-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
(https://uppic.cc/d/fo2)
เพราะการที่ผิดหวังจากความรักมาหยกๆ ทำให้ไป่ไป๋ต้องเดินหน้ามูฟออนเพื่อลืมรักครั้งเก่า จนได้มาเจอกับกิจกรรม letter for love จากคณะเภสัชฯที่เป็นเหมือนกามเทพให้เขาได้เจอกับผู้ใช้ดิสเพลย์เนมที่ว่า ‘กุ้งเผา’
แต่ใครจะไปรู้ว่าตัวจริงของคนที่เขาถูกชะตาด้วยนั้นจะเป็นพิว บุคคลที่เป็นเพื่อนภาคเดียวกัน เป็นผู้ชายเหมือนกัน แถมจู่ๆก็ยังประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าจีบเขาอีก
“สิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ จีบไป่ไป๋ คนที่อยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่อยู่ข้างหน้ากูตอนนี้ .. และเป็นคนที่มีอยู่คนเดียวบนโลกด้วย”
แล้วอย่างนี้หัวใจอันเปราะบางของไป่ไป๋ จะทนความอันตรายของผู้ชายที่ชื่อว่าพิวได้นานแค่ไหนกัน...
status: จบแล้วค่ะ, ขอบคุณที่เดินร่วมทางกันมานะคะ
ปล.ส่วนสเปรอแปปค่ะ
chapter zero ― ตั้งใจเรียนนะ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3873738#msg3873738)
chapter one ― คนหยาบคาย2018 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3873751#msg3873751)
chapter two ― บังเอิญหรือบุพเพฯ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3873923#msg3873923)
chapter three ― อยากคุยด้วยแล้วอะ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3874073#msg3874073)
chapter four ― เวลคัมทูระย๊อง。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3874274#msg3874274)
chapter five ― เครื่องกลคนปวกเปียก 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3874927#msg3874927)
chapter six ― แค่คนเดียวบนโลก 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3874944#msg3874944) (ฉากดุเร้ก)
chapter seven ― อย่ามาซ่ากับไป่ไป๋ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3874957#msg3874957)
chapter eight ― จองตัวแล้วนะ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3875273#msg3875273)
chapter nine ― ความรักไม่เลือกเวลาเกิด 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3875287#msg3875287)
chapter ten ― ฮูอิสแดทเกิร์ล 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3875292#msg3875292)
chapter eleven ― ออกมาหาหน่อยดิ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3878427#msg3878427)
chapter twelve ― หมดเวลา 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3878440#msg3878440)
chapter thirteen ― สุดท้ายคงเข้าใจ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3881553#msg3881553)
chapter fourteen ― จากดวงจันทร์และกลับมา 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3881565#msg3881565)
chapter fifteen ― ที่นี่ไม่มีเธอ ที่นั่นก็ไม่มีฉัน 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3881576#msg3881576)
chapter sixteen ― การกลับมาของดวงจันทร์ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3881582#msg3881582)
chapter seventeen ― ทางด้านของนายปฏิพล 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3881591#msg3881591)
chapter eighteen ― จุ๊บครั้งนึง แล้วก็จุ๊บตลอดไป 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3886943#msg3886943)
chapter nineteen ― ผู้ชายน่ารักมักโดนแกล้ง 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3889628#msg3889628) (ฉากดุเร้ก)
chapter twenty ― จีบติดแล้วนะ 。 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3890160#msg3890160) (ฉากดุใหญ่)
chapter twenty one ― 88 ○ 19 ○ 11 ○ 91 ○ 53 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68060.msg3893372#msg3893372) (ฉากดุใหญ่)
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
สวัสดีค่ะ ขอฝากเรื่องแรกไว้ด้วยนะฮับ
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy (https://twitter.com/pearyypinkyy)
page : PearyyPinkyy.9 (https://www.facebook.com/pearyypinkyy.9/)
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
chapter zero。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“ไป๋ พลอยขอโทษจริงๆ แต่เราเลิกกันเถอะนะ”
และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้บอกกับผม
8 เดือนแห่งความทรงจำของเราที่มีกันมาได้จบลงเพียงในประโยคเดียว สาเหตุหลักของคำบอกเลิกสำหรับเด็กมหาลัยคงไม่พ้นเรื่องเรียนอีกเช่นเคย
‘คณะพลอยเรียนหนักมากเลยไป๋ พลอยกลัวตามเพื่อนๆไม่ทัน ถ้าผลการเรียนตกแล้วพ่อกับแม่พลอยรู้ว่ามีแฟน พลอยตายแน่เลยไป๋’ พลอยใส แฟนสาวคนแรกในชีวิตมหาลัยของผม เธอกุมมือของผมไว้แนบแก้มอาบน้ำตานั่น สมองของผมยังประมวลอะไรไม่ค่อยถูกนัก
เธอนัดเจอผมที่ร้านกาแฟใต้ตึกคณะวิศวะของผม ที่ที่เรานัดเจอกันเป็นประจำหลังเราทั้งสองเลิกเรียน
‘คะ แค่ห่างกันไปก็ได้ พลอยว่างเมื่อไหร่ เราค่อยมาเจอกันนะ’ เธอก้มหน้าเม้มปากปล่อยให้น้ำตาหยดลงบนโต๊ะ หยดแล้ว .. หยดเล่า
‘แต่ถ้าครอบครัวพลอยรู้ สักวันเราก็ต้องเลิกกันอยู่ดี ถ้าเราสองคนเลิกกันตอนนี้อาจยังไม่เจ็บมากนะไป๋’
‘แต่ว่-’
“ไป๋ พลอยขอโทษจริงๆ แต่เราเลิกกันเถอะนะ”
ย้อนกลับไปครั้งแรกที่ผมเจอพลอย เราเจอกันที่โรงอาหารกลางของมหาลัย ในวันสัมภาษณ์เข้าเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเธอเข้าเรียนต่อในคณะเทคนิคการแพทย์
ความประทับใจแรกถ้าจะให้พูดเลยก็คงเป็นหน้าตาน่ารักดูไม่มีพิษภัย ผมสีดำประบ่าที่รวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง รวมไปถึงผิวขาวตามแบบของผู้หญิงที่ดูแลตนเอง เรียกได้ว่าทำให้ผมตกหลุมรักทันทีตั้งแต่แรกเห็น
แอบมองเธอตั้งแต่ตอนเงอะงะมองหาจุดแลกบัตร ไปจนถึงต่อแถวร้านข้าว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมแบกหน้าไปขอนั่งกับเธอที่มาคนเดียวเหมือนกับผมด้วยแล้ว
‘หวัดดี ตรงนี้ว่างไหม เราขอนั่งด้วยสิ’
‘อื้อ ว่าง นั่งเลยๆ’ ตายิ้มรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว บวกกับเสียงหวานติดห้าวนั่น ตอกย้ำให้ผมยิ่งทะยานความต้องการของตัวเองมากขึ้น
‘มาสัมฯคนเดียวเหมือนกันเหรอ? เราชื่อไป่ไป๋นะ’
‘อื้มใช่ เราชื่อพลอยใสนะ’
และแล้วมื้อนั้นก็ถือได้ว่าเป็นมื้อที่ข้าวผัดผักไข่พะโล้ของผมอร่อยที่สุดในโลก ตั้งแต่ที่เคยกินมา
นั่นคือจุดเริ่มต้นความรักของเรา จากนั้นที่เป็นส่วนของในช่วงปิดเทอม เราแลกช่องทางติดต่อกัน และคุยกันทุกวันเรื่อยมา ทำให้ผมรู้อะไรๆเกี่ยวกับพลอยใสมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น ว่าเธอไม่ได้มาจากกรุงเทพฯเหมือนกับผม
พลอยใสจบมาจากโรงเรียนประจำจังหวัดหนึ่งในปริมณฑล เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นพ่อแม่เธอจึงหวงเธอมาก มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เราได้นัดเจอกันในช่วงปิดเทอมนั่น
‘ไป๋ ขอโทษที่พลอยมาช้า รอนานมากไหม?’
‘ไม่เป็นไรพลอย ไป๋ก็เพิ่งมา’
'ขอโทษจริงๆน้า กว่าจะอ้อนพ่อกับแม่ขอออกมาได้นี่แทบแย่เลย’ ผมเอื้อมมือไปปาดไรผมชื้นเหงื่อที่ขมับให้พ้นกรอบหน้า
‘วันนี้ไปอ้อนพ่อแม่ว่าอะไรถึงได้ยอมปล่อยพลอยออกมาอีกหละ?’
‘เราบอกว่าเพื่อนจะติวปรับพื้นฐานให้แหละ เลยยอมให้เราออกมา ฮ่าๆ’
‘เป็นเด็กนิสัยไม่ดีนี่หว่า’ ผมพูดพลางยิ้มเอ็นดูคนรักตรงหน้า
‘ก็เค้าอยากเจอไป๋อ่ะ เรารีบเข้าห้างเถอะ พลอยร้อนจะแย่ละ’
‘อื้อ J’
ในตอนนั้นผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าพลอยใสคือหนึ่งความสุขของชีวิตผู้ชายอย่างผม
❋❋❋
ตัดภาพมาที่ปัจจุบันที่ผมได้แต่นอนซม มือนึงก่ายหน้าผาก อีกมือนึงไถโทรศัพท์อยู่บนเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียว ซึ่งภายในห้องก็มีอยู่สองเตียงด้วยกัน
มือข้างที่ไถโทรศัพท์กำลังดูรูปในแกลลอรี่เก่าๆของผมกับพลอยใส ตั้งแต่รูปที่พลอยใสใส่ชุดนักเรียนกำลังนั่งทานข้าวตรงข้ามผม รูปที่เราไปเดินห้างด้วยกัน รูปถ่ายหน้ากระจกที่พลอยใสเป็นคนถ่ายและมือของเราสองคนได้จับกันไว้ จนถึงรูปล่าสุดคือรูปที่เราใส่ชุดพิธีการของมหาลัยในวันปฐมนิเทศหน้าหอประชุม
ผมเคยคิดว่าเราสองคนน่าจะไปด้วยกันได้นานกว่านี้ รวมถึงใครๆที่ต่างบอกว่าคู่เราช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเหลือเกิน ทำให้ผมไม่ได้ทำใจว่าวันแบบนี้จะมาถึง
“ไอ้ไป๋มึงจะเป็นงี้ไปอีกนานไหมวะ นี่มันเป็นอาทิตย์ละนะเว้ย มึงเล่นเอาแต่นอนซมแทบไม่ไปเรียนเนี่ย”
ไอ้ยีนส์ เมทปากหมาละสายตาจากหนังสือตรงหน้าก่อนจะหันมาด่าผมที่นอนเป็นผักเป็นปลาแบบนี้มาเกือบอาทิตย์
อันที่จริงรูมเมทหอในของมหาลัยจะใช้ระบบสุ่มเอาครับ ดังนั้นผมจึงไม่มีสิทธิ์เลือกรูมเมทอย่างใด แต่อย่างไรผมก็โชคดีละที่ได้ไอ้ยีนส์มาเป็นเมท เพราะนอกจากจะอยู่ภาคเดียวกันแล้ว มันยังเป็นคนที่หัวดีพอตัว ดังนั้นเวลาไม่เข้าใจบทเรียนอะไร ผมก็จะมีรูมเมทเนี่ยแหละครับ เป็นคนอธิบายให้ผมฟัง
“เออน่า พรุ่งมีนี้เรียนวิชาคณะ กูไม่กล้าขาดอยู่แล้ว”
“เอาให้จริงเถอะ กูเรียกไม่เคยลุกอ่ะ ลานประชุมเชียร์ก็ไม่เข้า ชวดเกียร์ขึ้นมา ระวังจะเสียใจที่ไม่มีเกียร์ไปไว้ให้สาวนะคร้าบ”
“สัสยีนส์ มึงแม่งพูดมาก อีกอย่างกูตัดทางโลกละ กูจะไม่รักผู้หญิงคนไหนนอกจากแม่กูอีกแล้วเว้ย” ผมหันไปยักคิ้วกวนๆให้อีกฝ่ายหนึ่งทีราวกับว่าผมโคตรสบายดี สามารถกลับมากวนตีนได้เหมือนเดิมแล้ว
“เออ มึงไม่ต้องมีแล้วเมียอ่ะ ขาวๆตี๋ๆอย่างมึงกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดมืด”
“ตลาดมืดพ่อมึงอ่ะ”
“เอ้า ไม่เชื่อมึงลองแก้ผ้าแล้วเดินลงหอไปดิ ถ้าลงไปถึงชั้น 1 ละมึงยังไม่เสียตัว มึงเอาตีนมายัดปากกูได้เลย”
“ไอ้-”
ก๊อกๆๆๆๆๆๆ
“ซิสไป๋ ซิสยีนส์ ฮัลโหลว ใครก็ได้มาเปิดประตูให้ตุลลี่หน่อยค่า เร้ววว”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ด่าเมทตัวดีของผมต่อเสียงจากประตูหน้าห้องของผมก็ดังขึ้นก่อน แบบนี้มีคนเดียวแหละครับ ไอ้ตุลลี่หนึ่งในกลุ่มของผม มีสารร่างและจิตใจเป็นสาวหวาน แต่กลับบ้านไปต้องเป็นผู้ชายแบบแมนเต็มร้อย เนื่องจากมีพ่อเป็นทหารชั้นสูง ซึ่งมีระเบียบและเข้มงวดพอตัว ในตอนแรกทางบ้านจะให้ไอ้ตุลลี่เรียนทหารเฉกเช่นเดียวกันพ่อด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธ เลยทำให้ได้มาเรียนวิศวะเครื่องกลที่ดูยังไง๊ยังไงก็ไม่เข้ากับบุคลิกตุลลี่มาแบบงงๆ
ส่วนเหตุการณ์ฝังใจมันตั้งแต่เด็กที่มันเคยเล่าว่า ตุลลี่เล่นพ่อแม่ลูกกับเพื่อนข้างบ้าน แล้วไปแย่งจะรับบทเป็นแม่กับน้องสาวแท้ๆของตัวเองขึ้นมา จากนั้นพ่อกลับบ้านมารู้เลยโดนฟาดจนขาลาย ทำให้นายตุลาฝังใจเป็นอย่างมาก เลยเลือกที่จะปิดบังความเป็นตัวของของตัวเองในตอนที่อยู่บ้าน
“อ้าว ซิสไป๋ มีแรงลุกแล้วเหรอมึง?”
“ซิสพ่อมึงสิไอ้ห่าตุล”
“กูชื่อตุลลี่โว้ย” ถุงขนมขบเขี้ยวของผู้มาใหม่ถูกวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง พร้อมหันมาทำตาขวางใส่ผมอย่างไม่ชอบใจ
“อยากรู้จริงๆ ถ้าพ่อมึงมาได้ยินแล้วมึงยังจะชื่อตุลลี่อยู่ไหมวะ?”
“อินี่ก็แซะเก่งจัง มึงล่ะ ถ้านังพลอยใสมาเห็นมึงในสภาพนี้ มึงคิดว่าเค้าจะยังจะกลับมารักมึงอยู่อีกหรือไง?”
เรื่องเล่าของธรรมชาติของเพื่อนตุ๊ดที่ว่านอกจากพระเจ้าจะประทานความตลกมาให้แล้ว ท่านยังประทานเรดาห์จี้จุดแทงใจดำมาให้ไอ้ตุลลี่อีกด้วย..
“ใครบอกมึงว่ากูยังเสียใจกับพลอยใสอยู่ นี่ใครครับ นี่ไป่ไป๋วงเวียนใหญ่เอง ผู้หญิงคนเดียวไม่เคยทำให้กูตายครับ พวกมึงจำเอาไว้” ถ้าหากยอมรับว่ากำลังเสียใจอยู่ตอนนี้คงจะเสียฟอร์มไม่มากก็น้อย ผมเลยแกล้งวางมาดเข้มพูดเสียงแข็งปฏิเสธไป
“ไม่ตายแต่ก็ใกล้เคียงอ่ะนะ” เป็นไอ้ยีนส์ที่หันมาเบ้ปากใส่อย่างรู้ทัน
“ไม่ตายเพราะผู้หญิง แต่จะตายเพราะอดข้าวประชดรักเนี่ยแหละ นั่งลง! แล้วแดกข้าวที่กูซื้อมาให้หมดเดี๋ยวนี้ไอ้ไป๋!!!” แรงกระชากให้ล้มตัวลงนั่งบนพื้นตรงหน้ากล่องข้าวขาหมูกลิ่นชวนน่ารับประทาน แต่ก็ต้องมานึกโมโหให้กับเสียงแข็งของไอ้ตุลลี่ที่สั่งให้ผมกินข้าวตรงหน้า
โอ้โห! ไอ้ตุลมันขึ้นเสียงกับผมครับ แบบนี้ยอมไม่ได้อะบอกเลย
“ครับแม่..”
ยอมไม่แดกข้าวที่มันซื้อมาไม่ได้เนี่ยแหละ เดี๋ยวโดนฝ่ามืออรหันต์มันเข้านี่หลังแอ่นเลยนะ ไอ้ยีนส์เคยโดนมาแล้ว บอกคำเดียวว่าโคตรสงสาร เลยได้แต่นั่งกินข้าวไปนั่งฟังเพื่อนทั้งสองบ่นไปจนอาหารตกลงไปอยู่ในกระเพาะผมแล้วจนหมดเกลี้ยง..
หลังจากที่ตุลลี่มาป่วนห้องผมได้สักพักจนถึงเวลาอันสมควรที่จะอาบน้ำเข้านอน มันก็เก็บของกลับห้องไปอย่างเรียบร้อย พร้อมกับกำชับให้ไอ้ยีนส์ลากผมไปเรียนในวันพรุ่งนี้ให้ได้
บางทีการมีเพื่อนก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีแม่คนที่สอง...
“ไป๋ มึงก็นอนได้ละ พรุ่งนี้ถ้ามึงไม่ตื่นไปเรียน เดี๋ยวกูโดนพวกมันด่าที่ไม่ได้ลากมึงไปด้วยอีก”
“เออ กูพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”
มันหัวเราะในลำคอค่อนไปทางระอา
“หึๆ กูปิดไฟเลยนะมึง” ร่างสูงเดินไปปิดไฟ ผมที่นอนเอาผ้าห่มคลุมทั้งตัวก็ได้แต่ตอบรับไปเบาๆ มองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ควรค่าแกการนอน
หลังจากไฟถูกปิดลง จากนั้นทั้งห้องก็เงียบสนิท มีเพียงแสงที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่างทางหลังห้องและเสียงพัดลมของเราทั้งสองคนเท่านั้น
คงจริงอย่างที่เขาว่ากัน ยิ่งดึกยิ่งฟุ้งซ่าน
ความฟุ้งซ่านเก่าๆของผมจึงกลับมาอีกครั้งหลังจากที่คิดว่าตัวเองคงลืมได้ไปชั่วขณะ ไม่เว้นแต่ความคิดถึง เสียใจ รวมทั้งความผูกพัน หรืออะไรหลายๆอย่างที่ผมรู้สึกในตอนนี้
“ยีนส์ มึงหลับยังวะ?”
“อื้อยัง ว่า?” มันตอบกลับมาสั้นๆ เหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น
“ถ้ากูขอกลับไปเป็นเพื่อนกับพลอยใส มึงว่ามันจะโอเคปะวะ?”
“…”
“หลับแล้วเหรอ?”
“หึ กูไม่ได้กวนตีนนะ แต่ถ้ามึงกลับไปเป็นเพื่อนกับเค้า แล้วมันจะทำให้มึงสบายใจขึ้น ก็เอาเลย”
“งั้นเหรอ”
มันว่ามายาวๆก่อนที่จะได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอออกมา ผมลองย้อนคำพูดของเพื่อนสักพัก แล้วตัดสินใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาพลอยใสอย่างที่เคยทำเป็นประจำแบบเหมือนก่อน เพื่อขอร้องในสิ่งที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม..
paipai : พลอยใส อยู่ไหม
PLOY-SAI : ?
paipai : ขอโทษที่ส่งมาดึกๆนะ
PLOY-SAI : อื้อ ไม่เป็นไร
PLOY-SAI : ว่าแต่ไป๋มีอะไรเหรอ?
paipai : เราเข้าใจพลอยแล้วนะ
paipai : ขอโทษที่งี่เง่าด้วย
paipai : ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะขอมันมากไปไหม
paipai : เราไม่ได้จะขอให้ทุกย่างเป็นเหมือนเดิมหรอก
paipai : แต่เราจะขอเป็นเพื่อนพลอยต่อไปได้ไหม
PLOY-SAI : อื้อ ได้สิ
PLOY-SAI : ขอบคุณที่ไป๋เข้าใจพลอยนะ
paipai : ขอบคุณเหมือนกันนะ
PLOY-SAI : ฝันดีนะไป๋
PLOY-SAI : J
paipai : ฝันดีพลอย
หลังจากที่ผมคุยกับพลอยใสเสร็จแล้ว ก็จัดการกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองแล้ววางไว้ข้างๆ พร้อมยกยิ้มให้กับตัวเองในความมืด
‘โชคดีนะพลอยใส’
หลายคนอาจสงสัยว่าผมมีโอกาส หรือเหตุผลง้อเธอตั้งเยอะแยะ ผมกลับมาถามตัวเองหลังจากวันนั้น หากผมกับเธอกลับมาคบกันแล้ว เราจะมีความสุขต่อไปจริงๆเหรอ? คำตอบอาจบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ในเส้นทางที่ผมเลือกในตอนนี้ผมไม่ได้เลือกเส้นทางที่เป็นความสุขของเราทั้งสองก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นทางที่เราทั้งสองสบายใจ
เพราะในบางครั้งชีวิตเราก็จำเป็นต้องเลือกให้ความสบายใจมาก่อนทุกๆอย่างบนโลกใบนี้
แต่อย่างไรการที่ผมเลือกที่จะเป็นเพื่อนกับพลอยใสต่อไป ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องทำใจให้ลืมเรื่องระหว่างเราได้ทันที...
“พันหมื่นเหตุผลที่บอกกับฉัน คือความผูกพันเธอนั้นไม่มีเหลืออยู่ พันหมื่นเหตุผลที่เธอยืนยันให้รับรู้ ยิ่งฟังดูไม่ได้ความไม่มีค่าใด” ซิงเกิ้ลโดยตุลลี่เองครับ กูคันตีนยิกๆเลยตอนนี้
“ไอ้ตุลลี่ ถ้ามึงไม่หยุดร้องกูจะกดหน้ามึงลงจานข้าวจริงๆด้วย”
“อีไป๋ขา ฉันก็แค่ร้องเพลงไหมอะ ทำไมต้องมาเกรี้ยวกราดใส่ฉันอะไรเบอร์นั้น”
“พวกมึงสองคนพอเลย แล้วไอ้ก๊าซกับไอ้ครามจะมาถึงยังเนี่ย จะถึงเวลาเรียนแล้วนะ” ไอ้ยีนส์พูดขัดก่อน เหมือนรู้ว่าถ้าปล่อยให้ผมกับไอ้ตุลลี่สองคนพูดกันเกินอีกหนึ่งประโยคผมจะต้องกดหน้ามันลงจานข้าวจริงๆตามคำขู่
“สองผัวเมียนั่นเดี๋ยวก็มาแหละ สงสัยเมื่อคืนจัดหนักไป”
ตอนนี้พวกผมกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ใต้ตึกคณะ เพื่อเตรียมตัวขึ้นไปเรียนวิชาคาบเช้าคือดรอว์อิ้ง ที่ต้องเข้าห้องเลกเชอร์ก่อนที่จะลงแลปวาดในช่วงหลัง
ดูๆแล้วคงผิดวิสัยไม่มากก็น้อยนะครับที่นักศึกษาชายคณะวิศวกรรมศาสตร์แหกขี้ตาตื่นมานั่งกินข้าวเช้าใต้คณะแบบนี้ ทั้งๆที่เพื่อนรุ่นเดียวกันจะเข้าคลาสตอนเริ่มเรียนไปแล้ว 15 นาทีเป็นอย่างต่ำ หรือต่อเมื่ออาจารย์เช็คชื่อเท่านั้น
เพราะเหตุผลนั่นก็คือ ไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่เป็นคนติดข้าวเช้ามากครับ และเวรกรรมจึงตกมาที่เมทอย่างผม ที่ต้องแหกขี้ตาทนฟังเสียงไอ้ยีนส์ปลุกตั้งแต่เช้า แล้วรีบมาอาบน้ำมาคณะมานั่งกินข้าวกับพวกมันด้วย...
จริงๆแล้วตอนนี้พวกเรากำลังเรียนอยู่ปี 1 ในภาคเครื่องกลครับ ซึ่งเนื้อหาวิชาในปีแรกจะยังไม่มีอะไรมาก เรียนแค่วิชาพื้นฐาน เช่น แคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี และจะมีวิชาคณะเช่น ดรอว์อิ้ง หรือแลปของภาคอุตสาหการบ้างเล็กน้อย
ซึ่งในกลุ่มเพื่อนผมจะมีคนที่ผมสนิทที่สุดอยู่ 4 คน คือ ไอ้ยีนส์ เมทผม, ตุลลี่ และยังมีไอ้ก๊าซกับไอ้ครามที่เป็นเมทกัน ความสนิทของเราเริ่มจากในวันปฐมนิเทศคณะผมกับไอ้ยีนส์ที่หาห้องไม่เจอ ได้ไปเจอกับไอ้ก๊าซและไอ้ครามที่กำลังหลงทางเหมือนกัน
พวกเราจึงตกลงกันว่าจะเดินไปหาห้องพร้อมๆกัน แต่ในระหว่างทางที่กำลังหาห้องประชุมนั้นก็ได้ยินเสียงกรี๊ดขึ้นพร้อมกับร่างทึกๆของไอ้ตุลลี่วิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากห้องน้ำชาย จับใจความได้ว่ามันเจอแมลงสาบในห้องน้ำเลยตกใจ... จากนั้นก็เลยกลายเป็นกลุ่มคนงงๆแบบพวกเรา 5 คนขึ้นมา
ช่างเป็นเฟิร์สอิมเพรสชั่นที่หาไม่ได้จากที่ไหนแล้วจริงๆ...
“ไอ้ตุลลี่ จะบ้าหรือเปล่า เรากับครามไม่ได้เป็นผัวเมียกัน!!!” เสียงของไอ้ก๊าซดังขึ้นจากข้างหลังของผม จึงหันไปดู พบกับไอ้ก๊าซที่ยืนหน้าบึ้งหน้าบูดพร้อมกับไอ้ครามที่ยืนหน้ายู่เหมือนคนเพิ่งตื่นอยู่ข้างๆ
จะว่าไปสองคนนี้นิสัยแม่งโคตรต่างกันเลย ไอ้ก๊าซนี่จะนิสัยหน่อมแน้มตามสไตล์ลูกคุณหนูหน่อยๆ ส่วนไอ้ครามนี่จะอารมณ์นิ่งๆ ค่อนไปทางเบื่อโลกง่าย หรืออาจเรียกว่าขวางโลกก็ได้...
“เออ จะเป็นผัวเมียหรือเป็นทุกอย่างอะไรก็เรื่องของพวกมึงเหอะ ถ้าจะแดกข้าวก็รีบไปซื้อซะ ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว” ไอ้ตุลลี่พูดพร้อมบุ้ยปากไปทางร้านข้าว 2 ร้านใต้ตึกคณะ ที่ผมไม่สามารถเรียกมันว่าโรงอาหารได้จริงๆ...
“กูกับครามแดกมาแล้ว ขึ้นห้องเลยๆ”
❋❋❋
หลังจากจบคาบเลกเชอร์ที่โคตรจะเนือยและน่าเบื่อ ทุกคนในภาคก็ลงไปยังห้องแลป เพื่อวาดชิ้นงานกัน ซึ่งภายในห้องก็จะมีโต๊ะดรอว์อิ้งวางเรียงรายกันเป็นแถวๆ ประมาณ 40 ตัว ตามจำนวนของนักศึกษาในภาคเครื่องกล
กฎของการใช้ห้องปฏิบัติการมีอยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น คือ 1.ไม่วิ่งเล่นกันภายในห้อง 2.เมื่อทำชิ้นงานเสร็จแล้วอนุญาตให้ออกจากห้องได้ทันที และ 3.ต้องนั่งเรียงตามรหัสนักศึกษา
เมื่อได้รับแบบที่ต้องมาวาดเป็นชิ้นงานจากอาจารย์ ผมและไอ้ก๊าซที่รหัสนักศึกษาติดกันก็หันมามองหน้าและยิ้มแหยๆให้กัน ด้วยความที่โจทย์มันเริ่มยากขึ้นในแต่ละสัปดาห์ อันที่จริงงานมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่มองรูปให้ออก และต้องวาดมุม Front, Top และ Side ของชิ้นงานให้ถูกต้องเท่านั้นเอง แต่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการทำงานครั้งนี้คงหนีไม่พ้นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด และนั่นก็คือ
ความโง่ของผมเองครับพี่น้อง
“ไอ้ก๊าซ ตรงนี้มันยาวเท่าไหร่วะ?” ผมเอี้ยวตัวไปหาเพื่อนที่นั่งติดฝั่งซ้ายของผม
“กูไปถามไอ้ตุลลี่มาเมื่อกี๊ มันบอกว่า 20mm”
“อ่อ โอเค” ผมเริ่มร่างแบบในเศษกระดาษก่อนวาดจริง เพราะหากเราลงไปในกระดาษจริงทันที อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนแบบชิบหายขึ้นมาได้ นั่นคือต้องลบบางส่วนและวาดใหม่ หรือร้ายแรงสุดคือต้องลบทั้งหมดกันเลยทีเดียว
รู้ตัวว่าโง่วาดรูป แล้วก็ยังโง่มาลงภาคเครื่องอีกนะไอ้ไป๋เอ๊ย
ขณะที่ผมกำลังก้มๆเงยๆ ทำชิ้นงานในกระดาษจริงอยู่แบบตั้งใจ ปณิธานในใจอย่างหนักแน่นว่าวันนี้กูจะไม่ยอมเสร็จคนสุดท้ายอีกแล้วเว้ย! พลันสายตาของผมก็หันไปมองยังคนที่ประจำที่นั่งฝั่งขวา ที่กำลังวาดรูปอยู่กับโต๊ะแบบชำนาญ งานของเขาคืบหน้าไปเกินครึ่ง ผมเหล่มองกระดาษชิ้นงานที่ขาวสะอาดตา ต่างจากผมที่กระดาษเขรอะไปด้วยรอยดำของคาร์บอนของดินสอจากการลบแบบชุ่ยๆ
ไม่ทันที่ผมจะได้พูดหรือถามอะไร หลังจากที่ละสายตาจากงานของเขา เมื่อเงยหน้ามาก็พบว่าเขาจ้องหน้าผมพร้อมทำสีหน้าเหมือนสงสัยว่าผมกำลังมองอะไรอยู่
“ทำไวสัสอะ”
“อือ” เจ้าตัวเลิกทำหน้างง ตอบผมเสียงในลำคออย่างไม่สนใจมากนัก แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อ
เขาชื่อ ‘พิว’ ครับ หมอนี่ได้เป็นเดือนภาค หลังจากที่เคนเพื่อนของมันที่เป็นเดือนภาคคนก่อน โดนเลือกไปเป็นเดือนคณะ จึงทำให้ต้องเลือกเดือนภาคคนใหม่
คือเอาจริงๆไอ้พิวมันก็หล่ออ่ะ ให้อารมณ์แบบทายาทเจ้าของโรงงานเงี้ย หล่อๆ รวยๆ ชิคๆ สาวตรึม มีรถขับ แต่ติดอยู่ตรงที่แม่งพูดน้อยชิบหาย เงียบเป็นเป่าสาก คุยอะไรก็ตอบกลับมาแค่ อืมๆเออๆ
ถ้าจะให้พูดตรงๆคือกูหมั่นไส้ครับไอ้สัส
แต่ด้วยความที่เรารหัสติดกัน เลยทำให้ผมได้เจอเขาบ่อย แต่ถามว่าสนิทไหม ก็ส่ายหน้าบอกเลยว่า ฮึ!
ไป๋ว่าไป๋ก็เฟรนด์ลี่พอตัวนะ แต่ทำไมไม่สนิทกับไอ้พิวเลยวะ?
-
“พิวตรงนี้ทำยังไงเหรอ?”
“พิวตรงนี้ยาวเท่าไหร่อะ?”
และอีกสารพัดพิวที่ออกจากปากผม ดูท่าทางเหมือนเจ้าตัวก็น่าจะเริ่มรำคาญผมแล้ว หลังจากที่อธิบายให้ผมฟัง แล้วผมยังทำไม่ได้สักที ผมเลยจำใจต้องไปวิ่งหาตัวช่วยที่เป็นคนอื่นแทน
สักพักคนในห้องเริ่มหร่อยหรอลงตามจำนวนเวลา ไป๋มึงตายแน่ๆ มึงแดกข้าวไม่ทันอีกแน่ๆ ตอนบ่ายมีเรียนวิชาสังคมกับคณะอื่นยันเย็นอี๊ก ตาย!!!
“ไป๋ อะไรวะมึงยังทำไม่เสร็จอีกเหรอ” ไอ้ยีนส์ที่ทำเสร็จได้สักพักก็เดินตรงมากดดันผมที่ยังนั่งขีดๆเขียนๆแบบรีบสุดชีวิตจนลนลานไปหมด
“เหลืออีกเยอะเลยว่ะมึง”
“ไหน-”
“ยศวีร์ ว่างไหมมาช่วยขนโต๊ะไปห้องซ่อมบำรุงด้วยกันหน่อย” ไอ้ยีนส์ที่โดนอาจารย์เรียกไปช่วยทำให้ใจของผมกลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง 3 สหายที่เหลือของผม ก็กำลังทำงานของตนเองที่เป็นรูปเป็นร่างและใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือแต่ผมที่ช่างห่างเหินจากความเป็นจริงเสียเหลือเกิน
“พิว!! มึงเสร็จแล้วก็ออกมาสิวะ จะได้รีบไปกินข้าว!!”
“เออ แปปนึง” ตอนนี้รอบข้างผมเสียงดังอื้ออึงไปหมด ให้ทายว่าตอนนี้คนที่ทำเสร็จแล้วคงกำลังเก็บของเตรียมไปกินข้าวกันหมดแล้วแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงรีบปั่นแบบไม่สนใจรอบข้าง แต่ก็ต้องละความสนใจเมื่อสามารถสัมผัสได้ว่ามีใครสักคนมายืนอยู่ด้านหลัง
“อ้าว พิวเสร็จแล้วเหรอ?”
“อือ”
“กินข้าวให้อร่อยนะ วันนี้ก็ขอบคุณนะมึง” ผมหันไปขอบคุณเขาก่อนจะกลับมาสนใจตัวงานเบื้องหน้าอีกครั้ง
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“หึ?” ผมเอี้ยวตัวกลับไปมองอีกครั้ง ก็พบว่าเค้ายังไม่ได้กระดิกเดินไปไหน
“เรียนมาหลายอาทิตย์แล้ว ยังใช้ไม้ฉากไม่เป็นอีก”
ฉึก!
“ไม่ชอบใช้อ่ะ กูถนัดซ้ายใช้แล้วมันไม่ค่อยถนัด” นั่นนับว่าเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่เขาเคยพูดกับผม และก็เป็นประโยคด่าในเวลาเดียวกัน
“อะ...”
เขายัดไม้ฉากใส่มือผมแบบงงๆ ยังไม่ทันให้ผมได้ถามอะไร เขาก็จับผมหันหน้าเข้าหาโต๊ะก่อนจะแนบร่างลงมาทาบทับบนหลัง พร้อมกับวางมือของเขาบนมือของผมให้อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน สัมผัสห่างกันเพียงเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวที่อาจารย์บังคับให้ใส่ทุกครั้งที่มีเรียนในวิชานี้ เพราะความบางของเนื้อผ้า มันจึงทำให้ผิวผมรับรู้ได้ถึงความร้อนจากตัวอีกฝ่าย ลมหายใจเป่ารดข้างหูบ่งบอกว่าใบหน้าอีกคนแทบจะชิดหน้าของตัวเองอยู่ร่อมร่อ
จากนั้นพิวก็เริ่มลงมือทำชิ้นงานตรงหน้าอย่างชำนาญขณะที่ยังอยู่ในท่าอันล่อแหลม แม้มองเผินๆก็ดูเหมือนคุณครูที่กำลังสอนเด็กอนุบาลอยู่บ้าง โดยแต่ละครั้งที่ดินสอได้จรดลงบนชิ้นงาน มันก็ได้สอนปนบ่นให้ผมได้รู้เทคนิคอันมีประโยชน์ไปด้วย
เอาเข้าจริงถึงคำสอนของพิวจะดีแค่ไหน แต่ในเวลานี้ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในสมองผมได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ กลิ่นบุหรี่จางๆปนกลิ่นน้ำหอม นึกแปลกที่กลิ่นไม่ได้ชวนเหียนอย่างที่เคยได้กลิ่นจากคนอื่น แต่กลับเป็นความหอมเย็นๆแบบที่ผมก็อธิบายไม่ถูก
แต่ถึงอย่างนั้น แม้เราจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ขัดเขินเวลาเจออะไรแบบนี้..
ผมไม่รู้ว่ามันกินเวลาไปเท่าไหร่ หรือไอ้พิวกำลังทำอะไร แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ชิ้นงานตรงหน้ากลับเสร็จสมบูรณ์ ไม่มีคราบของความซกมกที่ผมเคยสร้างไว้หลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว จนพาให้อดตะลึงในความสามารถของเจ้าตัวอย่างห้ามไม่ได้
“คราวหลังมึงต้องวาดเส้นอย่างนี้ก่อน มันจะได้ไม่งง .. เอ้า เสร็จละ มึงรีบเขียนชื่อจะได้รีบไปแดกข้าว” คนตัวสูงดันตัวให้ผละออกจากกัน ก่อนที่พิวจะทิ้งท้ายและคว้ากระเป๋าไปหาเพื่อนมันที่ยืนรออยู่ด้านนอก
“เออ ขอบคุณมากมึง!!!” อีกฝ่ายยกมือขึ้นเชิงว่าไม่เป็นไร โดยที่ไม่หันหลังกลับมามองผมเลยสักนิด
เออ ไอ้เดือนภาค ไอ้หล่อ วันนี้กูยอมวันนึงก็ได้..
คงเป็นเพราะทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับตัวเอง เลยไม่มีใครสนใจให้ความสนใจมายังผม แต่ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมีประเด็นให้เพื่อนได้แซว และที่สำคัญจะได้ไม่ต้องโดนไอ้ตุลลี่ซักไซ้ด้วย
ใช่ครับ ไอ้ตุลลี่มันหวีดไอ้พิวเดือนภาคอยู่ ชนิดที่ว่าถ้าเจอพิวที่ไหนไอ้ตุลลี่ก็จะแฝงตัวของมันเข้าไปใกล้ให้มากที่สุด และถ้ามันรู้ว่าผมกับร่างสูงนั่นเขียนงานหลังแนบอกแบบเมื่อกี๊ ผมคงเละคาฝ่ามือมันอย่างไม่ต้องเดาเลย
❋❋❋
“อกหักปุ๊บก็เริ่มทำงานเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเลยนะมึง” หลังจากที่พวกเราทั้งหมดเพิ่งทำงานได้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนดแล้ว ก็รีบเก็บของแล้วเดินออกจากห้องปฏิบัติการเพื่อจะได้รีบไปหาซื้อข้าวกลางวันกันอย่างพร้อมเพรียง
“พ่องสัสตุล”
“เออ ปกติถ้ารอไป๋ พวกเรานี่ต้องช่วยอาจารย์เก็บห้องตลอดอ่ะ” ไอ้ก๊าซที่เดินอยู่ด้านหลังพูดขึ้นเหมือนเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากความคับแค้นส่วนตัว
“กูงี้ไม่ได้แดกข้าวเที่ยงวันอังคารมาหลายอาทิตย์ละ” ต่อด้วยไอ้ยีนส์ที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นเสริม
“แต่ถ้าพวกมึงยังชักช้าอยู่แบบนี้ วันนี้มึงก็จะไม่ได้แดกข้าวกลางวันอีก”
“เออไปแล้วๆ ใครจะชักเร็วแบบครามอะ” ทางด้านของไอ้ครามที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก๊าซก็ตะโกนตอกกลับไปด้วยคำพูดสองแง่สองง่าม ส่งผลให้ผมและไอ้ยีนส์ได้แต่ยืนเหวอ ไม่คิดว่าคนอย่างก๊าซจะพูดอะไรอย่างนี้ออกมา
“เฮ้ยๆ พวกมึงสองผัวเมียมีชักช้าชักเร็วอะไรด้วย คืบหน้าไปถึงไหนแล้วอะ” กฎเกี่ยวกับการอยู่กับไอ้ตุลลี่มีอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือ อย่าพูดเปิดทางให้กับมัน... ไม่งั้นมันจะแซวจนแทบจะพลิกแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว
“ตุลลี่ไร้สาระอีกและ รีบๆไปเหอะ เราหิวข้าว” ไอ้ก๊าซรีบตัดประเด็นด้วยการรีบเดินนำไป ยังมิวายมีเสียงหัวเราะของไอ้ตุลลี่กับไอ้ยีนส์ไล่หลังแบบล้อๆ
มองจากตรงนี้ยังรู้เลยว่าแม่งเขินอะ..
และหลังจากที่เรากินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว เราก็ได้แยกย้ายกันไปยังตึกเรียนของตนเอง โดยในปีหนึ่งมีวิชาบังคับที่ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ลงเรียนร่วมกัน ได้แก่สังคมและภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่ให้ทุกคณะได้มาเรียนด้วยกัน แบ่งแต่ละเซคด้วยการสุ่มตามฉบับของทางมหาวิทยาลัย ทำให้ผมและไอ้พวกเพื่อนๆอีก 4 คนต้องกระจายกันไปเรียนในตึกตามแต่ละเซคกำหนด
ผมจัดการจอดจักรยานไว้ด้านข้างของตึกคณะศิลปะศาสตร์ก่อนจะเดินกึ่งวิ่งเพื่อตรงไปยังห้องเรียนที่อยู่ชั้น 1ของตัวเอง แต่ในขณะที่ผมเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูกระจกหน้าด้านของห้องเรียน สายตาผมก็เหลือบไปเห็นคนที่รูปร่างสูงดูคุ้นๆยืนอยู่ยังประตูถัดไป ห่างกันแค่ไม่กี่ช่วงก้าว
เมื่อผมหันไปมองให้เต็มตา ก็พบว่าเป็นไอ้พิวเจ้าเก่าที่เจ้าตัวได้มองมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เคยเจอมันเลยวะ? แต่ด้วยความที่รหัสติดกันจะเรียนห้องข้างๆกันก็คงไม่แปลกอะไร และด้วยความดีของมันที่เปลี่ยนอคติในใจผมวันนี้เลยทำให้ผมกล้าที่จะพูดทักทายออกไป
“หวัดดีไอ้พิว”
“อืม หวัดดี”
“ตั้งใจเรียนนะ” ผมพูดพร้อมฉีกยิ้มแบบที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดออกไป ไม่ทันคิดได้ว่าทำที่ผมกำลังจะพูดออกไปจะคำที่สามารถกลบฝังตัวเองได้มิดและไม่มีวันได้ผุดได้เกิด
“กูว่ามึงน่าจะเป็นมึงมากกว่าที่ต้องตั้งใจเรียน”
เสียงใหญ่ๆนั่นหัวเราะในลำคอบาๆ พร้อมเอ่ยประโยคที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดในการน็อคสมองใครสักคนออกมา..
ให้หลังไม่กี่วินาที คนตัวสูงเมื่อกี๊ได้หายไปหลังบานประตูไปเป็นที่เรียบร้อย เหลือแต่ผมที่ยังยืนงงตีความหมายของประโยคที่ว่านั่นว่าที่จริงแล้วมันคือคำด่าหรือว่าเจ้าของต้องการที่จะให้กำลังใจ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรความหมายของมันก็น่าจะเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า ความคิดจะผูกมิตรด้วยในตอนแรกก็ได้หายวับไปกับตาในทันที..
ไอ้สัสพิว!!!!!
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
สวัสดีค่ะ ขอฝากตอนแรกไว้ด้วยนะฮับ
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
chapter one。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“เรื่องโปรเจคกลุ่ม role play หากไม่มีนักศึกษาคนไหนสงสัยแล้ว วันนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ” นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นจวนจะครึ่ง หลังจากที่อาจารย์ชนันท์พรหรือเป็นที่รู้จักกันในนามจารย์ป้าบอกปล่อยนักศึกษาในคลาสที่มีจำนวนประมาณ 50 กว่าชีวิตเป็นที่เรียบร้อย ผมจากที่หันไปบอกลาเพื่อนในกลุ่มโปรเจคเดียวกันเสร็จแล้ว ก็หันไปกวนตีนเพื่อนคณะร่วมเซคอย่างที่ทำกันเป็นปกติ
บอกแล้วครับ จะมีใครเฟรนด์ลี่เกินไป่ไป๋บ้าง
“บายไอ้มิกซ์ ตอนจะกลับหอก็อย่าส่องสาวจนปั่นจักรยานชนเสาอีกนะเว้ย” เพื่อนร่วมคณะที่จับพลัดจับผลูได้อยู่เซคเดียวกัน หมอนี่มันอยู่ภาคโยธา แดกเหล้าเก่ง ม่อเก่ง บางทีมันก็มีบางมุมที่เหมือนจะหลุดโลกไปสักหน่อยครับ เช่น ล่าสุดมันมาปรึกษากับผมครับว่าจะเป็นโอตะดีไหม...
แต่โอตะคืออะไรกูยังไม่รู้เลยเพื่อน
“ว่าแต่กู มึงอ่ะเอาเรื่องหัวใจให้รอดก่อนสัสไป๋” ฉึก
เหตุการณ์เหมือนจะจบที่แค่ให้ผมด่าไอ้มิกซ์เพิ่มอีกสักประโยคแล้วเราทั้งสองคนก็จะเจ๊ากันไปนะครับ แต่ก็ลืมนึกไปอีก ว่าไอ้มิกซ์เนี่ยมีฉายาว่า มิกซ์รู้ โลกรู้ ครับ เท่านั้นแหละมึงเอ้ย..
“ทำไมวะ ไป๋มันอกหักอ่อ?”
“แฟนมันชื่อไรนะ พลอยใสป่ะ น่ารักจะตายปล่อยไปได้ไงวะ”
“ไป๋ ถ้าคนนี้มึงไม่เอาแล้วกูขอจีบต่อนะ”
“ทำไมกูไม่รู้อะไรเลยวะ ใครมีสรุปเหลามาสิ”
และเสียงอีกมากมาย จากปากของเพื่อนในเซคคละคณะกันไป
อาจารย์ปล่อยแล้วทำไมพวกมึงยังอยู่กันอี๊กกกกกก!!!!!
จากนั้นผมที่โดนฝูงชนซักถามประหนึ่งว่าเป็นดาราหรือเซเลปอะไรทำนองนั้นเกี่ยวกับเรื่องความรักอยู่นานหลายนาน ในส่วนของผมก็ตอบหมดครับ ทุกคำถามทุกประเด็น ถ้าถามถึงเหตุผลที่ทำไมผมถึงเล่าถึงกล้าบอกความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วนั้นให้กับเพื่อนๆฟัง ก็คงเป็นเพราะ ผมไม่อยากให้ใครเอาเรื่องของผมกับพลอยใสไปคิดเองครับ มีโอกาสก็ต้องรู้จักใช้ไว้อธิบาย จะให้บอกเป็นเรื่องของอนาคต อุบอิบให้คนนินทาเสียๆหายๆนี่โคตรไม่ใช่ทาง
บอกเลยว่ารางวัล คนแมน2018 ต้องมากองที่เท้าไอ้ไป๋!!!
“อีไป๋ มึงเคยต้องรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนมายืนรอมึงเช้าสายบ่ายเย็นบ้างป่ะกูถามจริง”
“กูขอโทษ วันหลังกูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
หลังจากที่ลงมาจากตึกเรียนได้ก็พบกับสองสหายตุลลี่และไอ้ยีนส์อยู่รออยู่ก่อนแล้ว และท่าทางจะยืนรอมาพักใหญ่ๆแล้วด้วย ทันทีที่เห็นหน้าบูดของพวกมันใกล้ๆ ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าน่าจะเริ่มมีอาการโมโหเพราะความหิวกันบ้างแล้ว เลยบอกเหตุผลที่ผมลงจากตึกช้าในครั้งนี้ให้พวกมันฟัง หวังเพียงความเข้าใจ แต่ก็...
“วันหลังไม่ลากพวกมันไปกับมึงทุกที่เลยอ่ะ จะได้ไม่ต้องมาเที่ยวเสือกเที่ยวถามเรื่องชาวบ้านแบบนี้ มึงก็ด้วยอีไป๋แบบนี้มันจัดอยู่ในหมวดเรื่องส่วนตัวปะ ถ้ามึงไม่เล่ามันก็ไม่ตายกันหรอก ทำตัวเป็นคนของประชาชนเหลือเกิ๊นพ่อคุณ”
“มึงก็เลิกบ่นเป็นตุ๊ดโดนผัวเทแล้วไอ้ตุล สรุปจะไปแดกไหมข้าวอ่ะ จะหกโมงเย็นอยู่แล้ว กูหิว” โชคดีที่ได้ไอ้ยีนส์เป็นผู้ช่วยชีวิตผมเอาไว้
“เออ กูก็หิว แล้วไอ้ก๊าซกับไอ้ครามกลับหอกันไปแล้วเหรอ?” หลังจากที่สอดส่องสายตารอบๆข้าง แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของสองคนนั้น
“ครามมันจับไอ้ก๊าซเทรนคอร์สเพิ่มกล้ามอยู่ มันชอบบ่นว่าอยู่กับไอ้ครามแล้วมันดูไม่แมน”
“ปล่อยให้สองผัวเมียแดกคลีนกันไป กูหิวจะตายละ จะไปแดกไหนหน้ามอป่ะ”
“เออๆเอาดิกูอยากแดกตามสั่งพอดี”
หลังจากนั้นพวกเราก็ตกลงที่จะไปกินข้าวที่หน้ามอด้วยกัน ส่วนหน้ามอที่เรียกๆกันมันคือฝั่งตรงข้ามมอที่จะมีร้านอาหารร้านของกินแบบปกติทั่วไป และมันก็เป็นแหล่งของข้าวเย็นไม่กี่ที่ที่พวกผมมักจะฝากท้องตอนเลิกเรียน
เพราะเราเพิ่งหมดฤดูของการเข้าประชุมเชียร์ไป เลยทำให้มีเวลามานั่งกินข้าวตอนเย็นหลังเลิกเรียนแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ได้
พวกเราปั่นผ่านคณะวิศวกรรมศาสตร์ของเราที่ตั้งอยู่ส่วนหน้าของมหาลัย ที่เมื่อสังเกตแล้วก็จะพบว่าหอในที่ผมอยู่มันตั้งอยู่คนละโยชน์กับคณะเลย รู้งี้ตอนปีหนึ่งผมขอแม่อยู่หอนอกก็ดีหรอก จะได้ไม่ต้องปั่นจักรยานมาเรียนตอนเช้าให้เหนื่อยหอบแบบทุกวันที่เป็นอยู่นี้..
ซึ่งตามปกติแล้วหากจะเดินทางในมหาลัย เรามักนิยมใช้จักรยานไม่ก็รถรางของมอในการเดินทางแทนพวกมอเตอร์ไซด์ ประจวบกับตามทางเดินมีต้นไม้ร่มรื่นจึงเหมาะแก่การปั่นจักรยานไปมาแต่ละตึกเรียนแม้แต่ในตอนกลางวัน หรือแม้แต่การปั่นเล่นในตอนกลางคืน
หลังจากที่ปั่นมาถึงบริเวณหน้ามอ พวกผมก็จอดจักรยานไว้ในที่ที่ทางมหาลัยจัดไว้ ก่อนจะล็อคล้อแล้วเดินข้ามสะพานลอยไปหาอะไรกิน
❋❋❋
และแล้วเราก็ได้มาถึงตามสั่งร้านประจำของพวกเรา ที่มีเจ้าของชื่อว่าเจ๊หมวย คนในร้านหนาแน่นเป็นปกติเพราะนอกจากเจ๊แกจะใจดีแล้วยังให้ข้าวเยอะเมื่อเทียบกับร้านอื่น นักศึกษาจึงนิยมมาทานกันหลังเลิกเรียนจากวันเหนื่อยๆ
พวกผมเมื่อได้ที่นั่งและสั่งอาหารเป็นที่เรียบร้อย เราต่างคนต่างก็นั่งเล่นโทรศัพท์เล่มเกมเงียบๆเพื่อข่มความหิวของตัวเองกันไป แต่ยังไม่ทันที่ข้าวจะมาถึงเสียงของไอ้ยีนส์ก็ทักขึ้นมาทำลายความเงียบของโต๊ะเราเสียก่อน
“นั่นกลุ่มไอ้พิวปะวะ”
เมื่อผมหันไปก็พบกับไอ้พิวและผองเพื่อนมันที่กำลังหาโต๊ะกันอยู่ ปกติกลุ่มนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 4 คนครับ ได้แก่ พิว สมุย เต้ และไอ้เคนเดือนคณะ แต่วันนี้กลับไม่เห็นไอ้เคน สงสัยคงจะยุ่งๆกับงานคณะอยู่ คนฮอตก็เงี้ยแหละ
ผมหันหน้ากลับมาดังเดิม สมองก็พลันคิดได้ว่าไอ้ตุลลี่ที่นั่งตรงข้ามผมมันต้องทำอะไรสักอย่างแน่นอน
“ตายแล้ววว พิวขาโต๊ะนี้ว่างค่า” ความจริงอีกข้อนึงคือร่างตุ๊ดของนายตุลาจะประทับลงแบบเต็มร้อยตอนเจอไอ้พิวในทุกครั้ง ไม่รอช้าปากก็ตะโกนเรียก มือข้างซ้ายกวักเรียก มือข้างขวาตบลงปุๆบนโต๊ะตัวข้างๆ
นี่ถ้าไอ้ตุลลี่เป็นหวย คนคงถูกทั้งประเทศไปแล้ว!!!
ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มไอ้พิวที่หันมาให้ความสนใจไอ้ตุลลี่อยู่กลุ่มเดียว เพราะคนทั้งร้านได้หันมามองที่นายตุลาเป็นตาเดียวกันหมดแล้ว แต่เจ้าตัวก็หาได้แคร์ไม่ คงเป็นเพราะมันยึดคติประจำใจแบบคมๆที่ว่า ถ้าด้านไม่ได้ เรื่องผู้ชายก็อด กระมัง
ทางด้านคนตัวสูงเมื่อเห็นดังนั้น ก็หน้าเรียบตามนิสัย ก่อนเดินตรงมายังโต๊ะข้างๆผม ในขณะที่เพื่อนตุ๊ดของผมยิ้มหน้าบานจนแก้มจะมากองบนหน้าผากได้แล้ว
“หูยยย ไม่เคยเห็นพิวขาแต่งตัวชิวๆแบบนี้เลย แล้วนี่มากัน 3 คนเหรอ แล้วเคนไปไหนอะ?” ผมที่ได้ยินได้ตุลลี่พูดแบบนั้น เลยหันไปพิจารณาการแต่งตัวของร่างสูงในตอนนี้ ก็พบว่ามันได้เปลี่ยนจากชุดช็อปของคณะเป็นชุดลำลองธรรมดาแบบเสื้อยืด กางเกงขาสั้นพร้อมคีบอีแตะมากินข้าวแล้ว
“มันอยู่กับแฟน” พิวตอบเสียงเรียบตามสไตล์ ก่อนจะก้มเขียนสั่งรายการอาหารในมือ ก่อนให้ไอ้สมุยเป็นคนเดินไปส่งรายการ
“เคนไม่อยู่งี้ พิวขาต้องเหงาแน่ๆเลย งั้นให้ตุลลี่ไปเป็นแฟนพิวขาดีไหมคะ?”
“ไม่เป็นไร มีไอ้หมุยกับไอ้เต้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
“พิวขาอยู่หอหน้ามอเหรอ? แล้วพิวขาอยู่หอไหน?”
“หอมูนไลท์ เยื้องๆร้านข้าวเนี่ยแหละ”
“ดีอ่ะ รู้งี้ตุลลี่จะมากินข้าวร้านเจ๊หมวยทุกวันเลย”
“ไอ้พิว ตุลมันเต๊าะมึงขนาดนี้มึงไม่ใจอ่อนบ้างเหรอวะ?” เสียงของสมุยดังขึ้นขัดอีตุลลี่ที่กำลังออเซาะว่าที่ผัวในมโนของมันไม่มีหยุดหย่อน
“นั่นสิพิวขา เริ่มแอบชอบเราขึ้นมาบ้างหรือยังอะ?”
“ตรงๆ”
ท่ามกลางความงงงวยของทุกคนบนโต๊ะอาหารรวมถึงผม ที่อยู่ๆร่างสูงก็พูดคำๆนึงออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย รวมทั้งไม่มีความเชื่อมโยงกับประโยคก่อนหน้าแม้แต่นิดเดียว
“ตรงๆคืออะไรเหรอคะพิวขา?”
“แม่สอนว่าถ้าไม่ได้คิดอะไรด้วยให้พูดกับเค้าไปตรงๆ”
เท่านั้นแหละทั้งโต๊ะแม่งฮาลั่น แม้แต่ไอ้ยีนส์ที่นั่งเงียบๆมาตั้งแต่ต้นยังขำไปกับคนอื่น ไอ้พิวมันมีมุมอะไรแบบนี้กับเค้าด้วยเหรอวะ เพิ่งจะรู้
“โหยพิวขาอ่ะ ตุลลี่เสียใจนะเนี่ย”
ประโยคสนทนาเริ่มบางลงเมื่อข้าวที่สั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ แม้แต่ไอ้ตุลลี่ที่พูดมากๆยังยอมเงียบแล้วกินข้าว เพราะความหิวที่ถูกสะสมมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ
“กูว่าเขียนของกูไว้อันแรกสุดนะ แต่ทำไมพวกมึงได้ก่อนกูอีกอ่ะ” ผมโอดครวญหลังจากที่เห็นคนอื่นๆได้ข้าวกันหมดแล้ว รวมทั้งไอ้เต้ กับไอ้สมุยที่มาทีหลังพวกผมด้วย กูหิวแล้วนะโว้ยยยย
“อีไป๋ มึงก็รอแปปนึง ของพิวขาก็ยังไม่ได้ ถ้าของพิวขามาก่อนของมึงอีกเดี๋ยวค่อยไปทวง” แม้จะนึกน้อยใจที่เพื่อนให้ความสำคัญกับผัวก่อนเพื่อนเบอร์แรงสุด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งนิ่งๆรออาหารต่อไป
แต่ยังไม่ทันให้ได้บ่นเป็นหมีกินผึ้งอีกรอบ เสียงของเด็กเสิร์ฟตะโกนขึ้นมาด้วยอินเนอร์พี่ว้ากที่ฟังแล้วช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน
“ผัดไทยกุ้งสดของโต๊ะไหนครับ?!!!”
“โต๊ะนี้ครับ/โต๊ะนี้ครับ!!!” ผมหันไปมองคนข้างๆที่ยังไม่ได้อาหารเช่นเดียวกันกับผมที่พูดขึ้นมาพร้อมกัน แต่ต่างกันที่ผมลืมตัวแล้วเผลอตะโกนเสียงดังฟังชัดกลับไป กูนึกว่าตัวเองอยู่ในลานประชุมเชียร์ อีเหี้ย อายสัสๆเลย
“นี่มึงอินว้ากขนาดนั้นเลยเหรอไป๋ ฮ่าๆ” เป็นเสียงของไอ้เต้ที่ก่อนหน้านี้ไม่คิดจะเปิดปากออกมาเลย ผมเลยกวนตีนกลับด้วยการเขวี้ยงทิชชู่ใช้แล้วของตุลลี่ใส่อีกฝ่าย
“มึงสั่งผัดผัดไทยกุ้งสดเหมือนกูเลยอ่อ?” ถามเอื้อมหยิบตะเกียบ พลางถามร่างสูงแก้เก้อจากเมื่อกี๊ แอบสังเกตนิดๆด้วยว่าโต๊ะข้างๆแอบขำอยู่..
“อืม” มันตอบกลับมาสั้นอย่างสมกับเป็นมัน
หลังจากนั้นที่ทุกคนได้อาหารครบหมดแล้วความสงบสุขจึงได้กลับมาอีกครั้ง อาจมีตัวป่วนแบบไอ้ตุลลี่กับไอ้สมุยที่ชวนคุยนู้นนี่บ้าง เมื่อทานเสร็จอิ่มท้องเราต่างก็บอกลาและแยกย้ายกันตามปกติ พวกกลุ่มไอ้พิวอยู่หอหน้ามอกันทั้งหมด พวกกลุ่มพวกผมก็อยู่หอในกันหมดเช่นกัน
❋❋❋
“เฮ้ยพวกมึง แวะห้องน้ำใต้คณะก่อนได้ปะวะ ปวดขี้ว่ะ ไม่น่าถึงหอ”
ไอ้ตุลลี่พูดแทรกความเงียบในตอนที่ผมกำลังก้มปลดล็อกจักรยาน ก่อนที่ผมจะเงยขึ้นมาแล้วผมพบว่าไอ้ยีนส์ได้ปลดล็อกพร้อมออกตัวแล้วเป็นที่เรียบร้อย ส่วนตุลลี่ที่ไม่มีจักรยานเลยอาศัยซ้อนจักรยานผมเรื่อยมา ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติ เว้นแต่เหงื่อที่ไหลออกมาเหมือนก๊อกแตก และมือที่ลูบไปมาที่แขนขนลุกชันของมัน
เออ เชื่อละว่าปวดขี้จริง
“เออ ไอ้ท่อสั้น อย่าเพิ่งขี้แตกกลางทางนะมึง”
สุดท้ายแล้วผมกับไอ้ยีนส์ก็ได้รับหน้าที่ให้มาเฝ้าตุ๊ดผู้น่ารักประจำกลุ่มเข้าห้องน้ำใต้ตึกคณะอย่างจำยอม จะบอกให้ว่ายุงตอนกลางคืนของที่นี่มันดุมากครับ ดุชนิดที่ว่าสามารถกัดผ่านกางเกงผ้ายีนส์หนาของผมได้
เราสองคนนั่งที่โต๊ะกลมใต้ตึก ตบยุงบ้าง หาเรื่องชวนไอ้ยีนส์ตีบ้าง จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้ามากกว่า 1 คนดังมาจากทางด้านหลัง ในตอนแรกผมคิดว่าคงเป็นพวกรุ่นพี่นักกีฬาที่มักจะอยู่ที่คณะจนดึกดื่น แต่จังหวะที่ผมจะหันไปมองก็ได้โดนไอ้ยีนส์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆลากไปหลบข้างหลังของเสาข้างๆโต๊ะนั่นแทน
“อะไรของมึงวะไอ้สั-”
“จุ๊ๆ” มันจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้อยู่เงียบๆ พยักเพยิดให้ผมกลับไปมองในสิ่งที่ผมอยากเห็น
และนั่นก็ทำให้ผมพบเจอในสิ่งที่ผมเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน..
หากผมเป็นหมอคงอาจอธิบายปฏิกิริยาทางร่างการตอนนี้ของตัวเองได้ในทันที
หัวใจเต้นแรง มือเริ่มสั่นเทาอย่างเบาๆ สมองตื้อจนชาไปหมด ตาพร่าจนเหลือจุดที่สามารถโฟกัสได้แค่จุดเดียว และในตอนนั้นก็มีจุดที่ให้ผมโฟกัสเพิ่มขึ้นมาอีกจุดนึง
ในจุดแรกเป็นคนที่ผมเคยรักและเป็นผู้หญิงที่มีความทรงจำต่อกันดีมากคนนึงที่ผ่านมาในชีวิต นั่นก็คือ พลอยใส ทันทีก็มีคำถามขึ้นมาในหัวว่า เธอมาทำไม? และหลังจากนั้นคำตอบของคำถามก็เดินขึ้นมาเทียบข้างก่อนจะแกล้งเบียดกระแซะอย่างหยอกล้อ
“แฮร่!!!”
“เฮ้ย เคนเล่นอะไรบ้าๆ”
“พลอยกลัวด้วยเหรอ ฮ่าๆ แต่ความจริงพลอยไม่ต้องกลัวหรอกนะ” มันเอื้อมมือไปวางบนหัวพลอยอย่างช้าๆ ก่อนทั้งสองจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ จากจุดนี้ผมสามารถเห็นใบหน้าทั้งใบของพลอยใสได้อย่างชัดเจน ดวงตาของเธอมักบอกอะไรหลายๆอย่างออกมาเสมอ เช่น ในครั้งนี้ที่ตาของเธอมันไม่ได้หลงเหลือสายตาของความน่าสงสารในครั้งล่าสุดที่ผมได้สบตาเธอแม้แต่นิดเดียว
มันมีแค่เพียงสายตาของความสุข
ความสุขที่ล้นออกมาเท่านั้น
สมองของผมประมวลภาพตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะกลั่นกรองออกมาเป็นความรู้สึกในตอนนี้ที่หลากหลาย
สงสัย?
โกรธ?
น้อยใจ?
แต่สิ่งที่ผมแน่ใจในตอนนี้ คือ การโกหกของเขา
เธอไม่ได้เอาเวลาที่ตัดผมออกไปจากชีวิต ทำในสิ่งที่เธอเคยบอกคือการตั้งใจเรียน
ผมควรโกรธในสิ่งที่เธอโกหก ว่าเธอเห็นความรู้สึกของครอบครัวสำคัญ แต่จริงๆแล้วเธอเห็นคนใหม่สำคัญ
หรือผมควรผิดหวังที่เธอดูไม่ได้เสียใจ หรือเสียดายไปกับเรื่องของเราที่จบลงไปแล้วเลยดี?
“ทำไม ถ้าเรากลัวเคนจะปกป้องเราเหรอ?”
“เปล่า จะบอกให้พลอยเอาขาเตะผีได้เลย เบอร์นี้ผีสลบง่ายๆแน่นอน”
“เดี๋ยวเถอะเคน!!!”
รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะทั้งหมดทั้งมวลนั่น ได้อยู่ในสายตาคนเสียมารยาทแบบผมหมดแล้วทุกอย่าง ตอนนี้ผมอยู่ในมุมที่สามารถเห็นโลกของพวกเขาในที่ดูจะเหมือนใกล้ แต่มันไกลในความรู้สึกเหลือเกิน
มันยิ่งตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ได้เป็นของผมอีกต่อไปแล้ว เธอเป็นของไอ้เดือนคณะนั่น และตอนนี้ผมได้กลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็ว
วงโคจรที่เคยตัดกันของเรา ในตอนนี้มันห่างจนดูไม่เหมือนเส้นขนานเสียด้วยซ้ำ และเขาก็ดูไม่เหมือนดาวเคราะห์ที่เราเคยมาโคจรรอบกันแต่อย่างใด
ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...
“เคนรีบๆหาของเถอะ พลอยไม่อยากอยู่ที่นี่นาน”
“อื้อ แปปนะ อ่อ เจอแล้วๆ เรารีบกลับกันเลยดีกว่า”
ผมที่ไม่สามารถทนเห็นภาพอะไรได้อีก ตัดสินใจหันหลังให้ตั้งแต่หลายประโยคก่อนหน้าที่เสียงฝีเท้าของพวกเขาจะย่างออกไปไกล ไกลจนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว
ทั้งบริเวณนี้ ทั้งผม ทั้งไอ้ยีนส์ และไอ้ตุลลี่ออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่กลับไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาแม้แต่คนเดียว
“ไป๋มึงอย่าเพิ่งพูด ปั่นจักรยานกลับตอนนี้ไหวหรือเปล่า”
เพียงแค่เงยหน้าสบตาเท่านั้น ทั้งสองคนก็เหมือนได้อ่านจิตใจของผมไปทั้งหมดเสียแล้ว ผมที่หมดเรี่ยวแรงเหมือนได้ไปวิ่งรอบสนามบอลมาสักสิบรอบ เมื่อสติกลับมาก็ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆอย่างจำนนในความรู้สึกตัวเอง
ให้พูดตรงๆ คือโคตรจุก แล้วก็โคตรเสียใจเลยว่ะ...
-
ผมกลับมาเป็นผม คนที่เคยเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนและเมื่อหลายวันก่อน กับเรื่องแบบนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ยากที่จะทำใจอยู่แล้ว หลังมารู้ว่าสิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่แบบเดียวกันแล้ว เหมือนเป็นการรื้อฟื้นขึ้นมาแล้วยังทวีความผิดหวังในตัวเขาเข้าไปอีก ให้ตายยังไงในตอนนี้ผมก็คงยังสลัดเรื่องบ้าๆนี่ออกจากหัวในทันทีคงไม่ได้
ไปคบกันตอนไหน?
แล้วเรื่องพ่อแม่ของพลอยใสเป็นแค่ข้ออ้างในการบอกเลิกหรอกเหรอ?
หรือพลอยใสโดนไอ้เคนหลอก?
หงุดหงิดโว้ยยยยยยยยยย
“ไป๋ วันนี้ที่มึงเห็นอาจไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้นะเว้ย” ไอ้ยีนส์ที่เห็นผมนอนหัวฟัดหัวเหวี่ยงบนเตียง ก็เอ่ยขึ้นแบบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“มึงกับไอ้ตุลก็เห็นปะวะ ตำตาขนาดนั้นนี่เป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”
“เออน่ามึงคิดในแง่ดีไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปถามไอ้เคนตรงๆเลยดีกว่านะมึง” ไอ้ตุลลี่ที่บอกว่าวันนี้จะอยู่นอนที่ห้องกับพวกผม ก็ยืนกรานหอบหมอนมุ้งผ้าห่มมาจะนอนกลางห้องแบบหัวชนฝา
ผมที่นอนบนเตียง เหม่อสายตามองเพดาน ก่อนจะทวนคำพูดของตุลลี่สักพัก .. เออ เอาว่ะ พรุ่งนี้ค่อยไปเคลียร์กับมันก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นในสิ่งที่กูเห็นจริงๆ และยิ่งถ้าไอ้เคนเป็นคนที่ทำตัวผิดในเรื่องนี้ ผมคงต้องมีอะไรที่มากกว่าการพูดกับมันเฉยๆแล้ว
“แต่คุยกันด้วยความประนีประนอมโนะไป๋โนะ” เหมือนไอ้ตุลลี่สามารถอ่านใจผมออกได้จริงอย่างไรอย่างนั้น
“มึงเห็นกูเป็นคนยังไงไอ้ตุลลี่ แมนๆเปิดอก ชกต่อยใช้กำลังไม่เคยมีเว้ย”
“เอาให้จริงเถอะคุณชาย พรุ่งนี้มีเรียนวิชาคณะ ตอนนี้ก็นอนได้แล้ว”
แล้วทุกคนก็ทิ้งโลกแห่งความจริงไปสู่โลกแห่งนิทรากันหมด โดยฟังจากการหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอนั่น เหลือเพียงแค่ร่างโปร่งในชุดนอนสีฟ้าที่ตอนนี้ดูเหมือนจะยากในการข่มตาให้หลับลงในคืนที่ยาวนานนี้
ผมตะแคงตัวกลับไปมองเพื่อนสองคนที่นอนได้อย่างสบายใจก็ได้แต่ทอดถอนหายใจอยู่เพียงคนเดียว เมื่อไหร่จะเช้าวะ แม้นาฬิกาบอกเวลาว่าเหลือกี่ชั่วโมงไก่ก็จะขันรับแสงอาทิตย์แล้ว พลันนึกได้ว่าพรุ่งนี้มีเรียนในวิชาที่สำคัญที่ไม่สามารถขาดได้ ก็เริ่มข่มตา ทำสมองให้ปลอดโปร่งอีกครั้ง ไว้ก่อนเว้ยไป๋ ถึงความรักจะเหี้ยไปหน่อย แต่ก็อย่าให้มันเสียถึงการเรียนเว้ย
❋❋❋
“ไป๋ มึงหันหน้ามาสัญญากับกูตรงนี้ก๊อนนนนน”
“ไอ้ตุลลี่อะไรของมึงอีก เดี๋ยวชักช้าไม่ทันคุยจะทำยังไง”
เมื่อผมไม่ได้ดั่งใจของมัน ไอ้ตุลลี่เลยเอามือทั้งสองของมันแนบเข้าที่ใบหน้าของผมเพื่อให้หยุดมองหน้ามันตรงๆ สองขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้ายาวๆต้องหยุดชะงัก พร้อมจิ๊ปากเหมือนคนโดนขัดใจ
“มึงมองหน้ากูแล้วสัญญามาว่าจะไม่ชวนไอ้เคนทะเลาะ”
“เออ กูสัญญาไปแล้วไง”
“และต่อให้มึงหัวร้อนแค่ไหนก็ห้ามมีเรื่องชกต่อยนะโอเค๊”
“เอออออ กูแค่อยากฟังเรื่องทั้งหมดจากปากมันแค่นั้นเอง มึงเห็นกูเป็นอันธพาลหรือไงไอ้ตุล รีบปล่อยกูเร็วๆ เดี๋ยวมันไป”
ผมแทบจะถลาออกวิ่งไปทันทีที่ไอ้ตุลลี่ปล่อยมือออกจากหน้า ดังนั้นจึงรีบจ้ำไปยังสถานที่ประจำของกลุ่มพวกมันที่มักจะเป็นซุ้มโค้กข้างแลปอุตสาหการ และเมื่อผมย่างก้าวมาถึงที่แล้วก็ได้ส่องสายตามองไปรอบๆเพื่อหาตัวไอ้เคน และแล้วผมก็เจอ...
ร่างหนาผิวค่อนไปทางเข้มของมันนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงโซนสูบบุหรี่อยู่เพียงคนเดียว ให้เดาว่าพวกเพื่อนที่เหลือคงไปซื้อของกัน ในมือของหมอนั่นกำลังพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างอยู่ อีกทั้งมุมปากที่ยกยิ้มนิดๆ ปฏิกิริยาแบบนั้นคงเดาไม่ยากนักว่าข้อความที่กำลังพิมพ์จะถูกส่งไปหาใคร..
“ไอ้เคน กูคุยด้วยหน่อยดิ”
“อ้าว ไอ้ไป๋ ลมอะไรพัดมึงมาอ่ะ นั่งก่อนดิๆ” มันขยับตัวให้พื้นที่ข้างตัวที่ผมกำลังจะนั่งให้กว้างขึ้น ก่อนจะพูดอะไรออกไปผมก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆทีนึง ในหัวตอนนี้มีแต่คำพูดของไอ้ตุลลี่อยู่ ไอ้ไป๋ใจเย็นๆ
“ไม่อ้อมเลยแล้วกัน มึงเป็นแฟนกันพลอยใสอยู่เหรอ?” มันละความสนใจจากสมาร์ทโฟนตรงหน้าก่อนจะเงยหน้ามามองผมแบบเต็มๆตา
“เออใช่ มึงจะทำไม” มันว่าพร้อมคว่ำหน้าโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น .. จนน่ากลัว
“คบกันมานานเท่าไหร่แล้ววะ?”
“เพิ่งเดือนแรก” สิ้นคำของร่างใหญ่ตรงหน้า ผมก็ปิดเปลือกตาลงเพื่อระงับอารมณ์ที่อาจพาลไปสู่การมีปากเสียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง
และเมื่อผมเผยเปลือกตาขึ้น ปลายหางตาก็ไปสะดุดกับกลุ่มเพื่อนของผมทั้งสี่คนที่กำลังมองตรงมาอยู่ห่างๆ
ขอบใจมากเว้ยพวกมึง...
“มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะไป๋?” ด้านไอ้เคนที่เห็นว่าผมเงียบไปก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแคลงใจ ให้ทายว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว
“กูเพิ่งเลิกกับพลอยใสเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว” สิ้นคำพูดของผม สายตาคู่นั้นก็เบิกกว้างเล็กน้อยราวกับเพิ่งได้เรื่องที่มันเหลือเชื่อเหลือเกิน ก่อนที่จะปรับกลับมาเป็นปกติเช่นในตอนแรก
“แล้วมึงจะมาบอกกูทำไมวะ”
“กูขอยืนยันว่าเรื่องที่กูพูดเป็นความจริง และถ้ามึงก็ยืนยันว่าสิ่งที่มึงเล่าเป็นความจริงก็ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้กูฟังที” มันเงียบราวกับกำลังใช้สมองในการตัดสินใจ
“ก่อนหน้านี้มึงรู้ปะว่ากูกับเขาเป็นแฟนกัน?”
“ตอนกูจีบเค้าเมื่อเดือนที่แล้ว พลอยบอกเพิ่งเลิกกับมึงมา...”
“โอเค กูต้องการแค่นี้แหละ ขอบใจมากไอ้เคน”
“เดี๋ยวไป๋ ถ้ามึงไม่โอ-”
“ไม่เป็นไรมึง กูไม่เสียใจแล้ว กูแค่อยากมาฟังจากปากมึงเฉยๆ” ผมตบบ่าไอ้เคนไปสองที แต่ก่อนที่จะเดินออกมาจากตรงนั้น ผมพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และเป็นสิ่งที่ผมเห็นสมควรจะพูดกับมันมากที่สุด
“อันที่จริงพลอยเป็นคนน่ารักคนนึงเลยนะ คิดซะว่าวันนี้กูไม่ได้มาพูดอะไรแล้วกัน ดูแลกันดีๆนะเว้ย”
“เออ เรื่องมันแน่อยู่แล้ว .. แต่มึงโอเคแน่จริงๆเหรอวะ?“
“ขอบใจที่เป็นห่วง กูไม่รู้สึกอะไรกับพลอยแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะยังไงมึงก็ยังเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิม”
ผมยิ้มส่งท้ายให้มันไป ก่อนที่มันจะยิ้มอ่อนๆกลับมา มันก็คงหนักใจไม่ต่างจากผมตอนแรกหรอก ไอ้เคนมันก็รักพลอยใสไปแล้ว ผมก็คนนอก จะให้ผมทำอะไรได้มากกว่านี้เหรอ?
คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากการอวยพร
ขอให้เป็นเคนและพลอยใสที่มีความสุขมากๆนะ
ถือเสียคำอวยพรว่าเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าที่กำลังจะถึงแต่ไม่มีโอกาสได้ให้เธอก็แล้วกัน
หลายคนอาจด่าผมไปแล้วว่าผมมันโง่หรือเปล่า ที่มีตรรกะเกี่ยวกับความรักแบบนี้ หรือทำไมผมยังสามารถอวยพรให้เขาทั้งสอง ทั้งที่ผมเป็นคนโดนหลอก และต้องมานั่งเสียใจเพียงคนเดียว
คือความคิดผมมันบอกให้ผมเดินออกมาแทนที่จะไปยืดเยื้อเค้นให้เธอขอโทษในสิ่งที่เธอทำ แล้วให้เธอกลับมา ถ้าทำแบบนั้นจริงผมก็จะได้แค่ตัวพลอยกลับมา แต่ไม่มีหวังที่จะได้ใจกลับ แถมอาจยังต้องเสียเพื่อนดีๆแบบไอ้เคนไปด้วย สุดท้ายเมื่อรับรู้ความเป็นมาทั้งหมดต่อให้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรก็ได้ ผมก็จะยอมให้ทุกอย่างเป็นแบบปัจจุบันนี้
ผมยอมเอาความเสียใจในวันนี้ไปแลกเพื่อความสบายใจที่จะเกิดขึ้นดีกว่า
ผมเดินกลับมาหายังไอ้พวกเพื่อนๆที่ทำหน้าโล่งใจเมื่อผมเดินออกมาโดยไม่มีเรื่องชกต่อย จากนั้นเราจึงพากันไปหาข้าวเที่ยงกินที่โรงอาหารคณะอื่น แล้วจึงตัดสินใจเล่าคำพูดระหว่างผมกับไอ้เคนให้พวกมันได้ฟังทั้งหมด เท่านั้นแหละ พวกเพื่อนๆทั้งหลายก็เกิดอาการที่เรียกว่า อินจัด ขึ้นมาในทันที
“โห อีไป๋มึงยังจะให้อภัยผู้หญิงแบบนี้อีกเหรอวะ เป็นกูนี่จะตามตบให้ถึงคณะเลย”
“ผู้ชายที่ไหนเขาตบผู้หญิงกัน?”
“แล้วนี่มึงเริ่มตัดใจจากพลอยใสอะไรนั่นได้ยังวะ”
ไอ้ก๊าซถึงกับไม่จับส้อมซ้อมขึ้นมากินข้าวแล้วนั่งฟังผมอย่างตั้งใจ มาตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้ ต่างจากไอ้ครามที่ได้แต่ฟังเงียบๆแล้วตอบรับกลับบางทีอย่างมีมารยาท พวกมึงสองคนนี่อยู่ด้วยกันได้ไงวะ
“ก็นิดนึงอ่ะ รักมาตั้งเยอะจะให้ตัดใจปุบปับมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“เออ ค่อยๆตัดใจไปแบบนี้แหละ ไม่ต้องกดดันตัวเองหรอก พาตัวเองออกมาทีละนิด เดี๋ยวก็ทำได้” ผมหันไปมองหน้าไอ้ยีนส์แบบอึ้งๆ
“ เขร้ ยีนส์ มึงมีความคิดอะไรดีๆแบบนี้ด้วยเหรอวะ? โอ้ย! ไอ้สัส กูเจ็บ” กวนตีนผู้มีบทบาทเป็นรูมเมทด้วยกันไม่ทันไรก็เจอเลยครับ ขวดน้ำพลาสติกยังแบบยังไม่ได้เปิดฝา ฝาดเข้าเต็มๆกลางหัว..
“ไอ้ห่าคนจะปลอบ จะแนะนำ ยังมีหน้ามากวนตีน”
“เออ ที่ไอ้ยีนส์พูดอ่ะถูกละ มึงต้องพาตัวเองออกมา มูฟออนไปให้สุด แล้วหยุดที่คำว่าเมียใหม่!!!”
“มูฟออนเหี้ยไรล่ะไอ้ตุลลี่ ให้กูได้พักหัวใจก่อนเถ๊อะ”
“เออ มูฟออน เมียใหม่อะไรของมึงอีตุลลี่ มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะเดี๋ยวไป่ไป๋หนีไปเป็นเมียคนอื่นแทนแล้ว ฮ่าๆ” ทันทีที่ไอ้ก๊าซปล่อยมุกขึ้นมากลางวง ทั้งโต๊ะก็ปล่อยก๊ากออกมาแม้แต่ไอ้ครามมันก็เอากับเค้าด้วย
ไปเป็นเมียคนอื่นอะไรของพวกมึ๊งงงงงง
จนแล้วจนรอดก็ยังขอบคุณความเข้มแข็งในตัวเองที่ยังสามารถทำให้ผมอยู่เรียนช่วงบ่ายที่ตึกคณะได้ไหว ไม่ได้เศร้ากลับหอไปนอนซมเหมือนอย่างเคย
“พวกมึง เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำนะ” ในขณะที่กำลังรอเรียนในวิชาช่วงบ่ายที่เป็นคาบเลกเชอร์ที่ห้องเรียนชั้นสี่ที่เป็นชั้นเรียนของภาคเครื่องกลอยู่นั้น ถึงแม้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้วแต่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ผมที่จู่ๆก็เกิดปวดธุระขึ้นมา จึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำในอย่างไม่รอช้า
เมื่อมาถึงห้องสุขาผมก็ต้องยกยิ้มด้วยความสบายใจเพราะในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว เออ เข้าคนเดียวกูสบายใจชิบหายเลย แต่ในขณะที่กำลังยืนปลดเข็มขัดออกเพื่อที่จะได้ทำธุระ ก็มีคนมาใหม่เดินมาหยุดที่โถข้างๆกัน มือที่กำลังสาละวนอยู่เบื้องล่างก็หยุดลงและหันไปมองผู้มาใหม่เสียก่อน
“อ้าว ไอ้พิว” หลังจากที่ผมเอ่ยทัก มันเหลือบมามองผมตามเสียงเรียกเล็กน้อย ก่อนจะยักคิ้วให้ แล้วจัดการธุระของตัวเองไป ผมเลยเลิกสนใจร่างสูงแล้วกลับมาสนใจที่กางเกงของตนเองดังเดิม
“ได้ข่าวไปเคลียร์กับไอ้เคนมา” มือที่กำลังรูดซิปขึ้นก็ชะงักทันที
“เออใช่”
“ก็ดีแล้วที่ไม่หัวร้อนจนต่อยกัน” ผมเดินไปหยุดตรงอ่างล่างมือข้างๆมันที่ยืนเหมือนรอผมอยู่ ก่อนเปิดน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปรกที่ฝ่ามือ
“เห็นกูเป็นคนยังไงกันวะเนี่ย?” ร่างสูงหัวเราะเพียงเบาๆ แต่ก็ยังไม่เดินไปไหน ผมเลยรวบรวมความกล้าและถามคำถามที่อยากรู้ออกไปจนได้
“ก่อนหน้านี้มึงรู้ปะว่ากูกับพลอยใสคบกันอยู่?”
“..รู้”
“แล้วตอนที่ไอ้เคนคบพลอยใสนี่มึงรู้ปะว่าเขาก็ยังคบกับกูด้วย?” ผมถามเพื่อเช็คให้แน่ใจ เพราะการคบกันของสองคนนั้น เพื่อนสนิทในกลุ่มอย่างไอ้พิวต้องรู้แน่นอน
“ไอ้เคนไม่รู้ แต่กูรู้”
“เอ้า แล้วทำไมมึงถึงปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปแบบนี้วะ?”
“แล้วตอนนั้นจะให้กูทำไงอ่ะ?” บทจะโง่ก็โง่ขึ้นมาเลยไอ้เวรนี่
“มึงก็ต้องไปบอกเพื่อนมึงสิ” ผมเถียงด้วยความที่ผมอยากพยายามหาทางชนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นก็ตาม
“ก็ฝ่ายหญิงเขาบอกมาแบบนั้นกูจะทำอะไรได้”
“แล้วทำไมมึงไม่มาบอก-”
“ให้กูไปบอกมึง? ถ้าตอนนั้นไปบอกจริงทำอย่างกับว่ามึงจะเชื่อกูตายห่าแหละ” เมื่อคิดตามดีๆแล้วก็จริงอย่างที่มันว่า ก่อนหน้านี้เราแทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องที่ให้ผมเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคงยากเอาการ
“เออ ช่างแม่งเหอะ แล้วก็ถอยออกไปซักที กูจะออกไปเรียนแล้ว” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมได้มายืนหลังชิดกับผนังห้องน้ำโดยร่างสูงยืนอยู่ด้านหน้าชนิดที่ว่าร่างกายห่างกันไม่ถึงไม้บรรทัดแบบนี้
“เอ้า ไอ้สัสถอยออกไปดิ” ผมมักรู้สึกแปลกๆเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ แม้นี่จะเป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม แต่คงไม่มีใครชินเวลามีคนมายืนใกล้ๆแบบนี้ .. มันใกล้จนแทบจะมองเห็นขนตาเรียงเส้นได้แทบทุกอณูอยู่แล้ว
“อือ” มันแยกตัว และหันหลังเดินกลับไปอย่างว่าง่าย แต่ยังไม่ทันที่จะให้ผมได้หายใจหายคอสะดวก ร่างสูงของมันก็หยุดเดินเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะพูดมันออกมา
ซึ่งแน่นอนเวลาไอ้พิวพูดประโยคอะไรออกมายาวๆ แม่งไม่เคยธรรมดาเลยสักครั้ง...
“ส่วนมึงก็เอาเวลาที่อกหักเสียใจไปออกกำลังกายบ้างนะ”
“ทำไมวะ?” ผมที่ยืนอยู่ที่เดิม ก็ได้แต่มองเพียงด้านหลังของมันด้วยความสงสัย
“อะไรๆข้างล่างๆมันห่อเหี่ยวไปกับมึงจนหดเล็กลงหมดแล้ว”
“ไอ้เหี้ยพิว!!!”
แม่งโคตรของโคตรหยาบคาย!!!!!
ผมตะโกนไล่หลังร่างสูงที่เดินออกไปจากห้องน้ำทันทีหลังพูดจบ แต่ก็มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอเท่านั้นที่ถูกตอกกลับมา แม้ว่าจะเจ็บใจขนาดไหนแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไร..
หยามไป๋น้อยชิบหายเลยแม่งเอ้ย T______T
-
:pig4:
-
chapter two。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
หลังจากวันนั้น วันที่ผมได้รับรู้และเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง มันก็ทำให้ผมกลับมามองตัวเองมากกว่าเดิม ใช้เวลาหลายอาทิตย์ในการทบทวนตัวเองว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปในความสัมพันธ์หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ คำตอบของผมก็มีเพียงแค่คำว่า ไม่มีเลย..
ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะล่วงเกิน
ไม่มีที่จะไม่รับฟังในเรื่องที่เธอลำบากใจ
ไม่มีที่จะไม่ไปส่งเธอให้ไกลที่สุดเท่าที่เธออยากให้ไป
ไม่มี ไม่มี และไม่มี
ดังนั้นผู้ชายแบบไป่ไป๋คนนี้ก็จะไม่เสียใจกับอะไรเดิมๆให้ตัวเองแย่ลงอีกแล้ว คิดเหรอว่าผมจะโศกเศร้าเสียใจจนแดกเหล้าหัวเมาราน้ำ เรียกร้องความสนใจจากคนที่ใจไม่เหลืออยู่แล้วไปทำไมกัน
เมื่อเสียใจก็ต้องเสียใจให้สุด แล้วไปหยุดในจุดที่จะสามารถมองความเสียใจที่ผ่านไปโดยไม่รู้สึกอะไรแล้วเพราะฉะนั้นผมจะขอจบเรื่องของเขาไว้แค่ที่ย่อหน้านี้พอ และเมื่อคิดปล่อยผมไปแล้วต่อให้กลับมาคุกเข่าขอร้องก็จะไม่ยอมกลับไปอีกเด็ดขาดเป็นผู้ชายย่อมมีศักดิ์ศรี ส่วนที่ผ่านมาผมจะเลือกจำแค่เรื่องดีๆพอ อะไรที่ไม่ดีๆก็จะยอมลืมและอโหสิให้ เพราะไป่ไป๋สะดวกแบบนี้ ตุลลี่สอนมา!!!
ไป่ไป๋จะเลิกดราม่า เพราะชีวิตต้องมูฟออน
“อีไป๋ มึงกลับมาเป็นผู้เป็นคนแล้ว ไม่เสียแรงที่พูดกรอกหูมึงทุกวันก่อนนอนจริงๆ”
“เออ พูดกรอกหูจนกูเริ่มติดนิสัยหวานๆแบบมึงแล้วเนี่ย”
“เอาน่าอย่างน้อยมึงก็รู้สึกดีขึ้นปะวะ”
“..ก็จริง”
เพราะวันนี้เป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ไม่มีเรียน พวกเรา 5 คนจึงเลือกมานั่งล้อมวงกลางห้องดูหนังกันอย่างครบองค์ประชุม
ถ้าถามว่าวันหยุดทั้งทีทำไมถึงไม่กลับบ้าน สาเหตุจากปากของเด็กมหาลัยก็มีเพียงไม่กี่อย่างหรอกครับ ข้อแรกเลยคือบ้านกับมหาลัยไกลเกินกว่าที่จะกลับได้ และสอง...
“เฮ้ยๆ กลุ่มพวกมึงเริ่มทำ Role play กันยังวะ?”
ใช่ครับ ข้อสอง อยู่อ่านหนังสือไม่ก็ทำงานกลุ่มเนี่ยแหละ
“กลุ่มกูนัดทำอาทิตย์หน้ามั้ง” ไอ้ก๊าซ
“ของกลุ่มกูยังเขียนบทไม่เสร็จ” ไอ้ตุลลี่
“กลุ่มกูทำพรุ่งนี้” และเสียงไอ้คราม
“มึงอะไป๋?”
“วันนี้ตอนบ่ายสอง”
“เอ้า ไอ้เหี้ยนี่บ่ายโมงห้าสิบแล้วเนี่ย มึงไม่ไปเตรียมตัวเหรอ?”
กูก็เพิ่งนึกได้ตอนมึงถามนี่แหละเพื่อน T_____T
หลังจากที่จำใจเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นแก่การไปทำงานกลุ่มลงกระเป๋าเป้ บอกลาเพื่อนฝูง ก่อนจะสะพายออกจากห้องมาด้วยหัวใจที่ห้องเหี่ยวเหลือเกิน
ฮือ ไป๋ อยากนอนดูหนัง
หยิบมือถือประจำตัวขึ้นมาเช็คเวลา และสถานที่อีกครั้งเพื่อความชัวร์ เมื่อแน่ใจแล้วจึงเดินแบบเอื่อยๆไปยังที่นัดหมาย สายตาสอดส่องชมนกชมไม้อะไรไปเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดก็เดินมาถึงศูนย์การเรียนรู้สถานที่นัดหมายเสียที
อันที่จริงแม่งก็ไม่ได้ไกลจากหอหรอก มีแต่ความนิสัยเสีย และความขี้เกียจเท่านั้น ที่ทำให้เดินอู้ไปเรื่อย กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาเกินกว่าปกติไปพอสมควร
“ไป๋ ทางนี้ๆ” พะแพงสาวคณะแพทย์ ที่มักจะมีพลังงานในตัวเองสูงเสมอ หรือเรียกง่ายๆสั้นๆว่า ดีด อะ..
“สายไปสิบห้านาทีเลยอะ ขอโทษนะ ทุกคนรอนานแย่เลย” พร้อมทำหน้าตาที่คิดว่าดูน่าสงสารที่สุดในชีวิตใส่เพื่อนในกลุ่มโปรเจคเผื่อทุกคนจะมีความเห็นใจหลงเหลือให้คนซุยๆแบบผมบ้าง
จริงๆแล้วกลุ่มเรามีด้วยกันทั้งหมด 4 คนครับ นั่นก็ได้แก่ พะแพง คณะแพทย์, ขวัญ คณะพยาบาล, เปรมเพื่อนชายอีกคนในกลุ่ม เรียนคณะวิทยาศาสตร์ และอีกคนเป็นใครไปไม่ได้ครับ ไป่ไป๋ รูปหล่อ คณะวิศวกรรมศาสตร์คร้าบผม
“ไม่เป็นไรหรอกไป๋ แค่แพงรีบออกจากบ้านมาถึงตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเพื่อเตรียมของเอง” ฉึก
“ไม่เป็นไรนะไป๋ เมื่อกี๊เรากับขวัญไปกินข้าวเสร็จกลับมาก็ยังไม่เจอไป๋เอง” ฉึก
แงงงงง ทุกคนเราขอโทษ
“ฮ่าๆๆ ทุกคนเลิกแกล้งไป๋ได้แล้ว รีบอ่านบทรีบถ่ายกันดีกว่า เดี๋ยวแสงหมดกันพอดี” ผมลืมบอกไปหรือเปล่าครับว่า ขวัญเป็นสาวพยาบาลที่เหมือนเกิดมาเพื่ออาชีพนี้จริง หน้าตาดูสะอาดสะอ้าน คำพูดคำจาอ่อนหวาน ไม่เคยที่จะพูดทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจ แม้เพื่อนๆจะแกล้งผมด้วยความจังไรขนาดไหน ก็จะมีขวัญเนี่ยแหละครับ คอยห้ามทัพให้ผมอยู่ตลอด
แอร๊ยยย คิดไรกับเราปะเนี่ย
“ไอ้ไป๋ มึงเลิกมองขวัญด้วยสายตาแบบอยากได้เป็นเมียสักที ขวัญมันมีผัวแล้วโว้ย” หัวผมหันขวับไปมองไอ้เปรมต้นเสียงของประโยคล่าสุดทันที ก่อนจะหันกลับมามองสาวพยาบาลในฝันอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่มันพูด
“อือ” ทันทีที่สิ้นเสียงตอบรับ กับเจ้าตัวที่อมยิ้มแล้วหน้าแดงไปถึงหูนั่น มันก็ทำให้ผมใจแบบลีบเหมือนลูกโป่งไม่มีลมอีกครั้ง
เริ่มต้นการมูฟออนก็แป้กแล้วมึงเอ้ย
“หูย ไรว้ามาไม่ทันเหรอเนี่ย”
“ไป๋ ถ้าไม่อยากโดนแฟนขวัญต่อย ก็หยุดเต๊าะแล้วมาอ่านบทซักที”
“คร้าบ แม่พะแพง”
พวกเรานั่งอ่านบทที่เป็นภาษาอังกฤษ ที่ต้องถ่ายเป็นการแสดงเกี่ยวกับหัวข้ออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับมหาลัยนั้น หลังจากที่ผมอ่านจนจบก็สามารถเล่าเนื้อเรื่องออกมาเป็นคำพูดได้ว่า..
ผมและบุคคลปริศนา ที่ฟังจากปากพะแพงว่าจะให้เพื่อนมาแสดงให้ รับบทเป็นคู่รักกัน จากนั้นเราก็ได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ส่วนพะแพงและขวัญรับบทเป็นเพื่อนๆของผมก็มีหน้าที่คอยปลอบและให้กำลังใจ แต่ก็ไม่อาจทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ ผมที่รู้สึกหมดหนทางจึงตัดสินใจคิดและกำลังจะลาออก แต่ก็ได้มาเจอกับเปรมพ่อหนุ่มรูปงามที่มาหันเหหัวใจผมเสียก่อน
อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยสักนิด
“เดี๋ยวนะ บทคราวที่แล้วที่ช่วยกันคิดไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า” ผมจะร้องไห้อยู่แล้วครับ
“พล็อตนั้นไปถามอาจารย์มาแล้วอาจารย์บอกมันจำเจไป”
“เรากับแพงก็เลยถามอาจารย์ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเพศเดียวกันจะโอเคไหม? เพราะจะได้แทรกแนวคิดความรักของ IGBT เข้าไปด้วย”
“แล้วเปลี่ยนให้เป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนหรือแบบพี่น้องไรงี้ไม่ได้เหรอ?”
“แต่เราอยากให้มันมีอารมณ์ของความสัมพันธ์คู่รักที่พากันปั่นจักรยานรอบมอ ตะเวนกินนู้นนี่แล้วถ่ายทอดออกมาว่าความรักในชีวิตมหาลัยเป็นเรื่องสวยงาม ให้มันดูเข้ากับหัวข้อด้วยอ่ะ” พะแพงอธิบายให้ผมฟังอย่างยาวเหยียด
ผมหันไปหาเปรมมนัสผู้ร่วมชะตากรรมอย่างต้องการความช่วยเหลือ ก่อนที่จะพบว่ามันช่างไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นสีหน้าปลงตก พร้อมหันมาพยักหน้าให้ผมเล็กน้อยแบบคนหัวอกเดียวกัน
อันที่จริงไม่ได้ต้องการจะบ่ายเบี่ยงงานหรือรังเกียจไอ้เปรมมันใดใดทั้งสิ้น แต่จากการที่อ่านบทแบบผ่านๆมาเมื่อกี๊ ดันมีฉากแฟลชแบคที่ต้องทำกุ๊กๆกิ๊กๆกับเพื่อนพะแพงที่ก็เป็นผู้ชายด้วยนี่สิ แล้วผมควรจะทำตัวยังไง..
หลังจากที่ปล่อยให้เกิดสถานการณ์เดดแอร์อยู่สักพัก สายตาของทุกคนจดจ้องมาที่ผมแบบอ้อนวอน ก่อนที่ผมจะเอ่ยตกลงกับเพื่อนๆไปอย่างจำนน
“อื้อ โอเคก็ได้ T___T” เพื่องานไป๋ ท่องไว้ว่าเพื่องาน
❋❋❋
“พะแพงตอนนี้ก็จะสี่โมงเย็นแล้วนะ เพื่อนพะแพงยังไม่มาอีกเหรอ?”
พวกเราที่ตอนนี้ได้อ่านบทและท่องจำกันไปบ้างเล็กน้อย เพราะวันนี้จะถ่ายแค่บางส่วนเท่านั้น จากนั้นก็ถึงเวลาที่จะได้ทำงานกันเสียที โดยในวันนี้เราจะเลือกถ่ายบทในช่วงที่มีนักแสดงสมทบกันเสียก่อน ซึ่งได้เปลี่ยนโลเคชั่นมาเป็นสแตนด์เชียร์กีฬาของสนามกีฬามหาลัย ส่วนผมต้องรับบทบาทแสดงเป็นแฟนที่ดีที่มานั่งเฝ้าคนรักออกกำลังกาย หวานซะ...
“ฮือ ทุกคนเพื่อนเราเพิ่งไลน์มาบอกว่าไม่ว่างแล้วอะ”
“อ้าว งี้เราเลื่อนไปถ่ายวันอื่นกันดีไหม?”
“ก็ดีนะ พวกเราจะได้ไปท่องบทกันมาเพิ่มด้วย”
“เอางั้นก็ได้ แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะทุกคน” พะแพงขอโทษขอโพยทุกคนยกใหญ่ ก่อนที่จะสรุปเป็นเอกฉันท์ได้ว่าควรเลื่อนการถ่ายในส่วนของวันนี้ออกไปก่อน ซึ่งก็เป็นการดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาทำใจเพิ่มขึ้น…
ตามตกลงเราจึงทยอยเก็บกล้องและข้าวของที่ใช้กันทันที เพื่อแต่ละคนจะได้มีเวลาแยกย้ายไปทำธุระของตัวเองมากขึ้น แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เก็บของชิ้นแรกลงกระเป๋า ก็ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่ตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียก่อน
“ไอ้เตี้ยไป๋!!!”
“มึงว่าใครเตี้ย?!!!” ยังไม่ทันได้เห็นหน้าผมก็ตะโกนตอกกลับไปอย่างลืมตัว และด้วยความที่เสียงเรียกเมื่อกี๊ช่างคุ้นหูเหลือเกิน จึงมั่นใจได้ตั้งแต่ยังไม่หันกลับได้ทันทีว่าคนปากหมาเมื่อกี๊ต้องเป็นคนรู้จักอย่างแน่นอน
ซึ่งมันก็เป็นแบบที่คิดไว้เป๊ะ ไอ้สมุย ไอ้เต้ และสุดท้ายที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือไอ้พิว ทั้งสามคนอยู่ในชุดสวมสบาย คาดว่ามาอยู่สนามกีฬาแบบนี้ก็คงไม่พ้นมาออกกำลังกายกันหรอก
“ก็ว่ามึงอ่ะ แล้วนี่มาทำอะไรกัน?” ไอ้สมุยคนปากหมาfoever เป็นคนพูดเปิดประเด็น
“มาถ่ายงานอิ๊ง”
“ก็ว่าอยู่ คนอย่างมึงไม่น่ามาสนามออกกำลังกายอะ” ขอยืนยันนั่งยันไว้ตรงนี้เลยว่าสักวันไอ้สมุยต้องตายโดยถูกระบุสาเหตุการตายว่าโดนกระทืบเพราะไปกวนตีนชาวบ้านแน่นอน
“ไป๋ๆ นี่เพื่อนไป๋เหรอๆ” เสียงของพะแพงที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเดินมาหยุดยืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ พร้อมกับที่เจ้าตัวลากตัวผมออกห่างจากแก๊งสามสหายนั่น แล้วเขย่งกระซิบใส่หูผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเสียเต็มประดา
“ใช่ แต่พะแพงอย่าไปสนใจพวกมันเลย ไอ้พวกนี้มันเหี้ยทุกคน” ผมบอกพะแพงกลับไปแบบปัดๆ แค่คิดว่าพะแพงสนใจคนใดคนหนึ่งในนี้ก็ชิบหายแล้วครับ อย่าเอาคนดีๆมาแปดเปื้อนเลย
“จะบ้าหรือไง ชวนคนนั้นมาถ่ายงานด้วยกันให้หน่อยสิ”
“คนไหนอ่ะ ไอ้สมุยเหรอ?”
“ไม่ใช่ๆ คนใส่กางเกงบอลสีแดงคนนั้นอ่ะ ชื่ออะไรเหรอ? ชวนให้หน่อยสิ” สิ้นคำของว่าที่คุณหมอ ผมก็หันไปมองทันนทีว่าใครเป็นคนที่แต่งตัวตามที่พะแพงบอก และแล้วหวยก็ตกไปอยู่ที่
ไอ้เดือนภาค...
“อ๋อ ไอ้พิวอ่ะนะ ถ้าเป็นคนนั้นไม่เอาอ-”
“ถ้าไป๋ไม่พูด งั้นเราขอเองก็ได้”
แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกให้เธอไม่ไปได้หรือเปล่า
ไม่ทันได้ถามความสมัครใจผม พะแพงก็ตรงไปยังไอ้พิวที่ยังยืนคุยกับเพื่อนทั้งสองคนของมัน ยังไม่ได้เดินไปไหน กลับม๊า พะแพงกลับม๊า
“เฮ้ย นายๆ นายชื่อพิวใช่ป่ะ”
“อือ ใช่” ร่างสูงหน้ามึนเบนความสนใจจากบทสนทนาแล้วหันมาสนใจผู้หญิงร่างเล็กที่เดินไปยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า
“นายหล่ออ่ะ มาเล่นเป็นตัวประกอบให้เราหน่อยสิ” เที่ยงตรงและมั่นใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ส่วนทางด้านของพิวเมื่อฟังพะแพงจนจบประโยคก็ยิ่งทำหน้างงกันเข้าไปใหญ่ จนขวัญที่ยืนห่างๆต้องเดินเข้าไปช่วยพูดอีกแรง แบบขัดพระประสงค์ของแม่นางพะแพงไม่ได้
“คือว่าตอนนี้เราขาดตัวละครอยู่อีกคนอ่ะ เป็นแค่บทแฟนเก่าที่เราจะตัดต่อเป็นช่วงflashbackเฉยๆ ไม่ต้องมีบทพูดอะไร”
“แล้วเล่นเป็นแฟนเก่าใครเหรอ?” เหมือนไอ้เต้เห็นร่างสูงในกางเกงบอลสีแดงยังยืนบื้ออยู่ คงไม่ทันใจมันเลยชิงเอ่ยคำถามหมัดสำคัญขึ้นมา
“ก็ไป่ไป๋ไง” เท่านั้นแหละ ทุกสายตาของสามคนนั่นก็หันมามองผมอย่างพร้อมเพรียง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแบบไม่นึกว่าสิ่งที่ได้ยินมันจริงหรือไม่
“พะแพงกับขวัญเป็นคนคิดบทขึ้นมา พวกมึงไม่ต้องมามองกูแบบนั้น”
“เออ เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า” พะแพงรีบเปลี่ยนประเด็นความสนใจ ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนมุ่งความสนใจไปยังไอ้พิวแทน ซึ่งทำเอาพวกผมต้องลุ้นไปตามๆกัน
“ว่าไงพิวตกลงปะ?”
“อือ เอาดิ ”
ร่างโปร่งผิวโทนเหลืองค่อนไปทางขาวตามฉบับคนไม่ค่อยได้ออกแดดที่ตอนนี้กำลังจับจองที่นั่งอยู่บนสแตนด์เชียร์ขนาดใหญ่และสูงชันริมสนามที่ใช้เป็นลานวิ่งสำหรับคนที่ฝักใฝ่จะออกกำลังกาย สายตาทอดมองลอยไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่มีจุดโฟกัส ทันใดนั้นสองมุมปากยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ตัวชุ่มเหงื่อกำลังวิ่งเข้ามาใกล้สายตา
“เอาน้ำไหม?”
“ขอหน่อยก็ดี”
ทันทีที่มือเรียวส่งขวดน้ำให้ อีกฝ่ายก็เอื้อมมาจับทับแต่ไม่ได้ดึงขวดน้ำออกในทันที กลับปล่อยให้ร่างบางถือขวดโดยมีมือของตนเองทาบทับไว้ทั้งอย่างนั้น
“: )”
“เอาไปสิ” คนตัวสูงไม่มีวี่แววดึงขวดน้ำไปแต่อย่างไร อีกทั้งยังส่งรอยยิ้มมุมปากที่ดูน่ายียวนมาให้อีก
“ไอ้สัสพิว มึงปล่อยมือจากกูแล้วเอาขวดน้ำไปได้แล้ว”
ผมปั้นยิ้มก่อนกระซิบแบบไม่ขยับปากมากให้อีกคนที่เอาแต่ยืนยิ้มไม่ทำตามบทสักที
ใช่ครับ ตอนนี้ผมได้มาเข้าฉากถ่าย Role play กับไอ้พิวตามบัญชาของคุณพะแพงแล้ว แม้ว่ามันไม่ได้จะเป็นไปด้วยดีทั้งหมดก็ตาม เพราะเหมือนไอ้หมาพิวข้างหน้านี้มันอยากจะเล่นสงครามประสาทกับผมอยู่
“ไม่อ่ะ”
“ไอ้เหี้-”
“โอเคคัท!!!”
และแล้วเสียงสวรรค์ดังออกมาจากปากคุณนายพะแพงที่มีหน้าที่เป็นผู้กำกับจำเป็นเสียที ก่อนผมจะดึงขวดน้ำเจ้าปัญหากลับมา ไอ้หมาพิว ลีลานักก็ไม่ต้องแดก!
ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อน
‘พิวๆ เดี๋ยวพิวทำเป็นวิ่งนะ แค่ประมาณครึ่งสนามก็ได้ แล้วก็วิ่งมาหาไป๋ที่นี่ เดี๋ยวไป๋จะส่งน้ำให้กิน ส่วนตอนยื่นน้ำจะพูดอะไรกันก็ได้ เพราะยังไงเดี๋ยวก็เอาเพลงใส่ลงไปอีกทีอยู่แล้ว’
พะแพงจัดแจงท่านั่งและบอกบทการแสดงไปเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็ตรงไปหาขวัญและไอ้เปรมที่รับหน้าที่เป็นช่างกล้องทันที โดยที่มีไอ้เต้กับไอ้สมุยยืนเป็นกำลังอยู่แบบห่างๆ
แต่ร่างสูงที่รับบทพระเอกกำมะลออยู่ตรงหน้ากลับวางมือปุลงหัวของผม พร้อมขยี้ไปมา ผมขมวดคิ้วแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าทำ
‘มึงทำเหี้ยไรเนี่ย?’
‘จะได้เนียนๆไง ถ่ายงานมึงทั้งที’
‘เออ อย่าเนียนให้มาก มึงไปได้แล้ว’
‘ไปนะ ’
ผมปัดมือใหญ่บนหัวทิ้ง ก่อนอีกฝ่ายจะเดินไปยังจุดที่ได้กำหนดไว้ ถ้าไอ้ตุลลี่มาเห็นนี่แม่งฆ่ากูตายแน่ๆเลย เสียงจากห้องหัวใจของผมมันเต้นตุ๊บตั๊บให้มั่วแบบหาสาเหตุไม่ได้ไปหมด
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผมไม่ชอบสกินชิพจากมันเลยจริงๆ..
“ไป๋ อันที่จริงเมื่อกี๊ต้องส่งขวดน้ำให้พิวกินด้วยนะ แต่ไม่เป็นไร ยืนจ้องตากันแบบนั้นก็โรแมนติกไปอีกแบบ”
“ก็เมื่อกี๊ไ-”
“ใช่ เราว่ามันก็ให้ไปอีกฟีลนึงเหมือนกัน ฉากต่อไปเลยไหมพะแพง?”
“ทั้งสองคนเตรียมตัวฉากต่อไปได้เลยนะ”
สิ้นสุดคำประกาศิต ร่างของผมก็ได้ถูลู่ถูกังไปตามแรงของเพื่อนๆสมาชิก พร้อมแขกรับเชิญและผองเพื่อนที่กำลังเดินตามมา เพื่อถ่ายฉากต่อไปกันอย่างพร้อมเพรียง
เพื่องานไป๋ ท่องไว้ว่าเพื่องาน
“ต่อไปจะเป็นฉากซ้อนจักรยานปั่นรอบมอกันนะ ทั้งสองคนปั่นไปเรื่อยๆเลย เดี๋ยวที่เหลือพวกเราจัดการเอง ถ้าพอใจแล้วเดี๋ยวจะสั่งคัทนะ”
ผมยืนทอดสายตามองเจ้าจักรยานแบบยืมแล้วคืนของมหาลัย ที่พะแพงเป็นคนไปยืมมาให้เสร็จสรรพ ก่อนหันหน้าไปหาคู่กรณีแบบมีคำถามในใจ
“เดี๋ยวกูปั่นมึงซ้อน” ไอ้พิวชิงบอกขึ้นมาก่อนเหมือนรู้ใจ
“ได้ไงวะ? กูจะปั่นเอง”
“กูปั่น เดี๋ยวใครเขาจะหาว่ากูใช้แรงงานคนแคระ”
ไม่ทันจบประโยคของมันก็คว้าจักรยานพร้อมเตะขาตั้งแล้วขึ้นคร่อมรถโดยที่ไม่คิดฟังเสียงคัดค้านจากผมเลยสักนิด
มึงกำลังทำให้กูดูไม่แมนไอ้พิว จำไว้เลย!!!
แต่จะให้ทำยังไงได้นอกจากขึ้นซ้อนเบาะหลังมันแบบหงอยๆล่ะครับ...
จะว่าไปถ้าตัดเรื่องคนปั่นคนซ้อนตอนนี้ออกคือบรรยากาศก็คงดีเอามากๆ เนื่องจากมหาลัยของผมร่มรื่นเหมาะแก่การปั่นจักรยานตอนเย็นแบบนี้มากครับ
เออ เข้าใจละว่าทำไมตกเย็นคนเป็นแฟนกันถึงชอบพากันมาปั่นจักรยานเล่น
“มึงอยู่หอไหนอ่ะไป๋?”
“หอ 7 นั่นไง ข้างหน้านั่นอ่ะ”
“มองจากข้างนอกยังรู้เลยว่าเก่า” มันยู่หน้าเล็กๆเมื่อมาเจอสภาพหอใน
“เออ มันถูกดี กูชอบ ค่าน้ำไม่ต้องเสีย ค่าไฟก็ยูนิตละ 5 บาทเอง”
“มึงจะอยู่นี่ยันปีสี่เลยเหรอ?” ร่างสูงเอี้ยวตัวกลับมาถามผม
“ไม่อะ เขาให้แค่ปีหนึ่งอยู่ ปีหน้าก็ต้องไปอยู่หอนอกละ”
สิ้นสุดประโยคนั้นเราต่างคนต่างเงียบ แต่ละฝ่ายปล่อยให้สิ่งรอบข้างครอบงำ สายตาผมสอดส่องมองโน้นนี่รอบทางที่ผ่านมาไปเรื่อย ตั้งแต่สระว่ายน้ำวิทย์กีฬา สเต๊กร้านโปรด หรือแม้แต่สาวพยาบาลต่างเซคที่ผมเคยเจอบ่อยๆ
ด้านหลังก็มีสมาชิกของผมที่แบกกล้องปั่นจักรยานตามหลังมา แต่ไม่มีวี่แววของสมุยและเต้เพื่อนซี้ของร่างสูงที่กำลังปั่นเจ้าสองล้อแบบขะมักเขม้นนี่อยู่เลย
“ไอ้พิว เต้กับสมุยหายไปไหนแล้วอะ?”
“มันบอกว่าหิวข้าว เลยขอกลับก่อน”
“แล้วเป็นไงตัวกูหนักปะ?”
“เบากว่าวาฬแดกช้างเข้าไปนิดนึง”
“ไอ้สัส”
ผมแกล้งโคลงตัวไปมา ซึ่งมันก็ทำเอาคนข้างหน้าเสียศูนย์ จนหันมาตวาดผมเบาๆ
“ไอ้ไป๋ มึงเล่นเชี่ยไรเนี่ย” ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่หลังไอ้คนขี้เก๊กไปทีนึง ทั้งๆที่รู้ว่าแม่งไม่เห็นหรอก แต่ก็พอใจจะทำเพราะความสะใจล้วนๆ
เดธแอร์ได้กลับมาหาเราทั้งสองอีกครั้ง ผมที่เวลาอยู่กับมันแล้วไม่รู้จะชวนคุยอะไร และมันที่เป็นคนพูดน้อยเป็นต้นทุนอยู่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้จึงเกิดได้บ่อยครั้ง จากระยะทางรอบมอที่เคยครึ่งชั่วโมงก็ครบรอบแล้ว ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางมาครึ่งโลกแล้วอย่างไรไม่รู้
“ได้ข่าวมึงจะจีบสาวใหม่แล้วเหรอ?”
“ฮื้อ? มึงรู้มาจากไหนอ่ะ?”
“เปรมบอกว่ามึงจะจีบขวัญ” ไปคุยกันตอนไหนวะ?
“จีบเหี้ยไร ขวัญมีผัวแล้ว เพิ่งแดกหญ้าไป กูคงไม่หาตีนมาแดกเพิ่มหรอกสัส” เพิ่งจะมานึกได้ตอนอ้าปากพูดออกไปแล้ว อยากตบปากตัวเองชิบหายเลย ไอ้ไป๋เอ๋ย มึงแม่งปากหมาจริงๆ
“ปากบอกปาวๆว่าลืมได้ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ฝังใจเหมือนกันนี่หว่ามึงอะ” ให้เดาว่าตอนนี้หน้าไอ้พิวต้องยียวนกวนส้นตีนได้พอสมควรเลย
“กูแค่เปรียบไหม? แล้วมึงเถอะ ให้กูซ้อนท้ายงี้ คงไม่มีสาวมึงคนไหนเข้าใจผิดว่ากูเป็นเด็กมึงหรอกนะ”
“ไม่..”
“ไม่เข้าใจผิด?”
“ไม่มีสาวเลย”
“ขี้โม้สัส เมื่อวันนู้นกูยังเห็นมึงเดินกับดาววิทย์อยู่เลย”
“นั่นไม่-”
“คัท!!!”
-
(ต่อ)
และแล้วภารกิจหนึ่งวันของผมก็จบลงสักที ผมที่กุลีกุจอรีบไขกุญแจเข้าห้องด้วยความอยากอาบน้ำเต็มแก่ หลังจากที่การถ่ายทำวันนี้จบลง และคำสัญญาจากสมาชิกในกลุ่มผมที่ขอติดการเลี้ยงข้าวไอ้พิวเอาไว้ แม้มันจะบอกหลายต่อหลายรอบแล้วว่าไม่จำเป็น แต่คุณพะแพงก็ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่ายังไงก็ต้องเลี้ยงขอบคุณให้สมกับค่าเหนื่อยให้ได้ ไอ้พิวเลยไม่กล้าพูดอะไรต่อมากมายนัก
ตัดภาพมา ณ ปัจจุบันที่ผมกำลังเปิดประตูห้องมาแล้วก็พบว่าไอ้ก๊าซและไอ้ครามยังอยู่ที่ห้องผม ต่างจากไอ้ตุลลี่ที่หายไปไหนแล้วไม่รู้ ตอนนี้พวกมันสามคนกำลังนั่งจับเจ่าที่พื้นและล้อมวงตีป้อมกันอย่างเมามัน ส่วนผมที่เล่นเกมไม่บ่อย แล้วก็ไม่ได้ติดอย่างสามคนนี้ก็ได้แต่เดินเข้าห้องมาแบบเงียบๆ
คือ เวลาไอ้พวกนี้เล่นเกม ทักไปแม่งก็ไม่ได้ยินหรอก อยู่ในโลกที่สามกันสุดไรสุด
ผมเลยตัดสินใจวางกระเป๋า แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวพร้อมของใช้วิ่งไปเข้าห้องน้ำรวมด้านนอกทันที .. ร้อนโว้ย หอในแม่งก็ไม่มีแอร์ อากาศเมืองไทยร้อนกว่านี่คนได้กลายพันธุ์มีโหนกกลางหลังไว้เก็บน้ำแบบอูฐแน่ๆ
เมื่อผมกลับเข้ามาในห้องหลังอาบน้ำเสร็จ ก็พบว่าวงตีป้อมได้สลายตัวแถมมีสมาชิกเพิ่มมาอีกคนแล้ว เป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก...
“ซิสไป๋ กลับมาแล้ววว รีบแต่งตัวเปลี่ยนชุดดีๆเร็วว” ผมมองท่าทางดี๊ด๊าออกนอกหน้านอกตาของไอ้ตุลลี่ แล้วชำเลืองสายตามองคนที่เหลือ ก็พบว่ามีสีหน้าหน่ายไม่ต่างกับผม
เพื่อนๆควรชินนะ แต่ให้ตายยังไงก็ไม่ชินสักที
“อะไรของมึงไอ้ตุลลี่ กูเพิ่งอาบน้ำมาเนี่ย” ผมก้มมองชุดเสื้อยืดคอย้วยๆพร้อมล้มตัวนอน กับบ็อกเซอร์ตัวเก่งตัวเก่าตั้งแต่มอปลาย แล้วเงยขึ้นมามองหน้ามัน
“อีไป๋ มึงเคยรู้อะไรกับเขาบ้างไหมเนี่ย”
“มึงจะให้กูรู้อารายยยย”
“ก็งานชั้นปีของเภสัชไง ‘letter for love’ อะ เขาโปรโมตกันโครมๆ มีแต่มึงเนี่ยที่ไม่เคยรู้อะไรกับเขาเลย”
สิ่งที่ไอ้ตุลลี่พูดอยู่ตอนนี้คงเป็นงานของเภสัชปีหนึ่งที่เขาจะมีกิจกรรมให้สมัครกิจกรรมแล้วสร้างโพรไฟล์ของตัวเองว่าอะไรก็ได้ เช่น รักน้ำ รักปลา ชอบคนจริงใจอะไรก็ว่าไป จากนั้นเขาจะเอาโพรไฟล์เราไปแปะในซุ้ม แล้วคนอื่นที่สนใจในโพรไฟล์เราสามารถเขียนจดหมายหาเรา หรือเราที่ถูกใจโพรไฟล์คนอื่นจะเขียนจดหมายไปหาเขาก็ได้
คนอย่างไป่ไป๋ก็รู้เรื่องพวกนี้นะครับ เพราะเพื่อนเภสัชในเซคเดียวกันแม่งมากรอกหูขายตรงกูแทบทุกวันเลย..
“กูรู้จัก แล้วมึงจะทำไมอะ?”
“อีไป๋ มึงก็ถามมาได้ กูจะเริ่มต้นการมูฟออนของมึงให้อยู่นี่ไง”
“ไม่จำเป็นอะ” ผมบอกปัดแล้วหันมาสนใจกองชีทที่คาไว้ตอนช่วงขาดเรียนบ่อยๆอีกครั้ง
“อีไป๋ มึงมองหน้ากูแล้วตอบมาว่าในใจมึงไม่เคยคิดถึงเขาอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว” ผมชะงัก แล้วนั่งคิด
“เรื่องแบบนี้จะให้ลืมหมดมันก็ต้องใช้เวลาปะวะ”
“เพราะมึงไม่เคยพาตัวเองออกจากอะไรเดิมๆไง” ฉึก
“รูปเค้า ตุ๊กตาครบรอบสามเดือน หรือแม้แต่เสื้อคู่ มึงก็ยังเก็บไว้อยู่เลย” ฉึก
“ต่อให้มึงไม่เสียใจแล้ว แต่มึงก็ปฏิเสธกูไม่ได้อยู่ดีว่ามึงเห็นของพวกนั้นแล้วมึงไม่คิดถึง” ฉึก
“นี่ยังไม่นั-”
“เออพอแล้วไอ้ตุลลี่!” ผมตะโกนแบบเหลืออด ก็มันจี้จุดอะ ให้ทำยังไงได้...
“เพราะฉะนั้น เชื่อตุ๊ดแล้วไปเปลี่ยนชุดค่ะ”
❋❋❋
และแล้วสิ่งที่ผมอาจไม่คาดคิดหากเป็นหลายชั่วโมงก่อนก็ได้เกิดขึ้นด้วยการที่โดนเพื่อนสาวคนเดียวของกลุ่มลากมายืนยังลานรวมของหอที่หน้าซุ้มกิจกรรม พร้อมก๊วนชายโสดแบบพร้อมหน้าพร้อมตาจนได้
“ตอนนี้สำหรับกิจกรรม letter for love เรามีโปรโมชั่นสำหรับแก๊งไหนที่มากัน 5 ท่าน จ่ายค่าสมัครแค่ 4 แล้วฟรี 1 ไปเลยค่า” เสียงสาวเภสัชที่ดูแล้วน่าจะห้าวพอตัว ที่ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ทั้งๆที่ใส่กระโปรงพรีทแบบนั้น ส่วนพวกข้างล่างนี่ก็เต้นเอาๆ เชื่อเลยว่าทุ่มเทให้งานคณะมากจริงๆ
บรรยากาศโดยรอบตอนนี้เป็นไปอย่างคึกครื้นมากครับ มาทั้งกลองสัน ทีมสัน พร้อมทั้งลำโพงสเตอริโอชุดใหญ่ชนิดที่ว่าหากทีมสันฯร้องได้ไม่สะใจพอแล้วก็สามารถสั่งเปิดให้กระหึ่มได้ทันที ภายในซุ้มก็แน่นขนัดไปด้วยนักศึกษามากหน้าหลายตาและต่างคณะกันไปที่กำลังรุมไปที่โต๊ะสมัครแบบแออัดสุด
ชายอกสามศอกแบบพวกเราสี่คนเลยหันมามองหน้ากันแบบแหยๆ ไม่ใช่อะไรแต่พวกเราเกลียดสถานที่คนมารวมกันเยอะๆมาก โดยเฉพาะไอ้ครามเนี่ยแทบหันหลังกลับหอทันทีเลย ถ้าไม่มีเสียงเพื่อนๆเบรกไว้ก่อน
“อ๊ะๆ อีครามมึงจะไปไหน ไหนๆก็มาแล้วสมัครกันให้หมดเนี่ยแหละ เดี๋ยวกูออกค่าสมัครให้เอง” ว่าแล้วไอ้ตุลลี่มันก็วิ่งดุ๊กๆเข้าซุ้มไป ทิ้งให้พวกผมยืนเอ๋อแดกกันอยู่สี่คน
มัดมือชกชิบหายเลยไอ้ห่าตุลลี่
สักพักไอ้ตุลลี่ก็วิ่งพาสารร่างถึกๆกลับมา พร้อมกับกระดาษใบบางๆในมือ
“อ่ะๆ พวกมึงเอาไปเขียนโปรโฟล์” มันยิ้มระรื่น แล้วกึ่งแจกกึ่งยัดกระดาษลงในมือของทุกคน
“โดยเฉพาะมึงนะไอ้ไป๋ ตั้งใจเขียนดีๆนะ มึงอย่าลืมว่านี่คือโอกาสใหม่ของมึง”
ผมส่ายหัวไปมาอย่างเอือมๆ บทไอ้ตุลลี่มันจะดีดก็ดี๊ดดีด เหมือนแดกยาม้าหรือไปเจอผู้ชายเภสัชหล่อๆมาก็ไม่รู้ ผมก้มมองในมือผมอีกครั้งแล้วจับเจ้ากระดาษขนาดไม่เกิน A5 แบบพิจารณาดู ก็จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลส่วนตัวที่ต้องให้เขียนไม่กี่ข้อ ก็ประมาณว่า Display Name, เพศ และความชอบ เท่านั้น
“ไอ้ตุลลี่ งี้ถ้าจะเขียนว่าเป็นผู้หญิงอะไรแบบนี้ก็ได้เหรอ?” ไอ้ก๊าซขมวดคิ้วแล้วชูของในมือขึ้นมาถามแบบข้องใจ
“เขียนได้ มึงจะเขียนว่าเป็นลูกนายก นักรบสงครามโลก อะไรก็ได้หมดอะ”
“เอ้า แล้วงี้คนที่เขียนหาจะชอบเราที่เราเป็นเราจริงๆเหรอวะ?”
“คนเราเขียนโพรไฟล์มาก็เพื่อให้คนอื่นเขาสะดุดตาปะ แต่การที่มึงจะชอบใครสักคนได้ก็ต่อเมื่อเริ่มเขียน เริ่มคุยกับเขาปะวะ”
“เชรด ทำไมทีเรื่องแบบนี้อีตุลลี่มันเก่งจังเลยวะ?” ไอ้ยีนส์ที่ตอนแรกยืนฟังเงียบๆ ถึงกับต้องหันหน้ามาปรบมือให้เลยอ่ะ คมครับๆ ชอบๆ
“นี่กูใครคะ ตุลลี่คนที่สวยที่สุดในภาคเครื่องกลไง”
“เออ ถ้าไม่นับผู้หญิงอะ”
“ไอ้คราม!!! เดี๋ยวเถอะมึงเนี่ย เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่” คำต่อล้อต่อเถียงทำเอาเรียกเสียงหัวเราะไปจากผมได้อย่างมากมายจนกลัวตัวเองจะสำลักตายเหลือเกิน
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ต้องกลับมานั่งเครียดอีกครั้ง กูจะใช้ชื่อดิสเพลย์ว่าอะไรดีวะเนี่ย แม่งคิดยากกว่าหัวข้อโครงงานอีก โอ้ย!
“ไอ้ไป๋มึงเขียนเสร็จยังวะ?”
“เออ แปปนึง กำลังคิดชื่ออยู่”
“นานละนะมึงอ่ะ ยังไม่ได้อีกเหรอ? อะไรวะสิ่งที่ชอบ นอน อากาศเย็น อาจารย์ยกคลาส” ไอ้ยีนส์ชะโงกหน้ามาอ่านกระดาษที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในมือผม
“เอ้า ไอ้สัส อย่าเสือกสิครับ” ผมรีบดึงกระดาษออกมาให้พ้นสายตาของไอ้ยีนส์มัน เสือกเก่งจังอะ
“ทำไมมึงถึงชอบอากาศเย็นวะ?”
“ก็มันนอนสบาย”
“แล้วทำไมถึงชอบเวลาอาจารย์ยกคลาสอ่ะ?”
“ก็จะได้กลับหอมานอนไง”
“-_____-”
พอผมบอกเหตุผลเท่านั้นแหละสายตาของทุกคนโดยเฉพาะไอ้ตุลลี่ก็มองมาที่ผมแบบเอือมและเบื่อโลกเอามากๆ
ก็ไป๋ชอบนอนจริงๆอ่ะ แล้วไป๋ทำไรผิด..
“ไอ้ไป๋ มึงแก้โปรไฟล์มึงเดี๋ยวนี้เลย เขียนแบบนั้นแล้วสาวที่ไหนจะมาสนใจมึ๊งงง!!!” ไอ้ตุลลี่กระโจนโถมตัวมาหวังตะครุบแผ่นในมือของผม
“เอ้า กูก็ชอบแบบนี้อ่ะ จะให้กูแก้เป็นอย่างอื่น มันก็ไม่ใช่ตัวกูแล้วปะ?”
“เออ เรื่องของมึงละ เฟิร์สอิมเพรสชั่นกับสาวๆเป็น 0 จ้า กูบอกเลย”
“ไอ้ตุลลี่มึงก็ปล่อยให้ไอ้ไป๋เขียนไปเถอะ เผื่อมีคนหลงมาชอบความแปลกของมัน”
“หรือเรียกอีกอย่างว่าชอบของแปลกใช่ไหมไอ้ก๊าซ” ไอ้ตุลลี่แย้งขึ้นในทันที
“เออ พอๆมาช่วยไอ้ไป๋คิดชื่อดิสเพลย์ก่อน กูอยากกลับหอจะแย่ละ ยุงแม่งเยอะชิบหายเลยเนี่ย” ไอ้ยีนส์พูดพลางปัดป่ายยุงไปด้วย เออ แต่ยุงที่นี่แม่งก็เยอะจริงแหละ
“มึงอยากได้ชื่อประมาณไหนอ่ะ?”
“แล้วของพวกมึงตั้งชื่อประมาณไหนกันอ่ะ?”
“ของกูเป็นชื่อแมวตัวแรกที่เลี้ยง” ไอ้ตุลลี่
“ของกู Jeans – Dragon แม่งเท่ชิบหายเลย ” ไอ้ยีนส์
“ของเรา sag ตั้งชื่อแบบกลับตัวอักษรของชื่อเล่นอ่ะ” ไอ้ก๊าซ
“ของกูคราม”
“ไอ้ครามมึงตั้งแบบนี้จริงๆอ่ะ”
“ก็กูชื่อครามอ่ะ จะให้กูตั้งว่าอะไรอีก”
“-_______-”
บางทีก็ชอบความขวางโลกของไอ้ครามมันเหมือนกันดูคูลๆดีนะ
“ไอ้ไป๋มึงจะคิดออกได้ยัง?”
“เดี๋ยวดิ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา”
“ไม่งั้นลองตั้งชื่อตามของกินที่ชอบไหม ดูเป็นผู้ชายน่ารักๆดีนะ”
ของกินเหรอ?
“กูนึกออกแล้ว!!! ป่ะพวกมึง เอาไปให้เขาติดที่ซุ้มกัน” ผมบรรจงเขียนชื่อที่นึกออกลง แล้วสะกิดพวกมันให้รีบเดิน
แต่ก่อนที่จะทำไปติดที่ซุ้มได้นั้นจะต้องผ่านการตรวจชื่อภายในไฟล์ข้อมูลของผู้สมัครทั้งหมดก่อนว่ามีการใช้ชื่อซ้ำหรือไม่ และแล้วก็มาถึงตาผม ที่ผมโคตรจะมั่นใจเลยว่าไม่น่ามีใครใช้ชื่อเดียวกับผมแน่นอน
“ขอโทษนะคะ พอดีว่าดิสเพลย์เนม ‘กุ้งเผา’ มีคนใช้ไปแล้วแล้วค่ะ”
“ฮ่าๆ ไอ้ไป๋มึงใช้ชื่อกุ้งเผาอ่อ? ไอ้เหี้ยแม่งจี้สัส”
“เอ้า ก็กูชอบแดกอะ มึงจะทำไมกู” ผมที่ต้องระเห็จออกจากแถวมาเพื่อคิดชื่อใหม่อีกครั้ง ยังมีคนตั้งซ้ำกูอีกเหรอวะเนี่ย นี่ก็แรร์สุดๆละนะ
“ไป๋ จะเปลี่ยนเป็นอะไรอ่ะ” ไอ้ก๊าซที่ผ่านการตรวจชื่อและติดโปรไฟล์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาไถ่ถามผมที่เกือบจะทึ้งหัวตัวเองอยู่แล้ว
“ไม่รู้อ่ะ นอกจากชื่อนี้ก็ยิ่งคิดไม่ออกแล้วเนี่ย”
“โห มึงเชื่อกูนะว่าคนนี้แหละแม่งบุพเพฯ”
“เพ้อเจ้ออะไรของมึงไอ้ตุลลี่”
“คิดตามกูนะชื่อบนโลกนี้รวมทั้งไทยและอังกฤษที่มีสองคำ แม่งมีเป็นล้านล้านอ่ะ แต่เสือกมีคนใช้ชื่อเดียวกับมึง แล้วถ้ายิ่งเขาเป็นผู้หญิงนะแม่งเอ้ย ไม่ใช่พรหมลิขิตกูก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรละ” ไอ้ตุลลี่พล่ามมายาวเหยียด แต่มันทำให้ผมคิดตามไปด้วยได้
เออ ก็จริงของมัน ชื่อมีตั้งเยอะตั้งแยะ แต่มาตั้งซ้ำกันแบบนี้ โคตรบังเอิญเลยแม่ง
“อะไรวะ มึงคิดชื่อใหม่ได้แล้วเหรอ?” ไอ้ยีนส์ถามขึ้น หลังจากที่ผมหยิบปากกาขึ้นมามาเขียนอีกรอบ
“อือ ได้ละ” ผมชูกระดาษในมือให้ทุกคนดูเป็นครั้งสุดท้ายแบบยิ้มๆ โดยไม่สนใจรอยยิ้มกรุ้มกริ่มและเสียงแซวจากเพื่อนๆ ก่อนจะเอาไปให้เขาติดที่ซุ้มเสียที
‘ชอบกุ้งเผา’
ถ้ามองว่ามันคือความบังเอิญ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าความบังเอิญมันจะมีหน้าตาเป็นยังไง : )
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ขยันอัพฮะ
-
ตามมม
-
:hao3: มาแอบรออ่านค่ะ o13
-
chapter three。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“มาพวกมึง คนละไม้คนละมือ ช่วยกูหาโปรไฟล์กุ้งเผาหน่อย” สภาพพวกเราตอนนี้กำลังวุ่นวายเอาการ ในตอนแรกที่ผมคิดว่าโปรไฟล์ของคนสมัคร letter of love จะมีแค่ร้อยสองร้อยคนเท่านั้น ที่ไหนได้แม่งเกือบพันเลยมั้งเนี่ย อย่างนี้กว่าจะเขียนจดหมายหาใครสักคนได้ไม่อ่านกันตาแตกยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบไฟนอลกันไปเลยหรือยังไง
“โอ้โห ไอ้ไป๋มึงนี่ชอบหางานช้างมาให้เพื่อนตลอดอะ”
“ก็เมื่อกี๊พวกมึงบอกเองปะว่ามันคือบุพเพฯอ่ะ เอาน่าช่วยกูหน่อย”
“เออ เอาก็เอาวะ เพื่อมึงเลยนะไป๋ ไปค่ะ ไปหากันคนละมุมไปเลย”
และแล้วพวกเราก็เริ่มค้นหาโปรไฟล์กันแบบจริงจัง ในขณะที่ผมหาไปก็ได้อ่านของคนอื่นๆไปด้วย มันก็ทำให้ผมได้รู้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพผ่านชื่อได้มากขึ้นอย่างมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น
‘ทิงกี้วิงกี้ดิฟซี่ลาล่าและโพ’
‘เบิ้มท่อระเบิด’
‘ณ๊องนุ้ย ม่หล่อจีงอย่าหยิ่งดั้ยมะ’
‘รับปรึกษาวิชาสแตทครับ’
‘ปากหมากว่าแม่ค้าขายเครป’
และอื่นๆอีกมากมายด้วยกัน เออ อ่านแล้วมันก็คลายเครียดดีเหมือนกัน..
“เจอแล้ว” เมื่อเสียงทุ้มของไอ้ครามเอ่ยขึ้น ก็สร้างความแตกตื่นให้กับพวกผมเป็นอย่างมาก
“ไหนๆ ขอดูสิ่งที่ชอบหน่อย” ผมกุลีกุจอไปยังจุดที่ไอ้ครามยืนอยู่ แล้วมองตามนิ้วที่ชี้ไปยังกระดาษแผ่นหนึ่งของมัน
อยู่ล่างสุดแบบนี้ ถ้ากูมาคนเดียวคงหาเจอหร๊อก
ผมบรรจงอ่านแต่ละตัวอักษรอย่างตั้งใจ ลายมือถึงไม่ได้น่ารักมาก แต่ก็สามารถรู้ได้เลยว่าคนเขียนขึ้นมาแต่ละตัวอักษรได้อย่างประณีตแค่ไหน ดูจากน้ำหนักและลายเส้นแล้วบอกเลยว่าแค่นี้ก็ถูกชะตาด้วยมากๆแล้วแหละ
ฮือ แค่ลายมือเขาไป๋ยังชอบเลย
ผมไม่รอช้าจึงอ่านโปรไฟล์ของคุณกุ้งเผาทันที
ชื่อ(Display Name) : กุ้งเผา
เพศ : หญิง
สิ่งที่ชอบ : 1.หมา
2.อ่านหนังสือ
3.คนที่เห็นแล้วรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยใกล้ๆ
“เขียนคนละเรื่องกับของไป๋เลยอะ”
“ลงขันกันดีกว่า กูว่าคนเนี้ยไอ้ไป๋ชวดแน่ๆ”
“อ้าว ไอ้ตุลลี่ ไอ้ก๊าซทำไมพูดงี้วะ?”
“อะ ไอ้ก๊าซกูลงเลยยี่สิบ” ไอ้ยีนส์คนพูดจริงทำจริง2018 เพราะแบงค์ยี่สิบจากกระเป๋าตังมันได้ส่งทอดไปยังมือของไอ้ก๊าซแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“อีไป๋ กูว่ามึงมองโปรไฟล์ผู้หญิงคนอื่นเผื่อๆไว้บ้างก็ดีนะ ._.”
“ทำไมไม่มีใครเชื่อใจกูเลยวะ” ผมเหลือบไปมองไอ้ครามอย่างขอกำลังเสริม คนอื่นย้ายทีมไปหมดแล้วเพื่อน ช่วยลงทีมกูให้กูมีกำลังใจหน่อยเถอะ
“สู้ๆ” ไอ้ครามมันเดินมาตบไหล่ผมแบบงงๆ ก่อนจะรู้ความหมายของคำพูดมัน เมื่อไอ้ครามมันหย่อนเหรียญสิบลงฝ่ามือของไอ้ก๊าซไปอีกคน
ไอ้พวกเหี้ย แม่งให้กำลังใจกูกันชิบหาย
“เดี๋ยวพวกมึงคอยดู บอกเลยว่ากูจะไม่เขียนจดหมายหาใครนอกจากกุ้งเผาทั้งนั้น!”
สองเท้าก้าวอย่างมั่นใจ สองมือกุมกระเป๋าสตางค์แล้วควักเหรียญห้าออกมาอย่างมาดมั่น
“เอาโปสการ์ดอันนึงครับ”
หนึ่งสมอง สองมือ และหนึ่งด้ามปากกา กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะเขียนลงตรงหน้า กูจะเขียนยังไงดีวะ? แบบสุภาพชนดีแมะ?
สวัสดีครับ คุณกุ้งเผาผู้น่าเคารพรัก กระผมใช้ชื่อว่าชอบกุ้งเผา เพื่ออยากทำความรู้จักกับคนกุ้งเผานะครับ
สัส แบบนี้ไม่น่าเวิร์ค หรือจะเอาแบบรุกๆไปเลยดี?
หวัดดีกุ้งเผา เราชอบเธอว่ะ อยากรู้จักเธอด้วย พรุ่งนี้มาเจอกันหน่อยที่ใต้หอ 7 ตอนห้าโมงเย็นนะ
เชี่ย น่ากลัว กุ้งเผาเขาคงมาหากูอะนะ
ผมนั่งคิดอยู่สักพัก คำพูดที่ผมเคยพูดกับเพื่อนๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็ได้ลอยกลับมาในหัว ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมเริ่มคิดได้ และเริ่มคลายกังวลที่จะเริ่มเขียนจดหมายแบบจริงจังสักที
‘เอ้า กูก็ชอบแบบนี้อ่ะ จะให้กูแก้เป็นอย่างอื่น มันก็ไม่ใช่ตัวกูแล้วปะ?’
เออ ถ้าไม่เขียนแบบที่เป็นตัวกู แล้วเขาจะมาประทับใจตัวกูในแบบที่เป็นได้ไงวะ ดังนั้น ไอ้ไป๋ มึงลุย!!!
สวัสดีกุ้งเผา เราชื่อชอบกุ้งเผานะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนตั้งชื่อดิสเพลย์คล้ายเราด้วย เพื่อเป็นการทำความรู้จักให้มากขึ้นเรามาเล่น #10factsaboutme โดยห้ามบอกชื่อและคณะกันไหม?
ผมตัดสินใจเขียนไปแบบสั้นๆง่ายๆ ส่วนการชวนให้มาเล่น บอก 10 ข้อที่เกี่ยวกับตนเองนั้นก็เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อใจและอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นเท่านั้นเอง
รีบๆตอบกลับมานะคุณกุ้งเผา อยากคุยด้วยแล้วอะ
หลายๆคนอาจจะงงใช่ไหมครับว่าแล้วจดหมายเราที่อีกฝ่ายตอบกลับจะมาถึงมือเราอย่างสวัสดิภาพได้อย่างไร ขอเล่าย้อนไปตั้งแต่ตอนที่สมัครกิจกรรมเลยนะครับว่า ทางเภสัชเนี่ยเขาจะมีใบกระดาษแยกจากใบโปรไฟล์ที่จะเอาไปแปะที่ซุ้มอีกทีนึง ซึ่งในนั้นก็จะมีให้กรอก ชื่อ คณะ และหมายเลขเซคของวิชาสังคมที่เราจะได้เรียนรวมกัน เพื่อที่จะได้ให้เพื่อนเภสัชในเซคเดียวกันนำมาส่งให้ครับ และแน่นอนว่าข้อมูลส่วนตัวตรงนี้จะถูกเก็บเป็นความลับจนกว่าจะเสร็จสิ้นกิจกรรม ถึงจะมีการเฉลยโปรไฟล์แต่ละคนในเพจของ letter of love นั่นเองครับผม!!!
ฮาร์ดเซลล์เหมือนคณะตัวเองอีกแล้วกู
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเนื้อเต้น นั่งเรียนจนไม่ติดเก้าอี้แบบนี้ วันนี้กูจะได้เรียนวิชาสังคมแล้วโว้ยยยย!!!!
“ไอ้เชี่ยไป๋ วันนี้มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ยุกยิกๆอยู่นั่นอ่ะ” ไอ้สัสยีนส์ที่นั่งเรียนอยู่ข้างๆหันมาดุผมที่เอาแต่นั่งไม่เป็นสุข จนทำให้มันไม่มีสมาธิในการเรียนแคลคูลัสของจารย์หัวเหม่งหน้าห้อง
ความแค้นส่วนตัวล้วนๆที่เรียกแบบนั้นออกไป เพราะมิดเทอมจารย์แม่งออกข้อสอบยากจนกูตกมีนเลยเนี่ย จะโทษอาจารย์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะข้อสอบแม่งยากสัสก็จริง แต่ไอ้พวกหัวกระทิภาคไบโอกับภาคเคมีแม่งก็ฉุดมีนระห่ำเหมือนไม่ใช่คนปกติสามัญชนอย่างเราๆ .. เห็นใจคนโง่ๆอย่างกูหน่อยยย
“กูตื่นเต้นเฉยๆ” หลังจากจารย์เหม่งปล่อยให้เบรก 10 นาทีแล้ว ผมที่เหมือนเก็บกดมาทั้งคาบก็หันมาพูดกับไอ้ยีนส์แบบต้องการหาที่พึ่งทันที
“ตื่นเต้นอะไรของมึงอีไป๋” แต่เหมือนไอ้ตุลลี่ที่นั่งอยู่แถวหน้าพร้อมไอ้ก๊าซและไอ้ครามอยากมีส่วนรวมด้วย จึงหันหน้ามาทางพวกผมอย่างทันที
เรื่องพวกนี้นี่เร็วจังนะมึง
“ก็วันนี้จะได้เรียนวิชาสังคมแล้ว”
“แล้ว?” ไอ้ยีนส์ย้อนถามเหมือนไม่เข้าใจคำพูดของผม
“ก็จะได้เรียนกับพวกเภสัชแล้วไง”
“คือมึงแบบปิ๊งสาวเภสัชอยู่?” ไปกันใหญ่แล้วมึงเอ้ย
“อ๋อ กูเข้าใจละ คือมึงกำลังรอจดหมายตอบกลับจากอีกุ้งเผาอะไรนั่นอยู่ใช่แมะ” เออ กูรักความไอ้ตุลลี่ก็ตรงนี้แหละ เก็ทไว ใส่ใจทุกเหตุการณ์
“เออ!!!”
“มึงยังจะหวังให้เขาตอบกลับอยู่อีกเหรออีไป๋”
“ของแบบนี้มันก็ต้องรออย่างมีความหวังปะวะ”
“อะ อีก๊าซกูลงกับมึงด้วย เอาไปร้อยนึงเลย”
“เออ ใช่สิ พวกมึงแม่งก็เอาแต่บอกให้กูลืมๆ แต่ไม่เคยให้กำลังใจกูเหมือนกันนั่นแหละ” ผมแกล้งบีบจมูกให้ดูแดงๆ เพื่อความสมจริง แสร้งทำเป็นเสียใจในการกระทำของเพื่อน
“แหะๆ กูล้อเล่นนะอีไป๋ เรื่องวางตังนี่กูไม่ได้ยุ่งด้วยแล้วนะ” ไอ้ตุลลี่รีบชักธนบัตรสีแดงกลับอย่างไว อยู่กับมึงมันต้องใข้ไม้นี้แหละไอ้ตุลลี่!!!
“เออ ช่างแม่-”
“อีแพรมึงดู๊ แก๊ง F4 มานู้นแล้วๆๆๆๆ” เสียงกึ่งกระซิบกึ่งตะโกนจากเพื่อนผู้หญิงในภาคดังขึ้นมาจากแถวหน้าสุด ที่กำลังเอี้ยวหลังมองไปสุดหลังห้องแบบคอแทบหลุด ด้วยความที่วิชาแคลคูลัสเป็นวิชาวิศวะปีหนึ่งทุกภาควิชาจะได้เรียนรวมด้วยกันหมด จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าแก๊ง F4 ที่พวกเธอพูด หมายถึงพวกไหน และมาจากภาควิชาอะไร
อะ ไหนๆก็ไหนๆ หันไปใส่ใจหน่อยละกัน ว่าทำไมถึงสถาปนาให้เสียใหญ่โตถึงขนาดนั้น..
เมื่อหันไปก็พบว่ากูไม่น่าหันมาเลย พร้อมอุทานในใจตนเองว่า อ๋อ ไอ้พวกเหี้ยนี่เองอะนะ..
ไม่ผิดหรอกครับ ไอ้พวกที่สาวๆพูดถึงนั่นก็คือ กลุ่มของไอ้พิวนั่นเอง พวกมันเปิดประตูเดินเข้ามาจากข้างหลัง คงเกรงใจอาจารย์ที่ยังนั่งอยู่หน้าห้องละมั้ง ทั้ง 4 คนเดินแบบเอื่อยๆเพื่อมาหาที่นั่งข้างหน้ากัน แต่ละคนนี่สภาพดูไม่ได้กันทั้งนั้น บอกเลย กูให้ร้อยนึงแล้วพนันได้เลยว่าพวกแม่งไปตี้กันมาเมื่อคืน
พวกมันเดินกันมาเรื่อยๆจนมาสุดที่เก้าอี้แถวหลังของผมที่ยังว่างอยู่
“ตรงนี้ว่างปะ?” เสียงของไอ้เคนดังขึ้นถามพวกผมเพื่อความมั่นใจ
“เตี่ยไอ้ยีนส์นั่งอยู่พวกมึงไม่เห็นกันหรือไง?”
“อ้าว สัสไป๋ เกี่ยวเหี้ยไรกับเตี่ยกู” ว่ายังไม่ทันจบไอ้ยีนส์มันก็หันมาตบนิสัยเกรียนของผมไปทีนึง จนทำเอาผมรู้สึกเหมือนเห็นดาวไปชั่วขณะนึง
“F4 ทุกคนมานั่งกับเราก็ได้นะ ตรงนี้ว่างสี่ที่พอดีเลย” มิ้นฐาเน็ตไอดอลสุดเปรี้ยวประจำภาคเราตะโกนขึ้นมาจากแถวหน้าสุดเหมือนเดิม เพื่อแซวไอ้พวกที่กำลังยืนงงอยู่ตรงโต๊ะแถวหลังพวกผม ซึ่งมันก็สามารถเรียกเสียงฮาจากทุกคนบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี แต่พลันสายตาของผมก็เหลือบมองไปเห็นปฏิกิริยาของไอ้ตุลลี่
แหม คนอื่นแซวว่าที่ผัวหน่อยนี่กำหมัดแน่นเชียว
แต่จากปฏิกิริยาของไอ้สี่คนนี่ที่ไม่หือไม่อือไม่ปฏิเสธอะไรออกไป มันทำให้ผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาดื้อๆ ด้วยความปากหมาและสันดานเสียเลยทำให้โพล่งพูดขึ้นมาแบบแทบไม่รู้ตัวเอง
“ถ้ากลุ่มไอ้พวกเหี้ยนี่เป็น F4 กลุ่มพวกกูก็คงเป็น MAROON5 แล้วแหละ!!!” หลังจากพูดจบแล้วถึงได้อยากนึกตบปากของตัวเองแรงๆ
เพราะกว่าค่อนห้อง และแม้แต่ไอ้พวกเอ๋อทั้งสี่ที่ตอนนี้จับจองที่นั่งข้างหลังผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมใจกันขำกันจ๊ากในความมั่นหน้าและปากไวของผม
ผิดไปแล้วจ้า อย่าฆ่ากันแบบนี้เลย ไป๋แค่เผลอพูดเสียงดังไปนิดเดียวเอง
“อะไรเนี่ย มึงอยากเป็นอดัมเหรอวะไป๋ ฮ่าๆๆๆๆๆ” ไอ้เต้ชะโงกมาพูดกับผมทั้งๆที่ตัวเองขำน้ำหูน้ำตาไหล เออ! ไอ้สัสพอได้แล้ว ตอนนี้กูโคตรอายเลยไอ้เหี้ย!
“หมดเวลาพักแล้วครับนักศึกษา กลับมานั่งประจำที่เพื่อเรียนเนื้อหาต่อไปได้แล้วครับ ต่อไปจะเป็นในส่วนของเรื่อง Non-linear…”
ผมที่ได้เผชิญกับความอับอายเลยหันไปชูนิ้วกลางใส่ไอ้เต้ทีนึง ซึ่งก็ได้เป็นฝ่ามือที่เกือบประทับบนหัวผมตามรอยไอ้ยีนส์กลับมา ยังไม่ได้หันหน้ากลับมานั่งมองจอโปรเจคเตอร์เหมือนเดิม ก็พบว่าไอ้พิวที่นั่งติดกันกับไอ้เต้กำลังมองมาที่ผมแบบที่ไม่สามารถอ่านสายตาออก ผมเลยกระซิบถามเชิงกวนตีนเพื่อไม่ให้รบกวนเพื่อนๆที่กำลังนั่งฟังอาจารย์ไปว่า
‘มองเหี้ยไรสัส’
มันยกยิ้มมุมปากพร้อมพูดเสียงเบาออกมาคำนึง ที่ผมไม่สามารถอ่านปากของเจ้าตัวออกได้ว่ากำลังพูดอะไร
‘ห้ะ?’
‘----ก’ อะไรของมันวะ?
‘อะไรของมึ-’
‘เสือก’ คราวนี้มันเลยเลือกที่จะพูดให้เสียงดังขึ้น และแน่นอนว่าแม่งโคตรเหี้ยเหมือนเดิม
กูจะไม่คุยกับพวกมึงอีกแล้ว!!!
และแล้ว และแล้ว และแล้ว เวลาที่ไป่ไป๋คนนี้รอคอยก็มาจนได้
ถึงคาบวิชาสังคมเสียที!!!
“หวัดดีไป่ไป๋ ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ดีจังเลยอะ” พะแพงผู้ที่ตรงต่อเวลาก้าวเท้าเข้ามาในห้องตามเวลาที่เรียนเป๊ะ ส่วนผมน่ะเหรอครับ แหกตูดมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วนู่น
“มีเรื่องให้ตื่นเต้นนิดหน่อยอ่ะ ฮ่าๆ”
“อะไรๆ ไป๋ตามจีบสาวในเซคอยู่หรือไง” แซวเสร็จก็ยังจะหันไปมองรอบๆแบบหาผู้ต้องสงสัยที่คาดไว้ แต่ก็เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง ก็เพราะในห้องตอนนี้มีนักศึกษามาร่อยหรอมาก ทั้งๆที่จะถึงเวลาเรียนอยู่รอมร่ออยู่แล้วแท้ๆ
“ไม่ใช่ เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“โถ่ ไอ้เราก็อุตส่าห์อยากจะแซวสักหน่อย”
จากนั้นก็ถึงเวลาสมควรที่อาจารย์จะเข้ามาสอน และนักศึกษาก็เริ่มทยอยเข้าห้องเรียนมาเรื่อยๆ การเรียนการสอนเป็นไปอย่างน่าเบื่อมาก สองสายตาก็เอาแต่ชะเง้อหาเพื่อนคณะเภสัชที่มัวแต่นั่งจดเลกเชอร์การสอนอยู่ อยากรู้แล้ว จะมีใครส่งจดหมายมาให้ผมบ้างไหม
จนจบคาบเรียนแล้วผมก็ยังรอคอยจดหมายน้อยกลอยใจอยู่ สองมือเก็บเครื่องเขียนอย่างอ้อยอิ่ง ตาก็ไม่ไดละไปจากไอ้โต้ง และจ๋า หนุ่มสาวจากคณะเภสัชเพียงสองคนในเซคเลย ต้องได้จดหมายจากมือไม่คนใดก็คนหนึ่งในนี้แหละ แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ลุกไปถามหรืออะไร สองคนนั้นเมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จก็วิ่งออกจากห้องไปอย่างรีบร้อนทันที
อ้าว นี่กูไม่ได้จดหมายตอบกลับจริงๆเหรอ...
ฮือ เศร้า โดนหักอกตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยเหรอเนี่ยกู ผมคอตกยกมือโบกบายบายเพื่อนทุกคนก่อนจะก้าวออกจากห้องไป
“ไป๋!!!” ผมหันไปก็พบกับขวัญที่สะพายกระเป๋าเตรียมจะออกจากห้องเหมือนกัน
“อะนี่ เมื่อกี๊โต้งกับจ๋าฝากมา บอกว่าต้องรีบไปจัดซุ้มเลยไม่มีเวลาให้” ผมตาโตมองจดหมายในมือขวัญที่ยื่นมาให้
เยดเขร้ แม่งเล่นมาเป็นปึกเลยเว้ยเฮ้ย!!!
“ขอบใจมากนะขวัญ”
“เดี๋ยวนี้ฮอตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ” ขวัญพูดแกมล้อผม จากนั้นเราจึงแยกทางกันตรงทางแยกกลับหอ
แต่ด้วยทนความตื่นเต้นไม่ไหว ผมก็เลยถือปึกซองจดหมายแล้วยืนอ่านชื่อดิสเพลย์คนส่งตรงนี้ซะเลย
Little Bears
ท้องฟ้าสีชมพู
บิงซูถ้วยใหญ่ ❤
ningigi
และแล้วความดี๊ด๊าเมื่อไม่กี่นาทีที่ก่อนก็หายวับไปอีกรอบ เพราะไม่ว่าจะอ่านจ่าหน้าฉบับแล้วฉบับเล่าก็ไม่มีชื่อของกุ้งเผาอยู่เลย
รู้สึกเศร้าเหมือนตอนเห็นข้าวมันไก่กล่องสุดท้ายที่ร้านหน้าปากซอย แต่ป้าบอกว่ามีคนจองไว้แล้ว
รู้สึกเศร้าเหมือนตอนที่นั่งรอบุรุษไปรณีย์มาส่งทั้งวัน แต่ฝนเสือกมาตกตอนบ่ายสอง
รู้สึกเศร้าเหมือนตอนที่แม่สัญญาว่าจะไปเที่ยวทะเล แต่ผมก็ดันมาป่วยในวันก่อนไป
ถึงเหตุการณ์มันจะต่าง แต่ตอนท้ายผมก็รู้สึกผิดหวังเหมือนๆกัน
ผมที่ตุปัดตุเป๋เดินไปคว้าจักรยานที่จอดไว้ไม่ห่างจากตัวตึกมากนัก เพื่อกลับไปตั้งหลักที่หอก่อน เดี๋ยวค่อยไลน์บอกไอ้ยีนส์กับไอ้ตุลลี่เอาละกัน
“ไป่ไป๋!!!” เสียงของผู้หญิงที่ไม่คุ้นเอาเสียเลยดังขึ้นมาทางด้านหลัง ผมหยุดจักรยานเข้าข้างทางแล้วจึงหันกลับไปมอง
“อ้าว จ๋า” ผมมองจ๋าที่วิ่งกระหืดกระหอบมาแบบไม่สนใจสายตารอบข้างของนักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียนเหมือนกัน ให้เดาว่าจ๋าคงวิ่งตามผมมาพักนึงแล้วแหละ ถึงได้หอบหนักขนาดนี้
“อะ จดหมายอีกอัน มันตกอยู่ในกระเป๋าเราอ่ะ ขอโทษนะ”
“อ๋อ ขอบคุณมากๆนะ ยังไงซุ้มวันนี้ก็สู้ๆ”
“อื้ม ไปแล้วนะ บาย” ผมมองตามหลังของจ๋าที่วิ่งกลับไป ถ้าถึงตาคณะผมมีกิจกรรมเมื่อไหร่คงเหนื่อยไม่ต่างจากนี้แน่ๆเลย
ว่าแล้วผมก็ก้มมองจดหมายที่เพิ่งได้มาอย่างใจเต้นระรัว สาธุๆๆ ขอให้มันเป็นในสิ่งที่ผมคิดด้วยเถอะพอแก้วแม่แก้ว ค่อยๆแง้มเปลือกตาจากเดิมที่ปิดสนิทเพื่อรอลุ้นอย่างช้า
‘กุ้งเผา’
วู้ว!!! ในที่สุดผมก็ได้จดหมายตอบกลับจากกุ้งเผาแล้ว ผมรีบเก็บจดหมายลงกระเป๋า จัดการเก็บอาการตัวเอง เพราะกลัวคนที่เดินอย่างพลุกพล่านในตอนนี้จะมองว่าผมเป็นบ้า ก่อนจะรีบปั่นจักรยานกลับหอของตนเองทันที
เหมือนสาววัยแรกแย้มชิบหายเลยไอ้ไป๋เอ๊ย
-
(ต่อ)
❋❋❋
“คือมึงได้จดหมายจากกุ้งเผาอะไรนั่นแล้วเหรอ?” เมื่อสองเท้าก้าวถึงห้องยังไม่ทันให้ผมได้เปิดอ่านจดหมายอะไร ไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ก็โทรจิกตามผมมากินข้าวทั้งอย่างนั้น ผมที่กำลังเนื้อเต้นจึงจำใจวางกระเป๋า หยิบข้าวของที่จำเป็นเพื่อมาทานข้าวที่โรงอาหารกลางกับพวกมันก่อน
“ถูกต้องนะคร้าบ”
“แล้วมึงเปิดอ่านหรือยัง?”
“ก็ยังอะดิ ต้องมานั่งแดกข้าวกับพวกมึงก่อนเนี่ย”
“มึงทำถูกแล้วอีไป๋ มึงจะเห็นนังกุ้งเผาอะไรนั่นสำคัญกว่าพวกกูไม่ด้าย”
“มึงว่ากุ้งเผาจะตอบไอ้ไป๋กลับมาแบบไหนวะ?”
“กูว่านะอีคุณกุ้งเผาเนี่ย จะต้องมีความเด็กเรียนประมาณนึงอ่ะ แบบชอบไปหอสมุดไรงี้ กูว่าตอบอีไป๋มาแบบล้นโปสการ์ดแน่ๆอ่ะ”
“เออก็จริงของมึงไอ้ตุลลี่”
ผมปล่อยให้เพื่อนทั้งสองนั่งเดานั่นเดานี่กันไปตามประสา เพราะจิตใจผมตอนนี้กลับไปอยู่ที่กระเป๋าเป้ใส่จดหมายแทนที่จะเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ต้มยำข้างหน้าแล้ว
“เอ้า ไอ้ไป๋แดกเสร็จยัง? จะได้รีบเก็บจานไปทำการบ้านวิชาเคมีต่อ”
“เออ ไปๆ”
❋❋❋
ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาร่วมๆเที่ยงคืนแล้ว ถ้าหากถามว่าผมได้เปิดจดหมายหรือยังก็ส่ายหัวบอกได้ทันทีเลยว่า ยัง!!!
“ไอ้ยีนส์ ข้อนี้แม่งทำยังไงวะ? กูนั่งอ่านเคมีบทนี้มาเป็นชั่วโมงละกูยังไม่เข้าใจเลยเนี่ย” ผมทิ้งตัวหาพนักผิงเก้าอี้ ก่อนหันไปหาความช่วยเหลือจากไอ้เมทสุดที่รักมัน
“กูก็ไม่รู้ว่ะ ตอนนี้กูลอกโพยจากกลุ่มภาคละแม่ง เกินเยียวยาสัสๆ”
“เออ มึงลอก กูลอกด้วย” ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดใดผมก็คว้าสมาร์ทโฟนลูกรักขึ้นมากดเปิดไลน์กลุ่มภาคทันที
เครื่องกลคนหัวร้อน (46)
เปิดข้อความที่ยังไม่ได้อ่านของกลุ่มขึ้นมาปุ๊บก็พบกับรูปการบ้านพร้อมวิธีทำ และข้อความที่เพื่อนคุยเล่นกันอีกนิดหน่อย แต่เมื่อสังเกตรูปและชื่อโปรไฟล์คนส่งโพยมาดีๆ ก็พบว่าเป็นคนไม่ไกลตัวนี่เอง
just pew
“ไอ้พิวมันเก่งเคมีอ่อวะ?”
“นี่มึงไม่รู้เหรอวะว่าไอ้พิวนี่แม่งตัวโหดภาคเลยนะเว้ย”
“อ้าวงั้นเหรอ” ผมเบะภาพใส่ภาพโปรไฟล์ยืนเก๊กหล่อที่สักที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ ซึ่งเดาๆแล้วคงไม่ใช่ประเทศไทยแน่นอน แหงละ ก็บ้านแม่งโคตรรวย แต่ยังไงเห็นกากๆอย่างมันนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย
กว่าจะได้วางปากกาจากการลอกการบ้าน ย้ำครับว่าลอก เพราะการบ้านอีวิชาเคมีนี่ก็ว่าโหดแล้ว เจอสมองปลาทองที่เกลียดเคมีเข้าไส้จนต้องมาเรียนภาคเครื่องกลยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่เลยครับ
แม่งเอ้ย อุตส่าห์หนีมาเรียนเครื่องกล ทำไมกูต้องมานั่งเรียนเคมีพื้นฐานอีกวะเนี่ย
แต่ก่อนที่จะล้มตัวนอนสมองก็เพิ่งจะนึกได้ กูยังไม่ได้อ่านจดหมายของคุณกุ้งเผาเลยนี่หว่า... ว่าแล้วผมก็เอื้อมมือไปเปิดไฟโต๊ะอ่านหนังสืออีกครั้ง เพราะทั้งห้องตอนนี้ได้มืดสนิทลง เนื่องจากได้ปิดไฟดวงใหญ่ไปแล้วนั่นเอง จากนั้นก็ถึงเวลารื้อสัมภาระออกมาเพื่อหาของสำคัญ
ก่อนสิ่งอื่นใดต้องขอโทษสาวๆที่เขียนมาหาด้วยนะครับ แต่ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะเขียนหาแค่คนเดียวเท่านั้น
To. ชอบกุ้งเผา
From. กุ้งเผา
แค่อ่านจ่าหน้าก็ม้วนไปสิบตลบแล้วมึงเอ้ย ไอ้ไป๋มึงตั้งสติ! ผมค่อยๆแกะกระดาษให้ออกจากกันเพราะอนุภาพของกาว แล้วค่อยๆหยิบโปสการ์ดข้างในออกมาด้วยหัวใจสั่นระรัว จะตอบกลับมาว่ายังไงวะ?
กระดาษอีกด้านของโปสการ์ดเป็นลายที่ทางเภสัชเขาวาดขึ้นเอง เป็นข้อความที่ว่า Hello Stranger พร้อมวาดดอกไม้ประดับให้ดูมรุ้งมริ้งฟรุ้งฟริ้ง ผมไม่รอช้าพลิกโปสการ์ดให้หันกลับอีกด้าน ปรากฏเป็นลายมือที่ผมชอบดังเดิม แต่ข้อความข้างหน้ากลับทำให้ผมขมวดคิ้ว
เอาดิ ใครเริ่มก่อนอะ?
“อะไรวะ กุ้งเผาตอบกลับมาแค่เนี้ย?” นั่นไม่ใช่เสียงผม แต่กลับเป็นเสียงไอ้ยีนส์เมทขี้เสือกเจ้าเก่า ที่มายืนข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ชอบ...”
“อะไรของมึ-”
“กูโคตรถูกชะตากับคนนี้เลยว่ะไอ้ยีนส์”
ปากผมกำลังพูดกับไอ้ยีนส์ก็จริง แต่สายตาตอนนี้ยังไม่ได้ละจากกระดาษตรงหน้าไปแม้แต่น้อย ส่วนไอ้เมทด้านหลังผมคงยืนเอ๋อแดกไปแล้ว
ก็แหงหละ ผมเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย ไม่รู้จะพูดยังไงดีจะว่าแปลกใหม่ก็ไม่เชิง ห้วนๆ ห้าวๆ แต่ที่แน่ใจเลยคืออยากคุยต่ออะ จบ
ไม่รอช้าจึงหยิบโปสการ์ดที่ถูกซื้อไว้เกือบสิบแผ่นตั้งแต่หลายวันก่อนขึ้นมานั่งเขียนด้วยความตั้งใจ
เดี๋ยวเราเริ่มก่อนเอง #10factsaboutme
1.บ้านเราอยู่วงเวียนใหญ่
2.ที่บ้านเราชอบเลี้ยงหมา
3.ชอบกินอาหารที่เป็นข้าว มากกว่าแบบเส้นหรือขนมปัง
4.เป็นคนติดบ้าน
5.ชอบสีฟ้ากับขาว
6.ชอบทะเลมากกว่าภูเขา
7.ถนัดซ้าย
8.ชอบหนังแนวโรแมนติก มากกว่าหนังผี
9.ฟังเพลงได้ทุกแนว เน้นเพลงไทย
10.ส่วนข้อนี้ไว้สนิทกันแล้วเดี๋ยวจะบอกนะ :p
ร่างบางระบายยิ้มออกมาบางๆให้กับกระดาษที่ตนเองเพิ่งลงมือเขียนเสร็จ ก่อนจะเก็บลงซองจดหมายแล้วปิดผนึกอย่างเรียบร้อย นิ้วเรียวเอื้อมไปแตะสวิตซ์ไฟหัวโต๊ะอีกครา ก่อนจะล้มตัวนอนยังเตียงที่ตั้งไม่ห่างกัน
พลางคิดวางแผนว่าพรุ่งนี้จะนำจดหมายไปให้เพื่อนเภสัชหรือนำไปส่งที่ซุ้มดี คิดแล้วคิดอีกก็พบว่ากว่าจะได้เจอเพื่อนเภสัชในเซคเดียวกันอีกทีก็ตั้งวันมะรืน เขาคงไม่รอช้าถึงขนาดนั้น ดังนั้นจึงติดสินใจว่าจะนำไปส่งที่ซุ้มในตอนเย็นของวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อวานก็อยากให้ถึงวันนี้เร็วๆ พอเป็นวันนี้ก็อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆอีกแล้ว
วันถัดมา และในขณะนี้ผมก็กำลังเรียนในวิชาที่สามารถเรียกได้ว่าผมไม่ชอบที่สุดในขีวิตเลยก็ว่าได้ เป็นวิชาไหนไปไม่ได้หรอกครับ นอกเสียจากวิชาเคมีนั่นเอง...
“มีนักศึกษาคนไหนยังไม่ได้ส่งการบ้านอีกไหมคะ?” อาจารย์ศิวพรคนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือออกข้อสอบและให้การบ้านชนิดที่ว่ายากชิบหาย ชูปึกกระดาษการบ้านขึ้นมาเพื่อไถ่ถามนักศึกษาที่นั่งคุยกันจ๊อกแจ๊กจอแจ เนื่องจากแกกำลังจะปล่อยแล้ว
“ถ้าไม่มีแล้ว เจอกันคาบหน้าค่ะ”
“อาจารย์ครับ! คะแนนมิดเทอมจะออกหรือยังครับ?!” ผมหันขวับตามเสียงตะโกนของเพื่อนร่วมห้องทันที ไอ้นี่มันอยู่ภาคเคมีครับ ผมไม่เคยคุยหรอก แต่ได้ข่าวมาว่าเป็นตัวจี๊ดของภาคอยู่เหมือนกัน ส่วนภายในหัวสมองของผมในตอนนี้กำลังก่นสบถอย่างบ้าคลั่ง
ไอ้! ชิบ! หาย!
ไม่ได้ด่าไอ้คนตะโกนถามอาจารย์หรอกครับ บอกตัวเองเนี่ยแหละว่าชิบหายแล้วกูเอ๊ย คนเรามันรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบอยู่แล้วว่าทำได้หรือไม่ได้อะ แมนๆแบบไอ้ไป๋นี่บอกแบบเต็มๆปากไปได้เลยว่า กูทำไม่ได้ครับ!
อาจารย์ที่กำลังเก็บของเตรียมออกจากห้องเรียนไปก็กลับลงมานั่งและจับไม่โครโฟนอีกครั้ง อย่านะอย่า กูไม่ได้เตรียมใจมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ได้โปรดช่วยลูกช้างด้วย T_____T
“เรื่องคะแนนสอบ ตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจค่ะ คาดว่าจะสามารถประกาศได้ภายในอาทิตย์หน้า”
โอเค วันนี้กูรอดไป
“เฮ้ย พวกภาคเครื่องนั่งอยู่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวจะมีรุ่นพี่มาพูดเรื่องการรับน้อง” มิ้นฐาที่นั่งแถวหน้าลุกขึ้นมาตะโกนหลังจากที่อาจารย์ได้ออกจากห้องเรียนไปแล้ว อันที่จริงได้มีการนัดหมายในไลน์ไปรอบนึงแล้วแหละ ว่าหลังเลิกเรียนให้นั่งรอรุ่นพี่ก่อน ไม่งั้นป่านนี้พวกผมแหกตูดเปิงออกจากห้องก่อนอาจารย์ไปแล้ว
“อย่าลืมนัดของเรานะคะทุกคน อีกสองอาทิตย์ ในวันเสาร์ล้อจะเริ่มหมุนตอน 7 โมงตรง มาให้ตรงเวลากันด้วยน้า” คร่าวๆของการที่พวกพี่ๆมาพูดวันนี้ก็คือ การรับน้องของภาคเครื่องกลที่จะจัดขึ้นที่ริมชายหาดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดระยองครับ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปี 1 ไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท ข้าวฟรีรถฟรีน้ำอะไรต่างๆก็ฟรีด้วย
“ไงไอ้ไป๋ เรียนเป็นไงบ้าง” พี่ป็อป พี่รหัสปี 2 สุดที่รักของผมผู้ที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วตั้งแต่แบกลังรหัสมาให้ยันหอ หอบขนมนมเนยมาให้ บอกเลยคนนี้ไป๋โคตรรัก
“สุดว่ะพี่ป็อป”
“ทำไมอ่านหนังสือเข้าหัวสุดๆ?”
“เหอะ หลับลึกแบบสุดๆไปเลยพี่”
...ฮากริบ...
“คิดซะว่าผมไม่ได้พูดอะไรแล้วกันนะ แฮะๆ”
“ชิวไปเถอะไอ้ไป๋ เดี๋ยวเกรดเทอมนี้ออกแล้วมึงจะรู้สึก”
“เชื่อมือไป๋เถอะพี่ เทอมที่แล้วไม่เอฟไม่โปรมานี่ก็ถือว่าเจ๋งพอตัวอ่ะ”
“เอาที่มึงสบายใจ เออ ไว้เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงนะ แต่ไม่น่าใช่เร็วๆนี้ คงรอให้พ้นรับน้องก่อน” พี่ป็อปแกเป็นพวกสายกิจกรรม รูปหล่อ คารมดี เห็นพี่แกหน้าโหดๆแบบนี้สาวติดตรึมนะครับจะบอกให้
“ขอคิดค่ารอเป็นบุฟเฟ่ต์แพงๆได้ไหมครับ?”
“ไอ้นี่ได้คืบจะเอาศอก” เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนผมจะขอแยกตัวไปหาข้าวกลางวันกิน วันนี้ตอนบ่ายผมไม่มีเรียนครับ กลับไปนอนเล่นที่หอได้อย่างสบายใจเฉิบ
“เดี๋ยวไป๋!!!” ทำไมเดี๋ยวนี้มีแต่คนตะโกนเรียกวะเนี่ย กูงี้สะดุ้งตลอดเลย แมนๆก็ขวัญอ่อนเป็นนะครับทุกคน
“มีไรวะมิ้นท์?” หันไปก็พบว่าเป็นมิ้นท์สาวมั่นคนเดิมที่พ่วงตำแหน่งเหรัญญิกภาคเข้ามาด้วย
“มึงอยู่หอในใช่ปะ? อะ ฝากทวงเงินคณะจากไอ้พวกนี้หน่อยดิ” พูดแล้วมันก็ยื่นสิ่งที่ผมไม่สามารถเรียกว่าแผ่นกระดาษได้อย่างเต็มปาก เพราะมันช่างเล็กและยับยู่ยี่เสียเหลือเกิน
“มาฝากกูแล้วทำไมมึงไม่ไปทวงเองอ่ะ?”
“ไอ้พวกนี้แม่งเบี้ยวกูมาเป็นอาทิตย์ละ ฝากทวงแม่งถึงห้องเลยแล้วกัน กูไปละ”
จากนั้นมิ้นท์ก็ชิ่งหนีไป ทิ้งผมไว้อยู่กับเศษกระดาษนี่ ไหนดูสิ มีใครบ้างวะ...
ตุล(ลี่)
เจ
โอม
เติ้ล
พิว
จากตอนแรกที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วตั้งแต่รายชื่อแรก และมันก็ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วยิ่งกว่าเมื่ออ่านถึงรายชื่อสุดท้าย ไอ้คนอื่นๆนี่กูยังพอเข้าใจว่าอยู่หอในเหมือนกัน แต่ไอ้พิวมันอยู่หอนอกไม่ใช่เหรอ แล้วกูจะไปทวงยังง๊าย
“อ้าว อีไป๋มัวยืนโอ้เอ้ทำอะไรอยู่ รีบไปแดกข้าวกันได้แล้ว”
“ไอ้ตุลลี่ มึงมาพอดีเลย เอาตังค่าคณะมาจ่ายกูเดี๋ยวนี้!”
เออ ได้จัดการคนเหนียวหนี้แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆจากวันที่ได้รับหน้าที่ทวงหนี้มา จนป่านนี้ผมก็ยังได้เงินมาไม่ครบเลย เนื่องด้วยจากผมไม่เจอเพื่อนบ้าง ลืมบ้างอะไรบ้าง ปะปนกันไป
ส่วนในเรื่องของโปรเจคอิ๊งที่เราถ่ายทำกันไปนั้นก็เรียบร้อยด้วยดีครับ ส่งอาจารย์เสร็จสรรพพร้อมได้รับคำชมด้วย สมาชิกในกลุ่มผมก็ยิ้มรับหน้าบานตามกันท้องเรื่อง พร้อมกับพะแพงที่ยัดเงินใส่มือผมพร้อมกำชับให้พาพิวไปเลี้ยงข้าวให้ได้ เพราะทุกคนมีภาระการเรียนหนักหน่วงมากจริงๆ หน้าที่พาไปเลี้ยงข้าวจึงตกมาที่ผมอย่างยอมจำนน
และถ้าหากถามถึงความคืบหน้าแล้วละก็ บอกเลยครับว่าตอนนี้เราได้เขียนจดหมายโต้ตอบกันประมาณ 2-3 ฉบับแล้วภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ข้อความก็ไม่ได้ไปในเชิงชู้สาวครับ ออกแนวเขียนหาเพื่อนที่นะนำนู่นนี่ให้กันมากกว่า ด้วยความที่ผมก็ไม่ได้ต้องการจะรุกอะไรมากมาย แต่อยากทำความรู้จักให้มากขึ้นเฉยๆด้วยแหละมั้ง จดหมายที่เขียนหากันจึงออกมาในแนวประมาณที่ว่า..
จดหมายของกุ้งเผาฉบับที่ 1
งั้นต่อไปตาเรานะ
1.บ้านอยู่สุขุมวิท
2.ชอบหมาที่สุด
3.กินได้หมดทุกอย่าง
4.ชอบฤดูฝนมากกว่าฤดูหนาว
5.ชอบสีขาวกับเทา
6.ชอบนิ่งๆกับคนแปลกหน้า ถ้าสนิทแล้วค่อยว่ากัน
7.ชอบอ่านหนังสือมากกว่าเล่นเกม
8.หนังที่ชอบที่สุด คือ About Time
9.ฟังได้ทุกแนว
10.ข้อนี้ไว้รู้จักกันเดี๋ยวจะบอก
ปล.วันนี้ฝนตกโคตรหนัก ไปเรียนก็ลืมเอาร่มไป ส่งช้าไปหน่อย ขอโทษด้วย
จดหมายของผมฉบับที่ 2
ยิ่งกว่าลืมร่ม คือการลืมเอากุญแจจักรยานไปอ่ะ โง่ซ้ำซ้อนมาก ลืมทั้งร่ม จักรยานก็ปั่นไม่ได้วิ่งตากฝนหวัดรับประทานไปอีก ว่างจังเลยอ่ะ มาเล่น #top5myfavouritesong กันดีกว่า เริ่มที่เราเลย
1. พอ – อะตอม ชนกันต์
2. Timehop - เอิ๊ต ภัทรวีดี
3.เกลียด – The yers
4.ดีใจที่มีเธอ – บอย โกสิยพงษ์ ft.ใหม่
5. ถามจันทร์ – 25 hour
ปล.อย่าลืมส่งเพลงกลับมาด้วย อยากฟัง
จดหมายของกุ้งเผาฉบับที่ 2
เออ โง่จริงๆแหละ จะเล่น #top5myfavouritesong ด้วย เพราะความสงสารแล้วกัน
1.ไม่บอกเธอ – Bedroom Audio
2. Paris in the rain – LAUV
3. สิ่งเหล่านี้ - Greasy Cafe
4. Message In A Bottle - Part Time Musicians
5.เพราะความรักมันไม่เลือกเวลาเกิด – Lomosonics
ปล.จะรอดูนะว่าฉบับหน้าจะมีอะไรให้เล่นอีก
และ
จดหมายของผมฉบับที่ 3
อุ้ย ทำไมต้องด่าเราว่าโง่ด้วยอ่ะ อิ_____อิ ต่อจากนี้ไม่มีแท็กให้เล่นละ แต่เราจะมาผลัดกันถามในสิ่งที่อยากรู้จากฝ่ายตรงข้ามยกเว้นชื่อกับคณะ คนละ 5 ข้อ เริ่ม!
1.ทำไมต้องตั้งดิสเพลย์เนมว่ากุ้งเผา?
2.กินข้าวที่ไหนบ่อยที่สุด?
3.เล่าเรื่องของรักแรกให้ฟังหน่อย
4.เรื่องปวดใจล่าสุด
5.คนในอุดมคติเป็นยังไง?
หลังจากที่อ่านมาก็สามารถประเมินนิสัยของกุ้งเผาอย่างคร่าวๆได้เลยครับ ว่าเป็นคนกวนตีนพอสมควรเลยทีเดียว .. นิ้วเรียวของผมจัดแจงสอดโปสการ์ดลงซองจดหมายเพื่อนำฉบับล่าสุดที่เพิ่งเขียนเสร็จไปส่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา
❋❋❋
ในตอนเย็นของอีกวัน เนื่องจากเป็นเวลาเลิกเรียนแล้วเวลาเลิกเรียนของวิชาสังคมและอังกฤษเหมือนเคย กิจวัตรที่ผมต้องทำทุกครั้ง คือการแชทหาไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่มันครับ และเนื่องด้วยสองตาที่กำลังก้มมองจอที่ค้างโปรแกรมแชทที่คุยกับเพื่อน ทำให้ไม่ได้มองทัศนียภาพรอบข้างได้ถี่ถ้วนเท่าที่ควร
“เฮ้ย ขอโทษๆ” ผมเอ่ยขอโทษบุคคลที่ผมเดินชน เพราะความที่ผมเดินไม่ได้ดูตาม้าตาเรืออะไรเลย
“ไป๋?”
“อ้าว มึงเองเหรอสัส” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากกองสัมภาระที่ผมเดินไปชนจนหล่นลงมากระจายทั้งหมด แล้วก็พบว่าคนที่ผมซุ่มซ่ามไปชนจนเกิดอุบัติเหตุเป็นคนใกล้ตัวอย่างไอ้พิว..
“เออ ไม่ใช่กูแล้วจะเป็นใครละ หมาที่ไหนก็ไม่รู้เดินชน ช่วยเก็บหน่อยละกัน”
“มึงนี่ก็ปากหมาเหมือนเดิม เอ้อ พะแพงให้ชวนมึงไปกินข้าวอะ เนี่ยให้ตังกูมาละ ว่างวันไหนก็บอกนะ”
“อื้อ ได้ๆ” ขานรับเสร็จมันก็ก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ โดยที่มีผมช่วยด้วยอีกแรง
แต่ในขณะที่ผมกำลังหยิบของชิ้นสุดท้ายขึ้นมาจากพื้น ผมก็พบว่ามันช่างมีหน้าตาที่คุ้นหน้าคุ้นตาเสียเหลือเกิน
ซองจดหมาย?
มือของผมค่อยๆพลิกดูจ่าหน้าอย่างเชื่องช้า คนอย่างไอ้พิวมันเล่น letter for love ด้วยเหรอวะเนี่ย?
To.กุ้งเผา
From.ชอบกุ้งเผา
“!!!”
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ช่วงไหนขยันก็จะอัพบ่อยฮับ
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
[/b]
-
น่าอ่านมากเลย
ติดตามอ่านด้วยคน
:L2: :pig4:
-
อ้าว ไป๋จับได้แล้วอ่ะ แบบนี้ไป๋จะเลิกคุยกับพิวไหมอ่ะ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
chapter four。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“ไอ้พิว มึงเล่น letter for love ด้วยเหรอวะ?”
“อือ ก็เล่น”
“มึงเป็นคนเขียนจดหมายนี่เองเลยปะ”
“อือ ก็ใช่อ่ะดิ” เพราะความจริงที่ได้ยินทำให้ตอนนี้ในหัวผมเริ่มว่างเปล่าเป็นสีขาวโพลนไปหมด
“แล้วมึงจะหลอกคนอื่นด้วยการเขียนโปรไฟล์ว่าเป็นผู้หญิงทำไม?!!!”
มันมองหน้าผมแบบอึ้งๆ ส่วนทางกับผมที่ตอนนี้เริ่มไม่รับรู้อะไรรอบข้างแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไงดี
“เดี๋ยวไป๋ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดเหี้ยไร! หลักฐานก็ทนโท่อยู่ว่ามึงคือกุ้งเผาอะ!!!” ยิ่งมันพยายามจะอธิบายแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมก็ยิ่งเดินออกห่างแล้วตะโกนด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“ไป๋ มึงใจเย็นๆก่อน คนรอบๆเขามองมึงหมดแล้ว” ร่างสูงพูดด้วยโทนเสียงเรียบๆแบบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ และเมื่อผมสังเกตดูรอบๆมันก็เป็นแบบที่ไอ้พิวว่าจริงๆ เพราะตอนนี้แทบทุกสายตากำลังมองมาที่ผมและไอ้พิวอยู่
“ช่างแม่งเหอะ กูมันโง่เอง” ผมไม่รอให้พูดอะไรต่อ กระชากข้อมือออกมาจากการเกาะกุมของมันที่หวังให้ผมใจเย็นลง แล้วเดินออกมาจากบริเวณนั้นทันที
“เฮ้ย ไป๋เดี๋ยวก่อนดิ!”
“ไอ้เหี้ย นี่กูช็อกโลกยิ่งกว่าตอนรู้ว่าอีนังพลอยสุ่ยนั่นมากิ๊กกับไอ้เคนอีกนะเนี่ย”
“โลกแม่งกลมชิบหายเลยว่ะ พวกมึงว่าปะ”
“แล้วพิวไม่ได้พูดอะไรต่อเลยเหรอไป๋?”
“มันก็ทำท่าจะพูดอะ แต่กูเดินออกมาก่อนเลยไม่ได้ฟัง”
ตอนนี้ห้องผมได้กลายมาเป็นแหล่งชุมนุมอีกครั้งหลังจากที่ผมได้พูดแค่เพียงประโยคที่ว่า เจอกุ้งเผาตัวจริงแล้ว เท่านั้นแหละ ทุกคนแทบจะเหาะมาฟังความเป็นมาจากปากผมเลยทีเดียว
ไอ้ตุลลี่นี่ยังพอเข้าใจได้ว่าเป็นนิสัยของมัน แต่แม้กระทั่งไอ้ก๊าซกับไอ้ครามที่ยังยอมเจียดเวลาออกกำลังกายมานั่งฟังด้วยกันนี่ น่าจะจัดให้เป็นวาระระดับชาติได้แล้วมั้ง
“แต่กูก็ยังสงสัยอยู่ดีอ่ะ ทำไมมันต้องกรอกโปรไฟล์ว่าเป็นผู้หญิงด้วยวะ?”
“ก็จริงของมึงอ่ะอียีนส์”
“เราว่าอาจติ๊กผิดช่องก็ได้นะ” ไอ้ก๊าซ
“กูก็ว่างั้นอ่ะ” และปิดท้ายด้วยไอ้คราม
“เออ ช่างแม่งเหอะ ว่าแต่พวกมึงเถอะไม่มีผู้หญิงส่งจดหมายมาหาบ้างเหรอ?”
“มี/มี/มี” ทั้งสามเสียงของไอ้ยีนส์ ไอ้ก๊าซและไอ้ครามดังขึ้นพร้อมกัน และยังมีเพียงคนเดียวที่นั่งเงียบอยู่ จึงทำให้พวกเราหันไปหาไอ้ตุลลี่พร้อมกัน
“ไอ้ตุลลี่แล้วของมึงไม่มีหรือไง?”
“กูติ๊กช่องไม่ระบุเพศไป ตอนนี้แห้งเหี่ยวมากเว่ออะกูบอกเลย”
“ก็สมควร...”
“อียีนส์ไหน มาพูดใกล้ๆกูอีกรอบสิ” เมื่อเมทตัวดีของผมหันไปเจอกับไอ้ตุลลี่ที่เงื้อฝ่ามืออรหันต์เตรียมฟาดมันไว้ก่อนแล้ว ด้านไอ้ยีนส์ที่เคยโดนมาก่อนจึงรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ทำให้ในตอนนี้เกิดสงครามย่อมๆในห้องผมขึ้นก็ว่าได้
“อียีนส์ มึ๊งหยุด!”
“กูหยุดก็โดนฟาดให้โง่สิวะ!!!” และแล้วทั้งสองก็วิ่งไล่จับกันรอบห้อง โดยมีพวกผมสามคนที่เหลือนั่งเป็นกำลังใจให้อยู่ใกล้ๆ
เอากับพวกมันสิ กูละปวดหัวโว้ย!!!
ตอนนี้ก็ล่วงเลยเวลามาจนถึง 22.00 น.แล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกลับห้องไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองกันตั้งแต่หัวค่ำ จึงเหลือผมที่นั่งอ่านแคลคูลัสแก้เซ็ง และไอ้ยีนส์ที่นั่งจิ้มโทรศัพท์เล่นเกมอะไรตามประสาของมันไป
แต่อ่านไปไม่เท่าไหร่ แม่งก็ไม่ได้เข้าหัวผมเลยสักนิด ทนนั่งอ่านต่อไม่ไหวเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโซเชี่ยลบรรเทาความกระวนกระวาย
“ไป๋ มึงโกรธไอ้พิวปะวะ?” อยู่ดีๆไอ้ยีนส์ที่นั่งเงียบๆกลับโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบในห้อง
“ถามทำไมวะ?”
“กูเห็นมึงนั่งยุกยิกๆ ไม่ยอมอ่านหนังสือตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วเนี่ย”
“ก-ก็ต้องโกรธเป็นธรรมดาปะวะแม่ง”
“สาเหตุจริงๆที่มึงโกรธมันเป็นเพราะอะไรวะ?”
“…”
“กูไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องของมึงหรอกนะไอ้ไป๋ กูแค่อยากให้มึงถามตัวเองดูว่าจริงๆว่ามันใช่ความโกรธจริงเหรอวะ?”
สมองเริ่มย้อนเหตุการณ์ตามคำกระตุ้นของไอ้ยีนส์ ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าคนที่ผมรู้สึกดีด้วย กลับเป็นคนใกล้ตัวผมเองมาจนเสียขนาดนี้
ผมคาดหวังให้คนนั้นเป็นแบบไหน? นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นลำดับถัดไป ในตอนแรกผมได้บอกตัวเองไว้แล้วแท้ๆว่าไม่ว่าตัวจริงของกุ้งเผาจะเป็นอย่างไร ขี้เหร่ ไม่ตรงสเปค หรือสกปรก แต่ผมพอใจที่จะได้คุย ผมรู้สึกได้ถึงความสบายใจ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว...
แต่ท้ายที่สุด เมื่อมารู้ความจริงว่าคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเป็นเดือนภาคที่เป็นผู้ชายเช่นเดียวกันกับผม
เพราะงั้นสิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่อาจเรียกว่าโกรธได้อย่างไม่เต็มปาก แต่มันคือความรู้สึกผิดหวังต่างหาก…
ผมคาดหวังให้คุณกุ้งเผาเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนนึง คนที่พร้อมที่จะยอมรับและทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
แต่พอทุกอย่างเป็นไปอย่างนี้แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรเหมือนกัน..
“ช่างแม่งเหอะ กูไม่คิดอะไรละ”
“งั้นก็ดี เดี๋ยวกูลงไปเซเว่นแปปนึงนะ”
“เดี๋ยวกูไปด้วย”
“เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ มึงอาบน้ำแล้วไม่ต้องลงไปหรอก”
“ไม่เอา กูจะลงไปหาขนมกิน”
“ไม่ต้องๆ มึงอยากแดกไรสั่งมาเดี๋ยวกูลงไปซื้อให้” ผมหรี่ตามองอาการผิดปกติของมัน อะไรวะ นัดสาวไว้หรือไง?
“งั้นเอาเยลลี่ฮาริโบ กับหมากฝรั่งดับเบิ้ลมิ้นท์”
“ได้ งั้นกูไปละ” พูดจบมันก็คว้ากระเป๋าตังและกุญแจห้องออกไปทันที มีพิรุธสัสๆเลย
ผมที่ไม่อยากคิดอะไรมากมายก็หันมาสนใจกับกองชีทแคลคูลัสตรงหน้าต่อ จากนั้นประมาณสามนาทีให้หลังจากตอนที่ไอ้ยีนส์ออกจากห้องไป ผมก็ได้ยินเสียงปิดเปิดของประตูห้องตัวเองดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ไอ้ยีนส์ ทำไมไปเร็- อ้าว ไอ้พิว?” คิ้วทั้งสองเส้นของผมแทบจะมาขี่กัน เมื่อพบว่าผู้มาเยือนไม่ใช่รูมเมทของผมอย่างที่คาดการณ์ไว้
“เออ กูเอง”
“มึงมาได้ไง? แล้วไอ้ยีนส์ไปไหนอ่ะ?” ผมชะโงกหน้ามองด้านหลังของร่างสูงก็ไม่พบร่างก็ไอ้เมทรักแม้แต่น้อย ก็ทำให้ร้องอ๋อได้ทันที
นี่พวกมึงเตี๊ยมกันมาใช่ไหม?!
“ยีนส์มันฝากกุญแจมาให้กูตอนไปเซเว่นอะแหละ ไป๋ขอร้องมึงช่วยฟังกูหน่อยเถอะนะ” คำอ้อนวอนจากปากเดือนภาคที่ดูแล้วช่างขัดกับบุคลิกได้ถือพูดออกมา ซึ่งนั่นมันก็มีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยมที่ทำให้ผมใจเย็นขึ้นได้อย่างเยอะมาก
“มีอะไรก็ว่ามา ฟังอยู่” ผมสูดหายใจเข้าปอดแบบลึกๆไปทีนึง พร้อมกับไอ้พิวที่ลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือของยีนส์มาเพื่อที่จะได้นั่งปรับความเข้าใจกันใกล้ๆ
“คือเรื่องมันมีอยู่ว่า...” ตอนนี้เรานั่งใกล้กันจนชนิดที่ว่าขาของผมที่เอาขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ชนกับเข่าของมันที่นั่งในท่าปกติพอดี มิวายร่างสูงยังยกมือขึ้นมาวางบนเข่าผมอีกทีด้วย เออ! กูใจเย็นแล้ว!
“อันที่จริงโปรไฟล์นั้นอะ ต้องเป็นของกุ้ง ดาววิทย์เพื่อนสมัยมอปลายกู ที่มึงก็เคยเห็นอ่ะ”
“แล้ว?”
“ตอนนี้เขาลาออกไปอ่านหนังสือซิ่วหมอแล้ว แต่เขาเห็นเพื่อนเภสัชโปรโมตกิจกรรมนี้ในเฟซ กุ้งเลยอยากเล่นขึ้นมาบ้าง”
ผมเพยิดหน้าไปให้คนตรงหน้าทีนึง เป็นสัญญาณเชิงให้เขาเล่าต่อ
“กุ้งก็เลยฝากกูให้สมัครแล้วเขียนโปรไฟล์ให้เขาด้วย แต่ต้องเป็นกูที่เขียนจดหมายตอบกลับไป”
“มึงก็เลยเขียนตอบจดหมายตามที่กุ้งให้มึงเขียนเหรอ?”
“ตอนแรกกุ้งก็บอกไว้ว่าอย่างที่ว่ากุ้งจะเป็นคนคิดแล้วให้กูเขียนแหละ แต่ตอนที่มีจดหมายของมึงส่งมากุ้งก็บอกว่าอ่านหนังสือหนักมากเลยให้กูเขียนตอบกลับได้เองเลย”
ผมเอียงหน้ามองหน้าไอ้พิวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนัก
“ถ้ามึงไม่เชื่อ เดี๋ยวกูให้อ่านแชทเลย”
“เฮ้ย ไม่ต้องๆ”
“ไม่งั้นมึงก็ไม่เชื่ออยู่ดีอะ .. อะ เอาไปอ่าน”
ไอ้พิวว่าพร้อมยื่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดมาให้อ่านแชทจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิต
KUNGKING : พิวเราฝากเล่นหน่อยน้าๆๆๆๆๆ
อยากรู้อ่ะว่าจะมีผู้ชายส่งมาหาเราบ้างไหม
just pew : แค่เรียนก็ยุ่งแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปสมัครให้?
KUNGKING : ถือว่าเป็นการเลี้ยงส่งเพื่อน
ให้โชคดีในการอ่านหนังสือสอบก็ได้น้าๆ
just pew : ก็ได้ๆ แล้วต้องทำยังไงบ้างอะ
KUNGKING : ง่ายจะตาย เนี่ยเดี๋ยวพิว
ไปที่ซุ้มนะ )&(T&%%#$$&
เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มไม่มีอะไรน่าสนใจจึงเลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงวันที่จดหมายของผมได้ถึงมือไอ้พิว ซึ่งจากข้อความก็แสดงให้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
just pew : มีคนหลงผิดส่งจดหมายมาหาแล้ว
just pew : *ส่งรูป*
KUNGKING : จริงเหรอ ดีใจจังเลย
just pew : เล่นตอบข้ามวันเลยแม่คุณ
just pew : แล้วจดหมายเอาไง จะให้ตอบกลับว่าอะไร?
KUNGKING : พิวอยากตอบว่าอะไร
ก็เขียนไปเลย เราอนุญาต
just pew : เอางี้เลยเหรอ?
KUNGKING : เราอ่านหนังสือจนไม่มี
เวลาไปทำอะไรแล้วเนี่ย
KUNGKING : จดหมายนั่นก็ยกสิทธิ์ขาด
ให้พิวเลย
KUMGKING : เราแค่อยากรู้เฉยๆว่าถ้า
เขียนโปรไฟล์ไปแล้วจะมีใครส่งจดหมาย
มาหาบ้างไหม
just pew : งั้นก็ได้
just pew : ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วกัน
KUNGKING : ขอบคุณค่า
KUNGKING : ไว้ติดหมอแล้วจะพาไป
เลี้ยงขนมนะ
KUNGKING : *ส่งสติ๊กเกอร์*
เมื่อผมอ่านบทสทนาจบจึงยื่นโทรศัพท์คืนให้ไอ้พิวทันที แต่แล้วความน่าอับอายที่ได้สร้างไว้ในตอนเลิกเรียนกลับมาปรากฏชัดเจนในตอนนี้ ภาพแฟลชแบคต่างๆทั้งตะโกนใส่ไอ้พิวเอย สะบัดแขนเอย ได้ไหลย้อนเข้ามาในหัวอีกครั้ง
“กูขอโทษนะที่เมื่อเย็นไม่ยอมฟังมึงพูด”
“เออ ไม่เป็นไรหรอก”
ผมเงยหน้าขึ้นมาจากการจ้องมือที่มันใช้จับหัวเข่าผมไว้ ก่อนช้อนสายตาขึ้นมาสบตากับมันตรงๆ จะว่าไปไอ้ตำแหน่งเดือนภาคที่มันได้มานี้ก็สมน้ำสมเนื้อแล้วแหละ สันจมูกโด่งรับกับคิ้ว ปากรูปกระจับบางๆสีอมชมพูธรรมชาติเหมือนใช้ลิปมันยี่ห้อดี ส่วนผิวพรรณแม้จะไม่ขาวจั๊วเป็นจูออนเหมือนผม แต่ก็ใสและเรียบเนียนเหมือนผู้ที่ดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดี รวมทั้งการแต่งตัวหรือแม้แต่ทรงผมที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก็มีส่วนทำให้ดูดีขึ้นเป็นเท่าตัวอีกเหมือนกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีอะไรน่าดึงดูดไปกว่าสายตาของร่างใหญ่ตรงหน้าอีกแล้ว มันทั้งดึงดูดแต่คาดการณ์ยาก น่าจับต้องแต่ก็ดูลึกลับจนเข้าไม่ถึง กว่าผมจะรู้ตัวอีกทีว่าได้เล่นจ้องตากับมันมานานแค่ไหนก็ตอนที่รับรู้ได้ว่ามือที่เคยวางบนหัวเข่านั้นได้ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจวนเจียนจะถึงขาอ่อน ผมจึงได้สติกลับคืนมา
“เออ! เคลียร์เสร็จแล้วก็กลับห้องไปดิ เดี๋ยวหอปิดแล้วจะออกไม่ได้”
“อือ เดี๋ยวกลับแล้ว” มันขานรับ เจ้าตัวเหมือนจะรู้ตัวแล้วจึงรีบชักมือออกจากตักผมไป
“เดี๋ยว”
“...”
“ก่อนมึงกลับกูถามอะไรมึงหน่อยดิ”
“?” ไอ้พิวที่กำลังเตรียมตัวออกจากห้องไปถึงกับต้องชะงักและรอคำถามจากผมอย่างใจจดใจจ่อ
“เมื่อไหร่มึงจะจ่ายตังค่าคณะให้กูสักทีวะ?”
คนตัวสูงใช้มือตบไปที่หน้าผากตัวเองจนเกิดเสียงดังเพี๊ยะประหนึ่งคนเสียศูนย์แล้วต้องเรียกสติตนเองกลับมา ทางด้านร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็แสดงสีหน้างงงวยฝ่ายตรงข้ามออกมาแบบปิดไม่มิด
“โทษที กูลืม” มือหนาหยิบแบงค์สีแดงสองใบออกมาจากกระเป๋าเงินราคาแพงลิบลิ่วทันที แต่ยังไม่ทันให้มือของร่างบางได้ชักเงินกลับมา ร่างสูงกลับพูดประโยคคำถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ตอนนี้มือของทั้งสองยังคาไว้อยู่ที่ธนบัตรแบบไม่มีใครยอมปล่อยมือ
“ก่อนกูกลับ กูขอถามอะไรมึงหน่อยดิ”
“อะไ-”
เนื่องด้วยท่านั่งเดิมของร่างบางที่นั่งบนเก้าอี้ในท่าขัดสมาธิแบบหมิ่นเหม่ขอบเก้าอี้ เพียงแค่ร่างสูงออกแรงดึงธนบัตรกลับด้วยแรงที่มีโดยไม่เกรงกลัวว่าเจ้ากระดาษผสมผ้าบางๆนี่มันจะขาดหรือไม่ก็ตาม แค่เท่านี้ก็สามารถทำให้คนที่นั่งบนเก้าอี้และเป็นคนที่อยู่อีกฟากของปลายแบงค์ก็สามารถเสียการทรงตัวได้แล้ว
ทำให้ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในท่าที่ใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าได้ไปซุกที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนขี้แกล้งเป็นที่เรียบร้อย
“มึงใช้สบู่อาบน้ำยี่ห้ออะไรวะ?”
“ห้ะ?”
จากเดิมที่ผมเสียหลักจนหน้าผมต้องไปมุดที่อยู่พุงไอ้พิวแล้วนั้น ไม่ทันให้ผมได้ด่าว่าแม่งเล่นเหี้ยอะไรไม่รู้เรื่อง มันกลับถามประโยคที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากมัน
และนั่นทำให้ผมเงยหน้าแล้วต้องถามย้ำเพื่อต้องการจะฟังในสิ่งที่มันเพิ่งพูดไปอีกครั้ง แต่มันก็ทำให้ผมได้สติ เมื่อรู้สึกตัวได้ว่าตอนนี้ท่าของผมมันช่างอุบาทว์มากๆ เพราะครึ่งตัวของผมได้โถมไปทาบกับไอ้พิวที่ยืนอยู่ พร้อมแขนทั้งสองข้างได้กอดรัดเอวมันไว้ด้วยสัญชาตญาณที่กลัวตนเองจะตกเก้าอี้
สิ่งที่พีคไปมากกว่านั้น คือ ผมได้พบว่าใบหน้าของผมที่เงยขึ้นไปหามันนั้น ห่างจากใบหน้าของไอ้พิวที่ก้มลงมาแค่ประมาณคืบเดียวเท่านั้น
“หอมดี”
เหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมามันผ่านไปเร็วมาก ส่วนพิวที่สร้างความงงงวยให้กับผมเมื่อสักครู่นี้ เมื่อเห็นว่าผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก และช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้น มันก็เอาแต่ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ดันผมกลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยท่าทางเหมือนเดิม ก่อนจะยัดตังสองร้อยใส่ในมือผม แล้วเดินออกจากห้องผมไปอย่างอารมณ์ดีเสียเต็มประดา เหมือนไม่ได้อยากรู้คำตอบของคำถามมาตั้งแต่แรกแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้ไป๋ไม่สบายเหรอ? นอนหน้าแดงเลยมึง” หลังจากที่ร่างควายๆของไอ้พิวออกจากห้องไปแค่แปปเดียว ไอ้ยีนส์ก็กลับมา พร้อมทำหน้าตาใสซื่อแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเดินเข้าห้องมาพร้อมถุงขนมใบใหญ่
“นี่กูซื้อขนมมาฝากมึง ไม่ต้องจ่ายตังนะกูเลี้ยง”
คิดจะเอาขนมมาล่อให้หายโกรธเหรอ?
บอกเลยมึงทำสำเร็จ!
“เออ วางไว้บนโต๊ะเลย กูจะนอนแล้ว”
“งั้นกูปิดไฟเลยนะ” ไอ้ยีนส์มาถุงขนมไว้บนโต๊ะผมก่อนจะเดินไปปิดสวิตซ์ไฟห้องที่หน้าประตู จากนั้นก็ทิ้งสารร่างเขื่องๆล้มตัวลงนอนเช่นเดียวกับผม สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นโรคติดต่อของรูมเมท เพราะในทันทีที่เห็นอีกคนนอน เราก็อยากจะนอนตามกันไปติดๆ
ปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับห้องมืดๆในแบบที่ผมชอบทำอีกครั้ง พร้อมทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด ไอ้เรื่องผิดหวังนี่มันแน่นอนอยู่แล้ว แต่หากถ้าเพิ่มว่าแล้วผมเสียใจไหม? ก็จะตอบไปแบบตรงๆเลยว่า นิดหน่อย แต่ความเสียใจในครั้งนี้มันเป็นการเสียใจในความรู้สึก
ความรู้สึกที่ของคนที่ไม่ต้องรอรับจดหมายฉบับถัดไปแล้ว
แล้วถ้าถามอีกว่าความรู้สึกตอนนี้ที่มีต่อไอ้พิว? การที่มันกล้าเข้ามาเคลียร์กับผมตรงๆ ถึงแม้ว่าจะใช้ไอ้ยีนส์เป็นทางผ่านก็ตาม ก็ถือว่ามันอยากปรับความเข้าใจกับผมเป็นอย่างมาก และเรื่องทั้งหมดก็ไม่ใช่ความผิดของมันทั้งหมดเสียทีเดียว ดังนั้น ผมจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้วกัน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นกังวลที่สุดในตอนนี้หาใช่เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ แต่เป็นการเผชิญสภาวะที่เรียกว่า นอนไม่หลับ นี่เสียมากกว่า
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ตลอดแหละ พอจะนอนก็เสือกไม่หลับ ทีเวลาเรียนนี่หลับเก่งจั๊ง
พลิกตัวจนเตียงจะพังก็แล้ว นับแกะจนหมดฟาร์มก็แล้ว หมดหนทางที่จะกล่อมตัวเองนอนต่อ ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ทโฟนที่ชาร์ตแบตอยู่ใกล้ๆขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา เผื่อจะรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้าง
“ไป๋ มึงยังไม่หลับอีกเหรอวะ?”
“อือ ยัง”
น้ำเสียงห้าวของไอ้ยีนส์เหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นเอ่ยถามผมขึ้นมาทันทีที่ปลดล็อกหน้าจอจนมีแสงสว่างวาบขึ้น ด้วยความที่เตียงของเราสองคนห่างกันแค่ทางเดินกั้นเท่านั้น เลยทำให้เห็นกันหมดไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
“เอ้อ!”
“?” เสียงงัวเงียของรูมเมทผมดังขึ้นอีกครั้งแบบคนเพิ่งนึกอะไรออก
“แล้วสรุปว่ามึงใช้สบู่ของยี่ห้ออะไรอ่ะ?”
ไอ้เหี้ยยีนส์ มึง! ตาย!
-
❋❋❋
“ไอ้ไป๋กูขอโทษ ก็ไอ้พิวมันไลน์มาบอกกูว่าอยากเคลียร์กับมึงอ่ะ จะให้กูทำยังไงได้วะ?” หลังจากเมื่อคืนมันลงทุนเหมาขนมเกือบหมดเซเว่นมาง้อที่รู้เห็นเป็นใจที่ให้อีกฝ่ายเข้ามาถึงในห้อง แต่เสือกกลับมาเผยไต๋ว่าแอบฟังอยู่ได้ตั้งนานสองนาน
เพื่อนเหี้ย!
“อะไรอีไป๋ อียีนส์ เมื่อคืนพิวขามาห้องมึงเหรอ?” ไอ้ตุลลี่ที่แม้จะนั่งห่างกันล้านปีแสงแต่พอจับคำได้ว่าคุยเรื่องที่มีสามีมโนของมันมาเป็นบุคคลที่สาม ก็รีบปรี่ที่นั่งจากหัวแถวมาประชิดตัวพวกผมทันที
และเหตุผลที่ทำให้พวกผมต้องมานั่งจับเจ่าต่อแถวยาวแบ่งชายหญิงนี่ก็ไม่ใช่อะไร หากใครยังไม่ลืมคงจำได้ว่าเรามีค่ายรับน้องของภาคเครื่องกลกัน ในที่สุดวันนั้นก็ได้มาถึงแล้วนั่นเอง..
ตามนัดแล้วล้อควรหมุนตั้งแต่ 7.00 ตามเวลาท้องถิ่น แต่ก็นั่นแหละ เราได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่คนอื่นมักจะเรียกกันว่าเวลาวิศวะ หมายถึง การเลทไม่มีที่สิ้นสุด นัดรวม 6.30 แต่ตอนนี้ 7.45 แล้วตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่ใต้ตึกคณะวิศวะ ที่ใช้เป็นจุดนัดพบอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น
ไอ้กูเป็นปีหนึ่งใสใส ก็แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งไปสิ
“เออ มันขอมาเคลียร์กับไอ้ไป๋”
“พิวขามาหอเราทั้งที ทำไมมึงไม่บอกกู!!!”
“ไอ้ตุลลี่มึงเบาๆ ทำอย่างกับมันไม่ได้อยู่แถวนี้อ่ะ” ผมกระซิบเอ็ด พร้อมกระตุกชายเสื้อให้ไอ้ตุลลี่ที่ตะโกนโหวกเหวกจนทำเอาคนรอบๆหันมามอง
“พิวขานั่งตั้งไกล ส่วนคนอื่นช่างแม่ง!”
“มันจะเคลียร์กับไอ้ไป๋ แล้วมึงจะมาเพื่อ?”
“กูไม่รู้แหละ กูจะงอนมึง” พูดจบมันก็สะบัดก้นออกเดินไปนั่งประจำที่เดิมห่างกันแค่ไอ้ก๊าซและไอ้ครามที่นั่งคั่น
เดี๋ยวนะ คนที่งอนไอ้ยีนส์ต้องเป็นกูไม่ใช่เหรอวะ...
“เอาหละน้องๆ เดี๋ยวตั้งแถวมารับข้าวแล้วไปรับคีย์การ์ดได้เลยน้า”
หลังจากออกตัวจากมหาลัยตอนเวลา 8.00 น.ไม่ตรงตามที่นัดไว้แล้ว แม้ว่ารถจะติดบ้างไม่ติดบ้าง แวะเข้าห้องน้ำเพราะมีคนปวดท้องหนักบ้าง เราก็ได้มาถึงที่พักสำหรับกิจกรรมรับน้องในเวลาเที่ยงนิดๆพอดิบพอดี
ตามตารางที่มีรุ่นพี่ปี 4 ได้ชี้แจงก็คือ จะปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัยกันถึงสี่โมงเย็น จากนั้นจะลงไปเข้าฐานกิจกรรมกันที่ริมทะเล แล้วต่อด้วยข้าวเย็น ปิดท้ายด้วยรับน้องภาคดึกที่ผมโดนสปอยมานักต่อนักแล้วว่ามันช่างเด็ดเสียเหลือเกิน
ในตอนนี้เราได้มาพักกันที่รีสอร์ทที่ตั้งติดริมชายหาด เพื่อให้สะดวกแก่กิจกรรมต่างๆที่จะจัดขึ้น แล้วก็แน่นอนว่าภาคเราได้ทำการจองไว้หมดแล้วทุกห้อง เนื่องจากทางรีสอร์ทก็ไม่ได้มีห้องเยอะแยะมากมายอะไร อีกอย่างก็เพื่อป้องกันไม่ให้แขกคนอื่นได้รับความรำคาญจากพวกเราไปด้วย
การแบ่งห้องนั้น ห้องนึงจะนอนได้สองคน จับคู่เรียงตามรหัส แยกชายหญิง ใครรหัสติดกันก็จะได้นอนด้วยกัน โดยผู้หญิงจะพักที่ชั้น 3 ผู้ชายจะพักที่ชั้น 2 และชั้นล่างสุดจะเป็นของพี่ปีสูงฝ่ายต่างๆที่ต้องคอยสแตนบายดูแลน้องๆ
สิบนิ้วเรียวกางขึ้นเสมอใบหน้า ก่อนจะหักลงไปทีละสองนิ้ว ทีละสองนิ้ว ไล่ตามจำนวนคนที่มีจนถึงเจ้าตัวเอง
“เย้! ไอ้ก๊าซกูได้อยู่กับมึง” อาการไอ้ก๊าซตอนนี้ก็คงดีใจไม่ต่างจากผมที่เราจะได้พักห้องเดียวกัน ต่อให้เป็นแค่คืนเดียวก็ตาม แต่การได้พักกับเพื่อนสนิทก็น่าจะดีกว่าเป็นไหนๆ
“ไปเอาคียการ์ดกันเถอะไป๋” ไอ้ก๊าซกระตุกชายเสื้อให้ผมลุกขึ้นไปรับคีย์การ์ดจากรุ่นพี่ที่ยืนอยู่หัวแถว ก่อนทอดสายตาไปมองเพื่อนอีกสามคนที่เหลือที่กำลังวุ่นวายกับการนับเลขให้ถึงรหัสตัวเองที่เกือบรั้งท้ายอยู่
“เดี๋ยว! พวกมึงสองคนลืมอะไรไปหรือเปล่า?”
“กูลืมอะไรวะ?” ไอ้ก๊าซหันหน้าไปหาคำตอบจากไอ้ตุลลี่ด้วยสีหน้าเหรอหรา แล้วพวกกูลืมอะไรวะ?
“พวกมึงลืมไปหรือเปล่าว่าไอ้จุ้ย รหัสก่อนหน้าพวกมึงอ่ะ ซิ่วไปแล้ว”
ชิบหาย คือ คำเดียวเท่านั้นที่ผมสามารถคิดออกมาได้ในนาทีนี้
“อ้าว เรากับไป๋ก็ไม่ได้นอนห้องเดียวกันแล้วอ่ะดิ”
การประมวลผลในสมองกำลังทำงานแบบด่วนจี๋เลยตอนนี้ เดี๋ยวนะ ถ้าไอ้จุ้ยมันซิ่ว งั้นเมทก็ต้องเขยิบรหัสขึ้นหน้าไปคนนึงดิวะ และไอ้คนรหัสก่อนหน้าผมก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว ว่ามันคือ...
“อ้าย พิวขาคิดถึงตุลลี่เหรอคะ ถึงได้เดินมาหากันถึงที่แบบนี้”
ผมหันหลังกลับไปมองตามเสียงของเพื่อนตุ๊ดประจำกลุ่มแล้วก็พบกับคนที่เพิ่งบุกรุกไปหาผมถึงห้องเมื่อวานนี้ พิวหิ้วสะพายกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่มาพร้อมกับใบหน้าตึงเรียบเฉยเป็นปกติ ต่างจากเดิมที่ว่าน่าจะดูเป็นมิตรขึ้นมาจากเมื่อก่อนนิดนึง
สายตาคมนั่นจ้องตรงมายังผมที่คงนั่งเรียงแถวแบบหาทางไปไม่ได้อยู่กับพื้น ไม่ได้สนใจมองไปที่ไอ้ตุลลี่ซึ่งตอนนี้กำลังวี๊ดว๊ายแบบสุดกำลังเกิดแม้แต่น้อย
น่าสงสารเหลือเกินพ่อตุลของไป๋ จะหวีดผู้ชายทั้งที เขาก็ไม่ได้สนใจเลย
“ไปเอาคีย์การ์ดกันได้แล้ว”
“อื้ม”
ระหว่างทางตั้งแต่เดินขึ้นบันได้มาถึงหน้าห้องเราทั้งสองคนยังไม่มีใครปริปากพูดออกมาเลยแม้แต่คนเดียว ผมก็ไม่ได้อึดอัดกับการที่ต้องมาอยู่กับมันนะ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าตัวผมและไอ้พิวเพิ่งตีกันและดีกันภายในเมื่อวาน จะให้ทำตัวปกติเลยมันก็จะเขินไปสักหน่อย
ไป่ไป๋คนเฟรนด์ลี่ก็มีช่วงที่ไปไม่เป็นเหมือนกันนะเว้ย
เราได้ห้อง 211 ซึ่งโชคดีว่าเป็นห้องฝั่งที่ระเบียงหันหน้าหาทะเลพอดี วิวสวยงามดีมาก เมื่อพอเข้ามาในห้องเราทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลง วางกระเป๋าลงพื้น แล้วโดดขึ้นเตียงทันที ด้วยความที่มันเป็นเตียงคิงไซส์สำหรับนอนสองคน ตอนนี้เลยเหมือนว่าผมกับมันกำลังเกยตื้นกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้เหี้ย นั่งบัสนานๆแล้วเมื่อยตูดชิบหายเลย” ผมนอนคว่ำหน้าแล้วบ่นกระปอดกระแปดออกมา ให้เดาว่าตอนนี้ไอ้พิวก็คงมีสภาพไม่ต่างกันหรอก นั่งมาสามสี่ชั่วโมง ใครไม่เมื่อยก็บ้าแล้ว..
“มึงไม่เก็บกระเป๋าเหรอ?” พิวผงกหัวจากที่นอนขึ้นมาถามผม
“แล้วมึงไม่เก็บ?”
“ขี้เกียจ”
“เออ กูก็ขี้เกียจ”
ศีลเท่ากันสัสๆเลย กูกับมึงเนี่ย
จากนั้นผมกับไอ้พิวก็คุยกันว่าควรแดกข้าวอาบน้ำแล้วค่อยมานอนรอเพื่อไปลงฐานตอนนัดรวมเลยจะดีกว่า ดังนั้น ในตอนนี้ผมจึงกลับมานอนที่เตียงได้อย่างมีความสุข หนังท้องตึง ตัวหอมฉุย พูดแล้วก็เริ่มอยากนอนยาวๆแล้วเนี่ยกูเวลาก็เหลืออีกตั้งสองชั่วโมงกว่า น่าจะหลับได้สักตื่นนึงพอดีเลย
ไอ้พิวที่อาบน้ำทีหลังก็เดินลงมาล้มตัวนอนบ้าง ด้วยความที่สารร่างมันใหญ่กว่าผม ทำให้ผมต้องเขยิบแบ่งเตียงให้มันอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ต้องเขยิบ”
“ทำไ-” การกระทำถัดมาของไอ้เดือนภาคทำให้ผมนอนตัวแข็ง อ้าปากพะงาบๆ เหมือนคนเป็นอัมพาต เพราะวงแขนที่มีสัดส่วนของกล้ามเนื้อชัดเจนได้พาดลงมากลางตัวผมเป็นที่เรียบร้อย
“นอนงี้แหละ”
“เหี้ยไรของมึงไอ้พิว เอามือออกไป”
“ชู่วว” แล้วกูจะหุบปากตามมันทำไมวะ?
ก่อนที่มันจะขยับตัวให้เข้ามาใกล้มาขึ้น เพื่อปรับองศาในการนอน
“รีบนอน จะได้มีแรงไปเข้าฐาน”
คือ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนมานอนกอดแบบนี้ ตอนผมอยู่บ้านไอ้ปุ๋ย พี่ชายสุดที่รักของผมก็ชอบมานอนก่ายตัวผมแบบนี้ประจำ ส่วนหนึ่งเพราะบ้านผมติดการสกินชิพกันด้วยมั้ง เลยมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาภายในบ้านไป แต่ไอ้การที่เพื่อนไม่เชิงว่าสนิทดึงตัวเข้าไปก่ายแบบนี้ มันไม่มองว่าแปลกไปหน่อยเหรอวะ?
“ไอ้พิว กูถามจริง มึงติดสกินชิพหรือไงวะเนี่ย” ผมขยับตัวเล็กน้อยให้มันรู้ว่าผมไม่พอใจไป แต่ไอ้คนหลับตาพริ้มเตรียมหลับอีกฝ่ายก็หาได้สนใจไม่
จะสะบัดก็กลัวหาว่ารังเกียจมัน แบบที่ไอ้ตุลลี่เคยด่ากูอีกวุ้ย
“ไม่หนิ” ลมหายใจของไอ้พิวที่สามารถรับรู้ได้จากเสียงเริ่มสม่ำเสมอ แล้วเมื่อมาลองพิจารณาตัวเองในท่านอนหงายพร้อมหลับ แม้มีแขนยักษ์ๆนี้มาพาด แต่ความนุ่มของที่นอนและเครื่องปรับอากาศที่เย็นสบาย ก็ก่อให้เกิดความง่วงจึงตกไปในห้วงนิทราในที่สุด
ด้านร่างสูง เมื่อสังเกตเห็นร่างในอ้อมแขนเงียบเสียงลง ลำตัวไม่ผอมไม่อ้วนกระเพื่อมขึ้นลงตามลมหายใจที่เป็นจังหวะ ก็ทำให้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้ว วงแขนหนายิ่งกระชับร่างบางให้ได้องศาแนบสนิทกันมากขึ้น ริมฝีปากขยับเอ่ยเสียงทุ้มออกมาเป็นคำพูดเพียงเบาๆข้างหูขาว รู้ทั้งรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ได้ยิน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาจงใจเอ่ยออกมา..
“แค่กับมึงอะ”
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
รีบลงก่อนเปิดเทอมฮับ
ปล.จัดหน้าแปลกๆไปหน่อย แต่เดี๋ยวกลับมาแก้ค่า
ปล2.เอ้า กำลังใจ ม๊า!!!!!
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
โอ้ววว พิว ต้องกล้าๆหน่อยนะ 55
-
:katai2-1:
-
ไป๋อย่าเพิ่งช็อกนะ5555555
-
เข้ามาอ่านรวดเดียว สนุกมากค่ะ
พิวดูรุกไป๋แบบเงียบๆ เชื่อว่าไม่นานไป๋ก็คงเริ่มรู้สึกดีๆกับพิวขึ้นมาบ้าง
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
-
chapter five。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ดวงอาทิตย์ที่ถูกกล่าวขานกันว่าเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงของหลายชีวิตกำลังส่องสว่างบนท้องฟ้าในตอนสี่โมงกว่าๆแบบเต็มกำลัง แรงลมผู้ก่อให้เกิดคลื่นได้พัดกระทบชายฝั่งทะเลแบบเอื่อยเฉื่อย สองเปลือกตาปิดลงกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ปื้นแดงบนใบหน้าขาวบ่งบอกว่าไอแดดร้อนได้กระทบผิวมาเป็นระยะเวลานึงแล้ว แม้จะมีเหงื่อไหลลงเต็มขมับ แต่ร่างบางก็ยังคงมองว่ามันคือ เสน่ห์
เสน่ห์ของทะเล ที่แม้แต่ภูผากว้างก็เทียบกันไม่ได้ในความรู้สึก
สองตามีเพียงความมืด แต่สองหูยังคงได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งแบบต่อเนื่อง หนึ่งจมูกได้กลิ่นที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของทะเล ทำให้ปากต้องเปิดขึ้นด้วยความอยากรู้รสของไอเค็ม เออ แม่งก็เค็มจริง...
“ถุ้ยๆๆๆๆๆ ไอ้สัสตุล มึงแหย่นิ้วเข้ามาในปากกูทำไมเนี่ย!”
“หน้ามึงแม่งโคตรตลกเลยสัส ฮ่าๆๆๆ”
“กูกำลังดื่มด่ำทะเลอยู่”
ผมบุ้ยปากขากน้ำลายเปื้อนเค็มจากมือไอ้ตุลลี่ทิ้งลงบนพื้นทราย แม่งเอ้ย กูจะทำติสท์ชมนกชมน้ำสักหน่อย หมดสุนทรีย์ เพราะพวกมึงเลย!!!
“น้องเงียบครับ เดี๋ยวพี่จะให้น้องแบ่งกลุ่มคละชายหญิงกัน” ปีไมค์ปีสองที่ประจำบัสคันผมออกมายืนด้านหน้าเพื่อเกริ่นเริ่มกิจกรรมริมทะเลกัน
ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งเรียงแถวอยู่ริมชายหาดกันครับ หลังจากกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกจากไอ้พิวแล้ว ยิ่งมาเจอทะเลแสนสดใสแบบนี้บอกเลย ไป่ไป๋มีความสุขม๊ากกกกก
“แต่เราจะแบ่งกลุ่มโดยให้นับสลับกันไปจาก 1-5 นะครับ เริ่มจากหัวแถวนี้เลยครับ เริ่ม!”
อ้าว ชิบหาย...
กลุ่มผมที่มีจำนวน 5 คนพอดิบพอดีหันส่งสายตาหมดหวังให้แก่กัน คงถึงเวลาที่เราได้บอกล่ำลากันอีกครั้งนะเพื่อนเอ๋ย..
“1” เสียงนับตัวเองของเพื่อนในกลุ่มผม โดยเริ่มจากไอ้ก๊าซ
“2” ตามมาเป็นไอ้คราม
“3” และผม...
จากนั้นหมายเลข 4 และ 5 จึงเป็นไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ตามลำดับ
“แบ่งกลุ่มตามตัวเลขได้ครับ จะได้เริ่มกิจกรรมกันเลย”
ผมยืนรั้งท้ายฝูงคนที่กำลังวุ่นวายกับการหากลุ่มให้ตรงกับตัวเลขที่ตนเองได้นับ เมื่อเห็นแถวเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมไม่รอช้าจึงเดินเข้าไปต่อในแถวที่สามทันที
“มึงอีกแล้วเหรอเนี่ย?” หัวกลมหันขวับตามเสียงที่ดังขึ้นมาทางด้านหลัง แล้วก็พบว่าเป็นคนที่เพิ่งห่างกันเมื่อตอนมาถึงชายหาดนี่เอง
“ไอ้พิว ถามจริงมึงนี่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกูปะ” ผมเอี้ยวตัวไปหาไอ้พิวที่นั่งอยู่ข้างหลังของผม แล้วก็ถือโอกาสใช้สายตาประเมินจำนวนคนในกลุ่มไปด้วย นับๆดูแล้วก็มีประมาณเกือบๆสิบคนได้เลย
“เจ้ากรรมนายเวรอ่ะไม่น่าใช่...” มุกเสี่ยว มุกเสี่ยวแน่ๆ คิดอย่างนั้นผมเลยจ้องหน้าพร้อมทำสีหน้าเอือมๆใส่มันด้วย อารมณ์ประมาณว่า เล่นเลย กูรอฟังอยู่
“เรียบร้อยแล้วทุกคนหันมาข้างหน้าด้วยครับ” แต่ยังไม่ทันได้ฟังมุกกากๆจากไอ้พิว ก็ต้องกลับมาถูกขัดด้วยคำสั่งจากรุ่นพี่ที่กำลังจะอธิบายกิจกรรมให้ฟังด้วยน้ำเสียงเย็นแต่แฝงไปด้วยความโหดจัดอยู่มาก เพราะถ้าจำไม่ผิดที่คนนี้แหละแม่งตัวโหดของพี่ว้ากที่ปีหนึ่งกลัวพี่แกกันนักหนา
“เรามีฐานทั้งหมด 5 ฐานด้วยกัน เป็นของพี่ปีสองไล่ไปจนถึงของพี่ปีสี่ บัณฑิต และสุดท้ายคือฐานพิเศษ แต่ละกลุ่มจะวนโดยเริ่มจากฐานของเลขกลุ่มตัวเองเสียก่อน หากไม่มีใครสงสัยอะไร พี่กลุ่มครับ! มารับน้องไปได้เลย!”
ดังนั้นกลุ่มผมเลยเริ่มจากฐานที่มีพี่ปีสี่เป็นพี่ฐานเสียก่อน ฐานจัดขึ้นโดยให้พวกเราทุกคนลงไปเล่นกิจกรรมกันในน้ำที่ความลึกประมาณตาตุ่ม... จากนั้นเราแนะนำตัวเสร็จก็เป็นตาของพวกพี่ๆที่ออกมาแนะนำตัวทีละคน เสร็จแล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนของการแจกแจงกติกาทันที
“ฐานนี้มีชื่อว่า จะจำได้ไหม จำได้หรือเปล่า กติกามีอยู่ว่า ให้คนแรกพูดชื่ออะไรก็ได้ ในหมวดอะไรก็ได้ จากนั้นก็ให้คนถัดไปทวนของคนก่อนหน้าและพูดชื่อในหมวดเดียวกันออกมา ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เอาจากหัวแถวเลย เริ่ม!”
“ไอ้เหี้ย เอาหมวดอะไรดีวะ?” เพื่อนผู้หญิงหัวแถวเกิดอาการลนลานขึ้นมาทันตา เมื่ออยู่ดีๆรุ่นพี่ก็โยนเรื่องมาให้แบบไม่ทันตั้งตัวซะงั้น ผมที่อยู่เกือบท้ายๆแถว นับจากหลังขึ้นมาก็น่าจะเป็นคนที่ 3 ได้ ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมมากมาย เพราะยังไงก็ไม่น่าได้เป็นคนคิดหมวดอยู่แล้ว เหลือก็แค่จำชื่อที่เพื่อนๆพูดมาได้ให้หมดก็เท่านั้นเอง
กลุ่มของเรามีทั้งหมด 9 คนไม่ขาดไม่เกินครับ แบ่งเป็นหญิง 3 คน และชาย 6 คนด้วยกัน ไม่อยากบอกว่าจำนวนประชากรผู้หญิงในภาคเครื่องเราน้อยมากครับ หรืออาจพูดได้เลยว่าไม่มีผู้หญิงอยู่ในภาคเรา เพราะพวกเธอช่างแมนแสนแมนกันเหลือเกิน แบกโต๊ะช่วยพี่การศึกษา ยกเครื่องมอเตอร์ไปเก็บ หรือแม้แต่ตะโกนด่าเพื่อนผู้ชายข้ามห้องมาแล้วก็มี
ห่อเหี่ยวเหลือเกินแม่จ๋า
“หมวดคณะในมหาลัยเรา คณะวิศวะฯ!”
“วิศวะ ศิลปศาสตร์”
“วิศวะ ศิลปะศาสตร์ กายภาพบำบัด” แล้วก็ส่งต่อมาเรื่อยๆจนผ่านพ้นผมไปได้ด้วยดี แม้ว่าบางคนอาจมีทึ้งหัวเรียกความทรงจำกลับมาบ้าง แต่สุดท้ายกรรมก็ดันไปตกที่ไอ้หมูหวาน นักศึกษาวิศวะร่างใหญ่สมชื่อของมัน
“ต่อไปนี่จะเป็นการลงโทษของคนจำไม่ได้กันนะครับ เบิ้ม! ไปเอาบทลงโทษมา!!!”
“ครับผม!!!” ร่างของพี่นามว่าพี่เบิ้มรีบวิ่งขึ้นฝั่งไปตามคำสั่งของคนที่เป็นคล้ายเฮดของฐานนี้ทันที ก่อนที่พี่แกจะกลับมาพร้อมกับ สุรา 35 ดีกรีสีอำพันสด ที่ดูเข้ากั๊นเข้ากันสำหรับเด็กหนุ่มวัยกลัดมันอย่างพวกเรา
กูว่าละ รับน้องภาคเครื่องกลแม่งจะมาเล่นกิจกรรมหน่อมแหน้มปัญญาอ่อนแบบนี้กันจริงๆเหรอ พูดยังไม่ทันขาดคำ เหล้าแม่งมาเลย เหยดแหม่
สมองที่ถูกปลูกฝังมาแบบให้มองโลกในทางที่ดีเข้าไว้ ก็ยังคงคิดในแง่ของคิตตี้สีชมพูบานเย็นอยู่ว่า เอ๊ะ หรือเป็นกลุ่มเรากลุ่มเดียวนะที่มีการทำโทษโดยการดื่มเหล้าแบบนี้? แต่เมื่อกวาดสายตาไปมองกลุ่มที่มีพี่บัณฑิตคุมเท่านั้นแหละ แม่งเล่นกระดกกันโทงๆคนเดียวเลย หรือว่าเขาจะแบ่งฐานตามความเข้มกันนะ...
“เอาไปเลยน้อง บทลงโทษ รักเพื่อนมึงเท่าไหร่ก็แดกไปเท่านั้นเลย”
โอ้ย แม่มึงเปิดโลกใหม่ของการยุแดกเหล้าสัสๆ ส่วนไอ้หมูหวานแม่งก็บ้าจี้ตามเพื่อนที่กำลังโห่ร้องอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง แดกเอาแดกเอาเลย มึ๊ง ใจเย็นก๊อน นี่เพิ่งจะฐานแรก..
“แม่งใจเด็ดสัส เอ้า น้องที่เพิ่งแดกไป คุณได้รับสิทธิ์ในการเริ่มก่อนเดี๋ยวนี้ เริ่ม!”
“หมวดทีมฟุตบอลโลก 2014 ทีมที่เข้ารอบ 32 ทีมสุดท้าย ทีมแรก บราซิล!” โอ้โห ไอ้เหี้ย แม่งตั้งหมวดได้กะฆ่าผู้หญิงสุดๆ แต่ประเด็น คือ กูเนี่ยจะตอบได้ไหมก็ยังไม่สามารถรู้ได้เลย..
“บราซิล ฝรั่งเศส” สังเกตจากตอนนี้ผู้หญิงสามคนหัวแถวได้ตะโกนก่นด่าไอ้หมูหวานโทษฐานเลือกหมวดไม่ปรึกษาไปแล้ว ก็ออกอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“บราซิล ฝรั่งเศส โปรตุเกส”
“ผิด! ปี 2014 โปรตุเกสไม่เข้ารอบเว้ย พี่จัดการเลย”
“ไอ้หมูหวาน ไอ้ชั่ว เดี๋ยวกูจะฟ้องเมียมึงที่เรียนไอซีทีให้ดู!” จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการทำโทษกันไป ก็ดีหน่อยตรงที่พอพี่เห็นว่าเป็นผู้หญิงก็ได้ไถ่ถามกันก่อนแล้วว่าดื่มไหม ไม่ต้องดื่มเยอะก็ได้นะ แต่มีอย่างเหรอที่ผู้หญิงภาคเครื่องกลจะยอม แม่งสู้ตายครับ บอกเลย..
“ต่อไปเอาหมวดแบรนด์เครื่องสำอาง พวกมึงตายแน่! อันแรก อีทูดี้”
ชิบหายแน่นอนครับ ไอ้ไป๋พูดตรงๆ ทุกวันนี้ครีมหน้ากระจกที่ใช้อยู่ก็คือครีมที่แม่ของผมฝากพี่ป้าน้าอาแกหิ้วมาจากต่างประเทศพอได้มาก็ใช้อย่างเดียว ผมไม่เคยอ่าน ไม่เคยจำ ไม่เคยรู้จักเครื่องสำอางใดใดบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น แต่อย่างไรผมก็เชื่อมั่นมาเสมอว่าคนเราก็ต้องอยู่ด้วยความหวัง จึงชะโงกหน้านับจากพัดที่เป็นคนได้พูดคนแรกเรื่อยจนมาถึงผม ก็อีกตั้ง 4 คนเว้ยเฮ้ย กูตายแน่ๆ...
“อีทูดี้ อินนิสฟรี”
“ชิบหายแล้วกู อีทูดี้ อินนิสฟรี...ลังโคมๆ!” เพื่อนผู้ชายคนแรกที่นึกชื่อแบรนด์จนผมนึกว่าขาดใจตายไปแล้ว แม้แต่พวกพี่ๆก็กำลังเริ่มนับเวลาถอยหลัง และแล้วในที่สุดก็นึกชื่อเครื่องสำอางออกมาจนได้
“อีทูดี้ อินนิสฟรี ลังโคม เมบิลีนนิวหยอก”
บอกเลยว่าเกมส์นี้ผู้ชายคนไหนมีเมียที่ชอบลากไปช็อปปิ้งก็จะชิวมากๆ
“อีทูดี้ อินนิสฟรี ลังโคม เมบีลีนนิวหยอก มิสทีน!!!” จนสุดท้ายเกมก็ดำเนินมาถึงตาของผมในที่สุด สมองขาวโพลนไปหมด คลังความรู้ในหัวกำลังตีกันไปมา แรงสะกิดแขนแบบเบาๆทางฝั่งขวา ไอ้พิวเอี้ยวตัวมากระซิบผมอย่างแนบเนียนที่สุดแบบรู้ๆกัน
“ดิออร์” แต่ก็ใช่ว่าจะพ้นสายตาพี่เสมอไป
“เด็กบอกกันว่ะมึง จัดชุดใหญ่ให้น้องมันหน่อยดิ” ไอ้เหี้ยเอ้ย เสียงเส้นชะตาขาดผึงในหัว อดสั่นขวัญผวาเป็นอย่างมากเมื่อเห็นพี่ตัวอ้วนแกย่างสามขุมเข้ามาหาผมพร้อมกับขวดเหล้าฉลากรูปหงษ์ตัวใหญ่ๆ
“ไป๋ มึงไม่แดกก็บอกพี่เขาไป”
“ไม่เป็นไร กูสู้ไหว” ทำปากดีตอบไอ้พิวที่ส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยมาให้ ใช่ว่าจะไม่เคยกินซะเมื่อไหร่ แต่หัวใจที่เต้นตึกตักๆอยู่นี่เป็นเพราะสายตาพี่แกที่เดินเข้ามาหาเหมือนจะจับเหล้ากรอกปากผมอย่างไรอย่างนั้น กลืนน้ำลายลงคอเอื้อกนึง แล้วตัดสินใจสั่งลาเมทเฉพาะกิจให้เรียบร้อย
“ไอ้พิว ถ้ากูวาร์ปมึงแบกกูด้วยนะ”
“อ้าว เมื่อกี๊ยังทำเก่งอยู่เลย”
“เดี๋ยว ก่อนที่มึงจะแดกถามก่อน มึงมีเมียยัง?” มือที่กำลังกรอกเหล้าจากขวดเข้าปากก็ชะงักทันที
“ไอ้ไป๋มันเพิ่งเลิกกับเมียมาพี่!!!” ไอ้หมูหวานผู้รั้งท้ายแถวตะโกนขึ้นมาเรียกเสียงฮือฮาจากรุ่นพี่ประจำฐานได้เป็นอย่างดี
“เอางี้ มึงคิดถึงเมียเก่ามากแค่ไหนก็แดกไปเท่านั้นเลย”
“งั้นผมขอไม่กินดีกว่า”
“…”
“เพราะเขาไม่ได้มีผลต่อความคิดถึงของผมอีกแล้วครับ ”
เชื่อไหมว่าเสียงแซวของรุ่นพี่ที่เกิดจากไอ้หมูหวานเมื่อครู่ มันสู้เสียงโห่ร้องที่เกิดขึ้นใหม่โดยมีผมเป็นต้นเหตุไม่ได้เลยสักนิด..
❋❋❋
“ไงไอ้ไป๋ สร้างประวัติศาสตร์ซะกระหึ่มหาดเลยนะมึง” ไอ้ยีนส์ถ่องศอกใส่ผมแบบล้อๆ หลังจากที่ทุกกลุ่มเล่นฐานกันเสร็จหมดแล้วก็ปล่อยให้ปีหนึ่งได้มีเวลาเล่นน้ำกันสักพัก หลังจากนั้นก็ไล่ให้กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมารวมอีกครั้งตอนเวลาอาหารเย็นตอนหนึ่งทุ่ม
เหตุการณ์ช็อกหาดที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนโดนผีเจาะปากให้พูดอยู่ กว่าจะรู้ตัวอีกก็ตอนพูดจบประโยคแล้วนู่น
กูแม่งโคตรเสี่ยวเลยไป๋เอ๊ย ดังแน่มึง..
ผมรอดเครื่องดื่มสุราเมรัยจากพี่ปีสี่มาได้ก็จริง ก็ใช่ว่าฐานปีอื่นๆจะไม่โดนเลย กินเพราะถูกทำโทษบ้าง เพราะช่วยเพื่อนผู้หญิงบ้าง สิริรวมจากที่กินๆไปแล้วน่าจะประมาณค่อนครึ่งขวดได้ สังเกตจากอาการลิ้นที่เริ่มชา และขาที่เดินไม่ค่อยจะตรงของตัวเอง ยังดีที่ได้ไอ้พิวมาหิ้วปีกช่วยพาขึ้นห้อง ก็บอกได้เลยว่าถ้าแดกเยอะกว่านี่อีกสักอึกเดียว กูเรื้อนแน่ๆ
“มึงม่ายต้องมาแซวกูสัสยีนส์”
“ทำไมต้องด่ากูวะ? ก็ใช่สิผัวหิ้วปีกหน่อยนี่เกรี้ยวกราดใส่เพื่อนเลยนะมึง” ปล่อยให้หัวตกลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างคนหมดแรง ตอนนี้ผมล้าเกินกว่าจะสู้รบต่อปากต่อคำกับเพื่อนปากหมาแล้วจริงๆ
“ไอ้พิวฝากดูมันหน่อย อย่าลืมลากลงไปกินข้าวเย็นด้วยนะ”
“อือ ได้”
แม้มีสติแค่เลือนราง แต่ก็พอรู้ว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับผมบ้าง เราแยกกับไอ้ยีนส์ที่หน้าห้อง จากนั้นไอ้พิวก็ลากผมให้เดินตุ้ปั๊ดตุ้เป๋ตามเข้ามาในห้อง
“จะอาบน้ำเอง หรือจะเช็ดตัวเอา” สภาพเราทั้งสองคนตอนนี้คือเปียกน้ำทะเลกันตั้งแต่หัวยันเท้า
“อาบเอง ได้เดินเริ่มสร่างละ” ผมดันลำตัวเสื้อลู่ไปตามเนื้อออก แล้วยืนตรงให้มันดูว่าเริ่มโอเคแล้ว
“งั้นเข้าไปก่อนเดี๋ยวกูหยิบเสื้อผ้าให้” โซซัดโซเซเกานู่นนี่ของห้องน้ำจนมายืนที่ใต้ฝักบัวด้วยความยากลำบาก ก่อนรูดม่านพลาสติกของที่นี่กั้นส่วนเปียกออกจากส่วนแห้ง ส่วนเสื้อผ้าก็ถอดแล้วโยนๆมั่วไปหมด ตอนนี้ขออาบน้ำให้รอดก่อน ไม่มีแรงมาพิถีพิถันอะไรแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไอ้ไป๋เสื้อผ้ามึงออกมาเอา”
“เอาเข้ามาวางไว้ให้หน่อยดิ ประตูไม่ได้ล็อก” ผมตะโกนบอกไอ้พิวที่ยืนเคาะประตูหน้าห้องน้ำ สภาพกูตอนนี้คือยาสระผมฟูฟ่องบนหัวมากๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้ามา
“ไว้นี่นะ...”
เสียงมันเงียบไป แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของประตูที่ปิดลง ก็คงเดาได้ว่ามันยังอยู่ในห้องน้ำ ไม่ได้ออกไปไหน
“อาบไหวแน่นะ”
“เออ โดนน้ำกูตาสว่างละ ขอบใจมากมึง”
หลังจากอาบน้ำสระผมไปอีกรอบตั้งแต่ที่มาถึง เก็บซากอารยธรรมเปียกน้ำทะเลในห้องน้ำลงถุงพลาสติกที่เตรียมมาเสร็จก็กระโดดลงเตียงทันที นอนหงายทอดสายตามองคนตัวสูงยืนถอดเสื้อแหว่งลงถุงแยกสำหรับผ้าชื้น แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวได้ว่ามีคนแอบมองอยู่ ไอ้พิวจึงเหล่สายตามาทางผมน้อยๆ แล้วก็พบกับว่าสายตาของผมกำลังจ้องมองมันอยู่จริงๆ
“มองอะไร อิจฉาไง๊?” หุ่นไอ้พิวไม่ใช่คนบึกอะไร ส่วนสูงมันน่าจะประมาณเกือบร้อยแปดสิบได้ ทำให้เวลามายืนข้างคนร้อยเจ็ดสิบต้นๆอย่างผม ก็จะมีแต่ยิ่งตอกย้ำความเตี้ยที่ผมมีเข้าไปใหญ่
ดูกล้ามหน้าอกขนาดกำลังดีไม่ใหญ่แต่เน้นเห็นสัดส่วน ลอนหน้าท้องเป็นคลื่นเบาๆแบบคนสุขภาพดีที่หมั่นออกกำลังกาย ทั้งไรขนบางๆที่เหนือขอบกางเกงนั่น ด้วยความเมาหรืออะไรก็ตามทำให้ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหุ่นแม่งดีชิบหาย ผู้ชายด้วยกันยังอยากได้เลยแม่งเอ้ย
สายตายังไล่เรียงมองต่ำจากขอบกางเกงเรื่อยไป ได้สติอีกทีก็ตอนคนตัวสูงแกล้งกระแอมในลำคอ เนื่องด้วยผมคงจ้องนานไป
รู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง เพราะเผลอมัวแต่ไปมองอะไรต่ออะไรเข้าผ่านบ็อกเซอร์ตัวบางตั้งนานสองนาน
ลูกรักพ่อนี่หว่า ให้มาซะเยอะเชียว...
ด้วยความอับอายจึงทนสบสายตามันต่อไม่ไหว เลยแกล้งปัดป่ายผ้าห่มนู้นนี่ขึ้นมาคลุมใบหน้า พร้อมเฉไฉเปลี่ยนหัวเรื่องคุยแทน
“มึงก็แดกพอๆกับกู แต่ทำไมไม่เมาเลยวะ” เสียงอู้อี้ที่ดังผ่านผ้าห่มออกมา ตัดสินใจไม่ออกไปมองปฏิกิริยาอีกคนจะดีเสียกว่า
“ก็กูไม่ได้เที่ยวไปรับขวดจากคนนู้นคนนี้มัวไปหมดแบบมึงนี่” จากนั้นเสียงของมันก็หายไป เดาว่าน่าจะเข้าไปอาบน้ำแล้วมั้ง
“แล้วก็วันหลัง...” ผิดคาดเพราะเสียงที่เคยเงียบหายไป ยังคงดังมาจากจุดเดิม ทำให้ผมเงี่ยหูฟังภายใต้ผ้าห่มอย่างใจจดใจจ่อว่าประโยคที่มันตั้งใจจะพูดคืออะไร
“เวลาเขินจะหาอะไรมาปิดก็อย่าปิดแค่หน้า ปิดหูด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวเขาจะรู้ว่ามึงเขินแบบตอนนี้”
ปึง
สิ้นเสียงประตูกระทบวงกบ ร่างบางรีบดึงผ้าห่มมาคลุมไปทั้งตัว แบบไม่กลัวตนเองหายใจไม่ออก ตาเล็กหลับปี๋เพราะความอายจากคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น ผิวบางขึ้นสีแดงทั่วทั้งใบหน้าและใบหูชนิดที่ว่าเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือว่าคนร่างสูงที่เพิ่งเข้าห้องน้ำไปกันแน่
ไอ้ไป๋มึงต้องเมาจนสมองกลับแน่ๆ เป็นบ้าอะไรมาใจเต้นกับหุ่นผู้ชายด้วยกันเองแบบนี้ กูเมา ใช่ ต้องเป็นเพราะเหล้าแน่ๆ แล้วเสือกไปหน้าแดงให้ไอ้พิวเห็นอีก ทึ้งหัวอยู่ใต้ผ้าห่มสักพัก ก็คิดได้ในใจว่าหรือจะชิ่งหลับไปก่อนดี ตอนมันออกมาจากห้องน้ำจะได้ไม่ต้องแกล้งเมินกลบเกลื่อน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผสมกับความมึนเมาที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ทำให้ตกสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย
-
❋❋❋
“ไอ้พิว ไอ้ไป๋ โต๊ะนี้ๆ”
หลังจากที่ผมหลับไปเต็มๆอีกหนึ่งตื่น จวบจนตอนนี้ก็เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ เลยนัดทานอาหารเย็นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะผมเพิ่งมารู้ว่าเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่สามารถตักได้เรื่อยๆ กวาดสายตามองโต๊ะและคนบริเวณรอบๆก็พบว่าคนร่อยหรอลงไปพอสมควร โดยเฉพาะปีหนึ่งอย่างเรา ก็คงไม่พ้นเมาคอพับคออ่อนจนลงมากินข้าวกันไม่ไหวนั่นแหละ
ส่วนไอ้พิวกับผมที่พยายามตีมึน ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไป ย้อนกลับไปในตอนเมื่อครู่ที่ผมลืมตาขึ้นจากฝัน ก็พบเห็นว่าไอ้พิวกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่หัวเตียงข้างๆ ปลดล็อกดูเวลาของตนเองบ้างก็พบว่าสายมากแล้ว คิดได้ดังนั้นก็รีบลากไอ้พิวที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรลงมายังห้องอาหาร เสียงของไอ้เคนเดือนคณะก็ดังขึ้นเพื่อเรียกพวกผม จนไม่ต้องเสียเวลาเดินหาโต๊ะให้เมื่อยเลย
“ทำไมพวกมึงสองคนลงมาช้าจังวะ ข้าวจะหมดแล้วเนี่ย” ถือว่าเป็นภาพหายากมาก กับการที่กลุ่มผมและกลุ่มของไอ้พิวจะนั่งโต๊ะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ที่ออกนอกหน้านอกตาสุดก็คงเป็นไอ้ตุลลี่แหละครับ เห็นไอ้พิวปุ๊บก็กุลีกุจอจัดที่นั่งให้ข้างๆตัวเองให้ไอ้พิวนั่งทันที กระทบไอ้ยีนส์ที่ต้องจัดการแหวกที่เสริมเก้าอี้ให้ผม กับผัวนี่ก็ไม่ค่อยอะ...
“เพราะไอ้พิวอ่ะ เห็นกูเผลอหลับก็ไม่ปลุกลงมากินข้าว” ผมบุ้ยปากโยนความผิดให้ไอ้หน้ามึนที่ตอนนี้โดนฉุดตัวลงนั่งข้างเมียกำมะลอของมันเรียบร้อย
“พวกมึงสองคนรีบไปตักข้าวเถอะ เดี๋ยวข้าวมันหมด แล้วจะอดแดก” ยังไม่ทันที่จะให้ไอ้ตุลลี่อ้าปากปกป้องสุดที่รักของตัวเอง ไอ้เต้ที่เห็นว่าท่าทางเริ่มจะไม่ดีก็เอ่ยปากห้ามทัพแล้วไล่พวกผมไปตักมาข้าวกิน
ยกนี้กูชนะโว้ย!
มื้อเย็นของเราผ่านไปได้ด้วยดี บทเวทีก็มีพิธีกรดำเนินกิจกรรมที่ขึ้นมาคั่นโชว์ต่างๆที่คอยพลัดกันเล่นมุกตลกบ้างไม่ตลกบ้างให้ฟัง ส่วนโชว์ที่พูดถึงก็คือการแสดงของทุกชั้นปีที่ได้จัดเตรียมตั้งแต่ก่อนวันค่ายนั่นเอง ซึ่งก็แน่นอนว่าผมไม่มีส่วนร่วมอะไรเหมือนเดิม แต่ที่ไม่คาดคิดและที่พิเศษไปกว่านั้นคือ รุ่นพี่ได้ทำการเซอร์ไพร์สและจัดพิธีเทียนผูกข้อมือขึ้นมา ถามผมว่าซึ้งไหมก็ตอบว่ามาก แต่ถ้าถามว่าอินไหม ก็ขอตอบไปตามตรงเลยว่าก็ไม่ขนาดนั้น
ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยไปจนเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ทันทีที่เสร็จพิธีอะไรทั้งหลายแหล่ พวกผมก็นึกว่าก็จะได้กลับไปพักผ่อนเสียที แต่ติดตรงที่ว่า...
“กิจกรรมของวันนี้ก็ได้เสร็จสิ้นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ แต่!”
“แต่อะไรเหรอครับพี่ต้น”
“เรายังมีกิจกรรมพิเศษสำหรับน้องๆหรือพี่ๆคนไหนที่ยังไม่อยากกลับห้องไปนอนกันนะครับ”
“พูดแบบนี้ทำเอาหลายๆคนรวมถึงผมเนี่ยอยากรู้เลยนะครับ ว่ากิจกรรมที่ว่าเนี่ยมันคืออะไร”
“มันคือ ปาร์ตี้น้ำผลไม้กระชับความสัมพันธ์นั่นเองครับ ใครที่ยังไม่รีบไปนอน เราจะมีวงน้ำผลไม้จัดขึ้นเพื่อให้น้องๆได้ทำความรู้จักกับพี่ๆ รวมถึงพี่บัณฑิตที่มาในวันนี้มากยิ่งขึ้นนะครับ เป็นการดีด้วยที่น้องๆจะได้ถามเกี่ยวกับการฝึกงาน หรือการเตรียมตัวในมหาลัยนะครับ”
“ใครที่หนีกลับห้องไปนอนก่อนเนี่ยต้องเสียใจมากแน่ๆเลยนะครับเนี่ย”
“ใช่ครับผม เอาล่ะ เที่ยงคืนตรงถือว่าเป็นเวลาดี สำหรับใครที่ต้องการดื่มน้ำผลไม้ให้นั่งรอที่โต๊ะก่อนนะครับ ส่วนใครที่ง่วงนอนแล้วก็สามารถกลับไปพักผ่อนได้เลยครับ”
“แต่อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เรามีนัดทานข้าวเช้าที่นี่เวลา 8.00 น. ตรง และเราจะเดินทางกลับกันในเวลา 11.00 นะครับ สำหรับวันนี้บ๊ายบายคร้าบ”
สิ้นเสียงของพี่พิธีกรเจ้าขุนทองประจำภาคที่คำพูดของพวกพี่แกแทบไม่ได้เข้าหูผมเลย ไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์สุราเมื่อเย็นหรือความง่วงไม่รู้จักจบจักสิ้นของผมกันแน่ รู้แค่ว่าผมอยากกลับไปนอนอีกรอบแล้ว
“เฮ้ย! ไอ้ไป๋เป็นไง ดังใหญ่แล้วนะมึง”
“อ้าว เฮียป็อปหวัดดี ผมไปดังตอนไหนวะพี่?”
“ที่หาดไง เปิดตัวกับรุ่นพี่ซะยิ่งใหญ่เลยนะมึง ”
“อ๋อ แหะๆ” ความทรงจำอะไรต่างๆก็ไหลกลับมาทำให้ผมจำได้อีกครั้ง เอาเข้าจริงถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ก็จะยอมแดกเหล้าให้มันจบๆอะ
“เดี๋ยวนั่งนี่ก่อนนะ วันนี้พี่บัณฑิตสายเรามาด้วย เขาอยากเจอมึง” ภาพเตียงนอนที่วาดฝันไว้ว่าจะได้ล้มตัวนอนเที่ยงคืนกว่าๆได้พังทลายลงต่อหน้า ผมนั่งซึมโบกมือลาเพื่อนๆที่ทยอยกลับห้องกันไป รวมทั้งไอ้พิวที่เป็นความหวังสุดท้ายกลับหายวับไปไหนของมันก็ไม่รู้
ฮือ ไป๋อยากกลับไปนอน
ความเป็นจริง...
“นี่ พี่สาม พี่บัณฑิตสายเรา ทำงานอยู่บริษัทปูนที่ดังๆอ่ะ ไอ้ไป๋มึงรู้จักไว้”
“หวัดดีครับพี่สาม” ผมยกมือไหว้นักศึกษาจบใหม่ไฟแรงคนล่าสุดของสายเรา เข้าใจละว่าทำไมต้องให้มานั่งคุยกับพี่บัณฑิต มันคล้ายๆกับการฝากตัวเผื่อสักวันได้ร่วมงานกับพี่เขา พี่จะได้เอ็นดูเรานั่นเอง
“หวัดดี ไหว้พระเถอะไอ้หนู”
“ไอ้ไป๋นี่แหละพี่ที่ไม่แดกเหล้าเพราะลืมเมียเก่าได้แล้วอ่ะ”
“อ้าวเหรอ เห็นปีสี่มันพูดกันอยู่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มานั่งแดกเหล้าตอนดึกเป็นเพื่อนพี่หน่อยละกัน”
ยังไม่ทันที่จะได้ตอบรับอะไร แก้วมิกซ์ก็ถูกวางลงตรงหน้าแล้ว ผมที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็จำใจรับมาดื่ม จะว่าไปคุยกับพี่เขาก็สนุกดีนะเนี่ย แต่ยิ่งคุยคอก็ยิ่งแห้ง น้ำเปล่าแถวนี้หายไปไหนหมดวะ ไม่เป็นไร ในมิกซ์ยังมีโซดาที่เป็นน้ำอยู่ แดกแทนกันได้ ผมไม่ถือ...
จนกระทั่งเข้าแก้วที่สอง สาม สี่ ไปเรื่อยๆ หัวข้อพูดคุยบนโต๊ะก็เริ่มเปลี่ยนไป จากเรียนยังไง ฝึกงานที่ไหน ทำงานเป็นอย่างไร จนเป็นเรื่องชีวิตรักได้อย่างไรก็ไม่รู้
“ไอ้ไป๋ มึงฟังกูไว้นะ ว่ารีบๆหาเมียตั้งแต่ตอนมหาลัยเลย ไม่งั้นตอนทำงานมึงโสดยาวๆเหมือนกูแน่”
“อะไรว้า ป่านนี้เฮียสามยังหาเมียไม่ได้อีกเหรอ?” ที่แม่เฮียแกตั้งชื่อว่าสามเพราะพี่แกแยกร่างได้สามคนปะวะ? เนี่ย หน้าเฮียแกตอนนี้มีสามหน้าละ
“ทำปากดีไปเถอะมึง เป็นมึงแล้วกูจะรู้ กูนะ ตอนทำงานไปจีบสาวบัญชีแม่งก็มีผัวแล้ว จีบวิศวะด้วยกันเสือกรู้สันดานกูไปหมด แต่คนล่าสุดที่กูจีบเนี่ยเป็นสาวบุคคลที่เข้ามาใหม่”
“แล้วติดไหมวะเฮีย?” ด้วยความอยากรู้ของไอ้พี่ป็อปจากเดิมที่ฟุบหลับไปกับโต๊ะแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบ
“ติดก็เหี้ยแล้ว แม่เรียกกูกลับบ้านไปบวช พอกูสึกกลับออกมาน้องแม่งโดนหัวหน้าการเงินคาบไปแดกละ”
“ชีวิตเฮียแม่งโคตรน่าสงสารเลย ฮ่าๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆ”
หลังจากหัวเราะกันอย่างครึกครื้นไม่เท่าไหร่ เวรกรรมที่แดกๆกันไปก็เริ่มออกผลมาให้ได้ลำบากกันแล้ว
“ไอ้ไป๋มึงเดินกลับคนเดียวไหวแน่นะ” ไอ้พี่ป็อปเงยหน้าถามขึ้นมาเสียงยานคาง
“หวายน่า เฮียสาม เฮียป็อป ผมไปนอนแล้วน้า หวัดดีค้าบ”
“เออ หวัดดี/กลับดีๆนะมึง”
สองขาร่วมด้วยกับสองมือประคองสติค่อยๆลากตัวเองออกมาจากห้องอาหาร ผมที่ง่วงนอนจนต้องขอตัวออกมาจากเฮียสามและพี่ป็อปที่บอกว่าอยากจะนั่งต่ออีกสักหน่อย ซึ่งตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้วผมก็ไม่อาจทราบได้เพราะตอนนี้ไม่อยากทำอะไรนอกจากรีบๆกลับห้องไปนอนทั้งนั้น
แต่ยังไม่ทันให้ตัวที่จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่จะพ้นออกจากประตูห้องอาหาร ก็ต้องตกใจกับแรงกระชากเสียก่อน
“อ้าว ไอ้พิวมึงหายไปไหนมา?” พยายามแพ่งสายตาให้โฟกัสกับคนตรงหน้า แล้วก็พบว่าเป็นบุคคลที่เพิ่งทิ้งผมไปเมื่อตอนเลิกงานนั่นเอง
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เมาเป็นหมาอีกแล้ว”
“มึงมาก็ดีแล้ว พากูกลับห้องหน่อย”
“เดินไหวไหม หรือจะให้อุ้ม?”
“เดินได้ๆ” ผมพูดจบมันก็ยกแขนผมพาดกับลำคอของมัน และพากันเดินออกมาทันที
เราเดินกลับมาที่ห้องกันแบบสภาพทุลักทุเลไม่ต่างจากตอนเย็นกันอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเลือกที่จะโยนผมลงบนเตียงแทนที่จะพาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ
“เละแบบนี้เช็ดตัวเอาดีกว่า มึงยืนไม่น่าไหวละ” ร่างใหญ่หายไปแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าขนหนูชุ่มน้ำในมือ
“อยากอาบน้าม” ร่างบางบนเตียงบ่นกระปอดกระแปดแบบคนโดนขัดใจ
“ค่อยอาบพรุ่งนี้”
“ก็ได้”
“นอนลงเดี๋ยวเช็ดตัวให้”
กายขาวยอมทิ้งตัวลงนอนนิ่งๆให้อีกฝ่ายถอดเสื้อเพื่อเช็ดตัว ทันทีที่เสื้อยืดสีเทาพ้นร่างพิวก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อกใหญ่ เพราะไม่ว่าจะตัวบางผิวสีขาวไม่ซีดตามฉบับคนไม่ขี้โรค รวมถึงหน้าท้องแบบราบ แม้ไม่มีกล้ามเนื้อให้เห็นชัดเจน แต่ก็ไม่มีไขมันส่วนเกินให้เห็น และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือติ่งไตสีชมพูทั้งสองข้างนั่น..
มือใหญ่ค่อยๆจรดผ้าผืนหนาลงบนผิวอย่างทะนุถนอม เพราะกลัวผิวสีน้ำนมจะขึ้นให้เห็นรอยแดง เช็ดปัดไล่ตั้งแต่ใบหน้า ลงมาช่วงลำคอและแผ่นอก จนถึงหน้าท้องและต่ำกว่านั้นที่มีกางเกงขาสั้นสีดำปกปิดเอาไว้
“ไป๋ จะให้เช็ดทั้งตัวเลยป่ะ?” ลำคอแห้งผากส่งเสียงที่แสนจะพูดยากที่สุดในชีวิตออกไป
“ไม่อาว อยากอาบน้ำ” แต่คนที่นอนแผ่บนเตียงกลับมีท่าทีไม่ยอม พร้อมปัดป่ายมืออีกฝ่ายให้พ้นจากกางเกงตัวเอง
“เช็ดเถอะ เดี๋ยวมึงจะเหนียวตัว”
“ไม่อาว”
แต่มือใหญ่ยังคงไม่ละเลิกความพยายามนั้นลง สองมือแน่วแน่ที่จะปลดกระดุมกางเกงนั้นออก แม้ว่าจะอีกคนจะพยายามหลบหลีกมากแค่ไหน แต่ก็อย่างว่าปกติแรงก็น้อยกว่าเป็นเท่าตัวอยู่แล้ว นี่ยิ่งผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์อีก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามได้ทันท่วงที
“ฮือ”
ทันทีที่กางเกงหลุดพ้นจากตัวอีกคน ร่างสูงถึงกับตาโตมองสิ่งตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ ผงกหัวมองใบหน้าขึ้นสีแดงไปยันหูไม่ต่างจากตอนเย็น พร้อมสายตาฉ่ำเยิ้มที่เพิ่งสังเกตจากตัวอีกฝ่ายที่จ้องมองมาแบบกังวลใจ
“…เลยอยากอาบน้ำไง”
ด้านคนที่ยังมีแรงเหลืออยู่ ก้มมองความคับพองผ่านชั้นในสีขาวของคนนอนปวกเปียกอีกครั้ง ตอนนี้พิวก็ใช่ว่าตัวเองจะมีสติอยู่ครบถ้วนเสียเมื่อไหร่ ที่หายไปแบบไม่บอกไม่กล่าวนั้นก็เพราะโดนรุ่นพี่แยกไปดื่มอีกซีกของห้องด้วยก็เท่านั้น อย่างที่ว่าใครๆเขาบอกกันว่าเหล้าจะทำให้กล้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเขาเองก็เพิ่งจะมารู้ได้วันนี้ว่าสิ่งที่พูดกันมา มันคือเรื่องจริง ก็ตอนที่เขาได้พูดสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดออกไปโดยทันที ไม่ผ่านการกลั่นกรองจากจิตสำนึกใดใดทั้งสิ้น
“ให้ช่วยไหม?”
ร่างเล็กนอนเบิกตาอย่างตกใจ เรี่ยวแรงที่หลงเหลืออยู่ก่อนหน้านี้กลับอันตรธานหายไป สื่อสมองตีกันให้รวนเร สมองส่วนของความจำที่จวนเจียนจะวูบดับไป ต่างจากในส่วนของความนึกคิดได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว และคงเป็นอีกความเชื่อที่ว่าเหล้าคือน้ำเปลี่ยนนิสัย ส่งผลให้ร่างบางขยับปากส่งเสียงอื้ออึงตอบรับไปในที่สุด
“อื้อ”
“ขอก่อนดิ”
สองสายตาประสานกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง คนนึงที่พยายามส่งความอ้อนวอนผ่านทางสายตาไปให้แม้ว่ามันจะไม่เป็นผล กับอีกคนที่ตอนนี้ขบกรามตนเองแน่นเพื่อข่มความรู้สึกและเรียกสติส่วนดีของตนเองกลับ แต่ว่ามันก็ไม่ทันการณ์...
“มึงช่วยกูหน่อย”
ก็อย่างที่ใครเขาเคยพูดไว้ ว่าเมื่อตอนที่จิตสำนึกได้หายไป จิตใต้สำนึกในส่วนลึกก็มักจะมาแทนที่เพื่อตอบสนองความต้องการเสมอ...
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : Pearyypinkyy.9
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
chapter six。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ติ๊ดๆๆๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นท่ามกลางห้องที่มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศ มือบางปัดป่ายหาต้นเสียงที่มารบกวนตนเอง จากนั้นจึงจัดการปิดให้เงียบเสียงทันที พร้อมล้มตัวนอนลงอีกครั้ง แต่เมื่อนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่การนอนที่ห้องตนเองในเช้าของวันอาทิตย์แบบที่คิดไว้ เลยรีบคว้าโทรศัพท์อันเดิมขึ้นมาดูเวลาเพิ่มเติม
7.30
พี่นัดกินข้าวเช้าแปดโมงนี่หว่า .. หันซ้ายขวามองหาคนข้างกายก็พบว่ายังไม่ฟื้นขึ้นจากฝัน ท่อนบนทีเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายทำให้คิดไปได้ว่าคงเป็นนิสัยของการนอนที่ไม่ชอบใส่เสื้อ ไม่รอช้าสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วคว้าของใช้เสื้อผ้าอะไรต่ออะไรเข้าห้องน้ำไปด้วยความเมื่อยขบ
ผมจัดการตัวเองเริ่มแรกด้วยการล้างหน้าแปรงฟัน เรียบร้อยเสร็จ ยังไม่ทันให้ได้ถอดเสื้อผ้าเพื่อไปชำระร่างกาย สายตาก็ได้เริ่มสังเกตตนเองในกระจก
นี่มันไม่ใช่เสื้อกูนี่นา...
ก้มมองไปถึงกางเกงนอนตัวบาง โอเค อันนี้ของกู แต่เสื้อนี่มาได้ไง? ผมถามตัวเองอยู่สักพักแต่สมองกลวงๆที่มีนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เลยต้องย้อนเหตุผลการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นเมื่อคืนตั้งแต่เริ่มต้น
ผมเมา ห่างจากพวกเฮียเสร็จก็เจอไอ้พิว เจ้าตัวเลยอาสาแบกร่างของผมกลับมาที่ห้องด้วย หลังจากนั้นมันก็หายไปในห้องน้ำ แล้วออกมาพร้อมผ้าขนหนู พิวถอดเสื้อเช็ดตัวให้ แถมยังถอดกางเกงให้อีก แล้วสุดท้ายก็...
‘อื้อ ไอ้เหี้ยพิว’ ผมขยับปากด่าในขณะที่มันเพิ่งใช้มือกอบกุมส่วนที่กำลังแข็งเกร็งขึ้นเรื่อยๆ
‘ด่ากูทำไม’ มองตามใบหน้าของมันที่ก้มลงต่ำมาเรื่อยๆจนชิดกับแผ่นออกเปลือยเปล่า
‘...ขยับหน่อย’
‘ฮึ?’ พิวเลิกคิ้ว ทำเสียงเหมือนคนไม่เข้าใจในสถานการณ์ สบตากันสักพักก่อนอีกคนจะหันไปสนใจติ่งไตสีอ่อนที่ขึ้นนูนของผมบ่งบอกความวูบวาบข้างในที่มี
‘อือ ขยับให้หน่อย...’ ผมครางรับสัมผัสบนยอดอกด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ทันที พิวใช้ลิ้นแตะลงอีกข้าง ส่วนข้างที่เหลือก็ไม่ปล่อยว่าง จัดการบดขยี้ด้วยมือที่เหลือ ทำเอาผมต้องปิดปากเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงที่รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวของตัวเองเล็ดรอดออกมาอีกทันที
กว่าร่างสูงจะละจากติ่งสีชมพูหวานตรงหน้า ก็ทำเอาคนตัวบางนอนหมดแรงเพราะความไหววูบจากช่องท้องน้อยไปแล้ว มุมปากยกขึ้นยิ้มให้ความเอ็นดูจากใบหน้าแดงเถือกน่ารักที่ถูไถไปกับหมอนใบโต พอเวลาตัวเองได้เป็นใหญ่เหนือคนปากจัดนี่ กลับทำให้รู้สึกว่าไป๋ยิ่งน่ารักกว่าตอนมีสติเสียอีก บางทีเขาอาจโรคจิตไปแล้วก็ได้
ในตอนนี้ความกระสันกลับกลบความคิดส่วนดีไปเสียหมด ให้ความอยากอันชั่วร้ายมาเป็นใหญ่ในความคิดทั้งสอง แล้วปล่อยให้ร่างกายดำเนินไปตามสัญชาตญาณแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังอะไร
มือที่กอบกุมกำลังทำในสิ่งที่คนเบื้องล่างเอ่ยขอ นิ้วหัวแม่มือขยี้ในส่วนที่เป็นจุดอ่อน ทำเอาไป๋กระตุกรับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
สองปากประกบกันตามอารมณ์ที่พุ่งสูง ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันเพื่อหวังจะได้ระบายความใคร่ในตอนนี้ที่มีอยู่ออกบ้าง เสียงน่าอายที่เกิดจากความเปียกชื้นดังขึ้นทั้งด้านบนและล่างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้มือแกร่งยิ่งทวีคูณความเร็วในการขยับเข้าไปอีก ทำเอาสะโพกบางส่วนล่างยกลอยไม่ติดเตียง
‘อะ..อื้อ’ สวรรค์สีขาวด้วยน้ำมือของพิวกระแทกไป่ไป๋เข้าอย่างจัง แผ่นอกชุ่มน้ำลายกระหืดกระหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย
ส่วนทางด้านของร่างสูงที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง เมื่อเห็นร่างบางหลับปุ๋ยไปแล้ว ก็ทึ้งหัวตนเองด้วยความรู้สึกอึดอัดกลางลำตัว จากนั้นก็จัดการทำความสะอาดแล้วใส่เสื้อผ้าให้อีกฝ่ายอย่างเรียบร้อย แล้วจึงเข้าห้องน้ำไปจัดการอะไรต่อมิอะไรของตนเองบ้าง...
เมื่อนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจนออกทั้งหมดแล้ว ผมก็ได้แต่ยืนปล่อยน้ำให้ผ่านร่างกายอยู่ใต้ฝักบัว สายตาเหม่อมองขวดแชมพูของทางโรงแรมอยู่นานสองนาน
แม่งเอ้ย สาบานเลยกูจะไม่แดกเหล้าอีกแล้ว ทำไมกูเป็นคนอย่างนี้วะ? เมาแล้วไปขอให้ไอ้พิวทำอะไรบ้าๆอีก คิดกันใช่ไหมครับว่าพอผมนึกออกแล้วจะต้องไปพาลโกรธมันที่ทำอย่างว่ากับผม ผิดครับ เรื่องนี้ถ้ามีคนผิดคงต้องเป็นผม เพราะกูเนี่ยแหละเสือกไปขอให้มันทำเอง อายชิบหายเลย...
เชี่ย แล้วจะมองหน้ากันติดไหมเนี่ย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไป๋เสร็จยัง จะได้เวลานัดกินข้าวแล้ว”
“เออ ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงไอ้พิวที่ดังขึ้นมา ทำเอาผมที่กำลังยืนใต้ฝักบัวเป็นพระเอกเอ็มวีตกใจรีบจัดการกับตัวเองจนเสร็จ แล้วเปิดประตูออกไปทันที
“...เสร็จแล้ว” เท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องน้ำต้องชะงักทันที เมื่อเปิดประตูมาแล้วก็พบว่า ร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้าพอดี สายตาที่สบกันทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกรอบเพราะความทรงจำที่เพิ่งนึกถึง ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบให้คนตัวสูงเข้าห้องน้ำได้อย่างสะดวก
ผมในตอนนี้เห็นนั่งนิ่งๆแต่ความจริงคือกำลังเครียดเอามากๆ มือนึงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม ส่วนอีกมือนึงก็ไถโทรศัพท์อะไรไปเรื่อย ถามว่ารู้เรื่องอะไรในโทรศัพท์นั่นไหม ก็ขอบอกอีกว่าไม่เลยสักนิด เพราะสมาธิได้แตกกระเจิงไปตั้งแต่เห็นไอ้พิวนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำอีกแล้ว เรื่องเมื่อคืนก็ไม่กล้าพูด หรือกูจะทำมึนเมาแล้วจำไม่ได้ไปเลยดีวะ?
“ไป๋...”
“ไอ้พิวเรื่องเมื่อคืนกูขอโทษนะ!” ลิ้นที่รัวออกไปด้วยความไม่ตั้งใจพร้อมทั้งความตกใจของผม ทำเอาพิวถึงกับยืนหน้าเหวอ
“ขอโทษเรื่อง?”
“ก็เรื่องเมื่อคืนอะดิ อย่าบอกนะว่ามึงจำไม่ได้”
“ก็จำได้...แต่ทำไมมึงต้องขอโทษด้วยอ่ะ”
“เอ้า?...” สมองที่เหมือนยังทำงานไม่เต็มที่กำลังประมวลในคำพูดล่าสุดของมัน ตอนนี้ไอ้พิวที่ในตอนแรกยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก็มานั่งขัดสมาธิข้างๆผมในสภาพแต่งตัวแล้วได้อย่างไรก็ไม่รู้ มือใหญ่นั่นเลยถือโอกาสจับตัวผมให้หันไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ
“มึงเมาค้าง?”
“…”
“คนขอโทษต้องเป็นกูต่างหาก”
“ก็กู…” ร่างสูงเอื้อมมือมาแตะเบาๆที่ริมฝีปากเป็นนัยว่าให้ผมหยุดพูดเสียก่อน
“เมื่อคืนมึงเมา กูก็เมา แต่กูยังพอมีสติ ในขณะที่มึงไม่มี กูมีสิทธิ์หยุดแต่กูก็ยังทำต่อ” มันจ้องหน้าผมสักพัก ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ขอโทษนะไป๋ อย่าโกรธกูเลยนะ” สายตาคมกำลังสะกดผมเป็นครั้งที่สอง ไม่สิ สาม ถ้านับรวมเมื่อคืนนี้ไปด้วย...
“กูเป็นผู้ชายแต่มาให้มึงทำแบบนั้นมันก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดีอะ กูก็ขอโทษเหมือนกัน อย่าอึดอัดกูเลยนะพิว”
“อือ กูเข้าใจ เรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเอื้อมมือฝ่ายที่หัวผมที่กำลังหมาดๆน้ำ พร้อมฉุดแขนให้ผมลุกขึ้นยืนตาม
“ป่ะ ไปกินข้าวกันดีกว่า”
ตาเบิกกว้างมองอาหารในถาดสแตนเลสวางเรียงรายกันแบบเลือกไม่ถูกว่าจะทานอะไรดี เพราะว่ามันเยอะมากเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของข้าวสวย ข้าวผัดต่างๆ กับแกงก็มีให้เลือกมากมาย ด้วยความที่ขี้เกียจเดินเลือกอะไรก็เลยตัดสินใจเลือกกินในสิ่งที่อยู่ใกล้มือตอนนี้ที่สุดแล้วกัน
“ไป๋แดกไรวะ?” ผมวางจานผัดซีอิ๊วในมือลงบนโต๊ะเพื่อให้ไอ้ยีนส์พร้อมกับผองเพื่อนของผมที่นั่งด้วยกันอย่างพร้อมหน้าดู
“แดกของมันๆแต่เช้าเลยนะอีไป๋” อีตุลลี่ที่ตักสลัดเข้าปากเหล่สายตาของมาที่จานข้าวของผมก่อนจะเบ้ปากลงเล็กน้อย
“แดกแต่ผักไปเถอะมึงน่ะ จะได้ผอมๆ”
“แล้วพิวขามากับมึงป่ะ? ตอนนี้อยู่ไหนอะ?” เช้านี้แก๊งของไอ้พิวยังไม่มีใครลงมาสักคนคาดว่าน่าจะนอนตายยังไม่ตื่นกันหมดนั่นแหละ
“ตักข้าวอยู่มั้ง”
“แล้วเมื่อคืนเป็นไงบ้าง?”
เคร้ง
“ม-เมื่อคืนอะไร?” ผมตกใจเผลอทำช้อนในมือร่วงลงพื้น แล้วหันไปมองเจ้าของต้นเสียง แล้วพยายามบังคับเสียงที่เอ่ยถามย้ำออกไปไม่ให้สั่นมากที่สุด หรือว่าไอ้ก๊าซมันจะ...
“เราแค่ถามว่าเมื่อคืนที่พี่บัณฑิตเรียกไปคุยอะเป็นยังไงบ้าง?”
“อ๋อ ตกใจหมดเลย .. ก็โอเคนะ หมดไปหลายแก้วอยู่ แต่พี่เขาก็คุยสนุกดี”
ผมพูดยิ้มๆให้ไอ้ก๊าซ ก่อนก้มเก็บช้อนที่หล่นลงใต้โต๊ะขึ้นมา...เกือบไปแล้วกู เกือบหลุดแล้วไง
“นี่ไง พิวขามาพอดีเลย มานั่งข้างๆตุลลี่นี่มา” ตุลลี่กวักมือหยอยๆเรียกไอ้คนชอบตีหน้ามึนให้มานั่งยังที่ว่างข้างๆ แต่ไอ้พิวก็ไม่เป็นใจไปด้วย กลับหย่อนตัวนั่งลงเก้าอี้ที่ว่างข้างๆผมแทน
“นั่งนี่ดีกว่า”
“โถ่ว พิวขาอ่ะ” ผมละความสนใจจากไอ้ตุลลี่ที่ตอนนี้เบะปากก้มหน้าก้มตากินข้าวเป็นตุ๊ดงอนผัว แล้วหันมาดูจานข้าวที่เจ้าตัวตักมาแทน
“ไอ้พิว ตักอะไรมาแยะเยอะวะ?” เอ่ยถามถึงจานตรงหน้าคนร่างสูงที่ดูยังไงก็ไม่ใช่อาหารสำหรับหนึ่งคนเลย
“กูตักมาเผื่อมึงด้วย” พูดจบมือใหญ่ก็เลื่อนจานไข่ดาวมาใกล้ ผมที่พอรู้ความหมายของการกินไข่ยามเช้า ก็ได้แต่กลั้นความรู้สึกน่าอายไว้
“จะให้กูแดกหมดสี่ฟองนี่เลยหรือยังไง?” ผมกระซิบถามข้างหูเบาๆ ป้องกันการอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนรอบข้าง
แล้วไอ้พิวก็ตักใส่จานตัวเอง และให้ผมอย่างละครึ่ง ทำเอาผมถึงกับงงงวย มองไข่ดาวสองฟองในจานของผมและของมันสลับกันไปมา
“แล้วใครบอกว่ามึงต้องแดกคนเดียว?”
มันพูดยิ้มๆกับจานข้าวแบบลอยๆ ผมที่หายงงถึงกับบางอ้อ พร้อมสบถด่าตัวเองในใจเสียงดัง ไอ้เหี้ยไป๋เอ๊ย ต่อจากนี้อย่าได้เห็นมึงแตะเหล้าอีกเชียว แค่นี้ก็อายไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ไหนแล้วเนี่ย แม่งเอ้ย
❋❋❋
หลังจากการกลับมาจากค่ายรับน้องด้วยสวัสดิภาพแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ได้กลับเข้าสู่บ่วงเรียนไปเพื่อสอบอีกครั้ง ผมกลับมาใช้ชีวิตนักศึกษาชายที่วันๆเอาแต่นอนกับนอนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือต้องอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเกรดเทอมที่แล้วถึงจะไม่ติดเอฟ แต่ก็ช่างห่วยแตกเหลือเกิน
“วันนี้เราเรียนอะไรวะ?” พูดถามไอ้ยีนส์คนติดข้าวเช้าที่กำลังยัดขนมปังเข้าปากแบบไม่รีบร้อน ตอนนี้เรากำลังเดินขึ้นตึกคณะ วันนี้ผมที่ฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นตั้งแต่เช้ามืด พอจะนอนต่อก็นอนไม่หลับ ทำเอาหัวมึนตึ๊บอยู่เหมือนกัน
“เคมีอาจารย์ศิวพรไง มึงไหวป่ะเนี่ยไอ้ไป๋”
“อะไรวะ เหมือนเพิ่งเรียนกับแกไปเมื่อวานนี้เอง แม่ง น่าเบื่อชิบหาย” ผมบ่นปอดแปดตามประสา ก่อนก้าวเข้าห้องเรียนที่มีไอ้ตุลลี่ ไอ้ก๊าซ ไอ้คราม นักศึกษาจำนวนหนึ่ง และอาจารย์ได้ประจำที่อยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะ นักศึกษา สัปดาห์ที่แล้วเราจบเรื่องของแก๊สอุดมคติไปแล้วนะคะ วันนี้เราก็จะมาต่อกันในส่วนของ...” เสียงหวานน่าฟังของอาจารย์ก็ดังเจื้อยแจ้วต่อไป สำหรับผมแล้วมันคือการกล่อมให้หลับต่อเนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอจากเมื่อคืนได้ดีมาก
แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ฟุบหัวลงกับโต๊ะ ก็ได้เจอกับลูกตบกลางหัวของไอ้ยีนส์เข้าเสียก่อน
“ตื่นขึ้นมาฟังอาจารย์ก่อน” มันทำหน้าบึ้งแล้วบอกให้ผมเงยหน้าขึ้นมาฟังอาจารย์
“ครับพ่อ”
จะนอนยังนอนไม่ได้เลยชีวิตไอ้ไป๋
นาฬิกาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนมาถึงเวลาแห่งการหมดทุกข์หมดโศกสำหรับผมเสียที ในระหว่างคาบที่ผ่านมาหลังจากโดนเมทรักผู้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนตบเกรียนสั่งสอนไป ถามว่าไป๋ตั้งเรียนเพิ่มขึ้นไหม ก็ส่ายหัวรัวๆเลยว่าของแค่นี้ไม่ทำให้ไป๋ผู้ที่มีสมองอันทึบสามารถตั้งใจเรียนขึ้นได้เลยแม้แต่นอน ผมก็ยังแอบงีบบ้าง เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง งัดนู่นแงะนี่เรื่อยไป เพื่อรอให้หมดคาบ แต่ผมก็ลืมคิดไปว่ามันไม่น่าจบแค่นั้น
“วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนค่ะ เรามาต่อกันในส่วนของคะแนนสอบคราวที่แล้วกันนะคะ” เสียงโห่ร้องและเสียงฮือฮาดังขึ้นจากทั่วห้อง ผมที่กำลังดี๊ด๊าเพราะหมดคาบเรียน ก็ต้องรู้สึกตัวหดเล็กลงอีกรอบ เมื่ออาจารย์เล่นประกาศคะแนนโดยการเปิดไฟล์ขึ้นโปรเจคเตอร์โดยไล่รายชื่อไปทีละภาควิชาในทันที
“เหยด ไอ้พิวแม่งท็อปภาคว่ะ ไม่เคยธรรมดาอ่ะเพื่อนกู” เสียงไอ้สมุยพูดแซวดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง แต่สายตาของผมตอนนี้กำลังไล่หารหัสและคะแนนของตัวเองอยู่
ปกติรหัสกูต้องต่อหลังรหัสไอ้พิวสิ แต่นี่ทำไมรหัสไอ้พิวปุ๊บก็รหัสไอ้ก๊าซเลยวะ?
“มึง ไม่มีรหัสกูว่ะ”
“มึงมองหาดียัง?” ผมที่เริ่มหน้าเสียเพราะไม่เจอคะแนนตัวเอง ยังไม่ทันยกมือถามอะไร อาจารย์ก็เปิดไปยังหน้าอื่นแล้ว แต่ก็เหมือนจะมีคนหารหัสตัวเองไม่เจอแบบผมบ้างเหมือนกัน เลยยังพออุ่นใจได้พยายามคิดในแง่ดีว่าอาจารย์อาจทำรายชื่อตกหล่นไป
“ส่วนนักศึกษาคนไหนที่ไม่มีรายชื่อในนี้ ให้ไปพบเป็นการส่วนตัวที่ห้องพักอาจารย์ภายในกลางวันนี้ค่ะ”
❋❋❋
“เอาน่าอีไป๋ มึงอย่าเพิ่งเครียด มึงอาจลืมเขียนชื่อในข้อสอบแล้วอาจารย์เรียกให้ไปดูก็ได้” และแล้วตอนนี้พวกเราได้มาสุมหัวกันอยู่หน้าห้องพักอาจารย์เพื่อรอส่งผมเข้าห้องดำเป็นที่เรียบร้อย
หน่วยน้ำตาเอ่อคลออยู่บริเวณขอบตาอย่างห้ามไม่ได้ ยิ่งมีมือของไอ้ตุลลี่ลูบหลังประสงค์ดีปลอบอยู่แบบนี้มันยิ่งทวีความอยากร้องไห้ของผมออกมา เพื่อนๆของผมก็ใช่ว่าคะแนนที่ออกมาจะดีเด่นอะไร อย่างไอ้ตุลลี่นี่ก็ตกมีน แต่พวกมันก็เลือกที่จะมานั่งให้กำลังใจผมอยู่ข้างๆ ไป๋ซึ้งเลย
“มึง กูมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลยว่ะ”
“เออน่า มึงเชื่อกูไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” ผมลุกขึ้นยืน ทั้งๆที่ความต้องการมันสั่งให้ลงไปนอนร้องไห้กับพื้น เดินเอื่อยไปจับที่บานประตูที่มีชื่ออาจารย์ประจำรายวิชาเคมีที่ทำการสอนผมติดไว้ชัดเจน
“ไป๋สู้ๆ” หันไปมองทางที่ไอ้ก๊าซยืนยิ้มโชว์เขี้ยวเสน่ห์ประจำตัว พร้อมชูสองนิ้วมาให้ ก่อนเลือกที่จะตอบรับยิ้มด้วยรอยยิ้มกลับไประหนึ่งว่าผมรู้สึกโอเคเสียเต็มประดา
“ขอทราบชื่อ ภาควิชา และรหัสนักศึกษาหน่อยค่ะ”
“ปพนวิช กิจจาวิช ภาควิชาเครื่องกล รหัสนักศึกษา 13001481 ครับ”
ผมพูดตอบอาจารย์พลางยิ้มน้อยๆ หวังให้อาจารย์เอ็นดู ในขณะที่มือและเท้าผมเย็นจนชาเพราะความกลัวไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาและสวดมนต์ในใจว่าขออย่าให้เป็นไปตามสิ่งที่ผมคิดเลย
“ตอนทำข้อสอบนักศึกษามั่นใจไหมคะ?”
“ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ครับ” มือทั้งสองถูกบีบเข้าหากันอย่างประหม่า ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อรอคำพูดต่อไปจากคนตรงหน้า
“อาจารย์พูดแบบไม่อ้อมแล้วกันนะ ว่าคะแนนของเรามันค่อนข้างแย่เลยไม่ได้ประกาศในห้องให้”
“…”
“และที่เรียกมาคุยก็เพราะจะถามว่าไฟนอลถ้าจะสู้ต่อจะสู้ไหวไหม? จากคะแนนไม่หาร 18/120 ถือว่าห่างเพื่อนอยู่มาก”
หัวใจของผมหล่นวูบไปหลังจากจบประโยคสุดท้ายทันที เลยได้แต่พยักหน้ารับอาจารย์ไม่ได้โต้ตอบอะไร
“ถ้าเราคิดว่าสู้ไม่ไหว อาจารย์แนะนำว่าถอนวิชานี้ไปเรียนตอนซัมเมอร์ แล้วเราเวลาที่เหลือตรงนี้ไปอ่านวิชาอื่นดีกว่านะ”
กายหยาบที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณของผมก็ได้ใช้ชีวิตในวันนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน เหตุการณ์หลังออกมาจากห้องอาจารย์นั้นก็อย่างที่ทุกคนคิดกันแหละครับ ว่าไอ้ไป๋ร้องไห้โฮทันทีที่ก้าวขาออกมา ไม่คิดเรื่องอายเพื่อนอะไรใดใดแล้วในตอนนั้น
ถ้าเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้พยายามแล้วผลออกมาไม่ดี ผมก็จะไม่เสียใจเท่ากับ การที่เราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพียงแต่เราไม่ถนัดในด้านนี้ ผลของการพยายามมันเลยดูจะสูญเปล่าไปสักเล็กน้อย
ก็พยายามแล้วอะ ทำไมกูต้องเกิดมาโง่ด้วยวะ?
เพื่อไม่ให้สมองฟุ้งซ่านไปกว่าเดิมอย่างที่ผมชอบเป็น เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโซเชี่ยลเผื่อจะมีอะไรเจริญตาขึ้นมาบ้าง ก่อนกดเข้าแอพสีน้ำเงินยอดฮิต แบบที่นานๆที่จะเข้าสักครั้ง
นิ้วหัวแม่มือสไลด์เลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีโพสต์ไหนบนหน้าฟีดที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจได้เลย
จนมาเจอกับ...
Taechin T. อยู่กับ Pew Phatipol และคนอื่นๆอีก 2 คน ---- @เบิร์นเบบี้เบิร์น บาร์
มาฉลองให้เสี่ยพิว ท็อปเคมีของภาคเป็นรองแค่ท็อปจากภาคเคมีเท่านั้น เฮียแกโสด บ้านรวย ____ใหญ่นะครับ สาวคนไหนสนใจติดต่อได้เลยคร้าบ
ก่อนจะจิ้มเข้าไปดูคอมเม้นเพิ่มเติม
Pew Phatipol พ่อง
Samui Samuisamui ล่าสุดเจ้าของโพสต์คออ่อนล้มพับไปแล้วครับโผม
KKen อ่อนสัสอ่ะเพื่อนเรา
นิ้วเรียวทันทีที่กดลงไปในตัวเลือกดูคอมเม้นท์เพิ่มเติมกลับต้องชะงัก เมื่อไปเจอกับโปรไฟล์ที่ตั้งค่ารูปประจำตัวยืนข้างกับคนๆนึงที่ผมเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว...
ไอ้เคนที่ตั้งดิสเป็นรูปคู่กับพลอยใส
ปากบางเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด เขาควรเข้าไปดูความเป็นไปของทั้งสอง หรือเลือกจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยดี ไม่ทันไรไป๋ก็แพ้ความอยากรู้อะไรบางอย่าง เลือกที่จะกดเข้าไปดูอยู่ดี ดูว่าสองคนนั้นเขารักกันมากขนาดไหน
สายตากวาดตามความเร็วในการสไลด์เลื่อนของหน้าจอ ทั้งโพสต์นู่นนี่ที่ทั้งสองแท็กให้อีกฝ่ายรับรู้ โพสต์หวานๆ เพลงซึ้งๆ รวมทั้งสถานะที่ได้ตั้งเพื่อประกาศให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน
KKen in a relationship with PLOY-SAI
6 days ago
[/b]
บางสิ่งที่เขาเพิ่งได้รับรู้มันกลับทำให้รู้สึกถึงความชัดเจนในหัวใจจนเจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ ก่อนจะปัดจอเพื่อกลับสู่หน้าคอมเม้นท์เหมือนเดิม
กับพลอยใส เขาไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างที่ปากชอบพูดจริงๆแล้ว ไม่มีอีกแล้ว...
แม้ว่าจะเห็นโพสต์ขึ้นคบกันรูปคู่หรืออะไรก็ตาม ตอนนี้ไป๋ก็สามารถดูมันได้อย่างไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดีใจจัง…
-
กลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน
ตาเรียวเล็กจะก้มมองสมาร์ทโฟนในมืออีกครั้ง พลันใช้สมอกลั่นกรองในสิ่งที่จะพิมพ์ลงไป จนได้ออกมาเป็นหนึ่งข้อความ
PaiPai Paponwich @Pew Phatipol มาติวให้กูหน่อยยยย
หลังจากนั้นให้หลังไม่กี่นาที หนึ่งการแจ้งเตือนก็ปรากฏให้เห็น แต่ที่ต้องแปลกใจเพราะกลับเป็นแจ้งเตือนในแอพไลน์แทนที่จะเป็นแอพเฟซบุ๊คตามที่คาดไว้
1 เพื่อนใหม่
ก่อนจะกดเข้าห้องแชทที่เจ้าของเพิ่งแอดเข้ามาเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วนี้
just pew : อาจารย์เรียกไปคุยเป็นไงบ้าง?
Paipai : คะแนนเหี้ยชิบหายอะ
just pew : เดี๋ยวติวให้ ว่างวันไหนอ่ะ?[/i]
“เหยด งี้สิวะเพื่อนเรา”
ผมอุทานให้กับความเมตตากรุณาของไอ้พิวซะดัง จนไอ้ยีนส์ที่กำลังวิดพื้นฟิตหุ่นไปโชว์สาวๆถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวแล้วถามกลับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ร้องเหยดอะไรของมึงไอ้ไป๋”
“ไอ้พิวบอกว่าจะติวเคมีให้อะ เป็นไงคนดีสัสๆว่ะเพื่อนเรา”
“บอกมันว่ากูไปด้วยๆ” ยีนส์ส่งสายตาเป็นประกายอย่างมีความหวังมาให้ผม เพื่อที่จะส่งให้ข้อความไปขออนุญาตจากเจ้าตัว ผมพยักหน้าตอบรับให้ไอ้ยีนส์ ก่อนจะลงมือพิมพ์ส่งข้อความถัดไปลงในแชท
paipai : เพื่อนกูไปติวด้วยได้ป่ะ?
just pew : มาดิๆ
just pew : เริ่มวันไหนอ่ะ?
paipai : พรุ่งนี้เลยไหม กูร้อนวิชา
just pew : โอเค อย่าลืมเตรียมชีทมาด้วย
just pew : ส่งสติ๊กเกอร์ [/i]
ผมหัวเราะให้กับสติ๊กเกอร์ที่ไอ้พิวส่งมา เป็นตัวการ์ตูนรูปหมาน่ารักที่ดูเผินๆแล้วช่างขัดกับมันเหลือเกิน พลางนึกได้ว่าตอนที่เล่น letter for love ที่มันเขียนเป็นกุ้งเผา เจ้าตัวเองก็เคยเขียนบอกไว้ว่าชอบหมามากที่สุด
จะว่าไปพูดแล้วก็คิดถึงตอนนั้นขึ้นมาเลยว่ะ...
ผมสะบัดไล่ความคิดในหัวทิ้งรัวๆทันที หลังจากตั้งสติได้ว่ากุ้งเผาที่กูรู้สึกดีด้วยก็คือไอ้พิวนี่หว่า จะไปคิดถึงตอนนั้นทำไมวะ ในเมื่อก็รู้ว่ากุ้งเผาเป็นคนใกล้ตัวเสียขนาดนี้
เจออยู่แทบทุกวัน จะไปคิดถึงทำไม...
❋❋❋
“ไอ้พิว มึงว่าพวกเราจะได้ติวไหมวะ?”
“กูว่ายันสว่างอ่ะ”
“เนื้อหาเหรอ?”
“เหอะ นั่งดูไอ้พวกเหี้ยนี่แดกเหล้าเนี่ย!”
หลังจากหมดการเรียนการสอนในวันนี้ ทั้งผม ไอ้ยีนส์ รวมทั้งไอ้ตุลลี่ ไอ้ก๊าซ ไอ้คราม ที่ติดสอยห้อยตามมา เมื่อรู้ว่าท็อปเคมีของภาคเครื่องกลจะเป็นคนติวให้ พวกเราบึ่งกลับห้องไปอาบน้ำ เก็บของ กินข้าวให้เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้ามาหาคนที่เอ่ยปากอาสาทันที
แต่เมื่อมาถึงก็เกิดความฉงนขึ้นภายในใจปากกลางถึงมากว่า เหตุใดห้องของนายปฏิพลหรือที่เราเรียกกันว่าพิวที่นัดหมายกันเป็นสถานที่ติวนั้น ถึงได้มีทั้งเหล้า เบียร์ น้ำแข็ง โซดา และกับแกล้มอีกมากมายวางกองอยู่ที่กลางห้องแบบนี้
“ไม่ได้นะเว้ยไอ้พิว มึงสัญญากับพวกกูไว้แล้ว”
“เมื่อวานยังไม่สะใจไง เลยมาต่อวันนี้ที่ห้องมึง”
เต้และสมุยเอ่ยขึ้นตามลำดับ ทำเอาผมและเดอะแก๊งค์ถึงบางอ้อไปพร้อมๆกัน ถึงวันนี้ไม่เห็นหน้าไอ้เคน แต่ก็คงเดาไม่ยากว่าหายไปไหน
“แล้วมึงจะไม่ติวเหรอ? ไปเอาชีทมาเลยจะได้มานั่งอ่านกัน เหล้านี่ก็ค่อยไว้แดกวันอื่น เก็บๆๆ”
“ไม่ได้! กูเอาน้ำแข็งออกมาแล้ว ถือเป็นการเปิดวงเหล้าอย่างเป็นทางการ”
“พวกมึงก็มานั่งแดกด้วยกันสิ จะยืนอึ้งอยู่ทำไม” สมุยที่น่าจะเริ่มดื่มไปบ้างแล้ว ดูได้จากผิวตามใบหน้าและลำคอที่เริ่มขึ้นสีแดงนั่น ตบปุๆลงที่พื้นข้างตัวเอง พร้อมเรียกพวกผมที่ตอนนี้กำลังรับมือกับสถานการณ์ไม่ถูกอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“มาๆ กูเอาด้วยค่า”
“เอาจริง?/ไอ้ตุลลี่/อ้าว” ผม ไอ้ยีนส์และไอ้ก๊าซเอ่ยท้วงไอ้ตุลลี่ที่เดินหน้าบานผ่านประตู พร้อมเข้าไปร่วมวงกับสองสหายนั่นแล้วเรียบร้อย
“วันรับน้องภาคกูมัวแต่ส่องผู้ชาย แทบไม่ได้แตะเหล้าเลยอะ กูขอแดกหน่อยน้า นิดเดียวๆ..”
พวกผมได้แต่ไถ่ถอนหายใจ ก่อนเดินเข้ามายังในห้องตามคำเรียกของไอ้พิว สรุปวันนี้ติวเคมีกูเป็นหมันใช่ไหมเนี่ย...
“ไอ้ไป๋ จะแดกเหล้าหรือเบียร์”
“ไม่แดกอะ” ผมตอบกลับไอ้เต้ที่ยังไงก็ยืนยันจะให้ผมดื่มให้ได้
“ไม่ไ-”
“ไป๋ไม่กิน ก็อย่าไปบังคับสิ” ร่างข้างๆปัดแก้วแอลกอฮอล์สีเข้มคืนไปยังเจ้าของมือที่ยื่นมา
“เออๆ เรื่องของมึง”
อันที่จริงห้องแม้จะเป็นห้องคู่ มีเตียงขนาดคิงไซส์ตั้งตระหง่านชนิดที่ว่าสองคนก็นอนได้สบาย แต่ไอ้พิวก็เลือกที่จะอยู่คนเดียว จ่ายคนเดียว บอกได้แค่ว่าถ้าไม่รวย ไม่ชิคจริงคงทำไม่ได้ เพราะจากขนาดและราคาที่ถูกกะโดยสายตาในตอนนี้ ห้องที่กว้างเหมือนเอาห้องของหอในมาต่อกันสักสองห้อง เฟอร์นิเจอร์ครบ หอใหม่เอี่ยม มีระบบรักษาความปลอดภัยโดยใช้คีย์การ์ดเท่านั้น ไม่ต้องพกกุญแจให้วุ่นวายเหมือนหอผม ส่วนไอ้เต้กับสมุยผมก็ได้ข่าวว่าทั้งสองเป็นเมทกัน อยู่หอนี้เช่นเดียวกันแต่ต่างแค่ชั้น
ได้ยินเสียงเฮฮาจากวงเหล้าพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แม้จะไม่ได้ดื่มไปด้วย แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความสนุกสนานตามๆกันไป มัวพูดคุยจนลืมดูเวลาไปเสียสนิท
สายตากวาดไปมองยังนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาสามทุ่มกว่าๆแล้ว กับเพื่อนๆที่เริ่มจะมีสภาพกึ่งคนกึ่งสุนัขเข้าไปทุกที ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ แม้ไม่ดื่มก็ไม่เลือกที่จะกลับก่อน เพราะตอนขามาไอ้ตุลลี่อาศัยซ้อนเบาะจักรยานมาด้วย ทางด้านจักรยานของไอ้ครามก็มีไอ้ก๊าซซ้อน ส่วนของไอ้ยีนส์ก็ไม่มีเบาะซ้อนเสียงั้น
“พิวขอยืมเตียงมึงหน่อยนะ ง่วงว่ะ”
“เออได้ นอนเลย”
ผมยืนมองเจ้าเตียงขนาดใหญ่จัดชิดผนังห้อง เดาจากลักษณะการวางหมอนและผ้าห่มแล้ว ไอ้พิวมันน่าจะนอนตรงกลางระหว่างเตียงคนเดียว จึงตัดสินใจล้มตัวนอนลงขอบๆเตียงให้กินพื้นที่ให้น้อยที่สุด
งีบรอไอ้พวกนั้นสักแปปก็น่าจะดีกว่าต้องทนนั่งสัปหงกหลังขดหลังแข็งบนพื้น เนื่องด้วยสาเหตุนอนไม่หลับเพราะคะแนนเคมีมาจากเมื่อคืนก่อน เลยทำให้เกิดอาการง่วงหนาวหาวนอนตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้
ว่าแล้วก็จัดแจงท่านอนของตัวเองพร้อมหลับตาลงทันที นี่สินะที่เขาว่าเอาเงินซื้อคุณภาพชีวิต เตียงนุ่ม แอร์เย็น นอนสบาย ปล่อยให้รอบข้างวุ่นวายด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจไป ก่อนจะเข้าสู่นิทราอย่างสนิท
❋❋❋
“อื้อออ” ตาเรียวกระพริบถี่ๆไล่ความมึนงงออกไป อาการง่วงนอนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้หายไปอย่างปลิดทิ้ง สงสัยวันหลังต้องงีบแบบนี้บ่อยๆเสียแล้ว
ใบหน้าที่เงยมองเพดานกลับต้องแปลกใจว่าเสียงที่เคยดังก่อนหน้านี้กลับหายไป เลยทำให้ต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนสำรวจไปยังก๊งเหล้าที่เขาได้แยกตัวมานอน สงสัยเมาคออ่อนล้มพับกันไปหมดแล้วมั้ง
เมื่อยันตัวจนมานั่งหลังตรงบนที่นอนได้ก็ต้องพบว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดไว้เลยแม้แต่น้อย บนพื้นที่เคยเต็มไปด้วยเพื่อนของเขา กลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ถ้วยกับแกล้มและขวดเหล้าที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้เลย
ร่างบางเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน นี่เพื่อนของเขาไปไหนกันหมด? ก่อนจะต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อหันไปมองนาฬิกาบนผนังอันเก่ากำลังบอกเวลาเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ
22.56
แต่หอกูปิดห้าทุ่ม อีเชี่ย!!!
ตั้งสติได้ก็รีบคว้าของใช้ของตนเองจับยัดใส่กระเป๋า เตรียมตัวกลับหออย่างด่วนจี๋ แต่ยังไม่ทันให้ได้เดินไปไหนไกล ก็พบกับเจ้าของห้องที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพนุ่งผ้าขนหนูมีหยดน้ำเกาะตามลำตัว เดินออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้ร่างบางรู้สึกเหมือนตนเองเกิดอาการเดจาวูอย่างไรอย่างนั้น
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?”
“เออ ตื่นแล้วไอ้สัส แม่งไม่มีใครปลุกกูเลยสักคน มันน่าน้อยใจนะเนี่ย” จะไม่ให้น้อยใจได้ไง ผมอุตส่าห์นอนรอจะได้กลับพร้อมกัน แต่พวกมันเลือกที่จะทิ้งผมแล้วกลับกันไปทั้งอย่างนั้น
“พวกมันปลุกแล้ว มึงนั่นแหละไม่ยอมตื่นเลย”
“อ้าว...”
“นอนนี่ก่อน ห้าทุ่มแล้วไปไม่ทันหรอก”
ผมคิดตามเหตุผมของมันก่อนยอมใจอ่อน ทิ้งกระเป๋าลงบนพื้นเหมือนเดิม นี่ผมหลับลึกอะไรขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?
หางตาเหลือบไปเห็นไอ้พิวเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วคุ้ยหาของสักพักนึง ก่อนจะเดินมาหาผมแล้วยื่นของใช้ที่จำเป็นให้
“อะ เสื้อผ้า กางเกงในกูเอาตัวใหม่ให้ ในห้องน้ำกูก็เอาแปรงอันใหม่วางไว้ให้แล้ว”
“เออ แต๊งกิ้ว” ผมมองเสื้อผ้าไซส์ไอ้พิวในมือที่ถูกพับมาอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป พร้อมเสียงทุ้มที่ดังไล่หลังตามมา
“รีบๆอาบ เผื่อมีเวลาเหลือจะได้นั่งสอนเคมีให้”
เข็มยาวชี้ตรงไปยังเลข 12 พร้อมกับเข็มสั้นที่ชี้ไปยังเลข 1 แต่ทั้งสองก็ยังคงนั่งอ่านหนังสือกันอย่างแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาสนใจเวลากันเลยทีเดียว
“ไอ้พิว ทำไมข้อนี้ สมการแม่งตัด v ออกไปเลยวะ”
“ไหน...ข้อ 8 เหรอ?”
“เออใช่”
“นี่ไง โจทย์เขาบอกอยู่ว่าภาชนะมีขนาดคงที่ ปริมาตรเลยคงที่ไปด้วย ก็ตัดออกจากสมการได้เลย”
“อ๋อ กูอ่านโจทย์ไม่ครบ”
“...ไอ้ต๊อง” ว่าจบมันก็เอาปากกาเคาะหัวผมไปทีนึง ก่อนลุกขึ้นไปบิดขี้เกียจโชว์พุงอยู่กลางห้อง
หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ เมื่อออกมาก็ผมกับพิวที่กางโต๊ะญี่ปุ่นนั่งกับพื้นพร้อมกางชีทวิชาเคมีรออยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องยอมรับเลยว่ามันสอนดีมากๆ อธิบายเนื้อหาของแต่ละบทให้ฟังได้อย่างเข้าใจ มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าไปตั้งใจเรียนในคาบอีก แถมโจทย์เพิ่มเติมที่กำลังทำอยู่นี่ก็เป็นส่วนช่วยได้อีกแรง
ประเสริฐสุดๆเลยครับ นายปฏิพล เนี่ย
“ตีหนึ่งกว่าละ เบรกสัก 5 นาทีแล้วค่อยมาต่อให้จบบทแล้วกัน เหลืออีกนิดเดียว”
ผมรีบคำนวณโจทย์ข้อที่ค้างไว้ให้จนเสร็จ ก่อนจะแผ่ตัวลงนอนกับพื้นกระเบื้องเย็นด้วยความเมื่อยล้า อันที่จริงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ง่วงมากหรอก เพราะผมเผลอหลับไปตั้งหลายชั่วโมง แต่อีกคนคงจะเริ่มง่วงแล้วถึงได้เดินไปหยิบเบียร์มาดื่มอย่างนี้
“พิว มึงง่วงแล้วเหรอ?”
“หึ ยังอะ”
“ถ้ามึงง่วงนอนก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยมาต่อพรุ่งนี้”
“ไม่เป็นไร ปกติกูอ่านดึกอยู่แล้ว อะ...เบียร์ปะ? จะได้หลับสบาย” ผมมองกระป๋องเบียร์สีเงินลายเขียวในมือร่างสูง ก่อนกระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
แดกของดีซะด้วย...แต่กูสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่แดกเหล้า .. แต่นี่มันเบียร์นะ ไม่เป็นไรหรอก แดกได้
“ขอบใจมึง”
มือขาวเลื่อนไปรับของจากร่างใหญ่ที่ยื่นค้างไว้ ปลายนิ้วของทั้งสองสัมผัสกันเพียงเบาๆ แต่เท่านี้ก็ทำให้ร่างบางห้วนนึกถึงคืนที่รับน้องริมทะเลในคืนนั้นขึ้นมา แม้ตอนเกิดเรื่องเขาอาจไม่ได้มีสติจนจำเรื่องราวได้อย่างละเอียด อย่างไรมันก็สร้างความอับอายได้อย่างมากทุกครั้งที่หวนนึกถึง เรื่องลามกนั่นทำเอาเจ้าคนมาขออยู่อาศัยหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกระลอกนึง
‘...ขยับหน่อย’
‘ฮึ?
‘อือ ขยับให้หน่อย...’
ทั้งห้องเงียบลง มีแค่เพียงเสียงลมเย็นที่ดังออกมาจากเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น ร่างของทั้งคู่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น ต่างคนต่างจัดการกับกระป๋องเบียร์ในมือไปเรื่อยๆ บรรยากาศรอบตัวพาให้ใจไม่อยู่สุขเอาแต่คิดไปนู่นไปนี่ คนตัวเล็กกว่าอดไม่ได้จนต้องพูดออกมา
“กูว่าแดกเสร็จแล้วนอนเลยดีกว่า เริ่มง่วงละ” ตัดบทเสร็จสรรพพร้อมลุกขึ้นไปทิ้งกระป๋องในมือลงถังขยะทันที ทำเอาคนที่ยังนั่งมึนงงกับอาการของอีกฝ่าย
“เออ ได้ๆ”
ถ้ายังฝืนนั่งอ่านต่อ คนนั่งตรงข้ามต้องรู้แน่ๆว่าตอนนี้เขากำลังหน้าแดงแบบที่ตัวเองก็ยังแปลกใจ เนียนเข้าห้องน้ำมาตรวจดูสีหน้าตนเอง ก่อนจะทึ้งหัวแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเอาเสียเลย ความรู้สึกในใจตอนนี้ช่างก่ำกึ่งระหว่างคำว่า อับอายและขวยเขิน จนหัวสมองเริ่มจะตีกันแล้ว
ทำไมตอนคิดว่าไอ้พิวเคยทำให้แล้วแม่งเสือกเขินวะ? ตอนแรกกูนึกว่าตัวเองอายนะ แต่ตอนที่นึกถึงเรื่องนั้นตอนไม่ได้อยู่ตรงหน้าไอ้พิวก็เฉยๆอ่ะ แต่เมื่อกี๊มือไปโดนกันนิดเดียวเสือกหน้าแดงเฉยเลย...
ไอ้ไป๋ มึงต้องบ้าแบบที่ไอ้ยีนส์ชอบด่าแล้วแน่ๆ
สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปแกล้งกดชักโครกให้คนที่อยู่ข้างเชื่ออย่างสนิทใจว่า เขาเข้าห้องน้ำมาทำธุระจริงๆ เมื่อออกจากห้องน้ำไปก็พบว่า ทั้งห้องปิดไฟหมดแล้วเหลือเพียงแค่ไฟหัวเตียง ส่วนร่างสูงได้ล้มตัวนอนบนเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างบางจึงเดินอ้อมไปล้มตัวลงอีกฝากนึงของเตียงบ้าง อีกคนเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กล้มตัวและจัดแจงท่าเป็นที่เรียบร้อยจึงเอื้อมไปปิดไฟที่หัวเตียง
ในตอนแรกที่พวกเขาตั้งใจจะนอนกันคนละฝั่งเตียงแต่ก็ไม่เป็นดั่งที่คิดเมื่อผ้าห่มในห้องนี้มีเพียงผืนเดียว จึงทำให้ทั้งสองต้องเขยิบเข้ามานอนใกล้กัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างไร
นาฬิกายังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขัน จนตอนนี้นับจากล้มตัวนอนก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงโดยประมาณแล้ว ทั้งห้องยังคงมืดสนิท แต่ตาของไป๋ก็ยังคงเบิกนอนมองเพดานเรื่อยมา ไม่มีท่าทีว่าเครื่องดื่มที่พิวให้มาจะช่วยทำให้หลับสบายตามที่เจ้าตัวอ้างแต่อย่างใด
ผมที่นอนไม่หลับได้แต่พลิกตัวไปมาอย่างหงุดหงิดตัวเอง ไม่น่างีบตอนหัวค่ำเลยกู...
“ยังไม่หลับเหรอ?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแทรกความคิดในหัวผม ทำเอาผมต้องหยุดการขยับตัวทั้งหมด
“กูปลุกมึงปะ? ขอโทษๆ”
“หึ นอนไม่หลับเหมือนกัน”
“อ้าวเหรอ...”
แล้วเราทั้งสองก็ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องอีกครั้ง
“ไป๋ กูถามอะไรหน่อยดิ”
“อือ เอาดิ”
“มึงยังอยากรู้คำตอบของจดหมายฉบับล่าสุดนั่นอยู่ป่ะ?”
ผมเม้มริมฝีปากก่อนประมวลผลคำพูดอย่างใช้ความคิด ก่อนจะออกมาเป็นประโยคที่ทำเอาคนถามถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไอ้ไง่ ในโลกนี้ไม่มีจดหมายฉบับไหนที่ส่งไปแล้วไม่ต้องการคำตอบหรอก...”
“งั้นเดี๋ยวตอบให้ฟังเลยแล้วกัน” ร่างสูงพูด แต่น้ำหนักตัวบนเตียงที่ยังเท่าเดิมทำให้รู้ว่าอีกคนก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ขยับไปไหน
“ข้อแรก ทำไมต้องตั้งดิสเพลย์แนมว่ากุ้งเผา...อันนี้ตอบไปแล้ว”
“เดี๋ยวๆ นี่มึงจำได้เหรอ?”
“เออ อ่านบ่อยกว่าวิชาเคมีอีก”
“อีเชี่-”
“ต่อนะ ข้อสองกินข้าวที่ไหนบ่อยสุด” ปากที่กำลังจะอ้าขึ้นด่าอีกคนที่นอนข้างๆก็ต้องหุบลงทันที มึงหมายความว่ายังไง๊...
“อืม ก็ซุ้มข้างช็อปมั้ง ขี้เกียจเดินไปแดกโรงอาหารคณะอื่น”
เราต่างคนต่างนอนหงายมองเพดานกัน ผมได้แต่เงียบให้อีกคนพูดในสิ่งที่กำลังพูดให้จบ หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆตามหมายเลขข้อที่เพิ่มขึ้นอย่างหาเหตุผลไม่ได้
“ข้อสาม เรื่องของรักแรก...น่ารัก แต่ก็ไม่บอบบาง เห็นครั้งแรกแล้วชอบเลย”
“…”
“ข้อสี่ เรื่องปวดใจล่าสุด...ก็คือ รักแรกที่ว่ามีแฟนแล้ว เพิ่มข้อข้อสี่จุดห้าไปด้วยว่า เรื่องที่ไม่ควรดีใจแต่ก็ดีใจล่าสุด…ก็คือเขาเลิกกับแฟนแล้ว”
ประโยคก่อนหน้าทำเอาผมหายใจติดขัดจนมือทั้งสองข้างถูกบีบเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
“อ-อือ ต่อเลย”
“ข้อห้า คนในอุดมคติเป็นยังไง ขอเปลี่ยนโจทย์เป็นคนที่ชอบตอนนี้เป็นยังไง”
เสียงสีกันของผ้าปูที่นอนและเสื้อดังขึ้นจากทางด้านข้าง ทำใหรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขยับตัวอยู่ ด้วยความอยากรู้จึงทำให้ผมพลิกหัวกลับไปดู แต่สิ่งที่เห็นกลับต้องทำให้ผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้เปิดไฟภายในห้องแล้ว แต่แสงที่เล็ดลอดเข้ามาก็ทำให้รู้ว่าพิวกำลังตะแคงตัวแล้วนอนจ้องผมอยู่
“ขาว ตาตี่ หน้าตาดีน้อยกว่ากู แต่กูก็ยังมองว่าน่ารัก”
“ห้ะ?”
“ดูน่าปกป้อง แต่ก็ดูแลตัวเองได้ บางทีก็โก๊ะ แต่บางทีก็โง่”
“ม-มึงจะมองหน้ากูทำไม?” ร่างบางถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้าใจกับสิ่งที่ร่างสูงกำลังทำ
“เป็นผู้ชาย แต่กูก็ยังชอบ”
“!!!”
“ข้อสุดท้าย อันนี้กูเติมเอง สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้”
ราวกับโลกทั้งใบหยุดลงหมด เหลือเพียงแต่ปากที่ผมชอบแอบมองเท่านั้นที่ยังคงเคลื่อนไหว แต่ละการขยับจะส่งเสียงออกมาทุกครั้ง ถึงแม้ว่าตาผมจะเบลอไปหมดแล้ว แต่หูและสมองมันกลับจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างดี
“สิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ จีบไป่ไป๋ คนที่บ้านอยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่อยู่ข้างหน้ากูตอนนี้”
“…”
“และเป็นคนที่มีคนเดียวบนโลกด้วย”
ตู้ม!!!!!!!!!
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
chapter seven。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ร่างบางหัวฟูเพราะฝีมือตัวเองที่กำลังทึ้งศีรษะไปมาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนเตียงในตอนเช้าตรู่ทันทีที่ตื่นนอน ก่อนจะหยุดลงเพื่อนวดขมับทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนก่อนนอนเมื่อคืนนี้
“สิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ จีบไป่ไป๋ คนที่อยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่อยู่ข้างหน้ากูตอนนี้”
“…”
“และเป็นคนที่มีคนเดียวบนโลกด้วย”
ทั้งคู่ผสานสายตากันท่ามกลางความมืด ด้านคนตัวสูงแสดงอาจไม่รู้ตัวว่าได้แสดงสีหน้าที่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน ทำเอาคนตัวเล็กกว่าตกบ่วงของสายตาที่ถูกถ่ายทอดมา จนไปไหนไม่เป็น
ดูหนักแน่น แต่ก็เว้าวอน
ดูเหมือนประโยคบอกเล่า แต่ก็เหมือนประโยคคำสั่ง
‘ก-กูไม่ตลกนะ’
‘แล้วหน้ากูมันบอกไหมว่ากูล้อเล่น’
จบคำต่างคนเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาอีก ต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีไปคนละทางคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยินและได้พูดออกมา เนิ่นนานจนได้ยินถึงเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอของทั้งคู่ในที่สุด
อ๊ากกก นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!
ผมสูดหายใจลงปอดลึกๆอย่างที่ชอบทำ ก่อนจะค่อยๆเหลือบสายตาไปหาเจ้าของประโยคที่ทำเอาผมแทบไปไม่เป็นนั่น ก็ปรากฏว่าเจ้าตัวยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เหมือนเดิม เห็นดังนั้นผมจึงรีบเก็บข้าวของของผมในห้องนี้ลงกระเป๋าแล้วเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำอย่างด่วนจี๋ทันที
เดี๋ยวค่อยกลับไปอาบน้ำที่หอก็ได้ ส่วนเสื้อผ้านี่เดี๋ยวก็ค่อยคืนแล้วกัน บอกตรงๆว่ายังไม่พร้อมเจอหน้าไอ้พิวตอนตื่นในตอนนี้แบบสุดๆ
ออกมาจากห้องน้ำก็มองดูนาฬิกาก็ยังเป็นเวลาแค่เจ็ดโมงอยู่ วันนี้มีเรียนตั้งเก้าโมงเวลาเหลือถมเถไป แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าออกจากห้องก็เหลือบไปเจอโพสต์อิทสีเหลืองสะท้อนแสงวางอยู่บนโต๊ะ ทำก็ทำเอาฉุกคิดความคิดอะไรได้เข้าเสียก่อน
เออ ไหนๆมันก็อุตส่าห์นอนดึกสอนเคมีกูละ เขียนบอกมันหน่อยก็ได้วะ
ก่อนจะหยิบปากกาเคมีขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วลงมือเขียนลงในโพสต์อิทใบเล็กนั่นแล้วจัดการแปะไว้ในส่วนที่คิดว่าเจ้าของห้องน่าจะเห็นได้ง่ายทันที
กูกลับหอแล้วนะ ไว้เจอกัน
❋❋❋
ในที่สุดจนแล้วจนรอดตอนนี้ก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว หลังจากที่กลับหอในแสนรักของผมโดยสวัสดิภาพ แม้จะมีเมทรักที่ไม่แม้แต่จะไลน์มาถามความเป็นอยู่ทั้งๆที่ทิ้งผมไว้ให้อยู่ในเงื้อมือมารคนเดียว พวกมึงไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนกูเจออะไรมาบ้าง...
“เออน่า เมื่อคืนมึงไม่ยอมตื่นเองอะ”
“กูไม่ได้กลับด้วยแล้วไอ้ตุลลี่กลับยังไงอ่ะ เดิน?”
“หึ มันโทรให้เมทภาคโยปั่นจักรยานมารับ” ไอ้เชี่ยเอ้ย กูไม่น่ารอพวกแม่งแดกเหล้าเล้ย
ไอ้ยีนส์คนดีของโลกแต่ไม่ใช่โลกของผม กำลังเดินเอาจานอาหารเช้าไปเก็บให้ ปล่อยให้ผมนั่งหัวเสียอยู่ที่โต๊ะเพียงคนเดียว ขณะที่กำลังลุกขึ้นยืนเพื่อยืนรอไอ้ยีนส์ที่กำลังเดินห่างไป เสียงแจ้งเตือนจากไลน์ก็ดังขึ้นขัดขวางการออกเดินเสียก่อน
ไลน์!
ไลน์!
ผมหยิบโทรศัพท์คู่ใจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าเป็นการแจ้งเตือนจากกลุ่มพวกผมเอง ไลน์มาทำไมวะ อาจารย์ยกคลาส?
ก้าดเก้วกาด : ไป๋ยีนส์ขึ้นมายัง?
ก้าดเก้วกาด : อย่าลืมไปซื้อชีทใหม่ใต้คณะด้วย
ผมร้องอ๋ออย่างนึกออก เพราะวันนี้คาบเช้าเป็นวิชาแคลคูลัสที่เพิ่งเรียนบทเก่าจบไป
paipai : อะเคร แต๊ง
[/i]
paipai : คนมาเยอะยัง? ใครจะฝากซื้ออะไรไหม?
[/i]
ก้าดเก้วกาด : ไม่เอาๆ
ตุลาครับ : คนมาน้อยเว่อ
ตุลาครับ : ภาคเรามาแค่กลุ่มเรา
ตุลาครับ : กับกลุ่มพิวขาที่พิวขายังไม่มา
ตุลาครับ : เสียใจมั่ก
ตุลาครับ : *ส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้*
K : ไอ้ตุล มึงหยุดพิมพ์ที กูรำคาญ
คิ้วต้องขมวดเป็นปมเพราะข้อความที่ไอ้ตุลพิมพ์เข้ามา พิวยังไม่มา? เป็นอะไรที่ผิดปกติมาก เนื่องจากกลุ่มของพวกมันชอบที่จะมาเรียนพร้อมๆกัน จนทำให้ได้ฉายาว่า F4 ภาคเครื่องนั่นแหละ ก่อนที่ผมจะเก็บสมาร์ทโฟนลงช่องกระเป๋าที่เดิม แล้วยืนรอไอ้ยีนส์ที่กำลังเดินกลับมา
หรือเพราะเรื่องเมื่อคืน?
“ป่ะไอ้ไป๋ รีบซื้อชีท ไอ้ก๊าซเพิ่งไลน์มาบอกอีกว่าอาจารย์เข้าแล้ว” ผมที่กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ ก็ถูกไอ้ยีนส์ถูลู่ถูกังลากไปร้านถ่ายเอกสารใต้คณะแบบทั้งอย่างนั้น
“เอาชีทแคลเรื่องใหม่ของปีหนึ่งหน่อยป้า”
“เอากี่ชุดดีลูก?” เสียงของป้าร้านถ่ายเอกสารใจดีที่รักนักศึกษาเหมือนลูกเหมือนหลานถามเมทของผมกลับ
“สองชุดป้า ขอด่วนๆ จารย์เข้าแล้ว”
“สองชุดนะลูก”
“สามครับ” ทั้งไอ้ยีนส์และป้าหันมามองผมที่จู่ๆก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความสงสัย ปนกับสีหน้าเชิงที่ว่า มึงจะเอายังไงกันแน่...
“งั้นเป็นสามชุดนะลูก”
“ครับ”
ทันที่ที่ป้าเดินห่างไปหาเครื่องถ่ายเอกสารที่กำลังก็อปปี้ชีทตามจำนวนที่ผมสั่ง ไอ้ยีนส์ที่ยืนจ้องหน้าผมมาตั้งแต่เมื่อกี๊ก็อ้าปากถามทันที
“อีกชุดนึงเอาไปให้ใครวะ?”
“เสือกไอ้สัส” ผมตอบกลับหน้านิ่งกลบความที่กลัวความจริงจะเปิดเผยว่าผมจะซื้อไปให้ใคร
“ไอ้พิว?”
“ไอ้เชี่ยยีนส์”
“มีงจะด่ากูทำไม เห็นไอ้ตุลลี่บอกว่าไอ้พิวยังไม่มา”
“เออ กูซื้อไปให้มันเอง มึงมีปัญหาหรือไง”
“ซื้อไปให้ก็ซื้อไปให้สิ กูแค่ถาม ไม่เห็นต้องร้อนตัวอะไรขนาดนี้เลย” มันว่าพร้อมเอื้อมไปรับเอกสารที่ป้าส่งให้แบบยังร้อนๆอยู่ ที่เพิ่งเอาออกมาจากเครื่องแบบสดๆ ทำเอาผมได้แต่พะงาบปากจะด่ากลับก็ด่าไม่ได้อยู่คนเดียว
จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะ ผมร้อนตัวไปจริง...
“อะ.. สองชุด เอาไปให้มันเอง แล้วจ่ายกูมาด้วยยี่สิบบาท”
ทันทีที่ร่างบางพร้อมรูมเมทก้าวเท้าเข้ามาในห้องก็รีบจัดแจงวางกระเป๋า และนั่งลงบนที่นั่งประจำของตนเอง แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อร่างคุ้นตาที่เพิ่งแยกกันมาไม่กี่ชั่วโมงกลับมายืนที่เก้าอี้ข้างๆตัวเขา ที่เขามักจะใช้ไว้เป็นที่วางกระเป๋า เนื่องจากจำนวนนักศึกษาที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเก้าอี้เลกเชอร์ที่มีมากกว่า และไม่มีใครมานั่งข้างเขา ก็ทำให้เขาสามารถวางสัมภาระของตนเองได้อย่างสบายใจ
“...อยากนั่งตรงเนี้ย” ร่างสูงว่าพร้อมชี้นิ้วลงมายังเก้าอี้ตัวข้างๆอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่ไปนั่งกับเพื่อนมึงอะ”
“เต็ม” ร่างบางเลยหันไปมองเก้าอี้แถวหลังของตนเอง ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ไป๋เลยต้องจำใจยกสิ่งของของตนเองออก เพื่อให้คนตัวสูงสามารถนั่งได้
เมื่อพิวนั่งลงและกำลังหยิบเครื่องเขียนออกมาจากกระเป๋า มือขาวได้โอกาสหยิบชีทที่เพิ่งถ่ายเอกสารมาแล้ววางไว้บนเก้าอี้อีกฝ่ายทันที ทำเอาอีกคนที่ไม่รู้เรื่องว่าวันนี้เขาเรียนเรื่องใหม่กัน ถึงกับทำหน้างง
“?”
“ชีทใหม่ไอ้โง่” แต่แล้วคำกระซิบด่านั่นกลับสร้างรอยยิ้มให้ผู้มาใหม่ได้เป็นอย่างมาก
“ขอบใจนะเมีย”
“ใครเมียมึงไอ้เหี้ยพิว” ว่าพร้อมกดแรงเหยียบที่เท้าอีกฝ่ายไปเต็มๆ
ทำหน้ายิ้มระรื่นอยู่ได้ กูแค่ใจดีด้วยหน่อย อย่าทำเหลิงไปเลย!
และแล้วทั้งคาบนั้นก็เต็มไปด้วยทั้งคำด่าและคำสาปแช่งของทั้งสองคน ที่จะด่าก็ด่าไม่ได้อย่างเต็มเสียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง แต่ก็ไม่พ้นหูสอดรู้ของเพื่อนไปอยู่ดี...
“พวกมึงสองคนคุยอะไรกันวะ? หงุงหงิงๆกันตั้งแต่ต้นคาบละ” ไอ้ยีนส์ที่ผมสงสัยว่ามันคงนั่งสงสัยมาตั้งแต่ต้นคาบจนทนไม่ไหวเลยเอ่ยถามขึ้นมา
“กูให้ไอ้พิวมันอธิบายเรื่อง non-linear ให้ฟังอ่ะ แม่งยากชิบหายเลย”
“อ๋อ โอเค” ผมยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อจากการแถสีข้างแทบถลอก ก่อนหันมาส่งสายตาคาดโทษไปยังไอ้ตัวปัญหาที่เอาแต่ชวนผมตี แต่ก็ยังไม่วายคว้ากระดาษเอกสารการเรียนผมไปขีดๆเขียนๆ ก่อนยื่นกลับมาให้ผมอ่าน
ตอนบ่ายมีประชุมคอนคณะ อย่าลืมเข้าด้วย
อ่านข้อความในกระดาษจบ สมองก็พลันนึกได้ว่าวันนี้พี่ปีสูงเรียกเข้าห้องประชุมกันทั้งชั้นปี ไปคุยเรื่องของคอนเสิร์ต ที่จะเป็นงานของชั้นปีที่ 1 อย่างพวกเรา ก่อนจะหยิบดินสอแล้วเขียนข้อความตอบกลับไปบ้าง
เออ กูไม่โดดหรอกน่า แล้วนี่จะไม่เรียนกันแล้วใช่ไหม?
กูอ่านมาล่วงหน้าแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ
ผมกรอกตามองบนให้ในความมั่นใจของไอ้พิว จ้า พ่อคนเก่ง ส่วนผมที่แม้ว่าจะกากไปเสียทุกภาคส่วน แต่ขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า แคลคูลัสของไป่ไป๋ แม้ตอนมิดเทอมคะแนนจะตกมีนกันไปเกือบทั้งคณะเพราะอาจารย์ออกข้อสอบพลิกแพลง แต่โดยรวมแล้วจัดอยู่ในเกณฑ์ดีนะครับ
เนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอนอยู่นี่ผมก็ได้อ่านและทำความเข้าใจมาล่วงหน้าแล้วเหมือนกัน เลยทำให้ผมมานั่งขีดเขียนข้อความไร้สาระพวกนี้กับไอ้พิวแทนการเล่นโทรศัพท์ได้อยู่นี่เอง
จ้า
เย็นนี้ว่างปะ?
ทำไม?
ไปแดกปิ้งย่างเป็นเพื่อนหน่อย
ไปชวนเพื่อนมึงนู่น
พวกมันไม่อยากแดก
ไอ้ตุลลี่บ่นอยู่ว่าอยากแดก
กูจีบมึง ไม่ได้จีบตุลลี่ ไม่งั้นกูจะชวนมึงไปทำไม
ไอ้เหี้ยยยย!!!
อ้าปากคิดใส่อารมณ์ไปในคำด่าแบบเต็มที่ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรหางตาก็เหลือบไปเจอไอ้ตุลลี่ที่เอี้ยวตัวจากแถวหน้ากำลังจ้องเขม็งมาทางผมเสียก่อน
“ไอ้ไป๋ มึงคุยอะไรกับพิวขา”
“จุ๊ๆ ไอ้ตุลลี่เสียงเบาๆ เดี๋ยวอาจารย์ด่า”
“ด่าอะไร นี่อาจารย์ปล่อยเบรกแล้ว ขอดูกระดาษแผ่นนั้นหน่อย” มันว่าพร้อมชี้ตรงมายังแผ่นที่มีลายมือขยุกขยุยเขียนอยู่เต็มไปหมด
“ไม่มีอะไร ไอ้พิวมันแค่ทวนเรื่องเก่าให้กูเฉยๆ” ผมรีบคว่ำชีทตรงหน้าทันที
“อ๋อ เหรอ” แต่ก็ดูเหมือนว่ามันยังไม่ได้เชื่อใจผมซะสนิท ทำท่าลุกจากเก้าอี้ตรงมาทางผม
“เฮ้ย! ไอ้ตุลลี่ลงไปหาของแดกเป็นเพื่อนหน่อยดิ” เสียงไอ้ยีนส์ดังขึ้นขัดสารร่างของตุลลี่ที่กำลังเข้าใกล้ผมเรื่อยให้หยุดลง
“กูไม่หิว มึงลงไปก่อนเลย”
“เออน่า เมื่อวานป้าแกเขาบ่นคิดถึงมึง” คนตัวสูงว่าก่อนเดินมาจับแขนแล้วลากไอ้ตุลลี่ให้เดินไปด้วย
“หยุดอียีนส์ กูเดินเองได้ ปล่อย!”
“เดินตามกูมาตั้งแต่แรกก็จบละแม่ง” ก่อนที่เสียงจิกกัดของทั้งคู่จะค่อยๆออกห่างไป จนไกลกว่าจะได้ยิน
ผมลอบถอนหายใจ ก่อนจะหยิบยางลบในกระเป๋าที่แทบจะไม่ได้ใช้ขึ้นมาลบร่องรอยอารยธรรมของผมแล้วคนข้างๆตอนนี้ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ทำเอาผมหันหัวไปถามด้วยความสงสัย
“หัวเราะอะไรของมึง?”
“ฮ่าๆ เหมือนเด็กแอบแม่มีผัวเลย”
แอบแม่มีผัวเหี้ยไร กูตอนนี้เหมือนเมียน้อยแอบแดกผัวเพื่อนมากกว่าอีกอีเชี่ยเอ้ย
“เดี๋ยวนี้เอาใหญ่นะสัส พูดจาผัวๆเมียๆอยู่ได้” หยุดต่อล้อต่อเถียงแล้วก้มหน้าลงไปลบรอยดินสอก่อนที่สองคนนั้นจะกลับมา
“ก็มีคนอนุญาตแล้ว”
“ตอนไหนของมึง?”
“ก็เมื่อคืนไง”
“…” สองตากรอกไปมาอย่างใช้ความคิดพลางทบทวนคำพูดทั้งหมดของเมื่อคืน เดี๋ยวนะ กูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แม่งมั่วแล้วลามปามสัสๆ
“มึงไม่ปฏิเสธสิ่งที่กูอยากทำ กูก็จะถือว่ามึงอนุญาตแล้วละกันนะ” ผมที่กำลังอ้าปากค้างในคำพูดของอีกฝ่าย ยังไม่ทันไร ชีทในมือของผมก็ถูกดึงออกไปด้วยแรงควายๆ ก่อนที่ไอ้พิวจะลงมือเขียนอะไรสักอย่างอีกครั้ง
ไอ้เหี้ย กูเพิ่งจะลบไปเนี่ย
เอกสารการเรียนของผมถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยข้อความที่ทำเอาเลือดในร่างกายขึ้นไปกระจุกที่ใบหน้าด้วยความโมโห ก่อนที่เจ้าตัวจะโดนกระดาษในมือผมฟาดไปตามลำตัวแบบไม่ยั้ง เพราะข้อความที่ว่า...
ไป่ไป๋ <3 พิว
[/b]
ก็ถือว่าเป็นคาบเช้าที่ต้องชดใช้เวรกรรมไปกับเจ้ากรรมนายเวรอย่างไอ้พิวก็แล้วกันครับ...
❋❋❋
“สรุปการประชุมในวันนี้ก็คือ พี่อยากให้น้องๆสร้างโพสต์ในกรุ๊ปไลน์ชั้นปีแบ่งหน้าที่ตามที่พี่ได้ชี้แจงไป เพื่อให้น้องๆทุกคนได้ลงชื่อและมีหน้าที่ในกิจกรรมนี้ทุกคน”
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจถามเพื่อนรอบข้างดังขึ้นทันทีที่พี่กล่าวสรุปการประชุมในครั้งนี้เกี่ยวกับการแบ่งหน้าที่ของการจัดคอนเสิร์ตที่จะมีขึ้นภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนจะปล่อยให้ปีหนึ่งแยกย้ายได้
“มึง เราจะเลือกฝ่ายไหนกันดีวะ?”
“Backstage แมะ จะได้เห็นศิลปินใกล้ๆด้วยนะ” เสียงไอ้ก๊าซดังขึ้นเสนอไอ้ตุลลี่
“แต่เราจะไม่ได้ดูคอนเสิร์ตนะ”
“...เออว่ะ” ไอ้ก๊าซเออออไปตามคำพูดของไอ้ยีนส์ที่แย้งขึ้นมา พวกผมไม่ได้มีเจตนาจะอู้หรือเลือกงานอะไรอย่างนี้หรอก แต่ในเมื่อรุ่นพี่อนุญาตให้เลือกฝ่ายตามใจชอบแล้ว จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราไม่ต้องคิดถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละฝ่ายล่ะครับ
“ชิบหายแล้วมึง เริ่มมีเพื่อนมาเม้นท์ฝ่ายในโพสต์ละ”
“เอาไงดีมึง แต่ละฝ่ายแม่งจำกัดจำนวนคนด้วย” เราทั้งห้าคนเริ่มนั่งเครียดและพยายามเลือกฝ่ายลงชื่อกันอย่างเคร่งเครียด
“ลงฝ่ายอะไรกันอะ?” เสียงทุ้มดังขึ้นขัดไอ้ตุลลี่และไอ้ก๊าซที่กำลังถกกันอยู่ ทำเอาพวกเราหันไปหาต้นเสียงแบบไม่ได้นัดหมายกันเป็นตาเดียว
และนั่นก็เป็นใครไปไม่ได้ครับ ไอ้พิว เจ้า(กรรม)เก่าเจ้าเดิมที่ถือวิสาสะขอแหวกช่องว่างจากไอ้ยีนส์ แล้วนั่งแทรกระหว่างผมกับไอ้ยีนส์เป็นที่เรียบร้อย
“พิวขาลงฝ่ายอะไรเหรอ? เดี๋ยวตุลลี่กับเพื่อนลงด้วยตอนนี้เลย” อ้าว...ไอ้ตุล
“ไอ้เคนชวนลงฝ่ายสถานที่อะ เลยลงกันหมดทั้งกลุ่มเลย”
“ได้เลยค่ะ...ไอ้คราม ในฐานะที่มึงกำลังจับโทรศัพท์อยู่ ตุลลี่ขอสั่งให้มึงพิมพ์ชื่อและรหัสพวกเราทั้งหมดลงในโพสต์ว่าอยู่ฝ่ายสถานที่เดี๋ยวนี้”
“เออ รู้แล้ว มึงจะพูดให้มากความทำไมวะ” ไอ้ครามตอกไอ้ตุลลี่ไปทีก่อนจะก้มลงพิมพ์ตามที่บอก ส่วนทางกับผมที่อยู่ดีๆก็ได้หน้าที่ขึ้นมาโดยไม่ได้เป็นคนเลือกก็ทำเอานั่งเอ๋อในความปุบปับอยู่เหมือนกัน
“เออดี จะได้ไม่ต้องไปนั่งหาทีหลัง ไปพวกมึงกลับหอกันดีกว่า” ไอ้ยีนส์ว่าแล้วไล่ให้พวกผมที่ยังนั่งอยู่ลุกขึ้นตาม ทำเอาผมต้องปลดล็อกโทรศัพท์แล้วดูเวลาในตอนนี้ เพิ่งจะบ่ายสองนิดๆ แถมไม่มีเรียนทั้งบ่ายแล้วด้วย จึงคิดได้ว่าจะกลับหอไปนอนสักพักแล้วค่อยออกมาหาไรแดกตอนเย็นดีกว่า
“พิวขา เมื่อวานเรายังไม่ได้ติวเคมีกันเลยอะ วันนี้ว่างไหมรบกวนติวให้พวกเราย้อนหลังหน่อยน้า” ทันทีที่พวกเราลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมเชียร์มา ไอ้ตุลลี่ที่เห็นว่ารอบข้างของไอ้พิวทางสะดวกในการเกาะแกะก็รีบปรี่เข้ามาเดินควงแขนร่างสูงทันที
“ได้ดิ เวลาเดิมเลยปะ”
“โอเคค่ะ พิวขาของตุลลี่น่ารักตลอดเลยอะ” ว่าแล้วเพื่อนตุ๊ดเพียงหนึ่งเดียวของพวกผมก็เอื้อมมือของมันขึ้นไปบีบแก้มของเดือนภาคจนขึ้นรอยแดง
ค่า น่ารักตายห่าเลยไหมไอ้สัส
“ไอ้ตุลลี่ มึงออกมา” ยีนส์ที่เหมือนจะทนเห็นภาพตรงหน้าด้วยความสงสารอีกฝ่ายที่ต้องมาทนรับอะไรแบบนี้ของตุลลี่ไม่ไหว เลยจัดการกระชากออกให้มายืนห่างๆ
“อะไรของมึงเนี่ยอียีนส์ จะมาขัดเพื่อนทำไม!!!”
“มึงดูหน้าพิวขาของมึงก่อนจะเล่นอะไรด้วย ว่าเขาอินกับมึงบ้างไหม”
“กูก็ดูหน้าพิวขาของกูตลอดนั่นแหละ!!!”
“แล้วเป็นไง?!”
“พิวขาก็หล่อ จะอะไรอีก”
พ่ามพาม!!!
เสียงเอฟเฟกต์หนังตลกที่ดังขึ้นในหัวของผมขึ้นมาทันทีที่ตุลลี่พูดจบ หันมองสีหน้าของบุคคลที่เหลือในตอนนี้กำลังสับสนระหว่างความรู้สึกสงสารและอยากขำเอามากๆ จนไอ้ก๊าซต้องไปยืนแอบหลังไอ้ครามเพื่อกลั้นหัวเราะ
นี่มุกหรือมึงโง่จริงวะไอ้ตุลลี่
“มึงนี่มันเกินเยียวยาละ กูกลับหอไปนอนดีกว่า” ไอ้ยีนส์สะบัดมือที่จับแขนไอ้ตุลลี่ไว้ทิ้ง ก่อนจะหันตัวเดินไปตามทางออก เล่นเอาพวกผมที่กลั้นขำมากนานถึงกับหลุดหัวเราะออกมากันอย่างพร้อมเพรียง หรือแม้แต่คนต้นปัญหาอย่างไอ้พิวก็หัวเราะตามไปด้วย
“อะไรของพวกมึงเนี่ย” ไอ้ตุลลี่ที่ตอนแรกยืนต่อปากต่อคำกับไอ้ยีนส์อย่างดุเดือด แต่พอเห็นรีแอคชั่นที่ไม่คาดการณ์ของเพื่อนๆแล้วก็ถึงกับยืนงงในดงคนขำอย่างไม่รู้สาเหตุไปเลย
“ตุลลี่อย่างจี้เลย ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ้ย ปวดท้องอะ”
“อีก๊าซ มึงจะลงไปชักอีกนานไหม ไอ้ยีนส์เดินไปไกลแล้วรีบลุกขึ้นมา” ด้านไอ้ก๊าซที่ลงไปนั่งยองๆกุมท้องเนื่องจากการปวดเพราะเกร็งหน้าท้องจากอาการตลกเมื่อกี๊ ก็ต้องรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามทั้งสามคนที่เดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วไป
“ส่วนไป๋ มึงไปกับกู”
“ไปไหนของมึง?” แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ก้าวเท้าเดิมตามหลังไอ้ก๊าซไป ก็เจอมารผจญที่มาขัดขวางการกลับหอไปพักผ่อนของผมอีกจนได้
“มึงลืม?” ผมขมวดคิ้วให้อีกฝ่ายเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน
“อ๋อ ที่ให้ไปแดกปิ้งย่างกับมึงอะนะ?”
“เออ”
“ไปเหี้ยไรตอนนี้มึงบ้าปะ ใครเขาแดกปิ้งย่างตอนบ่ายสามกัน”
“ก็กูนี่แหละ...”
“อีไป๋ ชักช้าจังโว้ย รีบเดินมาสิ กูไม่มีคนปั่นจักรยานให้!!!” เสียงไอ้ตุลลี่ดังขึ้นมาทำให้ผมคิดข้ออ้างต่อรองคนข้างหน้าเพื่อประวิงเวลาออก
“คงไม่ได้ว่ะไอ้พิว กูต้องไปส่งไอ้ตุลลี่ที่หอก่อน เจอตอนเย็นแล้วกัน” แล้วกูก็จะโดดนัดมึง อิอิ
“เอาจักรยานให้ตุลลี่ไป”
“ห้ะ?”
“เอาจักรยานให้ตุลลี่ปั่นกลับหอไปไง เดี๋ยวแดกเสร็จกูไปส่งมึงเอง”
“ไม่เอ-”
“ไอ้ไป๋ เร็วโว้ย!!! กูปวดขี้ อยากกลับไปขี้หอแล้ว” เสียงเร่งเร้าอย่างไม่เกรงใจคนที่กำลังเดินในคณะของไอ้ตุลลี่ดังขึ้นมาอีกรอบ
“เอาไง จะให้กูเดินเอากุญแจไปให้หรือมึงจะเดินไปเอง” ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยังไม่ได้เดินหนีไปไหน
“แต่กูไม่สัญญานะว่ากูจะบอกเรื่องคืนนั้นดีไหม?” ไอ้พิวก้มลงมากระซิบเสียงกระเซ่าใส่ใบหูของผม ..
“ร-เรื่องคืนไหนของมึง?”
“นั่นดิ กูจะบอกเรื่องคืนไหนดี มันมีตั้งสอง- โอ้ย!!” คราวนี้ผมแทงมือเข้าไปยังส่วนเนื้อข้างลำตัวอีกคน แล้วจับบิดอย่างเต็มแรงออย่างเหลืออด ก่อนจะเดินกระทืบเท้าเอากุญแจจักรยานไปให้คนที่กำลังรอผม พร้อมคิดหาข้ออ้างดีๆไปพูดให้เพื่อนฟัง จนเพื่อนอย่างไอ้ตุลลี่จำยอมแล้วปั่นจักรยานของผมกลับหอทันที
“เอ้า กูว่างแล้ว ไปดิ!” จากนั้นก็เดินกลับไปหาคนที่ตอนนี้กำลังโค้งตัวกุมส่วนที่ถูกผมหยิกด้วยสีหน้าทรมาณทันที ถ้าเป็นเรื่องอื่นผมคงไม่โกรธอะไรขนาดนี้ แต่อย่าเอาเรื่องน่าอายมาขู่กันเล่น ผมไม่ชอบ!!!
จุดๆนี้ขอบอกไว้เลย ว่า อย่ามาซ่ากับไป๋!!!!
-
“ไป๋ ขอโทษ กูไม่รู้อะว่ามึงไม่ชอบ” ไอ้พิวส่งเสียงอ้อนวอนจากที่นั่งข้างๆมาไม่หยุดตั้งแต่ที่ผมเดินตามร่างสูงขึ้นรถมา
ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายได้ขับรถยนต์ราคาหลักล้านของตนเองออกจากที่จอดรถของคณะเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับมีผมที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างๆกันในตอนนี้ มันขับพาผมไปเรื่อยๆและด้วยความปากแข็งปนความโกรธทำให้ผมไม่ได้เอ่ยถามสถานที่ปลายทางกับคนตัวสูงออกไป
“เออ รู้แล้ววันหลังก็อย่าเล่น กูอาย!”
“อื้อ...” มันขานรับพร้อมชูนิ้วก้อยข้างซ้ายไปมายังตรงหน้าผม
“อะไร?”
“นิ้วก้อยไง”
“กูรู้ แล้วมึงจะชูขึ้นมาทำไม?” ละสายตาจากนิ้วเรียวตรงหน้าก่อนจะหันไปมองใบหน้าด้านข้างที่กำลังขับรถไปตามเส้นทางให้เต็มสายตา
“หรือมึงอยากให้กูชูนิ้วนี้” พิวถามกลับพร้อมสลับนิ้วที่ถูกชูขึ้นเป็นนิ้วกลางขึ้นมาแทน
“ไอ้สัส” ในเมื่อด่าแล้วมันไม่สะใจ ผมเลยจัดการงับเข้าที่สัญลักษณ์แห่งความหยาบคายตรงหน้าเข้าแบบหมั่นไส้
“โอ้ย! ทำไมเดี๋ยวนี้เมียรุนแรงอะ หรืออยากงับของจริง?”
“ไอ้-”
“แล้วทำไมไม่บอกกันก่อน เลี้ยวกลับหอไปจัดที่ห้องให้ตอนนี้ทันไหมเนี่ย” ฝ่ามือหนักๆของผมฝาดประทับเข้าที่กลางกบาลของคนพูดมากเข้าทันที แบบไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพลาดท่าไปเฉี่ยวรถคันอื่นหรือไม่ก็ตาม
“โอ๊ย .. อะๆ ไม่เล่นแล้ว ดีกันๆ” นิ้วก้อยข้างซ้ายถูกส่งกลับมาตรงหน้าผมอีกครั้ง
“มึงแม่งเล่นอะไรเป็นเด็กไปได้”
ถึงจะไม่ค่อยชินกับอีกฝ่ายที่ก่อนหน้านี้ดูแตกต่างจากตอนนี้มากโข ตั้งแต่การพูดการจาจากแต่ก่อนเอาแต่ถามคำตอบคำ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นคนพูดมากแถมยังกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ...
ริมฝีปากบางขยับพูดคำร้ายทำเอาจิตใจคนง้อเป๋ คนตัวสูงที่กำลังชั่งใจจะดึงมือกลับ แต่ก็ต้องนิ่งงันไป เมื่อในที่สุดเขาก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสอุ่นจากคนข้างๆที่ส่งนิ้วก้อยกลับมาเกี่ยวไว้ด้วยกันจนได้ เล่นให้หัวใจของคนที่กำลังแล่นพาหนะไปตามถนนเต้นระห่ำไปตามจังหวะต่อนาที ที่ทำเอาเขาคิดว่าอาจสูงกว่าตัวเลขบนหน้าปัดบอกความเร็วของรถตอนนี้เสียอีก
และเมื่อหันไปหาเจ้าของนิ้วที่เพิ่งดึงกลับไป แม้เขาจะเป็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าก็ตาม แต่สามารถเห็นได้ถึงการฝาดของเลือดที่เพิ่มขึ้นบริเวณหูขาวๆนั่น ทำเอามุมปากถูกยกยิ้มสูงขึ้นและสูงขึ้น
พิวอดในความเอ็นดูไม่ได้จนต้องเอื้อมมือไปขยี้เรือนเส้นผมนุ่มของคนขี้เขินอย่างเบาๆ ที่ตอนนี้เอาแต่เฉไฉมองบรรยากาศนอกรถนู่นนี่แบบกลบเกลื่อน
น่ารักสัสๆเลยแม่งเอ้ย
❋❋❋
“ไป๋กินเสร็จแล้วไปไหนต่อดี?”
“กินเสร็จก็กลับดิ”
หลังจากตามใจคนที่บังคับแกมข่มขู่ผมให้มากินปิ้งย่างเจ้าดังที่ห้างใกล้มหาลัยด้วยเสร็จแล้ว ยังไม่ทันได้ไปไหนเจ้าตัวก็เอ่ยปากขึ้นมาถามเสียก่อน สำหรับผมที่หมดธุระแล้วในหัวตอนนี้ก็มีแต่อยากกลับหอไปนอนเอามากๆเลย
“รู้ละ อยากไปเกมเซนเตอร์ว่ะ ไปกัน” มันว่าก่อนจะเดินนำหน้าผมไปทันที
แล้วมึงจะถามเพื่อ?
“ไป๋เล่นอันนี้กัน” สายตาที่กำลังจับจ้องไปยังตู้คีบตุ๊กตาอยู่ดีๆก็ต้องละมาสนใจร่างสูงที่กำลังชี้ไปยังเครื่องเล่นที่มีชื่อว่า แอร์ฮอกกี้ เป็นเกมที่ต้องป้องกันเจ้าแผ่นพลาสติกกลมๆนี่ไม่ให้ลงประตูของฝั่งตนเองให้ได้
คือเล่นเกมนี้กับไอ้พี่ปุ๋ยมาตั้งแต่ยังอ้อนยังอ่อนจนเชี่ยวแล้วอ่ะนะ บอกเลยว่าอีซี่...
“ใครแพ้เป็นเบ๊ไหมอะ?” ผมยักคิ้วให้ไอ้พิวแบบกวนๆไปทีนึง ก่อนจะได้การตอบรับเป็นที่น่าพึงพอใจ
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่รู้ซะแล้ว กูนี่คือพิวออลคิลเลยนะ” พูดจบร่างสูงก็จัดการหยอดคอยน์ของเกมส์เซ็นต์เตอร์ลงทั้งสองฝั่งให้เครื่องเล่นพร้อมแก่การใช้งาน ใบหน้ายียวนหันมาพร้อมพยักเพยิดให้ผมไปประจำในฝั่งตรงข้ามทันที
น่าสงสารที่คุณพิวขาของไอ้ตุลลี่ต้องมาเป็นเบ๊ให้กูซะแล้ว...
“มาเลย!”
สิ้นสุดคำประกาศิต ทั้งสองก็ฟาดฟันแผ่นกลมบางบนโต๊ะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยมีการเดิมพันในการตกเป็นเบื้องล่างของอีกฝ่ายเป็นแรงฮึด ผลัดกันเป็นฝ่ายได้แต้มและเสียแต้มสลับกันไป จนกระทั่งร่างสูงที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีเข้าเรื่อยๆ...
“เฮ้ย ไอ้เหี้ยพิวอย่าเอามือบังโกลด์ดิ”
ร่างบางเอ็ดอีกคนที่เล่นเกมโกง ทั้งๆที่เกมในตอนนี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบและคะแนนกำลังนำแล้วแท้ๆ กลับต้องมาเสียคะแนนฟรีๆให้กับคนที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้
ทำไปทำมาคะแนนที่คนตัวขาวกำลังนำอยู่ก่อนหน้านี้กลับถูกตีตื้นขึ้นมาจนตัวเองก็เริ่มหัวร้อน
“ไอ้พิว มึงแม่งโกงอ่ะ!!!”
“กูไม่ได้เอามือบังแล้ว ตอนนี้แฟร์ๆแล้วโว้ย”
ราวกับเวลารอบข้างได้หยุดหมุนลงเพื่อดูความสุขของทั้งสอง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือคำสบถก่นด่า
คิดดูแล้ว เขาก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น…
เด็กผู้ชายที่บังเอิญติดเข้ามาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เด็กผู้ชายที่เป็นลูกคนสุดท้องของแม่ เด็กผู้ชายที่กำลังเป็นไอ้เหี้ยนั่นให้แฟนใหม่ของแฟนเก่าคนไหนอยู่สักคน เด็กผู้ชายที่พยายามลืมความสำคัญของความรัก เพราะความเสียใจ
และเป็นเด็กผู้ชายที่เลือกปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเมล็ดพันธุ์ต้นใหม่ในความรู้สึกของเขา ได้เริ่มเติบโตขึ้นแล้ว..
เกร๊ง!
“เย้! กูชนะแล้วโว้ย” ร่างบางชะงักมองคนตัวสูงฝั่งตรงข้ามในมุมที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนอย่างแปลกใจ ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเกือบหมดทั้งปาก ตาหยีเป็นสระอิของภาษาไทยทั้งสองข้าง ไหนจะเป็นวงแขนที่วาดมาคล้องไหล่เขาทันทีที่สกอร์บอร์ดขึ้นจบเกมที่คะแนน 8-7 นั่นอีก
บอกตรงๆว่าวันนึงเขาอาจรับมันทั้งหมดไม่ไหว...
“ป่ะ เบ๊ อยากเล่นอะไรอีกไหม?”
“เบ๊พ่องอ่ะ มึงแม่งขี้โกง” ก้มหัวหลบมือที่กำลังวางมาบนหัวของเขาอย่างหยอกล้อ ก่อนจะลงมือตีหนักๆไปยังหลังมือตัวการ
“แต้มสุดท้ายก็แฟร์ๆอ่ะ มึงหลุดเอง” เขาที่เบื่อต่อล้อต่อเถียงกับคนช่างชักแม่น้ำมาอ้างเลยจงใจปล่อยให้บทสนทนาเรื่องการแข่งขันจบลงแค่นั้น
“เฮ้ย เดี๋ยวๆขอกูคีบตุ๊กตาแปป” ไป๋ร้องเบรกคนเดินนำหน้าให้หยุดลง ก่อนที่ตัวเองจะวิ่งแจ้นไปหาตู้กดตุ๊กตาที่มีเจ้าตัวกลมๆเหลืองๆอยู่เต็มตู้ไปหมด
“อยากได้มินเนี่ยนเหรอ?” พิวเดินมาหยุดข้างๆคนตั้งใจ ที่เพิ่งไปแลกคอยน์มาเสียเต็มกำมือ
“มาเกมเซนเตอร์มันก็ต้องเล่นคีบตุ๊กตาป่ะวะ?” ระบบไฟฟ้าทำงานทันทีหลังหย่อนเหรียญลงไป สายตามุ่งมั่นหวังจะได้ตุ๊กตากลับไปกอดสักตัวก็ต้องดับลง เมื่อมือหนีบของเครื่องนั้นมันช่างห่วยเสียเหลือเกิน
“ไม่เป็นไร กูแลกมาเยอะ” และแล้วความมุ่งมั่นครั้งที่สองก็เริ่มขึ้น
รวมถึงครั้งที่สาม
ครั้งที่สี่
ไปเรื่อยๆจนมาถึงโอกาสครั้งสุดท้าย
“แม่ง ตัวจับแม่งห่วยแตกจังวะ” ร่างบางที่เริ่มอารมณ์คุกกรุ่นจากการชวดของรางวัลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหรียญที่แลกมาเป็นร้อยๆตอนนี้กลับเหลืออยู่เพียงอันเดียว
ตัดสินใจหยอดความหวังสุดท้ายลงไปในตู้ จับคันบังคับให้ตรงเป้าหมายเจ้าตัวสีเหลืองที่ต้องการ ยังไม่ทันที่มือจะได้ตบลงปุ่มหย่อนตัวจับก็ถูกขัดขวางด้วยพละกำลังจากคนที่ยืนเงียบมาตั้งแต่ต้นเสียก่อน
“ขอกูเล่นบ้างดิ”
“เออ เอาดิ” ร่างบางเอี้ยวตัวหลบมายืนข้างๆให้อีกคนได้เล่นอย่างถนัด
“ทำไมไม่เอาตัวที่กูจะคีบอ่ะ?” ไป๋โวยวายขึ้นเมื่อเห็นว่าพิวกำลังบังคับเลื่อนไปเลือกตัวที่ไกลออกไป แล้วความสงสัยก็ต้องเกิดขึ้นอีกครั้งกับอาการของร่างสูงที่เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว กับยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวพร้อมเอ่ยประโยคที่ทำเอาคนอยากได้ตุ๊กตาถึงกับเบิกตาเล็กๆนั่นให้กว้างขึ้นในทันที
“ขอความศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้ จงช่วยทำนายว่าหากผมจีบไป๋ติด ก็ขอให้ผมคีบตุ๊กตาได้ด้วยเถิด”
“ไอ้เหี้ย”
ปึง
เสียงตบปุ่มสีแดงตรงหน้าดังขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจพร้อมกอดอกดูผลลัพธ์ของตนเองไปพร้อมๆกัน ก้อนเนื้อในอกเต้นด้วยจังหวะลุ้นระทึกไปด้วยทันทีที่เห็นก้อนสีเหลืองลอยขึ้นมาจากพื้นตู้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนภาพสโลว์โมชั่นแบบที่ตาและสมองไม่สามารถประมวลได้ทันการณ์ไปหมด
ตั้งแต่จังหวะของตุ๊กตาตกลงตามแรงโน้มถ่วงลงช่องตู้ด้านล่าง จนถึงภาพที่ร่างสูงเป็นคนก้มหยิบเจ้ามินเนี่ยนแล้วยื่นส่งมาตรงหน้า
“ท่านบอกว่าจีบติดว่ะไป๋ : )”
ส่วนเขาจะทำอะไรได้นอกจากยืนดูรอยยิ้มกวนๆแกมภูมิใจนั่นจนพอใจแล้วรับตุ๊กตากลับมา ความหวาบหวิวท่วมท้นไปเต็มช่องอกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทำเอาร่างบางได้แต่คิดในใจว่า ความรู้สึกแบบนี้ มันมักจะเกิดกับความสัมพันธ์ในแบบไหนกันนะ?
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
อาทิตย์หลังจากนี้(20 ส.ค.) อาจจะไม่ได้อัพบ่อยๆแล้วค่ะ
ปล.ขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูพิวและไป่ไป๋ค่า
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
:-[ :-[ ที่แท้พิวก็ชอบไป๋มานานแล้ว
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
o13
ชอบความไม่งี่เง่าของไป๋
ชอบความกวนของพิว
และชอบความโนสนโนแคร์ของตุลลี่ 55
:L2: :pig4: รอตอนต่อไป
-
ไป๋ไม่รอดแน่ๆ พิวรุกแรงเหลือเกิน
-
chapter eight。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
หลังจากเหตุการณ์กินปิ้งย่างเมื่อวาน ผมที่รับตุ๊กตาตัวนั้นเข้ามาถือเรียบร้อยก็เอาแต่เดินก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาอีกคน ปล่อยให้พิวเดินนำหน้าจนถึงรถและพาไปส่งห้องโดยสวัสดิภาพ แบบที่ไม่มีใครพูดอะไรในระหว่างทางเลยแม้แต่คนเดียว จนกระทั่ง...
‘...ชื่อ’ ทันทีที่รถจอดลงหน้าประตูรั้วทางเข้าหอ ผมที่ยังไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณและก้าวขาออกจากตัวรถก็ต้องชะงัก เมื่อร่างสูงที่นั่งมาด้วยกันพูดคำสั้นๆแค่คำเดียวออกมา
‘อ-อะไร’
‘ชื่อ วี่ นะ ตัวนั้นน่ะ’ พิวยื่นนิ้วมาจิ้มตัวของมินเนี่ยนบนตักผม
‘ทำไมอ่ะ?’
‘ไม่ต้องรู้หรอก ขึ้นห้องได้แล้ว เดี๋ยววันหลังขอพาไปอีกนะ’
‘พาวี่ไปเหรอ?’ ผมถามกลับแบบกวนๆ
‘จะพาไปทั้งวี่ ทั้งแม่วี่เลย’ มือหนาที่จิ้มค้างไว้ที่ตุ๊กตาในตอนแรก ก็เลื่อนขึ้นมาจิ้มที่แก้มร่างบางตรงคำที่พูดว่า แม่ของวี่ เสียพอดิบพอดี...
‘แม่เหี้ยไรสัส กูไปละ บาย วันหลังไม่ต้องนะ’ ปิดประตูเสียงดัง ก่อนออกมายืนชูนิ้วหยาบคายใส่คนหลังพวงมาลัยที่กำลังมองตรงมา จากนั้นก็หันหลังเข้าหอแบบไม่สนใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะแกล้งบีบแตรเรียกเลย
ไอ้พิวแม่ง รู้ว่ากูเขินก็ปั่นอยู่นั่นอ่ะ
และทั้งนี้ทั้งนั้นหลังจากผลัดการติววิชาเคมีอยู่หลายครั้งหลายหน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ของอาจารย์พิวที่จะได้แสดงความรู้ความสามารถในการช่วยให้เพื่อนเขาใจเนื้อหามากขึ้นจนได้
พวกเราใช้ห้องไอ้พิวในการติวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมันไปเอากระดานไวท์บอร์ดอันใหญ่แถมมีล้อเลื่อนมาจากไหนก็ไม่รู้ ถามก็เอาแต่เบี่ยงประเด็นซะงั้น และในส่วนของไอ้ตุลลี่ที่สั่งห้ามไอ้เต้และไอ้สมุยที่ก็มานั่งอ่านหนังสือด้วยกันไม่ให้เอาเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามากินเด็ดขาด ประหนึ่งเหมือนตนเองเป็นเจ้าของห้องเสียเอง
หากถามผมในตอนนี้เกี่ยวกับไอ้พิวแล้วล่ะก็ ยอมรับว่าบางทีที่อยู่ใกล้ๆกับมันอาจมีความรู้สึกแปลกอยู่บ้าง โดยเฉพาะที่เพิ่งเจออีกฝ่ายรุกใส่เมื่อวานอย่างหนักหน่วงแล้วนั้น ก็ไม่ถึงกับอึดอัดจนอยู่ใกล้กันไม่ได้ด้วย และถ้าหากมีพวกเพื่อนๆอยู่ มันก็จะไม่ได้มาเจ๊าะแจ๊ะอะไรกับผมมาก
แต่อย่างไรสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมต้องแบกหน้ามาขอติวด้วย ก็แน่ๆอยู่แล้วครับว่ามันคือเรื่องของคะแนนล้วนๆ เพราะถ้าหากไฟนอลผมไม่โหดจริง ก็บอกเลยว่าไอ้ไป๋ต้องกินปลาตัวสีแดงๆอย่างแน่นอน
“อะ ต่อไปเดี๋ยวจะทวนเรื่องพันธะเคมีให้”
“พิวขาเนี่ยนอกจากจะหล่อแล้ว ยังจะใจดีอีกเนอะ”
“พวกมึงงานชั้นปีอยู่ฝ่ายสถานที่เหมือนกันใช่ปะ?” เสียงเต้ที่นอนแผ่บนพื้นแบบไม่แยแสการสอนเพราะเข้าใจหมดแล้วเอ่ยขึ้นมาถามทุกคน
“เออ อยู่สถานที่กันหมดห้องนี้เลย”
“เสาร์นี้ใครว่างบ้างวะ? กูไม่ว่างพอดีเลยว่ะ พี่เขาขอฝ่ายละสองคนไปบรีฟงานอ่ะ”
“กูว่างนะ” ไอ้พิวเงยหน้าขึ้นจากชีทในมือแค่เสี้ยววิ ก่อนจะหันกลับไปอ่านเอกสารในมือต่อ
“อ๊าย ทำไมไม่บอกฉันก่อน พิวขาว่างทั้งที ไม่งั้นฉันไม่นัดทำฟันไปหรอก” ไอ้ตุลลี่ก็ต้องชักดิ้นชักงอทันทีที่รู้ว่าตารางงานของมันกับผัวไม่ตรงกัน
“กูกับไอ้ก๊าซต้องไปค่ายชมรมภาคกลางอ่ะ” ไอ้ครามเสริมขึ้นบ้าง
“เสาร์นี้วันเกิดแม่กูว่ะ ต้องกลับบ้าน ไม่งั้นเดี๋ยวองค์เจ๊แกลง” ต่อด้วยไอ้ยีนส์
“ไอ้เคนเรียกกูให้ไปช่วยส่วนกลางว่ะ” และไอ้สมุย
ก่อนที่ทุกสายตาไม่เว้นแม้แต่ไอ้พิวที่ในตอนแรกกำลังนั่งทำความเข้าใจโจทย์อยู่ จะเหล่มองมาที่ผมที่พยายามนั่งเงียบๆตัวลีบๆมาตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดประเด็น
“ไอ้ไป๋แล้วมึงอ่ะ?”
“…กูอยากกลับบ้านอะ” พูดเสียงอ่อยพร้อมส่งสายตาไปให้เต้อย่างเว้าวอนที่สุด
“งั้นตามนี้นะ กูจะได้ส่งชื่อไอ้พิวกับไอ้ไป๋ไปให้พี่เลย”
ทำไมพวกมึงไม่ฟังกูบ้าง
“ไอ้พิว สูตรแบบจุดของตัวนี้มันวาดไงวะ?”
“นี่ไง ตอนแรกมึงก็----”
สารพัดคำอธิบายที่ร่างสูงพูดออกมาในแบบต่างๆซ้ำแล้วซ้ำเล่ากินเวลาไปเกือบชั่วโมงก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าร่างบางข้างหน้าจะเข้าใจได้เลย
ต่างจากเพื่อนๆที่ได้คนหัวกะทิติวให้จนกระจ่างแจ้ง แล้วหนีไปล้อมวงตีป้อมทางอีกมุมห้องนึง ทิ้งให้ร่างบางที่นั่งทึ้งหัวให้ความโง่ของตัวเองกับคนสอนอยู่สองคน
“ไม่เข้าใจอ่ะมึง กูโง่จนไม่เข้าใจอะไรเลยโว้ย เกลียดเคมีแม่ง” ร่างเล็กสบถอย่างหมดความอดทนให้กับตำราที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรตรงหน้า
“ไป๋ มึงใจเย็นๆ เริ่มตรงนี้ใหม่นะ...” มือหนาวางลงบนหน้าขาคนข้างๆที่นั่งด้วยท่าขัดสมาธิราวกับพยายามปลอบประโลมให้อีกฝ่ายใจเย็นขึ้น แต่มันก็เหมือนจะไม่ช่วยเยียวยาอีกคนเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้พิว กูว่าไอ้ไป๋แม่งสติแตกไปละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหมอะ?” ไอ้ยีนส์ที่เห็นเริ่มท่าจะไม่ดีเลยชวนให้ยุติการติวในวันนี้ไว้แค่นี้ก่อน
“ไป๋ มึงไหวไหมอะ?”
“กูว่าวันนี้กูพอก่อนดีกว่าว่ะ ขอบใจมากไอ้พิว”
สมองเริ่มเบลอเพราะความกดดันที่หลั่งออกมาใช้กับตนเองเยอะจนเกินไป ทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าแบบที่นานๆครั้งจะเป็นสักที ตัดสินใจเก็บของลงกระเป๋า พวกเราบอกลาเจ้าของห้อง ก่อนจะชักชวนให้กันห้องไปพร้อมกัน
ทันใดที่เท้าก้าวกลับมาถึงห้อง หลังจากที่พยายามฝืนสังขารอันร่วงโรยให้พาตนเองและตุลลี่ผู้โดยสารกว่าจะมาถึงหอพักก็เล่นเอาน่วมอยู่เหมือนกัน เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยได้จัดระเบียบการใช้จักรยานใหม่โดยการตั้งเสาความสูงประมาณสามสิบเซ็นฯเรียงกันให้พอดีแค่จักรยานผ่านได้ เพื่อจำกัดความเร็วของผู้ใช้ถนน
ผมที่สายตาเริ่มฝ้ามัวจากอ่านจ้องหนังสือมายาวยาวนานประกอบกับประสาทสัมผัสที่หันเหความสนใจไปให้บทพูดระหว่างเราสามคนแล้วเกือบครึ่ง ทำให้จักรยานที่ปั่นมาของผมชนเข้ากับตอเสานั่นเข้าเต็มๆ
ส่วนตัวผมแล้วยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่กับไอ้ตุลลี่รายนั้นถึงกับร่วงจากเบาะนั่งลงไปนอนกับพื้นเลยทีเดียว อย่างไรถึงแม้จะมีความเจ็บแต่ความอายก็มีมากกว่า จึงรีบพากันกลับหอแทนที่จะอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม
ทันทีที่ถึงห้องพัก ไม่รอช้าร่างบางจัดการถอดรองเท้า โยนกระเป๋าเข้าที่กระเป๋าแล้วล้มตัวนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรงทันที
“ไอ้ไป๋ ไปอาบน้ำก่อน อย่าเพิ่งหลับ” เสียงดักคอของรูมเมทว่าขึ้นอย่างรู้ทัน
“อื้อ”
ไลน์!
มือกวาดหาโทรศัพท์ที่เพิ่งแผดเสียงแจ้งเตือนไปเมื่อครู่ ก่อนจะปรือตาน้อยๆขึ้นมามองหน้าจอที่กำลังแสดงข้อความ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปอย่างทันที
just pew : ถึงหอยัง?
paipai : เพิ่งถึงเมื่อกี๊
paipai : ง่วงสัส
just pew : ง่วงก็นอนก่อน
just pew : อย่าไปหักโหม
just pew : วันนี้ไม่ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยอ่านใหม่
just pew : ไม่เป็นไร
ผมหลุดยิ้มให้กับข้อความที่รัวส่งกลับมา ก่อนจะกลับมาทำหน้าขรึมอีกครั้ง เพราะกลัวไอ้เมทตัวดีมันจับได้แล้วจะโดนแซวเอาเปล่าๆ
paipai : วันนี้ขอบคุณมากมึง
paipai : ไปอาบน้ำก่อนละ
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*
ชิบหาย!
ผมสบถให้กับสติ๊กเกอร์ไลน์ตรงหน้าที่ในตอนแรกตั้งแต่จะส่งคำว่าบ๊ายบายไปให้ แต่ด้วยความมัวขี้ตาเลยเผลอไปกดส่งอันข้างๆส่งไปแทน ซึ่งผมจะไม่รู้สึกเสียใจเลยถ้ามันไม่ใช่สติ๊กเกอร์น้องหมาน่ารัก พร้อมกับคำว่า
คิดถึงน้า..
paipai : โทษๆส่งผิด
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*
just pew : อะไรๆ
just pew : แค่นี้ก็คิดถึงแล้วเหรอ?
Just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
ผมรีบแก้ตัวส่งสติ๊กเกอร์ที่ตั้งใจส่งให้ในตอนแรกไปอีกครั้ง แต่ความพยายามก็เป็นศูนย์เมื่ออีกฝ่ายไม่แม้แต่ก็สนใจในข้อความที่ผมแก้ต่าง แถมยังส่งสติ๊กเกอร์หวานๆกลับมาเสียนี่
รักเลย...
ไอ้เชี่ยพิวแม่ง อันตราย ผู้ชายแบบนี้แม่งอันตรายชิบหายเลย
❋❋❋
การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของวันและเวลาก็ทำให้ผมได้มาถึงวันที่นัดประชุมตัวแทนของแต่ละฝ่ายในกิจกรรมชั้นปีแล้ว เป็นวันเสาร์ที่ผมควรที่จะได้กลับบ้านไปหาป๊าและม๊าตั้งแต่เมื่อวาน แต่กลับต้องมาแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่แปดโมงกว่าเพราะพี่นัดที่คณะไว้ตอนเก้าโมงเนี่ย
ไป่ไป๋อยากนอน!
“เออๆ กูใกล้เสร็จแล้ว ไม่ต้องเร่งหรอกน่า”
[มึงใกล้เสร็จมาตั้งแต่ตอนกูออกจากหอกู จนตอนนี้กูมาอยู่หน้าหอมึงแล้วเนี่ย] เสียงไอ้พิวดังออกมาจากโทรศัพท์ ที่เจ้าตัวขู่บังคับขอเบอร์ผมไว้แล้วอ้างว่ากลัวผมโดดประชุม
“กูลงแล้วๆ แค่นี้แหละ” กดตัดสายอีกคนก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วจับของใช้ที่จำเป็นยัดๆลงไป เช็คความเรียบร้อยแล้ววิ่งลงบันได้ไปหาเจ้าตัวทันที
ปริ๊นๆ
เสียงบีบแตรรถยนต์เรียกผมให้ก้าวขึ้นไป ก่อนจะพบกับอีกคนที่มีสภาพแจ่มใสร่าเริง ต่างจากผมที่แต่งตัวพร้อมนอนทุกเมื่อเอามากๆ เมื่อผมคาดเข็มขัดเรียบร้อยก็ส่งสัญญาณให้อีกคนขับรถมุ่งตรงไปยังคณะทันที
“แดกไรยัง?” เสียงไอ้พิวเอ่ยถามทำลายความเงียบระหว่างเราลง
“ยังอ่ะ”
“งั้นเดี๋ยวประชุมเสร็จค่อยไปแดกด้วยกัน”
รถหรูคันเดิมหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดบริเวณคณะ เราก็รีบจ้ำอ้าวตรงไปยังห้องที่นัดหมายทันทีเพราะเห็นว่าเลยเวลามาหลายนาทีแล้ว แต่ความเหนื่อยที่อุตส่าห์วิ่งกันมาก็ต้องสูญเปล่าอีกครั้ง เมื่อห้องประชุมที่วาดเอาไว้ว่าคนต้องเยอะมากแล้วแน่ๆ กลับรกร้างและมีเพียงพี่ที่เป็นผู้ดูแลน้องกับสมาชิกจากฝ่ายอื่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
นี่ กูต้องมารอพวกคนไม่ตรงต่อเวลามากกว่าพวกกูอีกทีใช่ไหมเนี่ย...
สุดท้ายการประชุมที่กูอยากจะตะโกนถามเหลือเกินว่า เอากูมาทำไม?! ก็ได้สิ้นสุดลงในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกากว่าๆพอดี รุ่นพี่กล่าวสรุปอีกครั้งซึ่งสามารถสรุปในสรุปได้ว่า ให้ฝ่ายสถานที่ไปหาสถานที่ที่ดูแล้วเหมาะแก่การจัดคอนเสิร์ตภายในมหาลัย ต้องเอื้อกับการใช้พาหนะโดยสารภายในมอ และเงื่อนไขอีกสิบกว่าประการ มาเสร็จแล้ว ก็ต้องทำการวัดสถานที่ให้รองรับเพียงพอกับจำนวนคน และวัดสถานที่ให้สามารถจัดสรรสัดส่วนของเวที จุดพักของศิลปิน และซุ้มจุดขายอาหารของวิศวะให้เหมาะสมอีกด้วย
สรุปในสรุปในสรุปอีกทีก็คือ ให้วางแปลนสถานที่จัดคอนเสิร์ตนั่นแหละ
เพราะกำหนดให้แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนมาเพียงสองคน รุ่นพี่เลยยกหน้าที่เฮดและรองเฮดให้กับบุคคลที่มาประชุมไปโดยปริยาย แต่คิดเหรอครับว่าคนอย่างไป๋จะยอมเป็นเฮด
ไม่มีทางเสียหรอกครับ...
คนไม่มีประสบการณ์อย่างผมแค่หน้าที่รองเฮดที่ได้มาอย่างงงๆ ยังทำตัวไม่ถูกเลย
“ไป๋ ไปไหนต่อไหม?”
“อยากกลับหอไปนอนต่อแล้ว”
“งั้นไปแดกข้าวก่อนแล้วกัน”
กี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่ต้องเสียความเชื่อใจ เพราะสิ่งที่มึงทำอยู่คือไม่ฟังความเห็นกูกันเลยเนี่ย!!!
หลังจากโยนร่างตัวเองลงเบาะนุ่มของรถยนต์คนตัวสูงด้วยความง่วงมีที่มากเสียเหลือเกิน ก็ทำให้ผมหลับลงตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกจากคณะดี ร่างกายที่ล้าเพราะนอนดึกเหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยถามอะไรออกไป ปล่อยให้อีกคนขับรถพาตนเองไปไหนก็ได้ตามใจชอบ
จนกระทั่ง...
“ไป๋ตื่นๆ”
“...อื้อ” ร่างบางลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ยืดตัวขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ ก่อนจะปรับโฟกัสของสายตาให้ประมวลสถานการณ์รอบข้างในตอนนี้
ที่ไหนวะเนี่ย?
“ตลาดน้ำแถวมอ ลงมา ไปหาข้าวแดกกัน”
ด้วยความที่มหาลัยของพวกเราไม่ได้อยู่ในตัวเมืองกรุงเทพ ก็ไม่คงแปลกที่จะมีตลาดน้ำตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สองขาก้าวลงแล้วเดินไปหาร่างสูงที่กำลังยืนรอแล้วออกเดินพร้อมกันตรงไปหาร้านของกินที่ตั้งเต็มไปทั่วบริเวณ ร่างเล็กหันซ้ายหันขวามองอาหารเต็มทั้งสองข้างทางอย่างตื่นตา ด้วยหน้าตาที่น่าทานและราคาที่ไกลจากราคาพื้นฐานในกรุงเทพฯพอตัว
เดินเลยไปอีกนิดก็จะพบกับบันได้ทางลงไปยังแพริมน้ำที่จะมีแม่ค้านั่งขายของกันบนเรือแบบตามต้นฉบับของตลาดน้ำกันไปเลย เราสองคนเดินตามทางเดินจนไปหยุดที่หน้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง
“มึงเคยบอกว่าชอบข้าว งั้นกินร้านนี้กันไหม” มันว่าพร้อมหันมาถามความสมัครใจของผม
“มึงอยากแดกอะไรอะ”
“กูอะไรก็ได้”
“ไหนๆก็มาตลาดน้ำแล้ว กินก๋วยเตี๋ยวเรือสักมื้อก็ไม่เป็นไรหรอก” สิ้นคำผมก็ลากแขนมันเดินกลับไปในทางที่เดินมาก่อนจะหยุดลงที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าเก่าร้านนึง ซึ่งดูจากจำนวนลูกค้าแล้วท่าทางจะอร่อยไม่เบา
หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยว ของเครื่องเคียงและขนมหวานอย่างอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ด้วยความที่อยากดื่มน้ำหวานๆ ผมเลยเดินเข้าไปสั่งแดงโซดาในร้านข้างๆกัน ขณะนั้นเองไอ้พิวเลยขอตัวไปซื้อของบ้าง เวลาผ่านไปสักพักมันก็กลับมาพร้อมกับ…
ถังอาหารปลาสองถังในมือ
“อะ ไปให้อาหารปลากันดีกว่า”
“ไอ้พิว อย่าให้เยอะ ปลามันดีดน้ำกระเด็นใส่กู” หันไปเอ็ดไอ้พิวที่แทบจะเทอาหารให้ปลา ทำให้ปลาเกิดการยื้อแย่งอาหารขึ้นจนดูวุ่นวายไปหมด
“ไม่อะ” ก่อนสิ่งที่ผมนึกนั้นจะเกิดขึ้นจริง นั่นก็คือมันจัดการคว่ำกระป๋องอาหารลงตรงพื้นน้ำหน้าผมทันที เท่านั้นแหละแม่งเอ้ย ปลานี่ดีดหน้าขึ้นหน้ากูกันใหญ่เลย
กูเปียกไปครึ่งตัวแล้วเนี่ย มึงยังจะกวนตีนกูอีกนานไหม!
“ไป๋! หันมาเร็ว” ยังไม่ทันพ้นความวุ่นวายก่อนหน้าไปสักเท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงทุ้มข้างๆเรียกให้หันไปเสียก่อน แต่เมื่อหันไปก็พบกับไอ้พิวที่กำลังยื่นโทรศัพท์เปิดกล้องหน้าออกห่างจากตัวเพื่อเก็บภาพ เจ้าตัวจัดการกดชัตเตอร์ทั้งๆที่ยังไม่ได้ให้ผมตั้งตัวแม้แต่น้อยเลย
“ไอ้เชี่ย เมื่อกี๊กูยังไม่ทันเก๊กเลยเอาใหม่ๆ”
“อะๆ” คราวนี้ไม่พลาดกะองศาใบหน้าพร้อมโปรยรอยยิ้มหากินให้ได้ถ่ายภาพทันที
“ป่ะ กลับกันเถอะ”
ในที่สุดกิจกรรมของวันก็ได้สิ้นสุดลง เสียงเพลงหวานคลอในรถทำเอาร่างเล็กอยากจะหลับตาลงนอนอีกสักครั้ง แต่ยังไม่ทันให้ได้กล่อมตัวเองนอนดีๆ ก็ต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเคืองๆเพราะคนข้างๆแกล้งเอามือมาบีบจมูกตัวเองเสียนี่
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครในศึกนี้ ทั้งสองงัดท่าไม้ตายออกมาแบบไม่เต็มที่มากนัก เพราะอีกคนกำลังขับรถอยู่ แกล้งจนคนตัวสูงกว่ายกมือซ้ายขึ้นยอมศิโรราบ คนตัวเล็กจึงยุติการแกล้งคืนทั้งหมดลง
ก่อนจะก้มลงมองสภาพของแต่ละคนตอนนี้ เสื้อยับยู่ยี่ อีกทั้งแขนขาวๆของคนตัวสูงยังมีรอยเล็บขูดขึ้นแดงให้เห็นบางๆอีกด้วย ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองกันเล็กๆ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นทั้งรถให้กับนิสัยของเด็กไม่รู้จักโตที่มักแสดงออกมาในตอนที่อยากเอาชนะ
แต่ทั้งสองก็ยังไม่รู้ตัวหรอก ว่านิสัยเด็กๆที่ว่านั่น ตั้งแต่ขึ้นมหาลัย พวกเขาไม่เคยแสดงกับใคร หรือที่ไหนมาก่อนเลย จนตอนที่ได้มาเจอกับอีกคน...
(มีต่อ)
-
(ต่อ)
ล้อของเครื่องยนต์กลับมาหยุดยังหน้าหอในมหาลัยอีกครั้งของวัน ยังไม่ทันให้คนนั่งฝั่งข้างคนขับได้ขยับตัว ก็ต้องตกใจกับมือหนาที่เอื้อมมาปลดเบลท์พร้อมเก็บสายคาดให้อย่างเรียบร้อย ทำเอาจมูกและแก้มของทั้งสองฝ่ายเฉียดกันไปมาเหมือนอีกคนจงใจ
ร่างบางนั่งนิ่งอย่างชั่งใจกับคำพูดของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาจนได้
“พิว มึงไม่ต้องเทคแคร์กูดีมากหรอก กูเข้าใจว่ามึงกำลังจีบกูอยู่ แต่กูก็เป็นผู้ชายเหมือนมึงนะ” เมื่อพูดจนจบประโยคไป๋ก็สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อสร้างความมั่นใจให้มากขึ้น ก่อนจะค่อยหันไปหาพิวที่ตอนนี้ก็กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาที่เขาไม่สามารถอ่านออกจริงๆ
“งั้นกู-”
“ทำไมต้องไม่ให้กูแคร์เพราะว่ามึงเป็นผู้ชายด้วย?” ร่างสูงว่าเสียงเข้ม ทำเอาอีกคนใจแป้วตกลงไปอยู่ตาตุ่ม
“...ก็”
“คนที่กูชอบก็คือมึง ที่กูดูแลมึงก็เพราะกูอยากมีมึงในชีวิต” คำที่กลายๆเหมือนเป็นคำสารภาพรัก ทำเอาจิตใจคนฟังอยู่ไม่เป็นสุข
“แล้วมึงจะมั่นใจได้ไงว่าวันนึงกูจะชอบมึงขึ้นมาจริงๆ?”
“กูไม่ได้มั่นใจในมึง...”
“…”
“แต่กูมั่นใจในตัวเองว่ะ” ร่างสูงว่ายิ้มๆพร้อมส่งมือมาจับเรือนผมนุ่มเล่นอย่างที่ชอบทำ สายตาที่ยากแก่การอ่านได้หายไปแล้ว เหลือเพียงสายตาของทั้งคู่ที่ในแววตาสะท้อนกันและกันอยู่เท่านั้น
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีใบหน้าที่คาดว่าคงเจือไปด้วยสีแดงนั่นกลับโดนกดให้ลงไปซุกกับซอกคออีกคนเข้าให้แล้ว ฝ่ามือร้อนที่ยังไม่ห่างไปจากหัวกลับลูบไปมาเบาๆ เหมือนพยายามสื่อออกมาเป็นคำว่า เชื่อใจกันนะ...
“ก-กูขึ้นห้องแล้ว ขอบคุณมากนะ” ลิ้นที่แทบจะรัวคำพูดออกมาไม่เป็นคำ หลังจากที่เด้งตัวออกจากซอกคอที่เขาซุกไปไหนต่อไหน จัดแจงเก็บสัมภาระตนเอง แล้วไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร ก็รีบก้าวขาลงจากรถไป โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
ปัง!!!
เสียงดังของประตูที่ปิดลง พร้อมกับร่างของหนึ่งในเจ้าของห้องที่ทรุดตัวลงแนบกับบานไม้ทันที สองมือกุมทาบไว้บริเวณหน้าอก
ดูเหมือนเดี๋ยวนี้เขาจะใช้จังหวะการสูบฉีดเลือดเยอะมากเกินไป...
ลมหายใจหอบกระชั้น จนร่างบางต้องข่มตาลงเพื่อตั้งสติ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
เขินทุกครั้งที่โดนหยอดคำหวาน แต่ไม่ยักจะอยากขัด
วูบวาบทุกครั้งที่โดนตัว แต่ก็ไม่อยากให้สัมผัสจางหายไป
รู้สึกดีทุกครั้งที่ถูกดูแล ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาต้องดูแลคนอื่นตลอดมา
เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มันกำลังจะกลายเป็นอะไร
แต่ที่ยังประวิงเวลาปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอยู่แบบนี้ เป็นเพราะความกลัวในใจเขา
ไม่ใช่กลัวสายตาคนอื่นที่มองมาเพราะแค่ผิดแผกไปจากค่านิยม
แต่เขากลับกลัวใจตัวเอง...กลัวสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความอ่อนไหว
ถึงแม้เขาจะลืมคนรักเก่าไปได้แล้วอย่างหมดหัวใจ...แต่เขาก็ไม่อยากให้ครั้งใหม่มันเกิดขึ้นในเวลาที่เร็วเกินไป
เร็วจนเผลอคิดไปเองว่าครั้งเก่ามันทำเขาอ่อนไหวขึ้น เหมือนที่เขาบอกกันว่าอกหักแล้วต้องมีคนมาดามหัวใจ แต่เขาไม่กลับรู้สึกไม่อยากให้พิวเป็นคนที่ว่านั่น
อยากให้แน่ใจคนตัวสูงนั่นเป็นอะไรที่มากกว่าคนดามใจ
ร่างบางนั่งพิงบานประตูจนจังหวะของหัวใจเริ่มคงที่ มือขาวเอื้อมขึ้นดันกำแพงเพื่อยันตัวเองให้ลุกขึ้น สูดหายใจเรียกสติกลับมา แม้จะยอมรับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปได้แล้ว แต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างปกติ กับทางเส้นใหม่ที่เขาเป็นคนตัดสินใจเลือก...เขาเลือกที่จะเปิดใจให้พิว
เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าปลายทางนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ก็หวังว่าวันไหนที่รู้ว่าปลายทางไม่ได้สวยงาม ก็ขอให้เขากลับหลังได้อย่างทันท่วงที อย่าให้ต้องมาเจ็บปวดกับความรักอีกเลย...
❋❋❋
“พี่ว่าซุ้มของกินน่าจะใหญ่กว่านี้นิดนึงน่าจะดีนะ”
“โอเคครับ”
นี่น่าจะเป็นรอบที่สามของวัน ในการที่ต้องกลับมาแก้แปลน ทำเอาผมและไอ้พิวต้องเดินเข้าออกห้องสโมฯกันเป็นว่าเล่น เพราะอีกไม่ถึงสองอาทิตย์ข้างหน้าเราก็จะจัดคอนเสิร์ตที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกและมันส์ที่สุดในมหาลัยกันแล้ว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเราต้องออกแบบแปลนให้ผ่านภายในวันนี้นั่นเอง
สถานที่จัดงานของเราเลือกเป็นสนามฟุตบอลของคณะพยาบาล เพราะสามารถเดินทางได้สะดวก และมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เมื่อเลือกสนามเสร็จเราก็ต้องลงพื้นที่วัดขนาดจริง ที่ทำเอาผมเกือบเป็นลมเพราะอากาศร้อน หลังจากที่วิ่งรอบสนามไปมา
และหลังจากที่รู้จุดที่ต้องแก้แล้วก็หอบแบบร่างเอามานั่งปรึกษาในทีมที่นั่งกันอย่างครบองค์ประชุมอยู่ข้างๆซุ้มโค้กของคณะที่ประจำทันที
“มารอบที่สามแล้ว พี่แม่งให้แก้อะไรอีกอ่ะ?” ไอ้สมุยที่เห็นผมและไอ้พิวเดินกลับมาเป็นคนแรกก็พูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแข็ง คาดการณ์ว่าน่าจะเกิดจากอาการโมโหหิว เพราะหลังจากเลิกเรียนคาบสุดท้ายก็นัดหมายกันมาทันที ไม่มีใครได้กินอะไรรองท้องทั้งนั้น อีกทั้งที่โดนพี่สั่งแก่หลายต่อหลายรอบ จนล่วงเลยมาเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว
“แก้พื้นที่ซุ้ม นิดเดียว” พิวว่าจบแล้วก็กางแผ่นกระดาษในมือลงบนโต๊ะทันที ก่อนที่แต่ละคนรวมถึงเพื่อนต่างภาคที่อยู่ในฝ่ายเดียวกัน ได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือวาดและออกความคิดแบบไม่มีใครอิดออดกันเลย
จนในที่สุดก็ได้เอากลับมาให้พี่โหดแกยลโฉมอีกรอบนึง ด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆปนความหิวที่มี
“...พี่ว่ามัน”
“…”
“ก็โอเคแล้วแหละ” ทั้งไอ้พิวและผมถอนหายใจกันอย่างคนโล่งอก เฮดสถานที่และพี่ได้คุยกันอีกนิดหน่อย จนพอสรุปได้ว่าหน้าที่ของเราได้สิ้นสุดลงแล้ว
“ขอบคุณครับ” ยกมือไหว้เสร็จ เราก็รีบปรี่ออกจากห้องทันที แบบที่ไม่รอให้พี่แกได้รั้งตัวเอางานไปแก้อีกรอบ
“ไป๋ๆ ไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
“อือ ไปดิ”
ผมที่เออออเดินตามร่างสูงไปแบบงงๆ ก็เอาแต่มองแผ่นหลังสวมเสื้อช็อปสีกรมจากข้างหลังไปเรื่อยๆอย่างลืมตัว จนขืนตัวหยุดเดินไม่ทันในตอนที่คนนำหน้าเบรกอย่างกะทันหัน ทำเอาใบหน้าของผมกระแทกเข้ากับช่วงต้นคอของคนนำหน้า เพราะความแตกต่างทางส่วนสูงเข้าไปเต็มๆ
“เชี่ย หยุดไมเนี่ย”
“ไป๋ ขอกอดหน่อย” ร่างสูงอ้าแขนเตรียมรับเข้าอ้อมกอดกว้าง
“อะไรของมึงเนี่ย?!” จู่ๆพิวที่ชวนผมมาห้องน้ำอย่างปกติ กลับเอ่ยปากขอในสิ่งที่ก็ทำเอาผมเองตกใจ ก่อนกวาดสายตามมองไปยังรอบๆห้องสุขา คงเพราะด้วยตอนนี้เป็นเวลาที่เย็นแล้ว เลยทำให้ห้องน้ำชั้นหนึ่งที่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตจำพวกคนได้มาถึงขนาดนี้
นี่มึงคิดมาแล้วใช่ไหม...
“...นะ เหนื่อยอ่ะ” ไม่รีรอฟังคำอนุญาตจากอีกฝ่าย ร่างสูงก็จัดการรวบตัวอีกคนเข้าอ้อมแขนอย่างคนเอาแต่ใจ ในตอนแรกคนไม่ทันตั้งตัวก็มีบ้างที่จะขัดขืน แต่เมื่อเห็นพิวเอาโอบรัดแล้วซุกหน้าลงกับบ่าของตนก็เปลี่ยนจากอาการดิ้นเป็นเกี่ยวแขนกอดตอบแทน
“ตัวหอมว่ะ” มิวายใบหน้าซุกซนก็เลื่อนองศาจากบ่ามาเป็นที่ซอกคอแทน ร่างบางรับรู้ได้ถึงสัมผัสร้อนของลมหายใจที่กำลังเป่ารด จึงได้แต่ยืนนิ่งในท่าเดิมไม่กล้าผลักไสคนตัวสูงอย่างที่หัวคิดได้แม้แต่น้อย
“กำลังใจมาละ” พิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น ทำให้ทั้งคู่ผละอ้อมกอดออกจากกัน เปลี่ยนมาเป็นการจับมือกันไว้แทน
“อื้อ”
“วันนี้ขออยู่เตะบอลกับเพื่อนที่คณะนะ”
“ขอกูทำไมวะ” คำสารภาพจากร่างบางดังขึ้นภายในใจที่ว่าสมาธิของเขาได้จดจ้องอยู่ที่คำพูดอีกฝ่าย แต่กลับเป็นที่หลังมือที่มีนิ้วหัวแม่มือของร่างสูงกำลังเกลี่ยไปมาเบาๆ ชวนสยิวแบบนี้
“ฝึกเอาไว้ ต่อไปจะทำอะไร จะไปไหนก็ต้องขอ”
“...”
“แต่ต่อให้มึงไม่ขอ กูก็อยากบอกอยู่ดี : )”
เกลียดการที่มาขอกอดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
เกลียดการที่ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหลังมือไปมาทั้งที่ยังยืนคุยกัน
เกลียดการพูดเหมือนกำลังจะให้เราไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
สุดท้าย เกลียดเสียงทุ้มข้างหูที่ดังบอกว่าตัวเขาหอม ทั้งๆที่ตัวของร่างสูงก็หอมไม่แพ้กัน
แม่ง โคตรไม่แฟร์กับหัวใจเลยอะ...
❋❋❋
“ทุกคน ชื่อวงที่จะมาคอนฯออกแล้ว”
“ไหนๆ”
“ในเพจคอนฯเลย”
พวกเราหลังจากกลับจากการกินข้าว ก็ได้มารวมตัวที่ห้องผมกันอีกครั้ง แขกรับเชิญได้จับจองพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นพื้นห้อง เตียงไอ้ยีนส์ หรือแม้แต่เตียงผมกันอย่างทั่วถึง ประหนึ่งว่าเป็นห้องตนเอง
“อ๋อ มีอะตอม ชนกันต์ แล้วก็ LOMOSONIC”
“เยดโด้ว เด็ดอ่ะ” ไอ้ยีนส์โห่ร้องขึ้นด้วยความชอบใจ ไม่ต่างจากผม
“เขร้ บอกเลยงานนี้กูหน้าเวที”
เราต่างพูดคุยเรื่องวงที่จะมาแสดงกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่แรงสั่นจากโทรศัพท์ในมือจะเรียกให้ผมกลับมาสนใจเสียก่อน
just pew : พี่อะตอม มาด้วย
just pew : ต้องหน้าเวทีแล้วแหละ
ผมขมวดคิ้วให้กับข้อความใหม่บนหน้าจอ ก่อนจะพิมพ์ถามเพื่อไขข้อสงสัยในใจ
paipai : มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบ?
just pew : ในจดหมายไง
ทันใดนั้นสมองก็นึกออกไปถึงจดหมายที่เราเคยเขียนแลกเพลงที่ชอบให้กัน มุมปากยิ้มน้อยๆให้ในความใส่ใจ ก่อนที่ตัวเองจะตอบกลับบทสนทนาไปอีก
paipai : lomosonic ก็มานะ
paipai : อิอิ
just pew : ไปด้วยกัน
paipai : ก็ไปนี่ไง
just pew : ไม่
just pew : หมายถึงไปยืนดูข้างกัน
just pew : จองตัวแล้วนะ
just pew : ห้ามเบี้ยว
paipai : อือ
paipai : เอาที่มึงสบายใจอะ
ความรู้สึกเหมือนเดินชนขอบประตูแรงๆแล้วต้องแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
ผมในตอนนี้เลยทำได้แค่กดปุ่มล็อกหน้าจอก่อนจะคว่ำหน้ามันลงกับโต๊ะอ่านหนังสือ แล้วคว้าผ้าขนหนูกับของใช้ ไม่ลืมที่จะบอกกล่าวให้เพื่อนๆได้รับรู้ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำรวมริมทางด้วยสายตาเหม่อลอยเหมือนคนจิตหลุด
ใครก็ได้รบกวนตามหาไอ้ไป๋คนเก่งคนเก่ากลับมาทีครับ เพราะไอ้ไป๋คนนี้มันกำลังจะหมดแรงแล้ว
ช่วยด้วย!!!!
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
รอฟีดแบ็กทุกลมหายใจเลยนะคะ ; --- ;
ติดตามการอัพเดตและเม้ามอยได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา
(◕‿◕✿)
-
chapter nine。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
และแล้วในที่สุดวันที่เราตั้งตารอคอยกันก็มาถึง
“พวกมึงเอาบัตรคอนฯมาถ่ายบูมเมอแรงกัน”
เสียงร่าเริงของตุลลี่ดังขึ้นหลังจากที่พวกเราเข้ามาในพื้นที่ถูกล้อมด้วยผ้าใบของงาน ตำแหน่งของทั้งซุ้มของกินรวมถึงเวทีเป็นไปตามแปลนของพวกผม หลังจากที่พวกเราถ่ายรูป พร้อมหาของกินกันพอหอมปากหอมคอ ก็ตกลงกันเดินไปจับจองพื้นที่ยืนหน้าเวที
ตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาก็เห็นเพื่อนร่วมภาคและร่วมคณะหลายคนที่ทำฝ่ายสต๊าฟในคอนเสิร์ต ต่างคนต่างดูแลคนที่มาอย่างไม่ขาดสายกันให้วุ่น ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกเหลือเกินที่เลือกอยู่ในฝ่ายสถานที่
แต่เพราะตอนนี้เลยเวลาเปิดประตูมาเพียง 20 นาทีเท่านั้น จำนวนคนบริเวณหน้าเวทีเลยยังไม่แน่นขนัดมากนัก และด้วยความที่เป็นคอนเสิร์ตแบบเปิดเลยทำให้มีทั้งนักศึกษาของมหาลัยเรา รวมทั้งบุคลลภายนอกอยู่ด้วย มีมากันตั้งแต่แบบเดี่ยว แบบคู่ และแบบกลุ่มเลยทีเดียว
บนเวทีกำลังมีโชว์ของวงดนตรีที่ทำการสมัครเข้ามาและโชว์จากคณะผมต่างๆมากมาย เพื่อสร้างสีสันก่อนศิลปินจะขึ้นทำการแสดง
แต่ในระหว่างที่สายตากำลังจดจ้องไปยังโชว์เต้นโคฟเวอร์โดยสาวคณะผมอย่างเพลินๆก็ต้องชะงักลง เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นในกระเป๋ากางเกง
just pew : อยู่ตรงไหน?
paipai : หน้าเวที เดินมาเลย
paipai : *ส่งรูป*
just pew : ไม่เห็นอ่ะ ยกมือหน่อย
paipai : เห็นยังๆ
“เห็นแล้ว” ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าบางปลดกระดุมโชว์แผงอกขาวน้อยๆกับกางเกงยีนส์สีเข้ม เดินมาสะกิดจากทางด้านหลังพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆผุดขึ้นนั้น ทำเอาผมรู้สึกเหมือนตาพร่าไปชั่วขณะ
“กรี๊ดดด พิวขาก็มาด้วยเหรอ” ร่างของไอ้ตุลลี่ที่เคยยืนห่างผมโดยมีทั้งสามคนยืนกั้น บัดนี้ได้ปรี่เข้ามาเกาะกุมผู้มาใหม่แล้วเป็นที่เรียบร้อย ไม่พอยังเอาหน้าไปถูไถกับต้นแขนขาวนั่นอีกด้วย
“ตุลลี่นะคิดถึ๊งคิดถึง”
“ไอ้ตุลลี่ มึงดูหน้าไอ้พิวด้วยว่าเขาขยะแขยงมึงจะตายห่าแล้ว กลับมา” ไอ้ยีนส์ตรงปรี่เดินมาลากไอ้ตุลลี่กลับไปยืนยังที่เดิม โดยไม่สนแรงดีดดิ้นใดใด เพราะเห็นว่าคนรอบๆข้างเริ่มหันมามองไอ้ตุลลี่ด้วยสายตาแปลกๆกันแล้ว
ร่างสูงเริ่มขยับเข้ามาใกล้เพราะแรงเบียดจากทางด้านหลัง เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ศิลปินกำลังจะขึ้นทำการแสดงแล้ว เป็นเพราะพวกเรายืนกันอยู่ในบริเวณด้านหน้าเลยทำให้มองจำนวนคนโดยรวมได้อย่างถนัด แต่คาดๆดูแล้วน่าจะเยอะมากเลยทีเดียว
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปพบกับพี่อะตอม ชนกันต์ กันได้เลยค่า”
“กรี๊ดดดดด” เสียงกรีดร้องให้นักร้องที่ชื่นชอบดังขึ้นกระหึ่มจนกลบเสียงรอบข้างไปจนหมด
ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มไหน ตอนนี้เป็นเพลงที่เท่าไหร่ คนรอบข้างกำลังโยกตัวไปทางไหน ก็ไม่ทำให้ผมสนใจได้มากเท่าบุคคลที่ผมชื่นชอบได้มาแสดงบนเวทีตรงหน้านี้
เสียงร้องสดที่แทบไม่หลุดจากคีย์
การเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ
ไหนจะการเล่นกีต้าร์ที่ดูธรรมดา แต่มันกลับพิเศษต่อจิตใจ
ในชีวิตไอ้ไป๋ ไม่เคยเจอใครเท่เท่าพี่อะตอมมาก่อนเลยโว้ย!!!
สายตาที่มองตามไปทุกๆที่ที่พี่แกเดินไปบนเวทีเหมือนโดนมนต์อะไรสะกด ปากก็ร้องตามบทเพลงที่ดังขึ้น จนในที่สุดคิวแสดงแรกก็ได้สิ้นสุดลง
บอกเลยว่าไม่น่ามีใครอินได้เท่ากูแล้ว...
“ชอบขนาดนั้นเลย?” ร่างสูงทางซ้ายหัวเราะยิ้มๆให้ผมที่กลับมาสนใจโลกภายนอกอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้ตนเองอินไปกับเสียงเพลงจนเหมือนสติหลุดได้ขนาดนี้
“อื้อ” มีความสุขได้ไม่นาน ผมก็ต้องกลับมารู้สึกเศร้าอีกครั้ง เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำพลาดครั้งใหญ่หลวงนั่นก็คือการลืมถ่ายรูปเก็บภาพสุดแสนจะประทับใจเอาไว้...โถ่โว้ย
จากนั่นการแสดงบนเวทีก็ถูกคั่นด้วยเสียงของพิธีกรอีกครั้ง ผู้ชมที่เมื่อยขาจนยืนไม่ไหวก็เริ่มทยอยกันนั่งลงกับพื้นเพื่อนรอชมโชว์จากวงดนตรีวงต่อไป
“พวกมึงกูปวดขี้ว่ะ” เสียงของบุคคลท่อสั้นแห่งปีเอ่ยขึ้นขัดเสียงพิธีกรคั่นเวลาบนเวที
“ทนได้ไหม เดี๋ยวดูเสร็จค่อยออกไป”
“ไม่ไหวว่ะ ไอ้ไป๋ มึงออกไปเป็นเพื่อนกูหน่อย”
“ไอ้ตุลลี่ ไปกับกูป่ะ ว่าจะออกไปหาอะไรกินด้วย” ผมได้แต่มองตามหลังทั้งสองคนนั้นที่ขอมุดฝ่าฝูงคนหน้าเวทีที่โคตรจะแน่นออกไป โดยไม่ให้ผมได้พูดอะไรสักคำ
“ไป๋ เดี๋ยวกูกับไอ้ก๊าซไปหาน้ำแดกก่อนนะ”
“ให้กูไปด้วยป่ะ?”
“ไม่ต้องอ่ะ มึงยืนเป็นเพื่อนไอ้พิวเนี่ยแหละ”
“เออ รีบๆกลับมานะ” ผมพูดปิดท้ายก่อนจะปล่อยให้เพื่อนทั้งสองเดินออกไปอีกคู่ ทิ้งผมให้ยืนกับไอ้พิวอยู่สองคนอย่างเดียวดาย
“เพื่อนมึงไปไหนอ่ะ?” เพราะเวลาการแสดงที่ถูกเลื่อนออกไปเหตุจากความผิดพลาดทางเทคนิค เลยทำให้ผมเลือกเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอที่กำลังส่งข้อความตามเพื่อนให้รีบๆกลับมา แล้วมาคุยกับคนข้างๆแทน
“คนไหนอะ ถ้าเป็นไอ้เต้กับสมุยโดนไปช่วย backstage ส่วนถ้าเป็นไอ้เคน…”
“ไม่เป็นไร กูเข้าใจ”
“แต่ต่อให้ไอ้สองคนนั้นมา กูก็จะมาดูกับมึงอยู่ดี” ผมเบ้หน้าให้กับความเอะอะหยอดของอีกฝ่าย ก่อนจะบ่ายเบี่ยงประเด็นกลบเกลื่อนอาการ
“ทำไมถึงชอบ LOMOSONIC วะ?”
“ชอบเพลงไง ถามอะไรโง่ๆวะ?”
“เอ้า ไอ้...” ปากที่กำลังจะส่งเสียงด่าแข่งกับเครื่องเสียงชุดใหญ่ก็ต้องหยุดลง เพราะสู้เสียงกรี๊ดที่จู่ๆก็ดังขึ้นมาไม่ได้
“ตอนนี้ก็เป็นเวลาอันเหมาะอันควรแล้วนะครับ ดังนั้นเชิญไปพบกับวง LOMOSONIC กันเลย!!!!!!!”
สิ้นเสียงประกาศและเสียงกรี๊ดที่ค่อยๆเงียบลง ผสมกับเสียงดนตรีของวงที่ค่อยๆดังขึ้น ก็ทำเอาผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เครื่องดนตรีชนิดต่างๆเริ่มบรรเลงขึ้นในช่วงอินโทร พร้อมกับนักร้องนำที่เดินออกมา เรียกเสียงเชียร์จากแฟนคลับและผู้คนได้อย่างล้นหลามเลยทีเดียว
เพลงฮิตต่างๆได้ถูกนำขึ้นมาร้องบนเวที ร่างบางที่ร้องได้บ้างได้บ้าง ก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองสวนทางกับสังคมรอบข้าง โยกลำตัวและยกมือขึ้นโบกไปตามพลังของความมันและสนุกไปกับเสียงเพลง ต่างจากร่างสูงที่ปากบอกตั้งใจจะมาดูในวงดนตรีที่ชอบ กลับจ้องมองไปทางคนตัวขาวข้างๆแบบไม่ละสายตาพร้อมยกยิ้มด้วยความชอบใจ ใช้ประสาทการฟังในการรับชมการแสดงตรงหน้าเท่านั้น
ก็แหงล่ะ เขาน่ะตามไปดูวงที่เขาชอบจนบ่อยแล้ว แต่อาการของอีกคนตอนนี้ก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆสักหน่อย
เป็นตัวป่วน แต่ก็น่ารัก...
พิวหันหน้ากลับมาสนใจเวทีอีกครั้งในตอนที่ไฟเริ่มหรี่ลงเพราะความต้องการของนักร้องนำ ผู้คนเริ่มส่งเสียงฮือฮาเพราะความสงสัย เขาเหลือบมองคนข้างๆอีกครั้งก็พบว่าฝ่ายนั้นไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ก่อนที่เสียงบนเวทีจะหันเหความสนใจของเขาไป
บทนิยามของความรักถูกถ่ายทอดออกมาจากปากคนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนได้อย่างจี้หัวใจ ทำเอาหลายๆคนกลับมาฉุกคิดได้ รวมถึงคำพูดแสนเสียดแทง แต่เป็นความจริงที่ว่า..
“..ตลอดเวลาที่ผ่านมาความรักไม่เคยเหี้ย คนต่างหากที่เหี้ย”
ประโยคข้างต้นทำเอาร่างบางได้แต่ยิ้มกับตนเองเล็กๆ นั่นดิ ความรักมันไม่เคยเหี้ยหรอก อย่าไปกลัวครั้งใหม่ตราบใดที่เรายังเรียกมันว่าความรักสิวะ...
เสียงร้องตะโกนชอบใจกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เมื่อกลองได้เริ่มทำหน้าที่ให้การนำเข้าสู่อินโทรของเพลงที่กำลังจะแสดงในลำดับถัดไป คราวนี้แสงสีของไฟสปอร์ตไลท์ด้านบนกลับมาใช้งานแบบเต็มกำลังเหมือนเดิม และเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ..
“ไอ้เชี่ย ไฟแม่งส่องเข้าตาเต็มๆเลย” แสงไฟหลากสีที่กำลังสาดส่องลงมาใส่คนดูทั่วบริเวณนั้น ทำเอาร่างบางเริ่มมึนหัว
“...มองหน้ากู”
“ทำไม?”
สายตาสอดประสานกันในจังหวะเดียวกับเสียงร้องช่วงต้นของเพลง เหมือนกับพยายามผลักให้พวกเขาเข้าใกล้กันไปเรื่อยๆ
เพราะอดีตที่เคยผ่านมา
เพราะน้ำตายังรินไหล
เพราะมีคนที่เดินจากไป
และหัวใจยังอ่อนล้า
“จะได้ไม่แสบตาไง”
น่าแปลกที่ร่างบางมักจะหัวรั้นกับร่างสูงเสมอ แต่ในตอนนี้กลับเชื่อฟังคำแนะนำนั่นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เพราะบางเพลงที่เคยร่ำร้อง
เพราะทำนองยังทำร้าย
เพราะว่าเธอมาเปลี่ยนความหมาย
ให้หัวใจให้กลับมาเหมือนเดิม
“ไป๋ ขอจับมือได้ปะวะ?”
“อื้อ”
“...”
“เอาดิ”
ทั้งสองปล่อยให้รอบข้างเป็นไป โดยเลือกที่จะไม่สนใจ ร่างสูงกระชับมือที่เกาะกุมกันไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น ทันทีที่ท่อนฮุคของเพลงได้เริ่มขึ้น...
เพราะความรัก ที่มันไม่เลือกเวลาเกิด
เพราะแพ้ให้เธอในทุกๆสิ่ง เพียงแค่ฉันสบตา
เพราะความรัก โอ้เธอที่ทำให้มันเกิด
เพราะรักทำลายกำแพงที่มี
ให้หัวใจของคนๆนี้ กลับมามีรัก
เพราะเธอ...
“วันนี้กูไม่ได้มาคอนฯเพราะฟังเพลงหรอก” ร่างทั้งสองที่เริ่มขยับเข้ามาชิดขึ้นเพราะแรงเบียด เพลงซึ้งที่กำลังเล่นบนเวทีทำเอาใครหลายๆคนร้องตามและส่งเสียงเชียร์อย่างหนาหู ส่งผลให้การสื่อสารของทั้งคู่ต้องโน้มปากเข้าไปใกล้หูกันมากกว่าเดิม แน่นอนว่าในแต่ละครั้งร่างบางมักจะขนลุกให้กับลมหายใจร้อนที่เป่ารดต้นคอตนเองไปด้วย
“เอ้า...”
“แต่กูมาเพราะอยากให้มึงได้ฟังเพลงนี้ไปด้วยกัน”
ผิวขาวของคนตัวเล็กกว่าต้องขึ้นสีแดงซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับคนตามจีบที่ทำหน้าที่ตามปฏิญาณของตนเองได้ดีและมีประสิทธิภาพเสียอย่างปฏิเสธไม่ได้ ร่างเล็กทนอายที่จะมองหน้าร่างสูงนานกว่านี้ไม่ไหว เลยตัดสินใจหันหน้าไปอีกทางทันที ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆให้อย่างรู้ทัน
อือ ยอมเลยอะ
❋❋❋
“ขับรถกลับหอดีๆนะคะพิวขา บ๊ายบาย”
“อื้อ บาย”
หลังคอนเสิร์ตจบลง เราก็ได้กลับมาเจอหน้าทั้งสี่คนอีกครั้ง โดยพวกมันให้เหตุไว้ว่าที่ไม่เดินกลับไปที่เดิม เพราะมุดไปไม่ได้แล้ว คนเยอะมาก เลยทำให้ต้องดูคอนเสิร์ตข้างหลังกันไป
จากนั้นพิวก็อาสาพาพวกเรามาส่งหน้าหอที่กำลังจะปิดในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ทันทีที่เครื่องยนต์สี่ล้อมาถึงหน้าบอกเพื่อนๆเบาะหลังก็ทยอยกันลงจากรถ เหลือแต่ผมที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เบาะหน้า
จะให้ลงไปยังไงในเมื่อมือหนานั่นวางลงบนหน้าตักเขาแบบที่ไม่กลัวเพื่อนๆสงสัยแบบนี้...
“ขอบคุณนะ” คนตัวสูงเปิดประเด็นทันทีที่เพื่อนคนอื่นออกไปรอข้างนอกกันหมดแล้ว
“เรื่อง?”
“วันนี้มีความสุขมากเลย ขอบคุณนะ”
“…”
“เดี๋ยวถึงห้องแล้วจะไลน์หา”
“ขอบคุณเหมือนกัน บาย”
คนตัวเล็กกว่ารีบกุลีกุจอก้าวขาลงจากรถด้วยความกลัวเพื่อนจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงลงจากรถมาช้า หันกลับไปมองก็พบว่าคนหลังพวงมาลัยได้โบกมือส่งมาจากภายในตัวรถ ก่อนที่จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป
ด้วยความเหนื่อยและเหนียวตัวพวกเขาทั้งห้าคนจึงตัดสินใจแยกตัวกันไปพักผ่อน โดยเลือกที่จะไม่ไปนั่งเล่นห้องเพื่อนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
หลังจากแยกย้ายกันอาบน้ำเสร็จผมก็ล้มตัวนอนพร้อมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเปิดดูการแจ้งเตือนต่างๆ หลังจากที่ไม่ได้จับมาหลายชั่วโมง ก็พบกับการแจ้งเตือนล่าสุดของคนที่บอกว่าจะไลน์มา แล้วก็ไลน์มาจริงๆ
just pew : ถึงแล้ว
just pew : อาบน้ำเหรอ ไปอาบบ้างละ
paipai : เพิ่งอาบเสร็จ
just pew : เพิ่งอาบเสร็จเหมือนกัน
just pew : ง่วงยัง?
paipai : ยังอะ
paipai : จะนอนแล้ว?
just pew : ยัง
just pew : ถ้ายังไม่นอนเหมือนกัน จะได้ชวนคุย
paipai : แล้วไม่อ่านหนังสือไง
just pew : ระดับนี้แล้ว รอเก็บท็อปอย่างเดียว
paipai : กูไปนอนละสัส
just pew : ไอ้เหี้ย กูล้อเล่น555
just pew : เอ้อ จะบอกว่า
just pew : ช่วงนี้ไม่น่าว่างติวให้นะ
just pew : เพื่อนชวนเตะบอลทุกวันเลย
paipai : เออ ไม่เป็นไร
paipai : ไปออกกำลังกายบ้างเหอะ
just pew : เป็นห่วง?
paipai : เหอะ มึงเริ่มอ้วนแล้ว
just pew : ปากหมาเหมือนเดิม
paipai : ไอ้สัส
ได้ยินเสียงปิดประตูและฝีเท้าของรูมเมทที่เพิ่งกลับมาจากการอาบน้ำปุ๊บ ด้วยความตกใจผมเลยเผลอกดปิดแชทแล้วทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียงทันที...เชี่ยเอ้ย แพนิคสัส
“มึงมีพิรุธ” ผมค่อยๆหันไปยิ้มแหยๆให้เพื่อนร่วมห้องแบบที่ไม่มีอะไรไว้ใช้แก้ต่าง ก่อนที่อีกคนจะส่ายหัวให้แบบเอือมๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเตียง พร้อมใช้ผ้าชนหนูในมือเช็ดผมไปด้วย
ในขณะที่ผมกำลังนั่งมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ไอ้ยีนส์ก็พูดขึ้นดักคออย่างรู้ทันอย่างทุกครั้งไป
“อะ มีอะไรข้องใจก็ว่ามา” ยีนส์เลิกเช็ดผมแล้วเลือกที่จะนั่งฟังคนที่นั่งบนเตียงฝั่งตรงข้ามอย่างตั้งใจ
“มึงเคยรู้สึกหวั่นไหวกับใครสักคนปะวะ?” ทางนั้นทำหน้าหวาดๆก่อนจะเอ่ยถามกลับเสียงดัง
“ไอ้ไป๋ นี่มึงชอบกูเหรอ?”
“พ่องสัสยีนส์ ตอบกูมาเร็วๆ”
“เคยดิ วันนี้มาแปลกๆนะมึงเนี่ย”
“กูเชื่อใจมึงในฐานะเมทสุดที่รักกูในเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานะไอ้ยีนส์...” มือชุ่มเหงื่อทั้งสองข้างถูเข้าหากันอย่างคิดหนัก
“ชักช้า มึงพูดเข้าเรื่องมาเลยดีกว่าไอ้ไป๋”
“เออๆ ได้ แต่มึงสัญญากับกูก่อนนะว่าจะไม่บอกใคร”
“เอ้อ เร็ว กูง่วงแล้ว” ทางนั้นเริ่มหงุดหงิดเพราะผมไม่ยอมเข้าเรื่องสักที
“มึงก็รู้ใช่ป่ะว่ากูเพิ่งเลิกกับแฟนเก่ามาไม่กี่เดือนเอง”
“เออ แล้ว...”
“ก่อนหน้านี้มีคนนึงเว้ย เขาบอกจะจีบกู ละแม่งก็ทำจริงๆ คือกู...ก็ยอมรับเลยอ่ะว่ารู้สึกดี แต่...” เรานั่งมองหน้ากัน โดยเปิดช่องว่างให้ผมได้พูด และไอ้ยีนส์ก็พูดแทรกในบางครั้งทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีมันที่มานั่งฟังผมปรับทุกข์อยู่
“แต่อะไร?”
“…แต่กูยังไม่มั่นใจว่ามันคือของจริงว่ะ”
“คือมึงจะบอกว่ามึงกลัวแค่ว่ามันจะเป็นความหวั่นไหว เพราะว่ามึงเพิ่งเลิกกับแฟนมาว่างั้น”
“อือ ใช่” ผมยกเจ้ามินเนี่ยนที่ได้มาครั้งก่อนขึ้นมากอดไว้แนบอก
“ไป๋ มึงว่ากูหล่อป่ะ?” คำถามแปลกหลุดออกจากปากไอ้ยีนส์ทำเอาผมไม่รู้ว่าจะตอบไปอย่างไร ก่อนตัดสินใจตอบคำถามไปตามความจริง
“...ก็หล่อนะ”
“บ้านกูมีตัง แม่กูก็เอ็นดูมึง อันนี้มึงรู้ใช่ป่ะ?”
“อื้อ รู้ดิ”
“เทียบกูกับคนนั้นใครดูแลมึงดีกว่ากัน?” พอมาถึงข้อนี้สมองก็ต้องใช้ระยะเวลาในการประมวลผล และรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆออกมาเพื่อเทียบเคียง
เมื่อก่อนตอนมาหอใหม่ๆ แล้วป่วยกระทันหัน ไอ้ยีนส์ก็เป็นคนลงไปซื้อยากับซื้อโจ๊กให้
เมื่อก่อนรวมถึงตอนนี้ ถ้าไม่เข้าใจเนื้อหาวิชาอะไร ไอ้ยีนส์ก็เป็นคนอธิบายให้
เมื่อก่อนสัปดาห์ไหนที่ผมต้องอยู่หอคนเดียว วันอาทิตย์ตอนเย็นมันก็มักจะหอบขนม ผลไม้จากแม่มันมาให้เสมอ
และเมื่อก่อนตอนที่ผมอกหักก็มีมันอีกเนี่ยแหละที่ต้องปลุกสติ และลากผมให้ไปเรียน
“ดีพอๆกันเลยว่ะ”
“แล้วถ้าเป็นกูที่บอกว่าจะขอจีบมึงอ่ะ มึงจะรู้สึกยังไงวะ?” ถ้าเป็นไอ้ยีนส์น่ะเหรอ...
“ก็คงรู้สึกแปลกๆมั้ง”
“ทำไมอ่ะ?”
“เพราะมึงเป็นเพื่อนสนิทกูไง”
“แต่มึงกลับให้คนนั้นจีบโดยไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“...” รู้สึกเหมือนกำลังจะสำลักก้อนแห่งความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในลำคอ เพราะคำถามไล่ต้อนจากคนที่กำลังให้คำปรึกษา
ย้อนกลับไปในวันที่เราสองคนนอนอยู่ข้างกัน ในวันนี้คนๆนั้นพูดจาในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าวันนึงผมจะได้ยินออกมา ผมมีแค่ความรู้สึกตกใจ แต่ไม่รู้สึกว่ามันแปลก
“ถ้ามึงหวั่นไหวเพราะโดนบอกเลิกมาจริงๆ…”
“…”
“คนที่มึงจะรู้สึกหวั่นไหวด้วยเป็นคนแรกต้องเป็นกู .. ไม่ใช่มัน” รูมเมทจากเดิมที่เคยนั่งห่างกันโดยมีทางเดินกั้น แต่ตอนนี้กลับเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างผม สมองกำลังประมวลคำพูดล่าสุดของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องรู้สึกเอะใจขึ้นมา เดี๋ยวนะ...
“เมื่อกี๊มึงเรียกเขาว่ามัน...มึงรู้เหรอว่าเป็นใคร” ผมหันไปมองหน้าอีกคนแบบต้องการคำตอบ และภาวนาไม่ให้เป็นอย่างในสิ่งที่ผมคิด
“ก็ไอ้พิวไง จะเป็นใครไปได้ล่ะ” ความรู้สึกเหมือนโดนของหนักๆกระแทกจังๆเข้าที่ท้ายทอย ก่อนจะยกมือขึ้นมากุมศีรษะอย่างคิดไม่ตก
“แสดงออกซะชัดเจนขนาดนั้น ไม่รู้ก็เหี้ยละ” คิดตามคำพูดของอีกคนแล้วก็ต้องยอมรับว่ามันจริง ทั้งเตี๊ยมกันให้ได้ปรับความเข้าใจกับผม ไหนจะช่วงนี้จะเริ่มแยกตัวไปด้วยกันบ่อยขึ้นซึ่งต่างจากเมื่อก่อนอีก
“นอกจากมึงมีใครรู้อีกป่ะวะ?”
“น่าจะมีแค่กู....” ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รู้แค่ไอ้ยีนส์...ก็ยังดีกว่าล่ะวะ
“สุดท้ายละ กูวานอะไรมึงอย่างดิยีนส์”
“อะ ว่ามา”
“ลูบหัวแล้วสบตากับกูสักนาทีได้ปะวะ”
ผมสูดหายใจเข้า เอ่ยขอร้องอีกคนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง...ให้มันรู้ดำรู้แดงกันวันนี้ไปเลย
ก่อนที่ยีนส์จะหันหน้าตรงเข้ามา แล้ววางมือหนานั่นบนศีรษะ พร้อมลูบตามเส้นผมไปมา ประกอบกับสองสายตาของเราที่กำลังจดจ้องซึ่งกันและกันอยู่ด้วย จนกระทั่งฝ่ายนั้นจะยกมือออกเพราะครบตามกำหนดที่ตกลงกันไว้
“เป็นไง ต่างกันยังไงบ้างไหนบอกหมอสิ?” เผลอหลุดยิ้มให้อีกฝ่ายทันทีหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น ไอ้ยีนส์มันเป็นเพื่อนที่เหมือนพ่อคนนึงจริงๆนั่นแหละ...
“ก็รู้สึกเพลิน แต่ไม่ได้เคลิ้มเหมือนเขา”
“แล้ว...”
“มึงลูบแล้วใจเต้นเท่าเดิม แต่เขาลูบแล้วแรงเหมือนใจจะหลุดออกมา”
“แล้ว...”
“ของมึงให้ลูบสามนาทีก็เฉยๆ แต่ของเขาสามวิฯก็ต้องหลบหน้าแล้ว”
“ทำไมวะ?”
“...ก็กูเขินอ่ะ” ก้มหน้าตอบเสียงกระอ้อมกระแอ้มแทนการสบตาตรงๆเช่นก่อนหน้านี้
“คอนเกรตนะไป๋”
“อะไรวะ?”
“...มึงชอบเขาไปแล้วเต็มๆเลย” จากนั้นเจ้าของคำพูดก็ใช้ฝ่ามือตบลงมาบนบ่าผมเบาๆสองสามที ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน ทิ้งให้ผมเผชิญกับสิ่งที่ก้องไปมาในหัวกับห้องมืดๆคนเดียว
“เอ้อ..”
“หือ?”
“..มินเนี่ยนบนหัวเตียงมึงน่ารักดีนะ”
(มีต่อ)
-
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้กว่าผมจะข่มตาลงได้ก็ปาไปเกือบสว่างแล้ว ดังนั้นการเรียนในวันนี้เลยเป็นไปอย่างหลับตาบ้างลืมตาบ้างอย่างเช่นในตอนนี้
“ไป๋ ลืมตาขึ้นมาฟังอาจารย์ก่อนเร็ว”
“ของีบแปป” ตอบกลับเสียงในลำคอให้ไอ้พิวที่ตั้งแต่ได้ย้ายที่นั่งในวันนี้ มันก็เลยย้ายมานั่งที่ข้างผมแบบถาวรในที่สุด
“งั้นเอาชีทมาเดี๋ยวจดให้”
“อือ ขอบใจ” ผมส่งชีทเรียนวิชาฟิสิกส์2 ให้อีกฝ่ายแบบไม่อิดออด ก่อนจะคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเรียนเพื่องีบได้อย่างสบายใจ
“วันนี้พอแค่นี้ครับ”
สิ้นเสียงอาจารย์สอนฟิสิกส์ร่างท้วมก็เดินออกจากห้องไปแทบจะทันทีในตอนที่ประกาศเลิกคลาส และเพราะวันนี้ไม่มีการเรียนการสอนของวิชาสังคมและอังกฤษในช่วงบ่าย เพราะเป็นวันสำคัญของทางมหาวิทยาลัย จึงทำให้พวกเรามีเวลาว่างกันอย่างเหลือเฟือในวันนี้
“พวกมึง ไปตีแบตกัน” เป็นเสียงของเพื่อนครามผู้รักสุขภาพดังขึ้นเอ่ยชวนทุกคนให้ไปออกกำลังกายด้วยกัน
“ไปดิ กูอยากออกกำลังกายด้วยพอดี บ่ายนี้เลยป่ะล่ะ ว่างๆ” ทั้งไอ้ก๊าซ ไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่ ที่เออออเห็นชอบไปด้วยกัน แต่ผมตัดสินใจเซย์โนให้ในวันนี้ ถึงจะเป็นกีฬาในร่มและอากาศร้อนของเมืองไทยก็ทำให้สนามอบอ้าวพอสมควร ดังนั้นผมที่เกลียดอากาศร้อนเป็นทุนเดิมเลยเลือกที่จะกลับไปนอนที่ห้องอย่างสบายใจดีกว่า
“ไป๋ ไปไหนป่ะ?” ในตอนแรกเราเดินออกมาพร้อมกันทั้งหมดเก้าคน โดยเจ็ดคนที่เหลือได้โดยป้ายยาเกี่ยวกับสรรพคุณของการออกกำลังกายว่ามันส่งผลดีอย่างไรต่อร่างกายบ้าง เลยตกลงปลงใจจะไปตีแบตกันทั้งหมด จึงทำให้เหลือผมและพิวอยู่สองคนที่บอกปฏิเสธ และช่วงบ่ายไม่มีแพลนจะทำอะไร
“ว่าจะกลับหอไปนอนอะ” ผมตอบไปตามความจริงที่คิดไว้
“งั้นไปห้างเป็นเพื่อนหน่อยดิ ว่าจะไปซื้อของเข้าหอ”
“เออ ไปดิ”
จากนั้นผมก็ได้กลับขึ้นมาบนรถของเจ้าตัว มุ่งหน้าสู้ห้างที่ใกล้มหาลัยที่สุดทันที บรรยากาศบนรถไม่ต่างจากวันก่อนๆมากนั้น รวมทั้งเจ้าของที่เปิดเพลงเบาๆคลอไปด้วย มันพาให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเลยทีเดียว
ฉันเคยอยากลองเป็นพระจันทร์
ลอยขึ้นฟ้าสักวัน ได้งั้นคงดี
พบเธอจึงเข้าใจได้ทันที
บนท้องฟ้า มีแต่ฟ้า ไม่มีของดี
“...เพลงโปรดมึง”
“รู้ดีจังเลยนะ” คำพูดของร่างบางทำเอาพิวต้องยิ้มออกมา เขารู้นิสัยอีกคนพอสมควรจึงทำให้รู้ว่าคำที่เอ่ยออกมาเมื่อกี๊ไม่ได้มีเจตนาหรือสื่อไปในทางประชดประชัน แต่ไป๋มันชอบพูดในตอนที่ตัวเองไปไม่เป็นต่างหาก
“อยู่บนน้าน มีแค่ดาวกับฟว้า” ทันทีที่เนื้อเพลงดำเนินมาเรื่อยมาถึงท่อนกลาง เสียงโหวกเหวกโวยวายจนเกินที่จะเรียกว่าเสียงร้องเพลงก็กระหึ่มไปทั่วทั้งรถ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูและเสียงหัวเราะจากผู้เป็นสารถีได้อีกรอบ
“ฮ่าๆ ฝึกไว้ใช้กับตอนคลอดลูกเหรอวะไป๋”
“พ่อง” พลันร่างบางปิดปากฉับ แต่ก็ยังมิวายหันไปสบถใส่คนที่บ่อนทำลายความมั่นใจของตนเอง
และแล้วตอนนี้พวกเขาก็ได้มาถึงห้างที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้วเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองนัดแนะไปทานข้าวกันก่อนจะไปซื้อของใช้ตามความต้องการของร่างสูงในการมาครั้งนี้
ระหว่างทางเดินไปหาร้านอาหารมื้อเที่ยง คนตัวขาวที่เดินนำอีกคนไปหลายก้าวด้วยความหิว เพราะด้วยการจราจรที่ติดขัด ทำให้กว่าจะมาถึงก็เลยเวลาทานข้าวปกติไปเป็นชั่วโมงแล้ว สองเท้าก้าวยาวๆเพื่อจะได้ถึงร้านอาหารที่อยากกินเร็วๆ ฝ่ายคนขี้แกล้งก็รีบเร่งความถี่ในการเดินให้เท้าอีกฝ่าย แล้วก็จัดการแกล้งด้วยการส่งมือไปเกาะกุมมือของร่างบางที่มัวแต่มองทางจนไม่ทันได้สังเกตทันที
“เชี่ย มึงแม่ง กูตกใจหมด” เป็นไปตามคาดทันทีที่อีกคนสัมผัสได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือของพิวก็ต้องสะบัดอย่างแรง จนมือของทั่งคู่หลุดจากกันไป
“ไหนๆก็เคยจับมือกันละ ขอจับอีกนานๆเลยไม่ได้เหรอ?” พิวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนจงใจปั่นป่วนอีกฝ่าย
“อย่ามาลามปามไอ้สัส ถึงร้านแล้ว รีบเข้า กูหิว”
เมื่อทั้งสองเสร็จสิ้นจากการทานอาหารมื้อกลางวัน โดยมีพิวเป็นคนออกค่าอาหารให้ทั้งหมด แม้ไป๋จะยืนยันจะออกในส่วนของตัวเองเองมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีผลกับอีกคนเลย จึงต้องจำยอมปล่อยให้ร่างสูงจ่าย และออกปากขอเป็นคนเลี้ยงในมื้อหน้าแทน
ทันทีที่เดินออกจากร้านมาร่างบางก็หยุดยืนหน้าร้านเดิมเพื่อไถ่ถามร่างสูงที่กำลังเดินตามมาไม่ห่าง
“ไปไหนต่อป่ะ?”
“อยากไปไหนอะ?” ร่างสูงตอบกลับด้วยคำถาม
“ดูหนังแมะ เรื่องที่อยากดูเพิ่งเข้าพอดีเลย” ไป๋หันไปเลิกคิ้วถาม ก่อนที่อีกคนจะก้มลงมองนาฬิกาตนเองแล้วขมวดคิ้วเล็กๆ
“เพื่อนนัดเตะบอลไว้ห้าโมงว่ะ กลัวกลับไม่ทัน ไว้วันอื่นดีกว่า”
“อื้อ ไม่เป็นไร”
“ไม่ว่างจริงๆอะ เดี๋ยววันหลังพามาใหม่” แรงบีบที่แก้มจากคนตัวสูงกว่า ทำเอาแก้มขาวๆนั่นขึ้นรอยแดงทันทีที่เจ้าตัวออกแรง ก่อนจะโดนแรงปัดจากคนตัวเล็กไปอีกรอบ
“ไม่ได้โกรธสักหน่อย” ไป๋เอาแต่ลูบแก้มตัวเองด้วยความเจ็บป้อยๆ เป็นปกติเขาคงด่าว่าเล่นอะไรไม่รู้เรื่องไปแล้ว แต่ติดที่เพิ่งโดนเลี้ยงข้าวมาเลยให้อภัยหรอก
“ป่ะ งั้นไปซื้อของกัน” ไม่ทันได้ให้คนตัวเล็กพูดตอบรับอะไร ก็โดนแรงลากดึงให้เดินข้างๆกันแบบที่ดิ้นไม่ออกทันที
จนตอนนี้ทั้งคู่ได้มาถึงยังซุปเปอร์มาเก็ตที่ชั้นหนึ่งของห้างแล้ว โดยมีร่างบางอาสาเข็นรถให้อีกคนได้เลือกซื้อของอย่างถนัด พวกเขาเดินลัดเลาะไปต่างแผนกต่างๆ ตั้งแต่โซนของสด ของใช้ ขนมขบเคี้ยวและรวมไปถึงของมึนเมาต่างๆ ทำให้ของในรถเข็นก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตามระยะทางที่เดิน
“เหลืออะไรอีกวะ แฟ้บซื้อแล้ว น้ำเปล่าซื้อแล้ว อ๋อ เหลือยาสระผม” ว่าจบก็เดินนำตรงไปยังชั้นจุดขายทันที จัดการเลือกยี่ห้อ เลือกกลิ่นเรียบร้อยก็โยนลงรถเข็นเช่นเดิม
“เรียบร้อยแล้ว มึงไม่ซื้ออะไรเหรอ?”
“ไม่อะ ยังไม่หมดเลย” ปกติแล้วพวกของใช้เขามักจะซื้อจากบ้านกลับมาใช้ทีหอเสียมากกว่า เพราะได้ใช้เงินของแม่ซื้อแล้วมันทำให้ประหยัดส่วนนี้ลงไปมาก
“ป่ะ งั้นคิดเงินเลย” คนตัวขาวพยักหน้ารับคำน้อยๆ ก่อนจะเข็นรถออกไปหาช่องคิดเงิน แต่ก็ต้องชะงักลง เมื่อคนที่เดินนำกลับหยุดแบบกะทันหัน
“เอ้า หยุดเดินทำไมวะ?”
“ดูนี่ก่อน” พิวว่าพร้อมหันไปสนใจชั้นวางสินค้าตรงหน้า ทำเอาอีกคนอดสงสัยจนมองตามไม่ได้
ไอ้เหี้ย ถุงยางหลากกลิ่น หลากขนาด หลากยี่ห้อเต็มๆตากูไปหมดเลย
“มึงว่าซื้อไอ้นี่ไปด้วยดีป่ะ?” ร่างสูงชูเจ้าขวดสีน้ำเงินทรงเรียวแปลกๆขึ้นมา หลังจากโกยถุงยางจำนวนมากลงมาเพื่อเตรียมชำระเงินแล้ว ไป๋ที่ได้แต่อึ้ง เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้กับผู้ชายมันเป็นของคู่กัน แต่การที่ซื้อเอาๆแบบนี้ มันก็สร้างคำถามในหัวได้อย่างมากมาย
“ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าซื้อไปใช้กับใคร...”
“…” พิวโยนเจ้าขวดนั่นลงรถเข็นตามมา ก่อนจะเดินเข้ามาประชิดตัวผมแย่งคันจับในมือไปเข็นเสียเอง จากนั้นก็ก้มลงกระซิบข้างหูให้เราได้ยินเสียงกันแค่สองคน
“ซื้อเอาไว้รอใช้กับมึงนั่นแหละ”
และแล้วในที่สุดภารกิจไปซื้อของกับไอ้พิวก็เสร็จสิ้นลง ลงท้ายด้วยการที่มีไอ้พิวเป็นคนขับรถมาส่งผมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหลังจากคิดเงินเสร็จผมก็ไม่ได้พูดด้วยอีกเลย
แม่ง ใครอยากจะไปใช้ถุงยางกับมึงกัน บ้าป่ะ
เดินขึ้นหอมาด้วยจิตใจอันปั่นป่วนเสร็จก็มาหยุดลงที่หน้าหอพร้อมหยิบกุญแจขึ้นมาไข ในใจคิดไว้ว่าป่านนี้ก็เกือบจะห้าโมงเย็นแล้วเมทของเขาน่าจะเล่นกีฬาเสร็จเป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่อไขเข้าไปก็พบกับห้องที่มืดและว่างเปล่า ไม่มีคนที่คิดว่าน่ากลับมาห้องแล้วอยู่เลย จัดการเก็บกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถ่ถามคนที่หายไปทันที
paipai : ยังไม่กลับอีกเหรอ?
Jeansss : เพิ่งออกจากห้องมาเนี่ย
Jeansss : ตอนบ่ายคอร์ดเต็ม
Jeansss : เลยได้ตอนห้าโมง
Jeansss :มีไรป่ะ?
paipai : อ่อเปล่าๆ นึกว่าเลิกแล้ว
paipai : จะได้ชวนไปแดกข้าวเย็น
paipai : นี่ไปกันหมดเลยเหรอ?
Jeansss : เออเจ็ดคนเหมือนเดิม
Jeansss : มึงมาป่ะ จะได้เป็นคู่พอดี
Jeansss : ออกกำลังกาย จะไม่อ้วน
paipai : พ่อง
Jeansss : :p
เงยหน้าขึ้นจากจอมาขึ้นมาระลึกคำพูดของร่างสูงที่เคยพูดไว้ในวันนี้ เดี๋ยวนะ ไอ้พิวมันบอกว่ามีเตะบอลตอนห้าโมงไม่ใช่เหรอ?
หรือว่าเตะกับเพื่อนคณะอื่น?
หรือว่าไอ้พวกนั้นไม่ได้บอกไอ้พิวว่าไม่ว่างแล้ว?
หรือเหตุผลอะไรก็ช่างแม่งเหอะ แล้วทำไมกูต้องเป็นหาข้ออ้างนู่นนี่มาเสริมด้วยวะ มันบอกไม่ว่างก็คือไม่ว่างสิ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว
แต่ในระหว่างที่กำลังจะล้มตัวนอนเล่นบนเตียง ก็ต้องกลับเข้าแอพแชทอีกครั้งเมื่อเห็นข้อความจากพี่รหัสที่ส่งเข้ามา
P.O.P : ไป๋ พรุ่งนี้เย็นว่างไหม?
paipai : เลิกเรียนห้าครึ่งอะ
paipai : พี่ป็อปมีอะไรป่าว
P.O.P : เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงสาย
P.O.P : มาช้าอดนะเว้ย บอกก่อน
paipai : บอกเลยเรื่องกินไป๋ไม่พลาด
paipai : ที่ไหน กี่โมงว่ามาเลยพี่
P.O.P : ร้านซูโม่ หน้ามอ หกโมง
P.O.P : อย่าเลทนะ ไปกันหลายสาย
paipai : รับทราบครับผม
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*
ผมก็ต้องกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง เมื่อพอรู้ว่าพรุ่งนี้พี่รหัสจะพาไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างแบบฟรีๆ ลืมเรื่องก่อนหน้าที่เกี่ยวกับไอ้พิวไปแล้วหมดสิ้น นอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บนเตียงให้เรื่องกินพร้อมจิ้มหน้าจอสมาร์ทโฟนเข้าไปเช็คตามแอพนู้นนี่อย่างสบายใจ เพื่อรอเวลากินข้าว โดยที่ไม่คิดอ่านหนังสือแม้ว่าตีนจะเฉียดเอฟมากแค่ไหนก็ตาม
เดี๋ยวรอให้ไอ้พิวสอนให้คงเข้าใจแหละมั้ง...
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ตอนหน้ามีทอล์กเล็กน้อยฮะ
ปล.เรารอฟีดแบ็กอยู่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะคะ ; --- ;
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา
(◕‿◕✿)
-
สนุกดีจ้า แอบอ่านเงียบๆ มาเม้นตอนนี้ให้กำลังใจนักเขียนจ้า ^^
-
chapter ten。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“ไอ้ไป๋ แดกให้อิ่ม แดกไม่อิ่มกูไม่จ่ายเงินให้นะเว้ย”
“โห พี่ป็อประดับนี้แล้ว บอกเลยว่าไม่เหลือ”
เสียงเอะอะโวยวายจากนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์สิบกว่าชีวิตที่กำลังตื่นเต้นกับของกินตรงหน้า ก่อนจะเงียบลงเพราะพร้อมใจตักอาหารเข้าปากกันเสียหมด .. วันนี้เป็นการเลี้ยงสายของพี่ปีสองที่มักจะนัดกันมาเป็นกลุ่มใหญ่แล้วเลี้ยงน้องพร้อมกัน
พวกพี่ตกลงแบ่งเตาปิ้งย่างกันตามชั้นปี เพื่อให้น้องได้นั่งคุยกันตามสบาย โดยนั่งกันสี่คน ซึ่งเป็นของน้องปีหนึ่งไปแล้วถึงสองเตา ส่วนอีกสองเตาก็เป็นของเจ้ามือปีสองที่นั่งไม่ห่างกัน
โดยเพื่อนปีหนึ่งที่มาเลี้ยงสายในวันนี้ก็มีทั้งคนที่ผมสนิทบ้างยังไม่ค่อยสนิทบ้างคละกันไป ซึ่งสองในแปดของคนที่ผมค่อยข้างสนิทนั้นก็ประกอบไปด้วย ไอ้ยีนส์และไอ้สมุย นั่นเอง ทำให้โต๊ะของเรามีสมาชิกเป็น ผม ไอ้ยีนส์ ไอ้สมุยและมีไอ้เติ้ลนักบาสของคณะเข้ามาแจมด้วย
ทันที่ตกลงแบ่งโต๊ะกันเรียบร้อย เราก็เดินไปตักอาหารทั้งอาหารสดและสำเร็จรูปกันมาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา บทสนทนาบนโต๊ะเป็นไปอย่างสนุกสนาน หัวข้อเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยทั้งเรื่องเรียน เรื่องกีฬา เรื่องเกมส์ หรือแม้กระทั่งเรื่องความรักกุ๊กกิ๊กตามประสา
“ไอ้เติ้ลได้ข่าวมึงกิ๊กกับหลีดแพทย์อ่อ?” ในระหว่างที่พวกเรากำลังปิ้งหมูลงบนเตาด้วยความหิวโหย ไอ้สมุยที่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ ก็ทำเอาพวกเราทุกคนต้องหันไปสนใจไอ้เติ้ลเพื่อรอคำตอบด้วยกันทั้งหมด
“เออ ชื่อข้าว...เป็นไงน่ารักป่ะล่า?”
“เหยดเขร้ มึงแม่งทำได้ไงวะ” ผมเผลอหลุดอุทานออกมาหลังจากรู้ว่าเรื่องที่ลือกันเป็นความจริง เพราะหลังจากที่ผมเคยเห็นตอนเดินสวนกันผ่านๆแล้วก็บอกได้เลยครับ ว่าข้าวเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก แต่ด้วยความที่เธอเรียนในคณะแพทย์ก็ทำให้บุคลิกของเธอดูเข้าถึงยากไปโดยปริยาย
“เจอกันตอนแข่งบาสกับหมอแล้วเขามาเชียร์คณะเดียวกัน” สิ้นประโยคก็เรียกเสียงแซวจากเพื่อนปีหนึ่งด้วยกันที่แม้จะนั่งคนละโต๊ะได้เป็นอย่างดี
“ว่าแต่พวกมึงเถอะ ยังไม่มีแฟนกันอีกเหรอวะ?” ประโยคคำถามของเติ้ลว่าขึ้นแบบไม่เจาะจงบุคคล ซึ่งทำเอาใจผมหายแวบอย่างไรสาเหตุ
“กูยังไม่อยากมี ส่วนไอ้ไป๋ยังไม่พร้อมมีใครว่ะ” เป็นเสียงไอ้ยีนส์ที่ตอบขึ้นแทนผม นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ไล่ถามจี้ผมอย่างที่คาดไว้
“แล้วมึงอ่ะสมุย เพื่อนมึงจะทิ้งมึงไปมีเมียหมดแล้วนะ”
“ใครจะทิ้งไปมีเมียอีกอะ กลุ่มกูมีแค่ไอ้เคนคนเดียวเองที่มีแฟน” ตะเกียบในมือสมุยที่กำลังจะคีบเนื้อเข้าปากกลับต้องชะงักให้กับประโยคกำกวมจากเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ก็ไอ้พิวไง วันนั้นตอนเย็นๆกูเห็นมันเดินอยู่ใต้คณะกับผู้หญิงคนนึงอยู่”
เกร้ง!
เสียงตะเกียบในมือผมหลุดลงกระแทกกับขอบถ้วยตรงหน้าเกิดเป็นเสียงขึ้นท่ามกลางความอึ้งของทุกคน โดยเฉพาะกับตัวผมเอง...
“เชี่ยเอ้ย นั่งหน้าเตาโคตรร้อน เหงื่อออกเต็มมือหมดแล้วเนี่ย” ได้โอกาสก็รีบเฉไฉเปลี่ยนประเด็นให้สวนทางกีบความรู้สึกในใจของตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นรับรู้ถึงความผิดปกติในใจผมตอนนี้...
“เออ กูยังร้อนเลยเนี่ย” ต่างจากไอ้ยีนส์ที่รีบเออออไปตามคำพูดผม พร้อมเอื้อมมือจากใต้โต๊ะมาบีบที่ขาผมเบาๆ
กูโอเคเว้ย เรื่องแค่นี้ยังเชื่อทั้งหมดไม่ได้หรอก...
“ฮะ? ไอ้พิวอะนะ” สมุยว่าขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“เออจริงๆ เจอมันพร้อมผู้หญิง วันนั้นกูอยู่คณะซ้อมบาสตอนเย็นพอดี...”
“…” ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงเพื่อฟังเรื่องเล่าจากปากเพื่อนต่อ สวนทางกับเสียงงภายในอกของผมที่มันเริ่มจะดังขี้นไปเรื่อยๆ
“ตอนนั้นกูกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วต้องผ่านโต๊ะนั่งใต้คณะพอดี”
“ต่อเร็วๆสิวะ” เหมือนไอ้สมุยเริ่มรำคาญกับการเล่าเรื่องเหมือนเล่าเรื่องผีของไอ้เติ้ลอยู่แบบนี้
“ก็ได้ๆ กูเดินผ่านไปเจอสองคนนั้นกำลังนั่งงุ้งงิ้งๆกันอยู่พอดี พอกูทักหน่อยไอ้พิวแม่งบอกปัดเว้ย แต่มึงรู้ป่ะ ว่าผู้หญิงตอบกลับว่าไงรู้ป่ะ”
“แล้วตอบมาว่าไงอ่ะ?”
“คนพิเศษของพิวว่ะ”
“เหยดโด้ว เรื่องนี้ผู้หญิงเป็นคนพูดเองเลยว่ะ”
“แล้วผู้หญิงคือใครวะ?”
“ไม่รู้ว่ะ แต่โคตรของโคตรสวยอ่ะ”
“เชี่ยพิวแม่งซุ่มสัส ขนาดกูเป็นเพื่อนแม่งยังไม่บอกกูเลย” บทตอบโต้ของทั้งสมุยและเติ้ลยังดำเนินต่อ โดยมีทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ให้ความสนใจกันอย่างมากมาย
ผมกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก วางตะเกียบแสร้งดื่มน้ำเพราะคงกินต่อได้ไม่มากแล้ว ในสมองตอนนี้มีแต่เรื่องของการชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ของเรื่องที่เพื่อนได้เล่ามา
“ไป๋จะกลับเลยไหม กูจะได้บอกพี่ให้ว่ามึงปวดท้อง” ยีนส์เอียงหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบให้ได้ยินกันสองคน ใจตอนนี้แม้อยากจะกลับหอมากแค่ไหน แต่เมื่อมองนาฬิกาที่เวลาผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงก็ต้องส่ายหัวปฏิเสธ เพราะความเกรงใจเพื่อน แม้หากเขาจะย้ำว่ากลับคนเดียวได้แค่ไหน อีกฝ่ายก็ต้องขอตามกลับด้วยแน่นอน และเขาก็ไม่ได้อยากยื้อแย่งความสุขไปจากเพื่อนรัก ดังนั้นเลยต้องจำใจนั่งพยายามฟังเรื่องต้นเหตุเพียงหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น
เพราะเขาจะต้องไม่เป็นคนที่ตีตนไปก่อนไข้ให้เสียความรู้สึกดีๆที่เคยมีมา...
ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากร้านปิ้งย่างและได้กลับมาถึงหอในที่สุด ร่างของรูมเมทที่กำลังนั่งอ่านหนังสือสังเกตเห็นเพื่อนของตัวเองทั้งจะนั่งหรือจะนอนอย่างไรก็ไม่เป็นสุข ต้องลุกขึ้นมาสไลด์โทรศัพท์ในทุกๆนาที
“ไม่สบายใจก็ไลน์ไปหาเขาเถอะว่ะ”เพราะเขาเองก็เริ่มทนอาการกระวนกระวายของเพื่อนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
“กูไลน์ไปแล้ว แต่แม่งไม่ยอมตอบอ่ะ ปกตินี่ไม่เคยเกินห้านาที” ยีนส์ยกยิ้มให้อาการของไป๋ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้อย่างรู้ทัน แต่เหมือนว่าจะมีแต่อีกฝ่ายเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ตัวเอาซะเลย
“เมื่อก่อนมึงไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยวะ?”
“ตอนไหนของมึง?”
“…ก็ตอน” ยังคบกับแฟนคนเก่าอยู่ไง แต่ยังไม่ทันได้ให้พูดคำในใจออกไป ร่างบางก็เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดได้เป็นอย่างดี กลืนก้อนเหนียวลงคอก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ข้องใจ
“แล้วเมื่อก่อนกูเป็นไงวะ?” ไป๋ถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวกับจะปฏิเสธสิ่งที่ตนกำลังคาดเดาอยู่ในตอนนี้
“จะให้กูพูดจริงๆเหรอ...”
“…อือ มึงพูดเลย”
“กูอยู่กับมึงแทบ 24 ชั่วโมง วันๆคนเป็นแฟนบ้าอะไรแทบไม่ไลน์หากันเลยวะ...ข้าวนานน้านทีถึงจะไปกินด้วยกัน บางวันเขาชวนมึงไปปั่นจักรยาน มึงก็บอกไม่ไปจะอยู่ห้อง เสาร์อาทิตย์ก็อย่าหวังเพราะมึงกลับบ้านแทบทุกอาทิตย์”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ...”
“แล้วมึงรู้ป่ะว่าสายตาตอนที่มึงใช้มองแฟนเก่ากับใช้มองไอ้พิว ในความรู้สึกคนนอกอย่างกูอะนะ...”
“…”
“แม่ง โคตรแตกต่างกันเลยเว้ย”
“ต่างกันยังไงวะ?” ผมถามกลับแบบไม่ได้จงใจจะกวนหรือยอกย้อนอย่างใด
“ตอนมึงมองคนเก่า มันเป็นสายตาของความเอ็นดูอ่ะ แต่จะมีเขาหรือไม่มีก็ได้”
“แล้วตอนนี้อ่ะ?”
“ตอนนี้เวลามึงมองไอ้พิวก็...ทั้งสับสน ทั้งรู้สึกดี แล้วมึงก็เริ่มขาดมันไม่ได้ละ”
“ม-มึงรู้ได้ไงวะ” ผมต้องตาโตขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินในไอ้ยีนส์คิดและได้พูดออกมา
“กูเดา”
“โถ่ ไอ้สัส” สบถอย่างนึกเสียดาย แต่ก็โล่งอกที่ผมมักไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้น
“ถึงเรื่องไอ้พิวกูจะเดา แต่เรื่องของแฟนเก่ามึงกูคิดอย่างนั้นจริงๆนะ”
“…”
“เออ กูไม่ยุ่งละยังไงมึงก็ต้องเป็นคนตัดสินใจอยู่ดี” มันว่าแล้วหันกลับไปสนใจกองหนังสือสอบไฟนอลที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนข้างหน้า
ตัดสินใจวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะหยิบแบบฝึกหัดที่เคยทำค้างไว้ขึ้นมาคิดต่อ แต่ยังไม่ทันให้คิดเลขได้ถึงไหน สมองไม่รักเรียนเท่าที่ควรจะเป็นก็กลับมาคิดเรื่องที่ไอ้ยีนส์ได้พูดไว้เหมือนกี๊
เมื่อก่อนกูทำกับแฟนเก่าอย่างนั้นจริงเหรอวะ?
คิดย้อนไปยังตอนที่เพิ่งขึ้นปีหนึ่งมาใหม่ๆ ชีวิตของผมวันหนึ่งวนอยู่แต่กับการใช้ชีวิตอยู่กับพวกเพื่อนๆ เช้าตื่นก็ไปเรียนพร้อมกับไอ้ยีนส์ กลางวันกินข้าวพร้อมกันทั้งห้าคน ตกเย็นส่วนใหญ่ก็มักจะไปกินข้าวกับเพื่อนตลอด แต่ก็จะมีบางครั้งที่โดนชวนให้ไปกินข้าวด้วยกันสองต่อสอง ซึ่งผมก็ไม่เคยขัดข้องอยู่แล้ว ในบางอาทิตย์ที่เลือกจะอยู่หอ เราก็มักจะนัดหมายกันออกไปเที่ยวบ้าง ไลน์วันนึงก็แทบไม่ได้แชทหา แม้จะมีคอลหากันบ้างแต่ก็ไม่นานเป็นชั่วโมงเหมือนคู่รักคู่อื่น
ทันทีผมก็ได้เข้าใจเหตุผลในการที่เธอตีตัวจากไป...ความไว้ใจที่มากไปของผม ถูกละเลยกลับกลายเป็นการไม่ใส่ใจ และการไม่ใส่ใจของผมนี่เองอาจเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ความรู้สึกที่ไม่ดีและตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์ลง โดยที่ผมไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย...
ครืด ครืด
การสั่นของโทรศัพท์บนพื้นโต๊ะ พร้อมหน้าจอที่สว่างขึ้นด้วยข้อความแจ้งเตือน ทำเอาผมหันเหความสนใจจากโจทย์ตรงหน้าไปให้ข้อความที่ถูกส่งมาแทน
paipai : ฮัลโหล ทำไร อยู่ไหน
paipai : มีอะไรจะถาม
paipai : ตอบช้าสัส
just pew : คิดถึงเหรอ555
just pew : เพิ่งถึงหอ เหนื่อยมากอะ
paipai : เตะบอลมาอีกแล้วเหรอ?
just pew : อื้อ
just pew : มีอะไรจะถามเหรอ ว่ามาเลย
คำถามที่มีในตอนแรกกลับหายแวบไปในกับตา จากมือที่เคยรัวพิมพ์ข้อความบนแป้นกลับต้องชะงักแล้วคิดไตร่ตรองอย่างหนักก่อนที่จะลงมือพิมพ์ข้อความอะไร
แต่ก็ต้องมาเอะใจในเมื่อครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะไปเล่นกีฬากับเพื่อน พิวกลับต้องมาบอกเขาก่อน ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่ได้ขอแม้แต่น้อย คิดได้ดังนั้น ว่าในเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาเป็นหนึ่งในคนสำคัญ เป็นหนึ่งในคนที่อยากจะบอกเรื่องราวที่เจอมาในวันๆนึงด้วยแล้ว เหตุไหนเขาถึงต้องไม่เชื่อใจพิว...ไม่เชื่อใจในคนที่บอกว่าตัวเองจะไปทำอะไร ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องมาบอกให้รับรู้ก็ได้ แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะทำ
ถึงในอดีตเขาเพิ่งจะคิดได้ว่าตนเองบกพร่องในการละเลยความรู้สึกของอีกฝ่าย และเขาก็จะไม่นำมันมาใช้ในปัจจุบันให้ทุกอย่างกลับกลายเป็นแย่ลงอีกแล้ว
และถ้าหากเขาถามในสิ่งที่คาใจออกไป มันจะทำให้อีกคนรู้สึกแย่หรือไม่...แล้วทำไมเราต้องเลือกเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดขึ้นมาลอยๆมากกว่า เชื่อในตัวคนที่พยายามเข้ามาในโลกของเรา โดยที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ฉะนั้นในครั้งนี้เขาก็ขอเลือกที่จะปิดตาแล้วฟังในสิ่งที่พิวได้บอกเสียดีกว่าต้องมานั่งเสียใจในการกระทำของตนเองทีหลัง
ถึงเหตุผลจะฟังดูแปลก แต่อย่างไรเขาก็ยังเชื่อในคำพูดที่ว่า กฎข้อแรกในการเริ่มต้นความสัมพันธ์ใดใด คือการเชื่อใจ
just pew : อ้าวหาย
just pew : เมีย หนีไปตายแล้วเหรอ?
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
ตัดสินใจกดลบข้อความที่พิมพ์ค้างไว้ทิ้ง แล้วเลือกที่จะส่งข้อความที่พิมพ์ขึ้นใหม่ไปให้แทน
paipai : หาโจทย์เคมีที่จะถามอยู่
paipai : แปปๆ
paipai : *ส่งรูป*
จะว่าไปก็นึกขำในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่เหมือนกัน จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วก็กลัวอีกฝ่ายไม่เชื่อ เลยต้องแกล้งทำเป็นถ่ายโจทย์แบบฝึกหัดในวิชาที่ตนเองไม่ถนัดส่งไปแทน
อายตัวเองชิบหายเลยแม่งเอ้ย
just pew : อ่อ ข้อนี้กูก็เพิ่งทำไป
just pew : เดี๋ยวส่งให้ดู
just pew : *ส่งรูป*
just pew : สงสัยตรงไหนบอกเดี๋ยวอธิบายเพิ่มให้
paipai : อ๋อ เหมือนจะเข้าใจละ
paipai : แต๊งกิ้ว
just pew : อ่านหนังสือไปๆ
just pew : กูไปอาบน้ำแปป
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*
บางทีผมอาจคิดมากไปก็ได้...
❋❋❋
“เรียนเคมีอีกแล้วแม่ง” ผมบ่นอิดออดให้กับปึกชีทหนาเตอะด้านหน้า เนื่องจากวิชาที่สุดแสนจะไม่ชอบก็วนมาอีกจนได้
“เมื่อวานไปกินเลี้ยงกับพี่มาเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มจากคนด้านข้างที่ได้ยึดที่นั่งจนกลายเป็นที่ประจำดังขึ้นถาม ในขณะที่ตอนนี้แม้จะเลยเวลาเริ่มเรียนมาหลายนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นอาจารย์ว่าจะมีวี่แววมาสอนสักที
“ก็ดีอะ”
“อะไรวะ กูก็ไปไม่เห็นถามกันบ้างเลย” เป็นไอ้ยีนส์ที่นั่งอยู่อีกข้างที่ทักขึ้นมา
“อย่างมึงแดกแล้วท้องไม่แตกตายก็บุญแล้วไอ้ยีนส์”
“ไอ้สัส ปากดีจังวะ” ผมที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองก็ได้แต่นิ่ง มองทั้งคู่ปะทะฝีปากกันอย่างดุเดือด มันไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ...
“เฮ้ย อาจารย์มาแล้ว!!!” ยังไม่ทันให้ได้มีสัตว์ตัวอื่นหลุดออกมาข้ามหัวเพิ่ม เสียงตะโกนของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งที่ดังขึ้นทำเอาทั้งคู่ต้องระงับการฉะกันก่อนที่จะกลับมานั่งอย่างปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในระหว่างที่อาจารย์สอนเนื้อหาไปได้กว่าค่อนคาบ ก็เป็นปกติของผมที่มักจะมีอาการง่วงหนาวนอนเป็นธรรมดา นั่งสัปหงกบ้าง แอบเท้าคางหลับบ้าง ก็ยังรู้สึกง่วงอยู่ดี จนมาถึงช่วงท้ายคาบที่กำลังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะดีๆก็ได้ยินเสียงโห่ขึ้นมาจากเพื่อนรอบตัว
“อะไรวะ?” เงยหน้าขึ้นมาถามคนรอบตัว ก่อนที่จะได้รับคำตอบที่ทำเอารู้สึกสยองปนกังวลไปพร้อมกัน
“จารย์บอกจะควิซ/ควิซ!!!”
“เชี่ยยยย” อดไม่ได้ที่จะโหยหวนไปพร้อมเพื่อนกว่าร้อยชีวิตในคลาส แล้วกูจะเอาอะไรในสมองไปเขียนวะเนี่ย
“นักศึกษารบกวนนั่งห่างๆกันด้วยค่ะ” ทอดสายตามองแผ่นกระดาษอันว่างเปล่าที่กำลังรอแต่งเติมคำตอบจากโจทย์ที่อาจารย์กำลังจะฉายขึ้นให้อย่างสิ้นความหวัง
“ไป๋ๆ” ไอ้พิวกระซิบเสียงเบา พร้อมส่งซิกมาด้วยการชี้นิ้วลงบนกระดาษอย่างรู้กัน แต่ก็ลงท้ายด้วยการส่ายหัวรัวๆกลับไปให้ แล้วหันกลับมาสนใจโจทย์บนกระดานที่อาจารย์เพิ่งฉายขึ้นให้
ถึงผมมีโอกาส แต่ก็ไม่อยากใช้มันเอาเปรียบใคร...
สายตาไล่อ่านอักษรบนกระดานทีละคำ แต่เมื่ออ่านจบก็ต้องมานั่งทบทวนและพิจารณาดูอีกที นี่มันโจทย์ที่เมื่อคืนส่งไปถามไอ้พิวเลยนี่หว่า...ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจส่งไปให้อีกฝ่ายตั้งแต่แรก แต่ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาข้อนี้อยู่มาก เพียงแค่เปลี่ยนตัวเลขบางจุดเท่านั้น
หยิบดินสอขึ้นมาเขียนคำตอบที่พอจำได้พร้อมยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวในใจ ถือว่ายังมีความโชคดีในความโชคร้ายแล้วกัน...
“ควิซเคมีวันนี้แม่งโคตรอีซี่อ่ะ กูพูดเลย”
“อีซี่ให้ได้ตลอดนะอีไป๋” ผมยักไหล่ตอบกลับแบบหาได้แคร์ไม่ใส่คนนั่งเก้าอี้ร้านข้าวฝั่งตรงข้าม
ชีวิตมหาลัยของผมก็ไม่ค่อยมีอะไรมากอย่างคนอื่นเขา วันๆเรียนเสร็จก็ออกมาหาข้าวกินกับเพื่อนก็เย็นแล้ว กลับห้องไปก็อ่านหนังสือบ้างไถโทรศัพท์บ้างเล่นเกมส์บ้าง อาจมีบางวันที่ตอนเย็นๆจะนึกคึกแล้วออกมาวิ่งรอบมอ แต่ก็นานๆที ส่วนพวกกีฬาอย่างฟุตบอลหรืออะไรที่ชอบเล่นตอนมัธยมก็ไม่ค่อยได้แตะอีกเลย
“พวกมึงแดกอะไร กูจะได้เขียนสั่ง”
“กูเอาข้าวหมูผัดพริกไทยดำ อีไป๋แดกไร?”
“กูเอาข้าวผัดไก่กรอบ”
“เคร รู้เรื่อง” ยีนส์เขียนชื่อเมนูอาหารของทุกคนเสร็จก็ลุกออกไปส่งออเดอร์ข้าวทันที สวนทางกับร่างสูงสองคนที่มองไกลๆก็รู้ว่าเป็นใครกำลังเดินเข้ามาในร้าน
“อ้าว ไอ้เต้ ไอ้สมุย มานั่งด้วยกันไหม?” ผมเอ่ยทักทั้งสองคนนั้นก่อนชักชวนให้นั่งในโต๊ะเดียวกันตามมารยาท และสองคนนั้นก็มานั่งด้วยตามคาด ด้วยความที่โต๊ะเราเป็นโต๊ะยาวจึงสามารถรองรับคนได้เพียงพอ ทำให้อาหารในมื้อนี้ประกอบไปด้วยผม ตุลลี่ ยีนส์ เต้ และสมุย
“ทำไมวันนี้มากันแค่สองคนวะ?” ยีนส์หลังเดินกลับมาก็เอ่ยถามสองคนมาใหม่นั่นทันที
“เออ นั่นดิ แล้วพิวขาไปไหนอะ?” เสียงของไอ้ตุลลี่ดังเสริมขึ้นมา
“ไอ้เคนก็เหมือนเดิมอ่ะ...ส่วนไอ้พิวพักนี้ไม่ค่อยได้มากินข้าวด้วยกันเลย” ประโยคที่ว่าทำเอาผมใจกระตุกไปเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป
“ไม่ได้ไปเตะบอลด้วยกันหรอกเหรอ?”
“เตะบ้าอะไรของมึงไอ้ไป๋” กลายเป็นโดนไอ้สมุยตอกกลับมา
“อ้าว ทำไมอ่ะ?”
“สนามคณะเราเขาปิดปรับปรุงอยู่จะให้ไปเตะที่ไหน สนามคณะอื่นถ้าไปช้าก็เต็มหมดแล้ว”
“อ้าวเหรอ ฮ่าๆ” ผมแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนที่สายตาจะค่อยๆเลื่อนไปสบกับไอ้ยีนส์ที่เป็นฝ่ายมองมาก่อนอยู่แล้ว ผมเลยต้องทำเป็นยิ้มตอบกลับไปอีกทีเชิงว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่สมองตอนนี้กลับใช้เหตุและผลชั่งตวงความเป็นไปได้อย่างคิดไม่ตก
พิวบอกว่าจะอยู่คณะเตะบอลกับเพื่อน ความน่าจะเป็นข้อแรกเลยคือไม่ได้เตะกับพวกพิวและสมุยแน่นอน ส่วนข้อสองสำคัญที่สุดเพราะสนามบอลคณะตอนนี้ปิดปรับปรุงอยู่ก็ทำให้ใช้งานไม่ได้
ต่อมาเป็นเรื่องเล่าที่ได้ฟังจากเติ้ล ในตอนแรกเลือกที่จะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ถ้าตัดความเป็นไปไม่ได้ออกไป ทุกอย่างก็จะลงล็อคทั้งหมด...
“มันเคยบอกมึงเหรอว่าไปเตะบอล?” คราวนี้เป็นเสียงของไอ้เต้ถามกลับขึ้นมา
“อือ มันบอกเตะบอล เลยไม่ว่างติวให้”
“อ้าว ทำไมพิวขาบอกมึงแต่ไม่บอกพวกกูอะ” เสียงไอ้ตุลลี่ดังแทรกขึ้นมายังไม่ทันให้ผมได้พูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ
“ก็...มันบอกกูตอนช่วงเสาร์อาทิตย์ที่พวกกูอยู่ประชุม แล้วพวกมึงหนีกลับบ้านกันไง”
“อ๋อออออ” เสียงลากยาวของมันทำเอาผมต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เกือบไปแล้วไหมล่ะกู...
(มีต่อ)
-
❋❋❋
หลังจากทานข้าวเสร็จก็บอกลาเต้และสมุยเป็นที่เรียบร้อย เดินข้ามสะพานลอยกลับเข้ามอ ด้วยความที่เป็นช่วงหัวค่ำทำให้นักศึกษายังมีเดินให้เห็นบ้าง พวกเราเดินคุยกันมาเรื่อยๆจนมาถึงที่จอดจักรยานกัน
“มึงกูปวดขี้ว่ะ” ในขณะที่ผมกำลังก้มปลดสายล็อคโดยมีไอ้ตุลลี่กำลังยืนรอซ้อนท้ายอยู่ไม่ห่างนั้น มันก็เอ่ยปากพร้อมลูบขนแขนตนเองไปมา ทำเอาผมรู้สึกเหมือนเกิดอาการเดจาวูขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้ตุลลี่ มึงเอาอีกแล้วเหรอ?” ไอ้ยีนส์ถึงกับเงยหน้าจากสายล็อคเช่นเดียวกันผมแล้วหันหน้ามามองอย่างเอือมๆ
“เออน่า แวะคณะให้กูหน่อยแล้วกัน ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“เออ รีบขึ้นมา อย่าขี้แตกรดเบาะกูนะมึง”
และแล้วพวกเราก็ได้มานั่งใต้ตึกคณะช่วงหัวค่ำโดยมีไอ้ตุลลี่กำลังนั่งปลดทุกข์แบบเดิมเมื่อครั้งก่อนเด๊ะๆ ผมกับไอ้ยีนส์ต่างคนก็ต่างเล่นโทรศัพท์กันไปเพื่อรอเพื่อน แต่จู่ๆความทรงจำในหัวเมื่อครั้งก่อนกลับแล่นเข้ามาในหัว ล่าสุดที่คิดถึงเรื่องนี้คงเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วมั้ง แต่พอกลับมาอยู่ที่เดิม เวลาเดิม สถานที่เดิมแบบนี้ ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้อยู่ดี
“มึงว่าไอ้ตุลลี่จะออกจากห้องน้ำเมื่อไหร่วะ?” ไอ้ยีนส์ถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แต่มือก็ยังกดเกมส์ในจอไปพร้อมกัน
“กูว่าอีกประมาณสิบนาทีได้มั้ง” ผมว่าแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มสำรวจบริเวณแถวๆนี้ โชคดีที่วันนี้ยังมีพวกนักกีฬาซ้อมอยู่ในสนามบาสอยู่บ้าง บรรยากาศวันนี้เลยยังไม่วังเวงมากเท่าไหร่
พลางสอดส่องสายตาไปเรื่อยๆจนมาปะกับไอ้ยีนส์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามขอองโต๊ะหินอ่อนอยู่ในตอนนี้ มันยกนิ้วชี้ขึ้นมาจ่อที่ปากส่งสัญญาณให้ตั้งใจฟังเสียงรอบข้างดีๆ ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ พวกเราก็สามารถอนุมานขึ้นได้ทันทีว่าเจ้าของฝีเท้าที่ได้ยินต้องมากกว่าสอง เพราะจากเสียงที่พูดคุยกันก็แยกได้เป็นทั้งเสียงของผู้หญิงและเสียงของผู้ชาย
คุ้นจังเลย...
แต่ในขณะที่กำลังจะหันกลับไปมองเจ้าของต้นเสียงที่เหมือนเป็นคนรู้จักอยู่นั้น ก็ต้องชะงักลง เมื่อรับรู้ถึงแรงบีบที่ต้นแขนพยายามดึงให้ลุกจากเก้าอี้
“ไปไหนอะ?”
“หลบมานี่ก่อน” แม้จะงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมเดินตามอีกฝ่ายไปอยู่ดี แต่แล้วก็ต้องพบว่าที่ๆไอ้ยีนส์พามายืนนั้นเป็นบริเวณหลังต้นเสาใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่ได้เจอพลอยใสและไอ้เคนคราวนี้แล้วมาก จนผมคิดว่ามันเหมือนมากเกินไป
เอ๊ะ...หรือว่า
“นั่น ไอ้พิว”
ผมได้แต่ยืนตัวแข็งหลบอยู่หลังเสา เพราะเสียงทุ้มนั่นทำให้ผมมั่นใจได้เหลือเกินว่าเป็นพิวตามที่ยีนส์บอกจริงๆ สิ่งที่เติ้ลเคยได้เล่าให้ฟังสนับสนุนสิ่งตรงหน้าอย่างชัดเจน ตามเนื้อตัวเริ่มชาไปทีละส่วน แม้ว่าเลือกที่จะปิดตาลงอย่างคนขี้ขลาด สวนทางสมองกลับเอาแต่จดจำคำพูดของคนทั้งสองนั่นได้เป็นอย่างดี
“เค้าขอโทษนะพิว เดินเกือบถึงหน้ามอแล้วแท้ๆ ดันลืมสมุดต้องให้พิวกลับมาเป็นเพื่อนแบบเนี้ย”
“อือ ไม่เป็นไร เจอยังอะ?”
“เจอแล้วๆ เออว่าแต่ เมื่อไหร่พิวจะคืนไวท์บอร์ดเค้าสักที”
“จบไฟนอลก่อน เดี๋ยวเอาไปคืนให้”
ทันทีที่เสียงฝีเท้าเริ่มไกลออกไปสองขาที่ไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ก็ทรุดลงที่หลังเสานั่น ร่างบางอ่อนแอเกินกว่าจะหันไปรับรู้ภาพบาดตาเหล่านั้น มือขาวกุมหน้าราวกับไม่อยากให้คนอื่นเห็นสีหน้าของตนเองในเวลานี้
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้คิดไว้แล้วแท้ๆว่ายังไงเราสองคนก็คงเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ แต่นานวันเข้าทั้งการดูแล การเอาใจใส่ที่เขารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ จนคิดว่าตัวเองหวั่นไหวกับการกระทำของอีกฝ่าย สุดท้ายแล้วเขาเองนั่นแหละที่ตกหลุมรักอีกคนเข้าเต็มๆจนจุกอกไปหมดเสียแล้ว...
เขาเลือกที่จะเป็นคนตรงๆ เพราะเขาเกลียดการโกหก
เขาเลือกที่จะไว้ใจอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็อยากจะได้ความเชื่อใจกลับมา
แต่ในวันที่เขาเลือกแล้วว่าอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์นี้ต่อ ทุกอย่างในมันกลับพังลงมาไม่เป็นท่า
ปกติเขาก็ชอบฟังเหตุผลอีกฝ่ายก่อนตัดสินใจเสมอ แต่ในคราวนี้เขาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยที่จะปฏิเสธความจริงข้างหน้าไปหมด แต่ก็อย่างว่าเขาคงผิดเองที่ให้ความรู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป...
“อ้าว อีไป๋เป็นอะไรวะ?” ผมที่ไม่รู้ว่านั่งลงไปกองกับพื้นโดยมีไอ้ยีนส์คอยยืนลูบหัวปลอบใจอยู่ไม่ห่างเป็นเวลานานเท่าไหร่ จนกระทั่งตุลลี่ที่เพิ่งทำธุระเสร็จแล้วเดินออกมาเจอพวกเราในสภาพแบบนี้
“เสร็จแล้วก็กลับหอกันก่อน เดี๋ยวค่อยเล่า ตรงนี้ยุงมันเยอะ” และแล้วเราก็ได้กลับหอในสภาพที่ผมกลายมาเป็นคนซ้อนจักรยานโดยมีไอ้ตุลลี่เป็นคนปั่นให้แทน เราต่างคนก็ต่างเงียบกันมาตลอดทั้งทาง จนในที่สุดพวกเราทั้งสามคนก็ได้มารวมกันที่ห้องของผมจนได้
“อะ มันเกิดอะไรขึ้นเล่าให้กูฟังหน่อย” ตุลลี่พูดขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง หลังจากยืนมองผมที่หลังจากกลับห้องมาก็เอาแต่นั่งขัดสมาธิ ก้มหน้าบนเตียงนอนเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดเรื่องทั้งหมดไปอย่างไร
“ไอ้ตุลลี่ ถ้ากูเล่าไปแล้วมึงอย่าโกรธกูนะ”
“มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไง ถ้าเรื่องไม่ได้ร้ายแรงกูก็ไม่โกรธมึงหรอก” พูดแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม โดยมียีนส์ที่เลื่อนเก้าอี้จากโต๊ะตัวเองมานั่งอยู่ใกล้ๆด้วย
“กูชอบไอ้พิวว่ะ” และแล้วทั้งห้องก็กลับเข้าสู่สภาวะไร้เสียง จนคิดว่าตนเองจะหยุดหายใจอย่างกระทันหันไปเสียแล้ว
“เฮ้อ กูก็นึกว่าจะไม่บอกกันซะละ” เสียงทอดถอนหายใจจากคนที่นั่งข้างกันทำเอาผมกลับรู้สึกแปลกใจ
“...มึงรู้แล้วเหรอ?” ผมเอ่ยถามเสียงเบา ก่อนจะหันไปมองทางไอ้ยีนส์อย่างมีคำถามปรากฏอยู่มากมาย แต่เหมือนทางนั้นจะรู้เลยได้แต่ส่ายหัวรัวๆกลับมา
“ไม่รู้ก็บ้าแล้วอีไป๋ อาม่าสายตาไม่ดีมองมาจากดวงจันทร์ก็รู้ว่าพวกมึงเป็นอะไรกัน”
“เฮ้ย พวกกูยังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“แต่พวกมึงก็ชอบกันไปแล้วปะวะ”
“...อือ ขอโทษนะ”
“ขอโทษกูทำไม กูหวีดพิวขาเพราะเขาหล่อ แต่กูไม่ได้อยากได้เขามาเป็นผัวขนาดนั้น”
“เอ้า...” กูก็กลัวมึงจะโกรธหาว่ากูไปแย่งผัวมึงได้ตั้งนานสองนาน
“จบๆเรื่องกู แล้วก็เล่าเรื่องของมึงมาได้แล้ว สรุปว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไง?”
หลังจากนั้นร่างบางก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่เรื่องจดหมาย เรื่องที่พิวขอจีบ และอีกมากมาย แต่ก็เลือกที่จะข้ามในบางช่วงที่มันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกไปบ้าง เล่าต่อมาเรื่องๆจนกระทั่งถึงในเรื่องของวันนี้ที่เขานั้นได้ไปเจอกับเหตุการณ์ที่ตอกย้ำในสิ่งที่ตนเองเคยได้ยินมา แต่กลับเลือกที่จะไม่สนใจ จนมาเจอกับตัวเองเข้าจังจังแบบนี้ ทางด้านคนรับฟังทั้งสองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเพื่อนตนเองด้วยความเห็นใจ
“อียีนส์ มึงเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นใช่มะ?”
“อือ เห็น” คนตัวสูงที่กำลังนั่งบนเก้าอี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“แล้วสวยป่ะ?”
“สวยเลยแหละ” แม้หลังจากที่ได้ระบายความในใจของเขาให้เพื่อนๆฟังทั้งหมดก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แต่พอได้ยินคำตอบจากยีนส์แบบนี้แล้ว ก็กลับกลายเสียว่าจิตใจของเขาเริ่มกลับมาห่อเหี่ยวเสียเอง
“ไป๋ แล้วมึงจะเอายังไงต่อวะ?”
“ปล่อยไว้สักพักแล้วกัน ยังไม่อยากคุยว่ะ”
“ทำไมวะ? ปกติเห็นมึงทะเลาะกับใครเห็นมึงวิ่งโร่เข้าไปขอคุยด้วยทุกครั้งอะ”
“...ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เหนื่อยมั้ง”
“เออๆ แต่ถ้าไม่สบายใจเมื่อไหร่มึงต้องมาบอกพวกกูทันทีเลยนะ”
“อืม มึงก็กลับห้องไปอาบน้ำได้แล้ว” ผมแกล้งผลักหัวเจ้าคนจู้จี้ไปหนึ่งที ก่อนจะได้รับกลับมาเป็นความแรงแบบเท่าตัว เราเล่นกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวกัน
แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะล้มตัวนอนสายตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นการแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นแสดงบนหน้าจอจากโทรศัพท์ที่กำลังชาร์ตแบตอยู่หัวเตียงเสียก่อน ผมชั่งใจอยู่นานมากว่าจะตอบข้อความนั้นดีหรือจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วนอนหลับไปเลยดี...
และแล้วการตัดสินใจในส่วนของการหนีปัญหาของผมก็ชนะ เลือกที่จะทิ้งข้อความนั่นให้ไร้คนตอบต่อไป...ไป่ไป๋คงกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีไปเสียแล้วแหละ
อยากงอน
อยากโกรธ
และบางทีถ้ามันเจ็บปวดมากเกินไป เขาก็อยากจะหยุดทุกอย่างลงบ้าง
ก็แค่นั้นเอง...
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ทอล์กเล็กๆกับแพพิ้งก์
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณทุกคนที่คอยตามอ่านตามเมนต์นะคะ
บอกก่อนว่านิยายเรื่องนี้แพรได้แต่งจนเสร็จสมบูรณ์แล้วถึงได้ตัดสินใจลงค่ะ ซึ่งทุกคนสามารถไว้วางใจได้ว่าจะไม่มีการเทหรือหายอย่างแน่นอน ใบ้ให้ว่ามีทั้งหมดยี่สิบตอนนิดๆ
ขอเล่าบ้างว่าในตอนแต่งหรือแม้กระทั่งตอนแพรเอาลงเว็บ แพรยอมรับว่ามันมีทั้งท้อ เหนื่อยหรือมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะจิตใจของแพรเอง เพราะเป็นเรื่องแรก แพรเลยยังไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองถ่ายทอดออกมาได้ดีเท่าไหร่ แต่อย่างไรแพรก็ยังได้มีคอมเมนต์ของทุกคนทำให้แพรรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาได้ค่ะ
พวกคุณน่ารักที่สุดเลย..
ทั้งนี้ทั้งนั้นในตอนที่แพรห่างหายจากการอัพเดต ก็ขอฝากทุกคนหากใครมีข้อติตรงไหน หรือแพรพิมพ์คำผิดอะไร สามารถฝากไว้ได้เลยค่ะ และถ้าหากเอ็นดูเนื้อเรื่องหรือตัวละคร แพรก็ขอฝากให้ทุกคนช่วยแชร์และแนะนำต่อๆกันไปให้ด้วยนะค้า
ปล.แพรอ่านทุกคอมเมนต์โลย
ปล2.จะเป็นแพรที่พัฒนางานเขียนของตัวเองต่อไปฮับ
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ตอนนี้เริ่มมีกลิ่นดราม่าแล้วอิอิ
ติดตามการอัพเดตและเม้ามอยได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา
(◕‿◕✿)
-
:L2: :L1: :pig4:
โกหกทำไม คนที่ถูกหลอกมีแต่เสียใจ แล้วต่อไปจะเชื่อคำพูดอะไรก็จะระแวงไปตลอด ไม่ดีเลย
เปลี่ยนมารักเพื่อนยีนส์ได้ไหม 55 ล้อเล่น
แต่พิวโดนตัดค่ะแนน เกลียดคนโกหก
รออ่านตอนถัดไป
-
สนุกจ้าติดตามๆ รู้เลยว่ามอไหนร้านเจ้หม๋วย 555
สู้ๆ ทักนิดหนึ่งนะเวลาเป็นความรู้สึกของอีกคนที่ไม่ใช่ไป๋จะงงนิดหนึ่งอ่ะค่ะ เอาเป็นคนละสีหรือมีไรบอกแยกว่าเป็นใครก็ดีนะคะ
:กอด1:
-
สนุกจ้าติดตามๆ รู้เลยว่ามอไหนร้านเจ้หม๋วย 555
สู้ๆ ทักนิดหนึ่งนะเวลาเป็นความรู้สึกของอีกคนที่ไม่ใช่ไป๋จะงงนิดหนึ่งอ่ะค่ะ เอาเป็นคนละสีหรือมีไรบอกแยกว่าเป็นใครก็ดีนะคะ
:กอด1:
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆเลยค่ะ เดี๋ยวจะกลับมาจัดหน้าเว็บใหม่ทั้งหมดเพื่อให้อ่านง่ายและเข้าใจมากขึ้นนะคะ
:mew1:
-
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!!!
อะไรอ่ะๆ พิวคงไม่มีอะไรมั้ง ...
:sad4:
-
:sad4: :o8: :o8:
-
คุ้นๆเหมือนจะมอเดียวกันมั้ยน้า555555
อ่านจบแล้วแบบ ต่อให้สุดท้ายผญคนนั้นกับพิวจะหักมุมไม่มีอะไรหรือจะมีจริงๆก้ตาม
แต่การโกหกก็คิอโกหกอะพิว ความเชื่อใจที่ถูกทำลายมันเรียกคืนยากนะรู้ยัง
-
น่ารักกกกก
-
คือๆ :katai5: :katai5:
-
อาการตั้งแต่ต้นของพิว ที่จีบไป๋
มั่นใจว่า พิวมีเหตุผลแหละที่ต้องไปกับผู้หญิงคนนั้น
และยังยืมไวท์บอร์ดมาใช้ติวที่ห้องด้วย
… แต่ถึงอย่างนั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
สิ่งที่พิวทำ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรปิดบังคนที่พิวบอกว่า ชอบ บอกว่ารัก
ไป๋เอาคืนละกันนะ ให้บทเรียนพิวสักพัก
แต่อย่านานนักนะ เราไม่นิยมอ่านดราม่าค่ะ
-
chapter eleven。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“มึงจะทำแบบนี้จริงๆเหรอวะ?”
“อือ ให้มันเป็นแบบนี้แหละ”
ในที่สุดเวลาก็ได้เดินทางมาถึงคลาสของวิชาดรอว์อิ้งของวันถัดมา เนื่องจากคาบก่อนๆหน้านี้ได้มีการปรับปรุงห้องปฏิบัติจึงทำให้ไม่สามารถให้นักศึกษาใช้ในการเขียนแบบได้ ทางอาจารย์จึงได้จัดสั่งให้ไปทำเป็นการบ้านกันมาแทน จนถึงวันนี้ห้องที่ว่านั่นได้ถูกปรับปรุงเสร็จและสามารถให้นักศึกษาเข้าใช้งานได้ดังเดิม
เนื่องจากในช่วงเช้ายังเป็นส่วนของบรรยายอยู่ เราจึงนั่งกันอยู่ในห้องเลกเชอร์ซึ่งมีอาจารย์กำลังยืนทำการสอนอยู่หน้าห้อง โดยที่นั่งในวันนี้ได้มีการถูกสับเปลี่ยนกันเล็กน้อย จากในตอนแรกที่เป็น ไอ้ยีนส์ ผมและไอ้พิว แต่ในวันนี้กลับกลายเป็น ผม ไอ้ยีนส์ และไอ้พิวตามลำดับ
เดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของยีนส์น่าจะมีอาการสงสัยไม่มากก็น้อยทั้งเรื่องแชทที่ผมไม่คิดแม้แต่จะอ่านจนถึงตอนนี้ รวมทั้งตำแหน่งการนั่งที่ถูกเปลี่ยนไปอีก
“แล้วมึงก็ให้กูมานั่งตรงนี้เนี่ยนะ” คนกลางที่ได้แต่นั่งอึดอัดเอี้ยวตัวลงมากระซิบด้วยความเกรงใจอาจารย์ที่กำลังทำการสอนอยู่
“นั่งๆไปเหอะ เดี๋ยวก็ลงแลปแล้ว” ผมเลิกสนใจคนข้างๆก่อนที่จะหันไปโฟกัสเนื้อหาบนกระดานอีกครั้ง โทรศัพท์ที่ถูกยกขึ้นเพื่อถ่ายสไลด์เนื้อหาตรงหน้าสั่นเป็นจังหวะ และเมื่อเอาลงขึ้นมาดูใกล้ๆแล้วก็พบว่าเป็นข้อความจากคนที่ผมไม่อยากคุยด้วยมากที่สุดในตอนนี้นั่นเอง
โปรแกรทแชทสีเขียวทำให้ผมต้องรู้สึกลำบากใจอีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจเลื่อนสายตาไปหาเจ้าของข้อความ แล้วก็ต้องพบว่าฝ่ายนั้นเป็นคนมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว พิวชูสมาร์ทโฟนในมือไปมาเป็นสัญญาณบอกให้ผมสนใจมันสักหน่อย
เหอะ! ใครเขาอยากจะคุยด้วยกัน...
เมื่อวาน
just pew : นอนหรือยัง?
วันนี้
just pew : ทำไมวันนี้ไปนั่งนู่นอ่ะ
just pew : ตอบหน่อยสิ
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
paipai : พอใจจะนั่ง
paipai : มีอะไรป่ะ
just pew : มีดิ
just pew : ห่างแค่นี้ก็คิดถึงแล้วอะ
ร่างบางหัวเราะพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างนึกเอือม นี่คิดว่าตัวเองเป็นพี่มาก? เป็นปกติเขาคงพิมพ์ด่ากลับไม่ให้ต้องเสียเวลาคิดแล้ว แต่ตอนนี้ความโกรธที่มีมันกลับมาค้ำคอสิ่งที่อยู่ระหว่างเขาทั้งสองคน
ไม่รู้สึกอะไรจริงๆเลยเหรอ?
ทั้งๆที่อุตส่าห์ลงทุนโกหกเพื่อที่จะไปอยู่กับคนนั้น แต่กลับมาหยอดกันหน้าตาเฉยแบบนี้เลยเนี่ยนะ
ไม่คิดว่ามันไม่แฟร์ไปหน่อยหรือยังไง...
paipai : เลิกเพ้อเจ้อเถอะ กูจะเรียน
just pew : อื้อ ตั้งใจเรียนไป
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
“อ่านหนังสือถึงไหนแล้ว”
“ก็ไม่ถึงไหน”
แม้ว่าในมือของพวกเขาจะขีดๆเขียนๆชิ้นงานลงบนกระดาษหวังให้งานที่ได้รับมาให้เสร็จๆไป แต่ฝ่ายคนตัวสูงก็ยังพยายามชวนคุย แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แปลกไปในตัวอีกคนก็ตาม
“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าติวเคมีให้นะ"
“เหอะ ไม่ต้องไปเตะบอลแล้วหรือไง?”
“อื้อ เพื่อนยังไม่ว่าง” คำตอบที่พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มฉะฉาน ไม่มีน้ำเสียงความหวาดวิตกเจือปน ทำเอาคนตัวเล็กกวาดส่งสายตาโกรธเคืองไปให้อย่างนึกน่าโมโห ไม่คิดจะสารภาพกันหน่อยเหรอ? อ๋อ หรือว่าไม่มีค่าพอที่จะได้รู้?
ร่างบางส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง ข้องใจขนาดนี้ทำไมกูไม่ถามให้มันจบๆไปวะ?...ไม่เอาอะ ปล่อยให้โกหกต่อไปดีกว่า อยากรู้นักว่าจะไปได้สักกี่น้ำกัน
ไป่ไป๋ตั้งสมาธิแล้วจึงกลับมาจดจ่ออยู่กับงานตัวเองอีกครั้ง แม้จะมีตัวช่วยที่มาในรูปแบบตัวก่อกวนพูดแนะนำปนกับการชวนคุยให้รู้สึกน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานชิ้นงานก็เสร็จสิ้นในที่สุด และก็นับว่าเป็นโชคดีอีกครั้งที่งานเสร็จก่อนล่วงหน้าเกือบเป็นชั่วโมง
“ไป๋ แดกข้าวที่ไหน?”
“แดกข้าวในจาน”
คำตอบของผมทำเอาคนตั้งคำถามถึงกับหน้าเหวอ แลบลิ้นใส่อีกคนแล้วรีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องไปหาเพื่อนๆที่กำลังรออยู่ด้านนอก เพราะมีความรู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้อีกฝ่ายมากนัก ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีความคิดที่มากเกินจำเป็นก็ต้องทอดถอนหายใจข่มความคิดหลายครั้ง ทำไมต้องไปสนใจด้วย ทั้งๆที่ก่อนหน้านู้นก็ไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันสักหน่อย เดี๋ยวมันก็ไปกับไอ้เต้ไอ้สมุยเองแหละ ไม่ต้องไปสนใจหรอก...
❋❋❋
เป็นที่รู้กันว่าหลังคาบวิชาดรอว์อิ้งในช่วงเช้าแล้ว ช่วงบ่ายก็เป็นวิชาอะไรไม่ได้นอกจากวิชาสังคมที่สุดแสนจะน่าเบื่อ แม้จะเล่นโทรศัพท์ก็แล้ว แกล้งเพื่อนแก้เซ็งก็แล้ว นั่งจ้องหน้าอาจารย์ก็แล้ว รู้สึกหมดหนทางที่จะทำตัวเองให้กลายเป็นคนมีไฟในการเรียนขึ้นมาจริงๆ ผมจึงถือโอกาสตรงนี้ในการนอนงีบเก็บชั่วโมงนอนให้เวลาผ่านไปอย่างไม่ไร้ประโยชน์
และแล้วก็ได้จมสู่ห้วงนิทราโดยที่คอพาดพิงกับพนักเก้าอี้ ปากและเปลือกตาเผยอขึ้นด้วยท่าทางน่าเกลียดเพราะความไม่ตั้งใจ กว่าผมจะมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากเพื่อนรอบข้างพร้อมแรงสั่นจากกระเป๋ากางเกง
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะต้นเหตุคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้มิกซ์หัวหยอยที่นั่งกุมท้องขำอยู่กับพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเพื่อนรอบข้างตอนนี้ก็มีอาการไม่ต่างกันแถมยังเอาแต่หันมามองทางผมแบบยิ้มๆอีก
“มีอะไรเหรอวะ?” สมองที่ยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติจากความง่วงเลือกที่จะถามพะแพงที่ดูเหมือนจะพึ่งพาได้มากสุดในตอนนี้
“เราว่าไป๋ลองเปิดโทรศัพท์อะ เดี๋ยวก็รู้” สองมือรีบตะปบเข้าที่กระเป๋ากางเกงหาเจ้ามือถืออย่างรีบร้อน คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะต้องเป็นไอ้มิกซ์ที่ทำเรื่องเหี้ยๆอะไรสักอย่างแน่ๆ เมื่อลงมือปลดล็อกหน้าจอเสร็จแล้วก็ต้องพบว่าสิ่งที่คาดเอาไว้มันตรงกับความจริงไม่มีผิดเพี้ยนเลย
M Mix ได้แท็กคุณในรูปภาพ
กดเข้าไปดูแล้วก็ต้องนึกโมโห เมื่อรูปภาพที่มันได้ทำการแท็กมาเป็นรูปที่เพิ่งถ่ายจากในคาบเรียนสดๆร้อนๆ โดยมีผมนอนหลับด้วยท่าทางทุเรศๆนั่น พร้อมกับแคปชั่นที่ว่า
ไป๋ วิศวะ ปี 1 ตี๋ ขาว น่ารัก โสด ใครสนใจมาเปลี่ยนโหมดติดต่อหลังไมค์ได้เลยจ้ะ ♡
ปล.พิเศษใครที่ทักมาภายใน 5 นาทีนี้ รุก ไซร้ ชัก ฟรีๆถึงที่ไปเลย
“พ่อมึงสิ ไอ้สัสมิกซ์!!!!”
“นักศึกษาวิศวะที่นั่งใส่ช็อปหลังห้อง ถ้ามีปัญหากันอนุญาตให้ออกจากห้องได้นะคะ” ยังไม่ทันได้ให้เกิดการปะทะคารม เสียงดุแกมตำหนิของอาจารย์ก็ได้ดังขึ้นขัดทำเอานักศึกษาทั่วทั้งห้องมองหาคนที่มีรูปพรรณตามที่ว่าจนทุกสายตามาหยุดที่ผมกันเป็นตาเดียว
“ขอโทษครับ/ขอโทษครับ” ผมกับไอ้มิกซ์ได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วยกมือไหว้ขอโทษแกไปกันคนละที หลังจากโดนคาดโทษไปแล้วหากเสียงดังกันอีกครั้งมีหวังอาจารย์คงไล่ออกจากห้องอย่างไม่ต้องสงสัย ผมที่จะให้นอนต่อก็นอนไม่หลับ ให้เรียนก็ไม่มีจิตใจ ผมจึงได้ตัดสินใจนั่งไถฟีดเฟซบุ๊คไปเรื่อยเปื่อยรอเวลาเลิกเรียนแทน
นิ้วหัวแม่มือทำหน้าที่สไลด์หน้าจอดูนู้นนี่ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสเตตัสเพ้อๆของเพื่อนสมัยมัธยม แคสเกมส์ที่ถูกแชร์โดยยีนส์ หรือแม้แต่คลิปน้องหมาประจำบ้านที่มีแม่เป็นคนถ่าย ผมส่ายหัวแล้วหัวเราะเล็กๆให้กับความทาสหมาของแม่ตัวเอง ขยับนิ้วหัวแม่มือไปกดไลค์ให้ก่อนจะเลื่อนหน้าจอลงไปดูอีกมากมายหลากหลายโพสต์
จนกระทั่งสายตาต้องมาสะดุดให้กับโพสต์ของคนๆหนึ่งที่ผมมั่นใจเป็นอย่างดีว่าคนๆนี้ไม่ได้เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คอย่างแน่นอน แต่ชื่อที่ถูกแท็กมาด้วยกลับทำให้โพสต์นั้นขึ้นสู่หน้าไทม์ไลน์ของผม พร้อมทั้งรูปที่แนบมามีคนคุ้นเคยร่วมอยู่ในเฟรมด้วย เพียงเท่านี้มันก็สามารถดึงดูดความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี...
Kanjana Thippasiri ได้แท็ก Pew Phatipol ในรูปภาพ
All I want, all I need, all I see is just me and you
ประโยคภาษาอังกฤษจากเนื้อเพลงที่เคยฟังท่อนไหนสักท่อนที่แสดงความรู้สึกที่มีกับอีกฝ่ายเด่นหราขึ้นประกอบรูปภาพ ผู้ชายทางซ้ายมือที่ยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มอีกฝ่ายเป็นใครไปได้นอกจากไอ้พิว ส่วนผู้หญิงทางขวามือนั่นทำให้ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหน้าตาจิ้มลิ้มของเธอเป็นอย่างมาก แม้ชื่อของเธอจะห่างหายจากการได้ยินข่าวของผมไปสักระยะ อย่างไรตอนนี้ผมก็มั่นใจแน่นอนว่าเธอคือคนนั้น
...กุ้ง?
เรื่องราวใหม่เก่าเริ่มปะติดปะต่อกันอย่างเกือบลงตัว ตั้งแต่เรื่องจดหมายแล้วอ้างว่าเป็นคำขอของเพื่อนเก่า เรื่องกระดานไวท์บอร์ดอันใหญ่ที่ไม่มีที่มาที่ไปเพราะไม่อยากให้รู้ จนกระทั่งเรื่องที่โกหกว่าไปเตะบอลแต่กลับไปอยู่กับเธอ
ไหนบอกว่าจะจีบกูไง...
เหล่าคอมเม้นค่อยๆหลั่งไหลกันเข้ามาแม้รูปจะถูกลงได้เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ก็ตาม
Mew Phaninitaa : เปิดตัวเหรอ?
Gigi naka : เชี่ย ผัวหล่อสัส
Samui samuisamui : อ้าว ไอ้พิวยังไงครับๆ @Pew Phatipol
การส่องโพสต์ต้นเรื่องเป็นอันจบลงพร้อมกับเสียงปล่อยเลิกของอาจารย์ที่เฝ้ารอ นักศึกษารีบกรูกันออกจากห้องอย่างใจร้อน เพื่อนๆรอบตัวผมต่างพูดบอกลาและเดินทยอยกันจากออกห้องไป เหลือแค่ผมที่ยังนั่งงงหรือไว้อาลัยให้กับเรื่องที่เพิ่งเห็นด้วยความไม่แน่ใจ นั่งอยู่นานจนกระทั่งกลับมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แทบไม่มีคนหลงเหลือในห้องเสียแล้ว ผมจึงจัดการคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายก่อนจะรีบเดินออกจากห้องเรียนบ้าง
“พวกมึงเห็นโพสต์ที่แท็กไอ้พิวมาเมื่อตอนบ่ายกันป่ะ?”
“โพสต์ไหนวะ?”
“โพสต์ของผู้หญิงคนเดียวกับวันนั้นที่มึงเห็นใต้คณะอะ เขาชื่อกุ้ง”
ทั้งไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนพร้อมใจกันหยิบสมาร์ทโฟนกันขึ้นมาเปิดดูหน้าเค้าน์เตอร์คิดเงินในเซเว่นใต้หอที่เรากำลังยืนอยู่นี่
เป็นเพราะว่าวันนี้จู่ๆฝนก็ตกหนักเหมือนพายุเข้า พวกเราเลยจำใจต้องฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อสักมื้อนึง เช่นเดียวกันกับนักศึกษาคนอื่นๆที่เลือกซื้อข้าวกล่องแทนการออกไปข้างนอก ทำให้แถวคิดเงินในตอนนี้ยาวจนแทบจะอ้อมร้านได้แล้ว
ส่วนทางด้านของทั้งสองนั้นดูเหมือนจะเปิดเจอต้นตอของเรื่องแล้วก็หันมาส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจมาให้ พร้อมกับแถวที่ขยับไปเรื่อยๆ
“กุ้งเดียวกับกุ้งเผาอะเหรอ?”
“อือ ใช่”
“พิวได้พูดอะไรกับมึงบ้างป่ะ?”
“หึ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นอะ” นึกย้อนไปยังเหตุการณ์ในวันนี้แม้จะคุยกันเพียงไม่กี่คำ แต่ก็ไม่มีประโยคไหนเลยที่จะอธิบายเรื่องราวหรือปฏิเสธสิ่งที่ไม่จริงกลับทำตัวเป็นปกติเหมือนตนเองไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วมันก็น่าโมโห
“ทำไมพิวขาเขาถึงทำแบบนี้นะ ตุลลี่รับไม่ได้” ตุลลี่ส่ายหัวให้สิ่งที่ตนเองเห็นน้อยๆ ก่อนจะรีบเก็บสมาร์ทโฟนลงกระเป๋าดังเดิมเพราะถึงคิวคิดเงินของตัวเองแล้ว
พวกเราจ่ายตังและตัดสินใจจะไปใช้ไมโครเวฟรวมที่หอแทนการยืนรอในร้านที่คับคั่งไปด้วยคนนั่น แล้วก็เดินเบียดเสียดผู้คนที่แทบจะล้นออกมาจนถึงทางเชื่อมเพื่อเดินกลับหอ แต่ฝนที่ว่านั่นก็ยังไม่มีวี่แววจะซาลงเลยแม้แต่น้อย
“ไป๋ มึงเห็นโพสต์ใหม่ยังวะ?” เป็นเสียงไอ้ยีนส์ที่ดังถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินขึ้นบันได้กันอยู่
“มีใหม่กว่านั้นอีกเหรอ?”
“อือ มึงเปิดดู” คราวนี้เป็นตาผมที่ต้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นจากกระเป๋าด้วยหัวใจตุ้มๆต่อมๆ พยายามไม่คิดอะไรล่วงหน้า ก่อนจะลงมือพิมพ์ชื่อเฟซบุ๊คของเจ้าตัวที่ผมสามารถจำได้ขึ้นใจ ก่อนจะพบว่ามัน...ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ไม่เห็นมีอะไรเลยไอ้ยีนส์”
“ลองเข้าไปดูเฟซกุ้งดิ” ว่ามาผมก็รีบกดเข้าไปตามที่เพื่อนได้บอก แต่ก็ไม่พบอะไร...
“ไม่เห็นมีอะไรเลยวะมึง”
“ไหนเอาของมึงมาดูสิ” มันว่าแล้วคว้าโทรศัพท์ของผมไปหาอยู่สักพักนึง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ผมรับโทรศัพท์กลับคืนมาอย่างงงๆ ก่อนที่มันจะหันไปสั่งไอ้ตุลลี่ที่ยืนไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ข้างๆ
“ไอ้ตุลลี่เอาโทรศัพท์มึงเปิดเข้าเฟซไอ้พิวสิ”
“เออ แปปๆ” ตุลลี่รวบของที่ซื้อมาไว้ในมือเดียว ปล่อยให้อีกมือใช้กดเข้าแอพตามที่ยีนส์บอก ผมหยุดยืนมองปฏิกิริยาของตุลลี่ที่เอาแต่ยืนนิ่งจ้องหน้าจอสักพักเลยตัดสินใจชิงโทรศัพท์มาดูเอง ก่อนจะพบกับสิ่งที่ทำเอาหัวใจผมปวดหนึบอย่างไร้สาเหตุ
เสียงฝนที่กำลังตกหนักกับทางขึ้นบันไดนี่ดูเหมือนจะไม่เข้ากัน ยิ่งรวมกับข้อความภาษาอังกฤษสั้นๆแต่ได้ใจความตรงหน้านี้แล้วนั้น ก็ทำเอาผมอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน
Kanjana Thippasiri In Relationship with Pew Phatipol
...อื้อ ต่อให้ชัดเจนแค่ไหน ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
แล้วที่ผ่านมาคืออะไรวะ?
วันนี้ผมกลับมารู้สึกเกลียด เกลียดคำพูดที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองนั้นจะต้องได้ใช้ เกลียดที่จะต้องทำเหมือนไม่รู้อะไร เกลียดที่ตัวเองซื่อสัตย์กับความคิดที่มีต่อคนอื่นได้ ยกเว้นเขา...
“แม่ง ลงทุนปิดไอ้ไป๋เลยอ่อวะ”
“อีไป๋ ใจเย็นๆก่อนนะ แล้วมึงจะเอายังไงต่อดีอะ?”
“ .. ไม่รู้ดิ” ผมคืนโทรศัพท์ในมือกลับไปยังเจ้าตัว ก่อนจะรีบเดินกลับห้องตัวเองพร้อมกับทั้งสองคนที่เดินตามหลังเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างครุ่นคิด ตามมาด้วยสารร่างของตุลลี่ที่เดินลงมานั่งข้างๆด้วยความเคยชิน
ผมนั่งทบทวนเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดด้วยความไม่เข้าใจและสับสน เข้ามาทำดีด้วย สร้างความไว้ใจให้ ก่อนจะทิ้งให้ผมมีความหวังอยู่กับคำโกหกคำโต
อันที่จริงหากเป็นผมเมื่อก่อนคงโกรธจนเข้าไปต่อยแล้ว .. แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ห่อเหี่ยวจนอยากจะร้องไห้ได้มากถึงขนาดนี้วะ?
เธอมาหลอกให้รัก แล้วเธอก็ไป
คำที่บอกว่าเธอจะมีแค่ฉันพูดทำไม
วันนี้เธอกลับทำ
เหมือนกับฉันไม่มีความหมาย
ทิ้งฉันให้ตาย
แค่สุดท้ายเพราะเธอหมดใจ
จากเดิมที่ทั้งห้องได้เงียบและมีแค่เสียงเม็ดฝนกระทบพื้นปูนให้ได้ยิน แต่อยู่ดีๆไอ้ยีนส์กลับกดเปิดเพลงทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาทั้งผมและไอ้ตุลลี่หันไปมองต้นตอของเสียงเพลงกันเป็นตาเดียว
“อียีนส์ นี่มึงไม่มีอะไรทำแล้วถูกมะ?” คนข้างๆผมไม่รอช้า เดินก้าวไปประชิดตัวก่อนจัดการล็อคคอยีนส์แบบหยอกๆให้รีบปิดเพลง ก่อนที่ผมจะได้นั่งน้ำตาไหลอย่างเสียเชิงชายเสียก่อน
“เห็นพวกมึงนั่งเงียบกูก็นึกว่าหลับกันไปแล้ว” จากนั้นก็เกิดเสียงทะเลาะระหว่างทั้งสองตอบโต้กันไปมาแบบไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งเป็นผมเองที่พูดขัดขึ้นมา
“มึงว่ากูควรทำยังไงดีวะ?”
“ปกติมึงไม่เคยถามพวกกูนี่” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเจ้าของคำพูด
“ปกติ .. กูเป็นยังไงวะ?”
“อย่างเรื่องไอ้เคนอ่ะ เคยถามพวกกูที่ไหน เลือดบ้าคลั่งก็เดินดุ่มๆเข้าไปหาเขา พวกกูก็กลัวพวกมึงจะต่อยกันขึ้นมาชิบหาย” แล้วก็ต้องนึกย้อนไปยังเรื่องเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ก็คงจริงอย่างที่ยีนส์พูด ว่าผมแทบไม่จำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากใครด้วยซ้ำ กลับจัดการไปตามที่ตนเองต้องการได้ดีด้วย แต่พอมาเป็นกับคนนี้แล้ว ..
“พอเป็นไอ้พิวก็ไปไม่เป็นเลยเหรอวะ?”
“อือ .. เสียใจจนไปไม่เป็นเลยว่ะ” จบประโยคผมก็ทิ้งใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสอง ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนที่อยู่ไม่ห่าง
“ไอ้ไป๋ เรื่องมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่มึงเห็นก็ได้นะเว้ย”
“ไม่ต้องเลยอียีนส์ เรื่องนี้กูจะอยู่ทีมอีไป๋”
“อ้าว .. ตอนแรกมึงยังบอกให้ไอ้ไป๋มันใจเย็นๆอยู่เลย”
“ไม่รู้แหละ เรื่องที่พิวขาไม่เอากู กูก็ยังดีใจที่พิวขาจีบอีไป๋แทนชะนีคนอื่น แต่ที่ไหนได้มาหลอกเพื่อนสาวกู เรื่องนี้กูยอมไม่ได้”
“อีสัสตุล กูเป็นผู้ชาย” ร่างบางส่งเสียงอู้อี้ผ่านซอกนิ้วที่ปิดใบหน้าแดงก่ำจากการร้องไห้ของตนเอง เรียกสติจากเพื่อนที่เกือบวางมวยกันอีกรอบได้ ทำเอาทั้งสองคนต้องหันมาสนใจคนที่เอาแต่กลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้อย่างนึกสงสาร
“โอ๋ อีไป๋ ไม่เป็นไรนะ ถ้าผู้ชายมันเหี้ยก็กลับไปหาเมียใหม่ก็ได้” เพื่อนร่างอวบโถมตัวเข้าหาคนที่เอาแต่นั่งร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียวบนเตียง ก่อนจะใช้ฝ่ามือลูบหัวทุยๆนั่นเบาๆเพื่อปลอบประโลม ไม่ทันไรร่างสูงของเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งเตียงตรงข้ามก็เดินก้าวเข้ามาวางมือลงไหล่คนขี้แงเช่นเดียวกัน
ไป๋เองอยากจะขอโทษเพื่อนๆของเขาเหลือเกิน ขอโทษในการที่ทำให้ลำบาก ขอโทษที่ทำให้ต้องมาไม่สบายใจไปด้วย .. ขอโทษนะที่อ่อนแอบ่อยขนาดนี้
เขาเองถึงจะไม่สามารถยอมรับเรื่องทั้งหมดจากการผ่านการร้องไห้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่อย่างไรการร้องไห้ครั้งนี้มันก็ทำให้เขาได้ตัดสินใจแล้ว
.. รีบออกมาซะ
เขารู้ดีว่าหากเขาปล่อยให้ความรู้สึกที่มีมันกลายเป็นความรักเมื่อไหร่ คนที่เจ็บที่สุดก็คงไม่พ้นตัวเขาเองอยู่ดี ตามที่โบราณหรือสุภาษิตอะไรก็ตามที่เขาชอบพูดกันว่า ควรตัดไฟแต่ต้นลม หากมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วนั้น เขาก็จะทำ .. ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องในอดีตที่มันยังคอยวนเวียนตามติดราวกับว่าจะคอยย้ำเตือนว่า เมื่อใดที่เขามีความสุข หลังจากนั้นเขาก็จะเสียมันไป
ใช่แล้ว ความผิดหวังที่เคยเจอ ทำให้เกิดเป็นความกลัวขึ้นมา
และไป่ไป๋เองก็ไม่อยากมีแผลอีกแล้ว
“กูว่าจะพอแล้วว่ะ” สูดหายใจเข้าปอดลึกๆหลังจากที่ผละออกมาจากกอดอุ่นที่ในตอนแรกๆเขาเองยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมแขนของความเป็นเพื่อนมันทำให้รู้สึกสงบลงได้อย่างมากโข
“มึงไหวแค่ไหนก็เอาเท่านั้นเลย”
“อื้อ กินข้าวเถอะ” อย่างน้อยในตอนเสียใจก็ทำให้รู้แหละทำให้ไป่ไป๋ได้รู้ว่าเพื่อนของเขาไม่เคยทิ้งตัวเองไปไหนเลย ..
-
❋❋❋
หลังจากวันนั้นมาเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ไป่ไป๋ก็เลือกที่จะบ่ายเบี่ยงการพูดคุยกับพิวเท่าที่จะทำได้ ทุกครั้งหากนั่งเรียนข้างกัน คนตัวเล็กกว่าก็เลือกที่จะเงียบ อาจมีบ้างที่ถูกชวนคุยนู่นนี่ แต่ส่วนมากก็จะเป็นการถามคำตอบคำมากกว่ามานั่งคุยอะไรเกินความจำเป็นแบบเมื่อก่อน
“วันนี้ไปอ่านหนังสือด้วยกันไหม? เดี๋ยวติวเคมีบทที่เหลือให้” พิวโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูอีกฝ่ายที่เอาแต่นั่งนิ่งตั้งใจฟังอาจารย์แบบผิดสังเกตอย่างนี้มาหลายวันแล้ว
“ไม่เป็นไร”
“ประมาณเดือนนึงก็ไฟนอลแล้ว-”
“เงียบหน่อยจะฟังอาจารย์” คนโดนเอ็ดปิดปากฉับ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม ล้วงหาเศษกระดาษในกระเป๋าแล้วเขียนข้อความที่ตั้งใจจะพูดลงไป
‘ช่วงนี้เครียดเหรอ ไม่ค่อยยิ้มเลย’ กระดาษแผ่นเล็กยับยู่ยี่ถูกวางลงเบื้องหน้า คนตัวเล็กเมื่อเห็นแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจให้กับความพยายามของอีกฝ่าย แล้วเลือกที่จะเขียนตอบกลับไปเพราะคิดแค่ว่าอยากให้บทสนทนามันจบๆลงไปเสียที
‘เปล่านี่’
‘งั้นยิ้มให้ดูหน่อยสิ’
‘มึงบ้าป่ะเนี่ย’
‘ถึงจะบ้า แต่วันนี้มึงก็น่ารักเหมือนเดิมนะ’
‘ไอ้สัส ไปคุยกับขี้ไป’
‘ล้อเล่น วันนี้ไปติวกัน เพื่อนก็บอกอยากไปอ่านด้วย’
‘งั้นก็ไปชวนเพื่อนกูสิ กูไม่ไป’ เมื่อเขียนจนจบประโยคแล้วจึงส่งกลับคืนให้เจ้าของไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมาสนใจที่เนื้อหาวิชาในชีทอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้คิดใส่ใจอีกคนเลยว่าได้แสดงสีหน้าผิดหวังเจือความสงสัยในตัวอีกฝ่ายออกมาอย่างปิดไม่มิด
เวลาและการสอนดำเนินไปอย่างเรื่อยๆเฉกเช่นทุกวัน จนในที่สุดก็ดำเนินมาถึงเวลาที่นักศึกษาทุกคนรอคอยที่จะไปกินข้าวกลางวันกันเสียที
ด้านร่างบางที่อดทนกลั้นความอยากเข้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อหลายสิบนาทีที่แล้ว ที่ไม่มีโอกาสได้ไปเข้าห้องน้ำเพราะกลัวเนื้อหาไม่ต่อเนื่อง ก็รีบกระโจนออกนอกประตูมุ่งสู่ห้องน้ำด้วยความเร็วด่วนจี๋ด้วยความกลัวว่าสิ่งที่อั้นมาจะรดกางเกงเข้าเสียก่อน พร้อมทิ้งสัมภาระรวมทั้งอุปกรณ์ที่วางเต็มโต๊ะก่อนไหว้วานให้เพื่อนรับภาระช่วยเก็บให้
ทางพิวที่ตั้งท่าเตรียมเข้าไปคุยกับไป๋อีกครั้งหลังเลิกเรียนก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นเจ้าตัวนั้นวิ่งปรู๊ดออกจากห้องไปแล้ว เห็นดังนั้นจึงจัดการเปลี่ยนเป้าหมายมาคุยกับยีนส์ที่นั่งไม่ห่างทันที
“ไอ้ยีนส์ กูขอคุยอะไรด้วยหน่อยดิ”
“อือ ได้ .. ไอ้ตุลฝากเก็บกระเป๋าให้ไอ้ไป๋มันด้วย”
“ไอ้ก๊าซกับไอ้ครามก็นั่งอยู่นี่ทำไมไม่ใช้มันบ้างวะ?”
“ก็กูจะใช้มึงอะ”
“แม่งเอ้ยย” ยีนส์คว้ากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายก่อนจะพยักเพยิดให้อีกฝ่ายเดินตามออกไปนอกห้องเรียนเพื่อเป็นการสะดวกมากกว่าที่จะคุยกันด้านใน
แล้วทั้งสองก็ได้มาหยุดยืนที่จุดสูบบุหรี่สำหรับนักศึกษาที่ในขณะนี้ยังไม่ค่อยมีใครเดินผ่านไปมามากนัก ไม่รอให้ผู้ชักชวนเป็นคนเปิดประเด็น ยีนส์ที่รับรู้เรื่องทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยจังหวะในการชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เรื่องไอ้ไป๋ใช่ไหม?”
“อือ ใช่” คนตัวสูงจัดการล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อช็อป ก่อนจัดการจุดมันแล้วสูดควันพิษเข้าไปให้เต็มปอด ไม่บ่อยนักที่เขาจะเลือกสูบ ยกเว้นในตอนที่เครียดหรือกังวล ดังเช่นในตอนนี้ ..
“ขอมวนนึง .. มีอะไรเกี่ยวกับไอ้ไป๋มันอะ” เพื่อนสนิทร่างบางที่ทำหน้าที่เป็นคนให้คำปรึกษาในตอนนี้แบมือขอบุหรี่ราคาแพงจากอีกคน .. ถึงจะไม่ค่อยได้สูบ แต่ก็ถือเสียว่าเป็นค่าน้ำลายที่ต้องมาข้องเกี่ยวเรื่องรักๆใคร่ๆของทั้งคู่ก็แล้วกัน
“อือ ช่วงนี้ไป๋เครียดเหรอ?” ร่างสูงจัดการจุดไฟจ่อไปยังอีกด้านของก้นกรองให้อย่างเอาใจ ก่อนยืนหันหน้าเข้าหาเพื่อรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“อือ เครียด เครียดมากด้วยมั้ง”
“เรื่องเรียนเหรอ?”
“ไม่ใช่ ..”
“...”
“เป็นความเครียดที่มีอาการคล้ายคนอกหัก ..” คำตอบที่ว่านั่นทำเอาคนรอถึงกับชะงัก ก่อนที่จะอัดสารพิษเข้าไปอีกระลอกให้รู้สึกตัวเองได้ผ่อนคลายมากขึ้น
“ไป๋มีคนที่ชอบแล้วเหรอ?”
“อือ เป็นหนักขนาดนั้นท่าทางจะชอบมาก” มวนบุหรี่ในมือทั้งสองเริ่มสั้นลงตามจำนวนครั้งที่ริมฝีปากได้สัมผัส เสียงพูดคุยเงียบลงไปสักพักให้นิโคตินได้เข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มที่
“...กูกำลังจีบไป๋อยู่”
“นี่เรียกจีบแล้วเหรอ?” พิวหันหน้าไปมองอีกคนอย่างสงสัยจากคำถามที่ดูเหมือนคำประชดนั่น ทำให้เขาต้องถามความข้องใจที่มีออกไป
“มึงรู้เหรอ?”
“เป็นเมทกัน อยู่ด้วยกันเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงรู้ก็ไม่แปลกหรอก”
“นั่นสิ .. แล้วคนที่ไป๋ชอบเป็นคนยังไง?”
“หล่อ แต่เสือกโง่” ร่างสูงของพิวยิ้มมุมปากน้อยๆอย่างนึกขำ .. ผู้ชายที่เขารู้สึกอยากพ่ายแพ้ให้เป็นคนแรกในชีวิต เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไป่ไป๋ แต่ในตอนนี้เขากลับมารู้อีกว่าเขาได้แพ้ให้ผู้ชายอีกคนนึงไปเสียแล้ว
นี่เขามาช้าไปอีกแล้วเหรอ?
“...เหรอ”
“หึ เรื่องเรียนนี่ฉลาดจัง แต่ทีเรื่องนี้แล้วเสือกโง่”
“อะไรวะ?” หันไปหาอีกคนที่จัดการดับบุหรี่ด้วยเท้าก่อนจะหยิบไปหย่อนลงถังขยะ ก่อนจะเดินกลับมาตบเบาๆที่ไหล่สองสามที
“คิดดีๆว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง .. ถ้าเสียไปจริงๆ คราวหน้ากูไม่มายืนสูบบุหรี่เป็นเพื่อนแล้วนะ” ว่าจบก่อนจะเดินกลับไปตามทางที่ได้เดินมา แล้วทิ้งให้พิวได้แต่มองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆไกลออกไปพร้อมกับครุ่นคิดคำพูดเมื่อกี๊นี้ไปด้วย
แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างพิวน่ะ จะปล่อยให้ตัวเองเสียคนที่เขารักไปจริงๆ .. ไม่มีทางเสียหรอก
และแล้วภายในอาทิตย์นั้นชีวิตของทุกคนก็เดินไปตามปกติ เข้าเรียนภาคเช้า กินข้าวกลางวันกับเพื่อน เรียนต่อในภายบ่ายหากไม่มีเรียนก็กลับหอ ไม่ก็ไปตากแอร์ที่หอสมุดบ้าง ตกเย็นมาก็ไปกินข้าวกับเพื่อนอีกครั้ง จากนั้นก็ต้องกลับหอมาอ่านวิชาไฟนอลหรือบางวันพิเศษหน่อยก็ออกมาปั่นจักรยานรอบมอแก้เครียด เช่นในวันนี้...
“ไอ้ไป๋ มาแข่งกัน ใครปั่นถึงหอทีหลังคนนั้นกวาดห้องถูห้องเดือนนึง”
“แข่งเหี้ยไร ไอ้ตุลลี่ซ้อนท้ายกูอยู่เนี่ย”
“อ้าว ป๊อดก็บอกป๊อดสิ .. หรือกลัวปั่นชนตอแบบคราวที่แล้วอีก?” เสียงยียวนจากเมทรักที่เราปั่นจักรยานตีคู่กันมา ปั่นออกกำลังกายวนรอบมอให้สมองปลอดโปร่งเตรียมตัวก่อนไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่แสนหนักหน่วงกันล่วงหน้า
ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่ผู้ชายไทป์ตกดึกเข้าร้านเหล้า วันๆพวกผมก็เอาแต่กลับหอมาอ่านหนังสือกัน แต่ก็ใช่ว่าพวกเราจะฉลาดกันเสียทีเดียว อย่างที่เขาว่ากันว่าไม่มีใครบนโลกนี่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น เมื่อมีวิชาที่ถนัดแล้วก็ย่อมมีวิชาที่ไม่ถนัดได้เป็นเรื่องธรรมดา
“ไอ้ยีนส์ มึงอย่ามาหลอกแดกแรงให้กูถูห้องคนเดียว กูไม่หลงกลมึงหรอก”
“อะไรวะ คนเค้าอุตส่าห์ชวนเล่นอะไรสนุกๆ” แต่ทันใดนั้นฝนที่ไม่มีแม้ลางของการตั้งเค้าเมื่อตอนเย็น จู่ๆก็ได้โปรยปรายลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาผมและไอ้ยีนส์ต้องเร่งปั่นหนีฝนกลับหอไปอย่างไม่รอช้า
แล้วเราก็ได้ถึงหอกันด้วยสภาพเปียกชุ่ม โชคดีที่เราปั่นหนีทันฝนห่าใหญ่ที่ตกตามหลังมา แต่โชคร้ายก็คือไม่ว่ายังไงก็ต้องอาบน้ำตอนนี้อยู่ดี ด้วยทิศทางลมที่พัดมวลน้ำสาดเข้าข้างหน้าเต็มๆก็ทำเอาเสื้อผ้าเปียกชนิดที่ต้องเปลี่ยนเสียแล้ว ผมเลยตัดสินใจอาบน้ำไปเลยดีกว่าที่จะต้องมานั่งเปลี่ยนชุดเพิ่มให้วุ่นวาย
เมื่อก้าวขาเข้ามาในเขตห้องได้ไม่ทันไรก็จัดการหยิบสบู่ยาสีฟันยาสระผมอะไรต่ออะไรเข้าห้องน้ำไปขัดสีฉวีวรรณ ก่อนจะออกจากห้องน้ำกลับมาอ่านหนังสือต่อด้วยความสดชื่นทันที พร้อมหยิบชีทวิชาฟิสิกส์ที่จัดอยู่ในกลุ่มวิชาที่ชอบขึ้นมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ ตั้งใจไว้ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องอ่านและทำโจทย์จบอย่างน้อยสักหนึ่งบทเป็นอย่างต่ำ
ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ พร้อมหันไปยักคิ้วกวนๆให้กับเมทสุดที่รักที่กำลังนั่งมองท่าทางของผมด้วยความแปลกใจ .. แหงล่ะ ร้อยวันพันปี ไอ้ไป๋คนนี้ไม่เคยมีไฟในการอ่านหนังสือร้องแรงขนาดนี้มากก่อนเลย ..
ไม่รอช้ารีบนั่งลงเปิดชีทไปยังเนื้อหาที่อ่านค้างไว้จากคราวก่อน แต่ยังไม่ทันให้ได้อ่านจับใจความอักษรตั้งแต่บรรทัดแรก เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์ที่วางไว้ไม่ห่างก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
..เนี่ยแหละ พอคนจะขยันสักหน่อยมันก็มักจะมีมารผจญเข้ามาแทรกอยู่เสมอ..
ไลน์! ไลน์!
ผมเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิดก่อนจะพบว่าเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากคนที่ผมไม่ได้ตอบกลับข้อความที่เขาส่งมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ได้แล้ว เพราะเรื่องราวตั้งแต่วันนั้น .. ทำให้ผมจงใจที่จะไม่คุยกับเขา
แต่ในวันนี้เขากลับแชทมาหาผมอีก หลังจากลังเลอยู่นานจึงตัดสินใจกดเข้าไปในห้องแชทอย่างทุกครั้งที่เคย
20/05
just pew : นอนยัง?
just pew : หลับแล้วเหรอ?
just pew : ฝันดี
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
26/05
just pew : ไป๋ ออกมาหาหน่อยดิ
just pew : อยู่หน้าหอแล้วเนี่ย
“เชี่ยยย!” ผมเผลอหลุดคำอุทานออกไปหลังจากที่อ่านข้อความอันล่าสุดด้วยความตกใจ พลอยให้ไอ้ยีนส์ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ในตอนแรกต้องสะดุ้งตกใจตามไปด้วย
“มึงเป็นอะไรของมึง” คิ้วผมเริ่มขมวดกันเพราะความกังวล ยกฝ่ามือขึ้นมาจับใบหน้าอย่างตั้งสติ โดยที่ไม่ได้สนใจคำพูดไถ่ถามของเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
จิตสำนึกกำลังชั่งตวงสถานการณ์และความต้องการของตนเองอยู่ว่าควรจะส่งข้อความไปปฏิเสธหรือจะลงไปเจอหน้าอีกฝ่ายดี ทั้งนี้ทั้งนั้นสมองส่วนที่ยากจะควบคุมที่สุดก็เริ่มคิดล่วงหน้าไปต่างๆนานา
มาทำไม?
บอกเรื่องตัวเองกับกุ้ง?
จะมาบอกว่าอึดอัด?
หรือจะมาแก้ตัว?
สมาธิจากการอ่านหนังสือก่อนหน้าเริ่มแตกกระเจิง ในวูบนึงของความรู้สึกแปลกใจและกังวล เขากลับมีความรู้สึกดีใจเข้ามาแทรก .. เพราะลึกๆแล้วเขาก็แอบดีใจ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องดี แต่ขณะที่ฝนตกหนักขนาดนี้ก็ยังอุตส่าห์มาหา ..
เป็นคนที่น่ารักดีนะ
แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่เคยทำตัวเป็นคนใจร้าย
Just pew : จะรอนะ
“ไอ้ยีนส์ กูถามอะไรมึงหน่อยดิ” ไป่ไป๋เอ่ยเสียงเรียบถามเพื่อนที่ยังงงงวยไปกับท่าทางของตนเอง เดี๋ยวตกใจลั่นห้อง เดี๋ยวนั่งยิ้ม จนล่าสุดเริ่มทำหน้าเศร้าอีกแล้ว
“อือ .. ว่า?”
“ถ้ามีคนๆนึงมาทำให้มึงไว้ใจ แต่อยู่ดีๆเขาก็เปลี่ยนไป” คนถามเว้นระยะการพูดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องสมมติขึ้นมาต่อ
“เขาโกหกมึง เขาทำลายความเชื่อใจมึง”
“แล้ว?”
“ถ้าเป็นมึง .. มึงยังจะให้อภัยคนโกหกอยู่ป่าววะ?”
“ทำไมมึงถึงโกรธคนโกหกล่ะ?”
“ถามอะไรบ้าๆ ก็เขาโกหกไง”
“ .. แล้วทำไมเขาถึงโกหกล่ะ?”
“...”
“ทีนี้ก็เป็นตาของมึงแล้วแหละ ว่าจะยอมรับเหตุผลของเขาและให้อภัยได้ไหม ..”
“อือ ขอบใจมาก” คนที่เป็นฝ่ายตอบคำถามได้แต่นั่งมองแผ่นหลังเล็กๆของอีกคนจนหายไปอยู่หลังบานประตู พร้อมกับเสียงฝีเท้าวิ่งที่ดังแข่งกับสายฝนขึ้นมา
สำหรับยีนส์แล้วนั้นจะไม่ยุ่งเกินความจำเป็น เพราะเชื่อใจว่าไป๋จะสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้
เมื่อขึ้นชื่อว่าเพื่อน เขาเองนั้นก็มีแต่ความปรารถนาดีจะให้
และจะยินดีเสมอหากเพื่อนนั้นจะมีความสุข ในสิ่งที่ตัวเองรักเสียที ..
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ทนดราม่ากันอีกนิดนึงนะคะ ; --- ;
ปล.ขอบคุณทุกกำลังมากๆเลยค่า <3
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
chapter twelve。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ร่างบางในชุดนอนวิ่งกระหืดกระหอบจากห้องตนเองลงมายันโถงโล่งชั้นหนึ่ง พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า เขาไม่ละความพยายามได้พาตัวเองเดินวนดูแต่ก็ยังไม่พบคนที่ตามหา จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกชื่อของเขาดังห่างออกไปจากทางด้านหลัง
“ไป๋!” คนตัวเล็กหันไปมองตามต้นเสียงก็พบกับพิวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ในมือมีร่มคันสีน้ำเงินชุ่มฝนอยู่หนึ่งคัน รอยยิ้มจุดขายของเจ้าตัวถูกส่งมาให้เหมือนอย่างทุกครั้งที่เคยทำ
ใจเต้นแรงเฉยเลยแฮะ...
พาขาสองข้างก้าวเดินหน้าไปจนหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ควบคุมสีหน้าไม่ให้หลุดยิ้มอย่างวางมาด
“มาทำไมอะ?” น่าแปลกที่คำถามของเขากลับเรียกรอยยิ้มจากคนร่างสูงได้กว้างขึ้นกว่าเดิม
“อยากชวนไปขับรถเล่น .. แล้วก็คิดถึงด้วย” จังหวะการเต้นของหัวใจของไป๋ถี่ขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ในจุดนี้ต้องยอมรับอย่างจำนนเลยว่ากำแพงที่เขาเคยสร้างขึ้นปกป้องความรู้สึกตัวเองกลับสั่นคลอนพร้อมถล่มลงตรงหน้าเข้าไปทุกที
“คิดถึงบ้าอะไรของมึง เมื่อเช้าก็เจอ”
“ถ้าคนมันคิดถึง ห่างกันแค่สิบนาทีก็เรียกว่าคิดถึงได้”
“เรื่องของมึงเถอะ แล้วฝนตกขนาดนี้มึงจะยังไปขับรถเล่นอีกเหรอ?” จัดการเฉไฉเปลี่ยนประเด็นในหัวข้อที่ชวนทำเอาหน้าเห่อร้อนออกทันที ก่อนสังเกตรอบตัวดีๆอีกครั้งว่าฝนยังไม่เริ่มซาลงแม้แต่น้อยเลย
“ไม่ขับเล่นก็ได้”
“เอ้า แล้ว-”
“สั้นๆเลยว่า กูแค่อยากอยู่กับมึงอะ”
จนแล้วจนรอดไป่ไป๋ก็ได้มาอยู่บนรถยนต์ของอีกคนจนได้ ร่างสูงไม่ได้ขับออกตัวไปที่อื่นตามคำชักชวน แต่กลับติดเครื่องจอดนิ่งสนิทท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและสายฝนที่ตกกระทบตัวรถที่ทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงอื่น
มือบางถูกดึงเข้าไปกระชับอย่างไม่ทันตั้งตัว ความอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่ายถูกส่งต่อมาถึงใบหูแดง เขานึกขอบคุณเหลือเกินที่แสงจากหลอดไฟข้างทางมันสลัวเกินกว่าจะมองเห็นอะไรชัดๆ
“ไป๋ มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?” จับมือเขาไว้ไม่พอ ยังฉวยโอกาสฉุดรั้งลำตัวของเราให้เข้าใกล้กันไปอีก ลมหายใจร้อนดูเข้ากันดีกับอากาศเย็นๆในรถกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในตอนนี้ถ้าเขาเบนหน้าไปหาอีกเพียงนิดเดียว จมูกของคงชนกับแก้มของอีกคนเป็นแน่แท้
“ก-ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่มี” พยายามแกะมือออกจากการเกาะกุมไปพร้อมกับการเบี่ยงใบหน้าหนี แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จนัก เมื่อยิ่งผลักไสคนแรงเยอะกว่าก็ยิ่งโน้มตัวเข้ามาใกล้
“ยิ้มให้ดูหน่อยดิ”
“เอาหน้าออกไปก่อน ..” สิ้นเสียงสั่งคราวนี้อีกฝ่ายกลับยอมเถิดตัวกลบไปอย่างว่าง่าย ทำให้เขาค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมาดังเดิม วินาทีนี้คงทำได้แค่ส่งยิ้มมุมปากเล็กๆไปให้อย่างจำยอมในสถานการณ์
“: )”
“อื้อ ค่อยเป็นไป๋ขึ้นมาหน่อย : )”
ตึกตัก ตึกตัก
ฝ่ามือใหญ่วางแหมะลงบนหัวเขาพร้อมลูบขึ้นลง ทำให้ไป่ไป๋รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่เอ็นดูอย่างไรอย่างนั้น
สองคนได้สบตากันท่ามกลางบรรยากาศภายในรถ ลืมความอึดอัดในใจไปทั้งหมดเพียงแค่ได้นั่งจ้องหน้ากันนิ่งๆแบบนี้ เนิ่นนานจนกว่าจะเบื่อ แต่ยังไม่ทันให้มีใครได้เป็นฝ่ายชนะในเกมจ้องตานี้ เสียงแจ้งเตือนดังแผดขึ้นมาเรียกสติทั้งคู่ให้กลับคืนมาได้ ทำเอาร่างบางเองนั้นเผลอตกใจและลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
ไลน์! ไลน์!
“ขอโทษๆ” ในระหว่างที่ผมกำลังล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยความรีบและตกใจอยู่นั้น มือที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อก็เผลอทำมันหล่นลงกับพื้นรถอย่างง่ายๆ เผลอสบถออกไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มเก็บขึ้นมาจากช่องว่างระหว่างเบาะขึ้นมาทันที
แต่ในขณะที่หยิบเจ้าสมาร์ทโฟนขึ้นมานั้นก็พบว่ากลับมีสิ่งแปลกปลอมได้ติดมือผมขึ้นมาด้วย จากรูปทรงที่สัมผัสอยู่นี่ก็ทำให้เดาได้ไม่ยาก มันเป็นพลาสติกเส้นๆวงๆ ระหว่างที่ยกขึ้นมาวางบนหน้าตักพร้อมโทรศัพท์ผมก็แอบสังเกตลักษณะของมันอย่างไม่ให้อีกคนสงสัยไปด้วย
ยางรัดผมสีชมพู ..
“อันนี้อะไรอะ?” ผมแกล้งชูสิ่งของที่เผลอหยิบติดขึ้นมาได้ขึ้นตรงหน้า ก่อนที่อีกคนจะรีบดึงกลับไปหาตัวเองด้วยความเร็ว
“อ๋อ ของเพื่อน” เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาดังนั้นมันก็เริ่มทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ .. เพื่อนของอีกคนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายเสียหมดแถมก็ไม่มีใครไว้ผมยาวอีกต่างหาก ให้เด็กประถมเดาน่าจะรู้เลยว่าเป็นของใคร
ผมสูดหายใจเข้าลึก แล้วเลิกสนใจอาการลุกลี้ลุกลนของคนข้างๆก่อนกลับมาสนใจยังโทรศัพท์ที่ค้างแจ้งเตือนเมื่อครู่นี้ไว้ว่าเป็นไลน์ของกลุ่มภาคไม่รอช้ารีบกดเข้าไปอ่าน
Pyre : พรุ่งนี้ฟิสิกส์คาบเช้ายกนะ
Pyre : อาจารย์เพิ่งโพสต์บอกในเฟซส่วนตัว
ผมอ่านจับแค่ข้อความที่สำคัญโดยไม่มีจิตใจสนข้อความของเพื่อนที่เหลือโดยมีทิศทางไปทางโวยวายเพราะความดีใจแม้แต่น้อย จัดการกดล็อกหน้าจอให้เรียบร้อยแล้วจึงเก็บใส่กระเป๋าเสื้อชุดนอนเหมือนเดิม
ด้านนอกตอนนี้ฝนก็ตกลงมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมนั่งมองหยดน้ำเกาะตามกระจกที่ไหลลงตามน้ำต่างหยดแล้วหยดเล่า ทอดถอนหายใจปล่อยให้ความเงียบเริ่มเกาะกินเราไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว ..
“พิว กูขอถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่าไงอ่ะ?”
“มึงกับกุ้งเป็นอะไรกันวะ?” สิ้นสุดคำถามผมก็ได้รับคำตอบเป็นความเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ ทำเอาใจผมกระตุกเซไปเล็กน้อย
“เป็นเพื่อนไง .. กูบอกมึงสองรอบแล้วนะเนี่ย”
“งั้นคราวนี้กูเปลี่ยนคำถามแล้วกัน”
“...”
“มึงรักกูป่ะ?” คราวนี้ที่จะเลือกหันไปสบตากับอีกคนตรงๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจปนกันอยู่ หากคำแรกที่เขาพูดออกมาเป็นคำที่ผมต้องการมากที่สุดแล้วนั้น ผมก็จะยอม .. ยอมหลับหูหลับตาแล้วลืมทุกอย่าง
แต่ผมไม่ได้ถูกสร้างมาให้ยอมรับความเจ็บปวดได้มากขนาดนั้น ...
“ไป๋ มันไ-”
“หมดเวลา”
แค่คำเดียวแท้ๆ อีกแค่คำเดียวเองนะ
น้ำตารื้นเต็มดวงตาทั้งสองข้างจนมองคนข้างหน้าแทบไม่ชัด ผมกระพริบตาไล่น้ำตาถี่ๆเพื่อให้มองคนตรงหน้าได้อย่างถนัด ด้านของอารมณ์ชั่ววูบกำลังทำงาน แม้ข้างในจะรู้สึกวูบโหวงอยู่ไม่น้อย แต่สมองของผมกลับสั่งให้เดินหน้าต่อ ซึ่งตัวผมเองนั้นก็ไม่รู้ว่าการตัดสินใจของผมสุดท้ายแล้วมันจะดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ผมได้เจอมาทั้งหมด มันได้บีบบังคับให้ผมได้พูดมันออกไป...
“ .. มึงเลิกจีบกูเถอะ” คำขอร้องที่ไม่มีแม้แต่การอธิบายสาเหตุใดๆ ทำเอาคนฟังถึงกับใจหล่นไปยังตาตุ่ม ยังคงนิ่งงันไปกับสิ่งที่ได้ยิน
“ท-ทำไมวะ” เสียงตะกุกตะกักดังขึ้นถามกลับมา น้ำตาผมจากตอนแรกที่เคยหายไปกลับหลั่งไหลราวกับธารน้ำตกไปตามสองแก้ม
“กูรู้สึกอึดอัด” ที่ได้แต่รอให้มึงมาหา
“...ไป๋”
“กูไม่ชอบที่มึงชอบมาจับหัวกู” เพราะมันทำให้หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว
“…”
“มึงไม่ต้องมาเสียเวลากับกูหรอก” ไปหาเขาเถอะ ก่อนที่สายเกินไปจนกูตัดใจไม่ได้
“...”
“.. กูไม่ได้ชอบมึง” จะยอมรับตรงนี้ก็ได้นะ .. ว่ากูรักมึงไปแล้ว
ไม่รีรอให้คนหลังพวงมาลัยได้รั้งไว้ ก็ตัดสินใจเปิดประตูเดินฝ่าดงฝนออกมา ถึงตัวจะเปียกปอนก็ไม่เป็นไร จงใจเดินสับขาเข้าประตูหอช้าๆ แต่ก็ไร้วี่แววของสิ่งที่หวังไว้ .. เป็นคนบอกเองแท้ๆ แล้วจะหวังให้เขาเดินตามมาทำไมวะ?
ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
แต่ทำไมพอเดินออกมาถึงไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
จบแล้วสินะ
ไปมีความสุขได้แล้ว
รัก ..
❋❋❋
หลังจากเมื่อคืนที่เอาแต่ทำซ่า เดินตากฝนเป็นพระเอกเอ็มวี ช่วงเช้าวันนี้ไข้หวัดก็รับประทานตามไปอย่างที่คาดไว้ แต่ก็โชคดีเหลือเกินที่ภาคเช้าอาจารย์สั่งยกคลาส รวมทั้งภาคบ่ายไม่มีการเรียนการสอนนั้น ทำให้ผมได้นอนป่วยที่หอได้อย่างสบายใจ
“ไง ไอ้ลูกหมา เมื่อคืนตกน้ำไปทีเดียว วันนี้หวัดแดกเลยเหรอ?”
“ป่วยแต่ก็เตะคนไหวนะครับ” สุ้มเสียงเริ่มแหบพร่าเพราะพิษไข้ แต่ก็ยังมิวายทำเก่งยกเท้าขึ้นโชว์คนฝั่งเตียงตรงข้ามว่าหากพูดมากเพิ่มขึ้นอีกนิดเดียว เจ้านี่จะได้ลอยไปเตะปากแน่ๆ
“เจ๋งมากมั้งเนี่ย” ยีนส์พูดยิ้มๆพลางส่ายหัวให้ผมน้อยๆแล้วนั่งลงอ่านหนังสือกองโตดังเดิม
นึกถึงเมื่อคืนที่เดินกลับมาถึงห้องด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก เป็นไปตามคาดว่ายังไงอีกคนในห้องก็ต้องถามสาเหตุแน่นอน แต่ยังสบายใจได้ที่ว่าคิดข้ออ้างดีๆเผื่อไว้ตั้งแต่เดินขึ้นบันไดมาแล้ว เลยทำให้รอดตัวจากการจับผิดไปได้อีกครั้ง
ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาแค่แปดโมงเช้า พวกเราก็ได้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำ เวฟข้าวกินเรียบร้อยแล้วก็มานั่งจมกับกองหนังสือ เนื่องจากควิซและสอบย่อยหลายวิชาที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ผมทานยาและนอนพักอยู่สักครู่ก็ควรค่าแก่เวลาที่จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสือหาความรู้เข้าสมองกลวงๆตามแบบรูมเมทบ้าง เทคนิคการอ่านหนังสือของผมมักไม่มีแบบแผนมากนัก อยากอ่านวิชาไหนก็อ่าน สลับอ่านบ้าง อ่านจนเบื่อค่อยเปลี่ยนวิชาบ้าง ทุกอย่างไม่ตายตัว
ผมพยายามหอบสังขารของตัวเองนั่งประจำที่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจัดการสุ่มหยิบชีทเรียนขึ้นมาอ่านในช่วงเช้านี้ แต่ดูเหมือนโชคยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อเป็นชีทวิชาฟิสิกส์หนึ่งในวิชาที่ผมชอบ ทำให้ผมไม่ต้องเริ่มต้นวันด้วยวิชายากๆให้ชีวิตในวันนี้ของผมต้องหม่นหมองไปมากกว่าเดิม .. อย่างเช่นเคมีเป็นต้น
“ซมแบบนี้ แสดงว่าเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องดีเหรอ?” จู่ๆไอ้ยีนส์ที่นั่งเงียบไปกลับพูดขึ้นมาเหมือนลอบสังเกตอาการของผมอยู่สักพักนึงมาแล้ว ส่งผลให้ดินสอที่กำลังขีดเขียนวิธีทำของโจทย์ข้อที่สามก็ต้องชะงักทันที
“...ไม่รู้ว่าดีไหม”
“…”
“แต่ไม่มีความสุขเลยว่ะ”
“เดี๋ยวกูไปต่อยมันให้เอาป่ะ?”
“เฮ้ย! ไม่ต้อง ถ้ากูจะต่อยคงไม่รอดมาถึงมือมึงหรอก” ผมรีบเบรกห้ามไอ้ยีนส์ที่ทำหน้าจริงจังขึ้นมาเพราะกลัวว่ามันจะเอาจริงขึ้นมา
“มันไปมีแฟน แล้วก็ทิ้งให้มึงเป็นอย่างนี้เนี่ยนะ”
“กูเป็นคนบอกเอง ..”
“แม่งเอ้ย โง่กันทั้งผัวทั้งเมียเลย” เสียงงึมงำในลำคอเบาเกินกว่าที่นั่งตรงนี้จะได้ยินอย่างชัดเจน ผมจึงเอ่ยปากขอให้พูดย้ำเพื่อความมั่นใจ แต่ผิดคาดกลับได้รับสายตาเบื่อหน่ายกลับมาเพียงเท่านั้น ..
..นี่ผมทำอะไรผิดไปเหรอ?..
❋❋❋
หนึ่งวันกว่าๆกับการเจอหน้ากันครั้งล่าสุดของผมกับพิว แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดได้ถึงหูตุลลี่แล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเจ้าตัวก็สวมบทบาทเพื่อนสนิทผู้เกรี้ยวกราดต่อว่าคนที่มันเคยหลงหัวปักหัวปำแบบไม่หยุด จนต้องเป็นผมและยีนส์ที่คอยทำให้ใจตุลลี่เย็นลง และเริ่มกลับมาใช้ฟีลเตอร์แม่แอฟ ทักษอรได้อีกครั้ง
แต่สำหรับทางด้านของไอ้ก๊าซและไอ้ครามที่หายหน้าหายตากันไป ประกอบกับที่ทั้งสองคนไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ ผมเลยตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องทั้งหมดกับทั้งคู่เลยเสียดีกว่า
ถึงวันนี้แม้อาการไข้หวัดจะไม่หายสนิทดี ผมก็ต้องหอบสังขารเข้าเขตตึกคณะมา เนื่องจากมีสอบย่อยทั้งในวิชาฟิสิกส์ตามที่อาจารย์ได้นัดหมายไว้นั่นเอง
ทันทีที่ได้ก้าวเท้าเข้าห้องมาพร้อมกับรูมเมทที่มักจะมาพร้อมกันเฉกเช่นทุกวัน หากมีสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็ตรงที่ว่า .. ที่นั่งด้านขวาของผมมันว่างเปล่าเสียแล้ว
“อ้าว ไป๋ไม่สบายเหรอใส่แมสมาด้วย” ก๊าซที่หันมาเจอผมกับหน้ากากอนามัยสีเขียวอ่อนก็เอ่ยทักขึ้นมา
“แม่งไปเดินตากฝนช่วยป้าหอเก็บลังกระดาษมา กลับห้องมาน้ำงี้หยดตึ๋งๆ บอกให้แดกยาก็ไม่แดก พอเช้ามาเป็นไงล่ะมึง เสียงแหบเป็นศิริพรเลย” และแล้วก็เป็นยีนส์คนเดิมที่มักจะออกหน้าช่วยตอบไม่ให้ผมรู้สึกลำบากใจ เจ้าตัวเดินเบียดจากข้างหลังขึ้นมาคุยกับไอ้ก๊าซในเรื่องของผมอย่างออกรสออกชาติ
“โอ้โห อะไรวะ ไอ้ไป๋ตากฝนจนหวัดแดกเลยเหรอ?” คราวนี้กลับเป็นเสียงของไอ้ตุลลี่ที่จู่ๆก็ทวนคำพูดขึ้นเสียงดัง ทำเอาผมงุนงงเล็กน้อย เพราะเมื่อวานนี้เป็นเจ้าตัวเองที่เข้ามาถามยันในห้องว่าทำไมถึงเป็นหวัด ผมจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดไปให้ฟังแล้วแท้ๆ..
“เออ กลับมาตางี้แดงเลยว่ะ สงสัยวิ่งแล้วน้ำฝนกระแทกตาแรงไปหน่อย”
“โอ๋ ไป๋น้อยของกู ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” ทั้งสองขยิบตาให้กันไปมาอย่างน่าสงสัย ก่อนที่จะถึงบางอ้อในทันทีว่าตัวต้นเหตุของการร้องไห้เมื่อวันก่อนได้นั่งอยู่ข้างหลังผมนี่เอง
บรรยากาศสำหรับผมตอนนี้เริ่มอึดอัดช่วงอกเข้าไปทุกทีทั้งไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ที่ผลัดขายผมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ต่างจากคนที่ย้ายไปนั่งด้านหลังอย่างจงใจที่เอาแต่นั่งเงียบแบบผิดวิสัย
“พวกมึงทั้งคู่พอได้แล้ว ถ้าอยากเป็นหวัดบ้างเดี๋ยวกูก็จะจัดให้” ไม่พูดเปล่า แกล้งถอดหน้ากากอนามัยออกแล้วยื่นหน้าที่เกรอะกรังไปด้วยน้ำมูกไปหาทั้งคู่
“อี๋ สกปรก มึงเอาหน้าของมึงออกไปเดี๋ยวนี้เลย!!!” แน่นอนว่ามันได้ผลดีเกินคาด ทำเอาทั้งสองคนโดยเฉพาะไอ้ตุลลี่หันหน้าหนีเลิกให้ความสนใจผมไปได้สักที .. เหนื่อยใจกับพวกแม่งจัง..
❋❋❋
“สอบย่อยฟิสิกส์ครั้งนี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์วะ?”
“20% รวมการบ้านแล้วก็สอบย่อยครั้งก่อน”
“ไอ้เหี้ยเอ้ย กูอ่านแทบตายเพื่อ 5 คะแนนเองเหรอว้า” หลังจากการสอบย่อยวิชาฟิสิกส์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็มากินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะสังคมฯอีกเช่นเคย แต่ดูเหมือนว่าบะหมี่ต้มยำหมูกรอบตรงหน้ากลับไม่อร่อยเหมือนเดิม เมื่อผมได้รู้ถึงสัดส่วนของคะแนนในการสอบที่อุตส่าห์กัดฟันทนพิษไข้อ่านอยู่ทั้งวันด้วยสภาพใกล้เคียงกับคำว่าจะตายอยู่ร่อมร่อ ..
“อย่างมึงต่อให้หลับตาทำไฟนอลก็เอแล้วมั้ง”
“พูดเกินเบอร์อ่ะมึงเนี่ย กูนี่อยากแบ่งคะแนนไปให้วิชาเคมีชิบหาย” เนื่องจากการสอบมิดเทอมในวิชาฟิสิกส์ ผมได้ทำคะแนนเอาไว้ดีมากถึงจะไม่ได้เป็นที่สูงสุด แต่ก็ถือว่าเยอะมากแล้วเมื่อเทียบกับวิชาอื่นที่ร่ำเรี่ยติดดิน
“ไม่เห็นต้องเครียดเลย เดี๋ยวให้พิวติวให้ก็เข้าใจแล้ว” ก๊าซที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งหมดปนกับความมองโลกในแง่ดีของเจ้าตัว ทำให้พูดเสนอขึ้นมา ไม่รู้ถึงความผิดปกติของเพื่อนทั้งสามคนที่เหลือยกเว้นครามเลยสักนิด โดยเฉพาะคู่หูคู่ใหม่อย่างยีนส์และตุลลี่ที่เอาแต่มองหน้ากันไปมาแบบเลิ่กลั่ก
“อีก๊าซๆ มึงว่าวันนี้ข้าวร้านป้านกกลิ่นแปลกๆปะวะ?” มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าตุลลี่พยายามชวนคนกำลังจ้อให้ผมใจเสียได้เปลี่ยนเรื่องคุย พร้อมงัดทักษะแอคติ้งที่สั่งสมมาจากทางบ้านแต่ไม่เคยได้ใช้ ก้มลงดมข้าวในจานพร้อมทำจมูกฟุดฟิดไปมา
“อืม .. ไม่อะ”
“ไม่ได้กลิ่นเหรอ?”
“ไม่ได้กินร้านป้านก”
“อ้าวเหรอ เป็นงั้นไป ฮ่าๆ”
ผ่ามผาม!!!!!!
❋❋❋
และแล้วคาบเรียนภาษาอังกฤษืก็ได้ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้งในสัปดาห์..
“งานชิ้นสุดท้ายของเทอมนี้ จะเป็นวิดิโอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่นักศึกษาสนใจกันนะคะ” เป็นเสียงอาจารย์ชนันท์พรประจำคลาสอิ๊งเจ้าเดิมพูดแจกแจงโปรเจคที่กำลังจะมอบหมายให้ไปทำ กำหนดเดธไลน์เป็นก่อนการสอบไฟนอลและสถานที่ของแต่ละกลุ่มในเซคต้องไม่ซ้ำกัน เราทั้งสี่คนจึงตัดสินใจจะอยู่กลุ่มเดียวกันเหมือนเดิม เพราะเริ่มลงตัวด้านการทำงานกันได้แล้ว
สิ้นสุดคาบเรียนพวกเราเลือกที่จะนั่งประชุมเรื่องเลือกสถานที่กันต่อ ด้วยความคิดและข้อเสนอแนะที่ไม่ลงตัวทำให้การพูดคุยกินเวลาไปพอสมควร
“เราว่าสถานที่ทางประวัติศาสตร์มันมีสตอรี่ให้พูดเยอะก็จริง แต่มันไม่ค่อยมีแอคทิวิตี้ให้ทำน่ะสิ”
“แต่ถ้าเป็นพวกสวนน้ำก็จะไม่มีข้อมูลอะไรให้เราพูดเลยนะ” ด้านของพะแพงและขวัญได้นั่งปรึกษาเรื่องของสถานที่ในการถ่ายทำอย่างขะมักเขม้น ผมกับเปรมก็ได้แต่พูดเสริมขึ้นบ้างในบางจังหวะ เนื่องด้วยที่ว่าเปรมนั้นเป็นคนต่างจังหวัด ส่วนผมนั้นเป็นคนกรุงเทพก็จริง แต่ติดบ้านและไม่ค่อยสนใจสถานที่เที่ยวมากนัก รวมทั้งมหาลัยของผมอยู่ในเขตปริมณฑล ไม่ได้อยู่ในเขตของเมืองหลวง ทำให้ไม่สันทัด และไม่มีข้อมูลอะไรไปเสนอแนะมากมายนัก
“งั้นพวกตลาดน้ำเป็นไงอะ มีทั้งวัดมีทั้งตลาดเลยนะ” เป็นเปรมที่พูดแทรกขึ้นมาหลังจากที่เริ่มเห็นว่าหากยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ท่วงทัน พวกเราอาจโดนแย่งสถานที่ดีๆไปก็ได้
“เฮ้ยยยย โอเคเลยนะ”
“เราโหวตตลาดน้ำด้วย”
“โอเค เสียงเป็นเอกฉันท์” กำลังจะโห่ร้องด้วยความดีใจยังไม่ทันไรก็ต้องกลับมานั่งเครียดอีกรอบนึง ว่าจะเป็นตลาดน้ำในจังหวัดไหนดี..
“อีกไม่กี่อาทิตย์ก็ไฟนอล แล้วกว่าจะตัดต่อเสร็จอีก งั้นเราเอาเป็นตลาดน้ำที่ไม่ไกลจากมอกันดีไหม?”
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวช่วยกันหาข้อมูลนะ” เราต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์ประจำตัวขึ้นมาเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตพร้อมเสิร์ทหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการ ก่อนที่เราจะค้นเจอกันคนละหนึ่งถึงสองสถานที่จนลำบากใจที่จะเลือก
“เอางี้ เปิดระยะทางขึ้นมาเลย ที่ไหนใกล้ที่สุดก็เอาที่นั่นเลย”
“ของเรา 49 กม.” พะแพงเป็นคนพูดออกมาคนแรก
“ของเรา 83 กม. สงสัยไกลสุดแล้วมั้งเนี่ย” ต่อมาด้วยขวัญที่ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าแค่บอกตัวเลขแสดงระยะทางแค่นี้ แต่ทำไมต้องตื่นเต้นและลุ้นกันไปทั้งหมดด้วย
“ของเปรม 53 กม. กับ 25 กม.” และสุดท้ายก็คือผม...
“...23 กม.” ซึ่งพออ่านชื่อของตลาดน้ำที่อยู่บนหน้าจอดีๆแล้วนั้น กลับรู้สึกคุ้นหูขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้นั่งนึกอยู่นานแต่ก็ยังนึกไม่ออก
จนสุดท้ายผมทนไม่ไหวกดเปิดเข้าชมภาพถ่ายจากที่เคยมีคนลงรีวิวเอาไว้ในเว็บไซต์ชื่อดัง และแล้วก็ทำให้ผมนึกออกในที่สุด .. นั่นก็คือตลาดน้ำที่เคยไปมากับไอ้พิวนี่เอง
“งั้นตกลงเป็นตลาดน้ำที่ไป๋เปิดนะ เขาเมนต์จองในโน้ตแล้ว ส่วนวันที่ไปถ่ายยังไงเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีเนอะ”
“เย้ รีบไปกันเถอะทุกคน ข้างนอกเริ่มมืดเหมือนฝนจะตกอีกแล้ว”
“อื้ม ไปกันดีกว่า” ทันทีที่ได้ยินคำเตือนจากขวัญเกี่ยวกับสภาพอากาศภายนอกก็ต้องรีบกระวีกระวาดสาวเท้าออกจากห้องมาอย่างด่วนจี๋ แต่เหมือนคนบนฟ้านั้นจะไม่เคยเอ็นดูผมสักนิดเลย เพราะเมื่อกำลังจะย่างก้าวออกนอกตัวตึกไปปุ๊บ เมฆสีดำทะมึนก็กลับกลายเป็นน้ำฝนตกลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว
เสือกลืมร่มไปอีกเจริญละกู..
เพื่อนๆที่เหลือรวมทั้งผมรวมเป็นสี่ชีวิตต่างมีชะตาที่ไม่ต่างกัน แม้ทั้งสามจะไม่ได้อยู่หอในแต่ระยะทางจากตึกคณะศิลปศาสตร์ที่เรายืนอยู่ต้องใช้เวลาเดินไปสักประมาณนึงกว่าจะถึงหน้ามอ ทำให้พวกเราได้แต่ยืนสุมหัวติดแหง็กเพราะไม่มีใครคิดจะพกร่มกันมาเลยสักคน เวลาก็ปาไปจะเกือบหกโมงเย็นแล้ว ผมนึกขึ้นได้เลยหยิบโทรศัพท์เปิดไลน์ขึ้นเช็คข้อความเผื่อว่าจะมีใครพอช่วยผมได้บ้าง
ตุลาครับ : อีไป๋ อียีนส์พวกมึงเลิกยังงง
ตุลาครับ : ฝนจะตกแล้ว รีบกลับเร็ว
Jeansss : แปปๆ อาจารย์เข้าเลทเลยปล่อยช้า
ตุลาครับ : อีพวกเหี้ย กูไม่มีร่มนะรีบออกมา
ตุลาครับ : งั้นกูกลับหอก่อนแล้วกันนะ
ตุลาครับ : บรัย
ก้าดเก้วกาด : อะไรว้าไม่เคยคิดถามถึงพวกกูอะ
ก้าดเก้วกาด : น้อยใจคัก
ตุลาครับ : เช้าก็มากับผัว เย็นก็ไปแดกข้าวกับผัว
ตุลาครับ : กลางคืนก็นอนกับผัว
ตุลาครับ : ไหนอีก้าดบอกสิว่าใครกันที่ทิ้งเพื่อน
ก้าดเก้วกาด : ผัวอะไรวะ ไม่คุยแล้วแม่ง
k. : *ส่งสติ๊กเกอร์*
หลังจากที่เห็นข้อความว่ามีไอ้ยีนส์ที่เหมือนจะยังไม่ได้กลับเหมือนกันก็เริ่มใจชื้น เตรียมพิมพ์ข้อความส่งไปหาเผื่อได้ติดร่มกลับด้วยกัน แต่แล้วเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังที่มีทิศทางตรงมายังทางผมและเพื่อนๆก็ฉุดความสนใจของผมที่มีต่อห้องแชททางไลน์ไปเสียหมด
“คนบ้าอะไรพกร่มมาสองคันเนี่ย”
“เป็นคนหล่อไม่ใช่คนบ้า”
“จ้า ขอบคุณที่ให้ยืมนะจ๊ะ ว่าแต่จะไม่เดินกลับพร้อมกันจริงๆเหรอ?”
“อือ จีจี้ไปก่อนเลย”
“อื้อ งั้นไปนะ บ๊ายบายพิว” เสียงเล็กๆของผู้หญิงดังขึ้นเรียกชื่อที่คุ้นเคยทำเอาผมใจไม่เป็นสุขขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าหันไปมองทางต้นเสียงที่เริ่มดังใกล้เข้าเหมือนอยู่ไม่ห่างมากนัก
“อ้าว นั่นพิวนี่” ตั้งแต่ได้รู้จักสาวคณะแพทย์คนนี้ในฐานะเพื่อนมา ผมไม่เคยแม้แต่จะนึกเกลียดการจดจำชั้นเยี่ยมของเธอเลยสักนิดเดียว จนกระทั่งเจ้าตัวโบกมือทักทายให้บุคคลด้านหลังซึ่งทำเอาผมมั่นใจอย่างเต็มร้อยแล้วว่า เป็นคนที่นึกถึงไว้จริงๆ
“หวัดดี ยังไม่กลับกันอีกเหรอ?” คนตัวสูงในชุดเสื้อช็อปและกางเกงยีนส์เช่นเดียวกับผม เดินตรงเข้ามาหยุดยืนยังที่ว่างข้างตัวผม แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมองเขา เช่นเดียวกันกับเขาที่ไม่ได้หันมามองผม..
“ไม่ได้พกร่มมาเลยต้องรอรถรางไปหน้ามอกันอะ”
“พะแพง เปรม รถรางมาแล้วๆ”
“มาพอดีเลย ไปแล้วนะบ๊ายบายไป๋ บ๊ายบายพิว” ยังไม่ทันขาดคำรถรางสีขาวก็เข้าจอดเทียบป้ายทันที ก่อนที่ร่างของทั้งสามจะวิ่งฝ่าสายฝนตรงขึ้นไปบนรถที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ผมที่ไม่ได้ขึ้นไปด้วยเพราะรถรางไม่ได้ผ่านเส้นทางเดียวกับหอใน เลยได้แต่ยืนเกร็งคนข้างๆจนไม่กล้าขยับไปไหน
ความแรงของฝนที่เอาแต่ทวีคูณเพิ่มขึ้นช่างดูเหมือนในคืนก่อน ละอองฝนเริ่มสาดเข้ามากินพื้นที่ที่เคยยืน ทำให้ทั้งสองค่อยๆเขยิบห่างจากชายคาตึกจนมายืนพิงชิดกำแพง บรรยากาศโดยรอบเริ่มเงียบลงตั้งแต่ที่เพื่อนร่วมทุกข์ได้ทยอยขึ้นรถรางกันไป จนเหมือนว่าใต้คณะเหลือเพียงแค่เขากับคนข้างๆเพียงสองคนเท่านั้น
“...อะ” ร่มสีน้ำเงินคันคุ้นตาถูกยื่นเข้ามาหา ร่างบางยังคงงุนงงกับท่าทางของอีกฝ่าย เลยเลือกที่จะหันไปจ้องหน้าหาคำตอบแทนที่จะรับร่มคันนั้นไว้
“ไม่สบายไม่ใช่เหรอ รีบกลับหอเถอะ เดี๋ยวจะป่วยหนักกว่าเดิม” เพราะคนตัวเล็กทำอะไรไม่ทันใจเลยจัดการดึงมือขาวที่ตอนนี้เริ่มเย็นและซีดเพราะสภาพอากาศขึ้นมา พร้อมกับยัดร่มสีน้ำเงินใส่มือไปให้
ไป่ไป๋ที่ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกคนได้แต่ถือร่มคันนั้นไว้ในมือ เลือกที่จะไม่พูดอะไร แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปไหน
“เดี๋ยวค่อยเอามาคืนก็ได้ ไปเหอะ”
“...แล้วมึงอะ?”
“ฝนซาเมื่อไหร่ค่อยไป หน้ามออยู่แค่นี้เอง” ร่างบางตอบรับในลำคอเสียงเบาก่อนจะเดินแยกตัวออกมาเพื่อเตรียมกลับหอ ในระหว่างที่เขากำลังจะก้าวเท้าให้พ้นจากการกำบังของอาคาร ขณะนั้นก็ได้ก้มลงมองเจ้าผ้าพลาสติกก้านเหล็กเรียวในมือด้วยความคิดอะไรหลายๆอย่าง
เขาต้องเป็นคนพูดต่างหากว่าหอในอยู่ใกล้แค่เดินห้านาทีถึง ต่างจากหอของอีกคนที่ต้องเดินร่วมยี่สิบนาทีกว่าจะถึงที่หมาย แถมฟ้ามืดขนาดนี้สองทุ่มก็น่าจะยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ไป่ไป๋เลือกเงยหน้ามองท้องฟ้าสีไม่สดใส .. นึกตำหนิในใจว่านอกจากไม่เอ็นดูกันแล้วยังจะทำให้ลำบากใจมากขึ้นอีก
เขาหมุนตัวเดินกลับเป็นรอบที่สองในวันนี้
หยุดยืนต่อหน้าคนที่เอาแต่ทำหน้าสงสัย
พร้อมยื่นร่มคันเดิมกลับคืนให้เจ้าของ ..
“...ไปส่งหน่อยดิ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย แต่รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหลังจากที่ฟังจนจบครบประโยคแล้ว นั่นก็ทำให้ได้รู้ว่าทางเลือกที่ไป่ไป๋ได้ตัดสินใจส่งผลให้ช่องอกของพิวกลับมาชุ่มชื้นเหมือนฝนตกตอนรุ่งสางได้อีกครั้ง
มือที่โอบมาวางบนไหล่
ร่มคันเดียวกันกับในวันนั้น
ยังเป็นพิวที่ทำให้หัวใจของไป่ไป๋เต้นแรงได้เหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
...
เพราะคงไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ทั้งตัว และทั้งใจ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่ยังมาส่งกัน .. รักมากกว่าเมื่อวานอีก
โชคดีนะ
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
มั่ยร้องนะ แต่สัญญาเลยว่าจะทำให้ทุกคนกลับมายืนสง่าบนเรือพิวไป่ไป๋ให้จงได้..
ปล.ขอบคุณทุกเฟบ ทุกวิว ทุกกำลังใจ และทุกคอมเมนต์นะคะ แพรอ่านทุกอันเลย
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
:L2: :pig4:
:sad11:
-
Q : ทำไมไป๋ถึงอึกอัก ไม่ยอมพูดกับพิวให้ตรงๆไปเลยจะได้จบๆ?
A : เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นพิว เป็นความรักครั้งใหม่ เป็นความรักรูปแบบใหม่ที่ไป๋ยังไม่เคยเจอ แถมไป่ไป๋ยังให้โอกาสพิวพูดเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว แต่พิวก็ยังไม่ชัดเจน โดยนิสัยของไป๋แล้วที่ไม่ชอบอะไรคาราคาซัง เคลียร์คือเคลียร์ จบคือจบ บวกกับอารมณ์ชั่ววูบของคนด้วยแล้ว เลยทำให้ไป่ไป๋เลือกที่จะพูดอย่างนั้นออกไปนะคะ..
และส่วนตัวแล้วแพรมองว่า ถ้ามันขึ้นชื่อว่าความรักเมื่อไหร่ มันไม่เคยที่จะสมเหตุสมผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก
และๆๆๆๆ ที่พิวทำไปแบบนั้นเขาก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองนะฮับ เอาเป็นว่าถ้าใครไม่ชอบดราม่า แบบไม่อยากค้างจริงๆ แพรแนะนำให้อ่านตอนต่อๆๆๆๆไป หรือรออ่านตอนจบไปทีเดียวเลยก้ได้ค่า เรื่องนี้แพรเข้าใจ ; --- ; แต่ยังไงตัวละครก็ต้องเป็นไปเนอะ ไม่มาม่าน้า
สุดท้ายนี้ ก็ขอบคุณทุกคนๆจริงๆจากใจเลยค่ะ จะเป็นแพรที่เก็บคำแนะนำมาใช้เพื่อพัฒนางานเขียนของตัวเองต่อไปนะคะะะ
-
ขอเรือพิวไป๋จงกลับมาลอยเด่นเป็นสง่าดังเดิมในเร็ววัน
:hao5:
-
โอยยย ไม่น่าหลงเข้ามาอ่านเลยค่ะ รอวนไป
-
สนุกมากเลย เราชอบที่มีการเริ่มจีบ มีช่วงพัฒนา ความสัมพันธ์ไปแบบเรื่อยๆแต่ดำเนินเรื่องไม่ช้า ดีมากๆเลยยย
-
อ่านตอนล่าสุดแล้วอยากกรี๊ดดังๆ เราอยากให้ไป๋ใจแข็งกว่านี้ค่ะ ตราบใดที่พิวยังไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์และยังนึกไม่ออกว่าทำอะไรไว้ก็ไม่อยากให้น้องอ่อนข้อให้
ส่วนตัวเราชอบเรื่องนี้มาก ชอบหมดเลยค่ะ อ่านไปกรี๊ดไปเรียกพิวขาา แต่หลังๆมาโมโห ไฟรักลูกมันลุกฮือ เรื่องคำผิดที่มีน้อยมากค่ะ เราเห็นสองสามอันแต่พออ่านมาถึงล่าสุดก็ลืมหมดแล้ว แต่ว่ามีส่วนที่เรางงๆอยู่ค่ะ ปกติเรื่องนี้จะเล่าในมุมมองของไป๋แต่บางตอนอยู่ๆก็มีเล่าแบบสรรพนามบุรุษที่สามมาคั่นเป็นช่วงๆเราเลยงงๆ เพราะตอนแรกยังแทนตัวเองว่าผม แต่พอบรรทัดต่อมาเป็นบุคคลที่สามบรรยาย เราเลยรู้สึกงงตรงนี้ แต่รวมๆแล้วเขียนดีมากเลยค่ะ เราชอบมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ :mew1:
-
หงุดหงิดกับพิวอ่ะ ทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าตัวเองทำไรไว้
คือถ้าเหตุผลเพราะลองใจไป๋ จะโกรธกว่าเดิมอ่ะ
ความรู้สึกคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
อินมากกก ไม่ชอบคนโลเล *โป้งพิวไว้ก่อนถ้ากลับมาเป็นคนดีจะยอมดีด้วย*
-
:angry2:
กุ้ง ช่วยมาเคลียร์ด้วย กุ้ง !!!
-
ฮรือออ หน่วงมาก
-
chapter thirteen。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
หลังจากนั้นผมก็ได้กลับมาถึงหอโดยสวัสดิภาพ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกันถึงได้เลือกให้อีกคนกางร่มพามาส่งแบบนี้ ถึงจะกลัวว่าที่พิวยื่นร่มให้แทนจะอาสาไปส่งตั้งแต่แรกเป็นเพราะว่าเจ้าตัวรู้สึกอึดอัดกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือเปล่า .. แต่อย่างไรผมก็รู้สึกดีใจที่บรรยากาศระหว่างเราทั้งสองไม่ได้เหมือนที่ผมคิดไว้สักเท่าไร
ในระหว่างทางจากตึกเรียนถึงหอในพวกเราก็เลือกที่จะเดินใต้ร่มคันเดียวกันมาเงียบๆ แม้แต่ในตอนที่ถึงที่หมายผมก็ทำเพียงก้มหัวน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณให้อีกฝ่ายไปเท่านั้น
“อ้าว กูกำลังจะไลน์ไปถามเลยว่าอยู่ไหน” ก้าวเข้าห้องปุ๊บ ผมก็ได้ยินเสียงรูมเมทดังขึ้นทักทายเหมือนกำลังรอผมอยู่
“วันนี้ประชุมโปรเจคเลยเลิกช้า มีอะไรเหรอ?”
“รอลงไปเซเว่นเนี่ย ไอ้ตุลลี่มันก็ถามในกลุ่มอยู่ว่าทำไมมึงยังไม่กลับ”
“อ้าว ถ้าหิวทำไมไม่ไปกันก่อนแลยอ่ะ ไม่ต้องรอหรอก”
“ไม่ได้ ไอ้ตุลลี่บอกมันกลัวมึงเหงา” กูว่าน่าจะเป็นพวกมึงมากกว่าที่เหงาเนี่ย ...
❋❋❋
“ไอ้ยีนส์ๆ มีคนทักมึงว่ะ”
“ไหนๆ”
“นี่ไง .. ฮายยยยยีนส์” หลังจากที่ผมยังไม่ทันได้นั่งพักที่ห้องให้หายเหนื่อยดี ก็ต้องถูกลากลงมาเซเว่นใต้หออีกครั้ง แต่ในขณะที่กำลังยืนเลือกของใช้อยู่นั้นก็ได้ยินประโยคคำพูดแปลกๆออกมาจากเพื่อนที่อยู่ไม่ห่าง ด้วยความสงสัยจึงละสายตาจากผงซักฟอกหันไปมองไอ้ตุลลี่ที่ยืนทำหน้าระรื่นถือซองน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อหนึ่ง กับไอ้ยีนส์ที่ทำหน้าเหม็นเบื่อกับท่าทางของเพื่อนเสียเต็มประดา
“พ่อง ไอ้ตุลลี่ แต่ไม่เป็นไรมีคนด่ามึงให้กูแทนละ”
“ไหนใครวะ?”
“นี่ไง เขาถามว่ามึงเล่นมุกฟายไลน์” ไม่ทันไรยีนส์คนเหม็นโลกก็กลับกลายมาเป็นคู่หูคู่ฮาเล่นตบมุกกับตุลลี่ไปเสียแล้ว พร้อมกับยกหยิบถุงน้ำยาปรับผ้าถุงอีกยี่ห้อที่วางไม่ห่างกันขึ้นมาให้ดูชื่อโลโก้บนถุงได้อย่างถนัดตา
“ไอ้ยีนส์ .. มึงก็อย่าไปเชื่อมันให้มากนะ”
“ทำไมวะ?”
“เนี่ย .. แม่งเดานี่ รู้ไม่จริงก็อย่าพูดดีกว่า ” จากนั้นจึงเป็นตาของน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อที่ผมใช้ประจำขึ้นมาบ้าง
“แต่มึงก็-”
“เอ่อ .. พวกมึงกูหิวแล้วว่ะ ไปหาของกินกันดีกว่า” หลังจากยืนเอ๋อฟังทั้งสองตบมุกกันอย่างสนุกสนานได้สักพักจนรู้สึกได้ว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้อาจเป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหารที่เพิ่งเริ่มประท้วงขึ้นมาเพราะความหิว
“เออ ไปๆ”
พอผ่านเรื่องป่วนๆในร้านสะดวกซื้อมาได้ พวกเราก็กลับขึ้นห้องมาพร้อมกับของกินอีกจำนวนมาก ไอ้ตุลลี่ที่มานั่งเล่นห้องผมจนรู้งานก็จัดการกางโต๊ะญี่ปุ่นบนพื้นกลางห้องให้สะดวกต่อการนั่งกินข้าว ไม่รอช้ารีบทิ้งตัวลงนั่งแล้วหยิบข้าวที่ซื้อออกมากกินด้วยความหิวแบบไม่รั้งรอใครทั้งสิ้น
“พลอยใสเลิกกับไอ้เคนแล้วเหรอวะ?” มือจับช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปากของผมต้องชะงักเพราะคำพูดของตุลลี่ ที่จู่ๆก็พูดลอยๆขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไป
“มึงไปรู้เรื่องของเขาได้ไงอะ?”
“ในเฟซไอ้เคนเหมือนมันเฮิร์ตๆ” พูดจบเจ้าตัวก็ยื่นโทรศัพท์เครื่องสีขาว ที่เปิดในเห็นโพสต์ของคนที่กำลังพูดถึงค้างเอาไว้อยู่
KKen เมื่อ 20 นาทีที่แล้ว
คิดถึงเขาก็กลับไปหาเถอะ เราไม่เป็นไรหรอก
“กูออกมาไกลเกินกว่าจะกลับไปสนใจละ เอาเป็นว่าเรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง” ยักไหล่ใส่ข้อความอย่างไม่แยแส แล้วหันมาให้ความสนใจกับข้าวปลาทอดลุยสวนตรงหน้าต่อ
“เป็นไปได้ไหมวะ .. ที่พลอยใสจะกลับมาหามึง”
“ต่อให้กลับมากูก็ไม่มีที่ให้เค้าอยู่ด้วยแล้ว ..”
“ถ้าสมมติ-”
“พวกมึงบอกให้กูเป็นคนมูฟออนเองแท้ๆ .. ปล่อยให้เขาจัดการปัญหาของเขาเองเถอะ” ถึงในตอนสุดท้ายทั้งผมและพลอยใสตกลงที่จะเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันแล้วก็ตาม แต่อย่างไรปัญหาของคนรักใหม่ของคนรักเก่ามันก็ไม่ใช่ธุระของผมอยู่ดี
“ไป๋ กูขอโทษ”
“เออ ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงเป็นห่วงกู” เสียงผมเริ่มอ่อนลงตามเสียงขอโทษขอพายจากเพื่อน ผมรู้ดีว่าคงไม่อยากมีเพื่อนคนไหนอยากทำให้เพื่อนลำบากใจ แต่สิ่งที่ไอ้ตุลลี่ถามมันก็เป็นแค่การถามไถ่เพื่อรับมือเท่านั้นเอง
“แดกข้าวเสร็จแล้วดูหนังกันปะมึง?”
“เอา!/ดีล!” เสียงตอบรับจากผมและตุลลี่ดังขึ้นพร้อมกันตอบคำชักชวนของยีนส์ และนั่นก็ทำให้บรรยากาศชวนตึงเครียดในห้องเรากลายเป็นเสียงหัวเราะกลับคืนมาสู่ภายในห้องของเราอีกครั้ง..
❋❋❋
“ไป๋ เอาบทที่เราให้แปลเป็นอิ๊งมาหรือยัง?”
“เอามาแล้วๆ” ปึกกระดาษเอสี่ถูกส่งให้ผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้กำกับในการถ่ายโปรเจคอีกครั้ง หลังจากที่เรานัดวันที่ทำกันเป็นวันเสาร์ให้หลังจากการสั่งชิ้นงานมาหนึ่งสัปดาห์
ในการถ่ายทำในครั้งนี้หลักๆบทพูดก็จะเป็นเกี่ยวกับการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว และความเป็นมาของวัดและตลาดน้ำแห่งนี้ โดยที่พวกเราจะรับบทบาทเป็นไกด์นำเที่ยวในครั้งนี้ให้เหมือนกับคนดูนั้นได้มาท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
“จุดแรก เริ่มที่หน้าวัดนี่เลย ไป๋จำบทได้แล้วใช่ไหม?”
“อื้อ เมื่อคืนท่องมาแล้ว”
“โอเค แล้วกล้องพร้อมไหม?”
“พร้อมแล้ว!”
“สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!” สิ้นเสียงของพะแพงเราจึงเริ่มถ่ายทำกันไปอย่างไม่รีบร้อน จุดแรกไล่เรียงไปจุดที่สอง สามและสี่ตามลำดับ จากบริเวณหน้าวัดไล่มาที่ตลาดย่อมๆฝั่งท่าและทางด้านของการขายอาหารบนเรือเรียงกันเป็นทอดๆ ผมที่เคยมาก่อนหน้านี้จึงพอจะรู้มุมสวยๆของตลาดน้ำที่นี่มาแล้ว ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินหาฉากลงได้อย่างมาก
การถ่ายทำบทในส่วนของแต่ละคนเป็นไปได้อย่างราบรื่น แม้เวลาจะล่วงเลยไปเกือบบ่ายโมงแล้ว แต่พวกเราก็ตัดสินใจทำงานในส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้นก่อนจะพักไปทานข้าวกลางวัน
“เย้!!!! เสร็จแล้ว” หลังจากถ่ายทำนานนับร่วมสี่ชั่วโมงผ่านพ้นไปจวบจนตอนนี้ก็ได้สิ้นสุดลงเสียที แม้เสียร่ำร้องจากความอยากอาหารดังครืดคราดมากตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ก็ยังกลั้นใจอดทนต่อความหิวจนมาถึงตอนนี้ได้
ในที่สุดพวกเราทั้งสี่คนก็ได้มายืนเลือกร้านอาหารบนแพริมน้ำ แต่เพราะจำนวนที่มีมากเกินไปจนยากแก่การตัดสินใจเลยทำให้เราต้องใช้วิธีเป่ายิ้งฉุบแทน และแล้วหวยก็ดันไปออกที่ร้านอาหารตามสั่งที่เปรมเป็นคนเลือก
เราสั่งอาหารและนั่งคุยเรื่องนู่นนี่อย่างผ่อนคลาย แม้จะเป็นเวลาช่วงบ่ายแต่ไอเย็นของน้ำก็พัดเข้ามาไม่ทำให้อากาศอบอ้าวจนเกินไป ด้วยความที่ตอนนี้เลยเวลากินข้าวของคนทั่วไปแล้ว เลยทำให้อาหารที่สั่งมาเร็วกว่าปกติ ต่างคนต่างไม่รอช้า เมื่ออาหารของใครมาอยู่ตรงหน้าก็รีบจัดการแบบไม่มีใครรอใครทันที
“คนนั้นใช่คนที่เจอเมื่อวานไหมอะ .. ชื่ออะไรนะ? เราจำไม่ค่อยได้” เสียงเรียกของข้าวที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเอ่ยขึ้นถามด้วยความสงสัย ก่อนที่พวกเราทุกคนจะหันไปดูบุคคลตามต้นทางตามที่ขวัญบอก
ไหล่กว้างในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีเข้ม
ผมทรงอันเดอร์คัตยอดฮิต
รองเท้าผ้าใบไนกี้ตัวท็อป
และมากับผู้หญิงที่มากกว่าหนึ่งคน ...
“นั่นพิวนี่ เจออีกแล้วเหรอเนี่ย” นับจากที่นั่งตรงนี้กลุ่มที่เดินอยู่ตรงนั้นคงมากันประมาณหกคนได้ ประกอบด้วยชายหนึ่งหญิงห้า หนึ่งผู้ชายคนเดียวในนั้นถือของอยู่เต็มสองมือ เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นของกิน ส่วนผู้หญิงจากหนึ่งในห้าคนนั้นผมก็พอจะเห็นผ่านๆตามาบ้าง .. กุ้งไง
“ไป๋ๆ ผู้หญิงใสเสื้อปาดไหล่สีแดงเดินข้างๆพิวนั่นแฟนพิวเหรอ?” ขวัญที่เห็นภาพทั้งหมดไปพร้อมกันรีบยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความสงสัย .. โชคดีหน่อยที่ทั้งหกคนนั่นเดินอยู่ที่ตลาดบนฝั่งท่า ทำให้ไม่ทันได้สังเกตมองมาบนแพที่พวกผมนั่งทานข้าวกันอยู่
“ไม่รู้เหมือนกันสิ ไม่เคยเห็นพิวบอกเลย”
“งี้แสดงว่าเราก็ยังมีหวังน่ะสิ”
“หืม แพงชอบพิวเหรอ?” ไม่เพียงแค่ผมที่ตกใจ แต่รวมถึงชวัญและเปรมที่ไม่ได้สนใจเรื่องทั้งหมดมากยังตกใจตามไปด้วย
“แฮ่ๆ ล้อเล่นหรอกน่า ปีหน้าเราก็ย้ายวิทยาเขตแล้ว ขืนมีแฟนต่างคณะกันคงขาดใจตายพอดี”
“นั่นดิแพง ถ้าพิวมีแฟนอย่างไอ้ไป๋ก็ว่าไปอย่าง” เปรมพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถึงมันจะเป็นแค่การยกตัวอย่าง แต่น้ำอัดลมที่กำลังไหลลงคอก็เกิดการกลืนอย่างผิดจังหวะจนผมสำลักหน้าดำหน้าแดงขึ้นมา
ด้านพะแพงที่นั่งข้างๆคงหวั่นว่าผมจะขาดใจแดดิ้นตายลงเพราะสำลักน้ำเป๊ปซี่ไปก่อนที่จะได้ตัดต่อวิดีโอแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากนักนอกจากนั่งลูบหลังให้ผมเบาๆอย่างสมกับเป็นคุณหมอในอนาคต นานจนกระทั่งอาการไอได้หายไปหมดแล้ว แต่ก็ไอ้เปรมเพื่อนซี้ก็ไม่วายพูดจากวนตีนไม่ต่างจากเดิม
“อะไรว้า กูแหย่เล่นนิดเดียวถึงกับสำลักเลยเหรอวะ นี่อย่าบอกนะว่าพวกมึงสองคน ..”
“พ่อง ไอ้เปรมมึงอย่ามาเพ้อเจ้อ”
“ก็เป็นเพื่อนสนิทกันงาย มึงนี่ร้อนตัวจัง .. ป่ะทุกคน เรารีบเดินซื้อขนม รีบกลับดีกว่า จะได้กลับหอไปอ่านหนังสือกัน” แม้ใจจริงอยากจะเขวี้ยงขวดแก้วใสใส่หัวอีกคนเพราะความกวนบาทามากเพียงไหน ก็ได้แต่เก็บอาการเอาไว้ เพราะเกรงใจเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนที่มาด้วยกัน เลยทำได้แค่ลุกขึ้นแล้วเดินตามเพื่อนไปหาซื้อของกินเล่นได้เท่านั้น
เดินเลือกขนมได้สักสองสามอย่างเราก็ตัดสินใจจะกลับกัน วันนี้เรามาถึงที่นี่ได้เพราะรถของเปรมที่เจ้าตัวเพิ่งถอยมาใหม่ จนขวัญอดที่จะแซ็วไม่ได้ว่าซื้อรถใหม่เพื่อพอเพื่อนมาทำงานโดยเฉพาะ .. ดีหน่อยที่ว่าเรามาถึงในตอนเช้าที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเดินทางมาถึงกันเลยทำให้ได้ที่จอดใต้ต้นไม้ร่มรื่น ไม่ร้อนมากนัก ..
ในระหว่างทางเดินกลับรถผมก็ได้เหลือบไปเห็นห้องน้ำของทางวัดที่ดูสะอาดสะอ้านดี เพราะส่วนตัวผมเป็นคนเรื่องมากเรื่องห้องน้ำมาก ตัดสินใจขอแวะเข้าใช้บริการก่อนเดินทางกลับหอสักนิด
“ทุกคน เดี๋ยวขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดินไปที่รถก่อนเลย”
“เออ ชักช้ากูทิ้งนะบอกไว้ก่อน”
“แปปเดียวๆ รอกูด้วย” เพราะกลัวไอ้เปรมจะขับหนีทิ้งผมไว้ที่วัดจริงๆเลยรีบก้าวเท้ายาวๆเพื่อเดินให้ถึงห้องน้ำไวๆ
พลั่ก
“อุ้ย ขอโทษครับ” เพราะมัวแต่เดินก้มมองพื้นห้องน้ำชื้นแฉะเพื่อหลบหลีกจุดที่มีน้ำขังจนไม่ทำให้ไม่ทันมองทางข้างหน้าที่มีคนกำลังเดินสวนมา จนพาลให้หัวของเขากระแทกเข้าที่ช่วงอกของอีกฝ่ายเต็มๆ ยกมือข้างถนัดขึ้นมาลูบหัวป้อยๆ พลางขอโทษขอโพยคนที่เขาเดินชนไปด้วย
“ไม่เป็นไร” เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่ตัวเองเดินชนและยังเป็นคนที่ใช้สองมือประคองลำตัวเขาไม่ให้ลื่นล้มอยู่ ก็รู้สึกตกใจเพราะความบังเอิญที่เกิดขึ้น
ร่างกายส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบต้นๆกลับกลายเป็นตัวเล็กทุกครั้งที่อยู่กับคนตรงหน้า สายตาสอดประสานกัน ถึงใครจะชอบบอกกันว่าดวงตาคือหน้าต่างหัวใจ ต่างกับเขาที่ในตอนนี้ยิ่งมองแล้วยิ่งอ่านออกมาเป็นความหมายที่แท้จริงไม่ได้
เหมือนจะนิ่งสงบ แต่ก็ไหววูบ
เหมือนจะตกใจ แต่ก็เหมือนเห็นรอยยิ้มในตาไปด้วย
เหมือนมีคำถามมากมาย แต่กลับไม่พูดออกมา
ร่างบางหลบออกมาจากการเกาะกุมของอีกคน ไม่หลงลืมว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อทำอะไร เข็มขัดราคาแพงที่พี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญถูกปลดเปลื้องออกหน้าโถสุขภัณฑ์ข้างผนัง ในระหว่างที่คนตัวเล็กกำลังทำธุระอยู่พลันสายตาก็เหลือบไปมองพื้นที่ว่างหน้าอ่างล้างมือที่เขาเพิ่งเดินออกมาอยู่ไม่ห่าง ก็พบว่าชายในเสื้อสีขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมแถมยังหันหน้ามองมาหาอีก
ไป๋เสร็จสิ้นภารกิจลงแล้วก็เดินกลับมาล้างมือ ลังเลอยู่นานว่าควรจะรีบกลับไปรถหรือจะทักทายอีกคนที่ทำท่าเหมือนยืนรออยู่ดี สุดท้ายความคิดที่สองก็เป็นสิ่งที่เขาได้เลือก
“ ..มาเที่ยวเหรอ?” ถึงแม้จะรู้จักและคุ้นเคยกับอีกฝ่าย แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปก็ยังแฝงถึงความกล้าๆกลัวๆของตัวเองไปอยู่ดี
“อือ .. มากับเพื่อน”
“อ๋อเหรอ” เรายืนหันหน้าหากันตรงส่วนของอ่างล้างมือตรงนั้นไม่ได้เดินไปไหน .. มีเรื่องตั้งมากมายที่อยากรู้จากปากของอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้คงยังไม่เหมาะมากนัก
“หายป่วยหรือยัง?” ตอนแรกที่คิดว่าบทสนทนาของเราคงจบลงแค่นี้เลยกำลังจะเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน แต่ก็ต้องหยุดทุกอย่างลงให้กับประโยคเพียงสั้นๆกับมือหนาที่เอื้อมมาแปะลงบนหน้าผาก .. ในวินาทีนั้นเขารู้ได้ทันทีเลยว่าความพยายามลืมเรื่องระหว่างเขาทั้งสองที่เคยทำร่วมกันมา มันไม่เคยประสบผลสำเร็จเลยแม้แต่น้อย
รู้สึกพ่ายแพ้ให้กับไอความร้อนจากฝ่ามือนั่นอีกแล้ว..
“อื้อ หายแ-”
“พิว! เสร็จหรือยังอะ เพื่อนๆเค้ารออยู่นะ” เสียงเล็กแหลมของผู้หญิงดังเรียกขึ้นมาจากหน้าห้องน้ำด้านนอกดังทะลุเข้ามายังข้างใน รวมถึงเข้ามาดึงสติที่หวั่นไหวไปกับการกระทำของอีกคน ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองมายืนผิดที่ผิดทางขึ้นมาเสียดื้อๆ หลบสายตาแล้วปัดมืออุ่นที่ก่ายบนหน้าผากออก
ขนาดนี้แล้ว ยังจะกลับไปคิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่ก็ไม่รู้
“ไปแล้วนะ..” สะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆออกไปแล้วกลับมาเผชิญกับเป็นจริงที่เจ็บปวดอีกครั้ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงนานก็บอกคำร่ำลาแล้วเดินผ่านร่างสูงมุ่งสู่ทางออกของห้องน้ำ
ทั้งๆที่รวมความกล้าที่จะเดินออกมาแล้วแท้ๆ แต่สองขานี่กลับไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย เพราะแค่ก้าวออกมาเพียงสองสามก้าว เขาก็ต้องหยุดและหมุนตัวกลับไปมองอีกคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง ..
“...พิว” เสียงแหบแห้งเหมือนไข้พิษจะกลับมาเล่นงานเอาเสียดื้อๆ แต่อย่างน้อยมันก็ยังเรียกร้องความสนใจให้อีกฝ่ายหันหน้ามาหา ในเวลานี้เขายอมนั่งรถเมล์กลับเองก็ได้ ขอแค่นาทีเดียวเท่านั้นเพื่อขอให้เขาได้พูดคำๆนี้ออกไป
อย่างไรไป่ไป๋ที่ทุกคนรู้จักไม่ใช่คนเข้มแข็งหรอก
“เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?”
ออกจะเห็นแก่ตัวด้วยซ้ำที่เอาแต่ขอให้คนที่เคยทำร้ายจิตใจให้กลับมาเป็นเพื่อนกันแบบนี้
แต่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตสักหน่อย
“..นะ”
ทำไมถึงทำหน้าเศร้าอย่างนั้นล่ะ
ทำเหมือนเราเป็นคนผิด ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนโกหกก่อนแท้ๆ
“สัญญาสิ”
หาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามือที่ยื่นไปหาอีกฝ่าย ทำไมมันถึงได้สั่นเทิ้มขนาดนี้ ..
ถึงอีกฝ่ายจะมองเห็นทุกกิริยาที่ผมทำแล้วแต่ก็เลือกที่จะนิ่งเฉย
โกรธเหรอ?
“งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”
แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่หลงเหลือให้กันเลย แบบนี้ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยใช่ไหม?
แต่ยังไงก็ช่างมันเถอะ ..
ฝืนยิ้มส่งท้ายให้เล็กๆ ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินออกจากห้องน้ำมา โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังมีอาการอย่างไร โชคดีหน่อยที่เหตุการณ์เมื่อกี๊ไม่ได้กินเวลาไปมากเท่าไหร่ เพื่อนๆน่าจะใจดีพอที่จะยังรออยู่
“พิวทำไมช้าจ- .. อ้าว” เมื่อก้าวขาพ้นเขตห้องน้ำไม่ทันไร ร่างเพรียวบางในชุดสีแดงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ก็โผเข้ามาเดินประชิดเสียใกล้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องพบว่าผมไม่ใช่คนที่เจ้าตัวกำลังรอคอยอยู่
ตากลมโต ปากนิด จมูกอีกหน่อย ยิ่งดูน่ารักเข้าไปอีกด้วยเครื่องสำอาง
ไหนจะรูปร่างที่ดูสมส่วน แม้ส่วนสูงจะไม่มาก
ก็ดูเหมาะสมกันดี
“แฮ่ ขอโทษค่า” อีกคนรีบผละตัวถอยห่างออกไปแล้วส่งยิ้มแห้งๆแก้เขินกลับมาให้ เห็นดังนั้นผมก็เลยได้แต่ยิ้มแล้วผงกหัวน้อยๆเชิงว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าสู่ลานจอดรถด้วยความเร่งรีบ แล้วก็พบรถคันสีขาวคันเมื่อเช้ายังจอดอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน
“โอ้โห ไอ้ไป๋มึงไปขี้มาใช่ไหม ไหนตอบกูสิ” อย่างที่คาดว่าทันทีที่เปิดประตูที่นั่งข้างคนขับปุ๊บจะต้องเจอคำพูดก่อกวนจากเปรมเจ้าของรถแน่ๆ
“เออ กูขี้ .. ขอโทษที่ให้รอนะทุกคน” ในช่วงแรกจงใจตอบดังๆใส่หูคนถาม และหันไปขอโทษเสียงปกติให้สาวๆทั้งสองคนในกลุ่มที่ต่างคนต่างคุยเล่นกันอยู่
“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ ฮ่าๆ”
“ไม่มีใครลืมอะไรใช่ไหม งั้นไปแล้วนะ” และแล้วเจ้าสี่ล้อก็ได้เคลื่อนตัวออกสู่ท้องถนนใหญ่อีกครั้ง รถของเราขับไปอย่างเรื่อยๆไม่รีบร้อน เลือกที่จะเบนสายตาออกสู่ทิวทัศน์ข้างทางปล่อยให้สมองได้พักจากความคิดฟุ้งซ่านลงบ้าง
“ไป๋เปิดเพลงให้หน่อยดิ” เสียงเปรมเรียกสติผมกลับมาได้อีกครั้งนึง ก่อนจะจัดการเชื่อมระบบบลูทูธโทรศัพท์เข้ากับวิทยุภายในตัวรถ เลือกเปิดเพลย์ลิสต์ที่เจ้าตัวเรียกร้องให้เสร็จเรียบร้อย
ถ้าฉันไม่ลืมเรื่องเรา
แบบนี้แล้วมันจะผิดหรือเปล่า
ดั่งรสที่เคยลิ้มลองและรักตั้งแต่แรกเจอ
รักก็คือรักจะลบยังไงก็คงไม่จาง
ดั่งเปลี่ยนไวน์ให้เป็นน้ำ
เปลี่ยนฉันให้ไม่รักเธอคงไม่ได้
เสียงดนตรีประกอบเสียงเอกลักษณ์ของนักร้องที่ทำให้ผมนึกชื่อเพลงออกได้ตั้งแต่ขึ้นโน้ตตัวแรกมา สองสายตาทอดยาวมองทิวทัศน์รอบข้างไปเรื่อย ควบคุมสีหน้าให้ดูเรียบเฉยและปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งเพลงดำเนินไปนานเท่าไหร่ ฝ่ามือก็ยิ่งบีบตัวเข้าหากันมากขึ้น รู้ตัวดีว่าหากปล่อยให้บางสิ่งที่อัดอั้นภายในใจมีเยอะมากเกินไป .. จะเป็นเขาเสียเองที่ทนไม่ไหว
ถึงจะนึกโกรธอีกคนที่เอาแต่ป้อนคำโกหก และไม่ยอมทำอะไรให้มันชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังนึกโกรธตัวเองไปพร้อมๆกัน ว่าทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองอ่อนไหว ไปพร้อมกับความอ่อนแอจากอาการเจ็บปวดภายในใจ
จากนี้ไปแม้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
และฝันอาจต้องล่มสลาย
สุดท้ายคงเข้าใจ
และฉันนั้นจะยอมยอมให้เธอไป
ยอมมีน้ำตายอมเสียใจ
แต่ความรักข้างในมันคงลบไม่ได้
เคยเป็นแบบไหนก็คงต้องเป็นแบบนั้น
สุดท้ายแล้วต่างคนก็แค่แยกย้ายกลับไปใช้ชีวิต เขาก็ต้องเป็นไป่ไป๋ที่ร่าเริงเหมือนเก่า กลับไปขยันอ่านหนังสือให้มากพอจนลืมที่จะเสียใจ ส่วนเรื่องคนใจร้ายเขาก็คงต้องขอพักแบบจริงๆจังๆสักที ..
(มีต่อ)
-
❋❋❋
จากนี้อีกประมาณสามสัปดาห์กว่าๆ เราก็จะได้เข้าสู่ฤดูกาลไฟนอลเทอมสุดท้ายของปีหนึ่งกันอย่างเป็นทางการแล้ว ชีวิตผมทุกๆวันนี้วนเวียนกับการไปเรียน กินข้าว กลับหอมาเล่นเกมส์บ้าง อ่านหนังสือบ้าง สลับกันหมุนเวียนกันไปอย่างใจเย็น
“ไฟนอลนี้ เราสอบกันกี่ตัววะ?”
“กูนับแปปนะ .. 1 2 3 .. 7 ตัวว่ะ”
“เชี่ยแม่ง โหดจังวะ” ผมบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่มีจิตใจที่จะอ่านกองหนังสือตรงหน้าต่อ เมื่อรู้ว่ามีสอบไฟนอลทุกวิชาที่เรียนมาในเทอมนี้ และเมื่อลองคิดคำนวณดูแล้วว่ายังไม่มีวิชาไหนเลยที่ผมอ่านจนจบ ในแต่ละวัน ถ้าเป็นวันธรรมดาผมจะมีเวลาอ่านต่อวันแค่ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังมีรายงานอีกยิบย่อยที่ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นภายในเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้อีก แน่นอนว่าคนสมองหัวขี้เลื่อยอย่างผมต้องใช้เวลาจวนเจียนพอสมควร
“มึงอ่านจบไปกี่วิชาแล้วอะ?”
“จบชีวิตกูเนี่ยสิ เสาร์อาทิตย์นี้ว่าจะนั่งตัดต่อวิดิโอด้วย”
“ของมึงยังดีที่ไปถ่ายกันแล้ว กลุ่มกูนี่ยังเถียงกันเรื่องสถานที่อยู่เลย” ผมกับยีนส์นั่งส่งสายตาปลอบใจกันไปมาในระหว่างโต๊ะอ่านหนังสือทั้งสองโต๊ะ โดยแต่ละคนนั้นต่างมีสภาพที่อิดโรยไม่ต่างกัน
“จะตีหนึ่งแล้วเหรอวะ .. นอนกันเถอว่ะ”
“เออๆ ปิดไฟให้ด้วย” เมื่อเหลือบนาฬิกาดูตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากอย่างที่ไอ้ยีนส์บอกจริงๆก็ไม่รอช้า เก็บหนังสือที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ใส่ลงกระเป๋าแล้วกระโดดขึ้นเตียงนอนอย่างไม่รอช้า มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ไม่ห่างเพื่อมาดูนั่นนี่ก่อนนอนสักหน่อย
แต่แล้วก็ต้องพบว่า กลับมีแจ้งเตือนข้อความจากคนที่ผมไม่ได้ติดต่อมานานแล้วปรากฎขึ้นมา ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมประหลาดใจมากพอสมควร
PLOY-SAI : ไป๋ นอนยัง?
PLOY-SAI : เรามีเรื่องอยากปรึกษาอะ
ผมขมวดคิ้วให้กับข้อความชวนสงสัยที่ถูกส่งมา มันน่าแปลกตรงที่ต่อให้เราเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่ก่อนหน้าที่เราคุยกันครั้งสุดท้ายก็ทิ้งระยะห่างมาหลายเดือนจนมาถึงวันนี้ ประกอบกับสเตตัสของเคนเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ตุลลี่เป็นคนให้ผมดู มันก็ยิ่งทวีคูณความสงสัยที่มีของผมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
หลังจากลังเลอยู่นานว่าเขาควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไร ด้วยความที่เราไม่ได้พูดคุยกันมาค่อนข้างนานเลยทำให้ผมมีความกังวลอยู่เล็กน้อย จนสุดท้ายจึงเลือกพิมพ์ประโยคสุดเบสิกกลับไป
paipai : ยังไม่นอน มีอะไรเหรอ?
PLOY-SAI : ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะ
PLOY-SAI : แต่เรามีไป๋เป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวของเราจริงๆ
แม้ข้อความที่ข้อความที่ผมเพิ่งส่งไปจะทิ้งห่างกับข้อความแรกที่พลอยใสส่งมานานนับร่วมชั่วโมง แต่เจ้าตัวก็ตอบกลับมาแทนจะในทันที เหมือนกำลังรอผมอยู่อย่างไรอย่างนั้น
paipai : อื้อ ไม่เป็นไร
paipai : เล่ามาเถอะ
PLOY-SAI : เราทะเลาะกับเคนมา
PLOY-SAI : แต่ตอนทะเลาะกัน เราหลุดปากออกมา
PLOY-SAI : ว่าตอนที่คบกับไป๋ไม่เห็นต้องมาทะเลาะกันเลย
PLOY-SAI : เรานี่นิสัยไม่ดีเลยเนอะ
paipai : ไม่หรอก เล่าต่อเลย
PLOY-SAI : อื้อ
PLOY-SAI : จากนั้นมันก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
PLOY-SAI : เราไม่เคยต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย
PLOY-SAI : ไม่รู้เป็นบ้าอะไรเหมือนกัน
PLOY-SAI : เราเลยท้าเลิกมันซะเลย
ผมอ่านแชทตรงหน้าด้วยความเข้าใจ ผมรู้ดีว่าคนเราหากอยู่ในอารมณ์โกรธหรือเสียใจเมื่อไหร่มักจะมีพฤติกรรมที่ควบคุมค่อนข้างยาก อย่างที่เราเรียกกันว่าอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งมันไม่เคยเป็นผลดีกับใครเลย .. ไม่มี
paipai : อ่า .. แล้วเป็นยังไงบ้างเหรอ?
PLOY-SAI : เคนไม่พูดอะไรแล้วเดินหนีออกไปเลย
PLOY-SAI : ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ตอบไม่รับโทรศัพท์เรา
PLOY-SAI : เราควรทำยังไงดีอะไป๋?
ประเมินตามเรื่องเล่าเบื้องต้นแล้วก็ดูออกได้ทันทีว่าที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้เพราะสาเหตุอะไร .. เคนคงถอยห่างออกมาสงบสติอารมณ์ตัวเอง ประกอบกับพลอยใสได้หลุดปากเรื่องตอบคบกับผมไป แถมจุดจบของคู่เราก็ไมค่อยเป็นเรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ นั่นคงทำให้อีกฝ่ายนอยด์น่าดู ถึงขั้นต้องโพสต์ตัดพ้อถึงขนาดนั้น
สุดท้ายก็ไม่พ้นอดีตแฟนเก่าที่ตอนนี้สามารถเป็นเพื่อนได้อย่างสนิทใจ ต้องเข้ามาช่วยจัดการชีวิตรักของทั้งสองให้จนได้
paipai : พรุ่งนี้พวกเรามีเรียนที่คณะจนถึงสี่โมงเย็น
paipai : เราแนะนำให้มานะ
PLOY-SAI : ?
paipai : มาคุยกับไอ้เคนไง
PLOY-SAI : เราไม่รู้ต้องพูดอะไรบ้างอะ
paipai : พูดตามที่คิดเลย
paipai : เราว่าเดี๋ยวเคนก็เข้าใจเองแหละ
PLOY-SAI : ฮื่อ มันจะได้ผลจริงๆใช่ไหม
PLOY-SAI : เรากลัวเคนโกรธมากเลย
paipai : การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการเข้าไปพูดคุยนะ
paipai : พลอยทำได้อยู่แล้ว
paipai : สู้ๆ
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*
PLOY-SAI : อื้ออ ขอบคุณมากนะไป๋
PLOY-SAI : ไป๋นอนดึกแย่เลย
PLOY-SAI : เราจะพยายามนะ
PLOY-SAI : *ส่งสติ๊กเกอร์*
“ไอ้ไป๋ ยังไม่นอนเหรอวะ?” ยีนส์พลิกตัวสลับฝั่งการนอนจนมาเจอแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ผมที่ยังสว่างโร่ บ่งบอกว่าผมยังคงตื่นอยู่ ประจวบกับบทสนทนาที่เพิ่งจบไปพอดี เลยเก็บโทรศัพท์ไว้ยังที่เดิมแล้วห่มผ้าให้มิดชิดเพื่อเข้านอนบ้าง
“นอนแล้วๆ ฝันดี”
“ ..อือ”
❋❋❋
“มึงว่างๆแบบนี้ไปเซนฯกัน อยากแดกพายแมคเฉยเลยว่ะ”
“ว่างพ่อง นี่มึงจะไม่อ่านหนังสืออีกแล้วใช่ไหมไอ้ตุลลี่”
“เออ พูดปุ๊บกูอยากแดกปั๊บเลยเนี่ย”
“ใช่ไหมอียีนส์ .. ป่ะ อีไป๋ มึงต้องไปด้วยแล้วแหละ”
ผมจิ๊ปากอย่างโดนขัดใจ อันที่จริงก็ไม่ได้อยากกลับหอไปอ่านหนังสือขนาดนั้นหรอก แต่จงใจแกล้งพูดให้เพื่อนคนที่ดูจะใจเย็นกับไฟนอลได้ตื่นตัวขึ้นบ้างเท่านั้นเอง เพราะสุดท้ายยังไงสำหรับทั้งตุลลี่และยีนส์ก็ต้องเห็นของกินที่แม้จะเป็นแค่พายแมคก็ยังสำคัญกว่าความคิดเห็นผมอยู่ดี .. นี่แหละนะที่เขาว่ากันว่า เรื่องกินเรื่องใหญ่
ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นสมควรแก่การเลิกเรียนแล้ว พวกเราคุยนู่นนี่ในระหว่างที่กำลังลงลิฟต์จากตึกชั้นสี่ไปด้วย จนกระทั่งประตูอัตโนมัติได้เปิดในชั้นที่พวกเราต้องการเรียบร้อย จึงเดินเอื่อยๆกันออกมา แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ก้าวขาพ้นลิฟต์ดี ก็ต้องสะดุ้งเพราะความตกใจจากเสียงเล็กคุ้นหูที่ดังทักขึ้นเสียก่อน
“ไป๋!!!” เมื่อผมหันไปก็ต้องพบกับผู้หญิงคนรู้จักในชุดนักศึกษา กำลังเดินเข้ามาหาพร้อมโบกมือส่งยิ้มร่าเริงมาให้ ผมไม่ได้แปลกใจมากนักเพราะชั้นหนึ่งของคณะเรามีลักษณะเป็นโถงโล่งไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามานั่งเล่นได้ทั้งนั้น แต่คนที่ดูจะงงและตกใจกับการพบเจอพลอยใสมากกว่าก็คือ ไอ้ตุลลี่และไอ้ยีนส์ นั่นเอง
“อีไป๋ๆ แม่นี่มาได้ไงอะ? ดูไม่ปลอดภัยยังไงชอบกล เดี๋ยวกูช่วยกันซีนให้เอาแมะ?”
“ให้พวกกูยืนเฝ้าอยู่ห่างๆไหมวะ?”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูเพื่อนกัน พวกมึงไปรอหน้าตึกก่อนก็ได้” ผมดึงดันให้ทั้งสองเดินไปอีกทาง แม้จะเป็นการยากแต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
“เดี๋ยวคุยเสร็จแล้วไปเล่าให้ฟัง”
“เออน่า ไปได้แล้ว” สุดท้ายทั้งสองคนนั้นก็ยอมเดินล่วงหน้าไปก่อนสักที เมื่อผมหันหน้ากลับมาก็เจอพลอยใสมายืนยิ้มให้ตรงหน้าเสียแล้ว
“เรื่องดีเหรอ?”
“อื้อ ดีมากเลย .. พวกเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหม?”
“อื้ม ไปดิ” จากนั้นก็เป็นหน้าที่ผมให้หาที่นั่งใต้ตึก จนเรามาได้เป็นโต๊ะหินอ่อนที่ไม่ไกลไปจากหน้าลิฟต์มากนัก แต่ก็ยังเป็นมุมที่มีความส่วนตัว และทันทีที่เรานั่งลง พลอยใสก็เป็นคนชิงเปิดประเด็นที่จะคุยในตอนนี้ขึ้นมาทันที
“เมื่อวานเราคุยกับเคนมาแล้วนะ”
“จริงเหรอเป็นไงบ้าง?” เพราะหลังจากวันที่พลอยใสทักมาจนถึงวันนี้ก็ปาไปสองวันเข้าไปแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจจะติดตามผลสรุปของทั้งคู่สักเท่าไหร่ ทำให้ไม่ได้ทักไลน์กลับไปเพื่อถามไถ่เลย
“คืนดีกันแล้วแหละ ขอบคุณไป๋มากเลยนะ” ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มทั้งจากริมฝีปากและจากดวงตาของผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามกันแบบนี้
ก็คงจริงอย่างที่เคยคิด .. ที่ผ่านมาเขารักพลอยใสแบบน้องสาวจริงๆ
มาเข้าใจจริงๆได้ก็ตอนที่มีคนเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป จนเขาอดจะเปรียบเทียบกับตอนที่ยังเป็นแฟนกับผู้หญิงคนนี้เสียไม่ได้ .. เขาไม่ต้องการครอบครองพลอยใส ไม่ต้องการให้พลอยใสเดินไปส่ง หรือแม้กระทั่งในตอนที่ถูกพลอยใสลูบหัว ใจเขาก็เต้นในอัตราปกติ
ต่างกันจนชนิดที่เขาเองยังอดแปลกใจไม่ได้
“ยินดีด้วยนะ” ผมพูดแสดงความยินดีออกมาจากใจจริง ทั้งสองคนนับเป็นเพื่อนของผม ซึ่งนั่นก็เป็นการดีแล้วถ้าหากเขาจะมีความสุข
“ที่เรามาคุยวันนี้ คือ เราอยากจะมาขอโทษไป๋ด้วยแหละ”
“ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ?”
“เรื่องที่เราเคยโกหก แล้วก็บอกเลิกไป๋ไง .. มาคิดๆดูแล้วเรานี่ใจร้ายมากเลยเนอะ” ทำได้แค่ส่งยิ้มให้บางๆในตอนที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมากุมมือผมทั้งสองข้างไว้แน่น
“เราไม่เป็นไรแล้ว พลอยอย่าคิดมากเลย เรื่องมันจบไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ”
“ขอโทษจริงๆนะไป๋ ยกโทษให้เพื่อนคนนี้ด้วยนะ”
“เพื่อนคนนี้ยกโทษให้แล้วครับผม!” จากนั้นเราต่างคนก็ต่างหลุดหัวเราะออกมา เหมือนกำแพงที่มีต่อกันได้พังทลายลงอย่างหมดสิ้น หวังเพียงว่าจากนี้ความสัมพันธ์แบบเพื่อนระหว่างเรามันจะดียิ่งขึ้นไปอีก
เรานั่งคุยกันต่อไม่กี่คำ พลอยใสก็ขอตัวไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าต้องไปหาเคนที่นัดกันไว้ว่าจะมาหา แต่เมื่อเจ้าตัวเดินหันหลังกลับไปไม่กี่ก้าว ก็ต้องหันมาหาผมอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดที่ว่า..
“จนถึงตอนนี้ไป๋ก็ยังเป็นคนที่น่ารักเหมือนเดิมเลย .. ตอนนั้นมันดีมากจริงๆนะ ไป๋ดีกับเรามากจนเราไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี..”
“…”
“แต่สักวันเราเชื่อนะ ว่าจะมีคนที่เป็นทุกอย่างให้ไป๋ได้ คนที่รักไป๋ คนที่ยอมให้ไป๋เข้าไปในชีวิตเขาอย่างไม่มีข้อกังขาเลย”
“…”
“เราขอให้ไป๋เจอรักที่ดีๆ ให้ดีกว่าเราหลายเท่าตัวมากๆเลยนะ”
“อื้ม”
“ถึงวันนั้นเมื่อไหร่อย่าลืมบอกให้เรารู้ด้วยล่ะ”
แม้ร่างเพรียวระหงนั่นจะเดินจากไปแล้ว แต่เจ้าของที่แท้จริงของคำอวยพรนั่นก็ยังยืนทบทวนทุกคำพูดที่ได้ยิน สองมุมปากยกยิ้มให้กับประโยคเหล่านั้น อยากบอกเสียเหลือเกินว่า บุคคลแบบที่อีกฝ่ายว่าน่ะ เขาได้เจอมาแล้ว แถมรักไปเสียแล้วด้วย..
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รักกันสักหน่อย
คนตัวขาวส่ายหัวให้กับความคิดบ้าๆบอๆเล็กน้อย แล้วคว้ากระเป๋าเป๋บนโต๊ะขึ้นมาเพื่อจะเดินกลับไปหาเพื่อน ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะโกรธที่เขาหายไปนานแล้วหรือยัง..
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองภาพเบื้องหน้าก็ต้องได้ตกใจมากกว่าตอนเจอพลอยใสเป็นหลายเท่าตัว .. เพราะร่างสูงที่ไม่คิดว่าจะได้พบนั่นกำลังเดินมาดมั่นเข้ามาหาเขาแบบไม่มีท่าทีลังเล ก่อนจะมาหยุดยืนประชันตรงหน้าเขา พร้อมกับฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นมาค้างกลางอากาศในระดับหน้าท้อง
ไป่ไป๋รู้สึกคลับคล้ายคลับคล้ายกับภาพตรงหน้า สมองเริ่มตีบตื้อ สัมผัสได้ว่าการหายใจของตนเองเริ่มผิดจังหวะเข้าไปทุกที จนกระทั่งในตอนที่พิวอ้าปากเอ่ยคำพูดขึ้นมา..
“ ..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้”
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
อัพแบบนันสต็อป
ติดตามการอัพเดตและเม้ามอยได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามหวีดได้ในแท็กทวิตเตอร์
#จีบเป็นคำกริยา
(◕‿◕✿)
-
chapter fourteen。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
‘ ..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้’
ร่างบางยืนไม่ไหวติง กระชับสายสะพายในมือให้แน่นขึ้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด .. มันควรจะเป็นเรื่องที่ควรดีใจด้วยซ้ำ แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกันที่ทำให้ไป่ไป๋ถึงรู้สึกใจหายแบบนี้
‘จำตอนที่เพิ่งเข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆได้ไหม?’
‘…’
‘กูกับมึงแทบไม่ได้คุยกันสักคำเลย..’
‘อือ จำได้’
‘กลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นกันนะ’ พิวมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจอยู่กับสิ่งที่ได้ยิน ถ้าอีกฝ่ายเลือกที่จะปฏิเสธก็ไม่เป็นไร เพราะไป๋เองก็ถอดใจไปจนไม่คิดว่าคนที่เขาเคยขอร้องให้กลับมาเป็นเพื่อนกันในวันนั้น จะกลับมายืนตรงหน้าในตอนนี้
‘เอาดิ ยังดีกว่าตอนนี้ตั้งเยอะเลย’
ทันใดนั้นฝ่ามือขาวก็ประกบเข้าหาฝ่ามือใหญ่ทันที
ส่งยิ้มให้กันเหมือนอะไรหนักๆบนบ่าได้ถูกยกออกไป
ไม่ได้เลิกรัก แต่บางทีนี่คงเป็นทางที่ทำให้เจ็บปวดได้น้อยที่สุด
กลับไปเป็นศูนย์ ยังไงมันก็ต้องดีกว่าสูญเสียอยู่แล้ว..
‘แล้วกับพลอยใส .. ดีกันแล้วเหรอ?’ คำถามจากร่างสูงทำเอาเขานั้นรู้ได้ทันทีว่าอีกคนเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้สักพักแล้ว
‘อื้ม ดีกันแล้ว’
‘..เหรอ’ พิวตอบรับเสียงอ่อย คำพูดที่สามารถตีความได้ทั้งสองแง่นั่นอาจทำให้คนฟังเข้าใจผิดได้ แต่คนตัวเล็กกว่าก็เลือกที่จะไม่อธิบายต่อให้กระจ่าง เนื่องจากไม่รู้ว่าอธิบายไปแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร
‘ป่านนี้ไอ้ตุลลี่กับไอ้ยีนส์รอแย่แล้ว บ๊ายบายนะไว้เจอกัน’
‘บาย’
และนั่นก็คือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นของเมื่อวาน
อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะครับว่าพอพวกผมตกลงคืนดีเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแล้วนั้น จะสามารถกลับมาไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนอีก .. หยุดความคิดนั้นไว้ก่อนครับ เพราะผมเป็นคนบอกไปแล้วว่าความสัมพันธ์ของเราจะต้องกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เป็นเพื่อนก็เหมือนไม่ใช่อย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้ไป๋ มึงฟังกูอยู่ปะเนี่ย?”
“เออ ฟังๆ แต่ที่มึงอธิบายมากูก็ไม่เข้าใจอยู่ดีอะ” จะพลิกชีทในมือตะแคงซ้ายขวา หรือจะซูมอินซูมเอ้าท์อย่างไร ผมก็ไม่เข้าใจเนื้อหาของมันอย่างแท้จริงเลย เพราะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนหัวช้าก็เลยรีบทยอยทำความเข้าใจในวิชาที่ไม่ถนัดเสียตั้งแต่ตอนเนิ่นๆ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
“มึงลองไปทำโจทย์ดู กูก็จนปัญญาจะอธิบายละ”
“เดี๋ยวทำ นั่งอ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว กูขอเบรกแปป”
“อาทิตย์นี้กลับบ้านปะมึง?” คำถามจากไอ้ยีนส์ทำเอาผมต้องยืมนิ้วมือขึ้นมาช่วยในการนับเลขตามจำนวนสัปดาห์ที่อยู่หอติดต่อกันมา ก่อนจะพบว่าผมไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนกว่าๆแล้ว เนื่องด้วยภารกิจและโปรเจคต่างๆทำให้ต้องใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ในการทำงาน จนลืมกลับบ้านกลับช่องไปเลย
“ตอนแรกว่าจะนั่งตัดต่องานที่หอ แต่เพิ่งนึกได้ว่าเอากลับไปทำที่บ้านก็ได้นี่หว่า”
“โห่ ไรวะ ทิ้งกูอยู่หอคนเดียวได้ลงคอ”
“มึงไม่ต้องมาพูด อาทิตย์ที่แล้วมึงก็ทิ้งให้กูอยู่คนเดียว”
“เออเนอะ ฮ่าๆ” เมื่อไอ้ยีนส์เห็นว่าผมกำลังเตรียมเถียงคืนคอเป็นเอ็นก็ถอดใจถอยทัพเพราะเถียงไปยังไงก็แพ้ความจริงอยู่ดี
ไม่รอช้าทิ้งชีทเรียนไว้บทโต๊ะอ่านหนังสือ พร้อมทุ่มตัวลงเตียงนอนตั้งใจจะพักสายตาจากเหล่าตัวหนังสือยึกยือ แต่ก็ไม่วายคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นแก้เครียด
ทันทีที่เชื่อมต่อวายฟายของหอการแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นต่างๆก็เด้งเตือนขึ้นมาประปราย แต่ก็ยังไม่สนใจที่จะเข้าไปอ่านดู เพราะต้องรีบเข้าไลน์ไปพิมพ์ข้อความส่งไปในกลุ่มครอบครัวของเขาเพื่อป้องกันการลืม จนเขาอาจจะได้อยู่หอต่ออีกอาทิตย์เสียก่อน
paipai : ป๊าม๊า ศุกร์นี้มารับไป๋ที่มอหน่อย
paipai : อยากกลับบ้านแล้ว
MAMA ♥ : นึกว่าลูกชายคนเล็กลืมทางกลับบ้าน
MAMA ♥ : ไอ้แฮปปี้ลืมหน้าไปแล้วมั้ง
ผมเผลอยิ้มให้หน้าจอสมาร์ทโฟนเมื่อแม่พูดถึงแฮปปี้ หมาพันธุ์ปั๊ก อายุไม่ถึงขวบดี ที่เจ้าตัวเป็นสุดที่รักของทั้งบ้านขึ้นมา โดยเฉพาะทั้งป๊าและม๊าของผมเนี่ยแหละ หลงมาจนหัวปักหัวปำกันไปสุดๆเลย
paipai : คิดถึงอะ ถ่ายส่งให้ไป๋ดูหน่อย
MAMA ♥ : แปปนะ
MAMA ♥ : ม๊าทำไม่ค่อยเป็น
MAMA ♥ : *ส่งรูป*
MAMA ♥ : เดี๋ยวนี้พี่ปุ๋ยชอบซื้อขนมไร้สาระ
MAMA ♥ : มาให้แฮปปี้กิน
MAMA ♥ : อ้วนตุกตักเลย
“ฮ่าๆๆๆ” คราวนี้ผมถึงขั้นที่ต้องหัวเราะเปล่งเสียงออกมาดังๆ หลังจากนี้ได้เปิดภาพใหญ่ของหมาที่ม๊าส่งมาให้ เพราะเจ้าแฮปปี้ที่ว่านั่นเมื่อเดือนก่อนนู้นยังเป็นหมาพันธุ์ชิสุตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดูอยู่เลย แต่ตอนนี้มันกลับดูอ้วนขึ้นอย่างที่ม๊าพูดไว้จริงๆ
paipai : 5555555
PAPA ♥ : ให้ไปรับตอนไหน
paipai : ไป๋เลิกเรียนเที่ยง
PAPA ♥ : ป๊าเลิกงานห้าโมง
PAPA ♥ : เดี๋ยวไปรับตอนเย็นนะ
paipai : มาตอนไหนก็ได้ป๊า
paipai : ไป๋ไม่รีบ
paipai : วันศุกร์เจอกันครับ
paipai : *ส่งสติ๊กเกอร์*
MAMA ♥ : *ส่งสติ๊กเกอร์*
ป.ปุ๋ย : ม๊า ขนมที่ปุ๋ยให้ไอ้ปี้กินเป็นขนมเพื่อสุขภาพนะ
ป.ปุ๋ย : ปุ๋ยอุตส่าห์ไปซื้อถึงนนฯเลยนะม๊า
ป.ปุ๋ย : เงียบ..
ป.ปุ๋ย : ..
ป.ปุ๋ย : เอ้อ ไปก็ได้
paipai : 555
หลังจากพูดคุยและนัดหมายการกลับบ้านในวันศุกร์กับผู้ปกครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้มานอนมองเพดานสีขาวหม่นเพราะความเก่าอยู่เงียบๆ จะลุกไปอ่านหนังสือก็ขี้เกียจ แต่จะเล่นโทรศัพท์ต่อก็รู้สึกผิด
“แม่งอ่านไม่เข้าหัวเลยว่ะ .. ไป๋ ไปปั่นจักรยานรอบมอกัน”
“ห้ะ ตอนนี้เนี่ยนะ”
“เพิ่งสองทุ่มเอง ป่ะ เตรียมตัว” เมื่อผงกหัวขึ้นมามองนาฬิกาตั้งโต๊ะว่าเวลาเพิ่งเลยสองทุ่มมาเพียงไม่กี่นาที เขาเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนมาเก็บของที่จำเป็นเข้ากระเป๋ากางเกงจากคำชักชวนจากรูมเมททันที
“ต้องชวนไอ้ตุลลี่ปะวะ?”
“กว่ามันจะเยื่องกรายลงมาก็พอดีหอปิดอะกูว่า”
“เออ งั้นเราไปกันเลย”
จากนั้นเราทั้งสองคนก็ได้ขี่จักรยานคู่ใจของตัวเองออกมาปั่นออกแรงเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง ด้วยความที่ยังเป็นช่วงหัวค่ำเลยทำให้ยังมีทั้งคนที่วิ่งออกกำลังกาย และคนที่ปั่นจักรยานเช่นเดียวกับเขาอยู่ นึกอยากขอบคุณผู้บริหารมหาวิทยาลัยหรือมีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาและผลักดันให้เป็นมอสีเขียวอย่างมาก เพราะกลิ่นดินและกลิ่นไม้ยามหลังจากฝนที่ตกไปเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“ไปนั่งเล่นที่เลค(Lake) กันป่ะ?” ยีนส์ที่ชะลอความเร่งการถีบให้จักรยานของเรามาเสมอกันเพื่อง่ายต่อการพูดคุย ส่วนเลคที่ว่านั่นนับเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในมอเรา มีลักษณะเป็นบึงน้ำโดยรอบๆจะเป็นพื้นหญ้าให้นักศึกษาได้มานั่งเล่นกัน และก็ถือว่าเป็นสถานที่ถ่ายรูปซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่ยอดนิยมอันดับต้นๆภายในมหาลัยเลยก็ว่าได้ ยิ่งเป็นช่วงเย็นในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังตกแล้วจะสวยกว่าตอนอื่นเป็นหลายเท่า
“เออ ไปๆ” และเราก็หักเลี้ยวปั่นจักรยานไปอีกทาง ถึงแม้ระยะทางมันจะไกลไปสักเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา
เราขับมาถึงยังจุดหมาย ไฟจากริมทางช่วยส่องสว่างทำให้พื้นที่แถวนี้ไม่ดูเปลี่ยว ประกอบกับยามรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ในแทบทุกหัวมุมเลยทำให้สถานที่นี้ดูไม่น่ากลัวแม้จะเป็นในตอนกลางคืนก็ตาม นักศึกษาก็จะนั่งกันให้เห็นบ้างประปราย ทั้งคนที่เป็นแฟนกันหรือแม้กระทั่งกลุ่มเพื่อนที่หอบเอากีตาร์มานั่งเล่น จนเลคดูครึกครื้นขึ้นมาทันตา
จนสุดท้ายเราก็พากันมานั่งตรงพื้นหญ้ากว้างที่ไม่ห่างและไม่ใกล้วงเล่นดนตรีนั่นจนเกินไป หญ้าเปียกชื้นเพราะฝนที่ตกลงมาในตอนเย็นของวันนี้ จนเราต้องเอารองเท้ามารองนั่งแทนการนั่งลงด้วยก้นเปล่า
“วันนี้พระจันทร์สวยจังเลยว่ะ”
“กลมเหมือนพุงมึงเลยว่ะยีนส์”
“เชี่ย เดี๋ยวมึงรอปิดเทอมก่อน กลับบ้านไปแล้วกูจะฟิตหุ่นให้มึงดู”
“กูก็บอกแล้วว่าอย่าแดกเบียร์ตอนอ่านหนังสือเยอะ .. ลงพุงเป็นตาแก่เลย” พูดถึงเรื่องเบียร์ที่รูมเมทผมนั้นชอบนักชอบหนา เพราะเจ้าตัวลงทุนซื้อจากเซเว่นนอกมอแล้วแอบใส่กระเป๋าเอาเข้ามากินในหอ ซึ่งในแต่ละครั้งนั้นก็ซื้อได้แค่ทีละกระป๋องเท่านั้น เนื่องจากตู้เย็นหอเราเป็นตู้เย็นของส่วนรวม ใช้กันทั้งชั้น จะเอาไปแช่ก็กลัวคนจับได้ จะกินแบบไม่เย็นก็กลัวจะไม่อร่อย
“ไม่แดกมันก็อ่านไม่รู้เรื่อง”
“มึงคิดไปเองสัส”
“เพราะมึงหัวตันหรอกแดกไปก็เลยไม่ช่วยอะไร”
“พ่อง มึงไม่โดนกูทุบสักวันมึงจะนอนไม่หลับใช่ไหม” จากนั้นยีนส์คนปากหมาเมื่อกี๊ก็ยกแขนขึ้นกำบังกำปั้นของผมเป็นพัลวัน คงเป็นเพราะความเหนื่อยจากระยะทางที่ปั่นจักรยานมา ยีนส์จึงถอดใจแล้วนั่งนิ่งๆให้ผมทุบหนึ่งทีตามความสะใจ จากนั้นเราต่างคนต่างเลิกสนใจอีกฝ่ายแล้วหันมานั่งมองบรรยากาศเบื้องหน้า
ภาพของผืนน้ำสะท้อนดวงจันทร์กลมโต ไม่มีเมฆใดใดบนผืนฟ้าหลงเหลือให้เห็น เสียงเพลงคลอไปกับสายลมเอื่อยๆ สูดหายใจเอาอากาศจากธรรมชาติเข้าปอด นานแค่ไหนมาแล้วที่เขาไม่ได้ผ่อนคลายมากถึงขนาดนี้
ตัดสินใจหยิบกล้องโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายเก็บภาพสวยงามเบื้องหน้าเอาไว้ ปกติถึงเขาจะไม่ใช่คนสุนทรีย์ชอบภาพรูปวิวหรืออะไรขนาดนั้น แต่บรรยากาศในตอนนี้มันทำให้เขานึกเสียดายที่กล้องไม่สามารถเก็บความรู้สึกเอาไว้ด้วยได้ เมื่อหามุมที่ชอบและกดถ่ายได้แล้วก็เข้าแอพเฟซบุ๊คอัพโหลดรูปที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อครู่ พร้อมกับแคปชั่นภาษาอังกฤษที่เคยเห็นแล้วรู้สึกนึกชอบลงไป
Paipai Paponwit
To the moon and back ☾
“ยีนส์ มึงเคยอกหักปะวะ?” ตัวคนเล็กที่เอาแต่นั่งกอดเข้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าถามคนที่นั่งข้างๆเสียงแผ่ว สายตาเหม่อลอยเหมือนคนมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา ส่วนคนถูกถามพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เขาเลือกที่จะหันไปมองดวงจันทร์ และนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในวันวาน
“..เคยดิ”
“กูนึกว่ามึงจะตอบว่าไม่เคยซะอีก”
“ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“มึงมันมั่นหน้าเกินกว่าที่กูจะจินตนาการว่ามึงเที่ยวเอาหัวใจไปให้ใครหักอกมา” ยีนส์หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากที่ฟังเสียงคล้ายคนกระซิบแถมยังแฝงไปด้วยคำด่าอยู่กลายๆให้ตอกหน้าคนฟังเล่นๆ
พื้นหญ้าริมบ่อน้ำเริ่มเงียบลง เนื่องจากกลุ่มของวงกีตาร์ได้เก็บของและกลับออกไปแล้ว ทำให้ที่นี่เหลือผู้ร่วมชมวิวอยู่เพียงไม่กี่ท่าน และเมื่อความวุ่นวายอันไพเราะได้ออกไป ความสงบก็ได้มาแทนที่ ทั้งเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันจากที่ไกลๆ รวมถึงการส่งเสียงร้องของสัตว์จำพวกแมลงต่างๆ
พวกเขาทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ได้แต่ทิ้งให้ตัวเองให้อยู่กับตะกอนอันขุ่นมัวของเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในหัว
“กูเคยแอบชอบผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อน..” เสียงห้าวเกริ่นเรื่องของความรักของตัวเองให้อีกฝ่ายได้ฟัง ไม่บ่อยนักที่ยีนส์จะตัดสินใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง ..
“หือ”
“กูชอบผู้หญิงคนนั้น แต่ถ้าจะให้กูเลือก ยังไงเรื่องเพื่อนกูก็มาก่อนอยู่แล้ว”
“…”
“กลายเป็นว่าเพื่อนกูจีบเขาติดแล้วได้เป็นแฟนกัน ส่วนกู..”
ด้านอันขมขื่นค่อยๆฉายขึ้นสู่ใบหน้าเรียบเฉย แม้เรื่องมันจะกลายเป็นอดีต แต่อย่างน้อยครั้งนึงมันก็เคยทำให้คนเราเจ็บปวด อย่างที่ใครเคยบอกกันว่าเราจำความรู้สึกไม่ใช่บุคคล ดังนั้นไม่ว่ากี่ครั้งที่นึกถึงเรื่องเก่าๆ ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นมันก็ยังชัดเจนขึ้นมาเสมอ
“ก็มองสองคนนั่นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ”
“เป็นคนดีเนอะ”
“เปล่าเลย มันไม่ใช่การเสียสละแบบที่มึงคิดหรอก” เขารู้ว่าแต่ละคนย่อมมีทัศนคติต่อความรักแตกต่างกันไป ส่วนตัวเขาเองนั้นเชื่อว่า ความรัก เท่ากับ การเสียสละ มันเป็นแค่นิยามในอุดมคติเท่านั้น
เอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าใครที่ได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า รัก เมื่อไหร่ ก็ย่อมหน้ามืดตามัว ฝักใฝ่จะไขว่คว้าเอามาเป็นของตัวเองอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น สำหรับยีนส์แล้ว ..
“กูแค่ไม่อยากเสียเพื่อนไปแค่นั้นเอง”
“ทำยังไงมึงถึงตัดใจได้อะ?”
“ทำไมมึงพูดเหมือนคนไม่เคยอกหักเลยวะ?” คนตัวสูงที่นั่งเหยียดขาอย่างสบายใจเอ่ยถามขึ้นแบบขำๆ ก็แหงล่ะ คนที่ไม่เคยมีแฟนมาทั้งชีวิตอย่างยีนส์น่ะเหรอจะไปโชกโชนเรื่องรักๆใคร่ๆเท่าไป่ไป๋วงเวียนใหญ่ไปได้ .. ไม่มีทาง
“มันไม่เหมือนกันนิ”
“ไม่เหมือนกันยังไง?” ไป๋ผลุบสายตามองเงาจันทร์บนผืนน้ำแทนของจริง เพราะร่างบางใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องนี้มาสักพักได้แล้ว ถึงได้กล้าพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“ตอนพลอยใสอะ กูเสียใจมากๆ แต่ก็แยกแยะเรื่องพวกนี้กับเรื่องเรียนได้นะ..” จู่ๆเสียงก็ขาดหายเหมือนมีก้อนหนักๆขวางอยู่ช่วงลำคอขึ้นมา
“แล้วตอนนี้อะ?”
“วันๆเอาแต่คิดเรื่องของเขา ในหัวก็มีแต่เรื่องของเขา”
“อ่าฮะ”
“เข้ามาให้ความหวังกู แล้วยังมีหน้ามาโกหกกู”
“อื้อ ต่อเลย” เป็นฝ่ายของยีนส์ที่เขยิบเข้ามาใช้วงแขนพาดโอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาตี่เล็กเป็นเอกลักษณะประจำตัวนั่น บัดนี้กลับก้มลงมองใบหญ้าเขียวแทนท้องฟ้าและบ่อน้ำที่ดูสวย น่ามองกว่า
“คิดว่าคนที่มีแฟนเป็นผู้หญิงมาทั้งชีวิตอย่างกูจะยอมรับอะไรแบบนี้ได้แค่เพราะแม่งบอกจะจีบเหรอ .. เฮอะ” ไป่ไป๋ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นได้พูดประโยคก่อนหน้าด้วยน้ำเสียงที่เพียงยีนส์ฟังในครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือน้ำเสียงของการประชดประชัน พุดจบนั้นศีรษะทุยก็ทิ้งลงมาบนหัวไหล่ของรูมเมทตัวเองอย่างหาที่พึ่งพิง
“แล้วอะไรทำให้มึงยอมรับได้อะ?”
“มันทำให้กูมีความสุข ..”
“...”
“มันลูบหัวกูก็มีความสุข เวลามันยิ้มให้กูก็มีความสุข ไลน์หากันก็มีความสุข .. บางทีแค่ยืนข้างกันกูก็ยังเรียกมันว่าความสุขเลย”
“เป็นเอามากนะมึงเนี่ย”
“อือ มึงคิดเหมือนกูเลยว่ะ” ตอนนี้คงทั่วไปคงมองว่าเขาทั้งสองคนเป็นคู่รักกันอย่างแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะด้วยเสียงคุยงุ้งงิ้งๆ ท่าทางการนั่ง อีกทั้งมือซ้ายของคนตัวสูงกว่าที่ในตอนแรกจับจองพื้นที่ของบ่าอีกคน ได้เปลี่ยนมาเกาะกุมเล่นผมนุ่มสีเข้มแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“กับไอ้พิว เลือกจำแค่เรื่องดีๆก็พอ”
“อือ ขอบคุณมึง”
“จะกลับห้องเลยไหม?” เมื่อเห็นว่าคนตัวขาวเริ่มใจเย็นลง คนที่รับบทเป็นเพื่อนที่แสนดีก่อนหน้าก็ผละตัวออกเตรียมปั่นจักรยานกลับหอทันที
“มึงนั่งเล่นอีกแปปนึงได้ป่ะวะ ขึ้นไปกูก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องอยู่ดีอะ”
“เออ ได้ๆ”
หลังจากจบเหตุการณ์ดราม่า แม้น้ำตาไม่แตก แต่ก็แลกมาด้วยรอยยุงกัด ยิ่งเป็นหน้าฝนด้วยแล้วขอบอกได้คำเดียวว่ากลับหอไปคงต้องพึ่งด้วยแซมบัคเสียแล้ว นั่งดูดวงจันทร์ไปสักพักก็เริ่มรู้สึกเบื่อ แต่อีกใจก็ยังไม่อยากกลับห้องไปอ่านหนังสือในตอนนี้ เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่น แล้วผมก็ต้องตกใจให้จำนวนเลขบนปุ่มกระดิ่งนั่น
เนื่องด้วยนานทีปีหนผมถึงจะได้อัพสเตตัสแต่ละครั้ง ยิ่งเป็นรูปและข้อความชวนเลี่ยนแบบนี้แล้ว คงไม่แปลกที่เพื่อนเขาพากันกระหน่ำเข้ามากดไลค์และคอมเม้นต์กันไปในเชิงต่างๆ
Mister Tulalala อะไรวะ ไปไหนกัน ทำไมไม่ชวนกู
Samui Samuisamui เลี่ยนสัส
Gas Krub ครามบอกไป๋เพ้อ
หรือแม้กระทั่งคนข้างๆที่ไม่รู้ว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่..
“เขร้ ไอ้ไป๋อัพเฟซเหรอวะเนี่ย?”
“เสือกไรมึ๊ง”
“โอ้โห ทูเดอะมูนแอนด์แบ็ค..”
“...” ผมเงียบลงเพื่อดูรีแอคชั่นของอีกฝ่ายว่าจะงัดอินเนอร์แบบไหนมาใช้
“ ..มันแปลว่าอะไรวะ?”
“ช่างแม่งเหอะ ไม่รู้ก็ดีแล้ว” ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้รูปพร้อมแคปชั่นที่เพิ่งลงไปจะไม่ได้มีความหมายแฝงอะไรมากนัก แต่ก็ยังดีที่ไอ้ยีนส์ไม่รู้ความหมายของคำที่ว่านั่นไม่งั้นเดี๋ยวมันต้องหาเรื่องเชื่อมโยงแล้วได้หาเรื่องแซ็วเข้าแน่ๆ
“เดี๋ยวกูเม้นต์แปป” พูดจบเจ้าตัวก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์แล้วหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว ไม่นานโทรศัพท์ในมือผมก็สั่นขึ้น ไม่รอช้าต้องรีบเข้าไปดูว่าไอ้ยีนส์มันไปเล่นอะไรแผลงๆเข้าหรือเปล่า
แล้วก็พบกับ...
Jeans Yossawee มาไลค์ให้ตามคำขอร้องแล้วนะ
“ใครไปขอร้องมึ๊งงงงง”
กวนตีนเก่งงงงงง
(มีต่อ)
-
❋❋❋
ในที่สุดวันศุกร์ที่รอคอยก็ได้มาถึง!!!
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม กว่าป๊าและม๊าจะเดินทางฝ่าฝูงรถติดในวันศุกร์ตอนเย็นมาได้ก็เล่นเอาหนักเหนื่อยพอการ ป๊าที่เป็นถึงหัวหน้าวิศวกรในบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทำงานก็ว่าหนักและเหนื่อยแล้ว ยังต้องรีบไปรับแม่ที่บ้านเพื่อนมารับผมพร้อมๆกันอีก ในตอนที่อยู่หอแรกๆผมก็บอกเหมือนกันว่ากลับเองได้แต่ทั้งสองก็ยืนยันจะมารับ ด้วยสาเหตุที่ว่าอยู่บ้านแล้วเหงา...
ความพ่อกับแม่ผมเองครับ
ไม่รอช้าเก็บกระเป๋าสัมภาระของใช้ที่จำเป็นในแต่ละวันลงกระเป๋ากลับบ้าน รวมทั้งแล็ปท็อปที่จำเป็นสำหรับการตัดต่อชิ้นงานที่ต้องส่ง พร้อมดึงผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนข้างที่ไม่ได้ซักมานานร่วมสัปดาห์ลงตะกร้าผ้า ก่อนจะรีบกะเตงของทั้งหมดเข้ากับตัว ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวออกจากห้อง
“ไอ้ยีนส์ กูไปแล้วนะ”
“เออ อย่าลืมซื้อขนมมาฝากด้วย”
“อยู่ห้องคนเดียว ระวังผีนะ”
“ไอ้เชี่-”
ปัง!
ใครอยู่รอให้ไอ้ยีนส์ด่าจบคำก็โง่แล้ว พ้นจากประตูห้องได้ก็ทุลักทุเลหอบตะกร้าผ้าลงบันไดอย่างลำบากเอาเรื่อง เดินออกจากประตูหอมาชะเง้อมองก็พบว่ารถเก๋งคันเก๋าจอดห่างออกไปไม่ไกล
“ป๊า หวัดดี ม๊า หวัดดี ..” เปิดประตูรถสวัสดีพ่อแม่บังเกิดเกล้าด้วยความสดใส ก้าวขาขึ้นมาแล้วปิดประตูรถเรียบร้อย ก็หันไปทางด้านขวาเพื่อที่จะเอาตะกร้าผ้าที่วางบนหน้าตักลงไปวางด้านข้างลำตัวก็ต้องตกใจ เมื่อมีมือปริศนาเอื้อมเข้ามาขว้าหมับเข้าที่ลำแขนที่พาดลงบนตะกร้าพลาสติก
“ไอ้เหี้ย!”
“โถ่ ไอ้น้องชาย เจอกันที่ก็ทักด้วยสัตว์โลกน่ารักเลยนะ” ใช่ครับ และนี่ก็คือพี่ปุ๋ย พี่ชายแท้ๆที่คลานตามกันมาเพียงคนเดียวของผม ปัจจุบันเจ้าตัวกำลังศึกษาอยู่ใน ชั้นปีที่สาม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในมหาลัยแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ให้เดาจากการที่ไอ้พี่ตัวดีของผมกำลังแต่งชุดนักศึกษาชายเสื้อหลุดลุ่ยอยู่นี่ก็แสดงว่าคงเพิ่งไปรับเจ้าตัวก่อนที่จะมารับผมอย่างแน่นอน
“ไอ้พี่ปุ๋ย เล่นไรไม่รู้เรื่องไป๋ตกใจหมด”
“โอ๋ๆ น้องไป๋ของพี่ปุ๋ยตกใจเหรอครับ มาๆ ให้พี่จุ๊บๆ” จากเดิมที่ผมกับไอ้พี่ปุ๋ยเคยนั่งห่างกันโดยมีสัมภาระคั่น แต่ในตอนนี้เจ้าตัวกลับยกของทั้งหมดที่ว่าย้ายไปไว้อีกฝั่งแล้วเขยิบเบียดตัวเข้ามาชิดผมแทน
“ฮ่าๆ ลูกสองคนเล่นอะไรกันเหมือนเด็กเลยเนอะป๊า” ม๊าเอี้ยวหน้ากลับมามองแล้วก็หันกลับไปถามความเห็นจากป๊า โดยไม่คิดจะห้ามลูกชายคนโตที่กำลังเอาหน้าแนบแก้มผมจนผมหน้ายู่อยู่ตรงนี้เลย
“ก็น้องไป๋ยังไม่โตเลย เดี๋ยวกลับบ้านไปพี่ปุ๋ยจะชงนมแล้วนอนตบตูดให้น้า”
“ไอ้พี่ปุ๋ย ถ้ายังไม่เลิก ไป๋จะไม่หารค่า Netflix ด้วยแล้วนะ”
“คนเขาอุตส่าห์คิดถึง ไม่เล่นด้วยแล้วก็ได้” คำขู่ทำงานได้ดีเกินคาด เพราะเจ้าตัวหน้ามุ่ย รีบถอยใบหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว สาเหตุก็คือพี่ชายของผมกำลังเก็บเงินซื้อฟิกเกอร์คอลเลคชั่นใหม่อะไรสักอย่างที่กำลังชื่นชอบอยู่ ดังนั้น อะไรที่สามารถประหยัดได้เจ้าตัวก็จะทำ
“เดี๋ยวแวะกินข้าวข้างทางไปเลยแล้วกัน ม๊าจะได้ไม่ต้องทำกับข้าว”
“ครับ/ครับป๊า”
ถึงจะวุ่นวายแต่ก็มีความสุขแหละนะ..
❋❋❋
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูในยามหัวค่ำของวันเสาร์ ดึงสมาธิของผมให้ออกจากงานตรงหน้า มันน่าแปลก เพราะปกติในเวลานี้จะไม่ค่อยมีใครมาเคาะประตูห้อง วันนี้ป๊าทำต้องทำโอที ส่วนม๊าก็ไม่น่าใช่ นั่นก็ทำให้เหลือผู้ต้องสงสัยอยู่เพียงคนเดียว..
“ใครครับ?”
“คนที่หล่อที่สุดในบ้านเอง”
“มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย”
แอ๊ด
คนที่มีศักดิ์เป็นพี่ และเป็นผู้ที่ไม่เคยคิดจะเชื่อฟังคำสั่งของน้องชาย ถือวิสาสะเปิดประตู หอบแล็ปท็อปและหมอนใบโต เดินเข้าห้องส่งยิ้มหวานมาด้วยจิตใจอันเบิกบานของพี่แก
“แต่ตอนนี้น้องไป๋หล่อที่สุดเลย”
“แล้วนี่มาทำไม?” ถามพร้อมบุ้ยปากไปทางของในมือที่ดูยังไงก็เหมือนคนเตรียมตัวมานอนมากกว่าจะมาทำงานอยู่ดี
“มาดูหนัง”
“แล้วทำไมพี่ปุ๋ยไม่ดูที่ห้องตัวเองอะ?”
“ห้องนี้วายฟายแรงกว่า” ไม่รีรอคำอนุญาตใดๆ เจ้าตัวก็ทิ้งสารร่างลงบนเตียงนอน วางหัวหนุนหมอนที่นำมาด้วยอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่สนใจเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ตรงนี้แม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเกลือกกลิ้งไปทั่วทั้งพื้นเตียงพาลให้ผ้าปูสีน้ำเงินที่เขารู้สึกชอบใจนักหนานั่นยับยู่ยี่กันไปทั่วทั้งผืนอีก แต่อย่างไรนี่ก็ถือเป็นพฤติกรรมปกติของไอ้พี่ปุ๋ยมันนั่นแหละ ชุ่ย ขี้เกียจตัวเป็นขน แล้วยังซกมกอีก
“มาดูหนังด้วยกันไหมไอ้น้องชาย”
“ไม่ได้ ไป๋ต้องทำงาน”
“โอ้โห ทำไมน้องชายกูมันขยันจังเลยวะ”
“ใครจะไปเหมือนพี่ปุ๋ยล่ะ ปีสามแล้ว โดนไทร์ขึ้นมาจะหาว่าคนหล่อไม่เตือนนะ”
“น้องไป๋ครับ พี่เนี่ยไม่อยากจะโม้เลย ว่าขนาดพี่ไปร้านเหล้าแทบทุกสัปดาห์เนี่ยยังไม่ติดเอฟสักตัวเลยนะจะบอกให้”
“ที่ไปกินเหล้านั่นไม่ใช่ว่าโดนเมียทิ้งเหรอ?” หลังจากนั้นพี่ปุ๋ยทิ้งช่วงนั่งเงียบเป็นเป่าสาก ผมหลับตาลงอย่างนึกโกรธตัวเองที่เผลอพูดจาอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่น พับหน้าจอแล็ปท็อปที่ยังเหลือการตัดต่ออยู่อีกเล็กน้อยลง ก่อนจะจับเก้าอี้พาหันหลังไปหาเพื่อขอโทษขอโพยพี่แก แต่ทันใดนั้นก็รูสึกได้ถึงแรงรัดช่วงลำคอขึ้นมากระทันหัน
“นี่แน่ะ ถ้าไอ้น้องไป๋ปากหมามันต้องเจอแบบนี้”
“โอ้ย! พี่ปุ๋ยพอแล้ว แค่กๆ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อที่ไอ้พี่ปุ๋ยกระโจนจากเตียงนอนพุ่งมาหาผมที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างบีบหลวมๆเข้าที่ลำคอของผมแล้วจับมันเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที จนขอบตาเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา แต่ไม่ใช่จากการหายใจไม่ออก แต่เป็นเพราะการสำลักน้ำลายของผมเอง
แต่นี่ก็ไม่ใช่การเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้เป็นครั้งแรก..
“แบร่ แน่จริงก็มาเอาคืนให้ได้สิ” และแล้วเกมแมวไล่หนูก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากคนพี่ได้แลบลิ้นปลิ้นตาหมายจะท้าทายผู้เป็นน้องที่กำลังหอบหายใจหน้าดำหน้าแดง
ทันทีที่ปล่อยลำคอขาวนั่นให้เป็นอิสระ ฝ่ายพี่ที่สูงกว่าและมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าจึงทำให้ได้เปรียบมากกว่าเล็กน้อยได้วิ่งออกห่างแล้วกระโดดขึ้นไปยืนบนพื้นเตียงอย่างท้าทายเจ้าของห้อง ทางคนน้องไม่รอช้า หลังจากที่ได้สติกลับคืนมาก็ลุกขึ้นออกวิ่งไล่จับกันรอบทั่วทั้งห้อง
“พี่ปุ๋ย! อย่าย่ำบนเตียงไป๋ เดี๋ยวมันสกปรก”
“ย่ำแบบไหน แบบนี้ปะ..” เท้าไซส์ 42 ได้กระทืบเท้าถี่ๆลงบนเตียงทั้งสองข้าง ทำเอาน้องชายที่ยืนอยู่บนพื้นกระเบื้องด้านล่างถึงขั้นเบิกตาเล็กๆนั่นจนสุด ง้างปากเตรียมโวยวายใส่พี่ชายของตนเอง
“ไอ้! พี่! ปุ๋ย!!!!!” ผมแหกปากตะโกนออกไปด้วยความโมโห
แม่งเอ้ย! ทำไมพี่ชายกูมันถึงกวนตีนได้ถึงขนาดนี้วะ?!!!!
“น้องไป๋จะตะโกนทำไม? เดี๋ยวม๊าว่าเอานะ”
“ก็ลงมาก่อนเซ่ะ – เฮ้ย!” จู่ๆในขณะที่ผมกำลังชี้หน้าเอาเรื่องไอ้พี่ชายตัวดีอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในตอนนั้น เจ้าตัวก็เอื้อมมือมาดึงให้เข้าไปหา ผมที่ไม่ทันตั้งหลักก็กลายเป็นว่าสารร่างของผมและไอ้พี่ปุ๋ยได้ล้มทับกันในท่าที่หน้าของผมซุกอยู่บริเวณซิกแพ็คแน่นๆของพี่มันเต็มๆ
“อ่าเอาอืออกอั๋วไอ๋(อย่าเอามือกดหัวไป๋)”
“ฮ่าๆๆ กูกับมึงนี่เล่นอะไรกันเหมือนตอนเด็กชิบหายเลย” เสียงหัวเราะแหบห้าวดังขึ้นพร้อมกับการปล่อยให้หัวผมเป็นอิสระ
“ใครเป็นคนเริ่มเล่า ปั๊ดโถ่” ผมพาตัวเองลุกขึ้นมาจัดการจัดทรงผมและเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย เพื่อกลับไปทำงานที่ค้างคาไว้ให้เสร็จภายในคืนนี้ แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อพี่มันดึงผมให้ล้มตัวลงไปนอนกับพี่แกอีกครั้ง แม้จะฝืนแรงพี่ปุ๋ยอยู่หลายรอบก็ไม่เป็นผล ทำให้ผมต้องจำใจนอนลงในท่าที่หัวหนุนอยู่ที่แขนของแกแล้วก็นอนมองเพดานโล่งๆภายในห้องกันทั้งคู่
“เรียนหนักไหม?”
“หื้อ .. ปีหนึ่งยังไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก พี่ปุ๋ยเหอะ ปีสามแล้วงานไม่เยอะเหรอ”
“เยอะดิ โคตรเยอะเลย เยอะแบบแทบไม่ได้นอน”
“เอ้า แล้วกลับบ้านมาทำไมอะ” ผมตะแคงศีรษะหันไปถามพี่ชายทางสายเลือด
“เห็นไป๋บอกในไลน์ว่าจะกลับบ้าน พี่ปุ๋ยเลยโทรบอกให้แม่มารับบ้าง”
เพราะกว่าเกิดห่างกันไม่กี่ปีจึงทำให้เราทั้งสองสนิทสนม และมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมากถึงขนาดนี้ โครงหน้าทรงไข่จากม๊า ส่วนตาสองชั้นแต่ตี่เล็กจนน้อยกว่ามาตรฐานขนาดดวงตาชาวไทยปกติของเราทั้งคู่ก็ได้จากป๊าที่มีเชื้อสายมาจากทางจีน
แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างเราทั้งสองคนนั่นก็คงเป็นสไตล์และความชื่นชอบส่วนตัว ผมที่ไม่ค่อยชอบให้ผมเผ้ารุงรังหรือมีหนวดแม้จะเป็นแค่ไรบางๆก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก ต่างจากคนพี่ที่ชอบปล่อยผมให้ยาวจนมัดได้แล้วยังไม่พอ เจ้าตัวยังชอบที่จะไว้หนวดเคราน้อยๆ โดยอ้างว่าเป็นการเสริมความติสท์ให้ตัวเองอีก
“คิดถึงไป๋ ก็บอกคิดถึงไป๋ดิ”
“เออ คิดถึง มีแต่มึงนั่นแหละที่ไม่เคยคิดถึงกูเลย”
“ปกติก็ไลน์คุยกันอยู่แล้วปะพี่ โห่” คราวนี้ไม่หันไปมองอีกฝ่ายจากด้านข้าง แต่ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าทั้งผมและพี่ปุ๋ยกำลังนอนยิ้มให้สีขาวของเพดานกันอยู่
เราเป็นคู่พี่น้องที่สามารถคุยกันได้แทบทุกเรื่อง เหตุผลก็เพราะชีวิตในวัยเด็กของเราต่างก็ใช้เวลาคลุกคลีอยู่ด้วยกันเป็นส่วนมาก จนถึงวันนี้ผมยังจำตอนเด็กๆที่พี่ปุ๋ยร้องไห้โฮตอนที่ต้องเปลี่ยนโรงเรียนช่วงประถมหนึ่ง ทำให้ไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับในตอนที่ผมกำลังอยู่อนุบาลได้อยู่เลย แต่พอตอนโตก็ต้องนั่งปวดกบาลเพราะคราบของพี่ชายอันแสนดีที่ว่าก็ได้หลุดหายเหลือเพียงแต่พี่ชายโคตรจะกวนไว้เท่านั้น
อือ ถึงกวนตีนแต่ก็รู้ว่าพี่มันยังเป็นห่วงเหมือนเดิมแหละ..
“ยังไม่ได้ถามเลยว่าเลิกกับเมียได้ไงวะพี่ปุ๋ย?”
“เขาบอกว่ากูชอบใส่ถุงเท้าสลับข้างกัน ..”
“ฮะ?”
“เวลากินก๋วยเตี๊ยวก็ไม่เลือกตะเกียบให้ถูกคู่” ปากอ้าค้างกลางอากาศทันทีหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวเพียงบางส่วนจากปากของพี่ชาย
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเนอะ มึงว่าไหม?”
“อ๋อ พี่ปุ๋ยเลยเข้าร้านเหล้าทุกอาทิตย์ไปย้อมใจเหรอ?”
“อือ คนมันใจบาง เลยต้องสร้างใหม่ด้วยแอลกอฮอล์”
“พี่ มึงบ้าปะเนี่ย ฮ่าๆ แล้วไหนบอกจะประหยัดตังซื้อฟิกเกอร์ไง”
“ฟิกเกอร์เอาไว้ก่อน รักษาแผลใจสำคัญสุด” แฟนเก่าคนล่าสุดของพี่ปุ๋ยนั้นเรียนอยู่คณะบัญชี แถมยังเป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าเป็นคนที่สวยมากๆคนหนึ่งเลย ทั้งสองเพิ่งมาคบกันได้ตอนไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ดูๆแล้วก็รู้ได้เลยว่าพี่ปุ๋ยแกรักผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน รักมากจนเคยพามาเปิดตัวให้ป๊ากับม๊าดูแล้วด้วย เลยไม่คิดว่าทั้งคู่จะปิดฉากรักได้เร็วถึงขนาดนี้
“แล้วมึงกับน้องพลอยใสเป็นไงบ้างอะ?”
“เป็นเพื่อนกันแล้ว”
“อ้าว เลิกกันแล้วเหรอ ทำไมล่ะ?”
“ไป๋ไม่บอกพี่ปุ๋ยหรอก”
“เฮ้อ มึงนี่นะ” หลังจากพี่ชายตัวสูงพรั่งพรูถอดถอนลมหายใจออกมาทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ หลงเหลือเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ทำงานตามกำลังไปพร้อมกับสมองน้อยๆไม่ประสีประสาเรื่องเรียนกำลังคิดหนัก .. เขาควรจะเล่าเรื่องที่มันชอบมากวนใจให้พี่ชายฟังดีไหม? แล้วพี่ชายจะรับได้หรือเปล่าเมื่อรู้ว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร?
“พี่ปุ๋ย ไป๋มีเรื่องอะไรจะบอก”
“หื้ม?”
“พี่ปุ๋ยสัญญากับไป๋นะว่าจะไม่โกรธ”
“เรื่องมันหนักหนาขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไป๋ชอบผู้ชายว่ะพี่”
เงียบสนิท ..
“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงระเบิดหลังหัวเราะดังขึ้นภายหลังจากที่ไม่มีเสียงตอบรับทิ้งช่วงนานหลายวินาที ทำเอาผมที่เป็นคนพูดถึงกับใจเสีย เพราะนึกว่าพี่แกคงโกรธผมไปแล้ว
“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย กลัวกูโกรธเพราะแค่มึงชอบผู้ชายเนี่ยนะ ฮ่าๆ” ว่าพูดเปล่าเจ้าตัวก็ตะแคงตัวหาพร้อมรั้งผมให้เข้าไปใกล้ จนกลายเป็นว่าผมโดนพี่ปุ๋ยกอดจมอกไปเสียแล้ว
“พี่ปุ๋ยไม่โกรธเหรอ?”
“โกรธทำไมวะ แล้วใครเป็นคนเข้ามาทำให้น้องชายกูหวั่นไหวได้วะเนี่ย?” เหมือนได้ยกภูเขาสูงเสียดฟ้าออกจากอก เพราะพี่ชายเขาดูไม่ยี่หระแถมยังยินดีเสียอีกที่เขากล้าจะเปิดเผยความลับให้ฟัง
ดังนั้นผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นจากพี่ชายที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผมแต่อย่างใด จังตัดสินใจเล่าเรื่องระหว่างผมและพิวให้พี่ชายผมฟังทั้งหมด ตั้งแต่เกิดเรื่อง เริ่มสนิทกัน มันทำให้ผมมีความสุขอย่างไร และทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์อย่างไร
อย่างน้อยการได้มีพี่ชายที่พร้อมรับฟังเรื่องราวแสนสาหัสของน้องชายด้วยความใส่ใจนั่นก็ถือเป็นกำไรของชีวิตแล้ว..
“ไอ้คนนั้นมันชื่ออะไร?”
“ชื่อพิว เป็นเพื่อนภาคไป๋เองไง .. พี่ปุ๋ยจะลุกไปไหนอะ?” ผมเด้งตัวจากที่นอนขึ้นมานั่งงงบนเตียงแทน หลังจากที่เล่าเรื่องให้พี่ปุ๋ยฟังจนจบแล้วเจ้าตัวก็ลุกพรวดพราดแล้วเดินไปด้อมๆมองๆที่พื้นกระเบื้องแทน
“อะ .. เจอโทรศัพท์ละ กูขอเฟซมันหน่อย”
“พ-พี่ปุ๋ยจะเอาไปทำอะไร ไป๋จำไม่ได้หรอก” แล้วก็ต้องร้องอ๋อขึ้นภายในใจทันทีเมื่อรู้ว่าพี่แกกำลังหาโทรศัพท์ที่เผลอปัดตกลงพื้นไว้อยู่จนเจอ
“นี่ โทรศัพท์มึง เร็วๆอย่าชักช้า กูอยากเห็นหน้ามันเหลือเกินว่าหล่อขนาดไหนถึงทำอะไรเหี้ยๆกับน้องชายกูได้ถึงขนาดนั้น” สมาร์ทโฟนคู่ใจถูกโยนลงมาบนตัก จะให้บ่ายเบี่ยงตอนนี้ก็คงไม่ทันการณ์เสียแล้ว กลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความประหม่าพร้อมบอกชื่อโปร์ไฟล์ภาษาอังกฤษตามหน้าจอที่เปิดค้างไว้ให้อีกฝ่ายที่ยืนขมวดคิ้วอย่างดุดันไปทีละตัว ทีละตัว...
“พี่ปุ๋ย ไป๋กับเขาเป็นเพื่อนกันแล้ว .. ใจเย็นๆนะ” ในจังหวะนี้คงต้องหวังพึ่งเอาน้ำเย็นเข้าลูบอย่างเดียวแล้ว เมื่อสีหน้าของคนเป็นพี่ดูเลวร้ายลงทุกครั้งที่สไลด์ไปตามโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ
“หล่อ .. แต่ไม่ใช่ประเด็น แม่งตั้งคบกับผู้หญิงอีกคน แถมซ่อนตัสมึงอีก”
“...”
“อะไรเนี่ย สามนาทีที่แล้ว .. ไอ้ไป๋มึงรีบเข้าไปดูเดี๋ยวนี้เลย” เสียงห้าวแผดดังขึ้นมาทำเอาผมตกใจจนต้องรีบเข้าไปดูในสิ่งที่อีกคนบอกอย่างทันที
Kanjana Thippasiri ได้แท็ก Pew Phatipol ในรูปภาพ
เดี๋ยวนี้เวลาไม่ค่อยตรงกันเยย ว่างเมื่อไหร่พาเขาไปเที่ยวอีกน้า
ข้อความพร้อมรูปภาพของทั้งสองยืนข้างกันทำเอาคนดูปวดใจหนึบ ไม่มีความกล้าพอที่จะดูให้นานกว่านี้จึงตัดสินใจกดปิดลง แต่ไม่ทันจะได้วางลงเสียงการแจ้งเตือนอันคุ้นหูก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาขึ้นมาเสียก่อน
แค่สองข้อความสั้นๆ แต่กลับทำให้เขาลืมวิธีการพิมพ์กลับไปเสียดื้อๆ...
ไลน์! ไลน์!
just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
หากชอบอย่าลืมคอมเมนต์+บอกต่อ ให้นุด้วยนะค้า
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
chapter fifteen。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้
“ใครไลน์มา?” มือขาวเอื้อมส่งโทรศัพท์ในมือไปตรงหน้าให้เป็นคำตอบแทนการเอ่ยชื่อ ข้อความล่าสุดถูกโชว์ให้อ่าน ก่อนจะถูกล็อคหน้าจอแล้วถูกวางไว้บนลิ้นชักหัวเตียงไม่สนใจจะตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ คนนอกอย่างพี่ชายคนโตทำได้แค่ไถ่ถอนหายใจนึกหนักใจแทนน้องชายตัวเอง
“จะรักใครก็คิดดีๆแล้วกัน กูเป็นแค่พี่บอกได้แค่นี้แหละ” ฝ่ามืออุ่นวางลงบนกลุ่มผมนุ่มทั้งขยี้ไปมาด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีปุ๋ยก็ยังมองไป่ไป๋เป็นน้องชายเป็นแค่เด็กน้อยตัวเล็กๆเสมอ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นห่วงไปหมดนั่นแหละ..
“อื้อ ขอบคุณนะพี่ปุ๋ย”
“งานเดี๋ยวไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้มานอนดูหนังกับกูก่อนดีกว่า” หนุ่มผมยาวก้มเก็บของกระจัดกระจายบนพื้นพร้อมจัดผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เข้าแทนคนที่เอาแต่นั่งซึมบนเตียง ก็นะ .. ถ้าเป็นเขาเจออะไรแบบนี้ขึ้นมา ร้านเหล้าที่เคยเข้าอยู่ทุกอาทิตย์คงได้เปลี่ยนมาเป็นเข้ามันทุกวันแทน
“ไหนๆก็หิ้วหมอนมาแล้ว คืนนี้พี่ปุ๋ยจะนอนห้องไป๋เลยไหม?”
“โถ่เอ๊ย อ่อนแอว่ะ อยากให้พี่ชายอยู่ปลอบก็บอกดิ”
“เออ แล้วได้ไหมล่ะ?”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของทั้งคู่โดยไม่รู้สึกตัว เพราะความที่คล้ายคลึงกันไปทั้งหมด ทั้งหน้าตา นิสัยและพฤติกรรม เรียกได้ว่าแค่มองตาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร..
“ด้วยความยินดีว่ะไอ้น้อง : )”
หนังรักในตำนานอย่าง Love, Rosie จัดเป็นหนึ่งในเรื่องโปรดที่ไม่ว่าจะดูกี่รอบก็ไม่เบื่อสำหรับไป่ไป๋ พร้อมกับพี่ปุ๋ยที่ได้นอนจดจ้องไปที่หน้าจออย่างไม่วางสายตา เตียงห้าฟุตในตอนนี้ดูแคบลงไปถนัดตาเมื่อมีร่างของผู้ชายทั้งสองคนนอนอยู่
หนังดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ จากเริ่มต้น จุดพลิกผันของเรื่อง จนถึงจุดไคล์แม็กซ์และจบลงด้วยฉากแฮปปี้ เอนดิ้ง ทำเอาหัวใจคนดูพองโตไปตามๆกัน เว้นเสียแต่..
“คนเราอะนะ ทำไมไม่ถามกันตรงๆไปเลยวะ สุดท้ายก็ใจตรงกัน เสียดายเวลาแทนเลยว่ะ” พี่ปุ๋ยที่ลุกจากเตียงเดินไปเก็บอุปกรณ์เข้าที่เข้าทางเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำนอน ก็เอาแต่บ่นอุบอิบเกี่ยวกับตัวละครทั้งสองคน
“ถ้าเกิดใจไม่ตรงกันแล้วต้องเสียเพื่อนจะทำยังไงอะ?”
“สรุปอยากเป็นเพื่อนหรืออยากเป็นแฟนวะ ถ้าเป็นเพื่อนแล้วต้องนั่งมองเขารักกัน กูคนนึงเนี่ยแหละที่ไม่เอา” อารมณ์คนอินหนังจัดเริ่มประทุ เก็บของไปกระฟัดกระเฟียดไปเหมือนเป็นเรื่องจริงในชีวิตตนเอง
“แต่ถ้าต่อให้ไม่ได้เขาเป็นแฟน ไป๋ก็ยอมเป็นเพื่อนเพื่อไม่ให้เสียเขาไปเหมือนกันนะ...”
“สมมติว่าถ้าสักวันถ้าเราทนกับสถานะนั้นไม่ไหว เราก็ต้องเป็นคนเดินออกมาอยู่ดีนั่นแหละ”
“...งั้นเหรอ”
“แต่ก็นะ ..”
“…”
“บางทีเรื่องแบบนี้มันต้องให้เวลากับมันว่ะ”
“เหมือนที่พี่ปุ๋ยต้องใช้เวลาในการลืมเมียเก่าอะเหรอ?”
“อ้าว ไอ้นี่ทำไมลามปามวะ?” ม้วนทิชชู่ถูกโยนมากระแทกที่ใบหน้าขาวอย่างจัง ด้วยความโกรธเคือง ไม่รอช้าเขาจึงจัดการโยนทิชชู่อันเดิมกลับคืนไป วนลูปอยู่อย่างนั้นอย่างไม่มีใครยอมใคร ภายในห้องนอนจึงกลายเป็นสมรภูมิรบของกระดาษชำระหนึ่งแกนที่ไม่มีวี่แววว่าจะจบในที่สุด
“พอเหอะๆ กูไปอาบน้ำละ เก็บที่เหลือให้ทีเดี๋ยวมานอนด้วย”
“ไปเลย ไอ้พี่ปุ๋ยตัวเหม็น!” ไป๋ตะโกนไล่หลังไปจนคราวนี้เกือบจะเป็นแล็ปท็อปที่ลอยมาเจิมหน้าผาก มิหนำซ้ำไอ้พี่ปุ๋ยยังโชว์สกิลหยาบคายจัดนิ้วกลางชูขึ้นมาแบบไม่ละอายต่อฟ้าดิน
เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับผมที่ล้มตัวลงบนหมอนต่อ สารภาพว่าหนังรักเมื่อครู่นี้แทบไม่เข้าหัวตัวเองเลยสักฉาก แต่ยังโชคดีที่เคยดูไปหลายรอบแล้ว เอี้ยวตัวหยิบสมาร์ทโฟนตัวต้นเหตุที่วางไม่ห่างจากตัวขึ้นมาเปิดข้อความที่ไม่มีคำตอบขึ้นมาอีกรอบ
just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้
สถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งซ้ำไปซ้ำมาเพื่อรอเวลาให้ตัวเองหยุดนิ่ง แต่หารู้ไม่ว่าในทุกๆครั้งที่เริ่มแกว่งช้าลง จะมีแรงระลอกใหม่ๆเข้ามากระทำเสมอ แล้วลูกตุ้มแสนอาภัพนั่นจะทำอะไรได้ นอกจากรอเวลาให้ตัวเองได้หยุดลง .. อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
ก็คงจริงอย่างที่พี่ปุ๋ยพูด สักวัน เราก็ต้องเดินออกมา .. จะช้าหรือเร็วเท่านั้นแหละ
นิ้วหัวแม่มือรัวแป้นพิมพ์ตามสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด ต่อจากนี้สถานะเพื่อนคงไม่มีความสำคัญไปสักระยะ เพราะเขาได้เลือกแล้วว่าตัวเองนั้นควรหันหลังกลับไปพักใจให้ทุกอย่างดีขึ้นเสียก่อน
ขอโทษนะ แต่หลังจากที่ตัดใจได้แล้ว จะกลับไปเป็นเพื่อนคนเดิมให้เร็วที่สุดเลย
paipai : ไม่เป็นไร
paipai : ขอบคุณนะ
หลังจากพิมพ์ข้อความเหล่านั้นเสร็จ เขาวางโทรศัพท์ลงบนที่เดิมอย่างเชื่องช้า หยิบของใช้เข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายเพื่อเข้านอนด้วยหัวใจห่อลีบอย่างไร้สาเหตุ
ร่างบางหยุดยืนเบื้องหน้าของกระจกบานใหญ่ ไล่สายตาขึ้นไปสบกับภาพที่สะท้อนเงาของตัวเอง หยาดน้ำตาข้างแก้มและจมูกเห่อแดงนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แม้จะยกมือปาดออกสักกี่รอบแต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีทางแห้งเหือดไป สองขาอ่อนแรงไม่อาจต้านแรงโน้มถ่วงของโลกทรุดลงนั่งภายในพื้นห้องน้ำ ริมฝีปากห้อเลือดจากแรงเม้มกลั้นก้อนสะอื้น
กำแพงของความไปเป็นไม่ได้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายลงไม่มีชิ้นดีเมื่อเขาได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง หรือ ผู้ชายเป็นพิเศษ ในตอนที่ได้รู้ว่าเขาตกหลุมรักแค่คนๆนั้น .. คนที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่มีอิทธิพลต่อโลกทั้งใบของเขาเหลือเกิน
และจวบจนมาถึงวันนี้ไป่ไป๋ก็ได้มาพบแล้วว่า สิ่งที่ยากที่สุดของทุกๆความสัมพันธ์ไม่ใช่การเกิดขึ้น หรือจบลง แต่เป็นการจบลงทั้งๆที่ยังมีความรักอยู่ต่างหาก.. ทำให้เจ็บปวด
“ฮึก..ฮือ”
ร่างบางยังคงนั่งนิ่งชันเข่ากอดตัวเอง ความเข้มแข็งที่แสร้งเป็นถูกปลดวางเหลือเพียงแค่เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าที่ผิดหวังในความรักเพียงคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มผู้ซื่อตรงในวันก่อนจะเสียศูนย์จนมีสภาพแบบนี้ได้..
ร่างกายสั่นเทาค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น ใช้มือเกาะสิ่งของยึดเหนี่ยวไปตามทางจนไปหยุดยืนใต้ฝักบัว เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องจนเปลือยเปล่า หวังว่าความสดชื่นจะช่วยเรียกสติเขากลับมาได้อีกครั้ง การชำระร่างกายเป็นไปอย่างเชื่องช้า เปลือกตาเนียนค่อยๆปิดลงให้สายน้ำไหลผ่านได้ทั่วทั้งกรอบหน้า
ถึงแม้จะเคยสัญญากับตัวเองไปแล้วว่าจะไม่ยอมกลับไปเสียใจกับเรื่องเดิมๆอีก ซึ่งในทุกครั้งที่ผมสัญญากับตัวเองเช่นนี้มักจะประสบความสำเร็จเสมอ .. แต่พอเป็นพิวแล้ว เขากลายเป็นคนแรกที่ทำให้ผมผิดคำมั่นที่เคยให้ไว้กับตนเองอย่างไม่มีชิ้นดี
และต่อจากนี้เขาคงไม่กล้าสัญญาอะไรกันตัวเองอีกต่อไปแล้ว...
❋❋❋
เวลาดำเนินมาถึงช่วงบ่ายของวันถัดมา เราตัดสินใจออกจากบ้านกันเร็วหน่อยเพื่อป้องกันปัญหารถติดในวันสุดสัปดาห์ของเมืองหลวง
“น้องไป๋ พี่ปุ๋ยไปแล้วนะ”
“เออ พี่ปุ๋ยรีบขึ้นห้องไปเถอะ ป๊าม๊าจะได้รีบไปส่งไป๋ที่หอบ้าง”
“สัญญากับพี่ก่อนว่าจะไม่เป็นคนอ่อนแอ”
“แล้วที่นั่งเถียงกับพี่ปุ๋ยฉอดๆอยู่นี่คิดว่าไป๋อ่อนแอหรือไง”
“ดีมากน้องรักของพี่” หมอนอิงรูปแตงโมถูกยกขึ้นมาบดบังใบหน้าจากการถูกจู่โจมจุ๊บที่แก้มจากพี่ชายจอมทะเล้น ที่เลื่อนปากเข้ามาใกล้จนจะชนแก้มของน้องชายอยู่รอมร่อ
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าหอมแก้มข้างนอก”
“อะไรวะทีตอนเด็กยังให้หอมอยู่เลย”
“จะบอกว่าสมองตัวเองยังไม่โตหรือไง ไปไป๊ ไป๋จะรำคาญแล้วนะ”
“เออ ไปก็ได้ ป๊าหวัดดี ม๊าหวัดดี น้องไป๋ไล่แล้ว ไว้เจอกันครับ” พี่ปุ๋ยบอกลาพร้อมปิดประตูรถจนสนิท ยืนมองตัวรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา จึงหันหลังเดินเข้าหอพักเข้ามาทีหลัง
“พี่ปุ๋ยกลับมาอาทิตย์นี้ดูอารมณ์ดีจังเลยเนอะน้องไป๋”
“ไม่ใช่หรอกม๊า พี่ปุ๋ยก็เป็นบ้าๆบอๆอย่างนี้ทุกอาทิตย์แหละ” ภาพข้างทางบ่งบอกว่าคงอีกสักพักใหญ่กว่าผมจะได้ถึงหอโดยสวัสดิภาพ เพราะด้วยความที่มหาวิทยาลัยของพี่ชายผมอยู่ในโซนของตัวเมืองกรุงเทพมหานคร แถมวันนี้ยังเป็นวันอาทิตย์ที่นักศึกษาต่างทยอยกลับหอเตรียมตัวเข้าเรียนในวันพรุ่งนี้ ขนาดตอนนี้เป็นเวลาในช่วงบ่ายรถยังเยอะได้ถึงขนาดนี้ โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดของป๊าเลยไม่ค่อยกังวลเรื่องเวลาเดินทางสักเท่าไหร่
“ต่างจากน้องไป๋เลย อาทิตย์นี้กลับบ้านมาก็ดูซึมๆ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก?” คำถามจากผู้เป็นแม่แท้ๆทำผมถึงกับสะอึก เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะแสดงความรู้สึกออกมาจนชัดเจนขนาดม๊ายังรู้สึกถึงความผิดปกติได้
“ไป๋เครียดนิดหน่อยอะม๊า แต่ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อวานพี่ปุ๋ยมาป่วนที่ห้องจนลืมไปแล้วว่าไป๋เครียดเรื่องอะไร”
“ฮ่าๆ ได้ยินแบบนั้นม๊าก็ดีใจแล้ว” ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าทั้งของป๊าและม๊าจากเบาะหลัง รอยเหี่ยวย่นเริ่มเกิดขึ้นบนผิวตามอายุทำเอาผมอดใจหายไม่ได้ สายตาที่คอยจ้องมองดูความเป็นไป จิตใจที่นึกแต่เป็นห่วง รวมทั้งรอยยิ้มจากปากและดวงตาของทั้งสองมักสร้างพลังบวกให้ผมได้เสมอ .. ขอบคุณครับ ช่วยอยู่เป็นร่มที่แข็งแกร่งที่สุดในวันที่ฝนตกในใจผมไปนานๆเลยนะ
“น้องไป๋ แล้วอาทิตย์หน้าจะกลับไหม?”
“น่าจะได้กลับอีกทีหลังสอบไฟนอลเสร็จเลยอะป๊า”
“จะกลับเมื่อไหร่ก็ไลน์มาบอกแล้วกัน”
“โอเคครับ ไป๋ขึ้นหอแล้วนะ ป๊าหวัดดี ม๊าหวัดดี”
ตะกร้าผ้าสีฟ้าถูกแบกขึ้นหอพักอีกครั้ง ต่างกันตรงที่ในตอนนี้มีเพื่อนๆเดินสวนไปมาตามทางกันให้ขวักไขว่ เดินขึ้นบันไดมาจนถึงหน้าห้องตัวเองก็จัดการล้วงกระเป๋าหากุญแจ จนควานไปเจอพวงกุญแจกระต่ายขนฟูฟ่องที่แขวนเกี่ยวกันเอาไว้ สาเหตุมาจากการหากุญแจเหล็กอันกระจิ๊ดริดไม่เจอหลายต่อหลายครั้ง จึงแก้ปัญหาด้วยพวงกุญแจอันใหญ่ๆแม่งซะเลย
แกร๊ก
ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาก็ต้องแปลกใจห้องสี่เหลี่ยมที่คิดว่าเปิดมาต้องเจอรูมเมทกำลังอยู่ในอิริยาบถต่างๆกลับว่างเปล่าและปิดไฟจนมืดสนิท และต้องแปลกใจเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าพัดลมยังคงถูกเปิดไว้อยู่
“แฮร่!!!!”
พลั่ก
“โอ๊ย! ไอ้เชี่ย” ยีนส์กระโดดออกจากมุมอับของหลังประตูที่ตั้งใจจะเซอร์ไพร์สให้อีกฝ่ายตกใจแต่ดันพลาดท่าพาให้บานประตูเหวี่ยงกลับไปโดนหัวของผู้มาใหม่เข้าเต็มๆ
“อ้าว โดนโขกเหรอ? โง่จัง”
“ไอ้สัสเอ้ย แม่ง เล่นเหี้ยไรฟาดเข้ากบาลกูเต็มๆเลย” คำหยาบคายจัดขบวนกันมาไม่ขาดปากตามความเจ็บปวดที่โลดแล่นอยู่บนศีรษะ จนต้องใช้มือที่ว่างเว้นจากการอุ้มตะกร้าผ้าขึ้นมาลูบป้อยๆ
“กูขอโทษนะๆ” มือข้างซ้ายที่ตอนแรกใช้บรรเทาความเจ็บอยู่ก็เปลี่ยนไปทุบเจ้าคนต้นเหตุโทษฐานที่บังอาจทำให้ผมเจ็บตัวจนเกิดเสียงดัง แล้วเปลี่ยนจากยืนหน้าประตูเดินเข้าห้องมาเก็บสัมภาระ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเมื่อยล้า
“มึงมาดูให้กูเดี๋ยวนี้ ถ้าหัวกูแตกมึงจ่ายเงินค่าทำขวัญกูมาด้วย”
“มึงแม่งเว่อร์ละ ไหนให้กูดูสิ .. เชี่ย” ถึงจะบ่นแต่ยีนส์ก็เดินตามมาดูหัวให้ตามที่สั่งอย่างว่าง่าย อีกฝ่ายใช้สองมือในการเลิกผมปรกใบหน้าของรูมเมทให้ไปทางด้านหลัง แต่ยังไม่ทันได้ไถ่ถามถึงสภาพหนังศีรษะของตัวเอง ทางนั้นก็ทำหน้าตาตกใจแล้วร้องขึ้นมาพาลเอาคนเจ็บใจเสียไปด้วย
“สัสยีนส์ หัวกูแตกจริงอ่อ” ไป่ไป๋เริ่มกระวนกระวายจนต้องเอือมมือไปคลำๆหาบริเวณที่เจ็บปวด แต่ก็ไม่พบกับปากแผลที่คาดการณ์ไว้แต่อย่างใด
“หึ ไม่แตก แต่เถิกโคตร”
วินาทีนี้หนังสือหนังหาที่กองรวมกันไว้บนโต๊ะได้ถูกเขวี้ยงไปหาคนปากหมาที่เอาแต่วิ่งหนีไปรอบห้อง เพราะกลัวถูกสันหนังสือฟาดเข้าหน้าตาย แทนที่จะได้ตายเพราะสนามรบไฟนอลในไม่กี่อาทิตย์ที่จะถึง
คนในชุดบอลหอบแฮก ยอมจำนนนอนบนเตียงนิ่งๆให้ได้ชำแหละอย่างสาแก่ใจ
“เชี่ยไป๋ มึงหยุดได้แล้ว กูเหนื่อย”
“ปากหมาแบบเมื่อกี๊ก็ไม่ต้องกินขนมที่ม๊ากูฝากมาแล้วมั้ง”
“กูยอมแล้ว กูขอโต๊ด เดี๋ยวกูกวาดห้องถูห้องให้อาทิตย์นึงเลยก็ได้เอ้า”
“..ขนมอยู่ในกระเป๋า” อาการเหนื่อยล้าเมื่อครู่เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นจริง เมื่อไอ้ยีนสืรีบกระโดดเข้าตะครุบที่กระเป๋าเป้ของผมทันทีที่รู้พิกัด พร้อมรูดซิปหยิบขนมปังสังขยาจากร้านเบเกอรี่แถวบ้านของโปรดไอ้ยีนส์ที่ผมมักจะซื้อมาฝากทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน
“ฝากขอบคุณม๊ามึงด้วยนะ”
“เออ” หลังจากที่ได้เห็นมันคว้าขนมขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็ถือวิสาสะล้มตัวนอนบนเตียงของไอ้ยีนส์บ้าง จะว่าไปมันก็เรียบร้อยเหมือนกันนะ ทั้งที่นอนที่ถูกพับเก็บทุกครั้ง ต่างจากผมที่บางวันที่รีบๆก็จะมีสภาพเหมือนที่นอนไอ้แฮปปี้ ไหนจะโต๊ะอ่านหนังสือที่ถูกแยกหมวดหมู่วิชาได้อย่างน่าอ่าน พอหันไปมองโต๊ะตัวเองบ้างแล้วก็อนาจใจ เพราะสงครามสาดหนังสือเมื่อกี๊ยังไม่ได้ถูกเก็บชึ้นมาจากพื้นเลยด้วยซ้ำ
“เออ ถึงว่า .. กูสงสัยเรื่องนี้เกี่ยวกับมึงมานานละ”
“เรื่องอะไรวะ?”
“ที่มึงไม่เคยเก็บผมขึ้นตอนอยู่หอเป็นเพราะสาเหตุนี้ใช่ปะ?”
มึงคงอยู่ไม่ถึงสอบไฟนอลจริงๆแล้วแหละเพื่อน..
-
❋❋❋
“แล้วพวกมึงรู้ป่ะ เดี๋ยวนี้นะเมทกูเริ่มซกมกขึ้นทุกวั๊นทุกวัน”
“เออ เมทกูก็ซกมก มาแรกๆนี่ถูห้องแทบจะทุกวัน ดูเดี๋ยวนี้ดิ ถ้วยมาม่าแม่งยังคาอยู่บนโต๊ะเลย”
“อียีนส์ของมึงถือว่าเบมากเมื่อเทียบกับกู”
“ยังมีอีกนะ เมทกูต-”
“ไอ้เชี่ยยีนส์ มึงจะเลิกด่ากูได้ยัง?” หลังจากที่นั่งฟังไอ้ตุลลี่ที่อพยพสารร่างของตัวเองขอมานั่งอ่านหนังสือด้วยตั้งแต่ตอนเย็น พร้อมกับไอ้ยีนส์ที่ยังมีหน้ามาแซะถ้วยบะหมี่รสต้มยำที่ผมเพิ่งกินเสร็จไปเมื่อครู่
“แฮะๆ กูก็แซวเล่นน่า รู้หรอกว่าเดี๋ยวมึงก็ไปทิ้ง”
“ด่ากูตลอดอะ .. ไอ้ตุลลี่ เมทมึงนี่ชื่ออะไรนะ?” ผมเอี้ยวตัวหันไปหาตุลลี่นั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะญี่ปุ่นอยู่กลางห้องด้วยความสงสัย
“ชื่อแบงค์ ภาคโย”
“มันเป็นสไตล์ภาคโยฯมั้ง เซอร์ๆ อินดี้ๆ ไอ้มิกซ์เพื่อนกูแม่งก็เป็น” พักการอ่านหนังสือไว้สักครู่แล้วหันเก้าอี้ไปทางคนนั่งบนพื้นให้คุยได้สะดวก
“มึงอย่าให้กูได้พูด .. แม่ง ไอ้แบงค์เนี่ยนะ ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยเห็นใครสกปรกเท่าแม่งเลย”
“เป็นไงวะเล่าให้ฟังดิ”
“คืองี้..”
“ไหนบอกว่าไม่อยากเล่าไง?”
“กูพูดตอนไหน .. อียีนส์มึงเงียบไปเลย อีไป๋มึงฟังกูนะ” ตุลลี่ก็ยังคงเป็นตุลลี่อยู่วันยังค่ำ ไม่รอช้าหันไปตำหนิยีนส์ที่ขึ้นแทรก จากนั้นสีหน้าแต่เดิมก็เปลี่ยนไปจริงจังขึ้นแล้วเลือกที่จะหันมาสบตาคนฟังอย่างผมเหมือนกำลังจะพูดเรื่องสำคัญ
“อ่าฮะๆ”
“ไอ้แบงค์เนี่ยแม่งตื่นทีก็แปดโมงครึ่ง ลุกจากเตียงสะบัดผ้าห่มน้ำท่าไม่อาบฟันไม่แปรงเดินไปคว้าช็อปมาใส่แล้วแม่งก็ไปเรียนทั้งอย่างนั้นเลย”
“มันตื่นสายแล้วรีบหรือเปล่า?”
“ตอนแรกกูก็คิดแบบมึงอะ อยู่ไปสักพักแม่งเป็นทุกวันเลยเว้ย .. ยังไม่พอนะตอนดึกแม่งก็เล่นเกมห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ยันตีสามตีสี่ ยังมีอีกนะ บางวันแม่งลากเพื่อนมาดูบอลที่ห้องกูเสียงแม่งดังทั่วทั่วทั้งชั้น คือมึงพอเข้าใจปะว่ากูต้องนอนก่อนเที่ยงคืน แล้ว-”
“ทำไมมึงถึงนอนเกินเที่ยงคืนไม่ได้วะ?” อันนี้เป็นความสงสัยส่วนตัวของผม ซึ่งนึกย้อนไปช่วงก่อนหน้าแล้วก็ต้องคิดได้เพราะน้อยมากที่ไอ้ตุลลี่จะนอนดึก หรือมันจะมีโรคประจำตัวอะไรเปล่าวะ?
“ถ้ากูนอนดึกแล้วผิวกูจะไม่สวย”
“สัสเด๊ย” คราวนี้ไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นเสียงของไอ้ยีนส์ที่ยังอยู่ในท่านั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจเผลอสบถขึ้นมาหลังจากไอ้ตุลลี่บอกเหตุผลเสร็จ ..
ก็นะ กูไม่น่านึกเป็นห่วงมึงเล้ยไอ้ห่า
“เสือกไรมึงอียีนส์ .. ต่อนะ ยังไม่พอนะมึง มีวันนึง ตอนนั้นกูปวดหัวเลยแยกกับพวกมึงไปนอนที่ห้อง ตอนแรกก็หลับอยู่ดีๆหรอก ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูหรืออะไรเลยนะเว้ย แต่กูเสือกรู้ว่าแม่งถึงห้องแล้วเพราะอะไรรู้ปะ?”
“เพราะอะไรวะ?”
“กลิ่นตีนแม่งไง สัส เหม็นแบบหนูแดกปลาร้าก่อนตายอะ กูเคยแง้มๆถามแม่งนะว่าไม่คิดจะซักรองเท้าบ้างเหรอ? พวกมึงรู้ปะมันตอบกูกลับมาว่ายังไง”
“ตอบว่าอะไรวะ?”
“ยังไม่สกปรกเลย รอให้สกปรกกว่านี้ค่อยทิ้งแล้วซื้อใหม่ทีเดียว มึงงงง ในหัวกูตอนนั้นแบบ อีเหี้ยยย มันมีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอวะ? กูรู้แล้วว่ามึงรวย แต่ช่วยสงสารโพรงจมูกกูด้วยยยย”
“ไอ้ตุลลี่มึงใจเย็นก่อน ลองซื้อสเปรย์ดับกลิ่นมาใช้ก่อนไหม?”
“กูซื้อมาหมดแล้ว ทั้งสเปรย์น้ำหอม ทั้งสเปรย์ฆ่าเชื้อ แต่แม่งก็ยังซกมกเหมือนเดิม กลิ่นก็ไม่หายสักนิด”
“งั้นมึงลองบอกมันไปตรงๆเลยดิว่ามึงไม่โอเคแล้วอะ”
“กูลองทำมาหมดทุกวิธีแล้วอีไป๋ กูไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“งั้นก็ทนๆไปก่อน เดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้ว เทอมหน้าค่อยไปหาหอนอกอยู่กัน” ไอ้ตุลลี่น้ำตาคลอเบ้าจนผมอดนึกสงสารไม่ได้ อย่างว่าเมทหอในของมหาลัยจัดโดยการสุ่ม ดังนั้นถ้าใครดวงดีก็ได้เมทดีไป แต่ถ้าใครดวงซวยหน่อยก็จะเป็นอย่างที่เห็น..
“เออ แปปเดียวเดี๋ยวก็ย้ายออกแล้ว ทนเอา .. ว่าแต่มึงไม่รีบกลับเหรอ นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะ” เสียงของยีนส์ท้วงติงขึ้นมาหลังจากที่เมื่อเย็นไอ้ตุลลี่ได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะกลับห้องไปอาบน้ำตอนสี่ทุ่ม จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าตัวจะเลิกดราม่าได้เลย
“ฮื่อ กูต้องกลับไปดมกลิ่นตีนเมทกูอีกแล้วเหรอเนี่ย อยากจะร้องไห้จริงๆ” มือป้อมรวบเก็บสัมภาระของตนเองลงกระเป๋าอย่างเชื่องช้าเหมือนไม่อยากกลับสักเท่าไหร่
“หลังจากนี้มึงก็มาอ่านหนังสือที่ห้องพวกก็ได้ ดึกแล้วค่อยกลับ”
“อือ ขอบใจมากมึง ไปแล้วนะ บาย”
หลังจากที่ตุลลี่ออกจากห้องไป พวกเราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำบ้าง จนตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า จัดการภารกิจเสร็จก็กลับมานั่งจุมปุ๊กอยู่หน้ากองหนังสืออีกครั้ง เพราะอีกประมาณสองอาทิตย์เท่านั้นที่จะเริ่มสอบปลายภาคพร้อมกับเนื้อหาที่หนักหน่วงในทุกรายวิชา
“ไป๋ วันนี้มึงจะนอนกี่โมง?”
“ว่าจะอ่านเรื่องพันธะเคมีให้จบแล้วถึงจะนอนอะ”
“โชคดีแล้วกันมึง เรื่องนั้นกูเทละ จำเยอะชิบหาย”
“ดีว่ะ กูนี่เทไม่ได้เลยสักบท”
“สู้ๆว่ะมึง มึงทำได้อยู่แล้ว” ไอ้ยีนส์เดินมาใช้ฝ่ามือตบลงบนบ่าผมเบาๆอย่างให้กำลังใจ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มเล็กๆตอบรับไป ทั้งๆที่ในใจแทบไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเองอย่างที่อีกฝ่ายบอกแม้แต่น้อย
จากนั้นจึงกลับมาสนใจปึกความรู้ที่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง สอบครั้งนี้มีทั้งหมด 7 วิชา ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว ซึ่งประเมินจากในส่วนที่ผมทำความเข้าใจไปหมดแล้วกับส่วนที่ยังไม่ได้แม้แต่จะอ่าน ช่างแตกต่างกันมากเกินไป
หากไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองก็คงต้องบอกตามตรงว่า ถ้ามัวแต่ห่วงกับวิชาเคมี ก็ไม่น่าจะมีวิชาไหนได้เกรด A ผลการเรียนเฉลี่ยของผมอาจดิ่งลงจนติดวิทยาทัณฑ์ แต่ถ้าเผลอทิ้งเคมีไปแม้แต่บทเดียว หากพลาดไปแม้แต่คะแนนเดียว ก็มีสิทธิ์ทำให้ผมติด F ได้
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง
ว่าควรจะไปต่อกับวิชาเคมีดีไหม?
ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดว่าเราไม่ควรท้อแท้ก่อนจะได้เริ่มลงมือทำ คิดได้ดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่อ่านมานานร่วมสองชั่วโมงได้แล้ว แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่
เหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้แสดงเวลาเที่ยงคืนห้าสิบ หรืออีกสิบนาทีก็จะตีหนึ่งแล้วนั่นเอง ไฟในห้องถูกปิดลงหมดแล้วเหลือเพียงโคมไฟบนโต๊ะอ่านหนังสือผมเพียงดวงเดียว โจทย์เสริมประสบการณ์เริ่มยากขึ้นไปตามลำดับข้อ จนมาถึงทางตันในข้อสุดท้ายของบทเรียน ที่อาจารย์มักจะย้ำหนักหนาว่าต้องทำโจทย์ข้อสุดท้ายในแต่ละบทให้ได้ ถึงจะมีโอกาสทำข้อสอบจริงได้
ทางด้านของเมทที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง แต่เจ้าตัวก็บอกแล้วว่าจะไม่อ่านบทนี้ ผมก็จนปัญญาที่จะหาทางออกให้ตัวเองมากขึ้น แต่จู่ๆชื่อของคนๆนึงก็ผุดขึ้นมา ทำให้ผมต้องกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพที่คุ้นเคยขึ้นอย่างลืมตัว
just pew
“กูเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย?” สบถด่าตัวเองเบาๆ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นมาขยี้หัวแรงๆด้วยความหงุดหงิดตัวเอง .. จะไปคิดถึงแม่งทำไมวะ
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจกดปิดไฟดวงเล็กคว้าโทรศัพท์แล้วกระโจนลงเตียงดิ้นขลุกขลักจับทิศทางปลายผ้าห่มไปมาจนถูกทิศสักที ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ได้ก็เลือกที่เข้าแอพฯเฟซบุ๊คหาเพจสัตว์โลกน่ารักเผื่อว่ามันจะช่วยดับความขุ่นมัวได้บ้าง ตัวเลขสีแดงขึ้นแจ้งว่ามีโพสต์ใหม่ในกลุ่มของคณะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ด้วยความที่สงสัยว่าจะเป็นเรื่องด่วนอะไรจึงรีบกดเข้าไปดู
การศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยXXX
สำหรับน้องๆคนไหนที่ต้องการลงทะเบียนถอนรายวิชา ขณะที่ระบบได้กลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้วนะคะ และเนื่องด้วยเว็บไซต์ที่เข้าใช้งานไม่ได้ตั้งแต่วันก่อน จึงขยายเวลาลงทะเบียนถอนถึงวันที่ 4 พ.ค. 25xx นี้ค่ะ
เพราะตอนนี้เป็นวันใหม่แล้ว ระยะเวลาจึงเหลือเพียงแค่อีกวันเดียวเท่านั้น เวลาที่ประชั้นชิดทำให้ผมต้องกลับมาคิดถึงความเป็นไปได้ของวิชาเคมีอีกครั้ง ทุกการคิดและตัดสินใจในตอนนี้มีผลต่อเกรดในอนาคตของผมหมด ถึงแม้จะมีบางคนบอกว่าจบวิศวะฯแล้วเกรดเฉลี่ยเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการคัดเลือกเข้าทำงานเท่านั้น แต่บอกเลยว่าถึงผมจะโง่ แต่ผมก็แคร์!
ในวินาทีนี้ตัวพึ่งเดียวที่จะสามารถขอคำปรึกษาได้คงเหลือแค่พี่ป็อป พี่รหัสของผม ถึงจะมีความกังวลอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกแล้ว ไม่แน่ใจว่าพี่แกจะนอนหลับไปหรือยัง จึงเลือกที่จะทิ้งข้อความเอาไว้
paipai : พี่ป็อป นอนยังอะ
paipai : มีเรื่องอยากปรึกษา
P.O.P : ยัง มีไรวะ
paipai : ทำไมนอนดึกจังเลยวะพี่?
P.O.P : ไม่พูดเยอะ กูเป็นต่อมทอนซิล
P.O.P : ไม่อยากสปอยเลย แต่ปีสองแม่งหนักสัสๆ
P.O.P : ไหนๆมึงพูดแล้วกูก็ขอระบายหน่อย
P.O.P : ไอ้ชิบหาย เหมือนกูโดนหลอกมาเรียน
P.O.P : โปรเจค 3 รายงาน 2 รอพรีเซ็นต์อีก 2
P.O.P : บ้ากันไปหมดแร้ว
paipai : เทเลยผมเชียร์ ไม่ต้องทำแล้ว นอนเลย
ในตอนแรกข้อความถูกกดขึ้นอ่านและส่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว ทำเอาผมอดแปลกใจไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้ฟังพี่ป็อประบายผ่านข้อความยาวเหยียดแล้วก็เลิกแปลกใจ ผมอยู่ปีหนึ่งเคยนอนดึกสุดคงเป็นตอนทำโปรเจคคอมโปรฯเทอมที่แล้ว กว่าจะนอนได้ก็เกือบตีสี่ แถมตอนเช้าต้องรีบตื่นไปพรีเซ็นต์อีก ถือได้ว่าเป็นอะไรที่โคตรนรกสุดๆสำหรับผม
P.O.P : เป็นคำแนะนำที่ดีมากไอ้น้อง
P.O.P : ถุย ถ้ากูนอนแล้วกูจะเอางานที่ไหนส่ง
P.O.P : ว่าแต่มึงมีปัญหาอะไรทักกูมาดึกดื่น
paipai : จะถอนแคมีดีไหมวะพี่
paipai : เครียดอะ กลางภาคได้น้อย ไม่ถอนก็กลัว F
P.O.P : มึงถามถูกคนแล้วไอ้น้อง
P.O.P : กูนี่รั้นไม่ถอนมาแล้ว
P.O.P : สุดท้ายก็ F ข้อสอบไฟนอลจารย์แกแม่งโหดจริง
P.O.P : กลางภาคมึงได้เท่าไหร่อะ?
paipai : 18/120 อะพี่
P.O.P : ถอนเหอะ กูพูดตรงๆ
P.O.P : กูได้ 25 สู้ก็ไม่รอด
P.O.P : F มาจะพาเกรดตกเปล่าๆ
P.O.P : ถ้าเกรดรวมมึงไม่ได้เยอะ เทอมนี้ร่วงมาที
ติดโปรแล้วซวยเลยนะมึง
paipai : ลังเลอยู่เนี่ยพี่ป็อป
paipai : วิชาอื่นไป๋ก็ยังอ่านไม่จบเลย
P.O.P : เชื่อกูถอนแล้วไปเรียนซัมเมอร์
P.O.P : เกรดง่ายด้วย โง่ๆอย่างกูยังกด B มา
paipai : ขอบคุณมากพี่ป็อป
paipai : ไป๋นอนแล้วครับ ฝันดี
มือที่จับโทรศัพท์ตกลงบนเตียงตามแรงโน้มถ่วง จากนั้นจึงลุกขึ้นมาจัดแจงชาร์ตแบตตามเคย ก่อนจะล้มตัวลงอีกรอบพร้อมเรื่องครุ่นคิดในหัวอีกล้านแปด ไม่ใช่แค่เรื่องอยากถอนแล้วก็ถอน สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ต้องใช้การตัดสินใจมากกว่านั้น
ถอนแล้วต้องเรียนซัมเมอร์ช่วงไหน ถึงวันไหน
ช่วงเรียนซัมเมอร์ที่มหาลัยแล้วต้องไปอยู่ที่ไหน
ค่าเรียนเท่าไหร่
ป๊ากับม๊าจะว่าอะไรไหม
และอีกเยอะแยะมากมาย
เปลือกตาเริ่มอ่อนแรงลงเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาควรแก่การพักผ่อน จึงหยุดพักเรื่องอื่นๆไว้ แล้วรีบพาตัวเองเข้าสู่นิทราไปทันที .. หวังแค่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปได้ด้วยดี
❋❋❋
“ไป๋ มึงจะทำอย่างนี้จริงๆเหรอ?”
“เออ กูคิดมาดีแล้ว”
“มึงไม่ลองกลับไปคิดให้ดีๆกว่านี้ก่อนเหรอ?”
“กลับไปคิดก็ไม่ได้ถอนแล้วสิ วันนี้ยื่นเอกสารวันสุดท้ายแล้ว ต้องวันนี้แหละ”
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่แล้ว
‘ฮัลโหลพี่ปุ๋ย’
[ฮัลโหล ไอ้น้องไป๋ของพี่ลมอะไรพัดมาวะ มึงถึงโทรหากูได้เนี่ย]
‘เงียบเลย ไป๋ต้องการคำปรึกษาจากพี่ปุ๋ยแบบด่วนๆ’
[เออ แปปๆ กูลงวินก่อน .. เท่าไหร่ครับ?] เสียงลมอุดอู้ที่ประทะเข้าลำโพงโทรศัพท์เริ่มซาลง เหลือเพียงแค่เสียงรบกวนการเครื่องยนต์ของรถภายนอกให้ได้ยินบ้างเท่านั้น
[วินเหี้ยไรจากในมอมาหน้าหอกู คิด 40 วะอิห่า .. น้องไป๋มีอะไร?]
‘พี่ปุ๋ย ไป๋เครียดวะ?’
[เครียดเรื่องอะไร ไอ้ห่าพิวอะไรนั่นอีกแล้วเหรอ?]
‘ไม่ใช่เรื่องนั้น .. ไป๋ว่าจะถอนวิชาเคมีว่ะพี่ปุ๋ย’ คราวนี้กลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายกลับมาในทันที เมื่อเงี่ยหูฟังดีๆกลับได้ยินเสียงกุกกักๆเหมือนเสียงตอนกำลังเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ
[กูขอวางกระเป๋าแปป .. ถอนทำไมวะ?]
‘คะแนนกลางภาคไป๋แย่มากเลยว่ะ สู้ไปก็ไม่น่ารอดอะ เลยว่าจะมาถามความเห็นพี่ปุ๋ยก่อน’
[...]
‘ไป๋พยายามแล้วอะ แต่ไป๋โง่เอง..’ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งความอัดอั้นในอกที่เก็บเอาไว้มันก็เริ่มประทุ หน่วยน้ำตาเอ่อคลอขอบล่างจนในที่สุดจึงไหลลงอาบทั้งสองแก้มอย่างห้ามไม่ได้ โชคดีที่ตอนนี้ยีนส์ยังไม่กลับมา ไม่งั้นเขาคงได้อายไปไหนต่อไหนแน่ๆ
[ไป๋ กูรู้มึงเป็นคนพยายามมากแค่ไหน มึงไม่ถนัดแค่วิชาเดียว .. อย่าโทษตัวเองเลย] น้ำเสียงนิ่งๆที่อีกฝ่ายมักใช้มันในเวลาปลอบใจหรือให้กำลังใจแก่เขา เสียงฝ่ายผู้เป็นน้องที่ใช้พูดคุยในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นจนพูดต่อไม่ได้
[กูรู้ว่ามึงไม่ชอบ มึงเคยพยายามแล้วแต่มึงก็ไม่รู้เรื่อง น้องกูกูเห็นมาตั้งแต่เกิดทำไมจะไม่รู้วะ ว่ามึงเป็นยังไง]
‘ฮื่อ .. พี่ปุ๋ย’
[ถอนก็ถอนสิวะ อย่าไปกลัว จะเรียนซัมเมอร์หรือจะห้าปีก็ได้ เอาที่มึงเรียนแล้วมีความสุขอะ] ในวินาทีนั้นเหมือนภูเขาทาบทับบนอกได้ถูกยกออกจนโล่ง เหมือนกลับมาหายใจได้อย่างเต็มปอด กลับมานอนหลับสนิท กลับมากินข้าวอร่อยอีกครั้ง
[พี่เข้าใจ ถอนแล้วค่อยกลับมาสู้กับมัน ตอนนี้ก็เอาเวลาไปอ่านวิชาอื่นแทนก่อน]
‘ฮึก .. อื้อ’
[เดี๋ยวโทรบอกป๊ากับม๊าให้ นี่ก็เย็นแล้ว ไปหาข้าวกินได้แล้วไป]
‘ขอบคุณนะพี่ปุ๋ย’
[เออ แค่นี้แหละ ไว้เจอกันที่บ้าน]
และนั่นก็เป็นส่วนสำคัญของกระดาษแซมอักษรของหมึกสีดำทั้งสองแผ่นที่ผมถืออยู่ แผ่นแรกเป็นของที่ต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็น และแผ่นที่สองเป็นของฝ่ายการศึกษาของคณะ ที่จะสามารถกดปริ๊นได้หลังจากยื่นการถอนในเว็บไซต์แล้ว
“เรียบร้อยแล้วค่ะนักศึกษา”
“ขอบคุณครับ” สิ้นเสียงอนุมัติจากพี่ฝ่ายเอกสารก็เป็นสัญญาณว่าชีวิตผมและวิชาเคมีในเทอมนี้ได้สิ้นสุดลง และจะต้องไปเริ่มใหม่ในเทอมที่สาม หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่าซัมเมอร์นั่นเอง
ถึงจะสบายใจ แต่ก็รู้สึกเศร้าแปลกๆอยู่ดีนั่นแหละ..
“อีไป๋ เป็นยังไงบ้างวะ?”
“ก็เศร้าๆมั้งไม่รู้ดิ”
“เศร้าๆแบบนี้กูขอแนะนำ..” จากนั้นไอ้ตุลลี่ก็หันไปมองหน้าไอ้ยีนส์ที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสายตาเป็นที่น่าสงสัยของทั้งคู่
“แนะนำอะไรวะ?”
“ร้านเหล้าไหมมึง?”
“เพิ่งจะสิบเก้ากันเอง จะเข้าได้ไง?” แม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะร้อยวันพันปีที่ผ่านมาชื่อเรียกของสถานที่ที่ว่าไม่เคยหลุดออกมาจากปากใครสักคนเลย
“เออน่า เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนเข้าร้านเหล้าก็เข้าก่อนยี่สิบทั้งนั้นอะ มีคนพาเข้าก็เข้าได้หมดแหละ แถมร้านนี้เป็นของสายรหัสกูเอง สบายๆมึง”
“แล้วมึงไม่ค่อยชอบเสียงดังๆไม่ใช่เหรอไอ้ตุลลี่”
“ก็ใช่ แต่เห็นมึงเศร้าแล้วอยากให้มึงหายไวๆไง ครั้งเดียวน่า ครบยี่สิบเดี๋ยวค่อยไปอีก” ผมหรี่ตาสอดส่องพฤติกรรมผิดปกติจากทั้งสองคน .. พอคิดๆแล้วก็อยากลองไปดูเหมือนกัน อยากรู้ว่ามันจะช่วยอย่างที่คนอื่นๆชอบพึ่งมันกันหรือเปล่า ขนาดไอ้พี่ปุ๋ยของผมมันยังชอบเข้าร้านเหล้าตอนเครียดเลยๆ
ก็นะ ของแบบนี้ไม่ลองมันก็ไม่รู้
“ไปกี่โมงอะ?”
“ห้ะ ไปจริงๆใช่ปะ ประมาณสองทุ่มก็ได้ เดี๋ยวกูโทรชวนไอ้ก๊าซกับไอ้ครามเลย จะได้นั่งรถมันไปกัน”
“ไปได้เลย ไม่ต้องจองโต๊ะเหรอ?”
“ร้านอยู่ห่างมอไม่กี่โลฯ เพิ่งเปิดใหม่คนเลยยังไม่เยอะ”
“เออๆ ไปก็ได้”
และแล้วก็เป็นเวลาสองทุ่มที่จะได้พาผมมาเปิดประสบการณ์ใหม่ ณ ร้านเหล้าที่ไม่ทันได้อ่านชื่อ ที่มีพี่รหัสที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าของไอ้ตุลลี่เป็นคนพาเข้ามา พวกเรามากันครบห้าคน โดยสารรถยนต์ส่วนตัวของไอ้ครามที่เอามาจอดที่เจ้าตัวนำมาจอดที่มอในบางอาทิตย์ หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านก็รับรู้ถึงบรรยากาศให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ
ผมเห็นผู้คนนั่งกันไม่แน่นขนัดนัก สาเหตุหนึ่งก็คงเพราะวันนี้เป็นหนึ่งวันของกลางสัปดาห์ด้วยแหละมั้งเลยไม่ค่อยมีใครมานั่งดื่มเท่าไหร่ แถมเรื่องที่ตุลลี่พูดน่าจะเป็นจริงที่ว่าถ้ามีคนพาเข้าได้อายุก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมเห็นคนคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอผ่านๆเหมือนอยู่ชั้นปีเดียวกัน นั่งให้เต็มไปหมด
เราได้โต๊ะนั่งติดหน้าเวทีดนตรีสด เพื่อนๆที่เหลือ ยกเว้นผมกับก๊าซได้ทำการสั่งเหล้าเบียร์รวมถึงกับแกล้มต่างๆอย่างยาวเหยียด ผมที่มาครั้งแรกก็เหลือบมองนู้นนี่ของร้านไปเรื่อย จนกระทั่งบนเวทีได้เริ่มบรรเลงทำนองเพลงใหม่ ซึ่งเป็นเพลงที่ผมได้ฟังและรู้สึกชื่นชอบได้ในครั้งแรกที่เคยฟังเมื่อหลายปีที่ผ่านมมา ดนตรีเหล่านั้นจึงเรียกความสนใจของผมจากสิ่งเร้าอื่นไปได้เสียทั้งหมด
เที่ยงคืนสิบห้านาที กับวันที่ฉันนั่งเหม่อ
ที่เดิมเธอชอบนั่งตรงนี้ ยิ่งมองยิ่งเหมือนมีเธอ
ตอนนี้ มีคนคิดถึงอยู่ ตอนนี้มีคนพร่ำเพ้ออยู่
เธอจะสบายดีไหม ที่นั่นตอนนี้เป็นอย่างไร
เราขาดอะไรไป รู้สึกบ้างไหมเล่าเธอ
เธอจะสบายดีไหม คือสิ่งที่คิดไว้เสมอ
ที่นี่ไม่มีเธอ ที่นั่นก็ไม่มีฉัน..
คงจะจริงอย่างที่ใครเขาพูดกันว่าเพลงที่ฟังในร้านเหล้าจะรู้สึกเพราะขึ้นกว่าเดิม ถึงยังจะไม่ได้แตะต้องของมึนเมาแต่ผมก็ยังรู้สึกอินไปด้วย ร้านเหล้ามักถูกใช้เป็นที่ทิ้งและลืมความรู้สึกต่างๆนานา ใช้แอลกอฮอล์ชำระล้าง และให้ดนตรีขับกล่อมจิตใจ หรือแม้กระทั่งทำให้สิ่งที่พยายามลืมกลับมาชัดเจนขึ้น
คิดถึงมันว่ะ..
คิดถึงไอ้คนที่เคยบอกว่ามีกูแค่คนเดียวบนโลกนั่นแหละ
อือ.. ยิ่งพูดยิ่งคิดถึง
“นั่นกลุ่มใช่กลุ่มพิวหรือเปล่าอะ?”
-
chapter sixteen。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“นั่นกลุ่มใช่กลุ่มพิวหรือเปล่าอะ?”
เหมือนกับว่ามีเวทมนตร์ หลังจากที่ก๊าซเอ่ยขึ้นถามความคิดเห็นในสิ่งที่ได้เจอ ทุกคนบนโต๊ะก็พร้อมใจกันหันไปมองยังต้นทาง และจากนั้นผมก็เหมือนโดนคำสาปเข้าปะทะอย่างไม่ทันตั้งตัว อาการชาแผ่ซ่านในหัว จ้องกลุ่มคนตรงหน้าอย่างละสายตาไปไม่ได้
เคน พลอยใส สมุย เต้ ปิดสองคนสุดท้ายด้วย พิวและกุ้ง ที่เดินข้างกันมา
“อ้าว มารูนไฟฟ์มาแดกเหล้าด้วยเว้ยเฮ้ย” เป็นเต้ที่ใช้เสียงนำมาก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะถึงโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่เสียอีก
“ทักแบบนี้อยากเลี้ยงพวกกูใช่ไหม?” เป็นไอ้ตุลลี่ที่ยังสามารถคงคอนเซ็ปต์ความปากไวไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตะเบงตะโกนแข่งกับเสียงเพลงในร้านอย่างไม่ยอมแพ้ให้กับทั้งหกคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“ไม่เลี้ยงเว้ย .. แล้วลมอะไรหอบพวกมึงมาได้วะเนี่ย ร้านเหล้าไม่เข้า เห็นเช็คอินแต่หอสมุด”
“ก-ก็ .. ก็” สายตาล่อกแล่กเหลือบมองผมทีเหลือบมองคนนู้นที บวกกับเสียงพูดตะกุกตะกักที่เดาได้ไม่ยากว่าตุลลี่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่
“ติดอ่างทำไมวะ กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“เหล้าโต๊ะกูมาแล้ว พวกมึงก็ไปหาที่นั่งได้แล้วไป” คราวนี้เป็นตาของไอ้ยีนส์ที่กันท่าให้ไอ้ตุลลี่ที่ทำอะไรไม่ถูกจนเหงื่อแตกซก
ดูจากเหตุการณ์แล้วก็คงสันนิษฐานได้ไม่กี่อย่าง หนึ่งคือเรื่องบังเอิญ และสองคือเพื่อนผมยุให้มาร้านเหล้า เพราะรู้ว่าวันนี้ใครจะมาบ้าง..
ถ้าเป็นอย่างที่สองตามที่คิดไว้ก็ขอบอกไว้เลยว่า มึงคิดผิดอย่างแรงเลยว่ะ ถึงจะดีใจที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายในรอบหลายวันก็จริง สองคนที่เดินข้างๆกันกับแขนที่เฉียดกันไปมาตามความแคบของทางเดินที่เห็น พาให้ใจเริ่มปวดหนึบ ผมไม่รู้ว่าตัวเองจ้องอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าพิวได้มองผมอยู่ก่อนแล้ว สายตาเราสบกันครู่หนึ่งพาให้ผมทำตัวไม่ถูก จึงเลือกที่จะเบนสายตาหนีไปทางอื่นแทน
“นั่งโต๊ะข้างหลังเนี่ยแหละ นั่งไกลเดี๋ยวพวกมึงนินทา”
“จ้า พ่อคนศีลธรรมสูงส่งประจำภาคเครื่อง”
ทั้งหมดพากันมาจับจองโต๊ะทางด้านหลังของผม นึกขอบคุณที่โต๊ะใกล้ๆโต๊ะอื่นได้เต็มไปหมดแล้ว ไม่งั้นผมคงต้องมานั่งหลีกสายตาจากภาพบาดใจให้ลำบากแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่ระยะห่างระหว่างโต๊ะไม่ได้ไกลกันมากทำให้เก้าอี้ของผมและคนข้างหลังแทบจะเกยกัน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้ผมได้รู้ว่าเจ้าของเก้าอี้อีกด้านเป็นใคร
“พิว เราเบียดไปไหม?”
“อือ ไม่เป็นไรหรอก”
จากเดิมที่คิดว่ามาร้านเหล้าวันนี้คงได้กินแบบขำๆจิบๆ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดแบบฉับพลัน เร็วกว่าความคิด สองมือเอื้อมไปคว้าแก้วและถังน้ำแข็ง คีบก้อนความเย็นใส่จนพอใจแล้วก็เปลี่ยนเป้าหมายสู่ขวดเหล้าเบื้องหน้า มองน้ำสีเข้มไหลลงแก้วอย่างช้าๆ
“อีไป๋ แก้วแรกก็เข้มเลยเหรอวะ?”
“มึงหยุดพูดไปเลย หยิบโซดามาดิ”
“แฮะๆ .. มาพวกมึงช๊น!”
เกร๊ง!
เงยหน้ากระดกของเหลวในแก้วจนหมดภายในคราวเดียว ความขมกระจายไปทั่วผิวลิ้น กลิ่นแอลกอฮอล์ตีขึ้นจมูกชวนให้วิงเวียน ร่างบางยกหน้าขึ้นมองสีสันหลากตาของหลอดไฟบนเพดานไปมาอย่างเพลิดเพลิน เสียงเครื่องดนตรียังคงดังอย่างต่อเนื่องบนเพลงแล้วบนเพลงเล่า เท่ากับจำนวนแก้วที่เขาได้ดื่มไป หนึ่งเพลงต่อหนึ่งแก้ว ไปเรื่อยๆจนถึงเพลงที่สาม..
“แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู..” เพลงวันเกิดคุ้นหูดังขึ้นจากโต๊ะข้างหลัง คนทั้งร้านรวมถึงวงดนตรีมุ่งเป้าให้ความสนใจมายังต้นตอของการเซอร์ไพร์ส เค้กปอนด์ครีมสีขาวแต่งหน้าด้วยผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สีสวยถูกยกมาโดยเคน จนมาหยุดลงตรงหน้าของ..
“ไอ้เสี่ยพิวแก่อีกปีแล้ว”
“สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมากๆเลยนะ”
“เก็ทเอแล้วมาสอนกูด้วยโว้ย”
“เป่าเทียนเลยมึง” เสียงโหวกเหวกโวยวายเงียบลงชักครู่ให้เจ้าของวันเกิดตั้งสมาธิในการอธิษฐาน ฝ่ามือถูกยกขึ้นมาพนมนิ้วโป้งจรดหัวคิ้ว ริมฝีปากขมุบขมิบไปมา ก่อนที่จะพ่นลมจนเทียบดับแสงลงในที่สุด
“ขอพรอะไรวะนานชิบหาย” เคนที่รับหน้าที่คนถือเค้กวางมันลงบนโต๊ะแล้วบีบแขนของตัวเองไปมา รู้สึกเมื่อยล้าจากการยกของนานๆ
“..ไม่บอก”
“กลัวพรไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือไงวะ?”
“เออ กูอยากให้มันเกิดขึ้นจริง”
หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็กลับเข้าสู่ความปกติ บทเพลงที่หกกำลังโลดแล่นไปตามโสตประสาท เปลือกตาหรี่ลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเพราะฤทธิ์สุราที่เริ่มก่อตัว แรงกัดที่ริมฝีปากไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บดังเดิม แถมจู่ๆใบหน้าของเพื่อนๆก็ดูตลกจนน่าขันขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ไป๋ เมาแล้วเหรอ?”
“ฮ่าๆ ถ้ากูเมาแล้วจะหล่อขนาดนี้ได้เหรอวะ”
“กูว่ามันไปแล้วว่ะ” คนตัวขาวเลือกที่จะเมินเฉยต่อคำพูดของเพื่อนๆ วินาทีนี้เขาปล่อยให้เหล้าเข้ามาเป็นใหญ่เหนือตนเองอีกครั้ง เอนคอพิงพนักเก้าอี้เพราะความหนักอึ่งบนบ่า ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ พร้อมกับภาพรอยยิ้มกระทบแสงเทียนที่เขาได้เห็นโดยบังเอิญของทั้งสองคนนั้นได้ผุดขึ้นมาในห้วงอารมณ์ เล่นเอาปลิดความอยากสนุกของตัวเองลงไปได้อย่างมหาศาล
ทำไมกูจะไม่รู้วะ ว่าวันนี้เป็นวันเกิดมัน
นั่งก็ใกล้กันแค่เนี้ย อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะหมดวันแล้วด้วย
ยังไม่ได้อวยพรวันเกิดให้เลยว่ะ
บอกในใจก็ได้เหมือนกันแหละมั้ง
สุขสันต์วันเกิดนะ ไม่รู้ว่าพรที่ว่ามันสำคัญแค่ไหน แต่ขอให้มันเป็นจริงแล้วกัน..
“เพลงต่อไป เป็นเพลงที่มีคนรีเควสเข้ามานะครับ ไม่รู้ว่าตรงกับตอนนี้ของใครหลายๆคนหรือเปล่า เราไปฟังกันเลยดีกว่า..” เสียงนักร้องนำพูดเกริ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกของการแสดง ไป่ไป๋ฝืนตัวเองขึ้นมารินเหล้าเข้าปากอีกครั้ง
“ไป๋ มึงพอแล้วมั้ง พรุ่งนี้มีเรียนนะ”
“ไม่อาว กูอยากแดกอ้า” คนหัวรั้นเริ่มแผลงฤทธิ์งอแงใส่ยีนส์ที่เอื้อมมือมาดึงแก้วไป ยื้อแย่งกันสักพักก็ต้องตามใจคนดื้อ ให้เจ้าตัวกรอกเหล้าเข้าปากเป็นแก้วที่เจ็ดจนได้
หยดน้ำที่นอกหน้าต่าง
หมอกขาวและเส้นบางๆ ลมพัดมา
พาฝนโปรยตรงที่เธอเดินผ่าน
กลิ่นหอมของข้าวในจาน
บันทึกที่เขียนประจำวันคืน ผ่าน ล่วงไป
หลังจากที่ได้ดื่มเหล้าตามที่ใจอยากเสร็จก็เอนตัวนั่งในท่าเดิม เริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายขึ้นมานิดๆแล้ว ว่าทำไมถึงชอบเข้าร้านเหล้ากันนักกันหนา..
รองเท้าที่ใช้จนเก่า
เศษเหรียญที่เรายังเก็บ
เพลงของเธอบนชั้นวางเพลงที่ไม่เคยเปิด
จดหมายที่เขียนถึงเธอ
ดอกไม้ที่ให้เธอวันสุดท้าย สุดท้าย
เพลงของวงดนตรีวงโปรดของใครบางคน ที่ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมได้ยิน และไม่ว่าจะเป็นเพลงไหนก็ตาม สิ่งที่ผมนึกถึงเป็นอย่างแรก ไม่ใช่แนวเพลงร็อค ไม่ใช่พี่บอยนักร้องนำ และไม่ใช่สมาชิกคนใดคนหนึ่งในวง
แต่กลายเป็นไอ้เพื่อนภาคเดียวกัน เพื่อนที่ผมเคยทำเรื่องน่าอายด้วยกัน เพื่อนคนที่บางครั้งก็ชัดเจนจนทะลุปรุโปร่ง เพื่อนคนที่บางครั้งก็ไม่ชัดเจนจนนึกหงุดหงิด เพื่อนคนที่เคยอยากก้าวข้ามเกินความเป็นเพื่อนไปด้วยกัน
ใช่ ไอ้เหี้ยพิวนั่นแหละที่ผมนึกถึงมาก่อนอะไรทั้งสิ้น..
ฉันคิดถึงเธออยู่
ทุกช่วงเวลาที่ยัง หายใจ
ฉันคิดถึงเธออยู่
แม้รู้ว่ามันอ่อนแอ เหลือเกิน
คือสิ่งเดียวที่ฉันนั้นรู้สึก
แม้จะเนิ่นนาน เท่าไร
“เพลงโปรดพิวนี่ เห็นเดี๋ยวนี้ฟังในรถบ๊อยบ่อย ชอบเหรอ?”
“อือ ชอบด้วย แล้วก็คิดถึงด้วย”
เดาจากน้ำเสียงและความดังแล้ว คงเป็นกุ้งที่พูดแทรกเสียงเพลงขึ้นมาถามไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ คำตอบถูกเว้นระยะจนผมเผลอคิดไปแล้วว่าไอ้พิวมันคงไม่ได้ยินที่ถูกถาม แต่จู่ๆหลังจากที่ถึงช่วงที่เพลงไม่มีเนื้อร้อง เจ้าตัวก็กลับเร่งเสียงพูดขึ้นดัง จนผมที่นั่งในท่าสบายๆตรงนี้ ได้ยินทุกคำพูดด้วยความชัดเจน
ให้ตายเถอะ หยุดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลยแม่ง
“ไอ้ตุลลี่ ปากมึงชาปะว้า?” ตัดสินใจพาร่างไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นมานั่งในท่าปกติอีกครั้ง หันไปหาเพื่อนที่เหลือทั้งสี่คน ต่างคนก็เริ่มมีสภาพไปในทิศทางเดียวกันกับผมเกือบจะทั้งหมดแล้ว ยกเว้นครามที่จะต้องขับรถพาพวกเรากลับ
“ชาแบบเริ่มกัดไม่เจ็บแล้วว่ะ”
รู้ไว้เลย ครั้งนี้ถ้ารู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกก็เป็นเพราะความผิดของตัวเองเต็มๆ
หรือเพราะเหล้าวะที่ทำให้กล้าได้ถึงขนาดนี้
เพลงเงียบไปอีกแล้วเหรอ?
งั้นเอาเลยแล้วกัน..
“เออ เหมือนกันเลย”
แรงดันจากเก้าอี้ทางด้านหลัง ทำให้ต้องสะดุ้งแล้วรีบเขยิบตัวเข้าชิดโต๊ะมากขึ้น เพื่อหลีกทางให้คนในเสื้อสีขาวที่จู่ๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชายหางตามองเห็นฝีเท้าที่กำลังก้าวยาวๆเดินออกห่างจากโต๊ะไป
“ไอ้พิว มึงจะไปไหน?”
“ไปสูบบุหรี่ เดี๋ยวมา”
จากนั้นทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับวงเหล้าดังเดิม ขวดเหล้ายี่ห้อดังและจานกับแกล้มบนโต๊ะเริ่มหรอยหรอลงจนเหลือน้อยกว่าครึ่ง บรรยากาศรอบข้างยังเป็นเหมือนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หลังจากที่เลิกกรอกเหล้าเข้าปากมาสักพัก แต่อาการมึนหัวก็เริ่มมากขึ้นตามอัตราการดูดซึมของร่างกาย สายตาก็เอาแต่เหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น
พิวหายไปสิบนาทีแล้ว..
“ไป๋ มึงจะเข้าห้องน้ำก็รีบเข้า จะได้กลับกัน” ยีนส์เอ่ยปากไล่ให้ผมไปเข้าห้องน้ำเพราะคงเห็นท่านั่งไม่เป็นสุขแล้วคงคิดว่าผมคงปวดฉี่
“กูไปเข้าห้องน้ำแปป” ผมใช้ฝ่ามือดันตัวเองจากที่นั่งให้ลุกขึ้นมายืนอย่างยากลำบาก กล้ามเนื้อขารู้สึกอ่อนแรงไปหมดจนเหมือนว่าจะทรุดลงกับพื้น
“เดินไหวไหม ให้เราไปด้วยป่ะ?”
“ไม่ต้องไปเลยอีก๊าซ ตัวมึงก็ยังจะเอาไม่รอด” ด้านก๊าซหวังดีจะช่วยพยุงผมถูกไอ้ตุลลี่ที่นั่งหน้าเห่อแดงเพราะการสูบฉีดของเลือดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เอ้า..”
“ไม่เป็นไรๆ กูเดินเองได้ๆ แค่นี้เอง” จัดการบอกปัดป้องกันความไม่เข้าใจที่สามารถเกิดได้ในคนเมา พาตัวเองเดินเลาะหน้าเวทีจนถึงห้องน้ำชายบริเวณด้านในสุดของร้าน โชคดีที่รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาพอดิบพอดีจึงจัดการทำธุระจนลุล่วงแล้วมายืนกวักน้ำล้างหน้าอยู่บริเวณอ่างล่างมือเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น ก้าวขาออกมาจากห้องน้ำชายหันมองไปทางขวามือก็ได้เจอกับป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า พื้นที่สูบบุหรี่ ได้อย่างถนัดตา
สองเท้าค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ประตูนั่นอย่างระมัดระวัง ด้านนอกเป็นคล้ายๆสวนหย่อมที่ถูกต่อเติมออกมา และจัดวางเก้าอี้ให้ผู้ที่ต้องการสูบบุหรี่ขึ้นมาโดยเฉพาะ
ไม่ห่างจากทางเข้า ผมชำเลืองมองแผ่นหลังกว้าง มือขวากำลังใช้คีบบุหรี่ ส่วนมือซ้ายใช้พาดบนพนักผิง เดาว่าสายตานั่นคงกำลังจดจ้องไปบนพื้นฟ้าประดับด้วยพระจันทร์เสี้ยวอ่อนแสงในคืนข้างแรมของวันนี้อยู่
หลังจากนั้นต้องโทษให้เป็นความผิดของรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังรูปใบไม้ทั้งสามใบ เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกที เจ้ารองเท้าคู่นี้ก็พาผมมายืนอยู่ข้างม้านั่งของเขาเสียแล้ว
“..อ้าว”
“ขอนั่งด้วยดิ” อีกฝ่ายดูตกใจไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นผม มวนบุหรี่ติดไฟถูกขยี้ดับรวมกับก้นกรองจำนวนหนึ่งในที่เขี่ยบุหรี่ด้านบนของถังขยะ พิวหันมาใช้ฝ่ามือปัดไล่ควันฟุ้งให้จางลงเป็นพัลวัน ทำเอาผมได้แต่นั่งมองการกระทำทั้งหมดแบบยิ้มๆ
“สุขสันต์วันเกิดนะ”
“อ-อื้ม ขอบคุณ”
“สบายดีป่ะ?”
“งั้นๆ มึงอะเป็นไงบ้าง?”
“..แย่นิดหน่อยมั้ง” ละการมองเห็นจากใบหน้าที่กำลังทำให้ผมไหววูบในช่วงอก เลือกจะเงยหน้ามองดวงจันทร์ตามแบบที่เจ้าตัวเคยทำก่อนหน้านี้ กลิ่นนิโคตินเผาไหม้ผสมมิ้นท์จางๆยังคงติดที่ปลายจมูก สัญชาตญาณในตัวกำลังจะบอกผมว่ามันคืออันตราย .. ไม่ใช่เขา แต่เป็นผมที่ผิดปกติ
ใครๆก็รู้ว่าคนอย่างไป่ไป๋ ถึงเวลาที่จริงจัง คำว่าตัดก็คือตัด แต่พอเป็นพิวทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปตามแผน หรือเรียกได้ว่าเป็นที่สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะควบคุมได้ .. นั่นแหละ ผมตัดใจจากแฟนชาวบ้านเค้าไม่ได้
“เรียนเป็นยังไงบ้าง?”
“วิชาเคมี..”
“…”
“วันนี้กูไปถอนมาแล้วนะ” ผมสูดอากาศเจือกลิ่นบุหรี่มือสองลงปอดลึกๆหลังจากพูดจบ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาในทันทีจนผมเริ่มใจเสีย ความเจ็บบนริมฝีปากของการขบเม้มเริ่มกลับมาบ้างแล้วก็จริง แต่เหมือนว่าผมยังควบคุมในส่วนของการคิดและพูดยังไม่ได้มากนัก..
“แล้วก็ วันนี้ .. แฟนมึงน่ารักดีนะ”
“...”
“ไปดีกว่า บ- เฮ้ย!” ร่างทั้งร่างถูกกระชากให้เดินตามไปอย่างแรง จากเดิมที่ขาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเป็นต้นทุนอยู่แล้วเลยได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปด้วยความงุนงง
“มึงจะพากูไปไหน..” จากนั้นพิวก็พาผมเดินออกจากร้านไปอีกทางที่สามารถทะลุถึงลานจอดรถได้ จนมาถึงรถคันสีดำของเจ้าตัว ประตูฝั่งคนนั่งถูกเปิดขึ้นพร้อมกับผมที่ถูกยัดให้เข้ามา ส่วนอีกคนก็เดินอ้อมมาทิ้งตัวลงที่หลังพวงมาลัยด้วยสีหน้าที่ยากเกินกว่าจะคาดเดา
รถถูกสตาร์ทและขับออกด้วยความเร็ว แอลกอฮอล์ที่ยังออกฤทธิ์กับส่วนประสาททำให้ผมยังไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทันที เราอยู่บนรถกันมาพักนึงแล้วแต่ด้วยความไม่คุ้นทางผมเลยไม่รู้ว่าในตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ผมนั่งเงียบไปพักใหญ่เผื่อจะช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้นบ้าง แต่มันก็ไม่เลยสักนิด จนในที่สุดความน่ากลัวของท้องถนน และความฉวัดเฉวียนของเครื่องยนต์จึงทำให้ผมต้องเลือกที่จะใช้ความใจเย็นเข้าช่วยอีกครั้ง..
“พิว มึงขับช้ากว่านี้หน่อยได้ไหม?”
“...”
“เป็นอะไรหรือเปล่า กู-”
“กูเคยบอกไปแล้วว่ากูกับกุ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“เฮอะ” ผมหลุดเสียงหัวเราะขึ้นจมูกออกมาเบาๆ มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยเมื่อทั้งหมดมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ฝ่ายชายกลับไม่แม้แต่ที่จะยอมรับ
“แล้วไหนบอกกูมาสิว่าสเตตัสกับรูปคู่ในเฟซพวกนั้นมันคืออะไร?!”
เอี๊ยด!!!
เจ้าตัวบังคับพวงมาลัยให้หักจอดจนเกิดเสียงล้อรถบดไปกับพื้นซีเมนต์ ผมเงยหน้ามองไปรอบๆก็พบว่ามันคือลานจอดรถใต้หอของอีกฝ่าย
“กูลบแอพเฟซบุ๊คทิ้งไปเป็นเดือนๆแล้ว” ผมรู้สึกแปลกใจในตอนที่ได้เห็นสีหน้าที่ผมไม่คาดคิดจากเขา เขาควรจะเลิ่กลั่กและหาเหตุผลชักแม่น้ำทั้งห้ามาแก้ตัว แต่เปล่าเลย .. เขาทำหน้าตกใจเหมือนสิ่งที่ได้ยินมันคือเรื่องใหม่ด้วยซ้ำไป
“ขึ้นไปคุยบนห้องเหอะ” จากนั้นทั้งเขาและผมก็ได้รถจากรถ และขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักของอีกฝ่ายแทน รู้สึกเหมือนอาการเมาของตัวเองเริ่มสร่างลงไปแล้วหลังจากที่ได้อยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายบนเส้นทางที่เป็นเหมือนสนามแข่งรถเมื่อครู่
ในที่สุดเราก็มาหยุดยืนหน้าห้อง 403 ของอีกคน คีย์การ์ดถูกแตะลงบนเครื่องรับ ระบบล็อกถูกปลดจนเราเข้ามายังในห้องได้ ผมได้เดินตรงดิ่งไปนั่งลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า ทางด้านของเจ้าของห้องตัวจริงไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคน เปิดลำโพงให้เราได้ยินทั่วกัน พร้อมเดินตามมาหย่อนตัวนั่งข้างๆ
[ฮัลโหลพิว ตอนนี้อยู่ไหน เพื่อนไปหาที่สูบบุหรี่แล้วไม่เห็นเจอเลย.. กุ้ง ถามไอ้พิวดิว่าไอ้ไป๋อยู่กับมันเปล่า?] ผมหรี่ตาขึ้นมาฟังเสียงโวยวายจากทางปลายสาย .. แหงล่ะ เล่นหายมาแบบนี้คงหากันให้วุ่นไปหมดแล้ว
“อยู่ บอกให้พวกไอ้ยีนส์รีบกลับหอเถอะ จะห้าทุ่มแล้ว”
[โอเค พวกเราก็อุตส่าห์เป็นห่วงที่ไหนได้หนีไปกับไป๋ซะงั้นอะ]
“กุ้ง ถามไรหน่อยดิ”
[แปปนะ .. พิวมีอะไรเหรอ?]
“กุ้งต้องตอบความจริงนะ”
[อื้อ พิวมีอะไรก็พูดมาเถอะ]
“กุ้งเอาเฟซเราไปตั้งตัสเหรอ?” เสี้ยวใบหน้าหันมามองทางผมเล็กน้อย ยอมรับเลยว่าผมเองก็อยากรอฟังคำตอบที่แท้จริงอยู่อยู่เหมือนกัน
[ใช่สิ ก็เราบอกพิวแล้วไง]
“ห้ะ? กุ้งบอกเราตอนไหน?”
[ก็ตอนที่นั่งอ่านหนังสือกันใต้คณะไง เราเล่าให้พิวฟังด้วยนะว่าเราถูกเพื่อนผู้ชายมาจีบแล้วเราไม่ชอบ เลยขอยืมพิวมาเป็นไม้กันหมาอะ]
“ตอนไหนไม่เห็นจะจำได้เลย”
[ตอนที่พิวอ่านหนังสืออยู่ไง แต่พิวเป็นคนยื่นโทรศัพท์ให้เราเองกับมือเลยนะ]
“…”
[โอ้ย ตายแล้ว พิวไม่เคยคิดจะฟังเรื่องที่เราเล่าเลยใช่ไหมเนี่ย]
“คนอ่านหนังสือมันต้องใช้สมาธิ”
[แล้วมารู้ได้ไงอะ? ไหนบอกจะลบเฟซแล้วตั้งใจอ่านหนังสือไม่ใช่หรือไง ..หรือว่า ไป๋เหรอ?] แม้จะสงสัยเล็กน้อยว่าชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นผ่านบทสนทนาที่คนปลายสายคงเข้าใจว่าเป็นการคุยแบบส่วนตัวอยู่สองคนได้อย่างไร? กุ้งรู้จักผมด้วย?
“..อือ”
[ได้ไงอะ เค้าว่าเค้าซ่อนไป๋ไปแล้วนะ..]
“แล้วเพื่อนไป๋ล่ะกุ้ง?” กุ้งเงียบลงไปเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
[เออ เรื่องนั้นกุ้งลืมเลยว่ะ .. อย่าบอกนะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะกุ้งอะ ฮือ ขอเราคุยกับไป๋หน่อยสิ] คนตัวสูงเลื่อนโทรศัพท์เข้ามาใกล้ พยักเพยิดให้กรอกเสียงตอบรับลงไป
“ฮ-ฮัลโหล”
[ไป่ไป๋ใช่ไหม? เราขอโทษนะ เรื่องนี้เราผิดเอง ระหว่างเรากับพิวไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ไป๋อย่าเข้าใจผิดน้า] ผมอยากตอบกลับไปเสียเหลือเกินว่ามันไม่ทันแล้ว แต่ก็ทำได้แต่พูดคำว่าไม่เป็นไรซ้ำไปซ้ำมา
[สองคนดีกันได้แล้วน้า ไป๋รู้ไหมว่าพิวอะ มันชอบไป๋ม-]
“หมดธุระแล้วก็วางไปได้แล้ว” ยังไม่ทันฟังประโยคล่าสุดของกุ้งได้ทันจบดี พิวก็ชักโทรศัพท์กลับไปแล้วพูดเสียงดังๆกลบเกลื่อนทันที .. ไม่ทันแล้วมั้ง
[แหม พอเราหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งเลยน้า]
“ขอบคุณมากๆ กลับบ้านกันดีๆนะ”
[โอเคจ้า บาย]
-
พอตัดสายจากกุ้ง ทั้งห้องก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ร่างบางรวบรวมความกล้าปรับองศาการนั่ง พร้อมดึงอีกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน
“เล่าเรื่องทั้งหมดให้กูฟังหน่อยดิ” เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังมาจากร่างสูง มือหนาลูบตามใบหน้าไปมาราวกับกำลังเรียกสติ พร้อมมองหน้าไป่ไป๋ เหมือนกำลังจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่กำลังเล่านี้เป็นความจริงในทุกคำพูด
“กูคิดว่าตัวเองยังเก่งไม่พอ”
“…”
“หนึ่งเดือนกว่าๆที่ผ่านมา ที่มึงเห็นกูไปไหนมาไหนกับกุ้ง เพราะกุ้งเป็นคนเก่ง”
“ห้ะ?”
“มึงฟังกูให้จบก่อน .. กูรู้ว่ากุ้งเก่งวิชาเคมีมาก กูเลยให้กุ้งช่วยติวเคมีให้”
“มึงก็เก่งอยู่แล้วจะไปติวอีกทำไมวะ?” ร่างบางหาข้อโต้แย้งมาลบคำครหาที่คิดว่าเจ้าตัวคงคิดไปเอง ทว่าสายตาคมนั่นมันทำให้เหมือนกำลังต้องมนตร์..
มนตร์ที่ว่านั่นเกี่ยวกับการเชื่อใจ
“เปล่าเลย กูไม่ได้ติวเพื่อให้ได้เนื้อหา”
“…”
“แต่กูไปติวเพื่อจำเทคนิคมาสอนมึงต่อ”
นานมาแล้ว เขาว่ากันว่าดวงอาทิตย์รักดวงจันทร์มากจึงยอมตายลงทุกวันเพื่อให้พระจันทร์ได้หายใจ
“แล้วก-กู”
“แล้วมึงก็ไปถอนไง”
“ไอ้ควายเอ๊ย.. ฮื่อ”
และการหายใจของดวงอาทิตย์ ก็มีไว้เพื่อรอเพียงการกลับมาของดวงจันทร์
ในทุกๆวัน..
“มึงไม่บอกกูมาตรงๆวะ”
“ทำอย่างกับว่าบอกมึงไปแล้วจะยอมให้กูไปติวมาสอนมึงอะ” บทโต้ตอบหาเหตุและผลสิ้นสุดลง เมื่อความจริงได้ประจักษ์จนแจ่มแจ้ง
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลำบาก
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนเร้น
หากผลประโยชน์เหล่านั้นพิวตั้งใจทำขึ้นเพื่อตัวเอง
“ฮึก .. แล้วทำไมถึงต้องพยายามขนาดนั้นด้วย”
“..ก็เพื่อมึงไง”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลูกชายคนเล็กของบ้านกิจจาวิชกลายเป็นคนขี้แย และเป็นนักรักผู้โง่เขลาที่จะแก้ปัญหา พลาดท่าล้มเหลวในการตัดใจมานักต่อนัก แต่กลับประสบความสำเร็จในการช่วงชิงความรักกลับมาได้ในที่สุด ถึงแม้จะสาหัสเอาการก็ตาม..
“ขี้แยจัง” ไม่ใช่คำดุว่าแต่มันคือคำแสดงความห่วงใย สองแขนหนาตะกองกอดร่างบางเข้ามาหาอ้อมอก พิวนึกตำหนิตัวเองในใจที่ไม่ทันระวังตัวและคิดให้รอบคอบ จนเกือบจะเสียคนที่แอบรักมานานเกือบปีไป
ใบหน้าขาวเห่อแดงจากการร้องไห้ น้ำตาปนน้ำมูกถูกเจ้าของใช้กลอุบายซุกเข้าแผ่นอกและหลอกเช็ดบนพื้นเสื้อสีขาวจนเปียกชุ่ม ถึงจะมีคนรู้ทันแต่ก็ยอมให้กระทำจนกว่าคนเอาเปรียบจะเป็นฝ่ายผละออกไป .. เพราะไป่ไป๋ก็คือไป่ไป๋ล่ะนะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีแล้วที่พวกเขาทั้งสองได้กลับมาเข้าใจกันสักที : )
“แล้วเหนื่อยไหมวะ?”
“อือ เหนื่อยโคตร”
“..กูขอโทษ”
“ไม่เอาคำขอโทษ” ตาเล็กปรือขึ้นมองคนเบื้องหน้าด้วยความฉงนในคำพูดชวนพาให้ใจเสียอีกระลอก
“แล้ว-”
“อันที่จริงอยากพูดว่าอยากเอามึง แต่กลัวมึงตกใจ” ไป่ไป๋อ้าปากค้างเพราะความลามกจกเปรตของพิว เด้งตัวออกมานั่งห่างกว่าเดิม ทางด้านอีกคนหลังจากที่เป็นอิสระต่อกันก็ฉวยโทรศัพท์ขึ้นกดยิกๆอยู่นานนับร่วมหลายนาที ในระหว่างนั้นเขาก็เกิดคอแห้งขึ้นมา จึงถือวิสาสะลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นหาน้ำมาดื่มดับกระหาย
“ขอน้ำขวดนึงนะ” ตู้เย็นขนาดประมาณห้าคิวถูกเปิดออกให้ได้พบกับน้ำเปล่าและอาหารแช่แข็งจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเบียร์ทั้งชนิดขวดและกระป๋องวางเรียงรายกัน ซึ่งดูเหมาะสมกันดีกับการใช้ชีวิตเด็กหอของนักศึกษาชาย
“อื้อ หยิบได้เลย” ตัดสินใจหยิบมาสองขวดถ้วน ขวดแรกถูกเปิดดื่มจนหมดเป็นที่เรียบร้อย ส่วนอีกขวดถูกโยนลงบนหน้าตักของคนที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ไม่สนใจแขก
“แต๊ง .. อะ กูลบออกหมดแล้ว” หน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊คถูกส่งยื่นค้างอยู่ตรงหน้า เลื่อนหน้าจอดูทั้งหมดก็พบว่าข้อมูลการคบหาและรูปที่ถูกแท็กต่างๆได้ถูกเจ้าตัวเอาออกไปแล้วทั้งหมด
โทรศัพท์ถูกชักกลับและถูกนำไปเพิ่มเติมการแก้ไขใหม่อีกครั้ง
“คราวนี้ก็ดูที่โทรศัพท์มึง” ถึงจะงงงวย แต่เขาก็ยอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตามคำพูดเชิงคำสั่งของอีกคน ดูเวลาปาไปห้าทุ่มกว่าๆจึงเลิกคิดเรื่องกลับหอในไปได้ในทันที ยังไม่นับรวมมิสคอลและข้อความแชทที่ถูกส่งค้างอีกจำนวนมาก และแน่นอนว่าการแจ้งเตือนอันล่าสุดทำให้เขาก็เลิกที่จะเพิกเฉยกับสิ่งอื่นๆนอกเหนือจาก ..
Pew Phatipol listed that you two are in a relationship
ยืนยัน ไม่สนใจ
“ว่าไง?” ในความเห็นของไป่ไป๋ คนตรงหน้าไม่ว่าจะหล่อแค่ไหนแต่พอยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าทางกวนบาทาทีไร มันก็กระตุ้นความอยากเตะให้แรงๆสักที
“ไม่อะ” คิ้วซ้ายถูกยกขึ้นลงอย่างท้าทาย ทุกอย่างเป็นไปอย่างเหนือความคาดหมาย เพราะว่าปุ่มสีเทากลับได้รับให้เป็นตัวเลือก แทนปุ่มสีน้ำเงินขึ้นยืนยัน
เห็นหน้าซีดเป็นไก่ต้มนั่นแล้วก็นึกขำ มั่นใจมากจากไหนพอเจอการถูกปฏิเสธก็จ้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากไป่ไป๋กลับค่อนข้างพอใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาเหล่านั้น..
“จีบกูใหม่ก่อนดิ”
คำท้าทายผู้น่ารักชวนใจคนฟังเขว ความหวังลูกใหม่จุดประกายกองไฟดับมอดให้ลุกโชน รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าสนามรักครั้งใหม่เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น..
“มึงเตรียมตัวเป็นเมียกูได้เลย”
“มั่นใจได้ไงว่ามึงจะเป็นผัว?”
“เอากันตอนนี้เลยไหม จะได้รู้กันไปเลยใครผัวใครเมีย” เสื้อยืดผ้าดีถูกเกี่ยวขึ้นถอดให้พ้นจากร่างกาย ยังไม่ทันจะได้ปลดเข็มขัดให้พ้นทาง ผู้ถูกคุกคามก็วิ่งตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบยืมของใช้ที่จำเป็นในตู้เสื้อผ้าโดยอาศัยการจำจากครั้งก่อน
“เพิ่งจะเริ่มจีบ อย่ามาลามปามไอ้สัส!”
ปัง!!!
และแล้วไป่ไป๋ก็ได้หายไปหลังบานประตูห้องน้ำ ทิ้งให้พิวยืนจับหัวเข็มขัดอย่างไปไม่เป็น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแผ่ลงบนโซฟาเผยกล้ามเนื้อขึ้นลอนจางๆได้รับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ภายในหัวนึกโล่งใจที่ทุกอย่างได้ถูกคลี่คลายลงไปในทิศทางที่ดี
แต่ในขณะที่นั่งมองเพดาน จู่ๆเขาก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงสีแดงบนใบหน้ารวมทั้งใบหูของคนที่เพิ่งจะเข้าไปอาบน้ำเมื่อครู่ .. ปากแข็ง แต่พอพูดผัวๆเมียๆด้วยหน่อยแม่งก็เขินชิบหาย
นั่นแหละ รูปธรรมของคำว่า ความห่ามที่น่ารัก..
❋❋❋
“ฝันดี”
“อือ ฝันดี”
สองคนกลับมาอยู่ภายใต้ห่มผืนเดียวกันอีกครั้ง ความเย็นภายนอกทำให้ร่างกายเผลอซุกเข้าหาความอุ่นโดยอัตโนมัติ ไหล่กลมมนเสียดสีหัวไหล่ของอีกฝ่ายไปมาตามการขยับตัว สายตาเริ่มปรับตัวให้ชินกับความมืดได้มากขึ้น เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนกว่าๆแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของความง่วงเลยสักนิด
“ยังเก็บแปรงสีฟันอันเดิมของกูไว้อีกเหรอวะ?” บรรยากาศทั้งหมดมันทำให้ผมนึกถึงให้คืนแรกที่ได้มาค้างที่ห้องนี้
“อือ คิดว่าเดี๋ยววันนึงมึงก็ต้องกลับมาใช้”
“คิดถึงกูอะดิ” ในตอนแรกผมมีเจตนาที่จะแค่พูดเล่นๆ แต่สักพักก็รู้สึกถึงได้แรงรัดรอบลำตัวกระชับให้เราทั้งสองเข้าใกล้กันมาขึ้นทำให้ผมรับรู้ได้ว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง
“โคตรคิดถึง”
“กูก็คิดถึงมึงไอ้สัส” หมดเวลาที่จะมาเหนียมอาย จึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนเองเคยรู้สึกจริงๆอกไปให้อีกฝ่ายได้รับฟัง และเหมือนว่าเจ้าตัวดูจะชอบใจไม่น้อย
“พูดอีกทีดิ ไม่ได้ยินเลยว่ะ เมื่อกี๊นอนทับหูตัวเอง”
“พ่องเหอะ .. มึงรู้ป่ะว่ากูโคตรโมโหเลย ตอนนี้เห็นมึงอยู่กับกุ้งอะ แถมมึงก็เอาแต่บอกว่าเป็นเพื่อนกันๆ”
“...”
“ขนาดตอนกูบอกให้ห่างกันมึงยังไม่เดินตามมารั้งกู แถมยังมีหน้าไปถ่ายรูปคู่ลงเฟซกับสาวอีก”
“...ไป๋”
“มึงต้องฟังกู เพราะต่อจากนี้กูจะได้ไม่เอาอดีตมาพูดอีก” ผมเอ่ยห้ามทัพเมื่ออีกฝ่ายพยายามพูดขัดสิ่งที่กำลังจะพูดขึ้นมา
“อื้อ ต่อเลย”
“ตลอดชีวิตกูทำตัวเป็นคนตรงๆมาตลอด มีปัญหาอะไรกูไม่อยากปล่อยให้มันคาราคาซัง แก้ได้กูก็จะแก้ มึงรู้ป่ะเป็นเพราะอะไร?”
“ทำไมอะ”
“กูไม่ชอบคนโกหกไง ความจริงแม่งจะเหี้ยแค่ไหนก็ได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าพูดโกหกกับกู” เสียงเริ่มสั่นเครือจนพิวต้องเอื้อมมือมาลูบเบาๆที่ศีรษะ
“กูขอโทษที่ทำให้มึงเข้าใจผิดนะ กูจะไม่โกหกมึงอีกแล้ว”
“ตอนที่มึงไม่ได้จีบกูแล้วมึงรู้สึกยังไงบ้างวะ?” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักเหมือนกำลังกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูด แต่มืออุ่นนั่นก็ยังคงลูบไปมาบนหัวผมไม่มีหยุด
“พอมึงบอกว่าไม่ได้ชอบกูปุ๊บ กูก็จิตตกไปหลายวัน”
“...”
“คิดว่าคงไปทำอะไรให้อึดอัดเลยลองเว้นระยะห่างดู .. แต่แม่งก็ไม่เวิร์คว่ะ”
“..ขอโทษ”
“ตอนที่มึงขอกลับไปเป็นเพื่อนนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย ช็อกสัสๆ แต่สุดท้ายก็กลับมานอนคิดว่าถ้าไปเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิมก็น่าจะได้คุยกันบ้าง”
“..ตอนนั้นมึงคิดเหมือนกูเลย”
“แล้วตอนนี้เราคิดเหมือนกันหรือยังวะ?”
“จีบกูให้ติดก่อนค่อยมาพูดกัน” ผมส่งมือไปตบเบาๆที่แก้มของอีกคนเชิงเรียกสติ ซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะที่ผมคิดว่าบทสนทนาคงจะจบแล้วจึงจะพลิกตัวให้กลับไปนอนในท่าเดิม แต่ก็ถูกถามขึ้นด้วยประโยคที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินขึ้นมาเสียก่อน
“ข้อสิบ ในจดหมายของมึงคืออะไรวะ?” ภายในวันวานที่เราเขียนเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังย้อนกลับมาเตือนความจำ ซึ่งผมไม่เคยคิดจะลืม
“ถ้ามึงเป็นคนอื่น ความลับของข้อสิบกูจะบอกไปว่า กูเกลียดการสกินชิพกับคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว”
“แล้วถ้าเป็นกูอะ?”
“กูก็จะบอกมึงว่า มึงเป็นอีกคนที่กูชอบให้ลูบหัว ..”
“...”
“แปลกเนอะ”
“เป็นเพราะมึงชอบกูแน่ๆ”
“หยุดเพ้อเจ้อ .. ข้อสิบของมึงอะ?” ผมเห็นสายตาคู่นั้นที่มองมาทางนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น สัมผัสเกลี่ยเบาๆที่หลังมือพาให้ขนแขนเกรียวกราว นึกโทษคนขี้เอาเปรียบในใจอีกครั้ง
“ถ้ามึงเป็นคนอื่น กูจะบอกเขาไปว่ากูมีคนที่ชอบแล้ว”
“พอเป็นกู?”
“กูชอบมึงมานานแล้ว แต่มึงเสือกโง่ ยิ่งมึงมีแฟนเป็นผู้หญิงกูก็ยิ่งซึม พอเวลามึงเลิกกับเขากูเสือกดีใจ ตอนนู้นแค่เห็นมึงยิ้มให้กูก็เป็นใบ้แล้วไอ้เหี้ย ยิ่งที่รีสอร์ทตอนรับน้องนะ มึงแม่งแบบ-”
“ไอ้สัส พอๆ กูไม่อยากรู้แล้ว” ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดก็พาให้หัวใจเริ่มพองโต แต่หลังยิ่งได้ฟังยิ่งรู้ว่ามันเริ่มไม่ปลอดภัย ตัดสินใจตัดบทแล้วพลิกตัวหันหน้าหนีอีกคนด้วยความอายทันที
“จะนอนแล้วเหรอ?”
“เออ นอนแล้ว” ผมฉุดดึงผ้าห่มขึ้นมาให้คลุมทั้งตัวจนมิดชิด ฝืนข่มตาให้หลับลงพร้อมลับใหลไปในห้วงนิทรา แต่ดูเหมือนว่าทุกย่างไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ได้คิดเอาไว้สักเท่าไหร่
“หันมาก่อน”
“ไม่เอา .. กูจะนอนแล้ว”
ทางด้านคนตัวสูงในชุดนอนสีฟ้าแม้ว่าจะสะกิดแผ่นหลังก็แล้ว แกล้งหยิกใบหูเล็กผ่านผ้าผืนหนานั่นก็แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่มีที่ท่าจะหันมาสนใจตนเองแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเขาก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยแรง ออกกำลังฝืนฉุดดึงคนที่มีขนาดตัวเล็กกว่าเขาให้กลับท่านอนจากตะแคงข้างเปลี่ยนมาเป็นท่านอนหงายดังเดิม
“อะไรว-”
เขาอาศัยความเร็วของลำตัวที่มีความเหนือกว่าจัดการพลิกตัวขึ้นคร่อมสู้ด้านบน ไป่ไป๋ไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับเหตุการณ์อย่างนี้ก็ถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองทั้งหมด ส่งผลให้อสูรร้ายอย่างพิวได้ก้มหน้าลงมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาได้หนำใจ แต่เหมือนริมฝีปากบางของคนใต้ล่างจะเริ่มกลับมาใช้งานได้อย่างปกติเสียแล้ว
ต้องจัดการหยุดมัน...
“อ-อื้ม”
รอยสัมผัสของจุมพิตถูกประกบลงสร้างสิ่งที่เรียกว่าความหวาบหวิวภายในช่องท้อง กลิ่นมิ้นท์จากยาสีฟันแทรกซึมจากขอบปาก สู่เนื้อปาก และอวัยวะรับรสอย่างลิ้น
เพียงแค่ลิ้นได้แตะกันเบาๆ ก็ราวกับว่าทั้งสองเท้าที่เคยอยู่บนพื้นดินกลับพากันล่องละลิ่วสู่ห้วงตัณหาแทนที่ห้วงนิทรา จังหวะเกี่ยวกระหวัดถูกชักนำโดยผู้ริเริ่มเป็นหลัก เสียงความชื้นแฉะจากการดูดดึงดังขึ้นตามการพลิกองศาของใบหน้า ความปรารถนาที่ต่างฝ่ายต่างอยากครอบครองถูกเติมเต็มได้เพียงกึ่งเดียว
ก่อนที่ฉากอิโรติกจะปิดลงพร้อมกับแรงกดจูบหนักๆบนริมฝีปากหนึ่งครั้ง..
จุ๊บ
“ดีกันแล้วเนอะ : )”
“อ-อือ นอนเหอะ พรุ่งนี้มีเรียน” ผิวขาวในตอนแรกแปรเปลี่ยนไปมีสีแดงเจืออ่อนๆ ความเย็นเกาะกินตามลำตัวทำให้รู้ว่าเสื้อยืดยี่ห้อดังที่หยิบยืมเจ้าของมา บัดนี้ถูกเลิกขึ้นไปยันเหนือแผงอกแบบที่ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย .. ร่างบางจัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมกับที่คนฉวยโอกาสก็ได้ล้มตัวลงบนพื้นเตียงในที่เก่า กับสิ่งที่เพิ่มเติมคือแรงรัดรอบบั้นเอว และเสียงนุ่มหูชวนให้หลับสบาย..
“ฝันดีนะเมีย”
ในที่สุดบทแห่งความโศกและคำนึงหาก็ได้สิ้นสุดลง พร้อมกับบทรักที่มีตัวเอกเป็นทั้งสองได้ถือเริ่มขึ้น
อีกครั้ง...
-
chapter seventeen。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
Phatipol's Side
“มึงรักกูป่ะ?”
“ไป๋ มันไ-”
“หมดเวลา”
คำถามที่ไม่คาดคิดถูกกล่าวขึ้นโดยคนที่ผมเดินทางมาหา ลำดับเหตุการณ์จากต้นถึงปลายดูซับซ้อนจนงงงวยไปหมด ยังไม่ทันให้ผมได้เอ่ยคำพูดให้กระจ่างก็ถูกริดรอนโอกาสโดยอีกฝ่ายจนหมดเกลี้ยง
“ .. มึงเลิกจีบกูเถอะ”
“ท-ทำไมวะ” หัวใจกระตุกไหวหวูบอย่างแรงหลังจากที่ได้ยินประโยคที่เหมือนเป็นคำขอร้องและคำสั่งในเวลาเดียวกัน อีกทั้งหยดน้ำตาที่ไหลจนชุ่มไปทั้งสองแก้มบ่งบอกว่าอีกคนกำลังร้องไห้ พาให้ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากลำคอผมสั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้
“กูรู้สึกอึดอัด”
“...ไป๋”
“กูไม่ชอบที่มึงชอบมาจับหัวกู”
“…”
“มึงไม่ต้องมาเสียเวลากับกูหรอก”
“...”
“.. กูไม่ได้ชอบมึง”
ปัง!
จนสิ้นเสียงปิดประตูรถบ่งบอกว่าอีกฝ่ายได้เดินจากไปแล้ว ต่างจากผมที่ได้แต่นั่งฟังเสียงลมหายใจตัวเองบนรถที่จอดตากฝนดูที่เดิม อีกใจนึงเรียกร้องให้รีบวิ่งตามเจ้าตัวไป แต่อีกใจกลับบอกให้ยอมแพ้แล้วอยู่เฉยๆ สองขาแข็งเหมือนตัวเองได้ถูกตรึงอยู่กับที่ ความรู้สึกเบลอๆชาๆราวกับสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เรื่องจริง พาให้ผมเลือกจะเชื่อฟังหัวใจในส่วนที่สอง
มันคงยากเกินไปสำหรับคนที่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาทั้งชีวิตอย่างเขา อันที่จริงผมได้เคยคิดไว้เล่นๆแล้วว่าหากออกตัวจีบไปแล้วเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอึดอัด ผมจะทำตัวอย่างไร แต่ไม่เคยคิดว่าพอเกิดขึ้นจริงๆแล้วมันจะทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบได้เดินจากผมไป
ไปแล้วตั้งแต่เมื่อครู่นี้...
ผมได้ใช้เวลาไปกับการอยู่ทบทวนเรื่องทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ จนในวันถัดมาไป๋มาเรียนพร้อมกับผ้าปิดปากและอาการหวัด บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบายโดยสาเหตุอาจเป็นเพราะเจ้าตัวตากฝนในคืนนั้น ฉุดให้ความรู้สึกผิดตีขึ้นปะทะอกอย่างจัง หากผมมีสติและกางร่มพาเขาไปส่งสักนิด ไป๋คงไม่ต้องมานั่งทรมาณพิษไข้อย่างที่เป็น
แต่ดูเหมือนเบื้องบนยังใจดีมอบโอกาสให้พบได้แก้ตัวอยู่บ้าง ตอนเย็นในวันเดียวกันนั้น เราได้พบกันอีก ร่มสีน้ำเงินถูกส่งต่อให้เจ้าของใบหน้าซีดเซียว ไป๋ดูมีท่าทีลังเลแต่ผมก็ยืนยันให้เขาใช้ร่มคันทีได้รับไปพาตัวเขาเองกลับหอได้อย่างสวัสดิภาพ
อีกคนได้เดินห่างออกไป
แล้วก็เดินกลับมา
ร่มที่ได้หยิบยื่นให้ถูกส่งกลับมาโดยที่ผมยังไม่เข้าใจมากนัก
แต่แล้วมันกลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้ในรอบสองวัน..
“...ไปส่งหน่อยดิ”
ถึงแม้ไป่ไป๋จะติดนิสัยปากกรรไกรไปเสียหน่อย แต่ผมเชื่อมาเสมอว่าการกระทำของเขามักนึกถึงผู้อื่นเป็นสำคัญ จากที่เขาเคยบอกกับผมว่าระยะระหว่างเรามันทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ในวันนี้กลับยอมให้ผมไปส่งทั้งๆที่ตัวเองสามารถใช้ร่มคันนั้นเดินกลับหอคนเดียวคงจะสะดวกกว่าด้วยซ้ำไป
ความมั่นใจในแต่แรกเดิมถูกหยิบขึ้นมาใช้หล่อเลี้ยงกำลังใจอีกครั้ง ในตอนนี้ถึงอีกฝ่ายจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะทำได้ก็คือถอยห่างจากไป๋ออกมาสักพักนึง เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมค่อยเริ่มแผนการจีบอีกครั้งหนึ่งคงจะเหมาะกว่า
และแน่นอนว่าผมไม่มีทางที่จะถอดใจให้คนที่ผมรู้สึกตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ ต้องหลุดมือไปเด็ดขาด...
❋❋❋
“พิวมีสมาธิหน่อยสิ”
“ขอเบรคแปปนึง”
“โอเค แล้ววันนี้เป็นอะไรปะเนี่ย?”
แม้ทุกอย่างจะผิดแผน แต่ผมก็ยังดำเนินการติวอันเข้มข้นต่อไป สมาธิที่ใช้จดจ่อเริ่มด้อยประสิทธิภาพเมื่อมีเรื่องมากมายให้ครุ่นคิด
“ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”
“ทำไม เรื่องไป๋หรอ?” ไม่แปลกใจที่เพื่อนสนิทเพศหญิงสมัยมัธยมปลายคนนี้จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา เพราะความสนิททำให้ผมไว้ใจและยกให้กุ้งเป็นที่ปรึกษาในบางครั้งที่รู้สึกหนักใจ แม้แต่ในตอนที่ผมขอร้องให้เธอช่วยกวดวิชาให้ผมได้ไปสอนคนๆนั้นต่ออีกทอด เธอก็เต็มใจจะช่วยเหลืออย่างไม่อิดออด
“อือ นั่นแหละ”
“ทะเลาะกันมาเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงอะ .. ไป๋บอกว่าอึดอัด เลยคิดว่าคงถอยออกมาพักนึงก่อน”
“ทำถูกแล้วแหละ แต่ถ้าพิวบอกว่าจะยอมแพ้ล่ะน่าดู”
“ไม่ได้บอกเลยสักคำว่าจะแพ้”
“ดีมาก .. งั้นเรารีบต่อกันเถอะ กุ้งจะได้รีบกลับบ้านไปอ่านหนังสือต่อ”
“อื้อ” เวลาล่วงเลยมาถึงเลขห้าของเข็มสั้นบนหน้าปัด การอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความรู้ในสมองถูกจัดระบบง่ายต่อการนำมาใช้มากขึ้น พื้นที่ใต้คณะยังมีคนให้เห็นอยู่บ้างแต่เริ่มบางตาลง เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจจากที่ไกลๆดูไม่ใช่ปัญหาในการพาความรู้เข้าหัว
ทั้งๆที่มีสถานที่ที่เอื้ออำนวยแก่การกวดวิชามากกว่าที่นี้ แต่อย่างไรผมก็มองว่าที่นี่น่าจะเหมาะสมที่สุด ช้อยแรกๆอย่างหอผมนี่ตัดทิ้งไปได้ข้อแรกเลย จะให้ผมและกุ้งอยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสองดูอย่างไรก็ไม่เหมาะ จะมีบ้างบางวันที่เราไปหอสมุด แต่ส่วนใหญ่โซนที่สามารถใช้เสียงได้มักจะเต็มอยู่เสมอ ส่งผลให้ใต้ตึกคณะวิศวะฯกลายเป็นช้อยส์ที่ดีที่สุดไป
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้”
“ได้เลย .. เอ้อ วันเสาร์นี้พิวพอว่างไหม?”
“ก็ว่างอะ มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อมีผลประโยชน์ก็ต้องมีค่าตอบแทน ในตอนแรกผมเสนอให้เจ้าตัวคิดเงินตามรายชั่วโมง แต่อย่างไรกุ้งก็เอาแต่ปฏิเสธจะไม่เอาอะไรทั้งสิ้น ทำไปทำมา จนเราได้ข้อยุติโดยที่ผมอาสาเป็นสารถีคอยตามส่งกุ้งกลับบ้านแทน
“เพื่อนกุ้งอยากเดินตลาดน้ำอะ พิวพากุ้งกับเพื่อนไปหน่อยได้เปล่าอะ?”
“ซิ่วไปแล้วยังมีเพื่อนอีกเหรอ”
“มีได้สิ ทำไมปากร้ายจังเลยอะ”
“เดี๋ยวพาไปก็ได้ เจอที่ไหนกี่โมงก็บอกด้วยแล้วกัน”
“เย้ ขอบคุณมากน้า”
จนแล้วจนรอดวันที่นัดแนะกันก็มาถึง นักเรียนของอาจารย์กุ้งว่าที่นิสิตแพทย์มอดังในวันก่อน กลับกลายมาเป็นทาสรับใช้เดินหิ้วถุงของกินที่เจ้าตัวซื้อตามหลังต้อยๆอย่างจำยอม
“อะ พิวฝากถืออันนี้ด้วย เดี๋ยวกุ้งขอดูที่คาดผมกับเพื่อนก่อน”
“ใกล้กลับยังอะ เบื่อแล้ว”
“อีกแปปนึงนะๆ”
ว่าแล้วกุ้งก็เดินไปสมทบกับเพื่อนอีกห้าคนที่ร้านกิ๊ฟช็อปสารพัดของกุ๊กๆกิ๊กๆ ทิ้งให้ผมยืนหอบข้าวของยืนรออยู่นอกร้าน เป็นเพราะวันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่งจึงส่งผลให้อากาศค่อนข้างร้อน ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างหนาแน่น เลยทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเป็นธรรมดา
เพราะไม่เคยไปไหนมาไหนกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเลยไม่รู้ว่าพวกเธอมักจะมีนิสัยในการเลือกซื้อของอย่างไร จนผมได้มาพิสูจน์กับตัวเองแล้วว่า อุปนิสัยของพวกเธอมักจะเข้าไปเลือกซื้อเป็นกลุ่ม เจอร้านไหนถูกใจจะยังไม่แวะในทันที เธอเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าต่อ เพื่อหวังว่าจะเจอของที่ถูกใจกว่า และเมื่อพบว่าร้านแรกที่เจอเป็นร้านที่ดูคุ้มค่าที่สุด พวกเธอจึงเดินกลับไปใหม่ โดยเฉลี่ยระยะเวลาการเลือกของแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือเสื้อผ้า จะตกอยู่ที่ร้านละสิบนาทีโดยประมาณ...
ประสบการณ์ใหม่ที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจได้สิ้นสุดลงเมื่อทั้งห้าคนได้ก้าวขาออกจากร้านขายของริมตลาดน้ำ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกและตกลงจะกลับกันในทันที
“กุ้งเอากุญแจไปติดเครื่องในกันในรถกันก่อนเลย เดี๋ยวเราขอเข้าห้องน้ำก่อน”
“อื้อ ได้ๆ”
ตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำสาธารณะในเขตวัดก่อนที่จะขับรถกลับไปส่งกุ้งและเพื่อนๆ เสร็จสิ้นการปลดทุกข์ผมก็กลับมายืนล้างน้ำล้างตาหน้ากระจกบานใหญ่
บรรยากาศและเวลาที่ใกล้เคียงกับการมาเที่ยวครั้งที่แล้วทำให้ผมนึกถึงคนที่มาด้วยกัน .. คิดถึงไอ้ไป๋เฉยเลยว่ะ
ผมสะบัดน้ำออกจากมือ เตรียมตัวเดินกลับรถ แต่ในตอนนั้นเองที่ผมได้เจอใครสักคนเดินชนเข้าอย่างจัง
“อุ้ย ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร” ใบหน้าของคนที่ผมเพิ่งจะนึกถึงเมื่อกี๊ กลับกลายเป็นใบหน้าเดียวกันกับคนที่อยู่ในอ้อมกอดตอนนี้ ผมกระพริบตาอย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เขาเดินห่างออกทำธุระจนกลับมายืนชำระล้างมือข้างกับผมแล้ว แต่ผมก็ยังละสายตาจากเขาไปไม่ได้
หลังจากนั้นผมจับใจความได้ว่าเราคุยกันไปนิดหน่อย สติสัมปชัญญะที่มีเหมือนจะหลุดลอยหายไป จนมือของผมได้ทอดวางบนหน้าผากขาวนั่นไปอย่างลืมตัว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยชอบใจนัก ไป๋ปัดมือผมทิ้งและเดินก้าวเท้าออกไปพร้อมๆกับเสียงกุ้งที่ตะโกนเร่งอยู่ข้างนอก
แต่แล้วเขาก็ได้หันหลังกลับมาหาผม เหมือนในเย็นของวันที่ฝนตกวันนั้น
ผมหวังให้มันเป็นคำพูดที่ทำให้ใจฟูอย่างคราวที่แล้ว..
“เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?”
ทุกอย่างมันผิดแผกไปจากที่คาดคะเนเอาไว้
และผมก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ไป๋พูดออกมาเลยสักนิด
เจ้าตัวถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าผมเองก็เห็นพ้องต้องกัน มือเล็กที่ยื่นมาตรงหน้าในตอนนั้นสั่นเทิ้มไปหมดจนคนดูอย่างผมสังเกตได้ ภายในใจนึกอยากฉุดรั้งเขาเข้ามากอดแรงๆให้รู้ตัว อยากถามว่าคำพูดทั้งหมดมันหมายความว่าไง?
ถ้าคำว่าเพื่อนของเขาหมายความว่าสถานะที่ไม่มีวันพัฒนาแล้วล่ะก็ .. ผมคงไม่ยอมเด็ดขาด
“งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ...
❋❋❋
ฟู่ววว
ควันสีขาวลอยคลุ้งสวนทางกับนิโคตินที่ถูกอัดลงปอดอย่างต่อเนื่อง ในตอนแรกตั้งใจจะแค่มาหาของกินรอกุ้งมาสอนให้เท่านั้น แต่พอเห็นพื้นที่สูบบุหรี่ข้างๆซุ้มโค้กที่กำลังยืนอยู่ก็รู้สึกสมองตื้อขึ้นมาจนต้องหาตัวช่วยให้สมองกลับมาโปร่งโล่งพอเตรียมพร้อมรองรับเนื้อหาวิชาอันหนักหน่วง
ผมรู้ดีว่าบุหรี่ที่อยู่ในมือมันไม่เคยส่งผลดีแต่ร่างกาย แต่ผมก็ยังเลือกที่จะใช้มันระงับความฟุ้งซ่านในสมอง เพราะมันช่วยได้แค่ครั้งคราว เลยทำให้ผมยิ่งอัดควันพิษหนักขึ้นไปเรื่อยๆ
'เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?'
ตั้งแต่วันที่เจอไป่ไป๋ครั้งล่าสุดจนวันนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว อย่างไรถ้อยคำที่เขาได้พูดออกมาก่อนเดินจากไปมันยังคงติดและวนเวียนอยู่ในหัวผม จะสลัดยังไงก็สลัดไม่ออก ยิ่งนึกถึงมวนบุหรี่ในมือก็ยิ่งสั้นลงไปเรื่อยๆ .. จนหมดมวนในที่สุด
ผมเลยตัดสินใจเดินกลับไปใต้คณะพร้อมขนมปังและนมหนึ่งกล่องในมือ อีกไม่นานกุ้งคงมาถึงจึงหาของกินมาไว้เพื่อรองท้องให้อิ่มเสียก่อน
แต่ในตอนที่เดินกลับมาถึงโต๊ะตัวที่ได้จองไว้ ยังไม่ทันได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พลันสายตาผมก็มองไปเห็นร่างของทั้งสองคนที่ดูคุ้นตา อยู่ห่างออกไปแถวๆโต๊ะหินอ่อนในมุมค่อนข้างลับตาตรงโน้น ด้วยความไม่แน่ใจจึงทำให้ผมมองภาพที่เห็นอยู่สักพัก จนผมรู้แน่ชัดแล้วว่าทั้งคู่นั่น คือ พลอยใสและไป่ไป๋
จับมือกันด้วย?..
ท่าทีของทั้งสองคนอยู่ในสายตาของผมตั้งแต่ต้น จนตัวผมเองเริ่มมีความผิดปกติขึ้นทีละน้อย ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่โดนแย่งของสำคัญ อีกทั้งผมรู้สึกไม่ชอบใจที่พวกเขาจับมือกันแถมยังยืนยิ้มให้กันจนฝ่ายหญิงเดินพ้นสายตานั่นอีก
หรือสามารถพูดเป็นคำคุณศัพท์ออกมาได้อย่างสั้นๆว่า หึงหวง นั่นแหละ...
มันทำให้ผมกลับมาคิดเรื่องข้อเสนอที่ไป๋หยิบยื่นมาให้อีกครั้ง เพราะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เราสองคนแทบไม่ต่างจากคำว่าคนแปลกหน้าเลยสักนิด แค่ผมเห็นเขาอยู่กับแฟนเก่า ในใจผมในตอนนี้ยังจะคลั่งแทบตาย หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปการกลับไปเป็นเพื่อนคงจะดีกว่าแม้จะเป็นส่วนเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ขอแค่ผมได้มีตัวตนอยู่ในสักสถานะใดของเขาก็ได้
แม้จะเจ็บปวด แต่เพราะผมไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก มือของผมถูกยื่นหาอีกฝ่ายเหมือนคราวก่อนที่ไป๋ทำ สีหน้าเขาทั้งดูตกใจและสับสน .. ไม่ต่างจากผมในคราวก่อนเลยสักนิด
“ ..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้”
“จำตอนที่เพิ่งเข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆได้ไหม?”
“…”
“กูกับมึงแทบไม่ได้คุยกันสักคำเลย..”
“อือ จำได้”
“กลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นกันนะ”
“เอาดิ ยังดีกว่าตอนนี้ตั้งเยอะเลย”
และนั่นก็คือบทสรุปของผมและไป่ไป๋ ใจผมเซไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เรากลับไปเป็นเหมือนในตอนแรกที่เข้ามหาลัย ซึ่งมันก็หมายความว่าผมไม่มีสิทธิ์ทำตัวสนิทสนมเหมือนอย่างที่แล้วมา จนอีกคนขอตัวเดินจากไปแล้วแต่ผมก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม .. ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมันสินะ
ไม่ว่าจะผ่านจากวันนั้นมากี่วันแทนที่ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น กลายเป็นตัวผมเองที่แย่ลงในทุกๆวัน เพราะผมรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมสูบบุหรี่มากขึ้น ผมเริ่มซื้อเหล้าเบียร์มาไว้กินที่ห้อง ผมอ่านหนังสือหนักขึ้นจนเหลือเวลานอนน้อยลง แต่ผมกลับคิดถึงไป่ไป๋เหมือนเดิม..
just pew : วันจันทร์นี้ว่างไหม?
just pew : จะไฟนอลแล้ว เดี๋ยวติวให้
paipai : ไม่เป็นไร
paipai : ขอบคุณนะ
ผมก้มมองข้อความในมือถือเมื่อหลายวันก่อน มันคงเร็วไป แต่อย่างไรผมก็จะไม่ให้ทุกอย่างที่พยายามมาสูญเปล่า และจะไม่ยอมแพ้อย่างที่เคยลั่นวาจาไว้อย่างเด็ดขาด
จึงจัดการเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง หันกลับมาสนใจมวนยาสูบราคาแพงในมือ ผมนั่งขัดสมาธิใช้หลังพิงกำแพงห้องน้ำ เงยหน้ามองควันบุหรี่ลอยเข้าตัวดูดอากาศบนเพดานไปเรื่อยๆ สารกระตุ้นประสาทส่งผลให้สมองว่างเปล่า ไฟค่อยๆขยับเข้ามาประชิดก้นกรองผมจึงโยนมันทิ้งลงชักโครก และเริ่มจุดมวนใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
ใจจริงผมอยากเลิกเสพติดเจ้ามวนยานี่เสียเต็มแก่ จำได้เหมือนว่าจะเคยเลิกได้ช่วงนึงก่อนหน้านี้ แต่ก็กลับมาติดอีกเพราะเรื่องเครียดๆภายในหัว เครียดเลยสูบยิ่งสูบก็ยิ่งติด วนเวียนอย่างนี้มาร่วมอาทิตย์ได้แล้ว
ครืด ครืด
แรงสั่นจากสมาร์ทโฟนภายในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมกลับมาอยู่กับโลกความจริง ก้นกรองถูกโยนลงโถสุขภัณฑ์อีกหนึ่งอัน ในตอนแรกคิดว่าคงเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่จริงๆแล้วกลับเป็นข้อความไร้สาระที่ถูกส่งเข้ามาภายในกลุ่มแชทของผมแทน
Kken : มะรืนวันเกิดเสียพิวแล้วว่ะ
Kken : ที่ไหนดีวะเฮีย?
SMSMSM : อย่างเสี่ยก็ต้องร้านเหล้าเหมือนเคยๆปะวะ
T.A.E : ไปฮะ
T.A.E : ร้านเดิม เวลาเดิม
Kken : จัดไปเว้ยเพื่อน
just pew : ถามกูแล้ว?
SMSMSM : ของงี้ต้องถาม?
T.A.E : ไปเหอะ หนุกๆ อยากฉลองให้มึง
ผมเดินกลับเข้าห้องไปล้มตัวลงนอนที่เตียงด้วยความเมื่อยขบจากการนั่งบนพื้นนานๆ จริงอย่างที่เพื่อนๆผมว่าในวันมะรืนก็จะถึงวันเกิดอายุครบสิบเก้าปีของผมแล้ว ถึงจะอย่างนั้นผมก็ยังไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะฉลองมันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเพื่อนว่ากันมาแบบนั้นก็คงต้องตามใจ
just pew : ตามใจ
Kken : ขอเอาพลอยใสไปด้วยนะ
SMSMSM : ดีกันแล้ว?
T.A.E : อะไรวะ ดราม่ากำลังข้น
Kken : เออ ไอ้พวกเหี้ย
Kken : ตอนที่ทะเลาะกันพลอยพูดถึงไอ้ไป๋ขึ้นมา กูเลยโกรธ
Kken : แต่เมื่อวันนู้น กูเจอพลอยมาดักคุยใต้ตึก
Kken : เค้าบอกว่าไปปรึกษาไอ้ไป๋มา
Kken : แล้วมันบอกให้พลอยมาเคลียร์กับกู
T.A.E : ไอ้ไป๋แฟนเก่าพลอยหนิ
SMSMSM : หึง?
Kken : ทะเลาะกันแล้วพูดถึงแฟนเก่าของมันก็ต้องขึ้นป่ะ?
Kken : ตอนนี้สองคนนั้นเป็นเพื่อนกันแล้ว พลอยบอกมางี้เว้ย
ข้อความจากเคนทำให้เรื่องราวต่างๆที่ผมได้เจอเริ่มประติดประต่อกัน .. ที่เจอไป๋กับพลอยใสใต้คณะวันนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้?
T.A.E : มารูนไฟฟ์คิ้วท์บอยมันเป็นคนดีจังวะ
Kken : แฟนกูก็พูดแบบมึงอะ
T.A.E : ไอ้พิว แล้วมึงกับกุ้งเป็นไงบ้าง
just pew : เป็นเพื่อนกันจะต้องมีอะไรอีกวะ
just pew : เลิกถามเรื่องนี้ได้แล้ว
just pew : กูไปอาบน้ำละ บาย
SMSMSM : เอ้า ซะงั้นอะ..
เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงตัดสินใจพูดตัดบทและแชทไปหาคนที่ไอ้เต้เพิ่งพูดถึง เพื่อยกเลิกนัดหมายของเราในตอนเย็นของวันมะรืน
just pew : อีกสองวันงดติวได้ไหม
just pew : เพื่อนให้ไปฉลองวันเกิด
KUNGKING : อีกสองวันวันเกิดพิวเหรอ
just pew : อื้อ ใช่
KUNGKING : แก่อะ
KUNGKING : จัดที่ไหนกันเหรอ
just pew : ร้านเหล้าหลังมอ
KUNGKING : ยังไม่ยี่สิบเลย เข้าได้?
just pew : เข้าออกจะบ่อย
just pew : ไอ้เคนมันรู้จักคนในนั้น
KUNGKING : เฮ้ยยย น่าสนใจอะ
KUNGKING : ไปด้วยได้ป่ะ
just pew : เอาจริง
KUNGKING : อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
KUNGKING : เบื่ออ่านหนังสือแล้วว
ประโยคเชิงขอร้องจากเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยมัธยม ประกอบกับการไปครั้งนี้มีพลอยใสที่เป็นผู้หญิงเฉกเช่นเดียวกันไปด้วย เลยทำให้ผมเอ่ยปากตกลงไปอย่างง่ายดาย
just pew : ได้ๆ
KUNGKING : เย้ วันพฤหัสเจอไหน กี่โมง
just pew : รออยู่หน้ามอก็ได้เดี๋ยวไปรับ
just pew : เวลาเดี๋ยวบอกอีกที
KUNGKING : โอเค ขอบคุณน้า
จากนั้นผมได้เหลือบมองเวลาบนหน้าจอแล้วก็คิดได้ว่าควรค่าแก่การอาบน้ำได้แล้ว จึงวางโทรศัพท์ไว้บนเตียงนอนเพื่อเตรียมตัวไปหยิบผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำ แต่กลายเป็นว่าผมต้องสะดุดกึกให้กับรายชื่อของคนที่ไม่เคยแม้แต่จะไลน์หาผมเลยสักครั้ง กลับไลน์มาหาผมในเวลานี้
ครืด ครืด
Jeansss : ไอ้สัสพิว อยู่ป่ะ
Jeansss : ฮัลโหลๆๆ
just pew : กำลังจะไปอาบน้ำพอดี
just pew : มึงมีไร?
Jeansss : อีกสองวันถึงวันเกิดมึงใช่ป่ะ
just pew : เออ ใช่
Jeanss : จะไปจัดที่ไหนไหม
just pew : ว่าจะไปร้านเหล้าหลังมอ
Jeansss : อายุไม่ถึงเข้าไงวะ?
just pew : ไอ้เคนมันรู้จักคนในนั้น
just pew : จะไปเหรอ?
คิ้วผมขมวดขึ้นเล็กน้อย เพราะข้อความตรงหน้าจะอ่านออย่างไรมันก็ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่อยู่ดีๆไอ้ยีนส์จะทักมาถามเรื่องพรรคนี้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
Jeansss : ตอนแรกได้ยินว่าใกล้จะถึงวันเกิดมึงเลยคิดได้
Jeansss : กูกับตุลลี่อยากให้มึงกับไอ้ไป๋ลองคุยกันอีกรอบว่ะ
Jeansss : เผื่อโชคดีจะมีใครคนนึงหายโง่บ้าง
just pew : ใครโง่?
just pew : แล้วไป๋เป็นไงบ้าง?
Jeansss : ดูเครียดๆ
Jeansss : เออ แต่ช่างแม่งเหอะ
Jeansss : ตอนแรกนึกว่ามึงจัดที่อื่น พวกกูจะได้ไปกัน
Jeansss : แฮปล่วงหน้าเว้ย
ชื่อของคนที่ผมคิดถึงถูกกล่าวถึงขึ้นเป็นรอบที่สองของวัน เพียงได้เห็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูไม่สบายใจ นั่นก็พาให้ผมไม่สบายใจตามไปอย่างง่ายดาย แต่หลังจากที่เขาปฏิเสธคำชักชวนของผมเมื่อหลายวันที่แล้วก็ทำเอาความมั่นใจที่มีลดหายไป
ตอนนี้ผมรู้สึกกลัวไปหมด กลัวแรกที่ถ้าผมยังฝืนหาเรื่องคุยกับอีกฝ่ายอยู่ ผมไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเจ้าตัวจะยังอึดอัดผมอยู่หรือไม่ และความกลัวที่สองคือ ถ้าผมปล่อยให้เราห่างกันเกินไป เราทั้งสองจะกลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันอีกครั้ง .. ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร และจะนึกขอบคุณหากมีคนมาช่วยย่นระยะระหว่างเราได้
อย่างเช่นยีนส์และตุลลี่..
just pew : ร้านเล่าซ้ำซ้ำ หลังมอ
Jeansss : ห้ะ
just pew : บอกคนตรวจบัตรว่าเป็นเพื่อนไอ้เคน
just pew : เดี๋ยวเขาจะพามึงเข้าเอง
-
❋❋❋
“โหย พิวมาที่นี่บ่อยเลยเหรอ?”
“ก็ไม่อะ”
“ถึงเป็นร้านเหล้า แต่ก็ดูน่าเข้าดีนะ”
พวกเราทั้งเจ็ดคนใช้รถทั้งสามคันได้เดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ เสียงเจื้อยแจ้วของพวกสาวๆที่ได้เผชิญประสบการณ์มาเยือนสถานที่อโคจรเป็นครั้งแรกพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น แต่ผมกลับไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
พวกเราเดินเข้าไปภายในร้านกันอย่างคุ้นชิน ผมเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้คุยกับยีนส์เมื่อวันก่อนนู้นก็พาเนื้อเต้นขึ้นมา สองสายตากวาดมองไปทั้งรอบร้านอย่างลุ้นๆอยู่คนเดียว แล้วผมก็เจอ...
ไป่ไป๋ในชุดเสื้อยืดดูใส่สบาย กับทรงผมที่ปล่อยให้หน้าม้าตกลงมาปรกหน้าโดยไม่มีการเช็ตอย่างที่เจ้าตัวทำอยู่ประจำ ทุกอย่างของเขามันดูน่ามองไปหมด จนกระทั่งไป๋หันมาหน้าจนสองตาเราสอดประสานกันในความวุ่นวาย
และหลบหลีกไปอย่างรวดเร็ว..
“พิว เราเบียดไปไหม?”
“อือ ไม่เป็นไรหรอก” ผมคิดขอบคุณไอ้เต้ที่เลือกนั่งโต๊ะติดกับกลุ่มไป่ไป๋ที่มาก่อนหน้า จัดการรีบพาตัวเองเข้าไปในนั่งในที่ๆตัวเองต้องการจนได้ .. ที่นั่งที่ใกล้กับไป๋มากที่สุด
โต๊ะที่สามารถนั่งได้หกคนดูเบียดเสียดเนื่องจากจำนวนคนที่เยอะกว่าของเรา พวกเรานั่งคุยเรื่องนู่นนี่กันไปมาเพื่อของเครื่องดื่มที่สั่งมาเสิร์ฟ โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าการเซอร์ไพร์สที่น่าประทับใจกำลังรอผมอยู่
“แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทู้ยู..” ในระหว่างที่กำลังนั่งดูวงดนตรีกำลังขึ้นทำการแสดงอย่างเพลิดเพลินอยู่ กลับได้ยินเสียงร้องเพลงวันเกิดขึ้นแทรกทำผมรู้สึกตกใจเพราความคาดไม่ถึง
“ไอ้เสี่ยพิวแก่อีกปีแล้ว”
“สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมากๆเลยนะ”
“เก็ทเอแล้วมาสอนกูด้วยโว้ย”
“เป่าเทียนเลยมึง” เสียงปรบมือและเสียงเฮฮาจากทั่วทั้งร้านดังขึ้นหลังจากที่บทเพลงที่เพื่อนผมร่วมกันประสานเสียงร้องได้จบลง
เค้กปอนด์ก้อนสวยถูกยื่นมาหาตรงหน้า เทียนถูกปักจำนวนเก้าเล่มตามความเชื่อ ผมหันไปยิ้มเชิงขอบคุณให้พวกเพื่อนๆที่รายล้อมรอบตัวที่ต่างมีส่วนรู้เห็นในการเซอร์ไพร์สวันเกิดในปีนี้
ผมหลับตา พนมสองมือขึ้นให้นิ้วโป้งจรดหัวคิ้วอย่างแน่วแน่และตั้งใจ
‘ขอให้ผมมีแฟนชื่อไป่ไป๋ คนที่บ้านอยู่วงเวียนใหญ่ คนที่ถนัดซ้าย คนที่เกลียดวิชาเคมี คนที่นั่งข้างหลังผมตอนนี้ .. จะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ครับ แต่ขอให้พรเป็นจริง สาธุ’
ดวงไฟทั้งเก้าดับลงพร้อมกับเสียงส่งขึ้นมาแสดงยินดีดังขึ้นมาอีกระลอก ก่อนที่เค้กถูกไอ้เคนวางบนโต๊ะให้ทุกคนได้กินร่วมกัน
“ขอพรอะไรวะนานชิบหาย”
“..ไม่บอก”
“กลัวพรไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือไงวะ?”
“เออ กูอยากให้มันเกิดขึ้นจริง”
หลังจากนั้นพวกเราก็เข้าสู่การดื่มด่ำความสนุกของยามค่ำคืนกันอย่างจริงจัง แต่ถึงอย่างนั่นผมก็ไม่มีความอยากเครื่องดื่มสีเข้มในแก้วตรงหน้านี้เท่าที่ควร เลยเลือกที่จะจิบทีละนิด แล้วเน้นนั่งคุยและฟังเพลงเสียมากกว่า
“เพลงต่อไป เป็นเพลงที่มีคนรีเควสเข้ามานะครับ ไม่รู้ว่าตรงกับตอนนี้ของใครหลายๆคนหรือเปล่า เราไปฟังกันเลยครับ..”
จากนั้นบทเพลงคุ้นหูก็เริ่มบรรเลงขึ้น เป็นเพลงของวงดนตรีไทยหนึ่งในแบนด์ที่ผมชอบมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ถือได้ว่าผมได้ฟังบ่อยที่สุดในช่วงนี้เลยก็ว่าได้
จนเนื้อเพลงยอดฮิตเริ่มเข้าสู่ท่อนฮุคพร้อมกับเสียงร้องคลอทั่วทั้งร้าน ผมถึงได้รู้ว่าสำหรับเพลงนี้ไม่ว่าจะฟังที่ไหนผมก็ยังชอบความหมายของมันเสมอ..
ฉันคิดถึงเธออยู่
ทุกช่วงเวลาที่ยัง หายใจ
ฉันคิดถึงเธออยู่
แม้รู้ว่ามันอ่อนแอ เหลือเกิน
คือสิ่งเดียวที่ฉันนั้นรู้สึก
แม้จะเนิ่นนาน เท่าไร
“เพลงโปรดพิวนี่ เห็นเดี๋ยวนี้ฟังในรถบ๊อยบ่อย ชอบเหรอ?” กุ้งที่นั่งข้างๆเหมือนจะนึกได้ว่าเพลงนี้จะถูกเปิดขึ้นทุกครั้งที่ผมไปส่งเธอที่บ้านหลังจากธุระเรื่องกวดวิชาในทุกเย็น
ผมยกแอลกอลฮอล์ที่เริ่มเจือจางเพราะน้ำแข็งขึ้นมาจิบแก้กระหาย แล้วรอจังหวะที่ดี .. เพื่อให้คนที่นั่งเบื้องหลังได้ยินอย่างชัดเจนมากที่สุด
“อือ ชอบด้วย แล้วก็คิดถึงด้วย”
ในตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาโต้ตอบใดใด ผมแค่อยากให้เขาได้ยินในสิ่งที่ผมอยากจะพูดมากที่สุด…
“ไอ้ตุลลี่ ปากมึงชาปะว้า?”
“ชาแบบเริ่มกัดไม่เจ็บแล้วว่ะ” อันที่จริงทุกคำพูดของไป่ไป๋ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่พูดคุยกับเพื่อนหรือบ่นอยู่คนเดียว ผมจะได้ยินและสนใจอยู่ตลอดตั้งแต่ที่มาถึง
“เออ เหมือนกันเลย”
คำพูดที่เริ่มยานคางเพราะพิษสุราดังเร่งเสียงขึ้นในช่วงที่ดนตรีเริ่มเบาลง จนดูเหมือนเจ้าตัวกำลังตอบกลับประโยคเมื่อครู่ของผมไม่มีผิดเพี้ยน
จากนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ความอยากบุหรี่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงลุกพรวดพราดขึ้นเดินออกจากร้านจนเพื่อนผมเองยังอดตกใจไม่ได้
สวนย่อมของทางร้านที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สูบบุหรี่มีแค่ผมคนเดียวที่จับจองที่นั่งอยู่ในเวลานี้ หมอกขาวจากการเผาไหม้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถึงจะไม่ใช่คนสุนทรีย์ชอบนั่งมองดวงจันทร์แต่คงจะดีกว่านั่งมองพื้นหญ้าเป็นไหนๆ
คำว่า เออ เหมือนกันเลย ของเขากำลังถูกชั่งความเป็นไปได้ซ้ำไปมา .. ไป๋กำลังตอบผมอยู่หรือเปล่า?
เพราะอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวให้มากกว่านี้อีกหน่อย เลยยังไม่ยอมกลับเข้าไปสังสรรค์ภายในร้านกับเพื่อนต่อ
แต่ใครจะรู้ว่าการตัดสินใจเพียงเล็กๆของผม จะนำไปเจอสิ่งดีๆที่ผมไม่อาจคาดหวังได้..
พื้นรองเท้าเสียดสีกับหินปูทางเดินจนเกิดเสียง ผมคิดว่าคงเป็นลูกค้าท่านอื่นในร้านเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่แล้วจู่ๆฝีเท้าที่ว่ากลับหยุดลง ในจุดที่ผมคาดว่าไม่น่าไกลจากตัวเองไปสักเท่าไหร่
“..อ้าว”
“ขอนั่งด้วยดิ” บุคคลที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นพร้อมทิ้งตัวลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน ดูจากผิวขึ้นปื้นแดงตามลำตัวขนาดนั้น เจ้าตัวคงดื่มมาเยอะพอสมควร ผมจึงจัดการดับบุหรี่ในมือแล้วไปปัดควันพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ให้เบาบางลง .. มันไม่มีต่อสุขภาพเลยสักนิด
“สุขสันต์วันเกิดนะ” คำกล่าวอวยพรจากคนที่อยู่ในสายตาผมตลอดมาทำให้บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นมาเล็กน้อย
“อ-อื้ม ขอบคุณ”
“สบายดีป่ะ?”
“งั้นๆ มึงอะเป็นไงบ้าง?”
“..แย่นิดหน่อยมั้ง” ใบหน้าน่ารักเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไม่น่ารักเท่า ไป่ไป๋ทำสีหน้าเหมือนคนที่มีเรื่องให้คิดตลอดเวลามาตั้งแต่เมื่อกี๊ที่เดินเข้ามาแล้ว ..
“เรียนเป็นยังไงบ้าง?”
“วิชาเคมี..”
“…”
“วันนี้กูไปถอนมาแล้วนะ” คำพูดเสียงแผ่วบอกเล่าเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เหมือนมีสายฟ้าลูกใหญ่ผ่าลงตรงกลางใจผมเข้าอย่างจัง
.. แล้วสิ่งที่ทำมาตลอด ผมจะพยายามไปเพื่อใครกันนะ
“แล้วก็ วันนี้ .. แฟนมึงน่ารักดีนะ”
“...”
“ไปดีกว่า บ- เฮ้ย!” ผมหมดความอดทนให้กับคนเข้าใจผิด ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งที่สามได้แล้วที่ไป่ไป๋เรื่องทำนองนี้ออกมา ทั้งๆที่ก่อนหน้าผมก็พูดชัดเจนทุกครั้งว่าผมกับกุ้งเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น
ทันทีที่คนตัวสมส่วนจะลุกหนีผมไปซ้ำรอยเก่า อารมณ์ชั่ววูบสั่งให้ผมรั้งเขาไว้ด้วยไม่ว่าเขาจะเต็มใจจะอยู่หรือไม่ก็ตาม .. จากนั้นรถยนต์คันเก่งจึงเป็นความคิดที่ดีในการกักขังเขาไว้ เพื่อให้อยู่ใกล้ๆกับผมได้นานที่สุด และโชคดีหน่อยที่เจ้าตัวดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเยอะพอที่จะพาให้กำลังฝืนที่เคยมีพร่องลงไป เขาจึงถูกผมนำมาใส่ในรถได้อย่างง่ายดาย
พฤติกรรมขับรถเร็วที่จะเป็นเฉพาะตอนโมโหได้กลับมา ฟังจากน้ำเสียงสั่นๆที่กำลังชี้ชวนให้ลดระดับความเร็วบนท้องถนนลงแล้วคาดว่าผมคงสร้างความหวาดหวั่นให้กับเขาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“กูเคยบอกไปแล้วว่ากูกับกุ้งไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“เฮอะ” เสียงหัวเราะแดกดันทำให้ผมเริ่มไม่เข้าใจสถานการณ์ ไป่ไป๋เบี่ยงหน้าออกเข้าหากระจก ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดลึกๆเหมือนกำลังข่มอารมณ์โกรธอยู่ ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาพร้อมกับคำพูดที่กลายมาเป็นความรู้ใหม่ของผม..
“แล้วไหนบอกกูมาสิว่าสเตตัสกับรูปคู่ในเฟซพวกนั้นมันคืออะไร?!”
เอี๊ยด!
“กูลบแอพเฟซบุ๊คทิ้งไปเป็นเดือนๆแล้ว”
ผมเลี้ยวเข้าซองที่จอดใต้หอด้วยความชำนาญ เอ่ยความที่จริงผมได้ทำ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่มีทางที่ผมจะเป็นคนทำ
“ขึ้นไปคุยบนห้องเหอะ”
โดยทันทีที่เราก้าวเท้าเข้ามาในห้องของผม โทรศัพท์ในมือก็ได้ถูกต่อสายไปยังคนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก่อนจะพบกับบทสรุปที่ว่ากุ้งเป็นคนทำทุกอย่างก่อนที่ผมจะลบแอพที่มักจะเอาไว้เล่นฆ่าเวลาทิ้ง ส่วนตัวผมไม่ได้ติดใจอะไรมากเพราะผิดที่ผมเองที่ไม่ได้ใส่ใจทุกอย่างให้มากกว่านี้
เฟซบุ๊คได้ถูกโหลดกลับมาอีกครั้ง ล็อกอินเสร็จก็ได้พบกับข้อความและการแจ้งเตือนมากมายที่ดูน่าปวดหัว สเตตัสความสัมพันธ์และรูปคู่ที่กุ้งเคยแกล้งให้ผมถ่ายด้วยกันถูกโชว์เด่นหราบนโปรไฟล์ที่เมื่อก่อนนานๆทีจะได้อัพเดตอะไรสักครั้ง
ผมลบทุกอย่างออกจนกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยที่ไม่มีการลังเล ถึงแม้จะผิดหวังที่ไป่ไป๋ไม่ตอบรับคำเชิญชวนให้ตั้งการคบหาคู่กันในทันที แต่ผมกลับเข้าใจเขามากกว่าเดิม..
ที่บอกว่าอึดอัดเป็นเพราะอย่างนี้สินะ
ดวงตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาเมื่อครู่ ตอกย้ำให้ผมรู้สึกว่าได้เป็นคนที่ทำให้ไป่ไป๋เสียใจ และคงผิดไม่หากจะเคยมองว่าผมเป็นคนนิสัยไม่ดี ยิ่งนึกว่าอีกคนต้องอยู่กับความรู้สึกแย่ๆมาเป็นเวลานาน ผมก็ยิ่งอยากชดเชยในตอนที่เราห่างกันให้มากขึ้น..
น่าแปลกที่แม้เราจะเพิ่งกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าไป๋ไม่เคยห่างไปไหนเลยด้วยซ้ำไป เขายังตาตี่เหมือนเดิม ตัวขาวๆเหมือนเดิม ปากร้ายเหมือนเดิม แถมผมยังชอบการมีเขาใกล้ๆเหมือนเดิมด้วย
จนถึงตอนนอนที่เราได้กล่าวราตรีสวัสดิ์กันและกัน ตาเราทั้งสองยังเบิกกว้างเหมือนยังอยากให้เราได้พูดคุยกันต่อ ความน่ารักของเขาทำลายการควบคุมของผม คนตัวอุ่นข้างๆถูกพลิกแพลงให้กลายมาอยู่ข้างล่าง แม้ความต้องการผมสั่งร่างกายผมไปต่างๆนานา แต่ผมก็เลือกที่จะหยุดไว้แค่การจูบ .. จูบของเราในความมืด
..และปากของไป่ไป๋ก็ยังหวานเหมือนเดิม
“ดีกันแล้วเนอะ : )”
ไอร้อนของเราถูกถ่ายเทสู่กันและกันตามความแนบแน่นของอ้อมกอด
ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปด้วยความซื่อตรง และขับเคลื่อนด้วยความสุข
คำว่าแฟนถึงจะดูห่างไกล แต่ผมก็ยังมั่นใจว่าเราต้องได้ใช้มันด้วยกัน
...แหงล่ะ ก็เรารู้สึกเหมือนกันนี่นา : )
❋❋❋
paipai : พิว ให้ไอ้ตุลลี่ไปอยู่ช่วงเสาร์อาทิตย์ด้วยดิ
paipai : มันทนเมทไม่ไหวแล้วอะ
paipai : เมทมันสกปรกมากกกกก
หลังจากที่เราคืนดีกันเมื่อวันพฤหัสบดีตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาเราสองคนก็ได้ไปเรียนพร้อมกันตามที่ผมเคยฝันไว้ แต่ช่วงบ่ายของวันศุกร์นี้เราไม่มีการเรียนการสอน ไป๋จึงขอตัวบอกจะกลับไปนอนเล่นที่ห้อง ทิ้งให้ผมนอนเหงาหงอยอยู่ที่หอเพียงคนเดียว
ช่วงบ่ายว่างไม่มีธุระ ส่วนช่วงเย็นก็บอกยกเลิกการกวดวิชากับกุ้ง พร้อมขอบคุณที่อุตส่าห์มาช่วยแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่ในขณะที่กำลังก้มๆเงยๆกับการจัดหนังสือตรงหน้า ก็พบว่าข้อความจากคนของผมถูกส่งเข้ามาเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว
just pew : ให้ตุลลี่นอนห้องมึงดิ
paipai : จะนอนยังไง ห้องกูมีสองเตียง
paipai : มึงลืม?
just pew : ไม่ใช่
just pew : ให้ตุลลี่นอนห้องมึง
just pew : แล้วมึงมานอนห้องกู
just pew : มาวันนี้เลย
just pew : รีบเก็บของ กำลังจะลงไปที่รถแล้ว
paipai : ไอ้เชี่ย
paipai : แปปๆ อย่าเพิ่งมา
paipai : แล้วกูจะบอกไอ้ตุลลี่กับไอ้ยีนส์ยังไงวะเนี่ย
ผมหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หลังจากที่เห็นความกังวลของอีกฝ่ายถ่ายทอดออกมาผ่านข้อความ ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวเห็นยีนส์กับตุลลี่เป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อแม่กันแน่
just pew : บอกไปว่าจะไปนอนกับผัว
just pew : รักผัวมากๆ
just pew : เดี๋ยวพวกมันก็เข้าใจ
paipai : พ่องงงง
paipai : ขอยี่สิบนาที มึงอย่าเพิ่งมานะ
จัดแจงวางกองหนังสือที่ยังจัดไม่เข้าที่เข้าทางไว้คงอยู่อย่างนั้น ผมที่ไม่คิดจะรีรอยี่สิบนาทีให้หลังตามที่อีกฝ่ายบอก จึงหยิบกุญแจรถและของสำคัญออกจากห้องไปรับไป๋ตามที่อาสาทันที
ก็นะ อยากแกล้งไอ้ตัวป่วนมัน..
ไม่ถึงสิบนาทีรถคันเก่งของผมก็ขับมาจอดหน้าหอในฝั่งของหอชายตามที่เคยมาประจำ มือถือถูกยกขึ้นมากดเบอร์โทรหา เพียงไม่นานปลายสายก็ตอบรับขึ้นมา
[ฮัลโหล ไอ้พิวเหรอ]
“ไอ้ยีนส์? ไป๋ไปไหนอะ?” ผมขมวดคิ้วเล็กๆเมื่อเสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงที่คาดคิดไว้
[มันกำลังจัดของตามที่มึงสั่งอยู่เนี่ย เดี๋ยวกูเปิดโฟนให้ .. อะ ไอ้พิวถามหามึง]
“เมียเร็วหน่อยดิ ชักช้าจังวะ”
[เมียเหี้ยไรสัส! / โอ้ย อย่ามาประเจิดประเจ้อแถวนี้นะ ฉันรำค๊าญ] ฟังจากน้ำเสียงและบริบทที่ดังขึ้นแทรกแล้ว ก็เดาได้ในทันทีเลยว่าเป็นตุลลี่ที่ในห้องอยู่ด้วยอีกคน
[เสร็จแล้วๆ กำลังลงไป]
“แปปๆอย่าเพิ่งวาง..”
[อะไรอีกอะ?]
“ไอ้ยีนส์ ตุลลี่ .. ขอบคุณนะ” ผมกรอกคำพูดขอบคุณไปหาทั้งสองคนที่เคยช่วยให้ผมและไป่ไป๋ได้มาคืนดีกัน .. ขาดไปไม่ได้เลยจริงๆนะ
[ตุลลี่ทำเพื่อพิวขาโดยเฉพาะเลยค่ะ ไม่เกี่ยวกับไอ้ไป๋มันเลย / เออ ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองโว้ย] เสียงหัวเราะจากเพื่อนปนคำก่นด่าจากว่าที่แฟนผม ดังซ้อนกันจนฟังไม่ได้ศัพท์
[ขอบคุณอะไรของมึงวะ แค่นี้แหละ เดี๋ยวลงไป]
“อื้อ”
ไม่กี่นาทีให้หลัง คนตัวขาวสะพายกระเป๋าเป้ก็เดินลงมาพร้อมกับสัมภาระที่หอบหิ้วจนเต็มมือทั้งสองข้างไปหมด ผมเปิดกระโปรงท้ายให้เขานำของเขาไปใส่ ก่อนจะเดินวกกลับมาเปิดประตูรถทิ้งตัวลงบนเบาะข้างคนขับ
“เมียเป็นไร หน้ามุ่ยมาเลย”
“มึงแหละแม่ง อย่าเรียกเมียต่อหน้าคนอื่นได้ป่ะ”
“ทำไม เขิน?”
“เออ!”
“เขินทำไมวะ .. มึงจะเรียกกูผัวต่อหน้าคนอื่นกูยังไม่เขินเลย”
“กูเลิกคุยกับมึงแล้ว แม่ง” ผมเอื้อมมือไปแกล้งบีบจมูกอีกคนอย่างล้อเล่น ก่อนจะได้รับสายตาพิโรธเป็นของตอบแทนกลับมา ทำเอาผมชักฝ่ามือกลับมาแทบไม่ทัน เลยแก้เก้อด้วยการเหยียบคันเร่งออกตัวรถ ก่อนขับกลับหอของผมแทน
“เออ เพิ่งนึกได้ว่ากูยังติดเลี้ยงข้าวมึงอยู่เลย”
“เลี้ยงข้าวไรวะ?”
“ตอนนี้มึงไปเป็นเอ็กซ์ตร้า Role play ให้กลุ่มกูไง” ผมร้องอ๋อขึ้นมาเพราะเพิ่งจะมานึกเอาได้ในตอนที่เจ้าตัวเพิ่งบอกเมื่อกี๊
“มึงอยากแดกอะไรอะ?”
“ตังพวกมึง กูแดกอะไรก็ได้”
“ชาบูแมะ” ละสายตาจากถนนเบื้องหน้าแล้วหันไปสบกับไป่ไป๋ที่ทำหน้าทะเล้นใส่ผมอยู่ .. ตัวเองอยากกินเองล่ะสิไม่ว่า
“ได้หมด”
“โอเค ดีล ไปร้านชาบูกินแล้วนะ ซอยเก้าเลย เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง” ไอ้ตัวไป๋เอ้ย..
❋❋❋
“มึงร้านเหล้าที่เราไปกันมาเมื่อวานตำรวจลงแล้วว่ะ”
“ลงเมื่อไหร่”
“เมื่อคืนหลังจากเรากลับพอดี มีคนบอกไอ้ตุลลี่มางี้ .. บุญรักษาชิบหายเลยกู”
ตึ้ง!
หลังจากที่เราไปกินบุฟเฟ่ต์ชาบูกลับมาถึงหอเสร็จเป็นที่เรียบร้อย โดยมีผมเป็นคนช่วยถือสัมภาระอันหนักอึ่งของไป่ไป๋ขึ้นมา เดินออกจากลิฟต์มาได้เราก็ตรงเข้าห้องรีบวางของที่ถือมาลงกับพื้นเพราะความหนักทันที
“ถ้าอยากเข้าเดี๋ยวยี่สิบค่อยไปใหม่”
“กูไม่ได้อยากเข้าสักหน่อย”
“ถ้าอยากกินเหล้าก็ซื้อมานั่งกินกับกูที่ห้องเนี่ยแหละ .. มึงใช้โต๊ะตัวริมก็ได้ ตอนกลางวันอ่านหนังสือแสงจะได้ถึง”
“อ่าฮะๆ ขอบคุณมาก”
กลิ่นอาหารจากที่ร้านยังติดตามเสื้อผ้าผมอยู่ ผมจึงเลือกทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้องแทนเตียง แกล้งยกสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเล่นแต่ก็แอบดูคนกำลังจัดของอย่างขะมักเขม้นไปด้วย
จนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมหันเหไปสนใจคนตัวเล็กกว่า โดยไม่ต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาปิดบังจุดประสงค์
ไป่ไป๋เดินไปมาภายในห้องสี่เหลี่ยม จากมุมนี้ไปมุมนู้น จัดเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนเข้าตู้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะยกของขึ้นวางชั้นด้านบนไม่ให้เกะกะทางเดินจนชายเสื้อยืดผ้าบางรั้งขึ้นให้เห็นผิวขาวใต้ร่มผ้าวับแวบๆ
มีวูบนึงที่ผมรู้สึกอยากเห็นภาพแบบนี้ไปทุกวันๆ
ถึงต้องแบ่งเตียงให้นอน ถึงต้องแย่งกันอาบน้ำทุกเช้าทุกดึกก็ไม่เป็นไร
ถ้าขอให้มาอยู่ด้วยกันจะเป็นอะไรไหมนะ..
“จัดของแปปเดียวแม่งร้อนชิบหายเลย .. กูไปอาบน้ำก่อนนะ”
“..ไป๋”
“หื้ม?” ร่างบางที่กำลังก้าวเท้าเข้าห้องน้ำไปชำระตัวถึงกับชะงัก เมื่อผมเอ่ยชื่อรั้งตัวเขาไว้
“ชอบห้องกูป่ะ?”
“อือ ชอบดิ ดีกว่าหอในเยอะเลย”
“งั้นมาอยู่ด้วยกันเลยดีไหม” เมื่อเห็นกว่าอีกฝ่ายเงียบจนนานเกินไป พาให้ใจผมเริ่มห่อเหี่ยว เพราะกลัวการปฏิเสธ ไม่รอช้าจึงเลิกคิ้วเพื่อถามความสมัครใจอีกรอบนึง
“..ขอถามไอ้ยีนส์กับตุลลี่ก่อนได้ป่ะ?”
“เรื่องแค่นี้เดี๋ยวกูคุยให้เอง .. มึงอยากอยู่กับกูป่ะล่ะ?”
“อยากดิ .. กูไปอาบน้ำแล้วนะ บาย” เสียงพูดระรัวจนเหมือนลิ้นจะพันกันของไป๋ ดังขึ้นแทบจะพร้อมกันกับเสียงปิดของประตู ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าตัวกำลังเขินในสิ่งที่ได้พูดออกมา
ไอ้ตัวไป๋ของผมมันน่ารักขึ้นทุกชั่วโมงเลยแฮะ..
รอยยิ้มถูกวาดขึ้นอย่างชัดเจนบนใบหน้าของคนที่กำลังเดินไปที่เตียง ร่างสูงเดินเลยไปเล็กน้อย ก่อนจะหยุดลงที่ลิ้นชักขนาดเล็กของโต๊ะหัวเตียง ชั้นแรกสุดถูกเปิดออกพร้อมกับของในนั้นโชว์ให้ปรากฎแก่สายตา
ดูเร็กซ์ เฟเธอร์ไลท์ ดูเร็กซ์ เลิฟ ดูเร็กซ์ สตอรเบอร์รี่ ปิดท้ายด้วยคลาสสิก เพลสเช่อร์ เจล ทั้งหมดนี้ที่เคยได้ไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้ากับไป๋ในคราวก่อน แถมยังเคยขู่อีกคนไปแล้วด้วยว่าจะเอามาใช้ด้วยกัน
‘รอก่อนนะลูกพ่อ อีกไม่นาน พ่อจะให้ลูกแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างไม่เสียชาติเกิดเลย’
และแล้วลิ้นชักก็ได้ถูกปิดลง โดยแม้แต่เจ้าของเองไม่รู้ว่าเวลาที่ว่านั่นคืออีกนานแค่ไหนกันแน่...
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
พาเรือพิวไป่ไป๋กลับมาตามสัญญาแล้วนะฮับ
ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือช่วยบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
:mew1: :mew1: :mew1:
-
:L2: :L1: :pig4:
ลงให้อ่านยาวเลย ขอบคุณมาก
เดี๋ยวเรามาเมนท์เพิ่มอีกที
-
:-[ :-[
-
ขอบคุณที่ทั้งสองคนได้คุยกันจนรู้ความจริงนะเออ เฮ้อ เศร้ามาซะนาน
-
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ แต่งดีมากเลย สำนวนดีไม่มีคำผิด ชอบๆ มาต่ออีกนะคะ รักไรท์
-
:L2: :pig4:
เข้าใจสิ่งที่พิวทำละ
ต้องบอกว่าจุดมุ่งหมายดี แต่วิธีการไม่โอเค กลายเป็นความไม่เข้าใจ เป็นความเศร้าไปแทน
ต้องเก็บเอาเคมีไปสอนตอนลงทะเบียนเรียนใหม่นะ55
-
ทำไมร้ายยยยยยย :hao7:
-
พิวก็ดูเป็นพระเอกกากๆเหมือนกันน่ะ 555555 ชอบบบบ
-
chapter eighteen。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“มึง กูไม่ไหวแล้ว .. ฮื่อ”
“อดทนหน่อย อีกนิดเดียว”
“หยุดก่อนได้ไหม กูไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“ได้ งั้นเบรกสิบนาทีแล้วกัน”
ภายในวันหยุดเสาร์อาทิตย์หนึ่งสัปดาห์ก่อนสัปดาห์สอบไฟนอล ห้องสี่เหลี่ยมไม่ชินตากับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่เอาแต่นั่งกำกับการอ่านหนังสือของผมให้ลุล่วง โจทย์ฟิสิกส์ตรงหน้ามันพาให้รู้สึกตามืดมัวทุกครั้งที่ได้เจอ
สิ้นเสียงคำอนุญาตของพิวที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นติวเตอร์จำเป็น ผมก็ถลาร่างของตัวเองลงบนโซฟาห่างจากโต๊ะญี่ปุ่นที่เรานั่งอยู่เมื่อกี๊ไปไม่เท่าไหร่ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบขึ้นมาเพื่อใช้พักผ่อนหย่อนใจในทันที
ตุลาครับ : อีไป๋ มึงไม่ต้องกลับมาแล้วนะ
ตุลาครับ : นังคลอวดผัว
Jeansss : มีผัวแล้วลืมพ่อกับแม่เลยว่ะ
Jeansss : น้อยใจๆ
paipai : อะไรของพวกมึง?
ตุลาครับ : ผัวมึงไลน์มาขอให้มึงไปอยู่ด้วยเนี่ย
แกร๊ก
ร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามกางเกงบ็อกเซอร์ที่เจ้าตัวใช้อากาศที่ร้อนอบอ้าวเป็นข้ออ้างในการเลือกแต่งตัว กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำหลังที่เจ้าตัวเข้าไปทำธุระ คิ้วได้ทรงเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ คงกำลังสงสัยที่ผมเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
“มองหน้าอยากโดนเหรอเมีย?”
“มึงไปบอกอะไรไอ้ยีนส์กับไอ้ตุลลี่มา”
“เอ้า ก็เมื่อวานมึงบอกเองว่าอยากอยู่กับกู” ทีท่าของพิวหาได้แยแส เจ้าตัวโผเข้ามายกศีรษะของผมให้ยกขึ้นพร้อมกับเขาที่ทิ้งตัวลงมานั่ง ก่อนบรรจงวางหัวผมลงบนตักตัวเองอีกที ทำให้ตอนนี้กลายเป็นว่าผมกำลังอยู่ในท่านอนหนุนตักอีกฝ่ายอยู่
“ทำอะไรก็เรื่องของมึงเหอะ” ชายตามองเวลาบนหน้าจอก็พบว่าการพักเบรกมันกินเวลามาเกินสิบนาทีแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าพิวไม่ได้ตำหนิอะไรแถมยังนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมเลยจัดการคว้าสมาร์ทโฟนลูกรักขึ้นมากดเล่นอีกรอบ
ก้าดเก้วกาด : ใครผัวไป๋ อะไรยังไง
ก้าดเก้วกาด : นี่เราพลาดอะไรไปป่ะ
K : *ส่งสติ๊กเกอร์*
ตุลาครับ : ง่ายๆเลยคือไอ้ไป๋เป็นเมียไอ้พิว
ตุลาครับ : มันชอบเรียกกันอย่างงี้
ตุลาครับ : แต่ไม่รู้ว่ามันสองคนได้กันยัง
“บอกไปดิว่าใกล้แล้ว”
“ไอ้เชี่ย” เพราะองศาของหน้าจอที่ผมกำลังนอนถือมันง่ายต่อการแอบอ่านของคนสายตาดีอย่างไอ้พิว เลยทำให้เจ้าตัวแอบอ่านข้อความจากกรุ๊ปไลน์ที่กำลังเปิดได้อย่างสะดวก
ก้าดเก้วกาด : ช็อก
K : +1
Jeansss : อันที่จริงเรื่องระหว่างมันสองคนยาวมาก
Jeansss : แต่ถ้ามึงมาที่ห้องกูตอนนี้
Jeansss : เดี๋ยวกูจะเล่าให้ฟัง
ก้าดเก้วกาด : ได้!
K : otw
“มานี่เดี๋ยวกูตอบให้”
“เฮ้ย ไอ้พิวมึงจะเอาโทรศัพท์กูไปทำอะไร” คนแขนยาวคว้ามือถือในมือผมไปอย่างถือวิสาสะ เจ้าตัวยืดถือของในมือจนสุดแขนแล้วแถมยังพิมพ์ยุกๆยิกๆลงไปในนั้นด้วย .. ผมพนันได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีๆแน่
คิดว่าหากอยู่เฉยๆคงจะไม่ได้การเลยลุกขึ้นจากท่านอนเตรียมตะครุบของสำคัญในมือไอ้พิวกลับมาให้ได้ แต่มันก็ไม่ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปอย่างที่ผมต้องการ เพราะสองขายาวได้ลุกขึ้นยืนตรงพร้อมยื่นโทรศัพท์ของผมขึ้นสูงจนสุดแขน
“ไอ้ตัวไป๋แขนสั้นจังวะ”
“เดี๋ยวมึงก็รู้” แม้จะเขย่งก็แล้ว กระโดดก็แล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าผมจะเอื้อมมือไปถือได้เลย ภายในหัวจึงเริ่มคิดแผนที่จะใช้จุดอ่อนของอีกฝ่ายมาเล่นงานกลับ
ในขณะนั้นเองที่นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างของคนอยากจะเอาชนะถูกส่งไปวางทาบทับติ่งเนื้อนูนสีเข้ม ก่อนจะออกแรงสะกิดผ่านเนื้อผ้าสีขาวบางอย่างแผ่วเบา..
“..อ่าห์” เสียงครางทุ้มต่ำดังออกจากลำคอพาให้ไป่ไป๋ชะงัก เพราะนอกจากร่างสูงยังคงเหยียดแขนขึ้นสูงดังเดิมแล้วยังได้ของแถมเป็นเสียงกับสีหน้าชวนให้คิดทะลึ่งนี่อีก
ตามแผนไอ้พิวควรจะจั๊กจี้แล้วลดมือมาปิดหัวนมสิ ไม่ใช่ทำหน้าฟินแบบนี้..
“หยุดทำไมวะ ต่อดิ กำลังได้เลย” มือหนาจัดการโยนโทรศัพท์เครื่องสีดำลงบนเตียงแล้วหันมาใช้สองฝ่ามือรวบแขนเล็กให้กลับมากระทำเรื่องสัปดนต่อ ด้านคนหัวดื้องัดเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขึ้นมาต่อกรกับผู้ที่เหนือกว่าทางด้านร่างกาย แต่ก็ดูไม่เป็นผล เมื่อร่างบางถูกผลักลงเตียงตามสมาร์ทโฟนคู่ใจไปติดๆ
“ถ้ามึงไม่ทำกูต่อ กูจะทำมึงแทนแล้วนะ” คำพูดเชิงคำขู่ถูกกรอกใส่ใบหูเล็ก ซึ่งภายหลังเปลี่ยนมาเป็นการขบเม้มแทน ขนเส้นอ่อนตามแขนพากันลุกเกรียวกราวเมื่อใบหน้าดูดีเลื่อนผ่านลงไปตามอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายอย่างย่ามใจเมื่อเห็นว่าคนตัวขาวไม่ได้ตอบโต้
และจากใบหูสู่ลำคอ..
“อ๊ะ ..” ความเจ็บตีวงแผ่เล็กๆสู่ปลายประสาทผิวเนื้ออ่อนช่วงคอ ทำให้ไป่ไป๋หลุดเสียงกระเส่าที่ดูน่าอายในความคิดออกมาอย่างห้ามไม่ได้
สัมผัสนิ่มหยุ่นของลิ้นกับเสียงเปียกชื้นของน้ำลาย พาให้สติหนีจากตัวไปอย่างไร้ทิศทาง เขานึกว่ามันจะจบเพียงหนึ่ง .. แต่ผู้กระทำก็ยังหมกหมุ่นอยู่กับผิวขาวช่วงคออย่างไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา จนเกิดรอยที่สอง และสามตามมาจนได้
อา .. ถูกฝากคิสมาส์กไว้ซะแล้ว
“อ-อื้อ พิว พอได้แล้ว” ท่อนแขนของคนเบื้องล่างออกแรงยันลำตัวคนที่กำลังข่มเหงให้เสียเชิงชายออกห่าง ก่อนที่อะไรๆจะเตลิดจนยากที่จะหยุด
จุ๊บ
แรงกดจูบหนักๆปิดท้ายที่ริมฝีปากส่งท้ายกิจกรรมชวนสยิว ทำให้ไป่ไป๋มองเห็นภาพเมื่อคืนซ้อนทับกันไปมา .. ก่อนจะสังเกตได้ว่าเสื้อถูกเลิกขึ้นเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
“..รอกูก่อน”
“ห้ะ?”
“ได้เป็นแฟนเมื่อไหร่ กูจะจับทำเมียแม่งตรงนั้นเลย” ถ้อยคำจากคนที่อ้างกรรมสิทธิ์เป็นผัวในตัวเขาเอ่ยทิ้งท้ายฝากไว้ ก่อนที่คนตัวสูงนั่นจะหลบหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง
นิ้วเรียวเกี่ยวชายเสื้อเหนือแผ่นอกราบลงมาให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย มือขวาถูกวางลงบนอกฝั่งซ้ายแล้วเป่าลมออกจากปากเบาๆพยายามลดระดับการเต้นของหัวใจตัวเองจากเหตุการณ์เมื่อครู่
เคยอันตรายแบบไหนก็อันตรายแบบนั้น..
เมื่ออัตราการสูบฉีดเลือดลดน้อยลง จึงเอื้อมแขนไปหยิบมือถือเพื่อดูว่าคนตัวสูงได้ทำอะไรกับโทรศัพท์เขาลงไปบ้าง..
paipai : รักผัว
ตุลาครับ : สุดว่ะ ไอด้อนชิบหาย
ก้าดเก้วกาด : ขอให้ความรักมีแต่ความสุขใจ
Jeansss : ไม่ว่าสิ่งไหนเข้าได้หมดทุกทาง
ตุลาครับ : *ไม่ว่าสิ่งไหนเข้ากันหมดทุกอย่าง
ตุลาครับ : อีสัส
K : ร้องไม่เป็น แต่ยินดีด้วย
เพียงคำแค่สองพยางค์ที่ได้พิมพ์ลงไปก็พาให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกเท่าตัว จะกดยกเลิกข้อความเอาตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้ว ส่วนเพื่อนตัวดีของผมก็ไม่รู้สึกเอะใจขึ้นมากันเลยสักนิด .. กูไม่ได้พิมพ์โว้ย!
ผมคว้าโทรศัพท์พร้อมลุกขึ้นเดินออกจากเตียง เตรียมไปคาดคั้นตัวการสร้างความวุ่นวายที่หายต๋อมเงียบอยู่ในห้องน้ำสักพักได้แล้ว
“..อ่า อ่า .. อะ”
“...” เสียงแผ่วที่ฟังดูไม่เป็นคำและไม่เป็นประโยคดังออกมาจากหลังประตู มือซ้ายที่กำลังกำหลักฐานเอาไว้ต้องลดระดับไว้ข้างลำตัว เพื่อแนบหูเข้ากับบานเปิดปิดข้างหน้า
“อ่า .. ซี๊ด ไป๋” ผมเบิกตากว้างแล้วรีบเด้งตัวออกมาจากตรงนั้นทันทีที่รู้ว่าคนที่อยู่ในนั้นกำลังทำกิจกรรมแสดงถึงความกลัดมันของเพศชายอยู่.. อีกทั้งยังพูดชื่อผมออกมาด้วย
ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงส่วนไหนของห้อง ก็รู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองเกะกะไปหมด หันซ้ายขวาไปมาราวกับคนหลงทาง จนสายตาเหลือบไปสบกับภาพตนเองในกระจกแต่งตัวข้างตู้เสื้อผ้า
ปื้นห้อเลือดสีแดงก่ำทั้งสามจุดที่เพิ่งมีขึ้นในด้านข้างของลำคอ บวกกับเสียงทุ้มที่เริ่มหนักข้อขึ้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังถึงช่วงไคลแมกซ์ของตนเอง เพียงเท่านี้ก็พาให้ใบหน้าที่ขาวซีดเพราะความตกใจเริ่มระเรื่อด้วยสีชมพูเลือดฝาดขึ้นมา จนรู้สึกเหน็บชากินไปทั้งตัว.. นึกอยากให้คนข้างในรีบเสร็จสิ้นภารกิจเร็วๆสักที
ออกมาได้แล้ว .. กูอยากเข้าบ้าง
❋❋❋
“ไป๋ กูไปสอบก่อนนะ”
“อื้ม”
“เดี๋ยวเที่ยงกลับมากินข้าวด้วย อย่าเพิ่งไปกินที่อื่นนะ”
“..อื้ม กินข้าวเช้ายัง?” ผมงัวเงียฝืนลืมตาขึ้นมาถามรูมเมทคนใหม่ในชุดนักศึกษาที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงนอน เพราะว่าวันนี้มีสอบในวิชาเคมีที่ผมได้ถอนไปแล้ว ทำให้การสอบไฟนอลวันสุดท้ายของผมจึงกลายเป็นเมื่อวานแทน
จะว่าไปจนถึงตอนนี้ผมได้มาอยู่ห้องไอ้พิวเป็นเวลาประมาณสองอาทิตย์กว่าๆแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แม้ของใช้ส่วนใหญ่ของผมจะอยู่ที่ห้องเดิมที่กลายเป็นที่นอนของไอ้ตุลลี่ไปแล้วก็ตาม
กิจวัตรประจำวันในช่วงไฟนอลของเราเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างบ้าคลั่ง ใช้เวลาที่เหลือในแต่ละวันไปกับการนั่งจมในกองหนังสือ กว่าจะได้นอนก็ตีสองตีสาม ตื่นเช้าไปสอบ วันไหนโชคดีมีสอบบ่ายก็จะได้เวลานอนเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย และก็จะมีบ้างบางวันที่เพื่อนๆของผมมานั่งอ่านด้วย โดยทั้งหมดนี่วนลูปอยู่อย่างนี้กินเวลาเป็นสัปดาห์
“กินแล้ว ไปนะ บาย”
จุ๊บ
ริมฝีปากของคนมีสอบทาบจูบลงบนหน้าผากคนกึ่งหลับกึ่งตื่นจนเกิดเสียง ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนบนเตียงลืมตากว้างเพราะกริยาเมื่อครู่นี้
เคยจุ๊บครั้งนึง แล้วแม่งก็จะจุ๊บตลอดไป..
แต่เมื่อฝืนทนความเหนื่อยล้าสะสมจากทั้งอาทิตย์ไม่ไหวเลยทำให้ผมจมสู่ห้วงนิทราในช่วงแปดโมงเกือบเก้าโมงเช้าไปอีกครั้ง..
“..อื้อ กลับมาแล้วเหรอ?”
“กลับมาแล้ว”
“กี่โมงแล้ววะ ทำไมเหมือนมึงกลับเร็ว”
“เพิ่งสิบเอ็ดโมง แต่ทำข้อสอบเสร็จแล้ว” แรงกอดรอบเอวจากทางด้านหลังปลุกผมตื่นขึ้นจากความฝันขึ้นอีกครั้ง กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวบ่งบอกให้ผมรู้ได้ว่าเป็นไอ้พิว พอชะโงกหน้ามองนาฬิกาหัวเตียงก็พบว่าอีกเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนจะหมดเวลาทำข้อสอบ .. แต่ก็นะสำหรับไอ้พิววิชาเคมีก็เป็นอะไรที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยแดกอยู่แล้ว
“จะไปแดกข้าวเลยไหม กูจะได้ไปอาบน้ำ”
“ยัง ขอกูชาร์ตแบตแปป” ความหมายของการชาร์ตแบตที่เจ้าตัวพูดไม่ได้หมายถึงการเติมไฟให้กับโทรศัพท์หรืออะไรทำนองนี้หรอก .. แต่มันหมายถึงให้ผมนอนนิ่งๆในอ้อมแขนของมันจนกว่าจะพอใจต่างหาก
“เอ้อ ตุลลี่ฝากถามว่าเย็นนี้จะไปงานอำลาวิทยาเขตที่ศูนย์การเรียนรู้ไหม?”
“เป็นงานอะไรวะ?”
“ก็เลี้ยงส่งเพื่อนคณะอื่นที่เขาต้องย้ายวิทยาเขตไง”
“..อ๋อ” พูดถึงเรื่องย้ายวิทยาเขตแล้ว ก็มีหลายคณะด้วยกัน เช่น แพทย์ วิทยาฯ ที่ตั้งแต่ปีสองขึ้นไปก็จะไม่ได้เรียนที่วิทยาเขตเดิม แต่โชคดีหน่อยที่คณะวิศวะฯได้เรียนที่นี้ทั้งสี่ปีเลยไม่ต้องย้ายไปมาให้ยุ่งยาก
“สรุปว่าจะไปป่ะ?”
“มันมีอะไรบ้างวะ”
“ได้ยินตุลลี่เล่าให้ฟังว่ามีนิทรรศการกับคอนเสิร์ตมั้ง”
“ไปๆ .. มึงจะไปแดกข้าวเที่ยงเมื่อไหร่บอกด้วยแล้วกัน กูจะได้ไปอาบน้ำ”
“ครับเมีย”
-
❋❋❋
“พิว มึงอยู่กับเพื่อนกูไปก่อนนะ กูไปหาเพื่อนคณะอื่นแปป”
“เออ รีบกลับมานะ กูเหงา”
“อีไป๋ จะไปไหนก็ไป เดี๋ยวกูขอยืมผัวมึงไปอวดชาวบ้านแปป”
ในที่สุดพวกเราทุกคนก็ได้มาอยู่ที่งานอำลาวิทยาเขตแล้วเป็นที่เรียบร้อย ตอนแรกผมตั้งใจแค่จะมานั่งดูคอนเสิร์ตเฉยๆ แต่พะแพงที่ไลน์ชวนเพื่อนทุกคนที่สนิทให้มาถ่ายรูปรวมด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายของปีหนึ่งทำให้ผมต้องพาตัวเองไปเจอเพื่อนๆจนได้
“ไป๋ๆ ทางนี้ๆ” สาวแพทย์เพื่อนร่วมทุกข์สุขในเกือบทุกโปรเจค ยืนกระโดดโบกมือหยอยๆให้ผม พร้อมรอบข้างที่เป็นเพื่อนร่วมเซคกันอีกหลายชีวิต รวมทั้งเปรมและขวัญก็มาด้วย
“เซย์ ชีส”
“ชีสสส”
“สาม สอง หนึ่ง .. โอเค เปลี่ยนท่า”
ไม่ใช่แค่พะแพงที่ต้องย้ายวิทยาเขตแต่รวมถึงเปรมที่อยู่คณะวิทย์ฯ และเพื่อนคนอื่นๆก็ด้วย พวกเราเก็บรูปกันพอหอมปากหอมคอ การเรียนในแต่ละคณะถูกหยิบยกมาพูดคุย ไม่มีใครพูดอ้างว่าคณะตัวเองเรียนยากที่สุดเพื่อข่มผู้อื่น .. เพราะต่างคนต่างเข้าใจว่าคนเราถนัดไม่เหมือนกัน
ระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เรื่องน่าประทับใจที่สุดสำหรับผม คือการได้เจอคนที่ดีมากมาย แต่ก็เสียดายที่ว่าเวลาในการใช้ร่วมกันมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ..
“โชคดีนะพะแพง เก็ทเอให้หมดทุกวิชาเลย”
“โชคดีเหมือนกันนะไป๋”
“อื้ม ขอบคุณนะ”
“ไอ้ไป๋ แล้วกูอะ กูก็ย้ายวิทยาเขตเหมือนกันนะเว้ย”
“สำหรับมึงกูจะอวยพรให้มึงกลับมาหากูที่นี่บ่อยๆแล้วกัน”
“คำอวยพรอะไรของมึงวะ” สำหรับผมแล้วเปรมก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีอีกคนนึงเลยก็ว่าได้ แม้มันจะชอบกวนประสาทอยู่บ้าง แต่เจ้าตัวก็ช่วยเหลือผมในทั้งงานกลุ่มและงานดีได้อย่างดีเลยทีเดียว
“กูต้องไปละ .. บายนะ พะแพง บายไอ้เปรม ส่วนขวัญไว้เจอกันน้า”
“อื้อ ไว้เจอกันจ้า”
เราต่างแยกย้ายกันไปหาเพื่อนของตัวเอง หลังเวทีเต็มไปด้วยวงดนตรีแต่ละคณะกำลังเตรียมพร้อมเพื่อขึ้นแสดงในเวลาหกโมงเย็นที่จะถึง ผมเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆจนถึงที่ที่ได้เดินแยกจากเพื่อนๆของผมมา .. แต่กลับไม่พบคนที่ผมต้องการจะเจอเลยสักคน
จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาบุคคลเจ้าของเบอร์ที่แสดงเป็นหมายเลขล่าสุด
[ฮัลโหล]
“ฮัลโหล พิวมึงอยู่ไหน?”
[หน้าแฟมฯ เดินมาเลยกูรออยู่]
“เออ ได้ๆ แค่นี้แหละ” หลังจากวางสายเสร็จผมก็รีบสับขาเดินไปหาอีกฝ่ายทันที ผู้คนเริ่มมากันเยอะตามเวลาที่เพิ่มขึ้น จนผมต้องอาศัยการชะโงกมองซ้ายขวาเพื่อหาตำแหน่งของอีกคน .. และแล้วผมก็หาเขาจนเจอ
“ไอ้พิ-”
“หวัดดี พิวจำเราได้ไหม” ฝ่าเท้าที่กำลังย่างก้าวเข้าไปประชิดตัวคนที่กำลังยืนรอก็ชะงักลง เมื่อโดนสาวในชุดนักศึกษารัดรูปกับกระโปรงทรงสอบสั้นกว่าหัวเข่าขึ้นไปที่บ่งบอกว่าเธอเป็นคงเป็นคนที่ค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง ได้ตัดหน้าทักไอ้พิวไปเสียก่อนที่มันจะหันมาเห็นผมเป็นที่เรียบร้อย
“..ไม่ได้อะ”
“เราลิลลี่ เรียนศิลปศาสตร์เอกอิ๊งที่อยู่เซคเดียวกับพิวไง”
“จำไม่ได้อยู่ดีอะ ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราขอถ่ายรูปด้วยหน่อยได้ไหมอะ”
“อ่า .. ได้” จากนั้นก็ตกเป็นหน้าที่ของเพื่อนผู้หญิงของลิลลี่รับหน้าที่ถือโทรศัพท์เจ้าตัวเพื่อถ่ายรูปให้ทั้งสอง
“ช่วยชิดกันกว่านี้หน่อยค่า”
“พอไหม?” สาวตัวเล็กเขยิบร่างกายให้ใกล้กับพิวมากขึ้นตามที่ตากล้องเอ่ยขอ
“อีกนิดนึงๆ”
“พิว เราขอยืมแขนพิวแปปนะ” เพียงเสี้ยววินาทีที่ท่ายืนถ่ายรูปแบบปกติก่อนหน้านี้จะถูกเปลี่ยนเมื่อวงแขนเล็กของเธอได้เกี่ยวเข้ากับท่อนแขนของพิวให้เก็บภาพของสองคนไว้ได้ทั้งหมด
“โอเคจ้า ขออีกท่านึง”
“พิวยิ้มด้วยสิ”
“..เอ่อ”
“อะนี่ เรียบร้อยแล้วจ้า” ตากล้องจำเป็นส่งคืนโทรศัพท์ใส่เคสสีหวานคืนเจ้าของ แขนทั้งสองที่เคยควงกันได้แยกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง มองจากตรงนี้ผมสามารถเห็นได้เลยว่าผิวของพวกเขาได้สัมผัสกันไปเล็กน้อย
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราเพิ่งเห็นว่าพิวเอาสเตตัสคบกับแฟนลงไปแล้ว..”
“คนนั้นไม่ใช่แฟน”
“..อ้าว แล้วงี้พิวก็โสดมานานแล้วสิ”
“แต่เรามีคนที่อยากเป็นแฟนด้วยแล้วน่ะ”
“...” สีหน้าของลิลลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อยหลักจากที่ได้ยินไอ้พิวพูดไปอย่างนั้น
“ขอโทษที่เราต้องพูดตรงๆนะ แต่เราคิดว่าถ้าเราให้ความหวังไปแล้วคงไม่ดีกับเราทั้งคู่แน่ๆเลย”
“..งั้นเหรอ”
“อื้ม ขอโทษด้วยจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไร แต่ฝากไปบอกด้วยนะ ถ้าคนนั้นปล่อยพิวหลุดมือไปเมื่อไหร่ เราจะเป็นคนแรกที่รอเสียบเลย” ใบหน้าที่ดูซีมเศร้าเมื่อกี๊ถูกเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าที่ดูมั่นใจอีกครั้ง เพียงทั้งสองส่งยิ้มให้กันน้อยๆก็พาให้ผมรู้สึกหงุดหงิดได้อย่างที่ไม่เคยเป็น ..
“ฮ่ะๆ เราไม่ให้เขาไปไหนหรอก .. เราติดเขาจะตาย” และไป่ไป๋ก็ได้รู้ว่ารอยยิ้มเมื่อครู่นี้ พิวไม่ได้มีไว้ใช้กับคู่สนทนาของตัวเอง .. แต่เขายิ้มให้คนที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ต่างหาก
“ทั้งปวดใจ ทั้งอิจฉาเลยแหะ”
“ขอโทษจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เจอกันอีกเมื่อไหร่ทักเราได้ตลอดเลยนะ”
“อื้อ ขอบคุณ”
“บ๊ายบาย”
ผมยืนมองทุกอย่างอยู่ที่เดิม ลิลลี่ได้เดินออกไปแล้วแต่ผมก็ยังไม่กล้าขยับไปไหน จนกระทั่งคนที่ยืนรอผมหันหน้ามาเจอเข้าพอดี
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พิวที่เพิ่งมองเห็นการมีอยู่ของผมได้หันมาถาม ทำเอาผมสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นว่าเพิ่งมาถึงเมื่อไม่นานมานี้ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไรก็ตาม
“เพิ่งถึง แล้วผู้หญิงเมื่อกี๊ใครเหรอ”
“ชื่อลิลลี่มั้ง เพื่อนเซคเดียวกัน มาคุยด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร”
“อ่าฮะ .. ว่าแต่พวกไอ้ยีนส์หายไปไหนหมด” ในตอนแรกคิดว่าเพื่อนของผมคงอยู่แถวๆนี้ไม่ห่างไปไหน แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไม่เจอเลยแม้แต่คนเดียว
“มันบอกไม่อยากอยู่เป็นก้าง แต่ก็ดีแล้ว กูกับมึงจะได้สวีทกันบ้าง”
“แล้วที่ห้อ-” ใจจริงกำลังจะถามไปว่า แล้วที่ห้องนี่ไม่เรียกสวีท? แต่กลัวเจ้าตัวจะเอากลับมาล้อเลยเลือกที่จะไม่พูดออกไปให้ครบประโยคคงจะดีเสียกว่า
“ช่างแม่งเหอะ แล้วเราไปไหนกันก่อนดี?”
“คอนฯยังไม่เริ่ม งั้นไปดูห้องแกลเลอรีกันก่อนไหม?” ไอ้พิวชี้ไปยังห้องกระจกใสที่ใช้จัดนิทรรศการของงานวันนี้ที่มองจากภายนอกแล้วก็น่าเข้ามากเลยทีเดียว
“อื้อ ไปกัน”
ภายในห้องแกลเลอรีถูกประดับด้วยไฟสีวอร์มไวท์ช่วยสร้างบรรยากาศ รูปถ่ายจากกิจกรรมในรั้วมหาลัยถูกจัดแสดงทั่วทุกมุมของห้อง เพื่อนปีหนึ่งเดินสวนทางกันเพื่อออกไปรับชมคอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ส่งผลให้จำนวนคนเริ่มร่อยหรอจนพวกเราชมภาพได้อย่างสะดวกขึ้น
“ไป๋ นี่มันมึงนี่หว่า” ผมหันหัวตามเสียงเรียกของไอ้พิวที่กำลังใช้นิ้วมือชี้ไปที่รูปบนบอร์ด
“เชี่ยแม่ง โคตรทุเรศเลยว่ะ” ผมเดินมาหยุดที่หน้ากระดานล้อเลื่อนประมวลภาพกิจกรรมภายในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพของผมถูกมัดจุก ทาแป้งจนหน้าขาว จากบทลงโทษในงานรับน้องของคณะเมื่อเทอมที่ผ่านมา
“ฮ่าๆ .. หัวเถิกว่ะ แต่ก็น่ารักดีนะ”
“ไม่เถิกเว้ย เฮ้ย อย่าถ่าย” รีบเอ่ยห้ามเมื่อเห็นอีกคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องเตรียมจะถ่ายรูปน่าเกลียดๆของผมเอาไว้.. แต่ก็ไม่ทันจนได้
“เก็บไว้ดูไง”
“แม่ง เดี๋ยวกูจะหารูปมึงบ้าง” ผมค่อนข้างแน่ใจว่ายังไงก็ต้องมีรูปของคนที่ได้เป็นถึงเดือนภาคอยู่อย่างแน่นอน จึงจัดการไล่สายตาด้วยความมุ่งมั่น ตั้งแต่มุมบนสุดผ่านใบหน้าของเพื่อนที่คุ้นตาบ้างไม่คุ้นตาบ้างไปหลายคน จนในที่สุดผมก็เจอ..
ไอ้พิวในชุดนักศึกษาแบบพิธีการกำลังถือป้ายภาควิชาในวันปฐมนิเทศ .. ในวันนั้นผมจำได้เลยว่าตอนที่ได้เจอกันครั้งนั้น หน้าของพิวมันดูสะดุดตามากจริงๆ ทรงผมที่ถูกเซ็ตขึ้นอย่างเอาฤกษ์เอาชัยในวันดีๆยิ่งขับใบหน้าให้น่ามองมากยิ่งขึ้น
ไอ้สัส หล่อจังวะ..
“ไร้สาระว่ะ ไม่เห็นหนุกเลย เลิกเล่นเหอะ” เสียงหัวเราะเบาๆไล่ตามมาหลังจากที่ผมแกล้งเดินหนี เพราะไม่อยากเป็นผู้แพ้ในเกมที่ผมเป็นคนเริ่มเอง
คนอย่างไอ้พิวแม่งเคนมียุคมืดเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้างไหมวะเนี่ย...
“เพื่อนๆ มาร่วมส่งจดหมายไปให้ตัวเองในหนึ่งปีข้างหน้ากันได้น้า” เมื่อทันทีที่เราเดินขึ้นบันไดพากันมาในส่วนชั้นสองของนิทรรศการ ก็ได้มีเป็นส่วนของกิจกรรมต่างๆที่สามารถให้คนเข้าร่วมได้ร่วมเล่น และร่วมสนุกไปด้วยกันได้ โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว
จากนั้นเราสองคนก็รับโปสการ์ดและซองจดหมายที่ดูคุ้นตาจากเพื่อนๆที่กำลังยืนต้อนรับอยู่ จากนั้นจึงเดินไปจับจองพื้นที่บนโต๊ะใช้นั่งเขียนที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ ผมที่กำลังมองความว่างเปล่าของโปสการ์ดอยู่ก็พลันนึกถึงเรื่องที่ผ่านๆมาขึ้นได้
“ดูคุ้นๆป่ะ?” คนตัวสูงที่นั่งตรงข้ามกันยกแผ่นกระดาษหนาขึ้นโบกไปมาตรงหน้าผม
“อือ กูยังเก็บไว้อยู่เลย”
“กูก็เก็บ” ไม่รู้อะไรดลใจให้เราสองคนฉีกยิ้มส่งให้พร้อมกัน อยู่ๆก็คิดถึงเมื่อตอนที่เพิ่งสนิทกันแรกๆขึ้นมา ถึงจะมีเรื่องลามกบ้าง เรื่องไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาก็ชัดเจน และถึงมีช้อยส์ให้เจ้าตัวเลือกมากมาย จนสุดท้ายหวยก็กลับมาออกที่ผม
ขอบคุณที่เข้ามาทำให้รักเกิดขึ้นอีกครั้งนะ
กินเวลานานเกินหน่วยวินาทีที่ผมเอาแต่จ้องมองรอยยิ้มที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆของอีกฝ่าย ปล่อยให้โปสการ์ดที่วางข้างหน้าจนเกือบเป็นหมัน
“ถ้าไม่อยากเสียตัวตรงนี้ก็รีบเขียนซะ”
“..สัส” เคราะห์ดีที่บริเวณนี้มีเรานั่งอยู่เพียงสองคน ไม่งั้นผมคงต้องหาปี๊บมาคลุมหัวเพราะอายพวกคำพูดลามกจกเปรตนี่แน่ๆ
จากนั้นปากกาหลากสีก็ถูกหยิบขึ้นมาเขียนความรู้สึกที่อยากบอกตัวเองในปีถัดไป เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองในอนาคตจะเป็นเช่นไรบ้าง เลยเลือกที่จะบรรยายความคิดในช่วงเวลานี้ลงไปให้ได้มากที่สุด..
To. ไป่ไป๋ ตอนอยู่ปีสอง
From.ไป่ไป๋ ตอนอยู่ปีหนึ่ง
หวัดดีไป่ไป๋ ตอนนู้นเป็นยังไงบ้างวะ? มึงคงไม่ขี้เกียจเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม .. ชีวิตปีหนึ่งที่ผ่านมามึงโตขึ้นเยอะมากเลยนะ เสียใจเพราะความรัก แล้วก็กลับมามีความรัก มีเพื่อนที่ดีกับมึงมาก แถมยังเข้าร้านเหล้าตอนอายุไม่ถึงอีก
แต่ก็มีบางอย่างที่ยังเหมือนเดิมนะ เช่น ป๊าม๊าพี่ปุ๋ย(แฮปปี้อ้วนขึ้นไม่นับ) ไม่ว่ายังไงก็อยากให้มึงรักษาคนที่รักมึงเอาไว้ให้ดีเลยนะไป๋
“เขียนอะไรเยอะแยะวะ?” เสียงของพิวดังขึ้นขัดฟีลลิ่งของคนที่กำลังเขียนระบายลงโปสการ์ดใบเล็ก ลายมือหวัดเบียดเสียดไปหมดจนต้องย่อตัวอักษรให้เหลือเล็กลง
“เขียนถึงตัวเองมันก็ต้องละเอียดหน่อยดิ ของมึงเสร็จแล้ว?”
“เฮ้ยๆ ไม่ให้ดู ไอ้ตัวไป๋ อย่าแย่งๆ” คนแขนยาวยกโปสการ์ดหนีจนสุดแขน ไม่ยินยอมให้ผมได้เห็นข้อความบนนั้นได้ทั้งหมด
xx-xx-xx-xx-53
จำนวนชุดตัวเลขทั้งห้า มีเพียงชุดสุดท้ายเท่านั้นที่ผมสามารถมองเห็นได้ หลังจากที่ไอ้พิวเห็นว่าผมถอดใจเลิกยื้อแย่งก็รีบเอากระดาษแผ่นนั่นยัดลงซองจดหมายทันที
“ทำไมถึงเรียกกูว่าไอ้ตัวไป๋วะ?” ในขณะที่กำลังก้มหน้าเขียนย่อหน้าสำคัญอยู่ผมก็ได้เอ่ยถามในสิ่งที่ได้ค้างคาใจผมมาสักพักไปด้วย
“ก็เหมือนคำว่าไอ้ตัวเหี้ยนั่นแหละ”
จากโจทย์ กำหนด ไอ้ตัวไป๋ = ไอ้ตัวเหี้ย
ตัด ไอ้ตัว ออกทั้งสองข้าง จะได้ <s>ไอ้ตัว</s>ไป๋ = <s>ไอ้ตัว</s>เหี้ย
ดังนั้น ไป๋ = เหี้ย
“ไอ้สัส!” สิ้นสุดคำพูดจากคนปากคอเราะร้าย ปากกาสีฟ้าในมือไป่ไป๋ก็ถูกโยนเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่มีโอกาสให้ได้หลบหลีก แท่งเรียวสีสวยจึงได้ฟาดเข้ากลางใบหน้าดูดีนั่นเข้าไปเต็มๆ
“โอ๊ย ถ้ามึงยังรุนแรงอีก กูจะตะโกนเรียกมึงว่าเมียดังๆแล้วนะ”
“..ไม่ต้องมายุ่งเลย” ไม่ว่าบทสรุปของข้อโต้เถียงจะเป็นอย่างไร แต่พิวก็มักจะใช้คำพูดนี้มาขู่อีกฝ่ายอยู่เสมอ และด้วยอาการเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียง ทำให้ไป่ไป๋เลือกปากกาสีใหม่ขึ้นมาเขียนในส่วนที่ยังเหลือต่ออย่างเงียบๆ
“โอ๋ ล้อเล่นนะ”
“...”
“ไอ้ตัวไป๋ไม่ได้มาจากไอ้ตัวเหี้ยหรอก” เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกว่าไม่ตอบโต้อะไรกับมา ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อีกคนได้งอนตัวเองไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย พิวจึงส่งฝ่ามือไปกุมไว้ที่มือขวาข้างที่ว่างจากการเขียนของไป่ไป๋ไว้ แต่ก็ดูเหมือนว่ายังเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายไม่ได้มากนัก
“มันมาจากคำว่าไอ้ไป่ไป๋กับตัวเองต่างหาก”
“...”
“ว่าไง ไอ้ตัวไป๋ : )”
ถึงจะไม่หือไม่อือ จะก้มหน้าจนแทบจะชิดอกยังไง คนอย่างปฏิพลก็เห็นอยู่หรอกว่าใบหูเล็กนั่นขึ้นเห่อสีแดงไปหมดแล้ว ..
ไม่ว่าจะเป็นยังไงไอ้ตัวไป๋ก็น่ารักสำหรับเขาเสมอล่ะนะ : )
❋❋❋
มีเธอเป็นเพื่อนร่วมทาง
จับมือเคียงข้างไม่ห่าง
แค่นี้ก็พอชีวิตก็มีครบ
แล้วทุกอย่าง
ทำทุกวันที่มีให้งดงามด้วยกัน
เชื่อว่าวันดีดี
มันจะรออยู่ที่ปลายทาง
“กูชอบเพลงนี้ว่ะ”
เราออกมาจากห้องนิทรรศการกันทันทีที่จดหมายของพวกเราได้ถูกหย่อนลงในกล่องใบใหญ่ จ่าหน้าถูกใส่ที่อยู่และเบอร์ห้องของหอพวกเราลงไป
อีกหนึ่งปีเจอกันนะ..
วงดนตรีบนเวทีบรรเลงหนึ่งในเพลงโปรดของผม บริเวณด้านหน้าของจุดทำการแสดงอัดแน่นไปด้วยผู้คน เราสองคนเลยเลือกที่จะยอมมองหาที่นั่งดีๆที่อื่นแทน จนในที่สุดก็ได้เป็นในส่วนของบริเวณชั้นสองในศูนย์การเรียนรู้ที่ยังสามารถมองเห็นการแสดงได้อย่างชัดเจน แถมบรรยากาศโดยรวมยังดีกว่าข้างล่างเป็นไหนๆ
เรานั่งบนพื้นติดรั้วซี่เหล็กกันไม่ให้ตกลงไป มีคนอื่นอยู่แถวๆเดียวกันกับพวกเราอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาตั้งใจดูโชว์ข้างล่างมากจนไม่ได้สังเกตการมาจับจองพื้นที่ของผมและไอ้พิวเลยแม้แต่น้อย
“..มือหน่อย”
“อื้อ” ท่านั่งขัดสมาธิที่ใกล้จนเข่าของพวกเราชนกัน และฝ่ามือที่ถูกอีกฝ่ายขอไปประกบเข้าหากันพร้อมวางไว้บนหน้าตัก ทั้งหมดนี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องที่ผมชินชาในอีกไม่ช้า
แค่เธออยู่ข้างข้าง
อ๊าอาว
ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า
เธอทำให้ถนนของฉันสวยงาม
“บรรยากาศดีเนอะ” คนข้างข้างของผมเขยิบริมฝีปากเข้ามาใกล้เพื่อส่งเสียงแข่งกับเครื่องเสียงที่กำลังดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ แรงบีบส่งต่อผ่านมือของผมจนพาให้ใจเต้นแรงขึ้น .. แรงขึ้น เหมือนว่าเรื่องใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน
“อ-อื้ม”
โอ๊ะโอโอ
ในวันที่เราเริ่มเดินทาง
แค่เพียงมีเธอเดินกับฉันข้างข้าง
ก็ทำให้โลกนี้
นั้นสดใส
สวยงามไปทุกอย่าง
“ไป๋ เราสองคน-”
“ไอ้ไป๋! ไอ้พิว! หาตั้งนานมาอยู่นี่เอง” เสียงตะโกนจากผู้มาใหม่พาให้ผมและพิวดีดกระเด้งออกจากกันด้วยความตกใจ ผมแอบเหลือบเห็นเสี้ยวหน้าของคนตัวสูงข้างๆดูมีท่าทางหงุดหงิดเสียเต็มประดา
“ไม่ทันแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเห็นนะว่าพวกมึงแอบจับมือกันอยู่น่ะ”
“ล-แล้วจะทำไม บอกว่าหาตั้งนานมีอะไรหรือเปล่า?” เพื่อนของผมทุกชีวิตได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน โดยแต่ละคนได้หอบหิ้วของกินจากซุ้มขายของข้างล่างกันขึ้นมาเหมือนกำลังจะไปปิกนิกกันที่ไหน
“อะ ซื้อมาให้”
“ซื้อมาให้ทำไมวะก๊าซ?”
“ก็ค่าพนันไง ไป๋ชนะพนันแล้วนี่” แก้วน้ำสีหวานราดท็อปปิ้งหน้าตาน่ารักถูกยัดเข้ามาใส่มือผมอย่างงงๆ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เพื่อนได้พูดถึง
“ลงขันกันดีกว่า กูว่าคนเนี้ยไอ้ไป๋ชวดแน่ๆ”
“ทำไมไม่มีใครเชื่อใจกูเลยวะ”
“อ๋อ .. เอ่อ ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร ยินดีด้วยนะ”
“ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มีลู- ถุ้ยๆ ไอ้ตุลลี่มึงจะแหย่มือเข้ามาในปากกูทำไมเนี่ย”
“เดี๋ยวพวกกูนั่งแถวๆนี้แหละ นั่งคุยกันต่อได้เลย”
ความวุ่นวายของเหล่าสหายได้เดินออกห่างไปแล้วทิ้งให้เราทั้งสองคนยังนั่งมองแก้วน้ำหวานในมือให้อยู่ภายใต้สถานการณ์อันน่าสับสนนี้อยู่
“กินป่ะ?”
“เอามานี่กูจะแดกให้หมดเลย” เครื่องดื่มในมือผมถูกหยิบฉวยไปดื่มโดยคนที่ดูกระฟัดกระเฟียดเหมือนไม่พอใจใครมา เพราะนานๆทีผมจะได้เห็นคนตัวสูงนี่กินของหวานได้เยอะขนาดนี้ จนกระทั่งน้ำในแก้วหมดลงจนเกิดเสียงของอากาศในหลอดว่างเปล่า
“เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่ ป่ะ ไอ้ตัวไป๋กลับห้อง” ข้อมือของผมถูกฉุดรั้งให้ลุกขึ้นโดยคนแรงเยอะกว่าที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่เดินตามต้อยๆ
“พิว มึงโกรธกูเหรอ?” ทันทีที่ทั้งคู่เดินพ้นจากเขตเสียงดัง ไป่ไป๋ที่ทนความไม่สบายใจอยู่เต็มอกก็หลับหูหลับตากลั้นใจถามคนที่จับข้อมือเดินนำไปหลายช่วงก้าว
“เฮ้ย กูไม่-”
“กูเคยเอามึงตอนที่ยังเป็นกุ้งเผาไปพนัน”
“...” ฝ่ายคนอารมณ์ไม่ดีเมื่อได้ยินว่าคนที่กำลังเดินตามกำลังเข้าใจผิด จึงยิ่งได้ใจ เปลี่ยนจากการเดินมาเป็นการยืนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกคนพูดต่อไปเรื่อยๆ
“ว่าถ้ากูไม่ชวดกุ้งเผากูก็จะชนะ”
“ถ้าอยากให้กูหายโกรธ..” พิวเลือกหันหน้ามาสบตากับไป่ไป๋ตรงๆ
“...”
“เรียกกูไอ้ตัวพิวก่อนดิ” ตาเล็กเลิ่กลั่กไปมาคล้ายคนกำลังลังเล ทางเดินรอบมอดูเงียบเชียบ เพราะทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ศูนย์การเรียนรู้ เหตุการณ์ฉุกเฉินทำให้ในที่สุดไป๋ก็ได้พูดออกมา..
“ไอ้”
“...”
“ตัว”
“...”
“เหี้ย!”
สิ้นคำพูดสุดท้ายคนตัวขาวก็สะบัดมือพร้อมออกตัววิ่งหนีอีกคนไปทันที ทางด้านคนกะล่อนที่มัวแต่งงงวยกว่าจะวิ่งตามได้เจ้าตัวก็หนีเปิดเปิงไปยันไหนต่อไหนแล้ว
รู้หรอกน่าว่ากำลังแกล้งกูอยู่ ไม่ยอมให้หลอกแดกได้ง่ายๆหรอก ไอ้อ่อนเอ๊ย..
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ขอโทษที่ห่างหายไปร่วมสองอาทิตย์ค่ะ ภารกิจรัดตัวจริงๆ ; --- ;
ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ
ขอกำลังใจหน่อยนะค้า<3
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
กำลังจะขอเป็นแฟนใช่ไหมพิว 5555555555555555
-
ไป๋แสบอ่ะ
:laugh:
-
:L2:
-
chapter eighteen。 ก่อนอื่นต้องขอโทษที่เพิ่งได้มาเม้นต์หลังจากอ่านไปหลายตอนนะคะ เพิ่งอ่านในแอพนี้ได้ไม่นานยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ว่ามาเม้นต์อะไรยังไง หานานมากเลย ขอบคุณไรท์นะคะ ที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้ได้อ่านกัน ชอบตัวละครทุกตัวเลย เนื้อเรื่องก็สนุกมากค่ะ ละมุนมาก โดยรวมคือชอบมากเลย ขอบคุณนะคะ เป็นกำลังใจให้ไรท์น้าาา
-
chapter nineteen。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
“อะนี่ ลังสุดท้ายแล้ว”
“ขอบคุณมากพวกมึง .. แล้วปีหน้าจะอยู่หอเดียวกับพวกกูป่ะ?”
“อยู่ๆ จองห้องมาแล้วเรียบร้อย ย้ายของเข้าสิงหาฯ”
“รู้ยังว่าจะได้ห้องอะไร?”
“ชั้นสี่ ชั้นเดียวกับพวกมึงเลย”
“เห้ย เจ๋งว่ะ แล้วเจอกันเว้ย กลับบ้านดีๆ”
“บ๊ายบาย”
วันสุดท้ายของการอนุญาตให้ขนย้ายสิ่งของในหอพักนักศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ของผมถูก ผม ไอ้พิว ไอ้ยีนส์และไอ้ตุลลี่ทั้งสี่คน นำลงมาใส่ท้ายรถเก๋งของรูมเมทคนล่าสุดของผม ด้วยความที่สัมภาระมีไม่เยอะมาก ภารกิจของเราจึงลุล่วงโดยใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่
ผมและพิว บอกลาตุลลี่กับยีนส์ที่กำลังจะกลายไปเป็นรูมเมทคู่ใหม่ สองขาของเราสองคนก้าวขึ้นรถด้วยความเหนื่อยล้าจากการใช้แรง
พาหนะสี่ล้อมุ่งตรงสู่จุดหมายโดยใช้เวลาไม่นาน เคราะห์ดีที่ยังสามารถใช้รถเข็นของหอพักใช้ขนของแทนการยกได้ จึงลดความเมื่อยขบจากที่คาดไว้ลงไปได้เป็นเท่าตัว
“ไอ้เหี้ย เหนื่อยชิบหายเลย”
“ร้อนว่ะ เปิดแอร์นะ”
ผมนอนแผ่บนเตียงแบบไม่นึกสนคราบเหงื่อตามตัว ก่อนที่ร่างของคนขี้ร้อนจะทิ้งตัวตามลงมาติดๆ จนถึงในตอนนี้ก็ถือได้ว่าผมมาอยู่ห้องเดียวกันกับไอ้พิวแล้วอย่างเป็นทางการแล้ว
“วันนี้ไม่ไปแดกเหล้าที่บ้านไอ้เคนกับกูจริงๆเหรอ?”
“ไปเหอะ กูไม่อยากแดกเหล้าแล้ว”
“มีซีฟู้ดด้วยนะตัวไป๋”
“เอาของกินมาล่อกูไม่สำเร็จหรอก” เว้นเรื่องของกินไว้วันนึง เพราะผมตั้งใจอยากให้เขาได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนสนิทให้ได้อย่างเต็มที่มากกว่า
“อือ งั้นจะรีบกลับมาก่อนห้าทุ่มนะ”
“ไปก็ตั้งสองทุ่มแล้วจะรีบกลับทำไม?”
“..เดี๋ยวเมียหลับก่อน” ผมส่ายหัวน้อยๆบนที่นอนให้กับความคิดของเจ้าตัว กว่าจะถึงเวลานัดหมายก็เป็นเวลาอีกตั้งเกือบหกชั่วโมงแต่ไอ้พิวก็จัดแจงแจ้งผมเหมือนกำลังจะไปซะเดี๋ยวนี้
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศผสมกับความล้าจึงก่อตัวเป็นความง่วงขึ้นมาอย่างง่ายดาย ด้วยความกลัวจะเผลอหลับยาวเลยกะว่าจะเอาโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อไว้ แต่จำได้ว่าเคยวางมือถือไว้บนลิ้นชักข้างหัวเตียงจึงอาศัยการสุ่มเดา ส่งมือไปคลำหาแทนการลุกขึ้นหยิบดีๆ จนผมได้ไปตะปบโดนสิ่งของลักษณะนิ่มๆเข้าแทน..
ตุ๊กตา?
‘ชื่อ วี่ นะ ตัวนั้นน่ะ’
ความจำเกี่ยวกับการเป็นมาของตุ๊กตาสีเหลืองในมือผุดออกมาจนจำได้อีกครั้ง เหตุที่เจ้าตัวนี้หายหน้าหายตาไปนานเพราะว่าเคยทำตกเตียงจนมันไปแอบอยู่ที่มุมห้องโดยที่ผมไม่คิดจะตามหาได้ตั้งนานสองนาน
ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของคนที่เคยให้ไอ้ตุ๊กตาชื่อวี่นี่มา ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวยังตื่นให้ถามผมถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเจ้าก้อนในมือนี่อยู่หรือไม่..
“พิวหลับยัง?”
“..ยัง ทำไม?”
“ทำไมถึงตั้งชื่อว่าวี่วะ?” เจ้าของแผนอกเปลือยเปล่าผงกหัวขึ้นมามองตามต้นเสียงที่เอ่ยถาม ก่อนจะกลับไปสู่ท่าเดิม
“มาจากชื่อกูกับชื่อมึงไง”
“มึงบ้าป่ะ ชื่อภาษาอังกฤษเราขึ้นด้วยตัวพีทั้งคู่เหอะ”
“แล้วใครบอกมึงว่าเอาตัวแรกมา?”
“...”
“ชื่อกู พี อี ดับเบิ้ลยู ชื่อมึง พี เอ ไอ”
“..อ๋อ” ผมนึกตามที่อีกฝ่ายสะกด ก่อนจะเข้าใจได้ว่า ชื่อวี่ที่ตั้งนั้นมาจากพยัญชนะตัวที่สามของเรารวมกัน ‘wi’
“เป็นไง กูโรแมนติกใช่ป่ะล่ะ?”
“ดูโรคจิตมากกว่า”
“ไอ้ตัวไป๋ มานอนนี่มา” แขนของคนช่างคิดเหยียดออกให้ผมได้นอนหนุนพร้อมตบปุๆลงบนพื้นที่ข้างๆตนเอง ส่วนเจ้าวี่ก็ถูกเก็บเข้าที่เดิมเพราะนิสัยไม่ติดการนอนก่ายตุ๊กตาของผม
“เริ่มเรียนซัมเมอร์เมื่อไหร่”
“จันทร์หน้า” วงแขนข้างที่ว่างของพิวอ้อมมาก่ายผมไว้อีกที ให้ท่านอนหนุนแขนในตอนแรกกลายเป็นว่าเขาได้นอนกอดผมไปแล้วเรียบร้อย
“แล้วจะกลับบ้านวันไหน”
“พรุ่งนี้ ไม่ก็มะรืนมั้งดูก่อนว่าป๊าจะมารับวันไหน” พิวเพิ่มแรงกระชับมากขึ้นจนใบหน้าผมเลื่อนเข้าไปซบกับช่วงลำคอของเขา กลิ่นหอมจางๆบนผิวของเจ้าตัวและฝ่ามือที่กำลังเล่นอยู่บนกลุ่มผม ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายไปอีกหลายเท่า
“เดี๋ยววันเสาร์ไปรับมานอนบ้านกู”
“ไปทำไม?”
“อยากพาไปเจอพ่อกับแม่”
“…”
“หลับแล้วเหรอ?”
“..อื้อ ไปดิ”
“เหนื่อยก็หลับเถอะ เดี๋ยวปลุก”
“อื้อ” และแล้วเปลือกตาผมก็ค่อยๆปิดลงหลังจากที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบ ..
❋❋❋
“ฮ้าววว” ตัวเลขบนหน้าปัดแสดงเวลาที่กำลังคืบคลานเข้าสู่วันใหม่ ถึงแม้ตอนบ่ายผมจะสลบไปเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็มแต่ยังไม่ทันไรผมก็กลับมาง่วงอีกแล้ว
ทางด้านพิวที่หลังจากไปกินข้าวตามสั่งข้างหอมาด้วยกันตอนเย็น เจ้าตัวก็ออกเดินทางไปพร้อมเต้และสมุยด้วยรถส่วนตัวในเวลาทุ่มกว่าๆตามที่ได้นัดไว้
แต่จนตอนนี้ที่ล่วงเลยห้าทุ่มมาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมหรือข้อความที่มักจะส่งมาเลยแม้แต่น้อย..
หรือจะเกิดอุบัติเหตุ?
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ตัดสินใจปิดเกมส์มือถือที่กำลังเล่นอยู่ ลุกขึ้นจากเตียงลุกไปปิดไฟเตรียมเข้านอน แต่ในขณะนั้นเอง...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไป๋! เปิดประตูให้หน่อย พวกกูหยิบคีย์การ์ดไม่ได้” เสียงเคาะประตูรัวๆดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากทางหน้าห้อง ทำให้ผมต้องรีบพาร่างกายของตัวเองจากกลางห้องถลาตรงไปรับหน้าผู้มาใหม่อีกด้านของประตู
“โอ้โห .. เมาขนาดนี้เลยเหรอวะ?”
“เออ เดี๋ยวกูไปส่งที่เตียงให้” ถึงแม้จะตกใจนิดหน่อยหลังจากที่ได้เห็นสภาพอันไม่คาดคิดของไอ้พิว .. ผมหลีกทางให้เต้และสมุยพาคนไม่มีสติไปยังที่นอน
ต้องแดกเยอะขนาดไหนไอ้พิวถึงเมาได้วะ?
“อะ อันนี้โทรศัพท์มัน”
“อื้อ ขอบคุณนะ”
“ส่วนเรื่องมึงกับไอ้พิว กูยินดีด้วยนะ”
“ก่อนหน้านี้กูก็ว่าแล้วว่าทำไมไอ้พิวแม่งไม่สนสาวที่ไหนเลย ที่แท้แม่งมาติดมึงอยู่นี่เอง” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของพิวรู้เรื่องของเราสองคนไปจนถึงขนาดไหน
“พวกกูไปละ ฝากเช็ดตัวให้ไอ้พิวด้วยนะ”
“เอ่อ .. อ๋อ ได้ๆ ขอบคุณนะ”
ปัง
“..อื้อ” สิ้นสุดเสียงปิดประตู แม้ผมจะงุนงงกับคำพูดของทั้งสองคนเมื่อกี๊เล็กน้อย แต่ก็ต้องหันกลับมาสนใจคนที่นอนหมดสภาพบนเตียงอีกครั้ง เสียงอื้ออึงในลำคอที่ได้ยินบ่งบอกว่าพิวคงรู้สึกไม่สบายตัวสักเท่าไหร่
“รอแปปนะ เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้”
“ป่ายป๋าย .. ห้องน้ำ”
“ปวดฉี่เหรอ? มาๆเดี๋ยวพาไป” ระยะทางจากเตียงถึงห้องน้ำดูเหมือนแสนไกลห่าง ผมทั้งหิ้วทั้งแบกไอ้คนสารร่างยักษ์เข้าจนถึงที่หมายด้วยความทุลักทุเล ทั้งต้องยืนเฝ้าพยุงร่างให้ในตอนปลดทุกข์ จนในที่สุดผมก็พาไอ้พิวกลับมานอนที่เตียงได้อีกครั้งโดยที่ไม่พากันล้มหัวฝาดโต๊ะกันไปทั้งคู่เสียก่อน
“..น้ำ” เสียงทุ้มติดแหบแห้งดังขึ้นขอน้ำ หากจะให้ดื่มน้ำเย็นในตู้ก็กลัวจะเกิดผลเสียต่อร่างกาย ผมจึงเลือกน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องในแทน หลังจากที่ประคองหัวขึ้นดื่มน้ำเสร็จ เจ้าตัวก็นอนนิ่งได้อีกครั้ง ซึ่งมันสะดวกแก่ผมที่ต้องอยู่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้
เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายถูกปลดออกไปพร้อมกับกางเกงยีนส์ราคาสูง เหลือเพียงแค่บ็อกเซอร์เป็นอาภรณ์ติดตัวเป็นชิ้นสุดท้าย พิวปรือตาขึ้นมามองผมที่กำลังสาละวนกับการเช็ดตัวเป็นระยะๆ
“แดกยังไงให้เมาได้ถึงขนาดนี้วะ?” เมื่อเห็นอาการไร้เรี่ยวแรงแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา เพราะปกติผมไม่เคยเห็นไอ้พิวเมาเลยสักครั้ง
“..ตอนแรกกูว่าจะพามึงไปเปิดตัว”
“…”
“พอพวกแม่งรู้ก็ยุให้กูแดก”
“หือ?”
“พวกแม่งบอกรักเมียเท่าไหร่ให้แดกเท่านั้น..”
“มึงก็เลยแดกอะนะ จะบ้าหรือเปล่า” ความจริงจากปากถูกเผยออกมาทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจอยู่นิดๆ
“..ไม่บ้าหรอก” มือที่กำผ้าขนหนูเอาไว้ถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอใบหน้าของคนที่กำลังถูกโกรธ สีหน้าของเขาทำให้ผืนผ้าในมือหลุดจนร่วงลงสู้พื้น
“กูชอบมึงมากๆเลยนะ ชอบมาก ชอบตั้งแต่เจอครั้งแรกเลย”
“...”
“ยิ่งได้มารู้จักกับมึงกูยิ่งชอบ มึงจะเป็นยังไงกูก็ยังชอบ” ริมฝีปากแห้งผากของพิวจรดลงบนหลังมือของผม ความอุ่นร้อนที่ได้รับพาให้จิตใจคล้อยไปตามแรงอารมณ์ที่ถูกส่งทอดมาจากสายตาของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่..
“ถ้าไม่ติดว่ากูไม่มีแรงนี่ คืนนี้มึงได้เสียตัวแน่ๆ”
“..”
“อยากเอามึงว่ะ .. จากใจเลย”
“ไอ้สัส! มึงเงียบ” ผมส่งเสียงดุไปให้คำพูดคำจาที่ฟังทะลึ่งตึงตัง หวังให้เขารู้สึกสำนึก แต่ก็ผิดคาดจากที่คาดเอาไว้
“ไอ้ตัวไป๋เขินว่ะ”
“ไม่คุยด้วยละแม่ง ปล่อย กูจะเอากะละมังไปเก็บ”
“เมียกูชอบมึงนะ”
“รู้แล้ว!”
ทันทีที่มือถูกปล่อยจากพันธนาการ ผมก็รีบคว้าภาชนะพร้อมผ้าขนหนูตรงดิ่งเข้ามาสงบสติภายในห้องน้ำ กะละมังถูกกระแทกวางลงบนเคาน์เตอร์ห้องน้ำจนเกิดเสียง ความรู้สึกตีกันรวนเรเหมือนคนเข้าวัยทอง ทั้งหงุดหงิด ทั้งโมโห ทั้งดีใจ
หงุดหงิดที่เจ้าตัวไม่ยอมดูแลตัวเองปล่อยให้เพื่อนยุกินเหล้าจนเมาแอ๋เป็นหมา ส่วนที่โมโหก็เป็นเพราะคำพูดลามกชวนคิดเมื่อกี๊
แต่พอนึกถึงคำพูดบอกชอบซ้ำไปซ้ำมา กลับพาให้มุมปากของผมยกขึ้นสูงโดยไม่รู้ตัว
แม่งเอ๊ย .. วันหลังอย่าได้คิดจะแดกเหล้าเลยมึง
❋❋❋
หลังจากที่ร่างสูงได้นอนสลบไสลไปเพราะฤทธิ์สุรา แต่ต้องจำใจตื่นขึ้นมาในเวลาตีสี่เพราะอาการอยากเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ทางด้านกำลังวังชาที่พาให้กล้ามเนื้อด้อยสมรรถภาพก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตามยังไม่ทันให้สองขาก้าวลุกจากเตียงไปไหน ปฏิพลก็ต้องพ่ายแพ้ให้ไป่ไป๋ที่นอนซุกตัวหนีความเย็นจากแอร์เหมือนลูกหมาตัวน้อยข้างๆ แสงร่ำไรจากภายนอกส่องเข้ามากระทบผิวขาวทำให้เห็นส่วนประกอบของใบหน้าได้จนชัดเจน .. ใบหน้าที่เคยเห็นมาเกือบปี ครั้งแรกเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น
แม้จะอยู่ในยามนิทราแต่แก้มของคนตัวเล็กกว่าก็ยังมีสีชมพูของเลือดฝาดอยู่ตลอดเวลา ในสายตาคนมองแล้วความน่าเอ็นดูยังลุกลามไปถึงแพขนตาที่แผ่เรียงเส้นสวย รวมถึงริมฝีปากที่เผยอหอบลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะนั่นอีกด้วย..
น่ารักไปทุกภาคส่วนเลยแม่มึงเอ๊ย
แต่สองตาที่จ้องมองคนรักผ่านความมืดอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะสองมือได้ยื่นเข้าไปจัดแจงท่านอนของอีกคนให้ง่ายต่อการทำอะไรต่อมิอะไรเป็นที่เรียบร้อย ผ้าห่มผืนหนาถูกตวัดลงสู่พื้นกระเบื้องเย็นเชียบอย่างไม่ใยดี พอได้ยินเสียงครางแผ่วในลำคอแค่นี้ก็พาให้จิตใจคิดอกุศลของพิวหลุดลอยจนจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน
แก้มน่ารัก ..
ปากก็น่ารัก .. ขอแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหน่อยแล้วกัน
“ฮะ อื้อ .. เฮ้ย”
“ชู่ว อย่าดิ้นดิ”
“ม-มึงจะทำอะไร?” ภาพเบื้องหน้าของคนที่เพิ่งสะลึมสะลือฝืนลืมตาขึ้นมาในช่วงรุ่งสางทำเอาเจ้าตัวแทบสิ้นสติด้วยความตกใจ เพราะใบหน้าและท่อนบนเปลือยเปล่าของอีกคนประกอบกับท่าล่อแหลม จึงทำให้เขารับรู้ได้ในทันทีว่าตัวเองนั้นได้ตกอยู่ในอันตรายแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“แรงกูกลับมาแล้ว”
“ไม่เอา ฮื่อ อ่าอัด” ร่างบางเอ็ดตะโรคนฉวยโอกาสที่กำลังขบเม้มเนื้อปากล่างด้วยความหมั่นเขี้ยว
ความต้องการถูกสนองไปตามขั้นตอนของการเล้าโลม
เสียงดูดดึงชุ่มน้ำไปตามจังหวะเกี่ยวกระหวัดของลิ้น
ชุดนอนได้รั้งเลิกขึ้นเพื่อสัมผัสผิวใต้ร่มผ้า
ฝ่ามือจากเดิมที่คอยประคองใบหน้ารับจูบ ได้ถูกโยกย้ายให้ไปสร้างความปั่นป่วนที่ยอดอก
“อ๊ะ อ่า” ใบหน้าเหยเกหลุดเสียงน่าอายออกมาทันทีหลังจากที่สัมผัสอุ่นร้อนเคลื่อนทิศทางไปยังส่วนที่ต่ำกว่าอย่างแผ่นอกและร่องแอ่งบุ๋มของสะดือ
ยิ่งดิ้นก็ยิ่งปลุกเร้า
สถานการณ์ยิ่งดูเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อกางเกงนอนลายทางของร่างขาวถูกปลดเปลื้องออกไปพร้อมชั้นในสีเข้ม ไป่ไป๋เอ่ยร้องประท้วงขึ้นมาทันทีที่ลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศกระทบผิวส่วนบาง
“พ-พิว ไม่ทำได้ไหม?” แต่ดูเหมือนว่าคนด้านบนไม่ได้ใส่ใจคำขอร้องเสียงตะกุกตะกักมากสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวได้เข้ามาแทรกตรงกึ่งกลางระหว่างขาเล็กทั้งสองแล้วเป็นที่เรียบร้อย
อุ้งมืออุ่นได้โอบอุ้มจุดอ่อนไหวของร่างบางจนสังเกตได้ถนัดว่าผู้ถูกกระทำมีปฏิกิริยาตอบรับที่ดูน่าพึงพอใจไม่น้อย ไม่รอช้าเขาจึงส่งจังหวะหนักเบาทอดไปหาจุดอ่อนไหวสำคัญ
เร่งรัดจนร้อนรุ่ม..
“ฮะ ฮ้า ไม่เอา .. อื้อ” ฝ่ามือสั่นระริกเอื้อมมาแตะลงบนข้อแขนหนา ดูเหมือนว่าให้ค้านหัวชนฝายังไงคนตัวขาวก็คงไม่ยอมให้ล่วงเกินจนสุดทางตามที่หวังไว้
“แค่ข้างนอก .. นะ”
“ฮื่อ”
“นะครับ ตัวไป๋ของพิว” ฝ่ามือข้างเดิมถูกประคองให้เข้าประกบกับสัญลักษณ์ของความเป็นชายภายใต้เครื่องนุ่งห่มที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวของร่างกาย ขอบกางเกงยางยืดถูกร่นลงจนเครื่องเพศผงาดสวนกับทิศทางแรงโน้มถ่วงของโลก ก่อนที่ร่างสูงขี้แกล้งจะชักนำให้นิ้วเรียวทั้งห้ารูดรั้งไปตามความยาว
“..อ่าห์” แรงขยับรูดรั้งขึ้นลงของสองฝ่ามือถี่ขึ้น สัดส่วนกล้ามเนื้อชุ่มเหงื่อที่กำลังต้องแสงไฟสลัว ในทุกครั้งที่เคลื่อนไหวตามแรงกระเพื่อมของความกำหนัด มันพาให้ร่างบางยิ่งหลงระเริงไปในความเย้ายวน ..
แม้จะไม่ได้แตะตัวต้องแต่ภาพเบื้องหน้าของผู้เป็นที่รักได้ปลุกเร้าให้คนตัวขาวตื่นตัวจนเต็มวัย ทำให้รอยยิ้มของพิวถูกฉายขึ้นบนใบหน้าด้วยความรักใคร่ในตัวไป่ไป๋
ความตึงเครียดจากหนึ่งเป็นสองถูกหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกัน ขนาดที่แตกต่างทำให้ร่างบางขวยเขินไปเล็กน้อย ต่างจากอีกคนที่กำลังมองดูสีชมพูตรงส่วนปลายพร้อมกับคำพูดที่วนเวียนไปมาในความคิด
“..น่ารัก” ความอายเข้าปกคลุมคนได้ยินจนยากแก่การจะมองภาพตรงหน้าได้เต็มสองตา เวลาล่วงเลยจนเกือบจะสว่าง ทำให้ผู้นำต้องรีบเร่งสู่จุดหมาย
แนบชิด
“อ-อื้อ ร้อน”
“พร้อมกันนะ”
แอบอิง
“พิว .. ฮึก อ้า”
“อ่า อ่า .. ไป๋”
จนเสร็จสม..
“ฮ้า ..”
“อื้อ มึงแม่ง”
“จะอาบน้ำไหมเดี๋ยวพาไป”
“ยัง.. อยากนอนต่อ”
“อื้อ นอนเถอะ เดี๋ยวเช็ดตัวให้” ไป่ไป๋พยักหน้ารับก่อนจะเข้าสู่การหลับอย่างที่ต้องการ ทางด้านคนก่อปัญหาก็ต้องก้มหน้ารับภาระทำความสะอาดคราบเปรอะเปื้อนบนตัวด้วยความเต็มใจ
..ก็นะ เมื่อกี๊ไป๋แม่งโคตรเอ็กซ์เลย งานนี้โคตรคุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีก
กดจูบลงบนปากแรงๆก่อนที่จะลุกขึ้นไปหยิบกระดาษชำระมาเช็ดบนลำตัวก่อนเป็นอย่างแรก .. ไว้คราวหน้าหาเรื่องทำอีกดีกว่า
-
❋❋❋
“ตอนแรกกูนึกว่าป๊าม๊ามึงจะดุ”
“คนที่จะดุมึงไม่ใช่ป๊ากับม๊าหรอก”
ช่วงบ่ายในวันเสาร์ของอาทิตย์ก่อนการเปิดเรียนซัมเมอร์ ผมได้อยู่บนรถยนต์คันที่กำลังพาเรามุ่งหน้าสู่บ้านภูมิเดชมนตรีของนายปฏิพล
ก่อนหน้านี้ไอ้พิวได้มีการไปพบปะครอบครัวของผมเล็กน้อย ป๊าม๊ารู้และยอมรับความเป็นไปของเราแล้ว แถมยังเอ็นดูผู้ชายข้างๆผมจนเกินที่ผมคาดไว้ด้วยซ้ำ ในทันทีที่รู้ว่าผมกำลังจะไปค้างคืนที่บ้านของเจ้าตัว ขนมนมเนยและผลไม้ถูกหอบหิ้วขึ้นเบาะหลังเพื่อให้ได้นำไปฝากบุพการีของพิวอีกต่างหาก
แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องกลับมาคิด..
“ใคร? พี่ชายมึงอะเหรอ”
“เออ พี่ปุ๋ย .. มึงน่าจะโดนรับน้องโหดพอตัว” นึกย้อนกลับไปตอนที่เกิดความไม่เข้าใจระหว่างเรา ในตอนที่พี่ปุ๋ยเรื่องนี้เป็นครั้งแรก อารมณ์หงุดหงิดและเกลียดขี้หน้าไอ้คนหล่อของพี่แกมันยังคงตราตรึงอยู่ในหัวผม
“น่ากลัวขนาดนั้นเลย?”
“ถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆอย่าร้องให้กูช่วยแล้วกัน” โชคดีหน่อยที่สัปดาห์นี้พี่ชายตัวดีของผมยังติดทำโปรเจคอะไรสักอย่างอยู่ที่มหาลัย ไม่งั้นวันนี้ผมคงไม่ได้ไปนอนบ้านไอ้พิวอย่างที่เจ้าตัวต้องการอย่างแน่นอน .. เดี๋ยวเป็นแฟนแล้วค่อยบอกพี่แกทีเดียวเลยดีกว่า ขี้เกียจอธิบาย
“เปิดเพลงป่ะ?”
“เออ เอาดิ” รายการเพลงจากหน่วยความจำถูกเปิดเล่นขึ้นมาทีละเพลงๆ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านบานกระจก สีฟ้าบนนั้นถูกแต่งแต้มด้วยสีเทาของเมฆฝน ให้เดาว่าอีกไม่นานคงร่วงหล่นสู่พื้นของเมืองหลวงแน่ๆ
บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน
ถ้ามองจากตรงนี้
เดี๋ยวก็มืด แล้วก็สว่าง
อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ
หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น
สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน
ไม่ได้ไกลที่ไหน
อยู่แค่นี้เอง
“นี่บ้านมึงจริงๆเหรอ..”
“เออ เป็นไงสวยป่ะ?”
“ไอ้เหี้ยยยย” บ้านสองชั้นหลังทรงโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าทำให้ผมรู้สึกตกใจไปเล็กน้อย ถึงแม้จะพอรู้มาว่าบ้านไอ้พิวมีฐานะแต่ก็ไม่คิดว่าจะรวยถึงขนาดนี้ สวนหย่อมขนาดไม่ย่อมถูกตกแต่งด้วยต้นไม้และไม้ประดับจนดูเพลินตา ด้านขวามือของตัวบ้านเป็นสระว่ายน้ำทอดยาว ไหนจะโรงรถที่มีพาหนะสี่ล้อและสองล้อจอดอยู่ไม่ต่ำกว่าสามคันนั่นอีก
เออ .. รวย
“ป่ะ รีบเข้าบ้านกัน ฝนเหมือนจะตกแล้ว” จู่ๆกระเป๋าเสื้อผ้าท้ายรถที่ผมกำลังเอื้อมมือไปคว้าก็ถูกฉกฉวยไปอยู่ในมือไอ้พิวอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผมต้องรีบเดินตามไปเพื่อแย่งคืนมาถือเอง
“น้องพิว มาแล้วเหรอคะ?” แต่ในขณะที่ผมส่งฝ่ามือไปแย่งคืนสัมภาระของตัวเองมาได้เป็นที่สำเร็จ ความคิดที่จะเอ่ยถามถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสองของพิวก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อถูกขัดด้วยน้ำเสียงทักทายของบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“แม่หวัดดีครับ” พิวตอบรับเสียงหวานของผู้ที่มีศักดิ์เป็นแม่ ใบหน้าที่ยังคงความเยาว์วัยไว้ทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเล็กน้อย รอยยิ้มของท่านทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าไอ้พิวได้องค์ประกอบหน้าส่วนใหญ่มาจากใคร
“หวัดดีครับ ผม..”
“อ้าว นี่น้องไป๋ แฟนของน้องพิวใช่ไหมลูก” ยังไม่ทันได้ให้ผมได้พูดชื่อของตัวเองออกจากปาก คุณน้ากลับชิงพูดชื่อเล่นของผมขึ้นมา แต่คำว่าแฟนที่ถูกคุณน้าพูดตามมาติดๆกันมันพาให้ผมสับสน จนอดไม่ได้ที่จะหันไปส่งสายตาคคาดคั้นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน ซึ่งก็ได้ใบหน้าตีมึนตอบแทนกลับมาอย่างเช่นทุกที..
คือได้ข่าวว่ากูกับมึงยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ
“อ่า ครับ”
“แม่ไม่ว่าอะไรหรอก โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ถึงตอนแรกจะตกใจที่น้องพิวมาบอกบ้างก็เถอะ..”
“พ่อกลับมาหรือยังครับ?”
“เลื่อนวันกลับจากอังกฤษเป็นสัปดาห์หน้าแล้วจ้ะ ”
“ส่วนอันนี้เป็นผลไม้กับขนมที่ป๊าม๊าไป๋ฝากมาครับ”
“ต๊าย น่ารักจังเลย ไว้วันหลังน้องไป๋ชวนพ่อกับแม่มากินข้าวที่บ้านด้วยกันนะลูก”
“ได้ครับ” ถุงของกินถูกส่งต่อไปยังคุณป้าท่าทางใจดีที่น่าจะเป็นแม่บ้าน คำชวนของคุณน้าทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
“งั้นเดี๋ยวผมกับไป๋ขึ้นไปบนห้องก่อนนะครับ”
“จ้า เดี๋ยวเย็นๆแม่ให้คนขึ้นไปตามมากินข้าวนะ”
“ขอบคุณครับ”
และหลังจากนั้นที่เราได้ขึ้นมาบนห้องไอ้พิว ทางด้านของผมก็ภาพตัดไปในไม่ช้า เพราะแพ้ให้กับความนุ่มของที่นอนและอากาศตอนฝนตก ทำเอาตื่นขึ้นมาอีกทีในเวลาข้าวเย็น
บนโต๊ะอาหารมีเพียงคุณน้า พิวและผม เพียงสามคน เวลาหนึ่งชั่วโมงที่ได้นั่งสนทนาด้วยกันทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าคุณแม่ของพิวเป็นผู้ใหญ่ที่มีทัศนคติที่ดีมากคนนึง สายตาคู่นั้นที่มองมาที่พิวบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวคิดถึงลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเองมากแค่ไหน
“น้องไป๋เดี๋ยวนี้น้องพิวยังนอนดึกอยู่ไหมคะลูก?” คำถามของคุณน้าดังขึ้นไถ่ถามความเป็นอยู่ล่าสุดของลูกชายสุดที่รัก แม้ในใจอยากจะตอบประจานนิสัยเล่นเกมแล้วติดลมจนดึกจนดื่นของอีกคนมากแค่ไหน ก็ทำได้เพียงยิ้มรับแล้วเอ่ยความจริงแค่เพียงกึ่งเดียวออกไป
“มีบางวันที่อ่านหนังสือแล้วนอนดึกบ้างครับคุณน้า”
“คุณน้าอะไรน้องไป๋ เป็นแฟนกับน้องพิวแล้วเรียกคุณแม่เถอะ” ผมเม้มปากเฉตามองผู้ร่วมโต๊ะอาหารอีกทั้งสองคนแบบชั่งใจ ความจริงข้อแรกคือผมทำตัวไม่ถูก ส่วนความจริงข้อที่สองนั้น..
“อ่า ครับ”
คือผมเขิน
“..คุณแม่”
❋❋❋
“ฝากตัวเป็นลูกสะใภ้เต็มตัวแล้วดิ”
“ไม่ต้องมาล้อกูเลย .. ว่าแต่พ่อมึงรู้เรื่องเรายังวะ?”
“เคยบอกไปแล้ว”
“แล้วพ่อมึงดุมากป่ะ?”
“..ก็ นิดนึง” ผมหลุดถอนหายใจให้หลังจากที่ได้ยินประโยคยืนยันจากปากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้าน ถึงยังจะเป็นเวลาช่วงหัวค่ำ แต่ด้วยความเหนียวตัวที่มีจึงทำให้ผมรีบจัดแจงอาบน้ำตั้งแต่ขึ้นมาถึงห้อง พร้อมล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างปล่อยสมองให้คิดนู้นคิดนี่ไปเรื่อย
“กูกลัวว่ะ”
“อือ บางทีกูยังกลัวเลย” ถ้อยคำคล้อยตามที่ไม่สร้างกำลังใจแล้วยังทวีคูณความกังวลในใจให้มากขึ้นเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ตอนแรกจะคิดไว้อยู่แล้วว่าเรื่องของเราไม่น่าจะราบรื่น เพราะด้วยความรักของเพศเดียวกันที่อาจดูใหม่เกินไปสำหรับผู้ใหญ่ก็ตาม
“คิดอะไรเยอะแยะ ถ้าพ่อกูไม่ให้คบ กูก็จะพามึงหนีไปเลยเป็นไง”
“มึงแม่งเว่อร์สัส .. ว่าแต่พ่อมึงทำงานเกี่ยวกับอะไรวะ ทำไมต้องไปต่างประเทศด้วย?” ผมเอ่ยปากถามคนที่เดินจัดของไปมาทั่วห้อง
“ทำบริษัทพัฒนายา เลยต้องไปดูงานบ่อย”
“..อ๋อ เท่ว่ะ”
“กูอาบน้ำบ้างละ จะได้มานอนดูหนังกัน”
“อื้อ”
หลังจากที่พิวเข้าห้องน้ำแล้วเป็นที่เรียบร้อยผมก็กลับมาคิดถึงเรื่องของเจ้าตัวอีกครั้ง เป็นเพราะพ่อทำบริษัทยานี่เอง ไอ้พิวถึงได้ชอบเคมีนักหนา พันธุกรรมความเก่งอาจถูกส่งทอดมาทางสายเลือดก็เป็นไปได้..
เสียงฝนตกภายนอกยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก โทรศัพท์ถูกหยิบยกขึ้นมาแก้เบื่อสลับกับการนอนกลิ้งไปมาบนเตียง แต่กลายเป็นว่าพอนอนเกลือกไปได้สักพักก็กลับอยากลุกไปปั่นหูขึ้นมาเสียดื้อๆ.. คงเป็นเพราะน้ำที่เข้าไปในหูตอนอาบน้ำเมื่อกี๊แน่ๆ
นั่นทำให้คอตตอนบัตเป็นสิ่งแรกที่ผมทำการมองหาไปรอบห้อง ห้องตั้งกว้างถ้าจะไม่มีของที่ผมต้องการเลยสักอันก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด .. หรือว่าจะอยู่ตามพวกลิ้นชัก?
“พิว! คอตตอนบัตอยู่ไหนวะ?”
“...” คงเป็นเพราะผนังห้องถูกออกแบบมาให้หนาเป็นพิเศษ คนในห้องน้ำจึงไม่ตอบรับในสิ่งที่ผมกำลังถามแม้แต่น้อย แต่อย่างไรด้วยความต้องการจะใช้มันในตอนนี้ให้ได้ จึงไม่ย่อท้อถึงวิสาสะสุ่มเปิดช่องเก็บของที่น่าจะเป็นไปได้ด้วยความระมัดระวัง จนผมได้มาเจอกับลิ้นชักตรงโต๊ะอ่านหนังสือที่ดูเหมือนจะน่าแปลกไปสักหน่อยเพราะพื้นที่ทั้งหมดนั้นมีของเพียงชิ้นเดียวที่ได้ถูกใส่เอาไว้..
ลิขวิด?
ปากกาลบคำผิดยี่ห้อยอดฮิตเพียงหนึ่งเดียวในนั้น ถูกผมหยิบขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ แต่แล้วมันกลับสร้างความแปลกใจให้ผมได้อย่างนึกไม่ถึง เมื่อหนึ่งในด้านหนึ่งของมันถูกสลักชื่อเอาไว้ด้วยปากกาเขียนซีดีหัวเล็กด้วยลายมือที่ดูคุ้นเคย
PAI
“ดูหนังเรื่องอะไรกันดีวะ .. อ้าว หาไรอะ?”
“พิว อันนี้มันของกูนี่”
Phatipol’s side
“พิว อันนี้มันของกูนี่” ลิขวิดแท่งสีน้ำเงินอันที่ผมซุกซ่อนเก็บเอาไว้ ถูกโชว์ขึ้นให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา
“เออ ก็ใช่ไง”
“มันมาอยู่กับมึงได้ไงอะ?”
“นี่มึงลืม?”
“...ก็ไม่เห็นจะจำได้เลย” ผมพ่นลมหายใจให้อีกฝ่ายยาวๆ นึกแล้วมันก็น่าโมโหหน่อยๆ ความทรงจำที่เจอกันครั้งแรกที่ไหน อย่างไรดูน่าประทับใจมากๆสำหรับผม แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะจำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“มานั่งเช็ดผมให้หน่อย .. เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
ย้อนเท้าความกลับไปในช่วงมัธยมศึกษาปีที่หก ที่เพื่อนๆที่โรงเรียนของผมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมมีความถนัดที่เหมาะสมจะเรียนในคณะวิศวะฯ .. ก็ไม่รู้สิ ถึงจะบอกถนัดแต่ก็ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ แต่ถ้าไม่ได้เรียนคณะนี้ก็ไม่รู้จะไปเรียนคณะไหนแล้วเหมือนกัน
เว็บไซต์ของมหาลัยถูกส่งจากเพื่อนสนิทให้ได้ลองสมัครดู เลือกคณะเสร็จแล้วภาควิชาทั้งเจ็ดก็ถูกแสดงขึ้นบนจอ ด้วยความที่ผมไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ จึงสุ่มเลือกขึ้นมาอันนึงตามชื่อวิชาที่ผมชอบมากที่สุด ‘วิศวกรรมเคมี’
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงวันที่ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์ ไฟล์ข้อมูลจั่วหัวว่าเป็นของภาควิชาที่ผมสมัครถูกเปิดขึ้นมาไล่หารายชื่อของตัวเอง แต่หากี่รอบๆก็ไม่พบ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายเลยแม้แต่น้อย
‘อ้าว ไอ้พิวทำไมชื่อมึงมาอยู่ในประกาศภาคเครื่องกลวะ?’
‘ห้ะ ไหนเอามาดูดิ’
‘..อะ’
ปฏิพล ภูมิเดชมนตรี
และนั่นก็ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาดูในใบสมัครของตัวเองอย่างจริงจัง แล้วก็พบว่าสิ่งที่คณะประกาศมันคือความถูกต้อง เป็นผมเองที่สะเพร่าจนเกิดการผิดพลาด .. ผมกดเลือกผิดภาคครับ
ทั้งหมดที่เล่ามาทำให้ผมต้องไปสัมภาษณ์ด้วยความจำใจ การตรวจสุขภาพในช่วงเช้าไปได้ด้วยดี มีนักเรียนหลายร้อยชีวิตก็กำลังเฝ้ารอเวลาในช่วงบ่ายเพื่อที่จะได้ทำการเข้าคัดเลือกในขั้นตอนถัดไปเช่นเดียวกันกับผม
บรรยากาศของทุกๆคนดูเป็นไปอย่างตื่นเต้นและกังวล แต่สำหรับผมมันค่อนข้างน่าเบื่อที่จะต้องมารออะไรนานๆข้ามวันแบบนี้ พื้นที่ใต้คณะถูกแบ่งออกเป็นแถวตามภาควิชาที่ได้รับคัดเลือกเพื่อนั่งรอให้รุ่นพี่ได้พาน้องๆไปยังห้องที่จะได้รับการสัมภาษณ์จากอาจารย์ของคณะ
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล
แถวของภาคเครื่องกลแบ่งออกเป็นสองแถว ต่างจากภาคอื่นที่มีเพียงแถวสั้นๆแถวเดียว บ่งบอกว่าค่อนข้างเป็นที่นิยมสำหรับคนที่จะเข้าศึกษาต่อเอามากๆ
และหลังจากที่นั่งรอได้ไม่นานกระดาษสองสามแผ่นก็ได้ถูกส่งมาให้เขียน หนึ่งในนั้นเป็นแบบสอบถามความพึงพอใจ และอีกหนึ่งใบในนั้นเป็นเป็นแบบทดสอบอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญกับผลการสัมภาษณ์ไม่มากก็น้อย
‘เฮ้ยๆ มึงชื่ออะไรวะ?’
‘กูชื่อไป่ไป๋ มึงอะ’
‘ชื่อคล้ายผู้หญิงเลยว่ะ กูเติ้ลนะ’ คนฟังอย่างผมนึกแปลกไม่นิดหน่อยที่คนข้างๆสามารถพูดแบบเป็นกันเองได้ตั้งแต่ในครั้งแรกที่ได้เจอกัน ปากกาในมือผมที่กำลังจรดเขียนข้อความในกระดาษโดนคนจากทางด้านขวากระตุ้นจนเกิดรอยเลอะ แต่เมื่อค้นตามกระเป๋าและร่างกายกลับไม่พบของที่ต้องการจึงหันไปของความช่วยเหลือจากคนทางด้านซ้าย
‘นายๆ’
‘หือ?’ เสียงเจื้อยแจ้วที่กำลังคุยกับบุคคลข้างหน้าหยุดชะงักลงเมื่อผมเป็นคนเข้าไปขัด เสี้ยวหน้าที่ได้มองแปรเปลี่ยนมาเป็นทั้งดวงใบหน้า
เชี่ย .. น่ารัก
‘อ่า เอ่อ เราขอยืมลิขวิดหน่อยได้ไหม?’
‘อื้อ ได้ดิ’ คนตัวขาวรีบกุลีกุจอเปิดกระเป๋าดินสอล้วงสิ่งที่ขอก่อนส่งมาให้ผม น้ำยาสีขาวถูกป้ายลงบนกระดาษอย่างลวกๆ
‘ไป๋แล้วนี่ถ้าติดมึงจะเอาที่นี่เลยป่ะ?’
‘ก็ว่าจะเอาเลยนะ ขี้เกียจไปสมัครที่อื่นละ อยากนอน ฮ่าๆ’ หลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปคุยกับเพื่อนคนเดิม ผมได้แต่นั่งเขียนแล้วลบคำผิดซ้ำๆ เพราะเสียงคุยที่ดังไปทั่วบริเวณทำให้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร
‘เฮ้ย เลอะเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?’
‘..อื้อ’ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าของลิขวิดในมือของผมได้ชะโงกหน้าเข้ามาหาตั้งแต่เมื่อไหร่
‘งั้นเอาของเราไปซีร็อกซ์ใหม่ดีกว่า เรายังไม่ได้เขียนพอดีเลย’
‘ไม่เป็นไรหรอกมั้ง’
‘เป็นสิ เราว่ามันมีผลต่อคะแนนนะ’ เป็นอีกครั้งที่ผมละสายตาจากมุมอื่นแล้วหันไปสบตากับคนที่เพิ่งเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรกด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เป็นคู่แข่งกันแท้ๆ แต่ทำไมยังใจดีอยู่อีก
‘อ่อ ขอบคุณมากนะ’
จากนั้นผมจึงลุกขึ้นจากแถว เดินตรงยังร้านถ่ายเอกสารของคณะพร้อมกระดาษในมืออย่างงงๆ มือข้างซ้ายถูกแบบให้เห็นลิขวิดที่ถูกหยิบติดมาด้วย โดยที่ไม่สามมารถสลัดชื่อและใบหน้าของคนน่ารักก็โดดเด้งขึ้นมาโลดแล่นบนความคิดของผมได้เลย
อยากรู้จักให้มากขึ้นจังเลยแหะ..[/i]
“แล้วมึงก็เลยยืนยันสิทธิ์เลือกหภาคเครื่องอะนะ”
“อื้อ”
“จะบ้าหรือเปล่า ถ้าเรียนไปแล้วไม่ชอบทำไง”
“แต่เดิมก็ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว”
“..ไอ้บ้าเอ๊ย” ผ้าขนหนูผืนเล็กชุ่มไปด้วยหยดน้ำจากหัวที่เพิ่งสระของผม เส้นผมถูกเช็ดจนหมาดพอดีหลังจากที่เรื่องทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาทั้งหมด
“แต่กูจำได้ว่าคนที่ยืมลิขวิดกูไปใส่แว่นนะ”
“แล้วกูเคยบอกหรือไงว่าเมื่อก่อนกูไม่ใส่แว่น..”
“เอ้า .. ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นใส่เลย”
“ต้องขับรถกลับบ้านเสาร์อาทิตย์ ไม่ชอบใส่แว่นตอนขับเลยไปทำเลสิก” ผมลุกขึ้นไปตากผืนผ้าที่ใช้ไว้ที่ราว ก่อนจะเดินกลับมาทิ้งตัวลงประจันหน้ากับผู้มาเยี่ยมเยียนในวันนี้
“เป็นไงกูโรแมนติกป่ะ?”
“ไม่เลยสักนิด” ด้วยความหมั่นเขี้ยวใบหน้ายียวนพูดปฏิเสธสิ่งที่ผมถาม จึงจัดการกดจูบลงบนปากสีชมพูชุ่มลิปมันนั่นแบบเร็วๆ
จุ๊บ
“ชอบนะไอ้ตัวไป๋”
จุ๊บ
“บอกชอบกูบ้างดิ”
“รำคาญ!” หลังแรงกดครั้งที่สองไป่ไป๋ก็ทิ้งตัวลงนอนพร้อมสะบัดมาห่มมาคลุมจนมิดทั้งตัวไม่หลงเหลือช่องให้อากาศได้ถ่ายเท โดยไม่สนใจผมที่กำลังนั่งรอฟังคำที่ต้องการอย่างใจจดใจจ่อ
“..แค่ครั้งเดียวก็ไม่ได้เหรอ” ผมไม่ยอมแพ้ งัดทักษะมือปลาหมึกที่สั่งสมมาใช้ซอกซอนจนสามารถเข้าไปกอดถึงตัวขาวๆในผ้าห่มผืนหนาได้จนสำเร็จ
“นะ.. เมีย”
“โอ๊ย!”
“...”
“เออ .. กูชอบมึง ชอบเหี้ยๆ ชอบชิบหายเลย” ไม่รู้ว่าเจ้าตัวพูดออกมาจากใจจริง หรือจะพูดออกมาเพราะอยากตัดรำคาญ แต่คำบอกชอบสั้นๆย้ำใจความแค่นี้ก็เป็นชนวนให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเหมือนหนุ่มน้อยหัวนมเพิ่งแตกพาน ส่งแรงกอดทั้งหมดที่มีผ่านผ้าผืนหนาไปหาไป่ไป๋ด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อื้อ วันจันทร์นี้ก็สู้ๆนะ”
“ไอ้เชี่ย บรรยายกาศกำลังดี มึงจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมเนี่ยยย”
“ฮ่าๆ”
“มึงแม่งชอบแกล้งกูจัง”
คนในก้อนผ้าห่มลุกขึ้นมาโอดครวญเมื่อผมไปสะกิดเรื่องที่เจ้าตัวไม่ชอบขึ้นมา .. เพราะน่ารักอย่างนี้ไงถึงได้ชอบแกล้งอะ รู้ตัวได้แล้ว : )
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ตอนหน้าฉากดุใหญ่จะมาแร้ว!!!
ปล.ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
นังพิวมันต้องวางแผนอะไรวั้ยแน่ ! :hao7:
-
ตอนหน้าจะมีฉากใหญ่อะไรน้อ
:hao6:
-
น่ารักง่อววว
-
chapter twenty。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
just pew : เกรดซัมออกวันไหน?
paipai : วันศุกร์นี้แหละ
paipai : ทำอะไรอยู่
หลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอนในเทอมที่สามที่ผมต้องอยู่ชดใช้กรรมเรียนวิชาเคมีระยะเวลาเกือบสองเดือน จนตอนนี้ผมก็ได้กลับบ้านเข้าสู่การปิดเทอมอย่างสมบูรณ์แบบเสียที
จากความรู้สึกที่ได้เรียนผมคิดว่าผลคงออกมาอย่างผ่านฉลุยเพราะได้อาจารย์ดีอย่างไอ้พิวช่วยอยู่หอเป็นเพื่อนช่วยติวจนผมแทบจะบรรลุ เวลานอนถูกลิดรอนเหลือเพียงวันละสี่ถึงห้าชั่วโมง โจทย์แบบฝึกหัดทุกข้อทุกเล่มทุกเรื่องบอกเลยว่าทั้งหมดนี้ได้ผ่านมือผมมาแล้วทั้งนั้น
just pew : ตอนแรกเล่นเกม
just pew : แต่เบื่อแล้ว
just pew : คิดถึงไอ้ตัวไป๋
just pew : คอลได้ไหม
ตัวอักษรร้อยเรียงเป็นประโยคเชิงขอร้องที่เห็นแล้วต้องอมยิ้ม รวมถึงคำบอกคิดถึงสั้นๆทำเอาผมปฏิเสธไม่ลง
paipai : อื้อ
ในตอนแรกที่ผมคิดว่าจะเป็นการคอลแบบโทรหากันธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับเปิดกล้องโชว์ใบหน้าของตัวเองจึงทำให้การคอลของเรากลายเป็นการวิดีโอคอลหากันไปโดยปริยาย
[นอนอยู่เหรอ?]
“นอนเล่นไปเรื่อย เพิ่งสิบโมงกว่าๆเอง”
[วันนี้จะออกไปไหนไหม?]
“ไม่อะ ขี้เกียจ มึงอะ?”
[ตอนเย็นแม่ให้ออกไปซื้อของด้วยกัน] เส้นผมหน้าชี้ฟูไปคนละทิศละทางของอีกฝ่ายทำให้ผมเดาได้ว่าเจ้าตัวคงกำลังนอนกลิ้งไปมาบนเตียงไม่ต่างจากผม
“เป็นลูกผู้ชายก็ต้องไปช่วยแม่ถือของช็อปปิ้งสิ จะหน้ามุ่ยทำไม”
(ไม่ใช่หน้ามุ่ยเพราะต้องไปกับแม่ แต่หน้ามุ่ยเพราะ..)
“น้องไป๋ทำอะไ- .. อ้าว คุยกับใครอยู่อะ?” ผมตกใจสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูตึงตังขึ้นพร้อมเสียงทักทายของไอ้พี่ปุ๋ยที่มักจะมาป่วนที่ห้องผมเป็นประจำ แต่ไอ้การที่พี่ชายทะเล่อทะล่าเข้ามาทั้งๆที่ผมกำลังถือสายอีกคนอยู่น่าจะไม่ใช่ลางที่ดีสักเท่าไหร่
“อ๋อ .. เอ่อ นี่”
[พี่ปุ๋ยหวัดดี ผมพิวเองครับ]
“ไหนขอดูหน้ามันหน่อย .. ไอ้น้องไป๋ เอาโทรศัพท์มานี่” สิ้นคำประกาศิตของคนมาใหม่ ผมก็ต้องยื่นสิ่งของในมือให้ด้วยความจำใจ แม้ในอกจะรู้สึกตุ๊มๆต่อมๆอยู่บ้างก็ตาม
“หวัดดีไอ้หล่อ เป็นอะไรกับน้องชายกูวะมึงอะ?” โทรศัพท์ถูกยกขึ้นทำมุมให้เห็น ไอ้พิวที่ในตอนแรกกำลังนอนหัวฟูอยู่บนเตียง แต่ในขณะนี้กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวอยู่ในท่านั่งพร้อมทรงผมที่ดูเรียบร้อยกว่าเดิมแล้ว
[อยากเป็นแฟนครับ .. แต่ยังไม่ได้ขอ]
“แล้วผู้หญิงคนที่มึงเอาขึ้นตัสด้วยเป็นใคร”
[เรื่องมันยาวครับ พี่ปุ๋ยพอจะมีเวลาฟังไหม?]
“เวลากูมีอยู่แล้ว เล่ามากูอยากฟังจากปากมึง” และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ได้ถ่ายทอดออกมาจากคนปลายสายเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เล่าให้ผมฟังคราวก่อนนู้น ตัวละครต้นเรื่องอย่างกุ้งถุกพูดถึงในทางที่ให้เธอมาเป็นติวเตอร์ให้เฉยๆ ส่วนข้อมูลการคบหาในเฟซบุ๊คถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น
“เหยดเขร้ บนโลกคนนี้มีคนอย่างมึงเหลืออยู่ด้วยเหรอวะ .. แต่จะว่าไปน้องกูมันก็โง่เหมือนกันนะเนี่ย”
“อ้าวๆ ไอ้พี่ปุ๋ยทำไมพูดงี้อะ?”
“จริงไหมวะไอ้ลูกหมา ร้องห่มร้องไห้บอกอยากถอนอันนี้กูเข้าใจ แต่กลับบ้านมานอนซึมเพราะเข้าใจผิดอันนี้มึงโง่เอง”
“ตอนนั้นพี่ปุ๋ยยังเข้าข้างไป๋อยู่เลยนะ”
“เออ ช่างแม่ง .. ว่าแต่มึง ไอ้พิวทำไมยังไม่ขอสักทีวะ” สายตรงหน้าถูกสับเปลี่ยนให้เป็นการคุยโทรศัพท์ส่วนตัวทำให้ผมไม่ได้ยินถ้อยคำโต้ตอบจากปลายสาย แต่เดาจากสีหน้าและน้ำเสียงของพี่ปุ๋ยแล้วบทสรุปของเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คาดเอาไว้
“ห้ะ ที่ไหน .. เออ ได้ๆ มึงจะบอกไป๋เองหรือจะให้กูบอก โอเค”
“...”
“เออ มีอะไรก็ปรึกษากูได้ ไม่กัดหรอกสัส .. เออๆ อะ มันจะคุยกับมึงต่อ” ผมรับโทรศัพท์มาอย่างไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์มากนัก ก่อนจะกรอกเสียงใส่ให้อีกคนได้รู้
“..ฮัลโหล”
[พรุ่งนี้ไปทะเลกัน]
“ฮะ? พรุ่งนี้มึงบ้าป่ะเนี่ย”
[ไม่บ้าหรอก รีแล็กซ์ก่อนเปิดเทอมไง]
“เดี๋ยวกูต้อง..”
[ขอพี่ปุ๋ยแล้ว ไปบ้านมึงคราวที่แล้วกูก็เคยบอกป๊าม๊าไปแล้วว่าอยากพามึงไปเที่ยว]
“..ไปคุยกันตอนไหนวะ?”
[เอาเป็นว่าพรุ่งนี้สิบเอ็ดโมงเดี๋ยวเข้าไปรับนะ]
“อื้อๆ ได้”
บทสรุปงงๆของใจความสำคัญได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ สายที่ถูกตัดไปทำให้ผมหันเหกลับมาให้ความสนใจแก่พี่ชายของตัวเองอีกครั้ง
“เมื่อกี๊พิวคุยอะไรกับพี่ปุ๋ยบ้างอะ?”
“ไม่มีอะไรมาก”
“งั้นเหรอ”
“เออน่า คิดว่าพี่จะกีดกันหรือยังไง” ป๊อกกี้รสช็อกโกแลตสมบัติของผมที่กินเหลือไว้ครึ่งค่อนกล่อง ในตอนนี้ได้ถูกพี่ปุ๋ยที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงนั้นได้ฉกไปกินแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“..ก็นิดนึง”
“มันเป็นคนดี คนนี้กูให้ผ่าน” กล่องขนมสีแดงถูกยัดกลับเข้ามาในมือพร้อมกับแรงตบที่ไหลเบาๆสองสามที ก่อนจะสับเท้าเดินก้าวออกนอกห้องไป
“อ่อ แล้วก็ ไปทะเลกับมันก็ระวังตัวดีๆนะ”
“ไอ้พี่ปุ๋ย!” กล่องขนมเบาโหวงถูกโยนใส่ใบหน้ากรุ่มกริ่มเพราะหมั่นไส้ประโยคความหมายแฝงของเจ้าตัว
“โอ๊ย! เอ้อ ไม่ยุ่งกับไอ้น้องไป๋แล้ว พี่ปุ๋ยงอน” มุมปากทั้งคู่ตกลงอย่างเง้างอด เดินคอตกออกห่างจากประตูไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เป็นปกติคงคิดสนใจแต่ตอนนี้ขอเซย์โนวให้ดีกว่า
อันที่จริงแล้วผมก็เคยคิดเรื่องแบบนี้ไว้อยู่เหมือนกัน เหตุจากประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาทำให้ได้รู้ว่าคนอย่างนายปฏิพลไม่ใช่คนแสนดีหรือคนที่อยู่ด้วยแล้วปลอดภัยสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะยิ่งเป็นทริปริมทะเลบรรยากาศชวนให้คล้อยตามง่ายๆก็ยิ่งแล้วใหญ่
ส่วนตัวผมแล้วไม่ได้รังเกียจหรือจะปัดป้อง เนื่องจากผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอยู่นิ่งๆได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไร ในตอนที่เราทำเรื่องของผู้ชายกันสองคนผมเองก็ต้องยอมรับว่ามันสามารถทำให้ผมรู้สึกดีมากๆอีกต่างหาก..
แต่เท่าที่ผมรู้มานั้นการตกเป็นฝ่ายที่อยู่เบื้องล่างมักจะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรับศึกอันหนักหน่วงก่อนเสมอ ถึงจะไม่ได้นำความรู้มาใช้ในเร็วๆนี้แต่อย่างไรผมเชื่อว่าสักวันคงต้องได้งัดมาประยุกต์ใช้ ไม่รอช้าสมาร์ทโฟนเชื่อมอินเทอร์เน็ตของผมจึงถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการค้นหาข้อมูลที่ผมค้างคาใจในทันที
คีย์เวิร์ดที่ต้องการถูกกรอกลงในช่องค้นหา ผลลัพธ์จากเว็บไซต์ขึ้นมาให้เลือกอ่านกันอย่างละลานตา ผมจึงเลือกสุ่มอันที่น่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดขึ้นมา
www.pantub.com
ฝ่ายรับต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างครับ?
ตามหัวข้อกระทู้เลย
หน้าจอถูกสไลด์ลงมาเรื่อยๆอ่านคอมเมนต์ที่ดูเลอะเทอะบ้าง ไร้สาระบ้าง ตามลำดับ จนได้มาเจอกับคอมเมนต์ที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากที่สุด..
ความคิดเห็นที่ 5
ในครั้งแรกคุณควรจะทำความสะอาดและเตรียมสิ่งของที่จำเป็น เช่น เจล และถุงยางครับ ส่วนวิธีการที่จะทำให้รู้สึกเจ็บน้อยที่สุดคือการทำให้คุ้นชินเพราะครั้งแรกท่าเตรียมตัวไม่ดีจะเจ็บมากๆๆๆ ท่วงท่าแรกที่ผมแนะนำและเวิร์กสุดๆคือการนั่งบนตัวแฟนคุณครับ
ปล.ขอให้มีความสุขกับคนรักมากๆนะครับผม
ไม้ยมกตอกย้ำความเจ็บปวดทำให้ผมรู้สึกใจแป้ว นึกหมดอาลัยตายอยากเมื่อเห็นสิ่งที่ผู้รู้ได้แนะนำให้ทำช่างเยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน
ความคิดเห็นที่ 17
แนะนำให้ไปศึกษาดูจากของจริงฮะ
ความคิดเห็นที่ 32
ของเราถึงกับเลือดออกเลยอ่า ใครเป็นบ้างมั้ย?
มือข้างที่ยกโทรศัพท์ตกลงบนเตียงด้วยความหมดแรงเมื่อผมได้ไปเห็นคอมเมนต์อันสุดท้ายเข้าพอดิบพอดี นึกอยากจะระเบิดตัวตายให้จบๆไปเสียยังดีกว่ามานั่งคิดฟุ้งซ่านแบบนี้ .. เออ ช่างแม่ง คิดในแง่ดีกว่าไอ้พิวมันพาไปเที่ยว เราคงไม่ได้ทำอะไรที่ว่านี่กันหรอก
..มั้งนะ
❋❋❋
ช่วงสายในวันถัดมาที่เป็นวันพฤหัสบดีของต้นเดือนสิงหาคม อากาศข้างนอกดูปลอดโปร่งแจ่มใสเหมือนรู้เห็นเป็นใจให้ผมได้ออกจากบ้าน จากเดิมที่เอาแต่คลุกตัวอยู่แต่ในห้องนอนภายหลังจากปิดเทอม
“น้องไป๋ เอาของไปครบหรือยังลูก?”
“ครบแล้วม๊า ขาดอะไรเดี๋ยวไป๋ค่อยไปซื้อเอาข้างหน้า”
“งั้นก็เที่ยวให้สนุกนะ”
“ครับม๊า ไป๋ไปแล้ว เดี๋ยวซื้อของมาฝากนะครับ บ๊ายบาย”
รถยนต์คันเดิมเข้าจอดข้างริมรั้ว กระโปรงท้ายรถถูกเปิดออกโดยคนขับอย่างรู้งาน ประตูรถถูกเปิดออกทำให้เห็นเจ้าของรถได้อย่างชัดเจน
“ทำไมวันนี้มึงหล่อจังวะ” พูดเองก็ตกใจเองเพราะประโยคข้างต้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไป ท่าทางตกใจหลังจากพูดจบของผมนั่นทำให้ไอ้พิวยิ้มออกมาได้ในทันที
“กูหล่อทุกวันว่ะเมีย”
“อ่อจ้า” คิ้วข้างขวาถูกยกขึ้นสองสามทีด้วยความมั่นอกมั่นใจ แต่คำพูดที่หลุดปากออกไปของผมมันก็คือความจริงทั้งนั้น เสื้อเชิ้ตฮาวายกับกางเกงสามส่วน กับผมที่ถูกเช็ตมาในวันนี้ทำให้พิวดูดีจนแปลกตากว่าปกติ
“สรุปเราจะไปที่ไหนกันวะ?”
“ตอนแรกว่าจะไปเกาะช้างแต่หาที่พักดีๆไม่ได้เลยเปลี่ยนใจพามึงไปหัวหินแทน”
“โหย ต้องที่พักดีๆด้วย?”
“ฉลองเรียนซัมเมอร์เสร็จไง” ฝ่ามือว่างเว้นจากการเปลี่ยนเกียร์ได้วางพร้อมตบปุๆลงบนหัว แม้จะเมื่อวานจะขอหารค่าที่พักกับเจ้าตัวไปแล้วแต่เจ้าตัวก็บอกปัดสถานเดียว แถมในตอนที่ถามที่หมายก็เอาแต่บอกว่าให้มารู้วันนี้ทีเดียวอีก
“เสี่ยพิวแม่งแน่นอนว่ะ”
หลังจากที่คืบคลานออกจากเขตของกรุงเทพได้ เราก็ขับรถโดยใช้เส้นถนนหลวงสายทอดยาวกันมาอย่างไม่รีบร้อน เพลงในรถถูกเปิดให้ช่วยสร้างบรรยากาศภายในรถได้เป็นอย่างดี
“เอะอะก็ว่าร้าก เออะก็คิดถึง แต่เธอไม่เคยซึ้งไม่เคยเข้าจาย”
“ถามจริงไอ้ตัวไป๋ มึงเคยร้องเพลงแบบนี้ตอนอยู่บ้านบ้างป่ะ?”
“เคย กูไม่อยากจะเล่าว่าไอ้พี่ปุ๋ยแม่งโยนถุงเท้าใส่กูด้วย”
“ฮ่าๆ สมควร ถ้ามึงร้องงี้ตอนอยู่หอกูจะเขวี้ยงด้วยรองเท้าเลย”
“แหน่ๆ ไอ้พิวมันปากดีจังเลยวะ”
“มีเมียปากหมาก็ต้องปากหมาตามเมีย”
ต่อมาไม่นานปั๊มน้ำมันถูกใช้เป็นจุดพักรถเพื่อทานข้าวและซื้อขนมนมเนยกักตุนไว้กินในระหว่างทาง ทั้งคู่นั่งคุยสัพเพเหระกันเหมือนไม่ได้เจอกันมาหลายปีแต่จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้เจอกันเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น
ตัวรถได้ขับผ่านเขตของพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังจะถึงจังหวัดประจวบฯอันเป็นจุดหมายในอีกไม่ช้า ด้านไป่ไป๋ที่ตื่นเต้นกับการได้นึกถึงวัยเด็กที่เคยได้มาเที่ยวเล่นกับครอบครัวก็เอาแต่จ้อเรื่องราวต่างๆพร้อมป้อนขนมให้คนข้างๆไปอย่างไม่ยอมหยุด
“กูยังจำเรื่องตอนที่กูมาชะอำกับที่บ้านได้เลย แม่งน่าอายชิบหาย”
“เรื่องอะไรไหนเล่ามาดิ”
“เรื่องตั้งแต่กูอยู่ประถมได้มั้ง จำได้ว่ากูไปเล่นน้ำกับพี่ปุ๋ย แล้วพี่แม่งจังไร”
“ทำไมวะ?”
“ไอ้พี่ปุ๋ยแม่งผลักแย่งห่วงยางจนกูจมน้ำ แต่เรื่องมันไม่ใช่แค่นั้นนะเว้ย”
“มีอะไรอีก”
“ในจังหวะที่พี่แม่งแย่งไปอะ กูกำลังนอนอยู่บนห่วงยาง มึงนึกภาพออกใช่ป่ะ พอพี่แม่งกระชากไปปุ๊บตัวกูงี้ตกน้ำตีลังกาขาชี้ฟ้าเลย .. ไอ้เหี้ยเอ้ย เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยตีลังกา แต่เสือกมาทำตอนอยู่ในทะเล หมาชิบหาย”
“ฮ่าๆ ไอ้สัส พูดซะกูเห็นภาพเลย”
“ยังไม่หมดนะ กูนี่สำลักน้ำเค็มเข้าไปเต็มกระเพาะ แต่จุดที่พีคที่สุดของเรื่องคืออะไรรู้ป่ะ อะๆๆ กูให้ทาย?”
“มึงกระโดดถีบพี่ปุ๋ย?”
“ไอ้สัส ตอนนั้นกูตัวเท่าข้อตีนพี่แกเองมั้ง พูดไม่คิด ..”
“เอ้าเมีย ก็มึงให้กูทาย”
“ก็ได้ๆ .. มึงนึกภาพตามกูนะ ในจังหวะที่มึงกำลังสำลักน้ำจนไอโขลกๆ พอมึงมีสติฉุดตัวเองขึ้นจากน้ำได้มึงก็ลืมตามาเจอกับ..”
“กับ?”
“กั๊บบบ”
“ไอ้สัสลีลา จอดรถจับปล้ำแม่งตรงนี้เลยดีไหมจะได้เล่าให้จบๆ”
“อย่าเกรี้ยวกราดสิ .. กู เงย หน้า มา เจอ กับ ผ้าอนามัย”
“...”
“ไม่ขำเหรอ?”
“ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูจอดรถพักก่อนได้ไหมวะ ขำจนปวดท้อง ฮ่าๆๆๆ” ระเบิดเสียงหัวเราะจากคนที่ชอบเก๊กขรึมดังขึ้นลั่นรถ ทำให้ขนมที่กินคาช่องปากอยู่แทบหลุดลงไปในลำคอ ส่วนทางด้านคนเล่าก็มีอาการช็อกไปเล็กน้อย เพราะเพิ่งเคยเห็นเจ้าตัวขำท้องขดท้องแข็งแบบนี้เป็นครั้งแรก
“โอ๊ย ฮ่าๆ แล้วมึงทำไงวะ?” มือหนายกขึ้นปาดน้ำที่ปลายหางตาแต่ก็ยังไม่ละโฟกัสไปจากท้องถนนตรงหน้า
“ก็จับมือไอ้พี่ปุ๋ยแล้วพากันวิ่งออกมาจากตรงนั้นเลย กลัว”
“ชีวิตวัยเด็กมึงนี่จี้สัส”
“เรื่องเล่าตอนเด็กๆของมึงอะ?”
“อยากรู้?”
“มีเหตุผลอะไรให้ไม่ให้อยากรู้อะ?”
“เดี๋ยวถึงรีสอร์ตแล้วค่อยเล่าให้ฟัง”
“อ่าฮะ”
เวลาบ่ายสองกว่าๆทั้งคู่ก็ได้เดินทางมาถึงยังรีสอร์ตติดริมทะเลบรรยากาศร่มรื่น หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันเข้าสู่ห้องพักหันหน้าออกสู่ทะเลทำให้สามารถเห็นภาพบรรยากาศผ่านนอกผ่านกระจกระเบียงได้อย่างชัดเจน
“เหยดเขร้ ห้องสวยสัสอะ”
“เป็นไงชอบป่ะ?”
“ชอบดิ .. เชี่ย นอนมองทะเลบนเตียงก็ได้ว่ะ” ผมเอนตัวลงนอนมองวิวเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่ไม่ได้มาพักผ่อนริมทะเลอย่างนี้เป็นเวลานานมากแล้ว คงไม่ต้องสืบว่าห้องพักดีๆอย่างนี้จะราคาแพงลิบลิ่วแค่ไหน
“แขกคนก่อนเขาแคนเซิลตอนกูจะจองพอดี”
“แล้วจองไว้กี่คืนวะ?”
“สอง เช็คเอ้าท์เที่ยงวันเสาร์”
“ยังไม่ต้องจัดกระเป๋าหรอก ขับรถมาตั้งไกล มานอนนี่ก่อนมา” น้ำหนักตัวถูกทิ้งลงบนเตียงนอนนุ่มตามคำชักชวน พร้อมกับวงแขนที่สอดแทรกเข้ามาใต้หัวอย่างที่เจ้าตัวทำเป็นประจำ
“จะเล่นทะเลเย็นนี้เลยไหม?”
“เอาดิ เวลาเหลือเล่นเจนก้ากันไหม?“
“มึงเอามาอ่อ”
“เออ”
“จัดไป ใครแพ้ทำอะไรดี?”
“คนแพ้ต้องนอนให้อีกคนก่อกองทรายบนตัว”
“เออ ดีๆ มึงเตรียมตัวเป็นนางเงือกไว้ได้เลยไอ้หมาพิว” และแล้วท่อนไม้เรียงเป็นกองสูงก็ได้ตั้งตรงลงตรงบนพื้นต่อหน้าพวกเรา เกมตึกถล่มดำเนินไปอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่อนไม้ชิ้นเล็กถูกหยิบออกครั้งละหนึ่งต่อหนึ่ง ความดุเดือนของเกมยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนตัวต่อตรงหน้าลดลง จนในที่สุดเราก็ได้ผลผู้แพ้ออกมาอย่างเป็นทางการ ..
“ไอ้เชี่ยพิว อย่าโกยใส่หน้า ทรายมันเข้าปากกู”
“แพ้เองช่วยไม่ได้” ศิลปะบนกองทรายถูกสร้างสรรค์ขึ้นจนเป็นรูปเป็นร่าง ส่วนหางถูกต่อเติมวาดครีบจนสวยงาม แถมผมยังได้ของแถมเป็นช่วงเนินอกสุดสะบึ้มนี่อีกต่างหาก
“อะ เอาเปลือกหอยปิดหัวนมไวด้วย เดี๋ยวโป๊”
“กูต้องอยู่อย่างนี้นานอีกแค่ไหนเนี่ย”
“อีกแปปนึง ขอถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน” ทางด้านของไอ้พิวดูเหมือนจะภูมิใจผลงานของตนเองดูไม่น้อย โทรศัพท์ในซองซิปกันน้ำถูกหยิบขึ้นมาใช้ถ่ายรูปสภาพอันน่าเกลียดของผมในตอนนี้
“สองนิ้วหน่อย หนึ่ง สอง ซั่ม..”
“ขอดูหน่อยกูหล่อป่าว”
“ไม่ให้ดูหรอก เสร็จแล้ว จะลงทะเลเลยไหม?”
“กูขอไปล้างปากแปป ทรายเข้าเต็มเลย”
“รีบไปรีบมา” พะเนินทราบบนตัวถูกพังทลายลงหลังจากที่ผมยันตัวลุกขึ้นพรวดพราด รีบเดินตรงมุ่งหน้าสู่พื้นที่ล้างตัวของทางรีสอร์ตเพื่อล้างเศษทรายในปากออกให้หมด
“ถุยๆๆๆ”
“ขาวจัง”
“หื้ม” เสียงพึมพำระยะประชิดทำให้ผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างสิ่งสกปรกของออกจากใบหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองหาเจ้าของเสียงที่ว่านั่น
“อุ้ย ม-มีอะไรหรือเปล่าครับ” แต่แล้วก็ต้องตกใจจนผงะเมื่อแหงนหน้าขึ้นมาปะทะสายตากับชายปริศนารูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่บริเวณก๊อกน้ำอันถัดไปซึ่งไม่ห่างกันมากนัก
“สวัสดีครับ ผมดอนครับ”
“อ่า ไป่ไป๋ครับ” ฝ่ามือกร้านถูกยกยื่นมาเบื้องหน้า ด้วยความเกรงใจผมจึงยกมือขึ้นไปเช็คแฮนด์กับเขา แต่ดูเหมือนว่าเรื่องยังไม่จบเพียงแค่การทักทายเท่านั้น
“น่ารักดีนะครับ ผมอยู่ห้องข้างๆคุณพอดีเลย”
“ว่าแต่รู้ได้ไงครับว่าผมอยู่ห้องไหน”
“ผมเห็นคุณตอนเดินออกจากห้องกับผู้ชายอีกคนพอดีน่ะครับ ว่าแต่..”
“...”
“คุณกับเขาเป็นอะไรกันเหรอครับ”
“อ่อ ก็..” คำถามเรื่องส่วนตัวถูกเอ่ยออกมาจากปากผู้ชายกล้ามโตผิวคล้ำแดดบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง .. ไร้ซึ่งคำตอบให้คนถาม ไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไร
จะให้บอกว่าเป็นเพื่อนมันก็ไม่เชิง แต่แฟนก็ยังไม่ใช่
“เราเป็น.. เพื่อนกันครับ”
“ดีจังเลย งั้น..”
“ไป๋เสร็จยัง บ้วนปากอะไรทำไมนานจังเลย” เสียงทุ้มดังขึ้นแทรกจังหวะที่เพื่อนใหม่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ ได้โอกาสให้ผมออกแรงชักมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผม..ผมไปก่อนนะ” รีบสาวเท้ายาวๆออกมาจากด้านหลังกำแพงกั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะพบกับพิวที่เดินมาตามเข้าพอดิบพอดี
“นานจังวะ”
“เจอคนข้างห้องมาทักอะ เลยคุยไปนิดหน่อย”
“งั้นเหรอ ช่างแม่ง ไปเล่นน้ำกันได้แล้วเดี๋ยวอาทิตย์ตกแล้วจะอดเล่น”
“เออ ป่ะๆ”
คลื่นน้ำสาดเข้าปะทะร่างของทั้งสองกลางทะเลเป็นระลอก แสงดวงอาทิตย์อัสดงเติมแต่งลงบนผิวกาย ระดับน้ำเค็มเสมอประมาณเอวที่บ่งบอกว่าตำแหน่งของพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากผืนทราย ในขณะเดียวกันฝั่งคนบนห่วงยางกำลังปกป้องความสวัสดิภาพของตัวเองไว้อย่างสุดกำลัง
“ไอ้เชี่ยพิว อย่าดึง อยากให้กูตกน้ำหรือยังไง”
“ย้อนวัยหน่อยเป็นไงไอ้ตัวไป๋”
“เฮ้ย อย่าๆ ไอ้สั-”
ตู้ม!
ไป่ไป๋พลัดหล่นจากห่วงยางตกน้ำในท่าทางหงายหลังจนขาชี้ฟ้า พอทรงตัวอยู่ก็ฉุดรั้งตัวเองให้โผล่พ้นน้ำ ก็หันไปส่งสายตาคาดโทษคนที่เอาแต่แกล้ง กระแอมกระไอเพราะอาการสำลักน้ำจนแสบคอไปหมด พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปว่ามันช่างคลับคล้ายคลับคลาเรื่องเก่าๆเหลือเกิน
ในขณะนั้นจึงส่งสายตาทอดมองบนพื้นน้ำใกล้ตัวด้วยความระมัดระวัง พร้อมภาวนาอย่าให้เดจาวูมันเกิดขึ้นให้หัวของเขามากไปกว่านี้เลย .. แต่ก็เหมือนว่าสวรรค์จะไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่
“..ไอ้สัส ถุงยางอนามัย!” นิ้วเรียวของไป๋ที่เพิ่งดื่มน้ำทะเลเข้าไปเต็มอึกเมื่อครู่ชี้ตรงไปยังซากอารยธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางการสืบพันธุ์กำลังลอยตุ๊บป่องห่างไปเพียงเสี้ยวเมตร
“พิว ขึ้นเหอะ กูเหมือนจะอ้วกยังไงไม่รู้ว่ะ”
“กูขอโทษนะไอ้ตัวไป๋”
“มึงไม่ต้องมาพูดเลย”
“โอ๋ๆ ป่ะ เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเบียร์เอง”
“..มึงแม่ง” และแล้วคนตัวสูงก็กอดคอพาคนหน้ามุ่ยเดินห่างจากจุดเกิดเหตุไปในที่สุด
❋❋❋
และแล้วมื้อเย็นของเราก็เป็นร้านอาหารทะเลบรรยากาศน่านั่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากรีสอร์ต ซีฟู้ดที่สั่งถูกพากันมาวางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ ด้วยความหิวโหยที่มีทำให้ของกินทั้งหมดถูกตักลงกระเพาะพวกเราทั้งสองจนหมดเกลี้ยง และแน่นอนว่าค่าอาหารมื้อนี้ไอ้พิวไม่ยอมให้ผมมีส่วนร่วมแม้แต่เศษสตางค์อีกแล้ว ..
สิ้นสุดมื้ออาหารเราก็พากันเดินไปหาของมึนเมาและขนมขบเคี้ยวในร้านสะดวกซื้อเพื่อเอาไว้กินช่วงดึกตามที่พิวต้องการ
“ชน/ชน” รสชาติขมนุ่มของเบียร์กระป๋องยี่ห้อยอดนิยมถูกกระดกกลืนผ่านลำคอ เก้าอี้นวมตัวยาวทั้งสองตัวในห้องถูกเคลื่อนย้ายมาไว้หน้ากระจกบานเลื่อนตรงระเบียง ภาพทะเลยามกลางคืนสะท้อนกับแสงจันทร์จนระยิบระยับน่ามอง อีกทั้งอากาศไม่ร้อนไม่เย็นพร้อมทั้งกลิ่นเกลือที่ได้พัดโชยเข้ามา ทำให้รู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องเรื่องทุกอย่างเอาไว้ที่เบื้องหลัง
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นมึงสูบบุหรี่เลย” ผมเอ่ยทักคนตัวสูงที่กำลังนั่งไม่ห่างกัน เมื่อนึกสังเกตได้ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นเขาถือบุหรี่ขึ้นสูบสักเท่าไหร่
“กำลังเลิกอยู่”
“หือ จริงจัง”
“จริง”
“ครั้งแรกที่สูบบุหรี่คือตอนไหนวะ?”
“...”
“ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็น-”
“ตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ..” ผมหันหน้าไปเลิกคิ้วใส่คนข้างตัว นึกว่าไอ้พิวมันจะไม่ตอบซะแล้ว..
“มีเรื่องนึงที่มันวนเวียนในหัวกูเต็มไปหมด กูเลยไปปรึกษาเพื่อนตอนมอปลายว่าทำยังไงมันถึงจะหายไป.. ตอนนั้นแหละที่กูเริ่มสูบครั้งแรก”
“ร-เรื่องอะไรวะ”
“...เรื่องมึงกับแฟนเก่าไง” รู้สึกเหมือนตัวเองจมหายไปในห้วงของเวลาในตอนที่คนเล่าหันมาสบตากันตรงๆ สายตาจริงจังทั้งสองนั่นช่วยกันตอกย้ำว่าทุกคำพูดคือความจริง
“แล้วทำไมถึงเลิกอะ?”
“อันนี้มีเหตุผลสองข้อคือ หนึ่งแม่กูเป็นภูมิแพ้ ส่วนสองก็คือมึง..”
“กลัวกูเหม็น?”
“ฮึ หนึ่งในโทษของบุหรี่คือผมร่วง”
“...”
“กูกลัวมึงหัวล้าน เพราะปัจจุบั- .. โอ๊ยๆๆๆ!” แรงหยิกถูกส่งจากนิ้วมือผมสู่ช่วงสะบั้นเอวของไอ้พิวทันทีที่ได้ยินคำพูดต้องห้ามออกมาจากคนปากปีจอ เพราะความเจ็บจึงส่งผลให้อีกคนทำหน้าเหยเกพร้อมร้องโอดโอยออกมาด้วยความทรมาณ
หมดมู้ดเลยไอ้สัส..
“ไอ้ตัวไป๋ปล่อยๆ”
“ขอโทษกูมาเดี๋ยวนี้”
“ก็มึงหัวเถิกจริงๆอะ”
“แม่งเอ๊ย..”
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
หลังจากที่ปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแต่กลับเป็นผมเองที่ตลบหลัง เพราะฝ่ามือกว้างนั่นเอื้อมเข้ามาล็อกใบหน้าผมไม่หันให้หนีไปไหน จัดการเลิกผมปรกม้าแล้วระดมจูบลงแรงๆจนรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าบูดเบี้ยวไปหมด
“หัวเถิกก็ชอบนะ”
“อ-อืม”
คงคอนเซ็ปต์ตบหัวแล้วลูบหลังเหมือนเดิมเลยนะไอ้ตัวเหี้ย..
เวลาล่วงคล้อยไปจนเกือบจะวันใหม่ เบียร์ค่อนโหลที่ถูกซื้อมาเมื่อตอนเย็นถูกบริโภคจนเหลือเพียงสองกระป๋องสุดท้าย ไป่ไป๋รู้สึกเหมือนคอตนเองอ่อนปวกเปียกไปหมดจนต้องเอนตัวลงพิงกับพนัก ส่งเบียร์อึกแรกของกระป๋องสุดท้ายลงไปช้าๆ ความสวยงามของทะเลเวลานี้คงไม่น่าดูเท่าคนรูปหล่อที่มาด้วย
“มองหน้าอย่างงี้อยากเป็นเมียของจริงหรือยังไง?”
“พิว .. มึงอะ” ตาฉ่ำเยิ้มที่จ้องมองมาเป็นเหตุให้ร่างสูงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนใบ้ขึ้นมาเสียดื้อๆ
“...”
“จีบกูติดแล้วนะ เมื่อไหร่จะขอกูเป็นแฟนสักที”
“อยากเป็นแฟนกูขนาดนั้นเลย?” พิวส่งยิ้มด้วยความอารมณ์ดีให้บางๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าแล้วว่าไป่ไป๋ตกอยู่ภายใต้อำนาจของแอลกอฮอล์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อื้อ อยากมาก”
“แล้วอยากจูบกันไหม?”
“จูบบ่อยไปแล้วนะมึงอะ” ร่างบางพูดถ้อยคำตำหนิดูไม่จริงจัง ในขณะที่ตัวเองได้ยื่นหน้าทำปากจู๋ใส่คนขอภายในทันที ช่างดูขัดแย้งกันจนพิวหลุดขำขึ้นมา
ลำตัวของไป่ไป๋ถูกฉุดรั้งด้วยแรงทั้งหมดที่มี ส่งผลให้ร่างทั้งร่างของเขาได้มานั่งจุมปุ๊กทับช่วงล่างของนายปฏิพลแล้วในที่สุด
ดวงหน้าของทั้งคู่ถูกดึงดูดเข้าหากันไปตามอารมณ์ จนเสียงเสียงหยาบโลนที่เกิดขึ้นดังจนกลบเสียงคลื่นไปเสียหมด นานนับนาทีที่พวกเขาใช้ลมหายใจใกล้ชิดกันก่อนจะผละห่าง
“นี่ดิ เขาถึงจะเรียกว่าโรแมนติก”
“อยากโรแมนติกบ่อยๆไหม? : )”
“..อยาก”
“งั้น-”
“แต่ตอนนี้ง่วงแล้วอะ ขอนอนนะ” พูดจบหัวอันหนักอึ่งของคนที่อยู่ด้านบนก็ทิ้งลงบนบ่าของร่างหนา ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องช้อนนตัวคนบนตักอุ้มกระเตงพาไปที่เตียง จังหวะยุบขึ้นลงของหน้าท้องบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเข้าสู่ความฝันไปแล้ว
พิวจูบหนักๆบนหน้าผากอีกหนึ่งทีเป็นค่าเหนื่อยในการจัดการพาไป๋เข้านอน เสียงกระซิบของความลับดังขึ้นใส่หูคนที่กำลังหลับ เพราะรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางตื่นมาได้ยิน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้..”
-
❋❋❋
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูไม่กล้าเปิด”
“เปิดดิ”
“ไม่เอา เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเปิด”
“เอามานี่เดี๋ยวกูเปิดเอง”
“ฮื่อ”
โทรศัพท์ค้างหน้าเว็บไซต์ประกาศเกรดของมหาลัยถูกส่งทอดให้ไอ้พิวที่นั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะอาหารมื้อเที่ยง
เมื่อเช้าคงเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของเบียร์เมื่อคืนที่กว่าผมจะตื่นก็ปาไปเกือบสิบโมงเช้านู่นแล้ว และแน่นอนว่าเราไม่ทันกินเบรคฟัสต์ของทางโรงแรม จึงต้องหอบท้องพากันขับรถมากินในร้านอาหารแถวตัวเมืองแทน
“กดเข้ายังๆๆ”
“แล้ว..”
“เป็นยังไงบ้างวะ ไอ้สัสอย่ายื้อกูตื่นเต้น”
“มึงคิดว่าตัวเองจะได้อะไร?”
“ซีบวกกูก็ร้องไห้แล้วไอ้เชี่ย”
“ดีใจด้วยมึงได้บีบวก”
“ฮะ? บีบวกเลยอ่อ น้ำตากูไหลแล้วแม่งเอ๊ย” สมาร์ทโฟนถูกส่งกลับคืนมาพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษตัดสินอนาคตของผมตรงหน้า
วทคม113 เคมีทั่วไป B+
“ยินดีด้วย ไอ้ตัวไป๋”
“ไอ้พิวกูขอบคุณมึงมากเลยนะ ฮื่อ ถ้าไม่ได้มึงป่านนี้กูคงแดกปลาแล้วแน่ๆเลย” ผมเอื้อมมือไปเกาะกุมของไอ้พิวไว้แน่นด้วยความดีใจ
“มึงขยันขึ้นต่างหาก .. ป่ะ อิ่มยัง จะได้ไปไหว้พระกัน” ผมส่งยิ้มให้คนที่เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณในชีวิตคนล่าสุด คำชักชวนชี้ให้ก้าวเดินไปในเส้นทางที่เราได้เลือก
ผมและคนที่ผมรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินกับการที่มีเขาอยู่
“อื้ม ป่ะกัน”
รถยนต์เคลื่อนที่ไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 3218 ด้วยอัตราเร็วคงที่ จากร้านอาหารในที่สุดเราก็มาถึงวัดที่เป็นเป้าหมาย โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาผู้คนจึงไม่คับคั่งอย่างคราวที่ผมเคยมาครั้งก่อน
เราเข้าไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนเพื่อสักการะรูปเหมือนของหลวงปู่ทวดองค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ดูเหมือนบันไดหลายสิบขั้นตรงหน้าจะดูเป็นปัญหาต่อคนสุขภาพเสียเพราะบุหรี่ที่เคยสูบเอาไม่น้อย
“เหนื่อยแล้วเหรอ?”
“เออ สงสัยกลับบ้านไปต้องเข้าฟิตเนสหน่อยละ”
“มา” วงแขนผมได้ยื่นเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์มากสักเท่าไหร่
“เกาะไว้ดิ เดี๋ยวพาขึ้น” เราทั้งสองยิ้มให้กันเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ผมรู้แค่ว่าปฏิกิริยาของไอ้หมาพิวดูเหมือนจะพอใจเอามากๆเลยทีเดียว
“ขอบคุณครับ : )”
หลังจากเราออกจากวัด และเข้าไปในตัวเมืองของจังหวัดเพื่อเที่ยวชมจนเสร็จสิ้นแล้วก็ถึงเวลาอันเหมาะอันควรที่จะกลับที่พักกัน ในระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความนุ่มนวลผสมกับความเหนื่อยล้าจากอากาศร้อนของวันนี้ จึงพาให้ผมงีบหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัว
“ไป๋ตื่น .. ไป๋”
“หื้อ อ้าว ถึงแล้วเหรอ?”
“ถึงแล้ว มารีบลงมาบนรถมันร้อน” ก้าวขาลงจากรถเสร็จผมก็ลงมาบิดขี้เกียจพอให้หายเมื่อย เดินออกจากบริเวณที่จอดรถมาพร้อมๆกับไอ้พิว
“ไปเดินริมทะเลกัน อยากถ่ายรูปอะ”
“อื้อ เอาดิๆ” แม้จะรู้สึกตงิดใจอยู่บ้าง เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินคำชักชวนไปถ่ายรูปจากอีกคนเลยสักครั้งเดียว แต่ก็ยอมตามไปในที่สุด
ชายหาดในชั่วสี่โมงเย็นที่แสงอาทิตย์ยังคงส่องสว่างบนฟากฟ้า พาให้ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เลือกที่จะลงเล่นน้ำทะเลกันในเวลานี้ จึงทำให้เราทอดน่องฝากรอยเท้าทั้งสี่ข้างบนพื้นทรายกันได้อย่างสบายใจ น่าแปลกที่ทางด้านคนที่ชวนมาถ่ายรูปกลับไม่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพเลยสักใบ
ครืด ครืด
“ใครโทรมาวะ?”
ตุลลี่สุดสวย
“ฮัลโหล ลมอะไรหอบให้มึงโทรมาหากูวะ?”
[ลมพัดตึ้งมั้ง..ครับ ว่าแต่เกรดออกแล้วเป็นไงบ้าง] ผมนึกขำในใจหลังจากที่ได้ยินเสียงลงท้ายว่าครับเบาๆหลังปะโยค .. พูดอย่างนี้แสดงอีกฝ่ายอยู่บ้านกับพ่อแหงๆ ไม่ต้องสืบให้ยากเลย
“ดีกว่าที่คิดมากนิดนึง มึงอะเป็นไงบ้างกลับชลบุรีไปก็หายจ๋อมเลย”
[สบายดี ตอนนี้มึงอยู่ไหนเนี่ย เสียงลมอู้ๆแปลกๆ]
“อยู่ทะเลแหละ”
[ส่วนนี้เดี๋ยวพิมพ์ไปด่าทีหลัง ตอนนี้ออกอากาศไม่ได้ .. เออ แค่นี้แหละ ไปกินข้าวก่อนนะ]
“ฮ่าๆๆ เออๆ บาย” ผมตัดสายลงทันทีที่เราคุยกันเสร็จ เตรียมหันหน้าไปคุยเรื่องมื้อเย็นกับคนที่เดินมาด้วยกัน แต่ผมกลับพบแต่ความว่างเปล่าข้างกาย..
“ไป๋!” เสียงเรียกดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างบางรีบหันตัวกลับไปหาเดี๋ยวความเร็ว นึกกังวลว่าอีกคนจะหายไปไหน ความสว่างในตอนบ่ายทำให้สายตาที่มองเห็นกริยาทุกอย่างชัดเจน ตั้งแต่เม็ดเหงื่อตามขมับและรวมถึงรอยยิ้มร่าเริงจากคนตัวสูงที่ยืนห่างกันไปไม่ถึงสิบก้าวดี
ฝ่ามือข้างขวาที่โบกไปมาระดับแผ่นอกค่อยลดหลั่นลง นิ้วมือที่เหลือทั้งสี่ถูกงอเข้าเหลือเพียงนิ้วชี้พร้อมกับทำท่าจิ้มลงไปมา .. เชื้อเชิญให้เขามองพื้นทรายเม็ดสีขาวที่มีข้อความบางอย่างอยู่บนนั้น
เป็นแฟนกันนะ
กิ่งไม้สั้นข้างๆกันเป็นคำตอบให้การถามหาที่มาที่ไปภายในใจของตนเอง แม้ในขณะนี้กายละเอียดจะได้พุ่งเข้าหาคนทำเรื่องเซอร์ไพร์สตั้งแต่อ่านข้อความจบแล้ว แต่ในส่วนของกายหยาบที่ยังคงนิ่งงันเพราะไม่มีแรงที่จะขยับท่อนขาไปไหน
“ชอบมึงมากๆเลยนะ”
“อื้อ รู้แล้ว”
“โรแมนติกพอป่ะ?”
“..สุดๆเลย” จังหวะเดียวกันที่ทั้งสองเลือกก้าวเท้าเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครคิดหันหลังกลับ วงแขนของคนสูงกว่าถูกกางออกกว้างเพื่อรองรับคนที่เขาเลือกจะให้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างสำคัญของกันและกัน
ไม่ต้องคิดหนัก
ไม่ต้องหาคำสวยหรูมาเพื่อการขอร้อง
“ตกลงเป็นแฟนกันไหม?”
“อื้อ..”
แค่ยิ้มกว้างให้ความสุขเบื้องหน้า
แล้วโอบกอดกันเพื่อต้อนรับชื่อเรียกในความสัมพันธ์อันใหม่
“เป็นแฟนกันแล้วนะ”
“ครับ ไอ้ตัวแฟน : )”
มีคนไม่กี่คนบนโลกในนี้ที่จะโชคดีในความรักตลอดกาล
แต่ก็มีหลายคนบนโลกใบนี้ที่ได้เจอคนที่เข้ามาทำให้เป็นความรักที่โชคดี
เพราะการมีเขาตลอดไป..
❋❋❋
“อื้อ .. พิวอย่าเพิ่ง”
“บอกแล้วไงว่าถ้าได้เป็นแฟนปุ๊บจะจับทำเมียเลยอะ”
ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดจนสนิท ร่างของทั้งสองก็เข้าคลุกคลีกันจนแนบชิด เครื่องแต่งกายถูกนำออกจากร่างกายชิ้นต่อชิ้น จากประตูไปเรื่อยๆจนถึงเตียงนอนหนานุ่ม
ซอกคอขาวผ่องถูกจองจำไว้ด้วยใบหน้าหล่อ จงใจประทับรอยความเป็นเจ้าของไว้ในส่วนที่สามารถเห็นได้ชัด
“อ๊ะ ยังทำไม่ได้”
“ทำไม?”
“ไม่มีเจลกับถุงยาง” ร่างสูงที่เหลือเพียงบ๊อกเซอร์ตัวบางพรั่งพรูลมหายใจจนสุดปอดอย่างอดกลั้น ก่อนผละออกจากคนน่ารังแกที่นอนตาปรือบนเตียง
พิวเอื้อมมือไปกดเปิดสวิตซ์เครื่องปรับอากาศให้เริ่มทำงาน กระเป๋าขนาดย่อมๆถูกรื้อค้นออกมาจากกระเป๋าเป้ใบใหญ่กว่า ซิปที่รูดออกเผยให้เห็นตัวช่วยที่ร้องขอเรียงรายกันอยู่ภายใน
เอามาจากลิ้นชักชั้นบนสุดตรงหัวเตียงที่หอนั่นแหละ..
“มีครบแล้ว”
“ฮื่อ นี่คิดมาก่อนแล้วใช่ไหมเนี่ย”
เขายกยิ้มให้กับสีชมพูน่ารักทั้งใบหน้าจนลามไปถึงใบหู
“ก็คิดมาตลอดนั่นแหละ”
“ก-กูกลัวเจ็บ”
“เชื่อใจกันนะ”
“..ฮึก”
หัวเข่าแกร่งถูกส่งเข้าไปแยกท่อนขาแนบติดทั้งสองให้แยกห่าง มือหนาตระกองใบหน้าน่าเอ็นดูให้รับรางวัลคนเก่งจากริมฝีปากสู่ริมฝีปาก ก่อนจะลงขยับตัวลงไปสร้างความหวาบหวิวในส่วนอื่นต่อเนื่องกันจนร่างบางเหมือนจะหยุดหายใจอยู่ร่อมร่อ
ชั้นในสีขาวถูกปลดระวางจากการเป็นปราการด่านสุดท้าย ฝ่ามือขาวปัดป่ายสะเปะสะปะไปหมดเมื่อถูกความอุ่นร้อนครอบงำ .. จนสะท้านไปทั้งร่าง
“อ่า อย่า อย่า มันสกปรก” ใบหน้าชุ่มเหงื่อเชิดขึ้นระบายวาบหวามในช่องท้อง ฝ่ามือถูกส่งไปผลักไสคนดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำพูด แต่ในจังหวะที่นิ้วเรียวทั้งห้ากำลังเกาะกุมที่เส้นผมสีดำสวยของอีกฝ่ายพร้อมกับใบหน้าแสนดึงดูดได้ช้อนสายตาขึ้นมาสบตา .. ในขณะที่ทำสิ่งลามกกับตัวเขาไปด้วยอย่างไม่คิดละอาย
พาให้ใจกระตุกไปทั้งตัว
“..อ๊า” แผ่นอกหอบกระเพื่อมพร้อมหลับตาปี๋เมื่อเข้าปะทะกับความสำราญที่เจือไปด้วยความกระดากอาย เสียงเสียดสีของผิวเนื้อและผ้าปูทำให้ไป่ไป๋ต้องลืมตามาเผชิญความจริงเบื้องหน้าอีกครั้ง
ขวดรูปทรงประหลาดถูกหยิบฉวยขึ้นมาจากกระเป๋าสีทะมึน สะโพกถือยกขึ้นทาบทับหน้าตักของอีกฝ่ายไปพร้อมๆกับเสียงวัสดุพลาสติกในมือได้ถือเปิดขึ้น
“อ๊ะ ฮ้า มันเย็น” ของเหลวลดการเสียดสีสัมผัสลงบนผิวส่วนอ่อนไหว ความเย็นแทรกซึมสู่ภายในไปพร้อมๆกับส่วนปลายสุดของมืออย่าง..
นิ้วกลาง
นิ้วนาง
และนิ้วชี้
จนแน่ใจว่าความตึงเครียดเฉพาะจุดจะค่อยๆสลายตัวจนทุเลา .. อิสรภาพเพียงชั่วคราวจึงกลับมาหาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ตลอดไป
คนกุมบังเหียนเอี้ยวตัวสุ่มหยิบถุงยางอนามัยหลากชนิดขึ้นมาเพียงหนึ่งกล่อง พลางมองคนรักที่ถูกเปลี่ยนสถานะให้มาเป็นแฟนเมื่อไม่นานที่กำลังยกแขนปัดป้องใบหน้าของตนเองให้หลุดพ้นจากสายตาของเขาอยู่
สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันชนิดบางพิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็โน้มตัวลงไปหาไป่ไป๋อีกครา
“จูบกัน จะได้ไม่เจ็บมาก”
“ฮื่อ..” ผู้ถูกกระทำร้องอื้ออึงในลำคอแต่ก็ยอมทำสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างง่ายดาย สัมผัสละลาบละล้วงแตะต้องลงบนพื้นที่ต้องห้ามก่อนจะกดลงด้วยแรงตัณหาที่มี
“โอ๊ย..”
“ชู่ว ไม่ร้อง” แพขนตาชุ่มน้ำขึ้นมาในทันทีที่เริ่มต้น แขนขาวโอบรั้งคนกระทำเข้ามาแนบอกอย่างหาที่พึ่งพิง ความเจ็บไปกระจุกตัวกันเหมือนร่างทั้งร่างกำลังแตกสลาย
ต่างจากพิวที่ถูกความสุขสมกลืนกินเข้าไปจนยากจะหันหลังกลับ
“อ่าห์”
คนตัวขาวผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆเมื่อสิ่งแปลกปลอมกำลังขับเคลื่อนภายในร่างกาย พิวผละอ้อมกอดขึ้นมามองภาพตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ
นี่แหละ รูปธรรมของการเป็นคนๆเดียวกันในฉบับลามกจกเปรต..
ท่าทางของเรียวขาถูกจัดขึ้นให้สะดวกต่อการรองรับตัวตนมากขึ้น แต่ในขณะที่ร่างบางใช้เวลาตรงนี้ไปกับการคิดถึงคำพูดๆนึงที่กำลังวกวนไปมาในหัว
ท่วงท่าแรกที่ผมแนะนำและเวิร์กสุดๆคือการนั่งบนตัวแฟนคุณครับ
“พร้อมนะ .. เฮ้ย” ผู้นำถูกสลับบทบาทมาเป็นผู้ตามในชั่วพริบตา สะโพกบางทาบทับเบื้องล่างจนสนิท ใบหน้าทั้งสองถูกเลื่อนขึ้นมาเสมอกันจนห่างแค่เพียงหนึ่งนิ้วคั่น
“ขอทำเองก่อน อื้อ..” บทรักเริ่มเร่าร้อนขึ้นตามระดับ ไป่ไป๋ใช้ฝ่ามือยันกับหน้าอกของอีกฝ่ายไว้เพื่อส่งแรงให้ตนเอง ส่วนทางด้านของพิวก็เอาแต่นั่งจ้องคนใจกล้าบนตัวอย่างนึกไม่ถึง ใบหน้าน่ารักที่เชิดขึ้นตามอารมณ์ยิ่งจุดประกายสัญชาตญาณดิบในตัวเขาเอง
ไม่นานนักที่พิวอดกลั้นทนเป็นเบื้องล่างไม่ไหว
“อ้า .. พิวเบาๆ” การพลิกแพลงบทบาทในขณะที่ช่วงล่างยังเชื่อมต่อกันอยู่ แผ่นหลังบางถูกกดลงบนพื้นเตียง ไม่รอช้าพิวก็ส่งความกระสันเข้าเติมเต็มไป่ไป่จนพูดไม่เป็นศัพท์
บางช่วงที่จังหวะเป็นไปอย่างเนิบนาบและล้ำลึก
แต่บางช่วงกลับรุนแรงจนรู้สึกสั่นคลอนไปหมด
“เชี่ย ข้างในมึงแน่นสัสๆ”
นึกขอบคุณเตียงระบบสปริงของทางโรมแรมที่ช่วยชูรสให้บทรักได้เป็นอย่างดี
เสียงหยาบโลนที่ฟังแล้วพาให้ขนแขนลุกซู่ดังกึกก้องไปทั่วห้องสวีทของรีสอร์ต โหมกระหน่ำความรักเข้าหาอีกฝ่ายจนหลายครั้งที่ศีรษะโขกเข้ากับหัวเตียงด้วยความไม่ตั้งใจ ฝ่ามือทั้งสองคู่พากันประกบเข้าหากัน
สุดเหวี่ยงเหมือนกำลังเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก
อบอุ่นเหมือนกำลังแช่น้ำร้อนกลางแจ้ง
และเต็มเหนี่ยวให้สมกับการได้รักใครสักคน.. คนที่เราได้เป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน
“อื้อ อื้อ พิว”
“ไป๋ .. อ๊ะ”
“เร็วไปแล้ว .. อึก”
“อะ อ่าห์ เสร็จแล้ว” ร่างหนากระตุกเกร็ง ก่อนทิ้งตัวลงทับลงบนตัวคนน่ารักจนจมที่นอนด้วยความอ่อนแรง
“..มึงทำเจ็บสัสๆเลยแม่ง”
“เดี๋ยวกูดูแลเองนะเมีย” พิวพรมจูบหยอกล้อบนใบหน้าชุ่มเหงื่อจนอีกฝ่ายต้องหันเหหน้าหนีไปมา จนสุดท้ายก็ยอมนอนนิ่งๆให้กระทำ
“ไม่น่าติดบุหรี่เลยกู ทำรอบเดียวก็เหนื่อยแล้วแม่ง” อยากสวนกลับไปเสียเหลือเกิน ไอ้รอบเดียวว่านี่เกือบพาเขาตายอยู่ร่อมร่อแล้วแท้ๆ แต่เป็นความเพราะเหนื่อยไป่ไป๋จึงขี้เกียจต่อปากต่อคำอะไร ปล่อยให้พิวเดินวุ่นทำความสะอาดร่างกายพร้อมหาหยูกยามาให้กินดักอาการอักเสบที่น่าจะเกิดขึ้น
มองเวลาขณะนี้เพิ่งจะหกโมงกว่าๆเท่านั้น ตัวร่างบางเองนั้นก็อยากจะนอนหลับเต็มแก่ แต่ติดที่ว่ายังไม่มีอาหารตกถึงท้องในช่วงเย็นนี้เลย และคงไม่มีแรงลงไปร้านอาหาร น่าจะต้องให้อีกฝ่ายสั่งขึ้นมากินบนห้องเสียแล้ว
“..อะ” โทรศัพท์เครื่องสีดำของคนตัวขาวถูกหยิบยื่นมาให้ถึงหน้า แต่ก็รู้สึกงงงวยจุดประสงค์ของอีกคนเพราะเขายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มันแม้แต่น้อย
“เปิดเฟซดิ” ไดอาล็อกที่เคยได้ยินทำให้ความสงสัยที่มีกระจ่าง เขารับโทรศัพท์มาปลดล็อกก่อนจะกดเข้าดูการแจ้งเตือน
กับคำถามที่เคยเห็นมมาแล้วก่อนหน้านี้..
“มีสิทธิพิเศษอะไรให้เพิ่มไหมอะ?”
“มี”
“...”
“สิทธิในการใช้คำว่าผัวกับกู”
“ถุย” ไป่ไป๋ส่ายหัวให้คำพูดคำจาอีกคนน้อยๆ เพียงแค่สัมผัสเล็กๆบนหน้าจอแต่กลับเรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นบนริมฝีปากของทั้งคู่ได้ราวกับมีเวทมนตร์เกิดขึ้น
ร่างกายกลับมากกกอดกันเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาว่าจะทำความสัมพันธ์ต่อจากนี้ให้ดีที่สุด
Pew Phatipol In relationship with Paipai paponwit
ไม่กี่วินาทีที่แล้ว
จู่ๆวันนี้ก็รู้สึกชอบสีน้ำเงินขึ้นมาเฉยๆเลยแหะ..
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
ฉากดุใหญ่ๆๆๆ มาแร้ว ไม่รู้ว่าแซ่บไหม น้องเพิ่งเคยเขียน ถ้ายังไม่แซ่บน้องก็ขอโทษด้วย . _ .
แล้วก็มีข่าวมาบอกว่าเค้าอยากทำ Q&A แหละ
ดังนั้นใครมีคำถามหรือต้องการอะไรเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ คอมเมนต์ใต้ตอนนี้หรือตามไปทิ้งคำถามในเพจ+ทวิตเตอร์น้องได้เบยน้า
ปล.ถ้าชอบยังไงก็อย่าลืมกดให้กำลังใจ คอมเมนต์ หรือบอกต่อเพื่อให้กำลังใจนุด้วยนะฮ้าบบบบ
ปล2.ตอบหน้าจบแล้วน้า ; --- ;
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9 (เพจใหม่ค่ะ )
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
ที่สุดก็ "คืบหน้า" :mew1:
-
พิวเป็นคนพูดจริงทำจริง พี่ปุ๋ยก็สนับสนุนให้น้องมาเสียตัวเหรอคะ 55555555555
-
:hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
-
chapter twenty-one 。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
เกือบหนึ่งปีให้หลัง
เวลาผ่านไปไวจนนึกใจหาย แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ชีวิตนักศึกษาปีสอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ของเราไม่ได้ต่างจากตอนปีหนึ่งไปสักเท่าไหร่ เรียนเสร็จก็กลับหอ พอหิวก็ออกไปกินข้าว กินเสร็จก็กลับหอไปอ่านหนังสือ วนเวียนอยู่แบบนี้มาเทอมกว่าๆได้แล้ว
ปกติแล้วทุกวันศุกร์พวกเราจะมีเรียนแค่ช่วงบ่ายเท่านั้น ดังนั้นในตอนเช้าถึงเที่ยงเราจึงมีเวลามาไว้ใช้ในการเดินตลาดนัดที่จะจัดขึ้นภายในมหาลัยในทุกๆสัปดาห์
ผมและไอ้พิวเดินตีคู่กันมองดูข้าวอาหารที่จะพอเป็นข้าวเที่ยงให้เราในวันนี้ได้ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ไป๋ๆ หยุดแปป ขอซื้อยำขนมจีนก่อน” และแล้วยำขนมจีนก็ถูกเลือกให้เป็นมื้อหลักของอีกฝ่าย เหลือแค่ผมที่ยังอ้างว้างอยู่กลางฝูงชนเพราะยังเลือกของกินไม่ได้
“ป่ะ ไอ้ตัวไป๋เลือกได้ยังจะกินไร”
“ยังเลย สงสัยต้องแดกข้าวเหนียวไก่ทอดอีกละ” ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกจนมุม ในที่สุดก็ต้องจำใจซื้อเหนียวไก่แบบที่เคยกินมาทุกอาทิตย์จนเบื่อ แต่ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนไปกินอะไร
“เดี๋ยวขอซื้อข้าวโพดต้มด้วย” ถุงไก่ทอดร้อนๆพร้อมข้าวเหนียวในมือดูน่าทาน และมันจะยิ่งดีอีกหากได้ข้าวโพดต้มมานั่งกินเล่นสักฝัก
“มึงจะนั่งแทะในคาบ?”
“เออ ทำแมะมีปัญหาหรือแงะ”
“คราวที่แล้วขี้แตกไม่เข็ด?”
“คราวที่แล้วลุงแม่งล้วงจากใต้ร้านมาให้หรอก เดี๋ยวคราวนี้ขอลุงเอาฝักใหม่ๆ” ผมไม่สนใจคำแย้ง มุ่งหน้าตรงสู่ร้านที่ต้องการ แม้จะหวั่นๆใจอยู่บ้าง และแล้วในที่สุดข้าวโพดฝักละสิบห้าบาทก็ตกเป็นของผมเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากนั้นเราก็เดินกลับคณะกันในเวลาเที่ยงกว่าๆ ซึ่งเป็นเวลาที่เหลือพอกินข้าวได้อย่างถมเถ เราสองคนขึ้นลิฟต์มุ่งหน้าสู่จุดหมายชั้นสี่ที่เป็นชั้นของภาคเครื่องกลโดยเฉพาะ
R-425
ประตูห้องเลกเชอร์ถูกเปิดออกให้เห็นเพื่อนๆของผมนั่งคุยกันเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปหมด แต่ทันใดที่ผมสองคนเดินเข้ามาสายตากว่าสิบคู่ในห้องก็พร้อมใจกันหันมองมาทางพวกเรากันอย่างพร้อมเพรียง
มันมีอะไรแปลกๆป่ะวะ?
“มึงสองคนบ้าป่ะเนี่ย?”
“ทำไม?” ผมถามไอ้ตุลลี่กลับด้วยความสงสัย
“วันนี้มีเรียนอะไร?”
“ไดนามิคไง” ถุงของกินถูกวางลงบนโต๊ะยาวด้านหลังของเพื่อนผมที่เราสองคนใช้นั่งประจำ
“อาจารย์ขอเปลี่ยนคาบแล้วมึงจำไม่ได้?”
“ขอเปลี่ยนเป็นอะไรอะ?” ผมส่งข้าวเหนียวร้อนๆที่เพิ่งซื้อมาเข้าปากแบบไม่สะทกสะท้าน แถมไม่เคยรู้ก่อนหน้าด้วยซ้ำว่าอาจารย์ไปขอแลกคาบกันตอนไหน
“..ออโต้โมทีฟ”
“ชิบหาย” ผมก้มมองเสื้อช็อปสีขาวของภาคเครื่องที่สวมใส่มาในวันนี้ ต่างจากเพื่อนคนอื่นที่พากันใส่ช็อปสีกรมของตอนปีหนึ่งมากันทั้งหมด ซึ่งทางด้านรูมเมทของผมก็มีสภาพไม่ต่างกันเพราะหากผมไม่รู้ .. ไอ้พิวเองก็คงไม่รู้
“เขาบอกในไลน์ภาคกันโครมๆ อีไป๋เอ๊ย”
“อย่างน้อยก็แค่เลอะน้ำมันเครื่องเองมึง” กล่าวถึงในวิชาออโต้โมทีฟที่พูดถึงคือวิชาที่เกี่ยวกับยานยนต์ ซึ่งในแต่ละครั้งต้องมีการลงแล็ปไปปฏิบัติจริง หากพูดถึงยานยนต์ก็ต้องนึกถึงเครื่องยนต์ และหากพูดถึงเครื่องยนต์ก็ต้องมาคู่กับน้ำมันเครื่องพร้อมกับจารบีกลิ่นแรงแสบจมูก ที่ดูเป็นพิษเป็นภัยกับเครื่องแบบสีขาวบนตัวผมและไอ้พิวเสียเหลือเกิน
แต่ตอนนี้เหลือเวลาเพียงสิบนาทีกว่าอาจารย์จะเริ่มทำการสอนเลกเชอร์ จะวิ่งยังไงก็คงไม่ทันไปเอาช็อปที่ห้อง ผมเลยได้แต่นั่งทำใจอยู่กันสองคนนิ่งๆ
ให้เลือกวิ่งกับซักผ้า กูเลือกซักผ้าดีกว่าแม่ง..
“ไป๋ หยิบประแจปากตายเบอร์สิบสองให้หน่อย”
“..อะ”
ในส่วนของแลปปฏบัติการที่มีส่วนประกอบเครื่องยนต์โซลีนสี่จังหวะวางกันเกลื่อนเต็มโต๊ะแยกชิ้นส่วนของแต่ละกลุ่มที่มีจำนวนสี่ถึงห้าคน ซึ่งในกลุ่มผมประกอบไปด้วยเต้ สมุย เคย พิวและผมนั่นเอง แต่ดูๆแล้วเหมือนปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้จะไม่ใช่งานตรงหน้า แต่เป็นผมต่างหากที่ต้องคอยระวังไม่ให้เสื้อช็อปขาวสะอาดต้องแปดเปื้อน
“ไอ้พิวมึงระวังด้วย เดี๋ยวเลอะ”
“อะ ส่วนกูเสร็จพอดี ช่วยกันยกขึ้นรถเข็นเข้าเก็บเลย” ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น จึงรวบรวมอุปกรณ์การช่างทั้งหมดเก็บลงกล่อง เตรียมตัวยกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่หนักที่สุดเพื่อนำไปเก็บไว้ปฏิบัติต่อในสัปดาห์ถัดไปแทน
“ยกพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง ซั่ม” ด้วยความที่ชิ้นส่วนเครื่องยนต์มีลักษณะเป็นโลหะทั่วทิ้งชิ้น จึงทำให้มันมีน้ำหนักที่เยอะพอสมควร ทำให้สองเท้าของผมก้าวแต่ละก้าวด้วยความรอบคอบให้ได้มากที่สุด
แต่เพื่อนที่เหลือไม่ได้คิดแบบผม..
“เชี่ยๆๆๆ”
“เฮ้ยยย/ไอ้สมุย” ดูเหมือนว่าทางด้านของสมุยที่ช่วยกันยกอยู่ด้านหนึ่งได้สะดุดขาโต๊ะจนเกือบล้ม
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรๆ” เพราะว่าเพื่อนได้เสียศูนย์จนเซไปแล้วคนนึง พาให้เพื่อนอีกสี่คนรวมถึงผมต้องรองรับน้ำหนักที่เหลือแทนเพื่อไม่ให้ของสำคัญตกหล่นจนเสียหาย และเมื่อมีข้างใดข้างหนึ่งไม่สมดุล ส่งผลให้อีกข้างต้องรับภาระอันหนักอึ่งไปแทนอย่างช่วยไม่ได้
แต่จนแล้วจนรอดเราก็พาชิ้นส่วนเครื่องยนต์มาไว้ที่จัดเก็บได้ด้วยความเกือบจะสวัสดิภาพ หากผมไม่ได้ยินคำกล่าวให้สังเกตสิ่งผิดปกติบนเสื้อผ้า และเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด ..
“ไอ้ตัวไป๋ เสื้อมึงเลอะแล้วอะ”
คำพูดชี้รอยพิมพ์หมึกสีดำเหนียวแปดเปื้อนไม่เป็นรูปร่างยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อประทับอยู่บนพื้นผ้าสีอ่อน..
“พิว กูอยากร้องไห้ว่ะ”
เธอไม่เป็นไร แต่ฉันเป็น..
❋❋❋
“แม่ง ทำไมช็อปภาคเรามันต้องเป็นสีขาวด้วยวะ?”
“พี่เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนภาคเครื่องช็อปสีดำสกปรกมากแต่มองไม่เห็น เลยต้องเปลี่ยนให้เป็นสีขาวจะได้ซักบ่อยๆ” ผมบ่นกระปอดกระแปดใส่ไอ้พิวในตอนที่เรากำลังเดินออกจากมอเพื่อกลับหอ หัวอกคนไม่ได้อะไรดั่งใจตนเองเมื่อได้ยินเหตุผลอะไรก็มักจะมอองว่ามันไม่สมเหตุสมผลไว้ก่อนเสมอ
“แล้วเป็นสีอื่นไม่ได้หรือยังไงวะ?”
“ต้องเป็นสีไหนถึงจะถูกใจมึงวะไอ้ตัวไป๋”
“เทาก็ได้ป่ะ?”
“ภาคโยฯกับภาคอุตฯเขาก็ใส่กันอยู่”
“งั้นสีแดงเลือดหมูก็ได้ เท่ดีออก”
“ภาคเคมีเขาเพิ่งเปลี่ยนเป็นสีนี้ไป”
“เออว่ะ..”
“ผิดที่เราเนี่ยแหละที่ไม่ได้อ่านไลน์”
“เชรด คำสอนวันละประโยคจากเสี่ยพิวป่ะครับ?” ผมแกล้งเบ้ปากแล้วยื่นหน้าเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจจะแกล้งแกมหมั่นไส้นิดๆ ก่อนที่ไอ้พิวจะโอบแขนเข้ามาล็อกคอ พร้อมกรอกเสียงกระซิบใกล้ๆที่ให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“พูดผิดแล้ว”
“...”
“ต้องบอกว่าเป็นผัวหรอก”
“อยากตาย?”
“อือ ขอแบบคาอกเลยนะ”
“อยู่ข้างนอกอย่าลามปาม”
“แต่ตอนอยู่ที่ห้องให้ลวนลามได้เต็มที่เลยใช่ป่ะ?”
“รำคาญมึงว่ะ” เพราะไอ้พิวเอาแต่พูดจาไม่เข้าหูผมเลยสาวเท้าก้าวเร็วๆเพื่อทิ้งระยะห่างจากอีกคนให้มากที่สุด แต่ก็นั่นแหละขาสั้นๆอย่างผมจะไปสู้ขาต้นเสาไฟอย่างมันได้อย่างไรกัน..
“โอ๋นะ เดี๋ยวเพิ่มอาหารเม็ดให้เป็นวันละสามมื้อเลย” ผมส่ายหัวไปมาน้อยๆด้วยความปลงตก .. แม่งก็เป็นคนอย่างเงี้ย กูล่ะอยากจะร้องไห้ที่เลือกมันมาเป็นแฟนจริงๆ
“เฮ้ยๆ แวะเข้าเซเว่นแปป” สองขาเมื่อเดินเข้าร้านสะดวกซื้อได้ก็มองหาของดับร้อนเป็นอันดับแรก เดินไปมาจนทั่ว และในที่สุดผมก็ได้พาตัวเองมายืนอยู่หน้าตู้ไอติมสีฟ้า สายตาเหม่อมองของหวานในนั้นอยู่นาน และก็เหมือนจะลงท้ายด้วยไอติมรูปผีเสื้อที่กินบ่อยๆ
“..พิว”
“อยากกินก็ซื้อ เดี๋ยวช่วยกิน”
“รู้ได้ไงวะ ยังไม่ทันพูดเลย”
“เมื่อคราวที่แล้วมึงก็หันมาพูดกับกูแบบนี้” และแล้วผมก็ตัดสินใจเลือกไอติมรูปผีเสื้อที่ว่าขึ้นมา เพื่อนำไปเคาน์เตอร์คิดเงินอย่างไม่รอช้า
“อย่าเพิ่งกิน ขอถ่ายรูปลงไอจีก่อน” ซองถูกแกะทิ้งที่ถังขยะหน้าเซเว่นทันทีด้วยความกลัวว่ามันจะละลาย ปีกสีชมพูถูกแบ่งครึ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในมือผม ส่วนอีกส่วนนึงกำลังจะถูกส่งเข้าปากไอ้พิวแต่ยังดีที่ห้ามไว้ได้อย่างทันท่วงที
แชะ!
“อะ เรียบร้อย” ผมเปิดอินสตาแกรมพร้อมเลือกรูปที่เพิ่งถ่ายไปขึ้นมา แต่งสีเติมฟีลเตอร์นิดหน่อยให้รูปดูมีชีวิตชีวา พิมพ์แคปชั่นที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองอะไรมาก เพราะผมเน้นแค่อาร์ตเฉยๆ
รสชาติหวานในปากกับความเย็นเป็นตัวช่วยในรู้สึกสดชื่น เหมือนได้กอบกู้ตัวเองขึ้นมาจากความเหนียวเหนอะที่ตัวจากอากาศร้อนในช่วงบ่ายของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี พร้อมกับส่งนิ้วหัวแม่มือกดลงบนเครื่องหมายถูกบนหน้าจอข้างหน้า
pp.paponwit <3 #pp
“พีพีนี่มาจากไป่ไป๋ หรือพิวไป๋วะ?”
“โตแล้วคิดเองดิ”
“มา งั้นกูขอถ่ายรูปมึงบ้าง”
“เฮ้ย” ต้องร้องตกใจเมื่อโทรศัพท์เคสสีดำของอีกคนถูกยกขึ้นมาถ่ายผมในตอนนี้ไม่ได้ทันตั้งตัว
“ไอ้ตัวไป๋หน้าโคตรเด๋อเลย ฮ่าๆ”
“เอามาให้กูดูก่อน” ผมใช้แรงยื้อยุดฉุดกระชากสมาร์ทโฟนในมืออีกฝ่ายที่กำลังพิมพ์ยุกยิกบนหน้าจอแสดงแอพสีน้ำเงินที่เจ้าตัวเป็นเป็นประจำนั่น แต่ไม่ว่าจะงัดท่าไม้ตายไหนออกมาก็ไม่สามารถยังยั้งไอ้พิวได้เลย
“อะ แท็กไปละ ไปดูเองแล้วกัน”
“กูว่ามันต้องเป็นเรื่องเหี้ยๆแน่นอน” ด้วยความระแคะระคายปนลางสังหรณ์ภายในตัว ในวินาทีนั้นผมก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่ารูปที่ว่านั่นต้องเป็นรูปที่ผมตาปรือ ไม่ก็อ้าปากหวอ
ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ..
รูปถ่ายครึ่งตัวถูกจับภาพไว้ในตอนที่ผมไม่ได้หันมองกล้อง ตาที่เล็กเป็นทุนเดิมได้หรี่ลงเหลือเพียงครึ่งเดียวเหมือนในจังหวะที่กำลังกระพริบตา แถมยังมีไอติมในมือคาอยู่ที่ปาก แต่ทีเด็ดที่ทำให้ผมรู้สึกอยากเตะอีกฝ่ายได้มากที่สุดก็คือไอ้พิวจงใจถ่ายเน้นเสื้อช็อปเลอะเทอะของผม พร้อมกับแคปชั่นที่ว่า..
Pew ได้แท็กคุณในรูปภาพ
หน้าโง่ <3 #pp
“ใส่หัวใจให้แล้วไม่ต้องโวยวาย”
“มึงแม่ง..”
“รีบกลับหอกันได้แล้ว” เจ้าของสเตตัสเดินนำหน้าไปพร้อมกับไอติมในปากอย่างสบายอารมณ์ต่างจากผมที่ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความหงุดหงิด
มึงจะด่ากู แล้วลูบหลังด้วยหัวใจอันเดียวอย่างนี้ไม่ได้!
“ตัวเอง ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย”
“ไม่งอนเค้านะเตง” ในขณะที่กำลังเดินตามคนตัวสูง เราก็ได้ผ่านปากซอยเล็กๆเบื้องหน้า ซึ่งผมก็ได้เห็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังยืนจุ๋จี๋กันอย่างกระหนุงกระหนิง จากคำพูดของทั้งสองที่ได้ยินก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาคงกำลังง้องอนกันอยู่ จนถึงในจังหวะที่ต้องเดินผ่านก็ต้องแสร้งทำเป็นเหมือนผมไม่เห็นทั้งคู่ เพื่อไม่ให้เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้น
“เค้ารักตัวเองนะ วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกแล้วนะ”
“อื้อ รักเหมือนกัน สัญญานะ”
รัก?
คำสั้นๆที่มักจะใช้แทนความรู้สึกผูกพันต่ออีกฝ่าย และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอ้พิว..
รับรู้กันอยู่สองคนอย่างเต็มอก
แต่กลับไม่เคยมีใครพูดออกมา..
ผมเดินตามแผ่นหลังในชุดเครื่องแบบสีขาวของคณะวิศวะข้างหน้าไปอย่างช้าๆ ในหัวก็ทบทวนเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาของเราไปพร้อมๆกัน กิจวัตรประจำวันซ้ำๆอย่าง ตื่นนอน ไปเรียน กินข้าว อาบน้ำ อ่านหนังสือ ไปเที่ยว แม้กระทั่ง .. ตอนมีอะไรกัน
ก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักออกจากปากแม่งเลย
หรือว่ากูต้องเป็นคนบอกก่อนวะ?
“ไอ้ตัวไป๋ ทำไมเดินช้าจังวะ?”
“ฮะ? เอ่อ อ้อ..”
“รีบเดินมาได้แล้ว เร็ว” เพราะฝ่ามือที่กวักเรียกหยอกเลยทำให้รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาอีกฝ่ายที่เดินนำหน้าไปไกลแล้ว พอย่างก้าวเข้ามาถึงในรัศมีของวงแขนเจ้าตัวก็โอบรัดเข้าที่ลำคอของผมอย่างที่ชอบทำทันที
“อย่าทิ้งให้กูเดินคนเดียวดิ .. กูเหงา”
“...”
“เข้าใจไหม?”
“อ-อื้อ”
แต่ที่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้วมั้ง..
❋❋❋
“ลืมอะไรหรือเปล่า?”
“เอาหน้ามาใกล้ๆดิ”
จุ๊บ
“ฝันดีตัวไป๋”
“อื้อ” กู๊ดไนท์คิสบนเตียงทุกคืนก่อนนอนเป็นเรื่องปกติของเรา แม้ตอนอยู่ข้างนอกผมและไอ้พิวจะทำตัวเหมือนคู่เพื่อนซี้ แต่พอกลับมาที่ห้องก็มีการกอด จูบ ลูบ คลำหรือสิ่งที่แสดงถึงความรักกันบ้าง
ท่านอนซุกแผ่นอกกลายมาเป็นท่านอนประจำของผม ถึงตอนแรกที่ถูกคนที่กอดก่ายบังคับจับให้นอนในท่านี้ก็มีบ่ายเบี่ยงพลิกตัวหนี แต่พอนานเข้ากลับกลายเป็นว่าผมกลับเสพติดความอุ่นของอีกฝ่ายไปซะแล้ว .. หรือเรียกได้ว่าติดกับเข้าแล้วจังๆ
มือหนากำลังลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของผมราวกับกำลังจะกล่อมให้นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี
“..พิว”
“จะอ้อนหรือไง?”
“กูไม่เคยอ้อนมึง”
“แล้วมือที่ลูบพุงกูอยู่คือ?” ลมหายใจของผมหยุดกึก ก้มมองฝ่ามือตนเองใต้ผ้าห่มที่กำลังค้างอยู่ที่หน้าท้องของอีกคน .. คือไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ
“ลูบต่ำกว่านั้นก็ได้นะไม่ว่า”
“พิว กูระ-..” ตั้งใจจะขัดอีกฝ่ายด้วยคำที่คิดแล้วคิดอีกมาตั้งนานมาควรจะพูดมันออกไปดีไหม แต่เพราะด้วยความไม่เคยชินปนความตื่นเต้น เลยทำให้พูดอะไรๆก็ดูตะกุกตะกักไปหมด แถมยังไม่กล้าลืมตาขึ้นไปสบตาคนที่จะพูดด้วยอีกต่างหาก
“หือ?”
“กู .. รู้นะว่ามึงเคยตดในผ้าห่ม” จนถึงตอนนี้ผมก็นึกอยากจะตบปากตัวเองขึ้นมาดื้อๆ นอกจากไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกไปแล้วหนำซ้ำยังพูดถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้อีก .. เขินสัสๆเลยกู
“...”
“เอ่อ กูล้อเล่น”
“มึงรู้ได้ไง?”
“ฮะ มึงเคย?”
“กูว่ากูตดเบาแล้วนะ..” คำสารภาพบาปของอีกคนทำเอาผมแทบหยุดลมหายใจ
“ไอ้เหี้ย มึงตดครั้งล่าสุดเมื่อไหร่เนี่ย”
“...”
“ตอบกูมา” ใบหน้าที่จากเดิมเคยซุกไซร้ที่แผ่นอกถึงกับต้องแหงนขึ้นมาสบตาถามหาความจริงจากอีกฝ่าย
“..ก่อนมึงถามแค่แปปเดียว”
“แม่ง จังไรชิบหาย วันหลังกูจะไล่มึงไปนอนระเบียง”
“อันนี้ไม่กลัว”
“งั้นไม่ต้องมาสะกิดตอนดึกๆเลยนะ”
“ไม่ทำแล้วคร้าบ โอ๋ๆนะตัวไป๋”
“ไม่คุยด้วยแล้วจะนอน” เรื่องทั้งหมดกลายเป็นว่าไม่มีใครได้บอกรักใครตามอย่างที่หวัง แถมยังได้รู้เรื่องซกมกๆของไอ้พิวแถมมาอีกต่างหาก
ช่างแม่ง .. เดี๋ยวคราวหน้าค่อยลองดูอีกทีแล้วกัน
❋❋❋
จุ๊บ
“มอร์นิ่งคิสครับ”
“อื้อ วันนี้ไม่มีเรียนเช้าทำไมตื่นเร็วจังเลยอะ?”
“ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือไง มึงก็ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้มาอ่านหนังสือกัน” ผมสะลึมสะลือยันตัวเองขึ้นมานั่งหาวบนเตียง มองคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินไปเดินมารอบห้อง .. ผ้าขนหนูผืนสีขาวเกาะรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ หยดน้ำลู่ไปตามเส้นผมสีเข้มบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงเพิ่งสระผมมา
เป็นหนึ่งวันธรรมดาๆที่แฟนผมก็หล่อเหมือนเดิม..
ก่อนที่คนตัวสูงที่เพิ่งจะแต่งตัวจะหันกลับมามองเห็นมาผมนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับตัวไปอาบน้ำอย่างที่เจ้าตัวสั่ง
“ตัวไป๋ไปอาบน้ำ” แขนหนาเอื้อมมาฉุดที่ข้อมือผมเบาๆ ในจังหวะนั้นเองที่ผมรวมแรงทั้งหมดเพื่อจะดึงไอ้พิวเข้ามาในอ้อมกอดแบบที่มันชอบทำกับผม
ใบหน้าของผมถูไปมาบนช่วงหน้าท้องของเสื้อที่เจ้าตัวเพิ่งสวมใส่ กลิ่นหอมบางๆของสบู่ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมา
“พิว..”
“...”
“กูรักมึงนะ”
และคงเป็นเพราะความงัวเงียที่พาให้ผมกล้าพูดความในใจออกมาจนได้
“พูดอีกทีดิ เมื่อกี๊ไม่ค่อยได้ยินเลย”
“ไม่อะ จะไปอาบน้ำแล้ว”
“คืนก่อนทำกันจนหัวกระแทกเลยสมองกลับเหรอ”
“…” ผมผละจากสัมผัสอุ่น แล้วเปลี่ยนมานั่งหน้ามุ่ยจ้องหน้าอีกคนแทน
“ต้องทำคืนอีกทีป่ะวะ จะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“..ไอ้สัส” ก่นด่าให้คนที่ชอบวกกลับมาเรื่องทะลึ่งตึงตัง ก่อนจะลุกจากเตียงขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไปเหมือนกับว่าประโยคหวานๆก่อนหน้านี้ไม่เคยออกจากปากผมมาก่อน
ถึงผมจะได้พูดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นไอ้พิวก็ยังไม่ได้บอกผมกลับ ก็ถือว่าภารกิจบอกรักยังไม่ประสบความสำเร็จ
ภารกิจล้มเหลว และจะหาโอกาสอื่นๆเพื่อเริ่มใหม่ .. รับทราบแล้วเปลี่ยน
❋❋❋
“ไม่อยากทำท่านี้”
“ช่วยสานฝันให้กูหน่อย”
“อื้อ อ๊ะ อ๊ะ”
ร่างขาวถูกจับโก้งโค้งจนส่วนบนแนบไปกับกระจกแต่งตัว แรงส่งจากคนตัวสูงพาให้ศีรษะมนกระแทกไปมา จนมือเรียวต้องจิกเกาะส่วนที่ยื่นออกมาเอาไว้เพราะกลัวตัวเองจะล้มพับไปกับพื้นเสียก่อน
ทั้งเสียงหวานและเสียงทุ้มดังระงมไปทั่วทั้งห้องเพราะความแปลกใหม่ พิวหรี่ตากะลิ้มกะเหลี่ยมองภาพเบื้องหน้าด้วยใจสั่นระริก กระจกที่สะท้อนภาพอนาจารของคนรักพาให้กามารมณ์เพศชายพุ่งพรวดจนทะลุติดเพดาน
นานนับสิบนาทีที่ทั้งสองยืนร่วมรักกันด้วยท่าทางพิสดาร จนท่อนขาของผู้ถูกกระทำไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนหยัด ทำให้เสียงน่ารักต้องร้องขึ้นเพื่อนเอ่ยขอความเห็นใจให้ตนเอง
“เมื่อยแล้ว กลับไป .. อึก เตียงได้ไหม?”
“ไม่ไหวแล้วเหรอ?”
“..อื้ม” ร่างโปร่งลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่อีกคนจัดการไถ่ถอนความอึดอัดออกไป แต่นึกโล่งใจไปก็เท่านั้น เมื่อพิวจัดแจงให้ไป่ไป๋หันหน้าเข้าหาตนเอง ก่อนจะยกขาขาวให้ขึ้นสูงเพียงข้างหนึ่ง พร้อมกับการกดย้ำตัวตนเข้าไปให้คนผิวขาวใจหายอีกครั้ง
“อะ .. ฮ้า” ทันทีที่ทุกอย่างเริ่มลงรอย ขาเรียวทั้งสองข้างกลับถูกยกขึ้นสูงจากพื้นทั้งสองข้างมาเกาะเกี่ยวไว้กับเอวหนา จนพาให้ร่างบางต้องยกแขนขึ้นโอบลำคอหนาของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว
“พิว ฮื่อ ทำอะไร”
“ดูในกระจกดิ” ไป่ไป๋แทบลมจับเมื่อเห็นภาพสะท้อนด้านข้างของพวกเขาในกระจก ร่างเปลือยเปล่าถูกแนบชิดติดกันจนแทบไม่หลงเหลือช่องว่างที่อากาศเข้าไปแทรก ความถี่ขึ้นลงประทุจนถึงจุดเหนือสุดจนสีหน้าของคนถูกอุ้มได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงทั่วทั้งดวงหน้าด้วยความเขินอาย
“ก-กลับเตียง” ไป่ไป๋อ้อนวอนเสียงแผ่วข้างใบหู หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็ได้กลับไปเชื่อมต่อบทรักกันบนที่นอนสมความต้องการ
ท่วงท่าพื้นฐานถูกงัดออกมาใช้อีกครั้งในช่วงท้าย ร่างกายขาวบิดเร้าเอาแต่ร้องฮือไม่เป็นภาษา พาให้พิวต้องโน้มตัวหาพร้อมป้อนจูบเพื่อปลอบประโลม
“อ่าห์ .. ใกล้แล้ว ทนหน่อยนะ” คนข้างล่างได้ยินเสียงทุ้มไปพร้อมๆกับเสียงลมหายใจหนักผ่อนเบาก็รู้ได้ในทันทีที่ว่าทำนองรักกำลังจะสิ้นสุดลง จึงฝืนปรือตาขึ้นมองใบหน้าหล่อโชกเหงื่อตอนที่กำลังคลุ้มคลั่งอย่างเผลอไผล เป็นจังหวะเดียวกับในตอนที่อีกฝ่ายก็หันมาประสานสายตาเข้าไว้ด้วยกันพอดี..
เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งตัวและหัวใจ
พิวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนสิ้นสติ และพ่ายแพ้ต่อคนรักอย่างหมดชั้นเชิง บั้นเอวสอบป้อนแรงให้สะโพกทำหน้าที่ได้อย่างสุดกำลัง สายตาคมละจากดวงตาไล่ลงมองต่ำเรื่อยลงมาจนถึงริมฝีปากสีสวย ที่มันกำลังเผยอออกเพื่อหอบหายใจปนกับเสียงครวญดังเบาสลับกันไป ..
ฟังไม่ได้ความแต่กลับอยากฟังไปเรื่อยๆ
“อ๊า อ๊ะ อ๊ะ” ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ความอบอุ่นของอีกฝ่ายได้โอบรัด เขาก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่เพิ่มพูนจนแทบจะสำลักอยู่ร่อมร่อ
“..พิว”
“...” เขาผ่อนจังหวะลงเล็กน้อยเพื่อฟังคนที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“รักนะพิว .. อ๊ะ” ฝางเส้นสุดท้ายขาดผึงจนแม้แต่เจ้าตัวเองยังนึกตกใจ ด้านไป่ไป๋ก็ต้องสะดุ้งไปตามกันเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นวูบแปลกใหม่ไปจากเดิม
สองตาเหมือนพร่ามัวไปชั่วคราวหลังจากได้ปะทะเข้ากับขอบฟ้าอย่างจัง พิวลูบหน้าลูบตาตนเองราวกับกำลังเรียกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ออกแรงสองสามครั้งสุดท้ายพร้อมรั้งตัวตนออกมาด้วยความเสียดายที่ไม่สามารถฝากฝังความรักเอาไว้ให้นานกว่านี้ได้
ล่มกลางอ่าวที่แท้จริง..
“ไม่ได้ใส่ถุงยาง?”
“อือ หมดพอดี” ร่างขาวที่เพิ่งถูกกระชำเขยิบตัวขึ้นนั่งแยกขาก้มลงมองของเหลวที่ไหลย้อนผ่านปากทางออกมาด้วยสีหน้าเคอะเขิน .. เพราะตั้งแต่ทำกันมาไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกัน
“ป่ะ ห้าทุ่มแล้ว เดี๋ยวพาไปล้างตัว” ร่างสูงที่กำลังจะยกช้อนคนตัวบางเข้าอ้อมอกก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายคว้าหมับเข้าที่ฝ่ามือเข้าให้เสียก่อน
“พิว .. แล้วมึงรักกูไหม?”
จุ๊บ
“เท่าฟ้าเลย”
“...”
“อาบน้ำกันดีกว่า มา เดี๋ยวอุ้ม”
“อ-อื้อ” ให้หลังทั้งคู่ก็พากันเข้าห้องน้ำไปชำระล้างคราบเหนียวเหนอะตามตัว ประโยคเชิงบอกรักแต่ไม่มีคำว่ารักเมื่อครู่ถึงจะพาให้หัวเต้นพอเป็นพิธีอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีคำว่ารักออกจากปากพิวอยู่ดี.. ทำไมถึงไม่ยอมพูดวะ?
ไป่ไป๋คิดไปคิดมาแล้วก็ฉุกนึกได้ว่าเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ยิ่งนึกถึงยิ่งจะพาปวดหัวเอาเสียเวลาเปล่าๆ
เออ ช่างแม่งเหอะ มีแม่งอยู่ด้วยกันทุกวันก็พอแล้วแหละ
-
❋❋❋
paipai : จะกลับหอกี่โมง?
just pew : เย็นๆเหมือนเดิมอะแหละ
just pew : ถึงแล้ว?
paipai : พ่อติดธุระเลยมาส่งเร็วหน่อย
just pew : เดี๋ยวรีบไป
paipai : ไม่ต้องรีบมาหรอก
paipai : อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนแม่ก่อนนั่นแหละ
just pew : โอเคครับ
just pew : ลูกสะใภ้น่ารักจังเลย
just pew : *ส่งสติ๊กเกอร์*
ผมยิ้มให้กับข้อความพร้อมสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนหมาใส่คำพูดว่าคิดถึงน้า เป็นอันเดียวกับคราวก่อนนู้นที่ผมเคยส่งผิดไปให้
“น้องไป๋ น้องพิวกลับหอหรือยัง?”
“ยังเลยม๊า แต่ไม่เป็นไรไป๋อยู่ได้ สบายมาก”
“งั้นป๊ากับม๊าไปแล้วน้า”
“ครับ ป๊าหวัดดี ม๊าหวัดดี” เฝ้ามองท้ายของรถเก๋งคันเก๋าของที่บ้านจนลับสายตาผมถึงจะเดินเข้าหอพักของตนเองบ้าง ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ ยังมีเวลาเหลือเฝือเลยตั้งใจจะขึ้นห้องไปหาหนังสักเรื่องไว้ดูผ่อนคลายก่อนถึงเวลาอ่านหนังสือเสียก่อน
“หนูห้อง 403 วันนี้มีจดหมายมาส่งนะคะ”
“อ่อ ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้พี่ผู้จัดการประจำหอที่เป็นเลิศด้านการจำใบหน้าผู้พักอาศัยที่มักจะมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ ก่อนก็เดินตรงไปยังเมลบ็อกซ์ที่พี่เขาจะแยกจดหมายและพัสดุของแต่ละห้องเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย .. จนมาหยุดอยู่ตรงชั้นเลื่อนแสดงหมายเลขห้องผมก็ยังไม่รู้ว่าจดหมายที่ว่านั่นคือจดหมายอะไร?
แต่เมื่อยกหยิบซองทั้งสองขึ้นมาอ่านจ่าหน้าก็พลันนึกได้ในทันที
กิจกรรมถึงตัวฉันในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
To. ไป่ไป๋ (วิศวะ)
ห้อง 403 หอมูนไลท์
“ทำไมมาถึงเร็วจังวะ” ผมพึมพำอยู่กับตัวเองเมื่อคำนวณเวลาแล้วพบว่าจดหมายนั้นมาถึงมือผมเร็วเกินกว่าที่ควร เพราะจำได้ว่ากิจกรรมนี้เริ่มขึ้นหลังจากที่จบไฟนอลแล้ว แต่นี่ยังเหลือเวลาอีกตั้งอาทิตย์กว่าๆถึงฤดูไฟนอลของเทอมสองจะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง .. แต่จะว่าไปมันก็เร็วเหมือนกันนะเนี่ย
ผมเดินมองจดหมายในมือด้วยความคิดถึง ถ้าฉบับบนเป็นของผมแสดงว่าฉบับล่างที่อยู่ติดกันต้องเป็นของไอ้พิวอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นผมจึงสลับดูจ่าหน้าเพื่อเช็คความถูกต้องแทนเจ้าของที่ยังมาไม่ถึง
กิจกรรมถึงตัวฉันในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
To. ไอ้ตัวไป๋ (เมีย)
ห้อง 403 หอมูนไลท์
คิ้วผมขมวดกันเป็นโบว์ยุ่งเหยิงทันทีที่ได้เห็นข้อความบนจ่าหน้าของจดหมายอีกฉบับ ซึ่งปกติแล้วต้องเป็นชื่อของคนส่งแต่ทำไมกลับกลายมาเป็นชื่อผม และไม่ต้องสงสัยว่าจะถูกแก้ไขกลางทางหรือเปล่า เพราะชื่อบนนั้นมันไปตรงกับฉายาที่เจ้าตัวชอบเรียกผมเข้าพอดี .. เล่นอะไรของมันวะ?
และเมื่อทันทีที่สองขาก้าวมาหยุดที่หน้าห้อง ผมก็ไม่รอช้ารีบแตะคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องแล้วหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาส่งข้อความไถ่ถามเจ้าตัวทันที
paipai : จดหมายเมื่อปีก่อนมาแล้ว
paipai : *ส่งรูป*
paipai : แต่ทำไมมันเขียนถึงกูสองฉบับเลยอะ
just pew : ถูกแล้ว
just pew : ก็กูเขียนให้มึง
paipai : ให้กู?
just pew : ก็ใช่ไง
just pew : เปิดอ่านแล้วบอกด้วย
ความสงสัยที่มีจากปีที่แล้วยังคงรู้สึกติดค้างมาจนถึงปีนี้ สิ้นข้อความอนุญาตผมก็รีบแกะซองจดหมายของอีกฝ่ายอย่างรีบร้อนด้วยความอยากรู้ทันที
หลังจากที่ซองจดหมายถูกเปิดออกแล้ว โปสการ์ดในนั้นก็ถูกผมหยิบขึ้นมาอย่างเชื่องช้า บรรจงอ่านแต่ละอักษรเป็นอย่างดี
แต่ก็ต้องรู้สึกผิดหวัง...
88 – 19 – 11 – 91 - 53
จำนวนชุดตัวเลขที่เคยแอบดูเมื่อปีที่แล้วยังอยู่ครบทั้งห้าชุดไม่ขาดไม่เกิน และไม่มีอะไรเพิ่มเติมให้อ่านแล้วรู้สึกชื่นใจแม้แต่น้อย
paipai : *ส่งรูป*
paipai : คืออะไรวะ?
just pew : รหัสลับ
just pew : อยากรู้ก็ไขเอาเอง
paipai : เขร้ รหัสลับด้วย
paipai : ใบ้หน่อยดิ
just pew : จะไม่มีการใบ้
just pew : รับรองมึงรู้แล้วมึงจะต้องร้องไห้
paipai : ขนาดนั้นเลย?
just pew : แน่นอนครับเมีย
ผมเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ส่งผ่านหน้าจอตรงหน้าให้ไป ก่อนจะกลับมาสนใจตัวเลขทั้งสิบตัวอีกครั้ง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่มีไอเดียที่จะถอดรหัสออกมาเลยสักนิด
เอ๊ะ หรือว่าจะให้นับตัวอักษรภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆวะ?
ไม่รอช้าผมเลยกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ คว้ากระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนทดด้วยความตั้งใจ .. กับการเรียนกูไม่เคยได้อย่างนี้เลยนะจะบอกให้
“..ห้าสิบสามคือตัวเอ ก็จะได้”
J – R – K – O - A
ตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหาตัวดูไม่มีความหมายและดูไม่มีเหตุผล ทำให้ผมปัดตกการแก้รหัสลับแบบนี้ไปในทันที
หรือว่าจะเป็นตัวอักษรไทย?
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย จะเขียนหากูทั้งทีก็ไม่ฉุกคิดเลยหรือไงว่ากูโง่อะ!” ผมก่นด่าคนต้นปัญหาแบบออกเสียงเพราะเริ่มทนไม่ไหว เมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้เดินมาถึงทางตัน เพราะเมื่อลองนับจากตัวอักษรในภาษาไทยแล้วมันก็ไม่มีความหมายอีกเช่นกัน..
ฮ – ณ – ซ – ฃ - ฉ
“โพสต์เฟซถามคนอื่นแม่งละ” เมื่อความอดทนดำเนินมาถึงจุดขีดสุด ผมจึงจัดแจงถ่ายภาพโปสการ์ดต้นตอของเรื่องทั้งหมดลงในโซเชี่ยลที่เพื่อนของมักจะเข้ามาเล่นบ่อยๆแทน .. หลายหัวก็ยังดีกว่าหัวเดียวแหละวะ
Paipai paponwit
ใครรู้ความหมายบ้าง?
นานนับสิบนาทีที่ผมไถจอโทรศัพท์เพื่อรอคำตอบจากเพื่อนๆหรือคนที่พอรู้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าใครจะสวมบทบาทเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยผมไขข้อข้องใจที่มีอยู่ได้เลย
ลุกจากเก้าอี้ลงไปล้มตัวนอนบนเตียงเพราะความเมื่อยขบ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งใช้สมองเยอะก็ยิ่งต้องการการพักผ่อน ไม่นานนักหลังจากทิ้งหัวทุยลงบนหมอนใบนุ่ม มันก็ทำให้ผมเผลอหลับไปอย่างง่ายดาย
❋❋❋
ครืด ครืด ครืด
ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมาเพราะแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ที่ถูกจับไว้อยู่ในมือ มองเวลาที่เลยล่วงไปก่อนจะพบว่าผมได้เผลอหลับไปเป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงแล้ว เมื่อเห็นการแจ้งเตือนที่ไหลทะลักทั้งกดไลค์และคอมเมนต์ที่พากันกระหน่ำเข้ามา ด้วยอารามตกใจเลยกดเข้าไปดูใต้รูปที่ผมเพิ่งลงไปว่ามันเกิดอะไรขึ้น
Mister Tulalala และคนอื่นๆอีก 155 คนได้แสดงความรู้สึกบนรูปภาพของคุณ
Gas Krub : @Kram Fahkram @Mister Tulalala @Jeans Yossawee แปลว่าอะไรมาช่วยไป๋หน่อย
Mister Tulalala : มันคืออะไรวะอีไป๋?
Mister Tulalala : กรี๊ด อียีนส์บอกเฉลยกูแล้ว
Jeans Yossawee : ไม่ต้องไปบอกไอ้ไป๋มันนะ
Kram Fahkram : สงสัยด้วย
DaDaD NEWYORK : @KK dylm มึ๊ง มันหนักหน่วงมาก!!!!
KK dylm : อีเหี้ยเอ๊ยเรือหลวง เรือสปี๊ดโบ๊ท เรือเฟอร์รี่ แง เป็นแฟนกันนานๆนะคะพี่ทั้งสอง T____T
Samui Samuisamui : @KKen @Taechin T พวกมึงว่าใช่เสี่ยพิวของเราป่ะวะ?
Taechin T : ใช่ยิ่งกว่าใช่ กูจำการเขียนเลขหนึ่งของมันได้
KKen : ใครสงสัยทักไปขอวาร์ปได้ที่ไอ้ยีนส์
ทันทีที่เห็นคอมเมนต์ใครต่อใครต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไอ้ยีนส์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความหมายของมัน ไม่รอช้าผมจึงแชทไลน์ไปหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วด่วนจี๋
paipai : ยีนส์คร้าบ
paipai : มึงรู้ความหมายใช่ไหม
paipai : บอกกูหน่อยน้า
Jeansss : ไม่อยากบอกเลยว่ะ
paipai : บอกหน่อยนะๆ
paipai : บัตรจับมืออะไรนั่นที่มึงอยากได้เป็นไง?
Jeansss : ไม่เอาอะ กูซื้อเองได้
ผมเริ่มกลับมาหงอยอีกครั้งเมื่อเพื่อนสนิทที่รู้ไม่ยอมบอกเฉลยของปริศนาให้ผมรู้
jeansss : อะๆ คิดสงสารละกัน
jeansss : ใบ้ให้ก็ได้
paipai : เอาๆๆๆๆ ว่าๆๆๆๆๆ
jeansss : เป็นสิ่งที่ไอ้พิวชอบนั่นแหละ
jeansss : ใบ้แค่นี้แหละ
jeansss : กูไปแดกข้าวละบาย
สมองอันที่มีอยู่น้อยนิดกำลังประมวลผลรื้อฟื้นความจำตามที่ไอ้ยีนส์บอกใบ้มา .. สิ่งที่ไอ้พิวชอบน่ะเหรอ?
ไอ้พิวชอบหมา ชอบทะเล ชอบนอนดูหนังมากกว่าออกไปเที่ยว ชอบความสะอาด ชอบช็อกโกแลต ชอบสีขาวสีเทาแต่เดี๋ยวนี้เหมือนจะมีสีดำเพิ่มขึ้นมาอีกสี แล้วก็ชอบเกาท้ายทายเวลาคิดอะไรไม่ออก .. แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงเหม่อมองเพดานสีขาวอีกครั้ง คิดทบทวนว่ายังมีสิ่งไหนที่ไอ้พิวชอบแล้วผมยังไม่รู้อีกหรือไม่ .. ปกติแล้วคนเราเวลาชอบอะไรเราก็มักจะเอาตัวเข้าไปอยู่กับสิ่งนั้นบ่อยๆ อย่างเช่น ไอ้พิววันๆนึงก็หมดเวลาไปกับการอ่านหนังสือแล้วครึ่งค่อนวัน ถ้าไม่เรียกกินข้าวเจ้าตัวคงนั่งทั้งวันเลยยังได้
แต่เดี๋ยวนะ .. มันชอบอ่านหนังสือ และวิชาที่มันชอบก็คือวิชาเคมี
ตารางธาตุ?
ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนเหมือนร่างกายกำลังผูกติดกับสปริง กระดาษแผ่นเดิมถูกนำมาเขียนความเป็นไปได้อีกครั้ง ก่อนที่ตารางธาตุอันน่าปวดหัวจะถูกเปิดเผยต่อหน้าผมหลังจากที่ไม่ได้เห็นมันมานาน..
“เรเดียม .. โพแทสเซียม .. โซเดียม” สัญลักษณ์ของแต่ละธาตุถูกขีดเขียนโดยเรียงลำดับไปบนพื้นที่ว่างของกระดาษตามลำดับ
“โพรแทกนิเนียม แล้วก็ไอโอดีน .. อะไรวะเนี่ย” และแล้วข้อความที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อก็ได้ร้อยเรียงจนเป็นความหมายอยู่ตรงหน้าจนได้
88 – 19 – 11 – 91 – 53
Ra – K – Na – Pa – I
“RAK NA PAI ..”
“รักนะไป๋ ไง”
เพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเลยทำให้ไม่รู้ว่าอีกคนได้กลับมาถึงห้องแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ .. พิวปลดกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วยลงบนเตียง ไปพร้อมๆกับการหย่อนตัวลงนั่งบนนั้นด้วยท่าทีสบายๆ
“พูดใหม่อีกทีดิ ได้ยินไม่ชัดเลย”
“มานั่งใกล้ๆนี่มา” ฝ่ามือหนาตบลงบนปลายเตียงข้างกายเจ้าตัวอย่างเบาๆ ส่วนทางด้านก็ผมนั้นก็ไม่อิดออด เดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้พิวอย่างว่าง่าย
“..รักนะไป๋”
“ก่อนหน้านี้ที่มึงไม่เคยพูดคำว่ารักกับกูเลย เพราะมึงรอให้จดหมายนี่มาถึงก่อนเหรอ?”
“อือ ใช่”
“...”
“แล้วเป็นไง .. โรแมนติกขึ้นป่ะ?” ร่างบางอมยิ้มให้คำถามสุดแสนจะจำเจแต่น่ารักของอีกฝ่าย ก่อนที่ขยับปากออกเป็นคำพูดโต้ตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
“พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ”
“แล้วชอบไหม?”
“..ไม่อะ” นึกขันเมื่อเห็นสีหน้าทอดสีของคนที่นั่งตรงข้ามกัน ไป่ไป๋ตัดสินใจเอื้อมมือไปกุมไว้บนมือของพิวแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน
เพื่อย้ำให้รู้ว่าทุกคำพูดที่เอ่ยไปนั้นคือความจริงที่ออกมาจากใจ
“แต่โคตรรักมึงเลย”
“ไอ้ตัวไป๋ กูตกใจหมดเลย”
“อยากฟังจดหมายของกูป่ะ?”
“อื้อๆ อ่านให้ฟังหน่อย” นิ้วเรียวผละจากความอุ่นจากฝ่ามือที่เคยทาบทับกัน ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบจดหมายของตนเองที่ยังไม่ได้แกะอ่าน โปสการ์ดสีขาวภายในถูกหยิบล้วงขึ้นมาจากซองจดหมายสีหวาน เนื้อความข้างในถูกเอ่ยขึ้นมาเป็นคำพูดให้ทั้งสองได้ยินทั่วกัน
จนกระทั่งในวรรคสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมด..
“กูให้มึงอ่านที่เหลือเองดีกว่า”
“อ่าฮะ..” มือของพิวยื่นไปรับกระดาษแผ่นหนาอัดแน่นไปด้วยข้อความจากอีกฝ่ายมาถือไว้ แต่ยังไม่ทันได้อ่านออกเสียงไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว เขาก็พลันสังเกตอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน..
“ตรงที่เขียนถึงกูเป็นสีชมพูด้วยว่ะ” สีหวานของตัวอักษรส่วนล่างพาให้มุมปากทั้งสองของคนตัวสูงกว่ายกขึ้นสูงเหมือนเด็กหนุ่มกำลังอ่านจดหมายสารภาพรักอยู่
“ก็ปากกาสีฟ้าอันก่อนหน้านี้กูใช้ปาใส่มึงไปแล้วไง จำไม่ได้?”
“มึงก็อย่าขัดสิ คนกำลังบิ้วอยู่ .. อ่านต่อเลยนะ”
“..อื้อ”
“และสุดท้ายไม่ว่าตอนนั้นมึงยังจะรักคนๆเดิมอยู่หรือเปล่า แต่ตอนนี้กูโคตรรักไอ้พิวที่กำลังนั่งข้างหน้ากูตอนนี้ คนที่บ้านอยู่สุขุมวิท คนที่ชอบหมา คนที่ยอมลำบากไปติวเพื่อมาสอนกู .. และเป็นคนที่มีอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้”
“...”
“กูรักทั้งหมดของมึงจริงๆนะ”
“รักนะ ไอ้ตัวพิว” สายตาคมละขึ้นมาสบกับอีกฝ่ายทันทีหลังจากที่อ่านประโยคใจความสุดท้ายของจดหมายเสร็จ รอยยิ้มในดวงตาของคนรักเบื้องหน้ามันทำให้ร่างสูงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่างกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ตัวไป๋ .. ตั้งแต่เป็นแฟนกับมึงมา กูรักมึงทุกวันเลยนะ..”
“...”
“แต่วันนี้เป็นวันที่กูเขินมึงที่สุดเลยว่ะ” โปสการ์ดใบจิ๋วถูกยกขึ้นมาบดบังใบหน้าของคนที่กำลังฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะยาวไปถึงหู จนถึงตอนนี้เขาก็เพิ่งได้มาเข้าใจว่าในตอนนี้ชอบแกล้งให้ไป่ไป๋รู้สึกขัดเขินนั้นอีกฝ่ายมีความรู้สึกอย่างไร..
“กูโรแมนติกบ้างหรือยัง?”
“มากเท่าฟ้าเลย .. รักนะไอ้ตัวไป๋”
“รักนะไอ้ตัวพิว”
“อยู่บอกรักกันไปแบบนี้ทุกวันเลยนะ”
“อื้อ ทุกวันเลย..” รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากทั้งสองดังก้องไปทั่วทั้งความรู้สึก เลือกที่จะจับมือเพราะประทับใจ เลือกที่จะโอบกอดเพราะชื่นชอบ และเลือกที่จะอยู่เคียงข้างใครสักคนก็เพราะทั้งหมดถูกหล่อหลอมเป็นความรัก..
ความรักนั้นเกิดขึ้นได้จากพื้นฐานความชอบและความพึงพอใจ
ทั้งนิสัย หน้าตา และรสนิยม
แต่การที่จะประคับประคองให้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ได้นานที่สุด
เราต้องใช้ความเข้าใจและการปรับตัว
---------------
ความรักไม่เคยน่ากลัว หรือย่ำแย่
หากเราใช้มันให้ถูกคน
---------------
แต่บางคนเลือกที่จะใช้เวลาเพื่อลืมรักเก่า
ในขณะเดียวกับที่บางคนใช้เวลาเพื่อรอความรัก
จนลืมนึกไปว่าความรักที่ดีไม่จำเป็นต้องแปรผันตรงกับเวลา
ดังนั้น จงเปิดใจ
ยิ้มกว้าง
ต้อนรับความรักครั้งใหม่
กับคนที่เป็นความสบายใจและความสุข
---------------
สุดท้ายแล้ว
จงมีความรักเพื่อช่วยยึดเหนี่ยวคุณ ในวันที่บนโลกนี้มีเพียงสีดำและขาว
รักให้มากที่สุดเท่าที่รักได้
มองหน้าเขาให้นานที่สุดเมื่อต้องแยกกันกลับบ้าน
และมีความสุขให้มากที่สุดเท่าที่เด็กผู้ชายอายุสิบเก้าจะมี..
เฉกเช่นความรักของพิวและไป่ไป๋
ที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน
ด้วยรักและขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกันมา
รัก
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
สวัสดีค่ะ แพพิ้งก์เองนะคะ และแน่นอนว่าจีบเป็นคำกริยาได้ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายอย่างแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว ก่อนอื่นเลย แพรต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกคนมากจริงๆ ทั้งคนน่ารักทั้งหลายในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คที่ตามหวีดตามให้กำลังใจ รวมถึงแอครีวิวนิยายทุกแอคเลยที่ทำให้กระแสนิยายของแพรดีขึ้น
ยอมรับ ณ ที่ตรงนี้จากใจว่าเคยท้อจนคิดจะล้มเลิก ถึงแต่งเสร็จแล้วก็ตาม เหตุผลเพราะแพรไม่เคยคิดว่าการแต่งนิยายครั้งแรกของแพรมันจะยากขนาดนี้ แต่เป็นเพราะพวกคุณทุกคนเลยนะ ที่สามารถทำให้เรามีความสุขได้ในทุกๆครั้งที่ลงนิยาย ทุกๆครั้งที่อ่านข้อความเชียร์ ทุกๆครั้งที่ได้อ่านคอมเมนต์ หรือแม้แต่ทุกๆครัั้งที่เราเห็นยอดวิวและยอดเฟบที่เพิ่มขึ้น เรารักพวกคุณมากจริงๆ
ต่อจากนี้แพรขอแจ้งก่อนว่าจะมีการลงสเป(ที่แพรยังไม่ได้แต่ง) และจะมีการรีไรท์ขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งส่วนนี้แพรไม่สามารถกำหนดวันได้จริงๆ รบกวนรอกันหน่อยนะคะะ
และสุดท้าย แพรจะนำข้อติชมที่ได้จากทุกคนไปปรับใช้ในผลงานชิ้นต่อๆไป และจะเป็นแพรที่ไม่หยุดพัฒนางานเขียนของตัวเองค่่ะ
รักนะคะ
ติดตามการอัพเดตได้ที่
tw : @pearyypinkyy
page : PearyyPinkyy.9
และตามให้กำลังใจได้ในแท็ก
#จีบเป็นคำกริยา
-
:L2: :pig4:
-
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ เราชอบมากเลยยยยย น่ารักกกกก ดีต่อใจเรามากๆเลย
สำหรับ 88 – 19 – 11 – 91 – 53 โห ลึกซึ้งมากอ่ะ ชอบบบบบ
รอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ ^^
ปล.เราชอบยีนส์อ่ะ 555 อยากให้ยีนส์ได้เจอความรักที่ดี เหมือนความรักของตัวพิวและตัวไป๋ :)
-
จบได้น่ารักมากๆ
-
:L2:
-
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่องเลย ตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่องแล้วนึกว่าจะเป็นเรื่องหวานๆ ไม่ได้เตรียมใจว่าจะดราม่านานขนาดนี้ :hao5:
ตอนแรกแอบโกรธกับการกระทำของพิว แต่พอรู้ความจริงแล้วก็สงสารพิวขึ้นมาเลยค่ะ(แต่พิวก็ผิดเองที่เลือกที่จะปิดบัง ไป่ไป๋ของเราเลยต้องมานั่งเสียใจ)
พอเข้าใจกันแล้วทุกอย่างดูสดใสขึ้นมาเลย :o8:
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้จนจบนะคะ :L2:
-
เป็นนิยายที่แบบโคตรรรรน่ารัก ฟินมากเยยย งืออ ขอบคุณนะคะ ❤️
-
จบแล้วววววอ่านวันเดียวรัวๆคือทั้งร้องไห้ทั้งเขินปนไปหมดพิวไป๋น่ารักมากกกก คนเขียนก็น่ารักกกกของคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :mew1:
-
น่ารักมาก ๆ
-
เราคิดว่าชุดเลขเป็นภาษาอังกฤษเหมือนน้อง เกลียดความฉลาดของนังพิว เหมือนโดนใครกินพระเอกคูลๆ ในตอนแรกเข้าไป สนุกมากเลย ขอบคุณมากค่าา :hao5: :impress2:
-
ชอบความกากของพระเอกเรืองนี้มาก555
-
:o8: :-[ :mew1:
-
น่ารัก ๆ ๆ เรียล สมู้ท อ่านวันเดียวจบเลย ตัวละครมีเหตุผลในตัวเอง ไม่น่าเบื่อ ตอนฉากหน่วงนี่สงสารไป๋จัง โถ น้องไป๋ TT
ยินดีต้อนรับตัวพิวสู่สมาคมคนหลงเมียอีก 1 ea ค่ะ
ไม่รู้คนแต่งคิดถึงฉากสเปไว้ยังไงบ้าง เป็นกำลังใจให้นะคะ และรอติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปนะคะ :)
-
ขอบคุณมากค่า พึ่งมาเจอเรื่องนี้ ดีมากๆเลย สนุกมากๆ คำผิดน้อยดีค่ะ น่ารักมากเลยด้วยทั้งไป๋และความกากที่เปิดเผยออกมาทีหลังของพิว :z2:
-
ฮือออชอบมากอ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณที่แต่งอะไรดีๆมาให้อ่านนะคะ จะคอยติดตามไปเรื่อยๆเลยน้า
-
หลงรักทั้งตัวไป๋และตัวพิว
น่ารักมากกกกกก
แต่อ่านตอนดราม่า โกรธตัวพิวมาก
คิดไปว่าพระเอกเลว ที่แท้กากกกก
55
-
:pighaun: อ่านมาแบบว่าดีงาม จิกหมอนฟิน น่ารักสุดๆ :3123: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ :pig4:
-
น่ารักมากกก บอกรักด้วยตารางธาตุคือเขินมากจริง แง
:-[
-
พิวน่ารักจังเลย โรแมนติคมากๆ ตกหลุมรักไอ้ตัวไป๋ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลย แถมยังเก็บลิขควิดเขาไว้อีก ไม่คิดเลยว่าจะบอกรักด้วยเลขธาตุ แค่คิดว่าต้องเกี่ยวกะจดหมาย ถ้าไป่ไป๋โง่เราก็โง่ค่ะ เห็นคะแนนไป่ไป๋แล้วนึกถึงตัวเองเลย สอบทีไรคะแนนออกแล้ว ได้แต่คิดว่าเรามาทำอะไรที่นี่วะ แต่โชคดีของไป๋แล้วที่ได้ติวเตอร์ดี แถมฟรีสถานะผัว อิสสา ชอบลักษณะนิสัยของตัวละครแต่ละตัว มันดูไม่ต่างจากเรื่องอื่นๆนะ แต่ว่าก็ยังมีเสน่ห์ในตัวเองอยู่ โดยเฉพาะนายตุลา สร้างเสียงหัวเราะได้ตลอดเลย คนรอบข้างไป่ไป๋ดีมากเลยอะ คอยสร้างพลังบวกเสมอเลย เพื่อนๆน่ารักคอยซับพอร์ตเสมอเลย พี่ชายก็น่ารัก ชอบเวลาอยู่กับพี่ชายจังเลย ขอให้รักกันนานๆนะ มีความสุขนะเจ้าไป่ไป๋และเสี่ยพิวขา อยากจะขอตอนพิเศษจังเลยค่า ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆฟีลกู๊ดน่ารักๆแบบนี้นะคะ
-
กรี๊ดดดด แงงงง ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีนะคะ น่ารักมากเลยยย รอติดตามผลงานอื่นๆนะคะ
-
งุ้ยยยยยย มีความกรุ้งกริ้งแอบเที่ยวกันสองคน
-
ตกลงแฮปปี้พันธ์ชิสุ หรือปั๊กคะ....
-
ตกลงแฮปปี้พันธ์ชิสุ หรือปั๊กคะ....
เกิดจากความผิดพลาดตอนแต่งที่เปลี่ยนพันธุ์กระทันหันค่ะ น้องต้องขอโทษและขอบคุณด้วยที่ช่วยเตือนน้อง ; ㅡ ;
เดี๋ยวจะรีบแก้ให้เร็วที่สุดค่ะะ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
เรื่องนี้สนุกดีค่ะ
-
ตามมาจากคุณหมีในทวิต
ดีจังงงงง อ่านแล้วยิ้มตลอดเลย น่ารัก ความสัมพันธ์ที่สนิทได้เหมือนเพื่อน
ช่วยกันประคับประคองกันไป ช่วยกันเรียนอีกดีมากก
มันอุ่นใจสุด ยกเว้นตอนผิดใจกันคือน้ำตาไหลเบาๆ55555
ขอบคุณคนแต่งนะคะ ที่สละเวลามาสร้างความสุขให้คนอ่าน
เป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆไปน้าา
:mew1: :mew1:
-
คือแบบกะจะคอมเม้นท์ตอนจบทีเดียว แต่มาเจอเสียง 18+
ของทั้งคู่ตอนนี้แบบ โอ้ย :z1: ศีลแตกเลย 555 ก่อนหน้ายังม่า
ปวดตับ ปวดไตอยู่เลย ดีกันแล้วก็มาแนวนี้ตลอดดด
-
พิวววววววววว :katai1: :ling1: หื่นไม่พอ ร้ายมากด้วย 55
-
www.pantub.com
ฝ่ายรับต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างครับ?
ตามหัวข้อกระทู้เลย
สารภาพเลยตอนแรกเห็นเป็น pornhub..... ได้แต่งงๆ ว่ามันมีให้
ตั้งกระทู้ด้วยเหรอวะ จนข้องใจกดเข้าลิ้งละดูอีกที คราวนี้ชัดเลย
555555 เราไม่ได้หื่นหรือหมกมุ่นนะ แต่มันเห็นจริงๆ 5555
แต่เหนืออื่นใด ทิชชู่เราได้ใช้งานละ กรี๊ดดดด :haun4:
-
:hao5: โง้ย พิวรักไป๋ หลงไป๋มากนะเนี่ย อบอุ่นหัวใจ
ขอบคุณนะคะ สนุกมากเลย :กอด1:
-
ฟีลดีมาก ๆ เล้ยยยยยย :katai2-1: :katai2-1:
-
น่ารักมากๆๆๆ ขอบคุณที่แต่งขึ้นมานะคะ
-
โอ้ย ทำไมน่ารักขนาดนี้กันนะ เขินไม่ไหวแล้ว
นี่คิดอยู่ว่าพิวไม่น่าไม่จริงใจ แต่ก็อดใจหายไปกับไป๋ไม่ได้ โอ้ยย ดีจริงๆที่เข้าใจที่เคลียร์กันแล้ว
นิยายน่ารักมากเลยค่ะ ไป่ไป๋น่ารักมาก พิวก็หลัวววว
ชอบความบอกรักเป็นตารางธาตุ เขิงงงง บิดตัวเป็นเกรียวไปหมดแล้วว
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆน่ารักๆนะคะคุณนักเขียน
เห็นบอกว่าเป็นนิยายเรื่องแรก เราว่าเก่งมากๆเลยค่ะ เราเป็นกำลังใจให้นะคะ <3
-
:katai2-1:
-
THANK YOU :mew1:
-
เป็นการบอกรักในแบบฉบับของไอ้ตัวพิวมากกกก
ยินดีกับไอ้ตัวไป๋ด้วยนะ ในที่สุดก็มีรักดีๆ กับเขาแล้ว
ขอบคุณนักเขียนมากนะคะสำหรับนิยายน่ารักๆ แบบนี้
เป็นกำลังใจให้นะคะ จะรอติดตามผลงานต่อไปจ้า
:กอด1:
-
เขินแทนตัวไป๋ :hao7: :hao7:
-
พิวน่ารักกกกก :-[
-
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
เป็นกำลังใจให้กับเรื่องต่อ ๆ ไปนะคะ
-
สนุกมาก :m3: ผลัดมานานได้ฤกษ์อ่าน..ติดเลย :m1:
ขอบคุณค่ะ :pig4 :pig4: :pig4: :pig4:
-
สนุกมากเลยยยย ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาครับ
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
:pig4: :pig4:
:L2: :L2:
-
เราแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นเรื่องแรกของตัวเอง เพราะตัวเองเขียนดีมากๆเลยค่ะ คำผิดก็น้อยมากๆ ขอบคุณนะคะที่พาตัวไป๋ หรือพิวมาให้เรารู้จัก ฟีลกู้ดมากๆ แม้จะมีช่วงดราม่ามันก็ไม่ได้ขัดใจอะไร ขอบคุณอีกครั้งนะคะ จะคอยติดตามเรื่องต่อๆไป อย่าเพิ่งท้อนะคะตัวเอง พัฒนาไปเรื่อยๆเลยค่ะ รักนะคะ
-
น่ารักมากๆค่ััะ น่ารักจริงๆ ตกหลุมเสี่ยพิวไปอีก1คนแล้ว
-
ขอบคุณมากๆค่ะ o13
-
พึ่งอ่านจบ ชอบมากกกกกก ดราม่าก็ร้องตอนดีก็ยิ้ม ขอบคุณมากน่า :mew1:
-
น่ารักดีครับ แม้ตอนท้ายๆ ไป๋จะออกสาวไปนิด แต่รวมๆ น่ารักดี
น่าจะผูกเรื่องครอบครัวมากกว่านี้หน่อย จะฟินๆ มากเลย
-
หวานเจี๊ยบบบบบบบ คือเป็นเรื่องที่เบาดีอ่ะ อ่านสบายๆ สนุกดี
-
:z3: :pig4:
-
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เป็นกำลังใจให้จ้า รอเรื่องใหม่เลย :L2:
-
เรื่องแรก แต่เเต่งได้น่ารักมากกก ชอบเวลาไป่ไป๋อย่างนั้นอย่างนี้ มันน่าหมั่นเขี้ยวน่าบีบ พอพิวเรียก 'ไอ้ตัวไป๋' ยิ่งน่ารักเข้าไปอี๊ก เป็นแนวฟิลกู๊ด สดใส อ่านแล้วอมยิ้ม ชอบมากค่ะ :mew1:
-
อ่าานจบแล้ววว
น่ารักมากจริง ฟีลกู้ดต่อหัวใจมากๆ
-
พิวไป๋ น่ารักค่ะ :mew1:
-
:mew1:
-
o18
-
สนุกครับ ขอบคุณนักแต่งและจะติดตามเรื่องต่อไปนะ :pig4:
-
น่ารักมากเลยทั้งตัวไป๋และตัวพิว บอกรักฉบับคูลๆเนอะ
ขอบคุณมากนะคะะ :pig4:
-
เป็นนิยายอีกเรื่องที่น่ารักมากๆเลยจ้า เราชอบความสัมพันธ์แบบพิวกับนุ้งไป๋มากๆ ขอบคุณที่เขียนงานดีๆมาให้อ่านนะคะ รอติดตามผลงานต่อๆไปจ้า
-
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ น่ารักมากกก
เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่า คนที่ใช่ในเวลาและโอกาสที่ใช่อะ มันดีจังเลยนะ
พิวเป็นพระเอกที่ตอนแรกนึกว่าเป็นแบบเท่ๆ นิ่งๆ เย็นชา
อต่สรุปคือไม่ใช่ เป็นพระเอกกากๆที่กวนและกามมากอะ
55555555555555 สงสารไป๋น้องแบบรับงานหนักมาก
ไป๋เป็นน้องเอ๋อๆที่ตามอะไรไม่ค่อยทัน แต่น่ารักอะ น้องมากก
ชอบตอนจบมากเลยี้ะ เลขชุดนั้นน
ตอนดรกเดาเป็นลำดับตัวอักษรเหมือนกัน
แต่พวกเลข 53 เป็นต้นไปคือเกินจำนวนตีวอักษรอะ เลยว่าไม่น่าใช่แล้วว
ตารางธาตุเป็นอะไรที่ไม่ได้เกินคาดแต่ก้คิดไม่ถึงค่ะ 555
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆแบบนี้นะคะ
แต่งดีจนเกือบไม่เชื่อเลยค่ะว่านี่เป็นเรื่องแรก
-
อ่านรวดเดียวจบเลย. สนุกมากกกกก
พิวคือดีมากอะ แต่ตอนนั้นคืออยู่ทีมไป๋นะ ><
ขอบคุณนะคะ จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ
-
ตามมาจากในทวิต! เดี๋ยวอ่านน้า~
-
เป็นเรื่องที่น่ารักและชื่อเรื่องชวนเขินมาก ไป๋น่ารักมาก พิงก็แสนดีนะ ขอบคุณคนเขียนมากๆเลยสำหรับนิยายที่น่ารักขนาดนี้
-
โง้ยเค้าน่ารักกันมากกก :-[ ขอบคุณคนเขียนนะคะที่เขียนนิยายน่ารักๆแบบนี้ให้เราอ่าน :pig4:
-
ไป๋ น่ารักมากเลยค่ะ แต่อยากได้พิว มาเป็นของตัวเอง
-
:pig4:
-
อ่านแรกๆพิวขาละมุนมาก ดูจะอ่อนโยนทนุถนอมตัวไป๋ แต่ไหงตอนหลัง หื่นเบอร์นั้นนนนน ฮ่าๆๆๆๆ
-
อ่านจบแล้วววว แรกๆคิดว่าพิวนิ่งๆแต่จริงคือร้ายนี่หว่า
เหมือนจะฟีลกู๊ดนะแต่ทำเราเสียน้ำตาไปหลายยกเลย T^T
แต่คือชอบมากกกค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย
-
o13
-
วันเดียวจบ สนุกมากครับ
-
จากความน่ารักของฟิว&ไป๋ ให้+1
เกลียดนางกุ้ง ทำเรื่องไว้ไม่เคลียร์ ไม่น่าใช่เหตุผลที่เพียงพอ
รักและส่งเสริมกำลังใจให้นักเขียน เยอะๆเลย... สู้ๆ สู้ต่อไปน้าาาา
:pig4: :pig4: :pig4:
o13 :bye2: :mew1:
-
เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยค่ะ
แถมตัวละคร ไอ้ตัวไป๋ กับ ไอ้ตัวพิวก็น่ารักกกก :impress2:
-
:pig4: :pig4: :pig4: