พิมพ์หน้านี้ - (เรื่องสั้น) Love Scenerio (จบ.)
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: พระพายพัด ที่ 10-08-2018 21:45:22
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
-----------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง love scenerio ของวง iKON ค่ะ
ความรักถึงจะเคยรักกันอย่างลึกซึ้งมากแค่ไหน บางครั้งมันก็เป็นความเจ็บแบบงงๆ ว่าเอ๊ะ สรุปเราเลิกกันแล้วเหรอวะ ? ทั้งที่เราเคยรักกันมากขนาดนี้เนี่ยนะ?
บางครั้งจุดจบกับจุดเริ่มต้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ในบางความสัมพันธ์ เหมือนกับเพลง Love scenerio นี่แหละค่ะ
ปล. เรื่องสั้นเรื่องนี้เรามอบให้แด่...คุณ คุณที่เป็นชีวิตมัธยมปลายของเราตลอดไป
ฝากเพจด้วยงับ : https://www.facebook.com/Prapaipads/
-
เรื่องสั้น : Love Scenario
“ไอ้ภาพ! ไอ้ภาพ!”
เสียงเรียกหลายเสียงดังอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน เพื่อนสมัยมัธยมหลายสิบคนโบกไม้โบกมือให้อยู่หน้าป้ายโรงเรียนทำให้ผมคิดถึงวันเวลาเก่า ๆ ที่พวกเพื่อนตัวแสบนัดกันโดดเรียนทั้งห้องแล้วดันมีผมเสล่อมาโรงเรียนในเวลาที่พวกมันเดินออกมาถึงหน้าโรงเรียนแล้วตะโกนเรียกไม่ให้ผมข้ามถนนเพื่อเสนอหน้าไปเจอครูที่ปรึกษาอยู่คนเดียว
แต่ครั้งนี้พวกเขากำลังเรียกให้ผมข้ามไปหา...
ผมหยุดรอรถ ก้าวข้ามถนนอย่างเร่งรีบ เหมือนกับว่าผมได้ข้ามเวลาปัจจุบันแล้วเดินเข้าหาอดีต
“มาสายเหมือนเดิมนะมึง” ไอ้จูน เพื่อนสนิทที่สุดตอนมัธยมปลายเหนี่ยวคอผมเข้าไปหาตัวแล้วล็อกไว้หนาแน่น ถึงจะไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนสุดท้ายมันก็ยังชอบแกล้งผมเหมือนเดิม
“แต่สุดท้ายก็มารึเปล่าวะ” ผมไหวไหล่ มองหน้าเพื่อน ๆ แต่ละคนแล้วก็อดคิดถึงคน ๆ หนึ่งไม่ได้ “เสียดายเนอะที่ไอ้หยวนมันไม่ได้มาด้วย”
แค่หลุดชื่อของคน ๆ นี้ออกไป เพื่อนทั้งห้องกลับเงียบกริบ ปฏิกิริยาของทุกคนเปลี่ยนไปแทบจะทันที แม้กระทั่งไอ้จูนที่ใช้มือล็อกคอผมอยู่ก็เผลอปล่อยมือออกโดยอัตโนมัติ ความเฮฮาพลันเงียบลงเหมือนมีใครเอามือมาปิดปากพวกมันเอาไว้
“ไอ้ภาพ คือเรื่องไอ้หยวน...”
“เฮ้ย ก็มึงบอกกูเองว่ามันติดธุระ มาไม่ได้ไง” ผมโบกมือให้หัวหน้าห้อง แล้วยิ้มออกมาท่ามกลางบรรยากาศแปลก ๆ ที่โอบล้อมพวกเราเอาไว้
“ภาพคือ...อันที่จริงแล้วมัน...”
“เดี๋ยวมันจะตามมาเหรอ หัวหน้า” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วฉีกยิ้มให้กว้างขึ้น หวังจะทำให้บรรยากาศคลายลงไปบ้าง แต่กลายเป็นว่ามันยิ่งมืดทะมึนลงกว่าเดิม จนในที่สุดมือของไอ้แก้ว เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในห้องจะแตะลงบนไหล่ผม แล้วพูดขึ้นเบา ๆ
“หยวนมันเสียแล้ว”
ผมเงียบ
เพื่อนทุกคนก็เงียบ
มือของใครหลายคนวางลงบนไหล่ผมทับกับมือไอ้แก้ว คล้ายว่าพวกเขาต้องการจะปลอบประโลมผม ใครบางคนพูดว่า “คือพวกกูไม่ได้บอกมึงเพราะว่าไอ้หยวนมันขอไว้ มันขอไว้แม้กระทั่งว่างานศพมันมึงก็ห้ามไป คือพวกกูก็รู้ว่ามึงกับไอ้หยวนสนิทกัน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ภาพคือ...แต่หยวนมันไปดีแล้ว” ผมได้ยินคำพูดนั้นขาดเป็นห้วง สิ่งที่ตอบกลับไปมีแค่คำว่า “เหรอ” แค่คำเดียว
มันมากกว่าความรู้สึกเสียใจแต่ก็ยังน้อยกว่าความรู้สึกที่เรียกว่าเศร้า ผมไม่รู้ว่าควรจะนิยามมันว่าอะไรดี ผมไม่อยากร้องไห้ให้กับการสูญเสียที่ไม่ทันตั้งตัว ความทรงจำของผมกับหยวนเบาบางมากจนเหมือนกับวิญญาณ ผมไม่ได้เจอเขามานานมากหลังจากจบพิธีปัจฉิมนิเทศตอนมัธยม ผมไม่ได้เจอเขาอีกเลยตั้งแต่เขายื่นของปัจฉิมของเขามาให้ผม รูปถ่ายที่เขานั่งชูสองนิ้วพร้อมกับคำพูดสั้น ๆ ว่า “โชคดีนะ ภาพ”
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ไม่มีปาร์ตี้อำลาระหว่างเราสองคน
ไม่มีการนัดเจอกันหลังจากการเรียนจบ ต่างคนต่างเดินไปโดยไม่หันกลับมามองกันอีก
ผมจึงไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงกับข่าวการจากลาอย่างกะทันหันของหยวน หรือแม้กระทั่งคำสั่งเสียแปลก ๆ ที่เขาบอกกับเพื่อนคนอื่น ๆ
“ไอ้ภาพ...” หัวหน้าเรียกผมอีกครั้ง ดึงผมให้หันไปมอง ความกังวลในดวงตาของเขาบังคับให้ผมต้องยิ้มออกมาแล้วทำมือโอเคส่งกลับไป
“ไปหาครูกันเถอะ”
เขาดูเหมือนมีอะไรจะพูดอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้วเป็นคนเดินนำทุกคนเดินไปทางห้องพักครูที่ยังจำได้ดี แม้ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน
ผมเดินตามหลังเพื่อนคนอื่น ๆ มองดูความเฮฮาที่เริ่มกลับมาในกลุ่มแล้วก็อดยิ้มด้วยใจจริงออกมาอีกครั้งไม่ได้ แต่เมื่อผมเผลอหันกลับไปมองข้างหลัง ผมกลับพบผู้ชายตาชั้นเดียว หน้าตี๋เหมือนเจ๊กแถวเยาวราช และชุดพละของโรงเรียนในแบบเก่า แบบเดียวกับปีของพวกผม
ผมจำได้ทันทีที่เห็นและรู้ทันทีว่าเป็นเขา
ไอ้หยวน
-------------------------------------
เดี๋ยวจะทยอยๆ ลงนะคะ ไม่เยอะ นิดเดียวกะจบแย้วววววว ;----;
-
ผมจำจุดเริ่มต้นของเราสองคนได้ไม่แน่ชัด มันอาจจะเป็นวันที่ป๋าอนันต์ให้จับคู่เดาะบอลในวิชาฟุตบอลตอนม.สี่ หรือวันที่เขาทะเลาะกับไอ้แก้ว แฟนที่คบมาตั้งแต่ม.สามเลยเลือกมานั่งข้างผม หรืออาจจะเป็นวันที่ครูภาษาไทยสั่งลงโทษพวกเราที่แอบกินขนมในห้องทั้งแก๊งค์
ผมคิดว่าผมจำไม่ได้
แต่ผมพอจะนึกออกว่าเราสองคนสนิทกันมากขนาดไหน เพราะความทรงจำของเราสองคนดูเหมือนจะกลายเป็นเงาทอดยาวอยู่ทุกพื้นที่ในโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนี้ ผมเดินทอดน่องไปเรื่อย ข้างตัวมีวิญญาณของเพื่อนสนิทสมัยมัธยมเดินตามไปด้วย หลังจากพบครูแล้วเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ทยอยกันกลับ ผมเองก็ทำท่าว่าจะกลับด้วย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเมื่อเดินไปถึงหน้าโรงเรียนผมก็ต้องเดินกลับมา
เพราะหยวนเอาแต่เดินตามพวกเราไปทุกที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ
มันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัด แต่มันทำให้ผมอยากรู้มากกว่า
“เขาบอกว่ามึงตายแล้ว” ผมเริ่มบทสนทนากับวิญญาณข้างตัว ดูเขิน ๆ อยู่เหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็เหมือนคนบ้าที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว ผมจึงได้เบาเสียงลง “มึงตายได้ยังไง”
หยวนมองหน้าผม เขาเงียบอีกแล้ว “มึงรู้ตัวป่ะว่าเวลามึงเงียบแม่งโคตรน่ากลัวเลย ตอนที่มึงดึงกระเป๋าออกมาจากที่นั่งข้างแก้วแล้วโยนลงข้างกูวันนั้นกูโคตรตกใจ” และผมก็พูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเขาเงียบ
“เขาตกใจกันเกือบทั้งห้อง มึงเล่นไม่พูดอะไร อยู่ดี ๆ ก็ดึงกระเป๋าไปเลย จบคาบนั้นแก้วร้องไห้ยังกับคนบ้า”
“กูไม่รู้จะพูดอะไร” หยวนยอมพูดจนได้
เราเดินมาจนหยุดอยู่หน้าหอประชุมของโรงเรียน หยวนยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระจก กระจกไม่ได้สะท้อนภาพเขา แต่สะท้อนแค่ภาพของผม หยวนหันมามองผมด้วยแววตาว่างเปล่าเหมือนครั้งแรกที่เจอในวันนี้ แล้วเขาก็พูดเป็นครั้งที่สอง...แค่ครั้งที่สองของวัน
“กูรู้สึกว่ากูต้องให้มึงช่วย”
“ช่วยอะไร”
เขาหลบตาผม ราวกับว่าคำขอของเขาน่าอายเสียจนไม่กล้าพูดออกมา แต่ผมก็ยังอดทนรอ เพราะผมรู้ดีว่าหยวนไม่ชอบความเงียบ สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบขึ้นมาเอง
“พอกูตายไปแล้ว กูกลับมาโผล่ที่นี่และมึงเป็นคนเดียวที่มองเห็นกู” เขาพูดไปเรื่อย ๆ ผมก็ฟังเขาไปเรื่อย ๆ “มึงไม่คิดว่ามันเป็นสัญญาณให้เราทำอะไรสักอย่างเหรอวะ”
“ไม่นี่” ผมตอบกลับ ทำเอาคิ้วของไอ้ตี๋ขมวดเข้าหากัน “มึงคิดว่ามันเป็นสัญญาณของอะไรล่ะ การระลึกความหลังเหรอ”
หยวนสบตากับผม ก่อนจะไหวไหล่ “กูจำเรื่องตอนที่เราเรียนไม่ได้แล้ว”
“กูก็เหมือนกัน”
เราเดินออกห่างจากหอประชุมของโรงเรียน ข้าง ๆกันเป็นโรงอาหารที่พวกเราทันใช้อยู่ไม่กี่ปี เพราะเป็นโรงอาหารที่เพิ่งสร้างเสร็จตอนที่ผมเรียนอยู่ม.ห้า เรียนอยู่อีกไม่กี่ปีก็จบกันไป ตอนนี้มันคงกำลังจะกลายเป็นโรงอาหารเก่าไปแล้วเมื่อผมมองเห็นการก่อสร้างอยู่ข้าง ๆ กัน ติดประกาศชัดว่าเป็นโครงการสร้างโรงอาหารใหม่
ผมหันไปมองวิญญาณข้างตัวและแน่ใจว่าเขาก็คิดเหมือนผม เราสองคนจึงผลักประตูกระจกออกแล้วเดินเข้าไปข้างใน
“เปลี่ยนไปเยอะเลยเนอะ” ผมพึมพำ มองดูร้านรวงต่าง ๆ ที่ปิดสนิทเพราะเป็นวันหยุดแล้วก็ได้แต่คิดถึงวันเก่า ๆ “ร้านนั้น ตอนนั้นคนเยอะมาก ต้องรีบลงมาแย่งประจำ”
“ร้านโปรดกูไม่อยู่แล้ว” หยวนพูดขึ้นบ้างขณะมองซ้ายมองขวาอ่านชื่อร้านอาหารต่าง ๆ “ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ร้านสุดท้าย”
“ร้านโปรดของเรา” ผมเสริมให้
ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านสุดท้ายเป็นร้านโปรดของไอ้หยวนคนนี้ ให้เครื่องเยอะสะใจจนซื้อมาทีไรคนในกลุ่มก็ชอบแย่งหมูแย่งลูกชิ้นเขาจนหมดตลอด สุดท้ายหยวนเลยเหลืออด ตะเพิดทุกคนไปซื้อก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านนี้มากินกันเองคนละถ้วย แล้วด้วยปริมาณของคนต่อคิวที่เยอะฉิบหาย ในกลุ่มเราเลยต้องมีการเป่ายิงฉุบจับคู่เลือกคนไปซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ประจำ
แล้วหวยมันก็ชอบมาออกที่ผมกับหยวน
ซึ่งผมก็มารู้ทีหลังว่ามีการเตี๊ยมกันไว้แต่แรกแล้ว...ซึ่งก็ทำเอาหยวนต้องวิ่งไล่กระทืบพวกแม่งอีกรอบ
“อยากกินอีกเนอะ จำแทบไม่ได้แล้วว่ามันอร่อยขนาดไหน” หยวนพึมพำขึ้นมาอีก ดูท่าทางจะชอบร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้มากจริง ๆ
“เดี๋ยวกูทำบุญส่งไปให้”
“ตอนม.หกหวิดจะวางมวยกับครูสอนพระพุทธ นึกว่าเลิกเข้าวัดไปนานแล้ว”
“จำได้ด้วยเหรอ”
เขาเงียบไปอีกแล้ว หยวนเดินชี้ไม้ชี้มือไปเรื่อย แต่พอเห็นว่าผมไม่โต้ตอบ ก็หันมามองผมพร้อมกับถอนหายใจแล้วยอมพูดในสิ่งที่ผมอยากฟัง “จำได้สิ จู่ ๆ มันก็วิ่งเข้ามาในหัว”
ผมยิ้มให้หยวน เขาหันหน้าหนีไปทางอื่น ซ่อนสายตาเอาไว้ทำให้ผมมองไม่เห็นว่าเขารู้สึกยังไงกันแน่กับคำพูดของตัวเอง เราเดินผ่านโรงอาหารเก่ามาทะลุออกข้างหลังของโรงอาหาร ถัดลงไปเป็นอาคารเรียนภาษาอังกฤษห้าชั้น หยวนเงยหน้าขึ้นมอง ความสว่างของดวงอาทิตย์ทำให้เขาต้องหรี่ตาลงแล้วบ่นพึมพำว่าร้อน
เพิ่งรู้ว่าเป็นวิญญาณก็ร้อนเป็นกับเขาด้วย
“เขาเอากันสาดตรงนี้ออกแล้วเหรอ” เขาบ่นขณะเงยหน้ารับแสงอาทิตย์
“วันปัจฉิมมันก็ไม่มีแล้ว”
“เหรอ”
ผมมองดูเขาเงยหน้าเข้าหาแดดทั้งที่ยังหยีตาอยู่ไม่เลิกแล้วก็คิดถึงอะไรบางอย่างออกมาได้ “เขาเอากันสาดออกแล้ว...ที่ตรงนี้เลยไม่มีคนขี้แยมานั่งร้องไห้”
และผมรู้ดีว่าคำพูดนั้นต้องทำให้หยวนมันหันมามองหน้าผมตาเขียวปั๊ด มือสองข้างของเขาชกเข้าที่อกผมเต็ม ๆ แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บเมื่อเขาไม่สามารถแตะตัวผมได้
“โธ่เว้ย!” คนหัวรุนแรงเลยหันไปหัวร้อนกับตัวเองแทน “ไม่ได้ขี้แยเว้ย!”
“แต่วันนั้นมึงร้องไห้”
“ไม่...ก็...เออก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้ขี้แยเว้ย!”
ท่าทางฮึดฮัดของเขาทำให้ผมหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่สดใสเหมือนกับผมในสมัยมัธยม ผมชี้ไปที่บันไดขั้นสุดท้ายของโรงอาหารแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “จำได้ไหม ที่มึงนั่งร้องไห้ตรงนี้จนเกือบทุ่ม แล้วแม่มึงโทรหาพวกกูให้มาตามหา”
หยวนมองผมตาเขียว ไม่ยอมเปลี่ยนเป็นสีอื่นแต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เงาระหว่างเราสองคนที่ทอดยาวในสถานที่แห่งนี้ครอบงำไม่ต่างจากผม “ตอนนั้นครอบครัวกูมีปัญหาเถอะ กูแค่ไม่อยากกลับบ้าน”
เราเผลอสบตากัน หรือไม่อย่างนั้นเราสองคนก็จงใจ และคราวนี้ผมมองไม่เห็นอาการมองค้อนของมันอีกแล้ว แต่ว่ามันกลายเป็นแววตาที่ผมไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน...
ผมเกือบลืมมันไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ ๆ เราก็พูดเรื่องนี้กันขึ้นมา แววตาในวันนี้ของหยวนเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด วันที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ แววตาของเขาว่างเปล่าในตอนแรกและสว่างโรจน์ด้วยความหวังเมื่อผมเดินเข้าไปหา ทำให้ใจของผมเต้นระรัวอยู่ในอก ย้ำกับตัวเองอยู่หลายครั้งด้วยความไม่แน่ใจ...ว่าผมรึเปล่าที่เป็นคนจุดไฟให้กับชีวิตหยวนในครั้งนั้น
“มึงเป็นคนแรกที่หากูเจอ” เขาเปรยขณะเสมองบันไดขั้นสุดท้ายที่เรากำลังพูดถึง ทำให้ผมพยักหน้าลง เงาของเราที่ทอดยาวบนบันไดขั้นสุดท้ายเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดมันก็ชัดเจน แล้วผมก็พูดออกไป
“มึงกอดกู...แน่นมาก”
หยวนพยักหน้าลง เขาเงียบไปนาน คราวนี้ผมคิดว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดและตั้งใจจะเดินผ่านไปสถานที่ต่อไป จนกระทั่งเสียงของเขารั้งฝีเท้าของผมเอาไว้ก่อน
“กูไม่มีใคร และกูกลัวว่ามึงจะไม่อยู่กับกู”
คำพูดของหยวนทำให้ดวงตาของผมกระจ่างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำตอบของคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอดหลายปีอยู่ตรงหน้าแล้ว จากปากของหยวน
ผมเป็นคนจุดไฟให้กับชีวิตของเขา
ผมเป็นคบเพลิงที่ส่องสว่างในวันที่เขามืดมนจนมองไม่เห็นหนทาง ฉุดรั้งเขามาจากใต้มหาสมุทรอันหนาวเย็นและโอบกอดจนกระทั่งเขากลับมาอบอุ่นด้วยอ้อมแขนของผม ผมเป็นคนแรกที่หาเขาเจอในวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา ผมจำได้แล้วว่ามันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดของผมด้วยเช่นกันเมื่อแม่ของหยวนโทรมาหาอย่างร้อนรนว่าหยวนหายตัวไป ผมรู้สึกเหมือนถูกฉีกกระชากวิญญาณออกไปเมื่อรู้ว่าหยวนอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย และรีบพารถจักรยานยนต์คันเก่งวิ่งออกไปบนถนนโดยไม่ได้สนใจเสียงร้องเรียกของคนในบ้านว่าผมเพิ่งจะกลับมาจากร้านเกม
และเมื่อเขากลับมาสู่อ้อมกอดผม ผมจึงได้รู้สึกมีชีวิตอีกครั้ง
อันที่จริงผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และครั้งนี้ผมอยากจะตอบตัวเองให้แน่ใจเป็นครั้งที่ร้อย...
...ว่าหยวนเองก็เป็นคนจุดไฟให้กับชีวิตของผมเช่นกัน
“หยวน” เขาชะงักเมื่อได้ยินผมเรียกชื่อเขาตรง ๆ แล้วมองตามมือของผมที่กำลังชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เขามองตามไป ดูชะงักค้างไปในตอนแรก ก่อนจะหันกลับมามองผมทั้งที่แววตายังไม่คลายความตื่นตะลึง
“ที่นั่น...”
“ไปกัน”
ผมหันไปยิ้มให้เขาแล้วเดินนำไปโดยไม่ได้ฟังเสียงโวยวายของเขา เพราะผมรู้ว่ายังไงหยวนก็ต้องเดินตามผมมาอยู่ดี แรงลมอ่อน ๆ พัดมาปะทะกับใบหน้า จมูกของผมได้กลิ่นยอดหญ้าจากสนาม กลิ่นโลหะจากการก่อสร้าง และกลิ่นเหงื่อของหยวน...กลิ่นเหงื่อที่เปียกชุ่มจากการเล่นวอลเล่ย์บอลก่อนจะมาหาผมตามนัดของเราในสถานที่แห่งนั้น
ที่ที่เงาของเราสองคนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“มึงจำที่นี่ได้ไหม”
ผมถามขึ้นเมื่อเราสองคนมาถึงที่นี่ ที่ที่ผมต้องบากหน้าไปหาน้ายามของโรงเรียนเพื่ออ้อนวอนขอกุญแจมาเปิดให้หน่อย ซึ่งกว่าจะได้มาก็เล่นเอาเหนื่อย เพราะเขาไม่ยอมเปิดให้ง่าย ๆ จนต้องงัดบัตรนักเรียนสมัยม.ปลายขึ้นมาโชว์ว่าเคยเป็นนักเรียนของโรงเรียนจริง ๆ ก็ทำเอาหยวนอึ้งไปว่าผมยังเก็บมันไว้อยู่
และก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกดีที่ตัวเองยังเก็บมันไว้
ทำให้เราได้มาถึงตรงนี้
หยวนยืนอยู่ข้างหน้าผม ร่างของเขาปะทะกับลมแรงจนเสื้อพละปลิวแนบไปกับลำตัว เขาไม่ยิ้มและทำท่าคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ การที่เขายืนอยู่ข้างหน้าทำให้ผมมองไม่เห็นแววตาของเขาและมันทำให้ผมใจเสียเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็หยุดลงด้วยเสียงของเขาที่ตอบผมมาเบา ๆ
“...จำได้”
หัวใจผมเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ เงาของเราสองคนทอดยาวไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ แต่มีแค่ที่นี่เท่านั้นที่เงาของพวกเราซ้อนทับจนกลายเป็นเงาเดียวกัน
ดาดฟ้าของอาคารเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
“กูชอบที่นี่มึงจำได้ไหม” ผมพูดขึ้น “กูชอบ...ถึงจะเคยขึ้นมาแค่ครั้งเดียว ครั้งนั้นกูก็ขอกุญแจเขาเกือบตายกว่าจะได้มา แต่กูก็ขอมา และกูไม่เคยเสียใจที่ทำมัน”
ผมรู้ว่าเขารู้ดีว่าประโยค “ไม่เคยเสียใจที่ได้ทำมัน” ไม่ได้หมายถึงการที่ร้องขอกุญแจดาดฟ้าเท่านั้น
“กูตกใจมากที่รู้ว่ามึงอยู่ที่นี่ วันนั้น” หยวนเริ่มพูด เขาค่อย ๆ เปิดปากพูดช้า ๆ อย่างระวังตัว หรือไม่อย่างนั้นเขาก็กำลังฟื้นความทรงจำที่เคยได้รับจากสถานที่แห่งนี้
แต่ผมไม่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นความทรงจำ
เมื่อผมมองเห็นดาดฟ้าแห่งนี้จากที่ไกล ๆ ผมก็รู้ทันทีถึงความสำคัญของมัน
“กูบอกชอบมึงที่นี่”
หยวนสบตากับผม เขานิ่งไปนานเหมือนสติยังไม่เข้าร่างดี ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะร้องว้ากโวยวายออกมาเหมือนกับวันนั้นที่ผมบอกชอบเขา ตะโกนเหมือนคนเสียสติ ปากร้องบอกว่าไม่ ไม่ ไม่ แต่หน้ากลับแดงเถือกอย่างที่ผู้ชายห่าม ๆ อย่างเขาไม่น่าจะมีสีหน้าแบบนี้ได้ แต่วันนี้เขาแค่พยักหน้าลงงง ๆ แล้วพูดขึ้นช้า ๆ เหมือนคนไม่มั่นใจ
“ชะ ใช่ ตอนนั้นกูกำลังเล่นวอลเล่ย์อยู่ข้างเสาธงแล้วมึงก็โทรมา...”
“กูบอกว่ากูชอบมึง”
“อะ...เออ”
“แล้วกูก็จูบมึงที่นี่”
เราจูบกันเป็นครั้งแรกที่นี่...
ผมจูบกับหยวนครั้งแรกที่ดาดฟ้าของโรงเรียน หลังแท็งก์น้ำขนาดใหญ่...ตรงนี้
ผมจำได้ว่าจูบของเขาออกเค็มปะแล่มจากหยาดเหงื่อของเขาผสมกับรสก๋วยเตี๋ยวต้มยำของโปรด กลิ่นหมูสับ เครื่องต้มยำ พริกเผา ทุกอย่างทำให้ผมรู้สึกหิวจนจูบเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก พอบอกออกไปตรง ๆ ก็ถูกหมัดอรหันต์ฟาดเข้าให้ที่กลางกบาล และมันเป็นความทรงจำที่ตกตะกอนอยู่ในใจผมตลอดมา
จูบของหยวนเป็นรสก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
“แล้วเราก็คบกัน” ผมพูดขึ้น แต่มันทำให้ตะกอนความคิดในแววตาของหยวนยิ่งตกผลึกมากขึ้น จนถึงจุดหนึ่งเขาก็เอ่ยถามผมเสียงเบาหวิว
“ตอนนั้นมันดีป่ะวะ”
ผมมองหน้าเขา รู้ทั้งรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร แต่ผมก็ยังถามย้ำอีกครั้ง “ตอนไหน”
ผมรู้สึกได้ว่าร่างของหยวนกำลังสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหนาวเย็นจากแรงลมหรือเพราะแรงอารมณ์ที่เขากำลังแสดงออกให้ผมเห็นอยู่ตอนนี้กันแน่
เขารวบรวมความกล้าอยู่นาน และเมื่อเสียงได้เปล่งออกมาจากปากของเขา มันก็แหบแห้งเต็มทน “ตอนที่เราคบกัน”
แววตาของเขาดูแปลกออกไปจากที่ผมเห็นมาตลอดครึ่งวันที่เราเดินด้วยกัน มันดูเว้าวอนทว่าก็ติดความแห้งผากของความหวังที่เลือนรางจนผมไม่อาจละสายตาไปได้ พยายามค้นหาทุกซอกทุกมุมในความทรงจำของตนเองก็ไม่สามารถจะนึกออกว่าเขาเคยมีแววตาแบบนี้ให้ผมตั้งแต่เมื่อไร นับตั้งแต่ที่เรารู้จักกันมา
“ดีสิหยวน” ผมได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับเขาไปเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังย้ำให้เขาได้รู้อีกครั้ง “ตอนที่เราคบกัน...มันดีมาก”
“ถ้ามันดีขนาดนั้น” เขาพูดจบแล้วก็เว้นจังหวะไปนานกว่าชั่วอึดใจก่อนจะพูดขึ้นอีก
“แล้วตอนนั้น...เราเลิกกันไปทำไมวะ”
คำพูดของเขาพาผมย้อนกลับไประลึกถึงความทรงจำมากมายที่เราสองคนเคยมีร่วมกัน ทั้งวันที่เราหัวเราะจนสุดเสียงโดยไม่อายใครในวันที่รวมหัวกันแกล้งไอ้จูนได้สำเร็จ วันที่เราร้องไห้กับฉากจบของเรื่องไททานิคในแผ่นหนังเก่าที่ค้นพบจากบ้านของเขา วันที่เราทะเลาะจนต่อยกันไปข้างแต่สุดท้ายก็จบลงที่ผมพร่ำกระซิบขอโทษจนเขาร้องไห้กับแผ่นอกของผม หรือแม้กระทั่งวันที่เราร่วมรักกันบนเตียงของผม
วันที่ร่างกายของเราสองคนแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยไม่ได้คิดถึงอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน วันที่ผมหลงลืมตัวตนไว้ในร่างของเขา และเขาก็ฝังร่างลงในจิตใจของผม จูบของเขาร้อนแรงราวกับต้องการจะกลืนกินตัวตนของผมและทอดร่างของเขาให้ผมได้กลืนกินทุกส่วน รวมไปถึงจิตวิญญาณที่เขาหวงแหน และเราก็ร่วมรักกันราวกับบ่าวสาวแลกเปลี่ยนคำสัตย์สาบานในพิธีแต่งงาน
มันดีสิหยวน...ผมอยากจะบอกเขา บอกเขาซ้ำ ๆ จนกว่าเขาจะเชื่อว่าช่วงเวลานั้นมันช่างมีความหมายกับผมเหลือเกิน
มันดีมากจนกูเสียดายที่ไม่คว้ามันเอาไว้ให้นานกว่านี้...
ผมกลืนก้อนคาราเมลเหนียว ๆ ที่เกิดมาจากความรู้สึกกำลังก่อตัวลงไปอย่างยากลำบากแล้วพยายามยิ้มให้เขา “มึงเป็นฝ่ายทิ้งกูก่อน”
หยวนสั่นศีรษะ “มึงต่างหากที่ทิ้งกู”
เราสองคนเงียบ แล้วต่างคนก็ต่างเบือนหน้าไปคนละทางโดยไม่ได้นัดหมาย รอจนกระทั่งชั่วอึดใจเดียวเราก็หันกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง
หยวนเม้มปากแน่นอย่างที่ชอบทำเวลาไม่สบายใจ เขากัดริมฝีปากตัวเองจนแดงเป็นรอย ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงดังลอดริมฝีปากบางออกมา
“สรุปแล้วตอนนั้นเราเลิกกันไปทำไมวะ”
ผมสบตากับหยวน แล้วเราสองคนก็เงียบกันทั้งคู่
ไม่มีคำตอบ
เพราะผมเองก็อยากจะถามเขาด้วยคำถามเดียวกัน
ตอนนั้นเราจะเลิกกันไปทำไมวะ?
เราสองคนลงจากดาดฟ้าเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดอะไรสักคำเมื่อก้อนคาราเมลความรู้สึกยังจุกอยู่ที่ลำคอและแย่ไปกว่านั้นคือมันกำลังคั่งค้างอยู่ในอกผม ทำให้ผมไม่อยากจะพูดอะไรอีก กระทั่งพวกเรามานั่งแกร่วกันที่ม้านั่งหินอ่อนหน้าพระพุทธรูปประจำโรงเรียน
หยวนเอาแต่มองไปที่พระพุทธรูป เขาไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก แต่เราสองคนต่างรู้ดี
สถานที่แห่งนี้ก็มีเงาของเราสองคนปกคลุมไปทั่วทั้งม้านั่งตัวนี้ หญ้าเทียมที่ปูพื้น กระถางบัว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีอยู่ในความทรงจำของผม และกลายเป็นเงาอันเลือนรางที่รอคอยให้ถึงวันที่เรามานั่งอยู่ด้วยกัน ค่อย ๆ ทำให้มันชัดขึ้น...เหมือนวันนี้
“มึงบอกว่า...มึงจำไม่ได้ แต่มึงก็จำได้ทุกที่” หยวนเริ่มพูด แต่เสียงของเขาเบามากจนผมต้องตั้งใจฟัง
“ไม่หรอกหยวน” ผมปฏิเสธขณะมองลึกลงไปในดวงตาของเขา “มึงก็เหมือนกัน”
“ก็เหมือนที่บอกมึง มันก็แค่...วิ่งผ่านเข้ามาในหัว” หยวนห่อไหล่ ทั้งที่ตอนนี้ก็ลงมาจากดาดฟ้าแล้ว เขานิ่งไปนานกว่าจะหันมา
สบตาผม เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่เขาเป็นฝ่ายตั้งใจหันมาสบตากับผมก่อน
“แต่แปลก กูจำไม่ได้เลยว่าทำไมเราถึงเลิกกัน” หยวนเปรยขึ้นอีก และดวงตาของเขาก็ตกตะกอนความคิดอีกครั้ง
“เราเคยรักกัน”
“เราเคยรักกัน” เขาทวนคำพูดของผม
เราเคยรักกัน...ฟังดูเจ็บปวดเพราะคำว่าเคยหมายถึงปัจจุบันมันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ถึงเราจะเคยรักกันอย่างจริงใจและลึกซึ้งแต่ในตอนนี้หมายความว่าเราไม่ได้รักกันอีกต่อไป
ผมจึงไม่เคยคิดว่าประโยคที่ว่าเคยมีดีกว่าไม่มีเป็นคำปลอบใจที่ดีเลย หลายคนชอบพูดว่าที่ผ่านมาก็อยู่คนเดียวมาตลอด แค่มีเขาเข้ามาในชีวิตแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ และจากไปทำไมหลังจากนี้จะอยู่ไม่ได้ แต่สำหรับผม...ที่ผ่านมาได้ก็เพราะผมมีหยวน
การที่ผมกับหยวนเคยรักกันจึงเป็นความจริงที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของผม
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความเงียบ ผมหยิบโทรศัพท์ของตนเองออกมาแล้วก็ต้องชะงักกับเบอร์ที่โทรเข้า ชั่งใจอยู่นานแต่สุดท้ายก็กดรับ
“ฮัลโหล เม”
หยวนนั่งอยู่ข้างผม ผมไม่ได้หันไปสังเกตเขาจนกระทั่งปลายสายตัดไป ผมถึงได้ชะงักเมื่อสบตากับเขา
“ใครเหรอ”
ผมนิ่ง นานมากกว่าจะพูดออกมา “แฟนน่ะ”
หยวนพยักหน้า “มีแฟนใหม่แล้วสินะ ดีจังเนอะ”
ผมพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี หยวนดูเข้าใจยากอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนกับเขา ผมอยากจะแก้ตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ผมไม่มีสถานะอะไรจะมาฉุดรั้งเขาไว้กับผม
เพราะว่าเราเคยรักกัน
และตอนนี้เราก็ไม่ได้รักกันแล้ว
“กูไม่อยากให้มึงมางานศพกู กูไม่อยากให้มึงรู้ว่ากูป่วยเพราะกูไม่อยากดูอ่อนแอในสายตามึง” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้น และคราวนี้ผมก็ได้เป็นผู้ฟังเต็มตัว “เราเคยรักกัน กูไม่ชอบคำนี้ กูรู้สึกว่ามันผูกมัดกู มันทำให้กูไปไหนไม่ได้นอกจากติดอยู่แค่คำว่าเคยรักมึง ถ้ากูได้เห็นมึงอีกแม้กระทั่งในงานศพ กูก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้และขอกลับไปอยู่กับคำว่า ‘เคยรัก’ ตลอดไป เพราะงั้น...”
“โชคดีนะ ภาพ” หยวนยิ้มให้ผมพร้อมกับชูสองนิ้ว รอยยิ้มกว้างจนดวงตาสองข้างของเขาปิดลง และนิ้วสองนิ้วโง่ ๆ ในชุดพละโรงเรียนเตือนให้ผมคิดถึงวันนั้นของเรา
ที่ ๆ เราแลกของปัจฉิมกัน...ที่ม้านั่งตัวนี้
เขาพูดกับผมด้วยคำพูดนี้ แต่ครั้งนี้ไม่มีภาพถ่ายหยวนชูสองนิ้วอีกแล้วเพราะเขากำลังทำมันต่อหน้าผม และอนุญาตให้ผมถ่ายภาพเขาด้วยดวงตาทั้งสองข้างของผมแทน
ดวงตาของผมร้อนผ่าวขณะกดชัตเตอร์ถ่ายรูปเขา และเมื่อกระพริบตาอีกครั้ง
หยวนก็หายไปแล้ว
แต่ความรู้สึกของผมยังหนักอึ้ง...เหมือนกับวันปัจฉิมของเราสองคน สุดท้ายแล้วผมก็ได้รู้ตัวว่าผมแค่แกล้งทำเหมือนว่าเขาหล่นหายไปในกระแสความทรงจำที่เชี่ยวกราก ทั้งที่อันที่จริงถึงความรักของเราจะจบลง แต่หยวนไม่เคยไปไหนไกลเลย
หยวนไม่เคยไปไหนไกล...จากหัวใจของผมเลย
เราที่ได้พบกัน...และรักกัน
ถึงวันหนึ่งมันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ
แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม
จบ.
-
:hao5: ชื่อเรื่องว่าเศร้าเนื้อเรื่องตัวละครทุกๆอย่างเศร้ากว่าหยวนคือจากไปแต่ยังอยู่ในความทรงจำเสมอแบบตราตรึงมากจริงๆอ่านแล้วอีนมากจะร้องก็ร้องไม่ออก
-
เศร้ามากกกกกกกก :hao5:
-
ตอนแรกก็คิด เพลงไอค่อนไหม.... ตอนจบรู้เรื่อง ชอบเพลงนี้มาก เพราะ ความหมายดีด้วย เศร้าไปดิทีนี้ ฮือออออออออออ :z3: :heaven
-
:m15: :m15: :m15:
-
กดเข้ามาอ่านเพราะเป็นชื่อเพลงของไอค่อน ชอบเพลงนี้ของไอค่อนมาก พอได้อ่านเรื่องนี้เราก็ชอบเรื่องนี้อีก มันเศร้ามากๆ อ่านแล้วอยากวิ่งเข้าไปกอดเพื่อนเลย
-
:pig4:
:mew2: :mew2: :mew2: :เฮ้อ:
-
เศร้าจัง