิดปกติ ขั้นบันไดก็มีเท่าเดิม แต่ทำไมใช้เวลาเดินนานกว่าที่เคยมากมายนัก ถ้าจะบอกว่าเพราะมันมืด ก็พอฟังขึ้นอยู่หรอก แต่ว่า...เพราะอะไรคุณชายวันเสาร์ถึงยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขาสักที ทั้งที่ยืนหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนตัวเองตั้งนานแล้ว

“เอ่อ...” เขาส่งเสียงผ่านความเงียบ พอดีกับที่วันเสาร์ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะตัดสินใจเอื้อนเอ่ยคำสุดท้ายของคืนนี้ “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“อืม”

เราเดินห่างจากกันคนละก้าว ทั้งที่สายตายังคงสบประสานท้าทายความมืดยามสิบสองนาฬิกา เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า รสชาติของการจากลาเหมือนในภาพยนตร์มันเป็นยังไง แค่จะหันหลังให้เขา มันยังยากเลย…

เป็นบ้าอะไรไปแล้วเนี่ยเรา…

เขาตัดสินใจหยิกแขนตัวเองไปที ก่อนจะรีบหันหลัง สาวเท้าไวๆ กลับไปทางประตูห้องรับรอง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องนอนส่วนตัวของเขา วันเสาร์เองก็ปิดประตูเข้าห้องไปแล้วเช่นกัน

สายน้ำจากก๊อกไหลผ่านฝ่ามือเล็กประสานเป็นดอกบัวตูม เขาบ้วนปากทำความสะอาดคราบนมที่อาจหลงเหลืออยู่ ตามด้วยการกวักน้ำลูบหน้าตัวเองอยู่หลายรอบ เงาสะท้อนจากกระจกบานใหญ่มันทำให้เขานึกพรั่นพรึง

เหมือนจะเข้าใจความหมายของอะไรบางอย่าง…

แววตานั้นของวันเสาร์มันคือความเหงา ส่วนแววตาของเขามันคือความคิดถึง ใช่รึเปล่า…





--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 12
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 15-12-2018 12:18:48
---------- ต่อ ----------




“เป็นไงคะคุณหนึ่ง เมื่อคืนหลับสบายไหม” พี่ละเมียดทักทาย ขณะตักข้าวต้มปลาใส่ชามให้เขาจนเกือบพูน และพี่แกคงถามโดยไม่ได้มองหน้าเขาเลยสักนิดสินะ ถึงได้ไม่สังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาที่ชัดขึ้นแค่ข้ามคืน หรือมันกลายเป็นภาพชินชาไปแล้วกับการที่เขาตาบวมอยู่แทบตลอดเวลา

“เอ่อ…ก็ ก็ปกติดีครับ”

กับผีน่ะสิ! นอนไม่หลับเลย!!

“เมื่อคืนคุณเสาร์ทำงานดึกเหรอคะ” คราวนี้เป็นพี่ละไมซึ่งเอ่ยปากถามคุณชายคนโตทันทีที่เห็นใบหน้าแลดูเหนื่อยอ่อนเหมือนคนอดนอน

เจ้าของร่างสูงนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้า “ครับ”

แม่บ้านทั้งสองเริ่มต้นบทเทศนาว่าด้วยการดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง คงเพราะไม่อยากเห็นใครล้มป่วยจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก่อนที่พี่ละไมจะหันมาส่งคำถามให้

“แล้ววันนี้คุณหนึ่งจะออกไปหางานทำใช่ไหมคะ”

“ครับ จะลองดู”

“ขยันก็ดีนะคะ แต่ถ้าคุณหนึ่งได้งานแล้ว พี่คงคิดถึงแย่เลย”

“คิดถึงอะไรกันครับ” เขายิ้มขำ รู้สึกเหมือนว่ามีสายตาคู่อื่นกำลังจับจ้องอยู่ยังไงชอบกล

“ก็ปกติเจอหน้าคุณหนึ่งทั้งวัน ต่อไปก็จะเห็นกันแค่ตอนเช้ากับตอนเย็นน่ะสิคะ”

พี่ละเมียดวางหม้อข้าวต้มลงบนตะแกรง เหลือบมองวันเสาร์ แล้วค่อยหันมาหาเขาอีกคน “จริงด้วยค่ะ คุณเสาร์ก็ต้องคิดถึงคุณหนึ่งแน่ๆ กลางคืนก็แยกกันแล้ว กลางวันยังจะไม่ได้เจอกันอีก”

เสียงกระแอมไอหนักๆ จากคนถูกพาดพิงดังขึ้นแทบจะทันที ร่างสูงใหญ่เหลือบตามองผู้อาวุโสกว่าเหมือนอยากจะเตือนไม่ให้พูดอะไรเหลวไหลไปมากกว่านี้

“ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องคิดถึงนับหนึ่งนี่ครับ”

ละเมียด ละไม หันมองหน้ากันอย่างรู้ทัน รีบเอ่ยปากถามเด็กน้อย ที่ตอนนี้ปั้นหน้างอง้ำเพียงแค่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ “แล้วคุณหนึ่งจะไม่คิดถึงคุณเสาร์เหรอคะ”

“ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องคิดถึงพี่เสาร์นี่ครับ” เขาสวนกลับ จงใจจ้องหน้าเจ้าของบ้านด้วยท่าทีกวนโมโห ซึ่งก็คงจะได้ผล เพราะอีกฝ่ายตีหน้าขรึม ส่งสายตาฟาดฟันประหนึ่งว่าถ้าลุกขึ้นมาบีบคอเขาตอนนี้ได้ ก็จะรีบลุกมาเลยอย่างนั้นแหละ

วันเสาร์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ชี้นิ้วมาทางเขา “แต่ความจริง ฉันก็ไม่ได้อยากให้นายออกไปทำงานข้างนอกนะ”

“ทำไมครับ พี่เสาร์ไม่มีเหตุผลอีกละ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่จำเป็น”

“แต่อยู่บ้านอย่างเดียวมันน่าเบื่อนะครับ”

“ก็มาหาฉันที่ห้องสิ รับรองมีเรื่องให้ทำเยอะแน่ๆ” วันเสาร์ไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าหวานที่ค่อยๆ ขึ้นสีเป็นลูกมะเขือเทศ ถ้าไม่โง่ก็คงพอเดาออกว่าเรื่องที่พูดถึงน่ะมันเรื่องอะไร

นับหนึ่งหลุบตาหนี พึมพำอยู่ในลำคอ “ใครจะไปอยากทำ”

และถึงจะพูดเบาแค่ไหน ก็ยังไม่วายมีใครแถวนี้ได้ยิน ถึงได้ยิ่งแกล้งทำให้เขาประสาทเสียแต่เช้า

“ไม่อยากจริงเหรอ เห็นร้องเสียงดังเชียว”

“พี่เสาร์!” คนเด็กกว่าตบโต๊ะฉาดใหญ่ พวงแก้มแดงเห่อร้อนส่ายไปมาเพื่อจะแก้ความเข้าใจผิดให้กับแม่บ้านทั้งสองคนซึ่งดูเหมือนจะช็อคจนอ้าปากค้างไปแล้ว

นับหนึ่งจ้องคนตรงข้ามตาเขียวปัด วันเสาร์ที่มักนิ่งเหมือนหุ่นยนต์ และเคร่งขรึมราวกับนักพรต ตอนนี้กลับฉายแววสนุกสนานเสียเต็มประดา แต่บอกเลยว่าเขาน่ะไม่สนุกด้วย! ที่ต้องร้องก็เพราะใครล่ะ ชอบใช้ความรุนแรง! ไม่ทะนุถนอม! ไม่อ่อนโยน!

อีกนิดนึงก็ฟ้องร้องข้อหาทารุณกรรมเยาวชนได้แล้วด้วยซ้ำ!!

“แล้วนี่จะไปยังไง” คนที่เพิ่งแกล้งเขาจนได้ใจไปหมาดๆ กลับมาฉาบหน้านิ่งตามปกติ เอ่ยถามเสียงเรียบ

“เอ่อ…ยังไม่รู้เลยอะครับ รถเมล์มั้ง”

วันเสาร์ย่นคิ้วหน่อยนึงอย่างใช้ความคิด “งั้น…”

อย่าบอกนะว่าจะไปส่ง…ถ้าใช่ ฝนคงตก ไม่ก็ฟ้าผ่าแน่ๆ

“งั้นก็เดินออกไปเองนะ”

อืม!! ฟ้าสว่างจ้าเลยอะ

“ครับ” เขาหลุดกระแทกเสียง ตักข้าวต้มเข้าปากได้คำสองคำก็รู้สึกไม่มีอารมณ์จะกินต่อ และถ้าจะถามเหตุผลก็คงตอบว่า เพราะเบื่อขี้หน้าคนร่วมโต๊ะอาหารนั่นแหละ

ทันทีที่นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสิบโมง เขาก็ได้ฤกษ์คว้ากระเป๋าย่ามมือสองที่พี่ละไมเคยให้ไว้ใช้ตอนไปซื้อของ เดินเท้าออกไปยังถนน โดยมีเจ้าของบ้านจับจ้องอยู่ตลอดจนลับสายตา ขนาดลุงชัยอาสาขับรถไปส่ง วันเสาร์ก็ยังออกปากห้าม ไม่รู้ว่าเพราะอยากแกล้งหรือไร้น้ำใจโดยนิสัยก็ไม่ทราบ

แต่ช่างปะไร คนอย่างนับหนึ่งไม่ใช่คุณหนูผู้ดีที่ไหนอยู่แล้ว เรื่องขึ้นรถเมล์น่ะไว้ใจเขา เผลอแป๊บเดียวก็มายืนจังงังอยู่หน้าห้างฯ ตอนเช้าวันธรรมดาแบบนี้คนยังไม่พลุกพล่าน เท่าที่เห็นก็แค่พนักงานเป็นส่วนใหญ่ เขาไม่รอช้า รีบเข้าไปแวะเวียนคาเฟ่เล็กๆ ที่เคยติดป้ายประกาศหาพนักงานเป็นที่แรก ทั้งเขาและผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ต่างส่งยิ้มพิมพ์ใจให้แก่กัน

“เอ่อ ยังรับพนักงานอยู่หรือเปล่าครับ”

พี่สาวคนสวยตีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา น้ำเสียงแผ่วปลายทำเอาเขาใจแป้วไปด้วย

“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีได้คนแล้วอ่ะค่ะ”

“อ่า ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับ”

เขาก้มหัว หลบมุมออกมายืนเกาะขอบรั้วเชื่อมบันไดเลื่อน สายตากวาดมองห้างร้านต่างๆ ตั้งแต่คลินิกเสริมความงาม ร้านอาหาร ไปจนถึงแผนกอุปกรณ์ไอที หลังจากทำใจจากความผิดหวังอันรวดเร็วเมื่อสักครู่ได้แล้ว จึงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าเต็มปอด รวบรวมความกล้าเดินเข้าออกแต่ละร้านเป็นว่าเล่น

แม้ว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาจะไม่สวยหรู ออกจะเต็มไปด้วยความลำบากกับการเรียนไปด้วย ช่วยงานอาจารย์รับค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ แถมกลับมาบ้านก็ยังต้องแบ่งเบาภาระงานบ้านของป้า ไปจนถึงรับงานพิเศษ ทั้งซักผ้าทั้งทำบายศรี แม้แต่รับเลี้ยงหมาก็ยังเคย แต่ยอมรับเลยว่าการเดินตะลอนหางานในห้างแบบวันนี้ บั่นทอนจิตใจเขาได้มากกว่าทุกสิ่งอย่างที่เคยประสบมา

ลองนึกภาพคุณโดนปฏิเสธซ้ำๆ วันละไม่น้อยกว่า 10-20 ครั้งดูนะ ตอนนี้กำลังเป็นแบบนั้นเลยแหละ ไม่ว่าจะแบกหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไปหาร้านไหนๆ ก็ล้วนได้คำตอบกลับมาว่า ขอโทษนะคะ ขอโทษด้วยครับ อย่างนี้ตลอด ซึ่งก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่าส่วนใหญ่ยังไม่ได้เปิดรับพนักงาน แต่ปัญหาก็คือ ถ้ากลับบ้านไปทั้งที่ยังไม่ได้งานทำ พี่เสาร์ก็คงไม่อนุญาตให้เขาออกมาหางานอีกแล้วน่ะสิ

เขาพาตัวเองมานั่งพักบนเก้าอี้สาธารณะ ลูกค้าของห้างฯ เริ่มเยอะขึ้นจนชักตาลาย อาจจะเพราะว่าเป็นช่วงที่เด็กหลายคนปิดเทอม หน้าจอมือถือที่วันเสาร์เอามาวางคืนให้ฉายเวลาบ่ายสองกว่า และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ หน้าท้องส่งเสียงประท้วงเมื่อยังไม่ได้รับสารอาหารอะไร แถมเมื่อเช้ายังสะเออะกินข้าวไปนิดเดียวอีกต่างหาก โง่ชะมัด

 เรียวขาทั้งสองข้างลุกขึ้นออกเดินอีกครั้ง เขาจะมายอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้ เขาต้องหางานทำ จะได้มีเงินเก็บ เอาไป…

“เฮ้ย” เผลอส่งเสียงอุทานจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อเหลือบไปเห็นป้ายประกาศรับสมัครเด็กเสิร์ฟจากร้านอาหารอิตาเลียนซึ่งเขาเกือบตัดสินใจเดินผ่านไปแล้วด้วยซ้ำ

มือข้างหนึ่งกระชับสายสะพายกระเป๋าย่ามพาดไหล่ ปั้นยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ด้านใน แม้ว่าในใจกำลังกระสับกระส่ายจากอาการหิวโซ แทบจะล้มแหล่มิล้มแหล่

“ยังรับสมัครเด็กเสิร์ฟอยู่ไหมครับ”

“อ๋อ ยังรับอยู่ครับ เดี๋ยวสักครู่นะครับ” พนักงานในเครื่องแบบเสื้อเชิ้ตสีขาวพูดกับเขาด้วยท่าทีสุภาพ แวบหายเข้าไปทางห้องครัว ก่อนจะกลับออกมาพร้อมผู้ชายวัยราวๆ 35 ปี เห็นจะได้

คนในชุดสูทยิ้มทักทายเขา “สวัสดีครับ มาสมัครงานเหรอ”

“ครับ”

“มานั่งนี่ก่อน” เขาเดินตามไปนั่งบนโต๊ะอาหารใกล้กับประตูห้องครัวที่สุด

ถึงจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปทั่วห้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กกับวัยรุ่น จึงไม่เห็นลูกค้าในร้านมากเท่าไรนัก และเขาเดาเอาว่าคงเพราะราคาอาหารที่ค่อนข้างสูง ทำให้กลุ่มลูกค้าหลักเฉียดไปทางวัยทำงานขึ้นไป คาดว่าตอนนี้คงยังนั่งอยู่ในออฟฟิซที่ไหนสักแห่งซะมากกว่า

“พี่ชื่อทรงยศนะ เป็นผู้จัดการร้านของที่นี่”

“สวัสดีครับ” คนตัวเล็กรีบยกมือไหว้ เลยไปซับเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นตามขมับ

“ลองแนะนำตัวหน่อย”

“ครับ ผม…ชื่อนับหนึ่งครับ เพิ่งจบมอหก”

คนตรงหน้าเลิกคิ้ว แทรกขึ้น “จริงเหรอ ตอนแรกนึกว่ายังอยู่มอต้นด้วยซ้ำ”

เขาทำแค่เพียงยิ้มแห้งๆ กลับไป โชคดีที่สุดของวันอาจจะเป็นการเหยียบย่างเข้ามาในร้านนี้ เพราะพี่ทรงยศ รวมไปถึงพนักงานหนุ่มตรงเคาน์เตอร์เมื่อครู่ ต่างพูดคุยและต้อนรับเขาด้วยอัธยาศัยดีเกินคาด

พี่ทรงยศซักถามเขาเรื่องชีวิตครอบครัว ประวัติการศึกษา ไปจนถึงประสบการณ์การทำงานเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลาอยู่ไม่เท่าไร แกก็เผยยิ้มอีกครั้งพร้อมข่าวดีที่บทจะมาก็มาแบบแทบไม่ให้ตั้งตัวทีเดียว

“งั้นพรุ่งนี้ก็มาเริ่มงานเลยละกัน”

“จ..จริงเหรอครับ”

“จริงสิ”

“คือ นี่ผมได้งานแล้วเหรอครับ” เขาพูดจาตะกุกตะกัก ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเองอย่างงุนงง จนอีกฝ่ายถึงกับหลุดขำ พยักหน้าย้ำชัดอีกหลายรอบ

“ใช่สิ เดี๋ยววันนี้พี่จะแจ้งเจ้าของร้าน แล้วพรุ่งนี้เช้าเราก็มาเริ่มงานได้เลย”

“ขอบคุณมากเลยครับ”

ให้พูดตรงๆ เขาเกือบร้องไห้แล้วเชียว ถึงกับพรวดพราดลุกขึ้นยืนแล้วก้มโค้งแทบจะต่ำกว่า 90 องศา แต่ความดีใจที่ล้นออกมาจุกอกกลับถูกแทนที่ด้วยอาการมึนศีรษะฉับพลัน เขารีบกะพริบตาถี่รัว มือสองข้างคว้าขอบโต๊ะยันตัวเองไว้ ได้ยินเสียงเรียกอย่างเป็นกังวลจากใครบางคน ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะกลายเป็นสีดำมืดสนิท ไม่รับรู้สิ่งใดอีก

นานเท่าไรไม่รู้ที่เขาหมดสติไป…

กลิ่นฉุนจากหลอดยาดมทำเอาเขาแสบจมูก ใบหน้าเหนื่อยอ่อนเหยเก เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ปรือลืมขึ้นเพื่อพบว่ากำลังนอนราบไปกับเก้าอี้โซฟา โต๊ะตัวเดิมกับที่นั่งสัมภาษณ์งานก่อนหน้านี้ หากถูกรายล้อมไปด้วยผู้ชายถึงสามชีวิต พี่ทรงยศ พนักงานตรงเคาน์เตอร์ และ…

คนที่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันได้

“พี่…วา?”

“ลุกไหวไหม” เพื่อนสนิทของวันเสาร์ถาม ขณะพยายามประคองตัวเขาให้กลับมานั่งพิงเบาะ ผ้าเช็ดหน้าในมือซับลงตามขมับและกรอบหน้าเหวอ “กินอะไรรึยัง หิวไหม”

“พี่วามาทานข้าวเหรอครับ”

ฝ่ายถูกถามส่งเสียงหัวเราะอย่างนึกเอ็นดู “พี่เป็นเจ้าของร้านนี้เองแหละ”

“ห้ะ”

“บังเอิญเนอะ”

เอาจริงดิ โลกกลมเกินไปไหม... ตั้งแต่คนแปลกหน้าที่แค่เดินลงมาช่วยซ่อมโซ่จักรยาน บังเอิญว่าเป็นเพื่อนสนิทเจ้าของชีวิตยังไม่พอ นี่ยังจะบังเอิญมาเป็นเจ้าของร้านที่เพิ่งรับเขาเข้าทำงานพาร์ทไทม์ด้วยอีกเนี่ยนะ

อย่างกะเขียนบทมาแล้วงั้นแหละ ไม่น่าเชื่อเลย

“แบงค์ เข้าไปดูในครัวซิว่าอาหารที่สั่งไปได้รึยัง” นาวาหันไปพูดกับพนักงานหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่คนชื่อแบงค์จะก้าวขาไปถึงครัว ประตูบานพับก็เปิดออกพร้อมผู้หญิงวัยรุ่นในชุดยูนิฟอร์มเชิ้ตขาวแบบเดียวกัน ในมือเธอถือถาดอาหาร มีจานเซรามิกใบใหญ่ส่งกลิ่นหอมฉุยมาแต่ไกล

เธอเผยยิ้มให้เขา และวางจานสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าลงตรงหน้า เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกปั่นป่วนในท้องอีกครั้ง

“กินซะสิ” คุณเจ้าของร้านทิ้งตัวลงบนโซฟาตรงข้ามเขา พี่ทรงยศ กับพนักงานอีกสองคนเมื่อครู่ แยกย้ายกลับไปประจำตำแหน่งตัวเองดังเดิม

“จะดีเหรอครับ”

“รีบๆ กินเถอะ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมอีกรอบหรอก พี่ยังไม่อยากโดนไอ้เสาร์ฆ่านะ”

“ค..ครับ ขอบคุณมากครับ”

นาวาคิดผิดถนัด คนอย่างวันเสาร์…จะมาห่วงอะไรเขากันล่ะ

นับหนึ่งตักเส้นสปาเกตตี้เข้าปากอย่างเก้ๆ กังๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ลิ้มชิมรสชาติของอาหารชนิดนี้ และถือว่าค่อนข้างน่าประทับใจมาก ไม่ใช่แค่เพราะกำลังหิว แต่ว่ามันอร่อยจริงๆ นาวาเอาแต่มองเขากิน พลางตั้งคำถามชวนคุยไปต่างๆ นาๆ

“แล้วทำไมถึงมาหางานทำล่ะ ไอ้เสาร์ดูแลนายไม่ดีหรือไง”

ศีรษะทุยส่ายไปมา “เปล่าครับ ผมแค่อยากเก็บเงินไปซื้อของ”

“ของอะไร แล้วเสาร์มันไม่จ่ายให้เหรอ”

ส้อมในมือวางพักลงบนจานเกือบเกลี้ยงเปล่า คนตัวเล็กอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะยอมปริปาก หากเสียงที่เปล่งออกมากลับเบาหวิว พวงแก้มใสขึ้นสีระเรื่อ ไม่ยอมสบตา ทำเอาภาพตรงหน้ายิ่งดูน่ารักขึ้นอีกหลายเท่า ถ้าจะบอกว่าอิจฉาเพื่อนตัวเองก็คงไม่ผิดนัก

“ผม…อยากซื้อของขวัญวันเกิด ให้พี่เสาร์..อะครับ”

เขาเลิกคิ้วให้กับคำตอบ ความอิจฉาเมื่อครู่ยิ่งพุ่งสูงเหนือชั้นบรรยากาศไปเลยทีเดียว รอยยิ้มบางๆ ปรากฏ ก่อนจะถือวิสาสะลูบศีรษะทุยอย่างนึกเอ็นดู “หนึ่งนี่เป็นเด็กดีจริงๆ เลยนะ”

“กะ ก็แค่..อยากตอบแทนอะไรบ้าง แค่นั้นเองครับ”

เพราะถึงผู้ชายคนนั้นจะโหดร้ายใจดำยังไง ก็ยังปฏิเสธความจริงที่ว่าวันเสาร์ช่วยชีวิตเขาให้หลุดพ้นจากชะตากรรมเด็กเล้าไม่ได้ ถ้าเขาไม่กลายมาเป็นเด็กในปกครองของวุฒิเวคินทร์ ป่านนี้เขาอาจนอนซมป่วยตายอยู่ที่ชั้นบนสุดของทาวน์เฮาส์นรก ยิ่งกว่านั้น วันเสาร์ยังให้ความสะดวกสบายกับเขาสารพัดอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยหวังว่าจะมีได้

ให้อะไรเขามากมาย ให้แทบทุกอย่าง ยกเว้นแค่…

“ปะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” นาวาลุกขึ้นหลังจากเขาดูดน้ำจนหมดแก้ว

รถคันหรูสีน้ำเงินเคลือบมุกราคาแสนแพงแล่นออกจากบริเวณลานจอด VIP มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่เขาคุ้นเคย เราขับผ่านรูปปั้นโลมา แวะทักทายรปภ.ตรงป้อม ก่อนจะเคลื่อนตัวสู่หน้าบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่

“พี่ส่งแค่นี้นะ เดี๋ยวต้องไปทำธุระต่อ”

เขารีบก้มหัว ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ขอบคุณมากนะครับพี่วา”

“พรุ่งนี้เจอกัน”

“ครับ”

เมื่อรอจนแน่ใจแล้วว่านาวาขับรถออกจากซอยอย่างปลอดภัย เขาจึงหันหลังกลับเข้าบ้าน ลุงชัยที่เห็นเขาเป็นคนแรกผละมือออกจากสายยางรดน้ำ รี่เข้ามาทักทายพร้อมรับฟังข่าวดี และทั้งๆ ที่เขาตั้งใจจะเดินไปหาพี่ละเมียด พี่ละไมในครัว กลับต้องมาเจอคุณชายวันเสาร์กำลังก้าวขาลงบันไดมาก่อนซะได้

น้ำเสียงดูแคลน จนเขาเผลอกลอกตา “เป็นไง ไม่ได้งานล่ะสิ”

“ได้แล้วต่างหากล่ะครับ”

คนตัวสูงเลิกคิ้ว ก้าวขาตรงเข้ามาใกล้ “งานอะไร”

“เด็กเสิร์ฟครับ”

“ที่ไหน”

“Napoli”

วันเสาร์ขมวดคิ้วเครียด ใช่ว่าลืมไปแล้ว แต่แค่ไม่คิดว่าร้านอาหารอิตาเลียนของเพื่อนสนิทตัวเองจะบังเอิญมาเปิดรับพนักงานเอาช่วงเวลาเหมาะเจาะขนาดนี้ พอดิบพอดีซะจนอดคิดว่าเป็นแผนการบ้าๆ ของไอ้เพื่อนตัวดีที่คิดจะแกล้งปั่นหัวเขาเล่นหรือยังไง

ไอ้นาวา…

 

----------------------------------------------------------------------------------------------

เนี่ย เปลี่ยนพระเอกให้แล้วนะคะ 55555555 พี่เสาร์มัวชักช้า ยืดยาดน่ารำคาญ ปากแข็งเก่ง ก็ต้องเจอแบบนี้จ้าาาา อุๆๆๆ //กำมีดขึ้นแล้วหมุนๆ กำมีดไว้โบกไปมา กำมีดขึ้นและลง...

ร่วมเป็นกำลังใจให้เราไม่เทได้ด้วยการ คอมเมนต์สักนิด ช่วยแชร์สักหน่อย กดเรตติ้งให้สักจึก รีวิวให้สักครั้ง หรือ ติดแท็กให้สักทวิต นะคะ ตีหัวลากคนอื่นเข้ามาอ่านกันเถอะค่ะ เราต้องฟอร์มทีมเงาแค้นพี่เสาร์ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสีแดง (สีแดงมาจากเลือดพี่เสาร์) 1 2 1 2 3 1 2 1 2 1 เฮ้ !


ติดตามสปอยหรืออัพเดทความไบโพล่าของนักเขียนได้ที่ :
• facebook.com/aonair13
• twitter.com/aonair13
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 12
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 16-12-2018 19:05:22
อ่านเเล้วจะร้องไห้ สงสารน้องจริงๆนะชีวืตน้ิงก็เเย่อยู่เเล้วเเล้วทำไมยังต้องมาหลงรักคนเเย่ๆเเบบอีพี่เสาร์อีก อยากใฟ้พี่เสาร์รักน้องเยอะๆ เเล้วก็ให้น้องหนีไปไกลๆ ให้นังพี่เสาร์ดิ้นตายไปเลย อินมากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ สู้ๆค่ะ คอยติดตามอยู่เสมอ❤
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 12
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-12-2018 22:01:04
ในที่สุดน้องก็ได้ใกล้ชิดพระเอกมากขึ้น อยู่ร้านพี่วาก็จะได้ปิ๊งกันและพัฒนาความสัมพันธ์ เย่  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 12
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 17-12-2018 00:37:18
พี่นาวาสู้ๆเค้า น้องหนึ่งหนีไปให้ไกลๆเลย ปล่อยให้พี่เสาร์งุ่นง่านไปคนเดียวเลย เย่~ :katai3:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 13
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 22-12-2018 21:44:44
นับหนึ่ง ถึง สิบสาม

 

“รู้ไหมว่าร้านนั้นเป็นของไอ้วา” วันเสาร์เปิดประเด็น ขณะที่เรามานั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว

เขาส่ายหน้า

“แล้วไอ้วามันรู้ไหมว่านายกำลังหางาน”

“ไม่น่ารู้นะครับ พี่เขายังบอกอยู่เลยว่าบังเอิญ”

“จะบังเอิญอะไรกันนักกันหนา” เสียงบ่นอุบอิบ ทำเอาเขาแอบอมยิ้ม อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ชนะ ดูเหมือนการทำให้วันเสาร์หงุดหงิดได้ ก็เป็นอะไรที่ไม่เลวนัก

“แล้วนี่เริ่มงานเมื่อไร”

“พรุ่งนี้ครับ”

“พรุ่งนี้เลยเหรอ”

“ครับ”

“ความจริงไม่เห็นต้องดั้นด้นออกไปทำงานเลย นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้ว” ขอยกระดับให้เป็นปริศนาธรรมกับการที่วันเสาร์ดูจะอารมณ์เสียเรื่องออกไปทำงานข้างนอกของเขาซะจริง ทั้งที่เวลาอยู่บ้านก็ไม่ได้มายุ่งอะไรมากมายสักหน่อย

จริงๆ แล้ว เราคุยกันแทบนับประโยคได้ และเราสบตากันแทบนับวินาทีได้…ใกล้ที่สุดคือช่วงเวลาที่เขายื่นถ้วยกาแฟออกไปให้ และใกล้ยิ่งกว่าคือตอนที่วันเสาร์เกิดมีอารมณ์อยากจะทำเรื่องอย่างว่า

แต่เหมือนทุกครั้ง…อ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ เหน็บหนาวมาก

กอดที่ไม่อุ่น เขานึกเกลียดมัน…

“แล้วจะทำไปถึงเมื่อไร” วันเสาร์ถามเพิ่มเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบ

“ไม่รู้สิครับ อย่างน้อยก็เดือนนึง หรืออาจจะมากกว่านั้น”

“นี่นายไม่อยากอยู่บ้านขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ผมก็แค่อยากหาอะไรทำ พี่เสาร์จะเดือดร้อนอะไรอะครับ” เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับการคอยเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง และท่าทางอีกฝ่ายเองก็หาข้ออ้างมาเถียงไม่ออกถึงได้ยอมเงียบสักที

พี่ละเมียดค่อยๆ เดินเข้าฉาก ตักข้าวสวยลงบนจานของเราทั้งคู่ อมยิ้มกรุ้มกริ่มขณะเหลือบมองเรียวหน้าถมึงทึงของเจ้านายตัวเอง สำหรับคนที่อยู่รับใช้วันเสาร์มา 10 ปีกว่าอย่างเธอ แค่ชายตานิดเดียวก็รู้แล้วว่าคุณชายคนโตกำลังปากหนัก แถมไม่ตรงกับใจเป็นที่หนึ่ง

เจ้าของริมฝีปากบวมอิ่มละเลียดตักข้าวไม่กี่เม็ดเข้าปาก เขาไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้คือวันที่ดีหรือแย่กันแน่ เพราะถึงจะได้งานตามหวัง แต่กลับต้องมาคอยทะเลาะกับวันเสาร์ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนความสุขเขาลงไปเท่านั้น

เขากินข้าวต่ออีกเพียงนิดเดียวก็ขอตัวลาขึ้นไปอาบน้ำ นอกจากยังอิ่มจากสปาเกตตี้ที่ร้าน Napoli แล้ว การต้องทนเห็นใบหน้าบึ้งตึงคร่ำเครียดของคนตรงข้าม ก็ไม่ได้ทำให้เขาเจริญอาหารขึ้นเลยสักนิด

ละเมียดกับละไมต่างส่งสายตาเป็นห่วงให้กัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกล้าเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าวันเสาร์รวบช้อนส้อมทั้งที่กินไปได้แค่ไม่กี่คำ

“คุณเสาร์ก็ไม่ทานแล้วเหรอคะ”

เขาพยักหน้า กึ่งจะก้มหัวขอโทษ “ผมไม่ค่อยหิว”

“ถ้าไม่ทานข้าว งั้นก็รับผลไม้สักหน่อยเถอะค่ะ ขึ้นไปทานบนห้องก็ได้” ละไมรีบสาวเท้ากลับไปยังตู้เย็น หยิบถาดแตงโมแกะเมล็ดที่เธอทำเตรียมไว้แล้วออกมาจัดแบ่งใส่จาน ยื่นให้คนเป็นนายอย่างจงใจ “เอาไปแบ่งคุณหนึ่งด้วยนะคะ”

วันเสาร์ตีหน้ากระอักกระอ่วน หากก็ยอมพยักหน้าแล้วตรงขึ้นบันได เขาหมุนลูกบิดห้องรับรองอย่างไม่ลังเล รู้อยู่แล้วว่าเด็กด้านในคงไม่ได้ล็อกประตู เพราะว่าเขาสั่ง อย่างน้อยก็เพื่อให้สำเหนียกไว้ว่ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร ถึงยังไงห้องนี้ก็เป็นพื้นที่ในบ้านของเขา มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาทุกเมื่อ

เสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดออกมา เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง วางจานผลไม้ไว้กับโต๊ะตั้งโคมไฟ อากาศในห้องปนเปื้อนไปด้วยกลิ่นกายของคนที่เคยชิดใกล้อยู่แทบทุกคืน อะไรบางอย่างกำลังกระตุ้นให้เลือดในร่างสูบฉีดหนักขึ้น กว่าจะทันรู้ตัว ปลายจมูกของเขาก็ฝังลงกับหมอนใบใหญ่บนเตียงเสียแล้ว กลิ่นเหมือนแป้งเด็ก ผสมกับสบู่ลาเวนเดอร์ ช่อดอกปีบในแก้วเหล้าที่เพิ่งไปขโมยกลับมาจากห้องเขา ทำให้ภายในห้องนี้คละคลุ้งไปด้วยสารพัดกลิ่นหอม หอมไปหมดทุกอย่างจนชักน่าเวียนหัว

ครืด…ครืดด…

มือถือเครื่องบางที่เขาออกเงินซื้อให้สั่นอยู่ข้างโคมไฟ เขารีบคว้ามันไว้ก่อนที่คนในห้องน้ำจะได้ยิน หากแต่ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอกลับชวนหงุดหงิดยิ่งกว่าการรู้ว่าเด็กในอาณัติบังอาจไปแลกเบอร์โทรศัพท์กับใครอื่นนอกเหนือจากเขาซะอีก

‘พี่นาวา’

นิ้วเรียวกดรับโดยไม่ลังเล เสียงเข้มกรอกผ่านสายห้วนๆ “มีอะไร”

“อ่าว ไอ้เสาร์เหรอ”

“เออ คิดว่าใครล่ะ”

“ก็กูโทรหาหนึ่งไม่ใช่มึง”

“โทรมาทำไม แล้วมีเบอร์หนึ่งได้ยังไง” เชื่อเถอะว่าปกติเขาไม่ค่อยอารมณ์เสียใส่นาวาเท่าไร ถ้าเทียบกับเจหรือเพื่อนคนอื่นซึ่งนับว่าไร้สาระกว่ามาก แต่ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ที่นาวาเข้ามาวนเวียนรอบๆ ตัวนับหนึ่ง มันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วกูจะมีเบอร์ลูกน้องตัวเองไม่ได้หรือไงวะ”

“ไอ้ห่า กูถามจริง มึงรู้ไหมว่าหนึ่งกำลังหางาน”

“กูจะไปรู้ได้ไงล่ะ”

“แล้วมึงเสือกมาประกาศหาพนักงานอะไรตอนนี้”

“เอ้า ร้านกูคนไม่พอ เด็กเสิร์ฟลากลับบ้านไง”

ลมหายใจหนักๆ พ่นออกจากปาก หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเถียงต่อไม่ออก ถ้าจำไม่ผิด นาวาเคยบ่นให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าพนักงานร้านกำลังจะลาออก ต้องกลับบ้านต่างจังหวัดไปดูแลแม่ที่ป่วย แต่ถึงงั้นก็เหอะ เขาล่ะนึกเกลียดไอ้ความบังเอิญห่าเหวทั้งหลายนี่เหลือเกิน

“แล้วมึงให้หนึ่งทำตำแหน่งไร”

“ไอ้เสาร์ มึงโง่เหรอ กูเพิ่งพูดอยู่ว่าเด็กเสิร์ฟกูลาออก ก็ต้องจ้างมาเป็นเด็กเสิร์ฟสิวะ”

“ไม่เอา กูไม่อนุญาต มึงให้หนึ่งไปล้างจานในครัว แล้วเอาเด็กล้างจานออกมาเสิร์ฟแทน โอเคไหม”

“โทษนะ แต่มึงมีสิทธิ์อะไรในร้านกูอะ”

วันเสาร์จิ๊ปาก “กูไม่มีสิทธิ์อะไรในร้านมึงหรอก แต่กูมีสิทธิ์ในตัวพนักงานใหม่มึง”

“กูไม่โอเค กูจะให้หนึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟมึงมีปัญหาอะไร” นาวาเริ่มขึ้นเสียงบ้างแล้ว และเขาเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อด้วยเช่นกัน เราเถียงกันเรื่องนี้ต่ออีกสักพักอย่างกับว่าย้อนเวลาไปสมัยเป็นเด็ก แต่แล้วเขาก็ถูกต้อนจนมุมด้วยแค่ประโยคเดียว

“มึงไม่ควรมากำหนดชีวิตของหนึ่ง ทั้งๆ ที่มึงยังดูแลเขาได้ไม่ดีด้วยซ้ำ”

“ดูแลไม่ดี?” วันเสาร์ทวนคำ ก่อนจะพ่นหัวเราะ “ทุกวันนี้กูให้ที่นอน ให้ข้าว ให้ความสบายกับมันทุกอย่าง มึงยังบอกว่ากูดูแลไม่ดีอีกเหรอ”

“แต่มึงปล่อยให้หนึ่งเป็นลมเนี่ยนะ”

“มึงว่าไงนะ?”

“อ่าว นี่มึงไม่รู้เหรอ วันนี้หนึ่งเป็นลมที่ร้านกู สงสัยไม่ได้กินข้าวเที่ยง แต่กูดูแลให้แล้วมึงไม่ต้องห่วง”

เขาเผลอกำโทรศัพท์แน่นซะจนเส้นเลือดบนหลังมือนูนชัด ไม่มั่นใจว่ากำลังโกรธอะไรกันแน่ ระหว่างไอ้เพื่อนตัวดีที่ชอบมาจุ้นไม่เข้าเรื่อง เด็กตัวแสบที่ไม่ยอมเล่าอะไรให้เขาฟัง หรือว่าตัวเอง…

เสียงจากปลายสายดังขึ้นอีกครั้งดึงความสนใจของเขากลับมา “พรุ่งนี้เช้ากูจะรับหนึ่งไปทำงานนะ”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปส่งเอง”

นิ้วเรียวเลื่อนกดตัดสายไปเสียดื้อๆ ไม่รอให้อีกฝ่ายรับทราบหรือแม้กระทั่งโต้เถียง เขาวางมือถือกลับคืนจุดเดิม พอดีกับที่เสียงฝักบัวเงียบลง ไม่นานนักประตูห้องน้ำก็เปิดออก นับหนึ่งแทบจะวิ่งหนีกลับเข้าห้องน้ำอีกรอบเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งรออยู่บนเตียง

คนตัวเล็กอึกอัก ใบหน้าขึ้นสีเพราะตอนนี้เขานุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว ขณะที่ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่า สายตาจับจ้องไปยังชุดนอนผ้าซาตินซึ่งวางพาดทิ้งไว้ใกล้กับจุดที่วันเสาร์นั่งอยู่

“พี่เสาร์เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรครับ”

“ทำไม ฉันจะเข้ามาตอนไหนก็ได้”

เจ้าของกลีบปากอิ่มพยักหน้าน้อยๆ ทำเป็นใจดีสู้เสือ เดินตรงไปหยิบเสื้อผ้าบนเตียง แต่ยังไม่ทันได้สวมหรือแม้แต่ก้าวถอยหนี กลับถูกมือใหญ่คว้าข้อมือเอาไว้ซะก่อน ร่างสูงกระชากเขาลงบนเตียงด้วยการกระตุกแรงๆ เพียงครั้งเดียว ชุดนอนถูกปล่อยลงพื้น เปลี่ยนมายันแผงอกกว้างที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างไม่คิดบอกกล่าว

“พ..พี่เสาร์ จะทำอะไรครับ” เขาถามคำถามเดิมๆ ซึ่งน่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะไม่ได้รับคำตอบ

หัวคิ้วหนาขมวดยุ่ง แววตาเรียวคู่สวยเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ยากจะตีความออก ริมฝีปากบางสีธรรมชาติเผยอออก

“ทำไมไม่บอกว่านายเป็นลม”

คราวนี้เป็นเขาเองที่มุ่นคิ้วเข้าหากัน ถ้าไม่ใช่วันเสาร์จิตสัมผัสก็คงเป็นนาวาที่คาบข่าวมาบอกเพื่อนตัวเอง

“อ้ะ” เขารีบเม้มปากหลังจากเผลอส่งเสียงแปลกๆ เจ้าชายน้ำแข็งจอมปลอม แท้จริงใจร้อนยิ่งกว่าไฟซะอีก ไม่รอกระทั่งให้เขาคิดคำตอบก็ชิงฝังจูบลงกับลำคอขาว ค่อยๆ กลายเป็นชมพูระเรื่อเมื่อปลายจมูกโด่งไล้ต่ำลงไปถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า

วันเสาร์ตามขบไปแทบทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนผ่าวลากผ่าน แถมยังออกแรงดูดผิวเนื้อเขาอย่างกับว่ามันเป็นขนม ทิ้งร่องรอยแดงช้ำน่ากลัวไว้ทั่วทุกหนแห่ง

“พี่เสาร์ อย่าทำอะไรเลยนะครับ พรุ่งนี้ผมเริ่มงานวันแรกนะ” รีบท้วงขึ้นเมื่อมือหยาบเริ่มเลื่อนต่ำลงไปทุกที

คนด้านบนไม่พูดอะไร จับข้อเท้าเขาไว้ แยกขาออกจากกันแล้วก้มลงจูบย้ำๆ ไปตามแนวเส้นเลือด ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่เคยปกปิดส่วนสงวนก็แทบไร้ความหมายและเกือบจะหลุดมิหลุดแหล่ หากแต่วันเสาร์ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดจะรุกล้ำเข้าไปในนั้นตามที่เขาเอ่ยขอ

ลมหายใจอุ่นเป่ารดไปทั่วทั้งร่าง ทำเอาอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศกลายเป็นรุ่มร้อนไปเสียอย่างนั้น ปลายจมูกโด่งคลอเคลียจากบนลงล่าง แล้วก็ไล่จากล่างขึ้นบนอีกครั้ง ซ้ำไปมาพาลให้สมองของเขาขาวโพลน จิตใจที่ใกล้จะล่องลอยถูกดึงรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงทุ้มแหบพร่า

ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างประคองใบหน้าเขาไว้ให้สบตากัน “มีอะไรทำไมไม่บอก”

“ก็…ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร…”

แววตาสีเข้มวูบไหว จ้องลึกลงมาจนเขาขนลุก แต่ถึงอยากจะหันหนีก็ทำไม่ได้ คำพูดต่อมาของวันเสาร์ทำเอาหัวใจของเขากระตุก ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นจุกอก ใบหน้าตื่นๆ กลายเป็นแดงเรื่อ

“ใครบอกว่าไม่สำคัญ”

ใครบอกว่าไม่สำคัญ…เขาทวนในใจ

มีคำถามอีกมากมายนับพันล้านผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะทันได้เอ่ยปาก คนที่ทิ้งตะกอนความรู้สึกไว้ให้กลับผละตัวออกไปยืนแข็งทื่อ ก่อนจะหันหลังก้าวเท้าออกจากห้องโดยไม่พูดไม่จา ทิ้งให้เขาได้แต่นอนสับสนด้วยว่าเต็มไปด้วยความงุนงงกับทั้งการกระทำและคำพูดนั้น

ไม่มีใครบอกหรอกว่าไม่สำคัญ…

แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าสำคัญนี่น่า…..



-----------------------------------------------



ฝนตกแน่ๆ!

เชื่อไหมว่าเช้าวันแรกของการเริ่มงานพิเศษ คนที่คอยแต่จะคัดค้านทุกทางอย่างวันเสาร์จะอาสาขับรถมาส่งเขาถึงที่ด้วยตัวเอง เจ้าของร้านคนคุ้นเคยเดินออกมาต้อนรับพวกเราตั้งแต่ยังจัดโต๊ะไม่เสร็จ

“ปกติมึงไม่ค่อยเข้าร้านไม่ใช่เหรอ”

“ก็หนึ่งมาทำงานด้วยทั้งที กูก็ต้องดูแลดีๆ หน่อยสิ” นาวาแอบอมยิ้มทันทีที่เห็นวันเสาร์ชักสีหน้า ดูจะพอใจใหญ่กับการได้แกล้งปั่นหัวเพื่อนสนิทเล่น

เขาพานับหนึ่งไปแนะนำตัวกับพนักงานคนอื่นอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่แม่ครัว เด็กล้างจาน เด็กเสิร์ฟ ไปจนถึงผู้จัดการร้าน ก็คือพี่ทรงยศ คนสัมภาษณ์งานนับหนึ่งนั่นเอง

“นี่แบงค์กับผึ้ง เป็นพนักงานพาร์ทไทม์เหมือนกัน”

คนตัวเล็กก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับเด็กเสิร์ฟทั้งสองตรงหน้า เขาจำได้ดีว่าแบงค์คือพนักงานที่มักประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน ส่วนผึ้งก็คือผู้หญิงที่ยกสปาเกตตี้ออกมาให้เขาเมื่อวาน ทั้งคู่ส่งยิ้มให้เขาพลางชวนคุยสัพเพเหระอย่างเช่นว่า กินข้าวเช้ามาหรือยัง และ เป็นอะไรกับพี่นาวา

“หนึ่งอายุเท่าไรเหรอ น่าจะเด็กกว่าเรานะ”

“ผมอายุ 17 ครับ” ความจริงก็ย่าง 18 ในอีก 7 เดือนที่จะถึงนี้ อาจจะเพราะเขาเรียนเร็วไปปีนึงด้วยล่ะมั้ง

“เราสองคนอยู่ปีสองกันแล้วแหละ”

“งั้นผมขอเรียกพี่ผึ้งกับพี่แบงค์ละกันนะครับ”

“ตามสบายเลย เรียกยังไงก็ได้” ผึ้งส่งยิ้มหวาน หวานเหมือนน้ำผึ้งมาให้ หวานจนแม้แต่เขายังแอบหวั่นไหว แต่ถ้าให้เดา เขาว่าพี่แบงค์คงกำลังจีบพี่ผึ้งอยู่แน่ๆ เพราะเห็นสองคนนั้นยืนเล่นกันกระหนุงกระหนิงตั้งแต่ยังไม่ก้าวขาเข้ามาในร้าน และถ้าให้พูดตรงๆ ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเหมาะสมกันมากทีเดียว

“หนึ่ง…” นาวาเรียก น้ำเสียงเป็นกังวลอยู่หน่อย “อายุ 17 เหรอ”

“ครับ ทำไมเหรอครับ หรือว่ายังทำงานไม่ได้..”

“ไอ้เสาร์ นี่มึง” หันขวับไปเอาเรื่องผู้ชายร่างสูงด้านข้าง ซึ่งแม้จะตีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย แต่ก็สังเกตได้ว่าคงตกใจไม่น้อยเหมือนกัน

ก็แน่ล่ะสิ ความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000 บาท ถึง 20,000 บาท งานนี้คุณชายบ้านวุฒิเวคินทร์คงมีหนาวบ้างแหละ

“มานี่ดิ” วันเสาร์เดินนำหน้าเจ้าของร้านออกไปคุยกันตรงมุมอับ ปล่อยให้ทรงยศเข้ามาดูแลพานับหนึ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คำถามแรกที่หลุดออกจากปากก็ทำเอานาวาแทบพ่นขำ

“แล้วถ้าอีกฝ่ายยินยอมอะ”

“ไอ้เหี้ย หนึ่งไม่ได้เต็มใจนอนกับมึงปะ” เขารีบเตือนสติ หากก็ยังกลั้นหัวเราะอยู่ โชคดีที่เขาเลือกเรียนวิชาโทกฎหมายตอนมหาลัย ทำให้ยังพอหลงเหลือความรู้ลางๆ ติดมาบ้าง

“มึงจะมารู้อะไร”

“ถึงจำเลยยินยอม แต่ก็ยังมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้อยู่ดี มึงไปมอบตัวเหอะ”

“สัส” วันเสาร์สบถ พร้อมฝากรอยตบไว้กลางศีรษะเขาไม่แรงนัก แต่ก็ไม่ได้เบาสักเท่าไรเลย

“แต่ถ้าประสงค์จะพาผู้เยาว์ไปเป็นเมียอันนี้มึงไม่มีความผิดนะ”

คนฟังส่ายหัว ทำเป็นปั้นหน้านิ่ง หันไปตามเสียงพวกพนักงานเมื่อครู่ซึ่งขณะนี้กำลังยืนล้อมเด็กใหม่ในเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ปักตัวอักษรคำว่า Napoli บนช่องกระเป๋า รับกับกางเกงแสลคตัวใหม่

“ใส่ได้พอดีเลย”

“มันดูแปลกๆ หรือเปล่าครับ” ร่างเล็กยกนิ้วขึ้นเกาแก้มตัวเอง พลางขยับขาไปมาอย่างไม่เคยชิน

“ไม่นะ ใส่ออกมาดูดีออก”

“เป็นไง ชอบไหม” นาวากระทุ้งศอกใส่คนข้างตัว พยักเพยิดหน้าไปทางนับหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มร้าน “หรือจะให้เปลี่ยนเป็นกระโปรง”

วันเสาร์ปรายตากลับมามองเขา แค่นั้นก็ทำเอาบรรยากาศรอบๆ เย็นวาบขึ้นมาได้

“ไอ้วา”

“แหม กูล้อเล่น…ก็นึกว่ามึงชอบ”

“ไอ้—”

ไม่ทันได้ยินว่าอีกฝ่ายจะพ่นคำด่าคำไหนออกมา เด็กในบทสนทนาก็เดินเตาะแตะมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขาเสียก่อน นับหนึ่งกะพริบตากลมเงยมองผู้ปกครองด้วยท่าทางติดจะรำคาญอยู่หน่อยๆ

“พี่เสาร์ กลับได้แล้วครับ”

“ไล่ฉันเหรอ”

ตอบว่า ครับ ได้ไหมล่ะ

“เปล่าครับ แค่ไม่อยากรบกวนเวลาพี่เสาร์”

ฝ่ามือใหญ่วางลงกลางศีรษะทุย โครงหน้าเรียวหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ กำชับเสียงแข็ง “ทำตัวดีๆ อย่าทำข้าวของเสียหายล่ะ ฉันไม่ชดใช้ให้นายนะ”

เขาบุ้ยปากใส่ “ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย”

“เหรอ”

“มึงกลับไปได้ละ กูจะเปิดร้าน” สุดท้ายก็เป็นนาวาที่กล้าเอ่ยปากไล่คนที่เอาแต่ยืนเกะกะ จนเมื่อแน่ใจว่าวันเสาร์กลับไปแล้ว นับหนึ่งถึงได้ฤกษ์เริ่มต้นทำงานอย่างเป็นทางการ

ทรงยศหยิบหนังสือเมนูอาหารออกมากางให้เขาดู นั่งอธิบายเป็นจริงเป็นจังว่าแต่ละเมนูคืออะไร ส่วนผสม เครื่องปรุงที่แตกต่าง ไปจนถึงจุดเด่นของแต่ละอย่าง มีแต่อาหารหน้าตาหรูหราแบบที่เขาไม่มีทางได้เคยลิ้มชิมมาก่อนในชีวิต แถมยังดูน่าทานเกินกว่าจะจินตนาการออก

แต่ถ้าให้อิงจากรสชาติของสปาเกตตี้คาโบนาร่าเมื่อวาน ก็บอกได้เลยว่าร้าน Napoli น่ะมาตรฐานสูงจริงๆ เพราะมันอร่อยมาก แถมยังทานง่าย แม้แต่คนที่ไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนอย่างเขาก็ยังรู้สึกถูกปากเลย

การเรียนรู้งานของเขายังคงดำเนินต่อไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทั้งแบงค์ ผึ้ง ทรงยศ รวมถึงนาวา คอยช่วยเหลือและสอนอะไรเขามากมายในเวลาอันจำกัด ทำไปทำมาเหมือนเขาไม่ได้มาทำงาน แต่ว่ามาเจอเพื่อนใหม่ซะมากกว่า ไม่ใช่แค่พนักงานที่ดูแลเขาดี แม้แต่ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารก็ยังสุภาพและน่ารักมากอีกด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ ทันทีที่รู้ว่ามีเด็กเสิร์ฟคนใหม่ก็เข้ามาทักทาย ลามไปถึงแซวพนักงานคนอื่นๆ ให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

บรรยากาศในร้าน Napoli อบอุ่นเหมือนดั่งเช่นเฟอร์นิเจอร์สีมะฮอกกานี ควบคู่ไปกับบทเพลงบรรเลงดังคลอออกมาจากลำโพงอันเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กระเช้าต้นไม้ตกแต่งร้าน คนตัวเล็กเผลอยิ้มลำพังยามคิดว่าการตัดสินใจมาหางานทำของเขาเป็นเรื่องถูกต้อง

แววตาเป็นประกายเหลือบสบเข้ากับเจ้าของร้าน ซึ่งจับจองโต๊ะตัวหนึ่งไว้สำหรับทำงาน นาวาส่งยิ้มตอบ นิ้วเรียวเลื่อนขยับแว่นสายตาก่อนจะผละออกจากแลปท็อป เดินตรงมาทางนี้

“เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม”

เขารีบส่ายหัวหลายที เรียกรอยยิ้มใจดีได้อีกครั้ง

“เดี๋ยวพี่มานะ มีอะไรก็ถามพี่ยศละกัน”

“ครับ”

นาวาตบบ่าเป็นกำลังใจให้พนักงานใหม่ตัวน้อยขวัญใจเพื่อนสนิทเขาเอง ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากร้าน สายตาคมกริบกวาดมองทั้งซ้ายขวา เรียวขายาวย่องไปทางร้านกาแฟตรงข้าม Napoli กระจกบานใหญ่ฉายให้เห็นโต๊ะหน้ากลมทรงเตี้ยวางเรียงกันสามชุด ที่มุมท้ายสุดมีผู้ชายหน้าตาน่ากลัวกำลังก้มๆ เงยๆ สลับกับการยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบ สาบานเลยว่าต่อให้หล่อราวเทพบุตรขนาดไหน ผู้หญิงแถวนั้นก็คงไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้หรอก

เขาส่งยิ้มให้กับพนักงานร้านซึ่งคุ้นเคยกันดี เลี้ยวขวาไปยังจุดหมายซึ่งดูท่าว่าจะยังไม่สังเกตว่าเขากำลังเดินมา มันน่าขำที่วันเสาร์ยังไม่รู้ตัว ทั้งที่เขายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ สงสัยจิตใจไม่อยู่กะเนื้อตัว ป่านนี้คงลอยไปถึงในร้านของเขาล่ะมั้ง

“เฮ้ย” ตัดสินใจโพล่งออกไป จนคนบนเก้าอี้ถึงกับสะดุ้ง “ยังไม่กลับอีกเหรอคุณชาย”

“อะไรมึง”

“กูเนี่ยต้องถามว่าอะไรของมึง ทำไมไม่กลับไปอีกอะ”

“แล้วกูมานั่งดื่มกาแฟไม่ได้หรือไง”

เขาส่ายหน้า ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้าม “มึงทำตัวเหมือนคุณพ่อหวงลูกสาว”

“เหอะ กูเป็นยิ่งกว่าพ่อมันอีก”

“เป็นอะไร”

คนอีกฝั่งชะงักไปนิด เอ่ยตอบเสียงเรียบไม่น่าเชื่อ “ก็เจ้าของชีวิตมันไง กูซื้อมันมาตั้งล้านนึงนะ มึงลืมเหรอ”

“เฮ้อ มึงนี่นะ” เป็นอีกครั้งที่เขาต้องส่ายหน้าเอือมระอา

ถ้าคิดว่าวันเสาร์เป็นผู้ใหญ่สุขุมมีเหตุผลและแข็งกระด้างล่ะก็ คุณคิด…ผิดครับ! ขอเอาชื่อตัวเองในฐานะเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมเป็นเดิมพันเลยว่าวันเสาร์ที่คนอื่นเห็นน่ะแค่ภาพลวงตาชัดๆ ความจริงผู้ชายคนนี้เปราะบางเหมือนเศษแก้ว ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง มักซ่อนความเหงาเอาไว้เสมอ และเบื้องหลังของคนไม่มีหัวใจ ความจริงแล้วโหยหาความรักยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น

และที่ตอนนี้มานั่งปั้นหน้าเป็นตูด ก็คงเพราะกลัวเด็กคนโปรดหนีไปจากอ้อมอกตัวเองแน่ๆ

“ไอ้วา มึงรู้ไหมว่าทำไมหนึ่งถึงอยากทำงาน”

รอยยิ้มมุมปากถูกเก็บซ่อนอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้สิ อยู่บ้านเบื่อๆ รึเปล่า”

“เบื่ออะไรวะ”

“เบื่อมึงไง” เขาแกล้งหยอก แล้วตามหยอดด้วยคำถามสะกิดใจ “แล้วทำไมมึงถึงไม่อยากให้หนึ่งออกมาทำงานล่ะ เป็นห่วงเหรอ หรือว่าคิดถึง”

แต่ถ้าให้เดา คงทั้งสองอย่างนั่นแหละ

“พูดอะไรของมึง” อีกฝ่ายรีบปั้นหน้าขรึมกว่าเก่า

“ตอบสิ”

“กูก็แค่คิดว่ามันไม่จำเป็น อยู่บ้านสบายๆ ไม่ชอบ ทำไมต้องพาตัวเองมาลำบาก ไม่เข้าใจ”

“โหมึง ทำงานร้านกูไม่ได้ลำบากขนาดนั้นนะเว้ย”

คนสูงกว่ามีท่าทางสับสนและหงุดหงิดกับตัวเอง คำพูดแสนเย็นชาหลุดออกจากปากยามที่ถูกต้อนแทบจนมุม “แต่กูไม่ได้ซื้อนับหนึ่งมาเพื่อทำงานร้านอาหาร”

“ไอ้เสาร์” เขาเอ่ยเสียงต่ำลงในทันที ใบหน้าเหนื่อยใจส่อแววจริงจัง “นี่มึงคิดว่าหนึ่งเป็นแค่ทาสอารมณ์ของมึงเท่านั้นเหรอ”

คำถามของเขาคงส่งผลอยู่บ้าง คนตรงข้ามถึงได้หยุดเถียง แทบยังหลบตาหนีเสียอีก

“กูดูออกนะว่ามึงไม่ได้เห็นหนึ่งเป็นแค่นั้น เพราะงั้นมึงก็อย่าทำกับเขาเหมือนเป็นทาสมึงสิ ให้เขาได้ใช้ชีวิตบ้าง”

“…”

“หรือถ้าเป็นห่วงมากนักก็ไปนั่งเฝ้าในร้านเลยไป กูอนุญาต”

สุ้มเสียงไม่สบอารมณ์ดังลอดออกจากลำคอหนา หากก็ยอมลุกออกจากเก้าอี้แต่โดยดี สงสัยว่าคงเป็นห่วงมากจริงๆ วันเสาร์เดินตามเขากลับไปยังประตูร้าน Napoli ซึ่งมีแบงค์ยืนต้อนรับแขกอยู่ ได้ยินเสียงพึมพำแว่วขึ้นเบาๆ สงสัยว่าคุณชายด้านหลังเขาจะกำลังพยายามสรรหาข้ออ้างมาอธิบายการกลับมาของตัวเอง

ฝีเท้าหนักของเราทั้งคู่สะดุดเมื่อผลักประตูเปิดออก ภาพของพนักงานใหม่เอี่ยมทิ้งตัวลงในวงแขนของคนที่ดูเหมือนเป็นลูกค้าผู้ชายในชุดสูทผูกไทราคาแพง ใบหน้าของสองคนนั้นห่างกันราวไม้บรรทัด ถ้าเป็นฉากในละคร ก็ต้องเป็นตอนที่พระเอกเจอนางเอกครั้งแรก ก่อนจะตกหลุมรักเป็นแน่

“เฮ้ย!” ไวกว่าความคิด เขารีบกระชากแขนเพื่อนเลือดร้อนเอาไว้ทันทีที่สัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตที่กำลังแผ่ขยายไปทั่ว คนอื่นๆ ในร้านเริ่มหันมามองพวกเราเป็นสายตาเดียว

ฝ่ามือหนาคว้าอุดปากวันเสาร์ไว้ พยักหน้าเรียกให้ทรงยศเข้ามาช่วยปราม เขาก้มหัวให้กับลูกค้าซึ่งดูจะตกใจกับผู้มาใหม่เมื่อครู่

“ขอประทานโทษนะครับ คุณลูกค้า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”

“พี่วา” นับหนึ่งรีบผละตัวออก แล้วแทรกขึ้นทันควัน “ผมผิดเองครับ เมื่อกี้เดินไม่ระวังไปชนคุณลูกค้าท่านนี้เข้า เกือบล้ม แต่เขาช่วยดึงตัวไว้ทัน”

เจ้าของร่างเล็กตีสีหน้าลำบากใจ เอาแต่หันไปก้มหัวขอโทษขอโพยคนในชุดภูมิฐานไม่รู้กี่รอบจนอีกฝ่ายต้องรีบยกมือขึ้นห้าม

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เดินไม่ดูทางเหมือนกัน”

“ยังไงเชิญที่โต๊ะก่อนครับ ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นพิเศษอยู่ด้วย” นาวาผายมือไปยังทางเดิน ลูกค้าคนอื่นๆ เลิกสนใจพวกเขาและหันกลับไปรับประทานอาหารต่อ บรรยากาศมาคุเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายจนกลายเป็นสงบในที่สุด

ใช่ อาจจะสงบสำหรับคนอื่นในร้าน แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กเสิร์ฟคนใหม่ เมื่อวันเสาร์สาวเท้าเข้ามาลากข้อมือเขาออกไปด้านนอกอย่างถือวิสาสะ และไม่มีใครกล้าเอ่ยปากห้าม

น้ำเสียงดุดันยื่นคำขาด ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามใดๆ “เลิกทำงานซะ”

“อะไรกันครับพี่เสาร์”

“นายมาทำงานแล้วก็โดนลวนลามแบบนั้น ชอบหรือไง”

“ผมไม่ได้โดนลวนลาม!” เขาหวีดร้อง ใช้จังหวะนี้สะบัดแขนออกจากการเกาะกุม

แววตาแข็งกร้าวน่ากลัวจ้องเขม็ง และเขานึกสงสัยว่านอกจากน่ากลัวแล้วมันยังแฝงความรู้สึกอื่นไว้อีกไหม อารมณ์แปรปรวนของวันเสาร์ในช่วงนี้มันทำให้เขาเบื่อหน่ายก็จริง แต่มันก็ทำให้เขาสงสัยเต็มอก ความคาดหวังเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นภายในหลุมลึกของจิตใจ หากว่าเขาจะเข้าข้างตัวเองมากขึ้นสักนิด

ก็คงจะคิดว่า…กำลังถูกหวงแน่ๆ

แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง…กับผู้ชายตรงหน้าคนนี้

“ถ้าฉันสั่งว่าไม่ให้ทำ ก็คือไม่ให้ทำ”

วันเสาร์ก็คงจะแค่เอาแต่ใจเหมือนทุกทีเท่านั้นแหละ…

 

----------------------------------------------------------------------------------------------

ถ้าหนูกำลังคิดว่าพี่เสาร์หวงหนูอยู่ล่ะก็ หนูคิด.....ถูกค่ะ! ส่วนอิพี่เสาร์ ถ้ายังปากหนักมากนักก็ระวังมีดบินไว้ให้ดี ทีมแม่เตรียมแสตนบายรออยู่แร้ว จัม!

ตอนนี้ก็มาแบบสั้นๆ ส่วนตอนหน้านั้น....ไม่มีอะไรให้ด่าเลยค่ะ อุๆๆๆ

ป.ล. เสาร์หน้างดนะคะ เจอกันอีกทีปีหน้าเลย Merry Christmas & Happy New Year ล่วงหน้าเลยละกันค่า ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม และเป็นกำลังใจให้มาตลอดน้า ปีหน้าก็จะขยัน(อู้งาน)ปั่นต้นฉบับเหมือนเดิมค่ะ ชุ้บๆ


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 13
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-12-2018 00:57:29
ปากหนักจริงพี่เสาร์มีคนมาจีบนับหนึ่งเพิ่มจะรู้สึก
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 13
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 23-12-2018 09:25:32
น้องหนึ่งทำให้อิพี่มันหึงอีกเยอะๆรู้ก หมันไส้คนปากหนัก!
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 13
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 23-12-2018 11:23:31
ปากหนักกว่าพี่เสาร์มีอีกมั้ย
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 05-01-2019 12:18:54
นับหนึ่ง ถึง สิบสี่

 

“พี่วา ทำไมพี่เสาร์งี่เง่าแบบนี้” น้ำเสียงหงุดหงิดกรอกใส่โทรศัพท์เครื่องบางในมือ คนปลายสายหัวเราะน้อยๆ

“เพราะมันเป็นห่วงหนึ่งไง”

“พี่เสาร์เนี่ยนะจะเป็นห่วงผม”

“อือ ทั้งห่วงทั้งหวงเลยแหละ”

“มั่วแล้วครับ” เขาว่าเสียงอ่อย ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมลำคอที่ทำท่าจะกลายเป็นขวดมะเขือเทศในไม่ช้า ให้ตายก็ไม่เชื่อว่าเจ้าชายเย็นชานั่นจะมาหวงอะไรเขาได้ นี่นับหนึ่งนะ…ไม่ใช่วันศุกร์สักหน่อย

ถึงแม้ว่าการกระทำของวันเสาร์จะดูคล้ายว่าเป็นแบบนั้นก็เถอะ

“แล้วนี่พรุ่งนี้จะเอาไงดี ให้พี่ไปรับไหม”

“พี่เสาร์จะยอมไหมอะครับ”

“ไม่ยอมก็หนีออกมาเลย เดี๋ยวพี่ช่วย” นาวายังคงพูดติดตลก และถึงมันจะฟังดูน่าขำ แต่เขาก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ ให้หนีจากวันเสาร์ ก็เหมือนเหยื่อที่กำลังดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของฆาตรกร มันน่าจะยากประมาณนั้นเลยมั้ง

แต่จะยังไงก็เหอะ…เขาไม่ได้มีความคิดที่จะหนีสักหน่อย

“ผมคิดว่าพี่เสาร์แค่อยากขังผมไว้ให้คอยบำเรอพี่เขาอย่างเดียว”

“โหหนึ่ง ทำไมมองโลกในแง่ร้ายขนาดนี้”

“ก็ถ้ามองโลกในแง่ดีแล้วมักจะผิดหวังนี่ครับ”

คนโตกว่าเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาล่ะนึกสงสารเด็กดีแบบนับหนึ่ง ชีวิตปกติสุขกลับพังทลายในชั่วข้ามคืน ชะตากรรมเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ทั้งถูกบังคับให้เป็นเด็กเล้า แถมตอนนี้ยังมากลายเป็นราพันเซลของไอ้เสาร์ซะงั้นอีก ถ้าจะฝังใจจนกลัวขึ้นสมองก็คงไม่แปลก

“เอาล่ะ ยังไงพี่จะช่วยคุยให้ละกัน แต่หนึ่งก็ต้องช่วยด้วยนะ”

“ช่วย…ยังไงอะครับ”

“อ้อนไง ไปอ้อนไอ้เสาร์สิ”

“หา”

 

-----------------------------------------------



ก๊อกๆๆ

ไม่ว่าวันเสาร์จะห้ามเขาทำงานด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะอารมณ์เสียที่เขาแข็งข้อ เพราะอยากขังเขาไว้ในหอคอยให้คอยบริการตัวเองเท่านั้น หรือจะเพราะว่าห่วงว่าหวงอย่างที่พี่นาวาสันนิษฐาน ซึ่งเขาเชื่อสนิทว่าคงไม่จริง แต่ลงท้ายก็จบเหมือนกันคือเขาต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองได้กลับไปทำงาน!

ถ้าดื้อ ก็ไม่ได้โดนตามใจ งั้นก็คงต้องลองไม้อ่อนดูบ้างจริงๆ ล่ะมั้ง

“เข้ามา” เสียงขานรับดังลอดออกจากช่องประตู เขารีบกลืนก้อนบางอย่างลงคอ ก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดออก

วันเสาร์ย่นคิ้วทันทีที่เห็นหน้าเขา หนังสือในมือถูกพับเก็บไว้ข้างหมอน ดวงตากลมกะพริบมองพื้นที่ว่างบนเตียงหลังใหญ่ซึ่งมันเคยเป็นของเขาเมื่อไม่กี่คืนก่อน

“มีอะไร”

“เอ่อ…คืนนี้ผมขอนอนด้วยได้ไหมครับ” อยากตบปากตัวเองจัง ให้ตาย

ไม่มีคำตอบของคำถาม นอกจากการขยับตัวชิดขอบเตียงด้านหนึ่ง พอให้เขาได้แทรกกายเข้าไปเติมเต็มช่องว่างตรงนั้น มือเล็กดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเรียวขาซึ่งโผล่พ้นออกมาจากกางเกงนอนขาสั้นลายพระจันทร์ ใบหน้าหวานเอียงคอมองอีกฝ่าย

“พี่เสาร์อ่านหนังสืออยู่เหรอครับ”

“อืม”

“พี่เสาร์ยังไม่ง่วงเหรอ”

“ยัง”

“แล้วพี่เสาร์…”

เสียงกระแอมในลำคอดังขัด แววตานิ่งสนิททำเอาเขาประหม่า “อยากจะพูดอะไรกันแน่”

“พี่เสาร์ ให้ผมกลับไปทำงานที่ร้านพี่วาเถอะนะครับ”

เขาเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ถือวิสาสะเอื้อมกุมมืออีกฝ่ายไว้อย่างหน้าไม่อาย และถึงแม้ว่าวันเสาร์จะดูแปลกใจ แต่ก็ยังยอมให้เขาเล่นละครลิงต่อโดยไม่ขัดขืน

“นะพี่เสาร์ น้าา”

“เฮ้อ” คนตัวสูงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเบือนศีรษะหนีไปทางอื่น เล่นเอาเขาหน้าเสีย แต่ก็ใช่ว่าจะยอมล้มเลิกง่ายๆ

“ผมรู้นะว่าจริงๆ แล้วพี่เสาร์ใจดี เพราะงั้นให้ผมไปทำงานเถอะนะ นะครับ”

เนี่ย ก็คืองัดลูกอ้อนออกมาที่สุดแล้ว สาบานเถอะว่าตลอดชีวิต 17 เกือบจะ 18 ปี เขายังไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลย และเพราะว่าไม่เคยนั่นแหละ คงทำให้มันออกมาดูปลอมเปลือกและทุเรศลูกกะตาน่าดู วันเสาร์ถึงได้หมดความอดทนจนสะบัดมือเขาออก

คำตอบแสนสั้นหากตัดสินชะตาของเขาอย่างเลือดเย็น “ไม่”

ตากลมแป๋วเมื่อครู่หมองลงทันทีราวกับมีใครมาดับสวิตช์ เขานั่งซึมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจถามออกไปเสียงอุบอิบ

“ทำไมพี่เสาร์ถึงไม่ให้ผมทำงาน”

“ไม่ให้ทำก็คือไม่ให้ทำ ทำไมต้องถามอยู่นั่น”

“ก็พี่เสาร์ไม่มีเหตุผลนี่น่า ผมแค่อยากหาอะไรทำเฉยๆ เอง”

“ก็ทำงานบ้านไปสิ กาแฟยังชงไม่อร่อยเลย ได้ฝึกบ้างหรือเปล่า”

คนตัวเล็กบุ้ยหน้า ริมฝีปากงอง้ำไม่ปิดบัง กาแฟไม่อร่อยแล้วดื่มทุกวันทำไมอะ งง ตัวเองจะชงได้สักแค่ไหนกัน

“งานบ้านพี่ละเมียดกับพี่ละไมก็จัดการหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรให้ผมทำเลย อีกอย่าง ผมจะได้มีเงินเก็บเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเอาแต่รบกวนพี่เสาร์ด้วย”

“ทำไม จะเก็บให้ถึงล้านนึงแล้วเอามาไถ่ตัวเองเหรอ” ดวงตาเรียวสีนิลสวย หากดุดันน่าเกรงขาม วันเสาร์จ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนอยากจะบีบคอเอาคำตอบเสียให้ได้ และนี่ก็คงเป็นอีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจคนตรงหน้าเอาซะเลย เพราะในความโกรธนั้น…เขาสัมผัสได้ถึงความกลัวปะปนอยู่ด้วย

 กลัว? วันเสาร์น่ะเหรอจะกลัว…

แล้วกลัวอะไร กลัวเขาหาเงินล้านนึงมาไถ่ตัวเองได้เหรอ อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย

“เปล่าสักหน่อย” ตอบกลับเสียงอ่อย ก่อนจะสรรหาสักอย่างในหัวออกมาเล่าเสริมเหตุผล “แต่ก่อนผมก็รับงานพิเศษมาทำที่บ้านตลอด แล้วจู่ๆ จะให้มานั่งๆ นอนๆ ทุกวันแบบนี้ มันก็เบื่อสิครับ”

ความเงียบโปรยตัวลงปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ ขณะที่เสียงเครื่องปรับอากาศค่อยๆ ดังชัดขึ้น ก็ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะเริ่มพยายามทำความเข้าใจคำอธิบายของเขาบ้าง…เล็กน้อย

“แต่ออกไปทำงานข้างนอกมันอันตราย นายอาจจะเจอลูกค้าโรคจิตก็ได้ อย่างวันนี้ก็เห็นแล้ว”

ถามจริงงง รอบตัวเขาตอนนี้ยังมีใครเหมาะสมกับคำว่าโรคจิตมากว่าวันเสาร์อีกเหรอ

“โธ่ พี่เสาร์ วันนี้มันไม่มีอะไรเลยนะครับ บอกแล้วไงว่าผมแค่เดินชนเขา แล้วเขามาช่วยประคองไม่ให้ล้มเท่านั้นเอง” จงใจขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย น้ำเสียงหนักแน่นคงพอทำให้คำพูดเขาฟังขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย “อีกอย่าง ผมก็ไม่ใช่ไข่ในหินที่ไหนสักหน่อย จะลำบากกว่านี้ หรือโหดกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว”

“อย่างเช่น?”

ดวงตากลมวูบไหว หยาดน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้กระทั่งคนที่เอาแต่ตีสีหน้าไร้ความรู้สึกมาตลอดก็ยังดูตกใจ บางทีวันเสาร์ก็อาจจะหลงลืมมันไปแล้ว แต่ว่าความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่เคยเกิดขึ้นกับเขา จะให้ลืมง่ายๆ คงทำไม่ได้หรอก…

“อย่างเช่นการถูกบังคับให้ขายตัวมั้งครับ”

ทั้งห้องเงียบสนิท เงียบสนิทจนได้ยินเสียงผ้านวมเคลื่อน จังหวะการหายใจของเราทั้งคู่ก็ชัดขึ้นในโสตประสาท เงียบชนิดว่าถ้ามีมดเดินผ่านอยู่ใต้เตียงตอนนี้ก็คงได้ยินเหมือนกัน

เขาสูดจมูกทำลายความเงียบชวนอึดอัดนั้น กะพริบตาถี่ หวังไล่มวลน้ำตาที่ทำท่าจะเอ่อคลออีกรอบ บางทีการพูดให้คนคนนี้เข้าใจอาจจะยากเกินไป เขาไม่น่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าวันเสาร์จะยอมใจอ่อนเพียงแค่เขามาแสร้งทำตาหวาน พูดจาออดอ้อนใส่

ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจไง ลืมไปแล้วเหรอนับหนึ่ง…

“เดี๋ยว” มือหนาคว้าข้อมือเขาไว้ในวินาทีที่ตัดสินใจจะขยับตัวลงจากเตียง “จะไปไหน”

“ผมจะกลับไปนอนที่ห้อง…ถ้าพี่เสาร์ไม่อนุญาตให้ไปทำงาน งั้นผมไม่ไปก็ได้ครับ”

หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเคร่งขรึมจับจ้องเขาอย่างชั่งใจ แววตาของเราสองสบกันแน่นิ่งเป็นเวลานาน วันเสาร์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมปริปากสักที และเขาก็ทำได้แค่รอเมื่อไม่สามารถหนีไปไหน ความอบอุ่นจากอีกฝ่ายคลายออกเล็กน้อย ค่อยๆ เคลื่อนลงกอบกุมฝ่ามือเขาเอาไว้เพียงหลวม มันเป็นโอกาสดีที่เขาจะรีบกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งหนี

แต่ว่าอะไรบางอย่าง…กลับทำให้เขาไปไหนไม่ลง

“ก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ย

“อะไรครับ”

“นายจะไปทำงานที่ Napoli ก็ได้ ฉันอนุญาต”

ดวงตากลมเบิกกว้าง ปากแดงอ้าค้างราวกับไม่เชื่อหู “จ...จริงเหรอครับ”

“อืม”

“พูดจริงนะ”

“อือ” คนโตกว่ากดเสียงต่ำลงด้วยรำคาญ นับหนึ่งฉีกยิ้มทั้งที่เกือบจะปล่อยโฮอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ว่าความดีใจมันพุ่งพล่านเกินไปหรือเปล่าถึงได้ทำให้เขาลืมสิ่งต่างๆ แล้วโถมตัวเข้าไปกอดคนตรงหน้าอย่างลืมตัว วันเสาร์เซไปด้านหลัง ก่อนจะรีบประคองทั้งสองร่างเอาไว้

“ขอบคุณมากนะครับ”

“…”

“พี่เสาร์ใจดีจริงๆ ด้วย” น้ำเสียงสดใสผิดกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนลิบลับ มือหนายกขึ้นกลางอากาศ ลังเลระหว่างตอบรับอ้อมกอดไม่ตั้งใจนี่ หรือควรจะรีบดึงอะไรหนักๆ บนไหล่ออกไปดี

สุดท้ายก็จบลงด้วยการวางพักไว้กับสะโพกมน และดูเหมือนว่าเด็กซื่อบื้อจะเริ่มรู้ตัวขึ้นมาบ้าง ถึงได้รีบผละออกห่างแทบจะทันทีที่เขาสัมผัสถูกจุดอ่อนไหว

“เอ่อ งั้นผมกลับห้องแล้วดีกว่า” นับหนึ่งยิ้มเจื่อน ค่อยๆ ขยับตัวไปทางขอบเตียงทีละนิด แต่ก็คงช้ากว่าอีกคนที่จู่ๆ ก็เอื้อมมาคว้าเอวเขาเข้าหา ใกล้กว่าเคย

วงแขนแกร่งกระชับอ้อมกอด เรียวตาคมเหลือบลงมองเขาเหมือนดั่งลูกนกตัวน้อย “อยู่นี่แหละ”

“แต่ว่า…”

“นายเป็นคนมาขอฉันนอนด้วยไม่ใช่หรือไง”

คนตัวเล็กหน้าซีด นึกอยากย้อนเวลากลับไปตบปากพล่อยๆ เขาพยายามแกะตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุม รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมปิดถึงลำคอ

“นอนนี่ก็ได้ แต่ว่าพี่เสาร์ห้ามทำอะไรแปลกๆ กับผมนะครับ”

วันเสาร์จิ๊ปาก เน้นแต่ละคำชัดเจน “ถ้ายังพูดมาก ฉันจะ ‘ทำ’ แน่”

“งะ งั้นผมรีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย” เขารีบตัดบท ทำท่าจะล้มตัวลงบนหมอนใบเดิมที่เคยคุ้น แต่กลับถูกมือใหญ่ตรงเข้าคว้าไหล่ไว้อีกรอบ อะไรกันนักกันหนา!

“เดี๋ยว”

“อะไรอีกครับ”

“ผมยังไม่แห้ง”

“ห้ะ” คิ้วเข้ารูปเลิกขึ้นแทนข้อสงสัย เขายกมือขึ้นจับปลายเส้นผมตัวเองก็พบว่ามันยังเปียกหมาด ไม่แห้งสนิทซะทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสน

“อ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมนอนได้”

“ไม่ได้ ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะเดือดร้อนฉัน”

ถามจริง? ถ้าเขาไม่สบาย วันเสาร์จะเดือดร้อนอะไร พูดอย่างกับว่าเคยมาดูแลเขางั้นแหละ ขนาดตอนที่นอนด้วยกัน ทำเขาเจ็บจนร้องไห้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ยังไม่เห็นคิดจะมาถามไถ่เลยสักคำ อย่าให้ต้องด่านะ

“แต่ผมขี้เกียจ”

สายตาตำหนิถูกส่งมาให้ ร่างสูงโปร่งลุกออกจากเตียงพลางถอนหายใจเบาๆ ตู้เสื้อผ้าถูกเลื่อนเปิดออก ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมไดร์เป่าผมขนาดกะทัดรัด คนที่นึกอยากจะทำตัวใจดีขึ้นมาเสียบปลั๊กเข้ากับแผงใกล้หัวเตียง สายไฟยาวสองเมตรลากมาถึงกลางที่นอนคิงไซส์ ซึ่งยังมีเด็กบื้อนั่งปั้นหน้าฉงนอยู่ตรงนั้น

“ผมบอกว่าขี้เกี—” เขาถูกจับหันไปอีกทางโดยไม่ทันได้พูดจนจบประโยค แรงลมจากเครื่องเป่าผม 1000 วัตต์ กระทบเข้ากับหนังศีรษะเกือบทำเอาเขาสะดุ้ง

สัมผัสอุ่นวาบจากฝ่ามือใหญ่สอดเข้ามาระหว่างกลุ่มผมนิ่ม มันเพียงพอจะปิดปากเขาให้เงียบสนิท ใบหน้าขาวแดงเรื่อจากไอความร้อน วันเสาร์เองก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน…

ละอองน้ำจากเส้นผมที่ถูกขยี้ไปมาไม่แรงนักกระเด็นปรกลงบนเสื้อนอน เสียงเครื่องใช้ไฟฟ้าดังก้องอยู่ในหูนานหลายนาทีกว่าจะสงบลง เกิดแรงเขยื้อนบนเตียง พวงแก้มใสยิ่งเห่อแดงชัดเมื่อรู้สึกได้ว่าคนด้านหลังกำลังขยับเข้ามาใกล้ แทบจะแนบชิด มือข้างที่เคยถือไดร์เป่าผมเมื่อครู่เปลี่ยนมาแตะลงบนคางมน ปลายนิ้วเรียวเชยช้อนใบหน้าของเขาขึ้นสบตากัน

ริมฝีปากนุ่มหยุ่นทาบทับเข้ากับมุมปาก ก่อนจะกดย้ำไปตามแนวสันกราม ไล้กลับมาถึงใบหูร้อนฉ่า แทบไม่เผื่อเวลาให้เขาได้เตรียมใจหรือกระทั่งตั้งตัว วันเสาร์สอดมือเข้ามาผ่านชายเสื้อ จงใจหยอกล้อกับเม็ดทับทิมที่กำลังแข็งขืนอย่างลืมตัว รอยจูบถูกฝากไว้แทบทุกจุดไม่เว้นแม้แต่กลางลำคอซึ่งน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะปิดซ่อนมันได้ไม่มิด

“อื๊อ” เขาหลับตาปี๋ ยามที่นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอีกฝ่ายคีบดึงจุกสีหวานแรงๆ เพราะว่าเมื่อกี้วันเสาร์ดูอ่อนโยนผิดปกติเหรอ ถึงได้ทำให้เขาไม่ทันระวัง อารมณ์ในกายพุ่งพล่านจนแทบเตลิด แผ่นหลังบางเอนซบกับแผงอกแกร่ง ปล่อยให้มือกร้านลูบอยู่กับเป้ากางเกงซึ่งเริ่มนูนเด่นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ

มันยิ่งกว่าคำว่าน่าไม่อายเสียอีก เมื่อเขาเผลอแอ่นสะโพกรับสัมผัสหยาบโลน ไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่ว่าทั้งร่างของเขากำลังกลายเป็นสีแดงเหมือนเม็ดพริกที่ใกล้สุก ทั้งแดง…และร้อน…

“น..ไหนว่า จะ อือ…ไม่ทำ อะ อะไรแปลกๆ ไง..”

เขาเพิ่งจะน้ำตาซึมจากการถูกสะกิดบาดแผลในความทรงจำ และตอนนี้หยาดน้ำตาที่ว่าก็กลับเอ่อคลอออกมาอีกครั้ง หากว่าด้วยแรงกระตุ้นทางเพศบ้าๆ ซึ่งเขาภาวนาให้มันเป็นแค่ฝัน วันเสาร์ดูจะพอใจเหลือเกินที่แกล้งเขาสำเร็จ และเหมือนจะยิ่งรุนแรงขึ้น ตอนที่ฝ่ามืออุ่นผลุบหายเข้าไปในกางเกงชั้นใน กอบกุมอะไรบางอย่างซึ่งอุ่นกว่านั้นหลายสิบเท่า

“ฮ…ฮ้ะ พี่เสาร์…” เขาส่งเสียงคราง ประคองตัวเองไว้ด้วยการยกมือขึ้นเกาะต้นแขนเป็นมัดทั้งสองข้าง เสื้อนอนของอีกฝ่ายถูกเขาขยุ้มจนแทบฉีกขาด แรงรูดรั้งหนักหน่วงทำเอาสมองปั่นป่วนเหมือนว่ากำลังลอยคว้างอยู่ในเครื่องซักผ้า

ฟันซี่คมไล่ขบไปตามลาดไหล่ รอยบนผิวตั้งแต่เมื่อคืนวานยังไม่จางลง แถมตอนนี้จะยิ่งเห็นชัดมากขึ้นอีก วันเสาร์แหย่ลิ้นเข้าไปในหูเขาสองสามครั้ง เล่นเอาขนอ่อนลุกชัน

“พะ..พี่เสาร์ หยุดเถอะครับ” คำพูดติดๆ ขัดๆ ถูกเปล่งออกไปอย่างยากลำบาก เขารู้สึกเหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง มันทรมาน…

“หืม…” มือหนาวนเวียนหยอกเย้าอยู่กับแก่นกายสั่นระริก ถูกชะโลมไปด้วยหยาดของเหลวซึ่งเริ่มปริ่มออกมา รอวินาทีทะลัก “แต่ดูเหมือนตรงนี้ของนาย ไม่อยากให้หยุดนะ”

“อื๊อ!” นิ้วโป้งกดลงบนสุดส่วนหัวของมัน ร่างกายของเขาบิดเร่า เรียวขาขาวขยับถูไถไปมาด้วยเหลืออด ลิ้นชื้นลากไปตามซอกคอรวมทั้งกกหูทำเขาอยากจะคลั่ง

“พี่เสาร์ อื้อ..อ ผมจะ..”

แทบไม่ต้องรอให้เขาพูดจบ ก็พอจับความได้ว่าอารมณ์สุขสมมันกำลังแล่นพล่านเตรียมตัวปะทุ เจ้าของร่างสูงยกยิ้ม พร้อมเพิ่มความเร็วจากมือขวา นิ้วทั้งห้าอีกข้างคอยช่วยปรนเปรอส่วนบน ไม่ยอมให้หลงเหลือพื้นที่ว่าง

“อ้ะ..อ๊า!”

นับหนึ่งกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนที่ความอัดอั้นภายในกายจะถูกปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามืออีกฝ่าย เขาแอ่นหน้าอก กระตุกอยู่ไม่กี่ครั้งจึงทิ้งตัวลงดังเดิม เสียงหอบหายใจหนักๆ ดังระงมไปทั่วห้อง

“พี่เสาร์…นิสัยไม่ดี ไหนบอกจะไม่ทำอะไรไงครับ” คนตัวเล็กบ่นอุบขณะรวบรวมสติกลับเข้าร่าง แต่คำพูดของเขามันไม่เคยมีน้ำหนัก คนด้านหลังถึงไม่แยแส แถมยังตามมากดจูบลงบนบ่าซ้ำอีกไม่รู้กี่รอบ

ราวกับว่าเรี่ยวแรงมันถูกดึงออกไปพร้อมกันด้วย ขนาดจะลุกยังล้มอยู่เรื่อย จนคนที่แกล้งให้เขาอยู่ในสภาพนี้ต้องอาสาช้อนตัวเขาขึ้น พาไปทำความสะอาดในห้องน้ำ อย่างน้อยก็เป็นการแสดงความรับผิดชอบบ้าง ถึงตลอดมาจะไม่เคยมีเลยก็ตาม

วันเสาร์จัดการพาเขาไปเปลี่ยนกางเกง แล้วยังประคองกลับมาถึงเตียงโดยสวัสดิภาพ ไม่แตะต้องอะไรอีก แม้ว่าเมื่อครู่จะทำให้เขาอยู่ฝ่ายเดียว ไฟในห้องดับลง เขานอนตะแคงอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาเรียบร้อย

“หนึ่ง” เสียงทุ้มดังแทรกความมืด แค่คำเรียกสั้นๆ ก็ทำให้เขารู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป

ร่างกายเบาโหวงจากเหตุการณ์แปลกๆ เมื่อครู่ ขยับเข้าไปซุกตัวอยู่ในวงแขนแกร่ง สบู่กลิ่นธรรมชาติโชยออกมาจากแผ่นอกหนาชวนหลงใหล อดไม่ได้ที่จะฟุบหน้าลงแนบบนนั้น

คนโตกว่าลูบหลังเขาเหมือนต้องการกล่อม ปลายจมูกโด่งจรดสูดดมความหอมจากกลุ่มผมแห้งสนิทด้วยฝีมือตัวเอง เวลาแค่ไม่กี่คืนที่ต่างฝ่ายต่างต้องนอนหลับไปเพียงลำพัง มันช่างอึดอัดราวกับว่าห้องนอนกว้างใหญ่นี้กลายเป็นห้องขัง อากาศเย็นเท่าเดิมยังกลายเป็นว่าหนาวเกินไป ผิดกับชั่ววินาทีนี้ถนัด

“พี่เสาร์…ขอบคุณนะครับ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่เจ้าเด็กน้อยในอ้อมกอดจะจมลงสู่นิทรา

รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าหวานยามเปลือกตาปิดสนิท มันทำให้คนที่กำลังแอบมองอยู่นึกขำ หลับแล้วยังยิ้มอีกเนี่ย ปัญญาอ่อนหรือไง

อ่า…

ถ้านับหนึ่งปัญญาอ่อน งั้นเขาคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ เพราะเอาแต่จ้องคนข้างๆ จนไม่ยอมนอน...

คนที่ยังตื่นเต็มตาขยับตัวเล็กน้อย ริมฝีปากหยักเลื่อนลงฝากรอยจูบไว้กับหน้าผากมน ประโยคที่นาวาเคยบอกกับเขาดังก้องอยู่ในหัวสมองอีกครั้ง

 
‘นี่มึงคิดว่าหนึ่งเป็นแค่ทาสอารมณ์ของมึงเท่านั้นเหรอ’

‘กูดูออกนะว่ามึงไม่ได้เห็นหนึ่งเป็นแค่นั้น เพราะงั้นมึงก็อย่าทำกับเขาเหมือนเป็นทาสมึงสิ ให้เขาได้ใช้ชีวิตบ้าง’



สายตาคมเหลือบต่ำ พิจารณาโครงหน้าเรียว พวงแก้มใสยังคงสีชมพูระเรื่อยามต้องแสงจันทร์อ่อนๆ ส่องสะท้อนเข้ามาผ่านบานหน้าต่าง ปลายนิ้วเย็นแตะเกลี่ยไปตามขมับสวยได้รูป

ทาสเหรอ…ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด

ไม่ว่าเขาจะซื้อตัวนับหนึ่งมาและพยายามจะตีตราให้กลายเป็นสมบัติของตัวเองยังไง มันก็เป็นได้แค่เพียงจินตนาการเลื่อนลอยของเขาเท่านั้น รู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่กำลังนอนสงบอยู่ต่อหน้าเขา แท้จริงแล้วปีกกล้าขาแข้งแค่ไหน

ดื้อที่สุด รั้นที่หนึ่ง แล้วยังไม่เชื่อฟังเขายิ่งกว่าใครเสียอีก ต่อให้เขาจะขังอีกฝ่ายไว้ในกรงหรือสุดปลายยอดหอคอย คนอย่างนับหนึ่งก็คงจะหาทางทำลายมัน แล้วบินหนีไปได้อยู่ดี…

จวบจนตอนนี้ เขาเองยังไม่รู้ว่าการรับนับหนึ่งเข้ามาอยู่ด้วยเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด กระทั่งเหตุผลของมันเขาก็ยังไม่อาจหาคำตอบแน่ชัดให้กับตัวเองได้ แต่ว่าการตัดสินใจในวันนั้น กำลังส่งผลอย่างช้าๆ จนวันนี้มันทำให้เขากลัว

กลัวไปหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะหัวใจของเขาเอง…

 

 

--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 05-01-2019 12:20:33
--------- ต่อ ---------





“มาทำอะไร”

วันเสาร์เอ่ยถามผู้ชายหน้าเป็นเจ้าของรถยนต์สีน้ำเงินเงาที่กล้ามาจอดขวางประตูบ้านเขาตั้งแต่เช้าตรู่ นาวาขำ แถมยังยักคิ้วขึ้นชวนให้คิดว่ากำลังถูกกวนประสาท

“กูมารับหนึ่งไปทำงาน”

“ไม่ให้”

“อะไร นี่มึงจะไม่ให้หนึ่งกลับไปทำงานจริงดิ”

“หมายถึง ไม่ให้ไปกับมึง” เจ้าของบ้านตอบกลับเสียงต่ำ เหล่ตามองเด็กในบทสนทนาที่เพิ่งวิ่งตามหลังออกมาจากบ้าน เสียงใสเจื้อยแจ้วดังขึ้นก่อนตัวเสียอีก

“พี่วา สวัสดีครับ”

“หวัดดีหนึ่ง สรุปอ้อนไอ้เสาร์สำเร็จแล้วเหรอ”

คนตัวเล็กฉีกยิ้ม ความจริงเขาอ้อนไม่สำเร็จ คำพูดคำจาแสนออเซาะทั้งหมดนั้นใช้ไม่ได้ผลกับคนเย็นชา แต่น่าแปลกที่น้ำตาของเขาสามารถเปลี่ยนใจวันเสาร์ได้ ใบหูทั้งสองข้างค่อยๆ เปลี่ยนสีเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เผลอยกมือขึ้นสางผมที่เพิ่งสระสะอาดไปเมื่อคืน ความอบอุ่นของฝ่ามือหนาชัดเจนยิ่งกว่าไอร้อนของไดร์เป่าผม และความอบอุ่นที่กอบกุมร่างกายเขาไว้ ก็ยิ่งแจ่มชัดในความรู้สึก

วันเสาร์คนนั้น กำลังทำเขาสับสนซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับครั้งไม่ถ้วน

“มึงจะไปไหนก็ไป เดี๋ยวกูไปส่งหนึ่งเอง” ร่างสูงปัดมือไล่เพื่อนสนิท ซึ่งเอาแต่ยืนยิ้มกริ่มอย่างหยอกล้อยามสังเกตเห็นร่องรอยแดงช้ำ ฉายชัดอยู่บนซอกคอขาวเนียนล่อสายตา

ไปอ้อนกันอีท่าไหนล่ะเนี่ย…?

“เออๆ รีบมาละกัน” นาวาตัดบทแล้วยอมกลับขึ้นรถ ขับออกจากซอย

รถยุโรปสีเทาขัดมันเคลื่อนตัวออกจากรั้วบ้าน เพลงสากลฟังสบายดังคลอตลอดทาง Blue skies ของนักร้องสาว Lenka เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของเขา

That it's gonna be blue skies for you and I. We'll step out of the shadows and walk into the light.

“ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทำงาน ต้องรีบรายงานฉันทันที เข้าใจไหม” วันเสาร์เปิดปากหลังจากเงียบอยู่นาน

“ครับ”

“แล้วก็อย่าไปไว้ใจไอ้วาให้มากนัก มันไม่ได้ดีเลิศเหมือนที่นายคิดหรอกนะ”

แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะดีกว่าคนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้นะ…แต่ช่างเถอะ เขาเหนื่อยจะเถียงกับวันเสาร์แล้วเหมือนกัน เลยยอมทำเป็นพยักหน้ารับคำไปอย่างนั้นเอง ไม่กี่นาทีต่อมา พวกเราก็เข้ามาถึงลานจอดรถ

คนตัวสูงเดินนำหน้าเขาไปยังประตูกระจก เมื่อมาถึงหน้าร้านก็พบว่าทรงยศ แบงค์ กับผึ้ง ซึ่งมาถึงก่อนกำลังจัดเตรียมเก้าอี้ใกล้เสร็จหมดแล้ว ทุกคนดูจะดีใจที่เห็นหน้าเขาอีกครั้งหลังจากเมื่อวานได้ข่าวว่าผู้ปกครองหน้าดุตรงนั้นอาจไม่อนุญาตให้เขากลับมาทำงาน

“วันนี้อย่าดื้อนะ” ฝ่ามือหนาวางแหมะลงกลางศีรษะทุย คนเด็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองพลางยู่ปาก ส่อแววดื้อชัดๆ

“ไม่เคยดื้อสักหน่อย”

“ไม่เคยไม่ดื้อต่างหากล่ะ” วันเสาร์สวนกลับ ดีดนิ้วเข้ากับหน้าผากมนไม่แรงนัก ก่อนจะขอตัวเดินออกจากร้าน แน่นอนว่าเขาอยากอยู่คุมจนกว่าจะเลิกงาน แต่ถ้าหากยังละเลยนัดประชุมเรื่องร้านอาหารร่วมทุนกับเจนภพอีก มีหวัง ฝั่งนั้นคงได้โอกาสตัดหางปล่อยวัดเขาเข้าจริงๆ

แผนการดำเนินงานเกี่ยวกับร้านอาหารกึ่งบาร์เป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ แต่เพราะว่าเขาต้องการความละเอียดและรอบคอบมากเป็นพิเศษ เราพิจารณากันกระทั่งเรื่องเล็กๆ อย่างเช่น ชนิดของกระดาษทิชชู่ ไปจนถึงยี่ห้อกระทะในครัว เจเอง ถึงจะมองดูเหมือนไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ความจริงก็เก่งและใส่ใจมากทีเดียว เราวางแผนทุกอย่างด้วยความระวังเพื่อหวังว่ามันจะประสบความสำเร็จจนอยู่ได้ ให้ไม่ขายขี้หน้าใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นของประเทศ รวมทั้งชื่อเสียงนามสกุลของพวกเขาเองด้วย

“กูตัดน้องนนท์กับ BNK ออกนะงั้น” เจหยิบปากกาขีดฆ่าตัวเลือกนักร้องที่อยากเชิญมาเป็นแขกในวันเปิดตัวร้าน ซึ่งเราเริ่มจากการไล่รายชื่อศิลปินที่ต่างฝ่ายต่างมีคอนเนคชั่นอยู่บ้างเพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อ

“มึงไม่ควรใส่ BNK เข้ามาในตัวเลือกแต่แรก ไอ้ควาย”

จะเอา BNK48 มานั่งร้องเพลงในบาร์ แถมเป็นรุ่น 2 ด้วยนะ สมาชิกเกินครึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะกันเลย ทั้งที่พ่อตัวเองก็เป็นตำรวจยศใหญ่ แค่ซื้อบริการเด็กเล้าจากเจ๊หมวยยังแย่ไม่พอใช่ไหม อยากรู้เหลือเกินว่าถ้าคุณอารู้เรื่องทั้งหมดนี้จะว่ายังไง ตัดออกจากกองมรดกก็ดูน้อยไปด้วยซ้ำ

“สัส ก็น้องๆ น่ารัก”

“ก็เหลือต้นกับพี่โอม กูว่าโอเคทั้งคู่ ให้มึงตัดสินใจเลยละกัน”

“เออ เดี๋ยวกูต้องเช็คคิวว่างก่อน”

“ตามนั้น”

มือถือเครื่องบางถูกหยิบขึ้นมาดูนาฬิกา พอดีกับที่คำถามจากคนตรงข้ามดังลอดเข้ามาในหู “แล้วนี่มึงจะไปไหนต่อเปล่า”

“ไป”

“ไปไหน”

“ไปหาไอ้วา”

เจนภพยิ้มกริ่ม กระดิกนิ้วชี้ใส่หน้าเขาอย่างไม่กลัวตาย สาบานเลยว่าถ้าวันนี้เขาไม่ได้ตบหัวไอ้เพื่อนตัวดีสักทีคงนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน

“แหม ไปหาไอ้วาหรือจะไปหาเด็กเสิร์ฟร้านมัน”

“ใคร ไอ้แบงค์เหรอ”

“ถุย! รู้อยู่แก่ใจ ทำมาเป็น” เขาล่ะนึกเกลียดตัวเองตอนเด็กๆ ที่ดันไปเลือกคบเพื่อนไม่คิดจนต้องมาทนปวดหัวอยู่แบบนี้

“แล้วถามทำไม มึงจะชวนกูไปไหนหรือไง”

“เออ ทีแรกก็ว่าจะชวน แต่มึงคงไม่สนใจกู เพราะมีคนอื่นที่สำคัญกว่าแล้วนี่” เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลทองกระแดะทำปากยื่นปากงอแกล้งแซวเขาไม่หยุด จนขีดความอดทนของเขาชักจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ในชีวิตกู มึงก็สำคัญน้อยที่สุดอยู่แล้ว”

เขาทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางประตูบานเลื่อน มีเสียงสบถก่นด่าไล่หลังตามมาไม่ห่าง “ไอ้เหี้ยเสาร์ กูจะฟ้องหนึ่ง!”

ฟ้องหนึ่ง?

เหอะ ไอ้เจไร้สาระขึ้นทุกวัน สงสัยคงเข้าใจอะไรผิดๆ ถึงได้ชอบมาแกล้งเขานัก ไอ้วาก็อีกคน ศุกร์ก็ด้วย ไม่เว้นแม้แต่พี่ละเมียด พี่ละไม กับลุงชัย ทุกคนคิดว่าเด็กลูกเจี๊ยบนั่นสำคัญกับเขาขนาดไหนกันเชียว…

 

 -----------------------------------------------



“อะ ซื้อมาให้” ถุงพลาสติก ด้านในบรรจุถ้วยไอศกรีมไซส์ใหญ่ถูกยื่นออกไปตรงหน้า ผู้ชายในชุดยูนิฟอร์มใหม่เอี่ยมเอียงคอมองเขาอย่างแปลกใจ

“อะไรครับ”

“ไอศกรีมไง ตาบอดเหรอ”

“ซื้อให้ผมเหรอครับ”

“หูหนวกด้วยใช่ไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งติดจะรำคาญ ขณะยัดถุงใบนั้นใส่มืออีกฝ่ายซึ่งยังดูสับสน เจ้าของร้านเดินทอดน่องออกมาส่งสายตาจับผิดใส่เขาแทบจะทันทีที่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่

“อะไรวะ มึงคุยงานเสร็จแล้วเหรอ เพิ่ง 6 โมงเอง”

“เออ”

นาวาหลุดขำ ได้แต่คิดในใจว่าวันเสาร์ช่างปากหนักเหลือเกิน ทั้งที่ดูออกง่ายขนาดนั้นว่าทั้งเป็นห่วงแล้วก็คิดถึงมากขนาดไหน วางพนันเลยว่าถ้าวันนี้ไม่มีติดคุยงานกับเจนภพ มีเหรอจะอยากกลับไปแบบนั้น มีหวังได้นั่งเฝ้ายาวเป็นจอมปลวกเกาะติดร้านแน่ๆ

ดวงตาเรียวกวาดสำรวจไปทั่ว เห็นว่าวันนี้ลูกค้าไม่ได้เยอะนักจึงกล้าเอ่ยปากขอ หรือจะพูดให้ถูกก็คือออกคำสั่งซะมากกว่า “ไอ้วา ให้หนึ่งพักก่อน”

“แล้วแต่คุณชาย จะพาเจ้าหญิงกลับบ้านเลยก็ได้ กูอนุญาต” คนเป็นเพื่อนยักไหล่ แต่เขาก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้า ก่อนจะลากเด็กเสิร์ฟคนใหม่ไปยังโต๊ะด้านในสุด ฝาถ้วยเปิดออกปรากฎเป็นไอศกรีมลูกโตถึงสามเฉดสี

นับหนึ่งกะพริบตามอง…ช็อกโกแลต วานิลลา สตรอเบอรี่ ล้วนแต่เป็นรสชาติโปรดของเขาทั้งสิ้น ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มกว้างยามคิดว่าคนไม่แคร์โลกแบบวันเสาร์ เกิดจะความจำดีอะไรขึ้นมา ถึงได้เลือกไอศกรีมตรงกับใจเขาทุกอันไม่ผิดเพี้ยน ถ้าจะชมว่าใส่ใจกระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็ดูไม่ใช่วันเสาร์เอาซะเลย

น่าประหลาดใจจริงๆ

“รีบกินสิ เดี๋ยวก็ละลายหรอก”

คนตัวเล็กหยิบช้อนพลาสติกขึ้นตักส่วนของวานิลลาเข้าปากก่อนใครเพื่อน ความเย็นและความหวานละลายหลอมรวมกันอยู่ในโพรงปาก แทบจะทำให้เขาลืมอาการเมื่อยล้าจากงานทั้งวันไปได้เป็นปลิดทิ้ง เขาจงใจตักไอศกรีมสีชมพูจนพูนช้อน ยื่นออกไปจ่อหน้าอีกฝ่าย

“พี่เสาร์กินด้วยสิ”

“ไม่เอา”

“กินนน” น้ำเสียงยานคางทำเอาคนตรงข้ามเลิกคิ้ว ไม่ยอมขยับตัวจนคิดว่ากลายเป็นหิน

และในวินาทีที่เขากำลังจะยอมแพ้ วันเสาร์กลับเผยอปากออกแล้วรับเอาไอศกรีมสตรอเบอรี่เข้าปากอย่างจำใจ นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นของวัน ไม่สิ ของทั้งชีวิตนี้เลยดีกว่า ต้องจดไว้แล้วเอากลับไปเล่าให้แม่บ้านทั้งสองคนฟัง เดาได้เลยว่าพี่ๆ คงตกอกตกใจกันน่าดู

ท่าทางพะอืดพะอมทำเอาเขาเผลอกลอกตา วันเสาร์ทำเป็นยกมือขอน้ำเปล่าจากพี่ผึ้งที่เพิ่งเดินผ่านมาพอดี อย่างกับว่ากินของหวานแล้วมันจะตาย ทั้งที่ก็ดื่มกาแฟหวานๆ ฝีมือเขามาได้ตั้งเกือบเดือนยังไม่เห็นเป็นไร น่าหมั่นไส้ชะมัด

เจ้ามือไอศกรีมตรงหน้าไอโคลกอยู่สองสามที ก่อนจะหันมาถามเขาเรื่องอื่น ดูเหมือนเพิ่งนึกออก “แล้วนี่กินข้าวเย็นรึยัง”

“เพิ่งกินไปก่อนพี่เสาร์มาถึงแป๊บเดียวเองครับ”

“กินอะไร”

“พี่วาซื้อข้าวผัดกิมจิมาให้อะครับ ไม่เคยกินเลย เพิ่งได้ลอง อร่อยดี”

นิ้วเรียวยาวเคาะกับโต๊ะอย่างคนใช้ความคิด ข้าวผัดกิมจิไม่เคยกินมาก่อนเหรอ ตอนที่พี่ละเมียดซื้อกุ้งเผามาก็บอกว่าไม่เคยกิน สปาเกตตี้ก็เพิ่งได้กินครั้งแรกที่ร้านไอ้วา นี่ยังไม่นับบลูเบอรี่ชีสเค้กที่ศุกร์ลืมทิ้งไว้ในตู้เย็นนะ ทำเอาเขาเกิดอยากจะรู้เลยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเด็กนี่เคยกินอะไรมาบ้าง

“แล้วอยากลองกินอะไรอีกไหม”

“อยากลองกินอะไรเหรอครับ…” นับหนึ่งทวน นึกถึงบรรดาเหล่าเมนูอาหารที่เขาเคยเห็นตามป้ายโฆษณาหรืออินเตอร์เน็ต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะคงจะร่ายไม่หมดในวันเดียวแน่ “อืม…ความจริง อะไรที่อร่อยผมก็อยากกินหมดแหละ”

เขาหัวเราะ ก่อนจะแกล้งยิงคำถามกลับทันควัน “แล้วพี่เสาร์ถามทำไมอะครับ ถ้าอยากกินแล้วจะพาไปกินเหรอ”

ไม่ได้คาดหวังถึงคำตอบของมันเลยสักนิด…

“อืม”

“ห้ะ?”

“ถ้าอยากกินก็จะพาไปกิน”

เอาจริงดิ นี่คือวันเสาร์แน่นะ ทำไมวันนี้มาแปลก ถ้าเป็นปกติต้องรีบตัดบทด้วยคำว่า ไม่ เสียงเข้มไปแล้ว แย่ละ ฝนต้องตก ฟ้าต้องผ่า ดินโคลนต้องถล่ม หรือว่าโลกจะแตกแน่นอนเลย!?

เขาสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ วางช้อนลงในถ้วยแล้วถือวิสาสะโน้มตัวเข้าหาคนตรงข้าม หลังมือแตะลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“พี่เสาร์ไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมวันนี้ใจดีผิดปกติ”

“ปกติฉันก็ไม่ได้ใจร้ายสักหน่อย”

กล้าพูด!

“ไม่จริงอะ ปกติพี่เสาร์ใจร้ายจะตาย ใจร้ายตลอดเลย” เขากลับมานั่งตัวตรงตามเดิม คว้าเอาช้อนกลับขึ้นมา แซะเข้ากับเนื้อไอศกรีมที่เริ่มละลาย ใบหน้าบูดบึ้งไม่เห็นด้วยกับประโยคเมื่อครู่ ค่อยๆ คลายออก เมื่อได้ยินข้อโต้แย้งถัดมา

“นั่นเพราะนายชอบทำตัวไม่น่ารักเอง”

หัวสมองพยายามประมวลผลและตีความคำพูดนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเผยรอยยิ้มเขินๆ ใบหน้าหวานขึ้นสีเล็กน้อย ดวงตากลมเป็นประกายระยับยามส่งอีกคำถามกลับไป แม้จะกระดากอายอยู่บ้างก็ตาม

“แล้วที่วันนี้ใจดี…เพราะว่าผมเริ่มน่ารักแล้วหรือเปล่าครับ”

เกิดช่องว่างความเงียบเหนือโต๊ะของพวกเราชั่วขณะ เจ้าของร่างสูงโปร่งนิ่งอัด นัยน์ตาคมวูบไหวหากไม่กะพริบเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังอึ้งกับความมั่นเกินเหตุของเขาหรือว่ากำลังสรรหาคำปฏิเสธที่จะไม่ฟังดูใจร้ายมากเกินไปอยู่ แต่พนันว่าคงไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องจริงแน่

“ไร้สาระ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเพียงเบาๆ มือใหญ่คว้าเอาแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบขณะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

ตอนนี้กลับเป็นเขาเสียเองที่ได้แต่นั่งนิ่ง ช้อนไอศกรีมหลุดออกจากมือทันทีที่สังเกตเห็นว่าใบหูของวันเสาร์กลายเป็นสีแดงเรื่อ หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ พร้อมกับไอร้อนที่แล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มใส

อย่าบอกนะว่าพี่เสาร์ก็คิดว่าเขาน่ารักจริงๆ…แบบนั้นมันช่างฟังดู…

ไร้สาระ สิ้นดี

 

 ----------------------------------------------------------------------------------------------

จ้าาาาา วันเสาร์ จ้าาา น้องน่ารักก็บอกสิว่าน่ารัก! ตอนนี้ไม่มีอะไรจะด่าพี่เสาร์เลยนะคะ รู้สึกไม่ชิน //เกาปาก ส่วนตัวแอบประทับใจพี่เสาร์ตอนเป่าผมให้น้องมาก ทำไมพี่ถึงอ่อนโยนล่ะคะ ขอทวงคืนคำด่ากับรอยมีดทั้งหมดที่ผ่านมาได้ไหม ฮรุก

ช่วงนี้แต่งได้ช้าหน่อย เพราะงานเยอะด้วย แล้วก็ติดอ่านนิยายด้วยค่ะ 555555555 เป็นการกลับมาอ่านนิยายในรอบ 3 ปีเลยอะ แต่ก็จะพยายามมาอัพตามตารางให้ได้ แต่ถ้าเกิดเสาร์ไหนมาไม่ทันจริงๆ ก็ขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ ฮือออ

อย่าลืมคอมเม้นหรือทวิตติดแท็กเป็นกำลังใจให้เราด้วยน้า ปีนี้ก็สู้ต่อกันอีกปีค่ะ จู้ๆ!

ปอลู : หน้าปกกับภาพแทรกน้องศุกร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว (ส่องสปอยได้ในเพจ/ทวิตค่ะ) รอตีพิมพ์ ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะคะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะได้ออกช่วงงานหนังสือปลายมีนาค่ะ เย่


 :mc4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 14
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 06-01-2019 09:16:14
คิดว่าน้องน่ารักก็บอกมาเหอะพี่เสาร์ เเหมยอมให้น้องขนาดนี้อะะะ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 14
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-01-2019 09:41:51
พี่เสาฟอร์มจัดน่ารักก็น่ารักซิ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 15
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-02-2019 15:52:00
นับหนึ่ง ถึง สิบห้า



“ไอ้ห่า มึงคิดว่ามึงเป็นใครถึงมาสั่งกู” ใครบางคนก่นด่ากลับมาผ่านสายโทรศัพท์

“เพื่อนมึงไง”

“แล้วมึงจะให้กูบอกหนึ่งว่าไง”

“ก็บอกยังไงก็ได้ ให้หนึ่งไม่ต้องไปทำงานพรุ่งนี้ โอเคนะ”

“โอเคพ่อง”

วันเสาร์กดวาง โยนเครื่องมือสื่อสารไปไว้บนเตียง ขณะนั่งรอผลลัพธ์ของแผนการ…



-----------------------------------------------



ครืด…ครืดด…

ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มหันทางซ้ายทีขวาที ควานหาโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ส่วนไหนสักแห่งบนเตียง เขากดรับโดยไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา แต่ก็รู้ได้ทันทีจากแค่คำทักทายแรก

“หนึ่ง”

“ครับพี่วา”

“พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่ให้หยุด”

“อ่าว ทำไมอะครับ ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า” เขารีบถามกลับ และคนปลายสายก็รีบตอบกลับมาทันทีเช่นกัน

“เปล่าๆ เอ่อ พี่แค่มองว่าพรุ่งนี้ลูกค้าคงไม่เยอะ หนึ่งจะได้พัก”

“แต่ผมเพิ่งเริ่มทำงานได้สองวันเองนะครับ ไม่ต้องพักก็ได้”

“ไม่ได้” นาวาโพล่งออกมา ก่อนจะรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “คือพี่เป็นห่วงหนึ่งน่ะ กลัวจะเหนื่อยเกินไป ไม่อยากให้ไอ้เสาร์หาว่าพี่ใช้งานหนึ่งหนักด้วย เดี๋ยวมันเกิดเป็นบ้าไม่ยอมให้หนึ่งมาทำงานต่อจะยุ่ง”

“แต่ว่า…”

“เอาน่า ทำงาน 6 วัน สำหรับหนึ่งมันก็เกินไปหน่อย เอาเป็นว่าต่อไปนี้พี่จะให้หนึ่งหยุดอาทิตย์ละ 2 วันแล้วกัน เริ่มพรุ่งนี้เลย”

“พี่วา แต่ผมไม่ได้…”

“เอ่อ พี่วางสายก่อนนะ ไว้คุยกัน”

“อะ…อ่าว”

สัญญาณขาดหายไปโดยไม่ทันให้เขาพูดอะไรสักคำ ความสงสัยมากมายประเดประดังเข้ามาในสมองชวนให้คิดมากไม่ได้ว่าเขาเผลอทำอะไรไม่ดีลงไปหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ นาวาถึงมาบอกให้เขาพักงานทั้งที่เขาไม่ได้เหนื่อยอะไรสักหน่อย

แกร๊ก

เสียงลูกบิดประตูเปิดออกดึงความสนใจของเขากลับมายังโลกแห่งความจริง นึกจะพรวดพราดเข้ามาในห้องคนอื่นโดยไม่บอกเลยก็ได้แบบนี้ไม่มีใครอื่นนอกเหนือจากคุณเจ้าของบ้าน พ่วงตำแหน่งเจ้าของชีวิตเขาด้วย

วันเสาร์วางจานผลไม้ไว้ข้างๆ เขา ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ใกล้กัน “พี่ละไมปอกมาให้กิน”

“ขอบคุณครับ”

“คุยกับใคร” สายตาเรียวคมเหลือบลงมือโทรศัพท์ที่ยังค้างอยู่ในมือเขา เอ่ยปากถามอย่างกับรู้ทัน

“พี่วาครับ อยู่ดีๆ ก็โทรมาบอกให้ผมหยุดงานพรุ่งนี้อะ ยังงงอยู่เลย”

“ก็ดีแล้วหนิ”

“ไม่ดีสักหน่อย ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า” เขาพึมพำกับตัวเองในท้ายประโยค

“คิดอะไรมาก ไหนๆ ก็ได้หยุดแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะพาออกไปข้างนอก เอาไหม”

ฝ่ามือหนาแตะลงบนกลุ่มผมนุ่ม คนตัวเล็กเงยหน้า เลิกคิ้วใส่ ก้ำกึ่งระหว่างควรจะตกใจกับวันเสาร์ที่ใจดีขึ้นผิดหูผิดตา หรือว่าแค่ตอบรับมันดี

และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้เขาได้เลือก “นายอยากไปไหน”

ไปไหน…

จะว่าไปตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านวุฒิเวคินทร์ เขายังไม่ได้ไปไหนเลยนอกจาก 7-11 ในปั๊มหน้าหมู่บ้าน กับห้างสรรพสินค้าใหญ่หนึ่งเดียวในละแวกนี้ แต่พอบทโดนถามว่าจะไปไหนดีเนี่ย ก็ดันคิดยากขึ้นมาแฮะ จะกลับบ้านก็ไม่มีให้กลับแล้ว หรือว่าสถานที่ท่องเที่ยว เขาก็ไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไร

อ่า…ทำไมยากจัง นี่มันยากกว่าคำถามโลกแตกอย่าง วันนี้กินอะไรดี อีกนะเนี่ย

“งั้น…ไปวัดกันไหมครับ” ฟังดูเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ดี

แต่ดูเหมือนจะทำให้คนถามผิดหวังอยู่มากทีเดียว “นายคิดอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้วเหรอ”

“กะ ก็ผมไม่ได้ไปไหว้พระนานแล้วนี่ ความจริงพี่เสาร์ก็ควรเข้าวัดบ้างนะครับ จิตใจจะได้สงบ”

“หมายความว่าไง”

“ก็จะได้ชำระล้างจิตใจ ไม่คิดฟุ้งซ่านแต่เรื่องอย่างว่า…” รังสีอำมหิตบางอย่างถูกส่งมาให้จนรู้สึกได้ เขาค่อยๆ หลุบตาหลบใบหน้าถมึงทึงเหมือนว่าจะสามารถฆ่าใครสักคนได้ด้วยมือเปล่า แสร้งหัวเราะแห้ง แล้วถอนคำพูดทันควัน “ฮ่ะๆ ผมล้อเล่นอะครับ”

“ดูเหมือนว่าคืนนี้นายจะไม่อยากหลับนะ”

“เหวอ”

เขาถูกผลักลงนอนราบ ขณะที่จานผลไม้กลับจรลีไปอยู่บนโต๊ะตั้งโคมไฟอย่างรวดเร็ว วันเสาร์ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเขาไม่ให้โวยวาย อีกข้างตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะทั้งสองข้าง นี่ไงเหตุผลที่ควรเข้าวัดเข้าวา จะได้เลิกเอาสมองไปคิดแต่เรื่องบนเตียง!!

เจ้าชายเย็นชาบ้าบออะไร มาดูนี่ มา! วันเสาร์น่ะมันพวกโรคจิตหื่นกามชัดๆ

“พี่เสาร์อย่าทำบาปก่อนทำบุญสิครับ” แววตาสั่นไหวพยายามจ้องสบอีกฝ่ายทั้งที่ข้างในตื่นกลัว ทำเป็นใจดีสู้เสือไปอย่างนั้นเอง

“ทำบาป? ฉันเห็นนายชอบจะตาย ต้องเรียกว่าช่วยสงเคราะห์ให้สิถึงจะถูก”

ให้ตายเถอะ ถ้าต่อยอีกฝ่ายแล้วเขาจะไม่โดนปาดคอตายทีหลังก็คงทำไปแล้ว ทุเรศที่สุด ใครมันจะไปชอบ ในเมื่อเขาถูกบังคับขืนใจทุกครั้ง ความจริงเรื่องของเรามันก็บาปตั้งแต่วินาทีที่วันเสาร์เลือกใช้บริการเด็กขายจากแม่เล้านอกกฎหมายแล้วไม่ใช่หรือไง สำนึกซะบ้าง!

“พะ..พี่เสาร์ อย่าครับ” เขาร้องห้ามเมื่อคนด้านบนทาบทับลงมา กดจูบเข้ากับซอกคอระหง มือซุกซนดูจะเชี่ยวชาญการปลดกระดุมซะจริง เพราะกว่าเขาจะรู้ตัว เสื้อนอนก็หลุดออกจากกัน เผยให้เห็นแผ่นอกขาวแต้มจุดสีชมพูล่อตาซะแล้ว

ริมฝีปากอุ่นวาบตรงเข้าครอบครองติ่งไตที่เริ่มแข็งชันสู้เรียวลิ้นหนา ตวัดโลมเลียมันอย่างชำนิชำนาญ เขานึกเกลียดเวลาที่วันเสาร์หยอกเล่นกับเขาตรงส่วนนั้น เพราะว่ามันรู้สึกดีจนปฏิเสธไม่ได้ และมักทำให้เขาพลาดพลั้งเสียท่าให้อีกฝ่ายทุกที

“ฮื่อ…”

เขาเผลอกัดปากตัวเองหนักๆ สองมือทึ้งศีรษะคนด้านบน แต่เรี่ยวแรงจะผลักให้ออกห่างก็แทบไม่เหลือ เรียวขาบางเริ่มสีกันไปมา สูญเสียการควบคุมตัวเองทีละน้อย และแน่นอนว่าปฏิกิริยาของเขาคงทำให้วันเสาร์ชอบใจอยู่มากทีเดียวถึงได้ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ฝ่ามือกร้านลูบวนรอบๆ หน้าท้องแบนกระเพื่อมขึ้นลงด้วยอารมณ์ล้นทะลักในกาย ลิ้นชื้นผละออกจากเม็ดทับทิมที่กลายเป็นสีแดงช้ำหลังจากโดนดูดจนเกือบนึกว่าจะหลุดออกจากอก ลากไล้ลงมาจนถึงหลุมสะดือ หยดน้ำหวานถูกเคลือบชะโลมไปตามร่องเล็กๆ นั้นอย่างวาบหวาม เล่นเอาร่างเขากระตุก ทั้งซ่านเสียวและจั๊กจี้ในคราวเดียวกัน

การหยอกเย้าของวันเสาร์เป็นมืออาชีพซะจนเขาแทบคลั่ง สติที่ค่อยๆ เลื่อนลอยพร้อมกับมือทั้งสองข้างซึ่งเปลี่ยนจากการขัดขืนมาเป็นตอบรับตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ในวินาทีที่เขากำลังจะปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเกลียวคลื่น ท้องทะเลโหมกระหน่ำกลับนิ่งสนิทลงฉับพลันเหมือนมีใครเดินมาดับสวิตช์

วันเสาร์ฝากรอยจูบสุดท้ายไว้ใต้สะดือ ก่อนจะผละออกห่าง ลุกไปหยิบจานมะม่วงเมื่อครู่มาหยิบกินหน้าตาเฉยราวกับว่าเรื่องเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเป็นแค่ความฝันลอยๆ

บ้าบอ!! แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ เลย

“พ..พี่เสาร์” ศีรษะเล็กผงกมอง แขนทั้งสองข้างพยายามยันตัวเองกลับขึ้นนั่งตามเดิม รีบกลัดกระดุมให้เข้าที่

คนตัวสูงปรายตามองเขาพลางเลิกคิ้วกวนประสาท “หืม?”

นับหนึ่งเม้มปากแน่น รู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนยั่วโมโห “กลับห้องไปได้แล้วครับ ผมจะนอนแล้ว” จงใจกระแทกเสียงเน้นย้ำคำต่อคำ

“แน่ใจเหรอว่าอยากให้ฉันกลับ”

“ครับ!”

เขาสะบัดหน้าหนี สูดหายใจเข้าออกแรงๆ ช่วยให้อารมณ์ที่เพิ่งเตลิดกลับมาสงบ ความคิดฟุ้งซ่านในหัวถูกขจัดออกด้วยการเพ่งจุดสนใจไปยังกลิ่นหอมโชยอ่อนจากช่อดอกปีบในแก้ว และท่าทีของเขาคงไม่เป็นไปตามที่วันเสาร์คาดการณ์สักเท่าไรถึงได้ดูหงุดหงิดนัก เรียวตาคมเหล่จ้องเขานิ่ง ไม่ยอมขยับตัวแม้จะโดนไล่สักกี่ครั้ง ถ้าอยากจะยืนกร่างทำตัวเป็นเจ้าบ้านอยู่ตรงนั้นทั้งคืนก็ตามใจ เพราะเขาจะนอนแล้ว!!

“แล้วถ้าฉันไม่กลับล่ะ”

“ก็ยืนไปละกันครับ ผมจะนอน”

คนตัวเล็กตรงไปดับไฟในห้อง ไม่สนใจจะกินผลไม้จากพี่ละไมสักชิ้นก่อน ชิงกระโดดขึ้นเตียงคลุมโปงทันที วันเสาร์มองกลุ่มก้อนยุกยิกต่อหน้าก่อนจะจิ๊ปากให้กับเด็กก้าวร้าวไม่มีมารยาท แบบนี้มันน่าสั่งสอนให้ถึงเช้า จะได้รู้ว่าควรพูดจาวางตัวกับผู้ใหญ่ยังไง โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่แบบเขา

“นับหนึ่ง” เสียงทุ้มต่ำไม่ได้รับการขานตอบ เขาทิ้งตัวลงบนเตียง กระชากผ้าห่มผืนหนาเปิดออก

แววตากลมสั่นริก ถดหนีได้ไม่กี่คืบก็ถูกร่างสูงใหญ่โถมตัวทับลงมาอีกครั้ง จัดการรวบข้อมือเขาไว้ด้วยมือเดียว ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนแสงจันทร์จากนอกหน้าต่างมองดูดุดันยิ่งกว่าเสือ ก็ลืมนึกไปว่าปิศาจร้ายไม่ได้ใจดีตลอดกาล…

“ลืมแล้วเหรอว่าฉันเป็นเจ้าของบ้าน ถ้าอยากจะนอนที่นี่ก็ได้” มืออีกข้างไล่ปลดกระดุมเขาออกอีกรอบอย่างกับกำลังเล่นสนุก ก่อนจะรุกไล่สอดแทรกเข้าไปภายในกางเกงขาสั้นชิ้นบางอย่างไม่ทันให้เตรียมตัว “แล้วก็เป็นเจ้าของตัวนายด้วย ถ้าอยากจะทำอะไรกับนาย…ก็ได้เหมือนกัน”

“อ๊ะ พี่เสาร์!”

คนถูกจู่โจมสะดุ้งยามที่ปลายลิ้นอุ่นแตะเลียวนอยู่กับฐานยอดอก จมูกโด่งไล่สูดดมความหอมจากสบู่กลิ่นโปรดสลับซอกคอซ้ายขวา

วันเสาร์ส่งเสียงหัวเราะผ่านลำคอ จงใจเขี่ยอวัยวะบางอย่างซึ่งเริ่มแข็งขืนจากภายใน ตั้งแต่ที่ถูกโลมเลียเมื่อครู่ “จะนอนทั้งๆ อย่างนี้จริงเหรอ”

อุณภูมิพุ่งสูงแล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มใสจนมันกลายเป็นสีแดงฉ่า ใบหูร้อนวูบวาบ คล้ายกับว่าตัวเองกำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยงด้วยความอับอาย ถ้าจะโทษใครสักคน ก็ต้องโทษวันเสาร์นั่นแหละที่มาแกล้งให้สติเขากระเจิดกระเจิงจนเสียการควบคุมแบบนี้

ให้ตายเหอะ อยากมุดดินหนีชะมัด

ขนอ่อนลุกชันเมื่อฝ่ามือหยาบร่นกางเกงนอนเขาออกไปกองอยู่บนพื้น กอบกุมเอาจุดอ่อนไหวซึ่งกำลังผงกหัวทักทายอากาศภายในห้องไว้ ออกแรงรูดรั้งเป็นจังหวะจนเขาต้องรีบกัดปากตัวเองเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์พุ่งพล่านที่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

มือข้างที่เคยตรึงร่างเขาเอาไว้ผละออกเมื่อไม่เห็นทีท่าการขัดขืน เพราะคงจะต่อต้านอะไรไม่ไหวอีกแล้ว ค่อยๆ เปลี่ยนมาให้ความสนใจกับร่องจีบสีสดด้านหลัง นิ้วเรียวปาดเอาหยาดของเหลวปริ่มแก่นกายของเขา ก่อนจะกดแทรกตัวเข้าไปด้านในปากถ้ำปิดสนิท พยายามเบิกทางให้พร้อมรับมือกับอะไรที่ใหญ่กว่านี้สักสิบเท่า

ดวงตาหวานเต็มไปด้วยหยดน้ำคลอหน่วย ใบหน้าแดงเรื่อลามถึงลำตัวแทบทุกส่วน เสียงครางต่ำสูงสลับกันดังระงมไม่หยุด กว่าจะรู้ตัวนิ้วของวันเสาร์ก็สอดผ่านเข้ามาในตัวเขาได้ถึงสามนิ้วแล้ว เขาถูกนิ้วเรียวปรนเปรออย่างนั้นสักพัก กระทั่งความเจ็บปวดค่อยๆ คลายลงอย่างช้าๆ

เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบถามข้างหู “เข้าไปได้หรือยัง”

คนตัวเล็กเม้มปาก ปรือตามองเจ้าของโครงหน้าเรียวด้านบนซึ่งดูเหมือนจะถูกผีตนไหนเข้าสิงแน่แล้ว ถึงได้ทำให้เรื่องบนเตียงของเราตอนนี้แลดูอ่อนโยนผิดปกตินัก คนแบบวันเสาร์มีเหรอจะมาถามความเห็นความสมัครใจจากคู่นอน โดยเฉพาะเด็กที่ถูกซื้อมาเช่นเขา

มันถูกต้องตามที่อีกฝ่ายว่า วันเสาร์เป็นเจ้าของตัวเขา…ถ้าอยากทำอะไรกับเขา ก็ย่อมได้

แต่ว่านี่มัน…ผิดคาดเกินไปเยอะแฮะ

“ถ้าไม่ตอบฉันจะถือว่าได้นะ” คนตัวใหญ่พูดย้ำ แววตาสีนิลทอแสงสบกับเขา ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ เขาปิดเปลือกตาลง เลือกที่จะเบือนหน้าหนีโดยไม่ให้คำตอบใดๆ …

นิ้วทั้งสามถูกชักออก ความแข็งแกร่งเคลื่อนแตะประชิดช่องทางที่กำลังขมิบไล่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ก่อนจะบดเบียดเติมเต็มโพรงว่างเปล่าด้วยความอุ่นร้อนที่เขาเคยคุ้นกับมันดี หากว่าวันนี้ ทุกอย่างกลับแตกต่างจากทุกครั้งแทบจะสิ้นเชิง

วันเสาร์ไม่ได้พรวดพราดยัดเยียดมันเข้ามา แต่กลับทำทุกอย่างด้วยความระวัง แรงหอบหายใจหนักๆ ทำให้รู้ว่าเจ้าของชีวิตคนนี้กำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้มากแค่ไหน หยาดเหงื่อไหลจากขมับ หยดลงจากปลายคาง หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับทนทรมานนักหนา มือสองข้างดันข้อพับขาด้านในของเด็กใต้ร่างขึ้นเพื่อให้ตัวตนของเขาแนบลึกได้มากขึ้นกว่าเดิม

แรงตอดรัดถี่รัวที่ไม่รู้ว่าจงใจหรือเผลอไผลนั่น มันกำลังจะส่งให้เขาเป็นบ้า เขาสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะพ่นออกมาทางปากเพื่อสงบสติตัวเอง โน้มตัวลงฝากรอยจูบสลับกับดูดดึงไปตามซอกคอขาวและแผ่นอกบาง แทบไม่ให้เหลือพื้นที่ว่างสักจุดเดียว

เมื่อเห็นว่านับหนึ่งเริ่มผ่อนคลายแล้ว จึงเริ่มขยับแก่นกายออก แล้วดันเข้าไปใหม่ ซ้ำๆ เสียงครางหวานที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างชวนฟัง ดูเหมือนวันนี้จะหวานยิ่งกว่าทุกที

“หนึ่ง” เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางมนกลับมาให้หันหน้ามองกัน แววตาสีน้ำตาลเข้ม สวยที่สุดตอนที่สบกับเขา คราบน้ำตากับแก้มสีมะเขือเทศเป็นภาพที่น่ามองและกระตุ้นให้สมองปั่นป่วน มัวเมาไปกับความคลั่งไคล้ซึ่งสาบานได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน

และนั่นก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้ว่าทำไม ทำไมถึงรับเด็กคนนี้เข้ามา ทำไมถึงปล่อยไปไม่ได้ และทำไมถึง…

“อื๊อ..อ พี่เสาร์ พี่เสาร์…” เขาหายใจแรงขึ้นยามได้ยินเสียงใสๆ ครางชื่อของเขาซ้ำไปมา โดยเฉพาะเมื่อร่างกายของเราเชื่อมประสานเป็นหนึ่งเดียว

นับหนึ่งซูดปากระบายความเสียวซ่าน แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอหนา ดึงรั้งเข้าหากันจนสองร่างแทบจะหลอมรวม ความเจ็บปวดอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาแทบจะกลายเป็นแค่เรื่องโกหก ในเมื่อขณะนี้มันถูกทดแทนด้วยอารมณ์สุขสมเหนือกว่าจินตนาการถึง

น่าแปลกที่เมื่อ 4 วันก่อนเขาเพิ่งจะถูกขืนใจอย่างรุนแรง จนทำเอาหัวใจรวดร้าว แต่มาวันนี้เขากลับถูกโอบกอดอย่างนุ่มนวล เล่นเอาหัวใจพองโตแทบจะระเบิดออกจากอก

มันทำให้นึกสงสัยว่า บทรักแสนด้านชาตลอดมาของวันเสาร์…มันเริ่มมีคำว่ารักเจือจางอยู่ในนั้นบ้างแล้วหรือยัง?





--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------

หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 15
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-02-2019 15:52:23
--------- ต่อ ---------





“พะ..พี่เสาร์ รอหน่อยสิครับ” คนเด็กกว่าตะโกนตามหลัง ก่อนจะรีบหุบปากเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในเขตวัด วันเสาร์หยุดขาหันกลับมามองเหมือนเหนื่อยใจ

“แล้วทำไมเดินช้าล่ะ”

ถามได้!!

“ก็…ก็ผม…” ใบหน้าตื่นขึ้นสีระเรื่อ และเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงพอเดาเหตุผลได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังจะปั้นหน้าเรียบเฉยรอคำตอบ ดวงตากลมหลุบหนี เอ่ยกลับเสียงอุบอิบ “ก็ผมยัง ป..ปวดอยู่เลยนี่…”

“เหรอ”

เออ! ยังจะกล้าตีหน้าตายใส่เขาอีก ก็ใครกันล่ะที่ทำให้เขาระบมไปหมดทั้งตัวแบบนี้ แค่ฉาบหน้าเป็นผู้ชายใจดีหน่อยเดียว เขาก็พลาดท่ายอมให้วันเสาร์รุกล้ำจนสมองมันขาวโพลนไปหมด อาจเพราะว่าเขาถูกล่อลวงด้วยสัมผัสอบอุ่น ทั้งที่ปกติมักจะเหน็บหนาวหรือเปล่า…มันถึงทำให้ปล่อยตัวปล่อยใจง่ายดายเพียงนั้น

เรามีอะไรกันแทบทุกท่วงท่าเท่าที่จะนึกออก ความเจ็บปวดถูกทดแทนด้วยความอ่อนโยนผิดวิสัย ก่อเกิดเป็นอารมณ์ซ่านเสียวยากเกินกว่าจะควบคุม หยาดเหงื่อไหลรินชะโลมทั่วทั้งกาย เสียงครางดังเซ็งแซ่ไม่หยุดหย่อนจนแทบหมดลม และถึงจะอยากโวยวายยังไง ลึกๆ แล้วเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กิจกรรมบนเตียงที่เพิ่งผ่านไปมันวิเศษมากแค่ไหน

ความร้อนจากกายหนาไม่เคยทำให้เขารู้สึกแผดเผามาก่อนเลยจวบจนกระทั่งเมื่อคืน และเขาก็อยากรู้เหลือเกินว่าความอบอุ่นจากเขามันเคยทำให้น้ำแข็งในใจวันเสาร์ละลายลงบ้างไหม…

คนในความคิดโน้มหน้าเข้าหา คำพูดจากปากหยักแทบจะทำให้เขาลืมเรื่องดีๆ ไปจนหมดสิ้น “แต่ว่านายดูมีความสุขมากเลยนะ”

“พี่เสาร์ พูดอะไรครับ” ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เหอะ

“ก็เห็นครางชื่อฉันทั้งคืนเลย”

หมัดลุ่นๆ พุ่งเข้าใส่แผงอกแกร่งอย่างหมดความอดทน เขาเลือกระบายความขัดเขินออกจากกายด้วยการส่งเสียงฮึดฮัดแล้วกระแทกเท้าปึงปังแซงหน้าไปยังเจดีย์ทรงสูงตระหง่านเสียดฟ้า

คิดเอาละกันว่าต้องหื่นเบอร์ไหนถึงกล้าพูดเรื่องแบบนั้นในสถานที่แบบนี้ได้ ไอ้ฉายาเจ้าชงเจ้าชายน้ำแข็ง มนุษย์หิมะเอลซ่าบ้าบออะไรนั่นอะ มันหลอกลวงทั้งเพ!

สถาปัตยกรรมสีทองอร่ามตัดสลับขาว โบสถ์ขนาดโอ่อ่ามุงกระเบื้องเคลือบ ฝาผนังแต่ละฟากฝั่งล้วนแต่งแต้มไปด้วยภาพจิตรกรรมแตกต่างกันออกไป แม้จะดูเก่าแก่แต่ก็ยังคงความงดงามไว้ได้อย่างครบถ้วน ดวงตาเป็นประกายกวาดสำรวจไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น อาจจะดูเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง แต่ก็ขอบอกเลยว่าใช่ เขาไม่เคยมาที่นี่ มากสุดคือวัดโทรมๆ ในซอยบ้าน ซึ่งมักจะเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกเด็กแว้นแถวนั้นมากกว่าจะเป็นแหล่งศึกษาธรรมหรือจรรโลงจิตใจ

เราใช้เวลาไม่นานในการสักการะพระพุทธรูป แต่หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินชมความสวยงามของพระอารามหลวง จบท้ายที่ไอศกรีมกะทิจากรถเข็นฝั่งตรงข้ามประตูวัดด้านหนึ่ง

“พี่เสาร์ หมา!” คนตัวเล็กรีบดึงสะกิดชายเสื้ออีกฝ่าย แล้วชี้ไปทางลูกหมาเร่ร่อนที่กำลังเลียบเคียงมาใกล้  เขายัดถ้วยไอศกรีมใส่มือคนโตกว่าแล้วย่อตัวนั่งยอง ดีดนิ้วเรียกเจ้าหมาน้อยสีน้ำตาลจนมันยอมเดินเข้ามาให้ลูบหัวเล่นอย่างชินมือ

วันเสาร์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะย่อเข่าลงข้างกัน ทันได้ยินคำถามบางอย่างจากปากอิ่มเจื้อยแจ้ว

“พี่เสาร์ไม่อยากเลี้ยงหมาหรือแมวบ้างเหรอครับ เขาว่ากันว่าคนที่เลี้ยงสัตว์มักจะอ่อนโยนขึ้นนะ”

“ฉันไม่มีเวลา แค่ดูแลนายคนเดียวก็แย่แล้ว”

นับหนึ่งยู่ปาก หน้าตาดื้อๆ แบบนี้แหละที่ทำให้เขาอดรนทนไม่ไหว ต้องเอื้อมมือเข้าไปบีบจมูกรั้นสักทีอย่างนึกมันเขี้ยว เขาคว้าเอาวงแขนเรียวเล็กให้กลับขึ้นมายืนเต็มความสูงดังเดิม สายตาคมลอบมองเจ้าของเสี้ยวหน้าสดใส แดงก่ำจากแรงแดดช่วงบ่ายแก่ ยืนโบกมือลาให้กับหมาข้างทางอย่างกับว่าเป็นเพื่อนเก่า

นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พอดี “ความจริงศุกร์มีสัตว์เลี้ยงอยู่ตัวนึงเหมือนกัน”

“ของพี่ศุกร์เหรอครับ”

“อืม เป็นหมูแคระ”

“เลี้ยงหมูเหรอครับ!” น้ำเสียงตกใจระคนตื่นเต้นเกือบทำเอาเขาหลุดขำ วันเสาร์พยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะออกตัวเดินนำไปทางจุดจอดรถ “ผมไม่เคยเห็นใครเลี้ยงหมูมาก่อนเลย แล้วมันเป็นยังไงครับ น่ารักไหม ชื่ออะไร ผู้ชายหรือว่าผู้หญิง”

“ถามอะไรเยอะแยะ”

“พี่เสาร์ก็ตอบซี่” เขาเหลือบตามองมือเล็กๆ ที่กำลังเขย่าต้นแขนเขาไปมาเหมือนเด็กประถมตอนอยากได้ของเล่น

“ก็หมูปกติ ตัวผู้มั้ง ถ้าจำไม่ผิด…รู้สึกจะชื่อเจ้าดื้อ”

“เจ้าดื้อ” นับหนึ่งทวนคำ ก่อนฉีกยิ้มกว้าง “ชื่อน่ารักอะ ผมอยากเจอบ้างจัง”

“ไว้จะบอกศุกร์ให้ละกัน”

เขายิ้มอีกครั้ง ขณะพาตัวเองขึ้นไปประจำตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถ พวกเราเดินหน้าเข้าไปยังซอยคับแคบไม่ห่างจากตัววัดมากเท่าไรนัก มีร้านอาหารและโรงแรมตกแต่งอย่างหรูหราและมีสไตล์แอบซ่อนตัวอยู่ริมแม่น้ำ เสียงดนตรีสากลดังคลอออกมาจากลำโพง พนักงานหญิงตรงเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างเป็นมิตร โต๊ะไม้ติดริมระเบียงซึ่งถูกจองไว้เรียบร้อยแล้วคือจุดหมาย

ท้องฟ้ายามเย็นทอแสงสีส้ม ณ ปลายเมฆ ถูกไล่หลังตามมาด้วยผืนกำมะหยี่สีกรมท่า พระจันทร์สีนวลฉายชัดขึ้นทีละนิดเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์จวนเจียนลับขอบฟ้า สายน้ำนิ่งไม่สนิท มีเรือจากท่าต่างๆ ขับผ่านเพื่อทักทายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกอย่างที่ว่ามายังตราตรึงสู้กับสิ่งเดียวตรงหน้าไม่ได้…

ปลายยอดเจดีย์สูงใหญ่ของวัดอรุณฯ ตั้งตระหง่านย้อนแสงอยู่ที่อีกฟากฝั่ง แสงไฟสีทองขับเอารายละเอียดของสถาปัตยกรรมนั้นให้ยิ่งเด่นชัด ตัดกับความมืดในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ อาจเรียกได้ว่าเป็นภาพที่งดงามที่สุด เท่าที่เขาเคยซึมซับมาในช่วงชีวิตนี้เลยก็ว่าได้

“สวยมากเลยครับ” ประโยคชื่นชมหลุดออกจากปากราวกับคำเพ้อพรรณนา อวัยวะในอกซ้ายเต้นแรงให้กับทิวทัศน์อันแสนประทับใจ ก่อนที่จะยิ่งเต้นแรงกว่าเก่าเมื่อเขาเลื่อนสายตากลับมา สบเข้ากับแววตาคม เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนไม่คุ้นชิน

วันเสาร์มองเขาเหมือนว่าเอ็นดู แทนที่จะเป็นรำคาญเช่นทุกที และเจ้าตัวก็คงไม่รู้ตัวสักนิดถึงได้ไม่ยอมละสายตาไปไหนนานหลายวินาที จนกระทั่งพนักงานคนเมื่อครู่เดินกลับมาพร้อมเมนูสองเล่ม

เขาสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง แล้วเริ่มต้นสั่งอาหารซึ่งเป็นตัวเลือกจากวันเสาร์ไปแล้วเกือบ 95% ไม่นานเท่าไร อาหารหน้าตาน่าทานนับสิบจานก็เรียงรายออกมาเสิร์ฟจนเต็มพื้นที่โต๊ะตัวยาว ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาสองคนไม่มีทางกินหมด แต่ที่ตั้งใจสั่งมาเยอะขนาดนี้ก็คงเพราะอยากให้เขาได้มีโอกาสลิ้มรสอะไรที่ไม่เคยลอง

“อันนี้ก็อร่อย ลองกินสิ” เขาแอบหยิกมือตัวเองใต้โต๊ะเพื่อในแน่ใจว่าไม่ได้กำลังนอนฝัน เพราะว่าผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์คนนั้น กำลังลงทุนตักข้าวผัดข้นๆ ใส่จานให้เขาอยู่ขณะนี้ ตามด้วยกุ้งและปลาหมึกตัวใหญ่

“มันคืออะไรครับ”

“เรียกว่าริซอตโต เป็นข้าวผัดอิตาเลียน แต่ที่ร้านไอ้วาไม่มีหรอกนะ”

เขาเพียงแต่พยักหน้า ก่อนจะลองตักแต่ละเมนูเข้าปากทีละอย่างจนเวียนครบ เกือบทั้งหมดเป็นอาหารนานาชาติซึ่งเขาไม่เคยเห็นหรือแม้แต่ได้ยินมาก่อน ถึงจะยังไม่คุ้นปากสักเท่าไร แต่ต้องยอมรับเลยว่าอร่อยมากทุกจาน

เราตบท้ายด้วยของหวานอย่างข้าวเหนียวมะม่วงของขึ้นชื่อ รวมทั้งเครปราดซอสส้มซึ่งเข้ากันได้ดีกับไอศกรีมวานิลลาหวานหอม แสงสีส้มจากหลอดไฟตามมุมต่างๆ กลิ่นอากาศยามหัวค่ำ กับเสียงเพลงสลับกับเสียงคลื่นไหวๆ บรรยากาศชั้นยอดที่คนอย่างเขาไม่น่าจะมีโอกาสได้สัมผัส กลับกลายเป็นจริงทั้งที่ไม่เคยกระทั่งนึกถึงมาก่อน คงจะไม่พูดคำนี้ไม่ได้…

“พี่เสาร์…ขอบคุณมากนะครับ”

“หืม?”

“ก็ขอบคุณที่วันนี้พาผมไปไหว้พระ แล้วยังพามากินของอร่อยๆ แบบนี้อีก”

คนตัวสูงยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ในขณะที่เขาได้รับอนุญาตให้ดื่มแค่น้ำแตงโมเท่านั้น “รู้ไหมว่าคำขอบคุณที่ดีที่สุด คือการเป็นเด็กดี”

ให้ตายเหอะ พูดจาอย่างกับว่าเขาเป็นลูกชายตัวเองงั้นแหละ

“ผมก็เป็นเด็กดีอยู่แล้ว”

อารมณ์ขันเล็กๆ เคลื่อนตัวอยู่ภายในแววตาคมเข้ม วันเสาร์ลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกมาหาเขา

“ขึ้นไปข้างบนกัน”

คนที่เพิ่งจะใช้นิ้วปาดเอาคราบน้ำหวานออกจากมุมปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมวางมือลง เพราะหากปล่อยให้วันเสาร์ยืนเก้ออยู่ต่ออีกแค่นิดเดียว มีหวังเขาต้องถูกจับโยนลงแม่น้ำแน่ คุณลูกค้าประจำดูชำนาญทางมากพอๆ กับที่สนิทสนมกับเด็กเสิร์ฟเกือบทุกราย เขาแอบเห็นว่าวันเสาร์หยิบธนบัตรสีเทาไม่รู้ตั้งกี่ฉบับยัดใส่มือพนักงานชาย หันไปกระซิบอะไรบางอย่างก่อนจะกระตุกแขนให้เขาเดินตามขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของร้าน ซึ่งค่อนข้างมีกลิ่นอายของความเป็นบาร์ เคาน์เตอร์ตัวยาวเรียงรายไปด้วยแก้วทรงสูง สุดปลายทางเป็นระเบียงยื่นออกไปให้ชมวิวยามค่ำคืน

ในมุมมองที่สูงขึ้น เขาสามารถเห็นภาพตรงหน้าได้กว้างกว่าเดิม และความพิเศษของมันก็คือความน่าประหลาดที่บาร์แห่งนี้ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ทำให้บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นส่วนตัวชนิดที่ว่าโลกนี้มีเพียงแค่เราเท่านั้น

วงแขนแกร่งวาดโอบรอบเอวเขา วางมือพักไว้กับเชิงสะโพกมน สายตาทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ในขณะที่เขากลับถูกอะไรบางอย่างบังคับให้จับจ้องไปยังโครงหน้าเรียวมีเสน่ห์ซึ่งไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็เถียงไม่ออกว่าไม่หล่อ เพราะวันเสาร์ดูดีสมฉายาเจ้าชาย และยิ่งดีกว่านั้นเมื่อดูคล้ายว่าจะไม่ใช่เจ้าชายน้ำแข็งดังคำกล่าวอ้าง กลับกัน วันเสาร์ในตอนนี้ช่างอบอุ่น…อบอุ่นเหมือนกับดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงสะท้อนผ่านผืนน้ำด้านล่าง อบอุ่นเหมือนบทบรรเลงที่คลอผ่านให้พอได้ยินแว่วๆ

แล้วก็อบอุ่นเฉกเช่นเดียวกันกับสัมผัสจากฝ่ามือกว้างที่เขาคุ้นเคย

เขาเลื่อนสายตากลับไปยังเจดีย์สีทองอร่าม “วันนี้ผมมีความสุขมากเลย”

“พี่เสาร์พาผมไปเที่ยวทุกอาทิตย์เลยได้ไหมครับ”

ริมฝีปากแดงอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งแสดงด้านเอาแต่ใจออกไป และในอีกไม่ช้าก็คงถูกบ่นหรือไม่ก็โดนตีแน่ๆ แต่…ทุกสิ่งที่กลัวกลับไม่เกิด จนต้องเหลือบขึ้นมอง เพื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงมองเขาอยู่เช่นกัน

ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความหมายอะไร หากในแววตาดำสนิทคู่นั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เขาไม่กล้าเดาออก ปากเป็นเส้นตรงเผยอเปิดพร้อมคำพูดตอบรับสั้นๆ แต่ดันทำเอาหัวใจเขากระตุกไปทั้งดวง

“อืม”

เป็นอีกครั้งที่เขาต้องลอบหยิกตัวเองแรงๆ และโชคดีเหลือเกินที่เขาไม่ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงสักหลัง แถมมันยังเจ็บจนตอกย้ำให้รู้ว่านี่คือความจริงแน่แล้ว

รู้สึกได้ว่าวันเสาร์เผลอกระชับวงแขน ทำให้ปลายรองเท้าผ้าใบของเขาขยับเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่าย อวัยวะในอกสูบฉีดรัวเร็ว ถูกล้างสมองด้วยการกระทำต่างๆ ซึ่งเขาไม่เคยเข้าใจ ทำไมบางครั้งวันเสาร์ก็ชอบทำเหมือนห่วงเขา และบางทีมันก็เลยเถิดไปจนคิดว่ากำลังหวงด้วยซ้ำ บางเวลา เขารู้สึกว่าวันเสาร์กำลังหึง และในพริบตาหนึ่ง เขาเคยสัมผัสได้ว่าวันเสาร์กำลังกลัว…หากว่าเขาจะหายไป

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันฟังดูเหมือนการคิดเข้าข้างตัวเองอย่างน่าไม่อาย ถ้าเกิดว่าไม่จริง…เขาคงกลายเป็นคนโง่ แถมมันยังน่าสมเพช…

ถึงอย่างนั้น…เขาก็ยังอยากจะลองเสี่ยง

“พี่เสาร์…” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปค่อนข้างอ่อนหวาน มือเล็กๆ เอื้อมดึงเสื้อเชิ้ตสีเข้มเข้าหา ปลายเท้าเขย่งสูง เจ้าของร่างโปร่งเองก็ให้ความร่วมมือด้วยการโน้มตัวลงต่ำอย่างกับว่าเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ บรรยากาศยามค่ำคืน ประดับด้วยหลอดไฟเคล้าเสียงเพลงช่างดูเป็นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง

ภายในห้องอับแสง ไร้ผู้คน ใบหน้าของเราค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันราวกับเป็นผลจากแรงโน้มถ่วง หัวใจเต้นถี่จนน่ากลัวว่ามันจะดังกลบเสียงดนตรีหรือเปล่า ลมหายใจอุ่นรดรินใส่อีกฝ่าย เขาเผลอกลั้นหายใจเมื่อปลายจมูกทั้งสองแตะกันผะแผ่ว วันเสาร์เอียงคอเล็กน้อย พลางกระชับสัมผัสบริเวณเอวคอด ต่างฝ่ายต่างปิดเปลือกตาลงช้าๆ

ก่อนที่ริมฝีปากของเราจะ…

“ทำไมฉันถึงจะขึ้นไปไม่ได้!”

ดวงตากลมเบิกกว้างขณะเด้งตัวผละออกจากอ้อมกอด เสียงแหลมปรี๊ดของผู้หญิงที่ไหนสักคนดังขัดขึ้นก่อนที่อะไรต่อมิอะไรจะทันได้เกิด เราต่างตีหน้าไม่ถูก ทำทีเป็นถูไม้ถูมือแก้เขิน แล้วหันไปให้ความสนใจกับร่างอรชรในชุดกระโปรงพลิ้วสวยซึ่งกำลังกระแทกรองเท้าส้นสูงของเธอตรงขึ้นมายังพื้นที่ชั้นสองแห่งนี้

ใบหน้ากราดเกรี้ยวคลายออกแทบจะทันทีที่เห็นหน้าของผู้ชายข้างๆ เขา เธอดูฉงนไปนิด ก่อนจะเอ่ยคำทักทายเสียงติดประหลาดใจ

“อ้าว เสาร์”

“เกศ” วันเสาร์ทักกลับ ยอมรับว่าตกใจอยู่ไม่น้อยที่มาบังเอิญเจอเกศรา เพื่อนสมัยมหาลัย พ่วงตำแหน่งพี่สาวของนายกันติกรณ์ คนรักของน้องชายเขาที่นี่ ตอนนี้

สายตาเรียวมองเลยไปทางผู้ชายแต่งตัวดี สวมแว่นตากรอบเงินอีกคนที่เพิ่งเดินตามมาทีหลัง ใครคนนั้นส่ายหน้าให้กับผู้หญิงคนเดียวในวงล้อม

“เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้เสียงดังเชียว”

“ก็พนักงานมากันไม่ให้เกศขึ้นมาบนนี้อะพี่อิฐ งงปะ”

“แต่ก็ไม่เห็นต้องเสียงดังนี่” คนชื่อเกศสะบัดหน้าหนีคำสั่งสอนซึ่งฟังดูใจเย็นมากทีเดียว

พี่อิฐอะไรนั่นส่ายหน้าอีกครั้ง แล้วค่อยหันมาทักทาย “ว่าไงเสาร์ มากินข้าวเหรอ”

“ครับพี่อิฐ สบายดีนะครับ”

คนโตกว่าพยักหน้าแทนคำตอบ ทั้งเกศและอิฐเลื่อนสายตามาทางเด็กปริศนาซึ่งขณะนี้ขยับไปหลบอยู่ด้านหลังวันเสาร์เรียบร้อยแล้ว

“แล้วนี่…?”

“นี่นับหนึ่ง เด็กที่บ้าน” วันเสาร์มอบตำแหน่งใหม่ให้เขา อย่างน้อยก็ขอบคุณที่ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนรับใช้เหมือนทุกครั้ง

“อ๋อ ศุกร์เล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน” หญิงสาวส่งยิ้มเป็นมิตร แตกต่างจากภาพลักษณ์เมื่อแรกเห็นลิบ “สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อเกศนะ เป็นเพื่อนเสาร์ ส่วนนี่พี่อิฐ แฟนพี่เอง”

“ส..สวัสดีครับ”

“จะหลบทำไม” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเอ็ดน้อยๆ แล้วดึงเขาให้ออกมาพบแขกทั้งสองเต็มตา พี่เกศ…เพื่อนพี่เสาร์ รู้สึกว่าหน้าคลับคล้ายละม้ายใครสักคนหรือเปล่านะ

คนในความคิดจ้องสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “คล้ายศุกร์จังเลยนะ”

เป็นคนที่ร้อยแล้วมั้งที่คิดแบบนั้น แต่ก็แน่นอนว่าคุณองครักษ์พิทักษ์น้องชายต้องรีบแย้งแทบจะทันควัน

“ไม่คล้ายสักหน่อย ศุกร์น่ารักกว่าตั้งเยอะ อย่าเอาเด็กนี่มาเทียบกับศุกร์ได้ไหม”

“เฮ้อ” เกศถอนหายใจหนักๆ ใส่ “ยังรักน้องออกนอกหน้าเหมือนเดิม”

วันเสาร์นิ่ง คำพูดถัดมาทำเอาบรรยากาศแปลกๆ ยิ่งดูแย่มากขึ้นสักล้านเท่าพันทวี

“อืม…ก็รักไง”

เราทั้งสี่ต่างเงียบสนิทเหมือนถูกใครมาดูดเสียงหายไป หลงเหลือไว้เพียงดนตรีคลอจากลำโพงของร้าน เกศสูดหายใจเข้าปอดแล้วพ่นออกมาทางปากอย่างเอือมระอา เธอหันไปกระซิบให้อิฐลงไปรอด้านล่าง ก่อนที่เขาจะโดนคนเป็นผู้ปกครองไล่กลับโต๊ะเช่นเดียวกัน

“ไปรอที่โต๊ะก่อน ถ้าอยากกินอะไรอีก ก็สั่งได้เลย”

“ครับ…”

ความจริงเขาไม่ได้อยากกินอะไรแล้ว ตอนนี้เขาอยากกลับบ้านมากกว่า…

เหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดทั้งวันดูราวกับความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง และทั้งๆ ที่เขาเผลอหลงระเริงไปว่ามันคงไม่ใช่ความฝัน แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับพังทลายลงง่ายดายเพียงแค่คำพูดเดียว ไออุ่นจากลมหายใจอีกฝ่ายยังคงติดตรึงอยู่บนปลายจมูก ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ขอบตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ความสุข…มันจบลงเร็วเกินไป เขายังไม่ได้เตรียมใจเลย…

บนบริเวณบาร์ชั้นสอง ทั้งเกศและเสาร์พากันย้ายมาเกาะขอบระเบียง เธอหยุดชื่นชมวิวตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามสารทุกข์สุขดิบจากเพื่อนมหาลัยซึ่งพักหลังมานี้ ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไร

“แล้วช่วงนี้เป็นไงบ้าง”

“ก็สบายดี”

“ได้ข่าวว่าจะเปิดร้านอาหาร”

“อืม หุ้นกับไอ้เจ แต่ยังมีเรื่องต้องเตรียมอีกเยอะเลย ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมแวะมาล่ะ”

“ต้องไปอยู่แล้ว”

เส้นผมตรงยาวถึงกลางหลังถูกสะบัดพาดไว้กับไหล่ข้างหนึ่ง เกศราไล่พิจารณาโครงหน้าหล่อเหลาของคนที่เธอเคยมอบหัวใจให้กระทั่งมันแตกสลายและกลายเป็นยาพิษกัดกินตัวเธอ ภายหลังเรื่องราววุ่นวายชวนปวดหัว พวกเราทั้งหมดกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันได้อีกครั้งราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลก

“แล้วเกศเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่คบกับพี่อิฐก็ไม่ค่อยเจอเลยนะ”

เธอยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะ แหวนเพชรบนนิ้วนางด้านซ้ายส่องประกายล่อแสงจันทร์ “เรากำลังวางแผนจะแต่งงาน”

“ยินดีด้วย” วันเสาร์เผยรอยยิ้มจริงใจที่สุดให้กับเพื่อนคนนี้ที่เขาเคยเผลอทำร้ายมาก่อน

“ขอบใจ”

ความเงียบโปรยตัวลงภายในห้องแคบๆ เริ่มก่อตัวเป็นความอึดอัดกินเวลานานหลายนาที กว่าที่หญิงสาวจะตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ

“เสาร์…น่าจะตัดใจจากศุกร์ได้แล้วนะ เหมือนที่เราตัดใจจากเสาร์” เธอขยับเข้าใกล้ วางมือลงแตะบนบ่ากว้างด้วยความเป็นห่วง “ชีวิตคนเราต้องก้าวเดินต่อไป รู้ไหม”

“…”

“คนที่เกิดมาเพื่อคู่กับนายอาจไม่ใช่วันศุกร์ แต่เป็นคนอื่นก็ได้ แต่ถ้ายังเอาแต่ปิดกั้นหัวใจตัวเองแบบนี้ ก็อาจพลาดโอกาสที่จะได้เจอคนคนนั้นเข้า...หรือไม่ก็ อาจจะเสียคนคนนั้นไปนะ”

คนสูงกว่าขยับตัวหลบ ทำให้มือของเธอตกออกจากไหล่ ดูเหมือนว่าร่างสูงตรงหน้ากำลังพยายามหลีกหนีจากบางอย่าง และมันทำให้เธอรู้สึกสงสารจับใจ…สงสารเด็กคนนั้น…

“ไม่ว่าเกศจะพูดยังไง เราก็คงเปิดใจให้คนอื่นไม่ได้หรอก ในชีวิตนี้คงไม่มีใครจะมามีความสำคัญมากไปกว่าวันศุกร์อีกแล้ว”

เกศราจ้องอีกฝ่ายกลับแน่นิ่ง ใจจริงเธออยากหัวเราะออกมาให้ดังลั่นร้าน แต่ก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มบางๆ ออกไป เอียงคอถามด้วยความสงสัยเต็มอก “มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอเสาร์”

ฝ่ายถูกถามตีหน้าฉงน หัวคิ้วหนามุ่นเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งเธอเอ่ยประโยคถัดมาซึ่งทำเอาคนฟังแทบกลายเป็นหิน

“ทั้งที่ตอนนี้ นายควรจะไปทานข้าวเย็นกับน้องชายสุดที่รักของนายไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้มาอยู่นี่กับเด็กที่เก็บมาเลี้ยงซะงั้นล่ะ”

ดวงตาคมเข้มลอกแลกเห็นได้ชัด เขารีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง สไลด์ปิด Airplane Mode ที่เปิดไว้ตั้งแต่เช้าเพื่อหวังจะหนีจากการติดต่อของเจนภพ ซึ่งเอาแต่ส่งข้อความไร้สาระมาไม่หยุดหย่อน อุปกรณ์สื่อสารในมือสั่นครืดคราดอยู่ในมือเขาราวกับเก็บกด ส่วนใหญ่เป็นเจนภพ แต่ Notification ท้ายสุดนั้นมาจากน้องชายคนสำคัญของเขาเอง

นิ้วเรียวเลื่อนเปิดอ่านข้อความซึ่งถูกส่งมาหลังจากฝาก Missed call ไว้กว่า 3 สาย

18:03 [ HelloFriday: พี่เสาร์อยู่ไหนครับ ]

18:03 [ HelloFriday: วันนี้เรานัดกินข้าวเย็นกันไม่ใช่เหรอ ]

18:15 [ HelloFriday: สงสัยพี่เสาร์ยุ่ง… ]

18:16 [ HelloFriday: งั้นไม่เป็นไรครับ ]

18:16 [ HelloFriday: ไว้เราเจอกันวันอื่นก็ได้ ]

18:17 [ HelloFriday: ศุกร์ขอไปดูหนังกับพี่กันต์แทนน้า ]

“พอดีรู้มาจากกันต์น่ะ” เกศทำลายความเงียบ ก่อนจะทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินลงไปด้านล่าง “งั้นเราไปหาพี่อิฐก่อนนะ ไว้คุยกัน”

วันเสาร์กำมือถือไว้แน่น แววตาดุดันสั่นไหวด้วยความสับสน แถมสมองยังยุ่งเหยิงไปหมด นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้รับสายหรือตอบข้อความจากวันศุกร์ และก็เป็นครั้งแรกที่เขาลืมนัดสำคัญของน้องชายสุดที่รักคนเดียวคนนี้ด้วย

ไม่จริง!

เขาตะโกนคำนี้อยู่ภายในใจเป็นร้อยล้านครั้งต่อวินาที ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะลืมเรื่องเกี่ยวกับวันศุกร์ ทั้งที่ปกติจะไม่มีทางลืมแน่นอน ไม่มีทาง…

.

‘ทั้งที่ตอนนี้ นายควรจะไปทานข้าวเย็นกับน้องชายสุดที่รักของนายไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้มาอยู่นี่กับเด็กที่เก็บมาเลี้ยงซะงั้นล่ะ’

.

แปลว่าตอนนี้เขาเห็นนับหนึ่งสำคัญมากกว่าวันศุกร์แล้วงั้นเหรอ?

เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…



----------------------------------------------------------------------------------------------

นี่ไม่ใช่ความฝันค่ะ มาอัพแล้วหลังจากหายหน้าหายตา 555 หวังว่าทุกคนจะยังคิดถึงพี่เสาร์น้องหนึ่งกันอยู่นะคะ ตอนนี้เป็นตอนที่เหมือนจะมีความสุข แต่ก็สุขไม่ 100% สักที น่าสงสารน้อง พี่เสาร์ผีเข้าผีออกซะด้วย...ฮือ

ตอนหน้ามาเมื่อไรก็ยังไม่รู้ ช่วงนี้ยืนพื้นเดือนละตอนไปก่อนนะคะ เพราะจนปัจจุบันก็ยังไม่มีวี่แววว่าบ.จะหาคนมาช่วยงานเราได้เลย งานล้นมือมากๆ คือต้องบอกก่อนว่าปกติแต่งนิยายในเวลางานมาตลอด 555555555555 อยู่บ้านปกติจะไม่ค่อยแต่งนะ มันคือเวลาพักผ่อน (อันน้อยนิด) ของเราอ่า เผื่อบางคนคิดว่าเราก็ว่างทำนู่นทำนี่ ทำไมไม่มาปั่นนิยาย 555 คือต้องพักบ้าง การแต่งนิยายไม่ใช่การพั๊กก ฮืออออ T____T แต่ขอย้ำว่าพี่เสาร์จบแน่นอน โปรดอย่าเพิ่งทิ้งกันน้าา

อย่าลืมคอมเม้น และติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ ในทวิตเตอร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ เริ้ป ❤
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 15
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 03-02-2019 03:08:25
พี่เสาร์!! ยอมรับความจริงได้แล้วว่านับหนึ่งกลายเป็นคนนั้นของพี่ไปแล้ว อย่าจมอยู่แต่กับอดีต ก่อนที่น้องจะเจ็บไปกว่านี้ จัมม!!
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 15
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-02-2019 09:11:57
นับหนึ่งแทนทีวันศุกร์เรียบร้อยแล้ววันเสาร์ :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 15
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 03-02-2019 15:07:28
นับหนึ่งต้องทำลายกำแพงภายในใจของพี่เสาร์ให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 16
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-02-2019 10:51:42
นับหนึ่ง ถึง สิบหก

 

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก…”

เขากดวางสายเป็นรอบที่ 5 ความพยายามที่จะติดต่อน้องชายหมดลง วันเสาร์เดินวนไปรอบๆ บาร์ว่างเปล่าเป็นเวลานานเพื่อสงบสติอารมณ์กระจัดกระจายของตัวเอง เขาเผลอขยี้หัว ทั้งทึ้งผมตัวเองอยู่หลายครั้ง อะไรบางสิ่งกำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงภายในจิตใจ

ลมหายใจอุ่นพ่นออกจากปากเฮือกใหญ่ เขาหยุดฝีเท้า สะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆ นาๆ ในสมอง แล้วก้าวขากลับลงไปยังลานร้านอาหารด้านล่าง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ตรงข้ามกันมีเด็กที่เอาแต่ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา เขาเผลอจ้องภาพนั้นอยู่เกือบนาทีจนอีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นเหมือนอยากจะถามบางอย่าง ทำให้เขาต้องรีบเบือนสายตาหนีไปทางพนักงานสักคน

“คิดเงินด้วยครับ”

เด็กเสิร์ฟในชุดยูนิฟอร์มเต็มยศเดินเข้ามาวางใบเสร็จลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งกล่องพลาสติกสีขุ่นบรรจุขนมบางชนิด “อันนี้ของแถมจากทางร้านครับ”

“อ่า” เขาเพียงแค่พยักหน้าแทนคำขอบคุณ แล้วส่งบัตรเครดิตในมือให้

หลังจากที่จัดการเรื่องจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันเสาร์ถึงเดินอ้อมหลังมาสะกิดเด็กที่เอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ให้ลุกขึ้น ไม่ลืมหันไปสบตากับเกศและอิฐซึ่งจับจองโต๊ะไม่ห่างไกลนักเป็นเชิงลา ก่อนจะก้าวขานำออกจากร้านไป

นับหนึ่งก้มลงมองของแถมในมือหลังจากเข้ามาประจำตำแหน่งบนรถ ถือวิสาสะเปิดออกดู พบว่ามันคือขนมกลีบลำดวนจัดวางจนเต็มกล่อง เขาลอบยิ้มบางๆ สงสัยว่าขนมหวานชิ้นนี้จะพอทำให้วันเสาร์กลับมาอารมณ์ดีขึ้นได้บ้างไหม

“พี่เสาร์ทานไหมครับ ขนมกลีบลำดวน”

“ไม่ล่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับ ไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ

เขาอมอากาศไว้ในกระพุ้งแก้มเมื่อถูกเมินอย่างเห็นได้ชัด พยายามยื่นแขนออกไปจ่อขนมชิ้นนั้นใกล้ๆ ปากเป็นเส้นตรง

“ลองชิมหน่อยสิครับ”

คิ้วเข้มขมวดมุ่น เบือนหน้าหนีเล็กน้อย สายตาคมจับจ้องเพียงแต่ถนนเบื้องหน้า “นายกินไปคนเดียวเถอะ”

“แต่ผมอยากให้พี่เสาร์กินด้วยนี่ กินหน่อยนะครับ นะ” เขายังคงคะยั้นคะยอ ยื่นแขนเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนขนมสีนวลเหมือนจะแตะโดนมุมปากอีกฝ่ายแผ่วๆ และนั่นคงทำให้ความอดทนที่มีต่อเขาขาดผึ่งลงทันที

“บอกว่าไม่กินไง!”

วันเสาร์ตะคอก ปัดมือเขาออก จนกลีบลำดวนขึ้นรูปสวยกระเด็นแตกอยู่บนผ้ายาง พร้อมกับร่างทั้งร่างของเขาที่ถูกแรงเหวี่ยงพาไปจนแนบติดประตู เนื่องจากอีกคนหักพวงมาลัยเข้าข้างทางกะทันหัน

รถยนต์ราคาแพงจอดตัวลงเทียบฟุตบาท แสงสลัวจากเสาไฟฟ้าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยปรับทัศนวิสัยของเราภายในพื้นที่คับแคบ ความมืดของท้องฟ้ายามค่ำไม่ได้มองดูน่าเกรงกลัวมากไปกว่าแววตาแข็งกร้าวของผู้ชายตรงหน้าเขาตอนนี้

“ผะ..ผม ขอโทษครับ” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นสนิท ค่อยๆ ก้มตัวลงไปเก็บเศษของหวานบนพื้นใส่ทิชชู่ ขณะที่อีกคนเริ่มยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองราวกับจะไล่ความสับสนออกไป

เราปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน คนตัวสูงเหลือบมองร่างแน่นิ่งบนเบาะข้างกาย สลับกับกล่องพลาสติกของแถมจากร้านอาหารเมื่อครู่ เขาพยายามรวบรวมสติแล้วถอนหายใจออกมาทีเดียวยาวเหยียด คลายสีหน้าเคร่งเครียดออกแล้วเอื้อมมือไปสะกิดไหล่บางเบาๆ

“ขอโทษ” เขาเชยคางเรียวให้เงยหน้ากลับขึ้นมาสบตากัน “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตะคอก”

“…”

คนตัวเล็กไม่ตอบ ขอบตากลมโตนั่นแดงเรื่อคล้ายว่าหากเขาแตะโดนอีกแค่หน่อยเดียว เขื่อนในกระจกตานั้นคงแตกทะลัก ไม่วายปล่อยโฮออกมาแน่ มือหนาเลื่อนลูบศีรษะทุย โน้มหน้าเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เขาเดาว่าคงอ่อนโยนที่สุดแล้ว

“ไหน เมื่อกี้เขาให้อะไรมานะ กลีบลำดวนเหรอ”

ฝ่ายโดนถามพยักหน้า ยังไม่กล้าปริปากอะไร

“ป้อนฉันอีกรอบได้ไหม”

นับหนึ่งจ้องเขาอย่างไม่มั่นใจนัก กว่าจะยอมพยักหน้าลงอีกครั้ง แล้วเปิดกล่องบนตักออกซ้ำสอง ขนมไทยชิ้นพอดีคำถูกยื่นมาจ่ออยู่ต่อหน้า คราวนี้เขาไม่ลังเลที่จะรีบรับมันเข้าปาก มือเรียวควานหยิบอีกชิ้นป้อนคืนใส่ปากเจ้าของใบหน้าหม่น คาดหวังให้กลับมาสดใสตามเดิม

และก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลทีเดียวเมื่อนับหนึ่งค่อยๆ อมยิ้มขณะขยับปากเคี้ยว พวงแก้มขาวซีดจากความตกใจก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อน่าดูชมอย่างที่เขาชอบมอง

“อร่อยดีนะครับ” ปากอิ่มยอมส่งเสียง เรียกรอยยิ้มของเขากลับคืนมาเช่นกัน

เขายีกลุ่มผมนุ่มสองสามที พยักหน้าเห็นด้วย “อืม อร่อย” ก่อนจะกลับมาจับพวงมาลัย ออกรถตรงกลับบ้าน

พี่ละเมียดเป็นคนแรกที่ออกมาต้อนรับพวกเรา เธอเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่งสายตาหยอกล้อไปทางคุณชายคนโต วันเสาร์ส่ายหน้าให้กับแม่บ้าน โบกมือไล่ให้เด็กที่เลิกขวัญเสียแล้วขึ้นไปอาบน้ำเพื่อจะได้พักผ่อนหลังตะลอนออกไปเที่ยวทั้งวัน

เขาปลีกตัวเข้าไปหลบอยู่ในห้องนั่งเล่น หยิบโทรศัพท์กดโทรออกหาน้องชายตัวเองอีกครั้งแต่ก็ยังคงติดต่อไม่ได้อยู่ดี ขายาวเหยียดตึงไปตามแนวโซฟา หลังมือก่ายหน้าผาก คำพูดของเกศรายังคงดังวนเวียนซ้ำไปมาอยู่ในหัวของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน จนกระทั่งขณะนี้ เปลือกตาหนักอึ้งปิดลง เขาอาจต้องการพักเพื่อไตร่ตรองอะไรต่างๆ

ภายในความมืด ภาพของวันศุกร์ น้องชายที่เขานึกรักมาตลอด รักที่สุดเพียงแค่คนเดียวบนโลก วันนี้มันถูกตัดสลับกับภาพของเด็กอีกคนที่เพิ่งโผล่เข้ามาในชีวิตของเขาในวัยใกล้เบญจเพส ไม่รู้ว่าควรเรียกมันว่ายังไง…ความบังเอิญเหรอ ก็อาจจะใช่ เพราะความบังเอิญทำให้ใครคนนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในความคิดของเขาในทุกวัน ทีละนิด ทีละน้อย

กว่าจะทันรู้ตัว ความรู้สึกที่มีให้…ก็กัดกินเขาไปเกือบทั้งใจแล้ว

นานแค่ไหนไม่รู้ที่เขาเอาแต่หลับตาทบทวนเรื่องราวยุ่งเหยิงชวนปวดประสาท เสียงฝีเท้ากระโดกกระเดกจากบันไดบ้านดึงให้เขากลับมาสู่โลกปัจจุบัน เดาได้เลยว่านับหนึ่งคงวิ่งซนอะไรอีก

ครืดด…

โทรศัพท์ในมือออกแรงสั่น เขารีบเลื่อนกดรับทันทีโดยแทบไม่ต้องมอง เสียงใสๆ ของคนในความคิดดังขึ้น

“ฮัลโหลพี่เสาร์ พาหนึ่งไปกินข้าวมาเป็นไงบ้างครับ” วันศุกร์หัวเราะคิกคักติดท้ายประโยค

“ศุกร์ พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะลืมนัดของเรา”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ศุกร์ดีใจด้วยซ้ำที่พี่เสาร์พาหนึ่งออกไปเที่ยว”

“แต่ว่า…”

“แล้วสรุปเป็นยังไงบ้างครับวันนี้ สนุกไหม”

เขาเผลอกำหมัด แววตาคมหม่นแสงหลุบต่ำลง ใจหนึ่งเขารู้สึกผิดต่อน้องชายถ้าจะบอกว่าวันนี้เขามีความสุขมากแค่ไหน แต่ถ้าเขาตอบว่าไม่ มันคงรู้สึกผิดต่อเด็กอีกคนอยู่มากเหมือนกัน

“ก็…ก็ดี”

“วันนี้ศุกร์ก็สนุกครับ พี่กันต์พามาดูหนังแล้วก็กินชาบูด้วยแหละ”

“เหรอ”

“ครับ แต่ไม่คิดว่าพี่เกศจะบังเอิญเจอพี่เสาร์เลยอะ”

“อ่า เกศไปกินข้าวกับพี่อิฐน่ะ” กำปั้นหลวมๆ คลายออก ความสับสนในใจยังคงล่องลอยวนเวียนอยู่ไม่หาย แต่เพราะว่าศุกร์พูดคุยกับเขาอย่างเป็นปกติ ทำให้บรรยากาศรอบตัวไม่ได้ชวนอึดอัดมากเกินไปนัก เขาตอบโต้ตามธรรมชาติ พยายามจะไม่คิดเรื่องอะไรให้หนักสมองในเวลานี้

“พี่เกศชมหนึ่งให้ฟังใหญ่เลยครับ บอกว่าน่ารักๆ ไม่หยุดปากเลย”

เขาหลุดขำ ใบหน้าหวานแดงฉ่ำดั่งผลไม้ฤดูหนาวนั่นผุดขึ้นมาในหัว ‘น่ารัก’ ไม่ใช่คำที่เขาเคยใช้อธิบายถึงเด็กคนนั้นมาก่อน หากก็เถียงไม่ออกเลยว่าไม่จริง…

แต่เขาไม่มีทางชมคนอื่นให้วันศุกร์ฟังอยู่แล้ว “น่ารักตรงไหน”

“น่ารักตรงไหนเหรอ…” คนปลายสายทวนคำ รู้สึกเหมือนว่าเขาเห็นวันศุกร์กำลังนั่งยิ้มกริ่มอยู่ยังไงก็ไม่รู้ “อันนั้นพี่เสาร์คงต้องถามตัวเองแล้วล่ะครับ”

“พูดไร้สาระอีกแล้วนะศุกร์”

“ไร้สาระตรงไหนกัน นี่มันความจริงล้วนๆ”

ร่างโปร่งส่ายหน้า ก่อนจะชะงักไปนิดกับคำถามรุกไล่ลำดับถัดมา

“แล้วจู่ๆ ทำไมพี่เสาร์ถึงคิดจะพาหนึ่งออกไปเที่ยวล่ะครับ มีไรเปล่าเนี่ย” สาบานเลยว่าถ้าคนที่กำลังพูดแซวเขาอยู่ตอนนี้เป็นนายเจนภพ ไม่ใช่วันศุกร์ล่ะก็ มีหวังเขาได้ด่าไม่ก็ตบกะโหลกสักทีไปแล้ว

“เปล่า พี่ก็แค่…”

“ก็แค่?” คนเป็นน้องเว้นช่วง ความเงียบเพียงวินาทีทำเอาเขาลุ้นกับคำตอบเสียยิ่งกว่าตอนประกาศผลสอบไฟนอลซะอีก และถึงแม้เขาจะคาดหวังนักหนาให้พี่ชายจอมปากแข็งยอมตอบว่า ‘ก็แค่อยากใช้เวลาอยู่กับนับหนึ่ง’ หรือ ‘เราก็แค่ไปเดทกัน’ แต่คนอย่างวันเสาร์ก็คงไม่มีวันพูดออกมาแน่นอน

“พี่ก็แค่รำคาญที่ต้องมาฟังหมอนั่นบ่นว่าเบื่อ”

หราาาา เขาอยากถามกลับแบบนั้น แต่ก็ทำได้แค่เออออกลั้วหัวเราะให้กับความซึนของพี่ชายตัวเอง ทำมาเป็นบอกว่ารำคาญที่อีกฝ่ายบ่นว่าเบื่อ ก็เลยพาออกไปเที่ยวเล่นให้มันจบๆ ไปงี้เหรอ เชื่อก็บ้าแล้ว 19 ปีที่อยู่ด้วยกันมา ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจพี่คนนี้ได้ทั้งหมด แต่เรื่องนี้เขาไม่มีทางที่จะไม่รู้ คนแบบวันเสาร์…ถ้ารำคาญ ก็จะตัดทิ้งทันที ไม่มัวมาเสียเวลาใส่ใจอะไรทั้งนั้น

ส่วนไอ้การที่ปากบอกว่ารำคาญแต่ก็ยังตามใจเขา พาไปเที่ยว ไปกินอาหารดีๆ เนี่ย…มันช่างห่างไกลจากตัวตนปกติของวันเสาร์โดยสิ้นเชิง ถ้าไม่เรียกว่ารักเขาก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วแหละ

“ศุกร์ดีใจนะครับ”

“ดีใจอะไร”

“ดีใจที่วันนี้พี่เสาร์ผิดนัดศุกร์”

คนโตกว่าเลิกคิ้วสูง “ทำไมถึงดีใจล่ะ พี่เสียใจนะ”

“ก็มันแสดงให้เห็นว่าพี่เสาร์เริ่มแคร์คนอื่นมากขึ้นแล้วไงครับ”

“โธ่ วันนี้พี่ก็แค่ลืม พี่จะแคร์คนอื่นไปมากกว่าศุกร์ได้ยังไง…”

เพล้งง!!

ปากหยักอ้าค้างทั้งที่ยังอธิบายไม่จบ เสียงอะไรสักอย่างตกแตกดังไกลมาจากทางห้องครัว เขาดันตัวเองลุกขึ้น สงสัยว่าพี่ละเมียดหรือพี่ละไมจะเผลอซุ่มซ่ามอะไรอีกหรือเปล่า เพราะใช่ว่าแกจะไม่เคย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ศุกร์ได้ยินเสียงเหมือนอะไรแตก”

“ไม่รู้สิ สงสัยพี่ละเมียดทำจานแตกมั้ง…”

และเรื่องมันคงจบลงแค่ความสงสัยเท่านั้นถ้าไม่ใช่ว่าได้ยินคนในความคิดตะโกนตามหลังมาซะเสียงดังลั่นบ้าน

“คุณหนึ่ง เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!”

หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันแทบจะทันที ขาเรียววาดลงแตะพื้น รีบวิ่งออกไปจากห้องนั่งเล่นไวกว่าความคิดหลายเท่า วันเสาร์พาตัวเองมายืนหอบน้อยๆ อยู่ต่อหน้าเด็กซุ่มซ่ามตัวจริง กำลังยืนขาสั่นหน้าซีดเผือดอยู่กลางวงล้อมเศษชิ้นส่วนเซรามิก มีพี่ละเมียดยืนส่งสัญญาณไม่ให้ขยับตัวไปไหน

“พะ..พี่เสาร์” นับหนึ่งมีท่าทางตกใจเมื่อเห็นใบหน้าคนเป็นนาย เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำข้าวของเสียหายสักหน่อย แค่ลงมารินนมดื่มเหมือนทุกคืน แต่ดันได้ยินเสียงแมวร้องจากด้านนอก เลยสะดุ้งจนทำแก้วตกแตกซะงั้น

และเขาก็แปลสีหน้าของวันเสาร์ไม่ออกด้วยว่ากำลังโกรธหรือว่าอะไรกันแน่

“คุณหนึ่งยืนเฉยๆ ค่ะ” พี่ละเมียดรีบเตือนเมื่อเขาเผลอก้าวขา

เสียงจากปลายสายโทรศัพท์ในมือเจ้าของบ้านดังลอดแว่วๆ แต่ก็จับความไม่ได้สักคำ

“เกิดอะไรขึ้นครับพี่เสาร์”

คนตัวสูงยกมือถือขึ้นแนบหูอีกครั้ง น้ำเสียงเรียบนิ่งหากแอบซ่อนความสั่นไหวเอาไว้ในนั้นเปล่งออกมาเพียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ “ไม่มีอะไร หนึ่ง…หนึ่งมันแค่ทำแก้วแตก”

“งั้นพี่เสาร์ไปดูแลหนึ่งก่อนเถอะครับ ไว้ค่อยคุยกัน”

น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอ แววตาคมจับจ้องไปยังภาพของนับหนึ่งซึ่งกำลังหันซ้ายทีขวาทีอย่างลนๆ พี่ละเมียดวิ่งกลับไปทางห้องเก็บของเพื่อหยิบไม้กวาด

เขาใช้เวลาชั่งใจอยู่ได้ไม่เกินวินาที “…อืม” ก่อนจะยอมตอบรับและกดวางสายน้องชายตัวเองทั้งที่ยังมีเรื่องต้องพูดให้จบ

“อย่าขยับ” เสียงทุ้มเอ็ดขณะก้าวข้ามแก้วที่แตกบนพื้นเข้าไปประชิด เขารู้สึกได้ว่าฝ่าเท้าตัวเองสัมผัสถูกละอองมีคมเล็กๆ แต่มันก็ไม่ได้กระเทือนผิวหนังของเขาสักเท่าไร

“พี่เสาร์ ทำอะไรครับ”

เจ้าตัวซุ่มซ่ามถามเมื่อเห็นเขาย่อตัวลงคุกเข่า ไล่หยิบเศษเซรามิกชิ้นใหญ่พอจะเห็นชัดด้วยตาเปล่าวางใส่มืออีกข้างอย่างระมัดระวัง เพราะว่าพี่ละเมียดชักช้า และก็เพราะเขากลัวเหลือเกินว่าเด็กที่อยู่นิ่งไม่เคยได้จะพลาดท่าเหยียบถูกคมแก้วจนได้แผลเลือดออกซะก่อน

ไม่นานนัก พี่ละเมียดก็ตามมาช่วยเขาเก็บกวาดจนพื้นกระเบื้องกลับมาสะอาดพร้อมเหยียบดังเดิม กระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นหนารวบเศษแก้วแตกนำไปทิ้งถังขยะด้านนอกรั้ว คนตัวเล็กยืนแข็งทื่อ ปล่อยให้วันเสาร์เอาแต่จับเขาหมุนไปพลิกมาอย่างกับเป็นหุ่นของเล่น ลูบสำรวจไปแทบจะทุกส่วนที่โผล่พ้นจากเนื้อผ้า

“ไม่ได้เป็นอะไรตรงไหนใช่ไหม”

เขาส่ายหน้า ก่อนจะบุ้ยปากเมื่อถูกตำหนิ

“ทำไมไม่ระวังเลย”

“ก็ผมตกใจนี่น่า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแมวร้องอะ”

“ขวัญอ่อนไปได้” วันเสาร์กลับมาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง วางมือแปะลงกลางศีรษะพลางขยี้เส้นผมนุ่มเบาๆ เขาอยากรีบหยิกแก้มตัวเองให้แรงที่สุดตอนนี้เลย เพราะว่าวันเสาร์คนเย็นชาหายไปเกือบจะครบ 24 ชั่วโมงแล้ว และนั่นสามารถนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อันดับต้นของโลกได้ด้วยซ้ำ

จะว่าไม่ชิน ก็ใช่…แต่อีกใจเขาก็ชอบที่มันเป็นอย่างนี้

ถ้าขืนวันเสาร์ทำตัวอ่อนโยนตลอดไป มีหวังได้มีคนสำลักความสุขตายแน่เลย… บ้าจริงๆ

“ผมขอโทษนะครับ”

“อะไร”

“ก็ที่ทำแก้วแตก…”

ลมหายใจปล่อยพ่นออกจากปาก สัมผัสอบอุ่นเคลื่อนลงประคองโครงหน้าเรียวเล็กไว้ “ฉันไม่ได้ดุที่นายทำแก้วแตก แต่ฉันดุเพราะว่าเป็นห่วง—”

เชี่ย

วันเสาร์ชะงัก เหมือนมีคำคำนี้เด้งออกมาจากหน้าผากเขาในเสี้ยววินาทีที่พลั้งปากเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกไป ซึ่งตามความเป็นจริง นั่นควรเป็นหนึ่งในคำต้องห้ามที่เขาจะไม่พูดให้เด็กคนนี้ได้ยินเด็ดขาด

ใช่…มันเป็นคำต้องห้ามสำหรับตัวเขาเองด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเขาพูดออกไป ก็เท่ากับว่าเขายอมรับ สิ่งที่เขายังไม่พร้อมยอมรับ…ความรู้สึกลึกสุดลึกในใจที่เขาพยายามกลบซ่อนมิดชิดมาโดยตลอด

“หมายถึงว่า…” เขาพยายามสรรหาเหตุผลโง่เง่าสักอย่างขณะเหลือบตามองกำแพงโล้นๆ “ฉันเป็นห่วงตัวเอง เพราะถ้านายเกิดเลือดตกยางออก มันก็ลำบากฉันต้องพาไปรักษา ถูกไหม”

“อ๋อ…ครับ”

บรรยากาศกระอักกระอ่วนทำเอาทั้งสองฝ่ายต่างเข้าหน้ากันไม่ติด แต่ครั้นจะเดินหนีออกไปจากฉากก็ทำไม่ได้เพราะขามันไม่เขยื้อนซะงั้น กระทั่งเสียงของพี่ละเมียดดังขึ้นเรียกสติของเราให้กลับมาสนใจความเป็นจริงมากกว่าการละเล่นตีความหมายต่างๆ นาๆ ในหัวสมอง

“คุณเสาร์ คุณหนึ่ง จะเอาอะไรอีกไหมคะ”

“เอ่อ ไม่ครับ” เด็กน้อยตอบ ตามด้วยเจ้านาย “พี่กลับห้องนอนเลยก็ได้ครับ ตรงนี้ผมจัดการเอง”

“โอเคค่ะ”

เธอส่งยิ้มล่ำลาแล้วเดินทะลุหลังบ้านออกไปยังบ้านพักหลังเล็ก ซึ่งผู้เป็นพ่อสร้างไว้ให้คนรับใช้อาศัย เขาหันหน้ากลับมาก้มมองเจ้าของเรือนผมยุ่ง สีดำซีดๆ จากการออกแดดและไม่เคยดูแลนานหลายปี

เวลาในห้องครัวดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครยอมปริปากอยู่นานพอสมควร จนเขาต้องแสร้งกระแอมก้อนบางอย่างในลำคอเพื่อทำลายความเงียบอันไม่จบสิ้น

“งั้นฉันขึ้นนอนก่อน”

ดวงตาแววหวานช้อนจ้องคนสูงกว่า นับหนึ่งยื่นมือออกไปรั้งชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ทันท่วงที ความรู้สึกมากมายอัดแน่นเต็มอกเก็บซ่อนไม่มิดสักนิดเดียว วันเสาร์เองก็รู้อยู่หรอกว่าวันนี้ตัวเองใจดี และเด็กตรงหน้าก็คงดีใจ หลังจากเคยถูกเขาทำร้ายมาตั้งไม่รู้กี่หน

น้ำเสียงใสดุจแก้วกระจกเอื้อนเอ่ยเบาหวิว ยิ่งเชิญชวนให้เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อจะฟังมันได้ถนัด “คืนนี้…ผมขอนอนกับพี่เสาร์อีกได้ไหมครับ”

อ่า ให้ตายเถอะ เด็กนี่ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่ากำลังอ่อยเขาอยู่น่ะ

แค่นี้ก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ขืนต้องนอนมองใบหน้าที่เอาแต่วนเวียนหลอกหลอนเขาอยู่ในห้วงความคิด มีหวังเขายิ่งเตลิดจนอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้

ยังไงก็ต้องตอกย้ำคำพูดของตัวเอง ที่ว่าไม่มีใครจะมาสำคัญไปมากกว่าวันศุกร์ไปได้อีกแล้ว และการที่เขาจะแคร์คนอื่นมากกว่าน้องชายของเขานั้นมันก็เป็นไปไม่ได้

“แต่ฉันว่า—”

“ไม่ได้เหรอครับ” คนตัวเล็กสวน สีหน้าคาดหวังกลายเป็นผิดหวังลงในทันที หัวคิ้วบางขมวดมุ่น แววตาหม่นแสงอย่างกับว่ากำลังทดสอบอะไรเขา

ไม่มีทาง…

“อ่า…”

ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง

ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง

ไม่มีทาง

“ก็ได้”

แม่งเอ้ย…

เขารีบเบือนหน้าหนีรอยยิ้มกว้าง สาวเท้าไวๆ ไปทางบันไดลาดตรงสู่ชั้นสอง นับหนึ่งดูอารมณ์ดี อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เขาเผลอปัดขนมกลีบลำดวนตกพื้น และมากกว่าตอนที่ทำแก้วนมหล่นแตก เราผลัดกันอาบน้ำ ก่อนจะจบลงบนเตียงหลังใหญ่ ยังคงตลบอบอวลไปด้วยภาพความทรงจำของเราสองคน

หลอดไฟติดเพดานดับลง คงไว้แต่แสงสลัวจากโคมตั้งโต๊ะ

สายตาเรียวหลุบมองต้นขาขาวเนียนโผล่พ้นชายกางเกงบ๊อกเซอร์สีกรมท่าตีลายตาราง สั้นเลยเข่าขึ้นมาในระดับอันตรายพอดู นี่ไง เหตุผลที่เขาไม่อยากให้เด็กนี่มานอนด้วย ในภาวะที่กำลังสับสนจนสมองแทบแตก เขาไม่อยากทำให้ตัวเองวุ่นวายใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“พี่เสาร์”

“ฮึ” เขารีบเงยหน้าหาเจ้าของเสียง หวังว่าเมื่อกี้คงดูไม่ออกว่ากำลังแอบมองขาอ่อนอยู่หรอกนะ

“ผมคุ้นหน้าพี่เกศมากเลยครับ เขาเป็นเพื่อนสนิทพี่เสาร์เหรอ”

“ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้น แต่เกศเป็นพี่ของกันติกรณ์”

“กันติกรณ์…ใครครับ”

เหมือนว่าหนังตาเขาจะกระตุกไปครั้งนึงหลังจากได้ยินคำถามชวนหงุดหงิด นอกจากตอบว่ากันติกรณ์เป็นน้องชายเกศรา เขาก็ไม่เคยคิดจะตอบเป็นอย่างอื่นอีก ไม่อยากพูด…คำที่จะกลายมาเป็นมีดกรีดหัวใจเขา

แต่ว่า…ก็ช่างมันเถอะ สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนความจริงข้อนี้ไม่ได้อยู่ดี

“แฟนศุกร์”

“แฟนพี่ศุกร์” ฝ่ายเด็กกว่าทวนคำ ย้อนนึกไปถึงเย็นวันที่เขาย่องเข้าไปในห้องนอนของคุณชายคนเล็ก บนโต๊ะมีรูปของวันศุกร์ถ่ายคู่กับผู้ชายหน้าตาดีอีกคน ซึ่งเขาไม่เคยเจอหรือรู้จักมาก่อน และก็ใช่เลย ที่เขาคุ้นหน้าเกศราก็เพราะว่าเธอคล้ายคลึงกับผู้ชายในภาพที่เขาเคยเห็น ซึ่งก็คงจะเป็นกันติกรณ์นั่นเอง

“อ๋อ”

“อ๋ออะไร เคยเจอเหรอ” วันเสาร์หรี่ตาลงอย่างจับผิด

เขารีบโบกไม้โบกมือพัลวัน ตอบกลับเสียงอุบอิบเพราะว่ายังคงมีความผิดติดหลังตั้งแต่ตอนนั้น “เปล่าครับ ผมเคยเห็นรูปในห้องพี่ศุกร์”

“ไม่ต้องไปสนใจมันมาก ถ้าเจอก็ให้อยู่ห่างๆ ไว้”

เจ้าของร่างเล็กหลุดขำให้กับคำเตือน ก็พอเดาออกอยู่หรอกว่าคนขี้หวงเข้าขั้นหนักแบบวันเสาร์ จะปฏิบัติต่อแฟนน้องชายที่รักของตัวเองยังไง ต่อให้ไม่รู้จัก แต่เขาก็คิดภาพตามได้เป็นฉากๆ เลยว่าคนชื่อกันติกรณ์นั่นคงลำบากน่าดู แต่ก็น่านับถืออยู่เหมือนกันที่สามารถฝ่าฟันอีท่าไหนถึงไปคบกับวันศุกร์ได้ ทั้งที่พี่ชายเขาดุยิ่งกว่าเสือขนาดนี้

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่วันเสาร์เผลอยิ้มมุมปาก เพียงแค่ได้เห็นเด็กข้างกายส่งเสียงหัวเราะ อาจเพราะชีวิตของนับหนึ่งดูน่าเห็นใจ เขาถึงอยากทำให้เด็กคนนี้อารมณ์ดีงั้นเหรอ หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น…อะไรที่เขาเองรู้แก่ใจ แต่ยังไม่อาจยอมรับสักที

ความเงียบโปรยตัวเข้าปกคลุมพื้นที่ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง ท้องฟ้าถัดจากหน้าต่างกลายเป็นผืนผ้ากำมะหยี่มืดทึบ ไฟหลอดเล็กสีส้มบนหัวเตียงส่องฉายเสี้ยวหน้าหวานใส กำลังหันมองเขาอย่างมีความหมาย เราต่างสบสายตากันโดยไม่พูดกล่าว มือเล็กเลื่อนวางทับบนหลังมือเขาก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิดจนรู้สึกถึงลมหายใจผะแผ่ว

นับหนึ่งใช้มืออีกข้างบีบข้อเท้าตัวเองไว้ โดยหวังโง่ๆ ว่ามันจะช่วยสะกดกลั้นแรงเต้นของอวัยวะในอกซ้ายได้ ความบ้าบิ่นเกินตัวขับเคลื่อนให้เขากล้าคิดที่จะทดสอบอะไรบางอย่างซึ่งไร้หลักประกัน ถ้าหากว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดเพี้ยนไป…ก็คงคิดว่าวันเสาร์คนนี้อาจมีใจให้เขาไม่มากก็น้อย

เพราะคนใจร้าย…กลับมาใจดีแบบนี้

‘แล้วจูบของไอ้เสาร์เป็นยังไง ตายไปเลยปะ’

คำถามของเจนภพที่เขาไม่มีวันหาคำตอบให้ได้ ความจริงแล้วเขาเองอยากจะรู้เหมือนกัน ก็เลยขอลองเสี่ยงดูอีก สักครั้ง…

วันเสาร์จ้องเขากลับพลางมุ่นหัวคิ้วแน่นเป็นปม คนตัวสูงไม่ได้ขยับหนีไปไหน หากก็ไม่ได้ให้การตอบรับดีเท่ากับคราวก่อนหน้าบนชั้นสองของร้านอาหาร ริมฝีปากบวมอิ่มเคลื่อนชิดจวนจะสัมผัสเข้ากับปากหยักสีธรรมชาติอยู่รอมร่อ หัวใจของเขาเต้นโครมครามเสียงดังน่ากลัว ก่อนที่จะหยุดลงกะทันหันราวกับมีค้อนอันมหึมาฟาดทุบลงกลางอก ใบหน้าแดงก่ำถอดสีกลายเป็นซีดเผือด ในวินาทีที่ร่างทั้งร่างถูกมือหนาผลักไสออกห่าง ถอยถดไกลหนึ่งช่วงแขน

ดวงตากลมโตเบิกกว้างสั่นไหวด้วยความตกใจระคนผิดหวัง ขอบตาร้อนผ่าวพร้อมหยดน้ำคลอหน่วยแทบจะทันทีที่รู้ตัวว่าถูกปฏิเสธ ความอับอายไม่ได้มีมากเท่ากับความเสียใจอัดแน่นจนแทบอยากกรีดร้องออกมาให้ดังสุดเสียง แต่เขาก็กลับทำได้แค่เพียงมองจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่งราวกับต้องการบีบเค้นเอาคำอธิบายซึ่งเขาเองยังไม่กล้าที่จะรับฟัง บรรยากาศในห้องซึ่งเขาเคยคิดว่ามันช่างอบอุ่นเหมือนบ้าน บัดนี้กลับชวนอึดอัดจนนึกว่ามันเป็นคุกหรือป้อมปราการสักแห่ง

“ข..ขอโทษ” ไม่ใช่เขาที่เอ่ยปาก วันเสาร์บีบกระชับฝ่ามือทั้งสองข้างกับหัวไหล่มนสั่นเทิ้ม นัยน์ตาคมเข้มวูบไหวไม่ต่างกัน สีหน้ารู้สึกผิดแฝงไว้ด้วยความสับสน อีกทั้งซับซ้อนยากเกินจะเอ่ย “ฉันว่านายรีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ”

นับหนึ่งสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด กะพริบตาถี่ๆ เพื่อกักเก็บอารมณ์ในกายไม่ให้มันพรั่งพรูออกมา พยายามอย่างมากที่จะฝืนยิ้มแห้งเจื่อน เขาพยักหน้า ก่อนจะปลดตัวเองออกจากการเกาะกุม รีบล้มลงบนหมอน พลิกตัวหันหลังให้อีกฝ่ายซึ่งกำลังจะเข้านอนเช่นกัน

เจ้าของห้องเอื้อมปิดสวิตช์โคมไฟจนหลงเหลือไว้เพียงความมืด เขาทิ้งตัวลงบนหมอนอีกใบ สายตาทอดมองไปยังแผ่นหลังบางขดงอจนดูน่าสงสารจับใจ มือหนาเคลื่อนขยับออกไปด้านหน้าอย่างไม่ทันรู้ตัว อยากจะแตะสัมผัสเพื่อปลอบประโลม อยากจะดึงรั้งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แต่แล้วสุดท้ายเขากลับทำมันไม่ได้สักอย่าง…

ฟันซี่คมขบริมฝีปากล่างของตัวเองหนักๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างยากเย็น ถ้าเขายอมรับความรู้สึกเอ่อล้นที่มีให้กับเด็กตรงหน้า นั่นก็เท่ากับว่าเขากำลังจะทรยศความรักที่เคยมีให้กับวันศุกร์ตลอดมาทั้งชีวิต

เขาทำไม่ได้…..

เวลาภายในห้องนอนเคลื่อนตัวเชื่องช้า เงียบเชียบและหม่นหมอง ไม่แน่ใจว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ที่แสงจากหลอดไฟสุดท้ายดับลง ร่างบางคลายกำปั้นออก ดึงรั้งผ้าห่มคลุมกายให้สูงขึ้น ปรารถนาให้ตัวเขาหายไปเลยได้คงดี

ดูเหมือนว่าคำถามของเจนภพ เขาคงตอบมันไม่ได้ตลอดกาล หลายครั้งที่วันเสาร์เกือบจูบเขา มันก่อร่างสร้างความคาดหวัง เก็บสะสมมากขึ้นทุกที แต่สุดท้ายกลับพบว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่เรื่องลวงตาเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าจุมพิตของเราจบลงด้วยการถูกขัดขวางร่ำไป แต่ว่าวันเสาร์อาจไม่เคยคิดที่จะจูบเขาแต่แรกอยู่แล้วมากกว่า ไม่เคยคิด และไม่มีวันทำ เขาก็แค่เด็กโง่ที่เอาแต่หลงเข้าข้างตัวเองอย่างน่าไม่อายและมันดูน่าสมเพช ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับฝันดี หากว่าตอนจบของมันทำให้เขารู้ว่าความจริงมันคือฝันร้าย

มาถึงตรงนี้เขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองกำลังจมดิ่งสู่หลุมลึกที่ใครต่างพากันเรียกมันว่าความรัก แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ เจ้าของหลุมนั้นไม่เคยมีความรู้สึกแบบเดียวกันให้กับเขาเลย

น้ำตาที่ไม่ไหลออกจากตา มันหยดลงอาบหัวใจของเขาจนท่วมท้น อึดอัดเสียจนหายใจไม่ออก ทรมานกว่าสิ่งใดในโลกนี้ คือการเผลอไปรักคนที่ไม่มีวันรักเรา คำพูดนั้นน่ากลัวว่าคงจะจริง เพราะเขาได้สัมผัสถึงมันแล้ว

น่าแปลกที่ร่างกายของเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงแค่วาเดียว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่ามันช่างห่างไกลนับล้านปีแสง…เขาควรเจียมเนื้อเจียมตัวว่าถูกซื้อมาเพื่อเป็นตุ๊กตาเอาไว้รองรับอารมณ์ช่วงครั้งคราวของวันเสาร์ ไม่ควรคาดหวังว่าจะได้เป็นมากกว่านั้น และที่สำคัญคือ ไม่ควรรัก…

ไม่น่าไปรักเลยจริงๆ…





--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 16
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-02-2019 10:52:12
--------- ต่อ ---------





.

.

ซู่…

มือเล็กๆ ของเด็กชายวัย 4 ขวบ ลูบชำระทำความสะอาดหลังจากเสร็จกิจภายในห้องน้ำของโรงพยาบาล เขาเพิ่งหายป่วยจากไข้หวัดใหญ่และกำลังเตรียมตัวกลับบ้านโดยมีคุณแม่นั่งรอจ่ายเงินค่ายาอยู่แถวเคาน์เตอร์

เงาวูบไหวด้านหลังแผ่นกระจกบนบานประตูดึงความสนใจของเขาให้หันไปมอง พบว่าเป็นผู้ชายวัยกลางคน ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ มีสีหน้ากังวลปนลำบากใจ หากพริบตาต่อมา บุคคลที่ว่าก็รีบหันหลังหนีไปในกลุ่มคนจอแจข้างนอกนั่น

สังหรณ์บางอย่างจุกอยู่ที่ปลายสมอง เขาเดินไปรอบๆ ห้องน้ำไร้ผู้คนเพื่อสำรวจหาสิ่งผิดปกติ ศีรษะทุยก้มลงเล็กน้อย รีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้องที่อาจเล็ดลอด ดวงตาใสเบิกกว้างเป็นไข่ห่านเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฎต่อหน้า

ตะกร้าใบเก่าใต้อ่างล่างมือ บรรจุเด็กทารกประมาณ 1 ขวบ นอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราวบนโลก เขาชั่งใจอยู่ได้เพียงครู่เดียว ก่อนจะคว้าลากเอาเลือดเนื้อนั้นออกมาจากมุมอับแสง

ความทรงจำในวินาทีแรกที่วันเสาร์ได้พบกับเด็กน้อยแปลกหน้าหมุนบิดเป็นเกลียวคลื่น กลับกลายเป็นฉากบนรถยนต์คันเก่าของแม่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทารกคนนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา ท้องฟ้าเบื้องบนสว่างใสปลอดโปร่ง

เขาได้ยินเสียงตัวเองในวัยเด็กหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนหลังพวงมาลัย

‘แม่ฮะ...ผมคิดชื่อให้น้องได้แล้ว’

‘หืม อะไรเหรอ?’

‘วันศุกร์ฮะ น้องชื่อวันศุกร์!’


ภาพในหัวเปลี่ยนไปอีกครั้งราวกับม้วนฟิล์มขาดๆ ที่ถูกนำมาตัดแปะเข้าไว้ด้วยกัน จากเด็กอายุ 4 ขวบ ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นพร้อมกันกับเด็กน้อยอีกคนที่มักอยู่เคียงข้างเขาแทบทุกเวลา แม้แต่บางเหตุการณ์ที่เขายังเผลอหลงลืมไป ก็ไหลกลับมารวมกันให้หวนคิดถึงอีกครั้ง

‘พี่เสาร์ วันนี้โบโบ้ห้องสองแกล้งศุกร์อีกแล้ว’ เจ้าตัวเล็กบ่นอุบขณะปีนขึ้นมาบนเตียงหลังใหญ่ที่มีเขานอนรออยู่ก่อน ดวงตากลมโตดั่งลูกกวางไม่ได้ดูบอบบาง หากว่าสู้คนอย่างน่าเอ็นดูทีเดียว ‘ศุกร์จะไปฟ้องคุณครูเมย์ ฟ้องแม่โบโบ้ด้วย’

‘แล้วโบโบ้แกล้งศุกร์แบบนี้ ศุกร์จะเกลียดโบโบ้รึเปล่า’

น้องชายส่ายหน้า ‘ไม่ครับ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน แต่โบโบ้ต้องมาขอโทษศุกร์ก่อน’

‘ดีแล้วล่ะ’
เขาในวัยสิบปีเอื้อมลูบกลุ่มผมนุ่มที่เพิ่งโดนจับตัดหน้าม้าจนเกือบแหว่ง วันศุกร์เป็นคนน่ารักและเป็นเด็กดีเสมอไม่ว่ากับใคร ถึงจะดูคล้ายว่าดื้อในบางที หรือแก่นไปบ้างไปบางครั้ง แต่ความจริงแล้วมีจิตใจอ่อนโยนและบริสุทธิ์มาก นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขายิ่งรักในตัวเด็กคนนี้

‘พี่เสาร์จุ๊บปลอบศุกร์หน่อย’

ใบหน้าหวานอ่อนเยาว์ขยับเข้ามาใกล้อย่างออดอ้อน เขายิ้มรับแล้วยื่นริมฝีปากแตะลงกับปากบางสีสด ก่อนจะพาอีกฝ่ายเข้านอน วงแขนเรียวพาดกอดคนเป็นน้องเอาไว้ ตบแผ่นหลังเบาๆ เป็นเชิงกล่อม

พ่อกับแม่ทำงานตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ว่าจะทำให้บ้านเรามีเงินทองใช้จ่ายไม่ขัดสนแต่สิ่งที่ขาดกลับเป็นสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัว ซึ่งเขาไม่เคยสัมผัสได้เลย กระทั่งมีวันศุกร์โผล่เข้ามาในชีวิต ความสดใสของวันศุกร์ค่อยๆ เติมเต็มช่องว่างในใจเขาจนมันกลับมาสมบูรณ์

เขาสามารถพูดได้เต็มปากว่าวันศุกร์คือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา คือความสุข ความอบอุ่น ความอ่อนโยน และความรัก ต่อให้ไม่มีพ่อกับแม่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเขามีน้องชายคนนี้อยู่ด้วยแล้ว นอกจากวันศุกร์เขาก็ไม่ต้องการใครอีก…

แค่วันศุกร์เท่านั้นที่เขาจะรักและให้ความสำคัญ

แค่วันศุกร์เท่านั้น

วันศุกร์เท่านั้น…

.

.



“ฮั่ก…” ดวงตาตื่นๆ ลืมเปิดท่ามกลางความเงียบยามค่ำคืน คนตัวสูงพยายามควบคุมระดับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เหลือบมองเด็กข้างกายซึ่งดูเหมือนยังหลับสนิท หลังมือยกขึ้นปาดหยาดเหงื่อออกจากขมับ

ความฝัน…

ภาพจำที่เต็มไปด้วยวันศุกร์ นั่นควรนับว่าเป็นฝันดี แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย สับสน และกระวนกระวายราวกับว่ามันคือฝันร้ายที่กำลังท้าทายอะไรเขา

แววตาสั่นไหวลอกแล่กไปทั่ว ความเครียดตรงเข้าจู่โจมจนเขาแทบหลุดความเป็นตัวเอง เพดานตรงหน้าราบเรียบอย่างที่เคย แต่เขากลับมองเห็นใบหน้าของน้องชายตัวเองฉายชัดอยู่บนนั้น ตะกอนความรู้สึกผิดตกผลึกอยู่ภายในส่วนลึกของใจ มันทำให้ร่างทั้งร่างของเขาหนักอึ้งและอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

บางสิ่งบางอย่างกำลังหลอกหลอนย้ำเตือนว่าเขาเคยสาบานกับตัวเองว่ายังไง ใช่…เขาจะรักและให้ความสำคัญกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น ชีวิตของเขานอกจากการมีวันศุกร์ ก็ไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว…

มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิ วันเสาร์…

แล้วเขาจะไปรักคนอื่นได้ยังไงกัน

 

-----------------------------------------------



กลิ่นเหม็นจากก้นบุหรี่ลอยฟุ้งอยู่ภายในห้องนอน อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ อุ่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อดวงอาทิตย์ส่องสว่างอยู่เหนือท้องฟ้าด้านนอก เจ้าของร่างขดงอขยับตัว เปลือกตาค่อยๆ เปิดรับรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ เขาลุกนั่งพลางขยี้ตาสองสามที

ภาพของแผ่นหลังกว้างคุ้นเคยปรากฎอยู่ต่อหน้า วันเสาร์ที่นั่งไขว้ขาอยู่บนปลายเตียง ในมือคีบก้านบุหรี่ซึ่งเขาไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายก็สูบมัน บรรยากาศรอบตัวดูไม่ดีนัก และเขายังสังหรณ์ใจแปลกๆ เหมือนว่าจะมีเรื่องย่ำแย่เกิดขึ้นอีกต่างหาก

“พี่เสาร์” ร่างสูงหันหลังกลับมาตามเสียงเรียก ขอบตาคล้ำทำเอาเขาตกใจไม่น้อย

“ตื่นแล้วเหรอ”

“ครับ นี่กี่โมงแล้วครับ”

“ยังเช้าอยู่ นายไม่ต้องรีบหรอก”

เขาพยักหน้า ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว อย่างน้อยก็มีเวลาได้หลีกหนีจากความรู้สึกชวนอาเจียนแค่เพียงสบตากับอีกชีวิตในห้อง เขาพอเดาออกว่าหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันคงจะต้องกลายเป็นแบบไหน แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลยว่า มันจะอึดอัดมากมายขนาดนี้

บางที…เขาควรจะทำเป็นลืมมันซะ อย่างน้อยการที่ยังได้อยู่ในบ้านหลังนี้ และได้เห็นหน้าพี่เสาร์ต่อไป แม้ว่ามันจะเจ็บปวด แต่ก็ยังดี…

วันเสาร์พ่นควันออกจากปากหลังจากอัดขี้เถ้าเข้าปอดจนพอใจ ก้นบุหรี่ถูกขยี้ลงบนถาดแก้วเกรอะกรังเก็บเก่า เขายอมรับว่าเคยติดมันมากมาก่อน แต่ก็ลดลงไปเยอะจนเกือบจะเลิกถาวรได้แล้วตั้งแต่ที่วันศุกร์บอกว่าไม่ชอบ นี่คือมวนแรกในรอบปีที่เขาหยิบมันขึ้นมาสูบระบายความเครียดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะห่างหายไปนานหรือว่ายังไง แต่รสชาติที่เขาเคยคุ้น วันนี้กลับขมขื่นมากเกินกว่าทุกที

ประตูห้องน้ำเปิดออก นับหนึ่งในชุดไปรเวทแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ข้างในเดินมาหยุดต่อหน้าเขา เอียงคอเหมือนต้องการตั้งคำถามซึ่งเขาพอจะเดาออกอยู่แล้ว

“พี่เสาร์ไม่อาบน้ำเหรอครับ”

“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” เขาตอบกลับเสียงเรียบ เดินนำหน้าออกไปจากห้องโดยไม่เหลียวกลับไปมอง

เราเข้านั่งประจำที่บนโต๊ะตัวเดิม อาหารเช้าวันนี้เป็นแบบอเมริกัน ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก สลัด และขนมปังปิ้ง พี่ละไมส่งยิ้มให้กับเด็กน้อยหน้าใหม่ที่ตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเกือบจะสมบูรณ์

เธอวางกระปุกแยมสีแดงสดลง “พี่ซื้อแยมสตรอเบอรี่ ของโปรดคุณหนึ่งมาให้แล้วนะคะ”

คนตัวเล็กยิ้มรับ คว้าเอากระปุกแยมมาบิดเกลียวเปิดออก อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้เขาลืมบรรยากาศมาคุที่กำลังเคลื่อนตัวราวกับคลื่นใต้น้ำโดยไม่มีใครเห็น สายตาคมเข้มไร้แววคอยจับจ้องมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเขาไม่ห่าง

ไม่มีใครพูดคุยอะไรกันอีกหลังจากนั้น กระทั่งเขาจัดการอาหารบนจานจนหมดเกลี้ยง พี่ละเมียดเดินมารินน้ำเปล่าเติมให้ “เย็นนี้คุณหนึ่งจะกลับมาทานข้าวที่บ้านไหมคะ พี่ซื้อกรรเชียงปูมา คุณหนึ่งต้องชอบแน่ๆ เลย”

“กรรเชียงปูเหรอครับ ผมอยากกิน” เขาลากเสียงยานคางสดใส หวังว่าวันนี้นาวาจะยอมให้เขากลับบ้านเร็วหน่อย เพราะว่าเขาชอบอาหารทะเลมากเป็นอันดับต้นๆ แล้วก็ไม่อยากพลาดเมนูคืนนี้ซะด้วย

แม่บ้านทั้งสองคนรวบภาชนะบนโต๊ะหายกลับเข้าไปหลังครัว ทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับความอึดอัดที่แผ่ออกมาจากตัวเจ้านายไม่หยุดหย่อนเพียงลำพัง วันเสาร์เอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย ค่อนไปข้างคร่ำเครียด ริมฝีปากปิดสนิทเป็นเส้นตรง แค่เหลือบมองหน่อยเดียวก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์หดหู่ยิ่งกว่าทุกวัน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่ที่ปฎิเสธจูบของเขา…วันเสาร์ก็ดูเงียบขรึมผิดปกติ ทั้งที่คิดว่าคนคนนี้เริ่มสดใสขึ้นแล้วแท้ๆ แต่มันกำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม กลายเป็นวันเสาร์คนไร้หัวใจที่ไม่เคยยิ้มเลย

“เอ่อ…” รวบรวมความกล้าส่งเสียงออกไป “พี่เสาร์จะไปส่งผมหรือเปล่าครับ”

คนถูกถามเม้มปาก ไม่ยอมแม้แต่สบตากับเขา “ฉันโทรบอกนาวาให้มารับนายแล้ว เดี๋ยวก็คงถึง”

“อ่า…วันนี้พี่เสาร์ติดงานเหรอครับ”

“เปล่า”

ใบหน้าเจื่อนๆ ชาวาบเมื่อได้ยินคำตอบ เขารู้สึกราวกับว่าระยะห่างระหว่างเรามันยิ่งขยายตัวใหญ่ขึ้นทุกเสี้ยววินาที ถึงแม้อีกฝ่ายจะนั่งอยู่แค่ตรงหน้า หากต่อให้เอื้อมมือออกไป ก็คงไม่ถึง…

“แล้วเย็นนี้พี่เสาร์จะไปรับผมไหมครับ”

“…”

เขาเกลียดความเงียบ เขาเกลียดวันเสาร์ที่ไม่ยอมสบตาเขา เขาเกลียดบรรยากาศแสนอึดอัดในขณะนี้ เขาเกลียดการที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดพลาดมากขนาดไหนถึงได้ทำให้เจ้าของชีวิตคนนี้เมินเฉยใส่เขาจนเหมือนกับว่าเราเป็นเพียงคนแปลกหน้า

ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผะผ่าว เขากลอกตาขึ้นมองเพดานว่างเปล่าหวังช่วยสะกดกลั้นทุกอารมณ์อ่อนไหว ยามคิดว่าวันเสาร์คนที่อบอุ่นและใจดีกำลังจะหายไป กลับกลายเป็นผู้ชายใจร้ายอีกครั้ง

สงสัยเหลือเกินว่า เหตุใดฝันดี ถึงได้มีระยะเวลาสั้นนัก

“หนึ่ง” เสียงทุ้มดังขึ้นทำลายความเงียบ แต่ถ้าเขารู้มาก่อนว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร ก็คงปรารถนาให้วันเสาร์เป็นใบ้ไปเลยมากกว่า “วันนี้ไปทำงานแล้วก็ไม่ต้องกลับมาบ้านนะ”

“ทำไมครับ”

ถ้าลางสังหรณ์เมื่อเช้าของเขาผิดเพี้ยนไปบ้างก็คงดี แต่ว่า…

“ฉันไล่นายออก”


-----------------------------------------------


หมดคำจะพูด..... อิพี่เส้า ถึงเวลาตายของแกแล้ว //จุดระเบิด

ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ยังรอปาดคอพี่เสาร์มาตลอด วันนี้คงได้ฤกษ์ดีแล้ว ลงมือเลยค่ะ!! แล้วอย่าลืมทิ้งคอมเม้น หรือติดแท็กทวิตเป็นกำลังใจให้น้องหนึ่งเยอะๆ น้า น้องต้องสู้รู้ไหม T^T (เราเองก็เช่นกัน สู้กับงาน 5555) ฝากดักตีหัวเพื่อนๆ ให้เข้ามาอ่านเรื่องนี้กันเยอะๆ ด้วยนะคะ จะได้มีผู้สมรู้ร่วมคิดในการวางแผนฆ่าพระเอกเยอะๆ ถถถถถถถถ

#นับหนึ่งถึงเสาร์
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 16
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 23-02-2019 11:10:54
วันเสาร์นายจะตายด้วยวิธีไหนดี เราจะให้นายเลือก! :z6:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 17-18
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 09-03-2019 11:14:16

นับหนึ่ง ถึง สิบเจ็ด


 

ทั่วทั้งบริเวณเงียบสนิท จนแม้แต่เสียงลมหายใจ เขาก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว คำพูดของวันเสาร์สะท้อนก้องอยู่ในหัวสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับม้วนเทปที่มันกระตุก

เขาส่ายหน้า พยายามฝืนหัวเราะเฝื่อนๆ “พี่เสาร์ล้อเล่นอะไรครับ”

“ฉันไม่ได้ล้อเล่น”

“…”

“ขึ้นไปเก็บข้าวของของนายซะ” วันเสาร์ลุกจากเก้าอี้ ขายาวสาวขึ้นบันไดโดยไม่เหลือบมองเขาแม้แต่นิด

เจ้าของดวงตากลมสั่นไหวรีบวิ่งตามขึ้นไปถึงในห้องนอนที่เขาเพิ่งใช้เวลาอยู่กับอีกคนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน หยาดน้ำใสเอ่อคลอเบ้า มือเล็กเอื้อมคว้าต้นแขนแกร่ง พลางออกแรงเขย่าอย่างต้องการคำอธิบาย

“ทำไมครับพี่เสาร์ ผมทำอะไรผิดเหรอ พี่เสาร์ไม่พอใจอะไรบอกผมสิ”

“ฉัน…แค่ไม่อยากเห็นหน้านายแล้ว” เพราะถ้าขืนยังอยู่ใกล้ๆ กัน ก็คงห้ามไม่ให้ใส่ใจ ห้ามไม่ให้รู้สึกอะไรด้วยไม่ได้…แต่เขาก็ทรยศความรู้สึกที่มีให้วันศุกร์ไม่ได้เช่นกัน เขาไม่ต้องการรู้สึกผิดต่อศุกร์ ไม่อยากรู้สึกผิดต่อตัวเอง 19 ปีที่ผ่านมา เขารักแค่วันศุกร์คนเดียวมาตลอด การที่จู่ๆ จะไปรักคนอื่นมากกว่านั้น…

มันไม่ควรเป็นไปได้ ไม่…ไม่ได้…

“พะ..เพราะว่าผม เอาแต่ใจตัวเองเหรอ…หรือว่าผมเรียกร้องมากเกินไป” น้ำเสียงเครือครางตะกุกตะกัก ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่น้ำตามันไหลออกมา อาบลงบนแก้มทั้งสองข้าง

คนตัวสูงกัดริมฝีปากตัวเองทันทีที่เห็นว่าเด็กตรงหน้าเริ่มร้องไห้ ฝ่ามือรวบกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน ใบหน้าเรียบเฉยเบือนหนีไปทางอื่น

ทั้งร่างชะงักเมื่อนับหนึ่งโผเข้ามากอด ซบหน้าฝังลงกับอก “ผม…ผมจะไม่ดื้อแล้ว ฮึก…” ศีรษะทุยส่ายไปมา ประโยคอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “ผมไม่ไป..ทำงาน ละ..แล้ว พี่เสาร์จะ..ให้ผมอยู่บ้าน ตลอดไปก็ได้…”

หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเป็นปม เผลอกัดปากตัวเองหนักๆ พร้อมกระชับกำปั้นเพื่อกลั้นทุกอารมณ์หวั่นไหว เขาภาวนาให้นาวามาถึงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจเผลอไผลใจอ่อนให้กับความน่าสงสารของเด็กตรงหน้า ทั้งที่เขาควรใจแข็งให้เหมือนกับที่ตัวเองเป็นมาทั้งชีวิต

แต่ว่า…การที่เห็นนับหนึ่งปล่อยโฮ พร้อมพูดแต่ละคำเหล่านั้น มันกลับคล้ายว่ามีใครเอาคีมอันใหญ่มาบีบรัดหัวใจเขาจนแทบแหลกสลาย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาเคยถูกความเจ็บปวดเข้าจู่โจมแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เขากำลังรู้สึกอยู่…

ไหล่บางที่กำลังสั่นเทิ้ม ผมม้ายุ่งเหยิงกับอ้อมกอดแนบแน่นราวกับเด็กน้อยที่กำลังงอแงไม่ให้พ่อแม่ทิ้งตัวเองไว้ ทุกอย่างในตอนนี้มันทำให้เขาเหมือนปิศาจใจร้าย แม้ว่าความจริงเขาจะไม่ได้ต้องการเห็นหยดน้ำตาจากนัยน์ตาแววใสนั้นเลยสักหยดเดียวก็ตาม ถ้าเป็นไปได้…เขาอยากโอบกอดร่างเล็กๆ อันแสนเปราะบางเอาไว้ อยากจะลูบหัวทุยปลอบขวัญ ก่อนจะจับมือพาไปร้านไอศกรีมเพื่อให้ได้เห็นรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าอ่อนเยาว์อีกครั้ง

แต่เขาก็ต้องฝืนที่จะไม่ทำ…

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นเรียกสติ เขารู้ทันทีว่าตัวช่วยของเขามาถึงแล้ว และแค่ฟังจากเสียงกริ่งรัวย้ำๆ นั้นก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่านาวาคงกำลังโมโหมากทีเดียว

เขาพยายามแงะตัวเองจากการเกาะกุม สองมือหนาผลักหัวไหล่มนออกห่างอย่างจำใจ ใบหน้าขาวบู้บี้ เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาไม่น่าดู ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อมากพอๆ กับขอบตาสีก่ำ

“ไอ้วามารับแล้ว รีบเก็บของสิ”

คนตัวเล็กส่ายหัว เหมือนอยากจะพูดอะไร หากก็ไม่มีสุ้มเสียงใดเปล่งออกมา ยิ่งเสริมให้ภาพของนับหนึ่งดูน่าสงสารขึ้นอีกสักร้อยเท่าพันทวี เขาฝืนกลืนก้อนบางอย่างลงคอ ก่อนจะแสร้งดัดเสียงเข้ม

“ฉันจะเรียกวันศุกร์กลับมานอนบ้าน และฉันก็ไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้ว เข้าใจไหม”

อีกฝ่ายเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมรับ และเขาก็ทำได้ดีที่สุดแค่เพียงช่วยปาดน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด หากกลับยิ่งทำให้มันพรั่งพรูออกมามากกว่าเดิม ไม่นานเท่าไร ประตูห้องนอนก็เปิดออกพร้อมใบหน้าตื่นๆ ของทั้งสามชีวิต นาวา พี่ละเมียด และพี่ละไม ซึ่งล้วนแต่จ้องเขาด้วยความไม่เข้าใจทั้งสิ้น

“เป็นเหี้ยไรของมึง”

ขอบคุณที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ถูกเพื่อนสมัยเด็กต่อยหน้าตั้งแต่แรกเห็น ไอ้วากัดฟันกรอด ก่อนจะตรงเข้ามาดึงร่างบางเข้าไปหลบด้านหลังตัวเอง ตามมาด้วยเสียงประท้วงจากแม่บ้านทั้งสอง

“คุณเสาร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ”

“นั่นสิคะ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไล่คุณหนึ่งออก”

เขาเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินตัดหน้าทุกคนลงไปด้านล่าง “รีบเก็บของแล้วก็ออกไปได้แล้ว”

ท่ามกลางความสับสน คนหนึ่งหลีกหนีกักขังตัวเองไว้ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง อีกหนึ่งยังคงเอาแต่สะอื้นไห้ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิด เขารู้ตัวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าทุกช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นเป็นแค่ความฝัน และวันเสาร์ที่ใจดีคือภาพลวงตา แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลยว่าความจริงมันจะโหดร้ายมากมายถึงขนาดนี้

พี่ละเมียด พี่ละไม ช่วยกันขนกระเป๋าใส่กระโปรงหลังของรถคันสีน้ำเงิน พวกเธอเองก็ยังคงงุนงงกับการตัดสินใจฉุกละหุกของคุณชายตัวเอง

“คุณหนึ่งไม่ต้องห่วงนะคะ พี่จะพยายามคุยกับคุณเสาร์ให้เอง”

“ฝากคุณวาดูแลคุณหนึ่งด้วยนะคะ”

“ครับ” นาวาขานรับ ต่อเติมท้ายประโยคอยู่ภายในใจ ว่าไม่ใช่แค่จะดูแล แต่เขาจะทำให้ดีกว่าคุณหนูของพี่ทั้งสองคนอย่างแน่นอน

เจ้าของดวงตาบวมแดงถูกพาขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ นาวาจัดการรัดสายเข็มขัดนิรภัยให้ เมื่อเด็กตรงหน้ามีท่าทางไม่ต่างจากตุ๊กตาไร้วิญญาณ ตลอดทางบนรถเงียบสนิท เขาเองไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปลอบ และอีกฝ่ายก็ยังคงเอาแต่สะอึกสะอื้นไม่หยุด

ไม่นานนัก ยานพาหนะสี่ล้อก็ขับเคลื่อนเข้าจอดในรั้วบ้านหลังใหญ่ แม่ของเขาเป็นคนแรกที่ออกมารอต้อนรับพวกเรา นับหนึ่งสูดน้ำมูก ใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาออกลวกๆ แล้วพยายามทรงตัวเดินตรงไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ท่าทางใจดี ซึ่งมีหน้าตาคล้ายนาวาซะจนไม่ต้องถามเลยว่าเป็นใคร

“สวัสดีครับ”

หญิงวัยกลางคนรับไหว้ สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม “วา นี่ใคร”

“เดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้ฟังนะครับ”

ลูกชายคนเดียวก้มหัว ดึงแขนเขาเข้าไปในบ้าน ถูกจับขังไว้ยังห้องนอนซึ่งเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือละลานตา กองเอกสาร อีกทั้งสมุดจดโน้ตอีกปึกใหญ่ตั้งระเกะระกะไปตามพื้นไม้ บนผนังประดับด้วยภาพแขวนของหน้าร้านนาโปลีที่ผู้สืบทอดแสนภูมิใจ นาวาผละจากเขาไปทางตู้เย็นขนาดเล็ก ก่อนจะพาเขาไปนั่งพักบนเก้าอี้ทำงานพร้อมยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้

“ขอบคุณครับ” เขารับมาจิบ อย่างน้อยก็คงพอช่วยคลายความฝืดเคืองในลำคอจากบทดราม่าน้ำตาแตกตลอดช่วงเช้าได้บ้าง

พี่นาวาปล่อยให้เขาสงบจิตสงบใจอยู่เกือบชั่วโมง ขณะที่หายลงไปข้างล่าง ซึ่งเดาว่าคงไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้คนเป็นแม่ฟัง ก่อนที่เสียงประตูจะเปิดออกอีกครั้ง เจ้าของร่างโปร่งก้มลงลูบหัวเขาสองสามทีเป็นการปลอบ

“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

ไม่เลย…เขาอยากตอบแบบนั้น แต่ก็ต้องจำยอมผงกหัวเพื่อไม่ให้คนตรงหน้ากังวล “นิดหน่อยครับ”

เจ้าของห้องเผยรอยยิ้มอ่อนโยน

“พี่วา…พี่เสาร์ได้บอกอะไรหรือเปล่าครับ ว่าทำไมถึงไล่ผมออก”

“ไม่เลย อยู่ดีๆ ก็โทรมาบอกให้พี่ไปรับหนึ่งมาอยู่ด้วย”

คนตัวเล็กก้มหน้าซึม น้ำตาที่แห้งเหือดไปเริ่มรื้นขึ้นมาอีกระลอก “ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด หรือว่าพี่เสาร์เบื่อผมแล้ว”

หรือไม่ก็...แค่ไม่อยากเสียเวลาดูแลของเล่นเลียนแบบ ในเมื่อกำลังมีแผนจะเรียกวันศุกร์กลับบ้าน ตัวตายตัวแทนอย่างเขามันก็คงไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปแล้ว เป็นหมาหัวเน่าให้เขาเฉดหัวออกจากบ้านก็ถูกต้อง

“ไม่หรอก” ฝ่ามืออบอุ่นเลื่อนบีบมือเขาไว้ “พี่ว่าพี่พอเดาออกนะว่าไอ้เสาร์เป็นอะไร”

“เป็นอะไรครับ”

“พี่คิดว่า...มันกำลังสับสนน่ะ”

“สับสน? เรื่องอะไรครับ”

นาวายกยิ้ม เลือกที่จะไม่ตอบ แม้ว่าเขาแทบจะฟันธงได้เลยว่าเพื่อนตัวดีจอมขี้เก๊กคงกำลังว้าวุ่นเรื่องที่ดันไปตกหลุมรักใครคนอื่นนอกเหนือจากน้องชายคนเดียวของตัวเองเข้า และแน่นอนว่ามนุษย์ประเภทวันเสาร์ต้องไม่ยอมรับหัวใจตัวเองง่ายๆ แน่

แต่ก็นับว่ายังดีที่เริ่มรู้สึกตัวได้ตั้งแต่ชาตินี้ ไม่อย่างนั้นเขากับเจนภพคงได้รอลุ้นกันหงำเหงือก ในที่สุดเจ้าของฉายาเจ้าชายน้ำแข็งผู้ซึ่งไร้หัวใจก็ได้พิสูจน์แล้วว่ารักเป็น รักที่หมายถึงรักจริงๆ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบพี่น้องแล้วโมเมคิดเอาเองว่านั่นคือรักแท้มาตลอดเกือบยี่สิบปี

งี่เง่าจะตายห่า แถมปัญญาอ่อนฉิบหาย…

“เอ้อ จริงสิ พี่ว่าพี่จะเพิ่มค่าจ้างให้หนึ่งนะ” เขาแสร้งยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดหน้าตาเฉย

“ค่าจ้างที่ร้านเหรอครับ”

“อือ” เพราะรายรับที่ได้อยู่ตอนนี้ มีหวังเก็บไม่ทันซื้อของขวัญวันเกิดให้ไอ้เสาร์พอดี

“ตะ..แต่ว่าพี่วาก็ให้ค่าจ้างผมตั้งเยอะแล้วนะครับ แถมผมเพิ่งทำงานไปได้สองวันเอง..”

“งั้นตอนอยู่บ้าน พี่จ้างหนึ่งเพิ่มด้วยดีไหม ช่วยทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว หรือว่านั่งคุยเป็นเพื่อนพี่”

“เอ่อ…”

“เอาตามนั้นแหละ ไม่ต้องคิดเยอะหรอก” รีบตัดบท ไม่เผื่อเวลาให้อีกคนลังเล “แต่ว่าเย็นนี้เราไปกินข้าวข้างนอกกันก่อนดีกว่า”

เขาทิ้งให้นับหนึ่งนอนพักผ่อน เพราะคงร้องไห้จนเหนื่อยแย่แล้ว ประตูห้องปิดตัวลงช้าๆ ขณะหยิบมือถือเครื่องบางออกมาเปิดอ่านข้อความจากผู้ชายที่เพิ่งไล่เด็กบนเตียงออกจากบ้าน แต่ก็ยังตามมารังควานไม่ยอมปล่อย

10:47 [ WS: อยู่ไหน ]

10:47 [ NAWA: ถึงบ้านแล้วไอ้สัส ]

10:47 [ NAWA: มึงรีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดไรขึ้น ]

11:00 [ WS: วันนี้มึงพาเด็กนั่นไปกินอาหารทะเลหน่อยดิ ]

11:01 [ NAWA: กูบอกให้มึงอธิบาย!! ]

11:01 [ WS: กรรเชียงปู ]

11:05 [ NAWA: olo]

เพิ่งเอ่ยปากไล่เขาเอง ไม่ถึงชั่วโมงก็รีบลนลานถามหา แบบนี้จะเรียกว่าน่าสงสารหรือน่าสมเพชถึงจะเหมาะ แต่ถ้าให้ถูกคงเป็นน่าถีบ น่าถีบให้สำนึกว่า ถ้าเป็นห่วงนักก็อย่าเสือกไล่เด็กนั่นออกมาสิวะ ไอ้ควายเอ้ย!

แต่ช่างเถอะ เขาวางเดิมพันเลยว่าอีกไม่นาน วันเสาร์ก็ต้องรีบมาฉกลูกแกะน้อยๆ ของมันกลับไปซุกอก ไม่ก็โดนกรอบความคิดบ้าๆ ของตัวเองครอบงำจนฝืนทนคิดถึงนับหนึ่งไม่ไหวและเฉาตายไปเองในที่สุดนั่นแหละ

อ่า…แต่คนแบบวันเสาร์เพื่อนเขา น่ากลัวว่าจะได้ตายเพราะความคิดถึงซะมากกว่าแฮะ และน่ากลัวกว่านั้นก็คือ การที่ความรักสามารถทำให้คนหนึ่งคนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแสนโง่เง่าได้ถึงเพียงนี้

“เฮ้อ” เขาถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนจะติดต่อกลับไปหาทรงยศเพื่อแจ้งข่าวว่าวันนี้นับหนึ่งคงไม่ได้ไปทำงาน

ผู้ลี้ภัยจมดิ่งสู่ห้วงนิทรานานหลายชั่วโมงจนเขาต้องคอยเดินเข้ามาเช็คว่ายังอยู่ดี ไม่ได้กลั้นใจตายไปเสียก่อนแล้ว นาฬิกาดิจิทัลบนโต๊ะทำงานขยับเปลี่ยนหมุนตัวเลขบนหน้าปัดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เวลาสมควร บรรยากาศด้านนอกมืดลง ณ สุดขอบฟ้าส่องแสงสีส้มสลับชมพูน่าชม

หลังจากนับหนึ่งตื่นนอน พวกเรามุ่งหน้าสู่ร้านอาหารทะเลขึ้นชื่อทางภาคใต้ ซึ่งมาเปิดสาขายิ่งใหญ่อลังการอยู่ในตัวเมือง และเขาเองก็เป็นลูกค้าค่อนข้างประจำของที่นี่

แน่นอนว่า กรรเชียงปู คือเมนูแรกที่เขาเลือกสั่ง แต่มันก็ดูจะไม่ได้ทำให้เด็กตรงหน้ามีความสุขขึ้นตรงไหน ซ้ำร้ายจะยิ่งเซื่องซึมมากกว่าเก่า

เขาลอบถอนหายใจขณะจ้องมองคนตรงข้ามนั่งเขี่ยเม็ดข้าวเล่น ไม่ยอมตักเข้าปากสักคำ

“หนึ่ง”

“ครับ?”

“รักไอ้เสาร์ใช่ไหม”

ดวงตาคู่หม่นเบิกกว้าง ช้อนในมือร่วงหล่นกระแทกจานเสียงดังแกร็ง ใบหน้าขาวแดงวาบครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นซีดเผือดตามเดิม ความตกใจในแววตาค่อยๆ อับแสงลง ได้แต่ส่งเสียงตอบกลับเบาหวิว

“ครับ…ผมรักพี่เสาร์”

นั่นคือคำตอบที่นาวาคิดไว้ในหัวอยู่แล้ว ยกเว้นประโยคถัดมาซึ่งเขาไม่ได้คาดว่าจะได้ยิน

“แต่ว่าพี่เสาร์ไม่ได้คิดอะไรกับผม” น้ำเสียงสั่นเครือทำเอาคนฟังใจหาย

“ไม่หรอกหนึ่ง พี่ว่า…ทั้งสองคนใจตรงกันอยู่นะ”

“พี่วาอย่าปลอบผมด้วยคำโกหกเลยครับ”

เขาถอนหายใจหนักอึ้งอีกครั้ง “เปล่า พี่แค่พูดไปตามที่เห็น”

นับหนึ่งหลุบตาต่ำ กลับไปละเลียดอยู่กับข้าวพูนจาน ชัดเจนว่าคงไม่เชื่อข้อสันนิฐานที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงจากปากเขา และเขาก็ไม่กล้าย้ำ เมื่ออีกฝ่ายยังคงอยู่ในสภาวะไม่รับฟังอะไรแบบนี้

มือถือบนโต๊ะสั่นครืดต่อกันหลายครั้ง เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นแชทสีเขียวยอดฮิต ห้องสนทนาของคุณชายบ้านวุฒิเวคินทร์เด้งขึ้นไปอยู่แถบบนสุด เรียกให้เขากดเข้าไปอ่านเป็นอันดับแรก

18:55 [ WS: มึง ]

18:55 [ WS: กินข้าวยัง ]

18:55 [ WS: กินอะไร ]

18:56 [ NAWA: กินอยู่ ]

18:56 [ NAWA: กรรเชียงปูตามที่มึงสั่งไง ]

18:56 [ NAWA: แต่หนึ่งไม่เห็นยอมกินเลย ]

18:56 [ NAWA: เอาแต่นั่งซึม ]

18:56 [ NAWA: กูไม่รู้จะทำยังไง ]

18:57 [ NAWA: ทำไมมึงถึงต้องทำงี้ด้วยวะ กูไม่เข้าใจจริงๆ ]

เป็นเวลานานหลายนาทีที่คนอีกฟากฝั่งเงียบหายไป ทั้งที่เมื่อกี้ยังตอบกลับเขาแทบจะเรียลไทม์วิต่อวิ และเขาก็ไม่น่าเสียเวลาไปคาดหวังว่าจะได้คำอธิบายดีๆ จากคนชื่อวันเสาร์เลย เมื่อรู้ๆ อยู่ว่าปากหนักใจหนักแค่ไหน แล้วนิ้วที่จิ้มแป้นโทรศัพท์อยู่นั่นก็คงหนักตามไปด้วยแล้วล่ะมั้ง

19:06 [ WS: ลองสั่งไอติมให้กินสิ ]

19:06 [ NAWA: มึงยังไม่ตอบคำถามกู!! ]

19:07 [ WS: ช็อกโกแลต วานิลลา สตรอเบอรี่ ]

19:07 [ WS: ถ้ามีวิปครีมก็ให้เขาใส่มาเยอะๆ ด้วย ]

19:07 [ NAWA: สัส ]

19:08 [ NAWA: กูงงว่าทำไมมึงต้องไล่หนึ่งออกมาทั้งที่มึงก็เป็นห่วงหนึ่งมากขนาดนี้ ]

วันเสาร์เงียบหายไปอีกครั้งหลังจากอ่านข้อความล่าสุดของเขาแล้ว ความจริงเขาอยากพิมพ์ลงไปเลยว่า ‘ทั้งที่มึงก็รักหนึ่งมากขนาดนี้’ ด้วยซ้ำ มันแสนจะชัดเจนและปิดบังไม่มิดเลยสักนิดเดียว ถึงอย่างนั้น วันเสาร์ก็ยังดันทุรังฝืนกลบเกลื่อนมันแล้วทำเป็นว่าไม่รักได้อย่างไร้ซึ่งความแยบยลใดๆ เขาไม่อยากพูดคำนี้ แต่ว่าการที่ไล่นับหนึ่งออกไปให้ไกลเพื่อหวังว่าจะยังปิดประตูหัวใจตัวเองไว้ได้ มันทำให้วันเสาร์กลายเป็นคนโง่ยิ่งกว่าโง่ โง่ที่ไม่รู้เลยว่าต่อให้พยายามปิดประตูบานนั้นยังไงก็ไม่เป็นผล ในเมื่อคนที่วันเสาร์ไม่อยากให้เข้าไปอยู่หลังบานประตู นั่งหัวโด่อยู่ข้างในตั้งนานแล้ว

แค่รอวันที่เจ้าของประตูจะรู้ตัวก็เท่านั้น…

 



-----------------------------------------------



 

“ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นฉลองครบรอบ 5 ปีของทางร้านด้วยนะคะ” พนักงานสาวลงทุนขนสารพัดนาฬิกานับสิบเรือนออกมาวางเรียงกันบนเคาน์เตอร์

หลังจากเลิกงานเด็กเสิร์ฟที่นาโปลีก่อนเวลาเล็กน้อย เขาก็ถือโอกาสพานับหนึ่งมาเดินดูของขวัญวันเกิดให้วันเสาร์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกว่าเพื่อนคนนั้นไม่เคยสวมนาฬิกาเรือนอื่นนอกจากของขวัญปีใหม่จากวันศุกร์เลย และนับเป็นเรื่องที่วัดใจพอตัวถ้าหากจะซื้อนาฬิกาให้หมอนั่นเปลี่ยน แต่ก็น่าเสี่ยงอยู่เหมือนกัน

คนตัวเล็กเลือกยี่ห้อที่ไม่ได้แพงมากนัก คนอื่นอาจจะมองว่าไม่สมเกียรติวันเสาร์สักเท่าไร แต่เขาก็คิดว่าไม่ได้น่าเกลียดถึงขนาดจะใส่ออกงานไม่ได้เลย แถมเงินเก็บของนับหนึ่งก็ไม่ได้มีมากพอจะซื้อของจากร้านที่หรูไปมากกว่านี้ด้วย พูดกันตามตรง แม้ว่าเขาจะจ่ายค่าจ้างที่ร้านให้เกินมาตรฐานพนักงานอื่นไปค่อนข้างเยอะ บวกกับรายได้พิเศษจากการรับจ๊อบพ่อครัวจำเป็นให้ครอบครัวเขาทานมาตั้งหลายมื้อแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเพียงพอสำหรับสินค้าสักตัวในห้างนี้หรอก

“เฉพาะรุ่นพวกนี้ ลดพิเศษ 50% เลยนะคะ”

“เอ่อ…” ดวงตาใสกลอกมองไปทางซ้ายที ขวาที อย่างไม่มั่นใจนัก แค่จะหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ ยังไม่กล้า “พี่วาว่าอันไหนดีครับ”

“หนึ่งเลือกสิ หนึ่งเป็นคนให้ไม่ใช่เหรอ”

“อ่า…อันนี้ ดีไหมครับ” นิ้วเรียวชี้ไปทางหน้าปัดเรียบหรูสีดำวาวล่อแสง สายหนังสีดำเช่นเดียวกันยิ่งเสริมให้สินค้าเรือนนี้ดูลึกล้ำน่าค้นหา อีกทั้งยังมอบภาพลักษณ์ที่ดูเป็นทางการมากยิ่งขึ้น

“หนึ่งว่าดีไหมล่ะ ถ้าว่าดีก็เอาเลย”

“อืม…แต่ว่า เงินผมยังไม่พออะครับ รอก่อนดีกว่า”

พนักงานรีบทักทันทีที่ได้ยินคำว่ารอ “แต่โปรฯ นี้จัดแค่ 5 วัน แล้ววันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วนะคะ”

สีหน้ามีความหวังเมื่อสักครู่ หมองลงจนเห็นได้ชัด ท่าทางเป็นกังวลทำให้คนโตกว่าต้องยื่นมือเข้าช่วยอย่างที่เขาเต็มใจ

“งั้นก็ซื้อไปเลย ขาดอีกเท่าไร เดี๋ยวพี่ออกให้เอง”

“มะ ไม่เป็นไรครับพี่วา”

“ไม่เป็นไร เพราะว่าพี่ก็ไม่ได้ให้ฟรีๆ อยู่แล้ว”

นับหนึ่งเลิกคิ้ว พอดีกับที่เขาฉีกยิ้มกว้าง “หนึ่งต้องหอมแก้มพี่ทีนึงก่อน”

ทั้งพนักงานและเด็กฝากเลี้ยงต่างพากันเบิกตาโต หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มตีหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะแสร้งก้มหัวหายเข้าไปหลังร้าน ทิ้งให้ลูกค้าทั้งสองอยู่เฝ้านาฬิกาทั้งหมดนั่นเพียงลำพัง

“อะ..เอ่อ…”

“แค่หอมแก้มเอง แลกกับเงินที่ขาด เป็นไง” นาวาโน้มตัวลง พลางยื่นแก้มเข้าหา

นับหนึ่งเผลอย่นคอหนีตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็คิดได้ว่า รอยยิ้มในแววตาของคนตรงหน้าไม่เคยดูน่ากลัวหรือน่าสงสัยเลยสำหรับเขา นาวาเป็นพี่ชายที่แสนดียังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้น และถ้าคิดดูแล้ว การหอมแก้มคนที่เรานับถือเหมือนพี่แท้ๆ คนหนึ่ง ก็ดูไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แถมมันยังเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ฟังดูไม่เลวเลย สำหรับเงินที่ขาดไปเกือบ 3,000 บาท ซึ่งเขาคงหามาไม่ทันวันเกิดที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว

เขายืนเกาเล็บตัวเองอย่างชั่งใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้ายื่นริมฝีปากออกไปแตะแก้มอีกฝ่ายเพียงแผ่วๆ แล้วรีบเด้งตัวออก นาวายกยิ้มอีกครั้ง ลูบหัวเขาแสดงความเอ็นดู พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา หย่อนเงินส่วนที่เหลือลงไปในกระปุกออมสินที่เขาพกมาด้วย

ในที่สุดความตั้งใจของเขาก็กลายเป็นจริง เมื่อพนักงานคนเมื่อครู่กลับออกมา พร้อมนำสินค้าตัวดังกล่าวไปห่อใส่ถุงติดโบว์ให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ

“ขอบคุณมากนะคะ”

“ขอบคุณครับ” เขารับถุงสีทึบมาถือไว้อย่างระวัง ไม่ลืมหันไปก้มหัวซ้ำให้คนข้างกาย “ขอบคุณมากนะครับพี่วา”

“ไม่เป็นไร”

นาวาแวะซื้อชานมไข่มุกให้เขาก่อนกลับขึ้นรถ นับว่าในเรื่องแย่ๆ ก็ยังมีอะไรดีๆ อยู่มากทีเดียว ถุงกระดาษหนาปั๊มโลโก้ยี่ห้อนาฬิกาถูกวางลงบนตักพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่เผยขึ้นบนใบหน้าเซื่องซึมตลอดระยะเวลา 10 วันที่ผ่านมา มีความหวังเล็กน้อยในใจว่า วันเสาร์คงไม่ได้เกลียดเขาถึงขนาดไม่รับของขวัญที่ตั้งใจซื้อให้ชิ้นนี้

รถยนต์สีน้ำเงินโฉบเฉี่ยวแล่นออกจากลานจอดขนาดกว้าง โดยมีผู้ชายคู่หนึ่งลอบมองตามจากมุมไกลๆ หนึ่งในสองเพ่งมองป้ายทะเบียนรถที่เขาจำได้ดี ก่อนจะเบ้ปากใส่อีกคนซึ่งเอาแต่ยืนอมยิ้มอย่างผู้ชนะ หลังจากเขาทั้งสองแวะออกมาหาอะไรกิน แล้วดันเดินผ่านคนคุ้นเคยกำลังเลือกสินค้าอยู่ในร้านนาฬิกา ซ้ำร้ายยังเผลอไปเห็นช็อตเด็ดที่ไม่ควรจะเห็นอย่างตอนที่เด็กตัวเล็กยื่นปากเข้าไปแนบแก้มพี่ผู้ชายอีกต่างหาก

“เห็นมะ พี่บอกแล้วว่านั่นอะพี่วาไม่ผิดแน่ ศุกร์ก็ไม่ยอมเชื่อ ส่วนเด็กนั่นก็คงจะเป็นนับหนึ่งที่ศุกร์เล่าให้ฟังนั่นแหละ” กันติกรณ์ยักไหล่

“ก็มันไม่น่าเชื่อหนิ หนึ่งจะหอมแก้มพี่วาได้ไงอะ”

“อ่าว แล้วทำไมจะไม่ได้อะ”

“ก็…ก็หนึ่ง…”

ให้ตายสิ เขาอยากจะเถียงแทบขาดใจ แต่พอคิดให้ดี เขากลับเถียงอะไรไม่ออก แม้อยากจะป่าวประกาศว่า นับหนึ่งเป็นเด็กของวันเสาร์ พี่ชายเขา แต่สถานะในตอนนี้ก็ทำให้พูดออกไปเต็มปากเต็มคำไม่ได้ ในเมื่อพี่ชายจอมปากแข็งของเขาเพิ่งปลดเด็กคนนั้นออกจากการครอบครอง ไม่ได้เป็นเด็กของวันเสาร์อีกต่อไปแล้ว…

แย่ชะมัด มีพี่ชายแบบนี้ นอกจากจะสงสารนับหนึ่งแล้ว เขายังรู้สึกสงสารตัวเองอีกด้วยนะเนี่ย

 

-----------------------------------------------

ป.ล. มีคนถามว่านามปากกาเราอ่านว่าอะไร อ่านว่า "ออน-แอร์" นะคะ (แต่อยากพิมพ์แบบนี้) งุงิ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 17-18
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 09-03-2019 11:37:38
นับหนึ่ง ถึง สิบแปด

 

“พี่เสาร์ไม่ยอมกินข้าวอีกแล้วเหรอครับ” คุณชายคนเล็กเอ่ยถามแม่บ้านที่กำลังเก็บโต๊ะอาหาร ทั้งที่ข้าวยังเต็มจานและช้อนส้อมก็สะอาดเอี่ยมราวกับไม่ได้แตะถูกเลย

พี่ละเมียดพยักหน้า ท่าทางเหนื่อยใจอีกทั้งเป็นห่วง “ไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่เที่ยงแล้วค่ะ”

“แต่เมื่อครู่พี่ยกผลไม้ไปให้ที่ห้องแล้ว ไม่รู้จะยอมทานไหม ยังไงคุณศุกร์ขึ้นไปดูหน่อยละกันค่ะ” พี่ละไมเสริม

เขาถอนหายใจยาวเหยียดขณะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ประตูห้องนอนของวันเสาร์เกือบจะปิดตายหลังจากวินาทีที่นับหนึ่งลากกระเป๋าออกจากบ้าน ตลอดสิบวันที่ผ่านมา พี่ชายของเขาก็เอาแต่ขังตัวเอง ไม่ออกไปพบเจอผู้คน ไม่ยอมกินข้าวกินปลา และถ้าดูจากร่องรอยคล้ำใต้ตาลึกก็คงจะเดาได้ว่าไม่ได้นอนด้วยเช่นกัน

ก๊อกๆ

ประตูไม้เปิดออก ผู้ชายตัวใหญ่ในชุดไปรเวท ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไรหนวดผุดเป็นต่อ สีหน้าโรยราหมดสภาพกำลังนอนจ้องจอมือถืออยู่บนเตียง ไม่สมกับอดีตเจ้าของตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศเลยสักกะผีกเดียว กระป๋องเบียร์เปล่าวางระเกะระกะไปตามพื้น จนการก้าวขาแต่ละก้าวกลายเป็นคล้ายการละเล่นขนาดหย่อม ว่าจะหลบหลีกอย่างไรไม่ให้เตะถูกกระป๋องพวกนั้นแล้วลื่นล้มลงก้นจ้ำเบ้า

“พี่เสาร์ ทำไมไม่กินข้าวล่ะครับ” เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ วันเสาร์เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย สาบานเถอะว่าเพิ่งสังเกตว่ามีใครอีกคนรุกล้ำเข้ามาในห้อง สมงสมองไปไหนหมดแล้วเนี่ย

“ศุกร์ กลับมาแล้วเหรอ”

“ครับ”

“ไปไหนมา”

มือหยาบกร้านคว้ากุมมือเขาไว้แนบแน่น มือถือเครื่องบางร่วงลงบนตัก หน้าจอสว่างวาบฉายห้องสนทนาของเพื่อนสนิทชื่อนาวา แต่กลับไม่มีข้อความใดพิมพ์ลงไป

“ศุกร์ไปกินข้าวกับพี่กันต์มาครับ ที่ห้างฯ ตรงนี้เอง” วันเสาร์ผงกหัวรับรู้ ไม่ต่อว่าที่เขาหนีออกไปพบคนที่ตัวเองนึกเกลียด

ความจริงมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่นับหนึ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิต วันเสาร์ก็ดูจะเพลาๆ เรื่องเขม่นเหม็นหน้าคนรักของเขาลงไปเยอะ แทบจะทำใจยอมรับได้แล้วด้วยซ้ำไป

เขาชั่งใจครู่เดียว ก่อนจะเสี่ยงเอ่ย “ศุกร์เจอพี่วาด้วยนะครับ”

“…”

“กับหนึ่ง”

มวลความเงียบก้อนมหึมากระจายตัวปกคลุมทั่วบริเวณแทบจะทันทีเมื่อเขาหลุดพูดชื่อต้องห้าม แววตาสีนิลสนิทสั่นไหวเพียงนิด ก่อนจะแสร้งกลับมาปั้นหน้าตายดังเดิม คงต้องบอกว่าทักษะการแสดงของวันเสาร์มันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรนานหลายนาที กว่าที่วันเสาร์จะยอมปริปาก

“เด็กนั่นไม่ต้องทำงานที่นาโปลีแล้วเหรอ”

คำว่า ‘เด็กนั่น’ ฟังดูห่างเหิน ขณะเดียวกันมันก็ฟังดูเจ็บปวด และทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่าวันเสาร์กำลังเจ็บปวด แต่ก็ยังอยากจะแกล้งให้เจ็บแสบที่สุด ให้รู้สำนึกว่าการละทิ้งหัวใจตัวเองไปมันหนักหนาสาหัสขนาดไหน

“ไม่รู้สิครับ ลาออกจากร้านไปเป็นคุณนายที่บ้านพี่วาแล้วหรือเปล่า”

คนฟังนั่งนิ่ง เผลอมุ่นหัวคิ้วหน้าเครียด จนเขาต้องรีบหันไปคว้าเอาจานผลไม้บนโต๊ะหัวเตียงมาพิจารณาก่อนจะหลุดหัวเราะ “ผลไม้น่าทานจังเลย พี่เสาร์กินสักหน่อยนะครับ”

“ไม่ล่ะ ศุกร์กินเถอะ”

เขากดเสียงต่ำ พลางยื่นส้อมจิ้มแอปเปิ้ลซีกฉ่ำไปจ่อตรงหน้า “พี่เสาร์อยากตายก่อนถึงวันเกิดตัวเองหรือไงครับ”

เรียวตาคมแลดูอ่อนแอเหลือบมองเขาเหมือนอยากจะเถียงกลับ ทว่าสุดท้ายก็ยอมรับแอปเปิ้ลเปลือกแดงเข้าปากอย่างจำใจ จานผลไม้นานาชนิดถูกยัดเยียดใส่มือ และเขาก็คงปฏิเสธไม่รอด

“เดี๋ยวนี้ศุกร์พูดจาใจร้ายขึ้นนะ พี่ต้องต่อว่ากันติกรณ์หน่อยแล้ว”

“ไม่เกี่ยวกะพี่กันต์สักหน่อย”

เจ้าของร่างเล็กยิ้มขำ ก่อนจะนั่งเฝ้าจนแน่ใจว่าคนเป็นพี่กินผลไม้ในจานหมดเกลี้ยงแล้ว ถึงได้ฤกษ์กลับห้องนอนตัวเอง ความกังวลก่อตัวลุกลามอยู่ภายในอก ขืนยังปล่อยให้วันเสาร์นอนเป็นผักไปวันๆ แบบนี้ต่อไป คงได้คิดถึงใครบางคนจนเฉาตายจริงๆ แน่

น่ากลัวชะมัด ไอ้คำว่ารักเนี่ย…

 

-----------------------------------------------



งานวันเกิดอายุครบ 23 ปี ของคุณชายวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ จัดขึ้นเล็กๆ เป็นส่วนตัวภายในคอนโดหรูชั้น 14 ของนายเจนภพ เจ้ามื้อปาร์ตี้ในค่ำคืนนี้ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมถึงมหาลัยต่างมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง และถึงแม้ว่าจะเป็นงานสังสรรค์ แต่วันเสาร์กลับดูไม่มีความสุขมากเท่าที่ควรเลย

“เลิกทำหน้าเหมือนโลกจะแตกได้ปะวะ” เจนภพกระโดดเข้ามาตบหลังเจ้าของวันเกิดเสียงดังป้าบ ก่อนที่เสียงกริ่งจะดังขึ้นอีกครั้ง แขกคนล่าสุดของงานคือนาวา พ่วงด้วยเด็กผู้ชายตัวเล็กอีกคนที่เอาแต่เดินเกาะชายเสื้อผู้ปกครองตัวเองไม่ห่าง

คงต้องขอบคุณผู้มาใหม่ที่ทำให้วันเสาร์มีสีหน้าอื่นนอกเหนือจากนิ่งเป็นหินบ้าง

เจรีบดึงมือนับหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรู้งาน “เป็นไงหนึ่ง ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ก็…สบายดีครับ”

“หนึ่งสบายดีเหรอ” เขาแกล้งทวนคำเสียงดัง แล้วหันไปตบบ่าเพื่อนจอมเย็นชาปุๆ “แต่ไอ้เสาร์ดูเหมือนจะไม่สบายเลยอะ”

“ไอ้เจ”

เจ้าของห้องหัวเราะ ยักไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะเด้งตัวหลบมือหนาที่จงใจฟาดเข้ากลางศีรษะพอดิบพอดี เขาหันไปแลบลิ้นใส่แบบไม่กลัวตาย แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเพลิงตัวยาว ปล่อยให้หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของนาวาที่ต้องรับไม้ต่อ

“แฮปปี้เบิธเดย์มึง” นาวาส่งกล่องของขวัญให้ ซึ่งแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นปากกาลูกลื่น ยี่ห้อ Montblanc แถมยังเป็นรุ่นท็อป ราคาหลายหมื่นอีกต่างหาก

“ขอบใจ”

วันเสาร์พยักหน้าเป็นการตอบรับ แล้ววางกล่องปากกาไว้ข้างกับกล่องของขวัญขนาดใหญ่โตมโหฬารจากเจนภพ ซึ่งนอกจากจะห่อแน่นหนาแล้วยังลึกลับ กล่องซ้อนกล่องไปอีกเกือบสิบชั้น กว่าเขาจะเจอของด้านในจริงๆ ก็เล่นเอาเหนื่อยจนแทบปากล่องหนักอึ้งนี่ใส่หน้าคนให้ซะเลย ในขณะที่นาวาแค่เดินถือปากกากล่องเหลี่ยมชิลๆ มาเท่านั้น คงต้องบอกว่าเพื่อนสนิททั้งสองของเขามีความแตกต่างกันพอสมควร แต่ถ้านับจากเรื่องที่ชอบแกล้งยั่วโมโหให้เขาหัวปั่น ดูเหมือนพักหลังมานี้จะค่อนข้างสูสีทีเดียว

สายตาคมหม่นแสงกลับมาวูบไหวยามหันไปสบเข้ากับนัยน์ตากลมคู่สวยที่เขาเคยนึกชื่นชมอยู่แทบทุกคืน เด็กน้อยในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนขาดเข่าค่อยๆ ขยับเข้ามาหา ท่าทางหวั่นกลัว

มันผ่านมาเกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ที่เขาไม่ได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายเลย และก็เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ที่เขาได้แต่ทนทรมานอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง โดยมีใบหน้าของนับหนึ่ง อีกทั้งน้ำเสียง และกลิ่นกายหอมคอยตามหลอกหลอนจนไม่เป็นอันใช้ชีวิต

“เอ่อ…สุขสันต์วันเกิดครับ” นั่นคือเสียงที่เขานึกอยากได้ยิน แต่มันกลับฟังดูไม่สดใสเอาซะเลย ก็แน่ล่ะ เขาเพิ่งทำร้ายจิตใจเด็กนี่ไปเองนี่น่า แล้วยังอุตส่าห์หาของขวัญมาให้เขาอีก จะทำให้เขารู้สึกผิดจนตายเลยหรือไง

ถุงกระดาษสีทึบถูกยื่นออกมา นาวาพูดเสริมพลางฉีกยิ้มภูมิใจเหมือนคุณพ่อพาลูกชายมาพบคุณครูงานประชุมผู้ปกครองไม่ผิดเพี้ยน “หนึ่งตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อของขวัญให้มึงเลยนะ”

อ่า…นี่คือเหตุผลที่นับหนึ่งดิ้นรนจะออกไปทำงานให้ได้หรือเปล่า งั้นเขาก็สมควรจะดีใจสินะ แต่ว่า…ทำไมถึงต้องเป็นนาฬิกาล่ะ

หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นยามเปิดกล่องของขวัญออกดูและพบว่ามันคือนาฬิกาเรือนสวย เขาเหลือบมองนาฬิกาเรือนประจำบนข้อมือตัวเองแวบหนึ่ง สีหน้าลำบากใจถูกฉาบทับด้วยความเคลือบแคลงทันทีที่กันติกรณ์โผล่หน้าเข้ามาในวงสนทนา

“อ่าว อันนี้ซื้อให้พี่เสาร์หรอกเหรอ นึกว่าพี่วาซื้อให้นายซะอีก เห็นนายหอมแก้มพี่วาที่ร้านนาฬิกาด้วยนี่”

“พะ..พี่กันต์!” ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงของน้องชายเขาเอง

ใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นถมึงทึง จับจ้องคนตัวเล็กสลับกับเพื่อนตัวเองอย่างจับผิด เขาลอบสูดหายใจเพื่อสะกัดกลั้นสารพัดอารมณ์ในอก แล้ววางถุงของขวัญจากนับหนึ่งไว้บนโต๊ะรวมกันกับของคนอื่นๆ สุ้มเสียงเรียบนิ่งกรีดแทงหัวใจคนฟังเป็นครั้งที่ร้อยหรือไม่ก็พัน

“ขอบใจสำหรับของขวัญ แต่คงไม่มีโอกาสได้ใช้” เขาพลิกข้อมือขึ้น ฉายให้เห็นนาฬิกาสายหนังน้ำตาลราคาแพงชัดเจน “เพราะฉันมีเรือนที่ศุกร์ซื้อให้อยู่แล้ว คงไม่ถอดไปใส่เรือนอื่น”

นับหนึ่งชะงัก ใบหน้าซีดเผือดชาวาบเหมือนเพิ่งโดนลากไปตบกลางโรงอาหาร พยายามกลืนก้อนความเจ็บปวดลงคอ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกนาวาชิงตัดหน้าซะก่อน

“เฮ้ย ทำไมพูดงี้วะ หนึ่งตั้งใจซื้อให้มึงมากนะเว้ย”

เจ้าของนาฬิกากว่า 80% รีบเอ่ยปรามผู้ใหญ่ข้างตัวก่อนที่จะมีเรื่อง “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่วา” มือเล็กๆ เอื้อมกุมมือวันเสาร์ไว้อย่างถือวิสาสะ และก็แปลกที่คนใจร้ายกลับนิ่งเฉยยอมให้เขาจับ พยายามประคองน้ำเสียงสั่นเครือของตัวเอง “ถ้าพี่เสาร์ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าทิ้งมันได้ไหม เก็บไว้นะครับ…”

ฝ่ามือนุ่มเพิ่มแรงบีบไม่ทันรู้ตัว ก่อนที่สีหน้าเศร้าหมองจะเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจยามรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนังขาวอมเหลือง เขาพลิกหลังมือไล่แตะไปตามเนื้อตัวอุ่น จนหยุดลงแนบแก้มเรียว แทบกลายเป็นตอบจากการอดอาหารไม่รู้กี่มื้อ

“พี่เสาร์ไม่สบายเหรอครับ”

“เปล่า” วันเสาร์ปัดมือเขาออก ก่อนจะสะบัดตัวหนีไปทางกลุ่มเพื่อนที่เขาไม่รู้จัก

ทั้งนาวาและวันศุกร์ต่างส่ายหน้าให้กับเหตุการณ์ไม่สมเหตุผลเมื่อครู่ เพราะต่างมองทะลุปรุโปร่งว่าคนชื่อวันเสาร์น่ะทั้งหลงทั้งรักเด็กคนนี้มากแค่ไหน แต่กลับใจหนักเท่าผืนดิน ไม่ยอมรับความรู้สึกจริงๆ สักที และมันไม่ได้แค่ทำให้นับหนึ่งรวดร้าว แต่ตัววันเสาร์เองก็ด้วย รังจะเจ็บปวดมากกว่าอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ

ปาร์ตี้วันเกิดยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเจนภพเป็นคนคอยสร้างบรรยากาศซะส่วนใหญ่ เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงคืน บางคนขอตัวลากลับบ้านไปก่อน บ้างเมาแอ๋หลับคาพื้น และบางกลุ่มก็ยังนั่งคุยเล่นกันสนุก ขณะที่เจ้าของงานดันปลีกตัวไปจิบไวน์ทำมิวสิคอยู่คนเดียวด้านนอกระเบียง จากมุมนี้มองลงไปเห็นวิวสระว่ายน้ำด้านล่าง เงียบสงบและไร้ผู้คน

จนกระทั่งมีเงาของคนสองคนซึ่งเขาคุ้นเคยดี ขยับไปยืนหยุดอยู่ริมสระ ดูเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่าง ซึ่งเร้าให้เขาอยากจะรู้ซะเหลือเกิน

ร่างสูงโปร่งเคลื่อนกายออกจากห้องโดยไม่มีใครทันสังเกต เขากดลิฟต์ลงไปที่ชั้นของสระว่ายน้ำส่วนกลาง พาตัวเองหลบหลังเสาต้นใหญ่ ใกล้พอจะได้ยินสองคนนั้นคุยกันแว่วๆ หากก็ไกลพอที่จะซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น

“พี่วา…ผมว่าจะไปหาห้องเช่าถูกๆ อยู่” นับหนึ่งพูดขึ้นทั้งที่ทอดสายตามองพื้นน้ำสีฟ้าใส

“ทำไมล่ะ อยู่กับพี่ก็ได้หนิ”

“ไม่ได้หรอกครับ จะให้ผมรบกวนพี่วาตลอดไปได้ยังไง”

“ตลอดไปที่ไหน ไอ้เสาร์มันก็แค่ฝากหนึ่งไว้กับพี่แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็มาพาหนึ่งกลับไปเองแหละ ไม่เชื่อพี่เหรอ”

เสี้ยวหน้าหวานทว่ากลับเศร้าหมองเหลือบมองคู่สนทนาพร้อมน้ำตาคลอหน่วย “ไม่เชื่อครับ”

นาวานิ่งอึ้ง ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนั้น ภาพตรงหน้าเขาตอนนี้ แค่ปรายตามองนิดเดียว ก็รู้สึกสงสารจับใจแล้ว

อะไรบางอย่างส่งให้เขาเอ่ยปากถามคำที่ไม่ควรถาม “งั้นพี่จะซื้อตัวหนึ่งมาจากไอ้เสาร์ แล้วก็ย้ายมาอยู่กับพี่ถาวรเลย ดีไหม?”

สายลมเย็นๆ ยามค่ำคืนพัดผ่าน พาละอองน้ำแฝงกลิ่นคลอรีนกระทบผิวกายจนคนบนริมสระเผลอปิดเปลือกตาลง เสียงดนตรีลอดออกจากหน้าต่างห้องชั้น 14 ดังชัดขึ้นในโสตประสาท ต่างฝ่ายต่างยืนแน่นิ่ง ไม่ปริปากนานนับนาที ก่อนที่คนเด็กกว่าจะเผยรอยยิ้มฝืนๆ พลางส่ายหน้าแทนคำตอบ น้ำเสียงเบาหวิวเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรมานจากส่วนลึก

“ถ้าพี่เสาร์ใจดีได้ครึ่งนึงของพี่วาก็ดีสิ…”

นาวาพ่นลมหายใจออกจากปาก เบือนสายตากลับขึ้นไปยังพื้นที่ว่างเปล่าบนระเบียงห้องเจนภพ

ถ้าวันเสาร์ใจดีได้ครึ่งนึงของเขางั้นเหรอ…ไม่ใช่หรอก ความจริงแล้ววันเสาร์น่ะ ใจดี… ใจดีกว่าเขาเสียอีก สิ่งที่ต้องขอคือขอให้วันเสาร์ยอมรับและจริงใจกับตัวเองต่างหาก

หรือไม่ก็…ขอให้วันเสาร์กลับมาฉลาดไวๆ นั่นแหละ





---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 17-18
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 09-03-2019 11:40:42
---------- ต่อ ----------





กล่องหนังเทียมสีดำด้านถูกเปิดออก นาฬิกาหน้าปัดดำกรอบเงิน สายหนังสีทึบ เรียบง่ายทว่าดูดีไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่โมเดลตัวท็อปราคาสูงแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด เขาออกจะชอบด้วยซ้ำไป

หลายวันมานี้เขาเอาแต่ปวดหัวจนนอนไม่หลับ แต่ปวดที่สุดก็คือคืนนี้ หลังจากไม่ได้เจอหน้านับหนึ่งมาร่วมสองอาทิตย์ พอได้เจอ…มันเหมือนกับว่าท้องทะเลแห้งเหือดกลับเต็มไปด้วยเกลียวคลื่นแห่งความสับสนอีกครั้ง หลายร้อยล้านความรู้สึกพรั่งพรูออกมาพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า เหงา คิดถึง รู้สึกผิด ทรมาน และเจ็บปวด เสี้ยวหนึ่งของใจ เขาอยากผลักไสเด็กคนนั้นออกไปให้ไกลแสนไกล แต่อีกส่วนกลับอยากดึงเข้ามากอดไว้ให้แน่นที่สุด

เขายกข้อมือตัวเองขึ้นพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจถอดนาฬิกาจากวันศุกร์ออกไปวางพักไว้บนโต๊ะทำงาน ของขวัญชิ้นใหม่พาดทับซ้ำรอยเดิมแทนที่ ใบหน้าของคนให้ยังคงลอยคว้างอยู่ในหัวสมอง

ร่างกายหนักอึ้งล้มแผ่บนเตียง หลังมือก่ายหน้าผากพลางขมวดคิ้วมุ่น ดูเหมือนอุณภูมิในตัวจะเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศมันหนาวมากกว่าทุกวัน

บทสนทนาของคนในห้วงความคิดคำนึงกับเพื่อนสนิทที่เขาฝากฝังเด็กคนนั้นไว้ย้อนกลับเข้ามาราวกับม้วนเทปที่ถูกฉายซ้ำ

‘ไอ้เสาร์มันก็แค่ฝากหนึ่งไว้กับพี่แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็มาพาหนึ่งกลับไปเองแหละ ไม่เชื่อพี่เหรอ’

‘ไม่เชื่อครับ’

‘งั้นพี่จะซื้อตัวหนึ่งมาจากไอ้เสาร์ แล้วก็ย้ายมาอยู่กับพี่ถาวรเลย ดีไหม?’


เปลือกตาปิดสนิทหวังให้เลิกฟุ้งซ่าน แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลสักนิด มือหนาควานหาโทรศัพท์เครื่องบาง กดค้นหาเบอร์โทรเจ้าของชื่อ นาวา แล้วเอาแต่จดจ้องอยู่กับหน้าจอโดยที่ไม่ยอมแม้แต่กระดิกนิ้ว เขาถอนหายใจแล้วคว่ำหน้ามือถือกลับลงบนเตียง ผ่านไปได้ไม่ถึงนาทีก็หยิบมันขึ้นมาใหม่ ตั้งท่าจะโทรออกหานาวาอีกครั้ง แต่มือมันก็ไม่ยอมขยับสักที เหตุการณ์วนลูปอยู่นับสิบหนจนเขาชักรำคาญตัวเอง

สุดท้าย ไอ้นิ้วโป้งไม่รักดีก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่หน้า Contact ชื่อ ‘นับหนึ่ง’ เสียอย่างนั้น… น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอ ลังเลอยู่อีกนานสองนาน กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ก๊อกๆ

“พี่เสาร์ครับ”

เขารีบเด้งตัวออกจากเตียงนอน ลนลานถอดนาฬิกาบนข้อมือออก แล้วเก็บใส่กล่อง ห่มผ้าปิดไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะแสร้งกระแอมไอ ปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยตามปกติ กลอนประตูปลดออก เผยให้เห็นใบหน้าเป็นกังวลของน้องชายต่างสายเลือด

“ศุกร์เอายามาให้ครับ ดูเหมือนพี่เสาร์จะไม่สบายใช่ไหม”

“เปล่าหนิ พี่สบายดี”

นั่นคือคำโกหกที่คงไม่เนียนเอาซะเลย ในเมื่อลมหายใจของเขาตอนนี้แทบจะกลายเป็นไฟอยู่รอมร่อ เขาเห็นว่าวันศุกร์ลอบส่ายหน้า สายตาผิดหวังที่ช้อนมองกันทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนล้มเหลวในการใช้ชีวิต ตั้งแต่เมื่อไรที่เขากลายเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องในสายตาของครอบครัว หรือแม้กระทั่งผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องในสายตาของเพื่อนสนิททั้งสอง

“เมื่อกี้ศุกร์ได้คุยกับพี่วา”

คนเด็กกว่าย้ายไปนั่งบนปลายเตียงอย่างคุ้นเคย “พี่วาบอกว่าจะให้หนึ่งอยู่ที่บ้านถาวร”

“…”

“ศุกร์ว่าก็ดีนะครับ”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกนิดๆ ยามได้ยินวันศุกร์พูดแบบนั้น เรียวตาอ่อนแรงเหลือบมองคนเป็นน้องที่เอาแต่พูดไปเรื่อยโดยไม่คิดว่ามันจะกระทบจิตใจเขาบ้างไหม หรือไม่ก็ตั้งใจจะพูดกระแทกกันอยู่แล้ว

“ถ้าพี่เสาร์ไม่อยากดูแลหนึ่งแล้ว ศุกร์ว่าก็ยังมีคนอื่นที่พร้อมจะดูแลหนึ่ง และอาจจะทำได้ดีกว่าด้วย”

“เด็กนั่นไปอยู่บ้านไอ้วา ก็รบกวนพ่อแม่มันเปล่าๆ” ในที่สุดเขาก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหว

“งั้นก็ให้ไปอยู่กับพี่เจ”

“ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ไอ้เจออกไปเมาเกือบทุกคืน หิ้วผู้หญิงขึ้นห้องก็บ่อย แล้วจะอยู่ได้ยังไง”

“หรือศุกร์จะให้พี่กันต์ซื้อบ้านให้หนึ่งอยู่ไปเลยดีอะครับ พี่เสาร์คิดว่าไง” เจ้าของร่างเล็กเลิกคิ้วถาม ใบหน้าแก่นๆ เอียงคอ จงใจกวนอย่างเห็นได้ชัด และถึงจะเป็นวันศุกร์แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทำให้เขาโมโหเลย

“กันติกรณ์จะบ้าขนาดมาซื้อบ้านให้เด็กที่ไม่รู้จักหรือไงล่ะ”

“ถ้าศุกร์ขอก็ไม่แน่นะครับ เอ…หรือศุกร์ควรแนะนำหนึ่งให้กล้ารู้จัก ดูมันจะอยากได้น้องชายอยู่พอดี..”

“ศุกร์!” เส้นอะไรสักอย่างในตัวเขาขาดผึ่ง เผลอขึ้นเสียงโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าถมึงทึงให้กลับมาเป็นปกติ “เลิกพูดอะไรไร้สาระสักที”

เจ้าของคำพูดเจื้อยแจ้วเมื่อครู่ชะงัก ใบหน้ารั้นบึ้งตึง จ้องเขากลับเขม็ง และไม่ทันที่เขาจะได้ขอโทษหรืออธิบาย ก็ถูกสวนกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ฟังดูหยอกเล่นอย่างเคย

“ทำไมครับ พี่เสาร์โกรธที่จะมีใครมาแย่งหนึ่งไปเหรอ”

“ปะ..”

“ถ้าพี่เสาร์กลัวจะมีใครมาแย่งหนึ่งไป แล้วพี่เสาร์จะไล่หนึ่งไปทำไมล่ะครับ”

วันศุกร์รุกไล่ตั้งคำถามอย่างท้าทาย ไม่เปิดโอกาสให้วันเสาร์ได้เถียงทันสักคำเดียว ความจริงเขาไม่อยากทะเลาะกับพี่ชายตัวเอง แต่ความดื้อด้านของวันเสาร์ นอกจากจะไม่น่ารักแล้วยังน่ารำคาญ น่าเบื่อ หรือแม้กระทั่งน่าต่อยซะด้วยซ้ำ

มันน่าโมโห ที่เห็นวันเสาร์เอาแต่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง ทำมาเป็นปากหนักทั้งที่คิดถึงเขาแทบแย่ ความยึดติดผิดๆ เกี่ยวกับเขา มันกำลังจะทำให้วันเสาร์สูญเสียสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่อุตส่าห์หาจนเจอ และเขาก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ไม่อยากให้วันเสาร์ถูกทำร้ายด้วยฝีมือตัวเอง

“พี่ไม่ได้…”

“ถ้าพี่เสาร์ไม่ต้องการหนึ่งแล้ว งั้นศุกร์จะพาหนึ่งหนีไปให้ไกล ไปในที่ที่พี่เสาร์จะไม่มีวันหาเจออีกเลย!”

เขาทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ทั้งหมดในกาย ก่อนจะกระทึบเท้าหนี ปิดประตูตามหลังดังปัง ยอมรับว่าโกรธ โกรธมากที่สุด…

โกรธที่พี่ชายของเขากลายเป็นคนงี่เง่า โกรธที่วันเสาร์ทำร้ายจิตใจอันแสนบริสุทธิ์ของนับหนึ่ง ซ้ำร้ายยังปล่อยความโง่เขลากัดกิดตัวเองจนแทบจะกลายเป็นคนไม่เต็มคน โกรธที่วันเสาร์พังทำลายความสุขของตัวเอง ทั้งที่กำลังจะเอื้อมคว้ามาได้อยู่แล้วในแค่ปลายนิ้วเดียวเท่านั้น

ที่โกรธ ก็เพราะเขาเป็นห่วง โกรธ…เพราะเขาอยากเห็นวันเสาร์มีความสุขยิ่งกว่าใคร

เพราะงั้นก็รีบๆ ยอมรับสักทีเถอะว่าคนที่ตัวเองรักน่ะ ไม่ใช่เขา ไม่เคยเป็นเขา แต่เป็นเด็กคนนั้นที่เพิ่งไล่ออกไปต่างหาก

ไม่อย่างนั้น…ความคิดถึง คงต้องฆ่าวันเสาร์ตายก่อนแน่ๆ

เสียงกุกกักดังลอดจากอีกฟากฝั่งประตู วันเสาร์ออกแรงเตะขอบเตียงดังปึก และหัวใจของเขาถูกบีบรัดจนเจ็บปวดมากยิ่งกว่ารอยแดงบนปลายนิ้วเท้า เล็บทั้งสิบพร้อมใจกันขยี้จิกทึ้งเส้นผมตัวเองจนแทบจะหลุดติดมือ เขาทิ้งตัวลงบนฟูกหนาอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน ความร้อนในร่างกายพุ่งสูงขึ้น พร้อมกับความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นทะลักไม่อาจปิดซ่อนไหว

ดูเหมือนว่ามันใกล้ถึงเวลาที่เขาจะต้องปล่อยมือจากบางสิ่ง เพื่อที่จะได้ดึงรั้งบางอย่างเอาไว้…บางอย่างที่เขาไม่อยากสูญเสียไปตามปากว่า



-----------------------------------------------

 

พูดไม่ทันขาดคำ…

วันเสาร์จับไข้ ไม่สบายหนักในรอบ 10 ปี ร่างสูงโปร่งขดงออยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ริมฝีปากแห้งแตกซีดเผือด ผมเผ้ารุงรังไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเคย เป็นภาพที่นับว่าไม่น่าดู และถ้ามีสาวที่ไหนผ่านมาเห็นคงตกใจว่าเจ้าชายน้ำแข็งของพวกเธอกลายเป็นศพเน่าไปได้ยังไงกัน

“พี่เสาร์ลุกขึ้นมากินข้าวหน่อยสิครับ”

คนบนเตียงส่ายหน้า ยิ่งมุดหายจนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับฟูกผืนใหญ่ เขามองพี่ชายตัวเองด้วยสายตาเหนื่อยอ่อน ก่อนถอนหายใจยาวเหยียด

คำถามที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ดังแทรกความเงียบภายในห้อง

“พี่เสาร์คิดถึงหนึ่งใช่ไหม”

“…”

“ศุกร์รู้นะครับว่าพี่เสาร์กำลังสับสน แต่ศุกร์อยากให้พี่เสาร์ลองทบทวนความรู้สึกตัวเองให้ดี แล้วก็ยอมรับหัวใจตัวเองได้แล้ว ไม่งั้นอาจจะเสียคนสำคัญไปตลอดกาลเลยก็ได้”

วันเสาร์ยังคงแสร้งเป็นใบ้ ขณะที่เขาเริ่มท้อใจขึ้นมาจริงๆ เวลาภายในห้องถูกทิ้งให้ผ่านไปอย่างไร้ค่านานหลายนาที ก่อนจะตัดสินใจยกคำพูดในอดีตขึ้นมาทวนซ้ำอีกครั้ง แม้ว่ามันอาจเป็นเหตุการณ์ที่วันเสาร์ไม่อยากย้อนกลับไปนึกถึงอีกเป็นครั้งที่สอง

“ตอนศุกร์เข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุด…” คนโตกว่าขยับกายเล็กน้อย เขารู้ดีว่าวันเสาร์ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเรื่องนี้ แน่ล่ะ…ครั้งล่าสุดที่เขานอนโรงพยาบาล ก็คือหลังจากโดนกระสุนเฉี่ยว ซึ่งมันออกมาจากปลายกระบอกปืนที่วันเสาร์เป็นคนลั่นไกเองนี่น่า “พี่เสาร์จำได้ไหมว่าศุกร์บอกอะไรกับพี่”

คนฟังชะงัก พยายามทวนคำถามซ้ำๆ ในหัว พลางย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่เขาไม่อยากจำ

ตอนนั้นวันศุกร์เอาแต่พูดว่าไม่เป็นไร ในขณะที่เขาก็เอาแต่พูดว่าขอโทษ ศุกร์อธิบายให้เขาเข้าใจว่าเขาเพียงแค่กลัวจะถูกทอดทิ้ง จนคิดไปเองว่านั่นมันคือความรัก ศุกร์บอกว่าเราคือครอบครัวเดียวกันเสมอ และตลอดไป…
 

‘ศุกร์อยากให้พี่เสาร์เข้มแข็งนะ แล้วพี่เสาร์ก็ต้องเดินหน้าต่อไปด้วย อย่ามายึดติดอะไรกับศุกร์เลย ศุกร์เชื่อว่าจะต้องมีใครสักคนรอคอยพี่เสาร์อยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ’


นั่นคือทั้งหมดที่เขานึกออก แต่ก็เหมือนว่าจะลืมมันไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งตอนนี้…

สงสัยว่าใครสักคนในที่ไหนสักแห่งที่วันศุกร์เคยพูดถึงนั้นคือใคร

จะใช่…หรือเปล่า

“จำได้ไหมครับ” วันศุกร์ทวน ครั้งนี้เขายอมพยักหน้า

“ศุกร์คิดว่าคนที่รอคอยพี่เสาร์อยู่ ก็คือนับหนึ่ง”

“…”

“ที่พี่เสาร์เคยบอกว่ารับหนึ่งมาเป็นตัวแทนศุกร์ มันคือเรื่องโกหกไม่ใช่เหรอครับ ถึงใครจะบอกว่าหนึ่งคล้ายศุกร์ แต่ศุกร์ว่าไม่คล้ายนะ พี่เสาร์ก็คงรู้ว่าเราไม่เหมือนกันเลย และทั้งๆ ที่ไม่เหมือน พี่เสาร์ก็ยังอยากให้หนึ่งคอยอยู่ข้างๆ นี่น่า”

ดูเหมือนวันนี้น้องชายของเขาจะพูดมากผิดปกติ วันศุกร์เอาแต่สาธยายสิ่งที่มีแต่จะตอกย้ำเขาไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด ซ้ำร้าย เขายังไม่สามารถหาอะไรมาเถียงได้เลยแม้สักคำเดียว

“พี่เสาร์อะรักศุกร์ ศุกร์รู้…แต่ว่ามันคือความรักแบบครอบครัว เหมือนที่ศุกร์เองก็รักพี่เสาร์ เพราะว่าเรามีกันแค่พี่น้องสองคน พ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยว่าง เราถึงผูกพันกันมาก แต่มันอาจจะทำให้พี่เสาร์เข้าใจความรู้สึกนั้นผิดไป”

คนบนเตียงเหลือบตามองใบหน้าแฝงความเป็นห่วงของเด็กที่เขาคุ้นเคยมาทั้งชีวิต นี่คือใบหน้าของคนที่เขาพร่ำสะกดจิตตัวเอง รวมทั้งบอกกับใครต่อใครว่ารักที่สุด และก็เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยทำร้าย…พอนึกย้อนกลับไปมันก็เป็นเรื่องที่น่าละอายเกินจะจดจำ เขาเคยแม้กระทั่งเกือบจะข่มขืนน้องชายตัวเอง เคยเกือบจะลงมือพรากคนรักของศุกร์ไป ซึ่งนั่นคงเท่ากับว่าเขาจงใจจะพรากความสุขไปจากวันศุกร์ด้วย

เขามันบ้าที่เคยทำหรือเคยคิดอะไรทุเรศๆ เหล่านั้น ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้ต้องการเลยสักอย่าง…เขาไม่ได้อยากนอนกับน้องตัวเอง เขาไม่ได้อยากทำร้าย ไม่ได้อยากทำลายความสุขของอีกฝ่าย

มันก็แค่…ความกลัวโง่ๆ ว่าเขาจะถูกทอดทิ้งอีกครั้ง เหมือนตอนที่พ่อกับแม่ละเลยเขาไว้ลำพังตลอดมา แต่ว่าการปรากฏตัวของวันศุกร์ได้มาปิดผนึกบาดแผลแห่งความเหงาของเขา วันศุกร์กลายมาเป็นสัญลักษณ์แทนความสุขชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต ซึ่งเขาหวังว่าจะคงอยู่ที่เดิมตลอดไป เขาถึงหวาดระแวงทุกคนที่จะมาแย่งวันศุกร์ โดยเฉพาะกันติกรณ์… แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องยอมปล่อยมือและยอมแพ้…

หลังจากนั้น เขาพยายามเสาะหาความสุขชิ้นใหม่ซึ่งไม่เชื่อว่ามีจริง และก็เป็นตามที่คาด…ไม่เคยมีใครมาทดแทนวันศุกร์ได้เลย

จนกระทั่ง นับหนึ่งโผล่เข้ามาในชีวิตของเขา นับหนึ่ง คนที่เหมือนจะคล้าย แต่กลับไม่เหมือนวันศุกร์เลยสักนิด คนที่ดื้อกับเขาที่สุด ไม่น่ารักกับเขาที่สุด แต่ก็เป็นคนที่นำพาความสดใสเข้ามาหาเขามากที่สุด รอยยิ้มนั้นสวยที่สุด เสียงหวานๆ ยามเรียกชื่อเขาสลับกับคำก่นด่ามันน่าหัวเราะและก็น่าฟังที่สุด แก้มขาวๆ น่าดึงให้ช้ำที่สุด และปากอิ่มแดงนั้นก็น่าครอบครองที่สุดเช่นกัน…

เกือบ 20 ปี ที่เขาเอาแต่ยึดติดกับวันศุกร์ กลับถูกเด็กคนเดียวพังทลาย บิดเบือนความรู้สึกนั้นจนยุ่งเหยิงไปหมด เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ยอมรับความจริงได้สักที เรื่องที่วันศุกร์คือครอบครัวอันแสนล้ำค่า รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมองโลกในมุมที่แตกต่างออกไป เขาแคร์คนอื่นมากขึ้นทีละนิด โดยไม่รู้ตัว…เขากลับกลายเป็นคนที่ดีขึ้นทีละน้อย

เมื่อทบทวนมาจนถึงตรงนี้ คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า นับหนึ่งได้กลายมาเป็นความสุขของเขา แต่มันไม่ได้เหมือนกับครั้งก่อนซะทีเดียว เขาไม่ได้คิดแค่ว่าต้องการเหนี่ยวรั้งนับหนึ่งไว้เพื่อให้มาปิดแผลในใจตัวเอง แต่เขาปรารถนาให้เด็กคนนั้นมีความสุข…อยากให้นับหนึ่งยิ้ม อยากให้หัวเราะ อยากให้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน

ไม่ใช่แค่ว่าอยากให้นับหนึ่งเป็นความสุขของเขา แต่เขาอยากให้ตัวเองได้เป็นความสุขของนับหนึ่งด้วย

แต่ก็ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาจะทำพลาดอีกครั้ง เมื่อเขาถูกความโง่เขลาครอบงำจนไม่อาจยอมรับหัวใจตัวเอง เผลอออกปากไล่คนที่ไม่ได้อยากให้ไปมากที่สุด… กว่าจะทันรู้ตัวในวันนี้ มันก็คล้ายว่าจะสายเกินไปเสียแล้ว…

เสียงของวันศุกร์ดังขึ้นอีกครั้ง พาให้เขากลับมาสู่โลกปัจจุบัน

“พี่เสาร์…” คนตัวเล็กเว้นวรรค ก่อนจะเอ่ยถามเสียงจริงจัง “รักหนึ่งใช่ไหมครับ?”

มวลความเงียบตรงเข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง วันเสาร์นิ่งสงบอยู่นาน ในสมองอันสับสนอัดแน่นไปด้วยหลากหลายความนึกคิด แต่สิ่งที่ชัดที่สุดก็คงเป็นความคิดถึง ยากเกินปฏิเสธได้ลง มันดูน่าอายและคงน่าสมเพชอยู่เหมือนกัน หากว่าคนปากแข็งอย่างเขา กลับเพิ่งจะมาปากพล่อยเอาซะตอนนี้

ในที่สุดก็ยอมพยักหน้าลงอย่างจำนน เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเพียงเบาๆ

“อืม”

วันศุกร์ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มปนระอา จำไม่ได้ว่ามันใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่พี่ชายของเขาจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้สักที เขาเอื้อมมือตบกองผ้าห่มปุๆ แล้วลุกออกไปจากห้องโดยไม่กล่าวอะไร มือถือเครื่องบางหยิบออกมากดโทรหาใครบางคน

ไม่นานนักปลายสายก็ตอบรับ

“สวัสดีครับ”

“หนึ่ง นี่พี่เองนะ”

“ครับพี่ศุกร์” โชคดีที่เขาเคยแลกเบอร์กับอีกฝ่ายไว้

“ช่วยมาที่บ้านหน่อยสิ พี่เสาร์ไข้ขึ้นสูงมากเลย”

“ป..เป็นอะไรมากไหมครับ แล้วทานยาหรือยัง”

“ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกินยาเลยแหละ หนึ่งรีบมาดูพี่เสาร์หน่อยเถอะ”

“ครับๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

นับหนึ่งวางสายแทบจะทันที เขาเดาว่าคงรีบหันไปตะโกนบอกให้นาวาบึ่งรถมาที่บ้านแล้วแน่ๆ หวังว่าคราวนี้พี่ชายคนเก่งของเขาคงจะไม่โง่ถึงขนาดออกปากไล่เด็กนั่นอีกรอบหรอกนะ

เขานั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นสักพัก เสียงล้อคุ้นหูก็ดังขึ้นหน้าบ้าน แต่บางทีคนบนห้องอาจจะไม่ทันรู้ตัวเพราะคงสะลึมสะลือจากพิษไข้ นาวากับนับหนึ่งวิ่งโร่เข้ามาทักทายแม่บ้านทั้งสองซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ริมรั้ว ก่อนจะพากันเข้ามาในบ้าน

คนเด็กกว่ายกมือขึ้นไหว้เขาทันที สีหน้าตื่นๆ ดูเป็นกังวลมากกว่าเขาสักร้อยเท่าเห็นจะได้ “พี่ศุกร์ พี่เสาร์เป็นไงบ้างครับ”

“ยังนอนซมอยู่เลย หนึ่งขึ้นไปดูหน่อยสิ”

อีกฝ่ายพยักหน้า สับขาไปทางบันไดตรงสู่ชั้นสองอย่างชำนาญทาง เสียงพี่ละไมดังไล่หลังกำชับให้ช่วยบังคับคุณชายให้กินข้าวลงท้องก่อนได้หามไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ผู้มาเยือนตั้งใจจะทำอยู่แล้ว

ก๊อกๆ

เขาเคาะประตูตามมารยาท แม้ว่าใจจริงอยากจะรีบพุ่งเข้าไปหาเลยด้วยซ้ำ ได้ยินเสียงเคลื่อนตัวดังแว่วออกมา ตามด้วยเสียงแหบฟังดูไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังคงความเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน

“พี่บอกแล้วไงว่าไม่กิน”

ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกจากปาก เขาไม่รอ แล้วถือวิสาสะเปิดประตูไม้เข้าไปเผชิญหน้ากับร่างสูงขดงอด้านใต้ผ้าห่มผืนใหญ่

“แต่ถ้าไม่กินก็ไม่หายนะครับ”

สิ้นคำพูดนั้น คนบนเตียงก็พรวดพราดลุกขึ้นนั่งจนปวดแปล็บขึ้นสมอง หัวคิ้วขมวดยุ่งยามรู้สึกว่าห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวางกำลังหมุนคว้างไปมาชวนคลื่นไส้ แววตาสีนิลสั่นระริกด้วยความตกใจเมื่อเด็กในความคิดตลอดสองอาทิตย์ที่เลยผ่าน ตรงเข้ามาประคองกายเขาไว้ไม่ให้ล้มคะมำซะก่อน

“พี่เสาร์เป็นยังไงบ้างครับ” นับหนึ่งจัดหมอนให้วันเสาร์ได้เอนหลังพิงหัวเตียง

“นาย…มาได้ยังไง”

“ขอโทษนะครับที่ผมกลับมา” ทั้งๆ ที่เขาถูกไล่ออกจากบ้านนี้แล้ว ไม่ควรเสนอหน้ากลับมาด้วยซ้ำ “แต่ว่า ผมเป็นห่วงพี่เสาร์..”

ฝ่ามือหนาไล่แตะลำแขนเรียวเล็กราวกับต้องการให้แน่ใจว่านี่คือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันหรือภาพหลอนที่จิตใต้สำนึกของเขาสร้างขึ้น

“หนึ่ง…”

“พี่เสาร์อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะครับ กินข้าวก่อนดีกว่า จะได้กินยา”

ร่างสูงส่ายหน้า แต่นับหนึ่งก็ยังหันไปยกถาดข้าวต้มปลามาตั้งไว้บนตัก จัดการคนอาหารในชามสองสามที ก่อนจะยื่นช้อนเข้าไปจ่อปากสีซีด

“กินข้าวนะครับพี่เสาร์ ผมป้อน”

คนป่วยชั่งใจเพียงครู่ ก่อนจะยอมพยักเพยิดหน้าแล้วอ้าปากรับอาหารคำแรกลงกระเพาะ สายตาสื่อความหมายนับล้านเอาแต่จับจ้องไปยังใบหน้าหวานที่เขาเคยคุ้นและแสนคิดถึงสุดขั้วหัวใจ เมื่อพิจารณาให้ดี นับหนึ่งเองดูซูบผอมลงจากแต่ก่อนนิดหน่อย ขอบตาบวมคล้ำไม่น่าดูเลย

“หนึ่ง”

“ครับ?”

สองสายตาสบประสาน ต่างฝ่ายต่างเก็บซ่อนความห่วงหาอาวรณ์ได้ไม่มิดเลยสักคนเดียว

“เป่าให้ด้วย มันร้อน” เขายกนิ้วชี้ไปยังชามข้าวต้มที่วันศุกร์เพิ่งยกขึ้นมาให้ไม่นานนัก นับหนึ่งดูผิดหวังกับประโยคเมื่อครู่ แต่แล้วก็คลี่ยิ้มออก

การที่วันเสาร์พูดจาตัดอารมณ์อย่างเคยแบบนี้มันยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เหมือนว่าเรื่องที่วันเสาร์ไล่เขาออกจากบ้าน เรื่องที่นาทีนี้เขาไม่ใช่สมาชิกใต้ชายคาวุฒิเวคินทร์อีกต่อไป ล้วนเป็นเพียงเรื่องโกหก

เขาป้อนข้าวต้มไปได้ครึ่งชาม วันเสาร์ก็กินต่อไม่ไหว แต่ก็ยังดีที่ยอมกินยา ก่อนจะจบลงด้วยการนั่งจ้องเขานิ่งๆ ฝ่ามือใหญ่กุมมือเขาไว้ไม่ปล่อย ความร้อนจากอีกฝ่ายแผ่ออกมาจนน่ากลัวว่ามือเขาจะไหม้หรือติดไฟซะก่อนหรือเปล่า

“อยู่กับไอ้วาเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีครับ” เขาเว้นวรรค แล้วจึงถามกลับเสียงอ่อย “แล้วพี่เสาร์เป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่…ไม่ดีเลย”

ดวงตากลมวูบไหว จับจ้องใบหน้าอ่อนแรงของคนป่วยพร้อมหัวใจเต้นรัว ความหวังเล็กๆ ถูกจุดติดเป็นครั้งที่ร้อย “หมายความว่าไงครับ”

“ฉัน…”

วันเสาร์กระชับการเกาะกุม บรรยากาศในห้องเงียบลงจนแทบจะได้ยินเสียงอวัยวะในอกซ้ายของทั้งสองคนดังแข่งกัน เจ้าของโครงหน้าเรียวหล่อเหลาเอาแต่เพ่งพินิจแววตากลมล่อแสงที่กำลังกะพริบมองเขาอย่างรอคอย ไม่มั่นใจว่าควรพูดคำไหนออกไปก่อนดี ขอโทษเหรอ หรือว่า…

ก๊อกๆๆ

“หนึ่ง กลับได้แล้วล่ะ” เสียงของนาวาดังขึ้นจากด้านนอก ทำเอาทั้งสองสะดุ้ง เกือบจะปล่อยมือจากกันแต่ก็ถูกวันเสาร์รั้งไว้ได้ก่อน “พี่ไปรอที่รถนะ”

เจ้าของบ้านขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนับหนึ่งทำท่าจะลุกหนี บางที…ตอนนี้มันอาจจะยังไม่สายไป..

“เอ่อ พี่วามาตามแล้วครั…อ้ะ!”

วันเสาร์ผลักผ้าห่มเกะกะออกห่าง ดึงกระชากคนตรงหน้าเข้าหาจนนับหนึ่งเซล้มลงบนเตียงอีกครั้ง ปลายจมูกรั้นฝังลงกับแผงอกอบอุ่นชวนคิดถึง ใบหน้าหวานแดงระเรื่อเงยสบเรียวตาสีนิลเต็มเปี่ยมด้วยความหมายแบบเดียวกัน…

“พี่เสาร์…”

ฝ่ามือร้อนผ่าวเลื่อนประคองท้ายทอยขาว ดวงตาแววใสของคนเด็กกว่าเบิกกว้างแทบถลนยามรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่น หากบัดนี้กลับแห้งผาก ริมฝีปากของเราแตะกันแนบสนิทเป็นครั้งแรกโดยไม่มีใครทันคาดคิดว่ามันจะเกิด ไอร้อนรดรินพาลให้สมองของเขาปั่นป่วนก่อนจะกลายเป็นขาวโพลน วันเสาร์ขยับปากกดจูบหนักๆ ลงมาซ้ำสอง มืออีกข้างยังคงกุมมือเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป

หยาดน้ำเอ่อคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว นับหนึ่งเผลอสะอื้น ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงแล้วปล่อยให้ตัวเองได้ลิ้มรสจูบจากผู้ชายที่เขาตกหลุมรัก แขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างหนา ตอบรับสัมผัสวาบหวามด้วยการยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น

ลิ้นร้อนแทบจะกลายเป็นเหล็กอ่อนๆ ลนไฟ แลบเลียขอบริมฝีปากบวมอิ่ม ก่อนจะถือวิสาสะแทรกตัวเข้าสำรวจทั่วโพรงปากอุ่นหวานหอม หยอกกระหวัดเกี่ยวรัดลิ้นเล็กงกๆ เงิ่นๆ ท่าทางวันเสาร์ดูเชี่ยวชาญมากเกินกว่าจะเป็นคนที่ไม่เคยจูบใครมาก่อนตามที่เจนภพเคยกล่าว อุณภูมิในร่างของเขาเริ่มพุ่งสูงตามคนป่วยไปติดๆ ทั้งใบหน้าและลำคอล้วนกลายเป็นสีแดงซ่านราวมะเขือเทศสุกง่อม น้ำใสปริ่มออกจากปลายหางตาเมื่อรู้สึกว่าเริ่มหายใจไม่ทัน เสียงหัวใจของเขาเต้นระส่ำดังชัดออกมานอกอก น่าอายมากพอๆ กับท่าทีแสนประหม่าอย่างกับเด็กประถม

วันเสาร์จงใจดูดดุนลิ้นเขาอย่างหยอกเย้า ยอมถอนปากออกอย่างอ้อยอิ่งยามที่กำปั้นเล็กทุบเข้ากับอกแกร่งเพื่อส่งสัญญาณประท้วง เขารีบสูดเอาอากาศเข้าลึกสุดปอด ก่อนที่ปากหยักร้อนผ่าวจะตามลงมากดย้ำบนจุดเดิมซ้ำๆ อย่างกับว่ามันไม่เคยพอ

“อือ…”

เสียงดังจ๊วบจ๊าบชวนเขิน สะท้อนก้องอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม เกือบจะลืมไปแล้วว่านาวาอาจกำลังรอเขาอยู่ แต่จะทำยังไงดี ในเมื่อเขาไม่อยากกลับอีกแล้ว…

เราแลกจูบให้แก่กันไม่รู้ตั้งกี่รอบ คนตัวสูงเอาแต่ไล่ขบริมฝีปากอิ่มจากบนไปล่างสลับกันอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง ทำเหมือนกับว่าปากของเขาเป็นขนมหวานที่รอคอยจะได้เชยชิมมาเนิ่นนาน วันเสาร์ส่งลิ้นเข้ามาทักทายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาแทบหลอมละลาย ก่อนจะผละออกไปเพียงไม่กี่วินาที ก็ทาบทับลงมาใหม่อย่างเอาแต่ใจ

เขาเองไม่ได้ขัดขืน…เพราะจูบจากวันเสาร์คือสิ่งที่เขาวาดหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของมันสักวัน และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงแล้ว

หยาดน้ำตาคลอหน่วยรินไหลอาบแก้ม ความรู้สึกมากมายท่วมท้นจนเก็บไม่อยู่ จะว่าสุขมันก็สุขเหลือเกิน แต่จะว่าเศร้ามันก็เศร้าเหมือนกัน เพราะนี่คือการยอมรับว่าเขากำลังปล่อยให้วันเสาร์มามีอิทธิพลเหนือหัวใจตัวเองมากมายขนาดนี้

สัมผัสอุ่นวาบผละออกช้าๆ มือใหญ่ทั้งสองข้างเลื่อนประคองใบหน้าเขาไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาเรียวเข้มจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาสั่นไหว พร้อมเอ่ยคำขอเสียงกระซิบ

“หนึ่ง…กลับมาได้ไหม”

 

 ----------------------------------------------------------------------------------------------

ไฮ ไม่ได้แต่งไวขึ้นหรืออะไรทั้งนั้นค่ะ นี่ขุดเอาสต๊อกเก่าที่แต่งไว้แล้วมาลง ซึ่งจริงๆ มันก็ยังไม่ควรลงนะ 555 ปกติจะอัพตอนนึง เมื่อแต่งจบอีกตอนนึง เก็ทปะ แต่ตอนนี้คือแต่งไม่จบก็ต้องอัพอะ อยากอัพให้ได้ทุกเสาร์ ถ้าเป็นไปได้ T^T ไม่มีเวลาอ่านทวนก่อนอัพเลยอะ มันอาจจะมีคำผิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ยังไงรอกลับมารีไรท์อีกทีตอนจะรวมเล่มเลยละกัน 55555 (จะมีวันนั้นช่ะ) ถ้าทุกคนช่วยกันคอมเม้นหรือติดแท็กทวิตเป็นกำลังใจให้น้อนหนึ่ง น้อนก็จะมาหาทุกเสาร์ค่ะ ถถถถ

#นับหนึ่งถึงเสาร์
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 17-18
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 09-03-2019 12:26:12
ฮรื่ออ น้ำตาจะไหล วันนี้ที่รอคอยสุดๆ พี่เสาร์รู้ตัวแล้ว
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 17-18
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-03-2019 12:48:40
โล่งอกคนอ่าน เจ้าชายน้ำชายน้ำแข็งยอมรับไออุ่นจากหนึ่งซะที
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 19
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-03-2019 22:24:35

ก่อนไปอ่านพี่เสาร์ตอนนี้ ขออนุญาตใช้พื้นที่โปรโมทน้องศุกร์หน่อยค่ะ 555

'วันศุกร์สีฟ้า' กำลังจะวางจำหน่ายแล้วนะคะ ครั้งแรกที่งานหนังสือนี้ ไปสอยกันได้ที่บูธเฮอร์มิท N46 Zone C1 และถ้าใครสะดวกก็ไปเจอแอร์ได้ช่วงบ่ายวันที่ 30 มีนานะคะ แอร์จะไปสิงที่บูธ พร้อมกับเอาสติกเกอร์เล็กๆ น้อยๆ ไปแจกคนที่ซื้อนิยาย (หรือแค่เคยอ่านก็ได้) ด้วยค่ะ แวะไปเป็นหน้าม้าให้กันหน่อยนะ กลัวนิยายขายไม่ออกมาก แง 5555555


(https://www.img.in.th/images/1058b5e3fcbeeec63169970b33b04c20.jpg)


ใครใจดีแวะไปกดไลค์ กดแชร์ หรือรีทวิตโพสน้องศุกร์ให้หน่อยน้า ขายของหนักมากแร้วว 55

❤ https://www.facebook.com/HermitBooks/photos/a.359474807434062/2042457539135772/?type=3&theater
❤ https://twitter.com/hermitbooks/status/1106528881173880839


.

.

.

-----------------------------------------------



นับหนึ่ง ถึง สิบเก้า


 

คนตัวเล็กสูดน้ำมูก ดันตัวเองออกห่างเพื่อจะมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด แต่ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นเลือนลางเมื่อถูกบดบังด้วยม่านน้ำตาที่เขาควบคุมไม่ได้ เด็กน้อยปล่อยโฮลูกใหญ่ทำเอาวันเสาร์เลิ่กลั่ก พยายามจะยื่นมือเข้าแตะใบหน้าหวานบิดเบี้ยว แต่ก็ถูกมือเล็กๆ นั้นปัดป้องผลักไสอยู่เรื่อย

“เป็นอะไร”

แขนของเขาถูกสะบัดออกอีกครั้ง น้ำเสียงอู้อี้ตะคอกใส่อย่างเก็บกด “พี่เสาร์เล่นอะไรอยู่! คิดจะไล่ผมก็ไล่ แล้วคิดจะให้กลับไปตอนไหนก็ได้เหรอ”

แก้มตอบจากอาการป่วยชาวาบ รู้สึกว่าตัวเองสมควรโดนตบหน้ามากกว่าจะมานั่งมองคนตรงนี้ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เขารวบรวมกำลังทั้งหมดคว้าเอาร่างสั่นเทิ้มเข้ามาไว้ในอ้อมกอดได้สำเร็จ นับหนึ่งซบแก้มลงกับบ่ากว้างพลางส่งเสียงต่อว่าด่าทอไม่หยุดหย่อน และเขาก็ไม่นึกโกรธเลยสักคำ

ฝ่ามือร้อนด้วยพิษไข้เอื้อมลูบกลุ่มผมนุ่มป้อยๆ ได้แต่พูดคำเดิมซ้ำไปมาราวกับเครื่องหยอดเหรียญ

“ขอโทษ”

“ฮ..ฮึก”

“ขอโทษ…”

เรียวแขนเล็กยอมกอดตอบเขา ร่างกายของเราแนบชิดจนได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นถี่จากความเจ็บช้ำรวมทั้งความสุขในเวลาเดียวกัน

เจ้าของห้องฝังปลายจมูกเข้ากับขมับสวย ค่อยๆ ปลอบจนเด็กในวงแขนเริ่มสงบและยอมกลับมานั่งสบตากับเขาดังเดิม “นายจะกลับมาอยู่กับฉันใช่ไหม” เขาถามย้ำแต่กลับได้คำตอบเป็นการส่ายหัว เล่นเอาใบหน้าเรียวซีดเผือด

“ทำไมล่ะ ยังโกรธอยู่เหรอ”

นับหนึ่งส่ายหน้าอีกครั้ง “ผมขอถามอะไรพี่เสาร์อย่างนึงก่อน”

“หืม?”

คนตัวเล็กเม้มปาก ลอบเกาเล็บตัวเองด้วยหวั่นใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากกลับ แต่เขาแค่อยากรู้ว่าตัวเองจะกลับไปอยู่ในจุดไหนก็เท่านั้น คำถามที่ว่าทำไมวันเสาร์ถึงทำเหมือนเป็นห่วง หวง และหึง เขา มันยังคงวนเวียนชวนให้คิดเข้าข้างตัวเองไม่หาย แม้ว่าจะถูกตัดเยื่อใยทำลายความหวังริบหรี่มาไม่รู้กี่ครั้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบชัดๆ สักที

ครั้งนี้ก็เช่นกัน วันเสาร์จะจูบเขาทำไม…จะขอให้เขากลับไปอยู่ข้างๆ ทำไม ถ้าหากว่าเห็นเขามีค่าแค่เงินหนึ่งล้านที่คนคนนี้สามารถขว้างทิ้งได้โดยไม่ยี่หระ

“พี่เสาร์…” เขาเผลอกำหมัด ขณะทำเป็นเก่งจ้องสบดวงตาคมเข้ม สาบานว่าคราวนี้จะเป็นการทดลองเสี่ยงครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินหน้าหรือไม่ก็แค่ตัดใจตลาดกาล…

“คิดยังไงกับผมครับ?”

ฝ่ายถูกถามนิ่งชะงักกลายเป็นหิน เวลาในห้องราวกับถูกหยุดลงกะทันหัน สีสันของเครื่องใช้ซีดจางหลงเหลือไว้เพียงร่างของผู้ตั้งคำถามที่เด่นชัดในสายตา เสียงอวัยวะในอก รวมทั้งลมหายใจดังลอดผ่านความเงียบสงัด เลือดในกายสูบฉีดรัวเร็วจนเขารู้สึกเหมือนสมองกำลังถูกปั่น ค่อยๆ กลืนก้อนน้ำลายเหนียวข้นลงคออย่างยากลำบาก

นับว่าเป็นคำถามตรงไปตรงมาที่ฟังดูง่าย ทว่าตอบยากมากที่สุด ความจริงเขาแอบคิดอยู่นานแล้วว่าเด็กตรงหน้ายังจะมัวสงสัยอะไร ในเมื่อเขาเองไม่เคยจะปิดซ่อนความรู้สึกต่ออีกฝ่ายได้เลย ใช่ว่าเขาจะโง่ขนาดไม่รู้ว่าเผลอออกอาการชัดเจนมากแค่ไหน แล้วก็รู้ด้วยว่าน้องชายของเขา แม่บ้าน คนรถ แม้กระทั่งเพื่อนตัวดีทั้งหลาย ต่างจับได้กันหมดว่าเขาคิดยังไง

คล้ายว่าจะมีแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่ไม่เคยนึกยอมรับมันสักที และอีกหนึ่งก็คือคนตรงหน้าตอนนี้ ที่คงไม่กล้ามั่นใจเลยสักครั้งเช่นกัน…

ความกลัวระคนผิดหวังเคลื่อนตัวไหวๆ อยู่ภายในแววตาสีน้ำตาล นับหนึ่งเบะปาก เตรียมตั้งท่าจะลุกออกจากเตียง ทำให้เขาต้องรีบคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ เรามองสบกันทั้งที่อีกฝ่ายมีน้ำตาเอ่อคลอ และเขาก็ภาวนาให้มันมาจากความดีใจ มากกว่าจะเป็นอย่างอื่น

ถ้าพูดตอนนี้ ก็จะไม่เสียนายไปอีกแล้วหรือเปล่า…

.

.

“รัก...”

คำสั้นๆ เปล่งออกไปเบายิ่งกว่ากระซิบ

“ครับ?”

เขาเผลอหลุบตาหนีแวบหนึ่งยามเอ่ยคำต้องห้ามชวนเลี่ยน สาบานได้ว่าตลอด 23 ปี นอกจากคนในครอบครัว ก็ไม่เคยหลุดคำนี้ออกไปให้ใครได้ยินอีก ความจริง…เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้คำว่ารักกับใครคนอื่น จนกระทั่งวันนี้…วันที่รู้ตัวว่าอยากให้คนตรงหน้ากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

“รักนาย”

เสียงทุ้มแหบพร่าย้ำอีกครั้ง ใบหน้าแดงเรื่อจากอาการไข้ยิ่งขึ้นสีชัด เรียวตาคมค่อยๆ เหลือบกลับขึ้นมองพวงแก้มเห่อแดงไม่แพ้กัน ฝ่ามืออุ่นเลื่อนกระชับกอบกุมมือนิ่มของอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่น เจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยของเขาดูตื่นตกใจ ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาร่วงผล็อย มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นขยี้ตาตัวเองแรงๆ จนเขาต้องรีบตรงเข้าห้าม

“ร้องไห้ทำไม เสียใจเหรอ” นิ้วโป้งทั้งสองปาดเอาหยดน้ำออกจากโครงหน้าหวาน นับหนึ่งส่ายศีรษะ ปากเบะเผยอเอ่ยเสียงสะอื้น

“ดีใจ..ต่างหาก ครับ”

ร่างสูงคลี่ยิ้ม ดึงคนขี้แยเข้ามาไว้แนบอก ริมฝีปากร้อนกดจูบไปตามหน้าผากจนถึงขมับหวังช่วยปลอบประโลม

“พี่เสาร์ อย่าไล่ผมอีกนะ”

“ไม่ไล่แล้ว” เขาตอบ

ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากนอกห้อง ซึ่งเดาได้เลยว่าคงเป็นน้องชายกับเพื่อนสนิทของเขาที่น่าจะวางแผนให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้แต่แรก

สองชีวิตที่แอบฟังอยู่ต่างถอนใจอย่างโล่งอก พากันเดินยิ้มเล็กยิ้มน้อยกลับลงมาชั้นล่าง พวกเขารู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายวันเสาร์ก็ต้องยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อให้นับหนึ่งกลับมา

“งั้นพี่จะไปเก็บข้าวของของหนึ่งกลับมาให้นะ” นาวาเอ่ยหลังบ่นเพื่อนตัวเองให้คนเป็นน้องฟังจบไปชุดใหญ่

“ขอบคุณมากนะครับพี่วา แล้วก็ขอโทษแทนพี่เสาร์ด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ดีใจนะที่มันคิดได้”

“ครับ ศุกร์ก็ดีใจ”

คุณชายคนเล็กของบ้านฉีกยิ้มอีกครั้ง เหลือบมองกลับไปยังขั้นบันได วันนี้คงเป็นอีกวันที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต วันที่รู้ว่าพี่คนเดียวของเขาจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์จริงๆ สักที เหตุการณ์เมื่อครู่ควรถูกจารึก เพราะมันเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่าผู้ชายชื่อวันเสาร์ยังมีหัวใจ ไม่ใช่เพื่อเขา และไม่ใช่เพื่อคนอื่น

แต่ว่าเพื่อนับหนึ่งคนนี้…



-----------------------------------------------

 

ไอร้อนพ่นออกจากปากเป็นจังหวะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นห่วงว่านับหนึ่งอาจติดไข้มากเท่าไร ก็ยังอยากให้อยู่ใกล้ๆ มากยิ่งกว่า เราจับมือสอดประสาน ขณะที่คนตัวเล็กกำลังนอนเล่าไปเรื่อยว่าคุณแม่ของนาวาใจดีกับตัวเองยังไงบ้าง เขาเพียงแค่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้ารับและขานตอบเป็นบางที พิษไข้ที่คอยจะทรมานร่างกายมาตั้งแต่เมื่อคืนดูเหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับความสุขเอ่อล้น แค่ได้เห็นหน้านับหนึ่งอีกครั้งในรอบหลายวัน

หัวใจเหี่ยวเฉากลับมาพองโต และเขาไม่มั่นใจว่าเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งล่าสุดเมื่อไร แต่มันคงนานมากมาแล้ว…นานมาก จนจำไม่ได้

เกือบลืมไปแล้วว่าความสุขของการได้รักมันเป็นยังไง

เขากระชับสัมผัสบนฝ่ามือ รอยยิ้มบางเผยให้เห็น ยามหันมองเสี้ยวหน้าหวานต้องกระทบแสงจันทร์อ่อนๆ ลอดผ่านหน้าต่าง ตลอดสองอาทิตย์หรือนานกว่านั้นที่เขาพยายามแบกภูเขาลูกใหญ่ที่ชื่อว่าอดีต การยึดติด และปฏิเสธตัวเอง มันคือช่วงเวลาที่อึดอัดยิ่งกว่าขาดอากาศหายใจ และเขารู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งสู่ความตายอยู่ทุกชั่วขณะ

วินาทีนี้…ภูเขาเหล่านั้นถูกยกออกไปแล้ว เขาเป็นอิสระจากความทรงจำ ค่อยๆ ร้อยปมเชือกเส้นใหม่เกี่ยวพันไว้กับปัจจุบันตรงหน้า

“รู้ไหมว่าผมคิดถึงพี่เสาร์มากขนาดไหน” คนตัวเล็กพลิกตะแคง จ้องสบเข้ามาในแววตาสีดำสนิท ไม่อยากบอกเลยว่าเขาเองก็คิดถึงมากไม่แพ้กัน

“ขอโทษ”

เขาเลือกที่จะย้ำคำนี้ซ้ำๆ แต่นับหนึ่งกลับส่ายหน้าราวกับจะบอกให้เขาเลิกพูดคำเดิมๆ เหมือนพวกจับจด หรือไม่ก็คาดหวังว่าจะได้ยินคำอื่น ซึ่งมันก็มีบางคำซ่อนตัวอยู่ในใจเขา เพียงแค่ไม่ชิน...

นอกจากวันศุกร์ เขาไม่เคยชินกับการพูดจาหวานๆ ใส่ใครคนอื่น แต่ก็น่ากลัวว่าถ้าไม่ยอมพูดออกไปเลย สักวันมันคงอัดแน่นจนล้นทะลัก และถ้าพูดช้าไปแค่วินาทีเดียว มันก็อาจจะเสี่ยงสูญเสียคนตรงหน้าไปอีกก็ได้

ริมฝีปากแห้งผากเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนจะยอมเผยอออก เอื้อนเอ่ยแทรกความมืดออกมาเพียงเบาๆ “ฉันก็คิดถึงนาย”

รอยยิ้มที่เขาปรารถนาจะได้เห็นระบายอยู่บนใบหน้าขึ้นสี นับหนึ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ ไม่กลัวสักนิดว่าจะติดไข้จากคนป่วย แต่ก็นะ…คนที่กล้าดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบอย่างเขา คงไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้อยู่แล้ว

ศีรษะทุยซบซุกเข้ากับแผงอกเขาดั่งเช่นเคย กลิ่นหอมจากแชมพูไม่คุ้นจมูกโชยอ่อน เรียวแขนของสองเราต่างวาดโอบกันไว้แนบแน่นแทบกลายเป็นเนื้อเดียว ความเหงาจางหายไปพร้อมกับความหนาวเย็นของค่ำคืน…

โลกนี้บางทีก็ตลก และบางคราวก็แสนใจร้าย คนที่นับว่าเกือบจะเพียบพร้อมอย่างวันเสาร์ยังต้องใช้เวลาถึง 23 ปี กว่าจะค้นพบเศษชิ้นส่วนหัวใจที่แหว่งหาย และก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า คำว่ารักที่เปล่งออกไป มันเพิ่งจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของทุกอย่างเท่านั้น



---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------

 
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 19
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-03-2019 22:25:38
---------- ต่อ ----------



อดีตเด็กในเล้าเจ๊หมวย ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสมาชิกบ้านวุฒิเวคินทร์แทบจะเต็มตัว เจ้าของร่างเล็กยืดขาออกไปจนสุดบนโซฟากำมะหยี่ตัวยาว ข้างๆ กันมีเจ้าของบ้านตัวจริงเสียงจริงนั่งจิบกาแฟฝีมือเขาเอง

“หวาน”

“เพราะว่าหวานมันถึงได้อร่อยไงครับ”

วันเสาร์เลิกคิ้ว จำไม่เห็นได้ว่าเคยพูดว่าอร่อยตอนไหน ความจริงมันไม่ได้แย่หรอก เว้นแต่ไม่ใช่รสชาติที่เขาชอบ จะมีก็แค่คนชงนั่นแหละที่เขาชอบ ก็เลยยังต้องดื่มต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

โชคดีที่หลังจากคืนที่นับหนึ่งกลับมา ก็ถูกพี่ละเมียดจับยัดยาใส่ปากป้องกันไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น และเขาเองก็เริ่มกลับไปกินข้าวทานยาตามเวลาจนอาการไข้หายเป็นปลิดทิ้งในเวลาไม่นาน ตอนนี้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างกับว่าเรื่องราวบ้าๆ ทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น ออกจะดีเกินปกติเสียด้วยซ้ำ เมื่อต่างฝ่ายต่างตัดสินใจที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเองนำหน้า

เราเลือกที่จะพูดคุยกันตรงๆ แม้แต่คำหวานชวนอ้วกที่เขาเคยกระดากเกินจะเอ่ย ก็ยังพูดมันออกมาได้ง่ายดายเหมือนคำทักทายเท่านั้น

“เออ” เขาวางแก้วกาแฟลง เพิ่งนึกเรื่องสำคัญบางอย่างออกเมื่อครู่นี้เอง “ที่กันติกรณ์เคยบอกว่านายหอมแก้มไอ้วาน่ะ มันยังไง”

“เอ่อ…” ใบหน้าหวานถอดสี มือไม้เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข “ค..คือว่า…”

“คือว่าอะไร”

เผลอถดตัวหนี เมื่อวันเสาร์เขยิบใกล้พลางยื่นหน้าเข้าหาอย่างจับผิด เขาอึกอัก พยายามอธิบาย “ก็…ตอนนั้นผมจะซื้อนาฬิกาให้พี่ แต่เงินมันขาด พี่วาเลยจะช่วยออกให้…แลกกับหอมแก้มทีนึง” สุ้มเสียงท้ายประโยคนั้นเบาหวิว แต่ก็ยังดังชัดพอจะทำให้คนแถวนี้หงุดหงิด

“ถ้าเจอไอ้วาคราวหน้า จะต่อยแม่งสักที”

“อย่านะครับพี่เสาร์”

เรียวตาสีนิลจับจ้องฝ่ายเด็กกว่ากำลังย่นคิ้ว ช้อนตามองเขาอย่างขอความเห็นใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพตรงหน้ามันทำให้อวัยวะในอกซ้ายกระตุก แต่เขาก็เลือกเปลี่ยนเรื่องแทนการรับปากว่าจะไม่ไปต่อยหน้าเพื่อนตัวเอง

“หอมแก้มฉัน”

“ห้ะ”

ย้ำอีกครั้งเสียงเย็น “นายก็รู้ว่านี่ไม่ใช่คำขอ มันคือคำสั่ง”

นับหนึ่งบุ้ยหน้า ลังเลอยู่ได้เพียงครู่เดียวก็ยอมทาบประทับปากนิ่มเข้ากับโครงแก้มคมเข้มไวๆ ไปที เขารีบเด้งตัวออกห่าง แต่กลับถูกมือหนาคว้าแขนไว้ได้ก่อน ปลายจมูกโด่งเป็นสันฝังตัวลงกับพวงแก้มใสสีแดงระเรื่อ วันเสาร์ตามมาสูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายเรียวบางภายในวงแขนแข็งแกร่ง จมูกแหลมเขี่ยเบาๆ เข้ากับปลายคางมน ก่อนจะค่อยๆ ไล่ระดับลงไปซุกไซ้อยู่กับซอกคอระหง

คนตัวสูงกดจูบไปตามแนวชีพจร แล้วจึงกลับขึ้นไปแนบสัมผัสนุ่มหยุ่นลงบนมุมปากปิดสนิท ลิ้นชื้นแลบเลียไปตามแนวริมฝีปากเป็นเส้นตรง วนเวียนอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะยอมเผยอออกอย่างเผลอไผล ต้อนรับเรียวลิ้นร้อนที่พร้อมจะเข้าไปทักทาย

เราแลกน้ำหวานให้แก่กัน ขบเม้มและฉกชิมไม่เผื่อเวลาให้ได้หายใจ มือเล็กๆ เลื่อนขึ้นเกาะไหล่กว้างเพื่อทรงตัว เล็บทั้งสิบจิกขย้ำเสื้อเชิ้ตบนตัวอีกฝ่ายจนยับยู่ แรงอารมณ์บางอย่างกำลังเต้นตุบตับอยู่ภายในกาย เตรียมปะทุอยู่ทุกชั่วขณะ

ไม่มีใครเคยเตือนเลย ว่าจูบของวันเสาร์มันจะแผดเผามากมายขนาดนี้…

“อ…อื้ออ” เขาออกแรงทุบประท้วงเมื่อเริ่มหายใจไม่ทัน

“ฮ้า…”

หยาดน้ำลายเหนียวยืดเป็นสายยามที่ลิ้นของเราค่อยๆ ผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง แก้มเนียนกลายเป็นสีแดงชัด เสียงหอบหายใจดังแทรกความเงียบภายในห้องนั่งเล่นกว้างขว้าง

ฝ่ามือใหญ่สอดผ่านชายเสื้อ ตรงเข้าหยอกล้อกับเม็ดทับทิมตั้งชัน ขณะที่ยังประทับจูบไปตามลำคอเรียว นิ้วซุกซนเอื้อมไปด้านหลัง ผลุบหายเข้าไปในกางเกงลำลองก่อนจะทันให้เขาได้ตั้งตัว

“พ..พี่เสาร์ อย่าครับ”

“ทำไม” คำถามเสียงราบเรียบ ลมหายใจหนักหน่วงเป่ารดอยู่กับกระดูกไหปลาร้า

“นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะครับ”

หัวคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน ใบหน้าขรึมเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

“แล้วไง” นั่นคือคำตอบที่เขานึกไว้แล้วเชียว

วันเสาร์เพิกเฉยคำทักท้วง จงใจบีบขยี้ยอดอกเขาแรงๆ จนแทบจะกลั้นเสียงร้องไว้ไม่ไหว แม้ว่าจะมีเสื้อผ้าบังปิด แต่ก็พอเดาได้เลยว่าป่านนี้มันคงแดงก่ำล่อตาขนาดไหน

“อะ…อ๊ะ!”

เขารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง วินาทีที่ปลายนิ้วเย็นแตะเข้ากับช่องทางเบื้องหลัง ขนอ่อนในกายลุกฮือ หยดน้ำใสปริ่มหางตาด้วยความทรมานจากการพยายามสะกดกลั้นทุกอารมณ์พลุ่งพล่าน

น้ำเสียงสั่นเครือเปล่งออกไปอย่างยากลำบาก เมื่อวันเสาร์เอาแต่แกล้งเขาด้วยการลูบสะกิดไปตามร่องจีบที่กำลังขมิบตอบรับสัมผัสแปลกปลอมอย่างน่าไม่อาย

“ง…งั้นก็ ขึ้นไปบนห้อง..ไม่ได้เหรอครับ”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นตรงมุมปากของผู้เหนือกว่า

“หว..เหวอ!?”

แววตาคมส่องประกาย ก่อนจะพรวดพราดลุกออกจากโซฟาโดยอุ้มตัวเขาขึ้นไปพร้อมกัน เรียวขาขาวรีบหนีบกระชับเข้ากับสะโพกอีกฝ่าย แขนทั้งสองข้างรวบรัดรอบลำคอแกร่ง ร่างทั้งร่างเคลื่อนขึ้นลงไปตามจังหวะการก้าวขาของคนตัวสูง เขาทำได้แค่ซบหน้าลงกับบ่า ปิดซ่อนความอายเอาไว้ ไม่กล้าแม้แต่หรี่ตามองว่าอาจจะมีคนอื่นในบ้านเห็นเราตอนนี้

ประตูห้องถูกเปิดออก ท่าทางทุลักทุเล วันเสาร์ใช้เท้าเตะปิดประตูไม้ ไม่ทันได้ล็อคกลอน ค่อยๆ วางเขาลงบนเตียงนุ่ม ก่อนจะตามขึ้นมาคร่อมทับไว้อย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหยุ่นฝากจูบลงบนปากอิ่มอีกหลายครั้ง แทบนับไม่ถ้วน ขณะที่มือทั้งสองก็ดูจะขยันขันแข็งกับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวเขาซะเหลือเกิน

ไม่ทันไร เราทั้งคู่ต่างก็เปลือยเปล่า ลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศพัดกระทบผิวขาว ทำเอาขนลุกชัน หากไม่กี่วินาทีต่อมา ความหนาวก็แปรเปลี่ยนเป็นเป็นความเร่าร้อนเมื่อวันเสาร์ไล้จูบต่ำลง ทิ้งร่องรอยทั้งขบเม้ม ดูดและกัดไปแทบทุกส่วนที่ริมฝีปากร้อนลากผ่าน ฝ่ามืออุ่นตรงเข้ากอบกุมแก่นกายพอดีตัวที่กำลังผงกสู้ พร้อมหยาดน้ำเหนียวข้นปริ่มปลายหัว

 วันเสาร์ออกแรงรูดรั้งส่วนนั้นของเขา ค่อยๆ เพิ่มระดับจากช้าไปเร็ว เสียงครางสูงต่ำดังลอดออกจากปากบวมแดง ยากเกินจะต้านทาน หัวสมองของเขาถูกน้ำหมึกสีขาวหยดแต้มจนไม่รับรู้สิ่งใดอื่นอีก

“อ๊ะ...”

คนด้านบนผละออกจากแผ่นอกบาง หลังจากโลมเลียมันจนหนำใจ ก้มลงจูบหน้าท้องแบนราบไปเพียงสองสามครั้ง ก่อนจะทำบางอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิด

“พ..พี่เสาร์! อื๊อ!” ดวงตากลมเบิกกว้างทันทีที่ปากหยักครอบลงกับจุดแข็งขืน พอดีกับที่หัวใจดวงน้อยเต้นตุบรุนแรงราวกับจะกระแทกออกมาจากอก ไม่เคยคาดหวังว่าคนอย่างวันเสาร์จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้เขาเลยด้วยซ้ำ

“พี่เสาร์..อย่าครับ มัน..สกปรก”

เขาพูดไม่เป็นภาษา ร่างกายบิดเร่าด้วยความซ่านเสียวอย่างหาที่สุดไม่ได้ โพรงปากอุ่นร้อนกำลังกลืนกินตัวเขาอย่างกับคนอดยาก เทคนิคมากมายถูกงัดออกมาใช้ แทบจะทำให้เขาละลายกลายเป็นของเหลวซึมบนที่นอนกว้างๆ มือเล็กที่เคยจิกทึ้งผ้าปูสีเข้ม เลื่อนลงขยุ้มกลุ่มเส้นผมสีดำสนิทเพื่อระบายอารมณ์สุขสมในกาย จนกระทั่งมวลมหาความรู้สึกนับร้อยพันพากันแล่นพล่านมาจ่ออยู่แค่ปากทาง เขามองเห็นปลายขอบฟ้ารำไร...หากว่าทุกอย่างกลับหยุดชะงัก เมื่อวันเสาร์จงใจถอนปากออกกะทันหัน ทั้งๆ ที่เขาจวนเจียนจะถึงฝั่งฝันอยู่รอมร่อ

“พะ..พี่ เสาร์ ทำไม..”

“ฉันไม่ให้นายเสร็จง่ายๆ หรอก”

“อื้ออ”

ใจร้าย! ในขณะที่เขานึกโมโห วันเสาร์กลับยกยิ้มพอใจ แล้วส่งนิ้วเรียวยาวเข้ามาทักทายช่องทางปิดสนิทด้านหลัง

สะโพกมนเผลอแอ่นรับสัมผัสวาบหวามไม่รู้ตัว โครงหน้าเรียวคมก้มหายเข้าไปหลังต้นขาเนียนละเอียด ปลายลิ้นชื้นแตะสัมผัสรอยจีบสีชมพูสดเล่นเอาเด็กที่เอาแต่นอนหอบสะดุ้งเฮือก นับหนึ่งพยายามถดตัวหนี ขณะที่คนโตกว่ากำลังชำแรกนิ้วที่สองและสามตามเข้าไปเพื่อเบิกขยายโดนัทอันจิ๋วนั้นให้พร้อมรับความคับแน่นใหญ่โตที่กำลังเต้นตุบ จวนเจียนรอไม่ไหวเต็มที

เขาใช้นิ้วช่วยแหวกร่องรักตรงหน้า ก่อนจะก้มฉกเอาน้ำหวานด้านในลงคออย่างไม่นึกรังเกียจ รู้ได้เลยว่าการกระทำทั้งหมดมันคงทำให้นับหนึ่งแทบคลั่ง ถึงได้บีบรัดเรียวลิ้นของเขาซะแน่น

แน่นอนว่ามันก็ทำให้เขาคลั่งเช่นกัน…

“ฮ…ฮื่ออ”

เขาเลิกหยอก แล้วชักนิ้วทั้งหมดออกในคราวเดียว ใบหน้าร้อนผ่าวถึงกกหูของเขา คงเทียบไม่ได้กับร่างด้านใต้ที่กลายเป็นผลตำลึงไปเสียทุกจุด ผลตำลึงที่เขาชอบชิม…วันนี้ตั้งใจจะละเลียดกินให้หมด แม้แต่เมล็ดก็จะไม่ให้เหลือเลยเชียว

แก่นกายแข็งตั้งชันถูกดันเข้าไปภายในร่างกายเล็กๆ วันเสาร์ส่งเสียงครางต่ำหลังจากกดตัวตนของตัวเองเข้าไปจนมิด เขาสูดหายใจเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ โถมตัวกลับเข้ากอดเจ้าของกายสั่นเทิ้ม พลางพรมจูบไปทั่วใบหน้าระเรื่อหวังช่วยปลอบ

“เจ็บเหรอ” เขาถาม เมื่อสังเกตว่านับหนึ่งเอาแต่กัดปากไม่ยอมปล่อย หากก็ยังส่ายหน้าแทนคำตอบทั้งที่หัวคิ้วแทบจะขมวดเป็นโบ จนเขาต้องคลึงนิ้วลงกลางหน้าผากเพื่อคลายมันออก

วงแขนบางโอบรอบลำคอเขาไว้แทนที่พึ่งพิง ไม่รอช้า เขาโน้มหน้าลงมอบจูบลึกซึ้งให้กับเด็กน้อยที่ยังคงหายใจไม่เป็นจังหวะ นับหนึ่งเก้กังกับการพยายามตอบรับสัมผัสดุดันจากเขา แต่มันก็ช่างน่ารักจนทำให้เขายิ่งอยากแกล้งให้หนักกว่าเดิม จงใจดูดดึงริมฝีปากอิ่มแรงๆ ขณะที่อวัยวะส่วนล่างก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน

ร่างกายของเรากลายเป็นลาวาไม่ก็ลูกไฟ ค่อยๆ หลอมรวมสอดผสานกลายเป็นหนึ่ง ทุกการเคลื่อนไหวและแรงขยับ แม้จะดูหยาบโลนน่าอาย แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกรักใคร่ที่วันนี้ไม่มีใครปิดบังได้มิดอีกต่อไปแล้ว

เรากอด เราจูบ เราฝากสัมผัสให้แก่กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพอ ใบหน้าหวานเห่อแดง หยาดน้ำปริ่มหางตาสีน้ำตาลเข้ม กับคราบน้ำลายจากการส่งเสียงครางไม่หยุด ทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นคนตรงหน้า คือสิ่งสวยงามอันแสนวิเศษสำหรับเขา

คุ้มค่ากับการรอคอยและทนทรมานจากบาดแผลฝังลึกในจิตใจมายาวนานมากกว่ายี่สิบปี การได้พบนับหนึ่งวันนี้ เขาว่ามันเกินคุ้ม…

ร่างบางเรียกชื่อเขาย้ำๆ ขณะที่ช่องทางคับแน่นเอาแต่ตอดรัดรับทุกการกระแทกทั้นได้เป็นอย่างดี “พ..พี่เสาร์…พี่เสาร์ ผมจะไม่ไหว แล้ว..”

“อืม…”

“อ๊ะ อ๊าา!”

แรงอารมณ์พลุ่งพล่านขับเคลื่อนเราทั้งคู่ไปสู่จุดหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน เขากดจูบลงบนขมับชื้นเหงื่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงกกกอดอีกฝ่ายไว้แนบชิด ฝังจมูกคลอเกลี่ยไปตามโครงหน้าเรียวเล็กซึ่งยังคงแดงซ่านน่าเอ็นดูเป็นที่สุด

แผ่นอกราบกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจหนักหน่วง เสียงหอบดังขึ้นกลบเสียงเต้นของหัวใจแทบจะมิด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้ยินมันชัด ทั้งหัวใจของหนึ่ง และหัวใจของเขาเอง

“ฉันรักนาย” เขากระซิบมันออกมาอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าคนในอ้อมกอดชิงเข้าสู่นิทราจากความเหนื่อยอ่อนไปก่อนแล้ว

ริมฝีปากหยักทาบทับลงบนกลุ่มผมนุ่ม ก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ

ในฝันกลางวัน…เขาได้ครองคู่อยู่กับนับหนึ่งจนแก่เฒ่า หวังเหลือเกินว่าถ้าตื่นขึ้นมา ก็อยากจะให้ความจริงได้เป็นแบบนั้นเช่นกัน…



-----------------------------------------------

 

เสียงเคาะประตูจากพี่ละไมในช่วงเย็น ปลุกให้สองร่างบนเตียงรู้สึกตัว วันเสาร์อุ้มคนเด็กกว่าที่ยังสะลืมสะลือไปอาบน้ำชำระล้างกาย พร้อมจับแต่งตัวให้เสร็จสรรพ ก่อนจะลงมาประจำตำแหน่งบนโต๊ะอาหารตัวเดิม

วันนี้มีกรรเชียงปู…

พี่ละเมียดส่งสายตาหยอกล้อให้กับคุณชายคนใหม่ของบ้านอย่างรู้ทัน “คุณเสาร์เป็นคนสั่งให้พี่ไปซื้อมาเองค่ะ คุณหนึ่งต้องทานเยอะๆ เลยนะคะ”

นับหนึ่งอมยิ้ม ก่อนจะเหลือบตามองคนตรงข้ามที่เอาแต่เก๊กหน้าตายแล้วทำเป็นสนใจถ้วยแกงส้มชะอมกุ้งบนโต๊ะ นั่นยิ่งทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างกว่าเดิม นึกอยากจะขำ แต่กลับส่งเสียงไม่ออกเมื่อจู่ๆ วันเสาร์ก็เงยหน้าขึ้นสบตากันแน่นิ่ง แววตาสีนิลทรงเสน่ห์แฝงความรู้สึกมากมายที่มีต่อเขาเอาไว้ จ้องลึกเข้ามาราวกับจะกลืนกินเสียให้ได้ กลายเป็นเขาเองที่ต้องเบือนหน้าหลบพร้อมไอร้อนที่แล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มใส

ในสมองพาลคิดย้อนไปถึงเรื่องบนเตียงเมื่อบ่าย…วันเสาร์ร้อนแรงเหมือนไฟ แต่ก็เป็นเปลวไฟที่อบอุ่นดั่งผืนผ้านวมในฤดูหนาว การกระทำทุกท่วงท่าช่างเต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันนุ่มนวล ที่เคยบอกว่า ‘เมื่อไรก็ตามที่เขาคิดว่าวันเสาร์ใจร้าย มันก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ยังใจร้ายได้มากกว่านั้น’ คงต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ว่าเมื่อไรก็ตามที่คิดว่าวันเสาร์อ่อนโยน มันก็มีวันที่ผู้ชายคนนี้ยังอ่อนโยนได้มากกว่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก…

ย้อนเวลากลับไปสักเดือนกว่า ตอนนั้นเขาเป็นเด็กกำพร้าในบ้านโทรมๆ หลังเก่าคร่ำครึ ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง กระทั่งวันที่ฟ้าบันดาลให้มาพบเจอคนตรงหน้าก็ยังแทบเดาไม่ออกเลยว่าจะมีความสุขได้อย่างไร แต่ใครจะเชื่อว่าขณะนี้ ทุกอย่างกลับพลิกผันไปหมด

ผู้ชายชื่อวันเสาร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยเชื่อว่าไร้หัวใจ วันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่ามันไม่จริง…วันเสาร์ที่เขาสมควรจะเกลียด กลับถลำลึกเลยคำว่ารักไปมากมายหลายขุม กลายมาเป็นความสุขที่ช่วยเติมชีวิตขาดๆ หายๆ ของเขาจนเต็ม

หากว่าวันนั้นไม่ได้พบกัน…เขาคงเสียใจที่สุด

ฝ่ามือหนาเลื่อนแตะหลังมือของเขาเป็นเชิงสะกิดให้หลุดออกจากห้วงความคิดในหัว ริมฝีปากบางที่มักปิดคว่ำลงอยู่เรื่อย ค่อยๆ คลี่ยิ้มออก กรรเชียงปูชิ้นใหญ่สุดในจานถูกยื่นมาให้

“กินสิ หรือต้องให้ฉันป้อน”

เขาหลุดหัวเราะ แกล้งพยักพเยิดหน้าใส่ “แล้วป้อนได้ไหมอะครับ” นั่นทำให้อีกฝ่ายส่ายศีรษะทั้งที่อมยิ้มมุมปาก วันเสาร์แตะเนื้อปูขาวแน่นลงกับถ้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดเพียงเล็กน้อย ส่งมันเข้าปากเขาซึ่งอ้ารออยู่ก่อนแล้ว

ดวงตากลมส่องประกาย ฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบกรรเชียงปูอีกชิ้นป้อนกลับคืนให้ เราผลัดกันตักกับข้าวแต่ละอย่างใส่จานอีกฝั่งจนพูน

ตั้งแต่รู้จักคนชื่อวันเสาร์ หรือตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้ามาในบ้านวุฒิเวคินทร์ นับจนถึงปัจจุบัน เขาคิดว่าช่วงสองสามวันหลังจากหายไข้มานี้…วันเสาร์ใจดีที่สุด แล้วก็ยิ้มเยอะที่สุดด้วย มันเป็นยิ้มที่แสนละมุน แตกต่างจากสีหน้าแววตาเย็นชาตลอดมาลิบลับ รอยยิ้ม…ที่เขาไม่เคยจินตนาการออกเลย หากเมื่อได้เห็นมันครั้งหนึ่งแล้ว ก็นึกอยากครอบครองไว้เป็นของตัวเองเพียงคนเดียวตลอดไป

ปี๊น

เสียงแตรรถยนต์ดังเรียกความสนใจจากทุกชีวิตในบ้าน แสงไฟสีส้มส่องสว่างผ่านรั้วอัลลอยด์ เพิ่งทำเขาสังเกตว่าลุงชัยกับรถตู้คันเก่งหายไปจากลานจอดรถตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้ขับกลับมาเอาเดี๋ยวนี้

วันเสาร์เลิกคิ้ว หันมองแม่บ้านทั้งสองที่เพิ่งพากันสาวเท้าออกมาจากครัวหน้าตาตื่น พี่ละเมียดยิ้มแหยก่อนจะสารภาพ

“พอดีพวกพี่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บอกคุณเสาร์น่ะค่ะ”

“เรื่องอะไรครับ?”

“ก็…”

ไม่ทันได้พูดจบ เฉลยของคำถามก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทันทีที่ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก พร้อมน้ำเสียงสดใสคุ้นหูยิ่งกว่าใคร ชายหญิงวัยกลางคนหน้าตาละม้ายคุณชายคนโตของบ้าน พ่วงด้วยเด็กผู้ชายท่าทางเย่อหยิ่ง อีกราย พากันพรวดพราดเข้ามากลางโต๊ะอาหาร

ในขณะที่นับหนึ่งยังคงงุนงง วันเสาร์กลับเบิกตากว้าง เกือบจะตกจากเก้าอี้

“พ่อ แม่!”

 

----------------------------------------------------------------------------------------------

กะคือน้องต้องยอมอิพี่แน่อยู่แร้ว เพราะน้องขี้ใจอ่อนมาก รักเขามาก แต่ทีมเงาแค้นไม่ต้องห่วงนะคะ คูมแมะได้เตรียมแผนให้พี่เสาร์เจ็บไว้แล้ว รอติดตามกันต่อไป (แต่ไม่เยอะมาก นี่ไม่ใช่นิยายดราม่า 5555) จริงๆ เราควรดีใจที่เขาได้รักกันสักที ลุ้นเหนื่อย อิพี่หายโง่แล้ว ต้องปิดซอยเลี้ยงฉลองรึปะ ถถถถถ

เสาร์หน้าเรางดน้า บริษัทมีจัดงานค่า ยุ่งม้าดดดดดด คือจริงๆ จะสารภาพว่าเราอยากอัพทุกเสาร์มาก เพราะถ้ายังอัพทุกเสาร์ต่อไปได้เรื่อยๆ ตามแพลน ตอนสุดท้ายจะได้ลงวันเสาร์ที่หนึ่ง (มิถุนา) พอดี T___T แต่เราว่าเราคงทำไม่ได้แล้ว มันกดดันตัวเองเกินไป เราแต่งไม่ทัน ฮือออ เสียใจแต่ทำไรไม่ได้ ยังไงก็ขอกำลังใจจากทุกๆ คนด้วยนะคะ เลิฟฟฟฟ ❤


 
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-03-2019 23:42:51
เด็กชายคนนั้นคือใคร รอติดตาม :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-03-2019 11:57:40
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 19
เริ่มหัวข้อโดย: piiya ที่ 06-04-2019 15:55:21
อุแงงงง มาตอนไหนก็รอได้ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 19
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 06-04-2019 16:48:21
จะเกิดอะไรขึ้นอีกก

รอเสมอนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 20
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 19-04-2019 09:12:21
นับหนึ่ง ถึง ยี่สิบ

 

“พ่อ แม่ จะกลับมาทำไมไม่บอกล่ะครับ” คนตัวสูงลุกขึ้นตรงเข้าหาผู้ใหญ่ทั้งสอง

“ก็แม่อยากมาเซอร์ไพรส์ลูก”

“นี่ใครครับ” สายตาประหลาดใจเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย ขณะหันมองเด็กผู้ชายที่ติดสอยห้อยตามผู้ปกครองของเขามาด้วย เจ้าของใบหน้าสดใสหุบยิ้มลงแทบจะทันที

“นี่ตะวันไงเสาร์ จำไม่ได้เหรอ ลูกน้าเพ็ญ เพื่อนแม่กับพ่อ”

“จำไม่ได้ครับ” วันเสาร์ตอบกลับโดยไม่ต้องคิดเล่นเอาคนเป็นแม่หน้าถอดสี ก่อนจะหันไปดึงตะวันเข้ามายืนใกล้ๆ พอดีกับที่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีเด็กแปลกหน้าอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน

“แล้วนี่ใครล่ะเนี่ย”

“เอ่อ” นับหนึ่งรีบลุกออกจากเก้าอี้ พาตัวเองไปยืนหลบมุมอยู่หลังแม่บ้านเก่าแก่ทั้งสองซึ่งเอาแต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าคุณชายของพวกเธอจะตอบว่ายังไง

คนตัวสูงเป็นฝ่ายเคลื่อนตัวเข้ามาดึงแขนเรียวเล็กออกจากมุมมืด เพื่อให้เห็นหน้าพ่อกับแม่ของเขาชัดๆ ทั้งสองฝั่งต่างสบตากันโดยไม่มีใครเริ่มพูดอะไร จนกระทั่งวันเสาร์ต้องเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน

“นี่นับหนึ่งครับ” สมองกำลังประมวลผลอย่างถี่ถ้วนว่าควรจะเริ่มต้นแนะนำด้วยคำไหนดี แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาควรบอกไว้ก่อนว่าตอนนี้นับหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะไหน ซึ่งท่านทั้งสองคงต้องประหลาดใจแน่ “เป็นคนรั..”

“เป็นเด็กที่พี่เสาร์รับมาเลี้ยงครับ”

ห้ะ?

คำว่า ‘ห้ะ’ ตัวใหญ่เบ้อเริ่มผุดขึ้นกลางหน้าผากของเขา ของพี่ละเมียด พี่ละไม รวมทั้งของพ่อกับแม่ หรือแม้แต่ตะวันนั่นด้วย สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังคนที่เพิ่งหลุดปากพูดอะไรไม่รู้เรื่อง

“หมายความว่ายังไง” พ่อถามขึ้นท่ามกลางความงุนงงของทุกฝ่าย และนั่นก็เป็นคำเดียวกับที่เขาอยากเขย่าตัวถามเด็กข้างกายด้วยเช่นกัน

นับหนึ่งกลอกตาลอกแลก มือไม้อยู่ไม่สุขขณะพยายามคิดหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ น้ำเสียงกระอึกกระอักที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักกะผีกเดียวยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด

“คือว่า…ผมเป็นเด็กกำพร้าครับ หลังจากป้าผมเสีย พี่แถวบ้านก็พาผมไปรู้จักกับพี่เจ ผมเลยบังเอิญได้มาเจอพี่เสาร์ แล้วพี่เสาร์ก็รับผมมาอุปถัมภ์อะครับ”

แอบเห็นว่าทั้งแม่และพ่อต่างยกนิ้วขึ้นมานับ ในใจคงกำลังไล่เรียงลำดับประโยคยาวเหยียดเมื่อครู่ไปมา ก่อนที่แม่จะทวนคำถามซ้ำอีกครั้ง

“สรุปว่าตาเจเป็นคนพาหนูมาเจอเสาร์ แล้วเสาร์ก็เลยรับหนูมาเลี้ยงยังงั้นเหรอ”

นับหนึ่งผงกศีรษะลง ในขณะที่เขาส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน ตรงเข้าบีบต้นแขนอีกฝ่ายไว้พลางส่งคำถามผ่านทางสายตาดุดัน นับหนึ่งกัดริมฝีปากแล้วช้อนตามองเขาเหมือนต้องการจะร้องขอให้ช่วยตามน้ำ ซึ่งเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม

มือบางเลื่อนขึ้นแตะหลังมือเขา ค่อยๆ แกะตัวเองออกจากการเกาะกุม ใบหน้าอึดอัดใจดูคล้ายกับว่าจะระเบิดน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ ทำเอาเขาไม่กล้าแม้แต่จะเถียง ถึงจะรู้ดีว่าคำโป้ปดพวกนั้นมันฟังไม่ขึ้น และแน่นอนว่าพ่อกับแม่ของเขาไม่มีทางเชื่อ

เด็กนี่คิดว่าเขาเป็นใคร นาวาเหรอ หรือว่าพระพุทธเจ้า ถึงจะได้เอะอะไปรับเด็กกำพร้าน่าสงสารมาชุบเลี้ยงอย่างกับมูลนิธิไม่ก็สถานสงเคราะห์

“เอ่อ แม่ไม่รู้เลยว่าเสาร์จะใจบุญขนาดนี้”

เขาเลือกที่จะเงียบ และทุกคนก็คงสังเกตได้ว่าบรรยากาศมันชักจะย่ำแย่ลงทุกที พี่ละไมถึงได้กล้าโพล่งออกมากลางปล้อง ซึ่งก็นับว่าขอบคุณมาก

“ละ แล้ว..คุณพจน์กับคุณนายทานอะไรมาหรือยังคะ”

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ” อดีตนางนพมาศประจำจังหวัดอย่าง วรวรรณ ในวัยสี่สิบกว่า เหลือบตามองอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะรีบดันหลังทุกคนให้นั่งล้อมวงกันบนนั้น “เสาร์กับนับหนึ่งทานข้าวต่อเถอะ ตามสบายนะ”

วันเสาร์และนับหนึ่งกลับเข้าประจำที่ คนเป็นแม่ทิ้งตัวลงข้างสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ฝ่ายพ่อจับจองเก้าอี้หัวโต๊ะ ปล่อยให้ตะวันนั่งอยู่ข้างกับลูกชายคนโต หัวหน้าครอบครัวผายมือไปทางวัยรุ่นเจ้าของผมสีน้ำตาลอมส้มตามประสาเด็กนอกซนๆ ที่จากบ้านเกิดไปตั้งแต่เด็ก

“ช่วงที่พ่อกับแม่อยู่นี่ ตะวันจะมาพักที่บ้านเรานะเสาร์ ฝากลูกดูแลน้องด้วยล่ะ”

กรรเชียงปูอีกหลายชิ้นถูกวางใส่จานของนับหนึ่งด้วยฝีมือคนตรงข้าม วันเสาร์แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ จนคนเป็นพ่อต้องกระแอมไอหนักๆ ก่อนจะหันไปเอาความจากแม่บ้าน

“ตะวันจะนอนที่ไหนดี ห้องรับรองว่างไหม”

“เอ่อ ตอนนี้คุณหนึ่งพักที่ห้องรับรองอยู่ค่ะ”

“อ่าวเหรอ”

“เอ่อ ผมลงมานอนที่ห้องนั่งเล่นก็ได้นะครับ” นับหนึ่งแทรกขึ้น ตามด้วยน้ำเสียงร่าเริงของคนที่อยู่ในประเด็น “ไม่เป็นไรครับ ผมนอนกับพี่เสาร์ก็ได้”

ทุกคนหันมองกันไปมาเหมือนกำลังใช้ความคิด สุดท้ายก็จบลงด้วยคำพูดไร้เยื่อใยจากเจ้าของนัยน์ตาสีนิลแฝงอารมณ์หงุดหงิดปนรำคาญ “ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบนอนกับคนแปลกหน้า"

หญิงวัยกลางคนยิ้มเจื่อน เป็นอีกครั้งที่เจ้าลูกชายจอมเย็นชาเล่นหักหน้าเธอแบบไม่สนใจจะแคร์โลก สายตาเป็นกังวลเหลือบมองตะวันที่เริ่มแสดงท่าทีขุ่นเคืองระคนผิดหวัง

“ผมย้ายมานอนห้องนั่งเล่นดีกว่าครับ คุณตะวันใช้ห้องรับรองได้เลย” นับหนึ่งยกมือขึ้นกลางอากาศ พยายามสรุปทางออกที่น่าจะเหมาะสมที่สุด

 “แต่..”

ตะวันทำท่าจะขัดอีก หากก็ยังช้ากว่าพี่ละเมียดที่รีบแทรกขึ้นก่อน ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ลงมาโปรด

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปจัดหมอนกับผ้าห่มให้คุณหนึ่งนะคะ” เธอก้มหัว หันไปพยักเพยิดหน้าให้กับคู่หูที่เข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย “ละไมยกกระเป๋าคุณตะวันขึ้นไปบนห้องรับร้องให้ทีนะ”

คนตัวเล็กนึกอยากจะไหว้พี่ทั้งสองเดี๋ยวนั้น แอบเห็นวันเสาร์ยกยิ้มนิดๆ ก่อนจะกลับมาปั้นหน้าขรึมตามเดิม เมื่อไม่มีใครดันทุรังอะไรต่อ ผู้หญิงหนึ่งเดียวในนี้จึงเริ่มหยิบยกประเด็นอื่นเข้ามาในวงสนทนาหวังช่วยคลายบรรยากาศอึดอัดแปลกๆ

ต้องยอมรับว่าวรวรรณกับพจน์เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่พยายามจะชวนทั้งเขาและตะวันคุยเรื่องต่างๆ เขาถูกซักประวัติพอประมาณ ตามด้วยสายตาสงสารที่มีให้

“โชคดีที่เสาร์รับหนูมาอยู่ด้วย” ฝ่ามือหยาบจากการทำงานเอื้อมลูบแขนเขาอย่างนึกเอ็นดู เขาแย้มยิ้มเป็นการตอบกลับ จะว่าเขินก็ใช่ แต่จะว่าแสลงหูก็ด้วย เวลาได้ยินคุณนายของบ้านเรียกเขาว่า ‘หนู’ เหมือนกับเด็กๆ

เธอหยุดจ้องมองเขาแน่นิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนจะหันไปสบตากับคนเป็นสามี แล้วเริ่มพูดต่อ “จะว่าไปก็ไม่แปลกนะที่เสาร์จะรับหนึ่งมาเลี้ยง”

“นั่นสิ” พจน์เสริม

“หนูรู้ไหม เมื่อก่อนวันเสาร์ก็เคยพาเด็กกำพร้าคนนึงกลับบ้านเหมือนกัน”

เขาพยักหน้าลง รู้ได้ทันทีว่ากำลังหมายถึงใคร “พี่ศุกร์ใช่ไหมครับ”

“ใช่ หนูเคยเจอศุกร์หรือยัง”

“เคยแล้วครับ พี่ศุกร์ใจดีมากเลย ใจดีเหมือนคุณนายเลยครับ”

“ตายแล้วเด็กคนนี้” วรวรรณยิ้มขำพลางทาบมือลงกับอก เธอหันมองพจน์ที่กำลังยิ้มกว้างไม่แพ้กัน ไล่สายตาไปทางวันเสาร์ซึ่งเอาแต่สังเกตการณ์อยู่ตลอด ก่อนจะกลับมาจบที่ใบหน้าอ่อนหวานที่เธอนึกถูกชะตานัก “พูดจาน่ารักจริงๆ แต่ว่านะ ไม่ต้องเรียกคุณนายหรอกจ้ะ”

“เอ่อ งั้น…คุณป้า เหรอครับ?”

เธอส่ายหน้า “หนูเรียกแม่เลยก็ได้นะ ถ้าเข้ามาอยู่บ้านนี้แล้วก็เหมือนแม่มีลูกชายอีกคนนั่นแหละ”

“อะ..เอ่อ…”

วันเสาร์หลุดยิ้มให้กับท่าทางอึกอักของคนตรงข้าม ใจจริงเขาอยากรีบเสริมว่า ไม่ใช่ลูกชายสักหน่อย แต่ว่าเป็นลูกสะใภ้ต่างหาก แต่ก็ต้องเงียบไว้ในเมื่อดูเหมือนว่านับหนึ่งจะยังไม่อยากให้เขาเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้สักเท่าไร

“แต่พูดก็พูดเถอะ นับหนึ่งมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแล้ว ทำไมไม่เคยมีใครบอกแม่กับพ่อเลย”

คนเป็นลูกชะงักไปนิดกับคำถาม ถูกสายตาคาดคั้นจากผู้ใหญ่ทั้งสองจ้องมองไม่กะพริบ ความจริงเขาไม่เคยคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างเขากับนับหนึ่งจะดำเนินมาถึงจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะตกหลุมรักเสียลึกขนาดนี้ ถึงได้สั่งคนใช้ทุกคน รวมถึงศุกร์ นาวา และเจนภพ ไม่ให้บอกเรื่องที่เขาพาหนึ่งเข้าบ้านกับพ่อแม่ เพราะถ้าเขาเกิดเบื่อจะเล่นสนุกแก้เซ็งแล้วทิ้งนับหนึ่งกับเงินล้านไป มันก็คงกลายเป็นแค่เรื่องไม่สำคัญที่พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องรู้

แต่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตร…นอกจากไม่คิดจะเบื่อแล้ว เขาก็ไม่คิดจะทิ้งเด็กคนนี้ไปไหนด้วย

“ผมก็ตั้งใจจะบอกอยู่ แต่ยังไม่มีโอกาส” วันเสาร์ไม่วายสวนกลับ “ทีพ่อกับแม่จะกลับบ้านยังไม่บอกผมเลย”

วรวรรณหรี่ตามองลูกชายตัวเองอย่างจับผิด ก่อนจะหันไปชวนเด็กหน้าละอ่อนทั้งสองคนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ จวบจนท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นมืดสนิทถึงได้ฤกษ์แยกย้ายไปยังห้องนอนของใครของมัน

ละเมียดจัดการขนข้าวของจำเป็น รวมทั้งเสื้อผ้าของนับหนึ่งไปไว้ในห้องของวันเสาร์อย่างรู้งาน หมอนหนึ่งใบกับผ้าห่มอีกผืนถูกตระเตรียมไว้บนโซฟาตัวยาวเรียบร้อยแล้ว พร้อมแก้วบรรจุดอกปีบนับสิบก้านในนั้น ก็จรลีลงมาอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยในห้องนั่งเล่นเช่นกัน

“ขอบคุณมากนะครับพี่ละเมียด” คนตัวเล็กก้มหัวลงหลายที ก่อนจะรับเอาแก้วโกโก้ร้อนมาไว้ในมือ

“คุณหนึ่งทนนอนโซฟาหน่อยนะคะ พี่ว่าคุณตะวันน่าจะอยู่ไทยแค่อาทิตย์เดียว เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ นอนตรงนี้ก็สบายดี”

หญิงร่างท้วมยิ้มรับให้กับคำตอบแสนนอบน้อมอย่างเคย เธอกำลังจะหันหลังกลับแต่ก็ถูกเสียงเล็กๆ รั้งไว้ก่อน

“เอ่อ พี่ละเมียด”

“คะ?”

“คุณตะวันเขา…ชอบพี่เสาร์เหรอครับ”

เธอหลุดหัวเราะในที “ก็เหมือนจะใช่นะคะ แต่คุณหนึ่งอย่ากังวลไปเลยค่ะ คุณเสาร์รักคุณหนึ่งจะแย่”

“ระ..รักอะไรกันครับ”

“แหม อย่าคิดว่าพวกพี่ไม่รู้นะคะ” นับหนึ่งเม้มปาก หลุบตาหลบท่าทางหยอกล้อจากอีกฝ่าย ใบหน้าขึ้นสีหม่นลงเมื่อได้ยินคำถามถัดมา “จริงสิ แล้วทำไมเมื่อกี้คุณหนึ่งไปบอกคุณนายแบบนั้นล่ะคะ”

“บอกแบบไหนครับ”

“ก็ที่บอกว่าเป็นเด็กที่คุณเสาร์อุปถัมภ์ไงคะ”

“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นี่ครับ ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย”

“แต่ว่าตอนนี้คุณหนึ่งเป็นมากกว่านั้นไม่ใช่เหรอคะ คุณเสาร์เองก็น่าจะอยากบอกคุณนายเรื่องคุณหนึ่งด้วย ท่าทางแกโกรธอยู่นะคะที่ได้ยินคุณหนึ่งตอบแบบนั้นน่ะ”

เด็กน้อยเบะปากทันทีที่ได้ยินว่าวันเสาร์อาจจะโกรธ ซึ่งเขาเองก็เดาไว้แล้วว่าคงเป็นงั้น แต่จะให้ทำยังไงได้ เขายังไม่พร้อมบอกพ่อกับแม่ของวันเสาร์ว่าตัวเองเป็นอะไรที่สำคัญมากกว่านั้นนี่น่า ทุกอย่างมันกะทันหันเกินไป อีกทั้งกลัว ทั้งกังวล ตีรวนกันในสมองจนปวดหัวไปหมด แค่ วันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ รับเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่ในบ้าน นั่นก็น่าครหามากพอแล้ว ครั้นจะให้เขาไปป่าวประกาศว่าตัวเองคือคนที่วันเสาร์บอกว่ารัก ทั้งที่เป็นแค่อดีตเด็กขายปอนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรสักอย่าง เอาจริง…เขาไม่กล้าพูดหรอก

“ไม่รู้นะคะว่าคุณหนึ่งกังวลอะไรอยู่ แต่พี่ว่าอย่าคิดมากดีกว่า คุณพจน์กับคุณนายใจดีแล้วก็ใจกว้างมากๆ เลยนะคะ” พี่ละเมียดเข้ามาตบบ่าเขาสองสามที พูดจาเสมือนอ่านความคิดเขาออกทุกอย่าง

รอยยิ้มบางเบาเผยออก ก่อนจะก้มหัวราตรีสวัสดิ์ ประตูบานขุ่นเลื่อนปิดลง หลงเหลือไว้เพียงความเงียบยามค่ำคืน เขาลอบถอนหายใจยาวเหยียด พาตัวเองขึ้นไปนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟากำมะหยี่ตัวประจำ พยายามทบทวนว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันถูกหรือผิดกันแน่

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณพจน์กับคุณวรวรรณรังเกียจเด็กอย่างเขา จะถูกไล่ออกไปจากที่นี่ไหม จะต้องพรากจากวันเสาร์หรือเปล่า หรือว่ามีอะไรแย่กว่านั้น

เขาไม่พร้อมเผชิญหน้ามัน…

ก๊อกๆ

ใครบางคนเลื่อนประตูไร้กลอนออก ทำให้เขาต้องรีบเอี้ยวตัวกลับไปมอง ไม่ใช่พี่ละเมียด…แต่เป็นคุณชายที่ควรจะนอนอยู่บนห้องชั้นสอง

ผู้ชายในความคิดสาวเท้าตรงเข้ามา สีหน้าถมึงทึงบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์เสียมากแค่ไหน

“พี่เสาร์ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“มี” เจ้าของร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาบนโซฟาตัวเดียวกัน และทั้งๆ ที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย สิ่งแรกที่ทำกลับเป็นการขโมยจูบเขาอย่างหน้าตาเฉย

“ฮื่อ..”

ปากหยักบดขยี้เข้าหาจนเขาต้องใช้มือข้างหนึ่งยันตัวเองไว้กับเบาะนุ่ม อีกข้างแตะลงบนไหล่กว้างที่ทำท่าจะโถมทับลงมาเสียให้ได้ ไอร้อนแล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มขาวใสจนกลายเป็นแดงระเรื่อ ลมหายใจอุ่นๆ รดรินเพียงใกล้พาลให้ความคิดฟุ้งซ่านเมื่อครู่ถูกดูดกลืนหายไปหมด

“พี่เสาร์ พอก่อนครับ” เขารีบเบรกเมื่อมีจังหวะผละออกจากกัน ไม่อย่างนั้นคงได้เลยเถิดจนไม่ต้องนอนกันแล้วแน่ๆ

เรียวตาคมเข้มเต็มไปด้วยคำถาม ราวกับเดจาวู “ทำไมถึงตอบพ่อกับแม่ฉันแบบนั้น”

“ผมก็แค่พูดไปตามจริง มีตรงไหนไม่จริงบ้างอะครับ”

“พูดจริง แต่พูดไม่หมด”

เขายู่ปากเหมือนเด็กๆ เวลาโดนผู้ปกครองเรียกไปอบรม “ก็ผมกลัวนี่น่า”

“กลัวอะไร”

“ก็…กลัวพ่อแม่พี่เสาร์ไม่ยอมรับเรื่องของเรา”

หัวคิ้วหนาขมวดยุ่ง ก่อนจะดีดหน้าผากเขาไปทีไม่แรงนัก “ไร้สาระ”

“ไม่ไร้สาระนะครับ พี่เสาร์ไม่คิดบ้างเหรอว่าพ่อกับแม่พี่จะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าผมเป็น…”

เออ เป็นอะไรอะ

“เป็น…” เขาเริ่มส่งเสียงกระอึกกระอัก “เอ่อ เป็นอะไรอะครับ”

เสียงจิ๊ดังลอดจากลำคอหนา ปลายนิ้วชี้เรียวยาวแตะเชยคางเข้าขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายอยู่บนโครงหน้าหล่อเหลาชวนละลาย “เป็นอะไร…ต้องให้ทบทวนอีกรอบไหม”

“อึ่ก”

มือข้างเดียวกันนั้นเปลี่ยนไปจับมือเขาไว้ ก่อนจะนำมันแนบเข้ากับหน้าอกซ้ายของตัวเอง สัมผัสได้ถึงแรงสูบฉีดของอวัยวะด้านในที่เริ่มเต้นเป็นจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“เป็นสมบัติ…” เขาสตันท์เมื่อได้ยิน แต่ก็ยังเลือกหุบปากแล้วฟังต่อ “เป็นเมีย”

ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ใบหูทั้งสองข้างร้อนผ่าว

“เป็นคนพิเศษ เป็นคนสำคัญ…แล้วก็ เป็นของฉันด้วย” จบคำพูดนั้น สัมผัสนุ่มหยุ่นก็ทาบทับลงมาอีกระลอก พร้อมกับที่เขายินยอมตอบรับคำเชื้อเชิญแสนหวานชวนให้หัวใจเต้นระส่ำ

วันเสาร์ ในตอนที่จริงใจขนาดนี้ ดูเหมือนจะทำอันตรายเขาได้มากกว่าตอนเย็นชาเสียอีก…

เราผละออกจากกันอ้อยอิ่ง วงแขนแกร่งโอบรั้งเอวบางเข้าหา น้ำเสียงอ่อนลงพยายามอธิบายให้เด็กในอ้อมกอดวางใจ “ไม่เห็นต้องกลัวเลย ถ้าพ่อกับแม่รู้ว่าฉันมีคนรัก ท่านน่าจะดีใจด้วยซ้ำ”

“แต่ผมเป็นแค่เด็กกำพร้า ไม่มีอะไรคู่ควรกับพี่เสาร์เลย ท่านจะยอมรับได้ยังไงกันครับ”

“อย่..”

“แล้วถ้าเกิดท่านไล่ผมออกจากบ้านล่ะ”

“นี่…”

“หรือท่านจะจับพี่เสาร์คลุมถุงชน ถ้าพี่ต้องไปแต่งงานกับคนอื่นผมจะทำยังไงอะ”

“นับหนึ่…”

“แถมผมยังเคยเป็นเด็กขายมาก่อนอีก ถ้าพ่อกับแม่พี่รู้เรื่องนี้คงหัวใจวายแน่ๆ…”

“นับหนึ่ง!” คนโตกว่าหลุดตะคอกจนอีกฝ่ายชะงัก วันเสาร์ส่ายหน้าระอาแล้วจงใจกดเสียงขู่ “ถ้ายังไม่หยุดพูดเรื่องนี้ ฉันจะตีนาย”

เสียงน้ำลายก้อนใหญ่ถูกกลืนลงคอดังอึก เด็กน้อยเม้มปากแน่นแทบจะทันที ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกันอีกจนกว่าจะใจเย็นลง

นับหนึ่งที่กลับมามีสติครบถ้วนค่อยๆ เงยหน้าสบดวงตาเรียวแฝงความห่วงใยอยู่เต็มเปี่ยม ปากอิ่มเผยอออก เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่วอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ก็ผมกลัวว่าจะไม่ได้อยู่กับพี่…” เด็กน้อยสูดหายใจ แล้วพาตัวเองซบลงแนบชิดลาดไหล่กว้าง ไม่รู้ว่าเพราะกำลังกังวล หรืออยากจะอ้อนกันแน่

เจ้าของไหล่หนาพ่นลมออกจากปาก กระชับวงแขน พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะทุยเพื่อปลอบขวัญ “ไม่ต้องคิดมาก แล้วก็ไม่ต้องคิดไปเองด้วย”

เขาย้ำชัด ก่อนจะยื่นคำขาด

“งั้นฉันจะให้เวลานายเตรียมใจสัก 3 วัน หลังจากนั้นฉันจะไปบอกพ่อกับแม่เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”

แววตาสีน้ำตาลเข้มวูบไหว หัวคิ้วย่นเข้าหากันอย่างไม่มั่นใจนัก หากก็ไม่กล้าเถียง เขาเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง หลุดปากถามอะไรที่ฟังดูงี่เง่าอีกจนได้ “แล้วถ้าพวกท่านไม่ยอมรับผมล่ะครับ”

“มันจะไม่เกิดขึ้นแน่” วันเสาร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่สิ่งที่ทำให้เขาคลายความกังวลลงบ้างกลับเป็นประโยคหยอกเล่นถัดมา “แต่ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยอมรับ…ฉันก็จะพานายหนีไปเลย ดีไหม”

ในที่สุดเขาก็ยิ้มออก คนตรงหน้าเองก็ด้วย เราสบตาอย่างรู้ทัน ยื่นปากแตะกันผะแผ่ว ทว่าย้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขาชอบเวลาวันเสาร์จูบเขาไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม เร่าร้อน อบอุ่น ดุดัน หรือว่านุ่มนวล เขาตกหลุมรักและหวงแหนทุกจูบจากผู้ชายคนนี้

“อื้อ” รีบถดตัวหลบ เมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วเรียวที่กำลังไล่ปลดกระดุมเสื้อนอนอย่างชำนิชำนาญ “พี่เสาร์จะทำอะไรครับ ไม่เอานะ”

“แค่นิดเดียว”

มือข้างเดียวกันผลักเขาแค่เบาๆ ก็ล้มลงนอนราบกับโซฟาตัวนุ่ม และถึงจะอยากขัดขืนเท่าไร ยังไงก็แพ้เรี่ยวแรงของร่างหนาด้านบนอยู่ดี ริมฝีปากบางลากวนอยู่กับแผ่นอกขาว กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจถี่รัวขึ้นทุกขณะ วันเสาร์ดูดเม้มฝากรอยรักหนักๆ ไว้กับอกซ้ายของเขาจนมันกลายเป็นจุดช้ำสีแดงกล่ำ ก่อนจะผละตัวออก ปลดกระดุมชุดนอนตัวเอง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดแต่พอดี เขาถูกดึงแขนกลับขึ้นนั่งตีหน้าฉงนอยู่ได้ไม่ทันไร พวงแก้มเนียนก็เห่อแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกง่อม

คนตัวสูงแตะรอยบนอกเขา ก่อนจะดึงมือกลับไปแตะอกตัวเอง โน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูเสียงกระเส่า “ทำให้ฉันบ้าง”

ความร้อนแล่นริ้วไปแทบทุกอณูของร่างกาย เดาได้เลยว่าตอนนี้ใบหน้าเขาคงแดงมากถึงมากที่สุด เป็นอีกครั้งที่ต้องใช้ความพยายามในการกลืนก้อนบางอย่างลงคออย่างยากลำบาก เขานั่งตัวแข็งทื่อ ลังเลอยู่นานโดยที่อีกฝ่ายก็เพียงแค่อยู่เฉยๆ เหมือนกำลังรอ

ในที่สุดเขาก็ยอมเอื้อมมือเข้าเกาะกุมต้นแขนทั้งสองข้างไว้แน่น รู้สึกว่าหัวสมองมันขาวโพลน พอๆ กับที่ดวงตาทั้งคู่พร่ามัว ปลายนิ้วไหวเกลี่ยไปตามร่องกล้ามเห็นชัด เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ผ่านลำคอแห้งผากอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ทาบริมฝีปากสั่นระริกลงกับแนวสันกราม ไล้ลงมาถึงลูกกระเดือก ไหปลาร้า และหยุดลงตรงต้นกำเนิดเสียงดัง ตึก ตัก น่าประหลาดใจ

มันยิ่งทำให้เขาประหม่า อุณภูมิในตัวสูงขึ้นจนแม้แต่ปลายนิ้วก็ยังกลายเป็นอุ่นร้อน เขาออกแรงดันร่างหนักอึ้งลงหนุนกองผ้าห่มตรงนั้น ก่อนจะตามไปขบเม้มผิวกายของอีกฝ่ายแรงๆ จนมันเริ่มเกิดเป็นรอยคล้ายกับที่วันเสาร์เอาแต่ฝากฝังไว้บนร่างของเขาแทบจะทุกส่วน เขาดูดสลับกับกดจูบไปยังจุดเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าที่มันจะกลายเป็นสีแดงฉายชัดอยู่บนแผงอกแกร่ง

วันเสาร์ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจในผลงานจากเด็กไม่ประสีประสา แต่ก็นับว่ามีความพยายามในระดับที่ควรค่าแก่การให้รางวัล เจ้าของร่างสูงโปร่งยันตัวเองขึ้นขัดสมาธิตามเดิม เอื้อมมือเกลี่ยผมหน้าม้าตัดตรงให้พ้นจากใบหน้าหวานใสที่ขณะนี้กลับแดงปลั่งน่าเอ็นดู เขาสอดนิ้วผ่านกลุ่มผมหยักศกอ่อนๆ ฝากจูบสุดท้ายไว้กับหน้าผากมน สองสายตาของเราต่างสบประสานอย่างมีความหมาย ก่อนที่จะโผเข้าสู่อ้อมกอดของกันและกันราวกับไม่ต้องการให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้น

“ฉันนอนที่นี่เลยได้ไหม”

นับหนึ่งยู่ปาก “ผมก็อยากนอนกับพี่ แต่ว่าคงไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวใครจะมาเห็นเข้า”

“ก็ให้เขาเห็นเลยสิ”

“ไหนว่าจะให้เวลาผมเตรียมใจ 3 วันไง” เสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์ดังตามมาติดๆ

เรานอนกอดกันอีกสักพักใหญ่ กว่าคุณชายจะยอมลากลับขึ้นห้องตัวเองทั้งที่ใจจริงแล้วไม่มีใครอยาก ผ้าห่มผืนหนาไม่ใช่ตัวช่วยสร้างความอบอุ่นให้เขาในค่ำคืนนี้ หากแต่เป็นสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่และริมฝีปากนุ่มหยุ่นคุ้นเคยที่ฝากเอาไว้ เขาวางมือทาบลงบนอกซ้ายตัวเอง ร่องรอยแดงชัดเป็นหลักฐานตีตราว่าหัวใจดวงน้อยเป็นของใคร

แอบคลี่ยิ้มเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เพราะว่านั่นหมายความว่า หัวใจของผู้ชายชื่อวันเสาร์ ก็ถูกสลักไว้ให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน

ร่างบางกระชับผ้าห่ม ปล่อยตัวเองจมลงสู่ฝันดี

รัตติกาลยังคงดำเนินหมุนต่อ เงาตะคุ่มของใครบางคนเผยตัวออกจากเสาต้นใหญ่ ดวงตาเรียวเล็กบรรจุหยาดน้ำคลอหน่วย สองมือกำหมัดแน่น จับจ้องไปยังประตูบานเลื่อนสีด้าน ภาพบาดตาบาดใจของคนที่เขาแอบหลงปลื้มตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนกับเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่มาแอบพลอดรักกันอยู่ในห้องนั่งเล่น และคิดตื้นๆ ว่าคงไม่มีใครเห็น เป็นดั่งเชื้อเพลิงจุดชนวนความโกรธระคนน้อยใจ นำพาเอาความชิงชังทั้งหลายเข้ากัดกินตัวเองทีละนิด

สิบปีที่แล้ว เขาสำเนียกได้ว่าไม่มีทางเอาชนะน้องชายสุดที่รักของวันเสาร์ได้เลย สิบปีถัดมา เขามีหวังอีกครั้งหลังจากทราบข่าวเรื่องวันศุกร์กำลังคบผู้ชายคนอื่น หากว่าทุกอย่างกลับผิดแผนเมื่อวันเสาร์ที่สมควรจะตายด้านกลายเป็นหิน กลับเก็บซ่อนใครบางคนเอาไว้ข้างกายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจคาดเดาได้

ทั้งที่เขาตั้งใจเดินทางมาเพื่อหวังจะได้เป็นคนที่ละลายภูเขาน้ำแข็ง แต่กลับพบว่ามีใครคนอื่นทำสำเร็จตัดหน้าไปก่อนแล้ว

มันน่าผิดหวัง เสียใจ แล้วก็น่าโมโหด้วย...

เด็กกำพร้าไม่มีที่ไปอย่างนับหนึ่งคนนั้นมีดีแค่ไหนกัน ถึงได้มีสิทธิ์กอบกุมหัวใจวันเสาร์เสียอยู่หมัด หัวใจที่ไม่เคยมีใครได้ไป และคิดไม่ออกว่าใครจะได้ไป แล้วทำไม...กลับเป็นนาย

ไม่ยุติธรรมเลย

 


---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------


หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 20
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 19-04-2019 09:12:56
---------- ต่อ ----------



ภายในห้องนอนขนาดกว้างขว้าง เตียงไม้หลังใหญ่ยวบลงตามแรงเคลื่อนตัว วรวรรณในชุดนอนผ้าซาตินพลิกกายเข้าหาคนเป็นสามีซึ่งดูท่าว่าจะยังไม่หลับเช่นเดียวกัน

เธอชวนคุยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “คุณพจน์”

“ฮึ”

“คุณว่าตะวันคิดยังไงกับเสาร์”

พจน์ลืมตา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาลองครุ่นคิดปฏิกิริยา อาการต่างๆ ของลูกเพื่อนเก่า ไม่ทันไรก็ได้ข้อสมมติฐาน “น่าจะชอบเสาร์”

“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่ขอมาพักที่บ้านเรา แถมยังเอาแต่ถามเรื่องเสาร์มาตลอดทางเลยด้วย”

“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ”

“ฉันว่าตะวันก็น่ารักดีนะคะ แต่เสาร์ดูไม่สนใจสักเท่าไรเลย”

ชายวัยกลางคนหัวเราะ “คุณก็รู้ว่าลูกเราเป็นคนยังไง จะให้ยิ้มแย้มต้อนรับคนอื่นเหรอ อย่าหวัง”

“ก็จริงค่ะ” เธอเว้นช่วง อะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในใจ “แต่ฉันว่าเสาร์ดูเปลี่ยนไปนะ”

“อืม ผมก็รู้สึก สีหน้าแววตาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นเยอะ”

คนตรงหน้าผงกหัวอยู่หลายที ไม่รู้เพราะว่าเธอกับสามีไม่ได้เจอหน้าลูกชายตลอด พอกลับมาเลยเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดหรือเปล่า แต่วันเสาร์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจนสัมผัสได้ชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญในบ้านกันติกรณ์เมื่อหลายเดือนก่อน วันเสาร์ก็แทบจะกลายเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณ แต่ว่าคนเมื่อครู่ที่เธอเจอ คือวันเสาร์ในแบบฉบับที่แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังแทบไม่เคยเห็น

ลูกชายของเธอไม่ได้เย็นชากับทุกคนยกเว้นวันศุกร์อีกต่อไปแล้ว...

“คุณคิดเหมือนฉันไหม”

ทั้งสองคนต่างสบตากันเหมือนรู้ทัน ก่อนที่พจน์จะพยักหน้าลง “หมายถึงเรื่องนับหนึ่งรึเปล่า”

“ใช่ค่ะ” สายตาที่วันเสาร์มองนับหนึ่งมันดูใจดี และมันดูอ่อนโยนจนเธอเกือบขนลุกทีเดียว “ฉันว่ามันแปลกๆ เอาจริงก็ยังไม่เชื่อนะว่าเสาร์จะรับหนึ่งมาอุปการะแค่เพราะว่าเป็นเด็กกำพร้าที่ตาเจพามารู้จักน่ะ”

“เชื่อเลยว่าไม่ใช่แค่นั้นแน่ อย่างกับว่าเราไม่รู้จักเจนภพ ให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าเจคงพาหนึ่งมานอนกับเสาร์ซะมากกว่า” วรวรรณพ่นลมหายใจออกจากปาก แม้ว่าเธอจะไม่ได้ชอบใจกับการที่วันเสาร์พาใครที่ไหนมานอนด้วย แต่อีกใจก็คงต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ห้ามได้ยาก โดยเฉพาะผู้ชายวัยยี่สิบต้นๆ และอย่างน้อยมันอาจจะดีกว่าปล่อยให้ความเหงากัดกร่อนจิตใจจนอาจทำให้พลั้งทำอะไรบ้าๆ อีกก็ได้ “และถ้าผมเดาไม่ผิด การที่นับหนึ่งยังคงอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว ก็อาจจะแปลได้ว่า…”

ทั้งห้องเงียบสนิทราวกับว่าทุกสรรพสิ่งกำลังลุ้นฟังอย่างตั้งใจไปพร้อมๆ กับฝ่ายภรรยาที่ดูจะตื่นเต้นกับข้อสันนิฐานน่าเหลือเชื่อเป็นที่สุด

พจน์สูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งในความคิด ซึ่งไม่รู้เลยสักนิดว่านั่นมันคือความจริง

“ลูกของเราตกหลุมรักเด็กคนนี้”

 

-----------------------------------------------

 

ประตูห้องนอนตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้มเข้าชุดกันทั้งหมดเปิดออก ต้อนรับเด็กน้อยที่เจ้าของห้องเฝ้าคิดถึงตลอดทั้งคืน วันเสาร์คลี่ยิ้ม ดึงแขนเรียวที่กำลังประคองถาดอาหารเช้าเข้ามาด้านใน แล้วรีบปิดประตู กดล็อคกลอนแน่นหนา

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่เสาร์”

“อืม” เขารับถาดอาหารวางไว้บนเตียง สังเกตเห็นว่าใบหน้าหวานใสขึ้นสีระเรื่อ แถมยังเอาแต่แสร้งหลบตา “เป็นอะไรหน้าแดงๆ”

“กะ..ก็ พี่เสาร์ไม่ได้ใส่เสื้อผ้านี่น่า”

คนตัวเล็กยังคงเอาแต่เบือนมองไปทางอื่น ทำให้เขาต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเอง ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก แค่โพกผ้าเช็ดตัวผืนเดียวหลังจากอาบน้ำเสร็จ ใช่ว่าโป๊เปลือยเสียเมื่อไร

“เขินทำไม มากกว่านี้ก็เห็นมาแล้ว”

“พี่เสาร์!” เสียงแหลมสูงทำเขาหลุดขำ แกล้งทำเป็นจะปลดปมผ้าตรงเอวออก จนเด็กน้อยรีบหันหลังขวับ กระทั่งนับหนึ่งทำท่าเหมือนจะหนีออกไปจากห้องนั่นแหละเขาถึงได้เลิกเล่นแล้วเริ่มต้นแต่งตัวดีๆ

วันนี้เขามีนัดคุยงานกับเจนภพในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ถึงแม้จะอยากอุ้มนับหนึ่งไปด้วยกัน แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธ ให้เหตุผลชวนหงุดหงิดว่ามันจะทำให้ใครบางคนสงสัย และยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของเรา

น่าเบื่อชะมัด เขาเดาได้เลยว่าป่านนี้พ่อกับแม่คงดูออกหมดแล้ว เพียงแค่ยังไม่พูด

“เมื่อคืนนอนหลับไหม” เขาเปลี่ยนเรื่อง ขณะหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นสวมถัดจากกางเกงยีนส์สีน้ำเงินซีด

“ก็หลับสนิทดีครับ”

“เหรอ แต่ฉันนอนไม่หลับเลย”

กระดุมเม็ดสุดท้ายกลัดเข้า เอื้อมดึงข้อมือบางเข้าหา พลางหมุนร่างอีกฝ่ายให้แผ่นหลังบางแนบลงกับอกเขาพอดี ปลายคางมนเชยลงบนบ่าลาด จมูกโด่งรั้นสูดเอากลิ่นกายหอมเข้าเต็มปอด ริมฝีปากหยุ่นกดแนบเข้ากับซอกคอขาว เขาพาคนในอ้อมกอดก้าวขาไปทางโต๊ะทำงานพร้อมๆ กัน ฝ่ามือใหญ่เลื่อนเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบเอากล่องนาฬิกาคุ้นตาขึ้นมาเปิดออก

นาฬิการาคาถูกถ้าเทียบกับสถานะทางครอบครัวของเขา หากว่าอัดแน่นไปด้วยความหมายแสนลึกซึ้งที่ใครอื่นไม่มีทางเข้าใจ หน้าปัดสีดำวาวกำลังสะท้อนแสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดมาจากทางหน้าต่าง เขาตัดสินใจสวมมันไว้รอบข้อมือข้างซ้าย ทดแทนเรือนประจำที่เคยใช้อยู่นานนับปี

“พี่เสาร์...นาฬิกา” เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก แววตาคำถามเงยขึ้นสบกับเขา

“ทำไม”

“ไหนว่าคงไม่ได้ใส่ไงครับ เพราะพี่มีเรือนอื่นอยู่แล้ว”

“ก็ไม่ใส่แล้ว จะใส่เรือนนี้ มีปัญหาเหรอ”

นับหนึ่งรีบส่ายหน้า “ไม่ครับ ผม…ผมดีใจ ถ้าพี่เสาร์จะใส่”

ทั้งสองคนต่างเผยยิ้มละมุน วันเสาร์กระชับอ้อมกอดราวกับว่าเด็กในวงแขนเป็นตุ๊กตาหมีตัวโปรด ก่อนจะพากันย้ายตัวเองไปนั่งจ้องหน้ากันบนปลายเตียง ขนมปังปิ้งบนจานถูกยกขึ้นกัดไปคำ ตามด้วยกาแฟหวานๆ อย่างเคย

“แล้วพ่อกับแม่ออกไปแล้วเหรอ เมื่อเช้าฉันได้ยินเสียงรถ”

“ครับ คุณลุงคุณป้าบอกว่าจะไปทำธุระ แล้วก็จะแวะหาพี่ศุกร์ที่บ้านพี่กันต์ครับ”

หัวคิ้วหนาขมวดมุ่น “ไหน พูดใหม่ซิ”

“เอ่อ...คุณลุงคุ..”

“พูดใหม่” เขาเริ่มกดเสียงต่ำลงจนอีกฝ่ายได้แต่ปั้นหน้าฉงน นับหนึ่งเอียงคอมองเขาด้วยความงุนงง “คุณลุ...”

“พูดใหม่”

คนตัวเล็กย่นคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ คลายออกเมื่อนึกได้ว่ามันหมายถึงอะไร โครงหน้าใสเจือสีเลือดฝาด ริมฝีปากอิ่มเม้มสนิทจนแทบเป็นเส้นตรง ก่อนจะยอมเอ่ยปากเสียงอุบอิบ ไม่ยอมสบตา

“คุณ..พ พ่อ คุณแม่...”

“ดีมาก” วันเสาร์เชยคางเรียวขึ้น ก่อนจะฝังจมูกจมแก้มนิ่มแทนรางวัล

เขาโดนกำปั้นเล็กๆ ทุบเข้ากับต้นแขนไม่แรงนัก ก่อนที่เราจะผลัดกันป้อนขนมปังแผ่นใส่ปากกันและกันจนอิ่ม ความจริงเขาก็ยังอยากกินอะไรต่ออีกสักหน่อย อย่างเช่น เด็กที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่บนเตียงโดยไม่คิดจะระวัง แต่ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดันส่งข้อความมาตามได้ถูกจังหวะ แถมยังรัวสติกเกอร์ปัญญาอ่อนใส่รัวๆ จนมือถือเขาเกือบค้างอยู่หลายรอบ

“ฉันต้องไปแล้ว”

นับหนึ่งพยักหน้า ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนใหม่เอี่ยม ก่อนจะโน้มตัวลงมอบสัมผัสแผ่วเบาเข้ากับริมฝีปากสีสด เขาแตะมันแช่ค้างไว้อย่างนั้นอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมผละตัวออกอย่างอ้อยอิ่ง

น่ากลัวว่าช่วงนี้เขาจะเผลอยิ้มบ่อยมากเกินไปแล้วหรือเปล่า

“เหมือนสามีภรรยาเลยว่าไหม” เขาแกล้งหยอก เพียงเพื่อจะได้เห็นพวงแก้มจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูกลายเป็นผลตำลึงสุกง่อมพร้อมทาน

เราจับมือกันเดินลงบันไดบ้าน ก่อนที่นับหนึ่งจะปล่อยมือเขาออกทันทีที่เห็นว่าแขกอีกคนกำลังเดินยิ้มร่าเข้ามาทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่เสาร์” ตะวันถือวิสาสะควงแขนคนเป็นพี่เอาไว้โดยไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ “ทำไมไม่ลงมากินข้าวข้างล่างด้วยกันล่ะครับ”

เขาเลือกที่จะไม่ตอบ จนคนถามเริ่มหน้าเสีย แล้วจึงตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง

“แล้วนี่จะออกไปไหนเหรอครับ”

“ทำงาน”

“ทำงานที่ไหนครับ ให้ผมไปด้วยได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้”

“แต่ว่…”

“ฉันจะไปแล้ว” คนตัวสูงตัดบท กระตุกแขนตัวเองหวังให้อีกฝ่ายปล่อยมือ แต่สิ่งที่ตะวันทำกลับเป็นการเขย่งเท้าสุดปลายขา ฝังจมูกเข้ากับแก้มเรียวแบบไม่รอให้ใครได้ตั้งตัว

วันเสาร์เบิกตากว้างพร้อมตั้งท่าจะง้างหมัดอยู่แล้วหากไม่ใช่ว่าเด็กหัวนอกรีบกระโดดหลบไปซะก่อน นับหนึ่งพุ่งตัวเข้ามารั้งแขนเขาไว้เหมือนต้องการจะเตือนให้ใจเย็น แม้ว่าตัวเองก็ตกใจไม่น้อย ในขณะที่ตะวันยังคงหัวเราะคิกคักไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด

เขาพ่นลมหายใจหนักๆ ออกจากปาก ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวการพลางกดเสียงเข้ม “อย่าทำแบบเมื่อกี้อีก ไม่งั้นครั้งหน้าฉันจะต่อยนายจริงๆ”

เจ้าของใบหน้าคร่ำเครียดคว้าข้อมือเด็กในอาณัติตรงไปยังประตูบ้านโดยไม่ต้องรอถามความยินยอม

ร่างบางกัดปากตัวเอง ก่อนจะเอี้ยวหลังมองตะวันแวบหนึ่ง และเป็นวูบเดียวกับที่เขาเห็นความชิงชังฉายแววอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น เรียวขาเล็กก้าวตามคนเบื้องหน้าอย่างทุลักทุเล กระทั่งเราเข้ามานั่งประจำตำแหน่งบนรถ บรรยากาศชวนอึดอัดโปรยตัวเข้าปกคลุมพื้นที่แคบๆ

วันเสาร์ดูโกรธ และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็นึกโมโหอยู่เหมือนกัน

นับหนึ่งเอาแต่ก้มมองตักตัวเองอยู่สักพัก จนฝ่ามือหนาเลื่อนเข้ามากอบกุมมือเขาเอาไว้ วันเสาร์ดึงมันขึ้นไปกดจูบเบาๆ “อย่าคิดมากล่ะ เด็กนั่นก็แค่…”

“หอมแก้ม” เขาต่อท้ายประโยค เงยสบตาอีกฝ่ายแน่นิ่ง ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยเสียงเบาหวิว แม้รู้ว่ามันฟังดูงี่เง่าสิ้นดี “วันนี้เขาหอมแก้มพี่ แล้ววันหน้าเขาไม่จูบพี่เลยเหรอครับ”

รถทั้งคันเงียบลง วันเสาร์จ้องเขากลับด้วยสีหน้าประหลาดใจหน่อยๆ

แววตากลมสั่นไหว เมื่อคิดได้ว่ากำลังหึงหวงไม่เข้าเรื่อง เขาเผลอเบะปากเป็นเด็ก และหวังว่าจะไม่ถูกตำหนิที่ดันแสดงออกอย่างกับผู้หญิง ซึ่งคนตรงหน้าคงไม่ชอบแน่

แต่แล้ววันเสาร์กลับอมยิ้มมุมปาก พลางขยับเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ท่ามกลางความฉงน และก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว ปากหยักก็จรดลงแนบริมฝีปากของเขาเสียก่อน สัมผัสนุ่มละมุนทาบทับปิดสนิท ดูดกลืนทุกสุ้มเสียงรวมทั้งอากาศหายใจ

เขาค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง พร้อมกับที่อวัยวะในอกกลายร่างเป็นกลองหนังตีรวน เราต่างละเลียดมอบจูบแสนลึกซึ้งให้แก่กัน จนเมื่อต่างฝ่ายต่างผละออก คนเป็นพี่แย้มยิ้มบางชวนลุ่มหลง ฝ่ามืออุ่นยกประคองโครงหน้าร้อนผ่าว ขึ้นสีระเรื่อราวกับมะเขือเทศสุกปลั่ง

เสียงกระซิบดังแทรกความเงียบพาลให้สมองของเขาปั่นปวน หัวใจดวงน้อยแทบจะหลอมละลายกลายเป็นน้ำเสียให้ได้

“คนอื่นจะมาจูบฉันได้ยังไง…ในเมื่อมันเป็นของนาย”

 

----------------------------------------------------------------------------------------------
 
ไม่ชินพี่เสาร์เวอร์ชั่นนี้ค่ะ 55555555 แต่คือพี่เสาร์นังจะอบอุ่นอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ ชดเชยความใจร้ายที่ผ่านมาทั้งหมด เรื่องราวหลังจากนี้ก็คือบทพิสูจน์ความรักของทั้งคู่ว่าจะผ่านมันไปได้ไหม แล้วก็จะเริ่มมีตัวละครเก่าๆ จากเรื่องน้องศุกร์โผล่ออกมาด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 20
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-04-2019 09:33:46
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 20
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 19-04-2019 14:09:18
อ่อนโยนเกินไป ไม่ใช่พี่เสาร์เลย
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 20
เริ่มหัวข้อโดย: piiya ที่ 22-04-2019 02:36:45
หนอยนังตะวัน แรดยิ่งกว่าชะนีอีก นับหนึ่งต้องสู้เขานะลูก  :angry2:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 21
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 27-04-2019 09:30:53
นับหนึ่ง ถึง ยี่สิบเอ็ด

 

“พี่เสาร์ กลับมาแล้วเหรอครับ” เสียงเจื้อยแจ้วดังไกลมาก่อนตัว ตะวันกระโดดเข้าไปเกาะแขนแกร่งเช่นเดิมอย่างที่ไม่คิดจะเข็ด แน่นอนว่าถูกคนตัวสูงสะบัดหลุดในวินาทีต่อมา

วันเสาร์เมินคำถามของแขกพ่อกับแม่ คว้าข้อมือบางของเด็กที่เอาแต่หลบหลังให้ตรงไปยังห้องครัว ซึ่งมีแม่บ้านทั้งสองกำลังง่วนกับการจัดโต๊ะอาหารเย็นอยู่พอดี พี่ละเมียด พี่ละไม กล่าวทักทายพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เป็นไงบ้างคะ” ละไมละอีกประโยคไว้ในใจ เธอไม่อยากบอกว่าวันนี้ทั้งวัน ทั้งเธอและละเมียด ถูกตะวันจิกหัวใช้ซะยิ่งกว่าที่เคยทำงานให้วุฒิเวคินทร์มาตลอดหลายปีเสียอีก

นับหนึ่งยิ้มกว้างขณะที่วันเสาร์ดูไม่พอใจสักเท่าไรนัก

“ก็ดีครับ พี่เจชวนคุยเยอะมากเลย”

คนตัวสูงจับจองเก้าอี้ตัวประจำ “คุยไร้สาระ”

“ไม่ไร้สาระสักหน่อย พี่เขาคุยสนุกดีออกครับ”

“ไปนั่งคุยกับมันทั้งวันเลยไหมล่ะ”

“ได้เหรอครับ ไปจริงนะ” คิ้วเข้ารูปเลิกขึ้นเล็กน้อย เจ้าของคำพูดท้าทายแสร้งตีหน้าเป็น ก่อนจะสังเกตเห็นเส้นเลือดผุดขึ้นบนขมับของคนตรงหน้า น้ำเสียงราบเรียบบอกให้รู้ว่าไม่ควรเล่นกับก้อนน้ำแข็งที่พร้อมติดไฟ

“นับหนึ่ง”

เขาบุ้ยปาก “ผมแค่ล้อเล่นเอง”

“นั่งได้แล้ว”

วันเสาร์ชี้นิ้วลง แต่ทันทีที่เขาเอื้อมมือจับพนักเก้าอี้ กลับมีมือของใครอีกคนดึงมันไปได้ก่อน ตะวันที่เพิ่งรุดเข้ามารีบหย่อนก้นลงบนที่นั่งตรงข้ามวันเสาร์อย่างเสียมารยาท ขณะที่คนเด็กกว่ายังมัวยืนอึ้ง พี่ละเมียดซึ่งกำลังยกแก้วน้ำออกมาเสิร์ฟก็ดูจะงุนงงไม่แพ้กัน

“ขอนั่งตรงนี้นะ ผมจะได้มองหน้าพี่เสาร์” ตะวันไม่มีท่าทียี่หระ เกือบจะปัดมือไล่นับหนึ่งด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่ว่าถูกสายตาน่ากลัวจากพี่ชายสมัยเด็กจับจ้องอยู่

“หนึ่ง มานั่งนี่” วันเสาร์ตบเก้าอี้ข้างกายปุๆ

เขายกนิ้วเกาหัว เดินอ้อมไปอีกฟากโต๊ะตามสัญญาณเรียก บรรยากาศแปลกประหลาดแทบจะทำให้เราเลิกอยากอาหาร ทั้งที่หน้าตาน่าทานมากทีเดียว จานพาสต้าซอสครีมไข่กุ้ง วางคู่กับซุปผักโขม ทำเอาหวนคิดถึงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ตัวเองได้ทำงานอยู่ในร้านนาโปลี

“คิดถึงพี่วาเลยครับ”

“อะไร” วันเสาร์สวนทันควัน

“ก็เห็นสปาเกตตี้แล้วนึกถึงพี่วา เขาทำให้ผมกินตั้งหลายมื้อ”

“สปาเกตตี้ ฉันก็ทำได้”

“จริงอะ”

คนตัวเล็กหันขวับ ท่าทางไม่เชื่อหูทำให้วันเสาร์ต้องดีดหน้าผากมนไปทีไม่แรงนัก ดวงตากลมโตเป็นประกายขณะยกมือขึ้นลูบหัวป้อย และก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กตรงหน้าเขาตอนนี้ช่างน่ารัก ถ้าเป็นลูกหมา ก็คงกำลังกระดิกหางไม่หยุดแล้วแน่ๆ

“อืม”

“งั้น…”

“ไว้จะทำให้กิน” เขาชิงพูดขึ้นก่อนโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากขอ

ตามมาติดๆ กับเสียงกระแอมไอที่จงใจขัดขึ้นให้พวกเขารู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันลำพัง ตะวันคว่ำปาก ใบหน้าบึ้งตึงตลอดการรับประทานอาหาร

วันนี้พ่อกับแม่ก็ยังตะลอนทัวร์เยี่ยมเยือนคนสนิททั้งหลายไม่ได้หยุดหย่อน อาจเพราะว่านานๆ ทีจะกลับไทย ก็เลยมีคิวนัดแน่นเอียด กลายเป็นว่าคนเป็นลูกเหลือเวลาอยู่กับท่านได้ไม่เต็มวันด้วยซ้ำ วันศุกร์ก็เพิ่งจะโทรมาคุยกับเขาไปเมื่อเย็นนี้เอง

‘พ่อกับแม่ไปหาศุกร์เหรอ’

‘ครับ แต่มาแป๊บเดียวก็ไปหาคนอื่นต่อแล้ว’

‘เอาน่า ชีวิตอยู่กับสังคมก็งี้แหละ’

‘แต่แม่บอกว่าก่อนกลับจะหาเวลามาอยู่กับพวกเราให้ได้นะครับ’

ดูเหมือนว่าเราสองพี่น้อง ต่างพยายามส่งคำปลอบโยนให้แก่กัน คงเพราะเป็นห่วงว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งน้อยใจเรื่องพ่อกับแม่ แต่ในความเป็นจริง ทั้งเขาและศุกร์ก็เดินทางผ่านเรื่องราวมากมาย จนพูดได้ว่าเติบโตพอที่จะเข้าใจทุกอย่างได้แล้ว

‘ดีเหมือนกัน ศุกร์จะได้กลับบ้านด้วย ตั้งแต่พี่หายป่วยก็ยังไม่เจอศุกร์เลยนะ’

‘แหม ไม่เจอศุกร์ แต่พี่เสาร์ก็มีหนึ่งอยู่ด้วยแล้วนี่’

‘ไม่เหมือนกันสักหน่อย’

‘ไม่เหมือนยังไงครับ’

‘ก็พี่อยากเจอน้องชาย’

‘อ๋อ แต่หนึ่งไม่ใช่น้องสินะครับ’

เขาเผลอยกยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงหยอกล้อจากปลายสาย หางตาเรียวเหลือบมองเจ้าของใบหน้าหวานปนดื้อรั้นที่กำลังนั่งปรบมือชอบใจให้กับมุกตลกโปกฮาของเจนภพ หลังจากที่พวกเราคุยงานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

‘อือ’

วันศุกร์หัวเราะคิกคัก ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญออก ‘แล้วพี่เสาร์ยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องหนึ่งอีกเหรอครับ วันนี้ท่านก็มาถามศุกร์ แต่ศุกร์ยังไม่ได้เล่า’

‘ความจริงพี่จะบอกแล้ว แต่หนึ่งยังไม่พร้อม เลยให้เวลาเตรียมใจไปก่อน’

‘แล้วจะบอกเมื่อไรอะครับ’

‘เร็วๆ นี้แหละ ศุกร์ไม่ต้องบอกอะไรนะ พี่อยากบอกด้วยตัวเอง’

‘โอเคครับ ศุกร์ว่าพ่อกับแม่ต้องดีใจมากแน่ๆ เลย ที่พี่เสาร์มีคนรักสักที’

เป็นอีกครั้งที่เขาหลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม ไม่ใช่แค่พ่อกับแม่หรอกที่จะดีใจ เขาเองก็ด้วย ดีใจที่ในชีวิต ได้มาเจอ…

เด็กคนนี้



-----------------------------------------------

 

“จุ๊บ”

สัมผัสอบอุ่นจรดลงบนขมับสวย เสียงจุมพิตดังแทรกผ่านความเงียบยามค่ำคืนทำเอาเด็กน้อยในวงแขนแกร่งขวยเขิน ถึงกับต้องฝังหน้าลงจมอกเจ้าของจูบแสนหวานเมื่อครู่

วันเสาร์บีบแก้มแดงๆ อย่างนึกมันเขี้ยว “ไม่อยากขึ้นห้องเลย”

“เดี๋ยวตอนเช้าก็เจอกันแล้วครับ”

คนตัวสูงจำใจพยักหน้า “พรุ่งนี้บ่ายฉันไม่อยู่นะ ไปทำธุระกับไอ้เจ พ่อกับแม่ก็น่าจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน นายอยู่ได้ไหม” เขากำลังพูดถึงการต้องอยู่กับเด็กประหลาดอย่างตะวันนั่น และดูท่าทางแม่บ้านทั้งสองก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไร

“ได้สิครับ ไม่ต้องห่วง”

“ถ้าเกิดอะไรขึ้น ต้องรีบโทรมาบอกฉัน เข้าใจไหม”

“พี่เสาร์ นั่นลูกของเพื่อนแม่พี่นะครับ”

“ก็ฉันไม่ไว้ใจ เด็กนั่นท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตร” นับหนึ่งหลุดขำแทบจะทันที มนุษย์อัธยาศัยติดลบแบบวันเสาร์กล้ามาวิจารณ์คนอื่นว่าไม่เป็นมิตรได้ด้วยเหรอ

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ พี่เสาร์ขึ้นนอนเถอะ”

“อืม”

“ฝันดีนะครับ” เขาโบกมือหยอย อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้า ก้าวขาเชื่องช้าเหลือเกินกว่าจะลับสายตาไปจนเขาวางใจที่จะเลื่อนประตูปิด

หากว่าไม่นานนัก ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกพร้อมเงาของใครบางคนเบื้องหลัง คนตัวเล็กลังเล แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับ บานเลื่อนสีขุ่นก็เปิดออกก่อนโดยพลการ เด็กผู้ชายหน้าใหม่ปรากฎตัวขึ้นพร้อมแสงสว่างจากด้านนอก

ตะวันจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทว่าในแววตาแข็งกร้าว นอกจากความชิงชังแล้ว เขายังมองเห็นความน้อยเนื้อต่ำใจ อีกทั้งความเหงาที่ราวกับว่าเคยสัมผัสถึงมันมาก่อนจากใครอีกคนที่เขาคุ้นเคยดี

มันดูน่าสงสาร มากกว่าจะน่ากลัว…

“คุณตะวัน มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“นายกับพี่เสาร์ มีความสัมพันธ์กันยังไง” คำถามตรงไปตรงมาเริ่มต้นขึ้น ไม่ทันให้ตั้งตัว “ไม่ใช่แค่เด็กที่พี่เสาร์เก็บมาเลี้ยงแน่ๆ”

“เอ่อ…”

“เป็นคู่นอนพี่เสาร์เหรอ”

เขาเลือกที่จะเงียบ เพราะจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว นัยน์ตาดุดันยิ่งดูหงุดหงิดเมื่อเขาไม่ยอมตอบ

“ฉันเห็นพี่เสาร์มาตั้งแต่เด็ก แล้วก็คอยติดตามความเป็นไปของพี่เสาร์มาตลอด ฉันเลยรู้ดีว่าพี่เสาร์เป็นยังไง”

ตะวันสาวเท้าเข้ามาใกล้ น้ำเสียงคมกริบปกปิดความอ่อนไหวข้างในใจลึกสุดลึก “พี่เสาร์น่ะ ก็แค่คนเหงาที่เลือกนอนกับเด็กน่ารักๆ ที่คล้ายกับน้องชายตัวเองเท่านั้นนั่นแหละ”

นับหนึ่งเผลอชักสีหน้าเมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ แต่ก็ยังคงปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามต่อ

“เพราะว่าพี่เสาร์รักศุกร์ ถึงได้เก็บนายไว้ ไม่รู้หรอกว่านายกำลังเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า แต่ฉันมองออกทันทีเลยว่า พี่เสาร์ก็แค่ต้องการให้นายมาเป็นตัวแทนวันศุกร์”

“ไม่...”

“ที่ฉันพูดก็เพราะว่าสงสารหรอกนะ ไม่รู้ว่าพี่เสาร์จะเบื่อวันศุกร์ตัวปลอมอย่างนายเมื่อไร ยังไงก็เตรียมใจไว้บ้างละกัน”

เจ้าของคำพูดที่ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าสงสารอย่างปากว่าเลย กระตุกยิ้มราวกับจะหยามเหยียด ก่อนจะสะบัดตัวกลับออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังสิ่งที่เขากำลังจะเถียง

แต่แล้วสุดท้าย ก็เป็นเขาเองที่ส่งเสียงอะไรไม่ออก...

เพราะไม่รู้เหมือนกัน เหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังคำว่ารักจากปากวันเสาร์

 

-----------------------------------------------

 

“หนึ่ง”

เสียงทุ้มเรียกขึ้นภายในห้องนอนกว้างขวาง วันเสาร์ให้เขายกอาหารขึ้นมาเสิร์ฟถึงเตียงอีกครั้ง

“ครับ?”

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ เห็นหาวตั้งหลายรอบแล้ว”

อ่า...ใช่สิ เขาแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่คิดถึงคำพูดของตะวันวนไปเวียนมา ทั้งที่มันก็แค่คำพูดไร้มูล แต่เขาก็ห้ามตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไม่ได้ สุดท้ายก็จบลงด้วยการนอยด์อยู่คนเดียว และแน่นอนว่าเขาไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับวันเสาร์ตรงๆ

“เอ่อ พอดีผมฝันร้ายอะครับ” เขาหลบตาขณะเอ่ยคำโป้ปด

วันเสาร์มุ่นหัวคิ้ว ก้าวมาหยุดอยู่ต่อหน้าเด็กน้อยที่เช้านี้ดูไม่สดใสเหมือนเคย แววตากลมโตเงยสบกัน ขณะที่ฝ่ามือหนาสอดเข้าลูบกลุ่มผมนุ่ม นิ้วเรียวปัดหน้าม้าเกือบจะปรกตาออก ก่อนจรดจูบนุ่มนวลลงบนหน้าผากมน เรียกรอยยิ้มกลับคืนสู่โครงหน้าหวาน

“ฝันว่าอะไร”

กลีบปากอิ่มยื่นออกเล็กน้อยคล้ายว่าจะอ้อนให้เอาใจ คนตัวเล็กแสร้งทำเป็นหยอกกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างที่ยังคงติดอยู่ในสมอง “ฝันว่าพี่เสาร์ไล่ผมอีกแล้วน่ะสิครับ”

“ก็บอกว่าไม่ไล่แล้วไง”

เขาคลี่ยิ้มอีกครั้ง พลางโผเข้ากอดเอวอีกฝ่ายไว้แน่นดั่งลูกลิง วันเสาร์ยีผมเขาซ้ำสองสามทีจึงดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จมูกโด่งรั้นฝังจมพวงแก้มใส สูดเอากลิ่นหอมเข้าเต็มปอด

 ร่างสูงเดินไปหยิบนาฬิกาเรือนประจำเรือนใหม่ขึ้นสวม คว้าเอาโทรศัพท์เครื่องบางกับกุญแจรถ มืออีกข้างเอื้อมกุมมือเล็กที่ยื่นออกมาอย่างรู้ใจ เราเดินจับมือกันลงมาถึงปลายบันไดบ้าน เหตุการณ์ทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิมกับเมื่อวานราวกับเดจาวูไม่ผิดเพี้ยน

ตะวันยืนส่งยิ้มรอ ทำเป็นว่าไม่สังเกตเห็นมือที่กอบกุมกันโต้งๆ อยู่นั่น “พี่เสาร์จะไปข้างนอกอีกแล้วเหรอครับ”

ฝ่ายถูกถามเพียงแค่พยักหน้าแล้วหันกลับมาสนใจเจ้าลูกเจี๊ยบที่ดูจะอยากปล่อยมือนัก หากว่าเขาไม่ยอม

“ไปแล้วนะ”

“โชคดีนะครับ”

นิ้วโป้งลูบเกลี่ยไปตามแนวชีพจรบนหลังมือนิ่ม ก่อนจะค่อยๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่ง วันเสาร์ยังคงหันกลับมามองเขาหลายครั้งกว่าจะก้าวออกไปพ้นประตูบ้าน

บรรยากาศชวนอึดอัดโปรยตัวลง พร้อมกับคำทักทายที่ฟังดูไม่รื้นหูเอาเสียเลย “แค่พี่เสาร์อ่อนโยนด้วยนิดๆ หน่อยๆ อย่าทำเป็นได้ใจล่ะ”

นับหนึ่งลอบถอนหายใจ เบื่อจะฟังตะวันเหน็บแนมเต็มที เขาเลี่ยงไม่คุยโต้ตอบแล้วพาตัวเองไปขลุกอยู่ในครัวร่วมกับแม่บ้านทั้งสอง

“ผมช่วยไหมครับ” รีบออกตัว หลังจากเห็นพี่ละเมียดยกถาดอาหารเช้าของเขากับวันเสาร์ลงมาจากห้อง

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนึ่งไปนั่งเล่นเถอะ”

“แต่ผมอยากอยู่ตรงนี้มากกว่า”

เราทั้งสามหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างรู้ดีว่ามันแปลว่าอะไร “คุณหนึ่งอึดอัดเวลาอยู่กับคุณตะวันเหรอคะ”

“ก็…นิดหน่อยครับ”

“ความจริงพวกพี่เองก็เหมือนกันค่ะ”

“นี่เดี๋ยวพี่ก็ต้องเอาผ้าปูที่นอนไปซักให้คุณตะวัน”

คนเด็กกว่าเอียงคอ แกล้งถามติดตลก “ทำไมครับ เขาฉี่รดที่นอนเหรอ”

“ตายจริง คุณหนึ่ง” พี่ละไมหัวเราะร่วน โบกมือไล่อากาศไปมาอย่างชอบใจทีเดียว “พอดีคุณเขาหาว่ามันสกปรกน่ะค่ะ”

เหอะ รู้เลยว่าฝ่ายนั้นคงคิดว่าห้องรับรองที่เคยเป็นห้องนอนของเขามาก่อนโสโครกน่าดู เพราะตะวันแสดงออกชัดเจนว่าเกลียดขี้หน้าเขา แถมยังจงใจมาหาเรื่องถึงที่อีกต่างหาก แต่ก็คงต้องชมอยู่เหมือนกัน เพราะคำพูดพล่อยๆ เมื่อคืน ยังทำให้เขาเอาเก็บมาคิดมากจนถึงขณะนี้ แม้ว่าไม่ควรไปคิดถึงมันก็ตาม

“นับหนึ่ง!”

นั่น ตายยากชะมัด พูดถึงปุ๊บก็ส่งเสียงมาปั๊บเลยเชียว

ตะวันโผล่หน้าเข้ามา ทำเป็นย่นจมูกใส่พื้นที่คับแคบหลังบ้านอย่างกับว่าเหม็นอะไรนัก ทั้งที่มันออกจะหอมกลิ่นครัวซองต์ทาเนยจากเมื่อเช้า

“ครับ คุณตะวัน”

“ชงกาแฟมาให้ฉันหน่อย”

“อ่า ได้ค...”

“เดี๋ยวพี่ชงให้ก็ได้ค่ะ” พี่ละไมยกมืออาสา แต่ก็ถูกขัดทันควัน “ไม่ต้องครับ ผมจะให้นับหนึ่งชง”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาหันไปพยักหน้าให้หญิงร่างท้วม ก่อนจะชะงักกับประโยคถัดมา

“เอาขึ้นไปเสิร์ฟที่ห้องพี่เสาร์นะ”

ตะวันทิ้งท้ายแล้วจรลีหายไปก่อนที่ใครจะทันได้พูดต่อ คนอื่นๆ คงอยากรีบถามว่าตะวันมีสิทธิ์อะไรถึงได้ถือวิสาสะเข้าไปในห้องของวันเสาร์ก่อนได้รับอนุญาต สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่เราทั้งสามต่างถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

เขาจัดการชงกาแฟตามสูตรเดิมที่ทำอยู่ทุกวัน เดาเอาเองว่ารสชาติไม่แย่เท่าไร ไม่งั้นวันเสาร์คงไม่ทนดื่มมาได้เป็นเดือนขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เผื่อใจไว้แล้วว่าแม้จะทำดีให้ตายแค่ไหน ก็อาจจะถูกตะวันกลั่นแกล้งได้อยู่ดี

ขาเรียวเล็กก้าวไปตามขั้นบันได สองมือประคองแก้วเซรามิกร้อนๆ ตรงไปยังห้องนอนที่เชื่อเลยว่าเขาน่าจะคุ้นชินกับมัน มากกว่าคนที่กำลังนั่งทอดน่องอยู่บนเตียงหลังใหญ่แน่นอน

“กาแฟครับ” ตะวันสอดนิ้วเกี่ยวหูแก้ว เริ่มจากสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ผ่านไอสีจางที่โชยขึ้นเตะจมูก แต่แล้วคิ้วเข้ารูปกลับมุ่นแสดงอาการไม่สบอารมณ์ทันทีที่ปลายลิ้นแตะจิบของเหลวด้านในเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น

“หวาน!” คนเป็นแขกแผดเสียง “หวานขนาดนี้ใครจะไปดื่มลง”

“เอ่อ หวานขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ก็เออน่ะสิ”

“แต่ผมก็ชงเหมือนที่ชงให้พี่เสาร์ทุกวัน”

“ไม่จริง นายตั้งใจจะแกล้งฉันใช่ไหม!?” ตะวันทำท่าจะลุก จนเขาต้องรีบก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ มือทั้งสองข้างยกขึ้นโบกไปมา แต่ก็ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจฟัง

“เปล่านะครั…โอ๊ย!!”

กาแฟนมกำลังกรุ่นได้ที่ถูกสาดเข้าใส่ช่วงล่างของเขาราวกับฉากในละครหลังข่าวไม่ผิดเพี้ยน ความอุ่นถึงร้อนซึมผ่านเนื้อยีนส์กระทบต้นขาด้านในทำเอาหลุดร้องจ๊าก ทั้งร้อน ทั้งตกใจ โชคดีแค่ไหนที่กางเกงตัวนี้หนามากพอจะไม่ทำให้ผิวเขาลวก

เขารีบดึงกระดาษซับเอารอยเลอะออกจากเสื้อผ้า ก่อนจะตวัดสายตาดุดันไปทางตะวันที่ไม่แม้แต่สำนึกผิด จะเป็นลูกเพื่อนแม่พี่เสาร์ หรือว่าจะแค่อายุมากกว่าเขายังไงก็ไม่รู้แหละ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาเขาก็ยอมอ่อนให้ตลอด

แต่บอกเลยว่าตอนนี้เขาจะไม่ทน!

“เป็นอะไร ทำไมถึงชอบหาเรื่องผมนักครับ” คนตัวเล็กก้าวเข้าไปประชิด น้ำเสียงมีน้ำโหไม่ปิดบัง

“ก็ฉันไม่ชอบขี้หน้านาย”

คำพูดตรงไปตรงมาไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจเท่าไร ตะวันกัดปากเหมือนเด็กกำลังโกรธ ฝ่ามือทั้งสองผลักอกเขาออกห่างจนเกือบจะล้ม

“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เสาร์ถึงเลือกนายมาอยู่ด้วย ทั้งที่เป็นแค่เด็กกำพร้าปอนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรกับพี่เสาร์เลยสักนิด อีกอย่าง…แค่ตัวแทนวันศุกร์ ไม่ว่าเด็กที่ไหนก็เป็นได้ทั้งนั้น แล้วทำไม…ทำไมถึงเป็นนาย!” ตะวันตรงเข้ามาผลักเขาซ้ำรอบสอง แววตาแข็งกร้าวมีอารมณ์น้อยใจเคลื่อนตัวอยู่ไหวๆ เล่นเอาเขาไปไม่เป็น แต่ละประโยคที่เอ่ยออกมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

เพราะว่ามันจริง…

เขามันก็แค่เด็กที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับวันเสาร์เลย แถมยังไม่มีหลักประกันอะไรสักอย่างที่จะบอกว่า วันเสาร์พูดว่ารักเขาที่เป็นเขา ไม่ใช่เขาที่คล้ายกับน้องชายตัวเองอย่างที่ใครต่อใครชอบทักนักหนา

และในขณะที่สมองเริ่มคิดฟุ้งซ่าน คำพูดถัดมาของตะวันก็แทบจะตบหน้าเขาเสียเลย “มันก็แค่เรื่องบังเอิญที่นายได้มาอยู่ใกล้ชิดพี่เสาร์ ถ้าหากเป็นฉันที่อยู่ตรงนี้ พี่เสาร์ก็คงเลือกฉันได้เหมือนกัน”

หรือว่าสถานะของเขาตอนนี้ อาจเป็น ‘ใครก็ได้’ จริงๆ กันนะ…




---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------

หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 21
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 27-04-2019 09:31:30
---------- ต่อ ----------




แกร๊ก

เสียงบางอย่างดังแทรกความคิด ดึงความสนใจจากทั้งสองสายตาให้หันไปมอง ประตูไม้เปิดออกพร้อมร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องที่ควรจะขับรถออกไปทำงานตั้งนานแล้ว วันเสาร์สะดุ้งไปนิดเมื่อเห็นว่ามีใครคนอื่นมายืนจังก้าอยู่ในพื้นที่ตัวเอง ก่อนที่สายตาเรียวจะเหลือบสังเกตแก้วกาแฟว่างเปล่า วางคว่ำหน้าอยู่บนฟูกนอนจนมันเลอะเทอะ

“เกิดอะไรขึ้น” เพียงไม่กี่ก้าวขา เขาก็หยุดลงตรงหน้าเด็กทั้งสอง

“ผมกำลังสั่งสอนเด็กของพี่เสาร์”

“สั่งสอน?” เขาเลิกคิ้ว สลับมองหน้าคนรักที่เอาแต่หลุบตาต่ำ สองมือประสานไว้ด้านหน้า อย่างกับพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ไม่ต้องรอถาม ตะวันก็เปิดปากเฉลยขึ้นก่อน

“นับหนึ่งแกล้งชงกาแฟแย่ๆ มาให้ผมดื่ม แถมยังเถียงคำไม่ตกฟาก”

“แล้ว?”

“เอ่อ...” คนถูกจี้ถามเริ่มออกแววล่อกแล่ก เมื่อนึกได้ว่าถ้าวันเสาร์รู้เรื่องที่เขาทำไว้ อาจไม่จบแค่คำว่าขอโทษ

“แล้วยังไง นายแกล้งอะไรนับหนึ่ง”

เจ้าของร่างสูงขยับเข้าใกล้ มือหนาบีบต้นแขนเรียวไว้แน่นจนใบหน้าตื่นๆ เหยเก ตะวันพยายามแกะตัวเองออกจากการเกาะกุม หากก็ไร้ผล น้ำเสียงกดต่ำฟังดูน่ากลัวจนแม้แต่นับหนึ่งเองยังอดขนลุกไปด้วยไม่ได้

“ฉันถามว่านายทำอะไร”

“ผม...”

“พี่เสาร์ ไม่มีอะไรหรอกครับ ปล่อยคุณตะวันเถอะ” มือเล็กที่เอาแต่กุมกันอยู่เมื่อครู่ เอื้อมมารั้งแขนเขาไว้ แต่แทนที่มันจะทำให้เขาสงบลง กลับปลุกไฟโกรธในตัวให้ลุกโชนยามเหลือบเห็นรอยจางๆ บริเวณเป้ากางเกงยีนส์สามส่วนที่คนห้ามกำลังสวมอยู่

เรียวตาคมตวัดไปทางตะวัน ก่อนจะหันกลับมาเอาเรื่องเด็กอีกคนแทน “เกิดอะไรขึ้น หนึ่ง ตะวันทำอะไรนาย”

“ผมบอกว่าไม่มี...”

“จะไม่มีอะไรได้ยังไง แล้วรอยกาแฟที่กางเกงนี่ล่ะ” วันเสาร์เผลอตะคอก มือข้างเดิมยังคงรัดต้นแขนตะวันไว้จนแอบกลัวว่ามันจะห้อเลือดเสียก่อน “บอกมาว่าตะวันทำอะไรนาย”

ซุ่มเสียงดุดันเป็นดั่งประกาศิต ทำเอาเขารีบกลืนคำโต้เถียงลงคอ สุดท้ายก็ต้องยอมเอ่ยตอบเสียงเบาหวิว

“เอ่อ คุณตะวัน…สาดกาแฟใส่ผมครับ..”

“ว่าไงนะ!”

วันเสาร์ตวาดลั่น เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่เคยมั่นหน้านักหนา บัดนี้กลับซูบซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม ตะวันย่อเข่าลงขณะส่งสายตาอ้อนวอนให้อีกฝ่ายปล่อยมือออก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ถ้าแม้แต่คำพูดของนับหนึ่งยังไม่เป็นผล ชะตาของเขาก็คงจวนเจียนขาดเต็มที

“พี่เสาร์ปล่อยเถอะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“หลบไป”

มือหนาย้ายมากระชากคอเสื้อ ลำแขนอีกข้างกั้นไม่ให้นับหนึ่งเข้ามาแทรก ก่อนจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นกำปั้นหลุนๆ ง้างขึ้นสูง แขกของแม่หลับตาปี๋พลางเบือนหน้าหลบจนคอแทบหมุน

เร็วกว่าความคิด คนตัวเล็กรีบพุ่งเข้าไปกอดตะวันไว้อย่างกับว่าบ้าไปแล้ว เขาเผลอกัดริมฝีปาก พร้อมกับก้อนเลือดที่เต้นโครมด้วยความตื่นกลัว เปลือกตาปิดลงในเสี้ยววินาทีที่หมัดจากวันเสาร์กำลังพุ่งตรงเข้ามา

ใกล้เสียจนแทบลืมหายใจ

วินาทีถัดมา มันควรจะเจ็บจนแปลบไปถึงโหนกแก้ม หรือไม่ก็สั่นสะเทือนไปทั้งศีรษะ ทว่า…กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย นอกจากเสียงร้องตกใจจากคนในอ้อมแขน ตามด้วยเสียงหอบหายใจหนักหน่วงที่เขาคุ้นหูดี

น้ำลายก้อนใหญ่ถูกกลืนลงคอ เสี่ยงลืมตาขึ้นช้าๆ เพื่อพบว่ากำปั้นแน่นจนเส้นเลือดปูดชัด กำลังค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ เขาช้อนตามองเจ้าของโครงหน้าเรียว มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบริเวณขมับ วันเสาร์สูดหายใจลึกสุดปอดอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดมือตัวเองกลับ แล้วรีบเข้ามาดึงเขาออกห่างจากเด็กที่กลัวจนตัวหดตัวงอเป็นกุ้งถูกลวก ทรุดลงไปกองแนบพื้นเป็นอันเรียบร้อย

“ทำบ้าอะไร” วันเสาร์คำราม “อยากโดนต่อยเหรอ”

“ก..ก็ผมบอกว่าไม่เป็นอะไรไง ทำไมพี่เสาร์ถึงจะต่อยคุณตะวันอีกล่ะครับ”

“เป็นหรือไม่เป็น เรื่องนั้นฉันตัดสินใจเอง”

“พี่เสาร์อย่าใจร้อนสิ”

นับหนึ่งยื่นปากใส่ ก่อนจะหันกลับไปสนใจคนบนพรมเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นแว่วๆ ตะวันพยายามดันตัวเองขึ้นยืนทั้งที่ใบหน้าเปรอะคราบน้ำตา

“ทำไม…พี่เสาร์ต้องปกป้องนับหนึ่งมากขนาดนี้ด้วย เด็กนี่เป็นใครกันแน่”

คนในคำถามเหลือบมองฝ่ายถูกถามแน่นิ่ง ไม่ได้คาดหวังถึงคำตอบจากปากอีกฝ่าย แต่คนคนนี้ก็มักทำให้เขาประหลาดใจได้อยู่เรื่อย…

“นับหนึ่งเป็นคนรักของฉัน”

“คนรัก?” ตะวันทวนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่คิดว่าจะพูดออกมาเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ “แล้วศุกร์ล่ะครับ?”

“ศุกร์ก็เป็นน้องชายที่ฉันรัก”

วันเสาร์ไม่หยุดคิดเลยด้วยซ้ำ และนั่นคงเป็นคำตอบของทุกๆ อย่าง

ภาพของวันเสาร์ที่ย่องเข้าไปในห้องนั่งเล่นยามดึก นับหนึ่งที่ยกถาดอาหารเช้าเข้าไปในห้องนอนของคุณชายคนโตได้อย่างอิสระ ความจริงเขาเองก็รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง หากอีกครึ่งของใจก็ยังหวังว่าตัวเองอาจเข้าใจผิด

แต่มาถึงจุดนี้ แม้จะไม่อยาก เขาก็คงต้องยอมรับสักที...

นับหนึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนของวันศุกร์อย่างที่เขาปรารถนาให้เป็นแค่นั้น และวันเสาร์เองก็ไม่ได้แค่เพียงลุ่มหลงชั่วครั้งคราวอย่างที่เขาภาวนาเช่นกัน

เด็กคนนี้ทำลายกำแพงนับร้อยพันชั้น และได้เป็นเจ้าของดวงใจผู้ชายชื่อวันเสาร์แล้วจริงๆ ส่วนเหตุผลที่เขาเฝ้าถามว่าทำไมถึงต้องเป็นนับหนึ่ง ก็เหมือนจะได้รับคำตอบบ้างแล้ว

“ผมนึกว่านอกจากวันศุกร์ พี่เสาร์จะรักใครไม่เป็นอีก”

“ฉันก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

เขาพยักหน้าหลายครั้งอย่างจำนน พลางสูดน้ำมูกเสียงดังหลังจากปาดน้ำตาออกไปจนหมดสิ้น เม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วค่อยๆ คลายออก ก้าวเท้าเข้าไปใกล้สองคนตรงหน้า มือบางเอื้อมคว้ามือของคนเด็กกว่ามาจับไว้หลวมๆ โดยมีสายตาขึงขังจ้องกดดันไม่ห่าง

“หนึ่ง…ขอโทษนะ” เขาเอ่ยออกไปอย่างจริงใจ สายตาทอดพิจารณาโครงหน้าหวานซื่อๆ เหมือนอยากจะสื่อให้รู้ว่า ไม่เป็นไร “แล้วก็ขอบคุณด้วยที่มาขวางไม่ให้พี่เสาร์ต่อยฉัน ทั้งที่ฉันแกล้งนาย แต่ก็ยังมาช่วยอีก”

ยอมรับว่าเมื่อครู่เขากลัวมาก วันเสาร์น่ากลัวมาก...และไม่คิดเลยว่าคนที่เขาตั้งแง่ใส่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน จะกลับกลายมาเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาช่วย วินาทีนั้นเองที่เขาสำนึกได้ว่า ไม่สามารถเกลียดคนที่กำลังกอดเขาไว้อย่างไม่กลัวเจ็บได้อีก...

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ต้องขอโทษที่ทำตัวเสียมารยาท”

ตะวันส่ายหน้า สูดลมหายใจลึกเข้าปอด ก่อนจะพ่นมันออกมาทางปากยาวเหยียด เขาได้รับรู้ถึงคำว่าพ่ายแพ้อย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งได้เข้าใจถึงเหตุผลที่ตัวเองต้องแพ้ด้วย เพราะว่านับหนึ่งดี แม้กระทั่งกับคนที่ร้าย นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้กำแพงสูงชันที่วันเสาร์สร้างไว้พังทลายลง

เวลาแค่สองสามวันที่เขาตั้งมั่นว่าจะลองเดิมพันเอาชนะใจวันเสาร์ให้ได้ มันเหนื่อย...และมันไร้ประโยชน์ที่จะพยายามไขว่คว้าหาความรักที่เขาไม่มีวันได้รับ

สำหรับวันเสาร์ คนที่เขาเคยแอบปลื้ม...พอแค่นี้ดีกว่า...

 

-----------------------------------------------



“ว่าแต่ พี่เสาร์กลับมาทำไมครับ” นับหนึ่งถาม หลังจากที่ปลอบตะวันจนสงบ และตกลงกันว่าตั้งแต่คืนนี้ ตะวันจะย้ายกลับไปนอนที่บ้านตัวเอง โดยมีพี่ละเมียดคอยช่วยเก็บข้าวของอยู่ในห้องรับรอง

“ฉันลืมกระเป๋าตังค์ แถมไอ้เจโทรมาขอเลื่อนนัดด้วย”

“อ่า” คนตัวเล็กพยักหน้า ขณะถอดกางเกงยีนส์ชื้นๆ จากกาแฟแก้วเมื่อครู่ออกไปโยนทิ้งไว้ในตะกร้า พี่ละไมเพิ่งจะหยิบชั้นในกับกางเกงมาให้เขาเปลี่ยน ก่อนจะรับอาสาโทรไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้พจน์กับวรวรรณฟัง แน่นอนว่าวันเสาร์ไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แค่คำว่า ขอโทษ คำเดียว สงสัยมีหวังตะวันคงได้ฟังครอบครัวตัวเองเทศน์อีกยาวแน่

แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดตะวัน...ออกจะสงสารด้วยซ้ำ เขาคิดว่าตะวันแค่เหงาและโหยหาความรักเหมือนกับใครบางคนแถวนี้ เลยพลาดพลั้งทำตัวแย่ๆ ออกไปก็แค่นั้น

ใครบางคนที่ว่าเดินเข้ามาซ้อนหลังเขาโดยไม่พูดไม่จา มือหนาเอื้อมสอดมาด้านหน้า ช่วยกลัดกระดุมกางเกงสามส่วนตัวใหม่ ก่อนจะเกี่ยวรัดเอวบางเข้าหาจนร่างทั้งร่างแทบจมฝังเข้าไปแนบอก ไออุ่นจากลมหายใจอีกฝ่ายเป่ารดอยู่ระคอต้นทำเอาเขาหลุดยิ้มด้วยจั๊กจี้

เอ่ยถามบางอย่างในใจ “เมื่อกี้ ทำไมพี่เสาร์ถึงตอบคุณตะวันแบบนั้นล่ะครับ”

“แบบไหน?”

“ก็…ที่บอกว่าผมเป็น…เอ่อ คนรัก”

“แล้วถ้าไม่ให้ตอบอย่างนั้น จะให้ตอบยังไง บอกว่านายเป็นหมาของฉันเหรอ”

“พี่เสาร์อะ” เขาส่งเสียงงอแงอยู่ในลำคอ สังเกตเห็นรอยยิ้มปนขำระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา

“ก็เป็นคนรัก เดี๋ยวนายก็ต้องตอบแบบนี้กับพ่อแม่ฉัน”

พวงแก้มใสเห่อร้อนขึ้นหน่อยยามคิดได้ว่าเขายังติดค้างเรื่องที่ต้องไปสารภาพกับผู้ใหญ่ทั้งสอง แต่ก่อนหน้านั้น ยังไงก็คงต้องทำให้ทุกอย่างชัดเจนเสียก่อน…

“ผมเป็นคนรักของพี่จริงๆ ใช่ไหมครับ”

“ทำไม” คนตัวใหญ่หันตัวเขากลับไปเผชิญหน้ากัน

“แบบว่า…ไม่ได้เป็นแค่ที่รองรับอารมณ์ของพี่ใช่ไหม”

วันเสาร์ย่นคิ้ว “ฉันจะไม่มีวันบอกว่ารักนาย ถ้านายเป็นแค่นั้น”

“แล้วก็ไม่ใช่ตัวแทนของใครด้วยใช่ไหมครับ”

ทั้งห้องเงียบกริบ และความเงียบนี้เองที่ค่อยๆ กลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ในนัยน์ตากลมคู่สวย ฝ่ามือหนาเลื่อนกอบกุมสองมือสั่นระริกของเขาไว้ เสียงนุ่มทุ้มฟังดูจริงจังเป็นเครื่องตอกย้ำให้เชื่อได้ว่านี่คือความจริง

“ไม่ใช่” เขารู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบหยุดหมุน มีเพียงคำพูดจากปากของชายตรงหน้าที่ดังอยู่ในโสตประสาท “ฉันรักนายที่เป็นนาย ไม่ได้คิดว่าเป็นตัวแทนของใครทั้งนั้น”

สิ่งต่างๆ พรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว “ฉันยอมรับว่าเคยสับสน แต่สุดท้ายก็รู้ว่าคนที่ฉันรัก ก็คือเด็กที่ชื่อนับหนึ่งคนนี้ ที่ยืนอยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้… เพราะงั้นก็เลิกคิดมากได้แล้ว เข้าใจไหม”

ริมฝีปากแดงสดเบะออก ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาที่ฝืนกักไว้ร่วงผล็อยด้วยความตื้นตันใจ เขาพยักหน้าลง แต่ก็ยังไม่วายส่งอีกคำถามตามไปติดๆ

“แล้วทำไมถึงรักผม…”

“ไม่รู้”

คำตอบในฉับพลัน ทำเอาเขาชะงัก “ไม่รู้ได้ไง”

วันเสาร์เผยยิ้มจางๆ ยกนิ้วขึ้นเกลี่ยคราบน้ำตาออกให้ ก่อนจะก้มลงฝากรอยจูบไว้กับหลังมือขาว ดวงตาเรียวเหลือบสบกันอย่างแสนลึกซึ้ง คำอธิบายหนึ่งเดียวแทรกผ่านความเงียบในห้อง ปัดเป่าแทบทุกความกังวลให้มลายหายไปจากใจเขา

“เพราะว่าไม่มีเหตุผล มันถึงได้เรียกว่าความรักไม่ใช่เหรอ”

 
----------------------------------------------------------------------------------------------

ใครไปฟ้องพี่บ.ก.ว่านักเขียนจะเลิกแต่งพี่เสาร์แล้วคะ เลยต้องมาอัพเลย 55555 ล้อเล่น (แต่มีคนฟ้องจริง 55) ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่เป็นการย้ำความรู้สึกของพี่เสาร์ที่มีต่อหนึ่งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีตะวันโผล่มาเป็นตัวประกอบช่วยสุมไฟ(รัก)ของทั้งคู่ ส่วนตอนถัดไปเตรียมเป็นเบาหวานค่ะ 55555

หมายเหตุ: ช่วงนี้เรากลับไปเป็นนิยายรายเดือนเหมือนเดิมก่อนนะคะ อัพเดือนละครั้ง แต่จบแน่นอน อย่าเพิ่งทิ้งพี่เสาร์กะน้องหนึ่งน้าา

Twitter ติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ มาร่วมหวีดกันได้นะต้ะ ไม่มีอะไรจะด่าพี่เสาร์แล้ว ก็ชมนางบ้างกะได้ 555
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 21
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 27-04-2019 12:41:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 21
เริ่มหัวข้อโดย: piiya ที่ 27-04-2019 22:18:24
นับหนึ่งทำไมหนูนางเอกแบบนี้ลูก หนูต้องหัดเป็นคนร้ายๆ แบบนางร้ายในละครหลังข่าว!
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 18-05-2019 15:25:24
นับหนึ่ง ถึง ยี่สิบสอง



“วันนี้จะตอบพ่อกับแม่ฉันว่ายังไง” วันเสาร์เอ่ยถาม สายตาคมจับจ้องไปยังพวงแก้มแดงก่ำของเด็กที่กำลังนั่งทับร่างกายเปลือยเปล่าของเขาอยู่ในเช้าวันนี้

ฝ่ามืออุ่นลูบคลึงไปตามสะโพกมนสวย ฟอนเฟ้นมายังต้นขาเนียนละเอียด ก่อนจะเอื้อมขย้ำก้อนเนื้อกลมกลึงทั้งสองข้างอย่างสนุกมือ ขณะที่คนถูกถามยังคงเอาแต่กัดปากตัวเองจนเขากลัวว่ามันจะห้อเลือด แม้ว่าจะพยายามสะกดกลั้นสุ้มเสียงตัวเองไว้ยังไง ก็ยังปิดซ่อนมันไม่มิดอยู่ดี

“อ…อื๊ออ..”

“ตอบสิ” ลำตัวหนาแกล้งกระแทกกายสวนขึ้น จนร่างเล็กสะเทือน รีบใช้แขนยันหน้าท้องเป็นลอนเอาไว้มั่น

“ตะ…ตอบ อื้อ..อะไร ครับ”

“ก็ถ้าท่านถามว่านายเป็นอะไรกับฉัน จะตอบว่ายังไง”

“ก…ก็…”

ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก หยาดน้ำตาเอ่อล้นจนดวงตากลมโตหยดเยิ้มมองสบลงมา ผิวขาวใสไปเสียทุกส่วน จนแทบสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่าง จุกทับทิมสีหวานบวมเต่งเพราะเพิ่งจะถูกเขาดูดดุนอยู่เป็นเวลานานสองนาน และตอนนี้มันก็ล่อตาล่อใจ ชวนเชิญให้เขานึกกระหายมันอีกครั้ง

“ว่าไง?” เขาเซ้าซี้ ก่อนจะอัดแก่นกายขนาดมหึมาอันน่าภูมิใจของตัวเองเข้าเติมเต็มช่องทางอุ่นร้อน แม้แต่อากาศสักอณูเดียวก็ไม่ยอมให้แทรกผ่านเข้าไป

ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเชิดมองเพดาน อวัยวะด้านล่างเอาแต่ตอดรัดส่วนแข็งขืนถี่รัวจนเขาต้องเผลอซูดปาก นับหนึ่งจิกเท้า พยายามเอ่ยตอบเสียงกระเส่า “เป็น…ผมเป็น..ฮื่อ ค..คนรัก ของพี่สะ..อ๊ะ เสาร์”

“ดีมาก”

รอยยิ้มพึงใจปรากฎขึ้นบนโครงหน้าหล่อเหลา วันเสาร์รั้งลำคอระหงลงมารับจูบร้อนแรงแทนรางวัลสำหรับเด็กดี ริมฝีปากทั้งสองบดเบียดเข้าหากันตามแรงอารมณ์พลุ่งพล่าน เรียวลิ้นชื้นเกี่ยวกระเซ้า เย้าแหย่อยู่ภายในโพรงปากหวาน คนโตกว่าลูบไล้ไปตามแนวแผ่นหลังเว้าโค้ง ย้อนกลับมาหยอกล้อกับอกแบนราบที่กำลังส่งเสียงตึกตักดังออกมา

“ฮ..ฮ้า” เราผละออกจากกันเมื่อเด็กด้านบนเริ่มไอโคลกเพราะหายใจไม่ทัน มันเป็นโอกาสเหมาะให้เขาตรงเข้าช่วงชิงติ่งไตสีสดราวกับทารกอยากน้ำนมไม่มีผิด แต่สาบานเถอะว่าสิ่งนี้ เอร็ดอร่อยยิ่งกว่านมจากเต้าไหนทั้งนั้น

ลิ้นพลิ้วฉกชิมเจ้าจุกตั้งชันน่าเอ็นดู สลับข้างไปมา มือหยาบก็คอยประคองบั้นท้ายให้ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ เรียวแขนบางรวบอยู่รอบศรีษะเขา ขยุ้มกลุ่มผมสั้นสีดำสนิทเพื่อช่วยระบายความรู้สึกสุขสมในกาย

“อ๊ะ” เขาตวัดลิ้นแรงๆ ทิ้งท้าย ก่อนจะขยับท่าทาง เปลี่ยนให้เจ้าของพวงแก้มแดงปลั่งนอนราบลงกับพื้นเตียง เป็นฝ่ายคร่อมทับอยู่ด้านบนแทนที่

ขาเนียนพาดอยู่กับบ่าแกร่ง เตรียมพร้อมสำหรับรับแรงกระทั้นหนักหน่วง เขาหยัดกายเข้าหาอีกฝ่ายถี่รัว เร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจวนเจียนใกล้ถึงฝั่งฝัน

นับหนึ่งเลิกฝืน ปล่อยให้ตัวเองส่งเสียงหวีดร้อง ดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง “อ..อ๊า..พี่เสาร์ ช้า…ช้าหน่อยครับ”

อย่างกับว่าพูดแบบนั้นแล้วเขาจะฟัง…ไม่อยู่แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเองก็ชอบที่เขาทำมันแบบนี้ ยิ่งเขาเคลื่อนตัวเร็วเท่าไร สะโพกสวยก็ยิ่งขยับตอบรับดีเท่านั้น และยิ่งเขาเข้าไปลึกมากเท่าไร เสียงหวานๆ ก็ยิ่งครวญครางดังขึ้นเท่านั้นเช่นกัน

เขาโน้มตัวลงฝากจูบไว้กับขมับเปื้อนเหงื่อ มือหนาสอดประสานเข้ากับฝ่ามือนุ่ม กอบกุมเอาไว้แนบแน่น พลางกดกาย สอดแทรกตัวตนเข้าไปยังร่องรักแฉะฉ่ำ เสียงเนื้อกระทบเนื้อน่าอายดังถี่ๆ ก้องกังวาลอยู่ในโสตประสาท เล่นเอาลำตัวขาวสะอาดด้านใต้แทบจะกลายเป็นชมพูไปเสียทุกส่วน

“อื๊ออ…อื้อๆ ๆ” เจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยของเขาบิดเร่า ปากเจ่อเผยอออกราวกับจะเชิญชวน

เราแลกน้ำลายหนืดให้แก่กันอีกหลายครั้ง ก่อนที่เขาจะเริ่มเร่งจังหวะ จนทั้งสองร่าง แม้แต่เตียงหลังใหญ่ยังไหวคลอน

“พี่เสาร์…อ๊ะ ไม่..ไม่ไหวแล้..”

วันเสาร์สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด แกล้งผ่อนแรงลงกะทันหันในขณะที่ทั้งเขาและนับหนึ่งกำลังจะแตะขอบสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เจ้าของร่างเล็กถีบเท้าประท้วง ก่อนที่ใบหน้ามุ่ยๆ นั้นจะสะบัดไปมา พลางหวีดร้องสุดเสียงในชั่ววินาทีที่เขากระแทกความใหญ่โตเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้าย

“อะ..อ..อ๊าา!!”

หน้าท้องแบนหดเกร็งยามของเหลวขุ่นข้นพวยพุ่งผ่านช่องทางคับแน่น ปะทะกับส่วนที่ลึกที่สุดในร่างกายร้อนผ่าว นับหนึ่งกระตุกสองสามทีก่อนจะปลดปล่อยทุกหยาดหยดของอารมณ์ออกมาแทบจะพร้อมกัน เรียวตาสีน้ำตาลเข้มปรือมองเขาอย่างเหนื่อยอ่อน หากก็เปี่ยมไปด้วยความสุขท่วมท้น

เขาก้มลงจูบซับน้ำตาให้กับอีกฝ่าย ค่อยๆ ไล่พรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าแดงซ่านเป็นการปลอบ เสียงหัวใจสองดวงของเราดังชัดขึ้น สลับกับเสียงหอบหนักๆ ที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไร เขาก็รู้สึกว่ามันช่างเย้ายวนชวนฟังเสียจริง

“อีกรอบได้ไหม?” กระซิบถามข้างใบหู ก่อนจะหันไปขบเม้มกลีบปากนิ่มสั่นระริกอยู่หลายที

คนเด็กกว่าส่งเสียงงอแงออกมาจากลำคอ ปล่อยมือออกจากเขาแล้วพยายามดันแผงอกหนาออกห่าง พร้อมส่ายหน้าระรัว “ไม่เอาแล้วครับ”

“แต่ว่านายชอบ..”

นับหนึ่งย่นจมูก ใบหูทั้งสองข้างร้อนฉ่าขึ้นมาอีกระลอก เพียงแค่ได้ยินคำพูดน่าอับอายจากปากของผู้ชายที่ดูเหมือนจะรู้จักเขาดีซะเหลือเกิน

“แต่ว่าผมเหนื่อย”

“งั้นให้พัก 5 นาที”

“ไม่เอาา...” คนตัวเล็กลากเสียงยานคาง ดันตัวเองลุกขึ้น ทำให้แก่นกายอุ่นๆ หลุดออกจากส่วนเชื่อมต่อระหว่างเรา

วันเสาร์พ่นลมหายใจออกจากปาก แล้วถึงได้ยอมจำนน หากก็ไม่วายขโมยจูบเขาไปอีกรอบ มันเป็นจูบที่เผ็ดร้อน ทว่าลึกซึ้ง และกินเวลาเนิ่นนานราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันอันแสนดี

เราผละตัวออกจากกัน ก่อนที่เขาจะโผเข้ากอดคนเป็นพี่ด้วยความรักใคร่ วันเสาร์ยกยิ้มพลางลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน เราขลุกตัวอยู่บนเตียงต่ออีกสักพักกว่าที่จะย้ายเข้าไปชำระล้างร่างกายในห้องน้ำ และบทรักที่เพิ่งจบไป เกือบจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ว่าเขายับยั้งห้ามใจตัวเองได้ทันซะก่อน ถึงแม้ว่ามันจะทำให้วันเสาร์ดูหงุดหงิดมากก็ตาม

ก๊อกๆ

ใครบางคนเคาะประตู ตามมาด้วยเสียงของพี่ละไม ดังลอดเข้ามาถึงในห้องอาบน้ำ “คุณพจน์กับคุณนายรออยู่ที่ห้องรับแขกนะคะคุณเสาร์”

นับหนึ่งกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ใช่...วันนี้คือวันที่เขาจะต้องสารภาพความจริงทั้งหมดกับพ่อแม่ของวันเสาร์ เรื่องที่เรามีความสัมพันธ์เกินกว่าแค่ผู้ใหญ่ใจดีกับเด็กที่รับมาเลี้ยง เรื่องที่เขาเคยเป็นสินค้าในคอลเลกชั่นเจ๊หมวย ซัพพลายเออร์เจ้าใหญ่ของเจนภพ รวมทั้งเรื่องที่เด็กปอนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรเลยคนนี้ จะมาขอให้ได้ครองรักกับลูกชายอันเพียบพร้อมทุกประการของพวกท่านด้วย

“พี่เสาร์ ผมกลัว” เขาเบะปาก ขณะพากันก้าวขาออกจากอ่าง

เจ้าของร่างโปร่งดึงผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ออกจากราว นำมันคลุมกายเล็กที่กำลังยืนสั่นงันงก เมื่ออากาศด้านนอกแทรกผ่านเข้ามากระทบกับหยดน้ำเกาะตามผิวลื่นมือ

“บอกว่าไม่ต้องกลัวไง พ่อกับแม่ใจดีกว่าฉันตั้งเยอะ” วันเสาร์จัดแจงกระชับผ้าเช็ดตัวให้แน่ใจว่าเด็กน้อยของเขาจะไม่ป่วย

“แต่ว่า...ทุกคนก็ใจดีกว่าพี่เสาร์อยู่แล้วนี่ครับ”

“นับหนึ่ง”

“โอเคครับ ผมไม่บ่นแล้วก็ได้...หวังว่าท่านจะยอมรับเรานะ”

“ยอมอยู่แล้ว” เขายกมือขึ้นบีบจมูกรั้นจนมันแดงเรื่อ “คิดมาก”

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่นับหนึ่งก็ยังคงดูกังวลไม่หาย กว่าจะแต่งตัวเสร็จก็ปล่อยให้ผู้ใหญ่รออยู่หลายนาทีแล้ว ในที่สุด เราก็มาถึงหน้าประตูบานเลื่อนของห้องนั่งเล่น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องนอนชั่วคราวของเขาเอง

“อรุณสวัสดิ์ครับ” คนตัวเล็กรีบทักทายตามมารยาท ขณะที่คนบนโซฟาทั้งสองเอาแต่อมยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ

ทั้งเขาและวันเสาร์ต่างคุกเข่าลง และก่อนที่จะเกิดจังหวะเดดแอร์ วรวรรณก็เป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยขึ้นก่อน

“แม่กับพ่อรู้เรื่องตะวันแล้วนะ ตะวันเองก็โทรมาขอโทษแล้วด้วย”

“ครับ”

“เสาร์กับหนึ่งก็อย่าถือโทษอะไรตะวันเลยนะ”

นับหนึ่งรีบส่ายหน้า “ผมไม่โกรธอะไรคุณตะวันหรอกครับ”

“แต่ผมโกรธ” เสียงทุ้มดังแทรก ทำเอาเขาหันขวับ “อะไรกันครับพี่เสาร์”

“ก็เด็กนั่นแกล้งนายแรงจะตาย ไม่รู้สึกบ้างเหรอ”

“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ช่างมันสิครับ คุณตะวันก็ขอโทษผมแล้วด้วย”

“นายใจอ่อนเกินไป”

“พี่เสาร์นั่นแหละใจแข็งเกินไป”

“อะแฮ่ม” พจน์จงใจกระแอมไอเรียกความสนใจของเด็กๆ ทั้งสองตรงหน้ากลับมา วรวรรณอมยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะพยายามปั้นน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“จบเรื่องตะวันเถอะ มาคุยเรื่องเราสองคนดีกว่า” เธอเว้นช่วงให้สมาชิกใหม่ได้หายใจหายคอ เมื่อสังเกตเห็นว่าโครงหน้าหวานส่อแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากว่าคำถามถัดไปของเธอ ก็นำพามวลความเงียบมหาศาลโปรยตัวลงปกคลุมไปแทบทั้งห้อง

“นับหนึ่ง...ไม่ได้เป็นแค่เด็กในอุปถัมภ์ของเสาร์ใช่ไหม ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ ไหนบอกแม่ซิ”

คนเป็นลูกเกือบจะเผลอหลุดยิ้มให้กับประโยคซักไซ้เมื่อครู่ เขากะแล้วว่าแม่จะต้องถามตรงๆ เพราะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่คิดว่าจะตรงขนาดนี้เลยแฮะ

“เอ่อ…” เด็กข้างกายเขาอ้ำอึ้ง พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือ แต่เขาก็แกล้งทำเป็นพยักเพยิดหน้าให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ

“ว่ายังไง หนึ่งเป็นอะไรกับเสาร์?”

“คือ…ผม…เอ่อ….”

วรวรรณจ้องพวงแก้มระเรื่อด้วยใจลุ้น…ลุ้น….แล้วก็ ลุ้น… แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่านับหนึ่งจะยอมปริปากเอ่ยคำที่อยู่ในความคิดเธอออกมาง่ายๆ

สามีของเธอก็คงจะอดรนทนไม่ไหวเหมือนกัน ถึงได้ยิงคำถามใหม่ออกไปกลางปล้อง คาดว่ามันคงช่วยให้ตอบง่ายกว่าเดิม

“เป็นแฟนเสาร์เหรอ?”

นับหนึ่งเบิกตากว้าง เกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง “ค..คือ ผมมะ…มัน..แบบ…” โครงหน้าหวานยิ่งกลายเป็นสีแดงชัด เรียวลิ้นบางแทบจะพันเป็นปมหากว่าเป็นไปได้ คำพูดมากมายตีรวนอยู่ในสมองจนเริ่มทำตัวไม่ถูก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนขมับทั้งที่อากาศในห้องก็ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าร้อนเลยสักนิด

ท้ายที่สุด ปลายนิ้วสั่นระริกก็กลับมาสงบลงได้ในวินาทีที่วันเสาร์เอื้อมมือเข้ามากอบกุมมันไว้นิ่งๆ เราเหลือบสบตากับแวบหนึ่ง ก่อนที่ร่างเล็กจะตัดสินใจสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมเอื้อนเอ่ยคำตอบที่ใครต่อใครต่างเดาออกอยู่แล้ว

“ก็…ช..ใช่ครับ”

“ผมกับหนึ่ง เรารักกันครับ” วันเสาร์ช่วยเสริม เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยของเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น คล้ายว่าจะปล่อยโฮเต็มที

“พ่อกับแม่ก็คิดอยู่แล้วเชียว”

“เล่ามาให้หมดเลยนะ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง”

คนเป็นลูกกระชับฝ่ามือ เพื่อมอบพลัง แล้วก็รับพลัง… เริ่มต้นเล่าเรื่องทุกอย่าง ตั้งแต่คืนที่นับหนึ่งแอบโดดเข้ามาซ่อนตัวบนรถของเขา จนกระทั่งวันที่เจนภพซื้อนับหนึ่งมาให้ แน่นอนว่าเขาต้องหยุดตรงนี้ แล้วนั่งฟังแม่บ่นยกใหญ่กว่าจะยอมให้พูดต่อไปได้ แต่อย่างน้อยท่านก็ไม่ได้ติงเรื่องที่นับหนึ่งเคยทำงานกับเจ๊หมวยเลย มีแต่จะยิ่งสงสารเมื่อรู้ว่าหลังจากสูญเสียญาติคนสุดท้าย สูญเสียสิ่งที่เรียกว่าบ้าน แล้วยังต้องถูกบังคับให้มาทำเรื่องแบบนั้นอีก

เขาวางใจที่จะเล่าทุกๆ สิ่งในใจออกไปจนหมดเปลือก ทั้งที่ตลอดมา แทบไม่เคยได้พูดคุยกับพ่อแม่ตรงๆ แบบนี้เลย เขาสารภาพถึงความรู้สึก…หรือเรียกให้ถูกคือความเข้าใจผิด ที่เคยมีต่อน้องชายตัวเอง เขาบอกพ่อกับแม่ว่าเขาทนทรมานกับความอ้างว้างมาตลอดกี่ปี เขาบอกว่าการปรากฎตัวของนับหนึ่งเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง และขณะนี้เขามีความสุขยังไง

รวมถึงคำขอโทษ ที่แม้จะเอ่ยซ้ำเท่าไรก็ยังฟังดูไม่พอ

“ผมขอโทษนะครับที่เติบโตมาเป็นคนแบบนี้”

“แบบไหน?” พจน์สวน

“ก็คนที่ทำผิด…คนที่เอาแต่ทำให้พ่อกับแม่เป็นกังวล คนที่เคยทำร้ายศุกร์ด้วย”

“พอๆ” คนเป็นพ่อโบกมือ แล้วส่งสัญญาณให้วันเสาร์หยุด ขณะที่วรวรรณกำลังลอบเช็ดน้ำตาคลอเบ้า “เสาร์ไม่ต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น เรื่องศุกร์ก็จบไปนานแล้ว แถมตอนนี้เสาร์ก็รู้ใจตัวเองแล้วนี่”

“ใช่ แม่กับพ่อต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะเราปล่อยปละละเลย ไม่ได้มีเวลาให้เสาร์เท่าที่ลูกควรจะได้รับ มันถึงทำให้เสาร์ต้องเจ็บปวด…” เธอหยุด เมื่อรู้สึกว่ากำลังควบคุมอารมณ์ไม่ไหว

แม้ว่ามันจะน่าเศร้าที่เธอไม่สามารถมอบความรักอย่างเต็มเปี่ยมให้กับลูกชายแท้ๆ คนเดียวได้ จนทำให้เรื่องราวที่ผ่านมาบิดเบี้ยว แต่เธอกลับตื้นตันใจที่ในวันนี้ เราสามารถปลดล็อกความรู้สึก และเปิดอกคุยกันได้เสียที หลังจากที่วันเสาร์เอาแต่เก็บกดทุกอย่างเอาไว้นานนับสิบปี

เราต่างพรั่งพรูความในใจออกมาราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว อาบชะโลมเอาเศษหินดินทรายที่เคยยอกทำร้ายให้พัดพาหายไป ค่อยๆ ปล่อยให้บาดแผลของการเติบโตได้รักษาตัวเอง ทีละเล็ก ทีละน้อย

“อีกอย่าง…” พจน์จ้องเข้าไปในเรียวตาของลูกชายอย่างสื่อความหมาย “เสาร์ไม่เคยทำให้พ่อกับแม่เสียใจเลย เสาร์เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน และดูแลน้องดีมากมาตลอด ถ้าจะห่วงก็คงมีแค่เรื่องเดียว คืออยากให้เสาร์มีความสุข ได้พบรักแท้เหมือนกับศุกร์ หรือคนอื่นบ้าง”

เขาเว้นช่วง ก่อนจะคลี่ยิ้ม เหลือบมองไปทางเด็กอีกคนที่ยังมีสีหน้าประหม่าไม่หาย “แต่ตอนนี้คงหมดห่วงได้แล้ว จริงไหม”

“ครับ” วันเสาร์ระบายยิ้มแบบเดียวกัน

“แม่กับพ่อดีใจนะที่รู้ว่าเสาร์มีคนรัก แล้วก็ยิ่งดีใจที่รู้ว่าเป็นหนึ่งด้วย บอกตรงๆ แม่รู้สึกถูกชะตากับหนึ่งตั้งแต่แรกเห็นแล้วแหละ”

วรวรรณหัวเราะคิกคักชอบใจ หากก็ต้องชะงัก เมื่อเด็กในบทสนทนาของเธอส่งเสียงขัดขึ้นแผ่วๆ

“แต่ว่า...ผมเป็นแค่เด็กกำพร้าจนๆ ไม่มีอะไรคู่ควรกับพี่เสาร์เลยนะครับ”

วันเสาร์ลอบจิ๊ปาก คิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่เขาก็ย้ำไปตั้งไม่รู้กี่หนแล้วว่าสิ่งที่กำลังกังวลน่ะมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย

“พวกเรายอมรับทุกคนที่เสาร์รักนั่นแหละ อย่าห่วงเลย” พจน์กล่าว

“จริงจ้ะ หนึ่งไม่ต้องคิดมากนะ แม่ไม่ได้สนใจหรอกว่าต้องเป็นใคร อะไร ยังไง ขอแค่เป็นคนที่เสาร์รักก็พอ อีกอย่าง หนึ่งดูเป็นเด็กดี แค่นี้แม่ก็ปลื้มจะแย่แล้ว”

“แต่…”

“หนึ่ง” วันเสาร์กดเสียงต่ำ ขณะบีบมือเขาหนักๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าถ้ายังไม่หยุดพูดคำว่า แต่ เขาคงได้ถูกจับโยนลงเขียง สับเป็นชิ้นแน่แล้ว

“เอ่อ…ขอบคุณมากนะครับ”

“งั้นเดี๋ยวเราออกไปทานข้าวที่สวนกันดีไหม วันนี้อากาศดีด้วย”

คนเป็นแม่พยายามเบี่ยงประเด็น ก่อนจะตะโกนเรียกละเมียดกับละไมที่ยืนแอบฟังอยู่หน้าประตูให้เข้ามาจัดการเก็บถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ และเตรียมอาหารกลางวันสำหรับเที่ยงนี้ เธอปัดมือไล่ให้ลูกชาย พร้อมลูก…สะใภ้ ไปรอที่สวน แล้วรีบคว้าโทรศัพท์มากดหาลูกชายคนเล็กทันที

อีกไม่นาน เธอกับพจน์ก็ต้องออกเดินทางอีกครั้ง เวลาที่เหลือไม่เท่าไร หลังจากแวะเวียนเยี่ยมเพื่อนสนิทมิตรสหายจนครบ เธอตั้งใจจะใช้มันกับครอบครัวทั้งหมด



---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 18-05-2019 15:25:56
---------- ต่อ ----------



เจ้าของดวงตาสีนิลกระตุกแขนให้เด็กข้างกายลุกขึ้น เดินตามเขาไปยังส่วนของสนามหญ้าสีเขียวชอุ่ม วันนี้อากาศดีตามที่วรวรรณบอก ท้องฟ้าด้านบนเป็นสีฟ้าสดใส แต่งแต้มด้วยกลุ่มก้อนเมฆสีขาวสะอาด เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า บดบังแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้แรงแดดหลงเหลือเพียงแค่ไออุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆ จากบรรดาพืชพันธุ์ไม้นาๆ ชนิตต่างลอยโชยอยู่ในอากาศ โดยเฉพาะต้นปีบสูงใหญ่เหนือหัวที่กำลังผลัดดอก ร่วงโรยลงเกลื่อนเต็มพื้นสวน

เรียวตาคมเข้มเหลือบมองเสี้ยวหน้าหวานที่เอาแต่เงยจ้องดอกปีบหมุนวนออกจากกิ่ง ตกลงสู่เบื้องล่างตามกระแสลม ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปซ้อนหลัง ดึงรั้งร่างบางนั้นเข้ามาแนบไว้ในอ้อมอก เสียงกระซิบดังขึ้นข้างใบหูแดงเรื่อ

“หอมจัง”

“ดอกปีบเหรอครับ”

เขาส่ายหน้า ปลายจมูกโด่งคลอเคลียเข้ากับพวงแก้มใส “นาย”

คนถูกจู่โจมตัวแข็งทื่อ อุณภูมิความร้อนแล่นริ้วตั้งแต่ปลายนิ้วจรดลำคอขาว ชักไม่แน่ใจแล้วว่า วันเสาร์ตอนเป็นเจ้าชายเย็นชา กับวันเสาร์ที่จริงใจอย่างในตอนนี้ แบบไหนมันชวนขนลุกมากกว่ากัน

น่ากลัวแฮะ...

“พูดอะไรครับเนี่ย” เขาพยายามกลั้นยิ้ม

“ทำไม เขินเหรอ”

“กะ...ก็ แต่ก่อน พี่เสาร์ไม่พูดอะไรแบบนี้นี่น่า” เดี๋ยวนี้ชักจะพูดมากเกินไปแล้วนะ บางทีก็เตรียมใจไม่ค่อยจะทันเอาซะเลย ถึงแม้ว่าเขาจะชอบก็เถอะ

“แล้วอยากให้พูดไหม หรืออยากให้ด่าแทน ก็ได้นะ”

ฝ่ายเด็กกว่ายู่ปาก แกล้งทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหลังจนเราทั้งคู่เซไปนิด “แค่ไม่พูดว่าเกลียดผม หรือว่าไล่ผม แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

ร่างสูงโปร่งกระชับวงแขน เหลือบตามองเด็กน้อยที่เพิ่งหลับตาพริ้มไปเมื่อสักครู่ เสียงใบไม้ปลิดปลิวดังชัดที่สุดในโสตประสาท ช่างเป็นช่วงเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความสุข ซึ่งเขาไม่เคยได้สัมผัสมานานหลายปี

และเพื่อรักษาความสุขนี้ให้คงไว้ตลอดไป เขาถึงได้ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง เขาไม่อยากถูกมองว่าไร้หัวใจ ไม่อยากทำร้ายหรือทำให้นับหนึ่งต้องเจ็บปวดอีก น้ำตาแค่หยดเดียวของเด็กคนนี้ หากไม่ใช่ตอนที่เรากำลังพลอดรักกันแล้ว เขาก็ไม่นึกปรารถนาที่จะได้เห็น คำพูดแสนเย็นชา และกริยาอันโหดร้าย ทั้งหมดนั่นเขาเลิกแล้ว

เขาแค่อยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพื่อคนคนเดียว...

“ไม่ไล่แล้วไง แล้วก็จะไม่มีวันพูดว่าเกลียดด้วย”

นับหนึ่งเผยยิ้มทั้งที่ยังคงดื่มด่ำกับเสียงลมพลิ้วไหว เราต่างปล่อยให้หัวใจได้พักผ่อน ภายใต้ฟ้าใสสีครามสวย ความอบอุ่นอ่อนละมุนกำลังกระจายตัวฟุ้งไปแทบทุกหนแห่ง

ไม่นานหลังจากนั้น แม่บ้านทั้งสอง รวมทั้งลุงชัย ก็พากันมาช่วยจัดแจงโต๊ะอาหาร ตามมาด้วยพ่อกับแม่ และแน่นอนว่า น้องชายคนเดียวของเขาก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน

พร้อมด้วยผู้ชายที่เขาเคยนึกเกลียดชังมากเป็นอันดับต้นๆ

“พ่อแม่ สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะกันต์”

“สวัสดีครับพี่เสาร์” กันติกรณ์เดินมายกมือไหว้ โดยมีวันศุกร์แอบหลบหลังไม่ห่าง บรรยากาศอึดอัดทุกครั้งที่เราเข้าหน้ากันมันเริ่มลดลงตั้งแต่ที่เขายอมผงกหัวตอบรับคำทักทายนั้นเป็นครั้งแรก

“อืม”

กันต์หันไประบายยิ้มให้กับคนรัก แล้วถึงหันกลับมาโบกมือให้เด็กอีกคนตรงนั้น “ไงหนึ่ง สบายดีไหม”

“สบายดีครับ”

“ดูสดใสขึ้นนะเรา”

ร่างเล็กยิ้มรับ ก่อนจะถูกวันเสาร์ดึงแขนเข้าไปใกล้ สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปยังใบหน้าเหลอหลาของกันติกรณ์ที่ยังไม่ทันรู้ตัวว่าทำอะไรผิดให้พี่เขยคนนี้หงุดหงิดใจอีกแล้ว

“เด็กๆ มาทานข้าวได้แล้ว” วรวรรณกวักมือเรียก

แขกคนล่าสุดยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแกรกๆ หลังจากที่วันเสาร์เดินผ่านเขาไป

“ศุกร์ พี่ทำไรผิด”

“พี่เสาร์แค่หวงนับหนึ่งน่ะ” วันศุกร์ตอบทั้งอมยิ้ม ก่อนจะจูงมือรุ่นพี่ตัวเองไปทางโต๊ะกลมตัวใหญ่

พวกเราต่างจับจองเก้าอี้นั่ง บนโต๊ะหวายอัดแน่นไปด้วยอาหารกลางวันหน้าตาน่าทานเสียทุกเมนู ละเมียดเดินรินน้ำหวานสีแดงสดใส่แก้วให้สมาชิกแต่ละคน และวันเสาร์รู้ได้ทันทีเลยว่าลูกเจี๊ยบตัวน้อยของเขาคงจะชอบใจมากเป็นพิเศษถึงได้ทำตาเป็นประกายอยู่นั่น

“ดีจัง วันนี้ทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา” หญิงวัยกลางคนประสานมือเข้าไว้ด้วยกัน ขณะไล่สายตามองเด็กๆ ทั้งสี่ตรงหน้า

“สรุปว่าแม่กับพ่อรู้เรื่องพี่เสาร์กับหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ”

วรวรรณกับพจน์พยักหน้าลงแทบจะพร้อมกัน “ความจริงพวกเราก็พอเดาออกแต่แรกแล้วล่ะ” เพราะลูกชายคนนี้ของเธอคงไม่เก็บเด็กที่ไหนไว้ข้างกายนานขนาดนั้น หากว่าไม่คิดอะไรสักนิดเลย

“แล้วเป็นไงครับ ถูกใจลูกสะใภ้ไหม”

ลูกสะใภ้ที่ว่านั่งตัวเกร็ง ส่วนร่างสูงโปร่งด้านข้างก็เพียงส่ายหน้าให้กับน้องชายตัวดีที่เดี๋ยวนี้ชักจะขี้แกล้งขี้แซวมากไปหน่อยแล้ว สงสัยว่าจะเสียนิสัยเพราะนายกันติกรณ์นั่นแหละ

“ถูกใจซี่” วรวรรณยิ้มหน้าชื่น “หนึ่งน่ารักขนาดนี้”

“ความจริงถ้าเสาร์เลือกแล้ว พ่อก็วางใจได้เลยว่าต้องเป็นเด็กดีแน่ เพราะคนอย่างเสาร์คงไม่ไปรักใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกนะ” พจน์เสริม เล่นเอาคนตัวเล็กหน้าแดง

ทั้งหกชีวิตเริ่มต้นรับประทานอาหารกลางวัน พลางพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ บรรยากาศอันแสนอบอุ่นแผ่ซ่านรายล้อมไปทั่วทั้งวงสนทนา ภาพของพจน์ที่ลุกขึ้นตักกุ้งราดซอสมะขามใส่ไว้ในจานของภรรยา ตามด้วยกันติกรณ์ที่รีบเลียนแบบไม่ให้น้อยหน้า เรียกรอยยิ้มเล็กๆ จากทุกคนบนโต๊ะ

วันเสาร์ชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมตักกุ้งอีกตัว….ลงบนจานตัวเอง ไม่เผื่อเวลาให้ใครบางคนตั้งความหวังซะด้วยซ้ำ

เขาตั้งหน้าตั้งตาแกะส่วนหัวกับหางออก เพราะรู้ดีว่ามีคนแถวนี้ไม่ชอบกิน ก่อนจะย้ายเนื้อกุ้งเน้นๆ ไปวางไว้ในจานของเด็กที่เอาแต่เคี้ยวข้าวสวยหงุบหงับ แถมยังเลอะติดมุมปากไม่น่าดู

“จะเก็บไว้กินตอนเย็นหรือไง” เขาว่า แล้วหยิบเอาเมล็ดข้าวบนหน้าออกให้

วันศุกร์คอยเหลือบมองทั้งคู่ รู้สึกตื้นตันจนแทบจุกอก นึกไม่ออกเลยว่าเหล่าผู้คนที่เคยตราหน้าว่าพี่ชายของเขาไม่มีหัวใจและด้านชา หากว่ามาเห็นภาพนี้แล้วจะเป็นยังไง แต่ก็นะ…ใช่ว่าวันเสาร์จะแสดงด้านนี้ออกไปให้ใครต่อใครเห็นได้ง่ายๆ ซะเมื่อไร

แววตาเปี่ยมด้วยความเอ็นดูทอดสังเกตเด็กน้อยที่คอยหลบตา ใบหูนั้นขึ้นสีเรื่ออย่างน่ามันเขี้ยว ด้านที่แสนอบอุ่นของผู้ชายชื่อวันเสาร์ ที่ไม่เคยมีใครคนอื่นนอกเหนือจากเขาได้เห็น วันนี้นับหนึ่งก็ได้เห็นมันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีมุมอื่นๆ ที่แม้แต่เขาก็ไม่เคยเห็น ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็น และคงไม่มีวันได้เห็น เพราะว่ามีไว้ให้นับหนึ่งได้สัมผัสถึงมันเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น... กำแพงหนึ่งพันชั้นของวันเสาร์ เด็กผู้ชายเพียงคนเดียวที่ไม่เคยคิดว่ามีอยู่จริง วันนี้...ได้เดินเข้ามาทลายมันแล้ว

จะบอกว่าที่วันเสาร์เป็นอยู่คือโหมดหลงเมีย ก็เห็นว่าจะไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะวันเสาร์ไม่ใช่เจนภพที่เปลี่ยนคนรักไม่ซ้ำเดือน หมดโปรแล้วหมดโปรอีกซ้ำซาก เขาคิดว่าคนที่จะทำให้วันเสาร์หลงได้มากขนาดนี้ บนโลกใบนี้ คงมีแค่คนเดียว

และคนนั้นคือนาย…นับหนึ่ง

“แล้วพ่อกับแม่เป็นไงบ้างกันต์ วันนั้นที่ไปหาก็ไม่เจอ” พจน์เงยหน้าขึ้นถาม

“สบายดีครับ พอดีวันนั้นท่านมีนัดกับคุณอา”

“จริงสิ แล้วคุณอรรณพเป็นยังไง งานที่คณะไปได้ดีหรือเปล่า”

“ก็ปกตินะครับ แต่ดูเหมือนว่าปีนี้มีเด็กสอบเข้าน้อยกว่าปีก่อนๆ”

วันศุกร์พยักหน้า ช่วยเสริม “ศุกร์ว่าข้อสอบปีนี้น่าจะยากขึ้นด้วย เห็นว่ามีคนไม่ผ่านหลายคนเลย จนนี่จะเปิดสมัครรอบสามแล้ว”

“แต่ถ้าระบบคัดเลือกเข้มงวดขึ้น ก็แปลว่าจะได้เด็กที่มีคุณภาพขึ้นด้วยน่ะสิ ดีออก”

“ก็คงดีมั้งครับ”

“ศุกร์ตื่นเต้น อยากเห็นหน้ารุ่นน้องไวๆ แล้วเนี่ย”

“แต่พี่เครียดมากเลยรู้เปล่า” กันติกรณ์เลื่อนมือเข้ากอบกุมคนรักเอาไว้ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจบุพการีที่นั่งหัวโด่อยู่เลยแม้แต่น้อย “กลัวพวกรุ่นน้องมาจีบศุกร์”

“โอ้ย ให้มันน้อยๆ หน่อยพี่กันต์”

หลานชายคณบดีงอแงใส่พ่อยายแม่ยาย หลังจากโดนวันศุกร์ฟาดเข้ากับไหล่ วงสนทนาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะปะปนไปด้วยรอยยิ้มและความชื่นใจ พวกเขาพูดคุยกันต่ออีกสักพักใหญ่กว่าที่พจน์ วรวรรณ์ กันต์ และ วันศุกร์จะขอตัวกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมเปิดภาพยนตร์เรื่องโปรดดูด้วยกัน

เหลือแค่เพียงสองชีวิตที่ยังคงไม่ยอมไปไหน นับหนึ่งก้มๆ เงยๆ เก็บเอาดอกปีบที่ร่วงออกจากต้นมาไว้ในกำมือ ขณะที่วันเสาร์กำลังนั่งทอดสายตามองคนรัก แต่ในหัวกลับคิดถึงน้องเขยที่เขาไม่อาจยอมรับมาก่อน มันมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจเขาทุกครั้งที่ได้ยินกันติกรณ์พูดจากับวันศุกร์

พี่อย่างนู้น พี่อย่างนี้

ฟังแล้วน่ารำคาญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นยิ่งดูสนิทชิดเชื้อเมื่อเทียบกับเวลาที่คุยโต้ตอบคนอื่น สัมผัสได้เลยว่า…พิเศษกว่า

เพิ่งจะเมื่อกี้นี้เองที่เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าตลอดมาตัวเองคุยกับนับหนึ่งยังไง และมันฟังดูเย็นชาแค่ไหน

“หนึ่ง มานี่” เขาสะบัดหัวไล่ความคิด แล้วกระดิกนิ้วเรียกเด็กที่เริ่มเล่นซนด้วยการโปรยกลีบใบไม้แห้งบนพื้นขึ้นฟ้าอย่างกับลูกหมาตัวน้อยๆ

เจ้าของพวงแก้มใสวิ่งกลับมา ก่อนจะปีนคร่อมลงบนตักทันทีที่เขารั้งเอวบางเข้าหาอย่างรู้งาน รีบยกช่อดอกไม้ในมือขึ้นอวดยกใหญ่

“ดอกปีบสวยๆ เต็มเลยครับ พี่เสาร์ดูสิ”

“อืม เห็นแล้ว” มือหนาลูบศีรษะทุยอย่างนึกเอ็นดู

คนโตกว่าจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลสวย โครงหน้าหวานส่งกลิ่นหอมไม่แพ้ดอกไม้ในมือ นับหนึ่งเป็นเด็กตัวเล็ก แลดูบอบบาง น่าปกป้อง น่าทะนุถนอม หากว่าแท้จริงกลับเข้มแข็ง แถมยังใจกล้าบ้าบิ่นในบางที

ผิวเนียนละเอียด ขาวสว่าง ยามต้องแสงก็แทบจะทำเอาแสบตาทีเดียว และเพราะว่าขาว แค่เขาสัมผัสถูกนิดๆ หน่อยๆ มันก็กลายเป็นสีชมพูเอาง่ายๆ แต่นั่นก็ยังไม่โดดเด่นเท่ากับริมฝีปากบวมอิ่มสีแดงสดแทบตลอดเวลา ชุ่มฉ่ำและแวววาวราวกับจะเชิญชวนให้ใครก็ตามที่เผลอมองต้องอยากเข้าไปลิ้มชิมรสมัน ยิ่งกว่านั้น ก็ยังนุ่มนิ่ม…ไม่ว่าจะบีบจับตรงไหน ก็เพลินมือไปซะหมด แม้แต่เส้นผมหยักศกอ่อนๆ นั่นก็ยังนุ่มลื่น น่าสัมผัส

น่ารัก…

เหมือนตุ๊กตา…เป็นตุ๊กตาตัวน้อยของเขา

“หนึ่ง” กลีบปากบางเผยอออก สุ้มเสียงหนักแน่นขาดห้วง ความร้อนในกายแล่นริ้วจากลำคอสู่ใบหน้าเรียวที่พยายามทำเป็นเคร่งขรึมกลบความเขินอาย “คือ ฉั…พ..”

“หือ?”

“พะ…”

“ครับ?” คนในอ้อมกอดเอียงคอ วันเสาร์มีท่าทีแปลกๆ หน้าแดง…แล้วยังเหงื่อออก ทั้งที่อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนเท่าไร

มืออุ่นคอยประคองบั้นท้ายเขาไว้ไม่ให้ตกจากตัก แววตาคมวูบไหวเสมองไปทางอื่นขณะเอื้อนเอ่ยคำบางคำออกมาผะแผ่ว

“พี่…”

ดวงตากลมกะพริบถี่สองสามที ก่อนจะเบิกกว้าง พี่…? วันเสาร์แทนตัวเองว่า พี่ กับเขาเหรอ

ปากซีดพยายามเรียบเรียงประโยค แม้ว่าสิ่งที่เปล่งออกมาจะใกล้เคียงเพียงเสียงกระซิบ “พี่….ให้แทนตัวเองว่าพี่ดีไหม..”

เขารีบขยี้ตา ตามด้วยการหยิกแขนแรงๆ แต่มันก็เจ็บ ไม่อยากจะเชื่อว่าวันเสาร์คนที่เคยเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็ง กลับดูเลิ่กลั่ก และพูดได้เต็มปากเลยว่า…น่ารัก! วันเสาร์ตอนนี้น่ารักจนเขาหุบยิ้มไม่ลง ใบหน้าคมขึ้นสีระเรื่อไม่ใช่ภาพที่ใครจะได้เห็นบ่อยนัก หรืออาจไม่เคยมีใครได้เห็นเลยด้วยซ้ำ

“ดีครับ” เขาตอบรับพลางฉีกยิ้มกว้าง วางกลุ่มดอกไม้ที่เก็บมาไว้กับโต๊ะหวาย ก่อนจะแนบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้ากับแก้มร้อนของคนตรงหน้า

โน้มลงฝากจุมพิตบางเบาไว้กับปลายจมูกโด่งเป็นสัน วันเสาร์แย้มยิ้ม ยอมหันกลับมาสบตาเขาตรงๆ เหมือนเดิม

“ความจริงผมก็อยากให้พี่เสาร์แทนตัวเองแบบนี้ตั้งนานแล้ว”

“อือ…เพิ่งรู้สึกว่าเรียกฉันแล้วมันฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้” อีกอย่าง…เขาก็ไม่อยากแทนว่า ฉัน กับแฟนตัวเองหรอก เพราะมันไม่อ่อนโยนกับลูกเจี๊ยบตัวนี้ของเขาเท่าไรเลย

ขอบคุณพระเจ้าที่การโยนอีโก้ต่างๆ ทิ้งลงเหวของเขา สามารถช่วยให้เด็กในวงแขนร่าเริงได้มากกว่าเก่า แถมมันยังส่งผลดีกับเขาเองด้วย ในเมื่อรอยยิ้มของนับหนึ่ง ก็เท่ากับความสุขของเขาเช่นกัน

“หนึ่ง” เขาเรียก พลางเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายทัดไว้กับใบหูเล็กๆ

“ครับ”

“เราทำคะแนนวิชาภาษาอังกฤษได้ดีตลอดเลย ถูกไหม?”

“หือ” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว ไม่คาดคิดว่าจะถูกตั้งคำถามอะไรแบบนี้ใส่ จู่ๆ ก็นึกจะชวนคุยเรื่องการเรียนเหรอ ไปไงมาไงเนี่ย แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาทำคะแนนวิชานี้ได้ดี “ก็พอได้ครับ ผมชอบวิชานี้”

เป็นโชคดีของเขาเองที่อาจารย์วิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียน เป็นคนใจดีและสอนเก่งจนทำให้อะไรๆ ก็ดูสนุกไปหมด บางคนอาจจะเกลียดวิชานี้ แต่เขาไม่ใช่เลย เขาชอบมัน และก็หวังว่ามันจะช่วยให้เขาถีบตัวเองขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมด้วย แต่ก็นะ…เขาไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ในหัวอีกไหม

“อย่างที่ได้ยิน คณะที่ศุกร์กับกันต์เรียน กำลังจะเปิดสมัครรอบสาม…”

อวัยวะในอกเต้นรัว ความหวังบางอย่างถูกจุดติด เขาแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ทันทีที่วันเสาร์พูดจบประโยค “เราอยากลองไปสมัครดูไหม?”

หยาดน้ำเคลื่อนตัวอยู่ภายในดวงตากลมเป็นประกาย “ย..อยากครับ! ผมอยากเรียนที่เดียวกับพี่ศุกร์”

วันเสาร์ยกยิ้มเอ็นดู ปลายนิ้วยาวสอดลูบกลุ่มผมนิ่ม

“งั้นก็ดี”

“แต่ว่า…พวกเอกสาร มันน่าจะโดนเผาไปหมดแล้ว” ใบหน้าหวานซึมลง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าใบเกรดเอย ใบจบมัธยมเอย หรือแม้แต่เอกสารราชการต่างๆ ทั้งหมดมันมอดเป็นฝุ่นไปตั้งแต่วันที่เจ๊หมวยบุกเข้ามาเผาบ้านเขาแล้ว

“ไม่ต้องห่วง พี่ไปขอทรานสคริปต์กับทางโรงเรียนมาให้แล้ว”

“ห้ะ ตั้งแต่เมื่…”

“ขาดก็แค่บัตรประชาชน ต้องไปทำใหม่”

“พี่เสาร์..”

อีกฝ่ายดูจะไม่ได้สนใจคำพูดเขาเลย และยังเอาแต่แทรกกลางปล้องอยู่เรื่อย “แล้วก็คะแนนภาษาอังกฤษ เราต้องไปสอบก่อนถึงจะยื่นสมัครได้”

“เดี๋ยวก่อนพี่เสาร์ นี่มันอะไรกันครับ พี่ไปขอใบเกรดผมมาตั้งแต่เมื่อไร แล้วขอมาได้ยังไง” เขารีบรัวคำถามใส่ไม่ให้ใครขัดขึ้นมาได้อีก

คนตัวสูงจ้องเด็กตรงหน้าแน่นิ่ง หากไม่มีคำอธิบายออกจากปาก...จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าเขาแอบส่งคนไปสืบเรื่องผลการเรียนของนับหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่ยอมให้เด็กนี่ไปทำงานอยู่ Napoli นั่นมันก่อนเขาจะรู้ใจตัวเองสักพักเชียวนะ

เพราะคำพูดของนาวาที่ย้ำว่าหนึ่งไม่ใช่ทาส รวมทั้งความดื้อรั้นของนับหนึ่งเอง มันก็ทำให้เขาสำนึกได้ว่าตัวเองคงไม่สามารถกักขังเด็กคนนี้ไว้แต่ในบ้านได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วนับหนึ่งก็ต้องออกไปเผชิญโลกข้างนอกอย่างที่เป็นมาตลอด ต้องได้ใช้ชีวิต ต้องมีสังคม และที่สำคัญคือ...ต้องมีอนาคต

อนาคตที่เคยถูกฉีกกระชากและลบออกจากหน้ากระดาษด้วยน้ำมือของเจ๊หมวย และบางที อาจจะด้วยน้ำมือของเขาด้วย...ถ้านับหนึ่งไม่ถูกจับตัวมา ชีวิตเล็กๆ นี้ก็คงยังดำเนินต่อไป หลังจากจบมัธยม ก็ต้องเข้ามหาลัย มันควรได้เป็นแบบนั้น ไม่ใช่จมปลักอยู่ในรั้วบ้านเขาจนเฉาตาย

เขาถึงอยากคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้ ให้มากกว่าที่นับหนึ่งเคยมีด้วยซ้ำ อยากให้มีชีวิตที่ดี อยากให้ได้กินของอร่อยๆ อยากให้ได้ออกไปเที่ยวในที่ต่างๆ อยากให้ยิ้ม อยากให้หัวเราะ อยากให้มีความสุข

ถ้าวันที่ถูกเจ๊หมวยเผาบ้านและลากมาเป็นเด็กเล้าคือวันที่โลกของหนึ่งพังทลาย เขาก็อยากเป็นฝ่ายที่ช่วยซ่อมแซมมัน เขาจะสร้างโลกใบใหม่ให้ ประคับประคอง ปกป้องมันเอาไว้

ให้กลายเป็นโลกที่จะไม่มีวันพังทลาย...

“ว่าไงครับพี่เสาร์”

“จะขอมาตอนไหน หรือขอมาได้ยังไงก็ช่างเถอะน่า เอาเป็นว่าเราไปเตรียมตัวเพื่อการสอบเข้าดีกว่า” เขายีหัวคนบนตักไปสองสามรอบ นับหนึ่งหยีตาพลางส่งเสียงงุ้งงิ้งในลำคอ แต่ก็ยอมจบการเถียงแต่โดยดี “เดี๋ยวพี่จะให้ศุกร์กับกันต์ช่วยเช็คตารางสอบให้”

เจ้าตัวเล็กพยักหน้า ยิ้มกว้างไม่หุบ “ขอบคุณมากๆ เลยนะครับพี่เสาร์”

“เปลี่ยนจากขอบคุณเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม”

ฝ่ายถูกถามชะงักไปนิด โครงหน้าใสขึ้นสีเลือดฝาดยามคิดเลยเถิดไปถึงอะไรบ้าๆ แทนคำว่าขอบคุณเมื่อครู่ หอมแก้มเหรอ หรือจูบ...

ระ..หรือว่า...

“บอกรักพี่หน่อย” วันเสาร์เฉลย แล้วกระชับอ้อมกอด

ความร้อนแล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มทั้งสองด้านยิ่งกว่าเก่า เขาได้แต่กัดปากกลั้นยิ้ม แทนตัวเองว่า พี่ ก็มีผลต่อใจมากแล้ว ยังจะมาปั้นหน้าอ้อนๆ ขอให้พูดว่ารักเนี่ย ฆ่าเขาเลยดีไหมวันเสาร์ เขินจะตายอยู่แล้ว!

เจ้าของเรียวตาคมย้ำ “พี่ยังไม่เคยได้ยินเราพูดว่ารักพี่เลยนะ”

“อ่า...”

“เร็ว” น้ำเสียงนุ่มนวลแข็งขึ้นเล็กน้อย มือซุกซนเริ่มลูบไล้สีข้างเขาไปมาราวกับต้องการเร่ง

นับหนึ่งขยับปากมุบมิบ แสร้งเป็นเสมองไปทางพุ่มไม้ละแวกใกล้เคียง หวังว่าจะช่วยปกปิดความเขินอายได้บ้างไม่มากก็น้อย ริมฝีปากอิ่มเผยอออก เอื้อนเอ่ยคำนั้นเบาหวิวเสียยิ่งกว่าสายลม หากก็ดังชัดในโสตประสาท เล่นเอาคนอยากฟังถึงกับหน้าแดงตามๆ กัน

“ผม...รักพี่เสาร์นะครับ..”

วันเสาร์อมยิ้ม ก่อนจะเชยคางมนของคนที่เอาแต่หลบตา ให้หันกลับมารับจูบแสนลึกซึ้ง เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก รัก เฉกเช่นเดียวกับคำพูดเมื่อครู่

เสียงใบไม้พัดไหว พร้อมกับเสียงหัวใจเต้นแรงถึงสองดวง ความหวานละมุนยังคงเคลือบไว้ในโพรงปาก ก่อนที่คำรักจะดังก้องอยู่ข้างใบหูอีกครั้ง

“พี่รักหนึ่ง พี่รักหนึ่งมากที่สุด”

ฆ่าเขาเลยละกัน...



----------------------------------------------------------------------------------------------

พี่เสาร์รักน้องหนึ่งมากแค่ไหนถามใจดูนะคะ และจริงๆ ก็รักมานานแล้วด้วย แค่โง่...เอ๊ย ปากแข็งใจแข็งไปหน่อยเอง 555 หลังจากนี้น้องหนึ่งก็จะได้เข้ามหาลัย จะได้เจอทั้งตัวละครเก่าจากเรื่องน้องศุกร์ และตัวละครใหม่โผล่มาอีก หนทางพิสูจน์ความรักของทั้งคู่ยังไม่จบง่ายๆ แน่นอนค่ะ ยังไงก็ฝากเป็นกำลังใจและติดตามกันต่อไปด้วยน้าา

ใครคิดถึงพี่เสาร์น้องหนึ่ง อย่าลืมคอมเม้น หรือติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ ในทวิตเตอร์ให้ด้วยนะคะ มาหลอกล่อคนอื่นๆ เข้ามาอ่านกันอีกเต๊อะ 55555 แล้วพบกันใหม่เดือนหน้าเลยนะต้ะ ❤❤

★ ใครเคยอ่านเรื่องน้องศุกร์ ตอนนี้เรามีกิจกรรมในเพจให้เล่น (ไม่ต้องมีหนังสือก็ได้) แจกของพรีเมี่ยมเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ลองไปเล่นกันได้น้าา ตามลิงก์นี้เลย >> https://www.facebook.com/aonair13/posts/2152080171578283 (https://www.facebook.com/aonair13/posts/2152080171578283)
หัวข้อ: Re: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-05-2019 21:51:13
 :pig4:อยากให้ตะวันคู่นาวา หลังจบเรื่องนี้ค่ะ  ให้นาวาคนใจเย็นใจดีมาปราบตะวันเด็กเอาแต่ใจ