พี่ชายที่ร้าย (Mpreg)
บทนำ
ผมเชื่อว่าทุกคนคงอยากจะมีชีวิตที่สวยหรู เกิดมามีพร้อมทุกสิ่งอย่าง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีความรักที่สุดแสนจะงดงาม...
แต่ทว่าความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้นมันเป็นโอกาสของคนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์บนโลกใบนี้ เพราะส่วนใหญ่ก็ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อจะได้อยู่อย่างสุขสบาย
เพียงแต่ว่าชีวิตผม...มันบัดซบกว่านั้นอีก
ตั้งแต่จำความได้ผมก็เติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง จำได้ว่าชีวิตช่วงนั้นมีความสุขมากจนกระทั่งผมอายุได้เจ็ดขวบ มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับลูกชายที่มีอายุห่างจากผมสามปี พวกเขาทั้งสองคนอยากมีเด็กไว้รองมือรองตีนลูกชาย และผมคือผู้ถูกเลือก และนั่นก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล
สวัสดีครับ ผมชื่อ ‘นายธาวิน ตั้งพาณิชย์สกุล’ เรียกผมสั้นๆ ว่า **‘วิน’**ตอนนี้อายุ 17 ปีแล้ว ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ไม่เคยคิดร้ายกับใคร นั่นเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ชีวิตผมต้องโดนใครต่อใครรังแกมาตลอด โดยเฉพาะครอบครัวที่รับผมมาอุปการะเลี้ยงดู พวกเขาทำกับผมอย่างกับเป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น
ช่วงชีวิตในวัยเด็กของผมมันไม่น่าจดจำเอาเสียเลย เพราะต้องอยู่เป็นทาสรับใช้ของคนในบ้านหลังนั้นมาตั้งแต่เด็ก ถูกตี ถูกด่าว่าสารพัด แถมยังใช้แรงงานผมอย่างกับทาส ทั้งที่มีคนรับใช้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมทุกคนในบ้านถึงได้เกลียดผมนักหนา เว้นแต่พ่อคนเดียวที่ดีกับผมมาตลอด เพียงแต่ว่าท่านเป็นคนที่กลัวแม่มากจนไม่กล้ายื่นมือมาช่วยเหลือผมได้มากนัก ถ้าเกลียดกันขนาดนี้ไม่รู้ทำไมถึงพาผมมาอยู่ด้วยก็ไม่รู้ ปล่อยให้ผมอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าซะจะยังดีกว่า
ตอนนี้ผมย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นได้หนึ่งปีเต็มแล้ว ตั้งแต่คืนที่ผมโดนพี่ชายข่มขืน ใช่ครับผมโดนชายที่ผมรักข่มขืนอย่างโหดร้ายทารุณ ไม่ใช่เพราะเขารักผม แต่เพราะเขาเกลียดผมต่างหาก เกลียดจนต้องยัดเยียดข้อหาโจรขโมยทองคำหนักห้าบาทให้ผมอีกหนึ่งกระทง หากผมไม่หนีออกมาในคืนนั้นผมคงจะต้องถูกแม่บุญธรรมส่งเข้าไปในสถานพินิจอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจหนีออกมาและไม่มีวันคิดจะกลับไปที่นั่นอีก
หลังจากออกมาผมก็ใช้ชีวิตอย่างคนเร่ร่อนอยู่พักหนึ่ง จนวันหนึ่งผมเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงจนเป็นลมอยู่ข้างถนนเนื่องจากไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ยายจันทร์ที่มีอาชีพขายข้าวแกงเห็นเข้าจึงช่วยเหลือเอาไว้ เมื่อเห็นว่าผมไม่มีที่ไปก็ตัดสินใจพาผมไปอยู่ที่บ้านด้วย แกเองก็ไม่มีลูกหลานอยู่ตัวคนเดียว จึงรักผมและลูกชายของผมเหมือนลูกหลานแท้ๆ ใช่แล้วครับผมท้องกับพี่ธี และตอนนี้ ‘ธนนท์’ ก็อายุได้หนึ่งขวบแล้ว ผมกับยายจันทร์ช่วยกันเลี้ยงดูแกมาเป็นอย่างดี และจะไม่มีทางให้ลูกผมกลายเป็นเด็กที่อาภัพเหมือนอย่างผมแน่นอน
-----------------------------------------------
สวัสดีครับ แวะมาเปิดเรื่องใหม่(เปิดไว้หลายเรื่องมากก555) เรื่องนี้เคะท้องได้ ดราม่าหนักมากกก ฝากติดตามด้วยน้า จุ๊บๆ
Chapter-1-พ่อค้าขายข้าวแกง
วันนี้ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อช่วยยายจันทร์ทำกับข้าวเหมือนทุกวัน พอเสร็จแล้วก็นำอาหารที่แบ่งใส่ถุงไว้ไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน เพื่อเพิ่มความสุขทางใจ แม้มันอาจจะเป็นความสุขเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้จิตใจของคนจนๆ อย่างพวกผมมีความสงบสุขได้ และใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างสบายใจ
บ้านที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบัน เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ อยู่ในชุมชนแห่งหนึ่งย่านชานเมือง ด้านหลังจะเป็นคลองน้ำมีเรือแล่นผ่านทุกวัน ทำให้บรรยากาศค่อนข้างดีและน่าอยู่มาก
ตอนนี้ธนนท์ลูกชายสุดที่รักของผมยังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนที่นอน ส่วนผมกับยายจันทร์ก็กำลังเตรียมของขึ้นรถเพื่อเข็นไปขายตามย่านชุมชน ลูกค้ากลุ่มหลักก็จะเป็นชาวบ้านและผู้ใช้แรงงานในละแวกนี้ เอาเป็นว่าที่ไหนมีลูกค้า ผมกับยายจันทร์ก็จะเข็นรถไปขายให้ถึงที่เลยทีเดียว โดยไม่ลืมที่จะกระเตงลูกน้อยไปด้วยทุกครั้ง
“เดี๋ยวผมไปดูตาหนูก่อนนะครับยาย สงสัยคงจะตื่นแล้ว”
“จ้ะ เดี๋ยวยายนั่งรออยู่ตรงนี้” ยายจันทร์ผู้ใจดียิ้มให้ผม
เมื่อเข้าไปในห้องนอน ไอ้ตัวเล็กก็ตื่นอย่างที่ผมว่าแล้วจริงๆ อาการงัวเงียของธนนท์ ทำเอาผมหุบยิ้มไม่ได้ ลูกชายผมน่ารักน่าชังมากเหลือเกิน ดวงตาสีดำกลมโตจ้องมองดูผม ในขณะที่ริมฝีปากน้อยๆ ก็ยิ้มออกมา ทำให้พวงแก้มอวบอิ่มนั้นน่าหยิกซะจริงๆ แต่ทว่าเมื่อเห็นลูกชายทีไรผมก็อดที่จะนึกถึงพ่อของลูกไม่ได้ เพราะใบหน้าถอดแบบมาราวกับคนคนเดียวกัน
“แมะ” เจ้าตัวน้อยที่นั่งอยู่ส่งเสียงเรียกผม แม้จะยังไม่ชัดถ้อยชัดคำแต่ผมก็ดีใจ เพราะคำแรกที่ลูกพูดได้ก็คือคำว่าแม่ ตอนแรกที่ได้ยินผมถึงกับปล่อยโฮออกมา ชาตินี้จะไม่มีทางให้ลูกเรียกพี่ธีว่าพ่อเด็ดขาด ผมเกลียดคนพวกนั้นมากเหลือเกิน จะไม่มีทางให้ลูกกลับไปนับญาติด้วยเด็ดขาด และคิดว่าคนพวกนั้นคงจะไม่อยากนับญาติกับผมเหมือนกัน
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ลูกแล้ว ผมก็อุ้มเจ้าตัวเล็กออกมาหายายจันทร์หน้าบ้าน
“มาแล้วครับ”
เมื่อยายจันทร์เห็นก็รีบเดินเข้ามาอุ้มธนนท์ต่อจากผม “มาแล้วหลานรักของยาย” ธนนท์ติดผมพอๆ กับยายจันทร์ เพราะพวกเราต่างก็ช่วยกันเลี้ยงดูแกมาตั้งแต่เกิด
“ไปกันเถอะครับยาย”
ผมเอ่ยแล้วก็เข็นรถเดินไป ส่วนยายจันทร์ก็อุ้มธนนท์เดินตามหลังไปติดๆ แม้ใครจะมองว่าอาชีพที่ผมกับยายจันทร์ทำนั้นดูต่ำต้อย แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขมากกว่าอยู่ในบ้านหลังนั้นเสียอีก ทุกวันมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบตัว มันเป็นอะไรที่วิเศษสุดในชีวิตผมแล้ว มีครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ในสังคมที่ไม่ได้สูงแต่กลับมีแต่คนจริงใจ
เข็นรถมายังที่ประจำแล้วผมก็จอดรถ หยิบเก้าอี้พลาสติกออกมาวางไว้เพื่อเป็นที่นั่ง อีกส่วนก็เตรียมไว้ให้ลูกค้าที่มานั่งกินที่ร้านอีกด้วย
เช้าๆ อย่างนี้เป็นช่วงเวลาที่คนในชุมชนพลุกพล่านมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนักศึกษา และผู้คนหลากหลายอาชีพ
ตอนนี้ผมนั่งขายข้าวแกงอยู่ตรงหน้าปากซอย ข้างกันนั้นก็เป็นที่ตั้งของคิวรถวินมอเตอร์ไซต์ และคนกลุ่มนี้ล่ะที่เป็นลูกค้าขาประจำของผมอีกด้วย
“วันนี้มีอะไรบ้างจ้ะหนูวิน” ลุงจอมคนขับวินเจ้าประจำเดินตรงเข้ามาหา ตาก็มองไปยังหม้อที่วางเรียงรายกันอยู่บนรถเข็น
“สวัสดีครับลุง วันนี้มีกับข้าวห้าอย่าง ไข่พะโล้ กะเพราทะเล แกงส้มชะอมไข่ ผัดพริกแกงหมู แล้วก็ปลาราดพริกครับ” ผมเปิดฝาหม้อให้ลุงจอมดูด้วย
“กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยนะเนี่ย ลุงเอาไข่พะโล้กับผัดพริกแกงหมูราดข้าว”
“รอสักครู่นะครับลุง” เมื่อลุงสั่งแล้ว ผมก็รีบหยิบจานในตะกร้าออกมา คดข้าวใส่ให้ค่อนข้างเยอะ ก่อนจะตักกับข้าวราด ยื่นให้ลุงจอม “ได้แล้วครับ”
ลุงทองรับไปแล้วเดินไปนั่งทานที่ซุ้มวินมอเตอร์ไซต์ ระหว่างรอลูกค้าคนอื่นผมก็หันไปหายายจันทร์กับไอ้ตัวเล็กที่ปูเสื่อนั่งให้กำลังใจผมอยู่ด้านหลัง
“อย่างอแงนะครับน้องนนท์” ผมหันไปหยอกลูกชาย ที่กำลังนั่งอยู่บนตักยายจันทร์ ในมือก็ถือตุ๊กตาหมีตัวเล็กเอาไว้ด้วย ผมซื้อให้เมื่อตอนไปเที่ยวงานวัดเดือนที่แล้ว และนั่นก็เป็นของเล่นชิ้นโปรดของธนนท์มาตลอด
“แมะ” ธนนท์เอ่ยออกมาแล้วยิ้มให้ รอยยิ้มของลูกทำให้ผมมีกำลังใจสู้ในทุกๆ วัน
“เมื่อไหร่จะเรียกยายได้บ้างเนี่ย ยายอยากได้ยินจะแย่แล้ว” ยายจันทร์เอ่ยกับเจ้าตัวเล็ก
“อีกไม่นานหรอกครับยาย ถ้าพูดได้ผมกลัวว่าแกจะพูดมากจนยายขี้เกียจพูดด้วยเลยล่ะ”
“อย่างนั้นยายยิ่งชอบ มีความสุขดีออก” ยายจันทร์ยิ้มให้ผม
ในระหว่างนั้นก็มีลูกค้ามาซื้อข้าวแกง ผมจึงหันไปสนใจหน้าร้านต่อ
“อ้าว! นึกว่าใคร พี่เพชรรับอะไรดีครับ” ผมเอ่ยทักทายลูกค้าขาประจำ เขายืนสวมชุดนักศึกษาส่งยิ้มให้ผมอยู่ตรงหน้า พี่เพชรเป็นลูกชายของเจ๊เก๋ เจ้าของร้านขายส่งอาหารทะเลที่ใหญ่สุดในย่านนี้ ที่บ้านค่อนข้างมีฐานะมาก แต่พี่เพชรกลับชอบมากินข้าวแกงข้างถนนร้านของผมเป็นประจำ ตอนนี้พี่เพชรเป็นนักศึกษาวิศวะปีหนึ่ง มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
“วันนี้มีอะไรแนะนำบ้าง เอาที่อร่อยสุดสองอย่างครับ” พี่เพชรยิ้มให้ผมเหมือนทุกวัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่หน้าตาหล่อเหลาและนิสัยดีอย่างนี้จะยังไม่มีคนที่รู้ใจ
“ถ้าให้ผมแนะนำ ก็ต้องกะเพราทะเลแล้วก็แกงส้มชะอมทอดครับ”
“ถ้างั้นเอาตามที่วินบอกเลยครับ”
“ใส่ถุงกลับบ้านหรือว่าทานที่นี่ครับพี่เพชร”
“พี่เคยเอากลับบ้านซะที่ไหนกันล่ะ ถามเหมือนคนไม่รู้ใจกันเลยเนาะ” พี่เพชรแกล้งพูดแซวผม
“คนเราจะชอบอย่างเดียวไปตลอดได้ไงกันครับ ก็ต้องมีเปลี่ยนใจกันบ้างสิน่า” ผมว่าพลางตักกับข้าวใส่จาน แล้วยื่นให้พี่เพชร
“แต่พี่เป็นคนที่ชอบอะไรแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ” พี่เพชรยื่นมือมารับจานข้าวแล้วส่งยิ้มให้ผม ไม่ใช่ผมไม่รู้นะว่าพี่เพชรมาเกือบทุกวันเพราะต้องการมาจีบผม แต่ผมไม่สามารถเปิดใจรับใครได้อีกแล้ว ชีวิตและหัวใจดวงนี้มันมอบให้ลูกหมดแล้ว
พี่เพชรนั่งทานข้าวไปมองผมไปด้วย ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้กำลังขายข้าวแกงให้กับลูกค้าคืนอื่นอยู่ ในระหว่างนั้นก็มีสายโทรเข้ามาหาพี่เพชร
“กูอยู่หน้าปากซอยว่ะ กำลังกินข้าว”
“ร้านนี้อร่อยนะเว้ย วันหลังจะชวนมึงมากินด้วย”
“จะมารับกูงั้นเหรอวะ เออๆ มาก็มา”
“แค่นี้ล่ะ บาย”
เมื่อพี่เพชรอิ่มแล้วผมก็รับจานมาเก็บ หันมาอีกทีก็ไม่เห็นนั่งอยู่ที่เดิม แต่กลับได้ยินเสียงกำลังหยอกล้อเล่นกับธนนท์อยู่
“ทำไมแก้มน่าหม่ำขนาดนี้ไอ้ตัวเล็ก” พี่เพชรว่าแล้วก็หอมแก้มไอ้ตัวเล็กอย่างเอ็นดู จับมือทั้งสองข้างยกขึ้นลง ดูท่าทางคงจะเอ็นดูไม่น้อย
เห็นภาพนี้แล้วก็ทำให้ผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมา พี่เพชรรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ธี ป่านนี้คงจะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย มีความสุขกับสาวๆ โดยไม่รู้เลยว่าตนเองมีลูกชายที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจอยู่ทางนี้หนึ่งคน
“พี่ขอไอ้ตัวเล็กไปเลี้ยงที่บ้านได้ไหมเนี่ย น่ารักน่าชังซะจริงๆ” พี่เพชรหันมาเอ่ยกับผม
“พี่เพชรไปทำเอาเองเลย จะเอาน่ารักกว่านี้ก็ได้” ผมเอ่ยแซว พี่เพชรเป็นคที่หล่อมาก ใบหน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาตี่ ผิวขาว ถ้าได้สาวสวยๆ มาเป็นภรรยา คงจะได้ลูกที่หน้าตาน่ารักอยู่ไม่น้อย
“พี่เหมาเลยได้ไหมล่ะทั้งแม่ทั้งลูก รับรองพี่จะเลี้ยงดูอย่างดี”
“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะยายจันทร์คงไม่ยอมยกผมกับลูกให้ใครหรอก จริงไหมยาย”
“ใช่แล้ว ยายไม่มีทางให้แก้วตาดวงใจของยายไปอยู่กับคนอื่นหรอก”
“ว้า แห้วเลยเรา” พี่เพชรทำหน้าเซ็ง แต่ก็ยิ้มออก “น้าไปเรียนก่อนนะตัวเล็ก เดี๋ยววันหลังจะแวะมาหยอกใหม่” พี่เพชรหอมแก้มตาหนูฟอดใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืน จ่ายตังค์ค่าข้าวแกงให้ผม
“ขอบคุณนะครับพี่ วันหลังมาอุดหนุนใหม่นะ” ผมบอกหลังจากคืนเงินทอนให้แล้ว
“ถ้าวินมาขายทุกวันพี่ก็จะแวะมาอุดหนุนทุกวัน” พี่เพชรตอบ แต่กลับยืนอยู่หน้ารถเข็นไม่ยอมไปไหน
“ให้จริงนะครับ ผมจะรอทุกวันเลย อยากทานอะไรบอกมาได้ เดี๋ยวผมทำพิเศษมาให้”
“จริงดิ เดี๋ยววันหลังพี่จะบอกละกัน เพราะพี่อยากเป็นลูกค้าที่พิเศษกว่าคนอื่น” ทำไมต้องส่งสายตาอย่างนั้นมาให้ผมด้วยนะ บางทีก็รู้สึกผิดที่ไม่เคยปฏิเสธความรู้สึกไปเลยสักครั้ง นั่นทำให้เขายังคงคิดว่าผมไม่ปิดโอกาส
“ฮ่าๆ พี่ก็พูดไป ผมให้ความสำคัญกับลูกค้าเท่ากันหมดแหละครับ ว่าแต่ทำไมพี่เพชรยังไม่ไปอีกล่ะครับ เดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก”
“พี่รอเพื่อนอยู่ มันแวะมาแถวนี้พอดีเลยจะมารับพี่ไปมหาลัยด้วยกัน”
“ปกติผมเห็นพี่เพชรขับรถมา แต่ทำไมวันนี้ถึงได้ให้เพื่อนมารับครับเนี่ย”
“อ๋อ พอดีรถพี่มันเสียอ่ะเอาไปส่งศูนย์ วันนี้จึงถือโอกาสนั่งวินมา นานๆ ครั้งก็รู้สึกดีเหมือนกัน” ถ้าผมไม่มีมลทินมาก่อนหน้านี้ บางทีอาจจะได้คบกับพี่เพชรไปแล้วก็เป็นได้ เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากจริงๆ บ้านรวยแต่สามารถใช้ชีวิตติดดินได้อย่างสบายๆ ไม่เหมือนพี่ธีรายนั้นถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ในชีวิตไม่เคยไปไหนนอกจากบ้านกับห้างสรรพสินค้า
“ออครับ” ผมตอบรับไปสั้นๆ เพราะตอนนี้ลูกค้ากำลังมาพอดี
ระหว่างนั้นรถคันหรูก็มาจอดตรงหน้าร้าน พี่เพชรโบกมือลาผมก่อนจะขึ้นรถไป ผมได้แต่ยิ้มให้แล้วมองตามรถไปแวบหนึ่ง ดูท่าทางเพื่อนของพี่เพชรเองคงจะรวยมาก รถยุโรปยี่ห้อนี้ราคาคงหลายล้านบาทน่าดู
ขายข้าวแกงในช่วงเช้าจนเกลี้ยงหม้อแล้ว ผมกับยายจันทร์ก็กลับมาที่บ้าน เพื่อพักผ่อนและเตรียมของออกไปขายอีกในช่วงเย็น แต่จะขายเป็นแกงถุงในตลาด ช่วงเย็นผมจะออกไปขายคนเดียว ให้ยายจันทร์เลี้ยงตาหนูอยู่ที่บ้าน
วงจรชีวิตผมก็เป็นอย่างนี้ทุกวัน แม้มันค่อนข้างจะเหนื่อยมากแต่ผมกลับมีความสุขมากเช่นเดียวกัน หากตอนนี้ยังอยู่ในบ้านหลังนั้นคงจะไม่ต่างจากเด็กรับใช้คนหนึ่ง ที่โดนโขกสับไปวันๆ แต่ผมก็ยังคงเป็นห่วงและคิดถึงคุณพ่ออยู่ตลอดเวลา ท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าวผมเลย หากมีโอกาสก็อยากจะกลับไปกราบท่านสักครั้ง
ในขณะที่ผมกำลังเขียนบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่นั้น ยายจันทร์ก็อุ้มธนนท์เข้ามาหาผม ผมรับลูกมานั่งตักก่อนจะหันไปยิ้มให้ยายจันทร์ ผู้หญิงที่เป็นทั้งชีวิตของผม
“นั่งเหม่ออะไรอยู่ลูก”
“เปล่าครับยาย กำลังเขียนบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่” ผมตอบออกไป แต่มีหรือที่ยายจะไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“อย่าโกหกยายเลย แววตาเอ็งมันฟ้องว่ากำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีต”
“ผมคงโกหกยายไม่ได้เหมือนเดิมสินะ” ผมแค่นยิ้มออกมา ตาหนูที่นั่งอยู่บนตักก็กำลังงุ่นกับการดูดนมจากขวด
“ถึงแม้จะไม่ได้เลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่เกิด แต่ยายก็รู้จักนิสัยเอ็งดี อย่าคิดมากเลยลูก คนใจร้ายแบบนั้นควรตายจากชีวิตเราได้แล้ว”
“ผมก็ว่าจะไม่คิดหรอกครับ แต่บางทีมันก็ลอยขึ้นมาในหัวซะอย่างนั้น”
“เหนื่อยไหมอยู่กับยาย”
“ทำไมยายถามอย่างนี้ล่ะครับ ถึงแม้จะเหนื่อยกว่านี้เป็นร้อยเท่าผมก็จะอยู่กับยาย ผมมีครอบครัวที่แสนอบอุ่นขนาดนี้แล้ว ยังไงซะก็ไม่มีทางไปไหนเด็ดขาด ผมจะอยู่กับยาย เลี้ยงดูยายไปตลอดชีวิตเลยครับ”
“เป็นบุญของยายที่เจอเอ็งในวันนั้น ไม่นึกเลยว่าจะมีลูกมีหลานกับเขา”
“เป็นบุญของผมกับลูกเหมือนกันที่ได้มาอยู่กับยาย ถ้ายายไม่ช่วยไว้ป่านนี้ผมกับลูกคงจะเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่ไป”
“ยายขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหม” สีหน้าของยายจันทร์เหมือนมีคำถามที่ค้างคาในใจ ที่อยากจะถามผมมากเหลือเกิน
“ได้สิครับยาย”
“เอ็งไม่คิดอะไรกับพ่อเพชรบ้างเลยเหรอ ยายว่าเขาก็เป็นคนดีนะ ดูเหมือนว่าจะชอบเอ็งมากด้วย”
“มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับยาย ไอ้เรามันก็แค่นี้ไม่คู่ควรกับคนระดับนั้นหรอก อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้รักพี่เพชรด้วย เพราะในหัวใจของผมตอนนี้มอบให้ยายกับตาหนูไปหมดแล้ว อยู่กันไปอย่างนี้ดีแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมเข็ดขยาดกับพวกคนรวยมาก ยายเองก็น่าจะรู้”
“ยายก็ถามไปอย่างนั้นล่ะ เพราะยายเองก็มีแต่จะแก่ตัวไปเรื่อยๆ อยากให้เอ็งกับลูกสบาย ไม่ต้องมาทนขายข้าวแกงเหงื่อไหลไคลย้อยอย่างนี้ไปตลอด”
“เราทำงานหาเงินเองมันน่าภูมิใจนะครับยาย ไม่ต้องไปขอเงินใครใช้ ยายไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงซะถ้าเราขยันมันไม่มีวันอดตาย อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ผมว่ามันก็มีความสุขทางใจมากเหลือเกิน”
“ยายคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่ตั้งใจฝากชีวิตในช่วงบั้นปลายไว้กับเอ็ง”
เรายิ้มให้กันอย่างจริงใจ ไม่ว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผมจะขออยู่เคียงข้างคนที่ผมรักทั้งสองคนนี้ไปตลอดชีวิต