(http://766ิิbb21f0d137cc8a9329480a82650de)
ผม...ทนไม่ไหวแล้ว ผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย จอทีวีอยู่ไกลเกินกว่าสายตาผมจะมองเห็น
อาจารย์ได้ ผมใส่แว่นแล้วก็ยังไม่ชัดอยู่ดี มันไม่ใช่ปัญหาที่ตัวผม และจะให้ผมทนเรียนคอร์สเอ็นท์
ไม่รู้เรื่องจนจบคอร์สไม่ได้หรอก คอร์สเอ็นท์ราคาไม่ใช่ถูกๆซะด้วย
“พี่ครับ ผมขอย้ายที่นั่งครับ ผมมองจอไม่เห็นเลย ผมย้ายได้มั้ยครับ”
“ย้ายได้แต่พี่ไม่รู้ที่นั่งที่เหลือนะ ลองดูที่นั่งว่างๆแล้วน้องก็ไปนั่งได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับพี่”
ครับ และนั่นเป็นเหตุผลให้เช้าวันถัดมาผมต้องมานัั่งแกร่วรอคนเข้าให้หมด
เพื่อหาที่นั่งว่างๆ ที่สามารถมองจอได้ชัดเจน
โอ๊ะ ผมเจอที่นั่งที่น่าจะว่าง เป็นที่นั่งริมซ้ายสุด และไม่ไกลจากจอมากนัก
ขอบคุณพระเจ้า หวังว่าผมไม่ต้องทนเรียน4-5ชั่วโมงแบบมองไม่เห็นเหมือนเมื่อวานอีก
“นายๆ ที่นั่งตรงนี้ว่างมั้ย พอดีเราว่าจะย้ายมา” ผมลองแย็บถามผู้ชายตัวโต
ที่นั่งข้างๆที่ว่างตรงนั้นดู
“อ๋อ ว่างๆ นั่งได้ ” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาพร้อมหยิบแก้วชานมไข่มุกออก
จากโต๊ะและใช้หลังมือซับน้ำที่โต๊ะให้
“ขอบใจนะ” ผมนั่งลง ที่นั่งตรงนี้มองเห็นจอชัดเจนเลยแหละ ผมตัดสินใจ
ไม่ผิดจริงๆที่ย้ายมา
‘ตั้งใจทุกคน ระวังหลุดนะลูก’
“นายๆ มีโพสต์อิทมั้ย เราขอยืมหน่อย” โพสต์อิทของผมหมดแล้ว หวังว่า
เขาจะมีให้ผมยืม
“มีๆ” เขายื่นให้ผมทั้งแพ็ค
“เดี๋ยวเราซื้อคืนให้นะ”
“ไม่ต้องหรอก เรามีเยอะ”
“ขอบใจนะ” ผมเกรงใจเลยหยิบมานิดเดียว แต่ไว้ผมจะซื้อมาคืนเขาทีหลัง
แล้วกัน ผมไม่ชอบติดหนี้ใคร
‘ใครเสร็จข้อนี้แล้วทำข้อต่อไปเลยลูก ’
‘ถูกลูก ถูก ’
“นาย เราขอถ่ายหน้าเมื่อกี้หน่อยสิ เราจดไม่ทัน” ผู้ชายคนนั้นสะกิดตัวผม
เพื่อขอยืมหนังสือ
“ได้” ผมยื่นหนังสือให้เขาไป เขาชะงักเมื่อเห็นหน้าที่กางอยู่
“ทำไมนายหิวไม่ไปหาอะไรกินอะ ทำไมต้องจดลงหนังสือ” เขามอง
ข้อความที่ผมเขียนบ่นไว้ และถ่ายรูปข้อที่เขาจดไม่ทัน
“ก็..ออกไปตอนยังไม่พักแล้วเดี๋ยวหลุด” เขากลั้นขำ มันตลกตรงไหน ผม
แค่หิวแต่ไม่อยากออกไปตอนนั้นเดี๋ยวเรียนไม่รู้เรื่องไง
“งั้นอีกสิบนาทีจะพักแล้ว ไปหาอะไรกินด้วยกันมั้ย เห็นมีร้านข้าวเปิดใหม่
ตรงชั้นสอง” เขาเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มาชวนผม
“อือ ลองไปกินดูก็ได้”
.
“หยุดกินเถอะ เราออกมาพักเกิน20นาทีแล้ว” ผมแหวใส่เขาที่นั่งกิน
ไอศกรีมโคนที่สามอย่างสบายใจ
“ไม่ต้องรีบกลับหรอก ตอนนี้ก็คงมีพี่นักศึกษามาโปรโมทค่ายคณะอยู่ กลับ
ไปอาจารย์ก็ยังไม่สอน”
“แล้วนายไม่ลองไปฟังดูก่อนอะ เผื่อจะอยากไป” ผมว่าบางค่ายก็น่าไปนะ
ไปค้นหาสิ่งที่เราชอบ
“ไม่เห็นจำเป็นเลย เราม.6แล้ว มันไม่ใช่ปีที่ต้องหาค่าย หากิจกรรมทำ ปีนี้
เราต้องสอบ เราแค่ต้องทำโจทย์วนไปนั่นแหละ”
“จะไม่เครียดเกินไปหรอ นายควรหาอะไรทำผ่อนคลายบ้างนะ ชีวิตนายไม่
ได้มีแต่โจทย์ซักหน่อย”
“แม่อยากให้เราติดหมอ เราไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง สอบกสพท.ก็ใกล้เข้า
มาทุกวัน เราไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นหรอก” ฟังดูเครียด แตกต่างกับผมที่ไม่มีทางไปในอนาคตอย่างสิ้นเชิง
“แต่มีเวลากินเนี่ยนะ” ผมพูดจบ เขาก็เตรียมตัวเดินไปซื้อไอศกรีมอีก
“นายไม่รู้หรอก เวลากินเป็นเวลาที่เราชอบที่สุดแล้ว ได้กินแล้วสมองโล่ง”
“จะพยายามเข้าใจแล้วกัน แต่เราว่าตอนนี้พี่เขาน่าจะพูดจบแล้ว กลับกัน”
ผมพยายามดันเขาให้เดินกลับห้องโดยไม่วอกแวกไปซื้อของกินเพิ่มอีก
วันสุดท้ายของคอร์สเอ็นท์
‘ครูหวังว่านักเรียนทุกคนของครูจะประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้ทุกคน
หมั่นเพียรพยายามแล้วสิ่งที่นักเรียนหวังจะมาหานักเรียนเอง ครูเป็นกำลังใจให้จากตรงนี้นะลูก’
“จบคอร์สแล้วอะ ไวยิ่งกว่าเดอะแฟลช”
“อือ เวลาผ่านไปไวเสมอแหละ ขอให้นายติดหมอตามที่หวังไว้นะ”
“ขอบใจ แล้วนายจะเรียนอะไร ถามได้มั้ย”
“ถามได้ แต่เรายังไม่รู้เลยว่าอยากเรียนอะไร” อย่างที่บอกผมไม่รู้ว่าตัว
เองอยากเรียนอะไร ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเป็ด ไปไม่สุดซักทาง
“งั้นก็ขอให้นายรู้ตัวเองไวๆและสอบติดที่หวัง”
“อือ ขอบใจนะ”
“ว่าแต่นายชื่ออะไร เราที” ผมว่าตลกดี เรียนด้วยกันมาจนวันสุดท้าย
แล้วยังไม่รู้จักชื่อกันเลย เป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้จักกันแต่สนิทใจจะคุย แปลกมั้ย ผมว่าแปลก
“เราชื่อบัซ”
“ขอให้บัซโชคดี”
“ทีก็โชคดีเหมือนกันนะ” และถ้าโชคยังมี ผมก็หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก
คุณว่าประโยค 'คนไม่รู้จักกันจะเยียวยาซึ่งกันและกัน' นั้นมีอยู่จริงมั้ย ผมว่ามีอยู่จริงนะ
Butterbreeze : นึกถึงตอนเรียนเลยแต่งค่ะ หวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของกันและกันนะคะ
เราพึ่งแต่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ขออภัยในความผิดพลาดค่ะ น้อมรับคำติชมเสมอค่ะ