พิมพ์หน้านี้ - ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ไมเลอร์ ที่ 30-07-2018 20:26:06

หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 30-07-2018 20:26:06
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️บทนำ l Up:30-07-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 30-07-2018 20:27:42
บทนำ

ทำนองรักฉบับเด็กช่าง

ไมเลอร์ เขียน



                หากเอ่ยถึง ‘วิทยาลัยช่างบางกอก’  ผู้คนทั่วไปต่างก็ต้องส่ายหัวให้กับวีรกรรมสุดแสบของเด็กวิทยาลัยแห่งนี้ หากแต่สาวๆ วัยแรกรุ่นกลับเห็นต่าง นั่นเพราะพวกเธอมองเห็นแต่ความหล่อ ความเท่ และความมาดแมนที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มันคือเรื่องจริงอย่างที่สุด เพราะวิทยาลัยช่างชายล้วนแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความหล่อ แม้จะมีเรื่องเสียๆ หายๆ จากนักศึกษาบางกลุ่มที่สร้างชื่อเสียให้กับสถาบันอยู่บ้าง แต่ความจริงแล้วเด็กส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความสามารถและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด

            เทศกาลเปิดเทอมเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับกิจกรรมการรับน้องใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาเฟรชชี่หรืองานประกวดเดือนโรงเรียน ซึ่งรุ่นพี่ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้รุ่นน้องเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาได้เตรียมงานมาก่อนหน้านี้หลายเดือน เพื่อเตรียมตัวต้อนรับรุ่นน้องที่จะกลายมาเป็นความทรงจำส่วนหนึ่ง ของช่วงชีวิตในรั้วโรงเรียนแห่งนี้

            คนทั้งโรงเรียนคงไม่มีใครรู้จัก “แก๊งยานยนต์เซ็กซี่บอย” ซึ่งมีสมาชิกด้วยกัน 5 คน คือ คิม(หัวหน้ากลุ่ม) โต้ง เทอร์โบ อ๋อง และหิน ที่ไปที่มาของชื่อแก๊งนั่นเพราะพวกเขาเรียนสาขายานยนต์ชั้นปีที่ 3 ทั้งหมดชอบเล่นบาสเกตบอล แถมยังชอบถอดเสื้อโชว์ซิกแพ็คแน่นๆ ถ่ายรูปลงในโซเชี่ยวให้สาวๆ น้ำลายสอผ่านทางหน้าจอมือถืออยู่เป็นประจำ

            “เฮ้ย! พวกมึงว่าน้องเลิฟเดือนโรงเรียนปีนี้เป็นไงบ้างวะ” โต้งเอ่ยถามเพื่อนขณะนั่งดูรูปกิจกรรมในเพจของโรงเรียน ก็สะดุดตากับภาพของ ‘เลิฟ’ หนุ่มน้อยหัวเกรียน หล่อขาวตี๋ดีกรีเดือนวิทยาลัยปีนี้ หลังจากชนะการประกวดมาเมื่อวานนี้เอง

ตอนนี้ทั้งห้าหนุ่มกำลังนั่งรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นจามจุรีเพื่อรอเวลากลับบ้าน

            “กูบอกได้คำเดียวเลยว่าแม่งจะมาครองตำแหน่งหนุ่มฮอตแทนไอ้คิมแน่นอน” หินว่า

            “กูก็ว่างั้น แม่งครบ ทั้งหล่อทั้งเสียงดี กูได้ยินข่าวว่าไอ้แจ๊บมันไปทาบทามมาเป็นนักร้องนำวงโรงเรียนแล้วนะเว้ย” อ๋องว่า

            “แต่กูว่าแม่งเหมือนเกย์ว่ะ หน้าขาวสัดๆ ดูท่าทางสำอางโคตรพ่อโคตรแม่ อย่างนี้เหรอจะมาแทนที่กูได้ ไม่มีทาง” คิมว่าพร้อมกับเบ้ปากให้กับเรื่องที่ไม่เข้าหูพวกนี้

            “ไม่ใช่หรอกมั้ง มึงอิจฉาน้องมันล่ะสิ เห็นเด็กใหม่จะมาแทนที่ ฮ่าๆ” โต้งขำเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน

            “กูก็ว่าไม่ใช่ แม่งหล่อเกาหลีอย่างนี้มีให้เห็นเยอะแยะ มีเมียทีสามสี่คนเชียวนะเว้ย ดีซะอีกจะได้เป็นหน้าเป็นตาให้วิทยาลัยเราด้วย” เทอร์โบเสริมอีกเสียง

            อ๋องยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยกับผองเพื่อน “พวกมึงอยากรู้ไหมล่ะว่าน้องมันเป็นรึเปล่า”

            “ทำไงวะ” โต้งชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เหมือนอยากรู้ซะเต็มประดา ส่วนเทอร์โบเองก็ไม่น้อยหน้าเช่นเดียวกัน เรื่องสนุกอย่างนี้ทุกคนในแก๊งชอบนักล่ะ

            “ให้ไอ้คิมมันเป็นคนพิสูจน์ไงล่ะ ในเมื่อมันว่าน้องเป็นเกย์ ก็ให้มันเป็นคนพิสูจน์เองเลย จะได้รู้แจ้งเห็นจริง” อ๋องบอก

            “เหี้ยย!! กูไม่เล่นด้วยเว้ย มันจะเป็นอะไรก็เรื่องของมันกูไม่เห็นจะเกี่ยวเลย” คิมส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน ทำไมเขาจะต้องทำเรื่องบ้าๆ อย่างนั้นด้วยล่ะ...ไม่มีทาง

            “ไม่ใจนี่หว่า ไหนมึงอวดนักอวดหนาว่ามีเสน่ห์กับทุกเพศ ลองใช้เสน่ห์ของมึงให้เป็นประโยชน์หน่อยซิพิสูจน์ว่ามันจะจริงอย่างที่พูดไหม” อ๋องยังคงท้าทายเพื่อนไม่หยุด เพราะรู้ว่าคนอย่างคิมไม่ชอบให้ใครมาสบประมาทได้

            “เรื่องแค่นี้ทำไมกูจะทำไม่ได้ล่ะ แล้วถ้ากูทำจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ” ถ้าเขาจะเสียเวลาพิสูจน์ มันก็ต้องได้ประโยชน์กันซะหน่อย

            “เอางี้เรามาพนันกันไหมล่ะ ถ้าน้องมันเป็นเกย์จริงพวกกูจะยอม....เลี้ยงเหล้ามึงเป็นเวลาหนึ่งเดือนเลยอ่ะ ไปเที่ยวมึงไม่ต้องจ่ายแม้แต่สตางค์แดงเดียว แต่ถ้าเป็นอย่างที่มึงคิดต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงพวกกู โอเคมะ” อ๋องยื่นข้อเสนอให้ เพื่อนคนอื่นๆ ก็พยักหน้ารับเห็นด้วย

            “กูมั่นใจว่ายังไงมันก็ใช่ พวกมึงเตรียมเงินไว้ได้เลย” คิมกอดอกพูดอย่างมั่นใจ เจ้าตัวคิดว่าความหล่อ บวกกับเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัว จะสามารถเปิดเผยธาตุแท้ของไอ้หน้าอ่อนปีหนึ่งคนนั้นได้แน่

            “กูกลัวคนบางคนจะเงิบแดกน่ะสิ มั่นให้ตลอดนะมึง ฮ่าๆๆ” หินขำ เพราะมั่นใจว่ายังไงซะเดือนโรงเรียนปีนี้แมนร้อยเปอร์เซ็นต์

            “กูขอเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้นรู้ผล ถ้าเกินนี้ถือว่ากูแพ้ โอเคมะ” คิมเอ่ยอย่างมั่นใจ

            “เจ๋งเว้ยเฮ้ย! มั่นหน้าโคตรๆ โอเค๊ เดือนหน้ารู้ผลโว้ย พวกมึงเตรียมตัวล้างท้องไว้เลย รับรองเราได้กินเหล้าฟรีแน่นอน” อ๋องบอกเพื่อนๆ ทุกคนปะมือกันแบ่งแยกทีมอย่างชัดเจน

            “ดีใจกันเข้าไปพวกมึงอ่ะ เดี๋ยวกูจะโชว์เสน่ห์ให้พวกมึงดู”

            คิมยกยิ้มมองหน้าเพื่อนอย่างผู้ชนะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพศไหนก็ตามแต่เขาจะทำให้ไอ้นั่นหลงเสน่ห์ให้ได้ และเกมนี้เขาจะต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️บทนำ l Up:30-07-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-07-2018 02:21:51
รอดู ๆ ใครเสร็จใคร  :katai3:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️บทนำ l Up:30-07-2018
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 31-07-2018 06:56:51
คิม... สู้โว้ย
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.1 แรกเจอ l Up:31-07-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 31-07-2018 19:02:47
-๑-

แรกเจอ



             สองหนุ่มหล่อหัวเกรียน กำลังเร่งฝีเท้าเดินไปยังห้องซ้อมดนตรีของวิทยาลัย ซึ่งอยู่ชั้นห้าของอาคารเรียนสาม เพื่อไปรายงานตัวกับรุ่นพี่สมาชิกวงดนตรีของวิทยาลัยเป็นวันแรก หลังจากโดนทาบทามเมื่อวันงานประกวดเดือนวิทยาลัย

            ‘เลิฟ’ หนุ่มตี๋หน้าหล่อ ผิวขาวดังหยวกกล้วย ตัดผมทรงสกินเฮดรับกับคิ้วที่ดกดำ ทำให้มีออร่าโดดเด่นกว่านักศึกษาทั่วไป ด้วยรูปร่างหน้าตาและความสามารถทางการร้องเพลง ก็ทำให้เขาเอาชนะใจกรรมการบนเวทีประกวดเดือนได้ไม่ยาก แถมยังได้รับโอกาสมาเป็นนักร้องนำให้กับวงดนตรีของทางวิทยาลัยอีกด้วย

            ‘โด้’ หนุ่มหล่อคมเข้ม ตามฉบับหนุ่มไทย มีนิสัยร่าเริง เข้ากับคนง่าย และชอบเล่นกีตาร์เป็นชีวิตจิตใจ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของมือกีตาร์คนก่อนที่เพิ่งจะจบการศึกษาออกไป จึงกลายมาเป็นเด็กเส้นที่ถูกฝากตัวให้เข้ามาร่วมวงด้วยอีกคนในฐานะมือกีตาร์

            “มึงว่ารุ่นพี่จะโหดไหมวะ กูใจสั่นๆ ยังไงก็ไม่รู้” เมื่อใกล้ถึงหน้าห้องดนตรีแล้ว เลิฟก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นพิกล

            “ไม่หรอกพี่กูบอกว่าพี่ๆ วงนี้แม่งใจดีเป็นกันเองสุดๆ” โด้ตอบ

            “โค่ยโล่งใจหน่อย กูลืมไปว่ามึงเป็นทายาทมือกีตาร์คนก่อน ฮ่าๆ”

            “กูต้องไปโชว์ฝีมือให้รุ่นพี่ดูก่อน จะได้ไม่มีข้อกังขาว่ากูเป็นเด็กเส้น”

            “มึงเก่งขนาดนี้ใครจะกล้าว่ามึงวะ”

            “มันก็ต้องมีบ้างล่ะน่าคนที่ไม่ชอบ มึงอย่าโลกสวยไปหน่อยเลยไอ้เลิฟ มึงเองก็ระวังตัวเองไว้บ้างเหอะ ตอนนี้สาวๆ ในโรงเรียนละแวกนี้กำลังตามตัวมึงให้วุ่นเลย มันอาจจะมีพวกผู้ชายในวิทลัยเราหมั่นไส้มึงก็ได้”

            “ก็แหงล่ะคนมันหล่อเนอะ คนอื่นย่อมอิจฉาเป็นธรรมดา” เลิฟเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นเลย

            “เออมึงมันหล่อ ระวังความหล่อของมึงจะทำร้ายตัวเองละกัน”

            “ไม่มีทางเว้ย” เลิฟตอบกลับอย่างมั่นใจ ความหล่อมันมีแต่ประโยชน์ เขามองไม่เห็นเลยว่ามันจะมีโทษตรงไหน

            เมื่อเดินมาถึงที่หมายแล้ว เลิฟก็เคาะประตูกระจกที่สามารถมองเห็นภายในห้องได้อย่างชัดเจน ข้างในนั้นมีรุ่นพี่สามคนกำลังรออยู่ก่อนแล้ว

            “สวัสดีครับพี่” เปิดประตูเข้าไปแล้วเลิฟก็ยกมือไหว้

            “สวัสดีครับพี่” โด้ก็ยกมือไหว้ตาม

            “ดีเว้ย มานั่งคุยทำความรู้จักกันก่อน แล้วค่อยโซโล่กัน” ‘แจ๊บ’ มือเบสประจำวง พ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าวง เอ่ยทักทายรุ่นน้อง

            “ครับพี่” เลิฟตอบ

            “พวกมึงแนะนำตัวให้พวกกูรู้จักอย่างเป็นทางการกันหน่อยดิวะ” ‘เอ็ม’ มือคีย์บอร์ดประจำวงเอ่ย

            “ผมชื่อเลิฟครับ เรียนเอกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ”

            “ผมชื่อโด้ครับ เรียนเอกคอมพิวเตอร์ธุรกิจเหมือนกัน”

            เมื่อรุ่นน้องแนะตัวกันเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวรุ่นพี่บ้าง

            “กูชื่อแจ๊บ เอกยานยนต์ปีสาม มือเบสและเป็นหัวหน้าวงด้วย

            “กูชื่ออู๋ เอกช่างไฟฟ้าปีสาม มือกลอง”

            “กูชื่อเอ็ม เอกสถาปัตยกรรมปีสอง มือคีย์บอร์ด”

            เมื่อแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็นั่งจับเข่าพูดคุยสร้างความคุ้นเคยกัน เรียนรู้นิสัยใจคอ ละลายพฤติกรรม เพื่อจะได้ทำงานร่วมกันเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            หลังจากนั่งจับเข่าพูดคุยกันจนคุ้นเคยในระดับหนึ่งแล้ว แต่ละคนก็เข้าไปยืนประจำจุดแล้ววอร์มอัพเครื่องดนตรีประจำตัว เพื่อจะได้เริ่มฟอร์มทีมกันเป็นครั้งแรกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

            “เต็มที่เลยนะพวกมึง อย่าทำให้พวกกูผิดหวัง ที่ตัดสินใจเอาพวกมึงเข้ามาร่วมทีม” แจ๊บยักคิ้วให้รุ่นน้อง สมาชิกใหม่ในวง

            “ครับพี่” รุ่นน้องทั้งสองคนตอบรับพร้อมกับ

            เลิฟจับไมโครโฟนขึ้นมาถือไว้แล้วเทสเสียงจนมั่นใจ ก่อนจะพยักหน้าให้กับทุกคนสื่อว่าพร้อมแล้ว จากนั้นเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก็ถูกบรรเลงจากสมาชิกในวง ประสานเสียงกันจนเกิดเป็นทำนองดนตรี เพลงที่ใครต่างก็ต้องร้องตามได้

            “ขอให้เธอรับฟังได้ไหม หากปล่อยทิ้งไว้นานไป มันก็ไม่ดีกว่านี้ เธออย่าห้ามฉันเลยได้ไหม ปล่อยให้ฉันนั้นเป็นไป หยุดรักเธอไม่ได้แล้ว เข้าใจทุกอย่างที่เธอบอกนะ เข้าใจทุกสิ่งที่เธอกำลังจะอธิบาย เข้าใจเสมอ แต่จะให้ฉันให้ฉันทำอย่างไร ฉันรักเธอแล้วทั้งใจ จะไม่ให้รักไม่ให้รักได้อย่างไร ฉันฝืนตัวเองไม่เป็น ไม่ได้อยากจะกวนใจ อยากถามเธอสักคำหน่อย หากว่าเธอรักใครสักคน เธอฝืนใจได้หรือเปล่า........”

            เลิฟตั้งใจเต็มที่เพื่อโชว์สกิลการร้องให้รุ่นพี่ได้ประทับใจ เขารู้สึกเหมือนได้ร้องเพลงอยู่ในบ้านตัวเอง ไม่ได้ตื่นเต้นหรือเกร็งอะไรเลยสักนิด นั่นทำให้ทุกอย่างออกมาดีอย่างที่ตั้งใจไว้

            เมื่อการฟอร์มทีมกันครั้งแรกจบลงด้วยดีแล้ว ทุกคนต่างก็ปรบมือเสียงดังให้กับความลงตัว ราวกับเคยร่วมงานกันมานานนับปีซะอย่างนั้น

            “พวกมึงสุดยอดเลยว่ะ ครั้งแรกก็ทำให้พวกกูประทับใจได้ แทบไม่ต้องปรับจูนอะไรเลย วงบางกอกบอยแบนด์ ยินดีต้อนรับพวกมึงอย่างเป็นทางการเว่ย” แจ๊บยกนิ้วให้กับรุ่นน้องสมาชิกใหม่ทั้งสองคน

            “ขอบคุณครับพี่” เลิฟกับเพื่อนยกมือไหว้รุ่นพี่ เพื่อเป็นการขอบคุณอีกครั้ง

            “อย่างนี้ออกรับงานได้แล้วมั้งเนี่ย” อู๋พยักหน้ายอมรับกับความสามารถของรุ่นน้อง

            “ขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่ ฮ่า” เลิฟขำปนดีใจที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากรุ่นพี่ พร้อมทั้งป๊ะมือกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกัน เพื่อฉลองให้กับความสำเร็จในครั้งนี้

            “กูพูดจริงๆ พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วไปนั่งชิวกันป่ะละ ที่ร้านพี่ชายกูเอง “ อู๋พูดต่อ

            “เอาดิ ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับพวกมึงสองคนด้วย” เอ็มว่า

            “ถ้าติดธุระยังไงก็บอกได้ เอาไว้ว่างพร้อมกันค่อยไป” แจ๊บบอกกับรุ่นน้อง

            “ได้ครับพี่ไม่มีปัญหา” โด้บอก

            “ผมก็ไม่มีปัญหา แต่คงกลับดึกไม่ได้นะครับ เพราะต้องไปช่วยแม่ปิดร้าน”

            “แม่มึงเปิดร้านขายอะไรวะ เผื่อวันหลังพวกกูไปช่วยอุดหนุน” เอ็มว่า

            “แม่ผมเปิดร้านขายเครื่องดื่มและเบเกอร์รี่เล็กๆ แถวโรงเรียนนี่ล่ะครับ” เลิฟบอก

            “ถ้างั้นดีเลย วันหลังเดี๋ยวยกโขยงไปทั้งกลุ่มนี่ล่ะ” แจ๊บบอกกับทุกคน เขาเป็นหัวหน้าวงที่มีความเป็นผู้ใหญ่ คอยดูแลสมาชิกในวงเป็นอย่างดี รักพวกพ้องยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

            “ยินดีครับพี่ เดี๋ยวกลับบ้านวันนี้ผมจะไปบอกกับแม่ให้”

            “ลูกชายเจ้าของร้านทั้งหล่อทั้งเสียงดีอย่างนี้ ลูกค้าคงจะมีแต่สาวๆ อ่ะดิ” อู่แซวขำๆ

            “ก็นิดนึงครับพี่ มันต้องมีบ้างล่ะก็คนมันหล่อขนาดนี้” เลิฟยิ้มรับคำชมนั้นอย่างไม่ถอมตัวเลยสักนิด

            “น้องกูแม่งไม่ค่อยจะถ่อมตัวเลยเว้ย” ดูจากท่าทางแล้วไอ้ตี๋คงจะกะล่อนใช่ย่อย แจ๊บคิดในใจ

            “ฮ่าๆๆ เป็นนักร้องนำมันก็ต้องมั่นหน้าครับพี่ มันจะได้ชินเวลาขึ้นเวที” เลิฟอ้างเหตุผล

            “พูดดี..เดี๋ยววันหลังพี่จะพาไปหม้อสาว” แจ๊บว่า

            “โอเคเลยครับพี่” โด้รีบตอบรับโดยเร็ว ราวกับว่าคิดเรื่องนี้อยู่ในหัวตลอดเวลา

            “มึงเร็วกว่าใครเลยนะไอ้โด้ มาวันแรกก็ทำให้กูก็จับไต๋ได้แล้ว” เอ็มเหลือบตามองรุ่นน้องพร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน

            “มันก็ต้องมีบ้างครับพี่เรื่องสาว” โด้ยอมรับกลายๆ

            “เออ...ว่าแต่พวกมึงมีแฟนกันยังวะ” แจ๊บถามต่อ

            “ยังไม่มีครับ ผมยังไม่อยากมีพันธะ” เลิฟตอบตามความจริง

            “ส่วนผมก็กำลังคุยๆ แต่ยังไม่เรียกแฟนครับ” โด้เอ่ยหลังจากนั้น       

            “ดีแล้วไอ้เลิฟ นักร้องนำอย่างมึงต่อไปสาวจะเข้ามาหาเยอะ ถ้ามีแฟนคงปวดกบาลแน่ เอาไว้ให้โตกว่านี้ค่อยมีละกัน ส่วนมึงไอ้โด้ถ้าจะคบกันจริงๆ อย่าเปิดตัวล่ะเดี๋ยวแม่งสาวๆ จะคอยตามรังควานแฟนมึงไม่เลิก ที่กูบอกเพราะรุ่นพี่นักร้องนำคนก่อน แม่งต้องเลิกกับแฟนก็เพราะแฟนคลับไปตามรังควานนี่ล่ะ จนแฟนพี่เขาทนไม่ได้บอกเลิกไป กูไม่อยากให้พวกมึงต้องเจอแบบนั้นอีก คงเข้าใจนะ” แจ๊บแนะนำรุ่นน้องเอาไว้ เพราะในอนาคตอันใกล้ ทั้งสองจะมีแฟนคลับมากขึ้น และนั่นก็จะทำให้ชีวิตที่เคยสงบสุขกลับต้องวุ่นวายไม่ใช่เล่น

            “ครับพี่” ทั้งสองตอบรับ

            “ก่อนจะแยกย้ายกัน กูจะบอกวันเวลาที่จะต้องมาซ้อม ทุกวันพุธและวันศุกร์หลังเลิกเรียนมาเจอกันที่ห้องนี้ โอเคนะ” หัวหน้าวงเอ่ย

            “ครับพี่แจ๊บ” เลิฟตอบรับ ส่วนโด้พยักหน้ารับ

            “ถ้างั้นทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านได้”

            แยกกับรุ่นพี่ทั้งสามคนแล้ว เลิฟกับโด้ก็เดินลงมาที่หน้าตึกเพื่อเดินทางกลับบ้าน ตอนนี้เลยเวลาเลิกเรียนมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ทำให้บริเวณอาคารเรียนแทบไม่มีนักศึกษาเลย

            เนื่องจากบ้านและวิทยาลัยห่างกันไม่มากนัก ทำให้เลิฟเลือกที่จะปั่นจักรยานเดินทางมา แทนที่จะเดินหรือนั่งรถสาธารณะ ส่วนโด้นั้นบ้านอยู่ค่อนข้างไกลจึงเดินทางโดยรถมอเตอร์ไซต์คู่ใจ

            “พรุ่งนี้เจอกันเว้ย” เมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งอยู่บนรถตัวเองแล้ว โด้ก็เอ่ยลาเพื่อน

            “โอเคมึง ขับรถดีๆ ล่ะ อย่าไปทำให้เสาไฟฟ้าของหลวงหักนะเว้ย” เลิฟเอ่ยแซวเพื่อน

            “ไอ้สาดดด มึงห่วงหรือแช่งกันกูแน่วะ” โด้ชูกำปั้นให้เพื่อนรัก

            “กูล้อเล่น รีบไปเหอะเดี๋ยวก็มืดหรอก”

            “เออๆ”

            เมื่อเพื่อนขับรถล่วงหน้าออกไปก่อนแล้ว เลิฟก็ใส่สมอลทอล์คแล้วเปิดเพลงในมือถือฟังไปด้วย ก่อนจะปั่นจักรยานออกจากตัวอาคารตรงไปยังหน้ารั้ววิทยาลัย

             อีกไม่ถึงร้อยเมตรก็จะพ้นรั้ววิทยาลัยแล้ว แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อมีหนุ่มร่างสูงรุ่นพี่ร่วมสถาบัน เดินข้ามถนนตัดหน้าจนทำให้เลิฟต้องเลี้ยวรถหนีกะทันหัน จนเสียหลักล้มลงสนามหญ้าข้างถนนคอนกรีต

            “โอ๊ย! แม่งอยากตายรึไงมาเดินตัดหน้ารถ” เลิฟทำหน้าเหยเกตะโกนเสียงดัง ปลายศอกกระแทกกับพื้นจนถลอกมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย แต่มันกลับเจ็บแสบซะเหลือเกิน

            “มึงว่าใครวะ ไอ้หน้าอ่อนกูรุ่นพี่มึงนะเว้ย” คนที่เป็นต้นเหตุให้เลิฟต้องมานอนกองอยู่กับพื้น ตอนนี้ยื่นมือมาเพื่อช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้น

            “โทษทีผมไม่ได้ตั้งใจ ก็พี่ผิดจริงๆ นี่นา” เมื่อรู้ว่าเป็นรุ่นพี่เลิฟก็ยอมขอโทษแต่โดยดี

            “ลุกขึ้นเร็วเดี๋ยวกูช่วย เพื่อเป็นการไถ่โทษ” คิมยังคงยื่นมารอให้อีกฝ่ายจับ

            “ขอบคุณครับ” เลิฟยื่นมือไปจับ จากนั้นคิมก็ดึงตัวให้ลุกขึ้นยืนแต่ “โอ๊ย!” ตอนนี้ไม่ใช่แค่ศอกเท่านั้นที่มีแผล แต่ขายังแพลงอีกต่างหาก ก่อนจะล้มลงไปกองอยู่บนพื้นอีกครั้ง เลิฟจึงยื่นมือไปคล้องคออีกฝ่ายไว้ พวงแก้มของคนทั้งสองสัมผัสกัน จนได้กลิ่นกายที่หอมเป็นเอกลักษณ์ของกันและกัน

            คิมทำหน้าเหวอนิดหน่อย เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกผู้ชายยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างนี้

            “มึงไหวปป่ะเนี่ย” คิมขมวดคิ้วมองดูท่าทีอีกฝ่าย เขาตั้งใจแค่จะทำให้ล้ม แล้วทำความรู้จักเพื่อให้เป็นไปตามแผนเท่านั้นเอง ไม่คิดว่ารุ่นน้องจะอาการหนักขนาดนี้

            “ขาผมแพลงอ่ะพี่ คงปั่นจักรยานไม่ไหวแน่” เลิฟเอ่ยกับรุ่นพี่ ก่อนจะเผลอบ่นเบาๆ กับตัวเอง “ไม่น่าเจอเลยซวยโคตร”

            “มึงว่าอะไรนะ” คิวจ้องหน้าจับผิด รู้สึกได้ว่ากำลังโดนอีกฝ่ายนินทาในระยะเผาขน

            “เปล่าครับพี่ ไม่มีอะไร”

            “แล้วนี่มึงจะกลับยังไง”

            “ก็คงต้องฝืนเดินไปอ่ะ ทำไงได้” เลิฟตอบด้วยสีหน้าเซ็ง

            “บ้านมึงอยู่ไหนเดี๋ยวกูปั่นจักรยานไปส่ง” ในเมื่อแป็นไปตามแผนแล้ว ถ้าได้รู้จักบ้านด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ได้มากกว่าที่คิดแฮะ คิมคิดในใจ

            “ไม่เป็นไรพี่ผมไปเองได้น่า แค่นี้จิ๊บๆ” เลิฟยังคงปากเก่งแม้ว่าจะปวดหนึบๆ ที่ขาอยู่ก็ตาม

            “ไม่เป็นไรกูจะไปส่งมึงเอง ถือว่าเป็นการรับผิดชอบที่ทำให้มึงเป็นอย่างนี้ก็แล้วกัน”

            “โอเคๆ ก็ได้ ผมสงสารพี่นะเนี่ย ไม่งั้นผมไม่ยอมเด็ดขาด”

            “สงสารกู!” คิมชี้หน้าตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้เด็กคนนี้จะต้องมาสงสารเขาด้วย ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย

            “ใช่ไง...ก็พี่ทำหน้าสำนึกผิดซะอย่างนั้น ผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ ฮ่าๆ” เลิฟหลุดขำออกมา   

            “หน้ากูมันน่าขำมากนักเหรอวะ” คิมกระแทกเสียงใส่ จนอีกฝ่ายต้องหุบยิ้มทันทีที่เห็นใบหน้างองุ้มนั่น

            “ปะ...เปล่าครับพี่ ไปกันเถอะเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน สีหน้าพี่ทำเหมือนต้องรีบกลับไปช่วยแม่ล้างจานซะอย่างนั้น” เลิฟว่าพร้อมกับพยายามดึงรถจักรยานที่นอนแอ้งแม้งขึ้นมา

            “มึงนี่ก็กวนตีนไม่เบาเลยนะ ไม่เหมือนตอนที่ประกวดอยู่บนเวทีเลยสักนิด” คิมพยายามข่มอารมณ์โมโหเอาไว้ ถ้าไม่ติดว่าจะทำให้อีกฝ่ายหลงเสน่ห์เขาคงจะซัดหมัดเข้าหน้าไปแล้ว

            “ผมดังไม่เบาเลยนะเนี่ย ขนาดไม่เคยเห็นหน้าพี่มาก่อนพี่ยังรู้จักผมเลย”

            “อย่าพูดมากขึ้นรถมาแล้วบอกทางกูด้วย ยังไม่ตอบเลยว่าบ้านมึงอยู่ไหน” ตอนนี้คิมนั่งอยู่บนรถจักรยานเตรียมพร้อมออกเดินทางแล้ว

            “บ้านผมอยู่ไม่ไกลหรอกครับ เดี๋ยวบอกทางขับไปเรื่อยๆ โชคดีนะที่เป็นพี่ ถ้าเป็นคนอื่นจะยอมขับรถไปส่งผมอย่างนี้รึเปล่าก็ไม่รู้ แม้ว่าพี่จะเป็นคนผิดก็ตาม” ตอนนี้เลิฟนั่งซ้อนท้ายเรียบร้อยแล้ว

            “ดูเหมือนจะดีนะถ้าไม่มีประโยคท้าย” ปากว่าขาก็เริ่มปั่นจักรยานออกไปนอกรั้ววิทยาลัย

            ภาพที่หนุ่มนักศึกษาช่างสุดหล่อสองคนกำลังนั่งจักรยานซ้อนท้ายกัน ทำให้หญิงสาวที่เดินอยู่ริมทางต่างก็มองตามตาเป็นมัน โมเมนต์นี้แทบไม่อยากละสายตาเลย เพราะออร่าความหล่อของทั้งสองคนนั้นถือว่าอยู่ในระดับท็อปของย่านนี้แล้ว

            “พี่ผมกอดเอวพี่ได้ป่ะ ผมกลัวตก” เลิฟถามอย่างไม่ได้คิดอะไร ปกติเขาไม่ได้มานั่งซ้อนท้ายอย่างนี้มันรู้สึกไม่ชิน

            “จะกอดก็กอดสิวะจะมาถามเหี้ยอะไรนักหนา” คิมเริ่มมองว่าไม่ง่ายซะแล้วที่จะมาคลุกคลีกับไอ้เด็กคนนี้ตั้งหนึ่งเดือน เขาคงอกแตกต่ายก่อนจะทำแผนการสำเร็จแน่นอน

            “ผมก็กลัวว่าแฟนพี่จะมาเห็นแล้วเข้าใจผิดอ่ะ”

            “กูยังไม่มีแฟนเว้ย”

            “โอเคอย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อย ผมจะได้กอดอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก” ว่าแล้วก็แกล้งกอดเอวซะแน่น มือก็ลูบไล้ที่หน้าท้องเพื่อสำรวจว่าอีกฝ่ายมีซิกแพคหรือไม่ เลิฟไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คนที่คิดมากกลับเป็นคิม เจ้าตัวเบิกตากว้างรู้สึกขนลุกชัน

            “ให้กอดไม่ใช่ให้ลูบเว้ย”

            “โทษทีครับ ผมแค่อยากรู้ว่าพี่มีซิกแพครึเปล่า พอดีผมกำลังเข้าฟิตเนสแถวบ้านอยากมีแบบนี้บ้าง”

            “กูก็นึกว่ามึงอดใจไม่ไหวซะอีก” คนปั่นจักรยานยกยิ้ม เพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายเริ่มมีเค้าลางของความไม่แมนแน่แล้ว ผู้ชายแมนๆ ที่ไหนจะมาทำอย่างนี้ เว้นแต่ว่าจะชอบไม้ป่าเดียวกัน ความมั่นใจที่คิดว่าเลิฟเป็นเกย์ยังคงมีเต็มร้อยเหมือนเดิม

            “อดใจเรื่องอะไรครับ” เลิฟขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยปากถาม

            “เปล่าๆ ไม่มีอะไร เห็นว่ามึงอยากมีซิกแพ็คไง เลยนึกว่าอดใจไม่ได้คงอยากจะมีแบบกูบ้างเร็วๆ” คิมตอบ

            “อ๋อ..พี่ๆ เลี้ยวซ้ายแยกหน้าก็ถึงแล้ว”

            “โอเคจัดไป”

             คิมเลี้ยวซ้ายตามที่อีกฝ่ายบอก มาถึงก็เจอกับอาคารพาณิชย์สามชั้นหลายคูหา ซึ่งบ้านของเลิฟชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายเครื่องดื่มและเบเกอร์รี่ ส่วนชั้นสองและสามก็เป็นที่อยู่อาศัย

            “ขอบคุณนะครับพี่” เมื่อลงจากรถแล้วเลิฟก็ยกมือไหว้รุ่นพี่

            “ไม่เห็นไรเว้ย จริงๆ แล้วบ้านมึงก็ไม่ไกลจากบ้านกูนะเนี่ย เอางี้มะเดี๋ยววันหลังไปเข้าฟิตเนสกัน กูจะเทรนให้เอง” เมื่อรู้ว่าบ้านของเลิฟอยู่ไม่ไกลจากบ้านของตัวเอง คิมจึงใช้โอกาสนี้หาทางเข้าใกล้ให้ได้บ่อยที่สุด เพื่อให้แผนสำเร็จโดยเร็ว

            “ได้ครับพี่ แล้วพี่จะกลับยังไงให้ผมปั่นจักรยานไปส่งป่ะ” เลิฟยังไม่วายที่จะกวนอีกฝ่าย

            “กวนตีนนะมึง กูเห็นว่าเป็นรุ่นน้องร่วมสถาบันหรอกนะ ไม่งั้นมึงโดนกูสอยหมัดเข้าให้แล้ว” คิมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ทำไมมันถึงกวนตีนได้น่ารักอย่างนี้นะ

            “เอ้อ! ลืมไปเลย ...ว่าแต่พี่ชื่ออะไรอ่ะ ผมชื่อเลิฟนะครับ”

            “กูชื่อคิม เอกยานยนต์ปีสาม จำชื่อกูไว้ดีๆ เพราะนับจากวันนี้มึงจะต้องเจอกูบ่อยๆ แน่นอน” พูดแล้วก็ยักคิ้วให้

            “พี่พูดอย่างกับจะมาจีบผมเลยอ่ะ บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้ชายนะยะนะคร้าบบ” เลิฟกรีดกรายนิ้ว แสดงจริตจะกร้านล้ออีกฝ่าย

            “ปะ...เปล่านะเว้ย กูแมนทั้งแท่งมึงจะดูไหมล่ะ”

            “ไม่เป็นไรครับพี่เดี๋ยวได้อ้วกกันตรงนี้พอดี ผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะครับ”

            “เออๆ ไว้เจอกันที่วิทลัย” ทั้งสองโบกมือลากัน แล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปคนละทาง

            เมื่อคิมเดินไปได้สักระยะ เลิฟก็ตะโกนตามหลังไป

            “ พี่คิม”

            คิมหันขวับมามอง

            “อะไรอีกวะ”

            “หน้าปากซอยหมาดุนะพี่ระวังด้วย” ตะโกนออกไปแล้วก็ยิ้ม

            “ไอ้สัดกูก็นึกว่าอะไร” คิมบ่นพึมพำกับตัวเอง “เออ ขอบใจเว้ย” แต่นั่นคือประโยคที่ตอบกลับ

            คิมหันหน้ากลับคืนมาแล้วยิ้มน้อยๆ ให้กับความกวนตีนของไอ้ตี๋หน้าหล่อเดือนวิทยาลัย อีกไม่นานเขาจะกระชากหน้ากากมันออกมา ให้คนทั้งวิทยาลัยรู้ว่าภายใต้ความหล่อนั้นได้ซ่อนความไม่แมนเอาไว้อีกด้วย
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.1 แรกเจอ l Up:31-07-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-07-2018 19:14:41
เด๋วก็รู้ว่าใครเสร็จใคร  o18
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.2 สารถี l Up:01-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 01-08-2018 20:49:38
-๒-

สารถี



             “ผมไปล่ะนะแม่ สวัสดีครับ”

            “ระวังรถใหญ่ด้วยนะลูก” ‘พิมพ์พร’ บอกกับลูกชาย

            “ครับแม่ เอ้อ! ลืมบอกไปหลังเลิกเรียนรุ่นพี่จะพาไปเลี้ยงอาจจะกลับช้าหน่อยนะครับ”

            “ถ้างั้นก็อย่ากลับดึกมากนะลูก แม่เป็นห่วง”

            “ไม่ดึกแน่นอนครับ ไปจริงๆ ละนะ” เลิฟโบกมือให้มารดา แล้วปั่นจักรยานออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            แม้ใครจะบอกว่าเขาเป็นลูกแหง่ติดแม่ก็ไม่สนใจ เพราะทั้งชีวิตเขามีเพียงผู้หญิงคนนี้ที่คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด หลังจากพ่อได้ทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ ตั้งแต่เขามีอายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจ้าตัวยังไม่คิดจะมีแฟนจนถึงตอนนี้ เพราะอยากมอบความรักทั้งหมดให้กับผู้เป็นแม่ ผู้เป็นดั่งฮีโร่ของเขา



            เลิฟปั่นจักรยานกินลมเล่นมาไม่นานก็ถึงวิทยาลัย เมื่อจอดรถเอาไว้ที่โรงรถเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินตรงไปยังอาคารเรียน ตอนนี้ไอ้เพื่อนตัวดีคงจะรออยู่ข้างบนก่อนแล้ว ยิ่งวันนี้จะต้องไปปาร์ตี้กับรุ่นพี่ โด้คงจะตื่นเต้นอยู่มาก เพราะจะได้ไปเจอสาวบ้างอะไรบ้าง เพราะในวิทยาลัยแห่งนี้เดินไปทางไหนก็เจอแต่ตัวผู้ทั้งนั้น

            “เพิ่งมาถึงเหรอวะ” กำลังจะเดินขึ้นตึกก็ได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นหูดังมาจากข้างหลัง เมื่อหันไปมองก็เป็นอย่างที่เลิฟคิดในหัว เป็นคิมนั่นเองที่ยืนยิ้มอยู่

            “อ้าว!หวัดดีครับพี่ มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย” เลิฟยกมือไหว้

            “เปล่า...กูก็เดินเล่นไปเรื่อย บังเอิญมาเจอมึงพอดีอ่ะ แล้วเป็นไงบ้างขาหายดียัง”

            “ดีขึ้นแล้วครับ เมื่อคืนแม่เอายาวิเศษมานวดให้” เลิฟตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “สงสัยกูต้องไปขอยาวิเศษจากแม่มึงแล้วมั้งวันหลัง อะไรจะหายเร็วขนาดนี้”

             “เอาดิครับ ไปก็อย่าไปเปล่าประโยชน์นะ ไปอุดหนุนเค้กร้านแม่ผมด้วย” เลิฟไม่วายที่จะหาลูกค้าให้กับมารดาเพิ่ม

             “ไม่มีปัญหาให้กูเหมาทั้งร้านเลยก็ยังได้” คนพูดยักคิ้วให้

             “พูดแล้วห้ามคืนคำนะพี่ ช่วงนี้เปิดร้านใหม่กำลังอยากได้ออเดอร์เยอะๆ พอดีเลย”

             “เอ่อ...เย็นนี้มึงจะไปฟิตเนสป่ะ กูว่างพอดี” อยู่ๆ คิมก็เปลี่ยนเรื่อง ที่มาวันนี้ก็เพราะตั้งใจจะมาชวนไปฟิตเนสนี่ล่ะ

            “ว้าแย่จัง เย็นนี้ผมมีนัดแล้วอ่ะดิ โทษทีนะพี่เอาไว้วันหลังละกัน”

            “มีนัดกับใครวะ” หรือว่าไอ้เด็กนี่จะมีแฟนแล้ว

            “อ๋อ รุ่นพี่ในวงจะพาไปเลี้ยงอ่ะครับ พี่ถามทำไม จะไปกับพวกผมด้วยเหรอ” เลิฟถามเล่นๆ

            “ไว้เจอกันที่ร้าน” คิมยักคิ้วให้อีกฝ่าย พร้อมกับยกยิ้มมุมปาก

            “เฮ้ย! ผมพูดเล่นนะพี่ เอาจริงดิ” เลิฟทำหน้าตกใจ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตอบรับเร็วอย่างนี้ แทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย ทำให้ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าการเจอกันกับอีกฝ่าย มันช่างเป็นเรื่องไม่ปกติซะแล้วสิ

            “ก็เออดิวะ กูรู้จักหัวหน้าวงมึงดี ไอ้แจ๊บมันเรียกเอกเดียวกะกู แล้วเจอกันตอนเย็นเว้ย” คิมบอกแล้วเดินหันหลังกลับไป

            “เดี๋ยวก่อนพี่”

            “ว่าไงวะ” คิมหันกลับมา เลิกคิ้ว มองหน้าเหมือนมีคำถาม

            “เอ่อ...แล้วเจอกันครับ” ว่าจะถามแต่ทำไมปากมันหนักอย่างนี้นะ เลิฟได้แต่บ่นในใจ เอาไว้ให้มั่นใจกว่านี้ค่อยถามก็แล้วกัน

            “แล้วเจอกัน” คิมยกยิ้มแล้วเดินจากไป

            เลิฟยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อย่างนั้น ทำไมเขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เหมือนกำลังเล่นละคร ราวกับเข้ามาเพื่อต้องการอะไรบางอย่างจากเขา

*-*-*-*-*-*-*

            เมื่อเสียงออดในคาบเรียนสุดท้ายดังขึ้น สองหนุ่มเพื่อนซี้ก็รีบเก็บกระเป๋าแล้วลงไปรอรุ่นพี่ที่โรงรถ เพื่อจะได้ออกเดินทางไปพร้อมกัน เลิฟต้องนั่งมอเตอร์ไซต์ไปกับโด้ ทิ้งจักรยานเอาไว้ที่โรงเรียน นั่นเพราะร้านของพี่ชายอู๋อยู่ไกลมากพอสมควร ทำให้การเดินทางโดยจักรยานไม่ค่อยสะดวก

            รถมอเตอร์ไซต์สี่คันขับเป็นกลุ่มไปตามท้องถนน แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับผู้ขับขี่คนอื่นๆ ยังคงรักษากฎระเบียบบนท้องถนนอย่างเคร่งครัด ขับรถมาได้สักพักก็ถึงที่หมาย ร้านนั่งชิลล์แบบเอาท์ดอร์ ที่มีชื่อร้านว่า ‘I AM CHLL’ เปิดอยู่ริมถนนสายหลักบรรยากาศค่อนข้างดี เมื่อจอดรถแล้วทั้งห้าคนก็เดินตรงเข้าไปจับจองที่นั่ง

            “พวกมึงนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวกูไปหาเฮียแป๊บนึง” อู๋บอกกับทุกคน

            “พาเฮียมาต้อนรับพวกกูด้วยนะเว้ย” แจ๊บบอก ทั้งสามคนสนิทสนมกับพี่ชายของอู๋เป็นอย่างดี เพราะมาช่วยเล่นดนตรีอยู่บ่อนครั้ง

            “เออ...เดี๋ยวจะกูพาเฮียมากราบตีนพวกมึงทุกคนเอง” อู๋กวนตีนเพื่อนกลับ แล้วเดินเข้าไปในร้าน

            หลังจากอู๋เดินไปแล้ว พนักงานสาวสวยประจำร้าน แต่งตัววับๆ แวมๆ เดินถือเมนูเข้ามารับออเดอร์ทันที เธอชื่อ ‘โบว์’ เป็นสาวเสิร์ฟดาวเด่นของที่นี่

            “สวัสดีค่ะน้องๆ รับอะไรดีคะ” หญิงสาวพูดจีบปากจีบคอ ทำหน้าแป้นแล้น พร้อมทั้งยื่นเมนูให้กับหนุ่มๆ หน้าอกหน้าใจที่เอ่อล้นออกมาจากเสื้อรัดรูปสีดำนั้น ทำเอาสายตาทั้งสี่คู่แทบไม่มองเมนูเลยสักนิด

            “รับนมได้ไหมครับพี่” โด้เอ่ยแซว สายตายังคงจับจ้องที่เนินอกของเจ้าหล่อนอย่างไม่วางตา

            “มึงหุบปากเลยไอ้โด้นมพี่โบว์ของกูเว้ย ใช่ไหมครับพี่” เอ็มเอ็ดรุ่นน้อง แล้วหันไปยิ้มให้โบว์

            “พวกเธอรีบๆ สั่งเลยย่ะฉันจะคุยกับน้องคนนี้” โบว์เมินทั้งสามคน แล้วหันไปจ้องหนุ่มน้อยที่มีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ส่งสายตากรุ้มกริ่มให้

            “ผมเหรอครับ” เลิฟทำหน้าเหลอหลาแล้วชี้เข้าที่ตัวเอง ไม่นึกว่าหญิงสาวจะมาสนใจเขาซะงั้น

            “ใช่สิจ๊ะ เราชื่ออะไรล่ะ”

            “ผมชื่อเลิฟครับ เป็นรุ่นน้องพวกพี่แจ๊บครับ” เลิฟยิ้มให้หญิงสาว พร้อมยักคิ้วหลิ่วตาให้

            “แล้วทำไมพี่ไม่ถามผมมั่งอ่ะ” โด้ทำหน้างองุ้มเมื่อไม่ได้รับความสนใจเท่าเพื่อน

            “ฉันไม่ต้องการรู้ย่ะ รีบสั่งไปเลยพวกเธอ ฉันจะคุยกับน้องเลิฟ” โบว์สะบัดบ๊อบใส่ทั้งสามคน แล้วหันมายิ้มให้เลิฟอีกครั้ง

            “โด่ววว ไม่ยุติธรรมเลยมาด้วยกันแท้ๆ” โด้บ่น

            “บอกแล้วไงว่าคนหล่ออย่างกูไปที่ไหนสาวก็ติด” เลิฟพูดเยาะเย้ยเพื่อนแล้วหันไปยิ้มให้เจ้าหล่อนต่อ

            “เออ...ไอ้หล่ออย่าให้ถึงตากูบ้าง” ชี้หน้าเพื่อนคาดโทษเอาไว้

            ระหว่างนั้นแจ๊บก็กระซิบที่ข้างหูของเลิฟ เหมือนบอกอะไรบางอย่าง เลิฟเริ่มยิ้มเจื่อนแล้วมองหน้าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ

            “ไอ้แจ๊บพูดอะไรกับน้องจ๊ะ” โบว์มองแจ๊บตาขวาง

            “เปล่าพี่...ไม่มีอะไร ผมแค่บอกน้องมันว่าพี่โสด” แจ๊บยิ้มให้

            “ก็แล้วไป” เธอส่งสายตาดุไปให้อีกครั้ง แล้วเอ่ยกับเลิฟต่อ “พี่ขอเบอร์น้องเลิฟได้ไหมจ๊ะ เผื่อวันหลังเราจะได้นัดเที่ยวกันสองต่อสอง” เธอยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายเมมเบอร์โทรให้

            “ไม่มีปัญหาครับพี่ ถ้าจะโทรหาผมขอเป็นช่วงดึกๆ หน่อยนะครับ” เลิฟว่าพร้อมกดเบอร์โทรให้

            “โอเคจ๊ะพ่อหนุ่มน้อย” เธอยิ้มร่าเมื่อได้เบอร์โทรของคนที่หมายตาเอาไว้ตั้งแต่เดินเข้ามา

            “พวกเธอสั่งกันเสร็จรึยังเนี่ย เร็วๆ ลูกค้าโต๊ะอื่นเรียกฉันแล้วเนี่ย” เลิฟเปลี่ยนอารมณ์ตามเจ้าหล่อนแทบไม่ทัน

            “เสร็จแล้วคร้าบบ...นี่ครับพี่สาวสุดสวย” โด้ยื่นแผ่นเมนูให้ สายตาอยู่ในระดับหน้าอกพอดี ทำให้เจ้าตัวไอ้โอกาสแอบมองอยู่บ่อยๆ

            “รอสักครู่นะจ๊ะสุดหล่อ” ไม่ว่าเปล่าเจ้าหล่อนเอื้อมมือไปดึงแก้มของเลิฟด้วยความมันเขี้ยว ราวกับอยากจะเอาไปเก็บไว้ใช้ส่วนตัวซะอย่างนั้น ส่วนเลิฟก็ได้แต่ยิ้มเขิน

            หลังจากเดินโบว์เดินออกไปแล้ว เลิฟก็กระซิบที่ห้างหูแจ๊บทันที จากนั้นแจ๊บก็ปรายตามองหน้าโด้ แล้วยิ้มออกมาเหมือนพอใจมาก

            “พวกมึงสองคนมีลับลมคมในอะไรกันวะ” เอ็มเหลือบตามองคนทั้งสอง อย่างอยากรู้อยากเห็นด้วย

            “เปล่าไม่มีอะไร” แจ๊บตอบสายตาคมยังคงมองหน้าโด้ ขำออกมาไม่ยอมหยุด

            “พี่แจ๊บมองผมแล้วขำ หมายความว่าไงครับเนี่ย ผมงง” โด้เกาศีรษะทำหน้างง

            “ไม่มีอะไรกูก็ขำไปเรื่อยล่ะ”

            “พวกมึงสองคนต้องมีอะไรแน่ๆ บอกกูมั่งดิ” เอ็มว่า

            แจ๊บกระซิบที่ข้างหูเอ็มเพื่อบอกความจริง

            “อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ” เอ็มรู้เรื่องก็ขำออกมาอีกคน

            “สรุปทั้งโต๊ะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ป่ะ ไอ้เลิฟมึงบอกกูมา ว่าหน้ากูมีอะไรติดอยู่รึเปล่า ทำไมคนอื่นขำกันนักวะ” โด้ถามเพื่อน ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเอง

            “หน้ามึงปกติดีไม่มีอะไร” เลิฟตอบ

            “โด่ววว อย่าให้รู้นะไม่งั้นผมเทพวกพี่จริงๆ ด้วย”

            “เดี๋ยวคืนนี้มึงได้รู้แน่ กูรับรอง” แจ๊บบอก

            “ยิ่งพูดยิ่งงง อะไรกันวะเนี่ย” โด้อยากรู้มากเหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

            ในระหว่างนั้นอู๋ก็เดินมาพร้อมกับเจ้าของร้านสุดหล่อ เดินยิ้มเข้ามาหาทุกคนที่โต๊ะ

            “ว่าไงพวกมึงมากันครบทีมเลย”

            “สวัสดีครับเฮียอ่ำ” แจ๊บกล่าวทักทายพร้อมทั้งยกมือหว้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ยกมือขึ้นไหว้ตาม

            “ดีเว้ย เห็นบอกว่ามาเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ ไอ้สองตัวงนี้ใช่ป่ะ” อ่ำมองหน้าเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรก

            “ครับพี่” แจ๊บเอ่ย แล้วหันไปเอ่ยกับรุ่นน้อง “พวกมึงแนะนำตัวกับเฮียอ่ำดิวะ เฮียเป็นศิษย์เก่าวิทลัยเรา”

            “สวัสดีครับเฮียอ่ำ ผมเลิฟครับ”

            “สวัสดีครับเฮียอ่ำ ผมโด้ครับ”

            “หน่วยก้านดีนี่หว่า โดยเฉพาะไอ้หน้าอ่อนนี่ กูว่าสาวคงติดตรึมแน่นอน เอาไว้วันไหนว่างๆ มาเล่นที่ร้านกูพร้อมกับพวกไอ้แจ๊บก็ได้นะ” อ่ำบอกอย่างเป็นกันเอง

            “ขอบคุณครับเฮีย” เลิฟยิ้มให้

            “แล้วสั่งอาหารกันรึยัง”

            “สั่งกับพี่โบว์แล้วเฮีย” เอ็มบอก

            “มิน่าล่ะเห็นยิ้มหน้าระรื่นเชียว สงสัยติดใจไอ้เด็กใหม่สองคนนี้แน่นอน ใครกันวะที่เข้าตาไอ้โบว์” อ่ำมองหน้าเด็กใหม่ทั้งสองคน

            “ไอ้เลิฟเลยครับพี่ ผมอุตส่าห์แซวแต่พี่เขาไม่มองผมเลย แพ้มันอีกตามเคย” โด้ยังเสียดายไม่หาย

            “โชคดีของมึงแล้วที่เข้าตาไอ้โบว์ เตรียมตัวเสียน้ำเลยมึง ฮ่าๆ แต่ถนอมลูกน้องกูหน่อยละกัน ยังต้องใช้งานอีกเยอะ” อ่ำพูดติดตลก

            “ฮ่าๆๆ ผมจะพยายามครับพี่” เลิฟเอ่ยขำๆ

            “เดี๋ยวกูไปก่อนนะ เครื่องดื่มวันนี้กูเลี้ยงส่วนอาหารมึงจ่ายเอง เคนะ” อ่ำบอก   

            “แค่นี้ก็เป็นพระคุณแล้วครับเฮีย ขอบคุณคร้าบบ” แจ๊บเอ่ย ทั้งหมดยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกัน

            เลิฟนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้านี้คิมบอกว่าจะมาที่ร้านนี้ด้วย เจ้าตัวจึงมองไปรอบๆ ร้านเพื่อหารุ่นพี่ต่างสาขา อยากรู้ว่าจะมาอย่างที่พูดจริงๆ หรือเปล่า....แต่ก็ไม่เจอ

            “เอ่อ...พี่แจ๊บครับรู้จักพี่ที่ชื่อคิมรึเปล่าครับ”

            “อ้าว! รู้จักไอ้คิมด้วยเหรอ”

            “อ่อครับ เพิ่งรู้กันเมื่อวานนี่เอง วันนี้พี่เขาบอกว่าจะมาที่นี่ด้วยแต่ผมไม่ยักเห็น”

            “อ๋อ...มิน่าล่ะมันเข้ามาถามพี่เมื่อตอนเที่ยงนี่เอง เห็นว่าจะพาแก๊งมันมาด้วย แต่ไม่ยักเห็นอย่างที่มึงว่า”

            “ช่างเถอะพี่ผมก็ถามไปงั้นล่ะ”

            ไม่นานหลังจากนั้นอาหารและเครื่องดื่มก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ทั้งหน้าหนุ่มก็ยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นไปชนกันตรงกลางโต๊ะ เลี้ยงฉลองต้อนรับสมาชิกใหม่ของวงบางกอกบอยแบนด์อย่างเป็นทางการ จากนี้พวกเขาทั้งห้าคนจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ตลอดช่วงเวลาที่ได้ศึกษาอยู่ในสถาบันแห่งนี้

            หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มวัยรุ่นห้าคน สวมเสื้อช็อปสถาบันเดียวกันเดินมาจับจองที่โต๊ะข้างๆ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแก๊งช่างยนต์เซ็กซี่บอยนั่นเอง เมื่อเพื่อนคนอื่นจับจองที่นั่งกันแล้ว คิมก็เดินมาทักทายแจ๊บที่โต๊ะข้างกัน

            “เฮ้ย! ไอ้แจ๊บ”

            “อ้าว! ไอ้คิมมึงมาตั้งแต่ตอนไหนวะ นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

            “ไม่มาได้ไงวะ กูพูดแล้วไม่คืนคำเด็ดขาด” คิมเอ่ยกับแจ๊บแต่กลับปรายตามองนักร้องนำคนใหม่ของวง

            เลิฟยิ้มพยายามหาจังหวะทักทาย แต่คิมกลับพูดคุยทักทายกับคนอื่นในโต๊ะไม่หยุดปาก ราวกับไม่ได้เจอกันมานานนับปีซะอย่างนั้น จึงก้มหน้าตั้งใจทานอาหารต่อ

            “ดูท่าทางมึงจะหิวมากนะไอ้หน้าอ่อน” เมื่อคุยกับเพื่อนแล้ว คิมก็หันมาสนใจเป้าหมายทันที

            “นึกว่าจะไม่ทักผมซะแล้ว” เลิฟเงยหน้าขึ้นไปสนทนาด้วย

            “ไม่ทักได้ไงวะคนรู้จักกัน ว่าแต่วันนี้กลับบ้านยังไงวะ กูขับรถยนต์มากลับพร้อมกูป่ะละ ทางเดียวกัน” คิมเสนอตัว

            “ไม่เป็นไรครับพี่ผมให้ไอ้โด้ไปส่งก็ได้”

            “ถ้าบ้านพี่เขาอยู่ใกล้ มึงก็ให้พี่เขาไปส่งสิวะ บ้านกูกับบ้านมึงอยู่ทางเดียวกันซะที่ไหนไอ้ฟาย” โด้เอ่ย

            “อ้าวไอ้นี่ กูอุตส่าห์ไว้ใจมึง กลับผลักไสไล่ส่งกูซะงั้น” เลิฟยกมือขึ้นจะตบกบาลเพื่อน   

            “คนกันเองเนาะพี่ไปด้วยกันจะเป็นไรไป” โด้เอ่ยกับคิม

            “เออก็ได้ เอาเป็นว่าผมกลับกับพี่ละกัน ไอ้โด้มันจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”

            “ไอ้คิมมึงจะพาน้องกูกลับด้วย ขออนุญาตหัวหน้าวงพวกกูยังวะ” เอ็มเอ่ยหยอก

            “อ้าว! กูต้องขออนุญาตด้วยเหรอวะ ถ้างั้นเพื่อนแจ๊บครับ ขอให้ไอ้เลิฟน้องรักของพวกมึงกลับบ้านพร้อมกูด้วยนะครับ” คิมนวดไหล่ให้ราวกับต้องการเอาใจเพื่อน

            “โอเคว่ะ ดูแลนักร้องนำวงกูให้ดีล่ะ ถ้าน้องกูมีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียวกูเอามึงตายแน่” แจ๊บขู่เล่นๆ

            “คร้าบบคุณชาย ถ้างั้นผมขอตัวกลับไปที่โต๊ะก่อนนะครับ ไอ้พวกนั้นมันมองจนจะกินหัวผมแล้ว”

            ก่อนไปคิมก็ไม่วายที่จะมองหน้าเลิฟอีกครั้ง ยกยิ้มให้ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ

            “เป็นไงบ้างวะ” เมื่อเพื่อนนั่งลงที่โต๊ะอ๋องก็ยิงคำถามทันที

            “เรียบร้อย...ขากลับกูจะไปส่งน้องมันที่บ้าน” คิมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

            “เยดโด้ววว มึงเจ๋งว่ะ แต่...”

            “แต่อะไรวะไอ้เทอร์โบ” คิมขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อน

            “แต่ยิ่งดูใกล้ๆ กูยิ่งมั่นใจว่าน้องมันไม่ใช่เกย์ว่ะ”

            “กูก็คิดเหมือนมึงเด๊ะเลย” หินสนับสนุนอีกเสียง

            “กูว่ากูมองไม่ผิดแน่ แต่ถ้ามันจะไม่ใช่เกย์จริงๆ กูจะทำให้มันเป็นเอง ใครได้อยู่ใกล้กูแม่งต้องหลงทุกราย ไม่เชื่อคอยดู”

            “ไอ้ห่า ถ้าน้องมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ มันจะไปหลงเสน่ห์มึงได้ไง” โต้งว่า

            “ก็กูบอกว่าจะทำให้มันใช่ไงอยู่นี่ไง เชื่อมือกูเถอะ ยังไงซะกูก็ไม่มีทางแพ้พวกมึงหรอก”

            “เออๆ ไอ้คนชอบเอาชนะ กูจะคอยดูน้ำหน้ามึง” อ๋องทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นเพื่อนจ้องจะเอาชนะ จนลืมความเป็นจริงไปซะแล้ว

*-*-*-*-*-*-*

            เมื่อถึงเวลาอันสมควรทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ตอนนี้รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีขาวกำลังเคลื่อนล้อมาตามถนนสายหลัก มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของเลิฟ ตั้งแต่ออกมาจากร้านเลิฟก็เอาแต่ถามโน่นนี่นั่นไม่หยุดปาก ทำเอาคนขับถึงกับปากแห้งเลยทีเดียว

            “ตั้งแต่เกิดมาพี่เคยมีแฟนป่ะ ตอบตามความจริงนะผมจริงจัง” เลิฟเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายแมนเต็มร้อยหรือเปล่า เพราะเรื่องทั้งหมดมันช่างบังเอิญจนเกินไป สองวันมานี้เขาเจอกับรุ่นพี่คนนี้บ่อยมากๆ ราวว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะเข้ามาหาเขาซะอย่างนั้น ที่รู้เพราะเคยมีเก้งกวางเข้ามาหาเขาอยู่บ่อยครั้ง แถมมาแนวเดียวกันเป๊ะเลย

            “เคยมีสิวะ กูหล่อหุ่นดีขนาดนี้ไม่มีก็บ้าแล้ว”

            “แล้วแฟนพี่เอ่อ...เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะ อันนี้ผมก็จริงจัง”

            คิมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินคำถามนั่น ใช่แน่ๆ มันถามเพราะอยากรู้ว่าเขาจะชอบผู้ชายอย่างมันได้รึเปล่า คิมคิดในใจ

            “ก็ต้องผู้หญิงสิวะ โรงเรียนใกล้ๆ วิทลัยเรานี่เอง ฟันมาสามสี่คนแล้วเจ๋งป่ะละ” คิมยักคิ้ว ยกยิ้มอย่างภูมิใจ

            “ออ....โล่งอกไปที” เลิฟถอนหายใจแล้วพูดกับตัวเองเบาๆ

            “ทำไมต้องโล่งอกด้วยล่ะวะ”

            “เปล่าไม่มีอะไรพี่ ผมก็คิดว่าพี่เป็นเกย์ซะอีก”

            “ไอ้สาดด...มึงคิดได้ไงวะ มาดแมนอย่างกูนี่นะจะเป็นเกย์ มึงเอาสมองส่วนไหนคิดวะ” คนขับด่าไม่ยั้ง บังอาจมาว่าเขาเป็นเกย์งั้นเหรอ ไม่มีทางยอมแน่นอน มันน่ะสิเป็นเกย์

            “ขอโทษที่คิดอย่างนั้นนะพี่ ก็พี่ทำตัวให้ผมเข้าใจแบบนั้นนี่นา อยู่ๆ ก็หาเรื่องมาทำความรู้จักผม ผมดูออกนะ สารภาพมาดีๆ ว่าพี่ต้องการอะไรกันแน่” เลิฟถามออกไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

            “กูนี่นะหาเรื่องมาทำความรู้จักมึง หลงตัวเองว่ะ เรื่องทั้งหมดมันบังเอิญโว้ย วิทลัยเราก็มีคนแค่นี้มันก็ต้องเจอกันบ้างล่ะวะ มึงน่ะคิดมากไปเอง” คิมพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไอ้หน้าอ่อนนี่มันก็ฉลาดไม่เบาดูเขาออกด้วยแฮะ

            “คงงั้นมั้งพี่ ผมคงคิดมากไปเองอ่ะ เอาเป็นว่าลืมที่ผมพูดไปก็แล้วกันนะ จะได้สบายใจ”

            “กูไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว สบายใจได้” คิมยิ้มให้

            “เห็นอย่างนี้ผมค่อยโล่งใจหน่อย ผมเคยโดนพวกตุ๊ดในโรงเรียนเก่าลวนลามอ่ะพี่ เลยขยาดมาจนถึงตอนนี้ คิดแล้วก็ขนลุก” พูดไปก็ลูบแขนตัวเองไปด้วย

            “เก่งนะมึงอ่ะ”

            “เก่งอะไรพี่” เลิฟทำหน้างงมองรุ่นพี่

            “เก่งที่เอาตัวรอดจากพวกนั้นมาได้ไง” คิมยกยิ้ม

             แต่สิ่งที่คิดในใจก็คือ ‘มึงเก่งที่เล่นละครตบตาคนอื่นได้ แต่สำหรับกูคงยากหน่อยนะ หึๆ”
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.3 พิสูจน์ l Up:2-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 02-08-2018 20:03:13
-๓-

พิสูจน์



            คงไม่มีใครในย่านนี้จะไม่รู้จัก ‘ร้านทองลิ้มเจริญ”  ร้านทองขนาดใหญ่ที่ลูกค้าต่างก็ให้เข้าความไว้วางใจ บ้างก็มาซื้อ บ้างก็มาขาย บ้างก็มาจำนำ ทำให้แต่ละวันมีความคึกคักอยู่ตลอดเวลา

           ‘ก้องเกียรติ’ และ ‘วิภาวี’ ผู้เป็นเจ้าของ เป็นคนที่ชาวบ้านแถวนี้ต่างก็นับหน้าถือตา นั่นเพราะทั้งสองเป็นคนใจบุญชอบช่วยเหลือชาวบ้านอยู่เป็นประจำ และทั้งสองก็คือพ่อแม่ของคิมนั่นเอง

            ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังเคลียร์งานส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิมก็จะมาช่วยพ่อกับแม่ที่ร้านทองอยู่เป็นประจำ แม้จะไม่ค่อยได้ช่วยอะไรมาก เพราะในร้านก็มีลูกจ้างอยู่แล้ว แต่เขาก็มาที่ร้านไม่ขาดแม้แต่สัปดาห์เดียว

            เมื่อถึงตอนเที่ยงแล้ว คิมขอตัวเข้าไปทานข้าวหลังร้าน ขณะนั่งทานข้าวอยู่หน้าจอทีวีนั้น เจ้าตัวก็เห็นผู้เป็นแม่เดินสะพายกระเป๋าใบเล็กเข้ามานั่งแหมะลงบนโซฟาตัวข้างกัน จึงหันไปมองแล้วเอ่ยปากถามทันที

            “แม่ไปไหนมาครับ เห็นหายตัวไปตั้งแต่เช้าเลย”

            “ไปหาเพื่อนเก่ามาจ๊ะ” วิภาวีเอ่ยกับลูกชาย

            “ใครกันครับแม่ ผมรู้จักรึเปล่า” คิมเอ่ยแล้วตักข้าวคำใหญ่เข้าไปในปาก ตาก็มองการแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอในจอทีวีไปด้วย

            “คิมจำน้าเก๋ได้ไหมลูก ที่มีลูกชายชื่อ...” พูดยังไม่ทันจบสามีของเธอก็ตะโกนมาจากหน้าร้านเสียก่อน

            “คุณออกมาข้างนอกหน่อยสิ ตอนนี้เลย”

            “ค่ะคุณ เดี๋ยวฉันออกไปตอนนี้ล่ะ” เธอตะโกนตอบสามีไป แล้วหันมาเอ่ยกับลูกชายอีกที “เอาไว้ค่อยคุยกันนะ แม่ไปช่วยพ่อดูร้านก่อน”

            “ครับแม่” คิมยิ้มให้ แล้วหันไปสนใจหน้าจอทีวีต่อ ส่วนผู้เป็นแม่ก็เดินออกไปหน้าร้าน

            เมื่อทานข้าวอิ่มแล้ว คิมก็เดินเอาจานไปเก็บในครัว ก่อนจะเดินกลับมานั่งดูทีวีต่ออีกครั้ง อยู่ๆ ก็นึกถึงใบหน้าของไอ้รุ่นน้องหน้าหล่อขึ้นมา และจำได้ว่าวันนี้เขาจะต้องพาอีกฝ่ายไปเข้าฟิตเนส จึงลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าในห้อง พร้อมหยิบเสื้อแจ๊คเก็ตที่แขวนอยู่มาสวม เดินออกไปหาพ่อกับแม่ที่หน้าร้านเพื่อจะบอกกล่าว

            “พ่อครับ แม่ครับ ผมไปหาเพื่อนก่อนนะ เย็นๆ ถึงจะกลับ”

            “กลับมาให้ทันข้าวเย็นนะลูก” วิภาวีบอก

            “ครับแม่”

            เดินออกมาหน้าร้านก็ตรงไปยังรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ที่จอดรออยู่ คิมสวมหมวกกันน็อก ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ สตาร์ทเครื่อง ขับตรงไปยังบ้านของเลิฟ

            ขับรถมาไม่นานก็ถึงที่หมาย คิมจอดรถคนใหญ่ไว้หน้าร้านแล้วเดินเข้าไปด้านใน แม้จะมาส่งรุ่นน้องที่นี่แล้วสองครั้ง แต่เขายังไม่มีโอกาสเข้าไปในร้าน นี่คือครั้งแรกที่จะได้เข้าไปเจอกับแม่ของเลิฟ และนั่นก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ราวกับกำลังมาเจอกับแม่ของแฟนครั้งแรกซะอย่างนั้น

            ในร้านมีโต๊ะนั่งอยู่สี่โต๊ะ หนึ่งในนั้นก็มีลูกค้าสาววัยแรกรุ่นสี่คนนั่งสนทนากันอยู่ เมื่อเดินเข้าไปก็เจอกับพนักงานสุดหล่อกำลังเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มให้กับลูกค้าสาว เห็นอย่างนั้นคิมก็ยกยิ้ม สวมแว่นกันแดดแล้วนั่งลงที่โต๊ะว่างทันที

            “สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ” นั่งลงได้ไม่นาน เลิฟก็เดินเข้ามาทักทาย พร้อมกับยื่นเมนูให้ ส่วนคิมเอาแต่ก้มหน้าเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเป็นตัวเอง นั่นเพราะต้องการจะแกล้งเล่นๆ

            “มีอะไรแนะนำบ้าง” คิมพยายามดัดเสียงทำเป็นเข้ม

            แม้ว่าคิมจะเอาแต่ก้มหน้าและดัดเสียง แต่เลิฟก็รู้สึกคุ้นตาจึงย่อตัวลงแล้วมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับคิมเองก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นรุ่นน้องกำลังส่งยิ้มให้อยู่ตรงหน้าก็ตกใจ แล้วอุทานคำหยาบออกมา

            “เหี้ย!” คิมทำหน้าเหลอหลาเมื่อโดนอีกฝ่ายจับได้ ทำไมเขาต้องรู้สึกเขินเวลาที่เห็นมันยิ้ม มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะ คิมได้แต่คิดในใจ

            “มาด่ากันอีก พี่จะทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไมเนี่ย ผมไม่ได้โง่นะเว้ย”

            “กูอยากรู้ว่ามึงจะจำกูได้ไหม”

            “รู้รึยังล่ะ”

            “ก็เออ...อะไรก็เอามาที่คิดว่าอร่อยสุด” เขายื่นเมนูคืนให้ ไม่อยากจะดูอะไรแล้ว อยากให้มันออกไปจากโต๊ะเร็วๆ

            “ได้ครับพี่ ว่าแต่พี่มาหาผมจะชวนไปไหนเหรอ” เลิฟยิ้มกวนๆ ให้

            “มึงลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้กูจะชวนไปไหน ทีเรื่องอย่างนี้กลับไม่จำนะมึง”

            เลิฟทำหน้าคิดแล้วก็นึกออก “อ้อ...จำได้แล้วไปฟิตเนสใช่ป่ะ รออีกชั่วโมงได้ป่ะพี่ ผมจะช่วยแม่ดูแลลูกค้าก่อน”

            “ได้ไม่มีปัญหา กูรอได้”

            “ถ้างั้นรอแป๊บนะพี่ เดี๋ยวผมเอาเครื่องดื่มกับขนมมาเสิร์ฟให้” เลิฟเอ่ยแล้วเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ที่เคาน์เตอร์

            สาวๆ ที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป ต่างก็มองมาที่คิมอยู่บ่อยครั้ง พร้อมส่งยิ้มให้ตลอดเวลา ราวกับต้องการจะทอดสะพานให้ชายหนุ่ม คิมได้แต่ส่งยิ้มให้อย่างจำใจ เขาชินแล้วกับสถานการณ์อย่างนี้

            คิมนั่งมองไปรอบๆ ร้านก็สะดุดตากับผู้หญิงคนหนึ่ง อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของตัวเอง ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกินราวกับเคยเจอมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก เขารู้ว่านั่นคือแม่ของเลิฟ จึงเดินตรงเข้าไปหาแล้วเอ่ยทักทาย ขณะที่เจ้าหล่อนกำลังยืนมองผู้ช่วยชงเครื่องดื่มให้ลูกค้า

            “สวัสดีครับคุณน้า” คิมเอ่ยทักทาย พร้อมกับยกมือไหว้

            “สวัสดีจ้า” พิมพ์พรยิ้มให้ เจ้าหล่อนคิดว่าคิมเป็นลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง

            “ผมเป็นรุ่นพี่เลิฟน่ะครับ พอดีว่าจะมาชวนไปเล่นฟิตเนส” คิมบอก

            “อ๋อ...รุ่นพี่เลิฟนี่เอง ทำไมไอ้ลูกชายมันยังไม่ได้มาบอกอะไรน้าเลยเนี่ย” พิมพ์พรหันไปมองลูกชายที่กำลังตักขนมเค้กใส่จาน

            “ก็จะบอกอยู่นี่ไงครับแม่ แต่พี่เขาเดินมาก่อนอ่ะ” เลิฟเดินเข้ามาหาผู้เป็นแม่ อธิบายให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “แหนะ...ยังจะไปโทษพี่เขาอีก ไปตอนนี้เลยก็ได้นะ แม่มีพี่เหมียวช่วยอยู่แล้ว”

            “ไม่เป็นไรครับแม่ ผมบอกพี่เขาไว้แล้วว่าให้รออีกหนึ่งชั่วโมง”

            “ผมรอได้ครับคุณน้า” คิมบอก

            “ถ้างั้นก็ตามใจจ้ะ เลิฟดูแลพี่เขาให้ดีด้วยล่ะ”

            “คร้าบบบ” เลิฟตอบรับแล้วหันมาเลิกคิ้วให้รุ่นพี่ พร้อมทั้งโบ้ยหน้าให้กลับไปนั่งที่เดิม

            คิมยักคิ้วรับแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม ไม่นานลาเต้เย็นๆ แก้วใหญ่พร้อมกับเค้กมะพร้าวก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

            “มาแล้วคร้าบบ ลาเต้เย็นๆ พร้อมกับเค้กมะพร้าว อร่อยสุดในสามโลก”

            “จะอร่อยเท่าคนเสิร์ฟรึเปล่าวะ” คิมยอดคำหวาน จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา พร้อมทั้งยิ้มมุมปาก

            เลิฟเบ้ปากทันทีเมื่อโดนรุ่นพี่แซว นับวันอีกฝ่ายยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า สิ่งที่คาดเดาเอาไว้นั้นมันเข้าใกล้ความจริงขึ้นมาทุกที ปากก็บอกว่าไม่ได้เจตนาเข้ามาหา แต่คำพูดและการกระทำมันสื่อให้เห็นชัดเจนว่า รุ่นพี่คนนี้ต้องคิดอะไรกับเขาแน่นอน เขาจะต้องพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ให้ได้

            “ของอย่างนี้มันต้องลองถึงจะรู้ ถ้าเมื่อไหร่พี่ยอมรับว่าสนใจผม ผมอาจจะยอมให้ชิมก็ได้นะ ฮ่าๆ” เลิฟเองก็ตอบกลับแบบขำๆ

            “คงยากว่ะเพราะคนที่จะยอมรับว่าสนใจกูก็คือมึงต่างหาก” คิมยักคิ้วให้

            “รอดูละกันพี่ ทานให้อร่อยนะผมขอตัวไปดูแลสาวๆ โต๊ะนั้นก่อน อย่าแอบมองผมล่ะเดี๋ยวเห็นผมหม้อสาวแล้วพี่อาจจะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ” เลิฟยกยิ้มมุมปาก ยักคิ้วเข้มให้

            “มึงรีบไปเลยอย่ามาหลงตัวเองแถวนี้กูจะอ้วก”

            “คร้าบบบ”

             ก่อนไปเลิฟก็ไม่วายจะส่งยิ้มหวานให้ ทำเอารุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนโต๊ะถึงกับทำหน้าไม่ถูก ยิ่งนานวันเข้าคิมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่มแปลกไป ทำไมถึงได้รู้สึกผูกพันกับไอ้หน้าหล่อคนนี้ซะเหลือเกิน ราวกับเคยเจอเคยรู้จักกันมานานซะอย่างนั้น

*-*-*-*-*-*-*

            ‘Extra Fitness’ เป็นฟิตเนสใหญ่ที่สุดในย่านนี้ มีลูกค้าที่รักสุขภาพทุกเพศทุกวัยเข้ามาใช้บริการจนหนาตา ด้วยความกว้างและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงเลือกมาที่นี่มากกว่าจะเข้าฟิตเนสที่อยู่ใกล้เคียงกัน

            เมื่อเดินเข้ามาข้างในแล้ว สองหนุ่มก็วางสัมภาระไว้ ก่อนจะวอร์มอัพร่างกายด้วยการยืดเส้นยืดสาย พลางมองไปรอบๆ ตัวก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำหลายต่อหลายคน กำลังฟิตหุ่นเล่นกล้ามอย่างขะมักเขม้น แต่ละคนหุ่นดีๆ กันทั้งนั้น

            “ผมตั้งใจจะเอาหุ่นแบบพี่คนนั้นให้ได้” เลิฟเอ่ยขณะปรายตาไปมองชายคนหนึ่ง ที่กำลังวิ่งอยู่บนลูกวิ่งในสภาพสวมกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว กล้ามเนื้อขาและแขนแน่นเป็นมัดๆ ส่วนหน้าท้องก็มีซิกแพคนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน

            “ชอบแบบนั้นเหรอ กูว่ามันดูบึกไปนะ” คิมเอ่ยถามขณะถอดเสื้อออก เพื่อโชว์ซิกแพคของตัวเองบ้าง

            “ไม่หรอกกำลังดีพี่” เลิฟตอบ

            “แล้วไม่ชอบแบบกูบ้างรึไง ซิกแพคก็กูแน่นนะเว้ย” ไม่พูดเปล่าคิมจับมืออีกฝ่ายมาลูบคลำที่หน้าท้องตัวเอง สายตาก็จ้องมองใบหน้าหล่อนั้น ราวกับต้องการสะกดให้อีกฝ่ายหลงใหลตัวเอง

            “ของพี่ก็ไม่เลวนะ แต่ยังสู้พี่คนนั้นไม่ได้ ฮ่าๆ” เลิฟตบเข้าที่หน้าท้องอย่างไม่ใส่ใจ แถมยังหัวเราะเยาะอีกต่างหาก ทำเอาคิมถึงกับหน้าเสียขึ้นมาทันที

            “ทำอย่างกับของมึงมีเยอะงั้นล่ะ ไหนมาให้กูดูหน่อยดิ” คิมเอื้อมมือไปหมายจะเปิดเสื้อของอีกฝ่ายเพื่อดูหน้าท้อง “โห!!วันแพค ฮ่าๆ”

            “หยุดหัวเราะเลยพี่ อีกไม่นานผมจะหุ่นดีกว่าพี่แน่”

            “ทำให้ไขมันที่หน้าท้องมึงน้อยกว่านี้ก่อนละกันนะแล้วค่อยคุย”

             “ผมทำได้แน่นอนคอยดูเถอะ”

              “เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจะเป็นคนเทรนให้มึงเองละกัน เห็นอย่างนี้กูเก่งนะเว้ย” คิมยิ้มมุมปาก

            “พูดแล้วห้ามคืนคำนะพี่”

            “เออดิวะ คนอย่างกูพูดแล้วไม่คืนคำเด็ดขาด อยากมีซิกแพคไม่ใช่รึไง รีบไปซิทอัพซะสิเครื่องกำลังว่างอยู่พอดี” คิมเอ่ยพลางโบ้ยหน้าไปที่เครื่องซิทอัพ

            “แล้วพี่ล่ะ”

            “กูก็จะไปนั่งอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจมึงไงล่ะ”

            “เอางั้นดิ ไม่ใช่ว่าจะอ่านกินผมหรอกนะ”

            “ไอ้สาดด มึงมันมีอะไรให้น่าอ่านกินวะ ถ้าเป็นสาวๆ ฝั่งโน้นก็ว่าไปอย่าง”

            “ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะ อย่าทำให้ผมสงสัยพี่อีกละกัน”

            เลิฟเดินไปที่เครื่องซิทอัพ ก่อนจะนอนเอนหลังบนแผ่นกระดานนุ่ม เอามือประสานกันไว้หลังศีรษะ หันศอกออกด้านข้าง จัดท่าเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นสร้างซิกแพคให้กับตัวเอง คิมนั่งอยู่ข้างกันเพื่อคอยเป็นพี่เลี้ยงให้

            “พร้อมยัง!”

            “พร้อมแล้วพี่”

            “ครบ 100 ครั้งแล้วค่อยสลับท่าเล่นกล้ามเนื้อแขน เริ่ม”

            “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...” เลิฟเริ่มนับเมื่อเริ่มยกส่วนไหลและศีรษะขึ้น ทำไปเรื่อยๆ ตามที่รุ่นพี่สั่ง

            “หายใจออก เกร็งหน้าท้อง” คิมแนะนำ สายตายังคงจับจ้องมองหน้าอีกฝ่าย

             เหงื่อเลิฟเริ่มผุดออกมาจนเกาะตามผิวหนัง ใบหน้าหล่อเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อไหลลงจวนจะเข้าไปในดวงตาคู่สวย คิมจึงหยิบผ้าผืนเล็กที่เตรียมมาด้วยเช็ดใบหน้าให้รุ่นน้อง สายตาคมจ้องมองที่ริมฝีปากหยักได้รูปอย่างไม่รู้ตัว ส่วนคนที่กำลังซิทอัพอยู่นั้นก็ทำอย่างต่อเนื่องไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากเร่งให้ครบหนึ่งร้อยครั้ง

            “เก้าสิบแปด....เก้าสิบเก้า...หนึ่งร้อยยยย” เมื่อครบจำนวน เลิฟก็นอนแผ่หลาอย่างหมดแรง เหงื่อไหลท่วมตัว ส่วนคนที่นั่งมองอยู่ข้างกันก็เอาผ้ามาเช็ดตามใบหน้าและลำคอให้ สายตาคมจ้องมองรุ่นน้องอย่างใส่ใจ ทั้งสองเผลอจ้องตากันอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาออกจากกัน

            “พี่มองหน้าผมทำไม”

            “แล้วมึงจ้องตอบทำไมล่ะ” คิมยักคิ้วกวน

            “ก็พี่มองหน้าผมก่อนทำไมล่ะ หรือว่า...จะหลงเสน่ห์ผมเข้าให้แล้ว”

            “มึงนั่นล่ะที่หลงเสน่ห์กูแล้ว มึงคงไม่รู้ว่าสาวที่ได้อยู่ใกล้กับกูแบบนี้ มักจะไม่รอดสักรายหลงกูทุกคน และมึงก็เป็นหนึ่งในนั้น”

            เลิฟลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปเอ่ยกับรุ่นพี่ “ฝันไปเถอะว่าผมจะหลงเสน่ห์พี่ ผมมันชายแท้เว้ยมีแต่พี่นั่นล่ะที่จะหลงผม จะว่าไปทุกวันนี้ที่เข้ามาหาผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วล่ะ หึๆ” เลิฟยักคิ้วตอบ ยิ้มมุมปาก

            “ไอ้หลงตัวเอง ที่กูยอมมากับมึงเพราะเห็นว่ามึงเป็นน้องเป็นนุ่งหรอกนะ คนมันหวังดีแท้ๆ เฮ้อ” คิมแกล้งเอ่ยตัดพ้อ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีเพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันคือเรื่องจริง

            “ถ้าพี่บริสุทธิ์ใจจริง ผมมีวิธีที่จะพิสูจน์ขึ้นอยู่กับว่าพี่จะยอมไหมล่ะ” เลิฟเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะบริสุทธิ์ใจอย่างที่พูดจริงๆ หรือเปล่า ส่วนเขาเองหากอีกฝ่ายเข้ามาในฐานะรุ่นพี่จริงๆ ไม่ได้คิดอย่างอื่นก็น่าจะสบายใจในการไปไหนมาไหนด้วยกันมากขึ้น

            “ยังไงวะ” คิมขมวดคิ้ว ทำหน้างง

            “ตามผมมาเดี๋ยวพี่ก็รู้” เลิฟลุกขึ้นยืนแล้วดึงมือรุ่นพี่เดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำของทางฟิตเนส

            โชคดีที่ตอนนี้ลูกค้าคนอื่นยังไม่เข้ามาใช้บริการ เพราะกำลังออกกำลังกายกันอยู่ข้างนอก เมื่อเข้ามาในห้องอาบน้ำแล้วเลิฟก็ลงกลอนทันที

            “มึงพากูเข้ามาที่นี่ทำไมวะ” คิมเริ่มโวยวาย

            “ชู่ว์! เบาๆ ดิพี่เดี๋ยวคนก็เข้าใจผิดกันหรอก”

            “ก็มันน่าคิดไหมล่ะ มึงคิดจะทำอะไร”

            “ก็มาพิสูจน์ไงล่ะ พี่รู้ป่าวว่าคนที่เป็นเกย์เวลาเห็นผู้ชายเปลือยต่อหน้าจะมีอารมณ์” พูดแค่นั้นคิมก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร

            “หมายความว่ามึงกับกู...”

            “อย่าเพิ่งคิดลึกดิพี่ เราแค่แก้ผ้าเท่านั้นเอง ถ้าเป็นผู้ชายจริงๆ มันต้องไม่อายเว้ย”

            “แค่แก้ผ้าเองงั้นเหรอ มึงบ้าไปแล้วรึไง” คิมเริ่มขึ้นเสียง

            “เงียบๆ ดิวะ พี่ชอบพูดว่าผมเป็นเกย์ วันนี้ก็มาพิสูจน์ให้มันรู้กันไปเลย ผมเองก็จะได้เลิกระแวงพี่ด้วยไงล่ะ” เลิฟอธิบายให้ฟัง

            คิมยืนชั่งใจอยู่สักพักก็ตอบตกลงไป

            “โอเค...มึงจะได้สบายใจ ส่วนกูเองก็จะได้เลิกกล่าวหามึงซะที”

            “แก้เลยดิพี่จะรออะไรอ่ะ” ว่าแล้วเลิฟก็ถอดเสื้อและกางเกงออกจนล่อนจ้อน ยืนยิ้มแฉ่งให้อย่างสบายใจ ส่วนคิมก็ถอดกางเกงออกเช่นเดียวกัน ส่วนเสื้อได้ถอดออกตั้งแต่อยู่ในฟิตเนสแล้ว

            “ของมึงทำไมเล็กจังวะ ฮ่าๆ” คิมขำออกมา เมื่อมองไปยังกลางกายของรุ่นน้อง

             “ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ” เลิฟไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นเพราะขนาดยังไม่แข็งตัว เจ้าน้องชายยังใหญ่สู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย

             “โอเคยัง? ดูเท่าไหร่ก็ไม่แข็ง เชื่อรึยังว่ากูบริสุทธิ์ใจไม่ได้คิดอะไรกับมึง”

             “พี่ก็ห้ามว่าผมเป็นเกย์อีกนะเว้ย เห็นแล้วหมดอารมณ์จนหดเลยอ่ะ ไปล่ะ” ว่าแล้วเลิฟก็สะบัดตูดเดินออกจากห้องน้ำไปทั้งที่ยังเปลือยกาย แต่ระหว่างหมุนตัวกลับนั้นสะโพกกลมก็ดันไปโดนที่เจ้าน้องชายของรุ่นพี่ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เลือดลมในร่างกายของคิมสูบฉีดขึ้นมาทันที จนทำให้แก่นกายที่เคยสงบนิ่งกลับตื่นตัวขึ้นมาในทันที คิมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาควบคุมน้องชายตัวเองไม่ได้เลย มันแข็งปั๋งพร้อมรบ เมื่อเห็นสภาพตัวเองก็รีบปิดประตูเอาไว้กลัวว่าอีกฝ่ายจะมาเห็นเสียก่อน

              “เกิดเหี้ยอะไรขึ้นกับกูวะเนี่ย!” คิมยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนก็บ่อยครั้ง แต่ทำไมแค่ได้รับสัมผัสจากอีกฝ่ายเพียงแค่นิดหน่อยน้องชายก็แข็งตัวซะแล้ว นอกจากจะต้องพิสูจน์ว่าไอ้หน้าหล่อเป็นเกย์หรือเปล่า เขายังต้องมาพิสูจน์ตัวเองอีกด้วยเหรอเนี่ย...
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.3 พิสูจน์ l Up:2-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-08-2018 03:10:50
อยากเข้าไปดูด้วยคน ถ้าได้เห็นคง......  :heaven
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.3 พิสูจน์ l Up:2-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 03-08-2018 06:15:49
ว้าย... คิม
.. เกือบไปล่ะ.... 555
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.3 พิสูจน์ l Up:2-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-08-2018 09:31:04
คิม รู้ตัว เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว   :z3:
พิสูจน์จะๆ ต่างคนต่างเปลือย    :hao3:
ว่าใครเกย์  ......ใครแข็ง   อะจ๊ากกกกก ของตัวเองไง   ฮ่าๆๆๆๆๆๆ   :m20: :laugh:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.3 พิสูจน์ l Up:2-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-08-2018 11:52:20
 :L2: :pig4:

 :laugh: เข้าตัว
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.4 ลมหวน l Up:03-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 03-08-2018 20:54:57
​-๔-

ลมหวน



            คิมและผองเพื่อนรวมตัวกันที่โรงยิมของวิทยาลัยในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน วันนี้ทั้งห้าหนุ่มมีนัดแข่งบาสเกตบอลกับนักศึกษาเอกเครื่องกล หากทีมใดเป็นฝ่ายชนะก็จะได้เงินเดิมพันจำนวนหนึ่ง ที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น

            นักเรียนสาวโรงเรียนใกล้เคียงจำนวนหนึ่ง เข้ามาร่วมชมและเชียร์การแข่งขันในครั้งนี้ด้วย บางคนเป็นแฟนสาวของผู้เล่นทีมเครื่องกล บางคนก็ตั้งใจมาเชียร์กับทีมของคิมโดยตรง

            “กรี๊ดดด พี่คิมมม”

            เมื่อคิมโยนลูกบาสเข้าห่วงทำแต้มได้ สาวๆ ต่างก็ส่งเสียงเชียร์กันยกใหญ่ ทำเอาทั้งสนามมีแต่เสียงเรียกชื่อของคิมแต่เพียงผู้เดียว

            นักเรียนสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง แสดงออกอย่างชัดเจน ว่าเธอปลาบปลื้มชายหนุ่มสุดฮอตคนนี้มาก เธอติดตามคิมมานานนับปี หากชายหนุ่มมีแข่งบาสที่ไหนเธอก็จะตามไปเชียร์ตลอด

            “พวกแกดูพี่คิมสิ เท่มากก” หญิงเอ่ยกับเพื่อนสาวทั้งสองคนที่นั่งขนาบข้างอยู่

            “สู้พี่หินของฉันไม่ได้อ่ะ” แป้งเอ่ยพร้อมทั้งชี้ไปหาชายหนุ่มที่เธอคลั่งไคล้

            “พี่อ๋องของฉันเก่งกว่าจ๊ะ” อิ๋วเพื่อนสาวอีกคนเอ่ยขึ้น

            “อย่าเยอะพวกแก พี่คิมของฉันคือที่สุดแล้ว” หญิงมองเพื่อนทั้งสองตาขวาง สยบคำพูดของเพื่อนทั้งสองคน

            ปี๊ดดด!!!

            ในระหว่างนั้นเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าหมดเวลาในการแข่งขัน ผลปรากฏว่าทีมของคิมเป็นฝ่ายชนะ นักกีฬาทั้งหมดจึงแยกย้ายกันออกมาข้างสนาม ส่วนหัวหน้าทีมก็เดินตรงเข้าไปหากัน แล้วยื่นเงินพนันให้กับทีมที่ชนะ

            “ครั้งหน้าพวกมึงไม่มีทางชนะแน่” โอมโยนเงินปึกหนึ่งให้กับคิม สีหน้าของเขานั้นเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจซ่อนอยู่ มีหรือที่คิมจะไม่รู้ เพราะโอมเป็นคู่แข่งเขามาตลอดตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ใหม่ๆ

            “พวกกูพร้อมรับมือเสมอ ขอแค่มึงนัดมา” คิมทำหน้ากวน แล้วหันหลังเดินกลับไป

            ในระหว่างนั้นเองหญิงก็รีบตะโกนเรียกชื่อ

            “พี่คิมคะ”

            คิมหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองยังต้นเสียง “ว่าไงครับน้องหญิง” ชายหนุ่มยิ้มหวานให้เหมือนทุกครั้ง

            “หญิงซื้อน้ำเย็นๆ มาให้ค่ะ” ว่าแล้วเธอก็ยื่นให้

            “ขอบคุณครับ” คิมยื่นมือไปรับ พร้อมส่งยิ้มให้

            “วันนี้พี่คิมเท่มากๆ เลยค่ะ”

            “ออ...ขอบคุณครับ” เมื่อได้รับคำชมเจ้าตัวก็ยิ้มเขิน

            “พี่คิมก็รู้ว่าหญิงคิดยังไงกับพี่ เมื่อไหร่พี่คิมจะพิจารณาหญิงสักทีล่ะคะ” หญิงพูดออกไปตรงๆ เพราะเธอก็ติดตามชายหนุ่มคนนี้มานานแล้ว หากได้เป็นแฟนจริงๆ มันก็จะเหมือนฝันที่กลายเป็นจริง

            แม้ว่าหญิงจะติดตามเขามาเป็นปีแล้ว แต่คิมก็คิดกับเธอแค่แฟนคลับคนหนึ่งไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไร แต่ในตอนนี้เขาต้องการคบหากับใครบางคน กลัวว่าหากปล่อยให้ตัวเองเป็นโสดไปเรื่อยๆ มีหวังต้องเบี่ยงเบนไปเป็นเกย์อย่างแน่นอน เพราะเหตุการณ์ในห้องน้ำฟิตเนสเมื่อวันก่อน ทำให้เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจในตัวเองแล้ว

            “ถ้างั้นเอาเบอร์น้องหญิงมาสิครับ ไว้เราค่อยโทรคุยกัน” คิมยื่นมือถือให้

            “อร้ายย!! หญิงไม่ได้ฝันไปจริงๆ ใช่ไหมคะเนี่ย” หญิงรีบรับโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์โดยเร็ว แล้วโทรเข้ามือถือตัวเอง ก่อนจะยื่นคืนให้ชายหนุ่ม “นี่ค่ะ”

            “ขอบคุณครับ เอาไว้ว่างๆ ค่อยคุยกันนะ” คิมยิ้มให้แล้วเดินกลับไปหาผองเพื่อน

            เมื่อได้เบอร์โทรสมใจอยากแล้ว หญิงก็เดินดี๊ด๊าเข้าไปหาเพื่อนทั้งสองคน

            “มึงคุยอะไรกับน้องหญิงวะ มีแลกบงแลกเบอร์กันด้วยเว้ย อย่าบอกนะว่ามึงจะสละโสดแล้ว” เมื่อคิมเดินมาถึงโต้งก็เอ่ยแซวทันที

            “นึดนึงว่ะน้องมันน่ารัก” คิมไม่ปฏิเสธใดๆ

            “อีกไม่นานเพื่อนกูคงจะมีสาวมานั่งเฝ้าตลอดแล้วมั้งเนี่ย” หินเอ่ยแซว

            “โสดมานานมันก็ต้องมีบ้างล่ะวะ แค่จะลองคุยดูก่อน ถ้าโอเคก็คงไปต่อได้”

            “แล้วไอ้น้องเลิฟมึงล่ะวะไปถึงไหนแล้ว ผ่านมาหลายวันแล้วนะเว้ย” อ๋องเอ่ย

            “กูกำลังพยายามอยู่ว่ะ อีกไม่นานหรอกพวกมึงจะได้รู้ว่ากูเจ๋งแค่ไหน”

            “ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน พวกกูจะรอดู” โต้งเอ่ย

            “มึงได้เห็นแน่” คิมยักคิ้วให้เพื่อนอย่างมั่นใจ แต่ภายในใจกลับรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก กลัวว่าตัวเองจะถลำลึกไปมากกว่านี้จนถอนตัวไม่ได้

*-*-*-*-*-*-*-*

            อีกฝั่งหนึ่งของวิทยาลัย ในห้องซ้อมดนตรี สมาชิกทั้งห้าหนุ่มกำลังซุ่มซ้อมกันอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการประกวดวงดนตรีกับคลื่นวิทยุชื่อดัง ที่จัดประกวดขึ้นเป็นประจำทุกปี

            “เดือนหน้าก็จะถึงวันประกวดแล้ว ตั้งใจโว้ยพวกมึง” แจ๊บเอ่ยกับสมากชิกคนอื่นๆ

            “ถ้าวงเราชนะจะได้ออกอัลบั้มดังไปทั่วประเทศเลยใช่ป่ะพี่” โด้เอ่ยถาม

            “ก็เออสิวะ รับรองพวกมึงได้ดังแน่สมใจอยาก มีแต่คนจะเข้าหา”

            “ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าถึงวันนั้นสาวๆ จะเข้ามาหาผมเยอะขนาดไหน” โด้ทำหน้าเพ้อฝัน

            “มึงก็คบกับพี่โบว์ไปพลางๆ ก่อนดิวะ ลืมถามว่าวันนั้นพี่โบว์โทรหาเป็นยังไงบ้าง ฮ่าๆ” เลิฟเอ่ยแล้วขำออกมา ส่วนรุ่นพี่คนอื่นก็ขำตาม เพราะทุกคนรู้ว่าโบว์ไม่ใช่ผู้หญิงแท้ๆ

            “ไอ้เลิฟ ไอ้เพื่อนเลว กูว่าแล้วต้องเป็นมึงที่เอาเบอร์กูให้พี่โบว์” เมื่อเพื่อนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา โด้ก็ทำหน้ายักษ์ใส่ทันที

            “มึงรู้แล้วอ่ะดิว่าพี่เขาไม่ใช่ผู้หญิงแท้ๆ” เลิฟยังขำไม่เลิก

            “ก็เออดิวะ กูว่าแล้วเรื่องที่มึงกับพี่ๆ กระซิบกระซาบกันวันนั้น ต้องเป็นเรื่องพี่โบว์แน่นอน” โด้โวยวาย

            “เป็นไงบ้างวะลีลาพี่โบว์สุดยอดป่ะ ฮ่าๆ โอ้ยกูขำ” แจ๊บขำหนักมาก น้อยนักน้อยหนาจะได้เห็นมุมนี้ของเขา

            “พี่แจ๊บไม่ต้องมาขำเลย ผมรู้สึกแย่มากอ่ะ โดนหลอกให้เยกับกะเทย”

            “สรุปมึงเสร็จพี่โบว์แล้วล่ะสิ ถึงได้รู้ว่าแกมีไข่” ฮ่าๆ” เทอร์โบว์เอ่ย

            “ก็ใช่ดิพี่ วันนั้นแกนัดไปเจอที่โรงแรมม่านรูดแถวบ้าน ผมก็รีบไปพอถึงที่แล้วมันก็ต้องปล่อยเลยตามเลยอ่ะดิ ผมไม่ไปร้านเฮียอ่ำอีกแล้วนะเว้ย อ่ายอ่ะ”

            “มึงอายที่เล็กกว่าพี่โบว์ป่ะวะ” เลิฟยังแซวไม่เลิก

            “ไอ้สัดดด อย่ามาปากดี เพราะมึงคนเดียวเลยทำให้กูเสียหมา” ไม่ว่าเปล่าโด้ยกมือขึ้นไปตบกบาลเพื่อน

            “กูจะล้อมึงไปยันลูกบวชเลยคอยดู” เลิฟว่า

            “พอได้แล้วพวกมึง ซ้อมต่อๆ จะได้รีบกลับบ้านเร็วๆ” แจ๊บบอก

            หลังจากนั้นทั้งหมดก็หันไปสนใจซ้อมต่อ

            เมื่อดนตรีเพลงหยุด ของวง Groove Rider ดังขึ้น เลิฟก็เริ่มโยกตัวตามจังหวะ ก่อนจะโชว์พลังเสียงร้องออกมาด้วยความไพเราะ ในการซ้อมทุกครั้งเขาจะตั้งใจทุกวินาที ไม่ให้เวลาสูญเปล่า เพราะการร้องเพลงคือสิ่งที่เขารักมาก ในอนาคตหากเป็นไปได้ก็อยากจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง

            ระหว่างที่การซ้อมดำเนินไปเรื่อยๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมา พร้อมกับการปรากฏตัวของนักเรียนชายคนหนึ่ง หน้าตาน่ารัก ผิวขาวเนียน ดูท่าทางเรียบร้อย เดินยิ้มเข้ามา

            โด้เห็นอย่างนั้นก็ถึงกับตะลึงกับความน่ารักของอีกฝ่าย ถึงขนาดลืมคอร์ดกีตาร์ไปเลยทีเดียว

            “หยุดๆๆ” เสียงของแจ๊บนั่นเองที่บอกกับทุกคน “ไอ้เหี้ยโด้มึงเป็นอะไรวะ”

            “โทษๆๆ พี่ ผมตกใจอ่ะ อยู่ๆ น้องคนนี้ก็เดินเข้ามา” เจ้าตัวเอ่ย แต่สายยังคงจ้องมองเด็กชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ปกติแล้วเขาไม่ได้พิศวาสผู้ชายด้วยกันเลย แต่พอเห็นไอ้เด็กนี่มันน่ารักซะเหลือเกิน เกินกว่าที่เขาจะละสายตาไปได้

            “กูลืมบอกไปว่าน้องกูจะมา นี่โจ้น้องชายกูเอง เรียนอยู่ XXXX” แจ๊บแนะนำให้สมาชิกใหม่ทั้งสองคนได้รู้จัก

            “สวัสดีครับน้องโจ้” โด้รีบเอ่ยทักทาย ส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้ อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบกลับมา นั่นยิ่งทำให้โด้ยิ่งใจละลายเข้าไปใหญ่

            “สวัสดีครับ”

            “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องโจ้ผู้น่ารัก” เลิฟเอ่ยแซวบ้าง เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายน่ารัก น่าหยอก แต่เพื่อนสนิทกลับหันขวับไปมองแรงใส่ทันที ราวกับหวงของซะอย่างนั้น

            “สวัสดีครับพี่เอ่อ...”

            “พี่เลิฟครับ” เลิฟยิ้มให้

            “พี่ชื่อโด้ครับน้องโจ้ ชื่อเราคล้องจองกันนะเนี่ย” โด้ไม่ปล่อยโอกาสให้เพื่อนได้คุยกับผู้มาใหม่ เพราะกลัวว่าโจ้จะหลงเสน่ห์เพื่อนเหมือนคนอื่นๆ ที่เคยเจอก่อนหน้านี้

            “ไอ้โด้...มึงคิดจะหม้อน้องชายกูรึไงวะ บอกไว้ก่อนเลยว่าอย่าแม้แต่จะคิด น้องกูมันยังเด็ก” แจ๊บพูดดักทางเอาไว้ เพราะรู้ว่ารุ้นน้องหน้าหม้อมากขนาดไหน

            “โธ่พี่แจ๊บ ผมก็แค่ทักทายน้องปกติไม่ได้มีอะไรซะหน่อย คิดมากไปได้น่า”

            “ให้มันจริงอย่างที่พูดละกัน” แจ๊บบอก แล้วหันไปเอ่ยกับน้องชายตัวเอง “โจ้นั่งรอที่เก้าอี้ตรงนั้นก่อนนะ อีกแป๊บพี่ก็ซ้อมเสร็จแล้ว”

            “ครับ” โจ้ตอบรับสั้นๆ แล้วเดินไปนั่งตรงมุมห้อง นั่งมองดูทั้งหมดซ้อมดนตรีกันอย่างสบายใจ

            ในระหว่างซ้อมอยู่นั้นโด้ก็เอาแต่มองหนุ่มน้อยหน้าหวานที่นั่งอยู่ตรงหน้า ตั้งใจให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าตัวเองกำลังสนใจอยู่ และดูเหมือนโจ้เองก็พอจะเดาออก เอาแต่นั่งอมยิ้ม ราวกับสนใจมือกีตาร์วงบางกอกบอยแบนด์อยู่เหมือนกัน

            หลังจากซ้อมเสร็จแล้ว ตอนนี้ทุกคนสะพายกระเป๋าออกจากห้อง เตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน ระหว่างนั้นโด้ก็เขียนเบอร์โทรตัวเองลงในกระดาษ ก่อนจะแอบยัดใส่มือให้กับโจ้ ตาก็มองไปเรื่อยกลัวว่าใครจะเห็นเข้า โดยเฉพาะแจ๊บที่เขากลัวเหลือเกิน หากรุ่นพี่รู้มีหวังได้จัดการเขาแน่นอน ส่วนโจ้ก็ปรายตามองโด้อมยิ้มเล็กน้อย

            “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะพวกมึง” แจ๊บบอกกับทุกคนเมื่อลงมาจากตัวอาคารแล้ว

            “เออ เจอกันเว้ย” อู๋เอ่ย

            “สวัสดีครับพี่ๆ” เลิฟและโด้ยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสามคนพร้อมกัน

            “กลับบ้านดีๆ ล่ะพวกมึง ช่วงนี้ระวังตัวหน่อย เพราะเดือนหน้าก็จะได้ออกงานกันแล้ว” เอ็มเอ่ยแนะนำรุ่นน้อง

            “คร้าบบ” โด้ตอบรับ แต่ยังคงเหลือบตามองโจ้อยู่เป็นระยะ ก่อนน้องชายหัวหน้าวงจะเดินตามหลังพี่ชายไป โด้ก็เอื้อมไปสัมผัสมือของโจ้แล้วกระตุกยิ้มให้อีกครั้ง

            หลังจากรุ่นพี่ไปกันหมดแล้ว เลิฟก็เริ่มยิงคำถามทันที เพราะเมื่อครู่เขาสังเกตเห็นทุกอย่างที่เพื่อนแสดงออก

            “ไอ้โด้กูรู้นะว่ามึงสนใจน้องโจ้”

            “มึงอย่ามามั่ว กูสนใจซะที่ไหนกัน” โด้ทำหน้าเหลอหลา ถ้าเพื่อนรู้มีหวังโดนแซวแน่นอน เรื่องโบว์ก็โดนมาหนักพอแล้ว

            “ก็มึงแสดงออกซะอย่างนั้น จะปฏิเสธทำไมวะ”

            “มึงก็ได้ยินว่าพี่แจ๊บหวงน้องชายมากขนาดไหน แถมกูยังไม่เคยจีบผู้ชายนี่หว่ามันก็จะอายๆ หน่อย”

            “ขนาดอายมึงยังรุกน้องเขาซะขนาดนั้น เห็นครั้งแรกมึงยังชอบขนาดนี้กูว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วล่ะ อย่างนี้มึงจะรออะไรวะ เดินหน้าจีบทำให้พี่แจ๊บเห็นไปเลยว่ามึงรักน้องเขาขนาดไหน” เลิฟแนะนำ

            “มึงไม่ว่าใช่ป่ะที่กูจีบผู้ชาย แต่กูไม่ได้เป็นเกย์นะเว้ย ก็แค่ผู้ชายชอบผู้ชาย พูดไปมันก็แปลกๆ ว่ะ” โด้เริ่มงงกับคำพูดของตัวเอง เขาไม่เคยชอบผู้ชายคนไหนมาก่อน ทำให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เบี่ยงเบน แต่ทว่าการที่ผู้ชายรักผู้ชายด้วยกันมันก็คือเกย์ คำนิยามนี้มันทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองซะแล้ว

            “กูรู้ว่ามึงไม่ได้เป็น แค่มึงรักใครสักคนบนโลกใบนี้ มันไม่เห็นจะแปลกจริงไหมวะ” เลิฟพูดให้เพื่อนสบายใจในการเดินหน้าทำตามหัวใจตัวเอง

            “ขอบใจมึงมาก กูจะลองดูสักตั้งละกัน” ดูท่าทางโด้จะมีความมั่นใจมากขึ้น

            “สู้ๆ เพื่อน ว่าแต่ผู้หญิงที่มึงคุยด้วยล่ะจะเอายังไง หรือจะควบสอง”

            “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นไปก่อนว่ะ รอให้กูชั่งใจก่อนว่าจะเลือกทางไหนดี”

            “ถ้างั้นก็จัดสรรเวลาให้ดีละกัน กูเชื่อว่ามึงสับรางเก่งอยู่แล้ว ฮ่าๆ” เลิฟขำออกมา

            “ไอ้สาดด รู้ดีไปอีกฮ่าๆๆ”

            “ป่ะๆ กลับกันเถอะ” เลิฟว่าพลางปั่นจักรยานล่วงหน้าไปก่อน

*-*-*-*-*-*-*

            เมื่อมาถึงหน้าบ้านเลิฟก็ต้องขมวดคิ้ว ทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นรถหรูมาจอดที่หน้าร้าน เจ้าตัวจอดจักรยานไว้แล้วเดินเข้าไปด้านใน เลิฟเห็นคิมนั่งหน้าสลอนร่วมโต๊ะกับแม่ของตัวเอง แถมยังมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ข้างกันอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้น รุ่นพี่มาทำอะไรกันแน่ แถมยังพาคนแปลกหน้ามาอีกด้วย

            “สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับ” เลิฟยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ และผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ก่อนจะจ้องหน้ารุ่นพี่เหมือนมีคำถามอยู่บนใบหน้า

            “มาพอดีเลย เลิฟจำน้าวิได้ไหมลูก สมัยที่ลูกยังเด็กบ้านเราอยู่ติดกันไง” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเลิฟก็ทำหน้าประหลาดใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกับครอบครัวนี้อีก สมัยยังเด็กบ้านเขาและบ้านของวิภาวีอยู่ติดกัน แต่อยู่ๆ ครอบครัวนั้นก็ย้ายออกไป เขาเองก็จำไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่สิ่งที่จำได้แม่นคือความทรงจำที่มีกับลูกชายของวิภาวี

            “จำได้สิครับน้าวิที่อยู่ข้างบ้านเรา” เลิฟยิ้มให้

            “แล้วจำพี่อาร์ทได้ไหมลูก” พิมพ์พรเอ่ยถามลูกชาย เธอเพิ่งรู้ไม่กี่นาทีก่อนหน้าว่าคิมคือลูกชายของเพื่อนรัก

            “พี่อาร์ท?” ทำไมเขาจะจำไม่ได้ล่ะ ในเมื่อทุกวันนี้ยังคิดถึงอีกฝ่ายไม่เคยลืม ไม่รู้ทำไมความทรงจำในวัยเด็กมันยังคงอยู่ในหัวไม่หายไปไหน ทั้งที่ควรจะลืมไปได้แล้ว เพราะเวลาก็ล่วงเลยผ่านมานานมาก

            “ถ้าน้าวิไม่พาคิมมาด้วย แม่ก็ไม่รู้ว่าคิมกับอาร์ทคือคนเดียวกัน”

            “โลกกลมจังเลยนะครับ ว่าแต่ทำไมพี่อาร์ทถึงเปลี่ยนชื่อเป็นคิมล่ะครับ” เลิฟส่งยิ้มให้รุ่นพี่ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจที่ได้รู้ว่า คิมคือคนเดียวกับคนที่อยู่ในความทรงจำตลอดมา

            “ตอนนั้นคิมป่วยบ่อยน้าก็เลยเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ ทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงตามที่พระท่านบอก ปรากฏว่าอาการป่วยหายเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะจ้ะ” วิภาวีอธิบายให้ฟัง

            “อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” เลิฟพยักหน้าเข้าใจ

            “โตเป็นหนุ่มแล้วหล่อขึ้นเยอะเลยนะเรา” วิภาวีเอ่ยชม

            “ขอบคุณครับน้าวิ ถ้ายังไงผมขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ”

            “โอเคจ้ะ” วิภาวียิ้ม

            “รีบลงมานั่งเป็นเพื่อนคุยกับพี่เขานะลูก”

            “ครับแม่”

            เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้ว เลิฟก็โยนกระเป๋าเป้ไว้บนเตียง แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะอ่านหนังสือ เปิดลิ้นชักหยิบสมุดบันทึกเล่มหนาออกมา ตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอหน้าพี่ชายข้างบ้านในตอนนั้น คนที่เป็นทั้งเพื่อนเล่น เป็นทั้งพี่ชายที่คอยปกป้องน้องมาตลอด แถมยังมีบางเรื่องที่เคยทำซึ่งแปลกกว่าเด็กผู้ชายทั่วไป เขาได้จดบันทึกบรรยายความรู้สึกที่โหยหาอีกฝ่ายไว้อยู่เรื่อยๆ มาจนถึงตอนนี้

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “เข้ามาเลยครับประตูไม่ได้ล็อก” เลิฟตะโกนออกไป เพราะคิดว่าเป็นแม่ของตัวเอง

            “ไม่ล็อกห้องระวังโจรจะเข้ามาข่มขืนนะเว้ย” คิมเดินยิ้มเข้ามา

            “พี่คิมเข้ามาได้ไงอ่ะ” เมื่อรู้ว่าเป็นใคร เลิฟก็พยายามซ่อนสมุดบันทึกไว้ด้านหลัง

            “อ้าว! ความจำสั้นนะมึง เป็นคนบอกให้กูเข้ามาเอง แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ด้านหลังอ่ะ” คิมหรี่ตามอง เมื่อเห็นท่าทีผิดปกติ

            “ปะ...เปล่าพี่ไม่มีอะไร ลงไปกันเถอะผมกำลังจะลงไปพอดี”

            “มึงซ่อนอะไรไว้ ต้องมีความลับแน่ๆ บอกกูมาซะดีๆ” คิมก้าวเท้าเดินเข้าไปหา พยายามเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อแย่งสมุดบันทึกมา

            “เหี้ย! พี่เล่นอะไรวะเนี่ย นี่มันห้องผมนะเว้ยไม่มีมารยาทว่ะ” เลิฟโวยวายเมื่อโดนอีกฝ่ายทำรุ่มร่ามใส่

            “มึงทำตัวน่าสงสัยนี่หว่า”

            “พอได้แล้ว!” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมฟังเลิฟก็ตะโกนใส่หน้า เพราะกลัวว่าคิมจะได้อ่านบันทึก ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะทำหน้าไม่ถูก เคยบอกรุ่นพี่เอาไว้ว่าแมนเต็มร้อย แต่กลับเขียนบันทึกถึงผู้ชายซะอย่างนั้น ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นคิมเองก็ตามเถอะ

            “นี่มึงกล้าขึ้นเสียงใส่กูเหรอวะ เรื่องแค่นี้เองนะเว้ย” คิมเริ่มโมโหขึ้นมาเมื่อโดนตวาดใส่เสียงดัง ทั้งที่เขาแค่ตั้งใจจะแกล้งเล่นเท่านั้นเอง จึงผลักอีกฝ่ายจนเสียหลังล้มลงบนเตียงนอนก่อนจะคร่อมตัวเอาไว้

            แม้ว่าจะโดนอีกฝ่ายกักตัวไว้ แต่เลิฟก็ไม่มีทางปล่อยให้สมุดบันทึกเล่มนั้นหลุดมือไปแน่

            “พี่ทำบ้าอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ” ทั้งสองจ้องตากัน ใบหน้าห่างกันเพียงแค่คืบ ทำให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน

            “มึงทำให้กูโกรธเองนะ กูอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมถึงได้หวงไอ้สมุดเล่มนี้นักหนา” คิมพยายามยื้อแย่ง แต่เลิฟกลับยกมือขึ้นเหนือศีรษะ

             ในจังหวะนั้นเองริมฝีปากของทั้งสองก็สัมผัสกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างจึงหยุดนิ่งราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ สายตาของคนทั้งสองประสานกัน ราวกับเป็นแม่เหล็กคนละขั้วที่พร้อมจะดึงดูดเข้าหากัน เมื่อเลิฟได้สติก็เบนหน้าหนีก่อนอะไรมันจะเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนช่างขัดใจคนที่อยู่ด้านบนซะเหลือเกิน คิมใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้หันมาจ้องตา คิมพยายามชั่งใจตัวเอง แต่มันก็ห้ามความต้องการไม่ได้ จึงตัดสินใจโน้มใบหน้าลงไปประกบจูบทันที

            “อื้อออ”

            เลิฟพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากการกระทำของอีกฝ่าย ยิ่งขัดขืนกลับทำให้นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นเมื่อวัยเด็ก ขณะกำลังนั่งเล่นกันอยู่ข้างบ้านสองต่อสอง อยู่ๆ อาร์ทก็เอาปากมาประกบปากเขาเหมือนในละคร เขาไม่รู้ว่าการทำแบบนั้นมันเรียกว่าอะไร เพียงแต่รู้สึกดี และหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอยู่บ่อยๆ

            “ไหนพี่บอกว่าไม่ได้เป็นเกย์ไง แล้วที่ทำกับผมมันคืออะไร” เมื่อผละใบหน้าออกมาแล้ว เลิฟก็ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเอง ลุกขึ้นแล้วรีบนำสมุดไปเก็บไว้ในลิ้นชัก ล็อกกุญแจเอาไว้

            “กู....ต้องการทดสอบมึงไงว่าจะอ่อนไหวกับกูรึเปล่า” คิมก้มหน้าตอบ เขาไม่รู้จะหาเหตุผลที่ดีกว่านี้มาอธิบายได้ยังไงกัน เพราะเมื่อสักครู่มันเกิดจากอารมณ์ของเขาล้วนๆ

            “เป็นไงล่ะ เห็นรึยังว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ถ้าพี่ทำแบบนี้อีกผมเลิกคบกับพี่แน่”

            “กูขอโทษเว้ย ต่อไปกูจะไม่ทำอีกแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราจูบกันนี่หว่า ตอนเป็นเด็กเรายัง....” คิมยังจำเรื่องราวในอดีตได้ดี

            “ผมจำไม่ได้หรอกว่าเคยทำอะไรเอาไว้ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ชอบผู้ชายพี่เข้าใจป่ะ ผมจะถือว่าเรื่องนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นละกัน”

            “ไอ้ห่าทำหน้าตาซีเรียสเชียว กูก็แค่หยอกมึงเล่นเท่านั้นเองล่ะ ทำเป็นจริงจังไปได้น่า เดี๋ยวนี้ผู้ชายแมนๆ กอดจูบกันในซีรีย์มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วเว้ย” คิมเริ่มปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ใบหน้าที่เคยจริงจังตอนนี้เริ่มผ่อนคลาย มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง

            “ผมเริ่มตามอารมณ์พี่ไม่ทันแล้วเนี่ย” เลิฟมองอีกฝ่ายอย่างระแวง ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนอีก

            “กูเชื่อแล้วว่ามึงแมนเต็มร้อย เมื่อกี้มึงขัดขืนสุดฤทธิ์สุดเดช ถ้าเป็นเกย์คงจะรวบหัวรวบหางกูไปนานแล้ว”

            “คราวหลังอย่าเล่นอย่างนี้อีกนะครับ ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

            “มึงเดินลงไปก่อนเถอะ เดี๋ยวกูตามลงไป” คิมนั่งอยู่บนเตียงมีผ้าห่มมาคลุมที่ท่อนล่างเอาไว้

            “อย่าแม้แต่จะคิด กุญแจอยู่ในมือผมแล้ว” เลิฟคิดว่าอีกฝ่ายยังจ้องที่จะอ่านสมุดบันทึกเล่มนั้นอยู่

            “ไอ้ห่ากูปวดขี้ ขอเข้าห้องน้ำแปบเดี๋ยวตามลงไป”

            “เออๆ ถ้างั้นก็ตามลงมาละกัน” ว่าแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง

            คิมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมองดูที่เป้าตัวเอง มันกำลังตุงออกมาจนเกือบจะทะลุกางเกงเสียให้ได้ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขามีอารมณ์กับไอ้รุ่นน้องหน้าหล่อ แล้วถ้าเป็นผู้หญิงล่ะเขาจะยังมีรมณ์อย่างนี้ไหม คิมเริ่มอยากจะพิสูจน์ตัวเองซะแล้ว

หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.4 ลมหวน l Up:03-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-08-2018 22:22:10
 :katai1:

อีพี่คิม จะทำให้เรื่องมันยาก จริงๆ
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.4 ลมหวน l Up:03-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-08-2018 03:03:35
เรื่องที่คิดจะแกล้งน้อง ถ้ารู้ถึงหูพวกแม่ ๆ คิมจะเป็นไงนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.4 ลมหวน l Up:03-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-08-2018 07:42:51
คิม อยากรู้ว่า ถ้าเป็นผู้หญิงจะยังมีรมณ์อย่างนี้ไหม   o18
ก็ต้องพิสูจน์กันแล้ว   :m20: :laugh:

แต่คิม ทำตัวไม่ดีเลย  ที่ก้าวก่ายบันทึกของเลิฟ   :m16:
แล้วยังใช้กำลังแย่งช่วงชิงอีก   :fire:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.5 เรื่องชกต่อย l Up:04-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 04-08-2018 21:04:27
-๕-

เรื่องชกต่อย



            วันต่อมาคิมได้โทรนัดหญิงมาดูหนังที่ห้างแห่งหนึ่ง นี่คือการมาเจอกันสองต่อสองเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ นานมากแล้วที่คิมไม่ได้นัดเดทกับหญิงสาวคนไหนเลย แม้จะมีคนเข้ามาให้เลือกหลายคน แต่หากจะคบหากับใครสักคน หญิงคือคนแรกที่เขาจะนึกถึง เพราะอีกฝ่ายเฝ้าติดตามเขามาอย่างสม่ำเสมอ

            “หญิงไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้มาดูหนังกับพี่คิม”

            “พี่อยากตอบแทนที่น้องหญิงน่ารักมาตลอดยังไงล่ะครับ” คิมส่งรอยยิ้มหวานให้

            “ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาสหญิง” หญิงสาวทำท่าทีเขินอาย

            “เข้าไปในโรงหนังกันเถอะพี่จองที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว”

            “สุภาพบุรุษสุดๆ หญิงปลื้มพี่คิมที่สุดเลยค่ะ” เจ้าหล่อนยิ้มหวานให้

            คิมได้แต่ยิ้มตอบ แล้วเอื้อมไปจับมือหญิง เดินเคียงข้างกันเข้าไปในโรงหนัง ที่กำลังจะฉายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว

            หนังรอบนี้คนค่อนข้างบางตา คิมจองที่นั่งสวีทเอาไว้ ทำให้การดูหนังในครั้งนี้ค่อนข้างจะโรแมนติก เพราะที่นั่งชั้นบนสุดมีแค่เขากับหญิงเท่านั้น

            “พี่คิมรู้ได้ไงว่าหญิงชอบเรื่องนี้อ่ะ” หญิงเอ่ย ขณะกอดแขนชายหนุ่มเอาไว้ นั่งตัวติดกันแทบไม่มีช่องว่างเลยสักนิด

            “จริงๆ พี่ก็ไม่ได้คิดว่าหญิงจะชอบหรอก พี่เลือกตามที่พี่ชอบ” คำตอบของคิมทำให้หญิงถึงกับยิ้มแหยๆ

            “แสดงว่าเราชอบอะไรเหมือนกัน อย่างนี้พอจะเป็นแฟนกันได้ไหมคะ”

            “ทำไมหญิงถึงชอบพี่ขนาดนี้ครับ”

            “ก็พี่คิมทั้งหล่อ ทั้งเท่ และที่สำคัญหุ่นก็เซ็กซี่ขนาดนี้ ใครไม่ชอบก็บ้าแล้ว” หญิงเอ่ยพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ที่ต้นแขนราวกับต้องการยั่วยวนอีกฝ่าย คิมเริ่มเหงื่อตกเมื่ออยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ สิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์มันอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ควรจะใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด

            “หญิงก็ชมพี่เกินไป” คิมจ้องตาอีกฝ่าย กุมมือหญิงสาวเอาไว้

            “ไม่เกินไปหรอกค่ะ พี่คิมเป็นอย่างที่หญิงพูดจริงๆ”

            สายตาที่จ้องมองกันอยู่นั้น เหมือนมีแรงดึงดูดให้ใบหน้าของคนทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันเรื่อยๆ จนในที่สุดริมฝีปากก็สัมผัสกัน คิมบดจูบริมฝีปากหญิงสาวตามสัญชาตญาณของเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อตลอดเวลา มือหนาเอื้อมไปสัมผัสที่เนินอกเต่งตึงผ่านทางเสื้อนักเรียนตัวบาง ก่อนจะบีบเคล้นเล่นอย่างสนุกมือ เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองยังคงต้องการผู้หญิง นั่นเพราะไอ้เจ้าน้องชายที่เคยหลับใหลเริ่มตื่นตัวขึ้นมาแล้ว ก่อนที่อะไรมันจะเกินเลยไปกว่านี้ภาพยนตร์ก็เริ่มฉายพอดี ทำให้ทั้งสองผละออกจากกันอย่างเสียดาย คิมทำตัวให้เป็นปกติ จับมือหญิงเอาไว้ ส่งยิ้มให้ แล้วหันไปสนใจหน้าจอขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า

*-*-*-*-*-*-*

            ตอนเที่ยงของอีกวัน หลังจากทานข้าวที่โรงอาหารแล้ว เลิฟและโด้ก็มานั่งเล่นที่ประจำใต้ร่มจามจุรีข้างอาคารเรียน ต่างฝ่ายต่างนั่งสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเอง พร้อมทั้งหยิบขนมบนโต๊ะกินไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย

            เลิฟเข้าไปส่องอินสตาแกรมของคิม ดูรูปภาพที่อีกฝ่ายอัพลง ภาพส่วนมากเข้ากับสโลแกนของแก๊งช่างยนต์เซ็กซี่บอย เพราะมีแต่ภาพที่เปลือยท่อนบนโชว์ซิกแพค ให้บรรดาสาวๆ เข้ามากดไลค์และคอมเมนท์กัน ภาพที่โชว์เซ็กซี่จะมียอดไลค์และคอมเมนท์เยอะกว่าภาพปกติ เลิฟเห็นอย่างนั้นก็เบ้ปากใส่หน้าจอตัวเอง เพราะรู้สึกหมั่นไส้กับความหลงตัวเองของรุ่นพี่ รอให้เขามีหุ่นที่ดีกว่านี้ก่อนเถอะ จะลงให้เยอะกว่านี้ให้สาวๆ ย้ายเข้ามาสิงสถิตที่อินสตาแกรมเขาแทน

            “ทำไมทำหน้าอย่างกับตูดลิงอย่างนั้นวะ” โด้เงยหน้าขึ้นมามองแล้วเอ่ยถาม

            “เปล่า กูแค่เซ็งๆ” เลิฟตอบแล้วรีบเปลี่ยนไปเล่นเฟชบุ๊คแทน

            “อย่างมึงมีเรื่องให้เซ็งด้วยเหรอวะ หรือเซ็งว่าจะเลือกสาวคนไหนดี”

            “กูก็คนนะเว้ย มีทุกอารมณ์ ใครจะเหมือนมึงตอนนี้โลกกำลังเป็นสีชมพูซะเหลือเกิน”

            “แน่นอนคนมันหล่อ”

            “แต่กูหล่อกว่ามึง”

            “แล้วไง หล่อไม่มีประโยชน์ แฟนสักคนก็ไม่มี จีบใครก็ไม่จีบ มึงจะเก็บความโสดความซิงไว้ชิงโชครึไงวะไอ้เลิฟ”

            “เรื่องของกูโว้ย มึงเอาตัวเองให้รอดก่อนค่อยมาแนะนำกู”

            “กูเอาตัวรอดแน่นอนเว้ย มึงนั่งอยู่นี่ก่อนนะกูขอตัวโทรไปหาน้องโจ้ก่อน น่าจะกินข้าวเสร็จแล้ว” โด้ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ แล้วหันไปเอ่ยกับเพื่อน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของโด้และโจ้เริ่มเดินหน้าไปได้พอสมควรแล้ว นั่นเพราะโด้เทียวโทรไปหยอดคำหวานอยู่เรื่อยๆ ทำให้เด็กที่ไร้เดียงสาอย่างโจ้หลงคารมได้ไม่ยาก

            “เออๆ ไม่ต้องรีบนะมึง” เลิฟเอ่ยแซวเพื่อน แล้วหันมาสนใจขนมบนโต๊ะต่อ

            เลิฟกินขนมและนั่งเล่นมือถือไปด้วย ไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้คิมได้มายืนอยู่ข้างโต๊ะมองดูอยู่ได้สักพักแล้ว เมื่อกินขนมจนฝืดคอ มือเรียวก็ควานหาขวดน้ำดื่มที่วางอยู่ใกล้กันแต่ก็ไม่เจอ จึงเอะใจแล้วหันไปมอง ก็ไม่เห็นขวดน้ำของตัวเองจริงๆ

            “น้ำมึงอยู่นี่” เสียงเข้มเอ่ยมาจากด้านหลัง เลิฟรีบหันกลับไปมองก็เจอกับรุ่นพี่ ทำหน้าทะเล้นส่งยิ้มให้ ในมือทั้งสองข้างก็ถือขวดน้ำดื่มและแก้วเป๊บซี่คนละข้าง

            “พี่คิมมาได้ไงเนี่ย”

            “ก็เดินมาสิวะ อ่ะกูซื้อเป๊บซี่มาฝาก” ว่าแล้วก็ยื่นแก้วเป๊บซี่ให้

            “ขอบคุณครับ” เลิฟเอื้อมมือไปรับมาแล้วดื่มด้วยความสดชื่น

            “เพื่อนมึงไปไหนแล้วล่ะ” คิมเอ่ยถามเมื่อนั่งลงข้างกันแล้ว

            “มันไปโทรศัพท์หาแฟนอ่ะพี่ แล้วพี่มานี่มีธุระอะไรรึเปล่า” เลิฟเอ่ยถามเมื่อดื่มเป๊บซี่พร่องจนเหลือครึ่งแก้วแล้ว

            “กู...เดินผ่านมาเห็นมึงเข้าพอดีเลยเดินมาทักทาย” เจ้าตัวทำหน้าเหลอหลา

            “แล้วเป๊บซี่แก้วนี้บังเอิญด้วยป่ะครับเนี่ย”

            “ก็เออสิวะ กูกะจะซื้อมากินเอง เห็นมึงกำลังหิวน้ำเลยเปลี่ยนใจให้มึงแทน มึงจะถามอะไรกูนักหนาวะ” คิมมองหน้าอีกฝ่าย ทำตาเลิ่กลั่ก ก่อนจะสะดุดที่ริมฝีปากหยักได้รูปที่กำลังเม้มอยู่ ภาพที่จูบกันในวันนั้นก็ลอยขึ้นมาในหัวทันที

            “ก็เปล่า ผมแค่สงสัยไม่ได้รึไง”

            “ช่างสงสัยจริงๆ นะมึงอ่ะ ว่าแต่เย็นนี้จะไปฟิตเนสอีกป่ะ กูจะได้ขับรถไปรับที่บ้าน”

            “ไปก็ได้พี่ แต่ช่วงนี้อาจจะนานๆ ทีนะ เพราะพี่แจ๊บเพิ่มเวลาซ้อม เดือนหน้าพวกผมต้องไปแข่งแล้วอ่ะ” เลิฟบอก

            “ออ...ไม่เป็นไรเอาไว้เวลาว่างๆ ค่อยเจอกันก็ได้”

            “ครับพี่”

            เมื่อสายตาคนทั้งสองประสานกัน ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลย และมันก็เป็นอย่างนั้นนานเกือบนาที

            “เงียบทำไม”

            “พี่นั่นล่ะเงียบทำไม”

            “มึงเคยคิดถึงกูบ้างป่ะ ตั้งแต่วันที่กูย้ายออกไป” คิมอดถามไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเลิฟคือน้องข้างบ้านสมัยเมื่อยังเด็ก เขาเองยังไม่มีโอกาสได้คุยกันถึงเรื่องนี้เลย

            “ทำไมถึงถามเรื่องนี้อีกล่ะ ผมบอกแล้วไงว่าจำอะไรไม่ได้แล้ว” เลิฟหลุบตาลง หยิบแก้วเป๊บซี่มาดื่ม

            “นั่นสินะเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ใครจะไปจำได้ กูก็ช่างถามอะไรบ้าๆ” เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างนั้น คิมก็ไม่มีอะไรจะต้องถามต่อแล้ว ความทรงจำในวัยเด็กคงไม่มีความหมายอะไรกับไอ้หน้าหล่อ คงมีแต่เขาที่ยังคงโง่จำเรื่องพวกนี้ได้ขึ้นใจ

            “ผมว่าเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วแยกย้ายกันดีกว่าพี่” เลิฟลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ เก็บซองขนมบนโต๊ะเตรียมไปทิ้งถังขยะ

            “แล้วเจอกันว่ะ เลิกเรียนกูไปรับที่บ้านนะ”

            “ครับพี่”

            ร่ำลากันแล้วทั้งสองก็แยกย้ายกัน เลิฟเดินไปหาเพื่อนรักที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ สะกิดที่หลังให้รู้ตัวว่าตอนนี้ถึงเวลาขึ้นเรียนแล้ว ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นไปยังอาคาร

*-*-*-*-*-*-*

            เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เลิฟก็ปั่นจักรยานกลับบ้านเหมือนปกติทุกวัน แต่ทว่าวันนี้กลับเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น นั่นเพราะหน้าโรงเรียนมีนักศึกษาช่างประมาณสิบกว่าคนกำลังตะลุมบอนกัน เมื่อเห็นเพื่อนร่วมสถาบันโดนรุมทำร้ายจากนักศึกษาต่างสถาบัน เจ้าตัวก็ไม่รอช้า รีบปั่นจักรยานตรงดิ่งเข้าไปช่วยอีกแรง

            “ไอ้พวกหมาหมู่” เลิฟวิ่งเข้าไปซัดหมัดใส่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดคน ส่วนนักศึกษาวิทยาลัยช่างบางกอกมีเพียงสามคนเท่านั้น

            ผั๊วะ!!!

            “มึงแส่หาเรื่องเองนะโว้ย”

เลิฟโดนสวนหมัดเข้าใบหน้าเต็มแรงจนล้มลงกับพื้น จากนั้นก็โดนคล่อมตัวเอาไว้ ฝ่ายตรงข้ามรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง เจ้าตัวพยายามจะสวนคืนแต่ก็สู้แรงไม่ได้ แทนที่จะมาช่วย กลับกลายเป็นว่ามาร่วมรับชะตากรรมด้วยกันซะอย่างนั้น

            “ไอ้โอมมึงช่วยน้องมันหน่อยดิวะโดนอัดน่วมแล้วนั่น” แม้จะโดนคู่อริเล่นงานอยู่ แต่เข้มก็อดสงสารไอ้รุ่นน้องหน้าหล่อไม่ได้ เสือกเข้ามาซวยด้วยแท้ๆ

            แม้ว่าหัวคิ้วจะแตกจนมีเลือดไหลแต่โอมก็พยายามปลีกตัวเข้าไปช่วยรุ่นน้อง ดึงคู่อริที่นั่งคร่อมตัวเลิฟขึ้นมาสวนหมัดเข้าให้ แต่ทว่าเจ้าตัวกลับโดนหนุ่มหัวเกรียนที่อยู่ด้านหลังล็อกแขนไว้ ให้คนที่โอมเพิ่งสำเร็จโทษ ซัดหมัดคืนเข้าที่หน้าท้องจนตัวงอ

            “เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย” เสียงดังมาจากหน้ารั้ววิทยาลัย คิมนำทีมเพื่อนนับสิบวิ่งกรูเข้ามา ทำให้นักศึกษาต่างสถาบันทั้งเจ็ดคน รีบขึ้นรถหนีไปทันที

            ส่วนเลิฟและรุ่นพี่ทั้งสามคนก็นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น  คิมรีบเข้าไปพยุงตัวเลิฟขึ้นมาทันที ตอนนี้ใบหน้าของเขามีรอยฟกช้ำ เลือดไหลมุมปาก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินเศษหญ้า

            “เป็นไงบ้างวะ”

            “ยังไหวพี่” พูดแล้วก็ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด

            “ยังจะมาปากเก่งอีกนะมึง เดี๋ยวกูจะพากลับบ้านตอนนี้เลย”

            ก่อนจะเดินไปโอมก็มาขวางเอาไว้เสียก่อน “อย่าเพิ่งไป”

            “มึงมีอะไรอีกวะไอ้โอม เพราะพวกมึง เลยทำให้ไอ้เลิฟมันต้องเจ็บตัวอย่างนี้” ด้วยความเป็นห่วงรุ่นน้องทำให้คิมรู้สึกหงุดหงิด พลั้งปากกล่าวโทษคนที่อยู่ตรงหน้า

            “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงวะ กูเป็นต้นเหตุกูจะพาน้องมันกลับบ้านเอง” โอมจะเดินเข้าไปหา ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพแย่ไม่ต่างกัน

            “พาตัวเองกลับบ้านให้ได้ก่อนเถอะค่อยมาช่วยคนอื่น เด็กกูกูพากลับบ้านเองได้”

            “ถามน้องมันรึยังว่าอยากเป็นเด็กมึงรึเปล่า”

            เลิฟมองหน้ารุ่นพี่ทั้งสองสลับกัน ก่อนจะเอ่ยปากเพื่อให้หยุดทะเลาะกัน

            “หยุดได้แล้วครับ ผมจะปั่นจักรยานกลับเอง ไม่ให้ใครไปส่งทั้งนั้น”

            “ไม่ได้กูจะพามึงกลับเอง ถ้าเกิดรถเฉี่ยวกลางทางจะทำยังไง แม่มึงจะเป็นห่วงแค่ไหนรู้รึเปล่า” คิมไม่ยอมท่าเดียว

            “ถ้างั้นมึงก็ไปส่งน้องมันละกัน กูเองก็จะได้สบายใจ แค่นี้น้องมันก็เจ็บตัวมากพอแล้ว” โอมว่า แล้วหันไปมองหน้ารุ่นน้องที่เข้ามาช่วยเขาและเพื่อนอย่างไม่คิดชีวิต เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้โอมประทับใจในตัวเลิฟอยู่ไม่น้อย “ขอบใจมึงมากนะที่เข้ามาช่วยพวกกู ทั้งที่ไม่ได้มีทักษะต่อยตีเหี้ยอะไรเลย คราวหลังอย่าเข้ามาส่งเดชอย่างนี้อีก เดี๋ยวจะตายโดยไม่รู้ตัว”

            “ครับพี่” เลิฟตอบ

            จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ คิมวานให้เพื่อนขี่จักรยานของเลิฟไปให้ที่บ้าน ส่วนเขาก็พาอีกฝ่ายนั่งซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์กลับ

            ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่หน้าร้านแล้ว เลิฟไม่อยากให้ผู้เป็นแม่มาเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้เลย เพราะกลัวว่าจะโดนดุ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใครให้แม่หนักใจเลยสักครั้ง

            “ทำไมยังไม่เดินเข้าไปอีกวะ”

            “ผมกลัวแม่จะดุ ไม่เคยกลับบ้านในสภาพนี้มาก่อนเลย” เลิฟเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล

            “ไม่ต้องกลัวกูจะเข้าไปด้วย จะอธิบายให้แม่มึงฟังเอง” คิมกอดคอรุ่นน้องพาเดินเข้าไปด้านใน

            เมื่อพิมพ์พรเห็นสภาพลูกชายของตัวเอง เธอก็ตกใจ รีบเดินเข้ามาหาทันที

            “เลิฟไปโดนอะไรมาทำไมเนื้อตัวสะบักสะบอมอย่างนี้” เมื่อเรียวจับเนื้อตัว มองดูลูกชายด้วยความเป็นห่วง

            “พอดีผมเห็นรุ่นพี่โดนรุมทำร้ายก็เลย....เข้าไปช่วยครับ” เลิฟตอบไปตามความจริง

            “แม่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปมีเรื่อง ครั้งเดียวก็ไม่ได้ ทำไมลูกถึงไม่เชื่อฟังแม่ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแม่จะอยู่กับใครห๊ะ” เมื่อรู้ว่ารอยฟกช้ำบนตัวลูกชายเกิดจากการถูกชกต่อย เธอก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เคยย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเด็ดขาด แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้

            “แม่จะให้ผมยืนดูเฉยๆ งั้นเหรอครับ” เขารู้ว่าแม่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าเป็นใครมาเห็นอย่างนั้นเข้า ก็คงจะทำเช่นเดียวกัน

            “แล้วถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ แม่ไม่น่าให้ลูกมาเรียนที่นี่เลยจริงๆ ไหนสัญญากับแม่นักหนาว่าจะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเด็ดขาดไงล่ะ”

            “แต่มันก็จำเป็นนะครับแม่ ถ้าเจออย่างนี้อีกผมก็จะทำเหมือนเดิม” เลิฟโมโหจนลืมตัวขึ้นเสียงใส่ผู้เป็นแม่

            “ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกแม่จะให้ลูกย้ายไปเรียนที่อื่น” พิมพ์พรเอ่ยคำขาด เขาจะไม่มีทางให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีกเด็ดขาด

            “แม่ไม่เข้าใจผมเลย” เลิฟน้ำตาคลอเบ้าแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนห้อง

            พิมพ์พรมองตามหลังลูกชายผ่านม่านน้ำตา เธอจำเป็นต้องเด็ดขาดกับเรื่องนี้ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาเธอคงจะรับมันไม่ได้ ต้องเสียสามีจากการโดนลูกหลงเด็กช่างยกพวกตีกันมาแล้วหนึ่งคน เธอจะไม่ยอมเสียลูกชายอีก แต่เหมือนโชคชะตาช่างกลั่นแกล้งเธอเหลือเกิน เพราะลูกชายอยากเข้าไปเรียนสายอาชีพ แต่เห็นว่าเลิฟเป็นเด็กดีมาตลอดจึงยอมตอบตกลงไป

            “เดี๋ยวผมจะขึ้นไปคุยกับน้องเองนะครับน้าพิมพ์”

            “น้าฝากด้วยนะ แกคงจะโกรธน้ามากเพราะไม่เคยโดนอย่างนี้มาก่อน”

            “ครับ น้าพิมพ์ก็อย่าคิดมากเลยนะครับ ถ้าเลิฟใจเย็นลงแล้วคงจะคิดได้เอง” ว่าแล้วคิมก็เดินขึ้นไปหารุ่นน้องบนห้องนอน

            มือหนาเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตู แต่ทว่ามันกลับถูกล็อกเอาไว้ จึงเคาะประตูห้องแทน

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “เลิฟให้กูเข้าไปหน่อย”

            “พี่กลับไปก่อนเถอะ ผมอยากอยู่คนเดียว” คนข้างในตะโกนตอบกลับมา

            “ถ้ามึงไม่เปิดกูก็จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”

            “..........”

            อีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาคิมจึงยืนรออยู่อย่างนั้น สักพักเสียงหมุนลูกบิดประตูก็ดังขึ้น พอเปิดประตูเข้าไปอีกฝ่ายก็โถมตัวเข้ามากอดทันที คิมได้แต่อึ้งแล้วยืนนิ่งให้กอดอยู่อย่างนั้น มือหนาทั้งสองข้างเอื้อมไปโอบที่แผ่นหลังเพื่อปลอบใจ

            “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้นเอง”

            “ผมมันไม่ดีใช่ไหมพี่ ผมเป็นลูกอกตัญญู ผมขึ้นเสียงใส่แม่ ฮือๆ” เลิฟพร่ำบอก ร้องไห้ไม่ยอมหยุด เขาเกลียดตัวเองที่ทำอย่างนั้นใส่แม่ ทำให้แม่ต้องเสียใจ

            “น้าพิมพ์ไม่ได้โกรธมึงหรอกน่า แค่เป็นห่วง เลิกงอแงได้แล้ว” คิมผละตัวอีกฝ่ายออกเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าหล่อที่แปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “ไหนมึงบอกว่าแมนเต็มร้อยไง ทำไมร้องไห้งอแงอย่างนี้วะ” คนพูดยิ้ม

            “ไม่เคยได้ยินคำว่าน้ำตาลูกผู้ชายเหรอ ฮึก”

            “เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นไง มึงเป็นคนแรกเลย นั่งรอที่เตียงเดี๋ยวกูไปหาผ้าเย็นมาประคบให้”

            “ผมทำเองได้น่าพี่กลับไปเถอะ”

            “กูจะกลับก็ต่อเมื่อประคบให้มึงแล้ว และมึงต้องลงไปขอโทษแม่ก่อน” ว่าแล้วก็เดินออกไปเอาอุปกรณ์สำหรับประคบเย็นข้างล่าง

            ส่วนเลิฟก็นั่งรออยู่บนเตียง ทำไมเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้เขาถึงได้รู้สึกอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ที่จริง

มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อสมัยยังเด็กแล้ว

            “นั่งเหม่ออะไรอยู่ หรือกำลังคิดถึงกู” คิมพูดหยอก ในมือก็มีถังน้ำแข็งใบเล็กมาพร้อมกับผ้าสะอาด

            “บ้า! ใครจะไปคิดถึงพี่ ผมกำลังคิดหาคำพูดจะไปขอโทษแม่ต่างหากล่ะ” เลิฟรีบปฏิเสธแล้วเบ้ปากใส่

            “หันหน้ามาดิ๊ แล้วก็อยู่นิ่งๆ” คิมนำน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ใส่เข้าไปในผ้าแล้วมัดเป็นก้อน นำมาประคบตามใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำให้อย่างเบามือ

            “พี่เบาๆ ผมเจ็บ”

            “จำแล้วจะได้จำไงว่าอย่าทำแบบนี้อีกเด็ดขาด ถ้าเจอก็ต้องรีบแจ้งตำรวจทันที อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนี้”

            “ทำอย่างกับพี่ไม่เคยงั้นล่ะ เราเรียนช่างกันนะเว้ยพี่ มันก็ต้องมีบ้างล่ะ”

            “มึงฟังให้ดีนะ ถึงแม้กูจะเรียนที่นี่มาสามปีแล้ว แต่กูก็ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยอย่างนี้มาก่อน”

            “ผมไม่เชื่อ”

            “ไม่เชื่อก็ไปถามแม่กูดิ คนอย่างกูฉลาดพอที่จะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยง แถมยังทำให้พ่อแม่เสียใจอีก” สิ่งที่คิมพูดมาเหมือนเป็นการประชดกลายๆ

            “นี่พี่กำลังหลอกด่าผมอยู่เหรอ พี่แม่ง....”

            “แม่งอะไร พูดให้มันดีๆ นะเว้ย ไม่งั้นมึงได้แผลเพิ่มอีกแน่”

            “แหนะ...นักเลงขึ้นมาทันทีเลยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม่เคยมีเรื่องกับใคร”

            “แล้วแต่มึงจะเชื่อละกัน” คิมประคบไปเรื่อยๆ ส่วนเลิฟก็ไม่รู้จะวางสายตาไปไว้ตรงไหน มันมองวนเวียนที่ริมฝีปากของรุ่นพี่อยู่อย่างนั้น จนทำเอาเจ้าตัวหน้าแดงก่ำขึ้นมา

            “เสร็จรึยังพี่ผมอยากจะลงไปหาแม่แล้ว”

            “เสร็จแล้ว เดี๋ยวทายาก่อนค่อยลงไป” คิมวางผ้าลงในถังน้ำแข็ง แล้วหยิบยานวดที่เตรียมมาด้วย เปิดฝาแล้วบีบลงที่ปลายนิ้ว บรรจงทาให้ “ทำไมน้าพิมพ์ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้นวะ”

            “คือ...จริงๆ แล้วแม่ไม่อยากให้ผมเรียนที่นี่หรอก อยากให้เรียนโรงเรียนสามัญธรรมดา แต่ผมอยากเรียนสายอาชีพจึงขอร้องจนแม่ยอมใจอ่อน”

            “แล้วทำไมน้าพิมพ์ถึงไม่อยากให้มึงมาเรียนที่นี่วะ” คิมถามต่อ

            “เพราะกลัวว่าผมจะมีเรื่องชกต่อยไงล่ะ ก่อนเข้าเรียนผมเคยสัญญาว่าจะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่ผมก็ผิดสัญญาจนได้”

            “อ๋อ....ท่านคงเป็นห่วงมึงมาก ลูกชายคนเดียว หัวแก้วหัวแหวนก็งี้ล่ะ”

            “มันก็มีที่มาที่ไปอยู่อ่ะ พ่อผมตายเพราะโดนลูกหลงเด็กช่างกลอ่ะ แม่เลยไม่ค่อยชอบเรื่องแบบนี้ ไม่อยากให้ผมเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเด็กช่าง เพราะกลัวว่าจะเป็นอะไรไปเหมือนพ่ออีก” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เสียงของเลิฟก็อ่อยลงทันที

            “กูเข้าใจแล้ว เสร็จแล้วก็รีบลงไปขอโทษน้าพิมพ์เถอะ ในชีวิตมึงคงไม่มีใครหวังดีเท่าท่านแล้วล่ะ” คิมตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ คนที่เคยมีความทรงจำเลวร้ายในอดีตอย่างนั้น คิมเข้าใจว่ามันคงจะเจ็บปวดมากและคงกลัวว่าจะสูญเสียลูกชายไปอีก

            “ไม่จริง!” เลิฟตอบกลับ จ้องคนที่อยู่ตรงหน้า

            “ยังจะมาเถียงกูอีก” คิมเอ็ดทันทีเมื่ออีกฝ่ายดื้อ

            “นอกจากแม่แล้วยังมีพี่ไงที่หวังดีกับผม” เลิฟบอก

            คิมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน เจ้าตัวรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก “แน่นอนอยู่แล้ว” พูดจบก็ยักคิ้วให้

            “พี่คิม”

            “อะไรอีกวะ รีบๆ ลงไปหาแม่มึงดิอย่ามาเล่นลิ้น” คิมว่าพลางเก็บของไปด้วย

            “ถึงผมจะไม่ได้เป็นเกย์ แต่ถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายสักคนพี่คือตัวเลือกเดียวของผมนะ” หลายสิ่งหลายอย่างที่คิมได้ทำมา พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ตรงใจเขามากที่สุด แม้มันอาจจะยากที่จะได้คบกัน แต่ในเมื่อมีโอกาสแล้วทำไมจะต้องมาปิดบังความรู้สึกที่เก็บไว้มาตลอดด้วยล่ะ

            “พูดแล้วห้ามคืนคำนะเว้ย ถ้าคบกับกูมึงได้โทรมทั้งเช้าทั้งเย็นแน่” คิมตอบกลับขำๆ แต่ใบหน้าคมกลับแดงก่ำซะอย่างนั้น

            “ไม่มีทาง...เพราะถ้ามีวันนั้นผมจะเป็นคนจับพี่กดเอง” เลิฟยักคิ้วให้บ้าง

            “รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ เดี๋ยวมึงก็ได้รู้ว่าการมีผัวที่เซ็กส์จัดมันเป็นยังไง ห้ามพูดต่อรีบลงไปเลย” คิมชี้หน้าห้ามเอาไว้

            “ครับๆ เจ้านาย ขอบคุณนะพี่ที่มาเตือนสติผม ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีกเด็ดขาด” เลิฟเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

            “ทำให้ได้อย่างที่พูดละกัน”

            ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง

             เลิฟกราบขอโทษผู้เป็นแม่และให้คำสัญญาอีกครั้งว่าจะไม่ทำเรื่องอย่างนี้อีกเด็ดขาด จะรักษาตัวเองให้ปลอดภัย และเรื่องที่ไม่เข้าใจกันของสองแม่ลูกก็คลี่คลายลงไปในช่วงเวลาแค่ไม่นาน
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.5 เรื่องชกต่อย l Up:04-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-08-2018 22:41:10
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.5 เรื่องชกต่อย l Up:04-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-08-2018 02:38:43
แม่ห้ามไม่เชื่อ พอคนอื่นห้ามเชื่อนะงั้น สมควรแล้วที่แม่น้อยใจ  :o10:
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.6 โดนจับได้ l Up:05-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 05-08-2018 20:23:19
-๖-

โดนจับได้



            “ไอ้หน้าหล่อ!” เลิฟกำลังเดินตรงเข้าไปโรงอาหารกับเพื่อนต้องหยุดชะงัก แล้วหันหลังกลับมามองต้นเสียง

            “อ้าว! พี่นั่นเองสวัสดีครับ” เลิฟยกมือไหว้ เมื่อรู้ว่าเป็นใคร

            “กำลังจะไปกินข้าวกันใช่ป่ะ” โอมถาม

            “ครับพี่ พี่ชื่อโอมใช่ป่ะ ผมเลิฟนะครับ”

            “เออ เป็นไงบ้างยังเจ็บอยู่รึเปล่าวะ”

            “ดีขึ้นแล้วพี่ ว่าแต่พี่เถอะโดนหนักกว่าผมอีก ดีขึ้นบ้างยัง”

            “คนอย่างกูตายยาก เข้าไปกินข้าวกันเถอะวันนี้เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

            “จะดีเหรอพี่ ผมเกรงใจอ่ะ” 

            “ดีสิวะ เกรงใจห่าอะไรคนกันเอง” โอมว่าแล้วก็กอดคอรุ่นน้องเดินเข้าไปในโรงอาหาร ทำตัวอย่างกับคนสนิทสนมกันมานาน

            เมื่อเลือกซื้ออาหารกันแล้ว ทั้งหมดก็กลับมานั่งที่โต๊ะ เลิฟกับเพื่อนนั่งฝั่งเดียวกัน ส่วนโอมนั่งฝั่งตรงข้าม อาหารก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก เพราะส่วนมากจะเป็นข้าวราดแกง แต่มีเมนูเพิ่มเข้ามานั่นคือส้มตำ ไก่ย่าง และเครื่องดื่มนั่นเอง

            “ขอบคุณพี่โอมมากนะครับ” เลิฟเอ่ย

            “กูต่างหากที่ต้องขอบใจมึง ที่ตั้งใจเข้าไปช่วยกูเมื่อวานนี้”

            “ดีนะที่มึงไม่เป็นอะไรมาก ช่วงนี้พี่แจ๊บยิ่งบอกให้ระวังตัวเองอยู่ด้วย ถ้านักร้องนำร้องเพลงไม่ได้จบเห่กันเลย” โด้ว่าให้เพื่อน

            “มึงจะบ่นเหี้ยอะไรไอ้โด้ กูไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกน่า”

            “ช่วงนี้มึงว่างป่ะวะกูจะชวนไปดริ้งซะหน่อย” โอมเอ่ยปากชวนทั้งสองคน

            “ผมบอกตรงๆ นะพี่ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่อยากจะไปเสี่ยงอะไรแล้ว ผมสัญญากับแม่ไว้แล้วด้วย ต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ แถมช่วงนี้ยังต้องซ้อมเกือบทุกวัน ส่วนบางวันก็ต้องไปฟิตเนสกับพี่คิมอีกด้วย แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย” เลิฟบอก

            “มึงสนิทกับไอ้คิมมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ” เห็นจากเมื่อวานและฟังจากเลิฟพูดเมื่อสักครู่ ก็พอจะเดาออกว่าทั้งสองน่าจะสนิทกันในระดับหนึ่ง

            “ก็ประมาณนึงอ่ะครับ”

            “พี่คิมมาจีบมันครับพี่ รู้จักกันแป๊บเดียวไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ บ่อยกว่าผมซะอีก” โด้แซวเพื่อนเล่นๆ

            “ไอ้ห่าเดี๋ยวพี่เขาก็คิดอย่างนั้นจริงๆ หรอก” เลิฟหันไปเอ็ดเพื่อน

            “ก็มันจริงนี่หว่า” โด้พูดทั้งที่ยังมีข้าวเต็มปากอยู่

            “ยังๆ ยังไม่หยุดอีก มึงอยากกินตีนกูแทนข้าวรึไงวะ”

            “เออๆ หยุดก็ได้วะกูแค่ล้อเล่นเอง ทำเป็นจริงจังไปได้” โด้ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วลงมือทานข้าวต่อ

            เลิฟหันไปยิ้มให้รุ่นพี่ “โทษทีนะครับพี่ มันกวนตีนผมอย่างนี้ประจำ”

            “ไม่เป็นไรกูเข้าใจเพื่อนกูก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน”

            “เอ้อ...แล้วเพื่อนพี่ล่ะไปไหนกันหมด”

            “วันนี้พวกมันไม่มาอ่ะ โดนพ่อกับแม่กักบริเวณ” โอมทำหน้าเซ็ง วันนี้เขาไม่มีเพื่อนให้พูดคุยเล่นเหมือนทุกวัน

            “เพราะเรื่องเมื่อวานนี้ป่ะ”

            “ใช่”

            “ผมนึกว่าตัวเองโดนหนักแล้ว ยังมีคนโดนหนักกว่าผมซะอีก อย่างนี้คงเข็ดไปอีกนานเลยอ่ะดิ”

            “จริงๆ พวกกูไม่ได้อยากจะมีเรื่องเลยนะเว้ย พวกมันต่างหากที่ชอบมาหาเรื่อง อย่างนี้ใครจะทนไหวล่ะวะ”

            “แล้วมีปัญหาเรื่องอะไรกันอ่ะพี่ เล่าให้ฟังได้ป่ะ” เลิฟทำหน้าอยากรู้อยากเห็น

            “กูเคยแย่งแฟนมันมา ตอนนี้ก็เลิกกันแล้วนะ แต่มันยังแค้นไม่เลิก”

            “ออ...เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มันก็พูดยากนะพี่ เอาเป็นว่าอย่าไปแย่งแฟนใครเป็นดีที่สุด ผมเตือนแล้วนะ ฮ่าๆ” เลิฟไม่อยากให้อีกฝ่ายซีเรียสจึงพยายามทำให้เป็นเรื่องตลก

            “อย่ามาทำเป็นสอนกูหน่อยเลยมึงอ่ะ เคยมีความรักกับเขาด้วยเหรอ” โอมจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำขลับ ก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายมีคนที่อยู่ในใจแล้ว

            “เอ่อ....ก็มีบ้างล่ะครับพี่คนมันหล่อซะขนาดนี้” 

            “โน่นไงพี่แฟนมัน กำลังเดินเข้ามาซะด้วย” โด้โบ้ยหน้าไปยังทางเดิน ก็เจอกับชายหนุ่มรูปหล่อกำลังเดินตรงมา พร้อมกับแก้วเป๊บซี่

            เมื่อเดินมาถึงคิมก็นั่งลงข้างเลิฟ ยื่นแก้วเป๊บซี่ให้ “อ่ะ”

            “ขอบคุณคร้าบบบ” เลิฟยิ้มให้แล้วรับแก้วมา

            คิมมองหน้าโอม เลิกคิ้ว เหมือนตั้งคำถามว่ามานั่งทำอะไรที่นี่ การกระทำที่คิมแสดงออกนั้น โอมรู้ว่าตั้งใจแสดงความเป็นเจ้าของไอ้รุ่นน้องคนนี้ เหมือนต้องการบอกให้เขารู้ว่าอย่ามายุ่ง

            “มึงมาทำอะไรที่นี่วะไอ้โอม”

            “ที่นี่โรงอาหารกูก็มาแดกข้าวดิวะ” โอมตอบหน้าตาเฉย

            “แล้วทำไมต้องมากินกับไอ้สองตัวนี้ด้วยล่ะ”

            “แล้วเกี่ยวอะไรกับมึง กูจะมากินกับใครก็เป็นเรื่องของกูป่ะ แล้วมึงมาที่นี่ทำไมล่ะ” โอมถามกลับ

            “กูก็มาหาน้องกูไง” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นไปกอดคอคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

            เลิฟหันขวับไปมองหน้า ขมวดคิ้ว เหล่ตามองสื่อว่าให้เอามือออกไป

            “ดูท่าทางไอ้เลิฟจะไม่แฮปปี้กับมือของมึงเลยนะ” โอมยิ้มมุมปาก

            คิมจังหันไปมองหน้ารุ่นน้องแล้วเอ่ยถาม “มึงอึดอัดเหรอวะ”

            “อื้อ เอามือออกซะที ไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังกินข้าวอยู่” เลิฟตอบหน้าตาย ทำเอาคิมรู้สึกเสียหน้า ส่วนโอมกลับยิ้มเยาะอย่างพอใจ

            “อ่ะ ไก่ย่างชิ้นสุดท้าย กินเยอะๆ นะมึงจะได้โตเร็วๆ” โอมตักไก่ย่างใส่จานข้าวให้กับรุ่นน้อง ตั้งใจจะทำให้คิมโมโห

            “ขอบคุณครับพี่” เลิฟยิ้ม

            “โด่ว ผมกำลังจ้องอยู่พอดี พี่โอมอ่ะ” โด้มองตามไก่อย่างเสียดาย

            “มึงช้าเองไอ้โด้ ช่วยไม่ได้” โอมว่า

            “พวกพี่เอาใจแต่ไอ้เลิฟอยู่นั่นล่ะ ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าไปเลยอ่ะ ใช่สิ ผมมันไม่ได้น่าทะนุถนอมเหมือนไอ้เลิฟนี่หว่า” โด้แกล้งทำเป็นงอน

            “มึงหยุดเลย ทำอย่างนี้ไม่ได้น่ารักเหมือนน้องโจ้ของมึงเลยสักนิด” เลิฟว่าให้เพื่อน

            “ชู่ว์!!! มึงอย่าพูดไปดิวะเดี๋ยวเรื่องก็ถึงหูพี่แจ๊บหรอก” โด้กระซิบที่ข้างหูเพื่อน

            “อะไรยังไงมึงไอ้โด้ แอบกินน้องไอ้แจ๊บเหรอวะ กูจะฟ้องแม่ง” คิมมองหน้ารุ่นน้อง แล้วพูดขู่

            “อย่านะพี่ผมขอร้อง ถ้าพี่แจ๊บรู้เอาผมตายแน่” โด้ยกมือไหว้ขอร้อง

            “กลัวตายด้วยเหรอมึง”

            “โถ่พี่ ก็พี่แจ๊บดุซะขนาดนั้นใครจะไม่กลัวอ่ะ”

            “เออ กูไม่บอกหรอก กูสนับสนุนเต็มที่โว้ย” คิมว่า

            “ขอบคุณครับพี่คิม”

            “ส่วนมึงอิ่มแล้วไปคุยกับกูหน่อยนะ มีเรื่องจะพูดด้วย”

            “เรื่องอะไรเหรอพี่” เลิฟหันไปถาม

            “เดี๋ยวก็รู้น่าอย่าเพิ่งถาม รีบแดกเร็วๆ จะได้รีบไป” เจ้าตัวตั้งใจพูดประชดประชันโอม ตั้งใจให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเหนือกว่าทุกอย่าง

            “ถ้างั้นเดี๋ยวกูไปก่อนนะ เอาไว้วันหลังจะพาไปเลี้ยงข้าวข้างนอก” โอมบอกกับรุ่นน้องทั้งสองคน แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินไป

            “ขอบคุณนะครับพี่โอมที่เลี้ยงข้าวพวกผม” เลิฟเอ่ยพลางยกมือไหว้อีกครั้ง

            “ขอบคุณครับพี่” โด้เอ่ยตามอีกคน

            “เออๆ แล้วเจอกันเว้ย” โดมยิ้มแล้วเดินไป แต่ระหว่างนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะขอเบอร์โทรเลิฟเอาไว้ เผื่อได้โทรนัดกัน จึงหันกลับมา “ไอ้เลิฟ เอาเบอร์มึงมาหน่อย เผื่อกูจะโทรนัด”

            “ได้เลยพี่ 08X-XXX-XXXX”

            คิมกำลังจะเอ่ยปากห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

            “โอเคเดี๋ยววันหลังกูโทรไป” โอมยักคิ้วให้แล้วเดินไป

            คิมหันไปทำหน้าดุให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน บ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจที่เลิฟเอาเบอร์โทรให้ เขาลืมตัวไปว่าตอนนี้ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะห้ามอะไรเลย

            “มึงให้เบอร์มันไปทำไมวะ เดี๋ยวก็ชวนไปมีเรื่องมีราวกันอีก” คิมอ้าง แต่ใจจริงกลับกลัวว่าทั้งสองจะนัดกันไปไหนต่อไหน โดยที่เขาไม่รู้

            “พี่เขาไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่นา ไม่เห็นจะเสียหาย”

            “มึงรู้จักมันน้อยไป ไอ้นี่มันร้ายจะตาย กูขอเตือนว่าห้ามไปไหนมาไหนกับมันสองต่อสองเด็ดขาด” คิมขี้หน้าสั่ง ราวกับเป็นเจ้าชีวิตซะอย่างนั้น

            “ทำไมต้องห้ามขนาดนั้นด้วยล่ะ หรือว่าพี่คิมหึงอ่ะ” โด้ถาม ทำหน้ากวน

            คำถามนั้นทำให้อีกสองคนถึงกับทำหน้าไม่ถูก เพราะรู้ว่าความรู้สึกภายในใจตัวเองเป็นยังไง

            “ปากหมานะมึงไอ้โด้ เดี๋ยวกูก็บอกไอ้แจ๊บเรื่องน้องโจ้ซะหรอก”

            “ผมแค่พูดเล่นเองอ่ะพี่ ทำเป็นจริงจังไปได้ ไอ้เลิฟรีบเก็บจานเร็วกูอิ่มแล้ว” โด้รีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปเอ่ยกับเพื่อน ลุกขึ้นเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะไปเก็บ

            “รีบเผ่นเลยนะมึง” คิมว่า

            “สรุปพี่มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมอ่ะ รีบๆ พูดมาให้จบๆ”

            “แม่กูให้มาชวนมึงไปกินข้าวที่บ้าน วันนี้ว่างป่ะ”

            “วันนี้ติดซ้อมอ่ะพี่ไปไม่ได้”

            “ถ้างั้นพรุ่งนี้”

            เลิฟทำหน้าคิดก่อนจะตอบออกไป “พรุ่งนี้ได้ครับ”

            “ถ้างั้นพรุ่งนี้กูไปรับมึงที่บ้านตอนเช้า แล้วบอกแม่มึงด้วยท่านจะได้สบายใจ ขากลับเดี๋ยวกูพาไปที่บ้านเลย แล้วจะมาส่งอีกที โอเคตามนี้” คิมวางแผนเอาไว้เสร็จสรรพ จนเลิฟแทบไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

            “โห...ทำอย่างกับเป็นผู้จัดการส่วนตัวผมเลยอ่ะ” เลิฟเอ่ยแซว

            “ถ้ามึงต้องการกูเป็นให้ก็ได้นะ กูชอบ” คิมเน้นคำสุดท้าย จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำขลับอย่างลึกซึ้ง ทำเอาเลิฟถึงกับทำหน้าไม่ถูก หลุบตาลงแล้วรีบเก็บจานที่เหลือเพื่อเอาไปเก็บบ้าง

            “เดี๋ยวผมเอาจานไปเก็บก่อนนะ แล้วเจอกันนะพี่ผมไปล่ะ” เลิฟถือจานเอาไว้ในมือ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป ทิ้งให้รุ่นพี่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว

            นั่งยิ้มได้ไม่นานก็มีสายโทรเข้ามา

            Rrrrr….

            ชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอคือหญิงนั่นเอง หลังจากวันที่ไปดูหนังด้วยกัน เขายังไม่ได้ติดต่อไปเลยสักครั้ง เห็นอย่างนี้ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะตอนนี้เจ้าตัวกำลังเบนเข็มไปฝั่งเลิฟมากกว่า แต่ทว่าได้ถลำลึกกับหญิงไปแล้ว หากปฏิเสธมันอาจจะหักหาญน้ำใจของเธอ และดูเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวจนเกินไป

            “ว่าไงครับน้องหญิง”

            (“พี่คิมทำอะไรอยู่คะ”) เจ้าหล่อนเอ่ยเสียงหวานผ่านสายมา

            “เพิ่งกินข้าวเสร็จครับ แล้วหญิงล่ะทำอะไรอยู่”

            (“หญิงกำลังนั่งคิดถึงพี่คิมอยู่ไงคะ”)

            “อ่อครับ”

            (“แล้วพี่คิมคิดถึงหญิงบ้างไหมน้า”)

            “คิดถึงสิครับ”

            (“วันไหนเราจะได้เจอกันอีกคะเนี่ย หญิงอยากเห็นหน้าพี่คิมจะแย่แล้ว”)

            “เอาไว้วันหยุดละกันนะครับเราค่อยไปเที่ยวกัน”

            (“จริงๆ นะคะ ถ้างั้นหญิงขอคิดก่อนว่าจะไปไหนดี แล้วจะโทรไปบอกพี่คิมอีกทีนะคะ”) หญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ เมื่อจะได้เจอหน้าผู้ชายที่เธอรักอีกครั้ง

            “ครับผม แล้วเจอกันนะ พี่ต้องวางสายแล้ว”

            (“ค่ะพี่คิมแล้วเจอกันนะคะ จุ๊บๆ”)

            เมื่อวางสายไปแล้วเจ้าตัวก็ทำหน้ายุ่ง คิดในใจว่าไม่น่าไปทำอย่างนั้นในโรงหนังเลย เพราะมันทำให้หญิงคิดว่าตัวเองมีใจให้

                                                                        *-*-*-*-*-*-*-*

            หลังจากซ้อมดนตรีไปได้สักพักแล้ว โด้ก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ส่วนคนอื่นๆ ก็นั่งพักอยู่ในห้อง เมื่อเดินออกมาแล้วเจ้าตัวก็ยืนรอใครบางคน ที่กำลังเดินขึ้นมา

            โด้ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก่อนที่โจ้จะเข้าไปในห้องซ้อม เพื่อได้มีโอกาสพูดคุยกัน เพราะหลังจากโจ้เข้าไปในห้องแล้ว ทั้งสองต้องทำเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน เพื่อไม่ให้แจ๊บสงสัยนั่นเอง

            “น้องโจ้ทางนี้ครับ” เมื่อเห็นเด็กชายหัวเกรียนสะพายกระเป๋าเดินมาก็กวักมือเรียกทันที

            เมื่อได้ยินเสียงโจ้ก็รีบเดินตรงไปหาทันที

            “วันนี้ใครมาส่งอ่ะ”

            “ก็ไอ้นนท์เหมือนเดิมนี่ครับ” โจ้ตอบ นนท์คือเพื่อนในชั้นเรียนที่บังเอิญบ้านอยู่แถวนี้เลยแวะมาส่ง

            “แล้วไป นึกว่าเป็นผู้ชายคนอื่นไม่งั้นพี่ไม่เอามันไว้แน่” โด้แสดงความหึงหวงอย่างออกนอกหน้า

            “แล้วนี่ซ้อมเสร็จแล้วเหรอครับ”

            “ยัง...พี่ขอตัวมาเข้าห้องน้ำไง เราจะได้มีเวลาคุยกันสองต่อสอง เดินไปมุมโน้นกันดีกว่า สักพักค่อยเข้าไป” ว่าแล้วก็จูงมืออีกฝ่ายไปยังมุมหนึ่งของอาคาร ที่ลับตาคนพอสมควร

            เมื่อได้ที่แล้วโด้ก็นั่งขัดสมาธิ ดึงตัวอีกฝ่ายมานั่งตักแล้วกอดเอาไว้ หอมแก้มฟอดใหญ่ให้หายคิดถึง

            “เดี๋ยวคนก็เห็นเข้าหรอก” โจ้เอ่ยแต่ใบหน้าขาวกลับเปลี่ยนสีไปซะแล้ว

            “ไม่มีใครเห็นหรอกน่า กลับกันหมดแล้วเหลือแต่ที่อยู่ในห้องซ้อมเท่านั้น วันนี้คิดถึงพี่บ้างไหมเนี่ย” พูดพลางซุกใบหน้าหล่อลงไปคลอเคลียที่ซอกคอขาว มือทั้งสองข้างก็กอดรัดร่างเล็กเอาไว้

            “คิดถึงสิครับ พี่ล่ะคิดถึงผมบ้างไหมอ่ะ” คนที่อยู่ในอ้อมกอดพูดเสียงหวาน

            “คิดถึงทุกวินาที ใจจะขาดแล้วเนี่ย” โด้เอ่ยเสียงกระเส่า ราวกับต้องการจะกลืนกินอีกฝ่ายไปทั้งตัวเสียตอนนี้

            “ปากหวานอย่างนี้จะเชื่อใจได้แค่ไหนน้า สงสัยคงจะมีสาวๆ ในสต๊อกเยอะแน่นอน”

            “ไม่มีหรอก น้องโจ้น่ารักอย่างนี้ จะไปมีใครได้ล่ะ” โด้ใช้โอกาสนี้ล้วงเข้าไปในเสื้อนักเรียนตัวบาง ก่อนจะสะกิดที่ยอดอกสีชมพูระเรื่อ

            “อ๊ะ พี่โด้ทำอะไรเนี่ย” โจ้ขนลุกชันทันทีเมื่อโดนนิ้วสัมผัส ก่อนจะเอียงหน้ามามอง

            “ใจจริงพี่อยากจะทำมากกว่านี้อีก ขอให้พี่ชื่นใจหน่อยนะ” พูดแล้วก็โน้มใบหน้าไปคลอเคลียที่แก้มขาวเนียน ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เขาหลงใหลอีกฝ่ายจนลืมไปว่าตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องเข้าห้องซ้อมแล้ว

            ส่วนโจ้เองก็เคลิบเคลิ้มไปกับคารมของโด้ หลับตาพริ้มตามไปด้วย

            “อืมมมม” เสียงของคนตัวเล็กครวญครางออกมา เมื่อถูกอีกฝ่ายรุกหนักขึ้น

            “หอมจัง” กลิ่นกายของคนที่อยู่ในอ้อมกอด ทำให้โด้ไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองได้เลย มันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึกว่ามีใครบางคนมาสะกิดที่บ่า

            “เหี้ย!!! พี่แจ๊บ” เมื่อเห็นหน้ารุ่นพี่ทำเอาไฟราคะที่อยู่ในตัวดับวูบลงทันที ตอนนี้มีแต่ความกลัวเข้ามาแทนที่

            “เออกูเอง กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งกับน้องกู” คนพูดจ้องเขม็งไปยังรุ่นน้องอย่างเอาเรื่อง กำหมัดแน่นเตรียมพร้อมจะซัดเข้าที่ใบหน้าของโด้ในทุกวินาที
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.6 โดนจับได้ l Up:05-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-08-2018 01:15:00
หื่นไม่ดูเวลา สถานที่เลย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.7 คบกัน l Up:06-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 06-08-2018 17:23:11
-๗-

คบกัน



            หลังจากโดนแจ๊บจับได้ว่าแอบคบกับน้องชาย โด้ก็ถูกลากตัวเข้ามาในห้องซ้อม ตอนนี้เจ้าตัวนั่งหน้าหงอยอยู่บนพื้นโดยมีพี่ชายของคนรักยืนคุม มองดูอย่างไม่คลาดสายตา กำลังคิดหาวิธีสำเร็จโทษที่บังอาจมาล้วงคองูเห่า

            “กูจะทำยังไงกับมึงดี ถึงจะยอมเลิกยุ่งกับน้องชายกู”

            เมื่อได้ยินโด้ก็เงยหน้าขึ้นมาตอบ “ถึงตายผมก็ไม่ยอมเลิกกับโจ้เด็ดขาด”

            “ไอ้นี่มึงวอนตีนกูซะแล้ว” แจ๊บยกเท้าขึ้นจะถีบรุ่นน้อง แต่เพื่อนรีบมาห้ามไว้ได้ทัน

            “ใจเย็นดิวะไอ้แจ๊บยังไงซะทั้งสองคนมันก็รักกันนะเว้ย” อู๋บอก

            แจ๊บหันไปมองหน้าน้องชายตัวดี ที่เอาแต่นั่งก้มหน้า “ว่าไง...มีอะไรจะพูดกับพี่รึเปล่า สรุปน้องรักมันใช่ไหม”

            “เอ่อ...ครับ” โจ้ตอบสั้นๆ

            “ทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ แล้วพี่จะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี” ยิ่งได้ฟังจากปากน้องชาย ยิ่งรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้น เขารักและทะนุถนอมน้องชายคนนี้มาตลอด รู้สึกเหมือนโดนแย่งความรักจากน้องชายไป มันอาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อชีวิตนี้เขารักและผูกพันกับน้องมากเหลือเกิน

            “ผมขอโทษที่ไม่เชื่อฟังพี่ ฮึก ผมผิดไปแล้วครับ” โจ้เริ่มสะอื้นไห้

            “ผมผิดเองพี่ที่ไปจีบน้องโจ้ก่อน พี่ลงโทษผมเถอะครับ” โด้บอก

            “มึงไม่ต้องห่วงกูทำมึงแน่ แต่กูอยากได้ยินจากปากมึงก่อนว่าจะเลิกยุ่งกับน้องชายกู ถ้ามึงทำไม่ได้กูจะเฉดหัวมึงออกจากวงแน่”

            “ไอ้แจ๊บ! มันจะมากเกินไปแล้วนะเว้ย” เอ็มไม่เห็นด้วยที่เพื่อนจะเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสียด้วย

            “กูพูดจริง...มันหักหน้ากูมากขนาดนี้กูไม่ยอมหรอก”

            “มึงควรจะดีใจด้วยซ้ำที่น้องมึงมีความสุข มึงมันเห็นแก่ตัว โจ้มันอยู่กับมึงไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ มันต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง ถ้างั้นมันจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไงวะ มึงลองคิดดูดีๆ” เอ็มเตือนสติเพื่อน

            “............”

            แจ๊บเงียบ จ้องมองน้องชายที่กำลังร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกตัวทันทีว่ากำลังทำให้น้องชายเสียใจมากแค่ไหน

            “ให้ผมคบกับน้องโจ้เถอะนะครับพี่แจ๊บ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้น้องเสียใจ ถ้าผิดคำพูดผมจะพิจารณาตัวเองออกจากวงเอง” โด้บอกกับรุ่นพี่

            “น้องมันก็ให้คำสัญญาแล้ว ให้โอกาสมันสักครั้งเถอะวะแจ๊บ ถือว่าทำเพื่อน้องมึงและวงของเราด้วยไง” อู๋บอก

            “ก็ได้...กูจะให้โอกาสมันแต่แค่ครั้งเดียวพอ ถ้าวันไหนที่มันทำให้น้องกูเสียใจ กูไม่เอามันไว้แน่” แจ๊บชี้หน้าขู่

            “ขอบคุณครับพี่ ผมสัญญาว่าจะไม่มีวันทำให้โจ้เสียใจแน่นอน” โด้ยกมือไหว้รุ่นพี่ แล้วเข้าไปสวมกอดคนรักอย่างลืมตัว

            “กูให้คบกันแต่ไม่อนุญาตให้มากอดกันต่อหน้ากูอย่างนี้โว้ย” เมื่อเห็นอย่างนั้นแจ๊บก็ชี้หน้าห้ามทันที

            “ขอโทษครับผมลืมตัวไป” โด้รีบคลายอ้อมกอดทันที แต่ก็ยิ้มตลอดเวลา ในที่สุดก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว

            “ถ้ามันทำให้น้องเสียใจรีบมาบอกพี่ทันทีเข้าใจไหม เดี๋ยวพี่จะจัดการมันให้” แจ๊บเอ่ยกับน้องชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

            “ครับพี่” โจ้ตอบแล้วสวมกอดพี่ชาย เพื่อเป็นการขอบคุณที่เข้าใจกัน

            “เอาล่ะในเมื่อเข้าใจกันแล้วมาซ้อมกันต่อดีกว่า” อู๋ตะโกนบอกทุกคน

            ตอนนี้สถานการณ์ภายในห้องเริ่มดีขึ้นมาแล้ว หลายๆ คนเริ่มยิ้มออก โดยเฉพาะโด้ที่รู้สึกโล่งใจมากกว่าใคร

            “ดีใจด้วยว่ะ ในที่สุดความฟลุคก็บังเกิดแด่มึง” เลิฟตบบ่าแล้วเอ่ยกับเพื่อน

            “ไม่ใช่ฟลุคเว้ยมันคือฝีมือกูล้วนๆ” โด้ตีคิ้วข้างหนึ่ง ทำหน้าราวกับภูมิใจในตัวเองซะเหลือเกิน

            “มึงอย่ามัวแต่โม้รีบมาซ้อมเลยไอ้โด้” เสียงแจ๊บตะโกนแทรกเข้ามาขัดจังหวะ ทำเอาวงแตกทันที

            “คร้าบบบ พี่ชายแฟน” โด้ตอบกลับ ทำเอาสมาชิกภายในห้องถึงกับหัวเราะลั่นให้กับความกวนของว่าที่น้องเขยของแจ๊บ

*-*-*-*-*-*-*

            วันต่อมา

            เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว คิมก็ขับรถบิ๊กไบค์คู่ใจพารุ่นน้องคนสนิทกลับไปที่บ้านด้วย เพื่อไปร่วมทานอาหารเย็น ตามที่ผู้เป็นแม่ได้เอ่ยปากชวนเมื่อหลายวันก่อน

            พ่อกับแม่ของคิมได้สั่งอาหารมาจากภัตตาคาร เพื่อเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้านเก่าและลูกชาย โดยที่เลิฟเองยังไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่จะมาที่บ้านของคิมในวันนี้ด้วย

            “ป่ะเข้าไปกัน พ่อกับแม่กูรออยู่แล้ว” ไม่พูดเปล่าคิมกลับจับมือรุ่นน้อง จะพาเดินเข้าไปด้านใน

            “ผมเดินเองได้พี่ไม่ต้องจับหรอกน่า ทำอย่างกับผมเป็นเด็กซะอย่างนั้น” เลิฟโบ้ยหน้าสะบัดมือออก

            “ทำไม? จับนิดหน่อยไม่ได้เหรอ หรือต้องเป็นไอ้โอมเท่านั้นที่จะจับได้”

            “พี่แม่งน่าเบื่อ ทำไม! หรือหึงผมอย่างที่ไอ้โด้บอกจริงๆ”

            “ถ้ากูหึงจริงๆ ล่ะมึงจะว่าไง” ตอนนี้อยู่กันเพียงสองคนแล้ว ทำไมเขาจะต้องกั๊กคำพูดเอาไว้ด้วยล่ะ

            “ก็เรื่องของพี่ผมจะว่ายังไงได้ล่ะ” แค่นั้นเลิฟก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเอง

            “มึงไม่ดีใจบ้างเลยรึไงที่กูหึงมึง” คิมจ้องหน้ารอคำตอบ เหมือนอยากรู้ความในใจ

            “ไหนบอกว่าแมนเต็มร้อยไง แล้วมาพูดอย่างนี้ไม่อายปากตัวเองบ้างเลยรึไง”

            “มึงจำได้ไหม ที่เคยบอกว่าถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายสักคนกูคือตัวเลือกเดียว มึงเองก็คือผู้ชายที่เป็นตัวเลือกเดียวของกูเหมือนกัน ชัดเจนมะ” พูดจบก็ยักคิ้วให้อีกฝ่าย

            “พูดอย่างนี้คิดจะจีบผมรึไง” เลิฟถามแยบๆ ไป

            “ถ้าใช่แล้วมึงจะว่าไงล่ะ” คิมจ้องตาสื่อถึงความจริงใจ

            “ผมขอคิดดูก่อนละกัน เพราะตอนนี้สาวๆ รอคิวเพียบเลยผมต้องพิจารณาพวกเธอก่อน” เลิฟยิ้มมุมปาก แล้วเดินนำหน้าไป

            “ไอ้เลิฟมึงมาเคลียร์ให้รู้เรื่องก่อนดิวะ”

             คิมรีบตามหลังไป หยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน เดินเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่รออยู่ด้านใน



             เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบกับผู้ใหญ่ทั้งสามท่าน นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างพร้อมหน้า อาหารที่สั่งมาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แต่ละเมนูล้วนแต่เป็นอาหารจานพิเศษของภัตตาคารทั้งนั้น

            เดินเข้าไปถึงแล้วเลิฟก็กล่าวทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ผู้ใหญ่ “สวัสดีครับ” โดยไม่ได้สังเกตว่าแม่ของตัวเองนั่งอยู่ด้วย

             “สวัสดีจ้ะเลิฟมานั่งก่อนเร็ว” วิภาวีเอ่ย ยิ้มต้อนรับผู้มาใหม่

             ในขณะที่กำลังเดินเข้าไปนั่งนั้น เลิฟก็เห็นผู้เป็นแม่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ถึงกับตกใจ เพราะตอนที่คิมไปรับมาเมื่อเช้า ไม่เห็นบอกเขาเลยว่าจะมาที่นี่ด้วย

            “แม่มาได้ไงครับเนี่ย” ว่าแล้วก็เดินไปนั่งข้างผู้เป็นแม่ทันที

            “ถ้าบอกว่าจะมาด้วยมันก็ไม่เซอร์ไพรซ์สิ” เธอยิ้มให้ลูกชาย

            “หลอกกันได้ลงคออ่ะ”

            “เอาน่านานๆ ที” เธอยิ้มเอื้อมมือไปลูบศีรษะลูกชายเล่นด้วยความเอ็นดู

            คิมรอให้สองแม่ลูกคุยกันก่อนจะเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับน้าพิมพ์”

            “สวัสดีจ้าคิม ขอบใจนะพี่ไปรับไปส่งน้อง”

            “ยินดีครับ ผมรักเลิฟเหมือนน้องชายคนนึงครับ”

            “น้าดีใจจังที่ทั้งสองคนรักกันเหมือนตอนเด็กๆ”

            “ครับน้า”

            “ลงมือทานข้าวกันเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะก่อน” ก้องเกียรติเอ่ยขึ้น

            คิมที่นั่งอยู่ข้างกันก็เอาแต่ตักกับข้าวให้เลิฟอยู่บ่อยๆ จนเจ้าตัวหันไปส่งสายตาดุให้ สื่อว่ามันชักจะบ่อยเกินไปแล้ว เขากลัวว่าทางผู้ใหญ่ทั้งสามคนจะสงสัย

            “ดูท่าทางคิมจะเห่อน้องมากนะลูก ขอน้าพิมพ์มาอยู่ที่บ้านเราด้วยเลยไหมล่ะ” วิภาวีเอ่ยแซวลูกชาย

            “ขอได้เหรอครับแม่ ถ้างั้นแม่ขอให้ผมหน่อยสิ” คิมยิ้ม ปรายตามองรุ่นน้องไปด้วย เลิฟได้แต่แลบลิ้น ทำหน้ากวนให้

            “ว่าไงล่ะเธอ จะให้ไหม” วิภาวีถามเพื่อน

            “คงไม่ได้หรอกเธอคนนี้ฉันหวง” พิมพ์พรตอบ

            เลิฟได้ยินก็ยิ้มมุมปากมองหน้าอีกฝ่าย

            “ได้ยินแล้วนะไอ้ลูกชาย”

            “ไม่เป็นไรครับถ้างั้นให้น้องมาค้างที่นี่บ้างได้ไหมครับน้าพิมพ์ ผมมีเรื่องจะคุยกับน้องเยอะแยะเลย คิดถึงสมัยเด็กๆ” คิมไม่มีทางยอมแพ้หรอก เขาต้องเอาชนะให้ได้

            “ไม่มีปัญหาจ๊ะ”

            เป็นทีของคิมที่ต้องยิ้มมุมปากให้อีกฝ่ายบ้าง ราวกับกำลังเล่นสงครามประสาทกันซะอย่างนั้น

            “แม่ถามผมยังว่าจะมาค้างไหมอ่ะ” เลิฟเอ่ยค้าน

            “ทำไมต้องถามด้วยล่ะ ในเมื่อลูกเองก็สนิทกับพี่เขาถ้าจะมาค้างบ้างแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว”

            “ใช่ครับเราสนิทกันมาก ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะไปรับไปส่งน้องทุกวัน น้าพิมพ์จะได้มั่นใจว่าเลิฟจะปลอดภัยแน่นอน ผมจะดูแลน้องให้เอง” คิมอาสา เผื่อว่าพิมพ์พรจะเห็นดีด้วย เขาเองก็จะได้ประโยชน์

            “ไม่ต้องเลยพี่ ผมปั่นจักรยานไปเองสะดวกกว่า” เลิฟรีบปฏิเสธทันที

            “แม่ว่ามันก็ดีนะ ปั่นจักรยานกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุน่ะสิ ถ้าพี่เขามารับแม่จะได้อุ่นใจขึ้นไงล่ะ เอาเป็นว่าต่อไปนี้ให้พี่คิมมารับมาส่งที่บ้านละกันนะ” พิมพ์พรเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าพูดถึงความปลอดภัย และมีคนคอยดูแล จะทำให้เธอสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าลูกชายจะไปเถลไถลที่ไหน

            “แต่ผมต้องซ้อมนะครับแม่ กลับช้าเกรงใจพี่เขาอ่ะ” เลิฟเอาเรื่องซ้อมมาอ้างหวังให้ผู้เป็นแม่เห็นใจ

            “ไม่เป็นไรกูรอได้” คิมยิ้มกริ่มเมื่อเป็นผู้ชนะอีกครั้ง

            “ไม่ต้องเกรงใจพี่เขาหรอกลูก” วิภาวีบอก สนับสนุนลูกชายเต็มที่

            เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันอย่างนี้ มีหรือที่เขาจะปฏิเสธได้ จึงต้องยอมรับไปแต่โดยดี

            “ถ้างั้นก็ตกลงครับ” เลิฟฝืนยิ้มให้ทุกคน แต่สายตาที่ส่งไปให้คิมนั้นแฝงไปด้วยคำก่นด่า

            การรับประทานอาหารเย็นมื้อพิเศษดำเนินไปอย่างสนุกสนาน มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนทั้งสองบ้าน ทำให้หวนนึกถึงบรรยากาศเมื่อหลายปีก่อนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านกัน และวันนี้ทุกอย่างมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แถมยังจะแน่นแฟ้นขึ้นไปอีกเพราะลูกชายของทั้งสองบ้านนั้นเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์มันเกินกว่าคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องไปเสียแล้ว

            หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็นั่งพูดคุยกันต่อในห้องนั่งเล่น ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็แยกตัวขึ้นมาชั้นบน คิมลากตัวอีกฝ่ายขึ้นมาที่น้องนอนของตัวเอง เพราะการอยู่กับผู้ใหญ่มันทำอะไรตามใจได้ไม่มากนัก

            “เป็นไงล่ะห้องนอนกูหรูมะ” เดินเข้ามาแล้วเจ้าของห้องก็นอนแผ่หลาลงบนเตียง

            “ก็หรูดี แต่ผมว่ามันไม่เข้ากับพี่เลยอ่ะ”

            “มึงหมายความว่าไงวะ” คิมมองตามอีกฝ่ายที่เดินไปรอบห้องดูอะไรไปเรื่อย

            “ก็อย่างที่พูดอ่ะ พี่มันต้องอยู่ในที่ซกมกซอมซ่ออะไรเทือกนั้นถึงจะเหมาะ” เลิฟแกล้งพูดแหย่เล่นๆ

            คิมรอจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ กอดจากด้านหลังดึงตัวลงมานอนบนเตียงด้วยกัน

            “เฮ้ย! ทำบ้าอะไรวะพี่ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย” เลิฟพยายามดิ้น แกะมือรุ่นพี่ออก แต่อีกฝ่ายกลับพลิกตัวเลิฟลงไปด้านล่างแล้วตรึงข้อมือไว้

            “พี่เล่นบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยดิ๊” เลิฟยังไม่ยอมหยุด ยังคงใช้แรงที่มีอยู่ขัดขืนอีกฝ่าย แต่ก็สู้แรงของคนที่ตัวใหญ่กว่าไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างออกแรงจนใบหน้าแดงก่ำกันทั้งคู่ เมื่อหมดแรงแล้วก็หยุดเองโดยอัตโนมัติ

            “มึงจะดิ้นทำเหี้ยอะไรวะ เหนื่อยฉิบหาย” คนพูดค่อยๆ โถมตัวลงมาทับทาบบนตัวเลิฟไว้ทุกสัดส่วน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ขัดขืนอะไรเพียงแต่นอนนิ่งๆ ฟังเสียงลมหายใจที่ดังอยู่ข้างหู

            “แล้วพี่มาทับตัวผมทำไมอ่ะ อึดอัดฉิบหาย” เลิฟตอบกลับ

            “ไม่เคยได้ยินที่เขาว่าพี่น้องท้องชนกันเหรอวะหึๆ” พูดแล้วก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ทำเอาคนที่นอนอยู่ถึงกับขนลุกชัน

            “ใครอยากเป็นพี่น้องกับพี่อ่ะ ถามผมรึยัง”

            “ทำไมต้องถามด้วยล่ะ ในเมื่อตอนนี้มันมากกว่าพี่น้องแล้ว” คิมขบที่หิ่งหูของรุ่นน้องเบาๆ

            “เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้เลยไอ้พี่คิม” เลิฟเริ่มขยับตัวเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเล่นอะไรแผลงๆ

            “เสียวอ่ะดิ เป็นไงล่ะเริ่มหลงเสน่ห์กูบ้างยัง” ตอนนี้คิมคิดว่าจะหาจังหวะถ่ายรูปตอนจูบเอาไว้ เพื่อนำไปให้เพื่อนดูและจบการเดิมพันเสียที

            “พี่นั่นล่ะที่หลงเสน่ห์ผม ไม่งั้นไม่ทำอย่างนี้หรอก” เลิฟตอบมองหน้าท้าทาย

            “เออ...กูยอมรับว่าหลงเสน่ห์มึงเข้าให้แล้ว กูเลิกปากแข็งแล้วโว้ย แต่ที่มันแข็งน่ะอย่างอื่น”

            “ไปเข้าห้องน้ำซะสิโม้อยู่ได้ ลุกออกจากตัวผมซะทีหนักโคตร” เลิฟเริ่มงอแง

            “มึงเคยว่าวกับเพื่อนป่ะ” คิมถามยิ้มๆ เหมือนมีแผนในใจ

            “ไม่โว้ยยยย เลิกคิดเหี้ยๆ เลยพี่อ่ะ”

            “มึงนั่นล่ะคิดไปไกล กูแค่ถามเล่นๆ” ว่าพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดกล้อง จัดมุมให้พอดี เตรียมพร้อมลั่นชัตเตอร์

            “ทำไมต้องเอามือถือขึ้นมาอ่ะ พี่คิดจะทำอะไร” เลิฟมองไปที่มืออีกข้างของคิม แล้วหันกลับมาเอ่ยถาม

            “ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกไงว่าวันนี้กูกับมึง ได้จูบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกในห้องกู” พูดจบคิมก็ประกบจูบทันที พร้อมกับลั่นชัตเตอร์ ก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง เปลี่ยนไปประคองใบหน้าหล่อให้อยู่นิ่ง ต้อนรับรสจูบของเขาอย่างเต็มที่

            “อื้ออออ”

            เสียงครวญครางในลำคอของเลิฟดังขึ้น เมื่ออีกฝ่ายถาโถมความต้องการเข้ามาอย่างหนักหน่วง จนเขาไม่อาจต้านทานความต้องการในตัวได้ จึงตอบสนองโดยการเอื้อมมือไปคล้องคอรุ่นพี่ ตรึงอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ถอนริมฝีปากไปได้ง่ายๆ

            “ดะ...เดี๋ยวๆ กูหายใจไม่ออก แฮ่กๆ” คิมพยายามผละใบหน้าออกมา เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่โอบรัดที่คอตัวเองเอาไว้ แทบไม่ให้หายใจหายคอ

            “ชอบไม่ใช่รึไง” เลิฟยิ้มมุมปาก ยักคิ้วให้

            “เออกูชอบ แต่ดูท่ามึงจะชอบมากกว่ากูอีกนะ ทำเอาซะกูแทบจะขาดใจตาย” พูดพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่ข้างแก้มไปด้วย

            “ก็พี่เริ่มก่อน ผมก็ต้องเลยตามเลย”

            “แสดงว่าตอนนี้เราใจตรงกันแล้ว คบกันป่ะ”

            “ถามตรงๆ อย่างนี้เลยเหรอพี่ ถ้าผมตอบว่าไม่ล่ะ”

            “กูก็จะไม่บังคับมึง” คิมละสายตาไปอีกทาง ราวกับกำลังน้อยใจอีกฝ่าย

            “พี่คิดดีแล้วเหรอที่จะคบกับผม” เลิฟถาม

            “กูไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ใช้หัวใจตัดสินมันก็เพียงพอแล้วป่ะวะ”

            “เสี่ยวว่ะ จะอ้วก”

            คิมเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มมีท่าทีตอบรับไปในทางที่ดีขึ้น

            “สรุปจะเอาไง...คบไม่คบ”

            “ถ้าผมยอมคบพี่ทำตามข้อแม้ของผมได้ไหมล่ะ”

            “ได้ทุกข้อเลย” คิมรีบตอบรับโดยเร็ว

            “ฟังก่อนดิค่อยรับปาก”

            “ถ้างั้นก็ว่ามา”

            “ถ้าเราจะคบกันต้องคบแบบลับๆ ห้ามให้ใครรู้ เพราะผมกับพี่ยังมีแฟนคลับสาวๆ ที่คอยติดตามอยู่ หากพวกเธอรู้คงจะรับไม่ได้แน่นอน ข้อต่อไปเราจะไม่มีอะไรกันเด็ดขาดระหว่างที่คบกัน และข้อสุดท้ายพี่ต้องตามใจผมทุกอย่างโอเคมะ”

            “กูไม่ค่อยโอเคข้อที่สองว่ะ ห้ามมีอะไรกันกูคงทำไม่ได้” คิมทำหน้าหนักใจ

            “ถ้างั้นก็จบครับ เชิญลุกขึ้นผมจะลงไปข้างล่าง” พูดจบเลิฟก็ดันอกรุ่นพี่เพื่อจะลุกขึ้นจากเตียง

            “เดี๋ยวๆๆ โอเคกูยอมก็ได้” คิมทำหน้างองุ้มยอมรับข้อตกลงอย่างจำยอม

            “ถ้างั้นก็โอเค ถือว่าตอนนี้เราคบกันแล้วนะ อย่าลืมสัญญาด้วยล่ะ”

            “กูไม่ลืมแน่นอน แต่ตอนนี้ขอจูบมึงให้หายอยากก่อนเถอะ ไม่มีในข้อตกลงนี่หว่า” คิมยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วประกบจูบคนที่นอนอยู่ ตรึงแขนทั้งสองข้างเอาไว้บนเตียง ตักตวงความหอมหวานในโพรงปากอย่างสบายใจ
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.7 คบกัน l Up:06-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-08-2018 19:19:28
ทำอะไรระวังแม่เห็นนะ  :mew4:
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.8 เรื่องทุกข์ใจ l Up:10-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 10-08-2018 20:35:12
-๘-

เรื่องทุกข์ใจ



            “พวกมึง...กูมีอะไรจะให้ดู” หลังจากซ้อมบาสกันจนเหงื่อตกแล้ว ทั้งหมดก็มานั่งพักเหนื่อยข้างสนาม คิมจึงใช้โอกาสนี้ประกาศชัยชนะ หลังจากได้พนันกันไว้เมื่อต้นเดือนที่แล้ว

            “มีอะไรอีกวะ เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย” โต้งที่นั่งอยู่ข้างกันหันมาบ่นให้

            “ก็ที่เราพนันกันไว้ไงล่ะ ไอ้เลิฟมันหลงเสน่ห์กูแล้วนะเว้ย”

            “เฮ้ยจริงดิ ไหนล่ะหลักฐานแค่พูดพวกกูไม่เชื่อหรอก” หินว่า

            “ก็กำลังจะเอาให้ดูอยู่นี่ไงล่ะ อ่ะ” คิมยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนดู เป็นภาพที่ถ่ายในห้องนั่นเอง

            “เฮ้ย! มึงเจ๋งว่ะ เป็นไปได้ไงวะเนี่ย อย่าบอกนะว่าพวกมึงได้กันแล้ว” เทอร์โบเห็นภาพก็เบิกตากว้าง แย่งโทรศัพท์มาดูให้ชัด

            “ยังเว้ย!” คิมรีบปฏิเสธทันควัน

             “แล้วพวกมึงไปจูบกันที่ไหนวะเนี่ย เหมือนอยู่ในห้องมึงเลยอ่ะ” โต้งถามต่อ

            “เอ่อ...โรงแรมว่ะ มันจะไปบ้านกูได้ไง” คิมไม่นึกเลยว่าเพื่อนจะถามคำถามมากมายขนาดนี้

            “ใช่เหรอวะ แม้จะเห็นแวบๆ แต่ก็กูว่ามันไม่น่าจะใช่โรงแรมนะ” หินหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด

            “ไม่ใช่เว้ย โรงแรมจริงๆ กูจะพามันเข้าไปเยนั่นล่ะ แต่พอไปจริงๆ แล้วกูทำไม่ได้ว่ะ มันไม่ใช่แนวเลยแค่จูบเพื่อหาหลักฐานมาให้พวกมึงดูนี่ล่ะ” คิมสร้างเรื่องขึ้นมา ภาวนาให้เพื่อนทั้งสี่คนเชื่อ เมื่อเห็นว่าเพื่อนแต่ละคนพยักหน้ารับเข้าใจแล้วจึงเอ่ยต่อ “เรื่องนี้พวกมึงห้ามไปบอกใครนะเว้ย ให้รู้กันเฉพาะเรา กูสงสารน้องมันว่ะ”

            “เออพวกกูไม่บอกใครหรอก” โต้งรับปาก

            “ขอบใจเว้ย ตอนนี้ถือว่าจบแล้วนะกูเป็นฝ่ายชนะ” คิมยิ้มกวนให้เพื่อน

            “ในที่สุดมึงก็หาทางเอาชนะพวกกูจนได้สินะ ไอ้คนกระหายชัยชนะ ถ้าจะแพ้บ้างสักครั้งมึงจะตายรึไงวะ” อ๋องว่าให้

            “กูต้องชนะอย่างเดียว เอาไว้ว่างๆ พวกมึงเตรียมตัวเสียตังค์ได้เลย”

            “แล้วมึงกับน้องตอนนี้อยู่ในสถานะไหนวะ จูบกันขนาดนี้แล้วน้องมันต้องชอบมึงแน่ๆ หรือว่ามึงเองก็ชอบน้องเขาเหมือนกัน” โต้งเอ่ยถาม ปรายตามองจับผิดเพื่อน

            “จะบ้าเหรอวะกูชายแท้เว้ย ตอนนี้กูกับไอ้เลิฟเป็นแค่พี่น้องกัน มันเข้าใจแล้วว่ากูคงรักมันไม่ได้ เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดี เคมะ” คิมไม่อยากคิดเลยว่าหากเลิฟรู้เรื่องนี้เข้าให้ จะโกรธมากแค่ไหน

            “แน่นะ ไม่ใช่แอบกินกันลับๆ นะเว้ย” อ๋องแกล้งแซว

            “ไม่ใช้โว้ย กูมีน้องหญิงอยู่แล้วพวกมึงลืมไปแล้วเหรอ”

            “เออว่ะกูลืมไปเลย สรุปมึงกับน้องหญิงตกลงเป็นแฟนกันแล้วใช่ป่ะ” หินเอ่ยถาม

            “ยังว่ะ แค่กำลังดูๆ กัน อาจจะคบหรือไม่คบกูก็ยังไม่แน่ใจ” ในใจคิมมีคำตอบอยู่แล้วล่ะว่าจะไม่คบ เพียงแต่กำลังคิดว่า จะหาโอกาสบอกอีกฝ่ายยังไงดีให้มันเจ็บน้อยที่สุด

            “อ้าว! ไหงเป็นงั้นกูเห็นมึงก็แฮปปี้ดีนี่หว่า ตอนนี้มึงยังไม่มีใครไม่ใช่เหรอ คบไปเถอะสงสารน้องหญิงมัน” หินว่า

            “หรือว่ามึงมีใครในใจแล้ว” โต้งถามต่อ

            “ใช่ว่ะ” คิมสารภาพ

            “อ้าว! แล้วทำไมมึงไปให้ความหวังน้องหญิงล่ะ กูโคตรสงสารน้องเลยว่ะ” โต้งไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเพื่อน

            “กูสงสารไงถึงยังไม่กล้าปฏิเสธ” คิมพูดเสียงอ่อย

            “ยิ่งปล่อยไว้นานน้องยิ่งถลำลึกนะเว้ย ไอ้ห่ามึงคิดได้แค่นี้เองเหรอ ว่าแต่คนในใจมึงเป็นใครกันวะ” โต้งถาม

            “เอ่อ...เป็นน้องที่เคยรู้จักกันสมัยยังเด็กว่ะ”

            “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ” หินถาม

            “เอ่อ...อยู่แถวนี้ล่ะแต่พวกมึงไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจะเคลียร์เรื่องทั้งหมดเองไม่ต้องห่วง”

            “ยิ่งมึงพูดอย่างนี้พวกกูยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ สาวคนนั้นสวยกว่าน้องหญิงมากเลยเหรอวะ มึงถึงไม่แลน้องหญิงเลย” เทอร์โบถาม

            “ก็สวยนะ สวยมากด้วย ฮ่าๆ” พูดแล้วก็ขำออกมา เพราะในหัวตอนนี้เขาคิดถึงใบหน้าของเลิฟอยู่ ซึ่งมันต่างจากที่พูดออกไปอย่างสิ้นเชิง

            “สวยแล้วทำไมต้องขำด้วยวะ” อ๋องทำหน้าสงสัย

            “เปล่าๆ ไม่มีอะไร ตามที่กูบอกห้ามให้ใครรู้เรื่องไอ้เลิฟเด็ดขาดนะเว้ย ส่วนเรื่องน้องหญิงกูจะรีบเคลียร์ให้เร็วที่สุดละกัน ส่วนพวกมึงมีหน้าที่เลี้ยงเหล้ากู” คิมแจงรายละเอียดให้เพื่อนฟังเสร็จสรรพ

            “คร้าบบ เจ้านาย” โต้งตอบรับ

            หลังจากนั้นทั้งห้าหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในสนามเพื่อซ้อมอีกครั้ง

*-*-*-*-*-*

            ในที่สุดวันหยุดที่หญิงรอคอยก็มาถึงสักที เธอได้โทรนัดคิมมาเที่ยวที่ตลาดน้ำแห่งหนึ่งแถวชานเมือง หลังจากนั่งรอชายหนุ่มเกือบสิบนาที อีกฝ่ายก็เดินตรงเข้ามาหา เขาคนนั้นสวมเสื้อยืดสีขาวล้วน เข้าคู่กับกางเกงยีนตัวเก่าๆ แต่งตัวสบายๆ แต่ทว่ากลับหล่อและดูดีมากเหลือเกิน

            “พี่คิมทางนี้ค่ะ” หญิงโบกมือให้เมื่อเห็นชายหนุ่ม

            “โทษทีนะที่ให้รอนาน”

            “ไม่เป็นไรค่ะ พี่คิมทานข้าวมารึยังคะเนี่ย”

            “เรียบร้อยแล้วครับ หญิงล่ะทานไรมายัง”

            “ยังเลยค่ะ แต่ตอนนี้หญิงยังไม่หิว เราไปเดินซื้อของกันก่อนนะคะ แล้วค่อยไปหาไรทานกัน” เจ้าหล่อนพูดยิ้มไปด้วย

            “ครับ” คิมตอบ ยิ้มรับ

            เดินข้ามสะพานไม้มาแล้วก็จะเจอกับตลาด ที่เรียงตัวเป็นแนวยาวขนาบสองข้างทาง หญิงเดินควงแขนคิมเลือกซื้อของไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข เพราะกว่าจะมีวันนี้เธอต้องรอมานานมาก กว่าจะได้มาออกเดตกับผู้ชายที่เธอเฝ้าฝันหามานานนับปี มันเหมือนฝันที่กลายเป็นจริง

            “พี่คิมคะแวะดูต่างหูร้านนี้ก่อนนะ หญิงอยากได้อ่ะมีแต่แบบสวยๆ ทั้งนั้นเลย” เดินมาถึงร้านขายต่างหู หญิงก็หยุดแล้วดึงแขนคิมเข้าไปเลือกชม

            คิมยอมตามใจอย่างว่าง่าย เจ้าตัวยืนนิ่งปรายตามองอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับอีกฝ่ายเลยสักนิด

            “คู่นี้สวยไหมคะพี่คิม” เธอชูต่างหูรูปดาวสีเงินให้ดู

            “ก็สวยดีครับ” คิมตอบ

            “ถ้างั้นเอาคู่นี้ค่ะ” หญิงยื่นให้คนขายไว้ แล้วเลือกดูต่อ

เป็นอย่างนั้นอยู่นานจนตอนนี้ได้ต่างหูทั้งหมดห้าคู่

            “เท่าไหร่คะพี่”

            “ห้าร้อยบาทค่ะ”

            หญิงกำลังจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่าย แต่คิมกลับเอ่ยห้ามเอาไว้ก่อน

            “ไม่เป็นไรครับน้องหญิง พี่จ่ายให้เอง”

            “อุ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะหญิงจ่ายเองดีกว่า”

            “ไม่เป็นไรครับพี่จ่ายให้เองดีกว่านะ” ว่าแล้วคิมก็ยื่นธนบัตรใบละห้าร้อยบาทให้กับแม่ค้า

            “ถ้างั้นก็ขอบคุณค่ะ พี่คิมใจดีจังเลย” หญิงส่งยิ้มหวานให้

            ทั้งสองเดินควงแขนกันดูของไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ในมือทั้งสองข้างของคิมเต็มไปด้วยถุงของ ที่หญิงแทบจะสอยมาเกือบทุกร้าน เมื่อเดินจนเหนื่อยแล้วทั้งสองก็ย้อนกลับมาที่โซนของกิน เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนกลับ

            “หนักไหมคะพี่คิม”

            “ไม่ครับแค่นี้ชิวๆ” คิมยิ้มให้

            “ขอบคุณนะคะที่มาเดินเป็นเพื่อน แถมยังซื้อของให้เยอะแยะเลย”

            “ไม่เป็นไรครับพี่ยินดี แค่นี้มันยังน้อยไปเมื่อเทียบกับที่หญิงชื่นชอบในตัวพี่” เขาจะหาทางบอกเจ้าหล่อนยังไงดีนะ เพื่อให้มันดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป จะบอกซึ่งๆ หน้าในตอนนี้ หรือโทรคุยกันดี คิมกำลังคิดตัดสินใจ

            “ไม่ได้แค่ชื่นชอบนะคะแต่รักเลยล่ะ”

            “ครับ” คิมได้แต่ยิ้ม แล้วเดินตามหญิงสาวไป

            ระหว่างนั่งทานก๋วยเตี๋ยวกันอยู่นั้น คิมเอาแต่คิดเรื่องที่จะบอกกับหญิง เขาอยากจะบอกว่าความสัมพันธ์นี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะเขามีอีกคนที่อยู่ในใจแล้ว

            “พี่คิมคะ พี่คิม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งเหม่อ เขี่ยเส้นก๋วยเตี๋ยวเล่น หญิงจึงเอ่ยเรียก

            “เอ่อ...ครับมีอะไรเหรอ” เมื่อหลุดจากภวังค์แล้ว คิมก็หันไปยิ้มให้

            “เหม่ออะไรอยู่คะ เส้นก๋วยเตี๋ยวอืดหมดแล้วนั่น”

            “พี่ไม่ค่อยหิวอ่ะ หญิงตามสบายเลยนะ”

            “อ้าว! ก็ไม่บอก ไม่เห็นปฏิเสธหญิงเลยนึกว่าพี่คงหิวเหมือนกัน”

            “โทษทีครับ พี่กลัวว่าหญิงจะพาลไม่กินไปด้วยน่ะสิ เห็นตามใจพี่ทุกอย่าง” คิมให้เหตุผล

            “นี่ไงหญิงถึงได้รักพี่คิมมาก ตอนนี้หญิงสามารถเรียกพี่คิมว่าแฟนได้รึยังคะเนี่ย” เจ้าหล่อนมองหน้า รอลุ้นให้คำตอบของคิมเป็นสิ่งที่เธออยากได้ยิน

            “เอ่อ....น้องหญิงครับ” คิมถอนหายใจยาว ไม่อยากจะเอ่ยคำนี้ออกไปให้อีกฝ่ายเสียใจเลย แต่มันก็จำเป็น เพราะไม่งั้นเรื่องนี้มันก็จะคาราคาซังอยู่อย่างนี้ตลอดไป

            “คะ” เจ้าหล่อนยังคงยิ้ม

            “คือพี่มีอีกคนอยู่ในใจแล้ว ขอโทษด้วยนะครับ”

            เมื่อได้ยินอย่างนั้นสีหน้าของหญิงกลับซีดเซียวทันที ตะเกียบที่อยู่ในมือนั้นหล่นลงทันที เจ้าหล่อนมั่นใจว่าคิมจะเปิดใจยอมรับในฐานะแฟน เพราะการกระทำที่ผ่านมา มันล้ำเส้นเกินกว่าเป็นแค่แฟนคลับธรรมดา เธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนหลอกให้รัก

            “ถ้าพี่คิมมีคนที่อยู่ในใจแล้ว ทำไมถึงทำกับหญิงอย่างนี้ล่ะคะ” หญิงพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

            “พี่ขอโทษจริงๆ พี่มันเลวเอง”

            “ใช่พี่มันเลว ทั้งที่หญิงรักพี่มากขนาดนี้พี่ยังทำกับหญิงได้ หญิงไม่มีวันอภัยให้พี่คิม ฮึก ส่วนของที่ซื้อให้หญิงวันนี้เอาคืนไปให้หมด หญิงไม่ต้องการมัน” หญิงหยิบถุงพวกนั้นปาใส่หน้า จากนั้นก็เดินหนีออกจากร้านไป ทำเอาคนทั้งร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน ต่างก็ซุบซิบนินทาไม่หยุดปาก

            หลังเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาคิมก็รู้สึกผิดมาก เขาอยากจะหาทางออกที่มันดีกว่านี้แต่ก็คิดไม่ออก การที่ผู้ชายจูบผู้หญิงที่รู้จักกัน มันสื่อว่าต้องมีใจให้ไม่มากก็น้อย หากหญิงจะคิดแบบนั้นก็คงไม่ผิด แต่เป็นเขาเองที่ผิด เพราะใช้เจ้าหล่อนเป็นแบบทดสอบตัวเอง และนั่นก็เป็นความรู้สึดผิดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

            คิมขับรถกลับมาด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ทว่าไม่ได้กลับไปที่บ้าน เขาขับตรงมาที่บ้านของเลิฟ ตอนนี้เขาต้องการใครบางคนที่จะคอยเป็นที่พึ่งทางใจ ให้ช่วงเวลาที่รู้สึกผิดนี้มันผ่านไปได้ด้วยดี และคนคนนั้นที่คิมนึกถึงก็คือเลิฟนั่นเอง

            จอดรถไว้แล้วหนุ่มหล่อก็เดินคอตกเข้าไปในร้าน มองหารุ่นน้อง ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟอยู่นั่นเอง

            “อ้าว! พี่คิม” เลิฟหันมาเจอก็เอ่ยทักทาย ส่งยิ้มให้ แต่พอเห็นสีหน้าของคิมก็ขมวดคิ้วทันที

            คิ้มมองหน้า แล้วหันไปมองผู้เป็นเจ้าของร้านเพื่อทักทายตามมารยาท “ สวัสดีครับน้าพิมพ์”

            “สวัสดีจ้ะ ทานอะไรมายังเนี่ย”

            “ยังเลยครับ” ที่ตอบอย่างนั้นเพราะรู้ว่าพิมพ์พรต้องให้ลูกชายพาไปทานในครัว นั่นจะทำให้เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับเลิฟสองต่อสอง

            “ถ้างั้นให้น้องพาเข้าไปทานในครัวนะ กับข้าวเยอะแยะเลย” ว่าแล้วก็หันไปเอ่ยกับลูกชาย “เลิฟพาพี่ไปทานข้าวหน่อย กับข้าวในครัวอุ่นให้พี่เขาด้วยนะ”

            “คร้าบแม่” เลิฟตอบรับ ก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในครัว

            เมื่อมาถึงแล้ว คิมที่เดินตามหลังอยู่ก็เข้าสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง ไม่พูดจาใดๆ

            “กอดทำไมเนี่ยเดี๋ยวแม่ก็มาเห็นหรอก” เลิฟเอ่ยแต่ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่แน่นอน

            “ให้กูอยู่อย่างนี้สักพักเถอะนะ กูกำลังรู้สึกแย่”

            “ไม่ได้หรอกเดี๋ยวผมต้องอุ่นกับข้าวให้พี่ก่อน นั่งรอที่โต๊ะก่อนเสร็จแล้วค่อยคุยกัน”

            คิมทำตามอย่างว่าง่าย นั่งลงบนโต๊ะทานข้าว มองดูเลิฟอุ่นกับข้าวที่อยู่ในหม้ออย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะตักข้าวสวยร้อนๆ มาวางไว้ตรงหน้ารอ ไม่นานแกงเขียวหวานร้อนๆ และผัดผักรวมมิตรก็ถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว

            “มึงไม่กินด้วยเหรอ” คิมถามเมื่อเลิฟเอาแต่นั่งมองไม่ได้ตักข้าวมาด้วย

            “ผมไม่หิวอ่ะกินทั้งวันเลย” คิมตอบอย่างอารมณ์ดี

            “แล้วจะนั่งมองกูกินอย่างนี้อ่ะนะ เขินนะเว้ย”

            “เขินก็ไม่ต้องกินดิ จะยากอะไร ปล่อยให้ตัวเองหิวไปอย่างนั้นล่ะ”

            “ไม่ต้องมาพูดประชดประชันเลย ตอนนี้กูกำลังรู้สึกแย่อยู่นะ” พูดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ตักกับข้าวทานไปด้วย

            “กินก่อนแล้วค่อยคุยกัน” เลิฟว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบเหยือกน้ำเย็นพร้อมกับแก้วมาวางไว้ให้

            อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้กินก๋วยเตี๋ยวได้ไม่กี่คำ ทำให้คิมรู้สึกหิวมากจึงจัดการกับอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าซะเกลี้ยง แถมใช้เวลาไม่นานอีกด้วย

            “สงสัยคงจะหิวมากนะเนี่ย เกลี้ยงเลย” เลิฟว่าพลางรินน้ำใส่แก้วให้

            “นิดหน่อยว่ะ” คิมตอบขณะยังเคี้ยวข้าวอยู่ เมื่อกลืนข้าวลงคอจนหมด ก็เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่ม

            “ไม่นิดแล้วมั้งอย่างนี้” เลิฟแซว

            “ไม่ต้องมาแซวเลย น้าพิมพ์ทำกับข้าวอร่อยอย่างนี้สงสัยกูต้องมาฝากท้องทุกวันแล้วมั้งเนี่ย”

            “อย่าแม้แต่จะคิด เปลืองจะแย่ ดูกินสิเกลี้ยงเชียว บ้านผมเลี้ยงไม่ไหวหรอก”

            “ถ้างั้นมึงก็ไปกินที่บ้านกูกูเลี้ยงไหว” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้ ทำหน้ากวนตีน

            “ปกติดีแล้วนี่ กลับไปได้แล้ว อ้อ...เก็บจานก่อนค่อยกลับนะ” เลิฟชี้นิ้วสั่ง

            “ยังไม่กลับโว้ย” คิมว่าแล้วเก็บจานไปวางไว้ในอ่างล้างจาน

            “ล้างด้วยสิจะวางไว้งั้นเหรอ”

            “มึงนี่นะ...กูไม่เคยล้างโว้ย เอาไว้ให้มึงล้างเอง” คิมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วมานั่งลงข้างกัน

            “เออ ให้มันได้อย่างนี้ ไหนสัญญาว่าจะตามใจผมไงล่ะ”

            “ครั้งนี้กูขอนะ ตอนนี้กูกำลังไม่สบายใจอยู่อ่ะ” คิมเริ่มอ้อน   

            “อ้าว! ผมก็นึกว่าหายแล้ว เห็นต่อปากต่อคำ ทำหน้ากวนผมซะอย่างนั้น”

            “เพราะกูเห็นหน้ามึงนั่นล่ะทำให้กูดีขึ้น”

            “เล่าให้ผมฟังได้ยังว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร”

            “ถ้าเล่าให้ฟังแล้วมึงห้ามโกรธกูนะเว้ย เพราะมึงคนเดียวที่ทำให้กูต้องเป็นอย่างนี้”

            “อ้าว! ไหงมาโทษผมซะงั้น”

            “ก็จริง”

            “เล่ามาดิถ้างั้น” เลิฟนั่งค้ำคาง มองหน้าอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

            “กูเพิ่งทำให้ผู้หญิงคนนึงต้องเสียใจ กูให้ความหวังเขาแต่ในที่สุดกูก็เลือกมึง”

            “อืม” เลิฟครางรับสั้นๆ ทำสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

            “มึงไม่หึงกูเลยเหรอวะ”

            “จะหึงทำไมล่ะ ในเมื่อพี่เองก็บอกเองว่าพี่เลือกผม แค่นี้ก็พอแล้ว แต่ที่ไม่สบายใจอยู่นี่ เป็นเพราะพี่ห่วงความรู้สึกของผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมล่ะ” เลิฟกล่าว

            “เออ น้องเขาตามกูมาเป็นปี ช่วงที่กูกำลังสับสนเรื่องมึงเลย....ลองจูบกับน้องเขาดูแถมยังมีบีบนมด้วยอ่ะ พิสูจน์ว่าจะมีอารมณ์ไหม” คิมสารภาพทุกอย่าง

            “แล้วมีไหมอารมณ์”

            “ก็มีอ่ะ” คิมตอบเสียงเบา

            “แสดงว่าพี่ยังมีโอกาสที่จะกลับไปชอบกับน้องเขา” เลิฟว่า

              “ไมใช่อย่างนั้นนะโว้ย ถึงกูจะมีอารมณ์ก็จริงแต่คงไม่มีทางไปคบกับน้องเขาแน่ เพราะกูรักมึงไปแล้วไง” คิมรีบแก้ตัวโดยเร็ว

             เลิฟอมยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น “นี่ใช่ไหมที่บอกว่าเป็นเพราะผม”

            “อืม แต่กูไม่ได้โทษมึงนะเว้ย เป็นเพราะตัวกูที่มันเหี้ยเอง”

            “พี่ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก เอาตรงๆ นะพี่เป็นคนผิดก็จริง แต่พี่ก็สำนึกผิดและทำให้มันถูกต้องแล้ว ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเสียใจ ร้องไห้ หรือตอนนี้อาจจะกำลังยิ้มหรือหัวเราะอยู่ก็ได้ เราเองก็ไม่รู้ ดีกว่าปล่อยให้มันเกินเลยไปกว่านี้ แล้วมาร้องไห้เสียใจต่อหน้าผม ถ้าเป็นแบบนั้น ผมเองนี่ล่ะจะต่อยหน้าพี่แทนผู้หญิงคนนั้นเอง เลิกโทษตัวเองได้แล้ว ชีวิตมันต้องเดินหน้าต่อไปนะพี่” เลิฟพูดเป็นการเป็นงาน

            “มึงแม่งเจ๋งว่ะ คิดได้ไง” คิมอึ้งกับความคิดของอีกฝ่าย

            “แน่นอนผมเจ๋งอยู่แล้ว ไม่งั้นพี่ไม่มาชอบผมหรอก จริงป่ะละ” เลิฟกอดอกด้วยความภาคภูมิใจ

            “เออ...จริง กูโคตรโชคดีที่ได้มึงมาเป็นแฟน” คิมยิ้มรับแล้วมองไปที่ประตู ดูว่ามีใครเดินเข้ามาหรือเปล่า ก่อนจะโน้มตัวไปหอมแก้มคนที่นั่งข้างกันฟอดใหญ่

            “ได้สติก็หื่นเลยนะพี่อ่ะ เดี๋ยวแม่ก็มาเห็นหรอก”

            “กูดูต้นทางแล้วปลอดภัย”

            “ถ้าแม่ผมรู้เรื่องนี้เพราะพี่ ผมไม่คบกับพี่ต่อแน่บอกไว้เลย” เลิฟชี้หน้าขู่

            “เออๆ กูจะระวังตัวก็แล้วกัน”

            “โอเคขึ้นแล้วใช่ป่ะ”       

            “อืม มากด้วย” คิมยิ้มหน้าระรื่นต่างจากตอนแรกที่เข้ามา

            “ถ้างั้นไปล้างถ้วยเลย ผมจะได้ออกไปช่วยแม่ทำงานต่อ”

            “มึงอ่ะกูไม่เคยทำ” คิมทำหน้างองุ้ม อิดออดไม่อยากทำ

            “ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องคุยกันอีก โอเคมะ”

            “ก็ได้ๆ ทำก็ทำวะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปยังอ่างล้างจาน ยืนมองสักครู่แล้วค่อยๆ หยิบแผ่นสก๊อตไบร์ทมาถูจานอย่างเก้ๆ กังๆ

            เลิฟนั่งยิ้ม มองดูอีกฝ่ายล้างจานอยู่อย่างนั้น
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.8 เรื่องทุกข์ใจ l Up:10-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-08-2018 03:02:51
อ้าว ๆ อีพี่ เด๋วได้เรื่องแน่ ๆ หลายเรื่องด้วย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.8 เรื่องทุกข์ใจ l Up:10-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-08-2018 12:41:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.8 เรื่องทุกข์ใจ l Up:10-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-08-2018 13:24:22
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.9 ความทรงจำ l Up:12-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 12-08-2018 19:48:43
​-๙-

ความทรงจำ



            “ไอ้คิมวันนี้ใครซ้อนท้ายมึงมาวะ กูมองไม่ถนัดคลับคล้ายคลับคลาไอ้เลิฟ” หลังจากแยกกับเลิฟมาแล้ว คิมก็เจอกับโต้งระหว่างทางเดินขึ้นอาคารเรียน

            “เอ่อ...ใช่ว่ะ” เรื่องนี้คิมได้คิดคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะคิดว่าต้องมีคนถามแน่นอน

            “ทำไมมึงสองคนถึงมาด้วยกันได้วะ”

            “ก็ตั้งแต่ตอนที่มันโดนไอ้พวกนั้นรุม กูไปส่งมันที่บ้าน แม่มันเป็นห่วงเลยวานให้กูมารับมาส่งทุกวันเลยอ่ะดิ เลยต้องเลยตามเลย” คิมทำหน้าเซ็งตบตาเพื่อน

            “ทำไมไม่ปฏิเสธไปวะ ยิ่งทำอย่างนี้มันยิ่งจะชอบมึงขึ้นทุกวันน่ะสิ”

            “เออกูกำลังหาทางอยู่ว่ะ แต่ตอนนี้ต้องปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปก่อน เห็นแก่ผู้ใหญ่อ่ะ”

            “ไม่ใช่ว่ามึงมีอะไรปิดบังพวกกูอยู่นะเว้ย” โต้งว่า หรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด

            “กูจะมีอะไรปิดบังพวกมึงวะ เป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วไอ้ห่า” คิมว่าให้เพื่อน ทำหน้าจริงจังกลบเกลื่อน

            “กูแค่พูดเล่นๆ เห็นช่วงนี้มึงชอบปลีกตัวจากพวกกูอยู่บ่อยๆ” โต้งว่า

            “มันก็ต้องมีชีวิตส่วนตัวบ้างล่ะวะ” คิมว่าแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา เพราะได้ยินเสียงแจ้งเตือน “เชี่ยยย!!” เมื่อเปิดอินสตาแกรมขึ้นมา คิมก็ต้องตกใจเมื่อคอมเมนต์ของสาวๆ แห่เข้ามาแสดงความเห็นในรูปที่โพสล่าสุดกันอย่างดุเดือด ส่วนมากจะด่าเรื่องที่หลอกคบกับหญิง

            “เกิดอะไรขึ้นวะไอ้คิม ร้องเสียงดังอย่างกับหมูถูกเชือด” โต้งรีบเดินเข้ามาใกล้แล้วส่องดูมือถืออีกคน

            “น้องหญิงเล่นกูแล้วว่ะ” ไม่พูดเปล่าคิมรีบเข้าไปเช็กอินสตาแกรมหญิงทันที เจ้าหล่อนโพสรูปที่ถ่ายไว้ด้วยกันตอนไปเที่ยว แคปชั่นพิมพ์ไว้ซะยาวเหยียด จับใจความได้ว่าเธอโดนคิมหลอกให้รัก แล้วก็ลวนลามต่างๆ นานา ทำให้คนที่เข้ามาคอมเมนต์ต่างก็ให้กำลังใจและด่าทอคิมเสียๆ หายๆ กันเกือบทุกคน

            “เอาแล้วไงไอ้คิม เรทติ้งมึงตกแน่” โต้งว่า

            “เรื่องนั้นกูไม่แคร์ว่ะ เพราะกูทำผิดจริงๆ แต่ก็ช่างแม่งเถอะ กูไม่สนอะไรแล้ว ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเก๊กหน้าหล่อ ทำเป็นเทพบุตรตลอดเวลาเหมือนเดิม” คิมคิดไปในทางที่ดีเอาไว้ก่อน งานนี้เขาคิดว่าหญิงคงไม่มีทางหยุดง่ายๆแน่ สำหรับเขาคงทำได้เพียงแค่อยู่เฉยๆ ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเอง จะห่วงก็แต่ความลับระหว่างเขากับเลิฟจะถูกเปิดเผยมากกว่า เพราะจากนี้ไปคงจะโดนจับตามองทุกฝีก้าว

            “กูว่าไม่ใช่แค่มึงที่จะเดือดร้อน แต่คนที่อยู่ในใจมึงจะต้องเดือดร้อนด้วยแน่นอน สาวๆ จะต้องสืบจนรู้ และตามก่นด่าพวกมึงทั้งสองคน ดูจากโพสต์เหมือนน้องหญิงเองก็พาดพิงถึงคนนั้นของมึงด้วยว่ามาแย่งมึง” โต้งว่า

            “กูไม่มีทางทำให้คนของกูเดือดร้อนแน่นอนเว้ย”

            “เออทำให้ได้ละกัน มึงเองก็ระวังตัวไว้ด้วย กูได้ยินข่าวว่าพี่ชายน้องหญิงโหดมากซะด้วย”

            “กูไม่กลัวแม่งหรอก อย่างมากก็แค่ตาย”

            “ไอ้ห่าอย่ามาทำเป็นปากดี ระวังตัวไว้ด้วยถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงกูเป็นห่วงมึงนะเว้ย”

            “เออ...ขอบใจว่ะ ขึ้นข้างบนไปหาไอ้พวกนั้นกันเถอะ” ว่าแล้วสองหนุ่มก็เดินขึ้นไปบนตัวอาคารเรียน

            เรื่องของคิมดังไปทั่ววิทยาลัยและโรงเรียนละแวกใกล้เคียง ผู้คนต่างซุบซิบนินทาหาว่าไม่แมนบ้าง หาว่าหน้าตัวเมียบ้าง ทำเอาเรทติ้งของคิมหล่นตุ๊บลงไปจริงๆ ยอดผู้ติดตามทั้งในอินสตาแกรมและเฟชบุ๊คลดลงอย่างฮวบฮาบ แต่ก็ยังมีแฟนคลับบางกลุ่มที่เข้าใจและให้กำลังใจอยู่เหมือนเดิม แต่ทว่าตอนนี้กลับมีคอมเมนต์ฉะกันให้เห็นอยู่เรื่อยๆ

            เมื่อเลิฟรู้เรื่องก็รีบโทรไปหาคนรักทันที กลัวว่าคิมจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อวานอีก

            “ฮัลโล”

            (“เออว่าไง คิดถึงกูเหรอ ปกติไม่เห็นโทรมาช่วงเวลานี้เลย”) คิมตอบ ทำน้ำเสียงเป็นปกติ ไม่ได้แสดงพิรุธให้ได้ยินว่ามีความกังวลอยู่ในใจ

            “เป็นไงบ้างเรื่องนั้นอ่ะ”

            (“ชิวๆ”)

            “จริงอ่ะ อย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งให้เห็นนะ”

            (“ไม่มีทางโว้ย คนอย่างกูแข็งแกร่งอยู่แล้ว”)

            “ได้ยินอย่างนี้ก็ค่อยดีใจหน่อย ถ้าไม่เป็นอะไรแล้วผมวางละนะ แอบหนีอาจารย์ออกมาคุยเลยนะเนี่ย”

            (“เดี๋ยว!”)

            “อะไรอีกล่ะ”

            (“เย็นนี้พากูไปคลายเครียดหน่อยนะ...ที่ไหนก็ได้”) ในที่สุดคิมก็ยอมรับจนได้ว่าเขาเองก็กังวลใจกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ในชีวิตเขาไม่เคยเจอเรื่องที่กระทบจิตใจมากขนาดนี้เลย

            “โอเคแล้วเจอกันครับ” เลิฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุน ราวกับสื่อว่าเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

*-*-*-*-*-*-*

            หลังเลิกเรียนทั้งสองหนุ่มก็รีบบึ่งรถออกมาจากรั้ววิทยาลัย ตรงไปยังชานเมือง สถานที่ในความทรงจำช่วงวัยเด็กของทั้งสองคน ซึ่งเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ทั้งสองชอบมาวิ่งเล่นกันเป็นประจำ พื้นที่ขนาดกว้างนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงจุดศูนย์กลาง แต่ก่อนพื้นที่นี้ค่อนข้างจะโล่งเตียน แต่ทุกวันนี้กลับเต็มไปด้วยต้นไม้สูงเขียวชอุ่ม สลับกับพุ่มไม้ที่ปลูกเรียงเป็นแนวยาวตามทางเดิน สวนดอกไม้นานาพันธุ์ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งทำให้บรรยากาศดูสวยงามมากยิ่งขึ้น

            ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มกำลังนั่งอยู่ข้างสระน้ำ โยนเศษขนมปังให้ปลาสวายตัวโตที่กำลังโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแย่งชิงอาหารกันอย่างเนืองแน่น

            “กูไม่นึกว่ามึงจะจำที่นี่ได้ด้วย”

            “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ แต่ก่อนพี่เคยพาผมมาเล่นที่นี่บ่อยๆ” เลิฟหันมายิ้มให้

            “ไหนบอกจำอะไรไม่ได้สักอย่างโกหกกูนี่หว่า”

            “ถ้าบอกว่าจำได้พี่ก็รู้ดิว่าผมไม่เคยลืมพี่เลย”

            “พูดอย่างนี้กูรู้แล้วล่ะว่าสมุดบันทึกเล่มนั้นต้องเขียนถึงกูแน่เลย เอาไว้วันหลังกูจะไปอ่านให้ได้”

            “ไม่มีทางโว้ย มันเป็นของส่วนตัวผม พี่ไม่มีทางได้อ่านหรอก”

            “ทำไม...อายเหรอ” ว่าแล้วคิมก็เอื้อมมือไปโอบไหล่ เขยิบตัวเข้าไปจนชิดกัน

            “ใครจะไม่อายวะ ผมออกจะแมนขนาดนี้ถ้ามีใครรู้ แม้กระทั่งพี่เองมันก็จะดูแปลกๆป่ะ”

            “มันจะมีโอกาสไหมวะที่กูกับมึงจะได้คบกันอย่างเปิดเผย” คิมหันมามองหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

            “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ พี่ชอบแบบนั้นเหรอ”

            “ถ้าเป็นไปได้กูก็อยากจะเปิดให้คนทั้งโลกรู้แม่งเลย มึงกับกูจะได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างสบายใจ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ” คิมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

            “ทุกวันนี้ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันได้นี่นา”

            “มันไม่เหมือนกันเว้ย มันกอดจูบหรือเดินจูงแขนไม่ได้อ่ะ”

             “ให้ผมคิดก่อนนะพี่ ผมเข้าใจพี่นะ แต่ความฝันของผมก็คือการเป็นนักร้อง ถ้ามีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงอ่ะ แต่ในขณะเดียวกันผมก็อยากมีพี่อยู่ข้างๆ อย่างนี้ด้วย ผมมันเห็นแก่ตัวเนาะ” เลิฟแค่นยิ้มออกมาให้กับความเห็นแก่ตัวของตัวเอง

            “กูเข้าใจมึง ไม่ต้องห่วงกูสัญญาว่าเรื่องของเรามันจะถูกเก็บเป็นความลับอย่างดีที่สุด”

            “ขอบคุณนะพี่”

            “เพื่อมึงกูทำให้ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

            “ป๋ามากเลยอ่ะ ป๋าให้ตลอดนะ”

            “แน่นอนอยู่แล้ว” คิมยกมือข้างที่กอดคอขึ้นมาลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการหยอก

            “สบายใจขึ้นยังล่ะ อีกไม่นานมันก็จะผ่านไปเอง อย่าเก็บเอาความคิดของคนอื่นมาใส่ใจเลย” เลิฟบอก

            “สุดๆ เลยล่ะ ขอบใจนะเว้ยที่อยู่ข้างๆ เวลาที่กูทุกข์ใจ โชคดีจังที่ได้มึงมาเป็นแฟน”

            “ถูกต้องนะคร้าบบ! พี่เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกเลย ได้ทั้งแฟนที่นิสัยดี หล่อก็หล่อ แถมยังเสียงดีอีกด้วย ในโลกนี้คงหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแบบนี้ยากนะเนี่ย” เลิฟยอตัวเอง

            “นอกจากจะทำให้กูหลงมึงแล้ว มึงยังหลงตัวเองอีกด้วยนะเนี่ย” ว่าแล้วก็หอมเข้าที่กลางกระหม่อมฟอดใหญ่ด้วยความมันเขี้ยว

            “ตั่งแต่มาพี่แต๊ะอั๋งผมไม่ยอมหยุดเลยนะ เห็นไม่พูดก็ใช่ว่าจะไม่คิดอะไรนะ” เลิฟเหล่ตามองคนที่นั่งข้างกัน แต่คิมกลับยิ้มหน้าระรื่นยอมรับสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวหา

            “ก็แฟนกูน่ารักนี่หว่า มันห้ามใจไม่ได้ มึงห้ามมีอะไรกัน แต่อย่าห้ามเรื่องนี้เลยนะกูขอล่ะ” คิมทำหน้าอ้อนวอน

            “เออ...ก็ได้แต่ผมขอแต๊ะอั๋งคืนมั่งนะ”

            “เอาเล๊ย กูยอมให้มึงแต๊ะอั๋งได้ทุกสัดส่วน” คิมยิ้มเจ้าเล่ห์

            “จริงนะ”

            “จริงดิวะ ตอนนี้เลยก็ได้” คิมตีคิ้วท้าทาย

            “พูดแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด” ว่าแล้วเลิฟก็วางมือไว้บนหน้าขา ก่อนจะค่อยๆ ลูบไล้ขึ้นมาจนถึงขอบกางเกงนักศึกษา มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา

            คิมเอาแต่นั่งนิ่ง รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เคยแต่ลวนลามคนอื่นแต่มาวันนี้กลับโดนเองซะงั้น มันยังไม่คุ้นชิน

            “อย่างมึงเหรอจะกล้า ไอ้หน้าอ่อน”

            “ก็คอยดูละกัน” เลิฟยิ้มมุมปาก ก่อนจะปลดตะขอกางเกงแล้วรูดซิปลง เผยให้เห็นกางเกงชั้นในสีดำที่อยู่ด้านใน เพียงแค่นั้นก็ทำให้เลือดลมมันไหลไปรวมตัวกันที่ตรงกลางกายของคิมทันที

            “โอ๊ะโอ ตอนนั้นไม่เห็นมีอารมณ์ แต่ทำไมตอนนี้มันแข็งเร็วอย่างนี้ล่ะพี่” เลิฟเอ่ยแซว ขำออกมาเบาๆ

            “มะ...มึงจะแซวทำหอกอะไรวะ จะทำก็รีบทำดิกูไม่ไหวแล้วเนี่ย” พูดแล้วก็มองซ้ายมองขวา ดูว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า

            “ไม่ต้องมองหรอก ผมแค่แกล้งเล่นๆ เท่านั้นเอง รูดซิปคืนเถอะพี่ ฮ่าๆ” เลิฟดึงมือกลับมาอยู่ในท่าเดิม ทำเอาคิมถึงกับจิ๊ปากเสียงดังด้วยความเสียดาย

            “ทำไมมึงทำอย่างนี้วะ กูกำลังเคลิ้มเชียว แถมแถวนี้ยังไม่มีคนอีกด้วยบรรยากาศกำลังเป็นใจ”

            “นี่มันสวนสาธารณะนะครับพี่ หื่นไม่เลือกที่เลยนะ”

            “อย่ามาว่ากูมึงนั่นล่ะเป็นคนเริ่มก่อน กำลังแข็งอยู่แล้วเชียว” ประโยคท้ายคิมพูดเบาเสียง

            “สงสัยพี่จะชอบเรื่องเซ็กส์มากๆ เลยสินะ”

            “ก็แหงล่ะคนนะเว้ยมีเลือดมีเนื้อมันก็ต้องมีความต้องการ หรือมึงไม่อยาก”

            “ก็อยากเหมือนกัน แต่ผมเลือกเวลาที่เหมาะสมนะเว้ย ไม่อยากพร่ำเพรื่อเหมือนพี่ซะหน่อย”

            “แล้วเวลาที่มึงอยากคือตอนไหนล่ะเผื่อกูจะไปอยู่ในช่วงเวลานั้น จะได้ตอบสนองมึงไง” คิมมองหน้ารอคำตอบ

            “ไม่บอก” เลิฟยื่นหน้าเข้ามาตอบ แล้วรีบลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากตรงนั้น

            “เฮ้ย! รอกูด้วยสิวะ” คิมรีบลุกขึ้นเดินตามหลังคนรักไป

            ทั้งสองเดินชมความงดงามของสวนดอกไม้ไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกบ้าง จนมาถึงสนามเด็กเล่น

            “มองทำไมอยากเล่นรึไง” คิมเห็นอีกฝ่ายเอาแต่มองก็พอจะเดาออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

            “อื้ม” เลิฟครางรับสั้นๆ

            “ถ้างั้นก็ไปนั่งสิเดี๋ยวกูไกวให้”

            “ห้ามแกล้งผมเด็ดขาดเลยนะ ไม่งั้นผมฟ้องแม่แน่”

            “จะทำตอนเหมือนสมัยเด็กๆ น่ะเหรอ ตัวเองเป็นคนตกลงมาเอง แล้วขี้ตู่ว่ากูเป็นคนแกล้ง ฮ่าๆ” คิมยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี

            “ก็พี่แกล้งผมจริงๆ นี่นา” เลิฟว่าพลางนั่งลงที่กระดานชิงช้า ส่วนคิมก็ไปยืนรออยู่ด้านหลัง

            “พร้อมยัง”

            “พร้อมแล้ว เบาๆ นะพี่” เลิฟจับโซ่ทั้งสองข้างเอาไว้แน่น เมื่อคิมเริ่มไกลชิงช้าให้

            “กูไม่ปล่อยให้มึงเจ็บตัวหรอกน่า เห็นยัง”

            “รู้แล้วน่า ความเร็วเท่านี้กำลังดี”

            “ถ้าวันนึงกูไม่ได้อยู่ข้างๆเหมือนวันนี้ มึงจะเสียใจไหมวะ”

            “พี่จะไปไหนอ่ะ อย่าบอกนะว่าจะเลิกกับผม”

            “เปล่าก็แค่ถามเล่นๆ วันข้างหน้าอะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอนไง”

            “ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ผมคงจะโกรธพี่มาก ไม่มีวันอภัยให้เด็ดขาด”

            “ใจร้ายว่ะ” คิมยิ้ม

            “ไม่ร้ายหรอก เพราะพี่เคยหนีผมไปแล้วครั้งนึงไงล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นอีกผมคงจะไม่อภัยไปตลอดชีวิต”

            “กูขอโทษนะที่ไปแล้วไม่เคยติดต่อกลับมาหามึงอีกเลย ช่วงนั้นกูป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก ทุกอย่างมันวุ่นวายจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นเลย”

            “ช่างมันเถอะพี่ ผมก็พูดเล่นไปงั้นล่ะ จริงๆ แล้วผมไม่เคยคาดหวังว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง คิดแค่ว่าทำปัจจุบันให้มันดีที่สุด ให้มีความสุขที่สุดเป็นพอ เราจะเครียดเรื่องที่มันยังมาไม่ถึงทำไมล่ะ จริงไหม”

            “มึงไปเรียนวิชาการพูดมาจากไหนวะ แต่ละคำคมๆ ทั้งนั้นทำเอากูโง่ไปเลย” คิมว่า แค่นหัวเราะออกมา พร้อมทั้งค่อยๆ ชะลอความเร็วของชิงช้า

            “พี่เพิ่งรู้ตัวว่าโง่เหรอ ผมรู้ตั้งนานแล้วนะ” เลิฟแกล้งพูดหยอก

            “หลอกด่ากูอีกแล้ว สงสัยต้องทำโทษซะแล้วมั้ง” คิมเดินมาอีกฝั่ง แล้วนั่งยองๆ ลงตรงหน้ารุ่นน้อง เอื้อมมือไปจับโซ่ทั้งสองข้างเอาไว้ กักตัวไม่ให้อีกฝ่ายออกไปไหนได้

            “พี่จะทำอะไรผมได้ล่ะ” เลิฟเลิกคิ้ว ทำหน้าระรื่นใส่

            “เดี๋ยวมึงก็รู้” คนพูดยิ้มมุมปาก แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปประกบจูบทันที

            เลิฟรู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่พ้นเรื่องนี้ไปได้ เขาเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะตัวเองก็รู้สึกโหยหามันอยู่เหมือนกัน ยิ่งอยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำนี้ ยิ่งรู้สึกว่าเวลาที่รอคอยมาแสนนาน มันไม่ได้สูญเปล่าเลยสักนิด
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.9 ความทรงจำ l Up:12-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-08-2018 03:52:18
คิม อย่าทำให้น้องเสียใจนะ หลอกคนอื่นไปทั่ว  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.9 ความทรงจำ l Up:12-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 13-08-2018 10:22:27
บอกความจริงกับเพื่อนไปเถอะคิม
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.9 ความทรงจำ l Up:12-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 14-08-2018 20:53:48
 :pig4:
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.10 ผิดสัญญา l Up:14-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 14-08-2018 21:01:30
-๑o-

ผิดสัญญา



            หลังจากเลิกเรียนแล้วคิมก็ได้แยกกับเพื่อนเพื่อไปส่งเลิฟที่บ้านเหมือนปกติ แต่วันนี้เจ้าตัวต้องวนรถกลับไปสมทบกับเพื่อนที่ร้านเฮียอ่ำอีกที เพราะทั้งห้าหนุ่มได้นัดสังสรรค์กันตามที่ได้สัญญากันเอาไว้

            เมื่อรถบิ๊กไบค์คันใหญ่จอดที่หน้าบ้านแล้ว เลิฟก็ลงไปยืนข้างๆ ส่งยิ้ม โบกมือให้เหมือนเช่นทุกวัน

            “ขอบคุณครับพี่คิม”

            “ขอบคุณทำไมทุกวันวะ วันนี้กูจะไปเที่ยวกับเพื่อน อาจจะไม่ได้โทรหานะ” คิมบอกเอาไว้

            “ไม่เห็นชวนผมเลยอ่ะ” คนพูดทำเป็นงอน

            “มึงอยู่บ้านล่ะดีแล้วช่วยน้าพิมพ์ทำงาน”

             “ครับผม สั่งอย่างกับพ่อแหนะ”

             “กูไปละนะ”

             “อย่าเมานะครับพี่ ผมเป็นห่วง” เลิฟรู้สึกเคอะเขินเมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา

             “เออ กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกูไม่เมาหรอกน่า” คนพูดยักคิ้วให้ก่อนจะขับรถออกไป

             กำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงร้อง เลิฟจึงหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมารับสาย

            “ฮัลโลครับพี่โอม”

             ไปส่งเลิฟที่บ้านแล้วก็คิมก็บึ่งรถวนกลับมาที่ร้านของเฮียอ่ำทันที คนค่อนข้างแน่นร้าน นั่นเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ที่นั่งทุกโต๊ะเกือบเต็มจะมีว่างบ้างประปราย นั่นเพราะมีคนได้จองเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว

            โบว์สาวสวยประจำร้านเดินเข้ามารับออเดอร์เหมือนทุกครั้ง หล่อนรู้จักและคุ้นเคยกับหนุ่มๆ เป็นอย่างดี จึงทำให้บรรยากาศเป็นกันเอง

            “วันนี้มาเลี้ยงฉลองอะไรจ๊ะหนุ่มๆ” เธอกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม สวมชุดล่อใจเสือเหมือนทุกวัน

            “มาเลี้ยงฉลองที่ไอ้คิมมันมีแฟนครับพี่โบว์สุดสวย” โต้งว่า

            “ว้า! เสียดายจัง หล่อ หุ่นดี อย่างนี้ฉันยังไม่ทันได้แอ้มเลยอ่ะ ว่าแต่ผู้หญิงโชคดีคนนั้นเป็นใครกันนะ ฉันอยากจะตามไปตบซะจริงๆ” โบว์ว่า

            “ไม่ต้องเสียดายหรอกครับพี่ ไอ้พวกสี่คนนี้มันยังว่าง ชี้นิ้วเลือกเอาเลย” คิมว่า

            “ถ้าไม่ใช่เธอฉันก็ไม่มีทางเอาหรอกย่ะกะโหลกกะลา รีบๆ เขียนมาจะเอาอะไรบ้าง”

            “โห ดูถูกกันนี่หว่าพี่ นัดจัดกันสักรอบดีไหม จะได้รู้ว่าพวกผมไม่กะโหลกกะลา สี่ต่อหนึ่งเลยก็ได้” หินว่า

            “ไม่เอาด้วยหรอก บอกแล้วไงคนที่ฉันจะเอาก็คือคิมคนเดียวย่ะ” เธอยังคงยืนยันคำพูดเดิม

            “ลำเอียงนี่หว่าพี่ ของดีๆ ทั้งนั้นกลับไม่เอา อย่าเสียดายทีหลังละกัน” โต้งเอ่ยหยอก

            “โนเวย์ ไม่มีทางเสียดายย่ะ ไม่ได้คิมก็มีลูกค้าโต๊ะอื่นๆ เยอะแยะ หล่อกว่าอีกด้วย” เจ้าหล่อนพูดจีบปากจีบคอ เชิดหน้าใส่

            “อ่ะ ตามนี้พี่เร็วๆ ด้วยนะหิว” โต้งยื่นกระดาษที่จดเมนูคืนให้

            “ย่ะ...รอสักครู่” เธอยื่นมือไปรับแล้วก็เดินสะบัดตูดไป

            ระหว่างนั่งรออาหาร เครื่องดื่มก็ถูกนำมาเสิร์ฟก่อน ทั้งห้าหนุ่มนั่งจิบเบียร์ เหล่สาวในร้านไปพลางๆ แต่ทว่าคิมกลับบังเอิญเจอใครบางคนที่คุ้นเคยเดินมาพร้อมกับโอม

            “นั่นมันไอ้เลิฟกับไอ้โอมนี่หว่า ทำไมมาด้วยกันได้วะ” เมื่อเห็นทั้งสองคนเทอร์โบก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง จนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน

            คิมไม่พูดอะไรเอาแต่จ้องทั้งสองคนตาเขม็ง เขางงว่าทำไมเลิฟถึงออกมากับโอมได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งไปส่งที่บ้านมา อีกฝ่ายไม่ได้บอกอะไรเขาเลย ออกมากับมันทำไม? ทำไมไม่บอกกันเลยสักคำ? นั่นคือสิ่งที่คิมอยากจะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง

            “ไอ้คิม ไอ้คิมโว้ย” เมื่อเรียกครั้งแรกไม่ได้ยิน โต้งจึงเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีก

            “อะ...อะไรวะ แหกปากซะดังเชียว” คิมว่าให้เพื่อน

            “ก็มึงนั่งเหม่อ เห็นรึเปล่าว่าไอ้เลิฟมากับไอ้โอมน่ะ” โต้งว่า

            “เห็นแล้วทำไมวะ” คิมทำสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

            “มึงไม่เป็นห่วงมันเลยเหรอวะ อุตส่าห์ไปรับไปส่งทุกวันอย่างกะแฟน”

            “กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันนี่หว่า ทำไมต้องรู้สึกอะไรด้วย ดีเหมือนกันมันจะได้ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับกูอีกไง” คิมยิ้ม แต่ในใจกลับกระวนกระวาย อยากจะไปกระชากคอเสื้อถามให้รู้เรื่อง

            “ถ้างั้นก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อยเนาะ” โต้งว่าแล้วเรียกทั้งหมดมาชนแก้ว “ชนแก้วเว๊ย”

            แกร๊ง!

            “หมดแก้วววว!!!” หินบอกกับเพื่อนทุกคน ก่อนจะกระดกน้ำสีเหลืองอ่อนลงคอจนพร่องแล้ว

            “พวกมึงกูว่าจะไปทักทายไอ้นั่นซะหน่อย ยังไงก็คนรู้จักกันเดี๋ยวมันจะหาว่าหยิ่ง” คิมบอกกับเพื่อน

            “อ้าวไหนบอกไม่สนไงวะ ไอ้ห่านี่ ยังไงกันแน่” อ๋องว่า มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ

            “ก็คนมันรู้จักกัน อย่างน้อยมันก็เป็นน้องคนนึง เอาน่ากูไปแป๊บเดียว”

            “กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่มึงโว้ย” อ๋องยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

            คิมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาคนรัก ที่นั่งอยู่ถัดไปประมาณสี่โต๊ะ ระหว่างเดินไปนั้นก็พยายามควบคุมอารมณ์ ไม่ให้หึงหวงจนออกนอกหน้า แต่ภาพที่เห็นนั้นมันช่างบาดใจเสียเหลือเกิน มากันสองต่อสองแถมยังนั่งติดกันอีกด้วย ทำตัวอย่างกับมาออกเดตกันซะอย่างนั้น

            “เฮ้ย! พวกมึง” เมื่อเดินไปถึงโต๊ะคิมก็เอ่ยทักทายทั้งสองหนุ่ม

            เลิฟหันมามองที่ต้นเสียงก็ขมวดคิ้ว มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย “พี่คิม!”

            “เออกูเอง” สายตาคมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แต่ทว่าเลิฟกลับเปลี่ยนท่าทียิ้มให้เหมือนปกติ

            “ไม่ยักรู้ว่ามึงมาที่นี่ด้วย ถ้ารู้จะได้ชวนมาพร้อมกัน” โอมว่า ทำหน้ายียวนราวกับได้เป็นผู้ชนะในเกมนี้แล้ว

            “ชวนกูก็ไม่มาหรอก เพราะเพื่อนกูสำคัญกว่า”

            “แล้วมึงมาหาพวกกูทำไมวะ”

            “กูแค่มาทักทายตามประสาคนรู้จักกัน” คิมตั้งใจพูดประชดประชันเลิฟ ให้รู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังไม่พอใจมาก จากทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่ขุ่นมัว

            “ดีใจว่ะที่มึงอุตส่าห์มา กูมาเลี้ยงขอบคุณที่วันนั้นไอ้เลิฟมันเข้าไปช่วยพวกกู”

            “แล้วทำไมต้องมากันสองคนวะ เหมือนจงใจ” คิมอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะ ยิ่งอยู่ที่นี่นานเขายิ่งห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้

            “ทำไม! พวกกูจะมากันสองคนมันผิดตรงไหนวะ” โอมพูดจายียวน

            “นี่มึงกวนตีนกูเหรอวะ” คิมอารมณ์เดือดพล่าน เมื่อรู้ว่าโอมจงใจจะกวนตีน

            “เอ่อ...ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” เลิฟว่า มองตาคนที่ยืนอยู่ พยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าให้ตามมา

            “เคๆ เดี๋ยวกูนั่งดื่มรอ” โอมบอก

            เมื่อเลิฟเดินไปแล้ว สองหนุ่มก็จ้องตากันเขม็ง ประกาศสงครามกันอย่างชัดเจน โอมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของคิมและเลิฟนั้นถึงขั้นไหนแล้ว แต่เจ้าตัวมั่นใจว่าคงไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะดูจากสายตามี่มองและการกระทำที่แสดงออก คิมมักจะหึงหวงตลอดเวลาที่เขาอยู่ใกล้เลิฟ

            เมื่อมาถึงหน้าห้องน้ำแล้ว คิมก็จูงมืออีกฝ่ายเดินเลี่ยงไปด้านหลังในที่ลับตาคน

            “ปล่อยผม!”

            “มึงมากับมันได้ยังไง กูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามากับมัน” ประโยคแรกคิมก็ขึ้นเสียงใส่ทันที

            “พี่โอมเขาโทรมาชวนผมอ่ะ แล้วจะให้ปฏิเสธได้ยังไงกัน” เลิฟอธิบาย

            “แล้วทำไมถึงไม่โทรมาบอกกกูก่อนล่ะ” คิมยังหาเรื่องไม่เลิก

            “ผมรู้ไงว่าพี่มาเที่ยวกับเพื่อนเลยไม่อยากกวน ทำไมจะต้องทำให้เรื่องง่ายเป็นเรื่องยากด้วยเนี่ย”

            “เรื่องง่ายงั้นเหรอ มึงแม่งคิดน้อยจังเลยวะ ไม่นึกถึงใจคนห่วงบ้างเลย มันจะทำอะไรมึงบ้างก็ไม่รู้ ไอ้อ่อนเอ๊ย!” ด้วยความโมโหคิมก็ว่าให้อีกฝ่าย

            “ถ้าพูดไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูดกันอีกเลย ผมเบื่อกับความงี่เง่าของพี่เหมือนกัน” ว่าแล้วเลิฟก็หันหลังกลับ เดินออกมา แต่คิมไม่ยอมจบรั้งมือเอาไว้

            “กูยังพูดไม่จบ มึงจะไปไหนไม่ได้”

            “พี่แม่งพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ถ้าไม่ปล่อยเราก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก” เลิฟหน้าขึ้นสี โมโหกับการกระทำของรุ่นพี่

            “ถ้างั้นก็ไปหามันเลย ไม่ต้องห่วงว่ากูจะเป็นยังไง” คิมยอมปล่อยมือ ยืนนิ่งไม่มองหน้า

            “พี่แม่งไม่มีเหตุผล” เลิฟเอ่ยแค่นั้นก็เดินหัวเสียออกไป ปล่อยให้คิมยืนน้ำตาตกในอยู่เพียงลำพัง

            เลิฟเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อควบคุมอารมณ์โมโห จากนั้นก็เดินออกมาในสภาพปกติ 

            “มาพอดีเลย อาหารเพิ่งมาเสิร์ฟ” โอมว่า

            “ถ้างั้นลงมือเลยครับพี่” เลิฟมองหน้า ยิ้มให้รุ่นพี่ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่เหมือนคิมอย่างสิ้นเชิง สามารถเก็บอารมณ์และแยกแยะสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี แต่รายนั้นสภาพจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ เป็นคนคิดมากและขี้น้อยใจเป็นที่สุด

            ทางด้านคิมก็เดินคอตกกลับมาที่โต๊ะ เขาไปซะนานจนลืมว่าตอนนี้เพื่อนรออยู่ นั่นทำให้ทั้งสี่หนุ่มรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมของคิม ปากก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กลับเป็นห่วงเป็นใยตลอดเวลา คนเป็นเพื่อนสนิทสังเกตได้ไม่ยากเพราะรู้นิสัยกันเป็นอย่างดี

            “ไอ้คิม ไปซะนานเชียวนะมึง” โต้งถาม

            “.........”

            เจ้าตัวไม่ตอบแต่กลับนั่งลงที่เก้าอี้ คว้าแก้วเบียร์ที่วางอยู่มาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนจะยื่นไปให้เพื่อนเปลี่ยนเป็นเหล้าให้แทน

            “ชงเหล้าให้กูหน่อยเอาเข้มๆ”

            “มึงเป็นอะไรมาวะ ไปหาไอ้หน้าหล่อนั่นก็เดินคอตกกลับมา” หินถาม ขณะชงเหล้าให้เพื่อนไปด้วย

            “เปล่าว่ะ...คนอย่างกูมันไม่มีใครต้องการ กูมันเป็นหมาหัวเน่า” คิมบ่น คว้าแก้วน้ำสีอำพันจากมือหินมา ทั้งที่ยังชงไม่เสร็จ

            “เฮ้ย! เบาๆ เว้ยเดี๋ยวก็เมากันพอดี” อ๋องพยายามปรามเพื่อน

            “เมาให้มันตายไปเลย คนอย่างกูไม่มีใครสนใจหรอก เป็นแค่ของตาย”

            “กูถามจริงๆ มึงกับไอ้เลิฟเป็นอะไรกันแน่วะ อย่าคิดว่าพวกกูดูไม่ออกนะเว้ย มึงไม่เคยชายตาแลใครมานาน แต่พอมีไอ้เลิฟเข้ามามึงก็ปลีกตัวจากพวกกูไปคลุกคลีอยู่กับมัน อย่าอ้างว่าเป็นเพราะเรื่องที่พนันกันไว้เพราะตอนนี้มันจบลงแล้ว” อ๋องถามออกไปตรงๆ

            “ไม่มีอะไรจริงๆ เว้ย” คิมยังจำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเลิฟได้แม่น จะไม่มีทางให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด

            “ก็แล้วแต่มึงนะพวกกูมันก็แค่เพื่อน ไม่ได้มีความสำคัญอะไร” อ๋องพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เพื่อกดดันให้เพื่อนพูดความจริงออกมา

            “มึงอย่ากดดันกูสิวะ” พูดแล้วก็กระดกเหล้าเข้าปากไปจนหมดแก้ว ระหว่างนั้นก็ปรายตามองเลิฟอยู่บ่อยครั้ง แต่อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้ม หัวเราะ พูดคุยกับโอมอย่างมีความสุข

            “ถ้างั้นก็แล้วแต่มึงสบายใจละกัน ดื่มเข้าไปให้พอใจเดี๋ยวพวกกูไปส่งที่บ้านเอง” อ๋องว่า มองหน้าเพื่อนคนอื่นแล้วยกยิ้ม เหมือนมีแผนในใจ

            หลังจากดื่มยกแก้วไปหลายยก ตอนนี้คิมก็เริ่มทรงตัวไม่ได้ ฟลุบหน้าลงบนโต๊ะ ปากก็บ่นอะไรออกมาไม่เป็นภาษา เพื่อนทั้งสี่คนจึงใช้โอกาสนี้ถามความจริงที่อยากจะรู้

            “ไอ้คิมมึงจะบอกพวกกูได้ยังว่าคนที่มึงชอบเป็นใคร” โต้งถาม

            “กูรู้ว่าพวกเมิงหลอกถาม แต่ก็จาบอกให้ก็ด้ายย” คิมเงยหน้าขึ้นมายิ้มตาปรือให้กับเพื่อน มือทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะเพื่อทรงตัว

            “รีบๆ บอกมาเลยดิวะ” ทั้งสี่คนมองหน้าเพื่อน ลุ้นกันยิ่งกว่าลุ้นหวย

            “คนที่กูชอบก็คือ...” พูดยังไม่ทันจบก็ฟลุบหน้าลงบนโต๊ะเสียก่อน

            “โอ๊ย! อย่าเพิ่งหลับสิวะบอกมาก่อน” หินเขย่าตัวเพื่อนจนคิมเงยหน้าขึ้นมายิ้มอีกครั้ง

            “คนคนนั้นก็คือ....ไอ้เลิฟงายล่ะ” พูดจบก็ฟลุบหน้าลงอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครปลุกขึ้นมาอีกแล้ว ปล่อยให้หลับไปอย่างนั้น

            “เหี้ย! กูว่าแล้วแม่งต้องเป็นอย่างนี้ มันสองคนมีซัมติงกันจริงๆ ว่ะ” โต้งว่า

            “มึงว่ามันสองคนจะได้กันยังวะ” อ๋องถามขึ้นมา มองหน้าเพื่อนคนอื่นยิ้มๆ

            “จะเหลือเร้อ ไปรับไปส่งกันขนาดนั้น” เทอร์โบว่า

            “มันบอกว่าไอ้เลิฟเป็นเกย์ แล้วไอ้คิมล่ะพวกมึงว่ามันจะเป็นด้วยรึเปล่าวะ หรือแค่อยากลองของแปลก” เทอร์โบว่า

            “ต้องดูกันต่อไปว่ะ” โต้งว่า

            จากนั้นทั้งหมดก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้เลิฟได้ยินประโยคพวกนั้นเข้าเต็มหู จากตอนแรกที่ตั้งใจจะมาดูว่าคิมเป็นยังไงบ้าง แต่เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้วเขาก็ไม่มีอะไรจะต้องห่วงอีกแล้ว ในเมื่อไม่รักษาสัญญาก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยจะดีกว่า
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.10 ผิดสัญญา l Up:14-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-08-2018 22:23:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.10 ผิดสัญญา l Up:14-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-08-2018 08:49:28
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: ❤️:::::ไอ้เด็กช่างที่รัก:::::❤️ EP.11 ตามง้อ [Up.15-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 15-08-2018 20:29:42
-๑๑-

ตามง้อ



            ช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมาทั้งสองคนไม่ได้คุยกันเลยสักคำ คิมเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์มือถือเกือบทั้งวัน ส่วนเลิฟเองก็ทำงานช่วยผู้เป็นแม่ด้วยอาการที่เหม่อลอย แม้ว่าต่างฝ่ายต่างก็คิดถึงกันมาก แต่ทว่าความขุ่นข้องหมองใจยังคงมีอยู่ นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยังคงตึงเครียด

            “ทำไมวันนี้มึงได้ปั่นจักรยานมาเองวะ พี่คิมไม่ได้ไปรับมึงเหรอ” โด้เอ่ยถาม ขณะทั้งสองนั่งอยู่ในห้องเรียน

            “กูเบื่อนั่งมอไซต์ อยากปั่นจักรยานเหมือนเดิม” คนพูดทำหน้าไม่สบอารมณ์

            “กูก็นึกว่ามึงกับพี่คิมทะเลาะกันซะอีก”

            “ทำไมพวกกูจะต้องทะเลาะด้วยวะ”

            “ก็เปล่า มันผิดปกติไงวะ ทำไมต้องขึ้นเสียงใส่กูด้วยล่ะไอ้ห่า” โด้ว่าให้

            “เปล่าซะหน่อย”

            “เอ้อ ไปกินข้าวกับพี่โอมเป็นไงบ้างวะ”

            “ก็ดีนะ อร่อยดี” เลิฟตอบแบบส่งๆ

            “อร่อยแล้วทำไมทำหน้างั้นวะ”

            “แล้วมึงจะให้กูทำหน้ายังไงล่ะ”

            “กูว่า....มึงต้องกำลังมีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ บอกกูมาว่ามึงเป็นอะไร คนอย่างมึงมันจะมีอะไรให้เครียดได้วะ” โด้ว่า มองหน้าเพื่อนพร้อมกับทำค่าคิดไปด้วย

            “ไม่มีอะไรหรอก มึงน่ะคิดมากไปเอง เอาเวลาไปคิดว่าจะทำยังไงให้ชนะดีกว่า อีกสองวันก็จะแข่งแล้วนะโว้ย” เลิฟบอกกับเพื่อน อีกสองวันก็จะถึงการแข่งขันวงดนตรีนักเรียนนักศึกษาในรอบคัดเลือกแล้ว หากผ่านรอบนี้เข้าไปได้ ก็จะได้ไปแสดงสดบนเวทีใหญ่ในรอบตัดสินทันที

            “เรื่องนั้นกูคิดอยู่ตลอดเวลาโว้ย วันนี้ซ้อมใหญ่ซะด้วยสิ คงจะดึกกว่าทุกวัน”

            “เออว่ะ กูลืมไปเลยถ้างั้นเดี๋ยวกูโทรไปบอกแม่ก่อนนะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ว่าแล้วเลิฟก็ลุกขึ้น เดินออกไประเบียงหน้าห้อง

            ขณะกำลังคุยกับผู้เป็นแม่อยู่นั้น คิมและเพื่อนก็บังเอิญเดินผ่านมา ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาจากกัน ต่างฝ่ายต่างยังคงมีทิฐิ จึงทำให้ยังคงมีความหมางเมิน

            “คืนนี้ผมจะกลับดึกนะครับแม่”

            (“อ้าวทำไมล่ะลูก”)

            “รุ่นพี่นัดซ้อมใหญ่ครับ”

            (“อ๋อ ถ้างั้นก็อย่าดึกมากนะลูก ขับรถกลับให้ระวังด้วย”)

            “คร้าบบบ ผมจะระวังไม่ต้องเป็นห่วง”

            (“ถ้างั้นก็โอเคจ้ะ”)

            “แค่นี้ก่อนนะครับแม่ผมต้องเข้าเรียนแล้ว”

            วางสายผู้เป็นแม่แล้วเลิฟก็อดไม่ได้ที่จะมองตามหลังคิมไป ในเมื่อไม่สนใจทักทายกันก็ไม่ต้องคุยกันอีก เขาเองก็ไม่อยากจะคุยกับคนที่ชอบผิดสัญญานักหรอก

            วันนี้เป็นการซ้อมใหญ่ของวงบางกอกบอยแบนด์ ทั้งห้าหนุ่มเตรียมเสบียงติดมือขึ้นมาด้วย พร้อมสำหรับการซ้อมหลายชั่วโมงต่อเนื่อง

            ยังคงมีคนนั่งเฝ้าเจ้าประจำนั่นคือโจ้นั่นเอง คนที่มีกำลังใจดีสุดคงจะเป็นโด้ที่เอาแต่ส่งยิ้มหวานให้คนรักอยู่ไม่ขาด ทำเอาคนที่เหลือต่างห็หมั่นไส้ ให้กับความหวานของคู่นี้

            “วันนี้ซ้อมใหญ่แล้วนะโว้ยตั้งใจๆ หลังแข่งไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านเข้ารอบ เราจะไปเที่ยวทะเลกัน ดีไหม? ” แจ๊บเอ่ยกับทุกคน

            “ดีเลยครับ เย้!!!” โด้ตอบรับเป็นคนแรก ส่วนทุกคนที่เหลือต่างก็โห่ร้องเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน

            “ถ้างั้นก็สู้ให้เต็มที่ มารวมพลังกันหน่อยเร้ว” แจ๊บว่าแล้วก็ยื่นมือไปข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือก็ยื่นมาทับกันไปเรื่อยๆ จนครบ จากนั้นก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน

            “บางกอกบอยแบนด์สู้!”

            แปะๆๆ

            เมื่อสร้างความฮึกเหิมให้กันแล้ว ทุกคนก็เข้าประจำที่ เตรียมพร้อมสำหรับการซ้อมใหญ่เป็นครั้งแรก และเป็นการซ้อมที่ยาวนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา การแข่งขันจะต้องเล่นสองเพลง นั่นคือเพลงช้าและเพลงเร็ว จากนั้นก็จะคัดเข้ารอบห้าทีมสุดท้าย เพื่อไปแสดงสดที่เวทีใหญ่ ถ่ายทอดออกอากาศที่สถานีโทรทัศน์ชื่อดังช่องหนึ่ง

            ระหว่างที่ทุกคนกำลังซ้อมอยู่ในห้องนั้น คิมได้แอบมานั่งอยู่หน้าห้อง แอบมองผ่านกระจกอย่างระแวดระวัง ไม่ให้คนที่อยู่ด้านในรู้ตัว เขาได้ยินว่าวันนี้ซ้อมใหญ่แถมยังต้องกลับดึกกว่าทุกวัน นั่นทำให้คิมรู้สึกเป็นห่วง เขาตั้งใจจะคอยตามดูอยู่ห่างๆ ไม่ให้เลิฟรู้ตัว อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาเองสบายใจมากขึ้น

            ระหว่างนั่งรอก็โทรไปหาผู้เป็นแม่ เพื่อจะบอกกล่าวว่าวันนี้จะกลับดึกกว่าทุกวัน

            “ฮัลโล”

            (“ว่าไงลูก โทรมาอย่างนี้แสดงว่ายังไม่กลับบ้านแน่นอน”) วิภาวีรู้ทันลูกชาย

            “โห...รู้ทันอีก ใช่แล้วครับวันนี้ผมจะกลับดึกหน่อยนะ”

            (“วันนี้จะไปไหนอีกล่ะ”)

            “คือวันนี้ไอ้เลิฟมันซ้อมดนตรีดึกน่ะครับแม่ ผมเลยมารอรับน้องกลับบ้าน”

            (“อ้อ... ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถระวังด้วยนะลูก ค่ำมืดมันอันตราย”)

            “คร้าบบบคุณแม่สุดที่รัก”

            (“แค่นี้นะแม่ต้องไปทำกับข้าวแล้ว”)

            “ครับผม”

            วางสายผู้เป็นแม่ไปแล้ว เจ้าตัวก็ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันไปแอบมองดูคนรัก ที่กำลังซ้อมดนตรีอยู่ภายในห้อง ระหว่างซ้อมสีหน้าของเลิฟเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เห็นอย่างนี้แล้วเขาเองก็อยากจะให้ความฝันของอีกฝ่ายเป็นจริง อย่างไม่มีอุปสรรคใดๆ แม้จะให้อยู่ในมุมมืดแบบนี้ไปตลอดชีวิตเขาก็ยอม ขอเพียงได้อยู่ข้างๆ คอยดูแลและให้กำลังใจเท่านั้นเป็นพอ แค่นี้ก็สุขใจแล้ว

            นั่งรออยู่นานจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเปิดประตู คิมสะดุ้งโหยงแล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า

            “ไอ้เลิฟมึงไม่ให้กูไปส่งจริงดิวะ นี่มันก็สองทุ่มกว่าแล้วนะเว้ย” โด้เอ่ยกับเพื่อน

            “ไม่ต้องว่ะบ้านกูอยู่แค่นี้เองชิวๆ”

            “ระวังรถใหญ่ด้วยนะเว้ยไอ้เลิฟ กูกลับล่ะ” อู๋บอก

            “ครับพี่อู๋”

            “กลับก่อนนะเว้ยแล้วเจอกันพรุ่งนี้” แจ๊บเอ่ย ขณะกอดคอน้องชายเอาไว้

            “สวัสดีครับพี่ๆ” เลิฟยกมือไหว้ ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายขับรถกันออกไป

            จากนั้นเลิฟก็ปั่นจักรยานออกจากอาคารเรียนไปเพียงลำพัง ทางด้านคิมรอจังหวะให้อีกฝ่ายขับไปได้สักระยะก่อน จึงสตาร์ทเครื่อง ค่อยๆ ขับตามหลังไปอย่างช้าๆ เขาจะขับตามไปจนกว่าเลิฟจะถึงบ้านอย่างปลอดภัย

            คิมจอดรถที่หน้าปากซอยแล้วมองตามหลังไป ดูให้แน่ใจว่าเลิฟได้เข้าไปในบ้านแล้ว นั่นถือเป็นอันสิ้นสุดของภารกิจในวันนี้ จากนั้นเจ้าตัวจึงบึ่งรถกลับบ้านไป

            เลิฟเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้เป็นแม่กำลังกวาดพื้นร้านอยู่เพียงลำพัง

            “พี่เหมียวกลับแล้วเหรอครับแม่”

            “จ๊ะ กลับเมื่อครู่นี่เอง วันนี้ดูท่าทางจะเหนื่อยน่าดูนะเรา”

            “ก็นิดหน่อยครับแม่ มะรืนก็จะไปแข่งรอบคัดเลือกแล้ว ช่วงนี้เลยซ้อมหนักหน่อย”

            “อย่าหักโหมมากนักล่ะลูก วันแข่งจริงจะได้มีแรงสู้เยอะๆ”

            “คร้าบบบ”

            “ว่าแต่ทำไมเมื่อเช้านี้พี่คิมไม่มารับเราล่ะ”

            “เอ่อ...วันนี้ซ้อมดึกครับผมเลยบอกพี่เขาไม่ต้องมารับมาส่งแล้ว อีกอย่างช่วงนี้อาจจะกลับไม่เป็นเวลา ผมเกรงใจพี่เขาอ่ะ” เลิฟคิดหาทางออกเพื่อไม่ให้ผู้เป็นแม่สงสัย

            “เอ๊ะ! เมื่อตอนเย็นน้าวิโทรมาบอกแม่ว่าคิมไปรอรับลูกที่วิทยาลัยนี่นา” พิมพ์พรทำหน้างง

            “อ้าวเหรอครับ ผมไม่เห็นพี่เขาเลยนี่นา” เมื่อได้ยินอย่างนั้น เลิฟก็นึกขึ้นได้ว่ามีรถมอเตอร์ไซต์ขับตามหลังมาห่างๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่าน่าจะเป็นคิมนั่นเอง

            “แต่ก็ช่างเถอะ รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมากินข้าวเร็วลูก แม่จะอุ่นกับข้าวไว้รอ”

            “ครับแม่”

            เลิฟสะพายกระเป๋าเป้เดินขึ้นไปบนห้องนอน ในใจก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายที่ต้องมาคอยตามเฝ้าอย่างนี้ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ร้านเฮียอ่ำ ก็ต้องทำใจแข็งเอาไว้

            กำลังจะปลดกระดุมเสื้อก็มีสายโทรเข้ามา เลิฟเอื้อมมือไปหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารนั้นขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นสายของคิมนั่นเอง จ้องมองที่หน้าจออยู่สักพักเพื่อตัดสินใจว่าจะรับดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่อง โยนทิ้งไว้บนเตียงเช่นเดิม

            หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว เลิฟก็ลงมาทานข้าวที่ห้องครัว ตอนนี้อาหารที่อุ่นใหม่ๆ พร้อมข้าวสวยร้อนๆ ถูกวางไว้บนโต๊ะรออยู่แล้ว ส่วนผู้เป็นแม่กำลังเดินมาจากร้านพอดี

            “แม่ไม่หิวเหรอครับทำไมไม่กินก่อนผมเลย”

            “ก็เรามีกันแค่สองคน ถ้าแม่กินก่อนแล้วใครจะกินเป็นเพื่อนลูกล่ะ” เธอว่าพลางตักไข่เจียวให้ลูกชาย

            “ขอบคุณครับ”

            “วันแข่งแม่ต้องปิดร้านไปเชียร์รึเปล่าเนี่ย”

            “เอาไว้ให้ได้เข้ารอบชิงก่อนค่อยไปก็ได้ครับแม่ แต่ไม่รู้จะได้เข้ารึเปล่านะ ฮ่าๆ” เลิฟว่าพลางตักข้าวทานไปด้วย

            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะลูกแม่เก่งอยู่แล้ว”

            “แม่ชมขนาดนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะเนี่ย” เลิฟยิ้มให้

            “จ้ามันต้องมั่นใจอย่างนี้ ถึงจะเอาชนะเขาได้”

            “ครับแม่”

            การรับประทานอาหารมื้อเย็นพร้อมบทสนทนาที่แสนจะอบอุ่น ทำให้เลิฟลืมเรื่องทุกข์ใจไปได้ชั่วคราว แม้ว่าก่อนนอนใบหน้าของคิมจะลอยมาให้เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ข่มตานอนจนหลับไปในที่สุด

--*-*-*-*-*

            เช้าวันใหม่ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วเลิฟก็ลงมาที่ห้องครัวเพื่อทานมื้อเช้า บนโต๊ะอาหารนั้นมีนมสดหนึ่งแก้วและกับข้าววางไว้รอเหมือนเช่นทุกวัน เจ้าตัวรีบนั่งแล้วลงมือจัดการกับอาหารที่ผู้เป็นแม่ได้เตรียมไว้ให้ เสร็จแล้วก็เดินสะพายกระเป๋าออกมาหาผู้เป็นแม่ที่กำลังเตรียมของเปิดร้านอยู่

            “ไปก่อนนะครับแม่” ว่าแล้วก็ยกมือไหว้

            “จ้า ระวังรถด้วยนะลูก”

            “ครับผม”

            เลิฟเดินยิ้มออกมาได้ไม่นาน ก็ต้องหุบยิ้มลง นั่นเพราะตอนนี้รถบิ๊กไบค์คันใหญ่จอดรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับผู้เป็นเจ้าของหน้าหล่อที่ส่งยิ้มมาให้

            เลิฟทำเป็นไม่สนใจ ก้าวขาขึ้นไปนั่งบนรถจักรยานคู่ใจ แต่คิมกลับเดินมายืนขวางหน้าเอาไว้

            “กูมารับ” คนพูดจ้องอย่างไม่ละสายตา

            “ไม่ไป! หลีกทางด้วย”

            “ไม่หลีก”

            “อยากเจ็บตัวรึไง ออกไปดิ” เลิฟกัดฟันพูด ใจจริงอยากจะตะโกนใส่หน้าเสียด้วยซ้ำ แต่กลัวผู้เป็นแม่จะได้ยินเข้า

            “กูขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าใส่มึงวันนั้น กูจะไม่ใจร้อนแบบนั้นอีก กูสัญญา”

            “ผมไม่มีทางเชื่อหรอกว่าพี่จะทำได้ ขนาดเรื่องที่เราคบกันพี่ยังพูดให้เพื่อนฟังเลย”

            “กูไม่ได้พูด! จริงๆ นะสาบานได้เลย” ว่าแล้วก็ยกสามนิ้วขึ้น

            “ยังจะมาโกหกอีก พี่มันเหี้ยบอกไว้เลย ผมไม่มีทางเชื่อพี่อีกแล้วว่ะ”

            “กูพูดจริงๆ ทำยังไงมึงถึงจะเชื่อใจกันวะ”

            “พี่จำไม่ได้เลยเหรอว่าพูดอะไรออกมา ถ้าจำไม่ได้ก็ไปถามเพื่อนพี่ดิ ถ้าเมาแล้วปากโป้งอย่างนั้นมันจะมีอะไรให้ไว้ใจกันได้อีกวะ”

            “อย่าบอกนะว่าวันนั้นกูพูดออกไปให้ไอ้พวกสี่ตัวนั้นรู้หมดแล้ว” คิมพยายามนึกถึงเรื่องวันนั้นแต่ก็จำไม่ได้

            “ก็เออน่ะดิ รู้ยังว่าตอนนี้พี่ทำผิดร้ายแรงแค่ไหน เพิ่งคบกันได้ไม่นานก็ทำความลับรั่วซะแล้ว ถ้าคบกันต่อไปผมไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไง”

            “กูขอโทษเว้ย กูขอโทษจริงๆ มึงอย่าพูดแบบนี้สิกูใจคอไม่ดี มึงพูดเหมือนกับว่าจะเลิกคบกับกู” คนพูดขอบตาร้อนผ่าว กำลังจะร้องไห้ออกมา

            เลิฟเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจยาว ปรายตาหนีไปอีกทาง เขาไม่อยากเห็นภาพนั้น เพราะมันจะทำให้ตัวเองใจอ่อนไปด้วย

            “ผู้ชายอะไร จะบ่อน้ำตาตื้นขนาดนี้” เลิฟว่าให้

            “ก็กูเสียใจนี่หว่า มึงไม่ยอมใจอ่อนยกโทษให้กูเลย ขอโอกาสให้กูอีกครั้งเถอะนะ กูสัญญาว่าจะไม่ดื่มเหล้าจนกว่ามึงจะอนุญาต เอาอย่างนี้ก็ได้” คิมก้มหน้าไม่ยอมไปไหน มือทั้งสองข้างจับที่แฮนด์รถจักรยานไว้

            “ถ้างั้นก็ไปคุยต่อที่วิทลัยละกัน ผมจะไปกับพี่ก็ได้” เห็นอย่างนั้นเลิฟก็อดใจอ่อนไม่ได้ จึงลงจากรถแล้วจูงไปจอดไว้หน้าบ้านเหมือนเดิม

            ส่วนคิมก็รีบไปสตาร์ทเครื่องรอ ยิ้มไม่ยอมหยุด

            “กอดเอวกูไว้แน่นๆ นะ”

            “ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วน่า”

            “จะไปละนะ” คิมพูดแต่ไม่ยอมออกรถ หาเรื่องคุยกับอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด

            “จะไปก็รีบไปดิเดี๋ยวก็สายกันพอดี”

            “มึงยกโทษให้กูแล้วใช่ป่ะ พูดให้กูสบายใจหน่อยดิ”

            “โอ๊ย! พี่แม่งบ้า เออ ยอมก็ยอมโว้ย จะไปได้ยัง” เลิฟตะโกนที่ข้างหูเสียงดัง จนอีกฝ่ายได้ยินอย่างชัดเจน

            “โอเคครับเจ้านาย จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” คิมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะบึ่งรถออกไป

            แม้ว่าเลิฟจะโกรธอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม แต่พอเห็นใบหน้าหล่อที่สำนึกผิด ก็ทำให้ยอมลดทิฐิลงมาได้อย่างง่ายดาย ผู้ชายคนนี้ภายนอกอาจจะดูเข้มแข็ง แต่ทว่าภายในนั้นกลับอ่อนไหวเสียเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.11 ตามง้อ l Up:15-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-08-2018 22:21:39
 :L2: :pig4:


โถววว พี่คิมผู้อ่อนไหว
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.11 ตามง้อ l Up:15-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-08-2018 22:44:32
เลิฟใจอ่อนอีกแล้ว  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.11 ตามง้อ l Up:15-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-08-2018 17:08:39
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก::::❤️ EP.12 ความสำเร็จ l Up:18-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 18-08-2018 15:11:08
-๑๒-

ความสำเร็จ



            วันนี้สมาชิกวงบางกอกบอยแบนด์พร้อมใจกัน เดินทางมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในวงดนตรีนักเรียนประจำปีของคลื่นวิทยุค่ายหนึ่ง

            หน้าเวทีมีกองเชียร์นับพันคน ที่ต่างก็ตั้งตารอเชียร์ทีมโรงเรียนของตัวเอง ป้ายไฟทั้งหลายถูกยกขึ้นมาเพื่อให้คนที่อยู่บนเวทีรับรู้ว่ามีกำลังใจเชียร์อยู่ตรงนี้ 

            การแสดงจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว ทำเอาทั้งหน้าหนุ่มถึงกับตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย มือเย็นเฉียบ หัวใจเต้นแรง โดยเฉพาะน้องใหม่ทั้งสองคนที่เพิ่งจะเข้ามาสู่สังเวียนนี้

            “ไม่ต้องเกร็งเว้ย ทำให้ได้เหมือนที่พวกเราซ้อมกันมา อย่าคาดหวังกับผลแต่ตั้งใจทำมันให้ดีที่สุดเป็นพอ” แจ๊บบอกกับสมาชิกในวง ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

            “บางกอกบอยแบนด์สู้!”

เมื่อเรียกเอาขวัญกำลังใจกันแล้ว ทั้งหน้าหนุ่มก็เดินเข้าไปยืนรอสแตนด์บายที่ข้างเวที ต่างคนต่างก็ยกมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ในขณะวงที่กำลังแสดงอยู่นั้นใกล้จะจบลงแล้ว

            “วงต่อไปที่จะขึ้นมาแสดงความสามารถให้กับพวกเราได้รับชมกัน พวกเขาเป็นเด็กช่างที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เมื่อครู่ที่เห็นกันข้างเวทีผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เด็กช่างเมืองไทยจะหล่อได้ถึงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเรามาชมทั้งความหล่อและความสามารถของพวกเขาไปพร้อมๆ กันเลยครับ กับวงบางกอกบอยแบนด์!!!”

            เมื่อพิธีกรพูดจบทั้งหมดก็เดินเข้าไปยืนเป็นแถว ยกมือไหว้ผู้ชมนับพันหน้าเวทีพร้อมกัน ก่อนจะเดินเข้าไปประจำจุดของตัวเอง

            “สวัสดีคร้าบบทุกคน พวกเราวงบางกอกบอยแบนด์ วันนี้จะมาขับกล่อมทุกคนด้วยเสียงอันไพเราะของผม ผสมกับดนตรีที่ยอดเยี่ยมจากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างหลัง เรามาเริ่มต้นกันด้วยเพลงช้าๆ ซึ้งๆ กันก่อนเลยครับกับเพลงนี้ นับหนึ่งกันไหม...”

            พูดจบจังหวะดนตรีก็เริ่มขึ้น เลิฟโยกย้ายตามจังหวะเพลงไปด้วย พร้อมทั้งโบกมือให้กับแฟนๆ หน้าเวที แต่สายตาคมนั้นกลับหยุดมองที่ใครคนหนึ่ง ที่กำลังยืนยิ้มให้อยู่ตรงหน้า เป็นคิมนั่นเองที่มาตามเชียร์ถึงขอบเวทีพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ

            “ถ้าหากว่าฉันต้องมีใจ ต้องเริ่มความรักขึ้นมากับใครสักคน อยากมีคนนั้นที่เข้าใจหยุดอยู่ที่ฉันเรื่อยไป ด้วยความมั่นคง เธอทำให้รู้ว่าฉันยังมีหวังอยู่ ถ้าเธอไม่รักก็คงจะไม่รู้สึก จากคำพูดและการกระทำจากส่วนลึกของใจเธอนั้น คือทุกคำตอบที่ฉันรอ...นับหนึ่งกันไหมเมื่อหัวใจตรงกัน เริ่มต้นที่รักกันจนวันสุดท้ายของลมหายใจ รักอย่างที่ฝันที่หวังไว้ในใจ ไม่ขอมากเกินไปแค่มีเธอคนนี้ เป็นเดือนประดับใจ อยากให้จบสวยเหมือนในนิยาย เป็นรักแท้ตลอดไป...”

            ทุกท่วงทำนองที่เปล่งเสียงร้องออกมา ราวกับต้องการร้องเพลงนี้ให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า นั่นทำให้ทุกอย่างมันออกมาจากใจและเป็นธรรมชาติ สื่ออารมณ์ของเพลงได้เป็นอย่างดี

            เพลงแรกจบลงไปอย่างสวยงาม หลังจากนั้นก็ตามต่อด้วยเพลงเร็วทันที เพลงที่เลือกมาร้องนั่นคือเพลง ‘เล่นของสูง’ ของวงบิ๊กแอส

            การแสดงดำเนินไปเรื่อยๆ จนครบทุกวง และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนต่างก็รอคอย นั่นคือการประกาศผลวงที่ผ่านเข้ารอบห้าวงสุดท้าย ตอนนี้ทุกคนมายืนรวมตัวกันอยู่บนเวทีอย่างเนืองแน่น ต่างก็ตื่นเต้นลุ้นว่าตัวเองจะได้ไปต่อหรือไม่

            “เชื่อว่าตอนนี้น้องๆ ทุกคนคงจะตื่นเต้นน่าดู เราจะประกาศห้าทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า พร้อมที่จะฟังผลกันรึยังครับ” พูดจบพิธีกรก็ยื่นไมโครโฟนไปซาวเสียงจากผู้ชม

            “พร้อมแล้ว”

            “กรี๊ดดด!!!”

            “ถ้าพร้อมแล้วเราจะมาประกาศผลทีมแรกที่ได้ผ่านเข้ารอบ วงไหนที่ถูกประกาศชื่อให้เดินออกมาหน้าเวทีเลยนะครับ” ว่าแล้วพิธีกรก็เปิดแผ่นกระดาษใบเล็กๆ ขึ้นมาอ่าน ก่อนจะประกาศผลให้ทุกคนทราบ “วงแรกที่ผ่านเข้ารอบคือ วงเดอะไนน์จากโรงเรียนเซนท์คริสเตียนคร้าบบบ”

            เสียงโห่ร้องดังขึ้นท่วมฮอลล์เมื่อพิธีกรประกาศชื่อทีมแรกออกมา คิมกับเพื่อนต่างก็ลุ้นภาวนาให้ชื่อต่อไปเป็นชื่อของวงบางกอกบอยแบนด์

            “และทีมต่อไปก็คือ วงน็อกเอาท์จากโรงเรียนศรีอำมาตยศิลป์”

            “วงแบล็กสกายจากโรงเรียนศึกษาพาณิชย์”

            “วงอินเดอะกราวด์จากวิทยาลัยเทคนิคXXX”

            สี่ทีมที่เข้ารอบไปล้วนแต่เป็นทีมที่มีฐานแฟนคลับค่อนข้างสูง ทำให้เสียงเชียร์ดังกระหึ่มกลบทีมอื่นๆ ไปโดยปริยาย ยิ่งเหลืออีกหนึ่งที่ยิ่งทำให้หนุ่มๆ ทั้งห้าคนกดดันหนักมากขึ้น รวมถึงกองเชียร์ที่อยู่หน้าเวทีด้วย ก่อนจะประกาศชื่อที่ผ่านเข้ารอบเป็นทีมสุดท้าย ทั้งห้าหนุ่มก็จับมือกันไว้ หลับตาปี๋รอลุ้น ในใจก็ภาวนาให้เป็นชื่อวงของตัวเอง

            “และทีมที่เข้ารอบเป็นทีมสุดท้าย ขอบอกเลยว่าวงนี้นักร้องนำหล่อบาดใจสาวๆ ซะเหลือเกินจนผมแอบอิจฉา และวงนั้นก็คือ วง...วงบางกอกบอยแบนด์จากวิทยาลัยช่างบางกอกคร้าบบบ”

            “เฮ้ย! วงเราเข้าแล้ววงเราเข้ารอบแล้วโว้ย” แจ๊บลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยกับสมาชิกในวง ก่อนจะกระโดดโหยงกอดคอกันด้วยความดีใจ พร้อมใจกันเดินมาหน้าเวทีแล้วโบกมือให้กับกองเชียร์ที่กำลังส่งเสียงโห่ร้องไม่แพ้กัน

            “และนี่คือห้าวงสุดท้ายของเราในวันนี้ ปรบมือให้กับพวกเขาอีกครั้งหน่อยคร้าบบ” พิธีกรรอให้เสียงปรบมือซาลงก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อย่าลืมติดตามเชียร์พวกเขาได้ในรอบชิงชนะเลิศที่จะมีขึ้นในวันที่สิบเอ็ดเดือนหน้าด้วยนะครับ ต้องขอขอบคุณแฟนๆ ทุกท่านที่มาเชียร์กันอย่างคับคั่งในวันนี้ สำหรับวันนี้ต้องขอลาเพียงเท่านี้ก่อนนะคร้าบบบ” พูดจบพิธีกรก็ยกมือขึ้นไว้ขอบคุณแฟนๆ หน้าเวที เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการหน้าเวที

            หลังจากนั้นทุกวงที่เข้าร่วมแข่งขันก็ร่วมถ่ายรูปกับคณะกรรมการ ก่อนจะแยกถ่ายเฉพาะวงที่ผ่านเข้ารอบ จากนั้นก็เข้าไปหลังเวทีเพื่อฟังบรีฟจากทางทีมงาน นัดแนะวันเวลาและบอกกติกาที่จะใช้ในรอบตัดสิน

            คิมและผองเพื่อนยังคงยืนรออยู่หน้าเวที เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้

            “รู้สึกว่ามึงจะยิ้มไม่หุบเลยนะไอ้คิม” โต้งเอ่ยแซว เมื่อปรายตามองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกัน ก็เห็นว่าเอาแต่ยิ้ม ชะเง้อมองหาคนรัก

            “แน่นอนสิวะ หรือมึงไม่ดีใจที่วิทลัยเราเข้ารอบ”

            “ก็ดีใจ แต่มึงมันมีอะไรมากกว่านั้นนี่หว่า”

            “อย่ามาทำเป็นรู้ดี เพราะพวกมึงเลยทำให้กูแทบแย่” คิมยังคาดโทษเรื่องที่ร้านเฮียอ่ำไว้อยู่

            “อย่ามาโทษพวกกู มึงมันเมาแล้วรั่วเองนี่หว่า ฮ่าๆๆ” โต้งว่าแล้วก็ขำออกมา

            ระหว่างนั้นทั้งห้าหนุ่มก็เดินออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อทุกคนเห็นก็ส่งเสียงโห่ร้อง ปรบมือต้อนรับเสียงดัง แล้วรีบวิ่งเข้าไปสวมกอด กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

            “พวกมึงสุดยอดเลยว่ะ” หนึ่งในกลุ่มกองเชียร์เอ่ยขึ้นมา

            “ขอบใจเว้ย” แจ๊บตอบกลับไปด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

            คิมเอาแต่ส่งยิ้มให้กับคนรัก ที่กำลังจ้องมองมาเช่นเดียวกัน เมื่อเดินเข้ามาใกล้กันแล้ว คิมก็วางมือลงบนบ่า เอ่ยแสดงความยินดี

            “ดีใจด้วยนะเว้ยไอ้น้อง”

            “ครับพี่”

            ทั้งสองยิ้มให้กัน มีเพียงกลุ่มเพื่อนของคิมเท่านั้นที่รู้สถานะของคนทั้งสอง จึงเอาแต่ยิ้มตาม แต่คนอื่นๆแม้กระทั่งโด้เอง ก็คิดว่าเป็นแค่การทักทายของรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาเท่านั้นเอง

            “วันนี้จะไปฉลองกันที่ไหนวะไอ้แจ๊บ” หินตะโกนถาม เพราะอยากจะไปร่วมแจมด้วย

            “วันนี้งดเพราะพรุ่งนี้พวกกูมีนัดไปเที่ยวทะเลกัน คงจะไปฉลองกันที่นั่นว่ะ”

            “เฮ้ย! พวกกูไปด้วยอยากไปเที่ยวทะเลเหมือนกัน” หินรีบตอบโดยเร็ว

            “ไปก็ไปดิวะใครห้าม ไปหลายคนสนุกออก” แจ๊บว่า

            “พวกมึงไปกันหมดนี่เลยป่ะ” อ๋องถาม

            “ใช่ไปกันทั้งหมดนี่ล่ะ แล้วพวกมึงล่ะจะไปกันกี่คน” แจ๊บถามต่อ

            อ๋องมองหน้าเพื่อนที่เหลือ ทั้งหมดยกมือขึ้นพร้อมกันครบทีม กลายเป็นว่าตอนนี้มีสมาชิกที่จะร่วมทริปนี้สิบเอ็ดคนรวมทั้งโจ้ด้วย

            “ถ้างั้นพรุ่งนี้เจอกันที่หน้าวิทลัยหกโมงเช้า พวกกูเหมารถตู้ไว้แล้วรวมพวกมึงด้วยก็พอดีเลย” แจ๊บบอก

            “โอเคเว้ยเพื่อน” โต้งว่า

            “ถ้างั้นก็แยกย้านกันกลับเว้ยเจอกันพรุ่งนี้”

            หลังจากแจ๊บเอ่ยกับทุกคนแล้ว หนุ่มๆ ก็แยกย้ายกันกลับ

            เลิฟนั่งซ้อนท้ายเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันประจำกลับบ้าน นอกจากจะดีใจที่ได้ผ่านเข้ารอบแล้ว เลิฟยังดีใจที่คิมไปให้กำลังใจติดขอบเวที วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขมากเหลือเกิน รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก อยากกลับไปบอกผู้เป็นแม่ให้เร็วที่สุด ท่านคงจะดีใจมากเหมือนกัน

            “อ้าว! นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับพี่” เมื่อเห็นคิมขับรถออกนอกเส้นทาง เลิฟก็รีบตะโกนถามทันที

            “......”

            คิมไม่ตอบแต่กลับยิ้มมุมปาก รีบบึ่งรถไปยังสถานที่เป้าหมายทันที

            ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองก็มาถึงที่หมาย เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อจอดรถแล้วคิมก็หันมายิ้มให้รุ่นน้องที่ยืนทำหน้างองุ้มอยู่

            “สรุปพาผมมาที่นี่ทำไมอ่ะ”

            “ตั้งแต่คบกันมากูยังไม่เคยซื้ออะไรให้มึงเลย วันนี้มึงแข่งชนะทั้งทีกูเลยจะตามใจมึงไง อยากได้อะไรจัดไปเลยเดี๋ยวกูจ่ายเอง” วันนี้เขาพร้อมจะทำตัวเป็นป๋าทำตามใจแฟนทุกอย่าง

            “แน่รึ” เลิฟยิ้มกวน

            “แน่สิ”

            “จะจ่ายไหวเร้อ งานก็ยังไม่ได้ทำ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย คิดจะเป็นป๋าซะแล้ว”

            “ป๋าไม่ป๋าเดี๋ยวก็รู้ ป่ะ” ว่าแล้วคิมก็ยื่นมือไปรอให้อีกฝ่ายจับ จะได้เดินไปพร้อมกัน แต่เลิฟกลับเมินหน้าไม่ยอมทำตามใจ เดินนำหน้าไปก่อน

            ระหว่างที่สองหนุ่มเดินเคียงคู่กันไป ความโดดเด่นทำให้สาวแท้สาวเทียมที่เห็น ต่างก็ส่งสายตาหวานเยิ้มพร้อมกับยิ้มให้ มีเอ่ยแซวบ้างในบางครั้ง ทั้งสองได้แต่ส่งยิ้มให้ตามประสาเด็กหนุ่ม โดยไม่มีการหึงหวงกันแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นแค่เรื่องสนุกๆ เท่านั้นเอง

            “ผมไม่ค่อยชอบซื้อของในห้างสักเท่าไหร่อ่ะ มีร้านแบกะดินหรือพวกตลาดนัดไหมอ่ะพี่” เมื่อเดินมาได้สักพัก เลิฟก็เอ่ยกับคนที่ยืนข้างกัน

            “อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกวะ”

            “พี่ถามความคิดเห็นผมซะที่ไหนกันล่ะ อยู่ๆ ก็พามาซะงั้น”

            “ก็กูอยากจะเซอร์ไพรซ์มึงนี่นา”

            “เซอร์ไพรซ์มากกก” เลิฟลากเสียงยาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายจึงเอื้อมมือไปบิดแก้มเบาๆ

            “อุ๊ย! น่ารักจัง” สองสาวนักเรียนมอต้นเดินผ่านมาเห็นพอดีจึงอุทานออกมา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองทั้งสองหนุ่มแล้วเดินผ่านไป คิมได้แต่ยิ้มรับอย่างพอใจ แต่คนที่ทำหน้าเหี้ยมกลับเป็นเลิฟซะงั้น

            “เพราะพี่คนเดียวเลยทำให้โดนแซว อายจะตายห่าอยู่แล้ว” ตอนนี้สีหน้าของคนพูดเริ่มแดงก่ำขึ้นมา จนสังเกตเห็นได้ชัดเจน

            “อายทำไมวะ น่ารักจะตาย”

            “หยุดพูดเลย ตกลงมีไหมอ่ะตลาดแบกะดิน ผมมันพวกติดดินเว้ยไม่เหมือนพี่”

            “มีดิวะตลาดเอาท์ดอร์เดินไปแปบเดียวก็ถึงละ”

            “จะรออะไรล่ะคร้าบนำหน้าไปดิ”

            “ไม่! เราจะเดินไปพร้อมกัน” ว่าแล้วก็กอดคออีกฝ่ายเอาไว้ ตั้งหน้าเดินไปอย่างสบายใจ เลิฟพยายามปัดมือรุ่นพี่ออกอยู่บ่อยครั้ง แต่คิมกลับยกมันขึ้นมาอีกจนได้ จนเลิฟต้องยอมในความดื้อด้าน ยอมให้มันเป็นไปอย่างนั้น

            ตลาดแบกะดินที่คิมว่านั้นอยู่หลังห้าง เป็นตลาดที่หนุ่มสาวออฟฟิชมักจะมาเปิดท้ายขายกันหลังจากเลิกงาน ส่วนมากจะเป็นของมือสองเกือบทั้งนั้น

            “สมใจอยากยังของมือสองเกือบทั้งนั้นเลย” คิมเอ่ยกับคนรักเมื่อเดินมาถึงที่หมายแล้ว

            “นี่ล่ะทางผมเลย เตรียมเงินไว้ด้วยล่ะ”

            “กูอยากจะรู้นัก ว่ามึงจะมีปัญหาซื้อได้เยอะแค่ไหนกันเชียว”

            “เดี๋ยวก็รู้” เลิฟทำหน้ากวน แลบลิ้นให้หยอกเล่นๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไป

            เลิฟแวะเข้าไปเลือกดูของเกือบทุกร้านที่เดินผ่าน แต่ทว่ากลับไม่ได้สนใจซื้ออะไรติดมือมาสักอย่าง คิมเดินตามหลังไปอย่างนั้นไม่ได้ว่าอะไร เจ้าตัวยืนมองทุกอิริยาบถของคนรักอย่างเพลินตา มันรู้สึกดีจนลืมไปเลยว่าตอนนี้เขายังไม่ได้ควักกระเป๋าจ่ายตังค์เลยสักบาทเดียว

            “พี่ครับโมเดลนักร้องนี่เท่าไหร่ครับ” เดินมาถึงร้านขายโมเดลร้านหนึ่ง เลิฟก็ความสนใจแล้วนั่งลงสนทนากับพ่อค้า

            “สองเก้าเก้าครับน้อง ของใหม่เลยนะนั่น ไม่ใช่มือสอง”

            “จับดูได้ไหมครับ”

            “ตามสบายเลยน้อง มันไม่พังง่ายๆ หรอกของมันดี” พ่อค้าบอก

            คิมที่นั่งอยู่ข้างกัน เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เขานึกว่าจะอยากได้เสื้อผ้าซะอีก แต่ไหงกลับมาสนใจของชิ้นเล็กๆ อย่างนี้ซะงั้น

            “มึงชอบเหรอ”

            “ชอบดิน่ารักจะตาย พี่ว่าเหมือนผมไหม” ว่าแล้วก็ยกขึ้นมาเทียบกับใบหน้าตัวเอง ยิ้มให้อีกฝ่าย

            “ไม่เห็นจะเหมือนเลยมึงหล่อกว่าตั้งเยอะ” คิมชมหน้าตาย ทำเอาเลิฟถึงกับเขินจนเบนหน้าไปสนใจพ่อค้าแทน

            “ลดให้หน่อยได้ไหมครับพี่ แม่ให้เงินมานิดเดียวเอง ผมชอบจริงๆ อ่ะ” เลิฟทำเป็นอ้อนพ่อค้า

            คิมกำลังจะอ้าปากพูด แต่เลิฟกลับเอื้อมมือไปปิดเอาไว้ เจ้าตัวจึงปิดปากเงียบนั่งมองดูเฉยๆ

            “ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ลดให้เหลือสองร้อยเจ็ดสิบละกัน” พ่อค้าทำหน้าคิดนิดหน่อยแล้วเอ่ยบอกราคา

            “สองร้อยห้าสิบไม่ได้เหรอพี่ นะนะ พี่คนหล่อ ถ้าผมมีเงินเดี๋ยววันหลังมาอุดหนุนพี่อีก” เลิฟยังต่อราคาลงอีก ทำเอาพ่อค้าหนักใจมากยิ่งขึ้น

            คิมรู้สึกอายที่อีกฝ่ายหั่นราคาลงซะฮวบฮาบ ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าพ่อค้า ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยต่อราคาอย่างนี้ซะที่ไหนกัน

            “เฮ้อ! แทบจะไม่ได้กำไรเลยนะน้อง แต่ก็เอาเถอะถือว่าพี่สงสารละกันให้ก็ได้” ในที่สุดพ่อค้าก็ยอมใจอ่อนจนได้

            “เย้! ถ้างั้นเอาตัวนี้ครับพี่” ว่าแล้วก็ยื่นให้พ่อค้าใส่ถุงให้ ส่วนเจ้าตัวก็รีบเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินออกมาจ่าย

            “เดี๋ยวกูจ่ายให้” คิมว่า

            “ไม่เอาผมมีปัญญาจ่ายเอง พูดเล่นไปงั้นล่ะ” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้

            หลังจากจ่ายเงินแล้วสองหนุ่มก็เดินออกจากร้าน ระหว่างนั้นเลิฟก็ยื่นถุงนั้นให้กับรุ่นพี่

            “อ่ะผมซื้อให้”

            “อ้าว! ซื้อให้กูทำไม กูต่างหากที่ต้องซื้อให้มึง” คิมว่าแต่ยังไม่ยอมรับ

            “นี่มันโมเดลนักร้อง เป็นเหมือนตัวแทนผมไง เวลาคิดถึงผมก็ให้ดูไอ้นี่ไปพลางๆ”

            “มึงนี่นะ หลอกกูแล้วหลอกกูอีก จนกูตามไม่ทันแล้วเนี่ย ขอบใจละกันกูจะดูแลมันอย่างดี จะตั้งไว้บนหัวเตียงเลยล่ะ กราบเช้ากราบเย็น” คิมพูดติดตลก

            “ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะ ถ้างั้นกลับกันเถอะผมจะได้ไปช่วยแม่ที่ร้าน อีกอย่างจะได้ไปเก็บกระเป๋าด้วยพรุ่งนี้ก็จะเดินทางแล้ว”           

            “เออใช่ว่ะ ถ้างั้นมึงรออยู่ตรงนี้ก่อนนะกูไปเข้าห้องน้ำแปบ ปวดเยี่ยวฉิบหาย” พูดพร้อมกุมมือที่เป้าตัวเองด้วย

            “เออๆ รีบมาละกันเดี๋ยวผมจะยืนรออยู่นี่”

            คิมยิ้มให้ แล้วรีบเดินไป เลิฟยืนรออยู่ตรงนั้นเกือบสิบนาที อีกฝ่ายก็เดินกลับมา ในมือก็ถือถุงอะไรบางอย่างมาด้วย

            “โทษทีว่ะที่มาช้า”

            “ว่าแต่พี่ไปซื้ออะไรมาอ่ะ ไหนบอกไปห้องน้ำ” เลิฟเอ่ยถาม สายตาก็จ้องมองไปที่ถุงในมือ

            “กูขอหลอกมึงคืนบ้าง กูไปซื้อไอ้นี่มา” คิมยกถุงขึ้นตรงหน้าให้อีกฝ่ายดูอย่างภูมิใจ

            “อะไรอ่ะ”

            “เปิดดูดิ” คนพูดยิ้มแล้วยื่นถุงให้

            เลิฟรับมาแล้วหยิบของในถุงนั้นออกมา เมื่อเห็นแล้วก็ปรายตามองอีกฝ่าย ยิ้มน้อยๆ ออกมา มันคือโมเดลนักแข่งรถ

            “โมเดลนักแข่งรถ”

            “ใช่ มันคือตัวแทนกูไงล่ะ เราจะได้เสมอกัน เวลามึงคิดถึงกูก็ดูไอ้นี่”

            “ใครจะคิดถึงพี่อ่ะคิดเองเออเอง” เลิฟว่าพลางเก็บมันเข้าไปในถุงเหมือนเดิม แต่ก็ยิ้มไม่ยอมหยุด

            “ไม่คิดถึงลองดูสิ กูจะตามมานอนด้วยถึงห้องเลยคอยดู” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกอดคอรุ่นน้องเอาไว้

            “ก็มาดิ พี่จะได้เสียตูดให้ผม” เลิฟขู่เล่นๆ

            “ป่ะ กูอยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะลีลาเด็ดแค่ไหน” พูดแล้วก็เริ่มเดินไป

            “พูดเล่นโว้ย พี่ไม่มีทางได้เห็นขาอ่อนผมหรอก”

            “ใครอยากจะเห็นวะ คงจะมีแต่ขนเต็มไปหมด ฮ่าๆ” พูดแล้วก็ขำออกมา

            “จำคำพูดเอาไว้เลยนะ อย่าหวังจะได้เข้าไปในห้องนอนผมอีกเด็ดขาด” เลิฟชี้หน้าขู่

            “โอ๋เอ๋ พี่พูดเล่นคร้าบ” คิมง้องอนอีกฝ่ายด้วยการเอื้อมมือไปสัมผัสที่ปลายคางเล่น ก่อนจะเดินยิ้มไปอย่างนั้นอย่างอารมณ์ดี
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.12 ความสำเร็จ l Up:18-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 18-08-2018 21:22:20
เอาแบบน่ารักนะไม่เอาดราม่า :mew2:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.12 ความสำเร็จ l Up:18-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-08-2018 22:32:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.12 ความสำเร็จ l Up:18-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-08-2018 02:35:31
แลกของแทนใจกันแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.12 ความสำเร็จ l Up:18-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-08-2018 13:16:37
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.13 สารภาพ l Up:20-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 20-08-2018 20:41:31
-๑๓-

สารภาพ



วันนี้หนุ่มๆ มารวมตัวกันที่หน้าวิทยาลัย เมื่อมาถึงก็ขนสัมภาระขึ้นไปไว้ท้ายรถตู้ ก่อนจะขึ้นไปจับจองที่นั่ง ตอนนี้สมาชิกทั้งหมดมาเกือบจะครบแล้ว จะเหลือก็แต่คิมกับเลิฟเท่านั้น

แจ๊บที่ยืนรออยู่หน้ารถดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ สลับกับมองถนนรอสองหนุ่มที่เหลือ ไม่นานรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ก็ขับมาจอดตรงหน้า

“มาซะทีนะพวกมึง พวกกูว่าจะออกไปก่อนแล้วเนี่ย” แจ๊บบ่นให้

“โทษทีว่ะ” คิมตอบ ส่วนเลิฟลงจากรถแล้วรีบเอากระเป๋าไปเก็บ

“เออๆ รีบเอารถไปจอดไว้ในวิทลัย จะได้ออกเดินทางกัน”

คิมขับรถไปจอดไว้ในรั้ววิทยาลัย ฝากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอาไว้ ก่อนจะเดินออกมาสมทบกับสมาชิกที่เหลือ

“พวกมึงสองตัวนั่งหลังสุดเลยนะเว้ย ข้างหน้าเต็มหมดแล้ว” เอ็มตะโกนบอก จงใจเว้นที่นั่งไว้ให้ เพราะรู้ว่าทั้งสองคงอยากจะมีความเป็นส่วนตัว

ได้ยินอย่างนั้นทั้งสองก็ยิ้มให้กัน พอใจกับที่นั่งที่เพื่อนเหลือไว้ให้ เข้าไปนั่งที่แล้วก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากที่นั่งด้านหน้าสุด

“มึงมานั่งนี่เลยไอ้โด้ กูจะนั่งข้างน้องกู”

“โธ่! พี่แจ๊บอ่ะใจร้ายจัง พรากคู่รักไม่ให้สวีตกันมันบาปนะครับ” โด้บ่น เมื่อโดนพี่ชายของคนรักนั่งแทรกตรงกลาง

“กูใจดีกับมึงมามากพอแล้ว น้องกูสึกหรอไปหมดแล้วมั้งเนี่ย” แจ๊บว่าแล้วหันไปเอ่ยกับโชว์เฟอร์ “ออกรถได้เลยครับพี่”

“เย้!!!” ทุกคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่รถจะเคลื่อนล้อออกจากหน้าวิทยาลัย ตรงไปยังจังหวัดระยอง



ระหว่างทางนั้น ทุกคนก็ร้องรำทำเพลงไปด้วยความสนุกสนาน มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังอยู่ไม่ขาดช่วง ส่วนคู่รักที่อยู่เบาะหลังสุดก็นั่งจับมือกันไปตลอดทาง มองตากันบ้างในบางครั้ง นอนซบไหล่กันบ้างล่ะ เปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงที่หมาย

ในที่สุดก็มาถึงบ้านเช่าติดทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปจอดในลานจอดรถแล้ว หนุ่มๆ ก็ขนของลงมา นำเข้าไปยังที่พักทันที

บ้านพักมีสองชั้น มีสี่ห้องนอน สองห้องน้ำ มีห้องครัวที่สามารถใช้ประกอบอาหารในระหว่างพักได้อย่างสะดวกสบาย ที่หน้าบ้านเป็นลานหญ้าขนาดไม่ใหญ่มาก เหมาะสำหรับจัดปาร์ตี้ในช่วงเย็นได้เป็นอย่างดี

“แล้วจะแบ่งห้องกันยังไงวะ” อู๋เอ่ยถาม ขณะทุกคนยืนถือสัมภาระอยู่หน้าบ้านแล้ว

“ข้างบนมีห้องนอนสามห้อง นอนได้ห้องละสองคน ส่วนด้านล่างเป็นห้องรวมมีเตียงเล็กห้าเตียง” แจ๊บบอก

“ถ้างั้นเอางี้ พวกกูห้าคนจะนอนด้านล่างเอง ส่วนพวกมึงหกคนไปแบ่งกันเอาเองว่าใครจะนอนกับใคร” คิมว่า ใจจริงก็อยากจะนอนกับเลิฟใจจะขาด เพียงแต่ว่าหากทำอย่างนั้นมีหวังโดนเพื่อนแซวแน่นอน

“ถ้างั้นก็ตามนี้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา แยกย้ายกันได้เว้ย” แจ๊บบอกกับทุกคน จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันเอาสัมภาระไปเก็บ

เมื่อเก็บของและนั่งพักผ่อนกันได้สักพักแล้ว ทั้งหมดก็เปลี่ยนชุดสบายๆ ออกมารวมตัวกันที่ลานหญ้าหน้าบ้าน เพื่อไปเล่นน้ำทะเลที่มองเห็นสุดลูกหูลูกตาอยู่ตรงหน้า

“พร้อมกันยังวะ” แจ๊บเอ่ยถาม

“ยังจะถามอีกเหรอวะ พร้อมซะยิ่งกว่าพร้อมอีก ร่างกายกูต้องการทะเลแล้ววว” อู๋บอก

“ถ้างั้นก็ลุย!!!” สิ้นเสียงแจ๊บ ทุกคนก็วิ่งตรงไปยังชายหาด ลงไปเล่นน้ำทะเลให้สมใจอยาก

ทั้งสิบเอ็ดหนุ่มต่างก็สนุกสนานกับการเล่นน้ำ โด้พยายามว่ายน้ำเข้าไปหาโจ้ เว้นระยะห่างเอาไว้เล็กน้อย ไม่ให้แจ๊บผิดสังเกต แต่ทว่ามือนั้นกลับอยู่ไม่สุข มันเอื้อมไปจับมือของโจ้เอาไว้ใต้น้ำอยู่อย่างนั้น

ส่วนเลิฟตอนนี้นั่งขี่หลังคนรักอย่างสบายใจ มือทั้งสองข้างกอดคอคิมเอาไว้แน่น ตัวแทบจะไม่ห่างกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากเล่นน้ำกันสมใจอยากแล้ว ทั้งหมดก็มานอนแผ่หลาอยู่บนหาดทรายสีขาว เรียงรายกันเป็นแนวยาว อาบแสงแดดที่กำลังส่องแสงจ้าลงมา

ระหว่างนั้นอ๋องก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบกล้องถ่ายรูปออกมา จากนั้นก็ถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนให้ลุกขึ้นมาถ่ายภาพหมู่อีกครั้ง

“พวกมึงถ่ายรูปกัน”

เมื่อได้ยินเสียงทุกคนก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา แล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่ม โพสท่า กอดก่ายกันอย่างสนุกสนาน

“ไอ้อ๋องมึงมาเข้าเฟรมบ้างเดี๋ยวกูถ่ายให้” คิมว่าแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนหน้าที่กับเพื่อน

“เอานะเว้ย หนึ่ง สอง ซ้ำ”

“ไอ้แจ๊บมึงให้ไอ้โด้กับโจ้ยืนใกล้กันหน่อยดิ จะหวงน้องทำห่าอะไรนักหนา” คิมบอก แจ๊บได้ยินก็จำใจยอมสลับที่ให้โจ้อยู่ตรงกลาง โด้ยักคิ้วให้คิมทันทีสื่อว่าเป็นการขอบคุณที่ช่วย



เมื่อถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ทั้งหมดก็แยกย้ายไปเดินเล่นตามอัธยาศัย แน่นอนว่าคิมกับเลิฟต้องหาทางปลีกตัวแยกไปเพียงลำพัง แต่ก่อนจะเดินไปนั้นอ๋องก็ได้เรียกทั้งสองเอาไว้ก่อน

“เฮ้ย! พวกมึงสองคนหยุดก่อน”

ทั้งสองหันกลับมามองพร้อมกัน มองหน้าเหมือนตั้งคำถาม

“มีอะไรวะ หรือจะไปกับพวกกูด้วย” คิมถาม

“เปล่า! กูจะไปเป็น กขค. พวกมึงทำไมวะ ที่กูเรียกเพราะจะถ่ายรูปให้ไง ไม่อยากมีรูปคู่มั่งเหรอ”

“มึงเป็นเพื่อนที่แสนรู้จังวะ” คิมยิ้มเมื่อเห็นว่าเพื่อนหวังดีขนาดนี้

“ไอ้ห่ากูไม่ใช่หมา เอาสักสองสามภาพละกัน ยืนชิดกันหน่อย เอาที่พวกมึงสบายใจเลย” อ๋องแนะนำ

คิมเอื้อมมือไปเกี่ยวเอวคนข้างๆ เอาไว้ ก่อนจะยิ้มให้กล้อง จากนั้นก็จ้องตากัน และภาพสุดท้ายก็จับมือกันไว้แน่นแล้วยกขึ้นมาตรงกลาง เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจถ่ายรูปคู่เฉพาะกิจ

“ขอบใจเว้ยพวกกูเดินไปเล่นฝั่งโน้นก่อน แล้วมึงล่ะจะไปไหน”

“กูจะเข้าไปงีบสักหน่อยวะง่วง” อ๋องบอก จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป



ทั้งสองหนุ่มเดินเคียงคู่กันไปตามชายหาดสีขาว ก่อนจะเจอกับเนินหินสูง ที่เมื่อขึ้นไปแล้วจะสามารถมองเห็นวิวทะเลแถวนั้นได้เกือบทั้งหมด

“ขึ้นไปชมวิวบนนั้นป่ะ” คิมเอ่ยปากชวน

“เขาให้ขึ้นไปได้เหรอพี่”

“ได้สิวะ คงไม่ใช่แค่เราที่เคยขึ้นไปแน่นอน เชื่อใจกู”

“ถ้างั้นก็รีบขึ้นไปกันเถอะ จะได้รีบกลับไปกินข้าวเที่ยง” เลิฟว่า

เมื่อปีนป่ายขึ้นไปจนถึงด้านบนสุด ก็เป็นอะไรที่คุ้มค่า เพราะบนนั้นสามารถมองเห็นวิวของท้องทะเลในมุมสูง น้ำทะเลสีฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาภายใต้โค้งขอบฟ้าสีคราม ทั้งสองยืนจับมือชมวิวทิวทัศน์นั้นอยู่สักพักแล้วหันมายิ้มให้กัน

“เป็นไงคุ้มไหมล่ะ” คิมเอ่ย

“อือ คุ้มมากสวยเนอะพี่” เลิฟยิ้มไม่ยอมหุบ

“ถ้าโลกนี้มีแค่มึงกับกูอย่างนี้คงจะดีเนาะ จะได้ทำอะไรตามใจไม่ต้องแคร์ใครจะมองยังไง”

“นี่ผมทำให้พี่คิดมาขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมา ทำเอาเลิฟถึงกับใจกระตุก รู้สึกผิดที่ทำให้คนรักต้องอึดอัดอย่างนี้

“เปล่าเว้ย กูพูดไปงั้นล่ะอย่าคิดมาก”

“ผมขอโทษนะพี่ ขอเวลาผมอีกสักนิด ให้ผมมีความกล้ามากกว่านี้ก่อน” เลิฟเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง

“กูไม่เป็นไรเว้ยทุกวันนี้มันก็ดีอยู่แล้ว มึงไม่ต้องทำอะไรหรอกกูโอเค”

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจผม” เลิฟมองใบหน้าหล่อนั้นด้วยความซาบซึ้งใจ มอบความรักที่บริสุทธิ์ให้อย่างไม่หวังผลตอบแทน แม้เจ้าตัวจะมีข้อแม้ต่างๆ นานาแต่คิมก็ยอมทำตามมาเสมอ “พี่อยากจูบผมไหม”

ได้ยินคำถามนั้นก็ทำเอาคิมถึงกับหน้าเหวอ เหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาเลิกคิ้วมองหน้าอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะตั้งสติตอบกลับไป

“ทำไมต้องถามในเมื่อมึงก็รู้อยู่แล้ว” นั่นคือคำตอบที่เขาเอ่ย

เมื่อได้รับคำตอบอย่างนั้น เลิฟก็เป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากก่อน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของคิม ที่ต้องบดจูบริมฝีปากนั้นคืนอย่างหนักหน่วง ให้สมกับการรอคอยที่แสนยาวนาน ความรุนแรงและเร่าร้อน ทำเอาทั้งสองคนถึงกับครางกระเส่าในลำคอไม่หยุด ยิ่งปลายลิ้นสัมผัสกันยิ่งทำให้ความร้อนรุ่มภายในทรวงมันพลุ่งพล่าน จนอยากจะเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายนั้นออกเสียตรงนี้

“อือออ”

สิ้นเสียงกระเส่า ทั้งสองก็ผละใบหน้าออกจากกัน แต่สายตาจ้องมองกันอยู่นั้นแสดงถึงความเสียดาย คิมอดใจไม่ไหว ก่อนจะเก็บตกด้วยการระดมจูบที่ริมฝีปากบางอีกซ้ำๆ จนพอใจ

“พอใจยัง”

“จริงๆ ก็ยังแต่แค่นี้ก็ดีใจแล้วว่ะ” คนพูดยิ้ม เอื้อมมือไปจับที่ท้ายทอยแล้วลูบเบาๆ อย่างเอ็นดู

“ดีมากไอ้น้อง”

“ใครเป็นน้องมึงวะ เดี๋ยวก็โดนหนักกว่านี้หรอก” ว่าแล้วคิมก็กอดอีกฝ่ายจากด้านหลังเอาไว้แน่น

“โทษคร้าบบบ เดี๋ยวให้ยืนกอดอย่างนี้จนกว่าจะพอใจดีป่ะ” คนพูดเอียงหน้าไปเอ่ยกันคนที่กอดตัวเองอยู่

“ไม่บอกก็ทำอยู่แล้ว” คิมยิ้มละมุนให้

ทั้งสองทอดสายตามองไปยังท้องทะเลกว้าง ตักตวงความสุขในช่วงเวลาที่น่าประทับใจเอาไว้ เผื่อในอนาคตอาจจะไม่ได้มีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นอีกก็เป็นได้



ตกเย็นทั้งหมดก็จัดปาร์ตี้เล็กๆ หน้าบ้าน มีเครื่องดื่มและอาหารครบครันจากการไปเดินตลาดเมื่อช่วงเย็น โด้กับโจ้กำลังช่วยกันย่างอาหารทะเล และใช้โอกาสนี้พลอดรักกันไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็นั่งสังสรรค์กันอยู่ที่โต๊ะ บรรยากาศตอนนี้กำลังดี มีลมเย็นๆ พัดโชยมาไม่ขาดช่วง

เลิฟนั่งอยู่มุมโต๊ะข้างกระติกน้ำแข็งใบใหญ่ ข้างกันก็มีขวดเหล้ายี่ห้อดังวางเรียงรายอยู่พร้อมกับมิกเซอร์ เขามีหน้าที่คอยชงเหล้าให้กับรุ่นพี่ ส่วนคนที่นั่งข้างกันนั้นจะเป็นใครไปได้นอกจากคิมนั่นเอง

“เลิฟชงให้กูมั่ง” เอ็มยื่นแก้วไปให้ เลิฟรับมาแล้วจัดการเติมน้ำแข็งให้ ตามด้วยน้ำสีอำพันพอประมาณ และตบท้ายด้วยน้ำโซดา ก่อนจะคนด้วยที่คีบน้ำแข็งพอลวกๆ

“อ่ะพี่” เลิฟยื่นแก้วให้

“รวดเร็วถูกใจจังวะ ยอดเยี่ยม” เอ็มยกนิ้วให้ ก่อนจะรับมาดื่ม แล้วยู่หน้าเพราะความเข้มข้นของแอลกอฮอล์นั้นมันมากกว่าปกติที่เขาเคยดื่ม “อ่า...แม่งโคตรเข้มเลย มึงคิดจะมอมเหล้ากูรึไงวะ” เอ็มโวยวาย

“เห็นว่าพี่เติมบ่อยๆ ผมเลยเพิ่มดีกรีให้ไง” พูดแล้วก็ยักคิ้วให้รุ่นพี่กวนๆ

“สมน้ำหน้าไอ้เอ็ม พวกมึงเว้ยมาชนแก้วกันหน่อย ฉลองให้กับความสำเร็จเมื่อวานนี้” แจ๊บยกแก้วขึ้น จากนั้นทั้งหมดก็ยกขึ้นตาม

“เดี๋ยวก่อนพี่รอผมด้วย” โด้รีบวิ่งมาหยิบแก้วตัวเอง จากนั้นทั้งหมดยื่นแก้วไปชนที่กลางวง

“แกร๊ง!”

“หมดแก้วเว้ย” แจ๊บบอกกับทุกคน

เมื่อดื่มหมดแก้ว นั่นหมายความว่าเลิฟต้องทำงานหนักอีกรอบ เพราะต้องเป็นคนชงให้ทั้งหมด คิมเห็นอย่างนั้นจึงสลับที่นั่งเข้าไปทำหน้าที่แทน ก่อนสมาชิกที่เหลือจะส่งแก้วมาให้

“มึงมาสลับที่กับกู”

“อ้าว! แต่ผมต้องชงเหล้านะ”

“ไม่เป็นไรกูทำเอง มึงเมื่อยนานแล้ว ลุกดิ” เลิฟมองหน้าแล้วก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี

เมื่อเปลี่ยนที่นั่งกันแล้วคนที่ยื่นแก้วมาให้เป็นคนแรกนั่นคือเอ็ม

“ไอ้คิมทำหน้าที่หน่อยโว้ย”

“กูว่าแล้วมึงต้องมาเป็นคนแรก” คิมว่าแต่ก็ยอมรับแก้วมาชงให้

“กูสังเกตมาหลายรอบแล้ว ไอ้คิมกับไอ้เลิฟ มึงสองคนชักจะทำตัวสนิทสนมกันขึ้นทุกวันๆ จนน่าสงสัย ใครคิดแบบกูบ้างวะ” แจ๊บเอ่ยถามออกไปตรงๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสมโรงด้วยทำให้กล้า

สมาชิกแก๊งช่างยนต์เซ็กซี่บอยไม่ตอบ กลับยิ้มอย่างเดียวเพราะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่คนอื่นๆ นั่นสิที่ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

เลิฟมองรุ่นพี่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“ทำไมพวกมึงเงียบ” แจ๊บถามต่อ

“เปล่าก็พวกกูไม่ได้สงสัยนี่หว่า” โต้งตอบยิ้มๆ

“แต่ผมสงสัยพี่ ช่วงนี้ไอ้เลิฟมันตีตัวออกห่างผมไปกับพี่คิมบ่อยๆ” โด้ตะโกนแทรกเข้ามา

“พวกมึงก็คิดมากไปได้ กูกับมันเป็นแค่ (พี่น้อง) ” คิมพูดยังไม่ทันจบ เลิฟก็เป็นฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“แฟนครับ ผมกับพี่คิมเป็นแฟนกัน” เลิฟเอ่ยออกมาเสียงดัง จับมือคนที่นั่งข้างกันเอาไว้แน่น คิมเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้ยินคำนั้นจากปากคนรัก สัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเลิฟว่าอยากทำมันเพื่อให้เขารู้สึกดี

“กูว่าแล้วไง” โด้วางเหล็กคีบไว้บนตะแกรง แล้วเดินมาที่โต๊ะ “ยินดีด้วยนะพี่” โด้จับมือคิมเพื่อแสดงความยินดี

“ขอบใจเว้ยไอ้น้อง” คิมยิ้มรับ

โด้เองก็พอจะดูออกแต่ไม่คิดว่าเพื่อนจะเอ่ยมันออกมาให้ทุกคนรับรู้ เพราะเขารู้ว่าเลิฟมีความมุ่งมั่นกับการเป็นนักร้องมากแค่ไหน หากมีความรักที่ไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป อาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ก็เป็นได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้โด้มั่นใจว่าเพื่อนจะไม่มีวันพูดมันออกมา

“ไอ้โด้มึงไม่แปลกใจเลยเหรอวะ” เลิฟถามเพื่อน

“แปลกใจทำไมวะในเมื่อกูดูออกตั้งนานแล้ว แต่รอให้มึงสารภาพเอง”

“ไอ้แสนรู้เอ๊ย” เลิฟว่าให้เพื่อนแก้เขิน

“ขยันมีแฟนกันซะเหลือเกินนะพวกมึง แซงหน้าพวกกูไปแล้ว” แจ๊บว่าให้รุ่นน้องทั้งสองคนขำๆ “มาสอยนักร้องนำวงกูไปแล้ว มึงก็ดูแลมันให้ดีด้วยล่ะไอ้คิม”

“แน่นอนว่ะ กูไม่มีทางทำให้มันเสียใจเด็ดขาด” คิมรับปาก พร้อมกับมองหน้าเลิฟไปด้วย ทำเอาบรรยากาศที่สนุกครึกครื้น กลายเป็นโรแมนติกไปในพริบตา

“ถ้างั้นก็มาฉลองให้กับคู่บ่าวสาวกันอีกครั้งหน่อยสิวะ” อู๋ตะโกนเสียงดัง ชูแก้วน้ำสีอำพันขึ้น

แกร๊ง!!!!

หลังจากชนแก้วฉลองให้กับคู่รักที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ แล้ว ทั้งหมดก็พร้อมใจกันเทน้ำสีอำพันในแก้ว ราดบนศีรษะของคิมและเลิฟจนเปียกไปทั้งตัว มันเป็นการฉลองที่เขาทั้งสองไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต แต่ทว่ามันกลับรู้สึกมีความสุขมากที่สุดในชีวิตเหมือนกัน

หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.13 สารภาพ l Up:20-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-08-2018 01:25:45
ฉลองด้วยคน  :mc4:
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.14 เหตุร้าย l Up:23-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 23-08-2018 22:57:50
-๑๔-

เหตุร้าย



            หลังจากดื่มกันอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้หนุ่มๆ ต่างก็นอนเรียงรายอย่างหมดสภาพ ที่บริเวณห้องโถงของตัวบ้าน ท่ามกลางขวดเหล้าเปล่าแบรนด์นอกที่ถูกทิ้งเกลื่อนไปทั่ว รวมถึงเศษขยะจากซองขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

            คิมเริ่มขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัว เปลือกตาค่อยๆ คลี่ขึ้นอย่างเชื่องช้าภาพแรกที่เห็นก็คือพัดลมเพดานที่กำลังพัดไหวอยู่เนืองๆ เจ้าตัวยกมือขึ้นมากุมขมับเพราะก็รู้สึกปวดหนึบศีรษะจากอาการแฮงค์ กำลังจะลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกหนักที่บริเวณไหล่ด้านซ้ายเหมือนมีอะไรบางอย่างมาทับไว้ เมื่อเหลือบตาลงมาดูก็พบว่าเป็นเลิฟนั่นเองที่ยังคงนอนหลับตานิ่ง แต่ทว่าใบหน้าหล่อนั้นกลับยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังฝันดี

            “ยิ้มอย่างนี้แสดงว่าตื่นแล้วดิ”

            “รู้แล้วยังจะถามอีก” ว่าแล้วเลิฟก็ลืมตาขึ้นมา

            “ไปเดินรับลมทะเลตอนเช้ากันดีกว่า ปล่อยให้ไอ้พวกนี้มันนอนต่อให้สบายใจ” ว่าแล้วคิมก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับคนที่อยู่ในอ้อมกอด

            ทั้งสองหนุ่มล้างหน้าให้สดชื่นก่อนจะเดินลงไปที่ชายทะเล เลิฟไม่ลืมที่จะหยิบกีตาร์โปร่งติดมือไปด้วย บรรยากาศยามเช้าอย่างนี้เหมาะที่จะนั่งกินลมชมวิวพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย

            เมื่อได้ที่แล้วทั้งสองหนุ่มก็นั่งลงข้างกัน ชมความงดงามของพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นเหนือน้ำทะเล แสงสีส้มส่องประกายสะท้อนลงมายังผืนน้ำ ทำให้ทะเลสีฟ้ากลายเป็นสีส้มในพริบตา ดูแล้วช่างรู้สึกอบอุ่นใจ

            “อยู่กรุงเทพคงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นแบบนี้ภาพแบบนี้เนาะ” คิมเอ่ย ขณะทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างสบายใจ

            “ย้ายมาอยู่นี่เลยไหมล่ะพี่ เอามะ” บรรยากาศกำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว แต่เลิฟกลับพูดกวนซะงั้น ทำเอาคนที่นั่งข้างกันหันขวับมามองค้อนใส่

            “กำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว”

            “ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลยอ่ะ” เลิฟตอบรุ่นพี่หน้าระรื่น

            “ทำไมจะไม่เกี่ยววะในเมื่อตอนนี้มีแค่มึงกับกูอยู่กันสองคน”

            “พี่ก็ชอบบรรยากาศโรแมนติกกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย”

            “เด็กช่างก็ใช่ว่าจะโรแมนติกไม่เป็นนี่หว่า”

            “ถ้าชอบผมจะจัดให้” เลิฟยักคิ้วข้างหนึ่งให้รุ่นพี่

            “ทำไงวะ? หรือจะจูบกูเหมือนเมื่อวาน” คนพูดทำหน้าหื่นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้

            “ไม่ใช่โว้ย จะร้องเพลงให้ฟังต่างหาก อยากฟังป่ะละ” ว่าแล้วเลิฟก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาเกาจนเกิดเสียง

            “อยากฟังดิ ดีเหมือนกันมีคนร้องเพลงจีบริมทะเลอย่างนี้ ครั้งแรกในชีวิตกูเลยนะเว้ย”

            “ไม่ได้จีบเว้ยแค่ร้องให้ฟังเฉยๆ คิดเองเออเองนะพี่ พร้อมจะฟังยัง”

            “พร้อมตั้งนานแล้วเว้ย” คิมจ้องหน้าอีกฝ่าย ส่งยิ้มให้

            เมื่อทำนองดนตรีเพลงแค่คุณจากกีตาร์โปร่งดังขึ้น คิมก็ยิ้มหวานขึ้นมาทันที เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง เข้ากับเรื่องราวความรักของเขาทั้งสองคนมากเหลือเกิน

            “รู้ไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน ความทรงจำเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่ทำให้เราสองคนเริ่มหวั่นไหว หรือจะเป็นในตอนที่คุณต้องนอนเสียใจ หรือในตอนที่เราต้องไกลมันทำให้ผมได้รู้ว่าคิดถึงแต่คุณ และในตอนนี้ ในเวลานี้ ล่วงเลยมานานเป็นปีให้ดวงดาวนั้นเป็นเหมือนพยานรัก ขอสัญญาว่าจะรักเพียงคุณ ว่าจะรักแค่คุณ ว่าจะรักแค่คุณเท่านั้น นานแสนนานก็จะรักเพียงคุณ ก็จะรักแค่คุณอยากจะมีแค่คุณคนเดียว......” ในระหว่างที่เลิฟร้องเพลงอยู่นั้น ทั้งสองก็สบตากันตลอดเวลา มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่มีค่าที่สุด

            “ไหนบอกว่าไม่ได้ร้องเพลงจีบกูไง ความหมายชัดเจนซะขนาดนี้” คิมเอ่ยหลังจากอีกฝ่ายร้องเพลงจบลงไปแล้ว

            “อ้าวเหรอ! ผมก็แค่ตั้งใจร้องให้เข้ากับบรรยากาศเท่านั้นเอง เป็นผลพลอยได้เลยนะนั่น” เลิฟกลอกลูกตาไปมา กำลังรู้สึกเขินอายกับการกระทำเมื่อครู่

            “ถ้าในวันข้างหน้าไม่มีกูแล้ว มึงสัญญาได้ไหมว่าจะรักเพียงแค่กูคนเดียวจริงๆ”

            “พี่จะไปไหนล่ะ ถ้าพี่ไม่ทิ้งผมผมก็จะไม่มีวันรักคนอื่น มันขึ้นอยู่กับพี่แล้วล่ะ”

            “ถ้างั้นกูสัญญาว่าจะไม่จากมึงไปไหนละกัน”

            “เป็นบ้ารึเปล่าเนี่ย ชอบพูดจาแปลกๆ ตลอดเลยพี่อ่ะ”

            “แดดเริ่มอุ่นแล้ว เข้าไปในบ้านกันเถอะ ผมเริ่มหิวแล้วอ่ะ” เลิฟว่าพลางลูบที่ท้องตัวเองไปด้วย

            คิมยืนขึ้นก่อน แล้วยื่นมือให้อีกฝ่ายจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นมา

            “สุภาพบุรุษโคตรๆ”

            “แน่นอนอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็แย่งกีตาร์ในมือมาถือไว้เอง ก่อนจะกอดคอรุ่นน้องเดินตรงไปที่บ้านพัก

            ตอนนี้ห้องโถงที่เคยมีหนุ่มๆ นอนเรียงรายกันอยู่กลับว่างเปล่า นั่นเพราะได้แยกย้ายกันไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพ

            “พวกมึงสองตัวไปเอากันที่ไหนมาวะ” หินถามขณะเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพสวมกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียว

            “ไอ้สัด ปากหมาตั้งแต่เช้าเลยนะมึง พวกกูไปรับลมทะเลกันมาเว้ย” คิมตอบ   

            “แหมๆๆ โรแมนติกกันซะจริงๆ เลยนะ เพิ่งเปิดตัวกันก็จัดหนักจัดเต็มเลย” หินยังแซวไม่เลิก ทำเอาเลิฟหน้าแดงก่ำ ส่วนคิมก็จัดการเพื่อนด้วยการเอื้อมมือตบกบาลหนึ่งที

            “ชอบแซวจังนะมึง ไอ้เลิฟมันหน้าแดงหมดแล้วนั่น”

            “เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เลิฟบอก

            “โอเคครับที่รัก” นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คิมพูดคำหวานออกมา ทำเอาหินและเลิฟแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เลิฟไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน

            หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยออกมาจากห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง นำไปเก็บไว้ที่รถเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่ก่อนที่จะกลับทั้งหมดก็ได้แวะไปทานข้าวเช้าในร้านอาหารดังในย่านนี้ จากนั้นก็แวะเที่ยวตามรายทางไปเรื่อยจนถึงกรุงเทพ

*-*-*-*-*-*

            กว่าจะกลับมาถึงก็เกือบสี่โมงเย็น คิมแวะไปส่งเลิฟที่บ้าน ด้วยความเพลียจากการนั่งรถจึงไม่ได้เข้าไปทักทายพิมพ์พร เขารีบบึ่งรถออกมาแล้วตรงกลับไปที่บ้านทันที

            เมื่อมาถึงคิมก็รีบเดินเข้าไปหาพ่อกับแม่พร้อมกับของฝาก แต่เมื่อเดินไปถึงห้องนั่งเล่นก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นหญิงสาวที่คุ้นหน้านั่งพูดคุยอยู่กับผู้ปกครองของตนเอง

            “อ้าว! กลับมาแล้วเหรอลูก” เมื่อวิภาวีเห็นลูกชายยืนอยู่ก็เอ่ยเรียกทันที

            หญิงมองหน้าชายหนุ่มผู้มาใหม่ ก่อนจะส่งยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “พี่คิมสวัสดีค่ะ”

            “หญิงมาที่นี่ทำไม” คิมรู้สึกไม่ปลื้มกับการกระทำของหญิงเลยสักนิด เพราะเจ้าหล่อนเริ่มเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขามากเกินไปแล้ว

            “ทำไมว่าน้องอย่างนั้นล่ะลูก” วิภาวีปรามลูกชาย

            “แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ผู้หญิงเขาอุตส่าห์มาง้อยังจะทำเมินใส่อีก” ก้องเกียรติว่าให้ลูกชาย

            “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับพ่อผมกับหญิงเรา...” พูดยังไม่ทันจบหญิงก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

            “เราเป็นแฟนกันแล้ว หญิงขอโทษที่ทำให้พี่คิมโกรธ ตอนนี้หญิงมาง้อพี่แล้วนะคะ” หญิงพยายามพูดให้ตัวเองดูน่าสงสารในสายตาผู้ใหญ่ นั่นทำให้คิมยิ่งรู้สึกว่ามองผู้หญิงคนนี้ผิดไป ก่อนหน้าเข้าใจว่าที่หญิงโพสไปอย่างนั้นเพราะผิดหวังที่เขาปฏิเสธ แต่มาวันนี้เขาไม่รู้สึกสงสารอะไรทั้งนั้นแล้ว เพราะหญิงได้ล้ำเส้นมากเกินกว่าจะมีความรู้สึกดีๆ ด้วย

            “พี่ไม่รู้ว่าหญิงกำลังทำอะไรอยู่ แต่เราควรจะไปคุยกันข้างนอก ไม่ควรมารบกวนพ่อกับแม่พี่อย่างนี้” คิมพยายามระงับอารมณ์โมโหเอาไว้

            “ทำไมต้องไปคุยกันที่อื่น คุยกันตรงนี้ให้เข้าใจ พ่อแม่จะได้รู้เรื่องด้วย” ก้องเกียรติเอ่ยเสียงเข้ม ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนเลย

            “ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวหญิงไปคุยกับพี่คิมสองคนน่าจะดีกว่า” หญิงเองก็กลัวว่าฝ่ายชายจะสาวไส้เธอออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้ความจริง

            “ถ้างั้นก็คุยกันดีๆ ล่ะลูก” วิภาวีบอกกับทั้งสองคน

            “ค่ะคุณแม่ ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนะคะ” หญิงยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน แล้วเดินตามหลังชายหนุ่มไป

            แทนที่จะได้ไปพักผ่อน แต่คิมกลับต้องมาเครียดกับเรื่องของหญิงอีก นั่นยิ่งทำให้ความเหนื่อยล้ามันเพิ่มทวีคูณมากยิ่งขึ้นไปอีก

            “ขึ้นมาก่อนแล้วค่อยไปคุยกันที่อื่น” คิมเอ่ยเสียงแข็ง ไม่ยอมมองหน้าหญิงแม้เพียงเสี้ยวเดียว

            หญิงไม่พูดอะไรยอมขึ้นซ้อนท้ายรถ จากนั้นคิมก็บึ่งรถออกไปยังสวนสาธารณะใกล้บ้าน เพื่อเคลียร์ปัญหากับหญิงให้รู้เรื่อง

            เมื่อมาถึงแล้วคิมก็เดินนำหน้าไปที่ม้านั่งริมสระน้ำ ต่างคนต่างเงียบเมื่อนั่งลงแล้ว ก่อนที่คิมจะเป็นคนทำลายความเงียบนั้นเสียเอง

            “ทำไมหญิงถึงทำแบบนี้ พี่อุตส่าห์เงียบแล้วนะทำไมถึงไม่ยอมจบซักที”

            “ทำไมงั้นเหรอ ก็เพราะหญิงรักพี่มาก ก็พี่เองไม่ใช่เหรอที่มาให้ความหวังหญิงจนต้องเป็นแบบนี้”

            “พี่ก็ขอโทษแล้วไง ส่วนหญิงก็ประจานพี่แล้วนี่แค่นี้ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

            “แล้วไงคะ พี่จูบหญิง พี่ลวนลามหญิง แค่คำว่าขอโทษจะทำให้หญิงจบง่ายๆ งั้นเหรอคะ” เจ้าหล่อนเริ่มขึ้นเสียง

            “ถ้างั้นจะให้พี่ทำยังไงล่ะ หญิงถึงจะยอมหยุด” คิมเอ่ยแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “พี่คิมต้องคบกับหญิงเท่านั้น” หญิงยื่นคำขาด

            “ไม่มีทาง! หญิงก็รู้ว่าพี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากอย่างนี้วะ!” คิมขึ้นเสียงใส่ จนหญิงถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ทำหน้าไม่พอใจ

            “ทำไมพี่คิมต้องตะคอกใส่หญิงด้วยเนี่ย ฮึก”

            “พี่ขอโทษ...แต่คงทำตามที่หญิงบอกไม่ได้” คิมรู้ตัวว่าทำกิริยาไม่ดีใส่ จึงพยายามระงับอารมณ์โมโหลงจนเป็นปกติ

            “ถ้าพี่ไม่ยอมหญิงก็จะใช้วิธีของหญิงเอง”

            “หญิงจะทำอะไร” คิมหันไปมอง รู้สึกกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปอีก เหมือนกับการไปหาเขาที่บ้าน

            “จะทำอะไรมันก็เรื่องของหญิง พี่คิมไม่ต้องมาทำเป็นอยากรู้”

            “อย่าทำอะไรโง่ๆ เหมือนวันนี้อีกนะ พี่ไม่อยากให้หญิงต้องมาเสียใจทีหลัง เราเป็นพี่น้องกันมันน่าจะดีที่สุดแล้ว เพราะถึงยังไงพี่ก็ไม่มีทางคิดกับหญิงเป็นอย่างอื่นไปได้แน่นอน” คิมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม เพื่อไม่ให้สถานการณ์มันคุกรุ่นไปมากกว่านี้

            “พี่คิมไม่รู้หรอกว่าหญิงเสียใจมากแค่ไหน หญิงแอบรักพี่มาเป็นปี พอมาวันนึงพี่ก็ทำให้ความฝันหญิงเข้าใกล้ความจริง อยู่ๆ พี่ก็ทำเหมือนว่ากับหญิงเป็นของเล่น ที่จะทำอะไรยังไงก็ได้ ทำอย่างกับหญิงไม่มีความรู้สึก เพราะงั้นถ้าหญิงไม่ได้พี่ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขกับคนที่พี่รัก” หญิงพูดก็ไปร้องไห้ไป ใบหน้าสวยแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา คิมเห็นอย่างนั้นก็อดสงสารไม่ได้ แต่จะให้ทำอย่างไรเพราะเขาไม่ได้รักเธอ คนที่อยู่ในใจมีเพียงเลิฟคนเดียวเท่านั้น

            “พี่ทำดีที่สุดแล้ว ถ้าหญิงยังคิดไม่ได้พี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ลุกขึ้นเถอะเดี๋ยวพี่จะไปส่งที่บ้าน” ว่าแล้วคิมก็ลุกขึ้นยืน ทำหน้าเมินอีกฝ่าย

            “ไม่! หญิงไม่กลับ” หญิงยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมลุกขึ้น

            “พี่เหนื่อย ไม่มีเวลามาง้อหญิงหรอกนะ รีบลุกขึ้นเร็วเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

            “กลับไปเลยค่ะ หญิงจะอยู่ที่นี่” หญิงยังคงดื้อ นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น

            “ถ้างั้นก็กลับเองละกันนะ พี่ขอตัวกลับก่อน” ในเมื่อไม่ยอมฟังกัน เขาเองก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม จึงเดินออกไปจากตรงนั้น ขับรถกลับบ้าน

            หลังจากคิมกลับบ้านไปแล้ว หญิงยังคงนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม เจ้าหล่อนรู้สึกเสียใจและเสียหน้าที่ไม่สามารถทำให้ผู้ชายที่เธอรักมารักเธอได้ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกลียดเธอมากยิ่งขึ้นอีก

            หญิงนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานเข้ามาแทนที่ความสว่าง ผู้คนที่เข้ามาวิ่งออกกำลังกายก็ทยอยกลับบ้านไป เห็นอย่างนั้นหญิงจึงลุกขึ้นจากม้านั่งเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ทว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับเธอ

            “จะไปไหนเหรอจ๊ะน้องสาว” หนุ่มนิรนามคนหนึ่งยืนขวางหน้าหล่อนเอาไว้ ท่าทางคงจะดื่มมาอย่างหนัก

            “กะ...แกเป็นใคร หลีกไปฉันจะกลับบ้าน”

            “จะกลับไปไหนล่ะจ๊ะมานั่งคุยกับพี่ก่อนไม่ได้เหรอ” ว่าพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้

            “อย่าเข้ามานะไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”

            “แถวนี้ไม่มีคนมาช่วยน้องได้หรอกจ๊ะหึๆ” ชายหนุ่มกระโจนเข้าไปหาแล้วรวบตัวหญิงสาวเอาไว้

            “ช่วยด้วย!! อุ๊บ!” เมื่อโดนมือหนาปิดที่ปากเอาไว้แล้ว หญิงก็โดนลากตัวเข้าไปในพุ่มไม้ทึบอย่างทุลักทุเล
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.14 เหตุร้าย l Up:23-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 23-08-2018 23:41:32
 :a5:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.14 เหตุร้าย l Up:23-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-08-2018 03:17:40
ทำตัวเอง จนโดนข่มขืน แล้วก็ท้อง จนไปฟ้องพ่อแม่คิมว่า คิมเป็นพ่อเด็กในท้อง จบการสันนิฐาน  :hao3:
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.15 รู้สึกผิด l Up:27-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 27-08-2018 17:44:23
-๑๕-

รู้สึกผิด





            ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่วันเกิดเรื่อง แต่คิมกลับไม่ได้ข่าวคราวของหญิงเลย ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้ชะล่าใจ เพราะยังคิดกังวลอยู่ในหัวตลอดเวลา ว่าหญิงคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเหมือนที่เคยพูดขู่เอาไว้ หากอีกฝ่ายทำอะไรที่มันเกินเลย เขาเองก็คงจะไม่อยู่เฉยเหมือนคราวที่แล้วแน่นอน

            หลังจากซ้อมบาสเสร็จแล้วคิมและเพื่อนต่างก็นั่งดื่มน้ำเย็นๆ อยู่ข้างสนามในโรงยิมของวิทยาลัย นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ต่างก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กข่าวสารในโลกโซเชี่ยว ระหว่างที่คิมกำลังส่งข้อความไลน์หาเลิฟอยู่นั้น โต้งก็อุทานขึ้นเสียงดัง จนเพื่อนทั้งหมดหันไปมองพร้อมกัน

            “เหี้ยแล้วไง!”

            “อะไรของมึงไอ้โต้ง ทำเอาซะพวกกูตกใจ” อ๋องว่า

            “มึงเห็นผีรึไงวะ” หินหันมาถามอีกคน

            “พวกมึง...น้องหญิงโดดตึกฆ่าตัวตายว่ะ” โต้งเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก

            คิมได้ยินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “จะ...จริงเหรอวะ” เจ้าตัวเอ่ยถามเพื่อนเสียงสั่น

            “จริงดิวะ เหมือนเพิ่งโดดเมื่อไม่ถึงชั่วโมงเอง” โต้งตอบ

            เมื่อเพื่อนยืนยันว่ามันคือเรื่องจริง คิมก็เริ่มกลัว กลัวว่าต้นเหตุจะมาจากวันนั้น วันที่เขาเอ่ยกับหญิงอย่างตัดรอน

            “มึงใจเย็นๆ นะไอ้คิม” เทอร์โบวางมือบนบ่าเพื่อนเหมือนกำลังช่วยปลอบใจ “รูปที่น้องหญิงลงเป็นภาพสุดท้ายมันเกี่ยวกับมึงอีกแล้วว่ะ” ว่าแล้วก็ยืนมือถือให้เพื่อนดู

ภาพที่หญิงโพสต์เป็นภาพสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจกระโดดตึกโรงเรียน คือภาพถ่ายของสะสมในกล่อง ที่มีแต่ภาพของคิมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะกำลังแข่งบาส หรือภาพที่ลงในอินสตาแกรม เธอนำมันมาอัดเป็นภาพแล้วเก็บสะสมเอาไว้

            *‘หากชาติหน้ามีจริงขอให้พี่คิมรักหญิงบ้าง ลาก่อนความรักที่ไม่มีวันสมหวัง...”*

            ทั้งภาพและแคปชั่นยิ่งทำให้คนเข้าใจว่าหญิงฆ่าตัวตายเพราะคิมเป็นต้นเหตุ ทำให้ตอนนี้ในอินตาแกรมของคิมโดนถล่มยับ มีคอมเมนต์เข้ามาด่าทอกันอย่างล้นหลาม

            “นี่กู...เป็นต้นเหตุให้หญิงฆ่าตัวตายเหรอวะ” คิมหน้าเสียเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องคิดสั้น ยิ่งอ่านคอมเมนต์ยิ่งทำให้ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นในหัว เหตุการณ์ครั้งนี้มันรุนแรงที่สุดในชีวิตของแล้ว

            “มึงปิดมือถือเดี๋ยวนี้ไอ้คิม” โต้งสั่งเพื่อน เพราะหากอ่านคอมเมนต์ไปเรื่อยๆ มีหวังเพื่อนได้เป็นบ้าแน่

            “อย่าเพิ่งโทษตัวเองเลยว่ะ มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มึงคิดก็ได้” หินพยายามปลอบใจเพื่อน

            “มันเป็นเพราะกู เพราะกูคนเดียว วันนั้นกูไม่น่าพูดตัดรอนหญิงไปอย่างนั้นเลย” คิมพูดเสียงสั่น เริ่มควบคุมสติตัวเองไม่ได้

            “มึงตั้งสติให้ดีไอ้คิม มึงไม่ได้เป็นคนทำ มึงทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วนะเว้ย” เมื่อเห็นเพื่อนเริ่มสติแตก หินก็พยายามพูดปลอบใจ

            “มันเป็นเพราะกูจริงๆ เว้ย มันเป็นเพราะกูคนเดียว กูมันเลว กูมันเหี้ย กูทำให้คนที่รักกูต้องฆ่าตัวตาย”

            “ไอ้เหี้ยคิมมึงตั้งสติดิวะ” โต้งจับไหล่ทั้งสองข้าง เขย่าตัวเพื่อน เหมือนเป็นการเรียกสติกลับคืนมา แต่คิมกลับยังคงตัวสั่น กลอกลูกตาไปมาราวกับคนเสียสติ

            “กูจะกลับบ้าน กูไม่อยากเจอใครทั้งนั้น กูอยากอยู่คนเดียว” คิมลุกพรวดพราดขึ้นมา หยิบกระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกไปจากโรงยิม เพื่อนทั้งสี่คนเดินตามหลังไปติดๆ กลัวว่าคิมจะคิดมากจนทำอะไรไม่คาดคิดลงไป

            “ไอ้คิมให้พวกกูไปส่งมึงดีกว่า” โต้งตะโกนตามหลังไป

            “ไม่ต้อง! กูจะกลับเอง”

            “แล้วไอ้เลิฟล่ะมึงไม่ไปรับมันแล้วเหรอวะ”

            เมื่อได้ยินชื่อเลิฟ คิมก็หยุดเดินแล้วนึกถึงใบหน้าคนรัก ใช่สิ เขาต้องไปรับเลิฟ แต่ถ้าเลิฟเห็นเขาในสภาพนี้อาจจะไม่มีกำลังใจซ้อมก็เป็นได้ เขาจะไม่มีวันทำลายกำลังใจของอีกฝ่ายแน่นอน

            “ไอ้โต้งมึงไปส่งมันแทนได้ไหมวะ กูไม่ไหวจริงๆ”

            “ได้ไม่มีปัญหา แต่มึงห้ามคิดมากนะโว้ย ใจเย็นๆ เรื่องนี้มันไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก อย่าโทษตัวเอง”

            “ขอบใจว่ะที่เตือนสติกู ส่งมันให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยด้วย กู...ไปล่ะ” คิมเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนเชิงเป็นการขอบใจ ก่อนจะเดินอย่างคนไร้ซึ่งชีวิตชีวาตรงไปที่โรงจอดรถ ส่วนเพื่อนคนอื่นได้แต่ยืนมองตามหลังด้วยความเป็นห่วง

            เมื่อใกล้ถึงเวลากลับบ้านแล้ว โต้งก็ขึ้นไปหาเลิฟที่ห้องซ้อมดนตรี ไปรับรุ่นน้องตามคำขอเพื่อน เมื่อเลิฟเห็นโต้งก็รู้สึกแปลกใจ เพราะปกติรุ่นพี่ไม่เคยขึ้นมาที่นี่เลย ในขณะเดียวกันก็ปรายตามองหาคนรัก เข้าใจว่าอาจจะมาด้วยกัน

            “อ้าว! พี่โต้งทำไมได้ขึ้นมาล่ะครับ”

            “กูมารับมึงแทนไอ้คิม มันมีธุระต้องกลับบ้านไปก่อน” โต้งเอ่ยแต่สีหน้ากลับไม่ค่อยสู้ดีนัก เลิฟผิดสังเกตจึงเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ

            “พี่โต้งบอกผมมาตรงๆ พี่คิมเป็นอะไร”

            “คือ...พวกมึงรู้ข่าวนักเรียนหญิงโรงเรียนใกล้เรากระโดดตึกฆ่าตัวตายป่ะ” โต้งเอ่ยถาม

            “ใครกันวะไอ้โต้ง” แจ๊บถาม

            “น้องหญิง”

            เมื่อทุกคนได้ยินชื่อก็ถึงกับอึ้ง เพราะพอจะรู้ว่าหญิงคือคนที่แอบปลื้มคิมมาตลอด

            “น้องหญิงที่ตามจีบไอ้คิมนั่นเหรอ” เอ็มถามเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกัน

            “เออ นั่นล่ะเป็นเหตุผลที่มันมารับไอ้เลิฟไม่ได้” โต้งบอกกับทุกคน

            เลิฟรู้อย่างนี้ก็พอจะเดาออก ว่าผู้หญิงที่เคยทำให้คิมต้องวิตกกังวลมาช่วงหนึ่งนั้นคือหญิงคนนี้ ตอนนี้เริ่มเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเหลือเกิน กลัวว่าจะคิดฟุ้งซ่านจนเผลอทำอะไรไม่ดีลงไป

            “มึงหมายความว่าน้องหญิงฆ่าตัวตายเพราะไอ้คิมงั้นเหรอวะ” แจ๊บถามต่อ

            “ก็ประมาณนั้น ไอ้คิมมันโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้หญิงฆ่าตัวตาย ดูท่าทางมันไม่ค่อยดีเลยว่ะ”

            “ไอ้เลิฟมึงรีบกลับไปหามันเถอะ กูว่าตอนนี้มันกำลังต้องการใครสักคนจริงๆ” แจ๊บบอกกับรุ่นน้อง

            “ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับพี่” เลิฟรีบไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย แล้วยกมือไหว้รุ่นพี่

            “โชคดีไอ้น้อง กูเชื่อว่ามึงจะทำให้ไอ้คิมมันรู้สึกดีขึ้นได้” แจ๊บเอ่ย

            “ขอบคุณครับพี่”

            เมื่อขับรถมาส่งเลิฟถึงหน้าบ้านคิมแล้ว โต้งก็ฝากรุ่นน้องช่วยเยียวยาจิตใจของเพื่อนให้ดีขึ้น ก่อนจะบึ่งรถกลับไป แม้ใจจริงอยากจะเข้าไปพร้อมกับรุ่นน้อง แต่เขาคิดว่าเลิฟจะสามารถทำให้คิมดีขึ้นได้กว่าคนอื่นๆ แน่นอน

            เมื่อเดินเข้าไปหน้าร้านทอง เลิฟก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน

            “สวัสดีครับคุณน้า” ว่าพร้อมกับยกมือไหว้

            “สวัสดีจ้ะเลิฟ มาหาพี่คิมเหรอจ๊ะ” วิภาวีเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            “ครับ”

            “ถ้างั้นก็ขึ้นไปเลยจ้ะ มาถึงก็ขึ้นไปบนห้องไม่พูดไม่จา ไม่รู้เป็นอะไร” วิภาวีเองก็รู้สึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ทั้งสองยังไม่รู้เรื่องที่หญิงฆ่าตัวตาย จึงยังไม่ได้เอะใจอะไร

            “ถ้างั้นผมขึ้นไปแล้วนะครับ” เลิฟยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะรีบเดินขึ้นไปหาคนรักบนห้องนอน

            ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องแล้ว จึงตัดสินใจเคาะประตูห้อง เอ่ยเสียงเรียกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขามาหาแล้ว

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            “พี่คิมครับ”

            คนที่นั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ข้างเตียง เงยขึ้นมามองไปยังประตู ดวงตาคมที่เคยสดใสกลับหมองหม่นและแดงก่ำ พวงแก้มทั้งสองข้างแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่งเลยทีเดียว

            “มีอะไรวะ” คิมพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น

            “ผมรู้เรื่องหมดแล้ว พี่อย่าฝืนตัวเองเลย เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อยนะ”

            “กูอยากอยู่คนเดียว มึงกลับไปก่อนเถอะ” คนในห้องตะโกนออกมา แต่มีหรือที่เลิฟจะฟัง

            “ถ้าพี่ไม่เปิดผมก็จะนั่งอยู่หน้าห้องไม่ไปไหน” ว่าแล้วก็นั่งลงที่พื้นทันที

            คิมยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ก่อนจะตัดสินใจเดินมาเปิดประตู ดูให้แน่ใจว่าคนรักยังคงอยู่ที่หน้าห้องเหมือนที่พูดไว้หรือเปล่า

            “ทำไมมึงถึงดื้อ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่ คิมก็เอ่ยตำหนิ แต่ทว่ากลับรู้สึกอยากเข้าไปสวมกอดมากเหลือเกิน

            “ถ้าผมไม่ดื้อจะได้ยืนอยู่ตรงหน้าพี่อย่างนี้เหรอ” เลิฟว่าพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

            “มึงรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” เดินเข้ามาแล้วคิมก็เอ่ยถาม ทั้งที่ยังหันหลังให้อยู่

            “พี่อยากกอดผมไหม”

            คิมหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเศร้า เขาไม่อยากจะอ่อนแอเลยสักนิด แต่มันก็ทำไม่ได้ เขาทำให้คนตายไปทั้งคน

            เลิฟไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ จึงเป็นคนเดินเข้าไปสวมกอดก่อน เมื่อได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดคนรักแล้ว คิมก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที เขาร้องไห้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

            “กูเป็นต้นเหตุทำให้หญิงต้องตาย ฮือๆ” คิมระบายมันออกมาให้ฟัง ทั้งที่ยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด

            “พี่อย่าคิดแบบนั้นสิ มันไม่เกี่ยวกับพี่หรอก มันคือการตัดสินใจของหญิงเอง อย่าคิดมากเลยนะครับพี่”

            “ไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่คิดแบบนี้ คนอื่นเขาก็คิดแบบเดียวกัน กูมันเป็นฆาตกร เรื่องทุกอย่างมันเป็นเพราะกูคนเดียว เป็นเพราะกู..ฮึก”

            “ถ้าพี่ผิดผมเองก็ผิดด้วย เพราะเป็นต้นเหตุให้พี่ต้องบอกอย่างนั้นกับหญิง ถ้าพี่โทษตัวเองอยู่อย่างนี้ ผมก็จะโทษตัวเองด้วย ผมจะไม่ปล่อยให้พี่ต้องรู้สึกผิดคนเดียวหรอก”

            “ไม่! มึงไม่ผิดเลย เป็นเพราะกูคนเดียว มึงอย่าคิดแบบนั้น กูจะไม่มีทางให้มึงต้องมาทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด”

            “ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมทุกข์ใจ พี่ก็ต้องทำด้วย ไม่งั้นผมคงทำไม่ได้หรอก”

            “กู....ทำไม่ได้จริงๆ ในหัวกูตอนนี้มันมีแต่คำสาปแช่งจากหญิง คำก่นด่าจากเพื่อนของหญิง จากครอบครัวของหญิง และจากคนอื่นๆ ที่รู้ข่าวนี้” คิมพร่ำเอ่ยข้างใบหู ราวกับกำลังอยู่ในฝันร้าย

            “พี่อย่าคิดมากสิวะ รู้ไหมผมใจไม่ดีเลยที่เห็นพี่เป็นอย่างนี้ พี่ไม่รักผมแล้วเหรอ พี่ไม่ฟังผมแล้วใช่ไหม”

            “กูรักมึงมาก แต่กูทำใจไม่ได้จริงๆ กูเสียใจจริงๆนะเลิฟ กูเสียใจมากที่ทำให้คนที่รักกูต้องตาย กูกลัวว่าในอนาคตกูจะทำให้มึงเสียใจเหมือนหญิงอีก กูกลัวไปหมดทุกอย่าง”

            เลิฟผละตัวออกมา จับไหล่ทั้งสองข้างของคิม จ้องหน้าเอ่ยเตือนสติอย่างตั้งใจ

            “พี่ตั้งสติให้ดี แล้วมองหน้าผม ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีรอด หญิงก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ว่าวันนี้หรือในอนาคต สักวันหญิงก็ต้องตายมันเป็นสัจธรรมของชีวิต พี่ต้องคิดอย่างนั้นให้ได้”

            “กู...จะพยายามคิดแบบนั้นให้ได้” คิมเริ่มได้สติเมื่อได้ฟังสิ่งที่คนรักพูด แต่ทว่าจิตใจมันยังคงสั่นไหวอยู่เหมือนเดิม

            “คืนนี้ผมจะนอนกับพี่ ผมจะนอนกอดพี่ทั้งคืนดีไหมครับ”

            “มึงจะนอนกับกูจริงๆ ใช่ไหม”

            “จริงดิครับ ผมจะปล่อยให้แฟน นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ห้องคนเดียวได้ไง” เลิฟยิ้มให้

            “กูขอโทษที่ทำให้มึงต้องมาเหนื่อยใจกับกู กูมันไม่ได้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่กูควรจะดูแลปกป้องมึง แต่กลับกลายเป็นว่ามึงต้องมาคอยปกป้องกู คอยดูแลจิตใจกู กูแม่ง...อ่อนแอว่ะ” คิมก้มหน้าพูด เอ่ยโทษตัวเอง หากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่มีทางทำอย่างนั้นให้หญิงเข้าใจผิด เขาจะตั้งหน้าจีบเลิฟตั้งแต่แรก จะไม่ลังเลใจจนทำให้เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้น

            “พี่แม่งคิดมากว่ะ เรื่องแค่นี้เองผู้ชายแมนๆ อย่างเราไม่เอามันมาใส่ใจหรอก พี่บอกกับผมมาตลอดว่าที่แมนเต็มร้อยไม่ใช่รึไง ต้องทำให้ได้อย่างที่พูดสิ เข้มแข็งเข้าไว้ ผมจะเดินไปพร้อมกับพี่เอง” ว่าแล้วก็จับมือคนที่อยู่ตรงหน้าไว้ ส่งรอยยิ้มหวานให้

            ในระหว่างนั้นเสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ทำให้คิมหันขวับไปมอง จะปล่อยมืออีกฝ่ายเพื่อไปหยิบมันขึ้นมาดู แต่เลิฟกลับไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ เขาไม่อยากให้คิมต้องมาถูกกระตุ้นให้ฟุ้งซ่านจากนักเลงคีย์บอร์ดอีกเป็นแน่

            “ปล่อยมือก่อนดิ กูจะไปหยิบมือถือ”

            “ไม่! ผมจะไม่ให้พี่ต้องเจออะไรที่มันบั่นทอนจิตใจอีกเป็นอันขาด คืนนี้พี่ห้ามแตะมือถือเด็ดขาด เพราะถ้าพี่ยิ่งดู ยิ่งอ่าน มันจะยิ่งทำให้จิตใจพี่ย่ำแย่ลงน่ะสิ”

            “แต่...” เขาเองก็อยากจะรู้เรื่องข่าวของหญิงมันไปถึงไหนแล้ว

            “ไม่ต้องแต่ คืนนี้จะมีแค่เราเท่านั้น คนที่อยู่ในโลกโซเชี่ยวเขาก็แค่คอมเมนต์เอามันส์ เอาความสะใจ แต่เขาไม่ได้มาทุกข์ใจเหมือนกับเรานี่นา ทำไมจะต้องไปดู ไปให้ค่าคนพวกนั้นด้วยล่ะ”

            “ถ้างั้นคืนนี้กูจะเชื่อฟังมึงทุกอย่าง”

            “ดีมากครับ แฟนสุดหล่อของผม” เลิฟโผเข้ากอดอีกฝ่ายอีกครั้งเพื่อให้กำลังใจ เขาจะทำทุกวิธีให้คนที่เขารักกลับมามีความสุขเหมือนเดิม แม้ว่าจะต้องผิดคำพูดเสียเอง ว่าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายล่วงเกิน แต่หากมันจะทำให้คิมลืมความเสียใจพวกนั้นไปได้ เขาก็จะทำมันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.15 รู้สึกผิด l Up:27-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-08-2018 18:13:26
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.15 รู้สึกผิด l Up:27-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-08-2018 02:18:47
หญิงฆ่าตัวตาย แล้วตายจริงป่ะ มีออกข่าวไหม ก็ยังงง ๆ อยู่นะ ว่าจะเป็นแผนของหญิงหรือเปล่า  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.15 รู้สึกผิด l Up:27-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-08-2018 08:08:01
แอบรักน้องมาตั้งนาน แต่ไม่กล้าบอกน้องสินะ555
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.16 ภัยมืด(NC) l Up:30-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 30-08-2018 21:23:47
-๑๖-

ภัยมืด (NC)



            เช้าวันต่อมา เมื่อวิภาวีและก้องเกียรติรู้เรื่องการตายของหญิง ท่านทั้งสองเรียกคิมลงมาซักถามความจริงที่ห้องนั่งเล่น ส่วนเลิฟก็นั่งข้างคนรักอยู่ไม่ห่าง บรรยากาศภายในห้องเงียบงัน แต่อบอวลไปด้วยความตึงเครียด คิมเอาแต่นั่งก้มหน้ากลัวว่าพ่อกับแม่จะด่าว่าให้

            “เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ลูก ทำไมหญิงถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนั้น” วิภาวีเอ่ยถามลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            “จริงๆ แล้วผมกับหญิงไม่ได้เป็นแฟนกันครับ หญิงแอบชอบผมมานาน แต่ผมไม่ได้สนใจและได้ปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่หญิงไม่ยอมหยุดจนมาที่บ้านในวันนั้น หลังออกจากบ้านไปผมก็ได้ย้ำกับเธออีกครั้งว่าผมไม่ได้รักเธอ มันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นอย่างนี้ครับแม่ ผมไม่ได้ตั้งใจอยากให้มันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเลย” คิมก้มหน้าพูด ทุกคำที่พูดออกมาจากใจล้วนๆ

            “ทำไมหญิงถึงได้คิดสั้นทำอย่างนี้นะ แม่ไม่ได้จะด่าจะโทษลูกเลย ที่เรียกมาถามเพราะอยากรู้ความจริงว่ามันเป็นมายังไงกันแน่ แม่ไม่อยากให้ลูกคิดมาก แม้ว่าใครจะมองยังไงก็ตาม แต่แม่กับพ่อยังอยู่ข้างลูกเสมอ แม่เชื่อว่าลูกทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”

            “ว่างๆ ก็ไปทำบุญขออโหสิกรรมหญิง เราจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น” ก้องเกียรติบอกกับลูกชาย

            “ครับพ่อ”

            “ขอบใจเลิฟมากนะลูกที่คอยอยู่ข้างๆ พี่เขา” วิภาวีเอ่ย

            “ไม่เป็นไรครับน้าวิผมยินดี”

            “ลูกอยากไปขออโหสิหญิงด้วยตัวเองรึเปล่า แม่กับพ่อจะพาลูกไปเอง”

            “คือ...ใจจริงผมก็อยากไปครับ แต่ไปแล้วผมกลัวว่าจะทำใจไม่ได้ ผมขอไปวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้หญิงดีกว่าครับ”

            “ถ้างั้นก็ตามใจลูกละกัน อย่าคิดมากนะลูก มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพ่อกับแม่บ้าง ไม่ใช่ให้รู้เองอย่างนี้ คิมคือลูกชายคนเดียวของพ่อกับแม่นะ ถ้าหากลูกเป็นอะไรไปพ่อกับแม่จะเสียใจมากรู้ไหม”

            “ผมขอโทษครับ ผมรักพ่อกับแม่นะครับ” ว่าแล้วคิมก็โผเข้าไปกอดทั้งสองท่าน เลิฟนั่งยิ้มมองภาพนั้นด้วยความยินดี อย่างน้อยเขาก็อุ่นใจที่ท่านทั้งสองเข้าใจลูกชาย ไม่ซ้ำเติมเหมือนคนอื่นๆ

            ผละออกจากอ้อมกอดของพ่อกับแม่แล้ว คิมก็ขอตัวไปทำบุญที่วัดกับรุ่นน้อง

            “แม่ครับ พ่อครับ ผมขอตัวไปทำบุญที่วัดกับเลิฟนะครับ”

            “ฝากทำบุญเผื่อพ่อกับแม่ด้วยละกัน” วิภาวีเอ่ย

            “ครับแม่”

            “ฝากพี่คิมด้วยนะเลิฟ”

            “ครับน้าวิ”

            เมื่อทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว ทั้งสองหนุ่มก็ออกเดินทางไปวัดที่อยู่ละแวกบ้าน

            มาถึงแล้วก็ซื้อดอกไม้ธูปเทียนพร้อมทั้งสังฆทานเข้าไปในวิหาร เพื่อกราบไหว้พระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน ในนั้นมีหลวงพ่อรูปหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้านหน้าองค์ประธาน เห็นอย่างนั้นทั้งสองจึงนั่งลงกราบ หลังจากจุดธูปเทียนขอพรและถวายดอกไม้พระประธานแล้ว ก็มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อจนเสร็จสรรพ แล้วนั่งสนทนากับท่าน

            “ดูจากสีหน้าโยมไม่ค่อยสู้ดีนัก มีเรื่องทุกข์ใจอยู่รึโยม” หลวงพ่อเอ่ย พลางจ้องหน้าคิมไปด้วย

            “ตอนนี้ผมมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยครับหลวงพ่อ”

            “ทุกข์มันเกิดมาจากจิตใจของเราเอง หากเราคุมจิตให้แกร่งได้ความทุกข์มันก็เป็นแค่เศษฝุ่นที่เราสามารถปัดมันออกไปได้ มันขึ้นอยู่กับโยมแล้วล่ะว่าจะสามารถทำได้หรือเปล่า”

            “ผมจะพยายามทำให้ได้ครับหลวงพ่อ”

            “ช่วงนี้ก็ระมัดระวังตัวด้วยนะโยม อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใคร พยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้ได้”

            “จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอครับหลวงพ่อ” เลิฟได้ยินก็ไม่สบายใจ จึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ

            “อาตมาก็แค่อยากจะเตือนเอาไว้เท่านั้นเอง หากเราระวังตัวเอง อะไรก็ไม่สามารถมาทำร้ายเราได้”

            “ผมจะระวังตัวครับหลวงพ่อ”

            “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น อาตมาอยากให้โยมทั้งสองเข้มแข็งเอาไว้ โดยเฉพาะโยมต้องหนักแน่นเอาไว้ให้มาก” หลวงพ่อหันมาเอ่ยย้ำกับเลิฟ

            “ครับหลวงพ่อ”

            “ถ้าเช่นนั้นอาตมาขอตัวก่อนนะโยม เจริญพร”

            “ครับหลวงพ่อ” ทั้งสองคนกราบหลวงพ่อพร้อมกัน จากนั้นท่านก็เดินออกไป

            ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินเคียงคู่ออกมาจากวิหาร การมาเข้าวัดครั้งนี้ทำให้จิตใจของคิมสงบขึ้นมาก เพราะได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับหญิง แต่สำหรับเลิฟกลับยังคงรู้สึกตงิดใจกับคำเตือนของหลวงพ่อ ราวกับว่าท่านรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นในอนาคต เขาได้แต่พยายามลืมเรื่องวันนี้ไป แล้วดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทเท่านั้นเอง

*-*-*-*-*-*

            หลังจากหยุดเรียนไปสองวันเพื่อปรับสภาพจิตใจ ไม่ติดตามข่าวสารในโลกโซเชี่ยว อยู่กับครอบครัวเท่านั้น วันนี้คิมมาเรียนตามปกติ นักศึกษาหลายคนที่เดินผ่านไปมา ต่างก็ปรายตามองแล้วซุบซิบนินทา เขารู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ

             ก่อนเดินเข้าไปในอาคารเรียน คิมก็พบกลุ่มนักศึกษา กำลังมุงดูอะไรบางอย่างบนบอร์ดประชาสัมพันธ์ เจ้าตัวเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้จึงเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน

            “เจ้าตัวจะรู้ยังวะว่าตอนนี้ตัวเองดังมาก”

            “ทำอย่างนี้ได้ไงวะสงสารน้องผู้หญิง”

            “แล้วอย่างนี้จะมองหน้าใครได้ล่ะวะ โดนประณามซะขนาดนี้”

            คำวิจารณ์หลากหลายต่างก็ดังเข้าหูคิม ยิ่งเมื่อเห็นแผ่นกระดาษที่ติดอยู่บนบอร์ด ยิ่งทำให้เจ้าตัวแทบทรุดลงกับพื้น มันเป็นภาพของเขาเองที่โชว์หราอยู่กลางหน้ากระดาษ ข้างบนนั้นก็มีตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ***‘ไอ้ฆาตกร’***

            “เฮ้ย ไปกันเถอะพวกมึง”

            เมื่อทุกคนรู้ว่าคิมยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ต่างก็พากันรีบเดินหนีออกไป ทำให้เหลือเพียงเจ้าตัวยืนอยู่ลำพัง ช่วงสองวันมานี้เขาพยายามทำใจให้สงบได้แล้ว แต่พอมาเจออย่างนี้มันกลับดิ่งลงเหวอีกครั้ง มือหนาเอื้อมไปดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วขยำทิ้งลงพื้น ก่อนจะถอนหายใจยาว หลับตาเพื่อตั้งสติ

            “เรื่องแค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอก” คิมพูดให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เพื่อต่อสู้กับด้านมืดของจิตใจ

            ตี๊ดๆ

            ในระหว่างนั้นเสียงข้อความในมือถือก็ดังขึ้นมา ทำเอาเจ้าตัวหลุดจากภวังค์ ก่อนจะเปิดมันอ่าน

            ***‘ไอ้ฆาตกร มึงอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข’***

            คิมเห็นอย่างนั้นก็รีบโทรกลับไปทันที แต่ทว่าปลายสายกลับปิดเครื่องเอาไว้เสียก่อน

            “ช่างแม่งเถอะ กูไม่กลัวอะไรแล้ว” คิมตะโกนออกมาเสียงดัง ก่อนจะลบข้อความนั้นทิ้งแล้วเดินเข้าไปในอาคารเรียนอย่างไม่ใส่ใจ

            “เฮ้ย! ในที่สุดมึงก็กลับมาซะที” หินเอ่ย ก่อนจะรีบเดินตรงปรี่เข้ามาหาเพื่อน

            “โทษทีว่ะที่กูไม่ติดต่อใครเลย”

            “ช่างเถอะ แค่มึงกลับมาครบสามสิบสองพวกกูก็ดีใจแล้ว” โต้งเอ่ย พลางวางมือบนบ่าของเพื่อน

            “มึงดีขึ้นจริงๆ แล้วนะ” โต้งถามย้ำเพื่อนอีกครั้ง

            “ก็เออดิวะ จิตใจกูปกติแล้ว เลิกคิดมากเรื่องหญิงแล้ว” คิมยิ้มให้เพื่อน พยายามทำตัวเป็นปกติที่สุด

            “อย่างนี้สิวะเพื่อนกู พวกกูเองจะได้สบายใจ” เทอร์โบเห็นเพื่อนดีขึ้นแล้วก็ยิ้มได้บ้าง

            “กูไม่อยากให้ไอ้เลิฟมันมาเครียดกับกูด้วย เพราะอีกไม่กี่วันมันก็จะต้องไปแข่งแล้ว กูอยากให้มันทำให้เต็มที่”

            “เดี๋ยววันแข่งพวกเราไปเชียร์มันติดขอบเวทีเหมือนเดิม ถ้ามันได้กำลังใจจากมึง กูรับรองว่าแชมป์ต้องเป็นของวิทลัยเราแน่นอน” อ๋องเอ่ยอย่างมีความหวัง

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีว่ะ” คิมเอ่ย เขาอยากเห็นเลิฟมีความสุขกับสิ่งที่รัก เขาอยากจะเห็นวันที่คนรักประสบความสำเร็จสูงสุด เขาจะคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าจะถึงวันนั้น

            หลังจากไปนั่งดูคนรักซ้อมดนตรีจนเสร็จ คิมก็ขับรถมาส่งที่บ้านเหมือนปกติ เจ้าตัวพยายามลืมเรื่องราวพวกนั้นไปจากสมองชั่วคราวเมื่อได้อยู่กับเลิฟ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกเป็นกังวลไปด้วย

            “สวัสดีครับแม่”

            “วันนี้ซ้อมเสร็จเร็วจังลูก”

            “วันนี้รุ่นพี่มีธุระเลยให้เลิกก่อนเวลาครับ”

            ระหว่างนั้นคิมก็ถือโอกาสยกมือไหว้พิมพ์พรบ้าง

            “สวัสดีครับน้าพิมพ์”

            “สวัสดีจ้าคิม ขอบใจที่มารับมาส่งน้องนะ”

            “ผมยินดีครับ เลิฟก็เหมือนน้องผมคนหนึ่งเหมือนกัน”

            “ได้ยินอย่างนี้น้าก็ดีใจ เลิฟมันจะได้มีพี่ชายคอยดูแลเหมือนคนอื่นบ้าง”

            “ไม่จริงเลยแม่ มีแต่ผมนี่ล่ะดูแลพี่เขา” เลิฟว่าพลางยักคิ้วให้รุ่นพี่

            “ก็เหมือนกันนั่นล่ะ เป็นน้องก็ต้องดูแลพี่บ้างมันเป็นเรื่องธรรมดา”

            “จริงครับน้า”

            “ไม่พูดกับแม่แล้ว ชอบเข้าข้างคนอื่นอยู่เรื่อย ผมขึ้นข้างบนก่อนล่ะ” ว่าแล้วก็เดินสะพายเป้ขึ้นไปบนห้อง ไม่รอคนที่มาส่งเลย

            “ถ้างั้นผมขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับน้าพิมพ์” คิมยิ้มให้แล้วรีบเดินตามหลังขึ้นมา

            “ไม่รู้จะตามขึ้นมาทำไม ยังไงผมก็จะลงไปอยู่แล้ว” เลิฟเอ่ยขณะยืนอยู่ข้างเตียง เตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า

            “กูไม่ได้ขึ้นมาห้องมึงนานแล้วนะ ใจจริงก็อยากจะมานอนที่นี่ด้วยซ้ำ” คิมเอ่ยขณะนอนเอนหลังอยู่บนเตียงด้วยท่าทีสบายๆ

            “ก็มานอนสิใครว่าพี่ล่ะ” ตอนนี้เจ้าตัวเริ่มถอดเสื้อช็อปออกเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแทน

            “จะอ่อยรึไง ถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้ากูอย่างนี้” คิมเอาแต่มองดูอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา

            “นี่มันห้องผม ผมเปลี่ยนอย่างนี้ประจำ ไม่ได้อ่อยซะหน่อย”

            “แต่อย่างนี้กูเรียกว่าอ่อยเว้ย”

            “อ่อยแล้วไงจะทำอะไรผมล่ะ” เลิฟจงใจเอ่ยท้าทาย

            คิมลุกขึ้นจากเตียงไปยืนตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากัน ไม่นานคิมก็เอื้อมมือไปเกี่ยวเอวไว้ ก่อนจะโน้มใบหน้าไปจุมพิตกลางหน้าผานุ่ม

            “กูรักมึงมากรู้ไหม” เสียงนุ่มเอ่ยอย่างแผ่วเบา

            “ผมรู้” เลิฟจ้องตา ยิ้มออกมาเล็กน้อย

            “แล้วมึงล่ะรักกูมากไหม”

            “มากกว่าพี่รักผมก็แล้วกัน”

            “ไม่จริงกูรักมึงมากกว่า”

            “ผมรักพี่มากกว่า”

            “กูขอได้ไหม กูอยากมีมึงเข้ามาเติมเต็มในชีวิต”

            “แต่ว่า....ผมกลัวแม่จะสงสัยอ่ะ ตอนเย็นได้ไหม”

            “กูไม่ไหวแล้วจริงๆ น้าพิมพ์ไม่สงสัยหรอกกูมั่นใจ เชื่อใจกูนะ”

            “ผมจะเชื่อใจพี่” เลิฟส่งยิ้มให้ เป็นสัญญาณว่าอนุญาต

             คิมไม่รอช้ารีบผลักอีกฝ่ายลงบนเตียงก่อนจะขึ้นคร่อมทันที คิมจ้องตาอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปประกบริมฝีปาก บดจูบอย่างหื่นกระหาย ในระหว่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ทั้งสองต่างก็เปลือยกายล่อนจ้อน

            “มึงพร้อมจะเป็นของกูแล้วใช่ไหม”

            “ใครบอกว่าผมจะให้พี่ พี่ต่างหากที่ต้องให้ผม” เลิฟว่า

            คิมไม่รอช้ารีบจับตัวอีกฝ่ายนอนคว่ำลงบนเตียง ก่อนจะทับตัวเอาไว้ มือทั้งสองข้างของเลิฟถูกตรึงไว้บนเตียง

            “พี่แม่งเอาเปรียบว่ะ อย่าเผลอละกัน” คนที่นอนอยู่บนเตียงเอียงหน้ามาพูดด้วย

            “กูไม่มีทางเผลอแน่นอน วันนี้มันเป็นวันของกูแล้วว่ะ เตรียมใจเอาไว้เลย”

            คิมพรมจูบบริเวณหัวไหล่ ไล่ลงมาจนถึงแผ่นหลัง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับขนลุกชัน รู้เสียววูบวาบไปทั่วทั้งร่าง รับรู้ได้ถึงความเป็นชายของรุ่นพี่ มันกำลังแข็งตัวอย่างเต็มที่ ดุดันอยู่บริเวณทางเข้า ถูไถอยู่อย่างนั้นสักพัก คิมก็ถ่มน้ำลายลงบนมือ แล้วนำไปลูบไล้ที่ช่องทางของคนรัก ก่อนจะดันแท่งร้อนเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ทว่าคนที่ใต้ร่างนั้นกลับเริ่มส่งเสียง

            “โอ๊ย! จะ...เจ็บอ่ะพี่”

            “อดทนหน่อยสิวะ เข้าไปแล้วรับรองว่ามึงจะติดใจ” ว่าแล้วคิมก็ดันมันเข้าไปจนสุดก่อนจะแช่เอาไว้ เปลี่ยนมาโลมเลียบริเวณซอกคอขาว เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย

            เลิฟขบริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น มือทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนเพื่อระบายความเจ็บปวด เมื่อคิมเริ่มขยับส่วนที่เชื่อมต่อกัน ความเจ็บปวดมันกลับลดน้อยลง เลิฟรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกใหม่ มันมีแต่ความสุขสมและเสียวซ่านรัญจวนใจ ไม่อยากให้อีกฝ่ายหยุดมันเลยแม้แต่วินาทีเดียว

            “พะ...พี่คิม” เลิฟเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างเร่าร้อนและออดอ้อน ทั้งที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่

            “ว่าไงครับที่รัก” คิมเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหู เลิฟได้ยินก็ยิ้มมุมปาก ลืมตาขึ้นมามองด้วยสายตาที่หวานเยิ้ม

            “สะ...เสียวครับ อ๊ะ”

            คิมไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มพอใจ เขาถอนแก่นกายออกมา พลิกตัวคนรักให้นอนหงาย แยกขาทั้งสองข้างออกจากกัน ดันแท่งร้อนเข้าไปอีกครั้ง นั่นทำให้โน้มตัวเข้าไปประกบจูบได้ถนัดมากขึ้น

            “อืมมม...” เสียงครวญครางในลำคอของทั้งสองคนดังขึ้นไม่ขาดช่วง

            มือที่ประสานกันไว้บนเตียงอย่างแนบแน่น เป็นเหมือนสัญญาว่าจะไม่มีทางแยกจากกันไปไหน ร่างกายที่เชื่อมต่อกันบ่งบอกว่าตอนนี้ทั้งสองกลายเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส มันไม่ได้เกิดจากเพียงความใคร่เท่านั้น แต่มันเป็นการให้คำสัญญากันและกันว่า จากนี้ไปพวกเขาจะรัก จะมีเพียงกันและกันตลอดไป

            หลังจากเชยชมเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างสุขสมไปเสียนาน ตอนนี้ของเหลวในตัวเริ่มเคลื่อนตัวออกมาเกือบจะถึงปลายลำกล้องแล้ว คิมจึงเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันเลิฟก็จัดการกับแก่นกายของตัวเองไปด้วย ไม่นานทั้งสองก็ถึงจุดหมายปลายทาง จังหวะที่ของเหลวสีขาวขุ่นพุ่งกระฉูดออกมานั้น ทั้งสองต่างก็เกร็งตัว รู้สึกเคลิ้มตัวเบาราวกับล่องลอยในอากาศได้

            “แฮ่กๆ”

            คิมนอนหายใจหอบเหนื่อยอยู่ข้างคนรัก ก่อนจะดึงตัวมากอดไว้แน่น ทั้งสองจ้องตาอย่างหวานซึ้ง ริมปากเผยอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ คิมเอื้อมมือไปสะกิดที่ยอดอกคนรักหยอกล้อเล่น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับปัดมือออก มองค้อนใส่

            “พอเลยพี่”

            “ทำไม? กลัวว่ากูจะต่อเหรอ”

            “ไม่กลัว แค่เหนื่อย”

            “เหนื่อยมากป่ะ”

            “มากดิ” เลิฟตอบ

            “กูต่างหากที่ต้องเป็นคนบ่นว่าเหนื่อย แม่งนอนอยู่เฉยๆ”

            “ให้ผมเป็นฝ่ายรุกบ้างดิถ้างั้น”

             “ไม่เอาโว้ย” คิมรีบปฏิเสธทันควัน

            “รีบปฏิเสธเร็วเชียวนะ เจ็บจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย” เลิฟบ่น

             “ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเองล่ะ”

             “ใครบอกพี่ว่าผมจะให้อีก แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวพอ ถ้าไม่เห็นว่าพี่เพิ่งผ่านเรื่องไม่สบายใจมา ผมไม่ยอมเด็ดขาดเลยนะเนี่ย”

            “ขอบใจนะที่ทำเพื่อกูขนาดนี้ กูสัญญาว่าจะรักและอยู่ข้างมึงอย่างนี้ตลอดไป” เมื่อได้รู้เหตุผลที่คนรักยอม ก็ทำให้คิมต้องเปลี่ยนบรรยากาศให้โรแมนติกขึ้น หากไม่มีผู้ชายคนนี้เตือนสติ ป่านนี้เขาคงคิดฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าไปแล้วก็ได้

            “สัญญาบ่อยจัง ทำให้ได้ด้วยล่ะ” เลิฟยิ้ม รู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากเหลือเกิน

            ในระหว่างทั้งสองกำลังนอนพลอดรักกันอยู่บนเตียงนั้น พิมพ์พรก็เคาะประตูห้อง เอ่ยเรียกลงไปทานข้าวเย็น

            “หนุ่มๆ ลงมาทานข้าวกันได้แล้วจ้า”

            ได้ยินอย่างนั้นทั้งสองก็สะดุ้ง ลุกขึ้นจากเตียงโดยเร็ว ต่างฝ่ายต่างก็รีบสวมใส่เสื้อผ้า แต่ก็ไม่วายส่งยิ้มให้กันตลอดเวลา



หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.16 ภัยมืด(NC) l Up:30-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 30-08-2018 23:00:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.16 ภัยมืด(NC) l Up:30-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-08-2018 03:32:50
สงสารคิมอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.16 ภัยมืด(NC) l Up:30-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-08-2018 04:35:25
จะมีเรื่องอะไรทำให้คิมนอยลงไปมากกว่านี้อีกนะ เลิฟจะช่วยพี่เขาได้บ้างไหมหนอ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.16 ภัยมืด(NC) l Up:30-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-08-2018 09:52:25
 :L2: :pig4:

สงสารตรงที่คิมตกเป็นเหยื่อ
คนหลายๆคนก็เมามันกับการวิจารณ์คนอื่นโดยไม่รู้ด้วยว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.17 บุคคลนิรนาม l Up:03-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 03-09-2018 21:12:38
-๑๗-

บุคคลนิรนาม



            วันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้วหนุ่มๆ ทั้งหมด ก็พร้อมใจกันยกโขยงมาที่ร้านเฮียอ่ำ และวันนี้วงบางกอกบอยแบนด์ก็ถือโอกาสมาวอร์มทีมเล่นดนตรีที่ร้านด้วย ก่อนจะไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันมะรืนนี้

            อาหารจานเด็ดถูกนำมาวางเรียงรายบนโต๊ะพร้อมกับเครื่องดื่ม วันนี้เฮียอ่ำจองโต๊ะหน้าเวทีให้กับน้องๆ เป็นพิเศษ

            คิมและผองเพื่อนนั่งดื่มรออยู่ที่โต๊ะ ส่วนที่เหลือก็ขึ้นไปบนเวที เตรียมแสดงดนตรีให้กับแขกในร้านได้รับฟังกัน นี่ถือเป็นครั้งแรกของวงบางกอกบอยแบนด์ ได้มีโอกาสขึ้นมาแสดงที่ร้านอย่างเต็มวง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว การแสดงดนตรีก็เริ่มในทันที

            “สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติในร้านทุกท่าน วันนี้พวกเราวงบางกอกบอยแบนด์ ขอมาสร้างความสุขให้กับทุกๆ ท่านในที่นี้ด้วยเสียงเพลง” เลิฟยืนอยู่กลางเวทีเล็กๆ สวมกางเกงยีนเข้าคู่กับเสื้อยืดสีดำ ดูเท่ไม่หยอก เขาเอ่ยกับแขกในร้าน พลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ แล้วก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเวที สบตากับคนรักที่เอาแต่จ้องมองมาเช่นเดียวกัน

            “กรี๊ด! นักร้องหล่อจังเลยค้า” เสียงหญิงวัยกลางคนโต๊ะหนึ่งตะโกนมา เลิฟจึงส่งยิ้มให้แล้วตอบกลับไป

            “ขอบคุณคร้าบบบ มีคนชมผมอย่างนี้บ่อยๆ ชินซะแล้วล่ะครับ” เจ้าตัวพูดติดตลก ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะเดินถือธนบัตรสีแดงมาเตรียมจะยื่นให้

            “ชื่ออะไรจ๊ะน้องสุดหล่อ” เจ้าหล่อนเอ่ยอย่างไม่มีท่าทีเคอะเขิน ราวกับคุ้นชินกับชายหนุ่มเป็นอย่างดี

            “ผมเลิฟครับคุณพี่ ถามอย่างนี้อยากเป็นลูกสะใภ้แม่ผมรึไงเนี่ย” เลิฟหยอดคำหวานไปให้

            “อร้ายย เป็นได้เหรอจ๊ะถ้างั้นบอกที่อยู่มาพี่จะไปกราบแม่สามีถึงที่บ้านด้วยตัวเอง” พูดจบคนทั้งร้านก็โห่ร้องอย่างถูกใจ ทำให้บรรยากาศดูสนุกครื้นเครงมากพอสมควร

            “ใจจริงก็อยากจะให้ไปนะครับ แต่กลัวว่าลูกกับเมียที่บ้านผมจะว่าเอาน่ะสิ ฮ่าๆ” ทุกคนในร้านได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจกันยกใหญ่

            “มีเมียแล้วก็เอาจ้ะ หล่ออย่างนี้เจ้ยอมเป็นเมียน้อย”

            “ฮิ้ววว”

            เสียงเพื่อนสาวร่วมโต๊ะของเจ้าหล่อนส่งเสียงโห่ร้องอย่างพอใจ ทำเอาเลิฟยิ้มเขิน เพราะเธอเล่นรุกไม่เลิก คิมได้แต่มองดูแล้วยิ้มตาม เห็นอีกฝ่ายมีความสุขกับสิ่งที่รัก แค่นี้ก็ทำให้เขามีความสุขตามไปด้วย

            “ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปเคลียร์กับเมียที่บ้านก่อนนะครับ แล้วจะมาบอกพี่สาวคนสวย แล้วทิปร้อยนึงเมื่อไหร่จะให้ผมครับเจ้ รอจนเมื่อยแล้วเนี่ย” เลิฟเอ่ยแซวเจ้าหล่อน

            “มีทวงนะ ก่อนให้เจ้ขอเพลงหน่อยได้ป่ะ”

            “ได้สิครับ ยิ่งทิปเยอะกว่านี้ผมร้องให้ฟังทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้”

            “แหมๆ เอาแค่นี้พอ ไปหย่ากับเมียที่บ้านก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้อยากฟังเพลงหนึ่งในไม่กี่คน ร้องได้รึเปล่าจ๊ะน้องเลิฟสุดหล่อ”

            “ได้สิครับไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมร้องให้ฟังเพลงแรกเลยดีไหม”

            “กรี๊ดดด ดีมากๆ เลยจ้ะ เดี๋ยวเจ้ไปนั่งรอฟังที่โต๊ะนะ” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็เอื้อมมือไปโน้มต้นคอนักร้องหนุ่มสุดหล่อลงมาหอมแก้มฟอดใหญ่ แล้วรีบเดินกลับโต๊ะด้วยท่าทีเขินอาย

            คนที่อยู่ในร้านต่างก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเมื่อเห็นอย่างนั้น

            “ทำเอาซะผมไปไม่เป็นเลยครับ” พูดแล้วก็ยิ้มเขิน ใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเหลือบตาไปมองคนรักที่นั่งอยู่หน้าเวที ก็เห็นคิมก็ขู่โดยการยกนิ้วชี้ขึ้นมาปาดคอตัวเอง สื่อว่ามึงตายแน่อะไรเทือกนั้น แต่เลิฟกลับยิ้มหน้าระรื่นไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด

            “ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังเพลงหนึ่งในไม่กี่คนไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าครับ ใครร้องได้ร้องตามด้วยนะ” เลิฟพูดจบเสียงดนตรีก็ดังขึ้น ในระหว่างช่วงอินโทรนั้น เขาก็โยกตัวไปตามจังหวะ ตาก็มองดูคนรักอยู่ตลอดเวลา ราวกับต้องการสื่อให้รู้ว่า เพลงนี้ให้มอบให้เขาคนนั้น

            “ไม่กี่คนที่จะเคียงข้างกัน ไม่กี่คนที่จะคอยร่วมทุกข์ใจ และไม่ทิ้งฉันไว้ลำพัง ไม่ว่าเจอเรื่องร้ายใดๆ ก็พร้อมเดินไปกับฉัน ไม่กี่คนที่จะรักฉันจริง ทำให้ยิ้มในชั่วโมงที่เหงาใจ ในชีวิตที่ล่วงเลยมา ไม่กี่คนที่ฉันไว้ใจให้กุมมืออยากฝากชีวิต และหนึ่งในนั้นก็คือเธอคนดี ที่ฉันนั้นโชคดีที่เราได้พบกัน จากหนึ่งในร้อย หนึ่งจากในล้านได้มาร่วมทางเดิน ให้หนึ่งในฉันได้เจอกับรักดีๆ................อยากบอกว่าฉันรักเธออีกครั้งคนดี”

            เมื่อเพลงจบลงทุกคนก็ปรบมือเสียงดัง เลิฟโค้งคำนับแสดงความขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ก่อนจะเอ่ยอะไรบางอย่าง

            “ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือนะครับ ก่อนที่จะฟังเพลงต่อไป ผมอยากจะเอ่ยอะไรสักเล็กน้อย ฝากถึงคู่รักหลายๆ คู่ ในช่วงเวลาที่พวกคุณได้มีเวลาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ขอให้คุณรักและดูแลคนรักให้มากๆ เพราะในชีวิตคนเราจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเดินเข้ามาในชีวิต แล้วทำให้เรามีความสุขได้ หากคุณมีคนคนนั้นแล้ว ขอให้รักษาเขาไว้ให้ดี แล้วชีวิตคุณจะมีความสุขตลอดไป” พูดจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงดังมากขึ้นเป็นเท่าตัว ในระหว่างนั้นคิมก็เอาแต่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจในตัวคนรัก

            หลังจากร้องไปได้สามเพลง ก็หมดหน้าที่ของวงบางกอกบอยแบนด์ ทั้งห้าหนุ่มลงมานั่งที่โต๊ะ ให้วงต่อไปรับช่วงต่อ เมื่อทั้งหมดเข้ามานั่งครบทีมแล้ว ความสนุกสนานเฮฮาก็บังเกิดขึ้นในทันที

            “ไอ้เลิฟมึงร้องดีว่ะวันนี้ วันแข่งเอาให้ได้อย่างนี้นะโว้ย” หินยกนิ้วให้รุ่นน้อง เมื่อมานั่งที่แล้ว ข้างกันนั้นก็คือคิมนั่นเอง

            “ขอบคุณครับพี่ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เลิฟยกมือไหว้ขอบคุณ

            “ตอนนี้พวกมึงเตรียมความพร้อมไปถึงไหนแล้ววะไอ้แจ๊บ” โต้งถาม

            “ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่ะ ก็ขึ้นอยู่กับหน้างานว่าจะมีอะไรผิดพลาดรึเปล่า แต่ถ้ามันเป็นไปอย่างที่คิดไว้คงจะผ่านฉลุย” แจ๊บตอบ

            “ถ้างั้นก็ทำให้เต็มที่ เดี๋ยวพวกกูจะไปเชียร์ติดขอบเวทีเลย” โต้งเอ่ย

            “ขอบใจว่ะ ถ้างั้นมาชนกันแก้วฉลองกันหน่อยสิวะจะรออะไร” แจ๊บว่าแล้ว ทั้งหมดก็ยกแก้วขึ้นไปชนกลางโต๊ะ

            หลังจากดื่มน้ำสีเหลืองอ่อนจนพร่องแก้วแล้ว คิมก็หันมาเอ่ยกับคนรักทันที “เมื่อกี้มึงชักจะหว่านเสน่ห์เกินไปแล้วนะไอ้เลิฟ”

            “เกิดอาการหึงหวงกันซะแล้วว่ะ ไอ้ห่าคิมน้องมันทำงานเว้ยคิดมากไปได้ ฮ่าๆ” เทอร์โบเอ่ยแซวเพื่อน หัวเราะเบาๆ

            “ไม่รู้ล่ะ แม่งแซวหญิงต่อหน้ากู มันหยามศักดิ์ศรีกันเว้ย”

            “หยามตรงไหนวะพี่ ผมก็ทำตามหน้าที่นี่นา” เลิฟว่าแล้วหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มสองสามอึก ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น

            “กูไม่อยากให้มึงพูดอย่างนั้นกับใครนอกจากกูเว้ย จำไว้ด้วย”

            “ฮิ้วว!! มีคนหึงโว้ย” เสียงแซวจากเพื่อนดังขึ้น

            “ทำเป็นโวยวายนะพี่อ่ะ ผมแอบสังเกตเห็นนะ พี่กับไอ้เลิฟจ้องตากันตลอด จนผมคิดว่าทุกเพลงที่มันร้อง มันร้องให้พี่ซะงั้น” โด้เอ่ยกับทั้งสองคน

            “รู้ดีจังนะมึงอ่ะ” เลิฟว่าให้เพื่อน

            “หรือไม่จริงวะ”

            “เออ...ก็จริง” เลิฟพูดยิ้มๆ รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไม่กล้าสบตากับคนที่นั่งข้างกัน

            พวกมึงนี่นะ มีเรื่องให้พวกกูได้ลุ้นตลอด กว่าจะเรียนจบสงสัยคงได้มีลูก ให้พวกกูเซอร์ไพรซ์อีกแน่นอน” อ๋องเอ่ยแซว

            “ไอ้ห่าอ๋องมึงก็ว่าไป แต่ถ้ามีได้ก็ดีสิวะ ก็จะได้ขยันขึ้นกว่าเดิม” พูดแล้วก็หันไปจ้องหน้าคนรัก เลิฟจ้องตอบก่อนจะทำหน้าทะเล้นใส่แก้เขิน

            “แสดงว่าพวกมึงสองคนยิ้มกันแล้วใช่ไหมวะ เป็นไงเล่าให้พวกกูฟังบ้างดิวะ” อู๋ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ทำเอาเลิฟทำหน้าเหลอหลา ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย คิมทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่นอีกแล้ว

            “พี่อย่าไปฟังพี่คิมแม่งเลย โม้ไปเรื่อยล่ะ” เลิฟว่าแล้วดึงหูคนที่นั่งข้างกัน จนคิมต้องทำหน้าเหยเก

            “โอ๊ยยย! มึงจะดึงจนขาดเลยรึไงวะเนี่ย” คิมร้องโอดโอย พลางจับมือคนรักเอาไว้

            “ก็พี่ปากพล่อยไง ผมเลยต้องจัดการ”

            “เอามันให้หนักๆ เลยไอ้เลิฟ พวกกูสนับสนุน” โต้งว่า ยิ้มไม่ยอมหุบ

            “พวกมึงเป็นเพื่อนกูรึเปล่าววะไม่เข้าข้างกูเลย”

            “เป็นสิวะ แต่พวกกูจะเข้าข้างไอ้เลิฟ มึงมีปัญหาอะไรวะ” โต้งตอบ

            “กูขี้เกียจพูดกับพวกมึงแระ เพราะตอนนี้ปวดหูฉิบหาย” พูดกับเพื่อนจบก็เอ่ยกับคนรักต่อทันที “มึงจะปล่อยหูกูให้เป็นอิสระได้รึยังเนี่ย นานแล้วนะโว้ย”

            “อ้าว! ผมลืมไปเลย โทษทีนะครับที่รัก” เลิฟยอมปล่อยมือ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

            “เห็นอย่างนี้แล้วคิดถึงน้องโจ้จังเอยอ่ะ” โด้บ่นออกมา

            “คิดถึงก็ไปหาที่บ้านดิวะ จะยากอะไร” เอ็มบอก     

            “ไม่ได้โว้ย ช่วงนี้น้องกูต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ ใครหน้าไหนห้ามไปทำลายสมาธิเด็ดขาด” แจ๊บว่า

            “พี่แจ๊บอ่ะใจร้ายที่สุด อย่างน้อยก็ให้น้องโจ้ไปเชียร์ผมที่หน้าเวทีในรอบชิงได้ไหม ถ้าไม่เห็นหน้าผมคงไม่มีกะจิตกะใจแน่นอน” โด้ทำหน้าเศร้า อ้อนวอนขอร้องรุ่นพี่ นานหลายวันแล้วที่เขาไม่ได้พูดคุยและเห็นหน้า เพราะแจ๊บสั่งเอาไว้ ช่วงนี้โจ้ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบกลางภาค

            “กูไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกโว้ย วันแข่งกูจะให้น้องกูมาแน่นอน มึงไม่ต้องเป็นห่วง”

            “ขอบคุณมากๆ ครับพี่แฟน”  ได้ยินอย่างนั้นโด้ก็ยิ้มออก

            “ไอ้ห่าแจ๊บหวงน้องอย่างกับจะเก็บไว้กินเองซะอย่างนั้นนะมึงอ่ะ” เอ็มเอ่ยแซว

            “จริงๆ พี่” โด้เห็นด้วยเต็มที่

            “ไอ้ห่าโด้เดี๋ยวกูก็สั่งให้น้องเลิกคบกับมึงซะหรอก”

            “ขอโทษครับพี่ ผมปากไวไปหน่อย แค่ล้อเล่นเองน่า”

            “ที่กูหวงไม่ใช่อะไรหรอก กูแค่อยากให้น้องมันตั้งใจเรียนก่อนเท่านั้นเอง ใครๆ ก็รักน้องตัวเองกันทั้งนั้น หรือพวกมึงไม่รัก” แจ๊บถาม ทุกคนเงียบไม่ตอบ เพราะมันก็เป็นอย่างที่เพื่อนพูด “เห็นไหมล่ะเงียบเป็นป่าช้า เอาเป็นว่าถ้ามันโตกว่านี้หน่อยกูปล่อยมันแน่นอน”

            “ตั้งแต่รู้จักพี่มา วันนี้พี่มีเหตุผลสุดๆ สมแล้วพี่เป็นพี่ชายแฟนผม ขอคารวะศิษย์พี่ครับ” โด้ว่าแล้วทำความเคารพรุ่นพี่เหมือนในหนังจีนกำลังภายใน ทำเอาทุกคนต่างก็หัวเราะกันยกใหญ่ รวมถึงแจ๊บเองด้วย

            ในระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานนั้น ก็มีเสียงข้อความดังขึ้น คิมรีบล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู รู้สึกสังหรณ์ใจพิกล คิดว่าต้องเป็นคนเดียวกับที่เคยส่งมาก่อนหน้านี้แน่นอน

            ‘กูจับตาดูมึงมาหลายวันแล้ว อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ มึงกำลังคั่วกับไอ้นักร้องคนนั้นอยู่ ระวังคนของมึงเอาไว้ให้ดี ไอ้ฆาตกร’

            ได้อ่านข้อความทำเอาคิมถึงกับหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธ ก่อนจะมองไปรอบตัว เพื่อดสังเกตดูว่ามีใครน่าสงสัยไหม แต่คนเยอะแยะขนาดนี้เขาก็ไม่รู้จะสงสัยใครดี มันมืดแปดด้านไปหมด

            “มีอะไรรึเปล่าพี่” เลิฟถามเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ

            “ปะ...เปล่าไม่มีอะไร” เจ้าตัวทำหน้าเลิ่กลั่กราวกับกำลังมีพิรุธ

            “แล้วทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ หรือไม่สบาย” เลิฟถามด้วยความเป็นห่วง ดูตาเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องไม่สบายใจแน่นอน

            “ไม่มีอะไรจริงๆ เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะทันที เลิฟได้แต่มองตามหลังอย่างไม่สบายใจ เขาไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีอะไรจริงๆ

            เดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้ว คิมก็รีบโทรกลับเบอร์นิรนามนั้นทันที ครั้งนี้ปลายสายไม่ได้ปิดเครื่องเหมือนครั้งที่แล้ว คิมใจจดใจจ่ออยากรู้เต็มทีว่าปลายสายนั้นเป็นใครกันแน่ เขามั่นใจว่าคนที่กำลังโทรหานั้น ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหญิงอย่างแน่นอน

            “มึงเป็นใคร ต้องการอะไรจากกูกันแน่” เมื่อปลายสายกดรับ คิมก็รีบยิงคำถามไปทันที

            (“มึงไม่ต้องรู้หรอกว่ากูเป็นใคร รู้แค่เพียงว่ากูไม่อยากให้มึงมีความสุขก็พอ”)

            “กูถามว่ามึงเป็นใครกันแน่วะ”

            (“ถ้ามึงอยากรู้มะรืนนี้ไปเจอกูที่ตึกร้างข้างสนามกีฬาXXX สี่โมงเย็น แล้วมึงจะได้รู้ว่ากูเป็นใคร ถ้าเรื่องนี้ถึงหูใครรับรองคนรักของมึงได้เดือดร้อนแน่”)

            “กูจะเชื่อมึงได้ไงว่ามึงจะไม่ทำร้ายคนของกู”

            (“มึงไม่มีสิทธิ์ต่อรอง แต่บอกไว้ก่อนว่ากูไม่ใช่คนใจโลเลอย่างมึง”)

            “เรื่องนี้เกี่ยวกับหญิงใช่ไหม” คิมเอ่ยถาม

            (“เกี่ยวไม่เกี่ยวเดี๋ยวมึงก็ได้รู้ กูรับรองว่ามึงได้รู้สมใจอยากแน่นอน”)

            “แล้ว....”

            ตู๊ดๆๆ

            ยังมีอีกหลายคำถามที่อยากรู้คำตอบ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับตัดสายไปเสียก่อน คิมกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ทอดสายตามองไกลด้วยความรู้สึกเดือดดาล หากมันเกี่ยวกับเรื่องของหญิงจริงๆ เขาก็พร้อมจะไปเผชิญหน้า เพื่อที่จะให้เรื่องนี้จบลงไปเสียที ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะยอมรับผลที่ตามมา และที่สำคัญเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนรักได้อย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.17 บุคคลนิรนาม l Up:03-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-09-2018 23:29:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.17 บุคคลนิรนาม l Up:03-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-09-2018 04:28:18
มันเป็นใครฟ่ะ ตาม ๆ   :3125:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.17 บุคคลนิรนาม l Up:03-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-09-2018 12:47:56
ใครหว่า?
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.17 บุคคลนิรนาม l Up:03-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 04-09-2018 16:31:00
บุคคลนิรนามมันเป็นใครเนี่ย
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.17 บุคคลนิรนาม l Up:03-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 04-09-2018 17:04:07
ถ้ามันไม่ผ่านมา17ตอน แล้วคิมได้จิ้มเลิฟนี่
เราคงคิดว่าคิมน่าจะเป็นเมียอะ  :z3:

เดาว่าพี่ชายหญิงอะ เห็นพูดถึง
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.18 ความสุขส่งท้าย l Up:11-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 11-09-2018 20:45:31
-๑๘-

ความสุข(ส่งท้าย)



            หลังจากนอนเครียดมาทั้งคืนเรื่องที่จะต้องไปตามนัดในวันพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แม้จะมีความกลัวอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ต้องไปเพราะไม่อยากให้เลิฟต้องมาเดือดร้อนด้วยอีกคน แถมพรุ่งนี้ยังเป็นวันสำคัญของอีกฝ่าย เขาไม่อยากให้ทุกอย่างที่เลิฟสร้างมา ต้องพังทลายเพราะตัวเขาเอง

            วันนี้จึงได้นัดคนรักออกมาคลายเครียด ที่สวนสนุกชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังจากได้โทรนัดเมื่อคืนที่ผ่านมา ช่วงเช้าคิมจึงขับรถไปรับที่บ้าน ก่อนจะขับตรงมาที่แห่งนี้

            “ทำไมอยู่ๆ ถึงได้นัดออกมาเที่ยวที่นี่ อยากจะย้อนความหลังช่วงวัยเด็กเหรอพี่” เลิฟเอ่ย หลังจากเดินผ่านประตูทางเข้ามาได้เพียงสองสามก้าว

            “เปล่า...แค่อยากพามึงมาเที่ยวบ้าง เราไม่เคยมาเที่ยวสองต่อสองอย่างนี้เลยสักครั้ง กลัวมึงจะน้อยใจ” ว่าแล้วก็เอื้อมจับมือคนที่ยืนข้างกัน ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ เลิฟยิ้มตอบไม่ได้ปฏิเสธมันแต่อย่างใด

            “จะน้อยใจทำไมล่ะในเมื่อพี่เองก็ไปรับไปส่งผมทุกวันอยู่แล้ว เห็นหน้ากันจนเบื่อจะแย่”

            “นี่มึงเบื่อกูแล้วเหรอวะ”

            “ใช่…เบื่อมากก”

            “ถ้างั้นวันนี้กูจะทำให้มึงหายเบื่อไปเลยล่ะ” ว่าแล้วก็ยิ้มมุมปาก

            “มีแผนอะไรอีกเนี่ย ห้ามเล่นพิเรนทร์เด็ดขาดเลยนะ” เลิฟชี้หน้าขู่ไว้ก่อน

            “ไม่หรอกน่า ว่าแต่มึงอยากเล่นอะไร บอกมาได้เลยเดี๋ยวกูพาไป”

            “เดินดูก่อนอ่ะ แล้วพี่ล่ะชอบเล่นอะไร”

            “กูชอบเล่นรถไฟเหาะเสียวดี มึงเคยป่ะ”

            “ไม่อ่ะ”

            “ถ้างั้นไปขึ้นรถไฟเหาะกันตอนนี้เลย”

            ว่าแล้วก็จูงมือคนรักเดินตรงไปยังเครื่องเล่นที่สุดแสนจะตื่นเต้นและหวาดเสียว ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้านี้

            เมื่อมาถึงแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปต่อคิว มีคนไปยืนรอคิวเกือบยี่สิบคนได้ เลิฟก็รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ นั่นเพราะคนที่ขึ้นไปก่อนหน้าต่างก็ส่งเสียงร้องราวจะขาดใจ เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็กลืนน้ำลายลงคืออย่างฝืดเคือง มองดูอย่างลังเลใจ หากเปลี่ยนใจตอนนี้ยังจะยังทันอยู่ไหมนะ

            “กลัวรึไง” คิมถาม เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของคนรัก ดูท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย

            “ใครกลัว ไม่มีทางเว้ยพี่” เลิฟรีบหันกลับมามอง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้ดูฮึกเหิมขึ้น

            “จริงเร้อทำไมตอนมองคนอื่นเล่นถึงได้หน้าซีดเป็นไก่ต้มอย่างนั้น”

            “ไม่มีซะหน่อย แค่นี้ชิวๆ เว้ย” เลิฟยังคงทำเป็นเก่ง ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหัวเราะเยาะแน่นอน

            “กูจะคอยดูว่ามึงจะเก่งเหมือนปากไหม ป่ะถึงคิวเราแล้ว” ในขณะตอบกลับคนรักก็ถึงคิวพอดี คิมจึงดุนหลังอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปก่อน

            หลังจากได้ที่นั่งและรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างแน่นหนาแล้ว ทั้งสองก็นั่งรอเวลาที่จะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นและหวาดเสียว คิมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้นจึงจับมือกันไว้ตลอดเวลา แต่คนที่นั่งข้างกันยังคงทำเป็นเก่ง ทำเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย

            “พร้อมยัง”

            “อื้อ พร้อมตั้งนานแล้ว”

            “ยังเก่งไม่เลิกนะเรา เดี๋ยวได้คลานลงมาแน่ หึๆ” พูดแล้วก็หัวเราะในลำคอเบาๆ

            “ทำไมชอบขู่จังวะ คอยดูละกันคนอย่างผมไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว”

            “เออ ไอ้คนเก่ง” คิมยิ้มให้

            หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็พร้อม รถไฟเคลื่อนตัวขึ้นไปตามรางที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะหยุดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมที่จะพุ่งทะยานลงมาอีกครั้ง ในตอนนั้นสีหน้าของเลิฟเริ่มซีดมากขึ้น มือที่จับกันไว้ก็ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก

            “หายใจเข้าลึกๆ ในอีกไม่กี่นาทีมึงได้แหกปากแน่”

            พูดยังไม่ทันขาดคำรถไฟก็พุ่งทะยานลงมาจากที่สูงด้วยความเร็ว ทำเอาสมาชิกที่นั่งอยู่นั้นเริ่มส่งเสียงร้องกรี๊ดดังกระหึ่มไปทั่วพื้นที่ หนึ่งในนั้นก็คือเลิฟนั่นเอง

            “อ๊ากกกก!!! เชี่ยยยย!!”

            “ไม่ไหวแล้วโว้ยยย”

            “โอ้ยยยย”

            ด้วยความที่เพิ่งจะเคยเล่นเป็นครั้งแรก ทำเอาเลิฟถึงขนาดกับตัวเกร็ง แหกปากร้องดังลั่น กลัวว่าตัวเองจะหล่นลงพื้น ในช่วงจังหวะที่ห้อยหัวลงมานั้นยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ เจ้าตัวร้องดังลั่นไม่ยอมหยุด จนมาถึงจุดหมายปลายทาง สภาพของหนุ่มหล่อนั้นแทบหมดสภาพ ใบหน้าซีดเซียว แข้งขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

            “เป็นไงล่ะไอ้คนเก่ง ฮ่าๆๆ” เมื่อปลดเข็มขัดนิรภัยแล้ว คิมก็หิ้วปีกคนรักเดินลงมาจากที่นั่ง ตอนนี้เลิฟแทบไม่มีแรงเดิน จะใช้คำว่าลากตัวมาก็ยังได้

            “ซ้ำเติมกันจังนะ จะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย” เลิฟเอ่ยอย่างเบาเสียง

            “ไปนั่งตรงนั้นก่อนมีที่นั่งพอดี” ว่าแล้วก็พยุงคนรักไปที่ม้านั่ง

            “ชาตินี้จะไม่เล่นไอ้เครื่องเล่นบ้าอย่างนี้อีกแล้ว”

            “ไหนบอกว่าไม่กลัวอะไรไง ทำไมกลับคำอย่างนี้ล่ะ”

            “ไม่ต้องมาพูดเลยพี่อ่ะ ชอบซ้ำเติมกันดีจัง” คนพูดเอนศีรษะพิงกับพนักเก้าอีก ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างน้อยอกน้อยใจ

            “นั่งอยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวกูไปซื้อยาดมกับน้ำเย็นๆ มาให้”

            “รีบมาล่ะ”

            “คร้าบบ” คิมยิ้มให้แล้วเดินตรงไปยังร้านมินิมาร์ทเล็กๆ ที่เปิดขายอยู่ไม่ไกล

            นั่งรออยู่สักพัก เลิฟก็รู้สึกว่ามีอะไรเย็นๆ มาสัมผัสที่แก้ม จึงเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นคนรักยืนยิ้ม ยื่นขวดน้ำเย็นให้

            “อ่ะ”

            “ชอบแกล้งผมจังนะพี่อ่ะ เดี๋ยวก็เอาคืนซะเลย” รับน้ำมาแล้วก็เปิดฝาเสียบหลอด ดูดอย่างชื่นใจ

            “กูมีแฟนหล่อน่ารักอย่างนี้ ก็ให้แกล้งหน่อยดิวะ อ่ะยาดม”

            “ขอบคุณครับ ป๋ามากเลยอ่ะวันนี้”

            “ก็นิดหน่อย พาเมียมาเที่ยวทั้งที”

            “ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลย ถ้าสาวๆ มาได้ยินเข้าผมเสียหายหมด” เลิฟชี้หน้า มองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง

            “กลัวเรทติ้งตกรึไง”

            “ก็เออน่ะสิ”

            “ถ้าวันนึงเราไม่ได้คบกันแล้ว มึงคงจะแต่งงานมีลูกมีเมียสินะ”

            “แน่นอนอยู่แล้ว หล่อๆ อย่างผมต้องมีเมียสวยๆ ลูกชายน่ารักๆ” เลิฟเอ่ยขำๆ ไม่ได้จริงจังอะไร

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นกูก็ดีใจ จะได้ไม่ต้องห่วงว่ามึงจะไม่มีใครมาดูแล”

            “ทำไมทำหน้าจริงจังอย่างนั้นล่ะ ผมแค่พูดเล่นเอง คนอย่างผมจะต้องทนคบกับพี่ไปจนตายนั่นล่ะ”

            “ใช้คำว่าทนคบเลยเหรอวะ”

            “ก็เออดิ ใครกันน๊าที่เข้ามาจีบผมก่อน ทำเนียนมาตีสนิทผมตั้งแต่แรกเจอ เลยปัดรำคาญยอมทนคบมาจนถึงตอนนี้เลย” เลิฟพูดแหย่

            “เหรอออ พูดเอาดีเข้าตัวหมดเลยนะมึงอ่ะ กูยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมดก็ได้”

            “ดี...ยอมรับง่ายๆ จะได้ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืด แล้วนี่เราจะไปไหนต่ออ่ะ”

            “แล้วมึงอยากเล่นอะไรอะ หรือจะกลับไปนั่งรถไฟเหาะอีกรอบ”

            “ไม่เอาเว้ย ครั้งเดียวในชีวิตพอ แค่นี้ก็จะตายแล้ว เกร็งจนปวดไข่ฉิบหาย” เลิฟนึกถึงตอนที่นั่งอยู่บนรถไฟ ก็ถึงกับหยีหน้า เข็ดขยาดซะเหลือเกิน

            “ครั้งแรกก็งี้ล่ะ ครั้งต่อไปเดี๋ยวก็ชินเอง”

            “ไม่มีครั้งต่อไปแล้วพอๆ ห้ามเล่นอะไรแบบนี้อีก มีอย่างอื่นที่มันซอฟต์กว่านี้ป่ะพี่”

            “มีดิ”

            “อะไรอ่ะ”

            “ม้าหมุนไง อันนี้มีแต่เด็กๆ เล่นกัน ถ้ามึงไม่อายจะไปเล่นก็ได้นะ”

            “ถ้างั้นไม่ไปนั่งแม่งอยู่ตรงนี้ล่ะถ้างั้น”

            “ไปเถอะไม่มีใครว่ามึงเป็นเด็กหรอก เพราะเราจะเล่นด้วยกัน” คิมยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกันนั้นก็ดึงตัวคนรักให้ยืนขึ้นด้วย

            “ผมเชื่อใจพี่นะเนี่ย” คนพูดยิ้มตอบ ทำไมวันนี้เขาถึงได้เห็นความเศร้าแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้นก็ไม่รู้ ช่วงหลังๆ มานี้คิมเหมือนเก็บงำอะไรบางอย่างไว้ เขาพยายามถามหลายครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเลยสักครั้ง

            เมื่อเดินมาถึงม้าหมุน ก็พบว่าไม่มีใครเลยจากพนักงานคุมเครื่อง ในขณะพื้นที่โดยรอบกลับมีผู้คนพลุกพล่าน

            “ทำไมไม่มีใครมาเล่นเลยอ่ะพี่ เจ๊งรึเปล่าเนี่ย”

            “ไม่เจ๊งหรอก พี่พนักงานยังยืนรอเราอยู่เลย เข้าไปกันเถอะ”

            “อื้ม” เลิฟพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไป

            หลังจากส่งตัวคนรักขึ้นไปบนตัวม้าแล้ว คิมก็จะตามขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายด้วย เลิฟเห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยห้ามไว้ทันที

            “ทำไมต้องมานั่งตัวเดียวกันด้วยเนี่ย มีตั้งหลายตัวนะพี่”

            “ก็กูอยากนั่งตัวเดียวกับมึงอ่ะ เขยิบตูดเข้าไปอีก”

            “ไม่เอา ไม่อายพี่เขารึไงนั่น มองดูเราใหญ่แล้ว”

            “อายทำไมพี่เขาไม่รู้จักเราซะหน่อย” คิมไม่สนใจขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายจนได้ เลิฟจึงปล่อยเลยตามเลย

            “เออ ก็ได้” แม้จะแย้ง แต่ก็อมยิ้มไม่หยุด

            คิมให้สัญญาณกับพนักงานคุมเครื่อง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ไฟทุกดวงก็สว่างจ้าขึ้น ทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกขึ้น แถมยังมีเสียงดนตรีคลาสสิคบรรเลงดังคลอเคล้าไปด้วย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวกับถูกจัดฉากไว้ล่วงหน้าซะอย่างนั้น หากไม่คิดระแวงมากเกินไป เลิฟก็คิดว่าคิมเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น

            “วันนี้กูพามึงมาย้อนวัยเด็กเลยนะเนี่ย” เจ้าตัวเอ่ยขณะสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

            “ว่าแล้ว...ไม่บอกก็รู้หรอกน่า”

            “รู้สึกยังไงวะที่ได้มานั่งม้าหมุนกับกูอย่างนี้ กูอยากฟังสิ่งที่อยู่ในใจมึงให้ชื่นใจสักครั้ง”

            “รู้สึกเฉยๆ อ่ะ”

            “เดี๋ยวกูตบกะโหลกแม่งเลย กำลังจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว” ว่าแล้วคิมก็ยกมือขึ้นมาจับศีรษะคนรักแล้วโยกไปมาด้วยความเอ็นดู

            “ล้อเล่นน่า” เลิฟขำเล็กน้อย

            “ว่ามาดีๆ”

            “ไม่อยากพูดเลยอ่ะเขิน จริงๆ แล้วไม่ต้องพูดพี่ก็น่าจะรู้ว่าผมรู้สึกยังไง มันมีความสุขมาก นอกจากแม่แล้ว คนที่ทำให้ผมมีความสุขได้ก็คือพี่ ไม่ใช่แค่ตอนนี้นะเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ช่วงที่เราไม่ได้เจอกันแค่คิดถึงพี่ผมก็มีความสุขแล้ว พอใจยัง” เลิฟเอียงหน้าหล่อหันไปเอ่ยกับคนที่อยู่ด้านหลัง

            “ชื่นใจจังว่ะ” ว่าแล้วก็โนมใบหน้าคมไปหอมแก้มอีกฝ่ายทันที

            “ทำเหี้ยอะไรอีกเนี่ย แค่นั่งด้วยกันก็อายคนจะแย่แล้ว” เลิฟฟาดเข้าที่ต้นขาอีกฝ่ายเต็มแรง

            “อายทำไมวะไม่มีใครรู้จักเราซะหน่อย กลับบ้านก็ตัวใครตัวมันแล้ว”

            “หน้าด้านจังนะพี่อ่ะ”

            “แน่นอน”

            หลังจากสงครามน้ำลายจบลง ทั้งสองก็นั่งอยู่บนม้าหมุนอย่างนั้นไปจนจบเพลง มันเป็นการย้อนวัยเด็กที่มีความสุขมาก เมื่อลงมาแล้วคิมก็เดินไปหาพนักงานคนนั้น เพื่อจ่ายค่าจ้างที่ช่วยจัดการเรื่องทุกอย่างให้

            “ขอบคุณมากๆ นะครับพี่ที่ช่วยผม”

            “ไม่เป็นไรน้อง เราต่างก็วินวินกันทั้งคู่ ขอให้รักกันนานๆ ละกัน”

            “ขอบคุณครับ ผมไปล่ะ”

            เมื่อคุยเสร็จแล้ว ก็เดินไปหาเลิฟที่ยืนรออยู่

            “คุยอะไรกันอ่ะ ดูมีลับคมคมใน”

            “ไม่มีอะไรไปกันเถอะ” ว่าพร้อมกับกอดคออีกฝ่าย ก้าวเท้าเดินไปพร้อมกัน

            “อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าพี่จัดฉาก”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นคิมก็ก้มลงมามองหน้าอีกฝ่ายทันที

            “ฉลาดจังเลยวะไอ้นี่”

            “บอกแล้วพี่ไม่ทันผมหรอก หมดไปเท่าไหร่อ่ะเมื่อกี้”

            “ไม่เยอะหรอกนิดเดียว”

            “ใช่สินะบ้านพี่รวยนี่นา แค่นี้จิ๊บๆ”

            “เพื่อมึงกูทำได้ทุกอย่างล่ะ เผื่อว่าในอนาคตกูอาจจะไม่ได้ทำอย่างนี้ให้มึงอีก”

            “ทำไมชอบพูดแบบนี้วะ ห้ามพูดอีกเด็ดขาดผมกลัว”

            “กลัวอะไร”

            “กลัวว่าพี่จะหายไปจากชีวิตผมอีกไง ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ยอมแน่นอน”

            “ไม่หรอกน่า เรารักกันขนาดนี้จะจากกันได้ไงล่ะ กูสัญญาเว้ย”

            “สัญญาบ่อยอย่างนี้จำได้หมดป่ะ สัญญาพร่ำเพรื่อจริงๆ นะพี่อ่ะ”

            “เรื่องของมึงกูจำได้หมดล่ะ”

            “ปากหวานก้นเปรี้ยวจริงๆ ฮ่าๆ”

            “ยังไม่ชิมรู้ได้ไงว่ากูก้นเปรี้ยว” คิมยกมือขึ้นมาลูบกลางกระหม่อมเล่นเบาๆ

            “พูดอย่างนี้อยากให้ชิมรึไง ผมพร้อมเสมอนะ” เลิฟยักคิ้ว ยิ้มมุมปากให้อีกฝ่าย

            “ฝันไปเถอะ หิวยังจะได้ไปหาอะไรกินกัน”

            “ยังไม่หิวเลยอ่ะ”

            “ถ้างั้นไปหาที่นั่งพักก่อน แล้วค่อยไปกินข้าว”

            สองหนุ่มเดินมานั่งในศาลาริมสระน้ำขนาดใหญ่ มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้อากาศที่ร้อนเริ่มคลายลงบ้าง แต่ทว่าเลิฟกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น

            “ร้อนเนาะ” เลิฟบ่น พลางหยิบหมวกแก็ปที่ถือติดมือมาด้วย พัดเพื่อระบายความร้อน

            “อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวก็หายร้อนเองล่ะ กูไม่เห็นร้อนเลย”

            “ไม่ร้อนก็แล้วแต่พี่ แต่ผมร้อนนี่นา”

            “กินติมป่ะเดี่ยวกูไปซื้อมาให้”

            “อื้อ ดีๆ” เลิฟทำตาโตพยักหน้าหงึกรับ

            “รอแปบนะเดี๋ยวกูมา”

            “ครับผม”

            เลิฟนั่งทอดสายตามองไปยังสระน้ำ มองดูน้ำพุที่กำลังพุ่งขึ้นมาเป็นสาย และตกลงมายังผืนน้ำเหมือนดังเดิม เป็นอย่างนั้นอยู่ซ้ำๆ ทำให้เจ้าตัวคิดเปรียบเปรยกับชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะอยู่สูงสักเท่าไร แต่สักวันก็ต้องร่วงลงกลับมาสู่พื้นดิน หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมเขาจะต้องกลัวการอยู่บนโลกใบนี้ด้วยสถานะทางเพศที่แท้จริงด้วยล่ะ ชีวิตคนเราเกิดมาก็เพื่อตายและดับสูญไป หากไม่ทำอะไรที่ต้องการในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ถือว่าเกิดมาไม่คุ้มค่าความเป็นคน

            “อ่ะ ไอติมเย็นๆ” เสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้น ทำให้เลิฟหลุดจากภวังค์ หันขวับไปมองก็เห็นไอศกรีมโคนอยู่ตรงหน้า เจ้าตัวส่งยิ้มให้แล้วเอื้อมมือไปรับมา

            “ขอบคุณครับ”

            “นั่งเหม่ออะไรอยู่วะ ถ้ามีคนมาปล้นจะรู้ตัวไหมเนี่ย”

            “คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอ่ะพี่” ว่าแล้วก็ใช้ลิ้นเลียไอศกรีมเนื้อสีขาวอย่างชื่นใจ “หืมมม อร่อย”

            “อร่อยก็รีบกินให้หมดเร็วๆ ก่อนมันจะละลายไปก่อน”

            “ครับผม” ว่าแล้วก็ตั้งใจทานด้วยความเอร็ดอร่อย คิมมองภาพนั้นแล้วยิ้มตามไปด้วย อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีความสุข และได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนรักอย่างคุ้มค่าที่สุด

            หลังจากทานไอศกรีมจนเกลี้ยงแล้ว เลิฟก็เอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่าย ราวกับมีอะไรบางอย่างในใจอยากจะบอก

            “มองหน้ากูอย่างนี้หมายความว่าไงวะ” คิมเลิกคิ้วมองหน้าด้วยความสงสัย

            “ทำไม? มองไม่ได้เหรอ”

            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะอยากให้มองไปตลอดชีวิตด้วยซ้ำ”

            “พี่ว่าเราจะคบกันได้นานแค่ไหนอ่ะ”

            “ทำไมถามอย่างนั้นวะ”

            “ก็แค่อยากฟังความคิดเห็นของพี่อ่ะ อนาคตถ้าเรายังคบกันแบบลับๆ อย่างนี้ พี่จะยังโอเคกับผมอยู่ไหม”

            “ต่อให้มีแค่มึงกับกูรู้กันแค่สองคน กูก็ยังจะรักมึงไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ความสุขและความสบายใจของมึงต้องมาเป็นอันดับหนึ่งโว้ย”

            “ชื่นใจจัง แต่ผมคงไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นหรอก ผมตัดสินใจแล้วว่าหลังจากแข่งจบ ผมจะบอกเรื่องของเรากับแม่”

            “อ้าว! ทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้นวะ มึงไม่กลัวน้าพิมพ์จะเสียใจรับไม่ได้เหรอ” คิมตกใจเล็กน้อย ไม่นึกว่าเลิฟจะตัดสินใจอย่างนั้น

            “ผมว่าแม่จะต้องรับได้แน่นอน ผมอยากทำอะไรให้พี่สบายใจบ้าง ไม่ต้องมาตามใจผมอย่างเดียว”

            “กูไม่ได้ต้องการให้มึงทำอะไรเลยนะเว้ย ขอแค่มึงมีความสุขก็พอ”

            “นี่ไงผมถึงต้องทำให้พี่บ้าง เราคบกันแล้ว ผมเองก็อยากให้เรามีความสุขไปด้วยกัน”

            “ได้ยินแค่นี้กูก็ชื่นใจแล้ว เดี๋ยวกูจะไปขอมึงจากน้าพิมพ์ด้วยเลยดีไหมล่ะ จะได้ครบสูตร”

            “ถ้ากล้าก็เอาเลย แต่ผมว่าแม่คงไม่ยกให้แน่นอน”

            “ทำไมล่ะวะ” คิมทำหน้าสงสัย

            “ก็ผมตัวหนักไง แม่ยกไม่ไหวหรอก ฮ่าๆๆ” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง คิมไม่รอช้า รีบเอาคืนด้วยการประกบจูบทันที ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเบิกตากว้าง

            นี่มันในสวนสนุกนะเว้ยพี่.....
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.18 ความสุขส่งท้าย l Up:11-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-09-2018 02:49:30
จะได้อยู่กันแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.18 ความสุขส่งท้าย l Up:11-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-09-2018 04:05:30
บุคคลปริศนายังรอการเฉลยอยู่เน้อ~
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.18 ความสุขส่งท้าย l Up:11-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-09-2018 02:17:15
 :serius2: เครีดแทนคิมอ่ะ
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.19 ความรักที่ว่างเปล่า l Up:22-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 22-09-2018 19:49:25
-๑๙-

ความรักที่ว่างเปล่า





          วันนี้คิมตื่นขึ้นมาใส่บาตรกับพ่อแม่ตั้งแต่เช้า นานทีปีหนเขาจะได้มีโอกาสตื่นเช้ามาทำบุญร่วมกับทั้งสองท่าน นั่นทำให้วิภาวีและก้องเกียรติต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ที่วันนี้ลูกชายลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งสองยิ้มอย่างพอใจที่วันนี้ได้มีโอกาสทุกบุญร่วมกันทั้งครอบครัว

            “ทำไมวันนี้ลงมาได้ล่ะไอ้ลูกชาย” ก้องเกียรติเอ่ยถาม

            “ผมไม่ได้ตื่นเช้ามาตักบาตรนานแล้วนี่ครับพ่อ อยากทำบุญมั่ง”

            “ดีแล้วทำบุญเยอะๆ ชีวิตจะได้ราบรื่นไม่มีอุปสรรคอันตรายมากล้ำกรายได้” วิภาวีเอ่ย ส่งยิ้มให้ลูกชาย

            นั่งรอไม่นานภิกษุสามรูปก็เดินสำรวมเป็นแถวมา พร้อมกับเด็กวัดคนหนึ่ง ที่เข็นรถตามหลังมาติดๆ

            “นิมนตร์ก่อนค่ะหลวงตา”

            เมื่อภิกษุทั้งสามรูปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ฆราวาสก็พร้อมใจกันนำข้าวสวยและอาหารที่บรรจุเตรียมใส่ถุงไว้อย่างดี รวมถึงน้ำดื่มและดอกไม้ใส่ลงไปในบาตร เสร็จแล้วก็นั่งพนมมือรอรับพร

            “อายุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญพรโยม ทำบุญร่วมกันชาตินี้ จะได้เกิดมาร่วมชาติกันอีกอย่างแน่นอน” ภิกษุผู้มีพรรษาสูงสุดเอ่ยกับทั้งสามคน

            “สาธุค่ะ ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะหลวงพ่อ” วิภาวีมองหน้าคนทั้งสองที่นั่งขนาบข้าง ก่อนจะยิ้มให้อย่างอิ่มบุญ

            หลังจากพระสงฆ์ทั้งสามรูปเดินไปแล้ว สามคนพ่อแม่ลูกก็กลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง เพื่อนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน วันนี้วิภาวีทำกับข้าวที่ลูกชายชอบเกือบทุกเมนู ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าวันนี้ลูกชายต้องอยากกินของพวกนี้เป็นแน่

            “ทำไมแม่รู้ใจผมอย่างนี้ มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้นเลย”

            “กินเยอะๆ นะลูก จะได้ไม่เสียแรงที่แม่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่เช้า”

            “ขอบคุณนะครับแม่ ที่ทำอะไรเพื่อผมมาตลอด”

            “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ มันเป็นหน้าที่ของแม่อยู่แล้ว กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ” ว่าแล้วก็ตักกับข้าวใส่จานให้ลูกชาย ตามด้วยสามีอีกคน “คุณก็กินเยอะๆ จะได้มีแรงทำงาน”

            “ครับเมียสุดที่รัก” ก้องเกียรติยิ้มไม่หุบ เขาปลื้มใจกับภรรยาคนนี้มากเหลือเกิน เป็นทั้งแม้บ้านและคู่ชีวิตที่คอยอยู่เคียงข้างกันมาตลอด

            “จริงๆ แล้วพ่อกับแม่น่าจะมีลูกอีกสักคนนะครับ เผื่อผมไม่ได้อยู่บ้านแล้วจะได้ไม่เหงา”

            “แก่ป่านนี้แล้วจะมีได้ไงล่ะ ลูกก็พูดไป แล้วที่ว่าไม่อยู่จะไปไหน เรียนก็ใกล้บ้านแค่นี้เอง”

            “หรือว่าแกคิดจะมีลูกมีเมีย แล้วย้ายไปอยู่ข้างนอก ไม่ได้นะต้องพามาอยู่ที่บ้านเรา” ก้องเกียรติบอกกับลูกชาย

            “ผมยังเรียนไม่จบเลยครับพ่อ ไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลยสักหน่อย”

            “ยังไงพ่อกับแม่ก็หวังว่าจะได้อุ้มหลานอยู่นะ ยิ่งมีแกคนเดียวยิ่งต้องหวังสูงมากเป็นธรรมดา”

            “อย่าเพิ่งหวังอะไรมากเลยครับ บางทีผมอาจจะทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังก็ได้” เมื่อได้ยินอย่างนั้น คิมก็รู้สึกผิดขึ้นมา เพราะทั้งสองท่านหวังกับเขามาก

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ก็เชื่อว่าลูกต้องมีเหตุผล ชีวิตเป็นของลูกถ้าอะไรที่ทำให้ลูกมีความสุข พ่อกับแม่ก็พร้อมที่จะรับฟังและเห็นด้วย ขอแค่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนและผิดกฎหมายเป็นพอ” วิภาวีรู้ว่าสิ่งที่คาดหวังอาจจะทำให้ลูกชายกดดัน เธอจึงพูดให้คลายความกังวลใจลงไปบ้าง

            “ขอบคุณครับที่ให้โอกาสผม ถ้าชาติหน้ามีจริงผมอยากจะเกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่อีกนะครับ”

            “พูดอะไรแบบนั้นเนี่ย รีบกินดีกว่า จะไปบ้านน้าพิมพ์ไม่ใช่เหรอ เห็นว่าวันนี้เลิฟมีแข่งดนตรีนี่นา”

            “ใช่ครับแม่ วันนี้น้องมีแข่งรอบชิง ผมจะไปเชียร์ติดขอบเวทีเหมือนเดิม”

            “แม่ฝากเชียร์น้องด้วยละกัน วันนี้ลูกค้าคงจะเยอะน่าดูคงไปไม่ได้”

            “ครับแม่”

            การรับประทานข้าวมื้อนี้เป็นอะไรที่วิเศษสุดสำหรับคิม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและความรักของทั้งพ่อและแม่ นี่คือสิ่งที่เขาได้รับมันมาโดยตลอด แม้จะดื้อไปบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้มีสติเดินไปในทางที่ดีมาโดยตลอด

            หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว คิมก็ขับรถคู่ใจออกมาจากบ้านตรงไปหาคนรักทันที วันนี้เขาตั้งใจจะไปส่งเลิฟที่สถานที่จัดงานด้วยตัวเอง

            วันนี้ร้านเบเกอร์รี่ปิดทำการ เพราะพิมพ์พรและผู้ช่วยสาวต้องไปเชียร์เลิฟถึงขอบเวที เมื่อคิมเดินเข้าไปในร้านจึงมีแต่ความเงียบงัน และพบว่าพิมพ์พรกำลังทำความสะอาดร้านพร้อมกับผู้ช่วยสาว

            “สวัสดีครับน้าพิมพ์”

            “อ้าว! สวัสดีจ้าคิม มารับน้องเหรอจ๊ะ”

            “ครับผม วันนี้เลิฟต้องเข้าไปเตรียมตัวที่งานก่อนครับ”

            “ถ้างั้นก็ขึ้นไปเลยจ้ะน้องน่าจะกำลังแต่งตัวอยู่บนห้อง”

            “ถ้างั้นขอตัวก่อนนะครับ”

            ว่าแล้วเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างคุ้นเคย ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง

            เมื่อถึงหน้าห้องคิมก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบๆ เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ จึงย่องเงียบเข้าไปชะโงกหน้าดูใกล้ๆ เห็นอย่างนั้นคิมก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะตอนนี้คนรักกำลังนั่งเขียนบรรยายถึงเขาอยู่นั่นเอง

            “พี่คิมเป็นคนที่เอาใจเก่ง และคอยตามใจผมตลอดเวลา” คิมตั้งใจอ่านออกเสียงให้อีกฝ่ายรู้ตัว

            เมื่อได้ยินเลิฟก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าขาวเปลี่ยนสีในทันที พร้อมทั้งรีบปิดสมุดบันทึกเอาไว้

            “พี่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ไม่มีมารยาทเอาซะเลยว่ะ”

            “ถ้าไม่แอบเข้ามาเงียบๆ จะได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้เหรอวะ” คนพูดยิ้มไม่ยอมหุบ

            “เห็นหมดแล้วอ่ะดิ” เลิฟก้มหน้าพูดด้วยความเคอะเขิน

            “กูดีใจนะเว้ยที่มึงให้ความสำคัญกับกูถึงขนาดนี้ กูอยากอ่านจังว่ามึงเขียนอะไรถึงกูบ้าง”

            “อยากอ่านจริงดิ ถ้างั้นผมจะให้อ่านก็ได้ เอาไปอ่านที่บ้านละกัน” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบสมุดบันทึกเล่มแรกที่เขาเขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว ยื่นให้กับคนรัก

            “ทำไมง่ายจังวะรอบนี้”   

            “ก็พี่เห็นแล้วไง มันไม่ใช่ความลับอีกต่อไป อ่านจบแล้วก็เอามาคืนผมด้วยละกัน”

            “เออ...อ่านจบแล้วเดี๋ยวเอามาคืนให้ แต่งตัวเสร็จยังจะได้รีบไป ไอ้พวกนั้นมันคงไปถึงแล้วมั้งป่านนี้”

            “เสร็จแล้วครับ ลงไปกันถอะถ้างั้น” เลิฟหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาถือไว้ เตรียมจะสะพายแต่กลับโดนอีกฝ่ายเข้ามาสวมกอดไว้ก่อน

            “โชคดีนะเว้ย ทำให้เต็มที่กูจะส่งกำลังใจให้มึงตลอดเวลา”

            “มาทำซึ้งอะไรตอนนี้เนี่ย” เลิฟยิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้บ้าง

            “กูเชื่อว่าวันนี้มึงจะต้องทำมันสำเร็จ และคนที่ได้กอดมึงก่อนใครก็คือกูไงล่ะ”

            “ที่แท้ก็อยากเป็นคนแรก พอได้แล้วลงไปกันเถอะ” เลิฟผละตัวออกมาแล้วมองหน้าอีกฝ่าย “วันนี้ผมจะทำให้เต็มที่ไม่ต้องห่วงครับที่รัก”

            “ดีมากไอ้น้อง”

            ทั้งสองยิ้มให้กัน เดินลงไปหาพิมพ์พรที่ชั้นล่างเพื่อบอกกล่าว ก่อนจะออกเดินทางไป

            “ผมไปก่อนนะครับแม่”

            “จ้ะ เดี๋ยวแม่กับพี่เหมียวตามไปนะ”

            “ครับผม ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปล่ะนะ อย่าไปช้านักล่ะ เดี๋ยวไม่ได้เชียร์ติดขอบเวทีไม่รู้ด้วยนะ”

            “จ้าเคลียร์ของที่ร้านเสร็จแล้ว แม่จะตามไป”

            “ผมไปก่อนนะครับน้าพิมพ์” คิมยกมือไหว้

            “จ้า ฝากน้องด้วยนะ”

            “ครับ”

            หลังจากไหว้ลาผู้ใหญ่แล้ว ทั้งสองก็ออกเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน ซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง คิมพาคนรักเดินเข้าไปสมทบกับคนอื่นๆ ซึ่งมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนจะเริ่มการแข่งขันทุกทีมต้องเข้าไปสแตนด์บายด้านใน เพื่อซักซ้อมให้คุ้นกับเวที ก่อนจะได้แสดงจริงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

            “กูนึกว่าพวกมึงไปให้กำลังใจกันที่โรงแรมม่านรูดซะอีก” แจ๊บเอ่ยแซว เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินมาพร้อมกัน

            “ไอ้สัดแจ๊บ มึงก็คิดไปได้” คิมว่าให้ แต่ก็ยิ้มน้อยๆ

            “สวัสดีครับพี่ๆ” เลิฟยกมือไหว้รุ่นพี่ทุกคน

            “เข้าไปเลยป่ะ จะได้รีบไปเตรียมตัวกัน” อู๋เอ่ยขึ้น

            “พวกมึงสองตัวก็รีบร่ำลากันซะจะได้เข้าไปแล้ว” แจ๊บเอ่ยกับคู่รักที่เพิ่งมาถึง

            “ถ้างั้นผมเข้าไปล่ะนะพี่” เลิฟหันมาเอ่ยกับคนรัก

            “ตั้งใจซ้อมล่ะ ถึงเวลากูจะมาเชียร์ถึงขอบเวที”

            “ครับผม” เลิฟยิ้มตอบ

            ในระหว่างนั้นคิมก็ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด ต่อหน้าเพื่อนๆ ทุกคน ทำเอาคนรอบข้างถึงกับอิจฉาตาร้อนกัน

            “หวานเหี้ยๆ สงสัยไอ้เลิฟมันจะมีกำลังใจเกินร้อยแล้วว่ะ ชนะชัวร์” เอ็มเอ่ยแซว

            “กูมีธุระต่อ เดี๋ยวเจอกันหน้าเวทีเว้ยพวกมึง ฝากดูแลมันด้วยล่ะ”

            “เออๆ ห่วงกันจริง” แจ๊บตอบ

            ก่อนจะเดินจากไป คิมก็ไม่วายจะส่งยิ้มให้คนรัก แล้วหันหลังกลับเดินหน้าออกไปจากตรงนั้น มุ่งหน้าไปสะสางปัญหาที่ยังคงค้างคาอยู่ภายในใจ

            หลังจากจอดรถไว้ที่หน้าตึกร้างแล้ว คิมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไป ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเข้ามามากนัก เพราะเป็นเขตหวงห้าม แต่ทว่าก็มีเด็กวัยรุ่นบางกลุ่มขึ้นมามั่วสุมเสพยาเสพติดกันอยู่บ่อยครั้ง แถมยังฉีดสเปรย์สีเป็นรูปภาพต่างๆ ไว้มากมาย ตึกร้างแห่งนี้มีทั้งหมดสิบชั้น ทั้งสองได้นัดกันที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า เดินขึ้นบันไดชั้นแล้วชั้นเล่าจนในที่สุดคิมก็มาถึงเสียที

            หนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงยีน กำลังยืนหันหลังให้ เขาคนนั้นชื่อใหญ่ เป็นพี่ชายคนเดียวของหญิงนั่นเอง และทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อจะทวงความยุติธรรมให้กับน้องสาว ที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ทิ้งไว้เพียงความโกรธแค้นที่เขาจะต้องสานมันต่อ

            “มึงเป็นใคร” คิมเอ่ยถาม เมื่อเดินมาถึงแล้วเห็นอีกฝ่ายยืนหันหลังอยู่

            ใหญ่หันหลังกลับมามองผู้มาใหม่ ก่อนจะยิ้มเหี้ยมใส่อย่างเย็นยะเยือก

            “ตรงต่อเวลาดีนี่หว่าไอ้คิม”

            “มึงเป็นใครกันแน่”

            “มึงไม่ต้องรู้ชื่อเสียงเรียงนามกูหรอก รู้เพียงแต่ว่ากูคือพี่ชายของหญิง”

            “มึงต้องการอะไร ถึงนัดกูมาเจอที่นี่”

            “กูก็จะมาแก้แค้นให้น้องสาวกูไงล่ะ ไอ้หน้าตัวเมีย มึงข่มขืนน้องกู ทำให้น้องกูต้องฆ่าตัวตาย” ใหญ่ตะโกนใส่หน้าด้วยท่าทีแข็งกร้าว เขาอยากจะสับไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ ให้ตายตกตามน้องสาวไปเสีย

            “กูไม่ได้ข่มขืนหญิง สงสัยมึงเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว” คิมรีบแย้งกลับโดยทันที เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายถึงเข้าใจผิดไปได้ถึงขนาดนี้

            “ผู้ร้ายคนไหนมันจะยอมรับวะ กูรู้อยู่แล้วว่ามึงจะต้องปฏิเสธ กูเชื่อน้องกูมากกว่ามึง น้องคนที่ต้องฆ่าตัวตายเพราะผู้ชายเลวๆ อย่างมึง!”

            “ก็กูบอกว่าไม่ได้ทำยังไงล่ะวะ น้องมึงโกหก!”

            เมื่อได้ยินอย่างนั้น ใหญ่ไม่รอช้ารีบวิ่งปรี่เข้ามากระชากตัวคิม ซัดหมัดเข้าที่ใบหน้าคมเต็มแรง จนล้มกองลงกับพื้น จากนั้นก็นั่งคร่อมตัว รัวหมัดใส่ไม่ยั้ง ราวกับรอช่วงเวลานี้มาแสนนาน

            “เอาเลยถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะทำให้น้องมึงฟื้นขึ้นมา” ตอนนี้สภาพใบหน้าคิมบวมแดง มีเลือดไหลที่มุมปากเล็กน้อย

            “ไอ้เหี้ย! ยังไม่สำนึกอีกเหรอวะ!”

            “คนอย่างมันไม่มีทางสำนึกผิดหรอก”

            เสียงของใครบางคนดังขึ้น ทำเอาคิมถึงกับประหลาดใจ ที่นี่ไม่ได้มีแค่เขากับพี่ชายหญิงงั้นเหรอ หันไปมองก็เห็นโอมยืนยิ้มมุมปากอย่างสะใจอยู่ไม่ไกล

            “ไอ้โอม!”

            “ใช่กูเอง ตกใจเหรอที่รู้ว่าเป็นกู”

            “มึงมาที่นี่ได้ไงวะ แล้วพวกมึงสองคนรู้จักกันได้ไง”

            “ใช่! พวกกูรู้จักกัน แต่หลังจากหญิงตายไปแล้วนะ ไอ้โอมมันคอยส่งข่าวความเคลื่อนไหวของมึงให้กูเองล่ะ เป็นไงอึ้งแดกไปเลยเหรอไอ้ฆาตกร”

            “กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเหี้ยอย่างนี้ กูทำอะไรให้มึงโกรธขนาดนั้นเหรอวะไอ้โอม!”

            “ก็มึงมันทำตัวเด่นเกินไปไงล่ะ กูเหม็นขี้หน้ามึงมาตั้งนานแล้ว เป็นไงล่ะที่นี้อยู่ใต้ตีนคนอย่างกูบ้างรู้สึกยังไง” ว่าแล้วก็เหยียบเข้าที่หน้าอก กดให้แน่นลงจนคิมทำหน้าเหยเก

            “ไอ้เหี้ย! มึงมันก็แค่คนขี้ขลาด เอาชนะคนอื่นด้วยวิธีสกปรก คนอย่างมึงมันไม่ตายดีหรอก”

            “ใครกันแน่วะที่ไม่ตายดี วันนี้พวกกูจะส่งมึงไปลงนรกเอง”

            “มะ...หมายความว่าไง พวกมึงเป็นบ้าไปแล้วรึไงวะ!” เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย คิมก็พยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ทว่ากลับโดนโอมล็อกตัวเอาไว้แน่น ปล่อยให้ใหญ่ซ้อมจนพอใจ จนตอนนี้เนื้อตัวคิมสะบักสะบอม ใบหน้าที่เคยหล่อขาวใส กลับเต็มไปด้วยเลือดโชก นอนกองอยู่บนพื้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะหลบหนีได้

            ในใจตอนนี้เขานึกถึงแต่หน้าพ่อกับแม่พร้อมทั้งคนรัก น้ำตาของลูกผู้ชายไหลหลั่งลงมาจากหางตา ภาพแห่งความทรงจำของคนทั้งสามฉายวนในหัวอยู่ซ้ำๆ สายตาคมที่เคยมองเห็นทุกอย่างชัดเจนเริ่มพร่ามัว ทุกอย่างมันเบลอไปเสียหมด

            ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูจะต้องไปเชียร์มึงให้ได้ กูจะต้องไปให้ได้......

            ไม่นานหลังจากนั้น คิมก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ และทุกอย่างก็ดับวูบลงไปในที่สุด มีเพียงแต่ความมืดและความเงียบสงบเท่านั้น...

            หลังจากนั่งรอคิวการแสดงอยู่นานพอสมควร ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นบนเวทีแล้ว เลิฟกับสมาชิกวงบางกอกบอยแบนด์เดินขึ้นไปประจำจุดของตัวเอง เพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยของอุปกรณ์ ในระหว่างนั้นนักร้องนำหน้าหล่อก็เอาแต่ส่องสายตาหาใครบางคน เขาเจอผู้เป็นแม่กับเหมียวยืนโบกมือให้อยู่หน้าเวทีจึงยิ้มตอบ ข้างกันนั้นก็เป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันกลุ่มใหญ่ที่ส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม แต่ทว่าเลิฟยังไม่เห็นเขาคนนั้น คนที่อยากเห็นหน้ามากที่สุดในตอนนี้

            “สวัสดีคร้าบบทุกคน ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงวันนี้ วันที่สำคัญที่สุดของพวกเราทุกคน พวกเราวงบางกอกบอยแบนด์ขอสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อวิทยาลัยช่างบางกอกของพวกเรา และหวังว่าทุกคนที่อยู่ในฮอลล์แห่งนี้ จะมีความสุขไปพร้อมกับพวกเรานะครับ” เสียงเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งฮอลล์ หลังจากนักร้องนำสุดหล่อพูดจบ หลังจากนั้นการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น

            การแสดงมินิคอนเสิร์ตในครั้งนี้ เลิฟทำมันได้ไม่ดีนัก เพราะยังคงไม่เห็นหน้าคนรักที่เคยสัญญาว่าจะมาให้กำลังใจหน้าเวที แต่พอถึงช่วงท้ายของการแสดง วินาทีที่เขารอคอยก็มาถึง เมื่อเห็นคนรักยืนยิ้มให้อยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นอย่างนั้นเลิฟก็ยิ้มออก มีกำลังใจที่จะทำมันให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ในช่วงเพลงสุดท้ายเขาทำมันได้ดีมาก จนทำให้คนทั้งฮอลล์มีอารมณ์ร่วมได้ไม่ยาก ต่างก็ร้องและโบกมือตามจังหวะเพลงไปด้วย

            จนถึงช่วงเวลาที่บีบรัดหัวใจ นั่นคือการประกาศผล ทั้งห้าวงที่เพิ่งจะโชว์ความสามารถมาหมาดๆ ต่างก็ยืนจับกลุ่มกันบนเวทีด้วยความตื่นเต้น ไม่ต่างจากผู้ชมหน้าเวทีที่ยืนตัวเกร็งกันเป็นระนาว

            “ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย เราจะประกาศทีมที่มีคะแนนสูงสุดเพียงทีมเดียวเท่านั้น อีกสี่วงที่เหลือจะได้รับรางวัลรองชนะเลิศเสมอกัน วงที่ผมจะประกาศชื่อต่อไปนี้ จะได้เซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงอันดับหนึ่งของประเทศ และมีอัลบั้มเป็นของตัวเองอีกด้วยครับ และวงที่ได้รับรางวัลชนะเลิศวงดนตรีนักเรียน ครั้งที่ 15 ได้แก่...........”

            เลิฟได้ฟังผลการตัดสินก็ถึงกับน้ำตาไหล เขาจ้องมองไปยังชายคนรักที่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนที่เขาคนนั้นจะค่อยๆ เดินถอยหลังห่างออกไป และหายไปจากสายตาในที่สุด
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.19 ความรักที่ว่างเปล่า l Up:22-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-09-2018 02:37:06
คิมตายหรอ ไม่อาววววววววววววววววแบบนี้นะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.19 ความรักที่ว่างเปล่า l Up:22-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-09-2018 03:33:05
จะตายไม่ได้เน้อออ
หัวข้อ: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 27-09-2018 14:46:42
-๒o-

อวสาน



            7 ปีต่อมา

            แม้ว่าท้องฟ้าที่มองเห็นจากทางหน้าต่างจะยังมืดสลัว แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงกลับลืมตาตื่นขึ้นมา ในช่วงเวลาเช้าตรู่อย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอื้อมมือไปหยิบโมเดลนักแข่งรถที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ที่คนรักเคยให้ไว้เมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาดู เขามักจะตื่นขึ้นมามองดูมันอย่างนี้เป็นประจำทุกเช้า

            คนที่นอนข้างกันนั้นเป็นเด็กชายหน้าตาน่ารักวัยเจ็ดขวบ กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ แม้ว่าคิมจะได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เขาก็ได้มอบชีวิตน้อยๆ นี้มาให้เลิฟ ทำให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความหวัง เขามองดูโมเดลนั้นกับลูกชายสลับไปมา ใบหน้าหล่อก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอยู่เนืองๆ แม้ว่าทั้งสามจะไม่ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้า แต่เลิฟก็เลี้ยงดูลูกชายอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

            “พี่คิมครับผมคิดถึงพี่จัง” ว่าแล้วก็วางโมเดลนั้นไว้บนโต๊ะดังเดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ที่เรือนผมของลูกชายเบาๆ ยิ่งโตขึ้นมาใบหน้ายิ่งคล้ายคลึงกับผู้เป็นพ่อ จนเลิฟรู้สึกได้ว่าคิมมาเกิดใหม่ในร่างของลูกชายตัวน้อยคนนี้

            นอนมองหน้าลูกชายอยู่อย่างนั้นจนฟ้าเริ่มสว่าง ‘มิ่งขวัญ’ ก็ค่อยๆ ขยับและเริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยอาการงัวเงีย

            ที่ตั้งชื่อลูกชายว่ามิ่งขวัญ ก็เพราะมีความหมายว่า ‘ผู้เป็นที่รัก’ เขาอยากให้ลูกชายเป็นตัวแทนของคิม ผู้ซึ่งเป็นที่รักของเขานั่นเอง

            “ตื่นแล้วเหรอครับคนดีของแม่” เลิฟยิ้มให้ลูกชาย เอื้อมมือไปเกลี่ยไรผมออกจากใบหน้าให้

            “ครับคุณแม่” มิ่งขวัญตอบ

            “ถ้างั้นรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำ จะได้ลงไปกินข้าว วันนี้แม่จะพาไปเที่ยวและไปหาคุณพ่อด้วย” เลิฟบอกกับลูกชาย

            “เย้! น้องมิ่งจะไปหาคุณพ่ออีกแล้ว” ดูท่าทางว่าเด็กชายตัวน้อยจะดีใจเป็นพิเศษ เมื่อรู้ว่าจะได้ไปพบผู้เป็นพ่ออีกครั้ง

            “ถ้างั้นเราอาบน้ำแล้วลงไปหาคุณยายกันนะครับ”

            หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เลิฟจะใช้เวลาอยู่กับลูกชายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบทเรียนในอดีตเขาใช้เวลากับคนรักได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร จึงไม่อยากสูญเสียเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น วงบางกอกบอยแบนด์ไม่ได้เป็นทีมชนะ นั่นทำให้เลิฟผิดหวังมาก แถมเมื่อลงจากเวทีก็ได้รับข่าวร้ายว่าคิมตกตึกเสียชีวิตอีกต่างหาก ทำให้ความผิดหวังเสียใจมันยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีก ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทำให้เจ้าตัวรับไม่ได้ จมอยู่กับความโศกเศร้านานนับเดือน แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับเขา เมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีลูก ราวกับสวรรค์ได้ส่งเด็กคนนี้เข้ามาเป็นเหมือนแสงนำทางให้ชีวิตอีกครั้ง หลังจากนั้นเลิฟก็เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น เพื่อให้เจ้าตัวเล็กได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกมาอย่างแข็งแรงและสมบูรณ์

            ตอนนี้เลิฟทำงานด้านไอทีซึ่งตรงกับสายที่เรียนมา ส่วนความฝันที่จะเป็นนักร้องต้องพับเอาไว้ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เขาเต็มใจที่จะเปิดเผยกับทุกคนบนโลกใบนี้ให้รู้ว่าเขาเป็นเกย์ และเลี้ยงดูมิ่งขวัญในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นี่คือสิ่งที่เขาจะทำให้คิมได้เป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิต และคิดว่าคิมคงจะมองดูเขากับลูกอยู่บนสวรรค์ แล้วยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน

            “มาแล้วคร้าบบคุณยาย” เมื่อลงมาจากห้องนอนแล้ว มิ่งขวัญก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปกอดผู้เป็นยาย เป็นการทักทายในตอนเช้าที่สุดแสนจะอบอุ่น

            “วันนี้ตื่นแต่เช้าเชียวนะไอ้ตัวเล็กของยาย”

            “วันนี้คุณแม่จะพาไปเที่ยวครับ”

            “จริงสิถ้างั้นต้องกินข้าวเยอะๆ จะได้มีแรงเดินเที่ยวนะ”

            “ครับคุณยาย”

            เลิฟส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ที่กำลังยืนกอดหลานชายอยู่ ช่วงเวลาที่เลิฟทุกข์ใจที่สุดในชีวิต แม่คนนี้ไม่เคยห่างเขาไปไหนเลย คอยปลอบใจ คอยเป็นห่วง และเป็นคนที่จูงเขาขึ้นมาจากห้วงแห่งความทุกข์ หากไม่มีแม่คนนี้ ป่านนี้เขาคงจะต้องฆ่าตัวตายตามคิมไปเสียแล้ว

            “เตรียมร้านเสร็จแล้วเหรอครับแม่”

            “จ้ะเสร็จแล้ว พาลูกไปกินข้าวก่อนเถอะ แม่เตรียมไว้บนโต๊ะรอแล้ว”

            “ขอบคุณนะครับแม่ ที่เป็นทุกอย่างให้ผมมาตลอด” เลิฟส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่

            “แม่ทุกคนทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง อีกหน่อยน้องมิ่งโตขึ้น ลูกก็จะต้องทำเหมือนแม่นี่ล่ะ”

            “ครับแม่ ถ้างั้นเราไปกินข้าวกันเถอะครับ”

            หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินเข้าไปรับประทานอาหารในครัว ส่วนร้านก็ให้เหมียวจัดการต่อ



            หลังจากรับประทานข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เลิฟก็ขับรถพาลูกชายออกจากบ้าน ตรงไปยังวิทยาลัยช่างบางกอก วันนี้เขาจะพาลูกชายไปทำความรู้จักเส้นทางรักของเขาและคิม มิ่งขวัญจะได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาเคยมีช่วงเวลาที่สุดพิเศษด้วยกันมากแค่ไหน

            รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นขับเข้าไปจอดบนถนนในวิทยาลัย วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จึงแทบจะไม่มีคน จะมีบ้างก็เป็นกลุ่มนักศึกษาที่มาซ้อมกีฬาและทำกิจกรรมกลุ่ม เมื่อลงจากรถแล้วก็จูงมือลูกชาย เดินไปยังสถานที่แห่งความทรงจำของเขา

            “คุณแม่พาน้องมิ่งมาที่นี่ทำไมครับ ไหนบอกจะพาไปเที่ยว” เด็กชายตัวน้อยรู้สึกสงสัย จึงเงยหน้าขึ้นไปถาม

            “วันนี้แม่จะพามาเที่ยวที่นี่ไงครับ รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เคยเรียนที่นี่ด้วยกัน”

            “จริงดิครับ”

            “จริงสิครับ ถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้มาเรียนที่นี่น้องมิ่งก็คงไม่ได้เกิดมา”

            “ผมต้องขอบคุณที่นี่ใช่ไหมครับ ที่ทำให้พ่อกับแม่เจอกัน”

            “ใช่แล้วครับ”

            ว่าแล้วเด็กชายตัวน้อยก็ยกมือขึ้นไหว้รอบตัวด้วยความใสซื่อ “ขอบคุณครับที่ทำให้ผมเกิดมา”

            เลิฟยิ้มแล้วจูงมือลูกชายขึ้นไปยังตึก ที่เขาเคยซ้อมดนตรี ที่นี่เปลี่ยนไปมาก แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนนั่นคือความรู้สึกและความทรงจำที่มีต่อที่นี่ มันยงคงเป็นความทรงจำดีๆ เสมอมา

            ห้องซ้อมดนตรีที่เขาเคยใช้ซ้อมสมัยเรียน มันยังคงอยู่ในสภาพเดิมแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ภาพความทรงจำที่เคยซ้อมกับรุ่นพี่ฉายให้เห็นอยู่ตรงหน้า เลิฟได้แต่ยิ้มตามเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ

            “แม่เคยมาซ้อมดนตรีที่นี่สมัยเรียน พ่อหนูเคยมานั่งรอแม่เป็นประจำเลยครับ” เลิฟบอกกับลูกชาย

            “สงสัยคุณพ่อต้องรักคุณแม่มากๆ เลยถึงได้มานั่งรออย่างนี้”

            “ใช่แล้วครับ คุณพ่อรักแม่มากที่สุดในโลกเลย” พอนึกถึงภาพเก่าๆ ก็ทำให้เลิฟขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาจะไหลออกมา แต่เจ้าตัวพยายามกลั้นมันเอาไว้

            “ทำไมคุณแม่ตาแดงอย่างนั้นล่ะครับ”

            “เปล่าครับ แม่แค่รู้สึกแสบตาเฉยๆ เดี๋ยวเราเข้าไปข้างในกันเถอะครับ”

            เลิฟพาลูกชายเข้าไปในห้องซ้อมดนตรี ก่อนจะเดินดูรอบๆ ด้วยความคิดถึง เพื่อนที่เคยซ้อมด้วยกันต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง นานๆ ทีถึงได้มาพบปะสังสรรค์กันที่ร้านเฮียอ่ำ ซึ่งตอนนี้โบว์เองได้เลื่อนขึ้นมาเป็นคุณนายของร้านไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้อยู่ใกล้ชิดกันอยู่นานจนกลายเป็นความรักขึ้นมา

            ส่วนโด้ตอนนี้ก็เป็นมือกีตาร์ที่มีชื่อเสียงค่ายเพลงแห่งหนึ่ง ตอนนี้ยังคบกับโจ้เหมือนเดิม เทียวไปรับไปส่งที่มหาวิทยาลัยอยู่เป็นประจำ

            “เฮ้ย! ไอ้หัวขโมยมาทำอะไรในห้องนี้วะ” เสียงที่คุ้นหูเอ่ยทักจากหน้าประตู ทำให้เลิฟต้องหันขวับไปมอง แล้วยิ้มออกมาทันที

            “พี่แจ๊บ! สวัสดีครับ”

            “หวัดดี แล้วมาทำอะไรกันที่นี่”

            “พาลูกมาเที่ยวเล่นเฉยๆ ครับ น้องมิ่งไหว้ลุงแจ๊บสิครับ”

            “สวัสดีครับ” เจ้าหนูยกมือไหว้ตามที่ผู้เป็นแม่สั่ง

            “สวัสดีครับ ไม่เจอกันตั้งนานโตขึ้นตั้งเยอะเลยนะ หน้าเหมือนพ่อโคตรๆ” แจ๊บนั่งลงต่อหน้าหลานชาย จ้องมองใบหน้าพร้อมทั้งส่งยิ้มให้

            “ใครๆ ก็บอกอย่างนี้ครับคุณลุง”

            “แล้วเราเคยเห็นรูปพ่อตัวเองบ้างรึยัง”

            “เห็นแล้วครับ คุณแม่เอาให้ดูบ่อยๆ แต่น้องมิ่งดูยังไงก็ไม่เห็นจะเหมือนเลย” มิ่งขวัญเอ่ยออกมาตามประสาความคิดของเด็ก

            “ฮ่าๆๆ เดี๋ยวโตขึ้นเอ็งก็จะรู้เองว่าเหมือนหรือไม่เหมือนพ่อ”

            “ว่าแต่ทำไมพี่แจ๊บได้มาวิทลัยล่ะครับ วันนี้หยุดไม่ใช่เหรอ”

            “วันนี้พี่นัดเด็กๆ มาซ้อมอ่ะ เดือนหน้าก็จะต้องไปแข่งแล้ว” ตอนนี้แจ๊บเป็นอาจารย์สอนดรตรีที่วิทยาลัย แถมยังเป็นที่ปรึกษาของวงบางกอกบอยแบนด์รุ่นปัจจุบันอีกด้วย

            “พูดแล้วก็คิดถึงสมัยโน้นนะครับ เป็นเพราะผมแท้ๆ เลยทำให้พวกเราไปไม่ถึงฝัน”

            “มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นล่ะ พวกเราทุกคนทำดีที่สุดแล้ว การชนะมันไม่ได้เป็นที่สุดของความฝันหรอก ดูอย่างไอ้โด้สิ เป็นมือกีตาร์ชื่อดังไปซะแล้ว”

            “เดี๋ยวนี้ชมใหญ่เลยนะครับ แต่ก่อนกันท่าซะเหลือเกิน”

            “ก็มันเป็นคนมีความพยายามดี ดูแลน้องกูมาตลอด ก็เลยต้องยอมมันนั่นล่ะ” แจ๊บพูดไปยิ้มไป

            “ว่าแต่เอ็งโตขึ้นอยากเป็นอะไรล่ะ” แจ๊บก้มลงไปถามหลานชาย

            “ผมอยากเป็นนักแข่งรถครับ”

            “อ้าว! ทำไมถึงอยากเป็นนักแข่งรถล่ะ”

            “เพราะคุณแม่ชอบเอาโมเดลนักแข่งรถมาให้ดูประจำ ผมเลยคิดว่าคุณแม่น่าจะชอบนักแข่งรถ”

            เลิฟมองหน้ารุ่นพี่แล้วยิ้มออกมา ก่อนจะอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นมายังไง “โมเดลนั่นพี่คิมซื้อให้ผมครับ มันเป็นเหมือนตัวแทนพี่คิม”

            “อ่อ เข้าใจแระ” แจ๊บตอบ แล้วหันไปเอ่ยกับมิ่งขวัญต่อ “อย่าดื้อกับแม่เขาล่ะเข้าใจไหม”

            “ครับคุณลุง”

            “ถ้างั้นผมกับลูกขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ว่าจะพาน้องมิ่งไปหาพ่อเขาสักหน่อย”

            “โชคดีเว้ย ว่างๆ เดี๋ยวนัดเจอกัน”                 

            “ครับพี่ ไว้เจอกัน” แจ๊บยกมือไหว้ ก่อนจะบอกลูกชายไหว้ตามอีกคน “ไหว้ลุงแจ๊บสิครับ”

            “สวัสดีครับลุงแจ๊บ”

            “สวัสดีครับ” แจ๊บยิ้มให้ แล้วมองตามหลังคนทั้งสองไปอย่างมีความสุข แม้ว่าเพื่อนจะจากไปแล้วแต่ก็ยังมีตัวแทนที่น่ารักเอาไว้ ให้คลายความคิดถึงไปได้บ้าง



            ออกมาจากห้องแล้ว เลิฟก็พาลูกเดินไปชมสถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวความทรงจำให้ลูกชายฟังไปด้วย ดูท่าทางแล้วเจ้าตัวเล็กคงจะชอบมาก เพราะตั้งใจฟังไม่งอแงเลยสักนิด

            หลังจากนั้นเลิฟก็ขับรถออกมาจากวิทยาลัย แวะที่ร้านขายดอกไม้ ก่อนจะขับตรงไปยังสุสานแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี เพื่อไปหาคนที่เขารักสุดหัวใจ

            สุสานแห่งนี้อยู่บนเนินเขาสูง มีฮวงซุ้ยนับพันที่ถูกสร้างไว้อย่างสวยงาม ที่นี่มีคนคอยดูแลให้อยู่เป็นประจำ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดของพื้นที่ เลิฟเคยพามิ่งขวัญมาที่นี่อยู่หลายครั้งในช่วงวันสำคัญต่างๆ รวมถึงทั้งสองครอบครัวก็จะมาทำบุญกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่สำหรับวิภาวีและก้องเกียรติจะมาเยี่ยมลูกชายอยู่บ่อยครั้งกว่าใครๆ

            “วางดอกไม้ให้พ่อกันครับ” ว่าแล้วทั้งสองคนก็นั่งลงแล้ววางช่อดอกไม้ไว้ที่ป้ายชื่อภาจีน ที่สลักอยู่บนหินอ่อนเนื้อดี ข้างบนนั้นก็มีรูปของคิมใบเล็กๆ ติดอยู่ เป็นภาพเมื่อครั้งที่คิมถ่ายไว้ตอนเข้าเรียนที่วิทยาลัยใหม่ๆ

            “พี่คิมครับ วันนี้เป็นวันเกิดลูกของเรา พี่ช่วยอวยพรให้น้องมิ่งแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงด้วยนะครับ” เอ่ยไปน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นทาง เขาไม่สามารถกลั้นมันเอาไว้ได้เลย ยิ่งเห็นภาพถ่ายนั้นยิ่งรู้สึกคิดถึงจับใจ

            “คุณแม่อย่าร้องไห้นะครับ” เด็กชายตัวน้อยเอื้อมไปปาดน้ำตาบนแก้มให้ผู้เป็นแม่ เลิฟยิ้มให้ลูกชายทั้งน้ำตาก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสที่แก้มนุ่มอย่างเอ็นดู

            “แม่ไม่ร้องแล้วครับลูก” ว่าแล้วก็ปาดน้ำตาบนแก้มออกจนหมด

            “น้องมิ่งมีอะไรจะบอกกับคุณพ่อไหมครับ คุณพ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว”

            “คุณพ่อจะได้ยินเหรอครับคุณแม่”

            “ได้ยินสิครับ คุณพ่อหลับอยู่ด้านในนั่นไง แต่คุณพ่อออกมาหาเราไม่ได้เท่านั้นเอง”

            “ทำไมล่ะครับ”

            “คุณพ่อเขาอยู่ในนั้นอย่างสบายแล้วไงล่ะครับ”

            “ถ้าคุณพ่อได้ยิน น้องมิ่งจะบอกกับคุณพ่อว่าน้องมิ่งจะดูแลคุณแม่เองนะครับ คุณพ่อนอนหลับอยู่ในนั้นให้สบาย ผมกับคุณแม่จะมาเยี่ยมคุณพ่อบ่อยๆ นะครับ คุณพ่อจะได้ไม่เหงา” มิ่งขวัญเอ่ยต่อหน้ารูปถ่ายผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับ เหมือนรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดอย่างแน่นอน

            “ถ้าวั้นนั้นพี่บอกผม ผมคงไม่ยอมให้พี่ไปที่นั่นแน่นอน ไม่อย่างนั้นป่านนี้เราคงจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก แต่ไม่เป็นไรครับผมจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกเองพี่ไม่ต้องเป็นห่วง” น้ำตาของเขาไหลลงมาอีกครั้ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน แต่เมื่อได้มานั่งสนทนากับคนรักที่สุสานแห่งนี้ เขาอดที่จะร้องไห้ไม่ได้เลยสักครั้ง

            แม้ว่าคิมจะจากเขาไปนานเจ็ดปีแล้ว แต่เลิฟยังคงไม่หยุดบันทึกความรู้สึกที่มีต่อคนรักเลยแม้แต่วันเดียว นั่นทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่ข้างกายตลอดเวลา แม้มันอาจจะดูเหมือนหลอกตัวเองไปวันๆ แต่สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขามีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป เพื่อดูแลลูกชายให้ดีที่สุด

            “คุณแม่ร้องไห้อีกแล้ว ไม่เอานะครับ น้องมิ่งไม่อยากให้คุณแม่ร้อง”

            “แม่ขอโทษครับลูก แม่พยายามแล้ว” ยิ่งพูด เจ้าตัวยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก

            “เดี๋ยวคุณพ่อก็เป็นห่วงคุณแม่หรอกครับ”

            “แม่ไม่ร้องแล้วครับคนดี แม่ไม่ร้องแล้ว” เลิฟถอนหายใจยาว ก่อนจะตั้งสติอีกครั้ง คว้าตัวลูกชายเข้ามาสวมกอดไว้ จ้องมองไปยังภาพถ่ายของคนรักที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงภาพวันเก่าๆ ที่เคยร่วมทำด้วยกันมา ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่ามันเพิ่งไปเกิดเมื่อวานนี้เอง ก่อนกลับเขาจะร้องต้องเพลงให้คนรักฟังทุกครั้ง และในวันนี้เพลงที่เขาจะร้องให้คิมฟังนั่นก็คือเพลง ‘คิดถึง’



            “คนเดียวที่คิดถึง ที่รักเธอเป็นดั่งดวงใจ เธอไม่มาด้วยเหตุใด จะไปไหนก็ไม่บอก ทิ้งฉันไว้คนเดียว

            คนเดียวที่คิดถึง ป่านนี้ใจเธอคิดอะไร คิดถึงฉันรึเปล่า ว่านอนหนาวหัวใจ เหงาเกินคำบรรยาย

            เลยเวลาเธอไม่มาหา รู้บ้างไหมว่าฉันคอย กำลังใจเริ่มจะทดถอย น้ำน้อยๆ ล้นออกตา

            คิดถึงเธอแทบใจจะขาด อยากให้เธอกลับมาซะที คิดถึงเธอทุกวินาที อยากจะพบเธอคนเดียว....”



จบบริบูรณ์


              --------------------------------------------
             ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะครับ
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-09-2018 15:10:42
 :m15:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-09-2018 17:32:24
แล้วคิมตายฟรีสินะ :m15:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-09-2018 18:28:04
จับคนร้ายที่ฆ่าคิมไม่ได้หรอ  :m15:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 28-09-2018 04:29:35
 :katai1: สงสารน้องนะเนี่ย พี่คิมมาตายซะงั้น
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 30-09-2018 09:52:40
แล้วใหญ่กับโอม ไม่ได้รับผลกรรมเลยหรอ???
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-09-2018 12:22:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 30-09-2018 21:42:55
ไม่น่ารีบตัดจบเลย
 :mew4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 01-10-2018 20:42:24
รู้ว่าคิมตายฟรีก็น่าเศร้าแล้ว :o12:

นี่ตัดจบ ปมไม่คลาย ทิ้งปลายเปิด...เศร้ายิ่งกว่า  :sad4: 

           :katai1: :ling1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Icegemini04 ที่ 02-10-2018 00:29:41
ไม่น่าจบแบบนี้เลย แบบคือดูสับสนไปหมด ความคิดของตัวละครคืองงๆ อยู่ๆก็โผล่มา
ไม่มีเรื่องอะไรเคลียร์เลย ตัดจบได้เซ็งมากค่ะ

 :katai1: :katai1: :katai1:

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: BIEWL ที่ 05-10-2018 03:53:10
โอเค จบได้ป่วยมาก ไม่มีปมคลี่คลายอะไรเลย
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 05-10-2018 20:55:01
โอ้ยยยยยยย  น้องมิ่งน่ารักจังเลยลูก  สงสารน้องเลิฟ
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 06-10-2018 22:19:30
 :m15:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: NnAeMe ที่ 11-10-2018 12:23:35
โอ้ยยย สงสารเลิฟฟ ฮื่อออออออออออ

หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 12-10-2018 23:31:05
ตัดจบแบบป่วยมาก
สรุปคิมตายฟรี
คนร้ายทั้งหมดที่ข่มขื่นหญิง
และโอมกับใหญ่ลอยนวล????
ไม่คลีคลายอะไรเลย เซง
อุตส่าเข้ามาอ่าน
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 21-10-2018 22:03:05
สงสารทั้งคิมทั้งเลิฟเลยอ่ะ  :hao5:
ทำไมจับคนที่ทำร้ายกันไม่ได้ แงงงงง
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 17-01-2019 11:17:22
จบไม่สวยอ่าาาา
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 18-01-2019 02:16:23
งื้ออออออ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 18-01-2019 09:14:27
 :monkeysad: :heaven
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 18-02-2019 18:36:41
สงสารน้องงงง อยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 19-02-2019 00:48:59
T-T ฮือออออออ ไม่สงสารคนอ่านบ้างเลยเหรอ รู้สึกอินเลยเศร้าไปกับเลิฟมากๆ เลย
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 19-02-2019 10:41:59
จบแบบ น้ำตานองหน้า :hao5:  ทำร้ายจิตใจมาก  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 22-02-2019 20:24:09
รักเลิฟ ลูกมิ่งขวัญของพ่อคิม
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 03-08-2019 00:23:05
คิดไว้แล้วเชียวตั้งแต่เริ่มอ่านว่าเรื่องนี้ปูเรื่องแปลก ๆ

ไม่ผิดคาดที่พระเอกตาย แต่ผิดคาดตรงมิ่งขวัญนี่แหล่ะ  :a5:

 :L2:

หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 06-02-2020 13:47:15
งงมาก คือปรกติอ่านสปอยก่อน แต่นี่ไม่ได้อ่าน คือคิมตายฟรีๆเลยอะ ไม่มีปัญหาถ้าคิมจะอยู่หรือไม่อยู่นะ แต่มันรวบรัดมากคุณ ยังำงก็แล้วแต่ขอบคุณสำหรับนิยายค่า
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 11-03-2020 10:10:34
เศร้าหว่านี้มีอีกมั้ย ตอนนี้บอกเลย  :z3: :sad4: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 09:47:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️::::ทำนองรักฉบับเด็กช่าง::::❤️ EP.3 พิสูจน์ l Up:2-08-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 17-11-2020 16:50:23

            “เอางั้นดิ ไม่ใช่ว่าจะอ่านกินผมหรอกนะ”

            “ไอ้สาดด มึงมันมีอะไรให้น่าอ่านกินวะ ถ้าเป็นสาวๆ ฝั่งโน้นก็ว่าไปอย่าง”
อ่านกินแปลว่าอะไรอ่ะ ไม่เคยได้ยิน
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 18-11-2020 22:29:44
-๒o-
อวสาน
อ่านแล้วจิตตก ถ้ารู้ว่าจบแบบนี้ไม่ตามอ่านหรอก คนชั่วก็ลอยนวล จะจำชื่อคนแต่งไว้เลย
หัวข้อ: Re: ❤️::::ไอ้เด็กช่างที่รัก[Mpreg]::::❤️ EP.20 อวสาน l Up:27-09-2018
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 22-11-2020 20:37:15
อ่าวว  หักมุมสุดๆ  ทำไมงี้อ่า