พิมพ์หน้านี้ - 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: CT.hamonigar ที่ 01-07-2018 22:33:06

หัวข้อ: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 01-07-2018 22:33:06
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน

สำหรับภูมิ...พี่โฟล์คเป็นทั้งครูสอนพิเศษ เป็นพี่ชาย เป็นคนให้คำปรึกษา

และเป็นคนที่อยู่ข้างกันในวันที่ไม่มีใคร

ภูมิได้เลือกเส้นทางอย่างที่ต้องการ และได้ความฝันของตัวเองกลับมา

ทว่าความรักที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในใจ...กลับไม่ได้ควบคุมง่ายเหมือนความฝัน

♫ Songs of the story ♫ (https://www.youtube.com/playlist?list=PLJ0lunJy90Dz5zR9fwj4Lvj7VQeyUqLvv)
(เป็นเพลงสามเพลงที่เราใช้ฟังตลอดการเขียนนิยายเรื่องนี้ เลยอยากนำมาแชร์กันค่ะ)

--------------------------------------------------

นิยายเรื่องนี้เคยเขียนจบแล้วในเว็บอื่นนะคะ อาจมีคุ้นกันบ้าง^^ แต่เพราะเราเริ่มเขียนตั้งแต่ 4 ปีก่อน พอมาย้อนอ่านก็คันไม้คันมือกับที่เคยเขียนไว้ตอนเด็ก...เลยขออนุญาตลบแล้วรีไรท์ใหม่เพื่อเกลาให้นิยายเรื่องนี้เป็นผลงานที่เราพอใจที่สุดค่ะ เลยถือโอกาสนำฉบับรีไรท์มาลงในเล้าด้วยเลย

ฝากตัวด้วยนะคะ สามารถแนะนำติชมได้ค่ะ ยินดีมากๆ<3

CT.hamonigar

ปล.แพลนตอนนี้คืออัพทุกวันอังคาร พฤหัส เสาร์นะคะ จะพยายามให้ได้ตามตารางนี้เรื่อยๆ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงยังไงจะแจ้งอีกครั้งค่ะ

ทักทายกันได้ใน facebook (https://www.facebook.com/cthamonigar/) กับ twitter (https://twitter.com/ct_hamonigar) นะคะ <3

-------------------------------------------------------

สารบัญ

บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3854488#msg3854488)
บท 1 วันแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3855428#msg3855428)
บท 2 คนที่เริ่มเข้าใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3856179#msg3856179)
บท 3 เคว้งคว้าง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3857013#msg3857013)
บท 4 ปลอบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3858504#msg3858504)
บท 5 ยามค่ำคืน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3859258#msg3859258)
บท 6 อีกหนึ่งมุมมอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3859964#msg3859964)
บท 7 เคลียร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3861529#msg3861529)
บท 8 คำชวนของเพื่อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3862426#msg3862426)
บท 9 เรื่องที่ปกปิด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3863347#msg3863347)
บท 10 ทะเลเฮฮา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3865103#msg3865103)
บท 11 คำสารภาพในคืนค้างแรม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3865971#msg3865971)
บท 12 การกระทำที่สวนทาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3866697#msg3866697)
บท 13 ความในใจคนป่วย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3868475#msg3868475)
บท 14 ความสัมพันธ์ที่พัฒนา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3869222#msg3869222)
บท 15 ความอบอุ่น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3870205#msg3870205)
บท 16 ความลับไม่มีในโลก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3871288#msg3871288)
บท 17 หัวใจที่เจ็บปวด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3872169#msg3872169)
บท 18 ในเบื้องลึกของหัวใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3872896#msg3872896)
บท 19 อีกครั้ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3874223#msg3874223)
บท 20 สับสน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3874987#msg3874987)
บท 21 เรื่องที่รับรู้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3875790#msg3875790)
บท 22 ความจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3876951#msg3876951)
บท 23 นับจากนี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3877644#msg3877644)
บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67669.msg3878704#msg3878704)


หัวข้อ: Re: Love after school ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทนำ (01/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 01-07-2018 22:39:37
Intro
   
“เฮ้อ...”
   
ท่ามกลางความวุ่นวายของห้องเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ภูมิ...เด็กหนุ่มร่างเล็กซึ่งเป็นเจ้าของเก้าอี้ติดหน้าต่างแถวหลังสุดได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ขณะมองดูกระดาษที่แปะไว้บนสมุดพก

   มันคือใบแจ้งผลการเรียนของเทอมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ใครหลายคนดีใจกับตัวเลขที่เข้าใกล้สี่จุดศูนย์ และทำให้ใครหลายคนแทบน้ำตาเล็ดกับตัวเลขที่ทิ้งห่างออกไป

   สำหรับภูมิ เกรดสามกว่าๆ ที่ปรากฏบนกระดาษไม่ใช่ตัวเลขที่เลวร้ายนัก ออกจะน่าประหลาดใจด้วยซ้ำสำหรับเด็กกิจกรรมที่สนใจการเล่นมากกว่าการเรียน กระนั้นภูมิก็รู้ว่าคนทางบ้านคงไม่ดีใจไปกับเขาเท่าไหร่ ...เขาไม่ใช่เด็กเรียนแย่นัก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเรียนเก่ง โดยเฉพาะเมื่อถูกเปรียบเทียบกับพี่ภาคย์...พี่ชายคนเดียวที่เพิ่งสอบติดแพทย์ไปหมาดๆ

   ไม่รู้เหมือนกันว่าค่านิยมของสังคมกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีเพื่อนรอบข้างก็ตั้งเป้าอยากเป็นหมอกันเกือบทุกคน อาจารย์ต่างพากันแนะนำให้สอบแข่งขันเข้าคณะนี้ให้ได้ ถ้าทำได้ก็จะได้โล่รางวัล ได้ใบประกาศเกียรติคุณ ได้ออกไปโชว์ตัวหน้าเสาธง ยิ่งเมื่อพี่ชายของเขาสอบติดคณะที่ใครๆ ใฝ่ฝันได้สำเร็จ เขาก็ยิ่งถูกกดดันอีกเป็นเท่าตัว

   ทั้งที่ตอนจะขึ้นมอสี่ เขาเลือกแผนการเรียนวิทย์-คณิตเพราะคาดหวังว่าตอนเข้ามหาวิทยาลัยจะมีโอกาสเลือก แต่กลับกลายเป็นว่าคณะที่เขาอยากเข้าจริงๆ กลับยิ่งห่างไกลกว่าเดิม

   ภูมิอยากเข้าคณะนิเทศฯ อยากทำงานด้านภาพยนตร์และสื่อบันเทิง

...มันคือตัวตนที่เขาค้นพบมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ทั้งจากการทำกิจกรรมมากมายในรั้วโรงเรียน ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต และตั้งคำถามกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน

“เกรดเป็นไงวะไอ้ภูมิ”

ฝ่ามือของใครบางคนแปะหมับเข้าที่ไหล่พร้อมกับเอ่ยถาม คนที่กำลังคิดอะไรเครียดๆ จำต้องเงยหน้ามองเพื่อนสนิท ก่อนถอนหายใจอีกรอบ

“คงโดนด่าอีกตามเคย”

คำตอบที่แปลความหมายสั้นๆ ได้ว่า...ไม่โอเค ทำให้ซัน...เพื่อนที่ซี้กันมาตั้งแต่มอหนึ่งบีบไหล่เบาๆ เป็นเชิงปลอบ เพราะเข้าใจดีว่าเพื่อนของเขาถูกกดดันจากคนรอบข้างพอสมควร

“เอาน่า ช่างมันเถอะ” ซันว่าอย่างนั้น เหลือบตามองใบเกรดบนสมุดพกของเพื่อนแล้วพูดต่อ “เกรดมึงไม่ได้แย่นะ ยิ่งหัวสมองระดับมึงกูว่าเข้านิเทศได้สบาย ส่วนเรื่องที่บ้าน...กูว่าเดี๋ยวเขาก็เข้าใจเองแหละ”

ภูมิพยักหน้ารับแกนๆ เข้าใจว่าเพื่อนคงอยากปลอบ แต่เขานั่นแหละรู้ดีที่สุดว่าการจะให้ที่บ้านยอมรับคงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก

...เขาพยายามมาตั้งแต่ก่อนขึ้นมอปลาย จนตอนนี้เป็นนักเรียนชั้นมอห้าแล้ว แต่คนทางบ้านกลับไม่เคยเข้าใจว่าเขาไม่ได้อยากเป็นหมอแม้แต่น้อย

...แตกต่างจากไอ้ซันราวฟ้ากับเหว

ภูมิคิดขณะเหลือบมองเพื่อนข้างตัวที่กำลังเตรียมหนังสือสำหรับเรียนวิชาแรก

...ไอ้ซันอยากเป็นหมอตั้งแต่จำความได้

มันเล่าว่าตอนเด็กๆ พ่อแม่ทำงานหนัก มันเลยเป็นคนที่คอยดูแลน้องสาวเวลาป่วยตลอด มันชอบดูแลคนขนาดที่ว่าพ่อกับแม่จะมาป้อนข้าวป้อนยาให้น้องก็ยังไม่ยอม ไอ้ซันอาสาจะทำเองทุกอย่าง พ่อกับแม่มันไม่เคยบังคับเรื่องการเรียนหรืออนาคต แต่ตัวไอ้ซันเองนั่นแหละที่ชัดเจนกับเป้าหมายจนน่านับถือ

พอหันมาดูตนเองซึ่งไม่มีความคิดที่จะเรียนเฉียดหมอเลยสักนิด แถมความชอบจริงๆ ยังถูกขัดขวาง

   ...ก็ไม่รู้เหมือนว่าจะเอาอย่างไรกับอนาคตดี...





   ภูมิลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ควานหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงจ่ายให้ ก่อนกระชับเป้สะพายหลังแล้วมองลอดรั้วไม้เข้าไปในตัวบ้าน รถโตโยต้าคันสีขาวคุ้นตาจอดเด่นเป็นสง่าภายในรั้ว บ่งบอกว่าคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดกลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

   ภูมิผลักประตูไม้เข้าไป มั่นใจว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังขึ้นต้องลอดเข้าไปถึงหูคนในบ้านแน่ กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือ เดินเข้าตัวบ้านด้วยท่าทางที่ดูเหมือนปกติ

   “กลับมาแล้วหรือ”

   ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไป เสียงทักจากชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นตามคาด แม้จะฟังดูเรียบเฉยเหมือนคำทักทายปกติ แต่เขากลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

   เป็นความอึดอัดที่เกิดขึ้นจนชินชา...ล่ะมั้ง

   “ครับ” ภูมิตอบพร้อมกับหันไปมองเจ้าของคำถามซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในครัว ใบหน้าของคนมีอายุภายใต้กรอบแว่นหนาไม่ได้ชายตามาทางเขา ข้างๆ กันนั้นมีร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษากำลังก้มหน้าก้มตาสนใจแต่ข้าวในจานด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้าย

   ภูมิปรายตามองคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อและเป็นพี่ชายของตนก่อนลอบถอนหายใจ เตรียมจะเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของตนเอง

   “ไม่คิดจะให้พ่อกับพี่แกดูเกรดหน่อยเหรอ”

   พี่ภาคย์ทักขึ้นอย่างรู้ทัน ...แน่นอนว่าพี่ชายเขาคงไม่ลืมวันออกเกรดของโรงเรียนเก่า

   ภูมิจำใจต้องวางกระเป๋านักเรียนลง หยิบสมุดพกเล่มบางออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   ผลที่ตามมาไม่ต่างจากที่เขาคาดมากนัก ตอนที่คิ้วของพ่อกระตุกเมื่อเห็นตัวเลขบนกระดาษ เพียงเท่านั้นภูมิก็เตรียมใจรับคำบ่นเป็นชุดอย่างที่เจอประจำ

   ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป เมื่อคนเป็นพ่อทำเพียงแค่ปิดสมุดกลับตามเดิม แล้ววางลงกับโต๊ะ

   “ภาคย์ ฝากน้องด้วย” ชายวัยกลางคนหันไปหาลูกชายคนโตพร้อมทั้งพูดประโยคที่ภูมิไม่เข้าใจ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ตามเดิม

   ภาคย์วางช้อนส้อมในมือลง แล้วบอกเสียงเรียบ “พ่อกับพี่ตัดสินใจแล้วว่าจะให้แกเรียนพิเศษที่บ้าน”

   “เรียนพิเศษที่บ้าน?”

   ภูมิเอ่ยทวนอย่างนึกว่าตนเองหูฝาดไป

   “ใช่ เรียนแบบตัวต่อตัว เขาจะมาสอนแกที่บ้านนี่แหละ”

   “แต่เรียนตัวต่อตัวมันแพงนะพี่ภาคย์ แล้วที่ผมเรียนพิเศษอยู่แล้วทุกอาทิตย์มันไม่โอเคตรงไหน”

   “อย่าคิดว่าพ่อกับพี่ไม่รู้เรื่องที่แกโดดเรียนไปซ้อมดนตรีนะ” ภาคย์โต้กลับด้วยแววตาแข็งกร้าว ทำเอาคนเป็นน้องชายเสียวสันหลังวาบ ทั้งยังรู้สึกหน้าชาเมื่อถูกคนเป็นพี่ชายจับความลับได้

   ใช่...มีหลายครั้งทีเดียวที่เขาไปซ้อมดนตรีกับเพื่อน โดยให้พ่อกับพี่ภาคย์เข้าใจว่าไปเรียนพิเศษ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นคงไม่มีใครอนุญาตให้เขาไปแน่ๆ

   “คิดว่าที่พ่อทำงานหนักเพื่อส่งแกเรียนมันไม่มีค่าเลยเหรอวะ!”

   “...ผมขอโทษครับ”

   คนมีชนักติดหลังไม่มีข้อแก้ตัว ได้แต่ก้มหน้ารับผิดอย่างจำยอม

   ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากโกหก แต่ตอนนั้นใกล้ถึงงานแข่งที่เขาและเพื่อนๆ เฝ้ารอมาทั้งปี เพื่อนร่วมวงของเขาทุกคนต่างนัดซ้อมอย่างขะมักเขม้นภายใต้เวลาที่เหลือจำกัด เขาจึงจำต้องทิ้งการเรียนพิเศษและเลือกไปซ้อมวงกับเพื่อน

   “พี่จะบอกแค่นี้แหละ อ้อ...เกรดเทอมนี้แย่ลงไปเยอะเลยนี่”

   น้ำเสียงของภาคย์ดูเย็นลงเมื่อเห็นสีหน้าสำนึกผิดของน้องชาย เขารู้อยู่แล้วว่าน้องชายของเขาไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี แต่ผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด

   แต่ภูมิก็ยังเอ่ยแย้งอย่างไม่เข้าใจ

   “พี่ภาคย์ ผมรู้ว่าผมผิด แต่พี่จะจ้างครูสอนพิเศษทำไม มันแพงกว่าเรียนธรรมดาหลายเท่าเลยนะพี่ บ้านเรามีเงินเหลือใช้ขนาดนั้นเลยเหรอ”

   เขายกข้อเท็จจริงมาโต้ล้วนๆ  เพราะตอนนี้คนที่ทำงานหาเงินเข้าบ้านมีเพียงพ่อคนเดียว และตำแหน่งงานของพ่อก็ไม่ได้สูงอะไร ทั้งยังต้องส่งเสียลูกชายเรียนตั้งสองคน พี่ภาคย์เองก็เพิ่งเข้ามหา’ลัยได้ไม่นาน แม้ค่าเทอมแพทย์จะไม่แพงนักเพราะมีทุนสนับสนุน แต่การเงินของบ้านก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

   “ไม่ได้จ้างหรอก ฟรี”

   “ฮะ?”

   “เพื่อนพี่ไง ไอ้โฟล์คน่ะ จำได้รึเปล่า”

   ภูมิส่ายหน้าเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นหู

   “งั้นก็ช่างเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอ” ภาคย์ตัดบท “เขาจะมาสอนแกที่บ้านตอนเย็นตั้งแต่พรุ่งนี้ อย่าลืมล่ะ หลังจากนั้นค่อยไปคุยกันเองว่าจะเรียนวันไหนอีก”

   “แต่ตอนเย็นผมมีซ้อมดนตรี...”

   “ซ้อมเสร็จก็กลับสิ ไม่เกินหกโมงหรอกใช่มั้ย”

   “...อืม”

   หลังจากนั้น ภาคย์ก็หยิบช้อนส้อมขึ้นมาและก้มลงตักข้าวเข้าปาก ไม่สนใจน้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีก

   ภูมิมองพี่ชายสลับกับคนเป็นพ่อแล้วแอบถอนหายใจ ก่อนคว้าสมุดพกกับกระเป๋าขึ้นมาแล้วเอ่ยเบาๆ “ผมขึ้นห้องแล้วนะ”

   “เออ”

   เมื่อได้รับการตอบรับ ภูมิจึงลุกออกจากห้องครัว เดินผ่านบันไดไม้ขึ้นมาที่ชั้นสอง แล้วตรงดิ่งเข้าห้องนอน

   ภูมิเดินไปนั่งบนเตียงไม้ที่อยู่ติดหน้าต่าง เอื้อมมือไปหยิบกล้องถ่ายรูปสีดำที่วางอยู่บนหัวเตียงมาถือไว้ ยกยิ้มให้ของในมือเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งแผ่นหลังลงกับฟูกโดยที่ยังถือกล้องแนบอก มืออีกข้างยกขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วหลับตาลงด้วยความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ

   ความเงียบโรยตัวภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ...แทนที่จะทำให้เจ้าของห้องผ่อนคลาย ภูมิกลับรู้สึกถึงปัญหามากมายที่วนเวียนรอบด้าน อีกทั้งบานประตูที่เหมือนจะเป็นทางออกกลับดูห่างไกลจนแทบมองไม่เห็น

   เขาตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่า...เมื่อไหร่ความสับสนเหล่านี้จะจบลง


---------------------------------------------

หลังเจอพี่โฟล์ค ชีวิตของน้องภูมิจะเปลี่ยนไปค่ะ :)

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: Love after school ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทนำ (01/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 04-07-2018 00:58:28

Chapter 1 : วันแรก       

           

              เย็นวันต่อมา ภูมิที่เพิ่งกลับถึงบ้านต้องกะพริบตาปริบๆ  มองพี่ชายตัวเองสลับกับคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่น

           

          “นี่ไอ้โฟล์ค ที่บอกไว้เมื่อวาน” ภาคย์พูดกับน้องชาย ก่อนหันไปหาร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ “มึง นี่ภูมิน้องกู”



            “สวัสดีครับ”



            คำทักทายแสนสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมา ทำให้ภูมิแทบอยากจะร้องดังๆ ด้วยความอิจฉาปนหมั่นไส้



ก็ไอ้คนตรงหน้าเขาดันแผ่ออร่าของ ‘ผู้ชายเพอร์เฟค’ ออกมาซะจนเขาที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังสัมผัสได้ ส่วนสูงร้อยหกสิบห้าของตนดูด้อยยิ่งกว่าเดิมเมื่อเจอส่วนสูงที่ดูยังไงก็มากกว่าร้อยแปดสิบของคนตรงหน้า ยังไม่นับดวงตาคมเข้มกับจมูกได้รูปที่ดูดีมีราศี เทียบกับตาตี๋ชั้นเดียวแบบคนจีนของเขาแล้ว...



            ช่วยแบ่งความหล่อมาให้ผมสักครึ่งนึงจะเป็นพระคุณมากเลยครับ



          ทว่าด้วยมารยาทจึงจำต้องเก็บอาการ ปกปิดด้วยการกระแอมไอสองสามทีก่อนตีหน้าเรียบ “อะ...โอเค”



            “งั้นกูไปข้างนอกแล้วนะ”



ภาคย์คว้ากุญแจรถขึ้นมาจากโต๊ะแล้วเดินออกไป ปล่อยให้คนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อครู่มองหน้ากันไปมา



จนกระทั่งชายหนุ่มร่างสูงเป็นฝ่ายพูดก่อนพร้อมรอยยิ้ม “งั้นมาเริ่มกันเลยไหมครับ”



            “หืม”



            “ภูมิจะให้พี่สอนที่ไหนดีครับ ห้องนั่งเล่น หรือห้องภูมิ”



            เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้สมองประมวลผลคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นที่ตนกับครูสอนพิเศษกำลังนั่งอยู่สองคน แล้วเริ่มไตร่ตรองความเหมาะสมทั้งหลายแหล่



...ถ้าเป็นห้องนอนมันออกจะแคบไปหน่อย แถมเขายังไม่ได้จัดห้องอีกต่างหาก ห้องนั่งเล่นแหละกว้างดี อยู่ใกล้ครัว หยิบของกินอะไรก็ง่าย



            คิดได้ดังนั้นจึงหันไปตอบ “ห้องนั่งเล่นแล้วกัน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”



            “ครับ”



            พออีกฝ่ายตอบง่ายๆ ภูมิก็หายเข้าไปในครัวครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับน้ำเปล่าขวดเล็กสองขวด เขาไม่รู้ว่าพี่โฟล์คชอบน้ำอะไรจึงรินนำส้มของโปรดตัวเองมาด้วยอีกสองแก้ว



            ก็เขามาสอนให้ฟรีนี่นา ต้องบริการดีหน่อย



            “จะเริ่มกันเลยมั้ยพี่” ภูมิถามเมื่อนั่งลงหน้าโซฟา แต่อีกคนกลับส่ายหน้า



            “พี่ยังไม่รู้เลยครับว่าจะสอนอะไรภูมิ”



            อะไรของพี่โฟล์ควะ



            “อ้าว พี่ไม่ได้เตรียมมาเหรอ”



            “เตรียมครับ แต่ในเมื่อพี่ยังไม่รู้ว่าภูมิอยากเรียนอะไร แล้วพี่จะสอนภูมิได้ยังไง”



            ภูมิชะงักไปทันที



            ...คนตรงหน้าหมายความว่ายังไง ยังไม่รู้จะสอนอะไรเพราะยังไม่รู้ว่าเขาอยากเรียนอะไร...



            ...มีคนเคยสนใจด้วยหรือไง...มีคนเคยถามความต้องการของเขาด้วยหรือไง...



            เรื่องที่เขาอยากเรียนนิเทศฯ น่ะ...ไม่ใช่ว่าไม่เคยพูดกับทางบ้าน แต่ทั้งพ่อทั้งพี่ภาคย์ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาเลยสักคน ทุกคนอ้างแต่เรื่องอนาคต บอกว่านิเทศฯ เป็นอาชีพในโลกแห่งความฝันที่เขาเพ้อเจ้อไปเอง แต่สิ่งสำคัญคืออนาคตที่เขาต้องดำรงชีพให้ได้ และหมอก็เป็นอาชีพที่จะตอบโจทย์นี้ได้



            ภูมิเคยโต้แย้งหลายครั้งจนเกิดเป็นเรื่องทะเลาะใหญ่โต ทั้งพ่อทั้งพี่...ไม่มีใครอยู่ข้างเขา หรือเห็นด้วยกับเขาเลยสักคน จนเขารู้ว่าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์หากจะคุยเรื่องนี้กันอีก



            ทุกวันนี้ภูมิพยายามทำตัวไม่เรื่องมาก พ่อสั่งให้เรียนอะไรก็เรียน ให้ทำอะไรก็ทำ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็แลกมากับการปิดกั้นตัวเอง ไม่โต้แย้ง...แต่มีความคิดที่คัดค้านในใจมาตลอด



            ด้วยเหตุนี้ ประโยคที่พี่โฟล์คเพิ่งถามเมื่อครู่จึงเป็นประโยคที่เขาไม่ได้รับบ่อยนัก



            ...มีคนสนใจจริงๆ หรือว่าเขาอยากเรียนอะไร



            “สอบหมอต้องใช้หลายวิชานะ ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข อังกฤษ ไทย สังคม ภูมิอยากเรียนวิชาไหนกับพี่ก่อนล่ะครับ หรือมีวิชาไหนที่คิดว่ายังไม่ถนัดไหม”

 

           ราวกับความหวังในใจดับวูบลง



...อะไรกัน ที่แท้ก็เหมือนเดิม...



            ...แค่จะให้ช่วยเลือกว่าจะสอนวิชาอะไรก่อนเท่านั้นสินะ...



ภูมิหลุบสายตาลงต่ำก่อนตอบส่งๆ  ปัดความผิดหวังในใจทิ้ง “อะไรก็ได้ ผมไม่เก่งสักวิชานั่นแหละ”



...บ้าจริงๆ  ...จะหวังอะไรกับคนที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียว



“งั้นพี่ขอดูใบเกรดของภูมิเทอมนี้ได้ไหมครับ”



“อือ เดี๋ยวไปหยิบมาให้”



ภูมิว่าเสียงเรียบ ก่อนเดินหายขึ้นไปบนห้องนอน









 

โฟล์คนั่งมองนาฬิการุ่นโบราณที่มีหน้าปัดเป็นเลขโรมัน เข็มยาวกระดิกไปเรื่อยๆ บ่งบอกเวลาที่ผ่านไปเกือบห้านาที ทั้งที่การขึ้นไปเอาใบเกรดใบเดียวไม่น่าใช้เวลานานขนาดนี้



ใจหนึ่งก็คิดว่าจะขึ้นไปตามเผื่อเกิดอะไรขึ้น แต่อีกใจก็คิดว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เขามาทำหน้าที่เป็นครูให้น้องชายของเพื่อนสนิท จึงควรปล่อยไปสบายๆ ไม่เร่งรัดอะไรมาก เพราะวัยรุ่นสมัยนี้มีโลกส่วนตัวสูง ยิ่งเป็นการสอนแบบตัวต่อตัวด้วยแล้ว ความเข้าใจในตัวของลูกศิษย์เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะละเลย



แต่เมื่อคิดถึงสีหน้าของภูมิยามที่ตอบคำถามเขาเมื่อครู่นี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ ...ทำไมลักษณะการแสดงออกถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น



...ไอ้ภาคย์บอกว่าช่วยติวให้น้องมันสอบเข้าหมอที เขาก็เตรียมการสอนมาหมดแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมถามความต้องการของอีกฝ่ายว่าอยากเรียนวิชาอะไร หรืออยากได้การสอนรูปแบบไหน



แต่ดวงตาที่ฉายแววผิดหวังของเด็กคนนั้น...หรือเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป











 

“พอภูมิลองเอาสมการสองอันนี้มาเท่ากันก็จะเหลือตัวแปรแค่ตัวเดียว เห็นมั้ยครับ ได้คำตอบออกมาแล้ว”



เสียงของพี่โฟล์คดังอยู่ข้างหู พร้อมกับลากนิ้วชี้ไปมาบนกระดาษตามคำอธิบาย



ภูมิไม่ได้แย้งอะไรนัก นอกจากก้มหน้าก้มตาทำตัวเป็นลูกศิษย์ว่านอนสอนง่าย ทำตามคำสั่งของครูสอนพิเศษคนใหม่



“โอเคครับ ข้อนี้ภูมิมีอะไรสงสัยหรือเปล่า ถ้าไม่มีจะได้ข้ามไปข้อต่อไป”



“ไม่มีฮะ ต่อได้เลย”



ภูมิงึมงำขณะพลิกชีทวิชาเคมีซึ่งเป็นการบ้านจากที่โรงเรียน เพราะตอนแรกไม่รู้ว่าจะให้อีกฝ่ายสอนอะไรดี นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีการบ้านวิชาเคมีแบบที่เรียกว่าเยอะบานตะไท เลยถือโอกาสเอามาให้พี่โฟล์คสอนจะได้ไม่ต้องทำเอง นั่นไง...ฉลาดไหมล่ะครับ



“งั้นเหรอครับ” พี่โฟล์คตอบรับในลำคอ “ภูมิก็ดูเข้าใจหมดแล้วนะ พี่ไม่ต้องสอนยังได้เลย หรือว่าอยากให้พี่เน้นตรงไหนเป็นพิเศษก็บอกได้นะครับ”



เพราะเท่าที่โฟล์คเห็น อธิบายแค่นิดหน่อยเด็กตรงหน้าก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้เวลามาก เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กหัวไวพอสมควร อยากจะกลับไปบอกไอ้ภาคย์จริงๆ ว่าถ้าภูมิมุ่งมั่นอยากเป็นหมอก็มีสิทธิ์ลุ้นไม่น้อย บางทีเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่ครูสอนพิเศษก็ได้



“ไม่หรอก เพราะพี่สอนเก่งนั่นแหละ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงทำช้ากว่านี้เยอะ”



ภูมิไม่ได้พูดยอเกินความจริงเลย จริงอยู่ที่เนื้อหาเคมีบทนี้เขาพอมีความเข้าใจบ้าง แต่คำอธิบายของพี่โฟล์คทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ทั้งยังมีเทคนิคการทำโจทย์แทรกให้หลายข้อ



อย่างที่บอก...เขาจำใจเรียนจนชินไปแล้ว ถึงจะไม่ได้ชอบวิชาเคมี แต่ถ้าให้เรียนก็เรียนได้



“ฮ่าๆ ได้ยินอย่างนั้นพี่ก็ดีใจนะครับ” โฟล์คหัวเราะร่วน



ภูมิเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ  ไม่ได้โต้ตอบอะไรไปมากกว่านี้ ก่อนจะก้มหน้าทำโจทย์ข้อต่อไป โดยมีพี่โฟล์คทำหน้าที่แนะแนวทางให้ตามความสมควร



เวลาล่วงเลยไปจนเกือบหนึ่งทุ่ม การบ้านของภูมิเสร็จเรียบร้อยหมดทุกข้อ โฟล์คเองก็คิดว่าหมดหน้าที่ของตนในวันนี้แล้วจึงตั้งใจจะเอ่ยลา ทว่าคนตัวเล็กกว่ากำลังชุลมุนกับการจัดชีทให้เป็นระเบียบ จึงเผลอผลักแก้วน้ำส้มที่วางอยู่บนโต๊ะจนล้ม



ซ่า



น้ำส้มที่เหลือประมาณครึ่งแก้วหกรดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของเขาอย่างจัง



“เฮ้ย! ผมขอโทษนะพี่”



ภูมิเบิกตากว้าง รีบละล่ำละลักขอโทษทันใด พร้อมทั้งจัดแจงคว้าทิชชู่เกือบทั้งกล่องมาเช็ดๆ ถูๆ เสื้อของคนที่โดนน้ำหกใส่ จนอีกฝ่ายต้องรีบร้องห้าม



“เรื่องแค่นี้เองครับภูมิ ไม่เป็นไรหรอก”



โฟล์คเห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของคนตรงหน้าก็นึกขำ กระนั้นก็เก็บอาการไว้ไม่กล้าหัวเราะดัง ผิดกับภูมิที่ไม่ได้โดนอะไรเลยแต่กลับดูเดือดร้อนแทนจะเป็นจะตาย



 “ผมขอโทษจริงๆ นะพี่ ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อห้องผมก่อนมั้ย”



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ใช้น้ำล้างแป๊บเดียวก็ได้แล้ว ภูมิพาพี่ไปล้างในครัวก็ได้” โฟล์คเอ่ยปฏิเสธด้วยความเกรงใจ



ภูมิเร่งพาร่างสูงไปยังห้องครัวด้วยสีหน้าสำนึกผิด มือเล็กเอื้อมไปเปิดก๊อกน้ำอย่างร้อนรน แต่คงเป็นเพราะรีบร้อนเกินไปจนเผลอดันหัวบิดจนสุด ด้วยความที่ก๊อกน้ำเก่ามากแล้วฝาครอบจึงหลุดออกมา น้ำจึงทะลักออกจากก๊อกเต็มแรง โดนคนตัวเล็กซึ่งเป็นผู้เปิดก๊อกเข้าอย่างจัง



“เฮ้ย!” ภูมิร้องลั่นด้วยความตกใจ เผลอยกสองแขนขึ้นป้องหน้าตนเองแล้วถอยหลังจนชนกับคนตัวสูงกว่า โฟล์ครีบจับร่างเล็กเอาไว้เพราะกลัวจะเดินไปชนอย่างอื่น



“ใจเย็นนะครับภูมิ เดี๋ยวพี่ช่วย”



โฟล์คดันคนที่จับอยู่ให้เบี่ยงหลบไปอีกทาง ก่อนจะเดินเข้าหาก๊อกแล้วดันหัวบิดไปในทิศตรงข้ามจนน้ำหยุดไหล แล้วจึงจัดการกับฝาครอบอย่างใจเย็น จนทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



“ขะ...ขอโทษนะพี่” ภูมิพูดเสียงอ่อย มองร่างสูงตรงหน้าที่เปียกหนักกว่าเดิมเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ตาละห้อยเหมือนลูกหมาที่กลัวเจ้านายดุ



“ไม่เป็นไรครับ” โฟล์คว่าอย่างไม่ถือสา ทั้งยังนึกขำกับท่าทางของน้องชายเพื่อนสนิทที่เหมือนจะหดตัวลีบ ชนิดที่ว่าหากมุดตัวไปหลบใต้โต๊ะได้คงทำไปแล้ว “ภูมิเปียกหนักกว่าพี่อีกนะ ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”



“ฮื่อ”



ว่าง่ายซะยิ่งกว่าเดิม ...ก็มีชนักติดหลังขนาดนี้นี่นา



เมื่อเข้ามาในห้อง ภูมิก็รีบค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อเปลี่ยน ตั้งใจจะหยิบเผื่ออีกคนด้วย แต่ดันนึกขึ้นได้ว่าขนาดตัวต่างกันคนละเรื่องนี่สิ แถมห้องพี่ภาคย์ก็คงล็อกอยู่แน่ๆ  แล้วพี่โฟล์คจะหาเสื้อเปลี่ยนจากไหนล่ะ



“เอ่อ..พี่โฟล์ค คือว่า...” ภูมิหันไปหาพี่โฟล์คด้วยสีหน้าสำนึกผิดเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน จนอีกฝ่ายพอจะเดาได้เลยรีบบอก



“ไม่เป็นไรครับ พี่กะจะไม่เปลี่ยนอยู่แล้ว ภูมิเปลี่ยนเสื้อไปเถอะ”



“เฮ้ย ไม่ดีหรอกพี่” ทำอย่างนั้นก็โคตรเอาเปรียบน่ะสิ... “เอางี้ๆ ผมจำได้ละว่ามีไซส์ใหญ่ตัวนึง ผมชิงโชคได้มาแต่ใส่ไม่ได้ เดี๋ยวหยิบให้นะพี่ รอแป๊บนึง” พูดรัวเร็วแล้วคว้าเก้าอี้ปีนขึ้นไปบนตู้เสื้อผ้า ความหากล่องใส่เสื้อที่เก็บไว้ด้านบนตู้จนเจอ ทว่าเมื่อจะปีนลงมากลับเสียหลักจนร่างเอน “เฮ้ย...!”



หมับ



เป็นโฟล์คที่เข้ามาประคองไว้ได้ทัน แต่ด้วยความชุลมุนเมื่อครู่ ร่างสองร่างจึงอยู่ในท่าล่อแหลม หลังของภูมิแนบชิดกับอีกฝ่ายแทบจะทั้งตัว ในขณะที่โฟล์คก็กะแรงประคองไม่ทันจึงเผลอรัดแน่น กระนั้นร่างสูงก็ยังเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง



“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”



เสียงที่ดังข้างหูทำให้ภูมิได้สติ รู้สึกเสียววูบในใจแปลกๆ จึงรีบดันตัวออกมา ก่อนหันไปตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่กล้าสบตา “ไม่...ไม่ได้เป็นอะไร เอ่อ ขอบคุณนะพี่ ผมไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ”



ว่าแล้วก็คว้าเสื้อของตัวเองวิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำ ทิ้งกล่องเสื้อของอีกฝ่ายไว้กับพื้น จนโฟล์คได้แต่มองตามอย่างงุนงง



...รีบอะไรขนาดนั้น



ร่างสูงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนก้มลงหยิบกล่องขึ้นมา เมื่อเปิดออกก็พบเสื้อสีเขียวสกรีนลายหนังชื่อดังเรื่องหนึ่งที่บูมมากเมื่อสองสามเดือนก่อน ที่ว่าชิงโชคคงจะชิงโชคจากหนังเรื่องนี้สินะ



โฟล์คถอดเสื้อเชิ้ตออกก่อนจะหยิบเสื้อยืดสกรีนมาสวม แม้จะเกรงใจเจ้าของเล็กน้อย แต่พอเห็นท่าทางกระตือรือร้นและสำนึกผิดของคนตัวเล็กก็ปฏิเสธไม่ลง



เขาอาจจะเพี้ยนไปแล้วที่แวบหนึ่งดันคิดขึ้นมาว่า ท่าทางอย่างนั้น...น่ารัก











 

สงบใจหน่อยสิโว้ย! เป็นบ้าอะไรฮะไอ้ภูมิ



คนที่อยู่ในห้องน้ำสบถกับตัวเองซ้ำๆ  ทั้งเปลี่ยนเสื้อก็แล้ว เปิดน้ำล้างหน้าก็แล้ว ก็ไม่มีท่าทีว่าหัวจะเย็นลง



เป็นไรของกูวะเนี่ย!



ครั้งนี้ภูมิพยายามตั้งสติแล้วหายใจ นับหนึ่งถึงสิบช้าๆ  พิงหลังกับกำแพงแล้วเป่าปาก



“ฮู่ว...”



เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างตบหน้าตัวเองสามทีเป็นการเรียกสติรอบสุดท้าย แล้วจึงผลักประตูห้องน้ำออกไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าควรทำหน้าอย่างไรดี



แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เจ้าของห้องชะงัก เมื่อร่างสูงในเสื้อยืดสกรีนกำลังนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกีตาร์โปร่งที่เขาจำได้ว่าเป็นของเขา ภูมิเผลอเอ่ยเบาๆ “พี่โฟล์ค...”



ให้ตายเถอะ ทำไมคนจะหล่อนี่มันต้องหล่อแบบบรมโคตรด้วยวะ! ขนาดใส่เสื้อยืดสกรีนธรรมดายังเป็นการเพิ่มราศีให้เสื้อ ภูมิล่ะไม่เข้าใจจริงๆ



โฟล์คเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก “อ้าว เสร็จแล้วเหรอครับภูมิ”



ภูมิไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่สนใจกีตาร์ที่อยู่ในมืออีกฝ่าย “พี่โฟล์คเล่นเป็นด้วยเหรอ”



“หืม...เปล่าหรอก พี่เห็นมันวางอยู่เลยหยิบขึ้นมาเล่นระหว่างรอภูมิน่ะ” โฟล์คอธิบาย แต่พอเห็นเจ้าของกีตาร์ตัวจริงเงียบไปก็รู้สึกใจไม่ดี จึงเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ “เอ่อ ภูมิโกรธหรือเปล่าที่พี่เอามาเล่นโดยไม่ขออนุญาต...”



“เฮ้ย เปล่านะพี่ ไม่ๆ” ภูมิรีบเอ่ยแก้เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใจความเงียบของตนผิดไปคนละทาง “ผมแค่ไม่ค่อยเห็นภาพนี้น่ะ คือ...พ่อกับพี่ภาคย์ไม่เคยสนใจดนตรี ผมเลยรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”



“ไอ้ภาคย์มันก็ดิบเถื่อนของมันอย่างนั้นแหละ ดนตรีศิลปะอะไรไม่เคยสนใจหรอก” โฟล์คว่าพลางหัวเราะ



“ผมก็ว่างั้น... เออ พี่โฟล์คลองเล่นให้ผมฟังหน่อยดิ”



“พี่เล่นไม่เป็นครับ” เขาโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ตั้งท่าจะส่งกีตาร์คืนเจ้าของ แต่ภูมิกลับดันห้ามไว้



“เอาน่า ผมสอนก็ได้”



ภูมิรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แทบจะลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปจนหมด แถมยังกุลีกุจอไปนั่งด้านซ้ายของอีกฝ่ายเพื่อจะได้สอนจับคอร์ดได้ถนัด จนร่างสูงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย



“เอาคอร์ดซีก่อนนะ เป็นคอร์ดโคตรเบสิคเลย พี่เอานิ้วชี้กดสายสองเฟร็ดแรก เออลืมบอก...นับสายจากเส้นล่างสุดนะพี่ หนึ่งสองสามสี่ห้าหกขึ้นมาอย่างนี้” ภูมิว่าแล้วชี้ให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ “ส่วนเฟร็ดก็นับมาตามช่อง เออนั่นแหละๆ  แล้วก็นิ้วกลางกดสายสามเฟร็ดสอง นิ้วนางกดสายห้าเฟร็ดสาม อะ...พี่ลองดีดดู”



แกรก...



“ทำไมเสียงเป็นอย่างนี้ล่ะครับ”



“ก็บอดไงพี่ เล่นครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้ทุกคน” ภูมิบอกเมื่อเห็นสีหน้าของพี่โฟล์คแสดงความสงสัยกับเสียงแปร่งๆ ที่ออกมา “พี่ลองกดแรงกว่านี้หน่อยนะ แล้วมือขวาอ่ะไม่ต้องยกสูงขนาดนั้น สะบัดแค่ข้อมือก็พอ มือซ้ายที่กดคอร์ดก็ระวังอย่าให้โดนสายอื่น แค่เนี้ยง่ายๆ”



โฟล์คลองดีดอีกเกือบสิบรอบ เสียงที่ออกมาก็ยังเหมือนเดิม ไม่เข้าใจว่ามันง่ายเหมือนที่อีกฝ่ายบอกยังไง ขนาดเขาว่าเขาเป็นผู้ชายมือด้านแล้วนะ ยังรู้สึกเจ็บนิ้วแปลบๆ อย่างบอกไม่ถูก



“พี่เจ็บนิ้วแล้วครับภูมิ ภูมิลองเล่นให้พี่ฟังบ้างสิ”



เขารบเร้าเพราะอยากเห็นฝีมือการเล่นของคนตัวเล็กบ้าง ซึ่งภูมิก็รับกีตาร์มาถือไว้แต่โดยดี ก่อนจะหันไปหยิบหนังสือคอร์ดเพลงแล้วยื่นให้



“พี่เลือกเพลงมาดิ ผมเล่นได้หมดแหละ”



ไม่ได้อวดนะครับแหม...ขอแค่มีคอร์ดภูมิก็มั่นใจเต็มร้อย มือกีตาร์ของวงโรงเรียนซะอย่างนี่นา



โฟล์คสุ่มเปิดเพลงมาเพลงหนึ่งแล้วส่งคืน ภูมิรับมาก่อนจะเริ่มดีดคอร์ดแรกเพื่อหาคีย์ที่จะร้อง



พอหาคีย์ได้แล้ว ภูมิก็ดีดเป็นจังหวะช้าๆ ตามต้นฉบับ แล้วจึงเริ่มร้องออกมาเบาๆ  ถึงแม้ภูมิจะไม่ได้เสียงดีเทียบเท่านักร้องของวง ...แต่น้ำเสียงใสกังวานก็ทำให้โฟล์คเผลอตั้งใจฟังอยู่ชั่วขณะ



...ลูกศิษย์ของเขาคนนี้ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมีความเป็นธรรมชาติ และกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ทำจริงๆ



ภูมิดีดกีตาร์ครั้งสุดท้ายเชื่องช้าเพื่อเป็นการจบเพลง



ห้องทั้งห้องเหลือเพียงความเงียบโรยตัว และสายตาของคนสองคนที่มองกันนิ่ง...โดยไม่มีใครพูดอะไร



ภูมิถึงกับทำตัวไม่ถูก ด้วยความใกล้ชิดที่ตอนแรกเจ้าตัวไม่ทันสังเกตเพราะเอาแต่อยากสอนกีตาร์ ทำให้แววตาที่สบกันตอนนี้มันใกล้...ใกล้จนเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาคู่คม จนภูมิต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา แล้วขยับตัวออกมาเล็กน้อย



โฟล์คเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องคนตัวเล็กนานเกินไป จึงขยับตัวแล้วกระแอมเบาๆ



“ภูมิ...เล่นกีตาร์เก่งดีนะ” เป็นประโยคเดียวที่เขาคิดขึ้นมาได้ ซึ่งคนถูกชมก็ทำได้เพียงยิ้มรับแห้งๆ ก่อนจัดการพิงเครื่องดนตรีในมือไว้ข้างเตียงตามเดิม



-------------------------------------- TBC -------------------------------------------



แฮ่ เลยวันอังคารไปนิดหน่อย แต่ก็ถือยังเป็นคืนวันอังคารได้อยู่เนอะ

ตอนหน้าเจอกันวันพฤหัสค่า <3

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: Love after school ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 1 (04/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-07-2018 11:52:17
 :pig2: ตามครับ
หัวข้อ: Re: Love after school ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 1 (04/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 05-07-2018 12:17:35
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Love after school ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 1 (04/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-07-2018 12:27:14
 :L2: :pig4:
ช่วยน้องหน่อย
หัวข้อ: Re: Love after school ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 2 (05/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 05-07-2018 20:34:54
Chapter 2 : คนที่เริ่มเข้าใจ



            วันนี้ภูมิมาโรงเรียนสายกว่าปกติด้วยท่าทางสะลึมสะลืออย่างบอกไม่ถูก



            วงดนตรีของภูมินัดซ้อมทุกวันตอน 7.15 จนถึง 8.30 และเป็นโชคดีของวงดนตรีโรงเรียนที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติเหมือนคนอื่นๆ  ภูมิมองนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกว่าเขาสายไปแล้วห้านาที ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะเร่งพาตนเองผ่านสนามฟุตบอลเพื่อไปยังห้องดนตรี



            ทันทีที่ภูมิเปิดประตูเข้าไป เสียงต้อนรับก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากเพื่อนร่วมวง



            “ไอ้ภูมิมาสาย จ่ายมาห้าบาทเลยโว้ย!”



            “เออๆ รู้แล้วน่า”



            มีกฎว่าหากใครในวงมาสายจะถูกปรับนาทีละหนึ่งบาท ซึ่งก็สร้างเงินทุนเข้าวงได้มากโข สำหรับคนที่มาเช้าอยู่แล้วก็สบายไป แต่คนที่มาสายเป็นประจำก็เรียกได้ว่ากระเป๋าแฟบเลยทีเดียว



            ทุกคนในวงเซ็ตเครื่องดนตรีเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงภูมิที่ต้องรีบวางกระเป๋าแล้วเดินไปเสียบปลั๊กแอมป์กีตาร์ ก่อนหยิบเอฟเฟกต์มาต่อเข้ากับเครื่อง เปิดแอมป์แล้วปรับความดังเสียงให้พอเหมาะจนเข้าที่เข้าทาง



เสียงดนตรีดังกระหึ่มในห้องเก็บเสียง แต่นักดนตรีทุกคนกลับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาและชินกันเสียแล้ว หากเป็นคนนอกเข้ามาได้ยินคงหนวกหูไม่น้อย



            ภูมิดีดกีตาร์ตามจังหวะของเพลงแต่ละเพลงซึ่งมีทั้งร็อคและแนวอื่นๆ สลับกันไป อย่างหนึ่งที่ทำให้เขาชอบการเล่นดนตรีเป็นวงคือการที่ทุกคนเล่นเครื่องดนตรีของตัวเองไปพร้อมๆ กันจนผสมผสานเป็นเพลง โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดอะไรเลย กระนั้นใบหน้าของสมาชิกทุกคนก็ประดับด้วยรอยยิ้ม



            ภูมิรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจทุกครั้งที่ได้ซ้อม และไม่เคยรู้สึกว่าเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ นี้ผ่านไปเชื่องช้าหรือน่าเบื่อ



            จนกระทั่งออดเข้าเรียนคาบแรกดังขึ้น ทุกคนจึงทยอยเก็บของและเตรียมตัวขึ้นห้องเรียน ขณะที่ภูมิกำลังเช็ดสายกีตาร์ พี่เปิ้ล...รุ่นพี่สาวมอหกซึ่งประจำตำแหน่งมือคีย์บอร์ดในวงก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ



            “ภูมิ วันนี้รีบกลับหรือเปล่า”



            “ก็...ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” เขาหันไปตอบ แม้จะลังเลเพราะนึกถึงการเรียนพิเศษที่จะมีในตอนเย็น



            “งั้นภูมิช่วยอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหม” พี่เปิ้ลทำหน้าอ้อนตามแบบฉบับของตัวเอง ภูมิหัวเราะหน่อยๆ



            “ลองบอกมาสิครับพี่ ถ้าผมช่วยได้ก็จะช่วย อ๊ะ...แต่เรื่องเงินขอปฏิเสธนะครับ”



            “ไม่ใช่สักหน่อย คืองี้...ห้องของพี่มีงานวิชาสุขะ อาจารย์ให้ทำโฆษณาต่อต้านยาเสพติดน่ะ แล้วคือต้องส่งอาทิตย์หน้าแล้ว แต่พวกพี่ลืมทำ โธ่...อย่าเพิ่งมองอย่างนั้นสิ” พี่เปิ้ลรีบทำเสียงอ่อนทันทีเมื่อเขาจ้องเขม็ง “ก็งานมอหกมันเยอะนี่นา ไหนจะเตรียมสอบนู่นนี่ พวกเราเลยลืมกันซะสนิทเลย กลุ่มพี่ก็ไม่มีใครมีหัวด้านนี้เลยสักคน ภูมิชอบถ่ายวีดิโอใช่ไหมล่ะ ช่วยพี่หน่อยนะ เนี่ย วันนี้พี่เอากล้องมาให้ด้วย พล็อตคร่าวๆ ก็คิดกันไว้แล้ว แค่อยากได้ตากล้องที่มีมุมภาพเจ๋งๆ ตัดต่อดีๆ ใส่ซาวด์เทพๆ แค่นั้นเอง”



            “แล้วผมเข้าข่ายตรงไหนไม่ทราบครับ” ภูมิเบ้ปาก “ผมชอบถ่ายวีดิโอก็จริง แต่ไอ้เรื่องมุมภาพเจ๋งซาวด์เทพน่ะผมทำไม่ได้หรอก”



            “พี่เชื่อว่าภูมิทำได้! นะๆๆๆ ภูมิ น้าาา”



            ว่ากันว่าผู้หญิงมีความสามารถในการใช้ลูกอ้อนรบเร้าได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งภูมิเพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้เอง เพราะในที่สุดเขาก็ตอบตกลงไป



            ภูมิโบกมือลาเพื่อนร่วมวงขณะแยกย้ายกันไปเรียน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์โนเกียคู่ใจออกมาแล้วกดเข้าไอคอนข้อความ เลือกชื่อของคนที่ต้องการจะส่งแล้วพิมพ์เนื้อหาลงไป



            ‘พี่ภาคย์ ฝากบอกพี่โฟล์คทีสิว่าวันนี้เรียนไม่ได้แล้ว พี่เปิ้ลขอให้ช่วยอัดวีดิโอ’



          ภูมิเช็คข้อความสองสามรอบก่อนกดส่ง แล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม



            หากเป็นปกติภูมิมั่นใจว่าทั้งพ่อและพี่ภาคย์คงไม่สนับสนุนให้เขาทำกิจกรรมพวกนี้แน่ แต่ครั้งนี้อ้างชื่อพี่เปิ้ลไปเลยสบายใจได้ว่าพี่ภาคย์คงไม่ว่าอะไรนัก เพราะพี่เปิ้ลกับพี่ภาคย์เป็นสายรหัสกันตอนเรียน และพี่ภาคย์ก็เอ็นดูพี่เปิ้ลพอสมควร



            พอไปถึงห้องเรียนก็พบว่าซันจองที่นั่งไว้ให้แล้ว ภูมิจึงก้มหัวเป็นเชิงขออนุญาตอาจารย์ที่สอนหน้าห้อง ก่อนจะเข้าไปนั่งที่ตามระเบียบ มือก็ควานหาชีทกับกล่องดินสอขึ้นมาเหมือนจะตั้งใจเรียน แต่เอาเข้าจริงเขาก็แค่สร้างภาพไม่ให้เป็นที่เพ่งเล็งของอาจารย์เท่านั้น คนอย่างไอ้ภูมิเคยตั้งใจเรียนที่ไหนล่ะครับ



            เสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้งต่อกัน ภูมิจึงหยิบขึ้นมาแล้วปลดล็อกหน้าจอ พบว่ามีข้อความเข้าสองข้อความจริงๆ  ข้อความแรกมาจากพี่ภาคย์ซึ่งตอบกลับมาว่าอนุญาต ส่วนอีกข้อความมาจากพี่เปิ้ลซึ่งส่งพล็อตเรื่องคร่าวๆ ของโฆษณา รวมทั้งเวลานัดหมายตอนเย็นมาให้



            ภูมิอ่านแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ...แน่ใจหรือว่าเป็นพล็อตเรื่อง เขาพบว่ามันเป็นเพียงไอเดียคร่าวๆ เท่านั้น ยังไม่มีรายละเอียดมาเลยว่าต้องการจะสื่อในรูปแบบไหน หรือเนื้อหาเรื่องที่จะถ่ายเป็นอย่างไร



            ...หมายความว่าเขาต้องเป็นคนคิดทั้งหมดสินะ











 

            “ภูมิ รอนานไหม”



            พี่เปิ้ลร้องทักเสียงใสแจ๋ว เมื่อภูมิหันไปมองก็พบว่านอกจากรุ่นพี่สาวแล้วยังมีก๊วนเพื่อนสนิทมาอีกสี่คน บางคนภูมิก็รู้จักเพราะเคยเห็น แต่บางคนก็ไม่คุ้นหน้า



            “นานจนรากงอกแล้วอ่ะพี่” ภูมิว่าติดตลก พี่เปิ้ลถลึงตาใส่ เขาจึงหัวเราะแล้วพูดต่อ “โอเคไม่แกล้งละ เข้าเรื่องกันเลยเนอะ จากคอนเซปต์โฆษณาที่พี่ส่งให้ผมเมื่อเช้า ผมว่านักเรียนเป็นตัวสื่อก็ดีนะ ที่ผมคิดมาคืออย่างนี้...”



            แล้วภูมิก็ใช้เวลาประมาณสิบนาทีอธิบายรูปแบบของคลิปวีดิโอที่เขาตั้งใจจะทำ เมื่อตกลงกันได้แล้วภูมิจึงเริ่มถ่ายแต่ละฉาก ทำหน้าที่เป็นทั้งตากล้องและผู้กำกับ กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปจนเกือบหกโมงเย็น



            ขณะที่ภูมิกดดูคลิปที่ถ่ายอีกรอบเพื่อเช็คความเรียบร้อย เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ภูมิจึงวางกล้องลงข้างตัวแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์ประหลาดที่ภูมิไม่เคยเห็น แต่เขาก็กดรับพร้อมกรอกเสียงลงไป “ฮัลโหล”



            [ภูมิ นี่พี่เองนะครับ]



            “ครับ?” ภูมิตอบรับอย่างงงๆ  ใช้เวลาประมาณสามวินาทีในการจะนึกถึงเจ้าของเสียง



เฮ้ย...เสียงนี้มัน...



“พี่โฟล์ค!”



[ใช่ครับ ตอนนี้ภูมิยังอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่า] ปลายสายตอบกลับมา



“อ่า อยู่พี่ เพิ่งถ่ายวีดิโอเสร็จพอดี กำลังจะกลับ”



[ไอ้ภาคย์บอกพี่เรื่องที่ภูมิติดงานแล้วนะ ตอนนี้พี่มาทำธุระแถวโรงเรียนภูมิ ให้พี่รับกลับบ้านไหม]



“อ่า” ภูมิลังเลเล็กน้อย เพราะเพิ่งรู้จักกับพี่โฟล์คได้แค่วันเดียวเลยอดเกรงใจไม่ได้ แต่ยังไงพี่โฟล์คก็เป็นเพื่อนสนิทพี่ภาคย์ ...คงไม่มีปัญหามั้ง “เอางั้นก็ได้ พี่โฟล์คใกล้ถึงยังอะ”



[อีกสักสิบนาทีครับ]



“โอเค งั้นเดี๋ยวผมรอหน้าโรงเรียนนะ”



[โอเคครับ แล้วเจอกัน]



ภูมิกดวางสาย พร้อมกับที่พี่เปิ้ลเดินเข้ามาหา



“เรียบร้อยไหมภูมิ มีอะไรต้องแก้อีกหรือเปล่า”



“ไม่มีแล้วล่ะ เดี๋ยวผมเอากลับไปตัดต่อแล้วก็ใส่ซาวด์ให้ อ้อ พี่เปิ้ลอย่าลืมส่งรายชื่อกลุ่มพี่ให้ผมด้วยนะ ต้องใส่ในวีดิโอด้วยใช่ไหม”



พี่เปิ้ลพยักหน้าให้อย่างกระตือรือร้น ซ้ำยังส่งสายตาหวานฉ่ำจนภูมิขนลุก “ขอบคุณมากเลยนะน้องภูมิสุดหล่อของพี่ เดี๋ยวว่างๆ จะไปพาเลี้ยงบุฟเฟต์ เคปะ”



“ไม่พลาดอยู่แล้ว”



ตอบแบบทีเล่นทีจริงไปงั้นแหละครับ เห็นพี่เปิ้ลบอกจะเลี้ยงทีไรก็ลืมทุกที



หลังจากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกลับบ้าน พ่อของพี่เปิ้ลมารอรับนานแล้ว ส่วนเพื่อนของพี่เปิ้ลบางคนก็อยู่หอใกล้ๆ โรงเรียน บางคนก็รอผู้ปกครองมารับ



ภูมินั่งรออยู่ในโรงเรียนประมาณห้านาทีพี่โฟล์คก็โทรเข้ามาบอกว่าถึงแล้ว พร้อมทั้งบอกยี่ห้อและเลขทะเบียนรถเสร็จสรรพ



เมื่อภูมิเดินออกไปก็ถึงกับตะลึงค้าง เพราะร่างสูงที่คุ้นตาในชุดนักศึกษากำลังยืนพิงรถเบนซ์คันสีดำด้วยมาดคุณชายสุดฤทธิ์ แบบที่คนรอบข้างยังต้องหันมามอง ขนาดเขาเองยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินเข้าไปหา จนเจ้าของรถหันมาเห็นจึงเอ่ยทัก “อ้าวภูมิ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไมครับ”



“เอ่อ” ภูมิเกาท้ายทอยแก้เก้อ พร้อมทั้งก้าวเข้าใกล้รถโดยเสมองไปทางอื่น “รถพี่โคตรหรูเลยว่ะ”



โฟล์คหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้อีกฝ่าย “ขึ้นรถได้เลยครับ”



ตลอดทางบนรถมีเพียงเสียงแอร์กับเสียงดีเจจากคลื่นวิทยุ ภูมิอดรู้สึกอึดอัดไม่ได้ ทั้งจากบรรยากาศในรถหรูที่ไม่คุ้นชิน และจากความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคนที่มีฐานะเป็นเพื่อนของพี่ชาย อ้อ...และเป็นครูสอนพิเศษด้วย



ทว่าจู่ๆ ร่างสูงที่ขับรถอยู่ก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาโดยไม่ได้หันมามอง “กล้องวีดิโอตัวนั้นของภูมิเหรอครับ”



“หืม” ภูมิก้มลงมองกล้องวีดิโอที่ตนวางไว้บนตัก ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก เป็นของรุ่นพี่ที่ผมช่วยอัดวีดิโอให้น่ะ”



“เป็นวีดิโอเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ เล่าได้หรือเปล่า”



“ฮื่อ เป็นโฆษณารณรงค์เรื่องยาเสพติด นี่ผมก็อัดเสร็จแล้ว เหลือแค่เอากลับไปตัดต่อกับใส่ซาวด์ให้เนียนๆ”



ประโยคที่ฟังดูราวกับสิ่งที่ทำเป็นเรื่องง่ายทำให้โฟล์คต้องหันไปมองร่างเล็กอย่างสงสัย “ภูมิดูถนัดเรื่องแบบนี้จังนะครับ”



“อืม...ไม่รู้สิ มันก็สนุกดีนะ เคยลองทำครั้งแรกแล้วติดใจ เลยศึกษาเองเรื่อยๆ”



“งั้นภูมิก็มีกล้องเป็นของตัวเองด้วยเหรอครับ”



“กล้องวีดิโอไม่มีหรอก มีแต่กล้องถ่ายรูปธรรมดา แต่ก็เก่ามากแล้วล่ะ”



“ภูมิโชคดีจัง เก่งทั้งดนตรีทั้งถ่ายรูป รู้ไหมว่าพี่อยากเรียนกีตาร์ตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที” โฟล์คบ่นแบบไม่จริงจังนัก ร่างเล็กจึงรีบหันมาแย้ง



“โธ่พี่ เรื่องแค่นี้เอง กีตาร์น่ะฝึกเองก็ได้”



“ฮ่าๆ นั่นสินะ แต่พี่คงไม่มีความอดทนมากพอล่ะมั้ง เพลงง่ายๆ พี่ยังเล่นไม่จบเลย” พูดไปก็หัวเราะไป นึกถึงหลายครั้งที่ขอยืมกีตาร์ของเพื่อนมาดีดเล่น แต่ก็ไม่เคยออกมาเป็นเพลงสักครั้ง แม้แต่เสียงที่ออกมาตอนจับคอร์ดยังไม่เพราะเลย



“ถ้าพี่อยากเล่นเป็นก็ต้องอดทนมากกว่านี้สิ ถ้าพยายามยังไงก็ต้องสำเร็จ” ภูมิบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนโฟล์คหัวเราะออกมาอีกครั้ง



“ฮ่าๆ  โอเคครับ พี่เชื่อก็ได้”



ภูมิยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะแนะนำต่อ “ผมว่าพี่ลองหาเพลงที่ชอบสักเพลงไหม เอาแบบว่าอยากเล่นสุดๆ  พี่จะได้มีกำลังใจในการฝึกเล่น”



“อืม ก็น่าสนใจนะ” โฟล์คพึมพำขณะคิดตาม “ไว้พี่จะลองคิดดูแล้วกัน”



“มีอะไรก็ถามผมได้นะพี่ เรื่องนี้ผมถนัด” ภูมิฉีกยิ้ม



“โห ไม่ค่อยถ่อมตัวเลยนะครับลูกศิษย์พี่ ดูจะถนัดหลายอย่างเลยนะเนี่ย นอกจากดนตรีแล้วมีอะไรอีกบ้างล่ะ”



“พวกถ่ายภาพกับวีดิโอก็ทำได้นะพี่ แล้วก็...เฮ้ย พี่โฟล์คๆ จอดกินบะหมี่ร้านนี้ได้ปะ ผมโคตรชอบอะ!” ภูมิชี้ไปด้านนอกรถพร้อมทั้งเอ่ยเสียงกระตือรือร้น จนคนขับรถต้องเบี่ยงพวงมาลัยเข้าเลนซ้ายตามคำขอของคนร่วมทาง



รถเบนซ์สีดำจอดเทียบฟุตบาท ดูขัดกับบรรยากาศโดยรอบซึ่งมีร้านบะหมี่รถเข็นเล็กๆ เพียงร้านเดียว กระนั้นภูมิก็แทบจะกระโจนลงจากรถเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ ก่อนนั่งแหมะที่โต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถนักพร้อมทั้งร้องบอกคนขาย “เฮีย เหมือนเดิมที่นึงนะ!” แล้วจึงหันไปถามร่างสูงที่เดินตามมาทีหลัง “พี่โฟล์คเอาไรปะ”



“พี่เอาเหมือนภูมิแล้วกัน” โฟล์คบอกง่ายๆ  ขณะทรุดตัวลงนั่ง



“โอเค เฮียๆ  เปลี่ยนเป็นเอาสองที่นะ”



รอไม่นานนัก เส้นเล็กน้ำใสสองชามก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ภูมิจัดการหยิบตะเกียบกับช้อนแล้วโซ้ยเหมือนคนอดอยาก แหงล่ะ ตั้งแต่เลิกเรียนเขายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา เมื่อกี้ที่นั่งรถมาก็ท้องร้องตั้งหลายครั้ง แต่ดีที่เสียงเบาพี่โฟล์คเลยไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นคงอายตาย



โฟล์คมองคนตรงหน้าอย่างอดขำไม่ได้ ก่อนหยิบตะเกียบกับช้อนแล้วเริ่มจัดการบะหมี่ในชามของตนเองบ้าง



“เนี่ย ร้านนี้ผมโคตรชอบ แต่ก่อนแวะกินประจำเลย แต่พอเปลี่ยนไปนั่งรถเมล์กลับบ้านก็เลยไม่ได้ผ่านแถวนี้ วันนี้โคตรโชคดีที่พี่มารับ” ภูมิว่าอย่างนั้น



ทั้งสองคนคุยกันสัพเพเหระจนกระทั่งบะหมี่ในชามหมด โฟล์คจึงเดินเอาเงินไปให้ลุงคนขายที่ยืนลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่ ราคาที่ได้ยินทำให้โฟล์คอดแปลกใจไม่ได้ เพราะถูกกว่าก๋วยเตี๋ยวตามปกติที่เขากินมาก จนไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวราคานี้อยู่ ซึ่งคนตัวเล็กข้างกายเขาก็ดูภูมิใจนักภูมิใจหนากับราคาก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ



ราคาแค่ชามละยี่สิบบาทแต่คุณภาพคับชาม เห็นทีเขาคงต้องมาฝากท้องอีกบ่อยๆ



พอขึ้นรถภูมิก็ยังสามารถหาเรื่องคุยต่อได้เป็นต่อยหอย จนโฟล์คอดคิดไม่ได้ว่าคนขายก๋วยเตี๋ยวแอบใส่ยาอะไรลงไปหรือเปล่า ท่าทีของคนกินถึงได้ผิดจากตอนแรกขนาดนี้



...บางครั้งบุคลิกของลูกศิษย์เขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็รู้สึกสบายใจกับบุคลิกร่าเริงของอีกฝ่ายมากกว่าบุคลิกนิ่งๆ เหมือนคนที่แบกโลกไว้ทั้งใบล่ะนะ



“รู้เปล่าว่าผมเคยเขียนบทแล้วก็กำกับละครห้องด้วยนะ ชนะเลิศของระดับชั้นด้วย อ๊ะ...ยังไม่หมดนะพี่ ภาพถ่ายผมก็ส่งประกวดได้รางวัลชนะเลิศมาแล้วเหอะ” ภูมิได้ทีโม้ยาวเป็นหางว่าว รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จนโฟล์คอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ



“ฮ่าๆ  ขนาดนั้นเชียว พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ”



กึก



ภูมิรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ  เผลอหันขวับไปมองร่างสูงอย่างไม่เชื่อสายตา



เมื่อกี้พี่โฟล์คพูดว่าอะไรนะ?



เขาน่ะหรือ...เหมาะกับนิเทศมากกว่าหมอ?



ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นในใจ ไม่ใช่ปลื้มปีติกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่อาจจะเรียกได้ว่าเขา...คิดไม่ถึง



...คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใกล้ตัวพูดประโยคนี้ออกมา



...เหมือนว่ากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วจู่ๆ ก็ถูกฉุดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น



ทว่าโฟล์คกลับตีความท่าทางของคนข้างตัวไปอีกอย่าง จึงรีบบอก “ขอโทษนะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ถ้าภูมิอยากเป็นหมอจริงๆ ก็เป็นได้นะ เพราะภูมิก็เป็นคนเรียนเก่ง หมอไม่น่าจะยากจนเกินไป...”



“เปล่า” ภูมิเอ่ยขัดขึ้นมาทันที “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก ช่างมันเถอะ”



แล้วจึงหันหน้าไปทางหน้าต่าง ดึงความสนใจของตนเองไปไว้กับทิวทัศน์ด้านนอกผ่านกระจกใส แม้ว่าถ้อยคำของอีกฝ่ายจะยังวนเวียนอยู่ในใจตลอดก็ตาม



‘พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ’



บางทีถ้าคนพูดประโยคนี้เป็นพ่อหรือพี่ชายของเขา เรื่องทั้งหมดอาจจะดีกว่านี้...



รถเบนซ์คันสีดำเคลื่อนตัวมาจอดหน้าบ้านหลังเดิม ภูมิคว้ากล้องวีดิโอและกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณคนที่มีน้ำใจมาส่ง ก่อนเปิดประตูลงจากรถ



“เดี๋ยวครับภูมิ”



เสียงเรียกจากคนที่นั่งในรถทำให้ภูมิต้องหันกลับไปมอง



“ถ้าวันนี้พี่พูดอะไรไม่ดีหรือทำให้ภูมิไม่สบายใจ พี่ขอโทษนะครับ”



ไม่เลย พี่โฟล์คไม่ได้พูดอะไรไม่ดีหรอก เป็นเขาต่างหากที่เครียดไปเอง และไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเลยเผลอทำให้บรรยากาศอึดอัดไปเสียเฉยๆ



ภูมิไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป ทำเพียงแค่ยิ้มรับน้อยๆ แล้วก้มหัวเป็นเชิงลาอีกครั้ง



“แล้วเจอกันนะครับภูมิ” โฟล์คพูดทิ้งท้ายก่อนขับรถออกไป



ภูมิเดินเข้าบ้าน ตรงไปยังห้องนอนของตนเอง ไม่ลืมที่จะกดล็อกประตูห้องก่อนทิ้งร่างทั้งร่างบนเตียงนุ่ม นอนพักครู่หนึ่ง เมื่อนึกได้ว่าตนยังมีงานสำคัญต้องทำจึงเด้งตัวขึ้นมา คว้ากล้องวีดิโอของรุ่นพี่แล้วต่อสายเข้ากับคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน



แม้จะรู้ว่างานของพี่เปิ้ลมีกำหนดส่งอาทิตย์หน้า นั่นหมายความว่าเขายังมีเวลาวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์อีกสามวัน แต่เพราะไม่อยากเอาเรื่องหนักหัวมาคิดให้ปวดสมอง ภูมิจึงตัดสินใจจะทำวีดิโอให้เสร็จภายในคืนนี้ อย่างน้อยมันก็คงช่วยให้เขาจดจ่อกับงานโดยไม่เผลอคิดเรื่องอื่นไปพักหนึ่ง



--------------------------------------- TBC -------------------------------------------



ถึงคนในครอบครัวจะยังไม่เข้าใจ แต่มีคนเข้าใจน้องภูมิเพิ่มอีกคนก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะคะ :)

/กอดน้องแรงมาก

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: Love after school ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 2 (05/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 05-07-2018 21:02:20
กอดน้องด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: 【Love after school】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 2 (05/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 05-07-2018 21:32:31
เข้ามาให้กำลังภูมิอะ เจอปัญหาแบบนี้เหนื่อยใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 2 (05/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: skykick ที่ 05-07-2018 21:55:59

  กอดๆๆ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 2 (05/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-07-2018 12:38:27
 :L2: :pig4:

สงสารน้อง
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 2 (05/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 07-07-2018 14:50:19

Chapter 3 : เคว้งคว้าง



            “นายไตรภูมิ”



            “…”



            “นายไตรภูมิ”



            “…”



            “นายไตรภูมิ!”



            พลั่ก



            “เฮ้ย...ครับ!”



            ภูมิสะบัดหัวไล่ความงุนงง ยามเมื่อได้รับสายตาพิฆาตจากอาจารย์สุดโหดที่เรียกชื่อเขาสามครั้งเต็มๆ  ไอ้สองครั้งแรกเขาไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ จนต้องตะโกนครั้งที่สามพร้อมกับฝ่ามือหนักๆ ของไอ้ซันที่ฟาดหัวเข้าเต็มแรงนั่นแหละเขาถึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา



            “ไตรภูมิ มีเธอคนเดียวในห้องที่ไม่ได้ส่งการบ้านครู”



            “เอ่อ ครับ”



            “มีเหตุผลอะไรจะอธิบายไหม”



            “ผมลืมครับอาจารย์ ขอโทษด้วยครับ”



            ภูมิกล่าวง่ายๆ ด้วยความเคยชิน แต่เหมือนครั้งนี้คนสูงอายุจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ดังเช่นที่ผ่านมา



            “เธอไม่ได้ส่งการบ้านครูมากี่ครั้งแล้ว และเป็นเธอคนเดียวทุกครั้งด้วย นอกจากเหตุผลงี่เง่าที่เธอบอกว่าลืมเธอมีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม”



            “เมื่อคืนผมเผลอหลับครับอาจารย์”



            เอาวะ ในเมื่อบอกว่าลืมก็ไม่เอา ดูซิว่าเหตุผลจริงๆ อาจารย์จะรับได้ไหม เพราะเมื่อคืนหลังจากทำวีดิโอของพี่เปิ้ลเสร็จเขาก็น็อคและเผลอหลับหน้าคอมแบบเรียกได้ว่าหมดสภาพ



            ทว่าเจ้าของคำถามกลับหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบ



            “ครูว่ามันฟังดูแย่มากนะนายไตรภูมิ” อ่าฮะ ไม่ต้องพูดไอ้ภูมิก็รู้ตัวครับ คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าหงึกหงักอย่างยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “เธอเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ อ้อ หรือเพราะกิจกรรมที่สุดจะอลังการร้อยแปดพันอย่างของเธอ ครูบอกแล้วไงว่าถ้ามันทำให้เสียการเรียนก็เลิกซะเถอะ โดยเฉพาะวงดนตรีบ้าบอคอแตกอะไรนั่น ไม่ทำให้เธอสอบติดคณะดีๆ หรอกนะ”



            กึก



            คำพูดไม่ถนอมน้ำใจทำให้คิ้วภูมิกระตุกแบบแปลกๆ



            กลับมาเรื่องนี้อีกแล้วเหรอวะ



          คงเพราะ ‘อาจารย์เดือนเพ็ญ’ คนนี้ประจำชั้นเขามาตั้งแต่มอสี่ และกิตติศัพท์ด้านการไม่ตั้งใจเรียนกับไม่ส่งการบ้านของเขาก็เป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่มอสี่เช่นกัน จนอาจารย์ทราบมาว่าเขามีกิจกรรมหลายชมรมมาก โดยเฉพาะวงดนตรีซึ่งมีการนัดซ้อมทุกเช้า-เย็น เลยจัดการผูกเรื่องให้ลูกศิษย์คนนี้เสร็จสรรพ หาว่ากิจกรรมเยอะไปทำให้เสียการเรียน โดยที่ภูมิได้แต่เถียงในใจว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย



            เขาแค่ขี้เกียจทำ ไม่อยากทำ เลยไม่ทำ ก็เท่านั้น



            “พ่อเธออยากให้เธอเป็นหมอไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอยังทำตัวเหลวแหลกอยู่แบบนี้ ครูคงต้องหาโอกาสบอกพ่อเธอไปตามความจริงว่าให้เลิกหวัง” อาจารย์เดือนเพ็ญยังพูดต่อโดยไม่สังเกตสายตาที่เปลี่ยนไปของนายไตรภูมิ ซึ่งหากใครอยู่ใกล้คงรับรู้ถึงบรรยากาศที่ไม่ดีนัก “เข้าใจที่ครูพูดไหม ที่ครูพูดไปน่ะเพราะครูหวังดี...”



            “ผมว่าอาจารย์หลงประเด็นแล้วนะฮะ”



            ....



            เงียบ



            เงียบกริบทั้งห้อง



โดยเฉพาะหญิงสูงอายุที่ยังยกนิ้วชี้ค้างกลางอากาศ จำต้องยกมือขึ้นดันแว่นสายตาพร้อมเอ่ยตะกุกตะกัก “ไหนพูดใหม่ซินายไตรภูมิ”



“อาจารย์สอนเด็กมาตั้งนาน ดูจากอายุก็น่าจะเจอเด็กไม่ต่ำกว่ายี่สิบรุ่น ทำไมเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ครับ”



เวรแล้วไอ้ภูมิเพื่อนกู เวรตะไลแล้วไง



ซันแทบจะกัดลิ้นตัวเอง อยากกระชากคอเพื่อนรักมาต่อยสักหมัดสองหมัด ความจริงสิบหมัดยังน้อยไปด้วยซ้ำ โทษฐานที่แม่งทำอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ



รู้ว่าโกรธรู้ว่าเคือง แต่คนที่มันกำลังเถียงอยู่ปาวๆ ก็เป็นอาจารย์นะเว้ย!



“เธอว่าอะไรนะ!” น้ำเสียงของหญิงสูงวัยเริ่มแหลมปรี๊ด ตรงกันข้ามกับคนเป็นลูกศิษย์ที่ยังคงความเรียบเฉยไว้ขณะเอ่ย



“พ่อผมอยากให้ผมเข้าหมอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเหรอครับ ถ้าอาจารย์อยากให้ผมตายผมต้องวิ่งไปตายให้อาจารย์ไหม”



“นี่เธอยังไม่...!”



“ผมไม่สนว่าใครจะมองผมว่ายังไง หรืออยากให้ผมเป็นอะไร ที่ผมสนคือไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่มีสิทธิจะมายุ่งกับชีวิตผม โดยเฉพาะทางที่ผมเลือก”



น้ำเสียงแข็งประกาศกร้าว ก่อนที่คนพูดลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกนอกห้อง ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจอาจารย์ที่ยืนตัวสั่นแบบคนที่หาเสียงตัวเองไม่เจอ



“ไอ้เหี้ยภูมิ อารมณ์ขึ้นไม่ดูจังหวะเลยนะมึง...” ซันสบถก่อนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งก้มหัวให้หญิงสูงวัย “ขออนุญาตครับอาจารย์”



ไม่รอคำอนุญาต เขาก็รีบวิ่งออกจากห้องตามเพื่อนรักไปอีกคน











 

            “ไอ้เหี้ย! เป็นบ้าอะไรของมึง ครั้งนี้มึงโดนหนักแน่รู้ตัวไหม”



            “เออกูรู้ ก็กูขึ้นนี่หว่า ขอโทษละกัน” ภูมิบ่นอุบอิบ



            “ขอโทษกูทำหอกไร นู่น ไปกราบขอโทษอาจารย์ป้าสุดรักของมึงเหอะ เทอมนี้ติดศูนย์กูไม่รู้ด้วยนะ” ซันโวยวายอย่างหัวเสีย



            เขาวิ่งตามไอ้เพื่อนจอมเลือดร้อนมาจนถึงสนามบาส ก็เห็นมันยืนนิ่งๆ แบบหมาหงอย พอเขาด่ามันก็ยอมขอโทษแบบง่ายๆ  ซ้ำยังทำสีหน้ารู้สึกผิดจนคนที่กำลังจะด่าอีกชุดได้แต่เก็บคำด่าของตัวเองไว้ แล้วระบายด้วยการเตะเสาแป้นบาสแรงๆ ทีหนึ่ง



            แม่งอารมณ์ขึ้นเพราะมีคนมาสะกิดถูกปม พอคิดได้เข้าหน่อยก็มายืนหงอยอยู่คนเดียว จะติสท์จัดไปไหนวะเพื่อนกู



          “แล้วนี่มึงจะทำไงต่อ”



            “กูก็ไปขอโทษอาจารย์ดิ”



            “เหอะ คงจะง่ายหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกนะเว้ยที่มึงทำแบบนี้” ซันเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง



            “มีทางเดียวนี่หว่า จะให้กูเลิกเล่นวงอย่างที่อาจารย์บอกก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”



            ภูมิว่าอย่างนั้นแล้วหันหลังกลับไปทางตึกเดิมที่ตนเพิ่งวิ่งมา พอทั้งสองคนขึ้นมาถึงห้อง บรรยากาศภายในก็เงียบกริบ ไร้ซึ่งวี่แววของอาจารย์เดือนเพ็ญ แต่ภูมิไม่จำเป็นต้องถามหา เพราะหญิงสาวที่ชื่อน้ำหวานซึ่งเป็นหัวหน้าห้องเดินมาบอกภูมิทันที



            “อาจารย์บอกให้นายไปพบที่ห้องพักครู”



            “...”



            “อืม ขอบใจนะน้ำหวาน” ซันเป็นฝ่ายตอบรับแทนเมื่อเห็นว่าคนข้างตัวนิ่งไป



            ทั้งสองคนเดินไปจนถึงห้องพักครู แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าไป เพื่อนตัวดีที่นิ่งมาตลอดทางก็คว้าแขนของซันไว้ให้หยุดที่หน้าห้อง



            “ไอ้ซัน กูกลัวว่ะ”



            ซันกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ “กลัวอะไรของมึง”



            “ไม่รู้ดิ ครั้งนี้กูว่ากูพูดแรงว่ะ เชี่ยเอ๊ย ทำไงดีวะเนี่ย”



            เขาถอนหายใจ ตบบ่าเพื่อนตัวเองเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจพร้อมทั้งเอ่ย



            “ทำใจว่ะ ยังไงมึงก็ต้องเข้าไปเคลียร์อยู่ดี”



            ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า ซันเห็นดังนั้นก็ได้แต่หวังในใจขณะเปิดประตูเข้าไป



            ...คงไม่มีอะไรร้ายแรงมั้ง











           



            “ผู้ปกครอง?”



            ภูมิทวนคำ เผลอหันไปสบตากับเพื่อนซี้ข้างตัวด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก



            “ครูไม่ได้โกรธอะไรเธอหรอกนะนายไตรภูมิ ครูเข้าใจว่าวัยรุ่นน่ะเลือดร้อน และเธอไม่ใช่นักเรียนคนแรกที่ทำแบบนี้กับครู” อาจารย์เดือนเพ็ญเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ประสบการณ์การพบเจอเด็กมากมายหลายรุ่นทำให้การข่มอารมณ์ไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับหญิงสูงอายุ “แต่ผู้ปกครองของเธอควรรับรู้ถึงพฤติกรรมที่เธอแสดงออกในวันนี้”



            “อาจารย์ครับ ผมขอโทษจริงๆ ครับ” ภูมิเอ่ยอย่างร้อนรน กระนั้นน้ำเสียงก็แสดงถึงความรู้สึกผิดจากใจจริง ทั้งยังปนไปด้วยความกลัว “แต่ผมขอร้องอาจารย์ว่าอย่าบอกพ่อผมได้ไหมครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอีก”



            ...จะให้พ่อของเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน



            ทว่าคนที่นั่งบนเก้าอี้กลับส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ครูต้องทำตามกฎและความเหมาะสม ครูหวังดีกับเธอนะนายไตรภูมิ”



            “แต่...”



            “สิ่งที่เธอทำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหากเทียบกับเด็กเกเรหลายๆ คน ครูเพียงต้องการให้ผู้ปกครองของรับรู้เรื่องนี้ รวมถึงรับรู้พฤติกรรมทั้งหมดที่ผ่านมาของเธอ”



            จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้ยังไง...พ่อของเขาเหมือนคนอื่นเสียที่ไหนกัน การทะเลาะกันที่รุนแรงที่สุดในครอบครัวเกิดขึ้นเพราะอะไรเขารู้ดี



            “ผมขอโทษครับอาจารย์ ผมขอโทษจริงๆ...”



            “อีกหนึ่งชั่วโมงครูจะโทรหาผู้ปกครองของเธอ”



            คำประกาศิตของอาจารย์ประจำชั้นราวกับไม้หน้าสามที่ฟาดแสกเข้ากลางหน้าของภูมิ ซึ่งแม้แต่ซันเพื่อนสนิทข้างกายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้



            การเรียนในภาคเช้าผ่านไปโดยที่ภูมิไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย ใจนึกกังวลไปต่างๆ นานา



...เขาเคยรับปากพ่อว่าจะลดกิจกรรมให้น้อยลงและสนใจการเรียนมากขึ้น โดยต่อหน้าพ่อเขาสามารถทำตามคำพูดได้จนพ่อเริ่มวางใจ แต่ความจริงแล้วภูมิยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมเหมือนเดิม และไม่ได้ตั้งใจเรียนอย่างที่ควรจะเป็น



            เขาไม่รู้ว่าอาจารย์เดือนเพ็ญจะบอกพฤติกรรมของเขาให้พ่อฟังถึงระดับไหน หากบอกแค่ว่าเขาโต้แย้งอาจารย์ด้วยวาจาก้าวร้าว...นั่นอาจมีทางแก้ไข แต่ที่ร้ายที่สุดคือถ้าพ่อของเขารู้ว่าเขาพูดอะไรออกไป...เหตุการณ์นั้นอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง



          ‘พ่ออยากให้ผมเป็นหมอแล้วเกี่ยวอะไรกับผม ความต้องการของพ่อสำคัญอะไรกับผมเหรอครับ ถ้าพ่ออยากให้ผมตายผมต้องไปตายให้พ่อไหม!’



          เพียะ!



          ภูมิเผลอยกมือขึ้นแตะแก้มข้างซ้ายเบาๆ  นึกย้อนไปถึงคราวที่ถูกพ่อบังเกิดเกล้าตบด้วยแรงทั้งหมดที่มี



          ประโยคที่เขาพูดกับอาจารย์เดือนเพ็ญ เป็นประโยคที่เขาเคยหลุดระหว่างที่ทะเลาะกับพ่อ และนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย



            “โธ่เว้ย!” ภูมิลอบสบถเบาๆ  มือกำปากกาไว้แน่นจนเส้นเลือดปูด แบบที่ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าอารมณ์ของคนตรงหน้ากำลังเดือดจนแทบระเบิด



            เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น ฉุดคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตนเองให้ได้สติขึ้นมา มือควานหาโทรศัพท์ด้วยอารามที่ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น



ทว่าชื่อเจ้าของข้อความกลับทำให้ภูมิชะงัก



            ...พ่อ...



            ภูมิรีบกดเข้าอ่านทันใด ลมหายใจแทบกระตุกกับข้อความที่แสดง รู้สึกชาวาบทั่วทั้งกาย



            ‘ฉันจะไม่ยอมแกอีกเป็นครั้งที่สอง’











         

ภูมิเร่งโทรหาพี่เปิ้ลเพื่อนำวีดิโอที่ตัดต่อเสร็จแล้วให้ ทั้งยังของดซ้อมดนตรีตอนเย็น พี่เปิ้ลดูจะเข้าใจถึงความจำเป็นจึงรับปากโดยไม่ว่าอะไร เมื่อโรงเรียนเลิกภูมิจึงรีบวิ่งไปขึ้นรถเมล์เพื่อกลับบ้านทันที



วันนี้ภูมิถึงบ้านเร็วกว่าปกติสักสองชั่วโมงได้ กระนั้นลางสังหรณ์กลับร้องเตือนว่าเขาอาจมาช้าเกินไป



            ประตูห้องนอนที่เปิดค้างไว้และภาพของชายวัยกลางคนที่กำลังยกกีตาร์ขึ้นเหนือหัวทำให้ภูมิต้องร้องออกมาสุดเสียง



            “อย่านะพ่อ!!!”



            พลั่ก!



            ...กีตาร์โปร่งที่เขาหยิบออกมาเล่นทุกวัน เครื่องดนตรีเครื่องโปรดที่สร้างความผ่อนคลายให้เขาเสมอ



            ...บัดนี้กลายเป็นเพียงเศษไม้ซึ่งมีสายลวดห้อยโตงเตง



            ราวกับแขนขาหมดแรงกะทันหัน ร่างทั้งร่างแทบล้มทั้งยืน มือพยายามยันประตูห้องไว้ มองผ่านภาพพร่ามัวที่เกิดจากน้ำตาซึ่งไม่รู้ว่ารื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก้าวเข้าห้องอย่างเชื่องช้า และยิ่งพบสภาพห้องที่เละเทะราวกับถูกรื้อด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด ทั้งหนังสือ...แผ่นซีดี...ของสะสมทุกๆ อย่างของเขา...



            ภูมิไม่มีเวลาได้พักหายใจ เมื่อร่างของชายวัยกลางคนเดินตรงไปยังหัวเตียง ...เขาเบิกตากว้างกว่าเดิมหลายเท่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “อย่านะพ่อ...แค่อันนั้นอันเดียวที่ผมขอ...”



            ตึง!



            กล้องถ่ายรูปสีดำถูกเขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรงจนเศษกล้องกระจายออก เพียงเท่านั้นภูมิก็รู้สึกราวกับโลกทั้งใบแตกสลาย รีบเข้าไปคว้ากล้องขึ้นมากอดไว้อย่างหวงแหน เงยหน้าขึ้นสบตากับบิดาผู้ซึ่งมองเขาอยู่ด้วยแววตาที่แสดงออกถึงอารมณ์โกรธจนล้นทะลัก



            “แกไม่เคยทำตามที่สัญญาสักนิด...คิดว่าฉันโง่ใช่ไหม”



            “พ่อ...” ภูมิรู้สึกจุกในลำคอ อารมณ์มากมายตีกันในหัวจนหาเสียงตัวเองไม่เจอ



            “...ไสหัวไป”



          คำกล่าวของชายวัยกลางคนทำให้ภูมิไม่ลังเลที่จะลุกขึ้นยืนและวิ่งออกนอกห้อง เร่งสาวเท้าผ่านบันไดจนออกนอกรั้วบ้าน



            ...ที่ไหนก็ได้...ไปที่ไหนก็ได้...



            สองเท้าเปลือยเปล่าวิ่งผ่านซอยที่ทั้งลึกทั้งเปลี่ยว แต่เจ้าของฝีเท้าไม่สนใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เพราะมันน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเพิ่งเจอ ...จนในที่สุดจึงชะลอฝีเท้าลงตามแรงที่เริ่มหมด พิงแผ่นหลังเข้ากับกำแพง ยกหลังมือขึ้นปิดดวงตาที่แดงก่ำจากการร้องไห้



ร่างเล็กสะอื้นจนตัวสั่นระริก มือควานหามือถือในกระเป๋ากางเกง ใจนึกไปถึงคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจ และเป็นที่พึ่งพิงให้เขามาตลอด



ภูมิไล่หาชื่อเพื่อนสนิทแล้วกดโทรออก ทว่าเสียงสัญญาณกลับดังต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าเจ้าของเครื่องจะรับ



...ทำไมถึงไม่รับสาย...



...โดยเฉพาะเวลานี้ที่เขาต้องการใครสักคนมากที่สุด...



...ใครสักคนที่เข้าใจ...



พลันน้ำเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว



‘พี่เริ่มคิดซะแล้วสิว่าภูมิเหมาะจะเรียนนิเทศมากกว่าหมอ’



...พี่โฟล์ค...



ภูมิกดตัดสายที่โทรค้างไว้ เลื่อนดูประวัติการโทรเข้าโดยอัตโนมัติ พบเบอร์หนึ่งที่ยังไม่ได้บันทึกชื่อไว้ในเครื่อง...แต่กลับจำได้ขึ้นใจว่าเป็นเบอร์ของใคร



เขากดโทรออกก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง ฟังเสียงสัญญาณรอสายด้วยความหวังที่ริบหรี่



ไม่นานนักปลายสายก็กดรับ พร้อมด้วยน้ำเสียงคุ้นหูที่เอ่ยมาตามสาย



[ครับภูมิ]



“พี่โฟล์ค...พี่อยู่ไหน”



[พี่อยู่แถวมหา’ลัยครับ ภูมิมีอะไรหรือเปล่า]



“ฮึก...พี่โฟล์ค...วันนี้พี่จะมาหาผมไหม” ภูมิเริ่มสติล่องลอยขึ้นทุกที ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไปบ้าง



[วันนี้มีนัดสอนตอนเย็นนี่ครับ...เดี๋ยวนะ นี่ภูมิเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงแปลกๆ] ปลายสายเริ่มจับสังเกตได้ ภูมิจึงสะอื้นหนักกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่



“พี่...ฮึก...วันนี้ไม่สอนได้ไหม แต่พี่มาหาผมนะ...”



[...]



ความเงียบที่เกิดขึ้นทำเอาภูมิเริ่มใจไม่ดี เริ่มรู้ตัวว่าชักพูดอะไรไร้สาระเสียแล้ว นั่นสิ...นี่เขาทำบ้าอะไรอยู่...



“เอ่อ..คือ...”



ไม่ทันที่ภูมิจะเอ่ยแก้ อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา



[ตอนนี้ภูมิอยู่ไหน เดี๋ยวพี่ไปหา]




-------------------------------------- TBC -------------------------------------


น้องภูมิก็ไม่ได้ทำถูกทุกอย่างเนอะ ต้องให้น้องโตขึ้นกว่านี้อีกนิดค่ะ
พี่โฟล์คจะมาแล้ว แฮ่ <3

ปล.ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมากๆนะคะ ดีใจจจจ> <
ขอบคุณที่เอ็นดูน้อง สงสารน้องนะคะ ไปต่อด้วยกันน้า

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 3 (07/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 10-07-2018 18:12:38

Chapter 4 : ปลอบ



            ขับรถเข้าซอยมาได้ไม่นานโฟล์คก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหัน เมื่อสายตาสังเกตเห็นร่างเล็กที่กำลังนั่งพิงกำแพงในสภาพเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ย ทั้งยังนั่งนิ่งราวกับไม่รับรู้ถึงการมาของเขา กระนั้นดวงตาแดงก่ำก็บอกได้ดีว่าเจ้าตัวผ่านการร้องไห้มาหนักขนาดไหน



            โฟล์คจอดรถค้างไว้อย่างนั้นแล้วเปิดประตูลงมา ก้าวเข้าหาร่างเล็กอย่างรวดเร็ว



            “ภูมิครับ...”



            เขาเอ่ยเสียงแผ่ว วางมือลงบนบ่าอีกฝ่ายเบาๆ  แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่มีอาการตอบสนองแม้แต่น้อย



            “ภูมิ...”



            โฟล์คเอ่ยซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม ...แค่เสียงที่คุยกันในโทรศัพท์ก็ทำให้เขากังวลใจจะแย่ รีบขอตัวจากเพื่อนคนอื่นเพื่อบึ่งรถมาที่นี่โดยเฉพาะ แต่พอมาเห็นสภาพของคนตรงหน้าในยามนี้เขาก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก



            ปริ๊น



            เสียงบีบแตรจากรถอีกคันที่ตามหลังมาทำให้โฟล์คต้องรีบตัดสินใจ



            “ภูมิ ขึ้นรถก่อนนะครับ” ร่างสูงเอื้อมมือไปประคองร่างของอีกฝ่ายพร้อมทั้งออกแรงพยุงขึ้น เมื่อพาเข้ามานั่งในรถได้แล้วจึงเดินอ้อมเพื่อไปขึ้นอีกฝั่งแล้วออกรถ หาช่องทางในการกลับลำอยู่ครู่หนึ่งแล้วหมุนพวงมาลัยพารถขับออกถนนใหญ่ ระหว่างทางก็หันมามองร่างเล็กที่นั่งข้างกายด้วยความเป็นห่วง



            เมื่อขับออกมาได้พักหนึ่ง บรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้นก็ทำให้โฟล์คตัดสินใจเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทาง ก่อนขยับตัวหันเข้าหาอีกฝ่าย เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ อีกครั้ง



            “ภูมิครับ”



            “ฮึก...” ภูมิหลุดสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา หากแต่ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร



            หยดน้ำตาบนใบหน้าของคนตัวเล็กที่ไหลออกจากดวงตาแดงก่ำ ทำให้โฟล์คอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสข้างแก้มของคนตรงหน้าเบาๆ  ทั้งยังใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้อย่างเบามือ



...การกระทำที่ทำเอาร่างเล็กถึงกับสะดุ้งน้อยๆ  หันมามองคนที่เช็ดน้ำตาให้ตนด้วยความหวาดหวั่น



“มีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังไหมครับ” โฟล์คไม่ดึงมือออก ซ้ำยังเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกอุ่นวาบในอก จนในที่สุดภูมิก็หลุดสะอื้นออกมาอีกครั้ง



“ฮึก...พี่โฟล์ค...ภูมิเหนื่อย...ฮึก” ร่างเล็กสั่นสะท้าน ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ทำเอาประโยคฟังไม่ได้ศัพท์ “พ่อไม่เข้าใจภูมิ...พี่ภาคย์ไม่เข้าใจ...ฮึก...ภูมิไม่รู้จะ...ฮึก...จะทำยังไงดี...”



“ทำไมครับ...เกิดอะไรขึ้น” โฟล์คเลื่อนมือขึ้นวางบนศีรษะทุยๆ อย่างต้องการปลอบประโลม



“พ่อทุบกีตาร์ภูมิ...ฮึก...พัง...หมดเลย...ฮึก...แล้ว...แล้วก็กล้องตัวนี้...”



ร่างเล็กกอดกล้องถ่ายรูปสีดำในอ้อมแขนแน่นขึ้น โฟล์คจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าตลอดทางที่ผ่านมาภูมิถือกล้องตัวนี้ไว้ตลอด ทั้งยังกอดไว้ราวกับหวงแหนมาก



แม้เขาจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่จากเสียงสั่นๆ ที่เล่ามาคงไม่ใช่เรื่องดีเลย

“กล้อง...ของแม่...ฮึก”



ประโยคต่อมาที่หลุดจากปากภูมิทำให้โฟล์คชะงัก



แม่ งั้นเหรอ...



เขารู้มาว่าแม่ของภาคย์เสียไปเมื่อปีที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง ไอ้ภาคย์จึงเหลือแค่พ่อกับน้องชาย แต่เพราะเพื่อนเขาไม่ได้เล่าเรื่องในครอบครัวให้ฟังมากนัก ทั้งยังเป็นคนเก็บอาการจนแม้แต่เพื่อนฝูงยังไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร จึงปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากที่ไปร่วมงานศพครั้งหนึ่งแล้วเขาก็เกือบลืมเหตุการณ์นี้ไปเสียสนิท



โฟล์คหันมามองเด็กข้างกายอีกครั้ง เห็นได้ว่าร่างเล็กตัวสั่นยามเมื่อกอดกล้องในอ้อมแขนไว้ราวกับเด็กที่ตื่นกลัว ปากยังพยายามส่งเสียงพูดแข่งกับเสียงสะอื้น



“ฮึก...แม่ซื้อให้...ภูมิ...แม่...ฮึก...ชอบถ่ายรูป...ภูมิก็ชอบ...ฮึก” หยดน้ำตาไหลลงมาไม่ขาด โฟล์คจึงเอื้อมมือไปปาดให้อีกครั้งอย่างแผ่วเบา รู้สึกปวดหนึบในใจแปลกๆ ด้วยความสงสาร



เขารู้ว่าการสูญเสียคนที่รักและผูกพันมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายๆ  โดยเฉพาะภูมิที่เป็นเด็กอ่อนไหวแตกต่างจากไอ้ภาคย์เพื่อนเขา ...เดาไม่ถูกจริงๆ ว่าความเจ็บปวดที่เด็กคนนี้ได้รับมันมากมายมหาศาลขนาดไหน



คงราวกับโลกทั้งใบแตกสลาย...เป็นความสูญเสียที่หากใครไม่เจอกับตัวคงไม่มีทางเข้าใจ



“แต่พ่อ...ฮึก...พ่อไม่ชอบถ่ายรูป...พ่อไม่ชอบดนตรี...ฮึก...แล้วพ่อก็ห้ามภูมิ...พังทุกอย่างของภูมิ...ฮึก”



ฟึ่บ



ไม่ทันรู้ตัว ร่างเล็กก็ถูกดึงเข้าไปในวงแขนแกร่งของคนที่นั่งฟังนิ่งๆ มานาน หัวทุยๆ ถูกดันให้ซบลงกับอกกว้าง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ลูบศีรษะของตนอยู่อย่างเบามือ ...แต่กลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก



“...พี่โฟล์ค...” ภูมิเผลอร้องออกมาด้วยความตั้งตัวไม่ถูก ถึงอย่างนั้นก็ยอมอยู่นิ่งๆ โดยไม่ขยับหนี



โฟล์คกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ...ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรลงไป รู้แต่เขาอยากกอด...อยากปลอบ...อยากให้กำลังใจเด็กคนนี้



อยากบอกว่า...คนในอ้อมกอดของเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว



ถึงแม้จะเพิ่งเจอ...เพิ่งคุยกันไม่กี่ครั้ง แต่โฟล์คกลับรู้สึกเอ็นดูลูกศิษย์ของเขาคนนี้ไม่ต่างจากน้องชายแท้ๆ  โดยเฉพาะยามที่ร่างเล็กยกสองมือขึ้นปาดคราบน้ำตาและส่งเสียงสะอื้น เขาก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้คนที่ร้องไห้อยู่ได้



“ฮึก...พี่โฟล์ครู้ไหม...ภูมิไม่ได้อยากเรียนหมอ...ฮึก...ไม่ได้อยากเรียนเลย...” ภูมิพูดในขณะที่ใบหน้ายังซบอยู่กับอกกว้าง พรั่งพรูทุกอย่างในใจออกมาราวเด็กที่เพิ่งเจอสิ่งยึดเหนี่ยว ซึ่งโฟล์คก็เต็มใจจะทำหน้าที่นี้



...รู้มานานแล้วว่าภูมิมีเรื่องบางอย่างเก็บไว้ในใจ หลายต่อหลายครั้งที่เขาสังเกตเห็นเด็กคนนี้ทำหน้าอมทุกข์ แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะคิดว่าตนอาจยังไม่สนิทกับอีกฝ่ายถึงขั้นที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ได้ แต่พอมาวันนี้ราวกับกำแพงทั้งหมดพังทลายลง และเขา...ก็ได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายมากขึ้น



“ไม่เป็นไรนะครับภูมิ พี่รู้แล้ว...พี่รู้แล้วนะครับ”



“ฮึก..”



จากนั้น โฟล์คจึงปล่อยให้คนในอ้อมแขนปล่อยน้ำตาและเสียงสะอื้นออกมามากเท่าที่ต้องการ ให้สมกับความรู้สึกทั้งหมดที่เก็บสะสมในใจตลอดมา











 

“พี่โฟล์ค พี่พาผมมาที่นี่ทำไม”



ภูมิร้องถามด้วยความสงสัย ยามเมื่อร่างสูงเลี้ยวรถเข้ามาในบริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆ นอกจากรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ ภูมิจึงไม่ซักไซ้อะไรต่อ แล้วหันหน้าหนีไปนอกรถ



...ก็จะให้วางตัวยังไงเล่า พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ถูกปลอบท่าไหนหน้าก็ร้อนวูบไปหมด แถมเขายังร้องไห้ได้เสียเชิงชายชะมัด



ช่วงนี้เป็นเวลาที่คนส่วนมากเลิกงานพอดี ที่จอดรถจึงหาค่อนข้างลำบาก แต่พอจอดได้แล้วพี่โฟล์คก็หยิบรองเท้าแตะที่อยู่ในรถให้เขาคู่หนึ่ง ภูมิถึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองวิ่งออกจากบ้านมาทั้งเท้าเปล่า จากนั้นพี่โฟล์คก็ลากเขาเข้าไปในตัวห้างโดยบอกให้เอากล้องถ่ายรูปในมือไปด้วย ...ยิ่งเห็นรอยร้าวบนกล้องไอ้ภูมิก็ยิ่งเจ็บ แต่ก็จำต้องทำตามคำบอกของร่างสูงเพราะไม่อยากเรื่องมาก



แต่พอพี่โฟล์คพาเขามาถึงร้านที่เป็นจุดหมาย คนถูกลากมาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เอ่ยทวนสิ่งที่เห็นตรงหน้าอย่างฉงน “ร้านกล้อง?”



“ใช่ เข้าไปกันเถอะ”



ภูมิยังไม่ทันได้ร้องค้าน คนตรงหน้าก็จับมือลากเขาตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งยืนให้บริการอยู่



“ขอโทษนะครับ คือผมอยากให้ช่วยดูกล้องตัวนี้หน่อย” ประโยคที่ทำให้ภูมิต้องหันขวับมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู ...เมื่อกี้พี่โฟล์คพูดว่าอะไรนะ แล้วยังสายตาที่พยักเพยิดมาทางกล้องในมือเขาอีก



“ได้ค่ะ รบกวนวางให้ดูนิดนึงนะคะ” พนักงานสาวเอ่ยอย่างใจดี ภูมิจึงวางกล้องลงบนตู้กระจกตามคำบอก หญิงสาวพลิกกล้องในมือไปมาเพื่อตรวจสอบสภาพภายนอก แล้วจึงลองเปิดกล้อง ก่อนจะหันมาบอกภูมิ “ตัวเลนส์ตกกระแทกแรงนะคะ แต่ตัวกล้องไม่เป็นอะไรมาก เมื่อกี้พี่ดูคร่าวๆ เห็นว่ากระจก OVF เคลื่อน ส่วนนี้ยังซ่อมได้ค่ะ เลนส์อาจจะต้องทำใจ แต่ยังไงพี่จะเช็คอย่างละเอียดให้อีกทีนะคะ”



 “รบกวนด้วยนะครับ” โฟล์คยิ้มกว้างก่อนจะคุยรายละเอียดกับพนักงานอีกเล็กน้อย แต่ไอ้ภูมินี่สินิ่งค้างไปแล้ว



ภูมิรีบกระตุกแขนเสื้อนักศึกษาของโฟล์คที่กำลังจะพาเขาออกนอกร้าน



“พี่...ผมไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อม”



“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ” โฟล์คหันมาตอบง่ายๆ “เอ้า อีกหนึ่งชั่วโมงค่อยกลับมา ไปกินอะไรกันก่อนไหม”



“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิพี่โฟล์ค พี่จ่ายให้ผมไม่ได้นะ ค่าสอนพิเศษพี่ยังไม่เอาจากผมเลยไม่ใช่เหรอ”



“งั้นภูมิก็สอนกีตาร์ให้พี่สิ”



“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะพี่ ผมไม่ยอมจริงๆ นะ”



โฟล์คหัวเราะออกมาหน่อยๆ ...บทจะดื้อ เด็กตรงหน้าก็ดื้อได้ใจจริงๆ  เรื่องเงินแค่นี้เขาถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่เห็นภูมิมีสีหน้าสดชื่นขึ้นยามที่รู้ว่ากล้องสามารถซ่อมได้ แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว



“เลี้ยงข้าวพี่สักมื้อแล้วกัน” พอทนคำรบเร้าจากร่างเล็กไม่ไหวโฟล์คจึงบอกปัดไปอย่างนั้น แต่ก็ทำเอาภูมิถึงกับหน้ามุ่ยลงกว่าเดิม บ่นงึมงำกับตัวเอง



“ต้องเลี้ยงกี่มื้อล่ะถึงจะครบ” บวกลบคูณหารในใจ ถ้าเกิดเป็นก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำแถวบ้านไม่รู้ต้องเลี้ยงถึงร้อยชามหรือเปล่า



“อืม งั้นไปร้านนี้แล้วกัน มื้อเดียวอยู่แน่นอน”



ไม่ว่าเปล่า ร่างสูงที่เอ่ยสรุปให้เสร็จสรรพก็จัดการลากคนที่ไม่ยอมเป็นหนี้ให้เดินตามตัวเองเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น แบบที่พอภูมิเห็นชื่อร้านก็เกิดขาแข็งขึ้นมากะทันหัน พยายามยื้อยุดฉุดกระชากเพื่อจะไม่เข้าร้าน แต่ก็สู้แรงคนตัวสูงกว่าไม่ได้ สุดท้ายทั้งสองคนจึงลงเอยด้วยการมานั่งที่โต๊ะในสุดพร้อมด้วยเมนูหรูเลิศอลังการตรงหน้า



คิดได้ไงวะให้เขาเลี้ยงร้านนี้ มีหวังได้นั่งล้างจานทั้งอาทิตย์น่ะสิ!



“นั่งนิ่งทำไมล่ะภูมิ สั่งสิครับ”



ภูมิอ้าปากค้าง กระพริบตาปริบๆ มองคนพูดที่กำลังพลิกเมนูในมืออย่างสบายอารมณ์ ก่อนที่ร่างเล็กจะกลืนน้ำลายลงคอทีหนึ่ง



“ผมไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นเว้ยพี่โฟล์ค”



“งั้นพี่ออกให้ก่อน แล้วภูมิค่อยคืนพี่แล้วกัน”



แล้วมันต่างจากเดิมตรงไหนวะ



คำตอบที่ส่งกลับมาทันควันทำเอาภูมิถึงกับไปต่อไม่ถูก ก้มหน้าบ่นขมุบขมิบด้วยรู้ตัวว่าคงเถียงสู้ไม่ได้ ก่อนจัดการเปิดเมนูอาหารแล้วสั่งไปสองสามอย่าง ไม่สงไม่สนแล้วความเกรงใจ ก็ไอ้พี่ตรงหน้าดันกวนประสาทเขาเองนี่หว่า



ตกลงคือพี่แกจะเลี้ยงใช่มะ ดี! จะได้ฟาดให้หนักไปเลย



          คิดแล้วก็ลอบยิ้มในใจ เรียกให้ร่างสูงที่นั่งตรงข้ามซึ่งหันมาเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของคนตัวเล็กพอดีต้องขยับยิ้มตาม โล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อชั่วโมงก่อนกลับมาร่าเริงได้



            ...ไม่รู้เหมือนกันว่ายอมทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร แต่ผลที่ได้มาก็คุ้มล่ะนะ...



            โฟล์คไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอทำสีหน้าแบบไหนยามที่จ้องมองคนตัวเล็กที่นั่งตรงข้าม จนคนถูกมองซึ่งหันมาสบตาพอดีต้องชะงักกึก เกิดความรู้สึกปั่นป่วนในใจกับสายตาที่...จะเรียกว่ายังไงภูมิก็ไม่แน่ใจ



            อ่อนโยน...ล่ะมั้ง



            ...รู้แต่ว่าเขาไม่เคยได้รับสายตาแบบนี้จากใครแน่ๆ



            ความคิดนั้นทำให้ภูมิต้องหลบสายตาอย่างวางตัวไม่ถูก หันมองทิวทัศน์นอกร้านผ่านกระจกใส จงใจเลี่ยงความสนใจจากร่างสูงตรงหน้า



...เผื่อจะช่วยลดความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจได้บ้าง











 

            “แล้วคืนนี้ภูมิจะกลับบ้านไหมครับ”



            โฟล์คเอ่ยถามหลังจากที่ทั้งสองขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ภูมิชะงักไปเหมือนเพิ่งคิดได้ ดวงตาสะท้อนความลังเลใจขณะเอ่ย “ผม...”



            ใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับเพราะยังฝังใจกับภาพที่เห็นก่อนออกจากบ้าน หนำซ้ำอารมณ์ของพ่อตอนนี้คงไม่ต้อนรับเขาเท่าไหร่ หากไม่กลับก็มีแต่ต้องไปนอนค้างหอไอ้ซันอย่างที่ชอบทำประจำ ทว่าวันนี้เขายังติดต่อเพื่อนซี้เพียงคนเดียวไม่ได้เลยนี่สิ



            โฟล์คมองร่างเล็กที่หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกก่อนแนบหูสองสามครั้ง แต่ดูจากคิ้วที่ขมวดมุ่นแล้ว ปลายสายที่ภูมิต้องการติดต่อคงไม่ได้รับสาย



            “แล้วนี่ไอ้ภาคย์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า” เขาถามต่อ



            “อืม...คงรู้จากพ่อแล้ว” ภูมิเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ถอดใจกับการติดต่อเพื่อนสนิทที่ไม่รู้หายหัวไปไหนทั้งเย็น แล้วจึงหันไปบอกพี่โฟล์คเสียงอ่อน “ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ ผมอาจจะต้องกลับ...”



“งั้นไปคอนโดพี่ไหม”



กึก



เป็นอีกครั้งที่โฟล์คไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไป แต่คนฟังกลับชะงักโดยพลัน เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง



โฟล์คเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจึงถอนหายใจ ก่อนอธิบายอย่างใจเย็น



            “บอกตามตรง พี่เองก็ไม่อยากให้ภูมิกลับบ้านตอนนี้ พี่กลัวสถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิม แล้วถ้าภูมิไม่รู้จะไปที่ไหนจริงๆ ก็ไปอยู่กับพี่ก่อน ไม่ต้องเกรงใจครับ”



            “แต่...”



            ภูมิยังเอ่ยค้าน แต่แล้วก็เงียบเสียงลงเพราะไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรขึ้นมา เขาเห็นด้วยกับทุกอย่างที่พี่โฟล์คพูด ติดแค่ว่าเขากับคนตรงหน้ายังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น



          “หรือถ้าภูมิไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ”



            “เฮ้ยเปล่าๆ  ผมไม่ได้ไม่สะดวกใจนะ ผมแค่เกรงใจพี่อะ แค่นี้ก็รบกวนจะแย่”



          ภูมิรีบแก้เมื่ออีกฝ่ายดูท่าจะเข้าใจผิด



            “ภูมิโอเคจริงนะ?” โฟล์คถามย้ำด้วยความไม่แน่ใจ จนภูมิต้องพยักหน้ารัวๆ



            “อืม จริงสิ”



            “งั้นก็โอเคครับ”



            โฟล์คจัดการสตาร์ทรถก่อนขับออกมาโดยมีร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่ข้างกาย ซึ่งหากคนขับรถหันไปสังเกตปฏิกิริยาของผู้ร่วมทางสักนิด จะพบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งเกร็งตัว ทั้งยังมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับต้องการสะกดความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร...











 

            “วันนี้ขอบคุณทุกคนมากนะ เลิกงานได้”



เสียงประกาศของหัวหน้างานทำให้ทุกคนเฮลั่น พากันทยอยถอดผ้ากันเปื้อนสีแดงออกและเก็บข้าวของส่วนตัวเตรียมกลับบ้าน ซันมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาสองทุ่มตรงก่อนถอนหายใจยาว



เหนื่อยแฮะ ขนาดเพิ่งลองทำวันแรกแท้ๆ



“เฮ้ยซัน วันแรกทำงานดีนี่ ทำอย่างนี้ให้ได้ตลอดนะ ฮ่าๆ” เสียงแซวจากรุ่นพี่ร่วมงานทำให้ซันหัวเราะเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบอย่างสุภาพ



“จะพยายามครับ”



ใช่ วันนี้เป็นวันแรกที่เขาเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารตามสั่งแถวโรงเรียน เป็นร้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ด้วยราคาอาหารที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพและปริมาณก็ทำให้มีลูกค้าหนาแน่นพอสมควร โดยเฉพาะช่วงเย็นจนถึงเวลาหัวค่ำเช่นนี้



ไม่ใช่ว่าที่บ้านมีปัญหาด้านการเงินหรืออะไร แต่เป็นเพราะเขารู้สึกอยากลองทำอะไรใหม่ๆ  อยากลองทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเหมือนที่รุ่นพี่หลายๆ คนทำ และอีกอย่างร้านอาหารนี้ก็อยู่ใกล้โรงเรียน อีกทั้งยังใกล้หอพักของเขา ยิ่งมีรุ่นพี่ที่รู้จักช่วยฝากฝังงานให้เลยคิดว่าโอกาสแบบนี้ควรคว้าไว้ซะดีกว่า



            ซันพับผ้ากันเปื้อนคืนล็อคเกอร์รวมของพนักงานเรียบร้อย ก่อนหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพาย เมื่อนั้นถึงได้มีโอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีสายของเพื่อนสนิทโทรมาเกือบสิบสายตอนที่เขาทำงานอยู่



            ซันตั้งใจจะกดโทรกลับหาภูมิ แต่จู่ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาพอดี และสายนั้นก็ทำให้เจ้าของเครื่องชะงักไปชั่วครู่



            ...พี่ภาคย์...



          ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงขึ้นทันที ...นานแล้วที่เขาได้เบอร์พี่ภาคย์มาจากไอ้ภูมิ แต่ก็เก็บไว้โดยไม่กล้าโทรหา ไม่นึกว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะโทรมาเองแบบนี้



            ทำตัวไม่ถูกเลยว่ะ



          ได้แต่สูดหายใจลึกเข้าสองสามที กดรับสายก่อนควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติขณะเอ่ย “ครับพี่ภาคย์”



            [ซัน ภูมิอยู่ด้วยหรือเปล่า]



            “หืม ไม่นี่ครับ” น้ำเสียงเคร่งเครียดของปลายสายทำเอาซันขมวดคิ้ว “มีอะไรหรือเปล่าครับ”



            [อืม มีปัญหานิดหน่อย คิดว่าคืนนี้ภูมิคงไม่กลับบ้าน เลยนึกว่าจะอยู่กับซัน]



            “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ภูมิโทรหาผมหลายสายเหมือนกันแต่ผมไม่ได้รับ ว่าจะโทรกลับอยู่พอดี” ซันบอกขณะเดินออกจากร้าน ในใจนึกเป็นห่วงเพื่อนซี้ไม่น้อย



            [งั้นลองโทรดูก็ได้ ถ้ารู้ว่าภูมิอยู่ไหนก็บอกพี่หน่อยนะ]



            “ได้ครับ”



            [อืม แค่นี้แหละ ขอบคุณมาก]



            พูดจบก็วางสายไป ซันยกโทรศัพท์ออกจากหู ก่อนเร่งกดโทรออกหาภูมิซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไง



ก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะว่าภูมิอาจเจอปัญหาหนัก...หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเขาเองแหละที่ไม่ดูแลเพื่อนให้ดี...



ซะที่ไหนล่ะวะ! คนผิดคือไอ้ภูมิต่างหาก เขาเห็นตอนมันอ่านข้อความในโทรศัพท์แล้วหน้าซีด ก็อุตส่าห์ถามย้ำตั้งหลายรอบว่ามีปัญหาอะไรไหม มันก็บอกปฏิเสธอยู่ได้ว่าไม่มีๆ  พอเลิกเรียนเขาก็ต้องรีบมาทำงานพิเศษเลยไม่มีเวลาคาดคั้นอีก แล้วมันก็ดันโทรมาหลายรอบตอนเขาทำงานอยู่ซะงั้น



ไอ้นี่แม่งชอบเก็บปัญหาไว้กับตัว โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวเนี่ยเก็บได้เก็บดี เห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง!



เสียงสัญญาณรอสายดังต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าปลายสายจะรับ ซันสบถพรืด กดวางสายแล้วโทรหาใหม่อีกครั้ง



ไม่ใช่แค่เป็นห่วงเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่เขายังห่วงความรู้สึกของคู่สนทนาที่คุยกันเมื่อครู่ด้วย แม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะห้วนไปนิดจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แม้ความคิดเห็นหลายๆ อย่างจะไม่ลงรอยกับคนเป็นน้องชาย แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าพี่ภาคย์ยังเป็นห่วงไอ้ภูมิตลอดเวลา



พอคิดแล้วก็อดขยับรอยยิ้มไม่ได้ นึกถึงใบหน้าเฉยชาติดจะแข็งกระด้างของคนที่มีฐานะเป็นพี่ชายของเพื่อน ซึ่งแสดงออกทุกความคิดอย่างตรงไปตรงมา จนเป็นสาเหตุให้เขาประทับในใจตัวตนของคนที่นานๆ ทีจะได้คุยสักครั้งมาตลอด



...เป็นความประทับใจที่เกินเลยจากที่ควรจะเป็นตั้งไม่รู้เท่าไหร่...



...และไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน ที่เขาเริ่มรู้สึก ‘แอบชอบ’ พี่ชายของเพื่อนสนิทตัวเอง...





----------------------------------------- TBC ---------------------------------------



แอบแง้มคู่ซันภาคย์เบาๆ  แต่เลิฟไลน์ของคู่นี้จะยังไม่เดินในเรื่องนี้นะคะ นู่น ได้เดินจริงก็ตอนซันขึ้นมหา'ลัยเลยแหละ

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ ตอนต่อไปเจอกันวันพฤหัสเนอะ

ระหว่างนี้ก็ฝากดูแลน้องภูมิด้วยนะพี่โฟล์ค พาเขาเข้าคอนโดแล้วนี่ > <

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 4 (10/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-07-2018 11:21:10
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 4 (10/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-07-2018 13:30:49
 :L2: :pig4:

เอาใจช่วยน้อง
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 4 (10/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 12-07-2018 20:17:41


Chapter 5 : ยามค่ำคืน

 

           ตอนนี้ภูมิสามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยล่ะว่า พี่โฟล์คน่ะคือ ‘โคตรรวย’ ของจริง



            ตั้งแต่รถเบนซ์สีดำเงาวับที่ดูจะหรูเกินอายุเด็กมหาวิทยาลัย จนมาถึงคอนโดสุดไฮโซใจกลางเมืองที่เจ้าของเพิ่งแล่นรถเข้ามาจอด ทำให้ภูมิถึงกับอ้าปากค้าง กระพริบตาปริบๆ  รู้สึกราวกับเข้ามาในโลกอีกโลกหนึ่งที่ทั้งชีวิตไม่เคยพบไม่เคยเจอ ยิ่งพอเดินตามอีกฝ่ายมาขึ้นลิฟต์ก็ยิ่งพบความอลังการของคอนโดราคาแพงหูฉี่ กว่าจะเดินมาถึงห้องก็เผลอเอี้ยวคอมองนู่นมองนี่จนเมื่อยไปหมด



            โฟล์คเดินนำร่างเล็กผ่านห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งแบบเรียบหรู โซฟากำมะหยี่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง โดยริมห้องมีทีวีจอแบนขนาดใหญ่และนาฬิกาติดผนังแขวนอยู่ เมื่อเลี้ยวซ้ายก็พบกับประตูบานเล็ก ซึ่งพอเปิดไปก็พบเตียงนอนขนาดคิงไซส์โดยมีห้องน้ำในตัว ร่างสูงวางสัมภาระบนฝั่งขวาของเตียงก่อนหันหน้ามาหาภูมิ



            “นอนที่นี่ไปก่อนได้ไหม”



            “โห ยิ่งกว่าได้ซะอีกพี่ เอ่อ...ผมหมายถึงมันโคตรหรูอะ หรูแบบสุดยอด ไม่เคยเจอมาก่อนเลย” ภูมิบอกไปตามจริง ทิ้งตัวลงบนฝั่งซ้ายของเตียงพลางมองไปรอบๆ



เจ้าของห้องเห็นดังนั้นก็ยิ้มขำ แล้วเอ่ยถาม “ภูมิจะอาบน้ำก่อนไหมครับ”



“ไม่เป็นไร พี่โฟล์คอาบก่อนก็ได้”



ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า หยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดที่จะเปลี่ยนแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ร่างเล็กทิ้งแผ่นหลังลงกับเตียงนุ่ม แหงนหน้ามองเพดานด้วยแววตาที่แสดงออกชัดถึงความปั่นป่วนในใจ...ที่เจ้าตัวพยายามกักเก็บมาตลอดทาง



พี่โฟล์คเป็นคนดี...เป็นคนดีมากๆ



ทั้งที่ยังรู้จักกันไม่นาน แต่พี่โฟล์คกลับทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใคร อาจเป็นเพราะนิสัยที่ไม่ค่อยเปิดใจให้ใครเต็มร้อย นอกจากไอ้ซันแล้วเลยไม่ค่อยมีใครได้ใกล้ชิดจนรู้ปัญหาส่วนตัวของเขาสักเท่าไหร่ แต่ไอ้ซันก็ซี้แบบเพื่อนไง ตบหัวเล่นหางกันบ้างตามประสา ไม่มีหรอกที่จะทำซึ้งหรือช่วยปลอบแบบอ่อนโยนเหมือนที่พี่โฟล์คทำ ...คิดแล้วก็อดหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ ไม่ได้



เออ...ว่าแต่ปกติผู้ชายเขาปลอบใจกันแบบนี้เหรอ ภูมิชักไม่แน่ใจ



ครืด...ครืด



เสียงสั่นจากไอโฟนเครื่องสีดำดังขึ้นที่หัวเตียง เรียกความสนใจจากคนที่อยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองให้หันไปมอง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงกระเด้งตัวไปอีกฝั่งของเตียงก่อนชะโงกหน้าดูชื่อคนโทรเข้า



‘ภาคย์’



ชื่อของพี่ชายตัวเองที่ปรากฏบนหน้าจอทำเอาคนมีชนักติดหลังถึงกับชะงัก ถอยกรูดกลับมานั่งที่เดิมตามสัญชาตญาณ ปล่อยให้ไอโฟนของคนที่กำลังอาบน้ำสั่นครืดอยู่อย่างนั้นโดยไม่กล้ารับสาย











 

หยดน้ำมากมายร่วงลงมากระทบร่างสูงจนไอจากความร้อนลอยฟุ้งทั่วห้องอาบน้ำ เจ้าของร่างเปลือยเปล่าก้มหน้ามองพื้นขณะปล่อยให้น้ำและฟองสบู่ไหลออกจากตัว สองมือยกขึ้นลูบหน้าตัวเองที่มีหยดน้ำพราว ก่อนขยับมือไปหมุนปิดฝักบัว



โฟล์คคว้าผ้าขนหนูที่พาดขอบประตูไว้มาพันปกปิดส่วนล่าง กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำตามความเคยชิน แต่ดันนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้อยู่ห้องคนเดียว ออกไปทั้งอย่างนี้คงจะไม่เหมาะ



พอคิดถึงภูมิร่างสูงก็คลี่ยิ้ม นึกภาพว่าคนตัวเล็กคงกำลังนั่งเล่นบนเตียงเหมือนเด็กๆ หรืออาจจะเผลอหลับไปแล้วก็ได้ ...ก็เจอเรื่องหนักขนาดนั้นมานี่นา



พอแต่งตัวเป็นชุดใส่นอนเรียบร้อยโฟล์คก็ออกมาจากห้องน้ำ แต่เมื่อเห็นร่างเล็กที่นั่งนิ่งเหมือนเหม่อลอยบนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้



“ภูมิครับ” เขาลองเรียกดู ส่งผลให้คนถูกเรียกสะดุ้งหน่อยๆ ก่อนหันมายิ้มแหย



“อ้าวพี่โฟล์ค เสร็จแล้วเหรอ”



“อืม ภูมิเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเหม่อๆ นะ”



ภูมิเผลอเลื่อนสายตาไปมองไอโฟนเครื่องสีดำที่อยู่บนหัวเตียงแต่ไม่กล้าพูดอะไร โฟล์คขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินเข้าไปใกล้แล้วหยิบไอโฟนของตัวเองขึ้นมาดู พอเห็นสายที่ไม่ได้รับจากเพื่อนสนิทก็เริ่มเข้าใจสาเหตุที่คนตัวเล็กหน้าเจื่อน เอื้อมมือไปขยี้หัวคนที่นั่งหน้าเครียดด้วยความเอ็นดู



“เครียดอะไรครับ เดี๋ยวพี่คุยกับไอ้ภาคย์เอง ภูมิไปอาบน้ำเถอะ”



ภูมิพยักหน้าตอบรับ คว้าผ้าขนหนูที่พับไว้จากชั้นวางเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป



โฟล์คหันกลับมาสนใจไอโฟนในมือ สไลด์ปลดล็อกหน้าจอแล้วกดโทรออก รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสายพร้อมกับเสียงที่ดังแทรกมา



[เฮ้ยโฟล์ค มึงรู้ปะว่าไอ้ภูมิอยู่ไหน]



“รู้ น้องมึงอยู่กับกู” เขาตอบไปง่ายๆ  ได้ยินเสียงสบถพรืดแว่วมาจากปลายสาย



[กูว่าละ เห็นมึงไม่ได้มาบ้านกูก็สงสัยอยู่ เมื่อกี้กูเพิ่งโทรไปหาเพื่อนมัน เพื่อนมันก็ไม่รู้เรื่อง เออ...แล้วทำไมมึงไปอยู่กับมันได้วะ]



“ภูมิเขาโทรหากูตอนร้องไห้ กูไม่รู้จะทำยังไงเลยขับรถไปหา ให้กลับบ้านตอนนี้ก็คงไม่เหมาะเลยพามาคอนโด”



[ขี้แยฉิบหาย ...เออ ให้กลับบ้านคืนนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ะ พ่อกูโคตรเดือดเลย ฝากดูมันคืนนึงแล้วกัน]



ไม่ต้องบอกโฟล์คก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เขามีบางอย่างที่อยากปรึกษาเพื่อนสนิทคนนี้ด้วย



“ไอ้ภาคย์ พรุ่งนี้กูขอยืมตัวภูมิอีกวันได้ไหม”



[ทำไมวะ] น้ำเสียงอีกฝ่ายดูฉงนไม่น้อย



“กูอยากลองคุยกับน้องเขา เผื่อจะช่วยแก้ปัญหาได้ คืนนี้กูไม่กล้าคุยอะไรเพราะเห็นว่าภูมิยังเครียดอยู่ เลยจะให้พักไปก่อน  แต่ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคนที่จะรู้สึกแย่ที่สุดก็คือตัวภูมินะเว้ย” โฟล์คพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าให้ภูมิกลับไปแบบนี้ มึงคิดว่าปัญหาพวกนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า”



[…]



คู่สนทนาของเขาเงียบไปทันที โฟล์คเองก็หวั่นใจไม่น้อยที่พูดกับเพื่อนไปตรงๆ แบบนั้น แต่เขารู้ว่าไอ้ภาคย์น่าจะรู้จักนิสัยเขาดี และเขาก็หวังดีอยากช่วยน้องชายมันแก้ปัญหาจริงๆ ...รวมทั้งปัญหาครอบครัวของมันด้วย



เพราะจากที่ภูมิเล่ามาวันนี้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเพื่อนสนิทเขาดูไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก



มีไม่กี่ครอบครัวนักหรอกที่เจอปัญหาอย่างนี้ แต่โชคร้ายที่ครอบครัวของภูมิเจอ ...แถมเจอหนักยิ่งกว่าใครๆ ที่เขาเคยรู้จัก



[เอาก็เอา ฝากมึงด้วยละกัน แค่นี้นะ]



ไอ้ภาคย์ตอบกลับมาในที่สุดแล้ววางสายไป โฟล์คจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกไปได้ลูกหนึ่ง



เขาเช็คมือถือไปเรื่อยๆ รอเวลาที่แขกอีกคนของห้องจะอาบน้ำเสร็จ



“พี่โฟล์ค...”



เสียงเล็กๆ ดังมาจากทางประตูห้องน้ำ พอโฟล์คเงยหน้ามองก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้าของเสียงเมื่อครู่ดันอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนโดยมีผ้าขนหนูพันท่อนล่างอย่างเดียว



แล้วทำไม...เขาต้องรู้สึกแปลกๆ ด้วยวะ



ร่างเล็กเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมาก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก เผลอยกมือขึ้นเกาท้ายทอยพลางบอกเสียงอ้อมแอ้มอย่างเกรงใจ “คือ...ผมยืมชุดนอนพี่หน่อยดิ ลืมหยิบเข้าห้องน้ำ”



“อ้อ เอาสิ” โฟล์คว่าด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติ ก่อนเดินไปหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นให้ ภูมิพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เจ้าของห้องยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยที่ภาพเมื่อครู่ยังอยู่ในหัว



ก็รู้อยู่หรอกว่าไอ้ภาคย์กับภูมิมีเชื้อสายจีน แต่ไม่นึกว่าจะ...ขาวขนาดนี้



ดูน่ามองจนเขาอดไม่ได้ที่จะ...จ้องอยู่แวบหนึ่ง



ทว่าโฟล์คกลับส่ายหัวโดยพลัน ตกใจกับความคิดของตัวเองไม่น้อย ...ผู้ชายที่ไหนวะชมผู้ชายด้วยกันเองว่าขาว...น่ามอง...



เขานี่ท่าจะบ้าจริงๆ











 

พอออกจากห้องน้ำด้วยชุดของพี่โฟล์ค ภูมิก็เพิ่งระลึกได้ว่าโนเกียคู่ใจไม่ได้อยู่กับตัว ให้พี่โฟล์คช่วยหาทั้งห้องก็ยังไม่เจอ จนเจ้าของห้องคอนโดต้องลงไปดูในรถให้เผื่อว่าจะทำตกไว้



รอไม่นานร่างสูงก็กลับขึ้นห้องโดยมีมือถือของเขาติดมือมาด้วยจริงๆ  พอเอามาดูก็พบมิสคอลจากไอ้ซันเกือบสิบสาย



เออ...ดีเนอะไอ้เพื่อนเวร ทีตอนโทรไปล่ะไม่รับ



ภูมิขอตัวออกไปโทรศัพท์หาเพื่อนที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งพี่โฟล์คก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากกำชับว่าอย่าคุยนาน



พอทิ้งตัวนั่งบนโซฟากำมะหยี่กลางห้องนั่งเล่น ภูมิก็กดโทรออกหาไอ้ซัน รอเสียงสัญญาณดังประมาณสองครั้ง ปลายสายก็กดรับพร้อมด้วยคำถามตามมาเป็นพรวน



[ไอ้ภูมิโว้ยยย! มึงเป็นไรวะ โทรหากูมีอะไร แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน ทำไมไม่รับสายกูตั้งเกือบสิบสาย พี่ภาคย์เขาห่วงมึงจะตายแล้วรู้เปล่า!]



“กูไม่เป็นไร มึงอะใจเย็น” ภูมิกลายเป็นฝ่ายที่ต้องพูดให้คนในสายสงบสติอารมณ์แทน เออ ก็ซึ้งอยู่หรอกที่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นห่วงกัน แต่ตอนนี้ขอด่าหน่อยว่ะ “มึงนั่นแหละไม่รับสายกู กูโคตรรู้สึกแย่เลยนะเว้ย นอกจากมึงกูก็ไม่รู้จะคุยกับใครปะวะ”



[เออๆ กูผิดก็ได้ ยอมให้ครั้งเดียวนะเว้ย ตกลงมึงอยู่ไหน]



“กูอยู่...เอ่อ คอนโดรุ่นพี่ที่รู้จักกันว่ะ”



[หืม? คนไหนวะ แล้วมึงไปเจอเขาได้ไง]



“กูก็โทรหาเขาหลังจากที่มึงไม่ยอมรับสายกูไงไอ้ซัน” ไม่ลืมย้ำความผิดของปลายสายไปอีกรอบ จนอีกฝ่ายหัวเราะแหะๆ ก่อนจะถามต่อ



[แล้วตกลงวันนี้มึงมีเรื่องอะไรวะ]

         

  ภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอนตัวพิงโซฟาจนไหล่แทบจมไปกับเบาะแล้วเริ่มเล่าเรื่อง ตั้งแต่ที่พ่อเขาส่งข้อความมาหาตอนเรียนอยู่(ซึ่งก็โดนไอ้ซันด่าอีกรอบว่าทำไมไม่ยอมบอกมัน) จนถึงตอนที่เขาเข้าไปเห็นพ่อกำลังพังข้าวของอยู่พอดี เลยวิ่งออกจากบ้านมาแล้วพยายามติดต่อหามัน พอติดต่อไม่ได้เลยโทรหาพี่โฟล์ค ซึ่งก็พาเขามาพักที่คอนโดชั่วคราว



            สำหรับเรื่องของพี่โฟล์ค ภูมิเล่าเพียงว่าเป็นครูสอนพิเศษที่เป็นเพื่อนของพี่ภาคย์เท่านั้น ซึ่งไอ้ซันก็ไม่ได้สงสัยอะไร



            [โห...หนักเลยดิ มึงโอเคนะ] ไอ้ซันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงนิดๆ



            “เออ ก็ดีขึ้นเยอะ”



            [ดี แล้วมึงจะนอนกี่โมง]



            “ไม่รู้ดิ แต่พี่โฟล์คบอกให้รีบเข้าไปนอนว่ะ”



            [งั้นมึงรีบนอนเหอะ พักให้เยอะๆ นะอย่าเพิ่งตาย มีอะไรก็โทรหากูได้ สัญญาว่าจะรับทุกสายเลยเอ้า]



            “ให้มันจริง” บอกตามตรงว่าเขาไม่เชื่อประโยคสุดท้ายเลยสักนิด



            [ฮ่าๆ งั้นกูไปละ บายมึง]



            “เออ บาย”



            ภูมิกดวางสายแล้วถอนหายใจออกมา การได้คุยกับเพื่อนสนิทอย่างไอ้ซันทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ



            ภูมิเปิดประตูเข้าห้องนอนอย่างเบามือ ชะโงกหน้าเข้าไปเห็นไฟห้องเปิดสลัว และเจ้าของห้องที่กำลังนอนนิ่งบนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมไว้ครึ่งตัว เขาค่อยๆ ปิดประตูเพราะกลัวจะรบกวนคนที่นอนอยู่ แล้วจึงเดินไปวางโทรศัพท์บนหัวเตียงก่อนขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่ม ดึงผ้าห่มที่อีกฝ่ายเหลือไว้ให้ครึ่งผืนมาคลุมตัว



            ภูมิจ้องมองแผ่นหลังของร่างสูงที่นอนตะแคงไปอีกทาง เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก



            “ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



            ร่างเล็กพึมพำเบาๆ แม้ว่าคนที่ตนอยากพูดด้วยจะหลับไปแล้วก็ตาม แต่เพราะอย่างนั้นแหละเขาถึงกล้าพูด



            ภูมิพลิกตัวไปอีกด้าน หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนกับเรื่องที่เจอมาตลอดทั้งวัน











 

            โฟล์คไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ตอนแรกตั้งใจว่าจะรอให้ภูมิคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วค่อยนอน แต่พอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ตื่นขึ้นมากลางดึกตอนตีสองกว่าๆ  โดยที่มีร่างเล็กนอนอยู่ข้างกายเรียบร้อยแล้ว



            บรรยากาศในห้องเงียบสงัดจนร่างสูงตั้งท่าจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ทว่าเมื่อหันไปเห็นคนข้างๆ กำลังนอนตัวสั่นก็ชะงัก เข้าใจว่าคงหนาวเลยเลื่อนมือไปกระชับผ้าห่มให้อีกฝ่าย แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังลอดขึ้นมา



            ...ภูมิกำลังร้องไห้...



            ใช่จริงๆ ...เด็กข้างตัวเขากำลังนอนร้องไห้



โฟล์คเอื้อมมือไปแตะแขนของอีกฝ่ายแผ่วเบา แต่ไม่มีท่าทีว่าคนที่นอนอยู่จะรู้สึกตัว



            คงจะละเมอ...ไม่ก็ฝันร้าย



            สีหน้าของเขาเริ่มตึงเครียด รู้สึกสงสารภูมิขึ้นมาจับใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอย่างภูมิต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งถูกขัดขวางอนาคต ซ้ำยังถูกพ่อไล่ออกจากบ้านจนต้องมานอนค้างคอนโดของเขาซึ่งเพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่วัน



            ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจความคิดของพ่อภูมิ แต่เขาคิดว่าผู้ชายคนนั้นทำเกินไป ถึงแม้ภูมิจะมีส่วนผิดในเรื่องที่โกหกหรือปิดบังด้วยก็เถอะ



            เอาแต่ตึงกันทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์อาจจะขาดผึงได้สักวัน ...พบกันครึ่งทางนั่นแหละดีที่สุด



            โฟล์คปัดเส้นผมที่ปรกหน้าคนตัวเล็กออกอย่างเบามือ ทั้งยังเผลอจ้องใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการกระทำนี้หรือเปล่าที่ทำให้ภูมิเริ่มรู้สึกตัว จนร่างเล็กครางอือในลำคอแล้วขยับพลิกตัวมาทางเขา ก่อนจะนอนนิ่งต่อเหมือนเดิม



            ยามเมื่อเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าไร้เดียงสา โฟล์คก็เกิดความรู้สึกปั่นป่วนในใจ และเกิดความคิดที่...ไม่น่าจะเข้าท่าเท่าไหร่



            แต่เขาก็ทำมันลงไปแล้ว...



            โฟล์คโน้มตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า แนบริมฝีปากตัวเองลงกับหน้าผากของคนที่นอนหลับอยู่ ...ค้างไว้อย่างนั้นนานเท่าไหร่ไม่ทราบ



            การกระทำที่เขาไม่เคยคิดจะทำให้ใคร...โดยเฉพาะผู้ชาย แต่เขาก็ทำมันลงไปแล้วกับเด็กตรงหน้า



            “อือ...”



            จนเมื่อคนใต้ร่างส่งเสียงร้องครางเบาๆ กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น โฟล์คจึงเริ่มรู้สึกตัว ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งโดยที่ยังจ้องคนตัวเล็กไม่วางตา ...ไม่อยากนึกหาคำตอบกับการกระทำที่แปลกประหลาดของตัวเองอีกแล้ว ในเมื่อยิ่งค้นหาเท่าไหร่ คำตอบก็ยิ่งดูอยู่ห่างไกลเท่านั้น



            ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา คนตัวเล็กซึ่งควรจะมีศักดิ์เป็นเพียง ‘ลูกศิษย์’ หรือ ‘น้องชายของเพื่อน’ กลับมีอิทธิพลต่อเขามากกว่าที่ควรเป็นหลายเท่านัก...





----------------------------------------------------- TBC --------------------------------------------------------



น้องภูมิน่ะเชื้อสายจีนแต๊ๆเลยจ้า ทั้งตาตี่ ทั้งขาว อ้อ น่ามองด้วยนะ /พี่โฟล์คได้กล่าวไว้

อย่างที่บอกค่ะ น้องภูมิต้องโตขึ้นอีกหน่อย พี่โฟล์คก็คิดเหมือนกัน เรื่องเรียนพิเศษน่ะพักไว้ก่อน มาเจอคอร์สชีวิตจริงดีกว่า :)

อยากบอกว่า ยังจำตอนที่เขียนฉากจุ๊บหน้าผากเมื่อสี่ปีก่อนได้อยู่เลยค่ะ ตอนนั้นคือเขินมากๆๆๆ แบบเขินเองมากๆ คือฉากมันธรรมดามากๆนะ ไม่ได้น่าเขินเลย แต่คนเขียนอะเขินเอง ฮืออออ /ปิดหน้า

อยากให้ทุกคนได้สัมผัสความน่ารักอบอุ่นของคู่นี้ไปพร้อมๆกันนะคะ เจอกันวันเสาร์ค่ะ <3

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 5 ยามค่ำคืน (12/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 12-07-2018 21:57:11
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 5 ยามค่ำคืน (12/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-07-2018 00:08:13
 :L2: :pig4:

ทุกข์แล้วไม่มีใครอยู่ด้วยนี่ แย่เลย
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 5 ยามค่ำคืน (12/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 14-07-2018 12:53:45


Chapter 6 : อีกหนึ่งมุมมอง



            แม้คืนที่ผ่านมาโฟล์คจะหลับได้ไม่เต็มอิ่ม แต่เขาก็ยังตื่นเช้าเหมือนทุกวันราวกับมีนาฬิกาปลุกส่วนตัว



            สิ่งแรกที่เขาเผลอมองหาคือร่างเล็กของคนที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย เมื่อเห็นใบหน้าไร้เดียงสากำลังหลับตาพริ้มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้



ร่างสูงพยายามลุกจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน แต่พอทำธุระส่วนตัวเสร็จ คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขาเองก็ไม่ต้องการปลุกจึงปล่อยให้คนตัวเล็กนอนต่อไป ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์กับคีย์การ์ดแล้วเดินออกจากห้อง



โฟล์คลงมาซื้อข้าวกล่องที่ร้านอาหารตามสั่งข้างคอนโด หญิงเจ้าของร้านวัยกลางคนเห็นก็จำได้ มองร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ ด้วยสายตาเอ็นดูพลางเอ่ยทักเสียงใส



“มาแต่เช้าเชียว วันนี้เอาอะไรล่ะพ่อหนุ่ม”



“อืม...เอาเป็นข้าวไข่เจียวกับข้าวผัดกะเพราแล้วกันครับป้านิด” โฟล์คบอกแบบไม่คิดมาก เพราะรู้ว่าร้านประจำร้านนี้อาหารอร่อยทุกอย่าง แถมเขาไม่รู้ว่าภูมิชอบอะไรเป็นพิเศษเลยเลือกสั่งเมนูง่ายๆ ไปก่อน



แต่แล้วเสียงหวานจ๋อยของลูกสาวเจ้าของร้านก็ดังแว่วมาจากในครัว “แหม ซื้อตั้งสองกล่องเชียว เอาไปฝากใครจ๊ะเนี่ย”



“เดี๋ยวเถอะยัยหน่อย สอดรู้จริงๆ” ป้านิดหันไปเอ็ดลูกสาวเสียงเข้มจนคนถูกดุหน้าจ๋อย แต่โฟล์คกลับหัวเราะอย่างไม่ถือสา



“ไม่เป็นไรหรอกครับป้านิด คือพี่ซื้อไปฝากรุ่นน้องที่มาพักด้วยกันน่ะหน่อย”



“ตายแล้ว แฟนเหรอคะพี่โฟล์ค”



เสียงหวานที่ถามต่อทำเอาคนเป็นแม่ต้องหันไปถลึงตาใส่อีกรอบ ครั้งนี้ร่างสูงชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพตามเดิม



“ไม่ใช่หรอกครับ รุ่นน้องพี่เป็นผู้ชายน่ะ”



“อะไรนะคะ แฟนพี่โฟล์คเป็นผู้ชายเหรอ” ไม่รู้ว่าสาวเจ้าหูไม่ดีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ดวงตาดูแพรวพราวพิกลเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้ชาย’ ออกจากปากของลูกค้าสุดหล่อ เรียกให้โฟล์คต้องส่ายหน้าอีกครั้ง



“เป็นแค่รุ่นน้องจริงๆ ครับ อืม...ป้านิดครับ ผมขอน้ำส้มแก้วนึงด้วยนะ” ว่าแล้วก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น แต่มีหรือที่ลูกสาวป้านิดจะยอมง่ายๆ  ร่างบางแสร้งหรี่ตาอย่างจับผิดก่อนเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว



“เอ...ปกติพี่โฟล์คไม่กินน้ำส้มนี่นา อย่าบอกนะว่าซื้อไปฝากรุ่นน้องของพี่อะ ฮั่นแน่ ดูแลกันดีจังเลยน้า”



โฟล์คหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ปฏิเสธไม่ลงเพราะเขาตั้งใจจะซื้อไปฝากภูมิจริงๆ  ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายชอบกินน้ำอะไร จะซื้อน้ำอัดลมไปให้ก็คงไม่ดีต่อกระเพราะตอนเช้า เลยนึกถึงน้ำส้มที่ร่างเล็กเคยทำหกใส่เสื้อเขาตอนที่เจอกันวันแรก



น้องหน่อยเห็นร่างสูงเงียบไปโดยมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าก็หัวเราะคิก



“โหยพี่โฟล์ค ทำสายตาซะเคลิ้มเชียว คิดถึงเค้าอยู่อะดิ ปิดไม่มิดแล้วมั้งแบบนี้ เฮ้อ! อย่างนี้หน่อยก็อกหักซะแล้วสิ”



“เดี๋ยวเถอะยัยหน่อย พอได้แล้ว” ป้านิดที่เพิ่งตักกับข้าวใส่ถุงเสร็จรีบหันมาปรามลูกสาวของตัวเองทันที พร้อมทั้งส่งยิ้มแบบรู้สึกผิดให้โฟล์คที่กำลังยืนทำหน้าไม่ถูก “ขอโทษแทนยัยหน่อยด้วยนะ มันก็ดื้อๆ ซนๆ ตามประสานั่นแหละ อย่าใส่ใจเลย”



“ไม่เป็นไรครับ” โฟล์คส่ายหน้าเบาๆ ขณะยื่นมือไปรับข้าวกับน้ำส้มก่อนจะจ่ายเงินให้ครบตามจำนวน



“ฮี่ๆ ไม่ปฏิเสธแล้วเหรอพี่โฟล์ค”



น้องหน่อยยังแอบส่งเสียงแซวตอนที่ป้านิดหันไปทำกับข้าวให้ลูกค้าคนอื่น ครั้งนี้โฟล์คชะงักเพียงนิด หมุนตัวกลับมาแล้วส่งยิ้มให้ ก่อนเอ่ยตอบเสียงเบาจนคล้ายจะกระซิบกับตัวเอง



“คงงั้นมั้งครับ...”











 

พอเปิดประตูเข้าห้องมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างเล็กในชุดนอนตัวหลวมโคร่งของเขาเดินออกจากห้องนอนด้วยท่าทางสะลึมสะลือ เหมือนว่าตื่นมาแล้วไม่เห็นเขาเลยออกมาดูที่ห้องนั่งเล่น แต่พอสบตากันเท่านั้นแหละ คนที่งัวเงียอยู่ก็แทบจะตื่นเต็มตา



“เอ้อ...พี่โฟล์ค...”



“พี่ซื้อข้าวมาให้แล้ว ภูมิไปอาบน้ำเถอะ” โฟล์คว่าเสียงนุ่ม ทำให้คนฟังรีบพยักหน้ารับแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องนอน จนเจ้าของห้องอดขำไม่ได้กับท่าทางของคนตัวเล็กที่ดูราวกับทำตัวไม่ถูกยามอยู่ต่อหน้าเขา



โฟล์คนั่งเล่นรอเวลาอยู่พักหนึ่ง กะเวลาพอสมควรแล้วจึงหยิบถุงอาหารที่เพิ่งซื้อมาจัดลงจาน รอไม่นานคนที่เข้าไปอาบน้ำก็ออกมาพร้อมกับชุดไปรเวทซึ่งคงจะหยิบมาจากตู้เสื้อผ้าของเขา แม้ขนาดจะใหญ่เกินตัวไปหน่อยแต่ก็ดูไม่แปลกนัก แถมยังเพิ่มบุคลิกสบายๆ ให้คนใส่อีก



ภูมิเดินเข้ามาใกล้โต๊ะอาหารก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “ขอยืมชุดอีกวันนะพี่โฟล์ค เดี๋ยวผมซักคืนให้”



            “ไม่เป็นไรหรอก นั่งก่อนสิ” โฟล์คเลื่อนอาหารทั้งสองจานให้อีกฝ่ายดู “ภูมิอยากกินอะไรเลือกได้เลย”



            ภูมิมองสลับไปมาระหว่างจานสองจาน ก่อนเลือกไปโดยไม่คิดมาก



            “ข้าวไข่เจียวแล้วกัน”



            บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่านไปอย่างเรียบง่าย แต่ละคนต่างจัดการกับอาหารในจานของตัวเองโดยไม่พูดคุยกัน อาจเป็นเพราะเพิ่งตื่นนอน ยังงัวเงียเลยไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาอย่างไร แม้แต่โฟล์คที่มักเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก็เงียบไปเสียเฉยๆ  ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองร่างเล็กที่นั่งกินข้าวไข่เจียวอยู่เงียบๆ สลับกับดูดน้ำส้มที่เขาซื้อมาให้ ผ่านไปครู่ใหญ่นั่นแหละโฟล์คถึงเริ่มพูด



            “วันนี้ไปเที่ยวกันนะครับ”



            “ฮะ”



            อีกฝ่ายแทบสำลักน้ำส้ม เงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันควัน แต่คนถูกมองยังคงพูดต่อราวกับไม่เห็นกิริยาที่ฉายชัดถึงความประหลาดใจของร่างเล็ก



            “วันเสาร์ทั้งทีนี่ครับ พี่มีแพลนจะเที่ยวอยู่แล้วแต่ไม่อยากไปคนเดียว เลยว่าจะชวนภูมิไปด้วย ภูมิสะดวกไหม”



            “แต่...คือ...” ภูมิอ้ำอึ้ง ไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธ โฟล์คก็พูดแทรกขึ้นมาเหมือนอ่านใจออก



            “ภูมิกังวลเรื่องที่บ้านเหรอครับ”



            ท่าทีที่ชะงักไปของคนตัวเล็กทำให้เขาสรุปได้ไม่ยากว่าตนคาดการณ์ถูก จึงพูดต่อ



            “เมื่อคืนพี่คุยกับไอ้ภาคย์แล้ว มันไม่ว่าอะไรหรอก”



            “จริงเหรอ” ภูมิเบิกตากว้าง ความกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นแบบที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวนัก “เที่ยวที่ไหนอะ”



            แม้จะประหลาดใจไม่น้อยกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของคนที่ตนชวน แต่โฟล์คก็ยังเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “สวนสนุกครับ”



            “เฮ้ย! จริงดิ” คราวนี้ไม่ใช่แค่เบิกตากว้าง แต่ภูมิยังแทบตะโกนลั่นห้องพร้อมกับดวงตาที่พราวระยับเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ ทำให้โฟล์คต้องมองอย่างแปลกใจ



            ...อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้ไม่เคยไปสวนสนุก...



            แล้วคำตอบก็เป็นที่กระจ่างชัดเมื่อร่างเล็กตะโกนออกมาอีกครั้ง



            “พี่จะพาผมไปจริงดิ โอ๊ย! ดีใจว่ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยไปเลยนะเนี่ย แล้วนี่จะไปกี่โมงอะพี่โฟล์ค”



            “ก็รอภูมิกินข้าวเสร็จนั่นแหละครับ” โฟล์คว่าง่ายๆ พลางเหลือบมองจานข้าวของอีกฝ่ายที่ยังเหลืออยู่เกินครึ่ง แตกต่างจากข้าวผัดกระเพราของเขาที่หมดเกลี้ยงไปตั้งนานแล้ว เรียกให้ภูมิหัวเราะแหะๆ ก่อนก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวไข่เจียวตรงหน้าด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด











           

            “เจ๋งเป้งเลยอะพี่โฟล์ค!”



            ภูมิยืนอยู่หน้าทางเข้าสวนสนุก ทำตาโตใส่ประตูทางเข้าที่ตกแต่งเป็นรูปปราสาทหลากสีสัน มีพุ่มดอกไม้และตัวการ์ตูนอยู่ด้านหน้าสำหรับถ่ายรูปเล่น น่าเสียดายที่เขาไม่มีกล้องอยู่กับตัว ไม่อย่างนั้นคงได้เก็บภาพกลับไปชุดใหญ่



            โฟล์คยิ้มขำ มองร่างเล็กที่เผลอทำตัวเหมือนเด็กๆ อย่างเพลินตา ก่อนจะพาไปที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรแล้วเลือกซื้อบัตรรวมเครื่องเล่นสองใบ



            “ง่า...พี่โฟล์ค...” คนที่ร่าเริงเมื่อครู่หน้าจ๋อยลงทันที เมื่อเห็นคนตัวสูงกว่าควักธนบัตรสีเทาจ่ายค่าบัตรแทนเขาอีกแล้ว



            “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือซะว่าพี่ขอให้ภูมิมาเป็นเพื่อนแล้วกัน” พูดพร้อมโยกหัวคนข้างตัวเบาๆ ...ถ้าเขาไม่คิดไปเอง เขาเห็นพนักงานผู้หญิงที่ขายบัตรแอบมองเขาสองคนด้วยสายตากรุ้มกริ่มแปลกๆ ซะด้วย



            เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์จึงไม่แปลกที่คนจะเยอะ ทั้งสองพากันเบียดผู้คนฝ่าประตูทางเข้าจนมาถึงด้านใน โฟล์คกางแผนที่ของสวนสนุกให้ภูมิดู ก่อนชี้อธิบายเครื่องเล่นเป็นจุดๆ จนคนฟังถึงกับตาวาววับ



            “เอ้า อยากลองเล่นอะไรก่อนครับ”



            “ไวกิ้ง!”



            ดูท่าว่าเรือแกว่งลำยักษ์จะถูกใจภูมิมากที่สุด เพราะเจ้าตัวถึงกับยิ้มร่าแล้วตอบเสียงดังฟังชัด เรียกให้คนถามหัวเราะขำ ก่อนพาคนตัวเล็กไปต่อแถวเครื่องเล่น พอถึงคิวโฟล์คก็เป็นฝ่ายเดินนำไปที่ท้ายสุดของเรือซึ่งเป็นส่วนที่น่าหวาดเสียวที่สุด หลังจากเช็คความเรียบร้อยของเซฟตี้แล้ว พนักงานคุมเครื่องก็ส่งสัญญาณให้เรือไวกิ้งขยับ



            การแกว่งสองสามครั้งแรกไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่พอเริ่มเล่นไปได้สักพัก เรือไวกิ้งก็เริ่มไต่ระดับความชันจนส่วนที่ทั้งสองคนนั่งแทบจะตั้งฉากกับพื้น แต่เสียงร้องของภูมิไม่ได้บ่งบอกว่าเจ้าตัวหวาดเสียวเลยสักนิด มีแต่ความตื่นเต้นและความสนุกล้วนๆ  แถมยังบ้าจี้ปล่อยมือจากเซฟตี้แล้วชูขึ้นกลางอากาศตามคำยุของผู้คุม แบบที่คนเพิ่งเล่นครั้งแรกหลายๆ คนยังไม่กล้าทำ



            ต่อจากไวกิ้ง ภูมิก็เปลี่ยนจากผู้ตามเป็นผู้นำ จัดการลากคนตัวสูงกว่าไปเครื่องนู้นเครื่องนี้ตามอารมณ์คึก จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว



            จนเมื่อเดินผ่านร้านขายเครปที่ตั้งอยู่ข้างเครื่องเล่นชิ้นล่าสุดนั่นแหละ ภูมิก็ท้องร้อง หันมาหาโฟล์คพร้อมยิ้มแห้งๆ “พี่โฟล์ค...ผมหิวแล้วอะ”



            โฟล์คอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือมาขยี้หัวคนตัวเล็กกว่า ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยด้วยความเอ็นดู “เล่นซะเพลินเลยนะเรา อยากกินอะไรล่ะ”



            “อะไรก็ได้ เอาร้านที่คนไม่เยอะ” ภูมิว่าอย่างนั้นแม้จะรู้ว่าเป็นไปได้ยากเต็มทน เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่คนยืนต่อแถวซื้ออาหาร หรือแม้แต่รถเข็นที่ขายของกินเล่นก็ยังมีคิวยาวเป็นพรวน จนในที่สุดทั้งสองคนก็ตัดสินใจกินข้าวเที่ยงที่ศูนย์อาหารส่วนกลางของสวนสนุก



            โฟล์คอาสาไปซื้ออาหารโดยให้ภูมินั่งรอที่โต๊ะ สักพักจึงกลับมาพร้อมข้าวผัดอเมริกันสองจาน อีกหนึ่งเมนูสิ้นคิดที่เขาเห็นว่าแถวไม่ยาวมากเหมือนร้านอื่นๆ  พอได้อาหารมาภูมิก็จัดการตักคำแรกเข้าปาก เพิ่งรู้ตัวว่าหิวขนาดไหนก็ตอนนี้แหละ



            “หืม อร่อยดีว่ะพี่ อร่อยกว่าข้าวโรงเรียนผมเยอะเลย” หลังจากกลืนคำแรกลงคอ ภูมิก็เงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่นั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่เห็นได้ชัดว่าพอใจกับอาหารมื้อนี้แบบสุดๆ  จนคนฟังหัวเราะเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ



            “ถ้าไม่อร่อยก็โดนลูกค้าเล่นงานสิครับ ที่นี่คนมาเที่ยวเยอะจะตาย”



            ได้ยินดังนั้นภูมิก็เงยหน้าขึ้นมองรอบข้าง  ภาพฝูงชนที่แน่นขนัดเต็มศูนย์อาหารกับแถวคิวที่คนรอขึ้นเครื่องเล่นเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของคนตัวสูงกว่า แล้วเหมือนเขาจะเพิ่งนึกอะไรได้ จึงหันกลับไปหาพี่โฟล์คพร้อมขมวดคิ้วน้อยๆ



            “ว่าแต่ทำไมพี่ดูว่างจัง ไม่เห็นเหมือนพี่ภาคย์เลย ปกติวันเสาร์พี่ภาคย์ก็มีเรียนตลอดอะ”



            “ไอ้ภาคย์มันเรียนแพทย์ มันก็เรียนหนักเป็นธรรมดานั่นแหละ”



            “ฮะ” ภูมิถึงกับปล่อยช้อน กระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้าด้วยความงุนงง “หมายความว่าไง พี่โฟล์คไม่ได้เรียนเหมือนพี่ภาคย์เหรอ”



            “ใครบอกภูมิล่ะว่าพี่เรียนเหมือนไอ้ภาคย์มัน”



            อึก



            ภูมิลอบกลืนน้ำลาย อยากเขกหัวตัวเองกับความคิดที่เข้าใจผิดมานานสองนาน



            ...ไม่ได้มีใครบอกไอ้ภูมิทั้งนั้นแหละครับ มโนเองล้วนๆ เลย ก็มาดพี่โฟล์คมันให้นี่หว่า แถมบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทพี่ภาคย์อีก



          “ผมคงเข้าใจผิด แล้วพี่โฟล์คเรียนไรเหรอ”



            “พี่เรียนครุศาสตร์ครับ”



            คำตอบของคำถามที่ภูมิถามไปอย่างนั้นเพื่อกลบเกลื่อนความอาย กลับทำให้คนถามนิ่งอึ้งไปอีกรอบ สายตาเผลอจ้องพี่โฟล์คตั้งแต่หัวจรดเท้า ปากก็พึมพำเบาๆ กับตัวเอง “ครุศาสตร์...พูดจริงดิ”



            ก็พี่โฟล์คแกดูฉลาดมากเลยนี่หว่า...นึกว่าถ้าไม่ใช่หมอก็คงเป็นแนวทันตะฯ อะไรแบบนี้



            ดูท่าโฟล์คจะเดาความคิดของคนตัวเล็กออก จึงอธิบายเพิ่มเติม



            “ความจริงพี่ติดแพทย์มหา’ลัยเดียวกับไอ้ภาคย์ครับ แต่พี่ไม่อยากเรียน พี่คิดไว้ตั้งนานแล้วว่าพี่อยากเป็นครู พอสอบติดพี่ก็ไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์”



            “แล้วคนที่บ้านพี่ไม่ว่าเหรอ อุตส่าห์สอบติดทั้งที” ภูมิถามอย่างนั้นเพราะรู้ว่าสนามสอบแพทย์มีการแข่งขันสูงมาก คนบางคนดิ้นรนแทบตายก็ยังสอบไม่ได้ตามที่หวัง ดังนั้นคนที่สละสิทธิ์จึงมีเพียงส่วนน้อย บางคนแม้ไม่อยากเรียนก็มักถูกกระแสสังคมกดดันจนต้องเข้าเรียนจนได้

         

            “ไม่หรอกครับ” โฟล์คส่ายหน้ายิ้มๆ “พี่คุยกับทางบ้านเรียบร้อยแล้ว ยกเอาเหตุผลและข้อมูลที่พี่หามาได้ไปคุยกันแบบเปิดใจ ว่าพี่อยากเป็นครูจริงๆ  ถึงการเรียนแพทย์จะสามารถไปเป็นอาจารย์แพทย์ได้ แต่พี่คิดว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่พี่ต้องการ แล้วอีกอย่างคือพี่เชื่อว่าคณะครุศาสตร์จะสอนให้เรามีจิตวิญญาณของความเป็นครูด้วย”



            ภูมิรู้สึกว่าเสียงเซ็งแซ่จากผู้คนรอบกายไม่ได้เข้าหูของเขาแม้แต่น้อย เพราะบัดนี้เขาได้ยินแต่คำพูดของร่างสูงตรงหน้าที่กระแทกใจเขาเข้าเต็มๆ  ทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงเอคโค่ของประโยคยาวๆ ดังก้องหัวอีกหลายรอบ ...ประโยคที่บอกถึงเรื่องราวก่อนเรียนมหาวิทยาลัยของพี่โฟล์คซึ่งเขาคาดไม่ถึง



            ...เรื่องราวที่คล้ายกับปัญหาที่เขาเจออยู่ตอนนี้...



            “แล้วพี่โฟล์ค...ทำยังไงต่อ”



            เสียงที่เปล่งออกมาสั่นแค่ไหมภูมิก็ตอบไม่ได้ รู้แต่เขาเห็นรอยยิ้มบางๆ จากคนตรงหน้า ซึ่งราวกับกำลังรอให้เขาถามคำถามนี้



            “พี่ก็แค่ทำสิ่งที่พี่ควรทำ คือพิสูจน์ให้คนที่บ้านเห็นว่าที่พี่อยากเรียนครูแทนที่จะเรียนแพทย์ มันเป็นเพราะพี่รักการเป็นครู ไม่ใช่เพราะพี่ต้องการจะหนีการอ่านหนังสือหนักๆ” โฟล์คเว้นวรรคเล็กน้อยให้อีกฝ่ายมีเวลาได้คิดตาม ก่อนเอ่ยต่อเสียงนุ่ม “พี่เลยตั้งใจว่าจะสอบแพทย์ให้ติด เพราะเพื่อนพี่ส่วนมากก็ตั้งเป้าอยากเรียนแพทย์กัน พี่เลยคิดว่าสนามสอบนี้เป็นเรื่องท้าทาย”



            “แล้วมันจะไม่กลายเป็นว่าพี่ต้องอ่านหนังสือเกินความจำเป็นเหรอ”



            “ไม่ครับ ไม่เลยสักนิด”



            ภูมิชะงักไปทันใดเมื่อได้รับคำตอบกลับมาอย่างชัดเจนและรวดเร็ว แต่ไม่ทันจะถามต่อ ร่างสูงก็พูดขยายความ



            “เพราะพี่เชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีคำว่าสูญเปล่า ต่อให้พี่จะเป็นชาวไร่หรือชาวนา วิชาทั้งหมดที่พี่เรียนตอนมัธยมก็ยังติดตัวพี่ และหล่อหลอมให้พี่กลายเป็นพี่อย่างทุกวันนี้ ดังนั้นยิ่งอ่านหนังสือเยอะเท่าไหร่ มีวิชาความรู้ติดตัวมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นกำไรชีวิตของพี่”



            “...”



            ยิ่งพี่โฟล์คพูดอธิบาย ภูมิก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงทุกที ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตา



            เพราะเขาเริ่มคิดได้...ว่าตัวเองมองโลกแคบแค่ไหนเมื่อเทียบกับคนตรงหน้า



            ระหว่างเขาที่ดื้อดึงจะทำตามใจตัวเองมาตลอด กับพี่โฟล์คที่มองทุกสิ่งรอบกายอย่างใจเย็น แล้วค่อยๆ หาบทสรุปของการตัดสินใจซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ผลลัพธ์ก็เห็นๆ กันอยู่...



            “แล้วอีกอย่าง...พี่เข้าใจเหตุผลที่ผู้ใหญ่พยายามจะบังคับให้เราอยู่ในกรอบนะ”



            ภูมิหลุดจากภวังค์ของตนเองเมื่อเสียงทุ้มนุ่มแทรกขึ้นมา พอเขาเงยหน้ามองก็พบรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งราวกับจะทำให้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลหายไป...ด้วยประโยคที่พูดตามมา



            “เพราะขนาดเรื่องในกรอบเรายังทำได้ไม่ดี ใครจะไว้ใจให้เราออกนอกกรอบล่ะ...จริงไหม”





--------------------------------------- TBC ----------------------------------------



พี่โฟล์คกำลังพยายามให้ทั้งภูมิกับพ่อปรับตัวเข้าหากันนะคะ พี่โฟล์คอาจจะเข้าไปคุยกับพ่อภูมิตรงๆ ไม่ได้ เลยอยากให้ภูมิเข้าใจความคิดและมุมมองของพ่อก่อน อืม...พ่อของภูมิก็หวังดีเนอะ เห็นว่าตัวเองรับงานราชการธรรมดา รายได้ไม่เยอะ อยากให้ภูมิเลี้ยงตัวเองได้แบบไม่ลำบาก แต่อาจจะแสดงออกในรูปแบบที่ตึงไปนิด ถ้าน้องภูมิเปิดใจกับพ่อแล้วพิสูจน์ให้พ่อวางใจได้ เรื่องราวน่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีนะ :)



เจอกันวันอังคารนะคะ เรื่องนี้อัพทุกอังคาร-พฤหัส-เสาร์น้า



CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 6 อีกหนึ่งมุมมอง (14/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-07-2018 08:52:59
 :L2: :L1: :pig4:

เหมาะจะเป็นครูมากเลย
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 6 อีกหนึ่งมุมมอง (14/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 17-07-2018 20:03:48


Chapter 7 : เคลียร์



            กว่าพี่โฟล์คจะพาภูมิมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น แต่ก็นับว่าเป็นเวลาที่ไม่ดึกเกินไป เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยง พี่โฟล์คก็พาเขาเล่นเครื่องเล่นอีกเพียงสองสามเครื่อง แล้วจึงขับรถพากลับบ้าน



ภูมิชะเง้อคอมองหลังคาบ้านตัวเองอย่างหวาดๆ  จนร่างสูงข้างกายต้องเอื้อมมือมาบีบไหล่



            “ไม่เป็นไรหรอก แค่มั่นใจในจุดยืนของเรา และเข้าใจในความต้องการของเขาก็พอ”



            ภูมิลอบกลืนน้ำลาย พยักหน้ารับน้อยๆ  ปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ก่อนจะก้าวลงจากรถ ค่อยๆ เดินเข้าตัวบ้านด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ  ถึงแม้ระหว่างทางจะเตรียมใจมาพอสมควร แต่พอถึงเวลาจริงๆ ความกดดันกลับเพิ่มขึ้นเป็นคนละเรื่อง



            แต่เพราะรับรู้ได้ว่าพี่โฟล์คยังเดินตามอยู่ไม่ห่าง...เขาจึงกล้าเสี่ยง



            และเป็นดังคาด เมื่อภูมิก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็พบคนสองคนกำลังนั่งนิ่งบนโซฟา คนหนึ่งมองเขาด้วยแววตาตำหนิ ก่อนเบนหน้าไปทางอื่นแล้วถอนหายใจพรืด ส่วนอีกคน...ไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตาลูกชายตัวเอง



            ทว่าสิ่งที่ภูมิทำกลับเรียกความสนใจจากคนเป็นพ่อได้ชะงัด เมื่อร่างเล็กตัดสินใจคลานเข่าเข้าไปใกล้ แล้วก้มศีรษะลงพร้อมทั้งเอ่ยเสียงเบา “ผมขอโทษครับพ่อ”



            คำขอโทษที่ ‘ดนัย’ เคยได้ยินมาตลอดจากลูกชายที่ออกนอกลู่นอกทางเป็นประจำ แต่ครั้งนี้กลับสัมผัสได้ว่าจริงใจกว่าครั้งไหนๆ  จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แค่นหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมดูถูก



            “หึ...ขอโทษเรื่องอะไร”



            “เรื่องที่ผมไม่เคยเข้าใจความหวังดีของพ่อ และทำตามใจตัวเองมาตลอด”



            ...ไม่ชิน...ภูมิไม่ชินเลยกับการพูดแบบนี้ ไม่คาดคิดว่าในชีวิตจะมีวันที่เขาต้องมานั่งพูดกับพ่อตัวเองแบบนี้



            เพราะเขาไม่เคยคิดจะยอมรับพ่อ...จนกระทั่งได้ยินสิ่งที่พี่โฟล์คพูด



            ดนัยก็ดูจะชะงักไปเช่นกัน  ปากพึมพำคล้ายจะพูดกับตัวเอง “อะไรนะ...”



            ภูมิก้มหน้าลงเพียงนิด ยังลังเลใจกับสิ่งที่ตนกำลังจะทำ แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นพี่โฟล์คยืนข้างๆ เขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา ในที่สุดจึงเงยหน้าสบตาชายวัยกลางคนตรงๆ



            “ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงอยากให้ผมเป็นหมอ มันไม่ได้ผิดที่พ่อ แต่มันผิดที่ผมเอง ผมทำตัวไม่น่าไว้ใจพอ แถมยังเอาแต่โทษว่าพ่อไม่เคยเข้าใจ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เคยเข้าใจพ่อเลย”



            คำพูดที่ดนัยไม่เคยได้ยินและไม่คิดว่าจะได้ยินพรั่งพรูออกมาจากปากของภูมิราวกับเขื่อนแตก แม้แต่ภาคย์ซึ่งหันหน้าหนีไปทางอื่นก็ต้องหันกลับมามองน้องชายตัวเองด้วยแววตาตื่นตะลึง และเหนือสิ่งอื่นใด...คือสายตาของภูมิที่บัดนี้ไม่เหลือเค้าของความลังเล ซ้ำยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น



            “ผมสัญญาว่าผมจะพิสูจน์ให้พ่อเห็น ผมจะทำให้พ่อเชื่อในสิ่งที่ผมเชื่อ และผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่เอาแต่ใจ ไม่โกหก ไม่ปิดบัง ผมจะพิสูจน์ให้พ่อดูให้ได้ ผมสัญญาครับ”



            สิ้นเสียงนั้น ทั้งห้องเงียบสงัด



            ภูมิหอบหายใจเล็กน้อย กระนั้นก็ยังสบตากับชายวัยกลางคนนิ่งๆ  แม้ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก แต่ก็เป็นความเงียบที่รู้กันดีว่าดนัยกำลังพยายามค้นหาความจริงจากแววตาของคนเป็นลูกชาย



            ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ในที่สุดคนที่นั่งนิ่งบนโซฟาก็เริ่มขยับตัว เอ่ยด้วยเสียงแหบห้าว



“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู แต่ถ้าทำไม่ได้...แกก็ไม่เหลือข้ออ้างอะไรแล้วล่ะ”



จากนั้นคนเป็นพ่อก็ลุกพรวดจากโซฟา หันหลังเดินขึ้นบันไดทันที



ภูมิที่นิ่งค้างไปแล้วได้แต่ทรุดฮวบลงตรงนั้น เหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบออกไป แต่ก็รู้สึกโล่ง...เหมือนยกภูเขาที่หนักอึ้งออกจากอก



...ทำได้แล้ว...ทำได้แล้วใช่ไหมไอ้ภูมิ...



ภูมิก้มหน้ามองพื้นก่อนหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นของใครคนหนึ่งที่วางลงบนศีรษะของเขาเบาๆ  พร้อมด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามาจากใคร



“ทำดีมากครับภูมิ”



            ภูมิขยับรอยยิ้มบางเบาโดยไม่มีใครเห็น แล้วจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อสบตากับร่างสูง



            “ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



            โฟล์คยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความยินดีและความชื่นชมจากใจจริง ภูมิอาจคิดขอบคุณเขา...แต่เขารู้ว่าที่เรื่องนี้ผ่านไปได้ก็เพราะตัวของภูมิเอง เขาเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำ หากภูมิไม่พูดด้วยความจริงใจและความตั้งใจจริง ให้ตายอย่างไรพ่อของภูมิก็คงไม่เชื่อ



            แต่ศึกหนักจริงๆ คงเป็นหลังจากนี้ ที่ภูมิจะต้องทำให้ได้อย่างที่พูด โดยพิสูจน์ผ่านการกระทำของตัวเอง



            และเขาเชื่อมั่นในตัวภูมิ



            “งั้นพี่กลับแล้วนะครับ” โฟล์คลูบศีรษะทุยๆ อีกครั้ง แต่ไม่ทันจะได้ทำอย่างที่พูด เสียงจากคนอีกคนที่ยังอยู่ในห้องก็ตะโกนรั้งไว้



            “ไอ้โฟล์ค!” ภาคย์ที่เงียบมาตลอดตัดสินใจตะโกนขึ้น พอเห็นร่างสูงของเพื่อนหันมามอง เขาก็พูดอีกครั้งด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม แต่ดังพอที่คนอีกสองคนในห้องจะได้ยิน “ขอบใจว่ะ”



            “เออ”



โฟล์คตอบง่ายๆ  หันไปสบตากับภูมิอีกครั้งแล้วยิ้มให้ ก่อนเดินออกจากบ้านไป



“พี่ภาคย์ เดี๋ยวผมมานะ!” ภูมิที่มองตามอีกฝ่ายนิ่งๆ  จู่ๆ ก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก หันไปบอกพี่ภาคย์รัวเร็ว แล้วแทบจะติดจรวดวิ่งออกไปด้วยความกลัวว่าร่างสูงจะขับรถไปเสียก่อน แต่โชคดีที่พอออกไปแล้วก็พบว่าคนที่ตนอยากคุยด้วยยังไม่ได้ขึ้นรถ



โฟล์คได้ยินเสียงฝีเท้าดังตามมาจึงหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทก็อดแปลกใจไม่ได้ “มีอะไรหรือเปล่าครับภูมิ”



“คือ...คือว่า...แฮ่ก” ภูมิต้องหยุดเพื่อสูดหายใจเข้า เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจจนไม่กล้าสบตา ได้แต่มองข้างทางขณะพูด “ผมขอบคุณพี่มากเลยนะ ขอบคุณโคตรๆ  พี่ช่วยผมไว้เยอะมาก ถ้าไม่ได้พี่ผมคง...”



“ไม่เอาน่า พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย” โฟล์คพูดแทรกขึ้นมาพร้อมยกมือขึ้นแตะบ่าของร่างเล็ก บีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “ที่สำคัญคือต่อจากนี้ ภูมิต้องทำตามที่พูดให้ได้นะครับ”



“อื้อ ผมทำได้แน่”



ครั้งนี้ภูมิพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย เป็นสายตาที่ไม่ได้แสดงถึงความอวดเก่ง แต่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเจ้าตัวที่ทำเอาโฟล์คชะงักไปเล็กน้อย



ภาพของเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนย้อนกลับมาในความทรงจำ เหตุการณ์ที่ร่างเล็กกำลังนอนหลับสนิทบนเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา กับเขาซึ่งเผลอตัวทำสิ่งไม่สมควรกับคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของเพื่อน



แม้จะเป็นเพียงการจูบหน้าผาก แต่มันก็คือจูบ...คือการกระทำที่ผู้ชายไม่ควรทำต่อกัน



ภูมิขมวดคิ้ว มองร่างสูงที่นิ่งไปเหมือนจมอยู่ในภวังค์ ยิ่งอีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ภูมิก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแบบหาสาเหตุไม่ได้



“พี่โฟล์ค...อ๊ะ” ไม่ทันจะร้องท้วง ลมหายใจก็ขาดห้วงลงกะทันหันเมื่อพบว่าร่างสูงโน้มหน้าลงมาจนแทบจะชิดติดกัน ก่อนจะรู้สึกถึงลมร้อนๆ ที่รวยรินอยู่บริเวณหน้าผากจนคนตัวเล็กต้องหลับตาปี๋ หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก



...พี่โฟล์คจะทำอะไร...



คำถามที่ได้รับคำตอบในทันที เมื่อคนตั้งคำถามรู้สึกถึงแรงกดเบาๆ ตรงหน้าผาก สัมผัสอุ่นวาบที่ทำเอาแข็งทื่อไปทั้งตัว ใจยิ่งเต้นแรงกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่าเมื่อได้ยินคำตอบของคำถามดังซ้ำๆ ในหัว



...พี่โฟล์คจูบหน้าผาก...พี่โฟล์คจูบหน้าผากเขา...



“พี่...”



เสียงร้องเบาๆ จากร่างเล็กทำให้โฟล์คชะงัก ผละกายออกห่างทันที ยกมือขึ้นกุมริมฝีปากตัวเองอย่างคนเพิ่งรู้สึกตัว



ไอ้เชี่ยโฟล์ค มึงทำห่าอะไรลงไป



“...พี่ขอโทษ”



พูดได้แค่นั้น ร่างสูงก็หมุนตัวไปอีกทางก่อนก้าวขึ้นรถ ขับออกไปโดยทิ้งให้อีกคนยืนแข็งค้างอยู่อย่างนั้น



ภูมิมองตามรถเบนซ์ที่ตนเคยนั่งจนลับสายตา เผลอยกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเอง รู้สึกร้อนบนใบหน้าเหมือนคนเป็นไข้เมื่อพบว่าสัมผัสอุ่นๆ ยังติดอยู่ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ



“ทำไมกูรู้สึกดีจังวะ...”











 

ไอ้เชี่ยโฟล์ค มึงทำอะไรของมึง!



อีกทางด้านหนึ่ง โฟล์คไม่ได้ขับรถออกไปไหนไกล เพียงแค่ขับออกมาจนแน่ใจว่าพ้นระยะที่คนจากบ้านนั้นจะเห็นแล้วจึงเบี่ยงรถเข้าจอดข้างทาง ก่อนทุบพวงมาลัยพร้อมทั้งสบถด่าตัวเองในใจ



แล้วต่อไปจะมองหน้าภูมิติดได้ยังไง ทำไมก่อนทำไม่คิดวะ!



เขาควรทำยังไงต่อ ...ส่งข้อความไปขอโทษ...หรือโทรหาเลย... แล้วจะบอกว่ายังไง... หรือเขาควรทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วภูมิล่ะจะทำตัวยังไง...



พอคิดถึงตรงนี้โฟล์คก็ชะงัก รู้สึกหนักใจขึ้นมาอีก



...ถ้าเกิดภูมิรังเกียจเขาล่ะ...



มันแน่นอนอยู่แล้ว...ผู้ชายที่ไหนจะยอมรับเรื่องนี้ได้ ป่านนี้ภูมิคงคิดว่าเขาเป็นไอ้บ้าที่ไหนแล้วมั้ง



“โธ่เว้ย...”



ร่างสูงได้แต่คำรามกับตัวเองท่ามกลางความเงียบในรถ











 

[ภูมิ...ไอ้ภูมิ!]



“ฮะ...ตะโกนทำไมวะ”



[แล้วจู่ๆ มึงเงียบทำไมวะ คุยกันอยู่ดีๆ]



ภูมิขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินปลายสายพูดแบบนั้น ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เขาเผลอคิดถึงเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพี่โฟล์ค เลยเผลอเงียบไปทั้งที่ยังคุยสายกับไอ้ซันอยู่บนเตียง



“เออ โทษที เมื่อกี้คุยถึงไหนแล้วนะ”



[ถึงตอนที่พ่อมึงเดินขึ้นห้องไปไง แล้วมึงก็เงียบไปเลย]



ภูมิที่ซุกหน้าลงกับหมอนต้องชะงักไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น หวนนึกไปถึงเหตุการณ์เดิมอีกจนได้ ก่อนบอกแบบปัดๆ “เออ ก็จบแค่นั้นแหละ”



[อ้าวไอ้นี่ เห็นเงียบไปนึกว่ามีช็อตเด็ด เซ็งเลยว่ะ]



...มีสิ เด็ดโคตรๆ เลยด้วย...



“ไม่มีอะไรแล้ว แค่นี้แหละ”



เรื่องอะไรเขาจะต้องเล่าให้ไอ้ซันฟังด้วย มีหวังโดนล้อยันชาติหน้า



[เออๆ  เป็นงี้ก็ดีแล้ว แล้วพี่ภาคย์ว่าไงบ้างวะ]



“ไม่รู้ดิ ไม่เห็นพูดอะไร” ภูมิว่าพลางนึกถึงสีหน้าของพี่ชายตนเอง ซึ่งหลังจากเขากลับเข้าบ้านแล้วก็เพียงแค่มองมานิ่งๆ  ก่อนจะไล่ให้เขาขึ้นห้องนอนโดยไม่คุยอะไรกันอีก



ก็หวังว่าพี่ภาคย์คงไม่เกลียดเขามากไปกว่าเดิมหรอก...มั้ง



[เหรอ...อือๆ ว่าแต่อาทิตย์หน้ามึงว่างปะ] จู่ๆ ปลายสายก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ทำเอาภูมิต้องนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ากับตัวเองขณะตอบ



“ก็ว่างนะ ทำไมเหรอ”



[ว่าจะชวนไปเที่ยวว่ะ แต่เดี๋ยวค่อยคุยกันที่โรงเรียนก็ได้]



“หืม...มึงเนี่ยนะจะชวนไปเที่ยว” คำตอบที่ได้รับทำให้ภูมิถึงกับเลิกคิ้ว ย้อนถามกลับทันใด “อะไรเข้าสิงวะ ปกติไม่เคยชวน”



[เออ กูได้ตั๋วฟรีมา จะไปหรือไม่ไป]



“อืม...ขอกูคิดดูก่อนแล้วกัน” ภูมิจงใจลากเสียงยียวนแล้วหัวเราะขำในใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันเลยตอบกลับมาทันที



[ลีลานักก็ไม่ต้อง กูชวนคนอื่นก็ได้ เพื่อนฝูงกูมีเยอะแยะ]



“เฮ้ย! ง้อกูก่อนดิ เออๆ กูไปก็ได้”



คนที่นอนกลิ้งอยู่บนเตียงแทบจะเด้งตัวขึ้นมา กลับคำพูดเป็นพัลวัน พอได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นมาจากปลายสายก็ได้แต่ก่นด่าในใจ



ขอกูเล่นตัวนิดหน่อยไม่ได้เลยใช่ไหมไอ้เพื่อนเวร



“เออ งั้นเดี๋ยวกูวางแล้วนะ”



[เค กูก็จะไปนอนแล้ว บาย]



ภูมิยกโนเกียคู่ใจออกจากหูแล้วกดวางสาย ก่อนโยนทิ้งไว้ที่หัวเตียง ตั้งใจจะลุกไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอน แต่จู่ๆ ก็ชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้



...มันใช่เวลาที่เขาควรจะนอนอย่างสบายใจงั้นหรือ...



คำตอบที่ภูมิได้รับในเวลาอันรวดเร็วคือ...ไม่



เพราะเขาทำตัวตามสบายมาตลอด ผลลัพธ์ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น เป็นเพียงเด็กไม่รักเรียนธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจ



...เขาอาจจะต้องจริงจังกับความฝันตัวเองให้มากกว่านี้...



เมื่อคิดได้ดังนั้น ภูมิจึงใช้เวลาในการอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะซักชุดให้เจ้าของตัวจริงที่เขาไปอาศัยนอนคอนโดหนึ่งคืนเต็มๆ  ก่อนเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน หยิบสมุดเปล่าขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วเปิดออก มืออีกข้างก็ถือปากกาค้างไว้เตรียมจะเขียนอะไรบางอย่าง



แต่ก็ต้องชะงักมือไว้ เมื่อสมองกลับไม่แล่นเอาเสียเลย



...เขาจะเขียนอะไรดีวะ...



“ฮึ่ย! คิดไม่ออก”



ตอนแรกตั้งใจเสียดิบดีว่าจะมาร่างแผนการพิสูจน์ตัวเอง แต่ก็ตันขึ้นมาเสียอย่างนั้น แผนการเหรอ...ร่างยังไงวะ!



ภูมินึกอยากกุมขมับตัวเอง อาจจะเป็นเพราะเจอเรื่องหนักมาทั้งวัน ทั้งร่างกายและหัวสมองเลยรู้สึกล้าไปหมด แม้จะมีข้อมูลมหาศาลในหัวแต่กลับเรียบเรียงไม่ได้ แถมยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี



พอเป็นอย่างนี้ ตัวช่วยแรกที่แวบเข้ามาในหัวก็คือ..พี่โฟล์ค



ภูมิปิดสมุดลง หันไปหยิบโทรศัพท์ที่วางบนหัวเตียงมามองอย่างชั่งใจ



...ควรโทร...หรือไม่ควร...



ถ้าเป็นเวลาปกติภูมิคงกดโทรออกหาคนที่นึกถึงโดยไม่ลังเล เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคือคนที่สามารถพึ่งพาได้ แต่พอนึกไปถึงเมื่อตอนเย็นที่พี่โฟล์ค...เอ่อ จูบหน้าผากเขา เลยเกิดความลังเลขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ



ก็ทำตัวไม่ถูกนี่หว่า...ถึงจะบอกว่าไม่น่ามีอะไรก็เถอะ แต่ผู้ชายที่ไหนเขาทำกันอย่างนั้นเล่า



กึก



ว่าแล้วภูมิก็ชะงัก นึกทบทวนประโยคเมื่อครู่ทันที



นั่นสิ...ผู้ชายที่ไหนเขาทำอย่างนั้นกัน...



บางทีอาจจะมีอะไรติดหน้าผากเขาอยู่ พี่โฟล์คเลยหยิบออกให้ อาจจะแค่นั้นก็ได้ แล้วเขาก็ดันคิดไกลเสียเอง



ภูมิยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง อืม...อุ่นๆ แฮะ งั้นสัมผัสอุ่นๆ ที่เขารู้สึกตอนนั้นก็แปลว่ามาจากมือพี่โฟล์คน่ะสิ โอ๊ย...ไอ้ภูมินะไอ้ภูมิ แล้วก็ดันคิดไปเป็นตุเป็นตะว่าโดนจูบหน้าผาก น่าอายว่ะ!



“ฮู่ว...ไม่ได้ๆ  เรื่องนี้จะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด” ภูมิถอนหายใจโล่งอก พึมพำกับตัวเองเบาๆ  ก่อนยกมือถือขึ้นมา กดหาเบอร์ที่ต้องการแล้วโทรออก



เสียงสัญญาณรอสายดังนานกว่าปกติ แต่เมื่ออีกฝ่ายรับสายภูมิก็กรอกเสียงลงไปทันที



“ฮัลโหลพี่โฟล์ค คือ...โทรมาตอนนี้รบกวนหรือเปล่า”



[ไม่ครับ ภูมิมีอะไรเหรอ] เสียงพี่โฟล์คดังตอบกลับมา แม้จะฟังดูสั่นแปลกๆ แต่ภูมิก็ไม่ได้สงสัยอะไร พูดต่อด้วยน้ำเสียงดูลังเล



“คือผมเริ่มไม่ถูกอะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพิสูจน์ตัวเองยังไง แบบ...มันไปไม่ถูกอะพี่โฟล์ค”



ภูมิพูดเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งยังร่ายยาวถึงปัญหาที่ตนคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากปลายสาย ก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงทุ้มนุ่มตามปกติของพี่โฟล์ค



[งั้นภูมิลองบอกพี่ก่อน ว่าภูมิอยากพิสูจน์ ‘อะไร’ ]



คนถูกถามนิ่งคิดไปชั่วครู่ เอ่ยตอบช้าๆ ราวกับไม่มั่นใจ “ผมอยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมอยากทำมันไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน...”

[แล้วคำว่าเพ้อฝันที่ภูมิบอก หมายถึงอะไรครับ]



“หมายถึงความหลักลอย...รู้สึกสนุกไปวันๆ แต่ไม่สามารถดำรงชีวิตได้” ภูมิยกคำพูดของพ่อตอนที่ทะเลาะกันมาล้วนๆ  จำได้ว่าตอนนั้นเขาโกรธแทบบ้า แต่พอมาคิดดูอีกทีก็อยากเขกหัวตัวเอง เพราะพ่อไม่ได้พูดผิดเลย...เขาทำตัวแบบนั้นจริงๆ



[งั้นถ้าไม่ให้ดูหลักลอยล่ะ ต้องทำยังไง]



“ถ้าไม่ให้ดูหลักลอยงั้นหรือ...ก็ต้องจริงจัง ตั้งใจจะทำเป็นอาชีพให้ได้” ภูมิพยายามสรรหาคำตอบที่ดูดีและเหมาะสมที่สุด กระนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี



[งั้นแสดงว่าเมื่อก่อนภูมิยังไม่ได้จริงจังกับมันเหรอครับ]



“อือ” คนตัวเล็กฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยยอมรับตามตรง



[ทำไมถึงคิดว่าไม่ได้จริงจังล่ะ] ปลายสายยังถามต่อ



“ไม่รู้สิ...ก็ผมน่ะแค่เล่นดนตรีไปวันๆ มีแสดงคอนเสิร์ตในโรงเรียนบ้าง แต่เรื่องจะยึดเป็นอาชีพ...ทั้งผมทั้งเพื่อนในวงก็ไม่มีใครคิดถึงขั้นนั้น ส่วนเรื่องถ่ายภาพผมก็มีแค่กล้องตัวเดียว ถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก หรืออย่างมากก็ทำประกอบรายงาน แล้วมีอะไรอีกวะ...อ้อ ที่ผมชอบถ่ายวีดิโอ ผมก็ไม่เคยทำผลงานเป็นชิ้นเป็นอันสักครั้งนอกจากทำงานส่งอาจารย์ ไหนจะเรื่องงานเขียนอีก ผมก็แค่สนุกกับการเขียนเรียงความหรือเรื่องสั้นในวิชาภาษาไทย เฮ้อ...ยิ่งพูดยิ่งดูแย่ว่ะพี่โฟล์ค”



[ใจเย็นๆ ครับภูมิ]



อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแบบที่ภูมิต้องขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องน่าขำตรงไหน ยิ่งพูดยิ่งบรรยายความไม่เอาไหนของตัวเองนี่หว่า



[หมายความว่าที่ผ่านมา...ขอบเขตของสิ่งที่ภูมิทำคือในโรงเรียนใช่ไหม ภูมิถึงเรียกว่ายังไม่จริงจัง]



“อืม...อ๊ะ!”



ภูมิเด้งพรวดจากโต๊ะ เบิกตากว้างทันใด



[งั้นภูมิก็แค่ทำเหมือนเดิมนั่นแหละครับ แต่ลองขยายขอบเขตนั้นดู อย่าให้คำว่ารั้วโรงเรียนมาจำกัดเรา]



เพียงเท่านั้นก็เหมือนเป็นแสงสว่างเล็กๆ จากปลายอุโมงค์ ซึ่งคนได้รับถึงกับเผลอยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น



“อื้ม! ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะพี่โฟล์ค” ภูมิว่ารัวเร็ว แทบจะปัดสมุดทิ้งแล้วเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแทน ก่อนที่ปลายนิ้วจะจรดลงบนแป้นพิมพ์โดยที่ยังเอียงคอแนบโทรศัพท์ไว้กับหู “งั้นแค่นี้ก่อนนะพี่โฟล์ค”



[เอ้อ...เดี๋ยวครับ...]



คนที่กำลังจะกดวางสายชะงักมือไว้เมื่อได้ยินเสียงอ้ำอึ้งจากอีกฝ่าย ภูมิขมวดคิ้วก่อนถามกลับ “อะไรเหรอพี่”



[คือ...เรื่องเมื่อตอนเย็นน่ะ...คือพี่...]



“อ๋อ เรื่องนั้นใช่ปะ” เขาพูดเสียงร่าเริงแบบที่ปลายสายชะงักไปนิด แต่คนพูดก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกตินอกจากยกมือขึ้นเกาแก้มเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อ “ที่หน้าผากผมเลอะแล้วพี่เอามือมาเช็ดให้อะ ขอบคุณนะพี่โฟล์ค แหะๆ”



[…]



“พี่โฟล์ค...ยังอยู่หรือเปล่า ฮัลโหลๆ”



พอคู่สนทนาเงียบไปก็เริ่มรู้สึกใจไม่ดี ภูมิแอบเหงื่อตกในใจ ...หรือว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดวะ โอ๊ย! ยังไงกันเนี่ย



[อ่า...เปล่าหรอก ตามนั้นแหละ]



เมื่อได้ยินคำยืนยันแบบนั้นภูมิก็ถอนหายใจโล่ง หันมาสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิมขณะเอ่ย “โอเคพี่มีอะไรอีกหรือเปล่า”



[ไม่มีแล้วครับ รีบนอนเถอะ มีอะไรก็โทรหาพี่ได้] โฟล์คตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ



“โอเคเลย ขอบคุณนะพี่”



ภูมิว่าอย่างนั้นแล้วกดวางสาย วางมือถือลงบนโต๊ะแล้วหันมาตั้งสมาธิกับการพิมพ์ข้อความลงในช่องค้นหาของเว็บกูเกิลเต็มที่



 ‘งานประกวดภาพถ่าย หนังสั้น งานเขียน’



เจาะจงคีย์เวิร์ดที่เขาคิดว่าสำคัญก่อนจะกดเอนเทอร์ แล้วผลการค้นหาก็ขึ้นมาเป็นพรืด



“โห...เยอะว่ะ”



ภูมิพึมพำกับตัวเอง เลื่อนเม้าส์ดูเรื่อยๆ  ก่อนจะจดงานประกวดที่เขาคิดว่าน่าสนใจลงสมุด แต่รายละเอียดบางอย่างกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น ถึงขนาดเปิดหน้าเว็บอีกหน้าแล้วพิมพ์เรื่องที่สงสัยลงไป



“เฮ้ย...มีงี้ด้วยเหรอ”



แม้แต่คำบางคำที่ดูเหมือนจะเป็นคำง่ายๆ และใช้แพร่หลายในวงการ แต่เขากลับไม่เคยรู้มาก่อน ยิ่งลองค้นคว้าแบบจริงจังก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาเขาปิดโลกของตัวเองไว้มากนัก...ในขณะที่คนอื่นๆ ก้าวไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว



ภูมิยิ้มให้กับตัวเอง จ้องมองข้อมูลมหาศาลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่วางตา



...นอกรั้วโรงเรียนมีอะไรน่าสนใจกว่าที่คิดจริงๆ...



----------------------------------------- TBC -----------------------------------------



น้องภูมินั้น...คิดอย่างนั้นจริงๆค่ะ ฮา

ก็แบบ พี่โฟล์คอะเนอะ ก็ผู้ชายอะ จะจูบหน้าผากทำไมวะ มือจับก็อุ่นๆเหมือนกัน เออ สงสัยคิดไปเองแหละ แค่หน้าผากเลอะพี่เขาเลยเช็ดให้ เออ คิดมากๆ บวกกับน้องกลุ้มใจเรื่องร่างแผนการอยู่ เลยตัดเรื่องนี้ออกจากใจแบบปิ๊วววเลยค่า

ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายสำหรับพี่โฟล์คเนอะ แฮ่

เจอกันวันพฤหัสค่า ^^



CT.hamonigar

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 7 เคลียร์ (17/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-07-2018 20:16:26
สนุกมากกกกก  ชอบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

โฟล์ค  ภูมิ       :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 7 เคลียร์ (17/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-07-2018 21:01:28
 :serius2:
คุณพี่ลุ้นแทบตาย
น้องภูมิ :ling1:

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 7 เคลียร์ (17/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 19-07-2018 21:01:57


Chapter 8 : คำชวนของเพื่อน



            ทันทีที่อาจารย์เดินออกจากห้อง ภูมิก็ฟุบหน้าลงกับหนังสือเรียน ถอนหายใจเหนื่อยอ่อนจนคนข้างๆ หันมามองด้วยความสงสัย



ความจริงไอ้ท่าทางตั้งใจเรียนจนผิดวิสัยของเพื่อนคนนี้ทำให้ซันประหลาดใจมาตั้งแต่ต้นคาบ ปกติหนังสือเรียนมันยังไม่เคยพกมาเลย จู่ๆ วันนี้กลับหยิบหนังสือมาเปิดกางไว้ตั้งแต่อาจารย์ยังไม่เดินเข้าห้อง แถมพออาจารย์เริ่มสอนก็นั่งฟังนิ่งแบบไม่สัปหงก



            นี่มันเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์โคตรๆ!



“กินยาลืมเขย่าขวดมาเหรอไอ้ภูมิ เห็นแล้วขนลุกว่ะ” ซันพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก เรียกให้คนข้างตัวค่อยๆ หมุนคอมามองทั้งที่ยังใช้หนังสือเป็นหมอนรองศีรษะ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ



“อือ...ก็อยากลองตั้งใจเรียนสักครั้ง เหนื่อยกว่าที่คิด”



คำพูดแปลกๆ ที่ทำเอาคนฟังนึกสงสัย “ทำไมอยากลองวะ”



“ก็...” ภูมิเบือนหน้ากลับไปฟุบหนังสือตามเดิม พูดเสียงอู้อี้ “กูสัญญากับพ่อไว้แล้วใช่ปะว่ากูจะสอบให้ได้เกรดดีๆ  แต่กูไม่อยากอ่านหนังสือหนักๆ ที่บ้าน กูอยากได้เวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า กูเลยคิดว่าไหนๆ ก็ต้องเสียเวลาในห้องเรียนทุกวันอยู่แล้ว ก็ตั้งใจเรียนไปเลยดีกว่า กลับบ้านจะได้ไม่ต้องอ่าน มีเวลาไปทำอย่างอื่นเยอะๆ ไงมึง”



“หูย...สาธุครับสาธุ ความคิดล้ำโคตร”



ซันจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนเห็นตัวประหลาดอยู่ตรงหน้า สองมือก็ตบเปาะแปะแบบที่คนนอนฟุบหน้าอยู่คิดว่าไอ้นี่กำลังกวนส้นเท้ามากกว่าชื่นชม แต่เพราะเหนื่อยอ่อนกับการเพ่งสมาธิในการเรียนมาเกือบชั่วโมง จึงไม่มีอารมณ์อยากต่อล้อต่อเถียงนัก นอกจากถอนหายใจหนักๆ อีกรอบแล้วหลับตาลง



หลังจากคืนวันเสาร์ที่เขานั่งหาข้อมูลการประกวดจากเว็บไซต์ วันอาทิตย์ทั้งวันเขาก็ยังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน สมองคิดไปเรื่อยๆ มือก็กระดิกหาข้อมูลนู่นนี่ จนรู้ว่าต่อให้เป็นเวทีการประกวดนอกโรงเรียนก็ยังไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคต เพราะปีหนึ่งมีคนได้รางวัลเหล่านี้เป็นร้อยเป็นพัน แต่อยู่ในวงการจริงๆ แค่หยิบมือ



แต่สำหรับเขาที่เพิ่งเริ่ม การประกวดเหล่านี้ก็เป็นก้าวแรกที่ไม่เลว



“เออไอ้ภูมิ จำที่กูชวนไปเที่ยวได้ปะ”



จู่ๆ ซันก็ถามขึ้น คนฟังพยักหน้าหงึกๆ ทั้งที่ยังปิดตา “เออ...ทำไม”



“เอ้านี่”



ซันไม่ตอบ แต่หยิบบัตรสีชมพูคล้ายบัตรกำนัลขึ้นมาสี่ใบ โบกไปโบกมาจนคนที่นอนอยู่ต้องหยีตาขึ้นมาข้างหนึ่ง ปากก็พึมพำแบบจับใจความไม่ได้ “อะไรของมึง...”



ป้าบ!



“แหกตาดูสิครับคุณเพื่อน ลุกๆๆ ลุกขึ้นมาดูเลย เอ้า!”



นอกจากจะเอาบัตรสีชมพูทั้งสี่ใบฟาดหัวเพื่อนซี้อย่างจัง คนออกคำสั่งก็ยังส่งเสียงเร่งจนภูมิต้องเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมผงกหัวขึ้นมาเพ่งข้อความบนบัตรชัดๆ ก่อนอ่านออกเสียงตาม



“อะไรวะ...ลมอัปสรารีสอร์ท”



“เออ” ซันยักคิ้วให้ ฉีกยิ้มกว้างขณะเอ่ย “เพื่อนพ่อกูเพิ่งเปิดรีสอร์ทใหม่เลยส่งบัตรมาให้ บอกให้ชวนเพื่อนไปลองพัก เป็นบังกะโลเดี่ยวๆ เลยนะเว้ย”



“เฮ้ย จริงดิ” คนฟังตาวาวทันทีที่ได้ยินคำว่าบังกะโล เด้งตัวขึ้นมาแล้วคว้าของที่อยู่ในมือเพื่อนมาดูทันควัน “โห...รีสอร์ทติดทะเล มีอาหารให้ด้วย บังกะโลเดี่ยวๆ ท่ามกลางธรรมชาติ เจ๋งว่ะ!”



“กูว่าแล้วว่าต้องถูกใจมึง”



“แต่มีตั้งสี่ใบนี่หว่า จะชวนใครไปอีกล่ะ”



ถ้าภูมิหันไปมองเพื่อนข้างตัวสักหน่อย จะเห็นว่าเจ้าของบัตรเริ่มหน้าแดงขึ้น ซ้ำยังเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนอาการ เอ่ยตอบแบบตะกุกตะกัก “ก็...ลองชวนพี่ภาคย์ไปสิ ให้พี่ภาคย์ชวนใครไปอีกคนก็ได้จะได้มีเพื่อน”



“เออ มึงไม่ได้เจอพี่ภาคย์นานแล้วนี่หว่า” ภูมิไม่ได้สนใจความผิดปกติของคนข้างตัวแม้แต่น้อย ทั้งยังนึกไปถึงเมื่อปลายปีก่อนที่ไอ้ซันไปติวหนังสือให้เขาที่บ้าน รู้สึกจะเจอพี่ภาคย์แค่แป๊บเดียวแล้วพี่ภาคย์ก็ออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก “เดี๋ยวกูลองชวนดูแล้วกัน แต่ไม่รู้พี่ภาคย์จะว่างหรือเปล่า น่าจะเรียนหนักว่ะ”



“ถ้าไม่ว่างก็ชวนไอ้กั้งกับไอ้แชมป์ไปก็ได้”



ซันบอกด้วยน้ำเสียงปกติ เอ่ยถึงเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนซึ่งตอนนี้อยู่คนละห้อง ภูมิก็พยักหน้ารับ คิดในใจว่าหวยน่าจะไปตกที่เพื่อนสองคนนั้นมากกว่า เพราะตั้งแต่เปิดเรียนมาเขายังไม่เคยเห็นพี่ภาคย์หยุดเรียนวันเสาร์เลย



แตกต่างจากซันที่ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาแอบเช็คตารางเรียนของพี่ภาคย์จากเพื่อนในคณะมาแล้ว ถึงได้เจาะจงชวนวันที่พี่ภาคย์จะว่างพอดี ส่วนอีกฝ่ายจะตอบตกลงหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับดวง



ว่าแล้วคนวางแผนก็ลอบถอนหายใจ นึกขอโทษขอโพยเพื่อนสนิทอีกสองคน



โทษทีนะเว้ยไอ้กั้งไอ้แชมป์ กูไปเที่ยวกับพวกมึงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่โอกาสแบบนี้ต้องรีบคว้าว่ะ



หลังจากพลิกหน้าพลิกหลัง อ่านรายละเอียดบนบัตรจนพอใจ ภูมิก็ยื่นบัตรรีสอร์ทคืนเจ้าของ



“อ้ะ เอาคืนไป เดี๋ยวกูบอกอีกทีนึงว่าพี่ภาคย์จะไปได้หรือเปล่า”



“เออๆ  ให้พี่ภาคย์ชวนเพื่อนมาด้วยก็ได้ ไปกันแค่สามคนเดี๋ยวกร่อย” ซันบอกไปแบบนั้น เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเขากับพี่ชายไม่ค่อยราบรื่นเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ  แถมพี่ภาคย์กับเขาก็คุยกันนับครั้งได้ ถ้าไปกันสามคนจะกลายเป็นว่ามีเขากับไอ้ภูมิสนุกกันแค่นั้นน่ะสิ



ซันหันมาสนใจกับการเก็บบัตรสีชมพูสี่ใบใส่กระเป๋า ไม่ทันเห็นอาการของเพื่อนข้างตัวซึ่งชะงักไปเล็กน้อย สมองพลันนึกไปถึงเพื่อนเพียงคนเดียวของพี่ภาคย์ที่ตนรู้จัก



...พี่โฟล์คจะไปได้ไหมนะ...



คิดแล้วก็อดรู้สึกแปลกในใจไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อวันเสาร์ แถมพี่โฟล์คก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขามากมาย นอกจากเป็นเพื่อนของพี่ชายและเป็นครูสอนพิเศษ แต่ทำไมพอชื่อของพี่โฟล์คแวบเข้ามาในหัว เขากลับรู้สึกอยากเจออย่างบอกไม่ถูก



...บ้าแล้วเรา



ภูมิส่ายหัวให้กับความคิดประหลาดๆ ของตนเอง ก่อนหันไปเตรียมหนังสือสำหรับวิชาถัดไป

 











“และสำหรับเรื่องงบประมาณของแต่ละชมรม ทางสภานักเรียนมีเงินที่ได้รับบริจาคจากผู้ปกครองส่วนหนึ่ง และมีงบสภาฯ ที่ยังเหลือจากปีที่แล้ว แต่ก็ไม่มากพอจะให้ทุกชมรมเบิกใช้กันพร่ำเพรื่อ ทางสภาฯ จึงได้จัดข้อกำหนดการของบของแต่ละชมรมไว้ดังนี้...”



เสียงร่ายยาวจากเด็กสาวประธานนักเรียนดังต่อเนื่องมาแล้วกว่าสิบนาทีในห้องประชุม ซึ่งเป็นการเรียกประชุมหัวหน้าและรองหัวหน้าชมรมทั้งโรงเรียนเป็นครั้งแรกของปี เพื่อแจกแจงรายละเอียดและกฎใหม่ๆ สำหรับกิจกรรมชมรมที่จะเกิดขึ้น



สำหรับปีนี้ ภูมิได้รับตำแหน่งรองประธานชมรมดนตรีแทนพี่เก่ง รุ่นพี่มือเบสประจำวง ส่วนพี่เก่งก็เลื่อนขึ้นเป็นประธานชมรมแทนรุ่นพี่อีกคนซึ่งจบจากโรงเรียนไปแล้ว การซ้อมดนตรีวันนี้จึงงดไปโดยปริยาย เพราะสมาชิกวงทั้งสองคนต้องเข้าร่วมการประชุมสภาฯ



ภูมิปล่อยให้ข้อมูลไหลผ่านหูไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าประธานนักเรียนแค่พูดเกริ่นตามหน้าที่ ถึงอย่างไรก็จะมีรายละเอียดที่จำเป็นแจกให้แต่ละชมรมอยู่แล้ว ความสำคัญของการประชุมจึงอยู่ในช่วงอภิปรายแผนการเสียมากกว่า



“คร่าวๆ ก็เท่านี้นะคะ มีใครสงสัยอะไรไหม”



ในที่สุดเด็กสาวผมเปียก็วางกระดาษในมือลง  พลางกวาดสายตาผ่านเลนส์แว่นทรงรีไปทั่วทั้งห้องประชุม แล้วผู้ชายคนหนึ่งซึ่งภูมิจำได้ว่าอยู่ชั้นปีเดียวกันก็ยกมือขึ้นมาพร้อมพูด “ผมครับ”



“ชื่ออะไร จากชมรมอะไรคะ”



“ผมชื่อปิงปอง ประธานชมรมฟิล์มครับ คือผมอยากถามว่า...พี่หมวยมีแฟนยังคร้าบ!”



“ฮิ้ววว!”



บรรยากาศของห้องประชุมแลดูเป็นสีชมพูขึ้นมาทันตา เมื่อจู่ๆ มีไอ้เด็กที่ไหนไม่รู้หยอดคำถามใส่ประธานนักเรียนสาวสวยจอมโหดซึ่งกำลังชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ตามด้วยเสียงโห่รับของกรรมการนักเรียนชายแสบๆ หลายคนซึ่งดูไม่เข้าข้างพวกตัวเองเท่าไหร่



ภูมิผงะไปนิด ส่วนพี่เก่งโน้มตัวมากระซิบข้างๆ หู “ไอ้เด็กนี่มันรู้จักกาละเทศะบ้างไหมวะ”



คำตอบที่พี่เก่งได้รับคือ...ไม่ เพราะนอกจากนายปิงปองจะทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาแล้ว เจ้าตัวยังยิ้มระรื่นแบบโคตรภูมิใจ จนพี่หมวยประธานนักเรียนผู้คุมสภาฯ จำต้องเอ่ยเสียงเรียบเพื่อยุติความชุลมุน



“พี่ไม่ขอตอบนะคะ ไม่ทราบว่าน้องมีคำถามที่มีสาระกว่านี้ไหม ถ้าไม่ก็ขอเชิญคนต่อไปค่ะ”



“เดี๋ยวดิพี่ โธ่...ผมล้อเล่นนิดเดียวเอง อ้ะๆ เข้าเรื่องก็ได้ กริ้บกริ้ว”



“...”



เกือบครึ่งของสายตาผู้เข้าร่วมประชุมได้แต่ฉายแววเอือมระอา แต่คนได้รับยังคงยกยิ้มต่อไปขณะพูดเสียงเจื้อยแจ้ว



“คืองี้ครับ ชมรมของผมเป็นชมรมเปิดใหม่เลยมีปัญหาเรื่องอุปกรณ์นิดหน่อย จากที่ประชุมกันภายในชมรม ผมกับคณะกรรมการคนอื่นๆ เห็นว่าอุปกรณ์เรายังมีไม่พอสำหรับการทำกิจกรรมครับ ซึ่งจากที่ได้ฟังพี่หมวยพูดถึงเป้าหมายของกิจกรรมชมรมในปีนี้ เห็นว่าต้องการยกระดับผลงานชมรมโรงเรียนให้มีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากเครือข่ายภายนอกโรงเรียนมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ หลายเท่าเลยด้วย”



ห้องประชุมเริ่มเข้าสู่ภาวะเดิม เมื่อประธานชมรมฟิล์มจอมแสบเมื่อครู่เปลี่ยนโหมดตัวเองให้เป็นการเป็นงาน อธิบายถึงปัญหาที่เจอโดยละเอียด ซึ่งเด็กสาวประธานนักเรียนก็ตอบไปตามจริง



“ใช่ค่ะ เพราะผลการทำกิจกรรมชมรมของปีที่แล้วไม่น่าพอใจเท่าที่ควร เหมือนเป็นกิจกรรมที่เด็กทำกันเล่นๆ ในโรงเรียน  ในขณะที่โรงเรียนอื่นสามารถทำชมรมให้มีคุณภาพและเผยแพร่ผลงานสู่สายตาคนนอกได้ ปีนี้ทางคณะกรรมการนักเรียนจึงตั้งใจจะเน้นเรื่องนี้ค่ะ”



เพียงเท่านั้นปิงปองก็ดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนพูดสนับสนุน



“ผมเห็นด้วยครับ รู้สึกว่าโรงเรียนอื่นในละแวกใกล้เคียงกันเริ่มมีการร่วมกันทำกิจกรรมระหว่างโรงเรียน คุณภาพของงานเลยสูงขึ้นเยอะ ผมเองก็มีโปรเจกต์หลายตัว แต่ถ้าไม่มีทุนอุปกรณ์ก็คงเป็นไปได้ยากครับ”



“ต้องการอุปกรณ์อะไรบ้างคะ” พี่หมวยถามต่อ



“กล้องสำหรับถ่ายวีดิโอ แล้วก็อุปกรณ์เสริมต่างๆ ถ้าได้คอมพิวเตอร์สักเครื่องสำหรับโปรแกรมตัดต่อก็จะดีมากครับ”



“เท่านี้ใช่ไหมคะ”



“ครับ พื้นฐานคือเท่านี้ครับ”



หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนพูดต่อ “พี่คิดว่าทางฝ่ายโสตฯ ของโรงเรียนน่าจะมีอุปกรณ์พวกนี้ค่ะ พี่จะลองประสานงานให้ก่อน ถ้าทางนั้นให้ยืมได้ ก็ให้ทางชมรมของน้องเขียนหนังสือขออย่างเป็นทางการ ตกลงไหมคะ”



“อ้อ โอเคครับ ขอบคุณนะพี่หมวยคนสวย”



ไม่วายหยอดปิดท้ายพร้อมขยิบตาหนึ่งที แต่เด็กสาวประธานนักเรียนไม่คิดจะชายตามอง เธอมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง



“ชมรมอื่นๆ มีปัญหาไหมคะ ถ้าไม่มีจะเริ่มการอภิปรายแผนงานของแต่ละชมรม เริ่มด้วยชมรมดนตรีสากลค่ะ”



“ครับผม” พี่เก่งลุกขึ้นยืนเหมือนเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โค้งตัวเล็กน้อยให้ผู้ร่วมประชุมพอเป็นพิธี แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ “ผมประธานชมรมดนตรีสากลครับ สำหรับแผนงานของเราจะแบ่งคร่าวๆ ได้สามรูปแบบ คือ...”



แผนงานของชมรมดนตรีสากลได้รับการอภิปรายโดยละเอียด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ภูมิและเพื่อนร่วมวงทุกคนช่วยกันคิด ให้กิจกรรมชมรมออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด โชคดีที่พอมีแนวทางจากปีก่อนๆ อยู่แล้วจึงไม่ต้องเพิ่มอะไรมาก



พอพี่เก่งพูดจบก็ละสายตาจากกระดาษในมือ เงยหน้าขึ้นมองประธานนักเรียนซึ่งกำลังทำท่าไตร่ตรอง



“ค่ะ น่าสนใจดี แต่เราว่าน่าจะให้สมาชิกใหม่มีส่วนร่วมมากกว่านี้ และน่าจะมีผลงานที่เผยแพร่ออกนอกโรงเรียนมากกว่านี้ค่ะ คิดว่าได้ไหมคะ” พี่หมวยพูดแนะนำพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งภูมิก็รีบจดลงสมุดทันที ในขณะที่พี่เก่งก็เอ่ยตอบ



“ได้ครับ จะลองคุยกันในชมรมดูครับ”



ระหว่างที่กำลังจด ภูมิก็เผลอเงยหน้าสบตากับประธานชมรมฟิล์มซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพอดี พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาเขม็ง จนเขาต้องขมวดคิ้วหน่อยๆ ถามผ่ายสายตาว่า ...มีปัญหาอะไรหรือ



คนได้รับคำถามส่ายหน้าก่อนขยับยิ้มแพรวพราว ภูมิไม่อยากใส่ใจมากจึงละความสนใจ หันไปตั้งใจฟังชมรมอื่นอภิปรายแทน ซึ่งขณะนี้เป็นคิวของเด็กสาวอีกคนที่ภูมิจำได้ว่ามาจากชมรมการแสดง



“ชื่อแซนดี้นะคะ ประธานชมรมการแสดงค่ะ แผนงานของชมรมเรามีดังนี้ ข้อหนึ่ง...”



ฟังเพื่อนชมรมอื่นพูดได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็เผลอเบนสายตากลับมาที่ประธานชมรมฟิล์มอีกครั้ง พบว่าอีกฝ่ายยังจ้องเขาอยู่อย่างนั้น



...เดี๋ยวนะ...



...ชมรมฟิล์ม...ชมรมการแสดง...ชมรมดนตรี...



จู่ๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัวภูมิ รวดเร็วเสียจนเขาต้องหยิบปากกามาเขียนใส่สมุด



...น่าลองแฮะ...



หลังจากร่างสิ่งที่คิดขึ้นได้กะทันหันนี้แบบคร่าวๆ ให้พอเข้าใจ ภูมิก็หันกลับมาสนใจการอภิปรายต่อ พอทุกชมรมเสนอแผนงานจนครบ เขาก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงขออนุญาตต่อประธานนักเรียน “ขอโทษครับ ชมรมดนตรีมีโปรเจกต์อยากเสนอเพิ่ม รบกวนอีกครั้งนะครับ”



“เชิญค่ะ”



เพราะเห็นว่าเวลาของการประชุมยังเหลืออยู่ เด็กสาวจึงเอ่ยอนุญาต



ภูมิลุกขึ้นยืน สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวช้าๆ โดยที่สายตาเหลือบมองกระดาษสมุดเป็นระยะ



“ผมเพิ่งคิดโปรเจกต์ออกเมื่อครู่ตอนที่กำลังเสนอแผนงาน และอยากขอความร่วมมือจากอีกสองชมรม คือชมรมฟิล์มและชมรมการแสดงครับ”



ภูมิเห็นปิงปอง ประธานชมรมฟิล์มเลิกคิ้วมองเขาด้วยความประหลาดใจ กับผู้หญิงอีกคนซึ่งเขาจำได้ว่าชื่อแซนดี้ก็ดูงงงวยไม่แพ้กัน



“ผมอยากทำหนังสั้นเรื่องหนึ่ง โดยมีผู้รับผิดชอบหลักคือชมรมดนตรีสากลและอีกสองชมรมที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น โดยเราจะเปิดรับบทหนังจากนักเรียนในโรงเรียนเพื่อนำมาคัดเลือก แล้วชมรมการแสดงจะเป็นเฮดเรื่องการเรียบเรียงบทและจัดหานักแสดง ชมรมฟิล์มจะเป็นเฮดเรื่องการถ่ายทำ ส่วนผม...ชมรมดนตรีสากล จะเป็นเฮดเรื่องเพลงประกอบหนัง นั่นคือเราจะแต่งเนื้อร้องและทำดนตรีเองทั้งหมด จากนั้นอาจจะเปิดฉายหนังในงานสัปดาห์วิชาการตอนต้นปีหน้า ขายตั๋วให้บุคคลทั่วไปเข้ามาดู รายได้ทั้งหมดส่งให้ชมรมมิตรไมตรีเพื่อนำไปบริจาคเป็นการกุศล นอกจากนี้ยังทำแผ่นหนังขายได้ด้วย คิดว่ายังไงกันครับ”



ฟังเผินๆ อาจเป็นเพียงโปรเจกต์หนังเล็กๆ  แต่สำหรับโรงเรียนของภูมิซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้เน้นเรื่องกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมชมรมซึ่งมีผลงานออกมาน้อยมาก การที่สามชมรมจะร่วมมือกันทำงานสักอย่างหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะแม้แต่กิจกรรมของแต่ละชมรมเองก็ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า



แต่ครั้งนี้ เป้าหมายของสภานักเรียนคือการยกระดับคุณภาพของกิจกรรมชมรม ข้อเสนอของภูมิจึงได้รับความสนใจอย่างมาก



“พี่ว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และน่าลองสำหรับโรงเรียนเรานะ แต่ถ้าจะทำจริงๆ คงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะทั้งสามชมรมไม่เคยทำโปรเจกต์แบบนี้มาก่อนใช่ไหมคะ” พี่หมวยถามพลางไล่สบตาประธานชมรมทั้งสามคน ก่อนจะวกกลับมาที่ภูมิซึ่งเป็นคนเสนอความคิด “พี่ว่าเราต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และต้องมีความรับผิดชอบมากๆ  แต่ถ้าเรามีใจที่จะทำ สภานักเรียนก็จะสนับสนุนเต็มที่ค่ะ”



“ขอบคุณครับพี่หมวย แล้ว...นายล่ะ เธอด้วย” ภูมิหันไปถามเพื่อนอีกสองคนซึ่งกำลังมองเขาด้วยแววตาแตกต่างกัน คนหนึ่งแทบจะผิวปากด้วยความชอบใจ อีกคนยังมองเขาด้วยสายตางงๆ อยู่



“เอาสิ น่าสนุกดี” ประธานชมรมฟิล์มฉีกยิ้มกว้าง



“อะ...อืม ลองดูก็ได้” เด็กสาวประธานชมรมการแสดงพยักหน้าบ้าง แต่สีหน้ายังฉายชัดถึงความไม่มั่นใจ



“งั้นพวกผมจะคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง ถ้าได้แผนงานที่แน่นอนแล้วจะทำเรื่องขอเบิกงบและขอประสานงานกับโรงเรียนอื่นจากสภาฯ นะครับ”



ภูมิพูดแล้วโค้งตัวให้พี่หมวยเล็กน้อย ก่อนนั่งลงตามเดิม



การประชุมดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่ กว่าภูมิและคนอื่นๆ จะได้ออกจากห้องก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น แต่เพราะโปรเจกต์ที่เพิ่งเสนอไปเมื่อครู่ เขาจึงมีนัดคุยงานต่อกับเพื่อนใหม่อีกสองคน โดยคนที่ชื่อปิงปองเป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักเขาก่อน



“ไง...นาย เอ่อ ไม่ชินว่ะ ใช้มึงกูได้ปะ”



“เอาดิ ไม่ถือ”



“เออ มึงชื่อไร กูชื่อปิงปอง เรียกปิงก็ได้”



“กูชื่อภูมิ”



“เมื่อกี้มึงโคตรเท่อะ” ไอ้ปิงปองพูดแล้วยักคิ้วให้เขาทีหนึ่ง “แล้วนี่จะคุยอะไรกันต่อ”



“ก็แค่จะทำความเข้าใจคร่าวๆ  มึงอยู่ได้นานปะ เธอด้วย...แซนดี้ใช่ไหม ต้องกลับบ้านกี่โมง”



พอได้รับคำตอบจากทั้งสองคนว่าอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ภูมิก็เริ่มหาที่นั่งคุยงาน อย่างแรกที่เขาทำคือถามความคิดเห็นของทั้งสองคนที่มีต่อโปรเจกต์นี้อีกครั้ง ได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจว่า ไอ้ปิงปองสนใจการถ่ายหนังและคิดจะทำอยู่แล้ว แต่เพราะยังเป็นมือใหม่เลยกังวลอยู่ พอได้อีกสองชมรมมาช่วยก็คิดว่าเป็นเรื่องดี ส่วนแซนดี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะปีก่อนๆ ชมรมของเธอไม่เคยมีโปรเจกต์แบบนี้



ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีภูมิก็พูดสรุป “งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยววันพุธมาคุยกันอีกรอบ เราจะร่างตารางงานให้เสร็จวันนั้นรวมทั้งธีมของหนังด้วย ให้ทุกคนกลับไปคิดธีมมาคร่าวๆ แล้วกัน”



“โอเค แลกเบอร์กันไหมเผื่อจะติดต่องาน” ปิงปองเสนอขึ้นในตอนท้าย



ดังนั้นการประชุมของวันนี้จึงจบลง ด้วยการเริ่มต้นโปรเจกต์ที่ทั้งสามชมรมเข้าร่วมเป็นสมาชิก



------------------------------- TBC ------------------------------



เปิดตัวปิงปองค่า กระซิบว่าจะเป็นอีกคนที่เข้ามาซี้กับภูมิเพราะสนใจในเรื่องเดียวกัน ส่วนน้องซันเดี๋ยวก็หนีไปเข้าหมอแล้ว ขอหาเพื่อนใหม่ให้น้องภูมิหน่อย แฮ่

จริงๆ ปิงปองก็มีคู่ของเขานา จะโผล่มาแว๊บนึงตอนท้ายๆ เรื่อง แต่เลิฟไลน์จะยังไม่เดินค่า จะคล้ายกับเรื่องของซันกับพี่ภาคย์ที่เลิฟไลน์จะเริ่มเดินในเรื่องของตัวเองเนอะ

ไปแล้วว เจอกันวันเสาร์ค่ะ ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามนะคะ ซึ้งงงใจ<3



CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 8 คำชวนของเพื่อน (19/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-07-2018 22:01:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 8 คำชวนของเพื่อน (19/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-07-2018 00:18:28
ภูมิ เริ่มทำตัวเองแบบทู อิน วัน
สนใจเรื่องเรียนมากขึ้นในเวลาเรียน
แล้วเวลาอื่นก็เป็นเรื่องที่ชื่นชอบ  สุดยอดมากกกกก  :mew1: :mew1: :mew1:

ให้สงสัยทำไมปิงปองมองภูมินานมากๆ  :hao3:

ลุ้นซัน ภาคย์  :กอด1:
โฟล์ค คงได้ไปเที่ยวกับภูมินะ  :impress2:

โฟล์ค ภูมิ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 8 คำชวนของเพื่อน (19/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 21-07-2018 20:02:38
Chapter 9 : เรื่องที่ปกปิด



            ‘พี่ออกจากมหา’ลัยแล้ว เดี๋ยวเจอกันนะครับ’



          บนเตียงนอนในห้อง ภูมินั่งจ้องข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่สดๆ ร้อนๆ ด้วยความตื่นเต้น ใจนึกไปถึงเจ้าของข้อความที่ไม่ได้เจอกันเกือบสามวัน เมื่อวานพี่โฟล์คไม่ว่างเพราะติดทำรายงานกับเพื่อน รวมทั้งเขาเองก็ติดประชุมสภานักเรียน เลยตกลงนัดกันวันอังคารซึ่งก็คือวันนี้



            “แล้วทำไมกูต้องดีใจด้วยวะ”



           ภูมิได้แต่พูดเบาๆ กับตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจความรู้สึก ถ้าจะให้อธิบายเขาก็อธิบายไม่ถูกอยู่ดี คือมันแปลก...แปลกมากๆ  เป็นอะไรที่ภูมิไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต แล้วไอ้ความรู้สึกร้อนๆ บนใบหน้ามันคืออะไรวะ



            ...ทำไมอาการเขาถึงเหมือนสาวน้อยในนิยายที่กำลังตกหลุมรักใครสักเลยวะเนี่ย



            “ใจเย็นเว้ยไอ้ภูมิ พี่โฟล์คเป็นเพื่อนของพี่ภาคย์ เป็นพี่ชายคนที่สองของมึงแค่นั้นแหละ”



            พูดจบก็ถอนหายใจยาว สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดได้แบบนั้น



            จะว่าไป...เขายังไม่ได้คุยกับพี่ภาคย์เรื่องที่ไอ้ซันชวนไปเที่ยวทะเลเลย



            ภูมิชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจกระโดดลงจากเตียง เดินไปยังห้องนอนอีกห้องซึ่งอยู่ริมขวา เดาว่าตอนนี้พี่ภาคย์คงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรีบให้คำตอบไอ้ซัน เขาคงไม่อยากเข้าไปรบกวนเวลานี้



            ก๊อก ก๊อก ก๊อก



            ภูมิเคาะประตูแล้วจึงค่อยหมุนลูกบิดเข้าไป ก่อนชะโงกหน้าผ่านบานประตูเล็กน้อย



“พี่ภาคย์...ผมมีเรื่องจะถาม”



            “อะไร”



            อีกฝ่ายถามกลับมาทันควัน ภูมิจึงก้าวเข้ามาในห้อง ผลักประตูให้ปิดเบาๆ ก่อนหันไปมองแผ่นหลังของพี่ชายตนเองที่กำลังนั่งหน้าโต๊ะเรียน แล้วจึงเอ่ยแบบกล้าๆ กลัวๆ “คือว่าไอ้ซันได้บัตรที่พักฟรีสี่ใบ เป็นรีสอร์ทแบบบังกะโลติดทะเล มันเลยจะชวนผมกับพี่ภาคย์ไปวันเสาร์อาทิตย์นี้ พี่ภาคย์ว่างไหม”



            “หืม ชวนพี่ด้วยเหรอ” ภาคย์หันไปถามคนเป็นน้องด้วยความแปลกใจ ความจริงซันจะชวนภูมิก็ไม่แปลกเพราะมันสนิทกัน แต่ชวนเขาไปด้วยเนี่ยนะ...



            แล้วภูมิก็พยักหน้ารัวๆ เป็นการยืนยัน “ใช่ ชวนพี่ภาคย์ด้วย แล้วก็ให้พี่ภาคย์ชวนเพื่อนไปอีกหนึ่งคน”



            “อืม...เสาร์อาทิตย์นี้งั้นเหรอ พี่น่าจะว่างพอดี” ภาคย์ทำท่าครุ่นคิด ก่อนถามกลับ “แล้วแกล่ะอยากไปไหม”



            “เอ่อ...” เป็นคำถามที่ภูมิไม่กล้าสบตาพี่ชายตรงๆ  ...ไอ้อยากไปก็อยากไปอยู่หรอก แต่ก็กลัวทั้งพ่อทั้งพี่ภาคย์นั่นแหละ คดีล่าสุดของเขาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย จู่ๆ จะขอไปเที่ยวก็แอบหวั่นอยู่เหมือนกัน



            “เออ เดี๋ยวพี่คุยกับพ่อเอง”



            ทว่าคำตอบที่ไม่คาดคิดก็ทำให้ภูมิเบิกตากว้าง มองเจ้าของประโยคที่ราวกับอ่านใจเขาออกทันใด



            “นานๆ ได้ไปเที่ยวก็ดี อยู่บ้านเซ็งๆ ...ฟรีด้วยใช่ไหม” ภาคย์บอกง่ายๆ แล้วถามกลับ ทำให้คนเป็นน้องชายเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมา



...เพราะเป็นของฟรีนี่เองพี่ภาคย์ถึงตกลงง่ายดายแบบนั้น



“ฟรีตลอดงาน”



พอภูมิยืนยันอย่างนั้น ภาคย์ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ก็ดี มีธุระแค่นี้ใช่ไหม”

“แล้ว...พี่ภาคย์จะชวนใครไปอีกคนล่ะ” ภูมิเลียบเคียงถาม  ไม่กล้าพูดตรงๆ ว่าแอบนึกถึงใคร แต่คนถูกถามก็ตอบกลับทันทีเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ



“ชวนไอ้โฟล์คแล้วกัน วันนี้มันจะมาบ้านใช่ไหม แกจัดการเองเลย”



พอเจ้าของห้องประกาศิตมาแบบนั้น ภูมิก็ได้แต่รับคำก่อนเดินกลับไปห้องตนเอง โดยไม่รู้ตัวเลยว่า...มีรอยยิ้มกว้างแค่ไหนบนใบหน้า













 

“ว่างสิครับ”



“จะ...จริงดิ”



ทันทีที่ภูมิเอ่ยถามครูสอนพิเศษที่เพิ่งมาถึงบ้าน คนถูกถามก็เลิกคิ้วพร้อมตอบรับอย่างง่ายดาย จนภูมิถึงกับเหวอ เผลอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง เรียกให้ร่างสูงหัวเราะก่อนเสียงทุ้มจะถามกลับ



“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยครับ”



ภูมิได้ยินดังนั้นก็เบนหน้าหนี ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ ...ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่ขาดหายไปสามวันคืออะไร แต่พอได้เห็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอีกครั้ง เขาก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า...คิดถึงรอยยิ้มนี้อย่างบอกไม่ถูก



...สงสัยจะบ้าจริงๆ ด้วยว่ะ



“ไม่ได้ตกใจ ก็แค่...” ภูมิเกาท้ายทอยแก้เก้อ ไม่รู้จะพูดอย่างไรจึงตัดบท “นั่นแหละๆ  ตกลงไปได้ใช่ปะ ผมจะได้บอกเพื่อน”



โฟล์คพยักหน้า มองท่าทางของคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู แม้จะนึกสงสัยกับปฏิกิริยาแปลกๆ อยู่บ้าง  แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร



ก็น่ารักดี...ล่ะมั้ง



คิดในใจเพียงเท่านั้น เขาก็ต้องสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป



เอาอีกแล้ว...เผลอคิดอกุศลกับเด็กคนนี้อีกจนได้



ตั้งแต่วันที่เขาเผลอจูบหน้าผากภูมิอีกครั้ง เขาก็ใช้เวลาสามวันเต็มๆ ในการห้ามใจ คิดว่าพอเจอหน้ากันวันนี้จะทำตัวเป็นปกติได้บ้าง ...แต่หัวใจกลับไม่รักดีเอาเสียเลย



โชคดีที่ภูมิเข้าใจการกระทำของเขาในคืนนั้นเป็นอีกอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะสู้หน้าลูกศิษย์ของตัวเองได้หรือเปล่า



“มาเริ่มเรียนกันดีกว่า วันนี้จะให้พี่สอนอะไรดีล่ะ”



โฟล์คตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เดินนำไปนั่งที่พื้นข้างโซฟา ภูมิจึงเดินตามไปนั่งข้างๆ กัน ก่อนยกแขนขึ้นวางบนโต๊ะกระจกแล้วพูดเนือยๆ “ไม่รู้สิ การบ้านวันนี้ก็ทำเสร็จหมดแล้ว”



ความจริงภูมิก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อจากนี้จะให้พี่โฟล์คสอนอะไรดี การบ้านเขาก็พยายามทำให้เสร็จที่โรงเรียนจะได้ไม่เป็นภาระที่บ้าน ส่วนบทเรียนอื่นๆ พอลองตั้งใจเรียนก็เข้าใจกว่าที่คิด บางเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ให้ไอ้ซันช่วยอธิบายตอนจบคาบ เลยไม่มีปัญหาอะไรนัก



“งั้นลองทำโจทย์ดูแล้วกัน พี่รวบรวมแนวแปลกๆ ไว้ให้” โฟล์คหยิบชีทที่เตรียมไว้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ ภูมิเห็นดังนั้นจึงจัดแจงท่านั่งของตัวเองให้สะดวกมากขึ้น ก่อนรับชีทมาแล้วเริ่มลงมือทำ แต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นหัวข้อของโจทย์



...พี่โฟล์คโคตรให้ความสำคัญกับการสอนจริงๆ ด้วย รู้อีกว่าตอนนี้เขาเรียนถึงเรื่องไหน โจทย์ก็เรื่องนั้นแบบเป๊ะๆ เลย



“ง่า...”



แต่พอทำไปได้สักพัก คนตัวเล็กก็ส่งเสียงครางออกมาพร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่น เมื่อพบว่าเขา...โคตรงง



ทั้งๆ ที่เนื้อหาก็ไม่น่าจะเกินระดับมอห้า แต่โจทย์ดันแปลกประหลาดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แถมไม่รู้ด้วยว่าควรเริ่มคิดยังไง ...แล้วคำนี้มันแปลว่าอะไรไม่ทราบ ทำไมเขาไม่เคยเจอเลยมาก่อนเลยวะ!



จู่ๆ ภูมิก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนข้างตัว ก่อนร่างสูงจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ “ไหนครับ ไม่เข้าใจตรงไหน”



“ตั้งแต่ข้อสองอะพี่โฟล์ค”



แล้วจะยื่นหน้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไมวะ!



ภูมิเกือบผงะไปแล้วเชียว ดีที่ตั้งสติได้ก่อนเลยเอ่ยตอบไปตามปกติ แล้วขยับตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายได้ดูโจทย์ใกล้ๆ



“ข้อสอบแนวนี้จะเล่นเทคนิคย้อนกลับน่ะ” โฟล์คอธิบายง่ายๆ ก่อนจะใช้ดินสอชี้ทีละประโยคเพื่ออธิบาย ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก พยายามทำความเข้าใจให้มากที่สุด “...แล้วก็คำนี้เป็นคำสมัยเก่า ตอนนี้คงไม่เจอในหนังสือกระทรวง แต่บางทีข้อสอบก็ชอบเอามาใช้ รู้ไว้บ้างจะได้เปรียบ”



“ฮื่อ”



คนตัวเล็กพยักหน้ารัวเร็ว แล้วยื่นนิ้วไปจิ้มๆ บนกระดาษอีกครั้ง “...ข้อนี้ด้วย”



“อืม...ข้อนี้ใช่ไหม”



เรียกได้ว่าเป็นการเรียนพิเศษที่ภูมิรู้สึกเข้าใจที่สุดตั้งแต่เคยเรียนมาเลย เป็นครั้งแรกที่มีคนมาให้ถามแบบใกล้ชิดขนาดนี้ แถมยังไม่รู้สึกเบื่อเหมือนตอนเรียนกับสถาบันกวดวิชาดังๆ ทั้งหลายแหล่ การเรียนกับดีวีดีนอกจากจะทำให้เขาง่วงเหงาหาวนอนไปหลายรอบ เวลาสงสัยตรงไหนภูมิก็จำต้องปล่อยให้ผ่านไป แต่พอมาเรียนกับพี่โฟล์คคือเป็นคนละอย่างกันเลย



แต่บางครั้ง...คนเราก็ต้องมีขีดจำกัดล่ะนะ



ไม่รู้เพราะความเหนื่อยที่สะสมมาหลายวันหรือเปล่า จู่ๆ ภูมิก็รู้สึกหน้ามืด แถมหัวยังหมุนติ้วๆ เหมือนอยากจะฟุบลงนอนทับชีททั้งปึกจนต้องใช้ข้อศอกยันตัวไว้กับโต๊ะ



“เป็นอะไรครับภูมิ”



เหมือนโฟล์คจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยถามพร้อมยื่นมือมาประคองไหล่ ภูมิได้แต่ส่ายหน้าให้ก่อนบอกเสียงเบา “ผมแค่ง่วงละมั้ง...รู้สึกเหนื่อยชะมัด”



“งั้นพักก่อนไหม เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้”



ภูมิพยักหน้ารับ ร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินหายเข้าไปในครัว ใช้เวลาไม่นานในการรินน้ำใส่แก้ว แล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น



ทว่าภาพที่เห็นก็ทำให้โฟล์คหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เมื่อตอนนี้ลูกศิษย์ของเขากำลังนอนคอพับ ฟุบหน้าลงกับชีทจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน เสียงถอนหายใจที่ดังสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับลึกแค่ไหน



โฟล์คเดินเข้าไปใกล้ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเบาๆ  ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยคล้ายกระซิบ “เหนื่อยมาจากไหนเนี่ย...”



พอเห็นคนตัวเล็กหลับอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะปลุก ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนหยิบนิตยสารที่วางอยู่บนโซฟามาพลิกดูเล่นๆ  แต่อ่านไปได้แค่สองสามหน้า เขาก็เผลอเบนสายตากลับมามองคนที่นอนนิ่งอีกครั้ง นึกเป็นห่วงในใจว่าคนนอนคงหลับไม่สบายนัก พื้นก็แข็ง แอร์ก็หนาว แถมนอนคอพับแบบนั้นตื่นมาคงได้ปวดคอกันพอดี



โฟล์ควางนิตยสารในมือลง ลังเลใจอยู่นานว่าควรทำอย่างไร สุดท้ายก็ตัดสินใจได้



...เอาก็เอา เขาทำด้วยความหวังดี ไม่ได้คิดเกินเลยเสียหน่อย



คิดได้ดังนั้นจึงขยับตัวเข้าใกล้คนที่นอนหลับมากขึ้น ก่อนจัดการช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน แปลกใจกับน้ำหนักตัวที่เบากว่าที่คิด เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้จ้องใบหน้าของคนในอ้อมแขนนานเกินไป ...รู้ตัวเลยว่ากำลังอดกลั้นต่อบางสิ่งบางอย่างที่กำลังทะลักอยู่ในใจ



ชายหนุ่มค่อยๆ วางร่างเล็กลงบนโซฟา จัดท่าให้คนนอนสบายกว่าเดิม



โฟล์คขยับยิ้มเล็กน้อยก่อนยกแขนขึ้นดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากจึงตัดสินใจนั่งลงกับพื้นตามเดิม แล้วหยิบนิตยสารมาอ่านฆ่าเวลาต่อ



ความจริงเขาจะกลับคอนโดเลยก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งกลับท้วงว่า...ยังอยากอยู่ต่ออีกหน่อย



“อ้าว ไอ้ภูมิเป็นไรวะ”



เสียงทักดังขึ้นจากชั้นสองข้างบ้าน โฟล์คเห็นเพื่อนสนิทชะโงกหน้ามาทางบันได เขาจึงเอ่ยตอบโดยระวังไม่ให้เสียงดังเกินไป



“คงง่วงน่ะเลยหลับไป”



“เหอะ...มีงี้ด้วย” ภาคย์ยักไหล่ก่อนก้าวลงจากบันไดทีละขั้น เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดา มีผ้าขนหนูผืนหนึ่งพาดอยู่บนบ่า เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จไปหมาดๆ  พอภาคย์เดินมาใกล้น้องชายตัวเองก็ไม่วายพูดเหน็บขึ้นมาอีกรอบ “แล้วนี่มันกล้านอนโซฟาโดยให้มึงนั่งพื้นเนี่ยนะ”



“เปล่า ภูมิเผลอหลับตอนนั่งทำโจทย์ กูเลยอุ้มให้ไปนอนดีๆ บนโซฟา”



ได้ยินเท่านั้นภาคย์ก็เบ้ปาก บ่นขมุบขมิบกับตัวเองเล็กน้อย แต่ก็ดังพอที่อีกคนในห้องจะได้ยิน “มึงก็ห่วงน้องกูจังเนอะ อย่างกับคู่เกย์”



โฟล์คชะงักไป เผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนสนิท พบว่าอีกฝ่ายมีประกายหยอกล้อในแววตาบ่งบอกว่าไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่พูด เขาจึงเบนหน้าไปทางอื่นก่อนตอบด้วยน้ำเสียงลังเล “...กูเปล่า”



“ฮ่าๆ  กูล้อเล่นไปงั้นแหละ” ภาคย์เดินมาตบไหล่คนที่นั่งอยู่ดังป้าบแล้วฉีกยิ้มให้ “มึงไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย กูรู้อยู่แล้วน่า”



น้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้โฟล์ครู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก มันคือความสับสนที่เขาไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร ทว่าลึกๆ เขาก็รู้ตัว...ว่ามันคือความจริงที่ตัวเขาเองพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด



ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าทั้งเขาและภูมิเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่มันคือปัญหาหนักใจอีกเรื่องที่เขาไม่อยากนึกถึง



โฟล์คหลับตาลงเพื่อปกปิดบางอย่างในใจ ก่อนจะฝืนส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทแล้วเอ่ยตอบแผ่วเบา



“เออ มึงก็รู้นี่”



...แม้จะรู้ดีว่ามันคือการกระทำที่ผิดมหันต์ แต่ตัวเขากลับอ่อนแอเกินกว่าที่จะยอมรับ













 

ภูมิตื่นขึ้นมาในห้องนั่งเล่นที่ปิดไฟมืดสนิท แม้จะงงเล็กน้อยในตอนแรก แต่พอเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มก็สะดุ้งโหยง เริ่มลำดับเหตุการณ์ในหัวได้



เขากำลังนั่งทำโจทย์ จู่ๆ ก็ง่วง พี่โฟล์คไปเอาน้ำมาให้ แล้วเขาก็เผลอหลับไป



...ไอ้ภูมินะไอ้ภูมิ นี่มึงโคตรเสียมารยาทเลยนี่หว่า



“บ้าฉิบ...” ไม่รู้จะพูดอะไรเลยสบถด่าตัวเองไปอย่างนั้น แล้วจึงยันตัวขึ้นจากโซฟา ใช้มือคลำๆ กวาดๆ ของที่อยู่บนโต๊ะแบบลวกๆ  ก่อนเดินโงนเงนด้วยความมึนหัวไม่หายจนขึ้นมาถึงบนห้อง



“อือ...”



พอเห็นเตียงนอนอยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณก็บอกให้เดินเข้าไปใกล้แล้วล้มตัวลงนอนทันที ยิ่งพอได้สัมผัสฟูกกับหมอนนุ่มๆ ก็ยิ่งเคลิ้ม ภูมิใช้เวลาไม่นานในการซุกๆ ขดๆ ตัวในผ้าห่มก่อนจะผล็อยหลับไปอีกรอบ

 













อีกทางด้านหนึ่ง โฟล์คกลับถึงคอนโดของตัวเองได้สองชั่วโมงแล้ว ร่างสูงอยู่ในชุดนอนโดยมือข้างหนึ่งกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็คศีรษะที่เปียก พอเหลือบเห็นเวลาบนนาฬิกาข้างเตียงก็ชะงัก เผลอนึกถึงคนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตื่นหรือยัง เพราะไอ้ภาคย์บอกว่ามันจะช่วยดูให้แล้วไล่เขากลับมาก่อน แต่เดาได้ไม่ยากว่านิสัยอย่างมันคงปล่อยให้น้องชายตัวเองนอนอยู่อย่างนั้นแหละ



เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เพ่งมองอย่างพินิจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหัวแล้วสรุปกับตัวเอง “โทรไปตอนนี้คงไม่ดีมั้ง”



โฟล์คล้มตัวลงนอนบนเตียง เงยหน้ามองเพดานสีขาวอยู่พักใหญ่ พอไม่รู้จะทำอะไรเลยคว้าโทรศัพท์มาถือไว้ สไลด์ปลดล็อกหน้าจอแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์



...แต่ถ้าโฟล์ครู้มาก่อนว่าใครจะทักมา เขาคงเลือกที่จะไม่เข้าแอพฯ นี้อย่างเด็ดขาด



โฟล์คไม่ได้ตั้งแจ้งเตือนไว้เพราะไม่อยากให้โทรศัพท์สั่นตอนเรียน ดังนั้นเขาจะได้เข้ามาเช็คแค่วันละสองสามครั้งตามแต่เวลาที่ว่าง ส่วนมากก็มักเป็นไลน์กลุ่มที่เพื่อนๆ ของเขาคุยเล่นกัน เพราะเขาไม่ชอบแชทนักจึงไม่ค่อยมีคนทักมาแบบส่วนตัว



แต่ครั้งนี้เมื่อเปิดไลน์ขึ้นมา แชทที่เด้งเตือนเป็นอันดับแรกกลับเป็นคนคนหนึ่งซึ่งทำให้เขาชะงัก



~MINTTO~ (3)



โฟล์คขมวดคิ้วโดยพลัน ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่รู้ว่าจะทำเมินก็คงไม่ได้จึงเลือกที่จะกดเข้าไปอ่าน



~MINTTO~

>miss u so much ka

>xoxoxoxoxo

>(sticker)



ข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาไม่ต่างจากที่ชายหนุ่มคาดไว้นัก และนั่นทำให้คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งชิดกันมากกว่าเดิม หากเป็นปกติเขาคงพิมพ์ตอบไปอย่างไม่คิดมาก ทว่าครั้งนี้เขากลับลังเล นิ้วที่จะกดพิมพ์ชะงักค้างกลางอากาศ



แต่ทางนู้นคงขึ้นสถานะว่า read เรียบร้อย จึงไม่มีทางเลือกนอกจากพิมพ์ตอบไป



Folk

ครับมิ้นท์<       

เป็นยังไงบ้างครับ<   
                 



รอไม่นานข้อความของเขาก็ขึ้นสถานะ read บ่งบอกว่าอีกฝ่ายอ่านได้รวดเร็วทันใจ หลังจากนั้นสามวินาทีก็มีข้อความตอบกลับมา



~MINTTO~

            >so lonely ka

                        >here’s very cold

                        >and u ? r u ok ?


         
  Folk

            ครับ<   

            ก็เรื่อยๆ ครับ<   

            ~MINTTO~

                        >I’m really looking 4ward 2 seeing u na

                        >take care ka

                        >see u soon

                        >xoxoxoxoxo

                        >(sticker)


       
    Folk

            ครับ<   

            แล้วเจอกันครับ<           

ดูแลตัวเองด้วยนะ<



พอพิมพ์เสร็จโฟล์คก็ปิดแอพฯ นี้ลงทันที โยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ราวกับไม่อยากหยิบมันขึ้นมาอีก ร่างสูงทำหน้าตึงเครียด ดวงตาฉายชัดถึงความหนักใจที่เกิดขึ้นกับบทสนทนาเมื่อครู่



และเหนือสิ่งอื่นใด...คือความรู้สึกผิดที่โถมเข้าใส่เต็มแรง





------------------------------ TBC -----------------------------





เขียนตอนนี้แล้วอึดอัดใจแทนพี่โฟล์คมากเลย อยากดึงทั้งพี่แกกับน้องภูมิมากอดแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ สู้ๆ

แต่ก็ทำได้แค่มองดูทั้งสองคนจากที่ไกลๆ  ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ นี่แหละค่ะ

เจอกันวันอังคารนะ <3



CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 9 เรื่องที่ปกปิด (21/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 21-07-2018 20:48:25
พี่โฟล์คมีแฟนแล้วเหรอ แบบนี้ก็แย่ซิ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 9 เรื่องที่ปกปิด (21/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-07-2018 23:44:44
อ๋าาาาาาา รักซ้อน

 :เฮ้อ: :mew2:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 9 เรื่องที่ปกปิด (21/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-07-2018 08:24:17
เศร้าล่วงหน้า
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 9 เรื่องที่ปกปิด (21/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-07-2018 15:42:22
ยังไงๆ.......
มินท์มาขอโฟล์คคบใช่ไหม  เลยคบกัน:hao3:
แต่โฟล์ค กลับมาชอบภูมิ......
โฟล์ค รีบเคลียร์เลยถ้าไม่ได้ชอบมินท์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 9 เรื่องที่ปกปิด (21/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 24-07-2018 23:44:30




Chapter 10 : ทะเลเฮฮา



“ไอ้ซัน ขอน้ำหน่อย”



“เอ้า เอาไป”



ภูมิหันไปรับขวดน้ำจากซันที่นั่งเบาะหลังแล้วเอามาดื่มอึกใหญ่ เมื่อพอใจแล้วจึงส่งคืนให้เจ้าของตามเดิม



บรรยากาศการเดินทางเที่ยวทะเลเป็นไปอย่างง่ายๆ สบายๆ  โดยมีไอ้ซันเจ้าของทริปนั่งอยู่เบาะหลังกับพี่ภาคย์ ส่วนตัวเขานั่งข้างคนขับคู่กับพี่โฟล์คที่เป็นเจ้าของรถ ความจริงตอนแรกเขาจะนั่งหลังกับไอ้ซัน แต่ดันลืมไปว่าตัวเองเป็นพวกเมารถง่ายโดยเฉพาะตอนเดินทางไกลๆ  พอรถออกมาได้ครึ่งชั่วโมงก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งกับพี่ภาคย์แทบไม่ทัน



“หายเมารถหรือยังครับ” พี่โฟล์คหันมาถาม ซึ่งภูมิก็พยักหน้ารับตามจริง



“ก็ดีขึ้นแล้วแหละ แต่ยังมึนๆ นิดหน่อย”



“ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ” โฟล์คสำทับด้วยความเป็นห่วง ก่อนช้อนสายตาขึ้นมองกระจกหลังแล้วพูดกับคนร่วมทางอีกสองคน “ข้างหน้ามีปั๊ม ใครอยากแวะเข้าห้องน้ำหรือซื้อของไหม”



“กูจะเข้าห้องน้ำ” ภาคย์ตอบกลับมาทันที โฟล์คจึงเลี้ยวรถเข้าจอดในปั๊ม พอรถจอดสนิทภาคย์ก็แทบติดเกียร์วิ่งไปทางห้องน้ำชาย



“แล้วภูมิกับซันจะลงไหม เดี๋ยวพี่เฝ้ารถให้” เจ้าของรถหันไปถาม



ภูมิกับซันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ภูมิจะเป็นฝ่ายตอบ “งั้นเดี๋ยวผมลงไปเซเว่นละกัน พี่โฟล์คจะเอาอะไรปะ”



โฟล์คส่ายหน้าเป็นคำตอบ











 

“ยินดีต้อนรับค่า”



เสียงพนักงานสาวกล่าวต้อนรับ ซันปรี่เข้าไปที่โซนขายแว่นกันแดดกับหมวกทันที ปากก็ร้องแบบไม่อายสายตาคนอื่น “ไอ้ภูมิๆ กูอยากได้ว่ะ!”



“มึงจะเอาไปทำไม” ภูมิได้แต่มองเพื่อนแล้วส่ายหัวอย่างระอา ยิ่งพอได้รับคำตอบว่า ‘ก็มันเท่ดี’ เขาก็ละความสนใจจากเพื่อนคนนี้โดยสิ้นเชิง ก่อนเดินหนีไปโซนขายขนมขบเคี้ยว



ถึงไอ้ซันจะบอกว่าฟรีตลอดงานก็เถอะ แต่เขาก็รู้ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายจิปาถะส่วนตัวเลยเตรียมเงินเก็บมาพอสมควร ภูมิหยิบขนมสองสามห่อจากชั้นวางลงตะกร้า ก่อนเดินต่อไปที่ตู้เครื่องดื่ม เลือกน้ำอัดลมที่ไอ้ซันชอบไปด้วย แต่พอจะเดินไปจ่ายเงินเขาก็ดันคิดถึงคนที่รออยู่ในรถขึ้นมา



...ถึงพี่โฟล์คจะบอกว่าไม่เอาก็เถอะ แต่ขับรถมาตั้งนานน่าจะหิว



คิดได้ดังนั้นจึงวกกลับไปที่ชั้นวางขนมอีกครั้ง เค้นสมองคิดแทบตายว่าควรซื้ออะไรไปดี แต่สุดท้ายก็หยิบแซนวิชห่อหนึ่งลงตะกร้ากับกาแฟอีกหนึ่งกระป๋อง



“ไอ้ภูมิ แล้วพี่ภาคย์จะเอาอะไรปะ” ซันโผล่หน้ามาถามโดยที่ในมือมีหมวกสกรีนคำว่า ‘เที่ยวทะเล...เฮฮา’ กับแว่นกันแดดหนึ่งอัน



“ไม่รู้สิ” ภูมิตอบกลับไป “มึงจะเอาอะไรอีกไหม กูหยิบโค้กมาให้แล้ว ขนมก็ซื้อมาตั้งเยอะ”



“งั้นไม่เอาแล้ว ไปจ่ายตังค์กัน”



ภูมิพยักหน้ารับ แล้วจึงเดินไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน คิวยาวพอสมควรเพราะถนนเส้นที่ออกต่างจังหวัดเส้นนี้มีปั๊มน้ำมันใหญ่แค่แห่งเดียว เมื่อจ่ายเงินเสร็จทั้งสองคนก็เดินไปที่รถ พบว่าพี่ภาคย์กับพี่โฟล์คนั่งรอในรถอยู่แล้ว



ฟึ่บ



แซนวิชกับกาแฟกระป๋องถูกยื่นไปตรงหน้าคนที่กำลังจะออกรถ ร่างสูงหันมามองคนตัวเล็กข้างกาย ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ของพี่?”



“อือ ซื้อมาให้ กลัวขับรถนานๆ แล้วง่วง พวกผมจะซวยเอา” ภูมิตอบแบบหลบสายตา แต่พอเหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะควักกระเป๋าสตางค์เขาก็รีบร้องห้าม “เฮ้ย! ไม่ต้องๆ  พี่เลี้ยงผมมาเยอะแล้วนะ ไม่ต้องจ่ายคืนเลย”



โฟล์คชะงักไป ตั้งใจจะร้องท้วงในทีแรก ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่พยายามปั้นให้ดูจริงจังเขาก็หลุดยิ้ม เก็บกระเป๋าสตางค์คืนที่เดิม “โอเคครับ ครั้งนี้ภูมิเลี้ยงพี่นะ”



ภูมิทำเป็นพยักหน้าแบบไม่สนใจอะไร ทั้งที่ในใจมีอาการแปลกๆ มากมาย ทั้งความตื่นเต้นที่มีตั้งแต่ตอนเลือกซื้อขนม ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะตื่นเต้นทำบ้าอะไร แถมพอยื่นถุงขนมให้ก็ใจหวิวๆ กลัวว่าพี่โฟล์คจะไม่รับ แต่พอพี่โฟล์ครับไปเขากลับรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก



ทว่าภูมิก็กลบเกลื่อนอาการทั้งหมดนั้นด้วยการยื่นถุงขนมไปให้อีกสองคนที่นั่งด้านหลังพร้อมทั้งบอก “อ้ะ เอาไป”



ซันคว้าหมับไปทันที เลือกหยิบขนมของโปรดขึ้นมา แต่พอจะหยิบโค้กของโปรดก็ดันได้ยินเสียงคนที่นั่งข้างๆ ถามขึ้น



“มีโค้กไหมวะ”



“มีครับ” ซันตอบทันที มือก็หยิบขวดโค้กขึ้นมาส่งให้ ภาคย์จึงหรี่ตาลงแล้วถามกลับ



“มีขวดเดียวเหรอ ซันเอาไปก็ได้”



“ไม่เอาพี่ ผมไม่กิน”



ประโยคปฏิเสธของซันทำให้ภูมิหันขวับไปมองด้วยความสงสัยทันที



ไอ้ซันเนี่ยนะไม่กินโค้ก กูเห็นว่ามึงแดกน้ำเป็นอยู่ชนิดเดียวบนโลกเนี่ย



ซันไม่สนใจเพื่อนตัวเองแม้แต่น้อย เขายังคะยั้นคะยอให้พี่ภาคย์รับขวดน้ำอัดลมจากมือ ภาคย์เห็นดังนั้นจึงรับมาแบบไม่คิดอะไร ก่อนเปิดฝาขวดแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ เสร็จแล้วก็ส่งคืนให้พร้อมทั้งบอก “จะกินก็กินไปเหอะ คนกันเอง”



“อ่า...ครับพี่”



ซันรับมาอย่างเก้ๆ กังๆ  ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ...ไม่อย่างนั้นคนที่นั่งข้างๆ ต้องรู้แน่ๆ ว่าเขากลั้นยิ้มไว้ขนาดไหน



แต่กิริยาทั้งหมดของซันกลับไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเพื่อนสนิทที่นั่งด้านหน้าได้ ภูมิขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนหันหน้ากลับไปตามเดิมโดยไม่พูดอะไร



ผ่านไปราวสามชั่วโมง เบื้องหน้าของทั้งสี่คนก็ปรากฏแผ่นป้ายขนาดยักษ์ มีตัวอักษรเขียนอย่างประณีตว่า ‘ลมอัปสรารีสอร์ท’ ตกแต่งจนคล้ายแผ่นไม้ของจริงโดยมีเถาวัลย์พันให้ดูสวยงาม โฟล์คเห็นดังนั้นจึงหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวรถเข้ารีสอร์ท



ชายหนุ่มขับพารถเบนซ์คันสีดำไปตามถนนเส้นเล็กๆ ที่รายล้อมด้วยต้นไม้มากมาย เหมือนทางรีสอร์ทจงใจให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ขับไปสักครู่จึงมองเห็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายบังกะโล แต่จากความใหญ่และปริมาณรถที่จอดโดยรอบ เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นสำนักงานของรีสอร์ทสำหรับลูกค้าที่มาติดต่อนั่นเอง



หลังจากหาที่จอดรถได้ ทั้งสี่คนก็พากันเดินเข้าไปในสำนักงานโดยแบกกระเป๋าเดินทางมาคนละใบ พนักงานสาวที่เฝ้าหน้าประตูเอ่ยต้อนรับอย่างรู้งาน ก่อนจะเดินนำกลุ่มลูกค้าไปยังเคาน์เตอร์



ระหว่างที่ไอ้ซันกำลังจัดการเรื่องห้องพักและบัตรฟรีที่ได้รับมา ภูมิก็ถือโอกาสมองสำรวจภายในบังกะโลซึ่งถูกออกแบบด้วยบรรยากาศสบายๆ  ไม่ได้หรูหราใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้เล็กจนน่าเกลียด มีโต๊ะและโซฟาสำหรับรองรับแขกอยู่สามสี่ชุด ตรงมุมด้านในของบังกะโลมีน้ำตกจำลองขนาดเล็ก ทั้งหมดมีรูปแบบเหมือนกันคือเน้นความเป็นธรรมชาติ



ถ้าไม่นับกลุ่มของภูมิ ในบังกะโลหลังนี้ก็มีกลุ่มลูกค้าอีกเพียงสองกลุ่ม กลุ่มแรกมากันเป็นครอบครัวใหญ่ซึ่งมีสมาชิกพร้อมหน้าพร้อมตา ภูมิได้แต่มองยิ้มๆ ...เขาคิดถึงความรู้สึกนี้จนน่าใจหายเลยล่ะ



ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ชายสามคน ดูจากอายุคงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีท้ายๆ หรือไม่ก็เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ซึ่งถ้าภูมิไม่คิดไปเอง เขาแอบเห็นว่าคนในกลุ่มค่อนข้างเพ่งความสนใจมาที่กลุ่มเขาด้วย



“เฮ้ยไอ้ภูมิ ไปได้แล้ว”



เสียงพี่ภาคย์เรียกความสนใจให้เขาหันกลับมา พบว่าไอ้ซันจัดการเรื่องห้องพักเรียบร้อยและกำลังจะเดินตามพนักงานผู้ชายคนหนึ่งไปที่บังกะโล ภูมิจึงกระชับกระเป๋าเดินทางในมือแล้วพยักหน้าให้เพื่อบอกว่าเขาพร้อมแล้ว



เดินเท้ากันไปไม่ไกลนักก็ถึงบังกะโลที่จองเอาไว้ ไอ้ซันถึงกับอุทานออกมา “...แจ่มว่ะ”



ภูมิพยักหน้าเห็นด้วยในทันที เพราะบังกะโลของพวกเขาดีกว่าที่คิดไว้มาก หรือถ้าพูดอีกอย่างคือภูมิไม่เคยเห็นห้องพักแบบบังกะโลธรรมชาติสักครั้ง และเมื่อได้เห็นก็ไม่ผิดหวังเลย



ภายในบังกะโลมีสองห้องนอน และมีห้องนั่งเล่นรวมตรงกลาง ซันวางกระเป๋าลงกับพื้นก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่าน แล้วก็อุทานออกมา “เฮ้ยดูดิ เห็นทะเลด้วยว่ะ”



“ไหนๆ” พี่ภาคย์เดินเข้ามาสมทบ พอเห็นภาพตรงหน้าก็ทำตาโต “จริงด้วย! โคตรเจ๋งเลยว่ะ กูอยากเล่นน้ำทะเลแล้วเนี่ย”



ภูมิกับโฟล์คมองภาพนั้นอย่างขำๆ  เมื่อจู่ๆ ทั้งเพื่อนร่วมทางทั้งสองคนดันกลายเป็นเด็กแปดขวบที่ดูตื่นเต้นกับทะเลเสียอย่างนั้น แล้วโฟล์คก็เอ่ยแบบขอความคิดเห็น “เอางี้ไหม เข้าไปเปลี่ยนชุดกันแล้วก็ไปเล่นน้ำ เสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกิน”



“โอเคเลยพี่!”



ไอ้ซันขานรับด้วยน้ำเสียงโคตรดี๊ด๊า จนภูมิอดไม่ได้ที่จะแหย่ด้วยความหมั่นไส้ “เก็บอาการหน่อยมึง”



“โห่ อะไรว้า” ไอ้ซันหันขวับมาทันที “มึงก็ตื่นเต้นเหมือนกูนั่นแหละ ทำเป็นเก๊กนิ่ง”



“กูเปล่าสักหน่อย” ภูมิปฏิเสธ แต่เหมือนทุกคนจะรู้กันว่าคำพูดนี้ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด



สุดท้ายทุกคนก็พากันแยกย้ายเข้าห้อง พอไอ้ซันเห็นเตียงขนาดคิงไซส์ก็กระโดดขึ้นนอนแผ่ทันที ทั้งยังตะโกนแสดงความเป็นเจ้าของ “กูนอนริมหน้าต่างนะมึง!”



“ไอ้ขี้โกง”



ภูมิแหวใส่เพื่อนสนิททันที แต่ก็ยอมวางกระเป๋าตัวเองลงบนอีกฝั่งของเตียง เรียกให้อีกคนที่นอนอยู่หันมายิ้มเผล่ รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนเขาต้องยอมเพราะขี้เกียจทะเลาะ



“เปลี่ยนชุดได้แล้วมึง จะไปเล่นทะเลไม่ใช่เหรอ”



“อือ ขอพักอีกแป๊บนึง กูเหนื่อย”



“ขอโทษนะครับไอ้คุณซัน มึงเหนื่อยอะไรวะ คนขับรถก็ไม่ใช่” ภูมิขัดขึ้นทันใดเมื่อได้ฟังเหตุผลที่ไม่ค่อยเข้าท่านัก



ถ้าพี่โฟล์คบ่นว่าเหนื่อยสิน่าเห็นใจ แต่รู้สึกไอ้นี่จะนั่งกินแรงมาตลอดทางเลยไม่ใช่หรือไงวะ แถมยังขโมยขนมกูอีก



“เออ อากาศมันร้อน กูเลยเหนื่อย” ซันยังเถียงต่อ



“ตามใจมึง กูเปลี่ยนชุดละ”



แล้วภูมิก็ปล่อยให้คนที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงได้ทำตามใจชอบต่อไป โดยที่เขาเองก็รื้อกางเกงว่ายน้ำจากกระเป๋าขึ้นมาเปลี่ยน ใช้เวลาไม่นานก็อยู่ในชุดเตรียมพร้อมเล่นน้ำทะเล แตกต่างจากไอ้เพื่อนสนิทที่ยังนอนอย่างสบายอารมณ์ลิบลับ



“ไอ้ซัน...”



เขาตั้งท่าจะบังคับให้ไอ้ซันเปลี่ยนชุดอีกรอบ แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้



...ท่าทางของไอ้ซันตอนอยู่ในรถกับพี่ภาคย์ยังทำให้เขารู้สึกตงิดใจ...มีอย่างที่ไหนหันไปยิ้มกับตัวเองเหมือนคนบ้าแค่เพราะอีกฝ่ายแบ่งน้ำโค้กให้ แถมถ้าสังเกตดีๆ เขาก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าไอ้ซันมันสนใจพี่ภาคย์มากกว่าที่ควรจะเป็น ...สนใจมากกว่าตัวเขาที่เป็นน้องชายเสียอีก



คิดได้ดังนั้นภูมิจึงกระแอมไอเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนพูดลอยๆ เป็นการหยั่งเชิง “ไอ้ซัน กูว่าพี่ภาคย์...”



ขวับ



“พี่ภาคย์ทำไมวะ”



การหันที่รวดเร็วของอีกฝ่ายทำเอาภูมิถึงกับชะงัก พยายามกลั้นยิ้มหน่อยๆ แล้วพูดต่อด้วยเสียงราบเรียบ



“เปล่า กูแค่จะบอกว่าป่านนี้พี่ภาคย์คงเสร็จแล้วมั้ง อยากเล่นน้ำพอๆ กับมึงเลยนี่”



“เออว่ะ กูลืม” ไอ้ซันเกาหัวตัวเองแกรกๆ  ก่อนลุกขึ้นมาแล้วรื้อกางเกงว่ายน้ำจากกระเป๋าเดินทางขึ้นมาเปลี่ยนทันใด ไม่ถึงนาทีก็หันมาหาภูมิที่จ้องตาค้าง “กูพร้อมละ ไปยัง”



“อะ...ไอ้”



กูเรียกตั้งนานไม่สนใจ แต่พออ้างพี่ภาคย์หน่อยเดียวนี่ตื่นตัวเชียวนะมึง



ไม่รู้จะสบถด่าเพื่อนตัวเองเป็นภาษาอะไรดี จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นลอยๆ ด้วยน้ำเสียงที่ใส่ความน้อยใจเข้าไปเต็มที่ “เออ จำไว้เลย คราวหน้าไปนอนกับพี่ภาคย์นู่น ไม่ต้องมานอนกับกูแล้ว”



ว่าแล้วก็ทำทีเป็นเมินไปทางอื่น แต่ตาแอบเหล่กลับมาทางไอ้ซันที่ดูท่าจะชะงักไป ก่อนที่หูของจะแดงขึ้นมาหน่อยๆ แบบที่ไอ้ภูมิโคตรมั่นใจว่าไม่ใช่เป็นเพราะแสงแน่ๆ



อื้อหือ ซัมติงรองชัวร์!



“โอ๋เอ๋ๆ  งอนกูเหรอคร้าบคุณเพื่อน” แล้วคนที่หูแดงเมื่อครู่ก็รีบเปลี่ยนท่าทีกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะส่งเสียงทะเล้นตามแบบฉบับของตัวเอง "กูก็เสร็จแล้วนี่ไง ถ้าไม่ได้มึงคงแย่แน่ๆ เลย เพราะมึงนะเนี่ยกูถึงเปลี่ยนชุดได้เร็วขนาดนี้ ออกไปได้แล้วน่า“



โอ้โห เด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่าความจริงใจของมึงติดลบ



“อ้อเหรอ” ภูมิส่งรอยยิ้มเหี้ยม กระนั้นก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ











 

ซ่า!



“น้ำกระเด็นโว้ยไอ้ภาคย์”

         

          คนที่นิ่งมาตลอดทางอย่างโฟล์คเป็นอันต้องตะโกนใส่เพื่อนเสียงดัง เมื่อจู่ๆ ก็มีน้ำสาดมาโดนหน้าเขาเต็มๆ จนต้องยกมือขึ้นลูบหน้า แล้วเสียงกวนส้นเท้าของไอ้ภาคย์ก็ดังตามมา



            “กระเด็นที่ไหนล่ะ กูจงใจสาดใส่มึงต่างหาก” ไม่ว่าเปล่า สองมือของคนแกล้งยังวักน้ำขึ้นใส่จนเขาต้องส่ายหัวอย่างระอา หันไปมองคนที่ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง “สนุกหน่อยดิวะมึง มาเที่ยวทะเลทั้งที ขนาดไอ้ภูมิยังเล่นเพลินเลย”



            โฟล์คมองตามสายตาของเพื่อน เห็นว่าลูกศิษย์ของเขากำลังแกล้งล็อกคอคนที่ชื่อซันแล้วจับกดหัวลงน้ำ พอทำสำเร็จก็หัวเราะร่า ไม่ทันระวังจึงถูกอีกฝ่ายตลบหลังด้วยการขัดขาใต้น้ำ คนตัวเล็กถึงกับร้องลั่น ส่วนซันก็แสดงสีหน้าสะใจสุดขีดที่เอาคืนได้



            เป็นการเล่นที่ถึงแม้จะมีเสียงสบถด่าตลอดเวลา แต่ก็ดูออกว่าคนเล่นกำลังสนุกแค่ไหน



            ซ่า!



            “ถ้าเหม่ออีกรอบกูจับมึงกดน้ำแน่!”



            คำขู่ที่มาพร้อมน้ำทะเลเค็มๆ อีกฉาดใหญ่ เรียกให้ร่างสูงละสายตาจากคนตัวเล็กที่เล่นน้ำห่างออกไป แล้วหันมาสนใจเจ้าของคำพูดที่ทำท่าตั้งรับการเอาคืนของเขาเต็มที่



            โฟล์คเห็นดังนั้นก็เผยรอยยิ้มแบบนึกสนุก ว่าด้วยน้ำเสียงกวนๆ “มึงท้ากูเหรอไอ้ภาคย์”



            “เออ กล้าแข่งกับกูปะล่ะ”



            “คิดว่ากูจะกลัวมึงหรือไง แต่ถ้าแข่งสาดน้ำแบบเด็กๆ นี่ขอบายว่ะ”



            “งั้นแข่งว่ายน้ำก็ได้ พอใจยัง” ภาคย์ยื่นข้อเสนอที่ทำให้คนฟังคิ้วกระตุก



            “มึงลืมหรือเปล่าว่ากูเคยได้เหรียญทองแข่งว่ายน้ำตอนมอปลาย”



            “กูก็เคยได้ที่หนึ่งตอนอนุบาลเว้ย!”



            เมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มร้อย โฟล์คก็ได้แต่ยักไหล่โดยไม่ค้านอะไร ก่อนจะชี้ไปที่ทุ่นลอยน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสามสิบเมตร “งั้นนับหนึ่งถึงสาม ใครแตะทุ่นนั่นก่อนชนะ”



            “จัดไป!” เมื่อสรุปกติกาการแข่งขันได้ ภาคย์ก็หันไปโบกไม้โบกมือให้อีกสองคนที่เล่นน้ำอยู่ “ไอ้ภูมิกับไอ้ซันโว้ย! ถอยไปหน่อยดิ จะใช้พื้นที่”



            แม้คนถูกเรียกจะดูงงๆ นิดหน่อย แต่ก็ยอมหลีกทางให้แต่โดยดี ภาคย์กับโฟล์คจึงหันมาสบตากัน ก่อนที่โฟล์คจะเป็นฝ่ายยกนิ้วให้สัญญาณ พอนิ้วสุดท้ายหุบลง ทั้งสองคนก็พร้อมใจกันพุ่งตัวออกไปทันที โดยมีสายตาของคนอื่นที่เล่นน้ำอยู่มองมาด้วยความสนใจ



            สำหรับนักว่ายน้ำอย่างโฟล์ค ระยะทางเกือบสามสิบเมตรไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยสักนิด แตกต่างจากภาคย์ซึ่งแม้จะเป็นที่หนึ่งในการแข่งว่ายน้ำ(ตอนอนุบาล) แต่พอมาเจอน้ำทะเลเค็มๆ แถมยังไม่มีแว่นตากันน้ำ ว่ายไปได้สิบเมตรแรงก็เริ่มถอย



            เป็นการแข่งขันที่คนมองอย่างภูมิกับซันถึงขั้นส่ายหัวอย่างระอา โดยเฉพาะภูมิที่คิดไม่ออกว่าพี่ชายของตัวเองเอาความมั่นใจจากไหนมาท้าสู้



            แล้วผลลัพธ์ของการแข่งก็เห็นโคตรชัดเจน เมื่อโฟล์คเอื้อมมือไปแตะทุ่นลอยน้ำได้ แล้วจึงยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราว สายตาก็มองเพื่อนอีกคนที่กำลังว่ายเข้ามาใกล้



            “กูชนะว่ะ” โฟล์คว่าพลางยักคิ้วให้อย่างเหนือกว่า จนคนแพ้ต้องขมวดคิ้วมุ่น ปากก็บ่นขมุบขมิบอย่างไม่ชอบใจ



            “ได้ไงวะ มึงโกงแน่ๆ  กูจะแพ้มึงได้ไง”



            “กูต้องเป็นฝ่ายถามมึงนะว่ามึงจะเอาอะไรมาชนะกู”



            ภาคย์ได้ยินดังนั้นก็สบถพรืด แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เพราะน้ำใจนักกีฬาที่มีเต็มเปี่ยมทำให้ต้องพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “เออๆ กูยอมก็ได้ เคยได้ยินปะ แพ้เป็นพระชนะเป็นมารเว้ย”



            “ปัญญาอ่อน”



            คนชนะจิกเพื่อนตัวเองไปดอกหนึ่งกับคำเถียงข้างๆ คูๆ  และสงครามระหว่างสองคนนี้ก็คงดำเนินต่อไป ถ้าหากไม่มีเสียงจากริมฝั่งดังขึ้นมาเสียก่อน



            “พี่ภาคย์! พี่โฟล์ค! พวกผมไปซื้อน้ำก่อนนะ”



            พอโฟล์คหันไปมองก็เห็นร่างเล็กของภูมิโบกมือให้จากหาดทราย อีกทั้งยังตะโกนเสียงดังเพื่อให้เขาได้ยิน ชายหนุ่มจึงพยักหน้าตอบกลับไป ในขณะที่เพื่อนข้างตัวก็ตะโกนตอบ “เออ!”



            แล้วร่างสองร่างก็เดินหายไปจากหาดทราย











 

            เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง อาจไม่ใช่เวลาที่นานเท่าไหร่ แต่สำหรับการเดินไปซื้อน้ำที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก...โฟล์คว่ามันนานเกินไปหน่อย



            ร่างสูงดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้นโดยที่สายตาเหลือบมองชายหาดเป็นระยะ ด้วยหวังว่าร่างของคนที่หายไปเมื่อครู่จะโผล่มาสักที แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แวว กลายเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่เริ่มอยู่ไม่สุขจนคนที่อยู่ข้างๆ ต้องหันมาถาม



            “เป็นอะไรของมึงวะไอ้โฟล์ค”



            “กูว่าภูมิกับซันซื้อน้ำนานเกินไปแล้ว” เขาตอบกลับทันควัน ทั้งยังแสดงท่าทีกระวนกระวายมากขึ้น จนภาคย์ถึงกับขมวดคิ้วกับปฏิกิริยาของเพื่อน



            “แล้วไงวะ สองคนนั้นไม่ใช่เด็กๆ นะเว้ย อาจจะเดินเล่นเพลินอยู่ที่ไหนก็ได้”



            “...ก็จริงของมึง”



โฟล์คดูสงบลงหน่อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น แต่พอผ่านไปราวห้านาที เขาก็มีอาการเหลือบมองชายหาดบ่อยมากขึ้น อีกทั้งปริมาณคนที่ดูหนาตาขึ้นกว่าเดิมเพราะเป็นช่วงบ่ายก็ทำให้ความกังวลใจกลับมาอีกระลอก



“ไอ้ภาคย์ เดี๋ยวกูมานะ”



ในที่สุดโฟล์คก็ตัดสินใจหันไปบอกเพื่อน พอได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าแบบไม่ใส่ใจนัก เขาก็ว่ายน้ำเข้าฝั่งทันที ก่อนจะเดินตรงไปทางห้องอาหารของรีสอร์ท ไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายเต็มชายหาดที่เหลียวมองมาทางเขา โดยเฉพาะสาวๆ ที่จ้องตาเป็นมันเมื่อเห็นหุ่นนักกีฬาในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวของร่างสูง



โฟล์คก้าวเข้ามาในห้องอาหารทั้งที่เนื้อตัวยังเปียกโชก แต่เพราะห้องอาหารของที่นี่เป็นแบบเปิดโล่ง ทั้งยังมีคนที่อยู่ในสภาพเดียวกับเขาอีกหลายคน พนักงานจึงไม่ว่าอะไรกับสภาพเปียกปอนของลูกค้าที่เดินเข้ามาใหม่



เคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่มว่างเปล่า นั่นทำให้โฟล์คขมวดคิ้ว ตัดสินใจมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนสายตาจะหยุดชะงักที่โต๊ะด้านในสุดของห้องอาหารซึ่งมีร่างของคนที่เขากำลังตามหานั่งอยู่ ...แต่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน



ภูมิกับซันกำลังนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มผู้ชายแปลกหน้าอีกสามคน อายุน่าจะมากกว่าเขาไม่กี่ปี แต่ที่ทำให้ร่างสูงรู้สึกตงิดใจคือท่าทางที่ดูสนิทสนมกันเกินเหตุ ...โดยเฉพาะผู้ชายผิวสีแทนที่กำลังยีหัวลูกศิษย์ของเขา แถมคนโดนยีหัวยังหัวเราะร่าราวกับชอบใจเสียด้วย ยังไม่พอ...ผู้ชายคนนั้นยังวางมือลงบนไหล่เล็กๆ เหมือนจะดึงเข้าไปโอบอีก



แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ เหมือนไอ้ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นตุบๆ ด้วยล่ะ



โฟล์คได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ ...ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอกำหมัดแน่นขนาดไหน



--------------------- TBC --------------------



พักดราม่า แล้วมาเที่ยวกันค่า

วันนี้มาอัพช้าเลย เพิ่งกลับจากข้างนอกเมื่อกี้นี้ รีบมาอัพให้ก่อนกลัวเลยวันอังคาร แฮ่

ออกนอกสถานที่ทั้งที จะเป็นจุดเปลี่ยนของอะไรหลายๆอย่างนะคะ แต่จะดีหรือร้ายก็...ไม่รู้นา^^

เจอกันวันพฤหัสค่า



CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 10 ทะเลเฮฮา (24/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 25-07-2018 05:17:10
ไม่เอาร้ายขอดีๆ รักกันๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 10 ทะเลเฮฮา (24/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-07-2018 21:09:28
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 10 ทะเลเฮฮา (24/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 26-07-2018 22:47:30




Chapter 11 : คำสารภาพในคืนค้างแรม                                                   



จากเดิมที่ตั้งใจจะมาซื้อน้ำกับไอ้ซัน กลายเป็นว่าภูมิมานั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชายร่างโตอีกสามคนได้อย่างไรก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าคนกลุ่มนี้เป็นฝ่ายเข้ามาทัก แถมยังชวนไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน เขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่เลยตามเลย รู้ตัวอีกทีทั้งเขาทั้งไอ้ซันก็ถูกชวนคุยไม่หยุด



แต่แล้วภูมิก็เหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่ในห้องอาหาร พอเห็นว่าผ่านมากี่นาทีเท่านั้นแหละ เขาก็หน้าซีด นึกได้ว่าตัวเองมาซื้อน้ำนานเกินไปแล้ว



“อ่า...คือ...”



            “ทำไมมานั่งตรงนี้ครับภูมิ”



            “...!”



            ยังไม่ทันที่ภูมิจะเอ่ยขอตัว เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นใกล้ๆ จนต้องเงยหน้ามอง เบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างสูงส่งสายตาเรียบนิ่งมาให้



            “พี่โฟล์ค...”



            “อ้อ นี่มาด้วยกันเหรอ” ชายตัวโตที่นั่งข้างภูมิพูดขึ้นมา ฉีกยิ้มกว้างให้ผู้มาใหม่ “สวัสดี คุณเป็นพี่ชายของน้องภูมิเหรอครับ”



“เปล่า” โฟล์คเผลอกระชากเสียงโดยไม่รู้ตัว สายตามองมือของอีกฝ่ายที่ยังพาดไหล่ลูกศิษย์เขาอยู่



“หืม แล้วเป็นอะไรกันล่ะ” เจ้าของผิวสีแทนยังถามต่อด้วยรอยยิ้ม ภูมิเห็นอาการของร่างสูงที่นิ่งไปก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงเป็นฝ่ายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ



“พี่โฟล์คเป็นเพื่อนของพี่ชายผมครับ”



“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” พอได้รับคำตอบ ชายตัวโตก็หันมาทางโฟล์คอีกครั้งแล้วส่งยิ้มให้ “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”



โฟล์คพยักหน้ารับแบบแกนๆ  ก่อนเบนสายตาไปหาร่างเล็กที่กำลังจ้องเขาอยู่พร้อมทั้งเอ่ย “ไปได้แล้วครับ ไอ้ภาคย์เป็นห่วงแล้ว”



แน่อนว่าไอ้ประโยคหลังน่ะ...อ้างชัดๆ



ภูมิแทบไม่เชื่อหูเพราะรู้นิสัยพี่ชายตัวเองดี แต่พอเห็นสายตาที่ดูจริงจังผิดปกติของพี่โฟล์ค เขาก็พยักหน้าลงน้อยๆ  หันไปบอกกลุ่มเจ้าของโต๊ะทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน



“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ไปกันไอ้ซัน”



หมับ



“เดี๋ยวสิครับน้องภูมิ”



จู่ๆ มือที่พาดไหล่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนมาคว้าเข้าที่ข้อมือเล็ก จนคนโดนคว้าข้อมือต้องหันมามองด้วยความงุนงง ทั้งยังเอ่ยถามไปอย่างไม่แน่ใจนัก “เอ่อ...มีอะไรเหรอครับ”



“พี่รู้สึกว่าคุยกับน้องภูมิแล้วสนุกมากเลย ถ้ายังไงพี่ขอเบอร์เราได้ไหม”



ภูมินิ่งค้างไปอย่างคาดไม่ถึง ไม่ต่างจากโฟล์คที่ชะงักไปเช่นกัน



“นะครับ” คนขอยังรบเร้าต่อ ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของร่างสูงผู้มาใหม่ที่เข้มขึ้นจนน่ากลัว แบบที่เจ้าของสายตายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ



ร่างเล็กได้แต่มองซ้ายขวาอย่างเลิ่กลั่ก รู้สึกไม่ดีกับฝ่ามือหนาที่พันธนาการข้อมือของเขาไว้แน่น ยิ่งพอเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของมือก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก จึงก้มหน้าลงแล้วบอกเสียงอ้อมแอ้ม “คือ...ผมว่า...”



“โอ๊ย! เพื่อนผมมันจำเบอร์ตัวเองไม่ได้หรอก ไม่ได้พกมือถือลงมาด้วย ใช่ปะไอ้ภูมิ”



เหมือนมีเสียงสวรรค์มาโปรด เมื่อจู่ๆ ไอ้ซันที่นั่งเงียบมาตลอดงานก็เอ่ยแทรกขึ้นมา แถมยังส่งสายตาให้เพื่อนตัวเองแบบรู้กันสองคน ภูมิไม่รู้จะทำยังไงจึงพยักหน้ารับตามคำบอก หันไปพูดเสียงอ่อย



“ใช่ครับพี่ ขอโทษด้วยนะ”



“ว้า เสียดายจัง” ท่าทางของคนพูดบ่งบอกว่าเสียดายจริงๆ  แต่ก็พยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไร “ไม่เป็นไรครับ ไว้คุยกันโอกาสหน้าก็ได้ หวังว่าคราวหน้าน้องภูมิจะพกมือถือมานะ”



ภูมิยิ้มรับแห้งๆ  ก่อนจะลุกขึ้นทันทีเมื่ออีกฝ่ายปล่อยมือให้เป็นอิสระ จากนั้นจึงหันไปหาคนข้างตัวที่ยืนนิ่ง เอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “ขอโทษที่ออกมานานนะพี่โฟล์ค...”



หมับ



“ไปกันเถอะครับ”



แรงจับเบาๆ ที่ข้อมือกับเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยอย่างอ่อนโยนตามปกติ ทำให้ภูมิได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ก้าวตามร่างสูงโดยไม่พูดอะไร



ทิ้งให้เพื่อนอีกคนยืนมองภาพนั้นด้วยสายตาใคร่รู้ ปากก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “โดนทิ้งซะงั้นกู...แต่ช่างเถอะ”



ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวางการขอเบอร์ของพี่ผู้ชายตัวโตคนนี้หรอก แต่เพราะดันเหลือบไปเห็นแววตาเหมือนจะฆ่าใครสักคนของพี่โฟล์คน่ะสิ ก็เลย...จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ สัญชาตญาณบอกให้เขาช่วยโกหกล่ะมั้ง เด็กมอห้าคนไหนจะจำเบอร์โทรศัพท์ตัวเองไม่ได้กัน



ซันผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มองตามเพื่อนสนิทที่โดนครูสอนพิเศษลากไป พร้อมกับความคิดบางอย่างที่แวบเข้ามาในหัว



...เหมือนคู่นี้จะมีอะไรแปลกๆ แฮะ...











 

“พี่โฟล์ค...เป็นอะไรหรือเปล่า”



ภูมิตัดสินใจเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ  เพราะตั้งแต่ออกจากห้องอาหารมา คนตัวสูงก็เดินดุ่มๆ โดยไม่พูดไม่จา ทั้งยังคว้าข้อมือเขาไว้แน่นแบบที่คนโดนคว้าไม่กล้าประท้วง ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่เดินนำหน้าอย่างไม่เข้าใจ



เมื่อได้ยินคำถามนั้นโฟล์คก็หยุดเดิน ยอมปล่อยมือจากข้อมือเล็ก แล้วหันมาเผชิญหน้าตรงๆ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ



“คราวหลังอย่าไปนั่งกับคนแปลกหน้าสิครับ มันอันตราย เขาเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ถ้าภูมิโดนหลอกจะทำยังไง”



คำพูดแฝงการตำหนิทำให้ภูมิหน้าหงอย แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าคนพูดกำลัง...เป็นห่วง



เพราะไอ้เหตุผลข้อหลังที่เขาคิดเอาเองนั่นแหละ...ภูมิถึงรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา



“ขอโทษครับ” เขาพูดเสียงเบา แต่อดไม่ได้ที่จะแก้ตัวแทนคนที่เขาไปนั่งด้วย “แต่พี่บอสไม่ได้คิดร้ายหรอก แค่ชวนคุยเท่านั้นเอง ไอ้ซันก็คุยเพลินเลย”



“เฮ้อ”



โฟล์คถอนหายใจยาว หันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนสายตาไม่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคนตัวเล็กเรียกชื่ออีกฝ่ายแบบสนิทสนม ...เห็นๆ อยู่ว่าผู้ชายคนนั้นพยายามจะแตะเนื้อต้องตัวลูกศิษย์เขาขนาดไหน แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่รู้สึกอะไรก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย



แม้จะคิดได้อย่างนั้น แต่ก็ไม่วายพูดตำหนิด้วยน้ำเสียงแข็งๆ อีกรอบ “คราวหลังระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ”



“เอ่อ...พี่โฟล์ค...คือพี่...แบบว่าพี่...”



ประโยคอ้ำๆ อึ้งๆ แสดงถึงความไม่มั่นใจทำให้โฟล์คต้องก้มหน้ามองคนพูด เห็นร่างเล็กหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเขา...ด้วยสายตาที่ทำให้คนมองหัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง



“พี่โฟล์ค...เป็นห่วงผมเหรอ”



โฟล์คเงียบไปทันใด แววตาของร่างสูงเรียบนิ่งจนคนถามรู้สึกใจเสีย



ภูมิแทบอยากกัดลิ้นตัวเองที่เผลอถามออกไปแบบไม่คิด ก่อนจะพยายามพูดเปลี่ยนเรื่อง “เอ้อ...ผมว่าเรากลับไปที่ทะเล...”



“แน่นอนอยู่แล้วครับ”



แต่แล้วเสียงทุ้มที่แทรกขึ้นมาก็ทำให้คนพยายามเปลี่ยนเรื่องถึงกับชะงัก หันกลับมามองเจ้าของประโยคเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อหู



โฟล์คเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว รีบเอ่ยอย่างตะกุกตะกักผิดกับประโยคก่อนหน้านี้ลิบลับ “ก็ภูมิเป็นน้องไอ้ภาคย์ แถมเป็นลูกศิษย์พี่ด้วย ...จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงครับ ถามแปลกๆ นะ”



ทั้งที่ภูมิไม่น่าจะรู้สึกยินดีกับคำแก้ตัวตอนท้ายของอีกฝ่าย แต่เขากลับเผลอขยับรอยยิ้ม ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมาจนใจเต้นแรง



ภูมิไม่ได้สนใจว่าพี่โฟล์คห่วงเขาในสถานะอะไร แต่แค่บอกว่าห่วง...แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างเล็กรู้สึกดีแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน



“ขอบคุณ...แล้วก็ขอโทษอีกครั้งนะพี่โฟล์ค” ภูมิพยายามส่งยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุด ก่อนเอื้อมมือไปจับข้อมือหนาเบาๆ  กระตุกเล็กน้อยให้ร่างสูงรู้สึกตัว “กลับไปหาพี่ภาคย์กัน ป่านนี้จีบสาวไปทั้งหาดแล้วมั้ง”



โฟล์คหลุดหัวเราะออกมา ยกมือขึ้นยีหัวคนข้างกายเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “นั่นสินะ กลับกันดีกว่า”



น่าแปลกที่ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับเพิ่งระลึกได้ว่าการกระทำของตัวเองไร้สาระเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด หากเป็นเพื่อนคนอื่นหายไปเขาคงไม่คิดจะมาตามหา ที่สำคัญ...เขาคงไม่เป็นห่วงจนถึงขั้นกระวนกระวายเหมือนเมื่อครู่



แต่ทำไมเขาถึงได้มีอาการแบบนี้กับคนที่อยู่ในฐานะลูกศิษย์ แถมยังเป็นน้องชายของเพื่อน ...โฟล์คก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน











 

ท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีดำมืด ชายหาดที่เคยคึกคักเมื่อตอนกลางวันดูเงียบลงถนัดตาเมื่อมองจากหน้าต่างห้องพักของบังกะโล ซันเดินไปปิดม่าน ก่อนกลับมานั่งแหมะบนเตียง จ้องเพื่อนตัวเองที่เพิ่งออกจากห้องน้ำไม่วางตาจนคนถูกมองขมวดคิ้ว ถามกลับเสียงห้วน



“มองอะไรวะ”



“จะว่าไปมึงก็ขาวดีเนอะ”



พรวด!



สาบานได้ว่าถ้าตอนนี้ไอ้ภูมิอมน้ำอยู่ในปาก มันคงบ้วนใส่เขาไปแล้ว แต่โชคดีที่มันแค่เบิกตากว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน แล้วพูดเสียงสยองเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น “นะ...นี่มึง...มึง...!”



“อืม ไม่ค่อยแปลกใจแฮะว่าทำไมทั้งไอ้พี่บอสกับพี่โฟล์คถึงสนใจมึง ตอนมึงใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวคงสยิวน่าดู”



“อะ...ไอ้เหี้ย! มึงอย่าอยู่เลย!” พูดจบก็คว้าผ้าขนหนูบนบ่าเขวี้ยงใส่คนที่นั่งบนเตียงทันที แต่คนโดนประทุษร้ายขยับหลบได้ทัน แถมยังหัวเราะร่า



“ฮ่าๆ กูล้อเล่นเว้ย! เออ...แต่ก็พูดจริงอยู่แหละ”



อะไรของมันวะ



ภูมิบ่นในใจอย่างไม่สบอารมณ์ เดินดุ่มๆ ไปหยิบผ้าขนหนูที่เพิ่งจะขว้างไปกลับมาเช็ดหัวต่อ ก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งบนเตียงอีกฝั่งแบบที่จงใจเว้นระยะห่างจากอีกคนมากโข สายตาก็มองด้วยความไม่ไว้ใจ



...มีที่ไหนวะ เป็นเพื่อนกันมาห้าปี จู่ๆ มาชมว่าขาว ขนลุกเว้ย!



แต่แล้วไอ้ซันก็เขยิบตัวมานั่งใกล้ๆ จนเขาเกือบถอยหนี ถ้าไม่ติดว่าสีหน้าของมันดูจริงจังขึ้น แถมยังพูดเสียงเบาเหมือนไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน



“ถามจริง มึงกับพี่โฟล์คเป็นอะไรกันวะ”



ภูมิเลิกคิ้ว ตอบกลับแบบงงๆ “พี่โฟล์คเขามาสอนพิเศษกูไง บอกไปแล้วนี่” ...ถึงแม้ว่าช่วงหลังๆ จะไม่ได้สอนพิเศษเหมือนปกติแล้วก็เถอะ



“แต่กูว่ามันไม่ใช่แค่นั้นนะเว้ย กูว่าเขา...แปลกๆ”



“แปลกยังไงวะ”



“ก็แบบว่า...โอ๊ย! เขาดูคิดอะไรกับมึงอะ!”



โครม!



สิ้นประโยคนั้น ภูมิก็ยกขาถีบเพื่อนตัวเองสุดแรงจนมันกลิ้งไปนอนกับพื้น



“เพ้อเจ้ออะไรของมึงวะ”



“กูพูดจริงเหอะ อูย...เจ็บๆ” คนถูกยันโครมได้แต่ลูบเอวตัวเองป้อยๆ  หันมาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มึงลองดูวันนี้สิ กูนิยามให้สามคำ หวง ห่วง หึง!”



ไอ้คำกลางน่ะไม่เท่าไหร่เพราะเขารู้อยู่แล้ว แต่คำแรกกับคำสุดท้ายนี่สิ ทำเอาคนฟังหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ



“ไร้สาระ เอาอะไรมาพูด”



“ไม่ใช่แค่พี่โฟล์คนะเว้ย มึงก็เหมือนกัน”



ภูมิตวัดสายตาตื่นๆ กลับมามองเพื่อนข้างตัวทันที “กู...กูทำอะไร”



“มึงเขินพี่โฟล์ค”



           “มะ...มึงเอาเหี้ยอะไรมาพูด!” คนโดนกล่าวหาหน้าร้อนวูบ ก่อนสบถคำด่าเพื่อกลบเกลื่อนอาการแบบสุดๆ  แต่ดูเหมือนว่าไอ้ซันจะไม่เล่นด้วย เพราะมันไม่พูดอะไรต่อสักนิดนอกจากนั่งนิ่งๆ บนเตียง แถมยังจ้องเขาด้วยสายตาจริงจัง



            ภูมิลอบกลืนน้ำลาย จำต้องเบนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับทำตัวไม่ถูก ...ปล่อยให้ความเงียบเข้ากลืนกินเป็นเวลาหลายสิบวินาที



            จนกระทั่งภูมิค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเพื่อนสนิทตัวเอง ...สบกับดวงตาที่เขารู้จักมาห้าปีและแน่ใจว่าเจ้าของดวงตานี้คือคนที่ไว้ใจได้ ...จึงค่อยๆ เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “มึงก็รู้...กูกับพี่โฟล์คเป็นผู้ชายทั้งคู่”



            “แล้วไงวะ” ซันตอบกลับทันที ไม่มีแม้แต่ความลังเลในน้ำเสียง



            “...มันไม่แปลกเหรอ” ภูมิกลั้นใจถามต่อ รู้สึกได้ถึงการเต้นของก้อนเนื้อในอกที่ถี่รัวขึ้น



            ซันถอนหายใจยาว



            “มึงจะบอกว่ามึงชอบพี่โฟล์ค?”



            “กูไม่แน่ใจ...” เป็นอีกครั้งที่ภูมิรู้สึกเหมือนตัวลีบลง คิ้วขมวดน้อยๆ ขณะพยายามอธิบายสิ่งที่อยู่ในใจ “แต่กูว่ากูรู้สึกดีเวลาอยู่กับเขา กูรู้สึกปลอดภัย...เหมือนเขาจะดูแลกูได้ และ...และกูก็อยากเจอเขาบ่อยๆ ...มึงว่ากูบ้าหรือเปล่าวะ”



            “งั้นถามใหม่ มึงมีอาการใจเต้นแรง หรือหน้าแดงอะไรแบบนี้ตอนเจอพี่โฟล์คไหม”



            คนฟังนิ่งคิดไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ



            “มึงไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร” ซันยังถามต่อ



            ภูมิพยักหน้าช้าๆ อีกครั้ง เอ่ยเสียงเบา “เออ”



            เพียงเท่านั้นซันก็ฉีกยิ้มกว้าง ก่อนกระโดดมาล็อกคอคนที่นั่งหน้าหงอยบนเตียงแบบไม่ให้ตั้งตัว แล้วตะโกนก้องด้วยท่าทางที่แตกต่างเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง “เพื่อนกูโตเป็นหนุ่มแล้วโว้ย!”



            “อะ...ไอ้เหี้ย! เบาๆ ดิวะ” ภูมิถึงกับเหวอ พยายามสลัดแขนของอีกฝ่ายออกด้วยสีหน้าตื่นๆ  แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จ แถมนอกจากล็อกคอแล้วยังถูกโยกหัวไปมาเหมือนของเล่นอีก



            “ฮ่าๆ กูรอวันนี้มานานแล้วเว้ย ในที่สุดมึงก็มีความรัก!”



            “ไอ้ห่า! ยังไม่ถึงขั้นนั้น” เถียงไปก็อดหน้าแดงไปไม่ได้ ...เหมือนกับยอมรับไปแล้วกรายๆ ว่าเขาแอบรู้สึกดีกับครูสอนพิเศษตัวเอง



            “ได้แค่นี้ก็อะเมซิ่งแล้วเว้ย! นึกว่าจะได้เป็นที่ปรึกษามึงตอนจบมหา’ลัยซะอีก อย่างน้อยก็ไวกว่าที่คิดล่ะวะ”



            ภูมิได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงตกกับคำพูดของเพื่อนสนิท แต่แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ เหลือบมองคนที่ทำหน้ายินดีปรีตาด้วยสายตาลังเล ก่อนเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก “ไอ้ซัน กูถามอะไรมึงอย่างได้ปะ”



            “หืม ว่ามาดิ”



            “มึง...คิดอะไรกับพี่ภาคย์หรือเปล่าวะ”



            กึก



            สาบานได้ว่าไอ้ซันชะงักกึก มือที่ล็อกคอเขาอยู่ปล่อยแทบจะในทันที นั่นทำให้คนถามเริ่มแน่ใจในสิ่งที่สงสัยมากขึ้น



            “มึงมีอะไรอยากบอกกูไหม” ภูมิพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่แววตาจริงจังยิ่งกว่าเมื่อครู่ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เพื่อข่มอาการเขินของตัวเอง



            แล้วคำตอบที่ได้รับก็คือการถอนหายใจเบาๆ ของไอ้ซัน ตามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเดิม “มึงรู้ได้ไง”



            ...เป็นอันว่ายอมรับ...



            ภูมิลอบยิ้ม ก่อนจะตอบคำถามนั้น



            “กูเห็นหลายรอบแล้ว คิดว่ากูจะจับไต๋มึงไม่ได้หรือไง” พูดไปทั้งๆ ที่ค้านกับตัวเองในใจ ...ก็เพิ่งจะจับไต๋ได้วันนี้เนี่ยแหละ



          “ก็กูปิดความรู้สึกไม่เป็นนี่หว่า” ซันพูดพลางยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ “มึงรู้แล้วก็ดี เก็บไว้คนเดียวก็อึดอัดเหมือนกัน ...แต่ห้ามบอกใครนะเว้ย”



            “เออ” ภูมิว่าด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญหน่อยๆ  เพราะมันคือสิ่งที่เขาทั้งสองคนรู้ดี ...การที่เพื่อนยอมพูดในสิ่งที่ไม่เคยบอกใครที่ไหนมาก่อน คือการสร้างสัญญาใจว่าเรื่องนั้นๆ จะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีทางแพร่งพราย “แล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”



            “กูก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงจะราวๆ สามปีได้”



            “สามปี?” ภูมิทวนคำ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “แล้วมึงไม่อึดอัดเหรอ นานขนาดนั้น...”



            “แรกๆ ก็โคตรทรมานเลยเว้ย ไหนจะต้องซ่อนอาการไม่ให้มึงรู้อีก ตอนนั้นกูเหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่นว่ะ อยากครอบครอง อยากได้เป็นของตัวเอง มึงอาจจะไม่ได้สังเกตนะเว้ย แต่ตอนมอต้นกูแสดงออกกับพี่ภาคย์ชัดเจนมาก มากจนกูคิดว่าพี่ภาคย์รู้แล้วซะอีก”



            “แล้วยังไงวะ...”



            “แต่พี่ภาคย์เขาไม่รู้ไงมึง...หมายความว่าพี่เขาไม่ได้คิดอะไรกับกูนอกจากเพื่อนของน้องชายเลย กูก็เฟลไปพักใหญ่ๆ  ...แต่หลังจากนั้นความคิดกูก็เปลี่ยน”



            ภูมิกระพริบตาปริบๆ  มองคนที่นั่งเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมสีหน้าของคนเล่ายังดูชินชาจนเขาอดแปลกใจไม่ได้ ...ปกติคนที่ไม่สมหวังในความรักต้องดูเศร้ากว่านี้ไม่ใช่หรือ...



            “ความรู้สึกของกูมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้ตายยังไงก็ลดลงไม่ได้ จนถึงจุดจุดหนึ่งกูก็รู้ว่าที่ผ่านมากูไร้สาระมาก ...ความอยากครอบครองของกูมันเป็นแค่ความหลง เหมือนเด็กเห่อของเล่นใหม่ๆ”



            “...”



            “จนถึงตอนนี้กูก็ยังชอบพี่ภาคย์อยู่ แต่กูมีความสุขกับสถานะของกูตอนนี้ กูยอมเป็นแค่คนรู้จักที่นานๆ ทีจะได้เจอกันสักครั้ง แต่กูก็ยังชอบ...ยังเป็นห่วง...ยังอยากดูแล... มันเป็นความรู้สึกที่กูไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยน และกูก็จะไม่เรียกร้องอะไรอีก”



            “ไอ้ซัน...”



            “หยุด ไม่ต้องมาทำหน้าเหลือเชื่อ” ซันตวัดสายตามองคนที่นั่งข้างๆ ทันใด เมื่อสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงที่เรียกชื่อเขามันแปร่งๆ ผิดปกติ เหมือนคนพูดจะอึ้งจนคิดคำพูดไม่ออก “นี่แหละเรื่องที่กูเก็บมาตลอดสามปี จะเล่าให้มึงฟังครั้งเดียวจบ ไม่มีเทคสอง โอเคนะ”



            “อ้าวเฮ้ย” ภูมิเหมือนโดนตัดอารมณ์กะทันหัน มองค้อนเล็กๆ ก่อนจะเบ้ปาก “เมื่อกี้อุตส่าห์เคลิ้ม โธ่”



            “เคลิ้มห่าอะไร กูไม่ใช่พี่โฟล์คนะเว้ย” ซันไม่วายเปิดปากแซวอีกรอบ ก่อนจะรีบเอี้ยวตัวหลบหมอนใบใหญ่ที่ถูกขว้างมาเต็มแรง แถมด้วยน้ำเสียงตื่นๆ และหน้าแดงแปร๊ดของคนถูกแซว



            “หยุดเลย! กูขอสั่งไม่ให้มึงพูดเรื่องนี้อีก!”



            “มึงสั่งกูไม่ได้หรอก บังเอิญว่ากูเป็นเพื่อน ไม่ใช่คนใช้” ซันยังลอยหน้าลอยตาพูดต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนน้ำเสียงเข้าโหมดจริงจัง “แต่กูอยากเตือนมึงไว้อย่าง ไม่ว่าตอนนี้มึงจะรู้สึกอะไร...ยังไง...กับใคร... มึงไม่ต้องพยายามไปสร้างข้อจำกัด ปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกของมึงแค่นั้นแหละ”



            ภูมินิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆ พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด



            ...ปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึก...แค่นั้นสินะ











 

            แม้จะมีเสียงเอะอะโวยวายดังเข้าหูเป็นระยะ แต่เพราะห้องนอนอยู่คนละฝั่งของบังกะโล ทำให้ทั้งโฟล์คและภาคย์ไม่ได้ยินเรื่องที่อีกฝั่งคุยกัน โฟล์คไม่ได้คิดอะไร แต่คนคิดคือไอ้ภาคย์ที่นอนเอาหมอนปิดหูด้วยสีหน้ารำคาญใจสุดๆ ก่อนจะโพล่งออกมา



            “ห้องนู้นจะคุยอะไรกันนักหนาวะ หนวกหูโว้ย!”



            “เอาน่า ก็คุยกันตามประสาเด็กๆ นั่นแหละ” โฟล์คละสายตาจากหนังสือในมือแล้วเงยหน้าขึ้นบอก หวังจะให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลง ซึ่งคนฟังก็ได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมล้มตัวลงนอนตามเดิม



            ชายหนุ่มกลับมาสนใจเนื้อหาในหนังสืออีกรอบ ทว่าเมื่ออ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด สายตาก็เผลอเหลือบมองเพื่อนสนิทที่นอนซุกผ้าห่มอยู่ โฟล์คตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป สั่งตัวเองให้ก้มอ่านหนังสือตามเดิม ...แต่ไม่ถึงนาทีก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่ กัดปากชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะก้มหน้าลงตามเดิม ...ทำอย่างนี้ราวๆ สี่ห้าครั้ง



จนกระทั่งร่างสูงตัดสินใจปิดหนังสือในมือลง แล้วเอ่ยเรียกคนที่นอนอยู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง



“ไอ้ภาคย์”



คนถูกเรียกหันมามอง เลิกคิ้วขึ้นสูง ปิดปากหาวหน่อยๆ “อะไรของมึงวะ...กูเกือบหลับแล้วเนี่ย ฮ้าว...”



“กูมีเรื่องอยากถามมึง”



“เหรอ...อืม...” ภาคย์แสดงท่าทีเหมือนไม่สนใจ แต่ก็ยอมยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วงแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรล่ะ”



“มึงคิดยังไงกับการที่... เอ่อ... การที่ผู้ชายคนนึงไปชอบอีกคน แต่แบบ...ทั้งสองคนบังเอิญเป็นผู้ชายทั้งคู่ ...มึงคิดยังไงวะ”



โฟล์คถามแบบติดๆ ขัดๆ  นึกในใจว่าคนฟังคงจะทำหน้างงๆ ตอบกลับมา แต่ก็ต้องผิดคาดเมื่อน้ำเสียงของอีกฝ่ายต่างจากที่คิดไว้มาก



“เหอะ อะไรของมึงเนี่ย”



ภาคย์แค่นหัวเราะเบาๆ ราวกับคำถามที่ได้รับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ก่อนเอ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ



“ก็ต้องแปลกอยู่แล้วดิวะถามได้”



“แปลก...งั้นเหรอ” โฟล์ครู้สึกเหมือนใจร่วงวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยิ่งเมื่อสบกับดวงตาของเพื่อนสนิทที่ฉายแววหน่ายใจเหมือนคำถามของเขาเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ...ก็ยิ่งรู้สึกหน่วงๆ กลางอก แต่ยังกลั้นใจถามต่อ “...แปลกยังไงวะ”



“เอ้า ธรรมชาติเขาสร้างให้ผู้ชายคู่กับผู้หญิงเว้ย สืบพันธุ์ไงมึง แล้วจู่ๆ จะให้ผู้ชายมาอะไรกันเองเนี่ยนะ หูย...สยองว่ะ” ภาคย์เบ้ปากแสดงความรู้สึกตามที่พูดจริงๆ  โดยไม่ได้สังเกตว่าคนฟังนิ่งไปทันใด “แล้วมึงถามทำไมวะ หรือว่า...มึงมีคนรู้จักที่เป็นเกย์”



คนฟังชะงัก รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยุ่ในลำคอ



...จะให้เขาพูดได้ยังไง...ไม่ใช่แค่คนรู้จักหรอก ตัวเขาเองนั่นแหละที่ดูเหมือนจะเป็น...



แต่คนที่ยังอยู่ในท่านอนกลับตีความหมายของความเงียบไปอีกทาง จึงพูดเหมือนปัดความรำคาญ “ปล่อยๆ ไปเถอะ ให้ตายยังไงกูก็ไม่เข้าใจความคิดของคนพวกนี้จริงๆ ว่ะ ถ้ามึงจะมาปรึกษากูเรื่องนี้นะ...กูไม่ขอยุ่ง”



“...ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” โฟล์คกลั้นใจถามอีกครั้งหลังจากเรียกเสียงตัวเองคืนมาได้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาทันใด



“เออสิ! โชคดีนะเว้ยที่กูไม่รู้จักคนแบบนั้น ไม่งั้นคงได้แตกหักกันไปข้างนึงล่ะ”



ด้วยความที่รู้จักกันมาหลายปี โฟล์คแน่ใจว่าเพื่อนของเขาคนนี้เป็นคนที่มั่นใจในความคิดของตัวเองมาก เรียกได้ว่าพูดอะไรออกไปแล้วจะไม่มีทางคืนคำ ...และนั่นทำให้ครั้งนี้เขาเจอปัญหาหนักอกที่สุดในรอบปี



คนที่เขากำลังรู้สึกดีด้วย...คือน้องชายของเพื่อนสนิทที่ดัน ‘เกลียดคนแบบเขาเข้าไส้’ เนี่ยนะ...



------------------- TBC -----------------



มาดึกอีกแล้ว แฮ่

เป็นหนึ่งในตอนที่เราชอบที่สุดเลยค่ะ ความรู้สึกของคนสองคนที่ค่อยๆเดินมาพร้อมกัน แต่เมื่อเจอจุดเปลี่ยนที่ต่างกัน คนหนึ่งถูกผลักให้เดินหน้า แต่อีกคนถูกรั้งให้ถอยหลัง แล้วเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อล่ะ

อยากบอกเหมือนนะว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่า แต่ เอ...จริงๆก็มีนี่นา ฮา แต่ไม่เยอะนะคะ คิดว่าน้า ฟีลกู้ดค่ะเรื่องนี้ อยากให้อ่านแล้วได้รอยยิ้มกลับไป แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ :)

เจอกันวันเสาร์ค่า <3



CT.hamonigar

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 11 คำสารภาพ (26/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-07-2018 06:47:15
 :L2: :L1: :pig4:

เริ่มเครียด
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 11 คำสารภาพ (26/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 28-07-2018 13:49:11



Chapter 12 : การกระทำที่สวนทาง



ไม่รู้ว่าเมื่อคืนโฟล์คคิดถูกหรือคิดผิดที่ถามคำถามนั้นกับเพื่อนตัวเอง เพราะเช้านี้...เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับภูมิตรงๆ  แม้จะสังเกตเห็นว่าคนตัวเล็กมองเขาบ่อยขึ้น แถมยังเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อนตอนเจอกันที่ห้องนั่งเล่น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับเบาๆ ก่อนเดินหนีไปอีกทาง



นั่นทำให้บรรยากาศของมื้อเช้าที่ห้องอาหารรีสอร์ทเป็นไปอย่างไม่สู้ดีนัก



“ไอ้ภูมิ ทำไมกินแค่นั้นวะ” ซันถามเมื่อเห็นว่าในจานของคนข้างตัวมีขนมปังเพียงแผ่นเดียว ทั้งที่ยังมีอาหารให้เลือกตักอีกมาก ซึ่งภูมิก็ตอบกลับง่ายๆ



“กูไม่รู้จะกินอะไร” เขาว่าพลางใช้มีดในมือเขี่ยขนมปังไปมา ก่อนจะค่อยๆ เหลือบมองร่างสูงที่นั่งตรงข้ามกัน...ซึ่งไม่ยอมสบตาเขาเลยตั้งแต่เช้า



...ดูก็รู้ว่าผิดปกติ แล้วยังท่าทางที่ดูสนใจอาหารตรงหน้าจนเกินเหตุอีก



“แกพลาดแล้วไอ้ภูมิ อาหารโคตรอร่อย เอาให้คุ้มก่อนกลับบ้านสิวะ” ภาคย์พูดขึ้นมา “ดูอย่างไอ้โฟล์ค นั่งกินเงียบๆ ไม่พูดไม่จาเลย”



ร่างสูงที่ถูกกล่าวถึงชะงักมือไปนิด เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสามคน แล้วก็นิ่งไปเมื่อได้สบกับสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของร่างเล็กที่นั่งตรงข้าม



“...เดี๋ยวมา” โฟล์คเบนหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ ก่อนลุกออกไปพร้อมจานในมือ



ภาคย์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ทว่าเด็กหนุ่มสองคนกลับมองตามร่างนั้นด้วยสายตาที่แตกต่างกัน คนหนึ่งมองด้วยความฉงน ส่วนอีกคน...มองด้วยความหงุดหงิด อึดอัด ไม่ชอบใจ และไม่เข้าใจเลยจริงๆ



“งั้นผมจะไปตักอาหารเพิ่มตามที่พี่ภาคย์บอกแล้วกัน”



ภูมิพูดเสียงเบาคล้ายจะพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงลุกออกไปอีกคน











 

โฟล์คยืนนิ่งอยู่หน้าเครื่องปิ้งขนมปังเป็นเวลาหลายนาที จนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมามองด้วยความสงสัย เพราะตรงหน้าของชายหนุ่มมีขนมปังที่เด้งออกจากเครื่องปิ้งเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าของใบหน้าที่ดึงดูดสายตาสาวๆ เกือบทั้งห้องอาหารกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว



...เพราะในหัวของเขามีแต่ประโยคที่ได้คุยกับเพื่อนสนิทเมื่อคืน



‘มึงจำไอ้เอ็มได้ปะ ที่มันมีแฟนเป็นผู้ชายไง สุดท้ายแม่งก็แค่อยากลองของแปลก คบได้แป๊บๆ ก็กลับไปซบอกผู้หญิงเหมือนเดิม บอกว่าทางนั้นไม่ใช่สำหรับมัน แล้วก็ไอ้เบิ้มหลีดคณะไงมึง มันแอบกิ๊กกับพี่ปีสามที่ฮอตสุดๆ คนนึงเว้ย แรกๆ ก็โอเคอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ แม่งทนแรงกดดันจากพวกผู้ใหญ่ไม่ไหว กลับไปขอคืนดีกับแฟนเก่าที่เป็นผู้หญิงซะงั้น แล้วมันบอกว่าไงรู้ปะ...มันแค่หลงผิดเว้ย ยังไงผู้หญิงกับผู้ชายก็ต้องคู่กันอยู่ดี ไม่งั้นมึงจะสร้างครอบครัวยังไง มึงจะเอาหลานให้พ่อแม่อุ้มยังไง คนปกติก็ต้องคิดได้ปะวะ’



ไอ้ภาคย์พูดยาวเหยียดด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนกำลังคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ แต่สายตาบ่งบอกได้ว่าระอาเต็มทน แล้วยังเสริมอีกว่ามันไม่มีทางรับความผิดปกติแบบนี้ได้แน่



...นี่อาจเป็นครั้งแรกที่โฟล์ครู้สึกสับสนขนาดนี้ ...สับสนจนทำตัวไม่ถูก



เขาส่ายหัวกับตัวเอง ตั้งท่าจะหยิบขนมปังปิ้งมาใส่จาน เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเล็กๆ ดังขึ้นข้างตัว



“พี่โฟล์ค” 



กึก



โฟล์คชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันไปทางร่างเล็กที่กำลังยืนจ้องเขานิ่งๆ ดวงตาที่ค่อนข้างตี่เพราะเชื้อสายจีนหรี่ลงเล็กน้อย จนเขาต้องเอ่ยตอบอย่างเสียไม่ได้



“ครับภูมิ” ชายหนุ่มว่า แล้วจึงเบนสายตาไปทางเครื่องปิ้งขนมปัง “มาเอาขนมปังอีกแผ่นเหรอ”



“เปล่า ผมแค่อยากถามว่าพี่หลบหน้าผมทำไม”



ยิ่งพูดภูมิก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ แต่พอเห็นอีกฝ่ายพยายามหลบสายตาอีกครั้ง ความอดทนก็ลดฮวบลงทันที น้ำเสียงที่ออกมาจึงติดจะแข็งนิดๆ แบบที่คนฟังต้องขมวดคิ้ว



...เขาน่ะหรือ...หลบหน้าภูมิ...



รู้อยู่หรอกว่าเขาเผลอหลบตาคนตัวเล็กแทบทุกครั้งที่มอง แต่ไม่คิดว่าจะดูออกชัดเจน...แถมอีกฝ่ายยังคิดมากขนาดนี้



โฟล์คจึงขยับรอยยิ้มให้ แล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “เปล่านี่ครับ”



“...ตอบไม่จริงใจนี่หว่า” คนตัวเล็กบ่นขมุบขมิบกับตัวเอง แต่ก็ดังพอที่ชายหนุ่มจะได้ยิน “พี่โฟล์คไม่เคยเป็นแบบนี้นี่...ผมทำตัวไม่ถูกนะ”



ในทีแรกโฟล์คมีสายตาอ่อนลง ตั้งใจจะเอื้อมมือไปยีหัวคนตรงหน้าแล้วบอกว่า ‘พี่ไม่เป็นอะไร’ แต่ก็ชะงักเมื่อเผลอเหลือบไปมองโต๊ะของเขาที่มีเพื่อนสนิทนั่งอยู่ ความทรงจำเมื่อคืนไหลย้อนมาจนร่างสูงต้องชักมือกลับ



ภูมิเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไปอย่างนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจพรืด ความน้อยใจแบบเด็กๆ ทำให้ร่างเล็กตัดสินใจหมุนตัวกลับ แล้วก็ปะทะกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบเจ้าของผิวสีแทนที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน ซึ่งฉีกยิ้มกว้างมาให้พร้อมทั้งพูด



“เจอกันอีกแล้วนะครับน้องภูมิ”



“อ้าว...พี่บอส...” ภูมิใช้เวลาสามวินาทีในการนึกชื่อคู่สนทนา ก่อนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับพี่”



โฟล์คชะงักไป จำต้องหันหน้าไปมองด้วยอารมณ์คุกรุ่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร



“จำชื่อพี่ได้ด้วยเหรอ ดีจังเลย” คนตัวโตหัวเราะอย่างชอบใจ ซึ่งภูมิก็ได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ ...ไม่กล้าบอกว่าเกือบลืมไปเหมือนกัน



“แล้วพี่บอสมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”



“เฮ้ ใจร้ายจัง ต้องมีธุระงั้นเหรอถึงจะชวนคุยได้” ชายหนุ่มพูดราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน แต่แววตาแอบแฝงอะไรบางอย่างยามเมื่อจ้องมองร่างเล็กที่ทำหน้างุนงง ซึ่งคนถูกมองไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่คนเข้าใจคือร่างสูงที่อยู่นอกวงสนทนาต่างหาก



โฟล์คกำหมัดแน่น รู้สึกหงุดหงิดจนอยากดึงคนตัวเล็กกลับไปนั่งที่โต๊ะ แต่ยามนี้เขาเหมือนเจอกำแพงมหึมาขวางหน้า ...กำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาเอง



ภูมิแอบเหลือบไปมองร่างสูงข้างกาย นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานโดนตำหนิเพราะเรื่องคุยกับคนแปลกหน้า แต่เมื่อเห็นเจ้าของร่างยืนเฉยด้วยท่าทีไม่สนใจ ความน้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องข่มเอาไว้ก่อนหันกลับมาคุยกับคนตัวโตต่อ “ผมไม่ได้หมายความว่างั้นนะครับ” ...และอะไรบางอย่างก็ทำให้เขาตัดสินใจพูดประโยคต่อมา “เออใช่ ตอนนี้ผมมีมือถือนะ พี่จะเอาเบอร์ผมไหม”



คู่สนทนาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา “ได้สิ งั้นเอามือถือของภูมิมาเลย เดี๋ยวพี่จะกดเบอร์แล้วโทรเข้าเครื่องพี่...”



หมับ



แต่ยังไม่ทันที่ภูมิจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คนที่เงียบมาตลอดก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยราบเรียบตามปกติ แต่ภูมิกลับสัมผัสได้ว่ามันเย็นชากว่าเดิม



“กลับโต๊ะได้แล้วครับ เดี๋ยวจะต้องเช็คเอาท์แล้ว”



...อีกแล้ว...เขาไม่เข้าใจการกระทำของคนตรงหน้าจริงๆ



“อ้าว นี่จะกลับกันแล้วเหรอครับ” คนที่ชื่อบอสส่งเสียงแทรกขึ้นมา “มาแค่สองวันไม่น้อยไปเหรอครับ อยู่ต่ออีกหน่อยไหม พี่รู้จักเจ้าของรีสอร์ทนะ เดี๋ยวคุยให้ก็ได้”



“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้วันจันทร์ พวกเรามีเรียน” โฟล์คตอบเสียงเรียบ “คุณเรียนจบแล้วงั้นเหรอ”



“อ้อ ผมทำงานแล้ว ช่วงนี้พักร้อนครับ” บอสยิ้มรับ แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายถามแบบนั้นทำไม ...ทว่าคำตอบก็เป็นที่กระจ่างชัดเมื่อได้ยินประโยคถัดมา



“งั้นทำงานของคุณไปเถอะ มัวแต่เที่ยวเล่นไร้สาระมันไม่ดีหรอก”



โฟล์คว่าจบก็ดึงแขนคนตัวเล็กให้เดินออกไปทันที แบบที่คนถูกลากก็ไม่เข้าใจความหมายแฝงของบทสนทนาระหว่างคนสองคนเมื่อครู่ และแม้จะไม่อยากเดินตาม แต่ฝ่ามือใหญ่ที่กระชับข้อมือเขาไว้แน่น...แถมยังติดจะสั่นน้อยๆ  ทำให้ภูมิตัดสินใจที่จะไม่ขัดขืน



เหลือเพียงร่างโตของคนผิวสีแทน ที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองตามหลังทั้งสองคนไป แต่เพราะผ่านประสบการณ์ด้านนี้มามากจึงสามารถทำความเข้าใจได้ทีละน้อย ในที่สุดเขาก็ขยับรอยยิ้ม เอ่ยเบาๆ กับตัวเอง



“เฮ้อ...มีเจ้าของแล้วก็บอกกันดีๆ สิ”



แม้จะรู้สึกเสียดายความน่ารักของร่างเล็กที่เพิ่งรู้จักกัน แต่เขาก็ไม่อยากแย่งของของใครหรอกนะ











 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังเป็นเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ราวกับมีคนคุยเล่นกันแค่สองคนคือซันและภาคย์ ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั่งก้มหน้านิ่ง มองแต่อาหารบนจานตัวเองซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด



จนกระทั่งทุกคนแยกย้ายเข้าไปจัดกระเป๋าในห้องพักของตัวเอง ทันทีที่ไอ้ซันปิดประตู ภูมิก็ทรุดตัวลงบนเตียงเต็มแรง สบถเบาๆ อย่างไม่ชอบใจ “เหี้ยเอ๊ย...พี่โฟล์คเป็นอะไรวะ”



“เออ กูว่าจะถามพอดี ทำไมบรรยากาศมันแปลกๆ งี้วะ มึงทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”



“ไม่รู้ว่ะ เมื่อวานยังปกติอยู่เลย”



ใช่ หรือถ้าพูดอีกอย่างก็คือดีจนผิดปกติ ไม่ใช่แย่จนผิดปกติอย่างวันนี้



“จู่ๆ พี่โฟล์คไม่น่าเปลี่ยนไปอย่างนี้นะเว้ย” ซันลูบคางอย่างใช้ความคิด “ลองนึกดูดีๆ สิว่ามีปัญหาอะไรกัน”



แน่นอนว่าภูมิไม่มีทางนึกออก ในเมื่อคนมีปัญหาไม่ใช่เขา แต่ดันเป็นพี่ชายของเขาที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองจนสุดเกินไปต่างหาก



หลังเก็บของเสร็จ ทั้งสี่คนก็ไปจัดการเรื่องเช็คเอาท์ ก่อนจะพากันขนกระเป๋าขึ้นรถเพื่อเตรียมเดินทางกลับ ทว่าขณะที่ภาคย์กำลังจะเปิดประตูรถ คนเป็นน้องชายก็เรียกเอาไว้



“พี่ภาคย์ สลับที่กัน”



“สลับที่ทำไมวะ” คนถูกเรียกหันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ซึ่งภูมิก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว



“ผมอยากนั่งหลัง”



“จะนั่งได้ไง เดี๋ยวก็เมารถจนอ้วกหรอก” ภาคย์พูดแล้วส่ายหัว ภูมิได้ยินดังนั้นก็เม้มปากแน่น หันไปสบตากับร่างสูงของเจ้าของรถที่มองมานิ่งๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง



“ผมไม่เมาหรอกน่า แค่อยากนั่งกับไอ้ซันเฉยๆ” ...เปล่าหรอก ความจริงคือไม่อยากนั่งกับเจ้าของรถ ส่วนไอ้ซันเป็นแค่ข้ออ้าง



โฟล์คจ้องร่างเล็กเขม็ง รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลจริงๆ



“เออๆ ตามใจ” แล้วภาคย์ก็ตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะเปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง



ซันมองเพื่อนตัวเองสลับกับชายหนุ่มร่างสูง แล้วจึงเลือกที่จะเปิดประตูรถขึ้นนั่งตามพี่ภาคย์ เหลือเพียงบรรยากาศมาคุระหว่างคนสองคนที่ไม่ยอมสบตากัน



โฟล์คขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ร่างเล็กกลับเมินหน้าหนีไปทางอื่น แล้วเปิดประตูหลังขึ้นรถไป











 

“เฮ้ยไอ้ภูมิ ไหวเปล่าเนี่ย”



หลังจากขับรถออกมาได้สักพัก ซันก็สังเกตเห็นเพื่อนตัวเองหน้าซีดลง แถมยังกุมขมับแน่นราวกับปวดหัว ส่วนพี่ภาคย์ก็ตบเข่าฉาดใหญ่เพราะเดาได้อยู่แล้วว่าน้องชายตัวเองต้องเมารถ โชคดีที่มียาดมจึงประคองอาการไว้ได้



“เออ...กูไม่เป็นไร”



ภูมิว่าจบก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย



“แน่ใจนะเว้ย” ซันถามย้ำ



“เป็นไง บอกให้นั่งหน้าก็ไม่เชื่อ สลับที่กับพี่ไหมล่ะ” ภาคย์บ่นออกมา ทว่าภูมิกลับส่ายหัว



“ไม่ล่ะ...ผมไหว”



พูดจบก็เอนหัวไปพิงกระจกรถ หลับตาลงทั้งยังขมวดคิ้วแน่น แบบที่ใครเห็นก็รู้ว่าอาการหนักชัวร์ๆ  ซันถอนหายใจยาว แอบเหลือบมองคนที่นั่งขับรถโดยไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากรีสอร์ท ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มถึงยังอยู่เฉยได้ทั้งที่อาการของเพื่อนเขาเป็นหนักขนาดนี้



แล้วเมื่อวานหมาตัวไหนทำท่าเป็นเจ้าของไอ้ภูมิขนาดนั้นวะ



ไม่ได้อยากจะหยาบคายใส่คนที่เพิ่งเจอกันแค่สองวันหรอก แต่เขารู้สึกเหลืออดเต็มทน แบบนี้มันโคตรของโคตรจงใจเมินชัดๆ



“อ้าว มึงจะเข้าเลนซ้ายทำไมวะไอ้โฟล์ค” ภาคย์ร้องทักขึ้นมาเมื่อเห็นคนข้างตัวเปิดไฟเลี้ยว แถมยังเบี่ยงพวงมาลัยแทรกรถคันอื่นเพื่อเข้าเลนซ้ายสุด



“กูจะแวะร้านขายยาข้างหน้า” โฟล์คตอบเรียบๆ  ก่อนจะจอดรถริมฟุตบาทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านขายยา ทว่าก่อนจะลงจากรถ เขาก็หันไปหาคนที่นั่งเบาะหลัง “ภูมิครับ สลับที่กับไอ้ภาคย์ด้วย”



ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ คนพูดก็ลงจากรถทันที ภูมิพยายามลืมตามองตามแผ่นหลังของร่างสูงด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่สามารถแย้งอะไรได้ เพราะทั้งพี่ภาคย์กับไอ้ซันช่วยกันพาเขาย้ายที่นั่งไปข้างหน้าเรียบร้อย



รอไม่นานเจ้าของรถก็กลับมาพร้อมถุงยาในมือ แววตาอ่อนลงเล็กน้อยตอนยื่นยาให้คนป่วย ก่อนจะหันไปหาอีกสองคนที่นั่งเบาะหลังแล้วบอกเสียงเรียบ “ซันขยับมานั่งด้านหลังพี่ ส่วนไอ้ภาคย์ขยับไปนั่งติดกับซัน จะได้ให้ภูมินอนเอนไปด้านหลัง”



“เออๆ” ภาคย์ตอบง่ายๆ  แล้วขยับไปจนชิดกับร่างของรุ่นน้องที่นั่งริมขวา โฟล์คจึงโน้มตัวคร่อมร่างคนป่วยเล็กน้อยเพื่อปรับเบาะให้เอนลง ...แม้คนตัวเล็กจะมีท่าทีขัดขืนอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม



ในจังหวะที่ใบหน้าอยู่ใกล้กันจนภูมิรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ ที่รวยริน เสียงทุ้มก็ดังขึ้นคล้ายกระซิบให้ได้ยินแค่สองคน



“อย่าทำร้ายตัวเองสิครับภูมิ”



...เป็นน้ำเสียงที่ทั้งดุดันและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน...



สิ้นคำนั้น โฟล์คก็ขยับตัวกลับมานั่งที่เดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ภูมิเบนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ทั้งที่หัวใจเต้นแรงกับประโยคสั้นๆ ที่แม้จะเบาแค่ไหน แต่กลับได้ยินชัดเต็มสองหู ยิ่งกว่านั้นคือเขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่มากับน้ำเสียงเรียบนิ่ง ...จนความตั้งใจเดิมที่จะทำใจแข็งมลายหายไปเกือบครึ่ง



ภูมิเม้มปากแน่น ไม่อยากยอมรับความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในใจอีกครั้ง



...ผมเปล่าทำร้ายตัวเองนะเว้ย พี่นั่นแหละ...ทำอะไรกับผมวะ











 

หลังจากส่งภูมิกับภาคย์ที่บ้าน ในรถของโฟล์คก็เหลือผู้โดยสารเพียงคนเดียว คือซันที่เป็นเพื่อนสนิทของลูกศิษย์เขา ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งนิ่ง ใช้สายตาเรียบๆ มองเขาผ่านกระจกมองหลัง



โฟล์คตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบ “หอของซันอยู่ข้างโรงเรียนใช่ไหมครับ”



“อืม ซอยที่มีร้านกาแฟน่ะ”



“อ้อ ร้านนั้นใช่ไหม พี่ก็เคยแวะบ่อยๆ ตอนยังเรียนมัธยม” เขาว่าขณะหมุนพวงมาลัยรถ “อยู่คนเดียวเหรอครับ”



“อืม” ซันตอบรับในลำคอเบาๆ  ก่อนจะเอ่ยขึ้นลอยๆ “...ไม่รู้ป่านนี้ไอ้ภูมิจะเป็นยังไงบ้างเนอะ”



เห็นได้ชัดว่าร่างสูงชะงักไปทันที ซันขมวดคิ้ว จ้องกิริยานั้นเขม็ง สักพักก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ



“หลังจากกินยาก็ดีขึ้น ตอนอยู่ในรถก็หลับมาตลอดทาง น่าจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ” โฟล์คพูดแล้วยิ้มให้ ...รอยยิ้มที่ซันดูออกทันทีว่าเจ้าของร่างกำลังฝืน แต่ก็ยังพูดต่อ “ซันดูเป็นห่วงเพื่อนจังเลยนะครับ”



“แน่นอน ก็ไอ้ภูมิเป็นเพื่อนผมนี่” เขาตอบกลับทันควัน “แถมมันยังขี้โรค ป่วยง่าย เมารถเมาเรือตลอด เวลาไปเที่ยวกันในกลุ่มก็ต้องดูมันดีๆ  คลาดสายตานิดหน่อยก็หลง เผลอๆ เป็นลมเพราะแดดแรง”



“...ขนาดนั้นเลยเหรอ” โฟล์คพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ซึ่งก็ได้รับคำตอบหนักแน่นจากคนที่นั่งเบาะหลัง



“ใช่” ซันพยักหน้า “แถมมันยังชอบคิดมากด้วย ปกติมันไม่ค่อยแคร์ใครหรอกนะ จะแคร์เฉพาะคนสำคัญ แต่ถ้ามันแคร์ใครมันก็จะเอาใจใส่คนนั้นตลอด บางทีก็คิดเล็กคิดน้อยจนเกินเหตุ ผมว่านิสัยอย่างมันถ้าถูกทำร้ายจิตใจ หรือถูกคนที่ไว้ใจหักหลังนี่คงเจ็บน่าดู ...ว่าไหมพี่โฟล์ค”



ว่าจบก็หันไปถามร่างสูงที่นิ่งค้างไปเรียบร้อย มือหนากำพวงมาลัยแน่นขึ้นจนเห็นได้ชัด



ซันตั้งใจจะบอกพี่โฟล์คทางอ้อมว่าตอนนี้เพื่อนเขากำลังรู้สึกยังไง ไม่ใช่เดาไม่ออกว่าพี่โฟล์คมีปัญหา แต่เขาไม่คิดว่าการที่จู่ๆ ทั้งสองคนมาเมินใส่กันเป็นเรื่องดี



ยิ่งมีปัญหาหรือไม่เข้าใจอะไร ก็ยิ่งต้องคุยกันให้ชัดเจนสิ



“เดี๋ยวจะต้องเลี้ยวแล้วนะพี่โฟล์ค”



“อ้อ...ครับ”



โฟล์คเหมือนออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเตือนจากอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่าอีกไม่กี่เมตรจะถึงซอยที่เขาต้องส่งรุ่นน้องคนนี้ เขารีบเปิดไฟเลี้ยวก่อนจะหักพวงมาลัยกะทันหัน โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาค่อนข้างดึกเลยมีรถน้อย ไม่อย่างนั้นคงถูกบีบแตรเสียยกใหญ่



โฟล์คจอดรถที่หน้าหอพัก รอให้อีกฝ่ายขนข้าวของลงจากรถซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน ก่อนจะหันมาขอบคุณเขาเบาๆ แล้วเดินขึ้นหอพักไป



ปั้ก!



“โธ่เว้ย...”



โฟล์คทุบพวงมาลัยเต็มแรง กำหมัดแน่นราวกับไม่สามารถระบายอารมณ์ไปได้มากกว่านี้ เขาเบนหน้าไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเข้มขึ้นราวกับจะฆ่าใครได้สักคน และถ้าถามว่าเขาอยากฆ่าใคร ...ก็คงจะเป็นตัวเขาเองนั่นแหละ



เพราะตอนนี้เขากำลังเกลียดตัวเองมากจริงๆ



------------------------ TBC -------------------------



จุดหนึ่งของความสัมพันธ์อาจจะมีการสับสนกันบ้าง แต่พี่โฟล์คจะทนเห็นน้องภูมิในสภาพนี้ได้สักเท่าไหร่กันเชียว แฮ่

เจอกันวันอังคารค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ  รัก<3



CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 12 การกระทำสวนทาง (28/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 31-07-2018 23:45:44


Chapter 13 : ความในใจคนป่วย



ภูมิรู้สึกปวดหัวตั้งแต่ตื่นนอน แถมดวงตายังหนักอึ้งเหมือนมีอะไรมาทับไว้ ยิ่งพยายามฝืนขยับตัวก็ยิ่งปวดตามร่างกาย



...เป็นอันสรุปได้ว่าไอ้ภูมิคนนี้คงป่วยเสียแล้ว



‘สภาพอย่างนี้จะแบกสังขารไปโรงเรียนทำไม นอนอยู่บ้านไปนั่นแหละ’



นี่คือประโยคที่พี่ภาคย์บอกเขาก่อนจะออกไปมหาวิทยาลัย ภูมิจึงต้องหยุดเรียนในวันแรกของสัปดาห์ไปโดยปริยาย



ร่างเล็กนอนขดตัวในผ้าห่มผืนหนา ตั้งใจจะนอนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น แต่พอท้องเริ่มร้องหาอาหาร เขาก็จำต้องฝืนขยับตัว



“ปวดหัวฉิบ...” ภูมิบ่นเบาๆ ขณะจับราวบันไดเพื่อพาตัวเองลงมาชั้นล่าง ตั้งใจจะหานมดื่มรองท้องสักแก้ว ไว้อาการดีกว่านี้ค่อยหาอาหารกินเป็นมื้อ ...แม้ไม่แน่ใจว่าในตู้เย็นจะมีอะไรกินก็เถอะ



แต่เพียงลงมาถึงชั้นล่าง แขนขาก็รู้สึกปวดระบมเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดไปทั้งตัว เหมือนสภาพร่างกายที่เข้าขั้นวิกฤติกำลังต่อต้านเจ้าของร่างที่ยังดันทุรังจนเขาต้องสบถเบาๆ “ทำไมมึงอ่อนแอจังวะไอ้ภูมิ ป่วยยังกับเด็กอนุบาล”



เท่าที่จำได้คือเขาไม่ได้ป่วยแบบนอนซมมาหลายปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้ไปทำอะไรมา รู้แต่เป็นความรู้สึกที่แย่มากจริงๆ



“มีอะไรบ้างวะ...”



ภูมิเปิดตู้เย็น ถอนหายใจเบาๆ ก่อนหยิบขวดนมที่เหลือไม่ถึงครึ่งออกมา เดินช้าๆ ไปนั่งที่โต๊ะ แล้วยกดื่มโดยไม่คิดรินใส่แก้วให้เสียเวลาล้าง ท้องไส้ที่ปั่นป่วนเพราะความหิวเริ่มสงบลง แต่เชื่อเถอะว่าสงบได้ไม่นานเดี๋ยวก็ต้องร้องหิวข้าวอีกรอบ



แค่ป่วยก็ว่าแย่แล้วนะ แต่ที่แย่กว่าคือการป่วยอยู่บ้านคนเดียวเนี่ยแหละ



“เหี้ยเอ๊ย...ปวดหัวฉิบหาย” ร่างเล็กวางขวดนมบนโต๊ะแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ นึกอยากได้พาราสักเม็ด หรือถ้าให้ดีก็ขอยาแบบจัดเต็มสักชุดหนึ่งเลยแล้วกัน ถึงจะเกลียดรสชาติของมันแค่ไหน แต่การทรมานขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกสักนิด



แม้จะมีเสียงค้านจากในตัวว่านมเพียงก้นขวดไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ภูมิก็ฝืนความปวดล้าทางร่างกายไม่ไหว จำต้องค่อยๆ พยุงตัวเองเดินออกจากห้องครัว ใช้เวลาหลายนาทีในการขึ้นบันไดไปชั้นสอง ก่อนจะเดินช้าๆ ไปทางห้องนอน



และทันทีที่หัวถึงหมอน ภูมิก็หมดสติไปโดยไม่รับรู้อะไรอีก











 

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ทว่าความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกตัวคือ...ร้อน



เป็นความรู้สึกร้อนจากภายใน ซึ่งเขาเข้าใจว่าคงเป็นอาการปกติของคนที่ไม่สบาย แต่ที่เหมือนจะขัดกันก็คือความรู้สึกเย็นๆ บริเวณหน้าผาก รวมทั้งสัมผัสเย็นๆ ที่ไล้ไปตามแขนขาจนเขาต้องฝืนลืมตาขึ้น



...และภาพที่เห็นก็คือร่างสูงที่คุ้นตากำลังนั่งบนเตียง เช็ดตัวให้เขาด้วยผ้าชุบน้ำอย่างเบามือ



“พี่...โฟล์ค...” ภูมิหลุดเสียงออกมา แม้จะเบาและแหบแห้งเพราะขาดน้ำมาหลายชั่วโมง แต่ก็ดังพอที่คนข้างตัวจะได้ยิน คนถูกเรียกชื่อจึงชะงักไปนิด ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



“เป็นยังไงบ้างครับภูมิ”



“อืม...ปวดหัวสุดๆ เลย” ภูมิว่าไปตามจริงเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบีบรัดศีรษะ จนต้องยกมือขึ้นกุมขมับเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงผ้าชุบน้ำที่วางแหมะอยู่บนหน้าผากเพื่อลดไข้ “แล้วพี่มาได้ไง...แค่กๆ”



โฟล์ครีบส่งแก้วน้ำให้ ร่างเล็กจึงรับไปดื่มอึกใหญ่ เมื่อเห็นว่าคนป่วยมีอาการดีขึ้นเขาก็เอ่ยตอบ “พี่รู้จากไอ้ภาคย์ว่าภูมิไม่สบาย วันนี้พี่มีเรียนแค่ช่วงเช้า เลยแวะมาเยี่ยม” แล้วก็ไม่วายพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กๆ “ประตูบ้านก็ไม่ได้ล็อก ถ้ามีโจรบุกเข้ามาจะทำยังไง”



“ผมไม่รู้เรื่องนะ โทษพี่ภาคย์สิ” ภูมิโบ้ยไปหาพี่ชายตัวเองทันที และเหมือนร่างกายจะเริ่มมีอาการปวดตุบๆ อีกครั้งคล้ายส่งสัญญาณเตือนว่าคนป่วยคงฝืนพูดเกินไป จนต้องหอบหายใจแรงๆ แล้วซุกหน้าลงกับหมอน เม็ดเหงื่อเริ่มผุดตามใบหน้า



โฟล์คเห็นอาการของคนข้างตัวไม่สู้ดีนัก ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า เสียงทุ้มจึงบอกออกไป “ภูมิต้องกินข้าวนะครับ พี่ซื้อโจ๊กมาให้ จะได้กินยาหลังอาหารได้”



...เมื่อเห็นร่างเล็กป่วยหนักแบบนี้ เขาก็รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก



ทว่าคนที่นอนบนเตียงกลับค่อยๆ เลื่อนหน้ามาทางเขา ขมวดคิ้วราวกับไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ปากสีซีดจะเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ



“พี่ไม่โกรธผมแล้วเหรอ...”



กึก



โฟล์คชะงักไป จากนั้นความทรงจำที่ทะเลเมื่อวานก็ย้อนกลับเข้ามา จนตระหนักได้ว่าเผลอทำอะไรลงไป



แน่นอนว่าเขาไม่ได้โกรธภูมิสักนิด ไม่ได้มีความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่าโกรธเลยด้วย แต่เหมือนคนตัวเล็กไม่รู้จะนิยามการกระทำของเขายังไง ลงท้ายเลยเป็นคำคำนี้



ถ้าจะให้โฟล์คตอบ เขาคงตอบได้แค่ว่าไม่ได้โกรธ ...เขาเพียงแค่สับสน ไม่แน่ใจ ไม่กล้า



และที่สำคัญที่สุด...คือเขากลัว



...กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จนไม่รู้ว่าควรจะทำปัจจุบันอย่างไร



โฟล์คเบนหน้าหนีไปทางอื่น กัดปาดตัวเองด้วยความอึดอัดใจ ...เขามาหาภูมิเพราะรู้ว่าภูมิไม่สบาย ไม่ได้คำนึงถึงความสับสนทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ก็ยังติดค้างอยู่ในใจโดยไม่สามารถหาคำตอบได้



ร่างสูงจึงยกชามใส่โจ๊กที่เตรียมไว้ขึ้นมาแล้วเอ่ยเลี่ยง “กินข้าวก่อนนะครับ จะได้กินยา”



ภูมิรู้สึกผิดหวังในใจ เมื่อจู่ๆ สีหน้าแบบเดิมของอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกแย่มาตั้งแต่เมื่อวานกลับมาอีกครั้ง จนได้แต่ตอบรับเสียงอ่อน “...อืม”



ภูมิค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง ก่อนอ้าปากรับโจ๊กร้อนๆ ที่ร่างสูงส่งมาให้ ทว่าเมื่อปลายลิ้นสัมผัสถูกความร้อนในช้อนก็สะดุ้ง เบือนหน้าหนีทันที



“ร้อนเหรอครับ” โฟล์คถามด้วยน้ำเสียงตื่นๆ  ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าน้อยๆ  เขาจึงดึงมือกลับมาแล้วเป่าลมเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนเลื่อนช้อนกลับไปตรงหน้าคนป่วยที่มองการกระทำของเขาตาค้าง



ภูมิรู้สึกร้อนที่ใบหน้า แน่ใจว่าไม่ได้เป็นเพราะอาการป่วย แต่ก็ยอมอ้าปากรับโจ๊กในช้อนอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ กลืนลงคอด้วยความยากเย็น



โฟล์คตักคำต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ เป่าเบาๆ แล้วยื่นไปตรงหน้าร่างเล็กอีกครั้ง ซึ่งภูมิก็ยอมรับโดยไม่ขัดขืน จนเมื่อกลืนโจ๊กคำสุดท้ายลงคอ แก้วน้ำใบเดิมก็ถูกยื่นตามมาตรงหน้าพร้อมยาอีกสามเม็ด พร้อมกับสีหน้าของร่างสูงที่คล้ายจะออกคำสั่งให้เขารับไปอย่างเสียไม่ได้



“ดีขึ้นไหมครับ”



โฟล์คถามขึ้นมาหลังจากที่คนป่วยทานยาเรียบร้อย ภูมิจึงพยักหน้าตอบกลับเบาๆ



“ก็ดี...” ว่าจบก็ขยับตัวเป็นท่านอนตามเดิม ...ยอมรับเลยว่าโจ๊กที่กินเข้าไปทำให้รู้สึกขึ้น แถมการเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ก็ช่วยลดความร้อนของร่างกายไปได้พอสมควร



โฟล์คมองคนที่นอนซมเพราะพิษไข้ด้วยความเป็นห่วง ก่อนค่อยๆ บรรจงหยิบผ้าที่เริ่มอุ่นเพราะความร้อนออกจากหน้าผากของอีกฝ่าย แล้วใช้ผ้าชุบน้ำผืนใหม่วางแทนที่ จากนั้นจึงจัดการเช็ดตัวร่างเล็กต่อจนเสร็จ เบาใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนป่วยหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับลึก แถมสีหน้ายังดีขึ้นกว่าตอนที่เขาเข้ามาเห็นครั้งแรก



โฟล์คนำน้ำในกะละมังไปเททิ้งในห้องน้ำ ก่อนกลับมาใช้โต๊ะทำงานของภูมิเป็นที่นั่งอ่านหนังสือ เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงซึ่งบอกเวลาเกือบบ่ายสอง ก่อนจะคำนวณเวลาคร่าวๆ ในใจ



วันนี้ไอ้ภาคย์มีเรียนถึงดึก แถมคุณอาดนัยก็กลับดึกทุกวันอยู่แล้ว ...เขาคงต้องอยู่เฝ้าไข้ภูมิจนกว่าจะมีคนกลับมาบ้าน



บอกตามตรงว่าอดแปลกใจกับสภาพห้องไม่ได้ เพราะมันโล่งกว่าครั้งแรกที่เขาเคยมา จำได้ว่าลูกศิษย์ของเขามีโมเดลสะสมมากมาย มีพวกหนังสือและนิตยสารหลายเล่ม แถมตรงมุมห้องยังมีกีตาร์โปร่งตั้งไว้ ...แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือสักอย่าง



ทว่าโฟล์คก็เดาได้ไม่ยากว่าของพวกนั้นหายไปไหน ...ก็เหตุผลที่คนตัวเล็กร้องไห้อย่างหนักวันนั้นไงเล่า



เขาลองกวาดสายตาไปรอบห้องอีกครั้ง ก่อนจะสะดุดที่เอกสารหลายแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน



โฟล์ควางหนังสือในมือลง หยิบเอกสารที่กองไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนักมาไล่ดูทีละแผ่น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่ออ่านข้อความที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ ซึ่งมีทั้งข้อความที่พิมพ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ และบางแผ่นก็เป็นลายมือที่เขียนหวัดๆ



ทว่าที่น่าสนใจคือเนื้อหาบนนั้น มีทั้งแผนงานของชมรมดนตรีที่ยาวประมาณสี่หน้ากระดาษ รายละเอียดและกำหนดการของโปรเจคต์หนังสั้นที่เจ้าตัวร่างไว้เป็นแผนภาพ แต่ก็กินเนื้อที่กระดาษไปอีกเกือบห้าแผ่น เดาไม่ยากว่าคงอดหลับอดนอนเขียนมาหลายคืน นอกเหนือจากนั้นยังมีกำหนดการของงานประกวดต่างๆ ทั้งงานเขียน งานภาพถ่าย และอีกมากมายแบบที่โฟล์คเองก็คาดไม่ถึง



แล้วเขาก็สังเกตเห็นสมุดเล่มเล็กที่วางปนกับแผ่นกระดาษ พอหยิบมาดูก็พบว่าถูกเจ้าของใช้ไปแล้วเกือบครึ่ง แม้จะเป็นการเขียนแบบย่อๆ เหมือนให้คนเขียนเข้าใจอยู่คนเดียว แต่เขาก็พอจะจับใจความได้ว่ามันคือตารางเวลาคร่าวๆ ของแต่ละวัน



“ตารางแบบนี้...ไม่ห่วงตัวเองเลยหรือไง”



โฟล์คพึมพำเบาๆ  เงยหน้ามองคนที่นอนหลับอยู่ด้วยแววตาที่แฝงความเป็นห่วง ...ไม่แปลกใจเลยที่ภูมิจะล้มป่วยกะทันหัน เพราะหากทำตามตารางที่เขียนไว้จริงๆ หมายความว่าคนตัวเล็กได้นอนอย่างต่ำคือตีสอง บางคืนลากยาวไปจนถึงตีสามตีสี่ ทั้งยังต้องตื่นไม่เกินตีห้าเพราะต้องไปซ้อมดนตรีตอนเช้า



...ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเจ้าตัวฝืนทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว...











 

ภูมินอนกระสับกระส่ายไปมา รู้สึกถึงความมืดที่ล้อมรอบตัว ...ราวกับร่างกายกำลังลอยคว้างกลางอากาศ



ความเจ็บปวดแล่นเข้ากระทบผิวกายจนลึกไปถึงกระดูก ภายในร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟสุม ทรมานจนเขาต้องหลับตาแน่น พยายามอ้าปากร้องเรียกให้คนช่วย แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เปล่งออกจากลำคอ



ทว่าในวินาทีที่ราวกับกำลังถูกฉุดลงนรก ก็เกิดแสงสว่างส่องวาบขึ้นมา พร้อมกับเสียงหวานที่คุ้นเคยเอ่ยกระซิบข้างหู



‘เป็นยังไงบ้างลูก’



เสียงของ...แม่



ภูมิชะงักไปทันใด ลืมตามองรอบตัวซึ่งไม่ใช่ความมืดอีกแล้ว แต่กลับเป็นสถานที่ที่คุ้นตามาตั้งแต่เกิด ...ภายในห้องนอนของเขาเอง



‘ปวดหัว...ปวดหัวจังเลยแม่...’



แล้วเสียงเล็กๆ ของเด็กที่น่าจะอายุไม่เกินสิบขวบก็เอ่ยตอบไป เรียกให้ภูมิต้องหันไปมองเจ้าของเสียง จนพบกับร่างของตัวเขาในวัยเก้าขวบกำลังนอนซุกผ้าห่มผืนหนา บนหน้าผากมีผ้าสีขาวผืนเล็กวางแหมะไว้ และข้างๆ กันนั้น...คือร่างของหญิงสาวอายุใกล้สี่สิบที่กำลังแย้มรอยยิ้ม ยกมือลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู



‘งั้นเด็กดีของแม่ก็ต้องกินข้าวก่อน จะได้กินยานะลูก’



‘ไม่เอา ยาไม่อร่อย ภูมิไม่อยากกิน’



ร่างเล็กเบ้ปากเหมือนจะร้องไห้ จนผู้เป็นแม่ต้องเอ่ยปลอบประโลม



‘แต่ถ้าไม่กินก็จะไม่หาย ภูมิจะอดไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ นะลูก’



‘อดไป...เล่น...’



‘ใช่จ้ะ อาทิตย์หน้ากอล์ฟชวนไปเที่ยวนี่นา ไปกันตั้งหลายคน ถ้าภูมิไม่หายก็ต้องนอนอยู่บ้านนะ’



‘งั้น...งั้นภูมิจะกิน ภูมิจะกินยา...’



หญิงสาวคลี่รอยยิ้มสวย ก่อนยกชามที่วางข้างเตียงมาถือไว้ ‘แม่อุ่นโจ๊กมาให้ ค่อยๆ กินนะลูก’



เด็กชายตัวเล็กพยักหน้าน้อยๆ แล้วค่อยๆ อ้าปากรับอาหารที่ผู้เป็นมารดาตั้งใจป้อนเข้าปาก ก่อนจะยิ้มสดใสเมื่อพบว่ามันอร่อย จากนั้นจึงรบเร้าให้อีกฝ่ายป้อนเร็วๆ  ซึ่งคนถูกรบเร้าก็ได้แต่ยิ้มกว้าง ทำตามคำขอของลูกน้อยโดยไม่ว่าอะไร



ภาพที่ทำให้ภูมินิ่งงันไป รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอก พร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงลงมา



เขาคิดถึง...คิดถึงแม่มากจริงๆ



ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีดำ เสียงพูดคุยกันของคนสองคนเริ่มเบาลงและหายไป จนรอบกายเหลือเพียงความมืด ...พร้อมๆ กับสติของภูมิที่ดับวูบลง











 

ภาพแรกที่ภูมิเห็นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา คือร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานของเขา คนป่วยจึงค่อยๆ ยันตัวขึ้น  ข่มความรู้สึกปวดตรงศีรษะแล้วถามออกไปเบาๆ



“กี่...กี่โมงแล้วเหรอ...พี่โฟล์ค”



“ภูมิ” โฟล์คหันไปตามเสียงเรียกทันที กวาดสายตามองร่างเล็กที่กำลังฝืนตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเป็นห่วง ก่อนจะมองนาฬิกาแล้วตอบ “ตอนนี้เกือบหกโมงแล้วครับ”



“...ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ”



โฟล์คพยักหน้ารับ ปิดหนังสือในมือลงแล้วขยับไปนั่งบนเตียง ตั้งใจจะวัดไข้ให้คนป่วย ทว่าอีกฝ่ายกลับเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ



“พี่อยู่กับผมเกือบสี่ชั่วโมงเลยเหรอ...”



“ครับ ประมาณนั้น” เขาตอบง่ายๆ ก่อนจะใช้หลังมือแตะหน้าผากของคนข้างตัวเบาๆ “...ตัวยังอุ่นๆ นะครับ เฮ้อ คราวหลังอย่าฝืนตัวเองแบบนี้สิ”



ร่างเล็กมองมาด้วยสายตางุนงงเหมือนไม่เข้าใจประโยคที่เขาพูด แต่โฟล์คก็ไม่คิดขยายความ ทำเพียงแค่เอื้อมมือไปหยิบชามที่วางไว้ข้างเตียงแล้วยื่นไปใกล้คนป่วย



“กินข้าวก่อนนะครับ จะได้กินยา”



‘งั้นเด็กดีของแม่ก็ต้องกินข้าวก่อน จะได้กินยานะลูก’



เสียงทุ้มที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วง ซ้อนทับกับเสียงหวานที่คล้ายจะกระซิบแผ่วเบาในความทรงจำ จนภาพของความฝันเมื่อครู่ฉายชัดในสมอง ...ภูมิเบิกตากว้างทันใด หัวใจเต้นระรัวเมื่อคิดถึงหน้าของผู้หญิงที่อยู่กับเขามาตั้งแต่จำความได้ ...คนเดียวที่อยู่ข้างเขามาโดยตลอด...



“ภูมิ...ภูมิครับ ร้องไห้ทำไม”



เสียงของร่างสูงข้างกายทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ...แล้วจึงสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนใบหน้า



...เขากำลังร้องไห้...



มือเล็กปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ กลั้นเสียงสะอื้นไว้สุดความสามารถ ก่อนจะส่ายหน้าแรงๆ “ผมไม่เป็นไร...”



“เป็นสิครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที วางชามในมือลงแล้วขยับเข้ามาใกล้ ใช้หลังมือแนบหน้าผากเขาอีกครั้ง “ยังปวดหัวอยู่เหรอ ไปโรงพยาบาลดีไหมครับ”



หมับ



โฟล์คชะงักทันใด เมื่อจู่ๆ คนที่นอนป่วยอยู่กลับยกมือขึ้นมา แล้วแนบฝ่ามือเล็กเข้ากับฝ่ามือของเขาซึ่งกำลังใช้หลังมือแตะหน้าผากคนป่วยเพื่อวัดไข้ ทั้งยังบีบเบาๆ ด้วยอาการสั่นน้อยๆ



“ไม่ไป ผมไม่ไป พี่อย่าไปนะ...”



“เดี๋ยวครับภูมิ ...พี่จะไปทำไม”



“ก็เมื่อวาน...พี่ทำท่าเหมือนไม่อยากคุยกับผม ไม่อยากมองหน้าผม ฮึก...ผมป่วยอยู่นะเว้ย...พี่ห้ามไปนะ...”



ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้ภูมิขาดความยับยั้งชั่งใจ หรือเพราะภาพของแม่ในความทรงจำที่คอยดูแลเขามาตลอด จนถึงตอนนี้ที่เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนั้นมาเกือบปี ...เกือบปีที่ไม่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิด เกือบปีที่ไม่มีคนคอยเป็นห่วง เกือบปีที่ต้องเข้มแข็งและดูแลตัวเองมาตลอด...



“พี่จะทิ้งผมไปเหมือนแม่ใช่ไหม...ฮึก...ผมต้องอยู่คนเดียว...อีกแล้วใช่ไหมพี่โฟล์ค...”



“ภูมิ...”



“นอกจากแม่...ไม่เคยมีใครดูแลผมแบบนี้เลย พ่อ...พ่อก็ทำแต่งาน พี่ภาคย์ก็ไม่เคยสนใจ จนผมมาเจอพี่...ฮึก...แล้วพี่ก็จะทิ้งผมไปอีกคน ...ผมต้องไม่เหลือใครจริงๆ ใช่ไหมวะ...”



หมับ



โฟล์ครั้งร่างของอีกฝ่ายมากอดเต็มแรง กดศีรษะเล็กให้ซุกกับบ่ากว้าง มือก็ลูบหัวร่างเล็กซ้ำๆ หลายที



“ไม่ใช่นะครับภูมิ” คนที่ปกติจะรักษาท่าทีให้นิ่งเฉยกลับต้องพูดเสียงรัว ยิ่งพอได้ยินเสียงสะอื้นแรงๆ ของคนในอ้อมกอด เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากชกหน้าตัวเองสักล้านรอบ ...ไม่รู้ตัวเลยว่าความสับสนที่เกิดขึ้นในใจของเขาจะทำร้ายคนตัวเล็กขนาดนี้



เพราะภูมิเป็นเด็กที่มีปมเรื่องครอบครัว โดยเฉพาะการจากไปของผู้หญิงที่รักมากที่สุดในชีวิต และจากเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาทำให้ภูมิเห็นเขาเป็นที่พึ่ง แต่เขาก็เผลอทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายเพราะความสับสนบ้าๆ ที่ตัวเขาเป็นคนเริ่ม



...นี่เขาทำอะไรลงไป...



เหี้ยโฟล์ค แค่นี้มึงก็คิดไม่ได้เหรอวะ!



“ไม่เอาครับภูมิ ไม่ร้องนะ พี่ขอโทษ พี่จะไม่ทิ้งภูมิ พี่สัญญาครับ”



โฟล์คพูดซ้ำๆ อย่างนั้น กอดร่างเล็กไว้แน่นราวกับยืนยันในคำสัญญา จนกระทั่งคนในอ้อมกอดค่อยๆ สงบลง กระนั้นก็ยังมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดมาเป็นระยะ



“พี่โฟล์ค...ปล่อยได้แล้วล่ะ” ไม่นานนัก คนที่ร้องไห้อย่างหนักเมื่อครู่ก็พูดเสียงอู้อี้ก่อนดันอกเขาออกเบาๆ “ผมไม่เป็นไรแล้ว...”



 โฟล์คยอมปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ แต่ก็ยังใช้สายตามองด้วยความเป็นห่วง เห็นอีกฝ่ายเม้มปากแน่นราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป แถมหน้าแดงๆ ยังเบนหนีไปทางอื่นเหมือนไม่กล้าสบตาเขาอย่างไรอย่างนั้น



...แต่เพียงครู่เดียวก็หันหน้ากลับมา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิวที่ทำให้คนฟังใจสั่นไปวูบหนึ่ง



“พี่จะไม่ทิ้งผม...จริงๆ ใช่ไหม”



ดวงตาที่สบกันยังมีร่องรอยของการร้องไห้ อีกทั้งเจ้าของดวงตายังเผลอส่งกระแสอ้อนวอนมาโดยไม่รู้ตัว จนคนมองต้องกำหมัดแน่นราวกับหักห้ามใจอะไรบางอย่าง แต่เหมือนว่าความเงียบที่เกิดขึ้นจะทำให้คนป่วยเข้าใจไปอีกทาง แววตาที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยความหวังจึงหม่นแสงลง พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้าอีกครั้ง



“ผมขอโทษ พี่ลืมมันไปก็ได้นะ...”



เสียงสั่นๆ ที่เหมือนจะร้องไห้ทำให้โฟล์คหลุดถอนหายใจอย่างหมดความอดกลั้น เขายื่นมือไปสัมผัสข้างแก้มคนป่วยแผ่วเบา ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยคล้ายกระซิบ



“อยู่นิ่งๆ นะครับภูมิ”



เมื่อพูดจบโฟล์คก็เลื่อนหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า มือที่ตอนแรกทำเพียงแค่สัมผัสก็เปลี่ยนเป็นประคองใบหน้าขาวเนียน แม้จะรู้สึกว่าร่างเล็กผงะไป แต่เขาก็ใช้มืออีกข้างกระชับมือเล็กของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ  ก่อนจะโน้มหน้าลงใกล้จนแทบชิดติดกัน



กลิ่นกายอ่อนๆ จากคนตัวเล็กทำให้โฟล์คแทบสติกระเจิง ตัดสินใจแนบริมฝีปากลงกับหน้าผากอุ่นๆ ของคนป่วยแผ่วเบา กดย้ำอยู่อย่างนั้น...เหมือนกับคราวก่อนที่ภูมิมานอนค้างที่ห้องของเขา



ภูมิหลับตาปี๋ มีสติรู้ตัวเต็มร้อยว่าร่างสูงกำลังทำอะไร แต่กลับไม่มีความคิดที่จะถอยหนี เขารู้เพียงว่ามันอุ่น...อุ่นมากๆ



โฟล์คสูดลมหายใจเข้าทั้งที่ใบหน้ายังติดกัน ก่อนจะไล้ริมฝีปากต่ำลงเรื่อยๆ ขบเม้มปลายจมูกที่รั้นขึ้นนิดๆ จนเจ้าของใบหน้าแทบลืมหายใจ แล้วจึงเลื่อนริมฝีปากลงมาจนอยู่ระดับเดียวกับปากแดงๆ ของคนป่วย ชั่งใจอยู่เพียงครู่เดียว...ก่อนจะกดแนบลงไปจนสนิท



“อื้อ...”



ภูมิเผลอร้องประท้วงในลำคอ เงยหน้าขึ้นตามแรงดุนดันของริมฝีปากร้อนที่แนบกับตัวเอง มือก็คว้าปกเสื้อของร่างสูงไว้เป็นหลักประคอง



ร้อน...พี่โฟล์คร้อนมากเลย...



โฟล์คเลื่อนกายมาแนบชิดมากขึ้น บดเบียดริมฝีปากลงมาหนักขึ้น แต่ไม่ได้รุกล้ำใดๆ  ทำเพียงแค่ขบเม้มเบาๆ จนคนใต้ร่างใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรกับสัมผัสที่เพิ่งเคยได้รับเป็นครั้งแรกในชีวิต



ผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ จนเมื่อคนตัวเล็กครางประท้วงในลำคออีกครั้งพร้อมกับเผยอปากออกน้อยๆ ราวกับไม่มีอากาศหายใจ โฟล์คจึงค่อยๆ ผละออกมา มองร่างเล็กที่นิ่งงันเหมือนตะลึงค้าง จนเขาต้องหลุดยิ้มจางๆ  ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมาบนริมฝีปากแดงช้ำของคนตรงหน้า



...ไม่รู้ว่าเร็วไปหรือเปล่า...แต่เขาอดใจไม่ไหวแล้วจริงๆ...



“ที่ภูมิถามเมื่อกี้...พี่จะตอบให้ก็ได้นะครับ”



ร่างสูงพูดด้วยรอยยิ้ม สบกับดวงตาตื่นๆ ของอีกฝ่ายอย่างสื่อความหมาย ก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำเพื่อย้ำลึกเข้าไปในใจคนฟัง



“ครับ...พี่สัญญา พี่จะไม่ทิ้งภูมิ”



ใช่...หากต้องแลกกับการที่เห็นภูมิเจ็บ ไม่ว่าอะไรก็ไม่คุ้มทั้งนั้น ต่อให้เป็นคำพูดของเพื่อนสนิทหรือเหตุผลอื่นอีกมากมายก็ตาม...



--------------------------------- TBC --------------------------------



ผ่าม ผ้าม! จูบแรกตอนน้องป่วยค่า

พี่โฟล์คตกม้าตายง่ายมากจริงๆ แค่น้ำตาภูมิก็พอแล้ว ฮา

เจอกันวันพฤหัสค่ะ :)



CT.hamonigar

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 13 ความในใจคนป่วย (31/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-08-2018 07:40:14
อดใจไม่ไหว

อย่าลืมไปเครียตัวเองนะพี่

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 13 ความในใจคนป่วย (31/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-08-2018 18:03:37
โฟล์คชัดเจนกับตัวเองก่อนนะ  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 13 ความในใจคนป่วย (31/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 02-08-2018 19:40:22

Chapter 14 : ความสัมพันธ์ที่พัฒนา



            “พี่โฟล์ค มาช่วยกันเลือกหน่อยสิ”



              เสียงของร่างเล็กเจ้าของห้องแสดงความเครียดออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้โฟล์คต้องขยับจากการนั่งอ่านหนังสือบนเตียงมายืนใกล้ๆ ลูกศิษย์ที่กำลังนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน ทั้งยังต้องโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อจะมองหน้าจอโน้ตบุ๊คที่อีกฝ่ายชี้ให้ดูได้ถนัดตา



           “หืม...รูปถ่ายพวกนี้คืออะไรเหรอครับ” เขาถามเมื่อเห็นไฟล์ภาพเกือบสิบไฟล์ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งคงเป็นฝีมือเจ้าของโน้ตบุ๊คเองนี่แหละ



            “จะส่งประกวดน่ะ”



            “ประกวด?”



            “อื้อ อันนี้ไง”



            แล้วแผ่นกระดาษใบเล็กก็ถูกยื่นมาตรงหน้า เขากวาดสายตามองเล็กน้อยก่อนจะร้องอ๋อในใจ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร คนข้างตัวก็ดึงกระดาษกลับแล้วถามขึ้นมาอีกครั้ง



            “เนี่ย...หัวข้อ ‘มนุษย์กับธรรมชาติ’ ดูเหมือนธรรมดานะพี่โฟล์ค แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับเลือกไม่ถูก”



            “เพราะดูธรรมดานั่นแหละเลยหาอะไรที่โดดเด่นยาก” โฟล์คพูดแล้วยิ้มให้ พอเห็นว่าอีกฝ่ายยกมือเกาหัวตัวเองแกรกๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  ก่อนจะยกมือขึ้นโอบไหล่เล็กแล้วเลื่อนหน้าไปกระซิบริมหู “...เอาภาพที่ภูมิชอบนั่นแหละครับ”



            “นั่นสิ...เฮ้ย!” ตอนแรกภูมิก็เออออไป แต่พอหันไปเจอใบหน้าของร่างสูงที่จงใจยื่นมาใกล้จนแทบติดกันก็ต้องผงะ หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แล้วมือเล็กก็พยายามดันอกชายหนุ่มออก ซึ่งคนโดนผลักก็ยอมถอยตามแรงโดยไม่ว่าอะไร แถมยังส่งรอยยิ้มมุมปากมาให้ จนคนที่นั่งบนเก้าอี้ต้องเม้มปากแน่น หันหน้ากลับทางเดิมอย่างรวดเร็ว “ไม่เอาแล้ว ผมเลือกเองก็ได้ พี่กลับไปอ่านหนังสือเลยไป”



            พูดรัวเร็วเสียจนดูออกทันทีว่ากำลังกลบเกลื่อนอาการเขิน  โฟล์คได้แต่นึกเอ็นดูในใจก่อนตอบออกไปพร้อมรอยยิ้ม



            “ครับผม”



            โอ๊ย...ยังจะมาพูดครับใส่กูอีก เขินเว้ย!



          ภูมิได้แต่บ่นขมุบขมิบในใจ พยายามเพ่งสมาธิกับภาพนับสิบภาพในโน้ตบุ๊ค ทำทีเป็นจดจ่อกับการเลือกรูป ทั้งๆ ที่ในใจน่ะ...มีแต่หน้าของครูสอนพิเศษลอยเต็มไปหมด



            ตั้งแต่วันที่เขาไม่สบายก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆ แล้ว แน่นอนว่าตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ที่เหมือนจะแตกต่างจากเดิมคือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่โฟล์ค แม้ยังไม่ชัดเจนนัก...แต่ก็ไม่อึดอัดเหมือนที่ผ่านมา



            ภูมิไม่แน่ใจว่าจะนิยามความสัมพันธ์ครั้งนี้อย่างไร ราวกับทั้งเขาและพี่โฟล์คเข้าใจตรงกันว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมา อีกทั้งความรู้สึกที่ภูมิมีต่ออีกฝ่ายก็ดูจะมากขึ้นเรื่อยๆ ...ชนิดที่ว่าคงกู่กลับยากทีเดียว



            โดยเฉพาะหลังจากจูบเบาๆ ที่เพิ่งเคยได้รับเป็นครั้งแรกในชีวิต ภูมิยอมรับว่ามันคือความรู้สึกพิเศษ และโล่งใจไม่น้อยที่หลังจากนั้นพี่โฟล์คก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย นอกจากแกล้งยื่นหน้ามาใกล้เป็นครั้งคราว หรือบางทีก็มีแตะต้องตัวเล็กน้อย ...ไม่อย่างนั้นไอ้ภูมิคนนี้คงทำตัวไม่ถูกแน่ๆ



            และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า...แต่พี่โฟล์คดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิมเยอะเลย



            ปกติครูสอนพิเศษของเขาจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก เรียกได้ว่าวางตัวเป็นผู้ใหญ่แบบที่เขายังอดเกรงหน่อยๆ ไม่ได้ แต่พักหลังมานี้พี่โฟล์คกลับทำตัวแปลกไป บางครั้งก็ชอบส่งรอยยิ้มดูแฝงความนัยเหมือนจะแกล้งให้คนได้รับใจสั่นเล่นๆ  หรือบางทีก็ชอบเข้ามาใกล้บ้างล่ะ โอบเอวบ้างล่ะ กระซิบข้างหูบ่อยๆ บ้างล่ะ ซึ่งถ้าภูมิไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ...ผู้ชายปกติเขาไม่ทำแบบนี้กันหรอก



            แม้จะไม่ได้มีการนัดติว แต่หากพี่โฟล์คว่างก็มักจะแวะมาบ้านเขาบ่อยๆ  อย่างเช่นวันนี้ที่เจ้าตัวบอกว่าเรียนเสร็จเร็วเลยแวะไปรับที่โรงเรียน ก่อนจะพามาส่งบ้าน แต่แทนที่จะขับรถกลับคอนโด พี่โฟล์คกลับบอกว่าขอนั่งเล่นบ้านนี้สักพัก แล้วก็มาขลุกอยู่ห้องเขาเสียอย่างนั้น



            ส่วนพี่ภาคย์ก็เหมือนจะชินแล้วเลยไม่ได้สงสัยอะไร บอกตามตรงว่าครั้งแรกที่พี่โฟล์คเล่าเรื่องที่พี่ชายของเขาไม่ยอมรับความรักร่วมเพศ ไอ้ภูมิคนนี้ถึงกับเครียดไปหลายวัน แต่เพราะพี่โฟล์คช่วยปลอบไม่ให้เขาคิดมาก เขาจึงทำตัวตามปกติได้โดยระวังเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าพี่ภาคย์เท่านั้น



            ส่วนลับหลังน่ะหรือ...ก็เป็นอย่างเมื่อกี้ไงเล่า



            “หนึ่งทุ่มแล้วนะ พี่จะอยู่ถึงกี่โมงเนี่ย” ภูมิหันไปถามคนที่นั่งอ่านหนังสือบนเตียง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับเรียบง่ายโดยที่ไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือด้วยซ้ำ



            “คงอีกสักพักมั้งครับ”



            แล้วสักพักของพี่มันเท่าไหร่วะ สิบนาที หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง หรือจะอยู่ถึงเช้าล่ะเฮ้ย



          ภูมิได้แต่โคลงหัวไปมา หันมาสนใจการเลือกไฟล์รูปในโน้ตบุ๊คต่อ “ตามใจพี่เถอะ ระวังพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหวล่ะ”



            “ถ้าเป็นห่วงก็โทรมาปลุกสิครับ”



            “ไม่โทรหรอก เฮ้ย...เดี๋ยวๆ  ใครเป็นห่วงพี่วะ!”



            โฟล์คหัวเราะขึ้นมาทันทีจนคนตัวเล็กต้องหันไปค้อนขวับ ขมวดคิ้วหน่อยๆ ให้ดูขึงขัง แต่คนตัวสูงมีหรือจะกลัว...ไม่เลยสักนิด



            ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์โนเกียคู่ใจของเจ้าของห้องก็สั่นครืดๆ  สงครามประสาทจึงต้องหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ก่อนที่ภูมิจะเอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะมาดูชื่อคนโทรเข้า ก่อนกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป



            “ฮัลโหลไอ้ปิง เออ...มีอะไร ...หืม มีน้องในชมรมมึงจะส่งประกวดบทหนัง? เอาดิ แต่ไม่มีเส้นนะเว้ยบอกไว้ก่อน ...อะไรนะ วิธีการเขียนบท? เขียนตามใจเลย เอาให้รู้ว่าอยากสื่ออะไร เดี๋ยวยังไงก็ต้องเอามาตบมาแก้อยู่แล้ว ...นั่นแหละ แต่ยังไงก็อย่าลืมเร่งน้องเขานะเว้ย กำหนดส่งอาทิตย์หน้า ไม่งั้นตัดสิทธิ์ ...เออน่าไม่ต้องบ่น รู้ครับว่ามึงรู้แล้ว กูแค่เตือนเว้ย เออ...ตามนั้น โอเค บาย”



            พอคุยเสร็จก็กดตัดสาย ตั้งใจจะหันไปเลือกรูปอย่างจริงจัง ทว่ากลับสะดุดกับสายตาของร่างสูงที่จ้องมาตาไม่กระพริบ จนต้องถามกลับแบบงงๆ “พี่โฟล์คมีอะไรเปล่า”



            “เพื่อนภูมิเหรอครับ ไม่เห็นคุ้นชื่อ”



            “อ้อ ไอ้ปิงปองเหรอ เพื่อนใหม่ผมน่ะ มันอยู่ชมรมฟิล์ม แล้วก็มีโปรเจกต์จะทำหนังสั้นด้วยกัน... แป๊บนึงนะพี่โฟล์ค” ภูมิพูดค้างไว้แค่นั้นเพราะโทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นมาอีกรอบ เห็นเป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกไว้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร กดรับด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ฮัลโหลครับ”



            โฟล์คมองร่างเล็กที่ยกโทรศัพท์แนบหูด้วยความฉงน เพราะเขาไม่ค่อยเห็นภูมิคุยโทรศัพท์เท่าไหร่นัก



            “ใช่ครับ พี่เอง อ้อ ตอนนี้เราแค่ประกาศคร่าวๆ ไว้ก่อนครับ แต่การคัดเลือกนักแสดงจริงๆ จะมีหลังจากบทหนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงจะเริ่มการออดิชั่น ถ้ายังไงสามาถติดต่อพี่แซนดี้ประธานชมรมการแสดงนะครับ แล้วเราจะแจ้งเบอร์ติดต่อกับรายละเอียดให้อีกครั้ง ...ครับผม ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่สนใจนะครับ ชวนเพื่อนมาได้อีกนะ ...โอเคครับ สวัสดีครับ”



แล้วเจ้าของโทรศัพท์ก็กดวางสายก่อนถอนหายใจยาว ก่อนจะหันมาคุยกับร่างสูงต่อ



“ตามนั้นแหละพี่ ผมจะทำหนังสั้นกับเพื่อน ตอนนี้ก็เริ่มรับบทหนังมาคัดเลือกแล้ว แถมเมื่อเช้าก็เพิ่งจะแง้มๆ เรื่องการออดิชั่นนักแสดง เลยมีคนโทรมาถามรายละเอียดเยอะ ตั้งแต่ในคาบเรียนยันตอนนี้นี่แหละพี่ ฮ่าๆ”



“ก็ดีสิครับ” โฟล์คพูดด้วยรอยยิ้ม แม้จะรู้เกี่ยวกับโปรเจกต์นี้มาแล้วจากการแอบดูกระดาษจดงานเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่พอเห็นสีหน้าของคนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้ ก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวกำลังสนุกมากๆ



“เอ่อ งั้น...ผมเลือกรูปต่อนะ” พอเห็นร่างสูงเงียบไป ภูมิก็ทำตัวไม่ถูก ทั้งยังรู้สึกหน้าร้อนนิดๆ กับรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งให้ เลยพูดเบาๆ คล้ายพึมพำกับตัวเองก่อนหันกลับไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊คอีกครั้ง



...ยังไงก็ไม่ชินสักที เมื่อไหร่พี่โฟล์คจะเลิกทำให้เขาเขินวะ!



ผ่านไปเกือบชั่วโมงนั่นแหละ ครูสอนพิเศษของเขาถึงจะยอมกลับไป แต่ภูมิไม่ได้ลงไปส่งเพราะกลัวพี่ชายตัวเองสงสัย จึงได้แต่เปิดผ้าม่านสีครีมที่อยู่เยื้องโต๊ะทำงาน มองร่างสูงที่กำลังเดินไปขึ้นรถผ่านกระจกบานเล็กของห้องนอนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม



หลังจากนั้นไม่ถึงสามนาทีก็มีเสียงเตือนข้อความเข้า ภูมิเดาออกทันทีว่าใครส่งมา ...พี่โฟล์คทำอย่างนี้เสมอตอนกลับบ้าน



‘ตั้งใจนะครับ อย่าหักโหม อย่านอนดึกด้วย ถ้าป่วยอีกพี่ช่วยไม่ได้นะ ฝันดีครับภูมิ’



เขายิ้มออกมาทันที รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดกับประโยคธรรมดาไม่กี่ประโยค แต่ถ้าให้เลือก...เขาก็ยินดีที่จะเป็นคนบ้าแบบนี้ไปอีกนานๆ นั่นแหละ



ภูมิใช้เวลาไม่นานในการพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ก่อนจะหันกลับมาสนใจการแต่งภาพที่เลือกเสร็จแล้ว เพื่อเตรียมสำหรับส่งประกวด











 

ในอีกด้านหนึ่ง ร่างสูงของโฟล์คกำลังยืนซื้อน้ำปั่นจากร้านริมถนน พอจ่ายเงินเรียบร้อยก็ถือแก้วน้ำพลาสติกเตรียมเดินขึ้นรถ แต่แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้เจ้าของร่างชะงัก ก่อนจะล้วงหยิบไอโฟนสีดำขึ้นมาดู



ข้อความที่ปรากฏทำให้เขาต้องยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้



‘ขับรถดีๆ นะพี่ ฝันดีเหมือนกัน’











 

“โห ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะมึง รู้เลยว่าคิดถึงใคร”



ภูมิถึงกับสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ เพื่อนสนิทสุดรักที่ชักจะกวนประสาทขึ้นทุกวันก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่ของเขา ทั้งยังส่งเสียงแซวมาก่อนเห็นหน้า จนคนถูกแซวต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับปัดมือออก



“กูเปล่าสักหน่อย”



“เชื่อตายเลย”



พอถูกสวนอย่างรู้ทัน ภูมิก็ได้แต่กลอกตาไปมา ทำทีเป็นเก็บหนังสือเรียนบนโต๊ะด้วยท่าทางเอือมระอาสุดขีด



...ให้ตายก็ไม่ยอมรับหรอกว่าไอ้ซันเดาได้ตรงเผง... ก็เมื่อกี้พี่โฟล์คเพิ่งส่งข้อความมาบอกว่าเย็นนี้จะมารับนี่นา



นับวันความรู้สึกของเขาชักจะเพิ่มขึ้นทุกที แถมยังเร็วเสียจนต้องพยายามควบคุมไม่ให้เผลอแสดงออกมากเกินไป คิดดูสิ...แค่อีกฝ่ายบอกว่าจะมารับก็ดีใจขนาดนี้แล้ว



“กูไปห้องดนตรีแล้วนะ เจอกันพรุ่งนี้” ภูมิหันไปบอกซันหลังเก็บของเสร็จ พยายามไม่สนใจสายตาเจ้าเล่ห์ของเพื่อนซี้แล้วเดินออกจากห้องไปทันที



ด้วยความที่ห้องดนตรีอยู่ตึกด้านหลังซึ่งตรงข้ามกับประตูโรงเรียน ภูมิจึงจำเป็นต้องเดินเบียดสวนกับคนที่ตั้งใจจะกลับบ้าน บางครั้งเขาก็อยากให้เพิ่มความกว้างของทางเดินบนตึกมากกว่านี้ อย่างน้อยตอนเดินเปลี่ยนคาบเรียนหรือตอนโรงเรียนเลิกจะได้เดินสบายๆ หน่อย



ทว่าเมื่อภูมิเปิดประตูห้องดนตรีเข้ามา บุคคลที่ไม่คิดว่าจะอยู่ในห้องก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว



“ไอ้ปิงปอง?”



ประธานชมรมฟิล์มได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนฉีกยิ้มแล้วยักคิ้วให้ผู้มาใหม่หนึ่งที “มาช้านะเว้ย ‘จารย์ปล่อยเลทหรือไง”



“เออ” ภูมิตอบง่ายๆ ขณะเดินเอากระเป๋าไปวางบนเก้าอี้ “แล้วมึงมาทำอะไร ชมรมฟิล์มไม่นัดเหรอ”



“วันนี้งด มีหลายคนไม่ว่าง” ไอ้ปิงปองพูดโดยไม่ได้สบตา เพราะมัวแต่ก้มหน้าเพ่งสมาธิกับกีตาร์โปร่งในมือ แบบที่ภูมิต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน ก่อนเอ่ยถาม



“มึงเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ”



คนถูกถามเงยหน้าขึ้นทันใด ตอบด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “ถ้ากูเล่นเป็นคงไม่มาฝึกจับคอร์ดซีหรอก ยังบอดอยู่เลยเนี่ย ไอ้วิทย์เพิ่งสอนกูเมื่อกี้” ว่าจบก็พยักพเยิดไปทางอีกมุมหนึ่งของห้องซึ่งมีกีตาร์โปร่งวางไว้นับสิบตัว โดยมีเด็กมอต้นประมาณสี่ห้าคนกำลังนั่งล้อมวงกัน ทุกคนถือกีตาร์ไว้คนละตัวอย่างตั้งใจ และจดจ่อกับสิ่งที่คนที่นั่งตรงกลางกำลังสอน



นั่นคือ ‘ไอ้วิทย์’ รุ่นน้องมอสี่ ตำแหน่งมือกีตาร์คอร์ด หรือกีตาร์ริทึ่มในวงดนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่จะช่วยคุมวงตอนที่ภูมิต้องโซโล่ และบางครั้งก็จะช่วยกันเล่นประสานด้วย



ใกล้ๆ กันนั้นมีกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ละคนถือไม้กลองไว้คนละคู่ กำลังตีจังหวะตามที่ ‘พี่แฟ้ม’ รุ่นพี่มอหก ตำแหน่งมือกลองของวงเคาะจังหวะให้ ถัดไปข้างๆ ก็มีกลุ่มของพี่เก่ง รุ่นพี่มือเบสประจำวงกำลังสอนพื้นฐานของการเล่นเบสให้รุ่นน้องฟัง แต่อาจเป็นเพราะมีคนนิยมเบสไม่มากเท่ากีตาร์ เด็กที่พี่เก่งสอนจึงมีเพียงคนเดียว



            นี่คือกิจกรรมหนึ่งของชมรมดนตรีสากลที่สมาชิกทุกคนต้องมีส่วนร่วม นั่นคือการ ‘สอนน้องใหม่’



            ตามปกติวงของภูมิจะนัดซ้อมกันทุกเช้า ส่วนตอนเย็นจะนัดซ้อมแค่จันทร์ พุธ ศุกร์ ส่วนวันอังคารกับพฤหัสจะเป็นการสอนดนตรีให้น้องๆ ที่สนใจในด้านดนตรี ทั้งมีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ โดยสมาชิกแต่ละคนของชมรมจะแบ่งกันสอนน้องตามเครื่องดนตรีที่ตัวเองถนัด



            วันนี้เป็นวันพฤหัส ห้องซ้อมดนตรีจึงกลายเป็นแหล่งรวมพลคนดนตรีขนาดย่อม ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มของกีตาร์ เบส และกลอง ส่วนคนที่สนใจด้านเปียโนหรือการร้องเพลงจะอยู่อีกห้องหนึ่งซึ่งกว้างกว่า เป็นห้องที่เชื่อมกันด้วยประตูเพียงบานเดียว โดยห้องนั้นจะมีพื้นที่ว่างเยอะกว่าเพราะใช้ในการเรียนการสอนวิชาดนตรีในคาบปกติ อีกทั้งยังมีเปียโนไฟฟ้าหลายหลัง ส่วนคนที่สนใจเครื่องดนตรีในวงดุริยางค์ก็จะอยู่ห้องนี้เช่นกัน เพราะหลังสุดของห้องเป็นตู้เก็บเครื่องดนตรีของวงดุริยางค์นั่นเอง



            สำหรับการสอนของวงดุริยางค์ ภูมิเข้าไปช่วยอะไรมากไม่ได้เพราะไม่มีความรู้ทางด้านนี้ ทำได้เพียงช่วยพี่เก่งคุมภาพรวมการสอนคร่าวๆ ตามหน้าที่รองประธานชมรมเท่านั้น



“แล้วทำไมมึงไม่ไปรวมกลุ่มกับเด็กมอต้นวะ” ภูมิหันไปถามไอ้ปิงปองซึ่งนั่งดีดกีตาร์คนเดียว แล้วก็ได้รับคำตอบแบบที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว



“กูอยากเล่นคนเดียวนี่หว่า”



ภูมิส่ายหัวไปมา “เออ...ตามใจ กูไปช่วยไอ้วิทย์สอนเด็กก่อนนะ”



ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลของไอ้ประธานชมรมฟิล์มสักนิด เพราะตั้งแต่รู้จักมันมา บอกได้เลยว่ามันเป็นคนที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลแบบสุดๆ  แต่โชคดีที่ยังไม่งี่เง่าจนสุดโต่ง ไม่งั้นชมรมของมันคงเจ๊งไม่เป็นท่า



“อ้าวพี่ภูมิ หวัดดีครับพี่” ไอ้วิทย์ที่นั่งอยู่กลางวงเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นเขา ซึ่งเขาก็โบกมือรับง่ายๆ  แล้วเข้าไปกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน



“เป็นไงบ้าง น้องโอเคไหม”



“โอเคนะพี่ แต่คงต้องดูกันยาวๆ แหละ บางคนเริ่มต้นดี สุดท้ายก็ขี้เกียจ”



“เฮ้อ นั่นสินะ” ภูมิส่ายหัวหน่อยๆ “ถ้าไม่อดทนก็คงยากหน่อย”



เขานั่งสอนน้องอีกครู่ใหญ่ หรือถ้าพูดให้ถูกคือไอ้วิทย์เป็นคนสอน ส่วนเขาแค่ช่วยเสริมบ้างเล็กน้อย เพราะเขามั่นใจว่ารุ่นน้องคนนี้เก่งพอจะสอนพื้นฐานได้สบายๆ



แต่แล้วภูมิก็เผลอเหลือบไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง ไอ้เพื่อนจากชมรมฟิล์มของเขาก็ยังนั่งดีดกีตาร์อยู่เหมือนเดิม แถมยังมีอุปกรณ์เสริมเป็นสแตนด์ตั้งโน้ตสีดำที่มีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด...กระดาษแผ่นนั้นคือคอร์ดของเพลงล่าสุดที่วงของเขากำลังหัดเล่นไม่ใช่หรือ...



“ฮึ่ย...คอร์ดอะไรวะ” ปิงปองได้แต่พึมพำกับตัวเองขณะเพ่งมองกระดาษตรงหน้า ตอนแรกแค่เบื่อๆ กับการจับคอร์ดเดิมซ้ำๆ เลยคว้าโน้ตเพลงแถวนี้มาดีดเล่น นึกว่าจะไม่ยาก แต่ที่ไหนได้...แค่คอร์ดแรกเขาก็ไปไม่เป็นแล้ว



แต่แล้วโน้ตเพลงก็ถูกดึงออกไปด้วยฝีมือของรองประธานชมรมดนตรี ที่บัดนี้กำลังหรี่ตามองกระดาษในมือสลับกับคนที่นั่งบนอยู่ ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ “เล่นเป็น?”



“ก็...ไม่”



“สมควร”



“โธ่ กูแค่หยิบมาดูเฉยๆ น่า ก็คอร์ดมันยากนี่หว่า” ปิงปองโอดครวญ ซึ่งดูน่าหัวเราะมากกว่าน่าสงสาร “มีเพลงไหนง่ายๆ ปะ กูขี้เกียจดีดคอร์ดอย่างเดียวแล้ว”



“เฮ้อ” ภูมิกลอกตาไปมา แต่ก็ยอมเลือกโน้ตเพลงที่เล่นไม่ยากนักมาให้ “ลองดูเพลงนี้ ตีคอร์ดเป็นจังหวะที่ไอ้วิทย์สอนนั่นแหละ อ่า...แป๊บนะ”



ปิงปองมองเพื่อนข้างตัวที่ก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของไอ้เพื่อนคนนี้ที่เหมือนจะหน้าแดงขึ้น ซ้ำยังดูประหม่าตอนกดรับสาย



“ฮะ...ฮัลโหล”



แล้วไอ้เสียงสั่นๆ นี่คืออะไรวะ ยังกับแฟนโทรมางั้นแหละ



ปิงปองคิดกับตัวเองเล่นๆ  เมื่อเห็นว่ารองประธานชมรมดนตรีที่ดูจริงจังตอนทำงาน กำลังแสดงอีกมุมหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน จนอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าปลายสายเป็นใคร



และเท่าที่รู้จักกันมา...ไอ้ภูมิก็ไม่น่ามีแฟน



“วันนี้ไม่มีซ้อมน่ะ กลับเลยก็ได้ พี่จะได้ไม่ต้องรอ อืม โอเค งั้นเดี๋ยวผมออกไปเลย รถจอดข้างหน้าเหมือนเดิมใช่ไหมพี่ ...โอเคๆ”



พอวางสายปุ๊บ ภูมิก็หันไปเก็บกระเป๋าทันที แบบที่ลืมเพื่อนอีกคนไปเสียสนิท จนคนถูกลืมต้องร้องท้วงไว้



“เฮ้ยเดี๋ยวดิ จะกลับแล้วเหรอ”



“อืม วันนี้มีคนมารับ”



“ไปด้วยๆ”



ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ ปิงปองก็รีบวางกีตาร์ เก็บโน้ต เก็บสแตนด์ ก่อนจะหยิบกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว



“เฮ้ย ทำไมต้องไปพร้อมกู” ภูมิแย้งขึ้นมาทันที ทว่าก็ได้รับคำตอบทันควัน



“กูจะกลับอยู่แล้วต่างหากเล่า” ปิงปองยิ้มเผล่ ลอยหน้าลอยตาตอบ “ไปหน้าโรงเรียนใช่ไหม เร็วๆ ดิ”



สุดท้ายภูมิก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ประธานชมรมฟิล์มเห็นดังนั้นก็ยิ้มร่า จัดการล็อกคอเพื่อนตัวเองแล้วเป็นฝ่ายเดินนำ ด้วยความที่ปิงปองตัวสูงกว่ามากจึงสามารถลากคอคนข้างๆ ให้เดินไปพร้อมกันได้สบาย



เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน ภูมิก็ชี้ไปที่รถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ริมฟุตบาท “คันนั้นแหละ”



“เหยด! เบนซ์เลยเหรอวะ บ้านมึงรวยน่าดูนะเนี่ย”



“รถของเพื่อนพี่กูต่างหาก เขาผ่านทางนี้เลยแวะรับ” ภูมิตอบส่งๆ โดยไม่สนใจสายตาวาววับของเพื่อนข้างตัว



“แล้วเพื่อนของพี่มึงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”



“ผู้ชาย” เขากระชับเป้ที่สะพายไว้ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงงุนงง “ถามทำไมวะ”



“เปล๊า”



ถ้าเป็นผู้หญิงกูจะได้สรุปไงว่ามึงแอบมีแฟน แต่ถ้าเป็นผู้ชายมึงก็พ้นข้อหาแล้ว



ปิงปองแอบคิดกับตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้...ความคิดเขาอาจเปลี่ยนไปจากเดิม



“อ้าวพี่โฟล์ค”



เสียงของเพื่อนข้างตัวที่ร้องออกมาอย่างประหลาดใจ ทำให้ปิงปองต้องหันไปตามเสียง ก่อนจะพบกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยกำลังเดินเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำ ส่วนอีกข้างถือถุงกระดาษสีน้ำตาลสกรีนโลโก้ร้านฟาสต์ฟู้ด และสิ่งที่เตะตาเขามากที่สุดเห็นจะเป็นออร่าแห่งความดูดีที่แผ่ออกมาเต็มเปี่ยม แบบที่ปิงปองยืนยันได้ว่านักเรียนชายคนอื่นๆ ในโรงเรียนไม่มีใครดูดีเท่านี้อีกแล้ว



แต่ประเด็นคือ...ไอ้ภูมิหน้าแดงทำไมวะ



เขาได้แต่คิดอย่างสงสัย ขณะที่สายตาก็จ้องร่างสูงของคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ แม้จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายมองเขากลับอย่างงงๆ  แต่เมื่อเขาไม่โต้ตอบอะไร ชายหนุ่มร่างสูงก็หันไปคุยกับเพื่อนของเขาแทน



“พี่มาถึงเร็วเลยไปซื้อมาให้ รอนานหรือยังครับ”



“เพิ่งมาเองพี่ กำลังจะเดินไปที่รถพอดี”



อื้อหือ...แล้วทำไมเพื่อนเขาต้องหน้าแดงกว่าเดิม แถมหลบสายตาด้วยวะ



“โอเคครับ งั้นไปขึ้นรถกัน”



โห...พอยิ้มแล้วเพอร์เฟคโคตร พี่แกเป็นนายแบบหรือไงวะ!



แต่ก่อนที่นายปิงปองจะรู้สึกกลายเป็นคนนอกมากกว่านี้ ชายหนุ่มผู้มาใหม่ก็หันมาทางเขาพร้อมเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ “ภูมิครับ แล้วคนนี้...”



“อ้อ เพื่อนผมเอง ชื่อปิงปอง”



“ปิงปอง...คนที่คุยโทรศัพท์กับภูมิเมื่อวานใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ คล้ายทวนความจำ ก่อนจะส่งยิ้มสุภาพให้เขา “สวัสดีครับ พี่ชื่อโฟล์คนะ”



“อ้อ ดีครับพี่” เขายิ้มกลับแทบไม่ทัน เพราะรู้สึกสะดุดกับประโยคก่อนหน้านี้ที่พี่โฟล์คพูด



เมื่อวานที่เขาคุยโทรศัพท์กับไอ้ภูมิงั้นหรือ...นั่นมันดึกแล้วนะ



...ดูท่าสองคนนี้คงสนิทกันมากกว่าที่เขาคิด...



แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ปิงปองก็สลัดความคิดนั้นออกไป ...จะคิดมากทำไมวะ ก็แค่ผู้ชายกับผู้ชาย ไอ้ภูมิเพื่อนเขาไม่ใช่เกย์เสียหน่อย



“แล้วปิงปองกลับยังไงครับ”



“ฮะ? อ้อ...” เมื่ออีกฝ่ายถามมาอย่างนั้นเขาจำต้องดึงสติกลับมา ก่อนเอ่ยตอบตามจริง “เดี๋ยวผมนั่งรถเมล์ไปสองสามป้าย แล้วก็ต่อรถตู้น่ะ”



“อ้อ ตรงที่เป็นคิวรถตู้ใช่ไหม” ภูมิพูดขึ้นมา แล้วจึงหันไปถามร่างสูงที่ยืนข้างๆ “เราก็ผ่านทางนั้นนี่นา ใช่ไหมพี่โฟล์ค”



“ใช่ครับ”



“งั้นไปด้วยกันไหมล่ะ” แล้วภูมิก็หันกลับมาถามเขาอย่างอารมณ์ดี คนถูกถามเม้มปากอย่างลังเลใจ ...ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปหรอก ถ้าไปก็จะประหยัดค่ารถเมล์ได้ตั้งสิบบาท ติดแต่ว่าเกรงใจคนที่เพิ่งรู้จักกันอย่างพี่โฟล์คน่ะสิ



“นั่นสิ ไปด้วยกันก็ได้นะ พี่ผ่านอยู่แล้ว”



“เอ้อ...จะดีเหรอพี่ แหะๆ” พูดไปก็เหลือบไปมองรถเบนซ์คันสีดำเงาวับอย่างไม่แน่ใจ แต่พอได้รับคำยืนยันเป็นการพยักหน้าอย่างแข็งขันของไอ้ภูมิ กับรอยยิ้มสุภาพของพี่โฟล์ค ปิงปองก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนส่งยิ้มทะเล้นตามแบบฉบับของตัวเอง “งั้นรบกวนด้วยนะพี่ ผมคงไม่ได้ไปเป็นก้างขวางคอทั้งสองคนใช่ปะ ฮ่าๆ”



คนพูดน่ะพูดเล่น แต่คนฟังทั้งสองคนกลับชะงักไปทันที



“อ้าว ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ พูดเล่นเว้ยพูดเล่น” ปิงปองรีบแก้เมื่อเห็นอาการตาโตเป็นไข่ห่านของภูมิ ซึ่งพออีกฝ่ายรู้ตัวก็รีบเก็บอาการทันที คนพูดเล่นจึงหัวเราะลั่นตามหลังอีกรอบ “ฮ่าๆ ช็อกกันเลยดิ ขอโทษๆ จะไปกันยัง”



ปิงปองแสร้งทำหน้าระรื่นอย่างไม่คิดอะไรมาก ทั้งที่ต่อมความอยากรู้อยากเห็นกำลังแสดงอาการเต็มที่



และแน่นอน...คนอย่างไอ้ปิงปองเกิดสงสัยอะไรแล้ว รับรองมีเคลียร์!





------------------------------- TBC ------------------------------



สบายๆ ค่ะช่วงนี้ ให้ทั้งคนพี่คนน้องได้พักหัวใจกันหน่อย แฮ่



เจอกันวันเสาร์ค่า



CT.hamonigar

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 14 ความสัมพันธ์ (02/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-08-2018 19:56:40
รอความหวาน
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 14 ความสัมพันธ์ (02/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 03-08-2018 00:11:49
น่ารัก
ไม่อยากให้ดราม่าเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 14 ความสัมพันธ์ (02/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 04-08-2018 23:47:28
Chapter 15 : ความอบอุ่น



            “งั้นตอนนี้ปิงปองก็กำลังทำโปรเจกต์กับภูมิอยู่ใช่ไหมครับ”



            “ถูกต้องนะคร้าบ” ปิงปองยิ้มร่า ตอบคำถามเสียงใส จนเจ้าของคำถามที่กำลังขับรถอดหัวเราะหน่อยๆ ไม่ได้



            “พวกผมทำร่วมกันสามชมรมน่ะ” ภูมิที่นั่งเบาะข้างคนขับพูดขึ้นมา ก่อนหันไปเหล่เพื่อนตัวเองที่นั่งเบาะหลัง “ไอ้ปิงปองเป็นประธานชมรมฟิล์ม ส่วนอีกชมรมคือชมรมการแสดง”



            แล้วปิงปองก็พยักหน้าตอบรับทันที “ใช่ๆ พี่โฟล์ครู้ปะว่าประธานชมรมการแสดงสวยโคตร ไอ้ภูมิงี้มองตาค้างเลย”



            กึก



            เกิดอาการชะงักขึ้นกับคนสองคน คนหนึ่งคือเจ้าของชื่อที่ถูกอ้างในประโยคข้างต้น ส่วนอีกคนคือร่างสูงเจ้าของรถที่เผลอกลั้นลมหายใจแวบหนึ่ง ภูมิทำหน้าเหลอหลาเหมือนตั้งตัวไม่ถูก ก่อนจะหันไปส่งสายตาคล้ายพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหากับชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ซึ่งร่างสูงก็เพ่งสมาธิมองถนนด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนระบายยิ้มอ่อนโยนอย่างเป็นธรรมชาติ



            “จริงเหรอครับ พี่อยากเจอซะแล้วสิ”



            และแน่นอนว่าปฏิกิริยาทั้งหมด...อยู่ในสายตานายปิงปองคนนี้เรียบร้อย



            “ไว้พี่โฟล์คมารับไอ้ภูมิวันที่มีประชุมกันทั้งสามชมรมสิ ได้เจอแน่” เขายังส่งเสียงเจื้อยแจ้วต่อไป ไม่สนใจสายตาคุกรุ่นของเพื่อนจากชมรมดนตรีที่เหมือนจะแผ่รังสีอำมหิตมาให้



            “พูดพล่อยๆ นะมึง กูไม่เคยมองแซนดี้ตาค้างเสียหน่อย มีแต่มึงนั่นแหละมองทั้งแซนดี้ทั้งพี่หมวยตาเป็นประกายเชียว”



            “เอ้า มีของสวยๆ งามๆ ใกล้ตัวก็ต้องเสพสิวะ” ปิงปองพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ก่อนจะทำท่าชะงัก “หรือว่า...มึงไม่สนใจผู้หญิง”



“เฮ้ย อะไรของมึงเนี่ย!”



ภูมิรีบโวยวาย รู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนม แต่ปิงปองก็ทำเพียงหัวเราะแล้วโบกมือไปมา



“กูล้อเล่นน่า”



ว่าแล้วก็ทำทีเป็นสนใจของกินที่เจ้าของรถซื้อมา จนคนโดนแกล้งต้องกัดปากตัวเองหน่อยๆ เบนหน้าหนีไปนอกรถอย่างกลัวจะหลุดพิรุธอะไรอีก



ในขณะเดียวกัน ประธานชมรมฟิล์มที่ทำทีเป็นสนใจแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตก็กำลังลอบยิ้มกับตัวเองเบาๆ  รู้สึกว่าแกล้งแหย่เพื่อนตัวเองมากพอแล้ว จึงยอมเงียบเสียงลงโดยไม่เซ้าซี้อะไรเพิ่มเติม



เมื่อเห็นว่าบทสนทนาในรถเริ่มเงียบ โฟล์คที่ทำตัวเป็นปกติมาตลอดทางก็หันมาถามรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกัน “แล้วนี่ปิงปองอยากเข้าคณะอะไรครับ”



“ผมเหรอ อืม...” เจ้าตัวทำทีเป็นลากเสียงยาวเหมือนครุ่นคิด ทว่าคำตอบต่อมาก็เปี่ยมด้วยความมั่นใจ “ก็ต้องนิเทศสิพี่”



ขวับ



เพียงได้ยินชื่อคณะที่คุ้นหู ภูมิก็หันกลับมาหาคนพูดทันที ดวงตาเบิกกว้างหน่อยๆ เพราะไม่เคยรู้มาก่อน



“อ้อ ที่สำคัญต้องเป็นเอกฟิล์มด้วยนะ การทำหนังน่ะเป็นชีวิตผมเลย” ปิงปองยังว่าต่อด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนหันไปถามเพื่อนข้างตัวบ้าง “เออ ว่าแต่มึงอยากเข้าอะไรวะ ยังไม่เคยถามเลย”



หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าเกิดมีคนที่ไม่ได้ซี้ปึ้กเหมือนไอ้ซันมาถามเรื่องคณะที่อยากเข้า ภูมิคงลังเลไม่น้อยในการตอบ แต่เวลานี้ร่างเล็กกลับพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “กูก็อยากเข้านิเทศ”



“เฮ้ย บังเอิญว่ะ กูเพิ่งรู้นะเนี่ย อืม...ก็เหมาะกับมึงเหมือนกันนะ แล้วจะเข้าเอกอะไร”



“ยังไม่รู้เลย”



“ไม่รู้ได้ไง!  แต่ละเอกมันคนละเรื่องเลยนะเว้ย มึงชอบอะไรล่ะ”



“ก็...”



 ครั้งนี้ภูมิเริ่มลังเลจนเสียงเงียบหายไป ทว่าปิงปองก็ทำเพียงตบบ่าเพื่อนเบาๆ “เออ ยังไม่รู้ก็ไม่ต้องคิดมาก อยู่กับกูจะกลัวอะไรวะ กูจะช่วยมึงค้นหาตัวตนของมึงเอง!”



ภูมิหันไปมองไอ้ประธานชมรมฟิล์มอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะพึมพำ



“มึง...” เสียงสั่นๆ ของคนพูดทำให้ปิงปองยิ้มอย่างภาคภูมิใจ คิดว่าอีกฝ่ายคงซึ้งจนพูดไม่ออก ทว่าประโยคต่อมากลับทำเอาหน้าแทบคว่ำ “...มึงพูดดีๆ อย่างนี้เป็นด้วยเหรอวะ”



ไม่ทันที่ปิงปองจะโต้กลับ คนอายุมากกว่าที่จับพวงมาลัยอยู่ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เรียกความสนใจจากเด็กสองคนให้หันไปมอง ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของรถจะเอ่ยต่อ



“ถ้าอย่างนั้นทั้งสองคนลองไปเข้าค่ายเวิร์คช็อปของมหา’ลัยพี่ไหมครับ” โฟล์คพูดอย่างเชิญชวนขณะเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเบี่ยงรถเข้าเลนซ้าย ไม่ลืมว่าจะต้องแวะส่งรุ่นน้องที่ติดรถมาด้วย “พอดีพี่มีเพื่อนอยู่คณะนิเทศ มันบอกว่าประมาณอาทิตย์หน้าจะเปิดรับสมัคร สนใจกันหรือเปล่า”



“สน!” ปิงปองตอบรับอย่างรวดเร็ว ดวงตาแพรวพราวขึ้นทันใด “แล้วจะมีเวิร์คช็อปเรื่องทำหนังด้วยใช่เปล่า”



“ครับ น่าจะมี”



“งั้นไปเลย! ไปกันนะไอ้ภูมิ ไปกันๆ”



ภูมิพยักหน้าง่ายๆ  ปิงปองจึงกำมือเซย์เยส เป็นจังหวะเดียวกับที่รถเบนซ์คันหรูจอดเทียบฟุตบาท คนที่ติดรถมาจึงขอบคุณเจ้าของรถเป็นการใหญ่ แล้วลงจากรถอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ถูกรถคันที่ตามหลังว่าได้



ดังนั้นภายในรถยนต์ส่วนตัวจึงเหลือผู้โดยสารเพียงคนเดียวกับคนขับรถอีกหนึ่ง ภูมิมองร่างสูงที่นั่งด้านหน้าแล้วอมยิ้มด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก นับวันยิ่งประทับใจกับหลายสิ่งหลายอย่างที่อีกฝ่ายมอบให้ จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไปเบาๆ



“ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



พูดแล้วก็หันมองไปนอกรถเพื่อกลบเกลื่อนความอาย จึงไม่ทันเห็นว่าร่างสูงที่นั่งข้างๆ แอบชำเลืองตามอง ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าแดงแจ๋ของคนตัวเล็ก



“ด้วยความยินดีครับ”



เสียงทุ้มตอบอย่างน่าฟัง ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมโดยมีเสียงเพลงจากวิทยุดังคลอเบาๆ











 

การสอบกลางภาคเรียนผ่านพ้นไปด้วยดี พร้อมๆ กับโปรเจกต์หนังสั้นของภูมิที่คืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ  ตอนนี้เขาได้ทั้งบทหนังและตัวนักแสดงเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่ทางโรงเรียนไม่เคยมีกิจกรรมอย่างนี้มาก่อนจึงมีคนให้ความสนใจค่อนข้างมาก ถือเป็นแรงผลักดันให้ภูมิและประธานชมรมอีกสองชมรมตั้งใจกับโปรเจกต์นี้มากขึ้น



...แค่นี้ยังไม่พอหรอก ต้องรอตอนเสร็จสมบูรณ์ถึงจะรู้ว่ารอดหรือร่วง...



ความคิดที่ทุกคนต่างก็มีเหมือนกัน และหวังจะให้เป็นคำแรกมากกว่าคำที่สอง



ทว่าตอนนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของภูมิได้มากกว่าคงไม่พ้นเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าที่กำลังอยู่ในหน้าจอเตรียมแสดงผล ซึ่งเจ้าตัวถึงกับยอมอดข้าวเที่ยงเพื่อวิ่งมาจองเครื่องในห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนก่อนคนอื่น



“เอาล่ะนะ...”



ภูมิลำคอแห้งผาก ขณะบังคับเม้าส์หนูให้เลื่อนไปตรงข้อความ ‘ตรวจสอบผลการประกวด’ แล้วหลับตาปี๋ก่อนกดเอ็นเธอร์



ฟึ่บ



“วู้ววว!!!”



และแล้วคนที่ลุ้นระทึกมาตั้งแต่เช้าก็ชูมือขึ้นสุดแขนพร้อมกับร้องอย่างลืมตัว จนเพื่อนสนิทอย่างซันที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาต้องรีบโดดมากอดคอ ก่อนจะชะโงกหน้ามาดูผลด้วยอีกคน



“ไหนวะ...เฮ้ย! นายไตรภูมิ เลิศคุณากิจ ...ได้รางวัลรองชนะเลิศ! เจ๋งว่ะ!” ซันพูดพร้อมกับเขย่าไหล่คนข้างตัวแรงๆ  ซึ่งคนถูกเขย่าก็พยักหน้ารับอย่างพูดอะไรไม่ออก นอกจากอาการดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน



เพราะภาพถ่ายที่เขาส่งประกวดตั้งแต่หลังกลับจากทะเลเพิ่งจะประกาศผลเอาวันนี้ หลังจากเช็คเมื่อคืนแล้วว่าจะประกาศผลทางเว็บไซต์ตอนเที่ยงตรง คาบเรียนตอนเช้าจึงผ่านไปโดยที่คนเรียนไม่ได้มีสมาธินัก จนกระทั่งออดบอกเวลาพักเที่ยง ภูมิก็รีบวิ่งมาที่ห้องคอมพิวเตอร์โดยไม่รอเพื่อนซี้ ก่อนจะพบเรื่องที่คงทำให้เขายิ้มแก้มปริไปทั้งวัน



...ก็นี่มันรางวัลใหญ่รางวัลแรกในชีวิตของเขานี่นา...



“อ้าว แล้วนี่มึงจะทำอะไร” ซันถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเพื่อนข้างตัวคว้าโทรศัพท์มากดยุกยิก ซึ่งคนถูกถามก็ยิ้มแล้วบอกด้วยแก้มแดงๆ



“ส่งข้อความบอกพี่โฟล์ค”



“อื้อหือ หมั่นไส้ว่ะ สวีทกับแฟนจนลืมเพื่อนอย่างกูแล้วล่ะสิ”



ภูมิเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาอาฆาตให้ ก่อนจะพึมพำเบาๆ “อะไรของมึง ไม่ใช่แฟน แค่รุ่นพี่”



“หืม อย่าบอกนะว่า...” ซันหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจ “มึงกับพี่โฟล์คยังไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”



“ก็บอกว่ารุ่นพี่!”



ซันได้แต่ส่ายหัวแรงๆ กับอาการปากแข็งของเพื่อนสนิท ปากบอกไม่ใช่แฟน แต่ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นทุกวันจนนึกว่าอยู่บ้านเดียวกัน ก็พี่โฟล์คเล่นไปรับไปส่งแทบทุกครั้งที่ไอ้ภูมิออกนอกบ้าน นี่เขายังงงอยู่เลยว่าพี่ภาคย์ไม่สงสัยสักนิดหรือ



และที่งงมากกว่าคือ...ไอ้พี่โฟล์คมัวทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่ชัดเจนสักที



“อ้าว แล้วนี่ยิ้มอะไร” ซันถามด้วยความแปลกใจ เมื่อจู่ๆ คนข้างตัวก็มองโทรศัพท์ในมือแล้วอมยิ้ม



“พี่โฟล์คตอบกลับมาว่า เก่งมากครับ”



ซันฟังแล้วได้แต่กลอกตาไปมาอย่างนึกเบื่อหน่าย



เออ...คนมีความรักนี่มันโลกชมพูจริงๆ  ให้มันได้อย่างนี้สิ!











 

“ถ้างั้นเรื่องเวิร์คช็อปนักแสดงก็เอาตามนี้แล้วกัน โอเคไหม”



“โอเคเลยจ้ะ ชมรมเราจะรีบจัดการให้นะ”



แซนดี้ หญิงสาวประธานชมรมการแสดงพยักหน้ารับเร็วๆ  จนปิงปองที่ตอนนี้ตัดผมเกรียนจนหัวเหมือนลูกปิงปองสมชื่อก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นไอ้รองประธานชมรมดนตรีกำลังเดินยิ้มมาแต่ไกล จึงรีบโบกไม้โบกมือทัก



“ไอ้ภูมิ! ทางนี้ๆ”



“ไง” ภูมิเอ่ยทักทันทีที่มาถึง หอบเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยจากการรีบวิ่ง “โทษทีว่ะอาจารย์เพิ่งปล่อย คุยถึงไหนกันแล้ว”



“แซนดี้บอกว่าหาครูมาทำเวิร์คช็อปนักแสดงได้แล้ว อาทิตย์หน้าคงเริ่มได้เลย”



“อืม...ก็ดีนะ สอบกลางภาคกันเสร็จหมดแล้ว งานก็น่าจะรีบเดิน” ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก แล้วหันไปทางหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่ม “ขอบคุณนะแซนดี้ เหนื่อยหน่อยล่ะ”



“ไม่เป็นไร เราสนุกดี” หญิงสาวตอบรับด้วยความจริงใจ



ทั้งสามคนนั่งคุยงานกันต่อจนกระทั่งเกือบห้าโมง เมื่อได้ผลสรุปงานเป็นที่พอใจแล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่แซนดี้มีคนจากที่บ้านขับรถมารับ ส่วนภูมิกับปิงปองก็พากันเดินมาที่หน้าโรงเรียนเพื่อรอให้คนคนเดิมมารับ



หลังจากที่ปิงปองติดรถพี่โฟล์คไปวันนั้น วันไหนที่เขาต้องอยู่ประชุมเรื่องโปรเจกต์กับภูมิจนเย็นก็มักจะได้ติดรถคันเดิมกลับเสมอจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว



“นั่นไง จอดอยู่ที่เดิมเลย” ปิงปองพูดเมื่อเห็นรถเบนซ์คันสีดำจอดอยู่ริมฟุตบาธ แล้วพอกระจกรถเลื่อนลงพร้อมกับคนข้างในที่โบกมือขึ้นทักทาย เขาก็อดจะพึมพำต่อไม่ได้ “พี่โฟล์คก็หล่อได้หล่อเอาเนอะ ใครได้เป็นแฟนนี่โชคดีตาย”



ภูมิที่เหมือนจะชินกับคำพูดทำนองนี้ของเพื่อนได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบเดินเข้าใกล้รถอย่างเกรงว่าร่างสูงที่อุตส่าห์มารับจะรอนาน



“ขอโทษนะพี่โฟล์ค เสร็จช้าไปหน่อย” ภูมิเปิดประตูข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง ปล่อยให้ปิงปองขึ้นไปนั่งเบาะหลังคนเดียว



“ไม่เป็นไรครับ พี่รอแป๊บเดียวเอง” โฟล์คยิ้มให้อย่างไม่ถือสา ก่อนจะหันไปทางถุงกระดาษสีน้ำตาลตรงเบาะหลัง “พี่ซื้อมาฝาก ทั้งสองคนกินสิ”



“อีกแล้วเหรอพี่โฟล์ค บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้อก็ได้ พวกผมเกรงใจ” ภูมิบอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พี่โฟล์คอุตส่าห์ขับรถมารับ แถมยังต้องเสียเงินซื้อของกินให้อีก



ทว่าโฟล์คกลับส่ายหน้าเบาๆ ขณะสตาร์ทรถ “อย่าคิดมากสิครับ เรื่องแค่นี้เอง ปิงปองก็กินได้เลยนะ”



“งั้นผมกินนะพี่ ขอบคุณมากเลย”



แล้วมีหรือที่คนอย่างปิงปองจะเกรงใจ แหม...ก็คุ้นหน้าค่าตากันแล้ว เรื่องเกรงใจน่ะไม่มีในหัวหรอก



“แล้วนี่ทั้งสองคนดูผลกันหรือยัง”



“หืม?”



ทั้งภูมิและปิงปองร้องขึ้นมาพร้อมกัน หันไปมองร่างสูงเจ้าของคำถามด้วยความงุนงง



“อ้าว นี่ลืมกันแล้วหรือ ก็วันนี้...”



“เฮ้ย!” ไม่ทันที่โฟล์คจะพูดจบ ภูมิก็ร้องขึ้นมาอีกครั้งเหมือนนึกออก แล้วหันไปหาเพื่อนที่นั่งด้านหลังแล้วบอกรัวเร็ว “ไอ้นั่นไง ไอ้นั่นอะ!”



“ฮะ...ไอ้นั่นอะไรวะ” ปิงปองพูดทวนอย่างงงๆ ก่อนจะเบิกตากว้าง “เฮ้ย...”



“ค่ายนิเทศไงมึง!” ว่าแล้วภูมิก็ทำท่าเหมือนอยากทึ้งหัวตัวเอง โอเค เขาตื่นเต้นกับผลการประกวดภาพถ่ายของวันนี้มากไปหน่อยจนลืมว่าทางค่ายก็จะประกาศผลคนที่ผ่านวันเดียวกัน “พี่โฟล์คๆ บอกผลผมหน่อยสิ นะครับ”



“อืม...บอกดีไหมเนี่ย”



โห...พี่โฟล์คเล่นตัวว่ะ



ภูมิได้แต่ทำหน้าน่าสงสาร ก็คนมันไม่มีสมาร์ทโฟนนี่นา จะเช็คผลทางเน็ตตอนนี้ก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็พยายามคร่ำครวญต่อ



“นะครับพี่โฟล์ค น้า”



“อืม...” โฟล์คยังคงแกล้งลากเสียงยาวขณะมองถนนตรงหน้า ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาอ้อนวอนจากร่างเล็กที่นั่งข้างๆ จนใจอ่อน “...ก็ถ้าทั้งสองคนไม่ผ่าน คิดว่าพี่จะนั่งยิ้มอยู่ตรงนี้หรือ”



“เยส!” คราวนี้เสียงปิงปองนำมาไกลกว่าใครเพื่อน มือทั้งสองข้างยกขึ้นชกอากาศรัวๆ  ก็แน่ล่ะ ในเมื่อมหาวิทยาลัยของพี่โฟล์คมีชื่อเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ คนที่ส่งใบสมัครเข้าค่ายก็มีเยอะเป็นพัน แต่คัดเหลือแค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นเอง



ไม่คิดไม่ฝันทั้งนั้นแหละว่าจะได้!



เมื่อรถเบนซ์คันหรูจอดเทียบฟุตบาทที่เดิม ปิงปองก็รีบลงจากรถด้วยท่าทียินดีปรีดา บอกขอบคุณพี่โฟล์คเสียยกใหญ่แล้วเดินไปคิวรถตู้ที่ประจำ จนในรถเหลือเพียงสองคนเหมือนเช่นทุกครั้ง และครั้งนี้คนตัวเล็กก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อย



“ขอบคุณมากๆ นะพี่โฟล์ค ขอบคุณจริงๆ”



ทั้งได้ที่สองของการประกวด ทั้งผ่านเข้าค่าย ทำไมวันนี้โชคดีจังวะเนี่ย!



“พี่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยครับ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูมีความสุขขนาดนี้โฟล์คก็อดยิ้มตามไม่ได้ พร้อมทั้งเอื้อมมือไปยีหัวคนข้างตัวอย่างอดใจไม่อยู่ “แล้วนี่ไม่ตัดผมหรือครับ เดี๋ยวก็โดนจับเข้าห้องปกครองหรอก”



“ไม่ล่ะ ยังไม่อยากหัวเกรียนเหมือนไอ้ปิง เดี๋ยวหมดหล่อ”



โฟล์คหลุดหัวเราะกับคำพูดทีเล่นทีจริง และเมื่อสบโอกาสที่รถติดไฟแดง เขาก็โน้มตัวเข้าใกล้ร่างเล็กจนใบหน้าเกือบแนบชิดกัน ใช้ปลายจมูกคลอเคลียบริเวณพวงแก้มใสอย่างจงใจจนคนถูกสัมผัสตัวแข็งทื่อ ได้แต่นั่งนิ่งๆ ทั้งที่ร้อนผ่าวไปหมดทั้งตัว



“หล่อไม่หล่อไม่รู้ รู้แต่ว่าคนนี้น่ะ...น่ารักที่สุดเลยครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยชิดใบหู จนคนฟังยิ่งหน้าแดงก่ำ พยายามควบคุมจังหวะหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปมากกว่านี้



ฟอด



ภูมิหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่สัมผัสลงมาตรงแก้มแผ่วเบา แม้จะปลอบใจตัวเองว่า แค่หอมแก้มนะ มากกว่านั้นก็เคยทำมาแล้วนะ แต่ก็ยังห้ามอาการใจเต้นที่เกิดขึ้นไม่ได้สักที



“แล้วก็...” โฟล์คเลื่อนริมฝีปากมากระซิบข้างหูคนตัวเล็กอีกครั้ง “...คิดถึงนะครับ”



แล้วสัญญาณไฟจราจรสีเขียวก็ปรากฏขึ้นพอดี ร่างสูงจึงจำต้องผละออกอย่างแสนเสียดาย



...แม้จะเป็นเพียงการสัมผัสแผ่วเบา ไม่ได้มีความลึกซึ้งวาบหวาม แต่สำหรับพวกเขาทั้งสองคน...แค่นี้ก็อบอุ่นเกินพอ



---------------------------------- TBC ---------------------------------



หวานกับกรุบกริบ เป็นช่วงลมสงบค่ะ

ส่วนตอนหน้า...ฮึก คนเขียนใจบางเหลือเกิน เอาใจช่วยพี่โฟล์คกับน้องภูมิไปด้วยกันนะคะ เดี๋ยวก็ผ่านไปค่ะ นี่เกินครึ่งเรื่องแล้วว

เจอกันวันอังคารค่ะ :)



CT.hamonigar



หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 14 ความสัมพันธ์ (02/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 05-08-2018 06:06:13
ปิงปอง., มัน ชัดเจน อยู่ แล้ว.. สงสัย อะไร.. เค้าชอบกัน... 5555
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】 ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 15 ความอบอุ่น (04/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 07-08-2018 20:32:16

Chapter 16 : ความลับไม่มีในโลก



“สวัสดีคร้าบ! ไหนขอเสียงเด็กนิเทศหน่อยเร้ววว”



ในห้องประชุมใหญ่ของคณะที่มักจะเป็นที่รวมตัวของเหล่านักศึกษา บัดนี้ได้แปรสภาพเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเข้าค่ายขนาดย่อม โดยมีรุ่นพี่หลายสิบชีวิตยืนกระจายทั่วห้องกว้าง ตรงกลางมีนักเรียนนับร้อยที่ได้รับการแบ่งกลุ่มและนั่งกันอย่างเป็นระเบียบ โดยทุกคนให้ความสนใจไปยังจุดเดียวกันคือรุ่นพี่ที่ถือไมโครโฟนอยู่ด้านหน้า



“ไหนๆ กลุ่มไหนมากันครบแล้วบ้าง กลุ่มสีเขียวครบไหมคร้าบ!”



“ครบแล้วค่า”



การสันทนาการเพื่อละลายพฤติกรรมของน้องๆ ดำเนินต่อไป โดยที่ภูมิรู้สึกสนุกขึ้นเรื่อยๆ แม้จะแอบกลัวในตอนแรกที่รู้ว่าตัวเองอยู่คนละกลุ่มกับไอ้ปิงปอง แต่ตอนนี้ทั้งเพื่อนใหม่และกิจกรรมตรงหน้ากลับดึงดูดความสนใจได้มากกว่า



การเข้าค่ายนิเทศฯ ครั้งนี้เป็นการเข้าค่ายแบบไปเช้ากลับเย็น โดยเข้าค่ายติดกันสองวันคือวันเสาร์และวันอาทิตย์ โชคดีที่พ่อเหมือนจะไม่อยากขัดขวางเรื่องนี้อีก แม้จะมีหน้าตึงบ้างตอนเขาขอมาเข้าค่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ว่าอะไร



หลังจากที่กิจกรรมดำเนินไปหลายชั่วโมง ประตูด้านหลังของห้องประชุมที่ใช้สำหรับสต๊าฟก็เปิดออกเบาๆ  โฟล์คค่อยๆ ชะโงกหน้ามองด้านใน แล้วจึงก้าวเข้ามาเมื่อเห็นว่าทุกคนยังให้ความสนใจกับกิจกรรม ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนที่นั่งเฝ้ากล่องข้าวเที่ยงของน้องอยู่



“อ้าว มาด้วยเหรอ” คนที่นั่งอยู่หันมาถามด้วยความแปลกใจ แต่ก็พยักหน้าให้นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ



“อืม รุ่นน้องกูติด กูเลยมาดู” โฟล์คตอบ ‘ธันวา’ เพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่งานรับน้องเฟรชชี่ ซึ่งความจริงแล้วธันวาเรียนอยู่คณะบัญชีฯ แต่เพราะมีเพื่อนสนิทเป็นหนึ่งในสต๊าฟที่จัดงานนี้เลยอาสามาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ



“หืม คนไหนวะ” ธันวาถามขึ้นมาพลางทำท่าชะเง้อคอมอง ซึ่งโฟล์คก็มองตาม และน่าแปลก...ที่เขาเห็นร่างขาวๆ ของคนตัวเล็กโดดเด่นกว่าใครท่ามกลางคนมากมาย



“ชื่อภูมิกับปิงปอง”



โฟล์คไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปอ่อนโยนขนาดไหน ยิ่งนึกถึงใบหน้าขาวตี๋ที่อาจจะดูธรรมดาสำหรับคนทั่วไป เขากลับคิดว่ามันน่ารักอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งหลายเดือนมานี้ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เขาเริ่มแน่ใจความรู้สึกของตัวเอง ทว่าไม่ได้เอ่ยออกไป



เพราะความจริงตัวเขายังมีปัญหาบางอย่างที่ยังแก้ไม่ตก ทำให้ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่านี้ได้



ทั้งๆ ที่ปกติเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเขาก็สามารถวางแผนและผ่านไปได้ทุกเรื่อง แต่มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขากลับคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไร จึงได้แต่ปล่อยให้ค้างคามาตลอด



ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันต้องมีบทสรุป แต่ในเมื่อตอนนี้ยังมีเวลา เขาก็ขอใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่เพื่อให้ได้บทสรุปที่ดีที่สุดแล้วกัน



“ก็พอคุ้นอยู่” ธันวาเอ่ยอย่างคลับคล้ายคลับคลา เหมือนได้เขียนป้ายชื่อน้องว่าปิงปองอยู่เหมือนกัน แล้วชื่อปิงปองก็ใช่ว่าจะโหลเสียเมื่อไหร่ ทว่าเขาก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันไปถามเพื่อนข้างตัว “แล้วนี่มึงจะอยู่ถึงกี่โมง เดี๋ยวก็พักทานข้าวแล้ว จะเข้าไปหาน้องมึงไหมล่ะ”



โฟล์คมองตามหลังของภูมิที่กำลังทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ด้วยความชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา



“ไม่ล่ะ กูไม่อยากกวนสมาธิน้องเขา” ...เพราะภูมิตั้งใจกับการเข้าค่ายครั้งนี้มาก จึงอยากให้ร่างเล็กเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับเพื่อนและรุ่นพี่ให้เต็มที่ ส่วนเขาขอดูอยู่ห่างๆ ก็พอ



“ตามใจ เออ มีกล่องข้าวสต๊าฟเหลืออยู่ มึงมากินด้วยกันสิ”



“อย่าเลย เงินก็ไม่ได้ออก เดี๋ยวกูโดนเขม่นพอดี” โฟล์คตอบทีเล่นทีจริง ธันวาจึงพยักหน้า



“เดี๋ยวกูเตรียมกล่องข้าวให้น้องก่อน” เมื่อเห็นสัญญาณจากฝ่ายสันทนาการว่ากำลังจะปล่อยให้น้องกินข้าว เขาที่เป็นฝ่ายสวัสดิการก็รีบจัดแจงกล่องข้าวกับเพื่อนๆ อีกหลายคน โดยที่โฟล์คขอตัวไปทำธุระอย่างอื่น



กล่องข้าวที่เตรียมไว้วันนี้จะเหมือนกันหมด ยกเว้นแต่น้องคนที่ทานมังสวิรัติกับคนที่เป็นอิสลามซึ่งพวกเขาจัดแยกไว้ให้แล้ว นอกนั้นก็เดินเรียงแถวมารับกล่องข้าวอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานของทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องที่เริ่มจะสนิทกัน



“ข้าวอะไรเหรอพี่”



เสียงรุ่นน้องที่เอ่ยถามทำให้ธันวาเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเห็นคนที่ตัดผมเกรียนกำลังฉีกยิ้มให้พร้อมกับยกกล่องข้าวขึ้นมาประกอบคำถาม



“กะเพราไก่ไข่ดาว” ธันวาตอบง่ายๆ ก่อนจะก้มลงเพื่อหยิบกล่องข้าวให้คนที่ต่อคิวด้านหลัง ทว่าสายตากลับเหลือบเห็นป้ายชื่อสีเหลืองที่คล้องคอรุ่นน้องคนนี้อยู่



‘ปิงปอง’ งั้นเหรอ...หรือจะเป็นรุ่นน้องที่ไอ้โฟล์คพูดถึง



ความคิดที่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก นอกจากส่งกล่องข้าวให้คนต่อไป ไม่สนว่าเมื่อกี้จะตอบคำถามห้วนไปหรือเปล่า ก็เขาเป็นของเขาอย่างนี้อยู่แล้วนี่นะ เขาถึงเลือกที่จะช่วยฝ่ายสวัสดิการเตรียมข้าวเตรียมน้ำให้น้อง แทนที่จะเป็นฝ่ายสันทนาการหรือประจำฐานกิจกรรม



“อ๋อ ขอบคุณครับ”



ปิงปองรับคำก่อนเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของห้อง รอเพื่อนตัวเองที่ถูกปล่อยทีหลังอย่างไม่รีบร้อน ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี



ไม่นานนักภูมิก็เดินตามมา จ้องกล่องข้าวในมือไม่วางตาขณะพึมพำด้วยความกังวล “นี่ข้าวอะไรวะ”



“กะเพราไก่ไข่ดาว” ปิงปองตอบกลับได้ทันที ไม่ลืมต่อท้ายแบบเล่นๆ “อาหารสิ้นคิดน่ะ”



“รู้ได้ไง มึงยังไม่ได้เปิดเลย”



“พี่หน้าตายบอกมา”



คำตอบที่ทำเอาคนถามขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองตามสายตาของเพื่อน ก่อนจะร้องอ๋อขึ้นมา “คนนั้นน่ะเหรอ แค่หน้านิ่งเฉยๆ ล่ะมั้ง”



“หน้านิ่งไปว่ะ ถ้ามาอยู่ฝ่ายสันคงแปลกพิลึก” แล้วปิงปองก็ไม่ลืมหัวเราะตบท้าย ก่อนจัดแจงเปิดกล่องข้าวแล้วลงมือจัดการอย่างรวดเร็ว เพราะมีเวลาพักแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าคนอย่างเขามีเป้าหมายอื่นนอกจากแค่มาเข้าค่ายแน่ๆ



ก็อย่างเช่น...จีบ ‘พี่ฝน’ รุ่นพี่สาวสวยที่เป็นพี่ประจำกลุ่มเขาไงล่ะ



คิดไปก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่มไป นึกถึงหน้าหวานๆ ของหญิงสาวที่มีรอยยิ้มเหมือนนางฟ้า แค่พูดแนะนำตัวไม่กี่ประโยคก็ทำเอาเขาและผู้ชายอีกหลายคนมองกันตาปรอย



ผู้หญิงสวยๆ นี่ทำให้กระชุ่มกระชวยได้จริงๆ แฮะ



“กูเอากล่องข้าวไปทิ้งนะ” ไม่นานคนที่มีเป้าหมายในใจก็จัดการอาหารตรงหน้าหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปบอกคนที่นั่งข้างๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปทางมุมหนึ่งของห้องที่มีถุงขยะขนาดใหญ่ให้น้องๆ เอากล่องข้าวไปทิ้ง แล้วก็มี...รุ่นพี่สาวสวยยืนอยู่ด้วย



“อ้าว น้องปิงปอง” เพียงแค่ปิงปองเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวที่จำได้ว่าเด็กคนนี้เป็นรุ่นน้องในกลุ่มก็หันมาทักทายเสียงใส ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนร่างสูงที่คุยกันอยู่ “คนนี้เป็นน้องในกลุ่มเราน่ะธัน ขอเวลาแป๊บนะ”



“อืม” ธันวาตอบรับอย่างไม่ว่าอะไร



ปิงปองมองท่าทีของสองคนนี้อย่างครุ่นคิด ...หรือว่ารุ่นพี่สาวสวยที่เขาเล็งไว้จะเป็นแฟนกับไอ้รุ่นพี่หน้าตายคนนี้



หล่อหรือ...ก็นิดหน่อย แต่สู้เขาไม่ได้แน่ๆ  ส่วนสูงก็...ธรรมดา ถ้าคาดคะเนไม่ผิดก็คงสูงกว่าเขาไม่กี่เซนต์ และที่สำคัญ...หน้านิ่งไร้อารมณ์แบบนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากได้เป็นแฟนหรอก



ข้อสรุปที่ปิงปองเข้าข้างตัวเองแบบไม่อายใคร ก่อนจะหันไปคุยกับรุ่นพี่คนสวยอย่างหวังกอบโกยคะแนนเต็มที่











 

เพียงได้ยินเสียงประกาศว่ากิจกรรมของวันนี้หมดลงแล้ว ภูมิก็แทบจะทิ้งแขนลงข้างลำตัวอย่างหมดแรง หันไปโบกมือลาเพื่อนใหม่หลายคนที่กำลังแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ขยับไปไหน สัมผัสที่แตะแผ่วเบาบนไหล่ก็ทำให้เขาหันไปมอง ก่อนจะอุทานด้วยความยินดี



“พี่โฟล์ค มานานหรือยังเนี่ย”



“ก็พอสมควรครับ นั่งดูใครบางคนพรีเซนท์งานอยู่” โฟล์คส่งยิ้มให้บางๆ พูดไปถึงกิจกรรมสุดท้ายที่ให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนองานที่ได้รับมอบหมาย ภูมิได้ยินดังนั้นก็อดรู้สึกอายขึ้นมาหน่อยๆ ไม่ได้ ...แม้จะยินดีไม่น้อยก็เถอะที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนกลุ่ม



“พี่โฟล์ค...เอ่อ มารับผมเหรอ” ภูมิถามด้วยความไม่แน่ใจ จนอีกฝ่ายส่งมือมายีหัวทุยๆ อย่างเอ็นดู



“ครับ แล้วนี่ปิงปองจะกลับด้วยกันหรือเปล่า”



“แป๊บนะ” ภูมิบอกแล้วเดินไปถามเพื่อน ก่อนจะเดินกลับมาส่ายหน้า “ไม่ล่ะ มันบอกว่าจะนั่งรถเมล์กลับเอง”



โฟล์คพยักหน้ารับคำ จากนั้นทั้งสองคนจึงพากันเดินออกจากหอประชุมโดยมีสายตาของปิงปองมองตามอย่างสนอกสนใจ



ก็พอจะเดาความสัมพันธ์ของสองคนนี้ออกน่ะนะ ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงก็คงต้องตอบว่าเฉยๆ  เขาไม่คิดว่าการที่ผู้ชายสองคนจะชอบกันเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร แต่สำหรับเขา...เขาขอเลือกผู้หญิงสวยๆ น่ารักๆ แทนแล้วกัน



คิดได้ดังนั้นก็ชะเง้อคอมองหาเป้าหมายคนสวยทันที แล้วจึงปรี่เข้าไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง



“พี่ฝนทำอะไรอยู่เหรอครับ”



“อ้าว น้องปิงปอง” หญิงสาวหันมาทักเสียงใส ก่อนพูดต่ออย่างเป็นมิตร “พี่กำลังช่วยเพื่อนเก็บของจ้ะ แล้วนี่เรายังไม่กลับเหรอ”



“ยังครับ ถ้ายังไงให้ผมช่วยไหม”



“เอ๋ จะดีเหรอ”



โธ่ ทำตาโตอย่างนี้ ไอ้ปิงปองได้ละลายพอดี



ความคิดที่ปิงปองเก็บเอาไว้ ก่อนจะสร้างภาพลักษณ์รุ่นน้องที่แสนดีต่อ “นะครับ พี่ฝนตัวเล็กแค่นี้ สวยอีกต่างหาก ให้ผมช่วยเถอะนะ”



“คิกๆ เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย” รุ่นพี่สาวสวยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยอมให้ปิงปองไปช่วยเพื่อนคนอื่นของเธอเก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง เพราะตอนนี้เธอแค่กำลังเก็บกวาดเศษขณะที่หล่นตามพื้นซึ่งไม่หนักหนาเท่าไหร่สำหรับผู้หญิง แม้ปิงปองจะอยากอยู่ช่วยทางนี้มากกว่า แต่ก็ยอมรับคำคนสวยแต่โดยดี



ทว่าเมื่อเห็นรุ่นพี่อีกคนที่เขาจำหน้าได้กำลังพับขาโต๊ะตัวยาวเพื่อยกไปเก็บ คนอัธยาศัยดีก็เข้าไปทักทันที



“สวัสดีครับพี่คนที่แจกข้าว”



ธันวาเงยหน้าขึ้นมาทันทีอย่างไม่คิดว่าจะมีใครเรียกเขาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงความแปลกใจผ่านสีหน้า เพียงแค่ตอบรับนิ่งๆ ตามมารยาท “ยังไม่กลับเหรอ”



ปิงปองเลิกคิ้ว ตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาท



“ถ้าผมกลับไปแล้วจะมายืนตรงนี้ได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่ผีนะพี่ อ้อ...โต๊ะท่าทางจะหนักนะพี่ ผมช่วยดีกว่า”



ว่าแล้วคนอายุน้อยกว่าเดินเข้าไปใกล้แสดงความเอื้ออารีเต็มที่ จนร่างสูงที่โดนกวนประสาทชะงักไปนิดหนึ่ง แต่เพราะไม่อยากใส่ใจคนประเภทนี้มากจึงตอบรับง่ายๆ “อืม”



ธันวาเดินขยับไปยกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ปล่อยให้รุ่นน้องเข้ามาช่วยพยุงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วจึงเดินยกกันไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร



แต่ก็เงียบได้แค่ไม่นานนั่นแหละ



“พี่ฝนสวยมากเลยนะพี่ น่ารักด้วย ไม่รู้ว่ามีแฟนหรือยัง”



ธันวามองคนพูดด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่คิดจะตอบคำถามที่เหมือนพูดลอยๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าของคำถามก็ไม่ทุกข์ร้อน พูดไปเรื่อยเปื่อยตามใจคิด



“ยิ้มทีสวยเหมือนนางฟ้าเลยด้วย ผมว่านะต่อให้มีแฟนหรือยังไม่มี ก็คงมีผู้ชายมาขายขนมจีบกันตรึม ขนาดผมเพิ่งเจอพี่ฝนวันแรกนะ โอ้โห...ไม่อยากจะพูด สตั๊นท์ไปตั้งแต่เสียงหวานๆ พูดว่า ‘สวัสดีค่ะ’ แล้วล่ะพี่ ไม่ใช่แค่ผมนะ พนันได้ว่าไอ้พวกผู้ชายที่มาเข้าค่ายวันนี้คงไม่ต่างกัน แต่ละคนมองพี่ฝนอย่างกับไฮยีน่า...”



“ฝนมีแฟนแล้ว”



“หืม” ปิงปองเลิกคิ้วทันใดกับคำแทรกนิ่งๆ ของคนที่เงียบมาตลอดทาง



ธันวาถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยประโยคเดิมอีกรอบ “ฝนมีแฟนแล้ว เป็นรุ่นพี่ปีสอง เดือนคณะนิติ”



“จริงดิ! โหย....เสียดายอะ” ปิงปองร้องออกมา สีหน้าแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง แต่กระนั้นก็ยังชะโงกคอมองคนสวยที่กำลังหัวเราะร่วนกับเพื่อนด้วยแววตายิ้มกริ่ม ก่อนเอ่ยต่ออย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร “แต่แอบรักคนมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่นา ไม่ได้ไปแย่งใครเขาสักหน่อย ใช่ไหมพี่”



คำถามที่ทำให้ธันวาชะงักทันที ความรู้สึกบางอย่างไหลวูบเข้ามา แต่ก็ถูกปัดทิ้งราวกับเจ้าของพยายามปฏิเสธ แล้วจึงเอ่ยตอบรุ่นน้องด้วยท่าทีปกติ



“อืม”



“นั่นแน่ ท่าทางอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าพี่แอบชอบพี่ฝนน่ะ!”



กึก



ไอ้เด็กนี่...



ธันวาสบถในใจแรงๆ  ดวงตาคมเป็นประกายวาววับอย่างที่ไม่ได้มองใครแบบนี้มานาน แต่เพราะครั้งนี้...เพราะไอ้เด็กตรงหน้าที่กวนประสาททั้งที่ยังไม่สนิทกัน แถมยังพูดมากเสียจนน่ารำคาญ



อีกทั้งมันดังล่วงรู้ความในใจของเขา ที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอาสามาช่วยฝนทำค่ายครั้งนี้ทั้งที่ไม่ใช่ค่ายของคณะตัวเอง



“น้องกลับบ้านไปเถอะ พี่จัดการต่อเอง” แล้วสุดท้าย คนที่พยายามข่มอารมณ์คุกรุ่นในใจก็เอ่ยปากไล่เสียงเรียบ ทั้งยังส่งกระแสบังคับผ่านสายตา จนปิงปองหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือจากโต๊ะตัวยาวที่แบกไว้



“โอเค งั้นผมไปก่อนนะพี่ สวัสดีครับ” ไม่ลืมยกมือไหว้ตามมารยาท แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางทิ้งไว้ตรงมุมห้อง ก่อนเดินออกจากหอประชุมโดยไม่ลืมแวะบอกลาพี่ฝนคนสวยอีกครั้ง



ทว่าก่อนที่จะก้าวออกไป สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นรุ่นพี่หน้านิ่งที่เขากวนประสาทเอาไว้กำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด จนเขาได้แต่นึกขอโทษขอโพยในใจ



...เห็นหน้านิ่งๆ แล้วหมั่นไส้นี่หว่า ไม่นึกว่าไอ้ที่แซวเล่นๆ จะดันเป็นเรื่องจริง ยังไงก็ขอโทษนะพี่ธัน...











 

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับภูมิ สนุกไหม”



อีกทางด้านหนึ่งในรถเบนซ์คันหรู โฟล์คซึ่งทำหน้าที่ขับรถก็ถามคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนคนได้รับอดใจสั่นน้อยๆ ไม่ได้ ก่อนจะงึมงำตอบ “ก็สนุกดีนะ ผมไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน”



“แล้วรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นไหมครับ เกี่ยวกับคณะในฝันน่ะ”



“อื้ม มั่นใจขึ้นเยอะเลย” ภูมิตอบอย่างจริงใจ ก่อนเงยหน้าแล้วส่งยิ้มให้ “ขอบคุณนะพี่โฟล์ค”



คำขอบคุณที่โฟล์คไม่ตอบรับอะไรมาก นอกจากส่งมือมายีหัวคนตัวเล็กเบาๆ อย่างที่ชอบทำ



ไม่นานโฟล์คก็เลี้ยวรถมาจอดริมรั้วบ้านที่คุ้นเคย แต่เพราะไฟในบ้านที่ปิดมืดแถมยังไม่มีรถสักคันทำให้เขาหันไปถามร่างเล็กด้วยความสงสัย “ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ”



ภูมินิ่งคิดไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเมื่อนึกขึ้นได้



“ไม่มีแฮะ วันนี้พ่อทำงานเลิกดึก ส่วนพี่ภาคย์บอกว่าจะออกไปเที่ยวกับเพื่อน คงกลับเช้าเลยมั้ง”



“งั้นให้พี่อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณอาดนัยจะกลับไหม”



“เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่” ภูมิปฏิเสธทันควัน แม้จะยอมรับว่าอยากอยู่กับพี่โฟล์คต่ออีกนิด แต่ความเกรงใจมีมากกว่า อีกทั้งเขาก็ยัง...เขินด้วยล่ะมั้ง



“ไม่ได้หรอก อยู่บ้านมืดๆ คนเดียว ถ้ามีโจรจะทำยังไงครับ” โฟล์คไม่ฟังคำค้านแม้แต่น้อย ร่างสูงจัดการดับเครื่องยนต์ทันที แน่นอนว่าภูมิก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย เพราะเขารู้ว่าที่พี่โฟล์คทำอย่างนี้เป็นเพราะห่วงนั่นแหละ



แม้บางครั้งพี่โฟล์คจะแสดงอาการห่วงมากไปนิด เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองได้ แต่พอได้รับความห่วงใยจากคนข้างตัวอยู่บ่อยครั้งก็ปฏิเสธไม่ลงว่า...อุ่นใจขึ้นมาก



ภูมิใช้กุญแจไขประตูบ้านเข้ามา ก่อนจะค่อยๆ คลำทางเพื่อหาสวิตซ์ไฟ พอไฟในบ้านสว่าง เขาก็พาตัวเองเข้าไปในครัวขณะหันมาบอกร่างสูงที่เดินตามมา



“พี่โฟล์คไปนั่งรอที่โซฟาก็ได้ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้”



โฟล์คพยักหน้ารับ เดินไปนั่งรอที่โซฟากลางห้องนั่งเล่นตามคำบอก ขณะเดียวกันก็เผลอสำรวจภายในบ้านที่เขาไม่ได้เข้ามานาน มีของใช้บางอย่างถูกเปลี่ยนไปบ้าง แต่ส่วนมากยังคงเหมือนเดิม



รอไม่นานเจ้าของบ้านก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมน้ำส้มแก้วหนึ่ง ทำให้โฟล์คหลุดยิ้มออกมาจนได้



“เหมือนวันแรกที่เจอกันเลยนะครับ”



“หืม” ภูมิขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ ร้องขึ้นมาโดยที่แก้มติดจะแดงน้อยๆ “เฮ้ย จะรื้อฟื้นทำไมล่ะพี่โฟล์ค น่าอายจะตาย”



...ก็วันนั้นเขาดันทำน้ำส้มหกใส่คนที่อุตส่าห์มาสอนพิเศษน่ะสิ



“น่าอายตรงไหนกัน” โฟล์คหัวเราะเบาๆ กระตุกแขนคนที่เพิ่งวางแก้วลงบนโต๊ะให้เข้ามานั่งใกล้ๆ  แล้วยื่นหน้าไปกระซิบริมหูอย่างจงใจจนคนฟังหน้าแดงก่ำ “...พี่ว่าน่ารักดีออก น่ารักตั้งแต่วันแรกเลย”



“อะ...อะไรกันเล่า” ภูมิพยายามขยับตัวออกห่าง ติดที่ฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ  แล้วยิ่งเผลอสบสายตาอ่อนโยนของพี่โฟล์คแล้วก็ยิ่งดิ้นไม่ออกเข้าไปใหญ่ จนเกิดเป็นความประหม่าที่โฟล์คต้องยิ้มขำ ก่อนเอื้อมมือไปลูบศีรษะร่างเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู



“แต่ตอนนี้ภูมิดูมีความสุขมากกว่าวันแรกที่เจอกันนะ”



เขาเห็นว่าภูมิชะงักไปหน่อย ก่อนจะเม้มปากเหมือนรู้สึกไม่ดีเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ  แต่โฟล์คก็ทำเพียงกระชับมือเล็กไว้ ไม่ได้เอ่ยปลอบอะไรไปมากกว่านี้ เพราะเขาคิดว่าปล่อยให้ภูมิก้าวผ่านความรู้สึกเหล่านี้ไปด้วยตัวเองจะดีกว่า



“ใช่...ผมมีความสุข” ภูมิเอ่ยออกมาเบาๆ สีหน้าเริ่มดีขึ้น “ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนตั้งแต่ขึ้นมอปลาย ผมไม่เคยคิดว่าพ่อจะยอมรับ ผมไม่เคยหวังอะไรเลย แต่พี่รู้ไหม...พี่เปลี่ยนมันทั้งหมด”



ภูมิเงยหน้าขึ้นสบตากับโฟล์ค แม้จะรู้สึกประหม่า แต่ภูมิก็แน่ใจในสิ่งที่กำลังจะพูด



“ผมดีใจที่มีพี่นะพี่โฟล์ค”



โฟล์คนิ่งไปกับคำพูดจริงใจของร่างเล็ก ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมา บางอย่างที่พิเศษและรู้สึกได้กับคนเพียงคนเดียว จนโฟล์คแทบลืมไปว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน และสิ่งที่กำลังจะทำนั้นสมควรหรือไม่



รู้ตัวอีกที...ใบหน้าของคนสองคนก็ใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ ก่อนโฟล์คจะแนบริมฝีปากตัวเองเข้ากับอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา



จูบครั้งที่สองของทั้งคู่เป็นไปอย่างนุ่มนวล ตรงกันข้ามกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เหมือนจะถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ  โฟล์คเอื้อมมือมาประคองใบหน้าของภูมิก่อนขยับตัวเข้าแนบชิด จนภูมิเผลอเอนหลังตามแรง แผ่นหลังเล็กสัมผัสได้ถึงความนุ่มของโซฟาพร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นของทั้งสองฝ่าย



“อะ...อื้อ”



ภูมิหลุดเสียงคราง เรียกสติของโฟล์คที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนให้ชะงักมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อของร่างเล็ก พร้อมกับจิตใต้สำนึกที่กำลังส่งเสียงเตือนว่า...มันมากเกินไปแล้ว



ไม่ได้นะไอ้โฟล์ค มึงทำเหี้ยอะไรอยู่รู้ตัวไหม!



ทว่าก่อนที่จะชักมือออก ร่างสูงก็ลอยวืดขึ้นด้วยแรงกระชากจากหัวไหล่



พลั่ก!!!



“อึ้ก!” โฟล์คหน้าหันไปอีกด้านพร้อมกับความชาที่โหนกแก้ม ไม่ทันรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เสียงตวาดของเพื่อนสนิทก็ดังก้องหู



“มึงทำเหี้ยอะไรวะไอ้โฟล์ค!!!”





-------------------------------- TBC ---------------------------



ความลับไม่เป็นความลับแล้วค่ะ

มาพูดถึงปิงปองกันหน่อย เหมือนจะเคยเกริ่นไปแล้วว่าน้องมีคู่ พี่ธันวาของเรานั่นเอง แต่คู่นี้จะเจอกันอีกทีก็ตอนขึ้นมหา'ลัยค่ะ เลิฟไลน์จะเริ่มเดินในบทสุดท้ายของเรื่องนี้พอดี มีแพลนจะเขียนแต่น่าจะอีกพักใหญ่เลยค่ะ เพราะหลังจากพี่โฟล์คกับน้องภูมิจบก็มีเรื่องอื่นจ่อคิวเตรียมให้ปั่นลงแล้ว แฮ่ ฝากติดตามล่วงหน้าเลยนะคะ /กราบงามๆ

พี่ภาคย์รู้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องเลยนะ แล้วก็เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้วด้วยค่ะ  ดีใจที่มีนักอ่านทุกคนอยู่ด้วยกันมาถึงตรงนี้นะคะ ดีใจจริงๆ ^^

เจอกันวันพฤหัสค่ะ

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 16 ความลับไม่มีในโลก (07/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 09-08-2018 19:48:16
Chapter 17 : หัวใจที่เจ็บปวด



ภายในห้องนั่งเล่นสี่เหลี่ยมดูแคบไปถนัดตาเมื่อมีร่างของคนสามคนเผชิญหน้ากัน ภูมิใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของพี่ชายในตอนนี้รุนแรงเหมือนพายุ ทว่าเจ้าตัวก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้ มองน้องชายกับเพื่อนสนิทที่หน้าซีดลงทุกขณะด้วยแววตาฉุนเฉียวและไม่เข้าใจ



ใครเข้าใจก็บ้าแล้ว แค่กลับเข้าบ้านมาเอาของที่ลืมไว้ ดันมาเจอสองคนนี้กำลังจูบกัน...และดูเหมือนจะเลยเถิดยิ่งกว่านั้น



“ไอ้ภาคย์ ใจเย็นๆ ก่อนนะ...”



“เย็นเหี้ยไรวะ!”



ในขณะที่โฟล์คพยายามรวบรวมสติแล้วพูดเพื่อให้อีกฝ่ายอ่อนลง ภาคย์กลับตวาดแทรกขึ้นมาจนคนที่กำลังพูดต้องเงียบเสียงลง กลืนคำอธิบายทั้งหมดลงคอ เมื่อสัมผัสได้ว่าเพื่อนเขาตอนนี้ไม่พร้อมฟังอะไรทั้งนั้น



ภูมิยิ่งหน้าซีดลงกว่าเดิม นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นพี่ชายโกรธขนาดนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่า...พี่ภาคย์เกลียดเกย์มากขนาดไหน



พี่ภาคย์...เกลียดสิ่งที่เขากำลังเป็น



ความคิดนั้นทำให้ภูมิรู้สึกร้อนผ่าวรอบดวงตา แม้เจ้าตัวจะพยายามกลั้นมันไว้ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของโฟล์คที่จ้องมองมาด้วยความเป็นห่วง



“ภูมิ...”



“อย่าเข้าใกล้น้องชายกู!”



ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เข้าไปปลอบประโลม คนที่กำลังโมโหขั้นสุดก็ตวาดลั่น จนโฟล์คต้องชะงัก ยอมถอยห่างจากคนตัวเล็กที่นั่งกลั้นก้อนสะอื้นบนโซฟา แล้วเบือนหน้ามาสบสายตาเพื่อนสนิท แต่ภาคย์กลับเลือกที่จะเมินสายตานั้น แล้วหันไปหาน้องชายตัวเองแทน



“ภูมิ...มึงไม่ได้เต็มใจใช่ไหม” ภาคย์พยายามข่มอารมณ์ไว้ ถามด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าเป็นปกติที่สุด



“ผม...”



“ตอบกูมาสิวะ! ว่าไอ้โฟล์คมันบังคับมึง มึงไม่ได้คิดเหี้ยอะไรกับมันทั้งนั้น แล้วกูจะต่อยมันให้เอง!”



“อย่า...อย่านะพี่ภาคย์”



คำตอบที่ตั้งใจจะพูดหายเข้าไปในลำคอทันที เปลี่ยนเป็นการส่ายหน้าพัลวัน ซ้ำน้ำเสียงที่ห้ามปรามยังสั่นด้วยความกลัว จนภาคย์หรี่ตาลง คำตอบของคำถามที่ค่อยๆ รับรู้ได้เองทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มที่คิดว่าเย็นลงแล้วเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว



พลั่ก!!!



ไม่ทันที่ใครจะได้ขยับตัว ภาคย์ก็ถลาเข้าไปซัดเพื่อนสนิทอีกหมัดแรงๆ ด้วยอารมณ์ทั้งหมดที่มี ทว่าก่อนที่คนโดนซัดจะล้มลงกับพื้น ภาคย์ก็กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาแล้วตวาดก้อง



“มึงจะหลอกน้องกูทำเหี้ยอะไร ทั้งๆ ที่มึงมีมิ้นท์อยู่แล้ว!!!”



กึก



ราวกับเวลาในห้องหยุดหมุน ไม่ใช่แค่โฟล์คที่แน่นิ่งไปกับคำถามนั้น แต่ภูมิที่ลุกขึ้นจากโซฟาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายโดนต่อยก็ชะงักไปเช่นกัน ชื่อของคนที่ไม่รู้จักไหลเข้าสมองช้าๆ พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นว่า



มิ้นท์...คือใคร



“ไอ้ภาคย์...กูขอร้อง”



น้ำเสียงอ่อนแรงของโฟล์คดึงความคิดของภูมิให้กลับมา ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังร้องเตือน อีกทั้งสีหน้าของพี่โฟล์คที่ราวกับจะขอไม่ให้พี่ชายของเขาพูดอะไรบางอย่างก็ยิ่งย้ำชัดถึงลางสังหรณ์นั้น จนภูมิเผลอกัดริมฝีปากแน่น แววตาที่เริ่มมีน้ำตาคลอหน่วยสั่นระริก มองพี่ชายตัวเองสลับกับคนที่คิดว่าเป็นคนพิเศษด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก



“หึ น้องกูไม่รู้เรื่องมิ้นท์สินะไอ้โฟล์ค”



สายตาของน้องชายตัวเองทำให้ภาคย์เดาได้ไม่ยาก โฟล์คหลบตาคนที่กำปกเสื้อเขาอยู่ทันที



เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องบอกเรื่องนี้กับภูมิ...แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่เรื่องนี้ไม่ได้ออกมาจากปากเขาเอง



แต่จะให้เขาพูดทุกอย่างออกมาตอนนี้...เขาก็ยังคิดคำพูดที่เหมาะสมไม่ออกเช่นกัน



ภาคย์แค่นยิ้มกับท่าทางเหมือนยอมแพ้ของคนตรงหน้า ก่อนจะปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่าย แล้วล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา ไม่นานนักข้อมูลที่ต้องการก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ชายหนุ่มเหลือบตามองเพื่อนสนิทที่นั่งกองที่พื้นแวบหนึ่ง ก่อนชูภาพในโทรศัพท์ให้น้องชายที่ยืนขาสั่นอยู่ข้างโซฟาให้ดูเต็มตา



ภาพของพี่โฟล์คกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูสนิทกันมาก...มากจนทำให้ภูมิรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ แต่นั่นยังไม่เท่าคำอธิบายที่ออกมาจากปากพี่ชาย



“นี่แหละมิ้นท์ แฟนไอ้โฟล์ค”



“!!!”



ประโยคที่บอกชัดเจนถึงสถานะของคนทั้งคู่ จนน้ำตาที่กลั้นไว้ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างทั้งร่างทรุดลงบนโซฟา ทว่าก็ยังพยายามบังคับสายตาให้มองไปยังชายหนุ่มที่นั่งกองกับพื้น ราวกับจะถามถึงความจริง หรืออย่างน้อย...ก็เป็นคำโกหกที่ทำให้เขาสบายใจ



บอกเขาสิ...บอกเขาว่าที่พี่ภาคย์พูดมันไม่จริง



ถ้อยคำที่เว้าวอนผ่านดวงตา ความหวังที่ริบหรี่ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายทำให้โฟล์ครู้สึกหายใจแทบไม่ออก ร่างสูงทำได้เพียงขบกรามแน่น ทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้อย่างที่ใจคิด



ทั้งที่อยากลุกไปหา อยากสวมกอด อยากปฏิเสธว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่จริง แต่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้มีเพียง...



“...พี่ขอโทษ”



“ฮึก”



เพียงเท่านั้น สิ่งที่ภูมิกลั้นไว้ทั้งหมดก็ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก ทั้งน้ำตา...ความเสียใจ...ความผิดหวัง...จนตัดสินใจหมุนตัวแล้ววิ่งขึ้นบันไดราวกับอยากหนีจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด



“ภูมิ! ฟังพี่ก่อน ภูมิ!”



ไม่ทันที่โฟล์คจะได้ขยับตัวลุกตาม ภาคย์ก็เป็นฝ่ายผลักร่างสูงของเพื่อนสนิทเต็มแรงก่อนจะตวาดลั่น



“อย่ายุ่งกับน้องกู!”



“แต่กูรักภูมิ” โฟล์คยืนยันหนักแน่น สีหน้าแสดงความร้อนใจอย่างปิดไม่มิดเมื่อมองไปยังทิศที่ร่างเล็กเพิ่งวิ่งหายไป แต่ภาคย์กลับทำเพียงแค่แค่นยิ้ม



“รักมัน...แต่ก็หลอกมันเนี่ยนะ”



“กูไม่ได้หลอกภูมิ!”



“แค่ไม่ได้บอกว่ามึงมีแฟนแล้ว...หึ” คำย้อนที่ทำเอาโฟล์คสะอึก ในเมื่อความจริงกำลังตีแสกหน้าว่า...เขาไม่ได้บอกภูมิจริงๆ



“กูไม่ได้รักมิ้นท์” ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งเดียวที่โฟล์คพูดออกไปได้ “กูไม่เคยรักมิ้นท์ กูรักภูมิ”



“มึงคิดว่าผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้เหรอวะ!” ภาคย์ตวาดแทรกขึ้นมาทันที ทั้งยังขุดความเชื่อที่เขามีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรและคงไม่เปลี่ยนง่ายๆ มาโต้ ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นด้วยความโกรธปนกับความผิดหวัง “กูไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะเป็นพวกผิดเพศแบบนี้ มึงมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่ดีๆ แล้วจะเปลี่ยนทำไมวะ! อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือไง แล้วมึงก็มาลากน้องกูให้หลงผิดไปกับมึงเหรอวะไอ้เหี้ย!”



“กูบอกแล้วไงว่ากูรักภูมิ!” โฟล์คยังยืนยันด้วยคำเดิม น้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้นด้วยอารมณ์โกรธจากคำพูดดูถูกของเพื่อนสนิท



“รักน้องกูเหรอ” ภาคย์ทำสีหน้าเยาะราวกับคำพูดของอีกฝ่ายเป็นเรื่องตลก “รักแล้วทำไมทำน้องกูเสียใจขนาดนั้นวะ ก่อนจะทำอะไรมึงคิดบ้างไหม!”



ภาพของคนที่ร้องไห้ปรากฏขึ้นมาทันทีจนโฟล์คชะงัก รู้สึกเจ็บราวกับหัวใจโดนบีบ ยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดที่ตอกย้ำว่าเขาทำให้คนตัวเล็กเสียใจขนาดไหนก็ยิ่งทำให้เขาเถียงไม่ออก จนไม่อาจต้านแรงของเพื่อนสนิทที่เข้ามากระชากคอเสื้อเขาให้ลุกขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะดันอย่างรุนแรงไปทางประตูหน้าบ้านที่เปิดค้างไว้



“อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก!”



โฟล์คได้ยินเพียงเท่านั้น ก่อนจะถูกปิดประตูใส่หน้าอย่างไม่ปราณี



เขา...ทำพลาดเอง



โฟล์คกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะจิกลงไปในเนื้อ ใช่...เป็นเขาเองที่พลาด เพราะเขาห่วงความรู้สึกภูมิเกินไป เพราะเห็นว่าปัญหายังอยู่ไกลตัว จึงเลือกที่จะปัดมันทิ้ง และรอเวลาที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา



แต่เพราะความไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ทุกอย่างถึงได้รวนไปหมด จนเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต



พลาด...ที่ทำให้คนที่รักที่สุดต้องเสียใจ



พลาด...ที่ทำให้คนที่รักที่สุดต้องร้องไห้



พลาด...ที่ทำให้คนที่รักที่สุดหมดความไว้ใจในตัวเขาอย่างสิ้นเชิง











 

 “ฮึก...ฮึก...”



ภายในห้องนอนขนาดเล็ก เสียงร้องไห้ที่แสดงชัดถึงความเจ็บปวดดังก้องทั่วทั้งห้อง โดยที่เจ้าตัวไม่มีความคิดจะกักเก็บไว้อีกต่อไป เพราะตอนนี้ข้างในมันเจ็บ...มันปวดไปหมด ทรมานจนอยากจะเอามีดแทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผื่อว่าความเจ็บนั้นจะช่วยบรรเทาความเสียใจจากความจริงที่เพิ่งรับรู้



ความจริงที่ว่า...คนที่เขาไว้ใจที่สุดหลอกเขามาโดยตลอด



“ภูมิไม่เหลือใครจริงๆ แล้วใช่ไหมแม่...ไม่เหลือใครแล้ว...ฮึก” คำตัดพ้อที่ออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นฟังดูราวกับจะขาดใจ ภูมิได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น ฝืนตัวมองฝ่าม่านน้ำตาไปยังหัวเตียงที่มีกล้องถ่ายรูปสีดำสนิทตั้งอยู่ กล้องที่เป็นเหมือนตัวแทนของคนที่จากไป...คนที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเขาในเวลานี้



ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเปิดโลกส่วนตัวให้ใครเห็นนอกจากแม่ แม้แต่กับไอ้ซัน...เขาก็ไม่ได้เปิดเผยทุกอย่าง พี่โฟล์คเป็นคนแรกที่เขายอมให้ก้าวเข้ามาสัมผัส มารู้จักตัวตนของเขา และเป็นคนแรกที่เขาวางใจจะมอบหัวใจไว้พักพิง



แต่พี่โฟล์คมีคนอื่นอยู่แล้ว...พี่โฟล์คไม่เคยคิดเหมือนเขาเลยใช่ไหม



ทั้งๆ ที่พี่โฟล์คเป็นคนแรกที่เขาตั้งใจจะรัก หรือบางที...อาจจะเผลอรักไปแล้ว



เพราะถ้าไม่รัก...คงไม่เจ็บขนาดนี้หรอก



“พี่เห็นผมเป็นตัวอะไรกันแน่วะพี่โฟล์ค...”



เขามันก็แค่ของเล่นฆ่าเวลา...อย่างนั้นสินะ



ภูมิไม่แน่ใจว่าคืนนั้นเขาร้องไห้หนักขนาดไหน รู้เพียงว่าอยากจะปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ปลดปล่อยความเสียใจทั้งหมดที่เจอให้ออกไปในคืนนี้ ให้หายไปกับน้ำตาที่เขาจะเสียคืนนี้เป็นครั้งสุดท้าย และบอกกับตัวเองว่า...ไม่มีอีกแล้ว



ความไว้ใจที่จะมอบให้ใครสักคน...ไม่มีอีกแล้ว











 

“เฮ้ยซัน เห็นไอ้ภูมิปะ”



ในเช้าวันจันทร์ เสียงทักที่ดังจากหน้าห้องเรียกให้ซันที่กำลังคุยเล่นกับเพื่อนต้องหันไปมอง ก่อนจะพบไอ้ประธานชมรมฟิล์มที่ปกติจะมาพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงกำลังตีหน้าเครียด จนเขาต้องเอ่ยปากขอตัวจากเพื่อนแล้วลุกไปหน้าประตู



“ไงมึง มีไรวะ”



“เช้านี้มึงเห็นไอ้ภูมิยัง”



“หืม ไม่นะ” ซันขมวดคิ้วหน่อยๆ กับท่าทางเคร่งเครียดผิดปกติของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมวะ”



ปิงปองถอนหายใจยาว “กูติดต่อมันไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็มีเข้าค่ายนิเทศวันที่สอง แต่ไอ้ภูมิก็ไม่โผล่หัวมา โทรหาก็ปิดเครื่อง ส่งข้อความก็ไม่ตอบกลับ กูเลยจะมาดูว่ามันเป็นอะไร”



“อ้าว” ซันยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม จริงอยู่ที่สองวันที่ผ่านมาเขาเองก็โทรหาเพื่อนสนิทไม่ติด แต่นึกว่าไอ้ภูมิคงเข้าค่ายอยู่เลยไม่สะกิดใจอะไร ทว่าพอได้ยินไอ้ปิงปองบอกอย่างนี้ก็อดสังหรณ์ใจแปลกๆ ไม่ได้ เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาเพื่อนอีกครั้ง แม้จะมีเสียงสัญญาณรอสายให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ปลายสายก็ไม่รับสักทีจนสัญญาณหายไป



ซันถอนหายใจแรงก่อนเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วจึงหันไปบอกเพื่อนข้างตัว “ปกติตอนนี้ไอ้ภูมิจะซ้อมดนตรี ลองไปหามันที่ห้องซ้อมก่อนแล้วกัน”



และเมื่อถึงที่หมาย ภาพของสมาชิกวงดนตรีที่กำลังตั้งใจซ้อมอย่างขะมักเขม้นก็ทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองคนถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยไอ้คนที่พวกเขานึกเป็นห่วงก็ยังสะพายกีตาร์ซ้อมเพลงเหมือนปกติ แม้ว่าการมองผ่านกระจกบานเล็กๆ จากด้านนอกจะทำให้เห็นสีหน้าของคนข้างในไม่ชัดก็ตาม



“ก็ยังดีที่ไม่ไปตายที่ไหน”



พอเห็นว่าเพื่อนเขายังอยู่ดี นิสัยปากอยู่ไม่สุขของปิงปองก็กลับมาอีกครั้ง ก่อนเจ้าของคำพูดจะหัวเราะเบาๆ ให้กับความเป็นห่วงที่ดูเกินเหตุของตัวเองแล้วหันไปบอกไอ้ซันที่ยืนอยู่ข้างๆ



“เดี๋ยวกูว่าจะรอมันอยู่หน้าห้องนี่แหละ ให้วงพักซ้อมก่อนแล้วค่อยเข้าไปถามว่ามันหายหัวไปไหนตั้งสองวัน”



ซันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พอเห็นว่ามีเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติก็หันมาพยักหน้ารับ “งั้นกูอยู่ด้วย”











 

ถ้าถามว่าตอนนี้ภูมิมีสมาธิกับการซ้อมไหม คำตอบคือ...ไม่เลยสักนิด



ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาตัดการติดต่อกับโลกภายนอกแทบจะสิ้นเชิง เพราะเขากลัว...กลัวว่าถ้าออกจากบ้านไปแม้แต่ก้าวเดียวจะเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุด กลัวว่าถ้าเปิดเครื่องโทรศัพท์ไว้จะเจอข้อความหรือเสียงเรียกเข้าของคนที่ไม่อยากคุยด้วย



หลังจากเมื่อคืนภูมิจึงปิดโทรศัพท์ไว้ตลอด และออกจากห้องตอนที่พี่ภาคย์เรียกทานข้าวเท่านั้น



พี่ภาคย์ยังคงทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการพูดถึงเรื่องในวันนั้น ไม่มีการด่าทออะไรทั้งสิ้น ทั้งยังช่วยบอกพ่อว่าวันจันทร์เขามีสอบเก็บคะแนนจึงตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทำให้พ่อไม่สงสัยเรื่องที่เขาเก็บตัวตลอดทั้งวัน



เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาเสียแม่ไป...เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้หนักขนาดนี้ แม้จะไม่อยากออกมาข้างนอกหรือติดต่อกับใคร แต่หน้าที่ที่ต้องซ้อมดนตรีและเรียนหนังสือก็ทำให้ภูมิยอมออกจากห้องมาโรงเรียนในเช้าวันจันทร์



ภูมิเพิ่งเปิดเครื่องโทรศัพท์เมื่อเช้านี้ สายที่ไม่ได้รับเกือบร้อยสายจากคนคนหนึ่งทำให้เขาใจกระตุก ...ทว่าเขาไม่มีความกล้าพอที่จะโทรกลับ



และแม้จะพยายามทำตัวเป็นปกติแค่ไหน แม้จะพยายามตั้งสมาธิกับการซ้อม แต่ภูมิก็รู้ตัวดีว่าไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลย



“ภูมิ...ภูมิ...”



“...”



“ภูมิ!” เสียงเรียกพร้อมกับแรงเขย่าที่ตัวทำให้ภูมิสะดุ้ง ก่อนจะพบว่าเมื่อไหร่ไม่รู้ที่สมาชิกทั้งวงมายืนล้อมรอบตัวเขา



“อ่า...” ภูมิตอบรับเสียงเบา ลดกีตาร์ในมือลง “มีอะไรหรือเปล่าทุกคน”



“พวกเราสิที่ต้องถามว่าภูมิเป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่มีสมาธิเลยนะ” พี่เปิ้ลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เช่นเดียวกับสายตาของเพื่อนร่วมวงทุกคนที่แสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด จนภูมิต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ก่อนส่งยิ้มให้



“ผมไม่เป็นไรหรอก คิดมากกันไปแล้วมั้ง”



“ไม่เป็นไรที่ไหนกันเล่า ภูมิจับคอร์ดเดิมมาครึ่งเพลงแล้วนะ ใครเรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ตัว”



ภูมิชะงักไปทันทีเมื่อพี่เก่งท้วงขึ้นมา ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่จับคอร์ดอยู่แล้วพึมพำออกมาเบาๆ “งั้นหรือ...”



เขา...ไม่รู้ตัวเลย



“ไม่สบายหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็พักได้นะ ไม่ต้องฝืนซ้อมหรอก” พี่เปิ้ลบอกอย่างเข้าใจ ทว่าภูมิกลับนิ่งไปนิด แล้วส่ายหน้าเบาๆ



“ซ้อมกันต่อเถอะพี่ ผมไม่เป็นไร”



ทุกคนในวงมองหน้ากันราวกับขอความเห็น แม้จะเป็นห่วงมือกีตาร์ของวงที่วันนี้ดูแปลกจากทุกที แต่เพราะสายตาจริงจังของเจ้าตัวที่ยืนยันจะซ้อมต่อก็ทำให้พี่เก่งเอ่ยสรุป



“โอเค ซ้อมก็ซ้อม งั้นเล่นเพลงเมื่อกี้กันใหม่นะ”



แต่ละคนกระจายตัวเข้าประจำตำแหน่งอย่างรู้งาน เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว พี่แฟ้มมือกลองก็เคาะให้จังหวะเป็นสัญญาณเริ่มเพลง



ภูมิพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา ตั้งสมาธิกับคอร์ดเพลงที่วางอยู่บนแสตนด์ตั้งโน้ตตรงหน้าโดยระวังไม่ให้พลาดอีก เสียงดนตรีเต็มไปด้วยอารมณ์ เคล้าคลอกับเสียงร้องก้องกังวานที่แสดงชัดถึงความรู้สึกดังสะท้อนทั่วทั้งห้องกว้าง

 

เมื่อความรักที่เคยหวาน กลายเป็นความขม
เมื่อฉันกลายเป็นแค่ลมในสายตาเธอวันนี้
ไม่มีแรงเหลือ เมื่อคนที่เคยไว้ใจทำร้ายกันได้ลง

เกิดเป็นแผลที่ตรงจิตใจ ก็ไม่ระวัง
กว่าจะรู้ว่าโดนหักหลัง ก็ทิ้งกันไป
เปลี่ยนให้ฉันเป็นคนอ่อนแอ
แต่ไม่ได้แปลว่าขอให้เธอกลับมารักกันเข้าใจไหม

แค่หัวใจมันไม่เคยเจ็บขนาดนี้
ก็หัวใจมันไม่เคยรักใครเท่าเธอมาก่อน

ที่ฉันตอนนี้ บ้าบอไม่มีเหตุผล

ก็หัวใจมันไม่เคยโดนกรีดเป็นแผล
แต่ฉันอยากให้เธอรู้สิ่งเดียวที่ฉันแคร์ คือหัวใจฉัน

เพราะมันต้องทนอยู่
เพื่อสู้ความจริงให้ไหว




(ทนพิษบาดแผลไม่ไหว : Potato)

 

“ภูมิ...ภูมิ!”



“ฮึก...”



ภูมิไม่รู้จริงๆ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนทะลัก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่เปิ้ลเข้ามาประชิดตัวเขาแล้วร้องเรียก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้ซันกับไอ้ปิงปองเปิดประตูเข้ามาแล้วตะโกนถามว่าเขาเป็นอะไร เขาไม่รู้...ไม่รู้อะไรสักอย่างเลยจริงๆ



“ไอ้ภูมิเป็นอะไรวะพี่เก่ง!”



“พี่ไม่รู้ซัน เห็นแปลกไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อกี้จู่ๆ ภูมิก็ร้องไห้”



“เวรเอ๊ย! ใครทำอะไรมึงวะไอ้ภูมิ บอกกูดิ!”



“ไอ้ปิงปองใจเย็นก่อน!”



“เย็นเหี้ยไรวะซัน! ใครทำอะไรเพื่อนกูวะ”



“หรือว่า...พี่โฟล์ค! ไอ้ภูมิ พี่โฟล์คทำอะไรมึงใช่ไหม ไอ้ภูมิ!”



ราวกับเสียงโวยวายจากรอบด้านเป็นเพียงธาตุอากาศ ภูมิไม่ได้ตอบคำถามใครทั้งนั้น และแม้จะพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลยังไง แต่เสียงเพลงที่ได้ฟังยังคงกังวานอยู่ในหัว สะท้อนภาพความทรงจำของคนที่ไม่อยากจำมากที่สุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนภูมิได้แต่ปล่อยให้หัวใจที่ถูกบีบจนทรมานปลดปล่อยความเจ็บปวดผ่านหยดน้ำตาอีกครั้ง...อีกครั้ง...และอีกครั้ง



------------------------------------- TBC -----------------------------------



/กอดน้องภูมิแรงๆ

รอฟังเหตุผลทั้งหมดจากพี่โฟล์คในตอนหน้านะคะ เจอกันวันเสาร์ค่ะ



CT.hamonigar

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 17 หัวใจที่เจ็บปวด (09/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 11-08-2018 15:17:28

Chapter 18 : ในเบื้องลึกของหัวใจ



หลายเดือนผ่านไป



ช่วงหนึ่งเดือนก่อนสิ้นปีของประเทศไทยคือช่วงย่างเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศในยามเช้ามีลมพัดเย็นสบาย ทำให้บรรยากาศของมหาวิทยาลัยยามนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาในเสื้อกันหนาวหลากสีสัน เป็นภาพที่ใครมาเห็นก็คงเดาได้ไม่ยากว่า...เวลาของพวกเขากำลังจะผ่านพ้นไปอีกปี



ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาก้าวผ่านประตูเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย ก่อนจะมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับเพื่อนไว้โดยไม่สนใจสายตาของหญิงสาวรอบด้านที่มองมาอย่างชื่นชม ในเมื่อผู้ชายคนนี้เพิ่งจะได้รับตำแหน่งเดือนคณะครุศาสตร์ไปหมาดๆ ทั้งยังมีข่าวลือว่าเรียนเก่งจนไม่น่าพลาดเกียรตินิยม จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นขวัญใจของสาวน้อยใหญ่ทั่วคณะ



ทว่าราวกับเจ้าตัวได้สร้างกำแพงบางอย่างเอาไว้...จนไม่มีใครกล้าเสนอตัวเข้าไปคุย



“อ้าวโฟล์ค ทางนี้ๆ”



ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตัวอาคาร เสียงเรียกจากเพื่อนร่วมคณะก็ทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง ก่อนจะเดินเข้าใกล้กลุ่มเพื่อนที่นั่งรวมตัวกันตั้งแต่เช้าบริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนใต้อาคาร



ทว่าบางสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนที่นั่งกลางวงกลับทำให้โฟล์คชะงัก



“อ้าว ยืนทำไรตรงนั้นวะโฟล์ค มานี่ๆ วันนี้กูจะเปิดคอนเสิร์ตเว้ย”



“มึงแค่จะเอากีตาร์มาเล่นจีบพี่ปีสองไม่ใช่เหรอไอ้ชัย” เพื่อนอีกคนเถียง



“ฮ่าๆ เหมือนกันแหละน่า” ไอ้ชัยยิ้มชอบใจ “กูอุตส่าห์หัดเล่นมาทั้งเดือนเลยนะเว้ย พวกมึงลองฟัง”



ว่าจบ คนพูดจัดท่าให้ดูทะมัดทะแมง ก่อนจะเริ่มดีดเครื่องดนตรีในมือพร้อมกับร้องท่อนแรกของเพลงที่กำลังฮิตติดตลาด เรียกเสียงโห่แซวจากเพื่อนในกลุ่มไปยกใหญ่



ทว่าโฟล์คเพียงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ใจกระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อเห็นภาพของคนบางคนซ้อนทับภาพตรงหน้า



...คนที่เคยเล่นกีตาร์ให้เขาฟัง ทั้งยังช่วยสอนเขาเล่นด้วยรอยยิ้มมีความสุข



โฟล์คเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที ก่อนจะเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งของม้านั่งที่ว่างอยู่ แล้ววางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะพร้อมกับทรุดตัวนั่งตาม



“อ้าว เป็นอะไรเนี่ย ทำหน้าแปลกๆ” เหมือนเพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มจะสังเกตเห็นความผิดปกติของคนที่มาใหม่ จึงเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วง แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้าเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้



“ไม่มีอะไรหรอก”



“ฮั่นแน่ หรือว่าตื่นเต้นที่แฟนจะกลับมาจากอเมริกา” หญิงสาวเอ่ยแซวเมื่อนึกขึ้นได้ “มิ้นท์กลับวันนี้แล้วนี่นา หลังนายพรีเซนต์โปรเจกต์เสร็จตอนเที่ยงก็ต้องรีบไปสนามบินใช่ไหมล่ะ”



“หืม แฟนไอ้โฟล์คกลับวันนี้แล้วเหรอ”



เหมือนว่าหัวข้อสนทนานี้จะเรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งกลุ่มได้ชะงัด เพราะทุกคนเปลี่ยนเป้าการพูดคุยจากกีตาร์มาเป็นแฟนสาวของหนุ่มหล่อประจำกลุ่มที่รู้จักชื่อกันดี แต่เห็นว่าเริ่มคบกันได้ไม่นานฝ่ายหญิงก็บินไปเรียนที่อเมริกา ทำให้มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเจอตัวจริง



“อืม เครื่องลงตอนบ่ายสามน่ะ” โฟล์คตอบรับแต่โดยดี



“โห อยากเจอตัวจริงว่ะ กูไปด้วยดิ!” ไอ้ชัยถึงกับวางกีตาร์แล้วโผล่หัวมากลางวงทันที แต่ก็โดนเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ทักโฟล์คตอนแรกลากคอเสื้อไว้



“ไม่ต้องเลยย่ะ จะไปเป็นก้างขวางคอเขาหรือไง” หญิงสาวตีหน้าดุ “แฟนไม่เจอกันตั้งหลายเดือน ให้เขามีเวลาสวีทกันหน่อยสิ”



“หืม...หึงพี่หรือจ๊ะน้องน้ำ” คนโดนว่าก็ไม่มีสลด ซ้ำยังขยับเข้าใกล้แล้วส่งสายตาหวานเยิ้ม “ถ้าชอบทำไมไม่บอกกันดีๆ ล่ะ ดูๆ ไปเธอก็สวยเหมือนกันน้า...”



“อีตาบ้า! ถอยออกไปเลยย่ะ”



“อะหือ ไอ้ชัยกับไอ้น้ำเหมือนสามีภรรยาทะเลาะกันเลยโว้ย”



เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกันจากรอบวง หัวข้อการสนทนาจึงเปลี่ยนมาเป็นการแซวคู่กัดประจำกลุ่มที่ทะเลาะกันได้แทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อคนหนึ่งขี้เหวี่ยงขี้วีน อีกคนก็แสนกวนประสาท การโต้เถียงกันเล็กๆ น้อยๆ ของคู่นี้ก็ดูจะเป็นภาพชินตาของคนในกลุ่มให้หยิบมาเป็นประเด็นสร้างสีสันบ่อยๆ



โฟล์คลอบถอนหายใจเบาๆ ที่เรื่องดูจะไกลตัวออกไป ก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบหัวข้อโปรเจกต์ที่ต้องนำเสนอในคลาสตอนเช้าออกมานั่งทวน



แม้จะดูเหมือนตั้งใจกับการอ่านเอกสารตรงหน้า แต่ใครจะรู้ว่าแววตาของชายหนุ่มฉายแววตึงเครียดไม่น้อยเมื่อนึกถึงคนที่เขาต้องเจอในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้











 

ภายในสนามบินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักเดินทางจากหลากหลายดินแดน ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังยืนอยู่บริเวณหน้าประตูทางออก รอบด้านมีผู้คนที่น่าจะมารอรับญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทซึ่งเดินทางไฟลท์เดียวกันกับแฟนของเขา



แฟน...ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมาตั้งแต่จำความได้



สถานะของพวกเขาทั้งสองคนเป็นแค่นั้น จนเมื่อครึ่งปีก่อน โฟล์คเพิ่งได้รู้จากปากของเพื่อนสมัยเด็กคนนี้ว่า คนที่เขามองว่าเป็นเพื่อนสนิทมาตลอด กลับคิดกับเขาเกินกว่าเพื่อนมานานหลายปี



และมิ้นท์คงไม่คิดจะสารภาพกับเขาแบบนี้ ถ้าหากไม่บังเอิญตรวจพบว่า...เธอป่วยเป็นโรคที่ไม่มีวันรักษาได้



คนรอบตัวของมิ้นท์รวมทั้งเขาเองต่างตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน และคำขอสุดท้ายในชีวิตของหญิงสาวในตอนนั้นมีแค่สองอย่าง คือหนึ่ง...ขอไปใช้ชีวิตต่างประเทศคนเดียวอย่างที่ฝันมาตลอด ซึ่งครอบครัวของมิ้นท์อนุญาตเพราะถือโอกาสให้หญิงสาวได้รักษาตัวอยู่ที่นู่น



และสอง...ขอให้เขายอมเป็นแฟนกับเธอ



ในตอนนั้น...โฟล์คไม่เคยรู้จักคำว่ารัก เขาไม่เคยมีแฟน และไม่คิดว่าตัวเองจะมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอกับใคร ดังนั้นคำขอของเพื่อนสนิทจึงไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก และยิ่งรู้ว่าเธอคงมีชีวิตได้อีกแค่ไม่กี่ปี เขาก็ยินดีจะทำทุกอย่างให้เพื่อนคนนี้มีความสุขที่สุด



เขาคิดมาตลอดว่าเขาคงรักใครไม่เป็น จนกระทั่งมาเจอภูมิ



ภูมิเป็นคนแรกที่เขารู้สึกดีด้วย เป็นคนแรกที่เขาอยากอยู่ใกล้ อยากดูแลปกป้องตลอดเวลา และเป็นคนแรกที่เขารู้สึก...รัก



เขาคิดมาตลอดว่าจะอธิบายเรื่องมิ้นท์ให้ภูมิฟังได้อย่างไร เขาไม่สามารถเลิกกับมิ้นท์ได้ แต่เขาก็รู้ว่าเด็กอย่างภูมิจะไม่ยุ่งกับเขาแน่ๆ ถ้ารู้ว่าเขามีภาระผูกพันเป็นผู้หญิงที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ...เขารู้ว่าเด็กดีอย่างภูมิจะยอมเดินออกจากชีวิตเขาและไม่หันกลับมาอีก



นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โฟล์คไม่รู้จะรับมือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างไร



...เพราะเขาไม่อยากเสียภูมิไป...



ไม่มีคนนอกคนไหนรู้เรื่องของอาการป่วยของมิ้นท์ เพื่อนสนิทของเขาทุกคนรวมทั้งไอ้ภาคย์ต่างก็เข้าใจว่าเขากับมิ้นท์เป็นแฟนกันแบบปกติ ดังนั้นวันที่ไอ้ภาคย์รู้เรื่องของเขากับภูมิ มันถึงได้โกรธมาก และเพราะอารมณ์โกรธของมันทำให้เขาไม่มีโอกาสได้พูดสิ่งที่เขาอยากพูด ...แม้แต่บอกรักให้ภูมิฟังก็ยังไม่ได้



ในวันนั้น...เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของภูมิ ความเจ็บปวดในแววตาคู่นั้นบอกเขาว่า...ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องปล่อยคนตัวเล็กไป



แม้ภายนอกภูมิจะดูอ่อนแอ แต่โฟล์ครู้ดีกว่าใครว่าภูมิเป็นเด็กเข้มแข็ง และสักวันภูมิจะอยู่ได้โดยไม่มีเขา



ใช่...สักวันภูมิจะลืมเขาได้เอง



ส่วนเขาก็คงต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ ...หน้าที่ของแฟนที่ดี



“โฟล์ค!”



เสียงหวานใสที่ดังมาจากประตูทางออกดึงความคิดโฟล์คกลับมา ก่อนชายหนุ่มจะเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้กับร่างเพรียวบางของหญิงสาวในชุดสเวตเตอร์สีน้ำตาลอ่อนที่โบกมือไปมาอยู่ไม่ไกลนัก โฟล์คสาวเท้าเข้าใกล้เพื่อนสมัยเด็กแล้วใช้สองมือสวมกอดร่างบางเอาไว้หลวมๆ



“ยินดีต้อนรับกลับมานะมิ้นท์”



“ขอบคุณนะ มิ้นท์คิดถึงโฟล์คที่สุดเลย” หญิงสาวเองก็กอดตอบชายหนุ่มแน่นๆ ก่อนจะผละออกมา “แล้วพ่อกับแม่ล่ะ ไม่ได้มาด้วยเหรอ”



“คุณน้าติดงานน่ะ เดี๋ยวไปเจอกันที่ร้านอาหารตอนเย็นทีเดียว เห็นว่าจองโต๊ะเลี้ยงมื้อใหญ่ไว้ให้แล้วด้วยนะ”



“จริงเหรอ ดีจังเลย” หญิงสาวยิ้มสดใส “อืม...โฟล์คหล่อขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”



“มิ้นท์คิดไปเองแล้วมั้ง” ชายหนุ่มส่ายหน้า



“พูดจริงๆ นะ”



พอถูกกระเซ้ามากๆ โฟล์คก็หลุดยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะ มิ้นท์เห็นดังนั้นจึงหัวเราะตาม



ราวกับบรรยากาศเดิมๆ ในวัยเด็กกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวอมยิ้ม มองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่แสดงออกชัดเจนว่ารักหมดหัวใจ



แม้ในตอนแรกเธอจะยังไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ ความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจนขึ้น



จนมาถึงวันที่เธอรู้ข่าวร้ายเกี่ยวกับตัวเอง นั่นทำให้เธอตัดสินใจสารภาพรักกับเพื่อนสนิท และขอในสิ่งที่หากเป็นเวลาปกติเธอคงไม่กล้า และแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้คิดแบบเดียวกับเธอ แต่รอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาให้พร้อมกับคำตอบรับอย่างจริงใจของชายหนุ่มก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ



โฟล์คเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาเปี่ยมด้วยความรู้สึกของคนตรงหน้า เขาจึงกระแอมไอ แล้วเสหน้าไปทางอื่น



มิ้นท์เห็นดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ  ก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปดึงฝ่ามือหนามากุมไว้หลวมๆ



“นี่...โฟล์ค” เธอเรียกให้เขาหันหน้ามามองเธออีกครั้ง “ขอบคุณนะ”



น้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่ายทำให้โฟล์คเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หมายถึงที่โฟล์คมารับมิ้นท์วันนี้น่ะหรือ...ไม่เป็นไรหรอก โฟล์คเป็นแฟนมิ้นท์นะ”



“ก็นั่นแหละ” มิ้นท์ยิ้มหวานให้อีกครั้ง “ขอบคุณนะที่เป็นแฟนมิ้นท์ ขอบคุณที่ยอมทำตามคำขอเอาแต่ใจของมิ้นท์”



โฟล์คชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะคนตรงหน้าเบาๆ



“มิ้นท์เป็นเพื่อนที่โฟล์ครักมากนะ เรื่องแค่นี้โฟล์คทำให้ได้อยู่แล้ว”



“มิ้นท์ไม่ได้ทำให้โฟล์คลำบากใจใช่ไหม” ครั้งนี้หญิงสาวเริ่มมีสีหน้าเป็นกังวล เพราะเธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าคิดกับเธอแบบไหน “ขอโทษนะ ทั้งๆ ที่โฟล์คไม่ได้คิดเหมือนกับมิ้นท์ แต่...”



“ไม่เอาน่ามิ้นท์” โฟล์ครีบยกมือบางของเพื่อนสมัยเด็กมากุมไว้ ก่อนส่งยิ้มที่หนักแน่นจริงใจเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล “มิ้นท์ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นนะ มิ้นท์รู้ไว้แค่ว่า โฟล์คเต็มใจมากๆ ที่จะทำให้เวลาที่เหลือของมิ้นท์มีความสุขที่สุด ...แค่นั้นก็พอนะครับ”



หญิงสาวน้ำตาร่วงทันใด ก่อนที่ร่างบางจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าด้วยความตื้นตัน



“ขอบคุณนะโฟล์ค มิ้นท์รักโฟล์คมากนะ ...รักมากๆ เลย”



ชายหนุ่มกอดตอบคนในอ้อมกอดด้วยความเต็มใจ



ใช่...เขาต้องทำให้เวลาที่เหลืออยู่ของเพื่อนสมัยเด็กคนนี้มีค่ากับเจ้าตัวมากที่สุด



...แม้ว่าเขาจะต้องเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิตไปก็ตาม...











 

“คัท!”



ราวกับเสียงสวรรค์มาโปรด เหล่านักแสดงที่ยืนอยู่กลางสนามโรงเรียนเกือบสิบชีวิตถอนหายใจโล่งอกทันที ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกันเมื่อได้รับคำชมจากผู้กำกับต่อท้าย



“ดีมากทุกคน ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ กลับบ้านกันได้เลยครับ” ปิงปองพูดผ่านโทรโข่งด้วยรอยยิ้มที่แสดงออกชัดเจนว่ามีความสุข แม้ว่าการทำงานครั้งนี้จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดเพราะเป็นงานใหญ่ครั้งแรกในชีวิต แต่เขาก็พอใจกับผลลัพธ์ของมันมาก



ไม่สิ งานชิ้นนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่แค่นี้ก็ถือว่าสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว



“มึงว่าไงไอ้ภูมิ” ผู้กำกับมือใหม่หันไปถามเพื่อนที่ยืนข้างกัน พลางลดกล้องวีดิโอลงแล้วเปิดฉากที่ถ่ายเมื่อครู่ให้ดู “กูว่าซีนนี้ใช้ได้เลย นักแสดงหลักสื่ออารมณ์ชัดมาก ส่วนเอ็กซ์ตร้าก็ไม่พลาดคิวกันเลย แม่งเจ๋งว่ะ”



“กูก็ว่าดี” ภูมิพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปหาประธานชมรมการแสดงที่มาช่วยดูการทำงานวันนี้ด้วย “ต้องขอบคุณเธอด้วยนะแซนดี้ ถ้าไม่ได้ชมรมเธอช่วย พวกเราก็คงแย่”



เพราะปกติการถ่ายหนังที่ทุนน้อยแบบนี้จะไม่สามารถจ้างนักแสดงมืออาชีพได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมักมีปัญหาเรื่องความพร้อมของนักแสดง บางคนก็เล่นแข็งเกินไป บางคนก็ยังไม่เข้าใจหลักการแสดง แต่เมื่อได้ชมรมการแสดงมาช่วยคัดตัวตั้งแต่แรก ทั้งยังช่วยดูแลการสอนและการจัดเวิร์คช็อปให้ตลอด งานจึงราบรื่นกว่าที่คิด



แซนดี้หน้าขึ้นสีเล็กน้อยกับคำชมนั้น ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ “ไม่หรอกจ้ะ พวกเราก็สนุกดี”



“เอาล่ะโว้ย! ถ่ายเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่ตัดต่อสินะ” ปิงปองถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเมื่องานหนักของชมรมเขายังไม่หมดเพียงเท่านี้ “ไอ้ภูมิ แล้วเพลงที่ว่าจะเสร็จวันไหน”



“ไม่เกินอาทิตย์หน้า” ภูมิรับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ประธานชมรมฟิล์มได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าพอใจ ก่อนขยับเข้ามาตบบ่าเพื่อนสนิท



“เหนื่อยหน่อยนะมึง ชมรมมึงต้องเตรียมงานคริสต์มาสอีกนี่”



“เออ เหนื่อย” มือกีตาร์ของวงโรงเรียนยอมรับแต่โดยดี ในเมื่อหลังจากส่งเพลงประกอบที่ทั้งแต่งทั้งอัดกันเองให้ชมรมฟิล์มแล้ว พวกเขายังต้องเตรียมคอนเสิร์ตใหญ่วันคริสต์มาสกันต่อ ซึ่งแม้โรงเรียนของภูมิจะไม่ใช่โรงเรียนคริสต์ แต่เพราะกรรมการนักเรียนอยากเห็นทุกคนสนุกกัน จึงยื่นเรื่องขอจัดงานคริสต์มาสรวบกับงานฉลองวันปีใหม่ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าวงของภูมิมีงานเข้าไม่หยุดหย่อนในช่วงปลายปีนี้



แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน รองประธานชมรมดนตรีก็ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ทั้งยังสำทับขึ้นมาว่า “เหนื่อย แต่ก็ลุยเต็มที่ล่ะวะงานนี้”



“เออ อีกอึดใจเดียว” เมื่อได้ยินดังนั้น ปิงปองก็ฮึดตาม แน่นอน...พวกเขาพยายามกันมามากขนาดนี้ ทุ่มเททุกอย่างแบบที่ไม่คิดว่าจะสามารถทำได้ในตอนที่ยังเรียนแค่มัธยม เรื่องอะไรจะปล่อยให้ความพยายามสูญเปล่าล่ะ











 

ภูมิกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกที แต่เจ้าตัวก็ยังเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางสบายๆ  ทั้งที่หากเป็นเมื่อก่อน...รถโตโยต้าคันสีขาวของพ่อที่จอดหน้าบ้านคงทำให้ภูมิเสียวสันหลังไม่น้อยว่าจะโดนตำหนิอะไรอีก



แต่เพราะภูมิสามารถพิสูจน์ตัวเองให้ที่บ้านเห็นได้ อีกทั้งผลการเรียนเทอมล่าสุดก็ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา คนที่บ้านจึงให้อิสระแก่เขามากกว่าเดิม การกลับบ้านเย็นเพราะติดงานหรือกิจกรรมจึงไม่ใช่ประเด็นที่จะถูกยกมาว่าอีกต่อไป



ในเมื่อแสดงให้เห็นว่ารับผิดชอบตัวเองได้ ภูมิก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรตามที่อยากทำ ...นั่นเป็นข้อตกลงระหว่างเขากับพ่อ



“กลับมาแล้วนะพ่อ”



ภูมิยกมือไหว้คนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายทำเพียงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือตามเดิม  แล้วภูมิก็ยิ้มออกเมื่อคนที่ทำเป็นไม่สนใจเขาพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งสั้นๆ



“ข้าวเย็นอยู่ในครัว”



ภูมิพยักหน้ารับ เปลี่ยนเป้าหมายจากการเดินขึ้นห้องนอนไปเป็นเลี้ยวเข้าห้องครัวแทน ถุงกับข้าวสี่ถุงที่วางอยู่บนโต๊ะครัวทำให้ภูมินึกแปลกใจกับปริมาณที่เยอะกว่าปกติ ทว่าคนที่เพิ่งกลับถึงบ้านก็ทำเพียงเลือกหยิบมาสองถุงเพื่อเทใส่จานแล้วอุ่นไมโครเวฟ



ในขณะที่คิดว่าจะทำอย่างไรกับกับข้าวที่เหลือ เสียงมอเตอร์ไซค์คุ้นหูก็ดังมาจากหน้าบ้าน เรียกให้ภูมิหันขวับทันที



เสียงแบบนี้...



“พ่อ วันนี้พี่ภาคย์กลับบ้านเหรอ” เด็กหนุ่มโผล่หน้าออกจากห้องครัว ตะโกนถามบิดาทันใด ซึ่งคนถูกถามก็ขมวดคิ้วลงราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ยอมเอ่ยปากตอบ



“เออ จำวันกลับบ้านของพี่ตัวเองไม่ได้หรือไง”



นั่นสิ...เขาลืมไปได้ยังไง



พี่ชายของเขาเพิ่งย้ายไปอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัยเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ เพราะหลังจากช่วงเปิดเทอมแรกๆ ที่ลองอยู่บ้านแล้วไปกลับมหาวิทยาลัย พี่ภาคย์ก็คิดว่าเวลาเดินทางที่ต้องเสียไปวันละหลายชั่วโมงไม่ค่อยคุ้มค่านัก ประจวบกับที่รูมเมทคนหนึ่งของเพื่อนพี่ภาคย์ย้ายออกเพราะเรียนไม่ไหว พี่ภาคย์เลยได้โอกาสย้ายเข้าพักทันที



และเห็นว่าช่วงปีหนึ่งยังเรียนไม่หนักมากนัก พี่ชายของเขาเลยกลับมาเยี่ยมบ้านได้ทุกวันศุกร์ ซึ่งก็คือวันนี้ที่ภูมิลืมไปเสียสนิท



...สงสัยจะทำงานหนักเกินไปถึงได้ลืมวันลืมคืน



ภูมิส่ายหัวกับตัวเองเบาๆ  ก่อนจะหันไปหยิบถุงกับข้าวอีกสองอย่างมาเทใส่จานเพื่ออุ่นไมโครเวฟ เพราะได้คำตอบแล้วว่ากับข้าวที่เยอะผิดปกตินี่เป็นของใคร



เด็กหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดีกว่าเดิม ถึงเขากับพี่ภาคย์จะไม่ได้สนิทกันเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ  แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุ้นเคยกับการที่มีพี่ภาคย์อยู่ในบ้านมากกว่าอยู่บ้านกับพ่อแค่สองคน



“หวัดดีครับพ่อ” ภูมิได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่ชายมาพร้อมกับเสียงเอ่ยทัก หลังจากนั้นคนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นอาทิตย์ก็โผล่หน้าเข้ามาในครัว “ไงไอ้ภูมิ”



พี่ภาคย์ยังคงทำหน้านิ่งเหมือนทุกทีราวกับทักไปตามมารยาท ซึ่งเขาก็ชินแล้วล่ะ



บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงเป็นเหมือนเช่นทุกที ภูมินั่งทานข้าวเงียบๆ ปล่อยให้มีเสียงพูดคุยสารทุกข์สุขดิบระหว่างพ่อกับพี่ชายเพียงแค่สองคน ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน หรือบางครั้งบนโต๊ะก็จะเงียบไปเสียเฉยๆ  เพราะโดยนิสัยแล้วพ่อของเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด  ส่วนพี่ภาคย์ก็ไม่ต่างกันมาก



และทุกคนก็ค่อนข้างชินกับบรรยากาศแบบนี้แล้ว



“เออ จะว่าไปแกก็ใกล้สอบกลางภาคแล้วนี่ภูมิ” พี่ภาคย์หันมาหาเขาหลังจากตักข้าวเข้าปาก ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ



“อืม อีกสามอาทิตย์น่ะ”

“เอาให้ได้เหมือนครั้งที่แล้วนะ”



ภูมิแอบถอนหายใจเล็กน้อยกับคำพูดที่เป็นเชิงบังคับกลายๆ  แล้วตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “จะพยายามแล้วกันนะ”



ถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะรักษาผลการเรียนเทอมนี้ไม่ให้ตกอยู่แล้ว ในเมื่อเขาตระหนักแล้วว่าหน้าที่หลักของตัวเองคืออะไร และควรทำอย่างไรให้ที่บ้านเชื่อใจ



“ว่าแต่เพื่อนภาคย์คนนั้นไม่ได้มาบ้านเราแล้วหรือ ที่ชื่อโฟล์คน่ะ”



กึก



คำถามแบบไม่ทันตั้งตัวจากพ่อทำให้อีกสองคนบนโต๊ะอาหารถึงกับชะงัก ภูมินิ่งไปทันที ในขณะที่ภาคย์ก็หันไปมองน้องชายตัวเอง



สีหน้าของภูมิไม่ได้แสดงอาการอะไรมากนัก ทว่าเจ้าตัวก็หลุบตาลงต่ำ เพียงพักหนึ่งก็เอื้อมมือไปตักข้าวในจานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



ภาคย์มองปฏิกิริยานั้นเงียบๆ  แล้วหันไปตอบคำถาม



“มันเรียนหนักน่ะพ่อ เลยไม่ค่อยได้มาแล้ว”



“งั้นหรือ” ชายวัยกลางคนครางรับในลำคอ “น่าเสียดายนะ พ่อว่าจะเลี้ยงขอบคุณโฟล์คเสียหน่อย อุตส่าห์ช่วยเจ้าภูมิขนาดนั้น”



“ไว้ผมจะบอกมันให้แล้วกัน” ภาคย์ตัดบท แล้วลากหัวข้อสนทนาเข้าเรื่องอื่น ระหว่างนั้นก็พยายามสังเกตท่าทีของน้องชายตัวเองไปด้วย แต่ราวกับว่าคนที่นั่งกินข้าวเงียบๆ นั้นได้สร้างกำแพงบางอย่างขึ้นมา



ภายใต้ท่าทางนิ่งเฉย ภาคย์ไม่รู้เลยว่าน้องชายของเขากำลังคิดอะไรอยู่











 

ภูมิปิดประตูห้องนอนลง กดล็อกลูกบิดเบาๆ แล้วเดินไปวางกระเป๋านักเรียนที่พื้นข้างโต๊ะหนังสือ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้



ความเงียบโรยตัวภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ  ...เป็นอีกครั้งที่ความทรงจำเกี่ยวกับใครบางคนย้อนกลับเข้ามาในหัว ใครบางคน...ที่พยายามจะลืมเท่าไหร่ก็ลืมไม่ได้



ทุกครั้งที่เห็นกีตาร์...เขาจะคิดถึงคนที่เขาเคยสอนกีตาร์ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ



ทุกครั้งที่หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาใช้...เขาจะคิดถึงคนที่เคยพาเขาไปซ่อมกล้อง แถมยังออกเงินให้โดยไม่ยอมรับคืน



ทุกครั้งที่เห็นข่าวเกี่ยวกับคณะในฝัน...เขาจะคิดถึงคนที่เคยชักชวนเขาไปเข้าค่าย ให้เขาได้เข้าใกล้คณะที่หวังมากขึ้น



ทุกวินาทีที่เขากำลังพยายามเพื่อเป้าหมาย...เขาจะคิดถึงคนที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขารู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง รู้จักพยายามเพื่อสิ่งที่รัก และยังรู้จัก...รัก



ใช่...เขาคิดถึงพี่โฟล์คตลอดเวลา



เพราะความทรงจำระหว่างเขาทั้งสองคน...มีมากเกินไป



แม้การสูญเสียพี่โฟล์คจะยังไม่หนักหนาเท่าเมื่อครั้งที่เขาสูญเสียแม่ แต่หัวใจกลับเจ็บจนน่าแปลก อย่างที่ไม่คาดคิดว่าคนคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานจะมีอิทธิพลต่อตัวเขาได้มากขนาดนี้



ภูมิทิ้งตัวแนบพนักเก้าอี้มากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน ...อาการอ่อนแอที่เขาพยายามปกปิดจากสายตาของคนรอบตัวเสมอ แทนที่ด้วยการแสดงออกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น



ทั้งที่ในความเป็นจริง เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาอาจจะช่วยให้ความเจ็บปวดจางลงได้ ...แต่ความรู้สึกกลับไม่ได้น้อยลงเลย



“เมื่อไหร่ผมจะลืมพี่ได้วะ...พี่โฟล์ค”



ภูมิหลับตาลง เอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ




...และมีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบ



--------------------------------- TBC -----------------------------



คนที่ใช่ ในเวลาที่ไม่เหมาะสม ...ก็อาจจะยังไม่ใช่

แต่ถ้าได้โคจรมาเจอกันในเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่

ก็หลุดพ้นจากกันยากแล้วล่ะค่ะ ...^^

เจอกันวันอังคารนะคะ รัก<3



CT.hamonigar

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 18 ในเบื้องลึกของหัวใจ(11/8/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-08-2018 15:41:38
 :L2: :L1: :pig4:

ก่ำกึงกับตวามเห็นแก่ตัวเนาะ
รักเพื่อนก็เสียคนรัก เป็นเรื่องยาก
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 18 ในเบื้องลึกของหัวใจ(11/8/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 11-08-2018 16:09:01
มาม่าเต็มหม้อเลยจ้า
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 18 ในเบื้องลึกของหัวใจ(11/8/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 14-08-2018 21:41:20
Chapter 19 : อีกครั้ง



สองปีผ่านไป



วันเปิดเรียนวันแรกของภาคการศึกษาใหม่ยังคงวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา มีทั้งนักศึกษาที่วิ่งวุ่นกับการแก้ผลการลงทะเบียนเรียน เสียงตะโกนทักทายเซ็งแซ่จากกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตลอดปิดเทอม รวมถึงนักศึกษาใหม่ที่ดูตื่นเต้นไม่น้อยกับการเปิดเรียนครั้งแรกของชีวิตมหาวิทยาลัย



ภูมิรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการแต่งชุดนักศึกษาท่ามกลางคนมากมายที่ไม่รู้จัก จริงอยู่ที่เขาเคยใส่มาแล้วในวันปฐมนิเทศ แต่วันนั้นเขารับรู้ว่ามีเพื่อนปีเดียวกันมากมายล้อมรอบ ไม่ใช่อยู่คนเดียวท่ามกลางนักศึกษาทุกชั้นปีแบบตอนนี้



สำหรับภูมิ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังอยู่ในถ้ำเสืออย่างไรอย่างนั้น



แน่นอนว่าภูมิได้แค่คิด เพราะเอาเข้าใจจริงแล้ว เขาสามารถตีหน้านิ่งราวกับไม่รู้สึกรู้สาได้ มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อลดความประหม่า โดยไม่ลืมกดเข้าแอพพลิเคชั่นหนึ่งเพื่อส่งข้อความ



 

Poom

มึงอยู่ไหนแล้ว <

เร็วๆสิ <

            T@฿LETEnN!s

            > ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเว่ย

            > รีบอยู่

       
    Poom

            มึงจะบ้าเหรอ <

            อีกสิบนาทีเข้าเรียนแล้วนะ <

 



            ภูมิขมวดคิ้วทันที แน่นอนว่าเขาไม่อยากเข้าเรียนสายในครั้งแรก แต่จะให้เข้าไปนั่งเรียนคนเดียวก็วังเวงบอกไม่ถูก



            หมับ



            “เฮ้ย!” จู่ๆ ก็มีมือตะปบลงที่ไหล่อย่างแรงจากด้านหลังจนภูมิสะดุ้ง รีบหันกลับไปมอง “ไอ้ปิงปอง!”



            “ไลน์ตามกูด้วย คิดถึงกูเหรอครับเพื่อน” เพื่อนสนิทตัวดีที่ตามมาเข้าคณะเดียวกันได้ว่าด้วยเสียงทะเล้น เอื้อมมือมาโอบรอบคอภูมิจนคนถูกโอบต้องเบี่ยงตัวออก



            “ไม่ต้องรุ่มร่ามเลยมึง แล้วไหนบอกอีกครึ่งชั่วโมง”



            “กูบอกว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่างหาก”



            พอมันเฉลยมา ภูมิก็กลอกตา ทั้งที่รู้สึกชินกับนิสัยชอบกวนประสาทของมันนานแล้ว



            “เอาเถอะ ขึ้นเรียนกัน” ภูมิว่าอย่างนั้นพร้อมกับลุกขึ้นแล้วสะพายกระเป๋า



            ภาพของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาสองคนกลายเป็นเป้าการซุบซิบนินทากันของกลุ่มนักศึกษาสาวเกือบทั้งโรงอาหาร ด้วยความที่คนหนึ่งก็หน้าตาดี แถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์สไตล์แบดบอยตามสเปคผู้หญิง ส่วนอีกคนถึงจะไม่ได้หน้าตาโดดเด่นมาก แต่ก็มีผิวขาวตามประสาคนเชื้อสายจีนขนาดที่ผู้หญิงยังอาย



            ภาพที่รุ่นพี่คนไหนมาเห็นก็บอกได้ว่า ในคณะที่คนไม่มากอย่างนี้ ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์คู่หูคู่นี้คงเป็นที่รู้จักกันทั้งคณะแน่



            หลังจากทั้งสองคนเดินออกจากโรงอาหารไปแล้ว อีกด้านหนึ่งของโรงอาหารก็มีกลุ่มของนักศึกษาสามคนจากคณะอื่นเดินเข้ามา



            “ชัย เลิกมองผู้หญิงคนอื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ”



            “โธ่ ก็สาวนิเทศปีนี้น่ารักทั้งนั้นเลยนี่นา แค่มองเอง อย่าหึงสิน้ำ”



            “ไม่ได้หึงย่ะ แต่สงสารน้อง เปิดเรียนวันแรกก็เจอสายตาหื่นกามของไอ้บ้าจากครุซะแล้ว”



            “ด่าแฟนตัวเองว่าหื่นกามเหรอ หืม”



            คนโดนด่าหันกลับไปมองแฟนสาวข้างตัวทันที พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกเกือบชนกับแก้มของหญิงสาว และแน่นอนว่าคนเกือบถูกแต๊ะอั๋งก็เบี่ยงหน้าหลบทัน



            “นี่มันโรงอาหารนะตาบ้า โรง-อา-หาร” น้ำถลึงตาใส่ เน้นย้ำทีละคำ แล้วหันไปหาเพื่อนอีกคน “โฟล์คดูดิ ไอ้ชัยมันรุ่มร่ามอีกแล้ว เราว่าเราเป็นแฟนกับโฟล์คแทนดีกว่า”



            “เฮ้ย ไม่ต้องเลย ไอ้โฟล์คมึงอย่ายุ่งกับเมียกู”



            “ใครเมียนายยะ! พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ”



            โฟล์คได้ยินดังนั้นก็หลุดหัวเราะ ส่ายหัวน้อยๆ กับการแหย่กันของคู่กัดที่พัฒนามาเป็นคู่รักได้เกือบปี แม้ช่วงแรกๆ คู่นี้จะทะเลาะกันบ่อย เบาบ้างหนักบ้างจนกลัวว่าจะไปไม่รอด แต่อยู่ไปอยู่มาก็ดันลงตัวกันดี กลายเป็นคู่รักในตำนานอีกคู่ของคณะเสียอย่างนั้น



            โรงอาหารในตอนนี้มีคนไม่มากนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่มีเรียนเช้าเพิ่งขึ้นเรียนกันไป ทั้งสามคนจึงหาโต๊ะนั่งได้ไม่ยาก เมื่อเลือกโต๊ะได้แล้วโฟล์คก็อาสานั่งเฝ้าไว้ ปล่อยให้เพื่อนอีกสองคนเดินไปซื้อข้าว



            โฟล์คไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นเมื่อไม่รู้จะทำอะไร เขาจึงเลือกเงยหน้าขึ้นมองรอบด้านอย่างที่ชอบทำประจำ อาจเป็นเพราะคณะครุศาสตร์ที่เขาเรียนเกี่ยวข้องกับการสังเกตคน และอีกอย่าง...โฟล์คกำลังคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะเจอใครคนหนึ่ง



            คนที่เขาดีใจด้วยแทบแย่ตอนเห็นประกาศรายชื่อคนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ของปีนี้



            แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เจอคนที่นึกถึง โฟล์คจึงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง



...บางทีภูมิอาจจะขึ้นเรียนไปแล้ว...



            และดูเหมือนว่าอาการเช่นนี้จะทำให้คนที่เพิ่งกลับมาจากซื้อข้าวมองอย่างมีเลศนัย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับเพื่อนสนิท โดยมีแฟนสาวนั่งตามข้างๆ



            “นี่ของมึง” ชัยพูดพร้อมกับดันจานข้าวมาตรงหน้า โฟล์คมองข้าวราดแกงธรรมดาแล้วพยักหน้าอย่างไม่คิดมาก



            “ขอบใจ”



            “สามสิบห้าบาท” มันทวงทันที “แต่เดี๋ยวค่อยจ่าย ว่าแต่...เหล่สาวคนไหนอยู่วะ”



            โฟล์คเหลือบมองคนถามเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “กูเปล่า”



            “เฮ้ย เพื่อนกันอย่าปิดบังกันดิวะ กูรู้นะว่ามึงแอบเล็งสาวนิเทศไว้”



            “ไร้สาระน่า”



            “เหรอ” ไอ้ชัยลากเสียงยาว “แล้วใครวะลุ้นแทบตายตอนประกาศผลแอดมิชชั่นของเด็กปีนี้ พอผลออกก็รีบเช็ครายชื่อเด็กนิเทศ แถมยังแอบมาดูพวกปีหนึ่งตอนวันปฐมนิเทศอีก”



            โฟล์คชะงักไปทันที ลดข้าวในมือลง แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ซ้ำยังเลี่ยงที่จะสบตากับเพื่อนสนิท



            ชัยถอนหายใจ เริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโหมดจริงจัง



            “กูพูดจริงๆ นะไอ้โฟล์ค เขาดูออกกันทั้งกลุ่มแล้วว่ามึงมีใครอยู่ในใจ กูเข้าใจว่ามึงเสียใจเรื่องมิ้นท์ แต่เรื่องมันก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว กูว่ามึงควรเปิดโอกาสให้ตัวเองนะ ที่สำคัญ...มิ้นท์คงไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้หรอกว่ะ”



            “แบบนี้ของมึงคือแบบไหน” โฟล์คขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ



            ชัยหันไปสบตากับน้ำราวกับขอความช่วยเหลือ เพราะความจริงชัยไม่ใช่ผู้ชายที่จะสรรหาคำพูดดูดีมาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ น้ำจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน



            “เราเข้าใจนะว่าโฟล์คกับมิ้นท์รักกันมาก แต่หลังจากที่มิ้นท์...นั่นแหละ โฟล์คก็เปลี่ยนไปเลย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ไม่ยอมมาอยู่กับพวกเรา อย่างวันนี้ที่เราลากโฟล์คมากินข้าวที่นี่ก็เพราะชัยคิดว่าโฟล์คน่าจะอยากมา เผื่อโฟล์คจะรู้สึกดีขึ้น” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เลื่อนมือไปแตะข้อมือของอีกฝ่ายเบาๆ “พวกเราทุกคนเป็นห่วงโฟล์คมากนะ”



            โฟล์คนั่งนิ่ง เผลอหลบสายตาเพื่อนทั้งสองคน



            ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นที่เป็นจุดแตกหักระหว่างเขากับภูมิ เขาก็รู้ตัวว่าอาการของตัวเองคงแย่มาก แต่พอมิ้นท์กลับมาจากอเมริกา เขาก็มีเพื่อนสนิทคนนี้เป็นคนช่วยย้ำเตือนว่าเขาต้องเข้มแข็งเพื่อใคร ต่อหน้าเพื่อนที่มีสถานะแฟนคนนี้ เขาจะอ่อนแอไม่ได้ เพราะเขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะดูแลเพื่อนคนนี้ให้ดีที่สุด



            จนเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน มิ้นท์ก็จากเขาไป เป็นอีกครั้งที่โฟล์ครู้สึกโลกดับมืด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีเพื่อนและครอบครัวที่คอยปลอบใจ และพยุงให้เขาผ่านความรู้สึกช่วงนั้นมาได้



            แม้โฟล์คจะยังรู้สึกผิดต่อภูมิ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะคอยติดตามชีวิตของเด็กคนนี้ จนกระทั่งเห็นผลการสอบเข้าของภูมิ เขาดีใจมากที่ภูมิได้เรียนในสิ่งที่ฝันมาตลอด อีกทั้งยังได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน



            โฟล์คยอมรับว่ายังหวังอยู่ลึกๆ ...ว่าสักวันเขากับภูมิจะกลับมาเข้าใจกันได้ ภูมิอาจจะไม่ต้องรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม ขอแค่ได้กลับมาเป็นคนรู้จักกัน ได้คุยกันบ้าง ...แค่นั้นก็พอแล้ว



            “ขอโทษ...กูไม่นึกว่าจะทำให้พวกมึงคิดมากขนาดนี้”



            “จะขอโทษพวกกูทำไม” ชัยขมวดคิ้ว “หรือถ้ามึงอยากขอโทษ มึงมีอะไรให้พวกกูช่วยเกี่ยวกับเด็กนิเทศคนนั้น มึงก็บอกมาแล้วกัน”



            ทว่าโฟล์คกลับส่ายหน้า



            “ไม่ต้องหรอก กูทำผิดต่อเขาไว้ เขาคงเกลียดกูแล้ว”



            “เอ้า แล้วมึงไปทำอะไรไว้ล่ะ ถามจริง เขาจะโกรธมึงตลอดชีวิตเลยเหรอ”



            “กูไม่รู้ว่ะ กูแค่ไม่อยากเข้าข้างตัวเอง”



            “เฮ้อ ฟังนะไอ้โฟล์ค” ชัยเปลี่ยนโหมดมาเป็นน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “ไม่มีใครไม่เคยทำผิดหรอก มึงทำผิด มึงก็ขอโทษ ถ้าเขายังไม่หายโกรธ มึงก็ต้องตามง้อ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ใจคนมันอ่อนกว่าหินอีกนะเว้ย มึงเอาความจริงใจเข้าสู้ เดี๋ยวเขาก็หายโกรธ”



            น้ำถึงกับเบิกตากว้าง เขย่าไหล่แฟนตัวเองอย่างตื่นเต้น “นี่ชัยจริงๆ เหรอ ทำไมพูดดีขนาดนี้เนี่ย”



            “เอ้า แซวกันอีก หมดอารมณ์เลยน้ำ”



            ชัยหันมาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก โฟล์คหัวเราะเบาๆ  ชัยจึงหันมาพูดต่อ



            “ก็ประมาณนี้แหละไอ้โฟล์ค มึงอย่าเพิ่งยอมแพ้สิ ที่มึงทุกข์เพราะเขา แปลว่าเขาสำคัญกับมึง ที่ทุกข์มากก็เพราะสำคัญมาก แล้วมึงจะยอมให้คนสำคัญขนาดนี้หลุดมือไปง่ายๆ เหรอวะ”



            โฟล์คได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรออกไป



            แต่เขาคิดว่า เขาเลือกทางเดินของตัวเองได้แล้ว



            เขาเคยปล่อยมือคนสำคัญไปแล้วครั้งหนึ่ง จะเป็นไปได้ไหม...ที่เขาจะดึงมือนั้นกลับมาอยู่ข้างตัวอีกครั้ง











           

            แม้จะพยายามบอกตัวเองให้มีสมาธิกับการเรียน แต่ภูมิกลับพบว่าเสียงพูดของอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่ได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่น้อย



            ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าพี่โฟล์คก็เรียนอยู่ที่นี่



            ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ภูมิทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้กับการเตรียมตัวสอบเข้า จนลบเรื่องของครูสอนพิเศษคนแรกและคนเดียวของเขาออกจากใจได้บ้าง ...แต่มันกลับไม่เคยหายไป



            ยิ่งเมื่อรู้ว่าจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ภาพของผู้ชายคนนั้นก็แวบเข้ามาในหัวตลอดเวลา รวมถึงภาพความทรงจำระหว่างเขาทั้งสองคนที่แม้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นาน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ...ความรู้สึก



            ความรู้สึกของเขาเป็นของจริง แต่พี่โฟล์คล่ะ...รู้สึกด้วยหรือเปล่า



            รู้สึกเหมือนที่แสดงออกให้เขาเห็น หรือแค่เล่นกับความรู้สึกของเด็กอย่างเขา



            ภูมิแค่นยิ้มกับตัวเอง



            จะมาพร่ำเพ้ออะไรวะไอ้ภูมิ ป่านนี้พี่โฟล์คคงกำลังมีความสุขกับแฟนอยู่



            ไม่อยากยอมรับว่าประโยคนี้ทำเอาเจ็บหัวใจไม่น้อย แต่ภูมิก็นึกขอบคุณช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาที่ช่วยให้เขาไม่รู้สึกเจ็บเท่าเดิม แม้จะไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรหากบังเอิญเจอพี่โฟล์คอยู่กับแฟนตอนนี้



            อยู่กันคนละคณะ แถมมหาวิทยาลัยก็ออกจะกว้าง คงไม่บังเอิญเจอกันหรอก



ภูมิบอกตัวเอง พร้อมกับดึงสมาธิให้กลับมาจดจ่อที่เนื้อหาที่เรียน แม้ว่าในคาบแรกจะไม่ได้มีเนื้อหามากมายนักก็ตาม











 

“ไอ้ภูมิ ไปกินปังปิ้งครุกัน”



หลังจากหมดคาบเรียนตอนบ่าย จู่ๆ ไอ้เพื่อนซี้ข้างตัวก็หันมาตะปบไหล่แล้วโพล่งขึ้นมา ซึ่งภูมิคงตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมาก ถ้าหากไม่ได้สะดุดกับสถานที่



“ทำไมต้องครุวะ”



“เอ้า ของขึ้นชื่อของมหา’ลัยเราเลยนะเว้ย อยากกินปังปิ้งต้องไปกินครุ กูไปสืบจากรุ่นพี่มาแล้ว ที่สำคัญนะเว้ย...” ไอ้ปิงปองชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ “เขาว่ากันว่าถ้าผู้ชายหล่อๆ ไปซื้อ คนขายแถมไอติมเบิ้ลสอง ท็อปปิ้งไม่อั้น”



“แล้วมึงก็คิดว่ามึงหล่อ?”



“แน่นอนสิครับเพื่อน” ปิงปองตอบรับอย่างมั่นใจ แล้วจัดการคว้ากระเป๋าเป้ของเพื่อนสนิทมาพาดบ่าตัวเองจนคนถูกขโมยกระเป๋าถึงกับเหวอ ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมไปล็อกคอเจ้าของกระเป๋าให้เดินไปด้วยกันอย่างขัดขืนไม่ได้ “ปะ ไปกัน”



“กูยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะเว้ย!” ภูมิรั้งตัวเองไว้ไม่ให้เดินตามแรงของคนลาก



“โธ่ กูอยากแดกนี่หว่า ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะมึง นะๆๆ”



ภูมิได้แต่กลอกตาไปมา สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม



“เออ ไปก็ได้”



...คงไม่บังเอิญเจอกันพอดีหรอกมั้ง...











 

คณะครุศาสตร์อยู่ไม่ห่างจากคณะของภูมิมากนัก ด้วยความที่เวลานี้เป็นเวลาเลิกเรียนของหลายวิชาที่เรียนในช่วงบ่าย ทำให้คนค่อนข้างพลุกพล่าน พอลองนึกดูภูมิถึงจำได้ว่าด้านหน้าคณะนี้เป็นป้ายรถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยที่รุ่นพี่เคยพูดถึงในวันปฐมนิเทศ



            รุ่นพี่เคยบอกว่ามหาวิทยาลัยของเราใหญ่ แถมยังมีหลายโซน บางโซนอยู่คนละฝั่งของถนน ถ้าไม่มีรถโดยสารภายใน เวลาเดินทางไปคณะอื่นที่อยู่ไกลก็คงลำบาก ภูมิคิดว่าสักวันหนึ่งเขาคงได้ลองขึ้นบ้าง แม้ตอนนี้จะยังจำไม่ได้ว่ารถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยมีสายอะไร และแต่ละสายไปที่ไหนบ้างก็ตาม



            โรงอาหารของคณะครุศาสตร์อยู่ด้านในตัวตึก ซึ่งแม้จะมีคนเดินไปมาบ้างแต่ก็น้อยเมื่อเทียบกับฝูงชนด้านนอก อาจเป็นเพราะหลังเลิกเรียนนักศึกษาส่วนมากนิยมไปทานข้าวข้างนอกมากกว่าในคณะ



            “ไปซื้อข้าวกันก่อนแล้วกันไอ้ภูมิ กินเสร็จค่อยต่อปังปิ้ง”



            “เออๆ” ครั้งนี้ภูมิเห็นด้วยเพื่อน เพราะหลังจากผ่านการเรียนมาทั้งบ่ายโดยไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ทำให้กระเพาะประท้วงอยู่พอสมควร แค่ขนมปังอย่างเดียวไม่น่าพอ



            ภูมิเดินวนรอบโรงอาหาร เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็เข้าไปสั่งอาหารที่ร้านร้านหนึ่ง แล้วจึงเดินไปซื้อน้ำ



            “เอาน้ำส้มแก้วนึงครับป้า”



            ภูมิบอกป้าคนขาย เมื่อแก้วน้ำตามที่สั่งถูกวางลงตรงหน้า เขาก็ควักเศษเหรียญขึ้นมาจ่าย แล้วหยิบน้ำขึ้นมาก่อนเดินกลับไปร้านอาหารที่สั่งข้าวเอาไว้



            ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น ภูมิจึงหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าใครโทรมาก็กดรับ



            “ครับพ่อ...เลิกเรียนแล้วครับ ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวภูมิหาอะไรกินข้างนอกเอง ...โอเค ไม่เกินสองทุ่มครับ สวัสดีครับ...อ๊ะ!” ด้วยความไม่ทันระวัง ตอนที่ภูมิก้มหน้าเตรียมจะกดวางสาย เขาลืมมองทางข้างหน้า จนชนกับคนที่กำลังเดินสวนมาพอดี



            และเพราะในมือภูมิถือแก้วน้ำส้มอยู่ ทำให้น้ำในมือกระเฉาะเลอะเสื้อนักศึกษาของอีกฝ่าย ภูมิเบิกตากว้าง



            “ขะ...ขอโทษครับ” เขาละล่ำละลัก แต่พอเงยหน้ามองคนที่ตัวเองเดินชน เสียงทั้งหมดก็กลืนหายเข้าลำคอ



            ร่างสูงโปร่งที่เขาเคยต้องเงยหน้ามองประจำ ผมสีดำที่เหมือนจะยาวกว่าในความทรงจำเล็กน้อย ริมฝีปากได้รูปที่เคยสัมผัส รวมถึง...แววตาคู่เดิมที่มองตรงมาทางเขา ซึ่งถ้าภูมิไม่คิดเข้าข้างตัวเอง...แววตาของคนตรงหน้าราวกับมีความเศร้าเจืออยู่ไม่น้อย



            “...พี่โฟล์ค” ในที่สุด ภูมิก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบ



            พี่โฟล์คยังเหมือนเดิม ...เหมือนเดิมมากๆ  โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น...



            แววตาที่เคยทำเขาคิดเข้าข้างตัวเองจนน่าสมเพช



            ภูมิหลบสายตาลง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ



...ใช่ มันเป็นแค่อดีต เป็นแค่เรื่องที่เขาคิดไปเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น



“ขอโทษครับ” ภูมิพูดโดยไม่มองหน้า ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินไปอีกทาง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางผิดปกติออกไป



โฟล์คมองตามหลังคนที่เดินไปเอาข้าวที่สั่งไว้ จนกระทั่งเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีตื้นขึ้นมา



...เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าใกล้เด็กคนนี้ในช่วงเวลากว่าสองปี...



ไม่สิ อาจจะเรียกว่าเด็กไม่ได้แล้ว ในเมื่ออดีตลูกศิษย์ของเขาดูโตขึ้นมากในชุดนักศึกษา ทั้งส่วนสูงที่น่าจะมากกว่าเดิมเกือบสิบเซ็นต์ และแววตาที่ดูเข้มแข็งขึ้น ทำให้ภูมิดูต่างจากเด็กน้อยคนเดิมที่เคยเจอเมื่อสองปีก่อน



            แต่ถึงอย่างนั้น โฟล์คก็สัมผัสได้ว่าเมื่อครู่ที่ได้สบตากัน มีแวบหนึ่งที่เขาเห็นความรู้สึกแบบเดิมในดวงตาคู่นั้น



            แม้มันจะถูกแทนที่ด้วยความเฉยเมยแทบจะในทันที แต่มันก็ทำให้โฟล์คมีกำลังใจ



            ภูมิยังไม่ลืมพี่...ใช่ไหมครับ











 

          พอมาถึงโต๊ะที่เพื่อนสนิทนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ภูมิก็ก้มหน้าก้มตาตักอาหารโดยไม่สนใจรอบด้าน จนข้าวในจานพร่องลงเกือบครึ่งในเวลาไม่ถึงนาที ปิงปองเห็นดังนั้นก็อ้าปากเหวอ ท้วงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้



            “เดี๋ยวๆ ใจเย็นนะมึง หิวมาจากไหนวะ”



            ภูมิเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากินต่อโดยไม่ตอบอะไร



            คนถามยิ่งงงกว่าเดิม แต่พอเห็นว่าเพื่อนไม่พูด เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ เลยกลับมาสนใจข้าวในจานตัวเองบ้าง



            แต่ขณะที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปิงปองก็เห็นรุ่นพี่ที่จำได้ว่าเคยอยู่กับไอ้ภูมิบ่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ จึงเบิกตากว้างแล้วร้องเรียก “อ้าว พี่โฟล์ค”



            พอพูดชื่อ ปิงปองก็สัมผัสได้ว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามชะงักไปทันที



            “ไงปิงปอง ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ” โฟล์คยิ้มให้



            “โห นานมากพี่ ตั้งสองปีกว่ามั้ง” ปิงปองว่าแล้วขยับตัวเข้าด้านใน ให้รุ่นพี่ที่มาใหม่ได้นั่งข้างๆ “นั่งก่อนดิพี่ เออ...นี่ผมลืมไปเลยนะว่าพี่เรียนที่นี่ด้วย”



            เขาจำได้ว่าตอนนั้นไอ้ภูมิเคยบอกว่าพี่โฟล์คเรียนคณะครุศาสตร์อยู่ที่นี่ แต่พอไม่ได้เจอนานบวกกับวุ่นๆ กับการสอบเข้า เขาก็ลืมไปเสียสนิท แถมไอ้เพื่อนซี้ข้างตัวก็ไม่ได้พูดถึงพี่โฟล์คอีก ทั้งที่ช่วงหนึ่งไอ้ภูมิกับพี่โฟล์คตัวติดกันจะตาย



            ครั้งหนึ่งเขาถามมันว่าทำไมไม่ค่อยเจอพี่โฟล์ค ไอ้ภูมิก็ตอบแค่พี่โฟล์คเรียนหนักเลยไม่ค่อยว่าง บอกตรงๆ ว่าปิงปองไม่ได้เชื่อนักหรอก แต่พอเห็นไอ้ภูมิดูเศร้าเหมือนเจอเรื่องร้ายแรงมา เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้เพื่อนรู้สึกไม่ดี



            และดูจากท่าทางของเพื่อนสนิทที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจคนที่มาใหม่ ปิงปองก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าสองคนนี้คงมีปัญหากันแน่ๆ



            “แล้วเป็นไงบ้างล่ะเรา เปิดเรียนวันแรก” โฟล์คยิ้มให้



            “อืม...ก็ดีนะพี่ น่าตื่นเต้นดี คนเยอะ ไม่เหมือนตอนเรียนมัธยม” ปิงปองว่าตามที่คิด “แต่คาบแรกยังไม่ค่อยได้เรียนอะไรเลยพี่ อาจารย์เข้ามาพูดอะไรก็ไม่รู้”



            “ฮ่าๆ  ปกติก็เป็นอย่างนี้แหละ” โฟล์คว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะส่วนมากในคาบแรกอาจารย์จะพูดคร่าวๆ ถึงเนื้อหาที่จะเรียน วิธีเก็บคะแนน วิธีตัดเกรด ยังไม่ได้เข้าสู่บทเรียนจริงๆ  แต่ก็มีบางวิชาที่กลัวเวลาสอนไม่พอจึงเริ่มสอนกันจริงจัง



“อ้าว แล้วนั่นเสื้อพี่ไปเลอะอะไรมา” ปิงปองถามเมื่อเห็นรอยเลอะบนชุดนักศึกษาของอีกฝ่าย



“นี่เหรอครับ” โฟล์คก้มลงมองเสื้อตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นต้นเหตุที่เหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย แต่สักพักก็กินข้าวต่อเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับตัวเอง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็เผลอยกยิ้ม แล้วหันไปตอบคนถาม “อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”



ปิงปองมองเสื้อของชายหนุ่มรุ่นพี่ สลับกับแก้วน้ำของเพื่อนสนิทบนโต๊ะ สักพักจึงพยักหน้ากับตัวเองอย่างเข้าใจเรื่องราว



เมื่อกี้คงเจอกันแล้วสินะ มิน่า ไอ้ภูมิมาถึงโต๊ะก็โซ้ยเอาโซ้ยเอา



“ว่าแต่ทั้งสองคนมาทำอะไรกันที่นี่เหรอครับ”



           โฟล์คถามขณะมองหน้าคนตรงข้ามที่นั่งกินข้าวแบบไม่พูดไม่จา แต่อีกฝ่ายทำเหมือนจะไม่ได้ยิน ปิงปองเห็นดังนั้นจึงเป็นฝ่ายตอบแทน



            “ผมได้ยินว่าปังปิ้งของที่นี่สุดยอดน่ะพี่ เลยว่าจะมาลองกิน”



            “หืม...ปังปิ้งงั้นเหรอ เดี๋ยวพี่ซื้อให้เอามั้ย”



            “เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวพวกผมซื้อเอง นี่ก็กินข้าวจะเสร็จแล้ว”



            “ถือว่าเลี้ยงต้อนรับรุ่นน้องไง พี่สนิทกับเจ้าของร้าน ป้าเขาชอบแถมให้เยอะ”



            “โห ถ้าพี่พูดถึงขนาดนี้ ผมไม่เกรงใจแล้วนะ” ปิงปองยิ้มเผล่ เหมือนว่าก่อนหน้านี้แค่เกรงใจตามมารยาทเท่านั้น “เอาช็อกโกแลตนะพี่ เยอะๆ ล้นๆ”



            “ได้ครับ” โฟล์คตอบรับอย่างใจดี ก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แล้ว...ภูมิล่ะ”



            คนถูกถามเงียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตา



            “ไอ้ภูมิ” จนปิงปองต้องกระเซ้า ในที่สุดภูมิก็ยอมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทแล้วตอบเสียงห้วน



            “กูกินกับมึง” พูดจบก็ก้มหน้าลงสนใจข้าวในจานตามเดิม



            ปิงปองได้แต่หัวเราะแห้งๆ ในลำคอ สบตากับพี่โฟล์คด้วยสายตาทำนองว่า...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นบ้าอะไร



            โฟล์คยิ้มน้อยๆ  ส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา แล้วจึงลุกออกไป



-------------------------- TBC -------------------------



กลับมาเจอกันแล้วนะคะ



จริงๆ ลังเลรูปแบบการใช้สถานที่จริงอยู่เหมือนกัน คือเราก็มีแบคกราวด์ของเรื่องอยู่ในหัวเนอะ มีต้นแบบมหา'ลัยที่ใช้เขียน แต่ความคิดเราคือเรากำลังสร้างเรื่องราวในจินตนาการขึ้นมา เราไม่อยากให้นิยายมีข้อจำกัดว่าพอเอาสถานที่ไหนเป็นต้นแบบแล้วต้องอิงเรื่องราวตามสถานที่นั้น 100% บางทีเราก็อยากเปลี่ยนหรือเสริมเติมแต่งนิดหน่อยตามที่เราคิดค่ะ ฮา แต่ก็เคยเจอความเห็นประมาณว่าพอเขียนรายละเอียดของสถานที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงก็โดนดราม่า เลยลังเลนิดหน่อย



แต่สรุปเราก็เขียนตามนี้นะคะ เราใช้มหา'ลัยนึงเป็นต้นแบบเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการคิดภาพในหัวเราเอง แต่ขออนุญาตไม่อิงเป๊ะๆ นะคะ อย่างการใช้คำเราก็จะใช้คำทั่วไปอย่างนักศึกษา ของดีประจำครุจากที่เป็นปังเย็นก็จะเปลี่ยนเป็นปังปิ้งอะไรแบบนี้  ไม่อยากให้ข้อมูลชี้นำไปที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป(ถึงบางคนพอจะเดาได้ก็ตาม แฮ่) อยากให้มองว่าเป็นมหา'ลัยธรรมดามหา'ลัยนึงเนอะ



ทั้งนี้ใครมีความคิดเห็นเพิ่มเติมก็บอกกันได้นะคะ เปิดรับทุกความเห็นค่ะ รัก<3



CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 19 อีกครั้ง (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-08-2018 22:33:48
 :L2: :pig4:

ยังคิดถึงกันเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 19 อีกครั้ง (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-08-2018 10:37:41
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 19 อีกครั้ง (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-08-2018 11:02:07
ง้อไปยาวๆ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 19 อีกครั้ง (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-08-2018 23:09:42
พี่โฟล์ค  ขอโทษภูมิ.............
บอกความจริงภูมิไปสักที   :z3: :z3: :z3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 19 อีกครั้ง (14/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 16-08-2018 19:49:35
Chapter 20 : สับสน



            “โห อร่อยดีว่ะพี่”



            ปิงปองทำตาโต ขณะที่มือก็จ้วงปังปิ้งราดช็อกโกแลตเยิ้มๆ ตรงหน้าเข้าปากอีกคำ หลับตาพริ้มกับความกรอบนอกนุ่มในของขนมปังที่อร่อยสมคำร่ำลือ โดยมีทีเด็ดคือท็อปปิ้งที่โปะจนพูนจาน จนเชื่อแล้วว่าคนซื้อคงสนิทกับเจ้าของร้านเหมือนที่บอกไว้ตอนแรก



            “อร่อยก็กินเยอะๆ เลยนะ ถ้าไม่พอเดี๋ยวพี่ซื้อให้อีก”



            “โหย ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวลงพุงแล้วสาวๆ ไม่ชอบ” ปิงปองว่าแล้วหัวเราะ ก่อนหันไปหาเพื่อนสนิท “มึงก็กินดิไอ้ภูมิ นี่กูกินคนเดียวจะหมดจานแล้วนะ”



            “กูอิ่มแล้ว มึงกินเถอะ” ภูมิเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่นั่งตรงข้าม แล้วพูดเสียงเรียบโดยจงใจไม่สบสายตาผู้ชายอีกคน



            ปิงปองยักไหล่ แล้วหันไปชวนโฟล์คคุยขณะที่ยังจิ้มขนมปังเข้าปากเรื่อยๆ



            “เออ แล้วพี่โฟล์คอยู่ทำอะไร ยังไม่กลับบ้านเหรอ”



            “พี่อยู่ประชุมงานกีฬาน่ะครับ”



            “หืม พี่โฟล์คเล่นกีฬาด้วยเหรอ”



            “เปล่าครับ พี่ไม่ได้เล่น” โฟล์คส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่แค่เป็นตัวแทนคณะในการประสานงานกับคณะอื่นเฉยๆ เป็นงานแข่งกีฬาของทั้งมหา’ลัยน่ะ”



            “เฮ้ย มีงานนี้ด้วยเหรอพี่” ปิงปองตาลุกวาว “แบบนี้ผมก็ลงแข่งได้อะดิ นี่ผมไม่ได้เล่นบาสนานแล้วนะ ตอนมัธยมนี่สนใจแต่ทำหนัง แต่พี่รู้ปะ ตอนประถมผมเป็นตัวจริงของโรงเรียนตอนแข่งบาส แถมได้ที่หนึ่งของจังหวัดด้วยนะเว้ย”     



            “ฮ่าๆ เอาสิครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าทางมหา’ลัยน่าจะเริ่มโปรโมทงานแล้ว ถ้าปิงปองอยากลงเป็นนักกีฬาก็ต้องลองไปสมัครชมรมบาสของคณะดู”



            “ได้เลยพี่”



            บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย แม้ภูมิจะพยายามไม่สนใจเสียงพูดคุยกันของคนสองคนและเพ่งสมาธิกับน้ำในแก้ว แต่เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยก็ยังลอยเข้าโสตประสาท



            จนในที่สุดภูมิก็ยันตัวลุกขึ้น หยิบแก้วน้ำกับจานข้าวขึ้นมาถือไว้ แล้วพูดเสียงเรียบ “กูกลับก่อนนะ พ่อตาม”



            “เฮ้ยรอแป็บ กูไปด้วย” ปิงปองว่าอย่างนั้นแล้วรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะ ก่อนหันไปหารุ่นพี่ที่นั่งข้างๆ “งั้นพวกผมไปก่อนนะพี่ ไว้ค่อยเจอกัน”



            “อืม” โฟล์คพยักหน้า “กลับยังไงกันล่ะ ให้พี่ไปส่งมั้ย”



            “ไม่เป็นไรพี่ ผมกลับรถไฟฟ้า ส่วนไอ้ภูมิก็…” ปิงปองหันไปมองเพื่อนสนิทที่ไม่มีท่าทีจะปริปาก เลยเป็นฝ่ายหันกลับมาตอบแทน “มันกลับรถเมล์น่ะ”



            “งั้นกลับกันดีๆ นะครับ” โฟล์คส่งยิ้มให้



            เมื่อทั้งสองคนเดินจากไป แววตาของโฟล์คก็เศร้าลง โดยเฉพาะเมื่อมองตามหลังผู้ชายตัวเล็กที่ไม่ยอมสบตาเขาเลยตลอดเวลาที่ทานอาหาร











 

            ภูมิตอบตัวเองไม่ได้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร การพบเจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีทำให้เขาทำตัวไม่ถูก เขาควรจะรู้สึกโกรธคนที่เคยโกหก เคยหลอกลวงให้เขาหลงเชื่อจนเจ็บแทบตาย แต่ภูมิก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เขามีโอกาสได้เดินตามความฝันจนสอบเข้าคณะที่ต้องการได้ ก็เพราะแรงผลักดันจากผู้ชายคนนี้



            คนที่ฉุดเขาขึ้นมาจนได้พบกับแสงสว่าง คือคนเดียวกันกับที่ปล่อยให้เขาดิ่งลงเหวเมื่อหลายปีก่อน



            ความอึดอัดในใจของภูมิตอนนี้เกิดจากความสับสน ถ้าหากพี่โฟล์คทำตัวปกติเหมือนคนรู้จักกันทั่วไป เขาก็โตพอที่จะมองข้ามเรื่องในอดีตและปฏิบัติตัวเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันได้ แต่ที่เขาทำไม่ได้เพราะแววตาของผู้ชายคนนั้น



            แววตาที่เคยทำให้เขาหลงคิดว่าเป็นคนสำคัญ ก่อนจะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเขาคิดไปเองฝ่ายเดียว



            ในวันนี้...พี่โฟล์คยังคงมองเขาด้วยแววตาแบบเดิมไม่ผิดเพี้ยน ทั้งยังเจือปนด้วยความเศร้า และที่ชัดเจนกว่านั้นคือ...คำขอโทษ



            “คิดมากไปแล้ว” ภูมิปรามตัวเองเบาๆ ส่ายหน้าเพื่อไล่ความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว



            ภูมิดึงสติกลับมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมองรถเมล์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะมา ซึ่งเขาก็ทำใจไว้แล้วว่าสายรถเมล์ที่นั่งต่อเดียวถึงหน้าปากซอยบ้านมีรถไม่เยอะนัก แต่ถ้าหากต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อนั่งรถเมล์หลายต่อหรือนั่งรถตู้กลับบ้าน เขาขอเลือกที่จะยืนรอนานหน่อยดีกว่า



            ในช่วงที่ถนนโล่งแบบที่ชะเง้อมองเท่าไหร่ก็คงไม่มีรถมา ภูมิก็หันหน้ากลับทางเดิม ก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นรถยุโรปสีขาวที่จอดเลยป้ายรถเมล์ไปหน่อย ด้วยยี่ห้อรถที่ไม่พบเห็นกันบ่อยนักทำให้ภูมิจำได้ว่ารถคันนี้แล่นเข้ามาจอดตั้งแต่ตอนที่เขามายืนรอรถเมล์ช่วงแรก จนตอนนี้ก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว



            “ยังไม่ไปอีกหรือไง” ภูมิบ่นพึมพำ มองสัญลักษณ์รูปตัว V สองตัวพาดกันอย่างนึกสงสัยว่ามารอรับใครที่ไหน แต่ยังไม่ทันจะได้คิด เขาก็หันไปเห็นรถเมล์สายที่รอขับเข้ามาใกล้ ภูมิจึงรีบโบกมือเรียก เพราะหากพลาดคันนี้ไปคงต้องรออีกนาน



            พอรถเมล์จอด ภูมิก็เดินขึ้นรถที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนในชั่วโมงเร่งด่วนอย่างเคยชิน เขาขยับตัวเข้าไปด้านในสุดเท่าที่จะขยับได้ ก่อนหยิบหูฟังเสียบกับโทรศัพท์เพื่อฟังเพลงคลายความน่าเบื่อระหว่างเดินทาง



            โดยไม่ได้สังเกตว่าหลังจากรถเมล์ออกตัว รถยนต์คันสีขาวที่เขาคิดว่าจอดรอรับคนก็เริ่มเคลื่อนตัวตาม











 

            หลังจากเดินทางมาร่วมสองชั่วโมง รถโดยสารประจำทางก็จอดเทียบป้ายที่ต้องการ ภูมิก้าวลงจากรถพร้อมคนอีกสองสามคน ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทำให้เขาขมวดคิ้วหน่อยๆ  ตอนเรียนมัธยมเขาใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้นในการนั่งรถเมล์กลับบ้าน แต่นี่เป็นวันแรกที่เขาได้นั่งรถเมล์กลับจากมหาวิทยาลัยในช่วงเวลาเลิกงานของพนักงานออฟฟิศ และยิ่งมหาวิทยาลัยของเขาอยู่ใจกลางเมือง ทำให้กว่าจะฝ่าการจราจรถึงหน้าปากซอยบ้านได้ก็กินเวลาพอสมควร



            โชคยังดีที่วันนี้เลิกเรียนเร็ว ฟ้าจึงยังไม่มืดสนิท เขาจึงสามารถเดินเข้าซอยได้โดยที่ไม่อันตรายมากนัก



            ประมาณสิบนาทีภูมิก็ถึงบ้าน รถของพ่อจอดไว้อยู่แล้ว พอเข้าบ้านเขาก็ยกมือสวัสดีพ่อเหมือนทุกทีแล้วขอตัวขึ้นห้อง



            ภูมิวางกระเป๋าบนโต๊ะก่อนเดินมาทิ้งตัวบนเตียง หลับตาลงเพื่อพักสายตาสักครู่ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็ดันเหลือบไปเห็นกล้องถ่ายรูปที่วางแน่นิ่งบนหัวเตียง



            เมื่อหลายปีก่อนมันทำให้เขานึกถึงใครคนหนึ่งทุกครั้ง และเจ็บทุกครั้งที่ได้มอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางลง มันกลายเป็นกล้องถ่ายรูปธรรมดาตัวหนึ่งที่ทำให้เขารำลึกถึงแม่ ไม่ใช่ผู้ชายอีกคน



            แต่วันนี้ภูมิกลับเริ่มไม่แน่ใจว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาลืมเรื่องของผู้ชายคนนั้นไปแล้วจริงๆ หรือเขาบังคับตัวเองให้ลืม เพราะเพียงแค่ได้พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกหลายอย่างก็ประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทัน และทำให้วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่ควรจะเป็นในวันเปิดเทอมวันแรก



            ภูมิหลับตาลงอีกครั้ง เขาต้องการพัก ขอแค่คืนเดียวเท่านั้น



เขาไม่ใช่ภูมิคนเดิมที่จะร้องไห้ฟูมฟายหาคนปลอบใจเพียงเพราะสับสนอีกแล้ว เวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาโตขึ้น เขาขอแค่คืนเดียวให้ได้พักตั้งสติกับตัวเอง



...และหลังจากนี้เขาจะไม่สับสนกับผู้ชายที่เคยหลอกลวงเขาอีก











 

ด้านนอกรั้วบ้าน โฟล์คยืนมองหน้าต่างห้องนอนที่ยังเปิดไฟสว่างโร่ แต่กลับดูไม่มีการเคลื่อนไหวภายในห้อง บางทีคนตัวเล็กของเขาอาจหลับไปแล้ว



ชายหนุ่มยกยิ้มกับตัวเอง ...คนตัวเล็กงั้นเหรอ ภูมิโตขึ้นตั้งมาก ทั้งส่วนสูงและแววตา บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมของเขาอีกต่อไป ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังห่วงเด็กคนนี้มากจนถึงขนาดขับรถตามมาถึงหน้าบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าภูมิกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณที่พ่อเพิ่งซื้อรถคันใหม่ให้ ภูมิจึงไม่รู้ว่ารถคันที่จอดรอที่ป้ายรถเมล์อยู่นานสองนานคือรถของเขาเอง



            โฟล์คแค่นหัวเราะ ...เพิ่งบังเอิญได้เจอกันครั้งดียว ภูมิก็ทำให้เขาเป็นถึงขนาดนี้ แล้วต่อไปเขาจะห้ามตัวเองได้ถึงขั้นไหน



            ร่างสูงยืนอยู่อย่างนั้นอีกเพียงครู่ แล้วจึงหมุนตัวกลับขึ้นรถ ก่อนขับออกไปตามทางเดิม











 

            ภูมิและปิงปองเปิดเทอมใหม่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทั้งสองคนรู้จักเพื่อนใหม่มากขึ้นพอสมควร ด้วยลักษณะนิสัยของเด็กนิเทศที่ช่างพูดช่างคุย ปรับตัวเข้ากับคนง่าย อีกทั้งคณะนี้ยังมีจำนวนนักศึกษาต่อชั้นปีไม่มาก ทำให้คนที่ชอบเข้าหาคนอื่นอยู่แล้วอย่างปิงปองสนิทสนมกับเพื่อนใหม่ไปแล้วกว่าครึ่งคณะ และภูมิที่ตัวติดกับปิงปองตลอดก็พลอยได้รู้จักคนอื่นไปด้วย



            “เฮ้ยปิงปอง เย็นนี้ทำฉากมั้ย” ผู้ชายหัวโล้นคนหนึ่งเอื้อมมือมาสะกิดปิงปองจากด้านหลังเมื่ออาจารย์สอนเสร็จ



            “เออเอาดิ เย็นนี้กูว่าง” ปิงปองหันไปตอบ แล้วหันกลับมาถามภูมิ “แล้วมึงอยู่ปะ”



            ภูมิส่ายหน้า “โทษที เย็นนี้ไม่ว่างว่ะ”



            เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พวกรุ่นพี่ปีสองเพิ่งมาขอความร่วมมือเด็กปีหนึ่งให้ช่วยงานกีฬามหาวิทยาลัย โดยงานที่ได้รับมอบหมายหลักๆ ก็คือการทำคัทเอาท์แสตนด์ หรือที่เรียกติดปากว่าการทำฉาก ในขณะที่เด็กอีกส่วนหนึ่งจะถูกเกณฑ์ไปซ้อมแสตนด์เพื่อขึ้นแสตนด์ในวันจริง



            ภูมิเลือกหน้าที่ทำฉาก เพราะเวลาในการทำงานยืดหยุ่นกว่า หากช่วงไหนที่ว่างก็สามารถมาช่วยทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องกลับดึก ในขณะที่การซ้อมแสตนด์บางครั้งต้องซ้อมถึงดึก และมีการกำหนดตำแหน่งที่นั่งชัดเจนเพื่อแปรอักษร หากวันไหนไม่สามารถอยู่ได้ก็จะเป็นผลเสียต่อการซ้อม



            ส่วนปิงปองก็แล่นไปสมัครเป็นนักกีฬาเรียบร้อย เลยไม่ได้ลงชื่อทำงานอะไร แต่ถ้าว่างก็มักจะไปช่วยภูมิและเพื่อนคนอื่นทำฉากบ่อยๆ



            ภูมิเดินออกมายืนรอรถรับ-ส่งภายในมหาวิทยาลัยด้านหน้าคณะ ขณะเดียวกันก็ต่อสายถึงเพื่อนอีกคน



            “ไอ้ซัน กูเลิกเรียนแล้วนะ มึงอยู่ไหน”



            [อยู่บนรถไฟฟ้าแล้ว อีกสองสถานีถึง] ปลายสายตอบกลับมา



            “โอเค เจอกัน”



            ภูมิวางสายเพื่อนสนิทที่ตอนนี้สอบติดแพทย์มหา’ลัยดังที่เดียวกับที่พี่ภาคย์เรียน แล้วมันก็ย้ายไปอยู่หอใกล้มหา’ลัยจะได้เดินทางสะดวก ทำให้ไม่ได้เจอกันบ่อยนัก แต่วันนี้มันตั้งใจจะมาซื้อกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ เลยนัดให้เขามาช่วยเลือกด้วย



            ที่น่าสนใจก็คือ ไอ้ซันดันได้อยู่ห้องพักเดียวกับพี่ภาคย์ ซึ่งภูมิจำได้ขึ้นใจว่ามันแอบชอบพี่ภาคย์มานานขนาดไหน



“ถ้าพี่ภาคย์รู้เข้า ไอ้ซันตายแน่”



ภูมิพึมพำกับตัวเองเบาๆ  แม้จะดีใจแทนเพื่อนไม่น้อยที่ได้อยู่ใกล้ๆ คนที่ตัวเองแอบชอบ แต่อีกใจก็สงสาร เพราะเขารู้ดีว่าพี่ภาคย์คงไม่มีทางชอบผู้ชาย



            พอคิดถึงตรงนี้ภูมิก็แค่นหัวเราะกับตัวเอง ใช่...พี่ภาคย์เกลียดความสัมพันธ์ประเภทนี้เข้าไส้เลยล่ะ เขาได้สัมผัสมันมาแล้ว



            รถสายที่ภูมิรอมาถึงพอดี ภูมิก้าวขึ้นรถ ด้วยความที่เป็นช่วงเวลาเลิกเรียนเลยมีคนจับจองพื้นที่ในรถพอสมควร ภูมิเดินเข้าด้านใน แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสบตากับผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว



            ...พี่โฟล์ค...



            ทางด้านโฟล์คเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ความจริงเขาเห็นภูมิตั้งแต่รถชะลอจอดเทียบป้าย แล้วเมื่อภูมิเดินขึ้นมาก็ถูกคนที่ขึ้นทีหลังดันให้เดินเข้าด้านในตัวรถจนชนกับที่ที่เขายืนอยู่



            “ภูมิ...จะไปไหนเหรอครับ”



            เขาลองถาม แม้จะคิดว่ามีโอกาสน้อยนิดที่คนตัวเล็กจะให้คำตอบ แต่ครั้งนี้ คนที่คิดว่าจะทำเป็นเมินเขากลับไม่ทำเช่นเดิม



            “ไปหาเพื่อน” ภูมิหันมาตอบด้วยสีหน้าปกติ “พี่ล่ะ”



            “พี่ก็ไปหาเพื่อนเหมือนกัน” โฟล์คที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามกลับตอบเกือบไม่ทัน



            “ปกติพี่มีรถนี่ ไม่ขับไปล่ะ”



            “เดี๋ยวพี่จะต้องกลับมาประชุมที่คณะครับ ก็เลยทิ้งรถไว้ที่นี่ เดี๋ยวค่อยกลับมาเอา”



            “งานพี่ดูเยอะจัง”



            บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปอย่างราบเรียบ ถามบ้างตอบบ้างเหมือนคนรู้จักกันปกติ จนโฟล์คที่ไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้เก็บความดีใจแทบไม่มิด แม้คนข้างตัวจะไม่ค่อยหันมาสบตาเขาก็ตาม



            หลังจากวันแรกที่บังเอิญเจอกัน ปิงปองก็แอบส่งตารางเรียนมาให้เหมือนรู้ว่าเขาต้องการอะไร และเขาก็ตอบรับการเปิดทางของปิงปองด้วยการไปแอบดูภูมิที่ห้องเรียนเป็นครั้งคราว แม้จะบอกตัวเองหลายครั้งว่าไม่ควร แต่รู้ตัวอีกทีก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตารางเรียนของอีกฝ่ายตอนว่าง และที่สำคัญ...หากวันไหนไม่ติดงาน เขาก็จะขับรถตามภูมิจนถึงบ้าน โดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะทำแบบนี้เพื่ออะไร



            เขาไม่เคยทำแบบนี้หรือรู้สึกแบบนี้กับใคร แต่เพราะเป็นภูมิ...ทำให้เขายอมทำตัวเป็นคนโรคจิตเพราะสองคำสั้นๆ



            คิดถึง...และเป็นห่วง



            จนมาวันนี้ที่เขาบังเอิญเจอคนตัวเล็กบนรถ ทั้งยังไม่โดนเมินเหมือนคราวก่อน โฟล์คจึงดีใจจนก้อนเนื้อในอกเต้นแรง และแม้ภูมิจะลงจากรถไปแล้ว เขาก็ยังมองตามจนลับสายตา



            ทางด้านภูมิ เพียงแค่ก้าวลงจากรถ เขาก็ลอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ



            เขารู้อยู่แล้วว่าเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกัน อย่างไรก็คงได้เจอกันอีกครั้ง และการวางตัวเป็นคนรู้จักกันธรรมดาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เขาไม่อยากทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตด้วยการฝังใจเจ็บกับเรื่องในอดีต เพราะเขารู้ว่าพี่โฟล์คไม่ใช่คนไม่ดี ผู้ชายคนนี้เคยช่วยเขามามากจริงๆ



            แต่ถึงอย่างนั้น ภูมิก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะสบตาอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกอะไร



            เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น เมื่อภูมิเห็นว่าเป็นสายจากเพื่อนสนิทก็กดรับ “ฮัลโหล”



            [กูถึงแล้วนะเว้ย มึงอยู่ไหนเนี่ย]



            “เออ อยู่หน้าห้างแล้ว เดี๋ยวเดินเข้าไป”



            เขากับไอ้ซันนัดเจอกันที่ศูนย์อาหารชั้นล่างซึ่งเวลานี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คน แต่ใช้เวลาไม่นานภูมิก็เจอเพื่อนตัวเองในชุดนักศึกษากำลังนั่งคีบก๋วยเตี๋ยวกินที่โต๊ะด้านใน แถมผมที่เคยเป็นสีดำธรรมชาติก็ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลกลาง โดดเด่นขึ้นมาจากผู้คนรอบด้าน



            ภูมิเดินตรงเข้าไปวางกระเป๋าบนเก้าอี้ และทิ้งตัวลงนั่ง “ไงมึง จะไปกันยัง”



            “เดี๋ยวสิ ขอกูกินก่อน” ไอ้ซันพูดทั้งที่ยังเคี้ยวเต็มปาก “ก็มึงมาช้า กูหิว”



            เขาส่ายหน้า ยกมือขึ้นเท้าคางมองคนตรงข้ามที่กินอย่างเอร็ดอร่อย “แล้วมึงเป็นไงบ้าง”



            “อืม...ก็ดีนะ” มันตอบง่ายๆ “ปีหนึ่งก็ยังเรียนไม่หนัก เวลาว่างกูเพียบ คงไปหนักเอาปีสูงๆ”



            “กูไม่ได้อยากรู้เรื่องเรียน”



            “อ้าว แล้วมึง...” ซันตั้งใจจะถามว่าแล้วอยากรู้เรื่องอะไร แต่พอเงยหน้าสบแววตามีเลศนัยของเพื่อนก็ถึงกับกลืนน้ำลาย “เออ กูรู้ละ”



            “ฮ่าๆ กูล้อเล่น กูก็ถามรวมๆ นั่นแหละ”



            “แต่มึงอยากรู้เรื่องกูกับพี่ภาคย์มากกว่าใช่มั้ยล่ะ”



            ภูมิพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ แล้ว...เป็นไงบ้างวะ อยู่ห้องเดียวกัน”



            ไอ้ซันวางช้อนกับตะเกียบในมือลงทันที สีหน้าบอกบุญไม่รับทันใด จนภูมิเองก็เปลี่ยนสีหน้า



            “พี่ภาคย์ไม่โอเคเหรอวะ”



            “เปล่าหรอก ก็แค่...” คนพูดถอนหายใจ “วันแรกที่กูเข้าหอ พี่มึงพาผู้หญิงมานอน”



            “เชี่ย”



            “เออ พี่ภาคย์บอกแม่งจำวันผิด นึกว่ากูเข้าหออีกวัน”



            “แต่พี่ภาคย์ยังไม่มีแฟนนะเว้ย คนนั้นก็คงเป็นแค่...อืม ชั่วคราว”



            “อือ กูรู้” ไอ้ซันว่าอย่างนั้น แล้วหยิบตะเกียบคีบเส้นเข้าปากต่อ แต่พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนที่นั่งเท้าคางอยู่ตรงข้าม มันก็ยิ้มให้ “มึงไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวกูก็ชิน”



            “กูแค่...เฮ้อ เอาเถอะ มีอะไรก็ปรึกษากูแล้วกัน”



            เขาเคยบอกมันเรื่องที่พี่ภาคย์ไม่ชอบเกย์ไปแล้ว ตอนแรกมันก็เฟลพอสมควร แต่สักพักก็ทำใจได้ และดูท่าว่าจะตัดใจจากพี่เขาไม่ได้เลย



            แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหวังให้มันเปิดใจมองคนอื่นบ้าง จะได้ไม่ต้องเจ็บแบบนี้



            “แล้วมึงคิดจะลองจีบใครบ้างมั้ย” ภูมิลองเลียบเคียงถาม



            “ก็คิดนะ” ไอ้ซันยักไหล่ “เพื่อนกูในเซคก็มีคนน่ารักอยู่ แล้วเขาก็เหมือนจะสนใจกู บางที...กูอาจจะลองดู”



            “เออ มันต้องอย่างนี้สิวะ” เขายิ้มร่าทันที ทว่าก็โดนขัด



            “แต่คงไม่ง่ายนะมึง เรื่องแบบนี้แม่งยาก...มึงก็คงเข้าใจ”



            พอเพื่อนบอกมาแบบนั้น เขาก็ชะงัก และอาการแบบนี้ก็สะดุดตาคนที่นั่งตรงข้าม จนไอ้ซันวางตะเกียบอีกรอบ แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนเป็นสัญญาณว่า ‘กูเล่าแล้ว มึงเล่ามา’



            ภูมิถอนหายใจ แล้วพูดเบาๆ “กูเจอพี่โฟล์ค”



            “ก็คิดอยู่แล้ว ...ตั้งแต่เมื่อไหร่”



            “วันแรก” เขาตอบ “วันนี้ก็เจอ”



            “แล้วเป็นยังไง”



            ภูมิเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ไอ้ซันฟังอย่างไม่ปิดบัง เขารู้ว่าเพื่อนถามด้วยความเป็นห่วง และมันก็เป็นเรื่องดีที่ได้มีโอกาสระบายสิ่งที่อยู่ในใจตลอดสัปดาห์ให้ใครสักคนฟัง เพราะถึงแม้เขาจะสนิทกับปิงปอง แต่คนที่รู้เรื่องของเขากับพี่โฟล์คตั้งแต่แรกก็คือไอ้ซัน



            พอเล่าจบ ไอ้ซันก็เงียบไปหน่อย ก่อนจะถามออกมา “แล้วมึงยังรู้สึกกับเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า”



            ภูมิส่ายหน้า แล้วตอบอย่างหนักใจ “กูไม่รู้ว่ะ”



“แล้วแฟนของเขาล่ะ”



            ภูมิชะงัก ซันจึงขยายความต่อ



            “แฟนของเขาที่มึงเคยเล่าให้ฟังไง”



            “ไม่รู้สิ กูไม่เคยเจอ” เขาตอบ แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบเมื่อได้ยินคำถามถัดมา



            “งั้นถ้าเขาเลิกกันแล้วล่ะ”



            ซันทำสีหน้าจริงจัง แค่เห็นสายตาของเพื่อนสนิทในตอนแรก ซันก็รู้ว่าเพื่อนเขาคิดอย่างไร และยังรู้สึกกับผู้ชายคนนั้นอยู่หรือเปล่า อีกทั้งเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ...เขาว่ามีโอกาสสูงที่พี่โฟล์คจะยังตัดใจจากเพื่อนเขาไม่ได้



            เขาไม่รู้ว่าเมื่อสองปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เวลาก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว หลายอย่างสามารถแก้ไขและเริ่มใหม่ได้ ยิ่งถ้าสิ่งนั้นจะทำให้เพื่อนของเขามีความสุขมากกว่าตอนนี้ เขาก็พร้อมสนับสนุน



            ภูมิมีสีหน้าสับสนกับคำถาม สักพักก็ตอบเสียงเบา “ไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้จริงๆ”



            “เออช่างเถอะ ไม่ต้องคิดมาก” ซันยิ้มร่า พยายามดึงบรรยากาศกลับมา “แต่ถ้าให้กูแนะนำนะ มึงอย่าปิดตัวเองเลย หลายๆ อย่างอาจไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิดก็ได้”



            “กู...จะลองดูแล้วกัน”



            “เออๆ มีอะไรก็ปรึกษากูได้”



ภูมิพยักหน้ารับ และปล่อยให้ไอ้ซันก้มลงกินก๋วยเตี๋ยวต่อจนหมดชาม



------------------------------- TBC ----------------------------------



พี่โฟล์คก็ยังเป็นพี่โฟล์คคนเดิมนะคะ ยังห่วงน้องถึงขั้นขับรถตามไปส่งบ้าน /กระซิบว่าจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวค่ะ พี่แกห่วงของแกจริงๆเด้อ

ให้เวลาน้องภูมิสับสนอีกนิด อีก 3 ตอนจะจบแล้วค่ะ :)

เจอกันวันเสาร์นะคะ วันนั้นจะเปิดเรื่องใหม่ด้วย ฝากติดตามด้วยน้า ตื่นเต้นน

นายเอกของเรื่องใหม่จะออกมารับเชิญในเรื่องนี้อีกสองตอนข้างหน้าด้วยค่ะ ส่วนพระเอกจะมาตอนบทส่งท้าย เรียกว่าพอลงบทส่งท้ายเรื่องนี้ปุ๊บ ก็ขอลงบทนำของเรื่องใหม่พร้อมกันวันนั้นเลยนะคะ เรื่องราวต่อกันเลย

ส่วนคู่อื่นๆ ถ้าตามไทม์ไลน์ เรื่องของซันกับพี่ภาคย์เริ่มตั้งแต่วันที่ซันเข้าหอวันแรกและเจอพี่ภาคย์พาผู้หญิงมานอนแล้วค่ะ  ส่วนปิงปองกับพี่ธันวาก็จะได้เจอกันอีกครั้งในบทส่งท้ายของเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีแพลนจะเขียนเลย แฮ่

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ ทักทายกันได้ใน facebook (https://www.facebook.com/cthamonigar/) กับ twitter (https://twitter.com/ct_hamonigar) นะ <3



CT.hamonigar



หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 20 สับสน (16/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-08-2018 08:26:48
ควรจะได้คัยกันสักที

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 20 สับสน (16/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-08-2018 11:38:03
รักก้อต้องบอกไปนะ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 20 สับสน (16/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 18-08-2018 21:17:27
Chapter 21 : เรื่องที่รับรู้



‘มึงอย่าปิดตัวเองเลย หลายๆ อย่างอาจไม่ได้เป็นแบบที่มึงคิดก็ได้’



เขาปิดตัวเองงั้นหรือ?



ภูมิถามตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมา ตอนนั้นเขาตอบไอ้ซันว่าจะลองดู แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันหมายความว่าอย่างไร



เขาก็พยายามคุยกับพี่โฟล์คปกติแล้วนี่นา ไม่ได้ปิดเสียหน่อย



“ภูมิ...ไอ้ภูมิ”



หรือเขาต้องสบตาพี่โฟล์คด้วย? แต่มันยากนี่หว่า ทำไมไอ้ซันไม่เข้าใจเลย



“เฮ้ย...มึง”



แล้วเขาจะคิดมากทำไม อยู่คนละคณะคงไม่เจอกันบ่อยนักหรอก บางทีอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้ ไอ้ซันต่างหากที่น่าเป็นห่วง อยู่ห้องเดียวกันทุกวัน แถมพี่ภาคย์ยังเปลี่ยนผู้หญิงควงเป็นว่าเล่น



“ไอ้ภูมิ...”



ได้แต่หวังให้มันตัดใจจากพี่เขาเร็วๆ นั่นแหละ เฮ้อ ไอ้ซันหนอไอ้ซัน...



“ไอ้เชี่ยภูมิ!”



“เฮ้ย!” คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว เพราะไม่ได้มาแค่เสียง แต่มือของเขาที่ถือแปรงอยู่ก็ถูกตีเต็มแรงจนรู้สึกชา พอหันไปพบว่าคนทำไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้เพื่อนสนิทตัวดี เขาก็รีบโวย “เชี่ยปิงปอง ตีกูทำไมวะ”



“มึงก็ก้มลงดูฉากที่มึงกำลังระบายสิครับ” ไอ้ปิงปองยิ้มเหี้ยม ใช้นิ้วจิ้มๆ ข้างล่างจนเขาต้องมองตาม “กูอุตส่าห์มาร์คไว้ให้ว่าสีเหลือง จะระบายสีขาวทำห่าอะไร”



“อ้าว...เฮ้ย โทษทีว่ะ กูเบลอ” พอเห็นว่าผิดจริงก็รีบขอโทษ แล้วหันซ้ายหันขวาเพื่อหากระป๋องสีเหลือง แต่หาอย่างไรก็ไม่เจอสีที่ต้องการ เลยเดินไปสะกิดถามเพื่อนที่นั่งระบายฉากอีกฝั่งหนึ่ง “จอย เห็นสีเหลืองมั้ย”



“สีเหลืองเหรอ เมื่อกี้เด็กครุมาขอยืมไปน่ะ เห็นว่าเดี๋ยวเอามาคืน” ผู้หญิงมัดผมม้าที่อยู่ชั้นปีเดียวกันตอบกลับ



“งั้นเหรอ” ภูมิพยักหน้ารับ เพราะคณะอยู่ใกล้กัน การวิ่งยืมของกันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บางทีถ้าอุปกรณ์ชิ้นไหนของคณะขาดเหลือ เด็กจากคณะเขาก็จะวิ่งไปยืมเพื่อนคณะข้างเคียงเหมือนกัน



“งั้นเดี๋ยวเรากับภูมิไปเอาคืนเอง” ปิงปองเข้าประชิดตัวพร้อมกับยกมือคล้องคอเพื่อนสนิทที่หันขวับมาทันที ศอกก็กระทุ้งคนที่มัดมือชกเบาๆ



“จะไปทำไมวะ เดี๋ยวเขาก็เอามาคืนแล้ว”



“โห รอเขาเอามาคืนเดี๋ยวก็ช้ากันพอดี มึงเป็นคนระบายสีผิดนะไอ้ภูมิ”



เพราะมีชนักติดหลัง ทำให้ภูมิที่ตั้งใจจะอ้าปากเถียงต้องหุบปากฉับลงเหมือนเดิม ปิงปองเห็นดังนั้นก็หัวเราะร่า จัดการลากคอคนข้างตัวให้เดินตามไป ไม่สนใจคนถูกบังคับที่กำลังทำสีหน้าเอือมระอาแบบสุดๆ



คณะนิเทศฯ กับครุฯ ห่างกันแค่ถนนเส้นเดียวกั้น ถือว่าเป็นคณะเพื่อนบ้านที่ไปมาหาสู่กันไม่ยากนัก ในช่วงเวลาเย็นเช่นนี้ ภาพที่ปรากฏเหมือนกันของทั้งสองคณะคือเหล่านักศึกษาที่รวมตัวกันทำกิจกรรมอย่างคึกคัก ด้านหนึ่งก็ซ้อมเต้นเชียร์ อีกด้านก็ซ้อมสแตนด์ ทั้งยังมีส่วนที่ดูแลฉากและอุปกรณ์สำหรับใช้ในงานกีฬามหาวิทยาลัย



ภูมิและปิงปองเดินเข้าโถงใต้ตึกคณะครุศาสตร์ที่มีฉากคัตเอาท์วางเรียงราย นักศึกษาหลายคนกำลังช่วยกันวาดฉากและลงสีอย่างขะมักเขม้นไม่ต่างจากภาพที่เห็นในคณะนิเทศฯ นัก



“นั่นของเราปะ” ปิงปองสะกิดให้ภูมิดูกระป๋องสีเหลืองที่อยู่อีกฝั่งของโถง ซึ่งมีชื่อคณะเขียนอยู่ข้างกระป๋องเหมือนกับกระป๋องสีและอุปกรณ์หลายอย่างของคณะนิเทศฯ  เป็นสัญลักษณ์ที่ทำไว้เพื่อป้องกันของหายหรือสลับกับคณะอื่น ภูมิเห็นดังนั้นก็พยักหน้า



“น่าจะใช่นะ”



“น้องๆ สองคนว่างกันมั้ยคะ”



แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัว เสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำให้ทั้งสองคนหันกลับไปมอง ก่อนที่ปิงปองจะรีบปั้นรอยยิ้มเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงเป็นรุ่นพี่สาวสวยที่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ถูกอกถูกใจเขาเสียเหลือเกิน



“ว่าไงครับพี่คนสวย”



ภูมิแทบจะถอนหายใจกับความไวเรื่องผู้หญิงแบบเกินหน้าเกินตาของเพื่อนข้างตัว แต่รุ่นพี่ตรงหน้าแค่ยิ้มรับเล็กน้อยและพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ



“น้องๆ ว่างกันมั้ย ไปช่วยพี่ยกมาสคอตจากห้องสโมหน่อยสิ”



“อืม...จริงๆ ผมไม่ได้เรียนคณะนี้หรอกครับ”



“อ้าวเหรอ งั้น...”



“แต่ถ้าพี่ขอ ผมก็เต็มใจจะช่วยนะ”



ไม่ว่าเปล่า ไอ้ปิงปองดันก้าวเท้าเข้าใกล้รุ่นพี่และส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ แบบที่ผู้หญิงหลายคนคงหลุดเขินออกมาบ้าง แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงตรงหน้าที่แค่คิ้วกระตุกทีหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ชายหนุ่มอีกคนก็เข้ามาโอบไหล่หญิงสาวจากทางด้านหลังแล้วพูดด้วยเสียงที่จงใจให้เด็กปีหนึ่งทั้งสองคนได้ยิน



“ที่รักจ๋า ทำอะไรอยู่เอ่ย”



“อีตาบ้า! ปล่อยเลย” หญิงสาวหันไปแหวใส่คนข้างตัวพร้อมกับตีไหล่เบาๆ  แต่คนถูกตีกลับทำสีหน้าโอดโอย



“ชัยเจ็บนะ น้ำไม่รักชัยแล้วเหรอ”



เธอถอนหายใจกับความกวนประสาทของชายหนุ่ม ทว่าก็หันกลับมาคุยกับภูมิและปิงปอง โดยเฉพาะคนหลังที่ทำหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่ารุ่นพี่สาวสวยมีแฟนแล้ว



“ขอโทษนะ พี่เห็นมือเราเลอะสีก็เลยนึกว่าเป็นเด็กปีหนึ่งที่ทำฉากตรงนี้ พวกพี่ขอตัวก่อนนะ”



“เดี๋ยวก่อน” ทว่าชัยกลับพูดแทรกขึ้นมา พร้อมกับมองปิงปองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก “นี่น้องอยู่คณะอะไร”



“นิเทศครับผม” ปิงปองตอบด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว ชัยเห็นดังนั้นก็แค่นยิ้ม กระชับวงแขนที่โอบไหล่หญิงสาวไว้ให้แน่นขึ้น



“นี่แฟนพี่ อย่ายุ่ง”



“ชัย!”



น้ำหันไปแหวใส่แฟนหนุ่มอีกรอบ ปิงปองเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาหน่อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ



“ขอโทษจริงๆ ครับ ผมเห็นพี่คนนี้เขาสวยดีเลยหยอดนิดหน่อย ไม่รู้ว่ามีแฟนแล้ว แต่ผมไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของหรอก พี่ไม่ต้องห่วง”



ชัยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำพูดตรงไปตรงมาของรุ่นน้อง ส่วนน้ำก็หัวเราะแล้วหันไปแซะคนข้างตัวเบาๆ



“ชัยก็น่าจะเข้าใจน้องเขาดีนะ วันก่อนยังไปเหล่สาวนิเทศอยู่เลยนี่”



คนมีคดีไหล่ตกทันควัน รีบเปลี่ยนสีหน้าเพื่องอนง้อแฟนสาว ภูมิกับปิงปองยิ้มขำกันเล็กน้อยแล้วตั้งใจจะขอตัว แต่สายตาของปิงปองดันเหลือบไปเห็นร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่เดินเข้ามาจากอีกฟากของโถง เลยสะกิดให้เพื่อนข้างตัวดู



“ไอ้ภูมิ นั่นพี่โฟล์คนี่หว่า”



เพียงแค่ได้ยินชื่อ ภูมิก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็มองตามที่เพื่อนชี้จนพบกับอดีตครูสอนพิเศษที่กำลังถือป้ายประกาศขนาดใหญ่เตรียมติดบอร์ด โดยไม่ได้สังเกตว่าพวกเขายืนอยู่อีกฝั่งของโถงทางเดิน



“อ้าว น้องรู้จักโฟล์คด้วยเหรอ” น้ำเอ่ยถาม ปิงปองจึงพยักหน้ารับ แล้วกระทุ้งศอกใส่คนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ



“ผมรู้จักผ่านไอ้ภูมิอีกทีน่ะ เอ...ตอนนั้นมึงกับพี่โฟล์ครู้จักกันได้ไงนะ”



“ก็...พี่เขาเคยสอนพิเศษกูไง”



ภูมิต้องใช้เวลาคิดสักพักถึงจะตอบออกมาได้ เพราะบอกตามตรงว่าหน้าที่ครูสอนพิเศษของพี่โฟล์คเกิดขึ้นแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น และในความทรงจำของเขา...พี่โฟล์คเป็นมากกว่านั้น



ไม่สิ ถ้าเป็นตอนนี้คงต้องใช้คำว่า ‘เคยเป็น’



“อ้อ พี่จำได้แล้ว มีช่วงนึงที่โฟล์คไปช่วยติวให้น้องของเพื่อนที่รู้จักนี่นา ใช่มั้ยชัย”



“เอ้อ ใช่ๆ ช่วงนั้นไอ้โฟล์คหายหน้าหายตาไปเกือบทุกเย็นเลยมั้ง อย่างกับติดแฟน ฮ่าๆ”



ภูมินิ่งไปอีกรอบเมื่อได้ยินคำคำนี้ พร้อมกันนั้นประโยคของเพื่อนสนิทที่อยู่อีกมหาวิทยาลัยก็แวบขึ้นมา



‘แล้วแฟนของเขาล่ะ’



ตั้งแต่เปิดเทอมมา เขาเจอกับพี่โฟล์คหลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีครั้งไหนที่เขาเห็นผู้หญิงอยู่ข้างกายพี่โฟล์ค แต่ถึงอย่างนั้นภูมิก็ไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาจะเลิกกัน หรือหากพูดตามตรง เขาพยายามไม่คิดอะไรเลยกับเรื่องนี้ ไม่อยากคิดถึงอดีต ไม่อยากคาดการณ์อนาคต เขาเพียงแค่อยากอยู่กับปัจจุบัน ตั้งใจเรียนและทำตามความฝันให้ดีที่สุด



แต่ภูมิก็เกลียดตัวเอง ที่สมองไม่รักดีกลับจำชื่อชื่อหนึ่งได้ขึ้นใจทั้งที่เคยได้ยินเพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งปากยังเอ่ยถามไปก่อนที่สมองจะได้ไตร่ตรอง



“แล้ว...พี่มิ้นท์ล่ะครับ”



ปิงปองหันมาหาเพื่อนสนิทด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อไม่คุ้นหู ส่วนชัยกับน้ำเกิดอาการชะงัก ทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ชัยจะเป็นฝ่ายถาม “น้องรู้จักแฟนไอ้โฟล์คด้วยเหรอ”



ภูมิรู้สึกปวดหนึบในใจเมื่อได้ยินคำนี้อีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็ปัดมันทิ้งแล้วตอบเสียงเบา “ครับ เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเจอหรอก”



“อืม...คืองี้นะ” น้ำมีสีหน้าลำบากใจ พยายามเรียบเรียงคำพูดในการตอบ “มิ้นท์กับโฟล์คเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กแล้ว แต่พอเริ่มคบกัน มิ้นท์ก็บินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเป็นปี น้องเลยอาจไม่เคยเจอ”



ปิงปองยืนฟังบทสนทนาที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็เก็บเรื่องราวที่ได้รับรู้ไปประมวลผลอย่างรวดเร็วจนพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนข้างตัวที่มีสีหน้าเรียบเฉยขณะฟังรุ่นพี่สาวพูดต่อ



“แต่ตอนนี้...มิ้นท์เขาตายแล้วน่ะ”



ภูมิเบิกตากว้าง ไม่ต่างจากปิงปองที่ชะงักไปเช่นกัน



"หลังจากนั้นไอ้โฟล์คก็เปลี่ยนไปเลย" ชัยพูดต่อ พร้อมกับมองเพื่อนสนิทที่ยืนแปะป้ายประกาศอยู่อีกฝั่งของโถงคณะ พลางนึกถึงสภาพของคนที่แทบจะไม่เหลือมาดของเดือนคณะยามรู้ข่าวร้ายของแฟนสาว "นี่แหละนะ...เป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็ก เป็นทั้งแฟน ก็เหมือนโลกทั้งใบของมันดับมืด บอกตามตรงว่าตอนนั้นแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างพวกพี่ก็ยังไม่รู้จะทำให้มันดีขึ้นยังไง"



ภูมิพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องขึ้นครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้ติดต่อกับพี่โฟล์คอีกเลย เขาขลุกตัวอยู่แต่กับไอ้ซัน ไอ้ปิงปอง และเพื่อนในวง ทุ่มเททุกอย่างให้การทำงานแบบลืมวันลืมคืน เพื่อบังคับตัวเองไม่ให้มีเวลาคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่คงกำลังมีความสุขกับแฟนตัวจริง และคงลืมเด็กน้อยอย่างเขาในเวลาไม่นาน



พลันคำถามก็เกิดขึ้น คำถามที่มาพร้อมความเป็นห่วงที่เอ่อล้นจนเต็มหัวใจ ว่าในเวลานั้น...พี่โฟล์คเจ็บปวดขนาดไหน



ภูมินึกภาพนั้นไม่ออก เพราะในความทรงจำของเขา พี่โฟล์คเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้เขาตลอดเวลา



แต่ในช่วงเวลานั้น...ผู้ชายที่เข้มแข็งคนนี้จะอ่อนแอขนาดไหน และมีใครอยู่ข้างๆ เขาหรือเปล่า



"ไอ้ภูมิ"



ภูมิสะดุ้ง หลุดออกมาจากภวังค์ หันไปมองเพื่อนข้างตัวที่ถามอย่างไม่แน่ใจ



"มึงโอเคนะ?"



ภูมิพยักหน้า แล้วหันกลับไปสบตารุ่นพี่ทั้งสองคนที่ดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขานิ่งไปขนาดนั้น ก่อนจะถามต่อเสียงเบา "แล้วพี่โฟล์คเป็นยังไงบ้างครับ"



"ตอนนี้มันก็ดีขึ้นแล้วแหละ" ชัยเป็นฝ่ายตอบ "ว่าแต่พวกน้องอยู่ปีหนึ่งกันหรือเปล่า"



"ครับ"



"งั้นพอจะรู้มั้ยว่าไอ้โฟล์คมันชอบใครในคณะน้อง"



"ชัย! บอกน้องแบบนี้จะดีเหรอ" น้ำรีบปรามแฟนหนุ่ม



"เอ้า ก็เผื่อน้องเขาจะช่วยได้ไง ถามไอ้โฟล์คมันก็ไม่เคยยอมบอก" ชัยว่าอย่างนั้น แล้วหันมาคุยกับรุ่นน้องทั้งสองคนต่อ "คืองี้ ช่วงที่ปีน้องสอบเข้ามหา'ลัยน่ะ ไอ้โฟล์คมันดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ แถมมันยังแอบเช็ครายชื่อคนที่สอบติดคณะนิเทศ แล้ววันปฐมนิเทศมันยังไปแอบดูเด็กปีหนึ่งที่คณะพวกน้องด้วย ถึงมันไม่ยอมพูดตรงๆ พวกพี่ก็รู้ว่ามันน่าจะชอบเพื่อนน้องสักคนนี่แหละ ยังไงดีล่ะ พี่ก็เข้าใจนะว่ามันเพิ่งเสียแฟน แต่พี่ก็ไม่อยากเห็นมันจมปลักและเศร้าแบบเดิม ถ้าเกิดมีคนที่จะเข้ามาทำให้มันรู้สึกดีขึ้น พี่ก็อยากให้มันสมหวัง น้องก็สนิทกับไอ้โฟล์คใช่ไหม ช่วยมันหน่อยก็แล้วกัน ล่าสุดมันยอมเล่าให้พวกพี่ฟังแค่ว่าคนคนนั้นโกรธมันมากเพราะมันทำผิดกับเขาไว้ แต่ก็ไม่บอกสักทีว่าเป็นใคร"



ภูมิเม้มปากแน่น คำอธิบายยาวเหยียดจากรุ่นพี่เหมือนจะบีบหัวใจเขาทีละประโยค



ภูมิไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ทำไมเขานึกถึงคนอื่นไม่ออกเลยนอกจาก...ตัวเขาเอง



ความสับสนฉายชัดผ่านแววตา และมันสั่นไหวจนปิงปองรู้สึกได้ เขาพยายามสะกิดเพื่อนข้างตัวที่วันนี้มีอาการแปลกๆ หลายอย่าง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ



ในเวลาเดียวกัน โฟล์คที่เพิ่งจัดการป้ายประกาศทั้งหมดบนบอร์ดเสร็จก็หันไปเห็นเพื่อนสนิทของตนกำลังยืนอยู่กับรุ่นน้องที่รู้จักดี และนั่นทำให้ชายหนุ่มเบิกตากว้าง สองขาไปก่อนความคิด เตรียมจะขยับเข้าหากลุ่มคนทั้งสี่



ภูมิเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมองตรงมา ทั้งยังเหมือนจะเดินเข้ามาใกล้ แต่เขาไม่รอให้คนที่เป็นต้นเหตุแห่งความสับสนทั้งหมดเข้ามาใกล้มากกว่านี้ เขาหันหลังเตรียมก้าวไปอีกทางก่อนที่ปิงปองจะเรียกไว้ได้ทัน



พลั่ก!



ซ่า



"เฮ้ย!"



เพราะไม่ทันได้มอง ภูมิจึงชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ถือกระปุกสีเข้ามา จนร่างนั้นเสียหลักและทำสีในมือหล่นลงพื้น



และของเหลวในกระปุก...ก็หกลงบนฉากที่มีการวาดและลงสีไปแล้วกว่าครึ่ง



---------------------------------- TBC ------------------------------



เปิดเรื่องใหม่แล้วค่ะ

【 ก่อน . รัก . เพียง . ฝัน 】 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68142.0) << จิ้มๆ ฝากตัวอีกครั้งนะคะ

ส่วนพี่โฟล์คกับน้องภูมิ ใกล้ถึงบทสรุปของพวกเขาแล้วค่ะ :)

แล้วก็ไม่รู้จะช้าไปมั้ย เรานึกได้ว่าตอนแต่งเรื่องนี้เราฟังเพลงสามเพลงนี้ตลอด เพราะเนื้อเพลงเข้ากับเนื้อหานิยายในแต่ละช่วง เลยอยากนำมาแชร์กันค่ะ
♫ Songs of the story ♫ (https://www.youtube.com/playlist?list=PLJ0lunJy90Dz5zR9fwj4Lvj7VQeyUqLvv)

CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 21 เรื่องที่รับรู้ (18/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-08-2018 21:54:41
เอาใจช่วยนะทั้งคู่
อย่าดราม่าอีกเลย เห้อ แต่ที่บ้านก้อด่านใหญ่เลยล่ะถ้าจะเปิดตัวว่าคบกัน
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 21 เรื่องที่รับรู้ (18/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-08-2018 22:28:34
 :L2: :pig4:

น้องภูมิใจเย็นๆ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 21 เรื่องที่รับรู้ (18/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-08-2018 09:15:45
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 21 เรื่องที่รับรู้ (18/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 21-08-2018 19:29:28
Chapter 22 : ความจริง



"ขอโทษนะ เราขอโทษจริงๆ"



ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม บริเวณโดยรอบโถงคณะครุศาสตร์แทบไม่มีนักศึกษาหลงเหลืออยู่ มีเพียงแค่เด็กหนุ่มสองคนกำลังนั่งระบายสีลงฉากท่ามกลางแสงไฟที่เหลือเพียงไม่กี่ดวง โดยคนหนึ่งเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนที่พูดมาตลอดหลายชั่วโมง ส่วนอีกคนก็ยิ้มรับเล็กน้อยแล้วบอกอย่างไม่ถือสา



"ไม่เป็นไร เราก็ถือไม่ดี"



"ไม่ๆ เราผิดเอง เราไม่ดูทางก็เลยชนนาย" ภูมิบอกอย่างรู้สึกผิด แล้วก้มมองพื้น "ฉากที่นายกับเพื่อนๆ ช่วยกันทำเลยพังหมด"



"อย่าคิดมากเลย นี่ก็แก้จะเสร็จแล้ว"



ยิ่งเพื่อนใหม่ข้างตัวบอกอย่างไม่คิดอะไรมาก อีกทั้งสีหน้ายังแสดงออกว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ยิ่งทำให้ภูมิรู้สึกผิดเป็นทวีคูณ เพราะเขารู้ว่าฉากแต่ละฉากที่ทุกคนช่วยกันวาดและลงสีใช้เวลาในการทำนานขนาดไหน



"วันนี้พอแค่นี้แหละ" หลังจากผ่านไปอีกสักครู่ ไอซ์ เพื่อนใหม่จากครุฯ ก็หยุดมือที่ใช้ลงสี แล้วเงยหน้าขึ้นบอกภูมิ "เดี๋ยวที่เหลือเรากับเพื่อนจะช่วยกันทำต่อพรุ่งนี้"



"เดี๋ยวคืนนี้เราช่วยทำต่อให้เสร็จก็ได้นะ" ภูมิบอกด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ



"มันดึกแล้ว กลับกันเถอะ"



เมื่อเห็นสายตาจริงจังของเพื่อนใหม่ ภูมิก็พยักหน้าอย่างจำยอม แต่ยังไม่วายบอกเสียงอ่อยอีกรอบ "ยังไงก็ฝากขอโทษทุกคนด้วยนะ"



"อืม" ไอซ์รับคำ



ภูมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ไอ้เรื่องกลับดึกน่ะไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญคือรถเมล์สายที่เขานั่งประจำเที่ยวหมดตอนสี่ทุ่มครึ่งน่ะสิ



"ซวยแล้วไอ้ภูมิ" เขาได้แต่พึมพำกับตัวเอง แล้วเงยหน้าถามเพื่อนอีกคนที่กำลังเก็บของเข้ากระเป๋า "เอ่อ แล้วไอซ์จะกลับยังไงเหรอ"



"แท็กซี่" ไอซ์ว่าอย่างนั้น "ภูมิล่ะ"



"เอ่อ เรา..."



"ภูมิครับ!"



ยังไม่ทันจะได้ตอบ เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูติดจะร้อนรนหน่อยๆ ก็ดังมาจากอีกทาง ภูมิตัวแข็งขึ้นทันที ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง เขาก็รู้ว่าเป็นใคร



โฟล์คเดินเข้าใกล้เด็กหนุ่มทั้งสองคน เมื่อตอนเย็นเขายังไม่มีเวลาได้พูดอะไรกับภูมิเพราะต้องรีบไปทำงานต่อ และเมื่อสักครู่ก่อนจะกลับคอนโด เขาก็เอะใจ เลยเดินย้อนกลับมาดูที่โถงทางเดิน ก่อนจะพบว่าคนที่เขานึกเป็นห่วงยังไม่ได้กลับบ้านจริงๆ



"สวัสดีครับ" ไอซ์ทักทายรุ่นพี่คณะ โฟล์คพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม



"ทั้งสองคนจะกลับกันยังไงครับ"



"แท็กซี่ครับ" ไอซ์ตอบ "ห้องสโมปิดรึยังครับ ผมขอเอาสีไปเก็บได้มั้ย"



"ได้สิ" โฟล์คยิ้มให้อย่างใจดี แล้วผละไปมองรุ่นน้องอีกคนที่กำลังก้มลงเก็บของเข้ากระเป๋าโดยไม่สนใจผู้มาใหม่อย่างเขาสักนิด จนต้องเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก "แล้วภูมิล่ะครับ"



"...รถเมล์น่ะ"



โฟล์คขมวดคิ้วทันใด "แต่ตอนนี้รถเมล์แทบไม่เหลือแล้วนะ"



ภูมิเม้มปาก ไม่กล้าเถียง โฟล์คเห็นดังนั้นก็มีท่าทีอ่อนลง ชั่งใจเพียงครู่ ก่อนตัดสินใจถามออกไปด้วยความหวัง



"งั้น...ให้พี่ไปส่งได้มั้ย"



ภูมิเกือบส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตาขอร้องที่เจ้าของคงไม่รู้ตัว จนรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอย่างที่รู้ว่าไม่ควรจะเป็น



นอกจากนี้ ภูมิยอมรับว่าเรื่องที่ได้ยินจากรุ่นพี่ทั้งสองคนเมื่อตอนเย็นทำให้เขารู้สึกเห็นใจคนตรงหน้าไม่น้อย จนไม่กล้าเอ่ยปัดความหวังดี ดวงตาทั้งสองข้างหลุบลงต่ำ ก่อนจะผงกหัวเบาๆ เป็นคำตอบ











 

ภายในรถยนต์เบาะกว้าง เสียงเครื่องยนต์ที่ปกติเบาจนแทบไม่ได้ยินกลับดังชัดแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ เคล้าคลอกับเสียงเพลงจากวิทยุที่ถูกเปิดขึ้นเบาๆ โดยชายหนุ่มเจ้าของรถก็พยายามเพ่งสมาธิกับการบังคับพวงมาลัย แม้จะแอบเหลือบมองคนข้างตัวบ่อยครั้งก็ตาม



คนตัวเล็กของเขานิ่งเงียบมาตลอดทาง บางทีก็หันไปมองทางข้างนอก บางทีก็ก้มมองมือตัวเอง แต่ไม่เคยหันมามองทางเขาแม้สักครั้งเดียว



ดังนั้นโฟล์คจึงเริ่มประโยคสนทนาด้วยคำถามที่เรียบง่ายที่สุด



"วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างครับ"



ภูมิเหมือนจะชะงักไป แล้วพึมพำตอบ "ก็ดีครับ"



ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง จนภูมิต้องหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติกับตัวเอง



...เมื่อวันก่อนเขาก็พูดคุยกับพี่โฟล์คได้ปกติแล้วนี่ ทำไมวันนี้ถึงเกร็งขึ้นมาอีกแล้ว...



"หนาวไปเหรอ"



"อ๊ะ"



ภูมิไม่รู้ว่าเผลอยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ จนร่างสูงที่นั่งข้างๆ ตีความไปว่าเขาหนาว และเอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศโดยที่ภูมิร้องท้วงไม่ทัน



"ถ้ายังหนาวอีกบอกนะครับ พี่มีเสื้อคลุมอยู่ด้านหลัง"



"...ขอบคุณครับ"



ภูมิจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย บอกขอบคุณตามมารยาท ทั้งที่พยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวกับความเป็นห่วงของอีกฝ่าย



ตอนนั้นพี่โฟล์คก็ทำแบบนี้ แต่สุดท้าย...มันก็แค่นั้น



บรรยากาศในรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง จนในที่สุดภูมิก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา "นี่...พี่โฟล์ค"



"ครับ"



"เรื่องพี่มิ้นท์...ผมเสียใจด้วยนะ"



ภูมิพูดออกไปตามความรู้สึก เพราะตั้งแต่รู้เรื่องนี้เมื่อตอนเย็น ความรู้สึกแย่ที่เคยมีต่อเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็หายไปไหนไม่รู้ แม้จะยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือเขาเห็นใจอดีตครูสอนพิเศษคนนี้ และเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ



ภูมิสังเกตเห็นว่าร่างสูงนิ่งไป สองมือเหมือนจะกระชับพวงมาลัยแน่นขึ้น ซึ่งภูมิก็หลอกตัวเองไม่ได้ว่า...ท่าทางอาลัยอาวรณ์แบบนี้ทำให้เขาเจ็บไม่น้อย



"ชัยกับน้ำบอกแล้วเหรอครับ" โฟล์คถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มดุจเดิม



"อืม" ภูมิพยักหน้ารับ ก้มลงมองมือตัวเองที่กุมกันไว้ "ผมเสียใจด้วยจริงๆ นะ ...พี่คงรักพี่มิ้นท์มาก"



"มันไม่ใช่แบบที่ภูมิคิด"



ภูมิกุมมือตัวเองแน่นขึ้น ส่ายหน้ากับคำปฏิเสธนั้น "พี่ไม่ต้องพยายามพูดอะไรหรอก ผมเข้าใจ"



ไม่ ภูมิไม่เข้าใจ



โฟล์คร้องท้วงกับตัวเอง แต่สภาพตอนนี้ที่เขาต้องควบคุมรถทำให้เขายังไม่มีสมาธิเรียบเรียงคำพูดให้ดี ประกอบกับท่าทางของคนข้างตัวที่แม้จะกุมมือตัวเองไว้ตามปกติ แม้จะพยายามมองออกไปนอกรถ แต่ทำไมเขาจะไม่เห็น...มือเล็กๆ ที่กำลังสั่น



ร่างสูงตบไฟเลี้ยวเข้าด้านซ้าย ภูมิหันมามองการกระทำนั้นอย่างตกใจ แม้จะพยายามส่งสายตาถาม แต่เจ้าของรถก็ไม่มีคำตอบให้



จนกระทั่งรถยนต์จอดเทียบฟุตบาธ โฟล์คก็จัดการปลดเข็มขัดนิรภัยที่รั้งตัวไว้ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับร่างเล็กที่มองเขาด้วยแววตาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ยอมหลุดปากถามอะไรออกมา



โฟล์คถอนหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติและเรียบเรียงสิ่งที่จะพูด ...ความจริงที่เขาอยากบอกให้คนตรงหน้ารู้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน



"ที่ภูมิเข้าใจน่ะ...ถูกแล้วครับ"



คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าตนเข้าใจถูกเรื่องอะไร โฟล์คจึงขยายความ



"ภูมิเข้าใจถูกว่าพี่รักมิ้นท์มาก"



โฟล์คคิดว่าเขาเห็นนะ...เขาเห็นว่าแววตาของภูมิสั่น แม้จะเป็นเพียงวูบเดียวก็ตาม แต่นั่นทำให้เขามีกำลังใจที่จะพูดต่อไป



"แต่...พี่รักมิ้นท์แบบเพื่อน"



ครั้งนี้คนตัวเล็กของเขาเบิกตากว้าง นัยน์ตาสั่นไหวทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ท่าทางเหมือนจะร้องท้วงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบลงและหลุบสายตาลงต่ำ พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กๆ "พี่พูดอย่างนั้นได้ไงวะ นั่นแฟนพี่นะ"



"พี่รู้ครับว่ามิ้นท์เป็นแฟนพี่ มันอาจจะดูไม่ดี...แต่ความจริงก็คือพี่รักมิ้นท์แบบเพื่อนสนิท และไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านั้น" โฟล์คบอกอย่างหนักแน่น จนภูมิต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง เพื่อพบกับสายตาอ่อนโยนที่บัดนี้เปี่ยมไปด้วยกระแสเว้าวอน และน้ำเสียงขอร้องที่ยากจะปฏิเสธ "พี่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง  แต่พี่อยากขอร้อง...ภูมิช่วยฟังคำอธิบายจากผู้ชายที่ภูมิเกลียดคนนี้ได้มั้ยครับ"



"...ผมไม่ได้เกลียดพี่สักหน่อย"



โฟล์คยิ้มให้กับเสียงพึมพำตอบรับที่น่าฟังที่สุดสำหรับเขา ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรก



"พี่กับมิ้นท์รู้จักกันตั้งแต่จำความได้ เรียกว่าเพื่อนสมัยเด็กนั่นแหละ เราเลยสนิทกันมากจนเพื่อนหลายคนแซวบ่อยๆ  แต่พี่รู้ตัวตลอดว่าไม่เคยคิดกับมิ้นท์เกินเพื่อน หรือถ้าพูดให้ถูก...พี่ไม่เคยมีความรู้สึกชอบหรือรักใครแบบนั้นเลย"



ท้ายประโยค โฟล์คสบตากับร่างเล็กอย่างตั้งใจสื่อความหมาย ทว่าภูมิกลับเบนสายตาหลบ ซึ่งโฟล์คก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วพูดต่อ



"แต่จู่ๆ มิ้นท์ก็รู้ตัวว่าป่วย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"



ภูมิชะงัก หันกลับมาสบตาร่างสูงทันควัน



"สิ่งที่มิ้นท์ขอมีสองอย่าง คือหนึ่ง...ขอไปใช้ชีวิตต่างประเทศคนเดียวแบบที่เคยฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ...ความจริงก็เพื่อไปรักษาตัวด้วย และสอง...ขอให้พี่ยอมเป็นแฟนกับเธอในช่วงเวลาที่เหลือ" โฟล์คยิ้มให้ตัวเองอย่างเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น "พี่เพิ่งรู้เมื่อตอนนั้นว่ามิ้นท์คิดกับพี่แบบไหน พี่ไม่เคยรักใคร และไม่คิดว่าจะรักใคร ดังนั้นพี่จึงเต็มใจทำตามที่เพื่อนสนิทที่สุดของพี่ขอ คือการทำให้มิ้นท์ความสุขที่สุดในช่วงที่ยังมีโอกาส"



ภูมิพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งฟังเรื่องราวที่ถูกปิดเป็นความลับมาตลอดอย่างเงียบๆ



"และช่วงที่มิ้นท์ไปอเมริกา...พี่ก็ได้เจอภูมิ" โฟล์คเล่าต่อพร้อมรอยยิ้ม "ตอนแรกพี่เอ็นดูภูมิเพราะเป็นน้องชายไอ้ภาคย์ พี่ชอบความหัวไว ชอบสีหน้าของภูมิตอนที่เล่นกีตาร์ให้พี่ฟัง แต่ถึงภูมิจะดูเป็นเด็กร่าเริง พี่กลับรู้สึกว่าภูมิเหมือนมีกำแพงอะไรบางอย่างในใจ"



โฟล์คนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอกันครั้งแรกๆ ...ตอนที่เขายังไม่รู้ว่าภูมิมีปัญหาอะไรกันแน่



ทำไมเด็กคนหนึ่งถึงทำหน้าเศร้าได้ขนาดนั้น แต่บางครั้งก็ยิ้มให้เขาได้อย่างจริงใจ ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่โฟล์คสนใจคนอื่นมากขนาดนี้



"และพอกำแพงนั้นพังลง...วันที่ภูมิร้องไห้ใส่พี่ พี่สงสารและเห็นใจเด็กคนนั้นมาก จนพี่เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกที่มันมากกว่าความเอ็นดูน้องชายของเพื่อน พี่อยากดูแล อยากปกป้อง อยากเป็นคนที่อยู่ข้างภูมิตลอดเวลา ...พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใคร"



ภูมิแทบลืมหายใจ แววตาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ในขณะที่โฟล์คสบสายตากลับอย่างจริงจัง...ทว่าก็สะท้อนความรู้สึกผิด



"แต่ตอนนั้นพี่ยังมีมิ้นท์ ภูมิเชื่อมั้ย...นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่พี่ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง ...พี่ทำร้ายมิ้นท์ไม่ได้ แต่พี่ก็ออกห่างจากภูมิไม่ได้ สุดท้ายพี่ก็เลือกทางที่ขี้ขลาดที่สุดคือพยายามดันปัญหาให้ออกห่างจากตัว หลอกตัวเองว่าจะค่อยๆ หาทางแก้ปัญหาให้ดีที่สุด"



โฟล์คพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ก่อนจะกล้ำกลืนพูดสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดออกมา



"แต่สุดท้าย...พี่ก็ทำให้ภูมิเสียใจ"



ภูมิหันหน้าหนี ไม่สามารถทนสบตาร่างสูงที่แสดงสีหน้าและน้ำเสียงเหมือนกำลังแบกโลกทั้งใบไว้แบบนี้ได้



เพราะแค่เห็น...เขาก็เจ็บไม่แพ้กัน



"พี่ไม่กล้าพอที่จะรั้งภูมิไว้ เพราะที่ผ่านมาพี่เห็นแก่ตัวมาก และหลังจากมิ้นท์กลับมาเมืองไทย พี่ก็ทุ่มเททุกอย่างให้มิ้นท์เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่จะทำให้เพื่อนที่พี่รักที่สุดได้"



ภูมิยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งโฟล์คก็ไม่ว่าอะไรกับท่าทางนั้น เพราะรู้ว่าภูมิยังตั้งใจฟังที่เขาพูดทุกคำ



"แต่ไม่ว่ายังไง...พี่ก็ไม่เคยลืมภูมิ"



โฟล์คพูดอย่างหนักแน่น...จริงใจ จนคนฟังเหมือนจะนิ่งค้างไป และอะไรบางอย่างก็เป็นตัวผลักดันให้เขาเอ่ยประโยคสุดท้าย...ความรู้สึกที่มีให้เด็กคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และเพิ่งแน่ใจวันนี้ว่า...มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง



"พี่รักภูมิครับ"



ครั้งนี้ ไหล่ของคนตัวเล็กสั่นไหวเบาๆ  ทว่าโฟล์คไม่ได้เร่งเร้าอะไรอีกต่อไป เขาพูดสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของรถทำจึงมีเพียงแค่นั่งรอคำตอบท่ามกลางความเงียบ...และเสียงสะอื้นที่ค่อยๆ ดังขึ้นจากคนข้างตัว



สุดท้ายภูมิก็ยอมหันกลับมาหา แต่ยังคงเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ "...พี่โฟล์คแม่งขี้โกง"



"หืม..."



เป็นคำตอบที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ ยังไม่ทันจะได้ตีความต่อ เจ้าของคำกล่าวหาก็สวนขึ้นมาอีกระลอก



"ก็ดูพี่สิ...พี่พูดแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ แล้วยังทำหน้าแบบนี้ แล้วผม...ฮึก ผมจะทำยังไงต่อล่ะ..." เสียงพูดสลับกับเสียงร้องไห้จนจับใจความแทบไม่ถูก "พี่โฟล์คแม่ง...ไม่ให้ผมตั้งตัวเลย"



น่าแปลก...โฟล์คห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างขึ้นทีละนิดไม่ได้



ทั้งหมดทั้งมวลนั่น เขาตีความว่าภูมิไม่ได้เกลียดเขา



โฟล์คขยับเข้าใกล้คนที่ปิดหน้าปิดตาร้องไห้เหมือนเด็กๆ แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้พร้อมเอ่ยอย่างหวังปลอบประโลม "พี่ขอโทษนะครับ..."



"ยังจะมานะครับอีก ฮึก..."



โฟล์คหลุดหัวเราะกับท่าทางดื้อดึงที่เขามองว่าน่ารักน่าเอ็นดูที่สุด มีที่ไหนกัน...ปากก็บ่น แต่สองมือกลับเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ จนหน้าแดงจมูกแดงไปหมด



โฟล์คเกลี่ยนิ้วโป้งบนแก้มขาวใสเบาๆ ปาดหยดน้ำตาที่ยังคงทะลักออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนนึกเป็นห่วงว่าคนตัวเล็กของเขาจะตาบวมแดงหลังจากนี้



หรือความเป็นห่วงนั้นอาจเป็นเพียงข้ออ้างที่ทำให้เขาเคลื่อนหน้าเข้าใกล้คนที่ยังเช็ดน้ำตาโดยไม่รู้สึกตัว แล้วกดจูบที่หยดน้ำใสบนแก้มเนียนนุ่มของคนตรงหน้าแผ่วเบา



สัมผัสที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้คนได้รับสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ผละหนี ซ้ำยังสะอื้นแรงขึ้นจนโฟล์คได้แต่ซับน้ำตาด้วยวิธีเดิมให้หลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังเลื่อนริมฝีปากไปขบเม้มตรงปลายจมูกรั้นที่แดงขึ้นจากการร้องไห้



เขาพยายามห้ามใจให้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะสองมือที่ใช้ปาดน้ำตากลับเลื่อนขึ้นมาจับคอเสื้อของเขาแล้วกำแน่นอย่างสั่นไหว ทั้งยังพึมพำซ้ำไปซ้ำมา "คิดถึง...ผมคิดถึงพี่นะพี่โฟล์ค...ผมแม่งโคตรคิดถึงพี่เลย...ฮึก"



"ภูมิครับ..."



โฟล์คคำรามในลำคอ คาดไม่ถึงว่าร่างเล็กตรงหน้าจะพูดประโยคที่ทำให้เขาใจสั่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าจะหยุด...ก็คงห้ามไม่ได้อีกต่อไป



โฟล์คลากริมฝีปากลงมาคลอเคลียอยู่เหนือเรียวปากสีสดที่ยิ่งแดงชัดจากการร้องไห้ แล้วประทับลงไปอย่างแนบแน่นราวกับถ่ายทอดความรู้สึกที่กักเก็บมาตลอดหลายปี



ภูมิไม่ได้ขัดขืน หรือถ้าพูดให้ถูกคือไม่มีความคิดที่จะไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นใดๆ  เขาทำได้แค่เพียงกระชับคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยว ปล่อยให้คนตัวสูงกว่าเชยคางเขาขึ้นแล้วเบี่ยงองศาเพื่อกดจูบลงมาอีกครั้ง ทั้งเคล้นคลึงอย่างอ่อนโยนจนภูมิรู้สึกเหมือนถูกขโมยลมหายใจ



ถึงจะผ่านมาแล้วตั้งสองปี แต่เขาจำได้ว่าเมื่อคราวก่อนพี่โฟล์คยังจูบไม่เก่งเท่านี้เลย



"อือ...พี่โฟล์ค..."



ภูมิกระตุกคอเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นสัญญาณว่าลมหายใจเขาใกล้จะหมด โฟล์คอดไม่ได้ที่จะขยับไปกดจูบที่มุมปากอีกครั้งก่อนผละออกมา



ทั้งสองคนหอบหายใจ หัวใจยังเต้นรัวแรงกับสัมผัสที่ห่างหายไปนาน ภูมิเริ่มหน้าขึ้นสีมากขึ้นเมื่อระลึกได้ว่าเผลอโอนอ่อนผ่อนตามสัมผัสจากร่างสูงมากแค่ไหน



โฟล์คมองท่าทางนั้นอย่างเอ็นดู สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย แล้วจึงเอ่ยคำถามที่จะเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนนับแต่นี้ไป



"...เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ยครับภูมิ"



-------------------------- TBC ------------------------



คำรักคำแรกของพี่โฟล์คที่ไม่มีพันธะอะไรแล้ว กับกำแพงของน้องภูมิที่ถล่มลงมาทีเดียว

เรียกว่าใกล้ลงเอยกันแล้วก็ได้ค่ะ :)

วันพฤหัสนี้ลงตอนสุดท้ายนะคะ แล้วก็จะมีบทส่งท้ายสั้นๆ มาในวันเสาร์ด้วย

ประเด็นครอบครัวของน้องภูมิขอยกไปเป็นตอนพิเศษนะคะ เพราะเรื่องของไทม์ไลน์ที่กว่าครอบครัวของภูมิจะรู้เรื่องก็อีกสักพัก และที่เราวางไว้คือครอบครัวจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ค่ะ การต้องแยกกันสองปีแต่ยังรักกันอยู่ขนาดนี้ เราว่าเป็นบทพิสูจน์สำคัญของคู่นี้แล้วค่ะ จะเจออะไรอีกก็ไม่น่ากลัวแล้ว ผ่านไปได้ด้วยกันแน่นอน^^

อีกอย่างคือ น้องซันจะมีส่วนช่วยเยอะมากในการเปลี่ยนทัศนคติพี่ภาคย์ค่ะ ซึ่งหลักๆ จะอยู่ในเรื่องแยกของคู่ซันภาคย์เลย ดังนั้นเลยขอยกประเด็นครอบครัวไปไว้ในตอนพิเศษแทนค่า แต่ยังรับปากไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไหร่ แต่จะพยายามไม่ให้ทิ้งช่วงห่างจากนี้มากนะคะ

เวลาผ่านไปเร็วมาก แป๊บเดียวก็จะจบแล้ว ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมานะคะ รัก<3



CT.hamonigar

อ้อ ลืมบอกเลย ตอนนี้เปิดตัวน้องไอซ์ นายเอกจากเรื่อง 【 ก่อน . รัก . เพียง . ฝัน 】 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68142.0) แล้วนะคะ จะลงบทนำวันเสาร์นี้ วันเดียวกับบทส่งท้ายของพี่โฟล์คกับน้องภูมิค่ะ ฝากตัวอีกครั้งนะคะ :)
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 22 ความจริง (21/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-08-2018 19:58:58
 รักกันมาตั้งนานฮรึกกกก
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 22 ความจริง (21/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-08-2018 20:39:00
 :-[

พี่โฟร์คไวเวอร์ น้องภูมิแพ้ทางเขาตลอด 55

 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 22 ความจริง (21/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-08-2018 14:47:01
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 22 ความจริง (21/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 23-08-2018 16:26:27
Chapter 23 : นับจากนี้



“ขยับไปทางซ้ายหน่อย...อีกนิด...โอเค ดี ตรงนั้นแหละ”



ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นเกือบพลบค่ำ แต่แสงไฟในสนามกีฬากลางแจ้งยังคงสว่างโร่เพื่อรองรับเหล่านักศึกษาที่กำลังเตรียมงานเปิดกีฬามหาวิทยาลัยซึ่งจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ในฐานะเด็กปีหนึ่งที่รับหน้าที่ทำฉากมาตั้งแต่ต้น การนำฉากมาจัดวางบนแสตนด์ถือเป็นหน้าที่สำคัญอย่างสุดท้ายสำหรับภูมิ



เมื่อได้ยินรุ่นพี่ด้านล่างบอกเช่นนั้นกับฉากแผ่นสุดท้าย ภูมิกับเพื่อนอีกห้าคนก็ถอนหายใจพร้อมกันขณะปล่อยมือจากฉาก เสียงเพื่อนร่วมคณะเฮกันอย่างครื้นเครงเมื่อเห็นภาพฉากหลังแสตนด์จัดเรียงไว้สวยงามสมกับที่ตรากตรำกันมาร่วมเดือน



ภูมิเดินกระพือคอเสื้อลงจากแสตนด์ พอเงยหน้ามองผลความพยายามของตนกับเพื่อนแบบเต็มๆ ตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเหมือนคนอื่น



หมับ



“เฮ้ยไอ้ภูมิ สวยโคตรๆ เลยว่ะ”



ภูมิชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่จู่ๆ ก็เดินมาพาดแขน ยกยิ้มเล็กน้อยแล้วถามออกไป “มึงไม่ซ้อมกีฬาแล้วเหรอ”



“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้แข่งแล้ว โค้ชอยากให้พักเยอะๆ” ปิงปองหันมายิ้มยิงฟัน



“วันแรกก็แข่งเลยเหรอวะ”



“เออ กับวิศวะ”



“เฮ้ย ตัวเก็งเลยนะมึง”



“ชิลๆ น่า” ปิงปองบอกอย่างไม่ทุกข์ร้อนจนภูมินึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันควัน “ว่าแต่มึงจะไปกินข้าวกับพวกรุ่นพี่ต่อหรือเปล่า เขาบอกจะเลี้ยงนี่ เออ แต่นี่ก็มืดแล้ว หรือมึงต้องรีบกลับบ้าน”



ภูมิส่ายหน้าแล้วตอบสั้นๆ “กูไป”



“ฮะ!” ปิงปองหันขวับไปมองเพื่อนข้างตัว แล้วยกมือเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแรงๆ โดยไม่สนใจสายตาติดจะรำคาญของเจ้าของ “เป็นไปได้ไงวะ ปกติมึงไม่ชอบไปกินเลี้ยงแบบนี้นี่ ยิ่งดึกๆ นะมึงจะบอกว่ารถเมล์หมดเดี๋ยวกลับบ้านไม่ได้ ใครรบเร้าก็ไม่ยอม แล้ววันนี้อะไรเข้าสิงมึง”



“มึงนั่นแหละเป็นอะไร” ภูมิบ่นพึมพำแล้วขยับหนีออกมา “กูไปเอากระเป๋าก่อนนะ”



“กูไปด้วย!”



ปิงปองรีบวิ่งตาม ทว่ากลับต้องชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่เดินนำหน้าไปมีรุ่นพี่เดินเข้ามาทัก แถมเป็นรุ่นพี่ที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีจนปิงปองต้องเบิกตากว้าง



พี่โฟล์คนี่หว่า!



“งานเสร็จแล้วเหรอครับภูมิ”



“อืม”



ไหนวะหน้ารำคาญกูเมื่อกี้ ทำไมตอนนี้เหลือแต่ไอ้ภูมิที่ทำหน้าเขินๆ วะ



“แล้วนี่รู้หรือยังว่ารุ่นพี่จะพาไปเลี้ยงร้านไหน”



“ยังเลย ถ้ารู้แล้วจะไลน์บอก”



“โอเคครับ งั้นเสร็จงานแล้วเดี๋ยวพี่ไปรับนะ”



“อือ ไม่ต้องรีบนะพี่โฟล์ค ผมรอได้”



โฟล์คยิ้มให้ ยกมือขึ้นลูบผมคนตัวเล็กกว่าเบาๆ ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติจนปิงปองถลึงตามองอีกรอบ



กูตกข่าวอะไรไปเนี่ย!



เมื่อโฟล์คเดินออกไปแล้ว ปิงปองก็รีบสาวเท้าให้ทันคนที่เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะชิ่งไปทางอื่น แล้วคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายจนคนถูกรั้งไว้ต้องหันกลับมาโวยใส่ “อะไรของมึงอีก”



“มึงนั่นแหละ! คืนดีกับพี่โฟล์คตอนไหนวะ”



“อะไร...ยังสักหน่อย” ภูมิตอบอุบอิบ ท้ายเสียงเบาลงอย่างไม่มั่นใจนักจนคนถามเริ่มสับสน



“อ้าว แล้วที่คุยกันกับลูบหัวเมื่อกี้ล่ะ มองจากแสตนด์ฝั่งนู้นยังรู้เลยว่ามึงกับพี่โฟล์คกลับมาสนิทกันแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนวะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง!”



ภูมิกลอกตาไปมา ปัดมือเพื่อนข้างตัวออกจากไหล่ขณะยอมตอบคำถาม “แค่เคลียร์กันแล้วเฉยๆ พอเลิกเรียนมึงก็เอาแต่ไปซ้อมกีฬาเองนี่”



จากนั้น คนตอบคำถามก็เดินเลี่ยงไปคุยกับกลุ่มเพื่อนที่ร่วมทำฉากด้วยกัน ปล่อยให้นักกีฬาของคณะยืนประมวลคำตอบที่ได้ในหัวอย่างมึนงงไม่หาย



กูเพิ่งไปซ้อมกีฬาหนักๆ แค่สองอาทิตย์ก่อนแข่งเอง เวลาแค่นั้นเปลี่ยนจากคนที่เอาแต่หลบหน้าให้กลับมาสนิทกันได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ











 

ภายในร้านอาหารจีนขนาดตึกแถวหนึ่งห้อง พื้นที่ในร้านถูกจับจองโดยนักศึกษาคณะนิเทศฯ เกือบยี่สิบคนซึ่งแบ่งกันนั่งตามโต๊ะกลมทั้งสามโต๊ะในร้าน อาหารที่สั่งมาพร่องลงจนเกือบไม่เหลือ แต่เหล่าเด็กปีหนึ่งยังคงหยิบยกแผ่นเมนูขึ้นมาชี้ๆ ให้เจ้าของร้านที่เป็นคนจีนแท้รับออเดอร์ โดยไม่คิดเกรงใจรุ่นพี่ที่ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายในตอนท้าย



ทว่าด้านหนึ่งของโต๊ะ สองเพื่อนซี้ที่นั่งติดกันแทบไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้า เมื่อคนหนึ่งพยายามรบเร้าให้คนข้างตัวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อนให้ฟัง ส่วนอีกคนก็ทนลูกตื๊อไม่ไหว จำต้องค่อยๆ อธิบายในที่สุด



“แค่นี้แหละ...หลังจากวันนั้นก็เจอกันตามปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษอย่างที่มึงคิดสักหน่อย” ภูมิเอ่ยสรุปสั้นๆ



ก็ถ้านับว่าการเจอกันเกือบทุกวันเป็นเรื่องปกติ บางครั้งไปกินข้าวกันบ้าง วันไหนกลับดึกพี่โฟล์คจะไปส่งที่บ้าน...เขาก็ไม่ได้โกหกนี่นะ



“เหรอวะ แค่ปรับความเข้าใจกันเฉยๆ  ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยเหรอ”



“เออ แค่นั้น” ภูมิบอกแล้วจัดการคีบขนมจีบเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วกลืน ก่อนจะหันมาสำทับอีกประโยค “กูกับพี่โฟล์คก็ไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่านั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”



“โห ไม่เป็นก็เหมือนเป็นล่ะวะ หมาบ้านกูยังดูออกเลย”



เขาส่ายหน้ากับความช่างประชดประชันของเพื่อน หลังจากนั้นไม่ว่าจะถูกโยนคำถามอะไรมา ภูมิก็แค่ตอบสั้นๆ และไล่ให้อีกฝ่ายรีบกินอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟรอบสอง ก่อนจะเป็นเหมือนครั้งแรกที่เอาแต่คุยกันจนกินไม่ทันคนอื่น



จนเมื่อปิงปองได้คีบซาลาเปาที่สอดไส้น้ำซุปเข้าปาก เจ้าตัวก็ทำตาโต ก่อนชิ้นที่สองและสามจะตามมาอย่างรวดเร็ว ปากก็พูดใส่ภูมิรัวๆ



“มึงๆๆ ไอ้นี่โคตรอร่อยอะ มันชื่ออะไรนะ อะไรเปาหลงๆ”



“เสี่ยวหลงเปา” ด้วยความที่มีเชื้อสายจีนแท้และดั้งเดิม ติ่มซำเมนูนี้เป็นสิ่งที่ภูมิรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ  แต่พอโตขึ้นก็ไม่ได้กินบ่อยเท่าเดิม



พอปิงปองได้รู้ชื่อ ก็จัดการเรียกเจ้าของร้านมาพูดช้งๆ เช้งๆ ใส่ จนผ่านไปเกือบสิบนาที ซาลาเปาสอดไส้น้ำซุปในเข่งใหญ่สองเข่งก็ถูกยกมาเสิร์ฟ



“กินด้วยกันสิไอ้ภูมิ อร่อยนะเว้ย”



“ไม่ล่ะ” ภูมิส่ายหน้าปฏิเสธขณะเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีข้อความเข้าใหม่ “เดี๋ยวกูกลับแล้ว”



คนที่วุ่นอยู่กับการกินไม่ได้พ่นคำถามหรือเอ่ยรั้งเขาไว้เหมือนที่คิด ภูมิจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย แล้วเดินไปที่โต๊ะของรุ่นพี่เพื่อบอกลา



จากนั้น เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก็เดินออกมาด้านหน้าร้านที่มีรถยนต์คันสีขาวจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ ซึ่งหลังจากคืนนั้นที่เขากับพี่โฟล์คได้ปรับความเข้าใจกัน ภูมิถึงเพิ่งสังเกตว่ารถคันที่พี่โฟล์คขับคือคันเดียวกันกับที่เคยจอดแช่อยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าคณะ



เมื่อลองถามดูก็ได้คำสารภาพว่าวันนั้นพี่โฟล์คลงทุนขับตามเขาไปถึงบ้าน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเสียด้วย



ภูมิส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆ จำได้ว่าตอนที่รู้เรื่องนี้เขาแทบพูดไม่ออก จะตำหนิก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะลึกๆ แล้วเขาเข้าใจว่าทำไมพี่โฟล์คถึงทำแบบนั้น



ภูมิเปิดประตูขึ้นนั่งด้านข้างคนขับ เจ้าของรถหันมายิ้มให้เขาแล้วเอ่ยถามขณะเปลี่ยนเกียร์ “วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”



“เหนื่อยแหละพี่โฟล์ค แต่ก็วันสุดท้ายแล้ว พี่นั่นแหละ...ตั้งแต่พรุ่งนี้คงงานยุ่งใช่ไหม”



“ไม่มากไปกว่าตอนเตรียมงานหรอกครับ” โฟล์คตอบด้วยท่าทีสบายๆ  ซึ่งภูมิรู้ทันหรอกว่าพี่โฟล์คแค่ไม่อยากให้เป็นห่วง



“อย่าโหมงานหนักแล้วกันนะ” ภูมิพูดเสียงเบา แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ประดับมุมปากเจ้าของรถ จึงรู้ว่าร่างสูงคงได้ยินชัดเต็มสองหู ภูมิจึงหันไปมองวิวนอกหน้าต่างแก้เก้อ ก่อนจะรู้สึกร้อนที่แก้มเมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือหนาที่เอื้อมมาลูบศีรษะเขาเบาๆ



“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”



ภูมิเม้มปาก พยักหน้ารับเบาๆ โดยไม่ตอบอะไร



จริงอยู่ที่เขากับพี่โฟล์คไม่ได้เจอกันเกือบสองปี แต่เวลาสองอาทิตย์ที่ได้ปรับตัวเข้าหากันอีกครั้ง เขาก็พบว่า...พี่โฟล์คแทบไม่เปลี่ยนไปเลย



อดีตครูสอนพิเศษของเขายังเป็นพี่ชายใจดีคนเดิมเหมือนเมื่อสองปีก่อน เป็นคนที่ทำให้เขาอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้ เป็นคนที่คอยดูแลและห่วงใยกันตลอดเวลา



สิ่งที่ต่างออกไปน่าจะมีเพียงแค่สายตาของพี่โฟล์ค ซึ่งในตอนนี้แสดงออกชัดเจนว่า...รัก เหมือนที่พี่โฟล์คบอกกับเขาคืนนั้น และที่มากกว่านั้นคือ...ความโหยหา



มันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เขาที่ยังรู้สึกกับคนคนเดิมมาตลอดสองปี แต่อีกฝ่ายเองก็ยังคาดหวังให้เราทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิม



ดังนั้นภูมิจึงตัดสินใจละทิฐิทั้งหมดที่มี และเริ่มเปิดใจ...ทำตามความต้องการของหัวใจตัวเองอีกครั้ง



ลมแอร์เย็นฉ่ำปะทะเข้าที่หน้า ประกอบกับเสียงเรียกเบาๆ จากคนข้างตัวทำให้ภูมิลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่ารถยนต์จอดนิ่งสนิทหน้ารั้วบ้านที่คุ้นตา เขาถึงค่อยๆ ระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ไหน



“อืม...ผมหลับไปเหรอ”



“ครับ” โฟล์คยิ้มให้ เอื้อมมือมาจัดทรงผมให้คนที่เมื่อครู่นอนคอพับอย่างอ่อนโยน “ภูมิคงเหนื่อยมาก เข้าไปนอนพักในบ้านต่อดีกว่า”



ทว่าคนตัวเล็กยังคงนั่งนิ่ง ไม่ขยับไปไหน พอโฟล์คเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขาก็หลุบตาลงต่ำแล้วพูดเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ คือ...”



โฟล์คหลุดยิ้มออกมากับการทำตัวไม่ถูกของอีกฝ่าย แต่ก็ยังรอให้ภูมิพูดให้จบอย่างใจเย็น



“คือ...ขอโทษที่ปล่อยให้พี่ขับรถคนเดียวนะ ผมหลับไปไม่รู้ตัวเลย นี่ก็ดึกแล้ว ขับรถกลับดีๆ นะพี่ ถ้าถึงบ้านแล้วก็ไลน์บอกผมด้วย” ภูมิเอ่ยออกมารวดเดียวจนคนฟังชะงักไปนิด ก่อนจะยกยิ้มด้วยความเอ็นดู



“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่เห็นหน้าภูมิพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว” โฟล์คพูดอย่างไร้ความลังเล พร้อมกับยกมือขึ้นสัมผัสแก้มขาวใสของคนตรงหน้า แล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ



ภูมิรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ขึ้นมาสุมกันอยู่ตรงแก้มทั้งสองข้าง ทว่ากลับไม่กล้าผละหนี ภูมิเหลือบตามองเจ้าของฝ่ามือสลับกับมือที่สัมผัสแก้มของตนอยู่ด้วยความคิดที่ตีกันในหัว ก่อนจะตัดสินใจ...



จุ๊บ



เลื่อนหน้าเล็กน้อยจนริมฝีปากประทับเข้าที่กลางฝ่ามือของอีกฝ่าย แล้วหลับตาแน่น ใจเต้นรัวกับความกล้าบ้าบิ่นที่แทบไม่รู้ว่าผ่านการไตร่ตรองมาหรือยัง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พี่โฟล์คกำลังทำสีหน้าแบบไหน



ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมา ภูมิก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าร่างสูงขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ริมฝีปากทั้งคู่ห่างกันเพียงลมหายใจกั้น และไม่ทันได้ตั้งตัว...สัมผัสอ่อนโยนก็ประทับเข้ากับริมฝีปากที่เผลอเผยอไว้น้อยๆ  เคล้นคลึงแผ่วเบาจนภูมิเผลอหลับตาลงอีกครั้ง



จนเมื่อสัมผัสนั้นผละออกไป ภูมิค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น และพบว่าใบหน้าของพี่โฟล์คอยู่ห่างออกไปเพียงนิด โดยที่ฝ่ามือหนายังคงประคองใบหน้าของเขาไว้เช่นเดิม



ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล เว้าวอน...ทว่ามั่นคง



“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”



ภูมิเบิกตากว้าง นัยน์ตาสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าโฟล์คยังคงมองกลับด้วยสายตามั่นคงดุจเดิม



“เราอาจจะกลับมาเจอกันไม่นาน แต่สำหรับพี่...แค่สองปีมันก็มากเกินพอแล้วที่เราห่างกัน ตลอดเวลานั้นทำให้พี่รู้ว่าพี่มองคนอื่นอีกไม่ได้ และสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้พี่มั่นใจ...” โฟล์คเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ จรดหน้าผากแนบสนิทกับคนที่เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมา แล้วเอ่ยแผ่วเบา ทว่าสลักลึกเข้าไปในใจคนฟัง “…ว่าพี่รักแค่ภูมิ...ต้องการแค่ภูมิคนเดียว”



“ฮึก...”



ภูมิรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา เอ่ยออกมาได้เพียงเสียงสะอื้น



“ว่าไงครับ เป็นแฟนกับพี่...อยู่กับพี่ตั้งแต่นี้ไปได้มั้ย”



ครั้งนี้ภูมิไม่รอให้อีกฝ่ายถามซ้ำ แต่กดหน้าลงทีหนึ่งเป็นคำตอบ ก่อนที่น้ำตาจะร่วงพรูเป็นสายอย่างที่ภูมิก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม



อาจเป็นเพราะกำแพงที่ตั้งไว้ตลอดสองปีพังครืนลงมาทีเดียว และคนที่ขังเขาเอาไว้เมื่อสองปีก่อน...คือคนเดียวกันกับที่ทำลายกำแพงและฉุดเขาเข้าไปในอ้อมกอด ดึงเขาออกจากความมืดให้พบกับแสงสว่างอีกครั้ง



“ขอบคุณนะพี่โฟล์ค...ขอบคุณนะ”



ภูมิได้แต่พูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ยอมตอบว่าเขาขอบคุณอีกฝ่ายเรื่องอะไร



ขอบคุณที่ก้าวเข้ามาในชีวิตผมเมื่อสองปีก่อน



ขอบคุณที่ช่วยให้ผมได้ทำในสิ่งที่ฝัน



ขอบคุณที่ฉุดให้ผมได้พบกับแสงสว่าง



ขอบคุณ...ที่พี่จะเป็นเส้นทางให้ผมก้าวเดินนับแต่นี้ไป




------------------------------ TBC ------------------------------



แวบมาลงให้ก่อนเพราะคิดว่าคืนนี้น่าจะกลับดึก แฮ่

ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายนะคะ เจอกันวันเสาร์ค่ะ :)



CT.hamonigar
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 23 นับจากนี้ (23/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-08-2018 18:45:57
 :-[ :pig4: :L2:

ในที่สุดก็เป็นแฟนกัน
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 23 นับจากนี้ (23/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-08-2018 20:07:57
งื้อฟิน
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บท 23 นับจากนี้ (23/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CT.hamonigar ที่ 25-08-2018 23:07:32
Epilogue



ภูมินั่งอยู่บนอัฒจันทร์ของสนามกีฬาในร่ม ตอนนี้เป็นช่วงพักครึ่งของการแข่งกันบาสเกตบอลระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะครุศาสตร์ ภูมิมองร่างสูงที่เด่นที่สุดในสายตาของเขายืนคุยกับประธานชมรมบาสฯ ของครุฯ แล้วยิ้มกับตัวเอง จากนั้นจึงละสายตามาดูหน้าจอโทรศัพท์เป็นการฆ่าเวลา



ภูมิชะงักไปเมื่อเห็นรูปหนึ่งซึ่งถูกอัพโหลดโดยพี่ภาคย์ พี่ชายแท้ๆ ของเขาเอง แถมยังถ่ายคู่กับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของเขาอย่างไอ้ซันพร้อมกับข้อความว่า ‘ไอ้นี่แม่งหล่อเหี้ยๆ’



“อะไรกันล่ะนั่น...ลงเอยกันแล้วหรือไง” ภูมิว่าอย่างติดจะล้อเล่นกับตัวเองหน่อยๆ เพราะรู้ดีว่าไอ้ซันน่ะชอบพี่ภาคย์ของจริง แต่พี่ภาคย์...ดันเกลียดเกย์เข้าไส้



“นั่งด้วยคนได้ไหม”



เสียงใครสักคนเอ่ยถาม เมื่อภูมิเงยหน้าขึ้นมองก็ยิ้มกว้างแล้วตอบ “เอาดิ นั่งเลย”



ไอซ์...เพื่อนจากคณะครุศาสตร์ส่งยิ้มให้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างกัน



ความจริงไอซ์กับภูมิรู้จักกันเพราะอุบัติเหตุระหว่างทำฉากเมื่อเดือนที่แล้ว ประกอบกับระยะหลังมานี้ภูมิแวะไปหาพี่โฟล์คที่คณะหลายครั้ง จึงสนิทกับเพื่อนคนนี้ขึ้นมาโดยปริยาย แม้ภายนอกไอซ์จะเป็นคนเงียบๆ  แต่ภูมิกลับพบว่าเป็นเพื่อนคนนี้เป็นอีกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ



“การแข่งเป็นไงบ้าง” ไอซ์หันมาถาม



“ครึ่งนึงแล้วล่ะ กำลังจะเริ่มเซตที่สาม” ภูมิตอบ “แต่ก็อย่างที่เห็น วิศวะนำลิ่ว”



“อืม ไม่แปลกใจหรอก” ไอซ์ตอบง่ายๆ  เพราะวิศวะฯ เป็นคณะที่มีผู้ชายเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัย และชมรมบาสฯ ของคณะนี้ก็ขึ้นชื่อไม่น้อย



“นั่นสินะ” ภูมิหัวเราะ แล้วชี้ไปที่ผู้ชายใส่เสื้อกีฬาเบอร์ 11 ที่นั่งพักอยู่ริมสนามอีกฝั่ง “คนนั้นน่ะโหดมาก ครั้งก่อนไอ้ปิงปองก็แพ้เพราะโดนมันบล็อกได้เกือบหมด ทั้งที่อยู่ปีหนึ่งเท่ากันแท้ๆ”



“หืม...ปีหนึ่งเหรอ” ไอซ์พึมพำ “ตัวสูงจัง”



“ใช่มั้ยล่ะ ตอนแรกเราก็นึกว่าเป็นรุ่นพี่”



“อืม” ไอซ์ตอบกลับแค่นั้น



การแข่งขันเซตที่สามเริ่มต้นขึ้น ภูมิดูการแข่งที่ดุเดือดกว่าสองเซตแรก ส่งเสียงเชียร์บ้างตามผู้คนบนอัฒจันทร์



ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ภูมิรู้สึกว่าเพื่อนข้างตัวมองนักกีฬาเบอร์ 11 คนนั้นไม่วางตา



“ทำไมคนเยอะอย่างนี้วะ กว่าจะหามึงเจอ”



ปิงปองบ่นพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง ร่างสูงในชุดนักกีฬาพ่นลมหายใจหนักหน่วงพลางกระพือเสื้อเพื่อไล่ความร้อน



ภูมิหันไปมองแล้วเอ่ยถาม “แข่งเสร็จแล้วเหรอ”



“เออ ชนะฉิวเฉียดเลย เด็กบัญชีแม่งเหนียวกว่าที่คิด” ปิงปองตอบ ก่อนจะนึกเรื่องอื่นขึ้นได้ “เออไอ้ภูมิ จำพี่ที่แจกข้าววันที่เรามาเข้าค่ายนิเทศตอนมอห้าได้ปะ”



“ใครจะจำได้วะ” ภูมิขมวดคิ้ว



“เออๆ กูจำได้ไง พี่ที่ทำหน้านิ่งๆ แบบซังกะตายอะ กูก็นึกว่าพี่เขาอยู่นิเทศ สรุปพี่เขาอยู่บัญชีว่ะ วันนี้เห็นเตรียมน้ำให้พวกนักกีฬาฝั่งนู้นอยู่ ก็ว่าไม่เคยเจอในคณะเลย”



“แล้วมึงไปยุ่งอะไรกับเขา”



“ก็ไม่รู้สิ” ปิงปองยักไหล่ ไม่ยอมตอบให้ชัด “นู่น...แฟนมึงมาแล้ว”



ภูมิมองตามที่เพื่อนสนิทชี้ เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวเมื่อสบตากับร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ เพียงเท่านั้น เพื่อนซี้อย่างไอ้ปิงปองก็แสนจะรู้งาน รีบลุกขึ้นอย่างว่องไวแล้วบอกรัวเร็ว



“พี่โฟล์คนั่งนี่เลย ผมจะไปซื้อน้ำ ในนี้แม่งโคตรร้อนอะ” ว่าจบก็ผลุบหายไปทันที



โฟล์คยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แทนที่รุ่นน้องที่เพิ่งลุกไป



“ทำงานเสร็จแล้วเหรอพี่” ภูมิชะโงกหน้ามากระซิบถามท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดังก้องสนาม



“อืม แต่พอแข่งเสร็จต้องไปคุยงานต่อ” โฟล์คหันมาตอบเกือบชิดใบหู ภูมิชะงัก แล้วผละออกไปอย่างขัดเขินไม่น้อย แต่โฟล์คกลับรั้งลำคอของคนตรงหน้าให้ตรึงอยู่กับที่ ก่อนจะใช้ผ้าสะอาดที่ขอมาจากฝ่ายสวัสดิการด้านล่างเช็ดใบหน้าเปื้อนเหงื่อของคนตัวเล็กอย่างเบามือ



ภูมิหลบสายตาพร้อมอาการใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปล่อยให้คนที่เช็ดหน้าเช็ดตาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบด้านพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “พี่บอกแล้วไงครับว่าในนี้มันร้อน เหงื่อออกเต็มเลยดูสิ”



“พี่ก็เหงื่อออกเหมือนกันแหละน่า” ภูมิบ่นอุบ คว้าผ้าเช็ดหน้าออกจากมือของคนข้างตัว แล้วใช้อีกด้านที่ยังไม่เปื้อนเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้อีกฝ่ายเช่นกัน



โฟล์คยิ้ม ปล่อยให้คนตัวเล็กจัดการเช็ดหน้าให้โดยไม่โต้แย้ง แม้จะรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังข่มอาการเขินไว้สุดกำลังแค่ไหน



สำหรับเขา...ท่าทางแบบนี้ยิ่งกว่าน่าเอ็นดูเสียอีก



จากนั้นภูมิก็ยัดผ้าใส่มือเขาเหมือนเดิม แล้วหันหน้าไปดูการแข่งขันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



โฟล์คหลุดหัวเราะ ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าหาอีกครั้งแล้วกระซิบ “ขอบคุณครับ”



แม้จะไม่ได้รับคำตอบ แต่แก้มขาวที่ค่อยๆ ขึ้นสีกว่าเดิมก็ทำให้โฟล์คพอใจมากแล้ว



โฟล์คหันไปสนใจการแข่งขันเหมือนกับคนอื่นบนอัฒจันทร์ ส่วนมือ...ก็เลื่อนไปกุมคนข้างตัวไว้จนแนบสนิท



 

ท่ามกลางเสียงเชียร์รอบด้าน กลับได้ยินถึงเสียงลมหายใจ



ท่ามกลางอากาศร้อนรอบกาย กลับรู้สึกถึงไออุ่นที่อยู่ข้างกัน



ท่ามกลางผู้คนนับร้อยพัน กลับสัมผัสได้ถึงกันและกัน...แค่สองคน




 

-          END   -



จบแล้วนะคะ :)

ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่อยู่ด้วยกันมา ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

หลังจากนี้อาจจะมีตอนพิเศษ ยังไม่รับปากว่าเป็นเมื่อไหร่นะคะ แต่จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานค่ะ

และถ้าอยากรู้ว่า น้องไอซ์ที่มองนักบาสในสนามตาค้างจะเป็นยังไงต่อ

ติดตามกันได้ใน 【 ก่อน . รัก . เพียง . ฝัน 】 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68142.0) ค่า

ขอบคุณมากค่ะ ^^



CT.hamonigar

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-08-2018 17:04:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-08-2018 17:30:41
น่ารักและกินใจมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-08-2018 18:32:51
จบแล้ว  Happy Ending   :mew1: :mew1: :mew1:
ชอบบบบบ  :katai2-1:
พี่ภาคย์ กับซัน จะถือว่าลงเอยกันได้รึเปล่านะ
เชียร์ให้ซันจะทำให้พี่ภาคย์สนใจ 
ไหนๆพี่ภาคย์ก็ ว่า‘ไอ้นี่แม่งหล่อเหี้ยๆ’  :z3:

พี่โฟล์ค  ภูมิ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอตอนพิเศษนะ  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love after school ติวรักหลังเลิกเรียน : END
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 29-08-2018 17:38:31
สำนวนรื่นดีนะคะ เพราะแทบไม่มีคำผิดเลย
แต่เนื้อหาช่วงหลังจากที่ภูมิรู้เรื่องมิ้นท์ ... มันยังเบา ๆ
อาจจะเพราะ ... ต้องการให้ไปอ่านเพิ่มเติมในตอนพิเศษล่ะมั้งคะ?

เอาว่า เป็นเรื่องราวที่น่ารักดีค่ะ
นึกมาดของพี่โฟล์คออกเลย คุณชายสุด ๆ
และอีกอย่างที่ชอบคือ ให้พี่โฟล์คเรียนครุศาสตร์ ... เท่อะ
ชอบมากการแหวกขนบของเมะที่ต้องเรียนวิศวะเป็นส่วนใหญ่

เจอกันใหม่ในเรื่องต่อไปเมื่อเขียนจบแล้วนะคะ :mew1:

หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-08-2018 05:25:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:37:25
 :pig4: