พิมพ์หน้านี้ - Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เจ้าโง่_ ที่ 12-08-2018 22:41:13
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
********************************************************************************
Love Ten Points
#รักตรงเป้า
บทนำ
ความรู้สึกแรกของการแอบรัก
ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
“เอาละครับท่านผู้ชม ตอนนี้มาถึงช่วงเวลาตื่นเต้นที่สุดของการแข่งขันในวันนี้แล้วนะครับ ภาพที่ท่านผู้ชมกำลังรับชมอยู่ตอนนี้คือการแข่งขันยิงธนูรอบชิงชนะเลิศของงานกีฬามหาวิทยาลัยแห่งชาติในปีนี้ และคนที่ทุกท่านกำลังเห็นอยู่ตอนนี้คือศร ศิรภพตัวแทนจากมหาวิทยาลัยC แล้วก็ยังเป็นตัวเต็งของการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย…”
เสียงจากการแข่งขันกีฬาที่ดังมาจากจอทีวีที่อยู่ถัดไปในร้านก๋วยเตี๋ยวที่ผมกำลังนั่งทานกันอยู่กับเพื่อนๆดังขึ้น ในความเงียบและความน่าเบื่อที่ต้องนั่งรออาหารแบบนี้ ไม่แปลกที่เสียงนั้นเรียกความสนใจจนทำให้ผมหันหน้าไปมอง
ตอนแรกที่เห็นมันก็แค่การถ่ายทอดการแข่งขันกีฬาธรรมดา แต่บางสิ่งบางอย่างที่ผมเห็นในทีวีตอนนี้ทำให้ผมละสายตาจากหน้าจอนั้นไม่ได้เลย
“ปุณย์!”
“วันนี้ต้องบอกว่าเป็นวันที่ทุกคนลุ้นกันตัวโก่งเลยนะครับว่าศรจะรักษาสถิติที่เขาทำไว้ในการแข่งขันครั้งก่อนได้หรือเปล่า…”
“ไอ้ปุณย์!”
“และตอนนี้ช่วงเวลาตื่นเต้นมาถึงแล้วครับ…”
“ไอ้เชี่ยปุณย์โว้ย!” เสียงตะโกนจากใครคนหนึ่งดังขึ้นจนดึงสติผมที่เหมือนหลุดเข้าสู่ภวังค์กลับมา
“อะไรไอ้เชี่ยไพร์ มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย” ผมโวยวายใส่มันทันทีที่รู้ว่าไอ้เจ้าของเสียงตะโกนจนหูแทบแตกนั้นเป็นใคร มันคือไอ้ไพร์เพื่อนรักเพื่อนตายของผมเอง
"Ten Point!"
แต่แล้วเสียงจากทีวีที่ดังขึ้นก็เรียกความสนใจผมกลับไปอีกครั้ง
“สิบแต้ม! และแน่นอนครับการแข่งขันยิงธนูระดับมหาวิทยาลัยในปีนี้ ศรจากมหาวิทยาลัย C เป็นผู้ชนะ…”
ตอนนี้สติผมเหมือนหลุดลอยหายไปอีกครั้ง เพียงแต่ว่าในตอนนี้มันลอยไปหยุดอยู่ที่คนที่กำลังยืนยิ้มด้วยความดีใจอยู่ในจอทีวีตอนนี้
ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไม…สีหน้ามุ่งมั่นของเขาที่ผมเห็นในตอนแรก ตอนที่เขากำลังจะยิงธนูลูกนั้น ถึงแม้มันจะเป็นสีหน้าที่ปนไปด้วยความกดดัน แต่มันก็ทำให้ผมอดที่จะลุ้นและละสายตาจากเขาไม่ได้เลย ถ้าไม่ติดว่าโดนไอ้ไพร์แหกปากเรียกซะก่อนผมคงจะได้เห็นเขายิงธนูลูกนั้นด้วยตาของตัวเองไปแล้ว
แต่ถึงยังไงสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของความดีใจของเขาในตอนนี้ มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีและอดที่จะยิ้มกับเขาไปด้วยไม่ได้
“เป็นอะไรของมึงไอ้ปุณย์อยู่ดีๆก็ยิ้มขึ้นมายังกับคนบ้า ก๋วยเตี๋ยวน่ะจะแดกไหม เส้นมันอืดหมดแล้ว” เป็นไอ้ไพร์คนเดิมที่ถาม
“เปล่า กู…กูแค่”
“มึงยิ้มให้นักกีฬานั้นเหรอ” แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบ เสียงใครอีกคนก็ดังแทรกขึ้นมา เจ้าของเสียงคนนี้คือไอ้ปัญเพื่อนรักเพื่อนตายอีกคนของผมเอง
“นักกีฬาคนไหนวะไอ้ปัญ” ไอ้ไพร์หันไปถามไอ้ปัญ
“ก็คนในทีวีนั้นไง”
“อ๋อ มึงชอบเขาเหรอไอ้ปุณย์”
“เฮ้ย จะบ้าเหรอ ชอบเชี่ยอะไรของมึง” ผมรีบปฏิเสธ
“ไม่ชอบก็ไม่ชอบสิ แล้วมึงจะหน้าแดงทำเชี่ยอะไร”
“กู…หน้าแดงเหรอ” ผมรีบยกมือขึ้นลูบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองตามสายตาของไอ้เพื่อนเวรทั้งสองคนที่กำลังมองมา
“ก็เออดิ เนี่ย! หน้าแดงเป็นตูดลิงหมดแล้ว”
“โอ้ย! ไอ้เชี่ยปัญกูเจ็บ” ผมร้องโวยวายประท้วงเพราะไอ้ปัญมันไม่ได้ว่าเปล่า พูดจบมันก็ยื่นมือมาดึงแก้มทั้งสองข้างผมเล่นจนช่ำไปหมดแล้วมมั้งเนี่ย
“มึงอยากรู้ไหมว่านักกีฬายิงธนูคนที่มึงเห็นในทีวีคนนั้นเป็นใคร” ไอ้ไพร์หันมาถามผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ทั้งๆที่มันก็รู้อยู่แล้วว่าผมอยากจะรู้หรือเปล่ามันยังจะมาถามแบบนั้นอีก แต่เหอะ! ระดับไอ้ปุณย์แล้วไม่มีทางจะมาแสดงอาการอะไรให้เห็นหรอก
"..."
“ไม่ตอบ แสดงว่าไม่อยากรู้ใช่ไหม” ไอ้ไพร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆพร้อมถามย้ำอีกครั้ง “ก็ดีกูจะได้ไม่ต้องเมื่อยเล่าให้ฟัง”
“…”
“ไอ้ปุณย์ไม่อยากรู้ก็เรื่องของมัน แต่กูอยากรู้ว่านักกีฬาคนนั้นเป็นใคร” เป็นไอ้ปัญที่ถามขึ้นแทน ไอ้ไพร์นิ่งไปครู่หนึ่งมองหน้าผมสลับกับไอ้ปัญไปมาก่อนจะยิ้มร้ายและยอมพูดต่อ
“คนนั้นนะเขาชื่อพี่ศร อยู่ปีหนึ่งมหาวิทยาลัยC”
“โห! มหาวิทยาลัยCเลยเหรอวะ แม่งโคตรเจ๋งเลย ได้ข่าวว่ามหาลัยนั้นแม่งเข้าโคตรยากด้วย”
“ยากตรงไหนไอ้ปัญ กูนี่แหละจะเข้าให้มึงดู ปีหน้ามึงได้เห็นกูเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยนั้นแน่”
“แล้วพี่ศร เอ่อ…กูหมายถึงพี่เขาเรียนคณะอะไร” พอเห็นว่าไอ้ปัญกับไอ้ไพร์เริ่มจะคุยออกนอกเรื่องที่ผมอยากรู้แล้วผมเลยจำเป็นต้องถามออกไปแบบนั้นจนไอ้ไพร์หันมาหรี่ตามองอย่างจับผิด
“แล้วก็ทำเป็นไม่อยากรู้ ทีนี้ละถามกูถึงเขาใหญ่เลยนะมึง”
“กูก็แค่…”
“พี่เขาเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา เห็นว่าพี่เขาเข้าได้ด้วยโคต้านักกีฬามั้ง ก็แหง่ละสิพี่ศรแกน่ะอนาคตทีมชาติเลยนะ เห็นพี่แกไปแข่งที่ไหนก็ชนะหมด ตอนนี้เป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยต่อไปก็ต้องเป็นทีมชาติแน่ๆ”
พอได้ยินแบบนั้นผมหันกลับไปมองหน้าเขาอีกครั้ง หน้าของคนที่กำลังยิ้มอยู่ในทีวีตอนนี้ทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"ชื่อพี่ศรสินะครับ" ผมพูดกับตัวเองในใจ
ไม่รู้ว่าคนเราเวลาได้ทำสิ่งที่เรารักแล้วจะรู้สึกดีแค่ไหนนะ แต่ดูจากสีหน้าและแววตาที่มุ่งมั่นของพี่เขาตอนที่กำลังจะยิงลูกธนูออกไป จนถึงตอนนี้ที่พี่เขากำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับชัยชนะที่เขาพึ่งจะได้มันมา เห็นแค่นี้มันก็ทำให้ผมมีความสุขตามพี่เขาไปด้วยอย่างไม่มีเหตุผล
แค่ได้เห็นอยู่ไกลๆผ่านจอทีวียังมีความสุขและรู้สึกดีขนาดนี้ ถ้าหากว่าผมได้ไปเห็นพี่ยิงธนูด้วยตาของตัวเองสักครั้ง มันจะมีความสุขมากขนาดไหนกันนะ
“คณะนี้เข้ายากไหม” คิดได้แบบนั้นผมหันไปถามไอ้ไพร์ทันที
“หะ…หา มึงว่าไงนะไอ้ปุณย์”
“กูถามว่าคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาอะไรนี่สอบเข้ายากไหม”
“ทำไมมึงจะไปสอบเข้าเหรอ”
“อืม” ผมพยักหน้ารับ
“อย่าบอกนะว่ามึงจะไปเข้าเพราะจะไปเรียนตามพี่ศรอะไรนั้น” เป็นไอ้ปัญที่ถามแทรกขึ้นมา ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบไปให้ไอ้ไพร์อย่างไม่ลดละ
“ก็ไม่น่าจะยาก ถ้ามึงอยากจะเข้าจริงๆกูก็พอจะแนะแนวมึงได้”
“ทำไมมึงไม่ลองไปคุยกับครูดูละไอ้ปุญย์ มึงก็เป็นนักวิ่งโรงเรียน ไปแข่งระดับจังหวัดก็ชนะมาแล้ว เผื่อบางทีมึงอาจจะได้โควตานักกีฬาก็ได้นะ” คำพูดนี้ของไอ้ปัญทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้
“อืม ไว้กูจะไปคุณเอาครูดู”
“เฮ้ย! กูแค่พูดไปงั้นเอง มึงจะเอาจริงเหรอวะไอ้ปุณย์ ก็ไหนตอนแรกมึงบอกจะเรียนอยู่ที่เชียงใหม่นี่ไง แล้วทำไมตอนนี้…”
“จะอะไรซะอีกละไอ้ปัญ ก็มันจะไปหานักกีฬายิงธนูที่มันปลื้มนั้นไง ทีแต่ก่อนกูชวนลงไปเรียนกรุงเทพฯด้วยกันแทบตายมึงไม่เห็นจะสนใจเลย แต่พอมาเห็นพี่ศรยิงธนูไม่ถึง10นาทีนี่มึงถึงขั้นจะไปเรียนที่เดียวกับเขาเลย มันไม่ใจง่ายไปหน่อยเหรอวะ”
“ก็...” ผมยักไหล่ตอบแทนเพราะไม่รู้จะอธิบายว่ายังไง แล้วตอนนี้ก็ยังไม่มีอารมณ์จะมาอธิบายด้วย
“แนะ! ไม่เถียงอีก” พูดจบไอ้ไพร์ส่ายหน้าให้ผมอย่างรำคาญ
“เออ มึงปล่อยมันไปเถอะไอ้ไพร์ กูเห็นมันสนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากเรื่องกินกูก็ดีใจแล้ว พี่ศรอะไรนี่เป็นคนแรกเลยมั้งที่ทำให้ไอ้ปุณย์สนใจได้ขนาดนั้น” ไอ้ปัญว่า
ผมไม่ได้สนใจคำพูดอื่นๆที่ตามมาของไอ้เพื่อนผมสองตัวนี้เลย ยังคงหันหน้ามองจอทีวีที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นภาพการแข่งขันอย่างอื่นแล้ว แต่ทำไมก็ไม่รู้นะ ผมยังเห็นภาพของพี่ศรซ้อนทับขึ้นมาอย่างชัดเจน ทั้งสีหน้ามุ่งมั่นและรอยยิ้มแห่งความดีใจนั้น มันช่างเป็นสีหน้าและรอยยิ้มที่ส่งต่อกำลังใจและความมุ่งมั่นให้คนมองอย่างผมได้อย่างแปลกประหลาด พี่เขาเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นกำลังใจให้คนอื่นเลย โดยเฉพาะกับผมเองนี่แหละ
ถึงแม้ผมจะไม่ได้เห็นพี่ยิงธนูเพราะโดนไอ้เพื่อนสองตัวนี่ขัดคอเอาซะก่อน
แต่ว่ายังไงซะผมจะต้องไปหาพี่ให้ได้ และผมจะต้องเห็นพี่ยิงธนูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย หรือนี่จะเป็น…ความรู้สึกแรกของการแอบรักกันนะ
สารบัญ
บทที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68049.msg3876652#msg3876652)
บทที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68049.msg3887946#msg3887946)
บทที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68049.msg3891096#msg3891096)
บทที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68049.msg3910823#msg3910823)
**************************************************
เรื่องแรกเลยที่มาหัดลงในเล้าเป็ด ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ กำลังเรียนรู้ระบบของที่นี่อยู่(งงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน)
ยังไงก็สามารถแนะนำติชมกันได้ที่ทวิตเตอร์ Chaongo_ (https://twitter.com/Chaongo_)หรือแฮชแท็ก #รักตรงเป้า นะครับ
-
อยากรู้เรื่องราวต่อมาครับ :ruready
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
-
:L2: :pig4:
-
บทที่ 1
เปิดเทอมวันแรกของน้องปุณย์คนเด๋อ
หนึ่งปีต่อมา
เช้ามืดวันหนึ่งที่สถานีขนส่งกรุงเทพมหานคร(หมอชิต)
“มึงไปถูกแน่นะไอ้ปุณย์”
“เออ ไปถูกดิแค่นี้เอง ยังไงตอนนี้เราก็มาถึงกรุงเทพฯแล้วไม่ใช่เหรอ กับอีกแค่ไปม.ตัวเองมันจะยากตรงไหน”
“เออกูรู้ว่ามึงมันเก่ง ถ้าไม่เก่งคงไม่ดั้นด้นลงมาเรียนถึงกรุงเทพนี่หรอก ทีตอนขึ้นม.4ใหม่ๆกูถามกี่ทีก็บอกจะเรียนอยู่เชียงใหม่ แล้วนี่ยังไงมาเรียนกรุงเทพฯเฉย”
“ขี้บ่นจังวะไอ้ปัญ หนีพ่อแม่มาไกลขนาดนี้แล้วมึงยังตามมาบ่นเป็นพ่อกูอีกนะ”
“มาถึงขั้นนี้กูก็คงจะพูดอะไรไม่ได้แล้ว บ่นมึงไปก็เท่านั้น ยังไงก็ขอบคุณมึงด้วยแล้วกันที่ทำให้กูมีข้ออ้างขอแม่ลงมาเรียนกรุงเทพฯด้วย กูละอยากมาตั้งนานแล้วไอ้กรุงเทพฯเนี่ย คราวนี้แหละกูจะไปเที่ยวให้ทั่วเลย มหา’ลัยมึงใกล้สยามนี่ใช่ไหม ไว้วันหลังพากูไปเที่ยวด้วยนะมึง”
“เออๆ” ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆให้ไอ้ปัญ มาถึงตอนนี้ดูเหมือนปัญญาธรคนที่บ่นผมตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ดูจะสงบลงและเหมือนจะทำใจให้สนุกไปกับการมากรุงเทพฯได้ซะแล้ว
จะว่าไปนี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วหลังจากที่ผมเห็นพี่ศรในการแข่งขันยิงธนูในวันนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่การมองเห็นอยู่ไกลๆจากหน้าจอทีวี แต่ผมก็รู้สึกได้นะ รู้สึกได้ถึงกำลังใจและความมุ่งมั่นที่ออกมาจากตัวพี่ศร มันทำให้ผมมีพลังที่สุดเลยล่ะ ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่ไม่ได้สนใจอะไรในชีวิตมากนัก คนที่ชีวิตวันๆก็มีแค่ไปเรียนแล้วก็กลับบ้าน เพื่อนก็มีอยู่กับเขาแค่ไม่กี่คน แต่หลังจากวันนั้นผมก็เข้าร่วมชมรมวิ่งที่โรงเรียนอย่างที่ไอ้ปัญมันแนะนำ โชคดีที่ผมพอจะมีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่บ้าง เวลาไปแข่งอะไรก็ได้เหรียญทองติดไม้ติดมือมาฝากครูที่ฝึกสอนตลอด รางวัลที่ใหญ่ที่สุดคือการแข่งการกีฬาระดับภาคที่ผมสามารถเอาเหรียญทองกลับโรงเรียนได้ด้วยความภาคภูมิใจจนทำให้ผมได้โควต้ามาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยCอย่างที่หวังไว้
“แล้วนี่มึงติดต่อไอ้ไพร์ได้ไหม มันจะมารับมึงหรือเปล่า” ไอ้ปัญถาม
“เห็นมันบอกว่ามันไม่ว่างวะ คณะมันเริ่มมีกิจกรรมกันแล้ว”
“อ้าว! ได้ยังไงกันละ ก็ไหนตอนแรกที่มึงได้โควตาไอ้ไพร์โม้เช้าโม้เย็นว่าจะดูแลมึงอย่างนั้นอย่างนี้”
“เออ ช่างมันเหอะ มันติดหมอนี่ คณะมันก็คงยุ่งๆ” ผมพยายามหว่านล้อมให้ไอ้ปัญสงบสติอารมณ์ลงเมื่อเห็นว่ามันทำท่าจะบ่นอีกแล้ว ไอ้นี่ก็จุดติดง่ายเหลือเกิน จ้องแต่จะบ่นไปซะทุกเรื่องทำตัวเป็นคนแก่ไปได้
“แล้วนี่มึงจะไปมหา’ลัยเลยไหมไอ้ปุณย์”
“อืม ก็คงต้องอย่างนั้นแหละ วันนี้เขามีงานแรกพบด้วย กูก็ว่าจะไปร่วมงานแล้วเขาหอเลย”
ถึงจะตั้งใจและพยายามให้ได้มาเรียนที่กรุงเทพฯขนาดไหน แต่พอเอาเข้าจริงๆผมก็อดที่จะคิดถึงบ้านไม่ได้ ก็ผมอยู่ที่เชียงใหม่มาตั้งแต่เกิดนี่น่าพอจะย้ายลงมากรุงเทพฯจริงๆมันก็อดที่จะใจหายไม่ได้ ผมก็เลยเลือกที่จะอยู่เชียงใหม่ให้ได้นานที่สุด กว่าจะลงมากรุเทพฯก็วันแรกพบวันแรกแล้ว จริงๆผมต้องมาถึงมหา’ลัยตั้งแต่สองสามวันก่อนเพื่อเข้าหอพัก ลืมบอกไปสินะครับว่าคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาของผมปีหนึ่งทั้งหมดจะต้องอยู่หอใน แต่โชคยังดีที่เขาประกาศรายชื่อตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ถึงจะมาช้ายังไงผมก็มีห้องนอนอยู่ดีเพราะแบบนี้ผมก็เลยเลือกมาวันแรกพบเลยแล้วกัน ส่วนไอ้เจ้าปัญเนี่ย โน้นเลยคับ อีกเป็นอาทิตย์กว่ามันจะเริ่มมีกิจกรรมอะไร จริงๆมันสามารถนอนตีพุงสบายๆอยู่เชียงใหม่ได้อีกหลายวันแต่วันนี้มันเห็นว่าผมต้องเดินทางลงมากรุงเทพฯคนเดียวมันก็เลยเดินทางลงมาด้วยกัน ยอมรับว่าในความขี้บ่นของมันจริงๆแล้วไอ้ปัญก็เป็นคนมีน้ำใจเหมือนกันนะเนี่ย
“แล้วนี่มึงจะไปยังไง กรุงเทพฯก็พึ่งเคยมากับเขาครั้งแรกแถมยังทำเก่งมาคนเดียวอีก ไอ้ห่าไพร์ก็ทิ้งเพื่อนไปแล้วคนนึง ตัวกูเองก็พึ่งจะเคยมาเหมือนกันจะเอาปัญญาที่ไหนไปส่งมึงได้นอกจากจะหาทางมั่วๆไปด้วยกัน หรือว่า…” พูดจบไอ้ปัญหันมามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“หรือว่าอะไรของมึง” ผมถามกลับเพราะไม่ค่อยจะไว้ใจกับสายตาแบบนี้ของมันสักเท่าไหร่
“มึงไม่ให้พี่ศรอะไรของมึงนั้นมารับละ ตอนนี้เขาก็ต้องอยู่ปีสองใช่มะ ให้มารับน้องปีหนึ่งหน่อยจะเป็นอะไรไป ถ้าเขารู้ว่ามึงยอมลงทุนมาเรียนคณะเดียวกัน มหา’ลัยเดียวกันกับเขาแบบนี้ ไม่แน่นะเขาอาจจะชอบมึงตอบก็ได้”
“…”
“หรือมึงจะปฏิเสธว่าที่มึงยอมลงมาเรียนกรุงเทพฯนี่ไม่ใช่เพราะเขา”
“กะ…กู”
“พูดตะกุกตะกักเลยนะมึง”
“กะ…กูไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย”
“ไม่ชอบแล้วทำไมมึงต้องหน้าแดงด้วยละ”
“กูหน้าแดงเหรอ” พูดจบผมเผลอตัวยกมือขึ้นลูบแก้มทั้งสองข้างอย่างมีพิรุธ
“เออดิ แดงจนจะไหม้แล้วมั้ง มึงอย่าบอกเลยว่ามึงไม่ชอบเขา กูเป็นเพื่อนกับมึงมาตั้งแต่จำความได้ทำไมกูจะไม่รู้ ตั้งแต่ที่มึงเห็นเขาในทีวีวันนั้นมึงก็เปลี่ยนไป กูเห็นครูมาตามมึงไปเข้าชมรมวิ่งตั้งแต่ม.ต้นมึงก็ไม่ไป เขาให้ไปแข่งที่ไหนก็ไม่ไปแข่งเต็มที่กูก็เห็นมึงยอมแข่งก็มีแค่กีฬาสีที่โรงเรียน แต่พอหลังจากมึงเห็นพี่เขาวันนั้นมึงก็เปลี่ยนไป มึงยอมเข้าชมรมวิ่งที่โรงเรียน ยอมไปฝึกซ้อมทุกวันแถมมึงแม่งยังวิ่งเร็วจนได้เหรียญทองมาเป็นสิบอีก ทำไมกูจะไม่รู้ว่าทั้งหมดที่มึงทำเพราะมึงอยากได้โควต้ามาเรียนที่เดียวกับพี่เขา”
“…” ผมได้แต่นิ่งเงียบเพราะพูดไม่ออก ทำไมไอ้ปัญมันถึงรู้มากแบบนี้ ถึงผมจะไม่ได้ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกไป ก็มันเรื่องจริงนี่น่า แต่ว่าจริงๆแล้วที่ผมอยากมาเรียนที่กรุงเทพฯก็เพราะอยากจะมาเห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้งแค่นั้นเองนะ แต่ถ้า...ได้เห็นพี่เขา ได้สนิทกับพี่เขา หรือได้รู้เรื่องอื่นๆของพี่เขาด้วยมันก็คงจะดีเหมือนกัน แต่ยังไงที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องหาทางไปมหาวิทยาลัยให้ได้ก่อน เรื่องอื่นๆไว้ค่อยคิดแล้วกัน
“โชคดีนะมึง ถ้าหลงทางโทรบอกกูเลยนะ”
“อืม ไว้เจอกันมึง เอาไว้กูถึงแล้วจะโทรหา” ทำอย่างกับว่าถ้าเกิดหลงทางจริงๆมันจะมาช่วยผมได้อย่างงั้นแหละ ก็ในเมื่อมากรุงเทพฯครั้งแรกด้วยกันแท้ๆขืนรอให้ไอ้ปัญมันมาช่วยมีหวังคงจะหลงหนักยิ่งกว่าเดิม
หลังจากแยกตัวกับไอ้ปัญมาแล้วผมก็เดินมาตรงจุดที่ดูเหมือนเขาจะเอาไว้ขึ้นรถแท็กซี่ ก่อนหน้านั้นผมโดนไอ้ปัญแอดแทคเรื่องพี่ศรอยู่ชุดใหญ่ กว่าจะแยกตัวออกมาได้เล่นเอาซะเหนื่อยเหมือนกัน ตอนแรกผมว่าจะลองนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าจะได้ศึกษาเส้นทางไปในตัวด้วย แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะเช้าแล้วถ้าผมไปสายคงไปวันแรกพบไม่ทันแน่ ดังนั้นแท็กซี่นี่ก็คงจะเป็นทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว ส่วนไอ้ปัญมันเรียนที่มหา’ลัย K อยู่ใกล้ๆหมอชิตเลย อีกอย่างมันก็อยู่หอนอกไม่ต้องรีบร้อนอะไร มันเลยเลือกจะลองนั่งรถเมล์ไป ถ้าเดาไม่ผิดไปถึงหอพักมันก็คงจะนอนหลับเป็นตายยันบ่ายแน่ๆ
สุดท้ายแล้วผมก็ได้นั่งรถแท็กซี่ไปมหาวิทยาลัยจริงๆอย่างที่คิดไว้ นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมได้มากรุงเทพฯ ถึงแม้เชียงใหม่ทุกวันนี้จะเจริญเป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆของภาคเหนือก็ตาม แต่พอรถแล่นออกมาจากหมอชิตผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพบเห็น ทั้งถนนหนทางที่ดูแปลกตา ตึกสูงที่ไม่ว่ารถจะแล่นผ่านไปทางไหนก็เจออยู่ตลอด แถมผมยังได้เห็นรถไฟฟ้าด้วยตาตัวเองครั้งแรกด้วย ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วกรุงเทพฯเป็นแบบไหนกันแน่ แต่สำหรับวันแรกที่มาถึงแล้วเกิดความรู้สึกดีๆแบบนี้ ต่อไปผมต้องทำทุกวันที่อยู่ที่นี่ให้เป็นวันที่ดีให้ได้เลย
“ถึงแล้วครับ” เสียงพี่คนขับหันมาบอกเมื่อรถจอดเทียบสนิทอยู่ริมฟุตบาท
“นี่ครับค่าโดยสาร ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”
พอลงจากรถภาพที่เห็นตอนนี้มันยิ่งทำให้ผมตื่นตาตื่นใจกว่าเดิมซะอีก รู้สึกว่าตอนนี้ใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหัวใจอยู่แล้ว
“นี่นะเหรอมหาวิทยาลัยC…” ภาพกลุ่มคนที่ใส่เสื้อสีชมพูเหมือนกับผมที่เห็นตรงหน้าทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นมาทันที ความพยายามกว่าหนึ่งปีที่จะได้มาเรียนทีนี่มันทำให้ผมรู้สึกขอบคุณพี่ศรมากกว่าใคร ถ้าไม่ใช่เพราะเขาผมก็คงไม่ลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเอง แล้วก็คงไม่ได้มายืนในจุดจุดนี้ ถึงตอนแรกจะแอบกังวลอยู่บ้าง แต่เอาเถอะ! ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วมันต้องสู่สิวะไอ้ปุณย์!
ว่าแต่…มหา’ลัยนี่เอาเข้าจริงๆก็กว้างกว่าโรงเรียนเก่าเยอะเลยแฮะ แถมเราก็ไม่รู้ด้วยว่าตึกคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาอยู่ตรงไหน ถ้าจะใช้สติปัญญาที่มีอยู่เดินตามหาตึกคณะเอาเองวันนี้ทั้งวันก็คงจะไม่เจอ หรือว่าจะโทรหาไอ้ไพร์ดีนะ? ไม่เอาดีว่า ไอ้ไพร์ก็คงกำลังยุ่งๆกับงานวันแรกพบเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้น…ถามคนแถวๆนี้เอาก็ได้
“เอ่อ…ขอโทษนะครับ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาไปทางไหนครับ” หลังจากยืนลังเลมองคนเดินผ่านไปมาอยู่พักหนึ่งในที่สุดผมก็ตัดสินใจถามผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านมา แอบเห็นป้ายชื่อมีตัวP นำหน้าชื่อ น่าจะเป็นรุ่นพี่นะ
“น้องจะไปคณะวิท’กีฬาเหรอจ๊ะ?”
“ครับผม”
“หืม ปีนี้วิท’กีฬามีน้องใหม่น่ารักขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” พูดจบเธอเดินเข้ามาใกล้แถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกันกับหน้าผมอยู่แล้ว
“น่ารักแบบนี้มีแฟนหรือยังจ๊ะ?” เธอถามต่อ
“เอ่อคือ…” รู้เลยว่าตอนนี้ผมทำหน้าเลิกหลักอย่างทำตัวไม่ถูกแน่ๆ ก็แหงละสิ โดนจู่โจมแบบนี้ใครมันจะไปทำตัวถูก
“ไอ้แพนแกก็อย่าไปแกล้งน้อง” พี่อีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมาด้วยกันร้องห้ามพี่คนที่ชื่อแพนไม่ให้แกล้งผมหลังจากที่เธอยืนยิ้มดูเหตุการณ์มาพักหนึ่งแล้ว
“ก็ได้ๆ ฉันเห็นน้องมันน่ารักดี แกล้งนิดแกล้งหน่อยน้องมันไม่โกรธหรอก จริงไหม?” ประโยคสุดท้ายเธอหันมาถามผม
“คะ…ครับ”
“คณะวิท’กีฬาไม่ได้อยู่ฝั่งนี้หรอกจ๊ะน้อง น้องมาใหม่คงยังไม่รู้ คือแบบนี้มหา’ลัยเราเนี่ยมีสองฝั่งนะ ฝั่งที่เรายืนอยู่ตรงนี้เขาเรียกฝั่งใหญ่ ส่วนอีกฝั่งนึงด้านโน้นเขาเรียกฝั่งเล็กเข้าใจไหม”
“เอ่อ…ขะ…เข้าใจครับ” ถึงจะรับคำไปแบบนั้นแต่จริงๆผมก็มีไม่เข้าใจอยู่บ้าง เอาจริงๆเลยก็คือไม่เข้าใจทั้งหมดนั้นแหละ ความซวยมาเยือนแล้วไงไอ้ปุณย์ มาถึงวันแรกก็หลงทางหาคณะตัวเองไม่เจอซะแล้ว น่าอายชะมัดเลย! แต่มันไม่ใช่ความผิดผมนะ ใครจะไปรู้ละว่ามหา’ลัยจะมีแบ่งฝั่งเล็กฝั่งใหญ่แบบนี้ด้วย
“แต่พี่ว่าน้องน่าจะไม่เข้าใจนะ” เธอหรี่ตามองผมอย่างรู้ทัน พอถูกจับได้แบบนั้นผมก็จำต้องพยักหน้ารับเบาๆในความไม่เข้าใจของตัวเอง
“เอาเป็นว่าน้องไปขึ้นรถป๊อบที่หน้าตึกตรงโน้นนะ” ว่าจบเธอก็ชี้นิ้วไปยังตึกที่ว่า
“รถป๊อบเหรอครับ”
“ใช่ รถป๊อบ ดูท่าจะไม่รู้จักละสิ ไม่เป็นไรน้องอยู่ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็รู้จักเอง รถป๊อบก็คล้ายๆรถเมล์นั้นแหละ น้องไปที่หน้าตึกนั้นเห็นรถสีชมพูหลายๆคันจอดอยู่เดี๋ยวก็รู้เอง ไม่ก็ไปถามคนแถวนั้นก็ได้ว่ารถคันไหนผ่านคณะวิทย์’กีฬา”
“อ๋อครับ ขอบคุณมากๆนะครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ
“จ้าไม่เป็นไร ไปดีๆนะน่ารักแบบนี้อย่าเดินหลงไปไหนอีกละรู้ไหม” หมับ! ไม่ว่าเปล่าพี่คนที่ชื่อแพนก็บีบเข้าที่แก้มผมทั้งสองข้างเต็มแรงจนผมแอบมีอาการเจ็บเล็กๆเหมือนกัน
พอแยกตัวออกมาจากพี่ทั้งสองคนที่ใจดีบอกทางให้กับคนเด๋อๆแบบผมที่มามหา’ลัยวันแรกก็หลงทางซะแล้ว เดินมาตามทางจนมาถึงตึกที่มีรถป๊อบสีชมพูจอดอยู่หลายคันอย่างที่พวกพี่ๆเขาบอกจริงๆด้วย ผมก็นึกว่ารถป๊อปมันคืออะไรที่แท้ก็แค่รถเมล์ธรรมดานั้นแหละครับ แต่ย่อส่วนลงมากว่าเดิมนิดนึง แถมแต่ละคันก็เป็นสีชมพูเหมือนกันหมดเลย อยู่ในมหาวิทยาลัยที่สีประจำเป็นสีชมพูบางทีมันก็เลี่ยนนะ ให้ใส่เสื้อสีชมพูหลายๆคนก็ดูหวานพออยู่แล้วนี่ขนาดสีรถป๊อปยังเป็นสีชมพูเลย
“ขอโทษนะครับ ผมจะไปคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ผมต้องขึ้นรถคันไหนเหรอครับ” ผมเดินเข้ามาถามพี่คนขับรถคันที่อยู่ใกล้ที่สุด
“คันนี้เลยครับสุดหล่อ แต่ต้องไปลงป้ายคณะสหเวชฯนะ ปีหนึ่งละสิเรา”
“ครับ พึ่งเข้าปีหนึ่งครับ” พื่งมาที่นี่วันแรกด้วยครับ หลงทางแล้วด้วยครับ ฮือๆ
“งั้นขึ้นมา ถ้าถึงแล้วพี่จะบอกอีกทีแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ” ได้ยินแบบนั้นผมฉีกยิ้มกว้างไม่หยุด ก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณให้พี่เขาไปหลายที อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นไอ้ปุณย์อีกนิดเดียว พอถึงคณะแล้วก็สบายตัวไม่ต้องกลัวเรื่องหลงทางอีกต่อไป
บรรยากาศรอบๆมหาวิทยาลัยของผมยอมรับว่าร่มรื่นกว่าที่ผมคิดไว้มาก บรรยากาศจริงๆไม่เหมือนกับมหาวิทยาลัยที่ตั่งอยู่กลางเมืองเลย บนรถป๊อปตอนนี้คนค่อยข้างจะเยอะแล้วก็มีคนขึ้นลงอยู่เรื่อยๆคงเพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกพบด้วยละมั้งเลยทำให้มองไปทางไหนก็มีแต่คนใส่เสื้อสีชมพูทั้งนั้นเลย ตัวผมเองเลือกนั่งลงตรงที่นั่งไม่ไกลจากพี่คนขับและประตูรถมากนัก กะเอาไว้ว่าถ้าถึงคณะแล้วพอพี่คนเขาแกบอกก็จะได้ลงได้เลย
หมับ!
จนเมื่อความสุขในการนั่งรถของผมถูกรบกวนจากอะไรบางอย่างหรือใครบางคน ผมหันไปตามแรงสัมผัสของฝ่ามือที่แตะลงที่ต้นขา ผมค่อยๆไล่สายตามองตามฝ่ามือนั้นขึ้นไปจนเห็นหน้าของใครอีกคนที่นั่งอยู่ถัดไป
“…” มีแต่ความเงียบที่ได้กลับมาเพราะว่าไอ้คนที่วางมืออยู่บนต้นขาผมตอนนี้มัน…หลับ
เฮ้อ! ถึงจะตกใจอยู่บ้างแต่การที่จะไปถือโทษโกรธคนที่หลับแบบนั้นมันก็จะดูใจร้ายไปหน่อย เขาคงจะไม่ได้ตั้งใจหรอกมั้ง พอคิดได้แบบนั้นผมจึงค่อยๆเอามือของคนแปลกหน้าที่นั่งหลับไม่รู้เรื่องอยู่ตอนนี้ออกจากต้นขาของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะเอามือออกไปพ้นต้นขาของตัวเองเลย แรงสัมผัสครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เรียกความตกใจจากผมได้มากกว่าครั้งก่อนจนผมต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไอ้ผู้ชายคนเดิมมันเอนหัวลงมาซบเข้าที่ไหล่ผมเต็มๆ
“โรคจิตหรือเปล่าวะ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ หน้าตาก็ดีคงไม่ใช่หรอกมั้ง เขาก็แค่คนหลับคนหนึ่งเท่านั้น ว่าแต่คนเราจะหลับลึกเหมือนซ้อมตายบนรถได้ขนาดนี้เลยเหรอ
แต่แล้ว…ฟอด!
เหตุการณ์ที่ทำให้ระบบป้องกันตัวเองของร่างกายผมต้องทำงานก็เกิดขึ้น ก็ไอ้คนที่ทั้งจับต้นขาทั้งซบไหล่ผมเมื่อกี้ตอนนี้มันทำในสิ่งที่คนธรรมดาที่ไม่รู้จักกันเขาไม่ทำกัน มัน…กอดผม แล้วยังหอมเข้าที่แก้มผมเต็มๆอีก ยิ่งผมช็อกนิ่งไปมันยิ่งกอดผมแน่นกว่าเดิม
แบบนี้คงไม่ใช่คนหลับแล้วแน่ๆ มันต้องเป็น…ไอ้โรคจิต!
“ไอ้โรคจิต นี่แนะ! นี่แนะ!” พอตั้งสติได้ผมลุกพรวดจนหลุดออกจากการเกาะกุมของไอ้โรคจิตมือปลาหมึกได้ สิ่งเดียวที่ผมทำคือ..รัวกระเป๋าฟาดใส่ไอ้โรคจิตนี่ไม่ยั้งเลย
“โอ้ย! โอ้ย! คุณตีผมทำไมเนี่ย” เสียโวยวายของไอ้โรคจิตที่แกล้งหลับเมื่อกี้ร้องดังแข่งกับเสียงรัวฟาดกระเป๋าจากมือของผม
“ยังจะมีหน้ามาถามอีกนะ แกทำอะไรเอาไว้ละ คิดว่าจะมารังแกคนอย่างไอ้ปุณย์ได้เหรอ นี่แนะ!”
“โอ้ย! หยุด หยุด เดี๋ยวฟังก่อน!”
“ไม่ฟัง” ผมไม่ได้สนใจเสียงร้องประท้วงนั้นยังคงรัวฟาดใส่ไม่ยั้ง น่าหงุดหงิดชะมัด หลงทางก็แย่อยู่แล้วยังมาเจอโรคจิตอีก
เอียด!
เสียงดังโวยวายและเหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนในรถหันมามองที่ผมเป็นสายตาเดียวกัน แถมตอนนี้พี่คนขับรถก็เบรกรถกะทันหันจนผมเซล้มลงมานั่งกองอยู่กับพื้น
“มีอะไรกันน้อง” เสียงพี่คนขับตะโกนถามมาจากด้านหน้าของรถ
“…” ผมนิ่งเงียบไม่ตอบ มองไปรอบๆตอนนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องผมที่กำลังนั่งกองอยู่กับพื้นในท่าเดิมเหมือนตอนที่ล้มลงมา
“ไง! ไอ้ตัวเล็ก เป็นบ้าอะไรขึ้นมาละเราถึงอาละวาดทุบกูซะขนาดนั้น”
“…”
“ว่าไงละ กูถามได้ยินไหม” ไอ้โรคจิตหน้าหล่อนั่งย่อตัวลงข้างๆผม สายตาของมันที่มองมาทำให้ผมรู้สึกโมโหชะมัด ทำตัวโรคจิตใส่คนอื่นแบบนั้นยังจะมีหน้ามาถามคนอื่นเขาแบบนี้อีก “ลุกไหวเปล่า ตัวเล็กแค่นี้แต่ทำไมแรงเยอะจังวะ” ว่าจบไอ้โรคจิตมันก็ยื่นมือเข้ามาใกล้ๆทำท่าเหมือนจะมาจับตัวผมอีก
“อ๊าก! ไอ้…ไอ้ตัวเล็ก ทำอะไรของมึงเนี่ย” อารมณ์ตกใจปนโกรธตอนนั้นทำให้ผมเลือกตัดสินใจเตะเข้าที่หน้าแข้งของไอ้โรคจิตเต็มแรงๆ คนที่นั่งย่อตัวทำหน้าหล่อเมื่อกี้นี้ตอนนี้ลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนลูบหน้าแข็งตัวเองที่โดนผมเตะเข้าเต็มๆอย่าเจ็บปวด
สมน้ำหน้าแล้ว โรคจิตแบบนั้นก็ต้องโดนซะมั้ง!
ไม่รอช้าจากนั้นผมก็รีบย้ายตัวเองวิ่งหนีลงมาจากรถป๊อปด้วยความเร็วแสง อายก็อายโกรธก็โกรธ กลัวไอ้โรคจิตมันหายเจ็บแล้วจะเอาคืนผมก็กลัว คิดได้แบบนั้นผมตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไม่คิดชีวิตเลยได้ยินทั้งเสียงพี่คนขับรถร้องตะโกนบอกว่ายังไม่ถึงป้ายที่จะลง ทั้งเสียงไอ้โรคจิตร้องด่าผมตามหลังมา แต่วินาทีแบบนั้นผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ยังไงตอนนี้ขอเอาตัวรอดก่อนแล้วกัน
“แฮ่กๆ คณะ…วิทยา…ศาสตร์การกีฬา แฮ่กๆ” ผมอ่านป้ายบอกทางที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมวิ่งหนีมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ ตอนนี้คงจะปลอดภัยแล้วละ มองย้อนกลับไปไม่เห็นรถป๊อปคันนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าวิ่งหนีมาไกลแค่ไหนและมาหยุดอยู่ตรงไหน แต่ถ้ามีป้ายบอกทางแบบนี้ก็คงใกล้ถึงคณะแล้วละ...มั้ง
“เล่นเอาซะเหนื่อยเลย วันนี้มันวันซวยอะไรของปุณากรณ์วะเนี่ย”
Line!
เสียงแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นสีเขียวดังขึ้นพร้อมๆกับแรงสั่นของมือถือในกระเป๋ากางเกง พอล้วงมือถือขึ้นมากดดูคนที่ทักมาไม่ใช่ใคร ไอ้ไพร์เพื่อนผมเอง ไม่สิต้องเรียกว่าคุณหมอไพร์แล้วสินะ ยี้! แค่คิดก็ขนลุกแล้ว เรียกไอ้หมอไพร์แทนแล้วกัน ว่าแล้วก็เปลี่ยนชื่อไลน์มันซะเลย
ไอ้หมอไพร์ : มึงอยู่ไหนไอ้ปุณย์
ปุ-ณา-กรณ์ : ไม่รู้เหมือนกันวะ กำลังหาทางไปคณะอยู่
ไอ้หมอไพร์ :นี่กูนึกว่ามึงอยู่ที่คณะแล้วนะเนี่ย คณะมึงมีงานแรกพบกี่โมง
ปุ-ณา-กรณ์ : เก้าโมงเช้า
ไอ้หมอไพร์ : แล้วนี่มันกี่โมงแล้ว
ปุ-ณา-กรณ์ : ก็แปดโมงห้าสิบนาที
หา! แปดโมงห้าสิบนาที! ตายละหว่าไอ้ปุณย์ เหลืออีกแค่สิบนาทีเอง แล้วจะไปทันไหมเนี่ย โอ้ยยย!ไอ้ปุณย์เอ้ย! มาวันแรกก็สายแล้วเหรอวะเนี่ย
วิ่ง! ใช่จริงด้วย อย่าลืมว่ามึงเป็นนักวิ่งระดับภาคเลยนะเว้ยไอ้ปุณย์ ถ้าวิ่งไปก็อาจจะทัน เอาวะ! มาถึงขนาดนี้แล้วลองวัดใจกันหน่อยแล้วกัน
พอคิดได้แบบนั้นไวเกือบเท่าความคิดผมไม่รอช้ารีบก้าวเท้าออกตัววิ่งด้วยความเร็วที่ผมมั่นใจว่ามันต้องเร็วพอๆกับความเร็วแสงแน่ๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนหรือแม้แต่จะวิ่งไปทางไหนผมยังไม่รู้เลยได้แต่วิ่งตามป้ายบอกทางที่มีอยู่เป็นระยะๆเท่านั้น จนกระทั่ง…
พลัก!
ตุบ!
“โอ้ย!...” เสียงร้องของผมที่ดังขึ้นพร้อมกับการที่ตัวเองต้องลงมานั่งอยู่ในท่าที่แทบจะกองไปกับพื้นแบบนี้ ดูเหมือนผมจะตั้งใจวิ่งมากไปจนไม่ทันได้มองไปข้างหน้า รู้ตัวอีกทีก็ชนกับเอาอะไรสักอย่างเข้าอย่างจังจนผมล้มลงมากองอยู่กับพื้นแบบนี้
“วิ่งไม่ดูทางเลยหรือไงวะ แล้วนี่เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงผู้ชายคนหนึ่งถามขึ้นทำให้ผมรู้ว่าไอ้สิ่งที่ผมพึ่งวิ่งชนอย่างจังเมื่อกี้นั้นเป็นคน แต่ผมไม่ทันได้มองเพราะมัวแต่มองหากระเป๋าสะพายที่ผมสะพายติดตัวมา ซึ่งตอนนี้ไม่รู้กระเด็นหลุดหายไปไหนแล้ว
“หูหนวกหรือไงถึงถามไม่ได้ยิน”
“ผมวิ่งของผมอยู่ดีๆคุณนั้นแหละมาขวางทางทำไม” ตอบออกไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมเจอไอ้เจ้ากระเป๋าคู่ใจของตัวเองแล้ว กระเด็นลงไปข้างทางเลอะฝุ่นหมดเลย
“มึงจะบอกว่านี่เป็นความผิดของกูว่างั้น กูเดินของกูอยู่ดีๆมึงต่างหากที่วิ่งมาชนกูเอง ไม่มีใครบอกเหรอว่าจะเดินจะวิ่งให้มองทางบ้าง”
“ผม…เอ่อ…ผม” ไม่รู้จะเถียงออกไปยังไงดี จริงๆเรื่องนี้ผมก็ผิดเต็มๆอยู่แล้ว แต่จะว่าไปเขาก็ต้องผิดเหมือนกันแหละ ก็…คนมันรีบนี่น่า เขาก็น่าจะหลบผมด้วยไม่ใช่เหรอ
“เตี้ยแล้วยังซุ่มซ่ามอีกนะมึง”
“…” เมื่อไม่รู้จะเถียงอะไรก็เลยเลือกจะเงียบไว้ดีกว่า ตอนนี้ผมได้แต่ก้มหน้าหลบสายตากอดกระเป๋าเป้ของตัวเองไว้แน่นเท่านั้น พอเห็นผมเงียบไปอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมมองเห็นอีกฝ่ายด้วยหางตา ตอนนี้กำลังหันหลังกลับไปเหมือนจะก้มลงหยิบอะไรสักอย่าง
เฮ้ย! เขา…จะหยิบอาวุธหรือเปล่าวะ ไม่นะแค่นี้ถึงกับต้องใช้อาวุธเลยเหรอ แต่ไม่มีทางซะหรอกคิดว่าจะทำอะไรไอ้ปุณย์คนนี้ได้ง่ายๆหรือไง วันนี้เป็นไงเป็นกันไอ้ปุณย์ขอสู้ตาย
คิดได้แบบนั้นผมไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หันกลับมาทำอะไรผมได้ ผมฉวยโอกาสตอนเขาเผลอออกแรงผลักเข้าที่กลางหลังของเขาเต็มๆ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือคนตรงหน้าล้มคะมำเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทางซะแล้ว เห็นแบบนั้นแล้วผมไม่รอช้าใส่เกียร์หมาวิ่งหนีออกมาจากตรงนั้นทันที วิ่งชนิดที่ว่าไม่หันกลับไปมองข้างหลังด้วยซ้ำ
นี่แหละนะ ประโยชน์ของการเป็นนักวิ่ง มันเอาไว้ใช้ประโยชน์แบบนี้นี่เอง สู้ไม่ได้ก็วิ่งหนีไงไม่เห็นจะยาก
-
“แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัด เล่นเอาซะหอบเลย” วันนี้มันวันอะไรของเราวะเนี่ย! “โว้ย! ชีวิตมหา’ลัยวันแรกของไอ้ปุณย์ต้องไม่ใช่แบบนี้!” ผมตะโกนแหกปากเสียงดังลั่นอย่างไม่อายใคร ตอนนี้วิ่งหนีมาถึงตรงไหนแล้วก็ไม่รู้ จากเดิมที่คิดว่าอาจจะวิ่งไปที่คณะทันเวลา แต่ผมว่าตอนนี้คงไม่ทันแล้วแหละ เป็นวันแรกของชีวิตมหา’ลัยที่โคตรพังจริงๆ ขอร้องไห้ได้ไหม ฮือๆ
“น้อง! ใจเย็นๆ” เสียงนี้ทำให้ผมแทบหยุดหายใจแล้วอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหายไปจากโลกนี้จริงๆ คิดว่าไม่มีใครซะอีกทำไมถึงยังมีคนมาแอบได้ยินเข้าจนได้
“แฮ่ๆ” ผมค่อยๆหันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะยิ้มแห้งๆให้คนตรงหน้าอย่างรู้สึกอายจับใจ เจ้าของเสียงเมื่อกี้เธอเป็นพี่ผู้หญิงน่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย เพราะตอนนี้เธอไม่ได้ล้อผมเลยสักนิด แถมยังยิ้มกลับให้ผมด้วย
“เป็นอะไรละเรา หลงทางมาเหรอ” เสียงสดใสเอ่ยถาม
“คะ…ครับ”
“จะไปที่ไหนเหรอ ปีหนึ่งใช่ไหม”
“ครับพึ่งเข้าปีหนึ่งครับ ผมจะไปคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา พี่พอจะบอกทางผมได้ไหมครับ”
“พี่บอกทางเราไม่ได้หรอก” เธอพูดพร้อมเปลี่ยนโหมดสีหน้ากลายเป็นโหมดจริงจังจนผมตกใจ
“ครับ?” งือ…ผมหน้าเสียแล้วนะ
“พี่ล้อเล่น ไม่ต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นก็ได้ ที่พี่บอกทางเราไม่ได้ก็เพราะตอนนี้เราอยู่ที่ตึกคณะอยู่แล้วนะสิ โน้นไง” ผมมองไปตามทางที่มือเธอชี้ไปก็พบเข้ากับป้ายคณะตัวใหญ่เท่าบ้าน ปล่อยเด๋อได้ตลอกทั้งวันจริงๆไอ้ปุณย์เอ้ย ถ้าป้ายเป็นงูมันคงฉกมึงตายไปแล้ว
“มัวแต่หลงทางก็เลยมาสายเหรอ”
“เอ่อ…คะ…ครับ” ผมตอบเสียงอ่อยตามความจริง
“งั้นมานี่ตามพี่มา เดี๋ยวจะพาไปรายงานตัวนะ”
หลังจากนั้นผมก็ถูกเธอจับข้อมือพาตัวเข้ามาข้างในตึกคณะ ตอนนี้ทุกคนเหมือนจะมาพร้อมกันหมดแล้ว ใต้ตึกคณะมีลานกว้างๆที่ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ใส่เสื้อสีชมพู จริงๆผมแอบกลัวนิดหน่อยว่าถ้ามาสายขนาดนี้จะต้องกลายเป็นจุดเด่นแน่ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นเพราะตอนนี้แต่ละคนหันไปสนใจรุ่นพี่ที่กำลังเต้นไก่ย่างถูกเผาอยู่ด้านหน้ากันหมดเลย
“ชื่ออะไรล่ะเรา” พี่คนเดิมที่พาผมเข้ามาในคณะหันมาถาม
“เอ่อ…ชื่อปุณากรณ์ครับ”
“ขอชื่อเล่นได้ไหม พี่จะเขียนชื่อที่ป้ายห้อยคอให้เรา”
“อ๋อ ขอโทษครับ ชื่อน้องปุณย์ครับ”
“แทนตัวเองซะน่ารักเชียว ชื่อก็น่ารักด้วย ชื่อปุณย์นะ เขียนแบบนี้ถูกไหม” ว่าจบเธอก็ยื่นป้ายคล้องคอสำหรับปีหนึ่งที่พึ่งจะถูกปากกาเมจิกสีน้ำเงินเขียนชื่อผมลงไป
“ถูกครับ”
“เดี๋ยวพี่ใส่ให้” เธอคล้องป้ายให้ผม “เดี๋ยวเราไปนั่งต่อแถวกับเพื่อนนะ ว่าแต่น้องปุณย์เดินมายังไงคะเนี่ย”
“ครับ?” ผมค่อยๆไล่สายตามองตามสายตาของเธอที่มองมาที่ผม
ร้องเท้าหาย! เชี่ยแล้วไง เชี่ยจริงๆ รองเท้าหายไปข้างนึง หายไปตั้งแต่ตอนนี้ไหวนะเนี่ย
“โอ้ย!” ตกใจกับเหตุการณ์ที่อยู่ดีๆรองเท้าเหลืออยู่แค่ข้างเดียวยังไม่ทันไร แรงสัมผัสที่หน้าอกอย่างแรงจนแทบจะเป็นแรงผลักจากฝ่ามือหนาของใครอีกคนเรียกให้ผมต้องหันไปสนใจ
“นี่ของมึง” คำพูดที่ดังขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ยัดรองเท้าข้างหนึ่งใส่มือผมเมื่อกี้ “ทั้งเตี้ย ทั้งตัวเล็กแค่นี้แต่วิ่งเร็วฉิบหาย”
“…” พะ…พี่ศร ใช่แล้ว ใบหน้าแบบนี้ผมจำได้ขึ้นใจ ถึงแม้จะเคยเห็นผ่านหน้าจอทีวีไม่ก็หน้าจอมือถือเท่านั้น แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่มีทางจำผิดแน่นอน ผมยังจำวันแรกและทุกๆวันที่เห็นหน้าพี่เขาได้ดีไม่มีวันลืม ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าคนที่ผมวิ่งชนมาก็คือ…พี่ศรงั้นเหรอ
ถ้าเรามีเป้าหมายอะไรสักอย่างในชีวิต มันจะเป็นแรงผลักดันให้เราเกิดความพยายามที่จะทำมันให้สำเร็จ และถ้าเราพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว เราจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เราได้ทำเลยแม้แต่วันเดียว
คำพูดที่พี่พูดไว้ในวันนั้นผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ไม่มีลืม และผมก็ใช้ความพยายามนั้นจนได้มาเรียนที่นี่ มายืนอยู่ข้างหน้าพี่ในตอนนี้ เพราะเป้าหมายของผมคือพี่ไงครับ ผมไม่ได้ต้องการจะให้พี่มาชอบผมกลับ ผมขอแค่ได้ชอบพี่อยู่เงียบๆคนเดียวแบบนี้ ขอแค่ได้เห็นพี่ยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้ง แค่นี้แหละครับเป้าหมายของผม แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
ทั้งๆที่คิดไว้ว่ามาที่นี่ก็เพื่อมาเจอพี่เขา แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอพี่เขาเร็วกว่าที่คิดไว้อีกแฮะ
“เตี้ยแล้วยังเด๋ออีกนะ ล้มอีท่าไหนจนรองเท้าหลุดมาข้างหนึ่งไม่รู้ตัว”
“ผม…”
“แล้วเมื่อกี้กูจะก้มเก็บรองเท้าให้ มึงผลักกูทำไมวะ แถมยังวิ่งเร็วชะมัด กูลุกขึ้นมาได้มึงก็วิ่งหายไปซะแล้ว”
“…” เหมือนโดนพี่เขาแอดแทคอยู่ฝ่ายเดียวเลย ทั้งๆที่คิดไว้ตั้งเยอะว่าจะพูดอะไรบ้างเวลาเจอพี่เขา แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับทำได้แค่มองหน้าพี่เขาแค่นั้นเอง แค่นี้ใจมันก็สั่นไปหมดแล้ว
“น้องปุณย์ น้องปุณย์คะ”
“คะ…ครับ” ผมหันไปตามแรงเขย่าที่ต้นแขน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปะ…เปล่าครับ” พอได้สติกลับมา ผมหันไปมองรอบๆตัวไม่รู้พี่ศรหายไปไหนแล้ว
“เดี๋ยวน้องปุณย์ใส่รองเท้าแล้วก็ไปเข้าแถวกับเพื่อนนะ”
“ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
พอได้ป้ายชื่อกับรองเท้าอีกข้างที่หายไปตอนไหนไม่รู้กลับมาแล้วผมก็ถูกพาตัวมาเข้าแถวร่วมกับเพื่อนๆคนอื่นๆ ผมกวาดสายตาไปรอบๆมองหาพี่ศรอีกครั้งแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พี่เขาหายไปไหนแล้วนะ ไม่ทันได้สังเกตด้วยสิว่าพี่เขาใส่เสื้อสีอะไร ตอนนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนใส่เสื้อสีชมพู ถ้าพี่เขาใส่เสื้อสีอื่นก็คงจะหาพี่เขาเจอได้ไม่ยาก ไม่น่ามัวแต่เหม่อเลย เพราะมัวแต่ทำตัวไม่ถูกแท้ๆ ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าพี่เขาหายไปไหนแล้ว
เฮ้อ! อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วแท้ๆยังไปทำตัวเด๋อใส่เขาอีกจนได้ ไหนจะวิ่งชนพี่เขาแถมยังไปผลักพี่เขาจนล้มไปอีก จะโดนพี่เขาโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้
“เธอๆ”
“…”
“เธอนั้นแหละ”
“ผมเหรอครับ”
“ใช่ เธอนั้นแหละ ชื่ออะไรเหรอ เราชื่อเจนนะ
“ผมชื่อปุณย์ครับ”
“ชื่อน่ารักจัง เป็นเพื่อนกันไหม”
“ครับ?”
“ไม่ต้องทำหน้างงแล้ว ตกลงเป็นเพื่อนกันนะ ส่วนคนนี้ชื่อเจษเป็นเพื่อนเราเอง” เจนแนะนำเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่แถวถัดไปด้านหน้าของเธอ
“เจษบ้าเจษบออะไรนางเจน เจสซี่คะเจสซี่” คนที่ชื่อเจษ เอ้ย! เจสซี่หันมาเถียง ดูท่าเขาจะไม่ค่อยพอใจกับชื่อที่เจนแนะนำสักเท่าไหร่
“ขอโทษๆ กูได้ยินพ่อแม่มึงเรียกแบบนี้กูก็เรียกตาม เจสซี่ก็เจสซี่ ฮ่าๆ”
“ว่าแต่ปุณย์กินข้าวกับอะไรเหรอทำไมผิวขาวจังเลย ดูสินุ่มกว่าผิวฉันอีก” เจสซี่หันมาถามผม ไม่ถามเปล่าเธอยังจู่โจมมาลูบไล้ที่ต้นแขนและแก้มผมทั้งสองข้างอีก
“ก็ทานปกตินะครับ” ผมตอบตามความจริง
“เรื่องแบบนี้มันก็อยู่ที่บุญวาสนาไหมนังเจสซี่” เจนแทรกขึ้น พร้อมตีมือเจสซี่ที่ลูบไล้แขนผมไปมา “เออ ปุณย์เป็นเพื่อนกันแล้วไม่ต้องพูดทางการอะไรหรอก พูดง่ายๆสบายๆนี่แหละพวกเราไม่ถือหรอกอีกหน่อยก็สนิทกันแล้ว”
“อืม” ผมยิ้มรับอย่างจริงใจ อย่างน้อยๆวันนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นบ้าง อย่างเช่นการได้มาเจอทั้งพี่ศรแล้วก็เพื่อนๆที่ดูเป็นมิตรทั้งสองคนด้วย
ผมเข้าร่วมกิจกรรมวันแรกพบจนถึงตอนเที่ยงพี่ๆถึงเริ่มปล่อยพัก วันนี้มีข้าวกล่องเลี้ยงน้องๆด้วย พวกผมก็เลยไม่ได้ไปที่ไหนไกล ต่างคนต่างหามุมที่ถูกใจจับกลุ่มกินข้าวกล่องที่ได้รับแจกกัน ส่วนพวกผมสามคนเลือกที่จะนั่งกินอยู่ตรงบันใดอีกด้านของตึกไม่ไกลจากบริเวณที่จัดกิจกรรมมากนักเพราะกลัวว่าจะหลงทางอีก
“คนนั้นใช่ไหมที่ชื่อพี่ศร” อยู่ดีๆเจนก็ถามขึ้นมา ผมหันไปตามทางที่เจนมองไปเห็นพี่ศรกำลังเดินถือกล่องข้าวเดินผ่านไปจริงๆด้วย
เห็นแบบนั้นผมก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวอีกแล้ว ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ๆเห็นหน้าพี่เขาในทีวีออกจะบ่อยจนจำหน้าได้ขึ้นใจอยู่แล้ว แต่พอมาเห็นตัวจริงๆใกล้ๆ ผมก็อดใจสั่นไม่ได้อยู่ดี
“พี่เขาดังมากเลยนะ หล่อก็หล่อ ยิงธนูก็เก่ง เวลาฉันเห็นพี่เขาในทีวีฉันอยากจะกรี๊ดให้บ้านแตก” ผมไม่ได้สนใจคำพูดของเจสซี่เลย ตอนนี้สายตาผมจับจ้องมองแค่พี่ศรที่กำลังเดินถือกล่องเข้าผ่านไปแค่นั้นเอง
สิ่งที่เจสซี่พูดผมเข้าใจหมดทุกอย่าง นั้นก็เพราะ…ผมผ่านมาหมดแล้วนะสิ ยกเว้นเรื่องกรี๊ดนะครับ ผมยังไม่ขนาดนั้นหรอก
จะเดินเข้าไปบอกพี่เขาดีไหมนะว่าเราชอบพี่เขามากขนาดไหน ใช่! เราดั้นด้นมาถึงที่นี่ก็เพื่อจะมารู้จักกับพี่เขา มาอยู่ใกล้ๆกับพี่เขา ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้วไอ้ปุณย์มึงต้องกล้าหน่อยสิวะ
ใช่! มึงต้องกล้า
“เจน เจสซี่เดี๋ยวเรามานะ”
“จะไปไหนปุณย์”
“ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”
ไหนๆวันนี้ก็ได้เจอพี่เขาแล้ว ทำความรู้จักกันไว้ตั้งแต่ตอนแรกมันก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่กล้าบอกพี่เขาไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะกล้าบอกตอนไหน ดังนั้นต้องกล้าบอกพี่เขาไปตั้งแต่วันนี้เลยแล้วกันเพื่อที่ว่าเวลาที่เหลือต่อไปจะได้ใช้มาใช้พัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีกว่าเดิม
รวบรวมความกล้าอยู่นานจนตอนนี้เดินมาถึงม้านั่งที่พี่เขานั่งอยู่แล้ว ข้างหน้านี่เอง พี่เขาอยู่ข้างหน้านี่เอง ห่างกันไม่กี่ก้าวแล้ว สูดหายใจเขาลึกๆ มึงทำได้ไอ้ปุณย์มึงทำได้ มึงบอกเข้าได้แน่ๆ มึงทำได้!
“พี่ศรครับ” ตัดสินใจร้องเรียกออกไป แต่กลับก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาพี่เขาเลยสักนิด
“มึงเองเหรอไอ้เตี้ย”
“คือผม…”
“มีอะไร”
“คือ…ผมชอบพี่มากครับ ชอบมานานแล้ว ชอบตั้งแต่วันที่พี่แข่งยิงธนูปีที่แล้ว ผมอยากรู้จักพี่มากกว่านี้ อยากรู้จักพี่มากจริงๆนะครับ”
เงียบ… พอตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้นมันก็รู้สึกโล่งใจอยู่หรอก แต่ทำไมบรรยากาศรอบๆตัวตอนนี้มันถึงรู้สึกอึดอัดแปลกๆยังไงไม่รู้
“จริงๆกูก็ไม่ได้รังเกียจคนแบบมึงหรอกนะ” เป็นพี่ศรเองที่พูดออกมาท่ามกลางความเงียบงันที่เกิดขึ้น
“คนแบบผมเหรอ?”
“แต่ว่ากูไม่ได้ชอบผู้ชาย ถึงมึงจะตัวเตี้ยแล้วก็ทำตัวแปลกๆ แต่หน้าตามึงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ตัดใจแล้วไปชอบคนอื่นเหอะอย่ามายุ่งกับกูเลย”
ง่า… พูดจบพี่เขาก็จากไป ทิ้งไว้แต่ความเงียบและตัวผมที่ยืนชาไปทั้งตัว
ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ชอบของผมในที่นี่คือชอบแบบปลื้มมากกว่า ชอบการเล่นกีฬาของพี่ ชอบแบบแฟนคลับต่างหากละโว้ย
ไอ้ชอบแบบคนรักอะไรแบบนั้นใครมันจะกล้ามาบอกกันเล่า!
โอ้ย! ไอ้ปุณย์เอ้ยยย จริงสินะ พี่เขาเป็นผู้ชาย อยู่ดีๆมีผู้ชายด้วยกันมาบอกชอบแบบนั้นพี่เขาจะคิดยังไง โอ้ยยย! อยากจะเอาหัวโขกต้นไม้ให้ตายไปเลย อุตส่าห์มาที่นี่จนเจอพี่ทั้งทีกลับทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า
แล้วต่อไปจะกล้าสู้หน้าเขาได้ยังไงละเนี่ย!
_______________________________
แฮ่ๆ ขอโทษนะฮะที่หายไปหลายวันเลย พอดีไปวุ่นวายกับนิยายอีกเรื่องที่จะกำลังจะตีพิมพ์มา วันนี้ก็กลับมาลงตามปกติแล้ว ชอบไม่ชอบยังไงไปบอกกันได้ที่แฮชแท็กทวิตเตอร์ #รักตรงเป้า ด้วยนะครับ ขอบคุณครับผม ^^
-
น่ารักดี
-
บทที่ 2
เมื่อผมเข้าหอ(ใน)วันแรก
“แกไม่สบายเหรอปุณย์”
“…”
“ปุณย์”
“…”
หมับ
แรงสัมผัสจากฝ่ามือบางเรียกสติผมกลับมา ตั้งแต่โดนพี่ศรปฏิเสธไปตอนนั้น ผมก็เผลอเหม่อลอยไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เฮ้อ! ทั้งๆที่รู้ว่าพี่เขาปฏิเสธเพราะว่าเข้าใจเราผิด แต่ทำไมถึงรู้สึกเจ็บแปลกๆในใจก็ไม่รู้ แค่ตั้งใจจะไปบอกว่าชอบการยิงธนูของพี่เขาแล้วโดนปฏิเสธมายังรู้สึกเจ็บขนาดนี้ แล้วถ้าบอกเขาว่าเราชอบพี่เขาจริงๆขึ้นมาจะเจ็บขนาดไหนนะ แต่ก็ช่างเถอะ ที่เรามาที่นี่ก็ไม่ได้หวังอะไรแบบนั้นอยู่แล้วนี่ เราเองก็คงจะไม่บอกความรู้สึกนั้นกับพี่ศรอยู่แล้ว แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้วต่อไปคิดว่าพี่ศรคงจะไม่ยอมคุยกับเราอีกแล้วแน่ๆ
เฮ้อ! ตอนนี้พยายามมองไปรอบๆก็ไม่เห็นพี่ศรอยู่แถวๆลานที่ทำกิจกรรมเลย พี่เขาคงจะเกลียดเราจนไม่อยากเห็นหน้าไปแล้วจริงๆ
“ปุณย์แกเป็นอะไรหรือเปล่าเห็นเงียบๆไปตั้งแต่ตอนพักเที่ยงแล้วot” เป็นเจนที่ถามผมขึ้น
“เปล่าหรอกเจน แค่เหนื่อยๆน่ะ” ผมตอบบ่ายเบี่ยง
“แกไหวไหม ไม่สบายหรือเปล่า ให้เราบอกพี่เขาให้ไหม” พอพูดจบเจนที่เหมือนจะมีความเร็วในการเคลื่อนตัวเร็วกว่าแสงก็ยกมือขึ้นโบกเรียกพี่สตาฟที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดซะแล้ว ผมเองไม่ทันจะได้ทักท้วงหรือห้ามอะไรก็เลยต้องปล่อยให้เลยตามเลย
“มีอะไรหรือเปล่าคะน้อง”
“คือพี่คะ เพื่อนหนูเหมือนจะไม่สบาย” เจนพูดพร้อมชี้นิ้วมาทางผมที่ทำหน้าเจื่อนๆ ยิ้มแห้งๆอย่างทำตัวไม่ถูกอยู่ตอนนี้
“น้องไม่สบายตรงไหนคะ” ไวกว่าเจนก็น่าจะเป็นพี่สตาฟนี่แหละครับ เพราะตอนนี้พี่เขาไม่ได้แค่พูดอย่างเดียวแต่เริ่มใช้มือแตะหน้าผากแล้วยังสัมผัสตามตัวผมเหมือนจะวัดอุณหภูมิ แต่เหมือนพี่แกจะออกอาการมากไปหน่อย ตอนนี้คนที่นั่งข้างๆเลยเริ่มหันมาสนใจผมกันหลายคนแล้ว
“เอ่อ…ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่เพลียๆนิดหน่อยแต่ยังไหวอยู่ครับ”
“น้องไหวแน่นะคะ”
“ครับ ไหวครับ”
“ถ้าไม่ไหวให้รีบแจ้งพี่เลยนะคะ”
“ได้ครับ ขอบคุณนะครับ”
หลังจากพยายามอธิบายจนพี่สตาฟยอมปล่อยให้ผมนั่งร่วมกิจกรรมในแถวต่อ ผมก็ต้องมานั่งอธิบายให้เพื่อนเจนของผมเข้าใจอีกว่าผมไม่ได้ป่วยหรือเป็นอะไร ซึ่งกว่าเจนจะเข้าใจก็เล่นเอาผมเหนื่อยจนอยากจะป่วยขึ้นมาจริงๆอยู่เหมือนกัน ก็เข้าใจว่าเพื่อนๆคงจะเป็นห่วงผมจริงๆ แต่อารมณ์เซงๆแบบนี้ทางที่ดีปล่อยให้ผมหง่อยไปแบบนี้สักพักเดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง
กิจกรรมวันแรกพบในภาคบ่ายดำเนินไปอย่างสุดแสนจะไร้สีสันสำหรับผม ตอนนี้ผมเหมือนคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว เชื่อแล้วที่คนเขาบอกว่าหัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย พอเจ็บที่หัวใจขึ้นมาร่างกายมันก็เหมือนจะหยุดทำงานไปทั้งหมดเลย เพราะแบบนี้เลยทำให้กิจกรรมภาคบ่ายสำหรับผมโคตรจะไม่มีสีสันอะไรเลย พี่ๆเขาให้ทำอะไรผมก็ทำตามอย่างขอไปที สมองตอนนี้แทบจะประมวลผลคำพูดของพวกพี่สตาฟไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้เจนช่วยทวนคำพูดของพี่สตาฟให้ฟังผมก็คงจะไม่ได้ยินอะไรเลยเพราะสมองเหมือนจะไม่ทำงานเอาซะเลย
“แกเหม่ออีกแล้วนะปุณย์ ถามจริงเหอะแกเป็นอะไรเปล่าเนี่ย”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ทำได้แค่หันไปส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงปฏิเสธเท่านั้น ก็บอกแล้วไงว่าแค่ทิ้งให้นั่งหง่อยแบบนี้สักพักก็คงดีขึ้นเองแหละ
“สวัสดีครับน้องๆปีหนึ่งทุกคน”
“…” แต่ในขณะที่ผมกำลังหง่อยเหมือนหมาป่วยอยู่นั้น เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเรียกโสตประสาททั้งหมดของร่างกายผมกลับมาทำงานอีกครั้ง
สะ…เสียงนั้น เสียงที่ปลุกความทรงจำของผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนขึ้นมา ความทรงจำที่ทำให้ผมต้องหันไปมองผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นพี่คนที่เป็นเจ้าของเสียงนั้น
“เชี่ย!” ใช่จริงๆด้วย คนนั้น คนที่เจอบนรถป็อปตอนแรก คนที่ผมบอกว่าเป็นโรคจิต ว่าแต่…อยู่ดีๆมาโผล่ที่นี่ได้ยังวะ แถมยังเป็นรุ่นพี่คณะอีก โอ้ย! ตายๆไอ้ปุณย์ ไม่รู้เขาจะเป็นโรคจิตจริงหรือเปล่า แต่เท่าที่จำได้นอกจากเราจะด่าเขาว่าโรคจิตแล้วเรายังทำร้ายร่างกายเขาอีกต่างหาก ไม่ว่าเขาจะเป็นโรคจิตจริงๆหรือไม่ได้เป็น แต่งานนี้ผมมีลางสังหรณ์แปลกยังไงไม่รู้ รู้แค่ว่ามึงซวยแล้วไอ้ปุณย์เอ้ย!
“พี่ชื่อแทนนะครับ อยู่ปีสอง” พอพี่โรคจิต เอ้ย! พี่แทนเขาพูดจบเสียงกรี๊ดของสาวๆก็ดังขึ้นจนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู พอเงยหน้ามองพี่เขาดีๆพี่เขาก็หน้าตาดีจริงๆแหละ รูปร่างก็ดีแบบนักกีฬา ผิวสีแทนนิดๆ ก็ถือว่าดูดีอ่ะ ขนาดผมนั่งอยู่ห่างจากพี่เขาตั้งไกลยังจับออร่าความหล่อของพี่แกได้เลย ไม่แปลกหรอกที่สาวๆจะกรี๊ดกะนขนาดนี้
แต่ถึงยังไงถ้าเทียบกับพี่ศรละก็…ยังไงก็สู้พี่ศรไม่ได้อยู่แล้ว
พูดถึงพี่ศรขึ้นมาผมก็เผลอยิ้มกับตัวเองจนต้องแอบหันมองข้างๆว่ามีใครเห็นหรือเปล่า แต่ยิ้มได้ไม่ทันไรผมก็ต้องหุบยิ้มกลับมาเศร้าเหมือนเดิมอีกแล้ว อย่าลืมสิวะไอ้ปุณย์ว่ามึงพึ่งไปทำอะไรไว้ พี่เขาคงเกลียดขี้หน้าเราไปแล้วมั้ง หรือว่าเราจะไปขอโทษแล้วอธิบายให้พี่เขาเข้าใจดีนะ แต่จะเริ่มยังไงดีล่ะในเมื่อตอนนี้พี่เขาอยู่ไหนยังไม่รู้เลย
“โอ้ยยิ่งคิดยิ่งปวดหัวโว้ยยย!”
“ปุณย์แกเป็นอะไร อยู่ดีๆตะโกนทำไม”
“เอ่อ…” ไม่ทันจะได้ตอบคำถามของเจนเลย ตอนนี้มองไปรอบๆสายตาของทุกคนเหมือนจะหันมามองผมเป็นสายตาเดียวกันหมดแล้ว ตอนนี้ผมเริ่มจะทำตัวไม่ถูกขึ้นมาจริงๆแล้วนะ
“น้องกลุ่มนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” ดูเหมือนความวิบัติของจริงกำลังจะมาเยือนผมแล้ว ตอนนี้พี่แทนคนที่ผมพยายามหลบหน้าอยู่ดันหันมาสนใจจุดที่ผมนั่งอยู่ซะแล้วสิ พี่เขาไม่ได้ถามเปล่าด้วยแต่ดูเหมือนกำลังเดินมาทางผมแล้ว
เอาไงดีวะไอ้ปุณย์? ถ้าพี่เขาเห็นหน้าเราเขาก็ต้องจำเราได้แน่ๆ
“น้องเองเหรอที่เป็นคนตะโกนเมื่อกี้ เป็นอะไรหรือเปล่า” ชัดเลย เสียงถามดังขึ้นใกล้ๆแค่นี้เอง ถึงตอนนี้ผมจะเอาแต่ก้มหน้าเพราะกลัวพี่เขาจะจำหน้าได้ แต่เสียงชัดเจนขนาดนี้ไม่บอกก็รู้ว่าพี่เขาคงจะนั่งย่อตัวลงข้างๆผมแล้วแน่ๆ
“พี่ถามทำไมไม่ตอบละ?”
“เอ่อ..คือผมไม่ได้เป็นอะไรครับ” ผมตอบออกไปทั้งที่ยังก้มหน้าหลุบมองต่ำอย่างหลบสายตาพี่แทนอยู่แบบนั้น ฮือๆ…อย่าดุสิวะไอ้พี่บ้า แค่นี้ก็ทำตัวไม่ถูกแล้วนะ
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมต้องตะโกนออกมาเสียงดังแบบนั้นล่ะแถมยังเอาแต่ก้มหน้าอยู่แบบนี้ด้วย ทำไม? กิจกรรมไม่สนุกเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ สนุกครับสนุก”
“สนุกแล้วเอาแต่ก้มหน้าทำไมวะ ไหนเงยหน้าขึ้นมาดูสิ” ไม่ว่าเปล่าพี่แทนแกมือไวชะมัด พูดไม่ทันขาดคำพี่แทนก็ยื่นมือจะมาจับหน้าผมแล้ว ดีนะที่ผมรู้ตัวเลยปัดมือพี่เขาออกทัน
“เฮ้ย! ไอ้น้องนี่ทำตัวแปลกๆนะ” เอาไงดี? เอาไงดี? พี่แทนต้องสงสัยเราแล้วแน่เลย ตอนนี้ยังรู้สึกได้เลยว่าพี่มันกำลังจ้องผมไม่วางสายตาอยู่แน่ๆ
ทันใดนั้นเอง เอาวะ!
“ปุณย์แกจะทำอะไร” เสียงเจสสิก้าร้องโว้ยวายขึ้นมาทันที นั้นก็เพราะสิ่งที่ผมตัดสินใจทำต่อจากนั้นคือการหยิบเอาขวดแป้งใบเล็กในกระเป๋าของเจสสิกาที่ผมหันไปเห็นเข้าพอดี หยิบขวดแป้งขึ้นมาได้ ผมรีบเทแป้งลงบนฝ่ามือแล้วละเลงทาที่หน้าของตัวเองอย่างไม่ยั้งมือ
ใช้แป้งปิดบังใบหน้าไว้นี่แหละเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้ตอนนี้แล้ว
“เอ่อ…ไอ้น้อง มึง…มึงทำอะไรเนี่ย” พี่แทนดูจะตกใจกับสิ่งที่ผมตัดสินใจทำลงไปไม่น้อย ผมรู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจทำอะไรที่บ้ามากๆ เพราะแน่นอนไม่ใช่แค่พี่แทนที่ทำหน้าตกใจปนกลัวผมแบบนั้น ตอนนี้ทุกคนก็มองผมด้วยสายตาแบบนั้นหมดเลย
“ผม…ผมเป็นผื่นนะครับ รู้สึกคันๆที่หน้าก็เลยเอาแป้งมาทา ตอนนี้ดีขึ้นแล้วครับ”
“มึงไหวเปล่า” พี่แทนถามผมอย่างไม่เชื่อสายตา “ไปหาหมอไหม”
“ไม่ครับ ผมดีขึ้นแล้ว สักพักก็คงหาย”
“มึงนี่…คุ้นๆหน้านะ เราเคยเจอกันมาก่อนปะ” ฉิบหายแล้วไอ้ปุณย์ ลงทุนทำขนาดนี้พี่แทนมันยังจำได้อีกเหรอวะ
“ไม่นะครับ ผมไม่เคยเจอพี่ที่ไหนมาก่อนเลย” ผมยิ้มแห้งๆปฏิเสธ พี่แทนมองผมด้วยสายตาสงสัยอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับว่าเราคงไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนจริงๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมโล่งใจมาก
“แล้วเรื่องหน้ามึงนี่ ไม่ไปหาหมอแน่นะมึง”
“ครับ”
“เออๆ ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ”
“อืม ครับ” ผมพยักหน้ารับ พี่แทนมองผมด้วยสายตาสงสัยต่ออีกก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับไปที่ด้านหน้าของแถวเพื่อนำน้องๆปีหนึ่งแบบพวกผมทำกิจกรรมต่อ
เฮ้อ! โคตรโล่งเลย นึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว ถ้าพี่มันจำผมได้มีหวังโดนพี่มันเตะก้นแน่ๆ เล่นไปว่าเขาว่าเป็นโรคจิตซะขนาดนั้น
“แกทำอะไรของแกน่ะปุณย์” พอเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว เจนที่นั่งอยู่ถัดจากผมไปก็สะกิดไหล่ถามทันที
“ใช่ๆ ดูสิเนี่ย แกเล่นทาแป้งฉันซะหมดขวดเลย” เจสสิก้าบ่นเสริม
“ขอโทษๆ ไว้เดี๋ยวเราจะซื้อให้ใหม่นะ” พอพูดออกไปแบบนั้นเจสสิก้าที่กำลังทำท่าจะบ่นผมชุดใหญ่ก็ดูเงียบลงไปถนัดตา เหลือแต่เจนนี่แหละที่ยังมองผมอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แกยังไม่ตอบฉันเลยนะปุณย์ ว่าตกลงแกทำอะไรของแก”
“ก็อย่างที่เราบอกพี่แทนไง คือเรา…รู้สึกเหมือนผื่นจะขึ้นก็เลยเอาแป้งมาทาไม่ให้มันคันน่ะ”
“แต่แกไม่จำเป็นต้องทาแป้งซะหนาขนาดนี้ก็ได้มั้ง หรือว่าแกเป็นหนัก ไปหาหมอไหม”
“ไม่ต้องๆ ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
หลังจากนั้นกิจกรรมรับน้องตลอดเวลาที่เหลือก็เป็นช่วงเวลาที่แสนอึดอัดของผมไปตลอดทั้งวัน นั้นก็เพราะพี่แทนแกเล่นเป็นพี่ปีสองที่มานำน้องๆทำกิจกรรมตลอดเวลาที่เหลือ ซึ่งก็หมายความว่าผมไม่สามารถไปล้างหน้าเอาแป้งที่ผมละเลงทาหน้าตัวเองจนหนาเป็นผนังบ้านออกได้เลย ตอนแรกคิดว่าพี่แกคงอยู่ไม่นานแล้วค่อยแอบไปล้างออกก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆพี่แกไม่รู้ไปเอาพลังงานมาจากไหนเยอะแยะ พาพวกผมทั้งร้องทั้งเต้นอยู่หลายชั่วโมงก็ไม่เห็นเปลี่ยนเป็นพี่คนใหม่สักที หลายๆคนมองมาที่หน้าผมที่มันเต็มไปด้วยแป้งจนเขาเลิกมองเพราะคงจะชินไปแล้ว ขนาดเจนที่คะยั้นคะยอให้ผมไปล้างหน้าตั้งหลายครั้งยังหยุดความพยายามหลังจากบอกผมหลายครั้งแล้วผมไม่ยอมไปสักที
จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆจะห้าโมงเย็นแล้ว ผมตัดสินใจแน่วแน่แล้วนะว่าจะต้องไปล้างหน้าให้ได้ พี่แทนจะเห็นหรือจำผมได้หรือเปล่าผมก็ไม่สนใจแล้ว ปล่อยให้หน้าขาวเหมือนเล่นงิ้วแบบนี้เอาเข้าจริงๆมันก็อึดอัดชะมัด เพราะฉะนั้นผมจะไม่ทนอีกต่อไป ถ้าพี่แทนจะเอาเรื่องผมก็คงต้องสู้ ก็ตอนนั้นพี่เขาทำตัวเหมือนโรคจิตจริงๆนี่น่า
“เอาละครับน้องๆ ขอบคุณน้องๆสำหรับกิจกรรมวันนี้มากนะครับ น้องๆทุกคนเก่งมากเลย ปรบมือให้ตัวเองด้วยครับ” พี่แทนว่าจบทุกคนที่นั่งอยู่ก็ตบมือขึ้นมาพร้อมกันรวมถึงผมด้วย
“อย่างที่ทุกคนรู้นะครับว่าน้องๆปีหนึ่งทุกคน คณะเราบังคับอยู่หอในนะ แต่ไม่ต้องห่วงนะพี่รับรองเลยว่าถึงจะเป็นหอในก็อยู่สบายไม่แพ้หอข้างนอกเลย แถมนอกจากน้องๆจะมีเพื่อนๆรูมเมทแล้วยังมีพี่รูมเมทด้วยอีกห้องละหนึ่งคน” ได้ยินพี่แทนพูดแบบนั้นผมเห็นหลายๆคนแอบทำหน้าตาเซงๆ บางคนไม่ใช่แค่เซงธรรมดานะแต่เป็นเซงแบบเบื่อโลกมากๆด้วย ก็เข้าใจว่าเรื่องอยู่หอในไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบ หลายๆคนก็ชอบความเป็นส่วนตัว ผมเองยังชอบเลย ถ้าอยู่หอในก็คงจะไม่เป็นส่วนตัวเอามากๆ มีเมทร่วมห้องสองคน รวมตัวเราเองก็สามคนเข้าไปแล้ว นี่ยังมีพี่ปีสองที่มาเป็นพี่เมทดูแลเราอีกคนนึงอีก แค่คิดก็อึดอัดชะมัด แต่ในเมื่อมันเป็นกฎของคณะที่ว่าปีหนึ่งต้องอยู่หอไหนก็ต้องทำตามจะทำยังไงได้ละนอกจาก…ทำใจ
พอๆพวกพี่ๆแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าหอในเสร็จแล้ว ปีหนึ่งอย่างพวกผมก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระครึ่งชั่วโมงก่อนจะเรียกรวมแถวอีกครั้ง ผมเองก็ไม่รอช้ารีบแยกตัวออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าทันที แต่พอมาถึงปรากฏว่าด้วยจำนวนคนที่มันเยอะมากทำให้ห้องน้ำตอนนี้เต็มจนต้องต่อแถวกันแล้ว ขืนยืนรออยู่แบบนี้มีหวังหมดเวลาพักก็ไม่ได้เข้าห้องน้ำแน่เลย แต่ถ้าชั้นหนึ่งมีห้องน้ำตามปกติแล้วอาคารแบบนี้ก็ต้องมีห้องน้ำทุกชั้นสิ แต่บันไดก็อยู่ใกล้ๆแค่นี้เองทำไมไม่เห็นมีใครขึ้นไปเลย หรือว่าเขาห้าม? ไม่หรอกมั้ง ถ้าห้ามก็ต้องมีป้ายบอกหรืออะไรมากั้นไว้สิ งั้นถ้าลองขึ้นไปชั้นสองดูอาจจะได้เข้าห้องน้ำเร็วก็ได้
แล้วผมก็ขึ้นมาที่ชั้นสองจริงๆ บรรยากาศรอบๆตัวตอนนี้เงียบจนวังเวงจนแอบหลอนอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้ขอแค่รีบล้างหน้าแล้วรีบไปก็พอ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เป๊ะเลย ขึ้นบันไดมาที่ชั้นสอง ห้องน้ำก็อยู่ตำแหน่งเดียวกับชั้นหนึ่งเลย ถ้างั้นรีบเข้าไปล้างไอ้เจ้าแป้งหนาๆที่หน้าออกก่อนดีกว่า
“อ้า! สดชื่นจังเลย รู้สึงโล่งๆสบายหน้าขึ้นเยอะเลยแฮะ” ผมพูดกับตัวเองในกระจก พอได้ล้างคราบแป้งหนาๆออกแล้วรู้สึกสบายขึ้นจริงๆ นี่คงจะเป็นยิ้มแรกของผมหลังจากที่ไปบอกชอบพี่ศรมาเมื่อตอนกลางวัน คิดๆแล้วก็โมโห ผมไม่ได้บอกชอบแบบนั้นสักหน่อย ก็แค่จะบอกว่าชอบที่พี่เขายิงธนูมากแค่นั้น ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลย
“ไอ้พี่บ้า!” ผมร้องตะโกนดังลั่นด้วยความโมโห “ผมไม่ยอมพี่ง่ายๆหรอก กว่าผมจะมาเรียนที่นี่ได้ผมต้องพยายามขนาดไหน ผมไม่มีทางจะมายอมแพ้พี่เพราะเรื่องแค่นี้หรอก พี่เจอผมแน่!” ประโยคสุดท้ายผมร้องตะโกนออกมาเสียงดังจนต้องยกมือขึ้นปิดปากกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า แต่มองไปทางห้องน้ำประตูทุกบานเปิดไว้แสดงว่าไม่มีคนอยู่ในนี้เลย
“เป็นอะไรวะแหกปากซะดังเลย”
“เชี่ย!” เสียงที่ดังมาพร้อมกับแรงสะกิดทำให้ผมตกใจจนแทบสิ้นสติ หันไปตามเสียงที่ดังมาจากด้านหน้าประตูทางเข้าห้องน้ำ ภาพที่เห็นนั้นทำให้ผมแทบสิ้นสติยิ่งกว่าอีก
“พะ…พี่แทน”
“เออ ก็กูไง ว่าแต่ปีหนึ่งแบบมึงขึ้นมาทำอะไรข้างบนนี่ เขาไม่ให้ปีหนึ่งขึ้นมานะมึงไม่รู้เหรอ” ไม่รู้ครับ ไม่รู้เลยจริงๆ ซวยแล้วไงไอ้ปุณย์ ว่าแล้วทำไมไม่มีใครขึ้นมาเลย
“คือผม…” แก้ตัวยังไงดีวะเนี่ย สายตาพี่แทนที่มองมาก็โคตรกดดันชะมัด “งั้น…ผมลงไปข้างล่างก่อนนะครับ”
หมับ!
ผมกำลังจะเดินเลี่ยงออกไปแต่แรงจับที่ข้อมือทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง
“ยังไม่ได้คิดบัญชีเลยจะหนีไปไหน”
“คะ…คิดบัญชีเหรอครับ”
“ก็ใช่ไง คิดบัญชีเรื่องที่มึงทำกับกูไว้ไง”
“แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้พี่เลยนะครับ” หรือว่าพี่แทนมันจะรู้แล้วหรือเปล่าวะ ไม่ๆ ไม่ได้ไอ้ปุณย์ มึงต้องยืนกระต่ายขาเดียวเข้าไว้
“ผะ…ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าพี่พูดถึงอะไร” นิ่งไว้ไอ้ปุณย์นิ่งไว้ เสียงอย่าสั่นสิวะ
“ไม่รู้เรื่องแล้วมึงหลบสายตากูทำไม”
“ผม..ผม…”
“กูจำมึงได้ตั้งแต่ตอนมึงทาแป้งแล้ว มึงเป็นคนที่หาว่ากูเป็นโรคจิตเมื่อเช้าใช่ไหม มาหาว่ากูเป็นโรคจิตยังไม่พอแล้วยังมาเตะลูกชายกูอีก” ว่าจบพี่แทนมันก็ก้มลงมองตรงเป้าตัวเอง แล้วผมจะไปมองตามสายตาพี่มันทำไมเนี่ย
“ผมขอโทษครับผมไม่รู้จริงๆ ก็ตอนนั้นพี่จะมาลวนลามผมก่อนนี่”
“กูลวนลามอะไร กูหลับมึงเข้าใจไหม กูยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตื่นขึ้นมาก็เห็นมึงโวยวาย พอจะเข้าไปช่วยดันทำร้ายร่างกายกูอีก”
“ก็…ใครจะไปรู้เล่า” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก็จริงนี่ครับ ใครเจอแบบนั้นก็ต้องคิดว่าพี่มันเป็นโรคจิตทั้งนั้น “แล้วพี่รู้อยู่แล้วทำไมถึงไม่บอกผม ทำไมถึงยังทำเป็นจำไม่ได้ รู้ไหมว่าผมต้องทาแป้งให้หน้าขาวขนาดนั้นมันน่า อายขนาดไหน” ผมถามต่ออย่างหัวเสีย พี่แทนมันรู้อยู่แล้วยังจะมาทำเนียนให้ผมต้องอายคนอื่นทั้งวันอีก
“กูจะไปรู้เหรอ ก็เห็นมึงทาของมึงเองกูก็แค่ตามน้ำไปสนุกๆ แต่มันก็ตลกดีนะ กูแอบดูมึงทั้งวันว่าจะล้างออกไหม ทำไม มึงกลัวกูจำได้ขนาดนั้นเลยไง”
“พี่รู้อยู่แล้วจะมาถามทำไม ไม่รู้แหละผมถือว่าผมขอโทษพี่ไปแล้วนะ พี่จะมาเอาเรื่องผมไม่ได้” พูดเสร็จแล้วผมแกะมือไอ้พี่แทนที่จับข้อมือผมอยู่ออก มองค้อนพี่มันไปทีนึงก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำมา
“เดี๋ยว”
“พี่มีอะไรอีก เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ”
“มึงพูดเองเออเองของมึงคนเดียว กูยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ใครบอกว่ากูจะยกโทษให้มึงกัน”
“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง”
“วันนี้ความผิดมึงเยอะนะ ทั้งเรื่องเมื่อเช้าที่มึงหาว่ากูเป็นโรคจิตแถมยังทำร้ายร่างกายกูด้วย แล้วก็เรื่องที่มึงแอบขึ้นมาเข้าห้องน้ำข้างบนนี่อีก”
“เฮ้ย! แค่เข้าห้องน้ำก็ผิดด้วยเหรอพี่”
“ผิดสิก็กูบอกว่าผิดก็ต้องผิด”
“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง”
“อืม…นั้นสินะทำยังไงดี ไหนๆเราก็มาเจอกันในห้องน้ำแล้ว วันนี้ที่มึงทำร้ายร่างกายกูมันก็ยังระบมอยู่เลย งั้นมึง…”
“…”
“มึงช่วยถอดกางเกงให้กูหน่อยได้ไหม” ไอ้พี่แทนมันยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆหูผม ขนลุกชะมัดเลย
“พะ…พี่จะบ้าเหรอ” ผมถามออกไปเสียงสั่นเพราะสายตาของพี่มันดูร้ายกาจมาก
“ไม่บ้าหรอก มึงจะไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำหน่อยเหรอ ไหนลองถอดกางเกงให้กูหน่อยสิ ไม่ต้องอายหรอกน่า ไม่มีใครมาเห็นหรอก” พี่แทนมันค่อยๆจับมือผมทั้งสองข้างดึงลงต่ำลง ต่ำลงเรื่อยๆจนใกล้จะถึงตรงนั้นของพี่มันแล้ว
“ไม่! ไอ้พี่แทน ไอ้โรคจิต!” ก่อนที่มือผมจะเข้าใกล้ไอ้จุดๆนั้นไปมากกว่านี้ ผมรวบรวมความกล้าของตัวเองออกแรงดึงข้อมือตัวเองออกมาและผลักหน้าออกของไอ้พี่แทนไปเต็มแรง ไม่รู้พี่มันแกล้งหรือเอาจริง แต่ที่แน่ๆผมไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด พอหลุดจากเหตุการณ์น่ากลัวมาได้ผมรีบวิ่งกลับลงมาที่ชั้นล่างอย่างไม่คิดชีวิตเลย เผลอทำหน้าตาตื่นจนเพื่อนๆถามว่าเป็นอะไร แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปกล้าบอกกันเล่า ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไรทั้งที่จริงแล้วผมทั้งกลัวและตกใจมาก ไอ้พีแทน ไอ้พี่บ้า!
เป็นโชคดีของผมมากที่พอหลุดพ้นจากเหตุการณ์บนห้องน้ำชั้นสองมาแล้วผมก็ไม่เห็นหน้าที่แทนอีกเลย ซึ่งนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่ไอ้เรื่องน่าอายที่พี่แทนมันจะให้ผมทำให้มันยังหลอนติดอยู่ในหัวผมไม่หาย ผมยังไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับใครเลยนะเว้ย อยู่ดีๆจะมาให้ถอดกางเกงให้ได้ไง
มาถึงตอนนี้อารมณ์ตกใจปนกลัวของผมถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นแทนแล้ว ตื่นเต้นที่ว่าคือตอนนี้ถึงเวลาที่พวกผมจะต้องเข้าหอในแล้ว ผมเองทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่า ไม่รู้จะได้เจอรูมเมทแบบไหนกันนะ จะเข้ากันได้หรือเปล่าแล้วที่สำคัญก็เรื่องพี่เมทนี่แหละ ไม่รู้จะเจอคนแบบไหน ถ้าได้เจอคนที่นิสัยเข้ากันไม่ได้คงต้องอึดอัดน่าดู
“น้องๆดูรายชื่อที่บอร์ดหน้าหอนะว่าใครอยู่ห้องไหน แล้วก็เดี๋ยวขึ้นไปที่ห้องเลยตอนนี้พี่เมทของเราไปรอกันที่ห้องแล้วนะ” ได้ยินพี่ปีสองที่นำพวกผมมาบอกแบบนั้น ทุกคนก็กรูกันเข้าไปดูรายชื่อของตัวเองบนกระดาษหลายใบที่แปะอยู่ที่หน้าหอใน
“ห้อง502” พอเห็นชื่อตัวเองแล้วผมก็เดินขึ้นบันไดเดินไปยังห้องที่ตัวเองมีรายชื่ออยู่ทันที เซงชะมัดเลย ตึกมีห้าชั้นผมก็แจ็คพอตได้อยู่ชั้นห้าเลย เรื่องขึ้นลิฟต์น่ะหยุดคิดไปได้เลย คนเยอะแบบนี้บันไดคงจะดีที่สุดแล้ว
เดินกันอยู่นานจนรู้สึกเหนื่อย ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆหกโมงเย็นแล้วทำให้แสงสว่างบนท้องฟ้าเริ่มลดหายลง พอมาถึงหน้าห้องพักของตัวเอง กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเห็นประตูเปิดแง้มค้างไว้อยู่แล้ว แสงไฟจากด้านในทำให้รู้ว่ามีตอนนี้มีคนอยู่ในห้องแน่ๆ
“ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยพร้อมค่อยๆดันประตูตัวเองเข้าไปในห้อง พอเข้ามาด้านในก็พบเข้ากับร่างของใครอีกคนที่อายุเท่ากันแน่นอนเพราะเขายังมีป้ายชื่อของปีหนึ่งห้อยคออยู่เลย มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในห้องเลย ไหนว่าพี่เมทมารออยู่แล้วไง
“ไม่มีใครอยู่หรอก” ใครอีกคนที่อยู่ในห้องมาก่อนแล้วพูดขึ้น ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนที่จะตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังพูดต่อ “ซิ่วหนีไปหมดแล้ว”
“หา…?”
“ก็คนอื่นๆไง ไม่ต้องมองหาหรอกซิ่วหนีกันไปหมดแล้ว นี่ก็มาถึงแล้วรีบจัดของเลย ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันดีที่พี่เขามาบอกก่อนเลยต้องมาเก็บของใส่กระเป๋าเหมือนเดิมเลยเนี่ย” ผมก็ได้แต่ฟังใครอีกคนบ่นอย่างไม่เข้าใจ ใคร อะไรยังไง ใครซิ่วเหรอ
“แล้วเราต้องไปอยู่ที่ไหนเหรอ”
“ไม่รู้สิ คงต้องแยกกันมั้ง เพราะเขาไม่ให้เราอยู่กันเองต้องมีพี่เมทอยู่ด้วย เห็นพี่เขาว่าจะให้เราไปอยู่ตามห้องที่คนเหลือๆอ่ะ” พูดจบใครอีกคนก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายหลังอีกมือดึงกระเป๋าลากเดินออกจากห้องไปเลย ทิ้งให้ผมมองตามตาละห้อยเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
“เดี๋ยวๆนาย เดี๋ยวก่อนสิที่ว่าพี่เขาบอก พี่ไหนเหรอ?” พอตั้งสติได้ผมเลยร้องเรียกใครอีกคนที่ดูเหมือนจะเดินไปไกลซะแล้ว
“กูเอง”
เชี่ย! พะ…พี่แทนอีกแล้ว ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าประตูห้องน้ำปิดอยู่ จนเสียงใครคนหนึ่งตอบขึ้นมาผมถึงได้หันไปเจอเข้าว่ามันคือไอ้พี่แทนอีกแล้วที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำ
“พี่อย่าเข้ามานะ” ผมก้าวเท้าถอยหลัง ยกมือขึ้นตั้งการ์ดป้องกันตัวทันทีเมื่อเห็นว่าไอ้พี่แทนมันกำลังเดินออกจากห้องน้ำแล้วกำลังเดินมาหาผม
“ตัวแค่นี้ทำเป็นเก่งนะมึง” แต่นอกจากพี่แทนจะไม่ได้กลัวผมแล้วพี่มันยังเอามือมายีหัวผมจนยุ่งซะอีก
“ก็พี่ชอบทำตัว…”
“โรคจิตว่างั้น”
“อืม” ผมพยักหน้ารับ
“เรื่องในห้องน้ำกูแค่แกล้งมึงเล่น กูไม่ใช่โรคจิตหรอก ถ้ากูจะโรคจิตกูก็ไปทำกับผู้หญิงดีกว่าไม่มาทำกับผู้ชายแบบมึงหรอกโอเคยัง”
“…” ไม่รู้แหละ สายตาพี่มันไม่น่าไว้ใจ
“แต่จะว่าไป…” ไอ้พี่แทนมันเริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์เดินเข้ามาใกล้ผมอีกแล้ว “มึงนี่ดูไปดูมาก็น่ารักไม่ใช่เล่นนะ ตัวเล็กๆ หน้าตาก็น่ารัก ผิวก็ขาว ก็น่าจะพอ…”
“อย่านะพี่แทน ผมร้องให้คนช่วยจริงๆนะพี่” ผมออกแรงดันหน้าอกของไอ้พี่แทนที่เริ่มจะขยับเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆ ก็ไหนบอกไม่โรคจิตไงเล่า
“กูไม่แกล้งมึงแล้วก็ได้ ว่าแต่มึงอยู่ห้องนี้เหรอ?”
“ครับ”
“เออ มาวันแรกก็ซวยเลยนะมึง”
“ยังไงเหรอครับ”
“ห้องนี้ปิด ไม่ให้ใครอยู่ พี่เมทมึงมันซิ่วหนีไปแล้ว ส่วนรูมเมทมึงก็ไม่มารายงานตัว สงสัยไปเรียนที่อื่นแล้วมั้ง”
“…” เป็นงั้นไป แล้วแบบนี้ผมต้องไปอยู่ที่ไหนกันละเนี่ย
“ไอ้คนเมื่อกี้กูก็ไล่ไปอยู่ชั้นสามแล้ว นั้นก็ว่างที่นึง ส่วนมึงอยู่ชั้นนี้แหละแต่อยู่ห้องสิบห้านะริมสุดโน้นเลย” ผมมองตามทางที่พี่แทนมันชี้นิ้วไป ห้องที่ว่าอยู่สุดทางเดินอีกฝั่งหนึ่งของตึกเลย
“มึงตายแน่”
“ตะ…ตายเหรอครับ”
“ก็ใช่ไง ห้องนั้นก็เด็กมาขอกูย้ายหนีหมด มึงไม่มีห้องอยู่ก็ดี กูจับให้อยู่ห้องนั้นแม่งเลย แก้แค้นที่มึงด่ากูโรคจิตด้วยไง”
“…”
“กูล้อเล่น ไม่ต้องทำหน้ากลัวขนาดนั้นหรอก ไอ้พี่เมทที่อยู่ห้องนั้นจริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก มันอาจจะแปลกๆอยู่บ้าง แต่ก็น่าจะเข้ากับมึงได้นะ จะว่าไปมึงเองก็แปลกๆเหมือนมันนั้นแหละ”
“ไม่เห็นจะแปลกเลย” ผมยู่หน้าใส่ไอ้พี่แทนไปทีนึง แปลกที่ไหนตัวเองนั้นแหละแปลกกว่าเขาอีก
“ไปได้แล้วอย่ามัวแต่พูดมาก ตามกูมากูจะพาไปเข้าห้องเชือด เอ้ย! พาไปส่งที่ห้องพักมึง”
-
ว่าแล้วไอ้พี่แทนก็วาดวงแขนลงบนไหล่ผมเต็มๆแรง คนอะไรวะแรงเยอะยังกับยักษ์ ผมต้องทนรับน้ำหนักจากวงแขนของพี่มันจนคอแทบหักกว่าจะเดินมาถึงหน้าห้องที่ดูเหมือนจะต้องเป็นห้องพักของผมไปตลอดปีการศึกษานี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ไอ้พี่แทนเริ่มเคาะประตูทันทีที่มาถึง แต่ทว่ากลับได้รับเพียงความเงียบงันตอบกลับมา
“เอ่อ…คือ” ผมทำท่าจะพูดแต่ไอ้พี่แทนไม่ได้สนใจผมเลย เอาแต่มุ่งมั่นเคาะประตูห้องต่อไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เงียบขนาดนี้อาจจะไม่มีคนอยู่ก็ได้มั้งพี่แทน”
เอียด… แต่พูดได้ไม่ทันจบประโยคประตูไม่บานใหญ่ตรงหน้าก็ถูกเปิดออก ภาพที่ผมเห็นทำให้หัวใจผมเต้นเร็วและรัวจนมันแทบจะหลุดออกมา
“พะ…พี่ศร” ผมพูดเสียงแผ่วเบาเพราะยังตั้งสติไม่ได้กับภาพที่เห็น คนที่เปิดประตูออกมา คนที่อยู่ในห้องนี้คือ พี่ศร!
“นี่มึงสองคนรู้จักกันเหรอวะ”
“…”
“เฮ้ยไอ้เด็กเด๋อ กูถามว่ามึงสองคนรู้จักกันเหรอ”
“หะ…ห๊ะ อะ…อะไรนะครับ”
“กูถามว่ามึงสองคนรู้จักกันเหรอ”
“เอ่อ…คือ…” ตอบยังไงดีวะไอ้ปุณย์ ทั้งสายตาพี่ศรแล้วก็สายตาพี่แทนที่มองมามันโคตรจะกดดันผมเลย แล้วจะให้ผมบอกว่ายังไงดีละ พี่ศรนะผมรู้จักพี่เขาแต่พี่เขาจะรู้จักผมหรือเปล่านี่แหละปัญหา
“มึงรู้จักน้องเขาเหรอไอ้ศร” เหมือนพี่แทนจะไม่อยากรอฟังคำตอบจากผมแล้วพี่แกเลยหันไปถามพี่ศรแทน
“ไม่อะ”
เชี่ย…โคตรเจ็บเลย แต่จะทำยังไงได้ละไอ้ปุณย์ พี่เขาคงยังโกรธเราอยู่แน่ๆ จะว่าไปพี่เขาก็ไม่รู้จักเราจริงๆนั้นแหละ
“ไม่รู้จักก็รู้จักกันไว้ซะ เด็กนี้จะมาเป็นน้องเมทของมึง” หะ…หา อะไรนะ มัวแต่อึ้งที่เจอพี่ศรจนลืมคิดไป นี่ผมจะต้องมาอยู่ห้องเดียวกับพี่เขาเหรอ ไม่นะ ไม่! ถึงแม้ผมจะมาที่นี่เพื่อเจอพี่เขาก็จริง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาอยู่ห้องเดียวกันแบบนี้สักหน่อย มันเร็วเกินไปไอ้ปุณย์ตั้งตัวไม่ทัน
“กูไม่อยากมีน้องเมท” พี่ศรพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉยอย่างที่เขาชอบทำ
“ประเด็นไม่ใช่มึงจะอยากมีหรือไม่อยากมี แต่เด็กนี่จะต้องมาอยู่กับมึง”
“แล้วทำไมต้องมาอยู่กับกูด้วย”
“อ้าวไอ้นี่ ก็ห้องอื่นมันเต็มมึงจะให้ทำยังไง แล้วมึงจะมีปัญหาอะไรกับแค่ให้เด็กคนหนึ่งมาอยู่ด้วยวะ มึงคงยังไม่ลืมหรอกนะว่าที่นี่หอใน หรือจะให้กูบอกอาจารย์”
“…” เจอพี่แทนพูดแบบนั้นพี่ศรก็นิ่งเงียบไปไม่พูดอะไรต่อ สิ่งที่พี่ศรเลือกทำต่อจากนั้นคือการส่งสายตากดดันมาทางผมแทน และแน่นอนผมก็ทำได้เพียงก้มหน้าหลุบตามองต่ำหลบสายตาพี่เขาเท่านั้น
เฮ้อ! เรามันก็ดีแต่มาทำให้พี่ศรรำคาญใจอยู่ตลอดสินะ
“อย่าให้มันมาวุ่นวายกับกูแล้วกัน” พี่ศรพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับเขาห้องไป ทิ้งให้ผมมองตามตาละห้อยอยู่ที่เดิม
“อะไรของมันวะ คิดว่าตัวเองหล่อมากนักหรือไง” พี่แทนด่าพี่ศรตามหลัง “มึงอย่าไปสนใจมันเลย มันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ถ้ามึงอยู่กับมันไปนานๆเดี๋ยวมึงก็รู้ว่ามันเป็นคนดี”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นยังไง
“ถ้าไม่ไหวจริงๆก็บอกกูได้ แต่กูขอร้องให้มึงทนๆมันหน่อยแล้วกัน น้องเมทมันสามคนมาห้องไม่ถึงชั่วโมงก็ขอกูย้ายห้องหนีไปหมดเลย ปวดหัวฉิบหายเลยเนี่ย มึงก็ทนๆมันหน่อยแล้วกัน”
หลังจากส่งผมที่หน้าห้องเสร็จแล้วพี่แทนพูดกำชับผมไม่ให้ขอย้ายห้องอยู่หลายครั้งกว่าจะยอมแยกตัวออกไป ตอนนี้ผมยังยืนอยู่หน้าห้องเหมือนเดิมไม่ได้ขยับไปไหน ในใจตอนนี้ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก คิดถูกหรือคิดผิดนะที่เรามาที่นี่เนี่ย บางทีก็เหมือนมาเพื่อทำให้พี่เขาเกลียดขี้หน้าตัวเองแท้ๆเลย แต่ไม่สิเราอุตส่าห์พยายามตั้งมากมายกว่าจะได้มายืนอยู่จุดนี้ กว่าจะได้มาหาพี่ศรที่นี่ได้ ตอนนี้เราได้เจอพี่เขาแล้วนะแล้วก็ยังไม่ได้เห็นพี่เขายิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้งเลย ดังนั้นเราจะมายอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้
ใช่! มึงจะยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้ไอ้ปุณย์ ถ้าพี่เขาเข้าใจผิด เราต้องอธิบายเรื่องที่พี่เขาเข้าใจผิดให้พี่เขาฟังสิถึงจะถูก ไม่ใช่มาเอาแต่กลัวแบบนี้
เมื่อคิดได้แบบนั้นผมไม่รอช้าผมกระชับกระเป๋าสะพายใบเดียวที่ผมสะพายติดตัวมาด้วยก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเข้ามาในห้องที่อยู่ตรงหน้า ห้องที่ผมจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ตลอดปีการศึกษานี้ ห้องของผมกับพี่ศร
“เอ่อคือ…เตียงนี้ของผมสินะครับ” ผมเอ่ยถามออกไปทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่าคงไม่มีคำตอบอะไรตอบกลับมา แต่นั้นก็เป็นอะไรที่ผมคิดไว้อยู่แล้ว ผมเลยเลือกวางกระเป๋าของตัวเองลงบนเตียงอยู่ใกล้ตัวที่สุด
ลืมบอกไปนะครับว่าห้องทั้งหมดในหอนี้เป็นห้องที่ถูกออกแบบมาสำหรับอยู่อาศัยกันสี่คน ปีหนึ่งสามคน ปีสองที่เป็นพี่เมทอีกหนึ่งคน ทำให้ในห้องมีของที่ออกแบบมาสำหรับสี่คนทั้งนั้นเลยไม่ว่าจะเป็นเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะคอม โต๊ะอ่านหนังสือ ทั้งหมดมีอย่างละสี่ชุดทั้งนั้นเลย พี่ศรคงจะนอนอยู่เตียงด้านในสุดเพราะเห็นมีของใช้ส่วนตัวของพี่แกวางอยู่ ผมเลยเลือกที่จะจับจองเตียงที่อยู่ริมสุดอีกด้านเป็นเตียงของผมแทน มีเตียงว่างๆสองเตียงกั้นกลางไว้ แต่ขนาดห้องกว้างขนาดนี้ผมยังรู้สึกอึดอัดชะมัดเลย ก็พี่ศรเล่นเงียบเอาแต่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสือที่โต๊ะไม่สนใจผมเลย ผมต้องรีบขอโทษพี่เขาที่ทำให้เข้าใจผิดเรื่องที่ผมบอกชอบ บรรยากาศชวนอึดอัดแบบนี้จะได้หายไปสักที
“เอ่อ…พี่ศรครับ”
“…” เงียบ ไม่มีแม้การตอบรับ ไม่มีแม้แต่จะหันหน้ามามองผมเลย พี่ศรยังคงนั่งเงียบก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
“คือว่าเรื่องที่ผม…บอกชอบพี่ จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างที่พี่เข้าใจนะครับ ผมไม่ได้ชอบพี่แบบนั้น เอ่อคือ…ผมชอบพี่เพราะการยิงธนูต่างหาก ผมเห็นพี่ยิงธนูในทีวีแล้วทำให้ผมรู้สึกชอบพี่มาก ผมเห็นแววตาและสีหน้าที่มุ่งมั่นของพี่ตอนนั้นมันทำให้ผมมีกำลังใจและรับรู้ได้ว่าคนเราถ้ามีความตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยากแค่ไหนเราก็ทำมันให้เป็นจริงๆได้ขอแต่มีความตั้งใจและความพยายาม ผมก็เลยมาเรียนที่นี่เพื่อจะได้เห็นพี่ยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้งก็แค่นั้น ไม่มีอะไรจริงๆนะครับ”
พูดออกไปจนหมด พี่ศรนิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่พี่เขาจะค่อยๆหันมาทางผม
“งั้นมึงก็มาเสียเที่ยวแล้วละ มึงกลับไปเหอะ ซิ่วออกไปตอนนี้ยังทัน”
“หา…พี่หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“หมายความว่ากูเลิกเล่นแล้ว กูเลิกยิงธนูแล้ว ถ้ามึงจะมาเพื่อเห็นกูยิงธนูก็กลับไปเหอะเพราะมึงคงไม่มีวันนั้น”
“…” เหมือนโดนฟ้าผ่าลงมากลางตัวอย่างไงอย่างงั้นเลย ตอนนี้ผมรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวเลย มะ…หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกแล้ว พี่ศรเลิกยิงธนูแล้วงั้นเหรอ แถมพี่เขายังพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉยมากๆ พูดจบก็หันกลับไปอ่านหนังสือต่อไม่ได้สนใจผมที่ยืนอ้าปากค้างอยู่เลย
หมับ!
พอเริ่มประมวลผลได้สิ่งแรกที่ผมทำคือการพุ่งเข้าไปแย่งหนังสือที่พี่ศรกำลังอ่านอยู่มาไว้กับตัวเพื่อดึงความสนใจให้พี่เขาหันมามอง
“พี่จะเลิกยิงธนูไม่ได้นะครับ ผมอุตส่าห์…ผมอุตส่าห์พยายามทุกอย่าง ผมทั้งเข้าชมรมวิ่งแข่ง ทั้งพยายามตั้งเยอะตั้งแยะกว่าจะมาเรียนที่นี่ได้ ทั้งหมดก็เพื่อมาดูพี่ยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้ง ทำไมพี่ถึงมาบอกว่าพี่เลิกแล้ว พี่เลิกได้ยังไง พี่จะเลิกไม่ได้นะครับ มันเป็นสิ่งที่พี่ชอบไม่ใช่เหรอ”
“กูบอกว่าเลิกก็คือเลิก กูจะเลิกไม่เลิกไม่เกี่ยวกับมึงมั้ง ทำไม กูจะเลิกยิงธนูแล้วต้องให้มึงอนุญาตด้วยหรือไง”
“เอ่อ…ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมขอโทษ ผมแค่คิดว่ายิงธนูคือกีฬาที่พี่ชอบ ผมคิดว่าพี่จะรักและทุ่มเทให้กับมันไปตลอด”
“มึงไม่ต้องมาทำตัวรู้ดีไปกว่ากูหรอก กูบอกว่าจะเลิกก็คือเลิกไม่ต้องให้มึงมายุ่งหรอก กูรู้ว่ากูต้องทำยังไง คิดว่าชีวิตกูจะเป็นยังไงคงไม่เกี่ยวอะไรกับมึงมั้ง”
“คือผม…”
หมับ!
ไม่ทันได้พูดอะไรออกไป หนังสือเล่มเดิมถูกกระชากจากมือผมกลับไปสู่เจ้าของเดิมของมันอีกครั้ง หลังจากนั้นพี่ศรก็เดินออกจากห้องไปแถมยังปิดประตูดังปั้งจนผมแอบสะดุ้งเพราะตกใจ
เฮ้อ! ไอ้ปุณย์นะไอ้ปุณย์ ทั้งๆที่คิดว่าจะมาขอโทษพี่เขาแท้ๆ แต่กลับทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงกว่าเดิมซะอีก แล้วเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้มันก็ดูรุนแรงมากด้วย ตอนแรกจากที่ไม่ชอบขี้หน้าตอนนี้พี่เขาคงเกลียดเราไปแล้วมั้ง
โอ้ยไอ้ปุณย์เอ้ย! ทำยังไงดีวะเนี่ย!
มีคำผิดขอโทษด้วยนะครับ #รักตรงเป้า
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
-
บทที่ 3
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์
ครืด… ครืด…
เสียงสั่นและเสียงริงโทนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเตือนให้ผมรู้ว่าตอนนี้เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียมองไปยังเตียงของใครอีกคนที่เป็นเพื่อนร่วมห้องเพียงคนเดียวของผม แต่ก็ไร้วี่แววเจ้าของเตียงเลย เมื่อคืนหลังจากเกิดเรื่องวุ่นๆจากความงี่เง่าของผมเอง ผมนั่งรอพี่ศรจนดึก คิดว่าถ้าพี่เขากลับเข้ามาในห้องผมจะขอโทษที่เผลอทำตัวงี่เง่าใส่พี่เขาอีกแล้ว แต่ผมรอยู่นานสองนานพี่ศรก็ไม่มาสักที ภาพจำสุดท้ายคือผมเผลอล้มตัวนอนลงบนเตียงแป๊บเดียวเองนะ มารู้ตัวอีกทีก็เช้าซะแล้ว แต่ถึงจะเช้าแล้วพี่ศรก็ยังไม่กลับมาเลย
“เฮ้อ! พี่เขาคงจะโกรธเราจริงๆแล้วสินะ ไม่ก็…คงจะเกลียดไปแล้ว” แล้วผมก็นั่งถอนหายใจทำหน้าเซงๆกับตัวเองอยู่นานกว่าจะยอมลุกไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ถ้าไม่ติดว่ามีเรียนปรับพื้นฐานวันแรกผมก็คงจะอยู่รอเจอหน้าพี่ศรก่อน อยากจะบอกพี่เขาว่า ขอโทษ ไม่รู้ว่าพี่เขาจะยกโทษให้หรือเปล่า แต่ว่าอย่างน้อยๆให้ผมได้ขอโทษออกไปก็ยังดี
ผมไม่รู้ว่าพี่ศรมีกุญแจเข้าห้องหรือเปล่า ตัวผมเองก็มีกุญแจแค่ชุดเดียวพี่ผมเจอในลิ้นชักบนตู้ใบเล็กข้างๆเตียงนอน พอลองเอามาไขดูถึงได้รู้ว่าเป็นกุญแจห้องอีกชุด สิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการซ่อนกุญแจไว้ในรองเท้าผ้าใบคู่ที่ยังไม่ได้ใส่ของผมวางไว้หน้าห้อง เผื่อว่าพี่ศรกลับมาห้องแล้วไม่มีกุญแจก็จะได้เข้าห้องได้ หวังว่าพี่เขาคงรู้นะว่ามีกุญแจอยู่ในรองเท้าคู่นั้น พี่เขาคงรู้แหละวิธีนี้ใครเขาก็ทำกันไม่ใช่เหรอ?
“ปุณย์แกไปทำอะไรมาทำไมหน้าตาดูโทรมแบบนั้น” พอเข้ามาในห้องเรียน เรียวนิ้วมือบางของเจนแตะเข้าที่ขอบตาทั้งสองข้างของผมทันที่เจอหน้า สายตาของทั้งเจนและเจสสิก้ารวมถึงเพื่อนๆในห้องเรียนที่มองมาที่ผมทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้สภาพของตัวเองคงจะแย่มาก
“แกไปทำอะไรมาทำไมขอบตาคล้ำจัง แถมยังทำตัวเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปอย่างงั้นแหละ”
“พอดีเมื่อคืนเรานอนดึกน่ะ พอนอนดึกแล้วต้องมาตื่นเช้ามันก็เลยเพลียๆ” ผมตอบบ่ายเบี่ยง
“แล้วแกไปทำอะไรมาถึงได้เพลียละ” คราวนี้เป็นเจสสิก้าที่ถาม สายตาที่มองมาไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องทะลึ่งอยู่แน่ๆ แต่ผมก็เพลียจริงๆอย่างที่บอกไป นอนดึกแล้วยังต้องตื่นเช้ามาเรียนอีก ประคองตัวให้มาเรียนได้ก็บุญแล้ว เรื่องจะไปต่อล้อต่อเถียงหรือปฏิเสธอะไรอย่าได้ถามถึง
“ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่นอนดึก”
“สงสัยแกตื่นเต้นละสิที่จะได้มาเรียนวันแรก แค่เรียนปรับพื้นฐานเองไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้มั้ง” เจนบอกมาแบบนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้ารับทั้งๆที่ความจริงแล้วผมไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องนี้เลย
“พูดถึงเรื่องนี้ก็ดี ฉันจะถามว่าเมื่อคืนเป็นยังไงกันบ้าง ได้ห้องถูกใจกันไหม”
“อย่าให้พูดถึงเลยยายเจน ฉันได้อยู่หอสามชั้นล่างสุด ห้องข้างบนมันย้ายของอะไรไม่รู้ทั้งคืนเสียงดังมาก แถมฉันคิดว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกับผู้ชายหล่อๆดันมีแต่เพื่อนสาว”
“น้อยๆหน่อยเถอะจ๊ะแม่เจสสิก้า มาเรียนนะไม่ใช่มาหาหลัว เรื่องแบบนี้เพลาๆลงบ้าง” แล้วเจสสิก้าก็ทำหน้าเชิดใส่จนเจนต้องส่ายหน้าให้เบาๆ
“แล้วปุณย์ละอยู่หอเป็นไงบ้าง” ตอนนี้เจนหันมาถามผมแทน
“ก็…ก็ดีนะ”
“ทำเสียงแบบนี้แสดงว่าไม่ค่อยดีแน่เลย ทำไม อยู่กันหลายคนแล้วแกอึดอัดเหรอ”
“เปล่าหรอก คือห้องเราอยู่กันแค่สองคน”
“อ้าว! ทำไมถึงอยู่กันแค่สองคนละ”
“พอดีพี่เมทเราซิ่วไปแล้ว เรากับเมทคนอื่นเลยถูกจับแยกไปอยู่ห้องอื่นๆ ก็ไปแทรกๆอยู่ตามห้องที่ว่างๆ”
“โหยอิจฉาปุณย์อ่ะ ฉันอยากอยู่แค่สองคนบ้าง ห้องฉันสี่คนจะเหยียบคอกันตายอยู่แล้ว”
“นี่! แกช่วยหยุดงอแงก่อนได้ไหมยายเจสสิก้าฉันจะถามปุณย์ต่อ”
“เชอะก็ได้ๆ” คราวนี้ดูเหมือนเจสสิก้าจะงอนเจนเข้าจริงๆแล้วแต่ดูท่าเจนไม่ได้จะสนใจเลย ถึงผมจะพึ่งรู้จักสองคนนี้ได้แค่วันเดียว แต่ผมเห็นทั้งสองคนงอนกันไปมาหลายรอบแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีใครง้อใคร ห่างกันสักพักเดี๋ยวทั้งคู่ก็มาดีกันเอง เวลาเห็นสองคนนี้ทะเลาะกันผมเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก
“อยู่สองคน งั้นก็แสดงว่าแกอยู่กับพี่เมทแค่สองคนละสิใช่ไหม” เจนถามผมต่อ
“อืม”
“แล้วแกเข้ากับพี่เมทได้ไหมละ”
“ก็…พอได้นะ” ไอ้ปุณย์นะไอ้ปุณย์ โกหกคำโตออกไปอีกแล้ว เข้ากันได้ที่ไหนล่ะ มองหน้ากันยังไม่ติดเลยมั้ง มาวันแรกก็ทำเรื่องให้พี่เขาเกลียดขี้หน้าซะแล้ว
“แล้วพี่เมทแกหล่อไหม” คราวนี้เป็นเจสสิก้าที่ถามขึ้น พอรู้ว่าผมได้อยู่กับพี่เมทแค่สองคนเธอดูท่าทางจะสนใจมาก น่าจะมากจริงๆเธอถึงได้ถามผมด้วยสายตาลุกวาวแบบนั้น
“คือ…ก็น่าจะหล่อมั้ง”
“แสดงว่าหล่อแน่เลย ใครอะปุณย์ ฉันรู้จักไหม”
“เราก็ไม่รู้ว่าเจสสิก้ารู้จักพี่เขาไหม แต่ว่าพี่เขาชื่อพี่ศร”
“…”
“…”
“ระ…เราพูดอะไรผิดเหรอ” นั้นสิ ผมพูดอะไรผิดเหรอ ทำไมพูดจบทุกคนต้องทำหน้าตกตะลึงอะไรขนาดนี้
“แกบอกว่า พี่เมทของแกคือพี่ศรงั้นเหรอ” เจนถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด
“ชะ...ใช่”
“ปุณย์แลกห้องกันไหม” พูดจบอยู่ดีๆเจสสิก้าก็พุ่งเข้ามาจับเข้าที่ต้นแขนพร้อมเขย่าตัวผมจนตัวสั่นไปหมด
“เอ่อ…คือ”
“นะ นะ นะ แลกห้องกันนะ”
“จะบ้าเหรอยายเจส มันแลกได้ที่ไหน เขาให้เปลี่ยนได้แค่เมื่อวานแล้วก็ต้องเป็นกรณีพิเศษจริงๆไม่ใช่จะมาแลกก็แลก” พอเจนพูดแบบนั้นเจสสิก้าถึงยอมแพ้ไปเอง ยอมละมือที่จับต้นแขนผมออกในที่สุด ทั้งๆที่เจสสิก้าเธอดูเหมือนผู้หญิงมากแต่แรงเยอะชะมัด เล่นเอาเจ็บเหมือนกันนะเนี่ย
“ก็ฉันอยากอยู่กับพี่ศรจริงๆนี่”
“ว่าแต่แกได้อยู่กับพี่ศรจริงๆใช่ไหมปุณย์”
“เอ่อ…อืม” ผมพยักหน้ารับ
“ถ้ามีใครรู้เข้า พวกนั้นจะต้องพากันมาอิจฉาแกแน่ๆ”
“ทำไมเหรอเจน”
“อ้าว! แกไม่รู้เหรอว่าพี่ศรนะคนแอบปลื้มพี่เขาเยอะจะตาย โดยเฉพาะพวกปีหนึ่งนะบางคนนี่ชอบจนแทบคลั่งเลย ดูขนาดฉันสิยังชอบเลย”
“จริงแก พี่เขาเท่ชะมัดเลย ทั้งหล่อ ทั้งสูง หน้าตา รูปร่างก็ดี แถมยังเป็นนักกีฬายิงธนูอีกต่างหาก เท่สุดๆไปเลย” เจสสิก้าเสริม
“จริงที่สุด แต่ว่าฉันได้ยินมาว่าพี่เขาไม่สนใจใครเลยนะ ไม่ค่อยมีเพื่อนไม่ค่อยคบใครเลย ใครไปจีบพี่เขาน่ะก็หน้าแตกหมอไม่รับเย็บกลับมาหมด อย่างเมื่อวานฉันเห็นพี่เขาแผ่รัศมีให้พวกที่ไปขอเบอร์ ขอไลน์พี่เขาแทบจะร้องไห้กลับมาเป็นแถบ เห็นแบบนี้ฉันก็ไม่ไหว ขอแอบปลื้มพี่เขาอยู่ห่างๆดีกว่า ว่าแต่แกเถอะปุณย์ พี่เขาดูนิ่งๆดุๆแบบนั้นแกอยู่ห้องเดียวกับพี่เขาไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“ไม่นะ พี่เขาก็ปกตินะ ก็…อยู่ได้” เฮ้อ! สุดท้ายก็ต้องโกหกคำโตออกไปอีกจนได้
อยู่ได้น่ะมันก็อยู่ได้อยู่หรอก แต่ถ้าบรรยากาศมันเป็นแบบเมื่อคืนตลอด ผมเองก็ไม่รู้ว่าตังเองจะทนแบบนั้นได้นานแค่ไหนกันนะ ไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่าหรือจะเป็นแค่กับเราคนเดียว ไม่สิ! จริงๆแล้วพี่เขาคงไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก เรายังจำสีหน้า แววตา และรอยยิ้มของพี่ศรที่เราดูในทีวีวันนั้นได้อยู่เลย มันไม่ใช่สีหน้า แววตาและรอยยิ้มของคนที่มีนิสัยแบบนี้หรอก แล้วทำไมตอนนี้พี่ถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ
จะยังไงก็ตามผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมพี่ถึงเป็นแบบนี้ แล้วทำไมพี่ถึงเลิกยิงธนู ทั้งๆที่พี่ดูชอบและรักมันออกขนาดนั้น แต่ว่าตอนนี้ผมคงต้องคิดเรื่องที่จะทำยังไงให้พี่ศรยกโทษเรื่องที่ทำให้พี่เขาโกรธให้ได้ก่อน เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจชะมัดเลย
วันนี้ทั้งวันชีวิตผมก็วนเวียนอยู่กับการถูกระดมยิงคำถามเกี่ยวกับพี่ศรของเจนและเจสสิก้ามาเป็นชุด พี่ศรหล่อไหม? พี่ศรเป็นยังไงบ้าง? บลา บลา บลา แต่ก็นั้นแหละครับ ถามกันไปก็เท่านั้นเพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่เขาเลย ก็เจอกันแต่ละทีก็มีแต่เรื่องแล้วผมจะไปรู้เรื่องของพี่เขาได้ไงละ
“เลิกเรียนแล้วปุณย์จะไปกินข้าวเย็นพร้อมกันไหม”
“ไม่ละ ขอบใจนะที่ชวน แต่เดี๋ยวเราต้องเอาเอกสารไปส่งที่ชมรมกรีฑา เจนไปกับเจสสิก้าเถอะ”
“’งั้นไว้เจอกันนะ”
“อืม”
พอแยกจากเพื่อนๆเรียบร้อยผมก็มุ่งหน้าไปที่ชมรมกรีฑาอย่างที่บอกเจนกับเจสสิก้าไป จริงๆที่ผมเข้ามาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะความสามารถทางด้านการวิ่งที่บังเอิญมันดีในระดับที่สามารถทำให้ผมได้โควต้าเข้ามาเรียนที่นี่ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่แปลกที่ชมรมที่ผมต้องเข้าร่วมก็คือชมรมกรีฑา
การไปชมรมกรีฑาของผมในครั้งนี้ไม่ใช้เรื่องยากอะไรเหมือนวันที่ผมมาที่มหาวิทยาลัยครั้งแรก นั้นก็เพราะพวกพี่ๆที่ชมรมกรีฑาได้จัดการแอดเพื่อนในไลน์และส่งทั้งแผนที่ โลเคชั่นแล้วก็บอกทางผมเรียบร้อย หน้าที่ของผมก็แค่พาตัวและเอกสารไปให้ถึงชมรมก็แค่นั้น
“นั้น!...พี่ศรนี่น่า” เดินมาไม่นานผมก็ต้องสะดุดสายตาเข้ากับแผ่นหลังของใครคนหนึ่ง แผ่นหลังนั้น ทำไมผมจะจำไม่ได้ละ ก็ผมเฝ้ามองดูพี่เขาอยู่ห่างๆมาเกือบสองปีนี่เนอะ ระยะห่างระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ไม่ใช้เรื่องยากอะไรสำหรับผมเลยที่จะติดตามข้อมูลของผู้ชายคนนี้ แล้วจะแปลกอะไรถ้าผมจะจำพี่ศรได้ทันทีที่เห็น แม้จะเห็นจากด้านหลังก็เถอะ ว่าแต่ทำไมพี่เขาถึงมาที่สนามยิงธนูนี่ได้ ก็ไหนว่า… จริงสินะ เมื่อวานถ้าเราไม่ไปทำตัวงี่เง่าใส่พี่เขาไปแบบนั้นก็คงจะได้ถามพี่เขาไปแล้วว่าทำไมถึงเลิกยิงธนู ก็ไหนว่าเป็นกีฬาที่ชอบที่สุดไง แล้วอีกอย่าง ถ้าพี่เขาอยากจะเลิกจริงๆก็คงไม่มาที่สนามกีฬายิงธนูนี่หรอก
“ไอ้ตัวแสบ!”
“โอ้ย!” ระหว่างที่ผมกำลังจ้องมองพี่ศรอยู่นั้นก็มีวงแขนหนักๆของใครบางคนวางพาดลงมาเต็มแรงจนคอผมแทบหัก ไอ้บ้า คอคนนะไม่ใช่ท่อนไม้วางพาดมาได้
“เฮ้ย! หยอกแค่นี้ร้องจะเป็นจะตายเลยนะมึง”
“พี่แทน”
“เออ ก็กูสิวะ หล่อๆแบบนี้จะมีใครได้ มึงมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?”
“ผม…” กำลังจะตอบไอ้พี่แทนออกไป แต่สายตาดันหันไปเห็นว่าพี่ศรกำลังจะเดินไปแล้ว พอผมมองตามไปไอ้พี่แทนมันก็ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆจนผมต้องผงะตัวออก
“มึงนี่ขี้ตกใจเหมือนกันนะ เมื่อกี้ก็ร้องซะเสียงดัง
“ก็พี่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงผมตกใจหมด”
“ทำเป็นตุ้งติ้งขี้ตกใจไปได้ แมนๆแบบเราก็หยอกกันอย่างนี้แหละ” ว่าจบไอ้พี่แทนที่ตอนนี้แต่งตัวในชุดเตะบอลเต็มยศ ใส่เสื้อสีแดง กางเกงขาสั้นสีดำ สวมรองเท้าสตั๊ดคู่สวย มืออีกข้างถือลูกฟุตบอลก็วางพาดวงแขนหนักๆของพี่มันลงมาที่คอผมอีก
“ผมเจ็บนะพี่แทน”
“เจ็บก็ทนหน่อยสิวะ รุ่นพี่รุ่นน้องก็หยอกกันแบบนี้แหละ จะได้สนิทกันไวๆไงเล่า”
“…” ใครอยากจะสนิทกับพี่มันกันวะ
“มึงกินอะไรมายัง”
“ยัง ผมกำลังจะไปธุระ ต้องเอาเอกสารไปส่งที่ชมรมกรีฑา”
“หืม…ไหนมาดูสิ” พูดเสร็จไอ้พี่แทนก็ดึงซองเอกสารสีน้ำตาลในมือผมไปทันที “อ๋อ มึงเป็นเด็กโควต้าเหรอ เออๆ อยู่กรีฑาก็ดีแล้ว กูมีเพื่อนอยู่นั้นหลายคนไว้กูจะแวะไปหา”
“ไม่ต้องๆ พี่ไม่ต้องมาหาผมก็ได้” ผมตอบทั้งๆที่ยังถูกไอ้พี่แทนมันล็อคคออยู่แบบนั้น
“มึงไม่ต้องเกรงใจหรอก ต่อไปเดี๋ยวมึงกับกูก็สนิทกันแล้ว มึงก็มาหากูที่ชมรมฟุตบอลบ่อยๆสิ”
“…” ใครจะไปกันเล่า แล้วอีกอย่างผมไปทำตัวว่าอยากสนิทกับพี่มันตอนไหนฟะ?
“เมื่อกี้มึงพึ่งบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรใช่ปะ? งั้นเดี๋ยวกูพาไปส่งเอกสารก่อน จากนั้นเดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าวในซอยหลังมอโอเคไหม”
“ไม่โอเค”
“งั้นไปกันเลย
“ไอ้พี่แทนนน” แล้วผมก็โดนพี่มันล็อคคอพาตัวไปทันที ไอ้พี่แทนพาผมไปชมรมกรีฑาเพื่อส่งเอกสารก่อน ตอนแรกผมคิดไว้ว่าจะถ่วงเวลาให้นานที่สุดเพื่อหาโอกาสวิ่งหนีพี่มันให้เร็วที่สุด แต่เรื่องมันดันไม่เป็นแบบนั้นนะสิ ไอ้พี่แทนนี่ถ้าไม่บอกผมไม่เชื่อว่าพี่มันอยู่แค่ปีสองนะ พี่มันทำตัวเหมือนอยู่มาแล้วเป็นสิบปี ก็พี่มันเล่นรู้จักคนเขาไปทั่วหมดเลย คนในชมรมกรีฑานี่ก็รู้จักพี่มันเกินครึ่งแล้วมั้ง ใครเดินผ่านมาก็รู้จักพี่มันหมด เพราะแบบนี้ไอ้พี่แทนมันเลยตีเนียนเข้ามาข้างในชมรมกับผมได้ แล้วแบบนี้ผมจะไปหาโอกาสที่ไหนชิ่งหนีพี่มันได้ สุดท้ายพอส่งเอกสารเสร็จผมก็โดนลากตัวมาที่ร้านอาหารที่ในซอยหลังมหา’ลัยตามที่พี่แทนมันบอกไว้ตอนแรก
“นั่งเลยๆ ร้านนี้แหละอร่อยแน่นอนกูรับรอง มึงจะกินอะไรสั่งเลยเดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”
“ไม่ต้องก็ได้พี่ ให้ผมเลี้ยงขอบคุณพี่ก็ได้ที่อุตส่าห์พาผมไปส่งเอกสารที่ชมรม” อันนี้ผมพูดจริงๆนะไม่ได้ประชด ถึงตอนแรกผมจะไม่อยากให้พี่มันมาด้วยก็เถอะ แต่ว่าจริงๆแล้วมีพี่แทนมาด้วยผมก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องกลัวเรื่องเส้นทางแถมยังได้มาเปิดหูเปิดตาในที่ใหม่ๆด้วย ไม่เคยรู้ว่ามหาวิทยาลัยที่อยู่กลางเมืองแบบนี้จะมีซอยที่เต็มไปด้วยร้านอาหารแบบนี้ด้วย
“มึงหยุดเลยไอ้… มึงชื่ออะไรนะ”
“ปุณย์ครับ”
“เออ ไอ้ปุณย์ตัวแสบ ถึงมึงจะตัวแสบทำวีรกรรมกับกูไว้หลายอย่างแถมยังชอบทำตัวแปลกๆอีกก็เหอะ แต่เรื่องนี้จะมาให้น้องเลี้ยงกูได้ยังไง เสียเชิงหมด”
“ครับๆ ถ้าอย่างงั้นก็ชอบคุณพี่แล้วกันครับ งั้นมื้อนี้น้องปุณย์ขอฝากท้องด้วยนะครับ” ผมหัวเราะเบาๆอย่างเข้าใจ ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณพี่มันไปอย่างกวนๆ จะว่าไปไอ้พี่แทนมันเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนสนิทกับพี่มันมานานยังไงไม่รู้
“ไอ้…ปุณย์”
“ครับ?”
“มึงยิ้มแบบนี้ให้ใครบ่อยหรือเปล่าวะ”
“ยิ้มแบบไหนครับ”
“ก็แบบที่ทำเมื่อกี้ไง”
“แบบนี้เหรอครับ” พูดจบผมก็ยิ้มแบบที่ยิ้มเมื่อกี้ให้ไอ้พี่แทนมันดู ก็เห็นอยู่ว่าพี่มันเหมือนจะทำหน้าอึ้งๆไป แต่ว่าผมก็ยิ้มปกติของผมนี่น่า
“…”
“ทำไมเหรอครับ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร เอ่อ…งั้นมึงสั่งอาหารไปก่อนนะ เดี๋ยวกู…ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง” พูดไม่ทันขาดคำไอ้พี่แทนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปเข้าห้องน้ำเลย ทิ้งให้ผมนั่งทำหน้าไม่เข้าใจอยู่ที่เดิม
“พี่แทนเขาเป็นอะไรของเขา” แต่ความสงสัยก็อยู่ในหัวผมได้ไม่นาน เพราะพี่พนักงานก็เดินเข้ามารับออเดอร์ ผมไม่รู้ว่าพี่แทนจะกินอะไรก็เลยไม่ได้สั่งอะไรให้ไอ้พี่แทนมันเลย ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาแล้วซะด้วยสิ ก็เลยเผลอสั่งอะไรไปเยอะเลย ไม่เป็นไรหรอกยังไงก็กินหมดอยู่แล้ว ปุณากรณ์ซะอย่างเรื่องกินหายห่วงได้เลย
“ไอ้เบส ปีนี้โค้ชจะส่งมึงลงแข่งหรือเปล่าวะ” เสียงใครคนหนึ่งถามเพื่อนของเขาดังขึ้น เสียงมาจากกลุ่มผู้ชายสองคนที่พึ่งเข้ามาใหม่
“ไม่รู้สิวะ ไอ้ห่าทอยนี่มันพึ่งจะเปิดเทอมเองนะเว้ย กีฬาเขาแข่งกันตั้งเทอมหน้ากูยังไม่เห็นโค้ชพูดอะไรเลยวะ” ชายคนที่ถูกถามพูดตอบ
“ยังไงก็ต้องเป็นมึงอยู่แล้วไหมวะ ชมรมยิงธนูของเราใครๆก็รู้ว่ามึงน่ะเก่งสุดแล้ว คนที่จะเป็นตัวแทนมหา’ลัยไปแข่งปีนี้ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใครวะ” คนที่ชื่อทอย ที่เป็นคนถามตอนแรกพูดขึ้น
ตอนนี้ทั้งสองคนเดินมานั่งลงบนโต๊ะตัวถัดไปจากผมนี่เอง ใกล้กันจนหลังจะชนกันอยู่แล้ว แค่ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องยิงธนูก็เหมือนจะดึงความสนใจของผมไปจนหมดเลย สองคนนี้เหมือนจะอยู่ชมรมยิงธนูเลย จะถามคนพวกนี้เกี่ยวกับเรื่องของพี่ศรได้หรือเปล่านะ
“แล้วเรื่องไอ้ศร…”
“มึงจะพูดถึงมันทำไมวะไอ้เชี่ยทอย”
“เฮ้ย! มึงอย่าพึ่งโกรธสิวะ กูก็แค่จะถามดู ก็กูยังเห็นว่าโค้ชปิติแกยังไปตามตื้อไอ้ศรอยู่เลยนี่หว่า กูกลัวว่าถ้ามันเกิดยอมกลับมายิงธนูอีก มึงก็อาจจะ...”
“มันไม่กลับมาหรอก ไอ้คนกากๆแบบนั้นน่ะ แม่งเล่นกากแล้วถอนตัวไปแบบนั้นคงไม่กล้ากลับมาหรอก”
“เออๆกูก็ว่างั้น กลับมาอีกทีคงยิงธนูไม่ได้แล้ว มือไม้แข็งไปหมดแล้วมั้ง แบบนั้นจะต่างอะไรกับเด็กหัดยิงธนู มันก็คงกากอย่างที่มึงว่านั้นแหละ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!” เสียงเล็กๆดังขึ้นพร้อมกับเสียงเลื่อนเก้าอี้จากการลุกขึ้นยืน ใช่แล้วครับ เสียงของผมเอง ตอนนี้ผมหันหน้าไปประจันหน้ากับใครอีกสองคนที่กำลังมองผมกลับมาด้วยสายตาไม่เข้าใจเช่นกัน
“อะไรของมึงวะไอ้ปีหนึ่ง” คนที่ชื่อทอยมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เดาว่ามองจนมั่นใจแล้วว่าผมเป็นเด็กปีหนึ่งถึงพูดแบบนั้นออกมา
“พี่ศรน่ะ เขาไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย เขาไม่ใช่คนกากอย่างที่พวกพี่สองคนว่า”
“แล้วมึงรู้ได้ยังไง มึงเป็นเมียมันเหรอ” คนที่ชื่อทอยพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้สนใจเข้าเลย สายตาผมจดจ้องไปยังสายตาคู่คมของคนที่ชื่อเบสที่มองมาทางผมอย่างไม่ลดละเช่นกัน
“พี่จะเก่งมาจากไหนผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมเชื่อว่าพี่ศรน่ะไม่ได้เป็นแบบนั้นแน่นอน”
“อะไรของมันวะไอ้เด็กนี่”
“พี่น่ะ! ถ้าว่าคนอื่นแบบนั้น พี่เองก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่พี่ว่าหรอก แต่พี่ศรนะต้องไม่เป็นแบบนั้นแน่ๆ” สายตาแข็งกร้าวจากทั้งสองคนยังคงมองมาที่ผมอย่างไม่ลดละ ผมเองก็มองกลับไปอย่างไม่วางสายตาเช่นกัน
การมีเรื่องกับคนอื่นไม่ใช่วิสัยของผมเลยจริงๆ เกิดมาตัวเล็กแบบนี้จะไปต่อยตีมีเรื่องกับใครเขาได้ จากที่ผมเป็นคนที่พยายามไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีเรื่องกับใครมาตลอด แต่ว่าครั้งนี้…ครั้งนี้ผมทนไม่ได้จริงๆ ก็พี่ศรน่ะ ไม่ได้เป็นอย่างที่ทั้งสองคนนี้ว่าสักหน่อย ถึงแม้ว่าพี่ศรจะเลิกยิงธนูไปแล้วจริงๆ แต่ผมเชื่อว่าพี่เขาต้องมีเหตุผลแน่ๆ ถึงอย่างนั้นสองคนนี้ก็ไม่มีสิทธิมาว่าพี่เขาแบบนี้
“มึงพล่ามจบแล้วใช่มะ คณะไหนวะมึงอะ?” ดูเหมือนผมจะไปทำให้ความอดทนของสองคนนั้นหมดลงไปซะแล้ว โดยเฉพาะคนที่ชื่อทอย ตอนนี้ตัวผมเซถลาจนเกือบล้มตามแรงกระชากของคนที่ชื่อทอยที่ตอนนี้มือหนาของเขากำลังจับคอเสื้อของผมอยู่
“ว่าไงไอ้เด็กปากดี คณะไหนละมึงน่ะ”
“…” ผมนิ่งเงียบไม่ตอบ ผลที่ได้คือแรงดึงที่ปกคอเสื้อมากขึ้น พร้อมกับแรงกระชากตัวผมให้เข้าหาของคนชื่อทอย แต่ถึงจะทำแบบนั้นสิ่งที่ได้จากผมกลับไปก็มีแต่สายตาแข็งกร้าวเท่านั้น
“เงียบทำไมละ เมื่อกี้ยังเห็นมึงปากดีอยู่เลย ทำไมกลัวหรือไง?”
“…”
“ไอ้เด็กเชี่ยนี่แม่งจงใจกวนประสาทนี่ว่า เด็กปากดีแบบมึงขอเอาเลือดปากออกหน่อยเหอะ”
“เฮ้ย! พกวมึงทำอะไรอ่ะ”
“นึกว่าใคร ไอ้แทนนี่เอง”
“พะ…พี่แทน” ผมร้องเสียงแหบเพราะปกคอเสื้อที่ตอนนี้ถูกดึงรวบจนตึงมันเริ่มแน่นจนผมเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้ว ตอนแรกผมก็ทำเป็นเก่งอยู่หรอก แต่ตอนนี้เริ่มจะกลัวขึ้นมาแล้วนะ
“มึงปล่อยน้องกูเลยนะไอ้เชี่ยทอย”
“ฮา…ฮะ…” พอไอ้พี่แทน ไม่สิ! ตอนนี้ต้องเรียกว่าคุณพี่แทนเข้ามาช่วยผมจากข้อมือหน้าของไอ้คนที่ชื่อทอยที่จับปกคอเสื้อผมแน่นจนหายใจไม่ออก พอหลุดออกมาได้ผมก็รีบหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอยู่เฮือกใหญ่
“มึงช่วยดูน้องมึงดีๆด้วยแล้วกัน คราวหลังอย่าปล่อยให้มันมาปากดีปีนเกลียวรุ่นพี่แบบนี้อีก”
“ขอโทษแทนน้องกูทีเถอะว่ะ พอดีเด็กมันพึ่งเข้าปีหนึ่งมันคงยังแยกไม่ค่อยออกหรอกว่ารุ่นพี่คนไหนควรเคารพคนไหนไม่ควรเคารพ พวกมึงก็ทำตัวดีๆด้วยแล้วกันเดี๋ยวน้องกูเผลอเข้าใจผิดไม่เคารพพวกมึงเอา”
“ไอ้เชี่ยแทน”
“อะไรมึง”
“ไอ้ทอย!” คนที่ชื่อทอยทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาเรื่อง ไอ้คุณพี่แทนเองก็ยอมซะที่ไหนแทบจะพุ่งใสไอ้คนที่ชื่อทอยแทบจะทันทีเหมือนกัน หวิดจะมีมวยขึ้นซะแล้วถ้าไม่ติดว่าใครอีกคนที่ชื่อเบสไม่พูดขึ้นเสียงเรียบๆซะก่อน
“ไปเหอะว่ะไอ้ทอย อย่าไปเสียเวลากับไอ้พวกไร้สาระเลย ร้านนี้คงแดกข้าวไม่อร่อยแล้วไปกินที่อื่นเหอะ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
เหมือนดูละครอย่างไงอย่างงั้นเลย เวลาเจอผู้ร้ายมันจะต้องมีผู้ร้ายที่เป็นหัวหน้ากับผู้ร้ายที่เป็นลูกน้อง เมื่อกี้คนที่ชื่อทอยดูพร้อมรบกับพี่แทนยังกับอะไรดี แต่พอคนที่ชื่อเบสบอกให้หยุด อีกคนก็ยอมเชื่อฟังแล้วยอมเดินออกจากง่ายๆ แต่จะว่าง่ายซะทีเดียวก็ไม่เชิงเพราะก่อนไปยังไม่วายชี้หน้าพี่แทนอย่างเอาเรื่องไว้อีก
“ไงมึงไอ้ตัวแสบ กูหายไปเข้าห้องน้ำแว็บเดียวออกมามีเรื่องซะงั้น”
“ขอโทษครับ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกกูไม่ได้ว่าอะไร ก็แค่…เป็นห่วง ว่าแต่ตัวเล็กๆแบบมึงนี่หาเรื่องคนอื่นได้ด้วยเหรอวะ นักเลงนี่หว่ามึงเนี่ย” ว่าจบพี่แทนก็เอามือหนักๆของพี่มันมายีหัวผมเล่นจนยุ่งไปหมด
“เปล่านักเลงสักหน่อย ก็แค่ไม่ชอบที่สองคนนั้นมาว่าพี่ศร”
“ทำไมสองคนนั้นมันว่าอะไรไอ้ศร”
“ก็…ก็พวกเขาบอกว่าพี่ศรกาก”
“แค่เนี่ยนี่นะมึงถึงกลับต้องมีเรื่องกับพวกมัน แล้วมึงจะไปเดือดร้อนอะไรแทนไอ้ศรมันด้วย”
“…”
“ฮั่นแน่! หรือว่ามึง…”
“ผม…ผมทำไมเหรอ” แย่แล้ว! หรือว่าพี่แทนจะรู้แล้วว่าเราชอบพี่ศร
“มึงโกรธแทนพี่เมทของมึงละสิท่า กูเข้าใจละ มึงโกรธพวกมันที่มาว่าไอ้ศรพี่เมทมึงแน่ๆเลย แสดงว่ามึงกับไอ้ศรนี่ท่าจะอยู่กันรอดนะเนี่ยมึงถึงได้ดูเป็นห่วงมันขนาดนี้ ดีแล้วละ กูยังกลัวมึงขอย้ายห้องอยู่เลย”
“แฮะๆ ครับ” หัวเราะแห้งๆตอบกลับไปอย่างโล่งใจ นึกว่าพี่แทนจะจับได้ซะแล้ว บางมุมพี่แทนมันก็ดูเป็นคนฉลาดดีนะ แต่บางมุมก็…
เฮ้ย! อันนี้ผมไม่ได้ว่านะ ก็แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ
-
หลังจากผ่านเรื่องวุ่นๆไปแล้ว อาหารที่ผมสั่งไปก่อนหน้าแล้วก็อาหารที่พี่แทนสั่งตามไปทีหลังก็มาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว วันนี้ไหนๆก็เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาแล้ว พี่แทนเองก็ดูท่าจะสนิทกับพี่ศรในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆก็เป็นด้านดีๆไม่เหมือนกับสองคนนั้น เราจะถามพี่แทนไปดีหรือเปล่านะว่าทำไมพี่ศรถึงเลิกยิงธนู
“พี่แทนครับ ผมมีอะไรอยากจะถามพี่หน่อยครับ”
“เหยอ มีอายัยอ่า” เสียงตอบไม่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะไอ้พี่แทนมันตอบมาทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปาก
“พี่แทนรู้ไหมครับ ว่าทำไมพี่ศรถึงเลิกยิงธนู”
“แฮกๆ เชี่ย! ถามอะไรของมึงเนี่ยเอาซะกูสำลักเลย”
“…”
“มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“คือผม…ถามพี่ศรมาน่ะครับ”
“ฉิบหายแล้ว กูลืมบอกมึงไปว่าอย่าไปถามไอ้ศรเกี่ยวกับเรื่องยิงธนู ถ้ากูเดาไม่ผิดมึงโดนมันจัดชุดใหญ่มาละสิท่า”
“ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“ไม่ถึงก็เกือบๆอ่ะ ดูหน้าสลดๆของมึงก็รู้แล้ว แต่ก็เอาเถอะถ้ามึงอยากรู้จริงๆกูก็จะบอก แต่กูก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะ รู้แค่ว่าไอ้ศรมันก็เข้ามาเรียนที่นี่ได้ด้วยโควต้านักกีฬาแบบมึงกับกูนี่แหละ ตอนปีหนึ่งมันน่ะรุ่งมากเลยนะ เป็นตัวแทนไปแข่งกีฬาที่ไหนก็ชนะหมด หล่อก็หล่อ สาวๆนี่กรี๊ดกันเต็มเลย แต่กูก็ไม่เห็นมันจะสนใจใครหรืออะไรเลยนอกจากยิงธนูของมันนั้นแหละ ที่จริงกูไม่เห็นว่ามันจะเท่ตรงไหนเลย สู้นักบอลแบบกูก็ไม่ได้เท่กว่าตั้งเยอะ มึงว่าไหม”
“เอ่อ…ครับ เล่าต่อเถอะครับ”
“นอกเรื่องหน่อยไม่ได้นะมึง ตอนแรกมันเป็นแบบที่กูเล่าให้มึงฟังนั้นแหละ ส่วนเรื่องเลิกยิงธนูมันเลิกเพราะอะไรอันนี้กูไม่รู้เรื่องเลยวะ ไม่มีใครรู้หรอกเพราะไอ้ศรมันไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่กูรู้ว่ามันพึ่งมาเลิกเล่นเมื่อตอนปีสองนี่เอง”
“แล้วพี่เขาเลิกเพราะอะไรเหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันวะ รู้แค่ว่าอยู่ดีๆมันก็เลิก ไม่ไปเข้าชมรม ไม่ไปแข่งอะไรทั้งนั้นตอนแรกกูยังคิดว่ามันต้องติดทีมชาติแน่ๆเลยแต่ดันเสือกเลิกเล่นซะงั้น กูนี่งงเลย ทุกคนก็งงเหมือนกันแต่ไม่มีใครกล้าถามมันเพราะไม่มีใครสนิทกับมันสักคน ปกติมันก็เป็นคนเงียบๆอยู่แล้วยิ่งตั้งแต่มันเลิกยิงธนูมันยิ่งเงียบกว่าเดิมอีก เข้าใกล้แล้วรู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิต บรือออ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว น่ากลัวฉิบหายเลย”
ผมไม่ได้สนใจรีแอคชั่นของพี่แทนที่กำลังทำท่าทางขนลุกอยู่ตอนนี้เลย ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้เหตุผลที่พี่ศรเลิกยิงธนูเลยสักคนสินะ ทั้งๆที่พี่รักการยิงธนูมากขนาดนั้นแท้ๆ สายตาของพี่ที่ผมเห็นวันนี้มันก็บอกชัดเจนว่าพี่ยังรักและคิดถึงการยิงธนูขนาดไหน แล้วทำไมพี่ถึงเลิกมันซะละ พี่มีเหตุผลอะไรกันแน่น่ะพี่ศร
“ว่าแต่ที่มึงถามกูเกี่ยวกับไอ้ศรมันนี่ มึงเป็นห่วงไอ้ศรมันไง นี่เป็นห่วงมันถึงขนาดต้องไปทะเลาะกับพวกไอ้เบสเลยไง”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ผมก็ห่วงพี่เขาแบบปกตินั้นแหละ แต่พวกนั้นน่ะเขาพูดถึงพี่ศรไม่ดีต่างหาก”
“พวกไอ้เชี่ยเบสมันก็เป็นแบบนั้นแหละ กูก็ไม่ชอบขี้หน้ามันเท่าไหร่หรอกหมั่นไส้แม่งฉิบหาย ไอ้นั้นมันก็อยู่ชมรมยิงธนูเหมือนกัน ฝีมือก็งั้นๆแหละสู้ไอ้ศรมันไม่ได้หรอก แต่พอไอ้ศรมันอออกจากชมรมแล้วไอ้เบสมันก็พราวตัวเองขึ้นมาทันทีเลย”
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เองมิน่าพวกนั้นถึงดูไม่ค่อยชอบพี่ศรนัก”
“ไอ้ศรเองมันก็ทำตัวน่าให้ใครชอบที่ไหน นิ่งๆเงียบๆไม่ค่อยจะสนใจใคร มึงเองก็อย่าไปยุ่งกับพวกมันมากทั้งพวกไอ้เบสทั้งไอ้ศร โดยเฉพาะไอ้คนหลังมึงอย่าไปวุ่นวายเรื่องยิงธนูกับมันมากเดี๋ยวจะโดนมันกินหัวเอา”
“ครับ ครับ ครับ”
“เลิกชวนคุยได้แล้ว แดกข้าวไปเลยตัวยิ่งเล็กๆอยู่”
“…”
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว พี่แทนก็อาสาเดินมาส่งผมที่หอ อันที่จริงมันก็เป็นทางผ่านของพี่แทนอยู่แล้วเพราะอย่าลืมว่าพี่แทนเองก็อยู่ปีสองเลยต้องมาเป็นพี่เมทที่หอในเหมือนกัน คณะเรามีจำนวนประชากรไม่มากเพราะปีหนึ่งรับไม่เยอะแต่ว่าหอในตั้งแต่หอหนึ่งถึงห้าก็เป็นของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาหมด ผมอยู่หอสองส่วนพี่แทนอยู่หอสี่ยังไงก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว
“วันนี้เป็นไงบ้างอาหารถูกปากไหม”
“ถูกครับ อร่อยด้วย”
“ดีแล้ว พาน้องไปเลี้ยงทั้งทีกลัวมึงจะไม่ถูกใจ”
“…” ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่แทนอย่างไม่เชื่อสายตา ทีแรกดูพี่มันเป็นคนแปลกๆหน่อย แต่พอรู้จักกันมากขึ้นพี่มันก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะเนี่ย
“งั้นไว้วันหลังกูพาไปอีกนะ ไปบ่อยๆก็ได้”
“ครับ” ผมหยักหน้ารับไปแบบนั้นแหละ ใครจะไปให้เลี้ยงบ่อยๆกันเกรงใจแย่
ครืด…ครืดดด… ระหว่างทางเดินไปหอเสียงมือถือของใครอีกคนสั่นขึ้น
“ใครโทรมาวะ” พี่แทนบ่นไปพลางล้วงหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง “ฮัลโหล! อ้าว! ไอ้เชี่ยกูมาจะถึงหอแล้วเนี่ย”
“…”
“เออๆ ไอ้ห่าเจอกันกูเตะก้นมึงแน่ รอกูอยู่นั้นแหละเดี๋ยวกูรีบไป” คุยเสร็จพี่แทนก็กดตัดสายไป ท่าทางหัวเสียของพี่แทนดูก็ว่าคงมีธุระด่วนที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
“ไอ้ปุณย์ มึง…เดินกลับหอคนเดียวได้ใช่ไหม”
“ได้สิครับ เดินอีกไม่ไกลก็ถึงแล้วแค่นี้เอง ถ้าพี่มีธุระสำคัญก็ไปเถอะครับ”
“ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก มึงกลับเองได้แน่นะ”
“แน่ครับ พี่ไปเถอะ”
“กลับดีๆละ” พอมั่นใจแล้วว่าผมกลับเองได้พี่แทนยื่นมือมายีหัวผมเล่นอีกครั้งก่อนจะวิ่งกลับไปทางเดิม
“หัวยุ่งหมดแล้ว”
“ไอ้ตัวแสบ” แต่วิ่งไปไม่เท่าไหร่เสียงพี่แทนร้องตะโกนดังขึ้นจนผมต้องหันกลับไปมอง “กูลืมบอกไป อย่าไปมีเรื่องกับใครอีกนะมึง กูเป็นห่วง” พูดจบคราวนี้ไอ้พี่แทนก็วิ่งหายไปเลย
“ไอ้พี่บ้า” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว มองดูไอ้พี่แทนวิ่งจนหายไปสุดสายตาถึงได้หันหลังกลับมาเดินต่อ ใครจะไปรู้ว่าคนที่หน้าตาก็ดีใช้ได้แบบไอ้พี่แทนมันจะมีมุมแอบติ๊งต๊องแบบนี้ด้วย
วันนี้ผมพึ่งได้มีโอกาสเดินกลับหอพักเองคนเดียวแบบไม่เร่งรีบหรือมีอะไรมากวนใจ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆทุ่มครึ่งแล้วบรรยากาศก็เลยยังไม่ดูเงียบมากเพราะหอพักของผมอยู่ใกล้กับสนามกีฬา จะมีก็แค่ช่วงทางเชื่อมระหว่างส่วนที่เป็นมหา’วิทยาลัยกับหอในเท่านั้นที่จะดูมืดๆเพราะถูกแต่งเป็นสวนเล็กๆ มีต้นไม้อยู่ตลอดสองข้างทาง การที่มีคนใส่ชุดนิสิตเต็มยศแบบเด็กปีหนึ่งมาเดินอยู่คนเดียวตอนนี้มันก็แอบหลอนเหมือนกัน
แกร๊ก…
ยังคิดได้ไม่ทันไรเลย อยู่ดีๆก็มีเงาตะคุ่มๆโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ตอนแรกผมตกใจแทบแย่นึกว่าจะเจอผีเข้าให้แล้วเชียว ดีนะที่พอจะมีแสงไฟสลัวๆส่องมาให้เห็นว่าเป็นร่างของคนต่างหาก
“ไอ้คนนี้เหรอวะ”
“เออ ไอ้เตี้ยนี่แหละ”
“…” ผมกำลังยืนงงไม่เข้าใจกับสิ่งที่สองคนกำลังคุยกัน จนกระทั่งใครร่างของทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้แล้วผมได้เห็นหน้าใครอีกคนชัดๆ
“ไอ้พี่ทอย…” อีกคนหนึ่งผมไม่รู้จักแต่อีกคนผมจำได้ดีเพราะพึ่งเจอกันเมื่อช่วงเย็นนี่เอง
“หึ…” เสียงกระตุกยิ้มมุมปากจากใครอีกคนดังมาให้ได้ยิน
“ได้ข่าวว่ามึงเปรี้ยวเหรอไอ้เตี้ย” ใครอีกคนที่ผมไม่รู้จักพูด
“…” ทั้งสองคนค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ในจังหวะเดียวกันร่างกายผมก็ก้าวเท้าถอยหลังอัตโนมัติ
“กลัวเหรอมึง ทีเมื่อตอนเย็นยังเห็นปากดีอยู่เลย” คราวนี้เป็นไอ้พี่ทอยที่พูดขึ้น
“กะ…กลัวอะไร ทำไมผมถึงต้องกลัว ก็พวกพี่ผิดจริงๆ พวกพี่มาว่าพี่ศรก่อนทำไมละ”
“กูจะว่ามันแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง มึงเป็นเมียมันหรือไง ทำไมกูจะว่าไม่ได้”
หมับ!
จนเมื่อผมถอยหลังมาจนสุดทาง หลังชนเขากับพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งไว้สูงจนเกือบถึงช่วงไหล่ ผมกำลังจะหันตัวหนีแต่ก็ถูกอีกฝ่ายจับข้อมือไว้แล้วออกแรกบีบแน่นซะก่อน
“ปล่อย! ผมเจ็บนะ”
“เจ็บสิดี เด็กปากดีแบบมึงต้องสั่งสอนให้รู้ซะมั้งว่าใครเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง” ว่าจบไอ้พี่ทอยก็ออกแรงบีบแรงขึ้น ยิ่งผมออกแรงขืนใครอีกคนก็ยิ่งบีบแรงขึ้นเป็นเท่าตัว
“นี่แนะ!”
“โอ้ย! ไอ้เด็กเชี่ยมึง…เตะกูเหรอ” เหตุการณ์มันจวนตัวจริงๆ ในเมื่อถูกรังแกผมก็ต้องปกป้องตัวเองสิ ก็ไอ้พวกพี่ทอยมันมารังแกผมก่อนทำไมเล่า
“มึงทำเพื่อนกูเหรอ”
ผลัก!
“โอ้ย!” น้ำตาผมแทบร่วงเพราะเพื่อนของไอ้พี่ทอยมันก็ตอบโต้เร็วพอกัน ร่างสูงของมันพุ่งเข้ามาผลักผมจนล้มลงแล้วยังเตะเข้ามาที่หน้าทองผมเต็มแรงจนจุกไปหมด เจ็บจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“มันเจ็บนะ” ผมเงยหน้าขึ้นประท้วงด้วยแววตาแข็งกร้าว
“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง ดูสิยังจะคิดหนีอยู่ไหม”
“โอ้ยยย!” แรงเหยียบจากรองเท้าคู่แพงกดลงมาที่ข้อเท้าข้างขวาของผมเต็มแรง ผมไม่สามารถตอบโต้ด้วยวิธีไหนๆได้เลยนอกจากตอนนี้ต้องนอนกุมท้องอยู่ด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ
“เป็นไงละมึงหมดฤทธิ์แล้วใช่ไหม”
“ให้กูกระทืบแม่งเลยไหมทอย”
“เดี๋ยวกูขอพูดอะไรกับเด็กมันก่อน”
“…”
“มึงนี่…ดูๆไปก็น่ารักดีนะ ตัวเล็กๆขาวๆ แต่โทษทีวะไม่ใช่แนวกู หรือว่าที่มึงมาออกตัวแทนไอ้ศรมันนี่เพราะมึงเป็นเด็กมันเหรอวะ ได้ข่าวว่าอยู่ห้องเดียวกันด้วยนี่ อะไรวะเด็กสมัยนี้พึ่งเข้าปีแรกก็มีผัวซะแล้วเหรอ”
“เลว”
“มึงว่าอะไรนะ”
“พวกพี่นะ เลว!”
“ปากดีนักนะมึง” ไม่พูดเปล่า แรงกดจากฝ่าเท้าหนาที่เหยียบข้อเท้าผมอยู่ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า มันเจ็บจนผมแทบจะร้องออกมา แต่ก็ต้องกลั่นเอาไว้ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้พวกมันเห็นหรอก
“ไอ้ศรมันมีดีอะไรนักหนา มึงถึงปกป้องมันนัก” ร่างของผมถูกกระชากให้ลุกขึ้นมา แต่อาการเจ็บที่ข้อเท้ามันมีมากเกินกว่าทีผมจะฝืนให้ยืนได้ ที่ยืนได้นั้นก็เพราะแรงดึงจากมือหนาของใครอีกคนที่จับคอเสื้อผมอยู่ตอนนี้ล้วนๆ
“พี่ศรนะเขาก็ดีกว่าพวกพี่ทุกอย่างนั้นแหละ เขายิงธนูก็เพราะเขาชอบและรักมันจริงๆ ไม่ได้ต้องการจะมาแข่งกับใคร พี่เขานะก็แค่ทำในสิ่งที่พี่เขารักเท่านั้น พี่เขารักการยิงธนูมากแล้วพี่เขาก็มุ่งมั่นกับมันมากๆด้วย แต่คนแบบพวกพี่คงไม่เข้าใจหรอกว่าคนแบบพี่ศรนะดีแค่ไหน พี่เขาส่งต่อกำลังใจให้คนที่ไม่เคยมีเป้าหมายอะไรในชีวิตให้มีกำลังใจในการค้นหาเป้าหมายในชีวิตให้เจอและเต็มที่ที่จะทำตามเป้าหมายนั้นอย่างไม่ยอมแพ้ คนแบบพวกพี่นะ ไม่มีทางเข้าใจหรอก”
“มึงนี่ท่าจะเป็นเอามากนะ ถ้ามันดีนักทำไมมันถึงเลิกยิงธนูไปซะละ ไอ้เชี่ยศรน่ะมันไม่ได้ดีอย่างที่มึงคิดหรอก มันก็แค่ไอ้คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
“ไม่จริงสักหน่อย ถึงพี่เขาจะเลิกยิงธนูแล้วก็เถอะ แต่ผมเชื่อว่า…เชื่อว่าพี่เขาต้องมีเหตุผล เหตุผลที่คนเลวๆแบบพวกพี่ไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“ปากดีนักนะมึง”
หมับ!
จังหวะนั้นเองที่ใครอีกคนที่มีสีหน้าโกรธจัดกำลังง้างมือขึ้นจะตบหน้าผม ตอนนั้นเองที่ผมคิดว่าคงต้องโดนมือหนาๆนั้นตบหน้าแน่ๆแล้วเลยเผลอหลับตาเอียงหน้าหลบ(แต่ยังไงก็คงหลบไม่พ้น) แต่เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะเหมือนจะนานเกินไปแล้วมือหนานั้นก็ยังไม่ตบลงมาสักที
“พะ…พี่ศร” พอลืมตาขึ้นมาดู ภาพที่เห็นทำให้หัวใจผมเต้นแรงอีกครั้ง ใครอีกคนที่เข้ามาช่วยผมไว้ ใครอีกคนที่กำลังจับมือหนาที่ง้างเตรียมจะตบผมไว้ได้ทัน ใครคนนั้นคือพี่ศร
“แกล้งเด็กแบบนี้ไม่แมนไปหน่อยหรือวะ” ฮือออ พี่เขาเท่ชะมัดเลย ผมรู้ว่าเวลาแบบนี้ไม่ควรจะมาทำตัวแบบนี้ แต่สายตาและสีหน้านิ่งๆของพี่เขานั้นมันทำให้ผมห้ามใจไว้ไม่ได้จริงๆ ก็พี่ศรน่ะเท่มากๆเลยนี่น่า
“มึงมาเสือกอะไรด้วยวะ อ๋อ…มาช่วยเมียว่างั้น”
“อ๊ะ…” ร่างผมร่วงลงมากองกับพื้นอีกครั้ง เพราะไอ้พี่ทอยมันปล่อยมือข้างที่กุมคอเสื้อผมออก
“ถ้ามีสมองคิดได้แค่นี้ กูว่าพวกมึงเอาเวลาไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับสมองพวกมึงเถอะวะ”
“ไอ้เชี่ยศรมึงด่าว่ากูไม่มีสมองเหรอ”
“ถ้าพวกมึงมีสมองก็คิดดูเอาเองแล้วกันว่าที่พวกมึงมารุมเด็กมันแบบนี้มึงฉลาดแล้วหรือไง คิดดูนะถ้าอาจารย์รู้ว่าปีสองมามีเรื่องกับปีหนึ่งมันก็แย่พออยู่แล้วนะ นี่พวกมึงยังเป็นนักกีฬาด้วยไม่ใช่เหรอวะ มึงอยากลองนึกภาพดูไหมละว่าถ้ากูไปบอกอาจารย์ขึ้นมาพวกมึงจะเป็นยังไง”
“เอาไงดีวะไอ้ทอย”
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” ไอ้พี่ทอยชี้หน้าพี่ศรอย่างคาดโทษก่อนจะยอมเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนอีกคนของเขา ตอนนี้ตรงนี้เหลือพี่ศรกับผมที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างหมดสภาพ ถึงจะรู้สึกอายชะมัดแต่ผมกลับยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว จะเป็นเพราะอะไรได้ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่มาช่วยผมคือพี่ศร แถมพี่เขาน่ะยังเท่สุดๆเลยไล่พวกไอ้พี่ทอยไปได้โดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลยสักนิด เห็นไหมละผมบอกแล้วว่าพี่ศรน่ะเท่ที่สุดแล้ว
“เจอมึงทีไรก็มีแต่เรื่องให้กูปวดหัว”
“ขอโทษครับ”
บรรยากาศรอบๆตัวตอนนี้โคตรอึดอัดชะมัด อึดอัดกว่าตอนมีเรื่องเมื่อกี้ซะอีก ตอนนี้พี่ศรนั่งย่อตัวลงมาก้มลงมองดูผม เป็นอีกครั้งที่ผมได้อยู่ใกล้ๆพี่เขาแบบนี้ หัวใจมันก็ยังเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาไม่เปลี่ยนเลย
“ลุกขึ้นยืนเองไหวไหม”
“ไหวครับไหว อ๊ะ!” อวดเก่งพูดออกไปแบบนั้น แต่สุดท้ายแค่แรงจะพยุงตัวขึ้นยังไม่มีเลย ข้อเท้าผมตอนนี้มันเป็นสีแดงปนช้ำไปหมด แค่ขยับนิดเดียวก็เจ็บจนเกือบจะร้องไห้แล้ว
“ทำเป็นเก่ง แล้วนี่มึงกำลังจะไปไหน”
“กะ…กลับหอครับ”
“งั้นก็ขี่หลังกูไปแล้วกัน”
“ครับ หะ…หา” ขี่หลังงั้นเหรอ ไม่นะ มันเร็วเกินไปแล้ว แค่อยู่ใกล้กันแบบนี้ผมก็ใจเต้นแรงมากแล้ว นี่ขี่หลังเลยเหรอไม่นะ ไม่ ผมต้องหยุดหายใจแน่ๆ
“หาอะไร บอกให้มานี่ขี่หลังกูไป กูจะหลับหอเหมือนกัน”
“…”
และแล้วผมก็ถูกพี่ศรจับตัวมาวางพาดไว้บนแผ่นลังของพี่เขาจนได้ ตอนแรกผมพยายามจะปฏิเสธแต่เหมือนโดนมนต์สะกดของพี่ศรเลย พอตัวผมสัมผัสเข้ากับแผ่นหลังของพี่เขาเท่านั้นผมก็กลายเป็นคนว่าง่ายไปเลย พี่ศรบอกให้เกาะแน่นๆผมก็ทำตามเขาอย่างไม่มีข้อแม้
ถึงวันนี้จะเกิดเรื่องแย่ๆ แต่การได้มาใกล้ชิดพี่ศรโดยที่ผมไม่ก่อเรื่องให้พี่เขาโกรธแถมยังได้มาขี่หลังพี่เขาแบบนี้ มันก็…รู้สึกดีชะมัดเลย
“มึงไปมีเรื่องกับสองคนนั้นได้ยังไง”
“ก็สองคนนั้นมันมาว่าพี่ก่อน”
“ว่ากู? ว่ากูแล้วมึงจะโกรธทำไม”
“ก็ที่พวกมันว่าพี่นะไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย ก็ในเมื่อพี่ไม่ได้เป็นแบบนั้นผมก็ต้องเถียงแทนพี่ แต่พวกนั้นน่ะเป็นอันธพาลถึงได้ตามมารังแกผม แต่ยังไง…ผม…ก็ขอบคุณพี่มากนะครับที่มาช่วย”
“อืม” พี่ศรเงียบไปสักพักก่อนจะตอบออกมา ตอนแรกผมคิดว่าพี่ศรจะโกรธผมอีกแล้ว ก็เล่นเงียบไปแบบนั้นใจคอไม่ดีเลย
“พี่โกรธผมหรือเปล่าที่ผมเข้าไปยุ่งกับเรื่องของพี่ แถมยังมีเรื่องจนพี่ต้องมาช่วยผมแบบนี้อีก”
“กูจะไปโกรธมึงได้ยังไงละ อีกอย่างต่อให้ไม่ใช่มึง มาเจอแบบนี้กูก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
“ผมดีใจที่พี่คิดแบบนั้นนะครับ” แต่ผมก็อยากให้คนที่พี่ช่วย คนที่พี่ยอมให้ขี่หลังเป็นผมตลอดเลย คิดอะไรเพ้อเจ้อจนเผลอยิ้มกว้างและกระชับวงแขนกอดพี่เขาแน่นขึ้น เหมือนพี่ศรจะรู้ตัวเหมือนกันพี่เขาถึงได้นิ่งไปพักนึง เห็นแบบนั้นผมเลยคลายแรงกอดคอพี่เขาออกแต่พี่ศรก็ดึงมือผมให้กอดคอเขาไว้ตามเดิมก่อนจะก้าวเดินต่อ อากาศเริ่มเย็นลงแล้วท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีแดงบ่งบอกว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้า
“ไอ้ปุณย์”
“ครับ”
“ขอบคุณมึงมากนะที่เข้าใจกู ขอบคุณมึงมากๆที่ปกป้องกู ไม่คิดเหมือนกันว่าชีวิตนี้จะได้มาเจอคนแบบมึงด้วย”
ครืดดดด…
“พี่ว่าอะไรนะครับ เมื่อกี้เสียงฟ้าร้องดังมากผมฟังไม่ค่อยได้ยินเลย” ผมชะโงกหน้าไปถามใกล้ๆ พี่ศรไม่ได้ตอบอะไรเอาแต่ยิ้มมุมปากอยู่คนเดียว ผมทำอะไรเด๋อๆอีกแล้วหรือเปล่านะ
“พี่ศรครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่ถามว่าขามึงเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่ค่อยเจ็บแล้วนะครับ ทำไม พี่เหนื่อยแล้วเหรอครับ? ถ้าพี่เหนื่อยให้ผมลงเดินเองก็ได้นะครับ” พี่ศรไม่ตอบหรือพูดอะไร แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นแรงกระชับดันตัวผมให้เกาะหลังพี่เขาแน่นขึ้นแทน
“ไม่ใช่ ที่กูถามก็แค่…ถ้ามึงยังไม่หายเจ็บ ไว้ถึงห้องกูจะช่วย…ทายาให้”
“…ครับ”
อ๊ากกก! รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองหน้าแดงขนาดไหน เรื่องไม่ดีที่เจอมาวันนี้ไม่มีความหมายอะไรกับผมเลย ก็ในเมื่อตอนนี้ผมได้มาอยู่ใกล้ๆพี่ศรแล้วนี่ ว่าแต่ทำไมวันนี้พี่ศรน่ารักจังเลยนะ มาช่วยผมไว้ยังไม่พอ นี่ให้ทั้งขี่หลังแถมจะช่วยทายาให้ผมอีก วันนี้เป็นวันที่ดีมากๆจริงๆ อย่างน้อยๆความสัมพันธ์ของผมกับพี่ศรก็เริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยๆเวลาเจอหน้ากันพี่เขาก็ไม่ได้โกรธแล้วก็เดินหนีผมไปอีก
ฮือๆ ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย!
#รักตรงเป้า
-
4th Shoot
ในวันที่ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม
จริงๆแล้วถ้าเราได้ใกล้ชิดกับใครสักคนที่เรา…รู้สึกดีด้วย เราก็ควรจะมีความสุขไม่ใช่เหรอครับ ยิ่งบรรยากาศรอบๆที่เงียบสงัดจนได้ยินแค่เสียงลมหายใจของกันและกันดังสลับกับเสียงฝีเท้าของคนที่ผมกำลังขี่หลังเขาอยู่ตอนนี้ ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมันควรจะทำให้ผมรู้สึกดีไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมกันนะหัวใจผมถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ มันเต้นแรงจนทำให้ผมตื่นเต้น ตื่นเต้นจนลืมความรู้สึกอื่นๆไปหมดเลย
“เอ่อ…พี่ศรครับ”
“…”
“ผมเดินเองก็ได้นะครับ จริงๆขาผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” พูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่จริงแล้วในใจผมตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงอย่างที่พูดได้หรือเปล่า ขาผมตอนนี้มันเจ็บจนชาไปหมดแล้ว อย่าว่าแต่เดินเลย จะประคองตัวเองให้ยืนอยู่ได้ถึงสามวินาทีได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย แต่ยังไงเดินไปเองมันก็ดีกว่าขี่หลังพี่ศรแบบนี้แน่ๆ
ก็เพราะถ้าใจเต้นแรงแบบนี้ ถ้ายังขืนชี่หลังพี่เขาต่อไปหัวใจผมอาจจะหยุดเต้นเอาดื้อๆก็ได้
“ขามึงเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ แบบนี้แล้วจะลงเดินเองได้ยังไง”
“มันก็…ดีขึ้นแล้วล่ะครับ น่าจะพอเดินได้เองแล้ว พี่ปล่อยผมลงเถอะนะครับ” แต่ถึงจะยืนยันว่าผมอยากจะลงเดินเองมากแค่ไหน พี่ศรก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมให้ผมลงเดินเองเลย
“กูรู้ว่ามึงมันเก่ง แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาอวดเก่งหรอกนะ ขาเจ็บก็อยู่นิ่งๆไปนั้นแหละ”
“แต่ว่า…”
หมับ!
แรงกระชับดันตัวผมให้อยู่ในท่าที่พี่ศรสามารถแบกผมขี่หลังไว้ได้ง่ายๆทำให้เสียงของผมที่กำลังจะเอ่ยถามขาดหายไป ตอนแรกผมก็แอบขัดใจอยู่บ้างที่ต้องถูกพี่ศรแบกไว้บนหลังแบบนี้ ก็จะทำยังไงได้ละก็ในเมื่ออยู่ใกล้พี่ศรทีไรใจผมก็เต้นแรงทุกทีนี่น่า แต่ว่า…ถ้าพี่ศรยืนยันจะให้ผมขี่หลังกลับห้องแบบนี้ ผมก็…ขอใช้โอกาสนี้ให้คุ้มหน่อยแล้วกัน
แอบยิ้มอยู่คนเดียวในท่าทางที่ถูกพี่ศรแบกไว้บนหลังแบบนี้มาจนถึงห้องพัก ระยะทางมาที่ห้องของผมดูสั้นลงไปถนัดตาเมื่อผมตกอยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุขแบบนี้ จริงๆที่ผมตัดสินใจมาเรียนที่นี่คิดไว้แค่ว่าจะได้มาเห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้งก็แค่นั้น ถึงแม้ผมจะยังไม่ได้เห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่การที่ได้มารู้จักพี่ศร ได้มาอยู่ห้องเดียวกันแถมยังได้ใกล้ชิดพี่เขาแบบนี้ ทั้งหมดมันเกินกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก
แต่…ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้ ถ้าผมไม่ทำตัววุ่นวายให้พี่เขาไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เฮ้อ! พูดแล้วก็เศร้าใจชะมัด
“ถึงห้องแล้วจะลงได้หรือยัง” เสียงพี่ศรเอ่ยถามขึ้น
“…”
“เฮ้ย! ไอ้ตัวเล็ก มึงหลับเปล่าเนี่ย”
“หะ…หา ไม่ครับ ไม่ได้หลับ” เปล่าหลับสักหน่อย ก็คนแค่กำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย ก็แค่นั้นเอง
“ถึงห้องแล้ว”
“ขอบคุณนะครับ” ผมเอ่ยคำขอบคุณออกไปหลังจากพี่ศรวางตัวผมลงบนเตียงนอนของผมแล้ว ยังคงก้มหน้าหลบสายตาพี่เขาอยู่อย่างเคย ลองแอบเงยหน้าขึ้นมองก็เจอเข้ากับสายตานิ่งๆของพี่ศรที่มองมามันทำให้ผมรู้สึกตัวเล็กลงไปเยอะเลยทีเดียว ทุกๆอย่างที่ผมทำมันคงจะทำให้พี่เขาเกลียดผมมากแน่ๆ
ทั้งผมทั้งพี่ศรต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน บรรยากาศในห้องตอนนี้โคตรอึดอัดชะมัด
“กู…ขอบคุณมึงนะ”
“คะ…ครับ?”
“ขอบคุณอีกครั้งที่มึงโกรธแทนกู แต่จะให้ดีกว่านี้คราวหลังไม่ต้องไปยุ่งกับไอ้พวกนั้นแล้วนะ อยู่ห่างๆพวกมันไว้ มึงเป็นนักวิ่งไม่ใช่เหรอ คราวหลังถ้าเจอพวกมันก็วิ่งหนีให้ไกลแล้วกัน ถ้าไม่รู้จะวิ่งไปไหนก็…วิ่งมาหากูก็ได้”
“พะ…พี่ศร” ผมแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อกี้เลย เงยหน้าขึ้นมองพี่ศรตอนนี้สีหน้าของพี่เขาก็ยังคงเรียบนิ่งอย่างเคย แต่แววตาที่มองมาที่ผมนั้น ผมสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่สายตาของคนที่เกลียดชังกัน มาถึงตอนนี้ผมเริ่มจะคิดแล้วว่าพี่เขาน่ะจริงๆแล้วอาจจะไม่ได้เกลียดเราสักหน่อย ใช่! มันควรจะเป็นแบบนั้นสินะ ถ้าให้เลือกผมก็ขอคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนแล้วกัน
แต่ทำไมน่ะ แค่คิดว่าพี่เขาไม่ได้เกลียดผม น้ำตามันถึงไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งๆที่พี่เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย บางทีผมอาจจะแค่คิดไปเองคนเดียวก็ได้
“ฮึก…”
“มึง…มึงร้องไห้เหรอ กู…กูพูดอะไรผิดหรือเปล่า”
“ไม่ครับไม่ ผมก็แค่…ดีใจที่พี่เป็นห่วงผม ผม..ผมนึกว่าพี่จะโกรธจะเกลียดที่ผมทำตัวไม่ดีกับพี่ซะอีก”
“กูจะไปเกลียดมึงเรื่องอะไร ถึงมึงจะเป็นเด็กแปลกๆกว่าใครๆที่กูเคยเจอก็เหอะ แต่เชื่อเหอะกูไม่ได้เกลียดมึงหรอก”
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ ฮึก!” ยอมรับว่าตอนนี้ผมดีใจมากๆ มากจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ผมกลัวมาตลอดว่าพี่ศรจะโกรธ จะเกลียดผมไปซะแล้ว แต่ว่าวันนี้พี่ศรเป็นห่วงผมมันทำให้ผมดีใจมากจริงๆ
“เลิกร้องได้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กขี้แยไปได้ เดี๋ยวกูไปเอาผ้ากับน้ำมาให้มึงเช็ดตัวแล้วกัน ดูท่าจะอาบน้ำไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเช็ดตัวแล้วกูจะทำแผลทายาให้”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
จากนั้นพี่ศรก็หายเข้าไปในห้องน้ำก่อนที่สักพักจะกลับออกมาพร้อมถังน้ำใบเล็กกับผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กที่ถูกบิดน้ำไว้แล้วอย่างหมาดๆ ตอนแรกพี่ศรจะเป็นคนเช็ดตัวให้ผมเอง แต่ผมยืนกรานว่าจะขอเช็ดเองดีกว่าพี่ศรถึงได้ยอมให้ผมทำเอง ก็ใครจะไปกล้าให้พี่เขาทำแบบนั้นกันเล่า แค่นี้ผมก็หน้าแดงจะแย่แล้วนะ ก่อนที่พี่เขาจะแยกตัวไปอาบน้ำก็ไม่ลืมที่จะกำชับกับผมว่าจะออกมาทำแผลและทายาให้ซึ่งผมก็ยังคงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเหงือนเคย
ข้างนอกห้องตอนนี้ดูเหมือนฝนจะตกหนักมากๆ บรรยากาศตอนนี้ก็น่านอนชะมัด ผมที่เช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พี่ศรหยิบมาวางไว้ให้เรียบร้อยแล้วก็จัดแจงเอนตัวลงนอนระหว่างรอพี่ศรอาบน้ำเสร็จ ผมยิ้มกับตัวเองอย่างลืมตัวพอคิดไปว่าวันนี้พี่ศรน่ะเป็นหวงผมด้วยแหละแถมยังขอบคุณผมตั้งสองครั้งแนะ เจ็บตัวแค่นี้กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยถ้าจะแลกกับการที่ทำให้รู้ว่าใครอีกคนไม่ได้โกรธผมแล้ว
-
แต่เชื่อเถอะครับ ต่อให้เอาความสุขทั้งหมดหรือแม้แต่อาการเขินอายทั้งหมดของผมที่มีขึ้นทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้พี่ศรทั้งวันมารวมกัน มันยังไม่มากเท่าอาการที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เลย ภาพของใครอีกคนที่ผมเคยเฝ้ามองเขาผ่านหน้าจอทีวี ผ่านภาพถ่ายในกลุ่มแฟนคลับของพี่เขา เฝ้ามองอยู่เงียบๆคนเดียวอยู่ในอีกที่ที่ไกลแสนไกลจากพี่เขา แต่ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งผมจะได้มาอยู่ใกล้กับพี่เขาแบบนี้ ใบหน้าของพี่ศรที่กำลังทายาให้ผมตอนนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนอื่นๆของพี่เขาเลย ไม่รู้จะทำหน้าขรึมไปถึงไหน ไม่รู้ว่าพี่เขาเคยยิ้มเหมือนคนอื่นเขาบ้างหรือเปล่านะ แต่ก็ช่างเหอะ ยังไงสำหรับผมแล้วพี่ศรจะทำหน้าแบบไหนมันก็ดูดีที่สุดสำหรับผมอยู่ดี นี่สินะการแอบชอบ ไม่ว่าคนที่เราชอบจะทำอะไร ในสายตาของเราแล้วมันก็ดูดีทั้งนั้น
“จ้องจนกูจะท้องแล้วมั้ง”
“อะ…อะไร ผม…ผมไม่ได้จ้องพี่สักหน่อย”
“ก็เห็นอยู่ว่ามึงจ้อง”
“ก็…” ความจริงก็คือความจริง ในเมื่อผมจ้องพี่เขาจริงๆสุดท้ายแล้วผมก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัว ได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาอย่างสู้ไม่ได้
“ทำแผล ทายาเสร็จแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
“คราวหลังก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ใช้ความสามารถนักวิ่งของมึงให้เป็นประโยชน์หน่อย ถ้าเจอก็วิ่งหนีไปเลยไม่ต้องไปสนใจพวกมัน”
“ก็ถ้าพวกมันไม่มาพูดถึงพี่เสียๆหายๆแบบนั้นผมก็ไม่ไปยุ่งกับพวกมันหรอกครับ”
“เฮ้อ! มึงนี่ดื้อเหมือนกันนะไอ้ตัวเล็ก กูรู้ว่ามึงมันเก่ง แต่ตัวเล็กๆแบบมึงเนี่ยอย่าไปมีเรื่องกับใครเลย กูขึ้เกียจไปช่วยอีก”
“…”
“ถือว่ากูขอร้องแล้วกัน คราวหลังถ้ามันมาหาเรื่องมึงอีกก็ใช้ความเป็นนักกีฬากรีฑาของมึงให้เป็นประโยชน์ กูขี้เกียจเป็นห่วง”
ถึงตอนนี้ผมพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายอีกครั้ง รู้สึกจะเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ได้ยินคำว่าเป็นห่วงจากปากพี่ศร แต่พี่ศรจะพูดอีกกี่ครั้งผมก็คงไม่มีวันเบื่อ มันรู้สึกดีจริงๆนะที่พี่เขา…เป็นห่วงผม
“นอนพักได้แล้วพรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่หรือไง”
“พี่รู้ได้ยังไง”
“ก็กูเห็นในตารางเรียนที่มึงแปะไว้หัวเตียงนี่ไง นอนพักซะไว้พรุ่งนี้…กูจะไปส่ง”
“ครับ?”
“กูบอกว่ากูจะไปส่ง สภาพมึงเป็นแบบนี้คงไม่คิดจะเดินไปเรียนเองหรอกใช่ไหม”
“ก็…”
สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป พวกเราสองคนต่างนิ่งเงียบ จะมีก็แต่พี่ศรที่ส่งสายตากดดันมองผมอยู่สักพักก่อนที่พี่เขาจะลุกขึ้นปิดไฟในห้องจนหมด เหลือแค่แสงสว่างจากโคมไฟใบเล็กตรงโต๊ะอ่านหนังสือ ภาพของพี่ศรที่กำลังนั่งอ่านหนังสือหันหลังให้ผมในวันนี้มันต่างออกไปจากทุกๆวันที่ผ่านมา วันนี้พี่ศรไม่ได้หน้าบึ้ง ไม่ได้รำคาญหรือหงุดหงิดใส่ผมเหมือนอย่างเคย ผมอยากจะมองพี่เขาอยู่แบบนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความอ่อนล้าจากการที่ถูกทำร้ายร่างกายมาบวกกับบรรยากาศในวันฝนตกแบบนี้ก็ทำให้ผมหลับตาลงและค่อยๆผ่อนลมหายใจหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
แค่รู้ว่าพรุ่งนี้พี่ศรจะไปส่งผมที่ชั้นเรียนด้วย แค่นี้ผมก็หลับฝันดีไปทั้งคืนแล้ว
เสียงรถทีแล่นอยู่ในถนนใหญ่ไม่ไกล เสียงพูดคุยจากห้องข้างๆดังเข้ามาปลุกผมในเช้าวันใหม่ ผมรับรู้ได้ทันทีที่รู้สึกตัวว่าตอนนี้ร่างกายผมกำลังแย่มากๆ แค่ขยับนิดเดียวก็รู้สึกปวดไปทั้งตัวเลย
“อ๊า…” ดูเหมือนจุดที่เจ็บที่สุดคงจะเป็นข้อเท้าผมที่ถูกไอ้พวกอันธพาลนั้นเหยียบเข้าเต็มแรง
“ตื่นแล้วเหรอ กำลังจะปลุกพอดีเลย”
“เฮ้ย! พี่…พี่จะทำอะไรน่ะ” ผมตกใจจนเผลอร้องออกมาเสียงดังลั่นห้องเพราะเมื่อลืมตาขึ้นมาตามเสียงเรียกก็เจอเข้ากับหน้าหนึ่งๆของพี่ศรอยู่ใกล้จนจมูกเราจะชนกันอยู่แล้ว แถมตอนนี้พี่ศรน่ะยังไม่ได้ใส่เสื้ออีกต่างหาก มีแค่ผ้าเช็ดตัวพาดบ่าไว้อย่างหมิ่นเหม่แค่นั้น ยอมรับว่านี่มันเป็นสัญญาณที่ดีที่พี่ศรเริ่มทำตัวปกติกับผมแล้ว พวกเราเริ่มคุยกับอย่างคนปกติทั่วไป ไม่ใช่คนสองคนที่เจอหน้ากันทีไรก็ทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด ซึ่งแน่นอนครับคนที่หงุดหงิดส่วนใหญ่จะเป็นพี่ศรและที่แน่นอนกว่านั้นคืนคนที่ทำให้พี่เขาหงุดหงิดก็คือผมเอง แต่ตื่นมาแล้วเจออีกคนถอดเสื้ออยู่ตรงหน้าแบบนั้น บางทีผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะ
“ทำอะไร กูก็แค่จะมาปลุกมึง ลุกไหวเปล่า? อาการมึงดูแย่ๆนะหน้าแดงเชียว ถ้าไม่ไหวก็โทรบอกเพื่อนมึงให้ลาให้ก็ได้นะ”
“ไม่ครับ ผมไหวครับ ผมไหว”
“เออๆ ไหวก็ไหว งั้นก็ไปอาบน้ำไป กูจะไปแต่งตัวรอ”
“รอ?”
“ก็กูบอกว่ากูจะไปส่ง มึงลืมไปแล้วหรือไง”
“อ๋อ เอ่อคือ...ไม่ได้ลืมครับ แต่ว่าพี่ศรครับ”
“หือ?”
“ผมว่าผมไปเองดีกว่าครับ พี่ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ครับ คือผม…ผมเกรงใจ”
“ฟังนะไอ้เตี้ย กูรู้ว่ามึงมันเก่ง แต่ดูสภาพมึงตอนนี้ก่อนเถอะ กูบอกให้ลาก็ไม่ยอม ให้กูไปส่งนี่แหละอย่าดื้อ”
“แต่…”
“นี่ไอ้เด็กเตี้ย บอกว่าอย่าดื้อไง ที่จริง…เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกู ถือว่าให้กูได้ตอบแทนมึงแล้วกัน ตอบแทนที่มึงปกป้องกูจนต้องเป็นแบบนี้”
“พี่ศร…”
“แต่ครั้งหน้าถ้าจะให้ดีมึงอย่าลืมที่กูบอกแล้วกัน วิ่งให้เร็วที่สุด ถึงขามึงจะสั้นไปหน่อยแต่ยังไงมึงก็เป็นนักวิ่ง ขาสั้นๆนั้นมันก็คงจะมีประโยชน์บ้างแหละ”
“…” รู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าเลย ไอ้พี่ศรบ้าคนกำลังจะซึ้งอยู่แล้วเชียว
พอพี่ศรพูดออกมาแบบนั้นผมก็จนปัญญาที่จะพูดต่อ ยอมรับว่าผมน่ะโคตรจะเกรงใจพี่เขาเลยที่จะต้องให้พี่เขาไปส่งผมในสภาพแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคงจะทำให้พี่เขาลำบากน่าดู แต่ถ้าจะให้ลาผมก็ทำไม่ได้ ก็ผมพึ่งจะมาเรียนได้ไม่มี่วันเองจะให้ลาได้ยังไงละ เอาเป็นว่าผมจะพยายามเดินด้วยตัวเองให้มากที่สุด ผมจะพยายามทำตัวให้เป็นภาระพี่ศรน้อยที่สุดแล้วกันนะ
แต่สุดท้ายแล้วความจริงกับความคิดคนเราบางทีมันก็สวนทางกันเสมอแหละครับ ทั้งที่ตั้งใจไว้ดิบดีแล้วว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระของพี่ศรเด็ดขาด แต่พอเอาเข้าจริงก็…ไม่รอด ผมโดนพี่ศรจับให้ขี่หลังตั้งแต่ออกจากห้องไม่ถึงสามก้าว จริงๆขาของผมมันก็พอจะยืนและเดินได้ตัวเองอยู่หรอกนะ แต่อาจจะลำบากนิดนึงก็แค่นั้นเอง พี่ศรนั้นแหละที่ไม่ยอมฟังผมเลย ผมบอกว่าเดินเองได้พี่เขาก็จะให้ขี่หลังไปอยู่นั้นแหละ แถมยังบอกผมอีกว่าไม่ยอมจะขังไว้ในห้องไม่ให้ไปเรียนอีก
เหอะ! คนอะไรชอบทำหน้านิ่งๆแล้วยังทำตัวดุอีก อันที่จริงขี่หลังพี่ศรไปมันก็ดีอยู่หรอก กลัวก็แต่ใจผมเองนี่แหละ ไม่รู้มันจะเต้นแรงไปถึงไหน กลัวว่าพี่ศรจะรู้ว่าผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้พี่เขาแบบนี้
“จะถึงคณะแล้ว เดี๋ยวถ้าถึงตึกเรียนแล้ว ผมขอลงเดินเองนะครับ”
“ทำไมละ มึงจะเดินไหวเหรอ ก็เรียนอยู่ตึกเดียวกันให้กูไปส่งที่ห้องนั้นแหละดีแล้ว”
“จะดีเหรอครับ”
“ทำไมจะไม่ดีวะ ก็มึงสภาพแบบนี้จะไปเองได้ยังไง ให้กูไปส่งมันจะไม่ดีตรงไหน
“…” ก็ไม่ดีตรงที่ใจผมนี่แหละครับ แค่นี้ใจผมก็เต้นแรงจนจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
และผมก็อยู่ในท่าขี่หลังพี่ศรแบบนั้นตั้งแต่หอพักมาจนถึงตึกคณะ ตลอดทางคนมองพวกผมเป็นสายตาเดียวกันหมดเลย ผมอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว จากที่ฟังเจนกับเจสสิก้าเล่ามาพี่ศรเนี่ยโคตรจะเป็นหนุ่มฮอตของที่นี่เลยนะ นี่ขนาดพี่แกชอบทำแต่หน้านิ่งๆไม่พูดไม่จากับใครยังมีสาวๆมาแอบปลื้มขนาดนี้ แล้ววันนี้อยู่ดีๆมีไอ้คนขาเป๋แบบผมที่โผล่มาจากไหนไม่รู้อยู่ดีๆก็ได้มาขี่หลังพี่เขา ไม่แปลกหรอกที่คนต่างพากันมองมาเป็นตาเดียวแบบนั้น
“เอ่อพี่ศรครับ คนเริ่มเยอะแล้วจะไม่ให้ผมเดินไปเองจริงๆเหรอครับ”
“คนเยอะแล้วไง กูไม่ได้รู้จักใครสักหน่อย”
อ้าว! ซะงั้น ขรึมเก่งไม่พอยังไม่สนโลกไปอีก พี่น่ะมันไม่เท่าไหร่หรอกเพราะมีแต่สายตาหยาดเยิ้มมองมาทางพี่ แต่ผมเนี่ย ผมเนี่ยจะเป็นคนตาย สายตาแต่ละคนที่มองมายังกับว่าจะเข้ามาบีบคอผมซะให้ได้
“เฮ้ย! ไอ้ศรมาทำอะไรแต่เช้า…ไอ้ปุณย์ตัวแสบมึงมาอยู่กับไอ้ศรมันได้ยังไง แล้วนี่มึงสองคน…” คำถามถูกยิงรัวมาจากพี่แทนที่พวกผมบังเอิญมาเจอเข้าก่อนทางขึ้นลิฟต์ สายตาไม่เข้าใจของไอ้พี่แทนที่มองมาทำให้ผมต้องรีบอธิบาย
“พี่แทนคือว่า…”
“ไอ้เด็กนี่มันขาเจ็บเดินไม่ไหว กูก็เลยเอามันมาส่งห้องเรียน ไม่อยากให้มันขาดเรียนก็แค่นั้น”
“จริงเหรอวะ” พี่แทนหันมาถามผม
“จริงครับ” ผมพยักหน้าเบาๆรับคำถาม
“ไหนกูขอดูหน่อย”
“โอ้ย!” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดังอีกครั้งเพราะไอ้พี่แทนมันเล่นจับเข้าที่ข้อเท้าผมเต็มแรง ไอ้พี่แทนบ้า รู้ว่าพี่มันบ้าพลัง แรงเยอะ แต่นี่คนกำลังบาดเจ็บอยู่นะโว้ย เบาๆมือหน่อยไม่ได้หรือไง
“ไอ้แทนมึงระวังหน่อยสิวะ ก็บอกอยู่ว่าเด็กมันเจ็บขา” เป็นพี่ศรที่พูดเอ็ดพี่แทนเข้าให้พร้อมทั้งยังเอียงตัวหลบไม่ให้พี่แทนมารุ่มร่ามกับข้อเท้าผมอีก
“เออq…กูขอโทษ ว่าแต่มึงไปโดนอะไรมาวะไอ้ปุณย์ เมื่อวานตอนแยกกันมึงยังดีๆอยู่เลย อย่าบอกนะว่า…”
แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ไอ้พี่แทนฟัง ระหว่างนั้นพี่ศรก็พาตัวผมขี่หลังเดินไปห้องเรียนไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยมีพี่แทนเดินตามมาไม่ห่าง
“สัสเอ้ยไอ้พวกเวร เมื่อวานกูน่าจะอัดมันแม่งที่ร้านเลย ไม่คิดว่ามันจะเป็นหมาลอบกัดแบบนี้ เจ็บใจชะมัดไอ้พวกเลวเอ้ย” พอเล่าเรื่องทั้งหมดจบแล้วดูเหมือนไอ้พี่แทนจะออกตัวโกรธมากกว่าผมซะอีก
“น้อยๆหน่อยเถอะมึงไอ้แทน คนเจ็บเขายังไม่เห็นจะโกรธอะไรเลย” พี่ศรว่า
“ไม่ได้ดิวะ มึงจะปล่อยให้มันมาทำน้องกูได้ยังไง แล้วไอ้ปุณย์มันก็เป็นน้องเมทมึงด้วยนะไอ้ศร มึงไม่โกรธอะไรบ้างเหรอวะ”
“โกรธแล้วไงวะ มึงจะให้กูไปกระทืบพวกมันเป็นเพื่อนมึงงั้นเหรอ กระทืบกันไปกระทืบกันมาไม่จบไม่สิ้น”
“แต่ว่า…” พี่แทนทำท่าจะพูดต่อ
“ผมไม่เป็นไรแล้วครับพี่แทน ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ คราวหลังผมจะระวังให้มากกว่านี้นะครับ”
“มึงเอาเบอร์มึงมาเลยนะไอ้ปุณย์ คราวหลังถ้าพวกมันมาหาเรื่องมึงอีกมึงต้องรีบบอกกูเลยเข้าใจไหม ถ้าพวกมันไม่จบกูจะอัดมันให้มึงเอง เข้าใจที่กูพูดปะเนี่ย”
“เข้าใจครับเข้าใจ” ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆให้กับความโอเวอร์ของไอ้พี่แทนมัน จำเป็นต้องจริงจังอะไรขนาดนั้นไหมเนี่ย
“ว่าแต่มึงเถอะไอ้ศร” พี่แทนหันไปพูดกับพี่ศร ตอนนี้พี่ศรยอมวางผมลงจากหลังพี่เขาแล้ว ผมลองยืนด้วยตัวเองยังรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าอยู่ก็เลยต้องใช้มืออีกข้างค้ำยันตัวเองกับผนังห้องไว้ พวกเรามาถึงหน้าห้องเรียนของผมที่ชั้นสามแล้ว ตอนนี้ในห้องเรียนยังไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่ เจนกับเจสสิก้าก็ยังไม่มา แต่ก็มีเพื่อนๆปีหนึ่งของผมทยอยมากันบ้างแล้ว
“กูทำไม” พี่ศรทำหน้าสงสัย
“ทีแรกกูคิดว่ามึงจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้ปุณย์มันซะอีก เห็นเด็กคนไหนมาวอแวกับมึงมึงก็ไม่พอใจเขาไปซะะหมด แต่วันนี้เห็นมึงดูแลน้องมันดีขนาดนี้กูก็สบายใจ จะได้มีคู่กับเขาสักทีนะมึง”
“…” ผมกับพี่ศรต่างนิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไร คะ…คู่เหรอ คู่บ้าอะไรของพี่แทนกันเล่า
“คู่เชี่ยอะไรของมึง” เป็นพี่ศรที่พูดขึ้นทำลายความเงียบนี้
“ก็คู่เมทไงวะมึงคิดว่าคู่อะไร ตอนแรกกูคิดว่าไอ้ปุณย์มันจะไม่รอดซะแล้ว ยังแอบเครียดอยู่เลยว่าถ้ามึงเกิดแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาอีกกูจะให้มันไปอยู่ห้องใครดี แต่เห็นมึงเข้ากับน้องมันได้ดีแถมยังดูแลน้องมันดีขนาดนี้กูก็สบายใจ” ว่าจบพี่แทนก็ยกมือขึ้นตบไหล่พวกผมสองคนเบาๆ พี่ศรรีบปัดมือพี่แทนออกอย่างรำคาญ ผมแอบเงยหน้าขึ้นมองพี่ศรตอนนี้พี่เขาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาให้เดาได้เลย ไม่รู้พี่เขาจะโกรธหรือเปล่านะที่ถูกแซวแบบนั้น
“กูก็ต้องดูแลมันอยู่แล้วเปล่าวะ ก็มันเป็น…น้องเมทกู”
“เออ ก็ดีแล้วไง กูจะได้หายห่วง”
และในจังหวะที่พวกผมสามคนกำลังคุยกันอยู่นั้น บุคคลที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้งกลับปรากฏตัวขึ้น คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามามาหยุดยืนมองพวกผมอยู่ไม่ไกล ผมมองแค่เพียงแว๊บเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร ทำไมผมจะจำพวกมันไม่ได้ ก็ในเมื่อพวกมันพึ่งรุมทำร้ายผมมาเมื่อวานนี้เอง
“นี่พวกมึงยังกล้าเสนอหน้ามาอีกเหรอวะ” เป็นเสียงของพี่แทนที่ตวาดดังขึ้น ดังจนสามารถดึงความสนใจของผู้คนรอบข้างให้หันมามอง
“พี่แทนใจเย็นๆก่อน” ผมร้องห้าม อยากจะคว้าข้อมือพี่มันไว้เพราะไอ้พี่แทนมันทำท่าทางโกรธมากจริงๆ โกรธจนจะพุ่งใส่พวกพี่เบสกับไอ้พี่ทอยแล้วก็เพื่อนมันอีกคนที่ทำร้ายผมเมื่อวานนี้อยู่แล้ว
“สัสเอ้ย!”
“ใจเย็นก่อนไอ้แทน” โชคดีพี่ศรคว้าข้อมือพี่แทนเอาไว้ได้ทันซะก่อน ถ้าไม่จับไว้งานนี้มีปะทะแน่ๆ
“พวกมึงแม่งทำเด็กไม่มีทางสู้ได้ยังไงวะ พวกมึงยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า ถ้าพวกมึงอยากมีเรื่องกันนักมามีกับกูนี่ไม่ใช่ไปทำไอ้ปุณย์แบบนั้น มึงแหกตาดูตัวมันกับตัวพวกมึงด้วย ทำคนตัวเล็กกว่าไม่มีทางสู้มึงภูมิใจนักหรือไงวะ” ถึงจะถูกพี่ศรห้ามไว้แต่พี่แทนก็ยังไม่หยุดด่า กลุ่มของพวกไอ้พี่เบสไอ้พี่ทอยตอนนี้ก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงหรือตอบโต้อะไร ไอ้คนที่ชื่อพี่เบสนี่ยิ่งแล้วใหญ่ หน้าพี่มันแม่งโคตรนิ่งไร้ความรู้สึกไม่ต่างจากพี่ศรเลย แต่จะไม่เหมือนกันก็แค่แววตาของพี่เบสมันน่ากลัวชะมัด ส่วนไอ้พี่ทอยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มาทำร้ายผมเมื่อวานตอนนี้มีสีหน้าวิตกกังวลอย่าเห็นได้ชัด
“กูมาขอโทษ” เป็นไอ้พี่เบสที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้านิ่งเฉย
“มึงว่าอะไรนะ” พี่แทนถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู
“กูบอกว่ากูมาขอโทษ เมื่อวานเพื่อนกูทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ปรึกษากูก่อน กูก็เลยมาขอโทษ”
“เหอะ พูดง่ายเนอะมึง มึงก็อ้างได้สิว่ามึงไม่รู้ แต่ความจริงมึงอาจจะอยู่เบื้องหลังไอ้หน้าตัวเมียสองตัวนั้นก็ได้”
“มึง!” พอพี่แทนพูดแบบนั้น ไอ้พี่ทอยเหมือนจะฟิวส์ขาดขึ้นมาทันที ผมคิดว่าพี่ทอยกับพี่แทนจะมีเรื่องกันซะแล้ว แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะทันทีที่พี่ทอยหันมาเจอกับสายตานิ่งๆของพี่เบสเข้า พี่ทอยมันก็ดูสงบลงไปทันที
“กูก็แค่มาขอโทษเด็กนั้น” พี่เบสว่าต่อ “ส่วนมึงจะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของมึง”
“ถุย มึงก็พูดได้ดิ ใครจะไปเชื่อว่าคนอย่างมึงจะมาขอโทษ”
“กูไม่ได้มาขอโทษให้ตัวกูเอง แต่กูมาขอโทษเรื่องที่กูคุมเพื่อนกูไม่อยู่ ก็แค่นั้น”
“แล้วมึงจะขอโทษยังไง” ไร้คำตอบใดๆจากอีกฝ่าย จะมีก็แค่ใบหน้าเรียบนิ่งกับสายตาน่ากลัวของไอ้พี่เบสที่มองมาแค่นั้น ก่อนที่จะ…
ผลัวะ!
สิ่งที่ทำให้ผมตกใจจนตาค้างจะเกิดขึ้น ไอ้พี่เบสหันไปปล่อยหมัดใส่ไอ้พี่ทอยกับเพื่อนอีกคนอย่างแรงจนสองคนนั้นหน้าหันไปตามๆกัน
“มึง…” ขนาดพี่แทนยังอ้าปากค้างพูดไม่ออกเลย จะมีก็แต่พี่ศรนั้นแหละทำหน้านิ่งไม่มีความรู้สึกอยู่คนเดียว
“แบบนี้ชัดเจนแล้วนะ ถือว่ากูขอโทษแทนไอ้สองคนนี้แล้วกัน”
ตึก ตึก
เสียงหัวใจผมเต้นแรงแข่งกับเสียงย้ำเดินของรองเท้าคู่งามที่ดูท่าจะราคาแพงไม่ใช่เล่น ไอ้พี่เบสหน้านิ่งกำลังเดินเข้ามาหาผมอย่าช้าๆ ภาพที่พี่มันปล่อยหมัดใส่สองคนนั้นยังติดอยู่ในตาผมไม่หาย อยู่ดีๆพี่มันก็หันและเดินมาทางผมแบบนี้ขาผมมันก็เลยถอยหนีโดยอัตโนมัติจนลืมเจ็บไปเลย
“ต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีก กูสัญญา”
“…” แต่ผิดคาด นอกจากพี่มันจะไม่ต่อยผมแล้ว พี่มันกลับยื่นมือออกมาให้ผมเหมือนเป็นการให้คำมั่นสัญญา ผมลังเลอยู่สักพักว่าจะจับมือพี่มันตอบดีไหมก่อนจะตัดสินใจค่อยๆยื่นมือออกมาจับตอบ ถึงแม้จริงๆผมเองก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าไอ้พี่เบสนี่สักเท่าไหร่ แต่เรื่องเมื่อวานพี่มันอาจจะไม่มีส่วนรู้เรื่องด้วยจริงๆก็ได้ ไม่งั้นพี่มันคงไม่ต่อยหน้าสองคนนั้นซะแรงขนาดนั้นหรอก แถมสีหน้าของสองคนนั้นดูก็รู้ว่าถูกบังคับให้มาขอโทษผม หรือผมจะอคติกับพี่เบสมันไปเองก็ได้
“ได้ข่าวว่ามึงชอบกีฬายิงธนูเหรอ” พี่เบสถามผม
“เอ่อ…คือ”
“ถ้าชอบก็แวะมาที่ชมรมได้นะ บอกว่ามาหากูหรือรู้จักกูก็ได้ วันหลังแวะไปนะเดี๋ยวกูพาดูรอบๆเอง”
“…”
“จะให้มารับก็ไดนะ จะไปตอนไหนละ”
“คือว่า…” เรื่องไปชมรมยิงธนูน่ะมันก็น่าไปอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้พี่เบสมันจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ผมพยายามดึงมือที่จับกับพี่มันออก แต่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออกสักที จับแน่นชะมัด แถมตอนนี้สายตาที่พี่มันมองมาทางผมก็ไม่ใช่สายตาเรียบนิ่งน่ากลัวเหมือนมองพี่แทนหรือพี่ศรเลย แต่มันเป็นสายตาที่บอกไม่ถูก ไม่รู้สิ รู้แค่ว่ามันแปลกๆและน่าขนลุกชะมัด ไหนจะรอยยิ้มมุมปากนั้นอีก
“คงไม่ต้องรบกวนมึงหรอก ถ้ามันอยากไปกูจะพาไปเอง” เป็นพี่ศรที่เข้ามากู้สถานการณ์น่าอึดอัดนี้ไว้ พอพี่ศรเดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ๆ พี่เบสเลยหันความสนใจไปทางพี่ศรแทนจนยอมปล่อยมือผมในที่สุด
“ใช่ๆ ไอ้ปุณย์น่ะมันน้องพวกกู ถ้ามันจะไปกูจะพามันไปเอง” พี่แทนเสริม
“น้องพวกมึงงั้นเหรอ?”
“ก็ใช่สิวะ ไอ้ปุณย์มันอยู่ปีหนึ่งก็ต้องเป็นน้องพวกกูสิ มึงจะทำไมไอ้เชี่ยเบส”
“เปล่า ก็แค่คิดว่าถ้ามึงใช้เหตุผลแบบนี้ งั้นเด็กนี่ก็ต้องเป็นน้องกูด้วยเหมือนกัน พวกมึงอย่าลืมนะว่ากูก็ปีสองคณะเดียวกับพวกมึงเหมือนกัน”
“ไอ้…”
“วันนี้กูมีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละ ไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับพวกไร้สาระ” ประโยคสุดท้ายพี่เบสหันไปเน้นเสียงใส่พี่แทนเต็มๆ “ถ้าจะไปวันไหนก็ไปได้นะ ไว้กูจะรอแล้วกัน” พี่เบสเปลี่ยนสีหน้าดุดันเป็นใบหน้าปกติก่อนจะหันมาพูดกับผม ผมยิ้มรับแห้งๆอย่างไม่รู้จะตอบยังไงกลับไป พี่เบสมองหน้าผมอยู่สักพักท่ามกลางสายตากดดันของพี่ศรกับพี่แทนที่ยู่ข้างๆผม ก่อนที่พวกพี่เบสทั้งสามคนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
“โธ่ไอ้พวกเชี่ย ขี้เก๊กวางท่าฉิบหาย อยากจะกระโดดเตะปากแม่งสักที” พอพวกพี่เบสเดินไปไกลจนลับตาแล้วพี่แทนก็เอาใหญ่เลย ตะโกนด่าลับหลังเขาไม่หยุด
“เข้าไปเรียนได้แล้วไป เดินไหวใช่ไหม” พี่ศรหันมาถามผมโดยไม่ได้สนใจพี่แทนที่กำลังโวยวายอยู่ตอนนี้เลย
“ไหวครับ”
“นึกว่ากูต้องให้ขี่หลังเข้าไปในห้องซะอีก”
“ไม่ต้องครับไม่ต้อง ผมเดินเองได้แล้ว ขอบคุณครับ” โอ้ย! โดนโจมตีอีกแล้ว ขนาดพี่ศรทำหน้านิ่งๆไม่ได้ยิ้มหรืออะไรเลยนะยังโจมตีผมได้ขนาดนี้ พูดจบผมก็รีบเดินเกาะผนังเข้าไปในห้องเรียนทันที รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองคงต้องหน้าแดงมากแน่ๆ แต่ว่าพี่มันคงไม่ได้ล้อผมหรอกใช่ไม่เรื่องที่ขี่หลังพี่มันน่ะ
“งั้นผมเข้าเรียนก่อนนะครับ”
“อืม” ผมยืนนิ่งมองหน้าพี่ศรอย่างกล้าๆกลัวอยู่สักพัก จะเอ่ยคำขอบคุณออกไปดีไหมนะ ไม่ใช่แค่สำหรับเรื่องเมื่อกี้นี้ แต่ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในวันที่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นแบบนี้ผมอยากจะถือโอกาสนี้ทั้งขอโทษและขอบคุณพี่ศร ขอโทษที่ทำให้พี่เขารำคาญในตอนแรก อยากขอโทษแล้วเริ่มทุกอย่างใหม่ ผมจะเป็นทำตัวให้ดี ดีพอที่จะอยู่ข้างๆพี่แบบนี้ ผมจะไม่ถามพี่ ไม่คาดคั้นพี่เกี่ยวกับเรื่องยิงธนูอีกแล้ว แค่พี่ยอมทำดีกับผม ยอมคุยกับผมดีๆมันก็ดีเกินพอแล้ว
ส่วนเรื่องยิงธนูน่ะผมจะรอวันนั้นเอง ผมจะรอย่างอดทน รอจนกว่าจะถึงวันวันที่พี่จะยอมกลับมายิงธนูอีกครั้ง แต่ว่าตอนนี้ผมความกล้าผมคงยังมีไม่มากพอ งั้นยังไม่ต้องบอกแล้วกัน ไว้บอกคราวหน้าก็ได้
“เดี๋ยวเตี้ย” แต่ในระหว่างที่ผมกำลังค่อยๆก้าวเดินเข้าห้องเรียนนั้น เสียงเรียกของพี่ศรทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง
“ครับ?”
“ตอนเที่ยงจะมารับนะ ไปกินข้าวพร้อมกัน”
“อืม ครับ” ผมพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ พยายามห้ามตัวเองไม่ให้เผลอยิ้มกว้างออกไป
“จะขาดกูไปได้ยังไงละ เดี๋ยวกูไปกินข้าวด้วย” เป็นพี่แทนที่แทรกขึ้น “แต่มึงเลี้ยงนะไอ้ศร”
เฮ้อ! พี่แทนนะพี่แทน จริงๆเลยพี่เนี่ย
#รักตรงเป้า
-
5th Shoot
ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่เอง
หลายวันต่อมา
ชีวิตของผมที่มีพี่ศรคอยดูแลเอาใจใส่ก็กลายเป็นชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตอนนี้ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมในแต่ละวันเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ผมยิ้มออกมากับตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องพี่ศรคอยมารับมาส่งผมทุกวัน แถมตอนกลางวันก็มาชวนผมไปกินข้าวทุกวันด้วย แต่ผมไม่ได้ให้พี่ศรแบกขี่หลังไปไหนมาไหนแล้วนะครับ จริงๆผมก็ขี่หลังพี่ศรแค่วันนั้นวันเดียวเท่านั้นแหละ แค่วันเดียวก็ใจสั่นจะแย่…ถ้าเกิดต้องขี่หลังพี่ศรทุกๆวันละก็มีหวังพี่ศรต้องรู้แน่ๆว่าผมคิดกับพี่เขายังไง ยังไงผมก็ยังมีความสุขและยินดีที่จะแอบชอบพี่เขาอยู่คนเดียวเงียบๆแบบนี้ดีกว่า
“อ่ะ! กินนี่ซะ” จบคำลูกชิ้นลูกโตถูกคีบมาใส่ในถ้วยก๋วยเตี๋ยวของผมที่ลูกชิ้นถูกกินไปตั้งแต่สามนาทีแรกแล้ว
“ขอบคุณครับ แล้วพี่ไม่กินเหรอ”
“มึงเอากินเถอะ ดูท่าทางแล้วมึงจะคงชอบลูกชิ้นมาก” ผมยิ้มรับคำพี่ศรอย่างรู้สึกเขินอายชะมัด ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงครับ ในโลกใบนี้สิ่งที่ผมชอบถ้าไม่นับพี่ศรแล้วก็มีแต่ลูกชิ้นนี่แหละครับที่ผมชอบที่สุด
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่ศรทำตัวน่ารักกับผมอีกแล้ว ตอนเช้าพี่ศรก็มาส่งผมที่คณะแถมตอนเที่ยงก็ยังมาพาผมมากินข้าวเที่ยงอีก ชีวิตผมตอนนี้อะไรๆมันก็ดีไปซะหมดเลย ยกเว้นอย่างเดียว…ไอ้พี่แทน! พี่มันจะมาเป็นก้างขวางคอทำไมวะเนี่ย!!!
“กูก็ชอบกินเหมือนกันนะไอ้ศร ทำไมไม่เห็นมึงให้กูมั้งเลย”
“มึงน่ะกินไปสามชามแล้วนะไอ้แทน มึงยังไม่อิ่มอีกเหรอไง”
“ก็กูอยากกินลูกชิ้นมั้งนี่หว่า มึงแม่งลำเอียงอ่ะให้แต่ไอ้ปุณย์ไม่เห็นให้กูบ้างเลย”
“อย่ามาทำตัวงี่เง่าไอ้แทน เอานี่!” เหมือนพี่ศรจะทนรำคาญไม่ไหวถึงต้องยอมควักแบงค์ร้อยจากกระเป๋าเสื้อนิสิตออกมายื่นให้พี่แทนด้วยสีหน้ารำคาญสุดขีด “ถ้ามึงจะกินก็ไปซื้อเอาใหม่อย่าไปแย่งเด็กมัน แดกเยอะระวังอ้วนนะมึง”
“ก็กูเป็นนักกีฬาอนาคตไกลนี่หว่า กูน่ะว่าที่นักฟุตบอลทีมชาติเลยนะเว้ย อนาคตไกลแบบกูมันก็ต้องโดฟเยอะๆกันหน่อย แต่ยังไงก็ขอบคุณเฮียศรมากนะครับที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวกู งั้น…กูขอซื้อหมดนี่เลยนะ” พูดจบพี่แทนก็สวมบทกวน… เอ้ย! บททะเล้นเข้าไปคลอเคลียพี่ศรไม่เลิก ที่หนักสุดพี่แทนมันยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มพี่ศรจนเกิดเสียงดังฟอดใหญ่ คนถูกหอมแก้มเองก็คงจะตกใจไม่น้อย ผมนั่งมองหน้าพี่ศรทำตาโตตกใจตอนนี้แล้วก็นึกตลกชะมัด ปกติเคยเห็นแต่เวอร์ชั่นหน้านิ่งๆดุๆ พอมาเห็นเวอร์ชั่นนี้แล้วเล่นเอาผมอั้นขำแทบไม่อยู่ ส่วนพี่แทนน่ะเหรอ โน้นครับ วิ่งไปร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยความเร็วแสงแล้ว
“ยิ้มอะไรของมึง” ดูเหมือนผมจะโดนพี่ศรจะจับได้ซะแล้วว่าแอบขำพี่เขา
“เปล่านี่ครับ ก็แค่…ไม่เคยเห็นพี่ทำหน้าอย่างอื่นเลยน้องจากหน้านิ่งๆ”
“หึ…พอเห็นกูโดนไอ้แทนหอมแก้มก็เลยขำว่างั้น”
“อะไรเล่า เปล่าสักหน่อย” ถึงจะใช้น้ำเสียงดุๆเหมือนเดิมอีกแล้วแต่สุดท้ายครั้งนี้พี่ศรก็ไม่ได้ด่าผม อยากจะเอาสมุดมาจดบันทึกว่าพี่ศรน่ะทำตัวน่ารักมากี่ครั้งแล้วนะ
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จพี่ศรกับพี่แทนก็อาสาเดินมาส่งผมที่ห้องเรียน ระหว่างทางเดินพี่ศรก็ยังคงเงียบๆไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง จะมีก็แต่เสียงของพี่แทนที่ขยันพูดเหลือเกิน พูดไม่รู้จักเหน็ดจากเหนื่อย ไม่รู้ไปอดพูดมาจากไหน ตลอดทางก็เลยมีแค่เสียงพี่แทนกับผมคุยกันแค่สองคน
“เออ ไอ้ศร ไหนๆมึงก็มีน้องเมทที่สามารถอยู่กับมึงได้นานขนาดนี้แล้ว กูว่าเราจัดปาร์ตี้หน่อยไหมวะ” พี่แทนถามพี่ศร
“ปาร์ตี้อะไรของมึง”
“อ้าว! ก็ปาร์ตี้ฉลองให้มึงไงที่มีน้องเมทกับเขาสักที”
“ไม่เอาอะ ไร้สาระ”
“โธ่! ไร้สาระอะไรวะไอ้ศรถือว่าจัดให้ไอ้ปุณย์มันด้วยไง น้องมันพึ่งผ่านเรื่องร้ายๆมาก็ต้องจัดงานเลี้ยงปลอบขวัญมันหน่อยสิวะ”
“…”
กลายเป็นงั้นไป เอาผมไปอ้างซะอีกนะพี่แทน แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของพี่แทนจะทำให้พี่ศรต้องเงียบคิดไปเหมือนกัน
“มึงอยากให้จัดไหม” สุดท้ายพี่ศรก็หันมาถามผม ความตึงเครียดก็เลยมาลงอยู่ที่ผมทันที
“เอ่อคือ…ผม…”
“ก็ต้องไปสิวะ” และอยู่ๆพี่แทนก็เข้ามาวาดวงแขนหนักๆลงบนไหล่ผมอย่างแรงแถมยังตอบแทนผมไปแล้วเสร็จสรรพ “ก็แค่งานเล็กๆเองมึงจะคิดมากทำไมวะไอ้ศร ชวนเพื่อนที่สนิทๆไปไม่กี่คนหรือมึงจะชวนเพื่อนมึงไปด้วยก็ได้นะไอ้ปุณย์”
“ครับ…” ผมยิ้มแห้งๆรับคำไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพี่ศรจะอยากไปด้วยหรือเปล่า
“อืม ถ้างั้นก็ได้ แต่อย่ากลับดึกนะเด็กมันต้องไปเรียน” พี่ศรว่า
“แหม..คุณชายศร รู้จักห่วงน้องห่วงนุ่งนะมึงเนี่ย กูไม่เห็นมึงจะห่วงใครแบบนี้มาก่อนเลย ห่วงไอ้ปุณย์ออกหน้าออกตาไปหรือเล่า”
“ออกหน้าออกตาอะไรของมึง” พี่ศรปฏิเสธเสียงแข็ง
“เออๆ ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง ถ้ามึงกลัวแบบนั้นก็เดี๋ยวกูนัดไปวันศุกร์ก็ได้จะได้ไม่เสียการเรียน กูรู้ร้านเด็ดๆเยอะไว้กูจะบอกอีกทีแล้วกัน”
“อืม” พอพี่ศรยอมไปด้วยแบบนี้ผมก็โล่งใจ จริงๆแล้วทุกอย่างมันก็เป็นแบบที่พี่แทนบอกจริงๆนั้นแหละครับ ชีวิตเปิดเทอมของผมพึ่งจะผ่านมาได้ไม่กี่วันแต่มันช่างดูวุ่นวายเหลือเกิน ถ้าได้ไปปาร์ตี้สักหน่อยก็คงจะดี อย่างน้อยๆก็ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ศรด้วย
เพราะยังไงซะถ้ายังไม่เห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาของตัวเองผมก็คงไม่ยอมไปไหน ก็คงต้องอยู่ข้างๆพี่เขาไปอีกนาน ก็ผมน่ะ…เป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของพี่เขานี่
เดินเตรดเตร่คุยกันเรื่อยเปื่อยมาได้สักพักก็เดินมาถึงชั้นที่ผมจะต้องเรียนในภาคบ่ายแล้ว จริงๆก็แอบเกรงใจพี่ศรกับพี่แทนเหมือนกันที่ต้องไปไหนมาไหนกับผมบ่อยๆ ทั้งๆที่ขาผมหายดีแล้วแท้ๆนะ พวกพี่เบสก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับผมแล้วด้วย เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะบอกพวกพี่เขาว่าไม่ต้องมารับผมไปกินข้าวเที่ยงแล้วก็ได้ อีกอย่างเกรงใจเจนกับเจสสิก้าด้วยเพราะไม่ได้ไปกินข้าวเที่ยงกับสองคนนั้นเลย
“พวกพี่ส่งผมแค่นี้ก็ไดครับ เดี๋ยวเดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงห้องเรียนผมแล้ว”
“เอางั้นเหรอ” พี่ศรถาม
“ครับ ผมเดินไปเองก็ได้ พวกพี่ก็มีเรียนเหมือนกันแถมอยู่คนละชั้นกับผมด้วย ส่งผมตรงนี้แหละครับพวกพี่ไปเถอะ”
“งั้นตอนเย็นกลับหอพร้อมกันนะ เดี๋ยวมารับ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำพี่ศรอย่างว่าง่าย ยิ้มบางๆที่แทบจะดูไม่ออกของพี่ศรที่มองมาทางผมตอนนี้ทำหัวใจผมเต้นแรงชะมัด
“แต่ตอนเย็นกูมีซ้อมบอลนะ คงไปกับพวกมึงไม่ได้วะ ไว้เจอกันตอนไปปาร์ตี้ของเราทีเดียวเลยนะ ช่วงนี้กูคงวุ่นๆ”
“มึงจะไปไหนก็ไปเถอะไอ้แทน ไม่ได้มีใครชวนมึงมาสักหน่อย”
“เพื่อนศรทำไมแรงละครับ ไม่เอานะครับไม่แรงกับเพื่อนแบบนี้นะ”
แล้วพี่แทนผู้ไม่เคยหมดพลังในการกวน… ก็ทำให้พี่ศรส่ายหน้าเดินหนีไปอย่างรำคาญได้เหมือนเดิม ผมมองภาพที่คนสองคนเดินลงบันไดไปโดยมีใครคนหนึ่งกำลังทำหน้าเบื่อหน่ายและรีบเดินหนีให้เร็วที่สุดโดยมีอีกคนกำลังตามไปพูดจากวนๆใส่อย่างไม่ยอมลดละ จะว่าไปพี่แทนกับพี่ศรนิสัยต่างกันสุดขั้วเลย ตอนแรก็ดูเหมือนทั้งสองคนจะไม่ได้สนิทกันมาก่อนด้วย แต่ตอนนี้เห็นพี่ศรกับพี่แทนคุยเล่นกันได้แบบนี้ผมก็สบายใจ อยากน้อยๆมนุษย์น้ำแข็งแบบพี่ศรก็ค่อยๆละลายตัวเองมาเหมือนคนปกติเขาขึ้นมาบ้างแล้ว
ยืนยิ้มกับตัวเองจนทั้งสองคนเดินหายลับตาไปแล้ว ผมก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือก็เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกหลายสิบนาทีกว่าจะถึงเวลาเรียน ไม่รู้ว่าเจนกับเจสสิก้าจะมาแล้วหรือยังนะ แต่ยังไงก็เข้าไปนั่งรอในห้องก่อนแล้วกันจะได้จองที่ให้สองคนนั้นด้วย
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ” ผมร้องออกมาเบาๆก่อนจะรีบพูดคำขอโทษทั้งๆที่ตัวเองตอนนี้ล้มลงมานั่งก้นกระแทกพื้นไปซะแล้ว ผิดที่ผมเดินไม่ดูทางเองนั้นแหละพอหันกลับมาจะรีบเดินไปห้องก็ดันไปชนกับใครเขาเข้าจนได้
“พี่…” พอเงยหน้าขึ้นมองภาพที่เห็นทำให้ผมแทบจะตาค้างอยู่แบบนั้น ก็เพราะไอ้คนที่ผมพึ่งชนเมื่อกี้มันคือไอ้พี่เบสนะสิ พี่มันหายไปไม่มายุ่งกับผมไปหลายวันแล้ว แต่พอมาเจอกันอีกทีโดยที่ผมเป็นฝ่ายไปเดินชนพี่มันแบบนั้น ไม่รู้จะมีเรื่องกันอีกหรือเปล่า หาเรื่องซวยแล้วไหมละไอ้ปุณย์เอ้ย!
“เป็นอะไรเปล่า?” แต่ผิดคาดแฮะ ไอ้พี่เบสหน้าโหดไม่ยักจะเอาเรื่องผมแถมยังยื่นมือออกมาให้ผมจับอีกต่างหาก
“ไม่เป็นอะไรครับ” ผมไม่ได้จับมือพี่มันตอบ แต่เลือกที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาเองแทน “ขอโทษด้วยนะครับ เมื่อกี้ผมเดินไม่ระวังเอง”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ตัวมึงเล็กแค่นี้ชนกูไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เป็นมึงเองไม่ใช่เหรอที่กระเด็นลงไปนั่งกับพื้นแบบนั้น”
“ถ้าพี่ไม่เป็นอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบผมรีบก้มหน้าหลบสายตาแล้วทำท่าจะเดินเบี่ยงหนีไปอีกทางทันที
หมับ!
“เดี๋ยวก่อนสิ” แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเดินไปได้ไหน แรงบีบจากมือหนาของอีกฝ่ายก็สัมผัสเข้าที่ต้นแขนของผม
“…”
“มึงยังโกรธกูอยู่เหรอ”
“ครับ?” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เรื่องที่เพื่อนกูทำไม่ดีกับมึงวันก่อน มึงยังโกรธอยู่เหรอ” พอถูกถามแบบนั้นผมถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ยอมรับว่าตอนนี้ผมไม่ได้โกรธพี่เขาแล้ว สองคนนั้นที่มาทำร้ายผมตอนนี้ผมก็ไม่ได้โกรธแล้ว ด้วยความที่ผมเป็นคนโกรธง่ายหายเร็วด้วยแหละมั้งผมถึงหายโกรธเร็วแบบนี้ อีกอย่างสองคนนั้นก็มาทำร้ายผมโดยที่พี่เบสน่ะเขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยสักหน่อย แล้วแบบนี้ผมจะไปโกรธพี่เขาได้ยังไง เพียงแค่เวลาอยู่ใกล้พี่เบสแล้วมันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกน่ากลัวแปลกๆยังไงไม่รู้ก็แค่นั้น
“เปล่าครับ ผมไม่ได้โกรธแล้ว”
“ไม่โกรธแล้วจะเดินหนีทำไมละ”
“คือผม…ผมก็แค่ไม่รู้จะคุยอะไรกับพี่”
“จริงสินะ ก็มึงกับกูยังไม่ได้รู้จักกันเลยนี่ กูชื่อเบสนะ”
“ครับผมชื่อปุณย์” จริงๆคือผมรู้ชื่อมันแล้วเหอะ แต่ก็ยอมรับคำแล้วแนะนำตัวกลับอย่างนั้นตามมารยาท
“กูรู้ชื่อมึงแล้ว”
“พี่…พี่รู้ได้ยังไงครับ” หรือผมเคยไปแนะนำตัวกับพี่มันตอนไหนหรือเปล่า?
“ก็ไปสืบมานิดหน่อย”
“คะ…ครับ พี่นี่นะสืบเรื่องของผม ทำไมละครับ”
“ก็แค่…มึงมันน่าสนใจดี ก็แค่ไม่เคยมีใครกล้าด่าพวกกูแบบนั้น กูหมายถึงที่ร้านอาการวันนั้น มึงเป็นคนแรกที่กล้า กูก็เลยแค่รู้สึกว่ามึง…น่าสนใจดี”
“…” สะ…สนใจเหรอ หมายความว่ายังไงที่พี่เบสมันบอกว่าสนใจผมนะ
“กูอยากสนิทกับมึงนะ กูรู้มาว่ามึงเข้ามาเรียนที่นี่เพราะไอ้ศรเหรอ”
“ก็…ใช่ครับ”
“ชอบมันเหรอ”
“ครับ?”
“ถามว่ามึงนะ ชอบไอ้ศรมันเหรอ”
“มะ…ไม่ใช่สักหน่อย พี่พูดอะไรชองพี่ ผมเป็นผู้ชายนะครับ จะไปชอบพี่เขาได้ยังไง” โกหกคำโตออกไปจนได้ไอ้ปุณย์นะไอ้ปุณย์ แล้วทำไมเสียงจะต้องมาสั่นตอนนี้ด้วยเนี่ย พี่เบสมันต้องจับได้แน่ๆเลยว่าผมโกหก
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ แล้วจะหน้าแดงทำไม”
“ผมไม่ได้หน้าแดงสักหน่อย” ผมพูดไปก็พลางยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองไป โคตรจะไม่พิรุธเลยเนอะ
“แต่ตอนนี้ก็คงแย่หน่อยนะ มึงอุตส่าห์มาที่นี่เพราะไอ้ศรทั้งทีแต่มันก็ไม่ได้ยิงธนูแล้ว และก็ไม่รู้ว่ามันจะกลับมายิงธนูอีกหรือเปล่า”
“ผมเชื่อว่าพี่ศรต้องกลับมายิงธนูอีกแน่ๆ”
“เหรอ อะไรทำให้มึงเชื่อแบบนั้นละ”
นั้นสินะ อะไรทำให้ผมคิดแบบนั้นละ ทั้งๆที่พี่ศรก็แสดงออกชัดเจนซะขนาดนั้นว่าพี่เขาน่ะไม่อยากยิงธนูอีกแล้ว แถมพี่เขาเลิกยิงธนูเพราะเหตุผลอะไรผมก็ไม่รู้ ขนาดพี่แทนที่ดูจะสนิทกับพี่เขามากที่สุดก็ยังไม่รู้อะไรมากเลย เรื่องจะไปถามพี่ศรผมก็คงจะทำไม่ได้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ศรกับผมก็พึ่งจะดีขึ้นมาแล้วแท้ๆ ถ้าผมไปวุ่นวายกับพี่เขาเรื่องยิงธนูอีกมีหวังพี่เขาก็คงกลับมาโกรธผมเหมือนเดิม
แต่ไม่รู้สิ ผมสัมผัสได้ในแววตาของพี่ศร สัมผัสได้ว่าพี่เขานะไม่ได้อยากจะเลิกยิงธนูจริงๆสักหน่อย และผมเชื่อว่าพี่เขาจะต้องกลับมายิงธนูอีกครั้งแน่ๆ
“ถ้ามึงไม่รังเกียจ เปลี่ยนมาดูกูยิงธนูแทนก็ได้นะ ยังไงตอนนี้กูก็เบอร์หนึ่งของที่นี่อยู่แล้ว อีกอย่างคนอย่างกูน่ะไม่เลิกยิงธนูง่ายๆหรอก”
“…” หลงตัวเองชะมัด อยากจะพูดตอกหน้าพี่มันไปจริงๆว่าถ้าตอนนี้ถ้าพี่ศรยังยิงธนูอยู่พี่เบสก็ไม่มีทางได้เป็นที่หนึ่งหรอก ผมเอาหัวเป็นประกันเลย
“แล้วนี่มึงกำลังจะไปเรียนเหรอ” คงจะเห็นว่าพูดเรื่องนี้แล้วเห็นว่าผมเงียบไป พี่เบสก็เลยเปลี่ยนคำถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“ครับ”
“งั้นกูไม่กวนมึงแล้ว ไปเรียนเถอะไว้วันหลังค่อยเจอกันอีก”
“…” ใครอยากจะไปเจอพี่มันกันเล่า
“เออ ลืมบอก” แต่ในระหว่างที่พี่เบสกำลังจะลงบันไดไปนั้น อยู่ดีๆพี่มันก็หันกลับมาแล้วพูดกับผมต่อ “ถ้ามึงอยากจะดูกูยิงธนูก็ไปที่ชมรมได้ตลอดนะ รู้ใช่ไหมว่าชมรมยิงธนูอยู่ไหน”
“รู้ครับ”
“หรือถ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับคนที่มึงชอบก็มาถามกูได้นะ มาที่ชมรมยิงธนูนั้นแหละ แล้วกูจะรอ” พูดจบพี่เบสก็หันกลับแล้วเดินลงบันไดไป ทิ้งผมให้ยืนไม่เข้าใจกับคำพูดที่พี่เบสพูดทิ้งท้ายไว้
คนที่ผมชอบเหรอ หมายถึงพี่ศรหรือเปล่านะ?
จากนั้นเวลาที่เหลือทั้งวันของผมก็หมดไปกับการคิดถึงคำพูดของพี่เบสที่พูดทิ้งท้ายไว้เมื่อตอนกลางวัน คิดยังไงก็คิดไม่ตกว่าเขาหมายถึงใครกันแน่นะ ขนาดตอนนี้เลิกเรียนแล้ว พี่ศรก็มารับผมกับหอพร้อมกันแล้วผมยังเลิกคิดเรื่องที่พี่เบสพูดไม่ได้เลย
“คนที่ชอบเหรอ? เราก็ไม่มีใครที่ชอบแล้วนะ” ผมพึมพำกับตัวเอง
“ชอบใครเหรอ”
“เชี่ย!” อยู่ดีๆเสียงพี่ศรก็ดังขึ้นใกล้ๆหูผม มันใกล้มากจนผมเผลออุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
“…”
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจว่าพี่นะครับผมแค่ตกใจ” ก็พี่ศรนั้นแหละอยู่ดีๆก็ยื่นหน้าเข้ามาถามซะใกล้เลย ผมตกใจแทบแย่
“มึงเหม่ออะไรของมึง กูเห็นเดินทำปากงึมงำอยู่คนเดียวตั้งแต่ออกจากคณะแล้วนะ”
“เปล่าสักหน่อย ผมก็แค่มีเรื่องให้คิดนะ”
“คิดอะไร”
“เอ่อ…คือ” แล้วผมจะต้องตอบยังไงดีเนี่ย จะให้บอกเหรอว่าคิดถึงเรื่องของพี่ศรนั้นแหละ “คิดว่าตอนเย็นนี้จะคิดอะไรดีครับ” แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะโกหกออกไปอีกแล้ว วันนี้ผิดศีลข้อมุสาไปกี่รอบแล้วเนี่ยไอ้ปุณย์
“เฮ้อ! กูก็นึกว่าเรื่องอะไร เรื่องกินนี่เอง เห็นมึงตัวเล็กแบบนี้ก็กินเก่งเหมือนกันนะ”
“แน่นอน เรื่องกินน่ะผมสู้ตายอยู่แล้ว”
“หึ! เย็นนี้จะกินอะไรละ เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”
“จริงเหรอครับ พี่เลี้ยงจริงๆนะ เย้ๆ”
“มึงจะดีใจอะไรขนาดนั้น กูแค่เลี้ยงข้าวมื้อเดียว”
“นั้นแหละครับ มื้อเดียวผมก็ดีใจแล้ว ยังไงเย็นนี้ผมก็ฝากตัวด้วยนะครับ” พูดจบผมก็ก้มหัวโค้งคำนับพี่ศรด้วยความนอบน้อมเป็นการขอบคุณ วันนี้พี่ศรจะเลี้ยงข้าวด้วยดีใจจังเลย ผมชอบคนไม่ผิดจริงๆ เห็นไหมละพี่ศรน่ะทั้งหล่อ ทั้งเก่งแถมใจดีอีกต่างหาก
สถานที่ที่พวกผมจะไปฝากท้องเย็นนี้คงหนีไม่พ้นร้านอาหารหลังมอ พี่ศรคนที่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวผมก็ได้มอบหมายหน้าที่ในการเลือกร้านให้ผมเป็นคนเลือกเอง แต่เอาจริงๆผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ว่าแถวนี้มีร้านอะไรน่ากินบ้าง หน้าที่ในการเลือกร้านก็เลยเป็นหน้าที่ของพี่ศรแทน ซึ่งนั้นผมคิดว่าน่าจะดีที่สุดแล้ว ถ้าเกิดให้ผมเลือกร้านเองละก็ไม่รู้พี่ศรจะชอบกินร้านที่ผมเลือกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นให้พี่ศรเลือกร้านเองนะดีที่สุดแล้ว
แต่แล้วในระหว่างทาง
“โอ้ย!” เพราะขาผมสั้นกว่าพี่ศรหรือเพราะอะไรไม่รู้ วันนี้รู้สึกว่าพี่ศรเดินเร็วไม่รอผมเลย ผมรีบก้าวเท้าสั้นๆของผมตามให้ทันจนกระทั่งพี่ศรหยุดยืนกะทันหัน หัวผมถึงได้โหม่งเข้ากับแผ่นหลังของพี่เขาอย่างจัง และมันก็เป็นอย่างเคยนั้นแหละครับ คนที่ผมชนเขาก็ยืนนิ่งไม่ไหวติงอะไร มีแต่ผมนี่แหละที่เซถลาจนเกือบจะล้มอยู่แล้ว
“พี่เป็นอะ…ไร…” ผมมั่นใจว่าผมเดินชนพี่ศรเขาแรงอยู่นะ แต่ตอนนี้ภาพที่เห็นคือพี่ศรหยุดยืนนิ่งมองไปอีกทางโดยไม่ได้สนใจผมที่ยืนยกมือลูบหน้าผากตัวเองอยู่เลย
พอหันไปตามทิศทางที่พี่ศรมองอยู่ผมถึงได้เข้าใจ ระหว่างทางเดินไปหลังมอจำเป็นจะต้องผ่านสนามกีฬาต่างๆ และหนึ่งในสนามกีฬาที่ว่านั้นคือ ‘สนามยิงธนู’ ภายในกำแพงลูกรงเหล็กที่ทำไว้เป็นช่องเล็กๆคล้ายกับตาข่ายกำลังปรากฏภาพของกลุ่มคนจำนวนมากกำลังฝึกซ้อมยิงธนูอยู่ เราสองคนยืนหยุดนิ่งกันอยู่สักพักโดยที่พี่ศรไม่มีที่ท่าว่าจะออกเดินหรือสนใจสิ่งรอบข้างตอนนี้เลย
“พี่ศร…” จนเมื่อเห็นว่านานแล้วผมถึงได้เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ไปเถอะ กูหิวแล้ว” พูดจบคนตัวสูงก็หันกลับมาเดินต่อไปตามทางเดิมไม่มองย้อนกลับมาอีกเลย
แต่ตอนนี้ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองเข้าไปยังสนามกีฬายิงธนูเบื้องหน้า สถานที่พี่ศรคงจะเคยฝึกซ้อมอยู่ในนั้น สถานที่ที่พี่เขาน่ะคงจะผูกพันมากเลยสินะ สายตาของพี่ศรเมื่อกี้นี้ทำไมผมจะไม่รู้ละว่ามันกำลังฉายแววตาที่มีความหมายแบบไหน
“ก็เห็นอยู่นี่น่าว่าตัวเองยังชอบยิงธนูอยู่แท้ๆ”
ผมมองตามแผ่นหลังของผู้ชายที่ทำให้ผมตัดสินใจเดินทางมาไกลเพื่อที่จะได้เห็นเขายิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้งกำลังเดินห่างออกไป
ผมรู้ว่าพี่ยังอยากกลับมายิงธนูอีก ผมรู้ว่าพี่น่ะรักและคิดถึงกีฬายิงธนูมากแค่ไหน ถึงตอนนี้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรพี่ถึงต้องเลิกยิงธนู แต่ก็ช่างมันเถอะตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่เอง ผมจะส่งต่อพลังให้พี่ ผมจะพยายามตอบแทนพี่ให้เหมือนตอนที่พี่ส่งต่อพลังและกำลังใจให้คนอื่นซึ่งคนอื่นที่ว่านั้นก็คือผมด้วย
วางใจเถอะครับ ผมจะอยู่ข้างๆพี่เอง ผมจะต้องช่วยให้พี่กลับมายิงธนูให้ได้เลย
#รักตรงเป้า
-
ขอบคุณค่ะ ติดตามจ้า
-
6th Shoot
เริ่มแผนช่วยเจ้าชายน้ำแข็ง
หลายวันมานี้เรื่องที่พี่เบสพูดเอาไว้วนเวียนอยู่ในหัวผมแทบตลอดทั้งวัน โชคดีที่ช่วงหลายวันที่ผ่านมาผมเริ่มมีเรื่องต่างๆเข้ามาในหัวให้คิดมากขึ้นก็เลยไม่ต้องฟุ้งซ่านมากเท่าไหร่ ชีวิตวันๆของผมหมดไปกับการเข้าเรียนที่ดูเหมือนว่าจะเรียนหนักขึ้นทุกๆวัน ความโชคดีเดียวที่ผมมีตอนนี้ก็คงจะเป็นความเป็นนักกีฬากรีฑาของผมนี่แหละ มันทำให้ผมไม่ต้องเข้ากิจกรรมรับน้องหรือพวกเชียร์ต่างๆเพราะต้องมาซ้อมกีฬาแทน ถึงแม้เอาเข้าจริงๆมันแทบจะเหนื่อยและใช้เวลาในช่วงเย็นไปเยอะแทบไม่แตกต่างกันเลยก็ตาม แต่ถ้านับจากความวุ่นวายกับจำนวนคนแล้วผมก็คิดว่ามาซ้อมวิ่งน่าจะดีกว่าเข้ากิจกรรมเชียร์เยอะเลย
“เตี้ย ไอ้เด็กเตี้ย!”
“คะ...ครับ” เสียงเรียกของพี่ศรทำให้สติของผมกลับมา รู้ตัวอีกทีพี่ศรหยุดเดินตอนไหนไม่รู้ ถ้าพี่ศรไม่ร้องทักผมคงเดินชนหลังพี่เขาไปแล้ว
“เป็นอะไร กูเห็นมึงเดินเหม่อมาตลอดทาง” พี่ศรถาม
“เปล่าครับ ก็แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
“ถึงแล้ว”
“ครับ?”
“ก็ถึงแล้วไง จำไม่ได้เหรอว่าวันนี้กูต้องไปธุระไปส่งมึงที่คณะไม่ได้”
“อ๋อ...ครับ ผมลืมไปเลย” จริงสินะพี่ศรบอกผมไว้ตั้งนานแล้วนี่น่าว่าวันนี้พี่ศรเหมือนจะมีธุระต้องไปทำ จะเดินมาเป็นเพื่อนผมแค่ที่หน้าหอเท่านั้น
“เลิกคิดมากได้แล้ว ตัวก็เตี้ยยังจะชอบทำหน้ามุ่ยอีก คิ้วมึงจะผูกกันเป็นปมอยู่แล้ว”
“อะไรเล่า” ผมเบี่ยงหัวหลบเพราะพี่ศรไม่พูดเปล่า แต่ยื่นมือมายีหัวผมเล่นด้วย ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย
“กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงมีเรื่องอะไรให้คิด แต่กูอยากเห็นมึงเป็นแบบเดิมมากกว่านะ ตอนมึงยิ้มน่ารักกว่าตั้งเยอะ”
“พี่ว่าอะไรนะครับ” ผมถามย้ำเพราะประโยคสุดท้ายพี่ศรพูดเสียงเบามากจนผมแทบจะไม่ได้ยิน สกิลการอ่านปากของผมก็ติดลบจนแทบจะวัดค่าไม่ได้ซะด้วย แต่ถึงถามไปแบบนั้นพี่ศรก็ไม่ได้ตอบอะไรมาเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว
“ว่าไงละครับ เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรผมได้ยินไม่ถนัด”
“ไม่มีอะไรหรอก รีบไปเรียนไป เดี๋ยวสายนะ”
“…”
พูดจบใครอีกคนก็ส่งยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายข้างสีดำที่พี่ศรสะพายไปไหนมาไหนด้วยทุกวันแล้วเดินไปอีกทาง ยอมรับว่าบรรยากาศโดยรอบระหว่างผมกับพี่ศรมันพัฒนาขึ้นมากจริงๆ พัฒนาในที่นี้คือในรูปแบบของพี่น้องนะครับ ก็แน่สิ มันจะพัฒนาแบบไหนได้ละ ก็ผมกับพี่ศรเราเป็นแค่รุ่นพี่ รุ่นน้องกันนี่ จะพิเศษกว่าคนอื่นก็แค่ผมเป็นน้องเมทของพี่เขาเท่านั้นเอง
พักหลังๆมานี่ผมกับพี่ศรเราไปเรียนที่คณะและกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน ดูเหมือนปีสองกับปีหนึ่งจะเรียนหนักกันคนละเรื่องเลย เพราะพี่ศรน่ะเป็นฝ่ายต้องมารอผมที่หน้าคณะทุกทีเลย จะมีก็แค่ช่วงหลังๆมานี่ที่ผมต้องไปฝึกที่ชมรมกรีฑาบ่อยๆทำให้เราไม่ค่อยได้กลับบ้านพร้อมกันเลย ตอนนี้ทุกๆอย่างมันกำลังไปได้ด้วยดี ถ้าไม่ติดที่ว่าคนเรื่องมากนั้นคือผมเอง
“พี่น่ะ กำลังมีความสุขจริงๆหรือเปล่านะ” ผมพูดกับตัวเองพลางมองตามแผ่นหลังของพี่ศรที่กำลังเดินหายไปอีกทาง ที่ผมถามแบบนั้นก็เพราะว่าช่วงหลายวันมานี้ที่ผมไปฝึกซ้อมผมยังรู้สึกได้เลยว่าตัวเองน่ะมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เล่นกีฬาที่ตัวเองชอบ แล้วพี่ศรละ? ถ้าพี่เขาได้เล่นกีฬาที่ชอบจะมีความสุขมากแค่ไหน ถึงแม้พี่เขาจะบอกว่าตัวเองน่ะเลิกเล่น เลิกสนใจกีฬายิงธนูไปแล้ว แต่ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าในแววตาพี่ที่มองไปยังสนามกีฬายิงธนูวันนั้นมันกำลังบอกว่าที่พี่พูดน่ะไม่เป็นความจริงสักหน่อย ถ้าอย่างนั้น ผมจะต้องช่วยพี่ให้ได้ ไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ผมจะช่วยให้พี่กลับมายิงธนูอีกให้ได้เลย
แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ มาถึงตอนนี้ผมจะช่วยพี่ศรยังไงยังไม่รู้เลย ก็ผมน่ะแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับปัญหาของพี่เขาเลยนะสิ แถมตอนที่ผมเข้าร่วมชมรมกรีฑาที่โรงเรียนเก่า ก็เอาแต่ฝึกซ้อมกับแข่งขันเพื่อให้ได้โควต้ามาเรียนที่นี้ซะด้วยสิ ความเคลื่อนไหวของพี่ศรผมก็ไม่ได้ติดตามเลย มารู้อีกทีพี่เขาก็เลิกยิงธนูไปแล้ว
“เฮ้ออออ! ผมจะทำยังไงดีนะ ปวดหัวแล้วนะเนี่ยยย!”
“...”
“...”
“เอ่อ...คือ...” ฉะ...ฉิบหายแล้ว ลืมว่าตอนนี้อยู่ในห้องเรียนนี่หว่า เผลอตะโกนออมาซะเสียงดังเลยแถมตอนนี้ทุกสายตายังจ้องมองมาที่ผมคนเดียวอีก แต่นั้นก็ไม่เท่าสายตาของ...อาจารย์ที่กำลังมองมาทางผมตอนนี้
“นายปุณากรณ์!” เป็นไปตามคาดครับ น้ำเสียงเย็นชากับใบหน้าดุๆถูส่งมาที่ผมพร้อมกัน จากเดิมที่เป็นคนตัวเล็กเป็นลูกหมาอยู่แล้วตอนนี้ผมรู้สึกตัวลีบลงไปกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าเลย วันนี้ทั้งวันกำลังจะผ่านไปด้วยดีแล้วแท้ๆ มาตายเอาตอนคาบบ่ายนี่แหละนะผมเนี่ย
และหลังจากนั้นผมก็ถูกอาจารย์จัดการไปชุดใหญ่พอสมควรจนกระทั่งตอนนี้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้วเพื่อนๆยังไม่เลิกมองมาทางผมเลย ไอ้มองน่ะมันไม่เป็นอะไรหรอกครับถ้าไม่ติดว่าทุกคนที่มองน่ะเขาแอบขำไปด้วยนี่สิ
โอ้ย! น่าอายชะมัด
“ปุณย์แกเป็นอะไรของแกอยู่ดีๆก็ตะโกนขึ้นมา” เจนเดินเข้ามายืนข้างผมที่ตอนนี้พยายามยกหนังสือขึ้นบังหน้าเอาไว้ก่อนจะถามขึ้น
“เอ่อ...เผลอคิดอะไรเพลินๆไปหน่อยนะ”
“ก็ท่าจะเพลินจริงๆนั้นแหละ เพลินจนแกลืมตัวร้องออกมาดังลั่นห้องขนาดนั้น”
“...”
“แล้วนี่เลิกเรียนแล้วแกไปไหนต่อ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม”
“คือว่า...”
“ลังเลแบบนี้จะปฏิเสธฉันใช่ไหมละ”
“อืม ขอโทษนะพอดีเย็นนี้เรามีที่ที่จะต้องไปหน่อยนะ”
“ว้า! น้อยใจนะเนี่ย ยายเจสสิก้าก็ไปกับหนุ่มๆของนาง แกก็ไม่ว่างอีกสงสัยฉันจะต้องกลับไปต้มมาม่ากินที่หอแทนเพราะไม่มีเพื่อนกินข้าวเลย”
“เราขอโทษจริงๆนะเจน”
“เฮ้ยไม่เป็นไร! แกไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก ฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ว่าแต่แกจะไปไหนเหรอ?”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแห้งๆให้เจนแทน ซึ่งก็ดูเหมือนเจนจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อด้วย
“ความลับอีกแล้ว ไปกลับพี่ศรละสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“อ้าว! แล้วทำไมต้องหน้าแดง ก็เดี๋ยวนี้เห็นแกกับพี่ศรตัวติดกันจะตายนี่ มาเรียนก็มาด้วยกันจะกลับบ้านพี่ศรก็มาคอยรับ ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนละมั้งแกเนี่ย”
“บะ...บ้าเหรอ มะ..ไม่ใช้อย่างนั้นสักหน่อย”
“แนะๆ มาทำเป็นติดอ่าง ก็ได้ๆฉันไม่แซวแล้วแกไปเถอะ ระวังตัวด้วยละอย่าไปมีเรื่องเจ็บตัวอีกนะ”
“อืม” ผมพยักหน้ารับคำก่อนที่จะต้องกลับมาทำหน้าเศร้ากับตัวเองอีกครั้ง พอนึกถึงเรื่องเจ็บตัวที่เจนพูดผมเองก็ยังรับประกันกับตัวเองไม่ได้เลยว่าวันนี้จะรอดไหม ก็ที่ที่ผมจะกำลังจะไปต่อจากนี่ก็คือ ‘ชมรมยิงธนู’ นะสิครับ ในเมื่อตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องช่วยพี่ศรให้ได้และการที่จะทำแบบนั้นได้ผมก็ต้องเริ่มขั้นแรกของแผนการด้วยการสืบความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ศรกันแน่ ต่อให้ที่นั้นน่ากลัวหรืออันตรายแค่ไหนผมก็ต้องไป
ผมพยายามข่มใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจยอมก้าวเท้าเดินออกมาจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ รู้สึกกล้าๆกลัวๆ จะหันหลังกลับอยู่หลายรอบแต่สุดท้ายผมก็บังคับตัวเองมาจนถึงที่ชมรมยิงธนูจนได้ เหตุผลเดียวที่ผมมาถึงที่นี่ก็คงจะไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องของพี่ศร วันนี้ผมตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจแบบแน่วแน่มากๆด้วยว่าจะต้องเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วถ้าคิดจะช่วยพี่ศรจริงๆ อะไรสักอย่างที่ว่าถ้าจะเริ่มก็คงต้องรู้ก่อนว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่ ทางเดียวที่ผมพอจะเห็นว่ามันจะทำให้ผมได้รู้ก็คือต้องมาหา...พี่เบส
แต่ถ้าคนเรามันเข็มแข็งได้ทุกเรื่องอย่างที่ใจคิดก็คงดีสินะ อย่างผมตอนนี้เนี่ยโคตรจะตรงข้ามกับที่ผมคิดอยู่ตอนนี้เลย
“ตื่นเต้นชะมัด” พูดไปพลางลูบมือที่กำลังออกอาการสั่นขึ้นมาบ้างแล้ว
ภาพตรงหน้าคือชมรมยิงธนูที่ตอนนี้มีคนอยู่กันเยอะมากๆ ซึ่งผมไม่รู้จักใครสักคนเลย ยอมรับตามจริงว่านอกจากพี่ศรแล้วผมก็ไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับชมรมยิงธนูนี่เลย ทางมานี่ก็รู้เพราะมันเป็นทางผ่านไปหาอะไรกินหลังมหาวิทยาลัยพอดี แต่ถึงจะกลัวแล้วจะทำอะไรได้ละในเมื่อมาถึงนี่แล้วนี่น่า
“เอาวะไอ้ปุณย์มาถึงขั้นนี้แล้ว แกต้องกล้าเข้าไว้เพื่อพี่ศร ท่องเอาไว้เพื่อพี่ศรแกต้องทำให้ได้” รวบรวมพลังความกล้าให้ตัวเองอยู่ครู่นึงผมก็ตัดสินใจก้าวเท้าเดินเข้าไปในตึกชั้นเดียวตรงหน้า ตึกที่มีป้ายติดไว้ว่า “ชมรมยิงธนู” แต่ในระหว่างที่เริ่มก้าวเท้าเดาอยู่นั้น
ตึก...โครม
เชี่ย!
“โอ้ย...เจ็บชะมัด” จะเกิดอะไรขึ้นได้ละครับ ถ้าไม่ใช่ผมมัวแต่มุ่งมั่นจนไม่ทันได้มองว่าพื้นตรงหน้ามันเป็นพื้นต่างระดับ ความเด๋อที่มีติดตัวอย่างมหาศาลเลยทำให้ผมสะดุดล้มหน้าคะมำลงมานอนกองอยู่กับพื้นแบบนี้ โชคยังดีที่ผมใช้มือค้ำยันไว้ได้ทันไม่งั้นมีปากแตกแน่ๆงานนี้
“น้อง เป็นอะไรไหมครับ...มึง!”
“แก...เอ่อ...พี่!” วันนี้คงจะเป็นวันซวยของผมจริงๆ สะดุดล้มยังไม่พอยังจะต้องมาเจอคนที่ผมไม่อยากเจอแล้วก็ไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้ว
ไอ้พี่ทอย! ไอ้คนอันธพาลที่ทำร้ายผมวันนั้น ถึงตอนนี้ทั้งแผลที่พี่มันทำไว้กับผมแล้วก็ความโกรธที่ผมมีจะหายไปแล้วก็เถอะ แต่ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากจะเจอพี่มันอยู่ดี
“มึงมาทำอะไรที่นี่ไอ้เด็กปากดี” ท่าทีของไอ้พี่ทอยก็ยังคงหาเรื่องอยู่แบบเดิม ทางทีดีผมไม่ยุ่งด้วยดีกว่า
“ไม่ใช่เรื่องของพี่”
“อ้าว! ไอ้เด็กนี่ กูก็แค่เป็นห่วงเห็นมึงมาล้มอยู่หน้าชมรมกูก็เลยถาม ดันมากวนกูกลับซะงั้น สรุปมึงมาทำอะไรที่ชมรมกูวะ”
“ผม...ผมก็แค่จะมาหาเพื่อน”
“เพื่อน?” ไอ้พี่ทอยทำหน้าสงสัย
“เออ คนรู้จักนะ...ครับ” ผมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความลังเล ตอนนี้ท่าทีของอีกคนดู...ไม่ได้น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน แต่นั้นก็ยังไม่ได้ทำให้ผมไว้ใจอยู่ดี แต่ยังไงซะในสถานการแบบนี้ผมควรจะทำตัวดีๆไว้ดีกว่า อย่างเช่นพูดจากับรุ่นพี่มีหางเสียงเป็นต้น
“ใครวะ”
“...”
“ไม่ตอบ มึงยังโกรธกูเรื่องวันนั้นอยู่เหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดถึงเรื่องนี้อีก
“ก็...ต้องโกรธอยู่แล้วไหมละ”
“มึงจะโกรธก็ไม่แปลกหรอก...” เสียงของอีกฝ่ายขาดหายไปเพราะอยู่ดีๆไอ้พี่ทอยก็ยื่นมือมาแตะที่บ่าผมจนผมสะดุ้งแล้วเอียงตัวหลบแทบจะทันที
“...”
“ท่าจะโกรธกูจริงๆแฮะ เออๆ เอาเป็นว่ากูมันเหี้ยกูขอโทษแล้วกัน ต่อไปกูคงไม่ยุ่งกับมึงแล้วล่ะ ก็ไอ้เชี่ยเบสมันสั่งไว้ขนาดนั้น อีกอย่างกูก็ไม่ได้อะไรกับมึงแล้ว คิดซะว่ามึงมันก็แค่ไอ้เด็กกวนๆคนหนึ่ง”
“นี่พี่ไม่ได้หลอกด่าผมใช่ไหม” ถามไปแบบนั้นแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยักไหล่ให้ผมอย่างกวนๆเท่านั้น กวนประสาทชะมัด!
“ว่าแต่กูถามมึงได้ไหมว่าคนที่มึงมาหาเป็นใคร”
“ก็...พะ...พี่เบส”
“หึ! กูว่าละ เห็นไอ้เบสมันสั่งไว้ว่ามึงจะต้องมาหามัน คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องเป็นมัน”
“พี่เบสพูดแบบนั้นเรอครับ หมายถึงพี่เบสรู้เหรอครับว่าวันนี้ผมจะมา” นั้นสิ! พี่เบสจะรู้ได้ยังไง ก็ในเมื่อเจอกันครั้งล่าสุดก็ตอนที่เจอกันบนตึกคณะ วันนี้ผมก็ไม่ได้บอกใครเลยนะว่าจะมาที่นี่
“เปล่าหรอก มันไม่รู้หรอกว่าวันนี้มึงจะมา แต่มันก็เคยพูดไว้นะว่าสักวันมึงจะมาหามัน ตอนแรกกูก็ไม่เชื่อหรอก แต่คิดไม่ถึงว่ามึงจะมาหามันจริงด้วย มึงชอบไอ้เบสเหรอ”
“หา...” ผมถามอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพึ่งได้ยิน ผมนี่นะชอบพี่เบส ไม่ใช่โว้ย! จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว
“ว่าไง มึงชอบเพื่อนกูเหรอ”
“ผมไม่ได้ชอบพี่เขาสักหน่อย”
“อ้าว! แล้วงั้นมึงมาหามันทำไม”
“ผม...ผมก็แค่มีเรื่องจะคุยกับพี่เขา”
“งั้นหรอกเหรอ จะเข้าไปหามันเลยไหมละ มันอยู่พอดีเลย”
“อืม พี่ช่วยนำทางไปหน่อยได้ไหมครับ” ถึงผมจะไม่ชอบหน้าไอ้พี่ทอยเอาซะเลยแต่ผมก็ต้องไม่ลืมจุดประสงค์หลักที่ผมมาที่นี่ ตอนนี้คนที่จะช่วยพาผมไปหาพี่เบสได้คงจะมีแค่พี่ทอยนี่แหละ อย่างน้อยๆก็ดีกว่าเดินไปหาเอาแบบมั่วๆแล้วกัน
เดินเข้ามาข้างในชมรมยิงธนูได้ไม่ทันไรก็มีแต่สายตาของใครต่อใครมองมาที่ผมกันเต็มไปหมดเลย จนมีเสียงของใครอีกคนที่กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ตรงโต๊ะตัวไม่ไกลจากผมร้องถามขึ้น
“มึงพาใครมาด้วยวะไอ้ทอย”
“เด็กไอ้เบสมัน”
“…” ไอ้บ้าพี่ทอย พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงแถมยังทำสีหน้าไม่รู้สึกอะไรอีก พูดแบบนั้นผมเสียหายนะโว้ย
“เชรดดด! เด็กไอ้เชี่ยเบสนี่แม่งเด็ดทุกคนเลยปะวะ” ใครอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับคนที่ถามขึ้นคนแรกเดินเข้ามามองหน้าผมใกล้ๆ มันใกล้มากจนผมต้องย่นคอหนี ส่วนไอ้พี่ทอยมันเดินเลี่ยงไปนั่งบนเก้าอี้ตัวถัดไปแล้ว ตอนนี้ผมถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียวไปโดยปริยาย
“สวยวะ โคตรขาวเลย ผิวนุ่มด้วย” ไม่ว่าเปล่าเพราะอีกฝ่ายพูดพร้อมกับยื่นมือมาลูบต้นแขนผมด้วย ถึงผมจะใส่ชุดนิสิตแขนยาวแบบนี้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกตินะที่จะให้ใครมาแตะต้องตัวแบบนี้
“ชื่ออะไรครับคนสวย” ผู้ชายคนเดิมถามผม
“คนสวยอะไรของมึงวะ น้องมันเป็นผู้ชาย” เสียงใครอีกคนในกลุ่มพูด
“มึงก็ดูสิวะหน้านี่โคตรสวยเลย น่ารักแบบนี้สเปคกูเลย” เขาหันไปพูดกับใครอีกคน ก่อนจะหันกลับมาสนใจที่ใบหน้าผมต่อ “ว่าไงครับ พี่ถามว่าชื่ออะไร”
“เอ่อ...ผม...” สถานการน่าอึดอัดชะมัดผมเริ่มจะทำตัวไม่ถูกแล้วนะ
“น่ารักวะ ดูหน้าใกล้ๆแล้วโคตรน่ารักเลย ขอจับแก้มหน่อยได้ไหม...”
หมับ!
แต่ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังยื่นมือจะมาจับแก้มผมจริงๆนั้นเอง ข้อมือแกร่งของใครอีกคนก็จับเข้าที่ข้อมือที่กำลังจะยื่นมานั้นก่อน แรงจับคงจะแรงมากจนทำให้ฝ่ายถูกจับข้อมือต้องทำสีหน้าเจ็บปวดออกมา
“พี่เบส!” คนที่มาจับข้อมือรุ่มร่ามที่จะมาบีบแก้มผมออกไปคือมือของพี่เบส
“อย่ายุ่งกับคนของกู” เสียงเรียบๆเอ่ยขึ้น
“เออๆ กูขอโทษ ก็แค่เห็นเด็กมันน่ารัก ก็แค่...” พี่คนที่ถูกพี่เบสจับข้อมือเต็มแรงเมื่อกี้ดูจะมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงเข็มๆกับสายตาดุๆที่พี่เบสกำลังมองมันน่ากลัวจนผมเองที่ไม่ใช่คนถูกมองยังแอบกลัวไปด้วย
แต่เมื่อกี้ หมายความว่ายังไงกัน ที่ว่า...คนของกู ผมไม่ใช่คนของพี่เขาสักหน่อย แต่พี่เขาก็คงแค่พูดออกไปอย่างนั้นเองละมั้ง คง…ไม่มีอะไรหรอก
-
“ไปเหอะ” จากนั้นอยู่ดีๆคนที่ถูกพี่เบสจับข้อมือก็กลายมาเป็นผมแทน เพียงแต่แรงบีบไม่ได้แรงเท่ากับที่พี่เบสออกแรงบีบกับใครอีกคนก่อนหน้า
“ไปไหนครับ” ผมเงยหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ
“มึงมีอะไรจะคุยกับกูไม่ใช่เหรอ ก็ไปคุยกันไง”
“อ๋อ ครับ” ถึงจะสงสัยอยู่บ้างว่าพี่เบสรู้ได้ยังไงว่าผมมาที่นี่เพราะมีอะไรจะคุยด้วย แต่ก็นั้นแหละครับ ไม่มีเวลาหรือโอกาสที่จะสงสัยอะไรนาน รู้ตัวอีกทีตอนนี้ผมก็โดนพี่เบสจูงมือพาตัวออกมาจากชมรมยิงธนูซะแล้ว
“เราจะไปไหนกันเหรอครับ?”
“ไปซื้อน้ำ”
“ครับ?”
“ก็ไปซื้อน้ำไง กูพึ่งซ้อมเสร็จมาเหนื่อยๆขอกินน้ำก่อน”
“…” ผมไม่ค่อยเข้าใจท่าทีของอีกคนเท่าไหร่ ทั้งๆที่เมื่อกี้ตอนที่พี่เบสพาตัวผมออกมายังทำหน้าดุยังกับยักษ์อยู่เลย ทำไมพอมาตอนนี้ถึงเปลี่ยนมาเป็นเวอร์ชั่นนี้ได้ แต่จะว่าไปถ้าพี่เบสมันไม่อยู่ในโหมดหน้านิ่งแต่โหดเวอร์แบบที่พี่มันชอบเป็นมันก็ดูจะเป็นคนดีขึ้นมาบ้างอยู่หรอก
“เอาน้ำเปล่าขวดนึงครับ” พี่เบสออกเสียงสั่งน้ำในแทบจะทันทีที่พวกเรามาถึงบูธร้านน้ำข้างสนามกีฬากลางของมหาวิทยาลัย ผมได้แต่มองอีกคนรับขวดน้ำที่คุณป้าคนขายน้ำยื่นให้มากระดกดื่มอย่างคนกระหายก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาเลิกคิ้วใส่ผมกลับ
“เอ้า! ยืนนิ่งทำไมอ่ะ จ่ายเงินดิ”
“หา?”
“ก็ตอนมึงลากกูออกมานี่กูยังไม่ได้หยิบกระเป๋าเงินติดมาด้วยเลย มึงอะจ่ายไปก่อนเลย”
“ผมลากพี่ออกมา?” ผมถามกลับอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่ไอ้พี่เบสมันพูดสักเท่าไหร่ ผมไปลากพี่มันออกมาตอนไหนวะ มีแต่พี่มันนั้นแหละลากผมออกมาเอง
“จะงงอะไรวะ จ่ายเงินเร็วๆ ไม่เกรงใจป้าเขามั้งไง”
“…” อะไรวะ งงไปเลยสิไอ้ปุณย์ อยู่ดีๆก็โดนลากมานี่แถมยังต้องมาจ่ายเงินซื้อน้ำให้ไอ้คนที่ลากตัวผมมาอีก แถมตอนนี้สายตาคุณป้าร้านน้ำยังกดดันผมชะมัดส่วนไอ้พี่เบสน่ะเหรอตอนนี้ก็เอาแต่ยิ้มให้ผมอยู่นั้นแหละ น่าโมโหชะมัด
พอผ่านเหตุการณ์ที่ผมต้องเลี้ยงน้ำไอ้พี่เบสอย่าง งงๆมาด้วยความโมโหแล้วนั้น ตอนนี้พี่เบสพาผมเข้ามานั่งอยู่บนสแตนเชียร์ข้างในสนามกีฬากลาง บรรยากาศตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีแดงฉานเพราะพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว แสงไฟจากสปอตไลท์รอบๆสนามถูกเปิดขึ้นจนเกิดความสว่างไปทั่วทั้งสนามฟุตบอลที่ตอนนี้กำลังมีพวกชมรมฟุตบอลกำลังฝึกซ้อมกันอยู่
“กุว่าแล้วว่ามึงต้องมาหากู”
“พี่…พี่รู้ได้ยังไงว่าผมจะมาหาพี่”
“จริงๆกูก็ไม่รู้หรอก ก็แค่เดาเอา แต่สุดท้ายมึงก็มาจริงๆ”
“เดาเอางั้นเหรอครับ”
“ก็กูเห็นมึงดูท่าทางจะสนใจเรื่องของไอ้ศรขนาดนั้น กูเห็นที่มึงด่ากูแทนไอ้ศรที่ร้านอาหารวันนั้นกูก็พอจะเข้าใจอะไรอยู่บ้าง ที่มึงมาหากูนี่ก็คงจะมาถามเรื่องไอ้ศรใช่ไหมละ”
“ก็ใช่ครับ คือว่า…ผม…ผมอยากรู้เรื่องของพี่ศรให้มากขึ้น พี่พอจะช่วยบอกผมได้ไหมว่าเป็นเพราะอะไรพี่ศรถึงเลิกยิงธนู ผมไม่เชื่อหรอกที่พี่บอกว่าพี่ศรนะเป็นคนขี้แพ้ ผมเชื่อว่าพี่เขาต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ”
“…”
พอถามออกไปแบบนั้นบรรยากาศรอบๆพวกผมสองคนตอนนี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ตอนนี้พี่เบสไม่ได้พูดหรือแสดงความรู้สึกอะไรกลับมาเลย เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งอยู่นั้นแหละ หรือว่าผมถามอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
“มึงนี่ท่าชอบไอ้ศรมากสินะ”
“ชะ…ชอบเหรอ ผะ…ผมไม่ได้ชอบพี่เขาสักหน่อย”
“หลบสายตาแบบนี้กูคงเชื่อหรอก”
“ก็ผม…”
“ไอ้ศรมันจะเลิกยิงธนูเพราะอะไร กูไม่เห็นว่ามันจะสำคัญอะไรตรงไหนเลย มึงจะไปสนใจทำไมวะ”
“สำคัญสิครับ สำคัญมากด้วย ก็ผมนะอุตส่าห์พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากที่ผมเป็นคนไม่ได้สนใจอะไร แต่เพราะได้แรงบันดาลใจจากพี่ศร ผมน่ะต้องเข้าร่วมชมรมกรีฑาแล้วต้องพยายามขนาดไหนกว่าจะได้มาเข้าเรียนที่นี่ ผมน่ะอยากจะเห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้ง ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่เขาจะเลิกยิงธนูไปแล้วแต่ผมจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก ผมจะต้องช่วยให้พี่ศรกลับมายิงธนูอีกครั้งให้ได้” หลายๆอย่างพรั่งพรูออกมาจากปากพล่อยๆของผมจนหมด รู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็เผลอพูดอะไรไปเยอะแล้ว ไอ้ปุณย์นะไอ้ปุณย์ ตอนแรกคิดไว้ว่าจะแค่มาถามข้อมูลจากพี่เบสมันแค่นั้นแท้ๆ สุดท้ายกลายเป็นมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้อีกฝ่ายฟังจนหมดเลย
“เอ่อ…คือผม…” เอาไงดีละทีนี้ จะแก้ตัวว่ายังไงดี ไม่รู้พี่เบสจะหาว่าผมบ้าหรือเปล่าที่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้น หรือพี่มันจะหัวเราะเยาะผมหรือเปล่านะ
“น่าสนใจดีแฮะ”
“ครับ? พี่หมายถึงอะไรเหรอครับ”
Rrrr… Rrrr…
แต่ในจังหวะนั้นเอง แรงสั่นจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงนิสิตของผมก็สั่นขึ้นเรียกความสนใจของผมไปจากพี่เบสทันทีเมื่อพบว่าคนที่โทรมาคือพี่ศร
“ฮัลโหลครับ”
(ถึงหอยัง)
“ยังเลยครับ พี่ถึงแล้วเหรอ”
(ยังหรอก คือ…ตอนนี้กูอยู่หลังมอ มึงจะกินอะไรไหมเดี๋ยวกูซื้อไปให้)
ฮืออออ ใจบางจนจะขาดอยู่แล้ว ยอมรับว่าผมยังไมค่อยชินเท่าไหร่กับการที่พี่ศรทำดีกับผมแบบนี้ ก็พี่ศรนะเป็นคนที่ทำอะไรก็มีผลกับหัวใจผมไปหมดเลยนี่น่า
“คุยกับใครเหรอ” เสียงของพี่เบสพูดแทรกขึ้น
(เสียงใครวะ? ตอนนี้มึงอยู่กับใคร)
“เออ คือพี่ศร คือผม…ตอนนี้ผมอยู่ที่…” โอ้ย! ตายแน่ๆไอ้ปุณย์ ถ้าพี่ศรรู้ว่าตอนนี้ผมอยู่กับพี่เบสผมคงต้องตายแน่ๆ ก็พี่ศรน่ะสั่งนักสั่งหนาว่าไม่ให้ผมมายุ่งกับพวกพี่เบสอีก ถ้าเกิดพี่ศรรู้ว่าตอนนี้ผมอยู่กับพี่เบสแถมที่มาก็เพราะจะมาถามเรื่องของพี่เขามีหวังต้องโดนพี่ศรโกรธแน่ๆเลย ทั้งๆที่พวกเราพึ่งจะดีกันแล้วแท้ๆ ซวยแน่ๆไอ้ปุณย์มึงซวยแน่ๆ
(กูถามว่าตอนนี้มึงอยู่กับใครไอ้ปุณย์)
หมับ!
แต่ในจังหวะที่ผมกำลังรู้สึกว่าน้ำเสียงเลิกลักของตัวเองกำลังจะขาดหายไป มือถือของผมที่ควรจะแนบชิดอยู่ตรงหูของผมก็ถูกมือของใครอีกคนแย่งไป
“กูเอง”
(ไอ้เบส)
“เออ เด็กนี่อยู่กับกูเอง”
(พวกมึงสองคนอยู่ด้วยกันได้ยังไง)
“อันนี้มึงต้องไปถามเด็กมันเอาเองนะ ก็เด็กมันมาหากูเองนี่หว่า”
(มึงเอามือถือคืนไอ้ปุณย์เดี๋ยวนี้เลยนะ กูจะคุยกับมัน)
“ไอ้ศรมันจะคุยกับมึงอ่ะ” พูดจบพี่เบสหันมายื่นมือถือกลับมาให้ผมด้วยด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ที่หนักกว่านั้นคือผมเองนี่แหละแทนที่จะโกรธที่พี่มันมาแย่งมือถือผมไปแบบนั้นกลับเอาแต่อ้าปากค้างรับมือถือกลับมาอย่างทำตัวไม่ถูกด้วย
“คะ…ครับ”
(ตอนนี้มึงอยู่ไหน)
“คือผม…อยู่ที่สนามกีฬากลางครับ” ผมตอบเสียงอ่อยแบบสุดๆเพราะตอนนี้พี่ศรน่ะเสียงดุมากๆเลย รู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่าต้องถูกพี่ศรโกรธแล้วแน่ๆ
(มึงไปอยู่กับไอ้เบสมันได้ยังไง กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับมันอีก)
“คือผม…”
(กูถาม!)
“…” โอ้ย! ดุชะมัดเลย เคยเจอพี่ศรหน้านิ่งๆเย็นชาเป็นน้ำแข็งมาแล้วนะ แต่ไม่เคยได้ได้ยินน้ำเสียงโหดๆแบบนี้เลย ก็ใครจะไปกล้าบอกกันเล่าว่ามาหาพี่เบสเพราะเรื่องอะไร แค่นี้ก็รู้ตัวแล้วว่าต้องโดนโกรธมากแน่ๆอยู่แล้วขืนบอกไปว่าผมมาหาพี่เบสทำไมมีหวังโดนพี่ศรฆ่าแน่ๆเลย
(ไม่ยอมบอกกูก็ไม่เป็นไร งั้นมึงรอกูอยู่ที่สนามกีฬานั้นแหละ ตอนนี้กูอยู่หลังมออยู่แล้วเดี๋ยวกูไปหามึงเอง)
ตึด…ตึด… และสายก็ถูกตัดไป ทิ้งไว้แค่ผมที่ตอนนี้เริ่มจะกลัวพี่ศรขึ้นมาจริงๆแล้วนะ เอายังไงดี? วิ่งหนีไปตอนนี้เลยไหม
“ไอ้ศรมันว่าไงบ้าง” พี่เบสที่นั่งอยู่ข้างๆผมคงจะจับความกังวลบนสีหน้าผมได้ถึงถามขึ้น
“คือว่า…พี่ช่วยกลับไปก่อนได้ไหมครับ คือตอนนี้พี่ศรกำลังจะมาที่นี่ ผมไม่อยากให้พวกพี่สองคนจะมีปัญหากัน พี่ช่วยกลับไปก่อนนะครับ”
“ทำไมละ ไอ้ศรมันมาแล้วจะเป็นอะไรละ ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามึงกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน ก็ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรกันมึงจะกลัวอะไร”
“คือผม…” มันไม่ใช่อย่างนั้นโว้ย! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งคำถามอะไรหรอกนะไอ้พี่เบสบ้า ขอร้องละเชื่อผมเถอะว่าพี่เบสกับพี่ศรไม่ควรเจอกันจริงๆ ก็รู้แหละว่าพี่ศรคงไม่ใช่คนที่จะเที่ยวไปทำตัวอันธพาลกับคนอื่นได้ง่ายๆ แต่ว่าตอนนี้ผมคิดว่ามันคงจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วที่เวลาพี่ศรมาจะไม่เจอพี่เบสนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย อย่างน้อยๆก็ช่วยให้ผมโดนพี่ศรโกรธน้อยลง…หวังว่านะ
แต่ก็ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้กับการที่ผมพยายามบอกให้พี่เบสกลับไปที่ชมรมหรือจะไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี้ แต่ไอ้พี่เบสนี่สิดื้อชะมัดเลย ผมทั้งอ้อนวอน ทั้งบังคับ ทั้งขมขู่(ที่ไม่ค่อยเหมือนข่มขู่)ทำแทบจะทุกอย่างแล้วพี่เบสมันก็ไม่ยอมไปสักที หรือว่าผมจะเป็นฝ่ายออกไปจากตรงนี้เองดี แต่ถ้าทำอย่างนั้นพี่ศรมาแล้วไม่เจอผมก็ต้องยิ่งโกรธผมไปใหญ่สิ
โอ้ยยย! จะทำยังไงดีเนี่ย หรือจะเอาไม้ตีหัวพี่เบสมันให้สลบแล้วลากเอาไปซ่อนไว้เลยดีไหม
โอ๊ะ! จังหวะที่ผมกำลังเครียดจนหัวแทบแตกผมก็สัมผัสได้กับความเย็นประดุจน้ำแข็งจากมือหน้าของใครอีกคนที่กำลังจับข้อมือของผมอยู่ตอนนี้ รัศมีความเย็นยะเยือกที่กำลังแผ่อยู่ข้างผมตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า…
“พ…พี่ศร” .ใช่ครับ อย่างที่รู้สึกเลย พี่ศรมายืนทำหน้านิ่งๆอยู่ข้างๆผมแล้วตอนนี้
“กลับหอ” ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับใบหน้านิ่งๆของพี่ศรที่ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่เขากำลังโกรธผมอยู่แน่ๆ ผมได้แต่ทำหน้าอ่อยๆคอตกเตรียมตัวลุกขึ้นตามแรงจับที่ข้อมือของพี่ศรแค่นั้น
“เดี๋ยว” แต่ในระหว่างนั้นเองที่พี่เบสลุกขึ้นยืนและจับเข้าที่ข้อมือของพี่ศรเต็มแรงเหมือนกัน กลายเป็นว่าตอนนี้เราทั้งสามคนยืนประจันหน้ากันเป็นรูปวงกลม พี่ศรจับข้อมือผมไว้ส่วนพี่เบสจับข้อมือพี่ศรไว้เช่นกัน บรรยากาศตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์กำลังจะพุ่งชนกันอย่างไงอย่างงั้น พี่ศรก็ทำหน้านิ่งๆเย็นชาอย่างที่พี่เขาชอบทำ ส่วนพี่เบสก็ทำหน้านิ่งๆโหดๆจ้องกลับไปไม่แพ้กัน มีก็แต่ผมนี่แหละที่กำลังจะตัวหดลีบลงเรื่อยๆจนจะตายอยู่แล้ว
“มึงมีอะไร” พี่ศรถามขึ้น
“เด็กนี่อยู่กับกู ใครจะมาพามันไปไหนไม่ได้” พอพี่เบสตอบไปแบบนั้นตอนนี้ทั้งสองคนยิ่งส่งสายตาสู้กันหนักขึ้นกว่าเดิมอีก
“คือว่า…พี่เบสครับ ถ้ายังไงตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว ผมว่าผมกลับหอก่อนก็ดีครับ เรื่องที่ผมบอกว่าจะถามพี่ไว้วันหลังค่อยคุยกันก็ได้ครับ”
“เอาอย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นให้กูไปส่งไหม” พี่เบสหันมาถามผม
“ไม่ต้อง ไอ้ปุณย์มันเป็นน้องเมทกู กูพามันกลับเองได้”
“แน่ใจเหรอว่ามึงเห็นมันเป็นแค่น้องเมท” พอพี่เบสถามออกมาแบบนี้พี่ศรก็ดูนิ่งเงียบลงไปทันที
“มึงหมายความว่ายังไง” พี่ศรถามพี่เบสกลับ
“เปล่า กูก็แค่ถามดู เพราะถ้ามึงเห็นน้องมันเป็นแค่น้องเมทของมึงจริงๆ กูจะได้…เดินหน้าต่อ”
“…” ตอนนี้ทั้งสองคนเริ่มกลับมาทำสงครามส่งสายตาจ้องมองกันอย่างเอาเป็นเอาตายใส่กันอีกครั้ง
“เอาเป็นว่าเรื่องที่มึงจะถาม ถ้าอยากรู้ตอนไหนก็มาหากูที่ชมรมได้ตลอดนะ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำกับสิ่งที่พี่เบสบอกอย่างว่าง่าย
ฟอด!
แต่ทันใดนั้นเองสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ก็อยู่ดีๆไอ้พี่เบสนะสิดันพุ่งเข้ามาประชิดตัวผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ที่สำคัญกว่านั้นไอ้พี่เบสมันหอมแก้มผม ใช่ครับ! มันหอมแก้มผม ไอ้บ้า! ผมน่ะยังไม่เคยถูกใครหอมแก้มเลยนะ พี่มันมาขโมยหอมแก้มแรกของผมไปได้ยังไงแล้วนี่ยังมาหอมแก้มผมต่อหน้าพี่ศรอีก
“ไว้เจอกัน กูจะรอมึงนะ” ทิ้งท้ายด้วยคำพูดไม่กี่คำแล้วพี่เบสมันก็เดินจากไปเลย
ผมหันหน้ามองพี่ศรอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าพี่เขาจะรู้สึกยังไงที่พี่เบสมัน…หอมแก้มผมแบบนั้น แต่ผิดคาดครับ ตอนนี้หน้าพี่ศรนิ่งมาก นิ่งจนผมเดาความรู้สึกไม่ออกเลย พี่ศรเอาแต่มองตามแผ่นหลังของพี่เบสที่เดินแยกออกไปอีกทางเท่านั้น จริงสินะผมกับพี่ศรเราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ ถ้าจะเป็นก็เป็นแค่พี่เมทน้องเมท แล้วจะไปหวังให้พี่เขามาคิดอะไรหรือรู้สึกอะไรกลับผมละ
“พี่ศรครับ…อ๊ะ!” ไม่ทันได้มีโอกาสได้ถามจบตัวผมก็ถูกแรงกระชากจากมือหน้าของพี่ศรที่จับข้อมือผมไว้ออกแรงดึงให้ผมต้องเดินตาม
ตอนนี้ผมทอดสายตามองแผ่นหลังของพี่ศรที่กำลังเดินนำผมอยู่อย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่ยอมพูดยอมจากับผมแบบนี้ พี่คงจะโกรธผมมากสินะครับ เฮ้อ! ผมมันก็ดีแต่ทำให้พี่โกรธอยู่เรื่อยสิน่า แต่ไม่ว่าพี่จะโกรธผมแค่ไหนผมก็ไม่ยอมแพ้หรอก ผมจะต้องง้อพี่ให้ได้เลย…
___________________________________________
พี่เบสเป็นตัวร้ายที่รุกน้องหนักมากจริงๆ ส่วนพี่ศรถ้าไม่คิดอะไรกับน้องจะมาหึงน้องเบอร์แรงแบบนี้ไม่ได้นะ ทั้งหึงทั้งหวงแบบนี้ไม่ได้คิดกับน้องแค่น้องเมทละมั้งงงงง
#รักตรงเป้า
-
7th Shoot
ที่พี่ทำน่ะ…มันเกินไปแล้วนะ
ถ้าจะให้พูดถึงความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นกับผมตลอดเวลาที่อยู่กับพี่ศร สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดก็คงจะเป็นความรู้สึกอึดอัดอย่างที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ ตั้งแต่โดนพี่ศรจับข้อมือลากตัวมาจากสนามกีฬา ผมยังไม่ได้ยินเสียงพูดหลุดออกมาจากปากของผู้ชายคนที่กำลงจับข้อมือผมแน่นจนรู้สึกเจ็บอยู่ตอนนี้เลย บรรยากาศตอนนี้นากลัวชะมัด
ปัง!
จนกระทั่งเสียงปิดประตูห้องเสียงดังสนั่นดังขึ้น พี่ศรถึงได้ยอมหันกลับมามองหน้าผม ตอนนี้เราสองคนกำลังสบตากัน สายตาของพี่ศรดุดันและน่ากลัวมากๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ชอบทำแต่สีหน้านิ่งๆเย็นชาอยู่ตลอดเวลาตอนนี้มันกลับนิ่งและน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมซะอีก ผมได้แต่แอบกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ พยายามข่มใจไม่ให้หลบสายตาพี่ศรไปไหน ทั้งๆที่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะตัวเล็กลงไปและแทบจะละลายจากสายตาที่พี่ศรมองมาอยู่แล้ว
“มึงไปอยู่กับไอ้เบสได้ยังไง” คำถามจากน้ำเสียงเรียบนิ่งถูกถามขึ้น
“คือผม…ผมไปหาพี่เขาเองครับ”
“กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับพวกมันอีก กูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่ห่างๆพวกมันเอาไว้”
“แต่ว่าพี่เบสเขาไม่ได้รู้เรื่องที่พวกพี่ทอยทำกับผมนะครับ ผมว่าจริงๆแล้วพี่เบสเขาก็เป็นคนดีอยู่นะครับ”
“มึงเชื่อจริงๆเหรอว่าไอ้เบสมันเป็นคนดีนะ ถึงมันจะไม่รู้เรื่องที่พวกไอ้ทอยมันมาทำกับมึงจริงก็เหอะ แต่กูบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่ห่างๆพวกมันไว้”
“ก็…” ผมอ้าปากค้างไว้อย่างนั้น เสียงพูดขาดหายไปกะทันหัน ก็จริงอย่างที่พี่ศรบอกนั้นแหละว่าพี่ศรเคยบอกผมว่าไม่ให้ไปยุ่งกับพวกพี่เบสอีกแถมตอนนั้นผมก็รับปากพี่ศรไปแล้วด้วย ครั้งนี้คนที่ผิดก็คงจะเป็นผมเองนี่แหละที่ผิดคำพูดไปยุ่งกับพวกพี่เบสอีกจนได้ แต่ว่าถ้าผมไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้รู้เรื่องของพี่ศรนะสิ อีกอย่างพี่เบสน่ะจริงๆแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรสักหน่อย
แต่ดูจากอารมณ์ของพี่ศรตอนนี้ผมว่าผมไม่ควรจะโต้เถียงหรือพูดอะไรออกไปดีกว่า ผมเองก็ไม่อยากจะทะเลาะหรือทำให้พี่ศรรู้สึกไม่ดีด้วย การยอมเงียบแล้วยอมรับผิดไปก็คงจะเป็นทางเลือกที่ที่สุด
“ผมขอโทษครับ คราวหลังผมจะไม่ไปเจอพี่เขาอีก” ยอมรับออกไปแบบนั้น แต่พี่ศรคงไม่รู้ว่าตอนนี้อีกมือหนึ่งของผมกำลังทำมืออีฟไขว้หลังอยู่ ฮือๆ ขอโทษนะครับพี่ศร ผมจำเป็นต้องโกหกจริงๆ ตราบใดที่ผมยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมพี่ถึงเลิกยิงธนู ผมก็ยังคงจำเป็นต้องไปเจอพี่เบสอยู่ แต่เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะระวัง…ไม่ให้พี่รู้แล้วกันนะครับ
“อะ!” แต่อยู่ๆผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถูกยื่นมาพร้อมกับข้อมือแกร่งของพี่ศรที่สร้างความไม่เข้าใจให้ผมอยู่ตอนนี้
“คืออะไรเหรอครับ”
“ก็หน้ามึงอ่ะไปโดนอะไรมาละ”
“ครับ?”
“ไอ้เบสมัน…หอมแก้มมึงไม่ใช่เหรอ เอานี่ไปแล้วเช็ดซะ กู…ไม่ชอบ”
“ขอบคุณครับ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ศรจะต้องจริงจังขนาดนี้ แต่พอลองนึกดูก็จริงอย่างพี่ศรว่านั้นแหละ ไอ้พี่เบสนะไอ้พี่เบสมาแอบหอมแก้มผมได้ยังไง โชคดีของพี่มันนะที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าผมตั้งตัวได้นะผมต่อยหน้าพี่มันไปแล้ว
“นี่แนะๆ!” พอคิดได้แบบนั้นผมรับผ้าเช็ดหน้ามาจากพี่ศรได้ผมก็ออกแรงถูที่แก้มข้างที่โดนไอ้พี่เบสมันหอมอย่างแรง
“ถูเบาๆก็ได้มั้ง ไม่กลัวหน้ามึงถลอกหรือไง”
“ต้องถูแรงๆครับมันถึงจะออก คนบ้าอะไรอยู่ดีๆก็มาหอมแก้มผม”
“เอาเป็นว่าคราวหลังก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน ไม่ต้องไปเจอมันอีกจะดีที่สุด”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกัน กูซื้อผัดไทยมาฝากน่ะ ไม่รู้ว่ามึงชอบไหม”
“ชอบครับๆ” ผมรีบพยักหน้าตอบ ไม่คิดว่าพี่ศรจะซื้อมาฝากผมด้วย แต่จริงๆพี่ศรไม่ต้องถามก็ได้นะ ผมต้องชอบอยู่แล้ว สำหรับผมไม่ว่าพี่ศรจะซื้ออะไรมาให้กินผมก็ชอบทั้งนั้นแหละครับ
คงจะไม่มีอะไรทำให้ผมมีความสุขและยิ้มกว้างได้เท่ากับเหตุการณ์ระหว่างผมกับพี่ศรมันไม่ได้ตึงเครียดหรือมีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด ตอนแรกคิดว่าพี่ศรจะโกรธแล้วซะอีก แต่ว่าสุดท้ายผมก็ผ่านมันมาได้โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกผมสองคนยังดีเหมือนเดิม พี่ศรก็…ยังน่ารักขึ้นทุกวันเหมือนเดิมด้วย
“วันนี้พี่มีเรียนตั้งบ่ายแล้วทำไมถึงยังจะเดินไปส่งผมที่คณะละครับ” เช้าวันนี้ก็เป็นอีกวันเช่นกันที่พวกเราสองคนเดินไปเรียนที่คณะพร้อมกัน ใครอีกคนมีเรียนอีกทีตั้งตอนบ่ายก็ยังอาสาจะเดินไปส่งผมทั้งๆที่ผมยืนยันว่าผมนะไปเรียนคนเดียวได้ไม่มีปัญหาอะไรพี่ศรก็ไม่ยอม แต่ถ้าจะถามจากใจจริงๆแล้วผมก็รู้สึกดีมากๆเลยที่ได้เดินไปเรียนที่คณะพร้อมพี่ศรแบบนี้
“กูว่ากูจะไปหาหนังสืออ่านที่ห้องสมุดก่อนนะ อาจารย์จะควิซอีกแล้ว กูยังเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องก็เลยว่าจะไปหาหนังสืออ่านเอาเอง”
“อ๋อ งั้นเหรอครับ ปีสองคงจะเรียนหนักแย่เลย”
“เรียนไม่หนักหรอก แต่วิชามันยาก แล้วมึงละเรียนเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ” ผมตอบเสียงอ่อย ก็ดีอะไรกันผมน่ะปวดหัวจะแย่ มีหลายวิชาเลยที่เรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิด ถ้าไม่ได้เจนช่วยติวให้หรือช่วยทำชีทสรุปให้ผมก็คงแย่เหมือนกัน
“ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็ถามกูได้นะ ไว้จะช่วยติวให้ก็ได้”
“ครับ?”
“ไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นหรอก ที่มึงบอกก็ดีเมื่อกี้กูดูก็รู้ว่าจริงๆแล้วมันหมายความว่ายังไง”
“…” พอเห็นผมหน้าเสียที่ถูกจับได้พี่ศรก็ยืนมือมายีหัวผมเล่นก่อนจะเดินนำไปทิ้งให้ผมยืนหน้าชาอยู่คนเดียวที่เดิม ความโง่ของผมมันคงจะเด่นชัดมากสินะพี่ศรถึงได้รู้ทันผมแบบนั้น แต่ก็เอาเถอะครับยังไงซะผมก็ต้องพยายามตั้งใจเรียนให้มากขึ้น ผมจะไม่ยอมโดนรีไทร์ง่ายๆหรอกครับ
พอตอนเที่ยงพี่ศรก็ส่งข้อความมาในไลน์เพื่อชวนผมไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันอย่างเคย ที่นัดประจำก็คงจะหนีไม่พ้นโรงอาคารประจำคณะของเราเองส่วนเจนกับเจสสิก้าก็ขอแยกตัวไปกินที่คณะนิเทศที่อยู่ไม่ไกลจากคณะผมเท่าไหร่ เจนให้เหตุผลว่าที่นั้นมีทั้งอาหารตาทั้งอาหารใจและเจนกับเจสสิก้าเองก็ดูจะชอบไปที่นั้นมากๆถึงขนาดเคยชวนให้ผมไปด้วยอยู่บ่อยๆ
“จะกินน้ำอะไรเดี๋ยวกูไปซื้อให้” พี่ศรถามขึ้นในขณะที่อีกคนลุกขึ้นยืนหลังจากที่พวกผมได้อาหารที่จะทานในมื้อเที่ยงนี้มาเรียบร้อยแล้ว
“เอาน้ำเปล่าครับ”
“อืม” พี่ศรพยักหน้าแล้วอีกฝ่ายก็เดินออกจากโต๊ะไป ผมมองตามอีกคนที่นับวันจะยิ่งทำตัวน่ารักขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่ละสายตา ถึงพี่ศรจะชอบทำตัวเย็นชาเหมือนเจ้าชายน้ำแข็งก็เถอะ แต่ถ้าได้มารู้จักจริงๆพี่ศรนะโคตรจะน่ารักเลย ผมเลือกรักคนไม่ผิดจริงๆ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์มาหาพี่ศรถึงที่นี่
“เฮ้ย!” แต่แล้วแรงสะกิดพร้อมเสียงเรียกจากด้านข้างทำให้ผมต้องหันมอง
“พี่เบส”
“เออกูเอง ก็ยังอยู่ดีนี่หว่า เห็นไอ้ศรดูหัวเสียเมื่อวานกูนึกว่ามันจะฆ่ามึงหมกห้องไปซะแล้ว”
“…”
“แล้วนี่มึงมากับใคร กูนั่งด้วยได้เปล่า”
“เอ่อ…คือว่า” จะเอายังไงดีละ ถ้าพี่ศรมาเห็นว่าพี่เบสมาคุยกับผมอีกละก็ คราวนี้มีหวังถูกพี่ศรโกรธจริงๆแน่
“ทำหน้าลำบากใจขนาดนี้แสดงว่ามากับคนอื่นสินะ ใครละ ไอ้ศรเหรอ?
“…”
“ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่าใช่”
“พี่ช่วยไปก่อนได้ไหมครับ คือผม…ไม่อยากให้พี่สองคนมีเรื่องกันอีก”
“ไปก็ได้ กูเห็นแก่มึงแล้วกัน เอานี่กูให้” พูดจบพี่เบสยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้ผม ผมรับมาอย่างลังเลเพราะไม่รู้ควรจะรับไว้ดีไหม พี่ศรต้องถามแน่ๆว่าได้มาจากไหนแต่ถ้าไม่รับไว้มันก็น่าเกลียด งั้นรับๆไว้ก่อนแล้วค่อยซ่อนไว้ไม่ให้พี่ศรเห็นแล้วกัน
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณหลังจากรับกระป๋องน้ำอัดลมนั้นมาแล้ว
“กูไปละ ไม่อยากอยู่นานๆให้มึงทำหน้าอึดอัดใส่อีก น่าน้อยใจชะมัด” พี่เบสทำหน้าจื่อปาก พูดติดตลกก่อนที่จะมองผมด้วยสีหน้ายิ้มมุมปากนิดๆแล้วยอมหันหลังเดินจากไป
“ไอ้ปุณย์!” แต่แล้วอยู่ดีๆใครอีกคนที่เดินผ่านไปแล้วก็หันกลับมาตะโกนเรียกผมเสียงดังจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง “เรื่องที่มึงถามกู ถ้ามึงยังอยากจะรู้อยู่ เย็นนี้มาเจอกูที่หน้าคณะแล้วกัน”
พูดทิ้งไว้แบบนี้แล้วอีกคนก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป คราวนี้เหมือนจะไปจริงๆไม่หันกลับมาแล้ว พอพี่เบสพูดแบบนี้ตอนแรกคิดว่าจะตัดใจไม่ไปยุ่งกับพี่เบสแล้วนะ คิดเอาไว้ว่าจะหาทางสืบเรื่องของพี่ศรด้วยวิธีอื่นเอา แต่ว่า…ในเมื่ออีกคนรู้เรื่องราวทั้งหมดแบบนั้น มันก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ถ้าผม…จะแอบไปโดยไม่ให้พี่ศรรู้นะ
“อ๊ะ!” แต่แล้วสติของผมก็ต้องกลับเข้าร่างอีกครั้งเมื่อความเย็นจัดจากอะไรบางอย่างแนบเข้าที่แก้มของผมเต็มๆ
“เป็นอะไรทำหน้าเครียดเชียว” พอเงยหน้าขึ้นมองก็เป็นพี่ศรนั้นเองที่เอาขวดน้ำเปล่ามาแนบเข้าที่แก้มผม
“มาแล้วเหรอครับ” ผมถามกลับอย่างแก้เก้อ
“แล้วนี่มึงไปเอาไอ้นั้นมาจากไหน” พี่ศรถามพร้อมพยักหน้าและส่งสายตามาที่กระป๋องน้ำอัดลมของผม
“อะ…อ้อ! คือผมนึกขึ้นได้ว่าผมซื้อมาติดกระเป๋าไว้นะครับ แต่ว่าผมไม่อยากกินแล้ว กินน้ำเปล่าดีกว่านะครับ” ผมพูดไปพลางเก็บเจ้ากระป๋องน้ำอัดลมเจ้าปัญหาใส่กระเป๋าให้มิดชิดที่สุด ไม่รู้พี่ศรจะจับพิรุธได้หรือเปล่านะ ขนาดผมเองยังรู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตัวเองนะทำตัวน่าสงสัยมากๆเลย
“พี่ชอบกินข้าวมันไก่เหรอครับ”
“หือ?”
“ก็ผมเห็นพี่มาที่นี่ทีไรก็สั่งแต่ข้าวมันไก่ตลอดเลย”
“ก็ไม่เชิงชอบหรอก แค่ไม่รู้ว่าจะกินอะไรก็แค่นั้น” พี่ศรตอบเสร็จก็ก้มหน้าลงไปกินข้าวมันไก่ในจานตรงหน้าตัวเองต่อ
เหอะ! ทำเป็นเข้มไปได้ ดูก็รู้ว่าตัวเองชอบกินยังจะมาทำเข้มอีก
“จริงๆพี่ศรนี่ก็น่ารักเหมือนกันนะครับ”
“อุ…อะ… มึงว่าอะไรนะ” ดูเหมือนที่ผมพูดเมื่อกี้เกือบจะทำให้อีกคนสำลักข้าวจนเกือบจะติดคอซะแล้ว
“ผมพูดจริงๆนะ ก็พี่น่ะชอบทำหน้านิ่งๆโหดๆตลอดเวลา เพื่อนก็ไม่เห็นจะมีใครสักคนเลยที่พี่สนิทด้วย ผมนึกว่าพี่น่ะจะเป็นคนที่น่ากลัวซะอีก แต่พอได้รู้จักพี่จริงๆไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย พี่น่ะทั้งใจดีทั้งอ่อนโยน ถ้าพี่ไม่ชอบทำหน้านิ่งๆโหดๆป่านนี้พี่คงมีเพื่อนเยอะแยะแน่ๆเลย”
“น้อยๆหน่อยเถอะมึง มาอยู่กับกูแค่ไม่กี่วันทำเป็นรู้จักกูดี” พี่ศรไม่ว่าเปล่าแต่ยื่นมือมายีหัวผมเล่นอีกแล้ว
“อะไรเล่า” ผมโวยวายเล็กน้อยก่อนจะใช้มือจัดผมให้เข้าทรงเหมือนเดิม “ผมพูดจริงๆนะ ถ้าไม่นับพี่แทนผมก็ไม่เห็นพี่สนิทกับใครเลย พี่น่ะเรื่องอื่นไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยนะ แค่เปลี่ยนหน้านิ่งๆของพี่ให้ยิ้มบ่อยๆซะบ้างทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว”
“ไม่เอาอ่ะ กูไม่ได้บ้านะที่จะมายิ้มบ่อยๆตลอดเวลา”
“ไม่เห็นจะบ้าตรงไหน คนเราเวลายิ้มใครๆก็ชอบ สมัยก่อนผมเคยเห็นพี่ยิ้มในทีวีบ่อยๆ พี่ศรตอนยิ้มนะหล่อกว่าตั้งเยอะ” ผมพูดไปพร้อมๆกับใช้นิ้วมือทั้งสองข้างฉีกปากตัวเองออกให้เป็นหน้ารูปยิ้มแบบกว้างๆ
“มึงนี่ก็บ๊องเหมือนกันนะ เอานี่กูยิ้มแล้วพอใจยัง” พูดจบพี่ศรก็ทำหน้ายิ้มกว้างๆจนตาหยีใส่ ผมอดขำกับภาพที่เห็นไม่ได้ เห็นไหมละ พี่ศรนะตัวจริงน่ารักจะตาย
“พี่ยิ้มแบบนี้น่ารักจะตายผมบอกแล้ว เพราะแบบนี้ผมถึงได้รัก…เอ่อ…ถึงได้อยากให้พี่ยิ้มบ่อยๆ” เกือบไปแล้ว เกือบจะพูดคำนั้นออกไปแล้ว ทั้งๆที่ผมหยุดพูดแทบจะทันทีที่รู้ว่าจะพูดคำนั้นออกไปแต่ไม่รู้พี่ศรจะทันได้ยินไหมเพราะตอนนี้ใครอีกคนเอาแต่นิ่งเงียบจ้องหน้าผมด้วยใบหน้านิ่งๆที่เดาความรู้สึกไม่ได้เลย หวังว่าพี่เขาจะไม่ได้ยินที่ผมพูดนะ
“ถ้ามึงชอบให้กูยิ้ม เอาไว้กูจะยิ้มให้ดูบ่อยๆแล้วกัน โอเคไหม”
“โอเคครับ โอเคมากๆเลย” กลายเป็นว่าตอนนี้ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มออกมากว้างแค่ไหน สายตายังคงจดจ้องไปยังพี่ศรที่ก้มลงไปสนใจกับข้าวมันไก่ตรงหน้าตัวเองต่อแล้ว
ที่บอกว่าให้พี่เขายิ้มบ่อยนะๆ จริงๆแล้วผมอยากจะเป็นคนเห็นแก่ตัวมากๆเลย เพราะจริงๆแล้วผมไม่อยากให้พี่ศรยิ้มกับใครทั้งนั้น ผมอยากจะให้พี่เขายิ้มกับผมแค่คนเดียว ถึงมันจะเป็นแค่ความคิดโง่ๆที่เห็นแก่ตัวของผมก็ตามเถอะ แต่ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงจะมีความสุขมากๆเลย
ผมรู้ว่าเวลาในแต่ละวันมันก็ผ่านไปอย่างปกติที่มันเคยเป็นนั้นแหละ เพียงแต่สำหรับผมที่ตอนนี้เฝ้ารอเวลาเลิกเรียนรู้จนสึกว่าเวลามันช่างผ่านไปเชื่องช้าซะเหลือเกินเมื่อพี่ศรชวนไปกินผัดไทยเจ้าอร่อยที่พี่ศรซื้อมาฝากผมเมื่อวานนี้ ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ไปกินข้าวกับพี่ศรอีกแล้ว แค่คิดก็ตื่นเต้นชะมัดเลย เพราะฉะนั้นเจ้าเวลาเอ๋ยรีบๆถึงตอนเย็นสักทีเถอะนะ
“เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหมปุณย์ ไหนๆวันนี้ก็ไมมีเข้าห้องเชียร์แล้ว”
“ขอโทษด้วยนะเจน พอดีเรามีนัดกับพี่ศรแล้ว”
“โอ้ย! เหม็นความรักชะมัดเลย”
“บ้า! ความรักอะไรกันเล่า” พอได้ยินเจนพูดแบบนี้ผมก็รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าขึ้นมาเลย ยอมรับว่าชีวิตผมตอนนี้นะมีความสุขมากๆเลย จากคนที่เคยแอบชอบเขาอยู่ห่างๆ มาวันนี้ผมได้มาอยู่ใกล้ๆพี่ศรแล้ว ได้มาเห็นมุมน่ารักของพี่ศรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าทุกๆอย่างมันคงจะไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ คงไม่มีอะไรไปมากกว่าการที่มีแค่ผมที่แอบรักพี่ศรอยู่ฝ่ายเดียว แต่แค่นี้ผมก็พอใจมากๆแล้วเพราะมันมากเกินกว่าที่ผมคิดเอาไว้ตอนแรกในวันที่ตัดสินใจมาเรียนที่นี้ตั้งเยอะ
Line!
แต่แล้วรอยยิ้มผมก็ต้องเป็นอันหุบลงไปและแทนที่ด้วยการขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อข้อความแจ้งเตือนจากไลน์ของใครที่ผมไม่รู้จักแสดงขึ้นมาบนหน้าจอมือถือของผม
Bass : ส่งสติ๊กเกอร์ถึงคุณ
พอกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ของอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นทำให้ผมต้องตกใจจนเผลอเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม
Punakorn : พี่เบสเหรอครับ
Bass : เออ กูเอง
Punakorn : พี่เอาไลน์ผมมาจากไหน
Bass : ก็แค่ถามจากพวกที่คุมกิจกรรมรับน้องนิดหน่อยน่ะ
จริงสินะ ผมเคยให้ข้อมูลไว้กับพวกรุ่นพี่ตอนรับน้องนี่น่า ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทร ไลน์ หรือแม้เฟสบุ๊ก พี่เบสเองก็ดูจะเป็นคนที่กว้างขวางอยู่ไม่น้อย การจะหาช่องทางการติดต่อผมก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
Punakorn : พี่มีอะไรเหรอครับ
Bass : เรื่องที่กูบอกมึงที่โรงอาหาร หมายถึงเรื่องที่มึงอยากรู้นะ เย็นนี้กูจะไปรอมึงที่หน้าคณะนะ
มัดมือชกกันชัดๆนี่หว่า ผมไม่ได้บอกพี่เขาไปสักหน่อยว่าจะไปเจอพี่เขาแถมเย็นนี้น่ะผมมีนัดจะไปกินผัดไทยกับพี่ศรแล้วด้วยนะ ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วผมเองก็อยากจะรู้เรื่องที่พี่เบสจะบอกอยู่ก็เถอะ
Punakorn : ขอโทษทีนะครับ พอดีเย็นนี้ผมไม่ว่างครับ คงไปเจอพี่ไม่ได้
รออยู่สักพักหลังจากส่งข้อความตอบกลับไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลย อันที่จริงพี่เบสไม่ได้กดเข้ามาอ่านเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่พี่เขาจะไปรอเราเก้อนะ” ผมพูดกับตัวเองขึ้นมาเบาๆ หรือว่าเราจะไปหาพี่เขาดี จริงๆก็อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรพี่ศรถึงเลิกยิงธนู ถ้าเราคิดจะช่วยพี่ศรจริงๆก็ควรจะต้องรู้เรื่องนี้ก่อนไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้น…แว๊บไปแป๊บเดียวก็ได้นี่น่า ไปถามพี่เบสซะให้จบๆ พอรู้เรื่องแล้วจะได้เลิกยุ่ง เลิกติดต่อกับพี่เบสสักที เพราะฉะนั้นไปเจอพี่เบสก่อนค่อยไปหาพี่ศรก็…ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง คราวนี้ก็ระวังหน่อยแล้วกันจะให้พี่ศรรู้ไม่ได้เด็ดขาดเลย
Punakorn : งั้นผมไปเจอพี่ก็ได้ครับ แต่ผมมีเวลาไม่มากนะครับ มีธุระต้องไปต่อ
พิมพ์ข้อความใหม่ส่งไป สักพักทั้งข้อความใหม่และข้อความเก่าก็ขึ้นว่าอีกฝ่ายได้กดอ่านเรียบร้อยแล้ว
Bass : ส่งสติ๊กเกอร์หมีโอเค
ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งสติ๊กเกอร์กลับมา เป็นอันว่าตอนนี้ผมได้ทำการนัดเจอกับพี่เบสไปแล้วเรียบร้อย ถึงจะรู้ว่ามันออกจะเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เพื่อให้ได้รู้เรื่องของพี่ศรผมจะลองเสี่ยงดูอีกสักครั้งก็แล้วกัน
พอตกเย็นหลังเลิกเรียนผมก็รีบมุ่งตรงไปยังหน้าตึกคณะตามที่นัดกับพี่เบสไว้ ตั้งใจไว้แน่วแน่แล้วว่าผมจะไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเลย คิดไว้ว่าพอเจอหน้าพี่เบสจะรีบถามแล้วรีบแยกออกมาให้เร็วที่สุดก่อนที่พี่ศรจะมา คิดได้แบบนั้นผมกระชับกระเป๋าเป้สะพายหลังไว้แน่นก่อนจะออกแรงก้าวเท้าให้เร็วขึ้น และตอนนี้ผมก็เห็นใครอีกคนที่ยืนพิงรถยนต์คันหรูอยู่ตรงหน้าคณะแล้ว
“มาแล้วเหรอ” พอเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ในระยะสายตาพี่เบสก็เป็นฝ่ายทักผมก่อน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ตามมารยาทของรุ่นน้อง
“ไปกินอะไรกันดี”
“ครับ?”
“กูหิวข้าว ไปกินอะไรกันดี จะได้คุยเรื่องที่มึงอยากรู้ด้วยไง” แย่แล้ว ต้องไปกินข้าวกับพี่เบสเหรอ แต่เรานัดกับพี่ศรไปแล้วนะ ไม่ได้นะไอ้ปุณย์แกต้องใจแข็งเข้าไว้ จะยอมไปกับพี่เบสมันไม่ได้นะ ลืมไปแล้วเหรอว่าแกมีนัดกับพี่ศรไปแล้วนะ มารีบถามรีบชิ่งกันไปเลยดีกว่า
“พอดีผมไม่ว่างน่ะครับ พี่บอกผมมาเลยดีกว่าครับว่าเพราะอะไรพี่ศรถึงได้เลิกยิงธนู ผมอยากรู้ตอนนี้เลย” ตัดสินใจถามออกไปตรงๆจนพี่เบสแอบชะงักนิ่งไปเหมือนกัน แต่ผมไม่สนใจหรอก มาถึงขนาดนี้แล้วตอนนี้ผมแค่ต้องการจะรู้เรื่องของพี่ศรอย่างเดียวแล้ว
“เอางั้นเลยเหรอ มึงนี่…ท่าจะเอาจริงกับเรื่องไอ้ศรมากสินะ”
“ครับ ผมเคยบอกพี่แล้วว่าผมมาที่นี้เพราะอะไร แล้วผมน่ะจะทำทุกทางให้พี่ศรกลับมายิงธนูให้ได้”
“ถ้าแบบนั้น เรื่องที่กูจะบอกมึงนี่มึงก็อยากรู้เพราะว่าจะได้ไปช่วยให้ไอ้ศรกลับมายิงธนูสินะ แบบนี้กูไม่แย่เหรอ”
“ครับ? แย่เหรอครับ?”
“ถึงแม้ไอ้ศรจะไม่ใช่คู่แข่งอะไรที่น่ากลัวในสายตากูก็จริง แต่ถ้าเกิดมันกลับมายิงธนูกูก็ต้องมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น แล้วการที่มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมันก็ทำให้เหนื่อยไม่ใช่เหรอวะ”
“…” หมายความว่ายังไงนะ ที่บอกว่าพี่ศรไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวอะไร พี่เบสพูดเหมือนไม่ได้เห็นพี่ศรอยู่ในสายตาเลย ทั้งๆที่พี่ศรน่ะจริงๆแล้วพี่เขายิงธนูเก่งมากเลยนะ ถ้าพี่ศรยังยิงธนูอยู่ละก็ พี่เบสไม่มีทางมายืนพูดแบบนี้ได้แน่ ตอนนี้ผมรู้สึกโกรธจนแทบจะพุ่งเข้าไปต่อยหน้าพี่เบสมันอยู่แล้ว แต่ผมรู้ว่าการมีเรื่องกันไม่ใช่ทางออกของปัญหาและตอนนี้ผมก็ยังคงต้องการข้อมูลจากอีกคนอยู่
“แต่ถ้ามึงอยากรู้กูจะบอกให้ก็ได้ แต่มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
“ข้อแลกเปลี่ยน? อะไรเหรอครับ พี่อยากได้อะไร เงินเหรอ?”
“เงินน่ะกูมีเยอะแล้วไม่อยากได้หรอก กูอยากได้อะไรที่มันท้าทายกว่านั้น”
“…” สีหน้าเรียบๆกับรอยยิ้มมุมปากนั้นมัน…เริ่มจะทำให้ผมกลัวแล้วนะ “ถ้าอย่างนั้น พี่ต้องการอะไรเหรอครับ”
“มึงลองหลับตาก่อนสิ แล้วจะรู้ว่ากูอยากได้อะไร”
“พะ…พี่จะทำอะไรผม”
“ก็ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่จะบอกมึงนี่ไงว่ากูอยากได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการที่กูยอมเล่าเรื่องที่มึงอยากรู้”
ผมลังเลมองหน้าพี่เบสอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจนัก
“ถ้าผมยอมหลับตา พี่ต้องสัญญานะว่าพี่จะต้องบอกผม”
“อืม หลับตาสิ”
แต่สุดท้ายแล้ว ถึงมันจะน่ากลัวอยู่บ้างแต่ผมก็ยอมที่จะหลับตาลงอย่างที่พี่เบสบอก ตอนนี้ทุกอย่างรอบๆกำลังมืดลงตามเปลือกตาของผมที่ค่อยๆหลับตา ผมยืนนิ่งเงียบจนสัมผัสได้ว่าอีกคนกำลังขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่รู้สึกได้กำลังเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น
“หลับตาไว้ก่อนนะ” พอผมจะขยับใบหน้าหนีมือหน้าของอีกฝ่ายก็จับเข้าที่แก้มผมจนสะดุ้งเล็กๆด้วยความตกใจ
ผลัวะ!
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงเหมือนแรงต่อยกับความชุลมุนก็ดังขึ้นดึงความสนใจของผมกลับมาจนต้องลืมตาขึ้นมอง ภาพที่เห็นคือพี่เบสล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นพร้อมเลือดที่ออกมาตรงมุมปากโดยมีคนตัวสูงอีกคนที่ผมคุ้นตากำลังจะตามลงไปต่อยซ้ำ
“พี่ศร พี่จะทำอะไรนะ อย่านะครับ” ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าพี่ศรมาตั้งแต่เมื่อไหร่แต่การที่จะมาทะเลาะกันหน้าคณะแบบนี้คงไม่ดีแน่ เพราะแบบนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะต้องเข้าไปเกาะแขนดึงตัวพี่ศรออกมาด้วยแรงอันน้อยนิดของผม
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับมันอีก หา!” พอแยกทั้งสองคนออกมาได้พี่ศรหันมาตวาดใส่ผมเสียงดังจนผมตกใจ
“ผม…คือผม”
“แล้วทำไมเด็กมันจะมาหากูไม่ได้วะ” เป็นเสียงของพี่เบสที่ตอนนี้ลุกขึ้นมายืนได้แล้วถามกลับ
“มึงยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ ก็เห็นอยู่ว่ามึงกำลังจะทำอะไร ไอ้สัสเอ้ย!” พี่ศรสบถคำหยาบออกมาอีกครั้ง พร้อมทำท่าจะพุ่งตัวใส่พี่เบสด้วยความโกรธเกรี้ยวอีกครั้งจนผมต้องดึงแขนแกร่งห้ามไว้
“พี่ศรอย่า” ผมพยายามใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิดดึงตัวพี่ศรไว้ ส่วนพี่เบสตอนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเกรงกลัวอะไรเลย เอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
“พี่เป็นบ้าอะไรของพี่เนี่ย” สุดท้ายผมรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดดึงตัวพี่ศรไว้ก่อนจะเหวี่ยงจนพี่ศรเซถลาถอยหลังไปเล็กน้อย ยอมรับว่าตอนนี้ผมเริ่มจะเป็นฝ่ายโมโหขึ้นมาแล้วนะ ถึงผมจะผิดจริงที่มาเจอพี่เบสทั้งๆที่สัญญากับพี่ศรไปแล้ว แต่จริงๆที่ผมมาเจอพี่เขามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่น่าทำไมพี่ศรจะต้องโมโหไร้เหตุผลแบบนี้ด้วย
“มึงว่าอะไรนะ” พี่ศรหันมาถามผมอย่างไม่เข้าใจ
“พี่จะโมโหอะไรนักหน้า ผมก็แค่มาเจอพี่เขาปกติเท่านั้นเอง ผมว่าพี่ทำเกินไปนะครับที่ไปต่อยพี่เบสเขาแบบนั้น”
“นี่มึงโกรธ มึงว่ากูงั้นเหรอ”
“จะไม่ให้ผมโกรธได้ยังไง ก็พี่น่ะทำเกินไปจริงๆ เรื่องแค่นี้พูดกันดีๆก็ได้ไม่เห็นต้องทำร้ายร่างกายกันเลย”
“กูมาช่วยมึงแท้ๆ แต่นี่มึงกลับ…”
“พี่มาช่วยหรือมาทำตัวอันธพาลให้เรื่องมันแย่ลงกันแน่ครับ”
“ได้ งั้นตามใจมึง” พี่ศรนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดออกมา พอพูดจบพี่ศรทำแค่เพียงทิ้งสายตาไม่เข้าใจมาทางผมแล้วหันหลังเดินกลับไป
เห็นแบบนี้แล้วสติผมถึงกลับเขาร่างอีกครั้ง ผมคงจะพูดแรงไปสินะ โอ้ย! ทำไมผมต้องยั่วโมโห ทำไมต้องทำแบบนั้นจนพี่ศรโกรธเราอีกแล้วนะ เมื่อวานก็พึ่งจะก่อเรื่องไว้แท้ๆ วันนี้ผมก็ทำให้พี่ศรโกรธอีกแล้วเหมือนจะโกรธจริงๆด้วยสิเนี่ย คราวนี้อย่าว่าแต่ง้อเลย แค่พูดกันพี่ศรจะยอมพูดด้วยหรือเปล่าเหอะ แค่คิดก็เครียดแล้ว
ส่วนอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างพี่เบส ถึงแม้พี่เขาจะไม่ได้ผิดอะไรด้วย แต่อารมณ์ผมตอนนี้ไม่ได้อยากจะมาสนใจความรู้สึกอะไรของใครอีกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการเดินหนีใครอีกคนออกมาเลย จริงๆวันนี้ถ้าผมไม่มาเจอพี่เบสเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก
เฮ้อ! เรื่องนัดกินผัดไทเย็นนี้ก็เลยล่มไม่เป็นท่าจนได้ อดกินของอร่อยแถมยังโดนพี่ศรโกรธอีกแล้วสิเรา
_____________
ดีกันไม่เท่าไหร่พี่ศรก็โกรธน้องปุณย์อีกแล้ว คราวนี้เหมือนจะโกรธมากๆด้วยสิ ยังไงน้องปุณย์ก็…สู้ๆเขานะลูก
ปล.จะตึงเครียดแบบนี้สัก 2-3ตอนนะครับ ต่อไปก็ฟีลกู๊ดสุดๆไปเลยจนจบ ตอนหน้าก็รู้แล้วว่าพี่ศรเลิกยิงธนูเพราะอะไร ฝากติดตามด้วยนะครับ
#รักตรงเป้า
-
8th shoot
ผมก็แค่…อยากจะขอโทษ
โลกรอบๆตัวที่เคยสดใสของผมดูหม่นหมองลงไปถนัดตา ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าผมกับพี่ศรเรายังดีต่อกันอยู่เลย พี่ศรดูเหมือนจะยอมยิ้ม ยอมเล่นกับผมมากขึ้นแล้วแท้ๆ แต่เพราะความงี่เง่าของผมเองนี่แหละถึงทำให้เรื่องทั้งหมดมันกลับมาแย่ลงอีกครั้ง คราวนี้เหมือนจะแย่ลงกว่าเดิมซะอีก
เฮ้อ! เกิดมาเพื่อดีแต่สร้างเรื่องจริงๆนะไอ้ปุณย์
ตอนนี้ผมค่อยๆก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดด้วยอาการคอตกและสีหน้าที่เซงกับชีวิตสุดๆไปเลย พอจบเหตุการณ์วุ่นๆที่หน้าคณะเมื่อตอนเย็นผมก็ไม่ได้เจอหน้าพี่ศรอีกเลย ตอนแรกคิดว่าจะลองเดินตามพี่ศรไปเผื่อว่าจะได้ขอโทษ แต่คิดไปคิดมาดูจากอารมณ์พี่ศรตอนนี้ผมว่ายังไม่ควรตามไปดีกว่าเพราะยังไงซะผมก็ต้องเจอกับพี่ศรอยู่แล้ว
“…”
แต่เหมือนจะผิดคาด ตอนนี้ผมกำลังยืนกวาดสายตาไปรอบๆห้องที่ว่างเปล่าหลังจากกดเปิดสวิตช์ไฟจนสว่างไปทั่วห้องแล้ว ภาพที่เห็นคือตอนนี้ไม่มีใครอีกคนหนึ่งที่เป็นรูมเมทผมอยู่ในห้องเลย
“พี่ศรยังไม่กลับมาอีกเหรอ คงจะโกรธเรามากแน่ๆเลย เฮ้อออ!” ถอนหายใจกับตัวเองอยู่อีกหลายครั้งก่อนจะฝืนตัวพาร่างกายที่แทบจะไม่อยากออกแรงก้าวเดินมาหยุดนั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือตรงปลายเตียง มองไปยังโต๊ะอีกตัวหนึ่งที่อยู่ริมสุด ข้าวของทุกอย่างยังกระจัดกระจายและดูรกเหมือนอย่างเดิม ผมมาอยู่ห้องเดียวกับพี่ศรมาจะสองเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่เคยเข้าไปที่โต๊ะนั้นใกล้ๆสักที ก็ใครจะไปกล้ากันเล่าก็พี่ศรน่ะดุจะตาย
จะว่าไปยังไงซะตอนนี้พี่ศรก็ยังไม่กลับมานี่น่า คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งถ้าผมจะขอแอบดูโต๊ะอ่านหนังสือที่พี่ศรชอบนั่งบ้าง พี่ศรน่ะชอบอ่านหนังสือจริงๆนะ ผมเห็นพี่ศรนอนดึกทุกคืนเลย ไม่ว่าจะช่วงสอบหรือเวลาปกติก็เห็นพี่ศรอ่านหนังสือตลอด ท่าทางจะชอบจริงๆนั้นแหละ เกิดมาก็พึ่งจะเคยเห็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเรียนมากขนาดนี้ เอ๊ะหรือว่า…ที่พี่ศรอ่านทุกคืนนะไม่ใช่หนังสือเรียน?
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่น่า” พอเข้ามาดูใกล้ๆก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย บนโต๊ะก็มีแค่โน๊ตบุ๊คที่ถูกพับหน้าจอปิดไว้ มีพวกกองหนังสือเรียนอยู่สองสามเล่มกับเอกสารเกี่ยวกับการเรียนอีกกองใหญ่ หนังสืออะไรแปลกๆไม่ค่อยจะมียกเว้นอยู่ก็แค่หนังสือเล่มเล็กอยู่เล่มหนึ่งที่ไม่เข้าพวกถูกวางทับไว้ด้านล่างสุดของกองหนังสือ ผมอดที่จะหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสงสัยไม่ได้จนเมื่อลองได้หยิบขึ้นมาดูใกล้ๆถึงได้รู้ว่ามันคือ อัลบั้มรูป
สิ่งที่ผมเห็นหลังจากนั้นคือภาพของพี่ศรกำลังอยู่ในชุดยิงธนูที่สำหรับผมแล้วมันเป็นอะไรที่เท่สุดๆเลย ทั้งเสื้อผ้า อุปกรณ์ต่างๆรวมไปถึงคันธนูสีแดงสดที่ผมเห็นพี่ศรใช้ประจำในแทบจะทุกการแข่งขัน ทุกๆอย่างมันช่างผสมกลมกลืนจนทำให้พี่ศรที่กำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ในภาพตอนนี้ดูหล่อสุดๆไปเลย
“ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าตัวเองนะยิ้มกว้างแค่ไหน” พูดจบผมยู่หน้าใส่พี่ศรในภาพที่ตอนนี้ยิ้มกว้างแบบสุดๆอย่าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมว่าที่พี่ศรแกล้งฉีกยิ้มใส่ผมที่โรงอาหารก่อนหน้านี้ก็ว่ายิ้มกว้างมากๆแล้วนะ ในรูปนี้ยิ้มกว้างกว่าอีกแถมยังเป็นยิ้มที่มาจากข้างในจริงๆด้วย ดูก็รู้ว่าพี่ศรในรูปต่างๆเหล่านี้น่ะกำลังมีความสุขมากแค่ไหน ดูก็รู้ว่ากีฬายิงธนูน่ะมันทำให้พี่ศรมีความสุขมากขนาดไหน
ผมใช้เวลากับการพลิกดูรูปของพี่ศรในอัลบั้มรูปนั้นอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ จำได้แค่ว่าผมพลิกดูแล้วทั้งขำและยิ้มให้กับภาพพวกนั้นอยู่นานมาก และความทรงจำอันเลือนลางหลังจากนั้นคือผมเก็บอัลบั้มรูปนั้นกลับเข้าที่เดิม ก่อนที่จะเลือกนั่งรอพี่ศรที่โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง รอจนดึกแค่ไหนก็ไม่รู้และดูเหมือนผมจะเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวด้วย จนกระทั่งตอนนี้ผมได้ยินเสียงกุกกักเหมือนใครกำลังทำอะไรอยู่ในห้องผมถึงรู้สึกตัวขึ้นมา
“ฮือออ…พี่ศรเหรอครับ” ผมถามออกไปด้วยอาการงัวเงียอย่างคนที่ถูกปลุกจากฝันดี พยายามหรี่สายตาที่ยังปรับตัวเข้ากับแสงไฟที่สาดส่องมาตกกระทบได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก มองไปยังต้นเสียงที่ดังออกมาก็พบว่าเป็นพี่ศรจริงๆ
“พี่กลับมาแล้วเหรอครับ ผมนึกว่าพี่จะโกรธผมจนไม่กลับมาที่ห้องอีกแล้วซะอีก” ผมรีบลุกปรี่ขึ้นมาถามพี่ศรด้วยความดีใจ แต่ดูเหมือนใครอีกคนจะไม่สนใจผมเอาซะเลย เขายังคงก้มหน้าก้มตาเหมือนจะหยิบอะไรบางอย่างต่อไปไม่ได้สนใจผมเลย
“คือ…พี่ศรครับ วันนี้…ที่ผมไปหาพี่เบสทั้งๆที่สัญญากับพี่ไปแล้วว่าจะไม่ไปหาพี่เขาอีก คือผม…ขอโทษนะครับ”
“…” ถึงจะพูดขอโทษออกไปแบบนั้น แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบเหมือนเดิม พี่ศรคงจะโกรธผมแน่นอนแล้วละ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะยังไงผมก็ยังอยากจะขอโทษ ยังอยากจะอธิบายให้พี่ศรรู้อยู่ดี ถึงแม้ว่าจะพูดออกไปแล้วพี่เขาอาจจะยังโกรธผมอยู่เหมือนเดิมก็ตาม
“ผมรู้ว่าที่ผมทำนะมันผิดพี่จะโกรธผมก็ได้ แต่ว่าที่ผมไปหาพี่เบสมันไม่ได้มีอะไรเกินเลยนะครับ ผมก็แค่อยากจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงเลิกยิงธนูผมก็เลยจะไป…ถามพี่เบสแค่นั้นเอง”
“….” มาถึงตอนนี้พอผมพูดจบพี่ศรดูเหมือนจะหยุดนิ่งชะงักไปชั่วขณะ
“พะ…พี่ศรครับ”
หมับ!
จนกระทั่งอีกฝ่ายหันกลับมาด้วยความเร็วจนผมแอบตกใจ มือหนาของอีกคนจับและบีบเข้าที่ต้นแขนของผมเต็มแรงจนรู้สึกเจ็บ สายตาคมถูกส่งออกมาจากใบหน้านิ่งๆของพี่ศรที่ตอนนี้น่ากลัวชะมัด ตอนนี้พี่ศรกำลังมีท่าทางที่ดูโกรธผมมากๆเลย มันน่ากลัวจนผมเริ่มจะตัวสั่นหน่อยๆแล้วนะ
“ผะ…ผมเจ็บ…ฮึก” ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้หรือทำตัวอ่อนแอ แต่แรงบีบที่ต้นแขนตอนนี้น่ะมันเจ็บจริงๆแถมพี่ศรตอนนี้ยังน่ากลัวมากๆเลย ผมอยากจะเข้มแข็ง ไม่อยากจะร้องไห้หรอกแต่ไอ้เจ้าน้ำตาเจ้ากรรมเนี่ยสิมันดันไหลออกมาเอง
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำตัวแบบนี้สักที”
“คือผม…”
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกยุ่งกับเรื่องพวกนี้สักที กูเลิกก็คือเลิก มึงเองก็ควรเลิกยุ่งกับเรื่องของกูสักที”
“แต่พี่กำลังหลอกตัวเองอยู่นะครับ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่ยังอยากจะกลับไปยิงธนูอยู่ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าตอนที่ได้ยิงธนูพี่น่ะมีความสุขมากแค่ไหน”
“เหรอวะ? มึงจะมารู้ดีกว่ากูได้ยังไง ตัวกูเองยังไม่รู้เลยว่ากูมีความสุขจริงๆหรือเปล่า แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะต้องมายุ่ง เลิกยุ่งกับกูซะ เลิกสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย ส่วนเรื่องไอ้เบสกูจะเตือนมึงครั้งสุดท้ายว่าให้เลิกยุ่งกับมันซะ มันไม่ใช่คนดีแบบที่มึงคิดหรอก”
“ผมไม่เห็นว่าพี่เบสเขาจะไม่ดีตรงไหน ผมเห็นมีแต่พี่นั้นแหละที่ทำเกินไป”
“ที่มึงพูดมามึงรู้ตัวบ้างไหมว่าไอ้เบสมันกำลังจะทำอะไร มันกำลังจะจูบมึง ถ้ากูไม่เข้าไปขว้างไว้ซะก่อนป่านนี้มึงโดนมันจูบไปแล้ว”
“…” จะ...จูบเหรอ งั้นก็แสดงว่าที่พี่เบสให้ผมหลับตาเมื่อวานนี้ก็เพื่อที่จะจูบผมเหรอ
“หึ! รู้แล้วก็เลิกยุ่งกับมันซะ ไอ้เบสมันก็แค่หลอกมึงเทานั้นแหละ มันไม่รู้หรอกว่ากูเลิกยิงธนูเพราะอะไร ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น กูเลิกกูก็แค่เบื่อ กูอยากเลิกกูก็เลิกมึงพอใจยัง รู้แล้วก็เลิกยุ่งกับกูซะ”
“ไม่จริง ผมไม่เชื่อพี่หรอก ผมรู้ว่าสำหรับพี่การยิงธนูมันคือชีวิตของพี่ พี่เกิดมาเพื่อมัน พี่มีความสุขขนาดไหนพี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ขนาดผมที่แอบเฝ้ามองพี่อยู่ห่างๆผมยังมองออกเลย แล้วผมก็ไม่เชื่อด้วยว่าพี่…อื้อออ” เสียงของผมขาดหายไปพร้อมกับดวงตาที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่เบิกกว้างขึ้น สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะริมฝีปากอุ่นร้อนของใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประกบลงมาที่ริมฝีปากผมอย่างไม่ทันตั้งตัว แรงดูดดึงและข้อมือหนาที่เลื่อนมาจับเข้าที่แก้มของผมทั้งสองข้างทำให้ผมขยับหนีไปไหนไม่ได้เลย
“อือออ…” ผมพยายามดิ้นรนและร้องประท้วง พยายามทุบไหล่ของใครอีกคนเพื่อให้ปล่อยผมสักทีไม่งั้นได้ขาดอากาศหายใจตายแน่ๆ จนกระทั่งใครอีกคนยอมที่จะถอนริมฝีปากอุ่นร้อนออกไป
“พี่ทำแบบนี้ทำมัย พี่มันเลวที่สุดเลย” พอตั้งตัวได้ผมรีบออกแรงผลัดหน้าอกพี่ศรให้ออกห่าง
“ทีนี้มึงรู้หรือยังว่ากูมันเลวขนาดไหน ต่อไปก็เลิกยุ่งกับกูได้แล้ว” พูดจบใครอีกคนก็เดินออกจากห้องไป ไม่ลืมที่จะปิดประตูเสียงดังใส่ผมที่ยืนมองตามด้วยสายตาไม่เข้าใจอยู่ด้วย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่ศรกำลังโกรธอยู่หรือยังไงกันแน่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมน่ะเสียใจมากๆเลย แล้วก็ไม่ชอบพี่ศรที่เป็นแบบนี้ด้วย
“ฮึก…” ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้อยากจะร้องไห้ ไม่ได้อยากจะเป็นคนอ่อนแอ แต่น้ำตามันก็ไหลออกมาเองอยู่นั้นแหละ พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ ห้ามตัวเองไม่ให้สะอึกสะอื้นออกมา แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด ตอนนี้ผมก็เลยต้องมาอยู่ในสภาพที่นั่งกอดเข่าตัวเองร้องไห้อยู่ที่ปลายเตียงแบบนี้
หรือว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเพราะผมเอง หรือว่าทุกอย่างมันอาจจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่เลือกที่จะมาที่นี่ตั้งแต่แรก
ครืดดด…
เป็นอีกครั้งที่ผมต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงรบกวนจากรอบข้าง คราวนี้เป็นเสียงสั่นของมือถือที่ผมวางไว้บนเตียง เมื่อคืนนี้หลังจากที่เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกับพี่ศรแล้ว ผมนั่งร้องไห้อยู่นานจนรู้สึกง่วงแล้วก็เลยเผลอหลับไปที่ปลายเตียงในท่าเดิมที่นั่งร้องไห้ ตอนนี้รู้สึกช้ำที่ตามากๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องตาบวมแน่เลย
ครืดดด…
เสียงสั่นของมือถือดังขึ้นอีกครั้งดึงความสนใจของผมให้มองไปที่เจ้ามือถือที่กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ ไม่รอช้าผมหยิบมันชึ้นมารับสายทันที
“ฮัลโหลครับ”
(Hi… ว่าไงครับคุณปุณากรณ์) เสียงจากปลายสายตอบกลับมา
“ใครครับ”
(แหมแค่นี้จำเพื่อนไม่ได้ แยกกันที่หมอชิตเดือนสองเดือนที่แล้วนี่เองนะลืมกูแล้วเหรอ)
“ไอ้เชี่ยปัญ!” พูดจากวนๆแบบนี้มีไม่กี่คน ไอ้ปัญเพื่อนสมัยมัธยมของผมแน่ๆ พอผมลองที่จะเอามือถือที่แนบหูอยู่ตอนนี้มาดูก็พบว่าเป็นชื่อของมันจริงๆด้วย
(เออ เรียกกูเพราะแบบนี้แสดงว่าจำกูได้แล้วสินะ)
“อืม จำได้แล้ว หายไปไหนมาเนี่ยไม่เห็นติดต่อกูมาเลย”
(โห…อย่าให้พูดเลย มอกูแม่งกิจกรรมเยอะสัสๆแล้วยังบังคับเข้าอีก กูไม่มีเวลาทำห่าอะไรเลย ว่าแต่กูหายมึงก็หายไปเลยไม่ติดต่อกูบ้าง มึงได้ติดต่อไอ้ไพร์บ้างไหมวะ)
“ไม่อะ ไม่ได้ติดต่อเลย มันเรียนหมอคงยุ่งๆมั้ง”
(เออช่างมันก่อน ว่าแต่มึงไปเรียนที่นั้นเป็นยังไงบ้างวะ ได้เจอพี่ศรอะไรนั้นของมึงหรือยัง)
“อือ เจอแล้ว”
(เหรอๆแล้วเป็นไงบ้าง ได้เรียนคณะเดียวกันคงถูกใจมึงละสิท่าแบบนี้มีความสุขตายเลยละสิ)
“ก็ดี” ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กลับตัวเอง ดีที่ไหนกันละถ้าดีคงไม่ต้องมาร้องไห้จนตาบวมแบบนี้หรอก
(ดีแล้วๆกูจะได้สบายใจ แอบเป็นห่วงมึงเหมือนกันนะเนี่ยว่าจะโทรมาหาตั้งหลายทีแล้ว เห็นมึงสบายดีกูก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว มึงอย่าลืมนะไอ้ปุณย์ว่ามึงเป็นคนตัดสินใจจะไปเรียนที่นั้นเองแล้วกูก็เชื่อว่ามึงคิดดีแล้ว ถ้าเกิดว่ามึงไปแล้วดีมันก็ดีไป แต่ถ้าไปแล้วมันไม่ดีหรือไม่ใช่มึงก็ไม่ต้องไปเครียดหรือกดดันตัวเองนะ เป็นตัวของตัวเองไปเหอะ ไม่รู้ว่ามึงจะรู้ไหม มึงน่ะน่ารักเวลาที่เป็นตัวเองนะ เพราะฉะนั้นกูก็จะบอกมึงว่าให้เป็นตัวมึงเองนั้นแหละดีที่สุดแล้ว)
“…”
(เงียบทำไมวะ เออๆ ถ้างั้นกูไม่กวนมึงแล้ว ไว้เจอกันนะมึงเดี๋ยวกูไปหา ไปแล้วบาย!)
ตึด…ตึด แล้วสายก็ตัดไป
เป็นตัวของตัวเองงั้นเหรอ จริงสินะ ในวันแรกที่ผมเห็นพี่ศรในหน้าจอทีวีวันนั้น คนที่ผมชอบ คนที่ผมอยากจะมาหาน่ะมันคือพี่ศรไม่ใช่เหรอ มันก็จริงนั้นแหละว่าพี่ศรเวลายิงธนูแล้วมันเท่สุดๆไปเลย แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตนี้มันก็เป็นของพี่เขานี่ มันก็คงจะไม่ผิดอะไรถ้าพี่เขาจะเลิกยิงธนูไปแล้ว สิ่งที่ผมควรทำมันไม่ใช่การที่จะมานั่งหาคำตอบว่าทำไมพี่ศรถึงเลิกยิงธนู ไม่ใช่การที่ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้พี่ศรกลับมายิงธนู ไม่ใช่การที่จะไปคอยตั้งคำถามกับพี่เขา สิ่งที่ผมควรทำนะคือการเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่พี่ศรเลือกไม่ใช่เหรอ
แต่ถึงจะคิดได้แบบนั้น ตอนนี้ทุกๆอย่างมันก็คงจะสายเกินไปแล้ว เป็นเพราะผมเองนั้นแหละที่ทำให้ทุกอย่างมันพังถึงขนาดนี้ ชีวิตของพี่ศรคงจะดีอยู่แล้ว ไม่สิ! มันคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีผมเข้ามาในชีวิตของพี่เขา ถ้าการที่ผมเลือกมาที่นี้ก็เพื่อมาเห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้ง แต่ในเมื่อทุกอย่างมันไม่เป็นแบบนั้นแล้วและการที่มีผมอยู่มันจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม คำตอบมันก็คงจะชัดเจนอยู่แล้วว่าผมควรจะไป
แต่ก่อนจะถึงวันนั้นผมอยากจะบอกคำว่าขอโทษพี่ศรสักครั้ง ซึ่งมันก็คงจะเป็นไปได้ยากเพราะพี่ศรคงจะโกรธผมมาก เมื่อคืนนี้พี่ศรไม่ได้นอนที่นี้ ตอนนี้เช้าแล้วพี่ศรก็ไม่ได้กลับมาที่ห้อง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าพี่ศรโกรธผมมากแค่ไหน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าผมน่ะไม่ควรจะอยู่ที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้พี่เขาอีกต่อไป
หลายนาทีต่อมา เสื้อผ้าบนตัวผมถูกเปลี่ยนเป็นชุดนิสิตตัวใหม่แทนตัวเดิมที่ใส่ข้ามคืนมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หนังสือเรียนของวิชาที่ต้องเรียนในวันนี้ถูกจัดลงกระเป๋าเป้ใบเดิมที่ผมสะพายไปเรียนทุกวัน สิ่งที่ต่างจากทุกวันคือนมช็อกโกแลตกับขนมปังที่ผมซื้อมาไว้เมื่อวันก่อน มันไม่ใช่ของผมหรอกครับแต่เป็นของใครอีกคนที่ไม่ได้กลับห้องมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ต่างหาก ไม่รู้ว่าพี่ศรจะได้นอนบ้างไหม จะได้อาบน้ำจะได้กินอะไรแล้วหรือยัง พกติดตัวไว้เผื่อเจอหน้าพี่เขาจะได้เอาให้อีกคนกินรองท้องไว้ก่อนได้
“ถึงพี่จะโกรธผม จะเกลียดผมแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ก่อนที่ผมจะไปขอแค่ให้ผมได้ขอโทษพี่แค่นั้นผมก็พอใจแล้วครับ”
วันทั้งวันเวลาที่ว่างจากการเรียนเช่นพักเที่ยงหรือแม้แต่ตอนเลิกเรียนผมมัวแต่วุ่นอยู่กับการตามหาพี่ศร ที่ที่ผมตามหาก็มีแค่ตึกคณะตัวเองเท่านั้นเพราะไม่รู้ว่าจะไปตามหาพี่ศรที่ไหนได้อีก ก็ผมเองน่ะยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลยเวลาออกนอกเขตคณะของตัวเองถ้าให้ไปลองเดินตามหาพี่ศรที่อื่นกลัวว่านอกจากไม่เจอพี่ศรแล้วผมยังจะไปก่อเรื่องให้คนอื่นวุ่นวายไปซะอีก สุดท้ายก็ไม่เจอพี่เขาเลย ตอนนี้ทั้งขนมปังทั้งนมที่คิดว่าจะเอาไปให้พี่ศรเป็นการขอโทษก็ต้องมาจบลงด้วยการที่ผมต้องเป็นคนกินมันเอง
“เฮ้อ! พี่คงจะโกรธผมมากสินะครับ แต่ยังไงพี่ก็ควรจะห่วงตัวเองบ้างนะ เล่นหายไปจะสองวันแบบนี้อย่างน้อยๆก็ควรจะห่วงตัวเองบ้าง” บ่นกับตัวเองคนเดียวในห้องก่อนจะกัดเจ้าขนมปังที่คิดว่าจะให้พี่ศรทีเดียวทั้งชิน
แกรก!
จนกระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบกลืนขนมปังที่ยังเคี้ยวไปไม่กี่ทีลงคอ ตอนนี้ดวงตาผมเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเพราะคนที่เปิดประตูเข้ามานะคือพี่ศร! พี่เขากลับมาห้องแล้ว
“พี่กลับมาแล้วเหรอครับ” ผมรีบลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตื่นเต้น แต่ถึงจะถามออกไปแบบนั้นใครอีกคนก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลย ใครอีกคนดูเหมือนจะโทรมขึ้นเป็นกองเลย ใบหน้าหล่อๆกับคิ้วเข้มยังคงขมวดเข้าหากันแน่นอย่างที่พี่ศรชอบทำเวลาหงุดหงิด ผิวขาวเนียนของใครอีกคนตอนนี้มีแต่รอยหมอกคล่ำและฝุ่นเกรอะ ไม่รู้ว่าพี่ศรหายไปตั้งแต่คืนก่อนจนถึงตอนนี้พี่ศรไปไหนมากันแน่แต่ผมน่ะคงจะไม่ถามหรอกเพราะแค่นี้ก็สัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดจากอีกคนแล้ว
“พี่กินข้าว…” แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ห้ามความห่วงใยที่มีต่ออีกคนไม่ได้อยู่ดี ถามออกไปยังไม่ทันจะหมดประโยคพี่ศรก็คว้าเอาผ้าขนหนูจากตู้เสื้อผ้าแล้วเดินผ่านผมไปทางห้องน้ำทันที ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับอากาศธาตุเลยสักนิด
แล้วความกดอากาศต่ำก็ก่อตัวขึ้นภายในห้องอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดเลย พี่ศรถึงจะยอมกลับมาที่ห้องแล้วแต่พี่เขาก็ทำตัวเหมือนกับวันแรกที่ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ไม่มีผิด ใครอีกคนทำเหมือนกับว่าไม่มีผมอยู่ในห้องนี้อีกคนอย่างไงอย่างนั้น
“พี่ทำอะไรอยู่เหรอครับ” แต่ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ เริ่มจากการถามคำถามง่ายๆก่อนแล้วกัน แต่ก็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดพี่ศรก็ยังนิ่งเงียบเหมือนเดิม ยอมรับว่ามันทำให้ผมหน้าเสียไม่น้อยที่ต้องพูดคนเดียวยิ้มคนเดียวแบบนี้
“พี่ศรขยันจังเลยนะครับ เห็นอ่านหนังสือเรียนตลอดเลยผมถ้าผมขยันได้แบบพี่บ้างก็คงจะดี ผมน่ะอ่านหนังสือเรียนทีไรก็ง่วงจะหลับทุกที แย่จังเลยเนอะ ฮ่าๆ…”
“…” และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องพูดคนเดียว ถามเอง ตอบเองและจบท้ายด้วยการหัวเราะแห้งๆไปคนเดียว ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยจริงๆ มันอึดอัดชะมัดให้พี่ศรด่าผมซะยังจะดีกว่าอย่างน้อยๆก็ยังไม่ได้เงียบจนน่าอึดอัดแบบนี้
“พี่กินอะไรมาหรือยังครับผมต้มมาม่ามาให้ด้วยครับ นี่ครับ” มาม่ารสหมูสับแบบถ้วยคัพที่ผมชอบกินถูกยื่นไปให้ใครอีกคนตรงหน้าที่กำลังก้มหน้าก้มตาเหมือนกำลังค้นหาข้อมูลอะไรบางอย่างในคอมพิวเตอร์ กลิ่นมาม่าตอนนี้น่ะหอมมากๆเลย พี่ศรหายไปทั้งวันไม่รู้ได้กินอะไรมาหรือยังตอนนี้คงจะหิวแย่
“พี่กินสิครับ มาม่ารสนี้อร่อยนะครับ ยิ่งถ้ากินตอนร้อนๆจะอร่อยมากเลย”
“ไม่กิน”
“กินเถอะครับ รองท้องไว้สักหน่อยก็ยังดี พี่น่ะหายไปทั้งวันเลยผมเป็นห่วง….”
“ก็กูบอกว่าไม่กินไง”
“โอ้ย!...ซืด…!” มาม่ารสโปรดที่ผมอุตส่าห์ต้มให้อีกคนด้วยวามเป็นห่วงถูกมือหนาปัดจนกระเด็นตกลงไปเกลื่อนพื้น น้ำร้อนจากในถ้วยกระเด็นมาโดนมือผมจนรู้สึกร้อนแสบ พี่ศรเหมือนจะนิ่งไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ผมก็ไม่ได้สนใจพี่เขามากเพราะสิ่งที่ควรทำตอนนี้คือคงจะต้องเก็บกวาดเศษมาม่าที่เลอะเต็มพื้นก่อน
ระหว่างที่ผมกำลังทำความสะอาดมืออีกข้างที่โดนน้ำร้อนลวกก็รู้สึกเจ็บชะมัด เจ็บจนสุดท้ายก็ต้องเก็บกวาดพื้นด้วยมือข้างเดียว ระหว่างนี้สัมผัสได้ว่าเหมือนมีสายตาของใครอีกคนกำลังลอบมองมาทางผมตลอด ผมไม่โกรธพี่ศรหรอกครับ ก็ผมทำตัวเองทั้งนั้นนี่เนอะ ถ้าพี่จะรู้สึกเกลียดผมผมก็คงจะไม่ว่าอะไร
“เก็บเรียบร้อยแล้วครับ ถ้าพี่ไม่ชอบมาม่าพี่จะกินอย่างอื่นไหมครับ ผมไปซื้อให้ก็ได้นะ”
ครืด…
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากพี่ศรเหมือนเดิม ใครอีกคนเพียงแค่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วหยิบกระเป๋าเงินทำท่าเหมือนจะเดินออกจากห้องไป
“พี่จะไปไหนเหรอครับ”
“…” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา ผมรีบหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองบ้างแล้วรีบเดินตามออกมาจนถึงหน้าห้อง
“พี่จะออกไปข้างนอกเหรอครับ งั้นผมขอไปด้วยนะครับ เผื่อมีใครไม่หวังดีมาดักทำร้ายพี่ผมจะได้ช่วย…อ๊ะ!”
หมับ!
แรงบีบจากมือหนาบีบเข้าที่ไหล่ของผมทั้งสองข้างอีกแล้ว ถึงจะเคยโดนพี่ศรทำแบบนี้มาแล้วแต่มันก็ยังรู้สึกเจ็บมากๆเลย ตอนนี้ผมถูกดันตัวจนติดกับประตูห้อง ใบหน้าของผมกับพี่ศรอยู่ใกล้กันนิดเดียวจนสัมผัสลมหายใจของอีกคนได้เลย แต่สายตาคมที่มองมาก็ทำให้ผมกลัวจนไม่กล้าสบสายตา
“พอได้แล้ว มึงจะทำอะไรของมึงอีก จนถึงขนาดนี้มึงยังพูด ยังทำเป็นเล่นได้อีกเหรอ”
“คือ…ผม”
พลั่ก!
ยังไม่ทันได้พูดหรืออธิบายอะไรทุกอย่างก็จบลงด้วยการที่พี่ศรออกแรงผลักผมจนหลังชนประตูเสียงดังอีกครั้งแล้วก็เดินจากไป ทิ้งไว้แค่ผมที่ยืนลูบต้นแขนด้วยความเจ็บปวดไม่กล้าแม้แต่จะมองตามอีกคนที่พึ่งจะเดินจากไป
“ผม…ผมก็แค่ไม่ชอบอยู่แบบอึดอัดนี่น่า ก็แค่จะชวนคุยด้วยเท่านั้นเอง เผื่อว่าพี่จะหายโกรธผมบ้าง ฮึก…” ผมเกลียดตัวเองชะมัดที่ควบคุมน้ำตาตัวเองไม่ได้เลย ตอนนี้มันก็ไหลออกมาอีกแล้ว สิ่งที่ผมเลือกที่จะทำต่อไปคือการนั่งลงกอดเข่าตัวเองร้องไห้ที่หน้าห้องเท่านั้น
ผมก็แค่อยากจะพูดคำว่าขอโทษกับพี่เท่านั้น อีกหน่อยพี่ก็ไม่ต้องทนหงุดหงิดกับผมอีกแล้ว ผมน่ะ…แค่อยากจะขอโทษพี่ก่อนที่ผมจะไปแล้วก็แค่นั้นเอง
“ฮึก…” ทั้งๆที่อยากจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่สุดท้ายกลับต้องมานั่งกอดเข่าตัวเองร้องไห้อยู่แบบนี้
“อ้าวไอ้ปุณย์ มึงมานั่งหน้าห้องทำอะไรคนเดียววะ เดี๋ยวยุงก็กัดเอาหรอก”
“หือ…” จนกระทั่งเสียงใครอีกคนร้องถามขึ้นมาผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง “พี่แทน…”
“นะ…นี่มึง…มึงเป็นอะไรทำไมถึงตาแดงจังวะ นี่มึงร้องไห้เหรอ?”
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไร หลักฐานที่หน้าและขอบตาของผมคงจะมัดตัวจนเกินจะปฏิเสธ สุดท้ายก็ต้องก้มหน้าฟุบลงกอดเข่าตัวเองตามเดิม
“ใครทำอะไรมึงวะ ไอ้ศรใช่ไหม ไอ้เชี่ยศรแน่ๆเลยที่ทำมึงร้องไห้ เชี่ยแม่ง! เดี๋ยวกูไปอัดมันให้”
“พี่แทนอย่า!” ผมรีบโผลเข้ากอดเอวของพี่แทนที่นั่งลงข้างๆผมได้ไม่นานก็ทำท่าจะพรวดพราดลุกขึ้นไปหาพี่ศรจริงๆอย่างที่ไอ้พี่แทนมันพูด
“ทำไมละ มันรังแกมึงน่ะ กูจะไปอัดมันให้ ไม่ดีหรือไง”
“ไม่ครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมไม่ดีเองที่ไปทำให้พี่ศรโกรธ ผมผิดเองครับ พี่อย่าไปทำอะไรพี่ศรเลยนะผมไม่อยากให้ทั้งสองคนมีเรื่องกัน”
“เฮ้อ! ไอ้เชี่ยศรนี่ก็แม่ง อยู่กับเด็กกี่คนก็ไม่รอด ตอนแรกกูนึกว่ามึงกับมันจะอยู่ด้วยกันได้แล้วซะอีก กูยังไม่ได้พาไปกินเลี้ยงฉลองเลย สุดท้ายมันก็ก่อเรื่องจนได้”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร ตอนนี้ไม่ได้กอดพี่แทนไว้อย่างเดิมแล้ว น้ำตาที่เคยไหลออกมาก็เริ่มหายไปทำให้ตอนนี้ผมกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาและพูดคุยกับพี่แทนได้ตามปกติ
“คราวหลังถ้ามันแกล้งมึงอีกให้รีบมาบอกกูเลยนะ กูจะอัดมันให้เอง”
“ไม่เป็นไรแล้วละครับ” คราวหลังอะไรกัน อีกไม่กี่วันผมก็คงจะไม่ได้อยู่กวนใจพี่เขาแล้ว
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เออนี่กูมีขนมมาฝากด้วย กูไปแข่งบอลที่ต่างจังหวัดมา ขากลับก็เลยซื้อขนมมาฝากมึงเยอะแยะเลย”
“ขอบคุณครับ”
“เห็นขนมแล้วยิ้มได้เลยนะมึง กินไปเหอะ ตัวมึงเล็กจะตายอยู่แล้ว กินๆไปเยอะๆจะได้ตัวโตขึ้น” พูดจบพี่แทนก็ยื่นมือมาลูบหัวผมเล่น
ผมเองก็รับรับถุงขนมนั้นมาด้วยความขอบคุณ จริงๆถ้าจะให้ลองนึกย้อนดู ชีวิตของผมตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาเรียนที่นี่วันแรกผมคิดว่าทุกๆอย่างมันก็เป็นบทเรียนและเรื่องราวดีๆทั้งนั้น ผมโชคดีแค่ไหนที่ได้มาเจอคนดีๆตั้งหลายคน พี่แทนเองก็เป็นหนึ่งในคนดีๆเหล่านั้น ส่วนพี่ศรนะผมไม่ได้โกรธพี่เขาเลยสักนิด ผมเข้าใจและให้อภัยพี่เขาทุกอย่าง ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าพรุ่งนี้หรือวันอื่นๆจะเป็นยังไง ผมก็คงจะขอเลือกที่จะเก็บความทรงจำดีๆที่เกิดขึ้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย
-
9th Shoot
กูจะคอยปกป้องมึงเอง
พี่ศร’s Part
ปึก!
เสียงดังที่เกิดจากการกระทบกันของตู้น้ำหยอดเหรียญกับหมัดของผมเพราะความหงุดหงิด ผมไม่ได้หงุดหงิดที่ไอ้เด็กปุณย์นั้นเอาแต่ทำตัวกวนประสาท ผมไม่ได้หงุดหงิดหรือโกรธที่เด็กนั้นไม่เชื่อฟังที่ผมเตือนที่ผมห้ามบ้างเลย แต่ที่ผมกำลังโกรธอยู่ตอนนี้เพราะไอ้เจ้าสายตาคู่นั้น ตายตาตัดพ้อที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บหนึบที่หน้าอกอย่างแปลกๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมจะต้องวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องของมันด้วย
ผ่านเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันที่ห้องพัก ตอนนี้ผมเลือกที่จะแยกตัวเองออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัดนั่นซะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมจะต้องทำแบบนั้นด้วย ทั้งๆที่นั้นมันก็เป็นห้องที่ผมอยู่มาก่อนแท้ๆ ก่อนหน้านั้นผมอยู่คนเดียวไม่ต้องคอยสนใจใครผมยังอยู่ได้ แต่พอมีไอ้เด็กนั้นเข้ามามันทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะตัดสินใจอะไรด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าไมชอบเห็นมันร้องไห้เลย ไม่ชอบเห็นสายตาแบบนั้นของมัน เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังเริ่มสูญเสียความเป็นตัวเองลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ต้องเลือกเดินเลี่ยงออกมาที่ร้านสะดวกซื้อไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยอย่างในตอนนี้
“ทำไมแม่งดื้อจังวะ ทั้งๆที่กูเตือนแล้วแท้ๆว่าอย่าไปยุ่งกับพวกมันทำไมถึงไม่ฟังกูบ้าง เจ็บตัวเพราะพวกมันมาแล้วทำไมไม่รู้จักจำบ้างวะ” พึมพำในใจอยู่คนเดียวก่อนจะเลือกยกขวดน้ำในมือขึ้นกระดกดื่มอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงจะบอกว่าไม่ชอบสายตาตัดพ้อของมันที่มองมาก็ตามเถอะ แต่พอลองนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วมันก็อดที่จะโมโหเด็กนั้นไม่ได้
ตัวก็เล็กกะเปี๊ยกเดียว ยังจะชอบหาแต่เรื่องอยู่ได้!
“วันนี้ซ้อมเหนื่อยไหม”
“เหนื่อยสิ แต่มีเธออยู่เป็นกำลังใจให้ตลอดเราไม่ยอมแพ้หรอก”
เสียงคุยของคู่รักสองคนที่นั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหารตามสั่งไม่ไกลจากผมดังขึ้นให้ได้ยิน ผมหยุดชะงักเดินกับสิ่งที่พึ่งจะได้ยินไป
กำลังใจงั้นเหรอ?
คำพูดที่คุ้นหูในความทรงจำผุดขึ้นมาให้ผมได้คิด คิดถึงเด็กนั้นอีกแล้ว ก็ในชีวิตของผมน่ะไม่ค่อยมีใครมาพูดอะไรแนวนี้ให้ฟังสักเท่าไหร่หรอก จะมีก็แค่ไอ้เด็กปุณย์นั้นที่โผล่เข้ามาในชีวิตแล้วเอาแต่พูดเรื่องนี้กับผมอยู่ตลอด ถึงมันจะน่ารำคาญเมื่อได้ฟังบ่อยๆ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นคำพูดน่ารำคาญที่ทำให้หัวใจผมแอบเต้นแรงอยู่หลายครั้ง
“สุดท้ายกูก็คิดถึงเรื่องของมึงอีกจนได้สินะ” พูดกับตัวเองคนเดียวอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงส่ายหน้าเพื่อสะบัดรอยยิ้มบ้าๆที่ผุดขึ้นมาเองอย่างห้ามไม่ได้ออกไป
ตอนนี้ผมโกรธมันอยู่ไม่ใช่เหรอ เวลานึกถึงมันก็ควรจะโกรธสิ ไม่ใช่ยิ้มแบบนี้
รอยยิ้มบ้าๆที่ผุดขึ้นมาตอนนึกถึงเรื่องของไอ้เด็กปุณย์นั้นทำให้ความโกรธของผมลดลงไปอย่างไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีตอนนี้ผมก็ถือกระป๋องน้ำอัดลมที่ผมเห็นมันชอบกินบ่อยๆติดมือมาด้วยซะแล้ว ตอนแรกจากที่โกรธที่มันไม่ยอมฟังที่ผมเตือน ไม่ยอมฟังทั้งเรื่องที่ไปยุ่งกับไอ้เบส ทั้งเรื่องที่ผมเลิกยิงธนู แต่พอลองคิดดูดีๆโกรธเด็กนั้นไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา ยังไงมันก็คงเป็นมันแบบนั้นไปตลอดผมจะไปห้ามอะไรคนเอ๋อๆแบบมันได้ ในทางกลับกันผมกลับรู้สึกผิดที่ใช้คำพูดรุนแรงกลับมันแบบนั้น ผมรู้ว่าผมเป็นคนที่ผิดมากกว่าที่ใช้อารมณ์กับน้องมัน แต่คนแบบผมไม่ใช่คนที่จะรู้วิธีหรือรู้จักแสดงอารมณ์ขอโทษใครได้ง่ายๆ แต่ยังไงก็จะลองพยายามดูก็แล้วกัน
แต่เมื่อผมลองได้เงยหน้าละสายตาจากเจ้ากระป๋องน้ำอัดลมที่ถือไว้ในมือจนเดินมาถึงหน้าห้องก็พบว่าตอนนี้ไอ้เด็กปุณย์ไม่ได้อยู่ในห้องตอนนี้เพราะห้องมีกุญแจคล้องล็อกไว้จาด้านนอก
“ไปไหนของเขา” ผมล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงออกมาไขเพื่อเข้ามาด้านใน กดเปิดสวิตซ์ไฟก็ไม่พบใครอยู่ในห้อง เห็นแค่ร่องรอยของตู้เสื้อผ้าที่ถูกปิดไว้ไม่สนิทจนฝาตู้แง้มออกมาครึ่งบาน ไม่รู้เด็กนั้นหายไปไหน แต่คิดไปก็แค่นั้นแหละ ผมกับเด็กนั้นไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย จะเป็นก็แค่พี่เมทน้องเมทเท่านั้น เด็กนั้นจะไปไหนก็เป็นสิทธิ์ของมัน
เมื่อกระป๋องน้ำอัดลมที่ตั้งใจว่าจะซื้อมาให้ใครอีกคน แต่ตอนนี้คนที่จะให้ไม่อยู่ในห้องแล้วสิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการเดินไปวางกระป๋องน้ำอันลมลงบนโต๊ะตัวเล็กบนหัวเตียงของอีกคน อยู่ห้องด้วยกันมาก็นานเกินเดือนแล้วผมพึ่งจะเคยเข้ามาใกล้ๆเตียงนอนมันก็วันนี้เอง พอมองไปรอบๆก็ต้องพ่นลมหายใจพร้อมกับยิ้มให้กับกรอบรูปใบเล็กๆสองสามใบที่ตั้งไว้ตรงหัวเตียงของใครอีกคน
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ในรูปพวกนั้นมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดชะมัด แต่ถึงจะบอกว่าหงุดหงิดแต่สิ่งที่ร่างกายเลือกแสดงออกกับเป็นรอยยิ้มไปซะได้
ตึก!
จนกระทั่งอยู่ๆก็มีเสียงดังเหมือนของตกระทบพื้นดังขึ้น ลองมองไปก็พบว่าต้นเสียงดังมาจากตู้เสื้อผ้าของเด็กนั้นที่ปิดไม่สนิท ผมลองที่จะเดินมาดูใกล้ๆก็พบเข้ากับกล่องใบเล็กที่ตกลงมาจนของข้างในกระเด็นออกมา แต่พอลองที่จะหยิบของนั้นขึ้นมาดูก็ต้องทำให้ผมขมวดคิ้วเป็นรอบที่สองเพราะของที่กระเด็นออกมาจากกล่องนั้นมีแต่รูปผมทั้งนั้นเลย
‘วันนี้พี่ศรแข่งชนะอีกแล้ว ไม่เสียแรงที่ตื่นมารอเชียร์แต่เช้า’
มันเป็นข้อความที่ถูกเขียนด้วยหมึกปากกาสีดำอยู่ตรงด้านหลังของรูป พอลองพลิกอีกด้านของรูปมาดูมันเป็นรูปตอนที่ผมไปแข่งยิงธนูเมื่อสองปีก่อน จริงสินะ เด็กนั้นบอกผมไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่ว่ามาที่นี่ก็เพราะชอบที่ผมยิงธนู มาที่นี่ก็เพื่อจะเห็นผมยิงธนูด้วยตาตัวเอง ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าเด็กนั้นจะจริงจังอะไรขนาดนี้ คิดว่าพูดไปงั้นๆซะอีก ผมลองไล่หยิบรูปแต่ละใบขึ้นมาดูก็ต้องเผลอยิ้มกับตัวเองอีกครั้งกับข้อความที่เขียนอยู่ด้านหลังของรูปแต่ละใบ
“ไอ้เด็กเอ๋อเอ้ย!”
จนสุดท้ายสายตาก็มาสะดุดเข้ากับสมุดบันทึกเล่มเล็กๆที่มีรูปผมถูกตัดแปะไว้อยู่เต็มหน้าปกของสมุดนั้น ผมรู้ว่าการอ่านสมุดบันทึกของคนอื่นมันเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่ในเมื่ออีกคนเล่นแปะรูปผมจนเต็มไปหมดแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะขอถือวิสาสะเปิดอ่านมัน
“…”
พอลองที่จะไล่อ่านข้อความที่ถูกเขียนไว้มันทำให้ผมต้องชะงักนิ่งไปอีกครั้ง นั้นก็เพราะเนื้อหาข้างในสมุดบันทึกเล่มนั้นมันเต็มไปด้วยข้อความบรรยายความรู้สึกของเจ้าของสมุดบันทึกนี้ที่เขียนเอาไว้แทบจะทุกวัน นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้เพราะดูเหมือนข้อความด้านในจะมีจุดที่แสดงว่ามันมีเล่มก่อนหน้าที่บันทึกเรื่องราวไว้อีก เล่มนี้เป็นแค่เพียงเล่มที่เริ่มบันทึกไม่นานมานี่เท่านั้น น่าจะเริ่มบันทึกไม่กี่สัปดาห์มานี่ด้วยซ้ำ
‘วันนี้มามหาวิทยาลัยวันแรก ได้เจอพี่ศรด้วย ใจเต้นมากๆเลย รู้แล้วว่าเวลาได้เจอคนที่เราแอบชอบมันรู้สึกใจเต้นมากแค่ไหน…’
‘เผลอบอกพี่ศรว่าชอบไปด้วย ใจเต้นมากๆเลย แต่ไม่ได้บอกว่าชอบแบบนั้นนะใครจะไปกล้ากันเล่า ก็แค่จะบอกพี่เขาว่าชอบที่พี่เขายิงธนูมาก’
‘วันนี้เห็นพี่ศรที่สนามยิงธนูอีกแล้ว ดูก็รู้ว่าพี่ศรน่ะยังรักกีฬายิงธนูอยู่แน่ๆ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่เขาถึงเลิก แต่ไม่เป็นไรหรอกผมจะต้องช่วยพี่เขาให้ได้เลย วางใจได้เลย’
“หึ! ไอ้เด็กบ๊อง” ผมพ่นลมหายใจพร้อมยิ้มกับตัวเองเบาๆเมื่อได้อ่านข้อความที่บันทึกอยู่ในสมุดเล่มนี้ แทบจะทั้งหมดที่ถูกเขียนไว้เกี่ยวกับผมทั้งนั้นเลย คิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตหรือไงถึงได้มาเที่ยวบันทึกเรื่องของคนอื่นแบบนี้
ไอ้เด็กเอ๋อเอ้ย!
จากนั้นผมก็เริ่มเปิดหน้าต่อไปจนกระทั้งมาสะดุดสายตากับข้อความที่ถูกเขียนไว้ในหน้าต่อๆมา
‘วันนี้ทำให้พี่ศรโกรธอีกแล้ว เฮ้อ! น่าโมโหตัวเองชะมัดเลย ไม่ว่าจะพยายามทำอะไรก็เหมือนจะทำให้พี่เขารำคาญตลอดเลย’
‘วันนี้พี่ศรไม่กลับมาที่ห้อง คงจะโกรธผมมากแน่ๆเลย รู้สึกผิดที่มาทำให้ชีวิตของพี่เขาวุ่นวายเลย วันนี้ร้องไห้ไปหลายรอบแล้วด้วย ไม่รู้จะทำยังไงให้พี่เขาหายโกรธ…’
และดูเหมือนข้อความที่ถูกเขียนบันทึกจะสิ้นสุดลงไปแค่นี้
“จะร้องไห้ทำไมไอ้เด็กดื้อ กูไม่ได้โกรธมึงสักหน่อยก็แค่…ไม่ชอบที่มึงไปยุ่งกับพวกไอ้เบส ก็รู้ว่าพวกมันทำอะไรกับมึงไว้ยังจะไปยุ่งกับมันอยู่ได้ ดื้อแล้วยังขี้แยชะมัด” ผมพูดกับไอ้เจ้าสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ตอนนี้ถูกพับปิดไว้เรียบร้อยแล้ว ด่าไปก็เหมือนว่ากำลังคุยกับตัวเองเพราะบนปกสมุดนั้นมีแต่รูปผมทั้งนั้นเลย สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัวแล้วเก็บของที่หล่นออกมากลับเข้าไปในกล่องอย่างเดิมก่อนจะจัดการปิดตู้เสื้อผ้าที่ไม่รู้เจ้าของหายไปไหนให้เรียบร้อย
เสร็จแล้วก็กลับมานั่งลงที่โต๊ะอานหนังสือมุมประจำ ตอนนี้ข้างนอกก็มืดมากแล้วไม่รู้ใครอีกคนหายไปไหนป่านนี้ยังไม่กลับอีก
“แล้วบอกไม่อยากให้กูโกรธ แต่ก็ชอบทำตัวให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย” เป็นอีกครั้งที่ต้องบ่นคนเดียวกับตัวเอง ถอนหายใจเพราะไม่เข้าใจตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ มองนาฬิกาสลับกับประตูห้องอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่งรอใครอีกคนที่หายไปทำไมกันนะ
เช้าวันต่อมาผมยอมรับว่าเมื่อคืนผมนั่งรอเด็กนั้นจนดึกแต่เด็กนั้นก็ยังไม่กลับมาที่ห้อง ตอนเช้าผมไม่ได้อยู่รอเพราะวันนี้ผมจำเป็นต้องตื่นเช้าและออกมาจากห้องเร็วขึ้นเพราะมีเรียนเช้า วันนี้อาจารย์บอกว่าอาจจะสอบควิซก็เลยเลือกมาที่คณะให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้อ่านทบทวนเนื้อหาคิดว่าอาจารย์น่าจะออกสอบ ระหว่างทางผมก็ไม่ลืมที่จะมองหาใครอีกคนไปด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ จริงสินะ เช้าป่านนี้ไอ้เด็กนั้นมันจะมาทำไมที่คณะ ผมส่ายหน้าสะบัดเรื่องของเด็กนั้นออกจากหัวก่อนจะหันกลับมาก้มหน้าตั้งใจอ่านหนังสือในมือต่อ
หมับ!
แต่แล้วจู่ๆหนังสือที่ควรจะอยู่ในมือของผมก็ถูกดึงออกจากมือไป ผมขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ไอ้แทน”
“เออ กูเอง”
“มึงจะทำอะไร เอาหนังสือกูคืนมา”
“กูไม่ให้มึงอ่าน มึงต้องคุยกับกูก่อน” ผมเอื้อมมือไปจะคว้าเอาหนังสือของผมคืนแต่ไอ้แทนก็เบี่ยงตัวหลับไม่ยอมคืนหนังสือให้ผม
“คุยอะไรของมึง”
“มึงรังแกไอ้ปุณย์ทำไม”
“รังแก? กูไปรังแกอะไรมัน”
“ก็เมื่อวานกูเห็นไอ้ปุณย์ร้องไห้ กูบอกมึงเลยนะว่าเมื่อวานกูโคตรโกรธมึงเลย อยากจะซัดหน้ามึงสักทีแต่ไอ้ปุณย์มันก็ขอไว้เพราะไม่อยากให้มึงกับกูมีเรื่องกัน มึงนี่น่ะไอ้ศร กูคิดว่ามึงกับไอ้ปุณย์จะเข้ากันได้แล้วเชียว แต่ยังไงมึงไม่ชอบน้องมันมึงก็ไม่น่าจะไปรังแกมันนะ เด็กมันเสียใจจนจะซิ่วไปอีกคนแล้ว”
“…” เมื่อกี้ว่าไงนะ ถ้าฟังไม่ผิดไอ้แทนมันบอกว่าไอ้เด็กนั้นจะซิ่วเหรอ
“มึงต้องเปลี่ยนนิสัยของมึงนะไอ้เชี่ยศร…”
“มึงว่าไงนะไอ้แทน” ผมถามขัดขึ้น ไม่ได้สนใจที่ไอ้แทนมันกำลังบ่นเลย
“อะไรวะ”
“เมื่อกี้มึงหมายความว่ายังไง ที่บอกว่าเด็กนั้นจะซิ่ว”
“มึงทำอะไรไว้มึงยังจะมาถามอีกหรือไง มึงมันเหี้ยไงไอ้ศร ไอ้ปุณย์มันซื่อๆแบบนั้นมึงก็ยังทำให้มันร้องไห้”
หมับ!
“กูถามว่ามึงหมายความว่ายังไงที่บอกว่ามันจะซิ่ว” เมื่อเห็นว่าไอ้แทนตอบไม่ตรงคำถามสักทีสิ่งที่ผมเลือกทำก็คงจะไม่พ้นการลุกขึ้นไปกำคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น
“ก็เพราะมึงนั้นแหละทำน้องมันเสียใจ” ไอ้แทนปัดมือผมออก “ก็เพราะมึงนั้นแหละทำมันร้องไห้ เมื่อคืนมันไปนอนห้องกู มันบอกกูว่าวันนี้จะไปแล้วกูห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง”
“มันอยู่ไหน”
“หา?”
“กูถามว่าตอนนี้ไอ้ปุณย์มันอยู่ไหน!”
“ป่านนี้ก็คงกำลังกลับไปเก็บของที่ห้องอยู่ละมั้ง คงสมใจมึงแล้วละสิต่อไปมึงจะได้อยู่คนเดียวอย่างที่มึงชอบ…อ้าวเฮ้ย! ไอ้เชี่ยศรมึงจะหนีไปไหน”
ผมไม่สนใจเสียงร้องตะโกนโวยของของไอ้แทนเลย ไม่รู้ทำไมแค่ผมได้ยินว่าไอ้เด็กนั้นกำลังจะซิ่วหัวใจผมก็กระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก สิ่งเดียวที่ผมคิดได้คือต้องไปรีบไปเจอมันให้เร็วที่สุด ไอ้เด็กปุณย์คงจะคิดว่าผมโกรธและเกลียดมันจริงๆที่อย่างมันเขียนลงในสมุดบันทึกแน่ๆ
ไอ้เด็กบ้าเอ้ย! คิดเองเออเองแล้วนี่ยังคิดจะไปโดยไม่บอกกูสักคำอีกนะ
และไม่นานหลังจากแยกกับไอ้แทนที่คณะ ผมไม่รู้ตัวเองว่าวิ่งด้วยความเร็วแค่ไหนรู้อีกทีก็มาหยุดยืนอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามกับหอพักของตัวเองแล้ว โชคยังเข้าข้างผมเพราะตอนนี้คนตรงหน้าที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองอย่างทุลักทุเลคือไอ้ปุณย์เด็กเอ๋อนั้นเอง
หมับ!
ผมเข้าไปจับข้อมือมันข้างที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางไว้ อีกคนที่มัวแต่ก้มมองกระเป๋าเดินทางของตัวเองไม่ทันได้ตั้งตัวก็สะดุ้งตกใจจนน่าตลก
“พะ…พี่ศร”
“ทำไมถึงไม่บอกกูก่อน”
“พี่…หมายถึงอะไรครับ”
“ไอ้แทนบอกกูว่ามึงจะซิ่ว”
“คือ…คือว่า” อีกคนหลบสายตาหลุบหน้ามองต่ำอย่างรู้สึกผิด
“มึงจะซิ่วไปทำไม”
“ก็…ผมเรียนไม่ไหว”
“ใช่เรื่องนี้แน่เหรอ กูไม่เคยเห็นมึงบ่นหรือพูดอะไรเกี่ยวกับปัญหาการเรียนเลย ทั้งๆที่ปกติมึงเป็นคนพูดมากจะตาย”
“พี่ไม่ได้หลอกด่าผมใช่ไหม” ไอ้เด็กเด๋อเงยหน้าหรี่ตาขึ้นมอง
“มึงอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ตอบกูมาว่ามึงจะซิ่วทำไม”
“ก็ผม…ผมแค่ไม่อยากทำให้พี่ต้องรำคาญ ไม่อยากทำให้พี่ต้องโกรธผมอีก ผมไม่อยากถูกพี่เกลียดไม่อยากจะร้องไห้แล้ว” ประโยคสุดท้ายใครอีกคนพูดเสียงเบา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินอยู่ดี
“กูเคยบอกมึงหรือไงว่ากูโกรธกูเกลียดมึง”
“ก็…ไม่เคย แต่ว่าพี่ชอบหงุดหงิดผม ผมก็นึกว่าพี่โกรธผมนี่”
“กูไม่เคยโกรธมึง”
“…”
“แล้วก็ไม่ได้เกลียดมึงด้วย”
“พี่ศร”
“ที่ผ่านมากูก็แค่ไม่ชอบที่มึงไปยุ่งกับพวกไอ้เบส ไม่ชอบที่มึงไม่เชื่อที่กูเตือนมึง ไม่ชอบที่มึงชอบทำตัวให้กูเป็นห่วง”
“ผมขอโทษ แต่เอ๊ะ! เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ พี่เป็นห่วงผมงั้นเหรอ”
“กู…กูก็ต้องห่วงอยู่แล้วในเมื่อมึงเป็นน้องเมทกู”
“งั้นเหรอครับ” มาถึงตอนนี้ใครอีกคนที่ทำตาลุกวาวในตอนแรกก็ถอดสีหน้าลงอย่างเห็นได้ชัด หึ!แล้วเห็นเขียนในบันทึกว่าจะไม่แสดงออกว่าชอบกู ที่ทำตัวอยู่แบบนี้เขาเรียกว่าโคตรจะแสดงออกเลย ไอ้เด็กเอ๋อเอ้ย!
“เอาเป็นว่ากูไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดมึง กูพูดแบบนี้แล้วมึง…จะยังซิ่วอยู่ไหม”
“จริงๆผมก็ไม่ได้อยากซิ่วหรอกครับ ผมมีความสุขจะตายเวลาอยู่กับพี่….”
“…”
“เอ่อ ผมหมายถึงว่า ชีวิตที่นี่มันมีความสุขนะครับ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร” เหอะ! แล้วไหนบอกจะไม่แสดงออกให้รู้ว่าชอบ มันจะรู้ไหมว่าหน้ามันตอนนี้มันแดงยิ่งกว่าอะไร
“แต่ว่าถ้าผมอยู่ผมก็จะทำให้พี่อารมณ์เสียกับผมอีก แล้วอีกอย่างที่ผมมาที่นี่ก็เพราะอยากเห็นพี่ยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้ง ผมก็เลยทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้พี่กลับมามีพลังอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าแถมยังทำให้พี่หงุดหงิดบ่อยๆด้วย”
“แบบนี้ก็แสดงว่าถ้ากูกลับมายิงธนูอีกมึงก็จะยอมอยู่ต่อใช่ไหม”
“ก็ใช่น่ะสิครับ”
“งั้นก็อยู่สะสิ”
“ครับ? พี่หมายความว่ายังไงผมไม่เข้าใจ” มาทำหน้าเอ๋อๆไม่เข้าใจอยู่ได้ แถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆแบบนี้อีกอยากจะดีงไอ้เจ้าปากห้อยๆนั้นมาดีดเล่นชะมัด
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั้นแหละ กูจะกลับมายิงธนูอีกมึงจะอยู่ดูกูไหม”
“ฮึก…พะ…พี่ศร”
“เฮ้ย! มึงจะร้องไห้ทำไม” เอ้า! ไอ้เด็กนี่เมื่อกี้ยังยิ้มอยู่ดีๆตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นร้องไห้ซะงั้น
“เปล่าครับ ผมก็แค่…ฮึก…ผมก็แค่ดีใจน่ะครับ ดีจังเลยพี่จะกลับมายิงธนูแล้ว ดีจังเลยผมจะได้เห็นพี่ยิงธนูด้วยตาตัวเองแล้ว”
“ถ้ากูกลับมายิงธนูแล้วไม่รู้ว่าจะทำได้ดีเหมือนแต่ก่อนไหม ถ้าเกิดกูยิงห่วยขึ้นมามึงจะยังอยากดูอยู่ไหม”
“อยากดูสิครับ ผมต้องอยากดูแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าพี่จะเป็นยังไงผมก็จะอยู่ข้างๆพี่เสมอ ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่จะคอยสนับสนุนพี่ไปตลอดเลย เพราะผมเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของพี่นี่น่า” พูดจบไอ้เด็กสติไม่เต็มคนนี้ก็ทำท่าปล่อยแสงเหมือนอุลตร้าแมนซะงั้น ผมไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีนะที่ได้คนสติไม่เต็มแบบนี้มาเป็นแฟนคลับ แถมตอนนี้ไอ้เด็กขี้แยที่ร้องไห้เมื่อกี้นี้ไม่รู้หายไปไหนแล้วเหลือไว้แค่เด็กบ๊องๆที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ตอนนี้แทน
“แฟนคลับหมายเลขหนึ่งเลยเหรอ ใครแต่งตั้งมึงไม่ทราบ”
“ไม่มีครับผมแต่งตั้งตัวเอง” ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆเพราะใครอีกคนยืนตอบผมกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยมากๆไม่ได้รู้สึกเขินหรืออายในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเลยสักนิด
“ถ้าไม่ซิ่วแล้ว งั้นกลับหอได้ยัง”
“ได้ครับ กลับหอกันครับ” แล้วคนที่ทำหน้าหมดอาลัยตายอยากลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองอย่างไม่สนใจคนอื่นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็แปลเปลี่ยนเป็นใครอีกคนที่ยิ้มกว้างอย่างร่าเริงพร้อมกลับห้องเต็มที่
แต่จะว่าไป ก็ยิ้มแบบนี้ละสินะ ที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ได้เจอมัน
“แต่ว่าพี่ศรครับ ผมจะถามพี่ได้ไหมว่าทำไมตอนแรกพี่ถึงเลิกยิงธนู ผมก็เห็นว่าพี่น่ะชอบยิงธนูจะตายไม่น่าจะเลิกได้แล้วทำไมถึงเลิกซะละครับ”
“รู้ดึกว่ากูอีกนะมึง” ผมยกมือขึ้นยีหัวใครอีกคนอย่างเอ็นดู รู้เรื่องของผมเยอะกว่าตัวผมเองอีกละมั้ง
“จริงๆนะครับผมสัมผัสได้ มันแสดงออกมาทางสายตาพี่เลยว่าพี่ยังรักและอยากกลับไปยิงธนูมากๆเลย”
“ถ้ามึงอยากรู้กูจะบอกมึงก็ได้ ตอนแรกกูว่าจะเก็บเรื่องนี้ให้มันตายไปกับกูแค่คนเดียว แต่ถ้ามึงอยากจะรู้กูจะบอกมึงอีกคนก็ได้ เพราะมึงคงไม่เอาไปบอกใครหรอกจริงไหม”
“อืม ไม่บอกแน่นอนครับ” อีกคนพยักหน้ารับ จะรู้บ้างไหมว่าอาการของตัวเองตอนนี้มันดูตลกมากขนาดไหน
“กูเป็น Target Panic”
“…”
“เมื่อเกือบสองปีก่อน พ่อกูประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวันที่กูกำลังจะแข่งพอดี การแข่งวันนั้นสำคัญกับกูมากเพราะถ้ากูชนะ กูจะได้เหรียญทองไปให้พ่อกูเป็นของขวัญวันเกิดเขา ใช่วันนั้นเป็นวันเกิดพ่อกูด้วย แต่สุดท้ายพอกูรู้ว่าเขาประสบอุบัติเหตุ กู…กูก็ไม่มีสมาธิ ผลคือวันนั้นกูยิงไม่เข้าเป้าเลย”
“พี่ศร…”
“อะไรเล่า จะร้องไห้อีกแล้วเหรอ งั้นกูไม่เล่าต่อแล้วนะ”
“ไม่เอาๆ เล่าต่อเถอะครับ”
“จากวันนั้นมากูก็กังวลและคิดถึงแต่เรื่องพ่อกูตลอด กูเก็บมากดดันตัวเองว่าจะต้องทำให้ได้ จะต้องยิงให้ดีและดีขึ้นไปอีกเพื่อพ่อของกู จนสุดท้ายกูก็เก็บความกังวลมากดดันตัวเองเพราะกลัวจะทำไม่ได้ สุดท้ายแล้วกูก็ทำไม่ได้จริงๆ กูไม่กล้าตัดสินใจที่จะปล่อยลูก ไม่มีความมั่นใจแม้แต่จะง้างคันธนูด้วยซ้ำ กูก็คงห่วยอย่างที่พวกไอ้เบสมันว่าจริงๆนั้นแหละ”
“อะไรเล่า ฮึก… ไม่จริงสักหน่อย พี่ศรน่ะ ฮึก…เก่งที่สุดแล้ว”
“ร้องไห้ซะงั้น”
“ช่างผมก่อนเถอะน่า พี่ศรน่ะไม่ได้ห่วยอย่างที่พวกพี่เบสพูดหรอกครับ สำหรับผมแล้วไม่ว่าจะยังไงพี่ศรก็เก่งและเท่สุดๆไปเลย ไม่งั้นผมจะชอบ…” อีกคนเหมือนจะหยุดไปเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกมา สีหน้าของไอ้เด็กนี่ตอนนี้มันตลกชะมัด ไม่รู้จะร้องไห้ จะเขินหรือจะอายกันแน่
“ชอบอะไร กูเหรอ มึงชอบกูเหรอ” ถึงจะรูอยู่แล้วแต่ก็ลองถามแกล้งไปดูดีกว่า
“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมหมายถึงชอบที่พี่ยิงธนูต่างหากละ”
“’งั้นเหรอ” มันจะรู้ไหมนะ ว่าทั้งสีหน้าและแววตามันตอนนี้โคตรจะมีพิรุธเลย
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ต้องผ่านเรื่องแย่ๆมา ถ้าผมรู้ผมคงไม่พยายามสืบเรื่องนี้ คงไม่ทำอะไรที่มันกวนใจพี่หรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้มึงก็ต้องไถ่โทษด้วยการคอยเชียร์กูด้วยนะ”
“ได้ครับผมจะต้องเชียร์พี่แน่นอนเลย”
ผมได้แต่ยิ้มให้ใครอีกคนที่ตอนนี้ฉีกยิ้มกว้างทั้งๆที่หางตายังมีคราบน้ำตาติดอยู่แท้ๆ ตัวผมเองก็ไม้รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงตดสินใจไปแบบนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือเปล่า แต่ถึงยังไงผมก็คงจะมั่นใจได้ว่าอย่างน้อยๆก็ยังมีใครอีกคนที่ยืนอยู้ตรงหน้าผมตอนนี้คอยอยู่ข้างๆไม่ห่างแน่ๆ
ผมอาจจะเป็นคนนิสัยเสียที่ยิงธนูเพื่อเป้าหมายคือทำให้ใครสักคนภูมิใจ ก่อนหน้านั้นผมมีความสุขกับการยิงธนูและก็อยากทำให้พ่อภูมิใจไปพร้อมๆกัน มาถึงตอนนี้ผมไม่มีพ่ออยู่ภูมิใจกับผมแล้ว แต่ผมก็มีใครอีกคนหนึ่งที่โผล่เข้ามาในชีวิตอย่างไม่รู้ตัวแทน ใครอีกคนที่ผมอยากจะทำให้เขาภูมิใจในตัวผมเหมือนกันกับพ่อและผมก็เชื่อว่าถ้าวิญญาณของพ่อที่อยู่บนฟ้าสามารถรับรู้ได้พ่อก็คงจะภูมิใจกับผมด้วยแน่ๆ
ทุกๆอย่างมันถูกอย่างที่ไอ้ปุณย์พูดทุกอย่าง ยิงธนูคือชีวิตของผม คือสิ่งที่ชอบ คือสิ่งที่รัก และต่อจากนี้ผมจะไม่หนีมันไปไหนอีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะสู้กับมันเพราะผมจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปยังไงก็มีเด็กเด๋อๆอยุ่ข้างๆด้วยตั้งหนึ่งคน
ยังไงก็ช่วย…อย่าพึ่งเบื่อกูก็แล้วกัน
“กลับห้องกันเถอะ” ผมบอกเด็กขี้แยที่ตอนนี้เลิกร้องไห้แล้ว ยีหัวอีกคนเล่นอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะจับเอากระเป๋าเดินทางของอีกคนมาไว้ที่ตัวเอง
“ไอ้ปุณย์”
“ครับ?”
“ตอนนี้มึงรู้เรื่องของกูหมดแล้ว ต่อไปไม่ต้องไปยุ่งกับพวกไอ้เบสแล้วได้ไหม”
“ทำไมละครับ ผมว่าพี่เขาก็…”
“กูไม่อยากจะคอยเป็นห่วงมึงอีก” ผมพูดแทรกขึ้นโดยไม่ปล่อยให้อีกคนได้พูดจบ
“ก็ได้ครับ ต่อไปผมจะไม่ยุ่งกับพี่เบสอีก ผมจะตั้งใจคอยเป็นกำลังใจให้พี่ให้ดีที่สุดจะไม่ทำตัวให้พี่เป็นห่วงอีกแล้ว”
ปรี๊ดดด!
“ระวัง!” พูดไม่ทันขาดคำ ไอ้เด็กเอ๋อพูดจบก็กระโดดโลดเต้นจนลืมไปว่าตอนนี้เราอยู่ริมถนน จังหวะเดียวกันที่มีรถส่งของคนใหญ่กำลังขับผ่านมาพอดี ใครกันนะที่พึ่งจะบอกว่าจะไม่ทำตัวให้ผมเป็นห่วง เมื่อกี้นี้ถ้าผมไม่ดึงตัวเข้ามาไว้ซะก่อนมีหวังโดนรถเฉี่ยวไปแล้ว
“พะ…พี่ศร” ตอนนี้ผมดึงตัวอีกคนมาไว้ในอ้อมกอด คงจะตกใจมากสินะ ตัวสั่นเชียว แล้วคนที่ทำตัวเก่งกล้าไม่กลัวใครก่อนหน้านั้นตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว
“ไหนบอกจะไม่ทำตัวให้กูเป็นห่วงไง” ผมพูดหลังจากปล่อยอีกคนออกจากอ้อมกอดแล้ว
“ผมขอโทษครับ”
“คราวหลังก็ระวังตัวก็แล้วกันอย่าทำให้กูเป็นห่วงบ่อยๆ”
“…”
“แต่ถึงจะทำก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะยังไงต่อไปนี้…กูจะคอยปกป้องมึงเอง” ประโยคสุดท้ายผมพูดเสียงเบา ไม่รู้ว่าใครอีกคนจะได้ยินไหมเพราะพูดจบผมก็ลากกระเป๋าเดินทางของอีกคนข้ามถนนมาเลย แต่ก็คงไม่ได้ยินหรอกมั้งเพราะเรื่องซื่อบื้อคงจะไม่มีใครเกินมันหรอก หรือบางทีก็อาจจะได้ยินแต่ก็คงจะไม่เข้าใจอยู่ดี
แต่จะยังไงก็แล้วแต่ ไม่ว่าไอ้ปุณย์มันจะได้ยินหรือไม่ สุดท้ายแล้วผมก็หมายความตามที่พูดอยู่ดี ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ต่อไปผมจะคอยปกป้องคนเด๋อๆแบบมันเองก็แล้วกัน
__________________________________
จบสิ้นดราม่ากันสักทีเพราะคนเขียนเองก็หน่วงหัวใจเหลือเกิน ต่อไปเราก็จะสายสุขนิยม ฟีลกู๊ดกันยาวๆเนอะ ^^
#รักตรงเป้า
-
10th Shoot
Ten Points นี้…เพื่อมึงแล้วกัน
น้องปุณย์’s Part
วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ ที่ห้องพักของผมตอนนี้ข้าวของกระจัดกระจายอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าและโต๊ะอ่านหนังสือของพี่ศรกำลังดึงความสนใจของพี่ไว้ที่สิ่งของเหล่านั้นจนต้องขมวดคิ้วแน่น หลายวันมานี้นับตั้งแต่วันที่พี่ศรบอกกับผมว่าจะกลับมายิงธนูอีกครั้ง ดูเหมือนทั้งผมและพี่ศรเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันเลย อย่างวันนี้ที่ทั้งวันพี่ศรเริ่มเอาเจ้าพวกคันธนูและอุปกรณ์ต่างๆออกมาจัดแจงและทำความสะอาด ผมเองที่ปกติก็สนใจในทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับพี่ศรอยู่แล้ว พอได้มาเห็นพวกอุปกรณ์ยิงธนูพวกนี้ก็ทำให้นึกไปถึงวันที่จะได้เห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองก็ยิ่งตื่นเต้นจนแทบจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว
หมับ!
ฝามือบางของผมสัมผัสลงบนหน้าฝากของใครอีกคนที่นั่งขมวดคิ้วทำความสะอาดคันธนูของตัวเองอยู่
“อะไรของมึงไอ้เตี้ย”
“เปล่าครับ ผมแค่จะดูว่าพี่หายดีหรือยัง”
“หายดีเรื่องอะไรวะ”
“ก็ที่พี่บอกว่าพี่ป่วย”
“นี่แน่ะ!”
“โอ้ย!” น้ำเสียงหมั่นเขี้ยวของพี่ศรที่ดังมาพร้อมๆกับน้ำเสียงเจ็บปวดของผมเพราะถูกพี่ศรดีดนิ้วลงที่หน้าฝากอย่างแรงจนต้องยกมือขึ้นถูจุดที่โดนดีดไปเมื้อกี้
เจ็บชะมัดเลย เป็นรอยแดงแล้วมั้งเนี่ย!
“กูป่วยเป็น Target Panic ไม่ได้เป็นไข้หวัด มึงจะมาแตะหน้าฝากกูทำไม”
“เอ้า! ก็ผมไม่รู้นี่ นึกว่ามันจะตัวรุมๆเหมือนเป็นไข้นี่น่า”
“มึงนี่นะ” พี่ศรส่ายหน้าอย่างเอือมระอา อะไรเล่า! ก็คนไม่รู้นี่ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิดไม่ใช่เหรอ
“Target Panic มันเป็นอาการป่วยทางจิตใจต่างหากละ มันเป็นเพราะกูกดดันและตั้งเป้าหมายกับตัวเองมากไปจนกลัวความผิดหวัง กลัวว่าจะทำไม่ได้ จนสุดท้ายกูก็เสียความมั่นใจในการยิงธนูไป อาการพวกนี้ไม่ได้ตัวร้อน ไม่ได้มีไข้ กินยาก็ไม่หายมันเป็นเรื่องของจิตใจมึงเข้าใจยัง”
“ครับ! เข้าใจแล้วครับ ว่าแต่ตอนนี้พี่หายดีหรือยังละครับ” ผมถามอย่าสงสัยอีกครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นสบตากับผม เราสองคนจ้องหน้ากันนิ่งไม่มีใครพูดอะไร
“โอ้ยพี่ศร!” จนสุดท้ายเป็นพี่ศรที่ยื่นมือมาบีบจมูกผมแน่นจนเจ็บไปหมด
“ไม่รู้เหมือนกันวะ แต่มีใครบางคนแถวนี้บอกจะคอยเชียร์ คอยเป็นกำลังใจให้กู มันก็ต้องลองดูสักตั้งอ่ะ ทำไมมึงจะเปลี่ยนใจไม่เชียร์กูแล้วไง”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” ผมปัดมือพี่ศรออก “ผมน่ะต้องคอยเชียร์ ต้องคอยเป็นกำลังใจให้พี่อยู่แล้ว เพราะผมเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของพี่นี่น่า” พูดจบผมก็ทำท่าปล่อยแสงแบบอุลตร้าแมน ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปทำเพราะอะไรก็ร่างกายผมมันไปของมันเองนี่น่า มันคงจะกลายเป็นท่าประจำผมไปแล้วละมั้ง
“จะเป็นแค่แฟนคลับเองเหรอ”
“ครับ?” จนกระทั่งพี่ศรย้อนถามมาแบบนี้
“ซื่อบื้อเอ้ย!” ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม อีกคนเพียงแค่ทิ้งความสงสัยเอาไว้แล้วยีหัวผมเล่นเท่านั้น
ตอนนี้พี่ศรหันกลับไปก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดอุปกรณ์ยิงธนูของตัวเองต่อ ผมเองก็ไม่ได้พูดหรือถามอะไรต่อเพราะสายตาและความสนใจก็อยู่ที่ตัวอุปกรณ์เหล่านั้นเหมือนกัน เคยเห็นแต่พี่ศรตอนอยู่ในการแข่งขัน คิดแค่ว่าตอนที่พี่ศรใส่ชุดกีฬาและถือธนูอยู่ในมือน่ะเท่ที่สุดเลย แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอุปกรณ์ยิงธนูเนี่ยมันจะเยอะขนาดนี้
“พี่ต้องประกอบอุปกรณ์เองแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ”
“อืม ก็ต้องประกอบเองสิ”
“พี่จำได้หมดเลยเหรอครับว่าอะไรเป็นอะไร ผมนั่งมองตั้งนานยังจำไม่ได้เลย อุปกรณ์มมันดูเยอะมากๆ”
“ไหนบอกเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของกูไง ไม่รู้เหรอว่ากูยิงธนูมากี่ปีแล้ว”
จริงสินะ พี่ศรเป็นนักกีฬายิงธนูนี่น่า ผมนี่ก็…ไม่น่าถามอะไรโง่ๆแบบนั้นออกไปเลย โดนย้อนมาแบบนี้สุดท้ายผมก็ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ ก่อนจะกลับมานั่งมองใครอีกคนกำลังประกอบคันธนูของตัวเอง มีอุปกรณ์หลายๆอย่างที่พี่ศรไปซื้อมาใหม่ พี่ศรบอกว่าไม่ได้ยิงธนูมานานแล้วอุปกรณ์บางอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ แถมหลายวันที่ผ่านมาพี่ศรน่ะฟิตสุดๆไปเลย ทั้งออกไปวิ่งทุกเย็นแถมยังวิดฟื้นอยู่ที่ห้องอีก ผมเองก็ต้องไปฝึกซ้อมกับชมรมกรีฑาของตัวเองบ่อยขึ้นแล้วด้วยเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าจะน่าเบื่อ แต่พอมีพี่ศรไปวิ่งด้วยอยู่สนามใกล้ๆกัน มันทำให้ผมอยากจะเข้าชมรมทุกวันเลย
“เตี้ย”
“ครับ?”
“จ้องแบบนี้อยากช่วยเปล่า”
“เอ่อ…ไม่ดีกว่าครับ ผมกลัวจะไปทำของพี่พัง”
“ไม่หรอก ช่วยขึ้นสายไหม เดี๋ยวกูคอยดูอยู่ห่างๆ จะเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของกูต้องทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยนะ”
“…” พอจบประโยคที่แสนกดดันผมไปแล้ว สุดท้ายผมก็ต้องมาช่วยพี่ศรขึ้นสายธนูอย่างช่วยไม่ได้ ผมจำไอ้เจ้าคันธนูสีแดงคันนี้ได้ดีไม่มีลืม มันเป็นคันธนูตัวที่พี่ศรใช้แข่งขันเป็นประจำ ผมเคยเห็นในทีวีด้วย
“เป็นอะไรเหงื่อออกเยอะเชียว” ยังจะมาถามอีกนะไอ้พี่ศรบ้า รู้ก็รู้ว่าคันธนูนี่ต้องเป็นของรักของหวงของตัวเองแน่ๆ แบบนี้แล้วยังจะมาให้ผมช่วยอยู่อีก ไอ้การที่ได้จับคันธนูด้ามโปรดของพี่ศรน่ะมันก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่อีกใจหนึ่งผมก็กลัวจะไปทำของพี่ศรพังชะมัดเลย
“เอาขาเหยียบที่สายข้างล่างนั้นเลย” ตอนนี้ผมทำตามพี่ศรบอกอย่างว่าง่าย “เอามือจับตรงนี้ ตรงคันธนู”
“ครับ”
“ตรงนี้เรียกว่าปีกธนูนะ มีสองส่วนคือปีกบนและปีกล่าง จะมีเขียนบอกไว้ตรงปีกอยู่แล้ว” ผมพยักหน้ารับคำ ตั้งใจฟังพี่ศรทุกอย่าง
“ส่วนนี้เรียกว่าสายธนู ให้มึงออกแรงดึงตรงคันธนูนี่นะ ค่อยๆดึงจนกว่าปีกธนูมันจะโค้งจนได้รูป มึงคอยสังเกตห่วงตรงปลายสายธนูด้วย ถ้ามันลงตรงช่องบนปีกธนูก็ถือว่าใช้ได้” ผมค่อยๆออกแรงดึกตรงคันธนูอย่างพี่ที่ศรบอก ตอนนี้พี่ศรยืนประกบผมอยู่ด้านหลังไม่ห่าง ตอนแรกก็รู้สึกกลัวสุดๆไปเลย แต่พอได้ลองทำดูจริงๆมันก็ไม่ยากย่างที่คิดนะ แถมยังสนุกอีกด้วย
“ลงแล้วครับ สายธนูลงช่องใส่เรียบร้อยแล้วครับ” ผมร้องบอกพี่ศรด้วยความดีใจ
“เก่งมาก” พี่ศรยีหัวผมอีกครั้งจนต้องแอบเขิน “ไหนดูสิว่าใช้ได้ไหม”
“…”
“สายตึงใช้ได้ แบบนี้ค่อยสมกับเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของกูหน่อย” มาถึงตอนนี้ผมยิ้มเขินกับตัวเองจนไม่กล้าสบตากับพี่ศร ดีใจที่ได้ช่วยพี่ศรประกอบคันธนูครั้งแรกแล้วแถมยังได้รับคำชมจากพี่ศรอีก แค่นี้ก็ดีเกินพอสำหรับผมแล้วละ
“วันนี้โค้ชนัดให้กูไปเจอเขาที่ชมรม วันเสาร์ชมรมมึงมีซ้อมไหมละ”
“ไม่มีครับ วันเสาร์อาทิตย์ผมไม่มีซ้อม พี่ๆเขาบอกว่าถ้ายังไม่ถึงช่วงแข่งซ้อมเฉพาะจันทร์ถึงศุกร์ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น มึงจะไปกับกูไหม บางทีวันนี้กูอาจจะได้ลองยิงธนูด้วยนะ”
“จริงเหรอครับ ผมจะได้เห็นพี่ยิงธนูด้วยเหรอครับ” ผมดีใจมากๆกับคำชวนของพี่ศรจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดผมก็จะได้เห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองแล้ว
“เป็นอะไร ร้องไห้อีกแล้วเหรอ”
“ฮึก…ก็ผม…ก็ผมดีใจนี่ครับ ผมไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ผมไม่คิดว่าในที่สุดผมก็จะได้เห็นพี่ยิงธนูด้วยตาตัวเองแล้ว ผมดีใจ ดีใจมากๆเลย”
“ดีใจแล้วจะร้องไห้ทำไมวะ เด็กขี้แย” พี่ศรเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ผมก่อนจะยีหัวผมเล่นอีกครั้ง ยีหัวอยู่ได้ ผมยุ่งหมดแล้วนะ!
“ก็มันห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่นี่”
“จะยังไงก็ตาม กูขอบคุณมึงด้วยนะ ที่ทำให้กูกล้าที่จะกลับมายืนจุดนี้อีกครั้ง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเชื่อว่าวันหนึ่งยังไงพี่ก็ต้องกลับมายิงธนูอีกครั้ง ก็ผมบอกพี่แล้วไงว่าธนูน่ะมันคือชีวิตของพี่ ยังไงซะพี่ก็ไม่ทิ้งมันหรอกจริงไหมครับ”
“รู้ดีนักนะมึง” โอ้ย! คราวนี้ไม่ยีหัวแต่พี่ศรยื่นมือมาดึงแก้มผมแทน ถ้าแก้มมันย้วยออกมาแล้วไม่กลับเป็นเหมือนเดิมพี่ต้องรับผิดชอบผมเลยนะ เสียหล่อหมดเลย
“ปุณย์…”
“ครับ” พี่ศรเรียกชื่อผมเสียงเบาเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง อาการแบบนี้ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตาใครอีกคนเพื่อรอฟังในที่ที่อีกคนกำลังจะพูด
“ขอโทษนะ ที่ผ่านมาที่กู…เคยพูดไม่ดีหรือเคยทำอะไรไม่ดีกับมึง”
“…”
“ถึงที่ผ่านมากูจะทำตัวไม่ค่อยดีกับมึง แต่กูอยากให้มึงรู้ไว้ว่า…กูดีใจนะที่มีมึงเข้ามาในชีวิต แล้วมึงคงจะไม่ทิ้งกูไปไหน จะคอยเชียร์กูอยู่ตลอดอย่างที่มึงบอกใช่ไหม”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ ตอนนี้น้ำตาที่พึ่งจะแห้งหายไปดูเหมือนจะกลับมาอีกแล้ว
“ร้องไห้อีกแล้ว ไอ้เด็กขี้แยเอ้ย”
“…” มาว่าเป็นเด็กขี้แยอยู่ได้ ก็ตัวเองนั้นแหละชอบมาพูดอะไรซึ้งๆให้ฟังอยู่ได้ เจอแบบนี้เข้าไปเป็นใครก็ต้องร้องไห้ทั้งนั้นแหละ
ยิ่งสำหรับคนที่ทำอะไรก็มีผลกับหัวใจของผมอย่างพี่ศรแล้วด้วย…
พอตกเย็นใกล้จะถึงเวลาที่พี่ศรบอกว่านัดกับโค้ชที่ชมรมยิงธนูไว้แล้วผมยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้พี่ศรจะตื่นเต้นไหมแต่ผมน่ะตื่นเต้นมากๆเลย ตื่นเต้นยังกับจะเป็นคนที่ต้องยิงธนูซะเอง ผมจัดการตัวเองด้วยการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนพี่ศรเป็นชั่วโมงเลย พี่ศรเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ลงกระเป๋าที่เตรียมไว้ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำมาได้สักพักแล้ว ทิ้งไว้แค่ผมที่เดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจเพราะความตื่นเต้นอยู่คนเดียว
“เตี้ยเอาผ้าขนหนูให้หน่อย แขวนอยู่หน้าตู้น่ะ”
“…”
“ทำอะไรอยู่วะ ไปเอามาสิ”
“คือผม…”
มันจะไม่มีอะไรเลยนะถ้าไม่ใช่เพราะภาพที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือพี่ศรในร่างกายที่เปลือยล่อนจ้อนโผล่หน้าออกมาจากประตูห้องน้ำกว่าครึ่งตัวแล้ว ถึงจะเคยเห็นพี่ศรถอดเสื้อมาแล้วแต่ผมก็ยังไม่เคยได้เห็นใกล้ๆและจ้องนานๆแบบนี้เลยนะ
ตอนนี้มันรู้สึก…ร้อนๆที่หน้าชะมัด จนสุดท้ายแล้วเป็นผมเองนั้นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายหันหน้าหนี
“กูขอโทษ กูลืมตัว” เป็นเสียงพี่ศรพูดกลับมา ไม่รู้ว่าอีกคนจะอยู่ในท่าไหนในตอนนี้เพราะผมหันหลังให้เขาและไม่ยอมหันไปมองอีกแล้ว “ช่วยเอาผาขนหนูให้กูที หยิบชุดที่แขวนไว้ให้กูด้วยก็ได้”
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูและชุดกีฬาของพี่ศรที่หน้าตู้เสื้อผ้าของพี่เขา สูดหายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะหันหลังกลับมา ภาพที่เห็นคือตอนนี้ใครอีกคนกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้ว
“พี่ศรครับ สะ…เสื้อกับผ้าขนหนูได้แล้วครับ”
“ยื่นมาสิ” พี่ศรยื่นมือออกมาจากประตูห้องน้ำ ผมค่อยๆส่งทั้งผ้าขนหนูและเสื้อผ้าให้พี่เขาอย่างกล้าๆกลัว ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยการที่พี่ศรรับของไปแล้วปิดประตูห้องน้ำตามเดิม ทิ้งไว้แค่ผมที่หายใจไม่ทั่วท้องแถมยังรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวจนจะระเบิดอยู่แบบนี้
ปกติทั้งผมและพี่ศรจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากันในห้องน้ำทันทีที่อาบน้ำเสร็จ ต่างคนก็ต่างเอาชุดที่จะเปลี่ยนเข้าไปด้วยตอนอาบน้ำเสมอ นั้นก็เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็จริง แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ศรที่ผ่านมามันมีช่องว่างระหว่างกันอยู่ตลอด เวลาจะทำอะไรมันก็เลยยังรู้สึกเกร็งๆกันอยู่บ้าง ถึงแม้ต้อนนี้พี่ศรจะทำตัวน่ารักกับผมมากขึ้น ไม่ดุ ไม่หงุดหงิดผมอย่างแต่ก่อนแล้วก็เถอะ แค่ยังไงการที่ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของอีกคนแบบนั้น มันก็ยังไม่ใช่อะไรที่อ่อนโยนต่อหัวใจอยู่ดี
ทางเดินทอดยาวไปสู่สนามกีฬายิงธนูตอนนี้มีร่างของคนสองคนกำลังเดินตามกันโดยเว้นระยะห่างจนเหมือนว่าคนทั้งคู่ไม่ได้มาด้วยกันอย่างไงอย่างงั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ผม เอ่อ…เห็นพี่ศรไม่ใส่เสื้อผ้าตอนนั้นผมก็ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายอีกเลย ทั้งๆที่ผมน่ะก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แถมพี่ศรก็คงจะไม่ได้คิดอะไรหรอกมั้ง ก็เราเป็นผู้ชายด้วยกันนี่ ก็คงจะมีแค่ผมนี่แหละที่รู้สึกแปลกๆอยู่คนเดียวแบบนี้
“เป็นอะไรทำไมเดินห่างแบบนั้น” อยู่ดีๆใครอีกที่เดินนำหน้าผมอยู่ก็หันมาถาม
“คะ…ครับ”
“กูถามว่าทำไมต้องเดินห่างกันแบบนั้น”
“เปล่านี่ครับผมก็เดินปกติ” โกหกคำโตออกไปซะแล้วไอ้ปุณย์เอ้ย ปกติกับผีอะไรกันเล่าถึงไม่กล้าสบตาพี่เขาแบบนี้
“ทำไมหน้าแดง”
“หะ…หา หน้าผมแดงเหรอครับ”
“เออ แดงมากด้วย”
“สงสัย…แดดร้อนมั้งครับ”
“…” มาถึงตอนนี้พี่ศรเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบ ไม่รู้ว่าพี่เขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ก็ตอนนี้ผมปล่อยพิรุธตัวเท่าบ้านออกไปด้วยการไม่มองหน้าพี่เขาแบบนี้
“เอานี่ไปถือไป”
“อ๊ะ!” กระเป๋าอุปกรณ์ใบใหญ่ถูกโยนมาให้ผมถือ
“แล้วเดินก็ให้มันใกล้ๆกันหน่อย”
“…” พี่ศรไม่ว่าเปล่า พี่เขาวาดวงแขนโอบไหล่ดึงตัวผมเข้าไปใกล้ๆจนแนบชิดกับหน้าอกพี่เขาในท่าที่ไม่สะดวกต่อการเดินเอาซะเลย
“เดี๋ยวหลง กูขี้เกียจไปตาม”
“อะไรเล่า ทางแค่นี้ผมไม่หลงหรอกน่า”
“เชื่อได้เหรอ” พี่ศรเลิกคิ้วสงสัย
“ได้สิครับ ปล่อยผมได้แล้ว” ผมพยายามขืนตัวออก เพราะตอนนี้รู้สึกว่าหน้าของเราสองคนมันจะใกล้กันมากเกินไปแล้วนะ
“อย่าดิ้นสิวะ”
“พี่ก็ปล่อยผมสิครับ กอดผมแน่นแบบนี้ผมจะเดินได้ยังไง”
“ก็เดี๋ยวมึงหลง”
“ไม่หลงหรอกครับ คราวนี้จะเดินใกล้ๆกับพี่ไม่ให้คลาดสายตาเลย โอเคไหมครับ”
“แน่นะ” พี่ศรเงียบคิดไปสักพักก่อนจะถามออกมา
“แน่ครับ”
“ทั้งเตี้ยทั้งเอ๋อแบบนี้ ถ้าหายอีกไปคราวนี้กูไม่ไปตามแล้วนะ”
เหอะ! คำก็เตี้ยสองคำก็เตี้ย นี่ก็พยายามยืดตัวสุดๆแล้วนะ เตี้ยที่ไหนกันผมน่ะสูงเกินไหล่พี่ซะอีก พี่นั้นแหละที่สูงเกินไปต่างหาก ส่วนผมนะคนปกติ
“จะเดินตามมาได้ยัง”
“ครับผมมม!”
-
ไม่นานเราก็มาถึงสนามกีฬายิงธนู จริงๆผมมาที่นี่ก็ครั้งสองครั้งแล้วแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ที่มีโอกาสได้มากับพี่ศร ทุกๆอย่างรอบตัวมันดูน่าตื่นเต้นไปซะหมดเลย ผมลอบมองหน้าใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆว่าพี่ศรเขาจะมีสีหน้าแบบไหน พี่เขาจะกังวล จะประหม่าอะไรหรือเปล่า ที่ผมคิดแบบนั้นก็เพราะใครอีกคนไม่ได้ยิงธนูมานานแล้ว ต่อให้เป็นนักกีฬาที่เก่งขนาดไหนมาก่อนก็เถอะ ลองเป็นผมถ้าไม่ได้เล่นกีฬามาเป็นปีๆแบบนั้นยังไงก็ต้องกลัวหรือประหม่าบ้างแน่ๆ
แต่ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเลย ตอนนี้สีหน้าพี่ศรเรียบนิ่งแต่สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีมีแววของความประหม่าตื่นกลัวในแววตาของพี่เขาเลยสักนิด
“ตื่นเต้นเหรอ มือเย็นเชียว” เป็นพี่ศรที่ถามพร้อมยื่นมือมาจับมือผม
“ครับ ก็…นิดหน่อย”
“เขาไปกันเถอะ โค้ชคงมารออยู่แล้ว” ผมพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ปล่อยให้พี่ศรจูงมือเข้ามาภายในชมรมยอมรับว่ามีแอบหัวใจเต้นแรงอยู่เหมือนกันที่ถูกพี่ศรจับมือแบบนี้ แต่ไม่นานผมก็ต้องเปลี่ยนจุดสนใจอีกครั้งเมื่อเข้ามาภายในชมรมแล้วพบกับร่างของคนสองคนที่นั่งกอดอกมองมาทางพวกผมอยู่
“จูงมือกันมาด้วยวะ”
“พี่ทอย” ผมเรียกชื่อคนพูด “พี่เบส” ก่อนจะหันไปสบสายตาของใครอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล สายตาที่พี่เบสมองมาทำให้ผมต้องยอมปล่อยมือพี่ศรออก
“ได้ยินว่าวันนี้มึงจะกลับเข้าชมรม” พี่ทอยลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยถามคำถามนั้นกับพี่ศร ท่าทางของอีกคนยังดูหาเรื่องไม่เปลี่ยน
“อืม” พี่ศรตอบเพียงสั้นๆออกไป
“ไหนบอกว่าจะเลิกยิงธนูแล้ว ทำไมถึงยอมกลับมาได้วะ หรือว่าจะเป็นเพราะ…”
“กูจะกลับมาหรือไม่มาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึง”
“โธ่เพื่อนศรก็…” ไม่ว่าเปล่าแต่ไอ้พี่ทอยมันพาดวงแขนลงบนบ่าพี่ศรอย่างสนิทสนม และแทบจะทันทีเหมือนกันที่พี่ศรก็ปัดมือของไอ้พี่ทอยออก
“มึงจะกลับเข้าชมรมทั้งที กูก็อยากจะมาดูนักกีฬาในตำนานแบบมึงหรือเปล่าวะ” ไอ้พี่ทอยว่าต่อ “แต่ตำนานมันคงจะนานจริงๆวะ นานจนกูจำแทบจะจำมึงไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ”
“…” อะ…ไอ้พี่ทอย ผมก็หลงนึกว่าพี่มันจะปรับปรุงตัวแล้วซะอีก แต่ไม่เลย ปากพี่มันยังมีหมาอยู่ข้างในเหมือนเดิมผมล่ะอยากจะพุ่งเข้าไปต่อยหน้าพี่มันจริงๆ น่าโมโหชะมัด
“แล้วนี่คิดจะกลับมาเล่นๆหรือจริงจังวะ” คราวนี้เป็นเสียงของใครอีกคนหนึ่งที่พูดขึ้น ไอ้พี่เบส!
“มึงหมายความว่ายังไง” พี่ศรว่า
“เปล่า กูก็แค่สงสัยว่ามึงกลับมาครั้งนี้เพราะมึงอยากจะยิงธนูจริงๆ หรือเพราะอะไรกันแน่…” ประโยคสุดท้ายไอ้พี่เบสมันไม่พูดเปล่า แต่พี่มันหันมาส่งสายกวนๆที่อธิบายไม่ถูกให้ผมด้วย ก่อนที่มือหนาของพี่มันจะขยับทำท่าเหมือนจะยื่นมาจับที่แก้มผม
“อย่ายุ่งกับมัน” แต่ผมยังไม่ทันจะได้เบี่ยงหน้าหลบหรือทำอะไรเลย ในจังหวะนั้นเป็นพี่ศรที่ปัดมือของใครอีกคนออกในแทบจะทันที
“ก็ได้” ไอ้พี่เบสยักไหล่ “มึงมาพนันกับกูไหมละ” ก่อนที่เขาจะถามพี่ศรต่อ ทั้งสองคนจ้องหน้ากันนิ่ง
“พนันอะไร”
“ก็ถ้าวันนี้มึงยิงได้เข้าสิบคะแนน ยิงได้แค่ลูกเดียวก็พอ พวกกูจะย้อมรับมึงเข้าชมรมก็ได้ แต่ถ้ามึงยิงไม่ได้ มึงต้องบอกโค้ชว่ามึงจะไม่เข้าชมรมแล้ว ไม่ก็…ยกเด็กนี่ให้กู” ประโยคสุดท้ายไอ้พี่เบสมันหมายถึงผมแน่ๆเพราะทั้งสายตาและร้อยยิ้มกวนๆของไอ้พี่เบสหันมาทางผมเต็มๆ มันน่าหงุดหงิดชะมัดจนผมต้องเผลอยู้หน้าใส่อีกคนไป
“น่ารักวะ” แต่เหมือนไอ้พี่เบสจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย มิหนำซ้ำยังส่งยิ้มกวนๆมาให้อีก “ว่าไงไอ้ศรหรือมึงจะยกมันให้กูตอนนี้เลยก็ได้นะ”
“ไอ้เชี่ยเบส”
“พี่ศรอย่าครับ” ผมรีบคว้าแขนพี่ศรไว้ เพราะในแทบจะทันทีที่พี่เบสพูดแบบนั้นพี่ศรก็กำหมัดแน่นพุ่งใส่พี่เบสทันที
“ทำอะไรกันนะ…อ้าวศร! มาแล้วเหรอ”
“ครับโค้ช สวัสดีครับโค้ชเอก” แต่แล้วสถานการณ์ตึงเครียดก็ต้องเป็นอันยุติไปพร้อมกับการปรากฏตัวของชายวัยกลางคนที่พี่ศรเรียกว่าโค้ช ผมยกมือไหว้ตามพี่ศรด้วยความเลิกลักเพราะทำตัวไม่ค่อยถูก
“แล้วนี่พาใครมาด้วย” โค้ชหันมาทางผม
“น้องที่คณะครับ” พี่ศรตอบ
“เหรอ งั้นก็เป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องกันหมดนี่เลยสิ คณะเดียวกันทั้งนั้นนี่น่า ว่าแต่จะมาสมัครเข้าชมรมด้วยเหรอเราน่ะ” โค้ชเอกหันมาถามผม
“ไม่ใช่นะครับ” ผมรีบปฏิเสธ “ผมแค่มาเชียร์พี่ศรครับ”
“งั้นเหรอ นึกว่าจะมาสมัครซะอีก ถ้าสนใจก็มาสมัครได้เลยนะ ชมรมจะได้คนเยอะๆ กีฬามันไม่ฮิต คนเล่นก็น้อยชมรมก็มีกันแค่ไม่กี่คน ถ้าสนใจก็บอกโค้ชได้นะ”
“ครับ” ผมยิ้มแห้งๆรับคำ ผมนี่นะจะมายิงธนู แค่วิ่งยังไม่ตรงลู่เลยครับถ้าให้มายิงธนูมีหวังยิงออกนอกเป้าไปโดนหัวใครเข้าแน่ๆ
“ศรเตรียมตัวมาบ้างแล้วใช่ไหม” โค้ชเอกหันไปถามพี่ศร
“ครับ วอร์มร่างกายมาบ้างแล้วครับ”
“ดีๆ วันนี้โค้ชให้เบสกับทอยเขามาช่วยดูด้วยนะ เพราะถึงยังไงถ้าศรกลับมายิงธนูก็อาจจะได้แข่งทีมเดียวกัน”
“ครับ” พี่ศรรับคำ
เหอะ! คนกวนประสาทแบบนั้นไม่เห็นเหมาะจะมาอยู่ทีมเดียวกับพี่ศรตรงไหนเลย
“งั้นวันนี้ไม่มีอะไรมากหรอก ศรลองยิง30เมตรดูก่อนนะ ศรไม่ได้ยิงธนูไปตั้งนาน ต้องเสริมอะไรตรงไหนโค้ชจะได้ช่วยสอนเราถูก จะยังไงก็แล้วแต่โค้ชก็เชื่อในฝีมือของศรอยู่แล้วนะ” โค้ชเอกเข้าไปตบบ่าพี่ศรเบาๆเป็นการให้กำลังใจ เห็นแบบนั้นผมเองก็อยากจะเข้าไปให้กำลังใจพี่ศรในตอนนี้เหมือนกัน
ตื่นเต้นชะมัดเลย จะได้เห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองแล้ว
“ผมขอแข่งกับศรได้ไหมครับโค้ช”
“หือ? เอางั้นเหรอเบส โค้ชว่าศรเขาอาจจะยังไม่…”
“อดีตนักกีฬาอนาคตไกลอย่างไอ้ศรมันคงไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะถ้าไอ้ศรมันไม่เก่งจริงโค้ชก็คงไม่อยากได้มันกลับเข้ามาในชมรมหรอกจริงไหมครับ”
“อืม…ก็จริงนะ แล้วศรว่ายังไงละ”
“ก็ได้ครับ ผมจะแข่ง”
“เอ่อ… ถ้าอย่างงั้นแข่งแบบดวลแล้วกันนะ เป้า30เมตรเหมือนเดิมนั้นแหละ”
“ได้ครับโค้ช” ไอ้พี่เบสมันยิ้มเยาะรับคำอย่างผู้ชนะก่อนที่จะแยกออกไปเตรียมอุปกรณ์ยิงธนูของตัวเอง เกลียดขี้หน้าพี่มันชะมัดเลย ไม่รู้ผมเผลอไปเคยคิดว่าไอ้พี่เบสมันเป็นคนดีได้ยังไง รู้งี้ตอนนั้นเลือกที่จะเชื่อฟังพี่ศรซะก็ดี ไม่ต้องโดนพี่ศรหงุดหงิดใส่ด้วย
“ศรไหวแน่นะ” พอไอ้พี่เบสแยกไปแล้ว โค้ชเอกที่ดูท่าทางใจดีคนเดิมหันมาถามพี่ศรอีกครั้ง
“ครับ คิดว่าไหว”
“ยังไงก็ไม่ต้องจริงจังมากหรอกนะ คิดซะว่าแข่งเพื่อฝึกซ้อมไปก่อนก็แล้วกัน”
“ครับโค้ช” จากนั้นโค้ชก็แยกออกไปนั่งอีกจุดหนึ่งคนละฝั่งกับที่พวกพี่เบสยืนอยู่
“พี่จะไหวจะแน่เหรอครับ” ผมรีบเข้าไปถามอีกคนในทีที่ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนเท่านั้นแล้ว
“มึงคิดว่าไง คิดว่ากูจะไหวไหมละ”
“ก็…” ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่าไหวนะ แต่อีกใจก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พี่เบสน่ะถึงจะดูท่าทางกวนๆแบบนั้นแต่ดูก็รู้ว่าพอจะมีฝีมือพอตัวนั้นแหละ ไม่งั้นพี่มันก็คงไม่เที่ยวพูดคุยโวข่มพี่ศรตลอดแบบนี้หรอก ถ้าเกิดฝีมือไอ้พี่เบสมันเก่งจริงๆก็ไม่รู้ว่าพี่ศรจะไหวหรือเปล่า
“นี่!” พี่ศรย่อตัวลงมาในระดับที่สายตาเราเท่ากันก่อนจะวางมือลงบนหัวผมอย่างแผ่วเบา “มึงบอกว่ามึงเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของกูไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งก็ต้องมั่นใจในตัวกูสิ ยังไงกูก็ต้องทำได้อยู่แล้วกูจะเอาสิบคะแนนมาฝากมึงเอง”
“…”
“จะเอาไหมสิบคะแนนน่ะหรือว่ามึงอยากจะไปกับไอ้เบสมันละ กูจะได้ไปบอกมันว่ายอมแพ้”
“อือออ! ไม่เอาครับ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความเร็วแสง ใครอยากจะไปกับไอ้พี่เบสกันเล่า ผมน่ะเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของพี่ศรนะ ยังไงผมก็ต้องเชื่อมั่นในตัวพี่ศรอยู่แล้ว ยังไงผมก็เชื่อว่าพี่ศรจะต้องทำได้แน่ๆ
ถึงเวลาแข่งขันทั้งพี่ศรและไอ้พี่เบสเข้าไปประจำที่ในท่าเตรียมพร้อมยิงเรียบร้อยแล้ว พี่ศรในตอนนี้ที่ใส่ชุดยิงธนูพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆแล้วโคตรหล่อเลย ยิ่งเวลาที่พี่เขาถือคันธนูแล้วหันมายิ้มให้ผมนะ มันเหมือนเจ้าชายรูปงามในนิทานอย่างไงอย่างงั้นเลย
“มึงว่าใครจะชนะ” เป็นเสียงถามจากไอ้พี่ทอยที่ไม่รู้ย้ายมานั่งลงข้างๆผมตอนไหน
“ก็ต้องพี่ศรอยู่แล้ว” ผมตอบกลับชัดถ้อยชัดคำ เรื่องแบบนี้ไม่น่าถาม
“เพ้อเจ้อ!” ไอ้พี่ทอยดีดนิ้วที่หน้าฝากผมทีนึงจนรู้สึกเจ็บก่อนที่พี่มันจะหันกลับไปสนใจสองคนที่กำลังจะเริ่มแข่งขันกันแล้ว
เวลาที่หน้าจอขนาดพอดีสายตาถูกเปิดให้นับถอยหลังโดยฝีมือโค้ชเอกที่คอยอำนวยความสะดวกในการแข่งขันครั้งนี้ทุกอย่าง พอเวลาเริ่มเดินทั้งสองคนก็เริ่มยกคันธนูของตัวเองในท่าพร้อมยิงก่อนที่จะปล่อยลูกธนูออกจากตัวไป
ภาพที่เห็นตอนนี้มันทำให้ผมอยากจะร้องไห้ด้วยความดีใจอีกครั้ง พี่ศร พี่ศรจริงๆด้วย คนที่กำลังยืนยิงธนูอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือพี่ศร คนที่ผมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าพี่เขาในจอทีวี คนที่ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาเรียนที่เดียวกับพี่เขาเพียงเพราะอยากจะมาเห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้ง และวันนี้ฝันของผมก็เป็นจริงขึ้นมาแล้ว
“ไอ้เด็กเตี้ย เป็นอะไรวะตาแดงๆ”
“…” เฮ้อ! บรรยากาศกำลังดีๆอยู่แล้วแท้ๆ คนกำลังดื่มด่ำกับความสุขในหัวใจ อะไรๆมันจะดีอยู่แล้วถ้าไม่มีเสียงของใครคนหนึ่งมารบกวนโสตประสาทของผมซะก่อน ไอ้พี่ทอย!
“มึงรู้เรื่องไหมเนี่ยว่ามันสองคนกำลังแข่งอะไรกันอยู่”
“…” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ใครจะไปรู้กันเล่า ธนูไม่ใช่แค่ยิงๆออกไปเท่านั้นหรอกเหรอ มีอะไรที่ผมต้องรู้อีกล่ะ
“กูว่าละว่ามึงต้องไม่รู้”
“…”
“กูจะบอกให้แล้วกัน ที่มันกำลังแข่งกันอยู่เนี่ย เขาเรียกแข่งแบบดวล ยิงกันทีละเซต เซตละ3ลูก ใครได้คะแนนเยอะกว่าก็จะได้2คะแนน ถ้าเสมอกันก็ได้คนละ1คะแนน ใครสะสมได้ครับ6คะแนนก่อนคนนั้นก็ชนะ” มาถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าถึงแม้ไอ้พี่ทอยมันจะดูเหมือนไม่มีสาระอะไรเลยในชีวิต แต่ผมคงจะลืมไปว่าไอ้พี่ทอยเองมันก็เป็นนักกีฬายิงธนูนี่น่า แถมเรื่องที่พี่มันบอกผมเมื่อกี้ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วย ก็ยังนับว่าพี่มันก็มีประโยชน์ต่อโลกใบนี้อยู่บ้างละนะ
การแข่งขันผ่านไปด้วยคะแนนที่เสมอกันระหว่างพี่ศรและไอ้พี่เบส ผมเฝ้ามองทั้งสองคนยิงธนูดอกแล้วดอกเล่าออกไป พอครบเซตจนสัญญาณดังทั้งคู่ก็เดินไปเก็บลูกและนับคะแนนกันโดยมีโค้ชเอกทำหน้าที่เป็นกรรมการ ผมรู้แล้วว่าการจะยิงได้สิบคะแนนน่ะมันยากขนาดไหนเพราะตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่มีใครยิงได้สิบคะแนนหรือยิงเข้าตรงกลางเป้าเลย
“คะแนนเสมอกันวะ” พี่ทอยที่พึ่งเดินเข้าไปยุ่งกับการนับคะแนนมาหมาดๆพูดขึ้น
“แล้วแบบนี้จะตัดสินกันยังไงเหรอครับ”
“ก็ต้องยิงชูตออฟ”
“ชูตออฟเหรอครับ”
“การแข่งแบบดวลถ้าได้5คะแนนเสมอกันจะต้องยิ่งคนละหนึ่งลูกเพื่อตัดสิน เขาเรียกว่าชูตออฟ”
ถ้าแบบนั้น…ลูกนี้ก็คือลูกที่สำคัญต่อทั้งสองคนมากๆน่ะสิ ก็มันเป็นลูกตัดสินว่าใครจะแพ้หรือชนะเลยนี่น่า
“ไอ้เบสได้ยิงก่อน” ได้ยินแบบนั้นผมหันไปทางพี่เบสตามที่พี่ทอยบอกทันที เห็นอีกคนกำลังยกคันธนูขึ้นพร้อมในท่ายิง
“9คะแนน” พี่ทอยที่ยกกล้องส่องทางไกลมองไปทางเป้ายิงที่อยู่ห่างออกไปพูดขึ้น
9คะแนนเลยเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แสงว่าพี่ศรจะต้องได้10คะแนนหรือยิงเข้ากลางเป้าเท่านั้นถึงจะชนะ แต่ว่าตลอดเวลาที่ทั้งสองคนแข่งกันมายังไม่มีใครยิงได้ 10คะแนนเลยนะ ตอนนี้ผมเริ่มเป็นห่วงพี่ศรขึ้นมาจริงๆแล้ว
และแล้วก็มาถึงตาของพี่ศรเป็นฝ่ายยิงบ้าง พี่ศรในตอนนี้ยังดูเท่และสง่าผ่าเผยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เวลาบนหน้าจอขนาดพอดีสายตากำลังนับถอยหลังอีกครั้ง เช่นเดียวกับผมที่กำมือแน่นภาวนาให้พี่ศรชนะในครั้งนี้ด้วยเถอะ
“ไอ้ศรมันเป็นอะไรวะถึงไม่ยอมยิง เดี๋ยวก็หมดเวลาก่อนหรอก” ไม่ใช่แค่พี่เบสที่จับสังเกตได้ ผมเองก็จับสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือพี่ศรที่ยืนอยู่ในท่าพร้อมยิงในท่าเดิม แต่ใครอีกคนยังลังเลไม่ยอมปล่อยลูกที่ควรจะไปถึงเป้าแล้วออกไปสักที ตอนนี้ไม่ใช่แค่พี่ศรเท่านั้น ทุกอย่างรอบๆตัวทำให้แม้แต่ผมยังกดดันไปด้วยเลย ทุกคนในที่นี้ต่างมองพี่ศรด้วยสายตาไม่เข้าใจ นั้นก็เพราะคนพวกนี้ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ศรกันแน่
แต่ในเมื่อไอ้เจ้าTarget Panic บ้าอะไรนี่มันเป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นใจ ถ้าอย่างงั้นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งอย่างผมจะเป็นคนเติมเต็มความมั่นใจนั้นให้พี่เอง
“พี่ศรสู้ๆนะครับ” คิดได้แบบนั้นผมตัดสินใจลุกขึ้นยืน มือป้องปากพร้อมร้องตะโกนออกไปเสียงดังไม่ได้สนใจสายตาไม่เข้าใจของคนอื่นที่มองมาเลย “ผมรู้ว่าพี่ทำได้ ต้องทำได้แน่ๆ พี่ไม่ต้องกังวลหรือกลัวอะไรนะครับ พี่ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของพี่นะ ดังนั้นไม่ว่าผลจะยังไงผมก็จะเป็นกำลังใจให้พี่เอง สู้เขานะครับพี่ศร!”
ผมสาบานได้เลยว่าผมไม่ได้บ้าหรือตาฟาด ตอนนี้พี่ศรที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมยิงธนูก็ยังคงเพ็งสมาธิและสายตาไปที่เป้ายิงธนูตรงหน้า แต่ผมสาบานได้ว่าเมื่อกี้นี้ผมเห็น ผมเห็นหางตาที่มองมาทางผมพร้อมร้อยยิ้มมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเบาๆจนเกือบจะมองไม่ทัน พี่ศรได้ยินผมด้วย
และในที่สุด ลูกธนูก็ถูกปล่อยออกไปแล้ว ตอนนี้บรรยากาศรอบๆตัวเงียบลงไปหมด
จนกระทั่ง…
“สิบคะแนน! ศรชนะชูตออฟ” จนกระทั่งเสียงของโค้ชเอกพูดขึ้นเรียกสติของผมกลับมา เมื่อกี้…พี่ศรชนะเหรอ แถมยังได้สิบแต้มด้วย
“เย้ๆ พี่ศรชนะแล้วๆ” พอตั้งสติได้ผมร้องด้วยความดีใจก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดตัวพี่ศรไว้แน่นอย่างลืมตัว
“เห็นไหมผมบอกแล้วว่าพี่ต้องทำได้แน่ๆ”
“ก็เพราะใครละที่บอกว่าจะเป็นกำลังใจให้กู”
“พี่ได้ยินด้วยเหรอครับ”
“ตะโกนดังลั่นขนาดนั้น”
“แหะๆ อายจัง”
“อายเป็นด้วยเหรอมึงนะ”
“หูย…ก็ต้องอายเป็นสิครับ หน้าผมไม่ได้หนาขนาดนั้นสักหน่อย”
“เหรอออ ถ้าอย่างนั้นคนอายเป็นที่ไหนกันนะที่กอดตัวกูไว้แน่นขนาดนี้ ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเขามองหมดแล้ว”
“อุ๊ย!” พอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ผมอยู่ในท่าที่กำลังโอบกอดตัวพี่ศรไว้อย่างลืมตัวอยู่นี่น่า นึกได้แบบนั้นผมก็รีบเอามือออกก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาพี่ศรเพราะทำตัวไม่ถูก
โอ้ย! อายชะมัดเลย
“ขอบใจมึงมากนะ”
“…”
“กูเชื่อแล้วว่ามึงไม่ได้แค่ขี้โม้ไปอย่างนั้น กูเชื่อแล้วว่ามึงเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของกูจริงๆ ถ้าแบบนั้นที่ยิงได้สิบแต้มนี่…ถือว่ากูยิงให้มึงก็แล้วกัน”
ไม่รู้ว่าพี่ศรพูดจริงหรือพูดเล่น แต่พี่เขาจะรู้ไหมว่าที่เขาพูดมานะ ผมจะจดจำไว้ในใจไปตลอดชีวิตเลย
*********************************************8
พี่ศรตอนไม่ดุร้ายนี่น่ารักชะมัดเลยเนอะ ^^
#รักตรงเป้า
-
11th Shoot
เกือบไปแล้ว
น้องปุณย์’s Part
“โคตรเสียดายเลยวะที่กูไม่ได้เห็นหน้ามันตอนนั้น”
เสียงโวยวายของพี่แทนดังขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจของผู้คนในร้านเหล้าหลังมอที่พี่แทนพาพวกผมมาในตอนนี้ วันนี้เป็นเย็นวันจันทร์ที่พี่แทนคะยั้นคะยอให้ผมมาที่นี่ด้วยให้ได้ตั้งแต่เช้าแล้วครับ ซึ่งแน่นอนพี่แทนเองก็ไม่ลืมที่จะให้ผมชวนพี่ศรมาด้วยให้ได้ ตอนแรกผมน่ะอึดอัดใจแทบแย่ เพราะคนอย่างพี่ศรก็รู้ๆกันอยู่ว่าชอบทำหน้านิ่งๆไม่สนใจใครเป็นที่หนึ่งแถมยังชอบทำตัวเงียบขรึมไม่สนใจใครอีกด้วย วันนี้ผมเลยต้องรวบรวมความกล้าตั้งนานกว่าจะโทรไปชวนพี่ศรมาด้วยกันได้ โชคยังดีที่วันนี้พี่ศรเหมือนจะใจดีเป็นพิเศษยอมมากับผมโดยไม่อิดออดเลย
“กูโคตรอยากเห็นหน้าไอ้เชี่ยเบสแม่งเลยวะ อยากรู้ว่ามันจะทำหน้ายังไงตอนที่ถูกคนที่ไม่ได้จับคันธนูมาเป็นปีๆแบบมึงเอาชนะได้” หัวข้อสนทนาตอนนี้คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวการแข่งขันระหว่างพี่ศรกับพี่เบสในวันนั้น พี่แทนที่ปกติเป็นคนที่ไม่เคยเหนื่อยกับการพูดอยู่แล้วมาวันนี้ยิ่งได้คุยในหัวข้อที่ทำให้ตัวเองมีความสุขยิ่งเสียงดังไปใหญ่
“เอาไว้ครั้งหน้าถ้ามึงแข่งอะไรแบบนี้กับไอ้เชี่ยเบสมันอีก อย่าลืมชวนกูไปด้วยนะไอ้ศร”
“เออ”
“แล้วนี่…มึงกับไอ้ปุณย์โอเคกันแล้วใช่ไหมวะ”
“…” คำถามที่ไม่รู้จะตอบกลับยังไงถูกส่งมาจากพี่แทน โอเคเหรอ? โอเคอะไรกันเล่า อย่ามาพูดจาคลุมเครือนะไอ้พี่แทน
“โอเคอะไรของมึงวะ” เป็นพี่ศรที่ถามขึ้น
“เอ้า! ก็โอเคที่ว่ามึงอะอยู่กับน้องมันได้แล้วแน่นะ ไม่ใช่มึงเกิดบ้าขึ้นมาจนรังแกน้องมันร้องไห้อีก ถ้าเป็นแบบนั้นกูไม่เอามึงไว้แน่ๆนะไอ้ศร”
“…” ไอ้บ้าพี่แทน เอาเรื่องร้องไห้มาพูดทำไมเนี่ย อายพี่ศรหมดเลย
“เออ โอเคแล้ว…มั้ง” พี่ศรตอบเสียงเรียบนิ่ง
ผมลอบเงยหน้าขึ้นมองไปทางพี่ศร ตอนนี้ท่าทางพี่ศรยังดูเรียบนิ่งเหมือนเดิมไม่มีผิด จริงๆตอนนี้ระหว่างผมกับพี่ศรมันก็ดีขึ้นมากแล้วนะ ดีมากๆด้วย ดีเกินพอ เกินกว่าที่ผมคิดไว้ซะด้วยซ้ำ แค่นี้ผมก็พอใจมากๆแล้ว
“ถ้ามึงทำไอ้ปุณย์ร้องไห้อีกนะ กูจะให้มันมาอยู่ห้องกู ดีไหมไอ้ปุณย์น้องรัก” พี่แทนหันมาถามผม ไม่ว่าเปล่าพี่แทนที่ตอนนี้ที่ดูท่าทางจะเริ่มเมาได้ที่แล้วก็วาดวงแขนโอบไหล่ผมเข้าไปซบกับตัวเองอย่างแรง
“พี่แทนปล่อย มันอึดอัด” ผมพยายามขืนตัวเอง
“รุ่นพี่ รุ่นน้องจะแสดงความรักต่อกันมันอึดอัดตรงไหนวะ” พี่แทนว่า
อึดอัดสิโว้ย! ก็เล่นกอดซะเต็มแรงแบบนี้มันจะไม่อึดอัดได้ยังไงเล่า! รู้แบบนี้ไม่นั่งใกล้พี่แทนก็ดี คนบ้าอะไรเมาแล้วไม่เคยคิดจะออมแรงกับน้องเลย กอดเต็มแรงแบบนี้มันเจ็บนะโว้ย!
“เอา! มากินเหล้าฉลองความเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องของเรากันดีกว่า ตั้งแต่รู้จักกับมึงมาเนี่ย กูเจอมึงทีไรก็มีแต่เรื่องตลอดเลย แต่มึงไม่ต้องห่วงน่ะไอ้ปุณย์ เดี๋ยวรุ่นพี่คนนี้จะปกป้องมึงเอง เอานี่มากินเหล้าร่วมสาบานกัน”
“พะ..พี่แทนผมไม่ดื่มเหล่า”
“เฮ้ย! จะเป็นอะไรไปวะ ผู้ชายแบบเราต้องกินเหล้าสิวะมันถึงจะสมชายชาตรี เอากินๆเข้าไปเร็ว” พี่แทนยื่นแก้วเหล้าเข้ามาใกล้จนผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์เต็มจมูก ไม่ชอบกลิ่นแบบนี้เอาซะเลย มันเหม็นจนผมต้องพยายามจะเบือนหน้าหนี
หมับ!
“เมาแล้วพูดมาก” เป็นพี่ศรที่พูดขึ้น ไม่ว่าเปล่าพี่ศรวาดวงแขนโอบไหล่ผมจากอีกด้าน ดึงตัวผมให้หันไปพิงซบไหล่พี่ศรแทน ตอนนี้แก้วเหล้าในมือพี่แทนที่ยื่นมาก็ถูกพี่ศรแย่งเอาไปถือไว้เองแล้วด้วย
“มึงจะทำอะไรไอ้เชี่ยศร เอาแก้วเหล้ามานี่ นั้นมันเหล้าของไอ้ปุณย์มัน มันเหล้าของรุ่นพี่รุ่นน้องเขานะเว้ย!” พี่แทนที่เมาจนแทบจะพูดไม่รู้เรื่องพยายามจะแย่งแก้วเหล้าใบเดิมกลับคืน
“น้องมันไม่กินมึงจะไปบังคับมันทำไม เดี๋ยวกูกินแทนมันเอง แล้วมึงก็เลิกพูดมากได้แล้ว”
“พูดมากเชี่ยไรของมึง กูพูดจริงๆนะโว้ย ถ้ามึงทำน้องมันร้องไห้อีกกูจะให้มึงอยู่คนเดียวแน่ๆ”
“เออ กูจะไม่ทำมันร้องให้อีกแล้ว มึงจะเลิกพูดได้ยัง”
“ก็ได้ๆ มาๆแดกเหล้าต่อกันดีกว่า ฉลองให้กับไอ้เชี่ยศรคนเรื่องมากที่มีน้องเมทที่อยู่กับมันรอดกับเขาสักทีแล้วก็ฉลองที่มันกลับมายิงธนูอีกครั้งแถมยังเอาชนะไอ้เชี่ยเบสที่กูไม่ชอบขี้หน้าได้อีก เอาชน!” พูดจบพี่แทนก็ไม่ได้สนใจเรื่องที่จะยัดเยียดให้ผมดื่มเหล้าต่อแล้ว ตอนนี้ก็หันหน้ากลับไปสนใจแก้วเหล้าในมือแทน
อันที่จริงวันนี้ไม่ได้มีแค่ผม พี่ศรแล้วก็มีแทนแค่นั้นที่มาด้วยกัน ยังมีรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนพี่แทนซึ่งผมไม่รู้จักอีกสองคนแล้วก็มีเพื่อนที่อยู่ชมรมยิงธนูของพี่ศรอีกสองคนที่ผมพึ่งจะรู้จักว่าชื่อพี่นายกับพี่ต้น มาด้วยอีกสองคน
สองคนแรกผมไม่รู้ว่าพวกพี่ๆเขานิสัยจะเป็นยังไง แต่สองคนหลังนี่ท่าทางจะเป็นคนดีอยู่บ้างแหละเพราะเหมือนจะมีความสนิทสนมกับพี่ศรในระดับหนึ่งเลย เอาเป็นว่าถ้าเป็นคนที่พี่ศรยอมสนิทสนมด้วยก็นับว่าใช้ได้แหละ คงไม่ได้เลวร้ายอะไรละมั้ง
“เปลี่ยนที่นั่งไหม” พี่ศรกระซิบถามขึ้น มือยังคงโอบไหล่ผมแน่นไม่ปล่อย จริงสิผมลืมนึกถึงไปเลยว่าตอนนี้ถูกพี่ศรโอบกอดอยู่นี่น่า
“ครับ?”
“เปลี่ยนที่นั่งกับกูไหม นั่งตรงนั้นเดี๋ยวไอ้แทนมันเมาแล้วทำอะไรรุ่มร่ามไม่ก็เอาเหล้าให้มึงกินอีก”
“ก็ได้ครับ” ผมยอมฟังพี่ศรอย่างว่าง่าย แล้วเราก็ลุกสลับที่นั่งกัน ถ้าจะให้เรียงตามลำดับตอนนี้ก็มีผม พี่ศร และพี่แทนนั่งเรียงกัน
การที่ถูกพี่ศรเอาใจใส่แบบนี้ผมรู้สึกดีมากๆเลยแต่ก็แอบเป็นห่วงพี่ศรเหมือนกัน เพราะจากเดิมพี่ศรไม่ได้กินเหล้าเยอะมากเท่าพี่แทนก็เลยมีอาการเมาน้อยกว่า แต่พอย้ายที่นั่งไปข้างๆพี่แทนเท่านั้นแหละ ตอนนี้พี่ศรโดนพี่แทนชวนยกแก้วขึ้นดื่มเหล้าจนหมดแก้วในแทบจะทันทีที่เหล้าถูกเติมใหม่ หวังว่าใครอีกคนจะไม่เมาหนักจนผมต้องแบกกลับห้องนะ
จนมาถึงเวลาที่ต้องกลับหอพัก สภาพของพวกพี่ๆแต่ละคนไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด บางคนเดินเซจนต้องยื่นนิ่งๆสักพักถึงจะตั้งหลักได้ แต่บางคนที่ดื่มไปไม่มากก็ไม่เป็นอะไร ที่หนักที่สุดเนี่ยก็คงจะเป็นไอ้พี่แทนนี่แหละ ไม่รู้พี่มันไปสรรหาเรื่องฉลองอะไรมาจากไหนเยอะแยะ ฉลองทีก็ชนแก้วทีจนผมคิดว่า 90% ของเหล้าที่สั่งมาแล้วถูกกินไปก็คือไอ้พี่แทนนั้นแหละที่กินไป สภาพของพี่มันเลยเป็นแบบในตอนนี้ไง
เมาไม่เหลือสภาพนักฟุตบอลสุดเท่ที่พี่แทนชอบคุยโม้เลย
“ไอ้ศรแยกกันตรงนี้นะมึง เดี๋ยวกูเอาไอ้แทนขี้เมานี่ไปส่งห้องก่อน” รุ่นพี่ปีสองที่เป็นเพื่อนพี่แทนหันมาบอกพี่ศรเมื่อเราขึ้นลิฟต์ของหอพักมาถึงชั้นที่พี่แทนพักอยู่แล้ว ส่วนเจ้าตัวพี่แทนเองน่ะเหรอ ตอนนี้เมาไม่ได้สติโดนเพื่อนหิ้วปีกอย่างหมดสภาพไปแล้ว
“เออ กูฝากดูมันด้วย” พี่ศรว่า
“อาราย กูม่ายเมา…” ดูเหมือนเจ้าตัวเองในเวลานี้ก็จะไม่ยอมรับว่าตัวเองน่ะเมาแค่ไหน แถมยังตะโกนเถียงเพื่อนตัวเองไม่หยุดอีก นี่มันนิสัยของพี่แทนตอนยังไม่เมาชัดๆไอ้เรื่องไม่ยอมคนเนี่ย ไม่ว่าจะเมาหรือไม่เมานิสัยข้อดีของพี่มันก็ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
“ไม่เมาเชี่ยอะไรละกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งไปหมดแล้วเนี่ย ไม่รู้มึงแดกหรืออาบ”
“กูม่ายเมา…” แนะ! ยังจะเถียงอีก
และสุดท้ายตอนนี้พี่แทนถูกเพื่อนๆของตัวเองลากออกจากลิฟต์ไปแล้ว ไม่นานนักผมกับพี่ศรก็มาถึงชั้นที่พักของตัวเองบ้างแล้ว
“พี่ศร”
“หือ?”
“พี่เมาหรือเปล่าครับ”
“ไม่น่ะ ก็ยังปกติ”
“แต่ผมเห็นพี่ดื่มเหล้าที่พี่แทนส่งให้ตั้งเยอะ แถมตอนนี้พี่ก็หน้าแดงมากๆด้วย”
“นี่แนะ!”
“อ๊ะ! พี่จะดีดหน้าฝากผมทำไมเนี่ย”
“ขี้สงสัยนักนะ บอกว่าไม่ได้เมาก็ไม่ได้เมาสิ”
“…” อะไรอ่ะ บอกกันดีๆก็ได้นี่ ก็เห็นอยู่ว่าตัวเองน่ะกินไปเยอะขนาดไหน แถมตอนนี้หน้าของพี่ศรก็แดงมากๆด้วยยังจะมาปฏิเสธอีก นึกว่าจะมีแค่พี่แทนคนเดียวซะอีกที่ปากแข็งไม่ยอมคน นี่ยังมีพี่ศรอีกคนเหรอเนี่ย อาจจะหนักกว่าพี่แทนด้วยซ้ำมั้ง
ผมเฝ้าสังเกตอาการพี่ศรตลอดเวลาที่เราเดินไปที่ห้องพักของเรา ถ้าพี่ศรเมาจริงๆอย่างที่ผมคิดไว้พี่เขาก็คงจะเป็นคนเมาที่ดูอาการยากที่สุดในโลก ตอนนี้พี่ศรหน้าแดงจนลามไปถึงหูแล้วด้วย แววตาก็ดูแปลกๆไป แต่ใครอีกคนก็ยังเดินตัวตรงเป๊ะ ไม่มีเดินเซให้เห็นเลยสักนิด แถมยังจำทางกลับห้องตัวเองได้แม่นมากจนสามารถเดินนำหน้าผมกลับมาที่ห้องได้เลย
“พี่จะอาบน้ำก่อนไหมครับ”
“ไม่อะ ขอนอนพักสักแปป มึงเข้าไปอาบก่อนเลย” พูดจบพี่ศรก็ล้มตัวลงนอนหงายบนเตียงของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงและสุดท้ายก็เงียบเสียงลงตามไปด้วย
“ครับ” ผมขานรับเบาๆให้ใครอีกคน
นั่นไง! เห็นไหมละ คิดไว้แล้วไม่มีผิดเลย เมาแล้วยังจะมาปากแข็งปฏิเสธอีก ไม่รู้จะรักษาฟอร์มไปถึงไหน ไม่ต้องเก๊กให้มากก็ได้ครับ แค่นี้ผมก็…ชอบจะแย่อยู่แล้ว
ไม่นานนักผมก็อาบน้ำเสร็จ ก่อนเข้ามาในห้องน้ำผมลืมหยิบเอาเสื้อผ้าเข้ามาเปลี่ยนอีกแล้ว ปกติผมจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่อาบน้ำเสร็จ จากนั้นถึงจะออกไปข้างนอกได้ ถึงผมกับพี่ศรจะเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ก็เถอะ แต่ยังไงการที่ต้องแก้ผ้าต่อหน้าอีกคนมันก็เป็นเรื่องน่าอายสำหรับผมอยู่ดี
ทั้งๆที่พยายามจะทำทุกวันให้เป็นนิสัยแล้วแท้ๆ ทำไมวันนี้ดันมาลืมซะได้นะ ไอ้ครั้นจะให้นุ่งผ้าขนหนูตัวเดียวออกไปผมก็…อายเหมือนกันนะ ถ้าใส่เสื้อตัวเก่าออกไปก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาเปลี่ยนคงไม่เป็นอะไรมั้ง แถมพี่ศรตอนนี้ก็น่าจะเมาหลับไปแล้วด้วย งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน
ตัดสินใจได้แบบนั้นผมค่อยๆหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำออก ออกแรงดึงประดูให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอเห็นว่าประตูเปิดออกกว้างพอแล้วผมไม่รอช้าค่อยๆชะโงกหน้าออกมาดูข้างนอก ภาพที่เห็นคือตอนนี้พี่ศรหลับไปแล้วจริงๆ
“เฮ้อ! หลับไปแล้ว ท่าทางจะเมาจริงๆแฮะ ก็ยังดี ดีกว่าเมาแล้วพูดมากแบบพี่แทน เมาแล้วหลับไปเลยแบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ”
ผมค่อยๆเดินด้วยเสียงที่เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดินอ้อมเตียงของตัวเองมาหยุดอยู่ที่ข้างๆเตียงของใครอีกคนที่เมาหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรไปแล้ว
“กลิ่นเหล้าหึ่งเลย” ผมลองยื่นจมูกเข้าไปใกล้ๆก็พบกับกลิ่นเหล้าจากลมหายใจที่สม่ำเสมอของอีกคนเข้าเต็มๆ น่าแปลกทำไมตอนเดินกลับมาด้วยกันไม่เห็นได้กลิ่นเลย
“ยังไม่ได้อาบน้ำเลยก็หลับซะแล้ว” นั้นสินะ พี่ศรยังไม่ได้อาบน้ำเลยนี่น่า แบบนี้คงจะเหนียวตัวแย่ ยังงั้นหรือว่า…เราจะเช็ดตัวให้พี่ศรดี
“ไม่! ไม่! ไม่!” ผมสะบัดหน้ารัวๆไล่ความคิดนั้นออกจากหัวไป ถ้าเช็ดตัวให้พี่เขา นั้นหมายความว่าเราก็ต้อง…ถะ…ถอดเสื้อผ้าพี่เขาด้วยนะสิ ไม่ได้ๆ ถ้าพี่ศรรู้เข้าพี่เขาอาจจะไม่พอใจเอาก็ได้ อีกอย่างก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเราจะทนเห็นพี่ศรถอดเสื้อในร่างเปลือยเปล่าได้หรือเปล่านี่สิ
โอ้ย! คิดอะไรของแกเนี่ยไอ้ปุณย์!
คิดอะไรบ้าๆกับตัวเองอยู่คนเดียวสักพักผมก็ต้องล้มเลิกความคิดที่จะช่วยเช็ดตัวให้พี่ศรไป ทั้งๆที่ใจหนึ่งก็รู้สึกเป็นห่วงที่อีกคนต้องนอนหลับไปทั้งที่ไม่สบายตัวแบบนั้นแถมกลิ่นเหล้ายังหึ่งอีกต่างหาก แต่ว่าถ้าจะให้ช่วยเช็ดตัวให้มันก็เป็นอะไรที่ไม่อ่อนโยนต่อใจของตัวเองเกินไป สุดท้ายสิ่งที่เลือกทำก็คือช่วยดึงรั้งผ้าห่มคลุมตัวให้อีกคน ปรับอุณหภูมิแอร์ภายในห้องให้อยู่ในระดับที่เย็นสบาย เสร็จทุกอย่างที่ควรจะทำแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองสักที
ความโชคดีอีกอย่างของผมคือพี่ศรหลับไปแล้วในตอนนี้ ผมสามารถถอดเสื้อหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หน้าตู้เสื้อผ้าได้เลย โดยไม่ต้องอายหรือกลัวว่าพี่ศรจะมาเห็น
“…” แต่ในขณะที่ผมถอดเสื้อนักศึกษาที่ใส่มาตั้งแต่เช้าออกจากตัวไปแล้วนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเงาของใครอีกคนตกกระทบลงบนฝาตู้ซ้อนทับกับตัวผมไป แถมตอนนี้ยังรู้สึกเสียวที่สันหลังแปลกๆด้วย
ค่อยๆรวบรวมความกล้าและหันกลับมาดูเพื่อให้หายสงสัย จนกระทั่งภาพที่เห็น…
“พะ…พี่ศร” ใช่ครับ! เป็นพี่ศรจริงๆ พี่ศรที่ผมพึ่งจะเห็นว่านอนหลับไปไม่รู้เรื่องเมื่อกี้ ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่ศรมายืนอยู่ข้างหลังผมได้ยังไง แถมพอหันหลังกลับมาสบตาใครอีกคนที่ตอนมีสติดีก็ชอบทำหน้านิ่งๆอยู่แล้ว พอมาตอนเมาหน้าพี่เขายิ่งนิ่งแล้วก็…ดูน่ากลัวกว่าเดิมอีก
“พี่ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมยิ้มแห้งๆฝืนถามออกไปเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวของตัวเอง ทั้งๆที่ในใจตอนนี้รู้สึกแปลกๆแล้วก็กลัวมากๆด้วย
“…” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีแต่ความเงียบและในหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม
“พี่ศรจะไปอาบน้ำเลยไหมครับ ถ้างั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวพี่ค่อยไปอาบน้ำต่อ” พูดจบผมรู้ตัวเลยว่าไม่ควรอยู่ยืนอยู่หน้าพี่ศรในสภาพที่ไม่ใส่เสื้อแบบนี้เด็ดขาด ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำตอนนี้คือการรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำให้เร็วที่สุด
ปึก!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่เลย สาบานได้เลยว่าผมแค่เบี่ยงตัวหันและทำท่าจะเดินแค่นั้น วงแขนยาวของพี่ศรก็ยื่นออกมาค้ำยันกับตู้เสื้อผ้าจนเสียงดัง วงแขนแกร่งนั้นปิดกั้นทางเดินของผมไว้จนหมด กลายเป็นว่าตอนนี้ตัวผมอยู่ใต้วงแขนของพี่ศรไปซะ
ใจเต้นแรงมากๆเลย ตัวกับแขนและขาก็พร้อมใจกันมาสั่นอะไรตอนนี้เนี่ย โอ้ย!
“พะ…พี่ศร” พี่ศรจ้องหน้าผมนิ่งแถมตอนนี้ยังโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปหมด
“เหม็นเหรอ” พี่ศรถามเสียงเรียบ คงเพราะเห็นว่าผมยกมือขึ้นปิดจมูก แต่ผมก็ไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่เบี่ยงหน้าหลบและยกมือปิดจมูกไว้เหมือนเดิม
หมับ!
“กูถามว่ามึงเหม็นเหรอ!” พี่ศรตวาดเสียงดังกว่าเดิมหลายเท่าเหมือนจะไม่พอใจ แถมตอนนี้ใครอีกคนจับข้อมือผมแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมดเลย
“มะ…ไม่ครับ” ผมตอบออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่กล้าบอกความจริงเพราะตอนนี้พี่ศรน่ะดูหงุดหงิดมากๆเลย ผมได้จ้องมองหน้าอีกคนอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ที่พี่ศรเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะกำลังเมาหรือว่าเพราะอะไรกันแน่
“พะ…พี่ศร ถ้าพี่เมาแล้วพี่จะ…อื้อ!” ผมเบิกตากว้าด้วยความตกใจ ไม่ทันได้พูดจบพี่ศรก็ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด เขา…เขาจูบผม!
ใช่ตอนนี้ใครอีกคนกำลังจูบปากผมอยู่ ผมพยายามออกแรงดันหน้าอกของอีกคนให้ออกห่าง แต่เหมือนจะสู้แรงของพี่ศรไม่ได้เลย ก็ใช่นะสิแค่ขนาดตัวก็ต่างกันแล้วแถมตอนนี้พี่ศรก็หยุดการต่อต้านของผมด้วยการจับเข้าที่ข้อมือทั้งสองข้างเป็นการปิดระบบป้องกันตัวของผมอย่างสิ้นเชิง
“อื้อ…อือ” ผมพยายามส่งเสียงร้องห้าม แต่เหมือนพี่ศรจะไม่ฟังผมเลย พี่เขายังคงครอบครองริมฝีปากผมอย่างไม่หยุดยั้ง ผมพยายามเม้มปากก็ทำไม่ได้เพราะเหมือนจะถูกพี่ศรควบคุมทุกอย่างไว้หมดแล้ว
“อืออ!” จนกระทั่งผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองจะขาดอากาศหายใจไปซะให้ได้ ก็เลยต้องร้องในลำคอเป็นการประท้วงและขอความเมตตาจากใครอีกคนที่ยังไม่ยอมปล่อยทั้งปากและตัวผมให้เป็นอิสระ
“ฮะ…ฮะ!” ต้องขอบคุณพีศรที่พอจะมีความใจดีเหลือให้ผมอยู่บ้าง พี่ศรถอนริมฝีปากของเขาออกไปแล้ว ผมรีบใช้โอกาสนี้หอบเอาอากาศเข้าไปเติมในปอดของตัวเองให้ได้มากที่สุด เกิดมากผมยังไม่เคยจูบกับใครเลยนะ! ไม่คิดว่ามันจะรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจตายแบบนี้
“พี่ศร พี่ทำอะไรของพี่…อื้อออ!” พี่ศรก้มหน้าลงมาจะจูบผมอีกแล้ว คราวนี้ผมเบี่ยงหน้าหลบแต่ยังไม่สามารถขืนตัวออกไปไหนได้ ยังคงถูกพี่ศรจับข้อมือตรึงไว้อยู่เหมือนเดิม สายตาผมตอนนี้เห็นแค่กลุ่มผมดำของใครอีกคนก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นร้อนตรงซอกคอ
“พี่ศรอย่า!”
“โอ้ย!” จังหวะนั้นผมสบโอกาสก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเตะเข้าที่ตรงกลางหว่างขาของพี่ศรเต็มแรง ถึงผมจะตัวเล็กกว่าพี่ศรมากก็จริง แต่นักวิ่งอย่างผมนะช่วงขาแข็งแรงนะจะบอกให้ แต่มาถึงตอนนี้พอเห็นพี่ศรยืมกุมเอ่อ…ตรงนั้นของตัวเองด้วยความเจ็บปวดแล้วก็อดสงสารไม่ได้
“ผมขอโทษครับ เอ่อ…วันนี้พี่คงศรเมามาก ถ้าอย่างนั้นผม…ผมไปอยู่ที่อื่นก่อนดีกว่านะครับ เหวอ!”
ผมถูกพี่ศรเหวี่ยงลงบนเตียงอีกครั้ง แทบจะทันทีที่หลังผมสัมผัสลงบนเตียงพี่ศรก็ขึ้นมาคร่อมเหนือร่างของผมไว้จนหมดทางหนี พวกเราสองคนสบตากันนิ่งอีกครั้ง
ทำไม…ทั้งๆที่ผมออกแรงเตะ…ตรงนั้นไปเต็มแรงแล้วแท้ๆ เมื้อกี้พี่ศรก็ดูเจ็บมากๆเลย แต่ทำไมถึงยังมีแรงมาทำแบบนี้กับผมได้อีก แถมแววตาและสีหน้าของพี่ศรตอนนี้ยังน่ากลัวกว่าเดิมซะอีก
“อือออ!” และสิ่งที่ตามหลังจากนั้นคือการที่พี่ศรประกบปากจูบลงมาอีกครั้งคราวนี้ผมพยายามดิ้นสุดแรงเกิด จนพี่ศรต้องยอมละมืออีกข้างที่จับล็อคข้อมือผมไว้ออกแล้วเปลี่ยนมาจับคางผมไว้ไม่ให้ดินหนีริมฝีปากอุ่นของพี่ศรที่ไล่รุกจูบปากผมอยู่อย่างไม่ยอมแพ้
แต่การที่พี่ศรยอมละมือที่จับล็อคข้อมือผมไว้ข้างหนึ่งออกมันเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ผมมีช่องทางการเอาตัวรอดมากขึ้น สายตาผมเหลือบไปเห็นของที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างๆหัวเตียง ในขณะที่พี่ศรไม่ทันได้สังเกตหรือระวังอะไรผมรีบคว้าเอาหนังสือเล่มหนาที่วางไว้แล้วฟาดลงบนหัวของพี่ศรเต็มแรง
“โอ้ย!” พี่ศรร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวด ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองตรงที่โดนผมฟาดเข้าเต็มแรงเมื่อกี้
“…”
“มึง!” พี่ศรตอนนี้ดูโมโหมากขึ้นไปอีกหลายเท่าเลย เขาหันหน้ามาจ้องตาผมด้วยสายตาที่น่ากลัวมากๆ มากจนผมคิดว่าถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างผมต้อง…เสร็จพี่ศรแน่ๆเลย
ผลัวะ!
“โอ้ย!” ในแทบจะทันทีที่พี่ศรพี่ศรทำท่าเหมือนจะกระโจนเข้าหาตัวผมอีกครั้ง ไวแทบจะเท่ากับความคิดคือมือของผมเองจัดการกระหน่ำฟาดหนังสือในมือใส่พี่ศรไม่ยั้งจนใครอีกคนกระเด็นตกลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆเตียง ผมหยุดนิ่งรวบรวมสติก่อนจะค่อยๆชะโงกหน้าดู
“ตายหรือเปล่าวะ” หรือว่าผมจะทำอะไรรุนแรงไปนะ แต่จะโทษผมก็ไม่ได้นะก็พี่ศรนั้นแหละอยากจะมาทำตัว…หื่นใสผมทำไมกันเล่า ถึงจะเป็นคนที่ชอบก็เถอะ แต่ผมกับพี่ศรก็ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย จะมาทำแบบนั้นกับผมได้ยังไง
ผมกระโจนตัวออกมายืนอยู่อีกด้านของเตียงในมือคงยังถือหนังสือเล่มเดิมไว้แน่น ยืนตั้งหลักอยู่สักพักจนมั่นใจว่าพี่ศรคงไม่ตื่นขึ้นมาทำอะไรผมอีกแล้วจึงค่อยๆย่องเข้าไปอีกด้านของเตียง เห็นพี่ศรนอนอยู่ในท่าคว่ำหน้าไม่ไหวติง ผมค่อยๆยื่นมือเข้าไปจ่อตรงจมูกเพื่อตรวจลมหายใจ จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันต้องทำกันยังไง เคยเห็นแต่ในทีวีเขาทำกันก็เลยทำตามเขาดู
“อุ่นๆแฮะ” แต่พอจ่อเข้าตรงจมูกของพี่ศรจริงๆก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่กระทบเข้ากับนิ้วผมพอดี ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะเผลอพลั้งมือทำพี่ศรตายไปซะแล้ว
แต่ยังไงก็วางใจไม่ได้หรอก ขนาดตอนแรกคิดว่าพี่ศรจะเมาหลับไปแล้วยังลุกขึ้นมาทำเรื่องแบบนี้ได้เลย คราวนี้ผมจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงเก้าอี้ตัวที่พี่ศรใช้อ่านหนังสือทุกวันนี้แหละ จะถือหนังสือเล่มเดิมอยู่ในมือด้วย พี่ศรลองตื่นขึ้นมาทำตัวรุ่มร่ามแบบนั้นอีกสิ ไอ้ปุณย์คนนี้จะตีให้น่วมเลยคอยดู
-
12th Shoot
เด็กเลี้ยงแกะที่โกหกไม่เก่ง
พี่ศร’s Part
“อ๊า…” อาการเจ็บที่ลำคอและอาการปวดเมื่อยไปทั่วทั่งตัวเข้าจู่โจมผมทันทีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ผมต้องค้างอยู่ในท่าเดิมอยู่นานกว่าจะเริ่มขยับตัวเป็นปกติได้ เมื่อคืนนี้ผมจำได้แค่ว่ากลับมาที่ห้องกับไอ้เด็กปุณย์แล้วเผลอหลับไป หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย มารู้ตัวอีกทีก็ตื่นมาพร้อมกับอาการปวดเมื่อยและเจ็บไปหมดทั้งตัวแบบนี้ แถมยัง…ลงมานอนอยู่ข้างๆเตียงแบบนี้อีก
พอเริ่มตั้งหลักประคองตัวให้ลุกขึ้นยืนได้สายตาผมก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กของใครอีกคนที่กำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ที่ผมใช้อ่านหนังสือเป็นประจำ
“หลับไปได้ยังไงเนี่ยหา?” ผมค่อยๆลุกขึ้น ลองเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เด็กนี่ปกติก็ชอบทำตัวแปลกๆไม่เหมือนใครอยู่แล้ว นี่ยังจะมานั่งหลับบนเก้าอี้ทั่งๆที่มืออีกข้างยังถือหนังสือเอาไว้แบบนี้เนี่ยนะ ชักจะเก่งในเรื่องแปลกๆมากไปแล้วนะไอ้เด็กเตี้ย
“เตี้ย!” ตัดสินใจสะกิดแขนปลุกอีกคนให้ตื่น ขืนปล่อยในนั่งหลับท่านี้นานๆตื่นขึ้นมาเด็กนี่ต้องปวดคอแน่ๆ
“…”
“ไอ้เด็กเตี้ย” เมื่อเรียกครั้งแรกแล้วอีกคนยังไม่ตื่นผมเลยออกแรงสะกิดอีกครั้งแรงขึ้นกว่าเดิม
“เฮ้ย!”
“อย่านะ! ผมสู้พี่จริงๆนะ” ผมเบี่ยงตัวหลบเกือบไม่ทัน ไอ้เด็กปุณย์ที่รู้สึกตัวขึ้นก็โว้ยวายเหวี่ยงหนังสือที่ตัวเองถืออยู่ไปมาไม่หยุด
“เฮ้ย! มึงเป็นอะไร นี่กูเอง”
“พะ…พี่ศรเหรอครับ” อีกคนค่อยๆชะงักหยุดแล้วช้อนสายตามองมาทางผม
“ก็เออสิวะ ทั้งห้องก็อยู่กันแค่สองคน ไม่ใช่กูแล้วจะเป็นใคร”
“…” อีกฝ่ายมีท่าทีสลดลงอย่างเถียงไม่ได้ แต่ที่น่าแปลกใจทำไมเด็กนี่ถึงทำหน้าเหมือนกลัวอะไรสักอย่างแถมยังกำหนังสือในมือไว้แน่นอย่างระวังตัวอีก
“ทำไมต้องทำท่าทางแบบนั้น มึงกลัวอะไร”
“ปะ…เปล่าครับ” อีกคนปฏิเสธ เปล่าที่ไหน ยังมีหน้ามาบอกว่าเปล่าอีก อีกคนจะรู้ไหมว่าท่าทางของตัวเองตอนนี้น่ะโคตรจะมีพิรุธเลย
“ไหนมานี่สิ” ทั้งๆที่ตื่นมาก็เห็นว่ากำลังหลับสบายอยู่แท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้ขอบตาของไอ้เด็กเตี้ยนี่ถึงได้ดูคล้ำจัง ทำอย่างกับว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนหรือนอนน้อยมาอย่างนั้นแหละ
“พี่จะทำอะไร” แต่พอผมยื่นมือจะไปจับขอบตาของอีกคนดู ไอ้เด็กเตี้ยก็ปัดมือผมในแทบจะทันทีแถมท่าทางตื่นกลัวของอีกคนยังทำให้ผมต้องขมวดคิ้วอีกด้วย
หรือว่าเมื่อคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น…
“ไอ้เด็กเตี้ย” จนสุดท้ายผมตัดสินใจเอ่ยถาม
“คะ…ครับ”
“กูถามจริงๆนะ เมื่อคืนนี้มีอะไรเกิดขึ้นไหม”
“พะ…พี่หมายความว่ายังไง” พูดติดอ่างแบบนี้โคตรมีพิรุธเลย
“กูก็หมายถึง…เมื่อคืนมันไม่ได้เกิดเรื่องอะไรที่…ไม่ดีใช่ไหม”
“มะ…ไม่มีนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วกูมานอนอยู่ข้างล่างนี่ได้ยังไง”
“คือ…พี่เมาหลับไปแล้วผมแบกพี่ขึ้นเตียงไม่ไหวน่ะครับ ก็เลยต้องปล่อยให้พี่นอนอยู่ตรงนั้น ขอโทษนะครับ”
“เออ ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่แล้วทำไมตามึงคล้ำจัง เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ จริงสิ!แล้วทำไมมึงไม่ไปนอนที่เตียงมานอนตรงนี้ทำไม”
“เอ่อ…คือผม คือว่า…ผมนอนไม่หลับน่ะครับ ผมก็เลย…ผมก็เลยมานั่งเล่นแล้วก็เผลอกลับไป”
หึ! พูดติดๆขัดๆ ไม่ยอมสบสายตา แถมยังทำท่าร้อนรนแบบนี้ดูก็รู้ว่ากำลังโกหกอยู่ แล้วก็เป็นการโกหกที่ไม่เนียนเอาซะด้วย คิดจะทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ แต่ดันซื่อบื้อโกหกไม่เก่งเอาซะเลย
ผมเปลี่ยนจุดสนใจลองที่จะมองไปที่ใครอีกคน รอยแดงบนคอกับปากที่มีอาการบวมเจ่อผิดปกติมันก็ทำให้ผมพอจะรู้ว่าเมื่อคืนมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ก็คงจะดีกว่าถ้าจะเลือกที่จะไม่พูดออกไป ดูก็รู้ว่าไอ้เด็กเตี้ยนี่ไม่ได้ต้องการจะให้ผมรู้ว่าเมื่อคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นก็คงไม่พยายามโกหกแบบนี้หรอก
เหอะ! ทั้งๆที่พยายามจะโกหกอยู่แท้ๆ แต่ร่างกายนี่โคตรจะมีพิรุธเลย ไอ้เด็กเลี้ยงแกะอ่อนหัดเอ้ย!
“แสดงว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆนะ กูคงไม่ได้จู…”
“ไม่มีครับไม่มี! ไม่มีเรื่องผิดปกติอะไรทั้งนั้นครับ ก็เราสองคนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นี่ครับจะมีเรื่องผิดปกติได้ยังไง จริงไหมครับ ฮ่าๆ” ผมยังไม่ทันได้พูดจบเด็กนี่ก็ร้องเสียงดังแทรกขึ้นมาก่อน พูดจบเด็กนี่ก็หัวเราะแห้งๆออกมาพยายามจะทำให้เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องตลก จะรู้บ้างไหมว่าตัวเองน่ะปล่อยไก่ออกมากี่ตัวแล้ว แต่ก็นั้นแหละนะ ในเมื่อยิ่งถามอีกคนก็ยิ่งปล่อยพิรุธออกมาแบบนี้ งั้นลองแกล้งทำเป็นไม่รู้ถามต่อหน่อยแล้วกัน ดูสิว่าจะทำยังไง
“จริงสินะ เราเป็นผู้ชายกันทั้งคู่นี่เนอะ ถ้าเผลอจูบกันก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง กูก็เมาแถมมึงก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูหรอกจริงไหม”
“ระ…รู้สึกเหรอครับ”
“อืม รู้สึกชอบไง มึงคงไม่ได้ชอบกูหรอกจริงไหม”
“ผม…”
หึ! แล้วไอ้เด็กเตี้ยก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบผมอย่างที่คิดไว้จริงๆ แต่ก็นั้นแหละ มันก็เป็นการปฏิเสธแบบเด๋อๆที่เต็มไปด้วยพิรุธอย่างเคยนั้นแหละ ไม่ชอบอะไรกันก็เขียนใส่สมุดบันทึกไว้ชัดเจนซะขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ อยากจะรู้นักว่าถ้าผมบอกว่าได้อ่านสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วอีกคนจะทำหน้ายังไง แถมเมื่อกี้ลองที่จะพูดเรื่องจูบออกไป เด็กนี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพราะมัวแต่ห่วงเรื่องชอบที่ผมใช้เบี่ยงประเด็น
แสดงว่าเมื่อคืนผมคงจะเผลอ…จูบมันไปแล้วจริงๆสินะ
จนสุดท้ายได้แกล้งจนเห็นว่าใครอีกคนหน้าแดงจนขึ้นสีแบบนี้รู้สึกอารมณ์ดีชะมัดเลย แค่นี้ผมก็พอจะเดาออกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ก็อีกคนเล่นเผยพิรุธออกมาจนหมดเปลือกแบบนั้น ปล่อยไก่ออกมาจนเต็มห้องแล้วมั้ง ถึงแม้ใครอีกคนจะคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่โกหกเก่งก็เถอะ
จะเสียดายก็แค่…เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนผมเมาจนจำอะไรไม่ได้แค่นั้น
พิรุธของไอ้เด็กเตี้ยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งออกจากห้องมาใครอีกคนก็ไม่ยอมสบสายตาผมตอนคุยกันอีกเลย แถมจากเด็กที่พูดเก่งเป็นที่สุดตอนนี้กลายเป็นคนที่ถามคำตอบถามไปซะแล้ว
เฮ้อ! คิดดูดีๆผมก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ถึงเจ้าเด็กเตี้ยนี่จะชอบทำตัวว่าเข็มแข็งกว่าใครก็ตาม แต่ลึกๆแล้วทำไมผมจะไม่รู้ว่าใครอีกคนก็เป็นแค่เด็กอ่อนต่อโลกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนแบบนี้จะเป็นคนที่ตัดสินใจมาเรียนที่นี่คนเดียวเพียงเพื่อแค่จะมาเห็นผมยิงธนูได้ยังไงกันนะ หรือว่าเมื่อคืนนี้ผมจะทำอะไรที่มันมากกว่าจูบหรือเปล่าเด็กนี่ถึงได้ดูแปลกๆไป
ไม่สิวะ! คงไม่มีอะไรอย่างที่คิดเกิดขึ้นหรอกมั้ง เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ยังไงผมก็ต้องจำได้บ้างแหละ
หมับ!
“เหวอ!” แต่ยังไม่ได้เอ่ยถาม ไอ้เด็กปุณย์ที่มัวแต่เหม่อจนไม่ทันระวังว่างทางเดินข้างหน้ามันเป็นฟุตบาทต่างระดับ สุดท้ายก็เดินสะดุดเข้าให้จนได้ ถ้าผมไม่จับแขนดึงตัวเอาไว้ก่อนคงได้ล้มลงไปนอนกับพื้นแล้ว
“ระวังหน่อยสิวะ” ผมเผลอร้องเอ็ดอีกคนเสียงดังอย่างลืมตัว จนเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกคนที่กำลังตื่นกลัวก็รู้สึกผิดที่เสียงดังออกใส่ทันที
“เดินยังไงไม่ดูทาง” ผมเลยเปลี่ยนมาถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติขึ้นกว่าเดิม
“ขอโทษครับ” อีกคนพูด แต่ก็ยังหลบสายตาผมเหมือนเดิม อาการเดิมที่เป็นตั้งแต่ที่ผมตื่นมาเจอมันตอนเช้า ตอนแรกผมก็ไม่คิดอะไร แต่ดูเหมือนอาการของเด็กนี่จะปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องตกอยู่ในบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ไปตลอด
“มึงเป็นอะไร” ผมจับไหล่อีกคนให้กระชับแน่นก่อนที่จะถามคำถามนั้นออกไป
“เปล่าครับ” อีกคนตอบกลับมาเสียงเบา ยังคงก้มหน้าหลบสายตาเหมือนเดิม
“เรื่องเมื่อคืน…” มาถึงตอนนี้ผมกลับลังเลที่จะพูดออกไป ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น ร่องรอยที่เหลืออยู่บนตัวของอีกคนกับสีหน้า ท่าทางตื่นกลัวแบบนี้ผมก็พอจะเดาออก แต่สิ่งที่รบกวนความคิดผมอยู่ตอนนี้คือผมกลัว...กลัวว่าผมจะทำอะไรมากกว่านั้น ที่กลัวไม่ใช่เพราะผมจะต้องรับผิดชอบหรือมีภาระอะไร แต่กลัวเพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆผมคงจะรู้สึกผิดมากที่เมาจนไม่รู้เรื่องแล้วทำแบบนั้นลงไป
“…”
“เรื่องเมื่อคืน...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น กูหมายถึง...ถ้ามีอะไรที่กูต้องรับผิดชอบ มึง...มึงบอกกูได้นะ กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้ กูชอบมึงที่เป็นแบบเดิมมากกว่า ”
“คือผม…”
“กูจะถามมึงอีกครั้งนะ จะบอกกูได้ไหมว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” ผมจับเข้าที่แก้มของอีกคนเบาๆ ประคองใบหน้าเล็กให้เงยขึ้นสบตา ก่อนที่จะค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆจนสบตากัน
“ว่าไง” ผมเอ่ยคำถามอีกครั้ง
แต่ถึงจะถามออกไปแบบนั้น สิ่งที่ได้กลับมาก็คือการที่อีกคนส่ายหน้าแทนคำตอบเท่านั้น ดื้อและปากแข็งจริงๆเลยเด็กคนนี้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็คงจะไม่อยากบอกจริงๆสินะ
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆครับ”
“จริงนะ”
“จะ...จริงคับ แล้วพี่จะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำไมเล่า”
“โอ๊ย!” ผมร้องออกมาเพราะเจ้าเด็กเลี้ยงแกะที่โกหกไม่เก่งนี้ออกแรงผลักตัวผมซะเต็มแรงเลย
“ผมขอโทษ พี่เป็นอะไรไหม”
“ก็เจ็บน่ะสิถามได้ ยังเจ็บแขนจากตอนที่ยิงธนูไม่หายแถมเมื่อเช้าตื่นมายังรู้สึกปวดตามตัวอีก”
“….”
“เป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เปล่าครับ พี่...พี่เจ็บมากไหม”
“ก็ไม่มากเท่าไหร่ สงสัยเป็นมาตั้งแต่วันที่ยิงธนูนั้นแหละ ไม่ได้ยิงธนูนานๆแล้วกลับมายิงอีกที กล้ามเนื้อมันยังไม่เข้าที่ แบบนี้แหละอีกหน่อยถ้ายิงบ่อยๆก็ดีขึ้น”
“ผม...”
“ทำไมต้องทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดแบบนั้นด้วยวะ เรื่องแบบนี้กับนักกีฬามันก็เป็นปกติไหม ไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นก็ได้ กูไม่เป็นอะไรหรอก” ว่าจบผมยื่นมือไปลูบหัวอีกคนอย่างปลอบโยน ตอนนี้เด็กนี่ทำหน้ารู้สึกผิดเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว
“ถ้าพี่ไม่ไหวก็บอกผมนะครับ ผมจะพาพี่ไปหาหมอเอง”
“เออ เอาไว้ไม่ไหวแล้วกูจะบอกแล้วกัน ว่าแต่มึงตอนนี้ห่วงตัวเองก่อนไหม เป็นอะไรตั้งแต่เช้าซึมยังกับลูกหมา”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“อืม...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้างั้นก็กลับมาเป็นแบบเดิมได้แล้ว ซึ้มๆแบบนี้กูไม่ค่อยชิน เป็นแบบเดิมที่เคยเป็นนั้นแหละดีแล้ว”
“ผมที่เป็นแบบเดิม? แบบไหนเหรอครับ”
“ก็แบบที่เป็นเด็กเตี้ยพูดมาก แถมยังทำอะไรวุ่นวายอยู่ตลอดไง”
“พี่ศร! ผมมีชื่อนะครับ ทำไมชอบเรียกเตี้ยจังเลย” อีกฝ่ายพูดไปพลางทำท่ายู่จมูกไม่ชอบใจ บอกว่าตัวเองทำตัววุ่นวายไม่ว่าแต่ไม่ชอบใจที่ถูกเรียกว่าเตี้ยสินะ
“ก็มึงนะมันเตี้ยจริงๆนี่” ผมยื่นมือออกไปจับหัวอีกคนอย่างอดไม่ได้ ลองดูดีๆแล้วตัวเล็กๆผอมของมันยิ่งทำให้มันดูเตี้ยจริงๆนั้นแหละ
“ผมเตี้ยกว่าพี่ก็จริง แต่สำหรับคนอื่นผมก็ปกตินั้นแหละ”
“มึงจะหาว่าสูงเกินคนอื่นเอง ว่างั้น?”
“ก็...” ไอ้เด็กเตี้ยทำสีหน้าเลิกลักไม่กล้าตอบ มองดูแล้วตลกชะมัด
“กูไม่ได้เรียกเพราะจะว่าหรือดูถูกส่วนสูงอะไรของมึงหรอกนะ ก็กูไม่รู้จะเรียกว่าอะไรมึงว่าอะไรนี่หว่า ถ้าเรียกชื่อมึงดีๆมันก็ไม่สนิทใจ ให้กูเรียกเตี้ยแบบเดิมนั้นแหละดีแล้ว เพราะยังไงก็เรียกแค่มึงคนเดียว”
“…”
“หึ! ทำหน้าเอ๋ออีกแล้ว หรือจะให้เรียกไอ้เอ๋อดี”
“ไม่ๆ ไม่เอานะพี่ เรียกอะไรก็ได้แต่ไม่เอาเอ๋อ”
“ทำไมละ?”
“ก็ผมไม่ได้เอ๋อสักหน่อย” อีกคนพูดด้วยสีน้ามุ่งมั่น ทำตาโตใส่อีกด้วย คงจะไม่ได้รู้ตัวเลยละมั้งว่าตัวเองนะเหมือนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เลยแหละ ไอ้ความเอ๋อเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่ออีกคนอยากจะคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นแบบนั้นผมก็จะยอมตามใจให้หน่อยแล้วกัน แถมตอนนี้ยังทำหน้ามุ่ยแบบกวนๆซะด้วย เรื่องเมื่อคืนที่ทำให้ซึมๆไปน่ะ คงลืมไปแล้วสินะ
“โอเคๆ ไม่เอ๋อก็ไม่เอ๋อ แต่เรื่องเตี้ยน่ะคงปฏิเสธไม่ได้นะ ก็หลักฐานมันฟ้องซะขนาดนี้” พูดจบผมปรายตามองอีกคนเป็นเชิงขบขัน
“พี่ศร!”
“เสียงดังแบบนี้แสดงว่ากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วละสิ”
“ก็พี่นั้นแหละแกล้งผม” อีกคนยังยู่หน้าทำท่าไม่พอใจไม่เลิก
“แกล้งอะไรก็พูดความจริงทั้งนั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยเหอะ”
ผมได้แต่ยืนมองคนที่กำลังพยายามอธิบายว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเอ๋ออยู่ตรงหน้า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเผลอฉีกรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัวออกมา จะว่าไปผมเองก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกมีความสุขกับเสียงพูดที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยของอีกคน มีความสุขกับสีหน้าที่จริงจังกับทุกเรื่องที่ตัวเองกำลังพูดถึงอยู่ แถมยังโคตรจะรู้สึกผิดเลยที่เผลอไปทำเรื่องอะไรแบบนั้นกับอีกคนเมื่อคืนนี้ ถ้าเกิดเด็กนี่โกรธและเกลียดผมขึ้นมาจริงๆผมคงจะรู้สึกแย่มากๆ
ลึกๆแล้วใจจริงผมอยากรับผิดชอบ อยากขอโทษที่ทำแบบนั้น แต่ในเมื่ออีกคนยังยืนยันคำเดิมว่าเมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น นั้นก็หมายความว่าไอ้เด็กปุณย์มันไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้อีก ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็จะทำตาม ผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรไปก่อนแล้วกัน เพราะยังไงการที่มีไอ้เจ้าเด็กเลี้ยงแกะที่โกหกไม่เก่งในเวอร์ชั่นร่าเริงอยู่ข้างๆ มันก็ดีกว่าเวอร์ชั่นที่ชอบทำหน้าซึมแบบเมื่อเช้านี้แล้วกัน
และถ้าวันนึงอีกคนจะให้ผมรับผิดชอบ ผมก็ยินดี
_______________________________
เอ๋? พี่ศรอยากรับผิดชอบน้องแบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วแหละ อิอิ
#รักตรงเป้า
-
13th Shoot
จงเต็มที่กับการแอบรัก
น้องปุณย์’s Part
หลายวันต่อมา
“วันนี้ไอ้แทนให้ไปเจอมันที่ไหน”
“สนามกีฬาครับ พี่แทนบอกให้เราไปเจอพี่เขาที่นั้นเลย”
“แล้วไอ้แทนมันเตะบอลแบบนั้นจะมาเจอเราได้ยังไง”
จริงสิ! วันนี้พี่แทนบอกผมแค่ว่าจะมีเตะบอลตอนเย็น ถ้าเลิกเรียนแล้วไปเชียร์เขาหน่อย พี่แทนบอกแค่ว่าเจอกันที่สนามกีฬาแต่ไม่ได้บอกเลยว่าจะเจอกันยังไง พอพี่ศรพูดมาแบบนี้ผมถึงคิดได้ว่าตัวเองก็ลืมถามพี่แทนไปซะสนิทเลย
“แหะๆ ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“มึงนี่นะ ไหนบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนเอ๋อไง”
“ก็ไม่ได้เอ๋อจริงๆนี่น่า แต่อันนี้คือมันลืมไงครับ ก็แค่ลืมถามพี่แทนแค่นี้เอง”
“เออๆ กูยอมแล้วก็ได้ เถียงยังไงมึงก็ไม่ยอมแพ้หรอก”
“โอ้ย! แล้วพี่จะดีดหน้าผากผมทำไมเนี่ย” นิ้วนักกีฬายิงธนูนี่แข็งแรงชะมัดเลย พี่ศรออกแรงดีดแค่นิดเดียวผมก็รู้สึกแสบที่หน้าผากจนต้องยกมือขึ้นถูรัวๆ
“ก็โทษฐานที่ชวนกูมาแต่ไม่รู้ว่าจะไปเจอไอ้แทนมันที่ไหนไง”
“อะไรเล่า! อย่างน้อยๆผมก็รู้แล้วนะว่าต้องไปเจอพี่แทนที่สนามกีฬาอ่ะ”
“เหรอ!”
“...” ทำไมจะต้องทำเสียงเหมือนประชดด้วยก็ไม่รู้ คนแค่ผิดพลาดนิดเดียวเองนะ ก็รู้แล้วไงว่าต้องไปเจอพี่แทนที่สนามกีฬา แต่แค่ไม่รู้ว่าตรงไหนแค่นั้นเอง...
แต่จะยังไงก็เถอะ พี่ศรนะพี่ศร คนอุตส่าห์ชวนมาด้วยเพราะเห็นว่าพี่ศรน่าจะสนิทกับพี่แทนได้ง่ายที่สุด แล้วพอสนิทกับพี่แทนมากๆก็จะมีเพื่อนเยอะขึ้นเพราะพี่แทนน่ะมีเพื่อนแทบจะทุกคณะในรัศมีสิบกิโลเมตรแล้วมั้ง คนอุตส่าห์หวังดีด้วยแท้ๆยังจะมาว่าอีก แถมยังมาดีดหน้าผากผมจนเจ็บไปหมด เป็นรอยแดงหมดแล้วมั้งเนี่ย!
“ยืนรออะไรอยู่ละ จะไปไหมสนามกีฬา” พี่ศรที่เดินนำผมไปไกลแล้วหันมาตะโกนบอก เดินเร็วชะมัดเลยเผลอหยุดคิดอะไรเพลินๆแป๊บเดียวเองไปถึงโน้นแล้ว
“ครับ! จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
พี่แทนบอกว่าวันนี้พี่แทนมีแข่งฟุตบอลกับพวกปีหนึ่ง เห็นว่าใกล้จะถึงกีฬาเฟรชชี่แล้วจะให้คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาแบบพวกเราจะแพ้ไม่ได้ ก็เลยต้องติวเข้มให้น้องๆปีหนึ่งอย่างเต็มที่ การแข่งขันฟุตบอลวันนี้ก็เลยเป็นทีมของปีหนึ่งที่จะต้องไปแข่งกีฬาเฟรชชี่กับปีสองที่ทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมให้แข่งด้วยกัน ดูจากท่าทางของพี่แทนตอนเล่าให้ผมฟังแล้วมันดูเป็นเรื่องใหญ่และจริงจังมากๆเลย
“แล้วพี่ศรไม่ไปสอนน้องปีหนึ่งยิงธนูเหรอครับ”
“แล้วทำไมกูจะต้องไปสอนด้วยล่ะ”
“ก็ที่เรามาดูพี่แทนวันนี้พี่แทนเขาซ้อมแข่งจริงกับพวกปีหนึ่งนะครับ ผมเห็นพี่แทนน่ะเต็มที่มากๆเลย ยังไงกีฬาฟุตบอลปีนี้คณะเราก็ต้องชนะแน่ๆ ผมก็นึกว่าพี่จะไปสอนปีหนึ่งยิงธนูเหมือนกันซะอีก”
“ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบอยู่กับเด็กๆน่าเบื่อ อีกอย่างกูพึ่งจะกลับมายิงธนูได้ไม่กี่วันเองสอนไปเด็กมันก็แพ้เปล่าๆ”
“พี่ต้องลองเปิดใจบ้างนะ อยู่กับเด็กไม่เห็นจะน่าเบื่อตรงไหน ก็แค่ห่างกันปีเดียวเองไม่ใช่เด็กจนถึงขนาดคุยไม่รู้เรื่องสักหน่อย” แน่ละสิ ก็พี่ศรน่ะชอบทำตัวขรึมๆเงียบๆ ทำหน้าโหดใส่คนอื่นตลอดแล้วใครมันจะไปกล้าเข้าใกล้พี่กันละ
“แค่เด็กแบบมึงคนเดียวก็ปวดหัวจะแย่”
“ใจร้าย” ผมว่าค้อนเข้าให้ แต่พี่ศรกลับเอาแต่ยิ้มมุมปากกลับมาก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับทีมฟุตบอลที่กำลังแข่งอยู่ในสนามกันต่อ
ผมลองกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนนี้ที่สนามกีฬามีคนมาเชียร์เยอะมากๆเลย คงเพราะวันนี้ในทีมของพี่แทนมีนักฟุตบอลมหา’ลัยมาเตะกันหลายคนด้วยละมั้ง วันนี้ก็เลยมีสาวๆมาเชียร์เยอะเป็นพิเศษ นี่ขนาดแค่แข่งแบบซ้อมกันเองในคณะนะยังขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเป็นการแข่งกันกันในสนามจริงๆมันจะขนาดไหน
“นั้นไงไอ้แทน”
“ไหนครับ” ผมมองไปตามทางที่พี่ศรชี้ไปก็พบเข้ากับพี่แทนที่กำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่กับตัว “พี่แทนสู้ๆ” ไม่รอช้าผมรีบตะโกนเชียร์พี่แทนเต็มที่เลย ตอนนี้พี่แทนน่ะเท่มากๆเลย เวลาเตะบอลแล้วพี่แทนเปลี่ยนเป็นคนละคนกับเวอร์ชั่นปกติเลย ท่วงท่าและลีลาตอนพี่แทนกำลังเลี้ยงลูกฟุตบอลหลบคู่แข่งมันดูเท่มากๆ เหมือนร่างกายพี่เขาเกิดมาเพื่อคู่กับลูกฟุตบอลเลย ไม่แปลกที่ทุกคนรอบสนามจะส่งเสียงเชียร์ดังสนั่นแบบนี้ รวมทั้งผมด้วย
“พี่แทนเท่มากๆเลย พี่ว่าไหม” ผมหันไปถามพี่ศรอย่างลืมตัว แต่ก็ต้องชะงักที่อีกคนขมวดคิ้วทำหน้านิ่งใส่ แต่ถึงอยางนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรสุดท้ายก็หันกลับไปตะโกนเชียร์พี่แทนอย่างเดิม
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เหมือนตอนนี้ในสนามจะพักครึ่งกันแล้ว นักฟุตบอลของทั้งสองทีมกำลังเดินเข้าไปนั่งพักและฟังคำแนะนำจากโค้ช
“พี่แทน!” ทันทีที่ผมเห็นพี่แทนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ผมรีบวิ่งไปเกาะราวกั้นของสแตนก่อนจะตะโกนเรียกอีกคนให้หันมามอง ผมยกมือขึ้นโบกให้อีกฝ่ายและจนเมื่อพี่แทนชี้ไปที่บันไดทางลงไปยังสนามเป็นเชิงบอกว่าให้ไปเจอกันตรงนั้นผมถึงได้วิ่งกลับมาที่นั่งของตัวเอง
“ไปกันครับพี่ศร” ผมจัดการสะพายกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนจะออกแรงดึงรั้งแขนของพี่ศรที่กำลังนั่งอยู่ในลุกขึ้น
“ไปไหน”
“พี่แทนให้ไปหาข้างล่างครับ” พอเห็นว่าพี่ศรไม่ได้ถามอะไรอีกผมก็ออกแรงดึ่งแขนอีกคนให้เดินตามจนมาเจอพี่แทนตรงทางเชื่อมระหว่างสนามกับสแตนเชียร์
“ชวนไอ้ศรมาทำไมเนี่ย” พี่แทนถาม
“ก็...” ผมไม่รู้จะตอบยังไงเพราะสีหน้าพี่แทนตอนนี้ไม่ได้ดูโกรธก็จริงแต่พี่เขาก็ดูหงุดหงิดมาก
“ทำไม กูมาแล้วจะทำไม”
“ก็กูอยากให้ไอ้ปุณย์มันมาคนเดียว”
ทำไมต้องคุยกันจริงจังขนาดนั้นด้วย ไม่ได้กำลังจะมีเรื่องกันใช่ไหม
“เอ่อ... เหอะๆพี่แทน พี่ศรมาก็ไม่เห็นเป็นไรเลย รุ่นพี่รุ่นน้องกันทั้งนั้นนี่จริงไหม” ผมเกาะแขนพี่แทนไว้แน่น ส่งสายตาอ้อนๆที่คิดว่าพี่แทนจะต้องสงสารผมแน่ๆ
“แต่ว่า...เออ! ก็ได้”
“เย้!”
“ได้เห็นกูเล่นเมื่อกี้นี้ไหม”
“เห็นสิครับ ผมตะโกนเชียร์พี่ตลอดเลยนะแต่พี่คงไม่ได้ยินหรอก”
“ได้ยินสิ”
“หึ!” พอพี่แทนตอบอยู่ดีๆพี่ศรก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“มึงถอนหายใจทำไมไอ้ศร” พี่แทนหันไปถามพี่ศร
“ในสนามกับสแตนห่างกันตั้งเยอะ มึงยังได้ยินเสียงอีกเหรอวะ ถ้าแบบนั้นก็ได้ยินเสียงคนอื่นหมดเลยละสิ”
“กู...” ถูกพี่ศรดักทางไว้แบบนั้นเล่นเอาพี่แทนเลิกลักไปต่อไม่ถูก แอบขำกับท่าทางของพี่แทนตอนนี้ จริงๆผมก็รู้แหละว่าพี่แทนคงไม่ได้ยินหรอก แต่มันสำคัญที่ไหนแค่ผมได้เชียร์และพี่แทนทำออกมาได้ดีก็พอแล้วนี่
“วันนี้พี่แทนเตะได้ดีมากๆเลยครับ เวลาพี่เล่นฟุตบอลน่ะเท่สุดๆไปเลย”
“จริงเหรอ มึงว่ากูเท่จริงๆเหรอ”
“จริงสิครับ ผมเชื่อแล้วว่าพี่นี่เป็นว่าที่นักฟุตบอลทีมชาติแน่นอนเลย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง” พี่แทนบิดตัวไปมาอย่างเขินๆ “ถ้าแบบนั้นครั้งต่อไปถ้ากูแข่งอีกมึงมาเชียร์กูอีกนะ”
“แน่นอนครับ ผมจะตามเชียร์พี่ไปตลอดเลย”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“เหวอ!” ผมร้องเสียงหลง ก็อยู่ดีๆพี่แทนเข้ามารวบตัวผมยกขึ้นอย่างดีใจ “พี่แทนเดี๋ยวตก” บอกออกไปแบบนั้น แต่เหมือนไอ้พี่แทนจะไม่ได้สนใจผมเลย ยังคงรวบตัวผมเขย่าขึ้นลงอย่างสนุกสนานอยู่แบบนั้น
จนกระทั่ง... หมับ!
“ปล่อยมันลงได้แล้ว” เป็นพี่ศรที่พูดขึ้นสียงเรียบ พร้อมใบหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ได้
“อะไรของมึงอีกเนี่ยไอ้เชี่ยศร”
“มึงพักแค่สิบห้านาที ไม่ไปให้คำแนะนำอะไรน้องปีหนึ่งของมึงหน่อยหรือไง ได้ยินว่าที่แข่งกันนี่ก็เพื่อซ้อมให้เด็กปีหนึ่งมันไม่ใช่ไง” พี่ศรตอนนี้น่ากลัวชะมัดเลย เป็นคนที่ทำหน้านิ่งๆได้เย็นชามากๆ พี่แทนกับผมมองหน้ากันเลิกลักก่อนที่สุดท้ายพี่แทนจะยอมวางผมลงและกลับเข้าสนามไป
“…” พี่แทนไปแล้ว บรรยากาศรอบๆตัวตอนนี้อึดอัดชะมัดเลย มีแค่พี่ศรที่ทำหน้าตาเย็นชากับผมที่ทำตัวไม่ถูกยืนกันอยู่สองคน
“ทำไมไมรู้จักหวงตัว”
“ครับ?”
“ที่ให้ไอ้แทนทำเมื่อกี้น่ะ คราวหลังห้ามอีกนะ”
“ทำไมละครับ ก็พี่เขาดีใจ แล้วผมก็หมายความอย่างที่บอกจริงๆว่าจะตามเชียร์พี่เขา”
“แต่ก็ไม่เห็นจะต้องให้มันมาถูกเนื้อต้องตัว ถ้าให้มันเข้าถึงตัวง่ายๆแบบนั้นอีกกูจะไม่ให้มึงมาเชียร์มัน”
“...” เอ้า! หงุดหงิดทำไมอะ ก็แค่พี่น้องเขาเล่นกันเองนะทำไมพี่ศรจะต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย
“อย่าให้มันจับเนื้อต้องตัวขนาดนั้นอีก อย่าทำให้กูเป็นห่วง เข้าใจไหม”
“แต่...”
“กูถามว่าเข้าใจไหม”
“ก็ได้ครับ”
“ดี”
ถึงจะยอมตกลงกับพี่ศรไปแบบนั้นก็เถอะ ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยก็แค่รุ่นพี่กับรุ่นน้องแกล้งกันเองนะ ที่พี่ศรยังชอบแกล้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมบ่อยๆได้เลย
“ไอ้ปุณย์”
“อ๊ะ!”
แรงสวมกอดจากด้านหลังอย่างแรงจนทำให้ผมเกือบจะล้มหน้าคะมำทำให้ผมต้องหันมอง
“จำกูได้ไหม” น้ำเสียงกวนๆของคนที่วาดวงแขนกอดคอผมแน่นอยู่ตอนนี้ถาม
“ไอ้...”
“ทำอะไร” แต่ผมยังไม่ทันจะได้ตอบ พี่ศรที่มีท่าทีไม่สบอารมณ์เรื่องอะไรก็ไม่รู้ตั้งแต่แรกก็จับข้อมือผมแน่นก่อนจะออกแรงดึงจนผมเซถลาไปซบลงกับอกแกร่งของเขา
“พี่ศร...” ผมเรียกพี่ศรเสียงเบา พยายามจะอธิบาย
“อะไรวะไอ้ปุณย์”
“ไอ้ปุณย์เหรอ?” พี่ศรพูดทวนคำอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะก้มลงมามองหน้าผมอย่างสงสัย
“นี่เพื่อนผมเองครับ เอ่อ...เพื่อนสมัยมัธยมน่ะครับ”
“งั้นเหรอ” มาตอนนี้พี่ศรยอมคล้ายแรงกอดผมลง ผมยืนตั้งหลักจัดเสื้อผ้าที่ยับพราะถูกแรงกอดจากพี่ศรเมื่อกี้ให้เข้าที่
“นี่ไอ้ไพร์เพื่อนผม เรียนอยู่คณะแพทย์ฯครับ” ผมแนะนำไอ้ไพร์ให้พี่ศรรู้จัก
“สวัสดีครับ” ไอ้ไพร์ยกมือไหว้
“อืม” พี่ศรเพียงรับคำสั้นๆ
“ผมขอคุยกับปุณย์หน่อยได้ไหมครับ...แค่สองคน”
“เอ่อ...” ผมมองหน้าพี่ศรกลับไอ้ไพร์สลับกันอย่างลังเล
“ไปสิ” จนพี่ศรอนุญาตให้ไปได้ผมถึงโล่งใจ
และในที่สุดผมลากตัวไอ้ไพร์ออกมาจากบรรยากาศตึงเครียดตรงนั้นจนคิดว่าคงจะมาไกลมากพอแล้ว วันนี้พี่ศรเป็นอะไรไม่รู้ดึงหน้าเครียดทั้งวันเลย ตอนเช้าก็ยังดีๆอยู่เลยนะ พอไปเจอพี่แทนก็ทำหน้าตึงๆไปเลย ไม่รู้เป็นอะไร
“มึงมาได้ยังไง” ผมถามไอ้ไพร์เพราะวันนี้พวกที่เตะบอลมีแต่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาทั้งนั้น จริงอยู่ว่าสนามกีฬาใครจะเข้ามาเชียร์ก็ได้ แต่ไอ้ไพร์มันเรียนแพทย์ คณะมันอยู่ตั้งไกลไม่น่าจะมาได้
“วันนี้กูว่างเพื่อนกูเลยชวนมาดูบอล เห็นว่าเป็นคณะมึงกูก็เลยมาเพราะคิดว่าอาจจะเจอมึง นี่ก็ได้เจอมึงจริงๆด้วย ไอ้ปัญมันถามหามึงกับกูด้วยนะ”
“อืม กูพึ่งโทรคุยกับมันไม่กี่วันนี้เอง ว่าแต่มึงเหอะ เรียนอยู่ที่เดียวกับกูแท้ๆพึ่งจะได้เห็นหน้า”
“คณะกูเรียนหนัก ช่วงแรกๆมันต้องปรับตัวไง ไหนจะกิจกรรมอีก วันนี้ก็กว่าจะปลีกตัวมาได้ แล้วคณะมึงล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ก็โอเค เรียนไม่หนักเท่าไหร่กิจกรรมก็ไม่ค่อยได้เข้า กูเป็นนักกีฬากรีฑาก็เลยต้องไปซ้อมวิ่งตลอด”
“ดีวะ ว่าแต่มึงกับเขาเป็นยังไงบ้างวะ”
“ใครวะ”
“เอ้า! ก็พี่ศรของมึงไง”
“ของกูที่ไหนเล่า แล้วกูกับพี่เขาต้องเป็นยังไงวะ”
“โธ่ไอ้ปุณย์! มึงลงทุนเข้าชมรมกรีฑา ซ้อมทุกวันจนแข่งวิ่งชนะระดับภาคเพื่ออะไรวะ เพื่อจะได้โควต้ามาเรียนที่เดียวกับพี่เขาไม่ใช่ไง ก็เห็นมึงชอบเขานักหนา ตอนนี้คงสนิทกันแล้วละสิท่าถึงได้มาด้วยกันแถมพี่เขายังดูหวงมึงขนาดนั้น”
“หวงบ้าอะไรล่ะ กูกับพี่เขาก็แค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันก็แค่นั้น ถึงจะอยู่ห้องเดียวกันทุกวันก็เถอะ”
“ห้องเดียวกันทุกวันเหรอ”
“กูเป็นน้องเมทพี่เขา”
“ไอ้เชี่ย! กูไม่อยากจะเชื่อ นอกจากจะได้มาเรียนที่เดียวกับพี่เขามึงยังอยู่ห้องเดียวกับพี่เขาอีก ได้กันยังวะ”
“ไอ้สัสไพร์เดี๋ยวกูต่อย” ผมเม้มปากแน่นกับคำถาม ได้บ้าอะไรเล่า! ก็แค่เกือบๆ แต่ตอนนั้นพี่ศรเมาไม่รู้เรื่องต่างหาก ถ้าพี่เขามีสติดีเขาก็คงไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอกแล้วผมก็ไม่ต้องการแบบนั้นด้วย
“กับเพื่อนกับฝูงโหดฉิบหาย”
“ก็มึงปากหมา”
“เออๆกูขอโทษ กูแค่ล้อเล่นเอง แล้วมึงได้เห็นพี่เขายิงธนูหรือยัง”
“อืม เห็นแล้ว”
“งั้นก็ถือว่าความตั้งใจที่มึงมาที่นี่ก็สำเร็จแล้วสิ”
“ยังหรอก เคยเห็นแล้วก็จริงแต่ก็แค่การซ้อมธรรมดายังไม่เคยเห็นตอนเขาแข่งจริงเลย”
“กูได้ข่าวมาว่าพี่เขาเลิกยิงธนูแล้วจริงหรือเปล่าวะ”
“ใช่”
“เอ้า! เลิกแล้วทำไมเขายิงธนูให้มึงเห็นได้วะ” ใครสั่งใครสอนให้มึงเป็นคนขี้เผือกแบบนี้วะไอ้ไพร์
“ตอนแรกน่ะใช่ พี่เขาไม่ได้ยิงธนูแล้ว แต่ว่าตอนนี้เขากลับมายิงธนูอีกครั้งแล้ว เขาบอกว่า...”
“บอกว่าอะไร”
“เปล่าๆไม่มีอะไร” ผมไม่อยากจะบอกไอ้ไพร์หรือแม้แต่คิดไปเองหรอก ว่าพี่ศรกลับมายิงธนูเพราะผม ผมไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นกับพี่เขาสักหน่อย ถ้าพี่ศรเลือกจะกลับมายิงธนูอีกครั้งก็คงจะเป็นเพราะธนูมันคือชีวิต คือความสุขของพี่เขาเองนั้นแหละไม่เกี่ยวกับผมหรอก
“อะไรของมึงวะไอ้เชี่ยปุณย์ แล้วเขารู้หรือยังว่ามึงชอบเขา”
“ไม่รู้ เขาจะรู้ได้ยังไงเล่า”
“แล้วมึงไม่บอกเขาละ ก็บอกเขาไปสิว่ามึงชอบเขา ชอบตั้งแต่แรกเจอ ชอบตั้งแต่เห็นครั้งแรกในทีวีตอนอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ชอบมากจนยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะได้มาเรียนที่เดียวกับเขา ถ้ามึงบอกเขาอาจจะชอบมึงกลับก็ได้”
“กะ...กูไม่กล้าหรอกแล้วกูก็ไม่ได้อยากจะบอกด้วย”
“ทำไมวะ”
“กูชอบพี่ศรก็จริง แต่กูก็ไม่ได้อยากให้เขามาชอบกูกลับสักหน่อย กูชอบและศรัทธาที่พี่เขาเป็นตัวของเขาเอง กูต้องการแค่นั้นไม่ต้องการให้เขามาชอบกลับเลยสักนิด บางทีการแอบรักมันก็ไม่ได้เลวร้ายนะ สำหรับกูการแอบชอบมันก็มีความสุขนะ มันทำให้เรามีความหวัง มีความกล้าแล้วก็มีความพยายาม อย่างกูยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้มาเรียนที่เดียวกับพี่ศร เวลาพี่ศรยิงธนูน่ะมันเป็นอะไรที่ทำให้คนที่ได้มองแบบกูมีความสุขที่สุด นั้นก็เพราะพี่ศรเองก็ดูมีความสุขเหมือนกันตอนที่พี่เขาอยู่กับคันธนูของเขา ถึงพี่ศรจะเคยคิดที่จะเลิกมันไป แต่ตอนนี้พี่เขาก็กลับมายิงธนูอีกครั้งแล้วนี่ กูเชื่อว่าสักวันหนึ่งพี่เขาก็จะรู้ว่ายิงธนูน่ะคือสิ่งที่พี่เขาชอบที่สุดแล้ว สิ่งที่กูต้องทำในตอนนี้คือต้องให้กำลังใจเขาแล้วก็อธิษฐานให้เขามีพลังและทำทุกอย่างให้เต็มที่ไม่ทิ้งเขาไปไหน”
“…เป็นเอามากนะมึงเนี่ย” ไอ้ไพร์ชะงักเงียบไปสักพักก่อนจะพูดออกมา
“เออ กูก็ว่างั้น” พูดจบทั้งผมและไอ้ไพร์ก็หัวเราะให้กัน ทำตัวเหมือนร่างเริงใส่กันเหมือนทั้งหมดที่ผมพึ่งพูดไปเป็นเรื่องเล็กๆ เรืองปกติธรรมดาเท่านั้น ถึงไอ้ไพร์จะทำเป็นไม่สนใจแต่จริงๆแล้วผมรู้ว่าไอ้ไพร์มันเข้าใจและก็เอาใจช่วยผมอยู่เหมือนกันนั้นแหละ
“เออ! เอามือถือมึงมาหน่อย กูเปลี่ยนไลน์ใหม่เดี๋ยวแอดเพื่อนกันไว้”
“อ๋อได้ๆ! แต่…เฮ้ย! มือถือหายไปไหนวะ มึงเห็นไหมไอ้ไพร์”
“กูจะไปเห็นได้ยังไงละมือถือก็ของมึงเอง”
“เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลยนะ” หายจริงๆนะเนี่ยไม่ได้โกหก ผมลองทั้งคลำทั้งล้วงหาทุกประเป๋าที่มีอยู่ในตัวแล้วก็หาไม่เจอเลย เมื่อกี้ยังถืออยู่กับมือแท้ๆ ถ้าหายจริงๆ ต้องโดนแม่บ่นชุดใหญ่แน่เลยที่ไม่รักษาของ
“มึงทำนี่ตก” จนเมื่อเสียงของใครอีกคนดังขึ้นเรียกความสนใจทั้งของผมและไอ้ไพร์
“พี่ศร”
“อืม”
“พะ...พี่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหน พะ...พี่ได้ยินอะไรหรือเปล่า”
“ไม่นะ ทำไมเหรอ มีอะไรที่กูต้องได้ยินเหรอหรือมึงพูดอะไร”
“ปะ...เปล่าครับเปล่า”
“เอา! เอามือถือมึงคืนไป คงหล่นเมื่อกี้ กูเก็บได้ก็เลยตามเอามาคืน”
“อ๋อ…ครับ” ผมค่อยๆยื่นมือไปรับมือถือคืนมา โล่งใจไปที นึกว่าพี่ศรจะมาได้ยินซะแล้ว ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมแอบชอบเขา พี่ศรอาจจะไม่ชอบ อาจจะโกรธ อาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆผมคงต้องร้องไห้แน่ๆเลย ขนาดแค่คิดยังรู้สึกหวิวๆใจเลย
“เรียบร้อย ไว้กูแชทหานะ” พอได้มือถือมาไอ้ไพร์ก็จัดการแอดไลน์ให้ผมเรียบร้อย
“ได้ๆ” ผมรับมือถือกลับมา
“งั้นกูไปแล้วนะ เพื่อนกูรอแล้วป่านนี้”
“มึงจะอยู่ดูบอลต่อไหม มานั่งด้วยกันก็ได้นะ”
“ไม่หรอก เดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว งานกูเยอะ”
“ถ้างั้นไว้เจอกันนะ ไว้ชวนไอ้ปัญมากินข้าวด้วยกัน”
“เออ กูไปแล้ว” ไอ้ปัญตอบรับผมอย่างรำคาญก่อนจะเดินผ่านผมไป ผมมองตามเห็นไอ้ไพร์ไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่ศรที่ยืนอยู่ถัดไปจากผม ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันแต่เห็นว่าพี่ศรชะงักเงียบลงไปเลย
“ผมไปก่อนนะครับพี่” จนเมื่อไอ้ไพร์เอ่ยคำลาพร้อมยกมือไหว้พี่ศร ใบหน้าและสายตานิ่งเรียบที่เดาอารมณ์ไม่ได้ของพี่ศรปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
“ไอ้ไพร์มันพูดอะไรไม่ดีกับพี่หรือเปล่าครับ” ผมรีบเข้าไปถาม
“เปล่านี่ ก็แค่บอกลาปกติ”
“จริงนะครับ”
“จริงสิ ทำไมเหรอ”
“ผมก็แค่เป็นห่วง นึกว่าไอ้ไพร์มันจะพูดอะไรไม่ดีกับพี่ซะอีก”
“เป็นห่วงตัวเองก่อนไหม ทำมือถือตกยังไม่รู้ตัวอีก ถ้ากูไม่อยู่ตรงนั้นแล้วเก็บได้มึงได้ซื้อใหม่ไปแล้ว แบบนี้ยังจะมาบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนเอ๋ออีกนะ นี่แนะ!”
“โอ้ย! พี่ดีดหน้าผากผมอีกแล้วนะ”
“นี่! เมื่อกี้ลงโทษที่ซุ่มซ่าม แต่อันนี้ลงโทษที่เถียง”
“อะไรเล่า ผมไม่ได้เถียงสักหน่อย”
“จะเอาอีกไหม” ไม่พูดเปล่าพี่ศรยกมือขึ้นทำท่าจะดีดหน้าผากผมอีกแล้ว เอาจริงดิพี่!
“ไม่เอาแล้วครับ” ผมยกมือขึ้นปิดหน้าผากไว้แน่น
“จะดูไหมฟุตบอล เขาแข่งครึ่งหลังกันแล้ว เดี๋ยวไอ้แทนไม่เห็นว่ามึงมาเชียร์เดี๋ยวมันก็แพ้หรอก”
“อย่างพี่แทนน่ะเก่งจะตาย ถึงผมไม่ได้อยู่เชียร์ยังไงก็ไม่แพ้หรอก”
“หึ!”
เอ้า! พูดทิ้งไว้แค่ ‘หึ’ แล้วก็เดินหนีไปนี่นะ เดาอารมณ์ยากจริงๆพี่ศรเนี่ย เมื่อเช้าอารมณ์ดี แล้วก็มาทำหน้าโหด ตอนนี้มาทำอารมณ์ดีอีกแล้ว สงสัยจะเข้าวัยทองแล้วละมั้ง แย่จริงๆเลยทั้งๆที่อายุเยอะกว่าผมแค่ปีเดียวแท้ๆ
_________________________
พี่ศรเขาไม่ได้วัยทองนะน้องปุณย์ แต่พี่เขาหึงหนูต่างห่างละลูก
#รักตรงเป้า
-
14th Shoot
พยายามเพื่อกันและกัน
น้องปุณย์’s Part
“เตี้ย”
“อือ…”
ผมค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นเพราะมีใครมาเรียกชื่อ อาการงัวเงียจากการที่ถูกปลุกก่อนเวลาที่เคยตื่นประจำทำให้ผมอยากที่จะหลับตาต่อไป
“ปุณย์” น้ำเสียงที่คุ้นเคยกับชื่อผมที่ไม่ค่อยบอกนักที่จะถูกเรียกด้วยน้ำเสียงนั้น
“ตื่นได้ยัง”
“พะ…พี่ศร อือ…” ผมค่อยๆปรือตาขึ้นมอง แต่สุดท้ายก็ทนความง่วงและอาการหนักอึ้งที่เปลือกตาไม่ไหวจนต้องหลับตาลงนอนต่อ
“กูจะไปวิ่ง มึงจะไปกับกูไหม”
พรึบ!
จนกระทั้งพี่ศรพูดออกมานั้นแหละ ไอ้เจ้าอาการง่วงจนปรือตาไม่ขึ้นของผมไม่รู้หล่นหายไปไหนเลย
“เมื่อกี้พี่ว่าไงนะ”
“เปล่า กูก็แค่เห็นว่ามึงเป็นนักวิ่งไม่ใช่เหรอ ก็เลยจะชวนไปวิ่งด้วยกัน มึงจะไปไหม”
“ครับ ไปครับไป”
“มึงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหมหรือจะไปอาบน้ำก็ได้ เดี๋ยวกูรอ”
“ได้ครับ ผมจะรีบไปอาบเดี๋ยวนี้เลย”
โอ้ยยย! ดีใจชะมัดเลย วันนี้จะได้ไปวิ่งออกกำลังกายกับพี่ศรด้วย ผมรีบลุกจากตียงไปหยิบเอาชุดที่จะใส่วิ่งกับผ้าขนหนูผืนโปรดรีบวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างกระตือรือร้น แค่คิดว่าวันนี้จะได้ไปวิ่งกับพี่ศรผมก็ดีใจจะแย่แล้ว ผมน่ะเคยบอกไว้แล้วไงว่าอยากจะให้กำลังใจพี่ศรในทุกๆทางที่ผมพอจะทำได้ และการได้ทำอะไรไปพร้อมๆกับเขา ได้อยู่ข้างเขาบ่อยๆ แค่นี้ผมก็โคตรจะมีความสุขแล้ว
เส้นทางการวิ่งของพวกผมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก ก็เป็นการวิ่งออกกำลังกายตามถนนรอบๆตึกหอพักนี่เองเพราะว่าตอนนี้พึ่งจะตีห้าเท่านั้นพี่ศรก็เลยไม่ได้พาผมไปวิ่งไกลมาก จะว่าไปถ้าเป็นวันปกตินะ ตีห้าแบบนี้ผมคงง่วงไม่อยากจะตื่นไปแล้ว แต่นี้ไม่รู้ทำไมพอได้ออกมาวิ่งกับพี่ศรแบบนี้แล้วตาสว่างมากๆไม่รู้สึกอยากจะนอนเลยสักนิด
“ทำไมวันนี้พี่ออกมาวิ่งละครับ” ผมวิ่งเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะถามขึ้น
“หืม ทำไมถามแบบนั้น เป็นนักกีฬาก็ต้องออกกำลังกายอยู่เสมอไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ก็ปกติผมไม่ค่อยเห็นพี่ศรออกมาวิ่งตอนเช้าเลย ถ้าพี่จะออกกำลังกายหรือวอร์มร่างกายพี่ก็ไปที่สนามกีฬาหลังเลิกเรียนตลอด”
“มาวิ่งเช้าๆแบบนี้แหละดี คนไม่เยอะอากาศก็บริสุทธิ์ ถามมากนี่ทำไมเริ่มเหนื่อยแล้วเหรอไง เป็นนักวิ่งภาษาอะไรวะวิ่งแค่นี้เหนื่อยซะแล้ว” พูดจบพี่ศรก็ยื่นมือมายีหัวผมเล่นจนยุ่งอีกแล้ว
“อะไรเล่า! ผมยังไม่ได้พูดสักหน่อยว่าเหนื่อย พี่คงยังไม่รู้ว่าผมน่ะนักวิ่งระดับภาคเลยนะ แข่งมาแล้วตั้งหลายสนาม วิ่งแค่นี้สบายมาก ผมยังวิ่งได้อีกหลายชั่วโมงเลยจะบอกให้”
“เหรอ แล้วนักวิ่งอะไรปล่อยตัวให้อ้วน”
“อะ…อ้วนเหรอ ผมไม่ได้อ้วนสักหน่อย” อ้วนอะไรกัน ผมตัวเล็กจะตายนะ เสื้อผ้าก็ใส่ไซต์เอสแถมไอ้ไพร์ ไอ้ปัญก็ชอบบ่นผมบ่อยๆว่าผมน่ะตัวเล็กเกินไป
“ไม่อ้วนอะไรแก้มย้วยแล้วเนี่ย”
“อื้อ…” ผมปัดมือพี่ศรที่ยื่นมาดึงแก้มผมเล่นออก แอบรู้สึกร้อนๆที่หน้ากับสายตา สีหน้าและท่าทางหยอกล้อของอีกฝ่าย
“เตี้ยอย่างเดียวก็แย่แล้วนี่จะอ้วนด้วยอีกเหรอ”
“อะไรเล่า! ก็บอกว่าไม่ได้อ้วนไง” ผมทำหน้ามุ่ยใส่
“ถ้าไม่อยากอ้วนก็รีบวิ่งตามมาเร็ว” ทิ้งไว้ด้วยคำพูดกวนๆพี่ศรก็เร่งความเร็ววิ่งห่างออกไป
“พี่ศรบ้า” ผมแอบด่าใครอีกคนเสียงเบา ยิ้มกับตัวเองอย่างไม่รู้ตัวพร้อมมองทอดสายตาตามแผ่นหลังของพี่ศรที่เริ่มวิ่งห่างออกไป
ถ้าผมจะอ้วนก็คงจะเป็นเพราะผมมีความสุขมากแน่ๆ ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าผมน่ะคิดไม่ผิดหรอกที่ตัดสินใจมาหาพี่ที่นี่ ความกลัวที่ผมเคยมีตอนนี้มันหมดไปจากใจผมแล้ว ขอแค่ไอยู่ใกล้ๆพี่ ได้เห็นทุกๆพัฒนาการ ทุกๆความสำเร็จของพี่ จนกว่าจะถึงวันนั้นต่อให้เจอกับอะไรผมก็จะไม่กลัว ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ผมรู้ว่าพี่เองก็อาจจะเหนื่อย อาจะท้อเหมือนกัน เพราะกีฬาต่อให้ยังไงมันก็เป็นอะไรที่ต้องใช้ความพยายามและความอดทน ต้องฝึกฝนอยู่ตลอดเวลากว่าจะประสบความสำเร็จ แต่พี่วางใจเถอะครับ จนกว่าจะถึงวันนั้นผมนี่แหละจะอยู่ข้างๆพี่ ไม่ทิ้งพี่ไปไหนแน่นอน
“แฮกๆ”
“อะไรกัน ใครมาเห็นเขาอายเขาแย่เลยนะ นักวิ่งอะไรมานั่งหอบเป็นหมาเหนื่อยแบบนี้”
“…”
“แน่ะ! ว่าแล้วยังจะมามองค้อนให้อีก”
ก็จะไม่ให้มองค้อนได้ยังไงละ พี่ศรน่ะเป็นนักกีฬายิงธนูหรือนักกีฬากรีฑาก็ไม่รู้วิ่งเร็วมากๆเลย ขนาดผมรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดวิ่งตามยังตามไม่ทันเลย แถมตอนนี้พี่ศรยังไม่มีอาการเหนื่อยให้เห็นเลยสักนิด จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่นั่งหอบอยู่หน้าหอพัก ไม่มีแรงเถียงพี่ศรอยู่แบบนี้
“พี่…ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ”
“ก็เหนื่อย แต่คงไม่เท่ามึงหรอกมั้ง” นั้น! เอาเข้าไป กระแทกแดกดันผมเข้าไป
“ผมถามจริงๆเถอะ จริงๆพี่เป็นนักกีฬากรีฑาใช่ไหม พี่ปลอมตัวมาเป็นนักกีฬายิงธนูใช่ไหม”
“นี่แนะ!”
“โอ้ย!” เจ็บนะเขกลงมาได้ หัวคนนะไม่ใช่ก้อนหิน เดี๋ยวก็ดีดหน้าผาก เดี๋ยวก็บีบจมูก เดี๋ยวก็จับแก้ม มาตอนนี้มาเขกหัวกันอีก
“ไหนบอกว่าเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งไง”
“นั้นมันก็ใช่ แต่ผมก็แค่สงสัย พี่วิ่งเร็วมากแล้วเราก็วิ่งกันตั้งนานพี่ไม่เห็นเหนื่อยเลย”
“แต่ก่อนกูวิ่งบ่อยกว่านี้อีก วิ่งไปถึงตึกนิเทศแล้วก็วิ่งตั้งแต่ตีสี่ทุกวัน”
“หา! ตะ…ตีสี่เหรอ บ้าไปแล้ว นักกีฬายิงธนูต้องวิ่งขนาดนั้นเลยเหรอพี่” บ้าไปแล้วแน่ๆ ตึกนิเทศอยู่ห่างจากตึกคณะผมตั้งไกล ยิ่งถ้าจากหอพักผมนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ไกลมากกก! มากแบบก.ไก่ล้านตัว
“ยิงธนูเหมือนไม่ต้องทำอะไรมากก็จริง แต่ขึ้นชื่อว่ากีฬามันก็ต้องใช้ทุกส่วนของร่างกายนั้นแหละ ขาต้องแข็งแรง แขนและลำตัวก็ต้องแข็งแรงด้วย เวลาง้างคันธนูจะได้ทำได้เต็มที่และแรงยิงสม่ำเสมอไง”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง แต่ว่า…ต่อไปพี่ก็ต้องวิ่งตั้งแต่ตีสี่ทุกวันเลยเหรอครับ”
“ทำไม”
“ผมก็แค่คิดว่าถ้าผมต้องตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ทุกวันบางทีผมก็…อาจจะไม่ไหว”
“แล้วมึงจะตื่นมาทำไมตั้งแต่ตีสี่”
“ก็ผมต้องมาวิ่งกับพี่ไง พี่พึ่งพูดเองนะว่าผมน่ะเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่ง ต่อไปนี้ถ้าพี่ออกมาวิ่งทุกวันยังไงผมก็ต้องมาด้วยอยู่แล้ว”
“นี่แนะ!”
“โอ้ย! คราวนี้พี่ดีดหน้าผากผมอีกแล้วนะ”
“กูบอกเหรอว่าให้มาด้วยทุกวัน”
“ก็…ไม่ได้บอกครับ” ผมตอบเสียงอ่อย ก็จริงนั้นแหละพี่ศรยังไม่ได้พูดเลยสักคำว่าจะให้ผมมาด้วย
“กูล้อเล่นทำหน้าเศร้าอีกแล้ว บอกแล้วไงว่ากูไม่ชอบเห็นตอนมึงเศร้า”
“…”
“เอาเป็นว่าถ้าวันไหนมึงตื่นไหวหรืออยากมาก็มาแล้วกัน แต่ถ้าวันไหนขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นก็ไม่ต้องมา ตกลงไหม”
“ครับๆ ตกลงครับตกลง” ผมรีบพยักหน้ารับคำ
เอาวะไอ้ปุณย์! ตีสี่ก็ตีสี่ เพื่อพี่ศรแล้วต่อไปนี้เราต้องทำให้ได้ แม้ว่าการตื่นเช้าสำหรับผมมันจะเป็นเรื่องที่โคตรจะยากเลยก็ตามเหอะ ยังไงซะผมก็จะพยายาม
แต่ว่าตอนนี้ขอร้องไห้หน่อยแล้วกัน ฮือๆ
“ปุณย์”
“ครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมอง เป็นอีกครั้งของวันที่พี่ศรเรียกชื่อผม ซึ่งแน่นอนมันทำให้ผมใจสั่นทุกครั้งเลย
“วันนี้ตอนเย็นมึงว่างไหม”
“ว่างครับ วันนี้ผมมีเรียนถึงบ่ายสองพี่มีอะไรเหรอครับ”
“วันนี้กูจะไปซ้อมที่ชมรมตอนเย็น มึง…มึงอยากจะไปดูกูยิงธนูไหม”
“…” สิ่งที่ได้ยินทำผมชะงักนิ่งไปชั่วขณะ
“กูก็แค่คิดว่าวันนี้ ถ้าเกิดกูได้ยิงธนูจริงๆ กูหมายถึงยิงธนูแบบไม่ใช่การแข่งขัน แบบที่กูสามารถยิงให้มึงดูกี่ครั้งก็ได้ มึง…จะอยากไปดูกูไหม”
“พี่ศร…”
“เฮ้ย! มึงจะทำหน้าเศร้าทำไม ถ้ามึงไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ กูไม่ได้บังคับ”
“ไปสิครับ ผมอยากไป ไม่สิ! ผมต้องไป ต้องไปแน่ๆแล้วก็ต้องไปให้ได้ด้วย”
“’งั้นเย็นนี้เจอกันนะ กูจะไปรอมึงที่ชมรม”
“อืม…ครับ”
พี่ศรมีรอยยิ้มเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ผมเองก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นเหมือนกัน ผมรู้สึกได้ ก็ในเมื่อไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธทำไมผมถึงจะไม่ไปละ ผมไม่เคยเบื่อและไม่มีทางเบื่อเลยกับการที่จะได้เห็นพี่ศรยิงธนูอีกครั้ง
ก็ผมชอบพี่ศรตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าพี่เขาในทีวีเมื่อสองปีก่อน แล้วตอนนั้นพี่ศรก็กำลังยิงธนูอยู่ด้วย แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องเบื่อที่จะต้องดูพี่เขายิงธนูด้วยเล่า ก็ในเมื่อผมรักพี่เขาเพราะสิ่งนี้นี่น่า
เป็นอีกวันที่เวลาแต่ละน่าทีช่างรู้สึกว่าจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วที่ผมแอบยิ้มกับตัวเองคนเดียวจนเพื่อนๆต้องเอ่ยถาม
“ฉันเห็นแกยิ้มแบบนี้มาทั้งวันเลยนะปุณย์ มีความสุขอะไรเหรอ”
“เปล่าหรอก ก็แค่วันนี้พี่ศรชวนไปดูเขายิงธนูน่ะ” ผมบอกเจนที่ถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี
วันนี้ผมเข้าเรียนกับเจนแค่สองคนเพราะวิชานี้เจสสิก้าไม่ได้ลงเรียนด้วยก็เลยไม่เจอกัน ดูเหมือนข่าวเรื่องที่พี่ศรกลับมายิงธนูอีกครั้งจะเป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งคณะแล้ว แต่มันเป็นเพราะผมไม่ค่อยรู้จักใครก็เลยไม่รู้เรื่องพวกนี้ จนกระทั่งเจนมาถามผมนั้นแหละถึงได้รู้ว่าคนอื่นๆก็รู้สึกแปลกใจกันมากๆที่พี่ศรกลับมายิงธนูอีกครั้ง
“ได้เป็นน้องเมทพี่ศรนี่มันดีจริงๆเลยเนอะ ฉันเคยเห็นพี่ศรตอนอยู่กับพวกเพื่อนปีสองของพี่เขาก็ไม่เห็นเขาจะแสดงอาการหรือสีหน้าอะไรเลยนอกจากหน้านิ่งๆแบบเดียว แต่ฉันเห็นว่าเวลาเขามาหาแกเขามีรีแอคชั่นแบบอื่นด้วยนะ ฉันเคยเห็นเขายิ้มตอนคุยกับแกด้วย แสดงว่าสนิทกันมากละสิ” เจนถาม
“ก็...ไม่สนิทเท่าไหร่หรอก”
“แหม…ไม่สนิทอะไรกันละ นี่ถึงขนาดชวนแกไปยิงดูเขายิงธนูด้วยฉันว่าไม่ธรรมดาแล้วมั้ง”
“…”
“แซวนิดแซวหน่อยหน้าแดงเลยนะ แค่ล้อเล่นเอง”
“หน้าเราแดงเหรอ”
“แดงสิ แดงมากๆด้วย”
“จริงเหรอ” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองอย่างเขินอาย สงสัยจะแดงจริงๆอย่างที่เจนว่านั้นแหละ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกร้อนๆที่หน้าแปลกๆด้วย ก็จะทำยังไงได้เล่า ในเมื่อเวลาพูดหรือนึกถึงพี่ศรทีไรมันเป็นแบบนี้ทุกทีนี่น่า
หลังเลิกเรียนตอนบ่ายสองโมง ผมกับเจนไปหาข้อมูลทำรายงานที่อาจารย์สั่งที่ห้องสมุดคณะ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันผมถูกเจนถามเกี้ยวกับเรื่องพี่ศรตลอดเลย ตอบได้บ้างไม่ได้บ้างจนถูกเจนเอ็ดเอาเหมือนกันว่าผมเป็นน้องเมทที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรของพี่เขาเลย ผมก็ยอมรับว่าถึงผมจะอยู่ห้องเดียวกับพี่ศร แต่เรื่องราวชีวิตส่วนใหญ่ของพี่ศรผมแทบจะไม่รู้เลย ที่จริงผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้ด้วย ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่เขานี่ ผมน่ะขอรู้แค่เรื่องที่พี่เขาอยากจะให้รู้ก็พอแล้ว
“พี่ศรมีแฟนยัง”
“เราไม่รู้หรอกเจน แต่คิดว่าคงไม่มีมั้ง”
“เหรอ นั้นสิเนอะเห็นไปไหนมาไหนพี่ศรก็ไปคนเดียว นอกนั้นก็มีแต่แกนี่แหละที่ฉันเห็นพี่ศรยอมให้ไปไหนมาไหนกับเขาด้วย เขาจีบแกหรือเปล่า”
“จะ…จีบอะไรกันละเจน เรากับพี่ศรก็เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันนะ แถมที่เราไปไหนมาไหนกับพี่ศรก็แค่มาคณะ ไปกินข้าว ไปสนามกีฬา หรือแค่กลับหอแค่นั้นเอง”
“งั้นเหรอ เอ้า! แล้วแกจะหน้าแดงทำไมอีกแล้วเนี่ยปุณย์” พูดจบเจนก็ยื่นมือมาจับแก้มผมแล้วออกแรงดึงเบาๆ ผมรีบเบี่ยงหน้าหลบสายตาก่อนจะรีบพูดตัดบทเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“จะสี่โมงเย็นแล้ว เราไปหาพี่ศรที่สนามก่อนนะ”
“จะไปแล้วเหรอ เดี๋ยวสิปุณย์!”
ผมไม่ได้สนใจหรือหันกลับไปมองเจนอีกเลย พอได้พูดออกไปแบบนั้นแล้วรีบก้าวเท้าเดินออกมาให้เร็วที่สุด
จีบเหรอ? จีบบ้าอะไรกันเล่า พี่ศรเนี่ยนะจะจีบผม ชอบทำหน้าดุ ชอบแกล้ง ชอบเรียกผมว่าไอ้เตี้ยแบบนั้นจะมาจีบผมได้ยังไง
เจนน่ะมั่วแล้ว!
ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะข่มความเขินอายของตัวเองให้มันสงบลง ระหว่างทางผมมั่นใจว่าตัวเองจะต้องหน้าแดงอย่างที่ชอบเป็นแน่ๆก็เลยเลือกที่จะแวะไปส่องกระจกสำรวจตัวเองในห้องน้ำของตึกคณะอื่นที่ผมเดินผ่านก่อนซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมคิดเลยว่ามันหน้าแดงมากๆเลย
โอ้ยไอ้ปุณย์! เป็นอะไรของแกวะ ทำไมช่วงนี้ถึงควบคุมอะไรในตัวเองไม่ได้เลย ยิ่งพักหลังๆได้ใกล้ชิดกับพี่ศรมากขึ้นผมยิ่งควบคุมอะไรไม่ได้ เวลาอยู่ใกล้พี่ศรที่ไรรอยยิ้มกับหน้าแดงๆมันชอบเกิดขึ้นเองอย่างควบคุมไม่ได้ตลอดเลย
“มาช้านะ” ทันทีที่เข้ามาชมรมยิงธนูก็ถูกพี่ศรที่เหมือนกำลังเช็คความเรียบร้อยของคันธนูถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างที่พี่เขาชอบทำ
“ขอโทษครับ พอดีผม…หลงทาง”
“หลงทาง มึงเนี่ยนะ?”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับเบาๆ รู้สึกอายมากๆเลย ถ้าเป็นมาจากคณะแล้วมาที่ชมรมยิงธนูเลยมันก็ไม่หลงหรอกเพราะผมมาออกจะบ่อย แต่ว่าวันนี้ผมไปแวะเข้าห้องน้ำที่คณะครุศาสตร์ที่อยู่ระหว่างทางมา พอตอนออกผมไม่ได้ออกทางเดิมเพราะคิดว่าคงจะหาทางลัดมาที่นี่ได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆผลเกิดขึ้นก็คือหลงทางแบบนี้ไง
“ไหนบอกจะไม่ทำตัวให้กูเป็นห่วงแล้วไง”
“ขอโทษครับ”
พี่ศรนิ่งเงียบไปสักพัก ผมเองก็เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา เฮ้อ! ก็คงจะทำให้พี่ศรโกรธอีกแล้วแน่ๆเลย วันนี้พี่ศรอุตส่าห์ชวนมาดูเขายิงธนูแท้ๆเลย โอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆนะ ทั้งๆที่ผมบอกว่าตัวเองน่ะเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งแล้วแท้ๆ แต่แค่วันนี้ยังมาสายจนทำให้พี่ศรต้องรอ ถ้าพี่เขาจะโกรธก็คงจะไม่แปลกหรอก
ที่ทำได้ตอนนี้ก็คงจะแค่ก้มหน้าคอยมองดูปลายเท้าของอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“ทำหน้าบูดเป็นตูดหมูอีกแล้ว”
“อ๊ะ! จมูกผม”
นึกว่าจะโดนพี่ศรดุเอาแล้วซะอีก แต่ผิดคาดนอกจากพี่ศรจะไม่ดุ ไม่ทำหน้าโหดใส่ผมแล้วยังมาแกล้งผมเล่นด้วยการบีบจมูกผมไว้แน่นอีก
“แกล้งเล่นแค่นี้ทำไมต้องทำหน้าบูดด้วย”
“พี่ไม่ได้โกรธผมเหรอ ผมนึกว่าพี่จะโกรธผมซะอีกที่ผมมาสาย”
“ก็…อาจจะโกรธมั้ง”
“พี่ศร…” อย่ามั้งดิพี่ จะโกรธก็โกรธไปเลย มาเติมความว่ามั้งต่อท้ายแบบนี้ผมใจคอไม่ดีเอาซะเลย
“กูจะโกรธมึงทำไม ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้จะยิงธนูให้มึงดู ยังไงกูก็ต้องรอมึงอยู่แล้วไหม”
“…”
“เมื่อกี้ยังทำหน้าบูด ตอนนี้มาทำหน้าซึ้งอีกแล้ว อารมณ์แปรปรวนน่ะมึงเนี่ย สรุปเอายังไงจะดูไหมถ้าไม่ดูกูจะได้เก็บอุปกรณ์กลับ”
“ดูสิครับผมจะดู” ผมรีบจับแขนพี่ศร ร้องห้ามอีกคนไว้เพราะพี่ศรทำท่าจะเก็บอุปกรณ์จริงๆอย่างที่พูด ทำไมเป็นคนใจร้อนแบบนี้ก็ไม่รู้
“ก็นึกว่าจะไม่อยากดูแล้ว”
“ผมต้องอยากดูสิครับ ก็พี่อุตส่าห์ชวนผมมาทั้งที่ แล้วนี่…ไม่มีใครอยู่เลยเหรอครับ” ผมมองไปรอบๆ ตอนนี้ในชมรมไม่มีใครอยู่จริงๆแฮะ โค้ชเอกหรือคนอื่นๆก็ไม่มีใครอยู่เลย
“ไม่อยู่หรอก เห็นว่ามีไปแข่งกันข้างนอก” พี่ศรตอบ
“อ้าว! แล้วแบบนี้พี่ไม่ต้องไปด้วยหรอกเหรอครับ”
“นี่แนะ!”
“โอ้ย! พี่จะดีดหน้าผากผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ”
“ลืมไปแล้วหรือไงว่ากูพึ่งจะกลับมายิงธนูได้ไม่กี่วันเอง จะให้กูไปแข่งกับคนอื่นแล้วหรือไง แพ้เขาพอดี”
“ไม่แพ้หรอกน่าเชื่อผมสิ พี่ศรของผมน่ะเก่งจะตาย”
“พี่ศรของผมเหรอ” อีกฝ่ายทวนคำ สายตาคมจ้องมองผมนิ่งอย่างเอาคำตอบ
“อะ…เอ่อ…ผมหมายถึง พี่ศรน่ะเก่งอยู่แล้วน่ะครับ ไปแข่งยังไงก็ชนะอยู่แล้ว”
“เพ้อเจ้อน่า เอาเป็นว่าวันนี้ไม่มีใครอยู่ก็ดีแล้วจะได้ยิงให้มึงดูคนเดียวไง ดีไหม”
“ดีครับ ดีๆ” ผมรีบพยักหน้ารับครับ
จากนั้นพี่ศรก็ให้ผมไปนั่งดูอยู่ห่างๆ แต่เพราะความตื่นเต้นของผมเองนี่แหละก็เลยขอเลือกจะมายืนดูอยู่ใกล้ๆแทน ซึ่งพี่ศรก็ไม่ได้ว่าอะไร พี่ศรตอนนี้ยังดูเท่และหล่อที่สุดในสายตาผมไม่เคยเปลี่ยน สองปีแล้วสินะที่ผมตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ในชุดและท่าทางการยิงธนูของเขา จากวันนั้นจนวันนี้ผมก็ยังคงมีความรู้สึกใจเต้นแรงไม่เคยเปลี่ยน อาจจะใจเต้นแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ จากที่เคยเห็นแค่ในทีวีหรือในอินเทอร์เนต มาวันนี้ได้เห็นของจริงกับตาตัวเองแล้วรู้สึกดีกว่าตั้งเยอะ ถึงจะเป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม
ครั้งที่เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญแค่มันทำให้ผมใจเต้นแรงทุกครั้งแล้วก็ไม่เคยเบื่อที่จะดูมันเลย
“หยิบกระบอกลูกธนูให้หน่อยสิ” พี่ศรหันมาบอก
“นี่ครับ” ผมรีบหยิบกระบอกธนูที่บรรจุลูกธนูอยู่เต็มยื่นให้พี่ศร
“มือมึงสั่นนะ”
“หะ…หา! อ๋อ สงสัยผมตื่นเต้นน่ะครับ”
“ตื่นเต้น? ลืมอะไรไปหรือเปล่าคนยิงน่ะกูนะ”
“…” โธ่! ผมรู้แล้วน่า ก็คนมันตื่นเต้นนี่ยังจะมาแซวกันอยู่ได้
“หึ! มึงนี่ดูๆไปก็น่ารักดีนะ”
“พะ…พี่ว่าไงนะ” ผมได้ยินไม่ถนัดเพราะเมื่อกี้พี่ศรพูดเสียงเบามากๆ ได้ยินแค่มึงน่ะหรืออะไรสักอย่าง แต่พอถามอีกทีพี่ศรก็เปลี่ยนเรื่องคุยซะงั้น
“วันนี้ยิงระยะ30เมตรเหมือนวันก่อนนะ มึงอยากเห็นกูได้คะแนนเท่าไหร่ละ”
“เอาสิบแต้มแบบเดิมก็ได้ครับ”
“หืม…สิบแต้มเลยเหรอ งานยากนะเนี่ย”
“ยากตรงไหน หนก่อนพี่ยังทำได้เลยแถมยังเอาชนะพี่เบสได้ด้วย”
“ถ้ากูทำได้มึงจะให้อะไรกู”
“พี่อยากได้อะไรละครับ บอกมาเลยผมให้พี่ได้หมดแหละ”
“ได้หมดแน่นะ”
“ก็…ถ้าแพงมากๆผมก็…ไม่มีเงิน” ผมพูดเสียงอ่อย เพราะมัวแต่ดีใจมากๆที่จะได้เห็นพี่ศรยิงธนูอีกครั้งก็เลยเผลอปากพล่อยพูดออกไปแบบนั้น ถึงตอนนี้ถ้าพี่ศรขอของที่มันแพงมากๆผมก็คงไม่มีเงินซื้อให้หรอก
“กูไม่เอาเงินมึงหรอกน่า”
“แล้วพี่จะเอาอะไรละครับ”
“ไว้เดี๋ยวค่อยบอกอีกทีแล้วกัน”
“…” พี่ศรไม่ยอมบอกว่าต้องการอะไรจากผมกันแน่ อีกคนทิ้งไว้เพียงสายตาเหมือนพอใจอะไรบางอย่างก่อนจะหันกลับสนใจเป้ายิงธนูที่อยู่ตรงหน้าต่อ
และทันทีที่พี่ศรยืนคร่อมเส้นยิงในท่าที่แสนจะดูดีใจสายตาผมแล้ว คันธนูสีแดงสลับดำที่แสนคุ้นตาของพี่ศรถูกยกขึ้นในท่าพร้อมยิง ตอนนี้ทุกๆอย่างรอบตัวผมดูไร้ความหมายขึ้นมาทันที มันเหมือนกับว่าโลกทั้งใบในตอนนี้มีแค่ผมกับพี่ศรแค่สองคนเท่านั้น
มีแค่พี่ศรที่กำลังง้างคันธนูเล็งไปที่เป้ายิงตรงหน้า มีแค่ผมที่คอยลุ้นและให้กำลังใจพี่เขาอยู่ไม่ห่าง
และในที่สุด…ลูกธนูก็ถูกยิงออกไป
ปัก!
ลูกธนูดอกแรกปักลงตรงเป้ายิงตรงหมายเลขหก ผมไม่รู้ว่าคะแนนเท่านี้สำหรับการยิงธนูมันจะเป็นยังไง แต่ว่าสีหน้าพี่ศรตอนนี้ดูไม่ดีเลย เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าอีกคน ตอนนี้ท่าทางของพี่ศรดูจริงจังขึ้นกว่าเดิมมากจนผมกังวล
และคันธนูคันเดิมก็ถูกง้างขึ้นในท่าพร้อมยิงอีกครั้ง
ปัก!
ลูกธนูดอกที่สองถูกยิงออกไปอีกครั้ง ผลที่ได้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจอยู่ดี ลูกธนูดอกแล้วดอกเล่าถูกยิงออกไปจนหมดกระบอก ทุกๆอย่างมันควรจะดีแต่มันไม่เป็นแบบนั้น ผมรู้…ผมรู้เพราะตอนนี้สีหน้าพี่ศรมันฟ้องว่าใครอีกคนกำลังกดดันแค่ไหน
พี่ศรกำลังกดดัน กดดันเพราะเขาต้องการจะยิงธนูให้เข้าตรงกลางเป้าให้ได้ มันเป็นเพราะผม…เพราะผมที่ไปกดดันพี่เขาด้วยการขออะไรโง่ๆแบบนั้น
หมับ!
สิ่งที่ผมเลือกจะทำเมื่อเห็นว่าใครอีกคนกำลังจะเดินไปเก็บลูกธนูที่เป้ายิงก็คือวิ่งเข้าไปสวมกอดเอวพี่ศรไว้ พี่ศรจะยิงต่อ พี่ศรจะยิงตรงกลางเป้าให้ได้สิบแต้มให้ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องการมันแล้ว ผมไม่ต้องการสิบแต้มหรืออะไรทั้งนั้น
“พอแล้วครับ ฮึก! ผมไม่เอาแล้วครับ ไม่เอาสิบแต้มแล้ว”
“แย่มากๆเลย วันนั้นมันก็คงจะแค่บังเอิญจริงๆนั้นแหละ กูมันคงจะห่วยอย่างที่พวกไอ้เบสมันว่า ยิงจนลูกหมดยังไม่เข้ากลางเป้าเลย”
“ฮึก...พี่ทำได้แน่ผมเชื่อ แต่วันนี้…ฮึก ผมไม่อยากให้พี่ยิงแล้ว”
“แล้วนี่มึงจะขี้แยทำไมเนี่ย หา?” พี่ศรแกะมือผมที่สวมกอดเอาเขาออก อีกคนหันกลับมาสวมกอดเอวผมไว้แน่นจนผมต้องซบเข้ากับอกกว้างของพี่ศร ถึงแม้ผมอยากจะห้ามตัวเองว่าให้หยุดร้องไห้ได้แล้ว แต่ดูเหมือนยิ่งคิดแบบนั้นน้ำตาก็ยังไหลออกมาไม่หยุด จนเสื้อพี่ศรเปียกชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาของตัวผมเอง
“ผมไม่อยากให้พี่ต้องกดดัน”
“กีฬากับความกดดันมันเป้นของคู่กันมึงก็รู้ไม่ใช่เหรอ แล้วยิงธนูน่ะมันต้องยิงบ่อยๆถึงจะเก่งรู้ไหม”
“….” ผมเงียบไม่พูดอะไร จริงอย่างที่พี่ศรว่า ทำไมผมจะไม่รู้ว่ากีฬากับความกดดันมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ผมไม่ชอบ ไม่ชอบเลยที่เห็นพี่ศรกดดันตัวเองเพราะผม
“วันนี้กูคงจะห่วยจริงๆอย่างนั้นแหละ ยิงจนลูกหมดยังไม่เข้ากลางเป้าเลย” พูดจบพี่ศรก็หัวเราะแห้งๆออกมา ผมซุกหน้าลงบนอกกว้างของอีกคนแน่น ส่ายหน้าบอกพี่ศรว่าเขาน่ะไม่ได้ห่วยเลยสักนิด
“แต่กูไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ ก็สัญญากับมึงไปแล้วนี่ว่าจะยิงธนูให้มึงดู”
“พี่ศร…” ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกคน
“เลิกร้องไห้ได้แล้ว” พี่ศรยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาผมออกอย่างเบามือ “ถึงตอนนี้กูจะยังห่วยอยู่ แต่สักวันนึงกูจะต้องยิงให้ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้ มึงจะอยู่รอดูไหม”
“ต้องอยู่แน่นอนครับ” ผมพยักหน้ารับ
“แต่กว่าจะถึงตอนนั้นกูก็คงจะต้องซ้อมให้มากขึ้นกว่าเดิมและมันคงจะต้องเหนื่อยมากแน่ๆเลย แต่ไม่ว่ามันจะเหนื่อยแค่ไหน จะต้องท้อต้องเจอกับอะไรบ้างกูก็จะมีมึงอยู่ข้างๆใช่ไหม”
“…” ผมไม่ได้พูดหรือตอบอะไรออกไป ทำเพียงแค่พยักหน้ารับก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว่าของพี่ศรอย่างไม่อาย พี่ศรเองก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่กอดตอบผมกลับมาแค่นั้น
ผมขอโทษนะครับ ขอโทษที่ผมมัวแต่คาดหวังว่าจะให้พี่กลับมายิงธนูอย่างเดียว ผมคาดหวังจนผมลืมความรู้สึกของพี่ไป ลืมไปว่าพี่จะต้องกดดันจะต้องเหนื่อยมากแค่ไหน แต่พี่วางใจเถอะครับ ต่อไปผมจะไม่ตั้งคำถาม ไม่ตั้งความต้องการอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ผมจะต่อจากนี้คือการยืนอยู่ข้างๆพี่ ให้กำลังใจพี่ ช่วยเหลือพี่ไปตลอดเท่าที่พี่ต้องการ
ผมสัญญาครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่ทิ้งพี่ไปไหนแน่นอน เพราะผมคือแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่และผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเลย
-
15th Shoot
พี่ศรเป็นมนุษย์ที่มีความน่ารัก Lv.100
น้องปุณย์’s Part
“นี่เราจะไปไหนกันเหรอครับ”
ผมถูกพี่ศรปลุกตั้งแต่เช้าทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดแท้ๆเลย พี่ศรบอกว่าจะพาผมออกไปข้างนอกบ้างเพราะเห็นว่าตั้งแต่ผมมาเรียนที่นี่ผมก็ยังไม่เคยได้ออกไปไหนเลย ผมเองแค่รู้ว่าจะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกก็ตื่นเต้นมากๆเลยครับ พยายามถามพี่ศรหลายครั้งว่าจะพาผมไปไหนแต่พี่เขาก็ไม่ยอมบอก ขนาดตอนนี้ถูกจับให้เข้ามานั่งในรถแท็กซี่จนรถขับออกมาสักพักแล้วพี่ศรก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม
“ไปข้างนอกไง” จนสุดท้ายพี่ศรตอบเสียงเรียบ
“ข้างนอกคือที่ไหนละครับ”
“อย่าถามมากน่า บอกไปมึงจะรู้จักเหรอ”
“พี่ก็บอกมาก่อนสิครับว่าจะไปที่ไหน”
“ไปสยาม”
“โห! สยามเหรอครับ ตอนผมอยู่เชียงใหม่เคยแต่เห็นในทีวีแต่ยังไม่เคยไปเลยครับ”
“วันนี้ก็ได้เคยแล้วไง”
“ขอบคุณนะครับที่พาผมมา แต่ว่า…ทำไมวันนี้พี่ถึงใจดีพาผมมาเที่ยวละครับ” นั้นสิ พักหลังๆมานี่พี่ศรใจดีกับผมมากๆเลย เรื่องเดินไปเรียนเป็นเพื่อนที่คณะกับตอนกลับบ้านพร้อมกันไม่นับ เพราะว่าพี่ศรตอนที่ถึงแม้ยังชอบทำหน้านิ่งๆก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังๆมานี่ผมรู้สึกได้เลยว่าพี่ศรนะอารมณ์ดีขึ้นมากๆ เวลาอยู่ด้วยกันพี่ศรก็ยิ้มบ่อยกว่าเดิมเยอะเลย แถมวันนี้ยังใจดีพาผมมาเที่ยวด้วยอีก
“ก็แค่สงสารเด็กที่วันๆอยู่แต่ในมหา’ลัยไม่เคยไปไหน ก็เลยพามาเที่ยวแค่นั้น”
“ครับ ยังไงก็ขอบคุณพี่มากนะครับ พี่น่ะใจดีที่สุดเลย อ๊ะ!” จังหวะที่ผมกำลังยกมือไหว้ขอบคุณพี่ศรรถแท็กซี่ที่เรานั่งมาก็เบรกกะทันหันจนผมเซเสียหลักลงไปซบเข้ากับหน้าอกของพี่ศรอย่างแรกจนเกิดเสียง หัวใจผมกระตุกวูบแทบจะทันทีเพราะรู้สึกได้ถึงวงแขนของพี่ศรที่โอบกอดผมไว้จากด้านหลัง
มะ…ไม่ไหว เป็นแบบนี้ไม่ไหวแน่ๆ มันใกล้มากจนได้ยินเสียงหัวใจพี่ศรเต้น สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของพี่ศร และที่สำคัญตอนนี้ใจผมเต้นแรงมากๆเลย
“ขอโทษครับ” รถแท็กซี่ที่เบรกกะทันหันกลับมาขับตรงตามปกติแล้ว ผมกล่าวคำขอโทษพี่ศรที่ไปโดนตัวพี่เขาแบบนั้น พยายามจะขืนตัวออก แต่ว่ามือของพี่ศรที่โอบกอดตัวผมไว้ก็ยังอยู่ในท่าเดิม
“เอ่อ…พี่ศรครับ” ผมช้อนสายตามองหน้าอีกคนอย่างไม่เข้าใจนัก พี่ศรก็ยังทำหน้านิ่งมองไปข้างหน้าไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ผมเลยต้องออกเสียงเรียกอีกครั้ง “พี่ศร…”
“นั่งนิ่งๆ”
“…”
“ในเมืองรถติด เดี๋ยวก็เบรกอีก”
“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย
ถึงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนกำลังทำอยู่ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธหรือทัดทานอะไรเลย สิ่งเดียวที่รู้ตอนนี้คือหัวใจเต้นแรงมากๆเลย ถ้าพี่ศรทำตัวน่ารักแบบนี้บ่อยๆสักวันผมต้องหัวใจล้มเหลวตายไปซะก่อนแน่ๆ
อากาศร้อนและแสงแดดของกรุงเทพฯไม่เคยหยุดทำงานถึงแม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ก็ตาม ทันทีที่รถแท็กซี่พาเรามาถึงจุดหมายซึ่งก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่จากมหาวิทยาลัยของเรา เพียงแต่ว่าวันนี้รถติดมากๆก็เลยทำให้ใช้เวลาในการเดินทางนานพอสมควร มาถึงผมก็ถูกพี่ศรดุเอาเรื่องจะช่วยพี่เขาจ่ายค่าแท็กซี่ พี่ศรบอกว่าพี่เขาเป็นคนชวนมาวันนี้เขาจะเป็นคนเลี้ยงเอง แถมยังบอกให้ผมเก็บเงินไว้กินขนมอีก เห็นผมเป็นเด็กอนุบาลหรือยังไงนะ
“ที่นี่เหรอครับสยาม”
“อืม”
“ใหญ่มากเลยครับ ที่เชียงใหม่ก็มีห้างนะครับแต่ว่าไม่ใหญ่ขนาดนี้”
“แล้วทำไมถึงต้องมาเรียนถึงกรุงเทพ ไม่เรียนที่บ้านตัวเองละ” คำถามแสนธรรมดาที่พี่ศรถาม แต่พอลองได้เงยหน้าขึ้นสบตาอีกคนผมรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ แววตาพี่ศรเหมือนมีคำตอบที่เขารู้อยู่แล้วแต่เขาก็ถามผมไปอย่างนั้น
“คือ…คือผม…” จะตอบยังไงดีวะไอ้ปุณย์ จะให้บอกเหรอว่าที่มาเรียนกรุงเพทฯก็เพราะพี่ศรนั้นแหละ
ไม่ได้ๆ ยังไงก็ให้พี่ศรรู้ไม่ได้ ว่าแต่ถ้าไม่ให้รู้…แล้วจะปฏิเสธยังไงดีละ
“เด็กบื้อเอ้ย” เหมือนพี่ศรจะจับสังเกตอาการผิดปกติของผมได้เขาถึงได้เลือกที่จะทำลายบรรยากาศตึงเครียดนี้ลงด้วยการยีหัวผมเล่นอย่างที่เขาชอบทำ
“หัวผมยุ่งหมดแล้วนะ” ผมมุ่ยหน้าให้อีกคน
“จะได้เหมือนเด็กบื้อจริงๆงไง”
“พี่อะ!”
“ดูหนังกันไหมวันนี้หรือจะกินข้าวก่อน”
“พี่เลี้ยงใช่ไหมครับ”
“เออ ไม่ต้องมาทำตาลุกวาวหรอก ก็บอกแล้วว่าวันนี้กูพามาเลี้ยง”
“งั้นกินข้าวก่อนก็ได้ครับ กินเสร็จแล้วค่อยไปดูหนังต่อ” ผมตอบอย่างมั่นใจ สำหรับผมแล้วไม่ว่าจะมีกี่ตัวเลือกก็ตามผมต้องเลือกเรื่องกินมาก่อนอยู่แล้ว
“เด็กเห็นแก่กิน” พี่ศรดึงแก้มผมจนยืดติดมือ
“อือ…พี่” ผมปัดมือพี่ศรออกก่อนจะถูที่แก้มแรงๆเพราะพี่ศรดึงเล่นจนเจ็บไปหมด “ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะครับ แต่กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องนี่น่า”
พี่ศรน่ะถึงชอบว่าผมว่าเห็นแก่กินแต่ก็ยอมพาผมไปเลี้ยงข้าวอยู่ดี แถมยังให้ผมเลือกร้านเองด้วย มื้อนี้ก็เลยกลายเป็นมื้อที่ผมมีความสุขมากๆเพราะเป็นการออกมากินข้าวข้างนอกครั้งแรกเลย เป็นครั้งแรกที่มากับพี่ศรด้วยแถมพี่ศรยังใจดีและน่ารักมากๆเลย
“อยากดูหนังเรื่องอะไร” ตอนนี้พวกเรามาหยุดกันอยู่ตรงที่ไหนสักที่ ตรงนี้น่าจะเป็นโรงหนังละมั้ง พี่ศรกำลังไล่ดูรายชื่อหนังตรงหน้าจอรายการ ส่วนผมตอนนี้ไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากน้ำอัดลมกับป็อปคอร์นถังใหญ่ที่พี่ศรซื้อให้
“ไม่รู้ครับ พี่เลือกเลยก็ได้”
“ได้ยังไงละ วันนี้กูอุตส่าห์พามึงออกมาข้างนอกทั้งทีจะให้กูเลือกคนเดียวได้ยังไง”
“ก็ผมไม่รู้นี่ครับว่าจะดูเรื่องไหน อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยได้ดูหนังด้วย”
“ถ้าไม่สนุกอย่ามาบ่นกูแล้วกัน”
“ครับบบ!” ผมลากเสียง
ผมไม่มีทางว่าพี่หรอกครับ ไม่ว่าพี่ศรจะทำอะไร เลือกอะไรหรือชอบอะไรผมก็เห็นด้วยทั้งนั้น ก็ผมเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่เลยนะไม่มีทางที่ผมจะขัดใจพี่หรอก
หนังที่พี่ศรเลือกดูเป็นแนวไซไฟอย่างที่พี่ศรชอบ รอบที่เราเลือกคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะเหมือนจะเป็นรอบแรกๆของวันที่เริ่มฉาย พี่ศรดูท่าทางแล้วจะชอบหนังแนวนี้มากๆเลย ตอนนี้อีกคนมองไปที่หน้าจอที่กำลังฉายฉากต่อสู่อยู่อย่างไม่กระพริบตา
ปัง! ปัง!...บึ้ม!
“เชี่ย!” จะเป็นเพราะหนังมันสมจริงมากๆหรือระบบเสียงที่นี่ดีเกินไปก็ไม่รู้ พอถึงฉากต่อสู้ของหุ่นยนต์ที่ทั้งเรื่องไม่ยิงกันก็ปาระเบิด ยิ่งเสียงระเบิดมันดังจนเล่นเอาผมตกใจจนต้องเผลอร้องออกมา
“ตกใจอะไรหนังต่อสู้นะไม่ใช่หนังผี”
“ก็เสียงมันดังนี่ครับ” ผมมองหน้าพี่ศรอย่างอายๆ สายตาพี่ศรตอนนี้มันดูแปลกๆ จนเมื่ออีกคนยิ้มมุมปากออกมาผมถึงได้รู้
“เอ่อ…แหะๆ ขอโทษครับ” ผมค่อยๆคลายมือออก เมื่อกี้ตอนตกใจผมเผลอไปกอดเข้าที่แขนของพี่ศรซะแน่นเลย รู้สึกอายชะมัด แค่ตกใจเพราะฉากยิงกันก็แย่พออยู่แล้ว วันนี้ยังไปโดนตัวพี่ศรตั้งสองครั้ง
“เด็ก”
“ครับ? พี่ว่าอะไรนะ”
“กูบอกว่ามึงน่ะเป็นเด็ก แบบนี้ยังจะมาเรียนไกลบ้านอีก”
“…” ผมเลิกคิ้ว นี่ผมกำลังโดนด่าอยู่ถูกไหม
“ดูแลตัวเองก็ไม่ได้” พี่ศรว่าต่อ
“อะไรเล่า ก็แค่ตกใจนิดเดียวเอง”
“ทำหน้ามุ่ยอีกละ นี่ไงถึงบอกว่าเด็ก”
“ก็พี่ว่าผมอ่ะ”
“แล้วมันจริงไหมละ”
“…” มันก็…จริงอยู่นั้นแหละ แต่ไม่เห็นจะต้องมาว่ากันเลย ผมจะงอนพี่ศรแล้วนะ
“แต่ก็ช่างเหอะ ถ้ายังอยู่ด้วยกัน…” เอ้า! อย่าเว้นช่วงสิพี่คนกำลังรอฟัง “กูจะปกป้องมึงเอง”
“พี่ว่าอะไรนะ” คนก็อุตส่าห์ตั้งใจฟัง ประโยคสุดท้ายดันมาพูดเสียงเบาจนฟังไม่ได้ยินซะอีก
“ไม่มีอะไร เงียบได้แล้วกูจะดูหนัง” ซะงั้น ตัวเองมาพูดให้อยากฟังเองแท้ๆ พอถามก็มาทำหน้านิ่งใส่เฉย
ไม่รู้ว่าที่พี่ศรพูดเมื่อกี้น่ะจะว่าผมหรือเปล่า คงไม่หรอกมั้ง ก็ตอนนี้พี่ศรน่ะแอบมีรอยยิ้มมุมปากให้เห็นหน่อยๆด้วย เพราะฉะนั้นพี่ศรพูดเมื่อกี้ก็คงจะเป็นเรื่องดีแหละมั้ง สงสัยคงจะอายละสิท่าถึงได้ทำหน้านิ่งๆกลบเกลื่อนแบบนั้น
เฮ้อ! ช่างเถอะเอาไว้ค่อยถามใหม่อีกทีแล้วกัน
“หนังสนุกจังเลยนะครับ” ผมบอกพี่ศรระหว่างทางเดินออกจากโรงหนัง ตอนนี้เราดูหนังกันจบแล้ว ยอมรับว่าหนังเรื่องนี้พอตอนท้ายๆผมลองที่จะตั้งใจดูก็พบว่ามันก็สนุกจริงๆ มิน่าละพี่ศรถึงได้ชอบหนังแนวนี้
“เหรอ ตอนแรกเห็นกลัวไปหมดทุกฉาก” แนะ! แซวน้องอีก
“ก็ตอนแรกมันตกใจนี่ครับ พอดูไปสักพักก็เริ่มชินแล้วก็ชอบไปเอง”
“ถึงบอกไงว่ามึงมันเด็ก” อะไรเล่าโดนว่าอีกละ
“พี่ชอบหนังแนวนี้เหรอครับ ผมเห็นพี่ตั้งใจดูตลอดเลย”
“ไม่ตลอดหรอก ก็มีตอนเด็กที่ไหนไม่รู้มาเกาะแขนทำเอาดูไม่รู้เรื่องเลย”
“พี่อ่ะ…ก็ผมตกใจนี่น่า ตอนหลังๆผมไม่ตกใจแล้วไหมละ”
“หึ!” พี่ศรยิ้มมุมปากยื่นมือมาดึงแก้มผมเล่นอีกแล้ว
“ไว้วันหลังพี่พาผมมาดูอีกนะครับ”
“ทำไม ชอบดูหนังแนวนี้แล้วไง”
“ชอบสิครับ ชอบมากๆเลยด้วย พี่คงไม่รู้หรอกว่าพี่ชอบอะไรผมก็ชอบแบบนั้นแหละ” ถึงตอนนี้พี่ศรนิ่งเงียบไปจนผมแอบตกใจ ไม่รู้ผมพูดอะไรผิดหรือพูดอะไรให้อีกคนไม่พอใจอีกหรือเปล่า
“รู้แล้ว”
“ครับ? รู้อะไรเหรอครับ” ผมขมวดคิ้วถาม
“ก็รู้ว่ามึงชอบในสิ่งที่กูชอบ”
“…” พี่ศรพูดอะไรแปลกๆอีกแล้ว
“ขอบใจนะ”
“ขอบใจผมเหรอครับ เรื่องอะไรครับ” อยู่ดีๆก็มาขอบใจผมเรื่องอะไร แล้วที่บอกว่ารู้แล้วพี่ศรหมายถึงเรื่องอะไรที่ว่ารู้แล้ว
หมับ!
และสิ่งที่เลือกทำก็คงไม่พ้นการยื่นมือออกไปวางสัมผัสบนหน้าฝากของอีกคน
“ตัวก็ไม่ร้อนนะ”
“นี่แน่”
“โอ้ย!” พี่ศรดีดหน้าผากผมอีกแล้ว
“คิดจะทำอะไร”
“ก็วันนี้พี่ดูแปลกๆอ่ะ ดูใจดีแปลกๆ มองผมแปลกๆ แล้วก็พูดจาแปลกๆด้วย ผมก็แค่จะลองวัดอุณหภูมิพี่ดูว่าไม่สบายหรือเปล่า”
“จะเอาอีกทีไหม”
“ไม่เอาแล้วครับๆ” ผมรีบร้องห้ามเมื่อเห็นว่าพี่ศรยกมือขึ้นจะมาดีดหน้าผากผมอีกแล้ว ผมจะไม่ลองดีกับนิ้วของนักธนูเด็ดขาด ดีดทีรู้สึกเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดเลย
“ดูหนังเสร็จแล้วอยากไปไหนต่อไหม”
“ผมอยากไปร้านเครื่องเขียนครับ อยากได้เครื่องเขียนใหม่”
“แล้วทำไมไม่ซื้อที่มหา’ลัย”
“โหย ไม่เอาครับ ที่มหา’ลัยมีแต่ลายไม่สวย อีกอย่างทุกอันมีตรามหา’ลัยทั้งนั้นเลย ผมอยากได้ลายอื่นๆที่มันสวยๆบ้าง”
“เครื่องเขียนต้องเลือกลายด้วยหรือไง ไม่ใช่แค่เขียนๆไปแค่นั้นเหรอ มันก็เหมือนกันนั้นแหละ”
“ไม่เหมือนนะครับ” ผมเถียง “เครื่องเขียนน่ะมันก็เหมือนเครื่องประดับนั้นแหละครับ ถ้าเราได้ลายที่ถูกใจเราก็จะชอบและดีใจมากๆ อยากจะจับอยากจะใช้มันบ่อยๆ พี่อย่าทำเป็นเล่นไปนะผมน่ะสอบได้เกรดดีๆเพราะใช้วิธีนี้เลยนะ”
“เหอะ! ท่าจะเป็นเอามากนะมึงเนี่ย”
“ฮือออ! พี่ศรอ่ะ ดึงแก้มผมเล่นอีกแล้วนะ”
“ก็มึงมันทำตัวเป็นเด็ก ต่อไปนี้ซ้อมวิ่งทุกวันเลยนะ แก้มย้วยจะติดมือกูมาแล้ว”
“พี่อะ!”
ผมมุ่ยหน้าใส่พี่ศรอย่างไม่ชอบใจ นี่ก็ซ้อมวิ่งทุกวันอยู่แล้วเหอะ อีกอย่างผมไม่ได้ใช้แก้มวิ่งแข่งสักหน่อยเหอะ ถ้าแก้มผมมันจะยืดมันก็ยืดเพราะพี่ดึงเล่นบ่อยๆนั้นแหละ
“มัวแต่ทำหน้าเป็นตูดลิง จะไปไหมร้านเครื่องเขียน”
“ไปครับบบ” ผมลากเสียงตอบ ถึงจะมุ่ยหน้าให้พี่ศรในตอนแรก แต่พออีกคนบอกว่าจะยอมพาไปร้านเครื่องเขียนความรู้สึกผมก็เปลี่ยนไปทันทีเลย ถ้าพี่ศรจะพาไปเครื่องเขียนจะดึงแก้มผมเล่นเท่าไหร่ก็ได้เลย ผมยอม
“ปล่อย!”
“…”
“ปล่อยนะ!” ระหว่างทางเดินไปร้านเครื่องเขียน ผมเดินตามพี่ศรต้อยๆอย่างคนไม่รู้ทางจนกระทั้งมาสะดุดเข้ากับเสียงที่ดังมาจากด้านที่เหมือนจะเป็นทางเดินเข้าไปยังห้องน้ำ
“ดูอะไร” เมื่อเห็นว่าผมหยุดเดินตามพี่ศรเลยเดินย้อนกลับมาถาม
“พี่ว่าเขามีเรื่องกันหรือเปล่าครับ” ผมชี้ไปทางด้านที่เกิดเสียง ภาพที่เห็นคือมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนล้อมผู้หญิงอีกคนอยู่ เหมือนกำลังยื้อแย่งอะไรบางอย่างกันอยู่ด้วย
“เราควรเข้าไปช่วยเขาดีไหมครับ” ผมเงยหน้าขึ้นถามพี่ศร
“เขารู้จักกันหรือเปล่า อาจจะเรื่องส่วนตัว….” แต่ในระหว่างที่พี่ศรยังพูดไม่ทันจบเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้น
“ช่วยด้วยคะ!”
“อย่าร้อง”
เพี้ยะ! จนเสียงดังจากแรงตบพร้อมกับร่างของผู้หญิงคนนั้นที่ทรุดนั่งลงกับพื้น
“เชี่ย!” ผมเผลอร้องอุทานออกมา “พี่ศร…” กำลังจะหันไปขอความเห็นจากพี่ศรแต่พอหันมาอีกทีตอนนี้พี่ศรหายแล้ว ผมหันซ้ายหันขวาถึงได้เห็นว่าพี่ศรวิ่งไปกระโดนถีบไอ้ผู้ชายคนนั้นแล้ว
“เฮ้ยมึงใครวะ มาเสือกอะไรกับเรื่องของผัวเมีย” ชายคนนั้นที่ถูกพี่ศรกระโดดถีบเข้าเต็มแรงลุกขึ้นโวยวาย
“ไม่ใช่นะคะพี่ หนูไม่ได้เป็นอะไรกับมัน ไอ้นี่มันจะมากระชากกระเป๋าหนูคะ” ผู้หญิงคนนั้นว่า
“อีนี่!...โอ้ย!” ผู้ชายคนนั้นดูโมโหมาก เขาง้างมือจะตบผู้หญิงคนนั้น แต่โชคยังดีที่พี่ศรคว้ามือมันไว้ได้ทันก่อนจะออกแรงรวบตัวผู้ชายคนนั้นไว้ในท่าที่ถูกจับเอามือไขว้หลัง แต่มันก็นิ่งสงบอยู่ได้ไม่นาน ก่อนที่ไอ้โจรนั้นจะออกแรงดิ้นจนหลุดจากการจับกุมของพี่ศรแล้ววิ่งหนีไปเลย
“พี่ศร” ผมวิ่งตามเข้าไปสมทบ
“ของคุณครับ” พี่ศรก้มลงหยิบกระเป๋าสะพายที่โจรมันทิ้งเอาไว้คืนให้ผู้หญิงคนนั้น เธอดูมีอาการตกใจมากๆเพราะยังตัวสั่นอยู่เลย ถ้าผมเป็นเธอก็คงตกใจเหมือนกันที่เจอเหตุการณ์แบบนั้น
“ขอบคุณมากนะคะ” ผู้หญิงเจ้าของกระเป๋ากล่าวคำขอบคุณ เธอพยายามจะมอบเงินให้พี่ศรเป็นรางวัลแต่พี่ศรไม่ยอมรับ เรื่องก็จบลงด้วยการขอบคุณกันปกติก่อนที่พวกเราจะแยกกัน
“เมื่อกี้พี่โคตรเท่เลยนะครับ ตอนพี่วิ่งเข้าไปกระโดดถีบไอ้โจรนั้น ผมอยากจะเอามือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอไว้จริงๆ”
“พูดเกินไปละมึง”
“จริงๆนะครับ ก็พี่เท่จริงๆนี่น่า ผมบอกแล้วไงว่าพี่ศรของผมน่ะเก่งที่สุดแล้ว”
“เป็นอะไรกับกูละถึงมาพูดว่าพี่ศรของผมน่ะ” พี่ศรถามยิ้มๆ มองผมด้วยสายตาแปลกๆอีกแล้ว จะแกล้งอะไรเราอีกแน่เลย
“ก็เป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่ไงครับ” แล้วผมก็ทำท่าปล่อยแสงของอุลตร้าแมนให้พี่ศรดู สิ่งที่ได้กลับมาก็มีเพียงแค่การถอนหายใจแรงๆแล้วก็เดินหนีผมไปเลย
เอ้า! ซะงั้น คนอุตส่าห์ชมแท้ๆ
“พี่ศรรอผมด้วย!”
จะว่าไปวันนี้พี่ศรดูหล่อกว่าทุกวันเลย ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่ที่จะเห็นพี่ศรแต่งชุดไปเที่ยวหล่อๆแบบนี้ ยิ่งวันนี้พี่ศรทำความดีเป็นฮีโร่มายิ่งทำให้พี่ศรดูหล่อกว่าเดิมหลายเท่าเลย แต่สำหรับผมไม่ว่าพี่ศรจะแต่งตัวยังไง ใส่ชุดอะไรก็หล่อสำหรับผมหมดแหละ
พี่ศรพาผมมาเลือกซื้อเครื่องเขียนใหม่ๆหลายชิ้นเลย ตอนแรกพี่ศรบอกว่าจะออกตังให้แต่ผมไม่ยอม เรื่องอะไรจะมาให้พี่ศรจ่ายตังให้ผมล่ะ นี่มันปากกากับเครื่องเขียนของผมเองทั้งนั้น แค่วันนี้พี่ศรออกค่าแท็กซี่ให้ พามาเลี้ยงข้าวกับเลี้ยงหนังผมก็เกรงใจจะแย่ แต่ถึงจะบอกไปว่าไม่ให้พี่ศรจ่ายให้พี่ศรก็ยังยืนยันจะจ่ายให้อยู่ดี จนผมต้องโกหกว่าไปเข้าห้องน้ำแล้วแอบเอาเครื่องเขียนที่จะซื้อมาจ่ายเงินเอง ตอนแรกพี่ศรรู้ก็บ่นผมตามเคยนั้นแหละ แต่โดนบ่นก็ยังดีกว่าให้พี่ศรจ่ายเงินให้ แบบนั้นเกรงใจแย่
“ได้เครื่องเขียนแล้วจะไปไหนต่อไหม”
“ไม่ครับ เรากลับกันเลยก็ได้ พี่พาผมมาเที่ยวทั้งวันแล้วผมเกรงใจ”
“อืม งั้นกลับเลยก็ได้”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ
“มานี่” พี่ศรยื่นมือออกมา
“อะไรเหรอครับ”
“เอาของมานี่เดี๋ยวกูถือให้เอง” พี้ศรส่งสายตากดดั้นมาให้ ผมก้มลงมองตามสายตานั้นก่อนจะกระชับถุงเครื่องเขียนกับหนังสือสองสามเล่มที่ซื้อมาไว้กับตัวแน่น
“ไม่ให้ครับผมถือเองได้”
“ตัวเล็กเท่าลูกหมาจะถือของเยอะแยะขนาดนั้นได้ยังไง ส่งมานี่”
“ไม่ครับ”
“ดื้อวะ” พี่ศรยื่นมือมาจะคว้าเอาถุงเครื่องเขียนของผมไปถือให้ได้แต่ผมเบี่ยงตัวหลบได้ก่อน
“ไม่ให้ครับ ผมถือเองได้จริงๆ”
หมับ!
พี่ศรจัดการหยุดผมที่เอาแต่เบี่ยงตัวหลบพี่เขาไปมาด้วยการจับข้อแขนทั้งสองข้างของผมไว้ก่อนที่เราจะสบตากัน
“ถ้าไม่ให้กูถือให้ดีๆ กูจะถือทั้งถุงทั้งมึงเลยดีไหม”
“…”
“จะส่งมาให้กูช่วยถือดีๆหรือจะให้กูอุ้ม” อะ…อุ้มเหรอ กลางห้างเนี่ยนะ ไม่มั้งพี่ศรคงไม่ทำแบบนั้นหรอก ใครจะไปกล้าละจริงไหม แต่ทำไม…สายตาที่พี่เขามองมามันถึงทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เขา…พูดจริงๆยังไงก็ไม่รู้
และสุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้พี่ศรแต่โดยดี ถุงเครื่องเขียนและหนังสือทั้งหมดที่ผมเคยถือก็ย้ายไปอยู่ในความดูแลของพี่ศรเรียบร้อย ถุงสองสามใบที่ผมใช้มือถือถึงสองข้างเพราะมันก็แอบหนักเอาเรื่องเหมือนกัน พอมันไปอยู่ในมือที่ศรมันดูเหมือนเบาไปเลยเพราะพี่ศรใช้มือแค่ข้างเดียวก็ถือของพวกนั้นไว้ได้หมดเลย
หรือเราควรจะไปเล่นกล้ามเพิ่มดีนะ พอกล้ามใหญ่แบบพี่ศรแล้วจะถืออะไรก็ดูเบาไปหมดเลย
ตอนขามาเมื่อเช้านี้ว่ารถติดแล้วนะ ตอนนี้ขากลับรถติดยิ่งกว่าอีก ติดแบบติดหนึบ ติดไม่ขยับ ติดเหมือนจะเข้าแข่งขันชิงรางวัล ผมกับพี่ศรยืนรอรถแท็กซี่ที่จุดรอรถมาเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีรถมาเลย
“เราเดินกันไปไหมครับพี่ศร” จนสุดท้ายเป็นผมที่ถาขึ้น ตอนขามาแอบสังเกตว่าสยามกับมหา’ลัยของผมก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่ ถ้าเดินไปเรื่อยๆก็คงไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอกมั้ง
“จะไหวเหรอมึงนะ” พี่ศรถาม
“ไหวสิครับ พี่อย่าลืมนะว่าผมเป็นนักวิ่งนะครับ ขาของผมถึงจะเล็กแล้วก็สั้นกว่าของพี่ แต่ผมรับรองว่าเรื่องความอดทนผมไม่แพ้พี่แน่นอน”
“ให้มันจริงอย่างที่โม้เถอะ”
“จริงๆนะครับ ผมน่ะวิ่งร้อยเมตรยังไม่หอบเลย เรื่องอื่นผมอาจจะไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องวิ่งนะผมไม่แพ้ใครเลย”
สิ่งที่ได้กลับมาจากพี่ศรคือการถอนหายใจแรงและส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ถ้าพี่จะทำขนาดนั้นด่าผมมาเถอะครับ
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ระหว่างทางผมแอบชำเลืองมองหน้าพี่ศรและแอบยิ้มเล็กๆกับตัวเองหลายครั้ง
ขอบคุณพี่มากนะครับพี่ศร ผมไม่เคยเสียใจเลยที่ตัดสินใจมาหาพี่ที่นี่ ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้พี่ ทุกครั้งที่ได้รู้จักพี่มากขึ้น เรื่องวิ่งน่ะพี่อาจจะคิดว่าผมโม้แต่ผมพูดจริงๆนะครับ ที่ผมทำได้อย่างทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณพี่มากๆเลย เพราะพี่เป็นแรงบันดาลใจของผม เป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดัน ถึงพี่จะไม่เคยรู้ตัวมาก่อนก็เถอะ แต่ยังไงผมก็ขอบคุณพี่มากๆเลยนะครับที่เข้ามาทำให้โลกของผมเปลี่ยนไป
สำหรับผมแล้ว พี่ศรน่ะเป็นคนที่เลเวลความหล่อผมให้สิบ เลเวลความเท่ก็ให้เต็ม แต่สำหรับวันนี้เลเวลความน่ารักผมให้พี่ร้อยไปเลยแล้วกันครับ
-
16th Shoot
รู้มาตั้งนานแล้ว
พี่ศร’s Part
“พี่ศรครับผมหิวน้ำ”
น้ำเสียงงอแงของเจ้าเด็กร่วมห้องที่ผมพามาเที่ยววันนี้ร้องบอก สภาพการจราจรที่ไม่เป็นใจกับการออกไปไหนเลยของกรุงเทพฯทำให้ผมกับเด็กนี่ตัดสินใจเดินกลับหอพักเพราะไม่มีแท็กซี่ให้นั่ง ถ้าจะให้บอกจริงๆผมไม่ชอบบรรยากาศที่มีผู้คนเดินเบียดเสียดกัน แย่งอากาศ แย่งทางเดินกันอย่างตอนนี้เลย แต่ในเมื่อมันเป็นทางเดียวที่จะกลับหอพักได้ผมก็คงต้องยอม
“ข้างหน้ามีร้านสะดวกซื้ออยู่ เดี๋ยวกูแวะซื้อให้”
“ขอบคุณครับ” น้ำเสียงดีใจกับรอยยิ้มไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกคน
เด็กจริงๆด้วยสินะ ทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าโดนคนอื่นเดินชนตั้งหลายรอบแล้วยังยิ้มได้อยู่ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธคนที่มาชนไปแล้ว คงจะเด็กจริงๆนั้นแหละ เด็กซื่อบื้อด้วย ถ้าไม่ซื่อบื้อก็คงไม่ลงทุนมาที่นี่เพราะเหตุผล…ที่มันเขียนไว้ในสมุดโน๊ตหรอก
“เหวอ!”
“…” นั้นไงคิดได้ไม่ทันไรก็สะดุดจะล้มอีกแล้ว ถ้าผมไม่ดึงแขนไว้ก่อนเด็กนี่คงได้ลงไปกองกับพื้น ถ้าเจ็บตัวขึ้นมางอแงร้องไห้ลำบากผมอีก
“เดินยังไงไม่ระวังเลย”
“ขอโทษครับ ผมมัวแต่มองดูของกิน”
“ดูทางด้วยอย่ามัวแต่ห่วงของกิน อ้วนจะเป็นหมูแล้ว”
“อือ…ไม่ใช่สักหน่อย น้ำหนักผมอยู่ในเกณฑ์ต่างหาก” อีกคนทำหน้ายู้เถียง
“น้ำหนักอาจะผ่าน แต่ส่วนสูง…” ผมแกล้งช้อนสายตามองอีกคนตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่ผ่าน”
“พี่ศรอะ!”
“หึ!”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเสพติดการแกล้งเด็กนี่โดยไม่รู้ตัว อยากแกล้ง อยากทำให้อีกคนหน้ามุ่ยใส่ อยากเห็นอีกคนทำสีหน้าไม่ชอบใจแบบเอ๋อๆที่มันชอบทำ คงเป็นเพราะว่ามันทำให้ผมรู้สึกเหมือน…สนิทกันมากขึ้นละมั้ง ไม่รู้สิ ผมไม่ชอบที่เด็กนี่ทำท่าทางอึดอัดกับผม ไม่ชอบที่มันทำท่าทางเหมือนกลัวผมตลอดเวลา มันเหมือนมีระยะห่างระหว่างเราสองคน
ถ้าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่น ความสัมพันธ์ที่มีระยะห่างแบบนั้นอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่อยากให้ระหว่างผมกับไอ้ปุณย์เป็นแบบนั้น
“พี่ศรผมอยากกินหมูปิ้ง” คนที่บ่นหิวน้ำเมื่อห้านาทีก่อนตอนนี้กำลังตาลุกวาวมองไปทางร้านหมูปิ้งที่อยู่ถัดไปไม่ไกล
“กินอะไรของมึง ไม่กลัวอ้วนหรือไง”
“ไม่ครับ กินแค่ไม่กี่ไม้เองไม่อ้วนหรอกครับ” ได้ยินแบบได้ผมทำได้แค่ส่ายหน้ากับถอนหายใจ เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ ลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬาอยู่นะ ถึงปีหนึ่งจะไม่ได้ลงเรียนวิชาเฉพาะทางอะไรมากนักแต่ก็ควรจะรู้ไหมว่าอาหารพวกนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพ
“เถียงเก่ง”
“พี่ศร ดีดหน้าผากผมอีกแล้วนะ” แล้วก็เป็นไปตามคาด อีกคนทำหน้ามุ่ยใส่ผมอย่างที่คิดไว้ ยกมือขึ้นถูกหน้าผากที่ถูกผมดีดนิ้วใส่เหมือนลูกหมาเลย
“เอานี่”
“อะไรครับ”
“เงินไง เอาไปซื้อสิ เมื่อกี้บอกว่าอยากกินหมูปิ้งไม่ใช่หรือไง”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไรครับ ผมซื้อเองก็ได้ แค่นี้ก็เกรงใจพี่มากแล้ว”
“จะเกรงใจทำไม ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้จะพามาเที่ยว ตอนนี้ยังไม่หมดวันเลยกูก็ต้องเลี้ยงสิถึงจะถูก”
“แต่…”
“ไม่ต้องแต่แล้ว เอาไป” ผมยัดเงินใส่มือของเด็กปุณย์ไป ถ้าไม่ทำแบบนี้อีกคนก็คงไม่หยุดเถียง ขนาดยอมที่จะรับเงินไปแล้วยังทำหน้ามุ่ยเหมือนจะร้องไห้อีก
“คือผม…”
“ถ้าเงินเหลือก็ซื้อมาเผื่อกูด้วยแล้วกัน กูจะกินกับมึงด้วย ถือซะว่าซื้อมากินด้วยกันแบบนี้โอเคไหม”
“โอเคครับ” อีกคนยิ้มกว้าง ถ้าพูดง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่แรกก็คงไม่โดนดีดหน้าผากหรอก
“ซื้อเสร็จแล้วมารอกูที่หน้าร้านสะดวกซื้อนั้นนะ” ผมชี้ไปทางร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล “เดี๋ยวกูเข้าไปซื้อน้ำรอ”
“ครับ” ไอ้ปุณย์พยักหน้ารัวรับคำก่อนจะก้าวเท้าวิ่งไปร้านหมูปิ้งที่ตัวเองอยากกิน “พี่ศรครับ” แต่ในระหว่างนั้นอีกคนเลือกที่จะหยุดวิ่งแล้วหันกลับมาตะโกนบอกบางอย่างกับผม "ขอบคุณพี่มากๆเลยนะครับสำหรับวันนี้" พูดเสร็จก็หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปร้านหมูปิ้งต่อ
“กูสิต้องขอบคุณมึง ขอบคุณที่มึงเข้ามาในชีวิตของกู ขอบคุณที่เขามาเป็นกำลังใจให้กูไม่เดินหนีตัวเอง ขอบคุณนะ…ปุณย์” คำพูดที่ใครอีกคนคงไม่ได้ยิน ผมยืนพูดอยู่ที่เดิม สายตาเฝ้ามองใครอีกคนกำลังยืนเลือกหมูปิ้งอย่างดีใจ
ขอบคุณที่ฟ้าส่งรอยยิ้มบนใบหน้าซื่อบื้อนั้นมาให้ผม
“สิบหกบาทคะ”
ผมหยิบเงินยื่นให้พนักงานร้านสะดวกซื้อตามจำนวนที่เขาแจ้ง ตอนเข้ามาก็ลืมถามไอ้ปุณย์ไปเลยว่าจะกินน้ำอะไร สุดท้ายก็เลยเลือกน้ำเปล่านี่แหละง่ายและดีต่อสุขภาพที่สุดแล้ว วันนี้ตอนกินข้าวก่อนดูหนังก็เห็นกินน้ำอัดลมไปตั้งหลายแก้วแล้ว ต้องให้กินน้ำเปล่าบ้างละ แก้มย้วยเป็นหมูแล้วยังชอบมาเถียงว่าตัวเองไม่อ้วนอีก
กระชับจับขวดน้ำในมือไว้แน่น ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้อีกครั้ง แค่นึกว่าว่าเด็กนั้นจะต้องทำหน้าแบบไหนถ้ารู้ว่าผมซื้อน้ำเปล่าให้มันก็น่าสนุกแล้ว
“อ๊ะ!”
แต่พอออกมาจากร้านสะดวกซื้อภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ขวดน้ำในมือผมหล่นลงพื้นเสียดัง ภาพที่ผมเห็นคือกลุ่มผู้ชายสองสามคนกำลังยืนรุมล้อมไอ้เด็กปุณย์อยู่ คนตัวเล็กกำลังนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกหนึ่งในกลุ่มผู้ชายพวกนั้นบีบเข้าที่ข้อแขนเต็มแรง
“มึงบอกกูมาว่ามันอยู่ไหน” เสียงผู้ชายคนเดิมที่บีบแขนเด็กปุณย์ไว้ร้องตวาดเสียงดัง
“ไม่รู้ โอ้ย!” เหมือนคำตอบของไอ้ปุณย์จะยังไม่ถูกใจของพวกนั้นมันถึงได้ออกแรงบีบหนักขึ้น
“จะเอายังไงกับมันดีวะ” อีกคนนึงในกลุ่มถาม
“มันไม่ยอมพูดก็สั่งสอนแม่งเลย”
หมับ!
ผมรีบเข้าไปคว้าข้อมือของไอ้ชั่วที่กำลังง้างขึ้นจะต่อยไอ้เด็กปุณย์ไว้ ได้มองหน้าไอ้พวกอันธพาลพวกนี้ชัดๆถึงจำได้ว่ามันคือคนเดียวกับที่จะกระชากกระเป๋าผู้หญิงในห้างก่อนหน้านั้น
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคนที่พวกนี้คาดคั้นถามหาจากไอ้ปุณย์ก็คือ…ผม
“มึง!” และในจังหวะเดียวกัน ไอ้อันธพาลคนนั้นเองก็เหมือนจะจำผมขึ้นมาได้เหมือนกัน
“อะไรวะมึง” อันธพาลอีกคนถาม
“ก็ไอ้เหี้ยนี่แหละที่เข้ามาขัดจังวะกู”
“พี่ศร…” เสียงเรียกที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดของคนที่ตัวเล็กกว่าใครในที่นี้ เด็กนั้นกำลังมองมาทางผมสายตาละห้อย ผมเหลือบไปเห็นหยดน้ำตาที่หางตาของอีกคน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้เด็กนี่คงเจ็บมาก
แขนเล็กๆแบบนั้นจะทนแรงบีบของไอ้พวกอันธพาลพวกนี้ได้ยังไง
“ปล่อยเด็กซะ” ผมยื่นคำขาด
“ทำไมมึงห่วงมันมากหรือไง”
“ปล่อยคนของกูเดี๋ยวนี้” เมื่อเห็นว่าไอ้อันธพาลพวกนั้นไม่ยอมทำตามที่ผมบอก คนที่จับแขนไอ้ปุณย์ไว้ยังออกแรงบีบหนักขึ้นกว่าเดิม ผมเองก็ออกแรงบีบมือของมันข้างที่ผมจับไว้ไม่แพ้กัน
ตอนนี้ทั้งผมและมันจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งผมตัดสินใจปล่อยหมัดออกไปซัดหน้าหนึ่งในพวกมันจนเซถลาล้ม
“อ๊ะ…พี่ศร” ผมรีบคว้าตัวคนที่ตัวเล็กกว่าเพื่อนมายืนอยู่ข้างๆ ใช้มืออีกข้างที่เหลือโอบกอดไว้เหมือนจะปกป้องไม่ให้อีกคนได้รับอันตราย
ผลั่ก!
จังหวะชุลมุนที่ผมกำลังต่อสู้กับคนพวกนั้นอยู่ มีบางทีที่ผมพลาดถูกถีบ เตะ หรือต่อยบ้าง ถึงแม้จะเป็นสามรุมหนึ่งผมก็ไม่กลัว สิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือต้องปกป้องเด็กนี่ไว้ให้ได้
“พี่ศรระวังครับ”
“อั่ก!” ผมถูกหนึ่งในพวกมันจับล็อกไว้ก่อนจะถูกต่อยเข้าที่หน้าจนรู้สึกเจ็บ สัมผัสได้ถึงรสอุ่นคาวของเลือดที่มุมปาก คอเสื้อถูกหนึ่งในพวกมันจับไว้จนคับแน่น
“อย่าทำอะไรพี่ศรนะ”
“โฮ้ยยย! มึงกัดกูเหรอวะ”
ผัวะ!
เส้นอารมณ์ของผมขาดผึ่งลงไปทันทีที่เห็นไอ้เด็กปุณย์ที่ช่วยผมด้วยการกัดแขนไอ้อันธพาลที่กำลังจะต่อยผมจนตัวเองถูกตบหน้าอย่างแรง
“มึง!” ผมถีบอีกคนที่ล็อกตัวผมไว้จากด้านหลังจนมันเซล้มไป ไม่รอช้าผมรีบสวนหมัดต่อยหน้าอีกหนึ่งคนในกลุ่มพวกมันที่เหลือจนล้มลงไปอีกคน
“ลุกไหวไหม” ผมรีบหันไปถามไอ้ปุณย์ เข้าไปประคองตัวอีกคนให้ลุกขึ้น
“ไหวครับ” อีกคนตอบผมกลับอย่างเหนื่อยล้า
“อดทนหน่อยนะ ยังวิ่งไหวไหม”
“ไหวครับ ผมเป็นนักวิ่งนี่น่า” ผมส่ายหน้าให้ความซื้อบื่อของอีกคน ถ้าเป็นเวลาปกติจะจับเขกหัวซะให้เข็ด ขนาดโดนทำร้ายจนมีสภาพแบบนี้ยังจะมาทำเป็นเล่น
ผมถีบและต่อยไอ้สองอันธพาลนั้นอีกครั้งเพื่อไม่ให้พวกมันตั้งหลักยืนขึ้นมาได้ ก่อนจะออกแรงดึงแขนอีกคนให้วิ่งตาม ลำพังถ้าผมตัวคนเดียวผมก็พอจะสู้มันได้เพราะไม่ต้องพะวงอะไร แต่ตอนนี้มันต่างออกไปจากนั้น ผมมีใครอีกคนที่ต้องห่วงมากกว่าตัวเอง เด็กที่อ่อนต่อโลกไปจนจะซื้อบื้ออยู่แล้วแบบเด็กนี่จะไปสู้ใครเข้าได้ ถ้าต้องสู้กับพวกนั้นไปด้วย คอยเป็นหัวไอ้ปุณย์ไปด้วยก็คงจะแย่ทั้งคู่
“เฮ้ย! พวกมึงหยุดนะเว้ย”
“มันตามมาครับพี่ศร”
“มึงจะทำอะไร” ผมหันมาถามเพราะไอ้เด็กปุณย์หยุดวิ่งแล้วก้มลงถอดรองเท้าของตัวเองขว้างใส่พวกอันธพาลที่วิ่งตามมา
“ไอ้พวกบ้าตื้อไม่เลิก” สิ่งที่เด็กนี่เลือกทำคือถอดรองเท้าตัวเองแล้วคว้างอย่างสะเปะสะปะใส่พวกนั้น ทำแบบนี้มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรนอกจากจะทำให้เสียเวลาจนพวกมันตามมาทัน ผมเลยเลือกที่จะคว้าเอาข้อมือของไอ้ปุณย์แล้วออกแรงดึงให้วิ่งตาม
“ไปทางนี้”
ผมพาไอ้ปุณย์วิ่งลัดเข้าไปอีกทาง เป็นเพราะพวกอันธพาลนั้นยังคงวิ่งตามมาไม่หยุด ถ้าวิ่งตามถนนใหญ่คงต้องเป็นเป้าสายตาพวกมันแน่ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องเลือกใช้วิธีวิ่งหลบตามซอกซอยเล็กๆพวกนี้แทน
“ข้างหน้ามีรถตุ๊กตุ๊ก มึงขึ้นไปก่อนเลย” พอพวกเราเลือกที่จะใช้ช่องทาหนีเป็นซอยเล็ก ปลายทางที่ซอยนั้นพามาถึงเป็นอีกด้านของถนนใหญ่ เราเจอเข้ากับรถตุ๊กตุ๊กคันหนึ่งที่จอดอยู่ริมทาง
“ไปเลยครับลุง” ขึ้นรถมาได้ผมบอกพี่คนขับให้ออกรถันที
“ไปไหนครับน้อง”
“ยังไม่รู้ครับช่วยออกรถไปก่อนนะครับ จะไปที่ไหนไว้ผมจะบอกอีกที”
“เอางั้นก็ได้ งั้นหาที่เกาะแน่นๆได้เลยครับน้อง”
ตอนนี้รถตุ๊กตุ๊กที่เรานั่งมาขับออกจากจุดที่พวกผมขึ้นรถมาได้สักพักแล้วผมถึงบอกพี่คนขับว่าให้ไปส่งพวกเราที่ไหน พอหมดอาการชาแล้วความเจ็บตามร่างกายและใบหน้าก็รู้สึกชัดเจนขึ้น ผมไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ผมห่วงอีกคนที่นั่งข้างๆผมอยู่ตอนนี้ เป็นเพราะเราจับมือกันตั้งแต่ตอนที่วิ่งออกมาจากพวกอันธพาลพวกนั้น เลยทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ใครอีกคนกำลังตัวสั่นมากแค่ไหน
“ยังกลัวอยู่เหรอ”
“คะ…ครับ พี่ว่ายังไงนะครับ” ถามแค่นี้ก็ต้องสะดุ้ง ยังกลัวอยู่จริงๆสินะ
“กูถามว่ายังกลัวอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ครับ” ผมเชยคางอีกคนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา ทั้งๆที่ตัวสั่นอยู่แท้ๆยังจะมาโกหกว่าไม่กลัว
“สายตามึงฟ้องว่ามึงกำลังก็โกหก”
“…”
“กูจะถามมึงอีกที มองตากูแล้วบอกกูอีกทีว่ายังกลัวอยู่ไหม”
“ก็…นิดนึงครับ” อีกคนตอบเสียงแผ่วเบาอย่างกล้าๆกลัวๆ
หมับ!
“พี่ศร พี่จะทำอะไรครับ”
“ก็กอดมึงไง”
“…”
“กอดไว้จะได้หายกลัว”
“แต่…”
“ขอกอดได้ไหม” เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเราอีกครั้ง เราสองคนสบตากันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ผมมองตาอีกคนด้วยความรู้สึกที่กำลังจะตัดสินใจบางอย่าง ส่วนอีกคนมองผมกลับด้วยความรู้สึกตื่นกลัวอย่างที่อีกคนชอบเป็น
“ถามว่ากอดได้ไหม” ผมถามย้ำ กระชับอ้อมกอดแน่ขึ้น
“ผม…ผมไม่รู้” ไอ้ปุณย์หลบสายตา ก้มหน้ามองต่ำอย่างเขินอาย
หึ! เด็กซื้อบื้อ
“เจ็บไหม” ผมค่อยๆใช้นิ้วลูบไล้ตามแขนและข้อมือของอีกคนที่มีแต่รอยแดงและฟกช้ำ ค่อยๆไล่สัมผัสบนแก้มนิ่มที่ขึ้นริ้วแดงจากการถูกพวกอันธพาลนั้นทำร้ายจนมีเลือกออกตรงมุมปาก
“เจ็บครับ” อีกคนเงยหน้าขึ้นตอบ ยังเห็นคราบน้ำตาที่แห้งไปแล้วบนหางตาของอีกคน
“ขอโทษนะ…ที่พามาเจอเรื่องอะไรแย่ๆแบบนี้”
“ไม่เป็นไรครับ” อีกคนส่ายหน้า “ไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย พวกนั้นน่ะมันคนอันธพาลเองนี่น่า”
“ทำหน้ามุ่ยอีกแล้ว”
“ก็มันจริงนี่ครับ พวกนั้นน่ะคนไม่ดี ถ้าคนพวกนั้นไม่ตามมาหาเรื่องพี่ก็คงจะไม่เจ็บตัว”
“กูน่ะไม่เท่าไหร่หรอก จะห่วงก็แต่มึง กู…ไม่อยากให้มึงต้องมาเจ็บตัวไปด้วย”
“ขอบคุณพี่มากนะครับพี่ศรที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอโทษที่ผมช่วยอะไรพี่ไม่ค่อยได้เลยแถมยังจะทำตัวเป็นภาระให้พี่ด้วย”
“กูบอกเหรอว่ามึงเป็นภาระ” ผมยีหัวอีกคนเบาๆ อยากเห็นอีกคนำหน้ามุ่ยไม่ชอบใจแบบที่มันชอบทำ
“ก็…ผมเป็นแบบนั้นจริงๆนี่น่า” อีกคนพูดเสียงเบาลงอย่างคนน้อยใจ เปลี่ยนอารมณ์เร็วจริงๆนะไอ้เด็กบ๊อง
“ขอบคุณมึงด้วยนะ”
“ครับ? ชอบคุณผมเรื่องะไรเหรอครับ”
“ก็…ขอบคุณที่กูมีมึงอยู่ข้างๆ”
“แน่นอนสิครับ ก็ผมเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่นี่น่า” พูดจบไอ้ปุณย์ก็ทำท่าอุลตร้าแมนปล่อยแสงแบบทีมันชอบทำ ดูเหมือนเด็กปัญญาอ่อนไม่มีผิด แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะห้ามหรือบอกให้อีกมันหยุดทำเลย
จะหยุดทำไมในเมื่อมันทำให้ผมยิ้มได้ทุกที
“ปุณย์” ผมสอดประสานนิ้วมือที่เกาะกุมมืออีกคนไว้แน่น สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะตัดสินใจพูดคำนี้ออกมา “ขอบคุณนะ ขอบคุณที่เลือกชอบกู ชอบกูทั้งที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน ถ้ามึงไม่ตัดสินใจมาที่นี่ ไม่ตัดสินใจมาหากูชีวิตกูก็คงไม่มีวันนี้”
“พี่ศร…”
“มึงทำให้กูหันกลับมาสนใจตัวเองอีกครั้ง ทำให้กูไม่วิ่งหนีปัญหาและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน ก็จริงอย่างที่มึงพูดนั้นแหละ สำหรับกูแล้วยิงธนูคือชีวิต คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำรับกู แต่ตอนนี้กูคิดว่ากูมีอะไรที่สำคัญเพิ่มเข้ามาอีกอย่างแล้ว กูไม่รู้ว่าเขามาสำคัญกับกูตอนไหน กูรู้แค่ว่ากูเป็นห่วงเขาตลอดเวลา กูไม่ชอบเวลาเห็นเขาร้องไห้ ไม่ชอบเวลาคนอื่นเข้าใกล้เขา กูมีความสุขและยิ้มออกมาได้เองอย่างไม่รู้ตัวทุกครั้งเวลากูอยู่กับเขา แล้ววันนี้กูก็มั่นใจแล้วว่าเขา…คืออีกอย่างที่สำคัญกับชีวิต สำคัญกับหัวใจกูไม้แพ้ยิงธนูเลย”
“…”
“เขาคนนั้นคือมึงนะ”
“เอ่อ…พะ…พี่ศร”
“กูรู้ว่ามันอาจจะเร็วไป แต่…คบกับกูไหม”
“…”
พอพูดออกไปแล้วผมยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่ผมก็คงจะอธิบายไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะบอกได้ก็คือผม…โคตรจะมีความสุขมากๆเลย
“เงียบทำไมละ เลิกหน้าแดงแล้วก็ตอบมาได้แล้ว”
“อะไรเล่า” อีกคนมองค้อนเพราะถูกจับได้ว่าแอบหน้าแดง “ผมก็แค่…ยังตั้งตัวไม่ทัน”
“คนที่ยอมลงทุนลงมาหากูเพราะแอบชอบกูจากหน้าทีวีแบบมึงมีตั้งตัวไม่ทันด้วยเหรอวะ”
“พะ…พี่รู้เหรอ” ถูกจับได้แบบนี้ไอ้เด็กปุณย์ตัวแสบถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“อืม รู้แล้ว รู้มาตั้งนานแล้วด้วย”
“พี่รู้ได้ยังไง”
“กูเห็นสมุดบันทึกของมึงแล้ว เขียนว่ายังไงนะ วันนี้พี่ศร…”
“พอแล้วไม้ต้องพูด” อีกคนลืมอาการเจ็บตัวไปเลย พอจะถูกแซวก็รีบยื่นมือมาปิดปากผมอย่างลืมตัว
“หึ! สรุปจะคบกันได้ยัง”
“ไม่! ผมโป้งพี่แล้ว พี่มาแอบอ่านสมุดบันทึกผมได้ยังไง” อีกคนทำหน้ามุ้ยแถมยังทำตาขวางใส่ผมอีก
“แอบอ่านที่ไหน ก็มึงเก็บไม่เป็นที่จนมันหล่นลงมาเอง กูอุตส่าห์ช่วยเก็บให้แท้ๆ”
“ก็นั้นแหละ ถ้าพี่รู้แล้วพี่ก็ควรจะบอกให้ผมรู้ตัวสิ ผมก็กลัวแทบแย่เลยรู้ไหม กลัวว่าพี่รู้แล้วพี่จะเกลียดผม”
“เอ้า! จะร้องไห้ทำไม เดี๋ยวคนเขาก็หาว่ากูรังแกมึง” จากมองค้อน ทำตาขวาง ตอนนี้กลายเป็นตาแดงจะร้องไห้ซะงั้น ผมเลยเปลี่ยนจากการกุมมือเป็นดึงตัวอีกคนเข้ามากอด ค่อยๆยกมือขึ้นเกลี่ยหยาดน้ำตาของเด็กขี้แงออกให้
“ขี้แยแบบนี้ยังคิดจะปิดความลับไว้ได้อีกเหรอ”
“ก็พี่อ่ะ…” อีกคนทำท่าจะเถียง ดิ้นขลุกอยู่ในอ้อมกอดผม
“ไม่สำคัญหรอกว่ากูจะรู้เรื่องตอนไหนหรือรู้ได้ยังไง แต่ตอนนี้กูก็รู้แล้วนี่ไง แล้วกูก็ตอบตกลงนะ”
“ตกลงอะไรของพี่”
“ก็ตกลงให้มึงชอบกูได้ไง แล้วกูก็จะชอบมึงกลับด้วย”
“ขี้ตู่”
“เอ้า! ทีมึงจะยังชอบกูได้เลย แถมยังลงมาหา มาอยู่กับกูถึงที่อีก ตอนนี้ก็หายกันแล้วนะกูชอบมึงกลับแล้วนี่ไง”
“ไม่เอาแล้วผมโกรธพี่แล้ว โป้ง!”
“จะดิ้นทำไม”
“พี่นั้นแหละปล่อยผมเลย ผมอายนะ”
“อายใคร”
“ก็อายลุงคนขับไง” ไอ้ปุณย์พูดเสียงเบาจนเหมือนกระซิบ
หึ! ท่าทางคงจะอายจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกพ่อหนุ่ม ตามสบายกันเลยนะ ลุงไม่เห็นหรอกลุงต้องมองทาง” เสียงคุณลุงคนขับตะโกนกลับมาทำให้ผมต้องแอบยิ้ม
“เห็นไหม ลุงแกไม่ว่าอะไรหรอก”
“ยังไงผมก็ไม่คบกับพี่อยู่ดี”
“ได้ยังไงละ ทีมึงยังชอบกูก่อนได้เลย”
“ก็ผมน่ะแค่ชอบ ผมไม่ได้ขอพี่คบสักหน่อย พี่จะคบกับผมได้ยังไงพี่ยังไม่ได้จีบผมเลยนะ”
“งั้นหมายความว่าถ้ากูจีบมึง มึงจะยอมคบกับกูใช่ไหม”
“ไม่รู้ ผมไม่บอก”
“งั้นก็ตกลงตามนั้น”
“พี่ศร พี่พูดเองเออเองทั้งนั้นเลยนะ”
“ก็มึงบอกว่ากูยังไม่จีบกูก็จะจีบแล้วนี่ไง แต่กูจะจีบมึงด้วยกติกาพิเศษนะ”
“ยังไง”
“ก็ในระหว่างที่กูจีบมึง ห้ามใครเข้าใกล้มึง ห้ามใครแตะเนื้อต้องตัวมึงแล้วก็ห้ามใครจีบมึงด้วย โอเคไหม”
“ไม่ ผมไม่โอเคอะไรทั้งนั้น”
พอผมยอมคลายแรงกอด เด็กดื้อที่งอแงเพราะผมไปรู้ความลับที่ตัวเองไม่เคยจะปกปิดให้เป็นความลับอะไรเลยสักนิดเข้าก็ทำหน้ามุ่ยหน้างอไม่ยอมคุยกับผม จะยังไงก็ตามผมอยากจะชอบคุณคนบนฟ้าหรืออะไรก็ตามที่ส่งเด็กคนนี้เข้ามาในชีวิตของผม ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ผมอยากให้เขารู้ไว้ว่าเขาได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตผมแล้ว
-
17th Shoot
จะจีบหรือคบก็ไม่ต่างกัน
น้องปุณย์’s Part
หลายวันต่อมา
“อือออ” ผมค่อยๆรู้สึกตัวตามสัมผัสของแสงสว่างที่เล็ดรอดผ่านเปลือกตาที่ยังเปิดไม่สนิทของผม หลายวันมานี้ผมหลับสนิทติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว คงจะเป็นเพราะช่วงนี้ผมเหนื่อยกับการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่มากๆเลย ตอนแรกผมแอบดีใจที่ตัวเองไม่ต้องไปร่วมเชียร์เพราะเป็นนักกีฬา แต่มาตอนนี้มันเริ่มไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เป็นนักกีฬาบางทีอาจจะเหนื่อยกว่าไปเข้าห้องเชียร์ซะอีก
“…”
หัวใจผมกระตุกวูบ จังหวะที่ผมยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างงัวเงียอยู่นั้น มือผมก็สัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง ไม่สิ! ต้องบอกว่าใครบางคนถึงจะถูก ผมมองไปด้านบนเพดาน ทุกอย่างยังดูคุ้นตาไปหมด ที่นี่ต้องเป็นห้องนอนของผมแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นคนที่ผมโดนตัวเขาอยู่ตอนนี้อาจจะเป็น…
ชะ…ใช่แน่ๆเลย ผมมองไปยังเตียงนอนที่เรียงอยู่ถัดไป เห็นชัดๆเลยว่าเตียงที่อยู่ริมสุดคือเตียงผม ถ้าอย่างงั้นตอนนี้ก็ต้องเป็นเตียงพี่ศร…
“อ๊ะ!” เมื่อมั่นใจว่าต้องใช่พี่ศรแน่ๆ ผมรีบรวบรวมเรี่ยวแรงดันตัวให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวเกินสองเซนติเมตรจากเตียงผมก็ถูกแรงดึงจากวงแขนแกร่งที่สวมกอดตรงช่วงเอวของผมดึงรั้งให้ล้มตัวลงนอน
“ตื่นแล้วเหรอ” น้ำเสียงนุ่มลึกที่คุ้นหูกระซิบถามผมเบาๆจากด้านข้าง
“พะ…พี่ศร ปล่อยผมครับ”
“อะไร อุตส่าห์ให้มานอนบนเตียงด้วยแท้ๆ จะตอบแทนกูหน่อยไม่ได้เหรอ” ตอบแทนอะไรกันเล่า! พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย
“ผมมานอนเตียงพี่ได้ยังไงครับ”
“กูอุ้มมา”
“หะ…หา อุ้มมาเหรอ แล้วพี่จะอุ้มผมมาทำไมเล่า!” ผมโวยวายหน่อยๆ พี่ศรร้ายกาจมากเกินไปแล้วนะ ผมจำได้ว่าเมื่อคืนผมก็นอนอยู่ที่เตียงของตัวเองตามปกติ แถมเตียงผมกับพี่ศรก็มีเตียงที่ว่างกันอยู่ตั้งสองเตียงด้วย ถึงว่าตื่นมาแล้วมาอยู่เตียงพี่ศรได้ยังไง อีกคนแอบอุ้มผมมาตอนหลับนี่เอง
“ก็มีลูกหมาที่ไหนไม่รู้นอนละเมอตกเตียงตั้งหลายรอบ กูอุ้มขึ้นบนเตียงก็ละเมอตกลงมาอีก กูก็เลยอุ้มเอามาไว้เตียงกูซะเลย”
“…” ไอ้พี่ศรบ้า นี่มันใช่วิธีช่วยคนนอนละเมอที่ไหนกันเล่า
“เขินเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบถาม มือทั้งสองข้างของพี่ศรยังออกแรงสวมกอดผมแน่นจนแผนหลังผมแนบชิดกับตัวพี่เขา
“ไม่ได้เขินสักหน่อย”
“ไม่เขินแล้วทำไมเสียงสั่นละ ตัวอุ่นๆด้วย”
“พี่ไม่ต้องมาพูดเลย ผมละเมอแล้วทำไมไม่ปลุกผมล่ะ พี่จะอุ้มผมมานอนด้วยทำไม” ประโยคสุดท้ายผมพูดเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไร้เสียง รู้สึกร้อนผ่าวเหมือนหน้าจะไหม้ หลอดเสียงที่ควรจะทำงานก็พาลทำงานติดขัดขึ้นมาทันที
“ถ้าไม่อุ้มมามึงตกเตียงเป็นอะไรไปกูจะทำยังไง ยังจีบไม่ทันติดเลยจะรีบตกเตียงตายหนีกูไปแล้วเหรอ”
“พี่ศร…บ้า”
“หึ! กูช่วยไว้แท้ๆยังมาด่ากูอีก ถ้าไม่ได้กูกอดมึงไว้ทั้งคืนมึงตกเตียงไปไม่รู้กี่รอบแล้ว”
หา…กะ…กอดงั้นเหรอ พี่ศรกอดผมทั้งคืนงั้นเหรอ โอ้ยยย! ใจเต้นแรงมากเลย ไม่ไหวแล้ว ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปหัวใจผมต้องล้มเหลวตายตอนนี้แน่ๆ
“ปล่อยผมได้แล้วครับ ผมจะไปอาบน้ำ” ผมออกแรงดิ้น พยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดพี่ศร
“กูอาบด้วย” แต่อีกคนกลับกระชับอ้อมกอดแน่น ซุกหน้าลงบนบ่าผมและเสียงทุ่มต่ำที่เอ่ยคำพูดน่าอายออกมา
“ไม่เอา! พี่จะมาอาบกับผมทำไมเล่า” ผมรีบปฏิเสธ บ้าเหรออยู่ดีๆจะมาขออาบน้ำด้วย ผมก็อายเป็นนะ
“อ้าว! อาบด้วยไม่ได้เหรอ” อีกคนพูดกลั้วหัวเราะ
“ไม่ได้!” ผมยืนยันหนักแน่น
“หึ!” พี่ศรไม่ได้ว่าอะไรต่อ อีกคนแค่ส่งเสียงในลำคอให้สงสัยเล่นๆแล้วก็ยอมคลายแรงกอด ผมรีบผละออกจากเตียงไม่ยอมหันไปมองพี่ศรอีกเลย ถึงจะสัมผัสได้ว่ามีสายตาของพี่ศรจ้องมองผมอยู่แน่ๆ แต่ผมก็เลือกที่จะรีบหยิบชุดที่จะต้องใส่กับผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัวแล้วรีบเข้าห้องน้ำไปเลย
“คนบ้า” ผมยืนพูดกับตัวเองในกระจกห้องน้ำ แค่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนว่าผมถูกพี่ศรอุ้มไปนอนเตียงเดียวกันก็รู้สึกร้อนที่หน้าจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว ยิ่งมารู้ว่าพี่ศรนอนกอดผมทั้งคืนด้วย ตอนนี้แค่หน้าพี่ศรผมยังไม่กล้าจะมองเลย
ปึง!
แต่แล้วเสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้ผมตกใจจนแปรงสีฟันที่มือเกือบจะร่วงหล่นพื้น
“พะ…พี่ศร พี่เข้ามาได้ยังไง” คนที่จู่ๆก็พรวดพราดเปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำคือพี่ศร ผมใจเต้นแรงหนักขึ้นเพราะพี่ศรไม่ได้ใส่เสื้อผ้า อีกคนเพียงแค่พันผ้าขนหนูปกปิดช่วงล่างไว้ นอกนั้นก็มีแค่ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พี่ศรพาดบ่าไว้อย่างหมิ่นเหม่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเห็นพี่ศรถอดเสื้อ แต่ทำไมก็ไม่รู้ครั้งนี้ผมถึงรู้สึกต่างออกไป จะเหมือนเดิมก็คือใจผมยังเต้นแรงเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือผมรู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัดจะตายอยู่แล้ว
“ขออาบน้ำด้วย” พี่ศรว่า
“ไม่ได้ ผมบอกพี่ไปแล้วนะ พี่ออกไปเลย” ผมออกแรงผลักพี่ศรให้ถอยหลังกลับแต่เหมือนมันจะไม่เป็นผลเลย เพราะถึงจะออกแรงมากแค่ไหนพี่ศรก็ไม่ขยับตัวเลยสักนิด จนผมรู้ตัวว่ากำลังสัมผัสหน้าอกที่เปลือยเปล่าของอีกคนอยู่ถึงได้รีบชะงักมือกลับมา
“ขออาบด้วย” เสียงทุ้มต่ำของพี่ศรย้ำคำเดิม
“ไม่ได้ครับ พี่ออกไปก่อนได้ไหม ปกติเราก็ไม่อาบน้ำด้วยกันนี่ครับ”
“ก็นั้นมันแต่ก่อน ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไง”
“ไม่เอา ตอนไหนก็ไม่ได้พี่ศรออกไปเลยนะครับ” ลองใช้น้ำเสียงอ้อนวอนดูแล้วกันเผื่อพี่ศรจะสงสารผมบ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือพี่ศรค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆ เห็นแบบนั้นผมก้าวเท้าถอยหลังหนีในทันทีเหมือนกัน
“อือออ..” จนกระทั่งหลังชนเข้ากับขอบอ่างล้างหน้านั้นหมายความว่าผมหมดทางหนีแล้ว พี่ศรก็โน้มตัวเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจของใบหน้าที่เข้ามาใกล้ในระยะประชิด “พะ…พี่ศรอย่าครับ” ผมจำต้องยกมือขึ้นสัมผัสหน้าอกเปลือยเปล่าของพี่ศรอีกครั้ง ออกแรงดันขัดขืนพร้อมส่งเสียงอ้อนวอน
“อย่าอะไร” พี่ศรถามเสียงเบา สายตาของพี่ศรน่ากลัวมากๆเลย
“อย่า…จูบ”
“หึ! คิดว่ากูจะจูบเหรอ”
“ก็…” ผมไม่กลาพูดต่อเพราะผมเองก็ยังไม่มั่นใจ ก็ใครจะไปรู้เล่า ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆแบบนี้ผมก็ต้องคิดแบบนั้นอยู่ไว้ก่อนแหละ
“ตรงนี้กูเคยจูบมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
“…” ผมสะดุ้งเฮือกกับคำพูดและนิ้วเรียวของอีกคนที่สัมผัสลงบนริมฝีปากผม ไออุ่นจากนิ้วพี่ศรตัดกับความรู้สึกเย็นของคราบยาสีฟันจนทำให้ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูก ส่วนแปรงสีฟันของผมตอนนี้ไม่รู้หล่นหายไปตั้งแต่ตอนไหนแล้ว
“วันนั้นที่กูเมา กูได้จูบตรงนี้ไหม” พี่ศรถามต่อ
“ผะ…ผมไม่รู้”
“ถ้างั้น…ให้ลองดูอีกทีไหม เผื่อจะจำได้”
“มะ…ไม่เอาครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“หึ! งั้นเหรอ” พี่ศรหัวเราะในลำคอ “แกล้งเล่นเฉยๆหรอก ไม่ต้องทำหน้ากลัวขนาดนั้นก็ได้” ฝ่ามือหนาของอีกคนยีลงที่หัวผมอย่างเบามือ ตอนนี้ผมไม่สนใจหรอกว่าพี่ศรจะแกล้งเล่นหรือทำจริง ผมรู้แค่ว่าตอนนี้หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ทั้งกลัว ทั้งอาย ทั้งตื่นเต้น ความรู้สึกมันตีกันไปหมด
แล้วพี่ศร…หมายความว่ายังไงว่าเคยจูบมาแล้ว หรือว่าพี่เขาจะรู้
“พี่ระ…รู้เหรอครับ”
“หืม รู้อะไร”
“ก็รู้ว่าพี่ เอ่อ…จะ…จูบผม”
“คิดว่าตัวเองเป็นคนโกหกเก่งมากเลยหรือไง” เฮ้ย! พี่แค่ตอบมาอย่างเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องขยับเข้ามาใกล้ขนาดนี้เลย
“เอ่อ…ผมไม่เข้าใจ พี่จะรู้ได้ยังไง ก็วันนี้ผมเห็นพี่เมามากๆ แถมผมก็…” ผมเบี่ยงหน้าหลบพี่ศรที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆอีกแล้ว ให้ตายสิ!
“ก็อะไร”
“ก็…ตีพี่จนสลบไปแล้วนี่น่า”
“อ๋อ นี่หมายความว่าตอนเช้าที่กูตื่นมาแล้วปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมดนี่คือมึงทำร้ายร่างกายกูว่างั้น”
“ผมขอโทษ” ผมรีบยกมือไหว้พี่ศร หลับตาปี๋เพราะไม่อยากเห็นว่าตอนนี้อีกคนกำลังโกรธผมมากแค่ไหน
“ตีกูไม่พอยังปล่อยให้กูนอนกับพื้นอีกนี่นะ”
“ก็พี่มาจูบผมก่อนนี่ ผมยังไม่เคยจูบกับใครเลยนะ ผมก็…ผมก็…ตกใจสิ”
“หึ! แล้วทำไมถึงไม่บอกกูว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่ตอนนั้นกูถามมึงตั้งหลายหน”
“ใครจะไปกล้าบอกกันเล่า ผมก็อายนะ อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าพี่จะโกรธผมหรือเปล่า”
“เด็กโง่”
“อ๊ะ!” พี่ศรดีดหน้าผากผมอีกแล้วนะ
“กูเป็นคนไปจูบมึงก่อนไม่ใช่เหรอ แบบนั้นแล้วกูจะโกรธมึงได้ยังไง”
“ก็ใครจะไปรู้เล่า” ผมก้มหน้าพูดเสียงเบา “พี่ยังไม่ได้บอกผมเลยนะว่าพี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง หรือว่าตอนนั้นพี่รู้สึกตัว”
“ไม่หรอก ตอนนั้นกูเมาจนไม่รู้เรื่องจริงๆ แต่กูจับพิรุธเด็กเรื่องแกะซื่อบื้อที่คิดว่าตัวเองโกหกเก่งได้”
“พี่หมายถึงผมเหรอ”
“ก็เออไง ท่าทางมึงนะมีพิรุธโคตรๆ ปากบอกไม่มีอะไรแต่สีหน้า แววตามึงมันฟ้องว่าพิน็อกคิโอแบบมึงน่ะโกหกไม่ได้เรื่อง”
“ใครจะไปรู้เล่าว่าพี่จะจับได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พี่รู้แล้วทำไมถึงไม่บอกผม ไหนจะเรื่องที่พี่รู้ว่าผม…” ผมช้อนสายตาขึ้นมองอีกคน ไม่กล้าจะเอ่ยคำนั้นออกมา
“แอบชอบกู” แต่ก็เป็นพี่ศรที่พูดคำนั้นออกมาแทน
“…” ที่ผมทำได้ตอนนี้ก็คือพยักหน้ารับเบาๆทั้งที่ตอนนี้โคตรจะรู้สึกเขินเลย
“ถ้างั้น…มึงก็ให้กูรับผิดชอบสิ” อีกคนว่า
“พี่หมายความว่ายังไง”
“คบกับกู” พี่ศรพูดเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยแววตาจริงจัง
“ผมจะอาบน้ำแล้ว” ผมรีบเบี่ยงประเด็น ไม่ต้องมาตีเนียนเลยนะพี่ศร ผมยังเคืองพี่อยู่ที่นะที่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วแต่ไม่ยอมบอกผม
“เฮ้อ! เด็กดื้อจริงๆมึงเนี่ย รีบอาบล่ะกูรออาบต่อ” จากนั้นพี่ศรก็เดินออกไป กดล็อกกลอนประตูจากด้านในก่อนจะปิดประตูห้องน้ำให้ผม
“…” เกือบไปแล้ว ผมขาอ่อนหมดแรงในแทบจะทันที ถ้าไม่เกาะขอบอ่างล่างหน้าไว้ทันผมคงลงมานั่งกองกับพื้นแล้ว เมื่อกี้นี่มันอะไรกัน ตอนนี้สมองผมประมวลผลอะไรไม่ได้อีกแล้ว แต่จะจำเอาไว้เลยว่าครั้งต่อไปผมต้องล็อกประตูห้องน้ำดีๆแล้วละ
หลังผมอาบน้ำเสร็จก็ถูกพี่ศรบังคับให้รอออกมาพร้อมกัน ตอนแรกผมคิดว่าจะฉวยโอกาสตอนพี่ศรอาบน้ำชิ่งหนีสักหน่อย แต่พออีกคนบอกว่าจะให้ช่วยเตรียมอุปกรณ์ยิงธนูผมก็ยอมใจอ่อนจนได้ สุดท้ายก็เลยต้องออกจากห้องมาพร้อมพี่ศร
ช่วงนี้ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่วุ่นๆอยู่กับการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่ พี่ศรเองก็ดูเหมือนว่ากำลังวุ่นอยู่กับการฝึกซ้อมยิงธนูด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยปรากฏภาพผมที่อยู่ในชุดวิ่งแข่งเดินอยู่ข้างๆพี่ศรที่อยู่ในชุดยิงธนู โดยมีผมเป็นคนถือกระเป๋าอุปกรณ์ให้พี่เขาเอง
ถึงจะยังเคืองๆพี่ศรอยู่ก็เถอะ แต่การได้ช่วยพี่ศรแม้จะแค่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม ผมก็รู้สึกมีความสุขเอยู่ดี
“วันนี้มีแข่งเหรอ” พี่ศรหันมาถามผม
“ครับ”ผมเพียงพยักหน้ารับคำ
“วันนี้มีซ้อมพอดีไม่งั้นคงได้ไปเชียร์มึงแล้ว มีแข่งอีกทีวันไหน”
“ถ้าวันนี้ชนะก็ต้องไปแข่งรอบชิงวันมะรืนครับ”
“ชนะให้ได้แล้วกัน”
“…”
“กูจะได้ไปเชียร์มึงแข่งรอบชิงไง”
“คะ…ครับ” ผมพยักหน้ารับ “แล้ววันนี้พี่ไปซ้อมทั้งวันเลยเหรอครับ”
“ใช่ ช่วงนี้ต้องซ้อมหนักหน่อย โค้ชเขาจะให้กูลงแข่งแมตสำคัญเดือนหน้า มึงจะไปเชียร์กูไหม” ได้ยินแบบนั้นผมหยุดชะงัก หันหน้าขึ้นมองอีกคน พี่ศรจะได้ลงสนามแข่งจริงๆแล้ว แถมตอนนี้…อีกคนกำลังชวนผมไปเชียร์เขาด้วย
“มัวแต่มองหน้ากูอยู่นั้นแหละ สรุปจะไปเชียร์กูไหม”
“ไปได้จริงๆนะครับ”
“ไปได้สิทำไมจะไม่ได้ รถตู้มอน่าจะมีที่ว่างเพราะพวกไอ้เบสมันไม่ไปรถตู้มอหรอก ถ้ามึงจะไปกูจะบอกโค้ชให้”
ตอนนี้ผมดีใจจนแทบจะหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ พอเหลือบไปสบเข้ากับสายตาของพี่ศรที่มองมาก็ทำให้ผมต้องขบเม้มปากฝืนตัวไม่ให้ยิ้มเอาไว้
“ไว้คิดดูก่อนแล้วกันนะครับ”
“หึ! ฟอร์มเยอะ”
“อะไรเล่า” ผมมุ่ยหน้าใส่พี่ศรเพราะอีกคนยื่นมือมายีหัวผมเล่นอีกแล้ว สายตาที่พี่ศรมองมาอย่างจับผิดทำให้ผมต้องรีบเดินหนี
“อ๊ะ!” เป็นเพราะเดินไม่ระวัง ผมเลยเหยียบเอาน้ำจากหลุมบนถนนกระเด็นขึ้นมาโดนรองเท้ากีฬาของตัวเอง จนเลอะขึ้นมาถึงต้นขา ผมรีบก้มลงไปเช็ดคราบน้ำนั้นออกด้วยมือเปล่า น้ำเน่านี่เหม็นชะมัดเลย
หมับ!
แต่ก็ต้องชะงักเพราะถูกจับเข้าที่ข้อมือไว้ซะก่อน
“จะทำอะไรเตี้ย” เป็นพี่ศรที่ถาม
“จะเช็ดน้ำออกไงครับ”
“ไม่ต้อง มานี่เดียวกูเช็ดให้”
พี่ศรเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมก่อนที่เขาจะนั่งย่อตัวลง ภาพที่ผมเห็นต่อจากนั้นคือพี่ศรล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดออกมา ก่อนที่อีกคนจะลงมือเช็ดคราบน้ำที่เลอะขาผมออกอย่างช้าๆ
“พี่ศรอย่าครับ”
“ทำไมละ กูจะเช็ดออกให้ไง”
“แต่ว่าผ้าเช็ดหน้าพี่มันจะเลอะนะครับ” ผมรู้ว่าถ้าพี่ศรใช้ผ้าเช็ดหน้านั้นเช็ดเท้าให้ผม พี่ศรจะต้องทิ้งผ้าผืนนั้นไปแน่ๆ วันนี้พี่ศรจะต้องไปซ้อมยิงธนูด้วย ถ้าพี่เขาเหนื่อยจนเหงื่อออกแล้วจะทำยังไงในเมื่อผ้าเช็ดหน้าถูกใช้ไปแล้ว
“เลอะแล้วไง หรือมึงจะไปวิ่งทั้งที่ขาเลอะแบบนั้น”
“แต่ว่า…”
“เลิกพูดมากได้แล้ว สำหรับกูผ้าเช็ดหน้านี่ยังไงมันก็ไม่สำคัญเท่ามึงหรอก”
เจออแบบนี้ไปผมก็ตายสิครับ คนพูดพอพูดเสร็จก็ก้มหน้าลงมือเช็ดคราบน้ำโคลนที่เปื้อนขาให้ผมต่อ จะมีก็แต่ผมที่ต้องเม้มปากแน่น รู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มอีกแล้ว ตอนนี้นอกจากพยายามกลั้นอาการเขินไว้ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย
จนกระทั่งพี่ศรจัดการเช็ดคราบน้ำโคลนที่เลอะขาผมจนหมดแล้ว ใครอีกคนถึงได้เดินเอาผ้าเช็ดหน้าที่เลอะจนเปลี่ยนเป็นสีดำไปทิ้งถังขยะที่อยู่ไม่ไกล
“ขอบคุณนะครับ”
“อืม” พี่ศรเพียงรับคำขอบคุณสั่นๆ อีกคนถึงแม้ในตอนนี้ก็ยังชอบทำหน้านิ่งที่เดาอารมณ์ได้ยากเหมือนเดิม จนกระทั่งอีกคนยื่นมือออกมาคล้ายจะให้ผมยืนมือตอบ
“ครับ?” ผมเงยหน้าถามอย่างสงสัย
“ยืนมือมาสิ จับมือกูไว้ เดี๋ยวก็เดินซุ่มซ่ามอีก จับมือกูไว้นี่แหละเดี๋ยวกูไปส่งที่สนามแข่ง”
“…”
ถึงตอนนี้ผมมองหน้าพี่ศรอย่างลังเล อีกคนยังทำหน้านิ่งๆและยื่นมือให้ผมอยู่อย่างนั้น
“ผมไม่จับหรอก” สุดท้ายผมก็เลือกที่จะปฏิเสธไป พูดเสร็จผมรีบก้าวเท้าเดินเบี่ยงไปอีกทาง แต่พี่ศรก็ขยับตัวมาขวางทางไว้ตลอด เบี่ยงไปทางซ้าย พี่ศรก็ขยับตัวมายืนขวาง เบี่ยงไปทางขวาพี่ศรก็มายืนขวางอีก
“พี่ศร!” จนกระทั่งผมเหลืออดต้องพูดว่าอีกคนออกไปแบบนั้น
“เอามือมา” แต่เหมือนพี่ศรไม่สนใจเลยนอกจากการยื่นมือมาให้ผมจับเหมือนเดิม
“ผมไม่จับครับ ผมเดินเองได้”
“ดื้อ”
“ผมไม่ได้ดื้อสักหน่อย รุ่นพี่รุ่นน้องเขาไม่จับมือกันหรอกนะครับ”
“แน่ใจว่ามึงคิดกับกูแค่รุ่นพี่”
“ก็…” โดนย้อนกลับมาแบบนี้ผมก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน
“รุ่นน้องอะไรแอบชอบรุ่นพี่” นั้นไง ขยี้ผมเข้าไป “อย่าเรื่องมากเอามือมานี่”
และสุดท้ายพี่ศรก็ชนะผมอย่างขาดรอย ผมแพ้อย่างราบคาบ แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้แข่งด้วยซ้ำ ก็ในเมื่อเรื่องที่อีกคนเอามาพูดน่ะความจริงทั้งนั้นนี่น่า
หมับ!
พี่ศรฉวยโอกาสตอนผมกำลังหมดทางสู้คว้าเข้าที่มือผม นิ้วเรียวยาวของพี่ศรสอดประสานเกาะกุมมือผมไว้จนแน่น หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งจนต้องก้มหน้าหลบสายตาและเม้มปากแน่นต่อสู้กับร่างกายที่จ้องแต่จะยิ้มออกมาอยู่ได้
“หึ!” ได้ยินเสียงพี่ศรกระตุกยิ้มก่อนที่มือหนาจะยื่นมาลูบหัวผมอย่างเบามือ
ทั้งตัวและหัวใจผมรู้สึกลอยละล่อง มันเบาหวิวเหมือนโลกนี้ไร้แรงโน้มถ่วงใดๆ จะมีก็แค่แรงรั้งดึงจากนิ้วมือของพี่ศรที่เกาะกุมมือผมไว้ตอนนี้เท่านั้นที่ยังทำให้ผมรู้สึกว่ายังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกบนโลกใบนี้
ผมลอบเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของบุคคลที่เกาะกุมมือผมเดินอยู่ตอนนี้หลายครั้ง กระเป๋าอุปกรณ์ยิงธนูถูกพี่ศรดึงไปถือไว้เองนานแล้ว ภาพที่เห็นตอนนี้ทำให้ผมนึกไปถึงวันแรกที่ผมแอบชอบพี่ศร ยิ่งมาเห็นใกล้ๆแบบนี้พี่ศรยังหล่อที่สุดสำหรับผมเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลย จากตอนแรกที่เจอกันพี่ศรน่ะทั้งดุทั่งใจร้ายกับผมเอามากๆเลย ใครจะไปคิดละว่าเราจะมีช่วงเวลาแบบนี้กันด้วย
แต่ยังไงก็เถอะ ผมน่ะไม่หายเคืองพี่ง่ายๆหรอกนะ
พี่ศรจูงมือพาผมเดินมาสักพักเราก็มาถึงสนามกีฬาที่ผมจะต้องแข่งวิ่งในวันนี้ มีนิสิตที่มาดูกีฬาเริ่มเดินทางมากันเยอะแล้ว ดังนั้นผมที่ถูกพี่ศรเกาะกุมมือไว้แน่นตอนนี้ถึงได้เลือกพยายามจะดึงมืออก
“เป็นอะไร”
“ถึงแล้วครับ พี่ปล่อยมือผมได้แล้ว” ว่าจบผมออกแรงพยายามขืนมือออก แต่พี่ศรก็เอาแต่ทำหน้านิ่งไม่ยอมผ่อนแรงจับมือผมสักที
“มึงนี่ตลกวะ”
“ผมตลกตรงไหน”
“ก็ตลกตรงที่ชอบทำหน้ามุ่ยเป็นตูดลิงไง” ยังจะมาพูดอีก รีบๆปล่อยมือผมได้แล้ว!
“พี่ศรปล่อยผมได้แล้วเดี๋ยวคนอื่นมาเห็น มันจะดูไม่ดีนะครับ”
“ไม่ดีตรงไหนก็เราชอบกัน มึงก็ชอบกู กูเองก็ชอบมึงจะไปสนใจคนอื่นทำไม”
“แต่เรายังไม่ได้คบกันนะครับ”
“ตอนนี้ก็จีบอยู่ไง”
“แค่จีบแต่ยังไม่ได้คบนะครับ”
“จีบกับคบก็ไม่ต่างกันหรอก ก็คนที่กูจีบอยู่น่ะตอนนี้ก็ชอบกูอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“…”
“ชอบมาก่อนกูจะจีบซะอีก” อีกคนยังพูดหน้าตาเฉยๆ เอาความจริงแบบนี้มาพูดแล้วจะเถียงยังไงเล่า!
เถียงไปยังไงก็แพ้พี่ศรอยู่ดี สิ่งที่ผมควรทำตอนนี้คือพยายามแกะมือพี่ศรที่เกาะกุมมือผมออก จนสุดท้ายเหมือนอีกคนจะยอมใจอ่อนปล่อยมือผมจนได้ ไม่รอช้าผมรีบเดินหนีจากอีกคนมาเลย ขืนอยู่นานกว่านี้ต้องโดยพี่ศรโจมตีอีกแน่ ช่วงนี้พี่ศรโจมตีผมหนักมากเลย หัวใจผมอาจจะวายเอาได้สักวันหนึ่ง
“เตี้ย”
“…” เสียงตะโกนที่ดังตามหลังมาทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง
“เต็มที่นะ กูจะรอไปเชียร์มึงวันแข่งรอบชิงแล้วกัน”
“อืม” ผมรีบพยักหน้ารับ แต่ไม่ทันที่จะหันหลังกลับพี่ศรก็ตะโกนบอกมาอีกครั้ง
“ขอบคุณนะที่มึงมาหากู ขอบคุณนะที่มึงมาอยู่ข้างๆกัน”
“…” คนบ้า อยู่ดีๆมาตะโกนแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย คนเริ่มจะมองมาแล้วนะ
“ขอบคุณที่มึงชอบกูด้วย อย่าพึ่งเลิกชอบกูแล้วกันเพราะยังไงตอนนี้กูก็ชอบมึงกลับแล้ว จะจีบให้ติดให้ได้เลย”
ผมไม่สนใจแล้วว่าพี่ศรจะพูดหรือทำหน้ายังไงอยู่ตอนนี้ ผมรีบหันหลังกลับแล้วเดินหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดเลย ไม่คิดเลยว่าพี่ศรที่ผมเคยกลัวแทบตายตอนจะคุยด้วยจะมาพูดคำนี้กับผม
เฮ้อ! รู้แบบนี้ไม่เขียนบันทึกไว้ก็ดีว่าแอบชอบพี่ศรน่ะ ไม่งั้นใครอีกคนก็คงยังไม่รู้ การที่ถูกพี่ศรชอบกลับแบบนี้ผมควรจะดีใจสิถึงจะถูก แต่พอเอาเข้าจริงๆทำไมผมถึงทำตัวไม่ถูกก็ไม่รู้
แล้วทำไมผมต้องยิ้มออกมากว้างขนาดนี้ด้วยเนี่ย โอ้ยยย!
-
:pig4: :pig4:
-
18th Shoot
ก็บอกแล้วไงว่าจะปกป้อง
น้องปุณย์’s Part
“โคตรตื่นเต้นเลย”
เสียงหอบหายใจไม่เป็นจังหวะดังแข่งกับเสียงเต้นของหัวใจที่เหมือนจะหลุดออกมาให้ได้ ภายในห้องน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกจัดไว้สำหรับนักกีฬาที่จะลงแข่ง มีร่างของผู้ชายตัวเล็กเหมือนเด็กม.ปลายกำลังยืนตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้ากระจกใบใหญ่ตอนนี้ ซึ่งคนนั้นคือก็…ผมเอง
วันนี้ผมจะต้องเข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของประเภทกีฬากรีฑา จากวันนั้นที่พี่ศรบอกว่าจะรอมาเชียร์ผมในวันแข่งชิงชนะเลิศ จนกระทั่งวันนี้ใครจะไปคิดว่าผมจะผ่านเข้ามารอบนี้ได้จริงๆ ทั้งๆที่เคยและผ่านการแข่งขันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆผมก็ยังอดตื่นเต้นจนใจสั่นไม่ได้อยู่ดี ก็วันนี้ผมต้องวิ่งตั้งสองร้อยเมตรเลยนี่น่า มาตรฐานเอเชี่ยนเกมส์เลยนะ มันก็ต้องมีกังวลกันบ้างแหละ
ปัง!
เสียงเปิดประตูดังขึ้นจนผมต้องหันไปมอง คนที่เข้ามาใหม่และปิดประตูห้องน้ำเสียงดังผมจำได้ว่าเป็นคนที่อยู่คณะวิศวะฯ เคยเห็นหน้าตอนแข่งรอบก่อนๆแต่ไม่เคยได้คุยกันสักที
ตอนนี้อีกคนก็อยู่ในชุดพร้อมแข่งขันเช่นเดียวกับผม ผมพอจะจำได้ว่าคนนี้ฝีเท้าการวิ่งไม่เลวเลย ออกจะน่ากลัวด้วยซ้ำ เขาตัวสูงและขายาวกว่าผมเยอะเลย
“นายคือคนที่อยู่คณะวิทย์’กีฬาใช่ไหม” คนที่เข้ามาใหม่ถามผม
“ชะ…ใช่ นายมีอะไรหรือเปล่า”
“นายจะออกจากการแข่งขันไปได้ไหม”
“หา! หมายความว่ายังไง” ผมเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เชื่อหู
“จะพูดให้ฟังแบบง่ายๆเลยนะ คณะวิศวะของเราต้องการเหรียญทองเหรียญนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะบอกนายด้วยความหวังดีว่าให้ถอนตัวซะ”
หวังดีเหรอ มาพูดกับคนอื่นแบบนี้ยังกล้าใช้คำนั้นได้โดยไม่อายบ้างเลยหรือไง
“ถ้าแบบนั้นนายก็ต้องชนะตามกติกาสิ จะมาให้คนอื่นยอมแพ้ตัวองทั้งที่ยังไม่ได้แข่งแบบนี้ได้ยังไง ไม่อายตัวเองบ้างหรือไง โอ้ย!...”
“มึงอย่ามาปากดี!” เหมือนผมจะพูดสะกิดโดนต่อมอารมณ์ของอีกคนเข้าให้ซะแล้ว ตอนนี้ใครอีกคนที่ยืนนิ่งในตอนแรกพุ่งเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้ก่อนจะออกแรงบีบแน่น
“ปล่อยนะ” ผมพยายามจะปัดมือเขาออก ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอีกคนไม่ได้มาดีด้วยแน่ๆ
“คนแบบมึงจะไปรู้อะไร มึงไม่รู้หรอกว่ากูทุ่มเทแค่ไหนกับการแข่งในวันนี้ มึงไม่รู้หรอกว่าคณะกูเขาหวังกับตัวกูไว้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นกูจะแพ้ไม่ได้”
ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่กีฬาเฟรชชี่ มันเป็นแค่การแข่งกันเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่ปีหนึ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงจะต้องจริงจังกันขนาดนั้นด้วย
“แต่นายทำแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะ กีฬาน่ะมันมีไว้เพื่อสร้างความสามัคคีไม่ได้เอาไว้ให้แค่เอาชนะกัน แพ้ชนะมันสำคัญตรงไหน…อ๊ะ!” แต่ผมพูดไม่ทันจบก็ต้องเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะอีกคนออกแรงบีบไหล่ผมมากขึ้นก่อนจะดันตัวผมจนติดกับอ่างล้างมือ
“กูบอกว่ามึงอย่ามาปากดี กูจะไม่ฟังไม่สนใจว่ามึงจะพูดอะไร กูจะพูดเขามึงดีๆเป็นครั้งสุดท้าย ถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้ซะ!” อีกคนพูดเสียงดังอย่างเอาจริง
“ไม่!” ผมเถียงกลับเสียงดังเช่นกัน “นาย…นายน่ะมาบอกคนอื่นว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬา แต่ความจริงคือนายนั้นแหละที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬาเลย…”
“….”
“เราไม่รู้หรอกนะว่านายจะเจอหรือถูกกดดันอะไรมา แต่การที่นายต้องการจะเอาชนะจนลืมจุดประสงค์ของการแข่งกีฬา แบบนี้ถึงนายจะชนะไปมันก็ไม่น่าภูมิใจหรอก แต่นั้นมันก็ไม่ได้น่าอายเท่ากับการที่นายอยากจะชนะมากจนต้องมาทำเรื่องแย่ๆแบบที่นายกำลังทำอยู่ตอนนี้”
“มึง…”
“โอ้ย!” ผมถูกเหวี่ยงจนกระเด็นลงมานั่งกองอยู่กับพื้น รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจากแรงกระแทกที่ได้รับ
“คนแบบมึงจะไปรู้อะไร”
“รู้สิ! ทำไมคนแบบเราจะไม่รู้ละ ก็ในเมื่อเราน่ะต้องพยายามทำอะไรตั้งเยอะกว่าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ เราต้องฝึกฝน เรียนรู้และทุ่มเทมากแค่ไหน ทำไมเราจะไม่รู้ละว่ากีฬาน่ะจริงๆแล้วมันเป็นยังไง นายนั้นแหละที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่ากีฬาเลย” ผมยืนขึ้นเถียงกับอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้
ผลั่ก!
“อ๊ะ!” ผมถูกอีกคนผลักจนล้มลงมานั่งกองอยู่กับพื้นเป็นรอบที่สอง อาการเจ็บปะปนกับความโกรธที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องเงยหน้ามองอีกคนอย่างเอาเรื่อง
“ในเมื่อบอกกันดีๆแล้วมึงไม่ฟัง มึงก็อย่ามาหาว่ากูใจร้ายก็แล้วกัน”
ใครอีกคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมเบี่ยงตัวหลบก่อนจะก้มหน้าหลับตาปี๋ด้วยความกลัวเมื่อภาพที่เห็นคือท่าทางการวาดวงแขนขึ้นจะต่อยลงมาที่ผม
“…”
แต่สุดท้ายผมก็ต้องหันกลับไปเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่ามันเงียบเกินกว่าที่ควรจะเป็น ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือข้อมือของไอ้คนที่จะทำร้ายผมถูกจับรั้งไว้จากใครอีกคน
“พี่ศร…” ผมร้องเรียกออกมาด้วยความดีใจ พี่ศรมาช่วยผม
“มึงมาเสือกอะไรวะ” น้ำเสียงไม่พอใจอย่างมากของไอ้คนอันธพาลเอ่ยถาม
“รังแกคนตัวเล็กกว่าแบบนี้ไม่คิดว่าตัวเองเหมือนหมาไปหน่อยหรือไง”
“อั่ก!”
ไอ้คนอันธพาลถูกพี่ศรออกแรงแค่นิดเดียวก็เหวี่ยงตัวมันมากองอยู่กับพื้นถัดจากผมไปไม่ใกล้ ตอนนี้สายตาพี่ศรดูน่ากลัวมากๆเลย ผมเคยเห็นพี่ศรทำหน้านิ่งหรือแววตาดุมาก็มาก แต่ไม่มีครั้งไหนดูน่ากลัวและเย็นชาเท่าครั้งนี้เลย ตอนนี้พี่ศรดูโกรธมากๆ
“ไป” พี่ศรยืนมือมาช่วยดึงผมให้ลุกขึ้น ทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนได้พี่ศรกระชับกุมมือผมไว้แน่นก่อนจะออกแรงรั้งให้ผมเดินตาม
“มึง!” แต่เหตุการณ์มันไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะตอนนี้ไอ้คนอันธพาลที่ถูกพี่ศรเหวี่ยงจนล้มไปมันหยิบเอาด้ามไม้ถูพื้นที่วางไว้ขึ้นมาก่อนจะออกแรงเหวียงฟาดมาทางพวกผมเต็มแรง
“พี่ศรระวัง!” ผมเผลอร้องเตือนเสียงดังด้วยความตกใจ แต่พี่ศรคนที่ควรจะตกใจในตอนนี้กลับดูนิ่งมากๆ พี่ศรใช้แขนข้างที่จับมือผมอยู่ดึงตัวผมให้หลบอยู่ด้านหลังของพี่เขา ด้ามไม้ถูพื้นที่พึ่งจะถูกไอ้คนอันธพาลคนนั้นฟาดลงมาเต็มแรงตอนนี้มันมาหยุดนิ่งอยู่โดยมีมือของพี่ศรที่จับเอาไว้ได้ทัน
“ปล่อย! ปล่อยสิวะ” พี่ศรที่น่ากลัวมากๆเวลาโกรธในตอนนี้เหมือนจะน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า ไอ้คนอันธพาลที่ตอนนี้มีสีหน้าถอดสีลงไปอย่างเห็นได้ชัดกำลังออกแรงพยายามดึงรั้งไม่ถูพื้นกลับ ส่วนอีกคนที่จับไม้ถูพื้นอยู่แน่นไม่ยอมปล่อยอย่างพี่ศรก็ออกแรงดึงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
“อั่ก!” จนกระทั่งเป็นพี่ศรที่ออกแรงดึงจนร่างของไอ้อันธพาลนั้นเซเข้ามาใกล้ พี่ศรจัดการตีเข่าเข้าใส่อีกคนจนไอ้อันธพาลนั้นร้องเสียงหลงออกมา ไม่รอช้าพี่ศรคว้าหมับเข้าที่คอของไอ้คนนั้นจนมันต้องเบ้หน้า ขนาดผมที่ยืนดูอยู่ห่างๆยังต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
พะ…พี่ศรโคตรดุเลย ผมสัญญา ไม่สิ! สาบาน ผมสาบานเลยว่าผมจะไม่ทำให้พี่ศรโกรธอีกเด็ดขาดเลย น่ากลัวชะมัด
“คนแบบมึงไม่ควรเป็นนักกีฬาหรอกวะ น้ำใจนักกีฬาคืออะไรมึงยังไม่รู้จัก แล้วแบบนี้มึงยังจะหน้าด้านเล่นกีฬาได้อีกเหรอวะ หะ!” พี่ศรตะวาดเสียงดังจนผมสะดุ้งไปด้วย
“คะ…ครับพี่ ผมขอโทษครับ พี่อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ ผะ…ผมกลัวแล้ว” น้ำเสียงสั่นเครือของไอ้อันธพาลคนนั้นที่ตอนนี้กลายเป็นหมาหงอยอยู่ในกำมือพี่ศรไปซะแล้ว
“ไป! แล้วอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีก”
“ครับๆ”
พี่ศรออกแรงเหวี่ยงหมาหงอยในมือออกไปนอกห้องน้ำอย่างแรงจนอีกคนเซถลาล้มหน้าคะมำ ทันทีที่ยืนขึ้นได้ใครอีกคนก็เอาแต่พร่ำขอโทษพี่ศรอย่างไม่กล้าสบตาก่อนจะวิ่งหนีหายไป
“เจ็บตรงไหนไหม” พอเหลือกันสองคนแล้วพี่ศรหันมาถามผม
หมับ!
ผมไม่ตอบอะไรกลับแต่เลือกที่จะเข้าไปออกแรงสวมกอดอีกคนไหว้ ซุกหน้าลงกับแผ่นกว้างของอีกคนอย่างหาที่พึ่งแล้วในที่สุดน้ำตาของผมมันก็เริ่มไหลออกมาเอง
“ฮึก…”
“ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องร้อง” พี่ศรยอมให้ผมกอดอย่างไม่อิดออด ผมรับรู้ได้ถึงแรงสัมผัสจากมือแสนอบอุ่นที่กำลังลูบหัวผมอย่างปลอบประโลม
“ขอบคุณพี่มากนะครับที่มาช่วยผม เมื่อกี้ผมกลัวมากๆเลย”
“รู้แล้วไอ้ลูกหมา กูเคยบอกแล้วไงว่ากูจะปกป้องมึงเอง แต่กูก็เคยบอกไปแล้วเหมือนกันว่าให้ช่วยมีเรื่องให้มันน้อยๆหน่อย ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ไอ้ลูกหมาเอ้ย!” ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ศร ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักที่ถูกเรียกแบบนั้น
“พี่ว่าผมเหรอ”
“หึ! ก็มึงบอกว่ามึงกลัวไม่ใช่หรือไง กูก็บอกว่ากูเชื่อมึงแล้วนี่ไง”
“แต่พี่ว่าผมอ่ะ เมื่อกี้นี้ผมได้ยิน”
“ว่าที่ไหน” อีคนเถียงหน้าตาย
“ว่า พี่ว่าผม”
“กูว่าอะไร”
“ก็ว่าผมเป็นไอ้ลูกหมา”
“หรือไม่ใช่”
“ก็ไม่ใช่ไง”
“ไม่ใช่เหรอ แล้วลูกหมาที่ไหนกำลังกลัวจนตัวสั่นในอ้อมกอดกูตอนนี้นะ”
“…” พอพี่ศรพูดมาแบบนี้ผมพึ่งจะนึกขึ้นได้ พี่ศรบ้า คนกำลังจะเข้าโหมดซึ้งอยู่แท้ๆที่พี่ศรมาช่วยผมไว้จากเหตุการณ์น่ากลัวนั้น ถ้าจะมาทำหน้าตาทะเล้นแบบนี้นะผมจะไม่ขอบคุณพี่แล้ว
“อย่าดิ้นสิ”
“ผมไม่ได้ดิ้น พี่ปล่อยผมได้แล้ว” ผมพยายามทั้งดันตัว ทั้งแกะมือและพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดพี่ศร แต่ดูเหมือนใครอีกคนก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือนกัน พี่ศรใช้ความได้เปรียบทางสรีระที่เหนือกว่าผมออกแรงสวมกอดผมแน่นขึ้นจนผมต้องซบหน้าลงกับอกกว้างของเขาอีกครั้ง
“พี่ศรปล่อยผมนะ” ผมพยายามร้องบอก
“ไม่กลัวแล้วเหรอ” แต่พี่ศรก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแสนกวนเหมือนเดิม พี่ศรต้องไปตรวจไบโพล่าบ้างแล้วนะ เมื่อกี้ยังทำหน้าตาดุๆอยู่เลย มาตอนนี้มาทำหน้ากวนๆใส่ผมซะแล้ว
“ผมไม่กลัวแล้วพี่ปล่อยผมเลยนะ”
“ไม่ปล่อย”
“อือออ…พี่ศร”
“ขอกอดอีกนิดเดียว”
“…”
“ไม่เจ็บตรงไหนแน่นะ แล้ววันนี้จะวิ่งไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องวิ่ง กูห้าม”
“เป็นอะไรกับผมถึงมาห้าม”
“เป็นแฟน”
“บ้า! ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”
“ไม่ใช่ก็เกือบๆ อย่างน้อยๆตอนนี้ก็เป็นคนที่มึงชอบ”
“…” ไปไม่ถูกเลยผม ไม่รู้ตอนนี้พี่ศรจะทำหน้าตายังไง แต่ผมน่ะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าคงจะแดงหมดแล้ว
“วันนี้ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องวิ่ง”
“ไม่ได้นะ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยทำไมจะวิ่งไม่ได้ละ”
“ตามใจ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมากูไม่แบกไปเรียนอีกแล้วนะ” ใครอยากจะให้พี่แบกไปเรียนกันเล่า ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แต่ถึงจะเป็นผมก็ไม่มีทางให้พี่แบกผมไปเรียนหรอก ตอนนั้นที่ถูกพวกไอ้พี่ทอยทำร้ายผมยังจำได้ดีว่าตอนพี่ศรเอาผมขี่หลังไปส่งที่คณะมันทำให้ใจผมเต้นแรงแค่ไหน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีกเด็ดขาด
ถึงมัน…จะรู้สึกดีมากๆก็เถอะ
พี่ศรอาสาจะไปส่งผมที่ประตูทางเข้าในส่วนของนักกีฬาที่จะเข้าแข่งขันวันนี้ ผมถูกพี่ศรล้อเรื่องตัวเล็กมั่งแหละ ขาสั้นมั่งแหละ รูปร่างแบบนี้จะไปสู้ใครเข้าได้บ้างแหละ พี่ศรน่ะไม่รู้อะไรซะแล้ว ถึงผมจะตัวเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูนะ ถ้าไม่แน่จริงผมคงไม่ได้โควตาเข้ามาเรียนที่นี่กับพี่หรอก
“ว่าแต่…พี่ศรหาผมเจอได้ยังไงเหรอครับ” นั้นสิ ห้องน้ำที่ผมเข้าก็อยู่ข้างในสนามตั้งลึกไม่ได้อยู่โซนด้านนอกที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาได้สักหน่อย แล้วแบบนั้นพี่ศรหาผมเจอได้ยังไง
“ก็ถามทางมา” พี่ศรตอบเสียงเรียบ
“จริงเหรอครับ”
“ทำไมทำตัวขี้สงสัยจังวะ”
“ก็ห้องน้ำนั้นมันสำหรับนักกีฬานะครับ คนนอกไม่น่าจะเข้ามาได้ง่ายๆ”
“แต่กูก็เป็นนักกีฬาไหม”
“นั้นมันก็ใช่ครับ แต่ว่าพี่ไม่ได้เข้าแข่งขันวันนี้สักหน่อย”
“ขี้สงสัย” อือออ! พี่ศรบีบจมูกผมอีกแล้ว “กูมากับไอ้แทน แค่จะไปเข้าห้องน้ำแล้วไปเจอลูกหมากำลังโดนรังแกอยู่ ก็เลยช่วยมาแค่นั้น”
“อะไรเล่า! ผมไม่ใช่ลูกหมาสักหน่อย”
“กูบอกเหรอว่าเป็นมึง”
“ก็…”
พี่ศรนะพี่ศรยังจะมาทำหน้ากวนๆใส่อีก ก็คนที่ตัวเองพึ่งจะไปช่วยมาน่ะคือผมเองแท้ๆยังจะมาบอกว่าไม่ได้หมายความถึงผมอีก
แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ยอมรับหรือว่าพูดอะไรออกไปดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ายอมรับว่าตัวเองเป็น…ลูกหมา
“ไอ้ศรๆ” เสียงเอะอะโวยวายปนอาการหอบของใครอีกคนที่กำลังวิ่งตรงมาหาพี่ศรทำให้พวกผมต้องหันไปมอง
“อะไรวะ” พี่ศรถามคนที่มาใหม่
“ไอ้แทนมันมากับมึงใช่ไหม”
“ใช่ ทำไมวะ”
“มันตีอยู่กับเด็กปีหนึ่งคณะไหนไม่รู้วะ มึงช่วยไปดูมันหน่อยสิวะ” พี่ศรหันมามองหน้าผมอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ ผมเองก็ยิ้มแห้งๆตอบกลับไปอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน สุดท้ายสิ่งที่เลือกทำก็คือการยอมที่จะเดินตามพี่อีกคนที่มาตามพี่ศรในตอนแรกไป พี่เขาดูท่าทางร้อนรนเอามากๆจนสุดท้ายจากการเดินก็เลยเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน สงสัยคงจะเป็นเรื่องใหญ่มากๆแน่เลย
พี่แทนนะพี่แทนไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้วนะ เป็นตัวป่วนทุกงานเลยจริงๆ
“อั๊ก!”
ตุบ!
พอมาถึงเราได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพี่แทนดังมาก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็ตามมาติดๆด้วยเสียงของสิ่งของหรือใครบางคนโดนทุ่มลงพื้นอย่างจัง
“นั้นไงไอ้แทน” พี่คนที่มาตามพี่ศรกับผมหันมาบอก
ผมมองไปตามทางที่พี่คนนั้นชี้ ภาพที่เห็นเรียกให้ผมต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“นั้นมัน…” ไม่ใช่แค่เห็นพี่แทนที่ไม่เคยยอมใครกำลังโดนใครอีกคนจับทุ่มลงพื้นราวกับเป็นสิ่งของไม่มีน้ำหนัก แต่ตอนนี้ใครคนที่กำลังมีเรื่องกับพี่แทนอยู่นั่นคือไอ้ไพร์เพื่อนผมเอง แถมคนที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างคือไอ้ปัญเพื่อนผมอีกคนด้วยเช่นกัน
แค่ได้เจอสองคนนั้นวันนี้มันก็แปลกใจพออยู่แล้วนะ นี่ยังมามีเรื่องกับพี่แทนอีกด้วย ผมงงไปหมดแล้ว
“นั้นเพื่อนมึงนี่” พี่ศรหันมาพูดกับผม ตายังคงจ้องมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้า พี่ศรคงจะจำไอ้ไพร์ได้เพราะสองคนเคยเจอกันมาแล้ว
“เอ่อ…ใช่ครับ”
“แล้วเพื่อนมึงมามีเรื่องกับไอ้แทนได้ไง”
“ไม่รู้สิครับ”
“มึง!” แต่ความสงสัยของผมก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจอีกครั้ง เพราะพี่แทนที่พึ่งจะถูกไอ้ไพร์จับตัวทุ่มลงกับพื้นไปเมื่อกี้ ตอนนี้พี่แทนลุกขึ้นมากำหมัดจะต่อยไอ้ไพร์กลับอย่างไม่ยอมแพ้
แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็กลับเป็นแบบเดิม คือพี่แทนถูกไอ้ไพร์รวบแขนข้างที่ต่อยออกไปไว้ได้ ก่อนจะเหวี่ยงพี่แทนลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง
“ไอ้แทน” พี่ศรรีบวิ่งเข้าไปล็อกแขนห้ามพี่แทนไว้ ทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกันไปมาเพราะพี่แทนที่ตอนนี้ดูท่าทางจะหัวเสียมากๆก็มีที่ท่าไม่ยอมเลย
“อะไรกันวะไอ้ไพร์ แล้วนี่พวกมึงมาได้ยังไง” ผมเองก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามเพื่อนผมเองไว้เหมือนกัน ต้องห้ามสิครับไม่ห้ามพี่แทนได้ตายแน่ ไอ้ไพร์เห็นมันนิ่งๆเงียบๆแบบนี้มันเป็นเทควันโดนะครับ สายดำด้วย พี่แทนยังไงก็สู้ไม่ได้ ถ้าไม่รีบห้ามไว้มีหวังช้ำในตายแน่ๆ
“ไอ้ปุณย์” เสียงไอ้ปัญเพื่อนของผมอีกคนร้องทักด้วยความดีใจ แต่เชื่อเถอะครับสีหน้าของผมและสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ชวนดีใจเลยสักนิด
“ตอบกูมาก่อนว่าพวกมึงมาได้ยังไง แล้วนี่…” ผมเหลือบมองไปทางพี่แทนที่กำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของพี่ศร “มึงมามีเรื่องอะไรกับรุ่นพี่กูวะเนี่ยไอ้ไพร์” แต่คนถูกถามอย่างไอ้ไพร์ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีแค่ไอ้ปัญที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นคนตอบแทน
“เอ่อ…ไอ้ปุณย์ นะ…นี่รุ่นพี่มึงเหรอ” ไอ้ปัญถาม
“ก็ใช่นะสิ ทีนี้จะบอกกูมาได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“คือว่าวันนี้ไอ้ไพร์มันชวนกูมาหามึงอ่ะ มันบอกว่าวันนี้มึงมีแข่งวิ่งด้วยกูก็เลยว่าจะมาเชียร์มึงนี่แหละ ระหว่างทางพวกกูก็ถามหามึงมาเรื่อยๆจนมาเจอพี่คนนี้ ไม่รู้พี่แกโมโหอะไรอยู่ดีๆก็จะเข้ามาต่อยไอ้ไพร์มันเนี่ย”
“จริงเหรอพี่แทน”
“ก็ไอ้คนนี้มันบอกว่ามันเป็นแฟนมึงอ่ะ มันพูดแบบนั้นได้ยังไงมึงเสียหายนะโว้ย”
“…” คนถูกพาดพิงอย่างไอ้ไพร์ไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจอะไร มิหนำซ้ำยังทำสีหน้ายียวนกวนประสาทให้พี่แทนอีก
เฮ้อ! พอๆกันเลยสองคนนี้
“นั้นไงมันกวนตีนกูอีกแล้ว ไอ้ศรปล่อยกู” พี่แทนโวยวายจะดิ้นให้หลุดจากวงแขนพี่ศรให้ได้
“เฮ้ย! มึงใจเย็นๆก่อนไอ้แทน”
สถานการณ์วุ่นวายอยู่สักพักกว่าจะสงบลงได้ พี่ศรพาพี่แทนแยกไปสงบสติอารมณ์อีกทางส่วนผมก็พาไอ้ไพร์กับไอ้ปัญแยกออกมาอีกทางเช่นกัน
“กูว่าไอ้พี่คนนั้นมันคิดอะไรเกินเลยกับมึงแน่ๆ” ไอ้ปัญว่า
“มึงหมายถึงพี่แทนน่ะเหรอ คิดอะไรวะ” ผมขมวดคิ้วถาม
“ก็ชอบมึงไง ไอ้หมาบ้านั้นมันชอบมึงแน่ๆ” คราวนี้เป็นไอ้ไพร์ที่พูดขึ้นมา ได้ยินแบบนั้นผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“บ้าไปใหญ่แล้ว พี่แทนกับกูเป็นแค่รุ่นพี่รุนน้องร่วมคณะกันแค่นั้น พี่เขาจะมาชอบกูได้ยังไง”
“เหรอออ” ไอ้ไพร์ลากเสียงยาวประชด “เหมือนมึงกับพี่ศรใช่ไหมวะ”
“ก็…”
“หึ! เถียงไม่ออกเลยสิมึง กูละหมั่นไส้พูดแค่นี้หน้าแดงเชียวนะมึง”
“จริงด้วยวะไอ้ไพร์ แหมๆไอ้ปุณย์ ไม่อัพเดทความคืบหน้าให้เพื่อนรู้บ้างเลยนะ คุยกันคราวก่อนมึงก็เงียบกริบไม่เห็นพูดถึงพี่นักกีฬายิงธนูคนนั้นเลย นี่ถ้าไอ้ไพร์ไม่บอกกูว่าวันนี้มึงมีแข่งวิ่งนะกูก็คงไม่ได้มาหรอก มึงเล่นไม่บอกอะไรเพื่อนเลยนี่หว่า” ไอ้ปัญเสริม จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว จริงๆแล้วจะต้องเป็นผมสิที่เป็นคนซักพวกมัน ไม่ใช่มาถูกรุมซักแบบนี้
“ว่าแต่พวกมึงรู้ได้ไงว่าวันนี้กูมีแข่ง” ผมถามเพราะผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่เคยบอกหรือชวนพวกมันเลยนะ
“โน้นต้องถามไอ้ไพร์เขา” ไอ้ปัญพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ไพร์ ทำให้ผมต้องให้ไปส่งสายตาถามคนที่ถูกพาดพิง
“ก็ไม่มีอะไร วันนี้กูแค่รู้มาว่าจะมีวิ่งแข่งรอบชิงฯ แต่เพื่อนกูที่เป็นนักวิ่งเบอร์หนึ่งไม่เห็นจะบอกกูสักคำกูก็เลยต้องสืบเอาเองแบบนี้แหละ” ไอ้ไพร์บอกหน้าตาย
“โทษทีวะ กูก็ลืมไปเลย”
“ลืมหรือเพราะมัวแต่ไปสนใจใครอยู่หรือเปล่าครับเพื่อนปุณย์”
“เชี่ยอะไรของมึงเล่าไอ้ปัญ”
“หน้าแดงไวอย่างที่ไอ้ไพร์พูดจริงๆด้วย”
“…” เอาเข้าไปไอ้พวกเพื่อนเวร
“เออ ว่าแต่ไอ้พี่คนเมื่อกี้เหอะ กูว่าพี่เขาชอบมึงอย่างที่ไอ้ไพร์มันว่าจริงๆนะไอ้ปุณย์ ตอนแรกที่พวกกูมาถามหามึงกับพี่เขาอ่ะ พอพี่มันถามว่าพวกกูเป็นอะไรกับมึงแล้วไอ้ไพร์มันบอกว่าเป็นแฟน พี่มันดูโกรธมากๆเลยนะ กูว่าเขาหึงมึงนั้นแหละ แต่ดีแล้วที่มึงชอบพี่นักกีฬายิงธนูคนนั้นนะ พี่เขาหล่อและโคตรเท่ห์เลยวะ มึงน่ะ…” ไอ้ปัญเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะออกแรงตบบ่าผมเบาๆ “…คิดถูกแล้วที่ไปคบกับพี่เขา”
“บะ…บ้า กูไม่ได้คบกับพี่เขาสักหน่อย”
“แม่เจ้าโว้ย! ไม่ได้คบกันแต่พูดติดอ่างเชียวนะ ไอ้ไพร์มันบอกกูแล้วว่ามึงกับพี่ศรคบกัน”
“…” ไอ้ไพร์ไอ้เพื่อนเวร เอาไปพูดมั่วๆแบบนั้นได้ยังไงเพื่อนเสียหายนะโว้ย
“กูรู้ว่าพี่ศรนั้นชอบมึง” ไอ้ไพร์พูด ว่าแต่…มันรู้ได้ยังไงหรือว่าที่ไอ้ไพร์กับพี่ศรซุบซิบกันวันนั้น
“มึงรู้….”
“อืม” ไอ้ไพร์พยักหน้ารับอย่างมั่นใจ “วันนั้นพี่ศรเขาบอกกูแล้ว”
“บอกเหรอ” ผมถามอย่างลังเลเพราะไม่มั่นใจว่า ‘บอก’ ที่ไอ้ไพร์กำลังหมายถึงคืออะไร ดูจากสีหน้าของทั้งไอ้ไพร์และไอ้ปัญตอนนี้ผมไม่ค่อยไว้ใจเลย
“วันนั้นที่กูมาหามึงคราวก่อน พี่ศรบอกกูเองว่าเขาชอบมึง”
“หะ…หา พะ…พี่ศรบอกมึงด้วยเหรอ”
“อืม” ไอ้ไพร์พยักหน้ารับ “มึงหมายความว่ายังไงที่ว่าบอกกูด้วยเหรอ แสดงว่าพี่ศรเขาบอกชอบมึงไปแล้วสิ”
“เอ่อ…คือ”
“เหอะ! อึ้งแดกแบบนี้สงสัยจะจริงวะไอ้ไพร์” ไอ้ปัญยิ้มร้ายก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วพาดวงแขนหนักๆลงบนคอผม “มึงนี่ร้ายไม่ใช่เล่นนะไอ้ปุณย์ มาไม่กี่เดือนก็มัดใจพี่ศรได้ซะแล้ว ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์แอบชอบเขามาตั้งเกือบสองปี”
“อะไรเล่า!”
“แหมๆ โดนจี้จุดเข้าให้หน้าแดงเชียวนะ จะให้กูเล่าไหมว่ามึงเพ้อถึงเขายังไงบ้างกูจำได้หมดเลยนะ อื้อ…”
“พูดมาก”
“อื้อๆ” ผมยกมือขึ้นปิดปากที่แสนจะพูดมากของไอ้ปัญให้หยุดพูดสักที
ผมไม่คิดเลยว่าพี่ศรจะบอกคนอื่นว่า เอ่อ…ชอบผมด้วย ยอมรับว่าตอนพี่ศรบอกชอบผมรู้สึกดีมากๆเลย ถึงมันจะเขินๆอยู่บ้าง ตอนนี้พี่ศรกล้าที่จะเปิดเผยกลับคนอื่นด้วยว่าชอบผม ตอนนี้ผมมีความสุขโคตรๆเลย
ไม่รู้และไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตหลังจากตัดสินใจมาเรียนที่เดียวกับพี่ศรมันจะเป็นยังไง คิดไว้แค่ว่าได้เห็นหน้าพี่ศรด้วยตาของตัวเองสักครั้ง ได้เห็นพี่เขายิงธนูกับตามันก็คงจะมีความสุขมากๆแล้ว
แต่นี่…สิ่งที่ผมได้กลับมามันมากซะยิ่งกว่ามากอีก ผมบอกใครต่อใครเสมอว่าการแอบรักไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร ดังนั้นขอแค่เรามีใจที่มั่นคงต่อความรักและไม่ยอมแพ้ ความรักน่ะถ้าลองได้เต็มที่กับมันแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็มันก็คุ้มที่จะสู้ทั้งนั้น
เชื่อผมสิ
____________________________
หายไปปั่นต้นฉบับมานะครับ เรื่องนี้จะตีพิมพ์กับ สนพ. Nananaris Ybook กำหนดการออกเล่มงานหนังสือมีนาคมนะครับ ฝาก #รักตรงเป้า ไว้ในลิสต์นิยายทุกคนด้วยนะครับ
-
:L2: :pig4:
ขอบคุณมาก เรารออ่านต่อนะ
-
19th Shoot
กำลังใจของกันและกัน
น้องปุณย์’s Part
เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มของผู้คนจำนวนมากรอบๆสนามทำให้หัวใจผมในตอนนี้เต้นแรงมากๆเลย ขนาดผมเป็นนักกีฬากรีฑาที่ผ่านสนามแข่งแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้วนะ แต่มันก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี
“ตื่นเต้นเหรอ” น้ำเสียงอบอุ่นของพี่ศรเอ่ยถาม ตอนนี้ผมกำลังยืนตัวสั่นหน่อยๆด้วยความตื่นเต้นอยู่ตรงประตูทางเข้าสนามแข่งของนักกีฬา พี่ศรอาสาเดินลงมาส่งผมโดยทิ้งให้พี่แทนกับไอ้ไพร์นั่งอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ไม่ต้องบอกผมก็พอจะเดาออกว่าไอ้ปัญที่เป็นคนกลางกำลังทำตัวลำบากใจขนาดไหน
“นิดหน่อยครับ” ผมตอบ
. “ไม่นิดแล้วมั้งตัวสั่นเชียว”
“…” ยอมรับก็ได้ว่าตื่นเต้นมาก พี่ศรชอบรู้ทันผมทุกที
“นี่…” พี่ศรค่อยๆวางมือทาบลงบนหัวผมก่อนตะออกแรงลูบตรงท้ายทอยของผมอย่างแผ่วเบา “มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเรื่องอื่นมึงอาจจะไม่ได้เรื่องแต่เรื่องวิ่งแข่งให้ไว้ใจมึงได้”
“ครับ” ผมค่อยๆพยักหน้ารับ
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องตื่นเต้นหรอก มันก็แค่กีฬาเฟรชชี่เอง”
“…”
“กูไม่ได้จะบอกว่าแค่กีฬาเฟรชชี่ไม่ต้องทำเต็มที่ก็ได้ ที่กูจะบอกก็คือให้มึงทำให้เต็มที่ไม่ต้องกังวลอะไร เรื่องแพ้ชนะมันเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขันอยู่แล้ว ถ้ามึงทำมันเต็มที่ผลจะออกมายังไงกูก็ภูมิใจในตัวมึงนะ”
“พี่ศร…”
“แล้วมึงก็เป็นแฟนเด็กที่น่ารักของกูด้วย”
“พี่ศร! ผมยังไม่ได้เป็นแฟนพี่สักหน่อย” ไอ้พี่ศรบ้า คนกำลังจะเข้าโหมดซึ้งอยู่แล้วเชียวดันมาเข้าโหมดนี้ซะได้
“อ้าวเหรอ นึกว่าจะยอมเป็นแล้วซะอีก อุตส่าห์กะจะเนียนสักหน่อย” พี่ศรพูดหน้าตาย ยังจะมายิ้มอีก คนกำลังตื่นเต้นอยู่นะมาเข้าโหมดคุยเล่นไปได้
“พี่กลับขึ้นไปอยู่กับพี่แทนเลยไป”
“แค่นี้ต้องไล่ด้วยเหรอ น้อยใจนะเนี่ย”
“ผมไม่ได้ไล่ แต่พี่ก็รู้ว่าพี่แทนกับไอ้ไพร์เพื่อนผมเป็นยังไงกัน พี่ออกมานานผมกลัวว่าไอ้ปัญจะห้ามศึกสองคนนั้นไม่อยู่”
“ก็ได้ แต่ก่อนไปต้องทำอะไรอย่างนึงก่อน”
“ทำอะไรครับ”
“นี่ไง” ว่าจบพี่ศรก็ย่อตัวลงมาในระดับเดียวกับผม อีกคนหันหน้าเบี่ยงข้างเล็กน้อยก่อนที่จะทำแก้มป่องๆแล้วหันมาทางผม
“พะ…พี่ศร” ผมหันซ้ายหันขวาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็น ก็ยอมรับแหละว่าพี่ศรตอนนี้ทำตัวน่ารักแล้วก็ดีกับผมมากขึ้นทุกวัน แต่ผมก็ไม่คิดว่าพี่ศรจะทำถึงขนาดนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ละว่าที่พี่ศรทำแบบนี้คือต้องการจะให้ผมหอมแก้มใช่ไหม
“เร็วๆ” เสียงพูดอู้อี้เพราะกำลังทำแก้มป่องอยู่ของพี่ศรเร่งเร้าผมอีกครั้ง พี่ศรค่อยๆขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาประชิดผมมากขึ้นจนผมเองต้องก้าวเท้าถอยหนี
“เอ่อคือ…ผมว่าพี่รีบไปดีกว่านะครับ” สุดท้ายสิ่งที่ผมเลือกทำคือการออกแรงดันตัวพี่ศรให้ออกห่าง
“ไม่เอา ถ้าไม่ทำกูก็ไม่ไป” ไม่พูดเปล่า พี่ศรคว้าข้อมือผมไว้แน่นก่อนจะดึงตัวผมไปใกล้จนตัวเราติดกัน
“พี่ศร นี่ไม่ใช่เวลางอแงนะครับ ผมจะต้องเข้าไปในสนามแล้วนะ”
“งั้นก็รีบๆทำซะสิ”
ผมชะงักนิ่งไปสักพัก จนสุดท้าย…ฟอด!
พี่ศรยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ผมเองทั้งกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า แถมยังได้ยินเสียงเขาประกาศตามตัวนักกีฬาแล้วด้วย สุดท้ายที่สิ่งผมเลือกทำก็คือการยอมที่จะค่อยๆหอมแก้มของพี่ศรอย่างที่พี่เขาต้องการ
ฟอด!
กดฝังปลายจมูกลงบนแก้มพี่ศรแล้ว ตอนนี้…รู้สึกร้อนๆที่หน้าขึ้นมาเลย มันร้อนมากๆ ร้อนเหมือนมีคนเอาสปอร์ตไลท์มาส่องตรงหน้าเลย
“หึ!” พี่ศรกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
“พอใจก็ไปได้แล้วครับ” ผมพูดกับพี่ศรทั้งๆที่ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหรือเงยหน้ามองพี่เขาเลยด้วยซ้ำ
ฟอด!
แต่หนึ่งการกระทำของพี่ศรก็เรียกความตกใจและการเบิกตากว้าของผมได้
“...” พะ…พี่ศรหอมแก้มผม เมื่อกี้พี่ศรหอมแก้มผม!
“แกล้งเล่นนิดเดียวหน้าแดงหมดแล้ว” พี่ศรพูดจบผมสัมผัสได้ถึงแรงมือที่ยีหัวผมเล่นอีกครั้ง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าพี่ศรกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ สิ่งที่ผมทำได้คือการก้มหน้าหลุบตามองต่ำอย่างทำตัวไม่ถูกแบบนี้
ไม่ใช่ครั้งแรกก็จริงที่ถูกพี่ศรทำแบบนี้ แต่ในตอนนี้ที่รู้แล้วว่าใครอีกคนกำลังจีบผมอยู่ มันก็…ทำให้เขินจนผมจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะ
“ปุณย์” พี่ศรสะกิดเรียกเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป พี่ศรพยายามจะให้ผมเงยหน้าขึ้นมองแต่ผมก็เบี่ยงหน้าหลบสายตาอย่างไม่ลดละ
“ผมเข้าสนามก่อนนะครับ” จนกระทั่งผมออกแรงผลักหน้าอกพี่ศรให้ออกห่างแล้วรีบวิงหนีเข้าสนามมาเลย ตอนที่วิ่งออกมาสายตาเผลอไปเห็นพี่ศรกำลังยิ้มอยู่ด้วย
คนบ้า มาทำให้ใจผมเต้นแรงจนจะหลุดออกมาขนาดนี้ยังยืนยิ้มอยู่ได้ ถ้าผมหัวใจวายตายไปก่อนพี่ต้องรับผิดชอบผมเลยนะ
-
ผมคิดว่าความตื่นเต้นของผมจะหายไปหมดแล้วตั่งแต่ตอนที่โดนพี่ศร…หอมแก้ม แต่จริงๆคือผมคิดผิด ไม่เลย ความตื่นเต้นทั้งหมดมันไม่ได้หายไปไหนเลย ยิ่งตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในลู่วิ่งของตัวเอง ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่อยู่รอบสนาม จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นสีหน้าวิตกกังวลกับอาการหลบสายตาของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผม
ไอ้อันธพาลที่มาทำร้ายผมที่ห้องน้ำคนนั้น
ตอนนี้ใครอีกคนก็คงจะรู้สึกผิดไม่มากก็น้อยแล้วละผมว่า ก็ในเมื่ออาการวิตกกังวลในความผิดของตัวเองมันชัดซะขนาดนั้น คนเรานี่ก็นะ ผมไม่รู้หรอกว่าสำหรับเขาแล้วการชนะครั้งนี้มันสำคัญมากแค่ไหน แต่ถึงจะสำคัญขนาดไหนก็ไม่ควรจะใช้วิธีสกปรกแบบนั้น ถ้าเกิดเขาทำร้ายผมได้จริงๆจนผมไม่สามารถลงแข่งขันได้ แบบนั้นแล้วเข้าจะภูมิใจกับชัยชนะของเขาจริงๆเหรอ
แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้อีกคนก็คงจะได้รับผมกรรมของเขาไปแล้วไม่มากก็น้อย
“อ๊ะ!” จนกระทั้งผมเผลอยกมือขึ้นโบกไปมาเพราะสายตาหันไปเจอเข้ากับพี่ศรที่กำลังยืนยิ้มนิ่งๆอย่างที่พี่เขาชอบทำ ข้างๆกันมีพี่แทนที่กำลังโบกไม้โบกมือให้ผมอยู่ มองไปข้างๆก็เห็นไอ้ไพร์กำลังนั่งหัวเสียเพราะพี่ถูกพี่แทนยืนบังไว้โดยมีไอ้ปัญกำลังนั่งห้ามไว้อยู่ข้างๆ เห็นแบบนั้นผมได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าออกมา สำหรับสองคนนี้คงจะต้องกลายเป็นไม่ชอบขึ้นหน้าไปแล้วสิซะแล้วสินะ
“เตรียมตัว!” เสียงตะโกนดังของกรรมการเรียกให้ผมต้องละสายตาจากพวกพี่ศร ตอนนี้ทุกคนที่เขาแข่งขันอยู่ในท่าพร้อมวิ่งกันหมด จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้นเป็นสัญญาณปล่อยตัว ผมก้าวเท้าออกแรงวิ่งอัตโนมัติตามสัญชาตญาณ
การแข่งวันนี้สำหรับผมแล้วค่อนข้างยากและท้าทายมากๆเลย เพราะว่าต้องวิ่งแข่งในระยะเดียวกันกับการแข่งโอลิมปิกเลยนะ ระยะทางไกลเอาเรื่องเลย แค่มองไปข้างหน้าก็อยากจะร้องไห้แล้ว นี่มันคือการแข่งกีฬาเฟรชชี่จริงไหมใช่ไหมเนี่ย
หลังจากออกตัว เวลาผมวิ่งเหมือนสิ่งรอบๆข้างละลายหายไปอย่างไงอย่างนั้น นึกถึงตัวเองสมัยก่อนแล้วก็ยังแอบขำไม่หาย ผมไม่เคยสนใจวิ่งแข่งหรืออะไรพวกนี้เลยนะ จะว่าไปก็ไม่ได้สนใจกีฬาอะไรเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งผมได้เห็นพี่ศรในหน้าจอที่วีในวันนั้น วันที่ผมเริ่มแอบชอบพี่เขา ผมถึงรู้ว่ากีฬามันเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ มันทำให้คนเรามีความอดทน มีความพยายาม มีความหวังและความมุ่งมั่นได้อย่างน่าประหลาด
ผมสัมผัสมันได้จากพี่ศร เพราะพี่ศรรู้สึกแบบนั้นเขาถึงส่งต่อความรู้สึกแบบนั้นมาให้ผมด้วย หลังจากวันนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องเล่นกีฬาอะไรสักอย่างให้ได้ และสุดท้ายกีฬาที่ผมเลือกก็คือวิ่งแข่งนี่แหละ มันง่ายแล้วก็เหมาะกับผมด้วย แต่ใครจะไปคิดละว่าคนตัวเล็กๆขาสั้นๆแบบผมจะกลายมาเป็นนักวิ่งระดับภาคเลยนะ แถมวันนี้ผมยังได้มาวิ่งแข่งให้พี่ศรดูเป็นครั้งแรกด้วย ยังไงผมก็ต้องสู้ให้เต็มที่ ผมจะต้องทำให้พี่ศรภูมิใจในตัวผมให้ได้เลย
พอเริ่มวิ่งไกลออกมาเรื่อยๆ นักกีฬาที่เข้าแข่งหลายคนก็เริ่มอ่อนแรงและผ่อนแรงวิ่งไปในที่สุด ต้องไม่ลืมว่านี่คือการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่นะครับ นักกีฬาหลายๆคนก็มาจากหลายๆคณะที่ส่งเข้าแข่ง บางคนไม่ได้เป็นนักกีฬา บางคนไม่ได้เล่นกีฬามาก่อนด้วยซ้ำ เป็นแบบนี้ก็เลยไม่แปลกที่พวกรุ่นพี่จะบอกผมว่ายังไงก็ห้ามแพ้เพราะจะเสียชื่อคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาแบบเราเอาได้ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมรุ่นพี่ถึงบอกแบบนั้น ก็ในเมื่อมีแค่คณะเราที่ทุกคนล้วนเป็นนักกีฬากันซะส่วนใหญ่ ถ้าแพ้ขึ้นมามีหวังโดนไล่ออกจากคณะแน่
จริงๆแล้วผมก็แอบเห็นใจคนอื่นๆอยู่เหมือนกันนะ นั้นเพราะระยะทางที่วิ่งแข่งกันวันนี้ขนาดผมที่เป็นนักกีฬายังแอบหวั่นเลย นับภาษาอะไรกับคนอื่นที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาจะถอดใจ ตอนนี้ผมวิ่งอยู่นำหน้าใครทั้งหมดคิดว่าตัวเองคงลอยลำชนะแล้วแน่ๆ แต่ว่าบางอย่างทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิด
บางอย่างที่ว่าคือตอนนี้ผมหันไปเห็นใครอีกคนกำลังวิ่งตามผมมาด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและเอาจริงมากๆ จนกระทั่งอีกคนวิ่งมาอยู่ในระยะเดียวกับผมนั้นแหละผมถึงได้เห็นว่าเป็นคนเดียวกับคนที่จะทำร้ายผมในห้องน้ำ สีหน้าและแววตาของอีกคนดูเอาจริงมากๆ มากจนมันดูกดดันไปหมด ถึงแม้ตอนนี้ใครอีกคนจะไม่ได้สนใจอะไรผมแล้วก็ตามแต่ผมก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้หรือข้องแวะอะไรกับเขาอยู่ดี
ดังนั้นสิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการเร่งฝีเท้าเพิ่มความเร็วเพื่อจะได้ทิ้งตัวออกห่าง
“…” แต่สิ่งที่อีกคนเลือกทำคือพยายามเร่งฝีเท้าตามผมมาเหมือนกัน กลายเป็นว่าตอนนี้อีกคนไม่ได้สนใจที่จะทำร้ายหรือทำอะไรผมแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าเขาเลือกที่จะกดดันตัวเองด้วยการเอาชนะผมแทน
“โอ้ย!” จนสุดท้ายอีกคนก็สะดุดล้ม ผมหยุดวิ่งแล้วยืนมองกลับไปทางอีกคนด้วยความลังเล มองไปข้างหน้าที่เป็นเส้นชัยกับอีกคนที่นั่งอยู่กับพื้นสลับกันอย่างลำบากใจ ดูเหมือนอีกคนจะบาดเจ็บด้วยสิ สถานการณ์ตอนนี้โคตรจะกดดันเลย นี่ผมต้องเลือกระหว่างมนุษยธรรมกับชัยชนะใช่ไหม
“มานี่” และนั้นแหละครับ สุดท้ายผมก็ต้องเลือกมนุษยธรรมจนได้ ผมเข้าไปช่วยประคองใครอีกคนให้ลุกขึ้นยืน ดูเหมือนจะเจ็บที่ข้อเท้าตอนล้มนิดหน่อยแต่คงไม่ถึงกับเป็นอะไรมากเพราะเขาก็ยังใช้ข้อเท้าพยุงตัวลุก ขึ้นยืนได้อยู่
“ปล่อย!” แนะ! มีหยิ่งใส่อีก รู้งี้ไม่มาช่วยก็ดี
“อย่าดื้อ นายขาเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่เรื่องที่นายจะมายุ่ง”
“ก็ไม่อยากยุ่งหรอก แต่มันอดไม่ได้โว้ย!” ผมพูดออกไปอย่างเหลืออด คนอะไร เราอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆยังมาทำหยิ่งใส่อีก
“นายไม่รีบวิ่งไปเข้าเส้นชัยแล้วทิ้งเราไว้เหรอ”
“ก็อยากทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ถ้าทำมันก็คงจะเลวเกินไป ยังไงเราก็ยังมีความเป็นคนอยู่นะ”
“แต่เราพึ่งจะ…”
“เรื่องก่อนหน้านั้นเราลืมไปแล้วละ
“นี่นาย…”
“ช่างมันเถอะ ตอนนั้นนายคงมีเหตุผลของนายนั้นแหละเราเข้าใจ แต่เอาเป็นว่าต่อไปก็อย่าทำอีกแล้วกัน เราไม่รู้ว่านายจะรู้สึกหรือเข้าใจความหมายของคำว่ากีฬามากแค่ไหน แต่เชื่อเราเถอะว่าถ้าเราชนะด้วยความสามารถ ความมุ่งมั่นและความพยายามของเราอ่ะ มันรู้สึกดีและภูมิใจกว่าเยอะเลย”
“…อืม เราขอโทษนะ” คนที่ผมกำลังช่วยพยุงตัวอยู่ตอนนี้มีอาการเงียบไปสักพักก่อนจะตัดสินใจกล่าวคำขอโทษออกมา ผมเองที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นก็มีนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกัน ก่อนจะยิ้มและพยักหน้ารับบอกอีกคนว่าไม่เป็นไร ผมไม่ได้โกรธอะไรเขาแล้ว
“แล้วนี่นายยังวิ่งไหวไหม”
“พอได้”
“งั้นเรามาวิ่งต่อกัน” อีกคนพยักหน้ารับ ตอนนี้ก็ปรากฏภาพคนสองคนกำลังประคองกันวิ่งอย่างทุลักทุเล ผมประคองตัวอีกคนให้พาดวงแขนไว้บนไหล่ผม มืออีกข้างที่ว่างสวมกอดประคองอีกคนให้วิ่งได้ถนัดขึ้น โชคดีที่อีกคนมาล้มตรงจุดที่ไกลจากคนอื่นพอสมควร ตอนนี้เลยทำให้ถึงแม้ผมจะต้องประคองอีกคนที่บาดเจ็บไปด้วยแต่ก็ยังวิ่งนำคนอื่นๆอยู่ดี
เพราะมัวแต่สนใจกับการวิ่งและช่วยคนที่อยู่ข้างๆจนทำให้ผมลืมที่จะมองว่าตอนนี้เรามาใกล้เส้นชัยมากแค่ไหนแล้ว
“อ๊ะ!”
“ไหวไหม” ผมค่อยๆประคองคนที่ทำท่าจะล้มเพราะเจ็บขาให้ทรงตัวไว้ สีหน้าของอีกคนตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้อีกนคคงจะเจ็บมาก
“นายรีบไปเถอะ ถ้านายช้าคนอื่นอาจจะตามมาทันนะ”
“ได้ยังไงละ เราช่วยนายแล้วก็ต้องช่วยให้สุด ถ้าจะไปเส้นชัยก็ต้องไปพร้อมกันนี่แหละ”
“นาย…”
“ไม่ต้องมาทำหน้างง เลย ไปอีกนิดเดียวก็ถึงเส้นชัยแล้ว ถ้าชักช้าอดได้ที่หนึ่งไม่รู้ด้วยนะหรือว่าเปลี่ยนใจจะยอมแพ้แล้ว” ผมพูดทีเล่นทีจริงกับอีกคนเพราะไม่อยากจะให้เครียด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าอีกคนในตอนนี้กำลังกังวลมากแค่ไหน
“ไม่ยอมอยู่แล้ว” รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกคน
ดูเหมือนผมจะไปปลุกเลือดนักสู้ของอีกคนให้ลุกโชนขึ้นมาซะแล้ว จากตอนแรกที่ผมทั้งต้องประคองทั้งต้องออกแรกพยุงให้อีกคนวิ่งไปได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอีกคนออกแรงวิ่งได้เองโดยที่ผมแค่คอยประคองไม่ให้เสียหลักแค่นั้นเอง ถึงมันจะทุกลักทุเลอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าเร็วพอตัวสำหรับคนที่กำลังเจ็บขาละนะ
“เหวอ!” จนกระทั้งพวกเราทั้งสองคนวิ่งมาจนจะถึงเส้นชัย ผมรู้สึกได้ถึงแรงผลักจากด้านหลักจนทำให้ผมต้องพุ่งตัวออกไปข้างหน้าอย่างไม่ทันระวัง โชคดีที่ตั้งหลักได้ทันไม่งั้นคงล้มซะแล้ว
“วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าไปแล้วครับ!” เสียงพิธีกรประกาศใส่ไมโคโฟนจนดังไปทั่วทั้งสนามเรียกสติผมให้กลับมา
วิทยาศาสตร์การกีฬางั้นเหรอ ก็หมายถึงผมละสิ งั้นตอนนี้ก็…
“…” ผมมองซ้ายมองขวาอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในจุดที่…เลยเส้นชัยมาแล้ว งั้นแสดงว่าเมื่อกี้คือหมอนั่นผลักผมในวินาทีสุดท้ายให้เข้าเส้นชัย ก่อนที่อีกคนจะเข้าตามผมมาทีหลัง นั้นหมายความว่าผมได้ที่หนึ่งและเขาจะต้องได้ที่สอง
เขายอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ผมชนะ
“นาย…” คำพูดผมเหมือนจะขาดหายเพราะรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกกับสิ่งที่อีกคนทำ ภาพที่ผมเห็นคือใครอีกคนกำลังยกนิ้วโป้งให้ผมพร้อมสีหน้าราวกับจะกล่าวคำชื่นชม ไม่รอช้าผมรีบยกมือขึ้นทำท่าเดียวกันบ้างเพื่อเป็นการชื่นชมและขอบคุณกลับ ยิ้มให้กันสักพักจนคนอื่นๆเริ่มตามเข้าเส้นชัยมา แล้วภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือทีมปฐมพยาบาลรีบเข้ามาดูอาการเจ็บที่ข้อเท้าของอีกคน
ผมบอกแล้วว่ากีฬามันเป็นอะไรที่ทั้งวิเศษและมหัศจรรย์ เพียงแต่ว่าคนเราน่ะชอบที่จะทำให้กีฬาเป็นอะไรที่ผิดวัตถุประสงค์ไป เราแข่งกีฬาก็เพื่อความสามัคคี เพื่อความเข้าใจและมีน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่เพื่อการเอาชนะและทำร้ายกันสักหน่อย ถึงตอนนี้ผมว่าหมอนั่นก็คงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแข่งกีฬาแล้วละ
หลังจากแข่งจบผมก็ต้องไปรับรางวัลและร่วมถ่ายรูป เหรียญทองที่ได้มาถึงแม้มันจะเป็นแค่การแข่งกีฬาเฟรชชี่ธรรมดาแต่มันก็ทำให้ผมภูมิใจมากๆเลย แถมผมยังพึ่งจะได้รู้ว่าเหรียญทองที่ผมพึ่งจะได้มาช่วยให้คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาของผมมีคะแนนนำทุกคณะในตอนนี้เลย ได้เห็นรอยยิ้มของพวกพี่ๆที่มาเชียร์ก็พลอยทำให้ผมยิ้มไม่หยุดไปด้วย
จนกระทั้งมาสะดุดสายตาเขากับร่างของใครคนหนึ่งที่แสนคุณเคย
พี่ศร ผู้ชายร่างสูง ผิวขาวกำลังดี คิ้วที่เข้มรับกับใบหน้าหล่อๆและสายตาคมๆนั้นผมจำได้ดี สิ่งที่ผมเลือกทำต่อไปคือการรีบวิ่งไปหาพี่ศรทันที
“ผมชนะด้วยนะครับ เก่งไหม” ผมถาม มือก็ชูเหรียญทองที่ห้อยอยู่ที่คอให้พี่ศรดู
“เก่ง แบบนี้ค่อยเหมาะกับการเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของกูหน่อย” ได้ยินแบบนั้นผมยิ้มรับอย่างภูมิใจ “แล้วก็เป็นว่าที่แฟนตัวจริงของกูด้วย”
“อะไรเล่า!” แต่ประโยคต่อมาที่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอีกแล้ว
“หึ! หน้าแดงอีกแล้ว”
“…” ไม่ต้องมาพูดเลย ก็เพราะพี่นั้นแหละผมถึงได้เป็นแบบนี้
“พึ่งเคยเห็นมึงวิ่งแข่งกับตาตัวเองนะเนี่ย เห็นตัวเล็กๆขาสั้นๆแบบนี้ไม่ใช่เล่นๆนี่หว่า ตอนแรกนึกว่ามึงแค่ราคาคุยซะอีก”
“เห็นไหมผมบอกพี่แล้ว ถึงเรื่องอื่นผมจะไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องวิ่งแข่งนะผมไม่เป็นรองใครหรอกนะครับ”
“เก่งครับเก่ง ว่าแต่…อะไรนะ ที่กูเห็นในสมุดบันทึกของมึง มันเขียนว่ายังไงนะ ผมเริ่มวิ่งแข่งเพราะว่าพี่…”
“อือออ” ผมรีบยกมือขึ้นปิดปากพี่ศรไว้ไม่ให้พูดต่อ “อย่าพูดนะครับ” พอเห็นว่าพี่ศรเงียบไปแล้วผมถึงได้ยอมปล่อยมือ
“ทำไมไม่ให้กูพูด”
“ก็…ผมอายนี่” ผมเบี่ยงหน้าหลบสายตาก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา
“หึ!” พี่ศรกระตุกยิ้ม “กูดีใจนะที่กูมีส่วนทำให้มึงค้นพบตัวเอง ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วกูจะไม่ได้ช่วยอะไรมึงเลยก็ตาม แต่กูก็ดีใจที่มึงยอมให้กูมีผลกับชีวิตของมึงขนาดนี้”
“ไม่จริงหรอกครับ ใครบอกว่าพี่ไม่มีส่วน สำหรับผมพี่มีส่วนมากๆเลยละครับ เพราะผมเห็นพี่มีความพยายามผมก็เลยพยายามตาม จริงๆผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตัวผมเองจะมาชอบหรือทำอะไรแบบนี้ได้ จนผมได้มาเจอกับพี่ผมถึงได้รู้วาเส้นทางชีวิตของผมจริงๆแล้วคืออะไร เพราะฉะนั้นพี่น่ะเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆของผมเลยนะ”
“เหมือนกับมึงที่เป็นกำลังใจที่สำคัญของกูใช่ไหม”
“พี่ศร…” ถูกอีกคนพูดมาแบบนี้ผมถึงกับไปต่อไม่ถูก ผมก็ยังคงเป็นคนที่ลังเลและรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งเวลาที่พี่ศรพูดหรือแสดงให้ผมรู้ว่าผมเป็นคนสำคัญของเขา "ผมไม่รู้...” จนสุดท้ายเรื่องก็จบลงแบบเดิมคือผมที่เป็นฝ่ายหลบสายตาแล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับกลัวว่าพูดออกไปแล้วเสียงนั้นมันจะหล่นหายไป
หมับ!
แรงกอดจากพี่ศรกระชับสวมกอดผมไว้แน่น ผมตกใจและตื่นเต้นจนเผลอเบิกตากว้างออกมา
“พี่ศร พี่จะทำอะไรครับ”
“ก็กอดคนขี้อายไว้ไง”
“…”
“ขี้อายแล้วก็ยังปากแข็งอีก”
“ผมเปล่าสักหน่อย”
“เถียงเก่งด้วย”
“อะไรเล่าผมไม่ได้เถียงสักหน่อย”
“แบบนี้แหละเขาเรียกว่าเถียง ถ้าเถียงเก่งกูจะกอดไว้ให้แน่นกว่าเดิมนะ” ว่าจบพี่ศรก็ทำแบบนั้นจริงๆ พี่ศรกระชับแรงกอดผมจนแน่น หน้าผมซุกแนบชิดกับหน้าอกของพี่ศรจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นบนตัวพี่เขา
“…” ไม่เถียงแล้วก็ได้
“ที่กูพูดเมื่อกี้น่ะ กูพูดจริงๆนะ ที่บอกว่ามึงเป็นกำลังใจที่สำคัญของกูแล้วกูก็ดีใจด้วยที่กูได้เป็นกำลังใจของมึง ดีใจที่เราต่างก็เป็นกำลังใจของกันและกัน”
“…”
“กูคงยังไม่เคยบอกมึงสินะ สำหรับกู…มึงก็ไม่ต่างอะไรกับนางฟ้า นางฟ้าที่ถูกส่งให้มาช่วยเหลือกู มาช่วยกูในช่วงเวลาที่กูท้อแท้ สิ้นหวัง มาช่วยกูในเวลาที่กูไม่มีใคร แล้วกูก็คงจะดีใจมากๆถ้ากูได้ดูแลนางฟ้าประจำตัวของกูไปตลอด จะให้กูดูแลมึงตลอดไปได้ไหม”
“แต่…ผมไม่ใช่นางฟ้านี่ครับ”
“หึ! นุ่มนิ่มแบบมึงเป็นเทวดาไม่ได้หรอกเป็นนางฟ้านั้นหละถูกแล้ว จะได้คู่กับเทวดาแบบกูไง”
“คนบ้า”
“นอกจากเถียงเก่งตอนนี้ด่าเก่งแล้วด้วยเหรอ ปากเก่งแบบนี้กูจะทำยังไงเป็นการลงโทษดีนะ จูบอีกทีดีไหม”
“ไม่เอานะครับ” ได้ยินแบบนั้นภาพความทรงจำที่ถูกพี่ศรจูบตอนนั้นผุดขึ้นมาย้ำเตือนความทรงจำของผมอีกครั้ง ผมพยายามดิ้นและขืนตัวให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดพี่ศรให้ได้
ขืนถูกกอดอยู่แบบนี้มีหวังต้องโดนพี่ศร…ทำแบบที่พูดจริงๆแน่ๆ
“พี่ศรปล่อยผมนะครับ” แต่ขืนตัวยังไงก็สู้แรงพี่ศรไม่ได้เลยสักที สุดท้ายวิธีอ้อนวอนก็เลยต้องถูกงัดเอามาใช้แทน
“อยากให้ปล่อยเหรอ” แต่สิ่งที่พี่ศรทำคือการกระชับอ้อมกอดแน่นก่อนจะก้มลงมากระซิบถามผมใกล้ๆ
“คะ…ครับ” ผมตอบเสียงสั่น
“ถ้างั้นก็ตอบกูมาก่อนสิว่าจะยอมเป็นนางฟ้าให้กูป้องป้องไปตลอดไหม”
“ผม…” เอาไงดี เอาไงดี ทำไมผมจะไม่รู้ว่านี่คือวิธีการขอให้ผมยอมรับเป็นแฟนพี่เขาชัดๆ ถ้าผมตอบตกลงก็เหมือนยอมคบกับพี่ศร แต่ผมยังโป้งพี่เขาอยู่นะที่มารู้ความลับผมแล้วยังมาทำเนียนทำเป็นไม่รู้อยู่ได้
“ว่างไงละ ถ้าไม่ตอบกูก็ไม่ปล่อยนะ”
“คือผม…”
“เฮ้ยไอ้ศรมึงทำอะไรน่ะ” ถึงตอนนี้พี่ศรเลิกคิ้วสงสัยกับเสียงที่ได้ยิน จนกระทั่งไม่นานวงแขนของพี่ศรก็ถูกเจ้าของเสียงอย่างพี่แทนดึงออกจนอ้อมกอดที่รวบตัวผมไว้คลายออกในที่สุด
“มึงรังแกไอ้ปุณย์อีกแล้วเหรอ” เป็นน้ำเสียงโวยวายกับสีหน้าร้อนรนของพี่แทนที่ถามต่อ พอเห็นว่าพี่ศรไม่ได้สนใจอะไรนอกจากถอนหายใจแรงๆกับการชักสีหน้ารำคาญใส่พี่แทนเลยเปลี่ยนมาคะยั้นคะยอถามผมแทน “ว่าไงไอ้ปุณย์ เจ็บตรงไหนไหม ไอ้ศรมันทำอะไรมึงหรือเปล่า” พี่แทนถามผมไปก็เขย่าตัวผมไปด้วย
“พี่แทนผมเจ็บ” ผมจับตัวพี่แทนให้หยุดนิ่งและสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะค่อยๆแกะมือที่เกาะกุมต้นแขนผมทั้งสองข้างออก
“ก็กูเป็นห่วงมึงนี่หว่า”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”
“แต่หน้ามึงแดงๆนะ เมื่อกี้ไอ้ศรมันทำอะไรมึงหรือเปล่า บอกกูมาได้นะเดี๋ยวกูจัดการมันให้” ว่าจบพี่แทนก็หันไปส่งสายตาอาฆาตให้พี่ศร
พี่ศรทำอะไรผมที่ไหนเล่า มีแต่ผมนี่แหละที่ไปแพ้พี่เขาเอง แพ้พี่ศรทุกทางเลย ส่วนที่ผมหน้าแดงก็…เพราะเขินต่างห่างละ
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากอีกคนดังขึ้นเรียกสายตาของผมให้คนมอง เป็นไอ้ไพร์กับไอ้ปัญที่เดินตามมา “เชื่อแล้วว่าคนเรานี่บางทีสมองกับตัวก็โตไม่เท่ากัน” เป็นไอ้ไพร์ที่พูดขึ้น
“มึงว่ากูเหรอ” แล้วคนที่ถูกว่าแบบพี่แทนก็ร้อนตัวขึ้นแทบจะในทันที
“แล้วผมเอ่ยชื่อพี่แล้วเหรอ” คนเริ่มอย่างไอ้ไพร์ก็ตอบกลับแทบจะทันทีเช่นกัน ผมละปวดหัวกับสองคนนี้จริงๆ
“ไอ้เด็กเชี่ยนี่แม่ง!”
“พี่แทนอย่า!”
“เฮ้ย!ไอ้ไพร์ใจเย็น” ทั้งผมและไอ้ปัญรีบเข้าไปรวบตัวทั้งสองคนห้ามไว้แทบไม่ทัน ไอ้ไพร์ก็ช่างกัดส่วนพี่แทนก็โดนยุง่ายซะเหลือเกิน คุยกันไม่กี่คำก็มีเรื่องกันอีกแล้ว ใจจริงผมก็อยากจะปล่อยให้สองคนนี้ตีกันให้ตายไปข้างนึงซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดูท่าคนที่ตายน่าจะเป็นพี่แทนมากกว่าเพราะถึงพี่แทนจะมุทะลุไม่ยอมคนขนาดไหนแต่ยังไงก็สู้เทควันโดสายดำแบบไอ้ไพร์ไม่ได้แน่นอน
“ก็ไอ้เด็กนี่มันว่ากูว่าสมองโตไม่เท่ากับตัวนี่หว่า” พี่แทนตะโกนเถียง
“หรือว่าไม่จริงละครับ ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นยังไม่รู้ตัวอีก ดีแล้วละที่มึงชอบอีกคนอ่ะไอ้ปุณย์”
“…” อ้าวไอ้ไพร์มาพาดพิงผมเฉย “มะ…มึงหมายความว่ายังไง” ผมแสร้งถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก
พี่แทนเองก็นิ่งชะงักลงไปเมื่อได้ยินไอ้ไพร์พูดแบบนั้น และสุดท้ายเกมส์ก็มาลงที่ผมเพราะเป้าหมายต่อไปที่พี่แทนสนใจคือผมเอง “ไอ้เด็กนั้นหมายความว่ายังไงที่มึงชอบอีกคน มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้วเหรอ”
“เอ่อ…คือผม…” ตอบยังไงดีวะเนี่ยไอ้ปุณย์
“ว่างไงมึงมีคนที่ชอบแล้วเหรอ”
หมับ!
“ถ้ามันจะมีคนที่ชอบแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงวะไอ้แทน” ตอนนี้วงแขนหนักๆของพี่ศรพาดลงมาที่ไหล่ของผมอีกครั้ง ก่อนที่พี่ศรจะปัดมือพี่แทนที่จับต้นแขนผมไว้ให้ออกห่าง ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพี่ศรอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าพี่ศรตอนนี้จะทำหน้าตายังไง แต่พอเอาเข้าจริงๆพี่ศรกลับไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องตากับพี่แทนอย่างไม่ยอมกัน
“อ๊ะ…” แต่พอลองจะขยับตัวเอง พี่ศรก็เปลี่ยนจากการพาดวงแขนมาเป็นการโอบกอดผมไว้แทน ผมถูกพี่ศรออกแรงดึงจนตัวเราแทบจะติดกัน
“ก็กูแค่เป็นห่วงไอ้ปุณย์มัน” พี่แทนตอบพี่ศร
“มึงไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มันอยู่ปีหนึ่งแล้วไม่ใช่เด็กอนุบาล ถ้ามันจะชอบใครก็เรื่องของมันกูเชื่อว่ามันดูแลตัวเองได้ ถ้ามันจะชอบใครกูคิดว่ามันเลือกก็คงจะชอบคนไม่ผิดหรอก จริงไหม” ประโยคสุดท้ายพี่ศรหันมาถามผมพร้อมสายตากดดัน
คนเจ้าเล่ห์ ก็รู้อยู่แล้วว่าคนที่ผมชอบเป็นใครยังจะมาถามอีก คนแบบนี้น่าตีชะมัด
แต่ว่า…สุดท้ายแล้วผมก็ได้แค่คิดนั้นแหละครับ คนแบบผมจะไปทำอะไรพี่ศรได้ สิ่งที่ทำได้ก็แค่พยักหน้าเบาๆรับคำพี่ศรไปแค่นั้นเอง
“แต่ว่ามันก็ยังเด็กอยู่เลยนะ” พี่แทนยังไม่ยอมแพ้
“มึงจะอะไรกับมันนักวะไอ้แทน หรือว่ามึงชอบไอ้ปุณย์”
“อึก!...ฮึบ” โดนพี่ศรถามกลับแบบนี้พี่แทนถึงกับหน้าถอดสีเลย จริงอยู่ว่าพี่ศรเคยบอกผมว่าพี่แทนชอบผม แต่ผมว่าคงไม่ใช่แบบนั้นหรอกพี่แทนก็แค่เป็นห่วงผมตามประสารุ่นพี่ร่นน้องเท่านั้น แถมพี่ศรน่ะพอพูดออกไปแบบนั้นก็ยังมายืนยิ้มมุมปากคนเดียว พวกไอ้ไพร์ไอ้ปัญที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้วตอนนี้ก็กำลังยืนกลั่นหัวเราะจนหน้าแดงยิ่งกว่าผมซะอีก
เอาเข้าไปเลยนะแต่ละคน ตอนนี้นอกจากจะโป้งพี่ศรผมจะโป้งทุกคนด้วยแล้วนะ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ผมอยากพักผ่อน” สุดท้ายข้ออ้างโง่ๆก็ถูกงัดออกมาใช้จนได้ พูดจบผมก็ทำหน้ามุ่ยเดินหนีออกมาจากกลุ่มเลย
“เดี๋ยวสิไอ้ปุณย์ มึงไม่สบายเลย โอ้ย!”
“ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ”
“มึงแกล้งกูชัดๆ มึงตั้งใจขัดขากูจนล้ม มึง!”
“พี่ๆอย่า…ไอ้ไพร์พอแล้ว”
เสียงเอะอะโวยวายไล่หลังมาให้รู้ว่าตอนนี้ทั้งพี่แทนกับไอ้ไพร์คงเปิดศึกใส่กันอีกแล้ว ส่วนคนห้ามก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้ปัญที่ต้องรับหน้าที่นี้ไป แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะตั้งใจแล้วว่าจะโป้งทุกคนให้หมดเลย
“ปุณย์เดี๋ยว” ผมเกือบจะหยุดตามเสียงเรียกที่ได้ยินไปแล้ว ถ้าสมองประมวลผลช้ากว่านี้หน่อยผมคงจะหยุดไปแล้ว
“เตี้ยหยุดก่อน” นั้นไงชัดเลยพี่ศรแน่ๆ แต่เรื่องอะไรผมจะยอมละ ไม่หยุดแถมผมจะรีบก้าวเท้าหนีให้เร็วกว่าเดิมอีกด้วย
“เตี้ยหยุด” พี่ศรร้องเรียกอีกครั้ง “เตี้ยแล้วยังดื้อเก่งอีกนะมึง”
“ผมไม่ได้ดื้อ” ผมยอมที่จะตอบกลับแต่ก็ยังไม่ยอมลดระดับฝีเท้าลงเลย ได้ยินเสียงพี่ศรเดินตามผมมาติดๆเหมือนกัน
“ไม่ได้ดื้อแล้วเดินหนีออกมาทำไม”
“ผมไม้ได้หนี ผมบอกไปแล้วนะว่าผมเหนื่อยจะกลับไปพักผ่อน”
“เหรอ จะเชื่อเด็กขี้น้อยใจดีไหมนะ”
“ผมไม่ได้ขี้น้อยใจนะ”
“ยอมหยุดเดินแล้วเหรอ”
“…” ผมหยุดชะงักเพราะรู้ตัวว่าตอนนี้เผลอหยุดเดินและยอมหันไปพูดกับพี่ศรซะแล้ว ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่เห็นสายตากับรอยยิ้มของพี่ศรแล้วก็รู้ตัวเลยว่าเถียงไปก็มีแต่จะทำให้พี่ศรชอบใจ แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องไปทำแบบนั้นละ
“เดี๋ยว!” กำลังจะเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ถูกพี่ศรจับมือไว้ได้ก่อน
“ปล่อยผมครับ” ผมพยายามสะบัดมืออกจากการเกาะกุมของพี่ศร
“ดื้อ”
“ผมไม่ได้ดื้อ”
“ไม่ได้ดื้อแล้วเดินหนีกูทำไม”
“ก็ผมโป้งพี่อยู่นะ พี่ปล่อยผมเลย”
“โป้งคนที่แอบชอบได้ลงคอเหรอมึงนะ”
“ผม…ผมจะไม่ชอบพี่แล้ว”
“หือ จริงอ่ะ” ไม่ต้องมาทำหน้าไม่เชื่อเลย ผมพูดจริงๆ ผมโป้งพี่ศรแล้วก็จะเลิกชอบพี่ศรแล้วด้วย
“จริงครับ” ผมยืนยันหนักแน่น
“งั้นมาพิสูจน์”
“…” พี่ศรปล่อยมือผมออกก่อนที่อีกคนจะค่อยๆยกมือขึ้นประคองใบหน้าผมแผ่วเบา พี่ศรประคองให้ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขา ตอนนี้เราสองคนกำลังยืนสบตากัน พี่ศรยิ้มอย่างพอใจแบบที่เขาชอบทำ…จนสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ต้องเบี่ยงหน้าหลบสายตา
“เห็นไหมละ”
พอพี่ศรว่าแบบนั้นผมรีบผละตัวออก
“ก็พี่ขี้โกง”
“ขี้โกงอะไร กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่จ้องตากัน”
“นั้นแหละพี่ขี้โกง” ขี้โกงมากๆด้วย ไม่รู้เหรอว่าผมน่ะแพ้สายตาพี่ศรทุกทีเลย ไม่กล้าสบตาอีกคนนานๆเลยสักครั้ง หัวใจมันเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาทุกที
“หึ! น่ารัก”
“พี่ว่าอะไรนะ” ผมเงยหน้าขึ้นถาม เพราะเมื่อกี้ได้ยินพี่ศรพูดไม่ชัด
“กูบอกว่ามึงน่ารัก”
“…” คราวนี้ได้ยินชัดๆเลย ไอ้พี่ศรบ้า มาชมแบบนี้มันก็…เขินนะ
“ยิ้มแบบนี้หายโกรธกูแล้วสิ”
“ก็…” อยากจะบอกว่ายังอยากจะโป้งพี่ศรอยู่ แต่เหมือนเสียงผมจะหล่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“หายโกรธนะ” พี่ศรวางมือทาบลงบนหัวผมอีกครั้งอย่างแผ่วเบา “กูเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าตอนมึงยิ้มน่ารักกว่าตั้งเยอะ”
“…”
“ถ้ายิ้มบ่อยๆจะพาไปกินของอร่อยๆ โอเคไหม”
“เดี๋ยวพี่ก็หาว่าผมแก้มยืดอีก”
“หึ! ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เห็นกับที่มึงอุตส่าห์แข่งชนะยกผลประโยชน์ให้วันนึงแล้วกัน ไม่ล้อก็ได้ จะกินอะไรก็บอกเดี๋ยวกูเลี้ยง”
“จริงๆนะครับ”
“พอพูดถึงเรื่องกินนี่ตาลุกวาวเชียวนะมึง แก้มยืด” พูดจบพี่ศรก็ยื่นมือจะมาดึงแก้มผมเล่นอีกแล้ว
“อืออ! ไหนพี่บอกว่าจะไม่ล้อไง”
“ก็มันอดไม่ได้นี่หว่า ดูสิเนี่ยแก้มยืดเป็นหมูแล้ว”
“…” ผมมุ่ยหน้า
“แต่ช่างเหอะ ยังไงก็ชอบไปแล้วจะเลิกชอบก็คงไม่ทันแล้วละ”
“…” ได้ยินแบบนี้ก็หน้าร้อนสิครับจะไปรออะไร จะผ่านมานานแค่ไหนพี่ศรก็ไม่เคยอ่อนโยนกับหัวใจผมเลยจริงๆ ขยันแอดแทคกันทุกทีสิน่า
-
:กอด1:
:L2: :pig4:
-
20th Shoot
พี่ศร’s น้องปุณย์
น้องปุณย์’s Part
“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
“ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่ๆที่มาช่วยกันขนของวันนี้
วันนี้พี่แทนแจ้งเรามาล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าจะให้คนมาขนของในห้องของพวกผม ของที่พี่แทนว่าก็คือโต๊ะ เตียงนอนและตู้เสื้อผ้าอีกสองชุดที่ทิ้งว่างไว้นานแล้ว พี่แทนบอกผมว่าไหนๆก็ไม่มีคนใช้ก็ย้ายไปให้ห้องอื่นที่จำเป็นต้องใช้ดีกว่า พี่แทนยังพูดติดตลกไว้ด้วยว่ายังไงก็คงไม่มีใครอยู่กับพี่ศรได้อยู่แล้วนอกจากผม จะว่าไปก็จริงของพี่แทนนั้นแหละ สายตาดุๆกับใบหน้านิ่งๆที่เดาอารมณ์ไม่ได้ของพี่ศร ขนาดผมยังแอบกลัวแล้วคนอื่นจะไปอยู่ได้ยังไง
แต่ยังไงซะพอผ่านมาได้แล้วตอนนี้ถึงได้รู้ว่าพีศรน่ะจริงๆแล้วเป็นคนที่น่ารักมากๆเลยล่ะ
“พี่จะทำอะไรครับ” หลังจากไปส่งพี่ๆที่มาขนของเสร็จฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้ว ขนกันตั้งแต่ช่วงกลางวันจนเย็น แอบเกรงใจพี่ๆเขาเหมือนกัน แต่พอกลับเข้ามาในห้องก็เห็นพี่ศรกำลังดันเตียงของผมที่จากเดิมตั้งอยู่ห่างจากเตียงของพี่เขาให้เขาไปชิดติดกัน
“ก็ย้ายเตียงไง”
“ผมรู้ แต่ผมหมายถึง…ทำไมพี่ต้องเลื่อนเตียงไปชิดกันขนาดนั้นด้วย” ถึงจะเหลือกันแค่สองเตียงแต่จริงๆไม่ต้องติดกันเป็นเตียงเดียวแบบนั้นก็ได้มั้ง
“เตียงติดกันน่ะดีแล้ว ห้องจะได้เหลือพื้นที่กว้างขึ้นไง”
“แต่…”
“มึงจะนอนตรงไหน” กำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่พี่ศรก็พูดตัดบทขึ้นมาก่อน
“ครับ?” ผมขมวดคิ้วสงสัย
“กูถามว่ามึงจะนอนฝั่งไหน ริมนั้นหรือริมนี้” พี่ศรชี้นิ้วไปที่เตียงสองเตรียงตรงหน้าที่ตอนนี้ถูกพี่ศรจัดมาชิดจนกลายเป็นเตียงเดียวกันไปแล้ว
“ผมไม่รู้ ผมอยากนอนแบบเดิม”
“ไม่ได้! เลือกมาเลยห้ามงอแง” อะไรเล่า อยู่ดีๆก็มาเสียงดุใส่อ่ะ ก็ผมไม่อยากนอนเตียงเดียวกับพี่ศรจริงๆนี่น่า
ก็….หัวใจผมมันยังไม่พร้อม
“ผมนอนฝั่งเดิมก็ได้ครับ” จนสุดท้ายผมยอมตอบออกไปเสียงอ่อยๆพี่ศรถึงได้ยอมกลับมายิ้มมุมปากอีกครั้ง
“มานั่งนี่มา” พี่ศรตบลงเบาๆที่เตียงนอนเป็นเชิงสั่งให้ผมเดินเขาไปหา
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะค่อยๆนั่งลงข้างๆอีกคน
“มะ…มีอะไรเหรอครับ”
หมับ!
จนแขนหนักๆของพี่ศรโอบมาที่เอวผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง
“พี่จะทำอะไร”
“กอดไง”
“ผมรู้แล้ว แต่…”
“ช่วยพี่เขาขนของมาเหนื่อยๆ ขอกอดหน่อย ได้กอดมึงแล้วกูหายเหนื่อย”
“…” ได้ยินแบบนี้ผมได้แต่ก้มหน้าหลุบมองต่ำ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักหน่อย ผมไม่ใช่เครื่องดื่มชูกำลังนะที่มากอดแล้วหายเหนื่อยนะ
“เขินอีกละ”
“อะไรเล่า! ก็พี่น่ะ…”
ฟอด!
“…”
“หายเหนื่อยแล้ว”
พะ…พี่ศรหอมแก้มผมงั้นเหรอ ใช่! เมื่อกี้พี่ศรหอมแก้มผม
ไอ้พี่ศรบ้า มาพูดให้ผมไม่กล้าสบตาแล้วยังจะมาขโมยหอมแก้มผมอีก แบบนี้ไม่ได้แล้วนะผมไม่ยอมจริงๆด้วย
“พี่ศร” ผมเงยหน้าขึ้นมองค้อนอย่างไม่ยอม
“มีอะไร” แต่พี่ศรก็ทำหน้าตายียวนกลับ
“เมื่อกี้พี่หอมแก้มผมเหรอ”
“เปล่านี่”
“เปล่าที่ไหนก็พี่หอม”
“เหรอ จำไม่ได้แล้ววะ”
“ก็พี่หอม…”
ฟอด!
และในจังหวะที่ผมเผลอเพราะกำลังหน้ามุ่ยโกรธพี่ศรอยู่นั้น ใครอีกคนก็ฉวยโอกาสหอมเข้ามาที่แก้มของผมอีกแล้ว คราวนี้ผมตกใจและเบิกตากว้างเพราะพี่ศรฝังปลายจมูกไว้ที่แก้มผมนานกว่าครั้งแรกอีก
“เนี่ยพี่หอมแก้มผม” ผมรีบเบี่ยงหน้าหลบ ยกมือขึ้นปิดแก้มทั้งสองข้างไว้ไม่ให้พี่ศรรุ่มร่ามหรือจู่โจมผมอีก
“เออ หอมจริงๆด้วย” อีกคนยอมรับหน้าตาย
“พี่ศร พี่แกล้งผมเหรอ”
“หึ!” สายตาและรอยยิ้มพี่ศรตอนนี้บ่งบอกชัดเลยว่าเขากำลังพอใจที่แกล้งผมได้ ผมทั้งพยายามขืนตัวและพยายามแกะมือพี่ศรที่โอบกอดเอวผมอยู่ แต่แรงมดอย่างผมจะไปสู้อะไรพี่ศรได้ นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรยังถูกพี่ศรออกแรงดึงตัวผมให้โน้มลงไปซบอกพี่เขาอีก
“พี่แกล้งผมอ่ะ” ผมพูดเสียงเบาอย่างไม่พอใจ
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย กูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอยู่ใกล้มึงแล้วกูหายเหนื่อย”
“ไม่ต้องเลย พี่ปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ขออีกนิดไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้” ว่าแล้วผมก็พยายามขืนตัวออกจากแรงกอดของพี่ศรอีกครั้ง แต่เรื่องมันก็วนมาแบบเดิม แบบที่ผมสู้แรงพี่เขาไม่ได้แถมพี่ศรยังยังทำหน้ายียวนใส่ผมอีก
“ได้…พี่ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม นี่แนะ!” และแล้วทางเลือกที่แสนจะปัญญาอ่อนที่สุดก็ถูกผมงัดออกมาใช้ ในเมื่อใช้กำลังก็ไม่ได้ ขมขู่ก็ไม่ได้ผมก็ต้องใช้วิธีเดียวที่ผมคิดได้ตอนนี้คือการยื่นมือพี่จี้เอวพี่ศรให้จั๊กกะจี้
แต่ทว่าใครอีกคนกับไม่ได้มีอาการหรือรู้สึกอะไรเลย พี่ศรเอาแต่ส่งสายตานิ่งๆมองมาทางผม
“พี่ไม่จั๊กกะจี้เหรอครับ” ผมถามเสียงอ่อย ค่อยๆชักมือตัวเองกลับ
“กูไม่ได้บ้าจี้ อีกอย่างแรงแค่นี้กูไม่รู้สึกหรอก ถ้าจะให้จั๊กกะจี้มันต้องแบบนี้”
“อ๊ะ! พี่ผมไม่เอา อ๊ะ! พี่ศรอย่า…” จากที่ผมควรจะเป็นคนทำให้พี่เขาจั๊กกะจี้ ตอนนี้กลายเป็นผมเองที่ดิ้นและหัวเราะอย่างกับคนบ้าเพราะโดนพี่ศรจี้ที่เอวไม่หยุด
“ยอมยัง”
“ยอมแล้วครับผมยอมแล้ว”
“ไอ้อ่อน”
“อะไรเล่า” ผมเงยหน้าขึ้นมองค้อนให้คนที่ยืนยิ้มอย่างได้ใจอยู่ตอนนี้ พี่ศรนะพี่ศรแรงก็เยอะกว่าผมตั้งเยอะ เล่นจี้มาที่เอวผมเต็มแรงไม่ออมมือบ้างเลย ทั้งจั๊กกะจี้ทั้งเจ็บ ถ้าไม่บอกยอมแพ้พี่ศรก็คงไม่หยุดหรอก แบบนั้นมีหวังตัวผมได้หักแน่
“ขนของจัดห้องมาทั้งวันไปอาบน้ำได้แล้วไปเจ้าเด็กมอมแมม”
“ชิ!” ผมยู่จมูกใส่ วันนี้พี่ศรขนของเยอะกว่าผมอีก ผมน่ะแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ จะจับนั้นที่ศรก็ห้ามที จะช่วยยกอะไรก็โดนดุไปหมดแบบนี้ยังจะมาบอกว่าผมมอมแมมอีก ตัวเองนั้นแหละเหงื่อออกแล้วยังไม่ยอมไปอาบน้ำอีก
จังหวะนั้นเองที่พี่ศรหันหลังให้ผมทำท่าเหมือนจะเอี้ยวตัวเดินไปอีกทาง ความคิดชั่วร้ายก็แล่นขึ้นมาในหัว ผมไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านพ้นไปง่ายๆหรอกคราวนี้ผมต้องแกล้งพี่ให้ได้เลย
“อ๊ะ!” แต่ไวกว่าความคิดผมก็คือพี่ศรนี่แหละ ผมพุ่งตัวออกไปยังไม่ได้ถึงสองก้าวเลยมั้ง จู่ๆพี่ศรก็หันมาคว้าจับมือผมไว้ อีกคนที่แข็งแรงกว่าผมมากก็ออกแรงรั้งตัวผมให้เข้าไปใกล้จนเราแนบชิดกัน
เอ่อ…แนบชิดในที่นี้คือแนบชิดมากๆจนมือผมคว้าจับไปทั่วอย่างหาที่พึ่ง จนกระทั้งไปคว้าโดน…ตรงนั้น
“…”
“…”
ต่างคนต่างเงียบ ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจรีบชะงักมือออกจากตรงนั้น ตอนนี้ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้วนอกจากพื้นห้องสีขาวขุ่นที่ผมกำลังเอาแต่ก้มหน้ามองมันตอนนี้ สมองตื้อไปหมด เรี่ยวแรงก็ไม่รู้หายไปไหนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดพี่ศรยังทำไม่ได้เลย
“เมื่อกี้ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำของพี่ศรเอ่ยถาม ผมสะดุ้งตัวโยนได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมตอบ ใครจะไปตอบกันเล่าว่าเมื่อกี้พึ่งจะจับ…ตรงนั้นมาน่ะ
“ทำอะไรไว้รับผิดชอบด้วยนะ” เสียงกระซิบพูดดังขึ้นให้ได้ยินอีกครั้ง
“ระ…รับผิดชอบเหรอครับ”
“อืม ก็มึงจับจนมันตื่น” แค่พี่ศรพูดผมก็หน้าแดงอายจะอยากจะม้วนตัวหนีพออยู่แล้ว ยิ่งอีกคนมาจับมือผมไปวางสัมผัสตรงนั้นอีกทีผมยิ่งตกใจจนต้องรีบชะงักมือกลับ
ตรงนั้น…มันขายใหญ่ขึ้นมาจริงๆด้วย
“พี่ศรปล่อยผมนะครับ” ผมพยายามขืนตัวออก ออกแรงผลักหน้าอกพี่ศรให้ออกห่างแต่เหมือนจะดันเท่าไหร่พี่ศรก็ไม่ขยับเลย
“มาแกล้งกูแล้วจะชิ่งหนีนี่นะ”
“ผมไม่ได้แกล้ง…ผมหมายถึงไม่ได้จะแกล้งแบบนั้น”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้มันตื่นขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”
“ผะ…ผมไม่รู้ครับ” ผมปฏิเสธเสียงเบา
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ถูกพี่ศรค่อยๆประคองแก้มทั้งสองข้างอย่างเบามือ เงยหน้าขึ้นสบสายตาอีกคนด้วยหัวใจที่เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา ลมหายใจอุ่นร้อนไม่ต่างจากอุณหภูมิรอบๆห้องตอนนี้ของพี่ศรรดลงบนต้นคอผมก่อนที่พี่ศรจะโน้มลงมาฝั่งปลายจมูกและกดจูบที่ต้นคอผม
“พี่…!” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ “พี่จะทำอะไรครับ”
“ก็จะทำให้เจ้านี่มันสงบไง” ผมแทบจะเป็นบ้าเพราะพี่ศรไม่พูดเปล่า เขาก้มลงมองส่วนแข็งแกร่งของตัวเองที่ตอนนี้เหมือนมันจะเพิ่มขนาดขึ้นไม่หยุด
“ไม่เอาครับ” ผมจะหันหนีแต่ถูกพี่ศรรวบตัวไว้แล้วกอดแน่น
“ไม่รักกูแล้วเหรอ” พี่ศรจ้องตาผมนิ่ง แววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการนั้นทำให้ผม…ใจอ่อน
“แต่ผมยังไม่เคยนี่ครับ” ผมบอกเสียงเบา
“ก็เดียวกูช่วยทำให้เคย”
“…”
“เดี๋ยวก็เก่ง”
“พี่อะ!” ผมทุบลงไปตรงแผงอกคนทะลึ่งแรงๆ พี่ศรเวอร์ชั่นนิ่งๆขรึมๆไม่รู้หายไปไหน ผมไม่คุ้นกับเวอร์ชั่นที่รุกผมหนักๆแบบนี้เลยสิน่า
“รักกูไหม”
“ระ…รักครับ”
“รังเกลียดกูไหม”
“มะ…ไม่ครับ”
“ถ้างั้นก็อย่าปฏิเสธนะ” น้ำเสียงอ้อนวอนอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากปากพี่ศรมาก่อนเอ่ยมาให้ผมต้องหน้าแดงเล่น ตามมาด้วยการที่พี่ศรกดจูบลงบนกลีบปากผมอีกครั้ง
ผมยืนแข่งทื่อเป็นก้อนหินโดยอัตโนมัติ ไม่มีคำพูด ไม่มีการขัดขืนอะไร ยอมปล่อยไปตามการชักนำของอีกคนแต่โดยดี เสื้อตัวบางของผมถูกถอดออก ของพี่ศรก็เช่นกัน เพียงแต่ว่า…พี่ศรเขาถอดเสื้อผ้าของตัวเองหมดเลย อุณหภูมิที่แก้มผมคงจะพุ่งเกินค่ามาตรฐานไปหลายร้ององศา พี่ศรตอนนี้ดูเซ็กซี่จนผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว เป็นนักกีฬายิงธนูนี่มันต้องหุ่นดีขนาดนี้เลยหรือไง
“มองอะไร” ผมสะดุ้งกับคำถาม
“ปะ…เปล่าสักหน่อย ผมหันหน้าหนี”
“หึ!” รับรู้ได้ถึงแรงกระตุกยิ้มของอีกคน
“เหวอ!” ผมถูกพี่ศรช้อนตัวขึ้นอุ้มไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมซุกหน้าลงแนบออกอีกคนอย่างหมดทางหนี แขนทั้งสองข้างเอื้อมไปคล้องคอพี่ศรไว้โดยอัตโนมัติเพราะกลัวตก พี่ศรอุ้มผมมาวางไว้ที่เตียงอย่างเบามือ ผมมองตามทุกการกระทำของเขาอย่างลืมตัวจนตอนนี้รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกอีกคนขึ้นคร่อมตัวไว้ซะแล้ว
“มึงน่ารักมากเลยรู้ไหม”
“…” จะไปรู้ได้ไงเล่า ผมรู้แต่ว่าตอนนี้พี่ศรเลิกจ้องผมด้วยสายตาแบบนั้นสักทีได้ไหม ผมอายไปหมดแล้วนะ
เพียงไม่นานผมก็ต้องเม้มปากแน่นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่ศรค่อยๆถอดกางเกงของผมออกทั้งชั้นนอกชั้นใน ปราการด่านสุดท้ายที่ปกปิดตัวผมไว้จากสายตาน่าอายของพี่ศรถูกปลดเปลื้องออกไปแล้ว
“ขนาดกำลังน่ารัก”
“อะไรเล่า” ผมงอแงเสียงเบา ไม่รู้ว่าพี่ศรหมายถึงอะไรที่ทะลึ่งหรือเปล่า “อืออ…พี่ศร” ผมเม้มปากแน่นพยายามกลั้นไม่ให้เผลอร้องเสียงดังเมื่อพี่ศรขบเม้มลงมาที่ยอดอกของผม มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
มันเย็นวาบแต่ร้อนลุ่ม
มันเปียกชื่นแต่นุ่มสบาย
มัน…มัน…ผมอธิบายไม่ถูก ทั้งที่ใจและหัวสมองอยากจะขัดขืน อยากจะร้องห้าม แต่ร่างกายกลับไปให้ความร่วมมือพี่ศรด้วยการแอ่นช่วงอกรับกับรสสัมผัสจากเขาซะอย่างนั้น
น่าอายชะมัดเลย
พี่ศรไล่จูบและฝังปลายจมูกไปทั่วทั้งร่างกายของผม ไล่จากต้นขา จุดอ่อนไหวที่หน้าท้อง ช่วงอก ซอกคอ และตอนนี้มาถึงปากของผมที่ถูกพี่ศรครอบครองกดจูบไว้สักพักจนผมเริ่มชาไปหมดแล้ว ลิ้นร้อนของพี่ศรสอดแทรกเข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของไม่หยุด ผมพยายามเม้มปากสู้ แต่ยิ่งสู้พี่ศรก็ยิ่งออกแรงดูดดึงและขบเม้มแรงขึ้นจนผมต้องยอมแพ้
“อึก!” ผมสะดุ้งตัวโยน เบิกตากว้างอย่างตกใจ อยากจะร้องออกมาเสียงดังก็ทำไม่ได้เพราะยังถูกพี่ศรไล่ฉกจูบอยู่ไม่หยุด นิ้วมือเรียวของพี่ศรค่อยๆดันเข้ามาในช่องทางด้านล่างของผม จากหนึ่งนิ้ว เพิ่มขึ้นทีละนิ้วจนผมหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ตอนนี้ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงลมหายใจของตัวเองกับเสียงดูดดึงแสดงความเป็นเจ้าของจากปากของพี่ศร มือทั้งสองข้างยกขึ้นเกาะไหล่พี่ศรไว้แน่นอย่างหาที่พึ่ง พี่ศรผละจูบออกเปิดโอกาสให้ผมได้หอบหายใจ จ้องตากันสักพักก่อนที่พี่ศรจะเริ่มขยับนิ้วของเขาอีกครั้ง
“อื้อออ…” ผมส่งเสียงประท้วง
“ไหวไหม” พี่ศรจูบขมับผมหนักๆหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยถาม
ผมพยักหน้าตอบแม้จะลังเล ใจอยากปฏิเสธเพราะความกลัว แต่อีกใจก็ยอมรับว่าผมมีความสุขที่ถูกพี่ศรสัมผัสแบบนี้ และเหมือนจะได้คำตอบที่พึงพอใจเพราะพี่ศรยกยิ้มให้ผมทีนึงก่อนจะเริ่มรุกรานร่างกายผมด้วยการพรมจูบไปทั่วทั้งตัวอีกครั้ง
“พี่ศร…” ผมตกใจผวาเข้ากอดอีกคนไว้แน่น พี่ศรเปลี่ยนจากนิ้วมือมาเป็นอะไรอีกอย่างที่แข็งแกร่งกว่า อุ่นร้อนกว่า ขนาดของมันทำให้ผมคับแน่นไปหมด ขยับตัวหนีก็ไม่ได้เพราะแค่ลองบิดตัวนิดเดียวก็มีอาการจุกแล้ว
“อย่างเกร็ง”
“ผะ…ผมอึดอัด อ๊ะ!” แล้วพี่ศรก็ดันความแข็งแกร่งนั้นเข้ามาทีเดียวจนหมด
“ทนหน่อยนะ จะทำเบาๆแล้วกัน” ผมสบตาเข้ากับสายตาอบอุ่นของพี่ศรที่มองมา แรงสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นที่แก้มกับการจูบขมับแรงๆทำให้ผมต้องยิ้มรับ
“อื้อ!” แต่ถึงจะตอบตกลงไปแล้วก็เถอะ พอพี่ศรเริ่มขยับตัวผมก็ต้องกลั่นเสียงร้องเอาไว้อย่างอดทนอีกครั้ง ความคับแน่นส่งให้ผมต้องเชิดหน้าขึ้นเพื่อรับความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นตรงช่วงล่างนั้น “พะ…พี่ศร” แต่ถึงจะพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว พอถูกแรงกระแทกเข้าตรงจุดหนึ่งผมเหมือนถูกไฟช็อตไปทั้งตัว ผมสะดุ้งกระตุกตัวเกร็ง เรียกชื่อยังไงพี่ศรก็ไม่ยอมหยุดเลย ทั้งออกแรกทุบกำปั้นที่หน้าอกแกร่งของพี่ศรก็แล้วแต่พี่ศรก็ไม่ยอมหยุด สุดท้ายผมก็ต้องเกร็งตัวขึ้นซุกหน้ากับแผงอกแกร่งของพี่ศรอย่างหาที่พึ่ง
“เจ็บเหรอ” สุดท้ายพี่ศรก็ยอมหยุดขยับ
“ฮึก…” ถึงตอนนี้ผมก็พูดไม่ออก ไม่ใช่ไม่อยากพูดแต่ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออก พอแรงขยับที่ช่วงล่างหยุดลงผมทำได้แค่หอบเอาอากาศหายใจเข้าไปเติมในปอดอย่างเหน็ดเหนื่อย
“ไม่ร้องนะ”
“…”
“ไม่อยากเห็นน้ำตามึงเลย ขอโทษนะถ้าทำให้เจ็บ”
“…”
“ให้หยุดไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยนของพี่ศรที่ถามมามันทำให้ผมไม่อยากปฏิเสธ ผมส่ายหน้าแทบคำตอบออกไปทำให้พี่ศรยกยิ้ม
“ถ้างั้นเจ็บตอนไหนก็บอกนะ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ
แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างอ่อนโยน พี่ศรไม่รวดเร็วและรุนแรงกับผมเหมือนตอนแรก ทุกๆการสัมผัสมันดูอ่อนโยนไปหมดจนผมสบายใจ ช่วงล่างเริ่มขยับตามแรงของพี่ศรอีกครั้ง แต่ที่แปลกออกไปคือในครั้งนี้ผมไม่รู้สึกกลัวเลย นั้นก็เพราะพี่ศรคอยปลอบประโลมผมอย่างห่วงใยอยู่ตลอด
จนสุดท้ายผมถูกจับให้มานั่งคร่อมตัวพี่ศรไว้ในท่าทางที่น่าอาย ทุกการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นโดยที่ช่วงล่างของเรายังคงเชื่อมต่อติดกันอยู่ พี่ศรรูดรั้งส่วนแข็งแกร่งของผมเพียงไม่กี่ครั้งผมก็ต้องเชิดหน้าแล้วปลดปล่อยสิ่งน่าอายออกมาจนเลอะหน้าท้องพี่ศรไปหมด
“เป็นไง” พี่ศรกระซิบถาม
“ผม…” จะให้ผมตอบยังไงเล่า
“ตากูบ้างนะ”
“อืออ…”
พี่ศรจับสะโพกของผมให้ขยับตามความต้องการของเขาอีกครั้ง ผมเชิดหน้าขึ้นสูงอีกครั้งเมื่อจังหวะถูกเร่งให้เร็วขึ้น จนสุดท้ายก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่ถูกฉีดเข้ามาภายในตัว ทั่วทั้งห้องตอนนี้มีแค่เสียงหอบหายใจของเราสองคนกับสายตาร้อนแรงที่พี่ศรมองมาเท่านั้น
“ปุณย์” เสียงมทุ้มต่ำของพี่ศรกระซิบเรียก
“คะ…ครับ”
“ขออีกรอบนะ”
“อื้อออ…พี่ศร”
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามความต้องการของพี่ศรโดยมีผมที่ปากอยากจะบอกปฏิเสธแต่ร่างกายกลับยินยอมและให้ความร่วมมือกับพี่ศรเป็นอย่างดีตลอดทั้งคืน
กว่าจะผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มาได้เล่นเอาผมแทบจะฟุบหลับไปทันทีที่พี่ศรยอมวางมือ พี่ศรเหมือนเพลิงร้อนแรงที่ลุกโชนแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ ไม่ว่าผมจะร้องห้ามสักเท่าไหร่พี่ศรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย แบบนั้นเลยไม่แปลกที่ผมจะตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกเวียนหัวและปวดระบมไปทั่วทั้งตัวแบบนี้
พี่ศรนะพี่ศรไม่อ่อนโยนกับผมบ้างเลย
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ่มต่ำดังขึ้นจากคนที่กำลังถือถังน้ำใบเล็กเดินเข้ามา พี่ศรวางถังน้ำลงที่โต๊ะตัวเล็กบนหัวเตียงก่อนจะบิดผ้าขนหนูผืนเล็กให้หมาด “เช็ดตัวหน่อยนะ ตัวมึงรุมๆเดี๋ยวจะไม่สบายเอา เมื่อคืนเช็ดให้ไปแล้วรอบนึง”
“ก็พี่นั้นแหละ”
“อะไร” พี่ศรพูดกลั้วหัวเราะ
“ก็พี่ศรไม่อ่อนโยนกับผมเลย ผมถึงเป็นแบบนี้ไง” ผมมุ่ยหน้าใส่
“นี่กูก็พยายามถนอมมึงแล้วนะ ตัวก็บางจับทีกูก็กลัวว่าจะหัก”
“ผมจะโป้งพี่แล้วนะ”
“โกรธเหรอ” พี่ศรโผเข้ามากอด ช้อนตัวผมขึ้นนั่งก่อนจะรั้งตัวผมให้ซุกลงตรงอกหนาของเขา “อย่าโกรธนะ จะรับผิดชอบเอง โอเคไหม”
“…” อีกคนกดจูบลงมาที่แก้มผมซ้ายทีขวาทีอย่างอ่อนโยน ค่อยๆยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมและท้ายทอยของผมอย่างเบามือ
“เป็นแฟนกันนะ” ก่อนที่พี่ศรจะพูดคำนึงที่ทำให้ผมหัวใจพองโต “ขี้เกียจจีบแล้ว ขอเป็นแฟนเลยดีกว่า”
“…”
“ตกลงไหม”
ผมเม้มปากแน่นอย่างลังเล มองไปบนใบหน้าหล่อของอีกคนอย่างใช้ความคิด ยอมรับว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่ผมคิดไม่ถึงเลย ที่จริงคือผมไม่เคยคิดถึงมันด้วยซ้ำ ผมต้องการแค่ได้แอบรักพี่ศรอยู่ห่างๆ แค่ต้องการมาอยู่ใกล้ๆมาเห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้งก็แค่นั้น
แต่นี่…พี่ศรกำลังขอผมเป็นแฟน ที่จริงผมควรจะดีใจ ควรจะรีบตอบตกลงเป็นแฟนเขา แต่ทำไม…ปากผมถึงรู้สึกหนักอึ้งสมองรู้สึกตื้อตันไปหมด
“ขมวดคิ้วแบบนี้จะปฏิเสธใช่ไหม”
“ผม…”
“ห้ามปฏิเสธนะ เป็นเมียกูแล้วห้ามปฏิเสธด้วย”
“ผมเป็นเมียพี่ตอนไหน”
“ก็เมื่อคืนไง จะให้ย้ำไหมละ”
“อื้อ…” พูดจบพี่ศร ก็ทำท่าจะฉกจูบมาที่ผมอีกแล้ว ผมออกแรงดันตัวของพี่ศรออกอย่างสุดความสามารถ “พี่ศรไม่เอาแล้วครับ ผมยังเจ็บอยู่เลยนะ”
“ตอบมาก่อนว่าจะยอมเป็นแฟนไหม ถ้าไม่ยอมเป็นแฟนกูจะจับกดจริงด้วย”
“พี่อ่ะ!”
“ตอบมาเร็ว”
“ก็ได้ครับ เป็นก็ได้”
ทุกอย่างหยุดนิ่งลง ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพี่ศร อีกคนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจกับสิ่งที่ผมพึ่งบอกไป
“เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ”
“ผมยอมเป็นแฟนพี่แล้วครับ”
“ว่าไงนะ”
“ผมบอกว่าผมยอมเป็นแฟนพี่แล้วครับ”
“ว่าไงนะ”
เฮ้อ! ผมถอดหายใจเสียงดัง ยังไม่ทันแก่เลยหูตึงซะแล้วเหรอ
“ผม…บอก…ว่า…ผม…เป็น…แฟน...พี่…แล้ว…ครับ อื้อออ…!” ผมแกล้งตะโกนเสียงดังใส่คนหูตึง แต่ยังพูดไม่ทันจบดีพี่ศรก็กดจูบลงมาที่ริมฝีปากผมแน่น รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนตัวสูงขึ้นคร่อมร่างไว้แล้ว
แล้วคนเอาแต่จัดก็จัดการผมซ้ำรอยเดิมที่เคยทำไว้เมื่อคืน
ไหนบอกว่ายอมเป็นแฟนแล้วจะไม่ทำอะไรไงเล่า ไอ้พี่ศรบ้า!
-
:jul1:
ทำไมพี่ศรเก็บกด 55
-
21th Shoot
พี่ศรเป็นแฟนผม
น้องปุณย์’s Part
“พี่ศร ผมเดินเองได้ครับ พี่…พี่ไม่ต้องโอบไหล่ผมก็ได้”
หลังจาก…เอ่อ…ผ่านเหตุการณ์นั้นมา สกิลความตีเนียนของพี่ศรก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ตั้งแต่ที่ผมตกลงคบกับพี่ศรผมก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต่อจากนี้ไปทั้งสถานะและความสัมพันธ์รวมไปถึงอะไรรอบๆตัวเรามันก็คงจะต้องเปลี่ยนไปด้วย อย่างวันนี้การเดินไปเรียนของผมกับพี่ศร จากแต่ก่อนที่ถึงแม้จะเดินด้วยกันอยู่แล้วก็จริง แต่มันก็เป็นการที่ต่างคนต่างเดินไม่ใช่แบบที่ผมโดนพี่ศรโอบไหล่กอดตัวผมอย่างหลวมๆอยู่ตอนนี้ แถมอีกคนยังทำหน้าตาเนียนๆอย่างไม่รู้สึกราวกับว่าเราเป็นคู่รักที่คบกันมานานอย่างนั้นแหละ
“ทำไมกูจะโอบไม่ได้ เป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ครับ แต่ว่าเราไม่ต้องเดินโอบไหล่กันแบบนี้ไม่ได้เหรอครับ ผมก็แค่…ยังไม่ค่อยชิน” พูดจบผมก็หลบตามองต่ำ รู้สึกร้อนๆขึ้นมาที่แก้มทั้งสองข้างอีกแล้ว
“นี่” แต่พี่ศรก็ยังไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ อีกคนค่อยๆสัมผัสลงที่แขนทั้งสองข้างของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกเสียงเป็นเชิงสั่งให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“…” ผมสบตากับพี่ศรอย่างหวั่นๆ พี่ศรค่อยๆย่อตัวและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม เสี้ยวหน้าหล่อของพี่ศรเข้ามาอยู่ในสายตาของผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ผมใจสั่นเป็นบ้าเลย ได้เห็นหน้าพี่ศรในระยะประชิดแบบนี้ทีไรผมเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นทุกทีเลย
“มึงลืมไปแล้วเหรอว่ามึงมาที่นี่เพราะอะไร”
“คือผม…ผมมาที่นี่ก็เพราะ…” ประโยคสุดท้ายผมไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่เลือกที่จะค่อยๆยื่นมือชี้ออกไปทางอีกคนแทน
อีกคนที่ว่านั้นคือ…พี่ศร
“ในเมื่อมึงมาที่นี่เพราะกู มึงมาที่นี่เพราะความรักที่มึงมีให้กู ตอนนี้กูเองก็รักมึงเหมือนกันมึงรู้ใช่ไหม”
“ระ…รู้ครับ”
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืนยาวอะไรขนาดนั้น ในเมื่อเราต่างคนต่างก็รักกัน ต่อจากนี้มึงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้ากูจะแสดงความรักกับมึงอย่างที่ใจกูอยากทำ”
“คือผม…”
“ถามว่าได้ไหม”
“ก็…ได้ครับ แต่ว่าผม…”
“ยังเขินอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ผมก็แค่ยังไม่ชิน…ก็แค่นั้น”
“หึ! เถียงยังไงก็เถียงไม่ขึ้นหรอก ไม่เขินอะไรหน้าแดงซะขนาดนี้ห๊ะ?”
“อือ…พี่ศร” ไม่ว่าเปล่า พูดจบพี่ศรก็มาจับแก้มผมดึงเล่นอีกแล้ว
ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบจนพี่ศรยอมปล่อย พี่ศรดูเหมือนจะสนุกกับการดึงแก้มผมเล่นเอามากๆเพราะตอนนี้พี่ศรยิ้มกว้างไม่หยุดเลย จะมีก็แต่ผมที่ทำอะไรคืนไม่ได้นอกจากทำหน้ามุ่ยใส่
“หน้ามุ่ยเป็นตูดลิง” แนะ! ยังจะมาว่าผมอีก
“ก็พี่ชอบแกล้งผม”
“ก็มึงอยากน่ารักเองช่วยไม่ได้ อยากมาทำตัวน่ารักให้กูเห็นเองทำไม ตอนนี้กูก็เลยรักมึงเข้าเต็มๆเลยเห็นไหม”
“ผมไม่คุยกับพี่แล้ว” ผมขมวดคิ้วมองค้อนพี่ศรไปทีนึงก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา พี่ศรน่ะชอบแกล้งผมอยู่เรื่อยเลย เดี๋ยวจับแก้มผมเล่นบ้างละ บีบจมูกผมบ้างละ เหลืออะไรในหน้าผมที่พี่ศรยังไม่ได้เล่นอีกไหม
พอเลี่ยงออกมาได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของพี่ศรเดินตามผมมาติดๆ ตอนแรกผมก็ทำใจแข็งไม่ยอมหันกลับไปมอง เลือกที่จะก้าวเท้าเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิมจนเสียงฝีเท้าที่เคยดังตามมาค่อยๆเงียบหายไป
“…” ผมหันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นพี่ศรเดินตามมาแล้ว อะไรกันนี่ผมถูกพี่ศรทิ้งให้ไปเรียนคนเดียวจริงๆเหรอ ถึงแม้วันนี้พี่ศรจะไม่มีเรียนเพราะต้องไปซ้อมยิงธนูก็เถอะ แต่ยังไงก็ไม่ควรมาทิ้งกันกลางทางแบบนี้หรือเปล่า
“เฮ้อ! ช่างเถอะ เราเป็นคนเดินหนีพี่เขามาเองนี่น่า” คิดได้แบบนั้นผมกถอนหายใจกับตัวเองอีกสองสามทีจนกระทั่งหันกลับมานั้นแหละถึงได้ชนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง
“เหวอ!”
หมับ! ผมเกือบจะหงายหลังล้มลงไปอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่ามีมือของใครบางคนฉุดรั้งไว้ได้ทัน เหตุการณ์มันเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนผมยังตกใจไม่หาย
“ซื่อบื้อแล้วยังซุ่มซ่ามอีก” จนน้ำเสียงดุๆที่คุ้นหูดังขึ้นผมถึงรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังถูกใครอีกคนรวบตัวผมมากอดไว้ กอดแน่นจนหน้าจมลงกับแผ่นอกกว้างของเขา
“พี่ศร” ผมเอ่ยเสียงเบา พยายามจะเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ถูกอีกคนออกแรงกอดไว้จนขยับแทบจะไม่ได้
“ซุ่มซ่ามแล้วอย่าดื้อ”
“ผมไม่ได้ดื้อสักหน่อยแล้วผมก็ไม่ได้ซุ่มซ่ามด้วย พี่นั้นแหละที่แกล้งผม”
“กูแกล้งอะไรมึง”
“พี่อ้อมมาดักหน้าผมทำไมละ”
“ก็กูเห็นใครไม่รู้กำลังถอนหายใจซะดังเลย ทำไมกลัวกูทิ้งให้เดินคนเดียวเหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“ไม่ใช่อะไรเมื่อกี้กูแอบเห็นมึงหน้าเสียด้วย มึงเป็นคนเดินหนีกูมาเองไม่ใช่หรือไง”
“ผมไม่ได้หนีนะครับ ก็วันนี้พี่ศรไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ ผมก็แค่คิดว่าพี่จะไปซ้อมยิงธนูแล้วต่างหาก”
“แค่นั้น? ไม่ได้หน้าเสียเพราะคิดว่ากูทิ้งให้มึงไปเรียนคนเดียวจริงๆอ่ะ”
“จริงครับ”
“เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ”
“อื้อ…พี่ศร”
ก็ยอมรับจริงๆนั้นแหละว่าผมโกหก ตอนแรกผมใจเสียเลยเพราะคิดว่าพี่ศรคงจะทิ้งผมให้เดินไปเรียนคนเดียวจริงๆซะแล้ว แต่ตอนนนี้ปัญหาใหม่ที่ผมต้องเจอก็คือพี่ศรเอาแต่กอดผมไว้ไม่ยอมปล่อยแถมอีกคนยังก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมอย่างเอาเปรียบอีกต่างหาก ผมที่ถูกกอดไว้แน่นจนไม่สามารถทำอะไรได้แบบนี้ก็ทำได้แค่หลับตาปี๋พลางส่งเสียงร้องห้ามสลับกับเสียงตกใจเพราะถูกหอมแก้มอย่างแรง
ฟอด!
“เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ”
“ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย อื้อ…” พูดไม่ทันจบเลยพี่ศรหอมแก้มผมอีกแล้ว
“เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามึงน่ะเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่โกหกได้แย่ที่สุดในโลกเลย ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนโกหกเก่งอยู่อีกหรือไง”
“ผม…อื้อออ…” พี่ศรหอมแก้มผมอีกแล้ว คราวนี้ดูเหมือนพี่ศรได้ใจกระหน่ำหอมแก้มผมไม่หยุดเลย ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงร้องอะไรออกมา ตอนนี้ชุดนิสิตผมยับไปหมดเพราะแรงกอดจากวงแขนแกร่งของอีกคน จะออกแรงขัดขืนก็ทำไม่ได้เพราะยังไงพี่ศรที่อยุ่ในชุดกีฬาก็ทะมัดทะแมงกว่าผมอยู่แล้ว
จนสุดท้ายกลายเป็นผมเองที่เงียบสงบลง เหลือไว้แค่เสียงหอบหายใจแรงๆเพราะตอนนี้ใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
“หมดฤทธิ์แล้วใช่ไหม”
“…” ผมไม่ได้ตอบคำถามของพี่ศร แต่ยอมที่จะเงยหน้าขึ้นส่งสายตาค้อนให้กับใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มมุมปากมองลงมาสบตาผม
“สงสัยยังไม่หมดฤทธิ์” ว่าจบพี่ศรก็ทำท่าจะก้มลงมาจู่โจมผมอีก
“หมดแล้วครับๆ” ผมรีบร้องห้าม ผมรับการจู่โจมของพี่ศรอีกไม่ไหวแล้ว ขืนปล่อยให้พี่ศรทำต่อมีหวังผมได้ตายคาอกพี่ศรแน่ๆ
“ยอมแล้วใช่ไหม”
“ครับ ผมยอมแล้ว” ผมตอบเสียงอ่อย
“จะไม่ดื้อแล้วใช่ไหม”
“ไม่ดื้อแล้วครับ”
“รู้ใช่ไหมว่าถ้าดื้อจะต้องเจอกับอะไร ตอนนี้มึงเป็นแฟนกูแล้วถ้าดื้อก็ต้องเจอลงโทษเข้าใจไหม”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ พี่ศรได้ยินแบบนั้นก็ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจก่อนจะยื่นมือมาบีบจมูกผมเล่นอย่างเอ็นดู และสุดท้ายพี่ศรก็ผมปล่อยผมออกจากอ้อมกอดของเขา ผมรีบกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด รู้สึกชาๆตามลำตัวเพราะถูกพี่ศรกอดไว้เป็นเวลานาน
พี่ศรนะพี่ศร ชอบใช้กำลังกับผมอยู่เรื่อยเลย ถึงมันจะเป็นการใช้กำลังที่ทำให้ผมใจเต้นแรงก็เถอะ
“พี่ไปซ้อมยิงธนูเถอะครับ ผมเดินไปเรียนคนเดียวได้”
“ได้ยังไงละ ก็กูบอกแล้วว่าวันนี้จะเดินไปส่งมึงก่อน”
“แต่ผม…”
“อย่าดื้อ”
“…” ผมมุ่ยหน้าเพราะโดนพี่ศรดุ ไม่ได้อยากดื้อสักหน่อย เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ยังทำผมใจเต้นไม่หาย
ตอนที่รู้จักกันทีแรกสกิลการโจมตีของพี่ศรก็สูงมากแล้วนะสำหรับผม ตอนที่พี่ศรบอกว่าจะจีบผมตอนนั้นผมคิดว่าหนักสุดๆแล้ว ยิ่งมาตอนนี้ที่ตกลงเป็นแฟนกันสลิกการโจมตีพี่ศรยิ่งรุนแรงว่าเดิมอีก แถมยังมีผลต่ออัตราการเต้นของ
หัวใผมโดยตรงอีกด้วย
ไม่ไหว ไม่ไหว ถ้าโดนพี่ศรโจมตีบ่อยๆแบบนี้สักวันผมคงได้หัวใจวายขึ้นมาจริงๆแน่ๆ
“เลิกทำหน้ามุ่ยแล้วก็ยื่นมือมานี่” ว่าจบพี่ศรก็ยื่นมือมาให้ผมจับตอบ
“….”
“ยังอีก ยื่นมือมาเร็วๆ”
หมับ!
เมื่อเร่งเร้าแล้วผมก็ยังไม่ยอมยื่นมือไปจับตอบอยู่ดี อีกคนที่เหมือนจะหมดความอดทนก็เลยคว้าจับเข้าที่ขอมือของผมเองซะเลย
“เดี๋ยวกูเดินไปส่งที่คณะเอง ซื่อบื้อแบบนี้จะไปคนเดียวได้ยังไง”
“…” ผมเงยหน้าขึ้นมอง คิ้วเริ่มจะขมวดเข้าหากันอีกครั้งเพราะสัมผัสได้ว่ากำลังโดนอีกคนหลอกด่า
“กูเป็นห่วง” จนพี่ศรพูดประโยคต่อมาผมถึงได้เม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองเผยรอยยิ้มออกมา พี่ศรเหมือนจะจับทางได้ก็เลยยื่นมือมายีหัวผมเบาๆก่อนจะจัดการเอากระเป๋าเป้ของผมไปสะพายไว้เอง
“จะยิ้มก็ยิ้มจะเขินทำไม”
“อะไรเล่า”
“ไปได้แล้วเดี๋ยวสาย”
“…”
ทุกอย่างเหมือนจะจบลงแค่นั้น จบลงด้วยการที่พี่ศรหอมแก้มผมจนพอใจ จบลงด้วยการที่ผมรู้สึกทั้งร้อนทั้งปวดระบมที่แก้มทั้งสองครั้ง แต่ว่าภาพที่ผมเห็นต่อจากการที่ยอมจับมือพี่ศรคือ…พี่แทน
พี่แทนกำลังยืนอ้าปากค้างทำอย่างกับว่าพึ่งจะเห็นสงครามหรือเหตุการณ์อะไรที่มันร้ายแรงมาอย่างนั้นแหละ แต่จะว่าไปมันก็คงจะเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงจริงๆ เพราะตั้งแต่ที่ผมยอมตกลงคบกับพี่ศรก็ยังไม่เคยมีใครรู้เรื่องของพวกเราเลย ขนาดพวกเจนกับเจสสิก้าที่เป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดผมก็ยังไม่ได้บอก ส่วนพี่ศรน่ะเหรอ รายนั้นไม่ต้องห่วง ปกติก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนแล้วก็ไม่ยอมคุยกับใครอยู่แล้ว เรื่องที่จะบอกใครน่ะตัดทิ้งไปได้เลย
จริงๆถึงคนอื่นจะรู้เรื่องของพวกผมมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรหรอก เพียงแต่ว่าสำหรับพี่แทนที่พี่ศรบอกผมตลอดว่าพี่แทนอาจจะ…ชอบผมอยู่ ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าพี่แทนชอบผมจริงๆ งั้นภาพที่เห็นเมื่อกี้พี่แทนจะรู้สึกยังไงนะ
“พะ…พี่แทน…” ผมรวบรวมน้ำเสียงที่เหมือนจะขาดหายไปกลับมาก่อนจะเอ่ยเรียกใครอีกคนที่ยังยืนอ้าปากค้างอยู่เหมือนเดิม ผมลองที่จะเงยขึ้นมองหน้าพี่ศรว่าจะเอายังไงดีแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแรงกระชับตรงฝ่ามือทีเราทั้งสองคนสอดประสานกันอยู่ แรงพยักหน้าเบาๆกับรอยยิ้มอย่างอบอุ่นของพี่ศรเป็นคำตอบให้ผมอย่างชัดเจน
และสุดท้ายพี่ศรก็จับมือผมเดินเข้าไปหาคนที่มาใหม่อย่งพี่แทนช้าๆทีละก้าว
“ไอ้แทน” เป็นพี่ศรที่เลือกที่จะเอ่ยทักขึ้นก่อน
“นะ…นี่พวกมึงสองคน”
“พวกกูสองคนคบกัน”
“…”
ถ้าโลกนี้จะมีอะไรที่เร็วกว่าแสงก็คือพี่ศรนั้นแหละครับ แทบจะทันทีที่พี่แทนเอ่ยถาม น้ำเสียงพี่แทนที่ถามมายังดูล่องๆลอยๆเหมือนคนที่ไม่มีสติต่างกับพี่ศรที่ตอบแบบฉะฉานชัดถ้อยชัดคำจนผมเองยังต้องชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“คะ…คบเหรอ” พี่แทนทวนคำ
“อืม” พี่ศรก็ยังคงพยักหน้ารับเสียงเรียบ
“จริงเหรอไอ้ปุณย์”
หมับ!
คราวนี้เป็นแรงจับและบีบของพี่แทนลงมาที่ต้นแขนผม อาการเจ็บจากแรงบีบทำให้ผมต้องแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาให้เห็น
“ไอ้แทนน้องมันเจ็บ” ว่าจบพี่ศรก็ปัดมือพี่แทนออก
“กูขอโทษ กูก็แค่จะถามไอ้ปุณย์ให้แน่ใจ”
“มึงจะถามมันทำไมก็ในเมื่อกูบอกมึงไปแล้ว”
“มันก็ใช่ แต่กูแค่…แค่ไม่คิดว่ามึงจะชอบน้องมันได้”
“ทำไมกูจะชอบมันไม่ได้ มึงยังชอบมันได้เลย”
“กะ…กู” โดนพี่ศรพูดแบบนี้พี่แทนถึงกับออกอาการเลิกลัก ตอนนี้ผมว่าก็คงจะจริงอย่างที่พี่ศรพูดที่ว่าพี่แทนชอบผม ที่ผ่านมาผมไม่เคยมองออกเลยเพราะคิดว่าทุกอย่างที่พี่แทนทำมันเป็นความห่วงใยและความรักที่รุ่นพี่มีต่อรุ่นน้องเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาผมก็รัก เคารพและห่วงใยพี่แทนเป็นรุ่นพี่ที่ดีของผมอีกคนนึงเหมือนกัน
แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ผมเองก็คงต้องทำอะไรให้มันชัดเจน... ชัดเจนสำหรับผม พี่ศรแล้วก็พี่แทน
“ผมชอบพี่ศรครับ”
“…” พอผมตัดสินใจพูด ตอนนี้บรรยากาศรอบๆตัวก็เงียบลง สายตาของคนตัวสูงทั้งสองคนต่างมองมาทางผม สุดท้ายผมก็ตัดสินใจสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะพูดต่อ
“ผมชอบพี่ศรมานานแล้วครับ ตั้งแต่ผมยังไม่ได้มาเรียนที่นี่ด้วยซ้ำ ผมหลงรักพี่ศรจากหน้าจอทีวี ตอนที่ผมเห็นพี่ศรกำลังแข่งขัน ผมละสายตาจากพี่ศรไม่ได้เลย ตอนนั้นผมรู้ทันทีว่าผมคงหลงรักพี่ศรไปแล้ว เพราะพี่ศรทำให้ผมมีเป้าหมาย มีความหวังและมีกำลังใจในชีวิต เพราะพี่ศรผมเลยกล้า กล้าที่จะมาเรียนที่นี่ กล้าที่จะมาหาพี่ศร กล้า…ที่จะรักเขา”
“งั้นก็แสดงว่าตอนแรกที่มึงเคยบอกกูว่ามึงสนใจเรื่องของไอ้ศรก็เพราะแบบนี้สินะ”
“ใช่ครับ” ผมตอบพี่แทน “ตอนแรกผมคิดไว้แค่ได้มาหา มาอยู่ใกล้ๆหรืออย่างมากก็แค่ได้แอบมองพี่ศรอยู่ห่างๆ ผมหวังไว้แค่นั้นจริงๆ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้ รู้และเข้าใจตัวเองว่าผมรักพี่ศรมากแค่ไหน”
“มึงแน่ใจนะ” พี่แทนถามย้ำ
“ครับ! ผมแน่ใจ ผมกับพี่ศร…ตอนนี้เราเป็นแฟนกันครับ” ผมยืนยันหนักแน่น
“อืม เข้าใจแล้ว”
“ครับ?” ผมทำหน้าสงสัย ตอนแรกคิดว่าพี่แทนจะแอบดื้อซะอีก
“ไม่ต้องทำหน้างงเลย ก็บอกว่าเข้าใจแล้วไง” พี่แทนยื่นมือมาลูบหัวผม
“พี่เข้าใจแล้วเหรอครับ”
“อืม เข้าใจไม่ยากหรอก กูก็พอจะดูรู้ว่ามึงไม่ได้มองไอ้ศรเป็นแค่รุ่นพี่หรือพี่เมท ถ้ามึงมองไอ้ศรแบบนั้นมึงคงชิ่งหนีมันไปตั้งแต่แรกเหมือนเด็กคนอื่นๆ มึงก็รู้ว่าไอ้คนเถื่อนนี่มันเป็นยังไง” ประโยคสุดท้ายพี่แทนพูดเชิงหยอกล้อพร้อมเบนสายตาไปทางพี่ศร
“ก็จริง…ครับ” ผมยิ้มรับเสียงเบาและเบนสายตาไปทางพี่ศรบ้างก่อนจะเจอเข้ากับสีหน้าหงุดหงิดของพี่ศรเข้าเต็มๆ
“ปล่อยมือได้แล้ว” ว่าจบพี่ศรปัดมือพี่แทนที่ลูบหัวผมออก
“ไม่ทันไรก็ขี้หึงแล้ววะ” พี่แทนพูดติดตลก
“กูหวง” พี่ศรตอบเสียงเรียบ แต่สิ่งที่ได้ยินเรียกริ้วแดงให้ปรากฏขึ้นที่หน้าผมได้เหมือนกัน
“กูขอถามอะไรมึงอย่างได้ไหมไอ้ศร”
“มึงจะถามอะไร”
“ไอ้ปุณย์เนี่ยกูไม่สงสัยอะไรแล้ว แต่มึงเนี่ยไปชอบเด็กมันตอนไหนวะ”
“กูตอบไม่ได้หรอก รู้แค่ว่าตอนนี้กูชอบมัน”
“ก็ยังขวางโลกเหมือนเดิมนะมึงน่ะ” โดนพี่แทนว่าแบบนี้พี่ศรไม่ได้ตอบอะไรนอกจากทำหน้านิ่งๆแบบที่พี่ศรชอบทำเหมือนเดิม ตอนนี้พี่แทนเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่ศรในระยะประชิด มือข้างนึงค่อยๆยกขึ้นก่อนจะวางฝ่ามือแตะลงบนบ่าพี่ศร
“มึงเจอคนที่รักมึงกูก็ดีใจด้วย แต่กูจะขอให้มึงดูแลน้องมันดีๆให้สมกับที่น้องมันเสียสละและทำเพื่อมึงขนาดนี้ กูไม่มีอะไรจะพูดมาก กูจะบอกแค่ว่าถ้าวันไหนมึงทำให้น้องมันเสียใจกูจะมาเล่นงานมึง”
“เออ ไม่มีวันนั้นหรอก” พี่ศรปัดมือพี่แทนออกก่อนจะพูดยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน
“กูจะคอยดู” แล้วบรรยากาศตึงเครียดก็หายไปเพราะตอนนี้ทั้งพี่แทนและพี่ศรต่างเผยรอยยิ้มออกมา “เฮ้อ! ยังไม่ทันได้เรื่มจีบก็แพ้ซะแล้วกู แต่เป็นแบบนี้ก็ดีกูจะได้มีเวลาทำใจ”
“ผมขอโทษนะครับพี่แทน”
“เฮ้ย! ไม่ต้องทำหน้าหงอยขนาดนั้นก็ได้ ดูสิทำหน้าเป็นหมาหงอยเลย”
“พี่ไม่โกรธผมจริงนะครับ”
“กูจะไปโกรธมึงเรื่องอะไร กูไปชอบมึงเองไหม อีกอย่างกูก็ยังไม่ได้จีบมึงเลยด้วยซ้ำ เพราะกูมัวแต่กลัวนี่แหละไอ้ศรถึงคาบไปแดก”
“ไอ้สัดแทนกูไม่ใช่หมา”
“เวลาทำหน้าดุก็เหมือนอ่ะ”
“ไอ้เชี่ยนี่”
“เฮ้ยๆอย่าๆ” ภาพที่เห็นตอนนี้คือพี่แทนกำลังวิ่งหนีพี่ศรที่ตามไล่เตะก้นพี่แทนอยู่ พี่แทนก็ยังเป็นพี่แทนที่ผมรู้จักตั้งแต่วันแรก เป็นคนน่ารักและอารมณ์ดีอยู่เสมอ ผมไม่รู้ว่าลึกๆแล้วพี่แทนจะแอบโกรธหรือรู้สึกไม่ดีกับผมหรือเปล่า แต่ยังไงสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ก็คือผมรักพี่ศรและตอนนี้พี่ศรก็รักผมเหมือนกัน และผมเองก็หวังว่าสักวันพี่แทนจะเจอคนที่รักเขาด้วยเหมือนกัน
ไล่แตะก้นกันอยู่พักใหญ่พี่แทนก็ขอแยกตัวไป ก่อนไปยังไม่วายที่จะมากอดผมเล่นจนพี่ศรออกอาการหึงยกใหญ่ ขนาดตอนนี้เดินแยกจากพี่แทนมาตั้งไกลแล้วพี่ศรยังไม่เลิกขมวดคิ้วเลย
“ทำหน้าบึ้งหมดหล่อแล้วครับ” ผมเอ่ยแซว หวังจะให้อีกคนอารมณ์ดี
“มันน่าทำหน้าบึ้งไหมละ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พี่แทนเขามากอดผมเองนี่ พี่ก็รู้ว่าพี่แทนเขาแค่แกล้งเล่นเฉยๆ”
“แต่กูหวง”
“โอ๋ๆ” ผมยกมือขึ้นลูบหลังนักกีฬายิงธนูตัวสูงที่กำลังทำหน้าตาแสนงอนอยู่ตอนนี้ “พี่จะหวงทำไมครับพี่แทนเขาก็รู้แล้วนี่ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”
“แต่กูก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี” พี่ศรตอบเสียงเรียบ
ฟอด!
ผมตัดสินใจพยายามเขย่งเท้าเพื่อจะได้ยืดตัวขึ้นไปหอมแก้มของคนตัวสูงที่ทำหน้าแสนงอนตอนนี้ได้ถนัด
“แบบนี้ไว้ใจได้หรือยังครับ”
“ยัง” ผมเห็นเลยนะว่าพี่ศรน่ะมีแอบยิ้มด้วย แต่เหมือนจะรู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาถึงได้กลับมาทำหน้าบึ้งอีกแล้ว
“ยังอีกเหรอครับ แล้วผมต้องทำยังไง…อื้อ!” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นถามพี่ศรฉวยโอกาสวาดวงแขนโอบกอดผมจากด้านหลังจนตัวผมเข้าไปแนบชิดกับร่างกายของเขา ไม่รอช้ากว่านั้นพี่ศรก้มหน้าลงประกบริมฝีปากแนบชิดกับริมฝีปากผมอยู่นาน
ผมถูกพี่ศรจูบ!
“อื้อ…” ผ่านไปเนิ่นนานจนผมรู้สึกว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจ สองมือพยายามทุบลงที่หน้าอกแกร่งของพี่ศรเป็นเชิงขอร้องให้เขายอมให้ผมได้หยุดพักหายใจบ้าง
“ฮ๊ะ…แฮ่กๆ…” เมื่อเป็นอิสระสิ่งแรงที่ผมทำคือการหายใจเอาอากาศเข้าปอด พอเริ่มดีขึ้นผมถึงมองเงยหน้าขึ้นมองค้อนคนฉวยโอกาสอย่างเอาเรื่อง
“มองหน้าทำไม จะเอาอีกเหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมเบี่ยงหน้าหลบเพราะพี่ศรจะก้มลงมาทำอีกครั้งอย่างที่เขาว่าจริงๆ แต่ถูกกอดไว้แบบนี้จะหันหน้าหลบไปทางไหนได้นอกจากซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขา
“พี่ฉวยโอกาส”
“หึ! ฉวยโอกาสตรงไหน ก็มึงถามกุก็ตอบว่าต้องทำยังไงถึงจะไว้ใจ”
“แต่พี่ตอบผมเป็นคำพูดก็ได้ไม่เห็นต้อง…จูบผมสักหน่อย”
“เย็นนี้กูคงซ้อมถึงเย็นเพราะอีกไม่กี่วันต้องไปแข่งแล้ว มึงจะมาดูกูซ้อมไหม”
“ผมไม่ไป”
“ได้ยังไงละ เป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งก็ต้องไป ห้ามดื้อ!”
“ผมไม่ได้ดื้อ แต่ผมโกรธพี่”
“โกรธเรื่องอะไร”
“…”
“เอ้า! ถามก็ไม่ตอบ ถ้าให้กูเดาเรื่องที่กูจูบมึงเมื่อกี้ใช่ไหม”
“รู้แล้วยังจะมาพูดอีก” ผมบอกเสียงเบา
“อืม กูเคยได้ยินมาว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ถ้ามึงโกรธกูเพราะกูจูบ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องจูบอีกรอบสินะถึงจะได้หายโกรธ”
“ใครบอกพี่เนี่ย ไม่ใช่สักหน่อย…อื้อ!”
พี่ศร!
เอาอีกแล้วนะ ฉวยโอกาสกับผมตลอดเลย มาหลอกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็มาทำแบบเนี่ย ผมจะโกรธพี่ จะโป้งพี่ จะไม่ไปเชียร์พี่อีกเลย คอยดูสิ
______________________________
ตอนหน้าจบแล้วครับ ^^
-
:L2: :pig4:
หวาน หวาน
-
Epilogue
The Last Shoot
น้องปุณย์’s Part
ถึงแม้จะเคยบอกพี่ศรไปแล้วว่าผมจะโป้ง จะไม่ไปเชียร์ ไม่ไปให้กำลังใจพี่ศรตอนซ้อมอีก แต่ก็นั้นแหละครับ ทุกคนก็น่าจะรู้ๆกันอยู่ว่าผมก็คงจะทำได้แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เพราะว่าพอเอาเข้าจริงๆก็กลายเป็นผมนี่แหละที่ไปคอยเชียร์พี่ศรที่สนามยิงธนูแทบทุกวันที่พี่เขาซ้อมเลย พวกคุณจะล้อผมก็ได้นะ ผมไม่โกรธหรอก เพราะยังไงทุกๆอย่างที่ผมทำมันก็เป็นหน้าที่ของแฟนคลับอันดับหนึ่งอย่างผมอยู่แล้ว
แถมตอนนี้…ผมกับพี่ศรก็กลายมาเป็นแฟนกันจริงๆไปแล้วด้วย พูดแล้วก็…เขินขึ้นมาเลย
หลายวันมานี้พี่ศรทุ่มเทกับการซ้อมมากๆเลย ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นพี่ศรจะพยายามและทุ่มเทกับการซ้อมแบบนี้หรือเปล่า ผมรู้แค่ว่านับตั้งแต่พี่ศรกลับมายิงธนูอีกครั้งพี่เขาก็ทุ่มเทและตั้งใจกับการซ้อมมากๆ พี่ศรซ้อมจนมืดค่ำทุกวันมีบางวันที่ผมขอตัวกลับมาก่อนเพราะมีการบ้านและงานต้องทำ พี่ศรสัญญาว่าจะรีบตามกลับมาที่หอ แต่เอาเข้าจริงๆพี่ศรก็กลับมาดึกๆทุกครั้ง มีหลายครั้งที่ผมแอบเป็นห่วงเพราะผิวหน้าที่ดูโทรมและหมองคล้ำแสดงออกมาว่าพี่ศรน่ะเหนื่อยแค่ไหน
“พี่ศร”
“หืม”
“พี่เหนื่อยไหมครับ”
“ถามทำไม”
“ก็ผมเห็นพี่ซ้อมหนักมากเลย ผมไม่คิดว่าเวลาจะแข่งยิงธนูจะต้องซ้อมกันหนักขนาดนี้” ที่ผมคิดแบบนั้นก็เพราะว่าเวลาที่ผมจะแข่งวิ่งผมเองยังไม่เห็นต้องซ้อมหนักขนาดพี่ศรเลย ผมคิดมาตลอดว่ากีฬายิงธนูเป็นกีฬาที่ไม่ต้องออกแรงอะไรมาก เวลาซ้อมคงสบายน่าดู แต่พอได้มาเห็นพี่ศรตอนนนี้ผมคงจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วละ
“ทำไมเป็นห่วงกูเหรอ” พี่ศรวางมือลงบนหัวผมก่อนจะออกแรงยีเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ ผมหลับตาลงตามแรงสัมผัสก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองค้อน
“ก็พี่น่าเป็นห่วงจริงๆนี่ครับ” ผมเอื้อมมือไปสัมผัสขอบตาที่ดำคล้ำของพี่ศร “ดูสิขอบตาดำหมดแล้ว ถ้าพี่ไม่ห่วงสุขภาพตัวเองแบบนี้ระวังจะหมดหล่อเอานะครับ”
“แล้วรักไหมละ” พี่ศรคว้าจับเข้าที่ข้อมือผมก่อนจะส่งสายตากวนๆมาถาม
“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย” ผมก้มหน้าหลบสายตา พี่ศรแกล้งผมอีกแล้ว กำลังพูดถึงเรื่องสุขภาพอยู่แท้ๆวกมาเรื่องนี้อีกจนได้
มันน่าจับตีก้นนัก!
“แกล้งเล่นนิดเดียว ทำหน้าเป็นตูดลิง”
“อะไรเล่า” แกล้งผมแล้วยังจะมาแซวอีก
“การแข่งวันนี้มันสำคัญกับกูมากจริงๆ มันเป็นการแข่งครั้งแรกของกูในรอบหลายปี ถ้าชนะวันนี้กูก็จะได้เริ่มเก็บคะแนนเพื่อปูทางไปทีมชาติอย่างที่ตั้งใจไว้ อีกอย่าง…นี่เป็นครั้งแรกที่กูจะได้ลงสนามแข่งจริงๆให้มึงดูด้วย กูอยากทำมันออกมาให้เต็มที่ที่สุด”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” ผมสบตากับพี่ศรแล้วเข้าใจในทุกๆความหมายที่พี่ศรพูด
ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่าง พี่ศรทำทุกอย่าง ทุ่มเททุกอย่างไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขาอย่างเดียว แต่เขาทำเพื่อผม พี่ศรทำเพื่อผม
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้มึงจะเชียร์กูให้เต็มที่ใช่ไหม”
“ครับ…ฮึก ผม…ผมจะเชียร์พี่ให้เต็มที่เลย ก็ผมเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่นี่ครับ” ว่าจบผมก็ทำท่าปล่อยแสงแบบอุลตร้าแมนเหมือนทุกครั้ง จะต่างออกไปก็แค่ครั้งนี้น้ำตาแห่งความตื้นตันมันไหลออกมาไม่หยุดเลย
“เป็นแค่แฟนคลับอย่างเดียวเหรอ”
“ฮึก…เป็นแฟนด้วยครับ”
“เก่งมากเจ้าเด็กขี้แย” รอยยิ้มและท่าทางหยอกล้อของพี่ศรทำให้ผมยิ้มได้
ไม่มีเหตุผลอะไรอยู่แล้วที่ผมจะไม่เชียร์พี่ วางใจเถอะครับ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง วันนี้ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้พี่เอง
ตอนนี้ผมกับพี่ศรกำลังนั่งอยู่เบาะหลังสุดของรถบัสที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ วันนี้ชมรมยิงธนูมีแมตแข่งขันเก็บคะแนนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติ รถบัสที่มีขนาดใหญ่แต่จำนวนนักกีฬาและผู้ดูแลที่มีเพียงไม่กี่คนจึงไม่ใช่เรื่องยากที่พี่ศรจะขอให้ผมได้ร่วมเดินทางไปด้วย
มหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในครั้งนี้อยู่ชานเมืองที่ต้องเดินทางไกลพอสมควร ทุกคนบนรสบัสที่พูดคุยเสียงดังกันก่อนหน้าก็ค่อยๆเสียงเงียบลงและภาพที่เห็นคือทุกคนทยอยหลับไปทีละคนสองคนจนหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆผมอย่างพี่ศร
“หลับไปแล้ว” ผมแอบมองเสี้ยวหน้าหล่อของพี่ศรที่กำลังหลับอยู่ตอนนี้ ขนาดนอนหลับยังต้องวางมาดอีกเหรอเนี่ย แค่นอนยังต้องกอดอกทำหน้าเข้มเลย
“รู้แล้วครับว่าหล่อไม่ต้องวางมาดตลอดเวลาก็ได้ครับ” ผมแอบเอี้ยวตัวเข้าไปใกล้ๆ พูดกระซิบลงข้างๆหูของคนที่หลับไปแล้ว
ฟอด!
หมั่นไส้นัก ตอนพี่ตื่นพี่ชอบแอบหอมแก้มผมบ่อยๆ ตอนนี้พี่หลับผมขอเอาคืนมั้งแล้วกัน
แต่ว่า…พอได้ทำแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกดีจังเลย แถมตอนนี้ยังรู้สึกร้อนๆขึ้นมาที่หน้าอีกแล้วด้วย แอบหอมแก้มไปขนาดนั้นพี่ศรยังไม่ตื่นเลย คงจะเหนื่อยและง่วงมากจริงๆ แต่ตอนนี้ความคิดด้านมืดในใจผมกำลังเกิดขึ้นอีกแล้ว ลองมองดีๆพี่ศรตอนหลับบางมุมก็เหมือนเด็กเลย ดูๆไปก็น่าเอ็นดูชะมัด
ถ้าอย่างนั้น…ขอหอมแก้มอีกครั้งแล้วกัน
“อ๊ะ…อื้อออ” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คนที่ผมคิดว่าจะแอบหอมแก้มเพราะหลับอยู่นั้นอยู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาซะดื้อๆ ผมตกใจจะชะงักตัวกลับแต่ก็ถูกมือหนาจับที่ต้นคอไว้จนขยับหนีไม่ได้ ที่หนักกว่านั้นพี่ศรประกบริมฝีปากลงมาฉกจูบผมอย่างไม่ทันตั้งตัว
ผมตกใจแต่ก็ร้องออกมาเป็นเสียงไม่ได้เพราะปากที่ถูกพี่ศรดูดดึงแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ตอนนี้ ไหนจะต้องกลัวว่าคนอื่นๆจะตื่นมาเห็นเข้าอีก
“อื้อออ…พี่ศร” ผมออกแรงผลักหน้าอกแกร่งของอีกคนออก พี่ศรยิ้มอย่างคนชนะส่วนผมได้แต่มองไปรอบๆว่ามีใครจะเห็นหรือเปล่า โชคดีที่ที่นั่งของพวกเราอยู่เบาะหลังสุดและตอนนี้ทุกคนยังหลับอยู่ตามเดิม
“แต๊ะอั๋งกูเหรอ”
“ผม…ผมแค่…” เหมือนคำพูดผมหายไป สมองผมประมวลคำพูดที่จะมาใช้แก้ตัวไม่ได้เลย สุดท้ายสิ่งที่เลือกทำก็คือการซุกหน้าเข้ากับหน้าอกของอีกคนเท่านั้น
“อะไร อ้อนเหรอ?”
“…” ผมไม่ตอบเลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธแทน
“อะไร” พี่ศรถามย้ำอีกครั้งกลั้วเสียงหัวเราะ
“ผมอายนะ” ผมเงยหน้าขึ้นตอบ ถึงจะยังอายๆแต่ก็ต้องฝืนตัวไว้ไม่ให้ตัวเองหลบสายตา
“เอ้า! แล้วใครมาแอบหอมแก้มกูก่อนละ”
“ก็พี่ศรไม่ได้หลับทำไมไม่บอกผมล่ะ ปล่อยให้ผมหอมตั้ง…”
“2ครั้ง”
“ก็รู้อยู่แล้วยังจะมาพูดอีก” ผมบอกเสียงเบา ตอนนี้หน้าผมร้อนจนจะไหม้แล้วนะ
“ทีหน้าทีหลังขอกูดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องมาแอบทำตอนกูหลับ ทำตอนตื่นรู้สึกดีกว่าตั้งเยอะจริงไหม”
“ผมไม่รู้ ผมจะย้ายไปนั่งอีกฝั่ง อ๊ะ!”
“จะไปไหน” ยังไม่ทันจะได้ลุกผมก็ถูกพี่ศรโอบกอดรั้งเอวให้นั่งลงตามเดิม ก่อนที่จะถูกอีกคนรั่งตัวให้เอนลงไปแนบชิด สัมผัสได้ถึงคางหนักๆที่วางเกยบนไหล่
“พี่ศรปล่อยผมนะ” ผมพูดเสียงเบาเพราะกลัวว่าคนอื่นๆจะได้ยิน
“ไม่ปล่อย สัญญามาก่อนว่าจะไม่หนีไปไหน”
“ผมไม่ได้หนีนะ ก็แค่จะย้ายไปนั่งอีกฝั่ง”
“นั้นแหละ ไม่ให้ไป”
“พี่เอาแต่ใจ”
“ไม่ได้เอาแต่ใจแค่มีแฟนดื้อ”
“ผมไม่ได้ดื้อ”
“ไม่ได้ดื้อก็ห้ามไป นั่งด้วยกันนี่แหละ ไม่งั้นก็ไม่ปล่อย”
“เฮ้อ!” ผมถอนหายใจอย่างจำยอม “ก็ได้ครับ แต่พี่ต้องปล่อยผมแล้วต้องกลับไปนอนนะครับ คราวนี้ต้องหลับจริงๆนะ”
“ทำไมมึงจะหอมแก้มกูอีกเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ที่ผมอยากให้พี่นอนเพราะว่าพี่เหนื่อยซ้อมมาทุกวันต่างหากละครับ ผมแค่อยากให้พี่พักผ่อนให้มากๆ เวลาแข่งจริงพี่จะได้ทำให้เต็มที่ไงครับ”
“เอางั้นก็ได้”
ฟอด!
เสียงหอมแก้มดังขึ้นอีกครั้งเรียกให้ผมต้องเบิกตากว้าง แต่ไม่ทันจะได้พูดหรือโวยวายอะไรอีกคนก็ยอมปล่อยตัวผมก่อนจะหลับตาลงอย่างว่าง่าย ผมล่ะอยากจะแกล้งเอายาพิษมาทาที่แก้มตัวเองจริงๆเลย พี่ศรนะพี่ศรชอบหอมแก้มผมอยู่เรื่อย
ทันทีที่รถแล่นเข้ามาในเขตของมหาวิทยาลัยที่จะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันยิงธนูวันนี้ ผมมองไปรอบๆด้านของรถด้วยความตื่นเต้น ยอมรับว่าจริงๆก็ตื่นเต้นกับทุกๆอย่างที่รถแล่นผ่านมานั้นแหละครับ ก็ผมน่ะตั้งแต่ย้ายลงมาเรียนที่กรุงเทพฯยังไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากตอนนั้นที่พี่ศรพาผมไปสยาม พอได้มาเห็นอะไรที่แปลกใหม่ทีผมก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ผมนั่งรอพี่ศรที่กำลังประชุมถึงเรื่องการแข่งขันในวันนี้กับทีมและโค้ช กระจกใสที่กั้นระหว่างผมกับกลุ่มคนข้างในทำให้ผมไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง แต่ถึงจะได้ยินผมก็คงจะไม่รู้เรืองด้วยหรอกครับ พวกคำศัพท์เกี่ยวกับกีฬายิงธนูน่ะยากจะตาย ขนาดพี่ศรพูดให้ผมฟังบ่อยๆบางคำผมยังจำไม่ได้เลย
“ไง” ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทัก
“พี่เบส”
“วันนี้มาเชียร์ไอ้ศรเหรอ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ
“มึงสองคนคบกันเหรอ”
“ครับ? เอ่อ…คือ”
“ถ้าไม่บอกกูขอพิสูจน์อะไรบางอย่างเองแล้วกัน”
“อ๊ะ!” พี่เบสปล่อยให้ผมสงสัยอยู่ได้ไม่นาน ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู ผมยังไม่ได้หันไปดูด้วยซ้ำก็ถูกพี่เบสโอบกอดช่วงเอวแล้วออกแรงรั้งตัวผมให้แนบชิดกับเขา
ฟอด! ก่อนที่อีกหนึ่งการกระทำจะเรียกให้ผมต้องพยายามขืนตัวออก แต่ก็สู้แรงของเขาไม่ได้เลย ไอ้พี่เบสมันก้มลงมาจูบเบาๆที่หัวผม
“มึงทำอะไรวะ” เป็นน้ำเสียงหงุดหงิดของพี่ศรที่ดังขึ้นพร้อมกับการที่อีกคนถลาตัวเข้ามาผลักพี่เบสที่โอบกอดผมอยู่เต็มแรง ตอนนี้ผมถูกพี่ศรจัดการดึงรั้งตัวมาไว้ในอ้อมกอดเรียบร้อย
“พี่ศร” ผมออกแรกเขย่าแขนพี่ศรเบาๆ ตอนนี้พี่ศรดูหงุดหงิดและอารมณ์ไม่ดีเอามากๆเลย
“กูถามว่ามึงทำอะไร ห๊ะ!” พี่ศรยังคงตวาดพี่เบสเสียงดังลั่น
“ศร” โค้ชเอกเห็นท่าไม่ดีจะเข้ามาห้าม แต่ก็ถูกพี่เบสห้ามไว้
“ไม่เป็นไรครับโค้ช ผมขอคุยกับไอ้ศรแค่แปบเดียว”
“เอางั้นเหรอเบส อย่านานนะ ใกล้จะถึงเวลาแข่งแล้ว”
“ครับ”
พอพี่เบสรับโค้ชเอกและคนอื่นๆก็เดินแยกออกไป ตอนนี้เหลือแค่ผมกับพี่เบสแล้วก็พี่ศรที่ยังคงส่งสายตาเอาเรื่องใส่กันไม่เลิก
“ทีนี้มึงจะตอบกูมาได้หรือยัง” พี่ศรถามพี่เบสเสียงดัง
“กูก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็แค่จะพิสูจน์อะไรบางอย่างแค่นั้น”
“พิสูจน์อะไรของมึง”
“ก็พิสูจน์ว่า…” พี่เบสเดินเข้ามาใกล้ ค่อยๆยกมือขึ้นลูบไล้ตามโครงหน้าผม
“ไอ้สัด” ก่อนที่จะเป็นพี่ศรที่ปัดมือพี่เบสออก
“มึงสองคนคบกันจริงๆด้วยสินะ”
“…” ผมเงียบ จะมีก็แต่พี่ศรที่ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“เออ กูสองคนเป็นแฟนกัน แล้วมึงจะทำไม”
“ก็ไม่ทำไม มึงสองคนคบกันกูแล้วทำไมกูต้องทำไมด้วย กูกับมึงแข่งกันแค่เรื่องยิงธนูก็พอ เรื่องอื่นๆมึงจะทำอะไรก็เรื่องของมึงกูไม่สนใจหรอก อีกอย่าง…เด็กนี่มันก็น่ารักจริงๆนั้นแหละ ไม่แปลกหรอกที่มึงจะชอบ”
“…”
“เอาเป็นว่ายังไงวันนี้หวังว่ากูจะไม่เห็นใครพาทีมแพ้นะ ที่กูอยากรู้และอยากจะบอกมึงมีแค่นี้” พูดจบไอ้พี่เบสก็ยิ้มกวนๆให้พี่ศรแล้วก็เดินเลี่ยงออกไป ทิ้งไว้แต่ผมกับพี่ศรสองคนที่ยืนคุยกันอยู่จุดเดิม
“พี่ศร สีหน้าพี่ดูไม่ดีเลย”
“งั้นเหรอ” พอผมถามพี่ศรก็พยายามทำสีหน้าให้ดูปกติ เขายิ้ม แต่ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ยิ้มที่พี่ศรเคยยิ้มให้ผมเหมือนอย่างเคยก็ไม่รู้
หรือว่า…จะโกรธผมจริงๆซะแล้ว
การแข่งขันในวันนี้ดำเนินไปอย่างคึกคัก ผมพึ่งเคยเห็นบรรยากาศการแข่งขันยิงธนูด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก ได้มาเห็นของจริงแบบนี้ตื่นเต้นกว่าตอนดูในทีวีเยอะเลย
“เป็นไงบ้างปุณย์” โค้ชเอกเดินเข้ามาทักผมหลังจากที่ส่งนักกีฬาของทีมเข้าสู่สนามแข่งแล้ว
“ครับ”
“มาเชียร์ศรเหรอ”
“ชะ…ใช่ครับ”
“แอบตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ย วันนี้ศรเขาลงแข่งสนามจริงครั้งแรกเลย โค้ชเองยังแอบมีห่วงเหมือนกัน แต่จะยังไงก็ตามโค้ชเชื่อนะว่าวันนี้ยังไงศรจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง” ผมมองตามทางที่โค้ชกำลังทอดสายตามอง เห็นพี่ศรกำลังยืนอยู่กับกลุ่มพวกพี่เบสและนักกีฬาคนอื่นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นพี่ศรยืนอยู่ในสนามแข่งจริงๆ หัวใจผมตอนนี้เต้นแรงขนาดเลย ตื่นเต้นยังกับว่าเป็นคนลงแข่งเองอย่างไงอย่างงั้น
ไม่ทันสังเกตว่าวันนี้ทุกคนในทีมใส่ชุดกีฬาแบบเดียวกันหมดเลย เสื้อโปโลใส่สบายกับกางเกงขาสั้นที่ผมเห็นพี่ศรชอบใส่บ่อยๆ จะต่างไปก็แค่ในวันนี้ทุกคนใส่เสื้อสีชมพูอ่อนเหมือนกันหมดทุกคนเลย อาจจะดูขัดๆกับหน้าตาของพวกพี่ๆเขาอยู่บ้างก็เถอะ แต่มันเป็นสีของหาวิทยาลัยนี่น่าถึงไม่อยากจะใส่แต่ก็จะทำยังไงได้
แต่ว่าจริงๆแล้วดูไปดูมาพอพี่ศรใส่ชุดสีชมพูอ่อนแบบนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบนะ ไม่น่าเชื่อว่าน่านิ่งๆแบบนั้นก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน ว่าแต่…แล้วทำไมผมจะต้องยิ้มคนเดียวด้วยเนี่ย!
เมื่อสัญญาณการแข่งขันเริ่มขึ้น สายตาผมจดจ้องอยู่ที่ทีมของพี่ศรอย่างเดียวเลย โค้ชเอกเล่าให้ผมฟังว่าการแข่งขันวันนี้ใช้ระยะแข่งแบบเดียวกับโอลิมปิกเลยนะ แข่งกันที่ระยะ70เมตร ประเภทการแข่งขันวันนี้เป็นประเภททีมชาย ทีมของพี่ศรมีด้วยกันสามคนตามกติกาคือพี่ศร พี่เบส และใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก
‘8 คะแนน’
‘9 คะแนน’
‘10 คะแนน’
‘7 คะแนน’
เสียงของกรรมการประกาศผลคะแนนของทีมต่างๆที่เข้าแข่งขัน แต่ละคนวันนี้ดูเก่งกันมากๆเลย ทำคะแนนยังกับว่าเป้ายิงอยู่ตรงหน้านี่เองทั้งๆที่ระยะ70เมตรมันไกลจากเป้ามากๆเลยแท้ๆ
“ร้อนไหม” พี่ศรถามผม ตอนนี้ผ่านช่วงการแข่งขันแบบแพ้คัดออกในช่วงแรกแล้ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบก็ได้ยินเสียงโค้ชเอกร้องตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ
“ผ่าน! ทำดีมากเลยทุกคน ทีมเราผ่านเข้ารอบชิงด้วยนะ นี่ไง” โค้ชเอกยื่นเอกสารที่ดูเหมือนจะเป็นใบประกาศผลคะแนนให้ทุกคนดู ตอนนี้ทุกๆคนดูดีใจและมีความสุขมากๆเลย ขนาดผมยังแอบดีใจไปด้วย
“แต่…ทีมที่เราจะต้องไปชิงเป็นทีมจากมหาวิทยาลัย T นะ”
“…”
ตอนนี้ทุกคนนิ่งเงียบไปหมดเลย ผมไม่รู้ว่าอีกทีมที่ว่านั้นจะเก่งหรือน่ากลัวแค่ไหน แต่ที่รู้ตอนนี้สีหน้าของทุกคนดูจริงจังมากๆเลย
“แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จะสู้ใช่ไหม”
“ครับพวกเราจะสู้” พี่เบสตอบโค้ชเอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“Archery C สู้!” ทุกคนออกเสียงร่วมกันอย่างฮึกเหิม ละทิ้งความกังวลที่มีก่อนหน้านี้จนหมด จะมีก็แต่พี่ศรที่ยังคงมีสีหน้าตึงเครียด
“พี่ไหวไหมครับ” ผมเดินเข้าไปถาม อยากจะเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสแก้มและใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้านั้น แต่ก็ติดที่ผมกลัวว่ามันจะดูไม่ดีถ้าทำแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น
“ศร” พี่ศรไม่ทันได้ตอบผมโค้ชเอกก็เดินเข้ามาหาซะก่อน
“ครับ” พี่ศรตอบ
“เราไหวนะ” โค้ชเอกยกมือขึ้นแตะบ่าพี่ศร “ดูเรากังวล มีอะไรบอกโค้ชได้นะ”
“ไม่มีอะไรครับ ผมไหว”
“อืม เต็มที่แล้วกันนะ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น”
“ครับ” พี่ศรพยักหน้ารับ
ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าที่พี่ศรมีท่าทีดูกังวลมันเป็นเพราะอะไร ที่พี่ศรเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยก่อนหน้านี้ของเขา ถึงแม้ในทางร่างกายพี่ศรจะปกติทุกอย่างแล้ว แต่ผมรู้ว่าในทางจิตใจพี่ศรยังไม่เต็มร้อย เห็นพี่ศรทำหน้าเครียดแบบนี้ผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีขึ้นมาเลย
การแข่งขันกลับมาเริ่มขึ้นอีกครั้ง ในรอบชิงชนะเลิศยังคงแข่งกันแบบทีม ทีมละสามคนเหมือนเดิม คราวนี้แต่ละคนต้องยิงกันคนละสองครั้ง รวมเป็นทีมละหกครั้ง ถ้าคะแนนรวมใครเยอะกว่าก็ชนะไป
“พวกเราต้องชนะแน่ๆว่าไหม”
“คะ…ครับ” ผมหัวเราะเสียงแห้งก่อนจะพยักหน้ารับคำโค้ชเอกไป มีแอบอึดอัดบ้างที่ต้องมาเชียร์พร้อมกับผู้ใหญ่แบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวเพราะอย่างน้อยก็มีคนคอยอธิบายพวกกติกาต่างๆให้ผมเข้าใจง่ายขึ้น
‘10 คะแนน’
‘10 คะแนน’
‘9 คะแนน’
‘10 คะแนน’
การแข่งขันในรอบสุดท้ายนี้เข้มข้นและดุเดือดเอามากๆ เสียงประกาศคะแนนของกรรมการดังขึ้นทีนึงหัวใจผมก็แทบจะหยุดเต้น แต่ละคนยิงได้คะแนนโหดๆกันทั้งนั้นเลย
จนกระทั้ง….ตอนนี้เป็นตาของพี่ศรที่จะต้องยิงแล้ว
“…”
ผมเฝ้ามองทุกๆการกระทำของพี่ศรตรงหน้า พี่ศรกำลังใส่ลูกธนูในท่าพร้อมยิง การวางเท้าขนานกับเส้นและท่าทางการยกง้างคันธนูแบบนั้นผมจำได้ดี และไม่นานลูกธนูก็ถูกปล่อยออกไป
“…” ทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะลูกดอกปักลงในจุดที่ก้ำกึ่งระหว่างเจ็ดและแปดคะแนน กรรมการที่เกี่ยวข้องวิ่งมาดูกล้องส่องทางไกลที่เตรียมไว้ก่อนจะประกาศคะแนนออกมา
‘8 คะแนน’
“เยส!” เสียงโค้ชเอกดีใจทำให้ผมต้องหันมอง “ลืมไปว่าเราคงจะไม่เข้าใจ คืออย่างนี้ ถ้าลูกธนูไปปักลงตรงจุดที่ก่ำกึ่งระหว่างสองคะแนนแบบนั้น เราจะวัดคะแนนจากจุดที่ลูกธนูปักลงมากที่สุด ศรถึงได้แปดคะแนนไง”
“อ๋อครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ก็ต้องหันกลับไปสนใจการแข่งขันต่อเพราะตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มแข่งกันอีกแล้ว
10 คะแนน
9 คะแนน
9 คะแนน
10 คะแนน
การแข่งขันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เหลือพี่ศรเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องยิง
“ตอนนี้พวกนั้นคะแนนนำเราอยู่เก้าคะแนน นั้นหมายความว่าศรจะต้องยิงให้ได้สิบเท่านั้นถึงจะชนะ” ได้ยินแบบนั้นผมรีบหันไปมองทางพี่ศรทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้พี่ศรจะกดดันมากแค่ไหน เป็นคนยิงคนสุดท้ายและเป็นคนตัดสินชัยชนะของทีมด้วย
พี่ศรเข้าประจำที่ในท่าพร้อมยิงอีกครั้ง คันธนูถูกยกขึ้นและง้างไว้ในท่าพร้อมยิง เวลาเริ่มนับถอยหลังเรื่อยๆ แต่สุดท้ายคนที่ง้างคันธนูในตอนแรกก็ลดคันธนูลง
“ทำไมศรถึงไม่ยิงละ” เสียงโค้ชเองพูดขึ้น
ผมมองพี่ศรสลับกับป้ายบอกเวลาที่ตัวเลขกำลังนับถอยหลังลงเรื่อย ถ้าเลขนับถึงศูนย์นั้นหมายความว่าพี่ศรจะหมดสิทธิ์ยิงและทีมจะแพ้
ท่าทางของพี่ศรตอนนี้เหมือนคนขาดความมั่นใจ ด้วยความที่พี่เขาต้องยิงเป็นคนสุดท้ายและจะต้องได้สิบเต็มเท่านั้นด้วย ไม่แปลกหรอกขนาดผมเองยังกดดันเลยแล้วพี่ศรจะเหลือเหรอ แต่จะยังไงก็ตามผมจะปล่อยให้มันจบลงแบบนี้ไม่ได้
“พี่ศรครับ!” ผมยกมือขึ้นป้องปาก ร้องตะโกนออกไปสุดเสียงจนใครอีกคนที่ผมพึ่งจะเรียกชื่อไปหันมามอง “สู้ๆนะครับ พี่ทำได้แน่นอน สำหรับผมน่ะไม่ว่ายังไงพี่ศรก็สุดยอดอยู่แล้ว ผมจะอยู่ข้างๆพี่ตลอดไปเพราะผมเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่ไงครับ” พูดจบแล้วก็ขาดไม่ได้ที่จะทำท่าอุลตร้าแมนปล่อยแสงแบบที่ผมชอบทำ
พี่ศรยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันกับไปสนใจเป้ายิงธนูตรงหน้า เวลายังคงนับถอยหลังลงเรื่อยๆ บรรยากาศรอบๆข้างเงียบและกดดันมากๆ
แต่พี่ศรก็ยอมที่จะยกคันธนูขึ้นง้างในท่าพร้อมยิงอีกครั้ง ทุกๆอย่างรอบๆตัวหยุดนิ่งไปสักพักก่อนที่….
“10 คะแนน Archery C ชนะ!”
ลูกธนูลูกนั้น…ลูกธนูของพี่ศร มันปักลงตรงกลางเป้า สิบคะแนน พี่ศรยิงได้สิบคะแนนและพี่เขาทำได้ พี่ศรชนะ พี่ศรทำให้ทีมชนะ
หมับ!
ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดเอวของอีกคนไว้แน่น แนบชิดชุกหน้าลงบนอกกว้างของอีกคนอย่างลืมอาย
“พี่ทำได้ พี่ทำได้แล้ว พี่ยิงได้สิบคะแนนด้วย”
“กอดแน่นเกินไปแล้ว กูหายใจไม่ออก”
“ผมขอโทษครับ” ผมกล่าวคำขอโทษ ก่อนจะคลายแรงกอดเอวพี่เขาออก พี่ศรเชยข้างผมให้เงยหน้าขึ้นสบสายตา
“ขอบคุณมึงมากๆนะ ถ้าไม่มีมึงกูคงทำไม่ได้”
“…” ผมยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไร
“ขอบใจมาก เจ้าเด็กอุลตร้าแมน” ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ พี่ศรเรียกแบบนี้รู้สึกอายจัง แต่ผมก็ชอบนะ
“พี่เก่งอยู่แล้ว ถึงไม่มีผมยังไงพี่ก็ทำได้”
“ไม่หรอก ถ้าไม่มีมึง กูบอกตรงๆว่ากูก็อาจจะทำไม่ได้”
“…”
“มึงรู้ไหม สำหรับกูมึงเหมือนเป็นคนที่ฟ้าส่งมาให้กูเลยนะ มึงเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตกูอีกครั้ง มึงทำให้กูรู้จักและเข้าใจความรัก ทั้งรักกีฬายิงธนูและรักมึงด้วย”
“พี่ศร…”
“จะเป็นอะไรไหมถ้ากูจะขออะไรมึงสักอย่าง”
“อะไรเหรอครับ”
“อยู่กับกู เป็นนางฟ้าประจำตัวของกูไปตลอด ตลอดในที่นี้คือชั่วขีวิตเลยได้ไหม”
“…ครับ” ผมนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้ารับ
พี่ศรโอบกอดตัวผมแน่น ผมโอบกอดเขาตอบ เราต่างคนต่างซุกหน้าลงแนบชิดบนไหล่ของกันและกัน ซึมซับความรู้สึกดีๆที่ไม่คาดฝันนี้ไว้อย่างแนบแน่น
พี่ต่างหากละครับที่เป็นคนเทวดาของผม พี่เป็นคนที่ฟ้าแนะนำให้ผมรู้จัก พี่ศรทำให้ผมรู้จักที่จะรักใครสักคน พี่ศรให้ผมมีความหวัง มีความฝันและมีความกล้า
กล้า…ที่จะทำตามหัวใจตัวเอง
กล้าที่…จะมาที่นี่
และความกล้านั้นทำให้ผมมีวันนี้วันที่ผมได้ยืนอยู่ข้างๆ ได้เป็นกำลังใจของกันและกัน
ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องขอบคุณท้องฟ้า ผมว่าคนคนนั้นคงจะต้องเป็นผมซะมากกว่า
ขอบคุณนะครับคุณท้องฟ้า ขอบคุณที่ทำให้ผมได้มาอยู่ที่นี่ ขอบคุณที่ยอมให้เราได้รักกัน ขอบคุณมากๆครับ
-The End-
__________________________
ในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงตอนจบแล้วนะครับ ส่งพี่ศรกับน้องปุณย์ถึงปลายทางกันแล้ว ขอบคุณทุกคนมากๆเลย
ที่อ่านเรื่องนี้จนจบ นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรมากมาย อาจจะมีอะไรห่วยๆเยอะแยะไปหมด แต่ยังไงก็ขอบคุณหลายๆคนที่อยู่ด้วยกันมาจนจบนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ
ส่วนรูปเล่มอาจจะเจอกันช่วงกลางๆปีเลย เพราะต้องรอหน้าปกใหม่วาดเสร็จก่อน ใครที่รออ่านตอนพิเศษหรือรอรูปเล่ม ยังไงรอกันอีกนิดนึงนะครับ
สุดท้ายนี้ก็เช่นเคย เจ้าโง่_เองก็ไม่มีอะไรจะพูด นากจากคำว่า …รักและขอบคุณมากๆครับ ^^
-
สนุกมากค่ะ :mew2:
-
:L2: :pig4:
น้องเปล่งแสง55
ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4:
-
รักกันนานๆนะ
-
:pig4: