พิมพ์หน้านี้ - IN MY DREAM. ในห้วงนิทรา {POND&TAE} [แถลงการณ์] 3/11/18
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Sailomcc. ที่ 16-07-2018 03:00:19
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
-
สวัสดีจ้าาาา เวลคัม ยินดีต้อนรับ กราบกรานผู้อ่านทุกท่าน เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายในชุดTHE SIXTH SENSE นะคะ ใครชอบอ่านนิยายวายแนวสืบสวน ก็ไปตามอ่านสองเรื่องแรกได้ กับ ํ
YOU SAW ME
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60937.60
และ LIFE OR DEATH ได้เลย
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67273.0
ส่วนใครที่อย่างเริ่มชิมลางอ่านเรื่องนี้ก่อนก็ได้ไม่มีปัญหา เตรียมตัวเข้าสู่ห้วงนิทรา ที่จะพาย้อนเวลาไปสู่ ก่อนเกิดวันมหาวิปโยค 14 ตุลา
IN MY DREAM
ในห้วงนิทรา
INTRO
คืนวันที่ ห้า ตุลาคมต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ หก ตุลาคม กำลังฝ่ายต่อต้านนักศึกษาเคลื่อนขบวนไปยังบริเวณท้องสนามหลวงช่วงหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเริ่มมีการปะทะกันด้วยอาวุธปืนเบา ขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังประชุมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ โดยพลตำรวจเอก ศรีสุข มหินทรเทพ อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจโท มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น รองอธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจโท สุรพล จุลละพราหมณ์ รองอธิบดีกรมตำรวจพลตำรวจโท ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจ และ พลตำรวจโทกิตติ เสรีบุตร อดีตผู้บัญชาการผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางจัดประชุมในเวลา เที่ยงคืนตรง
เสียงจากเครื่องอัดเสียงดังวนไปมาคามือของชายหนุ่มที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนล้า ภายในห้องเต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์เก่าตัดแปะติดโยงกันไปมาเต็มฝาผนังห้อง ตรงโต๊ะอ่านหนังสือมีรูปภาพของกลุ่มนักศึกษาจำนวนมานั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารที่กำลังถืออาวุธปืนอยู่ในมือ
คนที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราค่อยๆตักขาดจากเสียงรบกวนของเครื่องอัดเสียงนั้นก่อนทุกอย่างจะดับลงสู่ความมืด และสว่างขึ้นอีกครั้ง
เขายืนอยู่ใจกลางกลุ่มนักศึกษาที่กำลังโห่ร้องพร้อมทั้งถือป้ายเรียกคืนประชาธิปไตยให้กับแผ่นดินไทย รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ภาคินพยายามเบียดกลุ่มคนให้หลุดออกไปจากบริเวณนี้ เพราะเหมือนว่าตัวของเขาจะทนความแออัดนี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แสงแดดที่อยู่กลางหัวยิ่งทำให้ตัวของเขาเต็มไปด้วยเหงื่ออีกทั้งมันยังเร่งให้ร่างกายของเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
“ ทางนี้ครับ” เสียงทุ้มคุ้นหูจากใครบางคนพูดขึ้นพร้อมกับจับคว้าที่ข้อมือของเขาแล้วเดินนำทางไป ขาของเขายังคงไม่หยุด สิ่งที่เขาเห็นคือข้างหลังของคนที่อยู่ในชุดนักศึกษาเช่นกันผิวของคนที่มาช่วยเหลือเขานั้นเป็นผิวสีแทนแต่ออกไปทางขาวนิดหน่อย
เมื่อหลุดออกมาอยู่ที่บริเวณด้านนอกของกลุ่มผู้ชุมนุมเสียงในหูของเขาก็ก้องตีกันไปหมด ดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัวขึ้นทุกทีก่อนที่ขาของเขาจะไม่สามารถทรงตัวอยู่และล้มลงไปนอนกองกับพื้น
“ คุณ คุณ” เสียงนั้นตะโกนเรียกและเหมือนว่าจะห่างไกลไปทุกที ก่อนที่จะมีเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวจะดังขึ้นมา
‘อุ๋ง อุ๋ง’ หน้าจอโทรศัพท์ไอโฟนแสดงชื่อของคนที่โทรเข้ามา เขาถอนหายใจออกมาเฮือกโตก่อนจะเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสายนั้น อย่างเสียไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่า หากไม่รับต้นสายจะยังคงโทรมาเรื่อยๆ และมันเป็นอย่างนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยที่เขารู้จักกันใหม่ๆ คนคนนี้เขาจำเป็นต้องมีไว้อยู่ข้างกายเพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้เขาคิดเช่นนั้น นิสัยของคนที่เขาคบอยู่ตรงกันข้ามกับความชอบของเขาในทุกๆอย่างทั้งหน้าตาที่ไม่ได้สูงมากเกือบค่อนไปทางตัวเล็กด้วยซ้ำ เขาชอบคนที่มีความเป็นผู้นำคนรักของเขากลับเป็นแต่ผู้ตามและตามใจเขาในทุกๆเรื่องแต่เพราะอะไรกันนะทำให้เขาตกหลุมรักใครคนนี้ได้มากขนาดนี้
-
1
แรกพบ
วันแรกที่คนเราเข้ามหาวิทยาลัย มันมักจะมีแต่เรื่องราวดีๆใช่ไหมล่ะครับ การที่เราได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆกับผู้คนใหม่ๆกับสถานที่ใหม่ๆที่เราพยายามจะเอาตัวเองมาอยู่ที่นี่ ผมเองก็เช่นกัน ผมตั้งใจสอบเข้ามาเรียนที่นี่ที่คณะการสื่อสารมวลชน บางมหาวิทยาลัยอาจเรียกคณะนี้ว่านิเทศศาสตร์บ้าง แต่นั่นแหละแต่ที่นี่เขาใช้ชื่อนี้นี่เนอะ
คณะการสื่อสารมวลชนที่ผมสอบเข้าเพราะว่าอาคนเดียวของผมที่เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็กๆทำธุรกิจด้านบันเทิงตัวผมองเลยอยากที่จะสานต่อเพื่อทำการเตรียมตัวช่วยเหลือผู้มีพระคุณหลังเรียนจบ มีคนมักตั้งคำถามกับผมตลอดว่าทำไมไม่เลือกที่จะไปเรียนที่กรุงเทพล่ะอาจจะมีโอกาสดีๆก็ได้ ไม่รู้สิครับ ผมว่าที่ที่ผมเลือกมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นเพราะที่นี่มีทั้งบรรยากาศที่ดี อีกอย่างผมไม่อยากไปไหนไกลๆเท่าไหร่เพราะยังไงหลังจากเรียนจบผมก็ต้องมาช่วยอาของผมอยู่ดีเพราะฉะนั้นขอสร้างแรงบันดาลใจที่นี่แหละดีแล้ว
ผมเดินก้าวเข้ามาในคณะอย่างมั่นใจพร้อมกับทุกคนที่ต่างยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตรการแต่งกายก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ทุกคนมาในชุดนักศึกษาที่ถูกระเบียบแบบสุดๆของมหาวิทยาลัย คือผมเองใส่กางเกงสแล็กขายาวสีดำพรัอมกับเสื้อสีขาวตุ่นๆเน็กไทค์สีม่วง ส่วนผู้หญิงบางคนที่เดินเข้ามาส่วนใหญ่จะแต่งตัวกระโปรงทรงเอยาวคลุมเข่ามีแค่บางคนที่ใส่สั้นเลยขึ้นมาแต่ไม่มากก็ดูดีไปอีกแบบ
ตรงหน้าของผมตอนนี้คือป้ายประกาศที่ติดรายชื่อพร้อมกับรหัสประจำตัวนักศึกษาผมไล่หาชื่อผมทันทีเพราะด้านหลังคนค่อนข้าง
เบียดพอสมควร
ภาคิน เสรีวงษ์
เจอสักทีใช่ครับชื่อผมเองชื่อที่แม่และพ่อของผมตั้งให้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตหลังจากที่ผมอายุได้ประมาณเจ็ดขวบ แต่ช่างเถอะครับผมมีอาเลี้ยงดูมาจนถึงขั้นนี้แล้วผมเลยจุดที่ขาดความอบอุ่นมาแล้วเพราะผมไม่เคยขาดเลย เอาล่ะมาเข้าเรื่องชื่อก่อนดีกว่า แม่บอกว่าชื่อผมเป็นชื่อที่มีความหมายดี เพราะผมเกิดวันศุกร์มันเสริมกันมันแปลว่า ผู้มีโชค แต่ก็นะไม่รู้มีโชคจริงหรือเปล่าผมไม่เคยลอง
“ โอ้ย ขอโทษค่ะ” หญิงสาวที่โดนดันมากระแทกผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับขยับกรอบแว่นหนาสีดำที่อยู่บนใบหน้า เธอยิ้มมาให้ผมก่อนจะหันไปมองแผ่นกระดาษที่ปิดประกาศ
หลังจากที่ผมส่งยิ้มให้เธอตามมารยาทแล้วจึงแยกตัวออกมาจากบริเวณที่แออัดนั้นก่อนจะเดินตรงไปที่บริเวณลานกว้างที่มีรุ่นพี่ยืนถือป้ายชื่อพร้อมกับโบกมือเรียกให้คนที่มาใหม่เข้าไปหา
“ ชื่ออะไรครับ” พี่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ถามพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ทำเอาหัวใจของผมเต้นไปเป็นจังหวะ ใช่ครับผมชอบผู้ชาย แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกของสมัยนี้หรอกจริงไหม และผมเชื่อว่าใครมาอยู่ตรงนี้ก็ใจละลายเหมือนกัน ดวงตาที่ดูอ่อนโยนกับใบหน้าขาวๆเวลายิ้มเขามีรอยบุ๋มที่ข้างแก้มทั้งสองข้าง ตัวของเขาน่าจะสูงประมาณร้อยแปดสิบเห็นจะได้ เพราะตอนที่พี่เขาลุกไปหยิบปากกาแล้วก้มตัวยังดูรู้เลยว่าสูง “ น้องครับ น้องชื่ออะไรครับ”
“ ค…ครับ” เอาแล้วไงปล่อยไก่ตัวโตเลย ผมมองหน้านั้นอีกครั้งพร้อมกับยิ้มแก้เขินก่อนจะตอบกลับไป “ ผมชื่อ เต้ครับรหัส149ครับ”
“ น้องเต้ 149” เขาทวนแล้วเขียนปากกาสีเงินลงไปที่กระดาษที่ตัดเป็นรูปนกสีดำ “ นี่ครับ น้องไปนั้งแถวที่สามนะครับ”
“ ขอบคุณครับ”
ผมเดินออกมาจากจุดนั้นแต่ไม่สามารถลืมใบหน้านั้นได้เลยคนอะไรน่ารักเป็นบ้า หน้าของผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ถ้าใครมาเห็นตอนนี้คงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ เธออีกแล้ว ตัวสูง ผิวขาว ผมตรง ตารีเล็ก ขอโทษนะ” เธอเอื้อมมาจับข้อมือผมอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน “ แผลเป็นเป็นรอยาวที่ข้อมือด้านซ้าย ใช่แล้วล่ะ” เธอปล่อยมือผมพร้อมกับขยับกรอบแว่นพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนแทบเห็นฟันครบทุกซี่ส่งมาให้ผม “ สวัสดี เราชื่อ แพรไหม เรียกเราว่าแพรก็ได้เรารหัส 150”
“ อ่า”
“ เดี๋ยวถ้าให้เดา เธอน่าจะรหัส 149 หรือไม่ก็ 151ใช่ไหมล่ะ เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแน่ๆฉันสัมผัสได้”
“ เราชื่อเต้นะ รหัส150 ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงเหรอ” ผมถามอย่างงงพร้อมทั้งจ้องกลับไปยังหญิงสาวตาวเล็กๆตรงหน้า
“ เราดูดวงตัวเองมา” เธอหัวเราะ “ ไปกันเถอะไปนั่งที่กัน”
เธอจูงมือผมมานั่งที่แถวที่สามซึ่งเป็นสองคนสุดท้ายของแถวนั้นเพราะแต่ละแถวจะมีจำนวนคนอยู่แถวละห้าสิบคน ผมนั่งแนะนำตัวพูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อทำความรู้จัก เด็กคณะนี้ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างกล้าแสดงออกจึงทำให้ผมสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วรวมถึงเพื่อนใหม่ของผมด้วย
แพร หรือแพรไหมเป็นมาจากกรุงเทพบ้านของเธอเป็นซินแสและช่วยเหลือผู้คนโดยไม่คิดเงินสิ่งที่ทำให้เธอรู้ว่าผมต้องเป็นเพื่อนเธอในวันนี้เพราะว่าเธอสามารถดูไพ่ยิปซีได้ ดูๆแล้วเธอเป็นเพื่อนที่น่าคบคนนึงเลยแหละครับเพระว่าดูแล้วเธอเป็นคนช่างจ้อ คุยอะไรก็ดูน่าฟังไปเสียหมด ถ้าตัดแว่นหนาๆใหญ่ๆบนหน้าออกเธอก็เป็นคนที่น่ารักเรียกว่าสวยยังได้เลย แต่เรื่องนี้คนที่นั่งอยู่ข้างหลังผมคงไม่คิดเลยเพราะเธอชอบที่จะคุยสนุกสนานสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้คนรอบตัวมากกว่า
“ เต้ เราเรียกแบบนี้ได้หรือเปล่า” เธอที่เพิ่งคุยเรื่องละครหลังข่าวกับเพื่อนอีกแถวหันมาหาผม
“ ได้สิ” ผมตอบกลับ “ วันนี้เสร็จจะไปไหนต่อเหรอ”
“ เราว่าจะถามอยู่พอดีเลย” เธอทำท่ากระตือรือร้น “ คือเราจะไปซื้อของเข้าหอข้างๆมอนี่เอง”
“ หออยู่แถวไหนเหรอ”
“ อยู่แถวๆเลียบคันคันคลองอ่าใกล้ๆกับเดอะนอร์ทเทิร์นคอนโดอ่า”
“ ดีเลยข้างคอนโดเราเลยเราอยู่ที่คอนโดนี้ เดี๋ยวเราไปซื้อของกันไหมเดี๋ยวไปรถเราก็ได้” ผมชวน เธอทำท่าทางดีใจก่อนที่จะทำการคว้ามือผมไปอีกครั้ง
“ ฉันว่าแล้วว่าเราต้องเข้ากันได้”
รุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้าแนะนำห้องเรียนตึกเรียนและให้เต้นท่าประหลาดๆเสร็จก็ปาไปประมาณบ่ายโมงหลังจากนั้นก็มีอาจารย์ที่ปรึกษา ผมกับไหมได้อาจารย์คนเดียวกันซึ่งตอนเข้าพบเราทั้งสองคนก็เลือกแล้วว่าจะเรียนสาขาวิทยุโทรทัศน์ แต่ต้องเลือกตอนปีสองและต้องทำเกรดออกมาให้ดีที่สุด
เราออกมาจากคณะเกือบบ่ายสามรถภายในมหาลัยค่อนข้างติดมากเพราะมีผู้ปกครองมาส่งเด็กปีหนึ่งอย่างผมเข้าหอใน ผมอิจฉานะครับที่บางคนได้อยู่หอในเพราะมันได้มีเพื่อนต่างคณะแล้วก็ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำแต่ผมจองไม่ทันครับ การจองหอในเปรียบเสมือนสงครามของชาวปีหนึ่งเลยครับ คนที่นั่งข้างๆผมเองก็เช่นกันไหมก็จองหอไม่ทันเหมือนกับผมเราเลยต้องเผชิญชะตากรรมอยู่หอนอกแพงๆไปตามปริยาย
“ เคยมาเชียงใหม่บ้างหรือเปล่า” ผมถามคนที่กำลังเอามือและหน้าทาบไปที่กระจกรถอย่างตื่นเต้น
“ เคย เคยมาดอยสุเทพตอนที่ป๊ามาดูที่ดินให้ลูกศิษย์น่ะ”
“ จริงสินะ ใครมาไม่ถึงดอยสุเทพเหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่ อาจจะอยู่แค่ลำพูนหรือลำปาง” ผมพูดติดตลก
“ สงสัยจะจริง” เธอหัวเราะออกมากับมุกที่มันไม่ตลกของผม “ เออที่นี่รถติดเหมือนกรุงเทพเลยเนอะแต่คนใจเย้นเย็น ที่กรุงเทพนะแค่ไฟแดงนับถอยหลังสามวินาทีสุดท้ายก็แทบจะเร่งเครื่องละ ดูที่นี่สิไฟเขียวแล้วเพิ่งใส่เกียร์”
“ นี่แหละ เชียงใหม่สไตล์ ตอนยอนต๊ะตอนยอนไง เคยได้ยินหรือเปล่า”
“ เราว่า เราต้องเรียนภาษาเหนือบ้างแล้วล่ะ” เธอหัวเราะออกมา “ เต้สอนเราได้ไหม”
“ ได้สิ แต่ระวังคำพวกนี้ไว้นะ”
“ คำอะไรเหรอ” เธอขยับตัวมาทางผมเหมือนเด็กกำลังได้ของเล่นใหม่
“ น้ำว้อง น้ำบะดาย เนี่ยสองคำนี้คนแม่งชอบแกล้งเด็กกรุงอย่างแก”
“ มันแปลว่าไรอ่า”
“ ไม่บอก” ผมหัวเราะอย่างผู้ชนะก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถออกไปจากประตูหลังมหาวิทยาลัย
ผมเลือกที่จะใช้เส้นทางผ่านไปที่ห้างสรรพสินค้าโดยผ่านทางกองบินสี่สิบเอ็ดซึ่งไวกว่าการที่จะไปอ้อมคูเมืองซึ่งเดาได้เลยว่ารถกำลังติดอย่างแน่นอน
พอเรามาถึงก็ทำการเดินซื้อของทันที โดยเริ่มจากของใช้ส่วนตัวก่อนอย่าง สบู่ยาสีฟัน ก่อนจะลามไปถึงของใหญ่ๆอย่างโต๊ะญี่ปุ่นที่ไว้สำหรับอ่านหนังสือ แล้วก็กระทะไฟฟ้า ที่ขาดไม่ได้ ไหมไม่ลืมที่จะหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดมือกลับมาด้วย
“ เดี๋ยวเราเอาของไปเก็บที่รถก่อนไหมแล้วกลับมาเดินเล่นกันต่อ”
“ อืมได้สิ”
ผมกับเธอเดินกลับมาที่รถอย่างทุลักทุเล เพราะรถจอดอยู่ไกล รถเข็นที่เอามาดันล้อมาเสียเอาดื้อๆ ผมเลยต้องถือถุงที่ใส่ของหนักอึ้งไปที่ลานจอดรถซึ่งจอดอยู่นอกตัวห้าง
ป้าบ ตุ้บ ! ไม่ผิดหรอกครับ มันสองสเต็ปอย่างนั้นจริงๆ มีใครที่ไหนก็ไม่รู้กำลังเดินถอยหลังหัวเราะคุยกับเพื่อนมาชนผมที่ถือของอยู่จนของผมร่วงไปอยู่กับพื้น
“ ไอ้ปอนด์ มึงเลยมัวแต่เล่นไม่ดูตาม้าตาเรือ ชนเขาแล้วเนี่ย”
“ ไอ้นนท์มึงหุบปากไปเลย มาช่วยกูเก็บของให้เขาก่อนเร็ว” ไอ้ตัวเล็กตรงหน้ากวักมือเพื่อมาช่วยเก็บของที่กระจายบนพื้น “ ขอโทษนะครับ ผม”
“ ผมไม่ได้ตั้งใจ จะพูดแบบนี้ใช่หรือเปล่าครับ คุณไม่ได้ไม่ได้ตั้งใจแต่คุณไม่ได้ใส่ใจมากกว่า การที่คุณเดินเล่นแบบนี้มันทำให้คนอื่นเดือนร้อนนะครับ” ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้หัวร้อนมากขนาดนี้กับไอ้ท่าทางทะเล้นของคนตรงหน้า
“ เห้ยพูดดีๆก็ได้นี่หว่าก็ขอโทษไปแล้วไง” มันเดินเข้ามาหาผม มันเล็กกว่าผมนิดนึงแต่ดูมีกล้ามมากกว่า ผิวไม่ได้ขาวมากคิ้วมันเข้มจนทำให้หน้าของมันค่อนข้างดุ
“ ไอ้ปอนด์ใจเย็นเว้ย” เพื่อนของคนที่ชนผมอีกคนเดินเข้ามาขวาง “ นี่ครับของคุณ ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ ไอ้ปอนด์ไปมึง”
“ เดี๋ยว” มันดันเพื่อนมันออกพร้อมกับโยนซองสีชมพูที่มีลายปีกนกประดับอยู่มาใส่ผม “ เหลืออีกชิ้นนึง” ผมพูดจบก็หัวเราะแล้วเดินออกไป
“ มึง”
“ เต้ เอาของไปรถกันเถอะ”
“ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” ผมหันไปมองอย่างเราเรื่องก่อนจะเดินไปที่รถอย่างว่าง่าย และมันมีความคิดนึงแว้บเข้ามาในหัว ผม
ต้องเจอมันอีกแน่ๆผมมั่นใจ
ว้าย วี้ด วิ้ว มาเริ่มกันแบบกระโตกกระตากกันเลนเลยทีเดียว สาวโบฮีเมียนกับเต้ที่จะมาเป็นนายเอกคนใหม่ของเราในเรื่องนี้ ถ้าใครเคยอ่านสองเรื่องแรกคงจะรู้มาแล้วว่าใครเป็นใหญ่ อย่าลืมอ่านเล่มนี้นะ กับความฝันที่พาไปในความจริง และคนตายกำลังบอกอะไรเรา
-
เรียนที่เชียงใหม่ แต่เหตุ 14 ตุลาเกิดที่กรุงเทพฯ ต่อๆ คิดจุดเชื่อมโยงไม่ออกแฮะ o16
-
เรียนที่เชียงใหม่ แต่เหตุ 14 ตุลาเกิดที่กรุงเทพฯ ต่อๆ คิดจุดเชื่อมโยงไม่ออกแฮะ o16
555 มาลองอ่านเรื่องนี้นะ ถือว่าพักจาก เรื่องที่สองที่ค่อนข้างเครียด ขอบคุณที่อยู่ข้างกันจนเล่มสุดท้ายนะคะ
-
หลังจากที่เอาของกลับไปไว้ที่รถ เราสองคนก็กลับเข้าไปในห้างต่อผมกับไหมตกลงกันว่าจะเข้าร้านหนังสือแล้วจะไปหาอะไรกินกันก่อนจะกลับไปที่หอ
“ เดี๋ยวนะ” ผมดึงมือของไหมไว้แล้วเดินตรงไปที่ตรงมุมหนังสือประวัติศาสตร์
“ ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เหรอ”
“ เปล่า แต่”
“ ลองหลับตาเดินไปหยิบไหมล่ะ เวลาที่เรามีอะไรแปลกๆสะกิดความคิดแบบนี้เราก็ทำแบบนี้”
“ อืม”
ผมลองทำตามโดยการหลับตาเดินเดินตรงไปยังชั้นวางหนังสือ เหมือนมีบางอย่างพาให้ผมเดินตรงไปอย่างมีเป้าหมายไม่นานหนังสือก็มาอยู่ในมือของผม ข้อมือที่มันปกติทุกอย่างเจ็บขึ้นมาอย่างประหลาด
“ เป็นอะไรหรือเปล่า” ไหมที่อยู่ข้างๆจับที่แขนผม ความเจ็บปวดนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว “ นี่หนังสืออะไรอ่ะ”
“ ประวัติศาสตร์ลุกเป็นไฟ เก้าถึงสิบสี่ตุลาวันมหาวิปโยค” ผมอ่านออกเสียงให้คนข้างๆฟัง “ คืออะไรอ่า”
“ ไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์หรือไง”
“ หลับทุกที ทุกคาบ”
“ เป็นวันที่กลุ่มนักศึกษาและคนที่รักในประชาธิปไตยออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นการสูญเสียงครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้
นะ ฉันก็รู้ประมาณนี้แหละ เอ่อ ทุกกปีวันที่หกตุลา จะมีการรำลึกของผู้จากไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นะ ฉันเคยไปอยู่เพราะป๊าของฉันเองก็สูญเสียเพื่อนในวันนั้นเหมือนกัน”
“ อ่อ น่าสนุกดีนะ ซื้อติดไปก่อนดีกว่าเผื่อมีอะไรน่าสนใจแล้วได้ใช้”
“ แล้วล่ะ มันเลือกนายแล้วล่ะ”
“ บ้าเลือกอะไร เราแค่หยิบๆสุ่มมา”
“ ไม่มีอะไรบังเอิญหรอก เราเชื่ออย่างนั้น”
“ คร้าบบบบบบคุณแม่หมอ”
“ ใช่สิ วันนี้ไปหอฉันไหม ฉันจะดูดวงให้”
“ ได้สิ ว่าแต่จะเอาเราไปช่วยจัดห้องหรือเปล่าเนี่ย”
“ เกลียดจังคนรู้ทันเนี่ย ไปจ่ายเงินก่อนเหอะหิวแล้วอ่า” เธอกุมท้องอย่างไม่อาย
เราออกมาจากร้านหนังสือแล้วมาต่อกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น คนที่บ่นหิวก็สั่งมาเยอะมาก แต่แปลกเธอกลับไม่ได้ตัวใหญ่เลย
“ จะเอาไปเก็บตรงไหนหมดเนี่ย” ผมชี้ไปตรงหน้าที่มีทั้งเกี๊ยวซ่าซูชิ .ซาชิมิ ชุดเบนโตะ ราเมน เทมปุระกุ้งและผักที่ถูกจัด
วางรอให้พวกเราจัดการอยู่
“ นายไม่รู้อะไร เราเป็นวัยกำลังโต”
“ อืมเชื่อก็ได้” ผมหัวเราะก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานของตัวเองบ้าง
“ เออนี่ เราถามอะไรนายหน่อยได้หรือเปล่า”
“ ได้สิ” ผมวางตะเกียบลงเพื่อรอคำถามคนตรงหน้า
“ แผลเป็นที่ข้อมือได้มาจากไหนเหรอ”
ผมพลิกดูแผลเป็นนั้นอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไป” ไม่รู้เหมือนกันโตมามันก็เป็นรอยแบบนี้แล้ว มีอะไรหรือเปล่า”
“ รอยบางรอยอ่ามันบ่งบอกถึงอดีตของเรา บางคนยังมีอดีตชาติที่ยังตัดไม่ขาดก็จะมีร่อยรอยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด” เธอตอบด้วยใบหน้าจริงจัง
“ นี่แม่หมอ” ผมหัวเราะเพราะเธอดูหน้างอเมื่อผมเรียกเธอด้วยชื่อนี้ “ มันก็แค่รอยแผลเป็นน่ะ”
“ ข้ามเรื่องที่เรียกเราว่าแม่หมอไปก่อนนะ แต่นายต้องรู้ไว้นะว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ”
ผมชักจะเชื่อแล้วล่ะครับว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ ใครจะรู้ว่ามันมีอยู่จริงเมื่อคนที่เข้ามาใหม่ที่กำลังนั่งลงที่โต๊ะด้านหลังผมมันกำลังคุยกัน
“ แม่งผู้ชายอะไรวะปากจัดชิบ หรือว่าแม่งไม่ใช่ผู้ชายวะ” เสียงคนที่นั่งหลังติดกับผมเอ่ยขึ้นจริงๆมันไม่ได้ติดแนบชิดกันหรอกครับมันมีแผงไม้กั้นระหว่างเราอยู่แม้ผมจะไม่เห็นหน้าแต่ผมจำเสียงนั่นได้ไม่ผิดแน่ ไอ้เตี้ยหมาตื่นที่ชอบทำตัวกร่างๆนั่นแน่ๆ
“ มึงก็พูดเกินไป มึงเองก็ใช่ย่อยมึงไปโมโหใส่เขาอะไรขนาดนั้นวะ” อีกเสียงนึงพูดขึ้นมาหลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาอย่างไม่หยุดปาก
“ เกินไปอะไร ดูก็รู้แล้วว่าสู้อะไรกูไม่ได้หรอกลูกคุณหนูอวดเก่ง แม่งตัวอ่อนปวกเปียกถึงจะตัวสูงกว่ากูก็เหอะเจอกูสอยทีเดียวก็ร่วงแล้ว”
“ ไหม ที่ร้านนี้เขาปล่อยให้หมาเข้าร้านด้วยเหรอ” อันนี้ผมเองครับผมพูดขึ้นมาอย่างเหลืออด “ หรือว่าไม่ใช่หมาพันธุ์ใหญ่เลยเข้าได้ หมาอะไรน้า อ๋อหมาคอร์กี้ไง ตัวเตี้ยๆเห่าเก่งๆ”
“ อ่อ นึกว่าใคร ที่บ้านคงไม่สอนเรื่องมารยาทสินะ ว่าให้พูดในที่สาธารณะเสียงเบาๆมันรบกวนผู้อื่น” ไอ้เตี้ยนั่นยืนอยู่ข้างผมครับแขนของมันวางอยู่บนที่กั้นไม้ มันจ้องมาทางผมด้วยใบหน้าที่เหมือนว่าจะฆ่าผมเสียให้ได้
“ ก็มันมีคนเสียงดังก่อน เสียมารยาทกับคนไม่มีมารยาทมันก็ไม่ผิดใช่ไหม” คิดว่ากูจะกลัวมึงเหรอไม่มีทาง
“ มึงด่ากูในใจเหรอไอ้ตุ๊ด”
“ ตุ๊ดพ่อง”
“ พอเถอะ อย่าทะเลาะกันเลย” แพรไหมยื่นมือมาห้ามผมที่กำลังจะลุกขึ้นไปประจันหน้ากับไอ้เตี้ยนั่น “ คนเยอะจะตาย กลับกันเถอะนะ”
“ เออๆ พอได้แล้ว” คนที่มากับไอ้หมาเตี้ยนั่นดึงกลับไปที่โต๊ะ “ ผมขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ”
“ มึงไปขอโทษมันทำไม” มันตะคอกเพื่อนมันก่อนจะหันมามองตาขวางใส่ผมเหมือนหมาบ้า “ วันนี้กูไม่กินแล้ว มึงไปสั่งใส่กล่องให้กูที หงุดหงิดว่ะ”
“ เออ ขออย่าให้เจอกันอีกเลย”
ผมทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างหัวร้อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่ถูกชะตากับมันยังไงก็ไม่รู้ แต่มันมีบางความรู้สึกในใจอย่างนึงคือผมต้องได้เจอกับมันอีกแน่ๆ
เสียงโหวเหวกโวยวายดังขึ้นมาจากกลุ่มคนมากมายที่กำลังมุ่งเข้าสู่คณะอีกครั้งกับการเลือกเข้าชมรมภายในคณะที่ประกอบไปด้วยชมรมกีฬาประเภทต่างๆ ชมรมผู้นำเชีย ชมรมดนตรี ชมรมภาพถ่ายและบูธสุดท้ายที่มีไม่กี่คนที่ไปต่อแถวคงเป็นเพราะเราเรียนด้านนี้กันอยู่แล้วและต้องมีงานแนวนี้ส่งอาจารย์ในวิชาเรียนเลยไม่ค่อยมีคนมาลงเท่าไหร่นั่นคือ ชมรมหนังและสารคดีผมคิดว่ามนน่าสนุกดีเลยเลยชวนแพรไหมไปที่ชมรมด้วย หลังจากที่ลงชื่อเสร็จพวกเราก็ต่างแยกย้ายกันไปเข้าชมรมของตัวเอง ในห้องชมรมพอเปิดประตู้เข้าไปก็มืดสนิทมองอะไรแทบไม่เห็น ตรงท้ายห้องค่อยปรากฏแสงสว่างขึ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมพร้อมกับภาพที่ฉายขึ้นมา มันเป็นหนังสั้นที่ทางชมรมของเราทำเอาไว้ในหนังนั้นจะเห็นกลุ่มนักศึกษาที่กำลังวิ่งขึ้นดอยอย่างเดอาเป็นเอาตาย รอน้ำตา หยาดเหงื่อและมิตรภาพปรากฏให้เห็นตลอด ในวีดีโอนั้นแทบไม่มีบทเลย มีเพียงภาพกับเสียงเพลงคลอและเสียงบรรยากาศสดๆตอนบูม ตอนกอดคอเฮพากันขึ้นโค้งที่มหาลัยนี้เรียกมันว่าโค้งสปิริต ซึ่งเป็นโค้งที่มีความชันและเป็นเฮือกสุดท้ายที่รุ่นพี่ เพื่อนจะผ่ากันฝ่าขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งเป็นโค้งที่วัดใจเพราะทุกคนต่างผ่านระยะทางมากว่าสิบสี่กิโลเมตร ในวิดีโอนั้นถูกเก็บความทรงจำในวันนั้นเอาไว้เกือบหมด ทั้งเพื่อนที่คอยประคองกัน ทั้งผู้คนต่างคณะต่างชั้นปีส่งเสียง ส่งรอยยิ้มให้กันอย่างไม่ขาดสาย รุ่นพี่ที่จบไปแล้วขึ้นรถสี่ล้อแดงโบกไม้โบกมือผ่านน้องๆที่กำลังเดินและวิ่งขึ้น ที่ปลายเส้นทางของทุกคนมีที่เดียวกัน และที่ปลายทางนั้นมีทั้งศิษย์เก่ามายืนรอรับปรบมือให้กับคนที่พวกเขาไม่รู้จักแต่กลับรู้สึกดีที่เด็กกลุ่มใหม่ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้แม้ว่าปลายทางของบางคนมันคือความเหน็ดเหนื่อย ระหว่างทางที่ผ่านมากลับสร้างความทรงจำมากมาย ภาพในวีดีโอที่ผมรู้สึกขนลุกและยิ่งอยากมีส่วนร่วมให้การเก็บความรู้สึกนี้ไว้นั่นคือภาพที่คนที่คอยว้ากตะโกนเสียงดังๆอยู่ปลายแถว ประคองรุ่นน้องที่ขาเจ็บ หรือไม่ก็ศิษย์เก่ารุ่นพี่และเพื่อนต่างช่วยกันพาคนที่นั่งอยู่บนวิลแชร์ผ่านโค้งสปิริตไปด้วยกัน รอยยิ้มที่มาบนหน้ามันเป็นเกิดขึ้นแวบเดียว สายตามุ่งมั่นนั้นผมอยากรวบรวมมันมาให้ทุกคน ภาพนั้นฉายจบลงชื่อผู้กำกับขึ้นมาในตอนจบ
“ สวัสดีครับน้องๆ พี่ชื่อพี่แม็กนะครับ” พี่คนที่ผมเจอเมื่อวันที่มารายงานตัวเดินออกมาแนะนำตัวพร้อมกับรอยยิ้มที่โคตรมีเสน่ห์ “ นี่เป็นผลงานของรุ่นพี่ปีที่แล้วที่เขาทำเอาไว้ กิจกรรมนี้พวกน้องอาจจะไม่ได้มาช่วยเก็บความทรงจำแต่พี่อยากให้น้องๆเก็บความรู้สึกดีๆที่น้องๆอยากถ่ายทอดเอาไว้เพื่อมาทำในปีหน้าเพราะปีหนึ่งทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องขึ้นดอย และปีนี้ชมรมของเราจะต้องไม่รั้งท้ายเพราะฉะนั้น พี่อยากขอให้น้องๆไปเตรียมความพร้อมในการออกกำลังกายด้วยนะครับ”
ใครจะไปรู้ว่าการที่เราเห็นภาพในวันนั้นจะทำให้ผมมายืนอยู่ที่จุดนี้ วันที่ต้องเป็นคนวางแผนในการถ่ายทำทุกอย่างในฐานะปีสอง ปีที่ต้องคอยดูแลเคียงข้างน้องปีหนึ่งขึ้นดอย กิจกรรมนี้สอนให้ผมรู้สึกรักในคณะมากยิ่งขึ้นผมเข้าใจเลยว่าทำไมศิษย์เก่าจึงอยากลางานกลับมาดูน้องๆขึ้นดอยกัน ซึ่งเป็นอะไรที่แสนอบอุ่นเป็นอย่างมาก
“ น้องเต้ครับ” รอยยิ้มที่ทำผมหวั่นไหวเดินเข้ามาหา
“ คะ…ครับ” ผมตะกุกตะกักเมื่อพี่เขายื่นผ้าคาดหัวสีขาวมาให้ผม
“ อันนี้เป็นของพี่ครับ พี่ขอแลกกับของน้องได้หรือเปล่า” ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองใช่ไหมครับ เพราะไอ้วัฒนธรรมการแลกผ้าคาดหัวตอนขึ้นดอยมันเหมือนกับเราแลกของแทนใจของกันและกัน คนที่เป็นแฟนกันส่วนใหญ่ก็จะแลกผ้ากันและกันใส่ หรือซื้อมาให้อีกฝ่ายรัดไว้ที่บริเวณแขนเสื้อ “ เต้ ไม่รังเกียจใช่ไหมครับ”
“ ไม่ครับ แต่ของผมผมคาดไปแล้วมันอาจเลอะเหงื่อ”
“ ไม่เป็นไรครับ พี่โอเค” พี่แก่ส่งยิ้มที่ผมหลงรักมาตั้งแต่ครั้งแรกมาให้ ลักยิ้มนั้นนั้นให้ผมอยากเอานิ้วไปจิ้มแรงๆ
“ หน้าพี่มีอะไรติดหรือเปล่าครับ ทำไมจ้องนานจัง”
“ ผมแค่คิดว่า”
“ คิดว่าพี่จีบเต้ใช่หรือเปล่าล่ะ” ตุ้บตั้บๆๆๆๆๆๆๆๆ หัวใจของผมเต้นสั่นระรัวยิ่งกว่าเจ้าเข้า หรือว่าพี่เขาแลกเฉยๆวะ กูมโนไปเองหรือเปล่าเนี่ย หายใจไม่ทันโว้ยยยยยยยยยย” ใช่ครับพี่จีบเต้”
พี่แม็กเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มและใบหน้าแดงๆที่แต้มลักยิ้มนั้นเอาไว้ ผมยกกล้องที่จะเอามาเก็บภาพบรรยากาศขึ้นมาถ่ายภาพนั้นเก็บไว้
แชะ !
“ เชี่ย” ผมถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ นี่มันไม่ใช่พี่แม็กนี่ ไอ้เตี้ยหน้าเควี่ย(ความผสมเหี้ยครับ)เมื่อวานนี้มันเดินผ่านหน้า
กล้องผมไปอย่างไร้มารยาท
“ มึงด่าใคร” มันเดินตรงเข้ามาอย่างหาเรื่อ ง
ไอ้เตี้ยนี่มันมาในเสื้อช็อปของคณะวิศวะสีกรามท่า กางเกงยีนส์ ใครต่อใครบอกกันตลอดว่าการได้ใส่ช็อปจะทำให้หน้าตาและความเป็นลูกผู้ชายเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่เท่าที่มองก็เหมือนเดิม ถ่อย ไร้มารยาท
“ กูด่ามึงแหละไม่มีมารยาท”
“ ตรงนี้คนเพ่นพ่านจะตาย มึงแหละไม่มีมารยาทมายืนพลอดรักในที่สาธารณะ”
“ นี่มึง”
“ เออ กูเห็นรำคานลูกตาชิบ ตรงนี้เข้าใช้เตรียมตัวรอบูม เขาจะรีบเคลียร์คนมายืนทำอะไรกันไม่รู้ไม่มียางอาย” มันมองบน
เหมือนจริตนี้ไม่ใช่ผู้ชาย
“ มึงเป็นบ้าป่ะ ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี เจอครั้งนี้ก็มาหาเรื่องที่บ้านขาดความอบอุ่นเหรอ”
“ ก็มึงด่ากูก่อน”
“ ไร้สาระ” ผมเดินหนีแต่มันคว้าไว้ที่ข้อมือผม
เปรี๊ยะ!
“ โอ้ย” มันกับร้องออกมาพร้อมกัน มันเหมือนมีอะไรช็อตที่มือของผม รอยแดงเหมือนเชือกรัดปรากฏขึ้นลางๆบริเวณข้อมือ หน้าของมันเองก็ซีดอย่างเห็นได้ชัด
“ มีอะไรหรือเปล่า” เสียงของไหมเดินเข้ามา
“ ไม่มีอะไรหรอกไปกันเถอะ”
“ ข้อมือนายไปโดนอะไรมาน่ะ” เธอยกมือของผมขึ้นมาพิจารณา
“ ไม่มีอะไรเหรอก ไอ้บ้านั่นมันคงกระชากแรง แม่งเอ้ยเจ็บชะมัด” ใช่ครับมันเหมือนเคล็ดๆไปไม่ใช่แค่ช็อตแล้ว
“ ร่องรอยของอดีต ที่ส่งมาปัจจุบัน”
“ เพ้อแล้วแม่หมอ ไปกันเถอะเดี๋ยวคณะเราก็มากันแล้ว”
ผมทิ้งความสงสับของร่องรอยนั้นไว้ในใจชั่วคราวเพราะงานต้องมาก่อน ผมเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นที่กำลังจะมาเตรียมตั้งขบวนพร้อมบูมและเดินขึ้นดอย แต่คำพูดของยัยแม่หมอกลับทำให้ผมเอาออกจากหัวไม่ได้ เพราะจริงๆละรอยยรี้มันไม่น่าเกิดจากการกระชากกลับด้วยซ้ำ
“ เห้ยไม่ถ่ายรูปเหรอวะ” เสียงของไอ้ก็อตคนในชมรมตะโกนบอกผมให้เตรียมถ่ายเพราะทุกคนมาถึงกันหมดแล้ว
“ เหม่อไปถึงไหนเนี่ย“ พี่แม็กเดินมายืนข้างๆ
“ เปล่าครับ”
“ มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน” พี่แม็กยกโทรศัพท์ขึ้นมา พร้อมกับโอบไหล่ผม ร่างกายผมปฎิเสธโดยการเบี่ยงหลบโดยอัตโนมัติ ทำไมมันไม่เหมือนก่อนหน้านี้ละ ทำไมผมรู้สึกอึดอัด “ ขอโทษครับ”
“ ไม่เป็นไรครับ” ผมส่งยิ้มให้ “ ผมแค่ยังไม่ชินน่ะครับ”
“ เดี๋ยวพี่ส่งรูปให้นะ เรามีไลน์กันหรือยังนะ”
“ ยังครับ”
“ เห้ย ไอ้เต้ถ่ายรูปเว้ย เข้าที่แล้ว” เสียงไอ้ที่เดินนำน้องเข้ามาในบริเวณลานบูมตะโกนบอก
“ เดี๋ยวผมให้หลังลงดอยนะครับ” ผมเดินออกจากตรงนั้นมารวมกับเพื่อนพร้อมกับเตรียมตั้งกล้องถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว
“ ทำไรอยู่วะ”
“ เออน่า ทันอยู่ๆ” ผมก้มลงปรับโฟกัสเตรียมบันทึกภาพ “ เหี้ย”
“ อะไรอีกวะ แบตหมดเหรอ”
แม่งอะไรเกิดขึ้นกับผมวะเนี่ย ถาพตรงหน้าของผมเมื่อครู่คือ เป็นรูปนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น บางคนมีเลือดอาบอยู่เต็มร่างกาย บางคนนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น และมันแปลกตรงที่ในนั้นมีผมและไอ้คนที่เรียนอยู่วิศวะนั่นด้วย
ขอโทษค่ะที่หายไปนาน จริงๆเรารอฤกงามยามดี ใจคืออยากลงวันที่ 6 ตุลาคม มาก และเราขอร่วมรำลึกของการจากไปขอและผู้สูญเสียในวันมหาวิปโยควันนั้นนะคะ
รัฐประหารที่มาพร้อมกับความสูญเสีย
-
6 ต.ค. 19 เรียน ป.1 เอาจริง ๆ จำไม่ได้ว่าเกิดอะไร รู้แต่ว่าป้าข้างบ้านร้องไห้หนักมาก บอกว่าลูกชายหายไป จนเหตุการณ์สงบ ลูกชายก็ยังไม่กลับมา จนป้าตายไปปี 32 ป้าก็ยังไม่เจอลูกชายป้าเลย น่าสงสารแกนะ ลูกชายป้าเขาไม่ได้เรียนที่ธรรมศาสตร์ แต่เรียนที่ศิลปกร :hao5:
-
เรื่องน่าสนใจมากค่ะ อยากอ่านต่อมากเลย :pig4:
-
2
ประหลาด
หลังจากงานกิจกรรมการรับน้องขึ้นดอย ผมได้แต่คิดไม่ตกกับเรื่องที่ผ่านมา มันแปลกมาที่รอยบนข้อมือของผมมันชัดขึ้นทุกทีมันซ้อนทับกับแปลเป็นที่ข้อมือของผมจนแทบจะเป็นรอยเดียวกัน ผมทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานตัวโปรดก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาตัดงานที่ค้างไว้ต่อ แต่ว่าไฟล์วีดีโอที่ควรจะมีอยู่ในคอมมันกลับไม่มีอยู่
“ อยู่ไหนวะ” ผมนั่งกดไล่หาทุกโฟลเดอร์ที่คิดว่ามันควรจะอยู่แต่ก็หาไม่เจอ “ โธ่เว้ย” เมื่อไม่มีไฟล์ในคอมก็ต้องเอาในการ์ดมาลง ผมเปิดลิ้นชักจากชั้นสีขาวเล็กๆตรงมุมโต๊ะแต่กลับไม่เจอ
ตุ้บ !
หนังสือที่ผมวางไว้บันชั้นที่อยู่เลยหัวของผมไปเล็กน้อยล่วงลงมาอยู่ตรงหน้าใส่ลงมาที่คอมของผม การ์ดที่ไม่ควรจะอยู่ในนั้นกลับกระเด็ดนออกมาอยู่บนพื้น
“ ไปอยู่ในนั้นได้ไงวะ” ผมพลิกหนังสือกลับมาดู ที่ปกเป็นรูปกลุ่มนักศึกษาที่เป็นภาพคนผู้คอและบรรดาคนในกลุ่มนักศึกษาหมอบลงบนพื้น หน้าปกของมันเขียนไว้ชัดเจนด้วยตัวอักษรที่มีฟอนท์เป็นคล้ายหยดเลือดว่า ‘ประวัติศาสตร์ลุกเป็นไฟ เก้าถึงสิบสี่ตุลาวันมหาวิปโยค’ มันคือหนังสือที่ผมซื้อมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งซึ่งไม่เคยหยิบออกมาอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว เดี๋ยวก่อนนะครับ ภาพบนปกหนังสือมันทำให้ผมไม่สนใจเลยว่าการ์ดไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง แต่ผมกลับสนใจว่า ภาพที่ผมเคยเห็นซ้อนทับตอนที่ไปถ่ายรูปวันงานรับน้องขึ้นดอยมันคือภาพที่อยู่บนปกหนังสือนี่ด้วย
“ เชี่ย” ผมโยนหนังสือลงบนโต๊ะในทันทีเมื่อมีใครบางคนในภาพหันมาจ้องผมแล้วส่งยิ้มให้จนน่าขนลุก “ ผีไม่มีจริงผีไม่มีจริง”
ครืด ครืด
จังหวะหนังผีไปหรือเปล่าวะ โทรศัพท์ที่วงอยู่บนโต๊ะข้างๆหนังสือที่ผมเพิ่งโยนมันลงไปดังขึ้น รูปผู้หญิงใส่แว่นหนาส่งยิ้มมาให้ผ่านหน้าจอ ‘แพรไหม’
“ ฮะ…ฮัลโหล”
“ เป็นไรหรือเปล่าทำไมเสียงดูไม่ปกติเลย”
“ ไม่มีไรหรอก แกเหอะมีอะไรหรือเปล่า โทรมาตอนนี้”
“ เราเปิดไพ่ดูแล้ว”
“ นี่แม่หมอ แกโทรมาหากระผมตอนดึกๆนี่จะโทรมาเล่าเรื่องดวงของแกเนี่ยนะ” ผมบ่นกลับไป
“ เปล่า ดวงของแกกับรอยแดงที่ข้อมือ” จู่ขนของผมก็ลุกขึ้นมาเหมือนรอบตัวมันเย็นไปหมด “ แต่ไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไรงั้นแค่นี้นะ”
“ เดี๋ยว” ผมร้องห้าม
“ อยากฟังใช่หรือเปล่าล่ะ ฉันว่าแกอ่าก็อยากได้คำตอบบางอย่างแหละ”
“ อย่ามานอกเรื่อง เล่าเร็วๆ ไม่อย่างนั้นเราเปลี่ยนใจแล้วนะ”
“ เออเล่าแล้วๆ คืออย่างนี้ฉันอ่าเห็นแกกำลังสนิทสนมกับพี่แม็กก็เลยว่าจะลองๆใช้ดวงแกเปิดไพ่ดูสักหน่อย”
“ เดี๋ยวนะ นี่แก”
“ จะฟังต่อไหม” เธอทำเสียงดุผมก็ได้แต่ยอมเพราะอยากฟังต่อ “ เอางี้เรื่องความรักแก แกไปไม่รอดหรอก แต่เรื่องอื่นมัน
กลับขึ้นมาพร้อมกับดวงความรักของแกด้วย มีใครคนนึงกำลังตามหาแกอยู่ และมีใครอีกคนกำลังรอการหาคำตอบร่วมกับแก ละมีอีกคนหนึ่งที่เขากำลังแค้นและรอวันกลับไป”
“ ใคร ใคร และใคร แกไม่ระบุมาจะรู้ไหมวะว่าใคร”
“ นี่เปิดไพ่นะเว้ย ไม่ใช่เปิดเฟสหรือไอจีที่มันจะขึ้นมาพร้อมรูป” เธอแหวใส่ “ ฉันรู้แค่ว่า คนที่ทำให้รอยแดงที่ซ้อนทับแผลเป็นแก มันจะทำให้แกได้คำตอบทุกอย่างที่แกอยากรู้ เพราะใครที่รอการหาคำตอบร่วมกับแก คือไอ้วิศวะนั้นนั้นของแกไง”
“ ไอ้เตี้ยนั่นน่ะนะ”
“ เออ ถ้าอยากได้คำตอบ พยายามเข้าหามันให้มาก แล้วคำตอบจะชัดเจนเอง แต่ระวังให้ดี มันมีบางอย่างที่ไม่อยากให้แกได้คำตอบที่แท้จริง”
“ อะไรเนี่ย ใบ้อะไรวะ บอกตรงๆไม่ได้อ่อ” ผมเริ่มหงุดหงิด
“ เออเขาบอกมาแค่นี้” เธอตอบหลับอย่างหงุดหงิดเช่นกัน
“ ใครบอก”
“ พ่อ”
“ เดี๋ยวนะ นี่แกไม่ได้เปิดไพ่ดูใช่ไหม ฉันงงไปหมดแล้ว”
“ เออ เปิดดูแต่เนื้อคู่ส่วนดวงและแผลเป็นของแก พ่อบอกมา แล้วพ่อยังบอกอีกว่าถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มต้องไปหาพ่อที่กรุงเทพอ่า”
“ เออๆฝากขอบคุณพ่อแกด้วยก็แล้วกัน”
เพล้ง !
“ เสียงไรวะ” ปลายสายถามกลับมาด้วยความร้อนใจ
“ เดี๋ยวลองเดินไปดูก่อนเหมือนมันดังมาจากที่หัวเตียงว่ะ โอ้ย!”
“ เป็นไรแก”
“ กระจกบาดเท้าว่ะแค่นี้ก่อนนะ”
ผมกดตัดสายไปก่อนจะก้มดึงกระจกใสๆขนาดเล็กออกจากฝ่าเท้า กรอบรูปของผมที่วางอยูหัวเตียงมันร่วงลงมาแตก เศษกระจกกระจายเต็มพื้นไปหมด ถ้าแม่หมอมันรู้เรื่องนะมันต้องบอกว่า ‘เนี่ยลางร้ายแน่ๆ’ ผมจึงเลือกที่จะไม่บอกดีกว่าไม่อย่างนั้นมันได้มาหาผมถึงคอนโดแน่ๆ
เมื่อผมจัดการเก็บกวาดบริเวณรอบๆไปแล้วจนแน่ใจใจว่าไม่เหลือเศษกระจก ผมเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง ผมนั่งดาวน์โหลดไฟล์วีดีโอที่ต้องการใหม่และนั่งตัดไปเรื่อยๆจนเข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงเพดานชี้ไปที่เลขสาม โชคดีที่พรุ่งนี้ไม่มีเรียนผมเลยทำงานดึกๆได้ ไฟล์วีดีโองานรับน้องขึ้นดอยร่างแรกเสร็จเรียบร้อย ผมรอให้โปรแกรมมันจัดการรวมวีดีโอของผมที่ตัดไปเป็นไฟล์เดียวระหว่างนั้นผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาหาอะไรทำเล่นๆจู่ๆในหัวก็เหลือบมองไปเห็นหนังสือเล่มนั้นที่มันวางล่อตาล่อใจของผมอยู่
“ เอาวะ” ผมกรอกข้อความลงไปในกูเกิล ‘ หกตุลาหนึ่งเก้า’
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอของผมคือ วีดีโอจากยูทูบที่เป็นรูปคนถูกแขวนคอใต้วีดีโอนั้นเขียนว่า ‘เหตุการณ์ หกตุลาสองพันห้าร้อยสิบเก้ากับความทรงจำของคนไทย และวีดีโอการสังหารหมู่มากมายที่ไล่ตามกันลงมา ผมตัดสินใจกดเข้าไปในคลิปที่เด้งขึ้นมาเป็นอันแรก เสียงดนตรีประกอบวีดีโอดังขึ้นมาทำให้ผมเริ่มมองซ้ายขวาอย่างระแวง เพราะผมรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังนั่งดูคลิปนี้ร่วมกับผมด้วย ขณะที่ภาพของวีดีโอกำลังเล่าถึงเหตุการณ์การแขวนคอและมีคนถือเก้าอี้ฟาดในความทรงจำของคนไทย ภาพที่มีทหารถือปืนพร้อมกับเสียงปืนท่ามกลางกลุ่มนักศึกษานับร้อย บทสัมภาษณ์ต่างๆทำให้เขายิ่งอยากรู้มากขึ้นและเกิดการตั้งคำถามว่าทำไมเหตุการณ์เหล่านี้มันกลับหายและถูกทำให้คนลืมไปจากประวัติศาสตร์ของไทย
“ มันทิ้งเรา” เสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้ของผม
ติ้ง ! เสียงสัญญาณการแจ้งว่าวีดีโอของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมทำการปิดมันลง ยิ่งทำให้ห้องมืดลงอย่างถนัดตา บวกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ได้อยู่คนเดียว
“ คิดมากน่าไอ้เต้” ผมข่มตานอนก่อนทุกอย่างจะดับมืด ให้หัวของผมว่างเปล่าร่างกกายคงเตรียมการพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วสินะ
จู่ๆแสงสว่างก็ฉายขึ้นท่ามกลางความมืด ผมไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ ข้อมือที่มีแผลเป็นมันปวดขึ้นมาเหมือนกับโดนกระชากหรือรัดจนแน่น ผมรู้สึกได้ว่ามีน้ำตาไหลออกมาจากตาของผม แต่ผมไม่สามารถบังคับให้ตัวผมตื่นขึ้นมาได้เลย
“ ขอโทษครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่แสงจ้าสีขาวค่อยๆพลันหายไปแล้วปรากฏใบหน้าที่แต้มลักยิ้มของพี่แม็กขึ้นมา
“ ขอโทษเหมือนกับครับ” ผมพูดตอบกลับไป ไม่ใช่สิมันไม่ใช่ผม ตอนนี้มันเหมือนผมกำลังอยู่ในร่างของใครบางคน ในชุดนักศึกษา ผมไม่สามารถบังคับร่างกายได้เลยครับ แต่รับรู้ความรู้สึกทุกอย่าง
“ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาเอื้อมมือมาตรงหน้า เออใช่แล้วผมล้มอยู่กับพื้นนี่เอง
“ ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับไป
ตี้ดๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกที่วางอยู่ตรงหัวเตียงทำให้ผมลุกขึ้นมามองเพดานภายในห้องสี่เหลี่ยมอย่างรวดเร็วแสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาในห้อง
“ ลืมปิดนาฬิกาปลุกจนได้สินะ”
มาจ้า มาดำดิ่งสู่ความฝัน และก้ามเข้าสู่วันมหาวิปโยคที่คนไทยอาจลืมเลือนไป มีอะไรเม้นบอกกันได้นะ ชอบอ่านคอมเม้น555 ยังไม่ค่อยมีโมเม้นฟินๆเท่าไรนะ ขอเกริ่นๆก่อน5555
-
มีใครบ้างนะ มีเต้ มีแม็กซ์ มีปอนด์ แล้วอีกหนึ่ง ผี หรือ คน :ling3:
-
อื้อหือ เข้มข้น
-
ปอลอลิงล้านตัว
ก่อนอื่นขอสวัสดีอย่างเป็นทางการกับจักรวาลคนมีสัมผัสพิเศษ เรื่อง IN MY DREAM เป็นเรื่องสุดท้ายของเซทนี้แล้ว เป็นเรื่องราวของปอนด์ (เพื่อนของนนท์)และเต้ ที่สายลมเองใช้เวลานานมากในการเก็บข้อมูลและนำมาเขียนเเละเลี่ยงประเด็นที่ตัวเองต้องเสี่ยงตารางเพราะเนื้อหาสิบสี่ตุลา หรือวันที่หกตุลา ค่อนข้างอ่อนไหว ไทม์ไลน์ในเรื่องนี้จะพยายามเล่าให้ชัด และตัวละครในเรื่องทุกตัวถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ยกเว้นบุคคลในประวัติศาสตร์จริงๆ เพราะฉะนั้นความคิดความอ่านและมุมมองไม่ได้ต้องการชี้ไปทางใดทางหนึ่งว่าใครเป็นผู้ผิดหรือถูก อยาหให้นักอ่านทุกท่านใช่วิจารณญาณในการเสพ
เพื่ออรรถในการเสพผู้อ่านไปหาข้อมูลมาอ่านได้นะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางเราไม่ทิ้งความฟินจิ้นแน่ๆ เรื่องนี้จะพยายามไม่เขียนให้ให้เครียดนะคะ
รัก สายลม
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
-
ต่อ {2}
ตี้ดๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกที่วางอยู่ตรงหัวเตียงทำให้ผมลุกขึ้นมามองเพดานภายในห้องสี่เหลี่ยมอย่างรวดเร็วแสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาในห้อง
“ ลืมปิดนาฬิกาปลุกจนได้สินะ”
ไหนๆก็ตื่นขึ้นมาแล้วผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นมาอัพโหลดงานที่ตัดไว้เมื่อคืนส่งเข้าไปในไลน์กลุ่มของชมรมเพื่อให้เพื่อนอีกคนไม่ทำต่อโดยการใส่เอฟเฟคและดนตรีพอกดส่งไฟล์เสร็จผมก็กลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ม่านที่พัดพลิ้วไหวเมื่อสายลมจากด้านนอกพัดกระทบทำให้มีแสงเข้ามาบ้าง อากาศข้างนอกดูน่านอนขึ้นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนการนอนในบรรยากาศแบบนี้แอร์ไม่ต้องเปิดก็ได้ครับ ผมนอนเลื่อนหน้าจอสี่เหลี่ยมไปมาจนไม่มีอะไรให้สนใจตามันก็เริ่มหนักอีกครั้ง ตัวของผมเริ่มเบาแล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง
ภาพรอบตัวตอนนี้คือผมกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาสีแดงที่เป็นหนังมันเลื่อมตรงหน้าเป็นโทรทัศน์จอนูนที่กำลังฉายข่าวเรื่องนช่างไฟฟ้าสองคนที่ถูกแขวนคอไว้อย่างทารุณบริเวณรั้วเหล็กที่จังหวัดนครปฐมขณะกำลังแจกใบปลิวอยู่ มือของผมกำหมัดแน่นก่อนจะลุกขึ้นไปปิดโทรทัศน์นั้นลง
ผมรวบรวมหนังสือที่อยู่ตรงหน้าเก็บลงใส่กระเป๋าก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถเพื่อตรงไปที่ไหนสักที่หนึ่ง อย่างที่บอกครับผมไม่ทราบชื่อตัวเองด้วยซ้ำในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะไปไหนและไม่สามารถบังคับร่างกายตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อรถประจำทางจอดลงผมเดินตรงดิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัย ตรงนั้นเขียนว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนนั้นมีคนจำนวนหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ ที่ที่ผมมาตอนนี้คือ ห้องชมรมนาฏศิลป์และการละคร ซึ่งตอนนี้มีคนบางกลุ่มกำลังนั่งอยู่แล้ว
“ พี่หน่อยสวัสดีครับ”
“ ไอ้ตุลย์กูนึกว่ามึงจะไม่มาแล้วนะเนี่ย” พี่หน่อยแกทักทายด้วยใบหน้าที่ตรึงเครียด ความทรงจำหนึ่งในหัวของผมมันถูกรื้อขึ้นมาว่าคนตัวผอมตรงหน้าที่ดูทรงแล้วน่าจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ใบหน้าตอบ กรามชัดตาตี่ๆคนนี้ เป็นประธานชมรมของที่นี่ พี่แกขยับตัวเพื่อให้ผมนั่งลงตรงข้างๆกับพี่แก “ เพื่อนมึงอีกสองคนล่ะทำไมมันยังไม่มา หรือว่ามันไม่สนใจแล้ว”
“ สนดิพี่” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง ผมหันไปตามเสียงนั้นใบหน้าที่แต้มไปด้วยลักยิ้มกำลังเดินเข้ามาหน้าของเขาคล้ายไม่ใช่สินั่นคือพี่แม็กชัดๆส่วนไอ้คนที่ตัวล่ำๆร่างเตี้ยๆใบหน้าคมเข้มจมูกเป็นสันนั่นไม่ผิดแน่มันคือไอผู้ชายปากหมาคณะวิศวกรรมศาสตร์
“ มาๆเว้ยมานั่งก่อน”
“ สวัสดีครับพี่หน่อย” ไอ้วิศวะมันยกมือไหว้
“ ไอ้ปีย์ มึงทำไมไม่มาพร้อมกับไอ้ตุลย์วะเห็นปกติตัวติดกันจะตาย” พี่หน่อยมันถามครับ
“ ช่างเรื่องของมันสองคนเถอะครับพี่มาว่าเรื่องที่เรานัดกันก่อนดีกว่า” ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพี่หน่อยพูดขึ้น “ จะมีใครตามมาอีกไหม”
“ ไม่น่ามีนะครับแค่คนในชมรมก็น่าจะพอแล้ว หรือถ้าใครมาสมทบอีกเราค่อยว่ากันอีกทีดีไหมครับ” ผมเสนอ
“ ว่าไงไอ้เมษ” อ่อเข้าใจแล้วครับ คนที่หน้าเหมือนพี่แม็กชื่อเมษนี่เอง
“ ผมได้หมดครับพี่”
วันนี้เรานั่งประชุมกันเท่าที่ผมพอจำชื่อและประมวลผลได้ พี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามพี่หน่อยที่เป็นประธานชมรมชื่อพี่สุ แกเป็นเจ้ประจำกลุ่มอายุมากกว่าคนอื่นๆในโต้ะคนเลยเกรงใจแก แกเป็นลูกคนจีนหน้าตาออกไปทางหมวยๆ อีกคนที่เป็นไอ้เมษ (หรือพี่แม็ก) มันเป็นเพื่อนของผมที่ตอนนี้ผมอยู่ในร่างของตุลย์และอีกคนคือไอ้วิศวะนั่นตอนนี้มันคือปีย์ที่ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นคนรักของผม
ซึ่งการประชุมวันนี้เต็มไปด้วยความตรึงเครียด เราประชุมเกี่ยวกับการวางแผนที่จะทำกิจกรรมเรื่องการผู้คอช่างไฟฟ้าคนที่แจกใบปลิวต่อต้านเรื่องการกลับมาของจมพลถนอม กิตติขจรที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการชุมนุมประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอมทีมีการขว้างระเบิดใส่ที่ชุมนุมที่สนามหลวงจนมีคนได้รับบาดเจ็บกันมาก ตรงหน้าของผมตรึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะต่างคนต่างเสนอความคิดของตนเอง แต่พวกเราค่อนข้างฟังเสียงของทุกคนจนได้ข้อสรุปดังนี้ จะมีการเล่นละครล้อเลียนการแขวนคอเพื่อให้คนที่มาพบเห็นสนใจที่จะมาเข้าร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับพวกเราในวันที่ห้าตุลาคมปีสองพันห้าร้อยสิบเก้า
เปรี้ยง!
เสียงท้องฟ้าด้านนอกดังไปทั่วบริเวณ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเหมือนร่างกายของผมมันขยับไม่ได้ สมองของผมรับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัว ม่านที่สะบัดพลิ้วขึ้นตามแรงลมด้านนอก ผมรู้สึกหนักไปทั้งตัวเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังทับตัวผมอยู่ กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง เงาดำบางอย่างรูปร่างสูงใหญ่กำลังอยู่เหนือตัวผมขึ้นไป ผมมองไม่ชัดว่าเป็นใครแต่ดวงตาของมันจ้องมองมาที่ผมราวกับว่าโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน มันกดหนักลงมาทุกที
“ นายต้องการอะ…ไร” ผมพยายามสื่อสาร
ครืด ครืด โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวของผมสั่นเรื่อยๆ แต่ผมไม่อาจเอื้อมไปรับสายได้ และแรงกดของมันก็มากขึ้นทุกที ผมเหลือบตาไปมองมือถือเพราะหวังให้มันสั่นเคลื่อนที่มาทางผม และเหมือนโชคจะเข้าข้างเมือมันเลื่อนมาตรงมือของผม ผมกดรับได้แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ ไม่นานปลายสายก็ตัดสายทิ้งไปผมหวังว่าแม่หมอของผมจะสัมผัสอะไรผิดปกติไปได้ ไม่นานร่างกายของผมก็ไม่อาจต้านแรงนั้นได้อีกแล้วผมดำดิ่งสู่ความมืด
“ หาฉันให้เจอ หาฉันให้เจอ” เสียงนี้มันดังก้องอยู่ในหัวของผม
“ เต้ เต้ เต้” แรงเขย่าที่ตัวของผมทำให้ผมหลุดออกจากความมืดนั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มของใยไหมตอนนี้ดูตื่นตระหนกไปหมด
“ แม่หมอ”
“ นี่” เธอดุ “ ช่างมันเหอะ แกเป็นอะไรเนี่ยทำไมเนื้อตัวเย็นเฉียบขนาดนี้” เธอประคองให้ผมลุกขึ้นมานั่งหลังพิงกับหัวเตียง
“ มาได้ไงเนี่ย”
“ ฉันให้เจ้าหน้าที่ด้านล่างมาเปิดให้น่ะสิ โชคดีนะที่ฉันมาบ่อย แล้วห้องนอนแกก็ไม่ได้ล็อกด้วย ไม่อย่างนั้นนะ แกได้นอนยาวแล้ว ตอนนี้จะตอบได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผมเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผมตั้งแต่เมื่อคืนให้เธอฟัง หน้าของใยไหมดูโกรธมากๆแต่เธอไม่พูดอะไรจนกระทั่งผมเล่าจนจบ
“ มันบอกให้ฉันตามหามัน”
“ ตามหา ตามหานที่จะฆ่าแกน่ะเหรอ มันอาจเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนแวนี้ก็ได้”
“ แต่ที่แกบอกกับฉันเมื่อคืน มีใครอีกคนที่กำลังแค้นฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ เออใช่ เดี๋ยวนะ มีใครคนหนึ่งที่กำลังรอการหาคำตอบร่วมกับแก มันคือไอ้วิศวะนั่น ส่วนคนที่กำลังตามหาแกฉันไม่รู้ และคนที่กำลังแค้นแกอาจจะเป็นคนเมื่อคืน เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้คำตอบทั้งหมด แกต้องเริ่มจากไอ้วิศวะนั่น”
“ ตลกละ เจอหน้ากันไม่ถึงสามวินาทีก็จะต่อยกันแล้ว” ผมเถียง
“ แต่ถ้าแกไม่รีบหาคำตอบ ไอ้คนที่ตามแกมันไม่เอาแกไว้แน่”
“ แม่หมออย่างแกไม่มีของป้องกันเหรอวะ”
ป้าบ ! เธอตบหัวของผมไปหนึ่งที
“ บอกแล้วอย่าเรียกแม่หมอ” เธอง้างมือขึ้น อีกครั้ง ผมถึงกับยกมือท่วมหัวก่อนที่มันจะใจเย็นลง “ ของดีไม่มีหรอก มีแต่วิธีดีๆ”
“ วิธีดีๆไรวะ”
“ แกต้องใช้เสน่ห์แกไปในทางที่ดีบ้างแล้วล่ะ”
“ แกจะบ้าเหรอ พี่แม็กเพิ่งมาขอจีบฉันไป”
“ แต่แกก็ยังไมได้ตกลงนี่” ใยไหมทำหน้าเหมือนมาเหนือกว่าใส่ผม
“ เออ แต่แกจะให้ฉันไป”
“ ใช่ แต่ก็ไม่ต้องถึงเป็นแฟน แค่เขาสนิทใจในการมานอนร่วมกับแกเพราะแกบอกว่า แกจะสื่อสารเรื่องราวอดีตผ่านความฝัน เพราะฉะนั้นถ้าไอ้วิศวะนั่นเป็นคนที่กำลังหาคำตอบร่วมกับแก มันต้องมีพันธะบางอย่างกับแกแน่ๆเพราะฉะนั้นต้องทำให้มันมานอนกับแกให้ได้”
“ แต่”
“ ถ้าอยากตายไปอยู่กับไอ้คนที่แค้นแกก็ตามใจ”
“ เออ มีแผนไหม” ผมตอบอย่างจำยอม
“ มี ขอตั้งชื่อเรียกมันว่า ยุทธการสามสเต็ป”
“ ยุทธการสามสเต็ป !”
นี่ผมต้องมาทำไอ้แผนบ้าบอนี่จริงๆเหรอ จากคนที่ผมอยากได้เป็นแฟนมาขอเป็นแฟนผมต้องไปปฎิเสธเพื่อมาเอาไอ้หมาคอร์กี้เนี่ยนะ ไอ้วิญญาณบ้าแค้นอะไรนักหนาวะ เอาความรักสดใสของฉันคืนมา
มาแล้ว มาอย่างต่อเนื่องกันจ้าาาาาาาาาาาาาาาา ถ้างงเม้นบอกได้นะ เพราะมันเล่าตัดสลับความฝัน กับความจริง เพราะถ้าเม้นบอกเราจะพยายามปรับให้ไม่งงน้าาาาาาาาาาา
ขอบคุณข้อมูลเรื่องละครล้อเลียนเรื่องการผูกคอของช่างไฟฟ้า จาก คุณ สุชาดา จักรพิสุทธิ์
-
นอนรอดูไอ้ 3 สเต็ปเนี่ยมันเป็นอย่างไง :katai5:
-
อื้อหือ เข้มข้น
ขอบคุณค่าาาาาาาาาาาาาาาาาา
-
มีชื่อแผนการซะด้วย :laugh:
-
วันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มปฏิบัติการ ยุทธการสามสเต็ป จากข้อมูลของเพื่อนสายสอใส่เกือกอย่างแม่หมอของผมรายงานในทุกๆเช้าไอ้หมาคอร์กี้มันจะต้องออกมาวิ่งที่สนามกีฬาทุกๆตีห้าครึ่ง ผมขุดตัวเองจากที่นอนออกมาตั้งแต่ตีห้าตรงเพื่อมายืนดักรอในสนามกีฬากลางก่อนเพื่อให้ไม่ดูมีพิรุธ คนที่นอนดึกตื่นบ่ายอย่างผมต้องมายืนอยู่ตรงนี้เวลานี้เพื่อมาตามหาคนที่ผมต้องตีซี้มันให้ได้กับภารกิจแรก
สเต็ปที่หนึ่ง เข้าหา
ใครจะไปรู้ว่าเวลานี้คนจะมาสนามกีฬากลางจะเยอะขนาดนี้ ไฟที่สนามส่องสว่างมากระทบกับพื้นหญ้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้าง ตอนนี้อากาศค่อนข้างดีและเหมาะสมต่อการนอน
ป้าบ!
“ โอ้ย เจ็บนะ” ผมสะดุ้งกับแรงที่มากระทบที่บริเวณหัวไหล่
“ เจ็บสิดีจะได้ตื่นๆ ทำหน้าให้มันสดชื่นหน่อยไม่ได้หรือยังไง” เจ้าของฝ่ามือพูด “ ฉันเนี่ยควรบ่นเพราะนี่ไม่ใช่ธุระอะไรของ
ฉันเลย”
“ นี่แม่หมอ เธอเกี่ยวเต็มๆเลยครับ แผนนี้มันเป็นของเธอ”
“ หรือเราจะกลับแล้วให้ไอ้ผีนั่นหลอกแกดี” เธอขยับกรอบแว่นพร้อมกับจ้องกลับมาทางผมอย่างเอาชนะ
“ เออๆ ก็มาแล้วนี่ไง แล้วเอาไงต่อดีแม่จอมวางแผน”
“ ไม่ต้องห่วงเราอยู่ในจุดที่เป็นจุดที่เรียกได้ว่าจุดยุทธศาสตร์ มองจากตรงนี้จะเห็นทั้งสองประตูเข้าออก และผ่านลู่วิ่ง อีก
อย่างตรงนี้ก็สูงผู้ชายของแกมองไม่เห็นแน่ๆ”
ผมไม่ขัดเธอครับว่าจุดที่เราอยู่เป็นจุดยุทธศาสตร์เพราะเราอยู่บนอัฒจันทร์ขั้นบนสุดตรงกลางของสนามกีฬาแห่งนี้ แต่สิ่งที่ขัดใจมากๆคือมันบอกว่าไอ้หมาคอร์กี้นั่นคือผู้ชายของผม
เรานั่งรอกันอยู่สักพัก นาฬิกาที่ข้อมือขอผมมันบอกว่าเวลานี่คือเวลาตีห้าครึ่ง คือเวลาที่ไอ้หมอนั่นควรจะก้าวเข้ามาในสนามนี้ได้แล้วแต่ทำไมยังไม่มาวะ ผมชะเง้อซ้ายทีขวาทีกลัวว่ามันจะคลาดสายตาเช่นเดียวกันกับใยไหมที่ลุกลี้ลุกลนไม่ต่างจากผม
“ จะขโมยของเหรอ” เสียงอันคุ้นหูดังมาจากด้านข้างอัฒจันทร์ที่ผมกับใยไหมยืนอยู่ เจ้าของเสียงใส่กางเกงขายาวผ้าร่มกับเสื้อกล้ามที่เผยมัดกล้ามสีน้ำตาลของมัน
“ สะ…โอ้ย!” ผมเกือบหลุดคำด่าออกไปแต่คนที่อยู่ข้างๆบิดที่ข้างเอวผมก็จนร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ เป็นไรวะ แปลกๆนะเนี่ยมึงอ่า”
“ นายมาวิ่งทุกวันเลยเหรอ” ผมถามออกไป
“ เออ มึงเองก็เพิ่งมาวันนี้วันแรกสินะ” มันดูเย็นลงไม่เสียงดังหรือทำท่ากวนตีนผมแล้ว
“ อืม เพื่อนเรามันจะลดน้ำหนักน่ะเลยมาเป็นเพื่อน” ผมสะกิดใยไหมที่ยืนข้างๆให้ช่วย
“ ใช่ๆ เราว่าเราอยากลดน้ำหนักน่ะ”
“ เออๆ เรื่องของพวกมึง กูไปวิ่งละ” มันพูดจบก็เดินเข้าไปในสนามรวมกับคนอื่นที่กำลังวิ่งอยู่
ผมกับใยไหมก้าวลงจากอัฒจันทร์แล้ววิ่งตามว่าแต่ไอ้นั่นมันขาสั้นทำไมมันถึงได้วิ่งเร็วขนาดนี้วะ ผมจับแขนใยไหมให้วิ่งตามคนตรงหน้าที่นำไปกว่าสิบเมตรผมเร่งความเร็วมากขึ้นจนอีกแค่เอื้อมมือเดียวก็จะถึงคนข้างหน้าแล้ว
“ โอ้ย!” จู่ๆไอ้ขาของผมมันก็เจ็บแปร้บขึ้นมา ผมชะลอความเร็วลงเพราะยิ่งผมก้าวไปมากเท่าไหร่ความเจ็บปวดมันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ใยไหมประคองผมมาบริเวณข้างสนามผมได้แต่จ้องมองไอ้ก้อนเนื้อบริเวณน่องที่มันปูดจากอาการเกร็งตัวขึ้นมา ใยไหมบีบมันลงเบาๆแต่มันเจ็บมากจนผมต้องร้องออกมา
“ หลบหน่อย” เสียงของใครสักคนแทรกเข้ามา ผมลืมตาจากการเจ็บปวด “ ใครเขาให้บีบแบบนั้น” ไอ้หมาคอร์กี้มันยกขาขึ้นพาดที่ไหล่ของมันก่อนจะใช้มือดันเท้าของผมกดไปด้านหน้าค้างไว้สักพักแลวก็ผ่อนลง
“ โอ้ยยยยยยย” ผมร้องในจังหวะที่มันดันเข้ามาอีกรอบ
“ สำออยจังวะ” ผมยิ้มมุมปากก่อนจะหยิบขวดสเปรย์ขวดสีเหลืองออกมาจากกระเป๋าแล้วฉีดมาที่บริเวณที่มันเจ็บ “ นี่วิ่งกัน
ไม่ได้วอร์มกันก่อนใช่ไหมเนี่ย” มันหันไปถามใยไหม
“ อะ อืม” เธอตอบ
“ วันหลังถ้าจะวิ่ง วอร์มร่างกายก่อนไม่ใช่จะมาวิ่งก็วิ่งเร็วๆเลยร่างกายมันจะตกใจเอา เป็นภาระคนอื่นอีก”
“ ภา…โอ้ยยยยย” แรงหยิกของใยไหมทำให้คำด่า(ภาระพ่อง)ของผมจมหายเขาไปในลำคอ ทำไมผมถึงอยากด่ามันตลอดเวลาขนาดนี้วะ
“ขอบคุณนะ ถ้าไม่มี เอ่อ นายชื่ออะไรนะ”
“ ปอนด์ เราชื่อปอนด์” มันตอบพร้อมกับเอาขาของผมลง
“ อ่อ เราชื่อใยไหมนะ ส่วนนี่ชื่อเต้ ขอบคุณนะที่มาช่วยเราไว้” ใยไหมส่งยิ้มไปให้แต่มือที่อยู่ตรงหลังผมก็ไม่ลืมที่จะหยิก
เหมือนเป็นการบอกกลายๆว่า ผมควรทำอย่างที่ผมทำ
“ ขอบคุณนะ” ผมฉีกยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ เออไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวกูไปวิ่งต่อนะ” พูดจบมันก็เก็บของใส่กระเป๋าแล้ววิ่งเข้าสนามไป
“ เป็นไงล่ะ แผนของแก”
“ อย่างน้อยๆเราก็ติดค้างบุญคุณกับเขาเพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้เจอครั้งที่สองแล้วเข้าไปตอบแทนบุญคุณก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกและเป็นการจู่โจมมากเกินไป” เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยน์
ใช่ครับรอยยิ้มนั้นทำให้ผมต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ผมและใยไหมออกมาจากสนามก็พุ่งตรงมาที่ร้านโจ๊กและต้มเลือดหมูที่บริเวณหลังหมอ ที่ตอนนี้บรรดาร้านหมูปิ้งเอย แซนวิชเอยต่างกั้งร้านรวงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ใยไหมบอกกับผมว่า ทุกเช้าหลังจากการวิ่งไอ้คอร์กี้เอ้ยไอ้ปอนด์มันจะมากินข้าวก่อนกลับเข้าไปที่หอซึ่งร้านประจำของมันก็คือร้านโจ๊กที่ผมกำลังยืนอยู่ตรงนี้ ผมก้มลงมองนาฬิกาแสดงเวลาเจ็ดโมงตรงซึ่งเป็นเวลาที่ไอ้ปอนด์ควรจะถึงได้แล้ว
“ เฮียเหมือนเดิม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นผมมองไปรอบตัวเหมือนโชคจะเข้าข้างโต๊ะอื่นเต็มหมด เหลือแต่โต๊ะเราที่มีเก้าอี้ว่างอีกตัว
“ นั่งด้วยกันไหม” ใยไหมเอ่ยทัก
“ ขอบคุณนะ” มันตอบก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด้านข้างผม ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยเหงื่อ มองดูใกล้ๆโครงหน้าของมันนี่ก็ดูดีใช้ได้ จมูกเป็นสันตรง ผมเข้มๆปากนิดมีโหนกที่หน้าหน่อยๆกับผมยาวๆที่รวบเป็นจุกกลางหัวของมันอีก “ โหทำไมกินกันเยอะจัง” เสียงของมันทำให้ผมหลุบตามองซากถ้วยชามบนโต๊ะตรงหน้า
ใช่ครับมันเยอะสำหรับสองคน เรามาที่ร้านนี้ได้คิวตั้งแต่หกโมงครึ่ง เราพยายามกินรอแต่ก็หมดก่อนเลยสั่งมาเพิ่มกันอีกคนละถ้วยแต่มันก็ยังไม่มาเลยสั่งต้มเลือดหมูมาแบ่งกับใยไหมเพิ่มอีก รวมๆแล้วเราสองคนกินกันห้าชาม
“ อ่อ มันออกแรงเยอะน่ะ” ใยไหมตอบ
“ แต่จะลดน้ำหนักๆไม่ใช่เหรอ” มันถามกลับ
“ มันก็อย่างนี้แหละ ลดน้ำหนักแค่แป้บเดียว” ผมเสริม
“ มึงไม่เตือนเพื่อนล่ะสิ” มันจ้องมาทางผมก่อนที่มันจะถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือของผม “ มึงไปโดนอะไรมา”
“ เปล่า” ผมดึงข้อมือกลับและสังเกตว่าที่ข้อมือมันก็มีรอยแดงๆอยู่เหมือนกัน
“ โจ๊กมาแล้ว” เฮียคนขายโจ๊กเราโจ๊กมาได้จังหวะพอที ไอ้ปอนด์มันกินอย่างรวดเร็วเหมือนคนตายอดตายอยาก ไม่มีบทสนทนาใดต่อบนโต๊ะเลยด้วยซ้ำ จริงๆผมก็อยากถามกลับเรื่องรอยที่ข้อมือของมันแต่ผมไม่กล้าพอที่จะถามออกไป
“ เฮียเก็บเงิน” มันยกมือเรียกเจ้าของร้านอย่างสนิทสนม
“ โจ๊กใส่ไข่เพิ่มตับ สี่สิบบาท”
“ ไม่ต้องเดี๋ยวเราเลี้ยง ถือเสียว่าตอบแทนที่นายช่วยเราไว้” ผมพูดขัด อันนี้ไม่ได้ถูกใครบังครับนะครับ เพราะอย่างน้อยผมควรตอบแทนบุญคุณคน
“ เออขอบใจมาก”
เราสองคนแยกออกจากร้านแล้วกลับไปที่หอด้วยใบหน้าที่อิดโรย ผมลงจากรถมอเตอร์ไซค์ของใยไหมที่หน้าคอนโดก่อนจะเดินขึ้นกลับไปบนห้องของตัวเอง
“ เชี้ย”
ผมร้องออกมาเมื่อก้าวเข้าไปในห้องที่นอนของผมเหมือนถูกรื้อกระจัดกระจายเต็มไปหมด บนพื้นมีหนังสือเรื่องสิบสี่ตุลาวางอยู่ที่ปกของมันเหมือนมีรอยข่วน ผมโทรไปหานิติบุคคลเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดในทันที แต่ทว่าในภาพหน้าห้องของผมไม่มีใครเข้ามาเลย ไม่มีของหายไปเลยแม้แต่อย่างเดียว
มาเเล้วจ้าาาาาาาาาาเชิญเสพสมและเป็นกำลังใจให้กับ ยุทธการสามสเต็ป ของแม่หมอใยไหมของเราทีเถอะ
-
คน หรือ ผีทำ แสดงตัวมาซะดีๆ :a5:
-
คน หรือ ผีทำ แสดงตัวมาซะดีๆ :a5:
ผีหรือคนกันน้าาาาาาาาา
-
3
ยุทธการสามสเต็ป
“ ว่าไงนะมีคนรื้อห้องแก” เสียงอู้อี้จากปลายสายดังเข้ามาในโทรศัพท์
“ เออ” ผมตอบ “ แล้วนี่ทำอะไรอยู่วะ”
“ แปรงฟัน” เธอตอบก่อนจะตามด้วยเสียงน้ำไหลสักพัก “ มาเสร็จแล้ว เล่าต่อ” เสียงประตูจากปลายเสียงปิดดังปั้ง
“ ก็ไม่แล้วไง ไม่มีอะไรหาย ไม่มีคนในกล้องวงจรปิด”
“ วิญญาณแน่ๆ” เธอสวนกลับมาทันควัน “ ฉันว่ามันต้องกลัวว่าแกจะจัดการมันแน่ๆ”
“ จัดการ แกหมายความว่าไง”
“ ก็ปกติดวงวิญญาณทุกดวงมันจะมีจุดอ่อนอยู่เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์อย่างเราเข้าใกล้สิ่งที่มันกลัวซึ่งฉันขอเดาเลยนะว่าการ
ที่แกเข้าใกล้ปอนด์มากขึ้นเท่าไหร่มันจะต้องโกรธแกมากขึ้นแน่ๆ”
“ เดี๋ยวนะ ที่ฉันเข้าใกล้ไอ้คอร์กี้นั่นเพราะไม่อยากให้มันมายุ่งกับฉันนะเว้ย แล้วนี่เหมือนฉันไปท้าทายมันหรือเปล่า ม่สนุกเลยนะแม่หมอ”
“ เออน่าใจเย็นๆฉันแค่สันนิษฐาน บางทีไอ้หมอนั่นอาจเป็นไม้กันผีให้แกก็ได้ เออลืมบอกไปวันนี้งดคลาสนะจ้ะอาจารย์เข้าโรงพยาบาล เดี๋ยวเสาร์นี้นัดเรียนชดเชย”
“ เออๆ”
“ แค่นี้ก่อนนะวันนี้ฉันร่างพังมาก ขอนอนก่อน”
“ อืม”
ผมเอื้อมเอาโทรไปวางไว้ตรงบริเวณโต๊ะข้างหัวเตียง แต่ยังไม่ทันที่จะวางโทรศัพท์มือถือลงเลย ข้อความจากไลน์ก็เด้งขึ้นมา ผมดึงมันกลับมาดูในทันที
MAX : สวัสดีครับน้องเต้ วันนี้ว่างหรือเปล่าครับ
เชี่ย พี่แม็กทักมาผมต้องทำตัวยังไงดีวะในหัวของผมฟุ้งซ่านไปหมด ถ้ามันฉายเป็นภาพได้อย่างในการ์ตูนตัวอารมณ์ต่างๆคงวิ่งวุ่นไปหมด
MAX : อ่านไม่ตอบแบบนี้พี่ใจคอไม่ดีเลย
TAE : เปล่าครับผมแค่กำลังคิดว่าจะตอบว่าว่างดีไหมน้า555
MAX : ดีสิครับ
เอาไงดีวะ นั่นคือคนที่เราใฝ่ฝันเลยนะเว้ย เอาไงดี
TAE : ตกลงครับ
ผมนี่ง่ายใช้ได้เลยนะเนี่ยหุหุ
MAX : ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพี่ไปรับน้องเต้ได้ไหมครับ
อ่อยเก่งจังเลยนะครับพี่ ผมยิ้มจะแก้มแทบจะแตก เข้าใจอารมณ์ตอนนี้ไหมครับมันยิ่งกว่าดูหนังรักที่เขาว่าถึงใจถึงอารมณ์อีกครับ เพราะอะไรน่ะเหรอผมถูกคนที่ผมชอบจีบ
TAE : ครับ
MAX : ครับเดี๋ยวพี่ไปรับตอนหกโมงนะครับน้องเต้อยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ
พี่แม็กส่งโลเคชั่นมาซึ่งเป็นที่อยู่ของคนโดผม
TAE : พี่รู้ได้ไงอ่า
MAX: ทำไมไม่เคยสังเกตเพื่อนบ้านบ้างล่ะครับเจ้าของห้อง 1113
อย่าบอกนะว่าพี่เขาอยู่คอนโดเดียวกันกับผม เพราะปกติแล้วผมไม่สนใจใครอยู่แล้วไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าข้างห้องคือใคร
TAE : พี่รู้
MAX : พี่อยู่ 1112 ครับ หกโมงเย็นเจอกันนะครับเดี๋ยวพี่จะรอ
ผมส่งสติ้กเกอร์หมียิ้มไปให้ก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่ข้างเตียงแล้วนอนหลับตาไปพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ผมต้องตื่นมาให้สดชื่นที่สุด
หวังว่าคงเป็นอย่างนั้น
ไม่นานหลังจากผมหลับตาความมืดมิดพลันค่อยๆสว่างขึ้น สภาพแวดล้อมเริ่มแปรสภาพและชัดเจนขึ้น รอบตัวของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมาคล้ายๆกับเป็นจุดลงทะเบียนของสถานที่แห่งนี้ ที่ป้ายที่ถูกทำด้วยผ้าดิบสีขาวถูกเขียนด้วยสีน้ำหลากสีสันสลับกันมันเขียนว่า ยินดีต้อนรับน้องใหม่ปีสองพันห้าร้อยสิบหก
แปลกจังทำไมเราย้อนมาในปีสองพันห้าร้อยสิบหก
เพราะปกติแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝันของผมมักจะเกิดขึ้นในพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสิบเก้า หรือว่าความฝันนี่กำลังจะบอกอะไรกับผม
พลั้ก !
“ โอ้ย” ผมล้มลงไปกองลงกับพื้น
“ ขอโทษครับ” คนที่ล้มลงฝั่งตรงข้ามเอ่ยพร้อมกับเก็บหนังสือและเอกสารที่กระจัดกระจายไปทั่ว “ ของคุณครับ” เขาหลับสายตายื่นมาให้ผม “ ผมขอโทษด้วยนะครับ”
“ ไม่เป็นไร นายเป็นไรหรือเปล่า” ผมถามออกไปก่อนจะมองใบหน้านั้นชัดๆ ใช่มันแน่ๆ ไอ้ปอนด์
“ สวัสดีครับ ผมชื่อปีย์ เอ่อ”
“ กูชื่อ ตุลย์ มึงรีบไปไหนเนี่ย”
วูบ
เหมือนลมพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะทุกอย่างรอบตัวมันหายไปอย่างฉับพลันก่อนที่จะค่อยๆปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ผมนั่งหลบมุมอยู่ในห้องมืดๆเสียงระเบิดและปืนดังไปทั่วพร้อมกับเสียงร้องระงมของบรรดาเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์ที่บางคนบาดเจ็บ บางสูญเสียอวัยวะ
“ เอาไงดีวะ” ผมหันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ
“ รอไอ้ปีย์ก่อนมันกำลังไปหาพวกพี่หน่อย อีกสักพักมันคงกลับมา” มีคนเสนอความเห็น
“ มันจะกลับมาจริงๆเหรอวะ”
“ ทำไมเมษพูดแบบนี้ล่ะ” ผมหันไปถามอย่างหัวเสีย
“ ก็จริงหรือเปล่าล่ะ คนที่ออกไปได้มันก็หนีกันไปหมดใครมันจะสนคนที่อยู่ข้างในล่ะ แล้วนี่มันก็ออหไปตั้งนานแล้วหรือเปล่า
ถ้ามันจะกลับมามันก็กลับมาแล้ว”
“ หยุดเถียงกันได้แล้ว” ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ตรงมุมด้านหลังพูดออกมา
เมื่อพวกเราเงียบเสียงฝีเท้าจากด้านนอกเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ก่อนที่ทุกอย่างจะนิ่งเงียบ ตัวของผมเย็นเฉียบไปด้วยความกลัวที่เกาะอยู่ที่ขั้วหัวใจ เสียงลมหายใจของพวกเรามันดังมากเกินไปด้วยซ้ำในตอนนั้น
ปัง ! เสียงปืนจากด้านนอกดังขึ้นพวกผู้หญิงบางส่วนส่งเสียงกรีดร้องพวกเราตัดสินใจทำลายกระจกหน้าต่างด้านหหลังเพื่อให้เป็นทางผ่าน ให้พวกผู้หญิงออกไปก่อน เหตุผลที่เราไม่พังในตอนแรกเพราะกลัวว่าเสียงจะดังแต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้ว พวกผู้หญิงวิ่งฝ่ากระจกออกไปพวกเรามีหน้าที่แค่ยื้อเวลาให้มากที่สุด
“ ลงไป” เสียงคนที่อยู่ภายใต้ชุดที่เรียกว่ารั้วของชาติเอ่ยขึ้น
“ จะมาทำอย่างนี้ไม่ได้นะเว้ย ที่มันประเทศไทยมันปกครองแบบประชาธิปไตย”
ปัง! ไม่มีประโยคใดๆต่อพี่คนนั้นลงไปนอนสงบนิ่งลงกลับพื้น ตอนนี้ผมโดนเชือกพันอยู่ที่มือเราไม่ได้มีโอกาสได้เดินไปข้างหน้าผมถูกแรงกระชากไปด้านหน้า ความแสบของเชือกที่เสียดสีตรงข้อมือ ผมได้แต่ภาวนาว่าผมจะผ่านคืนนี้ไปได้
สวัสดีจ้าาาาาาาาาาา สวัสดีรับวันหยุด แต่เราไม่ได้หยุด แต่ขอเเวบๆมาลงนิยายก่อนไปทำงานนะคะ มาเสพกันอาจมาแค่นิดๆแต่ข้อมูลมันส่งผลเยอะน้าาาาาา
-
เริ่มต้นแล้ว ปริศนากำลังจะมาให้เห็นแล้ว ส่วนท่านชายพจน์อยู่ในบ้านทรายทองไปก่อนนะ :hao3:
-
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13
-
เรียนผู้อ่านทุกท่าน เนื่องจากนิยายมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และหลังจากมีนิยายลงในเวบ มีการตักเตือนเข้ามาในช่องทางส่วนตัว ทางตัวนักเขียนเองขออนุญาตไปปรับแต่งเนื้อหาเพื่อความเหมาะสม ทั้งนี้สายลมไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่ได้มีเจตนาปลุกปั่นทางการเมือง
ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สายลม
-
รับทราบ :pig4: